พิมพ์หน้านี้ - "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Mettnoon ที่ 29-12-2015 15:45:08

หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-12-2015 15:45:08
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************************************************************************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-12-2015 15:46:49
สวัสดีค่ะ

นี่เป็นเรื่องที่สองของ Mettnoon นะคะ คิดอยู่นานว่าจะลงดีไหม เพราะเรื่องไม่ mass และเคยได้รับคำแนะนำให้ rewrite แต่เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์บางช่วงบางตอนของตัวละครเอก คือ "ข้าวโอ๊ต" และเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวละครตัดสินใจเปลี่ยนความคิดและการดำเนินชีวิตของตัวเอง story line มันเป็นอย่างนั้น จึงตัดสินใจเอามาลงเพื่อขอทราบ feedback ว่าพอจะมีคนอ่านบ้างหรือไม่ เรื่องนี้มีตัวละครสัมพันธ์กับเรื่องแรก คือ "บนทางรัก" จึงขอนำมาลงที่เว็บบอร์ดแห่งนี้นะคะ

ตอนที่เขียนเรื่องนี้ ดิฉันสนุกมาก และหวังว่าผู้อ่านจะได้รับความสนุกและสาระอะไรไปจากเรื่องนี้บ้าง
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" ขอเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่คุณผู้อ่านที่นี่ค่ะ



...What's on your mind?...

Mettnoon
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 1 (29-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-12-2015 16:10:34
บทที่ 1
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย อยากนอนไปเรื่อย ๆ นอนไปนาน ๆ
Like – Comment – Share

          ข้าวโอ๊ตไม่คิดว่าชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปจากที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ได้มากสักเท่าไร ตื่นตอนเช้าไปทำงานในออฟฟิศ เลิกงานตอนเย็นก็กลับมาที่คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าที่อาศัยอยู่คนเดียว ใช้เวลาในตอนค่ำดูหนัง ดูซีรีส์ อ่านหนังสือ ท่องอินเตอร์เน็ต พูดคุยกับเพื่อนผ่านทางโซเชียลมีเดียทั้งหลาย แล้วก็เข้านอนเพื่อจะตื่นมาทำงานในตอนเช้า วนไปเวียนมาอยู่แบบนี้หลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศหลังเรียนจบปริญญาโททางภาษาจากสถาบันเก่าแก่ใจกลางเมือง
          ชีวิตของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี ปีนี้ชายหนุ่มอายุสามสิบสองแล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เพื่อนที่รู้จักและสนิทสนมด้วยส่วนใหญ่เป็นเพื่อนผู้หญิงเพราะคณะและสาขาวิชาที่เขาเลือกเรียนมีแต่ผู้หญิงเรียนเกือบเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และในตอนนี้ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุสามสิบ เพื่อน ๆ ของเขาพากันแต่งงาน มีสามี มีลูก มีครอบครัวของตัวเองที่ต้องดูแล ทำให้ห่างเหินกันไปจนตอนนี้เรียกได้ว่า ชายหนุ่มแทบจะไม่มีเพื่อนเหมือนคนอื่นเขาแล้ว
          เวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงหมดไปกับการอยู่คนเดียว
          แล้ววันนี้ก็คงน่าเบื่อเหมือนกับวันก่อน ๆ อีกนั่นแหละ ชายหนุ่มคิดเมื่อกดรหัสและเปิดประตูกระจกเข้าไปในออฟฟิศ
          บริษัทที่ชายหนุ่มทำงานอยู่เป็นสาขาของบริษัทสัญชาติเยอรมันทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทย นอกจากออฟฟิศที่เมืองไทยยังมีสาขาอยู่อีกหลายประเทศทั่วโลกเพื่อให้บริการแก่บริษัทสัญชาติเดียวกันที่ต้องการจะลงทุนทำธุรกิจภายนอกประเทศ
          ไฟในออฟฟิศเปิดสว่างแสดงว่ามีคนมาก่อนแล้ว บริษัทแห่งนี้เช่าพื้นที่อยู่ในตึกกลางเก่ากลางใหม่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า พื้นที่ที่เช่าไม่ใหญ่โต แต่ก็กว้างขวางพอจะกั้นเป็นห้องส่วนตัวให้พนักงานทุกคนได้ซึ่งจุดนี้ข้าวโอ๊ตพอใจมากที่สุดเพราะถ้าเขาต้องเห็นหน้าเพื่อนร่วมออฟฟิศอยู่ตลอดเวลาของการทำงาน ชีวิตของเขาคงจะอับเฉายิ่งไปกว่านี้
          ข้าวโอ๊ตยังไม่เข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง แต่แวะเข้าไปในครัวเล็ก ๆ ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์รีเซปชั่นก่อนเพื่อเอาปิ่นโตอาหารกลางวันและขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แวะซื้อระหว่างทางไปเก็บ ภายในครัวเล็ก ๆ มีตู้เย็น ไมโครเวฟและกระติกน้ำร้อนไว้ให้พนักงาน รวมทั้งกาแฟ นมและน้ำตาลเป็นของส่วนรวมให้พนักงานชงดื่มได้ตามสบาย แต่ก่อนเคยมีชาและน้ำอัดลมด้วย แต่เมื่องบประมาณของออฟฟิศถูกตัด ทั้งชาและน้ำอัดลมก็หายไป ข้าวโอ๊ตไม่ชอบดื่มกาแฟ ชายหนุ่มจึงมีกระป๋องชาส่วนตัวติดชื่อวางรวมอยู่กับกล่องและขวดเครื่องดื่มส่วนตัวของพนักงานคนอื่น ๆ บนเคาน์เตอร์ข้าง ๆ เครื่องไมโครเวฟ
          “อรุณสวัสดิ์คุณโอ๊ต”
          เสียงทักแข็ง ๆ ทำให้ข้าวโอ๊ตหันไปมอง ก่อนจะทักตอบว่า
          “อรุณสวัสดิ์คาริน่า”
          คนที่เข้าออฟฟิศเช้าที่สุดนั่นเอง คาริน่า หญิงสาววัยสี่สิบกว่า ๆ ชาวเยอรมัน รูปร่างอวบท้วม ผมตัดสั้นเท่าติ่งหูดัดหยิกเป็นทรงใกล้เคียงกับมาริลิน มอนโรว์ แต่ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวสวยและเซ็กซี่ได้ใกล้เคียงมาริลินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะคาริน่าไม่ใช่คนสวย แถมหล่อนเป็นคนไม่ยิ้มแย้ม น้ำเสียงของหล่อนแข็งกระด้าง และชุดฟอร์มที่หล่อนใส่มาทำงานทุกวันคือเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงแสล็คสีเทาก็ยิ่งทำให้หล่อนดูเคร่งขรึมและแก่กว่าอายุจริงเข้าไปอีก
          ทักกันแค่สั้น ๆ แล้วต่างคนต่างก็เมินกันไป คาริน่าเดินออกไปจากออฟฟิศเพื่อไปเข้าห้องน้ำด้านนอกซึ่งเป็นห้องน้ำรวมสำหรับคนที่ทำงานในชั้นนี้ ข้าวโอ๊ตเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ภายในออฟฟิศแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฟาก ทางด้านขวามือห้องแรกเป็นห้องของนักศึกษาฝึกงานจากเยอรมนีซึ่งตอนนี้ยังว่างอยู่ ถัดไปเป็นห้องรับประทานอาหารซึ่งนอกจากจะมีโต๊ะอาหารตัวใหญ่และเก้าอี้ครบจำนวนคนแล้วก็ยังมีเครื่องถ่ายเอกสารและชั้นวางของใช้รวมทั้งอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ อยู่ข้างในด้วย ถัดจากห้องนี้ไปเป็นห้องทำงานของพนักงานอยู่ติดกันสองห้อง ด้านในสุดเป็นห้องประชุมและห้องทำงานของผู้อำนวยการ ส่วนฟากทางซ้ายมือมีห้องทำงานพนักงานติดกันสี่ห้อง ห้องแรกถัดจากห้องครัวเป็นห้องทำงานของรองผู้อำนวยการ ข้าวโอ๊ตอยู่ห้องที่สามติดกับห้องของคาริน่าซึ่งเป็นห้องที่สี่อยู่ติดกับห้องของผู้อำนวยการอีกทีหนึ่ง
          เข้าห้องได้ ชายหนุ่มก็เปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและเข้าโปรแกรมเอาท์ลุคก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อเตรียมตัวเริ่มต้นการทำงานของวัน แต่เขายังทำงานไม่ได้ อีเมลที่เรียงกันเป็นพรืดอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้จะต้องให้ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการตรวจดูเสียก่อน และงานของเขาจะเริ่มในตอนนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน หลังจากเปิดคอมพิวเตอร์และเก็บกระเป๋าที่หิ้วมาทำงานทุกวัน ข้าวโอ๊ตก็กลับเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อชงชาและรับประทานอาหารเช้าง่าย ๆ จำพวกขนมปังหรือแซนด์วิช
          เกือบเก้าโมงเช้า พนักงานคนอื่น ๆ จึงค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามาในออฟฟิศ แล้วก็จะเข้ามารวมตัวกันอยู่ในครัวเพื่อชงกาแฟและรับประทานอาหารเช้า
          “สวัสดีครับพี่หญ้า” ข้าวโอ๊ตทักญาดา หญิงสาวตัวเล็กวัยปลายสามสิบ หล่อนเป็นลูกจีนผิวขาวจนเกือบจะเป็นซีด ดวงตาชั้นเดียวเรียวยาว แต่งหน้าค่อนข้างจัด หญิงสาวอายุมากที่สุดในบรรดาพนักงานคนไทยของออฟฟิศ มีตำแหน่งเป็นซีเนียร์ ถือเป็นลูกพี่ใหญ่ของออฟฟิศ ห้องทำงานของหล่อนอยู่ทางฟากซ้ายมือ ห้องที่สอง ติดกับห้องทำงานของข้าวโอ๊ต
          “สวัสดีครับพี่หญ้า พี่โอ๊ต” ผู้ที่เข้ามาเป็นคนที่สองเป็นชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาดี ปากแก้มแดงเปล่งปลั่งน่ารักเหมือนผู้หญิง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามียี่ห้อตั้งแต่หัวจรดเท้า กระป๋องชาที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบมาชงก็เป็นชาอังกฤษชั้นดี มิคกี้เป็นพนักงานการตลาดที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ได้ไม่กี่เดือน อยู่ห้องทางฟากขวามือติดกับห้องรับประทานอาหาร
          “สวัสดีครับทุกคน ขนมนี่กินได้เลยนะ” คนที่เข้ามาถัดจากมิคกี้เป็นพนักงานใหม่เช่นกัน เข้ามาทำงานในเวลาใกล้เคียงกับมิคกี้ ตำแหน่งเดียวกัน แต่รูปลักษณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว นัตโตะเป็นชายหนุ่มร่างอวบ หน้าตาเรียบจืด สวมแว่น ท่าทางแบบเด็กเนิร์ด ไม่มีอะไรที่สะดุดตาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับแม่บ้านประจำสำนักงานซึ่งเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนกลมวัยปลายห้าสิบ ชื่อพัดชา หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่าพี่พัด
          “น่ากินจังเลยนัต” มิคกี้พูด แต่ไม่ได้เหลือบแลกล่องขนมที่ตอนนี้วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวเลยแม้แต่นิดเดียว
          เก้าโมงห้านาที ได้เวลาผู้อำนวยการสำนักงานมาถึง ด็อกเตอร์ราล์ฟ ลูคัส แฮร์มันน์เป็นผู้ชายวัยใกล้เกษียณ หัวล้านเหม่ง ตัวสูงกว่าร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร แต่หลังค่อมนิด ๆ ทำให้ดูไม่สง่า เมื่อเขาเดินเข้ามาข้างในออฟฟิศ ความเงียบสงบของยามเช้าก็หายไปในทันที เสียงของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทักทายคนโน้นคนนี้ดังลั่นไปทั้งออฟฟิศ
          แม่บ้านพัดชากระวีกระวาดจัดถาดน้ำชาทันที ทุกเช้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ต้องดื่มชา หล่อนจะต้องจัดถ้วยชาพร้อมจานรอง กระบอกเก็บความร้อนใส่น้ำร้อนไว้จนเต็ม และชาหนึ่งซองจากกล่องชาส่วนตัวของเขาวางลงบนถาดและยกเข้าไปให้ในห้อง ตอนที่เดินออกมาจากห้องผู้อำนวยการ หล่อนก็สวนทางกับคาริน่า
          เมื่อผู้อำนวยการมาถึงก็เหมือนกับเป็นระฆังตีบอกเวลาเริ่มทำงาน พนักงานที่อยู่ในครัวต่างก็ทยอยกันกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ข้าวโอ๊ตเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายพร้อม ๆ กับที่ประตูกระจกด้านหน้าถูกผลักเปิดเข้ามาอีกครั้ง
          “สวัสดี กัส” ข้าวโอ๊ตทัก
          คนถูกทักยิ้มตอบ ออกัสอายุเท่ากับข้าวโอ๊ต แต่เข้ามาทำงานก่อนหน้าข้าวโอ๊ตสองสามปี ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว แต่งตัวนำแฟชั่นด้วยแบรนด์ชั้นดีไม่แพ้มิคกี้ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายต้อนรับ นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าออฟฟิศ ตรงหน้าห้องครัว
          “ทีโมนมารึยัง” ออกัสถามหลังจากที่วางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะหลังเคาน์เตอร์ เป็นกระเป๋าแบน ๆ ที่เขาเอาไว้ใส่กระเป๋าสตางค์ กุญแจต่าง ๆ และโทรศัพท์มือถือ ข้าวโอ๊ตไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแฟชั่นนัก แต่ก็เคยเห็นผ่านตามาบ้างว่ากระเป๋าที่เพื่อนใช้นั้นเป็นยี่ห้อที่แพงหูฉี่
          “ยังไม่มา”
          เมื่อได้ยินคำตอบของข้าวโอ๊ต ออกัสก็มีสีหน้าเหมือนกับจะโล่งใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อจัดการชงกาแฟให้ตัวเองทันที
          คนที่ทั้งสองพูดถึงคือรองผู้อำนวยการประจำออฟฟิศนี้ ทีโมน รอสแบร์กเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางเจ้าชู้ สายตาของเขาแพรวพราว โดยเฉพาะเวลามองคนหน้าตาดีแบบออกัส แต่ฝ่ายหลังไม่เล่นด้วย ส่วนกับข้าวโอ๊ต ทีโมนไม่สนใจเพราะรูปลักษณ์ไม่ต้องใจ แม้ว่าข้าวโอ๊ตจะหน้าตาดี แต่ชายหนุ่มเป็นคนผิวคล้ำ หน้าเข้มตาคม ทีโมนชอบคนผิวขาว
          ข้าวโอ๊ตไม่เดือดร้อนกับการที่ทีโมนไม่โปรด แต่รำคาญ เพราะรองผู้อำนวยการสุดหล่อมักทำให้การทำงานของเขายากลำบากเกินความจำเป็น อย่างตอนนี้ แม้ว่าชายหนุ่มจะเข้ามานั่งในห้องตัวเองได้พักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังทำงานของตัวเองไม่ได้เพราะทีโมนยังไม่มาทำงาน ต้องรอจนเกือบเก้าโมงครึ่งนั่นแหละ พ่อเจ้าประคุณถึงค่อยเปิดประตูออฟฟิศเข้ามา หลังจากวางกระเป๋าเอกสารไว้ในห้องทำงาน แวะทักทายเล่นหูเล่นตากับออกัสและเข้าครัวชงกาแฟให้ตัวเองแล้ว ทีโมนจึงค่อยเดินเข้าห้องผู้อำนวยงานเพื่อเริ่มงานของวัน
          อีเมลแต่ละฉบับในโปรแกรมเอาท์ลุคทยอยถูกเปิดอ่าน บางฉบับที่เป็นอีเมลขยะถูกลบทิ้ง บางฉบับมีสัญลักษณ์สีเขียวเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังพร้อมกับสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีประจำตัวพนักงาน ข้าวโอ๊ตมีสีประจำตัวคือสีส้ม และถ้าอีเมลฉบับไหนมีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีส้มกำกับอยู่แสดงว่าอีเมลฉบับนั้นเป็นความรับผิดชอบของชายหนุ่ม
          งานของข้าวโอ๊ตเริ่มขึ้นพร้อมกับการใส่สัญลักษณ์กำกับอีเมลแบบนี้
          องค์กรที่ชายหนุ่มทำงานอยู่มีระบบเก็บข้อมูลที่ทุกออฟฟิศทั่วโลกใช้เหมือนกัน ข้อมูลของออฟฟิศจะต้องถูกป้อนเข้าระบบนี้ทั้งหมด เช่น ชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ออฟฟิศติดต่องานด้วย งานสัมมนาหรืองานออกร้านต่าง ๆ ที่ออฟฟิศจัด รวมทั้งไปรษณีย์รับเข้าและส่งออกทุกประเภท เช่น จดหมาย โทรสาร และอีเมล การป้อนข้อมูลเหล่านี้เข้าระบบเป็นหน้าที่ของข้าวโอ๊ต
          ทุกวัน ชายหนุ่มจะต้องเปิดอ่านอีเมลที่มีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียวกำกับ ป้อนวันที่ หัวเรื่อง เนื้อความโดยย่อและชื่อผู้รับผิดชอบอีเมลฉบับดังกล่าวใส่เข้าไปในระบบ เมื่อป้อนข้อมูลเสร็จหนึ่งฉบับก็จะได้หมายเลขอีเมลรับเข้าที่ต้องนำไปใส่ไว้ในอีเมลในโปรแกรมเอาท์ลุคเพื่อเป็นหมายเลขอ้างอิง นอกจากอีเมล ชายหนุ่มต้องทำแบบเดียวกันนี้กับจดหมาย บัตรเชิญ โทรสาร และเอกสารอื่น ๆ
          งานนี้เป็นงานหลักของข้าวโอ๊ต นอกเหนือจากงานด้านธุรการอื่น ๆ ที่จะได้รับคำสั่งเป็นกรณีไป
          ชายหนุ่มทำงานอย่างรวดเร็ว งานของเขาไม่ยาก แต่มันน่าเบื่อ ยิ่งถ้าวันไหนมีอีเมลเข้าหลายสิบฉบับ ชายหนุ่มจะรู้สึกเหมือนกับตกนรกทำซ้ำ ที่ต้องทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่วันนี้อีเมลมีไม่มาก ฉบับที่ใส่สีของเขาก็ไม่มี นั่นแสดงว่าวันนี้เขาไม่มีงาน และถ้าเขาจัดการอีเมลพวกนี้เสร็จ เขาก็จะได้พัก แต่ความหวังของชายหนุ่มก็ต้องพังทลายลงเมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์โทรศัพท์มาเรียกเขาไปพบ
          ข้าวโอ๊ตไม่อยากคุยกับผู้อำนวยการสำนักงานเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่แค่เพราะภาษาเยอรมันสำเนียงทางใต้ที่ฟังยากอย่างเดียวหรอก แต่เพราะด็อกเตอร์แฮร์มันน์หัวเหม่งพูดจาไม่รู้เรื่องด้วยอีกอย่างหนึ่ง วันนี้ก็เหมือนกัน พอเขานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ผู้อำนวยการก็พูดภาษาเยอรมันสำเนียงทางใต้ใส่เขาแบบรัว ๆ พร้อมกับยื่นนามบัตรปึกหนึ่งให้
          ห้าปีกว่าแล้วที่ข้าวโอ๊ตทำงานที่นี่ แต่ทำงานกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นปีที่สาม สามปีเข้าไปแล้วแต่ทำอย่างไรชายหนุ่มก็ยังฟังด็อกเตอร์แฮร์มันน์พูดไม่รู้เรื่องอยู่นั่นเอง หากเขาก็รู้งานเมื่อเห็นนามบัตรทั้งปึก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนจะมีนามบัตรมาให้เขาหลังกลับจากไปงานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ และเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องป้อนชื่อนามสกุล ข้อมูลเบอร์ติดต่อทั้งหลายของเจ้าของนามบัตรเหล่านี้เข้าระบบ
          งานไม่มีอะไรเลย แต่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็ยังพูดพล่ามน้ำท่วมทุ่งในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานชิ้นนี้จนเขามึนหัวหมุนไปหมด ชายหนุ่มก็ต้องปล่อยให้เขาพูดไปจนกว่าจะพอใจ เมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์หยุดพูดนั่นแหละ ข้าวโอ๊ตจึงมีโอกาสถามถึงสิ่งที่เขาต้องใช้ในการทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จ
          “จะให้ใส่ประเภทของบุคคลเหล่านี้ว่าอะไรดีครับ”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์นิ่งคิดชั่วครู่เหมือนนึกไม่ออกเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า
          “ใส่ว่าส่วนตัวก็แล้วกัน”
          ข้าวโอ๊ตจดลงในสมุดโน้ตพร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สิบห้านาทีเต็มที่เขาต้องเสียเวลาทนนั่งฟังคนแก่พล่ามเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่ความจริงงานแบบนี้ใช้เวลาสั่งแค่ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เรียบร้อย แค่บอกว่าได้นามบัตรมาจากงานอะไร วันที่เท่าไร และประเภทของบุคคลคืออะไร แค่นั้นก็จบ
          ชายหนุ่มเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อกลับไปทำงานต่อ แต่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์รั้งเขาไว้ด้วยการถามว่า
          “แฟ้มของผมล่ะ”
          “แฟ้มอะไรครับ” ข้าวโอ๊ตงง
          “ผมจะไปติดต่องานที่ลาวพรุ่งนี้ไง คุณเตรียมแฟ้มให้ผมรึยัง”
          ข้าวโอ๊ตแทบอยากจะอ้าปากค้าง งานเข้าเขาแต่เช้าเลยหรือนี่
          “คุณไม่ได้บอกผมว่าคุณจะไปลาวและต้องเตรียมแฟ้ม” ชายหนุ่มท้วง
          “ผมใส่ไว้ในปฏิทินแล้ว”
          โปรแกรมเอาท์ลุคมีปฏิทินให้ใส่ตารางงานต่าง ๆ ของพนักงาน แต่เอาเข้าจริง คนที่มีตารางงานของออฟฟิศนี้ก็มีแค่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนเท่านั้น คนอื่น ๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนต่อไหนหรอก มีแต่ต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในออฟฟิศกันทั้งนั้น และตารางงานพวกนี้ทั้งสองคนจะใส่ลงไปในปฏิทินกันเอง ใส่เสร็จแล้วบางครั้งก็เดินมาบอกว่าจะไปไหนเมื่อไรอย่างไร แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้บอก ให้ไปเปิดดูปฏิทินกันเอาเอง
          ข้าวโอ๊ตทำงานธุรการเป็นหลัก แต่งานในออฟฟิศก็ไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนขนาดนั้น ยังมีหลายอย่างที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ อย่างเรื่องการเดินทางไปติดต่องานต่างประเทศของผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการแต่ละครั้งนี่แหละ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มมีหน้าที่ทำแฟ้มเอกสารที่ต้องใช้ในการเดินทางแต่ละครั้งให้ทั้งสองคนโดยที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์และทีโมนจะเป็นคนสั่งว่าเขาต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าทำงานธุรการดูแลเอกสารข้อมูล แต่ชายหนุ่มกลับไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกอย่างเพราะเหตุว่าข้อมูลบางอย่างก็เป็นความลับ เขาต้องไปขอจากคาริน่าหรือไม่ก็ทีโมนให้สั่งพิมพ์ออกมาให้ ในระยะหลัง ทีโมนจึงทำแฟ้มของตัวเองเองเพราะมันรวดเร็วกว่า อยากได้ข้อมูลอะไรก็สั่งพิมพ์ออกมาเองเลย ไม่ต้องสั่งข้าวโอ๊ตเพื่อให้ข้าวโอ๊ตมาขอที่ตัวเองต่ออีกทอดหนึ่ง
          เหลือแฟ้มของด็อกเตอร์แฮร์มันน์นี่แหละที่มักจะมีปัญหา
          ธรรมชาติของออฟฟิศนี้ ต้องมีคำสั่งออกมาก่อน พนักงานจึงลงมือปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ข้าวโอ๊ตก็ทำตามนั้นเช่นกัน ถ้าไม่มีใครสั่ง เขาก็ไม่ขยับ และหลาย ๆ ครั้งที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่ได้บอกให้เขารู้เรื่องการเดินทางไปไหนต่อไหน ไม่ได้สั่งให้เขาเตรียมแฟ้ม พอถึงวันเดินทางก็ไปเลย หรือไม่ก็ไปสั่งให้คาริน่าเป็นคนทำ ไม่ใช่เขาเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มจึงไม่ได้ถือหน้าที่เตรียมแฟ้มเป็นหน้าที่ประจำอีกต่อไป
          แต่จู่ ๆ วันนี้ก็กลับมาทวงแฟ้ม แล้วจะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร
          “คุณควรจะบอกผมเอาไว้ด้วยนะครับ รวมทั้งเอกสารที่คุณต้องการ ผมจะได้เตรียมให้ได้ถูกต้อง”
          ข้าวโอ๊ตไม่พอใจเลย ไม่ได้สั่งไว้ตั้งแต่ต้น ถึงเวลากลับจะเอาขึ้นมา แล้วเขาจะหามาให้ได้จากที่ไหน แถมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเอกสารที่ต้องการมีอะไรบ้าง
          “เรื่องเอกสาร ไปถามคาริน่า”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ตัดบท แล้วโบกมือไล่เขา
          นี่ก็อีกเรื่องที่ข้าวโอ๊ตไม่ชอบใจนัก งานของเขาแท้ ๆ กลับไม่ยอมบอกอะไรเขา แต่ไปบอกคาริน่าซึ่งพอเห็นเขาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ท่าทางฮึดฮัดขัดใจเหมือนเขาเข้าไปขัดจังหวะตอนที่หล่อนกำลังทำงานสำคัญระดับโลกอยู่
          ชายหนุ่มไม่ชอบทำงานกับหล่อนก็เพราะแบบนี้แหละ นอกจากจะหน้าตาบึ้งตึงแล้ว ท่าทางของสาวใหญ่วัยสี่สิบกว่าคนนี้ยังเหมือนกับโกรธแค้นใครมาสักร้อยชาติพันชาติเวลามีใครมาขอให้ทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่งานโดยตรงของหล่อน ข้าวโอ๊ตเองก็ไม่อยากมารบกวนหล่อนนักหรอก ถ้าเขามีพาสเวิร์ด เขาสั่งพิมพ์ข้อมูลเองไปแล้ว แต่นี่เขาไม่มี เคยขอไปหนหนึ่งตอนที่เริ่มงานทำแฟ้มในตอนแรก แต่คาริน่านี่แหละยืนยันนอนยันเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ให้ อ้างว่าข้อมูลส่วนนี้เป็นความลับ พนักงานธรรมดาไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลตัวนี้
          หญิงสาวเน้นคำว่าพนักงานธรรมดาใส่หน้าเขา
          ชายหนุ่มจึงต้องอดทนทำงานกับพนักงานพิเศษคนนี้ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          คาริน่าสั่งพิมพ์ข้อมูลทั้งหมดออกมาตามที่ข้าวโอ๊ตร้องขอพร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเหมือนนายสั่งลูกน้องที่โง่เง่าว่า
          “จัดใส่แฟ้มให้เรียบร้อยแล้วเอาไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วย”
          ทีเรื่องที่ควรสั่งกลับไม่สั่ง มาสั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าวโอ๊ตหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วดูทำเข้าสิ ออกท่าออกทางอย่างกับเป็นนายใหญ่เสียเอง ข้าวโอ๊ตอดนึกเหน็บแนมในใจไม่ได้
          แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ อำนาจของคาริน่าแผ่คับออฟฟิศเข้าไปทุกวัน
         
