พิมพ์หน้านี้ - อาคเนย์ ◈ THE END

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Jittirain12 ที่ 09-08-2018 01:18:51

หัวข้อ: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 09-08-2018 01:18:51
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



อาคเนย์
ผมไม่เคยรู้เลยว่า...การที่เราเกลียดใครสักคนมากๆ
มันจะกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าคนคนนั้นเริ่มมีความสำคัญกับเรามากขึ้นทุกที
Original : Damage พิษรัก, 2014



สารบัญ
00 - Introduction (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3873040#msg3873040)
01 - Everything at once (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3873043#msg3873043)
02 - Half an eyesight (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3878120#msg3878120)
03 - Again and again (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3941856#msg3941856)
04 - All or nothing (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3944765#msg3944765)
05 - Forgotten (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3947446#msg3947446)
06 - Birthday memory (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3949984#msg3949984)
07 - Time machine (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3952079#msg3952079)
08 - Anticlockwise (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3954301#msg3954301)
09 - Ain't no sunshine (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3957015#msg3957015)
10 - Boyhood (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3979249#msg3979249)
11 - The answer (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3979508#msg3979508)
12 - Painful feeling (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3979923#msg3979923)
13 - Complicated relationship (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3980428#msg3980428)
14 - The memory collector (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3980744#msg3980744)
15 - The only one (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3981864#msg3981864)
Epilogue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3982097#msg3982097)

END


#อาคเนย์
คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายดราม่าและมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ




หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 09-08-2018 04:44:18
ตามๆๆๆๆๆๆ กลับไปเปิดอ่าน damages แต่เจอว่าคนเขียนลบแล้วเอามาเขียนใหม่เป็นเรื่องนี้ เราจะรอเราอยากอ่านตอนพิเศษ  :mew3: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-08-2018 07:23:38
ตาม
หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 09-08-2018 09:41:43
ตามจร้าาาาาาา :really2:
หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 09-08-2018 10:43:07
 :z1: :z1: :z1: เราจะตามแบบแอบๆ ฮือมันยังจำได้อยู่  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 09-08-2018 21:25:06
ตื่นเต้น ถึงมันจะดราม่าก็ตาม รักกกกก
หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-08-2018 21:55:04
มาเจิมรอรีไรท์ นิยายดราม่ามันต้องจิตตินี่แหละ
หัวข้อ: Re: ◈ อาคเนย์ ◈
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 10-08-2018 02:40:19
ให้จบดีกว่าเดิมได้ไหมค่ะจิตติ
รักกันแล้ว เข้าใจความทุกข์ยากกันแล้ว  ให้จบแบบนั้น มันอึนนะ

ร้ายเดียงสาว่าร้องไห้โหด ยังจบให้ผู้อ่านได้มีความสุขมีรอยยิ้ม   เรื่องนี้เดิมจบโคตรโหด(ยิ่งกว่าร้ายเดียงสาอีก)
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 11-08-2018 22:10:24


INTRODUCTION



ผู้ชายที่ชื่ออาคเนย์เติบโตมาในครอบครัวซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยทุกอย่าง
ท่ามกลางการดูแลอย่างดี ผมมีเพื่อนที่ถือกำเนิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
เขาคือเพื่อนคนแรก เพื่อนที่เป็นทุกอย่าง และที่น่าแปลกใจก็คือ
ชื่อของเขา...ยังคงเป็นชื่อเดียวที่ผมเรียกบ่อยที่สุดในชีวิต



   “เนย์...เนย์...”

   “...”

   “อาคเนย์”

   “ว่าไง” ผมมองร่างเปลือยเปล่าที่นั่งทำหน้าไม่พอใจอยู่บนเตียง เสียงของเธอหวาน หน้าของเธอสวย รูปร่างรวมถึงรสนิยมทุกอย่างก็ดูดีไปหมด เสียอย่างเดียวที่เราเป็นได้แค่วันไนต์สแตนด์

   “เราจะกลับแล้วนะ”

   “อือ เดี๋ยวโทรเรียกแท็กซี่ให้”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวจัดการเอง” เธอกระแทกเสียงเล็กน้อย ก่อนจะขยับตัวเดินลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า สองมือหยิบเอาเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมอย่างไม่พิถีพิถันนัก ผมมองการกระทำของคนตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงสายตากลับมาที่เงาสะท้อนในกระจก

   ผมชื่ออาคเนย์ ปีนี้เพิ่งอายุยี่สิบ แต่ชีวิตกลับเติบโตและพบเจอสิ่งต่างๆ มากกว่าที่เพื่อนวัยเดียวกันจะมี ความสดใสของวัยเด็กผ่านไปนานแล้ว และผมก็ไม่คิดอยากให้ช่วงเวลานั้นหวนกลับมาอีก

   “เอาเงินไป” ผมหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นให้เธอด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

   “แค่นี้เหรอ บูเคยให้เยอะกว่านี้”

   ผมแค่นยิ้ม ก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋าเพื่อหยิบธนบัตรมูลค่าหนึ่งพันบาทออกมาอีกสามใบ แค่นี้ก็มากพอสำหรับช่วงเวลาที่ไม่ได้ดีเท่าไหร่แล้ว

   ผู้หญิงตรงหน้าค่อนข้างพอใจ เธอเก็บเงินใส่กระเป๋าแบรนด์เนมที่ได้มาจากเงินคนอื่น จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ เธอไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมนอกจากเงิน ซึ่งมันดีแล้ว

   เรามีอะไรกันหลายครั้งโดยไม่มีสถานะผูกมัด ผมไม่เคยกินข้าวร่วมโต๊ะกับเธอ ไม่เคยขับรถออกไปรับส่ง เราแค่นัดกัน อยากมีเซ็กซ์วันไหนก็แค่โทรหา เตรียมถุงยางกับเงินให้พร้อม พอทุกอย่างจบลงเธอก็ไป แน่นอนว่าเธอมีคนของตัวเองอยู่แล้ว อาจไม่ได้ถึงขั้นจริงจังแต่ก็สามารถกลับไปหาได้เสมอตอนกำลังลำบาก

   ผมไม่เคยคิดหรือกังวลเรื่องความรัก บางทีอาจจะพูดได้เต็มปากว่าไร้หัวใจ

   คนที่ผ่านเข้ามาท้ายที่สุดก็ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีความทรงจำล้ำค่าเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ซึ่งมันไม่ได้แย่ ก็แค่ไม่มีอะไรดีๆ ให้นึกถึงเท่านั้น

   สองเท้าก้าวข้ามเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกถอดกองอยู่บนพื้น ผมคว้าผ้าเช็ดตัว จัดการอาบน้ำชำระร่างกายตัวเองเหมือนทุกครั้ง ไม่คิดเลยว่าพอเดินออกมา ผมจะเห็นแขกไม่ได้รับเชิญนั่งรออยู่ตรงปลายเตียงก่อนแล้ว

   “คิดไว้แล้วว่ามึงต้องมา” ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดสวยหรูระหว่างเรา เข้าเรื่อง เคลียร์กัน แล้วก็จบกันไปเหมือนที่ผ่านมา

   “มีความสุขมากเหรอ” คนตรงหน้าเค้นเสียงถาม

   “มึงสนใจอะไร”

   ผมหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วจดจ่อกับเสื้อผ้าในตู้ คัดเลือกมันอย่างไม่รีบเร่ง เพราะรู้ดีว่าวิธีนี้เป็นการยั่วโมโหที่ได้ผลที่สุดแถมคนด้านหลังก็ยังกระโดดเล่นตามเกมผมซะทุกครั้ง

   “พอเหอะว่ะ ต่างคนต่างอยู่” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ย นับเป็นประโยคเดิมๆ ที่มักได้ยินจนชินหู

   ซึ่งมันไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดเหล่านี้แม่งโคตรน่าขำ ก่อนหน้านั้นจ้องจองล้างจองผลาญกันจะเป็นจะตาย พอวันหนึ่งพอใจแล้วเสือกดันทุรังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันก็ดูจะเหี้ยไปหน่อย

   “กูก็ไม่ได้ยุ่งกับมึงหนิ”

   “แต่มึงยุ่งกับคนของกู!”

   คนตัวสูงกว่ากระแทกเสียงใส่ มันเดินมาประชิดตัวผม กระชากไหล่อย่างแรงจนหันมาเผชิญหน้ากันในที่สุด

   “คนของมึงเลือกเอง ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก”

   ไหล่ทั้งสองข้างถูกบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ ผมข่มความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ไม่ให้แสดงออกทางสีหน้าและแววตา ที่ผ่านมาก็เก่งเรื่องนี้อยู่แล้วเลยไม่รู้สึกฝืนอะไร

   สำหรับผู้หญิงไม่ว่าจะรักหรือไม่รัก ขอแค่ได้มาครอบครองเป็นของตัวเองก็ถือว่าชนะแล้ว

   “ใช่ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง แต่มึงก็ยังหน้าด้านมาเล่นกับผู้หญิงของกูทุกคน ถามจริง อดอยากจนไม่มีปัญญาหาเองแล้วเหรอวะ”

   “เออกูหาเองไม่เป็น แล้วระวังไว้ให้ดีเถอะเพราะคนต่อไปของมึงกูก็จะเอา!”

   ผัวะ!!

   สิ้นสุดประโยคนั้นหมัดหนักๆ ก็ซัดเข้ามาที่ซีกแก้มด้านขวาอย่างจัง ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ร่างกายของผมซวนเซเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันเรียกสติตัวเองกลับมา ร่างสูงใหญ่ก็ถลาเข้ามารัวหมัดใส่หน้าผมอย่างต่อเนื่อง

“ไอ้เหี้ย!” คำสบถด้วยความกรุ่นโกรธผสมกับเสียงกระแทกของกำปั้นดังก้องในหู

สองขาของผมอ่อนยวบ สุดท้ายก็ล้มลงไปกองกับพื้น…

   กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในโพรงจมูก แต่ผมกลับเลือกนอนนิ่งไม่คิดตอบโต้ ยอมทนต่อความเจ็บปวดที่กระทบร่างกายด้วยความชินชา นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนที่วนเวียนอยู่แบบนั้น

   อัก!

   เท้าขวาของคนตัวสูงเตะเข้าไปที่หน้าท้องของผมจนต้องงอตัวโดยอัตโนมัติ ผมหัวเราะเสียงขื่น ยั่วโมโหจนคนฟังแทบประสาทเสีย

   ยิ่งถูกต่อยจนสะบักสะบอมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกได้รับชัยชนะมากเท่านั้น

   “มึงอยากตายนักใช่มั้ย” เจ้าตัวชี้หน้าด่าด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ แหงล่ะ เล่นลงแรงใส่กันไม่ยั้งขนาดนี้คงมีเหนื่อยกันบ้าง แล้วไม่ต้องคิดถึงคนที่กำลังนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นในตอนนี้ เพราะมันคงแย่กว่าเป็นร้อยเท่า

   “ขอร้องกูสิ กราบตีนกูเหมือนที่มึงเคยทำ”

   คิดเหรอว่าจะยอมทำตาม ต่อให้ตายก็ยังคงเงียบ

   “พูดสิวะ!!”

   กายสูงย่อเข่าลงมาคร่อมตัวผมเอาไว้ก่อนเอื้อมมือบีบคอแน่นจนรู้สึกหายใจไม่ออก ดวงตาคู่คมฉายแววเกลียดชัง ทว่าริมฝีปากได้รูปกลับยังคงขยับถามย้ำ

   “ขอร้องกู ไอ้เหี้ยเนย์!”

   “...”

   อากาศเริ่มขาดหาย แม้พยายามอ้าปากกอบโกยออกซิเจนเข้ามาเท่าไหร่แต่ก็ทำไม่ได้ ผมนอนแน่นิ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน บางทีอาจทรมานจนอีกฝ่ายสังเกตเห็นเลยยอมคลายมือจากลำคอของผมในที่สุด

   “อะแค่กๆ”

   ร่างกายตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการไอออกมาทันทีที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ ผมใช้ลิ้นเลียริมฝีปากซึ่งกลบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ดวงตาจดจ้องคนเหนือร่างด้วยสายตาพร่ามัว

   “ทำไมไม่พูดออกมา ขอร้องกูสิวะ!”

   “ขอร้อง...แล้วได้อะไร” ผมเอ่ยถามโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบ ความจริงตอนนี้ก็แค่อยากพูดอะไรโง่ๆ ออกมาเท่านั้น

   “มึงพูดว่าไงนะ”

   “ขอ...ร้อง แล้ว...ได้อะไร” ในเมื่อมีชีวิตอยู่กับตายก็ไม่ต่างกันอยู่ดี

   ครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัว เคยร้องไห้อ้อนวอนจนไม่เหลือศักดิ์ศรี สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ เจ็บไม่ต่างจากตอนนี้สักนิด

   เมื่อก่อนผมอาจจะเป็นอาคเนย์ที่เอาแต่ก้มหัวยอมรับกับทุกอย่างที่มีคนประเคนให้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองปีที่เปลี่ยนไป นั่นล้วนเป็นผลมาจากความเจ็บปวดซึ่งเกิดจากคนเพียงคนเดียว

   “อยากฆ่ากูนักไม่ใช่เหรอ”

   “...”

   “เอาสิไอ้บู มึง...ทำได้อยู่แล้ว”

   “มึงอย่าคิดว่ากูไม่กล้า”

   “งั้นทำสิ ความเกลียดของมึงคงไม่มีวันจบ ตราบใดที่กูยังไม่หายไป”

   ผมยังคงจำดวงตาของเขาได้ เป็นดวงตาคู่เดิมที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

   ยังจำน้ำเสียงทุ้มนุ่มได้ขึ้นใจ ยังคงจำถ้อยคำห่วงหาอาทร

   จำมิตรภาพในวัยเด็ก รูปคู่ใบเก่า รวมถึงของขวัญพิเศษในวันสำคัญ

   ในความทรงจำเดิมๆ ที่ผ่านมาเนิ่นนานสมองของผมยังคงมองเห็นเขาเป็นคนเดิมเหมือนวันนั้น แม้โลกของความเป็นจริงจะเปลี่ยนเราทั้งคู่ไปมากมายแค่ไหนก็ตาม

   เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าเราคงมีกันและกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมาถึง

   วันที่เราไม่แม้แต่จะอยู่ร่วมโลกกันได้อีก

   ...บูรพา...

   ชื่อที่ผมเอาแต่เรียกหา คนที่เป็นทุกอย่างทั้งความรักในวัยเด็ก และความเกลียดชังในปัจจุบัน...


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 11-08-2018 22:13:00


CHAPTER 1
EVERYTHING AT ONCE



ผมไม่เคยรู้เลยว่า...การที่เรารู้สึกเกลียดใครสักคนมากๆ
มันจะกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าคนคนนั้น
เริ่มมีความสำคัญกับเรามากขึ้นทุกที



‘รู้มั้ยว่ากูเคยรักอะไรมากที่สุดในโลก’
‘ไม่รู้’
‘คำตอบคือมึง’
‘…’
‘แล้วรู้อีกหรือเปล่าว่ากูเกลียดอะไรที่สุดในโลก’
‘ถามทำไม’
‘กูอยากตอบ เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของกูก็คือมึง’




   ภาพในวันวานเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมจนชีวิตแทบไม่รู้จักกับคำว่าความสุข ทุกครั้งที่หลับตา หลายคราที่ละเมอ น้ำเสียงและแววตาแข็งกร้าวของไอ้บูยังคงฝังลึกในสมอง แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเนิ่นนานนับปีแล้วก็ตาม

“ต่อไปผมขอเช็คชื่อก่อนนะครับ”

   ความคิดในหัวถูกตีกระจายทันทีที่ได้ยินเสียงอาจารย์คุมแลปพูดขึ้น เขากวาดตามองนักศึกษาตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มขานชื่อเด็กปีสองเซคที่ห้าซึ่งยืนเรียงแถวอยู่หน้าห้องปฏิบัติการทีละคน

   “กิตติศักดิ์”

   “มาครับ” แม่งเป็นภาพจำที่โคตรน่าเบื่อ แต่คงทำได้อย่างเดียวคือทนให้มันผ่านไป

   ผมไม่ได้มีความสุขกับการเรียนในคณะนี้มากนัก จริงๆ จะบอกว่าไม่ชอบเลยก็คงใช่ แต่คงไม่มีใครสนหรอกในเมื่อหาญกล้าถึงขนาดสอบเข้ามาได้แล้ว หน้าตาทางสังคมและอนาคตต่างหากที่ทุกคนสนใจ

   “วราภัทร”

   “มาครับ”

   คนข้างตัวขานรับ มันชื่อ ‘อั๋น’ เป็นเพื่อนสนิทของผม ด้วยใบหน้าที่ดูไม่สู้คนบวกกับแว่นกรอบหนาที่เจ้าตัวเลือกหยิบมาสวมในทุกๆ วัน ทำให้เพื่อนๆ พากันตั้งฉายาให้มันว่าไอ้จืด แม้ความจริงแล้วไอ้อั๋นจะมีนิสัยตรงข้ามกับหน้าตาแบบสุดกู่ก็ตาม

   “อาคเนย์”

   “มาครับ” ผมตอบกลับเสียงเรียบ

   อาจารย์เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย

   “หน้าไปโดนอะไรมา”

   “อุบัติเห็นนิดหน่อยครับ”

   “อย่าให้มีปัญหาการทะเลาะวิวาทในคณะ เพราะถ้าเกิดเรื่องถึงที่ประชุมคุณอาจจะถูกสอบความประพฤติ”

   “ครับ” ผมตอบเป็นเชิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ใครมองก็รู้แล้วว่าแผลบวมช้ำบนหน้าได้มาจากสาเหตุอะไร แถมบางคนก็เก่งกว่านั้นตรงที่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นคนทำ

   “เมธากร” อาจารย์ก้มมองรายชื่อในกระดาษแล้วขานเรียกคนถัดไป

   “ครับ!” ไอ้นี่ก็เพื่อนในกลุ่มเหมือนกัน มันชื่อเม...นิสัยแม่งโคตรติสต์ บ้านเกิดจริงๆ อยู่ภูเก็ตแต่เพิ่งย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงลำพังหลังสอบเข้ามหา’ลัยได้

   “บูรพา”

   จู่ๆ ร่างกายก็แข็งค้างไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินชื่อของใครคนหนึ่งดังก้องในโสตประสาท

   “บูรพา” คนอายุมากกว่าถามย้ำ เจ้าของใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยตามวัยละสายตาจากสมุดรายชื่อ ก่อนเพ่งมองมายังพื้นที่ว่างข้างตัวผม

เหตุการณ์ดังกล่าวมันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องชินชาของเซคเราไปแล้วล่ะ

   “นักศึกษาบูรพา ขาด!”

   อาจารย์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ขยับข้อมือขวาตวัดปลายปากกาสองครั้งเป็นเครื่องหมายกากบาท จากนั้นจึงเปลี่ยนไปขานชื่อนักศึกษาคนต่อไปทันที

   “วิจิตรา”

   “บูรพามาครับ!”

   ผมหันไปมองยังต้นเสียง ก่อนสายตาจะโฟกัสไปยังร่างสูงของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล เสื้อกาวน์สีขาวถูกพาดไว้บนบ่าอย่างหมิ่นเหม่ มันแตกต่างจากทุกคน โดยเฉพาะผมสีแดงเพลิงซึ่งถูกย้อมให้รับกับใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหมาะเจาะ

   ทุกคนในคณะแพทย์ล้วนรู้จักบูรพา อย่างหนึ่งที่จำได้ก็คงเป็นความมั่นหน้าที่ไม่มีใครกล้าเทียบมันได้อีก

   “คุณมาสาย ผมเช็กขาดไปแล้ว” เจ้าของวิชาเอ่ยประโยคซ้ำซากเป็นรอบที่ร้อย และคิดว่าบูรพาคงทำลายสถิติตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีสิทธิ์สอบในสักเทอม   

   “ไม่เป็นไรครับ” แล้วน้ำเสียงที่ตอบกลับมาก็ไม่ต่างจากคำว่า ‘ช่างแม่ง’ สักเท่าไหร่

   “เรื่องสีผมที่เคยสั่งให้ย้อมกลับ ทำไมตอนนี้ถึงยังเหมือนเดิมอยู่อีก”

   “ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุดครับ”

   ไอ้บูตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก้าวเท้าเดินมาหยุดตรงตำแหน่งที่มันมักยืนเป็นประจำ ซึ่งก็คือข้างๆ ผม

   “สายเป็นสันดาน”

   “อย่าเสือก”

   ผมหัวเราะร่วนในลำคอเมื่อได้ยินประโยคกระแทกกระทั้น

   “ถ้าจะหมกมุ่นแต่กับการเอาผู้หญิง มึงก็ไม่สมควรมาเรียนคณะนี้”

สงครามประสาทที่เกิดขึ้นแต่ละวันเริ่มต้นมาจากคำถามโง่ๆ ที่ว่า...ใครจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมากกว่ากัน วันนี้ผมเริ่มก่อน อีกวันไอ้บูอาจเป็นฝ่ายแก้แค้นคืน วนเวียนอยู่แบบนั้นไม่รู้จบ

ถามว่าเหนื่อยมั้ย คงตอบได้ว่าเหนื่อย...

เหนื่อยแทบขาดใจ ทว่าผมก็ไม่สามารถหยุดได้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าตัวเองต้องแพ้ แต่ที่กลัวคือการต้องทนเจ็บปวดขณะที่อีกฝ่ายกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่างหาก

“แล้วไอ้พวกที่วันๆ ชอบหาเรื่องชาวบ้านนี่ดีนักหรือไง”

“ก็ดีกว่ามึงแล้วกัน ระวังไว้เถอะ พรุ่งนี้ผู้หญิงของมึงอาจกลายเป็นของกูอีกก็ได้”

   “ถ้าทำได้ก็เอาไปเลย กูเข้าใจว่าคนที่ไม่มีใครรักอย่างมึงคงโหยหามันมาก”

   “มึง...”

    คำพูดประโยคนั้นเสียดลึกเข้ามาในอก

   ผมกำหมัดแน่น พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากซัดหมัดหนักๆ ใส่หน้าของมันเอาไว้

   “หึ! พอพูดความจริงมึงถึงกับเถียงไม่ออกเลยเหรอ”

   “มึงไม่มีวันเข้าใจหรอก...”

   “สองคนนั้นจะยืนคุยกันอีกนานมั้ย เข้าห้องได้แล้ว” อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจถูกกดทับกะทันหัน ผมพยายามสลัดมันทิ้ง จากนั้นก็ก้าวเท้าตามเพื่อนเข้าห้องไปติดๆ   

   “เปิดหนังสือไปหน้าเก้าสิบแปด แล้วดูเซลล์ที่มีเข้มปักอยู่บนกล้องว่าเหมือนในรูปหรือเปล่า”   

   ผมกับไอ้บูไม่ได้กระตือรือร้นกับการตั้งใจเรียนมากนัก นอกจากมองหยั่งเชิงกันอยู่ห่างๆ

   เราเป็นเด็กหลังห้อง ถึงสอบเข้ามาเรียนในคณะแพทย์ได้แต่คะแนนกลับอยู่ในอันดับท้ายๆ ที่ผ่านปีหนึ่งมาอย่างหืดจับก็เพราะเพื่อนคอยช่วยเหลือทั้งนั้น ทว่าตอนนี้เห็นทีว่าเพื่อนคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากมองอย่างเอือมระอา

   เทอมนี้ซวยหน่อยก็ตรงถูกจัดให้มานั่งทำแลปติดกัน เราเลยต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากไม่ให้ถลาเข้าไปแลกหมัดก่อนหมดคาบ

   ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้บูค่อนข้างแปลกประหลาด เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่จำความได้ บ้านอยู่ติดกัน แม่ๆ เองก็สนิทกันมาหลายสิบปี ทุกอย่างเหมือนจะดีไปหมดจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นในช่วงมัธยมปลายปีหนึ่ง...

   เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนเราจากรักเป็นเกลียด เปลี่ยนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจากเพื่อนเป็นศัตรู ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป คงเหลือแต่บูรพากับอาคเนย์คนใหม่ที่ไม่มีทางกลับมารักกันได้อีก

   “เมื่อวานแม่มึงมาที่บ้าน” ความเงียบเกาะกุมไปพักหนึ่ง เสียงทุ้มของคนเคียงข้างพลันแทรกขึ้น

   “แล้วไง”

   “ได้ข่าวว่าเขาจะหย่ากับพ่อของมึง”

   “...”

   ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปาก บางทีการเห็นชีวิตครอบครัวของผมล่มจมคงเป็นความสุขของไอ้บูเหมือนกัน

   ที่ผ่านมาผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีพ่อแม่ลูกและความอบอุ่น สิบกว่าปีที่เติบโตขึ้นมาผมไม่เคยขาดอะไรเลยแม้กระทั่งความรัก โลกมักเข้าข้างผมเสมอจนวันหนึ่งเพิ่งได้รู้...

   ทุกอย่างไม่มีอะไรเหมือนเดิม

   พ่อมีบ้านเล็ก จริงๆ ก็เกือบห้าปีได้แล้ว เขามีลูกกับผู้หญิงคนนั้น เป็นเด็กผู้ชายอายุสามขวบที่น่ารักน่าชังแต่ผมกลับเกลียดเข้าไส้ มันแย่งความรักของพ่อไปจากผม แย่งพ่อไปจากแม่ และอีกไม่นานเราก็จะเสียผู้ชายซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไป

   ควรรู้สึกยังไงดี ถึงวันนั้นอาจทำได้แค่ยิ้มและโบกมือให้พ่ออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับเอ่ยประโยคสั้นๆ เป็นการสั่งลาว่าอย่ากลับมาอีก

   เพราะผมไม่ต้องการความรักจอมปลอมของเขาอีกต่อไปแล้ว

   “ก็ไม่ได้อยากเสือกหรอกนะ ถ้าแม่มึงไม่มาขอร้องแกมฝากฝังให้คนเหี้ยๆ อย่างมึงมาพักอยู่กับกูที่ห้อง”

   “ไม่ต้องห่วง กูไม่บากหน้าไปอยู่กับมึงหรอก”

   ปัญหานี้เพิ่งได้รับการพูดคุยเมื่ออาทิตย์ก่อน พ่อกับแม่กำลังทำเรื่องหย่า สินสมรสแบ่งกันคนละครึ่ง ค่าเลี้ยงดูผมพ่อเสนอเงินออกให้ครึ่งหนึ่งโดยจะทำการโอนเข้าบัญชีให้ทุกเดือน

   ถึงแม้ครอบครัวเราจะเหลือกันแค่สองคน ทว่าค่าใช้จ่ายก็ยังเท่าเดิมเลยตัดสินใจขายคอนโดที่ผมอยู่ เพื่อเปลี่ยนไปเช่าห้องถูกๆ แถวมหา’ลัยแทน

   เราตกลงกันแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าแม่จะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างบ้าน

   “ขอให้มันจริงอย่างที่ปากว่า เพราะกูโคตรขยะแขยงที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับคนอย่างมึงเลย”

   “คิดเหรอว่ากูอยากอยู่ แค่ทุกวันนี้ก็อึดอัดฉิบหาย”

   “แล้วมึงคิดว่ากูไม่อึดอัดหรือไงวะ” ดูเหมือนไอ้บูจะเหลืออดเต็มทน

   การมีบ้านอยู่ใกล้แถมแม่ยังเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันด้วยแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผมต้องปั้นหน้าบอกว่ายังเป็นเพื่อนรักกับไอ้บูอยู่ แม้จะเป็นการนัดเจอกันแค่เดือนละสองครั้ง แต่การทำดีและพูดจาเพราะๆ ต่อหน้าคนในครอบครัวกลับเป็นอะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงของผมเหลือเกิน

   แม่ไม่เคยรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปแค่ไหน อาจเพราะพยายามอย่างมากที่จะปกปิดมันเอาไว้ และฝืนทำเหมือนว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

   “เมื่อไหร่เรื่องระหว่างกูกับมึงจะจบสักที” คำถามนี้หลุดออกมาจากปากคนตัวสูงกว่า ผมมองหน้าอีกฝ่าย แค่นยิ้มสมเพชอย่างที่มักทำเสมอ

   “จบยังไง”

   “เลิกยุ่งกับกู เลิกแย่งผู้หญิงกู จะไปตายที่ไหนก็ไป”

   “ความจริงมันควรจบตั้งนานแล้ว แต่มึงไม่ใช่เหรอที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ จะโทษใครได้วะ”

   “มันเป็นความผิดของมึง”

   “มึงก็ดีแต่โทษคนอื่น ถามจริงๆ เถอะ ไม่เคยคิดสักนิดเลยเหรอว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพราะตัวมึงเองเหมือนกัน”

   “...”

   “กูยังจำได้ จำได้ดีเลย...มึงเคยทำกูเจ็บแค่ไหน”

   แล้วมันผิดอะไรที่ผมจะตามจองล้างจองผลาญไม่ให้คนที่เกลียดแสนเกลียดอยู่อย่างสงบ ถึงรู้ว่าชีวิตคงไม่มีทางรู้จักกับความสุขอีกแล้ว แต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอที่ใครอีกคนก็ต้องทนทุกข์กับความรู้สึกเดียวกัน

   นี่แหละคือความทรมาน



 








   ช่วงดึกของวันเดียวกัน ผมตัดสินใจออกมาแฮงก์เอาท์กับเพื่อนต่างคณะเพื่อหลีกเลี่ยงความจำเจในชีวิต

   ร้านเหล้าย่านมหา’ลัยยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกของผมตายด้านหรือหมดความตื่นเต้นไปแล้วกันแน่ ถึงได้ไม่รู้สึกสนุกหรือคล้อยตามไปกับบรรยากาศรอบตัว แม้เสียงเพลงจะถูกเปิดบิลด์มาพักใหญ่แล้วก็ตาม

   “เป็นอะไรของมึงวะ ทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ได้”

   “เซ็ง”

   หลายคนวาดลวดลายบนฟลอร์ ในขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะหิ้วหญิงมาอวดอยู่ตรงหน้าทว่ากลับไม่มีผลใดๆ ต่อความรู้สึก คงมีอยู่อย่างเดียวคืออารมณ์เบื่อหน่ายซึ่งเกาะกุมอยู่ภายใน

   “ออกไปเต้นสิ”

   “ทำอย่างกับไม่รู้จักกู” ผมไม่ชอบเต้น ไม่ชอบเข้าหา มีแต่ให้คนเสนอมาอย่างเดียว

   “งั้นก็กระดกให้หมดแก้ว คืนนี้ยังอีกยาวไกลเว้ยเพื่อน”

   ผมมีก๊วนแก๊งต่างคณะที่มักจะเจอกันเฉพาะตอนสังสรรค์เท่านั้น นิสัยแต่ละคนก็คล้ายๆ กันคือเป็นพวกปาร์ตี้จัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่ก็ยังเอาตัวรอดกับการเรียนโคตรมหาโหดในมหา’ลัยได้

   “เฮ้ยไอ้เนย์ คู่แค้นมึงมาว่ะ”

   นั่งกระดกเหล้าเข้าปากอยู่เกือบชั่วโมง ความสนใจทั้งหมดก็ถูกใครคนหนึ่งชักจูงไปในที่สุด

   จู่ๆ ความเบื่อหน่ายที่มีในคราแรกก็จางหาย แทนที่ด้วยความตื่นเต้นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ รู้แค่ว่ามันรู้สึกดี

   “โผล่มาคนเดียวซะด้วย นัดหญิงอีกแน่ๆ” เพื่อนร่วมโต๊ะเริ่มจับกลุ่มคุย ทุกสายตาเพ่งมองไปยังเจ้าของผมสีแดงเพลิงซึ่งยืนห่างจากเราไม่ไกลนัก

   ถึงจะเป็นแค่กลุ่มเพื่อนที่ชวนกันปาร์ตี้  ไม่ได้สนิทสนมอย่างลึกซึ้งจนรู้ตื้นลึกหนาบางในชีวิตของกันและกันไปซะทุกเรื่อง แต่กับเรื่องง่ายๆ อย่างความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียดก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิด

   ใครต่างก็รู้ ผมกับบูรพาไม่มีทางญาติดีกัน

   “เอาไงดีไอ้เนย์ อยากหาอะไรทำแก้เซ็งมั้ย” คนเคียงข้างถามด้วยรอยยิ้ม ไอ้นี่ชื่อดิน เป็นทุกอย่างทั้งคนดี คนเลว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และบางครั้งก็เห็นแก่ตัว ผมชอบมันนะ ตัวตนแบบนี้แหละที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

   “ให้กูทำไง” ผมถามกลับ จิตใจเต้นเร่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   “จัดมันเลย ถือว่าเอาคืนที่มันทำหน้ามึงพัง”

   “เดี๋ยวอีกวันมันก็โผล่มาซัดกูอีก”

   “ก็เอาให้เข็ดไปเลยไง ให้สาสมกับที่มึงเกลียดมัน”

   ไอ้ดินไม่เคยรู้ว่าผมกับไอ้บูแตกหักกันเพราะเรื่องอะไร มันรู้อย่างเดียวเลยคืออดีตของเรานั้นย่ำแย่เกินกว่าจะจินตนาการ และผมก็เลือกระบายความรู้สึกนั้นออกมาผ่านความโกรธแค้นและชิงชัง

   “แล้วมึงว่ากูควรทำยังไง”

   “ทำไมต้องถามวะ อยากทำอะไรมึงทำเลย หรือจะให้กูออกตัวก่อน”

   แน่นอนว่าผมไม่ขัดความหวังดีของเพื่อน นอกจากพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายออกตัวจัดการ สิบนาทีให้หลังผมถูกเรียกมายังหลังร้าน สองขาเดินไปยังมุมหนึ่งของกำแพง ก่อนจะเห็นเห็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่แสนคุ้นเคยยืนรออยู่ก่อนแล้ว

   บรรยากาศด้านนอกต่างจากด้านในลิบลับ ทว่าแสงสลัวในบริเวณนี้ก็พอจะช่วยไม่ให้ใครสงสัยมากนัก

   “ไง”

   “ถึงตามึงแล้ว” ทุกคนหลบทางให้ผมย่างเท้าไปหาคนที่นอนกองกับพื้น

   กลิ่นคาวเลือดผสมรวมกับความสกปรกแผ่ซ่านในจมูก ผมหรี่ตามองสภาพคนที่ถูกลากมาซ้อมจนอยู่ในสภาพร่อแร่ เสื้อผ้าแบรนด์เนมอย่างดีตอนนี้ไม่ต่างจากเศษผ้าขี้ริ้ว

   ผมอยากหัวเราะกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แต่กลับหัวเราะไม่ออก

   “เป็นไงมึง ยังไม่ตายนี่หว่า” ผมใช้เท้าเขี่ยคนที่นอนหอบหายใจถี่กระชั้น ใบหน้าซึ่งกลบไปด้วยเลือดหันมามอง แววตาเคียดแค้นจนสังเกตได้

   มันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมในวันนั้น...

   “เป็นแค่หมาลอบกัด...อย่างมึง กูสมเพชว่ะ” คนถูกกระทำกัดฟันพูดแม้ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถกระดิกตัวได้แล้วก็ตาม

   ผมย่อเข่าลงมา เอื้อมมือไปจับลำคอแกร่งไว้เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยทำกับผม ก่อนถามประโยคที่คั่งค้างอยู่ในความรู้สึก

   “เจ็บมั้ย”

   “...”

   “แต่เชื่อเถอะว่านี่ยังไม่ถึงครึ่งกับที่มึงเคยทำ”

   “มึงสมควรโดน”

   “งั้นมึงก็สมควรโดนเหมือนกัน ที่นี่มีแต่คนของกู ถ้ามึงยังไม่อยากตายตอนนี้ก็พูดขอร้องกูซะ! เผื่อกูจะใจดีปล่อยมึงไป”

   แต่จนแล้วจนรอดไอ้บูก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธหนักกว่าเก่า

   “พูดสิวะ! ขอร้องกูเหมือนที่กูเคยขอ”

    “...”

   “เร็วสิ! แล้วกูจะช่วยมึง” พูดไปผมก็ยิ่งออกแรกบีบคออีกฝ่ายแน่นขึ้น จนนานเข้าทนไม่ไหวต้องยื้อคอเสื้อของมันเอาไว้แล้วเหวี่ยงร่างชุ่มเลือดกระแทกกับกำแพงด้วยความเดือดดาล

   ตุบ!

   ไอ้บูล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ แต่ริมฝีปากกลับยังแค่นยิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นมานานแล้ว

   ความรู้สึกหนาวยะเยือกเข้ามาแทนที่ความร้อนรุ่มในอก ผมถอยหลังไปสองก้าว มองดูแววตาคู่คมที่จดจ้องไม่กะพริบ
   “ในเมื่อมึงไม่ขอร้องกูก็คงปล่อยมึงไปไม่ได้” เพื่อนผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ต่างจากหมาป่า มันเมา รู้สึกกระหายเลือดและอยากกระทืบใครสักคนจนกว่าจะพอใจ ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้าไอ้บูไม่เจ็บปางตายก็คงไม่มีใครหยุด “กูฝากจัดการให้ด้วย”

   ผมหมุนตัวกะเดินกลับเข้าไปในร้าน เปิดโอกาสให้เพื่อนในกลุ่มได้จัดการในสิ่งที่พวกมันอยากทำ ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวไปข้างหน้าเสียงทุ้มติดแหบพร่ากลับรั้งเรียกผมเอาไว้

   “เนย์”

   ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาไม่คาดเคลื่อน

   และผมกลัว...

   นี่เป็นความรู้สึกลึกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อได้มองหน้าของคนบนพื้น อาการเริ่มเหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดหรือด่าประโยคไหนกลับไปนอกจากยืนนิ่ง รอคอยว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะสาดซัดคำเจ็บๆ ออกมา ซึ่งแน่นอนว่าคนชื่อบูรพาไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอนานเลยสักครั้ง

   “อยากทำอะไรก็ทำ เพราะมึงไม่ได้สำคัญถึงขนาดที่กูต้องขอร้อง”

   ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่

   “จะตายก็ช่างแม่ง ยังไงมึงก็ลบอดีตไม่ได้อยู่ดี”

   ทั้งที่รู้สึกเต็มอกว่าความรักของเรา…

   “สุดท้ายมึงก็เป็นได้แค่คนที่โดนกูเอาแล้วทิ้งเท่านั้นแหละอาคเนย์”

   เป็นเพียงอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน





อย่างที่หลายคนรู้กันดี จิตติเคยเขียนนิยายเรื่องนี้ใช้ชื่อ Damage พิษรัก เมื่อปี 2014
แต่เนื่องจากว่าเนื้อเรื่องไม่มีความสมเหตุสมผลเท่าที่ควรเลยเอากลับมาปัดฝุ่นใหม่
ซึ่งบอกเลยว่าเปลี่ยนใหม่ทั้งเรื่องจริงๆ เหมือนเอาโครงเรื่องมา ส่วนดีเทลในเรื่องนั้นเปลี่ยนเกือบทั้งหมด
รวมไปถึงครึ่งหลังที่รื้อเขียนใหม่ด้วย ยังไงฝากติดตามอาคเนย์ในเวอร์ชั่น 2018 ด้วยนะคะ
#อาคเนย์

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iparallel ที่ 11-08-2018 22:42:29
อย่าโหดไปกว่าเดิมเลย มันบีบกัวใจ  :o12:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 11-08-2018 22:57:40
ใจจะพังกว่าครั้งก่อนไหมม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 12-08-2018 00:42:30
กลัวใจจิตติ  ฮืออออ ทำไมต้องดราม่าตอนใกล้สอบ :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 12-08-2018 01:00:25
อะไรคือโหดกว่าเดิมฮือ  :katai1: ของเก่าก็เล่นเอาอึนไปทั้งเดือนเลยนะ  o22 แล้วแบบนี้เราจะไหวเหรอตายแน่ๆ  :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 12-08-2018 01:13:06
อู้วววววอดใจรอไม่ไหวแล้วค่ะเวอร์เก่าเราว่าหน่วงแล้วนะเจอหน่วง2018เข้าไปเราจะรับไหวมั้ยนิรอนะคะขอบคุณที่ทำพลอตใหม่มาให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-08-2018 02:00:26
อื้อหือ อ่านก็พอเดาทางได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจริง
ยังไม่เคยอ่าน damage ค่ะ ดราม่าหนักมาก
และดูจะโหดร้ายของจริง

บูทำไปเพื่ออะไร แล้วทำไมถึงทำกับเนย์แบบนั้น
ความเกลียดชังนี้ ยิ่งทำยิ่งรุนแรง และดูหนีกันไปพ้นนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-08-2018 02:43:40
พูดแบบนี้ เพื่อน ๆ เนย์ก็รู้กันหมดซิ ตาย ๆๆๆๆ   :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 12-08-2018 02:53:26
 อาคเนย์ และบูรพา คัมแบคแล้ววว เตรียมอ่างไว้รองน้ำตานี่จะพอไหมคะ... พิษรักเวอร์ชั่นเก่าก็เศร้ามากแล้ว เวอร์รีไรท์จิตติจะเพิ่มความดราม่าลงไปอีก ขอทำใจแป๊ปนึงนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 12-08-2018 07:20:39
พิษรัก นี่ชอบม๊ากกกกกกกกก :hao7: :hao7:

คุณจิตเอามาเขียนใหม่ หวังว่าคงจะมีตอนที่เขาหวานเหมือนเดิมนะครับ :impress2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-08-2018 07:26:00
เวอร์เก่าก็ใจพังมาแล้ว เวอร์ใหม่นี้จะใจพังขนาดไหนคะเนี่ย :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-08-2018 14:14:44
ยอมรับตรงๆว่าจำพิษรักเวอร์เก่าไม่ได้แล้วจริงๆ มาอ่านตอนนี้ก็เลยเหมือนได้เริ่มอ่านเรื่องใหม่ไปพร้อมๆกับจิตติเลย สายดราม่าแบบเราเกาะติดแน่นแน่ๆค่ะ เท่าที่อ่านมายังคิดว่าไม่เท่าไหร่นะถ้าทนกับร้ายเดียงสาได้ เราก็รับเรื่องนี้ไหว ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 12-08-2018 14:31:29
 :mc4: :katai2-1: :z2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 12-08-2018 18:20:04
ยังไม่เคยอ่านแบบเก่าเลยค่ะติดตาม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 12-08-2018 18:52:59
จุกจนพูดไม่ออก....
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 12-08-2018 20:05:15
บูรพา อาคเนย์ มีปัญหาเพราะชื่อเฉียงลงรึเปล่า(ตะวันออก เฉียงใต้)  ดวงความรักเลยตก
ให้บูรพาเปลี่ยนชื่อเป็นอิสานดีไหม (ตะวันออก เฉียงเหนือ)  เผื่อดวงความรักจะดีขึ้นกว่าเดิม

จะโหดกว่าเดิมยังไง  ตอนจบก็อยากให้สมหวัง
เพราะเอาเข้าจริง สิ่งที่ทำให้ชีวิตทั้งคู่เกิดปัญหาเล็กนิดเดียว  คือการไม่พูด ไม่บอกกัน ปล่อยให้เกิดความเข้าใจผิดจนลุกลามใหญ่โต (เวอร์ชั่นเดิมนะ)
นิยายจิตตินี่ ตัวเอกไม่ค่อยชอบพูดกัน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 12-08-2018 20:20:01
ขอไปเกียม ยาดม.. ฟืดดดด..  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-08-2018 02:25:27
โหดๆ กันทั้งนั้นเลย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: stikkies_naja ที่ 16-08-2018 10:20:37
อาาาาา เป็นอีกเรื่องที่เราจะต้องตามอ่าน

หลังจากแปรสภาพมาชอบอ่านแนวดาร์กๆ จิตๆ ดราม่าๆ หน่วงๆ

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 16-08-2018 11:08:15
พออ่านแล้วอ๋อเลยค่ะ

จำได้ว่าหนักมาก


กลัวเลยเนี่ย ไม่ถูกกับนิยายดาม่าอย่างแรง

เพราะดาม่ากว่า ชาวบ้านชาวช่องเค้า


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: มาดามพีพี ที่ 16-08-2018 12:02:17
เลเวลความหนักจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆใช่มั้ยคะ....งืมๆ จะไหวมั้ยน้อออออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 18-08-2018 14:10:08
 o13
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-08-2018 14:27:54
ของเก่าก็ว่าหนักหน่วงแล้ว มาเวอร์ใหม่จะหนักหน่วงแค่ไหนกันเชียวเราจะทนให้ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 18-08-2018 14:45:18
เคยอ่านเวอร์เก่า รอติดตามเวอร์ใหม่น้า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 18-08-2018 15:29:03
รอเลยค่ะ เคยอ่านแล้วชอบมากสะใจสุดดดด แต่ขอจบดีได้มั้ยคะ55555
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 18-08-2018 17:28:17
สายดราม่าคืองานของเรา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jimin39 ที่ 19-08-2018 20:04:15
เตรียมทิชชู 10กล่อง ก็คงไม่พอสินะ มาเลยเราทนได้ค่ะคุณจิตติ :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 21-08-2018 01:55:10
เห็นอาการปวดตับแว่วมาไกลๆ
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ บทนำ + ตอนที่1 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 21-08-2018 20:31:36
 :katai2-1:
สายดราม่ามารอเลยค่ะ ชอบคู่นี้มากๆๆๆๆ อยากรู้ว่าจะยังดราม่าได้กว่าเดิมอีกเลยหรอ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 24-08-2018 22:02:14


CHAPTER 2
HALF AN EYESIGHT



ตอนเด็กผมเคยตั้งคำถามว่าความรักคืออะไร
กระทั่งเติบโตถึงได้รู้ สำหรับบางคนแล้ว
มันอาจเป็นคำถามที่คงไม่มีคำตอบ



   คำว่า ‘โดนเอาแล้วทิ้ง’ แปรสภาพไม่ต่างจากมีดล่องหนที่พุ่งมาปักอกผมอย่างจัง

   หลายครั้งหลายหนที่พยายามหนีจากคำนี้ ผมฝังกลบมันไว้ข้างหลัง วิ่งหนีมาไกลแสนไกลเพื่อให้รู้ว่าสุดท้ายก็ยังมีคนขุดมันขึ้นมา ความเจ็บปวดในอดีตเป็นเหมือนตราบาปของชีวิตเพราะต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่เคยหนีพ้นเสียที

   ถึงใครหลายคนจะเอาแต่พูดว่าอีกไม่นานก็คงผ่านไปได้ ทว่านั่นไม่ใช่กับชีวิตของคนชื่ออาคเนย์ เพราะผมไม่เคยผ่านมันไปได้เลย

   “เอาไงดีวะ”

   เพื่อนๆ เริ่มถามความเห็นหลังไอ้บูสลบไปต่อหน้าต่อตา

   ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากเกินอธิบาย โลกทั้งใบหมุนเคว้งเต้ง มองดูสีหน้าของเพื่อนๆ ที่มองกลับมาด้วยความอารมณ์หลากหลาย พวกมันไม่เคยรู้แต่วันนี้ก็ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่าจะสงสารเห็นใจหรือสมเพชจนอยากเอาไปโพนทะนาต่อ ผมก็ไม่แคร์อีกแล้ว

   “เนย์มึงได้ยินที่กูพูดมั้ย” เสียงของไอ้ดินปลุกภวังค์ที่กำลังจมดิ่งให้กลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง

   ผมหันไปมองหน้ามันครู่หนึ่งสลับกับคนที่นอนจมกองเลือด ก่อนตัดสินใจกัดฟันพูดสิ่งที่ต้องการออกไป

   “ให้มันตาย”

   “ไอ้เนย์...”

   “ให้มันตาย! จะทำยังไงก็ได้แต่มันต้องตาย!”

   ร่างกายรู้สึกราวกับถูกฝังอยู่ในธารน้ำแข็ง มันเย็นเยียบจนหัวใจค่อยๆ เต้นช้าลง ทุกอย่างที่ทำมาผิดแผนไปหมด เพราะนอกจากมันไม่ยอมขอร้องเพื่อให้ไว้ชีวิตแล้ว กลับกลายเป็นผมที่ต้องกลับมาเจ็บปวดกับเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “มันผิดกฎหมายนะเว้ย” ใครคนหนึ่งเถียงกลับ ผมเลยตวาดลั่น

   “ก่อนหน้าพวกมึงยังกระทืบมันได้เลย มันจะยากอะไรวะแค่ลงมือต่อ”

   “แต่...”

   “งั้นกูทำเอง กูจะทำ!”

   จบประโยคนั้นผมจัดการเตะสวนเข้าไปที่ร่างสูงอย่างแรงจนเกิดเสียง ไอ้บูไม่รับรู้ความเจ็บปวดและความทรมานแล้ว แต่ผมก็ยังอยากฆ่ามันซ้ำๆ ให้ตายคาตีน

   “ไอ้เหี้ย...แม่งเอ๊ย...” สองเท้ายังคงพุ่งเป้าไปยังร่างท่วมเลือด ยิ่งทำก็ยิ่งเหนื่อย เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดซึมตามหน้าผากจนไหลหยดลงมา ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้สาสมกับสิ่งที่มันทำกับผม แต่ต่อให้ลงแรงทำร้ายอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม

   มันไม่ใช่เพราะรักข้างเดียวที่ทำให้รู้สึกเจ็บแค้นทรมาน แต่บูรพาทำกับผมมากกว่านั้น

   “ไอ้เนย์...” ผมไม่เคยเข้าใจตัวเอง ทำไมถึงได้ร้องไห้ ทำไมน้ำตาถึงไหลลงมาไม่หยุด

   อยากฆ่าให้ตาย ทว่าเสี้ยวหนึ่งก็ยังมีความกลัวปะปนอยู่ในนั้น

   “เฮ้ยมึงเอาตัวไอ้เนย์ออกมา!” หูสองข้างอื้ออึง เสียงของใครคนหนึ่งดังก้องในหู ก่อนความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมถูกมือล่องหนของใครหลายคนรวบตัว และพยายามพาออกมาจากสถานการณ์ตึงเครียด

   “ปล่อยกู! กูบอกให้ปล่อยยังไงวะ”

   “โทรเรียกรถพยาบาล รีบโทรแล้วเราหนีกันเถอะ”

   ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงพริบตา ร่างของผมลอยหวือเพราะถูกใครคนหนึ่งจับอุ้มพาดบ่า ต่อให้พยายามออกแรงขัดขืนและอยากถลาเข้าไปเตะไอ้บูให้หนักกว่าเดิมมากแค่ไหนก็ทำได้แค่คิดในใจ เพราะร่างกายเหมือนจะไม่อำนวยเอาซะเลย

   น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย เรี่ยวแรงที่ใช้ไปกับการทำร้ายศัตรูค่อยๆ หมดลงจนไหล่และขาทั้งสองข้างตกลู่ตามแรงโน้มถ่วง ผมไม่รู้ว่าเพื่อนจะพาผมหนีไปที่ไหน จริงๆ มันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ต่อให้ถูกจับข้อหาฆ่าคนตายยังไงมันก็ไม่ทุกข์ทรมานไปกว่าตอนนี้นักหรอก

   ผมชื่ออาคเนย์ มีความฝันในวัยเด็กคืออยากเป็นวิศวกรเหมือนพ่อ เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขท่ามกลางความอบอุ่นของคนในครอบครัว ได้รักกับคนที่อยากรักและสมหวังกับทุกอย่างที่ต้องการ

   แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับเพิ่งตระหนักได้ถึงความจริงว่าตัวตนของอาคเนย์มันก็เป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น

   ชีวิตผมแตกหักเกินกว่าจะประกอบใหม่ เป็นแก้วที่มีแต่รอยตำหนิ ไม่มีใครต้องการ ไร้ค่า และหลายต่อหลายครั้งก็อยากหายไปจากโลกนี้ ผมอยากทำมาตลอดแต่ที่ยังอยู่ไม่ใช่เพราะไม่มีความกล้าพอ

   ทว่า...ยังต้องการมีชีวิต

   เพื่อทำลายใครสักคน













   “เนย์ อาบน้ำเสร็จแล้วก็รีบลงมากินข้าวนะลูก”

   “...”

   “เนย์”

   “ครับ” ผมขานรับแม่ จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้า ไม่ได้เร่งรีบกุลีกุจอเหมือนเมื่อก่อน

   ตอนยังเป็นเด็กเวลาแม่หรือพ่อสั่งอะไรผมจะรีบทำเสมอ อยากให้เขารัก อยากเป็นที่ยอมรับและสมปรารถนาตามสิ่งที่ขอ อาคเนย์จึงเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยกลับบ้านดึกดื่น ไม่เคยทำเกรดต่ำกว่ามาตรฐานและยังคงทำได้ดีเสมอเมื่อเลื่อนชั้นปีถัดไป

   อาคเนย์ทำทุกอย่างโดยไม่นึกฝืน แต่พอโตขึ้นเรื่องพวกนี้กลับกลายเป็นเรื่องยากมากๆ

   ผมไม่ได้อยากเป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัวอีกแล้ว หรือจะพูดอีกอย่าง ผมไม่ได้อยากเป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่จึงมีแค่การใช้ชีวิตเพื่อแก้แค้นไปวันๆ

   “วันนี้ทำของโปรดให้ลูกด้วยน้า มีแกงเขียวหวาน แล้วก็ขนมจีนแบบที่ลูกชอบ”

   แม่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นผมก้าวเท้าลงมาจากบันได แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี ใบหน้าของอีกฝ่ายมีริ้วรอยเพิ่มขึ้น นัยน์ตาคู่สวยเต็มไปด้วยความโศก แต่แม่ก็ยังเป็นแม่คนเดิม

   ผมทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ มองดูอาหารสองสามซึ่งวางอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองยังฝั่งตรงข้าม แม่กำลังจ้องมองกลับด้วยใบหน้าคาดหวังว่าผมจะพูดเหมือนเดิมเมื่อครั้งยังเด็ก

   “น่ากินมากครับ” และใช่! ผมยังคงพูดประโยคนั้น

   “งั้นกินให้เยอะๆ นะ นานๆ ลูกจะกลับบ้านมาทีหนึ่ง นี่แม่ก็เตรียมขนมเอาไว้เต็มตู้เย็นเลย”

   “ครับ ผมจะกินเยอะๆ”

   “เรียนเป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรมั้ย” เราเริ่มจับช้อนและส้อม ตักอาหารใส่ปากได้เพียงคำเดียว บทสนทนาตามประสาคนในครอบครัวก็เริ่มขึ้น

   “ไม่มีครับ”

   “แม่รู้ว่าเนย์ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ ถ้ารู้สึกไม่ไหวหรือไม่มีความสุขก็บอกได้นะ” เธอเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ ไม่ว่าผมจะเติบโตจนอายุมากแค่ไหนก็ตาม

   “ตอนนี้ผมยังไหวอยู่ คิดว่าคงเรียนจบได้ไม่ยาก”

   “ดีแล้ว เนย์จะได้มีชีวิตที่ดี” แม่ยังคงยิ้ม จ้องมองหน้าผมด้วยความภาคภูมิใจ

   ความจริงแล้วที่นั่งตรงหัวโต๊ะเป็นที่ของพ่อ เรากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันมาเกือบยี่สิบปี มีอะไรผมจะแชร์ให้เขาฟัง ทว่าตอนนี้พื้นที่หัวโต๊ะกลับมีแต่ความว่างเปล่า หลงเหลือคนรับฟังเรื่องราวในชีวิตของผมแค่คนเดียวซึ่งคิดว่ามันก็เพียงพอแล้ว

   “ตอนเช้าแม่ไปเยี่ยมบูที่โรง’บาลอีกรอบ อาการก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” หัวข้อบนโต๊ะอาหารถูกเปลี่ยนอีกครั้ง ผมชะงักมือ แต่สองหูยังคงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ “เนย์ไปเยี่ยมเพื่อนบ้างหรือยังลูก”

   “ยังเลยครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง”

   “แม่เข้าใจ เลยฝากความห่วงใยของลูกถึงบูไปแล้ว”

   ไอ้บูนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาลมาสามวัน ช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ๆ ผมหนีกลับห้อง เช้าวันรุ่งขึ้นถึงได้รับสายจากแม่ที่น้ำเสียงดูร้อนรนเต็มที เท่าที่ฟังอาการก็ค่อนข้างหนัก อวัยวะภายในบอบช้ำบางจุดแต่ยังโชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก ทว่าก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นไปอีกเป็นสัปดาห์

   จดหมายลาป่วยร่อนมาถึงอาจารย์ประจำวิชา มันเลยได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องเข้าเรียนจนกว่าจะหายดี

   จู่ๆ ก็รู้สึกโกรธตัวเอง ทำไมผมไม่เตะให้แรงกว่านี้มันจะได้ตายๆ ไปซะ

   “ไปเยี่ยมบูคราวนี้แม่ก็ได้คุยกับแม่ณิแล้วนะ เรื่องที่จะขอให้ลูกไปพักอยู่กับบูน่ะ”

   “ผมไม่ไป” เมื่อฟังประโยคก่อนหน้าจบ อดไม่ได้ต้องรีบเถียงกลับทันที

   “ถ้าไม่ลำบากจริงๆ ก็คงไม่รบกวนหรอก ตอนนี้บ้านเรามีปัญหา แม่เองก็จะเริ่มหางานทำ” ที่ผ่านมาหลายสิบปีแม่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลเรื่องทุกอย่างในครอบครัว พอขาดเสาหลักไปเราก็ต้องกลับมาดิ้นรนกันอีกครั้ง

   ถึงอีกไม่นานเราจะได้เงินก้อนใหญ่มาจากสินสมรสหลังจดทะเบียนหย่า แต่มันก็ไม่มากพออยู่ดี ลำพังค่าเทอมที่จ่ายไปกับคณะที่เรียนก็ทำเอาปาดเหงื่อไปหลายรอบแล้ว พ่อก็เสนอจะจ่ายเพียงครึ่งเดียวเพราะยังมีภาระที่ต้องดูแลอีกครอบครัวหนึ่ง

   ทุเรศสิ้นดี

   “แม่ไม่ต้องทำหรอก อยู่ดูแลบ้านเนี่ยแหละ ผมจะออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำเอง”

   “...”

   “เรื่องที่อยู่ก็ไม่ต้องห่วง หอแถวมหา’ลัยราคาถูกๆ มีเยอะ มันไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น”

   “แต่ลูกเรียนหนักมากขึ้นทุกวัน ลำพังแค่เวลานอนยังแทบไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานพาร์ทไทม์” เธอพูดอีก คราวนี้ผมเลยเถียงไม่ออก

   จะขอไปอยู่กับเพื่อนก็กลัวมันลำบาก ไอ้อั๋นอาศัยอยู่กับที่บ้านซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ไอ้เมพาแฟนมาอยู่ที่ห้องแถมต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนไอ้ดินก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่จึงมีแค่การทำตามคำสั่งแม่

   ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากการไล่ให้ไปลงนรก

   “แบบนี้ล่ะดีแล้ว ทางโน้นเขาใจดีไม่ให้เราช่วยออกสักบาท อีกอย่างลูกก็สนิทกับบูด้วย”

   ผมแค่นยิ้มเมื่อได้ยินคำว่าสนิทจากปากของคนตรงหน้า

   ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยรู้เลย ไม่เคยสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเพราะไม่มีใครคิดบอก เราต่างปิดมันเอาไว้เพื่อหวังว่ามันจะตายไปพร้อมกับตัวตนของผมและไอ้บูในสักวัน

   “ครับ ผมสนิทกับบู”

   “งั้นเนย์ช่วยแม่ได้มั้ย ไม่ต้องหางานทำ แค่ย้ายไปอยู่กับบู แม่ณิใจดีกับเรามาก ถ้าอนาคตลูกได้ดีเราจะได้ตอบแทนเขาทีหลัง”

   “แค่นี้ผมก็เหมือนตอบแทนให้ทั้งหมดแล้ว”

   “ลูกว่าไงนะ”

   “เปล่าครับ เรากินข้าวกันต่อเถอะ”

   บรรยากาศแสนเงียบเหงาของการกินข้าวยังคงดำเนินต่อไป รู้ดี...แม่พยายามอย่างมากเพื่อให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เคยมี ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่เหมือนเดิม

   “เขาเป็นไงบ้าง” เนิ่นนานเหมือนกันที่จมจ่อมกับสารพัดปัญหา กระทั่งนึกถึงใครคนหนึ่งเข้าเลยตัดสินใจถามออกไป

   “เขาเหรอ ไม่รู้สิ แม่ไม่ได้คุยกับเขาสักพักหนึ่งแล้ว”

เรากำลังพูดถึงพ่อ

“แม่เจอเขาได้ยังไง ตอนนั้น...ตอนที่เจอกันครั้งแรก” ตั้งแต่เล็กจนโต เราไม่เคยคุยกันถึงจุดเริ่มต้นของความรัก และผมก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่เพราะสนใจแต่ปัจจุบัน ทว่าวันนี้กลับอยากรู้ขึ้นมาเฉยเลย

“เราเจอกันที่มหา’ลัย ตอนนั้นเขาดังมากเลยนะ ใครๆ ก็ชอบ”

“แล้วแม่ชอบมั้ย”

“ชอบสิ ตั้งแต่ครั้งแรกเลย เขามีรถเบนซ์ด้วยนะ เป็นรถคันเก่าของคุณปู่ที่ตอนนี้ขายทิ้งไปแล้ว แต่สมัยนั้นมันเท่มากเลย”

“จริงๆ แล้วคนเรารักกันเพราะเหตุผลอะไรเหรอแม่”

“ก็หลายอย่าง”

“แล้วแม่กับเขาล่ะ หน้าตา ฐานะ หรืออะไร”

“ไม่รู้สิ”

แม่ยิ้ม ใช้ช้อนเขี่ยขนมจีนในจานไปมาราวกับว่ากำลังสลัดความเจ็บปวดทั้งหมดออก ผมไม่ได้อยากพูดถึงพ่อมากนัก แต่วันหนึ่งเราต่างตระหนักได้ว่ายังไงก็ต้องเดินหน้าต่อ แม้ความเจ็บลึกๆ จะไม่เลือนหาย เราก็คงต้องปล่อยให้มันติดอยู่ในความรู้สึกต่อไป

“แม่...ตอนนี้เขาไม่รักเราแล้ว”

“ครั้งหนึ่งเขาเคยรัก เนย์...มันเคยเกิดขึ้น”

“พ่อเคยทำให้ผมเชื่อในความรัก แต่ตอนนี้เขาก็ทำให้รู้ซึ้งว่าทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน”

“สักวันลูกจะเจอคนที่ลูกรักและมองข้ามความเชื่อทุกอย่างเอง”

“ผมรักใครไม่ได้หรอกครับ”

“ลูกยังเด็กเกินกว่าจะพูดประโยคนี้นะ”

“อาจจะใช่ อาจเป็นอย่างนั้น”

ยังอายุน้อยเกินกว่าจะเข้าใจโลก แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมาก็สอนอะไรหลายอย่าง ครั้งหนึ่งผมเคยมีความรักให้กับใครคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนในครอบครัว มันเป็นรักครั้งแรกและยังคงหยั่งรากลึกในความรู้สึก

จนวันนี้ผมก็ยังจำหน้าของเขาได้ดี จำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในวันวาน จำกลิ่นหอมของเสื้อผ้าเวลาที่เขาขยับเข้ามาใกล้ ทุกอย่างในวันนั้นสวยงามไปหมด

“แต่สำหรับตอนนี้ ผมคิดว่า...”

“...”

“ผมคงไม่รักใครอีกแล้ว”

แม้ไม่รู้ว่าจะฝืนทำมันได้แค่ไหนก็ตาม













“เดี๋ยวแม่สองคนไปก่อนนะ ดูแลกันดีๆ ล่ะ”

คนอายุมากกว่าทั้งสองโบกมือลาก่อนประตูไม้สีขาวจะปิดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูของความทรงจำในอดีตของผมถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ภาพดังกล่าวไม่ชัดเท่าไหร่นัก ทว่าอารมณ์และความรู้สึกหดหู่กลับแผ่ขยายเป็นวงกว้าง

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้มมองดูกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้หลายอย่างที่กองอยู่บนพื้น ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นบทสนทนากับคนที่เกลียดที่สุด

“ห้องกูอยู่ไหน”

“เป็นขอทานเหรอ”

“อะไร” ผมหันขวับไปยังอีกฝ่าย

“ก่อนหน้าเคยพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะไม่เหยียบมาที่ห้องกู ทำไมสุดท้ายถึงได้กลืนน้ำลายตัวเองได้วะ” อีกฝ่ายสวนกลับด้วยประโยคยาวเหยียด

“ถ้าแม่ไม่บังคับ คิดเหรอว่ากูอยากจะเหยียบเข้ามา”

“ไอ้ลูกแหง่”

“โทษที มึงก็ลูกแหง่พอกันแหละว้า”

“ปากดีฉิบหาย”

“ด่าตัวเองอยู่หรือไง”

“อยากเจ็บตัวเหรอวะ”

“ทำไม? แค้นเหรอที่กูทำมึงเจ็บวันนั้น” ผมจ้องมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้ารวมถึงร่างกายของไอ้บูมีร่องรอยจากการถูกทำร้าย และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็คงไม่เหลือความเจ็บปวดเหมือนในวันแรกอีก

“กูไม่เคยแค้นแต่กูเกลียด และสาบานได้ว่ากูจะทำให้มึงเจ็บมากกว่าที่กูเจอ” มันกัดฟันชี้หน้าด่า

“ก็ทำให้เจ็บสิ”

“มึงอย่าท้านะไอ้เนย์”

“กูไม่เคยท้า รู้อยู่แล้วว่ามึงทำจริง มึงเป็นคนจริงเสมอหนิเพราะต่อให้ทำเหี้ยกับคนอื่นแค่ไหน ทำลายชีวิตของใครไปบ้างมึงก็ไม่เคยสนอยู่แล้ว”

“เออมึงพูดถูก ถ้าการทำลายสิ่งนั้นแล้วมันทำให้รู้สึกดีกูก็จะทำ ระวังตัวมึงไว้เถอะ”

“ขอบคุณที่เตือน แต่ตอนนี้กูไม่อยากเถียงกับมึงแล้ว สรุปห้องนอนกูอยู่ไหนกันแน่”

“ตรงพื้นนี่ไง นอนได้มั้ย”

“ได้ดิ กูนอนได้หมดแหละแค่ต้องโทรไปบอกแม่ก่อนว่ามึงพูดอะไรไว้บ้าง”

“คนอาศัยอย่างมึงจะเรียกร้องอะไรนักหนาวะ” ร่างสูงตอกกลับพร้อมเตะกระเป๋าจนล้มกลิ้ง ส่งผลให้ผมได้แต่กำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธซึ่งกำลังปะทุขึ้นในใจ

ก่อนมาที่นี่ผมนอนไม่หลับ ในหัวเต็มไปด้วยความกังวลและยังรู้สึกกลัว ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ ไม่ได้มีกำแพงหนาอย่างที่พยายามสร้างขึ้น ความจริงแล้วมันเปราะบาง หลายครั้งที่มีคนทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแตกละเอียด แต่ผมก็ยังเก่งที่สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ เพื่อปกปิดความแหลกละเอียดที่อยู่ภายใน

และคราวนี้ผมก็จะทำเหมือนเดิม เข้มแข็งให้เหมือนกับที่พยายามสร้างมา

คิดได้เท่านั้นจึงรีบกระแทกเท้าตรงดิ่งไปยังห้องนอนฝั่งขวา โดยมีไอ้บูตะโกนด่าตามหลังมาไม่ห่าง

“มึงจะทำอะไร”

ผมไม่ตอบ นอกจากกวาดตามองโดยรอบ เดาว่านี่คงเป็นห้องนอนของอีกฝ่ายไม่ผิดแน่ เพราะข้าวของทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่หลังจากนี้ผมจะค่อยๆ ทำลายมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเพื่อเอาของของตัวเองขึ้นมาวางแทน

เพล้ง!!

เสียงของแข็งตกกระแทกพื้นดังก้องไปทั้งบริเวณ หลังตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีในการกวาดเอาข้าวของทุกอย่างซึ่งอยู่บนตู้โชว์ออก เสียดายที่ทำได้ไม่เท่าไหร่เจ้าของเสียงทุ้มดันถลาเข้ามารั้งแขนไว้ด้วยสีหน้าเอาเรื่องซะก่อน

“ไอ้เหี้ยเนย์!”

ผมไม่สนใจจัดการสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ดึงไม้แขวนเสื้อทั้งเชิ้ตรวมถึงกางเกงยี่ห้อแพงออกมากองทิ้งไว้ตรงพื้น โดยไม่ลืมเหยียบย่ำมันด้วยฝ่าเท้าจนกว่าจะพอใจ ก่อนจะถูกร่างหนาโถมตัวเข้ามารั้งไว้อีกครั้ง แล้วเหวี่ยงผมลงกับเตียงอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ

“มึงเป็นเหี้ยไรวะ!” ร่างสูงตะคอกจนคอแทบเป็นเอ็น สองมือตรึงร่างผมเอาไว้ยากเกินกว่าจะขยับ

“นี่ห้องกู กูจะทำอะไรก็ได้”

ผัวะ!!

กำปั้นหนักๆ ซัดเข้ามาที่ซีกหน้าด้านซ้ายจนชายิบ หูสองข้างอื้ออึงจนจับใจความเสียงสบถจากปากอีกฝ่ายแทบไม่ได้ ต้องใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าจะรวบรวมสติที่กระจัดกระจายให้กลับมาอีกครั้ง ผมอาศัยเรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดในการบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อตบหน้าอีกฝ่าย

แม้ความแรงจะไม่มากนักแต่ก็ยังคงรัวมือไม่ยั้งจนคนถูกกระทำผละออกไป ผมใช้จังหวะนั้นพยายามยันตัวขึ้น ทว่าก็เหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่งเมื่อข้อเท้าขวาถูกมือหนาจับเอาไว้แน่น พร้อมกับกระตุกอย่างแรงจนร่างของผมไถลลงจากเตียง

หัวกระแทกพื้นจนเกิดเสียง พลันรู้สึกมึนงงจนจับจุดอะไรไม่ได้ ภาพตรงหน้าเดี๋ยวเบลอเดี๋ยวสว่างแต่ก็ยังกัดฟันร้องออกมาเท่าที่จะทำได้

“ปล่อยกู...ปล่อย...”

ในใจตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เนื้อตัวเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเนื่องจากประเมินอีกฝ่ายผิดไป ผมควรจะรู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรแต่ก็มักแพ้ให้กับความใจร้อนของตัวเองจนได้ เรี่ยวแรงทั้งหมดแทบไม่หลงเหลือแม้แต่จะขัดขืนต่อต้าน ทำได้เพียงกระเถิบกายหนีตามสัญชาตญาณ สุดท้ายกลับไปไหนได้ไม่ไกลนัก

คนตัวสูงกว่าย่อเข่าลงนั่งตรงหน้า

“มะ...มึงจะทำอะไร จะ...ทำอะไรกู”

มันไม่ตอบ สองมือจับข้อเท้าข้างหนึ่งของผมไว้แน่นพร้อมกับออกแรงหักจนสุด

“โอ๊ยยยยยย!!”

ผมร้องออกมาสุดเสียง เจ็บปวดแทบทนไม่ไหวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้หักข้อเท้าของผมไปต่อหน้าต่อตา

“อึก...” ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วบริเวณ สุดท้ายเลยต้องสบถสาปแช่งในใจไม่ซ้ำคำ

“ไง ร้องออกมาอีกสิวะ ร้องจนกว่าคนข้างนอกจะได้ยิน”

“ฮึก...” ผมกัดฟันเก็บเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ แม้มันจะไม่ได้ผลจนเผลอครางต่ำออกมาเป็นครั้งคราว

“เจ็บใช่มั้ย แต่รู้ไว้ซะว่านี่มันยังไม่ได้ครึ่งกับที่มึงทำกูเจ็บ!” ร่างสูงชันตัวลุกขึ้น ก่อนจะทั้งลากทั้งถูผมเข้าไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็ออกแรงเตะเข้ามาที่ชายโครงแรงๆ อีกครั้งจนต้องงอตัวนอนกับพื้นเพื่อให้ผมหยุดนิ่ง

ไม่นานสายน้ำจากฝักบัวหยดแล้วหยดเล่าก็หล่นกระทบลงบนเสื้อผ้า ความเย็นชื้นที่แผ่ขยายออกมาส่งผลให้ร่างทั้งร่างสั่นหงักโดยอัตโนมัติ

“ไอ้เหี้ย...” ถึงจะเจ็บแค่ไหนก็ยังกลั้นใจก่นด่าคนเหนือร่าง พร้อมตั้งท่ายกมือเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายแต่ก็ต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศเพราะหมดแรงซะก่อน

“กูเหี้ยไม่มากไปกว่ามึงหรอก”

“...”

“อยู่ทบทวนการกระทำของตัวเองซะ ถ้ายังกล้าเล่นกับกูข้อเท้าอีกข้างมึงหักแน่!” ไอ้บูกัดฟันพูดเสียงเหี้ยมเกรียมก่อนเดินออกไป

เสียงล็อกประตูจากทางด้านนอกแว่วเข้าโสตประสาท ส่งผลให้ความอดทนที่มีทั้งหมดขาดสะบั้นจนต้องแหกปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แถมยังเจ็บใจที่ความพยายามของผมไม่ได้ทำให้มันรู้สึกระคายผิวด้วยซ้ำ

ลมหายใจจากที่ถี่กระชั้นในคราแรกเริ่มอ่อนลงแทบประคองสติไม่อยู่ ไม่เหลือแม้กระทั่งเรี่ยวแรงเพื่อผลักตัวเองให้เอื้อมมือขึ้นไปปิดวาล์วน้ำด้วยซ้ำ

ผมรู้ว่าการมาอยู่ที่นี่ต้องเจอกับอะไร รู้ว่าต้องตกนรกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบแต่ก็ยังพาตัวเองเข้ามา ใจหนึ่งทั้งหวาดกลัวและหวาดหวั่น ขณะที่อีกใจหนึ่งกลับเอาแต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าให้เข้มแข็งและเผชิญหน้า แต่มันคงดีกว่าถ้าผมไม่ต้องรู้สึกแบบนี้อีก


อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 24-08-2018 22:03:36


‘ถ้าผมไม่อยู่แม่จะเสียใจมั้ย’
‘ทำไมพูดอย่างนั้น’
‘ไม่รู้ บางทีถ้าผมจากไปเหมือนพ่อมันอาจจะดีกว่า’
‘เนย์’
‘ทำไมตอนเป็นเด็กผมถึงมีความสุขกว่านี้ หรือเพราะยังไม่โตพอที่จะรู้จักกับความเจ็บปวด’
‘ลูกมีอะไรเล่าให้แม่ฟังได้นะ’
‘ไม่มีครับ ก็แค่...พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น’




ภาพของแม่ที่เดินเข้ามาในห้องนอนยังติดตรึงในความรู้สึก ตลอดหลายสิบปีที่เขาเฝ้าทะนุถนอมผมอย่างดี ตอนนี้อาคเนย์คนเดิมได้แตกหักไปหมดแล้ว บางครั้งบางทีผมตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ ตั้งคำถามว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องเจ็บปวด ตั้งคำถามกับโชคชะตาที่ดูไม่เป็นใจ สุดท้ายก็ได้คำตอบเหมือนเดิมคือไม่รู้

ผมอาจทำตัวเอง แต่บางทีคนอื่นก็อาจเป็นฝ่ายกระทำ

วนเวียนเป็นวัฏจักรแห่งความเจ็บปวด

เสียงลมหายใจตอนนี้ค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนคิดว่านี่อาจเป็นลมหายใจสุดท้าย

ความเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วเท้าจนลามไปถึงขาขวาทั้งหมด สักพักก็ไม่รู้สึกอะไร เสียงน้ำยังคงสาดลงบนร่างกายไม่ขาดสายให้ความรู้สึกหนาวยะเยือกราวกับน้ำแข็ง

บนโลกนี้ผมกลัวอยู่ไม่กี่อย่าง กลัวที่ต้องขับรถด้วยตัวเอง กลัวทำให้แม่เสียใจ กลัวอดีตที่เหมือนจุดดำมืดในชีวิต แต่ที่กลัวยิ่งกว่า...

คือกลัวว่าคนชื่อบูรพาจะยังมีความสุขขณะที่ผมจมปลักอยู่ในอดีต

   “ไอ้บู...”

   ชีวิตพังๆ ของคนชื่ออาคเนย์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก จะให้ตายตอนนี้ก็คงทำไม่ได้ โลกบังคับให้ผมต้องทนต่อความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทนไม่ไหวในสักวัน

   เนิ่นนานที่ปล่อยให้ร่างกายนอนเปื่อยอยู่ตรงพื้น ผมได้สติหลังสายน้ำจากฝักบัวไหลช่วยชะล้างหัวใจขุ่นมัวออกไปจนหมด

   ยอมกัดฟันทนต่อความเจ็บที่กัดกินไปเกือบทั้งร่าง ค่อยๆ ขยับตัวและเปลี่ยนเป็นคลานไปบนพื้นอย่างเชื่องช้าเพื่อเอาตัวรอด หากแต่ความเหน็บหนาวจนร่างกายสั่นหงักกับเท้าที่ไม่อำนวยต่อการเคลื่อนไหวกลับเป็นอุปสรรคไปซะทุกอย่าง

   ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามเอื้อมมือไปข้างหน้ายึดเกาะกับกระเบื้อง ขยับกายทีละน้อยไปยังประตูเพื่อไขมันออกให้เร็วที่สุด

   แกรกๆ

   ลูกบิดถูกหมุนอยู่หลายครั้ง ทว่ามันกลับเปิดไม่ออกอย่างใจคิด

   “ไอ้เหี้ยบู! อึก...”

   ตอนนี้ทั้งมือและริมฝีปากสั่นเทาไม่หยุด ผมกัดปากจนเลือดซิบ ยอมปล่อยมือจากลูกบิดประตูซึ่งอยู่เหนือหัว กลับมากอบกุมข้อเท้าที่บวมแดงจนน่ากลัวอีกครั้ง

   “อึก...” อย่าให้กูรอดไป อย่าให้กูมีแรงฮึดสู้

   เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นแบบนั้น ไอ้บูจะไม่ได้มีชีวิตแค่การนั่งเฉยๆ เพื่อเปิดทีวีดังกระหึ่มจนกลบเสียงร้องของผมอย่างที่กำลังทำอยู่เป็นแน่

   “ไอ้บู! ปล่อยกู ปล่อย!”

   ความพยายามนับครั้งไม่ถ้วนต้องได้ผลในสักครั้ง

   ผมรวบรวมแรงที่มีอยู่แหกปากสลับกับหมุนลูกบิดประตูเรื่อยๆ จนกว่าคนด้านนอกจะรำคาญ เราเล่นสงครามประสาทกันแบบนี้เสมอ ผลัดกันทำร้ายกันไปมาตลอดหลายปี รู้ดีว่าอีกไม่นานมันก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ   

   แต่สำหรับคราวนี้ผมคิดผิดถนัด

   ไม่มีเสียงตอบรับจากคนด้านนอก ไม่มีความช่วยเหลือ ไม่มีการตอบสนองกลับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกทิ้งไว้นานแค่ไหนแต่ผมคงทนได้อีกไม่นาน   

   เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดเริ่มหมดลง ผมตัดใจปล่อยวางทุกอย่าง แต่สมองกลับคิดเรื่องราวต่างๆ สารพัดไม่นานเปลือกตาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างคนหมดแรง ปล่อยให้ความเย็นเยียบเข้ามาเยือนทั่วทุกอณูผิว ในใจเฝ้าแต่ภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างผ่านไปโดยไว ทว่าความจริงแล้วเวลากลับเชื่องช้าจนเหมือนหยุดเดิน



   ‘เนย์อยากเป็นอะไร’
   ‘วิศวกรเหมือนพ่อครับ’
   ‘งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งใจเรียนมากๆ’
   ‘งานของพ่อเงินเดือนเยอะมั้ยครับ’
   ‘เยอะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ลูกมีความสุขกับมัน’
   ‘แล้วตอนนี้พ่อมีความสุขมั้ย’
   ‘แน่นอน พ่อมีความสุขกับทุกอย่างในตอนนี้เลย’




   นั่นมันนานมาแล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่พ่อยังไม่นอกใจแม่

   ตอนที่พ่อยังไม่เจอผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้แอบไปมีลูกและเลี้ยงดูอย่างดี ความสุขของพ่อเปลี่ยนไป เมื่อก่อนพ่อรักทั้งอาชีพการงานและครอบครัว แต่ตอนนี้หน้าที่การงานของพ่อเติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขามีเงินเดือนที่สามารถใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสนและเงินนั้นก็ยังคงถูกใช้กับครอบครัว

   เพียงแต่ว่า...

   มันไม่ใช่ครอบครัวที่มีผมกับแม่อยู่ในนั้น



   ‘เนย์ พ่อไปก่อนนะ’
   ‘…’
   ‘อาคเนย์...’
   ‘จะไปก็ไป ไม่ต้องร่ำลาให้เสียเวลาหรอก’
   ‘มีความสุขมากๆ และดูแลแม่ให้ดี’
   ‘…’
   ‘พ่อต้องไปแล้ว ไว้เราเจอกันใหม่’




   ผมรู้ว่าวันนั้นไม่มีทางมาถึง วันที่เราได้เจอกันแล้วพ่อกลับมาที่บ้าน ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ส่งยิ้มมาให้หลังเลิกงานพร้อมกับประโยคเรียบง่ายที่ว่า ‘พ่อกลับมาแล้ว’ ไม่มีอีก...

   แกรก!

   เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นเพราะถูกหมุนจากฝ่ามือหนาของใครอีกคน ผมปรือตามอง

   นั่นเป็นภาพของใครคนหนึ่งที่แสนเลือนราง เขายืนอยู่ตรงหน้าประตู ซึ่งผมรู้ดี...

   นั่นไม่ใช่พ่อ













   “จะแดกข้าวต้องให้กูประเคนถึงปากหรือไง เดินมา!”

   เสียงตะคอกของไอ้บูดังก้องไปทั้งห้อง ฉุดให้ผมที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่ตรงโซฟาต้องถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย

   ผมปวดหัว อาจเพราะถูกความเย็นจากการแช่น้ำเป็นเวลานาน ข้อเท้าข้างหนึ่งถูกพันด้วยผ้าพันแผลอย่างแน่นหนา ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจเลยคือผมลืมตาขึ้นมาในโรงพยาบาล แล้วอีกวันต่อมาก็ถูกพากลับมายังห้องเดิมซึ่งเคยถูกขัง

   “กูไม่กิน” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ มีเพียงกระเพาะเท่านั้นที่เอาแต่บีบตัวประท้วงความหิวเป็นครั้งคราว

   “มึงอยากตายใช่มั้ย กูบอกให้กินมึงก็ต้องกิน!”

   “เป็นพ่อกูหรือไง”

   “ไอ้เนย์!”

   “...”

   “ถ้ายังไม่เดินมา มึงได้เจ็บตัวกว่านี้แน่”

   “กูก็เจ็บอยู่แล้ว เจ็บอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป”

   ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ไอ้บูก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง นานเหมือนกันก่อนผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เดินกะโผลกกะเผลกไปยังโต๊ะกินข้าว แล้วจัดการทิ้งตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายโดยไม่คิดมองหน้าให้เสียความรู้สึก

   สำหรับผมแล้วความเจ็บที่เกาะกินจิตใจในวันก่อนยังชัดเจนไม่มีลืม ทว่าตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงด้วยซ้ำ โกรธแค้น เสียใจ อยากเอาคืน มันคืออะไรกันแน่

   “กูจะย้ายออก” ผมเอ่ยออกไปหลังได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากตัวเองแล้ว

   เหมือนชีวิตของเราทั้งคู่กำลังดำเนินไปภายใต้คำสั่งของแม่ ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แม่ไม่เคยรู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับไอ้บูรุนแรงเกินกว่าจะกลับมารักกันได้ มิตรภาพในวัยเด็กหายไปพร้อมกับวันเวลาที่เติบโตขึ้น ต่อให้ใจอยากกลับไปเป็นเด็กแค่ไหน ผมก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้อยู่ดี

   ไม่มีบูรพากับอาคเนย์ในวันนั้น ไม่มีการก้าวเท้าย่างเตาะแตะหากัน ไม่มีของเล่นที่แชร์กันอย่างสนุก ภาพของเราที่อาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมันไม่ได้เป็นหลักประกันที่ดีเลยว่าเราจะรักกันมากขึ้น

   “แม่มึงยอมหรือไง” คนตรงหน้าเอ่ยถาม พลางใช้ส้อมเขี่ยผักในจานไปมา

   “กูจะไม่บอกแม่ แต่จะย้ายออกไปเงียบๆ ทิ้งของบางอย่างเอาไว้ที่นี่และจะกลับมาครั้งคราวตอนที่แม่แวะมาเยี่ยม” สร้างสถานการณ์เหมือนว่ายังอยู่ด้วยกันทั้งที่ความจริงต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตมันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

   “เหอะ! รีบไสหัวไปก็ดี”

   “กูจะเริ่มขนของอาทิตย์หน้า ระหว่างอยู่ที่ห้องนี้ก็ต่างคนต่างอยู่”

   “มึงบอกตัวเองดีกว่ามั้ย อย่าแส่หาเรื่องกูให้มาก”

   “กูจะไม่ยุ่งอะไรกับมึงเลยแต่มีข้อยกเว้นอยู่อย่าง”

   “อะไร”

   “อย่าพาผู้หญิงมานอนที่ห้องตอนที่กูยังอยู่” เราต่างไม่ชอบให้ใครล้ำเส้น แต่กับเรื่องบางเรื่องอาจเป็นสิ่งที่ยินยอมไม่ได้ ผมไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาเจอผู้หญิงของมันในตอนเช้า หรือได้ยินเสียงครางลั่นห้องในตอนกลางดึก    

   “มึงยุ่งอะไรด้วยนี่ห้องกู กูจะทำอะไรก็ได้”

   “ตราบใดที่ยังไม่ย้าย กูก็มีสิทธิ์ในห้องนี้เหมือนกัน”

   “ใครบอกมึงวะ ไอ้หน้าด้าน”

   “กูบอก!”   

   “มึงเป็นแม่กูหรือไง ถ้าไม่ใช่ก็หุบปากซะ” จบประโยคนั้นไอ้บูก็ตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปากเพื่อเบี่ยงประเด็น มีเพียงผมที่ยังคงนิ่งเงียบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ลำพัง จนกระทั่งใบหน้าของมันเงยขึ้นมองพร้อมกับตวาดเสียงใส่

   “กินสิวะ หรือมึงจะให้กูจับยัดปาก”

   ผมก้มมองข้าวในจาน ท้องหิว แต่กลับไม่อยากกินขึ้นมาดื้อๆ ความคิดที่พันกันยุ่งเหยิงในหัวผลักความสงสัยที่มีมาตลอดหลายปีออกมา   

   “กูไม่เคยถามมึงเลย ทำไม...มึงถึงทำกับกูขนาดนี้วะ”

   ไอ้บูเงยหน้าสบตา ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

   “มึงน่าจะถามตัวเองมากกว่า เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพราะมึง”

   “มึงรู้ดีว่ามันคืออุบัติเหตุ” ทำไมผมถึงเป็นคนเดียวที่ถูกยัดเยียดความผิดทุกอย่าง ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจว่าคนที่เจ็บปวดมากที่สุดก็คือผม ไม่มีเลย

   “ไม่ใช่! มันเป็นเพราะมึง เป็นความผิดของมึง”

   “มึงก็ผิดด้วยเหมือนกัน”

   “ว่าไงนะ! มึงกล้าพูดได้ยังไงว่ากูผิด ทั้งหมดมันเริ่มต้นจากมึงไม่ใช่เหรอ รักกูมากสินะ”

   “...”

   “แต่กับกูอ่ะแม่งยิ่งรู้สึกขยะแขยงมึงฉิบหายเลยว่ะ โคตรสกปรก”

ตุบ! เพล้ง!!

ไม่ปล่อยให้คนที่ด่าฉอดๆ ได้ตั้งตัว มือผมคว้าจานข้าวขึ้นและเป็นวินาทีที่มันถูกปาออกไปใส่หน้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงของแข็งระหว่างหน้าผากกับจานเซรามิกกระทบกันอย่างแรง

ไอ้บูนิ่งงัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ มันใช้ปลายนิ้วแตะตรงหน้าผากซึ่งมีรอยเลือดสีแดงฉานไหลจากปากแผล ก่อนกัดฟันพูดทั้งที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเศษข้าว

“มึงกล้า...”

“ทำไมกูจะไม่กล้า กูทำได้มากกว่านี้อีก”

กายสูงถลาเข้ามาชกหน้าผมอย่างแรงเป็นการเอาคืน แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอม เลยจัดการซัดหมัดหนักๆ ตอบกลับไปเช่นกัน ผมไม่กลัวว่าข้าวของในห้องนี้จะเละเทะและพังพินาศแค่ไหน รู้อย่างเดียวคือต้องทำให้มันเจ็บเหมือนกับที่ผมเจอ

เสียงหมัดหนักๆ กระทบหน้าอย่างต่อเนื่อง ผมมึนงง ไอ้บูก็เหมือนกัน แต่แย่หน่อยที่มันแข็งแรงกว่า ประกอบกับข้อเท้าที่เจ็บก่อนหน้านั้นทำให้เรี่ยวแรงที่พยายามต่อต้านขัดขืนลดน้อยลง

มือหนากระชากผมออกมาจากเก้าอี้ เท้าข้างหนึ่งย่ำเขย่งไปบนพื้นนำพาเอาความเจ็บชาแล่นพล่านไปทั้งร่าง ขณะที่สติอันน้อยนิดนั้นไม่สามารถประมวลผลอะไรได้

รู้ตัวอีกทีร่างกายก็ลอยหวือก่อนจะกระแทกกับขอบอ่างล้างจานโดยไม่ทันตั้งตัว

   “อึก!” ผมตะเกียกตะกายสุดแรงเพื่อเอาชีวิตรอด

   ในช่วงที่เวลาหมุนผ่านไปเร็วในความคิด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างปุบปับ แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คือมือหนาของไอ้บูกำลังกดหัวของผมกระแทกลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างจานอยู่หลายครั้งหลายครา ซึ่งต่อให้พยายามใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองขึ้นมากแค่ไหนแต่มันก็เหมือนจะไร้ผลไปซะทุกครั้ง   

   ร่างกายเริ่มต่อต้าน ดิ้นทุรนทุรายเพราะเจ็บจนไม่เหลือเรี่ยวแรง เลือดแดงข้นไหลอาบหน้าแต่ดูเหมือนว่าคนที่ทำร้ายผมยังไม่สาแก่ใจสักที

   ตุบ! ตุบ!

    “แม่งเอ๊ย!” เสียงสบถดังลั่น

   ก่อนอาการดิ้นทุรนทุรายในช่วงแรกจะค่อยๆ สงบลง เปลือกตาสองข้างปิดสนิท ร่างกายช่วงบนชาดิกไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะพยุงตัว กระทั่งล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันทีที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ

   ผมสูดลมหายใจเข้าปอดถี่กระชั้นเพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไป ใบหน้าและลำคอเปียกโชกไปด้วยเลือด สองหูอื้ออึงพักใหญ่กว่าจะได้ยินเสียงคุ้นเคยออกคำสั่ง

   “ลืมตาขึ้น!”

   “...”

   “กูบอกให้มึงลืมตา” ผมไม่ได้ต่อต้านแต่กลับทำตามอย่างง่ายดาย พยายามอย่างมากที่จะเปิดเปลือกตาเหนียวหนืดขึ้นแม้พร่าเบลอแค่ไหนสุดท้ายก็ยังเห็นใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า

   “ทีนี้มึงยังจะเก่งกับกูอีกมั้ย”

   ได้ยินเท่านั้นผมกลับทำได้แค่มอง...   

   “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มึงมีโอกาสได้ทำร้ายกู”

   “...”

   “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอีกมึงก็ต้องเชื่อฟัง ก่อนย้ายออก กูจะอยู่กับมึงในห้องนี้โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ไม่ทำดีต่อกัน ไม่หึงหวง ไม่แสดงความรัก กูรู้ว่ามึงคิดยังไง...แต่บอกไว้ตรงนี้แล้วช่วยจำใส่สมองของตัวเองไว้ด้วย ไม่ต้องมารู้สึกกับกู!”

   ผมรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นเงียบๆ โดยไม่ส่งเสียงเล็ดลอดใดๆ ออกมา

   “พูดง่ายๆ คือชีวิตมึงกับกูไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เราอยู่คนละโลก กูไม่ยุ่งกับมึง ส่วนมึงก็อย่าเสือกเรื่องของกูให้มาก พูดแค่นี้หวังว่าจะเข้าใจ” จบประโยคนั้นร่างกายก็ถูกฝ่าเท้าถีบส่งเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะผละออก   

   ตอนที่ไอ้บูพูดคำว่าขยะแขยงหัวใจมันเจ็บไปหมด

   ยอมรับว่าทนฟังแทบไม่ได้ เลยเผลอหยิบจานขึ้นมาปาใส่หน้า รู้สึกเหมือนเป็นตัวอะไรไม่รู้ที่ไร้ค่าและมันโคตรทรมานทุกครั้งเวลาที่ได้นึกถึง

   ผมฝืนเปลือกตามองภาพตรงหน้าอย่างยากลำบาก เพดานสีขาวยังเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็น

   ไม่นานมันก็ถูกบดบังอีกครั้งจากน้ำใสๆ ที่เอ่อคลออยู่ตรงขอบ ผมไม่อยากร้องไห้หรืออ่อนแอแต่บางครั้งความรู้สึกที่ถูกกดเอาไว้ภายในมันก็เป็นสิ่งที่เกินควบคุม

   ทำได้เพียงแค่ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินปะปนไปกับหยดน้ำบนใบหน้า ถ้าให้ผมทำตามข้อตกลงก็คงไม่ใช่เรื่องยากเพราะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์มันไม่นานถึงขนาดฝืนทำไม่ได้

   จะไม่หึงหวง

   ไม่ทำดีต่อกัน

   ไม่แสดงความรัก   

   ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ

   ผมทำได้หมด ทว่ามีเพียงข้อเดียวที่ไม่สามารถทำได้ นั่นคือการไม่รู้สึกอะไร

   นี่คือความจริงที่ถูกกดเอาไว้และผมยังคงหลอกตัวเองตลอดเวลา ถึงทุกอย่างจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนในใจก็หนีมันไม่ได้อยู่ดี ครั้งหนึ่ง...ผมรักบูรพาหัวปักหัวปำ และต่อมาจากรักก็แปรเปลี่ยนเป็นเกลียด จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยได้ไง...

   ทุกอย่างที่เป็นเขา จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยเหรอ

   เขาที่รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา เวลายิ้มทีไรก็ทำให้โลกทั้งใบสดใสไปหมด

   เขาที่เคยสนิทสนมเมื่อตอนยังเล็ก เล่นด้วยกัน คุยด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกันไปจนถึงเช้า

   เขาที่มักยื่นกล่องของขวัญมาให้พร้อมกับร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ด้วยกันในวันเทศกาล

   เขาที่คอยเดินเคียงข้าง จับมือไปด้วยกันไม่ว่าวันนั้นเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ก็ตาม

   เขาที่ฝันว่าอยากเรียนหมอและตั้งใจจะสอบให้ได้ ผมเลยต้องตามมาเรียนด้วยทั้งที่ไม่รักเอาเสียเลย

   เขาที่ทำให้เข้าใจว่ารักคืออะไร และทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเรียนรู้มันไปนานๆ

   แต่ตอนที่เขามีแฟนคนแรก กลับไม่เคยรับรู้เลยว่ายังมีใครอีกคนกำลังยืนร้องไห้อยู่เพียงลำพัง

   พอแฟนคนแรกเลิกรากันไป เขาก็มีความรักเบ่งบานในหัวใจกับใครอีกหลายคน

   พยายามแล้ว ห้ามแล้ว แต่เลิกสนใจไม่ได้

   อยากเป็นที่รักเหมือนคนอื่นแต่กลับทำได้แค่จินตนาการ

   ผมเป็นทุกอย่างให้เขาได้ ฝืนทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้ขยับเข้าใกล้ขึ้นอีกนิด ทว่าความจริงแล้วมันก็แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของคนเพียงคนเดียว

   เสียดายเหลือเกิน ในช่วงเวลาตั้งแต่เกิดยันโตเรามีกันและกันมาตลอด แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาเองก็ด้วย มีเพียงผมที่เหมือนเดิมคือยัง ‘รู้สึก’

   ถึงใครคนนั้น...