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-12-2015 16:21:08
          กลับเข้ามานั่งในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้งด้วยใจที่ขุ่นมัว ข้าวโอ๊ตพยายามไม่คิดอะไรมาก ตั้งหน้าตั้งตาจัดเอกสารใส่แฟ้มเรียงตามหัวข้อ แล้วเอาเข้าไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ในห้อง จากนั้นกลับมาทำงานของตัวเองที่ค้างเอาไว้ต่อ
          เพราะเสียเวลาไปมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่เอง ชายหนุ่มจึงเร่งมือทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เสร็จเร็ว ๆ และเวลาทำงาน เขาจะมีสมาธิมากจนบางครั้งลืมสนใจสิ่งรอบตัว
          ข้าวโอ๊ตไม่เห็นไฟกะพริบสีแดงที่เป็นสัญญาณบอกว่ามีโทรศัพท์สายซ้อนเข้ามา ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาป้อนข้อมูลอีเมลและข้อมูลบุคคลเข้าระบบจนมีเสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้น เขาหันไปมองโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ชื่อที่หน้าจอขึ้นว่าคาริน่า
          “คุณโอ๊ต รับโทรศัพท์ด้วย เมื่อกี้มีโทรศัพท์คนไทยเข้ามา พูดอังกฤษไม่ได้เลย”
          เสียงแข็ง ๆ โจมตีเขาทันทีพร้อมกับวางหูใส่ดังโครม ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่โทรศัพท์ด้วยความเซ็ง
          เรื่องโทรศัพท์นี่ก็อีก ปกติหน้าที่รับโทรศัพท์เป็นของออกัส แต่โทรศัพท์ของออฟฟิศมีสี่สาย ดังนั้นเมื่อมีสายซ้อนเข้ามา ข้าวโอ๊ตจะต้องเป็นคนรับ ถ้าบังเอิญทั้งสองติดสายพร้อมกัน คนอื่น ๆ ในออฟฟิศจึงจะช่วยรับ ไม่ถือว่าเป็นหน้าที่
          เมื่อมีสายซ้อน เครื่องโทรศัพท์จะแสดงสัญญาณไฟกะพริบสีแดงจุดเล็ก ๆ แต่ไม่มีสัญญาณเสียงเตือนอะไรทั้งนั้น ปกติเวลาทำงาน ข้าวโอ๊ตจะหันมองโทรศัพท์เป็นระยะอยู่แล้ว แต่หลายครั้งที่พลาดไม่ได้รับเพราะทำงานเพลินหรือมีงานเร่งจนละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้
          ชายหนุ่มไม่คิดว่าการพลาดรับโทรศัพท์สักสายจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
          หากวันนี้มันกลายเป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อเขากดรับโทรศัพท์สายซ้อนไม่ทันอีกครั้ง สัญญาณไฟสีแดงหยุดกะพริบ แสดงว่ามีคนอื่นรับสายแทนแล้ว และครู่ต่อมา คาริน่าก็เดินตึงตังเข้ามาในห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังลั่นออฟฟิศ
          “คุณโอ๊ต! ทำไมไม่รับโทรศัพท์! นี่ฉันต้องรับโทรศัพท์คนไทยพูดไม่รู้เรื่องถึงสองครั้งเชียวนะ! ไม่รู้รึไงว่ามันน่ารำคาญ!”
          ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจอคาริน่าโวยวายอย่างนี้ ชายหนุ่มจะเงียบไม่ต่อปากต่อคำเพื่อไม่ให้มีเรื่อง แต่วันนี้อารมณ์ของเขากรุ่น ๆ มาตั้งแต่เมื่อเช้า และเขาไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของใครหน้าไหนทั้งนั้น ข้าวโอ๊ตจึงโยนนามบัตรที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นมาโต้
          “ผมรู้ว่าผมต้องรับโทรศัพท์ แต่ผมก็มีงานที่จะต้องทำเหมือนกัน ไม่ได้ว่างนั่งจ้องโทรศัพท์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงจะไม่พลาดเลยแม้แต่สายเดียว!”
          คาริน่าชะงัก เมื่อเจอชายหนุ่มที่เคยเงียบมาตลอดเสียงแข็งเข้าใส่บ้าง
          “หน้าที่รับโทรศัพท์เป็นของออกัส ผมคอยช่วยรับสายซ้อน ผมก็ทำ ทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟ ผมกดรับ แต่มันก็มีพลาดบ้าง ถ้าผมหันมาไม่ทันแล้วมีคนกดรับไปก่อน ไม่ใช่ผมไม่ยอมทำอะไรเลย!”
          เจอโวยกลับเอาบ้าง คนขี้โวยวายอย่างคาริน่าก็เงียบไปได้เหมือนกัน แต่หล่อนก็ยังมิวายวางอำนาจทิ้งท้ายใส่เขาว่า
          “โอเค โอเค ทีหลังก็รับให้ทันก็แล้วกัน อย่าให้มันเป็นแบบนี้อีก”
          หมดคาริน่ากับโทรศัพท์ก็ใช่ว่าจะหมดเรื่อง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ทีโมนก็เรียกข้าวโอ๊ตไปพบที่ห้อง
          “นั่งสิ คุณโอ๊ต”
          ข้าวโอ๊ตนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของรองผู้อำนวยการ ปากกากับสมุดโน้ตอยู่ในมือพร้อมรับคำสั่ง ชายหนุ่มไม่มองหน้าทีโมน แต่สายตาของเขามักจะสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างบนโต๊ะของรองผู้อำนวยการทุกที
          ถ้วยกาแฟที่ดื่มหมดแล้วสองสามใบวางอยู่บนโต๊ะที่เกลื่อนไปด้วยกระดาษเอกสาร กระดาษหลายใบมีรอยกาแฟเปื้อนเป็นด่างดวง นอกจากถ้วยกาแฟยังมีจานอาหารใบเล็กอีกสองสามใบที่ยังมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่พร้อมส้อมกับมีดวางกองอีเหละเขละขละอยู่บนเคาน์เตอร์ใต้หน้าต่างทางด้านซ้ายมือของโต๊ะทำงาน สภาพของมันไม่น่าดูจนข้าวโอ๊ตต้องเบือนหน้าหนี
          ในสายตาของชายหนุ่ม ทีโมนเป็นผู้ชายที่ดูดีแต่เปลือก
          “อีเมลที่คุณส่งต่อไปให้ออฟฟิศสาขาของเราที่เวียดนาม ผมต้องการให้คุณเขียนรายละเอียดงานลงในอีเมลด้วย ไม่ใช่แค่ส่งเฉย ๆ เข้าใจไหม”
          คำสั่งของทีโมนทำให้ข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว
          องค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่มีออฟฟิศมากมายทั่วโลก บางออฟฟิศไม่ได้ดูแลแค่ประเทศเดียว อย่างเช่นออฟฟิศนี้ นอกจากประเทศไทย ยังให้บริการข้อมูลการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเวียดนาม กัมพูชาและพม่าอีกด้วย โดยมีออฟฟิศสาขาอยู่ที่ฮานอย พนมเปญและย่างกุ้ง มีพนักงานประจำอยู่สาขาละหนึ่งคน เป็นคนในท้องถิ่นนั้น ๆ
          พนักงานประจำสาขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับบริษัทเยอรมันซึ่งเป็นลูกค้าโดยตรง ออฟฟิศใหญ่ที่ไทยจะเป็นคนรับอีเมลทั้งหมด หากมีฉบับไหนที่ร้องขอข้อมูลเกี่ยวกับสามประเทศนี้ก็จะถูกส่งต่อไปยังออฟฟิศสาขาในประเทศนั้น ๆ และข้าวโอ๊ตเป็นคนทำหน้าที่ส่งต่ออีเมลพวกนี้
          สำหรับการส่ง จะกดแค่ปุ่มส่งต่ออย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีการเขียนคำขึ้นต้นคำลงท้ายและเนื้อความอย่างสุภาพ ปกติข้าวโอ๊ตไม่ได้เขียนอะไรมาก เขียนแค่ว่าได้ส่งอีเมลของบริษัทชื่อ...ซึ่งเขียนมาขอข้อมูลเรื่อง...ขอได้โปรดดำเนินการต่อไปด้วย มันก็ไม่เคยมีปัญหา
          “รายละเอียดงานแบบไหนครับ ผมไม่เข้าใจ”
          “ก็สิ่งที่ลูกค้าต้องการไง ลูกค้าเขียนมาขอข้อมูลเรื่องอะไร คุณก็ใส่รายละเอียดลงไปในอีเมลที่คุณเขียนให้หมด พนักงานประจำสาขาจะได้รู้ว่าเขาจะต้องทำอะไร”
          ข้าวโอ๊ตนับหนึ่ง สอง สามในใจเพื่อต้องการสงบสติอารมณ์ ก่อนจะตอบเสียงเย็นว่า
          “คุณจะให้ผมเขียนอะไรซ้ำ ๆ ทำไมในเมื่อรายละเอียดพวกนั้นก็อยู่ในอีเมลของลูกค้าที่ต้องส่งต่อไปให้พวกเขาอยู่แล้ว พนักงานประจำสาขาทั้งหมดเข้าใจทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ใช่รึครับ เขาอ่านอีเมลเอาเองได้ เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนอะไรอย่างนั้นเลยสักนิด”
          “แต่ถ้าเราไม่เขียน เขาก็จะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างนะ” รองผู้อำนวยการยังคงยืนยันคำเดิม ทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกปวดศีรษะกับความดื้อรั้นดันทุรังของผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
          นี่แหละ เขาถึงรู้สึกรำคาญที่จะทำงานร่วมกัน
          “ไม่รู้ล่ะ คุณเขียนตามที่ผมบอกก็แล้วกัน แค่นี้แหละ”
          ข้าวโอ๊ตกลับเข้ามาในห้องของตัวเองด้วยความเซ็ง บนจอคอมพิวเตอร์ตอนนี้มีอีเมลหลายฉบับเข้ามาใหม่และมีอยู่ฉบับหนึ่งที่ต้องส่งต่อให้ออฟฟิศสาขาที่เวียดนาม ชายหนุ่มป้อนข้อมูลอีเมลฉบับนั้นเข้าระบบและกดส่งต่อ เนื้อความในอีเมลถึงเวียดนามเป็นแบบเดิมอย่างที่เคยเขียน
          จะให้ทำตามคำสั่งงี่เง่าน่ะหรือ เมินเสียเถอะ
          อีเมลถูกลากเข้าไปใส่ไว้ในโฟลเดอร์เตรียมส่งออก ก่อนจะส่งอีเมล ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการจะต้องตรวจดูก่อนทุกฉบับ และจะใส่สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียวเป็นเครื่องหมายว่าให้ส่งออกได้
          ข้าวโอ๊ตจัดการอีเมลเสร็จเรียบร้อย เขาก็รอ
          สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียวปรากฏขึ้นในเวลาไม่นาน ข้าวโอ๊ตเบะปาก
          ก็แค่นี้แหละ ชอบทำอะไรให้มันยุ่งยากวุ่นวายอยู่เรื่อย ชายหนุ่มกดส่งอีเมลฉบับนั้น
          ทีโมนอาจจะชอบทำตัวเป็นนาย แต่หมอนั่นบังคับใครในออฟฟิศนี้ไม่ได้หรอก และก็จะไม่มาเผชิญหน้าเวลาที่คำสั่งไม่ได้รับการปฏิบัติตามด้วย ข้าวโอ๊ตคิดว่าหมอนั่นก็รู้นั่นแหละตอนที่โดนแย้งว่าคำสั่งของตัวเองมันงี่เง่า แต่เพราะความดื้อ ทำให้ไม่ยอมรับ และจะให้มาโวยวายเพื่อให้โดนสวนกลับอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นก็ไม่กล้าพอเช่นกัน
          จบเรื่องอีเมล ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าเขาจำเป็นจะต้องหาอะไรสักอย่างมาทำให้อารมณ์ดีขึ้นสักหน่อยแล้ว โชคดีที่ออฟฟิศนี้ไม่เข้มงวดเรื่องเปิดเว็บไซต์ ชายหนุ่มสามารถเล่นเฟซบุ๊ก เปิดอ่านเว็บบอร์ดต่าง ๆ หรือดูวีดิโอจากยูทูบระหว่างทำงานได้ และครั้งนี้เขาเลือกเปิดคอนเสิร์ตของวงร็อคญี่ปุ่นสุดเท่ขึ้นมาดู
          ผู้ชายใส่ชุดดำนี่เท่ชะมัดเลยนะ
          “คุณโอ๊ตยิ้มกับคอมพิวเตอร์อีกแล้ว”
          ชายหนุ่มชะงักและหันไปมอง พัดชา แม่บ้านประจำออฟฟิศยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเขา ใบหน้าอวบอูมของหล่อนยิ้มแย้ม แต่ข้าวโอ๊ตรู้ดีว่าสายตาของหล่อนจะคอยสอดส่ายจับจ้องความเคลื่อนไหวทุกอย่างและปากของหล่อนก็จะขยับตามมาในเวลาอันรวดเร็ว
          พัดชาชอบล้อว่าเขายิ้มกับคอมพิวเตอร์ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น ความจริงเขาค่อนข้างระมัดระวังการกระทำด้วยซ้ำเพราะมีคนอย่างพัดชานี่แหละ แต่ชายหนุ่มก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมา เพียงแค่ยิ้มอ่อน ๆ ให้แม่บ้านร่างอ้วนกลมเท่านั้น
          “สั่งอะไรเป็นอาหารกลางวันดีคะ” พัดชาส่งรายการอาหารให้
          คนในออฟฟิศไม่นิยมออกไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอก แต่จะสั่งจากร้านให้นำมาส่งให้ ก่อนเที่ยง พัดชาจะเดินถามตามห้องว่าใครจะเอาอะไรบ้าง แรก ๆ ข้าวโอ๊ตก็สั่งจากร้าน แต่ผ่านไปหลายปีก็เริ่มเบื่อหน่าย หลัง ๆ เขาเลยเอาปิ่นโตอาหารกลางวันมาเอง
          “ผมเอาปิ่นโตมาครับพี่พัด ไม่สั่ง” ชายหนุ่มตอบ
          “คุณโอ๊ตจะให้พี่เทอาหารในปิ่นโตใส่จานไหมคะ”
          “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกินจากในปิ่นโตได้”
          สีหน้าของพัดชาแสดงความดีใจให้เห็นก่อนที่หล่อนจะออกไปจากห้องของเขา
          ออฟฟิศนี้พักกลางวันตอนเที่ยงตรง ฝรั่งจะรับประทานอาหารกลางวันในห้องรับประทานอาหาร กับนัตโตะอีกคนหนึ่ง ส่วนคนไทยคนอื่นรับประทานในห้องครัว ตอนเข้าทำงานแรก ๆ ข้าวโอ๊ตก็นั่งในห้องรับประทานอาหาร แต่หลังจากที่ต้องทนฟังด็อกเตอร์แฮร์มันน์เล่าเรื่องตอนที่ทำงานอยู่ที่ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอเมริกาซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ คาริน่าบ่นสาระพัดปัญหาของเมืองไทย รวมทั้งเสียงอ่อน ๆ อ่อย ๆ น่ารำคาญของทีโมนถามแต่เรื่องวันหยุดเสาร์อาทิตย์ทำอะไรไปเที่ยวที่ไหนแล้ว ชายหนุ่มก็ย้ายตัวเองไปรับประทานอาหารกลางวันในครัวโดยถาวร ถึงแม้จะต้องยืนกินเบียดกับคนอื่น ๆ ในห้องครัวที่คับแคบ แต่สบายหูกว่ากันเยอะมาก เรื่องที่คุยกันระหว่างรับประทานอาหารก็เป็นเรื่องเบาสมอง สนุกสนาน อย่างเรื่องหนัง ดารานักร้อง การออกกำลังกาย หรือการไปเที่ยวต่างประเทศ
          “ปีใหม่มีแพลนเที่ยวรึยัง ของเราจะไปเกาหลีกับแฟนล่ะ จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว จะช็อปให้สนั่นเลย” ออกัสพูดกับข้าวโอ๊ต
          ฝ่ายหลังส่ายหน้า
          “ไม่ได้ไปไหนหรอก คงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนทุกปีนั่นแหละ ปีใหม่บ้านเรารวมญาติ ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องกลับไปให้เขาเห็นหน้าเห็นตาบ้าง”
          “นายล่ะมิคกี้” ออกัสหันมาหาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง
          “ไปญี่ปุ่นครับ” มิคกี้ตอบยิ้ม ๆ “จริง ๆ พ่อกับแม่อยากไปมัลดีฟ แต่ผมไปมาหลายครั้งแล้ว มันสวยก็จริงแต่ไม่ค่อยมีอะไร ผมว่าญี่ปุ่นน่าเที่ยวกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปญี่ปุ่นแทน แช่ออนเซ็นชมวิวภูเขาไฟฟูจิ”
          “ญี่ปุ่นเหรอ ดีจังนะ อยากไปมั่งจัง” ข้าวโอ๊ตรำพึง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เขาชอบที่สุด อยากไปสักครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสจะได้ไปสักที
          เขาชอบญี่ปุ่นเพราะอิทธิพลจากการ์ตูน หนัง ซีรีส์ รายการโทรทัศน์ อาหาร นักร้อง รวมทั้งนักกีฬา ชายหนุ่มเสพสิ่งบันเทิงทุกอย่างที่เป็นของญี่ปุ่น บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเลือกเรียนภาษาเยอรมัน แทนที่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
          “พี่หญ้าล่ะครับ จะไปญี่ปุ่นเหมือนกันไหม ถ้าผมจำไม่ผิด น้องสาวคนเล็กของพี่อยู่โอกินาว่าใช่ไหมครับ” มิคกี้ถามพนักงานหญิงรุ่นพี่ที่อาวุโสที่สุดบ้าง
          “ใช่ รายนั้นเป็นนักวิจัย ทำอยู่บริษัทยา” ญาดาตอบ “แต่ปีนี้ไม่ต้องไปเยี่ยมที่ญี่ปุ่นแล้ว เพราะน้องสาวพี่จะกลับมาบ้าน ได้ยินว่าจะพาแฟนกลับมาปรึกษาเรื่องแต่งงาน”
          “ยินดีด้วยนะครับ ข่าวดีจัง แฟนน้องสาวพี่เป็นคนญี่ปุ่นรึเปล่าครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความตื่นเต้น
          “ใช่ เป็นนักวิจัยอยู่บริษัทเดียวกัน เห็นว่าแต่งงานแล้วก็จะตั้งรกรากอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยนะ” ญาดาตอบ
          “น่าอิจฉาจังเลย”
          ดูเหมือนจะมีแต่ข้าวโอ๊ตคนเดียวที่บ่นแบบนี้ เพราะชายหนุ่มยังโสดและเฝ้าฝันถึงการมีความรักมาตลอด ส่วนออกัสมีแฟนแล้ว มิคกี้ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ได้ยินว่ามีคนมาจีบเยอะแยะ ส่วนญาดา หล่อนแสดงออกเสมอมาว่าไม่อยากแต่งงาน ไม่สนใจผู้ชาย ไม่อยากมีความรัก
          “อยากมีแฟนก็ลองไปเข้าฟิตเนสไหมล่ะ ที่ที่พี่เล่นอยู่น่ะ หนุ่มหล่อกล้ามใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ”
          ญาดาแนะนำ หล่อนทราบดีถึงรสนิยมของน้อง ๆ ผู้ชายทุกคนที่ทำงาน
          “จริงเหรอพี่ ผมสน เดี๋ยวไปสมัครวันนี้เลย”
          คนตอบไม่ใช่ข้าวโอ๊ต แต่เป็นออกัสที่รีบยกมือทันควันพร้อมกับทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือแบบสุดชีวิตจนข้าวโอ๊ตที่สนิทกับเขามากกว่าทุกคนอดแกล้งกระเซ้าเล่นไม่ได้ว่า
          “พูดแบบนี้เดี๋ยวเราจะฟ้องพี่ต้น บอกว่าแฟนกำลังคิดจะมีกิ๊ก”
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ”
          เสียงพูดคุยด้วยความสนุกสนานเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อนัตโตะเดินเข้ามาในครัวเพื่อเอาจานอาหารที่รับประทานเสร็จแล้วมาเก็บ พนักงานในออฟฟิศไม่ต้องล้างจาน พัดชาจะเป็นคนทำหน้าที่นี้บริการทุกคน
          ไม่มีใครตอบคำถามนั้น
          ข้าวโอ๊ตไม่ได้มองว่าคนอื่นทำอะไร แต่ตัวเขาเองหันหน้ากลับเข้าผนังตามเดิม ก้มหน้าก้มตากวาดเศษอาหารที่เหลือในปิ่นโตทิ้งถังขยะ แล้วนำปิ่นโตที่เปื้อนไปวางรวมไว้กับจานชามที่พัดชาจะต้องล้าง
          ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้หันไปมอง แต่หูของเขาก็ยังได้ยินเสียงนัตโตะ
          “ได้ยินว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาทำงานแล้วนะครับ คาริน่าบอกเมื่อกี้นี้”
          “จริงเหรอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย” มิคกี้ถาม ข้าวโอ๊ตเองก็หันกลับมาคอยฟังด้วยความสนใจเช่นกัน
          นัตโตะไม่ตอบคำถามในทันที แต่แสร้งขยับเนกไท ทำท่าทีภูมิอกภูมิใจที่เป็นเพียงคนเดียวที่ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญแบบนี้
          “ผู้ชาย”
         ญาดาฟังแล้วเบะปาก
         “ถ้านิสัยดี ว่าง่าย เชื่อฟัง ไม่เถียง ไม่รั้น ไม่วางท่าว่าข้าแน่ แต่จริง ๆ ทำงานห่วยก็ดีน่ะสิ”
         หญิงสาวพูดอย่างเผ็ดร้อน
         “เด็กสมัยนี้ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง รู้ทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วไม่เห็นจะได้เรื่องสักนิด”
         ข้าวโอ๊ตกระแอมเพราะทราบความนัยดีว่ารุ่นพี่ผู้อาวุโสกว่าหมายถึงใครแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ญาดาก็ยังไม่หยุดบ่น ชายหนุ่มไม่อยากจะร่วมวงนินทาไปกับเขาด้วยจึงทำท่าจะเลี่ยงกลับไปที่ห้อง เขาเดินสวนกับทีโมนและคาริน่าที่กำลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อเอาจานอาหารของตัวเองไปเก็บ มีเพียงด็อกเตอร์แฮร์มันน์คนเดียวเท่านั้นที่มีอภิสิทธิ์พิเศษ ไม่ต้องเก็บจาน รับประทานอาหารเสร็จก็กลับเข้าห้องทำงานไปได้เลย พัดชาจะเป็นคนเข้าไปเก็บจานชามในห้องอาหารให้เอง
          ชายหนุ่มได้ยินเสียงทีโมนพูดอะไรแว่ว ๆ แต่ไม่ได้สนใจ กลับเข้าห้องได้เขาก็นั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ในโปรแกรมเอาท์ลุคไม่มีอะไรเคลื่อนไหว งานช่วงเช้าของเขาก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงเสียบหูฟัง เปิดคอนเสิร์ตของวงร็อคญี่ปุ่นในยูทูบที่ดูค้างไว้ขึ้นมาดูต่อ
          หลังจากข้าวโอ๊ตเดินออกจากห้องครัวแป๊บเดียวเท่านั้น มิคกี้ ออกัส นัตโตะ ญาดาก็ตามออกมา ในครัวเหลือทีโมน คาริน่าและพัดชา ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมาคาริน่าก็เดินผ่านห้องของข้าวโอ๊ตกลับไปที่ห้องของตัวเอง
          หลังหมดเวลาพักกลางวันไม่นานนัก ขณะที่ข้าวโอ๊ตยังคงติดลมกับการดูคอนเสิร์ต มิคกี้ก็เดินเข้ามาหาเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ในห้อง
          “พี่โอ๊ตครับ ช่วยแปลอีเมลฉบับนี้ให้ผมหน่อยได้ไหม”
          ข้าวโอ๊ตถอดหูฟัง คลิกเปิดอีเมลฉบับที่รุ่นน้องพูดถึง
          มิคกี้เป็นพนักงานการตลาดที่รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตสาหกรรม อีเมลที่มาถึงเขาบางครั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลาสติก ลวด ท่อ เคเบิล หรือพวกเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งมันมักจะเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทาง มิคกี้และพนักงานการตลาดคนอื่น รวมทั้งออกัส ทุกคนไม่รู้ภาษาเยอรมัน เมื่อมีอีเมลเข้ามาขอข้อมูล ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือทีโมนจะเป็นคนอธิบายงานที่ต้องทำให้ฟัง แต่บางครั้งฝ่ายการตลาดจะมาขอให้ข้าวโอ๊ตแปลอีเมลให้ด้วยเหตุว่า
          “นายกับทีโมนสั่งงานไม่รู้เรื่อง”
          การมาขอให้ข้าวโอ๊ตช่วยแปลเนื้อหาในอีเมลจึงเท่ากับเป็นการดับเบิ้ลเช็ค แต่ชายหนุ่มก็แปลให้ไม่ได้รวดเร็วทันใจนัก ศัพท์บางคำเขาก็ไม่รู้จัก ต้องเปิดดิกชันนารีหาความหมาย แล้วหาคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมอีกทอดหนึ่ง หลายครั้งที่ต้องเช็คกับดิกชันนารีภาษาอังกฤษด้วยเพื่อความแน่ใจ
          มิคกี้ต้องรอนานยี่สิบนาทีกว่าข้าวโอ๊ตจะแปลอีเมลเสร็จ
          “ขอโทษนะมิคกี้ นานไปหน่อย เนื้อหาทั้งหมดที่แปลพี่เขียนใส่ให้ในอีเมลแล้วนะ ไปอ่านทวนดูได้”
          “ขอบคุณครับพี่โอ๊ต ต้องรบกวนพี่จริง ๆ แต่ผมว่าคราวหน้าผมลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาดูน่าจะดีกว่าเนอะ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดดิกชันนารีนานขนาดนี้”
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วชะงัก ไม่แน่ใจว่าคนพูดตั้งใจจะหมายถึงอะไรกันแน่ แต่จะบอกว่ามิคกี้จิกกัดเขาก็พูดไม่ได้เต็มปากในเมื่อรุ่นน้องยิ้มหวานจนตาหยี น้ำเสียงที่ใช้ก็สุภาพและเต็มไปด้วยความเกรงใจ คำพูดเท่านั้นที่ฟังแปร่งหู
          “ก็ลองดู กูเกิ้ลแปลภาษาก็ไม่เลวหรอกตอนนี้ พัฒนาขึ้นเยอะ” ข้าวโอ๊ตเลือกตอบแบบกลาง ๆ
          มิคกี้ขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะออกไปจากห้อง ข้าวโอ๊ตหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบหูอีกครั้ง แต่คอนเสิร์ตที่ดูอยู่ก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้วเพราะเขายังติดใจสิ่งที่มิคกี้พูดอยู่นั่นเอง ในที่สุดเขาก็กดปิด เปลี่ยนไปเปิดเว็บไซต์อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นออนไลน์แทน และเมื่อไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ยินเสียงจากข้างนอกห้องได้อย่างชัดเจน
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-12-2015 16:30:35
          ผนังนอกห้องทำงานตรงทางเดินทั้งสองฟากติดตู้เก็บเอกสารแบบบิวด์อิน เวลามีใครเปิดปิดตู้เอกสาร เสียงก็จะลอดเข้ามาในห้อง แต่วันนี้เสียงดังเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเสียงเปิดปิดตู้ ยังมีเสียงคุยกันไม่เบานักของคาริน่าและนัตโตะ ข้าวโอ๊ตจับความไม่ได้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน แต่ครู่ต่อมา คาริน่าก็เดินกระแทกเท้าเข้ามาในห้องของข้าวโอ๊ต
          “คุณโอ๊ต ออกมาดูเอกสารพวกนี้หน่อย ทำไมเก็บไม่เหมือนกัน”
          เอกสารของออฟฟิศเก็บไว้ในแฟ้มตามชื่อบริษัทที่เรียงตามลำดับตัวอักษร A-Z แฟ้มหนึ่งอาจจะเก็บเอกสารของหลาย ๆ บริษัทที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรไม่เหมือนกัน เช่น W-Z เพราะมีบริษัทจำนวนน้อยที่ตั้งชื่อโดยใช้ตัวอักษรในกลุ่มนี้ หน้าแรกสุดของทุกแฟ้มจะแสดงรายชื่อบริษัทเอาไว้ ดูแล้วเป็นระบบที่ดี แต่มันก็มีจุดอ่อนอยู่ตรงบริษัทที่เป็นชื่อคน ในตอนแรกที่เข้ามาทำงาน ข้าวโอ๊ตเจอเอกสารที่มาจากบริษัทชื่อ Dr. Udo Birk เขาก็เอาเก็บเข้าแฟ้มไม่ถูก ต้องถามคาริน่า หล่อนคิดอยู่นิดหนึ่ง ก่อนบอกให้เก็บเข้าแฟ้มตัว B ตามชื่อสกุล ชายหนุ่มเคยค้านว่าเคยเห็นในแฟ้มเก่า เอกสารจากบริษัทที่มีชื่อแบบนี้ถูกเก็บในแฟ้มตัว D ตามตัวอักษรตัวแรก แต่คาริน่าบอกว่าไม่เป็นไร ของใหม่ให้เก็บตามนี้ และข้าวโอ๊ตที่รับผิดชอบเก็บเอกสารเข้าแฟ้มก็ทำตามนี้มาตลอด
          เอกสารที่มีปัญหาวันนี้ก็มาจากบริษัทที่ชื่อเป็นชื่อคน
          ข้าวโอ๊ตดูแฟ้มสองแฟ้มที่เปิดอ้าอยู่ตรงหน้า เอกสารจากบริษัทชื่อ Dr. Karim Rüdiger ถูกเก็บเอาไว้สองแฟ้ม คือแฟ้มตัว D และแฟ้มตัว R แน่นอนว่า เอกสารในแฟ้มตัว R ชายหนุ่มเป็นคนเก็บเอง
          “อันนี้เก็บแบบเก่า คนที่เก็บเขาคงไม่รู้มั้งครับว่าเราเก็บแบบไหนตอนนี้” ข้าวโอ๊ตตอบ
          ชายหนุ่มรับผิดชอบการเก็บเอกสาร แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวที่ทำ เขาเก็บเอกสารให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ทีโมน และเอกสารของตัวเองเป็นหลัก ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ ก็เก็บเอกสารกันเอง และอาจจะมีบางคนที่เผลอหรือลืม ข้าวโอ๊ตเหลือบมองนัตโตะที่ยืนทำหน้าลำบากใจอยู่ใกล้คาริน่า
          “แบบนี้มันใช้ไม่ได้เลย เก็บเอกสารสับสน แล้วก็หาเอกสารกันไม่เจอ” คาริน่าบ่นหน้าบึ้ง
          “ขอโทษครับ ความผิดของผมเอง” นัตโตะพูดเสียงอ่อย หน้าตาน่าสงสาร “ผมต้องใช้เอกสาร แต่ผมหาไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน”
          “แก้ไขเดี๋ยวนี้เลยนะคุณโอ๊ต เช็คดูให้หมดว่ามีแฟ้มซ้ำกันอีกรึเปล่า แล้วจัดการแฟ้มเก่า ๆ ด้วย ปรับให้เป็นแบบใหม่ให้หมด เข้าใจไหม” คาริน่าสั่ง
          ข้าวโอ๊ตไม่มีปัญหากับการแก้ไขแฟ้มใหม่ ๆ แต่ถ้าถึงขนาดต้องแก้ไขแฟ้มเก่า ๆ ที่เก็บกันมาแบบนั้นนับสิบปีด้วยแล้ว เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่าย มันอาจจะต้องรื้อกันใหม่หมด สร้างแฟ้มเพิ่ม ลบแฟ้มออก มันอาจจะใช้เวลาเป็นอาทิตย์
          แค่คิดเขาก็เหนื่อยแล้ว
          เรื่องหาเอกสารไม่เจอไม่ค่อยมีเกิดขึ้นเพราะพนักงานแต่ละคนเก็บเอกสารด้วยตัวเองก็จะจำได้ว่าเก็บเอาไว้ที่ไหน หรือถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ก็มาบอกให้เขาช่วยหาให้เพราะเขาจะรู้ว่าควรหาอย่างไร ปัญหาเรื่องบริษัทชื่อคน ทุกคนก็รับรู้กันดี
          “ขอโทษนะครับพี่โอ๊ต ผมกำลังหาเอกสาร พอดีเจอคาริน่าก็เลยถาม ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นปัญหาจริง ๆ นะครับ ตอนนั้นคิดแค่เจอใครก็ลองถามดูเท่านั้น”
          ข้าวโอ๊ตไม่ยิ้มให้นัตโตะที่ทำหน้าจ๋อย ๆ แต่บอกเสียงแข็งว่า
          “คราวหลังเรื่องหาเอกสารให้มาถามพี่ก่อน”
          นัตโตะรับคำเสียงเศร้า ๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป ส่วนข้าวโอ๊ตหันหลังเดินไปทางครัว ตอนนี้เขาต้องการอะไรหวาน ๆ สักกำมือมากินให้อารมณ์ดี ก่อนที่จะต้องเริ่มทำงานที่เขาไม่อยากทำสักเท่าไร ตอนเดินผ่านโต๊ะของออกัส เขาก็ได้ยินเสียงพูดลอย ๆ ว่า
          “งานเข้าทั้งวันเลยนะวันนี้”
          ข้าวโอ๊ตได้แต่พยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดขีด
          “เราไม่อยากเพิ่มงานให้นายเลย แต่พรุ่งนี้ที่เราหยุด มันมีงานด่วนเข้ามาต้องทำให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ ยังไงต้องขอฝากนายทำต่อล่ะนะ”
          นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ชีวิตของเขายากลำบาก ตำแหน่งของเขากับตำแหน่งของออกัสต้องทำงานแทนกัน ถ้าวันไหนออกัสไม่มาทำงาน ข้าวโอ๊ตต้องมานั่งที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าบริษัทเพื่อรับโทรศัพท์และรับแขกของบริษัทแทนออกัส แต่งานของออกัสเป็นงานที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ทั้งการรับโทรศัพท์ จองโรงแรมจองตั๋วเครื่องบินให้แขกของบริษัท เจรจาต่อรองกับฝ่ายขายขอโปรโมชั่นขอส่วนลดต่าง ๆ หรือกระทั่งจิกตีกับคนไปทั่วเวลาตามงานต่าง ๆ งานแบบนี้เหมาะกับคนคล่องแคล่วพูดเก่งอย่างออกัส ไม่ใช่คนเงียบ ๆ พูดไม่เก่ง โลกส่วนตัวสูงอย่างข้าวโอ๊ต
          แล้วออกัสนี่ก็ขยันหยุดงานเสียเหลือเกิน
          “งานอะไร” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความเหนื่อยใจ
          “ออกตั๋วเครื่องบินให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เขาเลื่อนวันเดินทาง โปรโมชั่นที่เคยคุยกับเอเย่นต์ไว้มันหมดอายุ ราคาเปลี่ยน นายต้องถามด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่าราคาใหม่มันโอเคไหม เขาจะบอกพรุ่งนี้เพราะต้องรออนุมัติเงินจากสำนักงานใหญ่ก่อน แล้วพรุ่งนี้นายโทรไปออกตั๋วกับเอเย่นต์ แต่เป็นเจ้าใหม่นะ เราจดเบอร์ไว้ให้แล้ว ตั๋วต้องออกภายในพรุ่งนี้ ไม่งั้นไม่ทัน”
          ข้าวโอ๊ตรับกระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์มาด้วยความละห้อยละเหี่ยใจ
          งานของเขาในวันนี้ยังไม่หมดแค่นั้น ตำแหน่งของชายหนุ่มเป็นฝ่ายธุรการดูแลเอกสารและการป้อนข้อมูลต่าง ๆ เข้าระบบก็จริง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หน้าผากของเขาเหมือนแปะป้าย “ฝ่ายสนับสนุน” อยู่ เพราะฝ่ายการตลาดสามารถขอให้เขาช่วยหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ได้ถ้างานมีมากจนล้นมือ และคนที่ใช้งานเขามากที่สุดคือญาดา
          ลูกพี่ของบรรดาคนไทยในออฟฟิศชอบโยนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าเบื่อมาให้เขา เช่น การตรวจสอบข้อมูลของบริษัทไทย
          “สามบริษัท ต้องการข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ข้อมูลการเงิน รายชื่อหุ้นส่วนบริษัท พี่ขอภายในวันนี้นะโอ๊ต”
          ญาดาเรียกเขาตอนที่กำลังเดินกลับห้องพร้อมช็อกโกแลตแท่งโตในมือ แล้วก็ส่งกระดาษจดรายชื่อบริษัทที่ต้องการให้ซึ่งคำสั่งของญาดา เขาปฏิเสธไม่ได้
          ข้าวโอ๊ตทำงานหัวปั่นตลอดทั้งบ่ายหลังจากยัดช็อกโกแลตเข้าปากจนหมดทั้งแท่ง และเขารู้สึกโล่งอกมากเมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนห้าโมงครึ่ง ชายหนุ่มไม่เสียเวลาอยู่ในออฟฟิศอีก เรียกว่าพอเข็มนาฬิกาชี้เลขหกปุ๊บ ชายหนุ่มก็คว้ากระเป๋าที่เก็บเตรียมไว้ตั้งแต่เที่ยงเห็นจะได้ แล้วก็ร่ำลาทุกคน พุ่งตัวออกจากออฟฟิศเพื่อกลับบ้านทันที
          บ้านที่ชายหนุ่มเรียกก็คือคอนโดมิเนียมขนาดหนึ่งห้องนอนที่ซื้อตั้งแต่ตอนเริ่มทำงานและยังต้องผ่อนอีกกว่ายี่สิบปี นอกจากงานประจำที่ออฟฟิศ ชายหนุ่มรับงานแปลและงานสอนพิเศษด้วยเพื่อเพิ่มรายได้ หวังว่าจะใช้หนี้ให้หมดเร็ว ๆ เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้มีอิสระเสียที
          เบื่องานจนแทบกระอัก เบื่อเพื่อนร่วมงาน ทั้งนายและไม่ใช่นาย แต่เขาก็ต้องอดทน บริษัทให้เงินเดือนค่อนข้างดี งานที่ทำไม่หนักจนเกินไป เลิกงานตรงเวลา แต่ในระยะหลัง ๆ มานี้ ข้อดีพวกนี้ดูจะลดพลังลงไปมาก ยิ่งวันนี้เจอคอมโบเซ็ตจากทั้งออฟฟิศ ความรู้สึกของเขายิ่งดิ่งลงเหว
          ข้าวโอ๊ตอยากคุยกับใครสักคน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาเช็คดูกรุ๊ปแช็ตในแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อน ๆ สมัยมัธยมปลายส่งข้อความคุยกันวันหนึ่ง ๆ เป็นร้อยสองร้อยข้อความ เรียกได้ว่าตามอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เขาก็ไม่สามารถคุยกับเพื่อนในกลุ่มนี้ได้ ชายหนุ่มเคยบ่นเรื่องงานของเขาในกรุ๊ป แรก ๆ ทุกคนก็ตอบรับดี เห็นอกเห็นใจ ปลอบใจให้เขาอดทน แต่พักหลัง เมื่อเขาส่งข้อความเรื่องงานกลับไม่มีการตอบสนอง หลายครั้งที่เพื่อนรีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น ๆ ชายหนุ่มเริ่มรู้ตัวว่าเป็นที่เบื่อหน่ายของเพื่อนฝูง ในที่สุดเขาก็ไม่คุยเรื่องงานในกรุ๊ปอีก และพลอยไม่ได้คุยเรื่องอื่นไปด้วย ทำแค่เพียงอ่านข้อความของเพื่อน ๆ เท่านั้น
          วันนี้เพื่อน ๆ ก็ยังคงส่งข้อความคุยกันอย่างเมามัน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจจะอ่าน เขากดเลือกอ่านข้อความที่แม่ของเขาส่งมาให้แทน
          แม่ถามเขาว่าจะกลับบ้านช่วงปีใหม่ได้กี่วัน แล้วก็ส่งรูปหลานคนใหม่มาให้เขาดูหลายรูป
          ครอบครัวของเขาอยู่ต่างจังหวัด เป็นครอบครัวข้าราชการธรรมดาที่ไม่รวย แต่ก็ไม่ยากจน พ่อของเขาเป็นทหาร แม่เป็นครู เขามีพี่ชายหนึ่งคน เป็นทหารตามรอยพ่อ พี่ข้าวฟ่างแต่งงานแล้ว มีลูกชายอายุสามขวบ และเมื่อเดือนที่แล้วก็ได้ลูกคนที่สองเป็นลูกสาว
          ข้าวฟ่างมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง เมื่อพ่อกับแม่ของเขารู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงและไม่มีวันมีหลานให้ปู่กับย่าชื่นชมได้เหมือนพี่ชาย บรรยากาศในบ้านก็เริ่มอึดอัดและผิดแปลกไปจนเขาต้องเอาตัวเองออกมาเหมือนที่ออกจากกรุ๊ป นาน ๆ ครั้งจึงจะติดต่อพูดคุยกัน
          การได้เห็นรูปของหลานสาวคนใหม่ รูปหน้าตายิ้มแย้มของพ่อ พี่ชาย พี่สะใภ้ขณะที่อุ้มหลานสาวแบเบาะ ทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้จนต้องรีบปิดหน้าต่างแช็ตลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยรับฟังเขาทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะบ่นเรื่องอะไรก็ตาม แต่วันนี้มีเพียงเสียงตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ
          เม็ดนุ่นคงเดินทางไปไหนสักแห่งอีกแล้ว และเวลาที่เดินทาง หญิงสาวจะไม่สนใจโลกออนไลน์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่
เมื่อต้องการใครสักคน แต่ไม่มีใครว่างเพื่อเขาเลย ระดับความเครียดก็เพิ่มมากขึ้นจนเขาต้องหาวิธีปลดปล่อย วิธีดับเครียดของเขาก็มีไม่มาก หนังสือ เพลง ซีรีส์ญี่ปุ่น
          หรือหนังผู้ใหญ่ที่เขามีเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์เป็นร้อย ๆ เรื่อง
          เลือกมาสักเรื่องหนึ่งที่จะทำให้ตัวเองเหนื่อย แล้วจะได้หลับ หลับไปนาน ๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องไปทำงานและพบกับชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ
          ถ้าเขาหลับไปตอนนี้ เขาก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย
          เปลือกตาหนาค่อย ๆ เลิกขึ้น ดวงตาแดงก่ำกวาดมองซ้ายขวาเหมือนต้องการจะสำรวจสถานที่อยู่ แล้วอุ้งเท้าที่มีกรงเล็บแหลมคมก็เริ่มขยับ ก่อนจะลากไปมาตามพื้นจนเกิดเสียงดังแกรกกราก
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 1 (29-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 29-12-2015 19:30:52
ภาษาดีงามงามมาก ขนาดเราไม่ได้ทำงานออฟฟิศเรายังเริ่มเห็นภาพการทำงานเลย o13

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 2 (30-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-12-2015 15:15:02
บทที่ 2

What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ยายแก่หน้าบึ้งวางอำนาจอีกแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็โวยวายอยู่ได้ พูดกันดี ๆ ไม่เป็นรึไงก็ไม่รู้
Like – Comment – Share

          คาริน่ามาถึงออฟฟิศก่อนคนอื่นเสมอ
          หญิงสาวเปิดไฟทุกดวงในออฟฟิศและในห้องครัว เสียบปลั๊กเครื่องชงกาแฟและกระติกน้ำร้อน จากนั้นเดินไล่สำรวจดูรอบออฟฟิศเพื่อให้แน่ใจว่าในระหว่างเวลากลางคืนที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แล้วถึงจะวางใจ เดินเข้าไปนั่งในห้องทำงานของตัวเองได้
          หล่อนทำแบบนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร ก็ประเทศนี้มันน่าไว้ใจเสียเมื่อไร โจรขโมยก็ชุกชุม คนก็ขี้โกง แถมยังขี้เกียจ ถ้าหล่อนไม่เข้มงวด ไม่ตรวจตราดูทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ได้มีปัญหาเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันแน่นอน
          อาหารเช้าของหล่อนเป็นขนมปังรับประทานกับแฮมฝานบาง ๆ ชีส และสลัดผักหนึ่งชามเล็ก บางวันเป็นธัญพืชอบกรอบใส่นมสด ทุกอย่างเป็นยี่ห้อนำเข้าจากเยอรมนีหรือประเทศในยุโรป ซื้อได้เฉพาะจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เท่านั้น หญิงสาวไม่มั่นใจสินค้าที่ผลิตในประเทศนี้ ไม่รู้จะปนเปื้อนอะไรบ้างหรือเปล่า ก่อนหน้าจะมาประจำที่นี่ หล่อนเคยทำงานที่เมืองจีน ของทุกอย่างที่เมืองจีนไร้คุณภาพมาก และหล่อนไม่คิดว่าไทยกับจีนจะแตกต่างกันสักเท่าไร
          คาริน่ารับประทานอาหารเช้าในห้องทำงาน หล่อนเปิดคอมพิวเตอร์ท่องอินเตอร์เน็ตไปพร้อมกันด้วย เว็บไซต์ที่ชอบเปิดเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม นี่ดูจะเป็นอย่างเดียวที่ทำให้อดทนกับการต้องมาใช้ชีวิตที่นี่ได้ หล่อนจดรายชื่อโรงแรมที่น่าสนใจไว้สองสามแห่ง แน่นอนว่าเป็นระดับสี่ถึงห้าดาว ดาวน้อยกว่านี้หล่อนไม่มีทางไปพักเด็ดขาด ไม่อยากเสี่ยงกับบริการที่ไม่ได้มาตรฐานหรือการโดนฟันหัวแบะ
          เสียงประตูออฟฟิศเปิดพอดีกับที่หล่อนกำลังจะเดินไปห้องน้ำทำให้หล่อนได้ทักทายข้าวโอ๊ตที่อยู่ในครัว
          “อรุณสวัสดิ์คุณโอ๊ต”
          การทักทายทำไปตามมารยาท อีกฝ่ายก็คงเหมือนกันเพราะสีหน้าของชายหนุ่มตอนที่ทักตอบหล่อนไม่ยินดียินร้าย พูดเสร็จก็เมินไปง่วนกับถุงข้าวของที่อยู่ในมือตามเดิม หญิงสาวก็ไม่สนใจเช่นกัน
          ก็แค่พนักงานธรรมดา
          คาริน่าเปิดประตูออฟฟิศออกไปด้านนอกเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำที่เป็นห้องน้ำรวม เรื่องที่ต้องใช้ห้องน้ำปะปนกับออฟฟิศอื่น ๆ ในชั้นนี้เป็นเรื่องที่หล่อนไม่ชอบใจมาตลอด ใครต่อใครบ้างก็ไม่รู้เดินเข้าเดินออกกันเป็นเทือก แม่บ้านก็ทำความสะอาดไม่ดีเลย หล่อนต้องใช้ให้ออกัสโทรศัพท์ไปร้องเรียนฝ่ายจัดการอาคารอยู่เป็นระยะ ถ้าไม่ร้องเรียนก็ไม่มีการปรับปรุง แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับเป็นเหมือนเดิม แล้วก็ต้องร้องเรียนกันใหม่ ระบบของคนไทยอันสุดแสนจะน่ารำคาญ แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ไม่คิดจะเสนอให้มีการย้ายออฟฟิศ
          ค่าเช่าที่ในอาคารแห่งนี้ค่อนข้างถูกทำให้ประหยัดงบของออฟฟิศไปได้เยอะทีเดียว หญิงสาวเป็นฝ่ายบัญชี ต้องควบคุมการใช้เงินของออฟฟิศ เดือนที่แล้วประหยัดงบจนมีเงินเหลือส่งคืนสำนักงานใหญ่ได้เป็นก้อน ทำให้ได้รับคำชมเชยมาก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็ได้หน้าได้ตา หล่อนก็พลอยได้ความชอบไปด้วย และคราวนี้ไม่ว่าจะเสนอความคิดอะไร ผู้อำนวยการก็ไม่เคยคัดค้าน
          กลับมาจากห้องน้ำ หล่อนเห็นข้าวโอ๊ตยังอยู่ในครัวและคงจะอยู่ในนี้ไปจนถึงเวลาเข้างานเหมือนทุกวันนั่นแหละ รอให้คนอื่น ๆ มาถึง แล้วก็คุยเล่นกัน อ้อยอิ่งรับประทานอาหารเช้า แทนที่จะไปเตรียมตัวทำงาน คนไทยชอบทำอะไรแบบนี้ เห็นแล้วมันขัดตาจริง ๆ
          คาริน่ากลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เรียกตารางของผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการขึ้นมาดู ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์มีแผนเดินทางไปลาวพรุ่งนี้ นายใหญ่ประจำออฟฟิศไม่ได้บอกเรื่องนี้กับข้าวโอ๊ต แต่มาสั่งให้หล่อนเตรียมแฟ้มเอกสารแทน
          คนแก่ขี้หลงขี้ลืม หญิงสาวมักจะเรียกนายตัวเองลับหลังแบบนี้เสมอ ที่เรียกใช้หล่อนก็เพราะมันง่ายที่สุด ไม่เหมือนข้าวโอ๊ต รายนั้นยังมีปัญหาเรื่องภาษา บางครั้งพูดอะไรไปก็ไม่เข้าใจ ต้องพูดซ้ำหรือพูดให้ช้าลง บางทีก็น่ารำคาญ แต่มันก็ทำให้หล่อนย่ามใจ ในเมื่ออะไรทุกอย่างก็ต้องผ่านหล่อนก่อนทั้งนั้น และหล่อนก็สามารถสั่งคนอื่นได้ต่ออีกทอดหนึ่ง
          อย่างแฟ้มน่ะ ทำเองก็ได้ แค่สั่งพิมพ์เอกสารนิดเดียวเท่านั้น แต่เรื่องอะไรที่หล่อนต้องทำงานแทนคนเฉื่อยชาพรรณนั้น แกล้งดึงเรื่องให้ถึงนาทีสุดท้าย แล้วเข้าไปบอกด็อกเตอร์แฮร์มันน์ให้ทวงแฟ้มจากข้าวโอ๊ต ได้ทั้งแสดงความสำคัญของตัวเอง ได้ทั้งสั่งสอนข้าวโอ๊ตไปด้วยเลยทีเดียว
          ใกล้เก้าโมง ออฟฟิศเริ่มคึกคัก เสียงคุยสรวลเสเฮฮาดังมาจากห้องครัวตามคาด คาริน่าต้องเร่งเสียงลำโพงให้ดังขึ้นเพื่อให้เสียงเพลงกลบเสียงคุยภาษาไทยนั่น แล้วรอจนถึงเวลาที่ผู้อำนวยการมาทำงานในตอนราว ๆ เก้าโมงห้านาที หล่อนก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินเข้าไปในห้องของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ สวนทางกับพัดชาที่เอาถาดน้ำชามาเสิร์ฟให้ผู้อำนวยการสำนักงานเป็นประจำทุกเช้า
          “พรุ่งนี้คุณต้องไปลาว คุณโอ๊ตเตรียมแฟ้มให้คุณแล้วรึยัง ราล์ฟ”
          คาริน่าพูดเข้าประเด็นทันที ไม่มีการอ้อมค้อม ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ชะงักมือที่กำลังรินน้ำร้อนลงในถ้วยชาที่ใส่ถุงชาเอาไว้เพื่อมองไปรอบโต๊ะทำงานที่มีเอกสารวางอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะส่ายหน้า
          “ผมยังไม่ได้แฟ้มเลย แต่ผมสั่งคุณไม่ใช่หรือ”
          “คุณสั่งให้ฉันช่วยเตรียมเอกสาร แต่คุณโอ๊ตต่างหากต้องเป็นคนทำ”
          “อ้าว เหรอ”
          คาริน่าเดินอ้อมโต๊ะไปยืนข้างเก้าอี้ของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ หยิบกระบอกน้ำร้อนมารินน้ำลงในถ้วยให้เอง จากนั้นก็เลื่อนถ้วยชาไปให้ พร้อมกับก้มหน้าลงมาใกล้หูของชายสูงวัย
          “เรียกคุณโอ๊ตเข้ามา แล้วทวงแฟ้มจากเขานะ คุณต้องกระตุ้นให้เขาทำงานบ้าง ไม่ใช่มานั่งเฉย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เหมือนที่ผ่านมา”
          “แต่ผมไม่ได้บอกอะไรเขาเรื่องนี้ไว้ก่อนนี่นา” ผู้อำนวยการทำหน้ายุ่ง
          “เขาควรจะเป็นคนเข้ามาถามสิ คุณไม่จำเป็นต้องบอกอะไรเขามากอยู่แล้วเพราะตารางงานก็มี เขาไม่ดูเอง มันเป็นความไม่รับผิดชอบของคุณโอ๊ต ยังไงงานนี้เขาก็ต้องเป็นคนทำให้เสร็จ”
          “งั้นผมจะเรียกเขามาสั่ง”
          “แล้วบอกให้เขามาหาฉัน ฉันจะได้เตือนเขาเรื่องงานซ้ำอีกทีหนึ่ง คุณจะได้ไม่ต้องลำบากพูดเอง เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไว้เป็นหน้าที่ของฉันจัดการเอง”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์คล้อยตาม เพราะเขาไม่ชอบเผชิญหน้ากับลูกน้องอยู่แล้ว หากมีปัญหาอะไรในออฟฟิศ คนที่เขาจะพูดด้วยก็มีหล่อน หรือไม่ก็ญาดา แล้วค่อยให้ทั้งสองคนนำไปบอกทุก ๆ คนต่อ
          คาริน่ายิ้มด้วยความพอใจ ก่อนจะพยักพเยิดไปที่กระเช้าของขวัญขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องประชุมที่มีประตูเชื่อมกับห้องทำงานของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ และตอนนี้ประตูนั้นก็เปิดอยู่
          “อ้อ กระเช้านั่นฉันก็ดูแล้วนะ มีเครื่องกระป๋องที่คุณชอบหลายชิ้น เดี๋ยวฉันจัดการแยกใส่ถุงเอาไว้ให้ ที่เหลือค่อยให้พวกคนไทยมาเลือกกันไป”
          “ขอบคุณมาก เอาตามที่คุณว่าดีก็แล้วกัน” ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่มีอะไรคัดค้านเหมือนเดิม
          หลังหมดเรื่องที่ต้องการแล้ว คาริน่ายังไม่ยอมกลับเข้าไปในห้องตัวเอง หล่อนถือโอกาสนี้เข้าไปอยู่ในห้องประชุม อ้างว่าจะจัดการเรื่องกระเช้าของขวัญที่ลูกค้าของบริษัทนำมามอบให้เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่จริง ๆ คือต้องการจะฟังเรื่องงานของวันที่ผู้อำนวยการจะต้องปรึกษากับรองผู้อำนวยการทุกเช้า ประตูเชื่อมของห้องทั้งสองเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย ทำให้หล่อนได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน และถึงแม้มันจะเป็นงานประจำวัน ไม่ได้มีเคสอะไรที่น่าสนใจ แต่หล่อนจะต้องรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ
          คาริน่าแยกของจากในกระเช้าออกเป็นส่วน ๆ เสร็จเรียบร้อย ของกระป๋องที่เล็งเอาไว้ก่อนแล้วเอาใส่ถุงกระดาษเตรียมไว้ให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ส่วนของที่เหลือก็ให้แบ่ง ๆ ไปในหมู่พนักงานคนไทย หญิงสาวไม่ได้เลือกอะไรให้ตัวเองเพราะของในครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ส่วนของทีโมน หล่อนกันไวน์ขวดเล็กหน้าตาเหมือนผลิตภัณฑ์โฮมเมดไว้ให้กล่องหนึ่งซึ่งมีสามขวด เป็นของที่ดูดีพอสมควร น่าจะทำให้เขาพอใจ
          การแยกของทำเสร็จก่อนที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะคุยกับทีโมนจบ แต่คาริน่าก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้องประชุมจนกระทั่งการสั่งงานประจำวันใกล้เสร็จลง และไม่มีอะไรที่หล่อนจำเป็นต้องรู้อีก หญิงสาวจึงหยิบถุงที่ใส่ของกระป๋องและกล่องไวน์เข้าไปไว้ในห้องของตัวเอง ส่วนของที่เหลือในกระเช้าทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วค่อยบอกให้คนอื่น ๆ มาหยิบเอาไป
          เมื่อทีโมนคุยงานกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์เสร็จและเดินผ่านห้องหล่อน คาริน่าก็ร้องเรียก แล้วยื่นกล่องไวน์ส่งให้
          “ชอบรึเปล่า” หล่อนถาม
          “ชอบมากครับ ขอบคุณมากเลย ท่าทางน่าจะอร่อยนะนี่ คุณนี่รู้ใจผมเสียจริง”
          คาริน่ายิ้มนิด ๆ กับคำชมของรองผู้อำนวยการสุดหล่อ แต่ท่าทางของหล่อนก็ยังดูแข็งกระด้างอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าที่พูดกับคนอื่นแล้วก็ตาม
          “ค่ำนี้มีโปรโมชั่นค็อกเทลที่โรงแรม สนใจจะไปด้วยกันไหม ความจริงค็อกเทลที่นี่ก็งั้น ๆ แหละถึงต้องทำโปรโมชั่น อย่างโมฮิโต้ก็เปรี้ยวไปหน่อย บลัดดี้แมรี่นี่กลิ่นน้ำมะเขือเทศค่อนข้างแรง จะมีก็พวกยินโทนิคที่ใช้ได้ แต่สถานที่ดีนะ บรรยากาศดี เหมาะสำหรับไปดื่มหลังเลิกงาน ไปไหม”
          สายตาของหล่อนมีความคาดหวัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความไม่สบอารมณ์เมื่อทีโมนปฏิเสธ
          “เสียดายจัง ผมบังเอิญนัดเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสเอาไว้แล้วด้วยสิ แคนเซิลไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ”
          ทีโมนบีบไหล่หญิงสาวเบา ๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้เพื่อปลอบใจ แล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมกล่องไวน์ในมือ
          คาริน่ามองตามไปด้วยความขัดใจ ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าเขาโกหกเรื่องมีนัด ทีโมนจีบคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย แต่กับหล่อน ถึงเขามีทีท่าเหมือนจะหยอด แต่หล่อนรู้ว่าเขาไม่สนใจหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
          ก็หล่อนไม่สวย แถมยังอายุมาก มันเป็นความจริงที่หล่อนไม่อยากยอมรับเอาเสียเลย แต่หล่อนไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ตอนนี้เขาเกรงใจหล่อนเพราะหล่อนเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่ผู้อำนวยการไว้ใจที่สุด แต่ต่อไปหล่อนจะต้องทำให้เขายอมสยบต่อหล่อนให้ได้
          หล่อนไม่ยอมโดนเมินแน่ ยิ่งจากพวกที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีด้วยแล้ว หล่อนไม่มีวันยอม หล่อนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุม ต้องเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าทุกคนให้ได้
          คาริน่าอดกลั้นไม่แสดงอารมณ์ต่อทีโมน แต่เอาความไม่พอใจมาลงที่ข้าวโอ๊ตแบบเต็มที่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยตอบโต้ ดังนั้นเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มตอนที่เข้ามาขอเอกสารสำหรับจัดใส่แฟ้มให้แก่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ หล่อนจึงทำให้แบบกระแทกกระทั้น พร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า
          “จัดใส่แฟ้มให้เรียบร้อยแล้วเอาไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วย”
          ข้าวโอ๊ตไม่พูดอะไร รับเอกสารแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ทำให้หล่อนยิ่งได้ใจ และแสดงหนักยิ่งขึ้นตอนที่มีโทรศัพท์สายซ้อนเข้ามา หล่อนเห็นสัญญาณไฟกะพริบสีแดงเข้าพอดีก็กดรับโดยที่ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก แต่สายที่เข้ามานั้นน่าจะเป็นคนไทย เพราะเมื่อได้ยินหล่อนพูดภาษาอังกฤษใส่ แม้จะเป็นประโยคง่าย ๆ แต่ฝ่ายนั้นก็ติดอ่างขึ้นมาทันที ตอบโต้ไม่ถูก เมื่อหล่อนถามย้ำอีกครั้งก็วางหูไปเลย
          คาริน่ายกโทรศัพท์หาข้าวโอ๊ตทันที
          “คุณโอ๊ต รับโทรศัพท์ด้วย เมื่อกี้มีโทรศัพท์คนไทยเข้ามา พูดอังกฤษไม่ได้เลย”
          โวยเสร็จก็วางหูโครมใส่โดยที่ไม่สนใจฟังคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด ได้ระบายอารมณ์ออกไปแบบนี้ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่หญิงสาวก็เป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายดายมาก เมื่อหล่อนเห็นสัญญาณไฟกะพริบเป็นครั้งที่สอง หล่อนก็กดรับอีก และก็เจอเหตุการณ์เดิมคือคู่สนทนาไม่ยอมพูดด้วยและวางหูใส่หล่อนเหมือนเมื่อสักครู่นี้
          อารมณ์ของหล่อนเลยพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีก ข้าวโอ๊ตทำงานภาษาอะไรกัน ปล่อยให้หล่อนรับโทรศัพท์บ้าบอนั่นถึงสองครั้งแบบนี้ได้อย่างไร นี่หมอนั่นไม่รู้เลยหรือไงว่าหล่อนไม่ใช่โอเปอเรเตอร์กระจอก ๆ ที่ต้องมานั่งรับโทรศัพท์เพี้ยน ๆ
          หญิงสาวเดินไปโวยใส่ข้าวโอ๊ตทันที
          “คุณโอ๊ต! ทำไมไม่รับโทรศัพท์! นี่ฉันต้องรับโทรศัพท์คนไทยพูดไม่รู้เรื่องถึงสองครั้งเชียวนะ! ไม่รู้รึไงว่ามันน่ารำคาญ!”
แต่ครั้งนี้หล่อนกลับได้เจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน เพราะข้าวโอ๊ตลุกขึ้นมาตอบโต้
          หญิงสาวรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย แต่ฝ่ายนั้นเอาจริง ข้าวโอ๊ตดูจะโมโหเอามาก ๆ และพร้อมจะชนกับหล่อนโดยที่ไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ หล่อนก็ไม่อยากจะเถียงด้วยให้เรื่องมันบานปลาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าหล่อนจะยอมเหมือนกัน ดังนั้นก่อนจะออกมาจากห้องของข้าวโอ๊ต หล่อนจึงต้องข่มเอาไว้นิดหนึ่งว่า
          “โอเค โอเค ทีหลังก็รับให้ทันก็แล้วกัน อย่าให้มันเป็นแบบนี้อีก”
          ดูเผิน ๆ เหมือนหล่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่คาริน่ามีวิธีอีกมากมายที่จะเล่นงานพนักงานธรรมดา ๆ อย่างข้าวโอ๊ตกลับ โทษฐานที่มาขึ้นเสียงใส่หล่อน ไม่ต้องลดตัวลงไปโต้เถียงด้วยให้เหนื่อยเสียด้วยซ้ำ ในเมื่ออำนาจมันอยู่ในมือของหล่อนอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้อย่างนี้ หญิงสาวก็เลยยังนิ่งอยู่ได้
          ใกล้เที่ยง พัดชาเข้ามาถามเรื่องอาหารกลางวัน แม่บ้านร่างอ้วนประจำออฟฟิศยิ้มแฉ่งประจบประแจงพลางถามด้วยภาษาอังกฤษเป็นคำ ๆ ปนกับภาษาไทย
          “Lunch ค่ะ today special ต้มข่าไก่ เอาไหมคะ”
          ยายคนนี้ก็ไม่เคยจำเลยว่าหล่อนไม่สั่งอาหารตามร้านแบบนี้ ผัดอะไรก็ไม่รู้น้ำมันเยิ้ม ซุปก็ใส่อะไรต่อมิอะไรมากมาย หน้าตาก็ไม่ทำให้เจริญอาหารเอาเสียเลย แต่พัดชาก็ยังเอากระดาษรายการอาหารมาถามอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน
          “No, I want chicken steak.”
          หญิงสาวบอกให้แม่บ้านไปซื้อสเต็กไก่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ มาเป็นอาหารกลางวัน สเต็กคนไทยทำวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตรสชาติไม่ดีหรอก แต่ก็ยังพอฝืนใจรับประทานเข้าไปได้ ดีกว่าพวกอาหารไทยตามร้านตามสั่งมาก
          คาริน่าสั่งโดยไม่สนใจว่าพัดชาต้องเดินไปซื้อให้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทุกวันเพราะไม่มีบริการส่งอาหารเหมือนกับร้านอาหารที่บริษัทสั่งอาหารด้วย
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 2 (30-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-12-2015 15:16:51
          อาหารกลางวันจัดไว้ให้ที่ห้องรับประทานอาหาร ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะนั่งที่หัวโต๊ะ ด้านขวามือของเขาเป็นทีโมน หล่อนนั่งทางด้านซ้ายมือ ถัดจากหล่อนเป็นนัตโตะ ส่วนพนักงานคนไทยคนอื่น ๆ ไปยืนอัดกันอยู่ในครัว
          “สเต็กไก่น่ากินจัง คาริน่า ซื้อที่ไหนครับ”
          หญิงสาวขมวดคิ้ว มองหน้านัตโตะ
          “เนื้อแห้งอย่างนี้น่ะเหรอน่ากิน เจ้านี้ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ สเต็กปลาที่ฉันสั่งมาเมื่อวานดูดีกว่านี้อีก”
          คาริน่าไม่สนใจว่านัตโตะฟังแล้วจะทำหน้าจืดเจื่อน หล่อนเอาส้อมจิ้ม ๆ เนื้อไก่ในจานของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรมากเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนไม่ได้สนใจบทสนทนาระหว่างคาริน่าและนัตโตะเพราะกำลังคุยกันเรื่องเคสที่เพิ่งเข้ามาใหม่ บริษัทที่ขายระบบรักษาความปลอดภัยต้องการจะนำสินค้าของตัวเองมานำเสนอแก่หน่วยงานของไทยและต้องการที่จะให้บริษัทเป็นตัวกลางจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ให้
          “เคสนี้ให้คุณหญ้ารับผิดชอบเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ในสายงานของเธอ คุณช่วยคุณหญ้าเขาอีกแรงหนึ่งนะ”
          “ด้วยความยินดีครับผม เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณหญ้าบ่ายนี้เลย”
          ทีโมนรับคำอย่างแข็งขัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกริ่ม ซึ่งนั่นไม่พ้นสายตาของคาริน่าที่คอยจับจ้องอยู่แล้ว
          “คาริน่า แล้วเรื่องเด็กฝึกงานที่เคยขอไปล่ะ จะมาเมื่อไหร่ ถ้าเรารับงานนี้ เราจะต้องใช้คนช่วยงานมากขึ้นนะ”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หันมาถาม
          “นักศึกษาฝึกงานคนใหม่จะมาอาทิตย์หน้า มีอีเมลแจ้งวันเดินทางกับไฟลท์บินเข้ามาแล้ว”
          “คราวนี้เป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย” ทีโมนถามด้วยความกระตือรือร้น คาริน่าตอบสั้น ๆ ว่า
          “ผู้ชาย”
          บทสนทนาระหว่างมื้อกลางวันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก เพราะด็อกเตอร์แฮร์มันน์เปลี่ยนจากเรื่องงานมาคุยเรื่องข่าวสารทั่วไปจนรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ลุกกลับห้อง ทิ้งจานชามเอาไว้บนโต๊ะให้แม่บ้านประจำออฟฟิศเป็นคนมาเก็บ
          คาริน่ายังไม่ลุกจากโต๊ะแม้ว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะกลับเข้าห้องไปแล้วก็ตาม
          “เดาไม่ออกเลยนะว่าคุณดีใจหรือเสียใจที่ได้เด็กฝึกงานเป็นผู้ชาย” หญิงสาวแกล้งเปรยกับทีโมน หล่อนเปลี่ยนมาใช้ภาษาเยอรมันแทนภาษาอังกฤษที่มักจะต้องพูดเมื่อมีพนักงานคนไทยอยู่ด้วย ถือเป็นมารยาท แต่บางทีถึงมีคนไทยอยู่ หล่อนก็ยังจะพูดเยอรมันอยู่ดีนั่นแหละ ให้พวกคนไทยรู้อะไรมากนักก็ไม่ดี
          “สำหรับผมน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ทีโมนตอบยิ้ม ๆ
          “แต่รายนี้น่ะเห็นทีจะยากนะ ดูจากในรูป เขาคงไม่เล่นด้วยหรอก”
          “ว้า น่าเสียดาย งั้นเราขอเปลี่ยนได้ไหม เอาผู้หญิงมาแทนดีกว่า”
          คาริน่าค้อนขวับ
          “อย่าให้มันออกนอกหน้านัก ราล์ฟไม่ชอบเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ คุณก็รู้ อย่างเมื่อกี้น่ะ ตอนที่เขาบอกให้คุณทำงานกับคุณหญ้า คุณก็ดี๊ด๊าเกินไปนะ คราวหลังอย่าทำอีก ระวังบ้าง”
          “ผมก็แค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้จริงจังสักหน่อย ราล์ฟเขาไม่สนใจหรอกน่า”
          ทีโมนไม่สนใจคำปราม ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อจะเอาจานอาหารไปเก็บในครัว คาริน่าก็ลุกตาม ตอนนี้ในห้องรับประทานอาหารเหลือเพียงแค่เขากับหล่อนสองคน นัตโตะออกไปตั้งแต่เมื่อไร หล่อนไม่ทันเห็นเพราะมัวแต่คุยกับทีโมนเพลินอยู่
          คาริน่ากับทีโมนสวนกับข้าวโอ๊ตที่เดินออกมาจากครัว พนักงานคนอื่น ๆ ยังคงรวมตัวกันอยู่ในครัว แต่เมื่อเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็ทยอยกันเดินออกจากห้องเพราะที่คับแคบ ไม่สามารถอัดกันอยู่ทั้งหมดทุกคนได้ ญาดาเดินออกเป็นคนสุดท้าย แต่โดนทีโมนจับบ่ารั้งเอาไว้ก่อน
          “บ่ายนี้มาที่ห้องผมด้วยนะครับคุณหญ้า มีงานใหม่จะคุยด้วย”
          คาริน่าชำเลืองมองด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่มีจังหวะจะดุ เพราะพัดชาเดินเข้ามาพอดีและทีโมนก็แวบออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว
          “อาหารอร่อยไหมคะ”
          พัดชาที่เข้ามาเก็บจานใส่ถังเตรียมเอาไปล้างถามขึ้น แต่คาริน่าไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะด้วย สายตาของหล่อนจ้องเขม็งไปที่ปิ่นโตที่แม่บ้านกำลังจะเอาใส่ถัง
          “นั่นของใคร”
          “อ๋อ ของคุณโอ๊ตค่ะ” พัดชาตอบ หยิบจานใบสุดท้ายใส่ลงไปในถัง จากนั้นเปิดตู้เล็ก ๆ หยิบสก็อตไบรท์กับน้ำยาล้างจานใส่ตามลงไป
          “คุณคาริน่าคะ no more this, I want money. I buy tomorrow.”
          คาริน่ามองหน้าพัดชา หล่อนเข้าใจว่าพัดชาหมายความว่าอย่างไรเมื่อชี้ไปที่ขวดน้ำยาล้างจานในถัง แต่หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงหมดเร็วนัก
          “เพิ่งซื้อไปไม่นานนี้เองนี่”
          “จานมากค่ะ น้ำยามันหมดไว” แม่บ้านร่างอ้วนทำไม้ทำมือ แล้วชี้ให้ดูปริมาณจานชามที่อยู่ในถัง นอกจากจะมีจานชามอาหารกลางวัน ยังมีจานใบเล็กใบน้อยใส่ขนมที่พนักงานกินระหว่างวัน แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ
          “โอเค พรุ่งนี้มาเอาเงินที่ห้องไปซื้อให้เรียบร้อย เอาใบเสร็จมาด้วย”
          คาริน่าเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง วันนี้ไม่มีงานอะไรเร่งด่วน หล่อนจึงเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านข่าว อ่านรีวิวโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ จากนั้นเปิดเฟซบุ๊กเช็คความเคลื่อนไหวของเพื่อนและคนรู้จัก
          ยายมิชาเอลล่าเปลี่ยนแฟนใหม่อีกแล้ว ลงรูปไปเที่ยวฮาวายกันหวานชื่นน่าหมั่นไส้ที่สุด หญิงสาวชักเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะเมื่อเช้าหล่อนเพิ่งแห้วจากเป้าหมายไปหยก ๆ หล่อนจึงเปลี่ยนไปอ่านข้อความที่ส่งเข้ามาหาแทน
ชาร์ลีชวนหล่อนไปเที่ยวผับคืนนี้ ถึงแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่หล่อนคาดหวัง แต่ยังดีกว่านั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียวในห้อง หล่อนจึงส่งข้อความตอบรับไป แล้วก็เดินออกจากห้องเพื่อไปห้องน้ำ เจอนัตโตะตรงทางเดินด้านนอก กำลังหันซ้ายหันขวา ท่าทางทำอะไรไม่ถูก เมื่อชายหนุ่มเห็นหล่อน เขาก็ทำหน้าราวกับว่าเจอพระมาโปรด
          “คาริน่า มาพอดีเลย ดีใจจัง ผมหาเอกสารเก่าของบริษัทนี้ไม่เจอ คุณช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
          หล่อนดูชื่อบริษัท ก่อนจะตรงไปหยิบแฟ้มมาใบหนึ่ง แต่นัตโตะบอกว่าเอกสารในนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
          “มีแค่แฟ้มนี้แฟ้มเดียวเหรอครับ” นัตโตะถาม
          หญิงสาวเอะใจ เดินไปหยิบอีกแฟ้มหนึ่งมาเปิดส่งให้นัตโตะดู ฝ่ายหลังก็ยิ้มรับด้วยความดีใจ พร่ำขอบคุณหล่อนอย่างมากมายที่ช่วยหาเอกสารให้จนเจอ
          “โชคดีที่คุณมาพอดี ไม่งั้นผมก็คงหาเอกสารไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่ามันแยกเก็บเป็นสองแฟ้มแบบนี้”
          “ไม่เป็นไร”
          แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายประจบเอาใจ แต่คำพูดหวานหูชื่นชมก็ไม่มีใครไม่ชอบ หล่อนจึงยิ้มแข็ง ๆ ให้นัตโตะก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้องของข้าวโอ๊ต จิกเรียกให้ออกมาดูความเละเทะของงานที่ชายหนุ่มเป็นคนรับผิดชอบ และแม้ว่าฝ่ายหลังจะมีข้อแก้ตัว แต่ก็ไม่ทำให้หล่อนพอใจ หญิงสาวบ่นด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
          “แบบนี้มันใช้ไม่ได้เลย เก็บเอกสารสับสน แล้วก็หาเอกสารกันไม่เจอ” จากนั้นก็สั่งเสียงเข้ม
          “แก้ไขเดี๋ยวนี้เลยนะคุณโอ๊ต เช็คดูให้หมดว่ามีแฟ้มซ้ำกันอีกรึเปล่า แล้วจัดการแฟ้มเก่า ๆ ด้วย ปรับให้เป็นแบบใหม่ให้หมด เข้าใจไหม”
          สั่งงานเสร็จเรียบร้อย หล่อนก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ลืมที่จะเข้าห้องน้ำไปเสียสนิท
          ตลอดทั้งบ่ายที่เหลือไม่มีอะไรจะให้หล่อนต้องออกโรงโวยวายอีก เมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนห้าโมงครึ่ง พนักงานก็ทยอยกันกลับไปจนหมด แต่หญิงสาวยังไม่กลับ ที่อยู่ต่อไม่ใช่เพราะต้องทำงาน แต่เพราะต้องตรวจตราทุกอย่างในออฟฟิศให้แน่ใจก่อนว่าเรียบร้อยจริง ๆ ไม่มีใครลืมปิดไฟในห้องทำงานหรือเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ แล้วหล่อนจึงค่อยใช้กุญแจล็อคประตูกระจกของออฟฟิศและกลับเป็นคนสุดท้าย
          คอนโดมิเนียมที่บริษัทเช่าให้หล่อนนั้นอยู่ห่างจากออฟฟิศแค่นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสไปหนึ่งป้ายเท่านั้น จะเดินมาทำงานก็ทำได้สะดวก แต่หล่อนไม่คิดจะทนอากาศร้อน ฝุ่นละอองและควันรถจึงเลือกกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าทุกวัน เมื่อกลับถึงคอนโดมิเนียม คาริน่าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่งหน้าทำผมอย่างตั้งใจ แล้วรอเวลาที่นัดกับเพื่อนเอาไว้
          ชาร์ลีมารับหล่อนที่ห้อง เพื่อจะขึ้นแท็กซี่ไปที่ผับในโรงแรมด้วยกัน
          คาริน่าขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพื่อนใส่เสื้อยืดรัดรูปสีเหลืองสด กางเกงผ้ายืดสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าหัวแหลมหนังแก้ววาววับ ดูลำลองอย่างที่สุดขัดกับการแต่งตัวของตัวเองที่ออกไปในทางเรียบหรูด้วยเสื้อไม่มีแขนสีม่วงเข้มเกือบดำ คอถ่วง และกางเกงสแล็กสีเดียวกับเสื้อ รองเท้าส้นสูงติดคริสตัล พร้อมกระเป๋าแบบคลัชท์
          “ทำไมแต่งตัวดูเด็กจังวันนี้ ตกลงจะไปผับในโรงแรมจริง ๆ รึเปล่า หรือเปลี่ยนร้าน ฉันจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่”
          “ไม่ได้เปลี่ยนร้าน ที่เดิมนี่แหละ ฉันก็แค่อยากเปลี่ยนการแต่งตัวดูบ้างเท่านั้นเอง แต่งตัวยังงี้ก็สนุกดีนะ เมื่อคืนยังหิ้วเด็กกลับมาได้คน สนุกเป็นบ้า”
          หญิงสาวฟังแล้วไม่ศรัทธาเลย
          “อยู่เมืองไทยมีเงินก็หิ้วเด็กได้แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างโน้นอย่างนี้เลย”
          “แหม เอาเงินซื้อมันไม่สนุกเท่ามีคนมาจีบสักหน่อย” เพื่อนหนุ่มค้าน
          ชาร์ลีพาคาริน่านั่งรถแท็กซี่มายังโรงแรมใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมนัก โรงแรมนี้ขึ้นชื่อว่ามีผับชั้นดี ดนตรีสนุก ลูกค้าที่มาเที่ยวส่วนใหญ่เป็นฝรั่งที่เรียกได้ว่ามีระดับ ไม่ใช่ฝรั่งนักท่องเที่ยวแบกเป้ตามถนนข้าวสาร คาริน่าชอบมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะแบบนี้ แต่หล่อนไม่สนุกเท่าชาร์ลีหรอก หลังจากสั่งเครื่องดื่มที่บาร์มาจิบและคุยกันนิดหน่อย เพื่อนของหล่อนก็จะสอดส่ายสายตามองหาเหยื่อ เมื่อเลือกได้ก็จะพุ่งไปหา ทิ้งหล่อนไว้ที่บาร์คนเดียว
          คาริน่าแสดงท่าทางไม่เดือดร้อน หล่อนชวนคนที่นั่งอยู่ที่บาร์คนเดียวคุยบ้าง แม้จะคุยกันไม่ได้นานเท่าไรก็ตาม แต่คืนนี้คนมาเที่ยวน้อยกว่าทุกที ทำให้หล่อนต้องนั่งหง่าวอยู่คนเดียวที่บาร์ ไม่มีใครให้คุยด้วย หญิงสาวมองไปทางโน้นทางนี้ แต่ไม่มีใครสบตากับหล่อนเลย
          หล่อนเห็นชาร์ลีกำลังเต้นกับหนุ่มน้อยคนหนึ่งอย่างสนุกสนาน พูดคุยหยอกล้อหัวเราะกันคิกคักก็ชักรู้สึกอิจฉาขึ้นมาบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนอื่น ๆ เขาหาแฟนหาคนควงกันได้ง่ายนัก ขนาดหนวดเคราเฟิ้มหน้าตาอย่างกับฆาตกรใจโหดอย่างชาร์ลียังได้ผู้ชายทุกคืน ส่วนหล่อน ต้องไปไหนมาไหนแต่กับเกย์ ถึงจะมีคนคุยด้วยเวลามาเที่ยวแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยจะถูกชวนไปต่อเลยสักครั้ง
          เปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยความเซ็งจับใจ แต่เมื่อหล่อนเปิดเฟซบุ๊กของตัวเอง หล่อนก็ยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นชื่อของตัวเองถูกแท็กลงในภาพที่หล่อนไม่อยากจะเห็นเลยสักนิด
          แฟนเก่าของหล่อนได้ลูกคนที่สอง เขาโพสต์ภาพตัวเองอุ้มลูกขึ้นเฟซบุ๊ก เพื่อน ๆ กด “ถูกใจ” พร้อมแสดงความยินดีกันเต็มไปหมด และมีใครสักคนหวังดีกลัวว่าหล่อนจะพลาดข่าวนี้จึงแท็กชื่อหล่อนเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนจะเห็นภาพนี้แน่ ๆ
          คาริน่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้อังเดรมันถึงได้แต่งงานมีลูกมีครอบครัวอย่างมีความสุขทั้ง ๆ ที่มันหลอกคบหล่อนเล่นตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เรื่องมันผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้วก็จริง มันนานจนไอ้อังเดรลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรหล่อนไว้ถึงได้ขอมาเป็นเพื่อนกับหล่อนทางเฟซบุ๊ก หญิงสาวกดรับคำขอเป็นเพื่อน แต่ไม่ใช่เพราะว่าหล่อนลืมเรื่องพวกนั้นไปแล้วเหมือนกับมัน หล่อนกดรับเพราะหล่อนยังจำเรื่องทุกอย่างได้เป็นอย่างดีต่างหากและหล่อนจะเห็นความเคลื่อนไหวของชีวิตของมันผ่านทางเฟซบุ๊ก
          หล่อนเห็นไอ้อังเดรได้งานในบริษัทใหญ่ มีบ้านพร้อมสวนหลังใหญ่ มีครอบครัว มีลูก ไปเที่ยวพักร้อนที่นั่นที่นี่ และต่อมาก็มีลูกคนที่สอง ทั้ง ๆ ที่หล่อนเฝ้าภาวนาให้ชีวิตมันย่อยยับมาตลอด ให้สมกับที่มันเคยหลอกหล่อน มันบอกว่ามันรักหล่อน อยากจะอยู่ด้วยกันไปตลอด หญิงสาวไม่เฉลียวใจเลยว่ามันไม่มีความจริงใจให้หล่อนสักนิด ลับหลังหล่อนมันก็ไปคบกับคนอื่น ขณะที่หล่อนรักมันหัวปักหัวปำ ไม่ว่ามันพูดอะไรหล่อนก็เชื่อ มันให้หล่อนทำอะไรหล่อนก็ทำ กว่าจะรู้ว่าตัวเองโง่ ก็ถูกมันสนตะพายอยู่เป็นนาน ก่อนที่มันจะชิ่งไปหาคนใหม่ที่สวยน่ารักกว่าหล่อน
          ภายนอก คาริน่าทำเหมือนไม่สนใจ หล่อนเก่ง หล่อนแกร่ง หล่อนไม่สนใจผู้ชายห่วย ๆ อย่างนั้น แต่ในใจของหล่อนมีแต่ความคุมแค้น
          พอทีกับการหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายจนยอมให้ตัวเองโดนหลอกใช้ ต่อไปนี้ ถ้าหล่อนจะชอบใครขึ้นมาอีก หล่อนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุม เป็นฝ่ายชักเชิดทุกคนให้ทำอย่างที่หล่อนต้องการ คนอื่น ๆ ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปรับตัวให้เข้ากับหล่อน ไม่ใช่หล่อนที่เป็นคนต้องปรับ!
          คาริน่าลุกขึ้นเดินไปหาชาร์ลีที่กำลังเต้นนัวเนียอยู่กับหนุ่มน้อยคู่ขา กระชากไหล่เพื่อนให้ถอยห่างออกมา
          “อะไรของเธอเนี่ย” ชาร์ลีร้องลั่นด้วยความขัดใจ แต่คาริน่าก็โวยกลับด้วยหน้าตาบึ้งตึงไม่แพ้กัน
          “มัวแต่คั่วเด็กอยู่ได้ เธอเป็นฝ่ายชวนฉันมานะ แต่กลับทิ้งฉันไว้ที่บาร์ ไม่เอาแล้ว ฉันจะกลับบ้าน! เธอต้องกลับไปกับฉันด้วย!”
          ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง รูจมูกใหญ่สองรูพ่นลมเสียงดังฟืดฟาดก่อนที่ขากรรไกรอันใหญ่โตจะขยับแยกออกจากกันและมีเสียงคำรามลั่นดังขึ้นอย่างกึกก้อง
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-12-2015 03:58:23
บทที่ 3
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เบื่ออีพวกหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองหล่อตายแล้ว จริง ๆ ก็สกปรกซกมก เจ้าชู้ น่าขยะแขยง
Like – Comment – Share

           เก้าโมงเกือบครึ่งแล้ว แต่ทีโมนไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มยืนรอลิฟท์อยู่ที่โถงอาคารด้วยท่าทางสบาย ๆ และยังหันไปยิ้มหวานให้สาวน้อยที่ยืนรอลิฟท์อยู่ด้วยกันจนหล่อนหน้าแดงนิด ๆ
           ชายหนุ่มเข้างานสายแทบจะทุกวัน ไม่ต้องกลัวใครจะว่าด้วย แม้กระทั่งหัวหน้างานก็ตาม เพราะเขามีแบ็กอัพชั้นดี
เกิดมาเป็นผู้ชายหน้าตาดีนี่ก็นับเป็นข้อได้เปรียบละนะ ไม่ว่าจะเป็นสาวแก่แม่หม้ายหรือแม้แต่ผู้ชายด้วยกันก็พร้อมจะเข้าข้าง เพียงแค่เขาพูดจาดี ๆ ด้วยหน่อย แล้วก็ยิ้มหวาน ๆ เท่านั้นเอง
          ทีโมนเปิดประตูกระจกเข้ามาในออฟฟิศ เขามองไปที่เคาน์เตอร์ตรงที่พนักงานต้อนรับประจำออฟฟิศนั่งประจำก่อนอื่น แต่ไม่เห็นใคร มีแต่เสียงเครื่องทำกาแฟดังมาจากในครัว ออกัสคงอยู่ในนั้น ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาค่อยออกมาทักทายก็ได้ ชายหนุ่มคิดขณะที่เดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกับห้องครัว เป็นห้องทำงานห้องแรกทางฝั่งซ้าย
          ห้องทำงานของเขาใหญ่เป็นอันดับที่สองรองลงมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการ โต๊ะทำงานตัวใหญ่วางอยู่กลางห้อง ด้านซ้ายมือเป็นเคาน์เตอร์อยู่ใต้หน้าต่าง ที่ผนังติดภาพทิวทัศน์สวย ๆ ของประเทศเยอรมนีและปฏิทินแผ่นใหญ่
          บนโต๊ะทำงานมีถาดสำหรับใส่เอกสารเข้าและออก ในถาดเอกสารเข้ามีนิตยสารเยอรมันสองสามฉบับพร้อมกับจดหมายจ่าหน้าซองถึงเขาอีกปึกหนึ่ง ชายหนุ่มเหลือบมองนิดหนึ่งก่อนจะโยนนิตยสารกับจดหมายทั้งปึกไปไว้บนเคาน์เตอร์ใต้หน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นโยนกระเป๋าเอกสารที่หิ้วมาวางทับลงไปด้านบน แล้วเดินออกจากห้อง
          “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณกัส” ชายหนุ่มทักทายพร้อมกับยิ้มหวานให้โอเปอเรเตอร์หนุ่มของออฟฟิศ คนที่เขาหมายตาเอาไว้
          “อรุณสวัสดิ์ครับ” ออกัสทักตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
          ทีโมนไม่สนใจว่าจะเป็นแค่ยิ้มตามมารยาท ชายหนุ่มไม่สนใจด้วยว่าออกัสจะขยับตัวออกห่างเมื่อเขาพยายามจะโน้มตัวเข้าไปหา เขามั่นใจว่าด้วยหน้าตาและเสน่ห์ของเขาจะทำให้ออกัสไปไหนไม่รอดในที่สุด
          “เอ คุณเปลี่ยนน้ำหอมใหม่รึเปล่า กลิ่นนี้ผมไม่คุ้นเลย”
          “ครับ เพิ่งซื้อมาใหม่” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “กลิ่นหอมจัง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทำตาวิบวับ แต่ออกัสก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าชมเชย โอเปอเรเตอร์หนุ่มหาทางออกให้ตัวเองด้วยการบอกเขาว่า
          “เมื่อกี้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ถามหาคุณแน่ะครับ บอกว่าถ้ามาแล้วให้รีบไปหาที่ห้องด้วย”
          ทีโมนยอมรามือจากออกัส เขาเข้าไปในครัว ชงกาแฟให้ตัวเองหนึ่งถ้วย แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มดื่มกาแฟรวดเดียวครึ่งถ้วย ก่อนจะวางถ้วยกาแฟรวมไว้กับถ้วยใบเก่าอีกใบสองใบที่ตกค้างมาตั้งแต่เมื่อวาน ชายหนุ่มคิดว่าพัดชาจะเป็นคนมาเก็บถ้วยกาแฟพวกนี้ออกไป แต่เมื่อแม่บ้านประจำออฟฟิศไม่ได้มาเก็บอย่างที่คิด ตัวเขาก็ขี้เกียจจะเอาไปไว้ในครัวเอง มันก็เลยยังค้างอยู่บนโต๊ะ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร คิดว่าค่อยเรียกพัดชามาเก็บก็ได้ ถ้าเขาสั่ง ใครก็ไม่กล้าขัดอยู่แล้ว
          ชายหนุ่มหยิบกระดานรองเขียนที่มีกระดาษเปล่าปึกบาง ๆ หนีบเอาไว้พร้อมกับปากกา แล้วเดินไปที่ห้องของด็อกเตอร์แฮร์มันน์
          ทุกเช้า ชายหนุ่มจะต้องเข้าไปรับงานประจำวันจากผู้อำนวยการ อีเมลต่าง ๆ ที่เข้ามาจะถูกเปิดอ่านและใส่สัญลักษณ์สีของผู้รับผิดชอบกำกับไว้ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นคนกำหนดตัวผู้รับผิดชอบและอธิบายงานแต่ละเคส จากนั้นเขาก็จะต้องเป็นคนตามงานและคอยรายงานความคืบหน้าของงานที่เริ่มทำไปแล้ว
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นคนพูดมาก บางทีก็พูดวกไปวนมา ชายหนุ่มก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง พร้อมกับเออออตามไปพอเป็นพิธี และก็แทบจะถอนหายใจเฮือกออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อจบการรับงานประจำวันลงได้
          ออกจากห้องของผู้อำนวยการ ชายหนุ่มก็ถูกคาริน่าเรียกไว้ สาวใหญ่ฝ่ายบัญชีประจำออฟฟิศส่งกล่องไวน์ให้เขา ของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เขาได้จากหล่อนเป็นประจำ ไม่นับรวมพวกขนมนมเนยที่สาวใหญ่คนนี้มีน้ำใจแบ่งปันมาให้ แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่าน้ำใจอันนี้ต้องมีค่าตอบแทน
          “ชอบรึเปล่า” หล่อนถาม
          “ชอบมากครับ ขอบคุณมากเลย ท่าทางน่าจะอร่อยนะนี่ คุณนี่รู้ใจผมเสียจริง”
          คาริน่าจะพอใจเวลามีคนพูดหวาน ๆ ด้วย และน้ำเสียงของเขามันก็อ่อน ๆ จนฟังคล้ายจะออดอ้อนอยู่แล้วด้วย ทั้งสาวและไม่สาว รวมทั้งหนุ่ม ๆ บางประเภทจึงติดอกติดใจเขากันทั้งนั้น คาริน่าที่เป็นคนแข็งกระด้างและมีท่าทีไม่สนใจเพศตรงข้ามก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
          น้ำเสียงที่หล่อนใช้พูดกับเขาจึงไม่กระด้างเหมือนที่พูดกับคนอื่น ๆ
          “ค่ำนี้มีโปรโมชั่นค็อกเทลที่โรงแรม สนใจจะไปด้วยกันไหม ความจริงค็อกเทลที่นี่ก็งั้น ๆ แหละถึงต้องทำโปรโมชั่น อย่างโมฮิโต้ก็เปรี้ยวไปหน่อย บลัดดี้แมรี่นี่กลิ่นน้ำมะเขือเทศค่อนข้างแรง จะมีก็พวกยินโทนิคที่ใช้ได้ แต่สถานที่ดีนะ บรรยากาศดี เหมาะสำหรับไปดื่มหลังเลิกงาน ไปไหม”
          คำชวนของคาริน่าเปิดเผยเจตนาอย่างชัดเจน แต่ไม่ทำให้เขามีอารมณ์คล้อยตามได้เลย หญิงสาวเป็นคนเรื่องมากและช่างติ หล่อนติได้ทุกเรื่อง วิพากษ์วิจารณ์หาข้อตำหนิได้ทุกอย่าง ยังไม่นับเรื่องที่หล่อนห่างไกลจากสเป็คของเขาแบบสุดกู่ คาริน่าไม่ใช่คนสวย แถมแก่ ความจริงเรื่องอายุไม่ใช่ประเด็นหลัก ถ้าอายุเยอะหน่อย แต่สวยเหมือนญาดา เขาก็ยังโอเค แต่อายุเยอะและยังสภาพเป็นป้าแบบคาริน่า เขากระเดือกไม่ลงเอาจริง ๆ
          “เสียดายจัง ผมบังเอิญนัดเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสเอาไว้แล้วด้วยสิ แคนเซิลไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ”
          ทีโมนปฏิเสธ แต่เขาก็ยังให้ความหวังด้วยการเอื้อมมือไปบีบไหล่หญิงสาวเบา ๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้เพื่อเป็นการปลอบใจ ถึงเขาไม่ต้องการจะคั่วกับคาริน่า แต่เขาก็ไม่คิดจะตัดรอน คาริน่าเป็นแบ็กอัพที่ดีให้เขาในออฟฟิศตราบเท่าที่หล่อนคิดว่ายังมีความหวังในตัวเขา
          กลับเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง กาแฟที่เหลือในถ้วยหายร้อนแล้ว แต่ไม่มีปัญหาสำหรับคนติดกาแฟอย่างเขา ชายหนุ่มดื่มกาแฟที่เหลือจนหมด แล้วเริ่มต้นทำงานของตัวเอง หน้าที่หลักของชายหนุ่มคือการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า พนักงานฝ่ายการตลาดจะเป็นคนหาข้อมูลที่ลูกค้าต้องการและส่งมาให้เขาส่งต่อให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง งานของเขาไม่ยุ่ง ถ้าไม่มีเคสมากนัก แค่คอยดูภาพรวมของงานทั้งหมด ทำให้เขามีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีก
          อย่างอื่นที่ว่าก็คือ “แช็ต”
          ชายหนุ่มใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คไม่น้อยไปกว่าคนอื่น โปรแกรมแช็ตที่คนนิยมกันเขาก็ใช้แทบทุกอัน เอาไว้ส่งข้อความคุยกับคนที่เขารู้จักจากเว็บไซต์หาคู่หรือคนที่เขาจีบได้จากสถานที่เที่ยวต่าง ๆ นัดเจอ นัดเที่ยว หรือกระทั่งไปนอนด้วยกัน ถ้าคุยกันถูกคอ ไม่จำกัดด้วยว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขอให้ถูกใจก็พอแล้ว
          ทีโมนไม่เคยขาดคู่ควง แต่เขาไม่ได้จริงจังกับใครแม้แต่คนเดียว ชายหนุ่มทนไม่ได้หรอกที่จะต้องถูกผูกติดอยู่กับคนแค่คนเดียว เขาชอบที่จะเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อย ๆ มากกว่า ชายหนุ่มจึงสนุกสนานกับการหว่านเสน่ห์และจีบคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
          วันนี้ชายหนุ่มก็ส่งข้อความคุยกับคนอื่นตามปกติและมีการนัดหมายไปเที่ยวในเวลากลางคืน คาริน่าแนะนำโปรโมชั่นค็อกเทลที่โรงแรมให้เขาเมื่อตอนสาย ถึงเขาจะปฏิเสธไม่ไปกับหล่อน แต่โปรโมชั่นนี้ก็น่าสนใจ ชายหนุ่มจึงคิดว่าจะชวนคนอื่นไปด้วยกัน
          ระหว่างที่เขาแช็ต อีเมลเรื่องงานก็ยังมีทยอยเข้ามาด้วย ทีโมนจึงทำสลับกันไปทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มอ่านอีเมลที่พนักงานเขียนและนำมาใส่ไว้ในโฟลเดอร์เตรียมส่งออกเพื่อรอให้เขาตรวจ เขาก็อ่านแค่ให้พอผ่านตา แล้วใส่สัญลักษณ์สีเขียวให้ส่งออกได้ แต่ถ้าทำแค่นั้นมันก็อาจจะดูไม่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องแสร้งทำเป็นตั้งใจทำงานบ้าง
          ทีโมนกดโทรศัพท์สายในไปที่ห้องของข้าวโอ๊ต
          “คุณโอ๊ต มาพบผมที่ห้องด้วย”
          เมื่อคนที่เขาเรียกพบมาหาเร็วทันใจ ชายหนุ่มก็ชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา
          “นั่งสิ คุณโอ๊ต”
          ข้าวโอ๊ตนั่งลงตามที่เขาบอก แม้ว่าท่าทางจะดูเชื่อฟังและไม่มีปากเสียง แต่เขากับผู้ชายคนนี้นับว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมา น่าจะเรียกได้ว่าไม่ถูกชะตากันนั่นแหละ ข้าวโอ๊ตไม่ใช่สเป็คของเขา แถมยังชอบทำหน้าหงิกทำให้ไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงไม่คิดจะหว่านเสน่ห์ใส่ข้าวโอ๊ตเหมือนที่ทำกับคนอื่น แต่จะทำตัวเป็นนายอย่างเต็มที่
           ทีโมนสั่งว่า
           “อีเมลที่คุณส่งต่อไปให้ออฟฟิศสาขาของเราที่เวียดนาม ผมต้องการให้คุณเขียนรายละเอียดงานลงในอีเมลด้วย ไม่ใช่แค่ส่งเฉย ๆ เข้าใจไหม”
           ข้าวโอ๊ตมีปฏิกิริยาต่อคำสั่งของเขาทันที เมื่อเขาพยายามจะอธิบาย ชายหนุ่มก็โต้อย่างไม่ยอมแพ้
           “คุณจะให้ผมเขียนอะไรซ้ำ ๆ ทำไมในเมื่อรายละเอียดพวกนั้นก็อยู่ในอีเมลของลูกค้าที่ต้องส่งต่อไปให้พวกเขาอยู่แล้ว พนักงานประจำสาขาทั้งหมดเข้าใจทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ใช่รึครับ เขาอ่านอีเมลเอาเองได้ เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนอะไรอย่างนั้นเลยสักนิด”
          ทีโมนชะงักเพราะไม่ได้คิดถึงจุดนี้และไม่คิดว่าข้าวโอ๊ตจะโต้กลับแบบนี้ด้วย แต่จะให้ยอมรับว่าตัวเองคิดผิด ชายหนุ่มก็ไม่อยากทำอย่างนั้น เขาจึงต้องยืนยันให้ข้าวโอ๊ตทำตามคำสั่งของเขา
          “ไม่รู้ล่ะ คุณเขียนตามที่ผมบอกก็แล้วกัน แค่นี้แหละ”
          ข้าวโอ๊ตไม่รับคำ แต่ลุกเดินออกไปจากห้องเขาเงียบ ๆ ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ เพราะเขาก็ต้องการแค่สั่งอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้คนอื่นเห็นว่าเขาทำงานแค่นั้นแหละ แต่ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาไม่ใส่ใจนัก
          อีเมลเตรียมส่งออกมีมาอีกหลายฉบับ แต่หลังจากที่เขาแสดงท่าทางว่าทำงานไปแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านเนื้อหาในอีเมลอย่างละเอียด บางฉบับเขาก็ขี้เกียจจะอ่านเสียด้วยซ้ำ แต่กดสัญญาณสีเขียวอนุญาตให้ส่งออกได้ไปเลย ก็นี่มันใกล้เที่ยงแล้ว อีกเดี๋ยวก็ได้พัก จะทำงานไปทำไม นั่งคิดว่าจะรับประทานอาหารอะไรเป็นอาหารกลางวันวันนี้ดีกว่า ดังนั้นเมื่อพัดชาเข้ามาถามถึงอาหารกลางวัน ชายหนุ่มก็สั่งได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลา
          หลังจากเขียนรายการอาหารที่เขาสั่ง พัดชาก็ถามเขาอีกว่า
          “คุณทีโมนชอบน้ำผลไม้ปั่นไหมคะ”
          “ชอบครับ”
          “ชั้นล่างของตึกเรามีร้านมาเปิดใหม่นะคะ มีทั้งน้ำปั่นทั้งชานมไข่มุก อร่อยมากเลยค่ะ อย่าลืมไปลองนะคะ”
          “ขอบคุณมากครับ ผมจะลองไปซื้อมาชิมดู”
          ชายหนุ่มตอบไปตามมารยาทอย่างไม่ค่อยสนใจนัก และก่อนที่แม่บ้านประจำออฟฟิศจะออกไปจากห้อง เขาก็บอกให้หล่อนเก็บถ้วยกาแฟและจานชามที่เขากินเสร็จแล้วและทิ้งเอาไว้ในห้องออกไปด้วย
          พัดชามองถ้วยกาแฟหลายใบที่วางอยู่บนโต๊ะรก ๆ กับจานชามที่กองสุมบนเคาน์เตอร์ใต้หน้าต่างด้วยสายตาที่ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เมื่อเขาสั่ง หล่อนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทำตาม ทีโมนปล่อยให้แม่บ้านประจำออฟฟิศจัดการเอาถาดจากครัวมาเก็บถ้วยกาแฟและจานชามไป ตัวเขาเองเดินออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอกออฟฟิศอย่างสบายใจ
         