   เคยคิดถึงความทรงจำดีๆ ของเราสักเสี้ยวหนึ่งมั้ย


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 24-08-2018 22:28:54
เวอชั่นแรกว่าหน่วงบาดจิตล่ะนะ มารอบนี้ใจมันจะขาดให้ได้เลย เอาเลยคะเจ้ จะดร่าม่าลากเลือดยังไงก้อได้นะคะ แต่ตอนจบขอให้เหมือนเวอชั่นแรกนะเจ้นะ น้องกราบล่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 24-08-2018 22:42:02
เราสับสนกับเหตุการณ์ในพิษรักถ้าเนย์ขับรถชนแฟนบูจนเสียชีวิตและเป็นสาเหตุให้บูทำร้ายเนย์แบบนั้นมันจะไม่แปลกถ้าบูจะคิดว่าเนย์อิจฉาเลยขับรถชนแฟนบู โดยส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบสิ่งที่เนย์ทำในวันนี้เลยมันทำให้เราคิดว่าเนย์ต้องการแก้แค้นหรือต้องการเรียกร้องความสนใจกันแน่
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 24-08-2018 23:08:55
เรายังทีมเนย์เหมือนเดิมนะรอวันทีีเนย์จะเอาคืนอีกต่อให้เนย์จะเป็นคนผิดก็ตามสู้ๆนะน้องรัก Ambulance ICU ยังรอน้องอยู่พี่จะคอยขับรถส่งน้องเอง เรามาสายลากเลือดแล้วต้องเอาให้สุดแล้วหยุดที่ ICU นังบูจะแรงเยอะแค่ไหนเชียว :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-08-2018 23:42:11
น้ำตาตกใน ใครจะหนักกว่ากัน
คือต้องเจ็บช้ำกันขนาดไหน ถึงยังไม่เลิกรา
ชัดเจนแล้วว่าไม่รักแล้ว อดีตเป็นความฝันไปแล้ว

บูก็ฝังใจ เนย์ก็เจ็บหนัก ค่ะ ใช้ชีวิตตอนนี้ซะให้คุ้มนะ
ออกแรงกันบ่อยเหลือเกิน กว่าจะรอดไปถึงตอนรักกันได้
คือต้องเป็นมวยถึงขั้นไหนนะ

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-08-2018 02:40:19
โหดทั้งคู่เลย :ruready
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-08-2018 03:46:25
อะไรจะโหดปานนั้น  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 25-08-2018 13:25:44
นี่เริ่มเกลียดความสมิงปลาทองของตัวเองแล้วที่ดันจำเรื่องตอนเป็นพิษรักไม่ได้เลย พอมาอ่านอาคเนย์มันก็เลยมีความอยากรู้หน่อยๆว่าอะไรทำให้ทั้งคู่ต้องเดินมาถึงจุดนี้ได้แต่คิดว่าอาคเนย์น่าจะสาหัสกว่าพิษรักไปโขเลยนะเราดูเอาจากการกระทำของทั้งคู่อะโดยเฉพาะบูรพาที่เล่นงานเนย์หนักมากแบบเนย์ทำแบบไหนกับบูๆก็จะเอาคืนหนักกว่า กว่าจะรู้เรื่องกว่าจะรักกันใหม่เนย์คงบอบช้ำและแตกสลายไปแล้ว นี่คงเป็นเรื่องแรกที่้ราจะถามว่าต้องให้เสียเลือดกันไปอีกสักเท่าไหร่ถึงจะพอ สงสารร
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-08-2018 15:04:59
#ทีมเนย์ค่ะ หวังว่าเนย์จะทนได้จนถึงที่สุดนะคะ เกลียดบูจัง เกลียดทุกอย่างที่เป็นบูเลยตอนนี้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 25-08-2018 15:20:31
โอ้โห ใจคนอ่านแบบปวดร้าวมากค่ะ
คือเราไม่ได้เคยอ่านเวอร์ชั่นที่แล้วมาก่อนตอนนี้ยังงงๆกับเหตุการณ์ต่างๆว่าสองคนนี้มีความหลังอะไรยังไงมากน้อยขนาดไหนถึงทำร้ายกันและกันจนาดนี้ แต่จะรอติดตามนะคะว่าสุดท้ายแล้วยังลงเอยยังไง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: awfsp ที่ 25-08-2018 18:34:28
จะเจ็บอย่างนี้อีกนานนนไหมมม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-08-2018 19:27:24
ฮือออออ แค่ตอนที่สองแต่ใจจะพังแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 25-08-2018 20:27:28
หน่วงใจมาก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: P.S. ที่ 26-08-2018 14:02:48
ไม่รู้จะอธิบายยังไง เจ็บปวด  :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 26-08-2018 16:08:32
ไม่ได้อ่านเวอร์ชั่นเก่า แต่เวอร์ชั่นนี้ลงมาได้2ตอนคุณจิตติทำใจเราพังมาก ฮือออ สงสารรรรร
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: rotedump ที่ 27-08-2018 01:44:26
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 27-08-2018 07:50:17
จิตติทำร้ายยจิตใจดวงน้อยๆๆๆๆๆๆ นี่อ่านคำโปรนแล้ว เราไม่เชื่อเองงเราจะรับดราม่าให้ไวสงสารรรรร. สงสารรพระนาย
แต่ตอนนี้สงสารตัวเอง55555. มันดูรุนแรงและเจบปวดไแหมดในทุกๆๆการกระทำเลยเนาะ กดดันนนนนน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueHoney ที่ 28-08-2018 14:55:11
 :serius2: :serius2: #ขอบคุณมากค่ะ ติดตาม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: meeyeon ที่ 28-08-2018 20:36:54
ชอบหน่วงๆ เอาให้สุด

ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 18-09-2018 17:22:08
อ้าาาาา รอตอน3เลย มาไวๆน้าา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: rotedump ที่ 06-10-2018 02:13:16
รออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: จอมจุ้น6002 ที่ 14-10-2018 22:34:14
ชอบกลับมาอ่านนิยายจิตติช่วงอารมณ์สีเทา มันช่วยเยียวยาเราได้มากนะ อย่างน้อยบูรพากับอาคเนย์ก้อเจออะไรที่หนักหน่วงกว่าเราเยอะ เป็นกำลังใจให้ฉบับรีไรท์นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-10-2018 17:03:04
ชอบความหน่วงแบบนี้ เอาให้สุดๆไปเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: littlemagiz ที่ 28-10-2018 14:22:28
คิดถึงจังงงงง รอนะคะกำลังเข้มข้นนนน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Byunpcy ที่ 29-10-2018 18:43:20
รอนะค้าา สงสารอาคเนย์มากกกกฮืออ :o12: :z3:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Cutebangg ที่ 05-11-2018 17:36:45
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: oakman ที่ 21-11-2018 21:54:12
รอๆๆๆๆ คอยรอกั้งโกบพ่อว่อ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mukterrytake ที่ 01-12-2018 23:17:46
อ่านต่อได้ที่ไหน ชอบมาก กร้าวใจที่สุด มีส่งไฟล์ไหม อยากอ่านให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-12-2018 13:30:07
เห้อออ!!.....จุกๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mukterrytake ที่ 08-12-2018 21:48:41
 :mew2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: cin ที่ 09-12-2018 00:15:31
รออยู่นะค๊า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-12-2018 07:23:56
เมื่อไหร่จะมาอีกน้าาา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mukterrytake ที่ 17-12-2018 22:26:47
 :katai5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 02-01-2019 20:24:26
ตอนที่อ่านพิษรักมีประโยคหนึ่งที่จำติดใจ ไม่ใช่ประโยคที่พระเอกนายเอกเขาพูดกันแต่เป็นคำพูดของแม่ๆ
"บูรพาอาคเนย์ รักกันๆ" นึกถึงทีไรก็มีน้ำตา ความจริงประโยคนี้มันสื่อถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของบูกับเนย์มากๆสำหรับเราค่ะ
ใจอยากรอให้จบก่อนละซื้อเล่มรวดเดียวจะได้มีตอนพิเศษเยียวยาอะไรงี้ แต่นี่ไม่ไหวแล้ววววว 55555 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mukterrytake ที่ 05-01-2019 20:06:40
ตอนที่อ่านพิษรักมีประโยคหนึ่งที่จำติดใจ ไม่ใช่ประโยคที่พระเอกนายเอกเขาพูดกันแต่เป็นคำพูดของแม่ๆ
"บูรพาอาคเนย์ รักกันๆ" นึกถึงทีไรก็มีน้ำตา ความจริงประโยคนี้มันสื่อถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของบูกับเนย์มากๆสำหรับเราค่ะ
ใจอยากรอให้จบก่อนละซื้อเล่มรวดเดียวจะได้มีตอนพิเศษเยียวยาอะไรงี้ แต่นี่ไม่ไหวแล้ววววว 55555 :katai1: :katai1: :katai1:

อือออออ อยากอ่านนนนนน   :ling1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mukterrytake ที่ 02-02-2019 14:07:22
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: LAMTHAN ที่ 02-02-2019 20:38:41
รอนะเนย์ คิดถึงมาก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่2 [24/08/61] *หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 05-02-2019 15:30:18
รอออออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 05-02-2019 20:34:38

CHAPTER 3
AGAIN AND AGAIN



การเรียกร้องในสิ่งที่ยังไม่มั่นใจว่าเราสมควรได้
คือการฆ่าตัวตายด้วยวิธีการอ้อมๆ ที่เจ็บที่สุด



   “ไงมึง โทรไปก็ไม่รับ”

   “มีเรื่องนิดหน่อย”

   “เลยไม่มาเรียนว่างั้น แล้วนี่หัวกับตีนมึงไปโดนอะไรมาวะ”

   ไอ้อั๋นถามด้วยความสงสัย เราไม่ได้เจอกันมาสามวันหลังผ่านพ้นสุดสัปดาห์ที่โคตรวุ่นวายไป แถมภาพที่ผมมาเจอมันยังเป็นการเดินกะเผลกเข้ามาพร้อมกับแผลบนหัวอีกต่างหาก

   “หกล้ม” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น

   “หกล้มแล้วเป็นขนาดนี้เลยเหรอ อย่ามาตอแหลน่า”

   “ก็ล้มตกบันได หมุนตลบหลายรอบจนลงไปนอนกองกับพื้นไง มึงสงสัยอะไรอีกมั้ย”

   “เออสัด ที่ถามเพราะเป็นห่วงหรอก”

   “กูตายยากแค่ไหนมึงก็รู้”

   ไอ้อั๋นยุติประเด็น ส่วนผมก็ไม่ได้อยากจะย้อนความหลังของบาดแผลบริเวณข้อเท้ากับหน้าผากนัก เพราะมันไม่ได้เจ็บแค่ตัว แต่ความรู้สึกเสียใจและเอาคืนมาไม่ได้มันก็ปลิดปลิวไปพร้อมกันด้วย

   “ได้เก็บชีทให้กูมั้ย” ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวกลับมาโฟกัสถึงเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง

   “อาจารย์อัปโหลดไฟล์ลง Google Drive แล้ว เข้าไปดูในกลุ่มได้เลย”

   “ขอบใจมาก”

   “ตั้งใจเรียนหน่อยนะ เห็นช่วงนี้มึงขาดเรียนบ่อย กลัวว่าจะไม่จบปีเอา” คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงคร่ำเครียด ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

   “เออน่ะ”

   “ไอ้บูก็ไม่ค่อยมาเรียนเหมือนกัน ถามจริงๆ นะ ช่วงนี้พวกมึงมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”

   “เปล่านี่” ผมไม่ได้บอกใครว่าได้ย้ายเข้าไปอยู่ห้องเดียวกับไอ้บู กะว่าตอนย้ายออกไปอยู่หอใหม่เมื่อไหร่ค่อยพูดเรื่องนี้อีกที   

   “ดีแล้ว เดี๋ยวเรียนจบไปก็คงไม่ค่อยได้เจอกันอีก ยังไงก็อดทนหน่อยแล้วกัน” เพื่อนตัวดียังคงพูดไม่หยุด

   มันคงเบื่อแล้วมั้งที่ต้องเห็นอาการบอบช้ำทางร่างกายของผมไม่ก็ไอ้บูอยู่บ่อยๆ

   “กูไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหนนี่สิ”

   “นี่สรุปมึงไปมีเรื่องกันมาจริงๆ ใช่มั้ย”

   “เปล่า แค่พูดลอยๆ”

   “เนย์ มีอะไรบอกกูได้ ถึงช่วยไม่ได้ก็อยากรับฟัง”

   “เชื่อเถอะว่ามึงคงไม่อยากฟังหรอก” กลัวภาพที่มันมองผมจะเปลี่ยนไป

   “จริงๆ กูมีเรื่องนึงจะถามมาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่กล้าสักที”

   “มีอะไร” ที่ผ่านมาเราคุยแต่เรื่องไร้สาระกันมาตลอด เพิ่งจะเห็นว่าไอ้อั๋นแม่งก็ซีเรียสกับเขาเป็นด้วย

   “ช่วงนี้เหมือนมีข่าวลือในคณะเรื่องของมึงกับไอ้บู” อีกฝ่ายหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับผม “เขาบอกว่ามึงสองคนเคยรักกัน”

   ทุกอย่างรอบตัวของผมคล้ายหยุดนิ่ง เนิ่นนาน....

   จนผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรตอบคำถามนี้ออกไปยังไงดี

   “รักแบบไหนล่ะ ถ้าแบบเพื่อนก็คงใช่มั้ง”

   “เปล่า กูหมายถึงแบบ...แฟนน่ะ”

   “ไม่” ผมยิ้ม

   “จริงดิ”

   “เราแค่เคยเป็นเพื่อนกันเฉยๆ”

   “อือดีแล้ว กูก็ว่าอยู่ข่าวลือจะเชื่ออะไรได้วะ”

   “รีบเข้าเรียนเถอะว่ะ เดี๋ยวโดนอาจารย์เช็กขาดอีกจะยุ่ง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะลุกขึ้นโยนแฟ้มบนโต๊ะใส่มือของคนตรงหน้าพร้อมกับก้าวฉับๆ ออกไป

   ประเด็นนี้ไม่เคยถูกพูดถึงในคณะมาก่อน เพื่อนเก่าสมัยมัธยมก็ไม่เคยปริปาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อยู่สองทาง นั่นคือเป็นเรื่องจากปากของบูรพาเอง หรือไม่ก็เป็นเหตุการณ์ในร้านเหล้าคืนนั้น คืนที่ความลับหลายอย่างของผมไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป

   และใช่! ข่าวลือที่ว่านั้นผิดทั้งหมด เพราะบูรพาไม่เคยมองอาคเนย์ในเชิงคู่รัก

   มีแต่ผมเท่านั้นที่เคยรักมันอยู่ฝ่ายเดียว...













   ผมรู้สึกว่าชีวิตที่มีสีสันของตัวเองลดน้อยลงเรื่อยๆ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ห้องของไอ้บู

   จากที่หลังเลิกเรียนเสร็จจะต้องพาตัวเองกลับห้อง หรือดึกๆ หน่อยค่อยออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หอพักที่ติดต่อขอเช่ายังเข้าพักไม่ได้จนกว่าจะจัดการเรื่องสัญญาและการจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าเสร็จ ด้วยไม่รู้จะไปที่ไหนก็เลยยอมนั่งรถนานหน่อยเพื่อกลับบ้านที่อยู่ในเขตปริมณฑลแทน

   แม้ผมต้องหาข้ออ้างเรื่องบาดแผลที่ได้รับมาให้แม่เข้าใจอยู่นาน ทว่าทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีเพราะเจ้าตัวไม่ได้ติดใจจะซักไซ้อะไรเพิ่มเติม

   วันนี้ที่บ้านเรายุ่งนิดหน่อยตรงที่แม่กำลังจะไปทัวร์ต่างประเทศกับเพื่อนๆ ข้าวของและเสื้อผ้าบางส่วนเลยถูกจัดใส่กระเป๋าเอาไว้อย่างเรียบร้อย แถมยังมีเวลาได้รื้อค้นเอาของเก่าๆ ออกมาทิ้งเพื่อจัดระเบียบบ้านไปในตัว

   “ลูกอยากได้ของฝากอะไรมั้ย” แม่ถามขึ้นมาลอยๆ ขณะสองมือกำลังคัดแยกเสื้อผ้าบางส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้ใส่กล่องเตรียมบริจาค

   “ผมไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แล้วแต่แม่จะซื้อให้แล้วกัน”

   “แม่สัญญาว่าทริปนี้จะประหยัดเงินให้มากที่สุด”

   “ไม่ต้องหรอกครับ แม่ไม่ได้เที่ยวมานานเท่าไหร่แล้ว อยากได้อะไร อยากกินอะไรก็ซื้อเถอะ” ที่ผ่านมาเราเหนื่อยกันมามาก ควรถึงเวลาที่แม่จะได้พักผ่อนเหมือนคนอื่นสักที

   “ลูกอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”

   “โธ่...ผมไม่ใช่เด็กเหมือนแต่ก่อนนะ” ปากว่าแต่มือก็ยังคงช่วยเก็บโน่นนี่ใส่ตู้ไปด้วย กระทั่งมาถึงตู้สุดท้ายที่เราไม่ได้เปิดมานาน “แม่...”

   “หืม”

   “เสื้อผ้าที่พ่อทิ้งไว้เราจะทำยังไงดี” แม่หันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนตอบเสียงแผ่ว

   “เดี๋ยววานลูกหยิบออกมาจัดใส่กล่องแล้วกัน ตัวไหนยังดีอยู่ก็บริจาค ส่วนตัวไหนเก่ามากแล้วก็ทิ้ง”

   “ไม่ส่งกลับไปให้เขาเหรอครับ”

   “มันเป็นเสื้อแบบเดิมน่ะ” คำว่า ‘เดิม’ พุ่งใส่อกผมอย่างจัง “ตอนนี้เขาไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้แล้ว”

   ตอนไป พ่อเก็บข้าวของบางส่วนไปด้วยเกือบหมด แต่ก็ยังมีหลงเหลือเอาไว้ให้ดูต่างหน้าคล้ายกับบอกเป็นนัยๆ ว่าสักวันพ่ออาจจะกลับมา ทว่าเมื่อได้คำตอบจากแม่แล้วในใจของผมก็มีเพียงความสิ้นหวัง

   ลืมไปซะสนิทว่าเสื้อผ้าพวกนี้พ่อคงไม่ใส่แล้ว เสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่มีกระเป๋าหน้าอกข้างซ้ายเป็นเพียงภาพจำของเขาที่ผมมีในวัยเด็ก กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปนาน พ่อเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเพราะเขาไม่ได้แต่งตัวแบบนี้อีก

   บางอย่างก็มีเพียงอดีตจริงๆ ที่หลงเหลือให้คิดถึง

   “ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” แม่ถาม ดึงผมออกจากภวังค์อย่างรวดเร็ว

   “ไม่มีอะไรครับ แค่กำลังคิดว่าเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนไปหมด”

   “แม่ยังอยู่ที่เดิมไง”

   “จริงด้วย” แค่ไม่สุขเหมือนเดิม แต่ชีวิตก็ต้องอยู่ อยู่ให้ได้โดยไม่มีเขา

   “นี่ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน มาช่วยแม่เก็บของแบบนี้บอกบูแล้วใช่มั้ย” มือที่กำลังจัดเสื้ออยู่ชะงักค้าง

   “ทำไมผมต้องบอกด้วย”

   “พรุ่งนี้มีเรียน ถ้าลูกไม่กลับห้องกลัวเพื่อนจะเป็นห่วงเอา”

   “มันไม่ห่วงผมหรอก”

   “ดูพูดเข้า จัดของเสร็จแล้วโทรหาบูด้วยนะ”

   “...”

   “เนย์”

   “ครับ เดี๋ยวผมโทร”

   “ไหนๆ ก็พูดถึงบูแล้ว ตอนที่เก็บของแม่เจอนี่ด้วย” ร่างบางของคนอายุมากกว่าชันตัวขึ้น เดินไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่ตรงโต๊ะ ก่อนจะนำกลับมายื่นให้ผมด้วยรอยยิ้ม

   “ลูกกับบูตอนอายุห้าขวบ กำลังน่ารักน่าชังเลย” ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้อีกครั้ง มันนานมากแล้ว นานจนลืมไปซะสนิทว่าเคยมีรูปพวกนี้อยู่ เราสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มจนรู้สึกใจหายเมื่อในวันนี้ทุกอย่างไม่อะไรเหมือนเดิมอีก

   “ผมเกือบลืมไปหมดแล้ว”

   “ลูกยังเด็กจำไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลก แต่วันนั้นเด็กชายบูรพากับอาคเนย์หัวเราะเสียงดังมากเลย เป็นวันที่มีความสุขจริงๆ”

   “เหรอครับ”

   “อืม อีกอย่างลูกเอาแต่เรียกชื่อบูไม่หยุด เรียกบ่อยว่าคำว่าแม่อีกแน่ะ”

   “ผมเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “มันอาจเป็นความผูกพันตั้งแต่แรก ลูกเกิดไล่เลี่ยกัน วิ่งเล่นด้วยกัน เข้าโรงเรียนอนุบาลพร้อมกัน พอโตหน่อยก็เข้าเรียนมัธยมและมหา’ลัยที่เดียวกันอีก จนแม่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันไหนลูกไม่ได้อยู่ด้วยกันมันจะเป็นยังไง”

   “แม่ดีใจเหรอที่ผมอยู่กับบู”

   “ดีใจสิ ลูกเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอ”

   “ครับ”

   “แล้วตอนที่อยู่กับบูลูกยังมีความสุขเหมือนตอนเป็นเด็กอยู่มั้ย”

   ผมยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบ...

   เรายังคงนั่งคัดแยกเสื้อผ้าอย่างเงียบเชียบ นานเหมือนกันกว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยและพร้อมขนย้ายเสื้อผ้าบางส่วนที่ต้องนำไปบริจาคลงไปด้านล่าง

   แม่เป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน ส่วนผมหอบกล่องกระดาษลังเดินตามลงไป แผ่นหลังแสนโดดเดี่ยวที่เห็นมันทำให้ผมอยากร้องไห้ เห็นแม่เป็นแบบนี้ผมก็ไม่อยากให้ท่านต้องทุกข์ใจกับอะไรอีกแล้ว

   บางที การเก็บความลับบางอย่างเอาไว้ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเหมือนกัน

   “แม่”

   “ว่าไงเนย์”

   “ที่แม่เคยถาม ความจริงแล้วตอนอยู่กับบู...”

   “...”

   “ผมมีความสุขมากครับ” 

   เพราะความสุขของผมคือการที่ได้เห็นแม่ยังคงเป็นคนเดิม ผู้หญิง...ที่มีความสุขที่สุดในโลก

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 05-02-2019 20:35:04


   ผมต้องตื่นแต่เช้านั่งรถจากบ้านไปมหา’ลัย ดีหน่อยที่วันนี้ตารางเรียนไม่ค่อยแน่นเลยมีเวลานั่งรถกลับมาที่บ้านในช่วงบ่ายแก่เพื่อช่วยแม่จัดแจงกระเป๋าเดินทางและเอกสารก่อนขึ้นเครื่อง ทริปนี้แม่ณิก็ไปด้วยดังนั้นผมเลยไม่ค่อยกังวลมากนัก ยังไงเจ็ดวันที่ไต้หวันของแม่ก็ต้องสนุกแน่นอน

   “แม่เอาขนมปังติดกระเป๋าไปด้วยสิ” ผมเอ่ยเตือน

   “ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวไปกินบนเครื่องได้”

   “ถ้าถึงแล้วก็โทรมาบอกนะครับ”

   “จ้า”

   “แม่อย่าลืมเปิดโรมมิ่งตอนใช้งานด้วยนะ”

   “รู้แล้วๆ”

   “ให้ผมนั่งรถไปสนามบินเป็นเพื่อนมั้ย”

   “นี่ใครเป็นแม่ลูกกันแน่เนี่ย ไม่ต้องห่วงนะ นั่นไงแม่ณิมาแล้ว” ผมช่วยขนกระเป๋าทุกใบใส่หลังแท็กซี่ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้เวลาต้องจากกันชั่วคราว

   “อย่าลืมโทรหาผมนะ”

   “โอเคจ้า”

   “นี่ถ้าผมขับรถให้แม่ได้ก็คงดี” ทั้งที่เมื่อก่อนเคยทำอย่างนั้น แต่วันนี้กลับทำไม่ได้ เจ็บปวดเหลือเกิน

   “ไม่เห็นเป็นไรเลยไม่ต้องกังวลหรอก แม่ไปก่อนนะ อาทิตย์หน้าเจอกัน” ผมโบกมือให้ มองดูคนทั้งคู่แทรกตัวเข้าไปในรถก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปไกลจนลับสายตา ตอนนั้นเองถึงได้มีเวลาก้มมองกุญแจสำรองของบ้านในมืออีกครั้ง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเหงากว่าเดิม

   ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าอีกสี่วันที่เหลือจะไม่โผล่หัวไปที่ห้องของไอ้บูอีกนอกจากวันขนย้าย เพราะไม่อยากมีปัญหาจนลุกลามถึงขั้นใช้กำลังเหมือนทุกครั้ง ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีจนกระทั่งเข้าสู่วันที่สาม...

   มีเหตุจำเป็นให้ต้องกลับไปยังคอนโดของมันเนื่องจากเผลอลืมเล่มรายงานเอาไว้ ซึ่งมันก็ดึกมากจนผมขี้เกียจเรียกแท็กซี่กลับเลยกะนอนที่คอนโดของไอ้บู เพื่อที่อีกวันจะได้เก็บของแล้วย้ายออกทันที

   ไม่คิดเลยว่าพอกลับมาแล้วเจ้าของห้องจะไม่อยู่

   ดึกดื่นป่านนี้มึงไปอยู่ไหนวะ

   แกรก!!

   แล้วก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่ความสงสัยทั้งหมดได้รับคำตอบ ผมหันขวับไปยังประตู ภาพที่เห็นคือร่างสูงกำลังตระกองกอดผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้อง เนื้อตัวและเสื้อผ้าคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ นั่นเลยทำให้พอรู้ว่าก่อนหน้านั้นบูรพาไปที่ไหนมา

ที่จริงก็เห็นภาพนี้บ่อยจนชินตาแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงยังรู้สึกเจ็บอยู่

“กลับมาทำไม”

คำถามแรกจู่โจมเข้ามาทันทีที่เห็นผมนั่งอยู่ตรงโซฟาภายในห้อง

“ห้องนี้ก็เป็นของกูเหมือนกัน กูจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้”

“หน้าด้านดีว่ะ”

“ที่ผ่านมากูทำตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ทุกอย่าง แล้วมึงล่ะทำตามบ้างหรือเปล่า”

“พล่ามอะไรมากมายวะ เป็นแม่กูเหรอ”

“กูเคยบอกว่าอย่าพาผู้หญิงมานอนที่ห้อง มึงฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง” เสียงที่เอ่ยออกไปเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนไอ้บูก็ได้แต่มองมาด้วยสายตาฉุนเฉียว หากแต่ริมฝีปากกลับกระตุกยิ้มราวกับสะใจกับปฏิกิริยาของผม

“แล้วจำข้อตกลงไม่ได้หรือไงว่ามึงไม่มีสิทธิ์มาเสือกเรื่องของกู” พูดจบก็รีบพาร่างบางตรงไปยังห้องนอนแต่ผมไวกว่านั้นตรงที่วิ่งมาขวางคนทั้งคู่ไว้

“มึงอยากเอากับผู้หญิงก็ไปเอากันที่อื่น”

อีกแค่วันเดียวเอง

“แล้วทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอกด้วยวะ คนที่ควรไปคือมึงต่างหาก” มันผลักผมออก และดูเหมือนว่าอารมณ์ของผมในตอนนี้จะไม่คงที่นัก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงความคุมมันไม่ได้ เลยรีบกระชากแขนคนตรงหน้าพร้อมกับรั้งไม่ให้คนทั้งคู่เดินไปยังเตียง

“มึงจะไปเอากันที่ไหนก็ได้ โรงแรม ม่านรูด แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!”

ที่ที่มีกู…

อยากร้องไห้ ปล่อยโฮออกมาจนสุดแต่ก็ทำไม่ได้

“บู สรุปจะเอายังไง” ผู้หญิงคนนั้นถาม ไอ้บูเลยตอบทันที

“ไปรอที่ห้องนอนก่อน”

“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น กลับไปเลยเธอน่ะ” ผมตวาดลั่น ตอนนั้นแหละมั้งที่สายตาของบูรพาเปลี่ยนไป

เพียะ!

สมองของผมประมวลเหตุการณ์แทบไม่ทันเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกทีใบหน้าก็ชาไปทั้งซีก พร้อมกับเส้นผมบนหัวที่ถูกดึงอย่างแรงด้วยฝีมือของอีกฝ่ายจนมึนงงไม่เหลือสติ

“งั้นกลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหา”

“แต่...”

“บอกให้กลับไปก่อนไง!!”

เสียงเหี้ยมเกรียมพูดแค่สั้นๆ ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดและปิดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงผมกับไอ้บูเท่านั้นที่กำลังเล่นสงครามประสาทกันอยู่

“ปล่อยกู!” ผมกัดฟันบอกขณะความเจ็บแผ่นซ่านไปทั่วหัว

“อยากอยู่กับกูนักไม่ใช่หรือไง จะเรียกร้องให้กูปล่อยทำไมวะ”

“กูแค่ให้มึงไปเอากันที่อื่น มันยากนักหรือไง โอ๊ยยยยยยยย!”

พูดไม่ทันจบประโยคร่างสูงก็ลากผมที่ร้องโอดครวญไม่หยุดเข้าไปในห้อง ทั้งที่เท้าข้างหนึ่งยังเดินกะเผลกจนแทบล้มลงกับพื้น

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าถ้ากูพาใครมาที่ห้องมันหมายความว่ายังไง”

“ปล่อย”

“มึงไม่ให้กูไปเอาคนอื่นงั้นกูก็เอามึงแทนได้สินะ”

จู่ๆ ร่างกายพลันสั่นเทาขึ้นมาดื้อๆ ความกลัวที่อยู่เบื้องลึกถูกผลักออกจนสุดท้ายผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่นึกฝืน กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งอยู่ใกล้จมูกเป็นสัญญาณเตือนว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา

ไอ้บูไม่เหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะทะเลาะกันหนักหนาแค่ไหนมันก็จะไม่ทำเลวร้ายอย่างที่กลัว ทว่าวันนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไปอันเนื่องมาจากความเมาผสมความแค้น

“ฮึก ปล่อยกูไอ้สัด”

“ที่ไม่อยากให้กูพาใครมานอนด้วย ไม่ใช่เพราะมึงหวงกูเหรอ”

“ไม่ใช่”

“เป็นมึงไม่ใช่หรือไงที่อยากนอนให้กูเอามาตลอด”

“อะ...ไอ้บูปล่อยกู”

ร่างกายถูกโยนกระแทกลงกับฟูกอย่างแรงจนรู้สึกสั่นสะท้าน ม่านสายตาปรากฏภาพของคนตัวสูงที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาอย่างอุกอาจ ความกลัวนั้นผลักดันให้ผมตะเกียกตะกายลงจากเตียงอย่างไม่คิดชีวิต

“มึงจะไปไหน” แต่ไปไม่ได้ไกลก็ถูกมือหนาลากคอเสื้อกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง

“อึก”

“คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปเหรอ”

“ไอ้บูมึงจะทำอะไร มึงอย่าทำกูเลยนะ” ผมขยับตัวหนีตามสัญชาตญาณ รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“กูเตือนมึงแล้ว ครั้งแรกไม่ฟังกูให้อภัย ครั้งที่สองกูยังใจดี แต่ครั้งนี้มึงชักจะก้าวล้ำชีวิตกูมากเกินไปแล้ว!”

“แต่เรา...ตกลงกันแล้ว”

“กูไปตกลงกับมึงตอนไหน ห้องก็ห้องกู เงินกู ของกู มึงมีสิทธิ์อะไรในของพวกนี้บ้างกูถามหน่อย”

“ฮึก!”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูแม่งเกลียดมึงฉิบหาย เมื่อไหร่มึงจะตายไปจากชีวิตกูสักทีวะ” สิ้นสุดคำพูดนั้นร่างสูงก็ขยับตัวขึ้นมานั่งคร่อมช่วงเอวของผมจนยากเกินจะขยับ สองแขนแม้พยายามปัดป่ายแต่กำลังก็ยังสู้คนที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าไม่ได้ ที่สำคัญคือเท้าของผมตอนนี้ยังคงรู้สึกเจ็บชาอยู่เลยออกแรงได้ไม่มากเท่าที่ควร

“ปล่อยกูไอ้บู ปล่อย ฮึก...” ผมขอร้องปนเสียงสะอื้น ดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดความสามารถ สุดท้ายก็โดนตบอีกหน เลยได้แต่ร้องครวญเสียงผะแผ่วด้วยความเจ็บปวด

ภาพในอดีตที่พยายามลืมมาตลอดฉายชัดเข้ามาในหัวจนร่างกายสั่นหงัก



‘อย่าทำอะไรกูเลย ให้กูกราบตีนมึงก็ได้’



ประโยคขอร้องในอดีตซ้อนทับเข้ามาราวกับฝันร้าย ในวันนั้นไอ้บูตั้งใจจะข่มขืนผมแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เพื่อแลกกับศักดิ์ศรีที่มีผมยอมคุกเข่าลง ก้มกราบมันอย่างอับจนหนทาง พร้อมกับทุกอย่างที่ได้พังทลายลงในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ รวมถึงมิตรภาพของคำว่าเพื่อน

ไม่หลงเหลือสักอย่าง...

ผมแค่อยากเป็นอาคเนย์ที่ยิ้มและหัวเราะได้เหมือนเก่า คิดถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก วิ่งเล่นในสนามหญ้า กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องกังวลกับฝันร้ายในทุกคืนซึ่งความคิดเหล่านี้ผมคงขอมากเกินไปเพราะมันไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว

“ร้องไห้เหรอ”

“อย่า...ฮึก...กูยอมหมดเลย มะ...มึงจะพาใครมาก็ได้ ขอแค่อย่าทำร้ายกู” ไม่รู้ว่าสีหน้าที่แสดงออกตอนนี้ซีดเผือดขนาดไหน รู้แค่ว่ากลัวจับใจไม่ต่างจากเหตุการณ์ในอดีต

“มึงเอาแต่คิดว่าที่ผ่านมากูทำร้ายมึง แล้วเคยกลับมาขอโทษในสิ่งที่มึงทำกับกูบ้างมั้ย” น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความกรุ่นโกรธเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นผะแผ่ว ดวงตาแข็งกร้าวซึ่งจ้องมองในคราแรกเองก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง รับรู้ได้ถึงความอ่อนไหวและกลิ่นของแอลกอฮอล์คละคลุ้งเต็มจมูก

ผมไม่รู้ว่าควรตอบกลับแบบไหนนอกจากเม้มปากแน่น กะพริบตาถี่เพื่อไม่ให้น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมา

“จำได้มั้ยว่ามึงทำลายอะไรที่กูรักไปบ้าง”

“นั่นเพราะมึงไม่เคยเชื่อใจกูเลยไง” ผมตอบกลับ รู้สึกเจ็บยอกไปทั้งอก

เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน พอถึงเวลาที่ต้องเชื่อใจใครสักคน ทำไมคนคนนั้นถึงไม่ใช่ผม

“มึงเคยทำอะไรให้กูรู้สึกเชื่อใจบ้างล่ะ”

“...”

“ที่ต้องเสียเพื่อนก็เพราะมึง คนที่กูรักต้องตายก็เพราะมึง ครอบครัวเขาต้องจมอยู่กับความทุกข์ก็เพราะมึง จะไม่ให้กูโกรธแค้นได้ยังไงวะ จะให้ทนมองมึงที่ยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขขณะที่คนรอบข้างเอาแต่ร้องไห้แทบขาดใจได้ยังไง มึงบอกกูสิ”

น้ำเสียงของคนตรงหน้าสั่นเครือ แม้ไม่มีน้ำตาสักหยดแต่ก็รับรู้ได้ถึงความเสียใจที่แผ่ออกมา

“กะ...กูแค่ไม่อยากนึกถึงมัน ขอโทษ...”

สิ่งที่พยายามเค้นออกมาได้มากที่สุดคงมีเท่านี้

ผมไม่ได้อยากฟังเรื่องที่อยากลืมใจแทบขาด พอได้ยินเต็มสองรู้หูเรี่ยวแรงก็พลันอันตรธานหายไปหมด หลายปีมาแล้วที่วิ่งหนีมันแต่สุดท้ายคนที่ยัดเยียดความผิดทุกอย่างให้ผมก็ยังคงเป็นเขา

“คำขอโทษมึงมาช้าไปหลายปีเลยเนอะ” ไอ้บูแค่นหัวเราะ “กูรู้ว่ามึงคงไม่ได้รู้สึกรู้สากับความผิดของตัวเองเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าไม่อยากให้กูทำอะไรก็ตอบคำถามกูมาตรงๆ”

“ได้ กูจะตอบ...จะตอบ...”

ผมรีบเอ่ยอย่างลนลาน วินาทีนี้ไม่หวังอยากเอาคืนด้วยการใช้กำลังหรืออะไรอีกแล้ว สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในหัวคือออกไปจากที่นี่ก่อนอีกฝ่ายจะสาดซัดเรื่องราวในอดีตมาทำร้ายกันอีก

กายสูงผละออกจากตัวผมอย่างง่ายดาย หลังได้รับอิสระผมรีบชันตัวขึ้นนั่ง กระเถิบกายไปจนติดกับหัวเตียงโดยอัตโนมัติ ขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นเต็มความสูง ทอดสายตามองพลางเค้นเสียงแหบพร่า

“กูจะลืมทุกเรื่องที่มึงเคยทำและให้มันจบแค่วันนี้ เพราะงั้นถ้ามึงอยากจบก็ช่วยพูดความจริงกับกูด้วย”

“มึงถามกูมาได้เลย” หลังทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดไปเมื่อหลายปีก่อนเพื่อมีชีวิตรอด ผมก็ไม่เหลืออะไรให้น่าภูมิใจได้อีก ตอนนี้ต่อให้ไม่ต้องการให้รู้สึกอะไรผมก็จะพยายาม

“ทำไมหลังจากมึงฆ่าคนตายแล้วถึงไม่คิดจะขอโทษหรือพูดถึงมันอีก”

มีเรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ที่ผมพร้อมรับฟังมันทุกอย่าง แต่ขอเพียงเรื่องเดียวที่ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากได้ยิน อยากปิดตายมันไว้แค่วันนั้นใจแทบขาด นั่นก็คือความจริงที่ผมเป็นสาเหตุให้ใครคนหนึ่งต้องตาย

“กูขอโทษ” สมองมันตื้อไปหมด กว่าจะหาลิ้นตัวเองเจอก็พูดได้เพียงประโยคสั้นๆ แค่ประโยคเดียว

“มึงตอบไม่ตรงคำถาม”

“เพราะกูไม่อยากพูดถึงมัน”

“มึงไม่ยอมจบเองนะเนย์ กูให้โอกาสแล้วแต่มึงไม่ยอมจบเอง”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกแล้วอึกเล่า จดจ้องไปยังคนตรงหน้าทั้งตัวสั่นเทิ้มเพื่อรวบรวมความกล้าย้อนถามอีกฝ่ายไปเหมือนกัน

“ถ้าในวันนั้น...วันนั้นเป็นกูที่ตาย มึงจะยังรักกูเหมือนที่รักเขามั้ย”

“กูไม่เคยรักมึง” บูรพาตอบกลับมาแทบไม่เสียเวลาคิด

“...”

“ต่อให้เป็นมึงที่ตายในวันนั้น กูก็ไม่มีทางรัก”

น่าจะยอมรับตั้งแต่แรกแล้วว่าผมกับบูไม่มีทางทำดีต่อกัน การกระทำเลวร้ายเมื่อหลายปีก่อนคือความทรงจำสีหม่นที่ยังคงตราตรึง เอาแต่ปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงดีขึ้น ถึงตอนนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าเวลาไม่เคยช่วยเยียวยาอะไรเลย และที่หนักกว่านั้นคือมันกำลังวนกลับมาทำร้ายผมเหมือนวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

ภาพตรงหน้ามีเพียงใบหน้าของเขาที่อยู่ในความสนใจ เฝ้าถามกับตัวเองว่าตั้งแต่เล็กจนโตอะไรที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด และอะไรที่ทำให้ชีวิตพังๆ ต้องจมอยู่กับความทุกข์ หากพรุ่งนี้ยังมีชีวิตอยู่จะเป็นยังไง ต้องฝืนยิ้มและหัวเราะอย่างที่ผ่านมามั้ย

ยี่สิบกว่าปีมานี้ผมไม่เคยมีความกล้าพอจะเลือกเส้นทางในชีวิตด้วยตัวเองเลยสักครั้ง ชื่อแม่ก็ตั้งให้ นามสกุลเป็นของครอบครัว ศาสนาก็เป็นสิ่งที่สังคมกำหนด เข้าโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยมตามความคิดของผู้ใหญ่ ตอนจะเรียนมหา’ลัยก็ต้องมองความคาดหวังของที่บ้าน แถมที่ตลกกว่านั้นผมยังเห็นดีด้วยเพราะอยากตามคนที่ชอบมาเรียน

พอเริ่มมีความรักและอยากลองเลือกเองบ้างเขาก็ดันไม่เลือก

   “แล้ววันนั้นมึงมาเอากูทำไมวะ”

   คำถามมากมายตีวนอยู่ในหัว ตอนที่เราต่างเต็มใจให้มันเกิดขึ้นในครั้งแรก ผมวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงามว่าสิ่งนั้นเรียกว่าความรัก สิ่งที่เราต่างเติมเต็มให้กันและกันได้ จูบของเขาอ่อนโยน อ้อมกอดของเขาอบอุ่น ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกลับรู้สึกไม่ต่างจากการถูกถีบลงบนหุบเหวลึก

   วันนี้ผมพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา

   “มึงจะถือสาอะไรกับความอยากรู้อยากลองในวัยเด็กวะ แถมยังเป็นมึงเองไม่ใช่เหรอที่เริ่มก่อน”

   “เพราะกูเข้าใจว่ามึงรักกูไง”

   “ตอนนี้มึงก็เข้าใจแล้วหนิ ต่อให้ไม่รัก ใครเสนอตัวมากูก็เอาหมดแหละ”

   “...”

   “มึงไม่ได้พิเศษกว่าใครเลย”

   แต่เขาก็เป็นคนเดิมที่ถีบผมกลับลงไปยังหลุมลึก

   เหนื่อยแล้ว เหนื่อยจริงๆ

   เหนื่อยที่ปล่อยให้มึงเหยียบย่ำบนความรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   และที่เจ็บที่สุด...คือเหนื่อยเหนือเกินที่เคยหลงรักมึง


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 05-02-2019 21:12:26
ดีใจเรื่องนี้มาต่อแล้ว แต่อ่านตอนนี้จบแล้วสงสารเนย์อ่าาาา T^T
อยากจะเข้าไปพาน้องหนีจากคนชื่อบูรพาเลย
บูรพาจำไว้เลย อย่าให้ถึงตอนรู้ใจตัวเองนะจะคอยสมน้ำหน้า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 05-02-2019 21:13:41
ใช้เวลาอ่านตอนนี้นาน อ่านๆหยุดๆเกือบทั้งตอน  :ling3:
ไม่หวังอะไรกับบูแล้ว แต่ยังหวังกับสามคนนั้นอยู่ ปล่อยอาคเนย์เถอะ  :katai1:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 05-02-2019 22:12:20
เขาเกลียดขนาดนั้นยังเอาตัวเองมาอยู่ในที่อันตรายอีก คืองงอ่ะ  :ruready
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 05-02-2019 22:39:51
 :hao5: รอตอนจบไม่ไหว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-02-2019 23:39:35
ทำอย่างไงถึงจะฆ่าคนในนิยายได้ฟ่ะ  :pigangry2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-02-2019 00:10:48
เนย์ไปจากบูเถอะ อย่าอยู่กับคนใจร้ายแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-02-2019 00:27:01
กลับมาก้อทำให้พูดไม่ออกเลย ละรีบมาอีกนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 06-02-2019 01:37:05
คือ...แค่ตอนที่ 3 จู่ๆน้ำตาเราไหลให้กับเนย์ตรงย่อหน้าสุดท้าย โคตรทำร้ายกันเลย อีกมุมคือเนย์ไม่ได้อยากมายุ่งเกี่ยวกับบูหรอกมั้ง หากแต่หลายๆสิ่ง หลายๆอย่างทำให้เนย์ต้องทนกับมัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะแม่ และอีกส่วนคือในใจลึกๆของเนย์ยังคงรักบู ยังหวังให้บูทำดีด้วย ไม่สิ แค่ไม่ตั้งแง่ใส่กันก็เกินพอ เนย์ยังคงมีภาพความทรงจำที่บูดีกับเนย์มากๆอยู่ ตอนนี้บาดแผลเก่าที่ยังกลัดหนองก็ถูกซ้ำเติมให้ได้เลือดและอาจจะลุกลามต้องตัดทิ้งสถานเดียว :o12: :z3:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: mukterrytake ที่ 06-02-2019 07:11:59
โฮยยย กร้าวใจมากค่ะ  ใจจะขาดดด :mew3: :mew2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: หลงลำดวน ที่ 06-02-2019 07:38:13
อ่านแล้ว จิตตก ความรักน่ากลัวจัง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-02-2019 17:49:38
นั่นซิ ขอแค่บูคนเดียวได้ไหม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 06-02-2019 18:04:52
รอวันที่เนย์เอาคืนบูอยู่นะ อิอิ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 06-02-2019 21:47:50
สงสารเนย์ บูใจร้ายเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: kratai_rabbit ที่ 06-02-2019 22:22:56
อ่านนจบตอนแบบจุกๆ ดีใจที่อัพ มาต่ออีกเร็วๆ น้าาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-02-2019 00:07:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 07-02-2019 06:51:30
เราชอบดราม่าและความtragic
แต่ของงแบบดื้อๆเลยนะคะ ในหัวมันมีแต่คำว่าทำไม ทำไม ทำไม!
เราว่าตัวละครมีความผีเข้าผีออกอยู่นะ ¡¿

okมันมีปมที่เป็นต้นเหตุของเรื่องอยู่ในอดีตล่ะ แต่ ...
1) ตอนเปิดฉากมาคือสองคนนี้ตื้บกันแบบเป็นอริเลยคือเล่นกันปางตายอ่ะ แล้วเนย์รักบูยังไง? ถ้าอยากฆ่าอีกฝ่ายความรักมันอยู่ตรงไหน
2) เนย์ ถึงจะโดนแม่บอกให้มาแต่ถ้าตื้บกันขนาดนี้มรึงยอมมาได้ไงอ่าาา ไม่กลัวตายเหรอ แถมมาถึงทำลายข้าวของหาเรื่องโดนตื้บเล่นอีก (ภาวนาให้รอดจนจบเรื่องนะเนย์)
3)บู เกลียดเนย์จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายนะ แต่ลงท้ายยอมให้มาอยู่ห้องด้วย เนย์บอกจะย้ายออกก็เอาแม่มาอ้าง
อ้างถึง
   “แม่มึงยอมหรือไง” คนตรงหน้าเอ่ยถาม พลางใช้ส้อมเขี่ยผักในจานไปมา

   “กูจะไม่บอกแม่ แต่จะย้ายออกไปเงียบๆ”

   “เหอะ! สักวันเขาก็ต้องรู้ เป็นกูนี่สิที่งานงอก”

   “แล้วมึงจะเอายังไง”

   “ต่างคนต่างอยู่ แค่อย่ายุ่งกับกูก็พอ”

แค่เสี้ยววินาทีเดียวที่บทสนทนาเกือบจะมุ้งมิ้ง
ยอมให้อยู่ห้องเดียวกัน ถึงจะต่างคนต่างอยู่แต่ก็หมายความว่าไม่ได้เกลียดจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ดูจากคำพูดเหมือนเป็นฝ่ายพูดจาประนีประนอมด้วยซ้ำ
แต่ 3) อยู่ๆก็ข่มขืน พาเพื่อนมารุมข่มขืนด้วย อันนี้เป็นการกระทำของคนที่เกลียดซะยิ่งกว่าเกลียด อยากให้อีกคนย่อยยับพินาศไปเลย โอโหอารมณ์swingมาก

มองไม่เห็นอนาคตเลยว่าลงท้ายจะรักกันยังไง ทำร้ายกันมากขนาดนี้ เอาใจช่วยไม่ถูก ยอมให้ Bad end อ่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 07-02-2019 10:10:15
ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ใจพังมาก แค่ทำร้ายร่างกายกันจนแข้งขาหัก มันก็ดูหนักแล้ว นี่ถึงขั้นจะให้เพื่อนมาร่วมวง....
มันเลวร้ายเกินไป และยิ่งคิดถึงช่วงเวลาที่เคยมีความสุขตอนเด็กๆด้วยกัน ยิ่งบีบหัวใจ สงสารเนย์ ไม่ทำได้ไหมบูรพา ขอร้องล่ะ
 
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 07-02-2019 12:22:07
คุณจิตติ.. ต้องรีบมาาาาาาา..  :katai4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: sunsweet25 ที่ 07-02-2019 16:57:12
ฮื่ออออ สงสารเนย์แต่แบบทะเลาะกันไปมาเรื่องก็ไม่จบคนเจ็บนี่ก็เห็นจะเป็นเนย์นี่แหละ อิบูรอิคนใจร้าย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: sunsweet25 ที่ 07-02-2019 18:32:29
ยิ่งเคยรักกันยิ่งสงสารเนย์ กอดเนย์บีบใจมากเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: sunsweet25 ที่ 07-02-2019 18:56:55
อิบูรอิคนเลวว อิคนใจร้ายสงสารเนย์ หนีไปเนย์ฮื่อออทำไมน้องเนย์หน้าสงสารขนาดนี้ค่ะ น้ามตามาเลยยยย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: มาดามพีพี ที่ 08-02-2019 00:15:38
ฮืออออ ใจสั่น จุกอยู่ในอก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: yuizy ที่ 13-02-2019 13:46:03
 :jul1:มองไม่เห็นหนทางที่จะกลับมารักกันได้เลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่3 [05/02/62] *หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-02-2019 17:50:34
โอ๊ยยยยยย เนย์ชั้นสงสารแกจังว่ะ อ่านไปน้ำตาก็ไหลไป บูแกจะทำจริง ๆ หรือขู่กันแน่ว่ะ คุณจิตติรีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 13-02-2019 23:11:37


CHAPTER 4
ALL OR NORTHING



สิ่งดีๆ ในชีวิตของมนุษย์มีอยู่มากมาย
สำหรับผมแล้ว มันอยู่ในอดีต



   ‘พวกมึง เลิกเรียนแล้วไปร้องคาราโอเกะกันเถอะ’

   ‘ขอบายว่ะ พอดีมีนัดดูหนัง’

   ‘กับใคร’

   ‘ไอ้เนย์’

   ‘โอ๊ยยยยยยย เบื่อผัวเมียคู่นี้ว่ะ เมื่อไหร่จะคบกันสักทีวะ รำคาญ’

   ‘ผัวเมียบ้านพ่อมึงสิ!’ ผมตวาดลั่นหลังได้ยินประโยคเอ่ยแซวของเพื่อน ใบหน้ารวมไปถึงสองหูร้อนผ่าวไม่กล้าสบตากับใคร จะได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสายของเพื่อนร่วมกลุ่มก่อนทุกคนจะแยกย้ายไปตามแพลนที่วางไว้

   ผมกับบูเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้ชีวิตจะมีเพื่อนใหม่เข้ามามากมายแต่ก็ไม่มีใครที่แย่งตำแหน่งคนสนิทของเราไปได้ ทุกเย็นหากวันไหนเรียนหนักและอยากผ่อนคลายหน่อยเรามักจะพากันไปเดินห้าง หาของกินอร่อยๆ กินกันหรือไม่ก็จองตั๋วหนังเตรียมไว้เพื่อดูแก้เครียด วันนี้เองก็ไม่ต่าง

   ‘เชี่ย ทำไมไม่มีคนเลยวะ’ ไอ้ตัวดีบ่นงุบหลังเราก้าวเข้ามาภายในโรงหนังทั้งสองมือเต็มไปด้วยป๊อปคอร์นและแก้วเครื่องดื่ม

   ‘หนังมันใกล้ออกโรงแล้วป่ะ อีกอย่างแม่งก็เป็นหนังอินดี้ด้วย’

   ‘ดีๆ งั้นงานนี้ถือว่าป๋าเหมาโรงให้อาคเนย์แล้วกันนะครับ’

   ‘โอ๊ย ยอมใจความหน้าด้าน’

   เพียงเท่านั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาผะแผ่ว แม้แต่ตอนนี้แทรกตัวไปยังแถวของเก้าอี้จำนวนมากบูรพาก็ยังไม่หยุดหัวเราะ ต้องรอกระทั่งหนังฉายความสนใจทั้งหมดจึงถูกดึงดูดไปทั้งหมด

   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราดูหนังรักด้วยกัน ทว่าวันนี้บางอย่างแตกต่างออกไป อาจเพราะบรรยากาศเงียบสนิทของโรงหนังที่แทบไม่มีคนเลย เสียงเพลง หรือแม้แต่ไดอาล็อกของตัวละครที่รับส่งกันไปมาส่งผลให้คนดูอินกว่าปกติ

   ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ฝ่ามือของผมถูกเกาะกุมด้วยฝ่ามืออบอุ่นของเขา เลยอดไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอกลับมาที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็มองอยู่ก่อนแล้ว

   ‘มีอะไร’ ผมเอ่ยถาม หัวใจเต้นเร่าแทบทะลุอกยามมองลึกเข้าไปในสายตาฉ่ำปรือ

   ‘โคตรโรแมนติกเลย’ จมูกสันโด่งโน้มมาชิดข้างหู ขยับริมฝีปากพูดเสียงผะแผ่วจนรู้สึกสะท้านไปทั้งกาย แต่ผมก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

   ‘กะ...ก็ดูหนังไปดิ’

   ‘ถ้าไม่ดูแล้วทำอย่างอื่นได้มั้ย’

   ‘ให้ทำอะไรวะ อย่ามาตลกน่า’

   ‘มึงก็ลองคิดดูดิเพลงเพราะแบบนี้ บรรยากาศโรแมนติกขนาดนี้ ตัวละครรักกันจนคนดูแทบสำลักตาย มึงไม่คิดอะไรเลยเหรอวะ’

   ‘ก็คิด...คิดว่าน่ารักดี’ ผมก้มหน้างุดไม่กล้าสบตากับเขา

   ‘ใช่กูก็คิดแบบนั้น มึงอ่ะโคตรน่ารักเลยรู้ตัวป่ะ’

   ยอมรับว่าประมวลผลแทบไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวริมฝีปากก็ถูกครอบครัวโดยคนตัวสูงซะแล้ว แถมที่ตลกก็คือผมไม่คิดจะขัดขืน หนำซ้ำยังเป็นฝ่ายรุกจูบเป็นบางครั้งเพราะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกมากมายที่ตีวนอยู่ในหัวได้

   รัก ใช่...ที่ผ่านมาผมรักเขา และคิดว่าเขาเองก็ใจตรงกัน

   เรายังเด็กมาก เป็นแค่เด็กอายุ 16 ที่ไม่รู้หรอกว่าความรักแท้จริงเป็นแบบไหน ทว่าสำหรับตอนนี้ความรักในวัยมัธยมของผมมีแต่เขาเท่านั้นที่ผมอยากมอบให้

   หนังความยาวสองชั่วโมงจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ฉากรักบนเตียงของเราไม่ได้จบลงเพียงสั้นๆ เท่านั้น หลังตัดสินใจโทรบอกแม่ว่าจะกลับดึก โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งก็เป็นที่หมายต่อไป

   ที่นี่เราได้จูบกันเนิ่นนานโดยไม่ต้องกลัวใครมาเห็น ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง ผมอยากโตเป็นผู้ใหญ่มาตลอด อยากทำอะไรก็ได้ที่คนมองเห็นว่าโตแล้ว อยากลองดื่มเหล้า อยากมีเซ็กซ์กับคนที่รัก อยากเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีอะไรมาตีกรอบให้ผมต้องเป็น

   และวันนี้ก็คือวันที่ผมได้ปลดปล่อย ถึงจะไม่รู้จักว่าแอลกอฮอล์รสชาติเป็นยังไง ทว่ากับจูบที่หวานล้ำของบูรพา ผมได้รู้จักมันแล้ว

   ซึ่งเราก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นจนถลำลึกไปไกล แต่ผมไม่เสียใจ...ผมไม่เสียใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้

   แม้เขาจะไม่เคยบอกรักผมตลอดเวลาที่เรามีความสัมพันธ์กันเลยก็ตาม

   ครั้งแรกของผมมันเจ็บมาก แต่เราต่างก็มีความสุขร่วมกัน ได้กอดก่ายกันไว้ทั้งตัว ร่างกายทุกส่วนแนบชิดส่งมอบความอบอุ่นมาให้ ก่อนมันจะจบลงพร้อมกับน้ำตาด้วยความปิติยินดี

   ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาจะบอกรักผมหรือเริ่มต้นความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่รอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงเลยไปหลายเดือนผมกลับไม่ได้ยินประโยคนั้น มันเลยมีวันหนึ่งที่กลับมานั่งคิด หรือควรเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายบอกกับเขา

   หลังรวบรวมความกล้าอยู่นานในที่สุดเราก็มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง มีคำพูดสวยหรูมากมายที่เตรียมเอาไว้เพื่อบอกกับเขา แต่มีประโยคหนึ่งที่เรียบง่ายและเข้าถึง นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากบอกเขาที่สุด

   อาคเนย์รักบูรพา...

   แต่เขากลับหยุดความฝันเพ้อเจ้อของผมไว้เพียงประโยคเดียว

   ‘เนย์ กูเป็นแฟนกับจีนแล้วนะ’





   เฮือก!!

   ผมสะดุ้งตื่นจากฝัน มันเป็นฝันที่เกิดจากความทรงจำในอดีต แม้จะผ่านพ้นมานานและไม่เคยคิดถึงมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจิตใต้สำนึกของผมจะกลับไปกังวลอยู่กับภาพจำเดิมๆ ที่แสนเจ็บปวด

   ครั้งหนึ่งบูรพากับอาคเนย์เคยเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

   แต่ครั้งหนึ่งความรู้สึกรักของผมในครั้งนั้นกลับเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันและจบลงอย่างรวดเร็ว

   กว่าจะผ่านพ้นเมื่อคืนมาได้ผมต้องพยายามอย่างหนักด้วยการสะกดกลั้นน้ำตาตัวเอง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ผลเพราะร่างกายมันเอาแต่ร้องสะอื้นไม่หยุด ขณะที่ไอ้บูเลือกเดินหนีออกจากห้องโดยไม่คิดหันกลับมามอง ถึงจะไม่ได้ทำร้ายให้รู้สึกเจ็บทางร่างกายก็จริง แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกับมีใครสักคนหยิบมีดมาแทงที่อกเท่าไหร่

   ผมร้องไห้จนปวดหัว เรี่ยวแรงแทบไม่หลงเหลือให้ลุกขึ้นยืน ต้องสะกดจิตตัวเองอยู่นานให้ฝืนเปลือกตามองให้ชัด สิ่งแรกที่เห็นผ่านดวงตาทั้งสองข้างคือแสงไฟบนเพดาน มันสว่างจ้าจนต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสในการมอง

   รอบกายมีแต่ความว่างเปล่า ไอ้บูเองก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หลงเหลือเพียงตัวผมที่นอนหมดสภาพบนพื้นข้างเตียง ร่างกายชาดิกไร้ความรู้สึก และมักเจ็บทุกครั้งที่พยายามกัดฟันขยับส่วนใดส่วนหนึ่ง

   น้ำตาที่เคยเหือดแห้งไหลลงมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมกัดปากตัวเองแน่น ยอมทนต่อความเจ็บชาด้วยการใช้แขนดันพื้นและพยุงตัวเองขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับปลายเท้าให้หายจากอาการชาแล้วกัดฟันลุกเพื่อยืนตัวตรง แม้จะรู้สึกได้ว่าการทรงตัวนั้นโงนเงนไม่ต่างจากคนเมา

ผมก้าวสองขาสั่นเทาไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า โดยไม่คิดสนใจกับสิ่งรอบกาย เพราะหัวใจแหลกเหลวนี้มันเอาแต่สั่งให้หนีไปให้เร็วที่สุด ไป...จากความเจ็บปวดที่เคยได้รับแต่ไม่รู้จักเข็ดหลาบสักที

มือข้างหนึ่งเอื้อมเกาะขอบประตูไว้แน่น สายตามุ่งตรงไปยังห้องส่วนตัวที่มักใช้หลับนอนในช่วงหลายคืนก่อน ถึงมันจะอยู่ติดกับห้องของไอ้บู แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกปลอดภัยกว่ารวมถึงมีเวลามากพอสำหรับขอความช่วยเหลือจากใครสักคน 

พรุ่งนี้ก็หาย พรุ่งนี้คงดีขึ้น

กว่าจะลากสังขารมาถึงเตียงได้เรี่ยวแรงทั้งหมดก็อันตรธานหายไป ดวงตาที่ไม่เคยเหือดแห้งจากน้ำตาปรือขึ้นมองอย่างนึกฝืนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องทำอะไรต่อ ผมเอื้อมมือคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้อยู่ตรงโต๊ะโคมไฟข้างหัวเตียง

เพื่อนคนเดียวที่คิดออกในตอนนี้ก็คือไอ้ดิน ถึงจะอยู่ในก๊วนแก๊งปาร์ตี้แต่มันก็เป็นคนเดียวที่ผมพอจะพึ่งพาและยอมให้มันเห็นสภาพย่ำแย่ในตอนนี้ได้ ไม่คิดเลย...หลังกดหน้าจอเพียงเสี้ยววินาทีสายตาพร่าเบลอนั้นจะสังเกตเห็นข้อความแจ้งเตือนปรากฏอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว

สายไม่ได้รับ 5 สาย จาก...แม่

ลืมไปซะสนิทว่าแม้ในวันที่แทบไม่เหลือใครผมยังคงมีแม่ คนที่คอยห่วงใยเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร เลยไม่รอช้ากดไปยังเบอร์เดิมๆ ที่เคยโทรหาทุกคืน รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ

 [เนย์ วันนี้โทรหาไม่รับเลยนะ มัวแต่เที่ยวอยู่ล่ะสิ] แม่เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแซวตามความเคยชิน

“แม่...” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามเค้นออกมาอย่างยากลำบาก

ต้องอดทนแค่ไหนไม่ให้ตัวเองร้องไห้

ทรมานแค่ไหนที่ต้องคุยกับเขาให้เป็นปกติที่สุด ผมอยากบอกแม่ แต่ก็กลัวว่าสุดท้ายจะทำให้เขาเสียใจที่มีลูกชายเป็นแบบนี้

[เป็นอะไรเนย์ ไม่สบายเหรอลูก]

“ปะ...เปล่าครับ แม่เป็นไงบ้าง”

[ดีจ้ะ เมื่อวานไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หายเครียดไปเลย แล้วเนย์ล่ะลูกโทรมาแต่เช้า ที่โน่นน่าจะเพิ่งตีห้าเองนะ ได้นอนบ้างหรือยัง”

“ผมนอนแล้ว แม่...ผมหนาว แม่มากอดผมหน่อยสิ”

ไม่มีใครอยากกอดผมนอกจากแม่ ไม่มีใครอยากอยู่เคียงข้างผมอีกแล้ว

[ขี้หนาวจริงๆ เลยเรา ห่มผ้าหนาๆ ลูก แอร์ก็อย่าไปเปิดให้อุณหภูมิมันต่ำมากเดี๋ยวจะไม่สบายเอา แล้วบูล่ะเขาโอเคมั้ย อยู่ด้วยกันก็รักกันไว้นะ]

แม่จะรู้มั้ยคำว่ารักมันได้ตายจากหัวใจเราไปนานมากแล้ว ผมต้องทำยังไง ทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่...

[เนย์ฟังแม่อยู่หรือเปล่า เงียบไปเลย]

“คะ...ครับแม่ ผมกับบูโอเคครับ มันทำดีกับผมทุกอย่างเลย”

ต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะตายเหรอ

[ดีแล้ว]

ทนอยู่กับคนแบบนั้นมาได้ยังไงตั้งนาน คนที่ทะเลาะทุบตี เตะต่อยหรือแม้กระทั่งฆ่ากันให้ตาย คนที่ยัดเยียดคำว่าฆาตกรมาให้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูผิดไปหมด จะรักกันได้ยังไง แค่หวังไม่ให้เกลียดยังยากเลย

เจ็บจังเลยแม่...ผมเจ็บแต่กลับบอกใครไม่ได้

“มะ...แม่แค่นี้ก่อนนะครับ ผมง่วงแล้ว” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มสั่นพร่า พยายามอย่างมากเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้โฮออกมา

ต้องแสดงน้ำเสียงให้ปลายสายรับรู้ว่ามีความสุขแค่ไหนเวลาที่พูดถึงคนชื่อบูรพา

ต้องโกหกหน้าตายยังไง ขณะที่ข้างในมันเจ็บยิ่งกว่าเพราะหัวใจเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ

ผมไม่รู้จะพูดยังไง มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ระบายความในใจกับตัวเอง แต่ปากกลับพูดอีกอย่างหนึ่งซึ่งขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง

[โอเค ฝันดีนะครับสุดหล่อของแม่]

“ผมรักแม่นะ”

[รักเหมือนกันเลย]

“รักแม่”

[แม่รู้แล้ว]

รัก

สายถูกตัดไปนานแล้วแต่ผมยังคงจมจ่อมอยู่ในที่แห่งเดิม ตลกดีเหมือนกัน ผมนึกถึงตัวเองในอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าไม่ออกเลย ตอนที่ได้โตเป็นผู้ใหญ่และออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ถึงตอนนั้นผมจะยังเป็นอาคเนย์ที่ยังยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขได้อยู่มั้ย

ยังจดจำภาพเลวร้ายที่ผ่านมาได้อยู่หรือเปล่า

   ผมอยากผ่านไปครับแม่ แต่มันยากเหลือเกิน

   ย้อนอดีตไม่ได้ เดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือจมอยู่กับความเจ็บปวดและคงต้องยอมรับมัน

   อีกเบอร์ที่ผมตั้งใจติดต่อก็คือไอ้ดิน สำหรับตอนนี้มันได้กลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายสำหรับผมแล้ว หลังรอสายอยู่นานผมก็ได้ยินเสียงครางเสียงงัวเงียตอบกลับมา

   [อือ...]

   “ดิน กูเนย์เองนะ”

   [รู้แล้ว แต่ช่วยโทรมาในเวลาที่คนปกติเขาตื่นหน่อยได้มั้ยวะ นี่มันตีห้าครึ่งมึงบ้าป่ะ]

   “คือกู...กูมีเรื่องนิดหน่อย จะ...จะเป็นอะไรมั้ยถ้ากูจะขอไปอยู่กับมึง” น้ำเสียงที่กลอกลงไปแหบพร่าเต็มที ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับสังเกตได้จึงตอบกลับมาด้วยความตื่นตระหนก

   [มึงมีปัญหาอะไรป่ะวะ ทำไมเสียงแม่งเป็นอย่างนั้น]

   “กูรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เลยอยากขอ...ไปนอนด้วยสักคืน”

   [ได้ดิ ตอนนี้ก็ยังได้]

   “งั้น...เดี๋ยวกูไปหานะ...”

   หลังพูดคุยกันสั้นๆ ผมรวบรวมแรงที่เหลืออยู่ไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อแขนยาวขึ้นมาสวมเพื่อคลายความหนาวเหน็บที่ค่อยๆ เกาะกุมทุกอณูผิว ดีที่ไอ้บูไม่อยู่ห้อง เดาว่าคงกำลังสุมหัวอยู่กับเพื่อนแล้วเล่าเรื่องของผมอย่างสนุกปาก ที่ผ่านมามันชอบทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ยังจะคาดหวังอะไรอีก

   ข้าวของส่วนตัวต่างๆ ผมตัดใจทิ้งเอาไว้แล้วเลือกหยิบเฉพาะของที่จำเป็นติดตัวไปเท่านั้น ไม่กี่นาทีให้หลังจึงรีบลงไปด้านล่างแล้วเรียกแท็กซี่ไปยังจุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้

   สีหน้าของไอ้ดินย่ำแย่มากหลังเห็นสภาพผมที่ยืนโงนเงนแทบจะล้มอยู่หน้าประตูห้อง มันเลยอาสาช่วยประคองเข้าไปภายใน

   “นอนก่อนเถอะ หน้ามึงไม่ไหวแล้วล่ะกูว่า” เจ้าตัวไม่ถามอะไรด้วยซ้ำนอกจากไล่ให้ไปพัก

   สงสัยคงไม่ชินล่ะมั้ง ปกติผมไม่เคยแสดงด้านที่อ่อนแอให้มันเห็นเลยสักครั้ง แม้กระทั่งตอนที่บาดเจ็บหนักหนาที่สุดในชีวิตผมก็ยังสามารถยิ้มได้ แตกต่างกับตอนนี้ราวกับคนละคน

   “ขออาบน้ำก่อนได้มั้ย”

   “เออ ได้หมดแหละ ผ้าเช็ดตัวอยู่ที่ตู้เดี๋ยวกูหยิบให้”

   “ไม่...ไม่เป็นไร ขอบใจมึงมากนะ พอดีของกูก็มีอยู่ กูรบกวนไม่นานหรอกพรุ่งนี้ก็จะย้ายไปที่หอพักใหม่แล้ว”

   “กูไม่ได้ซีเรียส มึงจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้”

   “อย่าบอกใครนะว่ากูมาหามึง”

   “ไม่บอกหรอก ไปอาบน้ำเถอะ”

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 13-02-2019 23:11:59


ผมใช้เวลาอาบน้ำนานนับชั่วโมง มันไม่ง่ายเลยที่ต้องสลัดภาพย่ำแย่ในอดีตออกไปจากหัวแล้วโฟกัสเพียงปัจจุบัน ต่อให้อยากลืมใจแทบขาดก็มักมีเสี้ยวหนึ่งที่คำพูดของไอ้บูแทรกเข้ามาให้รู้สึกเจ็บทุกครั้งไป ดังนั้นผมเลยใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำค่อนข้างนาน

   พอทุกอย่างเสร็จสิ้นก็จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นจึงเดินตรงไปยังโซฟาซึ่งอยู่ตรงห้องนั่งเล่นพร้อมกับล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน

   “เฮ้ยไอ้เนย์ไปนอนเตียงไป อยู่แบบนี้เดี๋ยวก็เมื่อยแย่หรอก” เจ้าของห้องบอกเสียงเครียด

   “ไม่เป็นไรกูนอนได้ หนักกว่านี้กูก็นอนมาแล้ว”   

   “เนย์กูถามจริง มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะ”   

   “เปล่า” ผมส่ายหน้าหวือ

   “อย่ามาปฏิเสธเลย ตาแม่งบวดหนักขนาดนี้ แล้วไหนจะรอยนิ้วมือที่คอมึงอีก อย่าบอกนะว่าไปมีเรื่องกับไอ้บูมาอีกแล้ว”

   คราวนี้ผมไม่ตอบนอกจากเม้มปากเงียบ จิกนิ้วลงไปบนฝ่ามือตัวเองเพื่อควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอร้องไห้ออกมาอีก

   “มันทำอะไรมึงมั้ย” ไอ้ดินถามกลับ เหมือนพอเดาออกว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง “ถามก็ช่วยตอบด้วยจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา” เจ้าตัวยังคงคาดคั้นเอาคำตอบ ผมรู้ว่ามันห่วงแต่ก็น้ำท่วมปากเกินกว่าจะเล่า   

   “อืม” ด้วยไม่รู้ต้องทำยังไงเลยเอ่ยตอบประโยคเดิมๆ เป็นคำตอบ ตอนนั้นเองที่น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหล่ลงมาไม่ขาดสาย ความพยายามที่ผ่านมาพังทลายลงอีกครั้ง

   “มันซ้อมมึงเหรอ”

   “อือ”

   “แล้วทำมากกว่านั้นมั้ย”

   “ไม่ แค่พูดอะไรนิดหน่อย แต่มันดันแทงใจดำกูนี่สิ”

   “ไอ้เหี้ยเอ๊ยกูจะตามไปเอาคืนให้มึง”

   ไอ้ดินลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีโมโห สองมือกำหมัดไว้แน่นพุ่งไปหยิบกุญแจรถตรงเคาน์เตอร์ แต่สองเท้ากลับหยุดชะงักตรงหน้าประตูเมื่อผมทักท้วงเอาไว้ซะก่อน

   “เอาคืนแล้วได้อะไรวะไอ้ดินในเมื่อกูเจ็บไปแล้ว...”

   ที่ผ่านมาผลัดกันทำร้ายกันมาตลอด แล้วเป็นไง ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น

   “มึงเจ็บมันก็ต้องเจ็บด้วยไง”

   “อย่าเลย”

   “มึงไม่เหมือนไอ้เนย์ที่กูรู้จักเลยว่ะ”

   “คนที่มึงรู้จักไม่ใช่อาคเนย์ตัวจริงหรอก เพราะจริงๆ แล้วกูกลัวไอ้บู กูเลยไม่อยากให้ใครเอาคืนอีก”

   “...”

   “ไอ้ดิน มึงช่วยกูด้วยนะ” ผมไม่เคยแสดงท่าทีอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยแม้กระทั่งเอ่ยขอร้องต่อหน้าเพื่อน ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่ผมเปิดปากบอกอีกฝ่ายตรงๆ “กูเจ็บจนแทบทนไม่ไหวแล้ว”

   “มึงไม่ต้องกลัว อยู่ห้องกูต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้” คนฟังเดินกลับมายังโซฟาอีกครั้ง มันกอบกุมมือของผมเอาไว้ บีบกระชับไปมาอยู่หลายครั้งราวกับต้องการปลอบใจว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว อย่างน้อยตอนที่ต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคนชีวิตก็ยังมีมัน

   “หลับเถอะ”

   “พรุ่งนี้กูจะเป็นยังไง”

   “นั่นเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ อย่าเพิ่งกังวลกับมัน”

   “ขอบคุณนะ”

   “เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิ”

   ผมหลับตาลง ปล่อยตัวเองจมลงในภวังค์ที่ลึกที่สุด











   ปัง-ปัง-ปัง!

   เสียงเคาะประตูถี่ระรัวฉุดให้ต้องฝืนปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก มันรบกวนการนอนของผมค่อนข้างมาก แม้ยามนี้แสงอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกเจ็บจนไม่อยากลุกไปไหนอยู่ดี

   ทว่าเมื่อไม่มีใครยอมลุกไปเปิดประตูจังหวะการเคาะถี่ในคราแรกยิ่งเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นทุกที ส่งผลให้คนด้านในกึ่งเดินกึ่งสบถออกมาไม่หยุด

   “ซวยแล้วไอ้เนย์”

   แทบจะเป็นเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำที่ไอ้ดินวิ่งหน้าตื่นจากประตูมาถึงตัวผมด้วยความรวดเร็ว มันพยายามเขย่าแขนผมพร้อมกับดึงให้ลุกขึ้น แต่เรี่ยวแรงที่แทบเป็นศูนย์ในตอนนี้กลับเป็นอุปสรรคค่อนข้างมาก

   ในใจอยากถามออกไปมากๆ ว่าเกิดอะไร แต่ไม่ทันได้เอ่ยเราต่างก็ได้คำตอบในที่สุด

   “แม่งเอ๊ย!” เสียงของมัน...

   ประตูห้องถูกเปิดอย่างง่ายดายโดยฝีมือของใครคนหนึ่ง หากเป็นบูรพามันคงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะสะเดาะกลอนห้องคนอื่นแม้ไม่ได้รับอนุญาต   

   “กูบอกมึงแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าเสือกเรื่องของกูให้มันมากนัก” น้ำเสียงทุ้มต่ำตะคอกดังลั่น สีหน้าเองก็ดูเดือดดาลได้ที่ราวกับว่าใครอยู่ตรงนี้คงถูกฆ่าตายทั้งหมด   

   “บูมึงปล่อยไอ้เนย์มันไปเถอะ อย่าทำอะไรมันเลย”

   “...”

   “มันไม่สบายถือว่ากูขอร้อง” น้ำเสียงเว้าวอนสะท้อนก้องในหู ซึ่งก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้นที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เพียงไม่นานริมฝีปากได้รูปกลับกระตุกยิ้มเย็น

   “มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะขอร้องกูได้ไอ้ดิน อยู่เฉยๆ ซะถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

   “ไอ้บูกูขอ เพื่อนใครใครก็รัก”   

   “นี่ไม่ใช่เรื่องของมึง”

   “ไอ้เนย์เคยเป็นเพื่อนมึง ถ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้างก็ปล่อยมันไปเถอะ”

   “ปล่อยเหรอ แล้วสิ่งที่พวกมึงทำกับกูล่ะจะให้เอาคืนยังไง ทำเหมือนที่พวกมึงรุมกระทืบกูที่ผับดีมั้ย”   

   “ไม่ต้องมาขู่กูหรอก อยากเคลียร์ก็ไปเคลียร์กันข้างนอก แต่ตอนนี้ไอ้เนย์มันไม่สบาย มึงทำมันขนาดนี้ยังไม่สาแก่ใจอีกเหรอ”

   “ยัง!”

   “กูขอร้องล่ะ”

   “มึงขอร้องใช่มั้ย ได้ กูจะให้ตามที่ขอ”

   ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

   “ดิน!!”

   กำปั้นหนักๆ เหวี่ยงลงบนใบหน้าเจ้าของห้องส่งผลให้ร่างของคนถูกกระทำเซถอยไปด้านหลัง แต่ไอ้บูไม่หยุดแค่นั้น มันตามไปซ้ำอีกหลายหมัดจนหน้าของไอ้ดินแตกยับไม่เหลือชิ้นดี

   ผมแหกปากร้องลั่นให้อีกฝ่ายหยุดแต่ก็ไม่ได้ผล หมัดแล้วหมัดเล่าระดมใส่หน้าไม่ยั้งจนร่างสูงโปร่งล้มลงไปกองแทบสลบคาพื้นอยู่รอมร่อ ด้วยเป็นห่วงเพื่อนผมเลยไม่รอช้ารวบรวมแรงทั้งหมดที่มีลุกขึ้นแล้วโถมตัวไปห้ามคนเลือดร้อนในที่สุด

   “ไอ้บู...พอเถอะกูขอ”

   “พูดได้แล้วเหรอ กูนึกว่าจะตายห่าไปแล้วซะอีก” แต่คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่การเอ่ยด้วยความเห็นใจอย่างที่คิด

   “อึก...อย่าทำอะไรไอ้ดินเลย”

   “กูจะไม่ทำมากกว่านี้ แต่มึงต้องไปกับกู” มันไม่รอฟังคำทัดทานก็รีบรั้งผมขึ้นบ่าแล้วพากลับคอนโดโดยไม่รอฟังความเห็นใดๆ อีก










   “อาบซะ”

   “ฮืออออ...” ผมร้องครางออกมาเมื่อร่างกายสัมผัสกับน้ำอุ่น ก่อนจะปรือตาขึ้นด้วยความยากลำบากเมื่อพบว่าตัวเองถูกพามาแช่อ่างสีขาวในห้องน้ำแสนคุ้นเคย

   “กูอาบแล้ว”

   “คิดว่ามันสะอาดเหรอ ยิ่งจิตใจสกปรกอย่างมึงคงต้องใช้เวลาล้างนาน”

   “กูไม่อาบ”

“อยู่นิ่งๆ” เสียงทุ้มบอกกับผม

ตอนนั้นเองที่ความคิดในหัวถูกตีกระจายแล้วปล่อยให้ความกลัวแทรกซึมเข้ามาแทนที่

“อะ...ไอ้บู จะ...จะทำอะไรกู ออกไป ออกไปนะ” ผมพยายามใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงดันไหล่กว้างให้ผละห่างจากตัว แต่มันกลับทำตาขวางด้วยความไม่พอใจก่อนปาสบู่ใส่หน้า

“กูจะถูสบู่ให้”

“อย่ายุ่ง”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย”

มันสบถเสียงดังพลางลุกขึ้นเต็มความสูง ไม่นานก็เปิดประตูเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังมามองแม้แต่เสี้ยว

ความเงียบปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ผมนั่งตัวสั่นอยู่ในอ่างอาบน้ำ ก้มดูร่างกายของตัวเองตั้งแต่บนลงล่าง ตามแขนและขาเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกบีบเค้นด้วยความรุนแรง ไม่มีตรงไหนน่าดูเลยสักนิด

ยิ่งลองเอามือลูบผิวตัวเองไปมาก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าร่องรอยเหล่านี้ไม่มีทางหายไปในเร็ววัน ผมเอนหลังพิงกับอ่าง หลับตาลงอีกครั้งพร้อมทบทวนความรู้สึกของตัวเอง



   ‘เนย์! เนย์ได้ยินเสียงแม่มั้ย’
   ‘อาคเนย์’
   ‘เนย์เป็นยังไงบ้าง มันยังโอเคอยู่ป่ะ’
   ‘ขอให้ปลอดภัย’
   ‘รถคันที่มันขับไปเละเป็นซากเลย รอดมาได้ยังไงวะ’
   ‘เพราะเนย์หรือเปล่าทุกอย่างเลยเป็นแบบนี้’
   ‘ใช่แหละ เพราะเนย์’
   ‘ใครคืออาคเนย์’
   ‘อ๋อ ฆาตกรคนนั้นอ่ะนะ ไม่น่ารอดมาเลย’




   ความมืดมิดกับกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งอยู่ใกล้จมูก ผมถูกบีบอัดอยู่ ณ ที่ไหนสักแห่งที่มีอากาศบางเบาจนรู้สึกหายใจไม่ออก ของเหลวบางอย่างไหลหยดจากหน้าผากลงมาถึงปลายจมูก ผมพยายามอย่างมากเพื่อกระเสือกกระสนออกมาจากความอึดอัดนี้แต่ก็ทำได้แค่จินตนาการ

   ความเจ็บพลันแล่นไปทั่วอก จังหวะการหายใจถี่กระชั้นอ้าปากกอบโกยออกซิเจนเข้าไปทว่าก็ต้องแลกกับความเจ็บปวดบริเวณซี่โครงอย่างแสนสาหัส นานเข้าก็เริ่มคิดได้ว่าควรขอความช่วยเหลือ ‘ช่วยด้วย...’ คือประโยคที่ผมเอ่ยออกไปซ้ำๆ

   ช่วยผมด้วย ช่วยเธอด้วย ช่วยเราด้วย...

   ไม่รู้ว่าพอจะมีใครได้ยินบ้างมั้ย แต่เราอยู่ทางนี้

   สติเลือนรางมันบอกกับผมว่าควรถอดใจได้แล้ว เพราะการรอคอยอันยาวนานใช่ว่าจะสัมฤทธิ์ผล หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที ผมนับเลขในใจเหมือนนับแกะ ถึงยังไงก็ไม่มีทางถอดใจแม้จะได้ยินเสียงกล่อมมากมายในหูตลอดเวลาก็ตาม...

   กระทั่งเกิดแสงไฟสว่างวาบในม่านสายตา สมองและร่างกายทุกส่วนก็เหมือนถูกสับสวิตช์ไม่รับรู้สิ่งใดอีก ในช่วงเวลาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตายตอนนั้นผมนับเลขไปเท่าไหร่กัน ถ้าจำไม่ผิดผมนับเลขไปทั้งหมด 2,126 ครั้ง

   นี่คือการรอคอย ผมรอดมาได้แต่เธอจากไป

   ผมเกลียดตัวเอง

วันนั้นฝนตกค่อนข้างหนัก ถนนลื่น และผมก็ขับรถเร็ว

ผมเพิ่งอยู่แค่ ม.ปลาย ยังไม่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำแต่เพราะเพื่อนๆ ในโรงเรียนขับกันก็เลยทำตามบ้าง ไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ทำมัน

ผมเคยขับรถได้ รักบูรพาได้ เดินเคียงข้างกับมันได้ พูดได้เต็มปากเลยว่าชอบทุกอย่างในอดีต อยากพาตัวเองกลับไปแล้วหยุดเวลาไว้แค่ตรงนั้น ที่นั่นมีพ่อด้วยนะ ครอบครัวเรายังอบอุ่นอยู่เลย ภาพของพ่อที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวพร้อมกับสวมเสื้อเชิ้ตตัวเดิมๆ ที่เคยใส่เป็นสิ่งที่ผมรักที่สุด

แม่ทำขนมจีนให้ เรานั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เล่าเรื่องราวที่พบเจอในแต่ละวันให้กันฟัง บางวันมีเรื่องตลก ส่วนบางวันก็มีเรื่องเศร้าเล็กน้อย แต่ผมก็ยังอยากนั่งฟังอยู่ดี

เสียดาย...

ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า มันไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่อยู่รายรอบ

“ฮึก...”

ตอนที่ความคิดเหล่านี้พลุ่งพล่านอยู่ในหัว ผมค่อยๆ เอนตัวลง ปล่อยให้น้ำเข้ามาแทนที่ในทุกส่วนของร่างกายแม้กระทั่งใบหน้า การอยู่กับตัวเองมันก็ดีเหมือนกัน ได้ถามคำถามที่สงสัยมานานแต่ไม่ได้คำตอบสักที เลยอยากทบทวนคำตอบย้ำๆ อีกครั้งให้แน่ใจ

ผมชอบอดีต ดังนั้นผมเลยอยากกลับไป

กลับไปเหมือนวันนั้น วันที่ทุกอย่างยังเป็นของอาคเนย์...



‘อยากตายหรือไงวะ’
‘จะอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ มึงต้องการอะไร!’
‘เงียบซะ’
‘มึงอยากให้กูทรมานกูก็เป็นอยู่นี่ไง อยากให้กูตายกูก็จะทำ ยังอยากให้ชดใช้อะไรอีก ฮึก...มันยังไม่พออีกเหรอ มันควรจบแล้วไม่ใช่เหรอ’
‘…’
‘บู อึก...ฆ่ากูเถอะ ถ้ามึงสงสารกู ถ้ามึงสมเพชกู’
‘…’
‘ช่วยด้วย ช่วยฆ่ากูที’




ผมเคยกอดขาของบูรพาเพื่อขอให้มันฆ่าเมื่อนานมาแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ทว่าการไว้ชีวิตในและวันกลับนำมาซึ่งความเจ็บปวดมหาศาลยิ่งกว่าความตาย แค่คำพูดที่ตอกย้ำว่าผมเป็นฆาตกรซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ทำให้ผมไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างในอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีก ดังนั้นตอนนี้ผมจะไม่ขอร้องมัน แต่จะเลือกทางเดินจากการตัดสินใจด้วยตัวเอง

ความจริงไม่จำเป็นต้องมีบูรพากับอาคเนย์ก็ได้

สำหรับผม บูรพาอยู่ได้ด้วยตัวเอง

ส่วนอาคเนย์...

อยู่ได้เพียงในอดีตที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-02-2019 23:33:42
ได้แต่หวังว่าคนที่ตาย จะไม่เกี่ยวข้องกับบู  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 13-02-2019 23:35:25
สู้ๆนะคะจิตติ เป็นกำลังใจให้ทั้งจิตติและอาคเนย์ ✌️
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 14-02-2019 00:50:55
เป็นกำลังใจให้จิตติกับอาคเนย์ค่า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: littlemagiz ที่ 14-02-2019 05:39:58
ดีใจที่กลับมาอัพแล้ววว ก่อนหรือหลังรีไรท์ ตอนบูมาทวงเนย์ที่ห้องดินก็ทำเราใจวูบเหมือนเดิมเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 14-02-2019 07:43:57
เนย์ต้องอยู่เพื่อตัวเองบ้างนะลูก :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-02-2019 07:46:12
อ่านของเก่า.........
แล้วมาอ่านของใหม่ ชื่อเรื่องไม่ใช่ชื่อเดิม
แต่น้ำตา มันก็ยังซึมออกมาเหมือนเดิม
สงสารเนย์ ...........  :mew2: :mew2: :mew2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-02-2019 08:42:43
เนย์รักตัวเองมาก ๆ นะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 14-02-2019 09:32:33
ถ้าเรื่องคล้ายเดิม.. คนที่ตายนี้น่าจะเป็นแฟนของบูรพา..
ง่าาา.. น้องอาคเนย์ ของพี่..  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 14-02-2019 10:14:18
สงสารน้องเนย์  :hao5: เป็นกำลังใจให้คุณจิตตินะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: BlueHoney ที่ 14-02-2019 10:48:21
 :hao5: //// :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-02-2019 11:46:59
เนย์ไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 14-02-2019 19:55:31
บูอย่ากลืนน้ำลายตัวเองนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 14-02-2019 21:04:13
คุ้นๆ กะชื่อเลยเข้ามาอ่านอีกรอบ ใช่จริงๆ ด้วย เวอร์ชั่นเก่าหน่วงมากนะ แต่ก็ชอบ สงสัยลึกๆ เป็นคนซาดิส จะรออ่านแบบใหม่นะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 15-02-2019 08:14:11
สู้ๆนะจิตติ เราเอาใจช่วยอยู่ อยากอ่านนิยายนะ เชื่อว่าดึงมาดราม่าแล้วเรียกน้ำตาได้แน่นอน

เราเริ่มรู้ละว่าต่อจากนี้เนย์น่าจะสะบักสะบอมซ้ำแล้วซ้ำอีก เตรียมใจละ
แค้นอะไรขนาดนี้อ่ะบู หนีไปแล้วยังจะไปตามกลับมาอีก ตามกลับมาทำไม?อยากดูแล ไม่น่าใช่ อยากทรมานต่อ? หรือยังสองจิตสองใจ ช่วยสงสารน้องเนย์ของเราเถอะ ไม่เหลืออะไรจะให้แล้ว
แล้วเนย์คือไปโรงพยาบาลก่อนมั้ย พี่ว่าไม่ไหวนะ จมน้ำก่อนหรือช้ำตายก่อนดีเลือกไม่ถูกแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 15-02-2019 08:23:04
เข้ามาร้องกันอีกรอบ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 15-02-2019 18:39:00
ย้อนไปอ่านแล้วนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-02-2019 21:44:37
 ไม่มีตอนไหนที่ไม่สงสารเนย์ :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: mafinnoey ที่ 15-02-2019 23:11:09
อยากเข้าไปโอ๋น้องจังเลย อาคเนย์ต้องสู้นะลูก อดทนไว้

จิตติก็สู้ๆด้วย รอจ้า

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 13:12:23
สู้ๆนะอาคเนย์ ผ่านมันไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 17-02-2019 23:20:03
อ่านย้อนแล้วน้าา เป็นกำลังใจจิตตินะคะ

โล่งงงงงง ที่เป็นแค่การจะแกล้งขู่เนย์
แต่ถึงงั้น เนย์ก็บอบช้ำทั้งใจทั้งกายเพราะบู
มากเหลือเกิน และมันคงไม่จบง่ายๆ ฮือออ สงสารเนย์ /คนที่ตายไปคนรักของบูรพา สินะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-02-2019 23:39:51
หนักเกินไป
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่4 [13/02/62] *หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-02-2019 18:34:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 21-02-2019 22:11:58


CHAPTER 5
FORGOTTEN



มนุษย์เกิดมาพร้อมพรอันประเสริฐอยู่ข้อหนึ่ง สิ่งนั้นเรียกว่าความทรงจำ
สำหรับผมแล้วบางความทรงจำนั้นมีค่า ขณะที่บางความทรงจำ
เฝ้าแต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะลืมเสียที



   ‘ให้...’

   ผมจ้องมองเจ้าของเสียงเข้มนั้นไม่วางตา ขณะเจ้าตัวกำลังยื่นดอกกุหลาบสีแดงให้กับใครคนหนึ่ง

   บูรพาเป็นคนเก่งโดยเฉพาะเรื่องสร้างความสนใจ ผมรู้สึกอย่างนั้นเพราะมันทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้เลย

   วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่คงไม่ได้สำคัญเท่าไหร่สำหรับใครบางคน แต่กับอีกฟากหนึ่งมันแตกต่างออกไป เด็กในโรงเรียนเราจะตื่นเต้นมากกับวันสำคัญวันนี้ ซึ่งผมกับไอ้บูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

   ‘ขอบคุณนะ’ เสียงหวานตอบกลับทันทีพร้อมกับยื่นมือมารับดอกไม้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   แทนที่คำตอบนี้จะเป็นของผม มันกลับเป็นประโยคของคนอื่น

   จีน...เธอเรียนศิลป์ฝรั่งเศส คนที่เป็นเหมือนกับรักแรกของบู ก่อนจะได้คบกันอย่างจริงจังหลังขึ้น ม.ปลาย ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงผมยังจำได้อยู่เลย วินาทีที่เห็นร่างสูงเดินมาเคาะห้องนอนของผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดีใจสุดชีวิตว่าได้คบกับเธอแล้ว แม่งไม่ต่างอะไรกับการผลักร่างทั้งร่างให้ตกลงไปในธารน้ำแข็งเลยว่ะ

   คืนนั้นเราแทบนอนไม่หลับเพราะบูรพากำลังจมอยู่กับความสมหวังที่มันได้รับ ขณะที่ผมต้องฝืนยิ้มเอ่ยดีใจไปกับมันทั้งที่ในใจร้องไห้แทบเสียสติ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เราตัวติดกันมาตลอด ไอ้บูไม่เคยแสดงท่าทีชอบใครจริงๆ จังๆ สักครั้ง แถมเราก็เคยมีเซ็กซ์กันด้วยความเต็มใจทั้งคู่ นั่นทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าความรักของเรายังพอมีหวัง

   มันไม่ได้สูญเปล่า เมื่อหัวใจดวงนั้นยังมีผมแค่คนเดียว

   แต่พอได้รู้ความจริงผมถึงได้เข้าใจว่าการรออย่างไร้ความหมายมีหน้าตาเป็นยังไง   

   เราเป็นเพื่อนรักที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตอาคเนย์มีบูรพา และคิดว่าในหัวใจของบูรพาเองก็คงมีคนชื่ออาคเนย์สลักเอาไว้เหมือนกัน แต่มันโคตรผิดเลย ผิด...ที่คิดไปเองเพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก

   ‘จีนรู้มั้ย เธอเป็นคนแรกเลยที่เราอยากคบ และเรารักก็เธอมาก’ ประโยคที่ได้ยินเสียดแทงไปถึงความรู้สึก

   ทำไมผมจะไม่รู้จักนิสัยของบูล่ะ มันเป็นคนไม่คิดจริงจังกับเรื่องความรักมาก่อน แต่พอมาเจอผู้หญิงคนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เหมือนมันได้รู้จักความรักในอีกรูปแบบหนึ่งที่พยายามตามหามานาน และคงจะดีไม่น้อยถ้าผมไม่ได้รู้สึกอิจฉา หรือเสียใจทุกครั้งเวลาเห็นคนทั้งคู่เดินไปไหนมาไหนด้วยกัน

   ‘เราก็รักบูเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับกุหลาบนะ’

   เมื่อก่อนไอ้บูมีผม จะไปไหนก็เรียกหาแต่อาคเนย์ พอวันหนึ่งที่มีความรักก็ขลุกอยู่กับเขาจนหลงลืมคนๆ หนึ่งเอาไว้ข้างหลัง หลายครั้งหลายหนที่ผมพยายามปลอบใจตัวเอง   

   ผมไม่เคยมีใครแต่ทำไมเขาถึงผิดสัญญา

   สัญญา...เมื่อตอนเด็กที่บอกว่าเราจะรักกัน ทำไมวันนี้ทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไปล่ะ   นี่ก็ผ่านไปปีกว่าแล้วที่สองคนนั้นคบกัน และคงยาวนานไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้บอกความรู้สึกของตัวเองกับบูมั้ย แล้วถ้าบอกความเป็นเพื่อนของเราจะเป็นยังไง จะยังมีโอกาสได้เดินเคียงข้างกันเหมือนเดิมหรือกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกัน

   ความสับสนเหล่านี้ตีกันอยู่ในหัวไม่หยุด แม้บูกับจีนจะเดินแยกออกไปแล้ว ผมก็ยังคงจมจ่อมกับความคิดวุ่นวายในหัว จนกระทั่งความอดทนทั้งหมดสิ้นสุดและผมเลือกที่จะเดินไปสารภาพความจริงกับมันก่อนวันสิ้นปี

   ก่อนที่วันสำคัญอีกวันหนึ่งจะมาถึง...วันเกิดของบูรพา

   เรายังมาเรียนปกติ ตอนเช้าเพื่อนๆ ในห้องหอบเอาเค้กวันเกิดก้อนมโหฬารมาเซอร์ไพรส์ถึงในห้องเรียน บรรยากาศสนุกสนานเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เป็นภาพโดยหัวหน้าห้องจอมเนี๊ยบ ก่อนสงครามปาเค้กจะเริ่มต้นและจบลงตรงที่ทุกคนถูกลากเข้าห้องปกครอง

   ‘สนุกดีว่ะ ปีหน้าเอาแบบนี้อีกนะ’ ไอ้บูพูดกลั้วเสียงหัวเราะ สองมือพยายามวักน้ำจากก๊อกขึ้นมาล้างตามแขนขาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเค้ก

   ‘ปีหน้าก็มอหกแล้ว’

   ‘แล้วไง’

   ‘มึงอาจกำลังเครียดอยู่กับการอ่านหนังสือสอบก็ได้’ บูอยากเป็นหมอ เพราะงั้นเลยต้องขยันกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ส่วนผมก็เริ่มมีความคิดที่อยากตามมันไปเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ

   ‘เออลืมไป อนาคตไม่แน่นอนจริงว่ะ’ เจ้าตัวพูดอย่างปลงตก ก่อนต่างคนต่างหันไปจดจ่อกับการทำความสะอาดคราบเค้กออกจากร่างกาย นานเหมือนกันก่อนผมจะนึกขึ้นได้

   ‘กับจีนเป็นไงบ้าง เห็นว่าทะเลาะกัน’ ในใจโคตรอยากให้เลิกเลย แต่พอเห็นมันเสียใจแล้วผมก็รู้ในทันทีว่าความคิดแบบนี้แม่งโคตรแย่

   ‘ก็ยังไม่ดีกันอ่ะ งี่เง่าใส่กูเยอะไง’ คนเคียงข้างตอบเสียงเอื่อย

   ‘รีบปรับความเข้าใจกันเถอะ’

   ‘มันหลายครั้งแล้วมึง มาระแวงหาว่ากูนอกใจ ถามหน่อยเหอะว่ากูเคยไปทำอย่างนั้นที่ไหน’

   ‘มึงต้องใจเย็นๆ แล้วนี่เจอจีนบ้างมั้ย’

   ‘ไม่คุยกันมาอาทิตย์นึงแล้ว’

   ผมถอนหายใจ ลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏอยู่บนกระจก ตอนนั้นเองที่จังหวะหัวใจซึ่งเต้นปกติมาตลอดรัวกระหน่ำขึ้นมา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงธันวาคมไม่มีวันไหนเลยที่ผมหยุดถามตัวเอง ถามย้ำๆ อยู่อย่างนั้นว่าควรบอกความรู้สึกของตัวเองไปดีมั้ย ทว่าวันนี้...ตอนที่เราได้อยู่กันตามลำพังความรู้สึกต่างๆ ที่อัดแน่นเอาไว้ก็พรั่งพรูออกมา

   ‘บู มึงว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันจะเป็นยังไงวะ’ ถามออกไปแล้ว ด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้อง

   ‘ก็แก่ไปด้วยกันไงมึง’

   ‘กูคิดถึงอนาคตที่ไม่มีมึงไม่ออกเลยว่ะ’

   ‘เหมือนกันนั่นแหละ’

   ‘บู...กูรักมึง’

   ‘กูก็รักมึงเหมือนกันเว้ย’ มือหนาที่ยังคงเปียกน้ำเอื้อมมาสัมผัสหัวของผมเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู ถ้าเป็นปกติผมคงกลัวแล้วรีบเออออห่อหมกไปกับมัน แต่คราวนี้กลับไม่อยากทำอย่างนั้นแล้ว

   ‘กูรักมึงจริงๆ รักมาตลอด’

   รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาหายไป ทว่าผมก็ยังคงพูดต่อ

   ‘รักแบบที่ไม่ใช่เพื่อน รักโดยที่หวังว่าวันหนึ่งเราจะมีกัน...มีแค่เราสองคน’

   ‘เนย์ มึงพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า’

   ‘กูคิดมานานแล้ว หลายครั้งที่กูถามตัวเองว่าควรพูดออกไปดีมั้ย แต่สุดท้าย...’

   ‘แล้วทำไมมึงไม่เก็บต่อไปวะ’

   ‘…!!’

   ราวกับมีท่อนไม้หนาหนักตีลงมาตรงกลางกะโหลกอย่างจัง ผมยืนนิ่ง มองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทเนิ่นนานก่อนน้ำตาเม็ดใสจะไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่

   ‘พูดแบบนี้หมายความว่าไง’

   ‘กูชอบจีนนะเนย์ มึงลืมไปแล้วเหรอ’

   ‘แล้วที่มึงมาเอากูล่ะ ที่เรา...กอดกัน จูบกัน มีอะไรกันมันหมายความว่ายังไง’

   ‘ที่ผ่านมามันไม่ใช่ความอยากรู้อยากลองของเราทั้งคู่เหรอ มึงพูดแบบนี้ต้องการอะไร มึงมาพูดตอนนี้ทั้งที่กูกำลังคบกับจีนอยู่เนี่ยนะ’

   ‘เห็นมึงทะเลาะกัน กูคิดว่า...’