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-12-2015 03:59:59
          ในตอนกลางวัน ทีโมนรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คาริน่า และนัตโตะ จริง ๆ เขาก็เริ่มเบื่อการรับประทานอาหารในออฟฟิศแล้วเพราะต้องนั่งกับคนที่ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเท่าไร แต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะถึงจะเป็นเวลาพัก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็ยังคุยเรื่องงาน และถ้าเขาไม่อยู่ฟัง มันก็จะดูไม่ดี
          วันนี้ผู้อำนวยการก็คุยเรื่องงานอีก ทำให้เขาได้ทราบว่าบริษัทจะเป็นตัวกลางจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า และเพราะผลิตภัณฑ์อยู่ในสายงานที่ญาดารับผิดชอบ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จึงจะให้เขาดูแลงานนี้ร่วมกันกับหล่อน
          ทีโมนรีบตกลงทันทีด้วยความพอใจ
          “ด้วยความยินดีครับผม เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณหญ้าบ่ายนี้เลย”
          จากนั้นเขาก็ยังได้ทราบว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาทำงาน ชายหนุ่มรีบถามทันทีด้วยความกระตือรือร้นว่า
          “คราวนี้เป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
          “ผู้ชาย”
          คำตอบสั้น ๆ จากคาริน่าไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังแต่อย่างใด เพราะถ้าอีกฝ่ายหน้าตาดีถูกใจ เขาก็อาจจะลองทาบดูสักครั้ง ไหน ๆ ก็ทำได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชายอยู่แล้ว
          ชายหนุ่มอาจจะแสดงอะไร ๆ ออกมามากเกินไปหน่อยจึงโดนคาริน่าเหน็บแนมเอาหลังจากที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ลุกออกจากโต๊ะไปแล้ว และยังทิ้งท้ายไว้ด้วยคำเตือนว่า
          “อย่าให้มันออกนอกหน้านัก ราล์ฟไม่ชอบเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ คุณก็รู้ อย่างเมื่อกี้น่ะ ตอนที่เขาบอกให้คุณทำงานกับคุณหญ้า คุณก็ดี๊ด๊าเกินไปนะ คราวหลังอย่าทำอีก ระวังบ้าง”
          “ผมก็แค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้จริงจังสักหน่อย ราล์ฟเขาไม่สนใจหรอกน่า”
          ทีโมนโต้อย่างไม่กลัวเกรง คาริน่าเตือนเพราะไม่ชอบที่เขาสนใจคนอื่นต่างหาก ผู้หญิงก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ ทั้งขี้หึงขี้อิจฉา ไม่ว่าภายนอกจะวางท่าเข้มอย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะเพราะไม่อยากจะฟังคาริน่าอีก
          พนักงานคนอื่น ๆ อยู่ในห้องครัวกันเกือบครบทุกคนตอนที่เขาเอาจานอาหารเข้าไปเก็บ จะขาดก็แต่ข้าวโอ๊ตที่ออกไปก่อน เมื่อเห็นเขากับคาริน่า ทุกคนก็เงียบเสียงที่กำลังคุยกันและทำท่าจะเดินออกไปจากครัว ทีโมนรีบรั้งคนที่เขาหมายตาไว้ทันที
          “บ่ายนี้มาที่ห้องผมด้วยนะครับคุณหญ้า มีงานใหม่จะคุยด้วย” เขาจับไหล่ญาดาไว้
          ชายหนุ่มเห็นคาริน่าชำเลืองมองมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ส่วนญาดารีบเบี่ยงตัวออกห่างจากเขาในทันทีและเดินออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ทีโมนรู้ดีว่าถ้าอยู่ในนี้ต่อ เขาต้องโดนคาริน่าดุเอาแน่จึงรีบชิ่งตามญาดาออกไปด้วยและกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ชายหนุ่มแสร้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำเป็นคุยเรื่องงาน ก่อนจะลดโทรศัพท์ในมือลง เมื่อเห็นคาริน่าเดินผ่านห้องทำงานของเขาไป
          พักกลางวันเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง แต่ทั้งในคอมพิวเตอร์และในโทรศัพท์มือถือมีข้อความแช็ตส่งเข้ามาเต็มไปหมดจนไล่อ่านแทบไม่ทัน ทีโมนนั่งอ่านแช็ตสลับกับทำงานเหมือนที่ทำในช่วงเช้า ชายหนุ่มเพลินอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตู
          ทีโมนหันไปมองด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะประตูห้องของเขาคือญาดา
          “เข้ามาสิครับคุณหญ้า เชิญเลย”
          สาวใหญ่ลูกจีนผู้ที่อาวุโสที่สุดในหมู่พนักงานคนไทยเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ สีหน้าของหล่อนเรียบเฉยจนติดจะเป็นบึ้งตึง
          “คุณหญ้าเห็นอีเมลจากบริษัทเลมอนเซคิวริตี้แล้วใช่ไหม ด็อกเตอร์แฮร์มันน์สั่งให้เรารับผิดชอบงานนี้ด้วยกัน” ทีโมนพูดพลางพลิกหาเอกสารที่เขาต้องการจากบรรดาเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะทำงาน เขาสั่งพิมพ์อีเมลฉบับนี้ออกมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน ชายหนุ่มมองไปที่เอกสารกองที่มีถ้วยกาแฟถ้วยใหม่วางทับอยู่
          “อยู่นี่เอง”
          ชายหนุ่มดึงเอกสารจากกองโดยที่ลืมยกถ้วยกาแฟออกก่อนทำให้ถ้วยเกือบล้ม โชคยังดีที่เขาจับเอาไว้ทัน แต่กาแฟในถ้วยก็กระฉอกออกมาบางส่วนทำให้เอกสารเปียกเปื้อน ทีโมนรีบดึงทิชชู่จากกล่องมาซับ แต่ก็ยังมีรอยกาแฟสีคล้ำเหลือติดอยู่บนกระดาษ
          “ขอโทษครับ นี่อีเมลของบริษัท”
          ทีโมนพูดพร้อมกับยื่นเอกสารให้
          “บริษัทต้องการขายของให้หน่วยงานราชการ เราคงต้องจัดงานและเชิญหน่วยงานที่น่าจะสนใจระบบรักษาความปลอดภัยมาร่วมงาน คุณลองไปคิดดูนะครับว่าจะเชิญหน่วยงานไหนบ้าง แล้วมาบอกผม”
          “จัดงานให้ก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่สินค้าแบบนี้ขายยาก หน่วยงานเขาก็มียี่ห้อประจำกันอยู่แล้ว จะมีใครสนใจมารึเปล่าก็ไม่รู้”
          “แต่คุณก็รู้จักคนเยอะในวงการพวกทหาร ตำรวจนี่นา ขอให้เขามาร่วมงานหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงใช่ไหม” ทีโมนลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมมายืนพิงโต๊ะทำงานข้างเก้าอี้ที่ญาดานั่งอยู่ “บริษัทอยากแสดงสินค้า เราก็จัดงานให้ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่จะขายได้หรือไม่ได้มันก็ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
          “ฉันจะลองโทรศัพท์ไปคุยดูก่อนก็แล้วกันค่ะ” ญาดาสรุป เตรียมจะลุกจากเก้าอี้ แต่มือของทีโมนเอื้อมไปจับที่พนักเก้าอี้ก่อนทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
          “ลูกค้าอยากจัดงานที่โรงแรม คุณเลือกที่เหมาะ ๆ มาสักสองสามที่นะ แล้วเราค่อยไปดูห้องด้วยกัน”
          สายตาของทีโมนเลื่อนจากใบหน้าที่แต่งไว้เข้มมาที่ลำคอขาวผ่องของญาดา นึกอยากจะใช้มือลูบไปตามแนวลำคอเรียวยาวนั้น แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่กลืนน้ำลายลงคอเพื่อดับความอยากเท่านั้น
          ญาดาออกไปจากห้องทำงานของเขาแล้ว ทีโมนมองตามไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
          เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นมา ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู
          ‘คุยอะไรกับพี่หญ้าตั้งนาน’
          ชายหนุ่มยิ้มเหยียด คู่ควงคนนี้ของเขาขี้หึงขี้หวงจนออกนอกหน้า
          ‘เรื่องงานนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอกครับ’ เขาพิมพ์ข้อความตอบกลับไป และอีกฝ่ายก็พิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
          ‘ก็อย่าให้รู้แล้วกันว่าไปยุ่งกับพี่หญ้าหรือคนอื่น’
          ‘ผมมีคุณคนเดียว’
          ‘จำคำพูดตัวเองเอาไว้แล้วกัน ถ้าคุณมีคนอื่น ได้เห็นดีกันแน่’
          ทีโมนไม่ยี่หระกับข้อความที่แสดงอารมณ์ของคู่สนทนา ชายหนุ่มส่งข้อความหวาน ๆ ให้อีกสองสามประโยคพร้อมด้วยรูปริมฝีปากสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการจูบ แค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นได้แล้ว
          ชายหนุ่มหยุดทำงานเมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงานในตอนห้าโมงครึ่ง เขาออกจากห้องไปชงกาแฟให้ตัวเองอีกถ้วย เห็นออกัสที่เคาน์เตอร์ด้านหน้านั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็อดที่จะเดินมาดูเพราะความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
          “งานยุ่งเหรอครับคุณกัส ทำหน้ายุ่งเชียว” เขาทำท่าจะเอื้อมมือไปแตะรอยย่นที่หว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่ออกัสขยับตัวหนีเสียก่อน มือขยับเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พ้นสายตาของเขา แต่ชายหนุ่มก็ตาไวพอที่จะเห็นว่าออกัสกำลังเปิดเว็บไซต์สำหรับช็อปปิ้งออนไลน์
          “ไม่ยุ่งครับ งานของผมเสร็จแล้ววันนี้” ออกัสตอบก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “พรุ่งนี้ผมหยุดนะครับ ถ้าคุณมีงานอะไรก็ให้ข้าวโอ๊ตเขาช่วยไปก่อนนะ”
          “หยุดไปเที่ยวกับแฟนรึเปล่า” ทีโมนแกล้งถาม
          “ทำธุระครับ” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “เย็นนี้ว่างไหม ไปดื่มค็อกเทลกันสักแก้วก่อนกลับบ้านไหมครับ ผมเลี้ยงเอง” ทีโมนลองชวน แม้คำตอบที่ได้จะเป็นคำปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่ถอดใจ
         “ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากไปดื่มหลังเลิกงานเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกัน”
         ชายหนุ่มทิ้งท้ายพร้อมกับใช้นิ้วชี้เคาะไปที่หลังมือของออกัส
         ห้าโมงครึ่ง พนักงานในออฟฟิศทยอยกันกลับ คนไทยเกาะกลุ่มไปด้วยกันทันทีที่ได้เวลาเลิกงาน ทีโมนค่อย ๆ เก็บของลงกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน งานที่ยังสะสางไม่เสร็จก็ปล่อยค้างไว้ก่อน เอกสารที่เกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะก็ทิ้งเอาไว้แบบนั้น เขากะเวลาว่าพนักงานคนไทยที่ลงลิฟท์ไปก่อนแยกย้ายออกจากตึกหมดแล้ว ชายหนุ่มก็หิ้วกระเป๋าเดินไปลาด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับคาริน่าที่มักอยู่เป็นคนสุดท้ายของออฟฟิศ แล้วเปิดประตูออกไปยืนรอลิฟท์ด้านนอก
          ด้านล่างอาคารมีร้านค้าและมินิมาร์ทเปิดให้บริการแก่พนักงานของบริษัทที่เช่าพื้นที่ของอาคาร ติดกับร้านทำผมเคยมีร้านดอกไม้ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว กลายเป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ แทน แม่บ้านพัดชาบอกเขาเมื่อกลางวันวันนี้ว่าร้านนี้มีน้ำผลไม้ปั่นขายด้วย
          ทีโมนเดินตรงไปที่ร้านกาแฟเปิดใหม่ แต่ไม่ใช่น้ำผลไม้ปั่นหรอกที่ดึงดูดใจเขา
          เจ้าของร้านสาวน้อยที่กำลังชงกาแฟอยู่นั่นต่างหากล่ะที่เขาสนใจ
          “รับอะไรดีคะ” เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน
          “สตรอเบอรี่ปั่นแก้วหนึ่งครับ ใส่น้ำเชื่อมด้วยนะ ผมชอบอะไรหวาน ๆ หน่อย ขอบคุณมากครับ”
          เจอรอยยิ้มของเขาพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวลเจือออดอ้อนเข้าไป สาวน้อยก็หน้าแดงก่ำ กุลีกุจอทำตามอย่างตั้งอกตั้งใจ
          แค่นี้ก็เรียบร้อย ไม่มีอะไรยากเลย
          ทีโมนนึกในใจด้วยความลำพอง
          ปีกสีดำเป็นพืดหนังขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนเกิดลมแรง ร่างกายใหญ่โตที่หุ้มด้วยเกล็ดหนาพองออกเพราะอากาศที่สูดเข้าไป หนังตรงท้องที่แข็งเป็นปล้องเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มจ้า
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: MiU ที่ 31-12-2015 07:30:42
ชอบภาษามากเลยค่ะ เหมือนอ่านนิยายแปลเลย  o13
น่าสงสารโอ๊ตจัง เหมือนอะไรมันรุมเร้าที่ตัวเองอยู่คนเดียว พูดแล้วนึกถึงชีวิตตอนทำงานบริษัท อารมณ์แบบนี้เลยค่ะ 5555  :z3:

รู้สึกแต่ละตอนมีปริศนาอะไรทิ้งท้ายตลอดเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ ติดตามอยู่ค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 31-12-2015 13:38:26
ภาษาเขียนลื้นไหลดีมากเลยค่ะนึกถึงภาพออกฟิตที่วุ่นวายมากสงสารโอ๊ตที่ต้องรับทุกอย่าง..OMG!!
รอตอนต่อไปนะค่ะ น่าสนุกค่ะ  o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 31-12-2015 19:20:46
นึกว่านั่งอยู่ในออฟฟิตนั้นเลยที่เดียว บรรยากาศออฟฟิศเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนย้อนอดีตสมัยเป็นพนักงานตอกบัตรเลย ทิ้งปริศนาปมไว้ให้เรามากมาย รออ่านกันต่อไป
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-01-2016 06:21:16
บทที่ 4
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ดราม่าตัวพ่อ ดราม่าได้ทุกสถานการณ์ เล่นใหญ่ขนาดนี้ จะเอาออสการ์ตัวเท่าบ้านเลยไหม
Like – Comment – Share

          นัตโตะไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
          ผู้ชายที่มองตอบเขามาจากในกระจกเป็นคนร่างอวบท้วม ถึงแม้ผิวจะขาว แต่ก็หน้าตาจืด ๆ เรียบ ๆ แถมยังใส่แว่นตาดูเหมือนเด็กเนิร์ด คงแก่เรียน และไม่มีอะไรสะดุดตาเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็มองข้ามเขา ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
          นัตโตะเดินออกมาจากลิฟท์กรุกระจกพร้อมกับพนักงานของบริษัทที่ตั้งอยู่ในชั้นเดียวกัน แต่แยกกันไปคนละทาง อีกฝ่ายเลี้ยวซ้าย ส่วนเขาเลี้ยวขวา
          “พี่พัด สวัสดีครับ”
          เขาทักแม่บ้านร่างอ้วนกลมประจำออฟฟิศที่กำลังจะกดรหัสเปิดประตูกระจก เมื่อเห็นเขา พัดชาก็ยิ้มให้จนตาหยี
          “สวัสดีค่าคุณนัต นั่นขนอะไรมาเยอะแยะเชียวคะ”
          สายตาของหล่อนสนใจถุงใบใหญ่ในมือของเขา
          “ขนมครับ คุณพ่อกลับมาจากมาเลเซีย ซื้อขนมมาให้เยอะแยะ ผมก็เลยแบ่งมาให้กินกันที่ออฟฟิศ” นัตโตะตอบ
          เมื่อเข้ามาในออฟฟิศ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคุยกันดังออกมาจากห้องครัวเล็ก ๆ ทันทีและจากเสียงดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขาจะรวมตัวกันอยู่ในนั้นเกือบครบทุกคน นัตโตะเร่งฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อเอากระเป๋าที่หิ้วมาทำงานเป็นประจำเข้าไปเก็บและเดินถือถุงกระดาษเข้าไปในครัว
          “สวัสดีครับทุกคน ขนมนี่กินได้เลยนะ”
          นัตโตะทักทายทุกคนด้วยเสียงสดใสพร้อมกับเอาขนมวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว
          “น่ากินจังเลยนัต” มิคกี้พูด
          นัตโตะรู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความมีน้ำใจของเขาเท่าที่เขาคาดหวังเอาไว้ ญาดากับข้าวโอ๊ตไม่พูดอะไรเลย ทำเหมือนมองไม่เห็น ส่วนมิคกี้ ถึงจะพูดชมแบบนั้น แต่สายตาของเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกันที่เข้ามาทำงานในเวลาไล่เลี่ยกันก็ไม่ได้มองมาทางกล่องขนมของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
          ไม่มีใครแตะขนมของเขาระหว่างที่คุยกันอยู่ในครัว มีแต่พัดชาที่กะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาขออนุญาตเขาชิมขนม นัตโตะก็จำต้องให้ แล้วเขาก็ได้แม่บ้านประจำออฟฟิศนี่แหละเป็นเพื่อนคุย เพราะคนอื่น ๆ เอาแต่พูดคุยกันเอง ไม่มีใครสนใจจะคุยกับเขา
          วงสนทนาตอนเช้าเลิกเมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาถึงที่ออฟฟิศ นัตโตะเดินตามทุกคนกลับเข้ามานั่งในห้องทำงานของตัวเอง ชายหนุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและเรียกโปรแกรมเอาท์ลุคขึ้นมาตามที่เคยทำทุกวัน บนหน้าจอ เขาเห็นอีเมลทยอยถูกเปิดอ่านไปตามลำดับ ชายหนุ่มอ่านอีเมลเหล่านั้นไม่เข้าใจเพราะส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาเยอรมัน แต่ถ้าอยากจะรู้จริง ๆ เขาก็จะคัดลอกข้อความในอีเมลไปใส่ในโปรแกรมแปลภาษา ซึ่งมันก็พอจะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้บ้าง แม้ว่าภาษาที่แปลออกมาบางครั้งจะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม
          สัญลักษณ์สีของเขาปรากฏขึ้นหลังอีเมลบางฉบับ แสดงว่าอีเมลฉบับนั้นเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าลูกค้าขอข้อมูลที่ไม่ยากและไม่ต้องค้นคว้ามาก อย่างเช่น รายชื่อผู้ผลิตสินค้าบางชนิด ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือไม่ก็ทีโมนจะเขียนสั่งเอาไว้ในอีเมลเลย แต่ถ้าฉบับไหนต้องการข้อมูลเชิงลึกหรือมีคำสั่งพิเศษ ในอีเมลฉบับนั้นจะเขียนคำสั่ง ‘see me’ ผู้รับผิดชอบอีเมลจะต้องไปหาด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือทีโมนเพื่อฟังคำอธิบายงาน
          แต่อีเมลบางฉบับ ถึงแม้ว่าจะไม่ยาก ก็ยังมีคำสั่ง see me และเจ้าของคำสั่งมักจะเป็นทีโมน
          รองผู้อำนวยการผู้หล่อเหลา สุภาพ ใส่คำสั่งนี้ลงในอีเมลที่มีสีของเขากำกับอยู่บ่อยมากทั้ง ๆ ที่เขียนคำสั่งลงไปในอีเมลก็ได้แท้ ๆ ชายหนุ่มไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายนอกจากทีโมนอาจจะสนใจเขาจึงเอางานขึ้นมาบังหน้าเพื่อจะได้มีเหตุผลในการเรียกเขาไปหาที่ห้อง
          ถึงเขาหน้าตาไม่ดีเหมือนออกัสและมิคกี้ แต่เขาเป็นคนแสนดีและช่างเอาอกเอาใจขนาดนี้ มีหรือที่ทีโมนจะมองข้ามเขาไปได้
          จะมีก็แต่พวกขี้อิจฉาอย่างคนในออฟฟิศนี้เท่านั้นแหละที่เมินเขา คงจะเห็นว่าทีโมนสนใจเขามากกว่าล่ะสิถึงได้รวมหัวกันกีดกันเขาออกจากกลุ่ม
          นัตโตะเปิดอีเมลขึ้นมาอ่าน วันนี้ไม่มีคำสั่งเรียกให้ไปพบ มีแต่อีเมลงานธรรมดา เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย
          งานที่เขาต้องรับผิดชอบเป็นงานเกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย จำพวกอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องประดับ ปริมาณงานจะเยอะกว่างานด้านอุตสาหกรรมของมิคกี้ แต่ส่วนใหญ่งานจะไม่ยาก ตัวสินค้าไม่ซับซ้อนหรือเข้าใจยากเท่า
          ชายหนุ่มจัดการงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความรวดเร็ว หลังจากส่งอีเมลที่เขียนเข้าโฟลเดอร์เตรียมส่งออกแล้ว เขาก็เปิดอ่านเว็บบอร์ดที่เขาติดตามอยู่ นัตโตะสร้างตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ตจนเป็นที่รู้จัก เขายังมีแฟนเพจที่มีคนมากดถูกใจเป็นหมื่น ๆ คน
          นัตโตะวางตัวเป็นกูรูด้านแฟชั่น วิจารณ์ชุดที่ดาราและนักร้องทั้งไทยและต่างประเทศแต่งออกงานต่าง ๆ ด้วยสำนวนที่อ่านสนุกเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แล้วเมื่อมีคนชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ค่อย ๆ สร้างเรื่องของตัวเองขึ้นทีละนิด ตอนนี้แฟนเพจเชื่อว่าเขาคือผู้หญิงสวยที่ชื่นชอบการใส่เสื้อผ้าสวย ๆ เป็นคุณหนูมาจากครอบครัวที่ดีพร้อม ฐานะร่ำรวย และมีคนรักที่รักกันดูดดื่ม
          อินเตอร์เน็ตทำให้ชายหนุ่มเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นได้ ทั้งยังมีคนให้ความสนใจเขาอย่างมากมาย ไม่ได้เป็นอากาศธาตุไร้คนสนใจอย่างที่เคยเป็น แต่บางครั้งเขาก็หมกมุ่นและ “อิน” กับเรื่องที่ตัวเองสร้างขึ้นมากเกินไปจนเผลอเอามาใช้ในชีวิตจริง
          ในออฟฟิศ ชายหนุ่มเล่นบทนางซินผู้น่าสงสารที่โดนคนโน้นคนนี้กีดกันกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ทีโมน และคาริน่า เขาจะแสดงท่าทีเหมือนกับถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวใจร้ายโขกสับอยู่ตลอดเวลา
          นอกจากสร้างเรื่องให้ตัวเอง นัตโตะก็ยังสร้างเรื่องให้คนอื่นด้วยและเขาจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อการนี้ ชายหนุ่มใช้พัดชา แม่บ้านประจำออฟฟิศเป็นตัวช่วยอันดับหนึ่ง รายนี้ช่างคุย ปากเบา แถมสอดรู้สอดเห็นไปเสียทุกเรื่องในออฟฟิศอยู่แล้ว ถ้ารู้จักหยอดถามก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่บางครั้งเขาก็ออกหาข้อมูลเอง
          นัตโตะมองไปที่ช่องหน้าต่างกระจกที่ติดอยู่ตรงผนังห้องด้านซ้ายมือ จากช่องนี้เขาสามารถเห็นความเคลื่อนไหวของมิคกี้ที่อยู่ห้องถัดไปได้และถ้าฝ่ายนั้นคุยโทรศัพท์เสียงดังเขาก็จะได้ยินด้วย แต่เพื่อนข้างห้องของเขามันแสบ หลังจากผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ไอ้หมอนั่นก็เอาโปสเตอร์มาปิดทับ ทำให้เขามองไม่เห็นอีกแล้วว่ามิคกี้ทำอะไรอยู่ในห้องบ้าง แต่ถึงจะปิดกระจก ถ้าเขาอยากจะสอดส่องความเป็นไปของอีกฝ่าย เขาก็ทำได้ แค่เลือกจังหวะที่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์แล้วทำทีเป็นยืนรออยู่หน้าห้องโดยที่ไม่ทำให้เป้าหมายรู้ตัว ถ้าอีกฝ่ายเผลอพูดเสียงดังนิด เขาก็สามารถจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง
          แต่มิคกี้มันแสบอย่างที่ว่า ถึงวันนี้มันจะคุยโทรศัพท์อยู่ แต่มันก็พูดเสียงเบาอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เขาไม่ได้ยินอะไรเลยแม้ว่าแทบจะยื่นศีรษะเข้าไปในห้องแล้วก็ตาม
          ข้างในห้องของมิคกี้เงียบ แต่ห้องอื่นไม่เงียบไปด้วย ชายหนุ่มได้ยินเสียงคาริน่าโวยวายอะไรสักอย่างเป็นภาษาเยอรมัน แล้วก็เงียบไป จากนั้นไม่นาน หญิงสาวก็เดินหน้าบึ้งออกมาจากห้องเข้าไปในห้องของข้าวโอ๊ตโดยมองไม่เห็นเขา ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม เงี่ยหูฟังเสียงทะเลาะกันของข้าวโอ๊ตกับคาริน่า ทั้งคู่ทะเลาะกันเป็นภาษาเยอรมัน แต่ข้าวโอ๊ตใช้ภาษาอังกฤษในบางประโยคทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
          คาริน่าเดินออกมาจากห้องข้าวโอ๊ต นัตโตะหลบเข้าห้องตัวเองไม่ทัน ชายหนุ่มกลัวจะโดนถามว่ามายืนทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถว ๆ หน้าห้องของมิคกี้กับข้าวโอ๊ตที่อยู่เยื้องกัน เขาจึงตัดสินใจเคาะห้องของมิคกี้แล้วเดินเข้าไปเลยโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต
          มิคกี้กดวางหูโทรศัพท์ทันทีพลางมองเขาด้วยความไม่ชอบใจ แต่พยายามจะเก็บความรู้สึกเอาไว้
          “มีอะไรเหรอนัต”
          “อยากถามเรื่องรองเท้าที่นายใส่มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วน่ะ สวยดี อยากรู้ยี่ห้อกับราคา เผื่อจะซื้อมาใช้บ้าง”
          นัตโตะคิดคำถามขึ้นมาเดี๋ยวนั้นที่ฟังดูเข้าท่าที่สุด มิคกี้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่คำตอบของเพื่อนร่วมงานนี่สิทำให้เขานึกเจ็บใจไม่น้อย
          “คู่นั้นเราซื้อมาจากอิตาลี รุ่นลิมิเต็ด ไม่มีขายที่นี่หรอก อย่าเสียเวลาไปหาเลย แต่ถ้านายชอบยี่ห้อนี้ก็ต้องดูเป็นรุ่นอื่นไปแทน ราคาคู่หนึ่งก็ตกสองสามหมื่นได้นะ จะซื้อเหรอ”
          ประโยคท้ายมีแววเยาะจนทำให้คนฟังต้องกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ดันเอาตัวเองมาให้คนอื่นเขาดูถูกเอา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้หรอก
          “ก็ดู ๆ เอาไว้ ใกล้วันเกิดเราแล้ว พ่อเราถาม ๆ อยู่ว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
          “อ้อ จริงสินะ ใกล้ถึงวันเกิดนายแล้ว คุณพ่อนายนี่น่ารักจังนะ วันนั้นคงออกไปฉลองด้วยกันทั้งครอบครัวใช่ไหม แล้วแฟนนายไปด้วยรึเปล่า”
          “เรายังไม่ได้โทรไปถามเลย แต่ก็คงไปได้แหละ เพื่อเรา แฟนเราว่างตลอดอยู่แล้ว”
          “เหรอ ดีจัง ถ่ายรูปมาให้ดูมั่งนะ อยากเห็นหน้าคนรักแสนดีของนายจัง ยังไม่เคยเห็นเลย”
          นัตโตะเดินออกมาจากห้องของมิคกี้ด้วยความหงุดหงิด มิคกี้จอมแสบถามอยู่ได้เรื่องแฟน คงคิดว่าตัวเองเสน่ห์แรงมีคนมารุมจีบเยอะล่ะสิท่าถึงวางท่าข่มเขาอยู่ตลอด ชายหนุ่มไม่อยากรู้สึกน้อยหน้าจึงพูดออกไปว่าตัวเองมีแฟนแล้ว ทั้งที่ยังไม่มี แล้วก็ต้องคอยบ่ายเบี่ยงตลอดเมื่อมีใครถามถึงเรื่องนี้
          เอาเถอะ ไม่ได้อะไรจากทางมิคกี้  แต่เขาก็ยังได้รู้ว่าคาริน่ากับข้าวโอ๊ตทะเลาะกัน ก็นับว่าไม่เสียเที่ยวนัก
          “คุณนัต ตอนเที่ยงทานอะไรดีคะ”
          ตอนใกล้เที่ยง พัดชาเข้ามาถามเรื่องอาหารกลางวันเหมือนเคย ชายหนุ่มรับเมนูมาดูก่อนเลือกอาหารอย่างหนึ่ง ขณะที่แม่บ้านประจำออฟฟิศกำลังเขียนชื่ออาหารที่เขาสั่ง นัตโตะก็ชวนคุย
          “เมื่อกี้พี่พัดได้ยินคาริน่ากับพี่โอ๊ตทะเลาะกันรึเปล่าครับ น่ากลัวเนอะ เสียงดังเชียว”
          “ได้ยินสิคะ เสียงดังไปถึงในครัว” เข้าทางพัดชาพอดี เมื่อเขาเปิดเรื่อง หล่อนก็ “เม้าธ์” ต่อได้อย่างไม่ขัดเขิน
          “เมื่อตอนเช้าก็มีเรื่องนะคะ ตอนพี่เอาชาไปให้นาย พี่ได้ยินคุณคาริน่าพูดกับนายเรื่องอะไรไม่รู้ค่ะ มีชื่อคุณโอ๊ต แล้วคุณโอ๊ตก็วิ่งวุ่นเลย เห็นไหมคะ”
          “ผมก็เห็น พี่โอ๊ตวิ่งเข้าออกห้องนายกับห้องคาริน่า น่าสงสารจังเนอะ โดนตลอดเลย”
          ปากพูดเออออไปกับพัดชา แต่สมองของชายหนุ่มเก็บข้อมูลและประมวลผลอย่างรวดเร็ว
         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-01-2016 06:23:51
          ตอนกลางวัน นัตโตะรับประทานอาหารกลางวันกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คาริน่าและทีโมน ชายหนุ่มเป็นคนไทยคนเดียวที่รับประทานอาหารร่วมกับฝรั่ง ส่วนคนอื่น ๆ รับประทานกันในครัว นัตโตะเคยอยากไปรับประทานกับพวกนั้นในครัวบ้างเหมือนกัน แต่ห้องครัวคับแคบเกินไปและเขาอยากพาตัวเองมาให้ผู้อำนวยการกับรองผู้อำนวยการเห็นหน้ามากกว่า
          ไม่รวมถึงข้อมูลข่าวสารมากมายที่เขาจะได้รู้ก่อนใคร ถึงแม้จะต้องฟังด็อกเตอร์แฮร์มันน์เล่าเรื่องเดิม ๆ หรือคาริน่าจิกกัดใครต่อใคร แต่เทียบกับสิ่งที่ได้มามันก็คุ้ม แถมทีโมนยังใส่ใจสนใจเขาอีก ถ้าเข้าไปรับประทานอาหารกลางวันในครัว เขาก็คงไม่ได้รับความสนใจแบบนี้
          นัตโตะพยายามผูกมิตรกับคนในโต๊ะอาหารอย่างเต็มที่ เขาถามคาริน่าว่า
          “สเต็กไก่น่ากินจัง คาริน่า ซื้อที่ไหนครับ”
          “เนื้อแห้งอย่างนี้น่ะเหรอน่ากิน เจ้านี้ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ สเต็กปลาที่ฉันสั่งมาเมื่อวานดูดีกว่านี้อีก”
          น้ำเสียงและคำพูดที่คาริน่าใช้ตอบเขาแทบจะทำให้ชายหนุ่มสะอึก แต่มันก็ทำให้เขารู้ด้วยว่าคาริน่าอยู่ในภาวะที่อารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด และถ้าเขาสร้างเรื่องเติมเชื้อไฟนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อาจจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นในออฟฟิศวันนี้ก็ได้
          ชายหนุ่มมองไปที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมน สองคนนั้นกำลังคุยกันเรื่องงานเลยไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะโดนคาริน่าแกล้งฉีกหน้าเอา หากชายหนุ่มก็ต้องสวมหน้ากากของนางเอกที่โดนทำร้ายเอาไว้ต่อไป เผื่อว่าบางทีทีโมนอาจจะมองมา...
          โชคดูจะไม่เข้าข้างนัตโตะในวันนี้ ทีโมนยังคงคุยเรื่องงานกับผู้อำนวยการ ไม่ได้หันมาสนใจไถ่ถามเขาว่าเจ็บช้ำแค่ไหนที่เมื่อสักครู่โดนฤทธิ์ยายแม่มดคาริน่าเข้าไป แต่เขาก็ไม่ได้โชคร้ายไปเสียทั้งหมดหรอกเพราะ
ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หันมาถามคาริน่าเรื่องนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ ชายหนุ่มจึงได้ข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง
          หลังจากที่ผู้อำนวยการลุกจากโต๊ะไปแล้ว นัตโตะหวังว่าทีโมนจะคุยกับเขาบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อคาริน่าผูกขาดจองตัวทีโมนไว้คนเดียว ทั้งสองคนคุยกันเป็นภาษาเยอรมันโดยไม่สนใจเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ด้วยเลยสักนิด ชายหนุ่มไม่โทษทีโมน เจ้าชายจะเป็นฝ่ายผิดได้อย่างไร คนที่ไร้มารยาทคือแม่มดใจร้ายอย่างคาริน่าต่างหากที่ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเพื่อให้เขาเข้าใจด้วย สุดท้ายเขาก็ต้องลุกออกจากโต๊ะเพราะทนเป็นส่วนเกินไม่ได้
          ชายหนุ่มเดินเข้าไปในครัวเพื่อเอาจานอาหารไปเก็บ คนในครัวกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มมาทันได้ยินเสียงข้าวโอ๊ตแซวออกัสพอดี แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถามคำถามขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจมาที่ตัวเอง
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ”
          เสียงคุยกันเงียบลงทันที และทุกคนก็พากันเมินเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คาดหวังคำตอบจากคำถามนี้อยู่แล้ว เพราะเขาแค่อยากบอกให้ทุกคนทราบว่าเขามีตัวตนอยู่ในครัวด้วยก็เท่านั้น ของจริงคือสิ่งที่เขากำลังจะบอกต่อไปนี้ต่างหากและทุกคนจะต้องสนใจ
          “ได้ยินว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาทำงานแล้วนะครับ คาริน่าบอกเมื่อกี้นี้”
          ได้ผลจริง ๆ เพราะเมื่อพูดจบ มิคกี้ก็ถามทันทีว่า
          “จริงเหรอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
          แม้แต่ข้าวโอ๊ตเองก็หันกลับมาคอยฟังด้วยความสนใจเช่นกัน ทั้งที่เมื่อกี้นี้ยังหันหน้าเข้าผนังทำเป็นเมินไม่เห็นหัวเขาอยู่เลย
          นัตโตะไม่ตอบคำถามในทันที แต่แสร้งขยับเนกไทถ่วงเวลาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนฟัง เรื่องสำคัญมันก็ต้องค่อย ๆ เผยออกมาช้า ๆ สิ
          “ผู้ชาย”
          คนในออฟฟิศรอคอยเด็กฝึกงานอยู่แทบทุกคน ส่วนใหญ่ลุ้นว่าจะทำงานดีไหมเพราะหากทำงานดี เท่ากับว่างานของทุกคนจะลดลง ไม่ต้องรำคาญด็อกเตอร์แฮร์มันน์เรียกพบด้วย เพราะผู้อำนวยการสูงวัยจะมัวแต่ยุ่งกับเด็กฝึกงานเพราะพูดภาษาเดียวกัน เรียกง่ายใช้คล่องไม่กล้าหือ แถมถ้าหน้าตาดีก็จะเป็นอาหารตาชิ้นสำคัญของออฟฟิศด้วย แต่ถ้าทำงานไม่ดีก็ตัวใครตัวมัน
          เรื่องเด็กฝึกงานเป็นประเด็นมากจนแม้แต่ญาดาก็ลืมระวังตัวและหลุดพูดอะไรต่อมิอะไรออกมาเยอะแยะ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ฟังก็รู้ว่าหล่อนว่าใครและเขาก็ไม่พลาดที่จะเก็บไว้เป็นข้อมูล
          ทุกคนในครัวหยุดคุยกันและพากันเดินออกเมื่อเห็นทีโมนกับคาริน่าเข้ามา นัตโตะยังรีรอ เขาได้ยินทีโมนบอกให้ญาดาไปพบที่ห้อง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมากกว่านั้น ญาดาขยับตัวจะเดินออก ชายหนุ่มขวางทางออกอยู่จึงจำต้องออกจากห้องครัวมาด้วย
          นัตโตะกลับเข้าไปในห้องทำงาน อีเมลงานสำหรับตอนบ่ายรออยู่แล้ว แต่มันเป็นงานที่ไม่ต้องค้นคว้าอะไรมาก แค่ขอรายชื่อผู้ผลิตสินค้า เขาก็เปิดเอาจากไดเร็คทอรี่ให้เป็นอันจบ และเมื่อมีเวลาว่าง ชายหนุ่มก็อยากจะหาอะไรแก้เบื่อทำสักหน่อย
          ความจริงเขาอยากจะทำอะไรสักอย่างกับมิคกี้ แต่รายนั้นมันรอบจัด แถมงานก็แยกกันอย่างชัดเจน ต่างคนต่างทำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่ค่อยมีช่องให้เขาเล่นสักเท่าไร ต่างจากข้าวโอ๊ต เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่เป็นคนเงียบ ๆ แต่ชอบทำหน้าหยิ่งและเมินใส่เขา ตอนนี้รุ่นพี่ก็กำลังมีประเด็น แค่รอการ “ชง” นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ
          ชายหนุ่มเลือกงานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เล็งจังหวะรอให้คาริน่าออกมาจากห้อง
          “คาริน่า มาพอดีเลย ดีใจจัง ผมหาเอกสารเก่าของบริษัทนี้ไม่เจอ คุณช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
          นัตโตะวิงวอน และคาริน่าก็ช่วยเขาหาเอกสารอย่างที่คาด เมื่อหญิงสาวหยิบแฟ้มมาให้ เขาก็ปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ จากนั้นก็แกล้งถามว่า
          “มีแค่แฟ้มนี้แฟ้มเดียวเหรอครับ”
          เท่านั้นคาริน่าก็เดินไปตามแผนที่เขาวางเอาไว้ การเก็บเอกสารของบริษัทมันมีจุดที่สับสนอยู่ ข้าวโอ๊ตเคยบอกเขาแล้วและกำชับว่าหากมีปัญหาอะไรให้บอกชายหนุ่มก่อน เพราะถ้าเรื่องไปถึงคาริน่ามันก็จะออกมาเป็นอีกแบบหนึ่งที่ไม่ค่อยสวยเท่าไร
          สำหรับข้าวโอ๊ตนะ ไม่ใช่สำหรับเขา
          นัตโตะรับแฟ้มเอกสารใหม่จากคาริน่าพลางขอบคุณหญิงสาวด้วยถ้อยคำที่แสดงการยกย่องฝ่ายนั้นเพื่อให้คนฟังรู้สึกดีที่สุด ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการเล่นงานข้าวโอ๊ตแบบเนียน ๆ 
          “โชคดีที่คุณมาพอดี ไม่งั้นผมก็คงหาเอกสารไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่ามันแยกเก็บเป็นสองแฟ้มแบบนี้”
          คาริน่าที่มีปัญหากับข้าวโอ๊ตอยู่แล้วรับช่วงเล่นงานชายหนุ่มต่อในทันที หล่อนเดินเข้าไปจิกเรียกข้าวโอ๊ตมาจากในห้องและเทศนาเรื่องการเก็บเอกสารพร้อมกับสั่งให้แก้ไขแฟ้มที่ซ้ำทั้งหมด นัตโตะเห็นทุกอย่าง เขาเก็บสีหน้าพึงพอใจได้อย่างแนบเนียน และเมื่อต้องพูดกับข้าวโอ๊ต ชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าจ๋อย ๆ ออกมา
          “ขอโทษนะครับพี่โอ๊ต ผมกำลังหาเอกสาร พอดีเจอคาริน่าก็เลยถาม ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นปัญหาจริง ๆ นะครับ ตอนนั้นคิดแค่เจอใครก็ลองถามดูเท่านั้น”
          ข้าวโอ๊ตต้องโกรธแน่นอนเพราะเสียงแข็งตอบเขาทันที
          “คราวหลังเรื่องหาเอกสารให้มาถามพี่ก่อน”
          นัตโตะแกล้งตีหน้าเศร้า ความจริงอยากจะบีบน้ำตาออกมาเสียด้วยซ้ำ จะได้ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์นางซินที่โดนกลั่นแกล้งของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคนดูแล้ว คาริน่าก็ดันกลับเข้าห้องไปเสียก่อน แต่แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว นับว่าการสร้างเรื่องของเขาประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
          ชายหนุ่มก็เลยอารมณ์ดีตลอดบ่าย แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านในตอนเย็นวันนั้น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนทันที
          แม่ของเขายืนอยู่กลางห้องรับแขก ไม่ทันรู้ตัวว่าลูกชายกลับมาถึงบ้านแล้ว
          “แต่พี่สัญญาแล้วนะคะว่าจะกลับมาหาน้องมาหาลูก”
          นัตโตะได้ยินแม่ของเขาพูดเสียงเครือใส่โทรศัพท์
          “พี่ขอค้างคืนอยู่กับทางนั้นมากกว่า น้องก็ไม่ว่า เข้าใจค่ะว่าทางนั้นมาก่อน แต่น้องก็เป็นเมียเหมือนกันนะคะ มีลูกชายด้วย ตานัตแกก็อยากเจอพ่อ อยากกินข้าวเย็นกับพ่อ แค่วันเดียวเอง พี่จะมาไม่ได้เชียวเหรอคะ”
          นัตโตะยืนฟังนิ่ง ๆ ถึงตอนนี้ แม่ของเขาเริ่มฟูมฟายน้ำตาแล้ว
          “ก็บอกทางนั้นไปสิคะว่ามีธุระที่ทำงานจะกลับดึกหน่อย แล้วมากินข้าวที่นี่ ถ้าพี่จะมาเสียอย่าง ใครจะห้ามได้ พี่สัญญาแล้วไงคะว่าจะดูแลน้องดูแลลูก นี่พี่กำลังผิดสัญญานะคะ”
          “แม่ครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงเรียก
          “ตานัตมาแล้ว” แม่ของเขาปราดมาหาเขาทันที แล้วส่งโทรศัพท์ให้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรโดยที่ไม่ต้องให้ใครบอก
          “พ่อครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไป “มาหาแม่กับผมหน่อยเถอะครับ ระยะนี้แม่ไม่ค่อยสบาย ทานอะไรไม่ค่อยลง แต่พอมีพ่อมาทานข้าวด้วย แม่ก็จะทานข้าวได้เยอะ ผมเป็นห่วงแม่ พ่อมาหาแม่นะครับ”
          ปลายสายมีท่าทางลังเล นัตโตะเหลือบไปสบตากับแม่ของเขา ฝ่ายหลังรีบพยักหน้าทันที
          “แม่ครับ เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ เดี๋ยวนะครับพ่อ”
          นัตโตะแกล้งทำเสียงตกใจ และเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดโทรศัพท์อีกครั้ง
          “ขอโทษครับพ่อ ผมประคองแม่นั่งพักน่ะครับ แม่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ไม่เป็นไรแล้วครับ ท่าทางแม่จะเหนื่อย ก็ทำอาหารรอพ่อตลอดบ่ายเลยนี่ครับ แต่ถ้าพ่อไม่มาก็ไม่เป็นไรครับ พวกเราเข้าใจ”
          นัตโตะฟังคำตอบจากปลายสาย ก่อนจะอมยิ้มด้วยความพอใจ
          “พ่อจะมาใช่ไหมครับ ตกลงครับ เดี๋ยวผมบอกแม่ให้”
          ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์แล้วส่งคืนแม่ของเขาที่หน้าบาน ไม่มีท่าทางไม่สบายแต่อย่างใด แถมน้ำตาที่ไหลเป็นทางเมื่อสักครู่นี้ยังแห้งหายไปหมด
          “พ่อบอกว่าอีกสักชั่วโมงหนึ่งคงมาถึงครับ”
          “มันต้องอย่างนี้สิ นัตลูกแม่ ไม่เสียแรงที่แม่พร่ำสอนแกมา”
          แค่ตอนนี้เท่านั้นที่เขามีตัวตนในสายตาของแม่
          ตั้งแต่เขาจำความได้ แม่อยู่ในสภาพนี้มาตลอด แม่สนใจแต่ว่าจะทำอย่างไรให้พ่อกลับมาบ้าน แม่ต้องสร้างเรื่องสารพัด แล้วเมื่อทำเองไม่สำเร็จ แม่ก็จะใช้เขาทำแทน
          นัตโตะรักแม่ และถ้านั่นคือสิ่งที่แม่ต้องการ เขาก็จะทำ
          หัวใหญ่ส่ายไปมา ก่อนปากจะอ้าเพื่อกรีดร้องเสียงโหยหวน ร่างกายใหญ่โตสั่นระริก หางที่ด้านปลายมีเดือยแหลมคมกวัดแกว่งฉวัดเฉวียน บาดโพรงผนังนุ่ม ๆ จนเป็นรอยเหวอะหวะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 01-01-2016 10:14:47
หือออ จินตนาการในจิต
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 01-01-2016 12:14:23
สำนวน และการเล่าเรื่อง สมราคา กับชื่อเรื่องที่เปิดหัวมาเลยว่าเป็นฆาตรกรรมมาก.....พีคมากคับ สุดยอดเลย
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 01-01-2016 15:18:35
สงสัยปีศาจจะร่ายมนตร์ใส่  รู้สึกอยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 01-01-2016 16:48:13
น่าติดตามมาก เป็นเรื่องที่แสดงถึงพฤติกรรมคนมาก สุดยอดเลยจ้า
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 01-01-2016 20:13:10
เป็นเรื่องที่ไม่อยากเทใจให้ใครมาก...กลัวเงิบ555555
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 5 (2-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-01-2016 05:17:59
บทที่ 5
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ตีสองหน้า ร้ายเงียบ น่ากลัวยิ่งกว่าเก้งเล่นใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
Like – Comment – Share