   ‘กูรักจีน ยังไงก็ไม่มีทางเลิกกันเว้ย แต่จะบอกอะไรให้นะ’

   ‘…’

   ‘ต่อให้ไม่มีเขากูก็ไม่เอามึง’

   ผมได้แต่ยืนร้องไห้เงียบๆ มองดูคนตัวสูงกว่าเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง

   ตอนแรกก็คิดว่าความเป็นเพื่อนจะช่วยให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และมันก็น่าจะมากพอให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจกันสักที ทั้งที่ความจริงมันต่างกันสิ้นเชิง ผมมีความกล้ามากพอจะบอกรักออกไปตรงๆ ไม่นึกเลยว่าท้ายที่สุดแล้วนอกจากไม่ได้เป็นคนรัก ผมก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้ยืนเคียงข้างมันอีกต่อไป

   สิบกว่าปีที่เป็นเพื่อนกันสลายหายไปพร้อมกับอากาศ ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ไม่ยอมเก็บเงียบเพื่อให้เราอยู่กันได้นานขึ้น โกรธที่สิบกว่าปีที่เป็นเพื่อนกันมาไม่เคยรู้เลยว่าบูรพาเป็นคนยังไง ผมควรฉลาดสักนิด ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วทำไมถึงเลือกพูดมันออกมา

   เพราะถ้ามันรักผมตั้งแต่แรก คงไม่ปล่อยให้มีอะไรกันแล้วเลือกเงียบมานานขนาดนี้โดยไม่คิดเลื่อนความสัมพันธ์

   ‘ไอ้โง่เอ๊ย’ ผมด่าเจือเสียงสะอื้นเพื่อตอกย้ำตัวเอง ก่อนจะหมกตัวอยู่ในห้องน้ำตลอดคาบบ่าย

   ใช้เวลาเพื่อร้องไห้ไม่ต่างจากผู้หญิง พิมพ์ข้อความมากมายส่งไปหาอีกฝ่ายไม่ขาดแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมา เลยยิ่งตอกย้ำว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ









   หลังเลิกเรียนผมลากสังขารแย่ๆ กับตาบวมๆ ออกจากห้องน้ำ เดินขึ้นไปเก็บกระเป๋าในห้องเรียนก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถ ที่โรงเรียนเราเด็ก ม.ปลายเอารถพ่อแม่มาขับกันเองเยอะมาก แน่นอนว่าผมก็ไม่พลาดจัดการกดรีโมทแล้วโยนกระเป๋าไปยังเบาะหลัง

   ตอนนั้นเองที่มือของใครคนหนึ่งรั้งฉุดเอาไว้ เราเลยได้เผชิญหน้ากัน

   ‘จีน’ ไม่ใช่บูรพาอย่างที่ผมคาดหวัง แต่กลับเป็นแฟนของมัน

   ‘เนย์กำลังจะกลับแล้วเหรอ’

   ‘อือ’

   ‘ช่วยเราหน่อยสิ มะรืนวันเกิดบู เราอยากง้อเขา’

   ‘เราช่วยอะไรไม่ได้หรอก’ ผมปฏิเสธทันที แค่ตัวเองยังสะบักสะบอมเอาตัวแทบไม่รอด จะมีหน้าไปช่วยเหลือคนอื่นได้ยังไง

   ‘เนย์ช่วยได้ เนย์รู้ดีว่าบูชอบหรือไม่ชอบอะไร’

   ‘แล้วเธอไม่เคยรู้หรือไง’ ผมขึ้นเสียง อีกฝ่ายเลยผงะเล็กน้อยพร้อมกับเบะปากราวกับจะร้องไห้

   ‘เราก็แค่อยากให้เนย์ช่วย’

   ถึงผมจะรู้สึกแย่กับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยังไง แต่เวลาเห็นจีนเป็นแบบนี้มันก็ปฏิเสธไม่ลงทุกที แปลกดีเนอะ เกลียดเขา แต่ก็อยากช่วยเหลือเขาในเวลาเดียวกัน คงเป็นเพราะเขาคือคนเดียวที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุขล่ะมั้ง

   ‘สรุปจะให้ช่วยอะไร’

   ‘ไปซื้อของขวัญเซอร์ไพรส์บูเป็นเพื่อนเราหน่อย’

   ‘ตอนไหน’   

   ‘ไปตอนนี้เลยได้มั้ย พรุ่งนี้โรงเรียนก็ปิดปีใหม่แล้วอ่ะ แถมเราก็โทรบอกที่บ้านว่าจะกลับกับเพื่อนแล้วด้วย น้า...ช่วยหน่อยน้า’ เหมือนเธอรู้คำตอบอยู่แล้วเลยโทรบอกที่บ้านซะเสร็จสรรพ เลยไม่มีเหตุผลอะไรนอกจากชวนเธอขึ้นรถและขับออกไปด้วยกัน

   จีนไม่รู้จะซื้ออะไรไปง้อไอ้บู ส่วนในหัวของผมมีอะไรเยอะแยะมากมายที่อยากทำเพื่อมันแต่ก็ปล่อยให้เป็นเพียงความคิด เวลานั้นเราเดินเข้าช็อปนั้นช็อปนี้ไปทั่วแต่ก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับ ผมเลยออกความเห็นว่าควรซื้อนาฬิกาข้อมือให้

   มีรุ่นและยี่ห้อหนึ่งที่เห็นมานานแล้ว ผมเก็บเงินจำนวนหนึ่งกะว่าจะซื้อเป็นของขวัญให้มันในวันสิ้นปี ถึงตอนนี้คงไม่มีโอกาสมอบให้มันอีก

   ‘จีน ซื้อนาฬิกามั้ย’ คิดได้เท่านั้นจึงรีบเอ่ยถามความเห็น

   ‘เอาดิ’

   ทว่าหลังเดินเข้าช็อปผมก็ได้ยินเสียงบ่นเล็กๆ ตามมา

   ‘แพงมากเลยเนย์ เราซื้อไม่ไหวหรอก ถ้าแม่รู้ต้องด่าเรายับแน่เลย’

   ‘เราซื้อให้’ ผมบอกเสียงหนักแน่น

   ใครจะมอบให้ไม่สำคัญหรอก สำหรับผมแค่บูรพาได้รับสิ่งดีๆ ผมก็พอใจมากแล้ว

   ‘ไม่เห็นต้องใจดีขนาดนี้เลย มันแพงมากนะ’

   ‘ถือเป็นของขวัญที่จีนกับไอ้บูคบกันไง’

   ‘ไม่เห็นเกี่ยวเลย’

   ‘เชื่อเถอะว่าบูมันต้องชอบมากแน่ๆ เดี๋ยวเราไปกดตังค์ก่อนนะ’

   ‘เนย์ จะซื้อจริงเหรอ’ ผมพยักหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มฝืนๆ ไปให้เธอ

   ‘ไม่ต้องบอกไอ้บูนะว่าเราซื้อให้ บอกแค่ว่าเป็นของขวัญจากจีนก็พอ’

   ‘ขอบคุณนะ แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรากับบูเลย’

   ‘อืม’

   ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนสักนิด ไม่ได้อยากหวังดีกับจีน แต่ในเมื่อตัวเองไม่ได้อยู่ในจุดที่ถูกเลือกก็จำต้องอยู่เป็นคนข้างหลังคอยผลักดันเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น

   หลังใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดจ่ายไปกับนาฬิกาเรือนแพง ผมก็ต้องทำหน้าที่เป็นสารถีพาเธอไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย แย่หน่อยที่ตอนอยู่ในห้างไม่ทันได้สังเกตบรรยากาศภายนอก รู้ตัวอีกทีเราก็ขับรถออกมาภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำไม่หยุด

   ถนนทุกพื้นที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำ ท้องฟ้าก็มืดแล้วเนื่องจากเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม เสียงเรียกเข้าดังขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นของจีน เธอเร่งเร้าและตั้งท่าจะร้องไห้ออกมาอีกรอบเพราะถูกที่บ้านโทรตาม

   ผมไม่มีทางเลือกมานักนอกจากขึ้นทางด่วนเพื่อหนีปัญหารถติด ดีหน่อยที่เวลานี้มีรถไม่มากเลยขับได้เร็วขึ้น ทว่าแค่นี้ก็ยังไม่พอ ความกดดันทั้งหมดถูกโยนมาที่ผมเมื่อจีนตัดสินในกดรับสายจากที่บ้านและอ้อนวอนให้ผมพาเธอไปส่งให้เร็วที่สุด

   เข็มหน้าปัดรถยนต์เลื่อนไปที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมไม่เคยขับเร็วกว่านี้ตอนฝนตก แถมยังไม่ชินเส้นทางมากนักเนื่องจากไม่ค่อยได้ไปที่บ้านของเธอ นั่นยิ่งสร้างความหนักใจเป็นเท่าตัว

   ‘เนย์...เนย์! กรี๊ดดดดดดดดดด’

   ปัง!!

   เสียงกรีดร้องดังก้องในโสตประสาท ร่างกายทุกส่วนแข็งค้างราวกับถูกตะปูตอกยึดอยู่กับที่

   ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มือที่ประคองพวงมาลัยไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างใจคิด ก่อนภาพที่เห็นตรงหน้าจะถูกตัดจากท้องถนนแล้วถูกเหวี่ยงแรงๆ จนเกิดภาพหมุนคว้างหลายตลบ

   ความกลัวผลักดันให้ผมเอาตัวรอดด้วยการบังคับเบรก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น

   เสียงของแข็งกระทบพื้นดังทะลุแก้วหูจนทุกอย่างอื้ออึงไปหมด สติที่เหลืออันน้อยนิดนั้นยังพอให้ผมคาดเดาสถานการณ์หลังจากรถหยุดตัวลง ความเจ็บสาหัสพลันแล่นเข้ามาทั่วร่าง แม้แต่คอยังตั้งแทบไม่ตรงแถมเราทั้งคู่ยังอยู่ในสภาพกลับหัว

   ตาของผมตอนนั้นมองเห็นเพียงสิ่งเดียวในม่านสายตา นั่นคือภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งเคียงข้างมาด้วยกันกำลังหมดสติคาเบาะ ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ด้านข้างกระจกมีส่วนหนึ่งของรถยนต์อีกคันกระแทกอัดก๊อบปี้กับรถของผม ซึ่งแน่นอนมันอาจส่งผลอย่างมากกับคนที่นั่งฝั่งนั้น

   ผมพยายามแล้ว...พยายามเอื้อมมือไปเขย่าตัวเธอให้ตื่นขึ้นมา ผมกลัวจริงๆ กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป แต่ความเจ็บมันก็แผลงฤทธิ์ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้

   ที่รู้สึกคงจะมีเพียงน้ำตาที่ไหลกลิ้งบนใบหน้าของตัวเอง เอาแต่ตอกย้ำซ้ำๆ ว่าไม่น่าเลย...ไม่น่าพาเธอมา เพราะถ้าเจ็บอยู่คนเดียวก็คงไม่รู้สึกแย่เท่านี้

   ‘ไอ้เหี้ยเนย์ มึง!!’

   นั่นแหละประโยคสุดท้ายหลังตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ก่อนที่ผมจะหลับไปยาวนานเกือบสัปดาห์

   จีน...จากโลกนี้ไป กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมกับบูรพาอย่างสิ้นเชิง มันตราหน้าว่าผมคือฆาตรกรที่ฆ่าคนรักของมัน

   ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็อยากขอให้ตัวเองตายไปตั้งแต่ตอนนั้นซะ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องมาเกลียดกันเหมือนที่เป็นอยู่ ผมรู้ว่าสิ่งที่เจอมันยังไม่สาสมกับหนึ่งชีวิตที่ต้องจากไป

   แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว ผมก็ต้องยอมรับความจริงใช่มั้ย

   ยอมรับที่ต้องแลกชีวิตไร้ค่ากับผลกรรมที่เคยก่อ





   เฮือก!!

   “มึงทำเหี้ยอะไร! คิดว่าจะตายหนีปัญหาแล้วทุกอย่างจะจบงั้นเหรอ”

   “...”

   “แค่นี้มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่มึงทำเลย เพราะมึงต้องเจ็บกว่านี้ เจ็บกว่าที่กูรู้สึก”

   สติที่ขาดหายค่อยๆ กลับมา ผมสำลักน้ำจำนวนมากจนรู้สึกเจ็บ ได้แต่ปล่อยให้ร่างสูงใหญ่ลากตัวออกจากห้องน้ำในสภาพเปียกโชก ไม่รู้ว่ามันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ผมรอดจากการฆ่าตัวตายมาอีกครั้งแม้จะไม่อยากรอดเลยก็ตาม

   “อยากตายนักเหรอ” เสียงนั้นยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ “ขอโทษทีที่มึงยังไม่ได้ตายตอนนี้!”

   แล้วทุกอย่างก็ขาดหายไป

   ภาพตรงหน้าดับลงเหลือเพียงความดำมืด ผมไม่ฝัน ไม่คิดถึงอดีตอะไรอีก คงเหนื่อยแล้วจริงๆ ที่ต้องมีชีวิตเพื่อเผชิญกับความทรมาน จะอยู่ก็ทุกข์ จะตายก็ไม่ได้ ไม่ว่าเลือกทางไหนคงเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น

   ไม่อยากเลือกเลย...


อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 21-02-2019 22:13:22


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องที่มืดสนิท ยังดีที่มีแสงสว่างจากหน้าต่างทำให้พอเดาได้บ้างว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน ที่นี่เป็นห้องของผมในคอนโดของไอ้บู ร่างกายยังคงร้อนผ่าวจากพิษไข้ที่เป็นมาก่อนหน้า โชคดีที่มันไม่ปล่อยให้ผมนอนตัวเปียกอยู่ที่ห้องเลยจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ จะมีก็แต่กางเกงเท่านั้นที่ไม่ได้สวม

   ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ดังนั้นกระเพาะเลยร้องประท้วงไม่หยุด แต่ถึงเป็นอย่างนั้นผมก็ยังไม่คิดหาอะไรรองท้องนอกจากกัดฟันยันตัวขึ้นมาเพื่อเก็บของจำเป็นบางอย่าง ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว ถึงจะปวดหัวแทบระเบิดหรือเดินไม่ไหวยังไงก็ต้องไป

   สิ่งของจำเป็นถูกเก็บใส่กระเป๋าเดินทางที่ผมพาติดตัวมาตั้งแต่ครั้งแรก บางอย่างก็กะทิ้งเอาไว้เพราะเหนือบ่ากว่าแรงจะแบกไป พอเคลียร์ทุกอย่างเสร็จเวลาก็ปาไปเกือบตีหนึ่ง

   ผมค่อยๆ ลากกระเป๋าไปยังประตูอย่างเงียบเชียบ เอื้อมมือไปหมุนลูกบิดเบาๆ ทว่าความจริงที่ได้รับกลับทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ ไอ้บูล็อกประตูจากด้านนอก มันขังผมไว้อีกครั้งเหมือนที่เคยทำ

   “ไอ้บู ปล่อยกู!” ผมตะโกนออกไปด้วยเสียงแหบพร่า สองมือละจากกระเป๋าแล้วตบลงบนบานประตูจนเกิดเสียง “ปล่อยกูเดี๋ยวนี้”

   ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

   แต่ผมไม่หมดความพยายามจนกว่าจะได้คำตอบ

   “ปล่อยกูออกไป”

   วินาทีต่อมาผมได้ยินเสียงฝีเท้าบริเวณห้องนั่งเล่น เดาว่ามันคงรู้อยู่แล้วแต่ไม่นานทุกอย่างก็เงียบไป จึงตั้งท่าอ้าปากตะโกนอีกหนทว่าสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ร้องไม่ออก

   เสียงครางของผู้หญิง...

   มันมาเอากันตรงโซฟา

   เหยียบย่ำความรู้สึกของผมป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี

   นานมาแล้วตอนเรายังรักกัน ตอนที่ผมได้อยู่เคียงข้างกับมัน ก่อนที่ผมจะสารภาพรักออกไปตรงๆ เราเคยมีความสุขกว่านี้ เคยรักและดูแลกันมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันกลับต้องมานั่งรอว่าวันไหนไอ้บูจะสาดความทรมานมาให้อีกไม่จบสิ้น

   มันรู้ดี...รู้ว่าผมรักมัน รู้ว่าผมต้องรับไม่ได้กับการกระทำแบบนี้มันก็ยิ่งอยากทำ

   “ฮึก” แข้งขาทั้งสองข้างอ่อนแรงไปหมด จนในที่สุดก็ทรุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้อยู่ตรงประตูเพียงลำพัง

   ผมอยากหนีแต่มันก็รั้งไว้เพื่อให้เผชิญหน้ากับการแก้แค้นไม่มีที่สิ้นสุด

   “ฮืออออออ”

   พอแล้วบูรพา...

   เมื่อไหร่จะจบสักที เมื่อไหร่กัน







   [ บูรพา ]

   เสียงร้องไห้ที่ดังออกมาจากในห้องทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว ทุกอย่างหยุดชะงักไปหมดแม้กระทั่งตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม คืนนี้ผมพาผู้หญิงคนหนึ่งมาเพื่อตอกย้ำให้ไอ้เนย์ได้เข้าใจถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไม่คิดว่าเลยสุดท้ายผมกลับต้องฝ่ายปวดประสาทกับมันแทน

   “กลับไปก่อน” ผมผละจากร่างเปลือยเปล่าซึ่งนอนอยู่ตรงโซฟาด้วยความหัวเสีย ต่อให้ยกมือขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงแค่ไหนก็ไม่สามารถขจัดความหงุดหงิดงุ่นง่านที่อยู่ภายในใจออกไปได้

   “บู จะทำค้างๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”

   “หมามันเห่าอยู่ไม่ได้ยินหรือไง บอกให้กลับไปก่อนเดี๋ยวโอนเงินให้”

   “อือ”

   คนฟังทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะชันตัวขึ้น เธอหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมแล้วเดินออกจากห้องโดยไม่คิดหันหลังกลับ หลังจากนี้แหละที่ผมจะได้คิดบัญชีกับคนด้านในอีกรอบ

   ตอนแรกกะพาผู้หญิงมานอนด้วยเพื่อทำลายข้อตกลงที่อีกฝ่ายคิดเองเออเองอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายเสียงร้องไห้ของมันกลับหลอนอยู่ในหูจนทำอะไรไม่ได้ ผมเลยต้องเลือกความเจ็บปวดอีกทางให้กับมันแทน

   “เป็นเหี้ยอะไรของมึง” ผมสาดคำด่าใส่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป

   “ฮึก...ฮือออออออ” ไอ้เนย์นอนกองกับพื้นในสภาพโคตรแย่ ร่างกายบิดเร่าไปมา เอาแต่กัดปากตัวเองแน่นจนเลือดไหลซึมพร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาไม่ขาดสาย

   “เงียบ! มึงอยากโดนดีใช่มั้ย”

   “อะ...ไอ้บู ฮึก...”

   “อยากเรียกร้องความสนใจนักเหรอ ร้องไห้จนกูเอาใครไม่ลงแล้วเนี่ย” ผมจ้องหน้าของคนที่กำลังนอนกอดตัวเองบนพื้นอย่างโมโห ก่อนจะย่อเข่าลงตรงหน้าแล้วเชยคางของมันขึ้นมามองชัดๆ

   “ฮือ...บู...กะ...กูปวดหัว” มันบอกกับผมอย่างน่าสงสาร ไม่เหมือนอาคเนย์ที่เคยรู้จักเลยสักนิด ยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจใดๆ นอกจากส่งยิ้มกลับไปให้

   ตอนนั้นเองที่ไอ้เนย์เหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองเลยกลืนน้ำลายลงคออีกใหญ่ พยายามกระถดกายหนีแต่ผมไวกว่านั้นตรงที่คว้ามือบางเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที   

   “มึงทำให้กูเอาใครไม่ได้ เพราะงั้นคืนนี้กูขอเอามึงได้มั้ย”

   “ยะ...อย่าทำกูเลย”

   “มึงไม่รักกูแล้วเหรอ มีเซ็กซ์ก็เป็นการแสดงความรักนะ”

   ผมรู้ว่ามันยังรัก รักเหมือนวันที่มันหน้าด้านพูดประโยคนั้นออกมา

   ยอมรับว่าโกรธมากและก็สมเพชกับการกระทำหลายๆ อย่างของมัน เป็นเพื่อนกันมาตั้งสิบปี มันไม่เคยรู้เลยหรือไงว่าผมคิดกับมันแค่เพื่อน แต่ที่ตลกก็คือแทนที่จะปรับปรุงตัวหลังถูกปฏิเสธ มันกลับฆ่าคนที่ผมรักตายเพื่อให้ตัวเองสมหวัง โคตรน่าขยะแขยงเลยว่ะ

   “มึง ไม่เคยรักกู” ไอ้เนย์กันฟันพูดประโยคหนึ่งออกมา

   “ก็รู้ตัวหนิ แต่สำหรับกู...”

   “...”

   “จะรักหรือไม่รักกูก็เอามึงได้หมดนั่นแหละ” พูดจบผมเอื้อมมือไปจับแขนเล็กเอาไว้แน่น ความแรงของฝ่ามือทำให้ไอ้เนย์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะถูกลากกับพื้นตรงไปยังเตียงซึ่งอยู่ไม่ไกล

   ผมใช้แขนทั้งสองข้างโอบอุ้มคนตัวเล็กกว่าโยนลงเตียงอย่างไม่ถนอม ก่อนจะรีบคลานตามขึ้นมาหมายจับข้อมือของคนป่วยเอาไว้ไม่ให้ขัดขืนใดๆ

   “บูกูเจ็บ กูยังไม่หาย...ขอร้องล่ะอย่าทำอะไรกูเลย” น้ำเสียงแหบพร่าขอร้องอ้อนวอนไม่หยุด

   “มึงไม่เจ็บหรอกไอ้เนย์ มึงไม่เคยเจ็บเลย หลายปีที่ผ่านมามึงยังยิ้มได้หัวเราะได้ อย่างนี้ยังจะมาโกหกหน้าตายว่าเจ็บอีกเหรอ” ผมยังคงพูดค่อนแขวะ รู้สึกเกลียดคนคนนี้เป็นเท่าทวี เพราะเมื่อไหร่ที่เห็นหน้ามันภาพของใครอีกคนหนึ่งมักจะผุดขึ้นมาในความคิดของผมเสมอ

   ฝันร้าย...

   ร้องไห้ เสียใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่าคิดว่าผมไม่เคยสัมผัส

   “กูไม่ได้ตั้งใจ ฮือ...กูไม่ได้ตั้งใจ” ใบหน้าซีดเผือดสะบัดไปมา น้ำตารินไหลลงบนปลอกหมอนจนเปียกชื้น แต่ผมก็ไม่คิดหยุด ยังคงเถียงกับมันอย่างต่อเนื่อง

   “มึงไม่ได้ตั้งใจแต่มึงทำแฟนกูตาย!”

   “กูไม่ได้ตั้งใจ”

   “กูปล่อยมึงมาตลอด มึงแย่งผู้หญิงกู มึงเรียนแข่งกู หรือแม้กระทั่งตอนที่มึงส่งคนมากระทืบ กูก็ไม่คิดจะเอาเรื่อง เพราะคิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์ตลอดสิบกว่าปีมันคงพอให้อภัยมึงได้บ้าง”

   “...!!”

   “แต่มึงรู้อะไรมั้ย เวลาที่กูให้มึงไปมันหมดแล้ว” พูดแค่นั้นผมก็รีบกดหน้าลงกับซอกคอขาว ใช้คมฟันกัดลงบนผิวนุ่มจนเลือดไหลซิบ ยิ่งไอ้เนย์ดิ้นพล่านไปมามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของผมได้มากขึ้นเท่านั้น   

   “ไอ้บูอย่าทำกู...กูเจ็บ ฮึก...ปล่อยกูเถอะ” คนใต้ร่างอ้อนวอนทั้งน้ำตา ทำได้แค่ขยับตัวไปมาเมื่อถูกรุกล้ำจาบจ้วง ทว่าผมไม่ฟังยังคงใช้คมฟันดึงเสื้อผ้าของมันขึ้น ก่อนจะใช้มือถอดออกจากตัวอย่างง่ายดาย

   “เจ็บเหรอ เจ็บเท่ากับที่กูเจอมามั้ยล่ะ”

   “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ ฮึก วันนั้น...วันนั้นกูไม่รู้ อื้อออออ” ผมไม่ปล่อยให้คนที่ตัวเองเกลียดพูดพล่ามใดๆ เพราะมันโคตรหนวกหูเต็มแก่ รีบจัดการประกบปากลงบนริมฝีปากร้อนรุ่มเนื่องจากพิษไข้ สอดลิ้นรุกล้ำเข้าไปในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดหยอกล้ออย่างรุนแรง

   “โอ๊ยยยยย!”

ปฏิกิริยาตอบกลับเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น หลังผมเผลอฟาดมือลงบนซีกหน้าด้านซ้ายของไอ้เนย์ทันทีที่ถูกคมฟันของมันกัดเข้าอย่างแรงจนอีกฝ่ายร้องครวญเสียงแผ่ว เจ้าตัวยกมือข้างหนึ่งที่ไม่ถูกยึดไว้ขึ้นมาประกบข้างแก้ม ขณะร่างกายบอบบางนั้นแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์

“อะ...ไอ้บู”

“ใครบอกให้มึงกัดกูวะ”

“อย่าทำอะไรกูเลย มึงไม่เคยคิดจะข่มขืนกูอยู่แล้ว ใช่มั้ย...ใช่มั้ย”

เนย์รู้ดีว่าผมไม่ทำ มันรู้เหมือนที่ผมเองก็รู้ว่าความรู้สึกดีๆ ยังคงเหลืออยู่ แต่กลับถูกฝังกลบเอาไว้ด้วยความแค้นและความเจ็บปวดที่ผ่านมา ในวันที่จีนตาย ผมสูญเสียทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง

“กู...รักมึงบู” ถึงกับชะงักค้างเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินประโยคดังกล่าวจากปากของคนชื่ออาคเนย์ “ที่ตอนนั้นเรานอนกอดกัน เราจูบกันก็เพราะรัก”

“พูดเพื่ออะไร คาดหวังจะขอให้กูรักมึงตอบเหรอ”

“กูรักมึง” มันยังพูดประโยคเดิมด้วยสายตาเลื่อนลอยจนน่าใจหาย

“หุบปาก”

“กูรักมึงบูรพา”

“...”

“กูเคยรักมึง”

ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังยิ้มคล้ายกับว่าตัวเองได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไรกันแน่

ผมผละออกจากร่างบาง ความคิดทุกอย่างถูกตีแตกกระจายจนไม่มีอารมณ์จะกลั่นแกล้งอีก นอกจากปล่อยให้อีกฝ่ายนอนคุดคู้อยู่บนเตียงพลางกอดตัวเองแน่น ทว่าสายตากลับยังคงจดจ้องผมไม่คลาดเคลื่อน

   “มองกูทำไม”

   เอ่ยถามออกไป สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ

   “กูถาม!”

   ไอ้เนย์ยังคงมองมาตาไม่กะพริบ มีหลายอย่างที่แปลกไปจากทุกครั้งตรงที่มันไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับเลย เพียงเสี้ยววินาทีที่การกระทำไวกว่าความคิด รีบเอื้อมมือจับไหล่คนตรงหน้าเอาไว้แน่นพร้อมกับเขย่าไปมา จนรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวจากร่างกายของคนป่วยซึ่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ละความพยายามที่จะทำให้มันรู้สึกตัวสักที

   ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและร่องรอยการถูกทำร้ายจากฝีมือของผมหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากห้อเลือด รอยแดงจากฝ่ามือที่ฟาดใส่อย่างแรงด้วยความโมโห ซอกคอ หรือแม้กระทั่งจุดอื่นที่มองเห็นผ่านสายตาทำให้ต้องถอนหายใจออกมาในที่สุด

   ผมพลั้งมือแรงไปหน่อย ด้วยความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกตามเคย

   “เป็นเหี้ยอะไรอีก”

   สายตาที่มองตรงมายังผมในคราแรกไม่ได้เปลี่ยนวิถี แม้ผมจะขยับเข้าใกล้มันก็ยังมองไปยังจุดเดิม ที่ที่มีแค่เพดานสีขาวเพียงเท่านั้น

   “กูถามมึงก็ต้องตอบ” ผมขู่เสียงเข้ม พยายามเขย่าตัวมันเบาๆ

   “ไอ้เนย์” ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห แต่เมื่อเห็นน้ำตาเม็ดใสไหลลงเงียบๆ ความรู้สึกโกรธแค้นทุกอย่างก็ค่อยๆ เจือจางไป

   “ทะ...ที่นี่หนาวจังเลย” นานเหมือนกันกว่าริมฝีปากแห้งกรังจะละเมอออกมา

   “มึงพูดอะไรวะ”

   “ยะ...อย่าทำอะไรกูเลยนะ กูกลัวแล้ว”

   “มึงมองกูก่อน”

   “อย่าทำอะไรเลย เนย์กลัวครับแม่ แม่ช่วยเนย์ด้วย” ไม่นานอาคเนย์ก็ดิ้นพล่านไปมา อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนผมเองก็สับสน มันยกมืออ่อนแรงขึ้นมาไหว้ไปสะเปะสะปะ หากแต่สายตากลับไม่ได้จดจ้องอยู่กับผมแม้แต่เสี้ยว หลงเหลือแค่ความว่างเปล่าเพียงอย่างเดียว

   “...!!”

   เป็นอะไรไป มึงเป็นอะไร

   คำถามที่ผุดอยู่ในหัวตีกันยุ่งเหยิงไม่หยุด เลยเลื่อนมือจับใบหน้าของมันเอาไว้พร้อมกับตบเบาๆ เพื่อเรียกสติ

   “ไอ้เนย์มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ”

   “กูไม่ได้อยากเป็นฆาตกร ฮือ...” คำพูดที่ได้ยินจากปากทำเอาผมอึ้ง เจ็บเหมือนกับการถูกมีดแทงเข้าไปที่หัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่

   นี่เรียกว่าคำสารภาพแล้วหรือยังอาคเนย์ คำสารภาพตลอดหลายปีที่ผมไม่เคยได้ยิน

   “แต่มึงฆ่าไปแล้ว”

   “ยกโทษให้กูด้วย กูไม่ได้ตั้งใจ”

   “ไม่ได้ตั้งใจแล้วมึงพาจีนไปทำไม มึงพาแฟนกูไปทำไม!” ผมอยากรู้ถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาเนิ่นนานแล้วไม่ได้รับคำตอบ สิ่งที่ไอ้เนย์เลือกปกปิดเอาไว้ เหตุผลอะไรที่ต้องพาเขาไปกับมึงในวันนั้น

   “...”

   “ไอ้เนย์ตอบ!”

   “เนย์ไม่อยากเจอหมอ เนย์เจ็บครับแม่ ฮึก เจ็บจังเลย”

   “มึงพูดเรื่องอะไร”

   “จีน กูเห็นจีนอยู่ตรงนั้น”

   “ตั้งสติ!”

   “หมอบอกว่าจีนจะไม่กลับมา หมอบอก...”

   “...”

   “นั่นมันไม่จริง”

   ในหัวของผมยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าควรจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไงนอกจากปล่อยให้คนใต้ร่างพูดพล่ามเจือเสียงสะอื้นออกมาไม่หยุด

   “หมอบอกให้เนย์ ให้เนย์เลือกได้หนึ่งอย่าง เนย์เลยอยากย้อนเวลา”

   “...”

   “กลับไปวันนั้นได้มั้ย”

   “...”

   “เป็นผมได้มั้ยที่ตาย”


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 21-02-2019 22:31:32
โอ้ยยยยย ทำไมมันหน่วงขนาดนี้คะคุณจิตติ :hao5: :hao5: รอพาร์ทอดีตของน้องเนย์อยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้คุณจิตติค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-02-2019 22:40:25
 ปวดใจมากเลย :o12:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Aomalisa ที่ 21-02-2019 22:58:29
 :sad11:
โอ้ยยยยย ทำไมมันหน่วงขนาดนี้คะคุณจิตติ :hao5: :hao5: รอพาร์ทอดีตของน้องเนย์อยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้คุณจิตติค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-02-2019 23:05:13
 :z10: เนย์
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-02-2019 23:40:33
เหอออออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-02-2019 00:47:43
รู้ว่าเนย์ไม่ได้ตั้งใจ หน่วงจิตสุด ๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 22-02-2019 10:15:44
บูจะใจร้ายกับเนย์ไปอีกนานแค่ไหน พอเถอะ!
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 22-02-2019 10:29:29
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-02-2019 13:55:18
ไม่มีตอนไหนที่ไม่น้ำตาไหลเลยอ่ะ สงสารเนย์จัง  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: usguinus ที่ 22-02-2019 14:37:53
แงงง วงวารเนย์มาก T_ T
รอตอนต่อไปนะคะ ชอบมากกก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-02-2019 16:13:33
ร้องไห้สงสารเนย์
อุบัติเหตุก็คืออุบัติเหตุ
และเนย์เองก็คงไม่อยากเจ็บหรอก
ใครจะอยากเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อให้อีกคนตาย
สำหรับบูการที่เนย์บอกรักตนเอง คงจะหนักหนากว่าจีนตายล่ะมั้ง
เพราะถ้าเนย์ไม่เคยบอกรักบู บูจะยังว่าเนย์เป็นฆาตกรอยู่ไหมนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 22-02-2019 18:54:57
สงสารเนย์ T^T
เนย์พังไปหมดแล้วทั้งร่ายการทั้งจิตใจ โดนทำร้ายซ้ำๆ
บูคงไม่รุนแรงขนาดนี้ถ้าวันที่เกิดอุบัติเหตุไม่ใช่วันเดียวกับที่เนย์สารภาพว่ารักบู
แต่ที่บอกรอดจากการฆ่าตัวตายอีกครั้ง เนย์เคยจะฆ่าตัวตายแล้วหรอ T^T
รอวันที่เนย์ได้รับการรักษาแล้วหายจากบาดแผลนี้
กลับมามีความสุขจริงๆซักทีนะเนย์  :กอด1:
ส่วนบูรพา .. ฮึ ทำร้ายเนย์ไปเถอะแล้วสักวันจะรู้สึก วันที่เสียเค้าไปแล้วอะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 22-02-2019 21:08:36
ก็ยังคงร้องให้กับอาร์คเนย์ในทุกตอน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: italy18 ที่ 22-02-2019 23:24:33
อ่านกี่ที ๆ ก้อหน่วงสลัดบาร์ :sad11:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 23-02-2019 00:33:25
ฮืออออออออออออออออออออออ  :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-02-2019 10:13:08
กลับมาอ่านเรื่องนี้อีกครั้งหลังจากที่ทิ้งช่วงไปนาน ไม่เห็นด้วยกับการข่มขืนเลยนะเอาจริงๆ เกลีนดกันมากแค่ไหนแต่ไม่ควรใช้วิธีนี้มาทำร้ายกัน คนที่โดนคือเหมือนตายทั้งเป็นเลยนะ บูก็เรียนหมอแท้ๆทำไมไม่คิด ความแค้นบังตาบังใจหมดเลยสินะ ตอนนี้เลยเหมือนเนย์รับกรรมไว้คนเดียวอะ ทรมานเหมือนตายทั้งเป็นต้องใช้ชีวิตแบบนี้จนกว่าจะหมดลมอะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 23-02-2019 11:22:39
เนย์พังไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-02-2019 16:57:10
ฮืออออออ อยากโอบกอดร่างเเตกสลายทั้งกายทั้งใจของเนย์
ทำไมแค่เนย์บอกรัก นี่เลวร้ายน่าเกียจขนาดจนต้องต่อว่าแรงขนาดนั้นเลยเหรอ สงสารเนย์

เข้าใจที่บูเสียใจเรื่องแฟนตาย
คิดว่าการทรมานกันให้ตายเป็น โยนความผิดให้เนย์แล้วมันคงทำให้บูรู้สึกเจ็บน้อยลง บูเองก็อ่อนแอ ไม่ต่างจากเนย์ แล้วเนย์ต้องชดใช้ให้บูไปอีกนานแค่ไหน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: farafang ที่ 23-02-2019 23:03:33
เนย์เอ้ยทำไมมันหนักหนาขนาดนี้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่5 [21/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 26-02-2019 07:43:24
ผิดจังหวะ ผิดพลาดทุกสิ่งจนนำมาถึงตอนนี้ ทั้งที่เผลอสารภาพรักไป ทั้งอุบัติเหตุวันฝนตก ยิ่งทำให้บูปักใจไปอีกว่าเนย์ตั้งใจฆ่าจีน แต่ก็เนย์ก็เกือบตายเหมือนกันนะ บูควรจะรู้ว่าไม่ตั้งใจ
ในความคิดเราคิดว่า *ต่อให้บูรู้ว่าเนย์ไม่ได้ตั้งใจแต่บูก็ไม่ให้อภัยอยู่ดีเพราะเนย์ก็เป็นคนให้จีนตาย*

ยิ่งก่อนหน้าทะเลาะกันอีก เพราะงั้นคนแอบรักเพื่อนอ่ะมันถึงต้องเลือกไง ว่าสารภาพไปแล้วเสียเพื่อน หรือเก็บไว้แล้วทนเจ็บมองเขามีคนอื่น
ผลออกมาแย่สุดๆไปเลยว่ะเนย์ มันสงสารตรงที่เนย์คิดว่าถ้าเลือกได้ ขอให้เป็นตัวเองที่ตายแทน
กลายเป็นตอนนี้ถูกคนที่รักทำร้าย มันคือตายทั้งเป็นรึเปล่า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 28-02-2019 23:07:43


CHAPTER 6
BIRTHDAY MEMORY



บูรพา (1) ว. ทิศตะวันออก
บูรพา (2) น. รักแรกของอาคเนย์



   ‘ถ้าโลกมีสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ สักอย่าง มึงอยากให้มันมีอะไรวะ’
   ‘นี่มึงอินกับหนังโดเรม่อนอยู่ใช่มั้ยไอ้บู’
   ‘เออ ตอบๆ มาเหอะน่า’
   ‘ถ้าอยากให้มีเลยก็คงเป็นเครื่องย้อนเวลา’
   ‘ย้อนทำไมวะ ไปอนาคตไม่ดีกว่าเหรอ’
   ‘อดีตมันดีจะตาย’
   ‘พูดอย่างกับว่าตอนนี้ชีวิตมันแย่อย่างนั้นแหละ’
   ‘เผื่ออนาคตไง มีเครื่องย้อนเวลามันดีนะ เวลาเศร้าๆ ก็จะได้พาตัวเองกลับไปตอนที่ยังมีความสุข หรือถ้าเผลอทำผิดพลาดเราก็แก้ไขได้ทันที ไม่ต้องเครียดหรือกังวลถึงผลกระทบที่ตามมาไง’
   ‘ขืนมึงย้อนได้โลกก็วุ่นวายหมดอ่ะดิ’
   ‘คงงั้น’
   ‘เอางี้ดีกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จริงแต่ทำได้แค่ครั้งเดียว มึงจะทำอะไรวะเนย์’
   ‘กูเหรอ อืม...กูอยากกลับไปในที่ที่กูมีความสุขที่สุด ที่นั่นเป็นห้องสีขาวกับผ้าปูเตียงสีเดียวกัน ห้องที่มีหมอนเน่าๆ สองใบ ใบหนึ่งใช้หนุน อีกใบใช้ถีบตอนหลับ กูจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียง มองดูนาฬิกาหกเหลี่ยมที่แขวนอยู่บนผนังเพื่อรอเจ้าของห้องกลับมา’
   ‘ที่มึงพูดนั่นห้องกูป่ะ’
   ‘อือ แล้วมึงจำวันนั้นได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น’
   ‘วันเกิดมึงไง’
   ‘ใช่ แล้วมึงก็เอาของขวัญให้กู เป็นของขวัญเดิมๆ ที่ชอบให้ทุกปี และกูก็มักจะตอบกลับมึงซ้ำๆ ว่าขอบคุณ’
   ‘...’
   ‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง กูจะไม่พูดขอบคุณแต่จะบอกความในใจแทน’
   ‘สมกับเป็นเพื่อนที่โรแมนติกฉิบหาย ว่าแต่...มึงจะบอกอะไรกูล่ะ’
   ‘กูจะบอกว่ากูรักมึง’




   ผมไม่รู้ว่าภาพเหล่านั้นถูกทำลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   ภาพของเพื่อนสนิทที่รักที่สุดกลายเป็นศัตรู ความทรงจำสวยงามในอดีตมันเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้นแหละ พอโตขึ้นและได้เผชิญโลกอันกว้างใหญ่อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปหมด แม้แต่คำว่ารักที่เข้าใจมาตลอดว่าคงหมายถึงมิตรภาพของเรา ความจริงแม่งกลับเกินเลยกว่านั้น

   เราไม่มีไทม์แมชชีนเพื่อย้อนกลับไปในอดีต เรามีแต่ปัจจุบันที่เจ็บปวด เป็นรอยแผลที่ไม่มีทางรักษาหาย นอกจากปล่อยมันเอาไว้เพื่อย้ำเตือนความขมขื่นที่ผ่านมา

   “เป็นผมได้มั้ยที่ตาย”

   “...”

   “เป็นผมได้มั้ย...”

   จู่ๆ บทสนทนาในอดีตของเราทั้งคู่ก็วิ่งวนเข้ามาในหัว หลังจากได้ยินเสียงสั่นเครือของไอ้เนย์ละเมอออกมาไม่ขาดปาก ร่างกายทุกส่วนสั่นหงัก มีไข้สูง สายตาเลื่อนลอย ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับมันยังไง

   “หยุดเพ้อได้แล้ว” ผมเขย่าตัวมันแรงๆ เพื่อเรียกสติ ทว่าผลตอบรับกลับยังเหมือนเดิม “มึงรู้ดีว่าไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้ มึงรู้ดีว่ายังไงมึงก็ไม่มีทางตายแทนจีน”

   “เมื่อไหร่...เมื่อไหร่จะจบ แม่เนย์เจ็บ แม่ ฮือ...”

   ผมไม่รู้ว่าไอ้เนย์มันเกิดบ้าอะไรขึ้นถึงได้ละเมอเพ้อแต่ประโยคที่จับใจความไม่ได้ พอบอกให้หยุดมันก็ยิ่งแสดงอาการหนักกว่าเก่า ซึ่งเดาว่าคงมาจากพิษไข้ที่รุมเร้าจนร่างกายอ่อนปวกเปียกอย่างที่เห็น

   ยิ่งตะคอกอีกฝ่ายมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ผลตรงข้ามจนรู้สึกหัวเสีย เลยต้องเปลี่ยนวิธีค่อยๆ ใช้สองมือกอบกุมใบหน้าร้อนผ่าวนั้นเอาไว้ จดจ้องไปยังดวงตาซึ่งเอ่อรื้นไปด้วยน้ำตาโดยไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมองเห็นผมหรือเปล่า

   “อาคเนย์” น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปอ่อนลงกว่าตอนแรกมาก

   “พอแล้ว ฮึก พอ...”

   “เนย์ มองหน้ากู กลับมาได้แล้ว” ไม่รู้ว่าสติของมันหลุดลอยไปไหน แต่มันถึงเวลาที่ควรกลับสู่ความเป็นจริงสักที ยังไงมันก็คงหนีความเจ็บปวดไปไม่ได้หรอก

   “บู”

   น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้โฟกัสสายตาจะกลับมาจดจ้องที่ผมแล้ว

   “เงียบซะ”

   “บูรพา...”

   ใบหน้าที่บิดเบ้ค่อยๆ ผ่อนคลาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาผมแช่ค้างอยู่กับที่ บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจเหตุผลในการยิ้มของมันเลยสักนิด ไม่เข้าใจพอๆ กับเหตุผลว่าทำไมผมยังไม่ยอมผลักตัวเองออกไปสักที

   “นอนซะ” แม้จะสงสัยเกี่ยวกับความจริงที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายปีแค่ไหน ผมก็จำต้องปล่อยไปก่อนเพราะต่อให้พยายามบีบเค้นยังไง คงได้ยินเพียงเสียงร้องไห้แทบขาดใจของมันเพียงอย่างเดียว

   หลังจีนจากไปในอุบัติเหตุคืนนั้นไอ้เนย์ก็หายหัว

   ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาลหลังรักษาตัวจนหายดีแล้ว แต่เราก็ไม่ได้คุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย พอกลับมาเรียนตามปกติมันก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ที่สำคัญคือไม่เคยรับผิดชอบต่อการกระทำแย่ๆ ของตัวเองสักนิดนอกจากให้แม่กับพ่อมาช่วยจ่ายเงินค่าทำศพ

   ผมรู้ดีในคืนนั้นมีรถคู่กรณีอีกคันที่มีสภาพเละเทะไม่ต่างกับเจ้าของ แถมฝ่ายนั้นก็ยอมรับผิดเองทั้งหมดเนื่องจากกล้องวงจรปิดจับภาพได้ รถยนต์คันดังกล่าวพุ่งมาด้วยความเร็วจนชนเข้ากับรถที่จีนนั่งมา แรงกระแทกของมันรุนแรงมากบวกกับความลื่นของถนนในคืนฝนตกทำให้รถเกิดการพลิกคว่ำหลายตลบก่อนจะจอดสนิท

   อุบัติเหตุในคืนนั้นอาคเนย์ไม่ผิดก็จริง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้จีนตาย

   ถ้ามันไม่พาจีนออกไป ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้...

   ผมดึงมือออกจากใบหน้าขาวซีด มองดูอีกฝ่ายค่อยๆ พาตัวเองจมสู่ภวังค์อย่างช้าๆ ส่วนตัวเองก็รีบเร่งแล้วต่อสายหาใครบางคนที่พอจะช่วยเหลือได้บ้าง

   “พี่ว่างอยู่มั้ย พอดีมีเรื่องรบกวนนิดหน่อย อือ...คอนโดผม”

   คุยกับปลายสายเรียบร้อยผมก็วกกลับมาที่เตียง หลุบตามองคนที่นอนคุดคู้อยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดขยับไปไหน คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัว ทำไมผมต้องช่วยมัน ทำไมถึงต้องเห็นใจ ในเมื่อที่ผ่านมามันก็จ้องจะทำลายชีวิตผมไม่จบสิ้น

   แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าทำได้ผมก็อยากให้มันเจ็บปวดกว่านี้อีกหลายเท่า

   ครึ่งชั่วโมงให้หลังคนที่ผมได้ขอความช่วยเหลือเอาไว้ก็ติดต่อกลับมา โฟมเป็นรุ่นพี่เอ็กซ์เทิร์น  ที่ผมค่อนข้างสนิทและไว้ใจในระดับหนึ่งเนื่องจากอยู่สายรหัสเดียวกัน ประกอบกับสภาพของไอ้เนย์ในตอนนี้ค่อนข้างแย่ เลยจำต้องรบกวนอีกฝ่ายให้มาดูอาการตอนกลางดึกอย่างช่วยไม่ได้

   ความจริงหากพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เกิดเรื่องก็คงหมดปัญหา แต่เพราะกลัวว่าสุดท้ายเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านั้นเลยเลือกที่จะไม่ทำ

   “โทรเรียกกูซะดึกดื่นเลยนะมึง มีปัญหาอะไรวะ” ประโยคแรกโพล่งขึ้นหลังผมเปิดประตูเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

   “จะขอให้มาช่วยดูอาการใครบางคนนิดหน่อย”

   “ไม่พาไปโรง’บาลวะ”

   “ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่” คนฟังขมวดคิ้ว รู้ดีว่ามันคงระแคะระคายกับคำพูดของผมค่อนข้างมาก พี่โฟมเป็นพวกที่ภายนอกดูสุขุมดูเยือกเย็นก็จริง ทว่าตัวตนจริงๆ นั้นกลับเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์แกะดำที่มีนิสัยไม่ต่างผมเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เก่งและเรียนมามากพอจะช่วยดูอาการของไอ้เนย์ในตอนนี้ได้

   “เออๆ แล้วไหนล่ะคนที่มึงอยากให้ดู”

   ผมเดินนำไปยังห้องนอนเล็กจากนั้นก็หมุนลูกบิดประตู โฟมรู้จักไอ้เนย์ดี ถึงตอนนี้คงไม่ต้องเดาแล้วว่ามันกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนหลังจากเห็นสภาพย่ำแย่ของคนที่มันรู้จัก

   “เนย์หนิ มึงทำอะไรมันวะ”

   “มีเรื่องกันนิดหน่อย”

   สองขาของคนอายุมากกว่าก้าวไปประชิดกับขอบเตียง เอื้อมมือไปแตะตรงหน้าผากขาวซีดของคนตรงหน้า

   อาคเนย์ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ถึงจะหยุดร้องไห้ไปแล้วแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความเจ็บปวดที่ฉายสะท้อนเข้ามาในสายตาได้เลย นั่นจึงทำให้โฟมหันมามองผมด้วยสายตาไม่พอใจ

   “มีเรื่องจำเป็นต้องเล่นกันหนักขนาดนี้เลยเหรอวะ”

   “ผมกับมันก็เล่นแรงกันตลอดยังไม่ชินอีกเหรอ ตอนนี้พี่ช่วยดูมันหน่อย ก่อนหน้ามันเอาแต่เพ้อไม่หยุด โคตรรำคาญเลยว่ะ”

   “ดูท่าทางแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตัวร้อนมากนะ” มือที่แตะหน้าผากเลื่อนไปบนซอกคอ จากนั้นก็ค่อยๆ รั้งผ้าห่มออกจนเห็นร่องรอยที่ผมลงมือทำกับมันอยู่เต็มไปหมด

   “มึงทำเหรอ”

   “พี่ช่วยดูให้หน่อย”

   “กูถามว่ามึงทำมันเหรอ!”

   “อือ”

   “ได้ขืนใจมันมั้ย”

   “เปล่า แค่ต่อยตีกันธรรมดา”

   “เล่นแรงไปนะ จิตใจของมึงอย่าว่าแต่เป็นหมอเลย เป็นคนปกติยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”

   “เก็บไว้ด่าทีหลังได้มั้ย ตอนนี้ช่วยดูมันก่อนเถอะ”

   “แล้วนอกจากตัวร้อนก่อนหน้านี้มันมีอาการอย่างอื่นด้วยมั้ย”

   “แม่งเพ้อไม่หยุด ตาลอย ไม่ตอบสนอง”

   “ต้องพาไอ้เนย์ไปโรง’บาล ยาพาราไม่ได้ช่วยให้หายหรอกนะ” หลังได้ข้อสรุป ผมรีบเถียงกลับทันที ยังไงก็จะไม่ยอมพาไปไหนทั้งนั้น

   “ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”

   “ไอ้เนย์ไข้สูงมาก อีกอย่างรอยนิ้วมือนิ้วตีนมึงกระจายตามตัวมันขนาดนี้จะให้อาการดีขึ้นในเร็ววันนี่ยิ่งไม่มีทาง” พี่รหัสส่ายหน้าไปมา ไม่มีใครพูดหรือขยับอะไรอีก นานเหมือนกันกว่าเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงเรียบ

   “พาไปคลินิกพี่กู ปล่อยไว้แบบนี้ต้องแย่แน่”

   “อือ”

   ผมไม่ได้ทักท้วงนอกจากทำตามคำสั่งของคนอายุมากกว่า ใช้เวลาไม่นานก็อุ้มร่างติดสั่นและเพ้อออกมาเป็นครั้งคราวเข้าไปในรถ ระหว่างทางก็ยังไม่วายถูกก่นด่าไม่หยุดหย่อน

   “อย่าทำแบบนี้กับไอ้เนย์อีก กูไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงแม้ว่าจะร้ายแรงแค่ไหนมันก็ไม่ควรลงเอยที่การใช้กำลัง อย่าทำเหมือนมันเป็นสิ่งของไม่มีหัวใจสิ”

   “ทีมันยังทำกับผมเหมือนไม่มีหัวใจเลย”

   “อีกหน่อยถ้ามึงโตขึ้นก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง”

   “ผมโตพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วกัน”

   “ถามจริง มึงเกลียดอะไรมันนักหนา”

   “เรื่องนี้พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

   “จบกันได้แล้ว”

   “เดี๋ยวผมสะใจเมื่อไหร่ก็เลิกทะเลาะไปเองนั่นแหละ”

   “ได้ยินข่าวลือมาว่ามึงสองคนเคยเป็นเพื่อนกัน ถามจริงเถอะตอนนี้มึงยังรู้สึกรักมันสักนิดหนึ่งมั้ย” ไม่เคยมีใครถามผมแบบนี้สักครั้ง เป็นครั้งแรกเลยที่ถูกจู่โจมและผมก็ได้แต่แค่นยิ้มออกมา “ที่ยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไง”

   “เคยรู้สึก...”

   “...”

   “ก็แค่เคย”

   ประโยคในรูปอดีต ยังไงมันก็เป็นแค่เรื่องที่เคยผ่านมาแล้วเท่านั้น...













   ครอบครัวของพี่รหัสผมเป็นหมอกันทั้งตระกูล และคลินิกที่เราอยู่ตอนนี้ก็เป็นของพี่สาวคนโตของบ้าน แถมยังโยนภาระให้เธอเป็นฝ่ายดูแลคนป่วยให้อีก ผมต้องให้ไอ้เนย์นอนพักที่นี่ไปก่อน พออาการดีขึ้นถึงค่อยพามันกลับไปที่คอนโดอีกครั้ง

   “บูไปนอนพักก่อนเถอะ ข้างบนมีห้องนอนแขกอยู่ ไปนอนกับโฟมก่อนได้”

   “ขอบคุณครับพี่เฟย์ แต่...”

   “ทางนี้พี่ช่วยดูให้เอง อีกอย่างเพิ่งให้ยาลดไข้ไป เนย์คงยังไม่ตื่นเร็วๆ นี้แน่” พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกวางใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคลินิก ตรงดิ่งไปยังมุมสุดของอาคารก่อนจะขอตัวเป็นกาฝากนอนกับรุ่นพี่ปีหกชั่วคราว

   ผมนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะมีเรื่องให้กังวลเต็มไปหมด กว่าจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความฝันก็เกือบเช้า นอนได้ไม่เท่าไหร่สองหูกลับได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งแว่วเข้ามา ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

   ปังๆๆ

   คนเคียงข้างสบถออกมาไม่หยุดก่อนจะลุกงัวเงียไปเปิดประตู

   ภาพแรกที่เห็นคือสีหน้าไม่สู้ดีนักของคุณหมอเจ้าของคลินิก เธอมองมาที่ผม เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเต็มไปด้วยความกังวล

   “บูลงไปข้างล่างหน่อย”

   “มีอะไรเหรอครับ”

   “เนย์ตื่นแล้วนะ”

   มันควรโล่งใจไม่ใช่เหรอเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ผมกลับไม่ถามอะไรเพิ่มเติมนอกจากตามคนตัวเล็กลงไปยังชั้นล่าง ที่นี่มีห้องพักสำหรับคนไข้อยู่ห้องหนึ่ง ภายในมีเตียงขนาดเล็ก ถูกปิดล้อมด้วยผนังสีขาวสะอาดตาทั้งสี่มุม สิ่งที่ผมคิดเอาไว้คือการเห็นร่างบอบบางและซีดเซียวนอนอยู่บนเตียง แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น

   “แม่อยู่ไหน...”

   น้ำเสียงแผ่วเบาดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง

   อาคเนย์ในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมันกำลังกอดเข่าตัวเองแน่น สายน้ำเกลือยังคาอยู่ที่มือ ริมฝีปากพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่โวยวาย ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

   “ไอ้เนย์” ผมเรียกชื่อมัน ก่อนจะได้รับสายตาว่างเปล่ากลับมา

   “ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ครับ มัน...น่ากลัว”

   “เดี๋ยวถ้าหายดีก็จะได้กลับบ้านแล้วนะคะ” ท่ามกลางความสับสนงุนงงของคนในห้อง ดูเหมือนพี่เฟย์จะได้สติสุดเพราะยังคงสื่อสารกับคนตรงหน้าอย่างใจเย็น เธอพยายามย่างเท้าเข้าไปประชิด ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสตัวไอ้เนย์ก็แหกปากร้องลั่นขึ้นมาซะก่อน

   “อย่าเข้ามา! อย่าทำอะไรผมนะ”

   “ไม่ทำจ้ะ พี่อยู่แค่นี้เอง ไม่เข้าใกล้นะ” ไม่มีใครขยับเข้าใกล้มากกว่านั้น “น้องไม่ปกติแล้วนะบู จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ต้องพาไปโรง’บาลแล้วติดต่อแผนกจิตเวช”

   ความง่วงงุนในคราแรกหายเป็นปลิดทิ้งหลังได้ยินคำแนะนำจากอีกฝ่าย

   “ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้” ที่ผ่านมาเราทำร้ายกันมาตลอด เข้าใจว่าบาดแผลที่มีล้วนเกิดจากแผลทางร่างกาย แต่ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ บางที...ผมก็อยากให้สิ่งที่คาดคะเนไม่เกิดขึ้นจริง

   “เราไม่มีประวัติการรักษาของเขา ยังไงก็ต้องไป”

   “โอเคครับ” ไม่มีทางเลือกแล้ว ที่สำคัญคืออาการของไอ้เนย์ดันหนักหนากว่าที่คิด

   “แต่ตอนนี้เราเข้าถึงตัวเนย์ไม่ได้กลัวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ ไข้ก็ยังไม่ค่อยลด ยังไงก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป”

   “ผมรู้”

   “โฟมไปรอข้างนอกพี่จะคุยกับเนย์หน่อย” เจ้าของชื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจพลางเดินออกไปตามคำขอ มีเพียงผมที่ยังอยู่และยืนห่างจากคนทั้งคู่ค่อนข้างมาก

   “เนย์...ไม่สบายตรงไหนบอกพี่หน่อยได้มั้ยคะ” น้ำเสียงที่ดูใจเย็นนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลงมาก เธอค่อยๆ ย่อเข่านั่งลงกับพื้นในระดับเดียวกัน ส่วนคนฟังเองก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่าจ้องมองกลับด้วยสายตาเลื่อนลอย “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

   “บูรพา”

   “...!!” อาคเนย์เรียกชื่อผมแทนการตอบคำถาม ผมเลยก้าวเท้าเข้าไปหาแต่กลับต้องชะงักค้างอยู่กับที่เมื่อมันห่อตัวแน่นกว่าเดิมพร้อมกับร้องเสียงหลง

   “เจ็บ อย่าทำได้มั้ย เจ็บ”

   “ไม่มีใครทำอะไรนะคะ ไม่มีอะไร” พี่เฟย์ส่งสายตากลับมาให้ผมออกไปก่อน ด้วยไม่อยากขัดคำสั่งเลยยอมเดินออกไปเงียบๆ และปักหลักอยู่ข้างประตูเพื่อเฝ้ามองสถานการณ์ไปด้วย

   ในหัวมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด เฝ้าแต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือนี่เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่อีกฝ่ายกำลังแสดงเพื่อให้ผมประสาทเสียตาม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นไอ้เนย์ก็คงทำสำเร็จไปแล้วเพราะผมกำลังจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ

   “แม่อยู่ไหน”

   น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นยังคงถาม

   “เดี๋ยวพี่โทรหาคุณแม่ให้น้า”

   “แม่มารับผมหน่อย ผมไม่อยากอยู่ที่นี่” ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงประโยคบอกเล่าแบบโมโนโทนเท่านั้นที่ดังก้องในโสตประสาทคล้ายกับว่าคนพูดกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน

   “อีกไม่นานคุณแม่ก็จะมารับกลับแล้ว เพราะงั้นเนย์บอกพี่ได้มั้ยว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

   “เจ็บตรงนี้” เพราะประตูห้องไม่ได้ปิด ผมเลยเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือบางเลื่อนมาจับแขนของตัวเองพร้อมกับลูบไปมา

   “เจ็บที่แขนเหรอคะ” คราวนี้มันพยักหน้า พี่เฟย์เลยถามต่อ “แล้วเนย์เจ็บตรงไหนอีก”

   “ตรงนี้...” มือตบที่หน้าอกตัวเองเบาๆ

   “งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยดูให้นะ พี่เข้าไปได้ใช่มั้ยคะ” เจ้าตัวส่ายหัวเป็นคำตอบ

   “ผมมีวิธี มันจะหาย...”

   ว่าแล้วใบหน้าไร้สีเลือดนั้นก็คลี่ยิ้มมุมปาก ผมไม่แน่ใจนักว่ามันตื่นขึ้นมาหรือกำลังอยู่ในภวังค์ที่ลึกที่สุดกันแน่ เพราะท่าทีที่แสดงออกในตอนนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย

   “ปกติเนย์ทำยังไงถึงจะหายคะ พี่เองก็พอช่วยได้เหมือนกัน”

   “ไม่มีใครช่วยได้ หมอก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ผม...”

   “...”

   “จีนบอกให้ผมขับรถ แต่ผมขี้ขลาด ผมไม่กล้าพอที่จะแตะต้องมันอีก” น้ำเสียงราบเรียบเริ่มสั่นเครือลงเรื่อยๆ คนพูดเองก็ค่อยๆ ก้มหน้างุ้มจนตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “เธอบอกให้ผมลองขับ ขับไปบนถนน”

   “เธอบอกเนย์เหรอ ในความฝันหรือเปล่า”

   “เธอมา” ไม่มีจีนบนโลกนี้อีกแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะมา มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่ไอ้เนย์พยายามสร้างขึ้นและนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปอีก

   “มาหาบ่อยแค่ไหนคะ”

   “ผมไม่รู้ แต่พอผมไม่ทำตามเธอก็จะมาเรื่อยๆ ผมขับรถไม่ได้เพราะไม่มีความกล้าพอ แต่ในคืนนั้นผมจำได้ดี เลือดท่วมตัวเราทั้งคู่ ผมนับเลข...ร้องให้ใครสักคนมาช่วย หนึ่ง สอง สาม สี่”

   “เนย์นับถึงเท่าไหร่”

   “ห้า หก เจ็ด แปด เก้า...” ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดนอกจากการนับเลขไปเรื่อยๆ ราวกับคนละเมอ

   ห้องทั้งห้องไร้เสียงรบกวน มีแต่เสียงของอาคเนย์เท่านั้นที่ยังเปล่งออกมาไม่หยุด ทั้งอึดอัดและทรมาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลขพวกนี้หมายถึงอะไร จนอยากจบทุกอย่างด้วยการโทรหารถพยาบาลให้รีบพาตัวออกไปซะ แต่ติดตรงที่ผมดันปล่อยให้มันเป็นแค่ความคิดเพียงอย่างเดียว

   “หนึ่งร้อยสิบสาม หนึ่งร้อยสิบสี่ นับเลขทำให้ผมหายเจ็บ”

   และนั่นคือคำตอบของคำถามในตอนแรก

   “ผมนับมันเรื่อยๆ เบื่อหน่อยก็เลยลองหยิบก้อนหินขึ้นมา ตอนนั้นผมดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง  นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ดูแต่ก็ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี วินาทีที่ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เดินลงไปในน้ำ ผมชอบนะ...”

   ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมในตอนนี้ไม่ต่างกับการเดินลงไปในน้ำเหมือนผู้หญิงในจินตนาการของอาคเนย์เลย

   “ความรู้สึกนั้นดูไม่เศร้าเท่าไหร่ เหมือนจะ...ผ่อนคลายด้วยซ้ำ เลยลองทำตามบ้าง”

   “...”

   “หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน...ตัวผมหนักไปหมด เดินก็ลำบาก แต่ไม่รู้คิดอะไรถึงรู้สึกว่ามันน่าสนุกดี”

   ผมไม่ได้อยากฟังต่อ แต่สองเท้ากลับเหมือนมีอะไรบางอย่างตรึงเอาไว้ให้อยู่กับที่

   “วันนั้นจีนมาหาผม เธอบอกมันน่าสนใจเลยอยากลองทำบ้าง เราเดินไปที่สนามหญ้ากว้างๆ ของสวนสาธารณะ ตรงนั้นมีสระที่กว้างมาก ผมถามเธอว่าเล่นน้ำตอนกลางคืนได้มั้ย เธอเลยตอบว่าได้”

   ไอ้เนย์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง วนนิ้วชี้ไปมาบนพื้นราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต

   “เราเดินลงไปด้วยกัน หินที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อและกางเกงดึงผมให้จมลงไปใต้น้ำ นั่นเป็นครั้งแรกเลย ครั้งแรกที่ไม่รู้สึกเจ็บอีก ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยอยู่ในความมืด ในใจเต้นลิงโลดเหมือนได้รับอิสระ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...ผมรู้แล้ว”

   “...”

   “การหายไปคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่ต้องเจ็บปวดอีก”



อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 28-02-2019 23:09:23


   หน้าปัดรถยนต์เลื่อนไปที่ตัวเลข 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

   จุดหมายของผมเป็นบ้านหลังใหญ่ที่แสนคุ้นตา ตอนนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมแม้กระทั่งต้นไม้ที่ปลูกเรียงรายตรงทางเข้าบ้านนั่นด้วย

   ผมมักแวะมาที่นี่เสมอเมื่อมีโอกาสเพื่อถามไถ่ความเป็นไปของคนในครอบครัว คราวนี้ก็เช่นกัน จะแตกต่างนิดหน่อยก็ตรงที่ในหัวของผมมันมีเรื่องบางอย่างค้างคาในใจมาหลายวันจนสลัดไม่ออก ท้ายที่สุดผมก็ต้องกลับมาหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง

   “อ้าวบู ไม่โทรบอกก่อนล่ะว่าจะมา” เสียงคนอายุมากกว่าเอ่ยทักทาย หลังขับรถเข้ามาจอดด้านในได้ครู่หนึ่ง

   “พอดีผมมาทำธุระแถวนี้ครับ เสร็จแล้วก็เลยแวะมาหาแม่ นี่ของฝากครับ”

   “ไม่เห็นต้องลำบากเลย” คนตรงหน้ายื่นมือมารับของเสร็จมันก็ถูกส่งต่อไปยังแม่บ้านซึ่งรอรับอยู่ก่อนแล้ว “เข้าไปคุยกันข้างในก่อนมั้ย”

   “ครับ” พอได้รับคำเชิญชวนผมก็ไม่ปฏิเสธเดินเข้าไปในบ้านทันที

   เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังคงจัดเรียงเหมือนเดิม เหมือน...แม้กระทั่งรูปครอบครัวซึ่งแขวนอยู่บนฝาผนัง

   “ช่วงนี้แม่เป็นไงบ้างครับ สบายดีมั้ย”

   “ก็ดีจ้า”

   “เพื่อนคนอื่นของจีนได้แวะมาที่บ้านบ้างหรือเปล่าครับ”

   “ไม่ค่อยหรอก” เธอมีสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย “ตั้งแต่จีนจากไป ก็ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนของเขาอีก จะมีก็แต่บูเนี่ยแหละที่แวะมาหากันบ่อยๆ”

   ใช่ ผมมาที่นี่ค่อนข้างบ่อย มาเพื่อพูดคุยกับแม่ของเธอเพื่อหวังว่าจะคลายความโศกเศร้าในใจไปได้บ้าง

   ถึงครอบครัวจะมีลูกสาวและลูกชายอีกสามคน ทว่าก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการจากไปของลูกคนเล็กสร้างบาดแผลให้กับคนที่เหลืออยู่ไม่น้อย

   “ถ้าแม่อยากให้ผมทำอะไรก็บอกได้เลยนะครับ”

   “แม่ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงและแวะมาหากันบ้างก็ดีแล้ว”

   เครื่องดื่มถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า ความจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจแวะเข้ามาเพราะเป็นทางผ่าน แต่ตั้งใจจะถามไถ่อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้นมากกว่า

   จริงอยู่...เรื่องราวในอดีตจบลงและผมได้รู้ความจริงอย่างกระจ่างชัดตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ที่มาวันนี้ก็เพื่อตอกย้ำให้ตัวเองได้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดมาตลอดมันไม่ผิด

   “บูมีอะไรจะถามแม่หรือเปล่า” ผมเกลียดตัวเองที่ขี้ขลาดจนไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

   “ผม...”

   เหตุการณ์มันนานมาแล้ว เรื่องราวทุกอย่างที่ผมได้ฟังก็มาจากแม่ของจีนอยู่ฝ่ายเดียว เพราะไอ้เนย์เล่นหายหัวแล้วเลือกจะลืมทุกอย่างไป ผมไม่เคยสงสัยอะไรมาตลอดหลายปีจนกระทั่งเกิดเรื่องที่มันเพ้อหนักจนควบคุมสติไม่อยู่

   อาคเนย์ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อน โดยมีพี่เฟย์ออกหน้าแทนให้ ไม่มีใครพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ไอ้เนย์ตกอยู่ในสภาพนั้น แม่ของมันเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร เดาว่าเธอคงรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวเอง ทั้งจากบาดแผลภายนอก บันทึกการรักษาของหมอ รวมถึงอาการผิดปกติบางอย่างที่แสดงออกมา แต่เธอกลับเลือกที่จะไม่พูดมันมากกว่า

   ผมไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาของคนป่วยมากนัก ฝั่งนั้นเองก็ไม่ได้บอกว่าต้องดูแลยังไงบ้าง เรื่องจิตแพทย์ที่พี่เฟย์พูดขึ้นตอนอยู่คลินิกก็ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด สิ่งเดียวที่รู้คือครอบครัวของอาคเนย์ค่อยๆ ปิดกั้นความจริงบางอย่างเอาไว้ไม่ให้ใครรู้

   “พูดมาเถอะ เกี่ยวกับจีนหรือเปล่า”

   “ครับ ผมอยากจะถามว่าในวันนั้นจีนได้โทรบอกแม่จริงๆ ใช่มั้ยครับว่าเนย์ชวนออกไปข้างนอก”

   คนฟังสะอึก คล้ายกับกำลังพาตัวเองย้อนกลับไปในอดีต

   “อือ แม่จำได้ดีเลย คนรถบอกว่าจีนไม่ยอมกลับแต่เพื่อนอาสาจะไปส่งที่บ้าน”

   มันแย่มากที่ทำให้เขาต้องรื้อฟื้นอดีตที่แสนเจ็บปวดซ้ำๆ แม้จะไม่อยากพูดแล้วก็ตาม

   “พอโทรไปเช็กจีนก็บอกว่าเพื่อนขอร้องให้มาช่วยซื้อของ ระหว่างนั้นแม่ก็เป็นห่วง ยิ่งเห็นฝนตกหนักเลยโทรไปถาม เขายังไม่ยอมออกมาทางนี้เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ”

   แม่หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบแก้วน้ำดื่มขึ้นมาจิบ

   “ฝั่งแม่ก็ไม่รู้อะไรหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้จีนจากไป”

   “...”

   “แปลกดีที่ครอบครัวของเขายังคงมีความสุขดี ขณะที่เราร้องไห้แทบขาดใจ แต่ก็นั่นแหละชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า จะให้ย่ำอยู่กับที่ก็คงเปล่าประโยชน์ บูคิดอย่างนั้นมั้ย”

   “ครับ”

   คิดถูกแล้ว

   ผมไม่ควรเห็นใจคนที่ฆ่าคนรักของผม

   สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นเหตุมาจากมัน

   จะเจ็บปวดก็เพราะเป็นตัวของมันเอง ไม่ใช่ใครเลย...



 











   [ อาคเนย์ ]

   ผมขาดเรียนอีกแล้ว รอบนี้นานนับสัปดาห์เพราะต้องนอนโรงพยาบาลเนื่องจากอาการของโรคที่รักษาไม่หายกำเริบขึ้นมาอีก แม่ผมกลับจากทริปกับเพื่อนๆ หลังได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รอช้ารีบตามมาเฝ้าถึงเตียง

   ทุกคนปิดปากเงียบราวกับต้องการให้เรื่องเหล่านี้หายไปกับอากาศเหมือนทุกครั้ง แม่เองก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมแต่ผมรู้ ดวงตาคู่นั้นที่มองมาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

   “เนย์ เราย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันดีมั้ย”

   วันนี้ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาล แม่ช่วยจัดแจงข้าวของรวมถึงอาหารและยาที่ต้องกินในทุกมื้อด้วย หลังว่างจากทุกอย่างเธอมักจะหยิบนวนิยายเล่มโปรดที่อ่านกี่ทีกี่ทีก็ไม่จบสักทีขึ้นมาเปิด คราวนี้ก็ไม่ต่าง ผิดแค่ว่าประโยคที่แม่พูดออกมานั้นมันชวนตกใจไม่น้อย

   “แม่เล่นตลกอยู่เหรอ นี่บ้านของเราจะให้ย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน”

   “ไม่รู้สิ แค่คิดว่าเราควรไป”

   ผมฉีกยิ้ม ทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

   “อ่านนิยายแล้วอินอีกล่ะสิ ไม่ใช่ว่าอยากจะหนีก็หนีได้สักหน่อย” โดยเฉพาะเวลาที่เราไม่มีเงิน พ่อเองก็ไม่อยู่แล้วด้วย เหลือกันแค่สองคนจะดิ้นรนกันยังไง

   “อาการลูกกลับมากำเริบอีกแล้ว”

   “ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วครับ”

   “แม่ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาทำให้ลูกเจ็บปวดไปมากแค่ไหน แต่ถ้าลูกไม่อยากทนก็บอกแม่ได้เลย”

   “จะให้ผมทนกับอะไร ผมไม่ได้ฝืนสักหน่อย”

   “เนย์...” จู่ๆ น้ำตาเม็ดใสก็ไหลลงมาเปื้อนหน้าของแม่ เห็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้ต้องทำยังไงนอกจากโน้มตัวเข้าไปกอดและเอ่ยปลอบด้วยคำเดิมๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’ อยู่อย่างนั้น

   “ทุกอย่างมันโอเคกว่าแต่ก่อนเยอะนะแม่”

   “ไม่รู้สิ แต่ย้ายออกจากห้องของบูเถอะนะ”

   “ครับผมจะย้าย จริงๆ ก็เช่าห้องที่หอพักใหม่แล้วล่ะ แค่ยังไม่มีโอกาสขนของเข้าไป”

   “มันนานเท่าไหร่แล้ว หมายถึง...” คงจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่แตกหักเกินกว่าจะประกอบขึ้นมาใหม่ แถมยังร้ายแรงถึงขั้นใช้กำลังจนต้องผลัดกันเข้าไปนอนโรง’บาลอยู่บ่อยครั้ง

   “ช่างมันเถอะครับ”

   “แม่ถามหน่อยสิเนย์”

   “อืม...”

   “ยังรักที่จะเรียนหมออยู่มั้ย”

   “รักครับ” แม้จะไม่แน่ใจคำตอบที่พูดออกไปเลยด้วยซ้ำ

   “ยังรักพ่ออยู่มั้ย”

   “รักครับ”

   ถึงจะออกปากพูดว่าอย่ากลับมายังไง ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังเฝ้ารอวันที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แม้ความเป็นไปได้มันจะมีค่าเท่ากับศูนย์ก็ตาม

   “คำถามสุดท้ายและแม่จะไม่ถามอีก เนย์ยังรักบูอยู่มั้ย”

   “ผม...”

   “จริงๆ คำถามนี้ยังไม่ต้องตอบแม่ก็ได้ ตอบกับตัวเอง ถึงตอนนั้นลูกจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป”

   มันเป็นคำถามที่ยาก ถามกี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยตอบเหมือนกันทั้งที่มันมีอยู่แค่สองคำตอบ คือรัก หรือไม่รักเท่านั้น ผมอาจจะต้องใช้เวลาถามตัวเองอย่างจริงจังอีกสักครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ตอบได้และมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็คือ...

   บูรพา เป็นรักแรกของอาคเนย์



 











   ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นผมก็แทบไม่เจอบูรพาอีกนับเดือน

   เสื้อผ้าและของสำคัญที่อยู่ในห้องถูกขนย้ายออกหมดแล้วระหว่างที่นอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ผมไม่ต้องทำอะไรเลยแม่ก็จัดการให้หมดทุกอย่าง รู้ตัวอีกทีเราก็ได้กลับมาอยู่ที่บ้านสองคนแม่ลูกเหมือนแต่ก่อน

   ถึงเรียนคณะเดียวกัน อยู่แล็ปและที่นั่งใกล้กัน แต่เราก็มักหลีกเลี่ยงไม่มาเจอกันได้ดีเสมอ วันไหนที่ผมมาเรียนไอ้บูจะหายหัว ส่วนวันไหนที่เห็นร่างสูงนั่งโด่อยู่ในห้องผมก็เลือกจะเป็นฝ่ายหนีเอง เป็นอย่างนี้อยู่นานกระทั่งวันนี้...

   วันที่ 25 ธันวาคม

   มันคือวันคริสต์มาส เกือบทุกบริเวณประดับประดาไปด้วยไฟหลากสีรวมถึงต้นคริสต์มาสสูงตระหง่านตามแลนด์มาร์กสำคัญๆ บรรยากาศช่วงสิ้นปีดูครึกครื้นและเต็มไปด้วยสีสัน ราวกับว่ากำลังเฉลิมฉลองให้กับวันสำคัญอีกหนึ่งวัน นั่นก็คือ...

   วันเกิดของอาคเนย์

   ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการทำบุญและอยู่ฉลองกับแม่สองคนที่บ้าน ดึกหน่อยก็นัดหมายกับเพื่อนสายปาร์ตี้ว่าจะออกมาดิ้นกันในวันเกิดพ่วงวันคริสมาสต์

   “ขอให้มีความสุขมากๆ นะเว้ย”

   เกร้ง!!

   แก้วเหล้ากระทบกันจนเกิดเสียง ถึงจะมากันไม่ครบเนื่องจากแยกย้ายไปตามก๊วนแก๊งของตัวเอง ทว่าบรรยากาศในค่ำคืนนี้ก็ทำให้ผมลืมความเศร้าหลายอย่างไปเยอะทีเดียว

   “อายุยี่สิบปีเต็มจริงๆ แล้ว ต่อไปไม่ต้องแอบแม่มึงมาแดกเหล้าแล้วนะ ฮ่าๆ”

   “โคตรเหี้ยเลย” ผมเถียงไอ้ดินกลับไป

   แอลกอฮอล์ เสียงเพลง รวมไปถึงแสงไฟปลุกเร้าความรู้สึกสนุกสนานให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งใกล้เที่ยงคืนมากขึ้นเท่าไหร่แต่ละคนก็งัดไม้เด็ดมาเซอร์ไพรส์มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ประเคนมาให้ตรงกลางโต๊ะ บางกล่องถูกยุให้เปิด ณ ตอนนั้น ขณะที่บางกล่องยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์รอการแกะหลังผ่านพ้นคืนนี้ไป

   “เฮ้ย พวกมึง! กูว่าเราเจอก้างชิ้นโตอีกแล้วว่ะ” ดื่มด่ำกับบรรยากาศไปสักพักเสียงของเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งพลันเอ่ยท้วง ผมหันไปมองยังทิศทางของนิ้วมือนั้นตามสัญชาตญาณ ก่อนหัวใจทั้งดวงจะรัวกระหน่ำอย่างหนักเนื่องจากเห็นภาพของใครคนหนึ่งในม่านสายตา

   “ไอ้บู...” ผมพึมพำเสียงแผ่ว ตรงข้ามกับไอ้ดินที่ดูตื่นตระหนกกว่าใครเพื่อน

   “ไอ้เนย์มึงรีบกลับเถอะ”

   สภาพไอ้ดินหลังถูกไอ้บูซ้อมยังติดตาอยู่เลย และผมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเอามันมาเสี่ยงอีกแล้ว

   “กู...”

   “จะรีบกลับไปไหนวะ รอเป่าเค้กก่อนเดี๋ยวค่อยแยกย้ายกันก็ได้” ดูเหมือนอีกหลายคนจะไม่เห็นด้วย พวกมันไม่เคยรู้ว่าหลังจากนั้นผมต้องเผชิญหน้ากับอะไร ยังนึกสนุกและไม่เกรงกลัวแม้สุดท้ายจะต้องจบลงที่การชกต่อยเหมือนเคย

   แน่นอนว่ายังไม่ทันได้ขยับตัวหรือหนีไปที่ไหนอย่างใจคิด ร่างสูงของบูรพากับเพื่อนก็เดินตรงดิ่งมายังโต๊ะของเรา ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่

   “ขอนั่งด้วยคนสิ” ผมกลัว เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่เอาแต่ก้มหน้า

   อาคเนย์ที่พยายามสร้างความกล้าหาญให้ตัวเองมาตลอดพังทลายไปนานแล้ว หลงเหลือเพียงความอ่อนแอที่ปรากฏให้เห็น

   “อะไรวะ พวกกูไม่ได้ต้อนรับมึง” หนึ่งในเพื่อนผมออกปากแทบถลาเข้าไปแลกหมัดกันอยู่รอมร่อ แต่มันผิดตรงที่อีกฝั่งดูใจเย็นและเข้าหาอย่างเป็นมิตร ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการเป็นศัตรูแบบเปิดเผย

   “พวกกูขอนั่งด้วยสิ คืนนี้มันสำคัญนะเว้ย กูไม่ได้อยากมาหาเรื่องสักหน่อย”

   “ไสหัวไปไกลๆ”

   “มึงก็รู้ว่าเมื่อก่อนกูกับไอ้เนย์สนิทกันมากแค่ไหน เพื่อนอยากฉลองวันเกิดให้เพื่อนแค่นี้ไม่ได้เหรอวะ”

   ไอ้บูรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันเกิดผม เพราะอีกไม่กี่วันก็คือวันเกิดของมัน วันสิ้นปี...

   ทุกปีเราจะฉลองด้วยกัน มอบของขวัญแล้วก็ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ แต่พอโตขึ้น หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป เราก็ไม่ได้กลับมาทำอย่างนั้นอีกแล้ว

   “มึงถามไอ้เนย์สิ”

   “กูเคลียร์กันแล้ว มึงโอเคใช่มั้ยวะเนย์”

   บูรพาถามผมด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ ทว่าผมกลับน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ได้ ทั้งมันและเพื่อนอีกสามเลยเข้ามานั่งแทรกอย่างถือวิสาสะ จนพื้นที่ตรงโซฟาโซนวีไอพีอัดแน่นไม่เหลือช่องว่าง ไม่มีใครพูดอะไรอีกนอกจากจ้องมองคนมาใหม่นิ่ง นานเหมือนกันกว่าอีกฝ่ายจะสั่งเครื่องดื่มและเริ่มต้นสนทนา

    จิตใจของผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาตั้งนานแล้ว ยิ่งเมื่อถูกสายตาคู่คมจดจ้องร่างกายก็ยิ่งแสดงปฏิกิริยาหนักกว่าเก่า รู้สึกราวกับถูกใครสักคนถือมีดมากรีดที่อกจนมันแหวกออกจากกัน

   แปลกดี ที่ผ่านมาต่างคนต่างหลบหน้ากันตลอด แต่ทำไมวันนี้มันถึงไม่ทำเหมือนอย่างเคย

   “กู...กูขอตัวก่อนนะ” เอ่ยออกมาเสร็จก็ตั้งท่าจะลุกขึ้น

   “จะไปไหนวะ หนีกลับเหรอ” ไอ้บูเหมือนจะรู้ทันรีบพูดแทรกทันที “อีกยี่สิบนาทีก็ถึงเที่ยงคืนแล้ว กูสั่งของขวัญพิเศษกับทางร้านเพื่อมึงโดยเฉพาะเลย นั่งก่อนสิ”

   “มึงตั้งใจทำอะไรไอ้บู วันเกิดกู...กูอยากอยู่กับเพื่อน”

   “แล้วกูไม่ใช่เพื่อนมึงเหรอ” มันดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ดี หากประโยคนั้นไม่ได้มาจากปากของคนที่เกลียดผมที่สุดในชีวิต

   “มึงต้องการอะไรกันแน่”

   “พูดเหี้ยอะไร กูก็แค่อยากฉลองวันเกิดให้มึง ไม่ดีใจหรือไง” ท้ายประโยคแค่นยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพาเอาคนฟังขนลุกซู่ ผมรู้จักสายตานั้นดี สายตาที่มักได้รับและลงท้ายด้วยความเสียใจของผมเสมอ

   “อยู่รอก่อนเถอะจิ้มลิ้ม พวกกูตั้งใจกับของขวัญวันเกิดชิ้นนี้มากนะเว้ย” หลังได้ยินเพื่อนของไอ้บูพูด ผมก็ส่งสายตาขวางๆ ใส่ทันที

   “กูไม่ชอบให้ใครเรียกแบบนี้”

   “โธ่...มึงก็มีผัวแล้วนะ จะให้เรียกว่าอะไรอีกล่ะ”

   “...!!”

   นาฬิกาในชีวิตเหมือนถูกทำลายลงตรงหน้า เวลาคล้ายกับหยุดเดิน เสียงเพลงที่ดังอยู่เต็มสองรูหูกับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดไม่สามารถลบความรุนแรงในประโยคนั้นออกจากความรู้สึกได้เลย

   ไอ้ดินเริ่มบีบมือ เพื่อนในกลุ่มเงียบสนิทจ้องมาที่ผมนิ่ง มันรู้อยู่แล้วว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ผมเคยนอนกับไอ้บูด้วยความเต็มใจ เคยรักกันมาก่อน แล้วไงอีก สุดท้ายวันเกิดปีนี้ก็คงพังไม่เป็นท่าเพราะพวกมันต้องการประกาศให้ผมรู้สึกอับอายจนอยากเอาปี๊บคลุมหัว

   ความโกรธอัดมวนอยู่ภายในอกจนต้องกำหมัดอีกข้างไว้แน่น อยากถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วเขย่าจนหัวสั่นคลอน แต่ความจริงกลับทำได้แค่กัดฟันกลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหล

   “มึงจะล้อมันทำเหี้ยอะไร” ปล่อยให้บรรยากาศอึดอัดอยู่นานในที่สุดไอ้บูก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง “ถึงพูดความจริงไปไอ้เนย์ก็ไม่ยอมรับหรอก”

   “จะให้กูยอมรับอะไรวะ” อารมณ์คุกรุ่นที่พยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ

   ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ความลับ ความน่าสมเพช ความทรงจำแย่ๆ ที่ผ่านมาถ้าจะให้เพื่อนมันรู้ทั้งหมดก็ช่างแม่งประไร

   “ก็ความจริงไง ครั้งหนึ่งมึงเคยเป็นของกู และอีกไม่นานมึงก็อาจจะเป็นของใครอีกหลายคน”

   “ทำไม มึงจะยกกูให้เพื่อนมึงเหรอ”

   “ทำไมรู้ดีจังวะ”

   “นี่สินะของขวัญที่อยากจะเซอร์ไพรส์ กูแม่งโคตรรดีใจเลยว่ะ เอาเลย! มึงอยากให้มันมาเอากูต่ออยู่แล้วหนิ ดีซะอีกกูจะได้ของขวัญวันเกิดเป็นผู้ชายตั้งหลายคน รู้สึกดีฉิบหายเลยว่ะ” ผมแค่นหัวเราะ หากแต่ดวงตากลับร้อนผ่าวและพร่าเบลอทีละน้อย

   รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในคราแรกหายไป เหลือแต่ผมที่กำลังเล่นสงครามกับไอ้บูเพียงสองคน

   มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วอาคเนย์

   วันเกิดควรจะเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของการมีชีวิต ไม่น่าเกิดมาเลยจริงๆ น่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น

   และในที่สุดน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ไหลลงมา ผมรีบใช้แขนเสื้อเช็ดมันออกจากหน้า ก่อนเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับมันตรงๆ

   “อีตัว สกปรก ของเล่นที่ใช้แล้วทิ้ง ขยะ ไร้ค่า ไอ้น่าขยะแขยง มึงเห็นกูเป็นแบบนี้ใช่มั้ย”

   “...”

   “มึงเรียกกูแบบนี้ประจำเลยนี่หว่า” ยังความเงียบปกคลุมไปทั่วพื้นที่ มีเพียงเสียงเพลงจากคลับที่เปิดดังกระหึ่มอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศแสนหดหู่สดชื่นขึ้นมาเลยสักนิด

   “อยากเอาก็เอาไปสิ อยากบอกเพื่อนกูนักมันก็ได้รู้แล้วว่าที่ผ่านมากูสกปรกแค่ไหน นี่กูจะบอกอะไรให้นะ” ผมหันไปมองหน้าเพื่อนในกลุ่มของตัวเอง พร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแล้วพูดต่อ “กูโดนไอ้บูมันเอาตั้งนานแล้ว ที่โกรธเกลียดกันก็ไม่ใช่อะไร ต้นเหตุเพราะกูทำแฟนมันตาย”

   “เนย์พอก่อน มึงเมาแล้วใช่มั้ย” ไอ้ดินพยายามห้ามแต่ผมไม่หยุด

   “เมื่อก่อนกูรักมันมาก เข้าใจว่าคนรักกันต้องเอากัน ฉิบหายเอ๊ย สุดท้ายก็ได้รู้ความจริงต้องมานั่งเจ็บใจกับคำว่าอยากรู้อยากลองของวัยรุ่น”

   “...”

   “ถ้าไม่ติดว่ามึงหนีไปมีแฟนกูก็คงปล่อยให้มึงเอาอีกเรื่อยๆ เพราะเข้าใจว่ามันคือความรัก กูแม่งสกปรกฉิบหาย สกปรกจนกูก็ยังรังเกียจตัวเองเลย ฮ่าๆ” เครื่องดื่มที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งถูกเทกรอกปาก ผมพูดไป หัวเราะไป เนื้อตัวสั่นเทิ้มแต่กลับรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

   ไม่ต้องกลัวกับความลับอะไรอีกแล้ว ต่อให้ปิดไปก็ใช่ว่าผมจะเจ็บน้อยลง

   “มึงรู้ว่ากูรักมึงบู นานมาแล้วที่กูรักมึง”

   “...”

   “ที่มึงเจ็บ ที่มึงทรมาน มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่เคยรู้สึก ที่ยังหัวเราะยังยิ้มได้รู้ได้ไงว่าข้างในไม่แหลกสลาย มึงเคยรู้อะไรบ้างในคืนนั้น กูอยู่ในรถที่บุบไปทั้งคัน เลือดอาบไปทั้งตัวแต่ก็ยังนับเลขโง่ๆ รอให้คนมาช่วย กูถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกร กูพาลูกสาวบ้านเขามาตายแล้วรู้ได้ยังไงว่ากูมีความสุข”

   ผมไม่เคยเดินไปข้างหน้าเลยสักวัน มีแต่จมอยู่กับอดีต

   “ไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลานั้นมันยากลำบากแค่ไหน แม่กูร้องไห้ทุกวัน ไปนั่งกราบเท้าคนอื่นเพื่อขอโทษอย่างคนไร้ศักดิ์ศรี แต่ไม่เคย...ไม่เคยเลยสักครั้งที่คนอื่นจะมองเห็น”

   มือหนึ่งคีบน้ำแข็ง เทเหล้าผสมกับโซดาลงไป ผมแทบไม่คนด้วยซ้ำแต่เลือกยกกระดกทันที

   “กูจมอยู่กับความรู้สึกผิดเป็นปีๆ พยายามหาโอกาสไถ่โทษและขอโอกาสจากมึง แต่คิดดูดิบู มึงให้อะไรกูวะนอกจากยัดเยียดคำว่าฆาตกรให้ มันเจ็บฉิบหายเลย...เจ็บยิ่งกว่าอุบัติเหตุในคืนนั้น แล้วจะให้กูหยุดได้ไง ไม่ให้กูแค้นจนอยากฆ่ามึงได้ยังไง”

   เหล้าแก้วที่สอง สาม และสี่ถูกส่งผ่านลำคอ

   “แม่กูโทรตามแล้ว ว้า...แย่จัง ยังไงกูขอกลับก่อนนะ ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดทุกชิ้นเลย”

   ผมแบกหัวใจพังๆ พร้อมกับกล่องของขวัญที่ได้รับออกมาเงียบๆ

   ไม่มีใครยื้อหรือพูดอะไรอีก สงสัยคงช็อกกับความโสมมในชีวิตของผมล่ะมั้ง แต่ช่างเถอะ ถึงเวลาแล้วที่ควรเผชิญหน้าสักที หนีมาตั้งนานทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางหนีพ้น

   ใครบ้างล่ะจะหนีความจริงได้ แม้แต่ในฝันผมยังไม่เคยหนีมันได้เลย

   สองเท้าก้าวไปปาดน้ำตาไป หันซ้ายหันขวาเดินออกไปเรียกแท็กซี่ข้างนอก แต่เพราะการทรงตัวอันย่ำแย่จากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ก้าวเท้าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มลงไปกองกับพื้น ข้าวของที่ถือมาด้วยหล่นกระจายคนละทิศละทางแต่ก็ยังพยายามหยิบมันกลับมา

   ที่ทางออกค่อนข้างมืด ผมไม่เห็นอะไรเลย ยิ่งมีน้ำตาที่กำลังไหลไม่หยุดก็ยิ่งส่งผลให้การมองเห็นแย่ขึ้นไปอีก

   “เฮ่!!”

   เสียงเฮดังขึ้นจากภายในร้าน ไม่นานเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดก็ประสานเสียงกันเล่นเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้กับลูกค้าอีกหลายคนที่มาฉลองในค่ำคืนนี้ ผมเองก็เช่นกัน

    “แฮปปี้...เบิร์ธเดย์...ทูยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู ฮึก...”

   “...”

   “แฮปปี้เบิร์ธเดย์อาคเนย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู” ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มานั่งร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ตัวเองในสภาพเมาแอ๋แถมยังนั่งกองอยู่กับพื้น สองมือควานเก็บของที่ตกหล่นทีละชิ้นทีละอัน

   หนึ่งชิ้น สองชิ้น สามชิ้น

   ผมคิดถึงก้อนหินที่เคยยัดใส่กระเป๋า สถานการณ์มันไม่ต่างกันเท่าไหร่เลย ช่วงเวลานั้นเป็นยังไงผมยังจำได้ดี สมองโล่ง ภาพตรงหน้าสวยงาม มันฟุ้งกระจายเหมือนอยู่ในม่านหมอกสีขาว ผมได้ยินเสียงเรียกหวานๆ ของใครคนหนึ่งคอยกระซิบข้างหูอยู่ตลอดเวลา

   ‘เดินลงมาสิ น่าสนุกนะ’

   ผมเคยสงสัยใต้น้ำนั้นเป็นยังไง สวยงามเหมือนในหนังที่เคยดูหรือเปล่า

   จวบจนวินาทีที่เดินลงไป ร่างกายจมดิ่งไปพร้อมกับหินหลายก้อนในกระเป๋า สวยงามจริงๆ ด้วย มีบูรพา มีอาคเนย์ มีพ่อกับแม่อยู่ตรงนั้น ผมอยากกลับไปอีกครั้งในความทรงจำสีสวยที่เคยผ่านมา

   “สุขสันต์วันเกิดอาคเนย์ ขอให้ได้ใช้ชีวิตในที่สวยๆ อย่างที่ต้องการ”

   …ในสักวัน

   ผมบอกกับตัวเองเมื่อเก็บกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายซึ่งกองอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นจึงก้าวเดินไปตามทางแม้จะโซเซอยู่บ้าง ไม่นานแท็กซี่ก็จอดรับ ผมบอกจุดหมายกับเขาก่อนจะนั่งนึกถึงอดีต มือขวาค่อยๆ เลื่อนลงไปในกระเป๋ากางเกงซึ่งเก็บของชิ้นหนึ่งเอาไว้

   ฝ่ามือดึงของสำคัญออกมา แล้วยกมันขึ้นให้อยู่ในระดับสายตาเพื่อจะได้มองเห็นอย่างชัดเจน

   ถุงเท้า...

   ของขวัญที่ผมมักได้รับจากบูรพาทุกปี ใครคนนั้นเคยบอกว่าหากมีถุงเท้าซานตาครอสก็จะเอาของขวัญมาให้ แล้วผมจะได้ทุกอย่างตามที่อธิษฐาน

   ทุกปีผมจะได้รับมัน

   ทุกปีผมจะได้ใส่ถุงเท้าคู่ใหม่เสมอ

   และปีนี้ก็เหมือนกัน

   “เมอร์รี่คริสต์มาสแอนด์แฮปปี้เบิร์ธเดย์อาคเนย์ ปีนี้ได้ของขวัญจากบูรพาอีกแล้ว”

   “...”

   “มันคือความจริง”

   แม้ผมจะซื้อให้ตัวเองมาหลายปีแล้วก็ตาม 

   ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป วันเกิดตอนอายุ 16 ของเรา ยังเหมือนเดิม...

   บูมักจะบอกว่าผมก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขโดยไม่เคยสนใจคนที่กำลังเจ็บปวด ทั้งที่จริงๆ แล้วไทม์แมชชีนของผมมันยังคงทำงานอยู่เสมอ ผมไม่ได้ก้าวไปไหน ยังติดอยู่ในอดีตของวันวาน เอาแต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้เป็นอิสระสักที

   บูรพาไม่เคยรู้เลยใช่มั้ย

   ของวิเศษอย่างไทม์แมชชีนมีอยู่จริง

   และกูก็ได้รับแล้ว มันส่งมาถึง...เมื่อสี่ปีก่อน


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 28-02-2019 23:50:09
เสียน้ำตาไปเป็นถังอีกแล้ว
หายใจไม่ออก ร้องจนคัดจมูกเลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: องศาวาย ที่ 01-03-2019 00:48:27
แม่จีนเอาตรงคือไม่ควรพูดแบบนั้น พูดซะคนอื่นเสีย บูไม่ควรเลยจริงๆที่จะเป็นพระเอก ตอนเรื่องไร้เดียงสาบอกตรงๆว่าชอบมาก แต่เราไม่ชอบอะไรที่ทำลายความรู้สึกกันแบบนี้ ควรจบแบบบูตายห่าตายโหงไป บอกตรงๆไม่ชอบบูจริงๆ ต่อให้หล่อเทพหล่อกว่าเหนือเดือนแล้วเราเป็นเนย์ก็ไม่มีวันเอาทำผัวเด็ดขาด ไม่มีวันอ่ะ สงสารเนย์ต้องมาเจอคนสถุนแบบนี้ จมปักอยู่กับคนรักเกินไป รักมากไม่ตายตามไปเลยละ หงุดหงิดเจ็บแทนเนย์ ทุกครั้งที่อ่านคือเจ็บ เจ็บแบบสงสารเนย์มากๆ อยากพาออกมา มันต่างจากเรื่องไร้เดียงสาเยอะเลย เราว่าพระเอกเรื่องนั้นยังดีกว่า ดีกว่าจริงๆ ไม่เอาได้ป่ะกราบจิตติก็ได้ไม่เอาบู บูโดนรถชนตายอีกคนเราก็ไม่รู้สึกเสียดาย ดีซะอีกขอคนที่เป็นพระเอกจริงๆ เข้ามายื่นมือช่วยเนย์


ฮือออออออ อินนะบอกตรงๆ แต่อยากให้เป็นอย่างที่พิมพ์ รักเนย์นะ อ่านเรื่องนี้เพราะเนย์จริงๆ :m15:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 01-03-2019 01:38:19
ก้าวไปข้างหน้าได้แล้วนะเนย์..
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 01-03-2019 01:55:54
จุกในอก ไอ้บู ไอ้คนตามืดบอด
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-03-2019 03:13:31
แกไม่ควรปักใจเชื่อคำพูดใครง่ายๆแบบนั้นนะบู ได้แต่สงสารเนย์ ใจพังไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2019 05:50:10
จะได้เห็นกันว่าเพื่อนแท้ของเนย์จะมีสักคนไหม  :hao3:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 01-03-2019 09:28:12
คนที่รู้ว่าออกไปทำไมทำไมกลับดึกมีแต่เนย์กับจีน
แล้วถ้าเนย์พูดไปก็กลายเป็นโยนความผิด/โทษคนตายอีก ถ้าวันนั้นเนย์ไม่ได้สารภาพกับบู
บูจะทำร้ายเนย์ขนาดนี้ไหมอะ
ตอนแรกนึกว่าคำพูดโฟมจะเตือนสติอะไรบูได้บ้าง แต่แค่ไปฟังแม่จีนก็กลับไปเหมือนเดิม
แถมเหมือนยังยิ่งกว่าเดิมอีก

ตอนนี้เป็นกำลังใจให้เนย์ก้าวออกมาให้ได้นะ ก้าวออกมาจากอดีต
.. แล้วเนย์จะได้ใช้ชีวิตในที่สวยๆ อย่างที่ต้องการ *กอด*
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 01-03-2019 09:50:42
 :katai1: :katai1:
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-03-2019 11:08:36
ทำไมแม่จีนพูดแบบนั้นไม่แฟร์สำหรับเนย์เลย มันไม่ใช่ความผิดเนย์นะทั้ง ๆ ทีคลิปเหตุการณ์มันก็บอกอยู่ว่าต้นเหตุเป็นเพราะอะไรแล้วจะมาโทษแค่เนย์ที่เป็นแค่คนขับได้ไงกัน และทำไมจีนต้องโกหกแม่แบบนั้นทำไมไม่พูดไปตรง ๆ เป็นเพราะจีนนั่นแหล่ะที่ทำให้ทุกอย่างแย่และเป็นเหตุที่ทำให้เนย์ต้องเป็นแบบนี้ แต่คนตายไปแล้วจะให้รู้ความจริงว่าเป็นยังไงก็คงไม่ได้ ถ้าให้เนย์พูดก็คงไม่มีคนเชื่ออีก ได้แต่เก็บไว้ในใจแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เนย์ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 01-03-2019 11:31:59
รออ ชอบมาก โคตรของโคตรแบบจุก หน่วงเลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 01-03-2019 12:00:12
ขอจบแบบแบดเอ็น
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 01-03-2019 15:33:23
บูคิดว่าตัวเองเจ็บอยู่คนเดียว ไม่มองเลยว่าคนอื่นเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 01-03-2019 17:41:43
เอาจริงๆวันนั้นคือไม่มีใครรู้เลยนะว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง แต่ความจริงที่แน่ชัดคือมันเป็นอุบัติเหตุแล้วทำไมใครๆต่างโทษเนย์ว่าผิดละ ทั้งๆที่เนย์ก็เจ็บก็เกือบตายเหมือนกัน การที่เนย์รอดนี่คือผิดเหรอคือเนย์ต้องตายไปด้วยใช่มั้ยถึงจะถูกต้องน่ะ เฮ้ยย มันใช่เหรอวะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 01-03-2019 17:56:33
ตอนเนย์จิตหลุด มันบีบหัวใจอยากเข้าไปน้อง
อยากประคองใจที่แตกสลายนั้น เนย์ต้องเจ็บต้องชดใช้อีกนานแค่ไหน บูถึงจะตาสว่างคิดได้คิดเป็น ไม่ตัดสินคนด้วยการฟังความข้างเดียวแล้วตัดสินจากที่ตาเห็นแต่ไม่เคยรู้อะไรเลยจริงๆ หรือลึกๆแล้วก็ไม่ได้อยากรู้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด
สาแก่ใจมั้ย อยากประจานให้เนย์อับอายต่อหน้าเพื่อน ก็ได้สมใจแล้ว บูมันก็แค่เด็กไม่รู้จักโต มองเห็นแค่ตัวเอง แล้วโยนความผิดให้เนย์ ในขณะที่เนย์จมแต่กับอดีต
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-03-2019 02:10:13
เห้อออออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: repark2809 ที่ 02-03-2019 08:41:11
ถึงบูรพา...
อย่าเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นหลัก คนเราวัดค่าความเจ็บปวดได้ไม่เท่ากันนะบูรพา การที่เธอเจ็บใช่ว่าอีกคนจะไม่เจ็บหรือเจ็บน้อยกว่าเธอ แม่ของจีนเองก็ด้วย ฝ่ายศูนย์เสียชอบคิดว่าตัวเองต้องรู้สึกต้องเจ็บปวดอยู่แค่คนเดียว คือฝ่ายรอดก็ใช่ว่าจะไม่ศูนย์เสียไง ความรู้สึกผิด ความเสียใจต้องมากอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากทำคนตายหรอก แค่นี้ก็เป็นตราบาปในชีวิตในจิตใจมากพออยู่แล้ว เป็นตราบาปที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางลบออกไปได้หรอก เธอยังจะมาตอกย้ำซ้ำเติมกันอีกเหรอบรูพา จิตใจเธอมันเห็นแก่ตัวเกินไป นึกถึงแต่ตัวเองเกินไปไง

ถึงอาคเนย์...
เป็นกำลังใจให้หนูก้าวข้ามอดีตและก้าวออกมาจากชีวิตของบูรพาในเร็ววันนะลูก รู้ว่ามันยากแต่หนูจะต้องทำได้ แล้ววันนั้นหนูจะมีความสุขกับชีวิตที่เหลือสักที และถ้าชีวิตหนูจะไม่มีคนชื่อบูรพาก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรอกลูก หนูรักได้ หนูยังคงรักได้ และให้อภัยได้ แต่หนูไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับบูรพาอีก หนูสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีบูรพาอยู่ในชีวิตนะลูก ถึงความสุขที่หนูวาดฝันไว้จะขาดหายไปบ้างเมื่อไม่มีเขา แต่ชีวิตหนูจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ลูก แม้ว่าหนูจะรักใครไม่ได้อีก แต่หนูรักตัวเองและคนรอบตัวที่รักและหวังดีกับหนูได้นะลูก เป็นกำลังใจให้หนูเสมอนะครับ // กอด
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่6 [28/02/62] *หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 06-03-2019 00:04:03
สงสารเนย์ว่ะ มันน่าสงสารจริงๆ ไม่ว่าเหตุผลอะไรที่เนย์ทำร้ายบูกลับ จนทำให้ต้องทำร้ายกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ เราคิดว่าแม่งไม่ยุติธรรม อุบัติเหตุอ่ะมันแปลว่าไม่ตั้งใจ
ทำไมถึงลงโทษคนคนนี้ได้ถึงขนาดนี้
ถ้าในที่สุดเนย์ตายด้วยน้ำมือบูจริง บูจะยอมยกโทษให้เพื่อนมั้ย
คนเป็นแม่ก็คงไม่โทษลูกตัวเองอยู่แล้วล่ะนะ ทั้งๆที่เป็นคนโทรมาเร่งให้ขับรถเร็วตอนฝนตก แย่ว่ะเพราะคำพูดของคนคนเดียวทำให้บูก้าวผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ซักที มันให้อภัยไม่ได้ซักที
ทุกคนอ่ะเพื่อให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้มันก็ต้องโทษอะไรซักอย่าง เนย์ก็เลยซวยไงเป็นVictim ขออนุญาต bilingual
Everyone blame it on you even yourself so even though how much you tried, you can't move on. You stuck here and all you can do is regret it, of cause it hurt all over again and again. I just wonder... how long can you bear until it breaks you apart

**มันมาแล้วค่ะคุณจิตติ
**ชอบความรู้สึกหน่วง หายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้
**น้ำตาซึม อินมาก**
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 07-03-2019 02:37:17


CHAPTER 7
TIME MACHINE



ทหารที่ไปสงครามถึงจะโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้
แต่พวกเขาก็ไม่มีทางกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก
ผมเองก็เช่นกัน...



   ตั้งแต่เล็กจนโต ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้สูญเสียของรักไปแล้วเท่าไหร่

   ของเล่นชิ้นแรกพังคามือ รองเท้าคู่โปรดหายไประหว่างถอดทิ้งไว้ที่สนามเด็กเล่น พ่อจากไปในเช้าวันหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แม่หัวใจแตกสลายจากอุบัติเหตุในคืนนั้น หรือแม้กระทั่งรักแรก...ก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ คิดดูแล้วชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มันแทบไม่หลงเหลืออะไรในอดีตเอาไว้เลย

   แท็กซี่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าบนถนนสายหนึ่งที่การจราจรค่อนข้างบางเบา ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เส้นทางที่กำลังไปเริ่มไม่คุ้นตาแต่ผมก็ยังยืนยันหนักแน่นที่จะไป อาจเพราะไม่อยากฝันอีกเลยต้องออกไปเผชิญความจริงด้วยตัวเอง

   “ที่นี่ใช่มั้ย” คุณลุงคนขับแท็กซี่ถาม

   “ผมไม่แน่ใจ แต่จอดตรงนี้แหละครับ”

   ตัวเลขบนมิเตอร์หยุดลง ธนบัตรใบห้าร้อยถูกส่งให้คนเบาะหน้าก่อนผมจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งกลับมา

   นาฬิกาบนมือถือบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว รอบตัวเงียบสงัด แต่ผมก็ยังแบกหัวใจพังๆ เดินไปตามฟุตบาธภายในโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พ่อเคยบอกว่าหากวันไหนคิดถึงก็อยากให้แวะเวียนมาบ้าง ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ตัดสินใจมาหาเขาอย่างไร้เหตุผล

   ผมจำรูปที่พ่อส่งให้ได้คร่าวๆ บ้านของเขาอยู่ในซอยที่สามนับจากทางเข้า แถมหน้าบ้านยังมีกล่องไปรษณีย์สีม่วงอยู่ตรงรั้วมันเลยไม่ยากหากเดินไปเอง

   ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่มีในคราแรกเริ่มเจือจางลงเล็กน้อย ผมไม่ได้เดินเซทว่าก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แค่เดินไปเรื่อยๆ หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว...ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบ้านเขา

   ชั่งใจอยู่นานจึงตัดสินใจกดกริ่งหน้าประตู ก่อนจะยัดถุงเท้าที่ถือเอาไว้ตลอดทางกลับใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม

   “ใครครับ อ้าว” ยังจำได้ดี เสียงที่ได้ยินบ่อยที่สุดในความทรงจำ ก่อนหน้านั้นมันเลือนรางในความฝัน หากแต่คืนนี้ทุกอย่างกลับค่อยๆ ชัดเจนทีละน้อย “เนย์...”

   “ขอโทษที่รบกวนตอนดึกๆ ครับ พอดี...พอดี...” ห่วยแตกจริงๆ แม้แต่วินาทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาผมก็ยังหาข้ออ้างดีๆ กับเจ้าตัวไม่ได้

   “เข้ามาก่อนสิ” พ่อไม่ได้รอฟังคำอธิบาย แต่รีบเปิดประตูให้

   “บ้านหลังนี้ใหญ่ดีเนอะ”

   “อืม”

   “ใหญ่กว่าบ้านของผมกับแม่อีก” ผมยิ้ม เดินไปข้างหน้าโดยไม่คิดสบตา

   เคยคิดมาตลอดว่าไม่มีวันที่ผมจะเหยียบมาที่นี่ คราวนี้เลยเหมือนกลืนน้ำลายตัวเองเข้าไปหลายอึก กว่าจะรู้ตัวผมก็ทิ้งก้นลงนั่งบนโซฟาตัวนิ่มซะแล้ว

   “เมาเหรอ”   

   “นิดหน่อย” ไฟตรงชั้นล่างถูกเปิดจนสว่าง พ่อเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเปล่าออกมาพร้อมกับแก้วทรงสูง

   ดูเขาในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนเลย เปลี่ยนไปมากทั้งชุดนอนที่สวมใส่รวมถึงท่าทางที่แสดงออกมา กำลังหวังอะไรอยู่วะ รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีอะไรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก

   “แล้วนี่ไปไหนมา” พ่อถามพลางนั่งลงข้างๆ แต่ผมเลือกขยับตัวเล็กน้อยเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างเรา

   “ปาร์ตี้”

   “ยังติดปาร์ตี้หนักเหมือนเดิม ดูแลตัวเองบ้าง เข้าไปเรียนหมอแล้วต้องพยายามให้เต็มที่ มันเป็นความฝันที่แกอยากทำมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ”

   “บ่นซะยืดยาวเลย” ไม่รู้ทำไมถึงอยากหัวเราะออกมา แต่เอาเข้าจริงกลับหัวเราะไม่ออก “ช่วงหลังมานี้ผมไม่ค่อยได้ปาร์ตี้หรอก แต่วันนี้ดันมีฉลองนิดหน่อยน่ะ” ผมกวาดตาไปรอบๆ มุมห้องนั่งเล่นของบ้านซึ่งกำลังนั่งอยู่ก็ถูกตกแต่งด้วยกล่องของขวัญและต้นคริสต์มาสไม่ต่างกัน

   “เลยเมาอย่างที่เห็นสินะ”

   “ไม่รู้สิ เวลาเมามันทำให้เราลืมได้นะ ลืมว่าพ่อหมดรักผมกับแม่แล้วจริงๆ”

   “เนย์...”

   “วันนี้วันเกิดผม”

   น้ำตาที่เคยเหือดแห้งค่อยๆ เอ่อคลอ ผมพยายามกะพริบตาถี่เพื่อไม่ให้มันไหลลงมาอย่างสุดความสามารถ คิดดูสิ ขนาดวันที่ผมลืมตาดูโลกเขายังจำไม่ได้เลย

    “ใครมาคะ” อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบอะไร คนมาใหม่ก็แทรกขึ้น

   เธออยู่ในชุดนอนสีขาว เดินลงจากบันไดชั้นสองมาอย่างช้าๆ ใบหน้าและน้ำเสียงอ่อนเยาว์แม้จะพอรู้ว่าอายุของเธอคงมากแล้ว ดูๆ ไปเธอไม่มีอะไรเหมือนแม่ของผมเลย

   “เนย์มาน่ะ คุณขึ้นไปนอนเถอะ”

   “กินอะไรมาหรือยังคะ” เธอหันมาถามผม เลยไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากส่งยิ้ม

   ไม่นานพ่อก็เป็นฝ่ายตัดประเด็นด้วยการปราดเข้าไปพยุงเธอกลับไปยังบนห้อง ไม่ถึงห้านาทีเขาก็กลับลงมาซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับอยู่พอดี

   “เนย์จะไปไหน ถ้าเมาก็นอนที่นี่ก่อนมั้ย”

   “ไม่เป็นไรครับ เธอ...ท้องเหรอ” มันอดไม่ได้จริงๆ สุดท้ายก็ถามออกไปจนได้ ยิ่งตอนที่ได้เห็นหน้าท้องนูนโผล่โพ้นออกมาก็เหมือนเข็มนับพันพุ่งมาปักตรงกลางใจอย่างจัง

   “ห้าเดือนแล้ว”

   “สร้างเขาขึ้นมาก็เลี้ยงให้ดีด้วยล่ะ”

   “เนย์ สุขสันต์วันเกิดนะลูก” เจ้าของคำพูดทำหน้ารู้สึกผิด

   “ไม่เห็นต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย ที่ผ่านมาเราก็เคยฉลองวันเกิดด้วยกันไม่ใช่เหรอ” ผมลุกขึ้นยืน สบสายตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง “ต่อไปพ่อไม่ต้องส่งเงินมาให้ผมแล้วนะ ยิ่งมีเด็กเล็กๆ ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ยิ่งเยอะ อีกอย่าง...ผมเองก็ไม่ได้ใช้นามสกุลของพ่อแล้วด้วย”

   “มันเป็นหน้าที่ที่พ่อต้องจ่ายอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกังวล...” ผมเอ่ยแทรกแทบจะทันที

   “ถ้ามันเป็นเพราะหน้าที่ก็อย่าเลย เห็นทีต้องกลับแล้วครับ”

   พูดไปก็คงได้ยินแต่ประโยคเจ็บแสบที่ไม่ได้ตั้งใจของเขากลับมา ดังนั้นรีบกลับก่อนน่ะดีแล้ว คิดได้เท่านั้นจึงเดินไปสวมรองเท้าและก้าวออกจากบ้านด้วยความรู้สึกมากมายซึ่งตีวนอยู่ในหัว

   พ่อเดินตามหลังมาไม่ห่าง จวบจนวินาทีที่พาตัวเองออกมาอยู่นอกรั้วบ้านหลังนี้ผมก็ยังฉีกยิ้มให้เขา

   “ลำบากยังไงก็โทรมาได้เสมอ เงินเดือนพ่อก็ยังจะส่งให้เหมือนเดิม”

   “ผมไม่เคยถามพ่อเลย วันนี้เลยอยากถามอะไรสักข้อได้มั้ยครับ”

   “ลูกอยากถามอะไร”

   “พ่อเคย...ภูมิใจในตัวผมบ้างมั้ย”

   “ภูมิใจสิ”

   “ผมเองก็เคยภูมิใจในตัวพ่อ แต่แปลกดีที่ตอนนี้กลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแล้ว”

   “...”

   “อีกอย่างเผื่อคุณยังไม่รู้” สรรพนามที่ใช้เรียกเขาเปลี่ยนไป “ความฝันของผมไม่ใช่การเป็นหมอ แต่คือการเป็นวิศวกรอย่างที่คุณเคยเป็นเมื่อสิบปีก่อนต่างหาก”

   ไทม์แมชชีนพาผมไปในวันนั้น วันที่ได้เล่าความฝันให้พ่อฟังกันสองคนก่อนมันจะพากลับมายังปัจจุบัน ผมไม่ได้เรียนวิศวะ ผมไม่ได้เป็นลูกที่ดี และคงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกว่าในตอนนี้...ผมไม่มีพ่อที่รักผมเหมือนวันวาน

   “ลาก่อนครับ”













   นาฬิกาบนมือถือบ่งบอกเวลาตีสามสิบสองนาที ผมกลับมาถึงบ้าน พาร่างระโหยโรยแรงขึ้นไปชั้นบนที่ยังคงเปิดไฟเอาไว้อยู่ แม่ไม่ได้หลับอย่างที่คิด พอเห็นผมเปิดประตูห้องนอนเธอก็รีบปรี่เข้ามากอด

   “เป็นยังไงบ้าง” วันเกิดปีนี้ผมควรจะมีความสุขที่สุดสิ แต่ทำไม...

   “ผมเมานิดหน่อย”

   “แม่พอรู้”

   “คืนนี้ไม่อาบน้ำได้มั้ยครับ”

   “แล้วแต่ลูกเลย”

   “ผมขอนอนกับแม่ที่ห้องนี้ได้มั้ย”

   “ขึ้นมาสิ”

   ผมถูกพาไปที่เตียง ทิ้งหัวลงบนหมอนนุ่ม รอบกายถูกโอบกอดโดยคนอายุมากกว่า ฝ่ามือบางเอาแต่ลูบหลังผมไปมาคล้ายกำลังกล่อมให้หลับเหมือนตอนเด็กๆ

   “ก่อนหน้านั้นผมไปหาพ่อที่บ้าน เขาดูเปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่เหมือนพ่อคนเดิมที่เคยรู้จัก”

   “แล้วเขาดูมีความสุขมั้ย” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ถูก

   “มั้งครับ”

   “เขามีความสุขก็ดีแล้ว เพราะงั้นเราก็ต้องมีความสุขบ้าง”

   “แม่ เราจะมีความสุขได้ยังไง” มันทำได้ยากเหลือเกิน

   หลายปีมานี้ผมสลัดจากฝันร้ายในอดีตออกไปไม่ได้เลย ถึงแม้จะพยายามหลอกตัวเองและสร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องมากแค่ไหนมันก็ไม่เคยได้ผล ผมต้องฝืนทำตัวมีความสุขต่อหน้าคนอื่น สังสรรค์และทำตัวเหลวแหลก เป็นศัตรูกับคนนั้นคนนี้ไปทั่วเพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ

   แล้วไง สุดท้ายผมก็แพ้อยู่ดี

   “ต้องเดินไปข้างหน้านะเนย์ ต้องไป เจ็บแค่ไหน เท้าเหวอะหวะแค่ไหนก็ต้องเดิน”

   “ผมกลัวครับแม่ กลัวว่าวันหนึ่งที่ผมไม่อยากเดินแล้วมันจะเหลือทางออกเดียว”

   “ถ้าลูกเลือกทางออกนั้นแล้วแม่จะอยู่ยังไง”

   เราต่างรู้ว่าทางออกที่ว่าหมายถึงอะไร และผมก็เคยเลือกมันมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ตอนนั้น...ผมฝืนตัวเองไม่ได้ เลยกลัวว่าวันหนึ่งผมจะทำทุกอย่างไปโดยไม่รู้ตัว

   “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่เพื่อแม่”

   “อาคเนย์ อยู่เพื่อตัวเอง”

   “...”

   “ที่แม่อยู่ได้ทุกวันนี้เพื่อเฝ้ารอวันที่ลูกมีความสุขนะ”

   “ผมรู้” วงแขนกอดกระชับอีกฝ่ายพลางซุกหัวลงกับซอกคอของเธอ “จะพยายามครับ”

   “ดีแล้ว แม่จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”

   “...”

   “ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้ลูก ยังไงแม่ก็ยังอยู่ที่เดิม”

   อาคเนย์ไม่ได้โชคร้ายไปซะทุกเรื่องเสียหน่อย อย่างน้อยผมก็ยังมีแม่อยู่นี่ทั้งคน และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนจะส่งให้ผมเข้าไปอยู่ในความฝันที่แสนยาวนาน...







   ธันวาคม

   ‘อาคเนย์’

   ‘ผมฆ่าคนตาย ผมทำให้จีนตาย...’

   ‘มันเป็นอุบัติเหตุนะลูก อย่าร้อง อย่าร้องเลย’

   ‘มันเป็นความผิดของผม’

   ‘เป็นความผิดของอีกฝ่ายที่ขับรถมาชนลูกกับจีนต่างหาก ไม่ต้องกลัว มันไม่ใช่ความผิดของลูกเพราะฉะนั้นต้องก้าวต่อไปนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นลูกของแม่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้’

   ‘ผมจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง ในเมื่อมันไม่เห็นทางเลย’

   ‘ทำได้สิ อาคเนย์เป็นคนเข้มแข็งเสมอ’

   ‘…’

   ‘และเพราะเป็นอาคเนย์ แม่ถึงเชื่อใจว่าลูกจะต้องทำได้’







   พฤษภาคม

   วันนี้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหม่นหมองแปลกๆ คล้ายกับเมฆก้อนทะมึนกำลังก่อตัว ฝนคงกำลังจะตกในไม่ช้า ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดในหัวสะเปะสะปะจนจัดระเบียบไม่ได้ วันนี้ต้องไปเรียนแต่ลึกๆ กลับไม่อยากไปเลย...

   เพื่อนคงรออยู่ที่โต๊ะ ซื้อขนมมากองไว้จากนั้นก็ทำสงครามแย่งชิงกัน ซึ่งผมก็มักมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ แบบนี้เสมอ

   ‘แม่ครับ วันนี้...วันนี้ไม่ไปเรียนได้มั้ย’

   ผมเดินลงไปยังชั้นล่าง บอกกับผู้หญิงที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวโดยไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าการกระทำทั้งหมดเป็นความจริงหรือยังอยู่ในความฝัน ปกติผมจะตื่นเต้นกับวันแรกของการเปิดเรียนเสมอ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรถึงไม่ได้มีความรู้สึกนั้นหลงเหลืออยู่สักนิด

   ‘ไม่สบายเหรอเนย์ ปวดหัวหรือเปล่า’

   ‘ไม่ครับ แค่...แค่ไม่อยากไป เหมือนกับว่าฝนกำลังจะตก’

   ‘วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสนะลูก’

   ‘ผมคิดว่าอีกไม่นานมันจะตกครับ’

   ‘ได้ ถ้าอย่างนั้นก็โทรไปบอกเพื่อนด้วยนะ ส่วนแม่จะติดต่อไปหาครูประจำชั้นของลูกเอง’

   ‘ครับ’

   เท้าสองข้างย่ำออกไปนอกบ้าน ผมไม่เคยสังเกตท้องฟ้าในแต่ละวันเลย ทว่าวันนี้กลับสนใจขึ้นมาเฉยๆ ก้อนเมฆสีเทาเข้มกำลังเคลื่อนต่ำลงอย่างน่ากลัว ไม่ต่างจากปีศาจร้ายในหนังสยองขวัญที่เคยดูเท่าไหร่ หากเป็นแบบนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียวมันคงดูดกลืนผมไปจนหมด

   ‘เนย์เป็นอะไรหรือเปล่า ลืมอะไรไว้หน้าบ้านเหรอลูก’ แม่เดินตามออกมา สีหน้าดูกังวลไม่น้อย ส่วนผมก็เอาแต่พูดทุกอย่างไปตามความคิด

   ‘ท้องฟ้าวันนี้ไม่สวยเลย พายุกำลังจะมาแล้ว’

   ‘เนย์...’

   ‘ถ้าฝนตกลงมาอีกผมจะปลอดภัยเหรอครับ รถเราจะพังหรือเปล่า จะไถลไปบนถนนเหมือนที่ผมเคยเจออีกมั้ย’

   ‘เนย์ใจเย็นๆ ลูก ไม่มีพายุ ไม่มีฝน ไม่มีอะไรทั้งนั้น วันนี้ท้องฟ้าสดใส ลูกเห็นดวงอาทิตย์ตรงหน้านั้นมั้ย’

   ‘ผมไม่อยากนับเลขและเฝ้ารอให้ใครมาช่วยอีกแล้ว’

   ‘จะไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น’ แม่เดินเข้ามาประชิด เขย่าตัวผมไปมา ผมรู้...รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

   ‘อีกไม่นาน อีกไม่นานมันจะเกิดขึ้นอีก’

   ‘ตื่นจากความฝันได้แล้วเนย์ ความเป็นจริงคือลูกยืนอยู่ตรงนี้และยังปลอดภัย’

   ‘ผมกลัว...’

   ‘…’

   ‘ถ้าไม่มีใครมาช่วย คราวนี้คงเป็นผมใช่มั้ยที่ตาย’

   ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปากของแม่นอกจากสีหน้าตกใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกันจนสุดท้ายก็ผลักดันให้ผมเผลอร้องไห้อออกมาโดยไม่รู้ตัว







   มิถุนายน

หกเดือนหลังจากเกิดอุบัติเหตุในคืนนั้น

‘วันนี้ต้องขอโทษคุณครูด้วยนะคะ พอดีอาคเนย์ไม่ค่อยสบายเลยจะขอลาหยุดอีกหนึ่งวัน ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะ’

โทรศัพท์บ้านถูกวางไว้จุดเดิม ผมนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร กับข้าวแสนอร่อยฝีมือแม่พร่องลงไปเล็กน้อยแต่ร่างกายกลับไม่มีความอยากที่จะกินมันอีกแล้ว นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุผมใช้เวลาช่วงปิดเทอมสามเดือนอยู่กับบ้านโดยไม่ออกไปไหน และหลังจากเปิดเทอมได้ไม่ถึงสองเดือนผมก็ยังมาๆ ขาดๆ โดยไม่มีสาเหตุบ่อยครั้ง

ไม่รู้สิ บางที...มันก็ไม่มีเหตุผลรองรับหรอกว่าทำไปทำไม รู้แค่ว่าไม่อยากไป

‘ผมขอขึ้นไปบนห้องได้มั้ย’

‘นั่งรอก่อนได้มั้ยลูก วันนี้พ่อจะลางานครึ่งวันแล้วพาลูกไปหาหมอ’

‘ผมไม่ได้ป่วยสักหน่อย’

‘แค่ให้หมอช่วยดูอาการให้เท่านั้น ไม่ต้องกลัวนะ’

‘ทุกอย่างยังคงปกติดีครับแม่ อีกอย่าง...วันนี้เหมือนฝนจะตกด้วย ถ้าเราออกไปแล้วเกิดอุบัติเหตุจะทำยังไง’

‘ท้องฟ้าของลูกดูหม่นอีกแล้วนะ’ แม่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

‘ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ทำไมท้องฟ้าไม่เคยสดใสเลย แม่...’

‘หืม’

‘เมื่อคืนผมฝันเห็นจีนด้วย เธอบอกว่าจะมารับผมไปที่ไหนสักแห่ง ที่นั่นมีท้องฟ้าสดใส แสงแดดตอนเช้าก็อบอุ่น ผมอยากไปในที่แบบนั้น แม่ว่า...’

‘อาคเนย์! จีนไม่อยู่แล้วนะ’

‘ไม่จริง เธอไม่เคยไปไหนแต่แม่ไม่เคยรู้’

‘...’

‘เธอมาอยู่กับผมได้เดือนกว่าๆ แล้วนะ’







คืนหนึ่งกลางเดือนมิถุนายน

‘แม่ครับ ผมขอออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกหน่อยได้มั้ย’

‘งั้นรอก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวเสร็จ...’ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบประโยคผมรีบเอ่ยแทรกทันที

‘ไม่ต้องหรอกครับ ผมไปแค่นี้เองแล้วจะรีบกลับมาก่อนฝนตกนะครับ’

พูดจบผมไม่รอช้าคว้ารองเท้าขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ จากแม่ แถวหมู่บ้านมีสวนสาธารณะอยู่ ผมมักมาเดินเล่นที่นี่เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความกังวลและอยู่ในอารมณ์เครียดจัด ยิ่งมาดึกเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเพราะมันค่อนข้างเงียบสงบ

‘อาคเนย์’ ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงหวานดังก้องในโสตประสาท

‘จีน’

เธอบอกว่าชอบที่นี่ ผมเองก็ชอบไม่ต่างกัน

‘คืนนี้เล่นน้ำกันมั้ย’ เธอเอ่ยชวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ผมไม่สนใจหรอกว่านี่คือเรื่องจริง ความฝัน หรือจินตนาการที่สมองได้สร้างขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็สามารถปลอบประโลมให้ผมไม่ต้องรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมารับเคราะห์กับเหตุการณ์ในคืนนั้น เห็นมั้ย...ตอนนี้จีนก็ยังมีความสุขดี

‘อย่าไปเลย มันมืด’ น้ำเสียงที่ตอบกลับคล้ายกับหุ่นยนต์อัตโนมัติ

‘เดินลงมาสิ น่าสนุกนะ’

‘ไม่เอา เรากลัว...’

‘กลัวเปียกเหรอ ถ้าฝนตกเนย์ก็เปียกอยู่ดี’

‘…’

‘มาเถอะ ใต้น้ำมันสวยมากนะ เนย์ไม่อยากรู้สึกดีเหรอ’ เจ้าตัวไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูด แต่เลือกหมุนตัวเดินลงไปในน้ำอย่างช้าๆ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงตัดสินใจก้าวขาไปข้างหน้าราวกับต้องมนต์ เบื้องหน้ามีก้อนหินจำนวนมากเรียงรายอยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมความคิดเบื้องลึกถึงสั่งให้เอื้อมมือหยิบหินพวกนั้นขึ้นมา รู้ตัวอีกทีร่างกายมันก็ทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไขซะแล้ว

หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน...

หนักนะแต่ก็อยากแบกมันไว้ จากนั้นก็พาตัวเองลงไปในน้ำ

จีนอยู่ตรงนั้น เธอไม่เคยหายไปไหน เราได้ทำอะไรด้วยกันมากมายราวกับที่นี่ถูกสร้างไว้สำหรับเราทั้งคู่ ใต้น้ำคงสวยงามมากสินะ อืม...ผมเองก็คิดอย่างนั้น







กรกฎาคม

หมอวินิจฉัยว่าผมมีอาการ PTSD  เรื้อรัง

‘แม่...ผมไม่อยากอยู่แบบนี้ ไม่อยากทรมานแบบนี้ ช่วยผมด้วย...ช่วยที’

   น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้ม ผมซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม รอบกายคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นของสารเคมีเจือจางในโรงพยาบาล

   ทุกวันที่ตื่นขึ้นมารับรู้ได้แต่ความเศร้าหมอง ไม่มีวันใหม่ ไม่มีก้อนเมฆและแสงแดดสดใส ผมจมอยู่กับเตียงหลังเดิมอย่างสิ้นหวัง ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีก จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของร่างกายโทรมๆ ที่ชื่ออาคเนย์

   ‘อดทนอีกหน่อยนะลูก อีกไม่นานลูกก็จะหาย’

   ‘ผมกลัว’

   ถ้าเกิดไม่หายชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง

   ไม่มีใครให้คำตอบได้ ทุกคนเอาแต่บอกว่าให้อดทน อีกไม่นานทุกอย่างจะผ่านไป เมื่อไหร่ล่ะ...ผมถามซ้ำๆ นับตั้งแต่อุบัติเหตุในครั้งนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย แรกๆ ผมยังปกติดี ยังปลอบใจตัวเองว่าจะข้ามผ่านทุกอย่างไปได้ แต่พอนานวันเข้า...กลับหนักหนากว่าเดิมราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ

   ‘ไม่กินยาได้มั้ย’

   คนฟังส่ายหน้า

   ‘ไม่ถามผมถึงเรื่องคืนนั้นได้มั้ย ผมไม่อยากพูด...’

   ‘เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป’

   ‘แม่พูดแต่คำว่าเดี๋ยวๆ สุดท้ายผมก็ไม่เคยผ่านมันไปได้เลย’

   ‘...’

   ‘ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมในเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องทรมานอยู่ดี’

   ในคืนนั้นผมตัดสินใจว่าจะไม่ทนเจ็บปวดอีก ด้วยการหยิบปลอกหมอนขึ้นมารัดคอตัวเอง...







   สิงหาคม

   ผมแอดมิดเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม และก็อยู่ที่นี่มายาวนานนับเดือน แต่ละวันผันผ่านอย่างทรมานเพราะต้องต่อสู้กับฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง หมอบอกว่าผมต้องเข้ารับการรักษาจากอาการที่เป็นอยู่

   ต้องรับยาหลายแขนงที่เขาให้ พอกินทีมันก็ไม่เคยดีขึ้น หนำซ้ำอาการยิ่งแย่กว่าเดิม

   ‘แม่ ผมไม่อยากกินยาแล้ว’

   พร่ำบอกทุกวัน ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นใจแต่มันก็ไม่เคยได้ผล

   ผมไม่ได้อยากทำจิตบำบัด ไม่ได้อยากถูกสะกดจิต ไม่ได้อยากพาตัวเองกลับไปในช่วงเวลาเลวร้าย ทุกคนเอาแต่พูดว่าผมต้องเผชิญหน้าถึงจะผ่านมันไปได้ ไม่จริง ทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำในคืนนั้น ผมสาบานกับตัวเองได้เลยว่ายอมตายซะยังดีกว่าต้องพูดมันออกมา

   ‘คนเราจะอยากมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร’

   ‘…’

   ‘ในเมื่อสักวันก็ต้องตายอยู่ดี สู้เราไปเสียตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ’







กันยายน

ใบสมัครสอบ กสพท.  ที่เคยร่อนส่งเมื่อหลายเดือนก่อนกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ผมต้องกลับมานั่งคิดถึงอนาคตของตัวเองอีกครั้ง

หมออนุญาตให้ผมกลับมาอยู่ที่บ้านได้แต่ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องอยู่คนเดียวเพราะกลัวจะคิดสั้นฆ่าตัวตายทั้งที่ความรู้สึกเหล่านั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว บางทีมันอาจเป็นผลมาจากการรับยาอย่างสม่ำเสมอ ทว่าหมอกลับบอกว่าการทำจิตบำบัดของผมยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

ผมไม่ได้หายกลัว ยังคงหลีกเลี่ยงเวลาที่ต้องพูดถึงอุบัติเหตุในคืนนั้น โชคดีที่ไม่มีใครบังคับให้ผมต้องฝืนรักษาอาการให้หายขาดโดยเร็ว เลยอยากขอบคุณโลกนี้ที่มนุษย์ยังรู้จักคำว่า ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ อยู่บ้าง

เมื่ออาทิตย์ก่อนแม่พูดถึงเรื่องสอบเข้ามหา’ลัยซึ่งผมไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ แต่คราวนี้แทนที่จะเห็นด้วยผมกลับคิดต่าง ผมอยากสอบ อยากลองดู ด้วยเหตุผลหนักแน่นข้อหนึ่งที่ว่าหากสอบเข้าไปเรียนได้แล้ว ผมจะยังมีโอกาสไถ่โทษให้กับบูรพาอีกใช่มั้ย

นานมาแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน อยากถามว่ายังไงโกรธอยู่หรือเปล่า หรือถ้าอยากให้ทำอะไรเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป ผมยินดีทั้งนั้น...



อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 07-03-2019 02:39:04


ตุลาคม

ชีวิตประจำวันของคนชื่ออาคเนย์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ปิดเทอมภาคเรียนแรกของ ม.6 แม้ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ก็ยังทรมานกับการรับยาเหมือนเดิม ขณะเดียวกันนั้นก็ไม่สามารถทิ้งหนังสือและตำราเรียนไปได้ ยังดีที่มีพื้นฐานในห้องเรียนและการติวอย่างหนักตั้งแต่ขึ้น ม.ปลายมันเลยไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก แต่แม่กลับเครียดหนักกว่าเก่าเพราะกลัวว่าอาการ PTSD จะกำเริบจากสภาวะที่เป็นอยู่

แต่เชื่อเถอะ สำหรับผมไม่มีอะไรหนักหนาเท่ากับการไปเจอหมออีกแล้ว







สิงหาคมปีต่อมา

นายอาคเนย์เข้ามาเรียนปีหนึ่งในคณะแพทย์ได้สำเร็จ ถึงจะสอบเข้ามาได้อันดับเกือบท้ายๆ ของคณะแต่โชคดีเหลือเกินที่ยังได้เรียนกับบูรพา

ช่วงที่ต้องเลือกว่าจะเรียนที่ไหนหลังคะแนนออก เพื่อนหลายคนต่างพากันส่ายหน้า บ้างก็หัวเราะว่าทำไมถึงเลือกแค่ลำดับเดียวโดยไม่ใส่สำรองเอาไว้ ผมไม่ได้ให้คำตอบพวกเขานอกจากยิ้ม จริงๆ คำตอบมันก็มีอยู่ในใจ ในเมื่อไม่ได้รักที่จะเป็นหมอและอยากตามใครบางคนมาเรียน

มันจะมีความหมายอะไรวะถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน







ตุลาคม

วันนี้ฝนตกหนักมาก ฟ้าร้องไม่หยุด ผมนอนอยู่ในซากรถสภาพบุบบี้คันหนึ่ง ร่างกายถูกอัดก็อปปี้จนหาทางออกแทบไม่เจอ

‘ช่วยด้วย...ช่วยด้วย’ น้ำตาไหลอาบใบหน้าจนมองเห็นภาพตรงหน้าแทบไม่ชัด ทว่าผมก็ยังเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาจากลำคอ มันรู้สึกเจ็บและสิ้นหวัง ร่างทั้งร่างชาไปทั้งซีก แต่ก็ยังตะเกียกตะกายหาทางออก

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...

ผมเริ่มนับเลข ไม่รู้ว่านับไปถึงเท่าไหร่ แต่ในที่สุดผมก็ตื่นจากฝันขึ้นมาพบกับความเป็นจริงที่ว่าตัวเองกำลังถูกคนที่รักที่สุดตั้งใจจะทำร้าย

ในฝันอาคเนย์ติดอยู่ในซากรถท่ามกลางสายฝน

ความจริงอาคเนย์กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในสภาพไม่ต่างจากศพ

บูตั้งใจจะข่มขืนผมเพื่อแก้แค้น และเอาแต่ตอกย้ำถึงอุบัติเหตุในคืนนั้น ความจริงที่อยากลืมมาตลอดถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดไม่หยุดราวกับต้องการให้ผมฝังความทรงจำเหล่านั้นในสมอง มันเจ็บไปหมดทั้งร่างกายและความรู้สึก

เขาแปลการกระทำของผมผิดหมดทุกอย่าง การมาเรียนที่นี่เพื่ออยู่กับเขามีจุดประสงค์เดียวคืออยากชดเชยและขอโทษกับทุกอย่าง ไม่ว่าบูอยากให้ทำอะไรผมพร้อมทำให้โดยไม่มีข้อแม้ ถ้ามันแลกกับการที่เขาจะกลับมายิ้มและหัวเราะได้อีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับผิดพลาดไปซะหมด

‘เคยรู้ตัวมั้ย มึงมันโง่! คิดได้ยังไงว่ากูอยากอยู่ใกล้ กูจะอยากอยู่ใกล้กับฆาตกรอย่างมึงไปทำไมวะ’

‘…’

‘กูจะอยากอยู่ใกล้กับคนที่ฆ่าคนที่กูรักไปทำไม ถามจริง!’ 

ความคิดอยากตายผุดขึ้นมาในสมองนับครั้งไม่ถ้วน

ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายเพราะผมยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างด้วยการก้มกราบเท้าเพื่อขอให้เรื่องทุกอย่างจบ แต่นั่นกลับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต

โลกไม่ได้สวยงามอีกต่อไปแล้ว

ภาพรักแรกของผมที่เคยมองก็ไม่ได้แสนดีดังเช่นในอดีตเหมือนกัน







   พฤศจิกายน

   อาคเนย์ไม่ใช่มนุษย์

   มีแต่ความรู้สึกตายด้าน ไม่รู้จักคำว่ารัก ไม่รู้จักเจ็บปวด ไม่รู้จักแม้กระทั่งความสุข จมจ่อมอยู่กับโลกมืดๆ ของตัวเองไปวันๆ โลกได้เปลี่ยนไป

   อาคเนย์เป็นเพียงสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเพื่อแก้แค้นเพียงอย่างเดียว...







   เฮือก!!

   “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ฝันร้ายเหรอ”

   ผมได้ตอบคำถามแม่ทันที แต่พยายามดึงสติกลับมาอีกครั้งพร้อมกับควบคุมลมหายใจของตัวเองให้ช้าลง เหงื่อเม็ดโตไหลซึมเต็มแผ่นหลัง ร่างกายสั่นหงัก เจ็บชาไปทั้งซีกแต่ก็ยังฝืนปรือตามองคนเคียงข้างเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน

   “ฮึก...”

   “เนย์”

   “อีกแล้ว”

   “...”

   “ผมไม่อยากฝันถึงมัน ไม่อยากเลยแม่” หลังตื่นจากฝัน ผมมักจะร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนกว่าจะเช้า

   ฝันร้ายกลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่าในทุกคืนจนไม่กล้าหลับตาลง ไหนว่าเราจะผ่านมันไปได้ไง ทำไมเวลาหลายปีนี้สิ่งที่พยายามมาตลอดไม่เคยเห็นผล สุดท้ายผมก็หนีไม่เคยพ้น สุดท้ายก็ต้องเจ็บปวดกับเรื่องเดิมๆ

   ผมแลกชีวิตของตัวเองกับจีนไปตั้งแต่วันนั้น มีชีวิตรอดกลับมาเพื่อให้รู้ว่าคนคนหนึ่งสามารถตายทั้งเป็นได้ไม่รู้จบ แค่นี้ยังสูญเสียไม่พออีกเหรอ จะให้ชดใช้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน

   “ลูกเจ็บตรงไหน” วงแขนของแม่กอดผมแน่น ทว่ามันก็ยังคงเหน็บหนาวอยู่ดี

   “ไม่รู้ แต่เจ็บ...”

   “ลูกเจ็บแม่ก็เจ็บนะ” ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังเล็ดลอดออกมา

   ท่ามกลางความมืดนั้น ผมไม่รู้เลยว่าเสียงร้องไห้ของใครดังมากกว่ากัน ถ้าผมจากไปแม่จะร้องไห้หนักกว่านี้มั้ย จะร้องไห้ทุกวันหรือเปล่า หรือถ้าอยู่เราก็ไม่มีวันหยุดร้องไห้เช่นกัน

   จะเลือกทางไหนมันก็เจ็บปวดอยู่ดี

   “อาคเนย์เราจะผ่านมันไปด้วยกัน...”

   “...”

   “จำตอนลูกยังเด็กได้มั้ย แม่เดาว่าลูกคงจำไม่ได้ ตอนนั้นลูกหัดปั่นจักรยานครั้งแรก” ความทรงจำสีหม่นจางย้อนกลับมาให้นึกถึงอีกครั้ง “จักรยานสีแดงคันเล็กนิดเดียว แถมยังมีตั้งสี่ล้อ ลูกปั่นมันทุกวันอย่างไม่เบื่อจนวันหนึ่งที่ลูกโตพอพ่อเลยถอดล้อทั้งสองข้างให้”

   “ลองปั่นดูสิ พ่อพูดแบบนั้นกับลูกใช่มั้ย”

   “ผมจำไม่ได้แล้ว” น้ำเสียงตอบกลับไปดังอู้อี้

   “จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

   “แม่เล่าต่อสิ”

   “ลูกจับจักรยาน พยายามจะปั่นมันทุกวันแต่ครั้งนี้ลูกกลับร้องไห้เพราะทำยังไงมันก็ไม่ไปข้างหน้าสักที ฝึกแบบนั้นอยู่เกือบอาทิตย์ก็ไม่เคยทำได้ ลูกร้องไห้ วิ่งมาอ้อนแม่บอกว่าขอล้อจักรยานเล็กๆ อีกสองล้อคืนได้มั้ย”

   “ผมพอจำได้แล้ว ตอนนั้น...แม่ไม่ยอมคืนให้และผมก็โกรธแม่”

   “นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ปั่นจักรยานอีกเป็นเดือนเพราะเวลาล้มทีไรลูกก็จะเจ็บ จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้นึกครึ้มใจอะไรถึงได้ลุกขึ้นมาพยายามอีกครั้ง คราวนี้ลูกล้มอีก แต่ก็พลิกมันขึ้นมา ลองใหม่...ทำแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดลูกก็ปั่นมันได้”

   “...”

   “เย็นวันนั้นลูกปั่นจักรยานไปทั่วหมู่บ้าน แถมยังกลับมาพร้อมกับบาดแผลเต็มไปหมด แม่ถามว่าเจ็บมั้ย ลูกบอกว่ายังเจ็บเหมือนเดิมแต่ก็มีความสุข ความสุขที่ได้สัมผัสหลังจากพยายามกับมันมาหลายครั้ง แล้วตอนนี้ล่ะ...”

   “...”

   “ลูกเคยล้มเลิกความตั้งใจ ร่างกายกับจิตใจเต็มไปด้วยแผลเหวอะวะ แต่จะปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้น่ะเหรอ จักรยานของลูกยังพิงอยู่ตรงฝาผนังเหมือนเดิม บางที...มันอาจจะรอให้ลูกกลับไปลองปั่นมันอีกครั้งก็ได้นะ”

   แม่ไม่ค่อยได้เล่าเรื่องราวตอนผมเป็นเด็กบ่อยนัก มันเศร้านิดหน่อยตรงที่ผมไม่ค่อยอินกับมันเลย ต่างจากครั้งนี้ที่จู่ๆ จักรยานสีแดงคันเดิมซึ่งเป็นเพื่อนคู่ใจในวัยเด็กได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ นึกถึงความรู้สึก ณ ขณะนั้น อะไรที่ทำให้ผมหัวเราะและยิ้มออกมาทั้งที่ร่างกายมีแต่แผลเต็มไปหมด

   บางทีมันอาจเรียกว่าความภูมิใจ

   นี่หรือเปล่าทางเลือกอีกทางหนึ่งที่เหลืออยู่

   “แม่...” ผมเงยหน้ามองคนที่นอนตะแคงกอดท่ามกลางความมืด

ผมอยากกลับไปลองปั่นจักรยานคันนั้น

   “ผมอยากซิ่ว ”

   ไม่มีประโยคใดตอบกลับมา หลงเหลือเพียงรอยยิ้มซึ่งมองเห็นได้เพียงเลือนราง และมัน...เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่เคยมอบให้ในวันที่ผมปั่นจักรยานสีแดงเข้ามาในบ้าน



 











   หลังตัดสินใจว่าจะกลับไปรับการรักษา เราเลยต้องจัดการปัญหาต่างๆ ที่ค้างคาให้หมดในเวลาอันสั้น บ่ายวันที่ 28 ธันวาคมเรามีแพลนว่าจะไปหาใครคนหนึ่ง

   ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งอยู่ในตู้ขึ้นมาสวมเพราะมันเป็นตัวที่ชอบที่สุด ยิ่งตอนได้ใส่กับกางเกงสแลคสีดำยิ่งทำให้รู้สึกมั่นใจกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ส่วนแม่เองก็ไม่น้อยหน้า เธอชอบสีครีม ดังนั้นทั้งเสื้อและกระโปรงเลยคุมโทนด้วยสีเดียวกันทั้งหมด

   คนอายุมากกว่าเดินอ้อมไปนั่งยังฝั่งคนขับ ส่วนผมไม่รอช้าปราดเข้าไปนั่งเบาะข้างๆ อย่างรู้หน้าที่ รถเคลื่อนตัวออกไปบนถนนเส้นหลักที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แม้จะไม่ชินทางเท่าไหร่นักแต่ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายจนได้

   เราสองคนเดินลงมาจากรถ เฝ้ายืนอยู่ตรงรั้วบ้านหลังใหญ่ ทำใจอยู่นานกว่าจะกดกริ่งลงไป เรื่องมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดเพราะหลังจากนั้นเราก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพ่อบ้าน ก่อนจะถูกเชิญเข้าไปภายในทันทีที่บอกจุดประสงค์กับอีกฝ่ายคร่าวๆ   

   แม่จับมือผมไว้ ริมฝีปากยังคงยกยิ้มให้กำลังใจขณะนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขกโอ่โถง ผมกวาดตามองไปโดยรอบ เอาตามจริงผมเคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งมันก็ผ่านมาตั้งสามปีแล้ว

   “มีธุระอะไรเหรอ” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอดูดีทุกระเบียดนิ้วสมกับฐานะและนามสกุลที่ใช้อยู่

   “สวัสดีค่ะ”

   แม่ผมเป็นฝ่ายเริ่มประเด็น รอจนกระทั่งเจ้าของบ้านทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาจึงค่อยหาโอกาสพูด

   “คุณสบายดีนะคะ”

   “ก็อย่างที่เห็น” คนฟังตอบห้วนๆ

   ใครบ้างไม่เจ็บแค้นหรือเสียใจที่ลูกตัวเองตาย แถมคนที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นก็ดันมานั่งอยู่ตรงหน้า ดังนั้นผมกับแม่เลยไม่นึกโกรธ ดีใจด้วยซ้ำที่เขายังต้อนรับแถมเชิญให้มานั่งถึงในบ้าน

   “ที่มาวันนี้คือ...” แม่หยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง คล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูดไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของอีกฝ่ายมากนัก ทว่ากลับถูกเบรกหัวทิ่มเนื่องจากถูกเร่งเร้า

   “รีบเข้าประเด็นเถอะค่ะ วันนี้ฉันไม่ค่อยว่างจะรับแขกนานเท่าไหร่”

   “ขอรบกวนคุณแค่แป๊บเดียว เราอยากจะมากราบขอโทษถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง อีกไม่นานเราจะไปแล้ว ที่ผ่านมาหากเนย์ทำอะไรให้คุณเจ็บแค้นหรือไม่พอใจ ทำให้คุณต้องสูญเสียสิ่งที่รักไปต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”

   “พูดไปฉันก็ไม่ได้จีนคืนมาอยู่ดี”

   “ลูกสาวคุณไม่ได้ตายฟรีนะคะ มันแลกกับชีวิตของอาคเนย์ไปแล้ว”

แม่ตอบกลับอย่างไม่ลังเล เราต่างสลัดความกลัวตลอดหลายปีออกไปจนหมด ความกลัวที่ครอบงำจิตใจจนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้นอกจากซุกตัวอยู่ที่เดิม ทิ้งแผลเหวอะหวะตามร่างกายเอาไว้โดยไม่คิดรักษา ก่อนที่วันหนึ่งความเจ็บเหล่านั้นจะวกกลับมาให้รู้สึกอีกเป็นระรอก

เราไม่อยากรู้สึกแบบนั้นแล้ว ไม่อยากหวาดระแวงว่าวันไหนความเจ็บจะกลับมาเยือนอีก

“อีกไม่กี่วันเขาจะเข้ารับการรักษาอาการ PTSD หลังติดอยู่กับอดีตนานถึงสามปี ฉันไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไงแต่ไม่อยากให้ลูกชายเพียงคนเดียวต้องร้องไห้อีกแล้ว วันนี้เราเลยอยากมาขอโอกาสสักครั้ง”

“...”

“ให้อาคเนย์ได้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้มั้ยคะ”

28 ธันวาคมเมื่อสามปีก่อนคือวันที่จีนจากไป

ส่วน 28 ธันวาคมในปีนี้คือวันที่อาคเนย์ในอดีตได้ตายจากไปเช่นกัน



 











   31 ธันวาคม

   หลายคนเฝ้ารอวันนี้เพื่อนับถอยหลังก่อนเริ่มต้นปีใหม่โดยสมบูรณ์ ขณะที่ใครอีกคนซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดในวันเดียวกันก็คงกำลังเตรียมตัวสำหรับปาร์ตี้วันเกิด

   เราเกิดห่างกันห้าวันแต่ชีวิตต่างกันคนละขั้ว บางทีโชคชะตาก็ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ แต่ถ้าจะปล่อยให้มันเผชิญกับความเจ็บปวดเหมือนกับผมก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้นเหมือนกัน

   ลิฟต์ไต่ระดับขึ้นไปยังชั้นหนึ่งของคอนโด ถึงจะกลัวที่ต้องเผชิญหน้า ทว่าเมื่อคิดว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันความกล้ามันก็พุ่งพล่านขึ้นมาทันที

   ติ๊ง!

   ประตูลิฟต์เปิดออก ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ย่างเท้าไปตามทางเดินอย่างช้าๆ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องแสนคุ้นเคย แม่ฝากผมให้เอากุญแจห้องมาคืนกับผู้เป็นเจ้าของและผมก็ไม่คิดปฏิเสธ

   ก๊อก-ก๊อก-ก๊อก

   วินาทีที่เคาะมือลงไปบนประตูไม้ หัวใจพลันรัวกระหน่ำไม่หยุด ผมเฝ้ารอคอยทว่าเพียงไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมาเผชิญหน้า ลองทายดูสิว่าไอ้บูกำลังทำหน้ายังไงหลังจากเห็นผม แน่นอน ทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคงทำหน้าถมึงทึงใส่ซึ่งแม่งโคตรจริงเลย

   “มาทำไม”

   “ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย”

   มันไม่ตอบแต่เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยให้พอสำหรับการแทรกตัวเข้ามา ระหว่างเดินไปยังโซฟาเลยไม่ลืมบอกเหตุผลของการมาที่นี่ไปด้วย

   “แม่กูฝากเอากุญแจห้องมาคืนมึง”

   “กองไว้ตรงนั้น”

   “กำลังเตรียมตัวไปฉลองวันเกิดเหรอ ที่ไหนล่ะ”

   “ไม่ใช่เรื่องของมึง”

   ผมหัวเราะออกมาทันที

   “งั้นไม่รบกวนละ” ก่อนไปก็ไม่ลืมหยิบกล่องของขวัญชิ้นเล็กออกมาจากกระเป๋า ผมวางมันไว้บนโต๊ะโดยไม่ได้หวังว่าคนตัวสูงจะต้องการมันหรือเปล่า

   “อะไร” ไอ้บูถามขึ้นมาทันที ดวงตามองสลับระหว่างใบหน้าผมกับของชิ้นนั้นไปมา

   “ของขวัญ จริงๆ ก็มันก็ควรเป็นของมึงตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว มันเป็นของจีนที่ตั้งใจให้มึง” เก็บเอาไว้ในลิ้นชักตั้งนานถึงเวลากลับไปสู่เจ้าของตัวจริงสักที ก่อนหน้านั้นมันพัง แล้วเข็มก็หยุดเดินไปหลายปี ไม่นานนี้เพิ่งมีโอกาสได้เอาไปซ่อมจนกลับมาใช้งานได้อีก

   กลับมาเดินเหมือนเดิมแล้ว

   เวลาของการก้าวไปข้างหน้าหลังจากจมอยู่กับอดีตมาเนิ่นนานก็เริ่มเคลื่อนที่เช่นกัน

   “ทำไมมึงไม่เคยพูดถึง” ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วมุ่น

   “คงเพราะกูขี้ขลาดล่ะมั้ง” กลัวที่ต้องพูดถึงมันเพราะนาฬิกาเรือนนี้คือเครื่องย้ำเตือนความผิดพลาดที่ผมได้ก่อเอาไว้ “อือ...คงต้องไปแล้ว”

   ผมเดินกลับไปยังหน้าประตู สวมรองเท้าทั้งสองข้างจนเรียบร้อย

“เดี๋ยว!” แต่แล้วก็จำต้องหันไปมองคนตัวสูงอีกครั้ง เวลาเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป บูรพากับอาคเนย์คนเดิมก็ไม่อยู่แล้วด้วย

“ที่มึงพูดในวันนั้น ที่มึงบอกกับกูในวันเกิด...มันเป็นเรื่องจริงหรือแค่คำโกหกกันแน่”

“มึงจะสนใจอะไรวะ ต่อให้มันเป็นความจริงเราจะย้อนกลับไปแก้ไขมันได้เหรอ”

ไทม์แมชชีนของผมมีชื่อเรียกว่าความทรงจำ มันพาเราย้อนกลับไปให้รู้สึกได้ เจ็บปวด ร้องไห้ เสียใจ แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี

“บู ตอนนั้นกูเคยคิดด้วยว่าถ้าไม่มีจีนกูกับมึงจะเป็นยังไง ยังจะโกรธเกลียดกันเหมือนในวันนี้มั้ย ยังจะรักกันได้หรือเปล่า ตอนนี้กูเลิกตั้งคำถามนั้นแล้วนะ”

“...”

“แต่กูจะถามว่าต้องทำยังไง ให้อยู่ได้โดยไม่มีมึงมากกว่า”

ประตูห้องปิดลงเป็นการยุติทุกเรื่องราวระหว่างเรา

พรุ่งนี้ หลังจากพระอาทิตย์โผล่โพ้นขอบฟ้า ไม่ว่าสุขหรือเศร้า หัวเราะหรือร้องไห้ ยังรักหรือชิงชัง บูรพากับอาคเนย์...ก็คงเหลือเพียงแค่ความทรงจำ










[ บูรพา ]

วันเกิดของผมมันควรมีความสุขกว่านี้ เหมือนกับทุกๆ ปีที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนที่เข้าใจ ทว่าก่อนหน้านั้นผมมีโอกาสได้เจอกับไอ้เนย์ ทำให้ความรู้สึกสับสนกลับมาตีวนอยู่ในหัวจนสลัดไม่ออก

แม้จะกลับมาถึงห้องแล้ว ผมก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้นอกจากนอนพลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น ภาพรอยยิ้มของมันที่มอบให้ก่อนจากไปติดตรึงในความรู้สึก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมายถึงอะไร แต่มันไม่เคยยิ้มแบบนั้นมานานแล้ว

Rrrr...!

เสียงเรียกเข้าปลุกผมในตอนเช้า หน้าจอปรากฏชื่อที่แสนคุ้นเคยจนไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนานรีบกดรับทันที เราพูดคุยกันแค่ครู่เดียวก่อนสมองจะใช้เวลาประมวลผลเล็กน้อย

แม่ของจีนอยากให้ผมเข้าไปหา

แม้ไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นเรื่องอะไรหรือสำคัญแค่ไหน แต่น้ำเสียงติดกังวลที่ได้ยินนั้นกลับเร่งให้ผมเป็นฝ่ายรีบรุดไปหาทันที

“จริงๆ ก่อนหน้าเราก็เคยคุยกันเรื่องจีนมาก่อน”

ไม่รอให้ผมถามเพราะเมื่อไปถึงแม่ก็เป็นฝ่ายเริ่มประเด็นอย่างเร็วรี่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“มันค้างคาใจแม่มานาน เพราะเริ่มละอายใจและสงสัยว่าสิ่งที่ทำไปมันถูกต้องแล้วเหรอ ก่อนหน้านั้นเคยลองหาเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาประกอบ แต่พอหักลบกับความเจ็บแค้นที่เขาทำให้จีนตายแม่เลยมองว่ามันสมควรแล้ว”

ประโยคที่เปล่งออกมาดูแปลกไปจากทุกครั้ง ผมขมวดคิ้วนั่งฟังอย่างใจเย็นโดยไม่คิดถาม

   “เมื่อหลายวันก่อนเด็กคนนั้นมาที่บ้านกับแม่ของเขา มาขอโทษและขอโอกาสก้าวไปข้างหน้า”

   ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แต่ก็ยังคงนั่งนิ่ง

   “แม่...ไม่ได้พูดความจริงกับบู”

   อะไรกัน?

“เพิ่งรู้ว่าลูกชายเขาป่วยจากอุบัติเหตุแม้จะผ่านมาหลายปีก็ยังรักษาไม่หาย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นความจริงแล้วไม่ได้มีแค่ครอบครัวเราที่สูญเสีย เขาเอง...ก็สูญเสียไม่แพ้กัน นั่นเพราะเรามัวแต่สนใจความรู้สึกของตัวเองจนปิดกั้นความจริงหลายอย่างไป”

“หมายความว่าไงครับ” ถึงจะเห็นเค้าลางความเป็นไปได้อยู่บ้าง ทว่าผมก็ยังอยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ในวันนั้นจีนโทรมาบอกแม่” น้ำตาหยดแรกไหลลงมา ผมเริ่มใจเสียเอื้อมมือหมายจะคว้าฝ่ามือของคนตรงหน้าเอาไว้แต่เธอกลับปฏิเสธด้วยการส่ายหน้า ก่อนจะเล่าความในใจออกมาจนหมดเปลือก “จีนเป็นคนคะยั้นคะยอให้เนย์ไปกับเธอเอง คนขับรถก็บอกแบบนั้น แต่ทางเรา...ตัวแม่เองกลับเป็นคนโทรไปเร่งเพราะไม่อยากให้พ่อโวยวายที่ควบคุมลูกไม่ได้”

“...!!”

“แม้จีนจะบอกว่าฝนกำลังตกหนักมาก แม่ก็ยังยื่นคำขาดให้รีบกลับบ้านภายในเวลากำหนด ไม่สนด้วยซ้ำว่าจะเดินทางลำบากแค่ไหน ยังไงก็ต้องมา แต่ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์มันจะเลวร้ายกว่านั้น”

ความในใจพรุ่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ความจริงที่อัดอั้นมาตลอดสามปีและผมไม่เคยรู้

“พอเกิดอุบัติเหตุแม่ก็เลือกโยนความผิดไปให้เขาเพื่อหวังว่าตัวเองจะได้รู้สึกดีขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าเขาเองต้องจมอยู่กับความผิดเพียงลำพัง”

เคยรู้สึกมั้ย จู่ๆ ก็เหมือนโลกตรงหน้ากำลังถล่มลงมา

เพราะหลังจากนั้นไม่ว่าแม่ของจีนจะพูดอะไรมันก็ไม่เข้าหูอีกแล้ว ร่างทั้งร่างชาไปทั้งซีก ขนาดเดินกลับมาที่รถผมยังแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

สามปีที่จมอยู่กับความจริงแบบผิดๆ สามปีที่เฝ้าแก้แค้นและสาดสีใส่กันไปมาตอนนี้สูญเปล่าทั้งหมด ผมขับรถกลับบ้าน มองเห็นรั้วสีขาวที่แสนคุ้นตาซึ่งอยู่ติดกันด้วยใจอันวูบโหวง

ป้ายประกาศขนาดใหญ่ถูกติดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คิดว่าแม่เองคงมีคำตอบสำหรับความสงสัย

   “แม่ ไอ้เนย์ไปไหน ทำไมถึงประกาศขายบ้าน”

   “ใจเย็นๆ ก่อนบู นั่งก่อนมั้ย”

   “มันไปไหน มันจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

   “บู เราไม่ได้เป็นเจ้าของเขานะ เรื่องที่ลูกถามแม่ก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน เขาไม่ได้บอกไว้”

   “...”

   “พูดแค่ว่าอยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันสองคนแม่ลูก”

“ไอ้เนย์จะไปไหนไม่ได้ ผมไม่ให้มันไป”

“...”

“ผมไม่ให้มันไป!”

ขาสองข้างแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงทรงตัวจนต้องทรุดลงกับเบาะ

ผมก้มหน้า สายตาจดจ้องนาฬิกาที่ถือเอาไว้ในมือขวา รู้อยู่แก่ใจว่าของชิ้นนี้ไม่ใช่ของจีนแต่เป็นของไอ้เนย์ นานมาแล้วที่เราเคยคุยกัน มันสัญญาว่าถ้าโตขึ้นจะซื้อนาฬิการุ่นนี้และยี่ห้อนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิด และผมก็ได้รับมันจริงๆ ในวันที่ 31 ธันวาคม

หน้าปัดบอกเวลากำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนภาพในม่านสายตาจะพร่าเบลอ มองเห็นเพียงเข็มวินาทีค่อยๆ หมุนย้อนกลับไปราวกับอยู่ในความฝัน

   ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก...ต่อก

   เพิ่งรู้คำตอบ

ไทม์แมชชีนของอาคเนย์หยุดทำงานแล้ว ขณะที่ไทม์แมชชีนของบูรพานั้นกำลังพาผมย้อนกลับไปในอดีต


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-03-2019 03:15:53
 เป็นกำลังใจให้เนย์ก้าวต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 07-03-2019 03:32:56
ผลัดกัน เนย์พยายามจะมีชีวิตต่อเพื่อตัวเองแล้วนะ บูจะมาฉุดไม่ให้เนย์ไปไม่ได้แล้ว
ตัวเองเอาแต่โทษทุกอย่างที่เนย์ มาคิดได้ตอนทำร้ายกันไปแล้วก็รู้สึกผิดกับคำขอโทษที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้พูดไปเถอะ
ปล่อยให้เนย์ไปเยียวยาตัวเอง ให้ไปไกลๆจากบู
แล้วถ้าในชีวิตนี้ได้เจอกันอีก ก็ขอให้เป็นเรื่องของโชคชะตา
me : น้ำตาซึมเหมือนเดิม
ถึงเราจะเกลียดบู แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งในอนาคตบูรพาได้กอดอาคเนย์อีกครั้ง ก็คงจะดี
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 07-03-2019 04:21:03
จิตติเกลาเนื้อหาได้เข้มข้นกว่าเดิมมากค่ะ เนื้อเรื่องดูสมูทขึ้นแต่ไม่ได้ลดความหน่วงเลย แล้วยิ่งเพิ่มส่วนของปัญหาครอบครัวของเนย์ด้วย หลังจากที่เนย์กลับมาแล้ว อะไรๆคงเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ขณะที่เนย์กำลังจะก้าวไปข้างหน้า บูก็กลายเป็นคนที่ถอยหลังกลับไปสู่อดีตเข้าไปอีก และคาดว่าคงฝังใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-03-2019 06:28:36
ชอบบบบบบ  เนื้อเรื่องมีการขยายความ ลงลึกมีรายละเอียดให้ที่มาที่ไป  :katai2-1:

ดีใจไปกับเนย์ ตั้งต้นชีวิตใหม่ ลบล้างอดีตเก่าๆที่มีแต่ความเจ็บช้ำทุกข์ระทม  :mew1: :mew1: :mew1:
คอยดูบูรพา กับวันที่ไม่มีเนย์  :z6: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 07-03-2019 09:21:13
แม่ของจีน !!!!!! :z6:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: องศาวาย ที่ 07-03-2019 10:52:58
มันสายไปแล้วบู นายไม่มีอะไรที่ดูเป็นสุภาพบุรุษเลย ปล่อยเนย์ไปเถอะ ปล่อยให้เนย์มีชีวิตใหม่เป็นคนใหม่ได้แล้ว  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: aumaim0621 ที่ 07-03-2019 11:10:46
ไม่คิดสงสารบูเลยซักนิด ไม่เลยจริง

อยากกอดเนย์แน่นๆ แล้วบอกให้เนย์เข้มแข็ง ไปเริ่มต้นใหม่นะ ในที่ที่เป็นของเราจริงๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 07-03-2019 11:38:47
เป็นการอ่านที่่ต้องฮึบ อ่ะ..  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 07-03-2019 12:09:54
ดีใจที่เนย์กำลังก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว
เป็นกำลังใจให้เนย์ก้าวผ่านอดีตที่มันร้ายๆ
และมีความสุขได้จริงๆซักทีนะ *กอด*

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 07-03-2019 13:01:42
อ่านมาจนถึงตอนนี้รู้สึกสมเพชบู ส่วนแม่ของจีนนั่นนะ สร้างปัญหาให้เนย์มากดีที่ยังยังสำนึกมาคิดได้ตอนที่เนย์กับแม่เข้าไปขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในเรื่องขอกราบคุณแม่ของเนย์ที่อยู่เคียงข้างและพยายามดึงเนย์ให้กลับมาเข้มแข็ง มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทีนี้ก็เป็นจุดพลิกกลับไปหาบูให้ต้องมาเจออะไรที่เลวร้ายบ้าง ขอให้เนย์เดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและอย่าไปยอมบูง่ายๆให้มันได้เรียนรู้ความเจ็บปวดมากๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-03-2019 13:16:59
แม่จีนใจร้ายจังเลยนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-03-2019 15:42:47
แม่ของเนย์เป็นคุณแม่ที่เข้มแข็งมาก ๆ เลยที่อยู่ดูแลเนย์มาได้จนถึงตอนนี้
คราวนี้ก็เป็นที่ของบูแล้วที่จะได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดของเนย์บ้าง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-03-2019 16:50:43
เนย์ต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้นะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 07-03-2019 16:57:16
ตอนต่อไป~~~~~ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 07-03-2019 23:18:00
“สร้างเขาขึ้นมาก็เลี้ยงให้ดีด้วยล่ะ”

เจ็บ!จนน้ำตาไหล พ่อเป็นส่วนนึงที่ทำให้เนย์ติดอยู่ในอดีต แต่แม่คือคนเดียวที่อยู่เคียงข้างมีแค่ความรักของแม่ที่พาเนย์ก้าวต่อเดินไปข้างหน้า  ในขณะที่แม่จีนและบูเลือกที่จะโยนความผิดมาให้เนย์เพื่อให้ตัวเองรู้ผิดและเจ็บน้อยลง
ไทม์แมชชีนของเนย์หยุดแล้ว  แต่ไทม์แมชชีนของบูกำลังเริ่ม วันที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง..ถ้าเนย์จะไม่เหลือความรู้สึกทั้งเกลียด หรือรัก วันนั้นคงเป็นวันที่บูรพา มีตัวตนแต่ก็เหมือนไม่มี มีแต่ความว่างเปล่าในสายตาเนย์มันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกเกลียดซะอีก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-03-2019 23:24:51
เข้าใจนะธรรมชาติของคนเรา ที่จะโยนความผิด หรืออะไรที่ไม่ดีให้กับคนอื่น เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือรู้สึกดีขึ้น  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-03-2019 00:05:21
อยากอ่านทุกวันอะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 08-03-2019 00:10:34
สงสารเนย์ เห็นใจบูที่ไม่รู้อะไรมาตลอด แต่ละคนจะพังไปได้ถึงขนาดไหน รอติดตามมาก
ยิ่งอ่านเวอร์ชั่น2018 ยิ่งคิดถึงเวอร์ชั่นเก่า  :ling1:
มาต่อๆ อยากอ่านทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 08-03-2019 11:43:02
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-03-2019 15:17:50
แอบคิดถึงเวอร์ชั่นเก่าตอนที่เนย์ใช้มีดแทงตัวเองต่อหน้าบูจัง
ความจริงก็อยากให้มีฉากนี้ด้วยนะ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: stikkies_naja ที่ 08-03-2019 15:36:17
คือโชคดีที่เคยอ่านแล้วจำไม่ค่อยได้ ว่าเรื่องราวมันยังไงต่อเพราะตอนนั้นไม่ชอบอ่านแนวดราม่าหนักๆ

แต่หลังอ่าน ร้ายเดียงสา กลับมาชอบแนวดราม่าหนักหน่วงบ่วงจิตขึ้นมาซะงั้น

พอจิตติเอามารีไรท์ใหม่ และปรับปรุงใหม่หลังจากนี้
ก็ขอบูเสื่อรอตอนต่อไป ฮืออออออออออออออออออออ เสพติดแนวนี้ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 08-03-2019 23:40:10
ก็ถ้ารู้สึกผิดจริงๆก็ควรปล่อยเขาไปไม่ใช่หรอบูรพา ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ควรดึงเขากลับมาแล้ว นาฬิกาพังๆของอาคเนย์กำลังจะเดินใหม่แล้ว อย่าไปทำให้เขาต้องหยุดอยู่กับที่แล้วทำร้ายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-03-2019 16:54:45
บีบหัวใจมากค่ะ พีคมากสุดคือความจริงที่ต้องพบ
เจ็บที่ไม่รักกัน ยังไม่เท่าเพราะต้องอยู่แบบตายทั้งเป็น
สงสารอาคเนย์มาก ต้องทนกับบาดแผลและความเจ็บปวดในใจ
และยังต้องมาเจอความร้ายกาจของบูรพาอีก
ถึงจะคิดให้อยากให้บูตาย แต่ไม่เคยทำได้เลย เพราะคำว่ารัก

บูรพาน่าสงสาร เพราะความไม่รู้ ความทรงจำที่บิดเบี้ยว
สงสารความคิด สงสารการกระทำที่ร้ายกาจ สงสารสภาพจิตใจ

ตอนนี้อาคเนย์พร้อมเริ่มใหม่แล้ว ขอบคุณคุณแม่ที่อยู่เคียงข้าง
ไม่ยอมแพ้ และเข้มแข็งมากเลยค่ะ ยอมใจคุณแม่มากกับสิ่งที่ต้องเจอ

แต่บูรพาพึ่งรู้ตัวและต้องเผชิญกับความจริงที่อยากจะแก้ไข
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 09-03-2019 22:04:33
อาคเนย์จะต้องเข้มแข็งกลับมาได้ เป็นกำลังใจให้เนย์กับแม่นะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 10-03-2019 21:47:56
จากที่ต่างคนต่างจมอยู่กับอดีต มาตอนนี้กลายเป็นว่าเนย์จะเริ่มก้าวไปข้างหน้าแล้ว คงเหลือแค่บูแล้วที่ยังติดอยู่ตรงนั้นและคงติดอยู่อีกมากเพราะสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดคงค่อยๆย้อนกลับมา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่7 [07/03/62] *หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: atk919397 ที่ 11-03-2019 00:07:39
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



อาคเนย์
ผมไม่เคยรู้เลยว่า...การที่เราเกลียดใครสักคนมากๆ
มันจะกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าคนคนนั้นเริ่มมีความสำคัญกับเรามากขึ้นทุกที
Original : Damage พิษรัก, 2014



สารบัญ
00 - Introduction (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3873040#msg3873040)
01 - Everything at once (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3873043#msg3873043)
02 - Half an eyesight (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3878120#msg3878120)
03 - Again and again (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3941856#msg3941856)
04 - All or nothing (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3944765#msg3944765)
05 - Forgotten (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3947446#msg3947446)
06 - Birthday memory (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3949984#msg3949984)
07 - Time machine (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68018.msg3952079#msg3952079)




#อาคเนย์
คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายดราม่าและมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ




Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 13-03-2019 00:10:55


CHAPTER 8
ANTICLOCKWISE



อาคเนย์ (1) น. ทิศตะวันออกเฉียงใต้
อาคเนย์ (2) น. สิ่งสูญหาย



‘ไอ้บู มึงเคยคิดมั้ยว่าถ้าเราไม่ได้เกลียดกันเหมือนวันนี้มันจะเป็นยังไง’
‘มึงจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ’
‘ก็แค่เสียดายความทรงจำดีๆ เพราะตอนนี้กูจำอะไรเกี่ยวกับมึงไม่ได้แล้ว จำได้แค่ตอนที่เรายังเป็นเด็กแล้วเอาแต่วิ่งเล่นด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน กินไอติมด้วยกัน มึงไม่ชอบกินชีสเพราะบอกว่ามันเลี่ยน เวลาอาหารอะไรมีชีสอยู่ในนั้นมึงก็จะไม่กินเลย’
‘กูไม่ชอบมึงก็ยังสั่งมา เหอะ!’
‘กูยังจำอีกหลายอย่างที่เป็นมึงเมื่อหลายปีก่อนได้นะ มึงชอบกินผักที่กูเขี่ยไว้ข้างจาน มึงชอบเล่นเกมเพลย์สเตชัน แล้วก็ชอบกินลูกอมรสโคล่า’
‘...’
‘มึงไม่ชอบไปหาหมอแต่มึงอยากเรียนหมอ วันวาเลนไทน์มึงมักได้ของขวัญเยอะแยะไปหมดเพราะเขารู้ว่ามึงชอบอะไร แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าความจริงแล้วมึงไม่ได้ชอบของพวกนั้น มึงแค่พูดส่งๆ ไป’
‘จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา กูไม่ได้รู้สึกดีใจหรอกนะ’
‘เออ รู้...เห็นทีต้องไปละ’
‘…’   
‘ปีนี้กูไม่มีของขวัญให้นะ เกลียดกันแล้วก็ไม่รู้จะทำดีไปเพื่ออะไร ก็...สุขสันต์วันเกิดแล้วกัน’




   นั่นคือความทรงจำอย่างหนึ่งที่ผมจำได้เมื่อปีก่อน วันเกิดอายุสิบเก้าของนายบูรพา

   วันนั้นผมเจอมันโดยบังเอิญที่คลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราเหม็นขี้หน้ากันฉิบหายแต่ไอ้เนย์ก็ยังโผล่หน้ามาหา พร่ำพูดแต่ความทรงจำชวนอ้วกจนผมเบื่อจะฟัง เราต่างเกลียดกันแต่ก็ต้องเจอหน้ากันทุกวัน แถมยังนั่งใกล้ๆ ในคลาสเล็กเชอร์ด้วยความจำใจ เฝ้าแต่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางหายไปไหน อย่างน้อยก็ภายในหกปีที่เราเรียนในมหา’ลัย

   ต่อให้เกลียดจนฆ่าแทบกันตาย ผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชีวิตนั้นเคยชินกับการมีคนชื่ออาคเนย์อยู่ด้วยแล้ว

   “บูวันนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ อีกครึ่งชั่วโมงพ่อน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว” เสียงของแม่ฉุดผมขึ้นมาจากภวังค์ดำมืดหลังจมจ่อมกับมันเนิ่นนาน

   “ไม่ล่ะครับ”

   “อ้าว”

   “ผมว่าจะกลับคอนโดเลย พอดีมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”

   “เรื่องเนย์กับแม่เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าเลยลูก ยังไงเราก็เป็นแค่เพื่อนบ้านจะไปก้าวก่ายในชีวิตของเขามากเกินคงไม่ดี” แม่พูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ บางทีการที่ใครสักคนหายไปจากชีวิตมันก็ทำให้เราทุกข์ได้ “เนย์เหนื่อยมาเยอะแล้ว ทั้งคณะที่เขาเรียนและการหย่าร้างของพ่อแม่ หากจมอยู่ตรงนี้นานๆ อาจทำให้เขาเจ็บ...”

   “ไม่ใช่แค่นี้หรอก” แม่พูดไม่ทันจบประโยคผมรีบเอ่ยแทรกทันที คนฟังทำหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา ผมคิดว่าตอนนี้มันคงถึงเวลาที่จะยอมรับความจริงสักที “ผมทำผิด”

   “ลูกรู้อะไรมาเหรอ”

   มือขวากำหมัดแน่นขณะพูด ก้มหน้ามองต่ำไม่กล้าสบตากับคนตรงหน้า

   “ผมจำได้ในตอนเด็ก” ความทรงจำสีหม่นย้อนกลับมาอีกครั้ง แม้จะนานมากแล้วแต่ผมก็ยังจำได้ดี “ไอ้เนย์เกิดก่อนแค่ไม่กี่วัน มันเกิดวันที่ 25 ส่วนผมเกิดวันที่ 31 พอฉลองคริสต์มาสเสร็จเราก็เตรียมบอกลาวันสิ้นปีกันต่อ”

   ละอายใจอาจเป็นความรู้สึกเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้

   “ไอ้เนย์ไม่ชอบกินผัก ไม่ชอบกินเนื้อ แต่ชอบกินขนมจุกจิก มันนิสัยไม่ดีชอบแย่งเกมกดผมไปเล่น มันบอกผมตลอดว่าอยากเป็นวิศวกรแต่สุดท้ายดันสอบเข้ามาเรียนหมอได้หน้าตาเฉย ครั้งหนึ่งไอ้เนย์เคยพูดถึงความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับผม วันนี้เลยอยากจะพูดถึงความทรงจำที่มีมันบ้าง แต่เราเหมือนกันอยู่อย่าง...”

   “...”

   “ไม่มีใครจำเรื่องราวของกันและกันในปัจจุบันได้”

   หรือจะพูดอีกอย่างคือเราต่างไม่ใส่ใจที่จะมองมันมากกว่า

   “ผมกับไอ้เนย์ไม่ได้รักกันอย่างที่แสดงออกให้แม่รู้ เรา...เกลียดกันมาก หลังจากจีนเสียผมทั้งเจ็บใจและแค้นที่มันเป็นต้นเหตุทำให้คนที่ผมรักต้องตาย” โลกมันมืดไปหมด เอาแต่คิดว่าที่ทุกอย่างเลวร้ายขนาดนี้ก็เพราะมัน แถมยังตั้งใจสารภาพรักทั้งที่ผมก็มีแฟนอยู่แล้วอีก

   พอทุกอย่างตีวนอยู่ในหัวการกระทำเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับการสุมไฟ มันบอกรักผม มันพาจีนออกไปข้างนอก มันทำให้จีนตาย เหตุการณ์ร้ายๆ เกิดจากอาคเนย์เพียงคนเดียว ผมเฝ้าแต่ย้ำกับตัวเองมาตลอดหลายปี ยิ่งตอนที่ได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็ยิ่งเจ็บแค้น

   มันทำราวกับว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น พยายามจะลืมทั้งที่รู้ว่าผมไม่มีทางลืม

   “แม่…” คราวนี้ผมเงยหน้าขึ้น สบตากับคนอายุมากกว่าตรงๆ “ผมเคยทำร้ายไอ้เนย์ เคยกระทืบมัน เคยหักข้อเท้า เคยแม้กระทั่งคิดจะข่มขืนมันด้วย ตลอดหลายปีที่มันเจ็บตัวก็มีผมนี่แหละที่เป็นสาเหตุ”

   “บู”

   แววตาซื่อตรงที่มองมาสั่นระริก แม่ไม่ได้เปิดปากพูดหรือด่าอย่างที่คิดเอาไว้นอกจากลากเท้าอย่างเชื่องช้ามายังโซฟา ก่อนทิ้งตัวยังฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ผมก็ยังทำใจกล้าพูดสิ่งที่ต้องการออกไป

   สักวันความลับก็จะไม่เป็นความลับอีก ต่อให้ฝั่งโน้นไม่พูด ผมก็คงทนความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้จนต้องพูดออกมาอยู่ดี

   “ตอนที่มันย้ายมาอยู่ห้องผมก็ยังทำร้ายมัน ไม่เคยรู้สึกผิดที่ทำร้าย มองแค่ว่านี่คือสิ่งที่มันสมควรได้รับแล้ว แม่จะบอกพ่อก็ได้นะ จะแจ้งตำรวจก็ได้ ทำอะไรก็ได้ขอแค่พาเนย์กลับมา”

   “...”

   “แม่รู้ แม่รู้ดีว่ามันอยู่ที่ไหน แม่รู้ว่ามันไม่ได้ไปไหนไกลแค่อยากจะหนีจากผม เพราะงั้นพาไอ้เนย์กลับมาได้มั้ยครับ หรือไม่แม่แค่บอกผมก็พอ บอกว่ามันอยู่ที่ไหนเดี๋ยว...”

   “บู” แม่ไม่ปล่อยให้ผมพูดต่อ สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ขณะเดียวกันน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ค่อยๆ ไหลลงมาในที่สุด “ทำกับเขาขนาดนั้นยังต้องพาเขากลับมาอีกเหรอลูก”

   “ผมแค่...”

   “แม่ผิดหวังในตัวบูมากนะ ที่ผ่านมาแม่เลี้ยงลูกมาโดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วลูกเป็นคนยังไง แม่ไม่ได้เรื่องเลยใช่มั้ยที่ไม่เคยมองออกเลยว่าลูกสองคนเกลียดกันมากแค่ไหน”

   บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความอึดอัด ความจริงบ้านเราคุยกันน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ก็ยิ่งมึนตึงหนักกว่าเก่า ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ที่ผ่านมาเก่งไปซะทุกเรื่องแต่พอเอาเข้าจริงก็แก้ปัญหาอะไรไม่เคยได้

   “ลูกจะกลับคอนโดไม่ใช่เหรอ” นานเหมือนกันก่อนน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อยจะเอ่ยออกมา

   “แม่อยากด่าผมมั้ย”

   “ด่าแล้วใครเจ็บล่ะ ลูกไม่เจ็บหรอกเนย์ต่างหากที่เจ็บไปแล้ว”

   “...”

   “ส่วนเรื่องตามหาก็ขอให้พอเถอะ ปล่อยให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ดีแล้วที่เขาจากไป อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตอนที่เขาต้องอยู่กับลูกอย่างทรมาน”

   คำพูดของแม่จบความคิดหลายอย่างที่ผมต้องการจะเอ่ย เลยจำต้องเก็บมันเอาไว้แล้วเดินออกมา

   คนเราต้องอายุเท่าไหร่ถึงไม่สามารถใช้คำว่าเด็กได้แล้ว สำหรับผมการมีอายุมากขึ้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ เพราะอายุ 20 ปีเต็มของบูรพาในปีนี้เหมือนมีไว้แค่บอกเวลา ทว่าความรู้สึกต่างๆ กลับยังคงทิ้งไว้ในอดีต

   ไม่มีใครพาอาคเนย์กลับมาอีกแล้ว

   และแน่นอน คำบางคำที่อยากจะบอกมันก็ไม่มีโอกาสพูดออกมาอีกเช่นกัน









   

   ผมตื่นเช้า เช้ามากๆ ถ้าเทียบกับปกติ

   สมองยังไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควรเพราะเมื่อคืนนอนแทบไม่หลับ แม่ไม่รับสายผมอีกเลยต้องโทรหาพ่อเพื่อถามไถ่ความเป็นไป โชคดีที่คำตอบไม่แย่เท่าที่ควรเลยพอปล่อยวางเรื่องนี้ได้บ้าง แต่กับคนที่จากไปแล้วนี่สิ ต่อให้พยายามสลัดออกจากหัวเท่าไหร่มันก็ไม่เคยทำได้เลย

   บนถนนที่เต็มไปด้วยรถติดในตอนเช้าส่งผลให้ผมต้องติดแหงกอยู่บนถนนนานนับชั่วโมง ในใจไม่เคยสงบเลยเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องฟุ้งซ่าน ผมหยิบมือถือขึ้นมา กดไปที่โซเชียลมีเดียต่างๆ ของไอ้เนย์เพื่อหวังว่ามันจะอัพเดตอะไรให้เห็นบ้าง ทว่าความหวังก็ไม่เคยเป็นจริง

   ชื่อของอาคเนย์ไม่มีอยู่ในการค้นหาอีก

   เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และทุกช่องทางในการติดต่อสูญหายราวกับไม่เคยมีอยู่ มันหายไปพร้อมกับคนเป็นเจ้าของซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้มีตัวตนอยู่ส่วนไหนของโลก

   ผมไม่เคยบันทึกเบอร์ของอีกฝ่ายไว้และไม่คิดจะจำ หรือถ้าหามาได้คำตอบก็มีอยู่อย่างเดียวคือไม่มาทางโทรติด ดังนั้นเลยเหลือทางเลือกเดียวนั่นคือไปหาเพื่อนของมันที่คณะ

   “ไอ้อั๋นกูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

   มนุษย์หน้าจืดสวมแว่นหนาเตอะแต่นิสัยจริงๆ ตรงกันข้ามกับหน้าตาสุดขั้วนี่แหละเพื่อนสนิทไอ้เนย์ ผมเดาว่าทั้งคู่ต้องรู้ความลับของกันและกันไม่มากก็น้อย เลยอยากถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง

   “กูทำอะไรอยู่มึงไม่เห็นเหรอ ไปนั่งที่มึงได้แล้วไป” เจ้าของชื่อเงยหน้ามองด้วยสายตานิ่งเฉยพร้อมกับปัดมือไล่กรายๆ

   “กูขอเวลาแค่ห้านาที”

   “เดี๋ยวอาจารย์ก็เข้าแล้ว มีอะไรมึงค่อยคุยท้ายคาบเถอะ”

   ความร้อนใจทำให้ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดสโลปไปอีกสองก้าว ก่อนจะเงื้อมือรั้งคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นจนเจ้าตัวร้องโวยวายยกใหญ่

   “มึงทำเหี้ยอะไรวะไอ้บู”

   ผมไม่ตอบ แต่ฉุดมันขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วรีบจัดการลากตัวออกห้องท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ

   “ไอ้สัดปล่อยกูได้แล้ว!” หลังลากมันมายังห้องน้ำผมก็ยอมปล่อยมือจากคอเสื้ออย่างง่ายดาย “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”

   “ไอ้เนย์ไปไหน”

   “มึงจะถามทำไม ต่างคนต่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้อั๋นตอกกลับแทบจะทันที มันรักไอ้เนย์มากนั่นเลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มันไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมสักเท่าไหร่

   “กูถามว่าไอ้เนย์ไปไหน! มันได้บอกอะไรมึงมั้ย”

   “บอก”

   “บอกว่าไง”

   “มึงจะอยากรู้เรื่องของกูกับมันทำไมวะบู”

   “มึงอย่ามากวนประสาทกูให้มาก” ผมยกมือตบกำแพงเพื่อระบายอารมณ์ที่พร้อมปะทุอยู่ทุกเมื่อ

   “มันไม่ได้บอกว่าจะย้ายไปที่ไหน กูเจอไอ้เนย์แป๊บเดียวตอนมันเอาเอกสารลาออกมายื่นที่คณะ แล้วก็สั่งลาเล็กน้อยเพราะคงไม่ได้เจอกันอีก”

   “...!!”

   “แม่งก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยมึงจะได้รู้สึกดีขึ้นไง”

   “ก่อนไปมันได้พูดอะไรถึงกูมั้ย” ผมกัดฟันถาม พยายามความคุมอารมณ์สับสนบางอย่างเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา

   “มึงคาดหวังอะไรวะบู”

   “ไอ้อั๋น กูจะถามย้ำอีกครั้ง ถ้ายังตอบไม่ตรงคำถามมึงได้เจ็บตัวแน่”

   “โอเคกูบอกก็ได้ ก่อนไปไอ้เนย์มันยิ้ม”

   “กูไม่ได้อยากรู้ว่ามันทำหน้ายังไง! มึงอย่าเล่นลิ้นให้มันมาก”

   “ทำไมใจร้อนจังวะ เออ มันบอกแค่ว่าขอให้กูสมหวังกับทุกอย่าง แต่แปลกดี...”

   “...”

   “มันไม่ได้พูดอะไรถึงมึงเลย แม้แต่คำเดียวก็ไม่พูด”

   บางทีของขวัญที่ยื่นให้ผมในวันเกิดอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้รับ ผมพยายามนึกย้อนกลับไปในวันนั้นก่อนเราจะจากกัน อาคเนย์บอกอะไรเอาไว้



‘ตอนนั้นกูเคยคิดด้วยว่าถ้าไม่มีจีนกูกับมึงจะเป็นยังไง ยังจะโกรธเกลียดกันเหมือนในวันนี้มั้ย ยังจะรักกันได้หรือเปล่า ตอนนี้กูเลิกตั้งคำถามนั้นแล้วนะ’
‘...’
‘แต่กูจะถามว่าต้องทำยังไง ให้อยู่ได้โดยไม่มีมึงมากกว่า’




   “มันจะต้องกลับมา มันจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

   ในใจแม่งโคตรต่อต้าน ผมไม่อยากยอมรับเลยรีบหมุนตัวออกจากห้องน้ำ จุดหมายที่ตั้งใจจะไปเลยก็คือคณะที่ไอ้ดินเรียนอยู่ มันเป็นเพื่อนคนเดียวที่รู้ความลับดำมืดของอาคเนย์เลยคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ต้องการ

   “ไอ้เนย์ไปไหน” คำถามชุดเดิมจู่โจมไปยังคนตรงหน้า ทว่าไอ้ดินในเวลานี้ไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวผมเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว

   “มึงจะถามหามันทำไม”

   “แม่จีนบอกว่ามันป่วยเป็น PTSD กูก็แค่อยากรู้ว่ามันรักษาตัวที่ไหนเท่านั้น” ป่วยมาตลอดสามปีแต่ผมไม่เคยรับรู้เลย นอกจากทำร้ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลักให้มันตกลงไปในหุบเหวของความเลวร้ายไม่รู้จบ

   “ทำไม? อยากรู้เพื่อที่มึงจะได้ลากตัวมันกลับมาข่มขืนน่ะเหรอ กูว่าพอเถอะว่ะ แค่นี้ไอ้เนย์ก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว”

   “กูไม่ได้ต้องการทำอย่างนั้น ก็แค่...” ผมพูดไม่ออก พยายามหาเหตุผลต่างๆ ในหัวทว่าสุดท้ายอีกฝ่ายกลับเบรกเอาไว้

   “ไม่ว่ามึงจะมีความคิดอะไรที่อยากตามมันกลับมากูว่าพอเถอะว่ะ จบกันได้แล้ว จำตอนนั้นได้มั้ยตอนที่มึงบุกมาห้องกู ตอนที่มันขอร้องว่าอย่าทำอะไรแต่มึงก็ยังลากตัวมันกลับไป คนที่โดนทำมันไม่ลืมนะเว้ย คนที่เอาแต่ฝันร้ายทุกคืนจะให้ลืมได้ไง”

   “ก็เพราะว่าเป็นอย่างนี้ไงกูถึงอยากเจอไอ้เนย์อีก”

   “งั้นกูถามหน่อย ถ้าคำตอบของมึงดีพอกูจะยอมบอกก็ได้”

   “อยากถามอะไรก็ว่ามา”

   “ถ้ามีโอกาสได้เจอกันมึงจะบอกอะไรกับมันวะ”

   “กูก็จะบอกว่ามันไม่มีสิทธิ์หนีกูไปไหนทั้งนั้น” ผมตอบทันที รู้สึกได้เลยว่าความร้อนผ่าวค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่างหลังรู้ซึ้งว่าสิ่งที่พูดออกไปมันโคตรจะสิ้นคิด และดูเหมือนคนตรงหน้าก็รู้สึกไม่ต่างกันเลยได้แต่คลี่ยิ้มสมเพช

   “มึงก็ยังเป็นคนเหี้ยๆ คนเดิม กูเคยสงสัยนะว่าทำไมไอ้เนย์ถึงได้รักคนอย่างมึงได้ จริงๆ มันก็มีคำตอบอยู่แล้วล่ะ ไอ้เนย์น่ะ...”

   “...”

   “รักบูรพาคนเดิมของมัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่มึง”











   หนึ่งสัปดาห์หลังอาคเนย์จากไป…

   ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับ PTSD ไว้ค่อนข้างเยอะ บางเรื่องก็อาศัยปรึกษารุ่นพี่ในคณะเผื่อจะช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้น อาคเนย์ป่วยด้วยโรคนี้มานานถึงสามปี มันคืออาการเครียดที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ แน่นอนว่าอาการต่างๆ ที่ผ่านมาก็ตรงกับพฤติกรรมที่เจ้าตัวเคยเป็นทั้งหมด

   ไอ้เนย์ไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นอีก ต่อให้เค้นถามยังไงก็ไม่ยอมปริปาก แถมผลพวงอีกข้อที่เกิดขึ้นยังทำให้มันไม่กล้าขับรถอีกเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างดีว่าการทำจิตบำบัดสำหรับผู้ป่วยไม่ได้ผลเพราะเนย์ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวได้ หนักไปกว่านั้นคือมันเคยพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บปวดอยู่หลายครั้ง

   และผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มันเป็นแบบนี้

   หลังประสบอุบัติเหตุรถคว่ำผมตราหน้ามันว่าฆาตกร ทำร้ายกันและกันมาอย่างยาวนานจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ทนไม่ไหวตัดสินใจหายไปจากชีวิตของผม ความจริงควรรู้สึกดีไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องมีใครมาขวางหูขวางตาและทำให้รู้สึกเจ็บแค้นอีก แต่ทำไม...

   ผมตอบไม่ได้ ที่สำคัญ...ยังไม่กล้าถามความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำว่ามันเป็นยังไง

   “ไอ้บูมึงจะไปไหนวะ”

   “ข้างนอก”

   “โดดเรียนอีกแล้วเหรอ รอบนี้อาจารย์สับมึงเละแน่”

   “ช่างเหอะ”

   “เดี๋ยวจะไม่จบเอานะเว้ย” เบื่อเพื่อนตัวเองว่ะ เดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็มักถูกบ่นอยู่เสมอ

   “ไม่จบก็ช่างมัน”

   “สรุปมึงยังอยากเป็นหมออยู่มั้ยวะ กูล่ะโคตรสงสัยเลย”

   ผมหันไปฉีกยิ้ม หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่าก่อนตอนกลับเสียงเรียบ

   “ไม่รู้ว่ะ”

   เมื่อก่อนอาจพูดได้เต็มปากว่าการเป็นหมอนั้นคือจุดสูงสุดของความฝัน แถมยังเข้ามาเรียนปีหนึ่งด้วยไฟอันคุกรุ่น ผมมีความสุขกับทุกอย่างที่เป็น ถึงต้องไปต่อยตีกับไอ้เนย์บ้างแต่มันก็ไม่เคยกระทบกับการเรียน ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

   สองเท้าเดินตรงไปยังลานจอดรถ ทุกวันผมมักจะขับรถไปที่ไหนสักแห่งและก็ใช้เวลาอยู่กับสถานที่นั้นเพียงไม่กี่นาที มองให้รู้ว่าสิ่งที่ตามหายังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า หากไม่เจอก็ภาวนาขอให้วันถัดไปคงได้เจอ

   รถยนต์เคลื่อนตัวมาจอดที่บ้านของใครคนหนึ่ง ถัดออกไปอีกไม่กี่เมตรก็คือบ้านของผม นานนับสัปดาห์แล้วที่ผมไม่ได้คุยกับแม่ หรือจะพูดอีกอย่างคือไม่กล้าสู้หน้าเลยเลือกจอดรถไว้ตรงกำแพงบ้านอีกหลัง มองลึกเข้าไปยังพื้นที่แห่งความทรงจำ

   เจ้าของบ้านไม่อยู่อาทิตย์หนึ่งแล้ว ป้ายประกาศขายก็ยังติดไว้ตรงจุดเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน

   ใครคนนั้นไม่เคยกลับมา

   สิบนาทีให้หลังผมสตาร์ทรถยนต์กลับไปยังคอนโดของตัวเอง ข้าวของทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนเดิม แม้กระทั่งห้องนอนของไอ้เนย์ที่มันเคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งก็ด้วย ผมหาวิธีจัดการกับความฟุ้งซ่านในหัวของตัวเองด้วยการนั่งแยกหนังสือกองมหึมาในตู้ บางเล่มอ่านแล้ว ส่วนบางเล่มอยู่ในสภาพแย่หน่อยก็แค่ทิ้ง

   ผมหมกมุ่นอยู่กับมันนานนับชั่วโมงจนดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานเข้ามาทีละน้อยนำพาเอาความหนาวยะเยือกเข้ามาด้วย

   หนังสือเล่มหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากกอง ผมมองดูหน้าปกเก่าเกือบขาดภายใต้แสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง มันมีชื่อว่า ‘Revenge’ โคตรตลกเลยที่ช่วงหนึ่งดันอินกับการแก้แค้นใครสักคนมากถึงขนาดต้องซื้อหนังสือมาอ่าน

   และในที่สุดชีวิตผมก็เป็นอย่างที่หนังสือในหน้าสุดท้ายบอกเอาไว้

   ‘สิ่งที่ได้รับจากการแก้แค้นสำเร็จไม่ใช่รสหอมหวาน หากแต่เป็นความฝาดเฝื่อนของน้ำตา’

   ผมปิดหนังสือลง ไม่ได้ยัดมันใส่ลังกระดาษของหนังสือที่เตรียมทิ้ง แต่เลือกเดินออกไปนอกระเบียงพร้อมกับไฟแช็กอันหนึ่ง ผมแค่อยากทำลายมันในวิธีของตัวเอง ไม่ขาย ไม่บริจาค ไม่รีไซเคิล สิ่งเดียวที่ต้องการคือกำจัดให้หายไปจากโลกนี้ราวกับไม่เคยมีอยู่

   คงเหมือนความผิดของผมที่ต้องการปกปิดเอาไว้ ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางหายไปตลอดกาล

   เพราะมันยังคงอยู่ในความทรงจำ


อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 13-03-2019 00:13:04


   ‘บู! บูรพากูกลับมาแล้ว’
   ‘ไอ้เนย์เหรอ มึงหายไปไหนมาวะ รู้มั้ยว่ากูตามหามึงตลอด’
   ‘พอดีกูไปพักร้อนน่ะ’
   ‘กลับมาคราวนี้มึงจะอยู่ที่นี่ตลอดไปมั้ย’   
   ‘ตลอดไป?’
   ‘…’
   ‘ตลอดไปไม่มีจริงนะบู’




   “เนย์!!”