          มิคกี้ขับรถมาทำงานเองทุกวัน แม้ว่าครอบครัวของเขาจะจ้างคนขับรถประจำตัวไว้ให้แล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ชอบทำอะไรเองมากกว่า เพราะมันเป็นส่วนตัวมากกว่า
           บริษัทที่ชายหนุ่มทำงานอยู่เช่าที่จอดรถในอาคารไว้ให้พนักงานที่มีรถ เขาจึงมีที่จอดรถประจำที่ชั้นสามใกล้กับที่จอดรถประจำตำแหน่งของผู้อำนวยการ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่ขับรถเอง เขามีคนขับรถชื่อบำรุง เป็นผู้ชายตัวเล็ก อายุเท่า ๆ กับพัดชา พี่รุงนับเป็นพนักงานของออฟฟิศเหมือนกัน หน้าที่หลักคือขับรถ แต่ก็สามารถไหว้วานให้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้นได้ เช่น ไปส่งเอกสารหรือไปธนาคาร และถ้าคนในบริษัทมีธุระที่ต้องออกไปทำให้บริษัทและคาริน่าอนุญาต บำรุงก็สามารถใช้รถประจำตำแหน่งของผู้อำนวยการขับบริการพนักงานได้เหมือนกัน ปกติเขาจะอยู่ที่ห้องคนขับรถร่วมกับคนขับรถของบริษัทอื่น ไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ เวลาถูกเรียกใช้ถึงจะเข้ามา
          ส่วนใหญ่คนในออฟฟิศไม่ค่อยเรียกใช้งานบำรุง เพราะจะต้องจ่ายเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นค่าน้ำใจให้ จะมีก็แต่คาริน่าที่จิกใช้บำรุงจนหัวปั่นเพราะหล่อนถือว่าเขาเป็นพนักงานของบริษัทและพนักงานของบริษัทนี้ต้องอยู่ใต้อาณัติของหล่อนทุกคน
          เช้าวันนี้ที่จอดรถของผู้อำนวยการว่างเปล่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ยังมาไม่ถึงออฟฟิศ มิคกี้จอดรถสปอร์ตสีขาวคันโปรดที่ชอบใช้ขับมาทำงานในที่ประจำของเขา แล้วเดินเข้าไปรอลิฟท์ในอาคาร
          เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกและเขาก้าวเข้าไป สายตาของผู้หญิงที่อยู่ในลิฟท์ก็มองมาที่เขาเป็นตาเดียวด้วยความสนใจ
          มิคกี้ชินแล้วกับการตกเป็นเป้าสายตา ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี ประกอบกับการแต่งตัวที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้ายิ่งทำให้เขาเด่นสะดุดตา เดินไปไหนก็มีแต่คนสนใจ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่กรี๊ดเขามากเป็นพิเศษเพราะรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงดาราหรือนักร้องไอดอล ผิวขาว ปากแดง หน้าหวานคล้ายผู้หญิง แต่ชายหนุ่มไม่สนใจผู้หญิงพวกนี้ บ่อยครั้งที่รู้สึกรำคาญไม่น้อย
          เมื่อลิฟท์เปิดที่ชั้นของบริษัทเขา ชายหนุ่มก็รีบเดินออกมาทันที
          พนักงานส่วนใหญ่เข้าออฟฟิศก่อนเวลาเข้างานคือเก้าโมงเช้า ใครมาสายกว่านั้นแต่ไม่เกินสิบห้านาทีถือว่ายังพออนุโลมได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาสายหรอก เพราะเจ้าแม่คาริน่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์จิกกัดไม่มีไว้หน้าเลยทีเดียว คนทั้งออฟฟิศคร้ามเกรงฤทธิ์เดชเจ้าหล่อนกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย ในออฟฟิศจึงมีแค่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เท่านั้นในฐานะผู้อำนวยการที่มีสิทธิ์มาสายได้ และอีกคนคือทีโมนที่คาริน่าพิศวาสเป็นการส่วนตัว แต่พยายามทำเป็นสงวนท่าทีเอาไว้
          ผู้หญิงบางคนนี่ก็น่าสมเพช ไม่รู้จักดูตัวเองเอาเสียเลย
          มิคกี้เอากระเป๋าที่ถือมาไปเก็บไว้ในห้องทำงานของตัวเองและเข้าไปสมทบกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในห้องครัว
          “สวัสดีครับพี่หญ้า พี่โอ๊ต”
          ชายหนุ่มทักทายพนักงานรุ่นพี่ที่อยู่ในครัวอย่างร่าเริงและสุภาพ ถึงแม้เขาจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนแต่ก็มองออกถึงสถานการณ์ในออฟฟิศที่แบ่งแยกออกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย พนักงานคนไทยเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นและเข้ากับฝรั่งในออฟฟิศไม่ได้เลย ชายหนุ่มเลือกอยู่กับกลุ่มของญาดา ข้าวโอ๊ต ออกัส และต้องแสดงท่าทีต่อต้านฝรั่งเพื่อไม่ให้เป็นแกะดำเหมือนใครบางคน
          แกะดำที่ว่าเข้ามาในห้องครัวหลังเขาครู่หนึ่ง นัตโตะหิ้วขนมเข้ามาวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวและชวนคนอื่นให้กิน แต่ไม่มีใครสนใจ ทั้งญาดาทั้งข้าวโอ๊ตทำเหมือนนัตโตะไม่ได้อยู่ตรงนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่ตอบรับไปตามมารยาท
          ชายหนุ่มไม่ได้สงสารนัตโตะ ออกจะสมเพชเสียด้วยซ้ำ ก็หมอนี่ดันเลือกประจบฝรั่ง แถมพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจอยู่ตลอดเวลา ผลมันก็ออกมาเป็นแบบนี้นั่นแหละ
          มิคกี้ไม่ได้เห็นนัตโตะเป็นมิตรหรือว่าศัตรู เรียกว่าไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยมากกว่า แต่เขารู้ดีว่าคนอย่างนัตโตะสร้างความรำคาญให้ได้มากแค่ไหน และถ้าคำทักทายพูดคุยนิด ๆ หน่อย ๆ จะทำให้อีกฝ่ายเลือกไปกวนประสาทคนอื่นก่อนได้ มันก็เป็นผลดีต่อตัวของเขาเอง
          วงสนทนาตอนเช้าแตกในทันทีที่ผู้อำนวยการ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา ทุกคนเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง มิคกี้หยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาสีน้ำตาลอ่อนมีกระเป๋าด้านหน้าขึ้นมาสวม แอร์ในออฟฟิศค่อนข้างแรง ชายหนุ่มเป็นคนขี้หนาว เขาจึงต้องมีเสื้อกันหนาวสำหรับใส่อยู่ในออฟฟิศ พอจะกลับก็ถอดออก แล้วก็ทิ้งไว้ที่นี่เลย ไม่เอากลับบ้านไปด้วย
          ใส่เสื้อเรียบร้อยก็นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ เรียกโปรแกรมเอาท์ลุคขึ้นมาเพื่อดูว่ามีอีเมลเรื่องงานอะไรเข้ามาบ้าง ชายหนุ่มรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรม ลวด ท่อ เคเบิล ไม้ เครื่องจักรต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากและยาก แต่มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงคนอย่างเขา
          วันนี้ไม่มีงานใหม่เข้ามา แต่ยังมีงานเก่าที่ทำค้างไว้อยู่ ชายหนุ่มก็ทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่ได้จริงจังหรือต้องใช้ความพยายามมากนัก มิคกี้ทำงานแค่แก้เบื่อ ไม่ใช่ทำเพราะต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างคนอื่น ๆ ในออฟฟิศ ถ้าเขาไม่อยากทำเมื่อไร เขาก็เลิกได้เลย ไม่จำเป็นต้องตั้งใจทำงานก็ได้
          โทรศัพท์มือถือที่เขาหยิบมาตั้งไว้บนโต๊ะสั่นเพราะมีข้อความเข้า มิคกี้เปิดออกอ่านแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มกดโทรศัพท์ถึงเจ้าของข้อความที่ส่งถึงเขาทันที เมื่ออีกฝ่ายรับสาย มิคกี้ก็ถามเสียงเหี้ยม
          “ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร ชื่ออะไร ทำงานอยู่ที่ไหน บอกมาให้หมด ฉันรู้ว่านายรู้”
          “ถามเสียตอบไม่ทันเลยนะ” เพื่อนของเขาแหย่ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่มิคกี้ไม่ขำด้วย
          “อย่ามากวน ไอ้น็อค รีบบอกมาเดี๋ยวนี้”
          ชายหนุ่มเผลอพูดเสียงดังด้วยความลืมตัว เขาเหลือบมองไปที่ช่องหน้าต่างกระจกที่ผนังด้านขวามือที่มองผ่านไปเห็นห้องข้าง ๆ ได้ แต่ตอนนี้เขาเอาโปสเตอร์มาแปะปิดเอาไว้ไม่ให้คนข้างห้องมองเข้ามาในห้องของเขาได้ หลังจากสังเกตเห็นว่านัตโตะคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอด
          “ก็ได้ บอกแล้ว น่ากลัวจังเลยวุ้ยเพื่อนตู” น็อคยังหัวเราะอยู่ แต่เขาก็ยอมบอกโดยที่ไม่ลีลาอีก หลังจากส่งรูปผู้ชายสองคนเข้าเครื่องของเพื่อนเป็นการเรียกน้ำย่อยเมื่อสักครู่นี้
         “ไอ้นี่มันชื่อโจ้ ทำงานที่เดียวกับพอร์ช แต่อยู่คนละแผนก และก็อย่างที่เห็นละนะมันเล็งแฟนนายอยู่”
         “พอร์ชไม่ใช่แฟน แค่ควงเล่นเฉย ๆ” มิคกี้แก้ เสียงของเขาลดลงจนเบามากเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินเขาพูดโทรศัพท์
          “ควงเล่น แต่เสียงเอาเรื่องเชียวนะ”
          “ถึงไม่ใช่แฟน แต่พอร์ชมันของฉัน” มิคกี้พูดเสียงเข้ม “ไอ้น็อค นายทำตามที่ฉันบอก เอาให้แน่ใจว่าได้ภายในเที่ยงวันนี้”
          ชายหนุ่มพูดในสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวออกมาให้เพื่อนฟัง
          “โห เอางี้เลยเหรอ ชักสงสารไอ้โจ้อะไรนี่แล้วสิ ชะตาขาดแล้วว่ะ”
          ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของน็อคแสดงความสนุกสนานแบบสุด ๆ และชายหนุ่มก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า
          “ไม่ต้องห่วงนะเพื่อน รับรองว่าได้ตามสั่ง ของไปถึงตามเวลาอย่างแน่นอน”
          “ได้เรื่องยังไงโทรบอกด้วย ถ่ายคลิปมาเลยยิ่งดี ฉันอยากเห็นหน้าไอ้โจ้ตอนนั้น อยากจะรู้ว่ายังจะหน้าด้านอยากแย่งของของคนอื่นอยู่รึเปล่า...”
          มิคกี้หยุดพูดทันทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูและพร้อมกันนั้นก็เห็นนัตโตะถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องของเขาโดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้อนุญาต
          “ไปทำอย่างที่ว่า แล้วค่อยคุยกัน”
          มิคกี้รีบกระซิบบอกเพื่อนอย่างรวดเร็วแล้วกดวางสายทันที ก่อนจะถามเพื่อนข้างห้องที่กำลังมองมาด้วยความสนใจและอยากรู้อยากเห็นว่า
         “มีอะไรเหรอนัต”
         “อยากถามเรื่องรองเท้าที่นายใส่มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วน่ะ สวยดี อยากรู้ยี่ห้อกับราคา เผื่อจะซื้อมาใช้บ้าง”
         ชายหนุ่มมองหน้าคนถามทันที เขาไม่รู้ว่านัตโตะคิดอะไรอยู่ถึงได้มาถามเรื่องนี้ แต่ที่เขามั่นใจก็คือถึงจะรู้ไป นัตโตะก็ไม่มีปัญญาหามาได้หรอก น้ำเสียงที่ใช้จึงมีแววเยาะอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
          “คู่นั้นเราซื้อมาจากอิตาลี รุ่นลิมิเต็ด ไม่มีขายที่นี่หรอก อย่าเสียเวลาไปหาเลย แต่ถ้านายชอบยี่ห้อนี้ก็ต้องดูเป็นรุ่นอื่นไปแทน ราคาคู่หนึ่งก็ตกสองสามหมื่นได้นะ จะซื้อเหรอ”
          “ก็ดู ๆ เอาไว้ ใกล้วันเกิดเราแล้ว พ่อเราถาม ๆ อยู่ว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
          อีกฝ่ายยังกัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ แต่มิคกี้ก็รู้ทัน นัตโตะสร้างภาพว่ามาจากครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่รักใคร่ตามใจ ทั้งที่จริงแล้ว หมอนี่มันก็แค่ลูกเมียน้อย ลูกสาวของเมียหลวงบังเอิญเป็นเพื่อนร่วมคณะของเขาเอง ชายหนุ่มจึงรู้อะไรดี ๆ เกี่ยวกับนัตโตะมากมาย แต่เขาเก็บเงียบเอาไว้ ยอมเล่นไปตามน้ำ และคอยหัวเราะขันความพยายามอันน่าสมเพชของอีกฝ่ายเล่นแทน
          “อ้อ จริงสินะ ใกล้ถึงวันเกิดนายแล้ว คุณพ่อนายนี่น่ารักจังนะ วันนั้นคงออกไปฉลองด้วยกันทั้งครอบครัวใช่ไหม แล้วแฟนนายไปด้วยรึเปล่า”
          “เรายังไม่ได้โทรไปถามเลย แต่ก็คงไปได้แหละ เพื่อเรา แฟนเราว่างตลอดอยู่แล้ว”
          นี่ก็อีก นัตโตะไม่มีแฟนหรอก เขารู้ดี ไม่งั้นไม่คอยชายหูชายตาให้ทีโมนเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก แต่คนอย่างนัตโตะก็ทำได้แค่นั้น แล้วก็ละเมอเพ้อพกไปวัน ๆ ว่ามีแต่คนมาสนใจตัวเอง
          “เหรอ ดีจัง ถ่ายรูปมาให้ดูมั่งนะ อยากเห็นหน้าคนรักแสนดีของนายจัง ยังไม่เคยเห็นเลย”
          พูดแทงใจดำนิดหน่อยเท่านั้น นัตโตะถึงกับสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องของเขาทันที ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจก็คือน็อคจะทำสำเร็จอย่างที่เขาต้องการไหม แผนคิดขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเลยสักนิด
           ใกล้เที่ยง พัดชาเข้ามาถามเขาเรื่องอาหารกลางวัน ระหว่างที่เขาเลือกอาหาร แม่บ้านประจำออฟฟิศก็คุยโน่นคุยนี่ให้เขาฟังประสาคนช่างพูด ถึงแม้จะรำคาญอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ว่าพัดชาเป็นพวกมีตาเป็นสับปะรด ถ้าเขาตั้งตัวเป็นศัตรูด้วย เขาจะไม่มีวันได้ความเป็นส่วนตัวในออฟฟิศแน่นอน มิคกี้จึงคุยตอบเท่าที่จำเป็นโดยที่ไม่หลุดพูดเรื่องของตัวเองออกไปให้แม่บ้านตัวอ้วนเอาไปขยายต่อได้
            ข้อความที่ชายหนุ่มต้องการมาถึงในตอนที่พัดชาเดินบอกทุกคนในออฟฟิศว่าจัดอาหารกลางวันให้เรียบร้อยแล้ว มิคกี้จึงเดินเข้าครัวด้วยอารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษ ชายหนุ่มรับประทานอาหารกลางวันกับพวกญาดาในครัว ถึงแม้จะต้องยืนอัดกันหลายคนในห้องครัวแคบ ๆ แต่ก็ยังดีกว่าไปนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์และคาริน่า สองคนนั้นทำให้เขาไม่เจริญอาหารเอาเสียเลย
            ข้าวโอ๊ตกับออกัสกำลังคุยกันเรื่องแผนการไปเที่ยวในวันปีใหม่ ออกัสจะไปเกาหลี ส่วนข้าวโอ๊ตจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ชายหนุ่มวางแผนเอาไว้แล้วเหมือนกัน เมื่อออกัสหันมาถามเขาบ้าง ชายหนุ่มก็ตอบได้ทันที
            “ไปญี่ปุ่นครับ จริง ๆ พ่อกับแม่อยากไปมัลดีฟ แต่ผมไปมาหลายครั้งแล้ว มันสวยก็จริงแต่ไม่ค่อยมีอะไร ผมว่าญี่ปุ่นน่าเที่ยวกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปญี่ปุ่นแทน แช่ออนเซ็นชมวิวภูเขาไฟฟูจิ”
          ชายหนุ่มพูดได้ไม่ติดขัด เรื่องไปเที่ยวนี่เขาไม่เคยพลาด แล้วก็ต้องไปต่างประเทศด้วย ชายหนุ่มไม่เที่ยวเมืองไทยถ้าไม่จำเป็น เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วมันไม่ดูดีเหมือนกับต่างประเทศ จากเรื่องเที่ยวก็เปลี่ยนมาเรื่องความรักบ้าง เมื่อญาดาเล่าว่าน้องสาวของหล่อนกำลังจะแต่งงาน ข้าวโอ๊ตก็คร่ำครวญอยากมีแฟนขึ้นมาทันที เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ยังโสดเหมือนนัตโตะ แต่หน้าตาดีกว่าเยอะมาก ท่าทางก็ดูดี เพียงแต่โลกส่วนตัวสูงไป ทำให้ไม่มีแฟนกับเขาสักที
          ทุกคนยังคุยเล่นกันอยู่อีกพักจนแกะดำนัตโตะเดินเข้ามา ในห้องครัวเงียบทันที ต่างคนต่างหันหน้าไปคนละทาง ไม่มีใครสบตาด้วย แต่แกะดำก็ยังเก่งที่เรียกความสนใจให้ตัวเองได้ด้วยการประกาศว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานมาทำงาน เขาเองก็ยังสนใจเรื่องนี้เลยจนต้องถามว่า
          “จริงเหรอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
          “ผู้ชาย” นัตโตะตอบ
          มิคกี้ค่อนข้างพอใจกับคำตอบ เขาไม่ตื่นเต้นถ้านักศึกษาฝึกงานเป็นผู้หญิง ซึ่งก็เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ นั่นแหละที่หวังให้มีเด็กหนุ่ม ๆ หน้าตาดีมาเป็นอาหารตาในออฟฟิศบ้าง
          ขืนได้ผู้หญิงมาแล้วป่วงเหมือนคาริน่า ชีวิตก็อับเฉากันพอดี
         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 5 (2-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-01-2016 05:19:26
          ตามหลังนัตโตะเข้ามาคือคาริน่ากับทีโมน สองคนนี้ทำให้วงสนทนาในครัวจบลงอย่างถาวร เพื่อนร่วมงานของเขาทยอยเดินออกจากห้องครัวไป มิคกี้ก็เดินตามออกไปด้วย แต่เขายังได้ยินเสียงของทีโมนสั่งให้ญาดาไปหาที่ห้อง
          มิคกี้ไม่ชอบสายตาของทีโมนที่มองญาดาเลย รองผู้อำนวยการทำท่าเหมือนจะชอบหญิงสาว และก็ไม่แค่ญาดาหรอก ยังมีออกัสอีกคนหนึ่งด้วย
          เมื่อได้กลับมาอยู่คนเดียวในห้องอีกครั้ง ชายหนุ่มก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความคาดหวัง และก็ยิ้มออกเมื่อเห็นคลิปวีดิโอที่น็อคส่งมาให้ เพื่อนของเขาทำสำเร็จจริง ๆ มิคกี้รู้สึกสะใจสุด ๆ
          หลังจบเรื่องที่ค้างคาใจ ชายหนุ่มก็เริ่มงานช่วงบ่าย ด็อกเตอร์แฮร์มันน์สั่งงานใหม่ให้เขาหนึ่งชิ้น ผู้อำนวยการไม่ได้ออกคำสั่ง ‘see me’ กับเขา แต่ใช้วิธีโทรศัพท์มาอธิบายงานแทน มิคกี้พยายามฟัง แต่ก็เข้าใจได้ไม่กระจ่างนัก ชายหนุ่มเอาอีเมลที่ลูกค้าเขียนเข้าโปรแกรมแปลภาษาเป็นการตรวจสอบซ้ำอีกรอบและก็พบว่ามีเนื้อความที่ขัดแย้งกันในบางอย่าง เขาจึงต้องพึ่งคนที่สามมาตัดสิน
          ข้าวโอ๊ตดูคอนเสิร์ตทางยูทูบอยู่ เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้องก็รีบกดหยุดทันที มิคกี้ทำเหมือนไม่เห็น แต่ในใจก็อดนึกสมเพชไม่ได้ ผู้ชายอายุสามสิบกว่าแล้วยังบ้าดาราบ้านักร้อง คงเพราะหาของจริงไม่ได้ก็เลยต้องพึ่งของปลอมในจอแทน นั่งมองน้ำลายไหลยืด แต่ไม่มีปัญญาเอื้อมถึง
          แต่ถึงในใจจะนึกหยามหมิ่นอีกฝ่ายไม่น้อย มิคกี้ก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมาให้จับได้ เขาขอร้องรุ่นพี่ด้วยความสุภาพว่า
          “พี่โอ๊ตครับ ช่วยแปลอีเมลฉบับนี้ให้ผมหน่อยได้ไหม”
          ข้าวโอ๊ตรับปาก แต่ก็ต้องใช้เวลาแปลนานกว่ายี่สิบนาที ปล่อยให้เขารอจนขาแทบแข็ง
          “ขอโทษนะมิคกี้ นานไปหน่อย เนื้อหาทั้งหมดที่แปลพี่เขียนใส่ให้ในอีเมลแล้วนะ ไปอ่านทวนดูได้”
          “ขอบคุณครับพี่โอ๊ต ต้องรบกวนพี่จริง ๆ แต่ผมว่าคราวหน้าผมลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาดูน่าจะดีกว่าเนอะ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดดิกชันนารีนานขนาดนี้”
          มิคกี้จิกข้าวโอ๊ตไปทีโทษฐานที่ทำให้เขาต้องรอนานขนาดนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่และไม่มีประเด็นที่ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างนัตโตะ การจิกกัดจึงทำอย่างนุ่มนวลหน่อย แต่อีกฝ่ายก็คงรู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันเพราะข้าวโอ๊ตฟังแล้วทำหน้าแปลก ๆ แต่เพราะเขาไม่แสดงออกอย่างชัดเจน น้ำเสียงและสีหน้าของเขามีแต่ความสุภาพและเกรงใจ ข้าวโอ๊ตเลยไม่แน่ใจ แล้วก็ตอบมาแบบกลาง ๆ ว่า
           “ก็ลองดู กูเกิ้ลแปลภาษาก็ไม่เลวหรอกตอนนี้ พัฒนาขึ้นเยอะ”
           มิคกี้ขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ชายหนุ่มเช็คโทรศัพท์ของตัวเองก่อนอื่นตามความเคยชิน มีข้อความมากมายรอเขาอยู่ในโปรแกรมแช็ตและโทรศัพท์จากน็อคที่เขาไม่ได้รับ ชายหนุ่มกดไล่อ่านข้อความก่อนแล้วจึงโทรศัพท์กลับไปหาเพื่อน
          “ชอบคลิปวีดิโอไหมวะ”
           ทันทีที่รับสายของเขา น็อคก็ถามทันที
          “ชอบมาก สะใจดี สมน้ำหน้า” ใบหน้าหล่อ ๆ ปรากฏรอยยิ้มน่าเกลียด
          “ได้ยินว่าไอ้โจ้หาตัวคนทำให้วุ่น แถมประกาศลั่นออฟฟิศว่าถ้ารู้ว่าใครทำ มันเอาคืนแน่ นายจะว่าไง”
          “ถ้ามันกล้าก็ลองดู” มิคกี้พูดอย่างไม่หวาดหวั่น “ฉันจะเอามันให้เจ็บกว่านี้อีก”
          “พอร์ชว่าไง โทรมารึเปล่า”
          “ส่งมาแต่ข้อความ ขอนัดเจอเย็นนี้หลังเลิกงาน” เขาตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนัก จากนั้นก็วางหูจากเพื่อน แล้วไล่ตอบข้อความที่เขาได้รับจากบรรดาคนที่เขาคุยด้วยผ่านทางโปรแกรมแช็ตสลับกับค้นข้อมูลที่ลูกค้าต้องการ
          มิคกี้เลิกงานตามเวลาเหมือนคนอื่น พอห้าโมงครึ่งปุ๊บ เขาก็ปิดคอมพิวเตอร์และออกจากออฟฟิศพร้อมกับพวกญาดา
          “อ้าว ไม่ลงชั้นสามเหรอ”
          ญาดาถามเมื่อเห็นเขาไม่ได้กดลิฟท์ไปลงชั้นลานจอดรถเหมือนทุกครั้ง แต่จะไปชั้น G เหมือนคนอื่น ๆ
          “วันนี้มีคนมารับครับ”
          “แฟนมารับ อิจฉาจัง ทำไมแฟนเราไม่ได้ยังงี้มั่งว้า”
          มิคกี้เพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบโต้คำแซวของออกัส
          ชายหนุ่มร่ำลาเพื่อนรุ่นพี่ของเขาตรงหน้าลิฟท์นั่นเอง ญาดากับคนอื่น ๆ เดินออกทางด้านหน้าตึกเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนเขาเดินออกทางด้านหลังเพื่อไปยังลานจอดรถที่กันที่ไว้ให้คนนอกขับรถเข้ามาจอดรอรับคนที่ทำงานอยู่ในอาคารได้
          คนที่เขานัดไว้มารออยู่แล้ว มิคกี้เดินไปขึ้นรถของพอร์ชที่จอดรออยู่โดยที่ไม่ได้ดับเครื่องยนต์ และพอร์ชก็ออกรถทันที
          “หิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
          มิคกี้พูดเสียงเรียบด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลอยทำให้พอร์ชต้องไม่แสดงท่าทีอะไรไปด้วย เขาถามเสียงอ่อนว่า
          “อยากกินอะไรล่ะครับ”
          “อะไรก็ได้ คุณเลือกก็แล้วกัน”
          หลังจากนั้นในรถก็มีแต่ความเงียบจนน่าอึดอัด มิคกี้นั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร ต่างกับพอร์ชที่รู้สึกกระสับกระส่ายจนต้องละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถมาปลดเนกไทให้หลวมขึ้น แถมเขายังรู้สึกว่ามีเหงื่อซึมขึ้นมาตามไรผม
          “เรื่องโจ้เมื่อตอนกลางวัน คุณเป็นคนทำใช่ไหม มิคกี้” ในที่สุดพอร์ชก็ทนความอึดอัดไม่ไหว
          “ใช่ ฝีมือของผมเอง” มิคกี้ตอบอย่างไม่ยี่หระ
          “คุณไปแกล้งเขาทำไม รู้ไหมว่าโจ้เขาอายแค่ไหน ไม่มีใครที่ทำงานรู้เรื่องรสนิยมของเขา แต่ตอนนี้ก็รู้กันหมดแล้ว”
          “แค่อายแค่นี้มันยังน้อยไปนะกับการที่มันมายุ่งกับของของผม” มิคกี้จ้องพอร์ชเขม็ง ใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่มเริ่มบึ้งตึงเมื่อถูกตำหนิ
          “ผมกับเขาทำงานที่เดียวกัน เราก็ต้องมีคุยกันบ้าง มันก็แค่นั้น คุณเองก็ยังคุยกับคนอื่นเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็มีผมอยู่แล้ว”
          “มันไม่เหมือนกัน” มิคกี้ขึ้นเสียง “ผมจะคุยกับใครมันเรื่องของผม แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น หรือถ้าอยากจะทำ เราก็เลิกกัน แล้วคุณจะไปเอากับใครที่ไหนก็ตามใจ ว่าไง จะเลิกไหมล่ะ”
          พอร์ชอึ้งและสุดท้ายก็ต้องอ่อนตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          “ผมจะเลิกกับคุณได้ยังไง ผมรักคุณคนเดียวนะมิคกี้”
          “รักสิ่งที่ผมให้คุณมากกว่าล่ะมั้ง” มิคกี้เยาะ
          “เราอย่าพูดเรื่องอะไรที่มันชวนไม่สบายใจดีกว่านะ ผมไม่อยากเห็นคุณอารมณ์ไม่ดี” พอร์ชรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “เมื่อกี้คุณบอกว่าหิวใช่ไหม สนใจไปทานอาหารฝรั่งเศสกันไหมครับ ผมเคยไปทานกับเพื่อนที่ร้านแถวสุขุมวิท อาหารอร่อย บรรยากาศดีมาก คุณต้องชอบแน่”
          “ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณไปกับเพื่อน อย่ามาโกหกกันดีกว่า” มิคกี้พูดเสียงสะบัด ก่อนจะออกคำสั่งว่า
          “ผมไม่อยากกินแล้ว คุณขับรถไปส่งผมที่บ้านเดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้มารับผมไปส่งที่ทำงานด้วย”
          แล้วเมื่อชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายยังแสดงท่าทางยึกยักลังเลเหมือนไม่แน่ใจ เขาก็สำทับซ้ำเสียงดัง
          “รีบไปเดี๋ยวนี้!”
          มิคกี้ไม่สนใจความรู้สึกของคนที่เขาควงอยู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่สนใจความรู้สึกของใครทั้งนั้น นอกจากตัวเอง และอะไรที่เขาต้องการ เขาจะต้องได้
          ชายหนุ่มลงจากรถของพอร์ชที่มาจอดส่งถึงบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน ไม่หันไปมองแม้ว่าคนที่มาส่งเขาพยายามจะร้องเรียกหรืออ้อนวอนขอให้เขาเปลี่ยนใจอย่างไรก็ตาม สุดท้ายพอร์ชก็ต้องยอมแพ้ ขับรถจากไป
          “คุณมิคกี้”
          พี่เลี้ยงของเขาเดินออกมารับเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน หล่อนอายุอ่อนกว่าแม่ของเขาสองสามปี เป็นญาติห่าง ๆ กันด้วย เมื่อตอนที่แม่คลอดเขา คุณยายก็ไปขอให้หล่อนมาช่วยเลี้ยงเขาและหล่อนก็อยู่กับครอบครัวของเขามาตั้งแต่ตอนนั้น
          “เหนื่อยไหมคะ น้ามีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ บีบมะนาวนิดหน่อย ทานแล้วชื่นใจดีนะคะ”
          “ไม่เอา น้านี ผมจะอาบน้ำ” ชายหนุ่มตอบด้วยความหงุดหงิด ปัดแก้วน้ำที่พี่เลี้ยงยื่นส่งมาให้จนเกือบหลุดมือตกลงพื้น
          “ค่ะ ได้ค่ะ งั้นน้าจะรีบให้เด็กเตรียมน้ำอุ่นให้นะคะ แป๊บเดียวค่ะ”
          น้านีของชายหนุ่มไม่ว่าอะไรที่มิคกี้เกือบจะทำให้แก้วน้ำหล่นจากมือหล่อน กลับรีบบอกอย่างเอาอกเอาใจและกุลีกุจอสั่งเด็กในบ้านให้เตรียมน้ำอุ่นให้มิคกี้ที่เป็นคุณหนูของบ้าน
          “วันนี้น้าทำซุปมะเขือเทศแบบที่คุณมิคกี้ชอบด้วยค่ะ อาบน้ำเสร็จแล้ว น้าจะตั้งโต๊ะให้เลยนะคะ”
          มิคกี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของพี่เลี้ยง ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปที่ห้องของตัวเองซึ่งกินเนื้อที่ปีกซ้ายทั้งหมดของตัวบ้าน ส่วนปีกขวาเป็นห้องนอนของพ่อกับแม่ของเขาและห้องนอนสำหรับแขก
          ห้องนอนของมิคกี้กว้างขวาง แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนหน้าสำหรับพักผ่อนดูโทรทัศน์หรือฟังเพลง ส่วนหลังเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัว ด้านในสุดเป็นห้องนอน เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งประดับห้องทั้งหมดเป็นของราคาแพงที่พ่อกับแม่ตั้งใจเลือกสรรมาให้เขา
          มิคกี้เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน พ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เขามากนักเพราะต้องทำงานหนักเพื่อสร้างฐานะและถึงจะร่ำรวยแค่ไหนก็ดูเหมือนจะยังไม่พอ พ่อกับแม่ของเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปพร้อม ๆ กับที่เขามีเงินใช้จ่ายมากขึ้น แต่ชายหนุ่มต้องอยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยงที่ไม่เคยขัดใจเขาเลยแม้แต่เรื่องเดียว
          น้ำอุ่นเตรียมเสร็จไม่ทันใจ และเมื่ออยู่ในอาณาจักรของตัวเอง ไม่ใช่ในบริษัทหรือที่อื่นที่ต้องระวังเรื่องมารยาทและสายตาของคนอื่น มิคกี้ก็แสดงความเป็นตัวตนของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ด้วยการ “จิก” เด็กรับใช้สาวรุ่นที่มีหน้าที่เตรียมน้ำอุ่นให้เขาลงมาข้างล่าง
          “คุณมิคกี้ นี่มันอะไรกันคะ” น้านีอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มดึงแขนเด็กรับใช้ลากถูลู่ถูกังลงบันไดมา แล้วผลักให้ล้มลงไปกับพื้น เด็กรับใช้ร้องไห้น้ำตานองหน้า
          “ไล่เด็กคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะน้านี ทำอะไรชักช้า จนป่านนี้แล้วน้ำยังเตรียมไม่เสร็จ ผมจะอาบน้ำก็ไม่ได้”
          “น้าขอโทษที่เด็กเตรียมให้ไม่ทันใจ แต่มันก็ต้องใช้เวลานิดนึง เอาอย่างนี้ไหมคะ คุณมิคกี้ทานข้าวก่อนดีกว่าค่ะ ระหว่างที่ทานข้าว น้าจะไปทำให้เอง”
          พี่เลี้ยงสาวใหญ่พยายามประนีประนอมอย่างเต็มที่ และเพราะหล่อนเป็นคนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก มิคกี้จึงยังฟังหล่อนอยู่บ้าง เขายอมทำตามที่พี่เลี้ยงของเขาเสนอ แต่ไม่เปลี่ยนใจเรื่องไล่เด็กออก
          “ผมไม่อยากเห็นหน้าแม่คนนี้อยู่ในบ้านอีกต่อไป ไล่มันออก แล้วจ้างคนที่ทำงานดีกว่านี้มาแทน”
          ชายหนุ่มได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเหมือนเคย เด็กรับใช้ถูกไล่ไปพ้นหน้า น้านีจัดซุปมะเขือเทศให้เขาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขารับประทานเสร็จ น้ำอุ่นกำลังพอดีเหยาะอโรม่าหอม ๆ ก็พร้อมอยู่ในห้องน้ำให้เขาลงไปแช่อย่างสบายใจ และยิ่งสบายใจกว่านั้นกับคลิปวีดิโอที่เขากดดูอีกครั้ง
          ไอ้โจ้ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกแอบถ่าย มันกำลังกินข้าวเที่ยงอยู่กับเพื่อนในแผนกที่ร้านอาหารใกล้บริษัทที่คนในบริษัทของมันชอบมากินกัน มันทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเมสเซ็นเจอร์นำถุงกระดาษใบหนึ่งมาส่งให้ แล้วมันก็ยิ้มเมื่อได้อ่านกระดาษโพสต์อิทที่ติดอยู่ที่ถุง แต่เมื่อมันดึงของที่อยู่ในถุงขึ้นมา กล่องพลาสติกใสที่มีของหลายชิ้นอยู่ในนั้น สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปเป็นตกใจ มันพยายามจะเก็บของลงถุง แต่ไม่ทัน เพื่อนร่วมโต๊ะคนหนึ่งของมันแย่งกล่องไปได้ ก่อนที่ทั้งโต๊ะจะทำหน้าประหลาด แล้วใครคนหนึ่งก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ คำอุทานนั้นเรียกความสนใจจากโต๊ะอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในบริษัทเดียวกันได้
          ของในกล่องเป็นของที่เขาตั้งใจเลือกให้ไอ้โจ้อย่างดีที่สุด มันจะต้องชอบแน่ ๆ เพราะมีทั้งถุงยางอนามัย เจลหล่อลื่น อวัยวะเพศชายเทียมและของเล่นผู้ใหญ่อีกหลายชิ้น แถมด้วยกระดาษโน้ตแปะหน้ากล่องที่เขาเลือกคำอย่างระมัดระวังที่สุด
ระวังให้แน่ใจว่าไอ้โจ้มันจะกระอักเลือดตายไปเลยเมื่อได้อ่าน
          ‘ให้โจ้ที่รัก’ เขาเริ่มต้นอย่างสุภาพ ‘จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ เอาไว้ใช้ทิ่ม xxx เวลาคันนะ จะได้ไม่ต้องโก่ง xxx ให้ผัวชาวบ้านเขาอย่างทุกวันนี้อีก!’
          มันคงชอบจริง ๆ เพราะรีบเก็บทุกอย่างลงถุงกระดาษ แล้วลนลานออกไปท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบของคนทั้งร้าน
แต่มันไม่จบแค่นั้นหรอก รอยยิ้มน่าเกลียดผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง
          มิคกี้กดคำสั่ง “แชร์” คลิปวีดิโอลงไปในโลกโซเชียล
          อุ้งเท้าที่มีเล็บแหลมคมฉีกทึ้งผนังหนานุ่มที่อยู่ตรงหน้าจนเหวอะหวะ พยายามที่จะขุดลึกเข้าไป ลึกเข้าไปเพื่อหาทางออก ขณะที่ชิ้นส่วนที่ถูกดึงทึ้งออกมากองสูงขึ้นเรื่อย ๆ
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-01-2016 10:42:32
บทที่ 6
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ดีแต่โยนงานน่าเบื่อมาให้ลูกน้อง แต่ไม่เห็นเคยจะปกป้องอะไรใครเลยสักคน เอาเข้าจริงก็ดีแต่ปากและปกป้องตัวเองเท่านั้นแหละ
Like – Comment – Share