   ผมสะดุ้งตื่นหลังเรียกชื่ออีกคนลั่นห้อง รอบกายว่างเปล่าก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนบนเตียงคิงส์ไซส์ภายใต้ความมืดของคอนโดห้องเดิม เหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามร่างกายจนเปียกชื้น ผมก้มมองฝ่ามือของตัวเอง มันยังคงสั่นไม่หยุดเหมือนกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่ระรัว

   คืนนี้ยังคงฝันเรื่องเดิมๆ มันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากนั้นก็บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนต้องไปพบหมอก่อนจะได้รับยาคลายเครียดกลับมา หนึ่งเดือนแล้วนับจากวันที่ไอ้เนย์ย้ายออกไป ผมทำทุกวิถีทาง ทั้งตามหาเองและฝากเพื่อนช่วยตามให้แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว

   ความหวังเองก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงจนมืดมน

   ผมก้าวเท้าลงจากเตียงเดินฝ่าความมืดไปยังห้องน้ำ จัดการวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาลูบหน้าให้ตื่นเต็มตา

   ภาพสะท้อนตรงหน้ากระจกดูบิดเบี้ยวไปหมด ความจริงแล้วมันอาจเป็นผลมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอในช่วงที่ผ่านมา ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกหม่นหมอง เริ่มเกลียดตัวเองขึ้นมาทีละน้อยจนอดไม่ได้เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง โดยมีแสงไฟจากตึกสูงด้านนอกคอยส่องสว่างช่วยให้พอหยิบจับอะไรได้ถูก

   เท้าทั้งสองข้างย่ำกลับไปยังห้องน้ำ มองผมสีแดงเพลิงที่ถูกอาจารย์ต่อว่าต่อขานหลายครั้งแต่ไม่เคยจะย้อมกลับ เมื่อก่อนผมรักมันมาก ต่อให้ยาวกว่าเดิมจนโคนผมสีดำแทรกขึ้นมาผมก็ยังขยันไปเติมสีให้มันแดงเหมือนกันทั้งหัว ทว่าค่ำคืนนี้ ในช่วงเวลาที่ความสับสนและอารมณ์แปรปรวนเป็นใหญ่ ผมกลับรู้สึกเกลียดมัน...

   กรรไกรตัดกระดาษถูกเงื้อขึ้นเหนือหัว ใช้เวลาลองกะคร่าวๆ จากสายตาจากนั้นก็ตัดลงไป เส้นผมสีแดงกระจุกหนึ่งร่วงหล่นลงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า พอก้มมองดูความรู้สึกสบายใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด ผมเลยตัดอีก...

   ความจริงคงไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก ถึงยังไงผมก็ตัดมันออกจนหมดอยู่ดี

   ครั้งหนึ่งเคยนอนตักจีน เธอลูบหัวผมแล้วก็เอ่ยปากชมไม่หยุด เธอชอบเส้นผมของคนที่ชื่อบูรพา แต่วันนี้ไม่ว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ก็ไม่มีจีนอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

   ผมมองภาพที่ปรากฏอยู่บนกระจก เอียงซ้ายและขวาอย่างช้าๆ ความจริงตัดผมจนเตียนก็ไม่ได้แย่ กว่าจะเดินออกจากห้องน้ำขอบฟ้าก็เปลี่ยนสีเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ซะแล้ว

   ระเบียงเป็นจุดเดียวที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อะไรมากไปกว่าการยืนสูบบุหรี่ ทว่าวันนี้กลับคิดแปลกประหลาดตรงที่อยากใช้เวลามองดูพระอาทิตย์ขึ้นดูสักครั้ง ผมเป็นคนที่ไม่ได้อินกับความเป็นธรรมชาติหรือแสงสวยๆ เหมือนใครหลายคน ดังนั้นจึงไม่รู้จะมีความอดทนมองมันได้นานแค่ไหน

   แน่นอนว่าไม่ถึงสิบนาทีผมก็ทนไม่ไหวเดินไปหยิบบุหรี่ยี่ห้อประจำขึ้นมาจุดสูบ ควันสีขาวลอยล่องไปในอากาศ ผมมองตามมันไปเรื่อยๆ จนจางหายไป ก่อนที่ท้องฟ้ามืดมิดจะค่อยๆ ทอแสงประกายสีแดงส้มในเวลาต่อมา

   บูรพาหมายถึงทิศตะวันออก เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่

   อืม...

   การเริ่มต้นวันใหม่ในวันนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก









   ‘บูกูไปก่อนนะ’
   ‘มึงจะไปไหน’
   ‘สักที่หนึ่ง แล้วเดี๋ยวจะกลับมา’
   ‘ไม่! มึงจะไม่กลับมาเพราะงั้นกูไม่ให้มึงไป’
   ‘สัญญาเลย...’
   ‘เนย์มึงจะไม่ฟังกูใช่มั้ย กูไม่ให้ไป ห้ามไป!’
   ‘ลาก่อน’




   ไม่!!

   มือติดสั่นถูกยกขึ้นลูบหน้าเพื่อให้คลายจากความง่วงงุน สลัดฝันร้ายที่ก่อกวนใจออกไปจนหมด

   อีกแล้ว...ผมฝันแต่เรื่องเดิมซ้ำๆ เข้าใจแล้วว่าความทรมานที่อาคเนย์เผชิญมาตลอดสี่ปีมีหน้าตาเป็นยังไง แต่นี่ผมแค่เผชิญหน้ากับมันเพียงหกเดือน ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะสิ้นสุดสักที

   ทุกครั้งที่ตื่นจากฝันผมจะลากเท้าไปยังห้องน้ำ จัดการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจากนั้นก็หยิบบุหรี่ออกไปสูบที่ระเบียงเพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้น ผมมักตื่นจากฝันในเวลาตีสี่เสมอและแต่ละวันจะนอนแค่สี่ชั่วโมง ต่อให้บังคับตัวเองนานกว่านั้นร่างกายก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรนอกจากตอบสนองแบบเดิมๆ

   Rrrr...!

   เสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่ตรงหัวเตียงแผดเสียงร้อง ผมละสายตาจากท้องฟ้าในยามเช้ากลับมาสนใจชื่อบนหน้าจออีกครั้ง

   “อือว่าไง โทรมาทำไมแต่เช้าวะ”

   [กูว่าแล้วมึงต้องตื่น ฝันอีกแล้วเหรอวะ] เพื่อนในกลุ่มถามไถ่ความเป็นไป มันรู้ดีว่าช่วงหลายเดือนมานี้ชีวิตของผมวุ่นวายแค่ไหน ที่สำคัญ...ผมก็ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วด้วยเลยไม่รู้จะปรึกษาใคร มีพวกมันนี่แหละที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังเสมอ

   “อือ คิดว่าถ้าว่างจะเข้าไปหาหมอ อาจจะต้องพึ่งยานอนหลับ”

   [ปล่อยวางมึง]

   “พูดน่ะมันง่าย รีบเข้าเรื่องเถอะ สรุปมีอะไร”

   [แค่จะโทรมาย้ำว่าวันนี้อย่าลืมเข้าเรียนด้วย]

   “ทำไม”

   [ก็ไม่ทำไม เพื่อนๆ มันถามหา]

   “ขอโทษทีว่ะ วันนี้กูติดธุระนิดหน่อย”

   [ไอ้เชี่ยบู...]

   “ฝากบอกเพื่อนกับอาจารย์ด้วยนะ เดี๋ยวกูส่งใบลาตามไปทีหลัง”

   [มึงไม่โอเคตรงไหนก็บอกกูได้นะ ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย] ผมคลี่ยิ้ม เดินกลับมายังโต๊ะทำงานแล้วใช้มือที่ว่างอีกข้างดึงลิ้นชักโต๊ะออก ด้านในมีกระดาษสีขาวปึกหนึ่งที่ผมหยิบติดมือมาจากคณะด้วยเพราะค่อนข้างใช้เป็นประจำ

   จดหมายลา

   ผมไม่ได้เข้าเรียนมากี่ครั้งแล้ว จำแทบไม่ได้

   “ถ้าอยากจะช่วยก็ลาอาจารย์ให้กูแล้วกัน แค่นี้นะ ต้องรีบไปทำธุระแต่เช้า” ผมไม่รอฟังคำทักท้วงจากปลายสายรีบกดตัดอย่างรวดเร็ว

   พระอาทิตย์โผล่โพ้นขอบฟ้าไปอีกวัน ทุกอย่างถูกรีเซ็ตและนับหนึ่งใหม่เหมือนกับผมที่ต้องเริ่มต้นเช่นกัน ทว่าการเริ่มต้นครั้งนี้มันกลับเป็นเรื่องเดิมๆ ถามว่าหากมีใครคนหนึ่งยื่นมือมาช่วย โดยเสนอให้ผมขอพรได้หนึ่งข้อผมจะขออะไร คำถามนี้แทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ

   เพื่อดึงบูรพาขึ้นมาจะวันคืนเก่าๆ ดังนั้น...

   ช่วยตามหาอาคเนย์ที









   หนึ่งปีหลังจากอาคเนย์จากไป...

   “ผมยาวแล้วหล่อว่ะ คราวนี้อย่าไปไถให้เตียนอีกนะ” ไอ้เพื่อนตัวดีเอ่ยแซว คงไม่ค่อยมีใครจำได้แล้วว่าเมื่อก่อนบูรพาเคยเป็นยังไง หลังลองตัดผมเองทิ้งในห้องน้ำในคืนนั้นผมก็ไม่ปล่อยให้ผมตัวเองยาวอีกเลย จะมีก็แต่ช่วงนี้นี่แหละที่เรียนหนักมากจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง

   “มึงก็เคยบอกว่าเท่ดีนี่”

   “สาวๆ กรี๊ดที่มึงเป็นแบบนี้มากกว่า จะทำสีไหนก็สวย”

   “เหอะ!” จะให้ย้อมก็คงไม่เอาอีกแล้ว

   หลังจากเผชิญกับสภาวะเครียดและนอนไม่หลับเรื้อรัง เพื่อนร่วมกลุ่มเลยชอบนัดแนะให้ผมออกมาข้างนอก อย่างวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากแค่หาอะไรกินกันจากนั้นก็ชวนไปเดินเล่นกันต่อ ซึ่งแม่งเป็นเรื่องที่โคตรน่าเบื่อเลย

   “สรุปปีนี้วันเกิดมึงไปฉลองที่ไหนดี” บทสนทนาถูกเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็วจนคนฟังจับทางแทบไม่ทัน

   “กูเหรอ...ไม่ได้คิดว่ะ”

   “อะไรของมึงวะ คนอยาก...” ผมไม่ได้สนใจจะฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมากนัก เพราะสายตาดันไปเหลือบเห็นใครบางคนเข้า คนที่อยู่ในความทรงจำและเราไม่ได้เจอกันมานานเกือบปี

   อาคเนย์ มันอยู่ตรงนั้น

   “เฮ้ยไอ้บู! มึงจะไปไหนวะ บู!” เสียงเรียกของเพื่อนห่างไกลจนแทบไม่ได้ยิน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมก้าวเท้าวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต คนตัวเล็กนั้นสวมเสื้อยืดสีแดงกับกางเกงยีนสีซีด ผมยังจำได้ดีนั่นคือมัน

   “เนย์! ไอ้เนย์!”

   สองเท้าก้าวไปด้วยความเร็วที่มากขึ้น อากาศตอนนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าว วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ผมก็ต้องหอบหายใจแต่กลับไม่คิดหยุด ยังคงตะโกนเรียกอีกฝ่ายซ้ำๆ

   “อาคเนย์”

   เพียงพริบตาเดียวภาพของคนตรงหน้าพลันหายไป ผมชะงักเท้า หมุนตัวมองโดยรอบ ในกลุ่มคนมากมายมหาศาลที่เดินขวักไขว่อยู่ตรงนี้ผมไม่เห็นอาคเนย์อีกแล้ว

   “มึงตามหาใครวะ” ไม่นานเพื่อนๆ ต่างก็วิ่งมาสมทบแต่ผมก็ยังคงมองหาคนคนนั้น

   “กูเจอมัน”

   “ใคร?”

   “ไอ้เนย์”

   “มึงตาฝาดแล้วบู”

   “ไม่ กูเห็นจริงๆ มันใส่เสื้อสีแดง”

   “คนนั้นหรือเปล่า” นิ้วมือเรียวชี้ไปยังผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาสวมเสื้อแดงเหมือนไอ้เนย์เป๊ะ

   “กูไม่รู้”

   “ช่วงนี้นอนน้อยมึงคงหลอนไปเอง เดี๋ยวเรากลับกันเลยมั้ยมึงจะได้ไปพัก”

   ผมไม่ได้เถียงต่อนอกจากทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย ถึงตอนนี้...เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้านั้นเป็นอาคเนย์จริงๆ หรือตัวผมกันแน่ที่สร้างภาพหลอนขึ้นมาเอง









   หนึ่งปีกับอีกสามเดือนนับตั้งแต่อาคเนย์จากไป...

   ผมอยากเริ่มต้นใหม่ อะไรก็ได้ที่ช่วยให้หลุดจากวงจรที่เป็นอยู่นี้ ไอ้เพื่อนมันเลยคะยั้นคะยอให้หาใครสักคนมาเป็นเพื่อนคู่คิด หลังจีนจากไปผมก็ไม่เคยคบใครเป็นจริงเป็นจังอีกเลย จะมีก็แต่คู่นอนซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้ผมดีขึ้นหรือหายจากอาการวิตกกังวล

   “พี่บูอยากกินอะไร” แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้เจอกับคนที่จะมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป

   “แล้วแต่พายจะสั่งให้เลย”

   “งั้นเอานี่มั้ย” เธอชี้ไปตรงสมุดเมนูอาหาร จากนั้นก็เงยหน้าสบตาคล้ายจะถามความเห็น ผมพยักหน้าทันที เธอเป็นรุ่นน้องที่คณะกำลังเรียนอยู่ปีสอง รู้จักกันผ่านการแนะนำของเพื่อน...เพื่อน และก็เพื่อนอีกทีหนึ่ง

   พายเป็นคนน่ารักแถมแตกต่างจากทุกคนที่ผมเคยคบ เธอไม่มีอะไรเหมือนจีน แต่มีบางอย่างที่ผมชอบเธอ

   “ยิ้มอะไรพี่บู” ใบหน้าขาวเงยขึ้น

   “เปล่า”

   “ก็เห็นยิ้มกว้างอยู่เนี่ย พายมีอะไรแปลกไปเหรอ”

   “ไม่มีหนิ แค่พี่ชอบตอนพายยิ้ม”

   “จริงดิ”

   “อืม...”

   เธอมีรอยยิ้มเหมือนอาคเนย์

   “งั้นเดี๋ยวจะยิ้มกว้างๆ ให้เลย แล้วอย่าล้อว่าเค้าเหมือนคนบ้...” ผมละความสนใจจากใบหน้าของเธอเมื่อเห็นใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านหน้าร้านไป กระจกใสซึ่งกั้นเราเอาไว้ทำให้ผมเข้าถึงตัวอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ร่างกายก็ยังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการวิ่งออกจากร้าน

   “เนย์! หยุด ไอ้เนย์” ขายาววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ สักพักทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิมตรงที่ใครคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

   “โธ่เว้ย!” อยากตีอกชกหัวตัวเอง อาละวาดให้พอเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นที่มีในอก สุดท้ายก็จำต้องเดินคอตกกลับมายังโต๊ะ ปกติพายมักจะยิ้มแย้มแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นเสมอ ทว่าครั้งนี้เธอกลับทำหน้านิ่งไม่เอ่ยอะไรออกมาผมเลยต้องเป็นฝ่ายเริ่ม

   “ขอโทษที พอดีเหมือนเจอคนรู้จัก”

   “พี่เนย์เหรอ” คราวนี้ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “พี่รู้ตัวมั้ยว่าวิ่งตามเขาไปกี่ครั้ง แล้วพี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าคนที่พี่วิ่งตามอาจไม่ใช่พี่เนย์จริงๆ”

   “กินเถอะ กับข้าวมาแล้ว” ผมเบี่ยงประเด็น

   “ไม่ไหวแล้วนะ”

   “...”

   “สามรอบ”

   “อะไร”

   “สามรอบที่พี่เอาแต่วิ่งตามหาเขา และเป็นอีกนับสิบๆ รอบที่ทำอย่างนี้ตอนอยู่กับพาย ใครสำคัญกับพี่กันแน่ คือถ้าพายไม่สำคัญเราก็เลิกกันไปเลยดีกว่า” น้ำเสียงเจือสะอื้นดังผะแผ่ว เธอไม่ใช่คนขี้โวยวายแต่ก็รู้ดีว่าผมทำให้เธอต้องเจ็บปวด

   ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องมารับจากคนเหี้ยๆ เลยสักนิด

   “อืม ถ้าพายอยากเลิกก็เลิกเถอะ”

   “พี่บูไม่คิดจะแก้ตัวหน่อยเหรอ อะไรก็ได้ที่...”

   “เลิกเถอะจะได้ไม่มีใครต้องเจ็บอีก”

   ให้เป็นผมได้มั้ยที่เจ็บปวดเพียงคนเดียว ให้เป็นผม...ที่จมอยู่กับมันโดยไม่ต้องมีใครเข้ามาแชร์ความเจ็บนั้นอีก









   ‘บู กูอยู่ตรงนี้’
   ‘มึงรอก่อนนะเนย์ เดี๋ยวกูจะรีบข้ามถนนไป’
   ‘อย่าข้ามมาเลยเสียเวลาเปล่าๆ’
   ‘รอกูก่อน เนย์!’
   ‘อาจจะต้องไปอีกแล้ว’
   ‘เนย์’
   ‘กูเป็นฆาตกร’
   ‘ไม่ใช่ มึงไม่ได้เป็น’
   ‘มึงบอกว่ากูเป็นฆาตกร กูอยู่ที่นี่ไม่ได้’
   ‘…’
   ‘เป็นฆาตกร มึงเรียกกูว่าฆาตกร’




   หนึ่งปีกับอีกหกเดือนหลังอาคเนย์จากไป ผมฝันอีกครั้ง...

   ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาไม่หยุด เรื่องราวในอดีตหลั่งไหลราวกับสายน้ำถึงอยากลืมแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ปฏิเสธไม่เคยได้ว่าครั้งหนึ่งเคยยัดเยียดคำว่าฆาตกรให้กับไอ้เนย์ ครั้งหนึ่งเคยทำร้ายจิตใจมันอย่างแสนสาหัสโดยไม่เคยรู้สึกผิด พอวันที่มันจากไป ผมกลับต้องจมอยู่กับคำพูดในอดีตและความฝันที่หาทางออกไม่เจอ

   ไอ้เนย์ยังวนเวียนอยู่แบบนั้นพร้อมกับจากไปในทุกคืน

   ผมเหนื่อยกับการจากลา ขณะเดียวกันความรู้สึกผิดก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี วันคืนที่มีความสุขหายไปตั้งแต่อุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน แล้วหลังจากนั้นผมก็จมอยู่ในขุมนรกที่ร้อนที่สุดหลังอาคเนย์หายตัวไปเช่นกัน จริงอยู่ทุกชีวิตต้องเดินไปข้างหน้าแต่ผมกลับยังติดอยู่ที่เดิม

   “จะทำยังไง...” ถามตัวเองซ้ำๆ ในทุกคืน สุดท้ายก็ไม่มีใครให้คำตอบได้

   ไอ้ดิน

   จู่ๆ ชื่อที่ลืมเลือนไปนานก็ผุดขึ้นมาในสมอง นานมาแล้วที่เราเคยคุยกัน มันรู้ว่าไอ้เนย์อยู่ไหน ไวเท่าความคิดผมรีบลุกออกจากเตียง สวมเสื้อผ้าลวกๆ จากนั้นก็ขับรถออกไป ผมรู้จักห้องของมัน รู้ดีว่าเวลานี้อีกฝ่ายคงกำลังนอนฝันหวานอยู่ แต่ความต้องการที่มีมากจนล้นก็ควบคุมไม่ได้เช่นกัน

   ก๊อกๆๆ

   มือขวาเคาะลงบนประตูไม้สองสามครั้ง ผมยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้า รอเวลาให้เจ้าของห้องเปิดประตูด้วยใจกระวนกระวาย เคาะครั้งแรกยังไม่มีการตอบรับผมก็เคาะอีกเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นจากด้านใน

   “ใครวะ มาทำไมเอาป่านนี้” ไอ้ดินอยู่ในสภาพเมาขี้ตา ทว่าหลังจากเห็นผมดวงตาสองข้างก็เบิกโพลง

   “มึงมาทำอะไรที่นี่วะ”

   “ไอ้ดิน ที่มึงเคยถามกูเมื่อปีก่อน กูรู้แล้ว”

   “อะไรของมึง”

   “ในวันนั้นมึงถามว่าถ้าเจอกับไอ้เนย์กูจะบอกอะไรมัน”

   “...”

   “กูจะบอกว่าขอโทษ ขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมา”

   ไม่เคยเลยสักครั้ง ผมไม่เคย...ขอโทษอาคเนย์กับสิ่งที่ทำลงไป จะมานึกถึงก็ตอนที่อีกฝ่ายจากไปไกลแล้ว

   “กูแค่อยากเจอมัน อยากขอโทษกับมันด้วยตัวเอง เพราะงั้น...” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มึงบอกกูได้มั้ยว่าไอ้เนย์อยู่ที่ไหน”

   เพียงเสี้ยววินาทีที่เอ่ยประโยคนั้นจบไอ้ดินก็หัวเราะออกมา

   “ดีใจที่มึงสำนึก แต่กูก็มีเรื่องจะบอกมึงเหมือนกัน”

   “...”

   “คือในวันนั้นกูโกหกมึงว่ะ ความจริงกูไม่รู้หรอกว่าไอ้เนย์ย้ายไปอยู่ที่ไหนหรือเป็นยังไง”

   “มึงโกหก!” ความอดทนขาดผึง ผมถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อของคนตรงหน้า ออกแรงเขย่าไปมาจนหัวสั่นคลอนแต่กลับได้ยินเพียงเสียงหัวเราะชวนปวดประสาทดังเดิม

   “ต่อให้ฆ่ากูจนตาย มึงก็ไม่ได้คำตอบอะไรหรอก เพราะอะไรรู้มั้ย...”

   “...”

   “มึงมาช้าไป มารู้ตัวเอาป่านนี้มันสายไปแล้วจริงๆ”

   มือที่จับคอเสื้ออีกฝ่ายค่อยๆ คลายออก ผมถอยเท้าออกมา ร่างกายสั่นเทาไปซะทุกส่วนเลยทำได้เพียงยืนอยู่นิ่งๆ มองดูประตูไม้สีขาวปิดตัวลงโดยผู้เป็นเจ้าของ

   ลืมไปซะสนิท โลกนี้มีคำว่าสายเกินไปและผมคงไม่มีวันได้เจอกับใครคนนั้นอีกแล้ว

   “อาคเนย์...” ผมเรียกชื่อเขาก่อนหมุนตัวออกมา เดินลงบันไดไปทีละก้าว ผมยังจำได้ดีครั้งหนึ่งไอ้เนย์เคยบอกเอาไว้ว่าการนับเลขช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ผมไม่เคยทำมาก่อนแต่วันนี้กลับอยากลองดูบ้าง

   “อาคเนย์หนึ่ง อาคเนย์สอง อาคเนย์สาม อาคเนย์สี่...”

   ต่อให้นับจนตายก็คงไม่มีทางได้คืนมา ถึงตรงนี้ชีวิตอาจมีทางออกสำหรับความเจ็บปวดเพียงทางเดียว นั่นคือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น

   เพราะบางอย่างที่สูญหาย อาจหาเจอได้ในความทรงจำ









   สองปีหลังอาคเนย์จากไป...

   ยาคลายเครียดหมดไปอีกหนึ่งกระปุก และผมก็กินเม็ดสุดท้ายไปตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกเหนื่อยเหมือนเดิมเพราะจมอยู่กับความฝันแสนยาวนาน

   วันนี้ท้องฟ้าสดใส วันใหม่เริ่มต้นขึ้น ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา จากนั้นก็มานั่งกินอาหารเช้าที่อุ่นด้วยไมโครเวฟ ค่อยๆ ละเลียดกินมันอย่างช้าๆ ไม่เป็นไรหรอก อีกหน่อยเวลาในชีวิตก็จะเหลือมากพอให้ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง

   ผมจะนอนได้มากขึ้น ขับรถไปมองรั้วบ้านของไอ้เนย์ได้บ่อยขึ้น หรือที่ตลกหน่อยก็ตรงที่ผมสามารถวิ่งเล่นซ่อนหากับมันได้ทั้งวัน ไม่อยากเหนื่อยอีกแล้วแต่ก็คงต้องกัดฟันทำมันต่อไป

   โทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่ข้างตัวถูกกดต่อสายหาใครคนหนึ่ง รอเพียงครู่เดียวถึงได้รับการตอบกลับ

   “แม่ วันนี้ผมจะกลับบ้านนะครับ อืม...ครับ” ผมพูดแป๊บๆ ก็รีบวางสาย

   กินข้าวเสร็จก็ไม่ลืมหยิบช้อนและจานวางไว้ตรงซิงก์น้ำ จากนั้นจึงหันไปจัดเตรียมเอกสารบางอย่างใส่กระเป๋า ไม่ต้องใช้หนังสือเรียน ไม่ต้องมีชีท ไม่ต้องมีไอแพดสำหรับจดเล็กเชอร์ ต่อจากนี้บูรพาจะมีเวลาว่างพอ และสองปีที่ต้องฝืนกับความสับสนต่างๆ ควรจบลงได้สักที

   หมอคือความฝันของผม แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากหยุดเดินในเส้นทางนี้ ใครถามผมคงตอบได้ไม่เต็มปากว่าได้เจอสิ่งที่ชอบกว่า

   จริงๆ จะบอกว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นหมอก็อาจเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด   

   เมื่ออาทิตย์ก่อนรถยนต์ของผมถูกส่งเข้าศูนย์เนื่องจากอุบัติเหตุเล็กๆ ละแวกคอนโด ทำให้ต้องใช้ขนส่งสาธารณะเป็นหลักจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ

   เวลาเจ็ดโมงเช้าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ชาวออฟฟิศคงกำลังแย่งขึ้นรถไฟเพื่อไปทำงาน บางคนยังเตรียมพรีเซ็นต์ไม่เสร็จ นิสิตชั้นคลินิกคงกำลังหัวหมุนกับคนไข้ ส่วนผมกลับรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าทุกวัน เพราะแต่ละก้าวที่เดินไปข้างหน้ามันไม่เหลือความลังเลเอาไว้เลย

   วันที่มึงตัดสินใจลาออกจากคณะตอนนั้นมึงรู้สึกยังไงวะเนย์ มึงยังคงยิ้มเหมือนกูในตอนนี้มั้ย หากใช่...นั่นคือการตัดสินใจที่ดีแล้ว

   มึงอยากเป็นวิศวกรมาตลอด ถึงตอนนี้ไม่ว่ามึงจะอยู่ที่ไหนกูก็เชื่อมั่นว่ามึงคงกำลังทำตามความฝันอยู่แน่ๆ ส่วนทางนี้ถึงไม่รู้ว่าออกไปแล้วจะต้องทำอะไร แต่กูคิดว่าอีกไม่นานคงได้รู้

   ติ๊ด!

   ผมแตะบัตรที่เครื่อง เดินเข้าไปในพื้นที่ชานชาลาอย่างไม่เร่งร้อน จดหมายลาออกถูกเตรียมและเก็บอย่างดีในแฟ้มเอกสาร ตอนที่ตัดสินใจว่าจะลาออกจากการเรียนหมอผมไม่ได้ปรึกษาใครเลย จนตอนนี้ผมก็ยังคุยแค่กับตัวเอง

   แม่พูดกับผมน้อยลงเหมือนกับว่าความผิดที่เคยก่อไว้กำลังวกกลับมาทำร้ายอย่างสาสม เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็มีชีวิตและความสนใจที่ต่างกัน จะให้มานั่งเฝ้าเป็นกำลังใจให้คนที่นานๆ เข้าเรียนทีก็คงดูไร้เหตุผล อีกอย่างถึงผมไม่ออกตอนนี้อีกไม่นานทางคณะก็ต้องส่งจดหมายรีไทล์ไปที่บ้านอยู่ดี

   สู้ออกตั้งแต่ตอนนี้แหละดีแล้ว ความฝันเหี้ยอะไรช่างแม่ง เดินไปก็ไม่รู้จะเจ็บอยู่หรือเปล่า

   เท้าสองข้างหยุดลง ผมยืนอยู่ตรงพื้นที่สำหรับรอรถกับคนอื่นๆ อีกมากมาย รถไฟฟ้ากำลังมาในไม่ช้า ผมก้มมองนาฬิกาเรือนเดิมที่ไอ้เนย์มอบให้เป็นของขวัญ จากนั้นก็เริ่มนับเลขตามจังหวะการเคลื่อนที่ของเข็มวินาที

   หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก...

   นับไปเรื่อยๆ จนกว่าการรอคอยจะสิ้นสุดลง

   “หนึ่งร้อยสามสิบสอง หนึ่งร้อยสามสิบสาม...” เสียงเคลื่อนตัวของรถไฟฟังดังในโสตประสาท อีกไม่นานมันจะจอดสนิทลงตรงหน้าแล้วพาผมเดินทางไปยุติความฝันในวัยเด็ก

   ยังไงฝันก็เป็นแค่ฝันอยู่วันยังค่ำ

   โฟกัสสายตาละจากนาฬิกาข้อมือเงยขึ้นมามองพื้นที่โดยรอบ ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกัน แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นผมดันไปเห็นคนหน้าเหมือนไอ้เนย์ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกแล้ว ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่จริง

   แม้พยายามสะบัดไล่ความคิดเลอะเลือนออกจากหัว ทว่าสองเท้ากลับไม่เชื่อฟัง มันคงไม่เป็นไรหรอกหากลองวิ่งตามเหมือนทุกครั้ง

   โชคร้ายหน่อยที่รถไฟเคลื่อนมาจอดบังผมจึงไม่เห็นว่าคนตรงหน้าใช่อาคเนย์จริงมั้ย ดังนั้นสมองเลยสั่งการให้รีบหมุนตัวเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งก่อนรถไฟอีกสายจะมาถึง ต่อให้ครั้งนี้ไม่ใช่มันผมก็ดีใจที่ได้วิ่งตาม ต่อให้ครั้งนี้จะล้มเหลวอีกแค่ไหนผมก็จะไม่เสียใจอีก

   ห้าสิบสามก้าว ห้าสิบสี่ก้าว ห้าสิบห้าก้าว...

   “เนย์! ไอ้เนย์”

   รถไฟอีกฝั่งมาจอดเทียบท่าแล้ว ผมวิ่งกระหืดกระหอบเรียกชื่อของคนในความทรงจำแม้จะไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในม่านสายตาแล้วก็ตาม

   “อาคเนย์”

   ผมกัดฟันใช้แรงที่เหลืออยู่ไปให้ทันก่อนประตูจะปิดทว่าเท้าสองข้างกลับชะงักค้างไม่ยอมก้าวขึ้นรถ ไม่ใช่เพราะคนในรถไฟขบวนนี้อัดแน่นจนเต็มอัตรา แต่เป็นเพราะคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูกลับเป็นคนที่ผมพยายามตามหามาตลอดต่างหาก

   เป็นอาคเนย์จริงๆ มันยืนอยู่ตรงนี้เพียงเอื้อมมือ

   ยังตัวเล็กเหมือนเดิม น่ารักเหมือนเดิม เป็นอาคเนย์คนเดิมที่ผมเคยรู้จัก

   “จะขึ้นมั้ยครับ” ผู้ชายคนข้างๆ เอ่ยถามแต่ผมดันน้ำท่วมปากเกินกว่าจะพูดออกไป

   แปลกดีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนประตูจะปิดลงเราได้สบตากันอีกครั้ง โคตรไม่เข้าใจในตัวเองเลย มีคำพูดมากมายที่อยากบอกหลังไม่ได้เจอกันในรอบสองปี

   ทว่าผมกลับทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการร้องไห้ออกมา

   รถไฟเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แต่ภาพใบหน้าเฉยชาของมันกลับฝังอยู่ในความรู้สึกของผมไม่จาง สองปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน สองปีแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสพูดคำว่าขอโทษจากใจให้ได้ยิน ผมรู้ดี...โลกนี้มีคำว่าสายไป

   วันนี้มันมากับผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง ต่างคนต่างจับมือกันแน่นดูก็รู้ว่าความสัมพันธ์คงมากเกินกว่าเพื่อน

   ควรดีใจแล้วไม่ใช่เหรอวะ ทำไมถึงได้ร้องไห้อยู่อีก

   ระยะเวลาสองปี

   อาคเนย์เดินไปข้างหน้าไกลแล้ว ส่วนบูรพายังคงอยู่ที่เดิม...


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Khunball69 ที่ 13-03-2019 00:58:10
 :o12: บอกตามตรง ยังอยากเห็นบูทรมานใจกว่านี้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-03-2019 01:04:54
ยังน้อยไปสำหรับที่เธอทำกับเนย์ไว้ !!!  :z6:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 13-03-2019 01:18:41
ดีใจกับเนย์ เราหวังว่าเนย์จะมีความสุขมากๆนะ
ส่วนบู  :เฮ้อ: ชีวิตบูจะเป็นยังไงมันก็อยู่ที่บูจะเลือกเองอะ อย่าไปทำให้เนย์เสียใจอีกก็พอ :z4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 13-03-2019 01:27:56
ฮรื่อออออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 13-03-2019 01:33:45
 เนย์ไปต่อได้แบ้ว บูก็สู้ๆน้า หึ  :laugh:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-03-2019 01:40:59
เจ็บกันไป เจ็บกันมา วนไปเรื่อย ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 13-03-2019 02:59:07
ก็รู้สึกสงสารปนสมน้ำหน้าบูนะ ทำเค้าไว้ซะมาก ความรู้สึกผิดมันก็เลยกัดกินอยู่ในใจไง
คราวนี้ถึงคราวตัวเองเจ็บ เสียเวลาเป็นปีกว่าจะรู้ว่าตัวว่าอยากเจอเนย์เพื่ออะไร
ดูดิ่ อ่านมาถึงตอนนี้ก็ใจมันไหววูบเลยอ่ะ สงสารบูว่ะ อยากขอโทษแต่ไม่มีโอกาสแล้ว มันก็จะ feeling shittyแบบนี้
ตอนที่เจอกันอีกครั้งแวบเดียวแล้วบูร้องไห้ออกมาคืออธิบายไม่ถูกหัวใจมันเจ็บตาม
เราใจอ่อนเกินมั้ยอ่า ถ้าจะบอกว่าไม่อยากเห็นบูเจ็บแล้ว ขอโอกาสแค่ได้เอ่ยคำขอโทษก็ยังดี  :o12:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-03-2019 03:05:01
 ดีแล้วแหละที่เนย์ก้าวไปข้างหน้าได้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 13-03-2019 04:36:36
ใช่แล้ว บูรพานายยังคงอยู่ที่เดิม...  :hao4: นายไม่ได้ไปไหน แค่นายคนเดิมยังคงอยู่ในความทรงจำของเนย์เท่านั้นเอง แล้วในความทรงจำของนายล่ะ นายยังจำเนย์คนนั้นได้หรือเปล่า คนที่ก่อนจะบอกความรู้สึกกับนาย ก่อนจะเกิดเรื่องของจีนขึ้น  :o12:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 13-03-2019 05:31:05
เจ็บแบบจุกๆหน่วงๆแล้วจะไปทำอะไรต่อละบูรพาถ้าลาออกจากการเรียน วาดอนาคตไว้ยังไง เจออาคเนย์ในวันที่เขาก้าวข้ามไปได้แล้ว ส่วนตัวเองกลับมาวิ่งตามเขา แปลกดีที่ครอบครัวเหมือนไม่ได้สนใจบูรพาเลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 13-03-2019 09:15:02
บู แค่นี้น้อยไปอ่ะ..
ชิ.. :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-03-2019 09:28:32
อาคเนย์ยังผ่านมาได้ บูรพาก็ต้องผ่านไปได้
ต่างกันตรงที่คนถูกกระทำดูเหมือนเจ็บปวดมากกว่า
แต่แค่ให้อภัยและปล่อยวาง ความเจ็บปวดที่ผ่านมาจะทุเลา
ซึ่งผู้เป็นฝ่ายกระทำนั้น ต่อให้ขอโทษ ต่อให้ได้รับการอภัย
เชื่อเถอะลึกๆก็ยังคงเจ็บปวด ยิ่งกระทำกับคนที่ไม่ผิดหรือกระทำกับคนที่รัก มันจะยิ่งฝังลึก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 13-03-2019 09:40:13
ใจเราพร้อมพัง  :hao7:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-03-2019 11:38:34
ก็สงสารนะแต่มันยังน้อยไปกว่าที่เนย์เคยเจอ เคยโดนมา แต่ก็อย่างว่าล่ะ มันต้องก้าวต่อไป
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Cutebangg ที่ 13-03-2019 11:48:54
 :serius2: ม่ายยยย
ขอให้ยังมีพื้นที่ที่ยังเป็นของบูอยู่เสมอ ได้โปรด :o12:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 13-03-2019 18:56:01
นังบูแกแค่ทรมาณใจเพราะรู้สึกผิด

แต่เนย์น่ะ ทั้งทรมาณใจรู้สึกผิด

ทั้งทรมาณใจ ที่รักมึง

เจ็บปวดใจที่มึงไม่รัก

เจ็บกายที่มึงข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำอีก

เจ็บกายที่มึงทุบตีมัน

เจ็บปวดใจที่มึงดูถูกมันซ้ำๆมา4ปี

เจ็บแค่นี้ของมึงมันเหมือนสั่งขี้มูกเลอะรองเท้าแค่นั้นแหละ

แน่จริงมึงฆ่าตัวตายเลย

อย่าบอกว่าเพราะไม่รู้ถึงทำแบบนั้น

เพราะถ้าเนมันรู้มันก็ไม่ขับรถไปจนอีจีนเหมือนกันแหละ

มึงมันคนบาปอีบู
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Chamanao ที่ 13-03-2019 21:21:59
เอาจริงๆเรารู้สึกหน่วงกว่าตอนพิษรักสะอีกนะ
แต่โดยรวมก็ชอบมาก
ตอนที่บอกว่าตลอดไปไม่มีจริง เรานึกถึงวินน์เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-03-2019 23:33:41
ตอนนี้ก็คือเหมือนสลับบทบาท เนย์น่าจะยังรักษาอาการที่เป็นอยู่แต่ก็คงดีขึ้นมากแล้วชีวิตดูมูฟออน ต่างจากบูที่เหมือนย่ำอยู่กับที่บางทีก็ถอยหลังหาอดีต ถ้าบูยังเป็นแบบนี้คนที่ป่วยต่อไปก็คงเป็นบูนี่แหละ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-03-2019 10:56:10
ได้รู้ความเป็นไปของบูรพา มากกว่าเดิม  :hao3:
ก็ไม่เท่าความทุกข์  ความขมขื่น ความเจ็บปวด ที่เนย์ถูกบูกระทำหรอกนะ  :m31: :fire: :angry2:
       :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 14-03-2019 11:13:55
อาคเนย์ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ดีใจกับเนย์ด้วย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 14-03-2019 13:04:53
ความทุกข์ทรมานใจของบู ถึงจะรู้สึกว่ามันยังไม่สาสมกับสิ่งที่ทำเนย์ แต่ทั้งสองคนเด็กที่หลงทาง หลงติดอยู่ในอดีต ที่ต่างทำผิดพลาดและแก้ไขกันแบบผิดๆซ้ำๆ
ตอนนี้เนย์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับใครอีกคนแล้ว (หวั่นใจนี่เราต้องเลือกทีมอีกแล้วมั้ย ม่ายยยยยย)
แต่บูกำลังจมดิ่งอยู่กับอดีตแล้วได้แต่มองเนย์... มันบีบหัวใจเมื่อนึกถึงอดีตของเด็กน้อยทั้งสองในวัยเยาว์ อดน้ำตาไหลไม่ได้

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-03-2019 23:22:11
เห้อ จุกเนาะ พูดไม่ออกเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: lingphed2 ที่ 16-03-2019 22:20:40
น่าติดตามมากเลย เป็นกำลังให้นักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 18-03-2019 19:09:51
เมื่อใหร่จะได้ลงตัวกันสองคนนี้ :mew2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 19-03-2019 20:16:03
 :hao4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่8 [13/03/62] *หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: เงาเดือน ที่ 20-03-2019 01:11:58
ฉันรอพี่อยู่ในกระทู้ทุกวันเลย มาต่อเถอะ ขอร้อง เค้าติดตามตะเองทุกเรื่องเลยนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 20-03-2019 04:12:35


CHAPTER 9
AIN’T NO SUNSHINE



กับคนบางคน...ความทรมานจากโรคร้าย
เจ็บปวดน้อยกว่าการจากลา



   ถ้าผมมีใครสักคนคอยรับฟังความดีใจที่เอ่อล้นในตอนนี้บ้างก็คงดี

   แต่พอจะหยิบมือถือแล้วกดโทรออก เพื่อบอกเล่าความรู้สึกที่ได้เจอกับไอ้เนย์อย่างใจคิด ในสมองก็เพิ่งตระหนักได้ว่าชีวิตที่เป็นอยู่ไม่เหลือใครให้รับฟังอีก เลยทำได้แค่เก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ยังส่วนลึกแทน

รถไฟฟ้าขบวนนั้นเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาไปนานแล้ว ส่วนอีกขบวนหนึ่งที่ผมโดยสารไปก็กำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม

   มือที่เกาะไปบนราวจับชื้นไปด้วยเหงื่อ ภาพใบหน้าขาวของใครคนนั้นยังคงติดตรึง หลายอย่างในตัวมันเปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม วันนี้ผมเห็นไอ้เนย์ใส่เสื้อนิสิตอีกครั้ง ส่วนคนที่มากับมันสวมช็อปวิศวะสีกรมท่า จึงพอเดาได้ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาเจ้าตัวคงเดินทางตามหาความฝันใกล้จะสำเร็จแล้ว

   อีกไม่นานคงได้เป็นวิศวกรอย่างที่หวัง ส่วนผมก็จะได้เลือกทางของตัวเองเช่นกัน

   สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าเข้าไปในตัวอาคารแสนคุ้นตา ตรงทางเดินคับแคบพลุกพล่านไปด้วยเด็กในคณะ หลายคนวิ่งพล่านด้วยความรีบเร่ง ขณะที่อีกหลายๆ คนก็ก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์มือถือ

   ปกติผมเป็นแบบนั้นเลย เพิ่งจะมีโอกาสได้เงยหน้ามองโลกกว้างอย่างชัดเจนก็ตอนนี้แหละ บางที...การจากลากับอะไรสักอย่างก็ไม่ได้เจ็บปวดถึงขนาดนั้น

   “ไอ้บู ทำไมยังไม่ขึ้นวอร์ดอีกวะ” เสียงแหบต่ำตะโกนตามหลังไม่หยุด ผมหันไปเผชิญหน้ากับคนที่กำลังวิ่งมาถึงตัว ไอ้ดล...

   “พอดีมีธุระต้องจัดการนิดหน่อยว่ะ ว่าแต่มึงเหอะมาทำอะไรตรงนี้” ปกติพวกปีสี่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลในช่วงเช้า ดังนั้นเลยไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเพื่อนในเวลาดังกล่าว แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาดไปซะหมด

   “กูแวะมาเอาหนังสือที่น้องรหัส เห็นหลังมึงไกลๆ เลยรีบวิ่งมาหานี่ไง”

   ในกลุ่มเรามีกันอยู่สี่คน ทว่ามันกลับเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่คอยโทรตามและลากผมให้เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ พูดได้เต็มปากเลยว่า ชีวิตสองปีที่ผ่านมานี้ติดหนี้บุญคุณของมันมากจริงๆ

   “อ๋อ งั้นมึงรีบขึ้นวอร์ดก่อนเถอะ กูว่าจะเข้าไปทำธุระนิดหน่อย” ผมรีบตัดจบประเด็น แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมขยับไปไหน

   “รีบขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วมึงได้โหลดสไลด์ที่กูส่งให้หรือยัง บ่ายวันนี้มีเรียนเล็กเชอร์ด้วยมึงจำได้ป่ะ”

   “ดล”

   “คือมึงขาดเรียนบ่อยก็ควรกระตือรือร้นได้แล้วนะเว้ย อีกสองเดือนก็จะสอบแล้ว”

   “ดลมึงฟังก่อน มันไม่มีประโยชน์หรอก”

   “หมายความว่าไง”

   “กูจะลาออก”

   คงไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปิดอีกแล้ว แม้จะรู้สึกผิดที่เหยียบย่ำความหวังดีของมันก็ตาม เข้าใจแล้ว...คำว่าแม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อยากทนมันเป็นยังไง

   “มึงล้อกูเล่นเหรอวะบู อีกไม่นานเราก็จะจบปีสี่กันอยู่แล้วนะเว้ย ที่กูเข็นมึงตื่นมาเข้าวอร์ด มาเข้าเล็กเชอร์ในทุกคาบ กูไม่ได้หวังเพื่อให้มึงตัดใจง่ายขนาดนี้นะ แล้วความพยายามที่ผ่านมาล่ะ มึงจะ...” ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบผมรีบสวนกลับไปทันที

   “กูไม่ได้พยายาม กูแค่ฝืน...”

   “กูจำได้ ยังจำได้ดีตอนเข้ามาเรียนปีหนึ่ง มึงเป็นเพื่อนคนแรกของกู มึงเล่าความฝันทุกอย่างให้ฟัง หมอไม่ใช่สิ่งที่มึงต้องการจะเป็นเหรอ หรือตอนนี้มึงเจอทางที่มึงชอบมากกว่าแล้ว” ไอ้ดลพูดประโยคยืดยาวออกมาแทบไม่หายใจ แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังชอบคณะที่เรียนอยู่หรือเปล่า แต่พอเทียบกับความห่วยแตกของตัวเองผมก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา

   “กูกำลังตามหาอยู่ เลยอยากออกไปให้เวลากับตัวเองดูบ้าง”

   “ไอ้บู”

   “มึงคิดดูสิ ตั้งแต่ปีสองกูก็ไม่ค่อยเข้าเรียน ถึงจะสอบได้ก็เหมือนกินแรงคนอื่นเวลาต้องเอาเล็กเชอร์ที่พยายามจดมาให้กูอ่าน พอปีสามกูก็โดนเรียกเข้าไปพบหลายรอบ ปีสี่กูไม่เข้าวอร์ด ความย่ำแย่ที่เป็นอยู่นี้มึงคิดว่ากูยังจะเป็นหมอได้อีกเหรอวะ”

   “นี่ไง มึงยังรู้ตัวเองเลยเพราะงั้นกลับมาตั้งใจตอนนี้ก็ยังทันนะ”

   ไอ้เพื่อนคนนี้ยังคงดึงดัน ต่อให้ผมเอาข้อเสียต่างๆ มาอ้างมันก็คงจะรั้งผมต่อไปสินะ

   กับไอ้ดลเราเป็นเพื่อนกันมานานสี่ปี ถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขไปซะทุกเรื่องแต่ก็พูดได้เต็มปากเลยว่าหากชีวิตในการเรียนคณะแพทย์ไม่มีณดล ก็ไม่มีบูรพาในวันนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากปกปิดความเลวร้ายที่ผ่านมากับเจ้าตัวอีก

   “กูมีความลับอย่างหนึ่งที่มึงไม่เคยรู้ ตอนแรกก็คิดว่าจะเก็บมันไว้ ภาพที่มึงมองกูจะได้ไม่เปลี่ยนไป แต่ในฐานะที่มึงคือเพื่อนที่กูสนิทที่สุดในคณะ กูเลยอยากบอกเล่าความจริงบางอย่างให้มึงได้รู้” คนตรงหน้านิ่งเงียบ จ้องมองผมราวกับจะรอฟังคำตอบจากปาก

   “วันนี้กูเจอไอ้เนย์”

   “จริงดิ!”

   “ครั้งแรกในรอบสองปีที่เฝ้าตามหา มันได้เรียนวิศวะสมใจแล้วนะ แถมยังดูมีความสุขดีด้วย ที่ผ่านมามึงเอาแต่ถามว่าทำไมกูถึงได้เกลียดไอ้เนย์ฉิบหายแต่กลับยังตามหามัน นั่นเป็นเพราะกูยังติดค้างกับมันอยู่ไง”

   “แต่การเจอมันไม่ใช่เหตุผลที่มึงต้องลาออกป่ะวะ จะให้ชดใช้เรื่องที่มึงเคยต่อยตีกันเหมือนเด็กๆ น่ะเหรอ”

   “ไม่ใช่แค่นั้นหรอก”

   “มึงคิดให้ดีๆ ไอ้เนย์เจอสิ่งที่ตัวเองรัก แต่มึงกำลังจะหนีไปจากสิ่งที่เป็นความฝันของตัวเองเนี่ยนะ กูรู้...รู้ว่ามึงยังอยากเป็นหมอ รู้ว่า...”

   “ดล...กูทำให้คนที่ป่วยเป็น PTSD อย่างไอ้เนย์พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง”

   “...!!”

   “มึงคิดว่ากูจะเป็นหมอที่ดีได้อีกเหรอวะ”

   ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของคนตรงหน้า ดูเหมือนมันจะช็อกไปแล้ว ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากส่งยิ้ม เอื้อมมือไปตบบ่าแกร่งสองสามทีเป็นการตัดจบ

   “รีบขึ้นวอร์ดเถอะ ถ้ามีโอกาสก็มาเจอกันข้างนอกได้ ใช่ว่ากูจะหายไปตลอดซะเมื่อไหร่”

   “อืม” ไอ้ดลพยักหน้าหงึกหงักเหมือนยังดึงสติตัวเองกลับมาไม่ครบ ผมเห็นก็ทั้งรู้สึกขำและสงสาร แต่ก็จำต้องตัดใจทิ้งมันไว้แล้วเลือกหมุนตัวเดินผละออกมา

   เบื้องหน้าเป็นห้องของอาจารย์ที่ปรึกษา กระบวนการลาออกไม่มีอะไรมาก ง่ายกว่าสอบเข้าหลายล้านเท่านัก แค่ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจัดการเคาะมึงลงบนบานประตู ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงอนุญาตของคนในห้องแว่วเข้าหูจึงไม่รอช้าเอื้อมมือไปหมุนลูกบิด ทว่ายังไม่ทันได้ออกแรงผลักผมก็ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทดังแหวกอากาศเข้ามา

   “บู” มันเรียกชื่อผม “อย่าลาออกเลย”

   “...”

   “เดินมาตั้งขนาดนี้แล้ว อย่าทิ้งความฝันของตัวเองเลยนะ”

   ผมไม่ได้ตอบนอกจากผลักประตูเข้าไปในห้อง

   รับรู้ได้เพียงอย่างเดียว...นั่นคือความขมปร่าของหยดน้ำตา











   ชีวิตที่ผ่านมาสองปีผมกลับบ้านแทบจะนับครั้งได้ อาจเป็นเพราะความมึนตึงระหว่างผมกับแม่ที่ยังคงแผ่กระจายออกมา ส่วนพ่อก็เป็นพวกไม่ละเอียดอ่อน เขาทำงานอย่างหนักกลับมาก็กินข้าวแล้วขึ้นห้องอาบน้ำ อ่านหนังสือนอนเหมือนทุกวัน ไม่มีเวลามาสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นักหรอก

   รู้ตัวอีกที เวลาสองปีก็ทำให้คำว่าครอบครัวดูห่างเหินเกินกว่าที่มันควรจะเป็นเสียแล้ว

   “วันนี้ทำไมถึงกลับบ้านได้ เรียนหนักไม่ใช่เหรอ”

   พ่อเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูด ก่อนจะค่อยๆ ตักอาหารใส่จาน ลืมไปซะสนิทว่าตัวเองเคยอ้างอะไรไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับบ้านบ่อยๆ

   “คือผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพ่อกับแม่...” ผมไม่กลัวด้วยซ้ำว่าเขาจะโกรธหรือทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน เพราะมันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่ผ่านมาอีกแล้ว

   “มีอะไรก็พูดมาสิ”

   “ผมคิดเรื่องนี้มานาน วันนี้เลยตัดสินใจเข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะขอดร็อปเรียนไปก่อน”

   เสียงกระทบกันของช้อนและส้อมเงียบลง พลันสายตาสองคู่หันมามองผมเป็นจุดเดียว

   จากที่ตอนแรกตั้งใจจะลาออกและจบความยุ่งยากทุกอย่างลงซะ แต่ใบหน้าและน้ำเสียงคร่ำเครียดของไอ้ดลทำให้ผมกลับมาฉุกคิด บางทีผมอาจต้องการเวลาสำหรับตามหาอะไรบางอย่าง และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ได้คำตอบแล้ว ผมอาจจะกลับไปเรียนใหม่อีกครั้ง หรือไม่...ก็อาจไม่กลับไปในเดินเส้นทางเดิมอีกเลย

   “แกว่าไงนะ ช่วยอธิบายให้เข้าอีกที” พ่อยกมือขึ้นกอดอกพลางเอนหลังลงพนักเก้าอี้ ผมสบตากับเขาไม่มีหลบก่อนจะเอ่ยออกไปเต็มเสียง

   “ผมไม่มั่นใจว่าทางที่เรียนอยู่มันใช่หรือเปล่าเลยจะขอดร็อปไปก่อน”

   “แล้วก่อนจะทำอะไรลงไปทำไมถึงไม่ปรึกษาที่บ้าน”

   “กลัวว่าพอปรึกษาไปจะโดนห้าม”

   “มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอ ก่อนหน้านั้นแกเคยรักมันมากหนิ”

   “ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วครับ ผมฝืนต่อไม่ไหว แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อยากทนอีก”

   “มันเป็นเรื่องใหญ่นะบู แกเรียนปีสี่แล้ว จู่ๆ ก็จะหยุดเรียน ได้มองทางไหนเอาไว้มั้ย”

   “ยังเลยครับ”

   “อยากทำอะไรก็ทำ รู้ว่าชอบด้านไหนเมื่อไหร่ก็มาบอกด้วย ฉันมีหน้าที่แค่หาเงินเลี้ยงแกเท่านั้นแหละ” พูดจบพ่อก็กลับมานั่งกินข้าวต่อทว่าสีหน้ายังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจ้ากี้เจ้าการกับผมอยู่แล้ว คราวนี้เลยผ่านไปได้ไม่ยากอย่างที่คิด

   โฟกัสสายตาของผมเลื่อนจากคนที่นั่งหัวโต๊ะไปยังฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ได้แต่คิดถึงความทรงจำเดิมๆ ตอนที่ได้กอดเขาและบอกเล่าทุกอย่างในใจให้ฟังซึ่งตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจเป็นตอนนั้น...ตอนที่รู้ว่าผมทำเลวระยำกับไอ้เนย์ไว้มากแค่ไหน

   “แม่มีอะไรจะพูดกับผมมั้ย”

   “ถ้าบูตัดสินใจแล้วแม่ก็คงพูดอะไรไม่ได้”

   “แม่รู้สึกยังไงกับสิ่งที่ผมทำ”

   “...”

   “วันนี้ผมเจอไอ้เนย์โดยบังเอิญ มันได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนแล้วนะ ถึงแม้วันนี้เราจะไม่ได้คุยกันแต่ผมก็จะหาโอกาสไปขอโทษมันให้ได้”

   “อย่าเลยบู” แทนที่จะได้รับการสนับสนุน สองหูกลับได้ยินเพียงเสียงร้องห้าม

   “ทำไม”

   “เนย์ไปมีชีวิตใหม่แล้ว”

   “แม่พูดแบบนี้หมายความว่าไง ผมก็แค่อยากขอโทษ ถ้าคิดว่าการที่ผมโผล่หน้าไปจะทำให้มันต้องเจ็บอีก แล้วผมล่ะ...” ยอมรับและเข้าใจดีที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเองซึ่งมันเป็นผลที่สมควรจะได้รับอยู่แล้ว แต่อีกใจหนึ่งมันก็อยากก้าวไปข้างหน้าบ้างเหมือนกัน

   ผมจมอยู่กับฝันร้ายและความรู้สึกผิดมาตลอดสองปี เฝ้าแต่ตามหาอาคเนย์เพื่อที่อย่างน้อยมันจะได้ปลดปล่อยความรู้สึกผิดในใจให้ ผมรู้ว่ามันดูเห็นแก่ตัว รู้ว่าไม่ควรฉุดมันกลับมาที่เดิมอีกแต่ผมก็ยังอยากจะทำ

   “อย่าไปเจอเนย์อีกเลยบู ถือว่าแม่ขอร้องแล้วกัน”

   “ถ้าผมไม่ไปแม่จะกลับมาเป็นคนเดิมมั้ย”

   “...” ยังคงเงียบ ไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ควรเป็น และผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

   “แม่ต้องการอะไร อยากให้ผมสำนึกหรือชดใช้แค่ไหนแม่บอกมาสิ”

   “อย่ามาขึ้นเสียงกับแม่นะบู!”

   “ใจเย็นๆ นี่ทะเลาะอะไรกันอีก” พ่อเป็นฝ่ายเอ่ยแทรก เขาหันมามองเราทั้งคู่ด้วยสายตาตั้งคำถาม

   ตั้งแต่เกิดเรื่องมีแต่ผมกับแม่เท่านั้นที่รับรู้ ต่างคนต่างเหยียบมันไว้ทำราวกับทุกอย่างยังปกติดีทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ผมมองหน้าแม่อีกครั้ง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังทำเลยได้แต่ส่ายหน้าไปมา

   “พ่อ”

   “บูขึ้นห้องไปก่อน” แม่รีบขัดทว่าผมไม่สนใจ ถ้ามันจะพังก็ขอให้เป็นวันนี้ได้มั้ย ให้มันเจ็บทีเดียว

   “ที่ไอ้เนย์พยายามฆ่าตัวตายมันเป็นเพราะผม”

   “...!!”

   “ผมเคยทำร้ายมันสารพัด พูดจาสาดเสียเทเสีย แถมยังมีความคิดจะข่มขืนมันอีก ถึงไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้อาการป่วยของมันกำเริบจนต้องเข้าไปนอนโรง’บาลอยู่นาน เหตุผลที่มันย้ายบ้านไปก็เพราะผม เหตุผลที่มันลาออกจากคณะทิ้งอะไรต่างๆ ไว้มากมายก็เพราะผม ที่ผ่านมาผมเหยียบมันไว้และขี้ขลาดเกินกว่าจะบอก พ่อจะแจ้งตำรวจก็ได้ ดุด่าทุบตียังไงก็ได้...ผมจะยอมรับมันทั้งหมด” แม้จะช้าเกินไปก็ตาม

   “บูรพา” เสียงทุ้มเรียกชื่อด้วยท่าทีนิ่งสงบ นิ่งจนเหมือนกับพายุลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวและกำลังพัดเข้ามาในไม่ช้า

   ทุกบริเวณเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนานนับสิบนาที ผมนับเลขในใจ เฝ้ารอฟังคำตัดสินจากอีกฝ่ายด้วยความทรมานจนกระทั่งในที่สุดผมก็ได้รับคำตอบ

   “ที่ผ่านมาแกจะทำอะไรผิดหรือเลวร้ายแค่ไหนฉันให้อภัยมาตลอด แต่กับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กทำไมถึงได้ทำร้ายกันลงคอ”

   “ผมขอโทษ”

   “กลับไปทบทวนตัวเองซะ เป็นคนที่ดีกว่านี้ได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาให้ฉันเห็นหน้า”

   นั่นเป็นคำตอบเดียวของพ่อก่อนเขาจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร

   “ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ผมเอ่ยตามหลังอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลดพันธนาการทุกอย่างออกไปจากใจ

   สองปีมาแล้วที่ขี้ขลาดจนรู้สึกเกลียดตัวเอง หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ได้ เฝ้าแต่ถามว่าชีวิตควรเดินไปทิศทางไหน คาดเดาไปต่างๆ นานาแต่ก็ไม่เคยกล้าพอจะบอกความจริงกับใคร พอวันนี้ได้คำตอบกลับรู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด มันแย่ที่ทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด แต่ผมหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

   “ผมขอโทษนะแม่ สำหรับทุกอย่างเลย...”

   “...”

   “เอาแต่คิดว่าตอนเสียจีนไปมันเจ็บปวดที่สุดแล้ว ทั้งที่จริงๆ การเสียทุกคนไปต่างหากที่เจ็บปวดกว่า”

   ความแค้นและการกระทำในอดีตพรากทุกอย่างที่เคยเป็นของบูรพา ผมเสียอาคเนย์ เสียครอบครัว เสียความฝันและเพื่อนร่วมทาง ทั้งหมดโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง

   “คิดว่าคงต้องไปแล้ว ถ้าคิดถึง...ถ้าแม่คิดถึงก็โทรหาผมได้เสมอ”

   ผมไม่เคยตอบแทนอะไรแม่สักอย่าง ขนาดวันที่ต้องจากลาก็ยังทำให้เขาร้องไห้อยู่เลย

   อีกนานกว่าจะได้กลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองดีพอ...











   ชีวิตของนายบูรพาเหมือนเจอทางตันอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเดินไปทางไหนนอกจากหวนกลับไปยังจุดเดิมคือการจมอยู่ในอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้น ผมนอนนิ่งๆ อยู่ในห้องนอนของตัวเอง มองดูท้องฟ้าจากหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนหมดวัน

   แม่ไม่อยากให้ผมไปเจอไอ้เนย์ เลยพยายามฝืนตัวเองมาตลอดด้วยการปิดเครื่องมือสื่อสาร ไม่ติดต่อกับใครและขังตัวเองอยู่ในห้องแทน แต่ผมดันทนได้ไม่นานเมื่อวันหนึ่งฝันร้ายกลับมาเยือนอีกครั้ง จนเกิดความรู้สึกที่อยากหลุดออกจากวงโคจรนี้ไปสักที

   โทรศัพท์มือถือถูกเปิดหลังปิดไปนาน ข้อความมหาศาลเด้งขึ้นมาไม่หยุด ผมกวาดตามองข้อความที่ค้างตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ตอบใครสักคนนอกจากกดเข้าไปยังเว็บ Reg ของมหา’ลัยเพื่อเช็กตารางเรียนนิสิตในภาควิชานั้น

   เสร็จสรรพจึงหันมาอาบน้ำแต่งตัว วันใหม่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงพระอาทิตย์ก็คงโผล่โพ้นขอบฟ้า หวังว่าถึงตอนนั้นผมจะมีความกล้าพอกับการเผชิญหน้าอีกครั้ง

   ตอนเจอกันที่สถานีรถไฟ ผมสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ของคณะและมหา’ลัยที่ปักอยู่บนกระเป๋าเสื้อช็อปของผู้ชายที่มากับไอ้เนย์ เบาะแสที่พยายามหาเลยแคบลงกว่าเก่า ดังนั้นจึงไม่รีรอรีบขับรถไปยังมหา’ลัยดังกล่าวทันที

   ไอ้เนย์หนีมาเรียนในคณะใหม่ที่ไม่ไกลจากเดิมมาก แต่เพราะผมยังคงใช่รถยนต์เหมือนทุกวัน เลยทำให้ความเป็นไปได้ที่เราจะเจอกันโดยบังเอิญลดน้อยลงจนแทบเป็นศูนย์ หรือไม่เราก็คงเคยเจอกันมาก่อนแต่อีกฝ่ายพยายามหลบหน้าซะมากกว่า

   รถยนต์เคลื่อนตัวไปจอดยังลานจอดรถคณะวิศวะในเวลาเจ็ดโมงเช้า ผมปิดประตู ก้าวเท้ายาวๆ ไปดักรออยู่หน้าห้องที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะใช้เรียนในช่วงแปดโมง นั่งอยู่อย่างนั้นพร้อมกับนับเลขในใจไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ...

   จวบจนเด็กกลุ่มหนึ่งเดินตรงมา ถึงแม้ผมจะไม่เห็นไอ้เนย์ในกลุ่มนั้นแต่มั่นใจว่าอีกไม่นานเจ้าตัวก็คงมาถึง จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจตัวเองขึ้นมา จิตใจเต็มเปี่ยมที่อยากเข้าไปทักหรือเอ่ยขอโทษจางหาย ผมรีบลุกขึ้นยืน พาตัวเองเดินหลบไปยังมุมหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วเฝ้ามองภาพตรงหน้าไม่ละสายตา

   อาคเนย์อยู่ตรงนั้น แต่กลับไกลเกินเอื้อมถึง



   ‘หมอบู’
   ‘อย่ามาตลก กูยังสอบเข้าไม่ได้เลย’
   ‘เอาน่า สักวันก็ได้เรียกอยู่ดี หมอบู...หมอบู...หมอบู’
   ‘แล้วกูต้องเรียกมึงว่าอะไร นายช่างเนย์เหรอ’
   ‘ก็เท่อยู่นะ’
   ‘สมกับเป็นลูกนายช่างใหญ่’
   ‘หมอบู’
   ‘นายช่างเนย์’
   ‘บูรพา’
   ‘อาคเนย์...’




   คิดถึงวันเก่าๆ เหมือนกัน

   ไอ้เนย์ดูดีในชุดช็อปวิศวะ มีรอยยิ้มสดใส หัวเราะและดูสนุกสนานไม่ต่างจากอาคเนย์ในวันวาน พอไม่มีผมทุกอย่างก็ค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม พอไม่มีผม...ความสุขก็ไม่ได้หายากอีกต่อไป

   หลายคนทยอยเดินเข้าห้อง ผมมองเห็นคนตัวขาวเพียงไม่กี่วินาทีก่อนภาพตรงหน้าจะเหลือเพียงอากาศธาตุ แต่ก็ยังไม่หมดความพยายามด้วยการเฝ้ารออยู่อย่างนั้น จะให้เดินเข้าไปก็ไม่กล้า พอจะตัดใจเดินหนีก็ทำไม่ได้ เลยต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความสับสนไปเรื่อยๆ

   คาบนี้สองชั่วโมงผมนั่งรอ

   คาบต่อไปอีกสองผมก็ยังแอบตามเขา

   เวลาแต่ละวินาทีผันผ่านอย่างเชื่องช้า ผมเห็นไอ้เนย์กับผู้ชายคนนั้น คนที่เจอกันตรงรถไฟฟ้า ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา หัวเราะ กินข้าว อ่านหนังสือ ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติจนอดถามตัวเองไม่ได้ว่าถ้าเป็นผมที่นั่งอยู่ตรงนั้น ยังจะมีโอกาสได้ยินเสียงหัวเราะของมันอยู่มั้ย

   หลังเลิกเรียนผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆ เดินไปตามฟุตบาธอย่างใจเย็น รู้ตัวอีกทีสองขาก็ก้าวมาถึงสถานีรถไฟฟ้า โดยลืมไปเลยว่ารถของตัวเองยังคงจอดอยู่ที่คณะ

   ตอนนี้ไอ้เนย์เดินไปข้างหน้าไกลแล้ว ผมไม่มีเวลาสำหรับความลังเลเลยก้าวฉับๆ ตามหลังอีกฝ่ายพร้อมกับทิ้งระยะห่างเอาไว้ประมาณหนึ่งเพื่อไม่ให้มันรู้ตัว

   ถัดจากนี่ไปสองสถานีผมก็ตามมาจนถึงคาเฟ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในซอยค่อนข้างลึก มันเป็นคาเฟ่สองชั้นตกแต่งในสไตล์วินเทจแต่ดูอบอุ่นด้วยแสงไฟสีเหลือง ผมปล่อยให้อาคเนย์เดินเข้าไปด้านในครู่หนึ่งก่อนถึงค่อยหาโอกาสตามไปเงียบๆ

   “ยินดีต้อนรับค่า” พนักงานเอ่ยทักทาย ผมกวาดตามองไปโดยรอบไม่เจอคนที่ตามหาจึงย่างเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองต่อ

   บรรยากาศด้านบนแตกต่างจากด้านล่างนิดหน่อยตรงที่มีแสงสีขาวซึ่งมองเห็นได้ชัดกว่า กลิ่นของขนมและอาหารก็เบาบางกว่ามาก และแน่นอนในระยะห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ผมยังคงเห็นไอ้เนย์นั่งอยู่ตรงนั้น ตรงระเบียงแคบๆ ซึ่งยื่นออกมาจากตัวอาคารพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนมัธยม

   “รับอะไรดีคะ”

   “เดี๋ยวผมขอดูก่อนแล้วกัน” พนักงานพยักหน้าเข้าใจ ส่วนผมเดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะตัวเล็กๆ ซึ่งยังว่างอยู่ จากนั้นก็เฝ้ามองดูอีกฝ่ายจากทางด้านหลังพร้อมกับคำถามมากมายที่กำลังตีวนอยู่ในหัว จะเดินเข้าไปทักดีหรือแค่มองอยู่ห่างๆ สุดท้ายผมก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

   ดูเหมือนไอ้เนย์จะมีอาชีพเสริมเป็นติวเตอร์ให้กับเด็กมอปลาย ไม่รู้ว่าได้เงินมากพอมั้ย แต่มันเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง คิดดูแล้วกันขนาดไม่มีใจรักจะเรียนหมอมันยังสอบเข้ามาเรียนได้เลย

   “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...” ริมฝีปากเค้นเสียงนับเลขอีกครั้งขณะสายตายังคงจ้องมองคนที่นั่งอยู่ตรงระเบียง เมื่อก่อนผมอาจจะตัดพ้อว่าการรอคอยช่างยาวนาน จนกระทั่งชีวิตได้เรียนรู้อะไรที่หนักหนาสาหัสกว่า แม่งทำเอาไอ้ที่รอมาหนึ่งวันเป็นแค่เศษเสี้ยวที่เทียบไม่ได้ไปเลยทีเดียว

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 20-03-2019 04:14:53


   ผมสั่งอาหารไปสองสามอย่างแต่ก็ปล่อยมันวางในจานอยู่อย่างนั้นเพราะกินไม่ลง จากเวลาหกโมงเย็นเคลื่อนผ่านเป็นหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม ลูกค้าเก่าออกไป คนใหม่ก็เดินเข้ามาทว่าเราก็ยังอยู่ที่เดิมจนกระทั่งหน้าปัดนาฬิกาข้อมือหมุนไปที่สามทุ่มสิบนาที ช่วงเวลาที่เด็กผู้ชายคนนั้นเริ่มเก็บข้าวของและจากไปในไม่นาน

   ไอ้เนย์นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ดูทั้งเหงาและโดดเดี่ยวไม่เหมือนตอนอยู่กับเพื่อนที่คณะแม้แต่น้อย ลึกๆ ผมอยากเดินเข้าไป พูดหรือเอ่ยทักทายอะไรก็ได้ อาจจะเป็น ‘หวัดดี ไม่เจอกันนานเลยนะ’ หรือพูดประโยคง่ายๆ อย่าง ‘สบายดีมั้ย’ เพราะต่อให้อีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาผมก็คงไม่เสียใจอีก

   “จะทำอะไร!” เสียงของใครสักคนดังก้อง

   ผมหันไปมองยังต้นเสียงก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังคว้าข้อมือของผมเอาไว้ ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้าสมองผลักดันให้ทำอะไรไปบ้าง กว่าจะรู้ตัวผมก็เกือบสัมผัสอาคเนย์ได้แล้ว

   “กูจะคุยกับไอ้เนย์” เมื่อถามมาผมก็ไม่รอช้าตอบกลับทันที

   “เนย์ไม่มีอะไรจะพูดกับมึงหรอก” เจ้าของคำพูดเอ่ยเสียงแข็ง มันไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นคนเดียวที่อยู่กับไอ้เนย์แทบจะตลอดเวลาและผมคิดว่าทั้งคู่กำลังคบกันอยู่

   “ปราชญ์มึงทำอะไรวะ” แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีทางพ้นสายตาของคนตัวเล็กไปได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วไอ้เนย์ก็เลือกเดินเข้ามาประชิดเพื่อเผชิญหน้ากับผมตรงๆ

   “มันจะทำอะไรมึงก็ไม่รู้”

   “เปล่า กูไม่ได้จะทำอะไร แค่อยากขอเวลาคุยกับมึงเท่านั้น” ผมไม่ได้สนใจผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ แต่เลือกจดจ่อกับใบหน้าขาวและดวงตาดำขลับคู่เดิมไม่ลดละ

   “กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึงหรอก” น้ำเสียงเรียบนิ่งเปิดปากเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “ได้เวลาต้องกลับแล้วว่ะ ไปกันเถอะปราชญ์” ร่างเล็กหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนตั้งท่าเดินผละออกไป ทว่าผมไวกว่านั้นรีบคว้าข้อมือมันเอาไว้พร้อมกับขอร้องเสียงแผ่ว

   “แป๊บเดียว...”

   “ขอโทษด้วยที่กูไม่มีเวลาว่างพอ”

   “กูหยุดเรียนหมอได้สักพักแล้วนะ”

   “...”

   “เลยอยากจะคุยกับมึงสักหน่อย” ผมฝืนยิ้ม ส่งสายตาไปให้อย่างคนจนตรอก “แป๊บเดียวจริงๆ”

   “งั้นปราชญ์ เดี๋ยวมึงลงไปรอที่รถก่อนนะ”

   “เนย์”

   “เดี๋ยวกูตามลงไป” มือหนาละจากเกาะกุมผมแล้วหมุนตัวเดินลงไปด้านล่าง คงเหลือเราเพียงสองคนที่ระเบียงแคบๆ แห่งนี้ ไอ้เนย์เอื้อมมือมาปิดประตูกระจกอย่างเงียบเชียบ มือติดสั่นเล็กน้อยหยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งจากนั้นก็ทำการจุดสูบ

   สองปีผันผ่าน หลายอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

   “มึงไม่สูบบุหรี่หนิ” ผมถามก่อนได้รับคำตอบเพียง ‘แค่เคย’ สั้นๆ “กูคิดถึงตอนนั้นเลย ตอนที่เรายังเป็นเด็ก”

   “เข้าเรื่องเถอะว่ะ” บทสนทนาถูกตัดจบอย่างง่ายดาย ควันสีขาวพวยพุ่งจนทำให้มองภาพตรงหน้าไม่ชัด บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เจ้าตัวกำลังทำเพื่อปกปิดความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองอยู่

   “สองปีมานี้กูตามหามึงทุกวันเลย ไปที่บ้านมึงทุกวันและก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ยังไม่มีคนซื้อไป เพราะหวังว่าสักวันมึงจะกลับมา” ทุกคำพูดที่เอ่ยล้วนมาจากความรู้สึกส่วนลึกที่ผมอยากบอกมันมาตลอด แม้อีกฝ่ายจะดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยินเลยก็ตาม

   “ถ้ามึงยังขืนพูดแต่น้ำอยู่กูขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

   “อาการเป็นยังไงบ้าง” ผมยังไม่อยากให้มันไป อยากให้อยู่คุยกันต่ออีกสักหน่อย

   “หมายถึงอะไร”

   “PTSD วันนั้นที่จีนตาย...”

   “กูก็ตายให้มึงแล้วไง” ประโยคก่อนหน้ากระแทกเข้ามาในอกอย่างจัง

   “...”

   “ต้องการอะไรวะบู กูให้มึงไปหมดแล้ว กูไม่มีอะไรให้มึงอีกแล้ว...” ถึงน้ำเสียงที่โพล่งออกมาจะแข็งกร้าว แต่แววตา ริมฝีปาก และฝ่ามือที่คีบบุหรี่กลับยังสังเกตได้ถึงความสั่นเทา

   “กูแค่อยากขอโทษ”

    ผมขยับตัวเข้าใกล้ ทว่าอีกฝ่ายกลับถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว รู้ดีว่าสิ่งที่เคยทำในอดีตเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัยแต่ผมก็ยังอยากให้มันรับรู้ว่าผมสำนึกผิดจริงๆ

   “ตั้งแต่มึงหายไปกูรู้สึกผิดอยู่ทุกวัน มันเหมือน...ฝันร้าย ฝันแบบที่มึงเคยฝันมาตลอดเลยได้แต่ตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักที มันคงเหมือนมึงตอนนั้น สามปีทรมานมากใช่มั้ย”

   “ใช่” น้ำเสียงสั่นเครือตอบกลับ

   “ขอโทษอาคเนย์ ขอโทษ...” ไทม์แมชชีนพาเรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว “มึงอยากให้กูชดใช้อะไรก็บอกมาได้เลย กูยินดีทำทุกอย่าง”

   “กูไม่ได้อยากขออะไรจากมึงบู ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกูยกโทษให้” ในใจกำลังเต้นลิงโลด ทว่าเพียงครู่เดียวก็เหมือนถูกมือล่องหนผลักลงไปในเหวลึกอย่างเลือดเย็น

   “เพราะงั้นมึงช่วยหายไปจากชีวิตกูเถอะ”

   “ทำไม”

   “มันจบแล้ว ไม่มีอะไรที่ติดค้างกันอีก การหายไปของมึงคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกู”

   ได้แค่นี้ก็เกินพอยังจะคาดหวังอะไรอยู่อีก ตอนแรกคิดว่าจะถูกไล่ด้วยซ้ำแต่ไอ้เนย์ก็ยังใจดียืนคุยกับผมตั้งนาน อย่างน้อยคำตอบในวันนี้ก็มากพอจะช่วยปลดล็อกอะไรบางอย่างออกไปจากความรู้สึกสักที

   “กูเข้าใจ”

   “...”

   “รอว่าสักวันมึงจะได้เป็นนายช่างใหญ่อยู่นะ” ผมฉีกยิ้ม ถึงจะไม่สามารถเข้าไปทักหรือพูดคุยเหมือนในอดีตได้อีกแต่อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าความสุขต้องอยู่ไม่ไกลแน่นอน

   “กูจะมาเจอมึงไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย” ผมถามต่อ

   “อือ”

   “จะคุยกับมึงไม่ได้”

   “อือ”

   “หัวเราะหรือร้องไห้กับมึงไม่ได้”

   “อือ” ไอ้เนย์ยังคงพยักหน้า สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดอย่างไร้จุดหมาย

   “เราจะไม่มีโอกาสกินข้าวด้วยกัน บอกเล่าความฝันให้ฟังเหมือนตอนเด็ก ไม่มีเค้กวันเกิด ไม่มีของขวัญ ไม่มีแม้แต่โอกาสให้กูได้แก้ตัวอะไรอีก”

   “อือ”

   “มึงเสียใจมั้ยที่มันเป็นแบบนี้”

   “ไม่ เพราะเป็นแบบนี้กูถึงมีความสุขดี”

   “งั้นก็เลิกบุหรี่ซะกูขอร้อง จะรักตัวเองก็รักให้ถึงที่สุดเถอะ” ไอ้เนย์ยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายด้วยการกดปลายของมวนนิโคตินลงไปบนที่เขี่ยบุหรี่ ควันสีเทาขาวจางหาย และครั้งนี้ผมก็ได้มองหน้ามันเต็มตาสักที

   “อาคเนย์...อาคเนย์...อาคเนย์...”

   ผมอยากเรียกชื่อมันย้ำๆ อีกครั้งให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เราได้เจอกันแล้วแม้จะต้องปล่อยให้ทุกอย่างจบลงก็ตาม

   “ลาก่อนบูรพา”

   “ลาก่อนอาคเนย์”


   ผมสูญเสียเพื่อนในวัยเด็กของตัวเองไปเพราะความแค้นและโง่เขลา และผม...ไม่มีทางได้เขาคืนมาอีกต่อไป พูดได้เต็มปากเลยว่า การจากลาครั้งนี้แหละเจ็บกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

   มันเป็นการจากลาที่อาจเรียกได้ว่า ‘ตลอดกาล’





   กุมภาพันธ์

   สามวันหลังการจากลาผมจมดิ่งลงเรื่อยๆ ในผืนน้ำที่มองไม่เห็น ต่อให้ตะเกียกตะกายแค่ไหนก็ไม่สามารถพาตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ ผมยังคงฝันร้ายดังนั้นเลยต้องใช้ยานอนหลับเป็นตัวช่วย มันบรรเทาความเจ็บปวดไปได้มากแต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็หนีความจริงไม่ได้อยู่ดี

   เพื่อนที่คณะแพทย์คงจะสอบบ่อยเหมือนเดิม ผมส่งข้อความเป็นกำลังใจไปให้พวกมัน แต่กลับได้รับสายจากเพื่อนต่างคณะในสามชั่วโมงต่อมา มันบอกว่าไม่นานก็เรียนจบและเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำงานแล้วเลยไม่ได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกันอีก

   นั่นแหละ ทุกชีวิตย่อมมีทางของตัวเอง ส่วนผมก็ทำได้แค่ยินดีกับความสำเร็จของทุกคนอยู่ตรงนี้

   



   มีนาคม

   ผมยังคงฝันร้าย ฝันซ้ำๆ แม้จะเจอคนที่ตามหามานานแล้ว วันนี้บรรยากาศรอบข้างเริ่มแปลกไป เหงาว่ะ เหงาเหี้ยๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้คลายความรู้สึกเหล่านี้นอกจากล้มตัวลงนอนบนเตียง ผมมันคนไร้ประโยชน์ เอาแต่ผลาญเงินที่พ่อแม่หามาให้ในบัญชีทุกวัน ส่วนเรื่องความหวังและความฝันต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไปเหมือนกับเงินในบัญชีนั้นด้วย





   เมษายน

   ผมขับรถออกจากคอนโดแต่เช้ามืด เปิดเพลงโปรดของตัวเองฟังในรถเพื่อไปหยุดตรงรั้วบ้านของใครคนหนึ่ง มันถูกปิดประกาศขายมายาวนานถึงสองปีแต่ก็ยังไม่มีใครซื้อ ไม่รู้หรอกว่ามองแล้วได้อะไร มองไปก็ไม่มีความหวังรออยู่ด้วยซ้ำแต่ก็ยังจะทำ

   ถัดไปอีกไม่กี่ก้าวคือบ้านของผม บ้านที่เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ได้มาที่นี่หลายเดือนแล้ว แม่ก็โทรมาบ้างแต่เรากลับคุยกันเพียงสั้นๆ ส่วนพ่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง คล้ายกับเขาได้ตัดผมออกจากชีวิตไปโดยสมบูรณ์ซึ่งมันก็สมควรแล้ว คนเลวๆ จะมาหวังให้ตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ดีอีกทำไม





   พฤษภาคม

   กอดของแม่เป็นยังไงผมจำไม่ได้แล้ว...





   มิถุนายน

   ผมคิดถึงอาคเนย์

   ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่มันวูบโหวงไปหมด ในฝันผมไม่เคยสัมผัสตัวของมันได้ ไม่เคยได้กอด ได้อธิบายนอกเสียจากกล่าวประโยคบอกลาสั้นๆ เหมือนวันนั้น

   ผมพยายามมาตลอด หลายต่อหลายครั้งที่บอกให้ตัวเองเดินไปข้างหน้าแล้วหลงลืมอดีตไปทว่าสุดท้ายกลับต้องเผชิญกับความล้มเหลว ทั้งที่ไอ้เนย์ปลดพันธนาการนั้นออกให้ผมไปนานแล้ว และเราไม่มีอะไรให้ติดค้างกันอีก บางที...บางทีความผิดของผมอาจต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่เหลือก็เป็นได้





   กรกฎาคม

   “อาคเนย์ อาคเนย์ อาคเนย์...”

   ผมเรียกหาเขา มองดูท้องฟ้าของเช้าวันมันด้วยใจวูบโหวง แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ขับรถออกไปข้างนอกคือตอนไหน เพื่อนๆ เริ่มแยกย้าย โซเชียลมีเดียทุกอย่างรกร้างคล้ายกับไม่มีผู้ใช้งาน จากที่เมื่อก่อนต้องส่งข้อความหากันทุกวันก็เป็นต้องอันยุติลง

   ชีวิตในแต่ละวันของผมวนลูป ตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ล้างหน้า แปรงฟัน โทรเรียกฟู้ดเซอร์วิสให้มาส่งถึงห้อง กินเสร็จก็ล้มตัวลงนอน นอนไปจนถึงบ่าย จากนั้นก็ลุกขึ้นมาใช้เวลาถามตัวเองจนพระอาทิตย์ตก

   ผมถามซ้ำๆ มีชีวิตไปเพื่ออะไร?





   สิงหาคม

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้ามืด ผมกดรับเสียงงัวเงีย ปลายสายเป็นพี่ของจีน เธอโทรมาบอกกับผม ‘แม่จีนจากไปแล้ว’ นั่นเป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ผมออกจากห้อง สวมเชิ้ตแขนยาวสีดำที่รีดมาอย่างดี ในมือถือพวงหรีดที่แวะซื้อระหว่างทางไปให้ ผมไม่ได้ถามเหตุผลที่เธอจากไปนอกจากนั่งนิ่ง

   กล่าวลาอย่างที่มนุษย์ทุกคนบนโลกเอ่ยให้กันในวันสุดท้าย...





   กันยายน

   ในลิ้นชักชั้นวางทีวีมีโซ่และกุญแจขนาดใหญ่วางอยู่ เมื่อก่อนผมเคยใช้ล็อกประตูเพื่อขังไอ้เนย์เอาไว้ในห้อง ตอนนี้อาจได้หยิบมันมาใช้อีกครั้ง

   ผมอยากเดินไปข้างหน้า ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็อยากจะไป เลยไม่รีรอเก็บของทุกอย่างที่เกี่ยวกับไอ้เนย์รวมไปถึงนาฬิกาข้อมือที่มันให้ใส่กล่อง วางมันไว้บนเตียงสีขาว จากนั้นจึงจัดการล็อกกลอนแล้วคล้องโซ่ต่อเป็นชั้นที่สอง ลูกกุญแจถูกทิ้งลงชักโครก จะไม่มีใครเปิดเข้าไปในห้องนั้นได้อีก

   ห้องที่มีแต่ความทรงจำ…





   ตุลาคม

   โซ่เส้นที่สามถูกคล้องตรงประตูอย่างแน่นหนาหลังผมพยายามจะไขเข้าไปในห้องนั้นช่วงกลางดึกเพราะอยากได้นาฬิกาเรือนนั้นกลับมา ดีที่ทำไม่สำเร็จและรู้ตัวซะก่อน ผมคงเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลยหากยังคิดถึงอาคเนย์อยู่ ต่อให้อยากเจอ อยากพูดคุยแค่ไหนก็ต้องเตือนตัวเองไว้ เขาควรได้เจอสิ่งดีๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาหันกลับมามองข้างหลังอีกแล้ว

   ให้เป็นผมเถอะ เป็นผมที่เจ็บปวดเพียงคนเดียว





   พฤศจิกายน

   มีโอกาสได้หยิบหนังสือตอนเรียนปีหนึ่งขึ้นมา อ่านข้อความเก่าๆ ที่เคยอยู่ในมือถือ เมื่อก่อนเพื่อนมันเล่นมุกได้กากฉิบหาย มองย้อนกลับไปก็ตลกตัวเอง นั่งขำกับพวกมันได้ยังไง ตอนนี้คงใกล้จะเรียนจบปีห้ากันแล้ว ชีวิตที่ทุ่มเทและเสียสละเพื่อเป็นหมอนี่ดีจริงๆ

   ผมได้คุยกับพ่อแล้วนะ ดีใจจนน้ำตาแทบไหล เขาบอกว่ารู้ความจริงที่แม่แอบส่งเงินให้แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ผมต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง

   นายบูรพากับชีวิตที่พังไม่เป็นท่า มีมรดกตกทอดเป็นคอนโดห้องหนึ่ง เรียนไม่จบปริญญาตรี หมดแพชชั่นและเป้าหมายในชีวิต พยายามเดินไปข้างหน้าแต่อดีตที่เลวร้ายกลับฉุดรั้งให้กลับมาอยู่ที่เก่า

   “อาคเนย์ อาคเนย์ อาคเนย์”

   ครั้งหนึ่งผมเคยทำร้ายเขา

   “อาคเนย์...”

   แต่ครั้งนี้ผมขาดเขาไม่ได้จริงๆ...





   25 ธันวาคม

   วันเกิดอาคเนย์ ผมแอบไปที่คณะวิศวะแต่ก็เป็นเพียงครู่เดียว กว่าจะรู้สึกตัวว่าเริ่มล้ำเส้นถึงได้รีบขับรถกลับมา ผมไม่ได้เจอหน้าของไอ้เนย์มาเกือบปีแล้วนับตั้งแต่เอ่ยลาที่ระเบียงในวันนั้น

   ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะฉลองวันเกิดกับใครที่ไหนบ้าง แต่ทุกๆ ปีผมจะให้ถุงเท้าเป็นของขวัญเหมือนอย่างเคย ถุงกระดาษสีหวานถูกแกะออก ผมล้วงมือลงไป หยิบถุงเท้าสีแดงคู่หนึ่งออกมาแขวนไว้ตรงต้นคริสต์มาสที่เพิ่งประกอบเสร็จเมื่อคืน

   “แฮปปี้เบิร์ธเดย์อาคเนย์ มีความสุขมากๆ นะเว้ย”

   ผมทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิ มองดูถุงเท้าที่ถูกห้อยอยู่ตรงหน้าเนิ่นนาน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งถึงได้ล้มตัวลงนอนบนพื้น

   ต่อให้ต้องเจอกับฝันร้าย ซานตาคลอสก็จะพามึงกลับมาชวนกูวิ่งเล่นในอดีตอยู่ดี





   31 ธันวาคม

   ปีนี้ไม่มีปาร์ตี้ แต่ก็มีคำอวยพรจากทุกคนผ่านเข้ามาทางช่องแชต ผมพิมพ์ขอบคุณสั้นๆ กลับไป

   ตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ผมหยิบเบียร์ออกจากตู้เย็น นั่งจิบมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพ้นวันเกิดและปีใหม่มาเยือนอีกครั้ง แอลกอฮอล์ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้น มันมากพอที่ทำให้ผมไม่ต้องร้องไห้อีก

   ปุ้ง! ปุ้ง!

   พลุถูกจุดขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณของการเฉลิมฉลอง นอกหน้าต่างเต็มไปด้วยสีสัน บรรยากาศของเมืองใหญ่คึกคักกว่าทุกวัน ผมได้แต่นั่งมองภาพเหล่านั้นจนกว่าแสงที่กระจายอยู่บนฟ้าจะเลือนหายไป

   กล่องของขวัญที่ถูกห่ออย่างดีถูกดึงมาตรงหน้า ผมซื้อมันด้วยตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเวลาที่ได้แกะ

   “สวัสดีปีใหม่บูรพา”

   ผมยิ้มให้ตัวเอง หยิบของขวัญที่ได้ออกมาจากกล่อง

   พินิจพิจารณามันอยู่อย่างนั้น ของตรงหน้าเป็นอุปกรณ์การช่างที่สั่งเอาไว้ จุดประสงค์ที่ต้องการมีอยู่อย่างเดียวนั่นคือคืนนี้ผมจะกลับไปเปิดห้องปิดตายที่ไอ้เนย์เคยอยู่อีกครั้ง

   “ขอแค่วันเดียว วันเดียวเท่านั้น...”

   หลังตัดสินใจขังความทรงจำทุกอย่างของคนชื่อ ‘อาคเนย์’ เอาไว้ ผมก็ไม่เคยเปิดมันอีกเลยแม้บางคืนจะต้องต่อสู้กับความต้องการจากเบื้องลึกจนแทบคลั่ง เฝ้าแต่บอกว่าการไม่หวนนึกถึงมันจะทำให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่วันนี้ผมขอแค่วันเดียว

   ตุบ! ตุบ! ตุบ!

   อุปกรณ์งัดแงะและทุบทำลายถูกหยิบมาใช้ เพียงไม่นานพันธนาการทุกอย่างทั้งโซ่ตรวนรวมถึงกุญแจก็คลายออก ก่อนผมจะพาตัวเองก้าวเข้าไปภายในเพื่อมองอดีตที่ผ่านพ้นอีกครา

   กลิ่นคละคลุ้งของฝุ่นหนาที่จับตัวกระแทกเข้าจมูกเป็นอย่างแรก ยังดีที่หลอดไฟยังคงใช้การได้เพราะเมื่อแสงสว่างมาเยือน ผมก็ใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปกับการเดินสำรวจห้องเล็กๆ เพียงลำพัง

   อาคเนย์เคยนั่งอยู่ตรงนี้

   ส่วนกล่องใหญ่ยักษ์นี่ก็ใช้เก็บอัลบั้มรูปสมัยเด็กของเรา

   มันอบอวลไปด้วยความสุขและความเศร้า ทะเลาะกันก็ที่นี่ ร้องไห้จนแทบบ้าก็ตรงนี้ ภาพทุกภาพราวกับถูกบันทึกเอาไว้ไม่ขาดตกบกพร่อง

   สองเท้าเยื้องย่างไปโดยรอบ ใช้เวลาจมจ่อมอยู่ตามมุมต่างๆ เนิ่นนานก่อนจะหมุนวนกลับมายังเตียงอีกครั้ง ตรงหน้ามีกล่องแห่งความทรงจำอย่างหนึ่งวางอยู่ที่เดิม ชั่งใจอยู่นานว่าจะหยิบขึ้นมาดูหรือปล่อยไปดีทว่าสุดท้ายก็ได้คำตอบ

   ผมไม่เห็นนาฬิกาเรือนนี้มานานมากแล้ว ดังนั้นหลังจากเปิดกล่องเลยรู้สึกใจหายไม่น้อย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเสียอย่างเดียวคือเข็มบนหน้าปัดไม่ได้หมุนอีก เวลาหยุดชะงักที่บ่ายสองสิบเจ็ดนาที เหมือนกับความสัมพันธ์ของเราที่หยุดลงไม่มีผิดเพี้ยน

   ‘อยากลองใส่ดู’ คือความคิดที่แว๊บเข้ามาในหัว

   ของขวัญที่อาคเนย์เคยสัญญาว่าจะซื้อให้กำลังอยู่ในมือ และผมก็บรรจงสวมมันอย่างช้าๆ มองดูรายละเอียดบนตัวเรือนคล้ายกับต้องการสลักทุกอย่างที่เกี่ยวกับเราเอาไว้

   ร่างกายค่อยๆ ทิ้งตัวนอนบนเตียงซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเงียบเชียบ สายตาสองข้างยังคงจดจ้องดูนาฬิกาเรือนสวยสลับกับรอยแผลเป็นบนข้อมืออีกข้าง

   เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะผมเอง ไม่มีใครผิดนอกจากผม

   ตลอดระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมานับตั้งแต่บอกลากับอาคเนย์ โลกของผมรับรู้ได้แต่ความเจ็บปวด และมักทรมานทุกครั้งเวลาที่รู้สึกโหยหาอยากเจออีกฝ่าย ซึ่งคงไม่ดีแน่ๆ หากไอ้เนย์ต้องมาเจอหน้าผมซ้ำๆ ราวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน

   ดังนั้นผมจึงหาทางออกให้กับตัวเอง

   ผมไม่ได้อยากตาย แต่การกรีดข้อมือวันละแผลทำให้ร่างกายได้เผชิญกับความเจ็บปวด เลือดสีแดงฉานไหลออกมาแต่ไม่นานก็ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ความเจ็บจากการทำร้ายตัวเองช่วยให้ผมลืมความร้าวรานของการไม่มีอาคเนย์อยู่

   237 วันที่ไม่ได้เจอ ผมมีแผลบนข้อมือ 237 แผล

   ทั้งรอยเก่าและใหม่ถูกเฉือนซ้ำอยู่อย่างนั้น

   

   ‘หมอบู...’
   ‘อะไร ยังไม่ได้เป็น’
   ‘เดี๋ยวก็ได้เป็นแล้ว’
   ‘…’
   ‘อีกสิบปีข้างหน้า พอถูกเรียกว่านายแพทย์บูรพามันคงโคตรเท่เลยเนอะ’
   ‘ทำอาชีพอะไรก็เท่ทั้งนั้นแหละ’
   ‘ไม่นะ สำหรับมึง’
   ‘…’
    ‘เป็นหมอน่ะเท่ที่สุดแล้ว’


   

   มึงผิดหวังในตัวกูมั้ยเนย์ ผิดหวังที่กูไม่ได้ทำตามสิ่งที่เราเคยคุยกันไว้

   แต่จะทำยังไง ผมก้าวผ่านความรู้สึกผิดในใจเมื่อหลายปีก่อนไปไม่ได้สักที ต้องทำยังไง...

   ปีใหม่เริ่มขึ้นแล้ว แปลกดีหลายสิ่งรอบตัวยังอยู่เหมือนเดิม

   ผมปิดเปลือกตาลง กอดตัวเองแนบแน่นเพื่อกล่อมให้หลับเหมือนทุกๆ วัน แผลบนข้อมือพวกนี้มันทำให้ผมเจ็บ ใช่ เจ็บจริง

   แต่เทียบไม่ได้เลยกับความยาวนานของการจากลากับใครสักคน

   พยายามแล้ว...

   ผมลองเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่สุดท้ายกลับพบว่าเส้นทางที่เดินไปนั้นเป็นวงกลม


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: wildride ที่ 20-03-2019 05:54:29
 :pig4:
 
  :mew5:   
 
  อยากบอกว่าอยากเห็นใจและสงสารตัวเองของเรื่องนะ   แต่สงสารสุดก็คนอ่านเนี่ย แบบตอนนี้กก็นอยด์และดาววววนตามเลย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 20-03-2019 06:18:26
ฟังเสียงPianoพร้อมกับฝนตกแล้ว หนาวใจมาก
เนย์ move on แล้วนะ ถึงคราวบูจมอยู่กับที่เดิมบ้าง ความรู้สึกผิดที่กัดกินในใจมันเหมือนไฟเผายังไงยังงั้น
ไปขอโทษก็แล้ว พยายามล็อคทุกอย่างเกี่ยวกับเนย์ก็แล้ว ยัง move onไม่ได้
จริงๆแล้วบูหวังอะไรกันแน่ ให้กลับมาดีกันเหมือนเดิมเหรอ
ในฐานะที่เรา#ทีมเนย์ ขอถามนะว่าหวังมากไปรึเปล่า...

https://www.youtube.com/embed/RQPdzHVakyM (https://www.youtube.com/embed/RQPdzHVakyM)
เพลงนี้ที่เราฟังตอนฝนตกพร้อมกับเรื่องเล่าจากบูรพา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-03-2019 08:51:02
เนย์เข้มแข็งกว่าบูรพาซินะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-03-2019 08:58:55
พังไปหมดแล้วชีวิต ส่วนตัวคนอ่านนั้นยิ่งแล้วใหญ่หดหู่สุด ๆ หวังว่าจะหาทางออกที่ดีได้นะบู
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: deuxspades ที่ 20-03-2019 10:22:40
เป็นกำลังใจให้จ้า แค่อ่านยังหน่วงแทน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 20-03-2019 11:20:57
หืมมมม...บูรพา
อาการหนักแล้วววว..  :katai1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-03-2019 12:59:48
ชีวิตเนย์ พังก่อน........
คราวนี้เป็นคราวของบู ที่พังตาม......
เนย์ล้มแล้วลุกได้
บูล่ะ.....จะมีใครมาช่วยทำให้บู มีสติ รู้....ลุกขึ้นได้  :mew2: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 20-03-2019 13:57:33
เนย์ยังมีแม่ที่เป็นหลัก เป็นกำลังใจ  แต่บูไม่เหลือใครแม้แต่คนในครอบครัว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-03-2019 15:10:51
แย่อะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-03-2019 15:16:45
เนย์ชีวิตพังแล้วแต่ยังลุกขึ้นก้าวไปต่อได้ แต่บูยังไปไหนไม่ได้เลย จะมีอะไรหรือใครที่จะช่วยฉุดบูขึ้นมาได้ไหม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 20-03-2019 16:25:44
ตายไปซะ
อยู่ไปก็ไม่ทำอะไร
แม้แต่หางานทำเลี้ยงตัวเองแม่งยังคิดไม่ได้
อาหารการกินควรประหยัด
ยังเสือกสั่งรูมเซอร์วิส
ไปใหนมาใ้หนควรใช้บริการรถสาธารณะ
ยังขับรถโฉบไปโฉบมา
คือพ่อทำงานแทบไม่ได้พักเพื่อหาเงิน
ตัวเองคือผลาญเงินอย่างเดียว หึ
มึงผิดต่อเนย์
มึงผิดต่อแม่เนย์
และที่สำคัญ
มึงผิดต่อแม่กับพ่อมึงเองด้วย
ตายไปเลยคนแบบนี้
เราเกลียด


กุอินมาก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 20-03-2019 17:26:06
จะบอกว่าสมน้ำหน้าไหม แต่ทำไมหดหู่จัง ทนอ่านต่อไปคงเป็นโรคซึมเศร้าตามแน่ๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-03-2019 19:16:24
กงกรรมกงเกวียน  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 20-03-2019 22:09:16
ดีใจที่เนย์มีความสุขเสียที  :mew1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 21-03-2019 00:16:34
อ่านตอนนี้ด้วยความรู้สึกมวนท้อง จะต้องเจ็บปวดไปอีกสักเท่าไร
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-03-2019 01:29:58
เฮือก รู้สึกเหมือนตัวเองกลั้นหายใจตอนอ่านตอนนี้ แบบอึดอัดจุกหน่วงไปหมด เวลานี้คือเวลาการทรมานของบูที่แท้จริง เสมือนอยู่ในโลกมืดที่หาทางออหไม่ได้ว่าต้องไปทางไหนต่อ ไม่มีใครให้พูดให้คุยด้วย จมดิ่งอยู่กับตัวเองล้วนๆ ถ้ามันที่สุดจริงๆสุดท้ายแล้วบูคงเลือกหายไปจากโลกนี้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 21-03-2019 13:41:57
พังยับเยินไม่ชิ้นดี ใจคนอ่านเนี่ยยย!  :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 21-03-2019 20:59:36
ตายไปซะ
อยู่ไปก็ไม่ทำอะไร
แม้แต่หางานทำเลี้ยงตัวเองแม่งยังคิดไม่ได้
อาหารการกินควรประหยัด
ยังเสือกสั่งรูมเซอร์วิส
ไปใหนมาใ้หนควรใช้บริการรถสาธารณะ
ยังขับรถโฉบไปโฉบมา
คือพ่อทำงานแทบไม่ได้พักเพื่อหาเงิน
ตัวเองคือผลาญเงินอย่างเดียว หึ
มึงผิดต่อเนย์
มึงผิดต่อแม่เนย์
และที่สำคัญ
มึงผิดต่อแม่กับพ่อมึงเองด้วย
ตายไปเลยคนแบบนี้
เราเกลียด


กุอินมาก
ขอขำเม้นนี้ได้มั้ย เกรี้ยวกราดอะไรเยี่ยงนี้
แต่ก็จริงนะ เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องเลยใช้ชีวิตได้ประมาทมาก ทิ้งขว้างไปวันๆ
เทียบกันแล้วคนที่มีความกล้าที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเนย์เข้มแข็งมาก
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: koisuratreeJHZZ ที่ 22-03-2019 22:17:59
บูไม่มีใครเลย ไม่มีจริงๆ ขอให้ผ่านมันไปให้ได้นะบู
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 30-03-2019 23:12:56
บูไม่มีใครที่จะฉุดบูให้ขึ้นมาจากการจมน้ำแบบเนย์ บูไม่มีใครเลยแม้แต่ครอบครัว บูมีแค่ตัวบูเองที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง บูน่าสงสารกว่าเนย์ตรงนี้ตรงที่เนย์ยังมีแม่คอยฉุดขึ้นมาจากการจมน้ำแต่บูคือต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาแล้วกว่าะขึ้นมาได้ก็ยังคิดอีกว่าหรือจะปล่อยให้จมลงไปดีเพราะที่ตรงนี้ไม่มีใครแล้ว สู้นะบูขึ้นมาให้ได้แม้จะตัวคนเดียวก็ต้องสู้นะ
ไม่เคยเม้นที่ไหนยาวขนาดนี้มาก่อนเลยอินไปหน่วงตับปวดใจ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: mmblezz ที่ 04-04-2019 13:23:48
รออ่านตอนเขากลับมาเจอกันที่บ้านนอก สร้างความรักกันขึ้นมาใหม่
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-04-2019 08:35:59
วังวนของผลที่กระทำ ตอนนี้บูรพารู้ซึ้งเลย
บูต้องเจอเรื่องนี้ ในใจคิดแต่เรื่องนี้วนอยู่ที่เดิม
และที่สำคัญ บูรพาไม่มีใครเคียงข้างแล้ว
เลือกที่จะตัดขาดทุกคนและจบสิ้นทุกอย่าง
เวลาไม่น้อยเลยนะที่บูรพาจมไปกับเรื่องอาคเนย์
คิดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะใจคอยแต่คนเดียว
รอแค่คนเดียวให้กลับมาอยู่ในสายตา

ต้องขอบคุณแม่ของเนย์นะที่ไม่ทอดทิ้งเนย์
ถึงเนย์จะเริ่มใหม่ได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็น
แต่ชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ก็ยังดีกว่าจมที่เดิม

เจ็บปวดใจมากค่ะ กับสิ่งที่ต้องเจอของทั้งคู่
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 11-04-2019 11:09:41
คิดถึงอาคเนย์
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: oakman ที่ 12-04-2019 12:39:33
สงสารน้องบูจัง เหมือนคนที่ถูกหลอกให้เกลียดคนที่รักเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: suginosama ที่ 23-04-2019 14:40:51
บีบหัวใจมากๆค่ะ
ร้องไห้จนตาช้ำไปหมดแล้วค่ะ  :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: องศาวาย ที่ 23-04-2019 19:25:33
รออออออ. คิดถึงแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: กณกกรณ์ ที่ 13-05-2019 07:34:02
 :katai1:
จะขาดจายยย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 02-06-2019 20:55:28


CHAPTER 10
BOYHOOD



ร่างกายโรยรา ความทรงจำเริ่มขาดหาย
วันหนึ่งผมอาจกลายเป็นแค่ตาแก่ แต่เขายังอยู่ตรงนั้น
เป็นเด็กคนเดิมเสมอแม้จะผันผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน



   ผ่านพ้นปีใหม่ไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงนอนตื่นสาย ปล่อยให้เวลาแต่ละวินาทีไหลผ่านอย่างไร้ค่า อาจเพราะไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนคอยกำหนดดังนั้นกิจวัตรประจำวันของผมจึงซ้ำซากจำเจอยู่กับเรื่องไม่กี่เรื่อง

   หนึ่งนอน สองขับรถไฟที่บ้านหลังนั้น และสามทำร้ายตัวเอง

   บาดแผลบริเวณข้อมือยังไม่หายดี แต่ต่อให้พยายามกรีดแผลใหม่ให้ลึกกว่าเดิมแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บอีกแล้ว จะว่าความรู้สึกด้านชาคงไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ทรมานเพราะโหยหาใครบางคนมากมายขนาดนี้

   อาคเนย์...

   ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังพอมีวิธีไหนอีกมั้ยที่สามารถลบชื่อนี้ออกไปจากหัว

   หลังความพยายามหลายครั้งหลายหนล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมก็เริ่มถอดใจ ไม่อยากทำอะไรอีกแล้วนอกจากช่างแม่งมันให้หมด

   วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องแบกร่างระโหยโรยแรงของตัวเองเดินลงเตียง อาบน้ำล้างหน้า เพื่อไปพบกับใครคนหนึ่งหลังได้รับการติดต่อมาจากทางไกล ตอนแรกผมก็ไม่อยากไปหรอก ปฏิเสธในทันทีที่ได้ยินคำชักชวนเลยด้วยซ้ำ ทว่าสุดท้ายกลับถูกคะยั้นคะยอจนต้องปล่อยเลยตามเลย

   หลังเรียนจบปีหก พี่โฟมก็ระหกระเหินไปใช้ทุนไกลถึงสงขลา นานครั้งกว่าจะกลับมาทีเลยทำให้เราไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตจนไม่มีเวลาสนใจคนรอบข้าง กว่าจะรู้ตัวผมก็ไม่เหลือใครให้อยู่เคียงข้างอีกแล้ว

   มนุษย์เราก็แปลกดียิ่งโตขึ้นก็ยิ่งโดดเดี่ยว ยิ่งเหงามากกว่าเดิม ผมยังจำได้ดีว่าช่วงชีวิตวัยเด็กรวมถึงมัธยมของตัวเองนั้นมีความสุขมากแค่ไหน ทั้งคนที่อยู่รอบกายและเพื่อนที่คอยรับฟังทุกอย่างซึ่งมีมากจนไม่อยากนับ พอเวลาผ่านไปอีกหน่อยชีวิตก็ก้าวเข้าสู่ช่วงมหา’ลัย ถึงแม้ไม่มีเพื่อนเยอะเหมือนในอดีตแต่ก็ยังมีคนรู้ใจไม่ปล่อยให้ต้องโดดเดี่ยวลำพัง

   ทว่าตอนนี้หันกลับมามองรอบกาย เวลาพรากทุกอย่างไปจากผม ไม่มีเพื่อน ไม่เหลือครอบครัว ได้แต่นอนกอดตัวเองแล้วข่มตาล้มตัวลงนอนในทุกคืนซ้ำๆ เฝ้าถามว่าเมื่อไหร่จะผ่านไปสักที

   เสื้อเชิ้ตสีขาวในตู้ถูกหยิบออกมาสวม กางเกง ถุงเท้า และรองเท้าคู่โปรดก็เช่นกัน วันนี้การไปพบกับรุ่นพี่อย่างโฟม สิ่งเดียวที่ต้องการคือผมอยากให้เขาเห็นว่าบูรพาคนนี้ยังคงมีความสุขดี

   ฉีกยิ้มให้กว้าง แต่งตัวให้หล่อ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมเหมือนในอดีต

   ก่อนออกไปก็ไม่ลืมเช็กความเรียบร้อยกับตัวเองในกระจก ภายนอก...ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย อย่างเดียวที่ไม่มีวันหวนคืนคือความแหลกสลายที่อยู่ภายใน

   “กลับเป็นคนเดิมไม่ได้แล้ว” ริมฝีปากฝืนยิ้มขื่น ก่อนละสายตาจากกระจกหมุนตัวออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ

   เรานัดหมายกันในสถานที่แสนคุ้นเคย เป็นคาเฟ่ประจำที่ผมกับเพื่อนมักยึดเป็นฐานทัพอ่านหนังสือสมัยเรียนหมอ วันนี้ได้ก้าวย่างเข้ามาที่ร้านอีกครั้งความทรงจำเดิมๆ เลยพรั่งพรูออกมาไม่ขาด

   “ยินดีต้อนรับครับ”

   เสียงพนักงานของร้านเอ่ยทักทาย ผมจึงส่งยิ้มให้เขาพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ

   โซฟาแดงนั่นยังอยู่ที่เดิมเลย แมวสีขาวตาสองสีที่ชื่อนมสดนั่นก็ด้วย มันนั่งทำหยิ่งอยู่ตรงโซฟาตัวโปรดราวกับกำลังรอคอยให้ลูกค้าเข้าไปกอดและเล่น

   “นมสด” ผมเรียกชื่อมัน ค่อยๆ ย่างเท้าไปข้างหน้าเพื่อหวังจะลูบขนนุ่มนิ่ม ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสมันก็รีบกระโดดลงจากเบาะ พร้อมกับส่ายหางไปมาเป็นการเยาะเย้ย

   ตลกดี โลกเปลี่ยนไป แต่แมวตัวเดิมยังไม่เปลี่ยน...

   “ยังหยิ่งเหมือนเดิมเลยเนอะ” ผมหันไปคุยกับพนักงาน ดูเหมือนตอนนี้เด็กที่ร้านจะไม่ใช่ชุดเก่าอีกแล้ว เขาเลยไม่รู้จักผม แถมยังเกาหัวแกรกจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย “ขอเกอิชาร้อนแก้วนึงนะ”

   “ได้ครับ”

   ระหว่างรอผมเริ่มหาที่นั่งเหมาะๆ ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอคอยก็แต่พี่โฟมที่ยังมาไม่ถึงสักที มันเลยค่อนข้างเบื่อที่ไม่มีอะไรทำ จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็ไม่มีใครให้ถามตอบพูดคุยอีก ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้จึงเป็นการเก็บบรรยากาศที่มองเห็นในร้านเพื่อฆ่าเวลาแทน

   ร้านกาแฟนี้ค่อนข้างเล็ก แถมยังเป็นร้านประจำของเด็กคณะแพทย์ ไม่แปลกเลยที่จะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับใครหลายๆ คน

   “อ้าวไอ้บู! ไม่เจอกันนานเลยนะเว้ย” แต่แล้วการรอคอยของผมก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปเมื่อใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในร้าน

   ไอ้นี่มันเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม แม้จะไม่ได้อยู่แก๊งเดียวกันแต่ก็รู้จักกันดีเพราะเคยเรียนด้วยกัน ติวด้วยกัน ไปร้านเหล้าด้วยกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอกันโดยบังเอิญ

   “เป็นไงบ้าง ตอนนี้ย้ายไปเรียนที่ไหน หรือมีแพลนจะกลับมาเรียนที่คณะเหมือนเดิม” ผมยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายก็ถูกคำถามต่อมาพุ่งเข้าใส่ แถมเจ้าตัวยังมีท่าทีตื่นเต้นรีบถลาเข้ามาประชิดอีกต่างหาก

   “ยัง...ไม่แน่ใจเลยว่ะ ช่วงนี้กูยังหาตัวเองไม่เจอ”

   ทุกคนในคณะคงรู้ดีว่าผมดร็อปเรียนไปด้วยปัญหาส่วนตัวซึ่งไม่ได้บอกเหตุผลเอาไว้ บางคนเดาว่าเรียนไม่รอด บ้างก็ว่าย้ายที่เรียนเพื่อตามไปแก้แค้นไอ้เนย์ต่อ ทว่าผมไม่คิดใส่ใจนอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่มันควรเป็น

   “อืม เดี๋ยวสักวันก็เจอเองแหละ” อีกฝ่ายตบบ่าปลอบใจ

   “มึงล่ะเป็นไงบ้าง เรียนหนักมั้ย”

   “บอกเลยว่าปีห้าเป็นปีที่บัดซบมาก แต่ก็ทนๆ ไปอ่ะมึง อีกไม่กี่เดือนก็ผ่านแล้ว”

   “ต้องเลือกโรง’บาลแล้วอ่ะดิ คิดไว้หรือยังว่าจะไปเป็นเอ็กซ์เทิร์นที่ไหน”

   “ใจจริงอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ก็ปริมณฑลแหละ แต่ถ้าดวงมันไม่ได้ก็คงต้องปล่อยตามเวรตามกรรมไป” มันพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ละคนก็มีความเครียด แต่สิ่งเดียวที่ต่างคือหากผ่านความเครียดนั้นไปพวกมันจะเจอกับอนาคต ส่วนผมยังมองไม่เห็นทาง

   “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้มึงมีความสุขแล้วกัน ว่าแต่ไอ้ดลเป็นไงบ้าง” คราวนี้ผมถามถึงเพื่อนสนิทอีกครั้ง

   “ก็สภาพเดียวกันนั่นแหละ” ผมพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนคนตรงหน้าจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วตัดบทด้วยด้วยสีหน้าเร่งร้อน “เดี๋ยวกูรีบสั่งกาแฟก่อนนะ ตอนบ่ายต้องทำงานต่อ”

   “อืม”

   “ไว้เจอกันนะไอ้บู”

   เพื่อนร่วมคณะผละออกไป มันสั่งกาแฟครู่หนึ่งก่อนจะหันมาฉีกยิ้มส่งท้ายและไม่นานก็ลาจาก

   พอมานั่งทบทวนอีกครั้งตอนนี้ผมน่าจะเป็นคนเดียวในรุ่นที่สามารถเรียก ‘ขี้แพ้’ ได้อย่างเต็มตัว อนาคตยังคงว่างเปล่า แม้จะอยากก้าวไปข้างหน้าสุดท้ายกลับพบว่ายังอยู่ที่เดิมเพราะความผิดพลาดในอดีตฉุดรั้งไม่ให้ไปไหน ยังคงติดค้างกับอาคเนย์อยู่

   “โทษทีที่มาช้า พอดีแวะไปเจอเพื่อนก่อนมาน่ะ” ความคิดเบื้องลึกถูกตีแตกกระจายเมื่อร่างสูงโปร่งของสายรหัสก้าวย่างเข้ามาในร้าน แถมยังรีบเอ่ยของโทษขอโพยทั้งที่ยังเดินไม่ถึงโต๊ะ

   “ไม่เป็นไร ผมไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว” ผมตอบกลับทันที ยังมีเวลาเหลือมากพอที่จะพูดคุยกันแบบไม่รู้จบ

   “มึงสั่งเครื่องดื่มยัง”

   “สั่งแล้ว พี่ก็ไปสั่งดิ” เจ้าตัวพยักหน้า เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการสั่งก่อนจะวกกลับมาทิ้งตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม ไม่คิดเลยว่าคำถามที่พุ่งจู่โจมเข้ามาในวินาทีนั้นจะเป็นเรื่องไม่ผมไม่อยากนึกถึง

   “ข้อมือเป็นอะไร” เพราะรู้ดีว่าบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกกรีดซ้ำๆ เป็นภาพที่ดูไม่ดีนัก เลยเลือกหยิบผ้าก็อซออกมาพันไว้ให้พ้นสายตาของคนที่มองมา

   “ข้อมือเคล็ดนิดหน่อยน่ะ”

   “ทั้งสองข้างเลยเหรอ”

   “อืม”

   “ไหนเอามาดูหน่อย”

   “ยุ่งเก่งจังหวะ รีบเข้าประเด็นเลยที่นัดมามีเรื่องสำคัญอะไร” ผมรีบบ่ายเบี่ยงพร้อมกับปัดมือไปมา ไอ้พี่โฟมเลยถอนหายใจยาวเหยียดพลางส่ายหน้าใส่พัลวัน

   “นานๆ กูกลับกรุงเทพฯ ที อยากมาเจอคนในสายรหัสไม่ได้เหรอ”

   “ปกติกลับมาก็ไม่เคยนัดนี่หว่า” น้ำเสียงเรียบเอื่อยส่งผลให้คนตรงข้ามหรี่ตาลงเล็กน้อย เราต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะเดิมเมื่อพนักงานเอาเครื่องดื่มของคนอายุมากกว่ามาเสิร์ฟถึงโต๊ะ

   “แล้วนี่มีกำหนดมั้ยว่าจะกลับกี่โมง” สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

   “เป็นห่าอะไรมึง กูเพิ่งนั่งได้ไม่ถึงสิบนาทีไล่กูซะแล้ว”

   “เปล่า แค่ไม่อยากให้เวลามันเดินเร็ว ยังไม่รีบกลับได้มั้ยวะ อยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย” เพราะกลัวที่ต้องกลับไปยังห้อง เฝ้าแต่นับวันเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวันอย่างทรมาน นานทีปีหนกว่าจะได้คุยกับใครสักคน ผมเลยอยากใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด

   “มึงมีปัญหาอะไรป่ะ”

   “ไม่มี”

   “ช่วงบ่ายสามกูนัดกับเพื่อนอีกคนไว้ อยู่ได้นานสุดก็บ่ายสองครึ่ง”

   แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง...

   “พูดเรื่องมึงดีกว่า สรุปว่าพร้อมจะกลับมาเรียนต่อหรือยัง” คำถามที่ได้ยินทำเอานิ่งไปพักหนึ่ง

   ผมไม่ค่อยเจอเพื่อนหรือคนรู้จักบ่อยนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสพบปะพูดคุย ทุกคนต่างพุ่งประเด็นมาที่เรื่องดังกล่าวเป็นอันดับแรก บางทีมันก็เหนื่อยเกินไป...

   มันอาจเป็นเพราะความหวังดี หรืออาจเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นของคนตั้งคำถาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ล้วนทิ่มแทงความรู้สึกของผมทั้งนั้น

   “ความคิดที่จะกลับไปเรียนหมอมันหมดไปนานแล้ว ในอนาคตอาจจะ...ไปเรียนอย่างอื่น”

   “มึงจะหนีความฝันของตัวเองเหรอ”

   “ครั้งหนึ่งพี่เคยบอกหนิว่าคนอย่างผมเป็นหมอไม่ได้หรอก จำไม่ได้หรือไง”

   “ที่กูพูดเพราะโมโหที่มึงทำกับไอ้เนย์อย่างนั้นต่างหาก แต่เมื่อมึงโตขึ้น รู้สึกนึกคิดและปรับปรุงตัวแล้วก็ต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะเว้ย”

   “ผมเคย...เคยให้โอกาสตัวเองแล้ว” จู่ๆ ลำคอกลับรู้สึกแห้งผากราวกับกลืนทรายลงไปทั้งกำ กว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ช่างยากลำบากเต็มที “แต่ก็อย่างที่เห็น”

   “เอาจริง ตั้งแต่มึงดร็อปเรียนไปกูก็ไม่เคยรู้เหตุผลจริงๆ ของมึงเลย ถึงตอนนี้...พอจะเล่าให้กูฟังได้มั้ยวะ” สีหน้าของพี่โฟมมีทั้งความกังวลและจริงจังผสมปนเปอยู่ในนั้น ยิ่งเมื่อได้ประสานสายตากันผมยิ่งเข้าใจ

   “ก็ไม่ได้อยากปิดหรอก แค่ที่ผ่านมาหาโอกาสไม่ได้สักที จะว่าไงดีวะ...” ท้ายประโยคแค่นเสียงหัวเราะ สมเพชตัวเองที่ต้องมาเล่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยก่อ แต่วินาทีนี้ความรู้สึกต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามามันทำให้ผมกักเก็บเอาไว้ไม่ไหว

   ความเหงา โดดเดี่ยว ความรู้สึกผิด อ่อนแอ ไร้ค่า บอกเล่าความเป็นบูรพาในตอนนี้ได้ดีที่สุด

   “ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้อง...”

   “ไม่เป็นไร ผมยินดีจะเล่า” ความทรงจำในวันวานถูกถ่ายทอดออกมาผ่านคำพูด ผมไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กว่าจะเอ่ยแต่ละคำออกมา เรื่องราวของเด็กชายบูรพากับอาคเนย์ในวัยเด็กไม่ได้ถูกเอ่ยถึง แต่รีบตัดฉับไปที่เหตุการณ์อุบัติเหตุในคืนนั้น ก่อนจะเกิดผลพวงต่างๆ ตามมามากมาย

   “ที่มึงยังเดินหน้าต่อไปไม่ได้เพราะติดค้างกับไอ้เนย์อยู่ใช่มั้ย” หลังเผยความอัดอั้นที่เก็บเอาไว้เนิ่นนานให้อีกคนได้รับรู้ ผมจึงพยักหน้าให้กับการคาดคะเนของอีกฝ่าย “ถ้าติดค้างก็ไปหามันสิ เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

   “ถ้าผมไปเจอไอ้เนย์มันก็ต้องเจ็บปวดอีก”

   “แล้วมึงล่ะ อยู่แบบนี้ไม่เจ็บเหรอวะ”

   “...”

   “กลับไปเคลียร์กับมันซะ ปลดล็อกทุกอย่างในใจของมึง ชดใช้เท่าที่จะทำให้มันได้ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีไหนดีที่สุด แต่การจากทั้งที่ทรมานอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ผลดีแน่ และกูเชื่อว่าไอ้เนย์ก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

   “แล้วถ้าคราวนี้ผมไปเจอ เชื่อได้เหรอว่าต่อไปมันจะไม่หายไปอีก”

   ที่ผ่านมาเฝ้าแต่บอกตัวเอง ถึงไปเจอไม่ได้ คุยกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้ว่ามันยังมีความสุข แต่ถ้าวันหนึ่งมันหายไป กลัวว่าชีวิตของผมคงไม่ต่างจากการเจอทางตันในเขาวงกตสักเท่าไหร่

   “ไม่มีอะไรรับประกันมึงได้อยู่แล้ว ทุกอย่างในชีวิตมีความเสี่ยงเสมอมึงไม่รู้เหรอ”

   “มีทางเลือกอื่นสำหรับผมในตอนนี้มั้ย” รอยยิ้มที่ส่งมอบให้คนตรงหน้าตอนนี้คงเจือไปด้วยความเศร้า

   “มี หนึ่งไปหาหมอซะ ถ้าไม่หายก็เลือกทางที่สองคือไปหาไอ้เนย์ แต่ถ้าไม่กล้ากูยังมีทางออกที่สามอยู่”

   “อะไร”

   “จมอยู่กับอดีตของมึงไง”

   นึกโกรธเหมือนกันว่าทำไมทางเลือกที่เหลืออยู่ถึงน้อยจังวะ แต่พอลองคิดดูดีๆ มันก็ไม่มีทางไหนที่ดีพอสำหรับคนเลวอย่างผมหรอก

   “บู...”

   “หืม?”

   “ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยวะ”

   “ว่ามาดิพี่”

   “มึงในตอนนี้...รักไอ้เนย์บ้างมั้ย”

   ผมหลุดหัวเราะ จ้องมองหน้าคนตรงข้ามนิ่งงัน

   “รักแบบไหนล่ะ ถ้าแบบเพื่อนผมคงพูดได้เต็มปากว่ารัก แต่ถ้าหมายถึงความรักอย่างนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง” อาจเพราะผ่านมานานเกินไป ด้านชาเกินกว่าจะรู้สึก “แต่สิ่งหนึ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกมาตลอดหลายปี ผมรู้ดีเลย นั่นคือความรู้สึกผิดต่ออาคเนย์”

   “...”

   “เป็นสิ่งเดียวที่ไม่สามารถชดใช้ด้วยวิธีใดได้”











   ผมมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งซึ่งได้รับมาจากรุ่นพี่ในสายรหัส ก่อนมันจะกลายเป็นประเด็นที่วิ่งวนอยู่ในหัวไม่จางหาย แม้กระทั่งเวลาขับรถไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ด้วย

   ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกหรือความโหยหาที่มีมากล้นกันแน่ กว่าจะรู้ตัวผมก็ขับรถมาถึงมหา’ลัยที่ไอ้เนย์เรียนอยู่ซะแล้ว ผมไม่เคยห้ามตัวเองได้ เหมือนกับประตูห้องปิดตายที่ต่อให้หากุญแจมาล็อกแน่นหนาแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องถูกเปิดอยู่ดี

   รถยนต์เคลื่อนตัวเข้าไปจอดบริเวณลานกว้างของภาคคอมพิวเตอร์ ตารางเรียนของไอ้เนย์แม้ไม่ต้องเปิดผมยังคงจำได้ขึ้นใจ รู้ว่ามันเรียนอะไรอยู่ รู้ว่าต่อจากนี้มันจะไปไหน แต่กลับทำได้เพียงแค่เฝ้ามองโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้

   ก่อนหน้านั้นโฟมบอกว่าผมมีอยู่สามทางเลือกสำหรับชีวิต

   หนึ่งคือไปหาหมอ วิธีนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ยังคงฝันร้าย ต่อให้กินยาไปเท่าไหร่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม

   สอง คือการกลับเข้าไปในชีวิตของอาคเนย์

   ทางเลือกนี้เป็นความคาดหวังเบื้องลึกที่อยากทำมาตลอด ทว่าเมื่อลองนำเหตุผลและความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมาคาดคะเน เห็นทีผลลัพธ์จะยิ่งแย่กว่าเดิม ดังนั้นจึงเหลือทางเลือกสุดท้าย...

   ผมไม่ได้ตัดสินใจในทันทีว่าควรเลือกทางไหน นอกจากนั่งนิ่งอยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์ ใช้เวลาไปกับการจ้องมองความเป็นไปของคนโดยรอบผ่านกระจกใส ยังคงคิดอยู่ทุกวันอย่างไหนที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดในอดีต ลองเปลี่ยนตัวเองแล้วแต่กลับยังอยู่จุดเดิม

   มองโลกในแง่ดี ก็ไม่รู้จะมองยังไงเพราะรอบข้างแม่งโคตรเหี้ย

   ยิ้มปลอบใจตัวเอง บอกซ้ำๆ กับประโยคเดิมจนเบื่อหน่ายว่าเดี๋ยวคงผ่านไป ทว่าสุดท้ายได้แต่ฝืนยิ้มแห้งคว้าได้เพียงความโดดเดี่ยว

   ผมมาถึงทางตันแล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่หวาดกลัวกับการมีชีวิตอยู่มากมายขนาดนี้

   จีนตายเพราะผม เนย์ป่วยเพราะผม แม่จีนจากไป ครอบครัวของผมแตกแยก ทุกอย่างล้วนเป็นผลมาจากคนเพียงคนเดียว คนที่ชื่อ ‘บูรพา’ ขนาดนี้แล้วจะให้อภัยตัวเองได้ยังไง

   เวลาล่วงเลยจากบ่ายคล้อยเข้าสู่ช่วงเย็น รถยนต์ถูกดับเครื่องไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถเพื่อมองการเปลี่ยนแปลงของโลกตรงหน้า ก่อนตัวเลขหนึ่ง...สอง...สาม...สี่ จะถูกนับในใจเพื่อเฝ้ารอให้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

   หลายชั่วโมงให้หลังรถยนต์ถูกสตาร์ทอีกครั้งทั้งที่ยังจอดนิ่งสนิท ผมไม่ต่างจากคนบ้าที่ควบคุมแม้แต่ความคิดของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นทุกอย่างที่ทำจึงเป็นไปโดยอัตโนมัติ

   เพลงโปรดซึ่งไม่ได้อัปเดตมาแรมปีดังคลอซ้ำไปซ้ำมา เวลานี้อาคเนย์คงกำลังเดินทางไปคาเฟ่ที่ไหนสักแห่งเพื่อทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ ส่วนผมก็ต้องพยายามหักห้ามใจอย่างหนักเพื่อไม่ให้โผล่หน้าไปเจอเขา

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 02-06-2019 20:57:32


   ก๊อกๆๆ

   ร่างกายสะดุ้งโหยง ชันตัวขึ้นมาจากพนักเบาะหลังได้ยินเสียงเคาะกระจกบางเบา นาฬิกาดิจิตอลบนหน้าปัดรถยนต์เคลื่อนไปที่หนึ่งทุ่มแล้ว ผมกะพริบตาถี่ ค่อยๆ ลดกระจกรถลงเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัย

   “ครับ?” ประโยคสั้นๆ ติดแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยถามคนตรงหน้า

   “เห็นติดเครื่องยนต์อยู่นาน มีอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้ว สายตาสอดส่องเข้ามาในรถด้วยความระแวดระวัง

   “อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ แค่กำลังรอเพื่อนอยู่”

   “ตอนนี้ที่ตึกไม่น่ามีใครอยู่แล้วมั้ง ลงไปรอที่ห้องสมุดคณะก่อนมั้ย อยู่ตรงนี้มันค่อนข้างมืด” เขายื่นข้อเสนอ ทว่าผมรีบปฏิเสธทันที

   “ไม่เป็นไรครับ พอดีไม่กี่นาทีก่อนเพื่อนเพิ่งโทรมาบอกว่ากลับไปก่อนแล้ว”

   “อย่างนั้นเหรอ”

   “ขอบคุณมากนะครับลุง”

   ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายถามย้ำผมฉีกยิ้มจืดเจื่อนเป็นการสั่งลาก่อนจะขับรถออกไป ไม่รู้หรอกว่าต้องไปที่ไหน รู้อย่างเดียวคือยังไม่อยากกลับห้อง

   บรรยากาศช่วงนี้ไม่ร้อนและไม่หนาว รถยังคงติดอยู่แต่ยังโชคดีที่สายตาดันไปสบเข้ากับป้ายของร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เลยไม่รอช้าเลี้ยวรถเข้าไปแม้ไม่แน่ใจว่าเวลานี้ทางร้านเปิดต้อนรับลูกค้าแล้วหรือยัง

   “ขอเบียร์ขวดนึงครับ”

   “สักครู่ครับ” ดีที่เขาไม่ไล่ให้กลับบ้านไปก่อน หลังทิ้งตัวลงตรงบาร์เครื่องดื่มพนักงานก็หันไปจัดการกับออเดอร์ที่ได้รับโดยไม่ปล่อยให้ผมต้องรอนาน

   ผมไม่เคยมาที่นี่เนื่องจากอยู่ในย่านมหา’ลัยของไอ้เนย์ มันเป็นร้านเล็กๆ โต๊ะจำนวนน้อย แถมผมยังเป็นลูกค้าเพียงคนเดียวที่ใช้บริการอยู่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะพอแอลกอฮอล์เข้าปากเมื่อไหร่ในหัวคงว่างเปล่าไม่นึกถึงอะไรอีก

   เบียร์ขวดแรกหมดลงผมจ่ายเงินซื้อขวดที่สองโดยไม่เสียเวลาคิด ขวดสองหมดก็สั่งขวดที่สามมา กระดกดื่มจนกว่าจะรู้สึกดี

   บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ คึกคักขึ้นเนื่องจากแขกในร้านต่างทยอยเข้ามาใช้บริการ นอกจากความจอแจของผู้คนแล้วยังมีเสียงเพลงจากนักร้องตรงเวทีคอยสร้างความสนุกสนานไปพร้อมกันด้วย

   “น้อง ขอเบียร์อีกขวด” เงินในกระเป๋าถูกควักวางบนโต๊ะ

   “จะไหวเหรอพี่ เรียกเพื่อนมาสแตนบายรอก่อนผมถึงจะขายให้”

   “ที่ร้านมีกฎข้อนี้ด้วยหรือไง”

   “ครับ เจ้าของร้านบอกไม่ให้ขายเครื่องดื่มกับคนเมาแล้วสร้างภาระ”

   “ขอเบียร์สองขวด...” ยังไม่ทันที่ผมจะต่อรองกับบาร์เทนเดอร์ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งกลับขัดจังหวะซะก่อน ความจริงผมคงไม่เสียเวลาใส่ใจอะไรเลยหากเสียงที่ได้ยินนั้นไม่คุ้นเคยถึงขนาดต้องหันไปมองยังต้นเสียง

   ต่อให้เมาแค่ไหนก็ยังจำได้อยู่ดี แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะปรากฏตัวอยู่ตรงนี้

   “ไอ้เนย์” ร่างกายตอบสนองอัตโนมัติด้วยการเรียกชื่อของคนที่นั่งถัดออกไปเพียงสองเก้าอี้ ดูเหมือนมันจะตกใจไม่น้อยคงเพราะไม่คาดคิดว่าเราจะบังเอิญเจอกัน

“ขอโทษนะครับเรารู้จักกันด้วยเหรอ”

สีหน้าตกใจในคราแรกไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความเฉยชาที่ตอบกลับมาเท่านั้น ซึ่งแม่งโคตรได้ผลเพราะการกระทำของมันทำให้ผมรู้สึกชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

พยายามตั้งนานเพื่อไม่ให้มันรู้สึกแย่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็พังหมด

“อืม...ขอโทษด้วยครับ” ผมไม่รู้จะแก้ไขความผิดพลาดของการเจอกันในคืนนี้ได้ยังไง บางทีอาจเป็นคำว่าขอโทษ คำเดียวที่ต่อให้พูดนับล้านครั้งก็คงไร้ความหมาย

คงจะดีหากสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้

“ผมเมามาก...”

คงจะดีที่ไม่ได้ทำร้ายเขา

“เลยจำคนผิดไป”

คงจะดีหากเวลาหยุดเราไว้แค่ตอนนั้น ตอนที่คำว่ามิตรภาพยังไม่ถูกทำลายลง

“เนย์ ไปนั่งตรงโน้นเถอะ”

จมจ่อมกับความดำมืดในหัวได้ไม่เท่าไหร่ ความสนใจทั้งหมดก็ย้ายไปยังผู้ชายร่างสูงซึ่งมากับอาคเนย์ แม้มีโอกาสคุยกันแค่ครั้งเดียวและเวลาผ่านไปนานเกือบปีแล้วผมก็ยังจำได้ขึ้นใจ

   ทางเลือกสามข้อที่โฟมได้บอกเอาไว้ ผมคิดอยู่หลายตลบกว่าจะได้คำตอบเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ทว่าวินาทีนี้มันยิ่งตอกย้ำชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ ต่อให้ผ่านมันไปไม่ได้ก็อย่าดึงให้คนอื่นต้องติดอยู่กับความเจ็บปวดด้วยเลย

   “ไม่ต้องย้ายหรอก ผมกำลัง...จะกลับพอดี”

   เราเคยบอกลากันแล้ว ดังนั้นคืนนี้คงไม่จำเป็นต้องพูดกันอีก

   มันคงไม่ดีหรอกหากเราต้องเอ่ยลากันซ้ำๆ ไม่ไปไหนสักที สิ่งที่ต้องทำคงมีแค่ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปเงียบๆ เท่านั้น

   ทว่าการทรงตัวอันย่ำแย่จากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์รั้งให้ผมก้าวไปไหนได้ไม่ไกล เพราะวินาทีต่อมาร่างกายก็ล้มลงกับพื้นราวกับโลกทั้งใบไร้แรงโน้มถ่วง

   ตุบ!!

   “เฮ้ย! คุณลูกค้า” เสียงโหวกเหวกโวยวายนานขึ้น รอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวายซึ่งผมไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้นเนื่องจากในหัวมีแต่คนชื่ออาคเนย์เพียงอย่างเดียว

   สองตาพร้อมจะปิดอยู่รอมร่อแต่ก็ยังฝืนลืมขึ้น กอบโกยออกซิเจนเข้าไปให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่หลับแต่กลับทำได้ยากเต็มที มีเพียงความรู้สึกเคว้งคว้างราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศเท่านั้นที่อัดแน่นอยู่ในอก น้ำตาเม็ดใสไหลรินไปกับกลิ่นแอลกอฮอล์ซึ่งเจือจางอยู่ทั่วบริเวณ

   ผมพยายามยันตัวเองขึ้นมาจากพื้นทว่าร่างกายกลับอ่อนแรงเกินกว่าจะพยุงให้ลุกขึ้นนั่งได้ เลยปล่อยให้พนักงานในร้านที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยประคองในที่สุด

   “ขอบ...คุณ” ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปบางเบาแทบกลืนหายไปในลำคอ

   “ไหวมั้ยครับ ให้เราเรียกแท็กซี่ให้มั้ย”

   “ไม่เป็นไร...ผม...” กลับเองได้...

   ไม่รู้ว่าได้เอ่ยประโยคที่คิดจนจบมั้ย เนื่องจากความพร่าเบลอค่อยๆ เข้ามาแทนที่ภาพในม่านสายตา สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน ขณะเดียวกันสองหูก็ยังคงได้ยินคำถามมากมายจากอีกฝ่ายอย่างไม่ปะติดปะต่อ

   “ให้เรียกคนรู้จักมารับมั้ยครับ คุณอยากติดต่อใครมั้ย”

   “ไม่มี”

   “ไม่มีเลยเหรอครับ”

   “ไม่มีใครเลย...” นอกจากตัวเอง

   หลายปีที่ผ่านมา ต่อให้มีทุกคนก็ต้องจากไปอยู่ดี

   “เอาไงดีเนี่ย เดี๋ยวรอก่อนนะผมจะไปเรียกผู้จัดการ” ไม่รอให้ตอบเขาก็พยุงผมกลับไปนั่งเก้าอี้ ปล่อยให้ฟุบหน้าลงเคาน์เตอร์บาร์เพียงลำพัง น้ำตา...ยังคงไหลไม่หยุดจนบางทีก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าร้องไห้ด้วยสาเหตุอะไรกันแน่ แม่งโคตรขี้แพ้เลยว่ะ

   “เดี๋ยวผมพากลับเอง”

   “...!!”

   ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาประชิดกายในระยะเวลาอันสั้น ผมกัดฟัน เงยหน้ามองตามเสียงนั้น   

   ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะขยับน้อยๆ คล้ายต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับไม่พูดออกมานอกจากรั้งแขนข้างหนึ่งของผมขึ้น

   นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนสมองจะถูกสับสวิตช์

   อาคเนย์

   แม้ในความฝันผมก็ยังมองเห็นคนคนเดิมเสมอ...











   ร่างกายรู้สึกเจ็บหลังถูกทุ่มลงบนเตียงอย่างไม่ถนอม สติทุกอย่างเริ่มกลับคืนมาทีละน้อยก่อนจะพยายามลืมเปลือกตาขึ้น บรรยากาศโดยรอบแสนคุ้นเคย ฝ้าเพดาน ของใช้ รวมไปถึงข้าวของระเกะระกะตามพื้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่คือห้องของผม

   “ไอ้เนย์ กลับกันเถอะ” ผมได้ยินประโยคทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งในโสตประสาทจึงรีบชันตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นเองที่สายตาประสานเข้ากับคนตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่ขอบเตียง แววตากลมเต็มไปด้วยความเฉยชา ใบหน้าไร้สีเลือด ทว่าก็ยังจำได้ดีว่าเป็นใคร

   “มึงรออยู่ห้องนั่งเล่นก่อนนะ กูขอจัดการอะไรนิดหน่อย”

   “มึงไม่จำเป็นต้องคุยกับมันอีกแล้ว จำไม่ได้เหรอ ที่มึงยังขับรถไม่ได้ก็เพราะมัน ที่ยังฝันร้ายในบางครั้งก็เพราะมัน”

   “ปราชญ์...” คนพูดกดเสียงต่ำเล็กน้อยก่อนร่างสูงตรงหน้าจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่พอใจ

   บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจ สิ่งที่เห็นนี้คือความจริงหรือความฝันอันยาวนานของผมกันแน่ เลยได้แต่นั่งนิ่ง กะพริบตาถี่เพื่อมองอีกฝ่ายซึ่งกำลังจดจ่อกับการคลายผ้าพันแผลบริเวณข้อมือของผมออก

   ฝ่ามือขาวนั้นอบอุ่น รู้สึกได้ถึงความแผ่วเบาเมื่อสัมผัส กลิ่นประจำตัวแสนคุ้นเคย กับลมหายใจกรุ่นๆ ซึ่งเป่ารดอยู่ตรงหน้า

   ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่จินตนาการ หากแต่เป็นความจริง

   “เนย์อย่า!” เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรสมองก็สั่งการให้รีบแย้ง ไอ้เนย์หยุดกึกหลังเห็นริ้วเลือดเกรอะกรัง ผมห้ามไม่ทันซะแล้ว...

   “ทำเองเหรอ” มันถามด้วยสีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่อยากใส่ใจ ทว่าสองมือกลับค่อยๆ ปลดเปลื้องผ้าที่ห่อหุ้มบาดแผลบริเวณข้อมือออกมาทีละน้อย

   “เปล่า”

   “แล้วใครทำ หรือเป็นเพราะกู” ใบหน้าขาวก้มเล็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำไม่กล้าสบตากันตรงๆ

   “มันไม่ได้เจ็บอีกแล้ว” ผมบอกตามจริง แม้ไม่บอกว่าใครทำแต่อาคเนย์รู้ดีอยู่แก่ใจ

   “บางรอยแผลยังไม่แห้งหนิ”

   “มันไม่ได้เจ็บอีกแล้ว...” ยังคงเอ่ยย้ำประโยคเดิมๆ “ร่างกายกูแม่งไม่รู้สึกอะไรหรอก ต่อให้กรีดเพิ่มอีกสิบแผล โดนรุมกระทืบสักกี่ตีน โดนต่อยอีกสักกี่หมัดกูก็ไม่รู้สึก มันเหมือนมึงที่ไม่ว่าจะยังไงก็คงไม่มีทางรู้สึกอะไรกับกูแล้วใช่มั้ย” ความชินชาน่ากลัวกว่าความเกลียดชังหลายเท่า กว่าจะรู้ตัวผมก็กลายเป็นใครไม่รู้สำหรับมันในที่สุด

   “บู กูให้อภัยมึงนานแล้วนะ มีแต่มึงให้อภัยตัวเองได้หรือเปล่า”

   “แต่คำว่าให้อภัยของมึงมันหมายถึงการไม่มีกูในชีวิตอีก”

   “นั่นดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

   “แม้มึงจะยังไม่หายจาก PTSD น่ะเหรอ”

   สิ่งที่ได้ยินจากปากของไอ้ปราชญ์ตอกย้ำให้ใจรู้สึกผิดเป็นเท่าทวี หลายปีผ่านไปผมเพิ่งรู้ว่าการก้าวไปข้างหน้ายังคงทิ้งรอยแผลไว้กับคนถูกกระทำ และไอ้เนย์ยังต้องเจ็บปวดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

   “ไม่ใช่เรื่องของมึง” ผ้าพันแผลที่พันอยู่ถูกแกะออกจนหมด เจ้าตัวจึงละสายตาจากข้อมือแล้วหันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ “ใช้ชีวิตของมึงที่ไม่มีกูอย่างมีความสุขเถอะ”

   ผมแค่นหัวเราะทันที

   “เป็นกู...จะมีความสุขได้ด้วยเหรอ ไม่กล้ามีหรอก”

   “กูยังมีได้เลย”

   “ที่ผ่านมามึงมีความสุขจริงๆ ใช่มั้ย ในเมื่อมึงยังนอนฝันร้ายถึงกู ยังไม่หายป่วย จริงๆ บอกว่าเกลียดมาเลยก็ได้นะ กูคงรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่” ให้ผมรู้ว่ามันต้องทรมานยังไง ให้มันตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นเพราะคนเหี้ยๆ เพียงคนเดียว

   “กูไม่ได้เกลียดมึง ยอมรับว่าบางครั้งแม้เรื่องในอดีตจะทำให้รู้สึกทรมานแต่มันไม่ได้หนักหนาอีกแล้ว กูเริ่มมองเห็นอนาคต มีสิ่งที่อยากทำ มีคนที่รัก ไม่ได้ผูกติดกับความแค้นหรือตัวตนของมึงอีก”

   “...”

   “เพราะงั้นก้าวไปข้างหน้าแล้วทิ้งกูไว้ในอดีตได้มั้ย”

   “กูพยายามแล้ว” น้ำเสียงตอบกลับสั่นเครือ ที่ผ่านมาพยายามอย่างถึงที่สุด

   ผมไม่สามารถทิ้งอดีตเพื่อก้าวต่อในปัจจุบัน ไม่สามารถตัดขาดจากการกระทำโง่เง่าในอดีต

   “พยายามใหม่”

   “กูไปไหนไม่ได้เพราะติดค้างมึง เนย์ ถ้ามึงอยากให้กูชดใช้อะไรก็บอกมาได้เสมอ แล้วเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย” ผมขอทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง เอาแต่เรียกร้องอย่างคนเห็นแก่ตัว

   ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า ทุกอย่างเงียบนิ่งราวกับโลกหยุดหมุน หนึ่ง...สอง...สาม ผมเริ่มนับเลขในใจรอจนกว่าจะได้ยินทางออกที่เจ้าตัวหยิบยื่นให้

   “มึงอยากรู้ป่ะว่ากูคิดอะไรอยู่ตอนที่ตัดสินใจว่าจะซิ่วและไปจากชีวิตของมึง” อาคเนย์เปลี่ยนประเด็น ผมเลยระบายยิ้ม พยักหน้าทั้งที่หวาดกลัวว่าเราต้องจากลากันในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

   “เล่ามาสิ”

   เจ็บปวดแค่ไหนก็อยากจะฟัง

   “คืนนั้นเป็นวันเกิดของกู มึงพาเพื่อนมานั่งที่โต๊ะแล้วจากนั้นก็แฉความโสมมทุกอย่างในชีวิต” ภาพสีหม่นย้อนกลับมาในทันทีที่คนตัวเล็กพูดประโยคนั้นจบ ผมอยากดึงทึ้งหัวตัวเองให้สาสมกับการกระทำย่ำแย่ที่เคยก่อ “แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหรอก”

   คนเล่าขยายความต่อ ส่วนผมยังนิ่งนั่งพร้อมความรู้สึกรังเกียจตัวเอง

   “กูนั่งแท็กซี่ไปหาพ่อ เขามีบ้านหลังใหญ่อยู่กับลูกและเมียที่กำลังท้อง มึงคิดดูดิ เขาแม่ง...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของกูอ่ะ หลายอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ กูสูญเสียทุกอย่างทั้งมึง ทั้งพ่อ แต่ยังดีที่มีแม่ให้กอด”

   “...”

   “เรานอนอยู่ด้วยกันในความมืด แม่เล่านิทานให้ฟัง เป็นเรื่องของกูในวัยเด็ก” ใบหน้าขาวเงยขึ้น สบตากันอีกครั้งแม้จะสั่นไหวเกินควบคุม “บูรพา มึงจำตอนนั้นได้มั้ย เมื่อก่อนเราต่างมีจักรยานคู่ใจ ของกูสีแดงส่วนของมึงสีฟ้า มึงปั่นจักรยานสองล้อได้ก่อนเลยล้อกูใหญ่ที่กูยังทำแบบมึงไม่ได้”

   “อืม กูไม่เคยลืม”

   คิดถึงตอนนั้น ตอนที่เรายังเป็นเด็ก ตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่

   นานมาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน วัยเด็กของเรามีเรื่องน่าตื่นเต้นไม่มาก หนึ่งของเล่น สองการ์ตูนที่อ่านยังไม่แตก และสามจักรยานคันแรกในชีวิต แม่ซื้อให้เราพร้อมกัน ตอนนั้นมันมีล้อเล็กๆ ช่วยพยุงแต่ผมเก่งจึงสามารถปั่นแบบสองล้อได้ก่อน

   จำไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง คงเป็นความภูมิใจเล็กๆ ล่ะมั้งที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น

   “กูก็อยากทำเหมือนมึงนะ แต่เพราะกลัวเลยไม่กล้าสักที จนวันนึงแม่ตัดสินใจถอดล้อพยุงออก มึงรู้มั้ยว่ากูคิดอะไร อย่างแรกเลยคือดีใจที่จะได้ทำแบบมึงแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ยังหวาดกลัวว่ามันจะล้ม”

   “...”

   “นั่นแหละ สุดท้ายก็ล้มจริงๆ ล้มจนร้องไห้อยู่อย่างนั้น ทั้งเข่าและข้อศอกกูมีแต่แผล ส่วนมึงนอกจากไม่ช่วยแล้วยังหัวเราะล้อเลียนจนกูหมดความอดทนไม่ปั่นมันอีก” วัยเด็กเหมือนกับภาพยนตร์ม้วนหนึ่ง แม้จะสะดุดไปบ้างทว่าภาพกลับยังคงชัดเจน นึกไม่ถึงเลยว่าจนกระทั่งวันนี้ไอ้เนย์ยังคงจำมันได้

   ส่วนผม ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ยังรักหรือเกลียดชัง ความทรงจำดีๆ ในอดีตนั้นก็ยังคงอยู่

   “แต่ในที่สุดมึงก็กลับมาปั่นมันไม่ใช่เหรอ” ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเจือจาง

   “ใช่ กูกลับมาปั่นอีกครั้งเพราะมึงเดินมาขอโทษ แล้วบอกจะเป็นคนสอนกูเอง”

   “พอถึงเวลาลองปั่นจริงมึงก็ล้มอีก แถมร้องไห้หนักกว่าเก่า แล้วไงต่อ...” คราวนี้แทนที่จะพูดภาพเหล่านั้นออกมาด้วยตัวเอง ผมกลับเลือกให้คนตรงหน้าเป็นฝ่ายพูดมันออกมามากกว่า

   “จักรยานสีแดงถูกพลิกขึ้น มึงบอกให้กูลองอีกครั้งพร้อมกับช่วยประคองทางด้านหลัง เราเริ่มนับหนึ่งถึงสามแล้วออกแรงดันออกไป มือของมึงไม่ยอมปล่อยจากรถแต่ยังคงวิ่งตามจักรยานที่กูปั่น”

   “...”

   “มองตรงหน้าสิ มึงพูดแบบนั้น กูเลยมองถนนตาไม่กะพริบ ขณะเดียวกันสองเท้ายังคงปั่นไปด้วยเพราะมั่นใจว่ายังไงมึงก็ไม่มีทางปล่อยมือและล้มลงเหมือนที่ผ่านมา”

   ผมยังคงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อพร้อมกะพริบตาถี่เพื่อไม่ให้น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมา

   “นั่นไง ทำได้แล้ว! จำได้ขึ้นใจเลย มึงตะโกนเสียงดังลั่นก่อนกูจะหันกลับไปมองข้างหลัง มึงไม่ได้ประคองจักรยานให้อีกแล้ว แต่เป็นกูต่างหากที่สามารถปั่นได้ด้วยตัวเอง”

   ดีใจด้วยอาคเนย์

   “มึงรู้แล้วใช่มั้ยบู กูปั่นจักรยานคันนั้นได้ก็เพราะมึง”

   “...”

   “และที่กูตัดสินใจเดินไปข้างหน้ามันก็เป็นเพราะมึงเหมือนกัน”

   “ขะ...ขอโทษที่รั้งมึงไว้นะ”

   เข้าใจอย่างถ่องแท้ในตอนนี้ เป็นผมที่ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจหลายอย่างในชีวิตของอาคเนย์

   “เราเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันในวัยเด็ก แต่พอโตขึ้น โลกหมุนไปข้างหน้า มึงอย่าลืมสิว่าตอนนี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก”

   “...”

   “บู...จักรยานสีแดงคันนั้นมันไม่ได้ต้องการคนพยุงอีกแล้ว ถึงต้องล้มหรือเจ็บอีกกี่ครั้งกูก็จะลุกขึ้นมาปั่นมันด้วยตัวเอง มึงก็เหมือนกัน”

   ผ้าพันแผลถูกแกะออกจนหมด สัมผัสบางเบาจากนิ้วมือที่ลูบไปตามรอยนั้นคล้ายกับการปลอบประโลมทว่าไม่นานทุกอย่างพลันจางหาย กายบางลุกขึ้นยืน นำพาเอาความหนาวยะเยือกเข้ามาในอก

   ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มจากใจจริงซึ่งเจือไปด้วยความโหยหา แต่เราต่างสูญเสียมันไปพร้อมกับความไร้เดียงสาในวัยเยาว์

   “ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งอย่างน้อยกูก็ดีใจที่ได้รักมึงนะบู ถึงกูจะเสียใจที่ไม่สามารถโอบกอดมึงได้อีกแล้ว แต่ก็ยังดีใจที่ครั้งหนึ่งเราเคยมีกัน”

   น้ำตาของเราทั้งคู่ไหลอาบน้ำ ผมหมดสิ้นเรี่ยวแรง นั่งตัวสั่นอยู่ตรงเตียงนอนหลังกว้าง

   “แล้วมันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอวะเนย์ที่กูจะช่วยประคองมึงตอนล้ม ทางข้างหน้ามันขรุขระแค่ไหน ให้เป็นกูได้มั้ยที่ช่วยมึงจนกว่าจะเจอทางที่ดีกว่านี้”

   “...”

   “เนย์!”

   ไม่มีคำตอบใดเอ่ยกลับมา นอกจากมองดูเพื่อนในวัยเด็กเดินผละห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจากมันก็ยังไม่ลืมหันมาโบกมือให้พร้อมกับประตูตรงหน้าซึ่งกำลังปิดลง

   คิดถึงบูรพากับอาคเนย์ในความทรงจำเหลือเกิน

   ตลอดเวลาสามปีที่เฝ้าแต่ตั้งคำถามว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่เราจะกลับมารักกันได้อีก ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว เด็กชายข้างบ้านที่ปั่นจักรยานสีแดงในวันนั้น ได้เดินทางออกไปโดยไม่มีวันหวนคืน...


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 02-06-2019 21:35:44
เนย์กำลังบอกบูว่า เราเป็นเส้นขนานที่เดินตรงข้ามกันเถอะนะ เศร้าTT
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 02-06-2019 21:58:13
สงสาร สงสารไปหมด
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-06-2019 22:28:06
หวังว่าจะเดินไปข้างหน้าได้แล้วนะบู :ruready
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 02-06-2019 23:09:18
หลบมาหาที่อ่านเงียบๆคนเดียวรู้ตัวเองว่าต้องร้องไห้แน่
เนย์move onแล้ว เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปบูก็ต้องทำเหมือนกัน
แต่มันสงสารแล้วก็เศร้าใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่าที่บูได้เจอมามันสาสมแล้วหรือยัง
อาจจะเป็นไปไม่ได้แต่เราก็หวัง ให้เส้นทางของบูรพากับอาคเนย์เวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-06-2019 23:45:49
แยกกันไปหาความสุขของตัวเองเถอะเด็ก ๆ  :hao5: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-06-2019 02:17:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-06-2019 08:08:46
เนย์ก็ยังไม่เลิกฝันร้าย
บูก็ยังยอมอยู่กับความรู้สึกผิด
เนย์คงต้องมีความสุขจริงๆ ต้องเลิกฝันร้าย
บูถึงจะไปต่อได้ซินะ ก็คงมีทางเดียว แต่คงเป็นทาง
ที่ทั้งคู่หวาดกลัว คนนึงก็กลัวจะเสียใจไม่สิ้นสุดอีก
อีกคนก็กลัวจะทำให้อีกคนเสียใจไม่สิ้นสุด
รอวันที่ทั้งคู่ตัดความกลัวที่มีทิ้งไป หรือจะไม่มีวันนั้น
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-06-2019 10:42:47
โอ้จย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-06-2019 11:51:08
สักวันเส้นขนานมันต้องมีจุดตัดที่ต้องมาเจอกันได้สิ เราจะรอให้ถึงวันนั้นนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 03-06-2019 11:58:29
 :hao5: :hao5:สงสารทั้งคู่
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 03-06-2019 19:59:05
คุณจิิตติ.. อีกแย้วววว.. ทำร้องไห้ อีกแย้วววว..
แบบเนื้อเรื่องมันดราม่าฟุดๆ.. จบแบบ bad end ไปมันก็คงธรรมดานะ
เอาแบบ Happy Ending ดีกว่า.. ฉีกเรย.. 55+
เอาจิง คือ เราร้องไห้กว่านี้ไม่ได้แร้ววว..
ตาปูดดดด.. ง่าาาา..  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 03-06-2019 20:26:29


CHAPTER 11
THE ANSWER



เวลาเป็นสิ่งสมมติ ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต
ไม่มียี่สิบสี่ชั่วโมงที่หมุนวนในชีวิต
ไม่มีใครบอกได้หรอกว่านานแค่ไหนถึงจะได้รับการให้อภัย


   ‘ไอ้เนย์’
   ‘...’
   ‘เฮ้ยหันมาคุยกันหน่อยดิ งอนเป็นเด็กไปได้วะ’
   ‘มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู เป็นเหี้ยไรเอาเบอร์กูไปให้คนอื่น’
   ‘ก็เห็นน้องเขาชอบมึง’
   ‘แล้วได้ถามกูยัง?’
   ‘ไม่ชอบก็แค่ปฏิเสธไปไง นี่คือเราจะโกรธกันด้วยเรื่องแค่นี้จริงเหรอ’
   ‘มันไม่ใช่แค่นี้เว้ยบู เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานไม่เคยรู้หรือไงว่ากูคิดยังไง’
   ‘ขอโทษ ครั้งนี้คิดน้อยไปจริงๆ กลัวว่ามึงจะเหงาเพราะกูหนีไปมีแฟนเลยคิดแทนทุกอย่างหมด ต่อไปไม่ทำแล้ว…’
   ‘กูไม่ได้เหงา ถ้ามึงยังเป็นเหมือนเดิม’
   ‘กูยังเหมือนเดิม จีนแทนที่มึงไม่ได้หรอก’
   ‘ทีนี้เข้าใจหรือยัง สำหรับกู...คนอื่นก็แทนที่มึงไม่ได้เหมือนกัน’




   ในฝันนั้นทั้งมีความสุขและโอบล้อมไปด้วยความอบอุ่นอย่างน่าเหลือเชื่อ แตกต่างจากทุกคืนที่มีแต่ภาพของการจากลา ผมตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ ฟ้ายังคงมืดสนิททว่ารอบกายไม่ได้หนาวเหน็บเท่าที่ผ่านมา

   สองเท้าก้าวลงจากเตียงตามความเคยชินเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ ผมชอบนะ ตอนที่ได้กวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาลูบหน้าแล้วใช้เวลา ณ ขณะนั้นจ้องมองกระจก ทุกวันผมจะเห็นคนชื่อบูรพาค่อยๆ เปลี่ยนไป ดูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แบกทุกอย่างไว้บนบ่า เหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแต่ก็ยังต้องมีชีวิต

   บางทีเหตุผลของการมีชีวิตอยู่อาจไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองอีกแล้ว แต่เป็นการทำเพื่อคนอื่นมากกว่า

   หนึ่งเดือนหลังบอกลากับเพื่อนในวัยเด็ก ผมจมจ่อมกับความรู้สึกมากมายที่ประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย เศร้า เสียใจ รู้สึกผิด ไร้ค่าและหมดสิ้นความหวัง ในฝันยังคงมีเขาอยู่ทุกคืนก่อนที่เช้าวันต่อมาภาพเหล่านั้นจะเลือนหายไป

   ในชีวิตจริงความเป็นไปได้ที่เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ต่อให้ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดมันก็เปล่าประโยชน์ พอคิดได้อย่างนั้นจุดมุ่งหมายในชีวิตจึงเริ่มเปลี่ยนไป

   ไม่จำเป็นหรอกว่าบูรพาจะมีความสุขหรือไม่

   สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือผมสามารถมอบความสุขให้คนอื่นได้แม้ตัวเองต้องทุกข์ทนไปจนตาย

   ผมเดินไปยังระเบียงหลังตื่นเต็มตา มือหนึ่งถือบุหรี่ ส่วนอีกมือกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ในนี้มีข้อมูลของใครคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ ซึ่งเราไม่ได้คุยกันนานจนผมแทบลืมเสียงของเธอไปด้วยซ้ำ

   “แม่...” ปลายสายกดรับ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตื่นเร็วเหมือนเดิม เพียงแต่น้ำเสียงที่ได้ยินไม่ได้เอื่อยเฉื่อยเหมือนที่ผ่านมา “วันนี้ผมเข้าไปหาที่บ้านนะครับ” เอ่ยสั้นๆ แค่นั้นก่อนกดวางสาย แล้วใช้เวลาที่เหลือเฝ้ารอดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังโผล่โพ้นขอบฟ้า คิดว่าคงใช้เวลาพอๆ กับบุหรี่ที่จุดสูบจะหมดมวน

   พ่อไม่ให้ผมเหยียบไปที่บ้านเขาอีก ทว่าวันนี้แตกต่างกว่านิดหน่อยตรงที่อาจขอเป็นกรณีพิเศษด้วยการใช้สิทธิ์ของคำว่า ‘ลูก’ ไว้ต่อรอง ถึงไม่พอใจยังไงพ่อก็คงไม่กล้าฆ่าผมหรอก

   เก้าโมงรถยนต์เคลื่อนตัวจากคอนโดมุ่งหน้ากลับบ้าน ยังไม่ถึงจุดหมายดีผมก็เหยียบเบรก หยุดรถไว้ยังสถานที่เดิมที่มักมาเสมอ แล้วใช้เวลาครู่หนึ่งกับการมองเข้าไปในบ้านซึ่งถูกประกาศขาย เฝ้าแต่ภาวนาว่าเจ้าของเดิมจะกลับมาในสักวัน

   แต่กับวันนี้ วินาทีที่รถยนต์เคลื่อนผ่านรั้วบ้านแสนคุ้นเคย สายตากลับสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ป้ายประกาศขายถูกปลดลงแล้ว นั่นหมายความว่าบ้านหลังนี้ถูกครอบครองด้วยเจ้าของคนใหม่แล้วเรียบร้อย

   ใจหาย...แต่ก็ต้องทำใจ

   จะให้ทุกอย่างยังคงเดิมทั้งที่โลกยังหมุนไปข้างหน้านั้นเป็นไปไม่ได้

   พอคิดได้เท่านั้นผมก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ขับรถต่อไปข้างหน้าเพื่อรอคอยชีวิตใหม่ซึ่งกำลังมาถึง

   “นั่งก่อนสิบู” ทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในบ้าน ประโยคทักทายแรกพลันดังก้องในโสตประสาท นานมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอแม่ นานมาแล้วที่เราไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกันตรงโต๊ะอาหาร หรือล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่ในห้องส่วนตัว แต่ผมไม่เสียใจกับการสูญเสียสักนิด เพราะมันคือสิ่งที่ต้องชดใช้ตามกฎของโลกอยู่แล้ว

   “แม่เป็นไงบ้าง” ผมทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาพลางถามกลับ ปกติเราคุยแค่โทรศัพท์กัน นานๆ ครั้งก็มาเจอบ้างเนื่องจากตัดกันไม่ขาด

   “ก็อย่างที่ลูกเห็น” คนตรงหน้าตอบอย่างเศร้าหมอง ง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างในครัว

   “แล้วพ่อล่ะครับ”

   “ยังเหมือนเดิม”

   “ผมเห็นป้ายประกาศขายบ้านไอ้เนย์ถูกปลด มีคนซื้อไปแล้วเหรอครับ” จังหวะที่กำลังเดินกลับมายังมุมนั่งเล่น แม่ชะงักค้างเล็กน้อยก่อนส่ายหัวไปมา

   “อันนี้แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกผอมลงนะ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคล้ายกับไม่ต้องการให้เรารื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ อีก เธอวางจานอาหารว่างไว้ตรงหน้า เป็นของกินที่ผมชอบ...ก่อนนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม

   “ช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดนิดหน่อยครับ แม่เองก็ผอมลงนะ ผมไม่อยู่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยสิ” คนฟังพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มฝืดเฝื่อนมาให้ ที่ผ่านมาเราต่างเจ็บด้วยกันทั้งคู่และในอนาคตผมก็อาจทำให้แม่รู้สึกแย่อีก แต่เอาตามจริงผมคิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว

   “แม่ ที่ผ่านมาผมขอโทษครับ ขอโทษจากใจจริงๆ ที่เป็นลูกไม่เอาไหน”

   “...”

   “ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปเรียนหมอ” คิดว่าการเข้าประเด็นโดยเร็วที่สุดอาจดีกว่าในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ตลกดี แม่ดูอึ้งหนักกว่าครั้งแรกที่ผมพูดถึงบ้านไอ้เนย์อีก

   “คิดดีแล้วใช่มั้ย”

   “ครับ หลังจากคิดอยู่นาน คงเพราะไม่มีทางไปด้วยมั้ง” ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจหรือมีความชอบด้านอื่นนอกจากการเป็นหมอ ทว่าพอมาถึงจุดเคว้งคว้างของชีวิต มันก็ไม่เจอทางไหนเลยที่เหมาะกับตัวเองนอกจากสิ่งนี้ “ก่อนหน้านั้นผมได้เจอกับไอ้เนย์ เราคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมาก่อนจะตัดสินใจจากกันด้วยดี ยอมรับว่ายังมีบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่แต่คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”

   ระหว่างพูดผมไม่ลืมหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กซึ่งพกติดตัวมาด้วย หน้าแรกมีรายละเอียดที่แม่ต้องรู้หลายอย่าง และผมอยากให้แม่ได้อ่านมัน

   “นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ผมติดค้างพ่อกับแม่” สมุดถูกยื่นให้คนตรงหน้า “ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีเงินและยังอาศัยในคอนโดที่เป็นทรัพย์สินของที่บ้านอยู่ แต่ก็ตั้งใจว่าหลังจากเรียนจบและได้ทำงานผมจะชดใช้ให้ทุกบาททุกสตางค์”

   แม่มองมันอย่างไม่เข้าใจ สองคิ้วขมวดมุ่นครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าสบตา

   “บู นี่หมายความว่าไง”

   “เงินที่แม่จ่ายค่าอาหาร ค่าเทอมตั้งแต่เกิดยันโต เงินค่ารถ ค่าคอนโดที่อาศัยอยู่ ผมจะจ่ายให้หมด”

   “ลูกคิดว่าแม่เลี้ยงลูกเพื่อหวังเงินเหรอ”

   “แล้วแม่ต้องการอะไรในเมื่อเราแทบไม่ได้เจอกัน ผมเลยไม่รู้ว่าควรตอบแทนแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด”

   “นี่เป็นความคิดของคนที่โตแล้วสินะ” น้ำเสียงของแม่เต็มไปด้วยความค่อนแขวะ

   “พ่อไม่ให้ผมเข้ามาเหยียบบ้านนี้ด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็จมอยู่กับความโกรธกับสิ่งที่ผมทำ ตลอดสองปีกว่าๆ ในหัวมันเลยจำได้แค่สิ่งที่มักได้รับจากแม่ในทุกเดือนนั่นก็คือเงิน”

   “...”

   “ตอนที่ผมจมอยู่กับความทุกข์ แม่ทอดทิ้งผม! เพราะผมเลวไงแม่เลยไม่อยากยอมรับ” ในความมืดของห้องสี่เหลี่ยมเดิมๆ ในใจยังคงเรียกร้องแต่อ้อมกอด แต่กลับคว้าได้เพียงความเย็นเยียบกับเงินในบัญชี

   ขอบตาสองข้างทวีความร้อนผ่าวทุกขณะ เราต่างนั่งนิ่ง ควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทาสุดความสามารถ

   “ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ดีสำหรับครอบครัวอาจเป็นเรื่องที่ผมทำได้ยากที่สุด” เพราะไม่เคยได้รับโอกาส จึงหาวิธีตอบแทนนอกเหนือจากเงินไม่ได้ นานมาแล้วผมเคยมีความคิด จะเป็นยังไงถ้าในวันแย่ๆ มีแม่คอยปลอบใจอยู่ข้างๆ แต่พอหันกลับมามองปัจจุบันในใจก็เลิกคาดหวังไปโดยปริยาย

   “แม่...ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องชดใช้ความผิดที่เคยก่อยังไง มันมืดแปดด้านไปหมด ถึงแม้วันนี้ผมจะบอกว่าพร้อมก้าวไปข้างหน้ามันก็ยังมีหลายอย่างที่ติดค้าง”

   “...”

   “คนอย่างบูรพามีความสุขไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย”

   “...”

   “คนอย่างบูรพาไม่ดีพอสำหรับใครอีกแล้วใช่มั้ยครับ”

   ไม่หวังว่าจะได้รับคำตอบหรอก ก็แค่อยากพูดในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ผมจดจ้องใบหน้าของคนอายุมากกว่า ฉีกยิ้มให้เธอ จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

   “คิดว่าต้องกลับแล้วครับ ฝากบอกพ่อด้วยว่าผมจะกลับไปเรียนหมอแล้ว”

   “...”

   “บอกเขาว่าบูรพาจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง วันไหนที่ดีพอผมจะกลับมา”

   แม้ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจรู้จักกับคำว่าความสุขอีกเลยก็ตาม

   









   เพื่อนร่วมรุ่นกำลังจะออกฝึกงานในฐานะเอ็กซ์เทิร์นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ส่วนผมก็ง่วนอยู่กับการเตรียมเอกสารและความพร้อมสำหรับกลับไปเรียนปีสี่อีกครั้ง การหยุดเรียนนานถึงสองปีเพื่อคว้าได้แต่ความว่างเปล่านี่แม่งโคตรแย่ แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะรู้ตัวเร็วหรือช้าผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน

   กงล้อแห่งโชคชะตาพาชีวิตของผมกลับสู่เส้นทางอย่างที่ควรจะเป็นหลังไขว้เขวมาเนิ่นนาน

   สิงหาคม

   นักศึกษาแพทย์บูรพาได้มีโอกาสเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในมหา’ลัยแห่งเดิม ที่นี่ผมได้พบปะกับผู้คนมากมาย ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง แถมบางครั้งก็มักได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน

   ไอ้ดลต้องไปฝึกงานไกลถึงขอนแก่น นานทีปีหนกว่าจะกลับมาเจอกัน ดังนั้นผมจึงต้องสร้างสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ ก่อนได้รับตำแหน่งเป็นหัวโจกของเด็กปีสี่ ถึงแม้เราจะเรียนปีเดียวกันแต่ทุกคนกลับยังคงเรียกผมว่า ‘พี่’ เหมือนในอดีต





   กันยายน

   มีชั่ววูบหนึ่งที่สมองสั่งการให้ผมไปหาอาคเนย์ แต่โชคดีที่สุดท้ายก็ได้สติไม่ทำอย่างนั้น หลายปีมานี้เราต่างทั้งพบและจากกันอยู่หลายหน ไม่โดยบังเอิญก็เกิดจากความตั้งใจ ทว่าทุกครั้งมักได้ผลลัพธ์ดังเดิมคือท้ายที่สุดเราก็ต้องจากกันอยู่ดี ดังนั้นการไม่พบ จึงไม่ทำให้รู้สึกเสียใจที่ต้องจากลาเท่าไหร่





   ตุลาคม

   ผมขอเปลี่ยนหมอที่รักษาอาการนอนฝันแต่เรื่องเดิมซ้ำๆ อาจด้วยวัยและอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่สะดวกใจที่ต้องเปิดเปลือยทุกอย่างจนหมดเปลือกนัก ดังนั้นหลังจากตัดสินใจได้ไม่นานผมก็มีที่ปรึกษาคนใหม่ ความจริงไม่อยากเรียกเขาว่าหมอนักเพราะยิ่งทำให้หดหู่ตอนรู้ว่าตัวเองกำลังป่วย

   มันดีขึ้นไม่น้อยตรงที่ผมนอนหลับได้นานขึ้นแม้จะยังคงฝันอยู่ เรารู้ดีว่าสาเหตุเกิดจากอะไรทว่ากลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้โดยตรง เลยหันไปจัดการด้วยวิธีอ้อมๆ

   “เลิกบุหรี่ได้มั้ย” หมอถามเสียงนุ่ม

   “ไม่” เป็นคำตอบเดียวที่ผมให้ได้ ไม่มีบุหรี่ก็เหมือนขาดตัวช่วยซึ่งคอยพยุงความรู้สึก แม่งโคตรตลกเลยที่ครั้งหนึ่งผมเคยบอกให้ไอ้เนย์เลิกสูบมัน หันกลับมาดูตัวเองในตอนนี้สิ ถ้าเลิกบุหรี่มันง่ายขนาดนั้นผมคงทำสำเร็จไปตั้งนานแล้ว





   พฤศจิกายน

   ชีวิตเด็กปีสี่วิ่งวุ่นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ตื่นมาต้องขึ้นวอร์ดตามที่ได้รับมอบหมาย ช่วงกลางวันต้องเข้าเล็กเชอร์ ตามผลแล็ป รับจ้างแปลเอกสารวิชาการ วันไหนว่างหน่อยผมก็จะเสนอหน้าทำกิจกรรมเพื่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นการออกพื้นที่ให้ความรู้ ทำค่ายกิจกรรม จัดติวหนังสือให้กับรุ่นน้องปีหนึ่ง

   ผมเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักของทุกคน มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ได้เป็น

   ผมยังคงเกลียดตัวเอง...
   



   ธันวาคม

   วันเกิดของอาคเนย์ตรงกับวันคริสต์มาส ผมตื่นแต่เช้า แม้วันนี้ต้องไปโรงพยาบาลและใช้เวลาทั้งเรียนและทำงานอย่างหนัก แต่ก็ยังหาเวลาปลีกวิเวกเพื่อซื้อถุงเท้าซึ่งเป็นของขวัญที่มักมอบให้เพื่อนในวัยเด็กเช่นเคย

   ไอ้เนย์ในตอนนี้จะเป็นยังไง จะมีใครบ้างที่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้

   ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ก่อนได้คำตอบกลับมา เป็นเสียงสายฝนที่ตกผิดฤดู

   



   มกราคม

   วันปีใหม่ เพิ่งผ่านวันเกิดผมมาได้เพียงหนึ่งนาทีโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเสียงของคนคุ้นเคย แต่ที่แปลกก็คือดึกดื่นป่านนี้แม่ยังไม่ยอมนอนอีก

   “ครับ” ผมกรอกเสียงลงไป คงเป็นเพราะกำลังคาดหวังที่จะได้ยินอะไรบางอย่าง

   ทว่ากลับหยุดความคิดไว้แค่นั้น

   “บู สุขสันต์วันเกิดนะลูก” ประโยคนั้นส่งผลให้หัวใจเต้นกระหน่ำแทบไม่เป็นจังหวะ

   “ขอบคุณครับ ถึงมันจะผ่านมาแล้วก็เถอะ”

   “บูรพา...”

   “ครับ”

   “ถ้าลูกต้องการ ถ้าลูกคิดถึง...กลับมาที่บ้านของเราได้เสมอเลยนะ”

   ผมไม่ได้ต้องการของขวัญพิเศษใดๆ ในวันเกิด แต่แม่กลับมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วยความเต็มใจ นี่ใช่มั้ยแม่ รางวัลของการก้าวไปข้างหน้า


อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 03-06-2019 20:26:56


   กุมภาพันธ์

   นี่เป็นความพยายามครั้งที่สาม หลังมุ่งมั่นกับการเลิกบุหรี่แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปทั้งสองครั้ง คราวนี้ผมเริ่มใหม่ ทั้งซื้อหมากฝรั่งสำหรับเลิกบุหรี่รวมถึงฝังเข็มเพื่อช่วยให้ความเครียดลดลง มันดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่ผ่านมาผมเสพติดมัน หวังพึ่งว่านิโคตินจะช่วยให้ลืมเลือนความเจ็บปวดไปได้

   ทั้งที่จริงๆ แล้วมันคือการหนีปัญหา พอรู้สึกแย่เมื่อไหร่ก็จะคว้าบุหรี่ขึ้นมาสูบ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถผ่านพ้นปัญหาด้วยตัวเอง

   ผมไม่อยากหนีอีก อืม...ผมหมดทางหนีแล้วต่างหาก





   มีนาคม

   สมุดโน้ตเล่มโปรดที่ไม่ค่อยได้เขียนอะไรลงไปถูกเปิดอีกครั้ง ผมใช้เวลาบันทึกเป้าหมายต่างๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน มันคือเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่หลังตื่นจากฝันร้ายซ้ำซากตลอดหลายปี

   1. ตั้งใจเรียน

   2. ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

   3. หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วแบ่งเงินหลังหักค่ากินอยู่เป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งให้พ่อกับแม่ อีกส่วนสำหรับบริจาค และส่วนสุดท้ายเก็บไว้สำหรับอาคเนย์และครอบครัวของเขา

   4. สร้างความสุขให้คนอื่น

   5. มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น

   ผมรู้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ไม่อาจมีความสุขได้อีกแล้ว ดังนั้น...ขอแค่ทุกคนมีความสุขก็พอ

   



   เมษายน

   ก่อนวันหยุดยาวหลายคนต้องเคลียร์งานทุกอย่างที่คั่งค้าง ทั้งรายงาน พรีเซนต์ สารพัดที่กองสุมจนน่าปวดหัว คืนนี้เรานั่งจมจ่อมอยู่ด้วยกันในห้องสมุดคณะ กว่าจะแยกย้ายกลับห้องเวลาก็ปาไปเกือบตีสาม แต่ไม่ว่าจะต้องเจอกับความเครียดมากแค่ไหนผมก็มักได้ยินเสียงหัวเราะปลอบใจกลับมาเสมอ

   “วันหยุดนี้ปล่อยผีกันยาวๆ เลยนะ”

   “แน่นอน!”

   ทุกคนมีวิธีผ่อนคลายความเครียดที่แตกต่าง ผมเองก็ด้วย นั่นคือการยิ้ม

   ยิ้มให้กับทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า แม้กระทั่งวินาทีที่เราโบกมือลากันตรงลานจอดรถผมก็ยังคงยิ้ม

   จวบจนวินาทีที่แทรกตัวเข้ามาในรถความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหาย สองมือจับพวงมาลัยนิ่ง นับเลขไปเรื่อยๆ พร้อมกับผ่อนลมหายใจ นึกเจ็บปวดอยู่นิดหน่อยที่ตัดสินใจเลิกบุหรี่เพราะคืนนี้ต้องผ่านมันไปด้วยตัวเองอีกครั้ง

   ผมฟุบหน้าลง น้ำตาพรั่งพรูไม่ขาดสาย

   สะอึกสะอื้นอย่างนั้นเพียงลำพัง

   เดินมาข้างหน้าไกลมากแล้วนะบูรพา แต่ยังเจ็บปวดไม่ต่างจากอดีตเลย





   พฤษภาคม

   ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งหลังได้รับโอกาสจากพ่อและแม่ หากมีเวลาว่างในหนึ่งสัปดาห์ ผมจะแวะไปที่บ้านเพื่อทานข้าว ทว่าวันนี้พิเศษกว่าเดิมเล็กน้อยตรงที่แม่มีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมเยียน และผมไม่รู้มาก่อน

   “บู จำได้หรือเปล่า”   

   หน้าของเธอเหมือนใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอมาเนิ่นนาน ณ จังหวะนั้นความรู้สึกต่างๆ พลันประเดประดังเข้ามาก่อนลำคอแห้งผากจะเค้นเสียงเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไป

   “แม่ปริม”

   แม่ของเนย์

   “นึกว่าจะไม่ได้เจอซะแล้ว ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะบู” นั่นเป็นประโยคทักทายกลับ เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาทร คล้ายกับได้สลัดทิ้งอดีตย่ำแย่ของผมไปจนหมด ตรงข้ามกับผมที่รู้สึกละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้า

   จะพูดอะไรต่อดี รู้สึกเหมือนหาลิ้นตัวเองไม่เจอซะดื้อๆ

   “มานั่งคุยกับแม่ปริมหน่อยมั้ยบู เดี๋ยวแม่จะเข้าไปเตรียมกับข้าวในครัว” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ได้แต่พยักหน้าจำยอมต่อสถานการณ์ที่ถูกบังคับ ย่างเท้าติดสั่นเข้าไปนั่งตรงโซฟาตรงข้ามกับผู้มาเยือน

   “สวัสดีครับ” ไม่พูดเปล่ารีบยกมือไหว้ไปพร้อมกันด้วย

   “เป็นไงบ้าง แม่ได้ข่าวว่าบูเรียนหมอหนักมากเลยใช่มั้ย ได้นอนพอหรือเปล่า” อยากร้องไห้...จะทำยังไงดี ในเมื่อเขาดีกับผมขนาดนี้

   “พะ...พอครับ” การไม่ได้เจออาคเนย์ว่านานแล้ว แต่การไม่ได้เจอแม่นั้นนานกว่า มันเลยอดกลัวว่าภาพเดิมๆ ของผมจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เมื่อหวนนึกถึง “แล้ว...ที่มาวันนี้คือ...”

   “แค่อยากแวะมาหาแม่เรานั่นแหละ ไม่ได้ติดต่อมานาน แต่หลังจากชีวิตครอบครัวและอะไรหลายๆ อย่างอยู่ตัวแล้วคิดว่าคงจะดีถ้าเราได้เจอกันอีก บูว่าดีมั้ย”

   “ดีครับ”

   “ตอนนี้บูเรียนอยู่ปีอะไรแล้วลูก”

   “ใกล้จะจบปีสี่แล้วครับ”

   “อืม เนย์อยู่ปีสาม หัวนี่ยุ่งเชียว หน้ายับกลับบ้านมาทุกวัน” ทันทีที่ได้ยินเรื่องของใครอีกคน ในหัวของผมก็ไม่ต่างจากฟองสบู่ที่แตกกระจายอยู่ในอากาศ คงเพราะไม่นึกไม่ฝันว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ให้คนที่เคยทำร้ายลูกชายของตัวเองฟัง

   “ระ...เหรอครับ” ผมยืดตัวตรง ใช้ความกล้าที่มีทั้งหมดสบตากับคนตรงหน้า “แม่ ที่ผ่านมาผมขอโทษ ถ้าอยากให้ผมชดใช้อะไรก็บอกมาได้ทั้งหมด ขอแค่...ให้ผมมีโอกาสได้ชดใช้กับสิ่งที่ครอบครัวแม่เสียไปได้มั้ยครับ”

   “ในเมื่อเริ่มใหม่ได้บูก็ถือว่าชดใช้ให้เนย์หมดแล้ว”

   น้ำเสียงที่ได้ยินไม่มีความโกรธเจือปนอยู่ในนั้นเลย ทว่ากลับผลักให้ความรู้สึกของผมปั่นป่วนกว่าเก่า ทำไม ทำไมไม่โกรธเกลียดหรือด่าอะไรเลย 

   “แค่นี้มันพอกับความเสียใจของแม่กับเนย์เหรอครับ”

   “แม่รู้ว่าบูยังเจ็บกับการกระทำในอดีตของตัวเองอยู่ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว”

   “...”

   “ถามตัวเองสิ เวลาผ่านมาหลายปีขนาดนี้บูยังเจ็บอยู่เลย ยังต้องชดใช้อะไรอีก ให้โอกาสตัวเองมีความสุขบ้างเถอะนะ” ขอบตาร้อนผ่าว จู่ๆ ก็อยากร้องไห้ออกมา ที่ผ่านมาผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงความสุขเพราะคิดว่าตัวเองไม่สมควรได้รับมัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับคนอื่นแทน

   “ไม่มีใครได้ดั่งใจกับทุกเรื่องหรอก บางครั้งมูฟออนได้แล้วก็ยังมีบางสิ่งติดค้างอยู่ ได้ยินว่าบูยังฝันถึงเนย์ อืม...จริงๆ เนย์ก็ยังไม่กล้าขับรถเหมือนเดิม เห็นมั้ยบางอย่างก็ไร้การเยียวยา”

   เพิ่งรู้ อาคเนย์ก็ยังสลัดความเลวร้ายในอดีตออกไปไม่หมด

   เราเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อปีก่อน หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้รับข่าวคราวของมันอีกเลย

   “เนย์ยังมีความสุขอยู่มั้ยครับ” ผมเอ่ยถามออกไป ด้วยคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ทำให้ใจชื้น

   “ทั้งสุขและเศร้า”

   “มันควรมีความสุขมากกว่านี้”

   “นี่แหละมนุษย์”

   ลืมไปเลย เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์เลยต้องเผชิญกับทั้งความสุขและความเศร้า ผิดแค่ว่าชีวิตของบูรพาและอาคเนย์นั้นมีความเข้มข้นของความทุกข์มากกว่าคนทั่วไปเท่านั้น

   “ขอถามได้มั้ย” ต่างคนต่างนิ่งงันอยู่นาน สุดท้ายคนอายุมากกว่าก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

   ผมจดจ้องไปยังใบหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากอดีตเพื่อรับฟังคำถามจากเธอ

   “ครับ”

    “ในตอนนี้บูพยายามมอบความสุขให้คนอื่น แล้วตัวของบูล่ะรู้สึกกับตัวเองยังไง”

   แทบไม่ต้องใช้เวลาคิด เพราะนับเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดแล้ว

   “ผมเกลียดตัวเอง”

   เกลียดจนอยากฆ่าให้ตาย แต่พอคิดว่าไอ้ร่างเนื้อนี่สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นๆ ได้ผมก็ตัดสินใจมีชีวิตอยู่ต่อ อาจเพราะไม่อยากจากไปอย่างไร้ค่า ผมเลยต้องอยู่

   “เกลียดคนอื่นว่าหนักหนาแล้ว แต่ที่หนักยิ่งกว่าคือบูไม่รักแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองเป็น”

   “ผมเหมือน...” พูดไม่ออกซะงั้น บางทีอาจไม่มีคำแก้ต่างใดที่ดีสำหรับสถานการณ์ตรงหน้าอีก

   “แม่เคยถามคำถามเดียวกันกับเนย์ รู้มั้ยเขาตอบว่ายังไง”

   “...” ผมส่ายหน้า

   “เขาเองก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน”

   แม่พูดทั้งยังหัวเราะ ทว่าดวงตาสองข้างกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ภายนอกคนอื่นมักมองเห็นว่าเราต่างเดินหน้ากันไปนานแล้ว ผมกลับไปเรียน มุ่งมั่นกับการทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อคนอื่น ส่วนไอ้เนย์ได้ทำตามความฝัน อยู่ได้โดยไม่มีผม

   หลายปีผ่านไป พยายามไปมากเท่าไหร่ ก็หลอกตัวเองมากขึ้นเท่านั้น...

   จริงๆ เราต่างมีสิ่งหนึ่งที่มักฉุดให้กลับมาอยู่จุดเดิมเสมอ มันคือภาพจำในอดีตที่ยังไม่ถูกปลดล็อก

   “แม่ครับ ผม...ฝากอะไรถึงเนย์ได้มั้ย” ไม่ว่าจะเดินต่อไปหรืออยู่ที่เดิมมันก็ต้องเจ็บอยู่ดี

   “ได้สิ”

   “ผมยังจำครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันได้ เราเล่าเรื่องการปั่นจักรยานในวัยเด็กให้กันฟัง ถึงตอนนั้นจะได้รับคำตอบแล้วแต่ก็อยากถามย้ำอีกครั้ง”

   “...”

   “กลับมาปั่นจักรยานด้วยกันอีกได้มั้ย”











   ผมแม่งบ้า!

   คิดวนเวียนแต่กับเรื่องของไอ้เนย์ซ้ำๆ มานับสัปดาห์ ยิ่งรู้ว่ามันยังไม่หายจากอาการป่วยที่เผชิญอยู่ผมก็ยิ่งกังวล แม่ปริมไม่ได้แวะมาหาที่บ้านเราอีก ดังนั้นผมจึงไม่ได้คำตอบของคำถามในวันนั้น ยังดีที่แม่ทิ้งที่อยู่เอาไว้ทว่าผมก็ยังใช้เวลาชั่งน้ำหนักกับเรื่องดังกล่าวอยู่หลายวัน

   ไปหรือไม่ไปดี ถ้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

   ผมนอนไม่หลับมาหลายคืน หลังทิ้งหัวลงหมอนก็ได้แต่พลิกตัวไปมา คืนนี้ก็เช่นกัน

   ไฟในห้องถูกปิดสนิท ความมืดคืบคลานเข้ามา ผมกอดตัวเองบนเตียงหลังกว้าง จินตนาการภาพที่ชีวิตที่ไม่มีอาคเนย์อยู่อย่างนั้น ก่อนจะรับรู้ถึงน้ำตาที่กำลังไหลเอ่อจนเปื้อนหมอน

   ให้ฝันถึงมันไปตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แม่งทรมานยิ่งกว่าการกรีดข้อมือเป็นร้อยๆ แผล

   เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมจึงค่อยๆ ชันตัวขึ้นมาเปิดไฟในห้อง จัดการคว้าปากกาและกระดาษออกมาเขียนอะไรบางอย่าง ตอนนี้ผมไม่กล้าไปเจอหน้าไอ้เนย์ก็จริง แต่หวังว่าตัวหนังสืออาจพอช่วยได้

   จะเริ่มยังไงดี นิ่งงันนับสิบนาที ก่อนเริ่มเขียนๆ ลบๆ อยู่อย่างนั้นราวกับเด็กหัดเขียนเรียงความ ทั้งพอใจและไม่พอใจ รู้ตัวอีกทีกองกระดาษซึ่งถูกขยำทิ้งก็กองอยู่เต็มพื้นไปหมด

   ช่วงเวลาตอนตีสามหัวสมองเริ่มโล่ง จู่ๆ ภาพนาฬิกาข้อมือในห้องปิดตายก็ผุดขึ้นมาในหัว จึงไม่รอช้าคว้าเครื่องมืองัดแงะเพื่อเปิดห้องนั้นอีกครั้ง

   ความรู้สึกและบรรยากาศยามย่างเท้าเข้าไปภายในไม่ต่างจากปีก่อนเมื่อมันเต็มไปด้วยความคิดถึง โหยหา รวมถึงเจ็บปวด ข้าวของทุกอย่างยังอยู่ตำแหน่งเดิม แต่ที่ใจต้องการมากที่สุดกลับเป็นนาฬิกาเรือนเดิมที่หยุดเดินไปนานแล้ว ครั้งแรกคือตอนอุบัติเหตุซึ่งพรากจีนไปจากโลก

   ครั้งที่สองคือหลังจากไอ้เนย์ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หวนกลับ

   และหลังจากนั้นมันก็ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย ซึ่งไม่ต่างจากชีวิตของผู้ครอบครองในตอนนี้เท่าไหร่นัก คงจะดีหากสามารถทำให้มันกลับมาใช้การได้อีก คงจะดีหากชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ไม่จมอยู่กับความเจ็บปวดเกินเยียวยา

   สองขาทรุดตัวลงนั่งตรงพื้น วางกระดาษกับปากกาไว้ตรงขอบเตียง ใช้เวลาในช่วงแรกไปกับการจดจ้องนาฬิกาเรือนสวย นั่งจินตนาการว่าหากเข็มยาวและเข็นสั้นเคลื่อนที่มันจะผ่านไปกี่วินาทีแล้ว และหากเวลาหมุนย้อนได้ในวันที่ไม่มีนาฬิกาเรือนนี้อยู่ชีวิตของทุกคนจะเป็นยังไง

   ทำไมคนเราชอบโหยหาแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่เรื่อย

   อาจเพราะการคิดถึงอดีตง่ายกว่าการทำอนาคตให้เป็นอย่างหวัง ผมเลยชอบโหยหาและตั้งคำถามกับเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนาน แล้วถ้ากลับกันล่ะ...จะเป็นยังไงหากผมตัดสินใจเริ่มใหม่

   และนั่นก็นำมาซึ่งข้อความในบรรทัดแรกๆ ของจดหมายที่ตั้งใจส่งถึงเขา



   หวัดดีอาคเนย์

   นี่เป็นข้อความจากอดีตเพราะกว่าจะถึงมือคุณมันก็คงผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง ไม่ก็หลายวัน ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเล็กน้อยเผื่อคุณยังไม่รู้ ผมชื่อบูรพา ทวีชลทรัพย์ ผมยังเป็นนักศึกษาแม้อายุจะมากแล้ว คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมคนไม่รู้จักกันถึงเขียนจดหมายส่งมาให้ จุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก แค่อยากเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเองให้คุณฟังเผื่อมันจะช่วยในการตัดสินใจอะไรบางอย่างของคุณเท่านั้น

   อดีตของผมไม่ดีนัก จึงพยายามละทิ้งทุกอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ จำไม่ได้แล้วว่าระหว่างที่เดินทางอยู่ได้โยนอะไรทิ้งไว้ข้างหลังบ้าง บางทีอาจเป็นความทรงจำทั้งสวยงามและเลวร้าย แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้รู้ความจริงเกี่ยวกับปัจจุบันของคุณ และผมก็นึกได้ทันทีว่ายังมีบางอย่างที่เราต่างลืมไม่ได้เหมือนกัน

   คุณยังขับรถด้วยตัวเองไม่ได้ใช่มั้ยครับ ส่วนผมก็ยังฝันถึงใครคนหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมอยากละทิ้งไว้ข้างหลังมากที่สุด แต่มันกลับเป็นสิ่งเดียวที่ยังอยู่

   แล้วคุณเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมความรู้สึกนั้นถึงยังไม่หายไป?

   ทำไมถึงยังเจ็บปวดแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว ทำไมถึงยังกลัว ทำไมการรักษาทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นยา การสะกดจิต หรือแม้แต่การฝังเข็มไม่ช่วยอะไรเลย ผมลองมาหมดทุกอย่างซึ่งคิดว่าคุณก็คงเหมือนกัน แต่มันไม่หาย

   ดังนั้น...จะเป็นอะไรมั้ยหากวันหนึ่งเราได้ทำความรู้จักกันใหม่ในตัวตนที่แตกต่างจากอดีต ซึ่งผมหวังว่าการกลับมาเจอกันของเราจะปลดล็อกบางอย่างในใจของคุณไปได้ ไม่จำเป็นต้องรักผม ไม่จำเป็นต้องกลับไปรู้สึกเหมือนตอนยังเด็ก เพราะคิดว่าคุณและผมในตอนนี้ต่างไม่รู้จักกันและกันอย่างแท้จริง

   มันอาจน่าเบื่อนิดหน่อยตรงที่เราต้องพบและจากกันอยู่ซ้ำๆ ไม่ไปไหนสักที แต่นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่วังวนทุกอย่างจะจบลง ผมยังอยู่ที่ห้องเดิม ส่วนห้องเล็กๆ ของคุณก็ยังอยู่

   เพราะงั้นช่วยตอบกลับมาได้มั้ยครับ ไม่ว่าตอบรับหรือปฏิเสธ “จะเป็นไปได้มั้ยที่เราจะกลับมาสร้างความทรงจำร่วมกัน”


บูรพา



   แล้วข้อความเหล่านั้นก็ถูกส่งให้แม่ของอาคเนย์ในอีกเช้าวันต่อมา...

   กระทั่งผ่านไปนานนับสัปดาห์ผมก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ คล้ายกับว่าจดหมายฉบับนั้นไม่เคยมีอยู่

   ผมยังใช้ชีวิตปกติต่อไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพะวงถึงมัน วันนี้ต้องราวน์วอร์ดเช้าผมเลยไม่มีเวลายัดอะไรลงท้องนอกจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วคว้ากระเป๋าซึ่งบรรจุของสำคัญขึ้นสะพายบ่าลวกๆ

   แกรก!

   ไม่คิดไม่ฝันว่าหลังเปิดประตูออกไปด้านนอก ผมจะพบกับใครคนหนึ่งซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว

   “โทษที ไม่กล้าเคาะ”

   นั่นเป็นประโยคแรกซึ่งเอ่ยทักทาย ร่างกายผมนิ่งงัน จดจ้องนัยน์ตาคู่เดิมซึ่งทอดมองมาไม่กะพริบ ปีครึ่งที่ไม่ได้เจอกันอาคเนย์แทบไม่เปลี่ยนไปเลย หรือนี่คือความฝันกันแน่

   “กูได้อ่านจดหมายที่มึงฝากแม่มาให้แล้ว”

   เมื่อเปิดปากเอ่ยอีกประโยคผมก็รู้ในทันทีว่าภาพตรงหน้าได้เกิดขึ้นจริง

   “ขะ...เข้ามาก่อนสิ” เสียงที่เค้นออกมาจากลำคอแหบพร่า ผมเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อเปิดประตูให้กว้างขึ้น ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ขยับเขยื้อน นอกจากเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

   “ยัง จนกว่าจะพูดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ก่อน”

   “ว่ามาสิ”

   “กูตัดสินใจยอมรับข้อเสนอที่มึงยื่นให้ นั่นทำให้เราต้องอยู่ด้วยกันที่นี่โดยไม่มีระยะเวลากำหนด”

   “...”