          ญาดาทำงานที่บริษัทนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ไต่เต้าจากพนักงานการตลาดธรรมดาขึ้นมาเป็นระดับหัวหน้า รับผิดชอบโครงการสำคัญ ๆ มีคนรู้จักมากมายในแวดวงการค้า การทหารและตำรวจ การทำงานที่นี่เป็นความภาคภูมิใจของหล่อน เป็นที่ที่หล่อนได้แสดงความสามารถ เป็นที่ที่คำพูดของหล่อนได้รับการยอมรับจากพวกผู้ชาย
          หญิงสาวทำงานอย่างมีความสุขมาหลายปี จนปีหลัง ๆ นี่แหละที่หล่อนชักรู้สึกว่าการทำงานที่นี่มันไม่ค่อยสุขเหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว
         ออฟฟิศเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการย้ายมาของด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับคาริน่า ตาแก่หัวล้านเหม่งคนนี้ทำงานไม่เก่งเท่าผู้อำนวยการคนก่อน ๆ พูดมาก พูดวกไปวนมาฟังไม่รู้เรื่อง หลง ๆ ลืม ๆ แถมยังหูเบา โดนแม่คาริน่าเป่าหูได้ทุกวี่ทุกวันให้ระแวดระวังคนไทย ให้กดหัวไม่ให้คนไทยมีอำนาจมากเกินไปในออฟฟิศ ดังนั้น คำพูดและคำแนะนำของหล่อนจึงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แต่หล่อนก็ยังอดทนทำงานต่อไปจนเมื่อทีโมนย้ายมาอีกคนนั่นแหละ หญิงสาวก็แทบจะหมดความอดทนอยู่หลายครั้ง
          ทีโมนก็เหมือนด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คือไม่ฟังคำแนะนำของหล่อน หนำซ้ำรายนี้ยังหยิ่งยโส ดื้อรั้น และหลงตัวเองแบบสุด ๆ ไม่นับรวมความขี้เกียจและไม่รอบคอบ แต่ที่ทำให้หล่อนนึกขยะแขยงมากที่สุดคือความเจ้าชู้ หล่อนเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุด คนที่ใช้ความเป็นผู้ชายของตัวเองมาเอาเปรียบผู้หญิง
          แต่ถึงสถานการณ์ในออฟฟิศจะย่ำแย่อย่างไรก็ตาม ญาดาก็ยังอยากมาทำงานทุกวัน เพราะที่นี่เป็นที่ของหล่อน
          ญาดาเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาในตอนเกือบเก้าโมงเช้าเหมือนกับทุกวัน หล่อนมักจะมาในเวลาไล่เลี่ยกับข้าวโอ๊ต บางครั้งก็มาก่อน แต่ไม่เคยทันคาริน่าสักที
          วันนี้ทั้งสองคนที่ว่ามาถึงก่อนหล่อน ข้าวโอ๊ตก็คงรับประทานอาหารเช้าอยู่ในครัวตามปกติ หล่อนรับประทานมาจากบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ต้องเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟทุกเช้าเช่นกัน
          หญิงสาวตรงไปที่ห้องทำงานของตัวเองก่อนซึ่งเป็นห้องทางฝั่งซ้าย อยู่ตรงกลางระหว่างห้องของทีโมนและข้าวโอ๊ต เอากระเป๋าถือและกระเป๋าผ้าใบย่อมที่ใช้ใส่ชุดออกกำลังกายสำหรับฟิตเนสเข้ามาเก็บ เปิดคอมพิวเตอร์เตรียมไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัว
          “สวัสดีครับพี่หญ้า”
          ข้าวโอ๊ตทักเมื่อเห็นหน้าหล่อน
          “สวัสดีจ้ะ” ญาดาทักตอบพร้อมกับเปิดสวิตช์เครื่องชงกาแฟและตรวจดูว่าเมล็ดกาแฟในเครื่องพร่องไปมากน้อยแค่ไหนแล้วบ้าง หากเหลือน้อย หล่อนก็จะเปิดตู้หยิบเอาถุงเมล็ดกาแฟมาเทเติมเข้าไป ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของพัดชา แต่รายนั้นมักจะเข้าออฟฟิศสายกว่าคนอื่น ๆ หล่อนไม่อยากจะรอจึงทำเสียเอง สุดท้ายก็กลายเป็นหน้าที่ประจำของหล่อนไปเพราะมักมาก่อนคนอื่น ๆ ส่วนข้าวโอ๊ต รายนั้นมาเช้าก็จริง แต่ดื่มชา นาน ๆ ทีถึงดื่มกาแฟบ้าง จึงไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งกับเครื่องชงกาแฟของออฟฟิศนัก
          “สวัสดีครับพี่หญ้า พี่โอ๊ต”
          ญาดาเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบเสียงทักทายอย่างร่าเริงของมิคกี้ พนักงานใหม่ฝ่ายการตลาดที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือน รายนี้ช่างพูดและยิ้มเก่ง ไม่เงียบและดูมีโลกส่วนตัว เข้าถึงยากอย่างข้าวโอ๊ต แต่หล่อนก็ไม่มีปัญหาอะไรกับทั้งคู่ เพราะถึงนิสัยจะต่างกัน แต่ก็ไม่สร้างปัญหาให้หล่อน
          พูดถึงปัญหา ก็ต้องมีคนสร้างปัญหา และหนึ่งในคนสร้างปัญหาประจำออฟฟิศก็เข้ามาในครัวตามหลังมิคกี้มา หอบเอากล่องขนมมาด้วย
          “สวัสดีครับทุกคน ขนมนี่กินได้เลยนะ” นัตโตะพูด แต่ไม่มีใครสนใจ หล่อนเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มรุ่นน้องเอาขนมอะไรมา
          ญาดาไม่ชอบนัตโตะมากนัก รู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์แล้ว แต่ฝรั่งทุกคนไม่ฟังคำคัดค้านของหล่อนเลย นัตโตะก็เลยได้เข้ามาทำงานที่นี่
          เก้าโมงกว่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาถึงที่ออฟฟิศ เสียงทักทายของผู้อำนวยการดังลั่นออฟฟิศไปหมด ทำให้หล่อนรู้สึกปวดศีรษะอย่างบอกไม่ถูก ระยะหลังนี้เมื่อได้ยินเสียงของตาแก่หัวเหม่ง หล่อนก็จะเป็นแบบนี้ทุกที
          เมื่อผู้อำนวยการมา ทุกคนก็สลายตัวกลับห้องใครห้องมัน ญาดาถือถ้วยกาแฟของตัวเองที่ชงอย่างเข้มข้นเติมน้ำตาลและนมสดเต็มที่เดินเข้าห้องทำงาน หล่อนเปิดโปรแกรมเอาท์ลุคเพื่อเช็คอีเมลเรื่องงานก่อนเป็นอันดับแรก งานของหล่อนก็เหมือนกับพนักงานการตลาดคนอื่น แต่หล่อนรับผิดชอบด้านที่มีความสำคัญ อย่างเช่น พลังงาน คมนาคม การแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับทหารและตำรวจ
          ช่วงนี้ไม่ค่อยมีโครงการใหญ่ ๆ ให้ต้องรับผิดชอบ งานที่เกี่ยวกับด้านที่หล่อนเชี่ยวชาญก็ไม่มีเข้ามาใหม่ มีแต่งานเก่า หญิงสาวยังต้องหาข้อมูลเตรียมทำรายงาน อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์และตัดเก็บข่าวที่คิดว่าเป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ใส่แฟ้มเอาไว้
          ด้วยความที่หญิงสาวเป็นพนักงานที่อายุมากที่สุดในหมู่คนไทย เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด และเหมือนจะเป็นหัวหน้าของพนักงานคนไทยที่นี่ทุกคนด้วย ญาดาจึงต้องเปิดหูเปิดตาเป็นพิเศษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ
          อย่างเช่นวันนี้ การที่ข้าวโอ๊ตวิ่งวุ่นตลอดทั้งเช้าก็ไม่พ้นไปจากการรับรู้ของหล่อนได้
          ถึงจะสงสารอยู่บ้างเพราะตำแหน่งของเขาเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย เป็นเป้าที่ทุกคนสามารถเล่นงานได้เมื่อไม่พอใจหรือต้องการที่ระบายอารมณ์ แต่บุคลิกและนิสัยการทำงานของชายหนุ่มเองก็มีปัญหาด้วย หล่อนรู้ว่าข้าวโอ๊ตเบื่องานที่ทำอยู่เพราะเขาเคยมาปรึกษาแกมบ่นกับหล่อนเรื่องนี้ หล่อนไม่ได้ให้คำปรึกษาอะไรมาก แต่ยุให้เขาลาออกเลย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลาออก ยังคงฝืนทำต่อไป และเมื่อไม่มีใจ เขาก็ทำงานอย่างซังกะตาย ประกอบกับชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ทำงานเก่งมาก ก็แค่พอใช้ได้ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจึงกลายเป็นเป้าให้ถูกเล่นงานเอาได้แบบนี้
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เคยเรียกหล่อนไปหาเพื่อตำหนิเรื่องข้าวโอ๊ต เขาอยากให้หล่อนไปบอกชายหนุ่มให้เลิกทำหน้าบอกบุญไม่รับเวลาโดนสั่งงาน ให้ยิ้มแย้ม และพูดคุยด้วยความสุภาพมากกว่านี้ หญิงสาวไม่ได้เตือนชายหนุ่มเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ตราบใดที่ข้าวโอ๊ตยังทำงานได้ ไม่ละเลยหน้าที่หรือสร้างปัญหาร้ายแรง การที่เขาจะทำหน้าบึ้งไปบ้างก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องความสุภาพ หล่อนก็เห็นเขาพูดจาสุภาพดี อาจจะมีตะโกนใส่ฝรั่งบ้างเพราะทนไม่ไหว นั่นก็ช่วยไม่ได้ ก็ฝรั่งออฟฟิศนี้มันเหลือจะรับจริง ๆ
          ญาดาคิดแบบนี้ แต่หล่อนไม่ได้ปกป้องและออกตัวให้ข้าวโอ๊ตต่อหน้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เพราะคิดว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์คงไม่ฟังหล่อนตามเคย และหล่อนก็ไม่อยากจะไปคัดง้างอะไรกับคนเป็นนายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ด้วย
          กาแฟหมดแล้ว ประกอบกับเริ่มเมื่อยเพราะนั่งท่าเดิมอยู่หลายชั่วโมง ญาดาจึงเดินออกมาจากห้องทำงานตรงไปยังห้องครัวเพื่อชงกาแฟถ้วยใหม่ แล้วมาเกาะเคาน์เตอร์คุยกับออกัส
          “จะซื้อเสื้อโค้ตเหรอ” หญิงสาวทักเมื่อเห็นเว็บไซต์ที่รุ่นน้องกำลังเปิดดูอยู่ “เมื่อวานก็สั่งไปแล้วตัวหนึ่งไม่ใช่รึไง”
          “ก็ใช่ครับ แต่ตัวนี้มันก็สวยเหมือนกัน ผมอยากได้ทั้งสองตัวเลย” ออกัสตอบพลางหันหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้ดู ญาดาก้มลงมองตามแล้วพยักหน้า
          “สวยจริง ๆ ด้วย แต่ราคาก็สูงเหมือนกันนะเนี่ย”
          “แพง แต่ผมว่าคุ้มนะ ไหน ๆ จะซื้อทั้งทีก็ต้องเลือกที่ดี ๆ หน่อย จริงไหมครับ”
          “ก็จริง แต่แหม ซื้อทีนี่จนเลยนะ เงินเดือนยิ่งขึ้นโคตรจะเยอะอยู่ด้วย”
          ออกัสหัวเราะให้กับคำประชดประชันของญาดา ในระยะหลัง เงินเดือนของทุกคนเพิ่มขึ้นน้อยจริง ๆ บางปีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และไม่มีการปัดตัวเลข คำนวนออกมามีจุดเป็นสตางค์เท่าไรก็รับตามนั้นเป๊ะ ๆ
          “ก็ถ้ายังเป็นนายคนนี้กับฝ่ายการเงินคนนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ”
          “คนแก่นี่ขี้งกทุกคนเลยรึเปล่าเนี่ย เงินเฟ้อไปถึงไหน ๆ แล้ว เงินเดือนไม่ปรับตามเลย” ญาดาบ่น
          “ไม่ใช่คนแก่ขี้งกอย่างเดียวพี่ แต่ยายเจ๊เจ้ากี้เจ้าการต่างหากตัวดี นางตัดงบทุกอย่างเพื่อหวังประหยัดเงิน แล้วส่งงบที่เหลือกลับสำนักงานใหญ่ นางจะได้หน้าถ้าประหยัดงบได้เยอะ”
          “นางได้หน้า แต่พวกเราลำบากกันหมด นายก็ไม่ฟังอะไรเล้ย” ญาดาลากเสียงด้วยความเอือมระอา
          “ก็เขาไม่เดือดร้อนไปกับเราด้วยไง ข้าวของแพงยังไงก็ไม่กระทบ พี่ดูสิ ข้าวเที่ยงเขากินอะไร บางวันกินแค่สับปะรดชิ้นเดียว ห้าบาท เขาก็เลยยังหลงคิดว่าข้าวของในเมืองไทยมันถูกอยู่ไง ทั้งที่เดี๋ยวนี้ข้าวมื้อหนึ่งก็เกือบร้อยเข้าไปแล้ว”
          “เฮ้อ งั้นเรื่องเงินเดือนขึ้นก็อย่าหวัง จนกว่าจะเปลี่ยนนายกับฝ่ายการเงินใหม่”
          ญาดาสรุปพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
          ใกล้เที่ยง พัดชาเดินมาถามเรื่องอาหารกลางวัน ญาดาก็ใช้บริการนี้ด้วยเช่นกัน บางครั้งหล่อนก็เอาอาหารมาจากบ้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็สั่งจากร้านเหมือนกับคนอื่น ๆ
          “แหม วันนี้คุณโอ๊ตงานเข้าตั้งแต่เช้าเลยนะคะ น่าสงสารจัง”
          พัดชามักจะชวนคุยเรื่องคนโน้นคนนี้ระหว่างที่เดินถามเรื่องอาหารกลางวันนี่ล่ะ ญาดารับฟัง แต่หล่อนก็ไม่เออออหรือผสมโรงเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่หล่อนพูดมันจะกระจายไปทั่วออฟฟิศอย่างรวดเร็วเพราะความช่างพูดของแม่บ้านตัวอ้วนกลมตรงหน้า
          “คุณนัตแกบอกว่าเห็นคุณโอ๊ตวิ่งเข้าวิ่งออกห้องนายกับห้องคุณคาริน่า ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรนะคะ”
          “นัตโตะนี่ก็รู้เห็นไปเสียทุกเรื่องเลยนะ” ญาดาไม่ตอบคำถาม แต่แกล้งแดกดันพัดชาทางอ้อม ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะแม่บ้านประจำออฟฟิศยังไม่มีทีท่าจะรู้ตัว
          “แกถามพี่อยู่เหมือนกัน แต่พี่ไม่รู้ เขาพูดกันเร้วเร็ว คุณหญ้าพอจะรู้ไหมคะ”
          “หญ้าไม่รู้เหมือนกันค่ะ ช่วงเช้างานเยอะ ต้องรีบทำเลยไม่ได้สนใจเรื่องอะไรเลย”
          พัดชาทำหน้าผิดหวังเมื่อต้องออกไปจากห้องของญาดาโดยที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไปป่าวประกาศ ญาดาอยากจะถอนหายใจอีกสักเฮือก แต่คราวนี้เพราะโล่งใจที่แม่บ้านช่างพูดออกไปจากห้องหล่อนเสียได้
          ถึงเวลาอาหารกลางวัน ญาดารับประทานในครัวกับข้าวโอ๊ต ออกัสและมิคกี้ เพราะไม่อยากร่วมโต๊ะกับ
ด็อกเตอร์แฮร์มันน์และฝรั่งคนอื่น ๆ หล่อนไม่สามารถทนเสียงของผู้อำนวยการได้จริง ๆ ฟังแล้วพาลจะทำให้ไมเกรนขึ้น ขออยู่ในครัวฟังน้อง ๆ คุยกันดีกว่า
          ข้าวโอ๊ต ออกัสและมิคกี้กำลังคุยกันเรื่องแผนการไปเที่ยวในวันปีใหม่ ออกัสจะไปเกาหลี เขาจึงซื้อเสื้อโค้ตและเสื้อผ้าเตรียมไปเที่ยวเป็นการใหญ่ ข้าวโอ๊ตจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ส่วนมิคกี้จะไปญี่ปุ่นและหนุ่มรุ่นน้องก็หันมาถามหล่อนบ้าง
          “พี่หญ้าล่ะครับ จะไปญี่ปุ่นเหมือนกันไหม ถ้าผมจำไม่ผิด น้องสาวคนเล็กของพี่อยู่โอกินาว่าใช่ไหมครับ”
          “ใช่ รายนั้นเป็นนักวิจัย ทำอยู่บริษัทยา” ญาดาตอบ “แต่ปีนี้ไม่ต้องไปเยี่ยมที่ญี่ปุ่นแล้ว เพราะน้องสาวพี่จะกลับมาบ้าน ได้ยินว่าจะพาแฟนกลับมาปรึกษาเรื่องแต่งงาน”
          “ยินดีด้วยนะครับ ข่าวดีจัง แฟนน้องสาวพี่เป็นคนญี่ปุ่นรึเปล่าครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความตื่นเต้น
          “ใช่ เป็นนักวิจัยอยู่บริษัทเดียวกัน เห็นว่าแต่งงานแล้วก็จะตั้งรกรากอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยนะ” ญาดาตอบ
          “น่าอิจฉาจังเลย” ชายหนุ่มพูด
          หญิงสาวฟังแล้วก็รู้สึกอิจฉาน้องสาวตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะน้องสาวของหล่อนมีแฟน แต่เพราะน้องได้ไปทำงานในที่ไกล ๆ อย่างโอกินาว่าและตอนนี้ก็กำลังจะได้อยู่ที่นั่นอย่างถาวร ห่างไกลจากเรื่องจุกจิกยุ่งยากไม่สบายใจอย่างที่ญาดาต้องเจออยู่ทุกวัน
          “อยากมีแฟนก็ลองไปเข้าฟิตเนสไหมล่ะ ที่ที่พี่เล่นอยู่น่ะ หนุ่มหล่อกล้ามใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ”
          เมื่อได้ยินคำบ่นของข้าวโอ๊ต หญิงสาวก็แนะนำ น้อง ๆ ผู้ชายในออฟฟิศไม่มีใครชอบผู้หญิงกันเลยสักคน แต่หล่อนก็ชอบที่เป็นอย่างนี้ ญาดาสะดวกใจที่จะคุยกับเกย์มากกว่าผู้ชายแท้ เพราะมีความเชื่อว่าผู้ชายประเภทนี้จะไม่หยาบเหมือนผู้ชายแท้ ๆ จะมีความละเอียดอ่อนและเข้าอกเข้าใจผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
          “จริงเหรอพี่ ผมสน เดี๋ยวไปสมัครวันนี้เลย”
          คนตอบไม่ใช่ข้าวโอ๊ต แต่เป็นออกัส และก็ถูกข้าวโอ๊ตกระเซ้ากลับทันควันว่า
          “พูดแบบนี้เดี๋ยวเราจะฟ้องพี่ต้น บอกว่าแฟนกำลังคิดจะมีกิ๊ก”
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ” นัตโตะพูดแทรกขึ้นมา ทำให้วงสนทนาชะงักลงทันที เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าไม่ค่อยมีใครชอบสักเท่าไร แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง รังแต่จะพยายามเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นหนักข้อขึ้น
          ครั้งนี้นัตโตะใช้เรื่องนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ และมันก็ได้ผล เพราะหล่อนก็สนใจเหมือนกัน นัตโตะประกาศกับทุกคนว่านักศึกษาฝึกงานคนใหม่จะมาทำงานแล้ว และเป็นผู้ชายด้วย
          “ถ้านิสัยดี ว่าง่าย เชื่อฟัง ไม่เถียง ไม่รั้น ไม่วางท่าว่าข้าแน่ แต่จริง ๆ ทำงานห่วย ก็ดีน่ะสิ”
          หญิงสาวพูดอย่างเผ็ดร้อนหลังจากรู้ข้อมูลแล้ว
          “เด็กสมัยนี้ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง รู้ทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วไม่เห็นจะได้เรื่องสักนิด”
          ญาดาไม่เอ่ยชื่อ แต่หล่อนรู้ว่าทุกคนรู้ว่าหล่อนหมายถึงใคร ข้าวโอ๊ตฟังแล้วรีบกระแอมทันที และเขาก็ออกจากห้องครัวไป
          หญิงสาวยังบ่นต่อกับคนที่เหลืออยู่ แต่เมื่อเป้าการบ่นเดินเข้ามาในครัวกับคาริน่าเพื่อเอาจานอาหารมาเก็บ หล่อนก็หยุดพูด และทำท่าจะเดินออกจากห้องครัวตามคนอื่น ๆ แต่ทีโมนกลับจับบ่าหล่อนรั้งเอาไว้ก่อน
          “บ่ายนี้มาที่ห้องผมด้วยนะครับคุณหญ้า มีงานใหม่จะคุยด้วย”
          ญาดาขนลุกเกรียวด้วยความขยะแขยงสัมผัสของชายหนุ่ม ทีโมนทำท่าหมาหยอกไก่กับหล่อนมาหลายหนแล้ว อาศัยว่าหน้าตาดี พูดเสียงอ้อน ๆ แล้วคิดว่าคงจะไม่มีใครรังเกียจ แต่ไม่ใช่หล่อน ญาดาเกลียดไอ้เด็กรุ่นน้องจอมเจ้าชู้คนนี้มาก เคยพูดไปตรง ๆ แล้วว่าอย่าทำแบบนี้กับหล่อน แต่หมอนี่มันก็ทำเป็นมึนเสียอย่างนั้น แล้วก็หาโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหล่อนแบบนี้อีกเรื่อย ๆ
          หญิงสาวเบี่ยงตัวออกห่างทันทีและรีบเดินออกมาจากห้องครัวอย่างไม่รอช้า หล่อนเข้ามานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องทำงาน ต้องนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจรอบแล้วรอบเล่าจึงค่อยทำใจให้สงบได้บ้าง จากนั้นเปิดอีเมลเรื่องงานที่ทีโมนพูดถึงขึ้นมาดู ถึงแม้หล่อนจะเกลียดขี้หน้าเจ้าเด็กนั่นแค่ไหน แต่งานก็ต้องเป็นงาน หล่อนต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อไปคุยกับเขา
          บริษัทที่ส่งอีเมลเข้ามาเป็นบริษัทที่ขายระบบรักษาความปลอดภัย โฆษณาว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก ต้องการที่จะขยายฐานลูกค้า โดยเน้นไปที่หน่วยงานของรัฐ เช่น ทหารและตำรวจ ลูกค้าอยากจะจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์โดยเชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน อยากให้เน้นตัวแทนที่สามารถตัดสินใจได้ด้วย มีงบให้ไม่อั้น
          ญาดาไม่เข้าใจภาษาเยอรมันเช่นเดียวกับพนักงานการตลาดคนอื่น ๆ หล่อนอาศัยเว็บไซต์หรือโปรแกรมแปลภาษาเหมือนกัน อีเมลที่แปลออกมาแล้วก็อ่านรู้เรื่องดีอยู่ แต่อ่านแล้วก็รู้สึกหนักใจพอดู หน้าที่ของหล่อนก็คือหาลูกค้าให้ลูกค้าอีกที แนะนำคนที่มีแนวโน้มว่าจะสนใจผลิตภัณฑ์ของลูกค้าเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยตกลงกัน หญิงสาวพิจารณาตัวสินค้าด้วย ถ้าหากมีแนวโน้มว่าไม่น่าจะขายได้ หล่อนก็จะแนะนำให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนปฏิเสธการรับงาน
          งานนี้หล่อนก็คิดว่าไม่น่าจะขายได้ เพราะคู่แข่งหินเอาการ ราคาก็ถูกกว่ากันมาก ถ้าลูกค้าดึงดันจะขายให้ได้จริง ๆ ก็ต้องรับความเสี่ยง หรือไม่ก็ลดราคาลง แต่อย่างไรก็ยังยากอยู่ดี เพราะผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งติดตลาดไปแล้วด้วย
         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-01-2016 10:43:46
          ระหว่างที่กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่นั้น โทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น หล่อนมองชื่อหน้าจอแวบหนึ่งก่อนจะกดรับ
          “หม่าม้า มีอะไรคะ”
          “เย็นนี้จะกลับกี่โมง ม้าอยากฝากซื้อเป็ดพะโล้สักหน่อย ร้านเจ็กเล้งน่ะ ซื้อมาทั้งตัวเลยนะ”
          “เมื่อเช้าหญ้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้กลับดึก จะไปฟิตเนส หม่าม้าฝากคนอื่นซื้อได้ไหม ยอดกับยศมันน่าจะว่างนะ”
          “ไปอีกแล้ว จะไปออกกำลังกายอะไรทุกวี่ทุกวันวะ” แม่ของหล่อนบ่นทันทีเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ “ไม่รู้ล่ะ วันนี้ห้ามไป ต้องกลับมาช่วยม้าที่บ้าน”
          “วันนี้ไม่ได้จริง ๆ หม่าม้า นัดเขาเอาไว้แล้ว” ญาดายืนยัน แต่แม่ของหล่อนก็ไม่เลิกราเช่นกัน ยืนกรานจะให้ลูกสาวทำตามคำสั่งให้ได้ เมื่อหญิงสาวปฏิเสธอีก แม่ของหล่อนก็เปลี่ยนจากบ่นมาเป็นด่า
          “แค่นี้ก็ทำให้ไม่ได้เรอะ นังลูกอกตัญญู ฉันอุ้มท้องแกมาเก้าเดือน ไม่ได้หวังให้แกโตขึ้นมาแล้วเถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้นะ ถ้ารู้ว่าแกโตขึ้นมาแล้วจะเนรคุณฉันแบบนี้ ฉันจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่เด็กเสียรู้แล้วรู้รอด”
          ญาดาอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ แม่ของหล่อนเป็นแบบนี้ทุกที ต้องการจะเอาชนะคะคานหล่อนอยู่ร่ำไป เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่มีวันยอมลงให้ แล้วเมื่อไม่พอใจที่หล่อนไม่ยอมทำตามความต้องการ แม่ก็จะด่าหล่อนแบบนี้เสมอ
          แม่จะรู้หรือเปล่าว่าหล่อนฟังแล้วเจ็บปวดแค่ไหน   
          “ก็ได้ ก็ได้ หม่าม้า จะซื้อเข้าไปให้ เป็ดพะโล้ร้านเจ็กเล้งนะ”
          สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เหมือนทุกครั้ง
          หลังจากวางหูโทรศัพท์ด้วยความเซ็ง หล่อนก็ทำงานต่อ แต่ก็โดนขัดจังหวะอีก คราวนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เป็นเรื่องของคนอื่นที่ถกเถียงกันเสียงดังจนหล่อนได้ยินอย่างชัดเจน
          คาริน่าสั่งให้ข้าวโอ๊ตจัดการแก้ไขแฟ้มเอกสารเสียใหม่เพราะมีแฟ้มซ้ำซ้อนอยู่ นอกจากเสียงของทั้งสองคนก็ยังมีเสียงพูดขอโทษขอโพยของนัตโตะดังรวมอยู่ด้วย ญาดาค่อนข้างสงสารข้าวโอ๊ต นึกเดาได้เลยว่างานเข้าชายหนุ่มรุ่นน้องเพราะใคร
นัตโตะคล้ายกับพัดชาตรงที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนในออฟฟิศเหมือนกัน ผิดกันตรงที่พัดชาอยากรู้เพราะแค่ต้องการนำไปเล่าต่อด้วยความปากเบาของตัวเอง แต่นัตโตะนั้นเก็บเอาสิ่งที่รู้มาไปทำร้ายคนอื่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าข้าวโอ๊ตมีปัญหากับคาริน่าอยู่แล้วตั้งแต่เช้า เขาก็เลยกระพือความไม่พอใจระหว่างทั้งสองคนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
          ญาดาควรจะเรียกนัตโตะมาตักเตือนบ้าง แต่ชายหนุ่มก็จะแก้ตัวได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และหล่อนก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปกล่าวหาเขาด้วย หญิงสาวจึงไม่เคยได้ทำจนแล้วจนรอด
          บรรยากาศในออฟฟิศมันก็เลยขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วแต่ว่าวันไหนใครจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรออกมาใส่กัน
          แต่วันนี้เรื่องของตัวเองมันก็ยุ่งพออยู่แล้ว หล่อนจึงไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นอีกนัก แถมงานก็ยังมีเหลือค้าง ถ้าจะรับงานใหม่มา หล่อนก็ต้องจัดการงานเก่าให้เสร็จ หญิงสาวจึงเรียกข้าวโอ๊ตที่เดินผ่านหน้าห้องของหล่อนเอาไว้ ยื่นกระดาษที่จดรายชื่อบริษัทให้ พร้อมกับสั่งว่า
          “สามบริษัท ต้องการข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ข้อมูลการเงิน รายชื่อหุ้นส่วนบริษัท พี่ขอภายในวันนี้นะโอ๊ต”
          หญิงสาวรู้ว่าข้าวโอ๊ตไม่อยากทำหรอก งานแบบนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ แค่เข้าไปดึงข้อมูลมาจากฐานข้อมูลบริษัทและจัดวางให้ดีในโปรแกรมเวิร์ดเท่านั้นเอง หล่อนเองก็ยังไม่อยากทำถึงได้โยนไปให้เขา จากนั้นหญิงสาวก็หาอะไรมาทำต่อเพื่อให้เวลามันหมดลงไปเรื่อย ๆ  แต่หลังจากที่ประวิงเวลามาพักใหญ่ ญาดาก็ต้องเข้าไปคุยงานกับทีโมนในห้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีก หล่อนไม่อยากจะเข้าไปในห้องของรองผู้อำนวยการเลย นอกจากจะไม่ชอบหน้าชายหนุ่มแล้ว สภาพห้องเองก็น่ารังเกียจพอกันกับตัวเจ้าของห้อง ด้วยเหตุที่มันรกรุงรัง บนโต๊ะก็มีเอกสารกองสุม แถมยังมีถ้วยกาแฟที่ดื่มหมดแล้ววางรวมอยู่ด้วย
          ทีโมนก็ไม่คิดจะจัดโต๊ะของตัวเอง แม้ว่ามันจะรกเละเทะจนหาเอกสารแทบจะไม่เจอก็ตาม กว่าที่เขาจะหาอีเมลของบริษัทลูกค้าได้ก็ใช้เวลานานพอสมควรและตอนดึงเอกสารออกมาจากกองก็ทำกาแฟหกใส่กระดาษจนเปื้อนอีก
          “ขอโทษครับ นี่อีเมลของบริษัท”
          ญาดารับเอกสารที่มีรอยกาแฟมาด้วยสีหน้าแสดงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิดและก็ไม่คิดจะถือเอาไว้นาน เพราะหล่อนก็สั่งพิมพ์อีเมลฉบับนั้นออกมาเองด้วยเหมือนกัน เมื่อรับมาแล้วจึงวางกลับลงบนโต๊ะของเขาแทบจะในทันที
          ทีโมนอธิบายลักษณะงานให้ฟังซึ่งก็เป็นสิ่งที่หล่อนรู้จากการอ่านอีเมลมาแล้ว
          “บริษัทต้องการขายของให้หน่วยงานราชการ เราคงต้องจัดงานและเชิญหน่วยงานที่น่าจะสนใจระบบรักษาความปลอดภัยมาร่วมงาน คุณลองไปคิดดูนะครับว่าจะเชิญหน่วยงานไหนบ้าง แล้วมาบอกผม”
          เมื่อเขาพูดจบ หล่อนก็แสดงความคิดเห็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว
          “จัดงานให้ก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่สินค้าแบบนี้ขายยาก หน่วยงานเขาก็มียี่ห้อประจำกันอยู่แล้ว จะมีใครสนใจมารึเปล่าก็ไม่รู้”
          “แต่คุณก็รู้จักคนเยอะในวงการพวกทหาร ตำรวจนี่นา ขอให้เขามาร่วมงานหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงใช่ไหม”
          ทีโมนไม่ฟังหล่อนตามเคย แถมเขายังลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมมายืนพิงโต๊ะทำงานข้างเก้าอี้ที่หล่อนนั่งอยู่ด้วย หญิงสาวอยากจะขยับเก้าอี้หนี แต่มันไม่ใช่เก้าอี้แบบมีล้อเหมือนในห้องของหล่อน หญิงสาวจึงทำได้แค่ขยับตัวเบี่ยงหลบไปอีกด้านหนึ่งมากขึ้น
          “บริษัทอยากแสดงสินค้า เราก็จัดงานให้ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่จะขายได้หรือไม่ได้มันก็ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
          “ฉันจะลองโทรศัพท์ไปคุยดูก่อนก็แล้วกันค่ะ” ญาดาไม่รับปาก แต่รีบตัดบทและเตรียมจะลุกจากเก้าอี้ แต่มือของทีโมนเอื้อมไปจับที่พนักเก้าอี้ก่อนทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
          “ลูกค้าอยากจัดงานที่โรงแรม คุณเลือกที่เหมาะ ๆ มาสักสองสามที่นะ แล้วเราค่อยไปดูห้องด้วยกัน”
          สายตาของทีโมนที่มองหล่อนมันชัดเจนเสียจนญาดาไม่สามารถทนอยู่ในห้องของทีโมนได้อีกต่อไป หญิงสาวเดินแบบแทบจะเป็นวิ่งออกมา เข้ามานั่งตัวสั่นด้วยความรังเกียจแกมไม่พอใจอยู่ในห้องของตัวเอง
          เจอแบบนี้เข้าหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้ญาดาคิดจะเปลี่ยนงานเหมือนกัน แต่หล่อนก็ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบเพราะหล่อนอายุค่อนข้างเยอะแล้ว การหางานก็ทำได้ยากกว่าเด็กรุ่นน้องอยู่สักหน่อย และครั้นจะลาออกไปก่อนแล้วค่อยหางานทีหลัง หล่อนก็ไม่อยากเสี่ยงถึงขนาดนั้น
          เมื่อไม่ได้ไปฟิตเนสแล้ว ญาดาก็เลยทิ้งกระเป๋าใส่เสื้อผ้าไว้ที่ออฟฟิศเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หล่อนเดินออกจากออฟฟิศพร้อมกับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนอื่น ๆ หญิงสาวไม่ขับรถ หล่อนใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสจึงมักจะกลับพร้อมกับข้าวโอ๊ตและออกัสที่ไปทางเดียวกัน แต่วันนี้มีมิคกี้อีกคนที่จะลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่าง
          “อ้าว ไม่ลงชั้นสามเหรอ”
          หญิงสาวทักด้วยความแปลกใจ มิคกี้ตอบว่า
          “วันนี้มีคนมารับครับ”
          ออกัสได้โอกาสแซวว่ามิคกี้คงจะมีแฟนมารับ เจ้าตัวคนโดนแซวก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้ม และเมื่อลิฟท์มาถึงชั้น G ชายหนุ่มก็ร่ำลาพวกหล่อนและเดินไปทางลานจอดรถ
          ญาดาเดินออกจากอาคารมาพร้อมกับข้าวโอ๊ตและออกัส แต่ก็มาแยกกันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าเพราะขึ้นรถคนละสายกัน บ้านของหญิงสาวอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก นั่งรถไฟฟ้ามาสามสี่ป้ายก็ถึง ก่อนเข้าบ้าน หล่อนแวะซื้อเป็ดพะโล้ตามที่แม่สั่ง
บ้านของญาดาอยู่ริมแม่น้ำ เป็นบ้านเก่าที่อยู่กันมาตั้งแต่สมัยก๋งของหล่อน พื้นที่กว้างขวางเพราะมีโรงงานของครอบครัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ในตอนกลางวันบ้านหล่อนมีคนเข้าออกพลุกพล่าน แต่ตอนนี้มืดแล้ว เลยเวลาเลิกงานไปนานโข คนงานกลับบ้านกันหมด บริเวณบ้านจึงค่อนข้างเงียบ
          เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในบ้าน น้องชายคนที่สามของหล่อนที่นอนดูโทรทัศน์อยู่ก็ผงกศีรษะขึ้นมามอง แล้วตะโกนเข้าไปในครัว
          “หม่าม้า เจ๊หญ้ามาแล้ว”
          จากนั้นเขาก็ดูโทรทัศน์ต่อโดยที่ไม่สนใจหล่อนอีก ไม่แม้แต่จะทักทายด้วยซ้ำ ญาดาได้แต่กัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ แต่จะว่ากล่าวน้องชายก็ไม่ได้เพราะแม่จะดุหล่อนอีกต่อหนึ่งทันที
          “มาแล้วเหรอ” แม่ของหล่อนเดินออกมากวักมือเรียก “เข้ามาช่วยม้าในครัวหน่อย ซื้อเป็ดมาด้วยใช่ไหม ดี แกเอาใส่จานเลยนะ แล้วตั้งโต๊ะ น้อง ๆ หิวกันแล้ว รอแกคนเดียว กลับมาช้าจริง”
          ญาดาไม่โต้ตอบคำสั่งแกมบ่นของแม่ แต่จะว่าหล่อนชินชาก็ไม่ใช่ เพราะหญิงสาวยังรู้สึกแย่เสมอเมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้
ครอบครัวของหล่อนให้ความสำคัญกับลูกชายมากตามความเชื่อแบบสมัยเก่า ก๋งของหล่อนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยการตั้งโรงงานจึงต้องการลูกชายมาช่วยสืบทอดกิจการและทำงานของครอบครัว ป๊าของหล่อนก็มีความคิดเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อหล่อนเกิด ทุกคนจึงผิดหวังมาก ความตึงเครียดในครอบครัวหายไปเมื่อน้องชายคนโตของหล่อนเกิด แต่ก็ในอีกหกปีต่อมา ถึงตอนนั้นหญิงสาวโตจนรู้ความแล้วและซึมซับเอาความรู้สึกด้อยค่าที่ครอบครัวยัดเยียดให้เพียงเพราะว่าตัวเองเป็นผู้หญิงเข้าไปเต็มหัวใจ
          ญาดาเกลียดสภาพความเป็นชนชั้นสองในครอบครัว หล่อนจึงดิ้นรนออกมาทำงานที่อื่น ไม่ยอมทำงานในโรงงานของครอบครัวอยู่ใต้อาณัติของน้องชายทั้งสองคนที่เป็นใหญ่เหลือเกินในบ้าน การตัดสินใจแบบนี้ทำให้แม่ของหล่อนโกรธเคืองหล่อนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หล่อนก็ยังอดทน ไม่หนีไปทำงานไกลบ้านเหมือนที่น้องสาวคนเล็กทำ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็คือผู้ให้กำเนิด
          ระหว่างรับประทานอาหารเย็น แม่ก็บ่นว่าหล่อนอีกด้วยเรื่องเดิม ๆ คืออยากให้หล่อนลาออกแล้วมาทำงานที่บ้าน น้องชายสองคนก็สนับสนุนเพราะต้องการคนมาช่วยงานโดยไม่ต้องเสียเงินจ้างแถมยังจิกใช้ได้สารพัดโดยที่ไม่ต้องไว้หน้ามากมาย
          ญาดาทำหูทวนลมตลอดเวลาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่แรงกดดันทั้งจากแม่และน้องชายมันมากมายเหลือเกินจนหล่อนเกือบจะทนไม่ไหว ลุกขึ้นมากรีดร้องอาละวาดให้รู้แล้วรู้รอด
          ลำตัวใหญ่หนาที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นนุ่ม ๆ อย่างบ้าคลั่ง อุ้งเท้าหน้าทั้งสองขุดคุ้ยพื้นตรงหน้าจนกระจุยกระจาย ก่อนจะเอาหัวใหญ่ ๆ พุ่งเข้าชนผนัง
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 03-01-2016 12:14:57
อือหือ  รอวันระเบิด บึ้มมม... กลายเป็นโกโก้ครั้น น่ากลัวมาก ก
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 03-01-2016 14:39:00
ครบรึยังนะๆๆๆ ... อยากเห็นคนตายจะแย่แล้ว 55555 
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 7 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-01-2016 18:12:24
บทที่ 7
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ดีแต่ช็อปกับหาโอกาสหยุดงาน ไม่รู้บ้างรึไงว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนแค่ไหน หน้าที่ของตัวเอง แต่โยนมาให้คนอื่นทุกที
Like – Comment – Share