   “หากโชคร้าย วันไหนที่ใจของกูทนไม่ไหววันนั้นกูก็จะไป มึงยอมรับเงื่อนไขนี้ได้มั้ย”

   “อืม” ผมตอบรับเพียงเสี้ยววินาที

   “แต่ถ้าโชคดีกูหายจาก PTSD ขึ้นมาจริงๆ กูก็จะไปอย่างไม่มีเงื่อนไขเหมือนเดิม สิ่งที่อยากให้มึงยอมรับก็คืออย่ารั้ง...หากวันนั้นมาถึง มึงยอมรับได้หรือเปล่า”

   นั่นหมายความว่าไม่ว่าหายหรือไม่ อาคเนย์ก็ต้องไปอยู่ดี

   แต่บูรพาในจุดนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นอย่างสุดความสามารถไหลลงมาในที่สุด ผมเดินไปข้างหน้าด้วยสองขาสั่นเทา ในระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรหัวใจทั้งดวงคล้ายกำลังหลุดออกจากอก

   ความเหงา โดดเดี่ยว หวาดกลัว เลือนหายไปจากใจเมื่อได้อยู่กับเขา ผมคงเป็นคนโง่มากแน่หากส่ายหน้าปฏิเสธกับคำขอนั้น ขณะเดียวกันกลับไม่สามารถหยุดตัวเองไว้ได้ กว่าจะรู้ตัวสองแขนก็คว้าตัวคนตรงหน้าเข้ามาในอ้อมกอดแนบแน่น

   น้ำตามากมายพรั่งพรูไม่ขาดสาย

   “ได้ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่มึงต้องการเนย์”

   ต่อให้รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วต้องจากกัน ผมก็ยินดีเจ็บปวดกับมันด้วยความเต็มใจ


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 03-06-2019 20:55:35
เริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งนะคะ สร้างสิ่งดีๆด้วยกันอีกครั้งแม้ว่าตอนจบจะเป็นยังไงอย่างน้อยทั้งคู่ก็ได้กลับมาเยียวยากันและกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 03-06-2019 21:03:57
ดีใจกับทั้งสองคนจริงๆ อย่างน้อยๆอาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ได้อยู่ด้วยกัน สร้างความทรงจำใหม่ๆอีกครั้ง มันก็เกินพอ


น้ำตาจะไหล เราดีใจ เพราะอินกับนิยายเรื่องนี้มาก
ถึงแม้วว่าจะอ่าน บูรพากับอาคเนย์มาแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ได้อ่านก็ยังเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-06-2019 22:10:03
ลองกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 03-06-2019 22:31:37
ขอให้ก้าวผ่านให้ได้ทั้งคู่นะ :m15:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-06-2019 23:36:32
ดีใจที่ทั้งคู่ยอมทิ้งความกลัว เพื่อร่วมกันขจัดความกลัวที่มากกว่า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-06-2019 00:26:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ปลดล็อกปลดพันธนาการที่ค้างคาอยู่ออกไปให้ได้จนหมด
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 04-06-2019 00:39:55
ขอบคุณคุณจิตติ ที่ยังให้ความเข้มข้นเหมือนเดิมค่ะ
ตอนนี้นอกจากจะตาแดง ตาปูด แล้วยังคัดจมูก หายใจลำบากค่ะ..  :hao5:
ง่าาาา.. ณจุดนี้ บูรพาและอาคเนย์ พวกเทอต้องสู้นะ..
เราก็จะสู้เหมือนกัน.. ตอนนี้ขอไปหยิบทิชชู่แป๊บ..
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-06-2019 00:48:46
สู้นะ มันจะดี
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 04-06-2019 13:01:44
เหมือนที่ผ่านมาเราจมน้ำ อึดอัดหายใจแทบไม่ออก หน่วงใจมาตลอด จนมาถึงตอนนี้ ฮิอออออออออออออออ
กลับมาแล้ว บูรพาอาคเน่ย์ จะกลับมาปลดล็อกปลดพันธนาการที่ค้างคาออกไป แล้วสร้างความทรงจำร่วมกันใหม่อีกครั้ง ฮือออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-06-2019 13:17:55
ได้กลับมาอยู่ด้วยกันหวังว่าจะช่วยกันให้หลุดออกไปได้นะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-06-2019 14:43:09
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่เลยนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: มาดามพีพี ที่ 04-06-2019 16:31:59
จากน้ำตาซึมเพราะหน่วงมาตลอด ตอนนี้ไหลเพราะความดีใจ ที่เค้าสองคนวนมาเจอกัน เชื่อว่าเค้าจะปลดล็อคความเจ็บปวดซึ่งกันและกันได้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 04-06-2019 16:41:21
เนย์บอกจะกลับมาหมายถึงจะลองมาอยู่ด้วยกันใช่มั้ย
แค่นี้หัวใจมันก็ฟูฟ่องแล้ว ยอมทุกอย่างถ้าเนย์มาอยู่ในชีวิตอีกครั้ง ถึงจะบอกว่าอาจจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้แต่ก็ดีกว่าไม่มีเนย์อยู่ในชีวิตเลย
ที่ต้องเหงา โหยหา เจ็บปวด คิดถึง ตอนนี้เนย์มาอยู่ตรงหน้าตัวเป็นๆแล้วนะ
จะถนอมรักษาไว้อย่างดีได้มั้ย
ฮิอออออออ


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 05-06-2019 03:01:33


CHAPTER 12
PAINFUL FEELING



ผมเป็นได้ทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่เขาอยากให้ผมเป็น

   

   อยากตบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อปลุกให้ตื่นจากฝัน

   แล้วพอรู้สึกเจ็บก็อยากหยิกแขนตัวเองซ้ำๆ เพื่อย้ำให้แน่ใจอีกรอบ มันเหมือนไม่ใช่ความจริงที่อาคเนย์ตัดสินใจก้าวเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้งทั้งที่เคยหมดหวังไปแล้ว เมื่อก่อนอาจเคยก่นด่าว่าทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับผมนัก ตอนนี้เลยอยากถอนคำพูด ขอบคุณที่พาเขากลับมา...

   “ยิ้มอะไร” ผมสะดุ้ง หันไปมองยังเจ้าของคำถาม

   “เปล่า”

   “เหนื่อยมานานแล้วคืนนี้จิบเบียร์ชิลๆ กันหน่อยมั้ย” หลังก้าวขึ้นมาเรียนชั้นคลินิกเราก็แทบไม่รู้จักคำว่าเวลาว่างอีกเลย ทั้งเรียน ทั้งทำรายงาน แถมต้องตื่นมาราวน์วอร์ดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กว่าจะเลิกเวลาก็ปาไปเกือบหกโมงเย็น

   หากวันไหนมีเวลาหน่อยเพื่อนๆ ก็มักจะชวนกันออกไปผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการนั่งจิบเบียร์ ฟังเพลงเบาๆ ก่อนที่วันต่อมาจะต้องเผชิญหน้ากับศึกใหญ่เหมือนอย่างเคย

   “ไม่ล่ะ” แต่วันนี้ต่างจากทุกวัน ตรงที่ผมไม่ได้ตอบรับคำชวนนั้น

   “โหหห โดนปฏิเสธว่ะ ปกติพี่บูไม่เป็นแบบนี้” เรียนอยู่ปีเดียวกันแท้ๆ แต่ยังเรียกพี่อยู่ได้ เคยพูดไปหลายครั้งจนเหนื่อยสุดท้ายก็กลับมาเรียกเหมือนเดิม

   “ช่วงนี้อาจจะไม่ได้ออกไปไหนด้วย พอดีมีเพื่อนมาอยู่ที่ห้อง”

   “แล้วไง ต้องเทคแคร์เหรอ”

   “อืม”

   “เพื่อนหรือสาว?” ผมถึงกับส่ายหน้า อีกฝ่ายเลยหาเรื่องแซวต่อ “มีแฟนก็ดีเหมือนกันนะพี่ เวลาเรียนเหนื่อยๆ จะได้มีคนให้กอด ที่ผ่านมาพี่เล่นไม่สนใจใครเลย พอเห็นแบบนี้เลยหายห่วงหน่อย”

   “คิดเองเออเองเก่งนะมึง กูได้บอกเหรอว่าแฟน”

   “แค่มองตาก็รู้ใจแล้ว” ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาหลังได้ยินประโยครู้ทัน “โอเค ช่วงนี้ไม่ว่างไม่เป็นไร เบื่อเมื่อไหร่ก็ค่อยชวนผมแล้วกัน”

   “เออ!” ผมคว้ากระเป๋า โบกมืออำลาอีกฝ่ายก่อนย่ำเท้าไปยังลานจอดรถ

   โชคดีเหลือเกินที่เดือนนี้ผมได้ทำงานในวอร์ดซึ่งมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ดังนั้นจึงมีเวลาว่างพอจะสร้างความทรงจำที่ดีกับไอ้เนย์อยู่บ้าง

   หลังเพิ่งเจอกันในตอนเช้าเราก็ได้พูดคุยเพียงสั้นๆ สรุปก็คือช่วงดึกอาคเนย์จะเริ่มขนของบางส่วนและย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้องกับผม ยอมรับว่าฉุกละหุกนิดหน่อยแต่นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือเปิดห้องปิดตายซึ่งเก็บความทรงจำในอดีตอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด ก่อนที่มันจะกลายเป็นห้องนอนส่วนตัวของผู้มาเยือนในอีกไม่ช้า

   แต่บังเอิญเกิดผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยตรงที่ไอ้เนย์มาถึงห้องเร็วกว่ากำหนดหลายชั่วโมง

   “มีของแค่นี้เหรอ” ผมถามหลังเปิดประตูห้องพร้อมกับเชื้อเชิญให้คนตัวเล็กกว่าเข้ามาด้านใน

   “อืม”

   ภาพนี้ไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อนเท่าไหร่ ตอนที่ผู้ชายอายุยี่สิบก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ ถึงวันนี้มันก็ยังมีของสำคัญน้อยชิ้นเหลือเกิน

   “แล้วจะเข้าไปยังไง ล็อกซะแน่นขนาดนี้” เจ้าตัวถามพลางขมวดคิ้ว หลังหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องซึ่งถูกคล้องโซ่อย่างแน่นหนา แถมยังถูกตอกตะปูปิดทับไปอีกรอบ

   “โทษที ตอนแรกคิดว่ามึงจะมาดึกกว่านี้”

   “ไม่เคยคิดจะเปิดเข้าไปเลยหรือไง” เสียงบ่นงึมงำถามกลับ “ตอนนั้นกูก็เห็นมันล็อกอยู่แบบนี้”

   ‘ตอนนั้น’ ที่ว่าคงหมายถึงครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน

   “อือ คงเพราะกลัวจะทนไม่ไหวกลับเข้าไปในชีวิตมึงอีกล่ะมั้งกูถึงอยากลืม”

   “...”

   ผมคิดว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดไป ต่างคนเลยต่างเงียบ จนกระทั่งร่างบางหมดความอดทนเป็นฝ่ายลากกระเป๋าไปยังโซฟาห้องนั่งเล่นแทน

   ความอึดอัดหลังจากลากันยาวนานส่งผลให้ผมทำอะไรไม่ถูก มัวแต่งุ่นง่านจัดระเบียบความคิดสะเปะสะปะในหัว กว่าจะรู้ตัวว่าควรเปิดประตูห้องปิดตายตรงหน้าก็ใช้เวลาอยู่นาน

   กลิ่นฝุ่นมหาศาลปะทะเข้าจมูก ความมืดถูกแทนที่ด้วยแสงนวลจากหลอดไฟเพียงหนึ่งเดียวบนเพดาน ผมก้าวเท้าฉับไปยังเตียงเป็นอันดับแรก เอื้อมมือคว้ากล่องบรรจุนาฬิกาขึ้นมาไว้ในครอบครอง ตั้งใจจะเอามันไปเก็บไว้ในห้องส่วนตัว ทว่าร่างกายกลับปะทะเข้ากับคนตัวเล็กเสียก่อน

   “สภาพแม่งไม่น่าอยู่เลย” คนตรงหน้าบ่นงึมงำ

   “คืนนี้มึงไปนอนห้องกูก่อนเถอะ เดี๋ยวกูขอจัดการทำความสะอาดก่อน”

   “ไม่เป็นไรกูทำเอง ถ้าไม่เสร็จก็จะนอนโซฟา”

   “งั้นช่วยกันมั้ย”

   “อืม...” ทุกอย่างดูง่ายดายไปซะหมด จนผมไม่แน่ใจว่าอาคเนย์ในตอนนี้กำลังแปลงตัวเองเป็นคลื่นใต้น้ำที่รอวันปะทุอยู่หรือเปล่า

   “งั้นเริ่มจากเช็ดฝุ่นตามตู้กับเตียงก่อนมั้ย”

   คนฟังพยักหน้าพลางกวาดสายตามองรอบห้อง

   “ที่ผ่านมาขังทุกอย่างไว้ในสภาพนี้เหรอ”

   “มีบ้าง ในบางครั้งที่ทนไม่ไหวเลยนอนอยู่ในห้องนี้ แต่ก็...นานแล้วล่ะ” ผมเคยเป็นบูรพาที่ถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง กอดตัวเองอยู่ท่ามกลางความเย็นเยือก เอาแต่จ้องมองบาดแผลเหวอะหวะตรงข้อมือ และถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะไม่เจ็บอีกแล้วร่องรอยเหล่านั้นก็ยังคงอยู่

   “หลังจากกันวันนั้น เคยร้องบ้างไห้มั้ย” ไอ้เนย์ถามอีก คราวนี้ผมฉีกยิ้มในสภาพริมฝีปากสั่นเทา

   “ไม่หรอก”

   “ไม่เคยร้องไห้เลยเหรอ”

   คราวนี้ผมไม่ตอบนอกจากจ้องมองใบหน้าขาว ก่อนความร้อนผ่าวบริเวณขอบตาจะค่อยๆ ทวีขึ้น ผมไม่รู้ว่าหน้าของตัวเองในตอนนี้บิดเบี้ยวแค่ไหน แต่เมื่อได้อยู่กับเขามันจึงอดไม่ได้ที่จะเผลอร้องไห้ออกมา

   “กูขอโทษเนย์ ที่ผ่านมา...กูขอโทษ” สุดท้ายผมไม่อาจฝืนตัวเองได้ นอกจากปล่อยน้ำตาไหลรินอาบหน้าอย่างไม่นึกอาย

   “เป็นแบบนี้เหมือนไม่ใช่มึงเลย”

   “กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ กูเป็นคนยังไง” บางครั้งก้าวร้าว บางครั้งนิ่งเงียบ หากแต่บางทีกลับขี้แยเหมือนเด็กอนุบาล ทุกอย่างผสมปนเปเป็นคนที่ชื่อว่าบูรพา ซึ่งเผชิญกับความเป็นจริงมาแล้วหลากหลายรูปแบบ

   “ช่างเถอะ เวลานานขนาดนี้ มันต้องมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง”

   “...”

   “ผ้าขนหนูเก่าๆ อยู่ไหน กูจะได้เริ่มทำความสะอาด” เนย์ไม่รอฟังคำตอบแต่รีบผละออกไป ทิ้งผมให้ยืนยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าแล้วบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าควรควบคุมอารมณ์ให้มากกว่าเดิม

   นาฬิกาถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของลิ้นชัก จากนั้นผมจึงเริ่มต้นภารกิจทำความสะอาดครั้งใหญ่

   ถึงห้องจะเล็กและมีข้าวของไม่มากนัก แต่กลับใช้เวลาทำความสะอาดค่อนข้างนานเนื่องจากถูกปิดมานานแรมปี กว่าจะเสร็จสิ้นต่างคนต่างก็ใช้แรงไปไม่น้อย   

   เราสองคนนั่งพิงหลังตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น เบื้องหน้าเปิดรายการทีวีทำลายความเงียบ แม้จะรู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีใครจดจ่ออยู่กับมันเท่าไหร่ ส่วนอาหารเย็นที่ทำง่ายที่สุดคือข้าวกล่อง เพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการยัดไมโครเวฟ แถมไม่ต้องพิถีพิถันสามารถยกมากินหน้าทีวีได้เลย

   วันนี้เป็นวันแรกของการสร้างความทรงจำร่วมกัน...

   ซึ่งมันมาพร้อมกับกฎของการอยู่ร่วมห้อง

   โพสต์อิตสีฟ้าถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ตัวหนังสือขยุกขยุยของให้เนย์ไม่เปลี่ยนไปเลย ข้อความเหล่านี้ถูกเขียนเป็นข้อๆ เพื่อบอกสิ่งที่เราต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด


   ‘หนึ่ง ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันโดยไม่ได้รับอนุญาต’


   “จับมือก็ไม่ได้เหรอ” ผมเงยหน้าถาม หลังอ่านข้อความในบรรทัดแรกจบ

   “ไม่ได้” และไอ้เนย์ก็ตอบกลับมาโดยแทบไม่เสียเวลาคิด


   ‘สอง ห้ามก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว เรื่องเพื่อน รวมถึงห้ามโผล่ไปที่มหา’ลัย’


   “นั่นรวมถึงแฟนมึงด้วยใช่มั้ย” แม่งเอ๊ย...พูดเองก็เจ็บเอง ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ดีทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แม้แต่เพื่อนก็ไม่ใช่

   “กูยังไม่มีแฟน”

   “...!!” คำตอบของคนเคียงข้างไม่ต่างจากการจุดดอกไม้ไฟนับร้อยขึ้นในหัว จังหวะการเต้นของหัวใจเองก็ถี่ระรัวจนผลักให้ผมอยากรู้อยากเข้าไปอีก “แล้ว...แล้วคนชื่อปราชญ์ล่ะ มึงไม่ได้คบกันเหรอ”

   “ปราชญ์เป็นเพื่อน ที่ผ่านมากูไม่ได้สนใจเรื่องความรัก ความฝันต่างหากที่สำคัญ”

   “ดีใจว่ะ”

   “เกี่ยวอะไรกับมึง”

   “ไม่รู้แต่ดีใจ”

   ผมไม่ได้ยิ้มกว้างแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว แม้เวลาที่ก้มลงอ่านข้อความถัดไปปากก็ยังคงค้างอยู่ท่าเดิม นี่หรือเปล่าที่เรียกว่ารอยยิ้มแห่งความสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานาน


   ‘สาม ห้ามยุ่งกับของส่วนตัว’

   
   “กูสัญญาว่าจะไม่ยุ่งอะไรของมึง แต่ของในห้องนี้มึงใช้ของกูได้ทุกอย่างนะเนย์”

   “เออ”


   ‘สี่ ห้ามโทรศัพท์หรือติดต่อหากัน’

   
   “จะไม่ให้เบอร์กูเลยเหรอ”

   “ไม่”

   “ไลน์หรือเฟซบุ๊กอะไรก็ได้”

   “ไม่จำเป็นหรอกบู”


   ‘ห้า ห้ามพาบุคคลหรือผู้หญิงเข้ามาในห้องไม่ว่ากรณีใดก็ตาม’


   ข้อสุดท้ายทำได้ง่ายที่สุด

   “เนย์ ตั้งแต่มึงหายไป กูก็ไม่เคยนอนกับใครอีกเลย” เมื่อก่อนผมอาจเคยแหกกฎข้อนี้ด้วยความแค้นหรือเหตุผลห่าเหวอะไรก็ช่าง แต่มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง “มึงรู้ดี...ถึงจะเริ่มต้นใหม่สักกี่ครั้ง กูก็รักใครไม่ได้อีก”

   “รู้เหรอว่าความรักจริงๆ คืออะไร”

   “ไม่รู้หรอก” จนป่านนี้ก็ยังนิยามความหมายของคำว่า ‘รัก’ ไม่ได้ “มึงล่ะ รักของมึงเป็นแบบไหน”

   “เป็นแบบที่แม่กูมีให้ไง”

   “ไม่ดิ กูหมายถึงรักที่ไม่ได้มาจากครอบครัว ไม่ได้มาจากเพื่อน แต่เป็นรักที่มีให้กับใครสักคนต่างหาก”

   “งั้นยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ เพราะฝืนเข้าใจคำว่ารักผิดไปตั้งหลายปี”

   “นั่นเคยเป็นรักที่ให้กูหรือเปล่า”

   “ช่างเถอะ บางทีความรู้สึกพวกนี้อาจไม่จำเป็นกับชีวิตเราก็ได้”

   ประเด็นดังกล่าวถูกตัดจบ แม้รู้ดีว่ายังมีบางอย่างที่ค้างคา

   “ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

   “ถามอะไรอีกล่ะ เก็บไว้ถามวันอื่นบ้างก็ได้” ไอ้เนย์พูดพลางตักข้าวใส่ปากด้วยสีหน้าเย็นชา ผมจึงเฝ้ามองเสี้ยวหน้าได้รูปอย่างเงียบเชียบ กระเพาะอิ่มขึ้นมาซะดื้อๆ ความจริงแค่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนี้ ในระยะห่างเพียงไม่กี่เซ็นต์ ความรู้สึกก็เต็มตื้นจนกินอะไรไม่ลงอีก

   “กลัวว่าถ้าถามวันอื่นมึงก็อาจจะผลัดไปอีก”

   “งั้นก็ว่ามา”

   “ทำไมมึงถึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับกูที่ห้อง คงไม่ใช่เพราะข้อเสนอที่อาจช่วยให้มึงหายจาก PTSD อย่างเดียวใช่มั้ย” อาคเนย์อาจมีบางอย่างที่มากกว่านั้น แล้วสมองของผมมันก็มัวแต่คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาหากไม่ได้รับคำตอบ

   “มึงน่าจะรู้อยู่แล้ว”

   “กูไม่รู้หรอก ไม่อยากคิดไปเองด้วยซ้ำ”

   เสียงผ่อนลมหายใจดังผะแผ่ว กระทั่งใบหน้าได้รูปหันมาประสานสายตากัน ความสงสัยส่วนหนึ่งก็คลี่คลายลง

   “มึงฝันร้ายทุกคืนเลยไม่ใช่หรือไง”

   “อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ “อยากให้กูหายนี่เอง”

   “นั่นมันส่วนหนึ่ง แต่มึงก็รู้ดีว่าเหตุผลที่ยังคงฝันร้ายเพราะรู้สึกติดค้างกูอยู่ แล้วถ้าสมมติกูหาย อย่างน้อย...ความรู้สึกผิดในใจของมึงก็จะลดลงตามไปด้วยไม่ใช่เหรอ”

   “...”

   “ที่ผ่านมามึงเจ็บเพราะไม่เคยชดใช้อะไรให้กูได้ นี่ไง กูมาให้มึงชดใช้แล้ว”

   









   ตีสี่เป็นเวลาที่ผมมักตื่นจากฝัน ร่างกายยังคงเคยชินกับอะไรเดิมๆ แม้หลายอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม

   ไอ้เนย์ครอบครองห้องนอนเล็กไปแล้ว และตอนนี้มันคงกำลังหลับสบาย ดังนั้นผมจึงไม่อยากรบกวนนอกจากค่อยๆ ย่างเท้าเข้าห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ ก่อนออกมาเตรียมอาหารง่ายๆ ให้อีกฝ่ายได้กินรองท้องก่อนไปเรียน เพราะกว่าเจ้าตัวจะตื่นผมคงวิ่งวุ่นกับการราวน์วอร์ดคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาล

   เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีการไปรับไปส่ง หรือโผล่หัวไปยังมหา’ลัยเพื่อสานสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนรู้จัก คล้ายกับว่าโลกของบูรพากับอาคเนย์ถูกจำกัดกรอบอยู่เพียงในห้อง หรือหากต้องออกไปที่ไหน ที่นั่นก็จะมีแค่เราสองคนเท่านั้น ซึ่งเงื่อนไขนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก   

   บูรพาอยู่ได้เสมอหากที่นั่นมีอาคเนย์

   ช่วงเย็นผมแวะซื้อกับข้าวอยู่สองสามอย่างกลับไปยังห้อง ตระเตรียมเทใส่ชามเพื่อรออุ่นอีกครั้งหลังคนตัวเล็กกลับมา ทว่าเวลาผันผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่ม ห้องก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของอีกฝ่ายจนอดเป็นห่วงไม่ได้

   ด้วยไม่มีเบอร์โทรติดต่อ ผมจึงเอาแต่เดินวนไปวนมาจนไม่เป็นอันทำอะไร จะต่อสายหาแม่ก็กลัวทำให้ท่านเป็นกังวลเลยหยุดความคิดไว้เท่านั้น

   ผมเกลียดการนับเลข เกลียดการเฝ้ารอ แต่ไม่สามารถฝืนตัวเองให้ปล่อยวางได้สักที

   แกรก!

   จนในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อไอ้เนย์ย่างเท้าเข้ามาในห้อง มันวางคีย์การ์ดไว้บนตู้วางรองเท้า ก่อนเดินไหล่ตกกลับมาในชุดช็อปวิศวะ ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจนผมต้องเอ่ยทักท้วง

   “ไอ้เนย์ กลับมาเหนื่อยๆ กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”

   “ไม่ล่ะ กูกินมาแล้ว กะจะอาบน้ำนอนเลย”

   “เนย์วันนี้...”

   พูดยังไม่ทันจบประโยคประตูห้องนอนเล็กๆ พลันปิดลง ปล่อยผมยืนนิ่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว จ้องมองอาหารที่ซื้อรอไว้ครู่หนึ่งก่อนจะจับมันยัดตู้เย็นอย่างเงียบๆ

   สำหรับมื้อนี้ ผมเองก็ไม่หิวแล้วเหมือนกัน









   ผมสามารถเลิกบุหรี่ได้ตามคำแนะนำของหมอ ดังนั้นเลยอยากให้ไอ้เนย์ได้ลองเลิกบุหรี่ก่อนข้ามไปขั้นตอนอื่น ช่วงสัปดาห์แรกของการอยู่ร่วมห้องแม้จะไม่ค่อยได้คุยกันแต่ผมก็พยายามหาโอกาสซักถามให้มากที่สุด ไอ้เนย์อยู่ปีสามแล้ว ทั้งเรียนและรับงานพิเศษจนตารางเวลาแน่นขนัด

   ส่วนผมไม่ต้องพูดถึง จะว่างเฉพาะตอนเย็นกับวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น

   แต่ที่หนักกว่าคือคนตัวเล็กแทบไม่เปิดโอกาสให้เราได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกันเลย บางวันไม่เมากลับมาก็หายหัว กลับดึกดื่นค่อนคืน ตอนเช้าเราไม่ค่อยคุยกันอยู่แล้วเพราะผมต้องรีบไปราวน์วอร์ด อาหารที่ทำไว้ให้ก็ไม่ถูกแตะแม้แต่นิดเดียว

   แฮม ไข่ดาว เบค่อน ถูกทำในตอนเช้าก่อนจะถูกเทลงถังขยะในตอนเย็น

   แต่ผมไม่เสียใจหรอก ยินดีด้วยซ้ำที่ได้สิ่งที่อยากทำอย่างเต็มที่ พรุ่งนี้เราอาจจะได้คุยกัน ส่วนวันหยุดเนย์อาจว่างพอออกไปข้างนอก หน้าที่ของผมคือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรเป็น

   อย่างน้อย...การไม่เจ้ากี้เจ้าการกันมากนัก อาจช่วยให้มันยังอยู่กับผมนานขึ้นกว่าเดิม



   หนึ่งเดือนแล้วที่เราอยู่ร่วมห้องกัน

   ไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งอาการ PTSD หรือฝันร้ายที่ทำให้ผมวิตก วันนี้เลยอยากหาโอกาสคุยกันเล็กน้อย เผื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา

   อาคเนย์กลับถึงห้องตอนสองทุ่มเศษ สีหน้าดีขึ้น ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเหมือนทุกวัน ผมจึงมีความกล้าพอขอรบกวนเวลาสักเล็กน้อย

   “เนย์ กินข้าวยัง” คำถามแรกพุ่งจู่โจมคนตัวเล็ก

   “อืม มึงล่ะ” มันถามกลับ

   “ยัง พอดีมีเรื่องสำคัญที่อยากคุยกับมึงก่อนน่ะ”

   “ไว้ก่อนได้มั้ย ขออาบน้ำก่อน”

   “แป๊บเดียว มันสำคัญกับมึงมาก” คนฟังช่างใจเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบรับคำขอด้วยการทิ้งตัวลงนั่งโซฟา โดยไม่ลืมทิ้งระยะห่างระหว่างเราเอาไว้พอสมควร

   “มีอะไร”

   “เห็นว่ามึงยังไม่เลิกบุหรี่ กูคุยกับหมอมา บางทีการเลิกสูบมันอาจช่วยให้อาการของมึงดีขึ้น”

   “ไม่ล่ะ” ไอ้เนย์ปฏิเสธเสียงแข็ง “มันไม่ช่วยอะไรหรอก”

   “แต่มึงยังไม่ได้ลองเลย”

   “กูลองหลายอย่างแล้วบู ลองย้ายมาอยู่กับมึง แล้วดูดิ! ในตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ย กูก็ยังไม่กล้าขับรถเหมือนเดิม ส่วนมึงพูดมาสิว่าตั้งแต่กูมาอยู่ด้วยมึงไม่เคยฝันร้ายอีก”

   “ทุกอย่างอาจต้องใช้เวลา อีกอย่างเรายังไม่ได้พยายามทำอะไรร่วมกันเลยสักอย่าง โอเคกูไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมึง ไม่ยุ่งเรื่องเพื่อนของมึง แต่ขอได้มั้ย ให้เราได้ลองทำอะไรร่วมกันบ้าง”

   เวลาผ่านมานานนับเดือน เราอยู่เหมือนแค่ให้รู้ว่าอยู่ ยิ่งเมื่อลองนับประโยคสนทนาตอบตอบโต้ในแต่ละวันดูแล้วก็ยิ่งน้อย มันเลยไม่มีอะไรคืบหน้าสักที

   “แล้วกูต้องทำยังไงวะ”

   “เลิกบุหรี่ให้ได้ก่อน แล้วใช้เวลากินข้าวในตอนเย็นด้วยกัน กูขอแค่นี้ได้มั้ย”

   “จะพยายาม แต่วันไหนที่กูออกไปกับเพื่อนค่อยว่ากันอีกที” ยอมรับว่าค่อนข้างพอใจในคำตอบ ร่างกายเลยเผลอเอื้อมมือหมายจะลูบหัวอีกฝ่ายเป็นการขอบคุณ แต่กลับต้องชะงักค้างอยู่กับที่เมื่ออาคเนย์ผงะถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ

   “ทะ...โทษที กู...”

   “ช่างเถอะ กูไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

   มือของผมยังคงสั่น นึกเสียใจปนเสียดายที่สุดท้ายคว้าได้เพียงอากาศ









   การเลิกบุหรี่โดยไม่ทรมานคือค่อยๆ ลดปริมาณลงทีละเล็กทีละน้อย หากปกติสูบวันละสองมวน ก็เปลี่ยนเป็นลองสูบวันละมวนแทน หมากฝรั่งสำหรับเลิกบุหรี่ผมซื้อมาไว้แล้ว หรือหากวันไหนที่ไอ้เนย์เริ่มเครียดก็ยังมีแผนสำรองอีกมากมายซึ่งทุกขั้นตอนนั้นมีหมอคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

   วันนี้คนตัวเล็กกลับมาก่อนผม ทว่าสิ่งที่ไม่น่ายินดีเลยก็คือมันกำลังพ่นควันสีขาวขุ่นซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นของนิโคตินอยู่ตรงระเบียง หากจำไม่ผิด วันนี้มันมีตารางห้ามสูบไม่ใช่หรือไง

   “เนย์ มึงทำผิดเงื่อนไข”

   ร่างบางหันมามองผมแว๊บหนึ่งก่อนกลับไปจดจ่อกับท้องฟ้าตรงหน้า

   “วันนี้ขอได้มั้ย มีเรื่องเครียดนิดหน่อย”

   “มีอะไรก็ปรึกษากูได้” ผมย่างเท้าเข้าไปประชิด ทว่ากลับไม่สามารถสัมผัสได้แม้กระทั่งบ่าทั้งสองข้าง

   “กูเคยบอกแล้วไงว่าเราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน”

   “โอเค ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ให้แค่วันนี้นะ”

   “อืม”

   ท่ามกลางความขมุกขมัวของควันบุหรี่ ผมมองอะไรไม่ชัดเลยแม้กระทั่งอนาคตของเรา









   สองเดือนหลังใช้ชีวิตร่วมกันมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หนึ่งเลยคือเรามีเวลาพูดคุยและทานข้าวเย็นด้วยกันบ่อยครั้ง ได้นั่งดูหนังเรื่องโปรดด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น และเรื่องน่ายินดีที่สุดคืออาการอยากบุหรี่ของไอ้เนย์น้อยลงจนตอนนี้มันแทบไม่แตะอีกเลย

   “เย็นนี้ไม่ต้องรอกินข้าวนะ กูจะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน”

   “แล้วจะกลับดึกมั้ย กูจะได้รอ”

   “ไม่ต้องรอหรอก กูยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนมันจะกลับกี่โมง”

   “ยังไงก็ดูแลตัวเองแล้วกัน” ผมบอกด้วยความเป็นห่วง แม้ที่ผ่านมาเจ้าตัวจะไม่เคยกลับห้องในสภาพเมาหัวราน้ำแต่ลึกๆ ก็ไม่อยากให้มันไปกับเพื่อนอยู่ดี

   “รู้แล้ว...”

   สองทุ่มไอ้ปราชญ์มารับอาคเนย์ถึงหน้าคอนโด ส่วนผมนอนไม่หลับเลยโทรหาแม่ครู่หนึ่งก่อนใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสืออยู่ในห้อง รอคอยก็แต่คนตัวเล็กที่จะกลับมาเมื่อไหร่

   แกรก!

   ตีสามครึ่งผมได้ยินเสียงดังกุกกักของประตู ช่างใจอยู่ไม่กี่นาทีจึงตัดสินใจเดินออกไปดูว่าคนตัวเล็กยังโอเคอยู่หรือเปล่า

   “ไหนมึงบอกว่าเลิกได้แล้วไง” ภาพที่เห็นทำเอาสติที่เหลืออยู่ขาดผึง

   รีบสับเท้าไปยังระเบียงซึ่งมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ จังหวะนั้นผมคว้าข้อมือเล็กข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นมาพร้อมกับออกแรงบีบเค้นแน่นจนเกิดริ้วแดงบนผิวขาว ไอ้เนย์ตกใจพยายามสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม แต่มันสู้แรงของผมไม่ไหวเลยยื้อยุดกันอยู่นาน

   “อย่ามาจับตัวกู!” เจ้าของร่างบางตวาดลั่น ผมจึงได้สติรีบดึงมือออก เพราะยั้งตัวเองไม่อยู่จนเผลอทำลายข้อตกลงที่เคยพูดไว้จนหมด

   “มึงกำลังทำลายความพยายามของตัวเองอยู่นะเนย์”

   “แล้วไงวะ กูเลิกสูบแล้วไง แม่งไม่เห็นมีเหี้ยไรดีขึ้นเลย”

   “...”

   “กูยังกลัวอยู่เลยบู ยิ่งตอนที่ได้ลองจับพวงมาลัยรถ ภาพของจีนก็ผุดขึ้นมาในหัวจนกูอยากอ้วก มันโคตรอึดอัดเลยนะเว้ยที่ต่อให้พยายามอีกกี่ครั้งมันก็ไม่หายสักที”

   “ใช่ว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววันซะเมื่อไหร่”

   “กูเริ่มทนไม่ได้แล้วว่ะ บางทีเดินไปข้างหน้าโดยที่สลัดทิ้งบางอย่างไปไม่ได้อาจเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้แล้วก็ได้”

   “แล้วมึงจะไปจากกูทั้งอย่างนี้เหรอ”   

   ไร้ซึ่งคำตอบจากปากของคนตัวเล็ก ที่หนักกว่านั้นคือมันยังพยายามจะสูบบุหรี่มวนนั้นต่อ

   “เนย์ ทิ้งมันซะแล้วไปอาบน้ำนอน”

   “...”

“กูจะนับหนึ่งถึงสามทิ้งบุหรี่ในมือลง” ผมกัดฟันพูด แต่ไอ้เนย์กลับใจแข็งเกินกว่าจะยอมทำตามคำสั่ง “หนึ่ง...สอง...สาม”

ขวับ!

เพียงเสี้ยววินาทีบุหรี่ยี่ห้อหรูก็ถูกริบมาอยู่ในกำมือ ก่อนมันจะถูกส่งเข้าปากเป็นการตัดรำคาญ ผมเคี้ยวมันทั้งที่ยังติดไฟ ปล่อยให้ความร้อนลุกลามไปทั่วโพรงปาก

ไอ้บูรพาตอนนี้ไม่ต่างจากคนโง่ที่เอาแต่ทำเรื่องสิ้นคิด รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวกับทุกอย่างจนอยากร้องไห้

“ไอ้บูมึงทำอะไรคายออกมา!” ดวงตาของอาคเนย์เบิกโพลง มันปราดเข้ามาประชิดตัว พร้อมเอื้อมมือสั่นเทาพยายามล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากปากของผม

“ไอ้เหี้ยมึงมันโง่!”

แรงบีบเค้นจากคนตัวเล็กส่งผลให้ริมฝีปากยอมคายเศษซากบุหรี่ที่มอดดับลงบนพื้นในที่สุด และถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ความร้อนที่ยังไหลวนในโพรงปากยังคงเป็นอุปสรรคกับการเปล่งเสียงอยู่ดี

   สองขาของผมอ่อนแรงจนทรุดตัวลงกับพื้น ไอ้เนย์ทิ้งตัวลงตาม ระดมกำปั้นทุบอกผมทั้งสีหน้าแดงก่ำ

   “กูเกลียดตัวเองฉิบหาย”

   “...”

   “เพราะมึงกูถึงเป็นแบบนี้บู”

   “กูขอโทษ...”

   “เพราะมึงกูถึงต้องทรมานขนาดนี้”

   “ขอโทษ”

   เพื่อชดใช้ให้กับสิ่งที่ทำลงไป ไม่ว่าเขาอยากให้ผมเป็นอะไร ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งไหน บูรพาจะทำทุกอย่างเพื่อแลกกับการที่อาคเนย์ไม่ต้องทุกข์ทนในวังวนนี้อีก

   “เนย์อย่าร้อง กูเจ็บ...”

   แผลกรีดข้อมือ ความร้อนจากบุหรี่ ไม่มีอะไรเจ็บปวดเท่ากับการเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทนอยู่ตรงหน้า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทั้งมันไม่เคยกล่าวโทษผม หนำซ้ำยังเอาแต่พูดว่าไม่ถือโทษโกรธกันแล้วทั้งๆ ที่แม่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

   “เจ็บจนจะตายอยู่แล้ว”


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 05-06-2019 03:46:22
เกือบลืมไปแล้วเนย์ก็เจ็บปวด
เหมือนว่าเดินต่อไปได้ ใช้ชีวิตของตัวเองได้ แต่เราเชื่อว่าไม่มีวันไหนเลยที่เนย์จะไม่คิดบู
เห็นได้ชัดๆเลยว่ายังรักแล้วก็ยังห่วงบูขนาดไหน ที่ยอมกลับมาเพราะเห็นบูกรีดแขนตัวเองแล้วก็มีอาการฝันร้าย
มันก็ยังเจ็บอยู่ทั้งคู่น่ะแหละ
ส่วนที่บูยังไม่รู้ก็คือ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิดอย่างเดียวแต่ตัวเองรักเนย์ไปทั้งใจแล้วนะ
พอรู้ว่าเค้าโสดก็ดีใจ ต้องการให้บูเลิกบุหรี่ถึงขนาดยัดเข้าปากตัวเอง ไม่ใช่แค่ร้อนอย่างเดียวเป็นหมอรู้ดีว่านั่นพิษทั้งนั้นนะ ถ้าเผลอกลืนเข้าไปแม้แต่นิดเดียวมีหวังเข้าห้องฉุกเฉิน
ไม่เคยอ่านพิษรัก แต่เราเริ่มมีความหวังละว่าจะมี Happy end อยากให้ลงท้ายทั้งสองคนมีความสุขซักที

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: wildride ที่ 05-06-2019 04:16:20
  :pig4:

 ปกติคนชอบพูดว่า ความรักมันไม่ควรยาก ไม่มีเรื่องซับซ้อน
 
 แต่เอาเข้าจริง รักมันก็เหมือนอากาศ  ที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ มีทั้งช่วงดีดี และเลวร้าย
 
 ซึ่งมีแต่คนในความสัมพันธ์นั่นแหละที่จะเข้าใจ ไม่ว่าจะยังไง รักก็คือรัก แต่จะยอมรับได้ในรูปแบบไหน มันก็อีกเรื่องนึงอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 05-06-2019 07:58:23
ลองเปิดใจให้มากกว่านี้ อาการน่าจะดีขึ้นนะเนย์
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 05-06-2019 09:04:49
ทุกอย่างมันจะดีขึ้น ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 05-06-2019 09:13:54
กล้าเสี่ยงกันกน่อยนะ ขอร้อง และคนอ่านก็ได้ร้องจริงๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-06-2019 11:43:50
ลองทำอะไรร่วมกันอย่างที่บูบอกก็ดีนะเนย์ เผื่อว่าอาการมันจะดีขึ้น
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 05-06-2019 12:52:59
ลองค่อยๆ เปิดใจให้กันที่ล่ะนิด ต่างคนก็เจ็บปวดกับความผิดพลาดมากเกินพอแล้ว
นึกว่าเห็นใจเราเถอะ ร้องไห้จนน้ำตาจะท่วมเล้าเเล้วว จะอ่านทีก็ต้องซุกหามุม มาแอบอ่าน อายเขา เดี๋ยวคนจะหาว่าบ้า นั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เพราะแอบอ่าน นย.  :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 05-06-2019 22:25:41
เรื่องนี้อ่านแล้วไห้หนักมาก    :o7:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-06-2019 23:28:52
นึกว่าจะดีขึ้น ที่ไหนได้ปวดตับเหมือนเดิม  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-06-2019 01:31:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-06-2019 00:23:44
สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 07-06-2019 02:03:56


CHAPTER 13
COMPLICATED RELATIONSHIP



จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์เผลอตกอยู่ในหลุมรักที่เป็นไปไม่ได้
หนึ่ง ยอมอยู่ในวังวนของความไม่สมหวังนั้น
หรือสอง ตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน มันก็เจ็บปวดไปแล้วอยู่ดี



   ความมืดครอบครองทุกตารางเมตรภายในห้อง มีเพียงแสงไฟจากตึกสูงภายนอกเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา ผมเห็นไอ้เนย์ห่อตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบสนอง

   ยังไม่หลับใช่มั้ย

   ผมพำพึมในใจพลางเปิดประตูห้องนอนเล็กให้กว้างขึ้นเล็กน้อย แทรกตัวเข้าไปภายในก่อนย่ำเท้าไปยังเตียงหลังเล็กอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้หรอกว่าเผลอทำผิดเงื่อนไขอะไรมั้ย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยแย้งใดๆ ผมจึงทำทุกอย่างตามใจคิด

   ในมือผมถือหมอนและผ้าห่มติดมาด้วย หลังวางมันลงพื้นข้างเตียงและล้มตัวลงนอน ความกังวลในคราแรกก็ค่อยๆ จางหาย ดีที่ไม่ถูกว่า หรือบางทีไอ้เนย์อาจจะโกรธจนด่าไม่ออกแล้วก็ได้

   “ขอนอนด้วยคนนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจจากอีกฝ่าย “นอนไม่หลับหรือไง”

   “อือ”

   “กูขอโทษนะที่ทำมึงร้องไห้อีกแล้ว”

   เหตุการณ์ตรงระเบียงจบลงอย่างง่ายดายหลังแข่งกันร้องไห้อยู่เกือบยี่สิบนาที พอรวบรวมสติและควบคุมอารมณ์ได้ ต่างคนเลยต่างแยกย้ายห้องใครห้องมัน จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ยังกังวลจนต้องแอบย่องมานอนพื้นข้างเตียงของคนตัวเล็ก แม้รู้ดีว่าการกระทำเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้สถานการณ์ก่อนหน้าดีขึ้น

   “กูผิดเองแหละ แม่ง...ฟุ้งซ่านไปคนเดียว” คนในกองผ้าห่มตอบกลับเสียงอู้อื้อ อาจเพราะร้องไห้มาอย่างหนัก สิ่งที่ได้ยินจึงจับใจความได้ไม่ชัดนัก “ปวดหัวเลยแม่งเอ๊ย”

   “เอายามั้ย” ผมรีบผงกหัวขึ้นมาถาม ก่อนจะเห็นเสี้ยวหน้าซึ่งมีแสงไฟส่องสะท้อนกำลังส่ายหัวพัลวัน

   “ไม่ต้องหรอก เป็นบ่อยจนชิน มึงล่ะ...แผลที่ปากเป็นยังไงบ้าง”

   “ไม่เจ็บหรอก” ที่พูดไปไม่ได้ต้องการให้คนฟังสบายใจอะไรหรอก ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง อย่างน้อยมันก็รู้สึกเจ็บน้อยกว่าการกรีดมีดลงบนข้อมือวันละแผลล่ะนะ

   “กูตัดสินใจแล้วว่าจะลองเลิกบุหรี่ จะพยายามอีกครั้ง” ประโยคนั้นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจคนฟังไม่น้อย   

   “ดีแล้ว แรกๆ กูก็เป็นแบบมึงแหละ โคตรทรมาน” ตอนได้สูบ สารเสพติดพวกนั้นช่วยให้สมองโล่ง หายวิตกกังวล ราวกับยืมความสุขชั่วขณะมาใช้ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ดังนั้นสมองมันเลยจดจำและสั่งการให้พึ่งพามันเสมอเวลาที่รู้สึกเครียด

   การเลิกสูบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเราไม่อาจตัดใจจากการยืมความสุขมาใช้ในตอนกำลังทุกข์

   “แต่พอเวลาผ่านไป ตอนที่มึงเลิกได้มันก็รู้สึกภูมิใจเหมือนกัน” ต่อให้ชีวิตล้มเหลวมามากเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังมีสักอย่าง...สักอย่างที่ผมทำมันได้สำเร็จ

   อาคเนย์เงียบไปราวกับใช้ความคิด เสียงเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีเลยเป็นสิ่งเดียวที่ได้ยินผ่านโสตประสาท ความจริงเวลานี้เราควรจะนอนกันได้แล้ว ทว่าผมช้ากว่าตรงที่ยังไม่ทันเอ่ยประโยคใดออกไปน้ำเสียงติดอู้อี้ดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน

   “กูไม่เคยเล่าอดีตของตัวเองให้เพื่อนคนอื่นฟังนอกจากปราชญ์” คราวนี้ผมไม่ได้ชันตัวขึ้นนั่งหรือสบตากับคนบนเตียง แต่ยังคงเลือกนอนนิ่งๆ เพื่อฟังถ้อยคำจากปากของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว “แต่คืนนี้ไอ้ปราชญ์ไม่อยู่ กูเลยต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมถึงกลัวการขับรถซ้ำๆ ในวงเหล้า”

   “...”

   “กูไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วังวนนี้จะจบสักที ลองก็ลองมาหมดแล้ว พยายามไปก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนจนบางครั้งนึกอยากล้มเลิกมันทั้งหมด”

   “หรือจริงๆ แล้วการที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่อาจทำให้มึงเจ็บกว่าเดิมวะ” ผมเริ่มตั้งคำถาม เป็นผมเองหรือเปล่าที่เห็นแก่ตัวรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ทั้งที่ไม่รู้เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ

   “ไม่รู้ดิ”

   “เนย์ ถ้ามึงอยากเลิกก็บอกได้เลยกูจะไม่รั้งมึงไว้” คิดว่าการมีเขาอยู่ด้วยในตอนนี้มันทั้งสุขและเศร้า หรือต่อให้ชีวิตต้องกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆ ผมก็พร้อมยอมรับ หากมันแลกกับการที่ทำให้อาคเนย์เจ็บปวดน้อยที่สุด “ขอแค่มึงสบายใจที่จะทำมันก็พอ”

   “ความสบายใจเหรอ ไม่มีอะไรสบายใจหรอก เลือกทางไหนก็รู้สึกไม่ต่างกัน”

   “...”

   “แต่มันดีกว่าแต่ก่อนเยอะนะบู อย่างน้อยก็ได้เดินหน้าเพื่อทำอะไรหลายๆ อย่าง ได้เรียนในสิ่งที่ฝัน ได้ตัดใจจากรักโง่ๆ ที่มีให้มึง ได้สลัดทิ้งความโกรธเกลียดที่เรามีต่อกัน มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กูไม่ใช่อาคเนย์เหมือนแต่ก่อนอีก”

   “ใช่ มึงเป็นอาคเนย์ที่เข้มแข็ง”

   “นั่นสิ เข้มแข็งมาขนาดนี้แล้ว แถมยังได้ลองทำอะไรยากๆ ตั้งหลายอย่าง เพราะงั้นลองพยายามอีกสักอย่างจะเป็นไรไป”

   นั่นคงเป็นคำตอบของคำถาม...

   “บู กูยังอยากอยู่กับมึง”

   เชื่อหรือเปล่า แค่ประโยคสั้นๆ ของเพื่อนในวัยเด็ก มันกลับทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาเลย

   “กูเองก็อยากอยู่กับมึงเหมือนกัน พรุ่งนี้เรามาพยายามกันใหม่เถอะ”

   “อืม”

   “เนย์”

   “กูง่วงแล้ว”

   “ฝันดีนะ แล้วอย่าฝันร้ายอีกเลย”

   “บอกตัวเองดีกว่ามั้ย”

   ความเงียบเกาะกุมพื้นที่ เสียงเดินของเข็มวินาทียังคงทำงานไม่มีหยุด ผมปิดเปลือกตาลง ไม่ได้หลับในทันทีแต่เฝ้านอนฟังเสียงจากคนบนเตียงอยู่พักใหญ่ รอจนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเข้าสู่ภวังค์แล้วผมจึงสามารถหลับลงได้

   จวบจนแสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานยักษ์ในตอนเช้า นี่เป็นครั้งแรก...

   ที่ผมไม่ได้เผชิญกับฝันร้ายเหมือนอย่างทุกคืน











   ไอ้เนย์ติดบุหรี่แต่ไม่ได้ติดเหล้า มันบอกว่าจุดประสงค์ของการดื่มก็เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนเท่านั้นผมเลยไม่ขัดอะไร อาจเพราะไม่อยากจำกัดสิทธิ์ในชีวิตของอีกฝ่ายมากนักเราถึงต้องมานั่งถามความเห็นก่อน

   เกือบเดือนแล้วที่คนตัวเล็กไม่แตะต้องบุหรี่อีก ผมเลยอยากลองก้าวไปอีกขั้นด้วยการพามันออกไปขับรถแถวบ้าน ครั้งหนึ่งเราเคยปั่นจักรยานด้วยกันในวัยเด็ก ทว่าวันนี้แตกต่างก็ตรงที่เราโตขึ้นแล้ว แถมพาหนะที่ใช้ก็ยังเปลี่ยนไป

   “คาดเข็มขัดด้วย”

   “รู้แล้วน่า” ใบหน้าขาวยับยู่ตอนผมย้ำเตือน

   เราไม่เคยขับรถออกไปไหนด้วยกันสักครั้ง อย่างมากสุดก็นัดเจอกันตามห้างเพื่อกินข้าวบ้างก่อนจะกลับมาเจอกันที่คอนโด ดังนั้นการกลับบ้านคราวนี้จึงพิเศษกว่าที่ผ่านมา

   “แม่กูบอกว่าเตรียมกับข้าวไว้ให้หลายอย่างเลย มึงต้องชอบแน่ๆ”

   “แล้วเราต้องซื้ออะไรไปฝากแม่มั้ย”

   “ไม่ต้องหรอก แค่มึงแวะไปหาก็ดีมากแล้ว”

   รถยนต์เคลื่อนตัวจากคอนโดตัดเข้าสู่ถนนสายใหญ่ นานมาแล้วที่ผมใช้ถนนเส้นเดิมเดินทางไปกลับเป็นประจำ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะสังเกตสิ่งที่อยู่รายรอบ ตึกมันก็อยู่ตรงนั้นมานับสิบปี ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ซึ่งไม่เคยเหลียวมองว่าเปลี่ยนไปแล้วกี่แบบ เพราะที่ผ่านมามัวแต่โฟกัสจุดหมายและใช้ชีวิตอย่างรีบเร่งมาโดยตลอด

   ผมเริ่มมองเห็นข้อดีที่คาดไม่ถึงของการมีอาคเนย์ในชีวิต จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเรามีกันตลอดไปมันจะดีขนาดไหน

   เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มโลภ จากที่มีอยู่แล้วก็อยากได้เพิ่มอีกจนกลัวว่าอาจถลำลึกจนกู่ไม่กลับ

   “เนย์” ผมเรียกร่างบางซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ

   “หืม...” เจ้าตัวตอบรับพึมพำทั้งที่ยังไม่หันมามอง เพราะกำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่นอกกระจก

   “ถามได้มั้ยว่าหลังจากที่มึงตัดสินใจออกไปจากชีวิตกูเมื่อหลายปีก่อน มึงกับแม่ใช้ชีวิตยังไง” เวลาหลายปีที่ไม่ได้รับรู้ ผมอยากเข้าใจ

   “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่รู้จักกับคนที่พอจะแนะนำทาวน์โฮมถูกๆ ให้ แม่มีเงินจำนวนหนึ่งจากสินสมรสหลังหย่า เลยใช้มันอย่างประหยัด เก็บส่วนหนึ่งไว้สำหรับการรักษาและค่าเทอม แล้วก็อย่างที่เห็น การตัดสินใจเดินไปข้างหน้าไม่ได้แย่อย่างที่กลัว”

   “แล้วมึงมีเป้าหมายอื่นๆ หลังจากนี้มั้ย”

   “กูว่าจะเรียนต่อ อยากเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา”

   “ก็เหมาะกับมึงดี”

   “มึงล่ะ เรียนจนถึงตอนนี้ยังอยากเป็นหมออยู่หรือเปล่า”อาคเนย์ผินหน้ากลับมา แววตาสนใจใคร่รู้จนผมอยากเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่ก็หยุดมันเอาไว้ให้เป็นเพียงความคิด

   “โลกเปลี่ยนกูไปมากขนาดนี้ แต่ตลกเหมือนกันที่การเป็นหมอคือสิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมอยู่”

   “สมกับเป็นมึง”

   “แล้วเคยคิดมั้ย...”

   “ทำไมวันนี้คำถามมึงเยอะจังวะ”

   “ก็มันเงียบ”

   “เปิดเพลงฟังสิ” เรียวนิ้วขาวเอื้อมมือกดปุ่มบริเวณคอนโซล ก่อนเพลงโปรดของผมจะบรรเลงขึ้น ซึ่งมันค่อนข้างเข้ากับบรรยากาศระหว่างทางอย่างพอดิบพอดี “ว่ามาดิ” เจ้าตัวเอ่ยต่อ

   “หืม?”

   “หมายถึงที่มึงอยากถาม”

   “อ๋อ กูก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้าเวลาผ่านไปอีกห้าสิบปีเราสองคนจะเป็นยังไง”

   “ถึงตอนนั้นกูคงตายไปแล้วมั้ง” ไอ้เนย์ตอบติดตลก ลืมนึกไปเลยว่าเราอาจตายก่อนจะได้ใช้ชีวิตวัยเกษียณ

   “เศร้าว่ะ”

   “ความตายไม่ได้น่าเศร้าขนาดนั้น”

   “ไม่มีมึงแม่งก็ต้องเศร้าดิ”

   “ใกล้ถึงบ้านแล้วนี่” หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนปุบปับ อาคเนย์เม้มปากแน่น หันไปจดจ่อกับสิ่งที่เห็นด้านนอก ผมเดาว่ามันคงคิดถึงที่นี่ไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดหรือแสดงความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนั้น

   รถเลี้ยวเข้าซอยโครงการหมู่บ้าน ส่วนแม่สแตนบายรออยู่ก่อนแล้ว ผมเลยเปิดโอกาสให้ทั้งคู่คุยกันจนกว่าจะพอใจก่อนเริ่มตั้งโต๊ะและใช้เวลาไปกับการกินอาหาร ภาพที่เคยจินตนาการในความฝันเป็นจริงขึ้นมา ทว่าก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะมาถึงจุดนี้

   ช่วงใกล้ค่ำอากาศเย็นสบาย ถนนหน้าหมู่บ้านเลยถูกเลือกมาเป็นสนามทดสอบความกล้า เนื่องจากเราต่างคุ้นเคยและปลอดภัยจากรถรา จึงค่อนข้างเหมาะที่จะให้เพื่อนในวัยเด็กได้ลองขับรถสักครั้ง แม้ต้องใช้ความกล้ามหาศาลไม่ต่างจากตอนเริ่มปั่นจักรยานครั้งแรกก็ตาม

   ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก ผมฉีกยิ้มเพิ่มความมั่นใจให้คนตรงหน้าพลางแทรกตัวเข้าไปนั่งประจำฝั่งคนขับ ปรับเบาะถอยไปด้านหลังให้เหลือพื้นที่ว่างพอสำหรับการนั่งของคนสองคน

   “ลองวันอื่นดีมั้ย” คนตัวเล็กพูดต่อรองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

   “วันนี้แหละดีแล้ว ถ้าไม่เริ่มวันนี้มึงก็จะผลัดไปอีกเรื่อยๆ”

   “แล้วจะรู้ได้ไงว่ากูจะปลอดภัย”

   “กูอยู่นี่ไง”

   เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก ดวงตาสองข้างแสดงความไม่มั่นใจแต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าอย่างจำยอม

   อาคเนย์แทรกตัวเข้ามาในรถอย่างช้าๆ โดยมีผมคอยช่วยเหลือไม่ห่าง เขานั่งอยู่ในพื้นที่ว่างของเบาะ เอนแผ่นหลังพิงกับอกของผม เข็มขัดนิรภัยถูกดึงคาดตัวของเราทั้งคู่พร้อมกับเริ่มจัดท่านั่งให้สบายตัวขึ้น

   เมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างพร้อมแล้วจึงเริ่มขั้นตอนต่อไป

   “ยังจำได้มั้ยว่าต้องเริ่มยังไง”

   “อืม” แววตามุ่งมั่นปนหวาดกลัวฉายชัด ทั้งน่าสงสารและชวนเห็นใจ ทว่าหากหยุดเพียงเท่านี้ไอ้เนย์ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างน้อยการได้ลองทำมันในครั้งแรกแม้ต้องล้มเหลวก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

   “สตาร์ทเครื่องก่อน” ร่างบางทำตามคำสั่ง ผมจึงไม่ลืมเอ่ยชมเป็นการให้กำลังใจ “ดีมาก”

   “แล้ว...กูต้องเหยียบเบรกก่อนใช่มั้ย”

   “ถูกต้อง” สองตาหลุบต่ำมองพื้นเบื้องล่าง เห็นเท้าขวาติดสั่นเคลื่อนไหวอย่างสะเปะสะปะ แต่ผมไม่คิดกดดัน นอกจากเปิดโอกาสให้เขาได้ตัดสินใจทำด้วยตัวเอง

   “ยะ...เหยียบเบรกแล้ว”

   “จากนั้นก็เข้าเกียร์”

   ให้มันค่อยเป็นค่อยไป เรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน

   เท้าเหยียบเบรก มือปลดเบรกแล้วขยับเข้าเกียร์ หลังจากนั้นจึงค่อยย้ายฝ่ามือไปควบคุมพวงมาลัยตรงหน้า ขับรถไม่ได้ยาก แต่ที่มันยากสำหรับคนๆ หนึ่งเพราะความเจ็บปวดฝังลึกต่างหาก

   “พร้อมมั้ย”

   “อื้อ”

   “งั้นปล่อยเบรก ยังไม่ต้องเหยียบคันเร่ง แค่ปล่อยให้มันเคลื่อนที่ไปเอง”

   “...”

   “ที่นี่ไม่มีรถเพราะงั้นมึงไม่ต้องกลัว ถ้าไม่ไหวก็บอกได้เสมอ กูจะหยุดถ้ามึงบอกให้หยุด”

   “กูจะพยายาม” อาคเนย์ไม่ได้เงยหน้าสบตาแต่กำลังจดจ่อกับถนนข้างหน้า สองมือ สองเท้า ทุกส่วนในร่างกายสั่นหงักแต่ไม่มีใครคิดหยุด

   รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไป ผมมองเท้าเล็กๆ ของมันสลับกับถนนสายกว้าง

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...

เก่งมากๆ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก

   ระยะทางทวีเพิ่มขึ้น ผมเริ่มรู้สึกเบาใจไปเปราะหนึ่งเพราะเจ้าของแผ่นหลังที่พิงอยู่ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม แต่กลับมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม

   เงียบเกินไป เงียบจนน่าใจหาย

   “เนย์”

   “...”

   “อาคเนย์...”

   หัวใจร่วงลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่มเมื่อผมสังเกตเห็นเสี้ยวหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย มันไม่ยอมพูดหรือบอกอะไรนอกจากกัดฟัน แต่ผมไวกว่านั้นรีบเหยียบเบรกในทันที

   รถยนต์หยุดตัวลง สองหูได้ยินเพียงเสียงสะอื้นสลับกับจังหวะการหายใจหอบกระชั้น ผมกอดร่างสั่นเทาแนบแน่น ซบหน้าลงกับไหล่บาง พยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด

   “ไม่เป็นไร เก่งแล้ว”

ต่อให้พูดประโยคปลอบใจมากมายแค่ไหน มันเทียบไม่ได้เลยกับการต้องเห็นความเสียใจท่วมท้นของคนตัวเล็ก

   “กูทำไม่ได้”

   “ไม่เป็นไร”

   “กูทำไม่ได้ ฮือ...”

   หนึ่งวันจบลงพร้อมกับความร้าวรานของอาคเนย์ ส่วนความรู้สึกของเราทั้งคู่แม่ง...ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น











   ไอ้เนย์หนีไปดื่มเหล้าย้อมใจกับเพื่อน ความจริงไม่อยากให้ไปเลยแต่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์จะห้าม ที่พอทำได้จึงเป็นการอยู่ห้องเพื่อรอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมา

   ผมไม่มีเบอร์โทร

   ไม่รู้ว่าต้องติดต่อเพื่อนคนอื่นๆ ของมันยังไง   

   ไม่รู้ว่าคืนนี้มันไปเมาที่ร้านไหน

   สิ่งเดียวที่รู้คือความเสียใจที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา นี่เป็นครั้งแรกที่ลองขับรถหลังเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน และมั่นใจว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับความเสียใจซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน

   ผมได้แต่หวังว่าไอ้เนย์จะมีแรงใจพยายามทำมันต่อ เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถปลดล็อกความทุกข์ที่ฉุดรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของมันได้

   “เนย์”

   ประตูห้องเปิดออก ผมรีบวิ่งเข้าถึงตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่กล้าแตะต้องเพราะยังไม่ได้รับอนุญาต รอบกายได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั้งห้องจนเผลอขมวดคิ้ว

   “บู” ร่างบางปรือตามองนิ่ง เดินโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย “กูง่วง ขอนอนก่อนนะ”

   ว่าแล้วมันก็หอบสังขารอ่อนเปลี้ยสืบเท้าไปยังห้องนอนอย่างเงียบเชียบ แต่ผมไม่วางใจยังคงเดินตามราวกับคนโง่

   ร่างเล็กโถมตัวลงบนเตียง นอนคว่ำหน้าลงกับหมอนก่อนจะแน่นิ่งไปในสภาพย่ำแย่

   “เช็ดตัวก่อนมั้ย”

   ไร้ซึ่งคำตอบ...

   “เนย์ กูขอเช็ดตัวมึงได้มั้ย”

   “อือ”

   หลังได้ยินเสียงครางอืออาตอบกลับ ผมจึงค่อยๆ พลิกตัวอีกฝ่ายให้นอนหงายและจัดท่าทางการนอนให้สบายตัวขึ้น ที่ผ่านมาก็ละเมิดข้อตกลงไปหลายข้อแล้ว ต่อให้เช้าขึ้นมาแล้วไอ้เนย์ยังจำได้ ผมก็ยินยอมให้มันด่าจนกว่าจะพอใจอยู่ดี

สองมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวยับยู่ออกทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนซึ่งแดงเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไอ้เนย์ไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่ เอาแต่ขยับยุกยิก กว่าจะถอดเสื้อผ้าได้สำเร็จก็ทำเอาปาดเหงื่อไปหลายรอบ

ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดปัดป่ายไปตามร่างกาย เริ่มจากแขนทั้งสองข้างระเรื่อยไปยังหน้าอก ยิ่งตอนรับรู้ถึงลมหายใจคลุ้งกลิ่นเหล้าซึ่งกำลังเป่ารดใบหน้า ยิ่งฉุดให้ความตั้งใจแรกของผมถูกตีแตกกระจาย ต้องพยายามอย่างหนักถึงจะควบคุมลมหายใจที่ทวีความถี่กระชั้นให้กลับมาเป็นดังเดิม

เสื้อยืดสีฟ้าผืนบางถูกหยิบมาสวมลวกๆ ก่อนผมจะหันมาจัดการกับกางเกงยีนซึ่งเกาะกุมเอวบางอย่างหมิ่นเหม่

“ขอโทษนะ” ผมเอ่ยอีกรอบ

ไอ้เนย์ปรือตาขึ้นมองก่อนฉีกยิ้มยั่ว

“เมาหนักใช่มั้ย” แม่งป่วนประสาทกันได้ พอถามก็ได้รับคำตอบเพียงรอยยิ้มที่เหมือนถูกตั้งด้วยโปรแกรมอัตโนมัติ

กางเกงถูกถอดออกเป็นลำดับถัดมาหลังต้องใช้ความพยายามมหาศาลไปกับมัน และแน่นอนผมยังคงดูแลอีกฝ่ายเหมือนเดิมด้วยการเช็ดเอาคราบเหงื่อและกลิ่นของแอลกอฮอล์ออกไป

“บู” ยังไม่ทันได้สวมกางเกงตัวใหม่ มือบางกลับรั้งข้อมือของผมเอาไว้ซะก่อน

“อะไร” สายตาสองคู่สอดประสาน ท่ามกลางความคุกรุ่นของอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้

“ถ้ากูอนุญาตให้มึงเอาตอนนี้...มึงจะทำมั้ย”

ผมชะงักค้าง กะพริบตาถี่คล้ายไม่เข้าใจกับความต้องการของคนตัวเล็ก

“ถามทำไม”

“ไม่รู้ กูแค่ถามเผื่อมึงอยากเอา”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าเป็นตอนที่กูเหี้ยกว่านี้...กูจะไม่ลังเลเลย” ตอบคำถามจบผมคว้ากางเกงนอนขึ้นสวมให้คนตัวเล็กอย่างรีบเร่งก่อนหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก

ปัง!

ประตูปิดลง แข้งขาอ่อนแรงจนยืนแทบไม่อยู่ ผมทรุดตัวลงนั่งพิงหลังกับบานประตู ร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก ทำได้อย่างเดียวคือก่นด่าตัวเองในใจที่เผลอแสดงสีหน้าและท่าทางแบบนั้นใส่อีกฝ่าย

อดีตของผมกับมันไม่เคยสวยงาม แต่ก็ยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง...

ผมไม่อยากทำให้อาคเนย์ต้องเจ็บ

ไม่อยากทำให้ต้องร้องไห้ อยากดูแล อยากตอบแทนสิ่งดีๆ ที่มันเคยมอบให้ ขณะเดียวกันก็อยากชดใช้กับสิ่งที่เคยก่ออย่างสาสม การมีชีวิตอยู่ของผมเริ่มเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปทุกที

มีชีวิตเพื่อคนอื่น มีชีวิตเพื่อครอบครัว และในตอนนี้กลับมีจุดมุ่งหมายอีกอย่างเพิ่มเข้ามา นั่นคือการมีชีวิตเพื่อทำทุกอย่างให้อาคเนย์มีความสุข

   มันเป็นความรู้สึกแบบไหนวะ

   จู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนขี้ขลาดซะดื้อๆ เพราะไม่กล้าหาคำตอบให้ตัวเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่รู้...

   การมีเขาอยู่ทำให้ชีวิตของผมมีคุณค่ากว่าที่เคยเป็น









   เช้าวันอาทิตย์ชีวิตยังวนเวียนอยู่แต่ความจำเจ เมื่อคืนผมหอบผ้าห่มและหมอนเข้าไปนอนในห้องไอ้เนย์อย่างถือวิสาสะ จนตอนนี้พื้นห้องข้างเตียงได้กลายเป็นพื้นที่ประจำของนายบูรพาไปซะแล้ว

   “โทษที ตื่นสาย” เจ้าของห้องเล็กๆ ยื่นหน้าอิงกรอบประตู สีหน้าที่เห็นเต็มไปด้วยความอิดโรย ทรงผมยุ่งเหยิง แถมเนื้อตัวยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าย้วยๆ ที่ผมพยายามสวมให้เมื่อคืน แต่กลับน่ามองอย่างประหลาด

   “ไม่เป็นไร ยังแฮงก์อยู่มั้ย”

   “นิดหน่อย”

   “ในตู้เย็นมีเครื่องดื่มแก้แฮงก์อยู่”

   “ไม่ต้องๆ กูเป็นแบบนี้ประจำ แล้ววันนี้มึงมีแพลนออกไปไหนมั้ย” ไอ้เนย์เดินเกาหัวออกจากห้อง ไม่รู้ว่ามันยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้มั้ย ผมเฝ้าถามอยู่ในใจแต่ไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยปากถาม

   “ไม่มี มึงล่ะ”

   “พอดีนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะออกไปทำงานที่คณะ”

   “ให้กูไปส่งมั้ย” ผมถามทันที ด้วยคาดหวังว่าจะได้รับการตอบตกลงอย่างคนไม่รู้จักพอ

   “ไม่ต้องหรอก เออแล้วนี่ทำอะไร”

   “กูเพิ่งลงไปซื้อข้าวต้มให้มึงมา อยากกินมั้ย” นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้อง เรายังไม่เคยร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันสักครั้ง “อืม เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”

   เผื่อใจไว้แล้ว ทว่าไม่คิดมาก่อนว่าจะมีความหวังขนาดนี้

   “งั้นรอเดี๋ยว กูจะรีบเวฟให้”

   “โอเค กูขอไปแปรงฟันก่อนแล้วกัน”

   “ได้ๆ” คนตัวเล็กหมุนตัวเข้าห้อง ส่วนผมกุลีกุจอวิ่งวุ่นจัดการกับอาหารเช้า แม้ตอนนี้เวลาจะปาไปเกือบสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตาม

   ชีวิตของเราเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวา เมื่อกินข้าวด้วยกันเสร็จไอ้เนย์ก็อาสาเป็นฝ่ายล้างจาน ก่อนรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปด้านนอก ระหว่างรอผมใช้เวลาไปกับการโทรปรึกษาหมอเรื่องการรักษา PTSD หลังทดลองให้ไอ้เนย์ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากมาแล้วครั้งหนึ่ง

   คำตอบที่ได้ไม่มีอะไรแตกต่าง แค่ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย และมุ่งมั่นกับการลองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะดีขึ้น

   ห้าโมงเย็นฝนเริ่มเทลงมาไม่ขาดสาย ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้ เมื่อไหร่กันที่สมองเริ่มกังวลจนฟุ้งซ่านกับเรื่องเล็กน้อยของอีกฝ่าย จะกลับยังไง จะเปียกฝนมั้ย กังวลแม้กระทั่งว่าฝนอาจทำให้คนตัวเล็กป่วยถึงขั้นนอนซม

   ผมต้องตบตีกับความคิดเหล่านั้นคนเดียวนับชั่วโมง กระทั่งความอดทนขาดสะบั้นจึงคว้าร่มซึ่งอยู่มุมห้องแล้วขับรถออกไป

   จุดหมายคือภาควิชาคอมพิวเตอร์ของคณะวิศวะ ผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าอาคเนย์มีกำหนดทำงานถึงแค่ไหน จะให้ก้าวลงจากรถถามคนนั้นคนนี้ก็กลัวผิดเงื่อนไขที่เคยตกลงไว้ ทั้งๆ ที่ได้ทำลายเงื่อนไขเหล่านั้นไปไม่รู้ตั้งกี่ข้อ

   ผมไม่ต่างจากคนโง่

   แต่กลับยอมให้ตัวเองโง่

   นั่งรออยู่ในรถ จดจ้องไปยังทางออกฟากหนึ่งของคณะ เพราะเดาว่าถึงยังไงซะนักศึกษาที่นี่ก็ต้องเดินออกมาที่ลานจอดรถอยู่ดี

   เวลาจากหกโมงเย็นเคลื่อนผ่านเป็นหนึ่งทุ่มยังไร้ซึ่งวี่แววของคนที่มองหา ผมอดทนรอต่อ

   สองทุ่มมาเยือน มีเด็กกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากคณะ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีอาคเนย์อยู่

   สามทุ่ม ลานจอดรถเริ่มโล่ง กว่าจะมีคนเดินลงจากตึกทีก็ทิ้งระยะห่างนับครึ่งชั่วโมง ผมเริ่มกลับมานั่งคิด หรือความพยายามที่ทำมาในวันนี้จะเปล่าประโยชน์ ผมถามตัวเองซ้ำๆ ทว่ากลับไม่ยอมไปไหน

   เวลาปาไปห้าทุ่มกว่า ฝนได้หยุดตกแล้ว ส่วนรถคันเกือบสุดท้ายก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกไป ผมจึงได้ข้อสรุปว่าควรกลับห้องสักที

   มันดูโง่มาก โง่อย่างที่ใครมองก็ต้องหัวเราะ แต่ผมไม่เสียใจ...ไม่เสียใจที่ทำอย่างนี้ อาจเพราะทนนิ่งดูดายอยู่ที่ห้องเพื่อมองไอ้เนย์เปียกไปทั้งตัวไม่ได้ผมถึงต้องทำ

   เวลาเที่ยงคืนสิบห้าผมกลับมาถึง

   ทันทีที่ไขประตูเข้าไปสิ่งแรกซึ่งปรากฏในม่านสายตาก็คือคนที่ต้องการเจอมากที่สุด ไอ้เนย์นั่งอยู่ตรงโซฟาในชุดนอน มันกำลังส่งสายตามองคล้ายกับตั้งคำถาม

   “ขอโทษที่กลับมาช้านะ” ผมบอกเสียงเรียบก่อนวางร่มลงจุดเดิมที่มันเคยอยู่

   “ไม่เป็นไร แล้วไปไหนมา”

   “ก็...ออกไปข้างนอกนิดหน่อย พอดีมีธุระด่วน” การปัดปฏิเสธอาจดีสำหรับสถานการณ์นี้ที่สุด “แล้วมึงล่ะ กลับมาเมื่อไหร่”

   “ตอนสามทุ่ม”

   “กินข้าวมายัง”

   “กินกับเพื่อนมาแล้ว มึงล่ะ”

   “อ๋อ กูยังไม่หิว” โคตรน่าสมเพชจนไม่รู้จะด่าตัวเองยังไง

   “มึง...ไม่ได้ออกไปหากูใช่มั้ย” คำถามจากริมฝีปากบางทำให้ร่างกายทุกส่วนชะงักค้าง

   “เปล่า กูมีธุระจริงๆ”

   “ปราชญ์บอกเห็นรถมึงจอดอยู่ที่คณะ”

   “...”

   “มึงคิดอะไรอยู่กันแน่”

   “กูไม่รู้” ผมส่ายหัว ก้มหน้าก้มตามองเพียงปลายเท้า

   นี่ไม่ใช่บูรพาเลยสักนิด ไม่ใช่ตัวตนของผมอย่างที่ทุกคนรู้จัก อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหวง ทั้งห่วง พออีกฝ่ายไม่อยู่ก็ฟุ้งซ่าน ไม่อยากให้เขาได้รับอันตราย เอาแต่อยากปกป้องโดยไม่คิดถึงตัวเองเพราะสมองสั่งการแค่ว่าเขาต้องมาก่อนเสมอ

   นี่หรือเปล่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่กล้าตั้งคำถาม เพราะกลัวว่าจะได้รับคำตอบอย่างไม่คาดคิด

   ครั้งหนึ่งไอ้เนย์เคยถามผม ‘รู้หรือเปล่าว่าความรักเป็นยังไง’

   จริงๆ แล้วคำถามไม่ได้ยาก

   “บูรพา” ความยุ่งเหยิงในหัวถูกตีแตกกระจายก่อนจะปักใจเชื่อในคำตอบ ผมหันเงยหน้าสบตากับร่างบางซึ่งนั่งห่างออกไปไม่กี่เมตร พร้อมกับเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้รับคำตอบ

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...

“อย่ารักกูเลย”

“...!!”

“เพราะสุดท้ายแล้วมึงอาจต้องเสียใจเมื่อวันนั้นมาถึง”

เข้าใจแล้ว...

ในที่สุดวันที่ผมได้รู้จักกับความรักอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นวันเดียวกับที่ผมหมดหวังกับมันเช่นกัน


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: Cutebangg ที่ 07-06-2019 08:01:56
 :sad11: ไม่นะ ไม่นะ ไม่อยากผิดหวังเลย ให้ตายเถอะ รอบุ๊คนะคะไรท์
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 07-06-2019 08:06:55
 :ling3: :ling3: จะหยุดรักได้อย่างไรในเมื่อมันรักไปแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-06-2019 09:45:19
ก็ไม่ต้องหยุดรัก แต่ก็รักให้เป็นแบบที่บูเคยคิดไง
แค่อยากเห็นเนย์มีความสุข ถ้าความสุขของเนย์คือตรงที่ข้างกายไม่ใช่บู บูก็ต้องเข้าใจ เสียใจน่ะมีแน่นอน แต่จะไม่ทรมานเพราะติดหนี้กับเนย์นะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 07-06-2019 17:12:04
 
 :serius2:   
                  :sad4:   
                                     :o12:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 07-06-2019 20:30:20
หืมมม.. พวกเทอต้องผ่านมันไปให้นะ..
ให้รักนำทาง ..
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: makuto ที่ 07-06-2019 21:46:52
 :hao5:สงสารใครก่อนดี
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-06-2019 23:23:39
ตับฉัน จะพังก่อนเรื่องนี้จบล่ะมั่ง  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-06-2019 01:20:01
 จะห้ามใจไม่ให้รักได้ยังไง :sad4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-06-2019 01:21:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: moomj ที่ 08-06-2019 01:30:17
ร้องไห้จนตาบวม. เพราะอ่านรวดเดียว หน่วงมากค่ะ ตัวละครสมเหตุสมผล เราว่าคนเขียนค่อนข้างศึกษาข้อมูลของโรคที่ตัวละครเป็นอยู่มาค่อนข้างดีเลยค่ะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 08-06-2019 01:31:50


CHAPTER 14
THE MEMORY COLLECTOR



หากสมองของมนุษย์มีรูปร่างเป็นโหลแก้วสะสมความทรงจำ
เรื่องราวในโหลนั้นของผมคงมีแค่คุณ


   เราสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จได้ด้วยเหรอ

   ความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หรือหลง

   ถึงเราจะสั่งการให้หยุดความรู้สึกเหล่านั้นได้ แต่น้อยครั้งที่จะทำมันได้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งเป็นความรักด้วยแล้วยิ่งมองไม่เห็นทาง มันเอาแต่สั่งให้ผมกระโจนเข้าไปในกับดักจนสุดตัว ถึงต้องตายก็ยังทำ

‘อย่ารักกูเลย’ เป็นประโยคที่อาคเนย์ส่งถึงด้วยแววตาเศร้าหมอง และมันก็ทำให้ผมพูดอะไรไม่ออกซะดื้อๆ

บทสนทนาของเราจบลงด้วยความเงียบนานนับสิบนาที ก่อนที่คนตัวเล็กจะเป็นฝ่ายปลีกตัวเข้าห้อง ทิ้งผมให้จมจ่อมในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง

โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งเดียวที่ผมหยิบขึ้นมาเปิด ใช้เวลาเลื่อนนิ้วดูรายชื่อผู้ติดต่อ ดูๆ แล้วผมแทบไม่มีใครให้โทรไประบายหรือปรึกษาได้เลย คนเดียวที่พอนึกถึงก็คือเพื่อนสนิทอย่างณดลซึ่งตอนนี้คงกำลังหัวยุ่งอยู่กับการทำงานต่างจังหวัด แต่เมื่อลองชั่งใจอยู่พักใหญ่แล้วผมเลยตัดสินใจลองเสี่ยงดู

[ไอ้บู ว่างหรือไงถึงโทรมาหาได้] ไม่ได้คุยกันนาน คำทักทายแรกเลยพุ่งจู่โจมซะยาวเหยียด

“คิดถึงมึง” ผมกรอกเสียงลงไป มันรู้อยู่แล้วถ้าไม่สุขหรือทุกข์มากๆ คงไม่ได้รับโทรศัพท์จากคนชื่อบูรพาเท่าไหร่ นานทีปีหนกว่าจะได้คุยกันเพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนทางนี้ก็ทุ่มเทอยู่กับการเรียนและกิจกรรมที่แบกเอาไว้จนเต็มบ่า

[เสียงหงอยมาเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า]

“มึงว่างมั้ย คืนนี้ต้องอยู่เวรป่ะ”

[ไม่ๆ คุยมาได้เสมอ หรืออยากให้กูไปล่ะ กูจะได้รีบจองตั๋วเครื่องบินเลย]

“พูดเหมือนเป็นเมียน้อยกูเลยสัด” วินาทีต่อมาผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าจากปลายสาย

[แล้วไอ้เนย์เป็นไงบ้าง อาการมันดีขึ้นบ้างมั้ย] ไอ้ดลรู้อยู่แล้วว่าผมกับไอ้เนย์ตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันเพื่อปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างที่คั่งค้าง

“ยังเหมือนเดิม”

[แล้วมึงล่ะ ยังฝันร้ายอยู่ป่ะวะ]

“มีบ้าง แต่ลดลงกว่าแต่ก่อนเยอะ” คืนไหนที่ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามานอนในห้องกับคนตัวเล็ก ถึงต้องนอนตรงพื้นแต่มันกลับช่วยให้ผมไม่เจอกับฝันร้ายอีกตลอดทั้งคืน

[ดีแล้ว ว่าแต่มึงเถอะมีอะไรอยากคุยกับกูมั้ย ฟังจากเสียงแล้วไม่ค่อยดีเลยว่ะ]

“ดล กูรู้สึกว่า...กูเผลอรักเนย์เข้าแล้ว”

   ผมรู้ว่าไม่ควร คนคนหนึ่งถูกทำร้ายอย่างหนักจนไม่น่าให้อภัยจะกลับมารักกันได้ยังไง จริงๆ ผมไม่โกรธเลยด้วยซ้ำถ้าเพื่อนมันจะหัวเราะเยาะใส่ ครั้งหนึ่งเคยเกลียดเข้าไส้ แต่พอเวลาผ่านไปกลับกลืนน้ำลายตัวเองซะงั้น

   [กูไม่แปลกใจ] ไอ้ดลตอบกลับ ไร้ซึ่งน้ำเสียงเย้ยหยันใดๆ

   “ทำไมคิดงั้นวะ”

   [เพราะเป็นมึงไง]

   “ตอนแรกกูเข้าใจว่าที่ผ่านมาแค่รู้สึกผิดกับไอ้เนย์ แต่การอยู่ด้วยกันทุกวันเหมือนได้เติมเต็มบางอย่างที่หายไปตั้งแต่เด็ก กูเริ่มอยากยืดเวลาให้นานขึ้น อยากเป็นทุกอย่างในชีวิตมัน อะไรก็ได้...ที่มันต้องการ”

   ผมในวัยคึกคะนอง จิตใจเต็มไปด้วยความแค้นและเกลียดชัง ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากการเติบโตอย่างเจ็บปวด เป็นบูรพาที่โหยหาในสิ่งที่ขาด แล้ววันหนึ่งไอ้เนย์ก็กลับเข้ามา มันเติมเต็มทุกอย่างให้ผมก่อนความรู้สึกเหล่านั้นจะไม่หยุดแค่คำว่าเพื่อน

   นี่แหละคือสิ่งที่จิตใจไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้โดยสมบูรณ์

รักคนที่ไม่ควรรัก หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ วันหนึ่งผมอาจหายจากฝันร้าย เลิกเศร้ากับปมที่ติดค้างในใจ ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ความเจ็บปวดใหม่เข้ามาแทนที่โดยไม่ทันตั้งตัว

“ดล มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ กูกลัวไอ้เนย์ต้องอึดอัดกับความรู้สึกของกู”

[มาถามกูแล้วเคยถามตัวเองหรือยัง]

“เนย์ไม่อยากให้กูรัก มันไม่ต้องการ”

[เข้าใจ มันปฏิเสธมึงได้ แต่มึงปฏิเสธตัวเองได้ด้วยเหรอ]

“...”

[ไอ้บู โตจนป่านนี้แล้ว ชีวิตก็มีชีวิตเดียว ถ้ารักไปแล้วก็อย่าเสียใจที่ได้รักเลย ดูแลความรักของมึงให้ดีที่สุดเถอะ ดูแลโดยไม่ให้เขาลำบากใจ หลังจากนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างแม่งให้หมด]

“...”

[รักมันไม่ใช่เรื่องยากเว้ย อีกอย่าง วันข้างหน้ามึงจะได้ไม่มานั่งเสียใจว่าทำไมถึงไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง]

ไอ้ดลไม่เคยเป็นที่ปรึกษาที่ดีด้านความรัก แต่มันเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมที่สุด เราเรียนด้วยกันในช่วงสามปีแรก ทั้งคอยตามงานและลากเข้าเรียนเป็นประจำ นอกจากมิตรภาพของคำว่าเพื่อนแล้วผมก็ยังเป็นตัวภาระอันดับหนึ่งในช่วงเรียนแพทย์ชั้นพรีคลินิก

แต่ต่อจากนี้ผมจะเป็นบูรพาที่ดีขึ้นเพื่อมัน

“ขอบคุณมากไอ้ดล ถ้ามึงต้องการอะไร...ถ้ามึงเหงาเมื่อไหร่บอกกูได้เสมอ”

[แน่นอน]

“ขอบคุณสำหรับหลายปีที่เป็นเพื่อนกับกูนะ ดีใจที่มีมึงว่ะ”

[เหมือนกัน ดีใจนะที่มีเพื่อนชื่อบูรพา]

“...”

[ในที่สุดมึงก็รักใครเป็นสักที]

สายถูกตัดไป ผมนั่งจ้องหมายเลขโทรศัพท์ของคนทางไกลครู่ใหญ่ ก่อนลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องของอาคเนย์

ก๊อกๆๆ

กำปั้นทุบลงบนบานประตูไม่แรงนัก พรุ่งนี้ผมจะเริ่มใหม่เพื่อเก็บความทรงจำที่ดีร่วมกัน แม้วันหนึ่งต้องจากผมก็จะไม่เสียใจอีก

“ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย”

“อืม” หลังได้ยินเสียงตอบรับพึมพำผมจึงย่างเท้าเข้าไปภายใน

แสงไฟดวงใหญ่บนเพดานปิดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นโคมไฟสีเหลืองนวลตรงหัวเตียงก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ไอ้เนย์ชันตัวขึ้นมา ร่างกายห่อหุ้มไปด้วยผ้าห่ม ดวงตาสองข้างปูดโปนราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นี่ผมทำให้มันต้องร้องไห้เพียงลำพังอีกแล้ว

“ที่ผ่านมากูขอโทษที่ทำให้มึงต้องเจ็บ ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้ และขอโทษที่ต่อจากนี้อาจทำให้มึงลำบากใจ” น้ำเสียงที่เปล่งค่อนข้างสั่น ผมจดจ้องร่างบางบนเตียงด้วยสายตามุ่งมั่นก่อนได้รับคำตอบเป็นเสียงผะแผ่ว

“มึงขอโทษหลายรอบแล้ว”

“เนย์ ที่มึงบอกว่าไม่อยากให้กูรัก บอกตรงๆ กูทำไม่ได้หรอก”

“...”

“กูไม่ขอให้มึงรักตอบ แค่ขอให้กูได้รักมึงได้มั้ย”

“ถึงรู้ว่าวันหนึ่งกูต้องไปมึงก็ยังจะรักอยู่เหรอ”

“ใช่”

“มันจะเจ็บปวดเปล่าๆ รักข้างเดียวแม่งไม่ดีหรอก” อาคเนย์รู้ดีเพราะผ่านจุดนั้นมาแล้ว และรู้ซึ้งว่ามันแย่แค่ไหนที่ต้องใช้ชีวิตเพื่อรักใครคนหนึ่งโดยที่เขาไม่เคยหันมามอง

“กูยินยอมจะเจ็บ” ผมบอกอย่างแน่วแน่

“มันอาจเร็วไปที่จะพูดก็ได้ รอตอนที่มึงปลดล็อกความทรมานทุกอย่างออกก่อนมั้ย ถึงตอนนั้นมึงอาจได้คำตอบที่แน่ชัด และกูเชื่อว่าหากเวลาผ่านไปห้าหรือสิบปีข้างหน้ามึงจะเจอใครคนนั้น” ผมส่ายหัวกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่ใช่เลย...

“รู้ได้ไงว่ากูจะเจอวะเนย์ ชั่วชีวิตนี้กูอาจรักมึงไปจนวันสุดท้ายก็ได้”

“ที่มึงรู้สึกกับกูบางทีมันอาจเป็นแค่ความรู้สึกผิด”

“มึงรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่!”

“บูใจเย็นๆ ก่อน อีกสิบปีข้างหน้ามึงอาจได้เจอรักแท้ อาจจะอยากสร้างครอบครัวและมีลูกกับเขา มึงจะมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เพียงแค่นั่งกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หรือหลับสนิทโดยไม่ต้องฝันร้ายเมื่อมีเขาคอยนอนเคียงข้าง”

“...”

“กูไม่เชื่อเรื่องรักแท้มานานแล้ว มึงก็เห็นว่าครอบครัวกูเป็นยังไง ชีวิตของอาคเนย์ที่ฝัน...ยังมีหลายอย่างที่อยากทำ”

“แล้วถ้ามึงทำทุกอย่างที่ต้องการหมดแล้วล่ะ” ผมถามแทรกกลับ “มันจะมีวันนั้นมั้ยที่มึงหันกลับมามองกูบ้าง”

“ใครล่ะจะรู้อนาคต” เขาเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตากับผมโดยตรง “อย่าคาดหวังกับการมีอยู่ของกูเลย เพราะวันหนึ่งทุกอย่างบนโลกก็สูญหายอยู่ดี”

“ไม่มีอะไรหายเนย์”

“...”

“ไม่มีอะไรหาย”

 ความรักที่ผมมีต่อเขายังคงอยู่เหมือนเดิม











สายฝนโปรยกระหน่ำแทบทุกวันจนความเย็นของมันแผ่กระจายไปโดยรอบ ผมกลายเป็นคนชอบฟังเสียงน้ำและมักเฝ้ารอวันเสาร์อาทิตย์ แม้ช่วงหลังจะได้ขึ้นไปอยู่วอร์ดที่ต้องทำงานในวันเสาร์ครึ่งวัน แต่ผมก็ยังหาเวลามาอยู่กับไอ้เนย์จนได้

เพราะเรียนรู้แล้วว่าเวลาแต่ละวินาทีล้วนมีค่า เลยไม่อยากเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์

วันนี้ผมแวะไปหาแม่ ก่อนชวนคนตัวเล็กเดินเล่นตรงสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ไม่นึกเลยว่าจะโชคร้ายที่ฝนดันตกลงมาซะก่อน ต่างคนเลยต่างวิ่งหากำบังหลบฝน ก่อนยืนตาละห้อยมองหยดน้ำเย็นเฉียบซึ่งตกลงมาจากหลังคาไม่ขาดช่วง

“ไม่รู้จะหยุดตกเมื่อไหร่” ไอ้เนย์บ่นพึมพำหน้ายับ

“หยุดยืนอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” บางทีประโยคปลอบใจอาจเหมาะกับสถานการณ์ตรงหน้าที่สุด

“มันไม่มีอะไรทำ ยืนอยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อ”

“งั้นกลับมั้ย วิ่งลุยฝนไป” ผมเสนอความคิด

“ไม่เอาอ่ะ วิ่งไปตัวก็เปียกหมดดิ”

“มึงจำได้มั้ยตอนที่เราอยู่ประถม เวลาฝนตกทีไรมึงจะวิ่งแจ้นออกไปเล่นน้ำทุกที” แล้วหลังจากนั้นแม่ของไอ้เนย์ก็จะกางร่มวิ่งตามพร้อมกับบ่นจนปากเปียกปากแฉะ

“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย จะให้เล่นเหมือนเมื่อก่อนได้ไง”

“นั่นเพราะเราบอกว่าตัวเองโตแล้วต่างหากเลยไม่ทำ มันดูตลก กลัวว่าจะป่วย คิดนั่นนี่ไปสารพัดทั้งที่จริงๆ แล้วคนเราก็แค่อยากมีความสุข”

ผมเคยห่วงว่าไอ้เนย์จะไม่สบายเมื่อเปียกฝน กลัวกับเรื่องเล็กน้อยจนกลายเป็นจำกัดสิทธิ์ของเขาจนไม่สามารถทำอะไรอย่างใจได้ เราโตเป็นผู้ใหญ่เพราะเวลาทำให้เราโต เคี่ยวกรำความรู้สึกให้ค่อยๆ เย็นชาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่อยากเป็นแบบนั้น...

ตอนนี้ผมมีความรัก มีความทรงจำและช่วงเวลาที่ดีกับเขา นี่ต่างหากคือเรื่องน่ายินดี

“เนย์ วิ่งกลับบ้านไปด้วยกันเถอะ”

คนฟังกลอกตาใช้ความคิด ไม่นานจึงหันกลับมาคลี่ยิ้มให้

“เอาก็เอา แต่เรามาแข่งกันมั้ย ใครถึงบ้านก่อนชนะ”

“เดี๋ยวมึงก็ล้มหรอก”

“มึงบอกเองหนิว่าตอนเด็กกูไม่กลัวฝน เพราะงั้นกูก็ไม่กลัวล้มเหมือนกัน อ่ะ! กูต่อให้มึงวิ่งล่วงหน้าไปยี่สิบเมตรเลย”

“มึงขาสั้นกว่ายังจะต่อให้อีก”

“ตอนกีฬาสีสมัยประถมมึงเคยวิ่งแพ้กู”

“ตอนนั้นกูไม่สบายเหอะ”

“ไม่รู้ล่ะ ถ้ามึงไม่รับข้อเสนอกูขอวิ่งไปก่อนแล้วกัน” พูดแค่นั้นคนตัวเล็กก็ก้าวเท้าออกจากที่กำบังอย่างเร็วรี่ น้ำฝนซึ่งเจิ่งนองอยู่บนพื้นถูกเหยียบจนสาดกระเซ็น แผ่นหลังของเขาห่างไกลจากระยะการมองเห็นไปเรื่อยๆ เป็นอาคเนย์คนเดิมที่ไม่ต่างจากในอดีต

“รอกูด้วย!” ผมตะโกนก้อง พาตัวเองปะทะกับสายฝนเย็นฉ่ำด้วยรอยยิ้ม

บูรพาและอาคเนย์ตอนอายุสิบขวบคือคนเดียวกับบูรพาและอาคเนย์ในวัยยี่สิบสี่ ดีใจเหลือเกินที่เรายังหลงเหลือความสดใสในวัยเด็ก ยังมีเสียงหัวเราะจากใจจริง ทั้งที่เคยคิดว่าบางสิ่งบางอย่างเมื่อเวลาผ่านไปแล้วคงพรากสิ่งเหล่านั้นไปพร้อมกันด้วย

ไม่จริงเลย อย่างน้อยก็ยังมีบางอย่างที่หลงเหลือ

เพื่อนในวัยเด็กของผม

“อาคเนย์!” สองเท้าย่ำต่อไปจนเกือบถึงตัวคนข้างหน้า

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว!

“กูทันมึงแล้ว”

ไม่พูดเปล่าผมคว้ามือขาวของไอ้เนย์เอาไว้ มันหันมามอง ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกปอนไปด้วยหยาดฝนทว่าสีหน้าที่แสดงออกกลับเปี่ยมไปด้วยความสุข

“จับมือกูทำไมเนี่ย”

“อยากวิ่งไปพร้อมกับมึงมากกว่า”

“ไม่อยากชนะแล้วหรือไง”

“ไม่”

ชนะหรือแพ้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การมีเขาอยู่เคียงข้างต่างหากที่ผมต้องการ







วันหยุดสัปดาห์ต่อมาผมพาไอ้เนย์กลับไปที่บ้านอีก วันนี้อากาศแจ่มใสไม่มีฝนตก เลยเหมาะอย่างยิ่งในการเริ่มต้นขับรถ เป็นนับครั้งไม่ถ้วนแล้วที่ไอ้เนย์ได้นั่งหลังพวงมาลัย ใช้พลังทั้งหมดไปกับการต่อสู้กับความหวาดกลัวจากจิตใต้สำนึก ถึงรู้ว่าสุดท้ายแล้วความพยายามยังคงล้มเหลวแต่มันไม่เคยร้องไห้อีก

เก่งแล้ว...

วันนี้เราขับรถได้ไกลขึ้นก่อนอาการของเขาจะกำเริบ แค่นี้ก็เพียงพอ







เดือนธันวาคมมาเยือนอีกหน บรรยากาศช่วงปลายปีเต็มไปด้วยความครึกครื้น ยิ่งครึ่งเดือนหลังตามห้าง แลนด์มาร์ก รวมถึงสถานที่ต่างๆ ล้วนประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม

วันนี้ไอ้เนย์ต้องไปทำโปรเจ็กต์กับเพื่อน ส่วนผมรีบบึ่งรถกลับคอนโดหลังเลิกเรียนเพื่อรื้อค้นของอย่างหนึ่งซึ่งถูกเก็บไว้และไม่ถูกเปิดอีกหลังวันทำความสะอาดห้อง สิ่งนั้นคือนาฬิกาเรือนสวยที่ไอ้เนย์เคยซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด

นาฬิกามันตายไปนานแล้ว ผมเลยอยากซ่อมให้สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง

นาฬิกาเหมือนกับชีวิต เมื่อหยุดเดินก็ไม่ต่างจากการหกล้ม นี่จึงเป็นเวลาที่ดีที่ผมจะเดินต่อไปสักที

พนักงานในช็อปบอกว่าการส่งซ่อมสินค้าหลุดประกันค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร แต่ผมไม่คิดมาก ขอแค่มันสามารถกลับมาใช้งานได้ก่อนวันสิ้นปีก็พอ

ระหว่างนี้ชีวิตของเราทั้งคู่ยังคงดำเนินไปอย่างราบเรียบ ผมแทบไม่ฝันร้ายอีกเลย ส่วนคนตัวเล็กแม้ยังไม่สามารถขับรถได้เหมือนคนปกติ แต่ระยะทางที่เพิ่มขึ้นจากเดิมก็ถือเป็นเรื่องน่าพอใจไม่น้อย


อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 08-06-2019 01:34:04


25 ธันวาคม

“คนอื่นหยุดแต่เราต้องอยู่โรง’บาล ชีวิตแม่งเศร้าอะไรขนาดนี้วะ” เพื่อนผมบ่นกระปอดกระแปด ดูเหมือนมันจะเซ็งจัดเพราะนัดกับแฟนเอาไว้ก่อนหน้านั้น

“เอาน่าเดี๋ยวก็เลิกแล้ว แค่อาจจะค่ำหน่อย”

“พี่บูไม่รู้ฤทธิ์แฟนผมซะแล้ว”

“เขาต้องเข้าใจดิ”

“เหอะ! ไม่มีทางอ่ะ ใครจะไปเหมือนพี่ โชคดีที่มีคนเข้าใจ”

“เกี่ยวอะไรกับกูวะ”

“ผมเห็นของกล่องขวัญที่พี่เตรียมไว้หรอก แอบกิ๊กกับใครไม่บอกน้องบอกนุ่งวะ”

“ไม่ใช่เรื่องของมึง”

“โอเค๊~” ไอ้เพื่อนหน้ากวนที่ยังคงเรียกผมว่า ‘พี่’ เดินทำหน้าล้อเลียนไปอีกทาง

ของขวัญที่เตรียมไว้ไม่ได้มีเพื่อวันคริสต์มาสอย่างที่ใครหลายคนคิดหรอก แต่มันมีไว้เพื่อมอบให้ใครคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดวันนี้ต่างหาก

เมื่อคืนผมได้คุยกับอาคเนย์ไว้แล้ว ดูเหมือนมันจะมีนัดปาร์ตี้กับเพื่อนซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากพยักหน้าอย่างเขาใจ ทางนี้เลยหวังแค่ว่าจะรอเขากลับมาหลังเที่ยงคืนเพื่อเป่าเค้กและมอบของขวัญให้

วันนี้ที่วอร์ดโรงพยาบาลยุ่งนิดหน่อย นักศึกษาแพทย์และหมอเลยต้องทำงานจนถึงสองทุ่ม กว่าจะกลับมาถึงคอนโดเวลาก็ปาไปสามทุ่มกว่า

ผมหยิบข้าวกล่องออกมากินรองท้องก่อนเป็นอันดับแรก ระหว่างนี้ก็ทำการประกอบต้นคริสต์มาสขนาดเล็กไปพร้อมกัน กระดิ่งสีแดงและหลอดไฟระยิบระยับถูกหยิบขึ้นมาประดับตกแต่ง เสร็จสรรพถึงค่อยวางกล่องของขวัญวันเกิดไว้ตรงใต้ต้นคริสต์มาส

   เวลาเกือบตีหนึ่งประตูห้องเปิดผ่างโดยฝีมือของคนตัวเล็ก มือสองข้างหอบหิ้วถุงใส่ของขวัญจำนวนมากกลับมา ไอ้เนย์ไม่ได้อยู่ในสภาพเมาแอ๋อย่างที่คิด และเมื่อเห็นผมมันก็รีบเอ่ยทันที

   “ขอโทษที กลับเลทนิดหน่อย”

   “ไม่เป็นไร มึงกินอะไรมาหรือยัง”

   “กินแล้ว”

   “ปวดหัวมั้ย”

   “ไม่ ก่อนหน้าแทบไม่ได้กินเหล้าเลย” ผมพยักหน้าเข้าใจ รีบถลาเข้าไปคว้าถุงใส่ของขวัญจากมือเล็กแล้วนำไปวางไว้ในห้อง

   ไอ้เนย์นั่งรออยู่ตรงโซฟาราวกับรู้ว่าผมจะทำอะไรต่อ ดังนั้นเลยไม่อยากเสียเวลาหันไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเทียนหนึ่งเล่มซึ่งเป็นตัวเลขบ่งบอกอายุขึ้นจุด

   “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู~” เป็นปีแรกหลังห่างหายจากการฉลองวันเกิดร่วมกัน แอบเขินนิดหน่อยที่ต้องร้องเพลงแต่ในเมื่อยังไม่ถูกล้อผมเลยร้องต่อจนจบ “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู...แฮปปี้เบิร์ธเดย์อาคเนย์...แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู”

   เค้กก้อนเล็กเลื่อนไปวางตรงหน้าคนสำคัญ อาคเนย์ระบายยิ้มน่ารัก แล้วปิดเปลือกตาลงก่อนจะใช้เวลาเล็กน้อยไปกับการอธิษฐาน

   เทียนถูกเป่าจนดับในวินาทีต่อมา พร้อมกับประโยคขอบคุณด้วยแววตาน่าเอ็นดู

   “ยังไม่หมดนะ”

   “พอแล้วมั้ง”

   “มึงยังไม่เมาหนิ สนใจกินเบียร์ด้วยกันมั้ย”

   “เอาสิ”

   แน่นอนว่าหลังจากนั้นพื้นที่ตรงห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์ เราดื่มมันสลับกับการจ้ำไปบนเค้ก ไม่รู้หรอกว่ามีทฤษฎีไหนบอกไว้ หากกินเค้กกับเบียร์พร้อมกันจะทำให้เมา เออจริงว่ะ แม่งเมาทุกที

   “เนย์...”

   “หืม” เจ้าของชื่อเอนหลังพิงพนักโซฟา ขานรับทั้งสภาพดวงตาสองข้างฉ่ำปรือ

   “กูมีของขวัญจะให้”

   “เบียร์กับเค้กไม่ใช่ของขวัญจากมึงหรือไง”

   “เปล่า ยังมีอีก...”

   กล่องสี่เหลี่ยมซึ่งหุ้มด้วยกระดาษห่อของขวัญสีแดงถูกหยิบขึ้นมา ผมยื่นให้เขาโดยไม่เหลือความลังเลใดๆ นอกจากทิ้งตัวลงนั่ง เฝ้าสังเกตสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายอย่างลุ้นๆ

   กระดาษชั้นแรกถูกแกะออกอย่างทะนุถนอมราวกับต้องการรักษาสภาพสวยงามเอาไว้ ไอ้เนย์เม้มปากแน่น สนอกสนใจกับการแกะสก็อตเทปออกจากกล่องซึ่งเป็นปราการด่านที่สอง และในที่สุดมันก็ได้เห็นของขวัญที่ผมตั้งใจมอบให้

   “ถุงเท้าจากซานต้า” ผมบอกเสียงราบ

   มันอาจจะนานไปหน่อยที่เพิ่งเอามาให้ แต่นี่เป็นความทรงจำสิ่งเดียวที่ผมเคยหยิบยื่นให้เขาในวันสำคัญ

   “ชอบมั้ย” ถุงเท้าเล็กๆ สีแดง ถักมือด้วยไหมพรมและมีลายจุดสีขาวอยู่โดยรอบ ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก แต่ไม่รู้ว่าอาคเนย์จะชอบหรือเปล่า

   “อื้ม”

   “ในนี้มีของขวัญที่ซานต้ามอบให้อีกอย่างด้วย ลองล้วงเข้าไปดูสิ”

   ดวงตาคู่สวยเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา ริมฝีปากเบะคว่ำจนเกือบร้องไห้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังล้วงมือลงไปในถุงเท้าตามที่ผมบอก ก่อนเขาจะหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาถือไว้

   ผมใช้เวลาคิดตลอดเดือนว่าอยากซื้ออะไรให้เขามากที่สุด กระทั่งบังเอิญเดินผ่านร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งเลยลองเข้าไปดู ไม่คาดคิดหรอกว่าจะเจอเครื่องประดับที่ถูกใจหรือเปล่า แต่แล้วแหวนวงหนึ่งซึ่งอยู่บนตู้กระจกด้านหน้าสุดกลับดึงดูดความสนใจในเสี้ยววินาที จนจินตนาการไปว่าจะเป็นยังไงหากมันย้ายไปอยู่บนเรียวนิ้วของคนตัวเล็ก

   “ไม่แน่ใจว่ากะขนาดนิ้วผิดมั้ย แต่มึงจะใส่หรือไม่กูไม่ว่านะ”

   “ขอบคุณเว้ย แพงใช่มั้ยเนี่ย”

   “เป็นเงินจากการแปลงานวิชาการ”

   “แทนที่จะเอาไปซื้ออย่างอื่นให้ตัวเอง ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย”

   “กูเต็มใจ”

   คนเคียงข้างให้ความความสนใจกับแหวนในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากหน้าลวกๆ

   “มีข้อความสลักเอาไว้ด้วยเหรอ” ดูเหมือนมันจะเห็นแล้ว ใช่! ด้านในของแหวนผมตั้งใจสลักข้อความเอาไว้เพื่อหวังว่ามันจะเป็นแหวนวงเดียวที่มีอยู่บนโลก

   ‘อาคเนย์’

   คือข้อความนั้น

   “เนย์...กูรักมึง”

   และเขายังเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้ที่ทำให้ผมเลิกเกลียดตัวเอง











   31 ธันวาคม

   ตอนเช้าผมกลับบ้าน กินข้าวและทำบุญกับครอบครัว ก่อนจะขับรถวกกลับมาจัดคอนโดเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ ไอ้เนย์ไม่ได้ออกไปไหนกับเพื่อนแต่ปักหลักอยู่กับผมที่ห้อง เราทำอาหารง่ายๆ กินกันในช่วงเย็น ส่วนขนมกินเล่น และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เตรียมไว้สำหรับช่วงดึกๆ

   ระเบียงคอนโดที่ปกติมีไว้เพียงเป็นพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่เต็มไปด้วยของกิน โชคดีที่มีพรมผืนใหญ่อยู่เลยนำมาปูตรงพื้นและนั่งมองท้องฟ้าไปด้วยกันจนกว่าจะผ่านพ้นปีเก่า

   จุดนี้มักเห็นพลุสวยๆ จากแลนด์มาร์กของเมืองค่อนข้างชัด ผมเลยคาดหวังว่าไอ้เนย์จะชอบ

   เพลงที่คัดเลือกมาอย่างดีถูกเปิดคลอภายในห้อง ต่างคนต่างอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมาสวมคู่กับกางเกงยีนตัวโปรด นาฬิกาที่ส่งซ่อมกลับมาเดินอีกครั้ง คราวนี้มันถูกสวมบนข้อมือของผมเพื่อบอกให้รู้ว่าความรักของอาคเนย์ที่เคยมอบให้บูรพาในวัยสิบเจ็ดไม่เคยสูญเปล่า

   ผมรับรู้แล้วและอยากขอบคุณ การตอบแทนที่ดีที่สุดเลยเป็นการหยิบมันมาใส่

   หลังตัดใจละทิ้งเรื่องแย่ๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดในอดีตกับจีน หรือความเลวร้ายในคืนฝนตก ตอนนี้มันไม่เหลืออยู่แล้ว นาฬิกาไม่ใช่เครื่องหมายของความแค้นอีกต่อไป แต่คือการมีอยู่ของคนทุกคนในชีวิตของบูรพา

   ผมมีความรักครั้งแรกในวัยสิบหก

   และรู้จักความรักอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งมีให้ใครอีกคนอย่างลึกซึ้งตอนอายุยี่สิบสี่

   “จำเป็นต้องแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้มั้ย” ไอ้เนย์เกาะขอบประตูถามอย่างอยากรู้ ผมหัวเราะร่วน ตบพรมปุๆ สองสามทีเพื่อเชื้อเชิญคนตัวเล็กให้นั่งลงข้างกัน

   “วันพิเศษก็ต้องทำอะไรพิเศษสิ มานั่งนี่”

   “เตรียมพร้อมเลยนะมึง”

   “...?”

   “หมายถึงเบียร์”

   “อ๋อ ปีใหม่ก็ต้องคู่กับเบียร์สิ”

   “ก็...นะ ขอยังไม่นั่งได้มั้ยพอดีมีเรื่องต้องทำก่อน”

   “อะไร”

   “ไปเอาเค้กมาให้มึงเป่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เลยวันเกิดแล้วเนี่ย”

   “โห ไม่เซอร์ไพรส์เลยว่ะ” ผมตอบติดตลกจนได้รับสีหน้าค่อนแขวะจากอีกฝ่ายกลับมา ท้องฟ้าในคืนนี้ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เรารอคอยมันคือพลุซึ่งจุดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ต่างหาก

   พรึ่บ!

   ไฟทุกดวงดับลง ทุกสิ่งรายรอบเข้าสู่ความมืด

   “ไม่ร้องได้มั้ย” เสียงคุ้นหูฉุดให้ผมหันกลับไปมองยังต้นเสียง ก่อนม่านสายตาจะปรากฏภาพของไอ้เนย์กำลังถือเค้กก้อนเล็กๆ เดินออกมา   

   “ไม่ต้องร้องก็ได้ ขอบคุณมากนะเนย์”

   ระยะห่างระหว่างเราลดลงทีละนิด แสงจากเทียนหนึ่งเล่มส่องสว่างจนสังเกตเห็นใบหน้าขาวของคนถือชัดเจนยิ่งกว่าเก่า กระทั่งคนตัวเล็กย่อเข่าลงจนอยู่ในระดับเดียวกัน ผมจึงส่งคำขอบคุณให้เขาผ่านสายตา   

   “มองทำไม อธิษฐานด้วยสิ”

   “โอเค”

   ‘ขอให้อาคเนย์มีความสุข’

   คือสิ่งเดียวที่อยากขอไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปอีกกี่ปีก็ตาม

   แสงเทียนดับลงแทนที่ด้วยแสงไฟภายในห้อง ฉับพลันนั้นช่วงเวลาแห่งการดื่มด่ำเบียร์และเค้กจึงเริ่มต้น พร้อมกับการพูดคุยเรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่มีหัวข้อหนึ่งที่เราต่างให้ความสำคัญกับมัน

   “นาฬิกานี่...ยังไม่พังอีกเหรอ” ผมส่ายหน้าหลังได้ยินคำถาม

“มันเคยหยุดเดินไปหลายปี แต่เมื่อไม่นานมานี้กูเพิ่งเอาไปซ่อม”

“ไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บกับความทรงจำร้ายๆ หรือไง”

“ไม่เลย มันคือสิ่งดีๆ ที่เคยได้รับต่างหาก ขอบคุณสำหรับของขวัญนะไอ้เนย์ อาจจะช้าไปหลายปีเลยแต่กูอยากขอบคุณจริงๆ”

“รู้สึกดีขึ้นมาเฉย เพราะรอบนี้กูไม่ได้ซื้ออะไรให้”

“เค้กไง”

“นี่ไม่ใช่ของขวัญซะหน่อย”

“เป็นอาคเนย์ที่มีความสุขก็ถือเป็นของขวัญสำหรับกูแล้ว”

“โคตรเลี่ยน”

แล้วเสียงหัวเราะของเราก็ดังประสานกัน เออว่ะ กลายเป็นคนพูดอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมดับความเขินของตัวเองลงด้วยการเชื้อเชิญให้คนตัวเล็กดื่มเบียร์กระป๋องที่สาม จนเวลาเคลื่อนผ่านจากสามทุ่มเป็นสี่ทุ่ม ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอเล็กน้อย แต่กลับไม่มีใครยอมแพ้ไปซะก่อน

“อีกห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว”

“อือ...”

“นึกถึงตอนเป็นเด็กที่เคยส่ง SMS ให้เพื่อนในห้องตอนปีใหม่ คืนนี้เราลองส่งข้อความหากันแบบนั้นดูมั้ย”

“เล่นเป็นเด็กไปได้” ได้เนย์ขัดทันที

“ก็อยากเป็นเด็กอ่ะ”

“แต่มึงไม่มีเบอร์โทรกู”

“แล้วขอได้มั้ย” ไหนๆ ก็แหกกฎที่เคยตั้งมาเกือบทุกข้อแล้ว

“มือถืออยู่ในห้อง”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูไปเอาให้”

“ไม่ต้อง ไอ้บู! บู!” ด้วยไม่อยากรอฟังคำปฏิเสธผมรีบวิ่งไปยังห้องนอน คว้าเอาโทรศัพท์เคสดำของไอ้เนย์ไว้ในมือก่อนวิ่งกลับมายื่นให้คนตรงระเบียงด้วยสีหน้าคาดหวัง

“แลกเบอร์กัน”

“มึงแม่งบ้าไปแล้ว” ปากบ่นแต่ก็ยอมปลดล็อกโทรศัพท์อย่างง่ายดาย “อ่ะ เอาไปกดเบอร์เอง”

หัวใจผมเต้นตึกตัก กดนิ้วลงไปบนตัวเลขซึ่งปรากฏบนหน้าจอทัชสกรีน เชื่อหรือเปล่า แม้แต่วินาทีที่กำลังตัดสินใจกดโทรออกผมยังนั่งแทบไม่ติดพื้น

Rrrr...!

เสียงเรียกจากโทรศัพท์ของผมแผดเสียงร้อง และในที่สุดเราก็มีเบอร์โทรของกันและกัน

“ใกล้เคาท์ดาวน์แล้ว มานับถอยหลังกันเถอะ” อาคเนย์ตัดอารมณ์ตื่นเต้นถึงขีดสุดของผมลง สายตาเปลี่ยนจากหน้าจอมือถือไปเป็นท้องฟ้าสีดำสนิท

“สิบ...” พวกเราเริ่มนับเลขไปพร้อมกัน

เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่

สายตาสอดประสานนิ่ง ขยับริมฝีปากเอื้อนเอื่อยทีละคำ

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง”

ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง!

พลุมากมายมหาศาลถูกจุดเต็มฟ้า สะเก็ดไฟสีแดง ส้ม เหลือง กระจายตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีสันละลานตาดึงความสนใจของอาคเนย์ไปจนหมด ท้องฟ้าคืนนี้สวยกว่าคืนไหนๆ ก็จริง แต่ผมกลับไม่ทำอย่างนั้นนอกจากจ้องมองเสี้ยวหน้าของเขาอย่างเงียบเชียบ

บันทึกทุกภาพที่มองเห็นเอาไว้เพียงลำพัง

เวลาล่วงเลยเกือบสิบนาที ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยแสงไฟกลับมามืดสนิทอีกครั้ง ผมเลยใช้จังหวะนี้พิมพ์ข้อความส่งให้อีกฝ่ายในวันปีใหม่



บูรพา - 00.12
‘ผมนึกถึงตัวเอง...ตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้า
ถึงตอนนั้น คุณยังจะรักผมได้อยู่มั้ย’




ไอ้เนย์ก้มหน้าเปิดอ่านโดยไม่ยอมสบตากับผม เพราะมัวแต่พิมพ์อะไรบางอย่างยุกยิก ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นผมก็ได้รับข้อความจากเขา



อาคเนย์ – 00.16
‘นั่นอยู่ที่คุณ’


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 08-06-2019 01:59:48
ยิ้มออกบ้างแล้ววว ฮรื่ออออ ดีใจ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 08-06-2019 02:10:12
ร้องไห้อีกแล้ว แต่คราวนี้ร้องไห้เพราะซึ้งนะ ไม่ได้ร้องไห้เพราะเศร้าแล้ว
เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มจะเป็นไปในทางที่ดี
ชอบตอนที่บู make a wish แล้วขอให้อาคเนย์มีความสุข  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 08-06-2019 07:01:33
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-06-2019 08:19:56
จุกๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 08-06-2019 08:35:09
 :hao5:  :hao5: เปิดใจกันบ้างแล้วละ เรารู้น๊าาาาา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-06-2019 08:41:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

ที่อภัยที่ขอลาหยุดหนึ่งวัน 

เนื่องจากวางแผนแอบดูผลงานการเขียนของตนเองไปโลดแล่นเป็นซีรีย์ภาพเคลื่อนไหว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-06-2019 09:32:33
 :m31:ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เมื่อเนย์เริ่มมียิ้มที่สดใสให้บูรพา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-06-2019 14:34:37
 :katai3:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-06-2019 17:20:47
เป็นนิยายที่อ่านแล้วดำดิ่งมาก เคล้าน้ำตาตลอดเวลา แต่วางไม่ลง เอาใจช่วย คอยลุ้น ความเป็นไปของทั้งสองคนมาก หวังว่าในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการเยียวยา มีความทรงจำดีๆร่วมกันไปอีกนานๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 08-06-2019 19:26:57
อ่านอีกรอบ ตอนเค้าแลกเบอร์กันคือตื่นเต้นมาก เพราะเหมือนว่าต่อจากนี้มีโอกาสได้เจอกันอีก อาคเนย์จะไม่หายไปอีกแล้ว งืออ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 08-06-2019 21:00:45


         :impress3:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-06-2019 22:28:28
หวานไปจนจบเลยดีไหม  :hao3:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Happyjanjii ที่ 09-06-2019 00:28:23
 :impress2: เขาจะได้รักกันใช่ไหมคะ เราแอบหวังได้ใช่ไหม :mew2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 09-06-2019 08:40:26
ฮืออออออ  :hao5:  เขาแลกเบอร์กันแล้วววว โอ้ยยยนี่ดีใจเนื้อเต้นไม่ต่างจากบูเลย   :mc4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: chadomff ที่ 10-06-2019 21:57:20
 :hao5:ขอแค่เนย์ปล่อยว่างแล้วเริ่มต้นใหม่ แม้จะยากก็จะอยู่ข้างๆน้องเนย์
จะวันอังคารแล้วฮ้าบบบบบบบบบ ยังรอมาอัพทุกวัน :hao7: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 11-06-2019 20:48:03


CHAPTER 15
THE ONLY ONE



ขอโทษสำหรับทุกอย่าง
และขอบคุณที่ทำให้ผมรู้จักกับความรัก



   เพื่อนที่คณะแนะนำเพลงสำหรับฟังตอนอ่านหนังสือให้มีสมาธิอยู่หลายเพลง พอฟังวนซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อเลยเริ่มหาเพลงใหม่ๆ มาฟังแทน กระทั่งแอพพลิเคชั่นซาวน์คราวด์เปลี่ยนเพลงอัตโนมัติ ผมเลยมีโอกาสได้ฟัง Original Score ของหนังเรื่อง If Beale Street Could Talk เข้า

   ชีวิตคนเราพอต้องทำอะไรเดิมๆ กินอะไรเดิมๆ หรือฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ล้วนต่างรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา ทว่าเพลงนี้กลับไม่ใช่ความรู้สึกสูตรสำเร็จแบบนั้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้ฟัง ภาพของใครคนหนึ่งก็มักฉายชัดขึ้นมาในหัว

   ผมได้รู้จักความสวยงามของรัก พอๆ กับที่รู้จักผู้ชายชื่ออาคเนย์

   “เปิดเพลงนี้อีกแล้ว” ร่างบางซึ่งนั่งกดมือถืออยู่ตรงโซฟาบ่นพึมพำ

   “ชอบอ่ะ โรแมนติกดี”

   “ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

   “ยัง ยังรักได้มากกว่านี้อีก” ผมหมายถึงทั้งตัวตนของเขาและบทเพลง

   เดือนมกราคมผันผ่าน ชีวิตในแต่ละวันของผมกับไอ้เนย์ก็ไม่มีอะไรพิเศษนัก ทว่าผมกลับรับรู้ถึงคุณค่าในแต่ละวินาทีที่เรายังคงอยู่ด้วยกัน อาจไม่ต้องทำอะไรสุดโต่ง เพราะบางวันก็แค่อยากนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง หรือไม่ก็ตื่นขึ้นมากินนมพร่องมันเนยแล้วออกไปเรียน

   ช่วงวัยแห่งความโลดโผนถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่แสนสุขุม พอนึกย้อนกลับไปก็อดขำไม่ได้ว่าทำไมถึงได้หัวร้อนง่ายและใช้ชีวิตเสี่ยงตายซะขนาดนั้น

   “ขอนอนตักได้มั้ย” ผมขยับกายประชิดกับคนตรงหน้า ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองครู่หนึ่งก่อนหลับตาลงอย่างช้าๆ เป็นการตอบตกลง

   ชีวิตมันง่ายแค่นี้ แค่นี้จริงๆ

   อาคเนย์ขยับตัวนั่งจนชิดกับโซฟาด้านหนึ่ง แบ่งพื้นที่อีกสามส่วนให้ผม หลังทิ้งตัวนั่งผมจึงค่อยๆ เอนหลังลงนอน หนุนศรีษะลงบนตักของคนตัวเล็ก

   “ถ้าง่วงก็นอน” มันบอกเสียงเอื่อย กดมือถือยุกยิกต่อไปโดยไม่คิดสบตา

   “มึงทำอะไรอยู่”

   “ตอบข้อความไอ้ปราชญ์ แม่งเพิ่งไปก่อเรื่องมา”

   “ยังไง” เนย์ไม่ค่อยเล่าเรื่องของเพื่อนๆ หรือคนรอบตัวให้ผมฟังเท่าไหร่ แต่กับเรื่องของไอ้ปราชญ์ นานทีปีหนถึงจะได้ยิน

   “หักอกสาว” ผมร้องอ้อในใจ ก่อนคนพูดจะขยายความเพิ่มเติม “คนนี้ดีมากเลยนะ”

   “บางทีความดีอาจไม่ใช่เหตุผลหลักของความรักก็ได้” เพราะเรียนรู้ว่าบางความรู้สึกก็ไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดปลีกย่อยได้ว่าทำไม นอกจากจะลองกระโจนลงไปในห้วงของความไม่รู้ก่อน ถึงจะเข้าใจมันด้วยตัวเองในเวลาต่อมา

   “คงงั้นมั้ง”

   “มึงต้องไปอยู่เป็นเพื่อนไอ้ปราชญมั้ย”

   “ไปทำไม”

   “เผื่อมันเศร้าไง”

   “สรุปใครเพื่อนไอ้ปราชญ์กันแน่ กูหรือมึง เห็นห่วงมันจัง”

   “เปล่าแค่ถามเฉยๆ” ประโยคต่อมาขาดหาย ผมชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจบอกความจริง “แค่อยากรู้ว่าถ้ามึงไม่ต้องอยู่กับเพื่อน จะเป็นไปได้มั้ยที่มึงจะอยู่กับกู”

   “ที่นั่งอยู่นี่ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง”

   “แล้ววันเสาร์ล่ะ มึงว่างมั้ย” คนถูกถามก้มหน้ามอง แต่ไม่ยอมตอบคำนอกจากพยักหน้าให้ “งั้นไปบ้านกูกัน ไปลองขับรถดู”

   “อืม...”

   “เนย์”

   “อะไร”

   “อาคเนย์...”

   “มีอะไรก็พูดมา”

   “กูรักมึง”

   ผมพูดคำว่ารักอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะผ่านทางคำพูด การแสดงออก สีหน้าและแววตา รวมถึงการกระทำต่างๆ ตรงข้ามกับอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิงตรงที่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘รัก’ จากอาคเนย์เลย









   “สมุดบันทึกกูอยู่ไหน”

   “อยู่ที่กู ลองขับรถเสร็จแล้วจะคืนให้”

   “อืม”

   สมุดบันทึกที่ว่ามีหน้าปกเป็นสีขาว แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยหลังผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง มันมีเจ้าของชื่ออาคเนย์ ทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องบันทึกความทรงจำ แค่เปลี่ยนจากภาพและเสียงเป็นตัวหนังสือเท่านั้น

   พี่หมอแนะนำว่าควรมีการบันทึกจำนวนครั้งของการทดลอง รวมถึงสังเกตอาการและความรู้สึกหลังผ่านสภาวะที่ยากลำบาก ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของไอ้เนย์ที่ต้องถ่ายทอดมันออกมาเพื่อให้จิตแพทย์ได้หาแนวทางการรักษา

   “เนย์ แล้วนั่นมึงจะไปไหน รถอยู่นี่” ในทุกๆ สุดสัปดาห์ของการกลับบ้าน ทั้งผมและอาคเนย์จะใช้เวลาช่วงสองหรือสามชั่วโมงแรกไปกับการช่วยแม่เตรียมอาหารและนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

   เมื่อท้องอิ่มจึงค่อยเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นตามตารางที่แพลนไว้ ทว่าตอนนี้ไอ้ตัวเล็กกลับไม่ยอมเดินขึ้นรถ แต่กลับสาวเท้าไปอีกทางส่งผลให้ผมต้องตะโกนทักท้วงด้วยความสงสัย

   “กลับบ้าน”

   เจ้าตัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ขณะสองเท้ายังไม่หยุดเคลื่อนไหว

   บ้านหลังข้างๆ ซึ่งเป็นความทรงจำตั้งแต่เด็กจนโตของไอ้เนย์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่สภาพที่เห็นในตอนนี้ไม่เหมาะจะเดินเข้าไปด้วยซ้ำ

   “บ้านหลังนี้มีคนซื้อไปแล้ว มึงเข้าไปถือว่าบุกรุกนะ”

   “เหรอ” มันหันหน้ามาพลางฉีกยิ้มกวนๆ ใส่ “แล้วไงอ่ะ”

   “ได้เหรอวะ!”

   เห็นทีจะไม่ทัน ในเมื่อมันได้ทำการปีนป่ายรั้วจนสามารถเข้าไปภายในพื้นที่ดังกล่าวได้สำเร็จ แต่จะให้ผมยืนอยู่ด้านนอกก็คงทำไม่ได้เลยร่วมด้วยช่วยกันกระทำความผิด รีบปีนรั้วตามขึ้นไปในที่สุด

   สนามหญ้าหน้าบ้านที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้แห้งระแหง ผลัดเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นเหลืองอมน้ำตาลเนื่องจากไม่มีคนคอยรดน้ำดูแลเหมือนในอดีต

   “มานั่งนี่สิ” อาคเนย์ไม่ต่างจากเด็กน้อยในวันวาน มันวิ่งวนไปรอบๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงพื้นหญ้า พลางใช้มือตบพื้นปุๆ เป็นการเชิญชวน

   ผมไม่เคยขัดมันได้อยู่แล้วเลยทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวเล็ก กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ บ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังไม่มีคนอาศัยมาหลายปี แม้จะมีเจ้าของใหม่ซื้อไปแล้วแต่ผมก็ไม่เคยเห็นพวกเขาย้ายเข้ามาจัดการหรือทำความสะอาดเลยสักครั้ง

   “คิดถึงบ้านหลังนี้เหรอ” ริมฝีปากเปล่งคำถาม

   “ก็ไม่ได้เข้ามานานแล้ว ปกติเวลามากินข้าวบ้านมึงทีไรกูก็ไม่เคยแวะมา”

   “เมื่อก่อนแม่มึงปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้านด้วยกูจำได้” ควาทรงจำอันสวยงามผุดเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ “ส่วนมึงก็ชอบวิ่งเล่นอยู่แถวนี้”

   “จำแต่ของกู มึงก็ชอบเอาบอลมาเตะตรงสนามหน้าบ้านกูบ่อยๆ ไม่ใช่หรือไง”

   “ก็มึงบอกว่าเล่นได้ ตกใจสุดคือเผลอทำกระจกห้องนั่งเล่นแตกไปสองบานเลย”

   “สาม”

   “หืม”

   “สามบาน รวมที่มึงเอาหัวโหม่งลูกบอลฉลองปิดเทอมด้วย”

   “จำโคตรแม่น”

   “จะให้ลืมได้ไงวะ แม่เล่นด่าจนหูชาที่ไม่ยอมห้ามมึง กูนี่ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง” คิดถึงตอนนั้นแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ เออว่ะ ปัญหามันเกิดจากผมแต่ไอ้เนย์จะต้องตามเช็ดตามล้างทุกครั้งไป นึกๆ ดูแล้วชีวิตของผมล้วนมีมันอยู่ในทุกช่วงของวัยเด็กจนโตเป็นวัยรุ่นจริงๆ

   “กูนึกว่ามึงจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับกูไปแล้วซะอีก”

   “ถ้าความทรงจำมันลืมง่าย คงไม่มีใครเจ็บปวดเพราะมันหรอก” คนพูดค่อยๆ เอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ ปล่อยให้เส้นผม แผ่นหลัง และร่างกายสัมผัสกับพื้นหญ้าแห้ง สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้านิ่งงัน “แต่ก็ดีที่อย่างน้อยกูก็เคยทำเรื่องบ้าบอไปกับมึง”

   “เนย์ ขอถามมึงหน่อยได้มั้ย” ผมยังอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ภาพสะท้อนจากดวงตาถูกอีกฝ่ายดึงดูดไปทั้งหมด

   “อืม”

   “ตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกัน มึง...รักอะไรในตัวกู” แม้รู้ว่าโลกในวัยมัธยมไม่ได้กว้างมากก็จริง แต่ถึงยังไงเราก็ต้องเจอกับคนที่ถูกใจมาไม่มากก็น้อย ผมเลยอยากรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นบูรพาที่อาคเนย์หลงรัก ทั้งที่ผมเองนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีเหนือคนอื่นเลย

   “ต้องตอบว่ายังไงดี” เปลือกตาสีอ่อนปิดลง คล้ายกับไม่ต้องการให้ผมรับรู้ถึงความรู้สึกซึ่งอาจฉายสะท้อนให้เห็น“คงเป็นความคิดแบบเด็กๆ นั่นแหละ”

   “...”

   “มึงเป็นเพื่อนสนิท มึงเข้าใจกูทุกอย่าง เวลามีปัญหาอะไรถึงแม้ช่วยแก้ไขไม่ได้แต่ก็ไม่เคยหายไปไหน กูตกหลุมรักน้ำเสียง สีหน้าท่าทาง ความใส่ใจ ทุกอย่างที่เป็นมึงกูรักหมด”

“...”

“ความจริงแค่รักต่อให้มึงมีข้อเสียเป็นร้อยกูก็ยังมองว่ามันสวยงามอยู่ดี”

“ขอบคุณนะเนย์”

“ขอบคุณทำไม ความคิดแบบนั้นก็อยู่ได้แค่ตอนมัธยมเท่านั้นแหละ”

“แต่คงไม่ใช่กับกู” เมื่อวันหนึ่งที่ความรู้สึกของคนสองคนกลับตาลปัตร ไอ้เนย์เคยรัก ส่วนผมเพิ่งมารัก ผิดแค่ว่าจังหวะและโอกาสกลับไม่ตรงกันสักที

คนตัวเล็กไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองนอกจากนอนหลับตานิ่ง ปล่อยให้ความเงียบได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับผม ช่วงเวลาที่ได้นั่งมองใบหน้าขาวสะอาดอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องฝืนใจอะไร

นาฬิกาข้อมือบ่งบอกว่าเวลาได้ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทุกอย่างยังคงไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนไอ้เนย์จะจมลงสู่ภวังค์ พาตัวเองเข้าไปวิ่งเล่นในความฝันจนเผลอละเมอชื่อผมผะแผ่ว

“บู...บู...”

“มึงเป็นอะไรมั้ย” ผมอดไม่ได้เอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลุก

เปลือกตาสองข้างลืมขึ้น ดวงตาใสเคลือบหยดน้ำตาจนหัวใจสะท้าน หลังได้สติก็ไม่มีประโยคใดจากเจ้าตัวตอบกลับอีกนอกจากเม้มปากแน่นพลางลุกขึ้นยืน สองมือปัดเศษหญ้าตามกางเกงออกพัลวัน“ไปกันเถอะ”

   “เมื่อกี้โอเคใช่มั้ย มึงฝันร้ายหรือเปล่า”

   “เปล่า กูไม่ได้ฝันร้าย แค่หลับตาเฉยๆ แล้วก็จินตนาการ...แต่บังเอิญที่มันดันเป็นเรื่องของมึง”

   “แย่มากเลยเหรอวะ”

   คนฟังส่ายหัว ฉับพลันนั้นใบหน้าเรียบเฉยก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มให้เห็น

   “มันคือเรื่องที่ดี”

   ไม่ปล่อยให้ผมถามต่อกายบางรีบย่ำเท้าไปยังประตูรั้วไอ้เนย์เป็นคนคิดเร็วทำเร็ว บางครั้งผมก็ตามมันไม่ค่อยทันเท่าไหร่หรอกนอกจากวิ่งตามตูดเจ้าตัวต้อยๆ เหมือนเด็ก ผมชอบอาคเนย์ที่เป็นแบบนี้นะ ไม่เศร้าซึมกับทุกอย่างบนโลกตลอดเวลา ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชัง รู้จักยิ้มและหัวเราะจากใจจริงที่สำคัญยังรู้จักการให้อภัยตัวเองเมื่อเผลอทำผิดพลาดไปบ้าง

   ผมเองก็เช่นกัน...

   รถยนต์จอดสนิทบริเวณหน้าบ้าน เราหยุดยืนอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับ

“เดี๋ยวรอกูปรับเบาะก่อน” ปกติผมจะเป็นฝ่ายเตรียมความพร้อมทุกอย่างให้ไอ้เนย์ก่อนเสมอ ซึ่งการขับรถทุกครั้งเราจะนั่งซ้อนกันอยู่บนเบาะตัวเดียวเพราะไม่มีความกล้าพอที่จะปล่อยให้คนตัวเล็กมาเสี่ยง

   “บู...” แต่มือบางกลับเลื่อนมาจับต้นแขน ส่งสายตาบางอย่างซึ่งอ่านไม่ออกมาให้

   “หืม”

   “อยากลอง” ไอ้เนย์พูดอย่างหนักแน่น

   “หมายถึงอะไร กูไม่เข้าใจ”

   “กูอยากลองขับเอง”

   “ไม่ได้ มันอันตราย เกิดมึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง”

   “ที่ผ่านมากูก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หนิ”

   “มันยังไม่ถึงขั้นที่จะปล่อยมึงได้ รอก่อนได้มั้ย” หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมหรอก ผมพยายามนึกถึงหลักจิตวิทยาที่พอจะใช้ในการพูดกับคนไข้มากมาย ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยเสียงของคนตรงหน้าก็แทรกขัดซะก่อน

   เนย์รู้ดีว่าผมคิดอะไร รู้ว่าผมกลัวแค่ไหน มันถึงได้ทำอย่างนี้

   “ถ้ามัวแต่รอแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำล่ะ กูคิดว่าวันนี้ตัวเองพร้อมมากแล้ว”

   “มึงเชื่อกูเถอะ อย่าเพิ่งเลย”

   “แล้วมึงเคยเชื่อใจกูสักครั้งมั้ย”

   ผมพูดไม่ออก อาจจะจริงที่ผมรักเขามากเกินไปจนหลงลืมความเชื่อใจไปจนหมด อึดอัดเหมือนกันที่ในหัวเอาแต่คิดย้อนแย้งไปมา ผมอยากให้อาคเนย์หลุดพ้นจากความทรมาน แต่ขณะเดียวกันก็ยังกลัวว่าเขาจะไม่พร้อมกับการเผชิญหน้าด้วยตัวเอง

   ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาอาคเนย์มีบูรพามาตลอด พอวันหนึ่งได้ยินว่าเขาจะสู้มันด้วยตัวเองเลยอดเป็นห่วงไม่ได้

   “บู ตอนกูล้มมึงช่วยพลิกจักรยานกูขึ้นมา มึงคอยดันเบาะแล้วตะโกนบอกให้กูปั่นไปข้างหน้าด้วยตัวเอง และเพราะกูรู้ดีไงว่ายังไงมึงก็จะอยู่ตรงนี้ กูเลยไม่กลัวอะไรอีก”

   “อืม” คงถึงเวลาแล้ว ผลจะเป็นยังไงคิดว่าเขาคงยอมรับมันได้ทั้งหมด ผมเองก็ควรคิดแบบนั้นด้วย “มาลองดูสักตั้งเถอะ”

   ผมอยากเชื่อใจเขาให้มากกว่านี้ เหมือนที่เขาเองก็เชื่อใจยอมย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ชาตินี้เราไม่จำเป็นต้องเจอกันก็ได้

   “ต้องเปิดกระจกรถไว้ตลอดนะ” ทันทีที่คนตรงหน้าแทรกตัวเข้าไปภายในรถ ผมไม่ลืมเอ่ยกำชับตามหลัง อย่างน้อยความปลอดภัยก็ต้องมาก่อนเสมอ

   เบาะรถถูกปรับให้เข้ากับผู้ขับขี่ กระจกถูกลดระดับลง อาคเนย์คาดเข็มขัดนิรภัยอย่างแน่นหนา โดยมีผมยืนมองอยู่ด้านนอก รอจนวินาทีที่มือติดสั่นน้อยๆ เลื่อนไปกดปุ่มสตาร์ทระบบอวัยวะในร่างกายของผมก็เหมือนถูกเปิดสวิตช์ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ซึ่งกำลังทำงาน

   จังหวะการเต้นของหัวใจรัวกระหน่ำ การหายใจเริ่มถี่กระชั้น สองเท้าสั่นเทายืนแทบไม่มั่นคง นี่คืออาการที่อาคเนย์มักแสดงให้เห็นเมื่อนั่งหลังพวงมาลัย ทว่าตอนนี้ผมกลับเป็นซะเอง

   “มึงกลัวเหรอ” คนตัวเล็กหันมาถาม ไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของผมซีดเผือดขนาดไหน แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือเอ่ยบอกให้คนฟังสบายใจ

   “ไม่หรอก มึงนั่นแหละโอเคใช่มั้ย”

   “อืม” ใบหน้าขาวเรียบนิ่ง สองมือซึ่งจับพวงมาลัยไม่สั่นอีกแล้ว มีเพียงดวงตาคู่สวยเท่านั้นที่ไม่เคยโกหก ยังคงมีความกลัวปะปนอยู่ในนั้น

   คงไม่ทันแล้วใช่มั้ยหากจะบอกให้เขาหยุด ดังนั้นการเดินหน้าจึงเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่

   “ตอนที่ปล่อยรถให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่าเพิ่งเหยียบนะ ปล่อยมันไปเรื่อยๆ กูจะเดินตามเอง” ไอ้เนย์พยักหน้าเข้าใจกระทั่งเท้าขวาละจากเบรกล้อรถยนต์ทั้งสี่ก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า

   “โฟกัสถนนด้วย”

   คนบนเบาะกัดปากตัวเองแน่นจนเลือดซิบ เข้าใจแล้วว่าต้องทรมานมากแค่ไหนในการเผชิญหน้ากับความกลัว ผมย่างเท้าให้เร็วขึ้นตามรถ สายตามองเข้าไปยังคนขับเพื่อสังเกตสีหน้าท่าทางไปพร้อมกัน

   “นั่นแหละดีแล้ว” คำชมเชยถูกส่งตรงให้คนตัวเล็ก

   เบื้องหน้าเป็นถนนภายในหมู่บ้าน โชคดีที่เวลานี้ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาแม้แต่คันเดียว ความกังวลจึงถูกตัดทิ้งไปแล้วเรื่องหนึ่ง เมื่อระยะทางโดยคร่าวซึ่งกะจากสายตาผ่านไปแล้วประมาณหนึ่งร้อยเมตร คำสั่งที่สองจึงถูกส่งต่อ

   “คราวนี้ลองเหยียบคันเร่งดู รักษาระดับไว้ไม่เกิน 30กม./ชม. ไหวมั้ย”

   “จะ...จะลองดู”

   เหงื่อเริ่มผุดพรายตามกรอบหน้าเล็ก ไอ้เนย์พูดเสียงกุกกัก แต่ทั้งสายตา สองมือ และเท้าขวายังคงทำงานประสานกันเป็นอย่างดี

   ความเร็วของรถเพิ่มขึ้น สองเท้าของผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังเขา

   “เก่งมากอาคเนย์”

   “กู...”

   “เป็นอะไรมั้ย ถ้าไม่ไหวมึงหยุดได้นะ” เอ่ยพูดปนหอบจบอีกฝ่ายกลับส่ายหัว

   “กูคิดว่ากูทำได้ กูไม่กลัวอีกแล้ว กูไม่กลัวอีกแล้ว...มึงเชื่อใจกูใช่มั้ย” อาคเนย์หันหน้ามาประสานสายตากับผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเปลี่ยนไปจดจ่อกับภาพตรงหน้าต่อ ทว่าผมรู้ดีเขายังรอฟังคำตอบจากผมอยู่

   “กูเชื่อมึง”

   “งั้นกูขอก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเองได้มั้ย”

   “ได้แล้วล่ะ...”

   สิ้นสุดประโยคนั้นรถยนต์ซึ่งขับคู่ขนานกับการวิ่งของผมก็ถูกเร่งความเร็วขึ้นจนทิ้งระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่ ผมวิ่งตามหลังรถ วิ่งจนกว่าจะไม่ไหวและหมดแรง

   ไกลขึ้น ไกลขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มตามไม่ทัน

“นั่นไง ทำได้แล้ว!” ผมตะโกนตามหลัง ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่เคยบอกกับเขาเมื่อครั้งยังเด็ก อาคเนย์กำลังเติบโตไปอีกขั้นหลังจากต้องเจ็บปวดจากการล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง

   ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ผมสอนเขาปั่นจักรยาน

ผมสอนเขาขับรถยนต์

แต่เขาสอนผมมากกว่านั้น

สองเท้ายังคงวิ่งย่ำไปข้างหน้า ภาพต่างๆไหลวนในหัวไม่ว่าดีหรือร้าย น้ำตามากมายไหลอาบดวงตา จำไม่ได้แล้วว่าเคยร้องไห้หนักที่สุดตอนไหน มันมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วนทว่านี่คือครั้งแรก...

ครั้งแรกที่ร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ

ผมมาส่งเขาถึงจุดหมายแล้ว

บูรพามาส่งอาคเนย์ตามสัญญาแล้ว

มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว หากอาคเนย์ต้องจากไป วันใดวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาผมมั้ย



อ่านต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 11-06-2019 20:49:53


   อาคเนย์ใกล้เรียนจบปีสาม ส่วนผมต้องเตรียมตัวสำหรับชีวิตปีห้าที่โคตรจะอาศัยความทรหดมหาศาล เราเลยไม่ค่อยมีเวลาออกไปข้างนอกเท่าไหร่นอกจากเจอกันในช่วงเย็น ส่วนช่วงสุดสัปดาห์หากมีเวลาพอผมก็จะพาเขาไปที่บ้านเพื่อฝึกขับรถ จนช่วงหลังมานี้เขาสามารถขับรถไปรับส่งผมจากบ้านถึงคอนโดได้

   ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งทั้งผมและเนย์จะสลัดทิ้งความทรมานในอดีตไปได้ด้วยกัน ไม่มีใครต้องฝันร้าย ไม่มีใครต้องเจ็บปวดและติดแหงกกับความทรงจำย่ำแย่ในวันวาน แต่ละวันที่ผันผ่านจึงมีแต่การเริ่มต้นและเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่

   “บู ทำไมวันนี้กลับเร็วจังวะ”

   ประตูห้องเปิดออก ฉุดให้ผมรีบหันไปมองยังต้นเสียง ก่อนจะเห็นไอ้เนย์พยายามถอดรองเท้าไว้ตรงชั้นวาง ส่วนผมกำลังแยกเสื้อผ้าที่เพิ่งได้รับจากแม่บ้านออกมาจัดระเบียบ ของไอ้เนย์อยู่ตะกร้าสีฟ้า ส่วนของผมเป็นสีขาว ตัวไหนที่รีดแล้วจะถูกแขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อเสร็จสรรพ เหลือก็แค่จับยัดใส่ตู้

   ไอ้เนย์มีเสื้อช็อปวิศวะสองตัว หนึ่งคือที่มันใส่อยู่ กับสองอยู่ในมือผม

   “เพื่อนมันไม่ได้นัดไปไหนต่อเลยแยกย้ายอ่ะ มึงกินไรมายัง”

   “ยังเลย”

   “งั้นออกไปกินข้างนอกมั้ย หรือจะสั่งรูมเซอร์วิสดี”

   “โทรสั่งก็ได้ วันนี้เหนื่อยว่ะ ไม่อยากออกไปไหนเท่าไหร่”

   “โอเค งั้นขอกูเอาผ้าไปเก็บก่อนเดี๋ยวจัดการให้”

   “ไม่ต้องๆ เอาของกูมานี่ ส่วนมึงก็เก็บของตัวเองไป” ผมพยักหน้าเข้าใจ ยื่นเสื้อผ้าบนไม้แขวนส่งให้คนตัวเล็ก ก่อนแยกย้ายห้องใครห้องมัน

   ด้วยช่วงหลังมานี้เราไม่มีเวลาทำอาหารง่ายๆ ทางออกจึงมีแค่การโทรสั่งเท่านั้นเพราะค่อนข้างสะดวกและมีเวลาสำหรับทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

   “ใกล้จบเทอมนี้แล้ว คิดหรือยังว่าจะไปฝึกงานที่ไหน” บทสนทนาบนโต๊ะกินข้าวเริ่มขึ้น เด็กวิศวะส่วนใหญ่ก็มักมีบริษัทที่ตัวเองอยากหาประสบการณ์เยอะแยะไปหมด แต่ผมคิดว่าไอ้เนย์อาจจะอยากได้บริษัทใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ มากกว่า

   “ตอนนี้ยังไม่ชัวร์ กูส่งใบสมัครไปหลายที่อยู่เหมือนกัน”

   “ใกล้จะได้เป็นนายช่างใหญ่แล้ว”

   “ตอนนี้ไม่ได้อยากเป็นนายช่างสักหน่อย”

   “โอเคมึงอยากเป็นอาจารย์ แต่นึกๆ ดูก็ใช้เวลาหลายปีเลยนะกว่าจะทำสำเร็จ”

   “กูไม่ได้สนใจแค่ปลายทางสักหน่อย ระหว่างทางก็ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ว่าแต่มึงเถอะ จบหมอแล้วจะเอายังไงกับชีวิตต่อ” อาคเนย์โยนคำถามกลับมายังผม

   “ก็...คิดว่าหลังใช้ทุนเสร็จจะกลับมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลมหา’ลัยน่ะ ที่นี่มีเคสยากๆ เยอะเลย อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มบ้าง แต่ถ้ามีพลังเหลืออยู่ก็คงตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อ”

   “อนาคตถึงแม้จะวางแผนไว้แล้วแต่อะไรก็ไม่แน่นอน วันนี้มึงอาจชอบอย่างหนึ่ง วันข้างหน้าก็อาจจะเปลี่ยนใจ ถึงตอนนั้นไม่ต้องคิดหรอกว่าต้องทำยังไง แค่เลือกในสิ่งมึงมีความสุขก็พอ”

   “มึงก็เหมือนกัน”

   บทสนทนาบนโต๊ะอาหารจบลง ชีวิตเรียบง่ายยังคงดำเนินต่อ หนึ่งวันไม่มีอะไรตื่นเต้นมากนักแต่ผมมีความสุข มีความสุขดีที่ได้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในหนึ่งวันและทำมันสำเร็จ เช่น การล้างจาน ไม่ก็จัดโต๊ะหนังสือ

   “เนย์ นอนหรือยัง” หรือแม้แต่ตอนดึกผมก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เคาะประตูห้องเขา ทำเสียงอ้อนๆ เหมือนที่เคยทำจากนั้นก็ก้าวเท้าไปประชิดกับขอบเตียงที่ซึ่งมีคนตัวเล็กนอนหันหลังอยู่ตรงนั้น

   “มีอะไร”

   “คืนนี้ขอนอนกอดมึงได้มั้ย”

   “ฝันร้ายเหรอ” กายบางพลิกตัวกลับมา ความมืดทำให้ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ถ้าจับจากน้ำเสียงเรียบนิ่งก็พอจะรู้ว่ามันไม่ได้โกรธที่ผมเข้ามาทำลายความสงบสุขถึงในห้อง

   “เปล่า แค่อยากนอนกอดมึง”

   “แล้วถ้ากูไม่อนุญาตล่ะ”

   “ก็ไม่ว่าอะไร”

   “กูจะได้อะไรตอบแทนบ้าง คำขอนี่มึงได้อยู่ฝ่ายเดียว”

   “พรุ่งนี้กูล้างจานเอง”

   “โอเค ดีล” ผมแทบหลุดหัวเราะหลังได้ยินคำว่า ‘ดีล’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

   อาคเนย์ขยับตัวไปอีกฟากหนึ่งของเตียงเพื่อให้ผมสามารถคลานตามขึ้นมาขอแชร์พื้นที่ที่เหลือบนเตียงมีหมอนสองใบ แต่ผมกลับพยายามเบียดเบียนคนตัวเล็กด้วยการขอแชร์หมอนใบเดียวกับเขา

   เราใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ มันเลยอดไม่ได้รั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน กลิ่นของเขา ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทุกตารางผิว กับเส้นผมนุ่มนิ่มชวนสัมผัส ทุกอย่างรวมกันเป็นอาคเนย์ คนที่ผมหลงรักจนหัวปักหัวปำ

   “เนย์...กูรักมึง”

   ประโยคเดิมๆ พร่ำบอกกับคนเคียงข้างนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ยินคำว่ารักตอบกลับสักครั้ง

   “ที่มึงเคยพูดว่าวันหนึ่งกูจะเจอคนที่ใช่ ไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่กูอยากแต่งงานกับใครคนหนึ่งที่รักจริงๆ”

   “...”

   “อยากอยู่กับเขา ใช้ชีวิตเรียบง่ายไปด้วยกันจนแก่ แล้วแต่ละวันก็ไม่ต้องทำอะไรมาก หลังกลับจากงานเราแค่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน ดูทีวีรายการสนุกๆ สักชั่วโมง จากนั้นก็เข้านอนบนเตียงหลังเดียวกัน”

   “...”

   “กูแค่อยากกอดเขา กดจูบบนหน้าผาก เอ่ยบอกรักด้วยประโยคซ้ำซากแต่เขาก็ยินดีจะฟังมันอย่างไม่เบื่อหน่าย” เมื่อนึกถึงอนาคตวันข้างหน้าทีไร ชีวิตผมก็มีความหวังส่องสว่างขึ้นมาเสมอ “กูไม่อยากมีลูกแต่อยากอยู่กับเขาคนนั้นสองคน ไม่ต้องรวยจนซื้อของแพงได้ไม่จำกัด ขอแค่อยู่ในห้องหรือบ้านหลังเล็กๆ ก็มีความสุขแล้ว”

   “หวังน้อยจังวะ” หลังได้ยินความฝันจากเบื้องลึกของผม น้ำเสียงอู้อี้ของอาคเนย์ก็แทรกขึ้น

   “ไม่น้อยหรอก จริงๆ หวังมากไปด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งที่ได้มายากที่สุด”

   “...”

   “เนย์ มันจะต้องมีวันนึงที่มึงตัดสินใจไปจากกูใช่มั้ย” ผมพูดพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ไม่อยากปล่อยเลย...

   “กูยังมีความฝันที่ต้องทำอีกเยอะเลยบู แต่ถ้าวันนึงที่กูรู้สึกว่าเรื่องของมึงเป็นความฝันที่กูอยากทำมากที่สุด เราอาจกลับมาเจอกันก็ได้”

   “รอนะ” ไม่ได้ขอให้สัญญา แต่แค่อยากบอกกับเขาอย่างที่ใจรู้สึกจริงๆ

   “อย่ารอเลย”

   “กูจะรอ ถึงแม้วันนั้นมึงจะเจอคนที่มึงรักกูก็ไม่เป็นไร”

   เพราะรู้แล้วว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเอง มันคือการที่ได้เห็นคนที่รักยังยิ้มได้มากกว่า









   กลางเดือนมิถุนายนอากาศยังคงร้อนอบอ้าวเพราะฝนไม่ตก

   ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงครู่ใหญ่ก่อนลากสังขารพาตัวเองไปยังห้องน้ำ จัดการล้างหน้า แปรงฟัน พร้อมกับเลือกเสื้อกาวน์สั้นที่อยู่ในตู้ขึ้นมาสวม

   อาหารเช้ายังไม่ได้เตรียม แต่มันคงเป็นอะไรง่ายๆ ที่ผมและไอ้เนย์ชอบนั่นแหละ

   แกรก!

   ประตูห้องถูกผลัก ภาพแรกที่เห็นคือร่างบางของใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดไปรเวทกำลังยืนรออยู่ตรงห้องนั่งเล่น ความจริงมันคือภาพเดิมๆ ที่ผมมักเห็นเป็นประจำ ทว่าครานี้แตกต่างกว่าทุกวันตรงที่ข้างกายของเขามีกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งวางอยู่ด้วย

   กระเป๋าใบเดิมกับที่อาคเนย์ลากเข้ามาในห้องเมื่อหนึ่งปีก่อน

   “เนย์ เอากระเป๋าออกมาทำไม” คิดไม่ออก คำถามเดียวที่ส่งถึงเขาได้คงมีแค่นี้

   “กูจะไปฝึกงาน”

   “ที่ไหน” เสียงเริ่มสั่นเครือ ขอบตาร้อนผ่าว

   “สิงคโปร์”

   “ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ใช่แล้ว”

   น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คนตัวเล็กก็เช่นกัน

   “แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”

   “ไม่รู้สิ แต่คิดว่าตอนนี้...คงต้องไปสักที”

   “...”

   “มึงให้กูไปได้มั้ยบู”

   เพิ่งเข้าใจแล้วว่าร้องไห้โดยไม่มีเสียงสะอื้นเป็นยังไง มันราบเรียบ ไม่ได้ฟูมฟาย แม้มีความเจ็บปวดปะปนอยู่เล็กน้อยทว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจ

   ผมไม่รู้หรอกว่าจะมอบอะไรให้เขาได้ นอกจากรอยยิ้มและคำอวยพร

   “ได้สิ โชคดีนะ”

   “เหมือนกัน ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา”

   “เนย์ กูรักมึง”

   และผมไม่เคยได้คำตอบจากเขา จวบจนกระเป๋าล้อลากครูดไปกับพื้นห้อง ร่างของใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป หนึ่งเซนติเมตร สองเซนติเมตร สามเซนติเมตร...

   สิ่งสุดท้ายที่ได้รับก่อนปิดประตูลง นั่นคือรอยยิ้มทั้งน้ำตาของอาคเนย์

แข้งขามันอ่อนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ผมทรุดตรงลงตรงโซฟา ซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วใช้เวลาทั้งหมดไปกับการร้องไห้ เขาจากไปแล้ว แต่อย่างน้อยความทรงจำระหว่างเราก็ยังอยู่ และผมไม่เสียใจที่มันเคยเกิดขึ้น

เพลง If Beale Street Could Talk บรรเลงขึ้นในหัว เพลงเดิมที่มักฟังเพื่อนึกถึงเขา

อาคเนย์ไม่ได้จากไปตัวเปล่า

แต่ทิ้งข้อความบางอย่างเอาไว้ เป็นสมุดบันทึกเล็กๆ เล่มแสนคุ้นตา ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านด้วยมือสั่นเทา

แค่เห็นแว๊บแรกก็รู้ได้ในทันทีว่าสิ่งนี้มีไว้สำหรับบันทึกความรู้สึกของอีกฝ่ายหลังต้องเผชิญหน้ากับการขับรถด้วยตัวเอง

   บันทึกแต่ละหน้าคือจำนวนครั้งที่เขาต้องต่อสู้กับความทรมาน ตัวหนังสือมหาศาลจึงถ่ายทอดทุกอย่างทั้งหมด ผมเปิดอ่านทีละหน้าแม้สายตาจะพร่ามัวเต็มที ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจทุกอย่างถ่องแท้ ทุกเสี้ยวของอาคเนย์ที่ไม่เคยบอก ไม่เคยอธิบาย วันนี้ผมรับรู้มันทั้งหมด

   กระทั่งเปิดมาที่หน้าหนึ่ง หน้าที่ฉุดให้ผมจมจ่อมอยู่เนิ่นนาน

   วันที่อาคเนย์ขับรถได้ครั้งแรก



   ร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต น้ำตาไหลไม่หยุด มันไม่ได้เกิดจากความเสียใจแต่เป็นความดีใจท่วมท้น

   แขนและขาสั่นเทา กัดปากจนได้กลิ่นคาวเลือด น้ำตามากมายไหลอาบน้ำ แต่ยังไม่ยอมหยุดรถ ตรงข้ามกลับเหยียบคันเร่งขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้ไปให้ไกลกว่าเดิม

   ไม่มีความกลัวอยู่ในใจอีกแล้ว มีแต่ความภูมิใจที่สามารถผ่านเรื่องยากที่สุดไปได้อีกเรื่อง

   ด้านหลังกระจกมองเห็นใครคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ถึงระยะทางระหว่างเราจะห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ก็จำได้ดี นั่นรักแรกของผม เพื่อนคนแรก คนที่เป็นทุกอย่างตั้งแต่เด็กยันโต

   เขาสอนผมปั่นจักรยาน สอนผมขับรถยนต์ สอน...ให้รู้ว่าความรักสามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำๆ แม้เราจะบอกว่าเลิกศรัทธากับมันไปนานแล้วก็ตาม

   ครั้งหนึ่งผมเคยตั้งคำถามว่าคนเราจะสามารถกลับมารักคนคนเดิมที่เคยรักได้มั้ย ตอนนี้คงได้คำตอบแล้ว...

   ผู้ชายที่ชื่อบูรพา

   รู้คำตอบของคำถามนี้ดี เพราะเรามักใจตรงกันเสมอ


   

   ข้อความจบลงเพียงเท่านี้

ผมร้องไห้หนักกว่าเก่า พอๆ กับความรู้สึกหนึ่งที่เอ่อล้นจนทรมาน

รัก

   ผมรักอาคเนย์

   รักอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ไม่เคยเสียใจที่จุดจบของการเดินทางเป็นเพียงการจากลา เพราะตระหนักได้แล้วว่าครั้งหนึ่ง...ผมเคยมีความรักที่งดงามเพียงใด









   

   6 ปีต่อมา...

วันซวย

ตอนรีบๆ มักจะเจองานเข้าอยู่เสมอทว่าวันนี้หนักหน่อยตรงที่ยางรถเกิดแตกกะทันหัน ผมเลยเผลอขับรถหักหลบจนชนเสาไฟฟ้าเข้า ดีที่ไม่เป็นอะไรเพราะสามารถประคองพวงมาลัยรถอย่างมีสติ หลังประเมินความเสียหายจากสายตาแล้ว จึงรีบโทรเรียกประกันให้มาจัดการโดยเร็ว

   Rrrr..!

   โทรศััพท์แผดเสียงร้อง ผมล้วงมือควานหาในกระเป๋าก่อนจะเห็นชื่อเพื่อนร่วมงานปรากฏอยู่บนหน้าจอ

   “บูรพาครับ”

   [อยู่ไหนแล้ว ทุกคนรอคุณอยู่]

   “ขอโทษที พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย กำลังจะไปแล้วครับ”

   แทบไม่รอฟังปลายสายตอบกลับผมก็รีบกดวางขณะสองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ระยะทางจากตรงนี้ไปโรงพยาบาลไม่ไกลนัก แต่ในเวลาเร่งด่วนขนาดนี้อาจไม่ทัน เลยต้องพึ่งพามอเตอร์ไซค์รับจ้างซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน

   ผมยืนอยู่ตรงฟุตบาธฟากหนึ่งเพื่อรอสัญญาณไฟ

   กระทั่งไฟเขียวปรากฏ จึงไม่รอช้าย่ำเท้าเดินไปบนทางม้าลายพร้อมกับผู้คนมากหน้าหลายตา ส่วนมากก็จะเป็นนักศึกษามหา’ลัยที่ผมทำงานอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่กำลังกวาดตามอง ผมจะสังเกตเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินปะปนกับผู้คนอยู่เบื้องหน้า

   เขาโดดเด่นกว่าใครๆดวงตากลมโต ริมฝีปากจิ้มลิ้ม กับจมูกโด่งรั้นราวกับคนดื้อ ยังจำได้ไม่มีวันลืม...

   หนึ่งก้าว

   สองก้าว

   สามก้าว...

อาคเนย์

   เขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าและกำลังขยับเข้าใกล้ผมทีละน้อย

ในที่สุดสายตาของเราก็ประสานกันโดยบังเอิญต่างคนต่างทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรไม่ออกไม่มีรอยยิ้มให้กัน ไม่มีการก้มหัวหลบหลีก เราแค่มอง...มองดูอยู่เฉยๆ พร้อมกับเท้าสองคู่ที่ยังไม่หยุดก้าวเดิน

ในระยะที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินสวนกันเราทำได้แค่มอง...

และเดินผ่านไป

มันคงไม่มีใครรู้สึกดีแน่ถ้าต้องเริ่มต้นใหม่กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาและไม่ไปไหนสักที

แต่สำหรับเรื่องของบูรพากับอาคเนย์ เรากลับไม่อยากไปไหน

ไม่ได้อยากให้เป็นหนังที่จบแบบ Happy Ending

แต่อยากให้มันเป็นหนังที่ฉายซ้ำ วนไปวนมาไม่รู้จบต่างหาก

อาคเนย์กลายเป็นบุคคลสูญหายไปหลายปีแต่ผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อทำตามความฝันให้สำเร็จ วันนี้เขากลับมาแล้ว

กลับมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างทั้งการแต่งตัวและทรงผม ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมและไม่เคยเปลี่ยนไปก็คือ...เขาไม่เคยทิ้งแหวนวงนั้น แหวนที่ผมเคยมอบให้ในวันเกิดเมื่อหกปีก่อน

ขอบคุณที่สวมมันไว้บนนิ้วของคุณ

อาคเนย์...

ผมรักเขา รักเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักได้


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-06-2019 21:33:22
อ่านไปน้ำตาไหลไป ความรักทั้งสองคนมันสวยงามด้วยเจ็บปวดด้วย หวังว่าสุดท้ายจะสามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 11-06-2019 22:30:18
 :pig4: ต่างก็รักกัน แต่ไม่ยอมใช้ชีวิตร่วมกัน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-06-2019 22:58:17
สุดท้ายคงมีความรู้สึกดี ๆ เหลือไว้ในใจทั้งสองคน  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 11-06-2019 23:19:13
อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากๆนะคะที่แตรงจนจบเราร้องให้กับพี่บูเยอะมากและสงสารน้องเนย์สุดๆ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งเราไว้กลางทางค่ะเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-06-2019 00:09:29
น้ำตาไหลได้ตลอดสิน้า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 12-06-2019 03:49:01
If Beale Street could talk, it would say "I love you"
ตามไปฟังเพลงแล้วเจอเม้นนี้ รู้สึกว่ามันเข้ากับตอนนี้จัง
บางทีเรื่องราวมันจะไปจบยังไงมันไม่สำคัญเท่าเราได้อะไรมาระหว่างการเดินทาง

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-06-2019 04:40:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 12-06-2019 08:10:07
 :sad4:   ไม่จริ๊งงงงงง…


มันไม่ได้จบแบบนี้ใช่ไหม!?    :sad2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-06-2019 13:31:49
มันจะต้องมีวันที่เส้นขนานมาบรรจบกันแน่ ๆ ในเมื่อยังมีความรู้สึกดี ๆ ให้กันอยู่แบบนี้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Jittirain12 ที่ 12-06-2019 19:56:01


EPILOGUE



เวลาไม่อาจเดินถอยหลัง
มีเพียงการเดินหน้าเท่านั้นที่เราจะได้กลับมาพบกันอีก



   “อ้าวคุณหมอ เพิ่งออกเวรมาเหรอครับ”

   บาริสต้าหนุ่มสายติสต์ทักทายด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปภายในคาเฟ่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ โรงพยาบาล

   “ใช่ รู้ได้ไงเนี่ย”

   “ตาหมอแม่งโคตรแพนด้า”

   ผมหัวเราะ เงยหน้ามองป้ายเมนูบนฝาผนังซึ่งถูกเขียนด้วยชอล์ก มันค่อนข้างอ่านยากแต่คิดว่านี่อาจกลายเป็นซิกเนเจอร์ประจำร้านไปแล้วก็ได้

   ชีวิตในวัยสามสิบของผมไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็จะง่วนอยู่กับการทำงาน อยู่เวร และเมื่อมีเวลาว่างก็มักจ่ายมันไปกับการนอนโง่ๆ อยู่ที่ห้องเนื่องจากไม่ค่อยได้นอนเต็มอิ่มเท่าที่ควร

   “ขอเหมือนเดิมแล้วกัน”

   “นึกว่าหมอจะอยากกินเมนูใหม่ เห็นจ้องซะนานเชียว”

“ที่จ้องนานคืออ่านไม่ออกเว้ย เปลี่ยนใหม่บ้างเถอะ หรือไม่ก็ให้เด็กที่ร้านมาเขียนก็ได้”ผมแนะนำเป็นทีเล่นทีจริง รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวคงไม่เปลี่ยนหรอก ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อคนฟังส่ายหน้าหวือ

“ไม่ดีหรอก เปลี่ยนก็ไม่คูลสิ”

“โอเค ที่เป็นอยู่คูลที่สุดแล้ว”

“ประชดเก่ง เมื่อยมั้ยครับ หมอนั่งรอก่อนได้เลยนะ”

   พูดจบเขารีบหมุนตัวไปจัดการเครื่องดื่มตามที่ได้รับออเดอร์ทันที

   ตั้งแต่เริ่มทำงานอาหารการกินและชีวิตประจำวันของผมจะเป็นไปในรูปแบบที่ค่อนข้างจำเจ น้อยครั้งมากที่จะกล้าลองหรือเปลี่ยนแปลงมัน อย่างเครื่องดื่มบาริสต้าคนสนิทก็มักรู้ดีว่าช่วงเช้าผมชอบดื่มกาแฟ ส่วนช่วงเย็นในวันเลิกเวรเมนูเดียวที่สั่งคือนมน้ำผึ้งปั่น

   กินแล้วความคูลหายหมด แต่จะให้จัดกาแฟหนักๆ ก็ไม่ไหวเพราะพอกลับถึงห้อง กินข้าวเย็นเสร็จเมื่อไหร่ผมก็หลับเป็นตาย

คิดดูแล้วกัน คนคนหนึ่งต้องเริ่มทำงานตอนเจ็ดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็น จากนั้นก็อยู่เวรต่อตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน แทนที่จะได้พัก ไม่! ผมต้องทำงานลากยาวต่อจนกว่าจะหมดเวลาราชการ

   และก็เป็นอย่างที่เห็น โทรมเป็นศพเดินได้เลย

   ผมกวาดตามองหาที่ว่าง เวลานี้มักคลาคล่ำไปด้วยหมอ พยาบาล รวมถึงนักศึกษาที่พากันมานั่งอ่านหนังสือดังนั้นเลยไม่มีที่พอให้นั่งรอ จะเหลือว่างอยู่ที่เดียวก็ตรงบาร์ตัวยาวซึ่งมีเก้าอี้ว่างอยู่แต่กลับไม่กล้าเข้าไปรบกวน

   “นั่งได้นะหมอ คุณคนนั้นค่อนข้างสนิทกับผม” ไอ้บาริสต้าบอกราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

   “ไปสนิทกันตอนไหน”

   “ไม่นานครับ เขาเป็นอาจารย์ใหม่ สอนเด็กวิศวะน่ะ”

   “อ้อ”

   พยักหน้ารับรู้ให้เสร็จผมก็ตรงดิ่งไปยังบาร์ไม้ สะกิดไหล่ของผู้ชายในเชิ้ตขาวซึ่งกำลังหันหลังให้เบาๆ ก่อนอีกฝ่ายจะรีบถอดหูฟังออกพลางหันมาเผชิญหน้า

   “ครับ?”

   เวลาของผมหยุดหมุนซะดื้อๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยที่สุดในความทรงจำเข้า

   แค่วินาทีแรกที่เขาหันหน้ามาผมก็รู้ได้ในทันที ดวงตาของเขาไม่เหมือนใคร ริมฝีปากได้รูปกับจมูกรั้นๆ ราวกับคนดื้อนั่นก็ด้วยโลกนี้มีเรื่องบังเอิญที่ทำให้ต้องตกใจไม่น้อยเลย

   “ที่...ที่นั่งตรงนี้ยังว่างอยู่หรือเปล่าครับ” คำถามซึ่งค่อนข้างตะกุกตะกักส่งถึงเขา

   “อ๋อ ว่างครับ คุณนั่งได้เลย”

   “ขอบคุณมากครับ” หลังได้รับอนุญาตผมก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูง ขณะสายตาลอบมองการกระทำของอีกฝ่ายไปด้วย เขากำลังให้ความสนใจกับหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ และกระดาษหน้านั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยของปากกาไฮไลท์จนไม่เหลือที่ว่าง

   สมกับเป็นอาจารย์อย่างที่ไอ้คุณบาริสต้าบอกจริงๆ

   ตลอดหกปีที่ไม่เจอกัน มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาและอยากถามเขา ทว่าพอเอาเข้าจริงกลับพูดไม่ออก นอกจากมองนาฬิกาเรือนเก่าที่เขาเคยซื้อให้เมื่อนานมาแล้วนิ่งงัน

   ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก...ต่อก

   เงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีวิ่งวนบนหน้าปัด

   รอบข้างแทบไม่มีผลกับความรู้สึก ผมสนใจแค่เขา คนที่กลับมานั่งเคียงข้างกันด้วยความบังเอิญ

   “เอ่อ...เพิ่งออกเวรเหรอครับคุณหมอ”

   ประโยคนั้นดังก้องในโสตประสาท ผมหันขวับไปยังต้นเสียง หัวใจเต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดเลยว่าในระหว่างที่กำลังรวบรวมความกล้าเพื่อพูดอะไรสักอย่าง คนตัวเล็กกลับเป็นฝ่ายทักทายซะก่อน

   ที่สำคัญเขาไม่ได้เรียกชื่อผม แต่กลับเรียกอาชีพแทนตัวมากกว่า

   “ใช่ครับ”แล้วผมล่ะจะพูดอะไรต่อดี มันประหม่าไปหมด คนที่ไม่ได้เจอกันมาหกปีต้องทักทายด้วยประโยคอะไร“ส่วนอาจารย์...ก็เพิ่งสอนเสร็จเหรอครับ”

   ในที่สุดผมก็เค้นประโยคหนึ่งออกมาจนได้

   ตื่นเต้นจนไม่รู้ต้องอธิบายว่ายังไง ยิ่งในจังหวะเดียวกับที่สองหูได้รับการตอบกลับ ทุกอย่างข้างกายพลันหยุดชะงักไปอีกรอบ

   “ครับ ผมเพิ่งเริ่มต้นสอนนักศึกษาได้แค่อาทิตย์เดียวเอง”

   “เด็กๆ รักคุณมั้ย”

   “พวกเขาคิดว่าผมเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ แทบลูบหัวกันแล้ว”

   “คุณหน้าเด็ก ไม่เหมือนคนอายุสามสิบเลย”

   แล้วเขาก็เงียบ รับฟังเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองนอกจากหันไปให้ความสนใจกับหนังสือต่อจนผมอยากตีปากตัวเอง ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเผลอพูดอะไรผิดไป

   “คุณหมอ ฮันนี่มิลค์ได้แล้วครับ” แย่จริงๆ ที่การเจอกันของเรามันโคตรจะสั้น เนื่องจากถูกแทรกด้วยเสียงของบาริสต้าเจ้าของร้าน

   ผมหันไปให้ความสนใจกับเขา พยักหน้าเข้าใจแต่ที่ยังไม่ยอมขยับเพราะมัวละล้าละลังอยู่กับคนเคียงข้าง เราต้องได้เจอกันแน่ในเมื่อต่างคนต่างทำงานมหา’ลัยเดียวกันแบบนี้ ทว่าผมไม่แน่ใจ ผมไม่เคยแน่ใจเลยว่าเขายังเหมือนเดิมอยู่มั้ย

   เพราะความเหมือนเดิมนั้นคือการที่เขายินยอมให้ผมกลับเข้าไปในชีวิต

   ณ ขณะนั้นเองที่สมองสั่งการให้ผมทำอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ผมก็พร้อมยอมรับมันทั้งหมด

   “ขอโทษนะครับ คือ...ผมต้องไปแล้ว”

   “อื้ม” คนตัวเล็กหันมารับคำ

   “แต่ผมมีคำถามหนึ่งอยากถามคุณ”

   “ว่ามาได้เลย”

   “คุณ...มีคนรักแล้วหรือยัง”

   “นี่เป็นคำถามที่บุคลากรร่วมสถาบันต้องการรู้เหรอครับ” เขาย้อนกลับมา สีหน้าไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ หากแต่เหลือเพียงความเรียบนิ่งซึ่งสะท้อนผ่านดวงตา

   “ก็ไม่ใช่หรอก แค่อยากรู้เฉยๆ”

   “ผมมีคนรักแล้ว” ไม่ปล่อยให้ผมต้องรอคอยกับคำตอบ ในที่สุดเจ้าตัวก็ตอบกลับมา ซึ่งมันส่งผลให้ผมทำได้แค่ครางรับอย่างเดียว

   “อ้อ...”

   “แต่เราไม่ได้เจอกันมานานมาก ผมเลยหวังว่าเขาจะยังรออยู่ล่ะนะ”

   เจ้าของร่างบางเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ช่วงเวลานั้นเองที่ผมมองเห็นแหวนวงหนึ่งซึ่งถูกสวมบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาเข้า

   ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนอกจากจ้องมองกันและกัน เขายิ้ม ส่วนผมกำลังตั้งท่าร้องไห้

   ไทม์แมชชีนพาเราทั้งคู่เดินทางไปไกลแสนไกล ทว่าท้ายที่สุดแล้วเราก็เดินทางกลับมาเจอกันอีกจนได้





END




เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้กลับมาเขียนนิยายเรื่องเดิมในอดีตอีก
นิยายเรื่องนี้มีสามดราฟต์ค่ะ ครั้งแรกคือเขียนเมื่อปี 2558  ครั้งที่สองคือปี 2562
และครั้งที่สามคือช่วงส่งต้นฉบับให้ สนพ. หลังจากปิดต้นฉบับไปเรานอนไม่หลับค่ะ (ฮ่า)
รู้สึกว่าไม่ชอบฉาก Rape ที่เขียนเลย จึงปรึกษาทั้งคนอ่านและ บ.ก.
สรุปเราตัดสินใจแก้ฉากที่เขียนใหม่ค่ะ ถึงจะต้องแก้มันทั้งเรื่องก็เถอะ
คิดอย่างเดียวอยากให้มันเป็นอาคเนย์ในเวอร์ชั่นที่เราพอใจที่สุด แถมที่ตลกคือเรานอนหลับสนิทไร้สิ่งกังวลใจ
เหมือนได้แก้ปัญญาสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานาน
พอมาถึงตรงนี้ เราอยากบอกว่าขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านอาคเนย์นะคะ
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย แถมข้อบกพร่องก็มากมาย
เราทำได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ที่พาตัวละครมาถึงคำว่า ‘END’
สารภาพเลยว่าการกลับไปอ่าน Damage พิษรัก เวอร์ชั่นออริจินอลทำให้เราปวดใจ
เพราะมันแย่มากๆ แย่จนไม่สามารถอ่านให้จบได้
การกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกครั้งถึงไม่ได้ดีมาก แต่เป็นความพยายามที่เราตั้งใจอย่างถึงที่สุด
ขอบคุณอีกครั้งที่เดินทางร่วมกันมาจนถึงบรรทัดนี้ รักเสมอ และตลอดไป
#อาคเนย์
 

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 12-06-2019 20:21:39
กรี๊ดดดดด รอรวมเล่มค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Cutebangg ที่ 12-06-2019 20:50:40
 :heaven  รอรวมเล่มด้วยคนนน ชอบตัวละครสองตัวนี้มากๆ อยากเห็นเขามีความสุขกัน ทิ้งอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกันด้วยความรักในปัจจุบัน
ขอบคุณที่ทำให้สองคนนี้กลับมาเจอกัน ขอบคุณที่ไม่ทำให้แยกกันไป

เสียดายมากที่อ่านพิษรักไม่ทัน :ling1:

ขอบคุณมากค่ะคุณจิตติ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 12-06-2019 21:59:10
กลั้นหายใจในการอ่านมากมาย
พออ่านจบพรูลมออกอย่างแรงๆ
ตรูรอดจากการเสียน้ำตาแล้วโว้ย
แค่คัดจมูกแต่เป็นในทางบวก
ีดีใจกับบูรพา ตื้นตันสุดๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: chamaipornnacky19 ที่ 12-06-2019 22:32:52
รอเลยจ้าาา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 12-06-2019 22:55:54
จบประทับใจ     :m1:



รอรวมเล่มนะครับ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 12-06-2019 22:58:58
 :katai1: เขายังรอกันและกัน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 12-06-2019 23:00:52
จากใจครที่เคยอ่านพิษรักมาก่อน เรายังคงจำได้ทุกบทสนทนาและฉากในเรื่องนั้นได้อยู่เลยค่ะ เวอร์ชั่นนั้นก็ว่าจบดีแล้ว เราชอบกับตอนจบมากๆ ที่ตอนนั้นเนย์คือนายช่างใหญ่กับบูที่เป็นหมอใช้ทุน แต่เวอร์ชั่นนี้กลับทำให้ประทับใจในตอนจบมาก ถึงแม้มันจะสั้น แต่มันบรรยายถึงความรู้สึกของตัวละครได้ดีทีเดียว ยังไงจะรอรวมเล่มนะคะ เพราะคงซื้อแน่นอน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชอบมากๆรองลงมาจากวิศวกรรมประสาทที่มานอนเล่นอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-06-2019 23:06:12
ลงเอยกันซะที ลงเอยกันด้วยดี  :mc4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: wildride ที่ 12-06-2019 23:28:49

  :pig4:

 หมอกควันจากความผิดหวังปวดใจมันกลบกลิ่นความรัก

  ก็ยังดีที่ว่า  แม้บางครั้งจะไม่มีรูปแบบที่แน่นอน  แต่ความรักก็ยังคงสถานะเป็นความรัก

  :katai2-1: :katai2-1:

 
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-06-2019 23:41:24
ในที่สุดเส้นขนานก็มาบรรจบกันซะที อยากบอกว่าเวอร์เก่าเราก็ชอบตอนจบนะคะ แต่เวอร์นี้จบได้ละมุนกว่า รอรวมเล่มอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 12-06-2019 23:49:57
ถึง คุณจิตติ
เราเป็นหนึ่งในแฟนนิยายของคุณ แต่บอกเลยว่า งานเขียนเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราเข้ามาแล้วกดปิดทันที
และไม่คิดที่จะอ่านเลยจนกระทั่งเห็นว่าขึ้น ดิเอนด์ ในวันนี้
เป็นเพราะครั้งแรกที่กดเข้ามา เพียงแค่ได้อ่านบรรทัดแรกของเรื่อง เราก็เลื่อนกลับมาอ่านตรงเกริ่นนำทันที
และก็ได้รับการยืนยันว่าคุณเจตนานำเริื่อง พิษรัก มาเขียนใหม่
บอกตรงๆ ว่าเรื่องเก่ามันเศร้าจนเราไม่อยากกลับไปอ่านซ้ำอีก
(แต่เราชอบตอนพิเศษนะ ตลกดี เป็นเอนดิ้งพาร์ตที่ดีที่สุดของเรื่องนั้นเลยแหละ)

แต่ตะกี้ตอนกดเข้ามา กะจะดูว่าครั้งนี้จิตติจบเรื่องเร็ววุ้ย ขออ่านบรรทัดสุดท้ายนิดนึงดูสิว่านางจะบิดตอนจบไหม หรือว่าคงเดิม
ทำเราแปลกใจเลยว่าบทจบไม่เหมือนเดิม และรู้ถึงเจตนารมย์ของคุณในการรีไรท์แล้ว 
แต่เราก็จะยังคงไม่อ่านอยู่ดี เฉพาะในตอนนี้นะ แต่คิดว่าสักวันเราจะเข้ามาอ่าน
แต่คงในวันที่เราลืมความทรงจำกับเรื่องเก่าไปบ้างแล้ว
แม้ พิษรัก จะเศร้า แต่เราก็ยังจดจำนางได้อยู่นะ เราชอบงานเขียนของคุณเสมอ
แม้เราจะไม่ชอบอ่านแนวดราม่า น้ำตาแตกก็ตาม (เพราะคุณชอบเขียนให้พระเอกหรือนายเอกมีตรรกะความคิดแปลกๆ
บางครั้งดูไม่สมเหตุผลในความรู้สึกเรา จนเกิดซีนสะเทือนอารมณ์แบบตั้งใจขยี้ แต่เราก็ยังอ่าน แต่จะเป็นการอ่านแค่ครั้งเดียว ทัั้งที่เราเป็นคนชอบอ่านนิยายเรื่องที่ชอบซ้ำๆ แต่งานแนวขยี้อารมณ์ของคุณจะเป็นงานที่เราไม่อ่านซ้ำอีกเลย เพราะเศร้าเกิ๊นนนนน ชอบนะแต่ก็เกลียดแบบ love and hate relation)
ลาก่อน จนกว่าคุณจะเขียนภาคต่อของประธานคนกากของเราจบ บอกเลยว่าเรายังรออยู่
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ เสมอมา
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-06-2019 23:52:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-06-2019 01:43:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 13-06-2019 02:51:21
ฮือคุณจิตติ จบได้สวยงามมาก เรานั่งยิ้มทั้งน้ำตาเลยอ่ะ
รู้สึกว่าโลกได้หมุนให้เขาสองคนกลับมาพบกันอีกครั้งตอนที่บาดแผลของทั้งสองคนได้รับการเยียวยาแล้ว
Eventually everything fall back into place
ขอโทษที่อ่านตอนต้นแล้วใส่อารมณ์กับตัวละครมากไปนะคะ
ประทับใจในความพยายามที่กลับไปเขียนแก้ให้เรื่องมันสมบูรณ์
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวเรียกน้ำตาดีๆก่อนนอน
ติดตามหนังสือคุณจิตติเหมือนเดิมนะ :)

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 13-06-2019 05:59:37
มาถึงตอนจบแล้วเรายอมรับเลยว่าอ่านเวอร์ชั่นนี้ไปไม่กี่ตอนไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะเราเชื่อว่าการที่คุณนักเขียนกลับมาปรับปรุงใหม่มันต้องดีกว่าเดิมแน่นอนแต่เรายึดตึดกับพิษรักฉบับเดิมมากไปเลยอยากจดจำความรู้สึกในแบบนั้นไปก่อน ตอนนั้นที่อ่านก็ร้องไห้ไปเยอะเหมือนกันแต่ก็ได้ตอนพิเศษมาเยียวยาจนความรู้สึกดีขึ้นมากเลยเราเป็นแค่นักอ่านธรรมดาจึงบอกได้แค่ว่าพิษรักในแบบเก่ามันก็ดีสำหรับแล้วจริง ๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-06-2019 11:21:13
กลับมาอ่านเรื่องนี้หลังจากที่รอจิตติลงให้จบเพราะทนความหน่วงไม่ไหว ดีใจที่อย่างน้อยก็จบแบบที่รู้ว่าปลายทางคือความสุขของทั้งคู่แน่ๆ ขอบคุณทั้งเนย์และบูที่อดทนมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณจิตติสำหรับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตเนย์และบูนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 13-06-2019 13:04:30
ดีใจมากกกกกกกกกกก  ขอบคุณมากๆค่าาาาาา เราจะร้องตามพี่ยูแล้ว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 13-06-2019 13:40:08
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 13-06-2019 20:07:05
ดีใจน้ำตาจะไหล จบแบบแฮปปี้ ขอตอนพิเศษด้วยได้มั้ยง่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-06-2019 22:44:10
งื้ออออเ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 14-06-2019 13:30:09
ตั้งแต่เเรกทำใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่พอ..น้ำตาที่เสียไปไม่เคยพอกับเด็กสองคนนี้ การจากลา
และวนกลับมาเจอกันซ้ำไปซ้ำมา ความรัก ความแค้น ผิดพลาด เจ็บปวด ไทม์เมชชีน ที่เป็นคู่ขนานกันมาตลอด จนใจบอกพอแล้วไหม? ในการจากลาในแต่ล่ะครั้ง มันมีเหตุและผล และความจริงที่ไม่สามารถทัดทานได้ เมื่อมีรักได้ ก็ย่อมมีหมดรัก การรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสม พร้อมสำหรับต่อเติมและเริ่มความทรงจำใหม่ สำหรับ บูรพาอาร์คเนย์..เส้นคู่ขนานของพวกเขาคงมีด้ายแห่งโชคชะตาผูกพันกันไว้..

ขอบคุณจิตติ ที่ทำให้เราได้เป็นส่วนนึงของเด็กสองนี้ ได้ร้องไห้ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่บางทีมันไม่ได้เป็นไปในอย่างที่เราอยากให้เป็นเสมอไป บางครั้งก็ได้แต่รอ รอทั้งที่ไม่รู้ว่ารออะไร มันตรงใจไปหมด อินจนบางทีก็ขำตัวเอง ที่เป็นไปได้ถึงขนาดนี้
เป็นเพราะจิตติเลยที่เขียนออกมาได้ดีขนาดนี้ ฮืออออ ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1:

/ท่านประธานกลับมาจากญี่ปุ่นได้แล้วววว  :laugh: แซวๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: SimpleZ ที่ 15-06-2019 23:32:58
จำได้ตอนที่คุณจิตติถามเรื่องแนวทางของเรื่องว่าควรจะเป็นอย่างไร สรุปแล้วพอเรื่องเป็นแบบนี้ถือว่าดีเลยทีเดียว เด็กทั้งสองคนได้ถูกกระทำไปในทิศทางที่ควรจะเป็นแล้ว ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่ให้ทั้งแง่คิด และความบันเทิง
คุณจิตติเองก็ยังคงเขียนนิยายได้ถูกจริตเราอยู่เสมอจริงๆ คาดหวังกับนิยายเรื่องต่อๆไปนะครับ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 16-06-2019 00:06:27
เป็นเรื่องทีทชอบอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ บอกตรงๆ ว่าช่วงแรกที่อ่านแทบไม่ไหว
ใจจะขาด เป็รคนไม่ชอบการทำร้ายร่างกายเลือดตกยางออก ข่มขืน แล้วแบบมาครบทุกอย่าง
ตอนยังไม่เข้าใจเรื่องราวก็ขัดใจในความคิดของบูและเนย์หลายอย่าง
แต่พอรู้ก็แบบอ้ออออ ช่วงที่ชอบที่สุดน่าจะเป็รตอนที่เนย์เริ่มต้นชีวิตใหม่
มันต้องแบบนี้สิ เขาไม่รักเรามัวเศร้าทำไม เนย์ทรมานอยู่หลายปี
และมันดีตรงบูรพาต้อวทรมานด้วยเวลาที่นานกว่า โอ้ย ทีมเนย์แน่นอนค่ะเรา
เอาใจช่วยบูเหมือนกันนะตอนหัวทิ่มหัวตำแทบเอาตัวไม่รอด และบูน่ารักมาก
ตอนที่มีความรัก รักแบบเจียมเนื้อเจียมตัวเดินตามเขาต้อยๆ
ตอนจบก็คือเนย์ชนะเลิศมาก ยิ้มเท่ ขณะที่พระเอกฉันร้องไห้
เป็นตอนจบที่ดีมาก และเราก็ร้องไห้ไปกับบูด้วย

ขอบคุณนะคะ นิยายสนุกมาก ตาบวมมากด้วย
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-06-2019 17:25:57
อ่านแล้วไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
แบบอ่านไปร้องไห้ไป
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 17-06-2019 06:09:52
พอขึ้นENDก็เข้ามาอ่านเลยค่ะ เพราะรู้ว่าเรื่องนี้หนักอยู่เหมือนกัน อ่านไปแล้วก็ต้องพักอารมณ์ไปเพราะอ่านรวดเดียวไม่ไหวจริงๆ ตอนพิษรักก็ชอบแต่มาอาคเนกลับชอบมากเลยค่ะ เขียนได้ดีมากค่ะ ขอบคุณนะคะที่เอากลับมาเขียนใหม่ให้ดีกว่าเดิม รอหนังสือนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-06-2019 09:42:57
อ่านจบ

พร้อมความโล่งอก

อะไรที่หน่วงๆก็คล้ายหลุดลอยออกไป
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: koisuratreeJHZZ ที่ 17-06-2019 10:36:53
ver.นี้ตอนอ่านไม่ได้ทำให้เราร้องไห้หนักเหมือนverแรก มันคงเหมือนกับว่าเราก็คงโตไปพร้อมกับทั้งสองคนด้วยล่ะมั้ง แต่กลับมาเสียน้ำตาตอนบูโทรหาดลเพื่อบอกว่าตัวเองรักเนย์แล้ว กับตอนที่สอนเนย์ขับรถ
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: gungchan ที่ 17-06-2019 17:00:16
ยิ้มกว้างแทนคุณหมอบูเลยทีเดียว :mew4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 19-06-2019 02:36:47
บรรจบกันสักที ดีใจอะ ตอนจบโอเคมากๆเลย
เราร้องไห้สุดคือตอนเนย์ไปหาพ่อ เนย์กอดกันแม่บนเตียง
ตอนบู ไม่เหลือใคร แม้แต่ครอบครัว
รักเนย์ สงสารเนย์ แต่เนย์ยังโชคดีกว่าบูที่มีแม่ มีแม่ที่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 20-06-2019 16:19:55
ชอบตอนเดินสวนกันที่ทางม้าลาย  ภาพขึ้นมาในหัวเลย  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ Epilogue (END)
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 21-06-2019 04:44:57
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: suginosama ที่ 25-06-2019 16:35:15
รอรวมเล่มเลยค่ะ
ชอบมากๆเลย อ่านแล้วตรึงใจสุดค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 28-06-2019 10:32:06
ขอเสร็จโปรเจ็คก่อนนะค่ะสัญญาจะรีบ :mew2: :mew2: มาอ่านนนน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: FuseSirapat ที่ 15-07-2019 18:07:38
 :impress2:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-07-2019 00:40:29
น้ำตาไหลตลอดแต่ก็อ่าน. ชอบมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-08-2019 17:11:17
ได้เกราะ จากร้ายเดียงสา แล้ว เรื่องนี้ เบบี้มาก อิอิ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 22-08-2019 23:46:31
รักบูกับเนย์นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 27-08-2019 15:33:58
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 28-08-2019 09:11:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
ชอบตอนจบมากกกก
ขอบคุณนิยายดีๆ
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 28-08-2019 13:44:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 31-08-2019 00:34:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 31-08-2019 00:34:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 31-08-2019 00:36:02
ประทับใจตอนจบมากเลย​ ละมุน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 02-09-2019 05:02:36
รอเล่มค่ะ ตามตั้งแต่ออริจินอลแล้วค่ะ ออริจินอลคือตราตึงมากกกกกกก ถ้าจำไม่ผิดเป็นเรื่องแรกที่ร้องไห้ให้กับนิยายค่ะ เลิ๊ฟฟฟๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Carina ที่ 04-09-2019 12:38:51
กลับมา่านอีกรอบ สารภาพเลยว่าไม่กล้าอ่านสด รอดจนจบแล้วอ่านทีเดียวกลัวจะหน่วงยาวค่ะ ขอบคุณคุณจิตติที่ rewrite เรื่องนี้ชอบ ver และ ver เก่าด้วย ทำให้ยิ้มได้ทั้งน้ำตาจริงๆ ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 08-09-2019 09:58:25
ไม่รู้ใครเป็นเหมือนเราบ้างมั้ย เข้ามาอ่านตอนยังไม่จบ
แล้วอารมณ์เหมือนทิ้งดิ่งอยู่อย่างนั้น ในบางวันช่วงที่ต้องรอคอยอะไรในชีวิตจริงก็มีการเผลอนับเลขในใจ
พอผ่านไป 2-3 วันอารมณ์เหมือนค่อยดีขึ้นมาหน่อย จนต้องตัดสินใจหยุดอ่านไปก่อน
จนกว่าจะมีคำว่า The End แล้ว จึงค่อยกลับเข้ามาอ่านใหม่
พอจบอ่านจบ น้ำตาไหล แบบไหลอ่ะ ชอบมากจริงๆ มันRealมากจริงๆ
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะครับ และจะติดตามผลงานของคุณต่อไป
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: palette_burgundy ที่ 10-09-2019 02:20:18
ขอบคุณคุณคนเขียนมากนะคะ ประทับใจมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 11-09-2019 02:46:51
          ในที่สุดบูรพาและอาคเนย์ก็ได้กลับมาเจอกัน

แล้ว และได้เริ่มต้นกันใหม่สักที

ยอมรับว่าอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยใจที่หน่วงมาก

ทั้งเนื้อหาทั้งความสัมพันธ์ของทั้งคู่

แต่ที่สุดเส้นขนานที่ยากจะบรรจบ

ก็ได้กลับมาบรรจบกับเเล้ว

ก็ได้แต่หวังว่าความเจ็บปวดในอดีตจะโดนเติมเต็ม

เพราะความรักในปัจจุบันนะค่ะ

รักอาคเนย์❤️บูรพา

หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemdang ที่ 16-09-2019 21:22:03
ปกติไม่ชอบอ่านเรื่องแนวดราม่า แต่หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ แล้วรู้สึกติดอยู่ในใจมาก ทั้งหน่วง ทั้งเศร้า และยังยิ้มไปกับตอนจบ  ขอบคุณนักเขียนมากๆเลยค่ะ เป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ  จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเลย :hao5:

ปล อยากให้มีตอนพิเศษมากเลยคร่า อยากเห็นเรื่องราวชีวิตทั้งคู่ต่อ


หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 14-10-2019 14:57:47
โอ้โฮ เรื่องนี้สุดอะ สุดจริง ๆ หน่วงได้ใจมาก ๆ บางช่วงอ่านไปน้ำตาซึมไปเลย งานของจิตติคือดีงามทุกเรื่องจริง ๆ เนาะ ชอบตอนจบขของเรื่องนี้มันเป็นการจบที่สุดยอดมาก จบแบบนี้คือดีงามที่สุด ปรบมือ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: bas_niphitpon ที่ 13-11-2019 13:10:14
อ่านจนจบภายในคืนเดียว นิยายดึงอารมณ์มากๆๆ ชอบๆๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: noveeo ที่ 15-11-2019 09:45:31
โอ้...ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีนิยายที่ทำให้เราอ่านไปร้องไห้ไป จนต้องถือทิชชูไว้ในมือตลอดเวลาที่อ่าน
แต่เรื่องนี้ทำให้เราเป็นแบบนี้ได้ มันสุดยอดมากที่ทั้งเรื่องดึงให้เราเข้าไปร่วมรู้สึกกับตัวหนังสือที่เขียนบรรยาย

ขอบคุณมากค่ะที่เขียนนิยายได้ดีขนาดนี้มาให้นักอ่านอย่างเราได้อ่าน

ปล.ถ้ามีอีบุ๊ค สัญญาเลยว่าเรื่องนี้จะได้ไปอยู่บนชั้นหนังสืออีบุ๊คของเราแน่นอน
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 30-11-2019 20:16:40
พีคในทุกตอนทุกอารมณ์ กว่าจะเคลียร์ใจ กว่าจะได้ปลดปล่อย
บอกเลยว่าทุกอย่าง เกิดขึ้น และจบลงที่อาคเนย์
และบูรพา คนที่ไม่ยอมเปิดใจและรับรู้อะไร ทำร้ายกันจนต้องสูญเสีย

สงสารอาคเนย์มากค่ะ ณ จุดที่ร้องขอให้ปล่อยแต่ก็บูรพาก็ไม่สนใจ
อยู่กับความหวาดผวาไม่พอ ยังต้องอยู่กับความเจ็บซ้ำ
ในเวลาที่อาคเนย์ตัดใจ ยอมใจเลยค่ะ ดีใจที่จะก้าวต่อได้
ถึงต่อมา มันจะไม่ดีมากนัก แต่ก็ยังใช้ชีวิต มีความฝัน ได้ทำ
มีแม่คอยอยู่เคียงข้างในทุกเวลา

บูรพารู้ตัวช้าไป พอรู้เลยเจ็บนาน ฝังจำ ไม่มีใครปลดปล่อย
แต่พอวันหนึ่งที่อยากเดินหน้า ไปหาแม่ กลับไปบ้าน
เจอแม่อาคเนย์ ได้เจออาคเนย์อีกครั้ง ไม่สูญเปล่าเลยใช่ไหม
ที่เลือกจะไปต่อ และให้คนอื่นมีความสุขถึงแม้จะคิดว่าตัวเองไม่มีก็ตาม

และสุดท้ายแล้ว ดีใจมากค่ะ ที่ทั้งคู่ได้ปลดปล่อยกันอีกครั้ง

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องนี้พีคมาก จนเราต้องหยุดอ่านเป็นพักๆ
อ่านแล้วอินมาก อึดอัดไปกับทุกถ้อยคำ เพราะทุกอย่างคือความลึกซึ้ง
และเป็นการถ่ายทอดที่ดีค่ะ

ขอบคุณที่ทำให้เรียนรู้และเข้าใจอีกมุมมองนะคะ เป็นกำลังใจให้ต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: epochii_upfun ที่ 04-04-2020 21:12:27
บอกตรงๆ นิยายเรื่องนี้ ดาววมากก ดิ่งมากก ขึ้นสุดลงสุด แต่ไม่รู้สิ มันวางไม่ลง ใจมันอยากรู้ถึงตอนจบว่าสุดท้ายแล้ว เค้าทั้งสอง จะมีบทลงเอยยังงัย ตอนนีเได้รู้ละ นอนได้ ขอบคุนผู้เขียนนะคะ นิยายสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: korakit7323 ที่ 29-05-2020 21:00:31
ชอบนิยายเรื่องนี้ครับอ่านจบภายในคืนเดียว
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: TaddyC ที่ 05-06-2020 13:02:38
 :hao5: เสพติดความดราม่าครับ ขอบคุณมากๆนะครับ  น้ำตาไหลฉากจบหนักมาก พวกเขาเกิดมาเพิ่อกันและกัน แม้ระหว่างทางจะมีเรื่องราวร้ายแรง แค่ไหนสุดท้าย เขาก็ได้กลับมาเจอกันอีก  :hao5:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: mamiooo ที่ 07-06-2020 03:46:14
 :hao5: อ่านรวดเดียวจบ ร้องไห้หลายตอนเลย

บีบหัวใจจริงเรื่องนี้ ลุ้นยั้นตอนจบจะคู่กันเมื่อไรนะ 555+

ยังดีที่จบแฮปปี้
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 08-06-2020 21:52:02
นิยายเรื่องนี้โหดมากเลย แบบแอบจิตตกไปเหมือนกันน่ะ
แต่ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น ด้วยชีวิตที่โตขึ้นทำให้เรารู้ว่าการรอคอยกับเวลามันทำให้เราต้องไปข้างหน้า

ขอบคุณนิยายดีๆที่เขียนมาให้พวกเราได้อ่านกันน่ะครับ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 28-08-2020 12:50:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: C.Tansakul ที่ 11-03-2021 23:55:08
ประทับใจ!!!!! ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-09-2021 03:34:08
ผมสูญเสียเพื่อนในวัยเด็กของตัวเองไปเพราะความแค้นและโง่เขลา และผม...ไม่มีทางได้เขาคืนมาอีกต่อไป พูดได้เต็มปากเลยว่า การจากลาครั้งนี้แหละเจ็บกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ถ้าดูต้นเหตุแล้ว แม่นังจีนต้องรับผิดชอบไปคนเดียวเต็มๆ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: nuum ที่ 10-04-2023 01:56:48
จบแบบตอนเก่าก็ชอบครับ
จำได้พระเอกไปทำงานต่างจังหวัด
นายเอกก็ไปทำพอดี มีเหตุการณ์ฝนตกหนัก
เกิดอุบัติเหตุ ใช่มั้ยครับ  :3123:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 13-04-2023 11:56:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 28-08-2023 17:18:48
หน่วงโคตรรๆๆ ครับ
หัวข้อ: Re: อาคเนย์ ◈ THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 09-10-2023 14:26:37
เคยอ่านพิษรัก แล้วมาอ่านอาคเนย์อีกครั้ง ก็ยังร้องไห้ได้ทั้งเรื่องเลยจริงๆ ขอบคุณที่ทำให้ตอนจบ Happy นะคะ