          ออกัสออกจากบ้านสายกว่าทุกวัน
          เมื่อคืนเขาทะเลาะกับแฟนหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วอย่างหนัก ต้นยังไม่พอใจเรื่องการไปเที่ยวเกาหลี ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องสิ้นเปลืองไม่เข้าท่า แต่ทนเขารบเร้าไม่ได้ทำให้ต้องยอมตกลง ออกัสก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วแต่ก็ต้องมาทะเลาะกันอีกด้วยเรื่องการช็อปปิ้งของเขา
          ออกัสเป็นพวก ‘shopaholic’ หรือเรียกกันว่าพวกบ้าซื้อของ เมื่อได้ซื้อของ ชายหนุ่มจะมีความสุข ยิ่งเมื่อมีข้ออ้างในการซื้อของอย่างเรื่องไปเที่ยวเกาหลี เขาก็ยิ่งซื้อหนักมือมากขึ้น แล้วเมื่อต้นรู้ว่าเขาซื้อเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ แม้แต่กระเป๋าเดินทางใหม่ทั้งหมดเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ต้นก็โมโหมากและเกิดเป็นปากเป็นเสียงกันขึ้น
          ต้นยื่นคำขาดให้เขาเลิกซื้อของ แต่ออกัสไม่ยอม เขาอ้างว่าเมื่อก่อนยังทำได้โดยที่ต้นไม่เคยว่าอะไร และถ้าต้นมีปัญหา เขาก็จะใช้เงินของเขาเอง ต้นยิ่งโมโหเพราะออกัสจี้ใจดำของเขา เมื่อก่อนเขามีบริษัทออกแบบเป็นของตัวเอง มีรายได้มากพอที่จะตอบสนองความต้องการของแฟนหนุ่มได้ แต่ตอนนี้บริษัทของเขาขาดทุนจนต้องปิดตัวไป ชายหนุ่มรับงานอิสระ รายได้ไม่มากเท่าเก่า ดูแลออกัสไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน และมันก็เป็นจุดอ่อนไหวของเขาที่ไม่ต้องการให้ใครมาแตะ
          ทั้งสองคนทะเลาะกันจนแทบไม่มองหน้ากัน ปกติตอนเช้าต้นต้องเป็นคนปลุกออกัสและทำอาหารเช้าให้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเพราะยังโกรธกันอยู่ ออกัสเลยตื่นสาย พลอยให้มาทำงานสายไปด้วย
          ชายหนุ่มเปิดประตูกระจกเข้ามาในออฟฟิศ เจอข้าวโอ๊ตเป็นคนแรก
          “สวัสดี กัส” เพื่อนร่วมงานที่อายุเท่ากันทัก ชายหนุ่มก็ยิ้มตอบ ก่อนถามว่า
          “ทีโมนมารึยัง”
          เมื่อได้รับคำตอบว่ายังไม่มา สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความโล่งอก แล้วเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟทันที
          กาแฟดำไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาลแบบที่กินอยู่ทุกวัน
          ชายหนุ่มไม่ชอบหน้ารองผู้อำนวยการคนนี้สักเท่าไร ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนหน้าตาดี แต่ชอบมาทำท่าก้อร่อก้อติกกับเขา ออกัสไม่อยากยุ่งกับคนในออฟฟิศเดียวกันจึงพยายามเลี่ยงอย่างเต็มที่ แต่ทีโมนก็ยังชอบมาวอแวกับเขาไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้ก็ด้วย เมื่อรองผู้อำนวยการเข้ามาในออฟฟิศและเอากระเป๋าเอกสารไปเก็บไว้ในห้องทำงาน เขาก็พุ่งตรงมาที่ออกัสทันที
          “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณกัส” ชายหนุ่มทักทายพร้อมกับยิ้มหวานให้
          “อรุณสวัสดิ์ครับ” ออกัสทักตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน ถึงเขาจะไม่ชอบท่าทีของทีโมนนัก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจออกมาอย่างชัดเจนเหมือนญาดาหรือข้าวโอ๊ต ยังคงพูดคุยยิ้มหัวได้ด้วยเหมือนคนชอบพอกัน ชายหนุ่มทำงานติดต่อกับผู้คน เรื่องมนุษยสัมพันธ์เขาไม่เป็นรองใครแน่นอน
          แต่ถ้าอีกฝ่ายชักจะล้ำเส้น เขาก็ต้องแสดงปฏิกิริยาบ้าง ชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวออกห่างเมื่อทีโมนโน้มตัวมาหา ทำท่าเหมือนจะจูบต้นคอของเขา
          “เอ คุณเปลี่ยนน้ำหอมใหม่รึเปล่า กลิ่นนี้ผมไม่คุ้นเลย”
          “ครับ เพิ่งซื้อมาใหม่” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “กลิ่นหอมจัง”
          ออกัสทำท่าไม่รู้ไม่ชี้กับตาวิบวับและน้ำเสียงออดอ้อนของทีโมน ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบว่า
          “เมื่อกี้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ถามหาคุณแน่ะครับ บอกว่าถ้ามาแล้วให้รีบไปหาที่ห้องด้วย”
          ความจริงเขายังไม่เจอผู้อำนวยการเลย แต่ข้ออ้างของเขาก็ได้ผลเพราะทำให้ทีโมนยอมถอยห่างออกไปได้ ชายหนุ่มเข้าไปในครัว ครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมถ้วยกาแฟในมือและกลับเข้าห้องทำงานไป
          ออกัสไม่สนใจทีโมนอีก ชายหนุ่มเปิดโปรแกรมเอาท์ลุคดูอีเมลก่อนอย่างอื่น แต่ระหว่างที่รอให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนมอบหมายงานด้วยการใส่สัญลักษณ์สีในอีเมล ชายหนุ่มก็เปิดดูเว็บไซต์ซื้อของออนไลน์ฆ่าเวลา
          ถึงแม้เขาจะทะเลาะกับต้นเพราะเรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มก็อดใจเรื่องช็อปปิ้งไม่ไหวจริง ๆ ออกัสกดดูสินค้าบนเว็บไซต์เพลินจนกระทั่งมีโทรศัพท์สายในจากด็อกเตอร์แฮร์มันน์
          “คุณกัส ผมจะเลื่อนวันเดินทางไปยูเออี คุณช่วยจัดการให้ผมด้วยนะ”
          “เลื่อนให้เร็วขึ้นเหรอครับ” ชายหนุ่มลังเล ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เดินทางบ่อย นี่ก็กำลังจะไปลาว ตามด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันหลังนี่ไปเที่ยว แต่แจ้งสำนักงานใหญ่ว่าจะไปสัมมนาเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเอง เรื่องจองตั๋วเครื่องบินเป็นหน้าที่ของออกัส
          “แต่ตั๋วที่ผมจองให้เป็นตั๋วโปรโมชั่น ถ้าเลื่อนวันเดินทาง อาจจะไม่ได้ราคาเดิมนะครับ”
          “คุณเช็คราคามา ผมจะแจ้งไปทางสำนักงานใหญ่ ขออนุมัติงบเพิ่ม”
          ออกัสทำตามที่ได้รับคำสั่ง เขาโทรเช็คราคากับทางเอเย่นต์เจ้าประจำ แต่ก็มีปัญหาเพิ่มเติมคือ ตั๋วต้องคอนเฟิร์มภายในวันพรุ่งนี้เพราะกำหนดวันเดินทางที่เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม และพนักงานที่รับผิดชอบจะไม่อยู่ทำเรื่องให้ เขาต้องโทรศัพท์ไปหาเอเย่นต์อีกเจ้าที่ทางนี้ติดต่องานด้วยเพื่อออกตั๋วให้เอง
          ชายหนุ่มโทรศัพท์คุยรายละเอียดอยู่นานจนแน่ใจ แล้วจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ต้องติดต่องานด้วยเตรียมเอาไว้ จากนั้นโทรศัพท์รายงานด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็เป็นอันเรียบร้อย เขาไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องงานที่ค่อนข้างยุ่งยากนี้เพราะพรุ่งนี้เขาลาหยุด ข้าวโอ๊ตต้องเป็นคนตามงานต่อ และถ้ามีอะไรผิดพลาด รายนั้นก็รับผิดชอบไป ไม่เกี่ยวกับเขา
          หลังทำงานของตัวเองจนเสร็จ ออกัสก็ดูสินค้าออนไลน์ต่ออย่างสบายใจ เสื้อผ้าข้าวของที่ซื้อเตรียมไว้ไปใส่ที่เกาหลีก็ยังไม่ค่อยได้ดั่งใจเลย และยิ่งเขาเปิดดูเว็บไซต์มากเท่าไร เขาก็ยิ่งเห็นของที่น่าซื้อน่าใช้เต็มไปหมด มันยิ่งกว่าของที่เขาซื้อก่อนหน้านี้มาก
          “จะซื้อเสื้อโค้ตเหรอ”
          ออกัสเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงทัก เห็นญาดาเกาะเคาน์เตอร์อยู่ตรงหน้า โต๊ะของเขาเหมือนสถานที่รวมกลุ่มของคนในออฟฟิศ เพื่อนร่วมงานที่เบื่อกับการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ชอบเดินออกมาจากห้อง แล้วมาเกาะเคาน์เตอร์คุยกับเขา
          “เมื่อวานก็สั่งไปแล้วตัวหนึ่งไม่ใช่รึไง”
          “ก็ใช่ครับ แต่ตัวนี้มันก็สวยเหมือนกัน ผมอยากได้ทั้งสองตัวเลย” ออกัสตอบพลางหันหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้ดู เสื้อโค้ตตัวที่เขาดูอยู่เป็นสีเทาอ่อน คัตติ้งเนี้ยบมาก เห็นปุ๊บก็ถูกใจ นึกเห็นภาพตัวเองใส่โค้ตตัวนี้เดินท่ามกลางลมหนาวอยู่ที่เกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว
          “สวยจริง ๆ ด้วย แต่ราคาก็สูงเหมือนกันนะเนี่ย”
          ญาดาพูดเรื่องที่เขากำลังกังวลอยู่พอดี โค้ตตัวนี้ราคาสูงมาก ต้นคงไม่มีวันซื้อให้เขาแน่นอน และถึงชายหนุ่มจะปากดีว่าเขาจะใช้เงินของตัวเองซื้อ แต่เดือนนี้เขาก็รูดบัตรไปเยอะมากชนิดเห็นบิลเรียกเก็บเงินคงจะขนหัวลุก
          “แพง แต่ผมว่าคุ้มนะ ไหน ๆ จะซื้อทั้งทีก็ต้องเลือกที่ดี ๆ หน่อย จริงไหมครับ” ออกัสปัดความกังวลทิ้ง ความอยากของเขามีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเขาอยากได้โค้ตตัวนี้ เขาก็จะซื้อ
          “ก็จริง แต่แหม ซื้อทีนี่จนเลยนะ เงินเดือนยิ่งขึ้นโคตรจะเยอะอยู่ด้วย”
          ชายหนุ่มยังมีอารมณ์ขันกับคำพูดแกมบ่นของญาดา ปีที่แล้วเงินเดือนของเขาขึ้นไม่ถึงหนึ่งพันบาท มันน้อยจนไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนงานเพราะออฟฟิศอื่นงานหนักกว่านี้มาก อยู่ที่นี่เขายังสามารถเปิดเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์หรือดูหนังดูซีรีส์ตามยูทูบได้ตอนที่ไม่มีงานโดยที่ไม่โดนบล็อก
          “ก็ถ้ายังเป็นนายคนนี้กับฝ่ายการเงินคนนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” ออกัสพูด และญาดาก็บ่นต่อ
          “คนแก่นี่ขี้งกทุกคนเลยรึเปล่าเนี่ย เงินเฟ้อไปถึงไหน ๆ แล้ว เงินเดือนไม่ปรับตามเลย”
          “ไม่ใช่คนแก่ขี้งกอย่างเดียวพี่ แต่ยายเจ๊เจ้ากี้เจ้าการต่างหากตัวดี นางตัดงบทุกอย่างเพื่อหวังประหยัดเงิน แล้วส่งงบที่เหลือกลับสำนักงานใหญ่ นางจะได้หน้าถ้าประหยัดงบได้เยอะ”
          ยังไม่รวมเรื่องที่เจ้าหน้าเจ้าตาซิกแซกเรื่องค่าเดินทางให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วย แม่คนนั้นทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ แต่จะกระทบใครบ้าง หล่อนไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
          “นางได้หน้า แต่พวกเราลำบากกันหมด นายก็ไม่ฟังอะไรเล้ย”
          “ก็เขาไม่เดือดร้อนไปกับเราด้วยไง ข้าวของแพงยังไงก็ไม่กระทบ พี่ดูสิ ข้าวเที่ยงเขากินอะไร บางวันกินแค่สับปะรดชิ้นเดียว ห้าบาท เขาก็เลยยังหลงคิดว่าข้าวของในเมืองไทยมันถูกอยู่ไง ทั้งที่เดี๋ยวนี้ข้าวมื้อหนึ่งก็เกือบร้อยเข้าไปแล้ว”
          ออกัสตอบสนองคำบ่นด้วยความเอือมระอาของญาดา ก่อนที่ฝ่ายหลังจะสรุปอย่างปลง ๆ ว่า
          “เฮ้อ งั้นเรื่องเงินเดือนขึ้นก็อย่าหวัง จนกว่าจะเปลี่ยนนายกับฝ่ายการเงินใหม่”
          ญาดากลับห้องไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมาจดจ่อกับการซื้อของออนไลน์อีกครั้ง เสื้อโค้ตตัวที่เขาเล็งเอาไว้ไปอยู่ในตะกร้าเรียบร้อยแล้วและชายหนุ่มก็เหมือนจะติดลม เขากดเลือกหมวกกับผ้าพันคอที่เข้ากับเสื้อโค้ตตัวนี้เพิ่มอีกสองชิ้น ก่อนจะกดจ่ายเงิน
          ยอดเงินที่เรียกเก็บสูงเกินกว่าที่เขาคิด ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ตกใจ แต่กว่าที่ธนาคารจะเรียกเก็บเงินก็สิ้นเดือนโน่นแหละ และเขาก็มีทางออกเอาไว้อยู่แล้ว
          ใกล้เที่ยง พัดชาถือกระดาษเมนูอาหารมาถามเรื่องอาหารกลางวัน แม่บ้านประจำออฟฟิศชอบคุยกับเขามากกว่าคนอื่น ๆ คงเพราะอยู่ใกล้ ๆ กัน ปกติพัดชาอยู่ในครัว ทำงานกระจุกกระจิกของหล่อนไป และเมื่อว่างก็จะมานั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เขาที่เคาน์เตอร์ ถ้าเขาว่างด้วย หล่อนก็จะชวนเขาคุย
          ตอนที่กำลังเลือกอาหารอยู่ พัดชาก็คุยกับเขาเรื่องข้าวโอ๊ต ชายหนุ่มเห็นเพื่อนร่วมงานวิ่งวุ่นอยู่เหมือนกัน แล้วก็นึกสงสารขึ้นมา พรุ่งนี้รายนั้นต้องมาทำงานแทนเขาด้วย เท่ากับรับสองหน้าที่ ข้าวโอ๊ตคงยุ่งยิ่งกว่าวันนี้แน่
          “พรุ่งนี้พี่จะเตือนให้คุณโอ๊ตไหว้เจ้าที่ นั่งตรงนี้ทีไร งานเข้าตลอดเลย”
          ออกัสหัวเราะเมื่อได้ยินแม่บ้านตัวกลมพูด ทุกคนชอบแซวข้าวโอ๊ตว่าดวงชงกับเก้าอี้ของออกัส เพราะเมื่อข้าวโอ๊ตต้องนั่งทำงานแทนออกัส รายนั้นจะเจอแต่เรื่องยุ่งยากลำบากเสมอ ทั้งจากงานตามหน้าที่ที่เข้ามา และจากคาริน่าที่มักจะมีปัญหาจุกจิกสารพัดให้ต้องช่วยจัดการ
          “บอกให้เอาของดำเก้าอย่างมาไหว้ราหูเลยนะพี่พัด หรือไม่ก็หายันต์มาติด กระจกแปดเหลี่ยม สิงห์คาบดาบ อะไรก็ได้ที่แก้อาถรรพณ์ รายนั้น” ออกัสบุ้ยใบ้เข้าไปด้านในของออฟฟิศ “ของเขาแรง ไหว้เจ้าที่ธรรมดาเอาไม่อยู่แน่”
          พัดชาหัวเราะคิกคัก หล่อนจดชื่ออาหารที่ออกัสต้องการสั่งเรียบร้อย แล้วลุกเดินไปห้องอื่นต่อ
          ออกัสรับประทานอาหารกลางวันในครัวกับข้าวโอ๊ต ญาดา และมิคกี้ เมื่อก่อนเขาก็เคยรับประทานอาหารกับฝรั่งในห้องรับประทานอาหาร แต่ก็ต้องล่าถอยเข้ามาในครัวด้วยเหตุผลเดียวกับคนอื่น ๆ คือ ไม่ชอบเรื่องที่ฝรั่งคุยกัน
          ถ้าอยู่กับเพื่อนร่วมงานคนไทยด้วยกัน เรื่องที่คุยก็จะหลากหลายและสนุกสนาน ชายหนุ่มถามข้าวโอ๊ต
เรื่องแผนไปเที่ยวในวันปีใหม่
          “ปีใหม่มีแพลนเที่ยวรึยัง ของเราจะไปเกาหลีกับแฟนล่ะ จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว จะช็อปให้สนั่นเลย”
          ข้าวโอ๊ตปฏิเสธ
          “ไม่ได้ไปไหนหรอก คงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนทุกปีนั่นแหละ ปีใหม่บ้านเรารวมญาติ ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องกลับไปให้เขาเห็นหน้าเห็นตาบ้าง”
         “นายล่ะมิคกี้” ออกัสหันมาถามเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องบ้าง
         “ไปญี่ปุ่นครับ” มิคกี้ตอบยิ้ม ๆ “จริง ๆ พ่อกับแม่อยากไปมัลดีฟ แต่ผมไปมาหลายครั้งแล้ว มันสวยก็จริงแต่ไม่ค่อยมีอะไร ผมว่าญี่ปุ่นน่าเที่ยวกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปญี่ปุ่นแทน แช่ออนเซ็นชมวิวภูเขาไฟฟูจิ”
         “ญี่ปุ่นเหรอ ดีจังนะ อยากไปมั่งจัง” ข้าวโอ๊ตรำพึง
          ออกัสก็อยากไป เมื่อก่อนเขาไปเที่ยวญี่ปุ่นหลายครั้ง ไปทุกครั้งก็ติดใจทุกครั้ง แต่ค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูง ถ้าบอกต้น เขาก็คงไม่ยอม ขนาดเกาหลีที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ต้นยังไม่อยากจะไปเลย นึก ๆ แล้วก็น่าหงุดหงิด ต้นเปลี่ยนไปเยอะหลังจากเปลี่ยนมาทำงานอิสระ ไม่ตามใจเขา ชอบบังคับให้เขาทำโน่นทำนี่ ตอนนี้ก็ควบคุมการใช้จ่ายของเขา อีกหน่อยคงยึดเงินเดือนเขาไปด้วยแน่
          ชายหนุ่มมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องของตัวเองจนไม่ได้สนใจเรื่องที่มิคกี้ถามญาดาเรื่องน้องสาวของหล่อนจนกระทั่งเปลี่ยนมาคุยเรื่องความรักกันนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงสนใจขึ้นมาบ้าง
          ญาดาแนะนำให้ข้าวโอ๊ตที่ยังไม่มีแฟนไปเข้าฟิตเนสเผื่อจะได้เจอผู้ชายกับเขาบ้าง แต่ข้าวโอ๊ตยกมือไม่ทันเขา ออกัสแกล้งแสดงท่าทีกระเหี้ยนกระหือรือสุดชีวิต บอกว่า
          “จริงเหรอพี่ ผมสน เดี๋ยวไปสมัครวันนี้เลย”
          “พูดแบบนี้เดี๋ยวเราจะฟ้องพี่ต้น บอกว่าแฟนกำลังคิดจะมีกิ๊ก”
          ข้าวโอ๊ตกระเซ้าเขา
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ”
          วงสนทนาในครัวชะงักไปทันทีเมื่อนัตโตะโผล่เข้ามาในครัวพร้อมถามคำถามนี้ ออกัสเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนี้มากนัก ชายหนุ่มไม่ถนัดเรื่องดราม่าเรียกน้ำตา เวลาทำงานเขาปะฉะดะกับคนที่ต้องติดต่องานด้วยแบบตรงไปตรงมา ด่าก็คือด่า ไม่มีการทำท่าเหมือนคนโดนรังแกให้น่าสงสารก่อนจะฉวยโอกาสลงมีดคนอื่นมิดด้ามอย่างที่นัตโตะถนัด
          แต่ถึงแม้จะเหมือนโดนแบนอยู่กลาย ๆ นัตโตะก็ยังสรรหาเรื่องต่าง ๆ มาดึงความสนใจจากคนอื่นได้อยู่ดี อย่างวันนี้ หมอนั่นยกเอาเรื่องนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาพูด ทุกคนก็เลยสนใจไถ่ถาม เขาเองก็สนใจ และเมื่อทราบว่าเป็นผู้ชาย เขาก็ภาวนาให้เป็นเด็กดี นิสัยดี ทำงานดี ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่กระโดดกระต่ายในออฟฟิศเหมือนที่เคยมีมาแล้ว และถ้ายิ่งหน้าตาดีด้วยก็จะดีมาก เขาจะยุให้ข้าวโอ๊ตจีบเล่น หมอนั่นมันจะได้ไม่ทำหน้าซังกะตายมากนัก
          ถัดจากนัตโตะ คาริน่ากับทีโมนก็เดินเข้ามาในครัวเพื่อเอาจานอาหารมาเก็บ คราวนี้วงสนทนาไม่แค่ชะงัก แต่กระเจิงกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากห้องครัว กลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม ฝรั่งในออฟฟิศนี่เหมือนแมลงสาบ เวลาบินได้ด้วยนะ บินเข้ามากลางวงทีนี่ทำเอาคนแตกฮือไม่เป็นขบวน
         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 7 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-01-2016 18:13:36
          งานช่วงบ่ายของเขาไม่มีอะไรมาก จะมีก็แต่รับโทรศัพท์ที่มีมาตลอดวัน งานที่ค้างอยู่ก็เรื่องออกตั๋วเครื่องบินเรื่องเดียวเท่านั้น แต่เมื่อสักครู่เขาเห็นอีเมลน่าสงสัย น่าจะเป็นงานเดียวกับที่ทีโมนเรียกญาดาให้เข้าไปหาในตอนบ่าย ชายหนุ่มไม่รู้ภาษาเยอรมันเช่นเดียวกัน เขาใช้เว็บไซต์แปลภาษาเหมือนคนอื่นพอให้รู้รายละเอียดคร่าว ๆ ทราบว่าอาจจะต้องจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ให้บริษัทของลูกค้า ชายหนุ่มรับหน้าที่เป็นออแกไนเซอร์ประจำออฟฟิศ ประสานงานเรื่องจัดงานต่าง ๆ เขาจึงใช้เวลาในตอนที่ว่าง คลิกดูห้องจัดงานของโรงแรมต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ สลับกับเปิดเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์เหมือนเดิม
          ออกัสนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าออฟฟิศ เขาจะมองเห็นทั้งทางเดินด้านในออฟฟิศและด้านหน้า ทำให้เขาไม่พลาดที่จะเห็นนัตโตะทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าห้องของมิคกี้ตอนก่อนเที่ยง และตอนนี้ก็เห็นเขาคุยอะไรกับคาริน่า จากนั้นหล่อนก็เดินเข้าไปในห้องของข้าวโอ๊ต ครู่เดียวก็เดินออกมาพร้อมเจ้าของห้อง
          “งานเข้าอีกแล้ว โอ๊ตเอ๊ย” ชายหนุ่มส่ายหน้า แต่ถึงจะสงสารเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี งานใครก็งานมัน งานของข้าวโอ๊ตไม่เกี่ยวกับเขา
          ข้าวโอ๊ตเดินตรงมาที่ครัวด้วยท่าทางหงุดหงิด ออกัสจึงทักลอย ๆ ว่า
          “งานเข้าทั้งวันเลยนะวันนี้”
          เพื่อนร่วมงานของเขาพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดขีด
          “เราไม่อยากเพิ่มงานให้นายเลย แต่พรุ่งนี้ที่เราหยุด มันมีงานด่วนเข้ามาต้องทำให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ ยังไงต้องขอฝากนายทำต่อล่ะนะ”
          ไหน ๆ ก็เรียกแล้ว ออกัสเลยถือโอกาสบอกเรื่องงานเสียเลย ข้าวโอ๊ตฟังแล้วก็ทำหน้าละห้อยละเหี่ย แต่ด้วยหน้าที่ทำให้ไม่มีทางเลือก
          “งานอะไร” ข้าวโอ๊ตถาม
          “ออกตั๋วเครื่องบินให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เขาเลื่อนวันเดินทาง โปรโมชั่นที่เคยคุยกับเอเย่นต์ไว้มันหมดอายุ ราคาเปลี่ยน นายต้องถามด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่าราคามันโอเคไหม เขาจะบอกพรุ่งนี้เพราะต้องรออนุมัติเงินจากสำนักงานใหญ่ก่อน แล้วพรุ่งนี้นายโทรไปออกตั๋วกับเอเย่นต์ แต่เป็นเจ้าใหม่นะ เราจดเบอร์ไว้ให้แล้ว ตั๋วต้องออกภายในพรุ่งนี้ ไม่งั้นไม่ทัน”
          อธิบายจบ ออกัสก็ส่งกระดาษจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ให้เพื่อน
          หลังจากโยนงานให้เพื่อนไปแล้วและญาดายังไม่เรียกไปคุยเรื่องการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์อย่างที่คิดเอาไว้ ชายหนุ่มก็เปิดอ่านเฟซบุ๊กฆ่าเวลา หน้าเพจของต้นไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ข้อความหรือโทรศัพท์จากต้นก็ยังไม่มีเข้ามาเลยสักสาย ชายหนุ่มน่าจะยังโกรธเขาอยู่
          ออกัสตัดสินใจส่งข้อความไปขอโทษและง้อแฟนหนุ่ม ถึงจะเบื่อและคับอกคับใจกับการบังคับควบคุมของต้น แต่เขาก็รักต้นมากอยู่ดี ถึงจะรักน้อยกว่าตัวเองและการช็อปปิ้งก็เถอะ
          ยังไม่มีข้อความตอบกลับมาจากต้น แต่เขาได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่รับสั่งซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลี รายนั้นถามว่าสนใจจะสั่งกระเป๋ารุ่นใหม่หรือไม่ รูปที่แนบมานั้นสวยจนชายหนุ่มตาโตทีเดียว ราคาก็น่าสนใจ ออกัสเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเทียบราคาอย่างรวดเร็ว หลายเว็บไซต์มีขายกระเป๋ารุ่นใหม่นี้เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอยู่นิดหน่อย ข้อเสนอของเพื่อนคนนี้จึงดูดีที่สุด รู้ตัวอีกที เขาก็สั่งซื้อไปเสียแล้ว
          ทำไงดีล่ะ ยอดเงินตอนนี้มันสูงขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว
          ขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงทัก
          “งานยุ่งเหรอครับคุณกัส ทำหน้ายุ่งเชียว”
          ทีโมนยืนอยู่ใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แถมยังยื่นมือเข้ามาทำท่าเหมือนจะคลึงรอยย่นระหว่างคิ้วของเขาจนเขาต้องถอยหนีและเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พ้นสายตา
          “ไม่ยุ่งครับ งานของผมเสร็จแล้ววันนี้” ออกัสตอบก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “พรุ่งนี้ผมหยุดนะครับ ถ้าคุณมีงานอะไรก็ให้ข้าวโอ๊ตเขาช่วยไปก่อนนะ”
          “หยุดไปเที่ยวกับแฟนรึเปล่า” ทีโมนแกล้งถาม
          “ทำธุระครับ” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “เย็นนี้ว่างไหม ไปดื่มค็อกเทลกันสักแก้วก่อนกลับบ้านไหมครับ ผมเลี้ยงเอง”
          “ไม่ดีกว่าครับ ผมต้องรีบกลับ แฟนรออยู่”
          ชายหนุ่มปฏิเสธคำชวนของรองผู้อำนวยการอย่างไม่ไยดี แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยังคงทิ้งท้ายแถมใช้นิ้วชี้เคาะไปที่หลังมือของเขาด้วย
          “ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากไปดื่มหลังเลิกงานเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกัน”
          เมื่อทีโมนไปแล้ว ออกัสรีบหยิบทิชชู่เปียกออกมาเช็ดมือทันที หวังจะลบรอยที่ทีโมนทิ้งเอาไว้ เช็ดไปเช็ดมาก็ชะงัก เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ทีโมนทำมันเล็กน้อยมาก เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำในวันพรุ่งนี้
          ออกัสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เปิดเฟซบุ๊กขึ้นมาเช็ค แต่ก็ยังไม่มีข้อความจากต้นเลย
          เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ออกัสเดินออกมาจากออฟฟิศพร้อมกับญาดาและข้าวโอ๊ตเพราะไปทางเดียวกัน ชายหนุ่มใช้บริการรถไฟฟ้า ก่อนจะต่อด้วยรถสองแถวเข้าหมู่บ้าน เมื่อก่อนเขาเคยมีรถใช้เหมือนกัน แต่หลังจากบริษัทของต้นปิดไป รถก็ถูกขายตามไปด้วย เหลือแต่ทาวน์โฮมขนาดสามชั้นที่ชายหนุ่มยังกัดฟันผ่อนธนาคารอยู่
          “กลับมาแล้ว” ออกัสส่งเสียงบอกเมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
          “พี่ต้น กัสกลับมาแล้ว”
          ชายหนุ่มส่งเสียงอีกเมื่อเห็นว่าในบ้านเงียบเชียบ
          ออกัสชักกังวลที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ ปกติต้นอยู่บ้านตลอดเวลา ไม่เคยไปไหน แต่ทำไมวันนี้กลับไม่อยู่
          หรือเขายังโกรธอยู่
          ชายหนุ่มคิดอะไรเพลินจนไม่ทันรู้ตัวเมื่อมีใครบางคนเข้ามาสวมกอดเขาจากด้านหลัง
          “พี่ต้น!”
          ออกัสอุทานด้วยความตกใจเมื่อหันไปเจอหน้าแฟนหนุ่ม
          “กัสขอโทษ เรื่องเมื่อคืน”
          ถึงแม้ไม่คิดว่าตัวเองผิด แต่เขาก็ไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเขากับต้นตึงเครียดไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงเป็นคนที่พูดคำว่าขอโทษออกมาก่อน และมันก็ทำให้ต้นใจอ่อนลงด้วย
          “พี่ก็ต้องขอโทษที่หงุดหงิดใส่กัส” คนรักของเขาพูด
          ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่จะควงแขนกันเข้าห้องนอนเพื่อไปปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง
          โทรศัพท์ของออกัสสั่นเมื่อมีข้อความเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาเปิดข้อความออกอ่าน
          ‘เรื่องเป็นเอสคอร์ทให้คุณแอนเดอร์สันว่ายังไง คอนเฟิร์มภายในคืนนี้นะ’
          ออกัสเหลือบมองคนรักของเขาที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง
          สายตาของเขามีแววเสียใจ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว
          ‘ตกลง ผมจะทำ พรุ่งนี้เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม’
          ออกัสกดส่งข้อความ ก่อนจะลบทุกอย่างทิ้งจนหมด
          ลิ้นสีแดงสดแลบออกมาจากปาก มันไล้เลียไปทั่วบริเวณอย่างช้า ๆ เมื่อพบจุดที่ถูกใจ ปากที่เต็มไปด้วยฟันซี่ใหญ่ก็กัดหมับเข้าไปตรงนั้น และกัดกินอย่างตระกรุมตระกราม
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2016 19:12:46
ตีแผ่สังคมอ๊อฟฟิตจริงๆ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 7 (3-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 03-01-2016 22:02:25
ไม่รู้จักคำว่าเอสคอร์ท  :ling1:
ดีที่อากู๋ช่วยไว้
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 8 (4-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 04-01-2016 08:07:13
บทที่ 8
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
วันนี้จะน่าเบื่อเหมือนวันก่อน ๆ ไหมนะ เมื่อไหร่ชีวิตจะมีอะไรน่าตื่นเต้นเสียที จะได้รู้สึกว่าอยากมีชีวิตอยู่หน่อย
Like – Comment – Share

          “คุณโอ๊ต มีฝรั่งมาค่ะ”
          พัดชาโผล่หน้าเข้ามาบอกข้าวโอ๊ตในห้อง
          เมื่อมีแขกที่เป็นคนต่างชาติมาที่ออฟฟิศในตอนเช้าและออกัสยังไม่มาทำงาน แม่บ้านประจำออฟฟิศก็จะวิ่งมาบอกเขาแทน
          ข้าวโอ๊ตลุกออกจากห้องโดยไม่อิดเอื้อน ไม่ทำหน้าเซ็งเมื่อต้องทำงานแทนคนอื่น ชายหนุ่มกำลังอารมณ์ดีเพราะเมื่อสักครู่นี้คาริน่าโทรศัพท์มาลาป่วย เท่ากับว่าวันนี้เขาจะได้พักหูหนึ่งวัน ไม่ต้องผจญกับเสียงตะโกนของยายเจ๊ประจำออฟฟิศ
          แขกที่มาตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างานยืนหันหลังอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์รีเซปชั่น เป็นผู้ชายรูปร่างสูงน่าจะเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร กำลังสนใจอ่านประกาศที่ติดอยู่บนกระดานข่าวที่ผนัง
          “Guten Morgen. Was kann ich für Sie tun?“
          เมื่อได้ยินเสียงทักทายอย่างสุภาพของข้าวโอ๊ต เด็กหนุ่มคนนั้นก็หันมาและส่งยิ้มให้
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าหัวใจของเขากระตุกเพราะรอยยิ้มนั้น
          “สวัสดีครับ ผมชื่อคาร์ล โฟลลันด์ เป็นนักศึกษาที่จะมาฝึกงานที่นี่ครับ”
          เด็กหนุ่มแนะนำตัว พร้อมกับยื่นมือให้ ข้าวโอ๊ตยื่นมือไปจับด้วย แต่ท่าทางเงอะงะเล็กน้อย เพราะคิดไม่ถึงว่านักศึกษาฝึกงานที่ทุกคนกำลังรออยู่จะหน้าตาดีขนาดนี้
          คาร์ลเป็นเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบต้น ๆ ใบหน้าของเขาค่อนข้างยาว หน้าเข้มคล้ายพวกสเปน ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ผิวค่อนข้างคล้ำซึ่งดูแล้วน่าจะเพราะออกกำลังกายหรือไม่ก็เป็นคนที่ชอบอยู่กลางแจ้ง เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานคนใหม่นี้ท่าทางจะเป็นคนที่อารมณ์ดีมากด้วยเพราะเขายิ้มอีกแล้ว ยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่เมื่อเห็นข้าวโอ๊ตจ้องเขาตาโต
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกตัวจากรอยยิ้มครั้งหลังนี้เอง เขารีบดึงมือกลับทันที
          “อ้อ ครับ งั้นเชิญทางนี้เลย” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเดินนำเขามาที่ห้องทำงานเล็ก ๆ ซึ่งเป็นห้องแรกทางด้านขวามือ อยู่เยื้อง ๆ กับห้องทำงานของทีโมน
          ข้าวโอ๊ตเปิดไฟในห้อง แล้วหันมาบอกว่า
          “นี่ห้องทำงานของคุณ คุณนั่งรอในห้องนี้ไปก่อนนะครับ ทีโมน รองผู้อำนวยการคนที่จะต้องสอนงานคุณยังไม่มาทำงานเลย”
          คาร์ลพยักหน้ารับพร้อมกับมองสำรวจไปทั่วห้องทำงานที่เป็นห้องทึบ ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ช่องกระจกที่มองลอดออกไปเห็นเคาน์เตอร์รีเซปชั่นด้านหน้าและห้องครัวด้านหลัง
          “ห้องครัวอยู่ตรงนั้น ถ้าคุณอยากจะดื่มน้ำหรือกาแฟก็เชิญนะครับ ตามสบาย”
          “ขอบคุณมากครับ” คาร์ลยิ้มให้เขาอีก แล้วถามต่อว่า
          “คุณชื่ออะไรครับ”
          ข้าวโอ๊ตเดินเหมือนเท้าไม่ติดพื้นกลับห้องทำงานของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีกันนะที่เขารู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรงกว่าที่เคย ออฟฟิศที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีเข้ามาทำงานนี่มันให้บรรยากาศที่แตกต่างจริง ๆ นั่นแหละ
          และไม่เฉพาะแต่เขาที่ตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีจะทำให้คนอื่น ๆ ในออฟฟิศตื่นเต้นเช่นกัน ออกัสถึงกับโทรศัพท์เรียกข้าวโอ๊ตให้ออกมาหาที่โต๊ะเพื่อที่จะคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะทีเดียว
          “หล่อว่ะ อยากรู้ว่าใครเลือกมา ฉันจะได้ไปกราบขอบพระคุณ”
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วหัวเราะชอบใจ สนองตอบทันทีว่า
          “เนอะ หน้าตาดีเชียว กระดูกอ่อนกรุบกรอบ แลดูน่ากิน”
          “กินเลย น้องเขาอยู่สองเดือนแค่นั้น ต้องรีบนะ เดี๋ยวไม่ทัน” ออกัสได้ทีรีบยุ แต่ข้าวโอ๊ตกลับส่ายหน้า
          “ไม่ดีกว่า กลัวเด็กตกใจ ให้น้องเขาได้ไปเจอสิ่งดี ๆ ในชีวิตเถอะ”
          “ก็เป็นเสียแบบนี้ ไม่ยอมจีบใครสักที แล้วจะมีแฟนได้ยังไงล่ะ” ออกัสพูดด้วยความขัดอกขัดใจ
          “ถึงจีบไปก็ไม่มีประโยชน์นี่ น้องเขาคงไม่เอาแฟนที่มีออปชั่นพ่อพ่วงมาด้วยอย่างเราหรอก”
          “ก็ไม่ต้องจริงจังก็ได้ คุยเล่นสนุก ๆ แก้เหงาไง ดีจะตาย นายเองก็พูดภาษาเยอรมันได้ พูดจาภาษาเดียวกันน่าจะสนิทกันได้เร็วนะ”
          “รู้สึกจะเชียร์ออกนอกหน้าเหลือเกินนะ”
          “ก็อยากให้เพื่อนหายเหงา” ออกัสรีบพูดทันที ก่อนจะกระแซะถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่า
          “ตกลงจีบใช่ไหม”
          ข้าวโอ๊ตได้แต่ยิ้ม ไม่ยอมปฏิเสธหรือว่าตอบรับให้เข้าตัว
          ระหว่างนั้น ญาดาเดินออกจากห้องของตัวเองมาสมทบด้วยอีกคน หล่อนเห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องทั้งสองคนอยู่กันพร้อมหน้าจึงได้โอกาสพูดเรื่องงานที่บริษัทกำลังจะจัด ออกัสให้รายชื่อโรงแรมที่เหมาะสำหรับการจัดงานแก่หล่อนมาแล้วและเมื่อหล่อนส่งต่อให้ทีโมน รองผู้อำนวยการก็มีประกาศิตให้หล่อนไปดูสถานที่กับเขาทันที หญิงสาวไม่อยากไปกับชายหนุ่มสองต่อสองจึงมาชวนข้าวโอ๊ตและออกัสให้ไปด้วยกัน
          ออกัสไม่มีปัญหา แต่ข้าวโอ๊ตยังเป็นกังวล
          “คาริน่าจะยอมเหรอ รายนั้นยิ่งไม่ชอบให้ใครออกไปข้างนอกออฟฟิศโดยไม่จำเป็นอยู่ด้วย ถ้าพรุ่งนี้เราหายไปกันหมด ไม่มีใครอยู่รับโทรศัพท์ แม่ปรี๊ดแตกแน่นอน”
          สำหรับบริษัทอื่น ชายหนุ่มไม่รู้ แต่ออฟฟิศของเขาประหลาด พนักงานในออฟฟิศไม่ได้รับอนุญาตให้ไปติดต่องานที่ไหนโดยไม่จำเป็น คาริน่าจะเดือดร้อนเอามาก ๆ หากไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศและไม่มีใครอยู่คอยรับโทรศัพท์ จะมีก็แต่ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการเท่านั้นที่ไปไหน ๆ ได้ตามชอบใจ ออกัสเคยออกปากด้วยความหงุดหงิดว่า คาริน่านึกว่างานทุกอย่างสามารถทำผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์ได้หรืออย่างไรถึงไม่ให้พนักงานออกไปเห็นแสงเดือนแสงตะวันบ้าง แต่ข้าวโอ๊ตรู้ดีว่าเพราะหญิงสาวรายนั้นกลัวว่าจะต้องเสียค่าเดินทางให้พนักงานมากกว่า เพราะตามกฎของบริษัท พนักงานสามารถเบิกค่าเดินทางหรือค่าน้ำมันรถได้ หากออกไปทำงานให้บริษัท
          “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พี่จัดการเอง” ญาดาให้คำรับรอง ในฐานะที่หญิงสาวเป็นพนักงานอาวุโส คาริน่าจึงยังพอจะเกรงใจหล่อนอยู่บ้าง แม้กระทั่งในเวลาที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไปพักร้อนหนึ่งเดือนและคาริน่าแผ่อำนาจคับออฟฟิศอยู่อย่างตอนนี้ก็ตาม ถ้าหล่อนยืนยันจะเอาข้าวโอ๊ตกับออกัสไปด้วยให้ได้ในวันพรุ่งนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร หรือถ้าจะมี หล่อนก็จะชนให้ดู
          “พรุ่งนี้ก็ให้มิคกี้มานั่งแทนออกัส เราไปแค่ครึ่งเช้าเท่านั้น กลับมาไม่เกินบ่ายโมง ไม่น่าจะมีอะไร” หญิงสาวกะการณ์
          “พอดูโรงแรมครบทั้งสามที่ เราก็ปล่อยทีโมนกลับมาก่อน ส่วนพวกเราก็ไปกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารอิตาเลียนที่โรงแรมริมน้ำ ดีไหมครับ เซลส์โรงแรมเขาให้บัตรลดมา ผมดูรีวิวแล้ว น่าสนใจมากเลย” ออกัสเสนอ
          “ฟังดูดีเหมือนกันนะ” ข้าวโอ๊ตเองก็สนใจ ชายหนุ่มเบื่ออาหารจากร้านตามสั่งจะแย่อยู่แล้ว หลัง ๆ นี่เขาเอาปิ่นโตมาเองก็พอจะช่วยให้หายเบื่อไปได้ แต่ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งมากนัก บางทีเขาก็รู้สึกว่าการทำอาหารแล้วกินคนเดียวมันเสียเวลาเกินไป
          “ถ้าพรุ่งนี้กำจัดทีโมนไปได้ เราก็ไปกินกัน” ญาดาไม่มีอะไรขัดข้อง
          วงสนทนาชะงักไปนิดเมื่อคาร์ลเดินออกมาจากห้องทำงานของเขา เด็กฝึกงานคนใหม่ของบริษัทเห็นเพื่อนร่วมงานยืนเกาะกลุ่มคุยกันอยู่ก็ยิ้มให้อย่างสดใสก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว ข้าวโอ๊ตมองตามโดยอัตโนมัติและก็ไม่รอดสายตาของออกัส ชายหนุ่มสะกิดญาดาทันที ฝ่ายหลังก็เอ่ยลอย ๆ ว่า
          “เด็กคนนี้หน้าตาดีนะ นิสัยก็น่าจะดีด้วย ตอนโดนใช้งานก็ไม่ชักสีหน้า ยิ้มตลอดเลย”
          “ขนาดพี่หญ้ายังชม แสดงว่าของจริง อย่างนี้นายช้าไม่ได้แล้วนะ เราเห็น คนอื่นก็ต้องเห็นเหมือนกัน เดี๋ยวก็มีคนมาคว้าไปหรอก” ออกัสได้ทีรีบยุส่งมาอีกครั้ง แต่ข้าวโอ๊ตก็ยังแค่ยิ้มเฉย เพราะญาดารวมกลุ่มอยู่ด้วย ชายหนุ่มสงวนท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวรุ่นพี่ เขาเรียนรู้มาหลายครั้งแล้วว่า ถึงแม้ญาดาจะมีทีท่าเข้าข้างน้อง ๆ ในออฟฟิศ แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ หญิงสาวก็ไม่เคยปกป้องใครได้เลย
          “ใครจะคว้าไปล่ะ” ข้าวโอ๊ตแกล้งถาม “นายเหรอ”
          “ก็ถ้านายไม่สน มันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ” ออกัสพูดหน้าตาเฉยเช่นกัน
          หนุ่มน้อยที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาเดินออกมาจากครัวพร้อมถ้วยกาแฟในมืออย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเมื่อทุกคนหันมามองเขา เด็กหนุ่มก็ยิ้มให้อีกครั้ง
          “ชอบดื่มกาแฟเหรอคาร์ล” ออกัสถาม ถ้าเขาจำไม่ผิด กาแฟถ้วยนี้เป็นถ้วยที่สามของวันแล้ว
          “ใช่แล้วครับ” เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้ารับ และด้วยความเป็นคนช่างคุยอยู่เป็นทุน คาร์ลจึงหยุดยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยทันที
          “เมื่อวานผมได้ลองดื่มกาแฟเย็นรถเข็นด้วยนะ ตกใจมากเลยตอนที่เห็นคนขายใส่นมข้นหวานลงไปด้วย ผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน แต่พอลองดูมันก็อร่อยดีนะครับ ถึงจะหวานไปสักหน่อยก็เถอะ”
          “ถ้าชอบกาแฟอย่างนี้ก็เหมาะเลย คุณโอ๊ตรู้จักร้านกาแฟเยอะแยะ ให้พาไปชิมสิ”
          ข้าวโอ๊ตหันขวับไปมองหน้าออกัสทันที ฝ่ายหลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าเตะมาก ในขณะที่คาร์ลหันมามองเขาอย่างคาดหวัง
          “จริงเหรอครับ อย่างนี้ผมคงต้องขอรบกวนสักหน่อยแล้วล่ะ”
          คล้อยหลังนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ ออกัสก็ขยิบตาให้ข้าวโอ๊ต
          “ได้โอกาสแล้วนะ”
          “เล่นอะไรของนายเนี่ย ตกใจหมด แล้วเราไปรู้จักร้านกาแฟเยอะแยะตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ว่าเกิดมาก็ไม่เคยชอบดื่มกาแฟสักที”
          ถึงเสียงจะดุ แต่ในใจของข้าวโอ๊ตกลับรู้สึกดีใจอยู่นิด ๆ ออกัสก็พอจะเดาออกเพราะคนอย่างเพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้ไม่ใช่คนอ่านยากอะไรเลย ชายหนุ่มจึงถือโอกาสกระทุ้งอีกสักนิด
           “ของอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลงกันด้าย” เขาแกล้งลากเสียงยาวล้อเลียนเพื่อน “ตกลงไปเย็นนี้เลยไหมจะได้ไม่เสียเวลา ปกตินายก็ไม่มีนัดตอนเย็นอยู่แล้วนี่”
          “นัดน่ะไม่มีก็จริง แต่ร้านกาแฟดี ๆ นี่ไม่เคยมีอยู่ในเซลสมองสักร้าน ต้องขอหาข้อมูลก่อน นายก็ดันไปอ้างอะไรบ้า ๆ”
          “เดี๋ยวเราช่วยหาอีกแรง เอาที่บรรยากาศดี ๆ เลยเนอะ กาแฟจะได้ยิ่งอร่อยขึ้น” ออกัสยังแซวไม่ยอมหยุด ส่วนญาดาที่ฟังอยู่เงียบ ๆ มาตั้งแต่ต้นเห็นว่าเรื่องที่คุยกันชักจะไปไกลขึ้นทุกทีจึงดึงกลับมาที่เรื่องเดิมด้วยการย้ำกับชายหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนว่า
          “ตกลงพรุ่งนี้เราจะไปกันทั้งสามคนนะ ให้มิคกี้นั่งแทนออกัสครึ่งวัน เดี๋ยวพี่จะเป็นคนบอกมิคกี้เอง อ้อ เรื่องที่เราจะไปกันทั้งหมด อย่าเพิ่งบอกใคร ห้ามบอกทีโมนด้วย เดี๋ยวมันโยกโย้ ตกลงตามนี้นะ”
          ทั้งสองคนไม่มีอะไรขัดข้องและทีโมนก็ไม่รู้เรื่องจนกระทั่งถึงเวลาที่จะไปดูสถานที่กันในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มไม่พอใจเลยเมื่อรู้ว่าข้าวโอ๊ตและออกัสจะไปด้วย มีคนไปกันหลายคนขนาดนี้เขาจะหยอดจีบใครก็ทำไม่ได้ถนัดและไม่ต้องพูดถึงแผนที่เขาวางไว้ว่าจะตะล่อมญาดาขึ้นไปดูห้องสวีทของโรงแรมเลย พังหมดตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่ม
          ญาดาแอบอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของทีโมน สายตาของหล่อนมองเลยไปที่เสื้อเชิ้ตลายตารางที่มีรอยยับย่นและเนกไทลายทางที่สุดแสนจะไม่มีรสนิยมของชายหนุ่ม มุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสะใจก็เปลี่ยนเป็นความสมเพช คนบางคนนี่ก็มั่นใจไร้สติจริง ๆ
          “เราไปกันเลยดีกว่านะ ข้าวโอ๊ตกับออกัสนั่งข้างหลังกับทีโมน พี่ขอนั่งข้างหน้ากับพี่รุง”
          หญิงสาวพูดจบก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับทันทีโดยที่ไม่รอให้ใครมีโอกาสได้ทัดทาน

         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 8 (4-1-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 04-01-2016 08:08:26
           ผลของการไปสำรวจสถานที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอีกครั้งในตอนพักกลางวันวันถัดมาเมื่อทุกคนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ในครัว ความจริงก็ถกกันแล้วตั้งแต่เมื่อวานหลังกลับมาถึงออฟฟิศในตอนเกือบบ่ายโมง แต่เวลาพักเหลือน้อยและคาริน่าก็ยังเดินมาเมียงมองเมื่อเห็นพนักงานคนไทยแทบจะทุกคนจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่โต๊ะของออกัส วงสนทนาจึงแตกกระจายและเพิ่งมีโอกาสมาคุยกันใหม่ในวันนี้เอง
          “ผมไม่เห็นด้วยเลยที่จะเลือกโรงแรมอินเตอร์” ออกัสเป็นคนเริ่มต้น น้ำเสียงบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์
          “โรงแรมริมน้ำกับโรงแรมการ์เดนส์วิวดูดีกว่าเยอะมาก ยิ่งริมน้ำนะ ห้องสัมมนาก็สวย เมนูอาหารกับขนมคอฟฟี่เบรกก็ดูดีมาก”
          “เราก็ชอบริมน้ำนะ เมนูอาหารปรับเปลี่ยนได้ แถมมีแซลมอนรมควันให้ด้วย มันเลิศตรงนี้แหละ งานก่อน ๆ ต้องทนกินแต่อาหารเยอรมันตามสั่ง ไส้กรอก กูลาช มันฝรั่ง คเนอเดล หนักท้องทั้งนั้น ไม่มีทางเลือกด้วย น่าเบื่อจะแย่ ถ้าเลือกที่นี่ยังขอให้เขาจัดเมนูแซลมอน สแกลลอป หรือหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์แทรกเข้าไปให้ได้ แต่หัวละตั้งพันแปด แพงกว่าอีกสองโรงแรม ให้ตายเขาก็ไม่เลือก” ข้าวโอ๊ตพูดด้วยความเสียดาย แต่ในน้ำเสียงก็มีแววปลงตก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้
          “อินเตอร์กับการ์เดนส์วิวหัวละเท่าไหร่ครับ” มิคกี้ถาม
          “พอ ๆ กัน อินเตอร์แพงกว่านิดนึง พันห้า ส่วนการ์เดนส์วิวพันสี่” ข้าวโอ๊ตหันมาตอบ
          “งั้นทำไมไม่เลือกการ์เดนส์วิวล่ะครับ ถูกกว่าอีกนี่” มิคกี้สงสัย
          “ผู้จัดการโรงแรมอินเตอร์เป็นคนเยอรมัน” ออกัสไขข้อสงสัย และมิคกี้ก็มีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาในทันที ออฟฟิศนี้เน้นประหยัดเป็นอันดับแรกก็จริง แต่ชาตินิยมก็ต้องมาคู่กัน เห็นได้ชัดจากเรื่องจัดงานต่าง ๆ นี่แหละ ออฟฟิศต้องเลือกโรงแรมที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเยอรมนีก่อน แม้ว่าจะบริการแย่หรือมีข้อตำหนิก็จะถูกมองข้ามไปจนหมด
          “แล้วพนันได้เลยว่านายเราต้องอาศัยความเป็นคนชาติเดียวกันนี่แหละไปบีบให้เขาลดราคาให้ อาจจะให้ได้ที่หัวละพันสามด้วยซ้ำ เห็นทีโมนพูด ๆ อยู่ แต่ถึงได้ลดราคาจริง ไอ้โรงแรมนี้น่ะขออะไรเพิ่มก็คิดราคาหมดเลยนะ ช่อดอกไม้ติดหน้าอกแขกวีไอพีหรือแจกันดอกไม้เล็ก ๆ ที่จะวางบนโต๊ะลงทะเบียน คิดเพิ่มหมดถ้าจะให้โรงแรมจัดให้ แถมเซลส์โรงแรมยังเป็นคุณป้าแก่ ๆ พูดจาไม่ดีอีก บอกตรง ๆ ว่าไม่อยากทำงานด้วยเลย”
          “เราก็ไม่ชอบคุณป้าเซลส์คนนั้นเหมือนกัน ท่าทางไม่แคร์ลูกค้าเลย ถ้าต้องทำงานด้วยกันสงสัยจะลำบากแน่ แค่เราถามรายละเอียดมากหน่อยก็ทำหน้าเหมือนคนท้องผูกแล้ว”
          ข้าวโอ๊ตเห็นด้วยกับออกัสเต็มที่ ชายหนุ่มมีหน้าที่เป็นตัวสำรองของออกัส ถ้ารายนั้นหยุดงาน เขาต้องทำงานแทน และแค่นึกว่าจะต้องประสานงานกับเซลส์ลักษณะอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีความสามารถในการ “เหวี่ยง” และ “จิก” เท่ากับออกัสแล้ว ชายหนุ่มก็เห็นแต่ทางแย่
         “พี่ก็ไม่ชอบที่นี่ ห้องสัมมนาเล็กและไม่สวยเลย พรมก็ดูเก่า ๆ ลายสีน้ำตาลกับสีทอง ม่านบนเวทีสีม่วงบานเย็นเข้ม ๆ มันดูไม่เข้ากันเลย ถ้าเราเอาป้ายสโลแกนสีแดงของบริษัทไปตั้งบนเวที แล้วไหนจะต้องมีธงเยอรมันสีดำแดงทองติดที่เวทีอีก พี่ว่ามันคงยิ่งดูไม่จืดแน่”
          ทุกคนคิดตามคำพูดของญาดาแล้วมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงไปตาม ๆ กัน สุดท้ายออกัสก็โอดครวญว่า
          “พี่หญ้า เราเปลี่ยนที่ไม่ได้เหรอ เอาที่โรงแรมริมน้ำดีกว่า เงินที่จ่ายก็เงินบริษัทลูกค้า ไม่ใช่เงินเราสักหน่อย ไม่รู้จะงกไปไหน แทนที่จะจัดให้มันดี ๆ สักหน่อย”
          “พี่ว่ายาก ดูทีโมนจะติดใจโรงแรมอินเตอร์มาก แถมถ้าเราชาร์จลูกค้าได้ราคาถูก มันก็เป็นผลดีกับบริษัท นายกับคาริน่าก็คงเลือกที่นี่แหละ ไม่สนใจหรอกว่าเซลส์โรงแรมจะแย่หรือการตกแต่งห้องสัมมนาจะเห่ยขนาดไหน”
          “ทีโมนดูไม่ออกจริง ๆ เหรอว่าห้องมันจัดได้ไม่เข้าท่าแค่ไหน” ข้าวโอ๊ตถามอย่างไม่เข้าใจจริง ๆ
          “เธอก็ดูมันแต่งตัวสิโอ๊ต คนที่รสนิยมแย่มันก็มักมองอะไรเห่ย ๆ ว่าดีนั่นแหละ” ญาดาตอบทันควัน คำพูดแสบสันต์ของหล่อนทำเอาออกัสแทบสำลักข้าวที่กำลังจะกลืนลงคอ มิคกี้ทำหน้าประหลาด ส่วนข้าวโอ๊ตขำพรืดออกมาทันที แล้วตอบรับว่า
          “จริงด้วยพี่ วันนี้ใส่เนกไทลายทาง เสื้อเชิ้ตลายตาราง โคตรเห่ยเลย แถมเสื้องี้ยับยู่ยี่อย่างกับไม่ได้รีด โชคดีนะยังมีเสื้อสูทใส่ทับ ไม่งั้นคงดูแย่กว่านี้เยอะเลย”
          “วันนี้ยังดีนะ วันก่อนใส่เสื้อสีส้มแปร๋นมาเลย เนกไทลายเปรอะ ๆ เห็นแล้วขัดลูกตาชะมัด แต่หมอนั่นมันคงคิดว่าหล่อมาก คือจริง ๆ เขาเป็นคนหน้าตาดีมากเลยนะ แต่คนหล่อก็ไม่ใช่จะแต่งตัวได้ทุกแนวเสียเมื่อไหร่ ใช่ไหม ไอ้เสื้อสีสด ๆ แบบนั้นน่ะมันไม่ไหวจริง ๆ นะ” ออกัสพูดบ้าง
          “โดนคุณคาริน่าเตือนไปแล้วค่ะ เรื่องเสื้อ”
          ถึงตอนนี้ พัดชารีบกระโจนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยอย่างกระตือรือร้นหลังจากที่ตอนแรกได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ เพราะไม่รู้เรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้
          “พักหลัง ๆ นี่ไม่ค่อยได้ใส่เสื้อสีสด ๆ แล้วค่ะ เห็นใส่แต่เสื้อสีอ่อน ว่าแต่คุณทีโมนนี่แกเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยเลยนะคะ พี่เคยถามเรื่องเสื้อยับ แกบอกว่าแม่บ้านไม่รีดให้ แกก็เลยใส่มาทั้งที่ยับ ๆ อย่างนั้นแหละค่ะ”
           เมื่อได้พูด แม่บ้านประจำออฟฟิศที่เคยอึดอัดพอดูกับพฤติกรรมบางอย่างของรองผู้อำนวยการก็เลยถือโอกาสระบายความในใจออกมา
          “ยังเรื่องถ้วยกาแฟเรื่องจานชามอีก พี่เข้าไปทำความสะอาดห้องแกทีไรเห็นวางกองสุม ไอ้เราทนไม่ไหวก็ต้องเก็บออกมา แล้วนี่ค่ะ เรื่องนี้ด้วย พี่บอกไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แกไม่เคยเชื่อเลย”
          พัดชาเดินไปเปิดตู้เย็น แล้วชี้ให้ดูกล่องนมสดพาสเจอร์ไรซ์สองกล่องที่มีหลอดปักอยู่ทั้งสองกล่อง นมกล่องพวกนี้เป็นของส่วนกลางของออฟฟิศเอาไว้ใส่กาแฟเท่านั้น พัดชาจะไปซื้อมาทีละหลาย ๆ โหล แกะพลาสติกออกแล้ววางซ้อนกันไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว ใครที่ต้องการนมใส่กาแฟก็หยิบกล่องนมสดมาจากกอง ใช้กรรไกรที่มักจะวางอยู่บนกองกล่องนมตัดหูกล่องออก นมที่เหลือก็เก็บใส่ตู้เย็นไว้ให้คนอื่นต่อได้อีก
          “ปกติเราก็ใช้กรรไกรตัดใช่ไหมคะ แต่แกไม่ยอมใช้ เอาหลอดปักเลย แล้วก็พยายามจะเททั้งที่มีหลอดปักอยู่ใส่ลงไปในถ้วยกาแฟ นมมันก็หกสิคะ พี่ก็ต้องมาคอยเช็ดให้ พอบอกให้ใช้กรรไกร แกก็ไม่ยอม แถมยังประชดพี่ จะเอามือบิดหูกล่องให้ขาดให้ได้ ดูสิคะ ดื้ออะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้”
          “โห เสียดายความหล่อเป็นบ้าเลย” ออกัสฟังแล้วก็โคลงศีรษะ
          “นิสัยไม่ดี เอาหลอดปักอย่างนี้ใครจะมากินต่อก็ไม่สะดวกใจแล้ว” พูดแกมบ่นจบ ญาดาก็สั่งพัดชาและทุกคนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า
          “พี่ห้ามเลยนะ นมกล่องพวกนี้ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องไปยุ่ง ใครอยากได้นมใส่กาแฟก็เปิดกล่องใหม่เลย แล้วถ้าคาริน่าหรือใครมาถามก็ให้บอกว่าเป็นของที่ทีโมนกินเหลือไว้ พวกเราไม่กินต่อ”
          ไม่มีใครขัดแย้งญาดา ข้าวโอ๊ตฟังเงียบ ๆ โดยที่ไม่ออกความเห็นอะไร เช่นเดียวกับมิคกี้ ญาดากับออกัสยังคุยเรื่องโรงแรมและการจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะพากันเงียบเมื่อพวกฝรั่งพ่วงด้วยนัตโตะทยอยกันเอาจานอาหารเข้ามาเก็บในครัว
          ข้าวโอ๊ตหลบออกไปอยู่ข้างนอกเพราะในครัวตอนนี้กำลังแออัดมาก ชายหนุ่มเห็นคาร์ลเดินออกมา หนุ่มน้อยนักศึกษาฝึกงานยิ้มให้เขาเหมือนเคยเมื่อเดินผ่านเขากลับเข้าไปในห้องทำงาน ข้าวโอ๊ตชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาคาร์ลในห้อง
          “ที่เคยคุยกันเรื่องร้านกาแฟน่ะ เย็นนี้ว่างรึเปล่า สนใจจะไปดื่มกาแฟกันสักถ้วยหลังเลิกงานไหมครับ”
          ชวนแล้วก็แทบจะกลั้นใจรอฟังคำตอบ แต่คาร์ลก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะเขาตกลงในทันที
          “สนใจสิครับ ผมอยากจะไปหาอะไรดื่มหลังเลิกงานอยู่พอดีเลย ร้านอยู่ที่ไหนครับ”
          “เอาไว้คุยกันต่อตอนเลิกงานก็แล้วกันนะ”
          ข้าวโอ๊ตรีบตัดบทเพราะจากหางตา เขาเห็นคนค่อย ๆ ทยอยกันออกมาจากครัว ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย
          จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกลังเลอยู่ว่ามันจะดีหรือเปล่านะกับการที่เขาจะสนิทสนมกับคาร์ลตามที่ออกัสยุ แต่ว่าอาการตื่นเต้นแค่เพราะอีกฝ่ายรับปากว่าจะไปดื่มกาแฟด้วยมันทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาเกือบสิบปีแล้ว
          บางที... การได้คุยกับเด็กหนุ่มคนนี้มันอาจจะดีจริง ๆ ก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 8 (4-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 04-01-2016 12:54:19
กินเด็กเป็นอมตะ
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 9 (5-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-01-2016 06:54:36
บทที่ 9
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เรื่องของคนอื่นนี่ช่างสอดรู้กันดีนัก ขนาดระวังแล้วเชียวนะ ยังมิวายมีคนมารู้อีก ถ้าไม่บอกว่าเป็นคนนี่นึกว่าเป็นสับปะรด เห็นมีตาอยู่ทั่วตัว
Like – Comment – Share

          เรื่องโรงแรมที่จัดงานสรุปออกมาเหมือนกับที่ทุกคนกลัว ทีโมนเลือกโรงแรมอินเตอร์ด้วยเหตุผลตามที่คาดเดากันไว้นั่นคือเพราะมีผู้จัดการเป็นคนเยอรมันและทางโรงแรมยอมลดราคาค่าบริการให้ตามที่บริษัทต่อรองไป ชายหนุ่มมีคาริน่าเป็นตัวหนุนและเขาอ้างว่าโทรศัพท์ไปปรึกษาด็อกเตอร์แฮร์มันน์แล้วด้วย เสียงคัดค้านสามเสียงของญาดา ออกัสและข้าวโอ๊ตจึงไร้ผลโดยสิ้นเชิง
          “รับกรรมไปอีกงาน” ออกัสกระซิบบอกข้าวโอ๊ตขณะที่กำลังเขียนอีเมลถึงโรงแรมเรื่องการทำใบเสนอราคาและสัญญาจ้างงาน
          ข้าวโอ๊ตผิดหวังอยู่เหมือนกันที่จะต้องอดกินแซลมอนรมควันกับสแกลลอปหรือหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีค้างมาจากเมื่อวานที่ได้ไปดื่มกาแฟกับคาร์ล
          หนุ่มน้อยรุ่นน้องเป็นคนที่ร่าเริงและคุยเก่งมาก เขาออกปากชมร้านกาแฟที่ข้าวโอ๊ตเลือกซึ่งเป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก แต่ต้องเข้าออกซอยนั้นซอยนี้มากหน่อย เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตกแต่งเอาใจคนรักหนังสือด้วยการบิวด์อินชั้นหนังสือติดเต็มผนังด้านหนึ่ง บนชั้นวางหนังสือที่หน้าปกสวยงามเอาไว้จนเต็ม นอกจากจะเอาไว้ให้ลูกค้าของร้านอ่านแล้ว หนังสือสวย ๆ พวกนี้ยังทำหน้าที่เป็นของตกแต่งร้านได้ด้วย
          ‘คุณโอ๊ตชอบอ่านหนังสือเหรอครับ’ คาร์ลถามหลังจากมองไปรอบ ๆ ร้าน
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ
          ‘ชอบมาก งานอดิเรกก็อ่านหนังสือนี่แหละครับ ผมเรียนจบมาทางสายภาษาน่ะ’
          ‘ผมเรียนกฏหมาย ต้องอ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือเป็นพิเศษนะ ชอบเล่นกีฬามากกว่า พวกกีฬากลางแจ้งทั้งหลายแหล่น่ะ ผมชอบสกีมากที่สุด’
          ‘มิน่าล่ะ ตัวคุณถึงคล้ำ เพราะอย่างนี้นี่เอง’
          ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ อย่างหนึ่งต้องขอบคุณคาร์ลที่มักเป็นคนคอยเปิดประเด็นการสนทนา ส่วนข้าวโอ๊ตไม่ใช่คนคุยเก่งมากมาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้ามีคนนำ ชายหนุ่มก็สามารถพูดได้เรื่อย ๆ เช่นกัน
          ข้าวโอ๊ตเริ่มรู้สึกว่าเขายังอยากจะคุยกับคาร์ลอีกอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แต่เพื่อกันข้อครหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้เขาจึงต้องหาข้ออ้างเล็กน้อยด้วยการขอร้องให้คาร์ลช่วยงานแปลนิยายของเขา
          ‘ผมทำงานแปลเป็นงานพิเศษ แปลนิยายภาษาเยอรมันส่งสำนักพิมพ์น่ะ แต่บางครั้งก็มีติดขัดบ้าง ยิ่งพวกศัพท์แสลงหรือภาษาวัยรุ่นยิ่งยาก ถ้ามีเจ้าของภาษามาช่วยอธิบายได้ล่ะก็จะวิเศษมากเลย’
          คาร์ลยินดีช่วยเหลือชายหนุ่มอย่างเต็มที่และนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้
          ใกล้เวลาพักกลางวัน มิคกี้เข้ามาหาข้าวโอ๊ตในห้องพร้อมกับคำขอร้องให้ช่วยแปลอีเมลซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีทำให้ แต่การแปลอีเมลก็ต้องใช้เวลาเหมือนเดิมเพราะคำศัพท์ทางด้านอุตสาหกรรมที่เขาไม่คุ้นชิน มิคกี้ไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องรอเพราะเขาใช้โอกาสนี้ถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย
          “เมื่อวานที่ไปกินกาแฟกับคาร์ล เป็นยังไงบ้างครับ กาแฟอร่อยไหม”
          ข้าวโอ๊ตชะงักมือที่กำลังจะคลิกเมาส์ค้นหาคำศัพท์ที่ต้องการ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หันมามองหน้าคนถามในทันที
          “รู้ได้ยังไง”
          “บังเอิญเห็นเข้าพอดีน่ะครับ แต่แหม พี่โอ๊ตนี่ใจร้ายจัง ใจคอจะแอบไปกับคาร์ลสองคนเองเหรอ ไม่ชวนกันบ้างเลย”
          ชายหนุ่มไม่ชอบน้ำเสียงกับคำพูดของมิคกี้แบบนี้เลย มันฟังดูเหมือนกับกำลังเยาะและมีนัยบอกว่า ผมรู้ความลับของคุณนะ ข้าวโอ๊ตรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก มิคกี้พูดชวนให้คิดว่าเขากำลังลักลอบทำอะไรที่ผิดมาก ๆ ประมาณเดียวกับการเป็นชู้นั่นเลย
          “พี่พาคาร์ลไปเลี้ยงกาแฟเพราะเขารับปากจะช่วยงานแปลของพี่เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก ส่วนกาแฟก็อร่อยดี ถ้านายสนใจ ไว้วันหลังเราค่อยไปกันสักวันก็ได้”
          “จะเอาผมไปเป็นก้างขวางคอ มันจะดีเหรอ”
          ข้าวโอ๊ตนับหนึ่งถึงสิบในใจ ก่อนจะตอบด้วยความอดทนว่า
          “อย่าพูดอะไรแบบนั้นดีกว่า ก้างขวางคออะไร เหลวไหล”
          “ก็พี่กัสบอกว่าพี่โอ๊ตจะจีบคาร์ลนี่นา ไม่ใช่เหรอครับ ผมสนับสนุนสุดตัวเลยนะ คาร์ลดูเป็นเด็กดีน่ารัก หน้าตาก็หล่อด้วย”
          “ออกัสมันก็ชอบพูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ จะไปเอาอะไรจริงจังล่ะ ไม่มีใครจีบใครทั้งนั้น”
          “เอ๋ คำพูดของพี่กัสก็ยังเชื่อไม่ได้หรือเนี่ย”
          คำอุทานของมิคกี้มันฟังดูแหม่ง ๆ จนข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ทันจะได้ตอบอะไรกลับ ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงหัวเราะของออกัสดังเข้ามาในห้อง ครู่ต่อมาก็เป็นเสียงพูดอะไรที่จับใจความไม่ได้ของทีโมน แต่คงเป็นเรื่องที่สนุกสนานไม่น้อยเพราะมีเสียงหัวเราะของออกัสดังประสานขึ้นมาแทบจะในทันที
          มิคกี้มองหน้าเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่
          “นั่นก็เชื่อไม่ได้ด้วยรึเปล่านะ เมื่อวันก่อนยังไม่พอใจกันอยู่เลย วันนี้กลับมาหัวเราะด้วยกันเสียแล้ว”
          นัตโตะโผล่หน้าเข้ามาในห้องในจังหวะนั้น ดูเหมือนว่าเสียงหัวเราะจะดังไปจนถึงห้องของเขาเช่นกัน แล้วชายหนุ่มก็อดรนทนอยู่ในห้องไม่ได้
          “สองคนนั้นเขาสนิทสนมกันจังเลยนะ ทีโมนกลับมาชมไม่ขาดปากว่าคุณกัสแนะนำอะไรดี ๆ ให้เยอะแยะตอนที่ไปดูโรงแรมด้วยกัน พี่โอ๊ตไปกับสองคนนั้นเห็นอะไรผิดหูผิดตารึเปล่าครับ”
          สีหน้าของนัตโตะตอนที่พูดแสดงทั้งความไม่พอใจทั้งความสนใจใคร่รู้ ข้าวโอ๊ตต้องรีบตัดบทเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
          “เขาก็คุยกันปกตินั่นแหละ ออกัสคุยกับคนง่ายอยู่แล้ว อย่าสร้างประเด็นขึ้นมาเลยน่ะ”
           จากนั้นเขาก็หันกลับไปคุยเรื่องงานกับมิคกี้แทน โดยที่ไม่สนใจนัตโตะที่ยืนอยู่หน้าห้องของเขาอีก
          “ลูกค้าอยากได้รายชื่อโรงงานที่ผลิตไนลอนน่ะ เน้นที่ไนลอน 6 อยากได้พวกที่ผลิตเส้นใยไนลอนด้วย เอาไว้ใช้สำหรับการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ”
          “แล้วไอ้ย่อหน้าที่ยาว ๆ นั่นล่ะครับ” มิคกี้ชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่หันไปมองคนที่สามในห้องเช่นกัน
          “เขาอธิบายสินค้าของเขาน่ะว่าผลิตอะไร ใช้ไนลอนแบบไหน สารประกอบเป็นอะไร อธิบายมาละเอียดมาก พี่ว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดขนาดนั้น แต่เพื่อความแน่ใจก็ลองให้ทีโมนหรือคาร์ลช่วยอ่านด้วยอีกแรงก็แล้วกัน คำศัพท์เฉพาะแบบนี้พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
          นัตโตะเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาเลยก็สะบัดหน้าออกจากห้องไป มิคกี้ตามออกไปอีกคนหลังจากที่ได้คำแปลอีเมลที่ต้องการแล้ว เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ในห้องของเขา ข้าวโอ๊ตจึงค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย แต่ก็เกิดความกังวลขึ้นมาแทนเมื่อเรื่องที่เขาให้ความสนิทสนมกับคาร์ลเริ่มถูกจับตามองพร้อม ๆ กับความไม่สบอารมณ์เรื่องออกัส
          หมอนั่นพูดเอาเองว่าเขาจะจีบเด็กฝึกงาน แล้วก็เที่ยวเอาไปเล่าต่อจนป่านนี้รู้กันทั้งออฟฟิศแล้วกระมัง ออกัสอาจจะคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่นสนุก แต่มันสร้างความรำคาญใจให้เขา แล้วไหนจะเรื่องทีโมนอีก ปากบอกว่าไม่ชอบ แต่ก็ยังหัวร่อต่อกระซิกกันได้หน้าตาเฉย ข้าวโอ๊ตรู้สึกหงุดหงิดเพราะตัวเองไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ กับคนที่เกลียด ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ฝืนใจยิ้มให้ไม่ลง

         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 9 (5-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-01-2016 06:56:06
          เมื่อเรื่องส่วนตัวก็เป็นกังวล แถมเรื่องงานก็เริ่มจะน่ารำคาญขึ้นมาอีก วันสองวันนี้ข้าวโอ๊ตก็เลยรู้สึกขวางหูขวางตาทุกอย่างในออฟฟิศอย่างบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่อารมณ์ไม่คงที่ คนอื่นในออฟฟิศก็ดูจะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ กันทั้งนั้น และเวลาที่จะบ่นได้ก็คือเวลาพักกลางวันในห้องครัวเหมือนเช่นเคย
          “พี่หญ้าครับ ทำไมเราต้องทำเคสงี่เง่าอย่างหาบริษัทขุดบ่อน้ำให้ลูกค้าด้วยล่ะ” มิคกี้ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องเล็กน้อย “ลูกค้าจะสร้างบ้าน อยากขุดบ่อ แต่ให้หาที่เป็นบริษัท ไม่เอาพวกช่างรับเหมา ผมจะไปหาที่ไหนให้ได้ มันไม่ใช่งานสาขาที่ผมรับผิดชอบด้วย ผมไม่อยากทำ”
          “ทีโมนว่ายังไงล่ะ” ญาดาถาม
          “เขาให้ผมทำ” มิคกี้ตอบหน้าบึ้ง
          “งั้นก็ต้องทำ ลองหาพวกบริษัทก่อสร้างดูก็แล้วกัน”
          “งี่เง่ามาก แล้วไม่ยอมถามบริษัทที่รับสร้างบ้านให้ตัวเองด้วยนะครับ แต่กลับมาใช้เราหา แถมยังเรื่องมากไม่ยอมใช้ผู้รับเหมาอีก ลูกค้าแบบนี้นี่โคตรน่ารำคาญเลย”
          “เขาทำสัญญากับเราเป็นรายปี เขาก็หาทางใช้เราจนคุ้มนั่นแหละ เคสบ้าบอเล็กน้อยแค่ไหนก็ส่งมาให้เราหมด แล้วฝรั่งทางนี้ก็บ้าจี้รับทำหมดทุกเรื่อง ไม่มีการปฏิเสธ ความยุ่งยากมันถึงตกมาอยู่ที่เราไงล่ะ”
          “ผมไม่อยากทำเลย” มิคกี้ยังโอดครวญด้วยความเซ็ง
          ญาดาชักเริ่มรำคาญขึ้นมาเมื่อเห็นรุ่นน้องทำท่างอแงเป็นเด็ก หล่อนจึงเอ็ดว่า
          “อย่าบ่นนักเลยน่ะมิคกี้ เคสแบบนี้เจอกันทุกคนนั่นแหละ ข้าวโอ๊ต เล่าไปซิ เคสล่าสุดที่เพิ่งทำเสร็จไปน่ะ”
          ข้าวโอ๊ตไม่นึกว่าเรื่องจะมาถึงตัวเขา แต่เมื่อสายตาของทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว มิคกี้ก็มองมาหน้าคว่ำเพราะไม่ชอบใจที่ถูกดุ เขาก็เลยวางช้อนที่กำลังจะตักข้าวลง ก่อนจะเล่าว่า
          “ลูกค้าให้ช่วยหาอีเมลของแผนกบุคคลสายการบินของพม่า ลูกชายเขาจะไปสมัครเป็นนักบิน แต่หาอีเมลไม่เจอในเว็บไซต์สายการบิน ทีโมนให้โทรไปถามที่สายการบิน”
          “เคสป่วยพอกันเลยใช่ไหม ลูกชายจะไปเป็นนักบิน แต่แค่อีเมลบริษัทที่จะไปสมัครงานก็ยังหาเองไม่ได้ ยังงี้เวลาขับเครื่องบินแล้วเจอปัญหาจะแก้ได้รึเปล่าก็ไม่รู้ โชคร้ายขึ้นมามีหวังทำผู้โดยสารตายยกลำ”
          มิคกี้เงียบไปเหมือนยอมจำนนต่อคำพูดของญาดา ข้าวโอ๊ตเจ้าของเคสได้แต่ยักไหล่ ไม่ออกความเห็นอะไร ส่วนออกัสที่นั่งเงียบมาตลอดในตอนแรกก็ทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายขึ้นมาเหมือนกันในตอนนี้
           “ที่บ่น ๆ กันมาน่ะไม่มีใครแย่เท่าเราแล้ว”
          ชายหนุ่มพูดขึ้นมา
          “เมื่อเช้ายายเจ๊มาล้งเล้งเราใหญ่เลยเรื่องค่ารถมอเตอร์ไซคล์ เมื่อวานทีโมนมันมีนัดตอนเย็น แต่มันลืมเลยต้องนั่งมอเตอร์ไซคล์รับจ้างไป ค่ารถเป็นร้อยเลย คาริน่าร้องกรี๊ดใหญ่ตอนมันมาเบิกเงินค่าเดินทาง แล้วก็มาด่าเราต่อ หาว่าเราไม่เตือนทีโมนเรื่องนัดหมาย อะไรก็ไม่รู้ เรื่องนัดหมายนี่แต่ก่อนของใครของมัน ดูแลกันเอง ใส่นัดลงไปในปฏิทินกันเอง ตำแหน่งไอ้หมอนั่นคนก่อน ๆ ก็ไม่เคยมีเรื่องลืมนัดอะไรแบบนี้ แล้วนี่จู่ ๆ จะเพิ่มงานมาให้เราอีก เราไม่ใช่เลขาทีโมนมันสักหน่อย เซ็งจริง”
          “ผมว่าพี่กัสไม่เห็นต้องเซ็งเลย ได้เป็นเลขาทีโมนน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอ ก็เห็นพวกพี่เข้ากันได้ดีจะตาย คุยกันสนุกสนานออกขนาดนั้น พูดว่าไม่ชอบ ใครจะไปเชื่อ”
          ออกัสร้องเอ๊ะขึ้นมาทันทีเมื่อจู่ ๆ ก็โดนมิคกี้เหน็บเอาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายหนุ่มเตรียมจะโต้กลับอยู่แล้ว แต่ต้องหยุดเพราะคาริน่าเดินหน้าหงิกเข้ามาในครัวพร้อมกับทีโมนที่ตีสีหน้าปุเลี่ยน ๆ ห้อยท้ายด้วยนัตโตะที่ทำหน้าหงิกได้ไม่แพ้ใครเช่นกัน
ข้าวโอ๊ตไม่สงสัยว่าทำไมวันนี้สามคนนี้ถึงเลิกรับประทานอาหารเร็วกว่าปกติ เพราะหน้าตาแต่ละคนบ่งบอกชัดออกขนาดนั้น ท่าทางวงอาหารในห้องรับประทานอาหารจะเผ็ดร้อนพอกับในครัวเป็นแน่ แถมนัตโตะยังส่งค้อนตามหลังคาริน่าตอนที่หล่อนเดินลงส้นออกไปจากครัวด้วย ปากก็ขมุบขมิบด่าตามหลังโดยที่ไม่มีเสียง แล้วก็ปักหลักอยู่ในห้องครัว ไม่พยายามไปเจ๊าะแจ๊ะพูดคุยกับฝรั่งคนไหนเหมือนอย่างเคย
          คาร์ลไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันกับคนในออฟฟิศวันนี้ เด็กหนุ่มออกไปเดินสำรวจร้านอาหารในบริเวณนี้และหาอะไรกินเรียบร้อยก่อนจะกลับเข้ามา เด็กหนุ่มเจอพัดชายืนคอยลิฟท์อยู่ ในมือถือแก้วน้ำผลไม้ปั่น เขาจึงเข้าไปทักและขึ้นลิฟท์มาพร้อมกับหล่อน
          เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานรับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดทันทีหลังจากโผล่หน้าเข้ามาในห้องครัวแล้วเห็นทุกคนทำหน้าตึงใส่กัน แต่เขาก็ยิ้มสู้เหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น ชูถุงพลาสติกที่ถือมาพร้อมกับบอกว่า
          “ผมเดินไปถึงตลาดนัดที่ตึกกระจก แม่ค้าแถวนั้นใจดีมากเลย ให้ผมชิมขนมตั้งหลายอย่าง อร่อยมาก ผมก็เลยซื้อมาฝากทุกคนครับ”
          พูดแล้วก็ส่งถุงขนมให้ข้าวโอ๊ต ชายหนุ่มรับเอาไว้โดยอัตโนมัติพร้อมกับรีบเหลือบตามองไปรอบ ๆ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะกำลังอารมณ์ไม่ดีจนไม่สนใจจะจับผิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่ข้าวโอ๊ตนึกหวาดระแวงอยู่ เขาจึงค่อยคลายใจ หันไปจัดขนมใส่จาน
          พัดชาเป็นอีกคนที่ยิ้มแจ่มใสใส่ทุกคนในครัวได้ แต่เพราะแม่บ้านประจำออฟฟิศไม่มีความละเอียดอ่อนมากพอที่จะจับความรู้สึกของคนรอบตัวได้ต่างหากทำให้หล่อนยิ้มแย้มได้และชวนทุกคนคุยอย่างกระตือรือร้นในเรื่องที่หล่อนบังเอิญไปรู้มาและกำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
          “เมื่อกี้พี่ไปซื้อน้ำปั่นใต้ตึกให้คุณคาริน่า รู้ไหมคะว่าเด็กที่ร้านบอกพี่ว่ายังไง” หล่อนเข้าใจเปิดเรื่องดึงความสนใจจากทุกคนได้ โดยเฉพาะนัตโตะที่ถามทันทีว่า
          “ยังไงครับพี่พัด”
          “คุณทีโมนค่ะ ทำท่าจะไปจีบเจ้าของร้าน เขาพูดกันให้แซดว่าแกไปซื้อน้ำผลไม้ปั่นแทบทุกเย็น แล้วก็อยู่คุยกันนาน ๆ ด้วยนะคะ”
          “อ๋อ งั้นที่ชอบหายไปนาน ๆ ตอนใกล้เลิกงานช่วงนี้ก็เพราะแบบนี้นี่เองสินะ” ออกัสทำหน้าว่าเข้าใจขึ้นมาทันที ญาดาก็เบะปาก 
          “คงคิดว่าตัวเองหน้าตาดี เห็นผู้หญิงเลยจีบดะไปหมด น่าเกลียดที่สุดพวกผู้ชายแบบนี้”
          “เจ้าของร้านนี่คนไหน” นัตโตะถามพัดชาเสียงแข็ง และทุกคนก็ดูจะสนใจ ข้าวโอ๊ตหันมารอฟังด้วย เช่นเดียวกับมิคกี้ที่เม้มปากแน่น ดวงตาวาววับ
          “คนที่เด็ก ๆ หน้าหวาน ๆ น่ะค่ะ ส่วนใหญ่มาที่ร้านตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ คุณทีโมนแกรู้ แกเลยไปตอนเย็นไงคะ” พัดชาตอบ แล้วเมื่อเล่าไปก็ชักติดลม ทุกอย่างที่รู้ก็พรั่งพรูออกมาจากปากจนหมด “เขาว่าคุยกันถูกคอสนุกสนาน ผู้หญิงก็มีท่าทีติดใจฝ่ายเราด้วยนะคะ ได้ยินว่ามีส่วนลดส่วนแถมอะไรให้กันตลอดเลย นี่เด็กในร้านก็มาแย็บ ๆ ถามพี่นะคะว่าคุณทีโมนเป็นยังไง มีแฟนรึยัง ท่าทางจะเอาไปเล่าให้สาวเจ้าของร้านฟังต่อแน่เลยค่ะ”
          “แล้วพี่พัดเล่าให้เขาฟังรึเปล่าว่าทีโมนมันนิสัยเป็นยังไง” ญาดาถาม
          “พี่ไม่กล้าเล่าหรอกค่ะ” แม่บ้านประจำออฟฟิศโบกไม้โบกมือ หน้าตาตกใจ
          “น่าจะเล่าไปให้หมดเลยนะ”
          “แหม พี่ก็ไม่อยากจะพูดมากนะคะ เรื่องของคนอื่น เราไม่ยุ่งดีกว่า จริงไหมคะ นี่พี่ก็เลยตอบไปว่าไม่รู้ ไม่แน่ใจอย่างเดียวเลยค่ะ กลัวคุณทีโมนรู้ แกจะมาว่าเอา”
          ไม่มีใครซักถามอะไรเพิ่มเติมจากพัดชาอีก แต่ละคนแยกย้ายออกจากครัวกลับไปห้องของตัวเอง ขนมของคาร์ลยังไม่มีใครแตะ ยกเว้นข้าวโอ๊ตที่ชิมไปนิดหน่อย ส่วนที่เหลือเขาเก็บใส่เอาไว้ในตู้เย็นและบอกพัดชาเอาไว้เผื่อตอนบ่ายมีคนหิวจะได้เอาออกมากิน ชายหนุ่มอยากขอบคุณคาร์ล แต่ไม่อยากเดินเข้าไปในห้องเด็กฝึกงานให้มันเกิดเป็นประเด็น เขาจึงเลือกโทรศัพท์ไปแทน
          คาร์ลตอบอย่างร่าเริงเมื่อได้รับคำขอบคุณจากข้าวโอ๊ต
          “เรื่องเล็กน้อยเองครับ ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ แล้วขนมอร่อยไหมครับ ชอบรึเปล่า”
          “ชอบสิ อร่อยมาก” เขาตอบ “ว่าแต่วันนี้ไปไกลจังนะ เดินไปถึงตึกกระจกเชียว”
          “อยากลองหาร้านอาหารใหม่ ๆ น่ะครับ กินแต่ร้านเดิมที่คุณพัดสั่งมันน่าเบื่อ”
          “ในซอยข้าง ๆ ตึกกระจกมีร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่งนะ ขายพวกพิซซ่า พาสต้า เป็นร้านเล็ก ๆ อยู่บนชั้นสอง ชั้นล่างขายพวกตุ๊กตา ดอกไม้ ของประดับบ้าน คุณน่าจะไปลองดูสักครั้งนะ เผื่อจะชอบ”
          “น่าสนใจมากเลยครับ วันหลังคุณพาผมไปได้ไหม”
          ข้าวโอ๊ตชะงักไปนิด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกอย่างไร แต่คำพูดของคาร์ลมันทำให้เขาใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว
          “เอ้อ...เอาสิ เอาไว้ไปกันสักวัน” ชายหนุ่มรับปาก อึกอักเล็กน้อย แต่ก็พยายามใช้น้ำเสียงที่ปกติที่สุดเมื่อพูดต่อในประโยคถัดมาว่า
          “ผมเลี้ยงคุณเอง”
          “โอ๊ย ไม่ได้หรอกครับ จะให้คุณเลี้ยงได้ยังไง”
          “ก็ตอบแทนที่คุณจะช่วยงานแปลของผมไง นิยายทั้งเล่มเลยนะ ผมต้องรบกวนคุณอีกหลายครั้งเลยล่ะ ผมเกรงใจเหมือนกัน อยากจะตอบแทนอะไรคุณบ้าง”
          “แค่อธิบายนิดหน่อย ไม่ถือเป็นการรบกวนอะไรเลยครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่เสียเวลาไป
ไหน ๆ เป็นเพื่อนผม ขอบคุณมากนะครับ”
          ข้าวโอ๊ตวางหูโทรศัพท์พร้อมกับอมยิ้มเอ็นดูความความสุภาพและน่ารักของนักศึกษาฝึกงานหนุ่มน้อย คาร์ลทำให้ความขุ่นมัวที่มีมาตลอดสองสามวันนี้ของเขาคลายลงได้มากจริง ๆ

          ตรงกันข้ามกับข้าวโอ๊ต ใครคนหนึ่งยังคงมีแต่ความขุ่นเคืองใจและก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
          ใครคนนั้นรอจนถึงเวลาที่นัดไว้ที่คอนโดมิเนียมของตัวเอง แต่ด้วยความอารมณ์ร้อนจึงนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของคอนโด ไม่ขึ้นไปที่ห้อง ต่อเมื่อเห็นทีโมนเดินยิ้มแต้เข้ามาหานั่นแหละ อารมณ์จึงค่อยดีขึ้น หากก็มิวายแสดงความปั้นปึ่ง
          “ทำไมไม่ขึ้นไปรอที่ห้องล่ะครับ มารอตรงนี้ทำไม”
          ทีโมนตรงเข้ามากอดเอาไว้ซึ่งอีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงพอเป็นพิธี
          “ก็อยากจะให้แน่ใจว่าคุณมาจริง ๆ”
          “โธ่ ผมเคยผิดนัดกับคุณที่ไหนล่ะ”
          “นั่นมันเมื่อก่อน ก่อนที่คุณจะไปติดใจยายเด็กเจ้าของร้านน้ำปั่นนั่น”
          “ติดใจอะไร เอามาจากไหนกัน”
          “เขาพูดกันให้แซดทั้งออฟฟิศ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณไปที่ร้านนั่นทุกเย็น แม่นั่นก็ท่าทางจะชอบคุณ ถึงกับให้เด็กที่ร้านถามเรื่องของคุณ”
          “ไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย แค่ชอบน้ำผลไม้ปั่นที่ร้านเขาเท่านั้นเอง กับเจ้าของร้านก็คุยนิดหน่อยตามมารยาท เขาชวนคุยมา จะให้ผมนิ่งมันก็ดูแย่ใช่ไหมล่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย คนเรานี่มันก็พูดไปเรื่อย” ทีโมนปฏิเสธ ก่อนจะจูบอีกฝ่ายหนึ่ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลาฝ่ายตรงข้ามงอน เขาควรจะต้องง้ออย่างไร
          “ผมมีคุณคนเดียว ไม่ได้มีใครที่ไหนอีกสักหน่อย อย่าหึงไปเลยนะครับ”
          “จะให้เชื่อเหรอ ใครต่อใครในออฟฟิศอีกตั้งเยอะที่คุณสนิทสนมด้วย”
          “พวกนั้นพยายามตีสนิทกับผม ผมก็จำเป็นต้องคุยดีด้วยเพราะต้องทำงานร่วมกันอีกเยอะ คุณอย่าคิดมากไปเลย มันไม่มีอะไรจริง ๆ อยากให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะ”
          ริมฝีปากของทีโมนเลื่อนไปคลอเคลียอยู่ที่ใบหูซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันสองมือก็ค่อย ๆ ลูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ จากกลางหลังจนถึงสะโพก
          น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่เคยเอาเรื่องค่อย ๆ อ่อนลง
          “ทำให้เชื่อให้ได้ล่ะ”
          “แน่นอน จะพิสูจน์ให้ดูทั้งคืนเลย”
          ทั้งสองคนเดินคลอเคลียกันไป ทีโมนให้อีกฝ่ายขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องพักก่อนเพราะเขาต้องการจะสูบบุหรี่สักมวน  ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนติดบุหรี่ แต่ก็จะสูบบ้าง เวลาที่ไปเที่ยวหรือต้องการผ่อนคลายอารมณ์ ชายหนุ่มอัดควันเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่ทางคอนโดจัดให้ลูกบ้านในพื้นที่สูบบุหรี่ ขณะที่กำลังจะเดินกลับมาที่โถงลิฟท์ เขาก็เห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นตาเข้า ทีโมนหลบกลับที่เดิมทันที จากจุดที่เขายืนอยู่ สามารถมองเห็นพื้นที่หน้าลิฟท์ได้ แต่คนตรงนั้นจะมองไม่เห็นเขา
          ออกัสยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าหลายปี เขาเคยเห็นแฟนของออกัสตอนที่ฝ่ายนั้นมารับออกัสที่ออฟฟิศ แต่คนนั้นไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ และชายหนุ่มไม่คิดว่าคนที่อยู่กับออกัสตอนนี้จะเป็นแค่เพื่อนธรรมดาด้วย เพราะการโอบกอดและจูบกันแบบนั้นคงไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาทำกัน ทางเดียวที่คิดได้คือออกัสกำลังนอกใจแฟน
          ทีโมนยิ้มกริ่ม เขาเจอจุดอ่อนของออกัสแล้ว
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 10 (6-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 06-01-2016 09:14:14
บทที่ 10
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เรื่องจะเยอะไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะหลุดพ้นสักที ไม่อยากเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว ถ้าไม่มีรอยยิ้มหวาน ๆ ของผู้ชายคงเป็นบ้าแน่
Like – Comment – Share

          “คุณโอ๊ต มาพบผมที่ห้องด้วย”
          เช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์ ข้าวโอ๊ตก็เจอคำสั่งวางก้ามของรองผู้อำนวยการทันที ชายหนุ่มรู้สึกเซ็ง แต่เมื่อเป็นคำสั่ง เขาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
          ในห้องของทีโมน มีออกัสอยู่ด้วยอีกคนทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกสงสัยเพราะช่วงนี้ก็ไม่ได้มีงานที่ต้องรับผิดชอบพร้อมกันสองคนเสียหน่อย อีเมลที่เขาเพิ่งลงทะเบียนไปก็ไม่มีฉบับไหนที่ใส่สีของเขาและออกัสลงไปด้วยกัน
          “มีอะไรเหรอ” ข้าวโอ๊ตกระซิบถามขณะที่นั่งลงข้างเพื่อน ออกัสส่ายหน้าเป็นทำนองว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
          “ผมจะคุยกับคุณเรื่องเคส vacation club”
          ทีโมนมองหน้าข้าวโอ๊ต
          “ผมให้คุณตรวจสถานะของบริษัท แต่คุณบอกว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทไม่ได้จดทะเบียน และลูกค้าน่าจะถูกหลอกใช่ไหม”
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ เคสนี้เขารับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ลูกค้าไปสมัครโปรโมชั่นท่องเที่ยวแบบรายปีของโรงแรมที่มีสาขาทั่วโลกเอาไว้ โฆษณาว่าสามารถจองห้องพักของโรงแรมได้ทุกสาขาทั่วโลก เวลาไหนก็ได้ และจะได้รับราคาพิเศษพร้อมบริการระดับห้าดาว แต่เมื่อลูกค้าแจ้งความจำนงขอจองห้องพัก ก็ไม่สามารถจองได้สักครั้ง ชายหนุ่มเอาชื่อบริษัทที่ลูกค้าให้ไปเช็ค แต่ก็ไม่พบว่ามีการจดทะเบียนบริษัท เขาจึงแจ้งลูกค้าไปตามนั้น
          “แต่ผมให้คุณกัสเช็คอีกรอบ ปรากฎว่ามีการจดทะเบียนบริษัทนะ ทำไมคุณไม่ตรวจดูให้ดีก่อนให้ข้อมูลลูกค้าไป”
          ข้าวโอ๊ตหันไปมองออกัสทันที ก่อนจะรับกระดาษจากทีโมนมาดู
          “นี่มันโรงแรมนี่ แต่ไม่ใช่ชื่อที่ลูกค้าให้มา”
          “โปรโมชั่นของโรงแรม แต่ใช้ชื่อ vacation club เท่ากับเป็นโรงแรมนั่นแหละ นายเลยไม่เจอชื่อ vacation club ในระบบไง โปรโมชั่นน่ะมันไม่ได้หลอกลวงหรอก แต่มันเป็นทริกทางการตลาด เอาไว้ทำยอด ไม่ใช่ของโรงแรมนี้โรงแรมเดียวหรอก ที่อื่นเขาก็ทำกัน ลูกค้าก็มีปัญหาแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน ส่วนใหญ่ไม่ได้ห้องที่อยากได้ ต้องไปโวยกับทางโรงแรมเอา”
          ออกัสอธิบาย
          “คุณโอ๊ต คุณทำบริษัทเสียหน้ามากนะที่ให้ข้อมูลแบบนั้นกับลูกค้าไป คราวหลังคุณต้องระวังให้มันมากกว่านี้” ทีโมนสำทับซ้ำ
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกแย่พอแล้วที่งานของเขามีปัญหา แต่ทีโมนยังทำร้ายความรู้สึกเขาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เขาต่อหน้าเพื่อนร่วมงานอีก เท่านั้นยังไม่พอชายหนุ่มยังทับถมเขาด้วยการชื่นชมออกัสอย่างออกนอกหน้าว่า
          “คุณเก่งมากคุณกัส ผมจะเอาข้อมูลที่คุณหาไปแจ้งให้ลูกค้าทราบ ส่วนคุณโอ๊ต คราวหลังไปเรียนรู้การทำงานที่ดีและถูกต้องจากคุณกัสด้วย”
          เหมือนโดนตบและลากมากระทืบซ้ำกลางสี่แยกจริง ๆ
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกโกรธจนบอกไม่ถูกเมื่อเดินออกมาจากห้องของรองผู้อำนวยการ ทีโมนเอางานของเขาไปให้ออกัสทำโดยที่ไม่บอกเขาเลยสักนิด ส่วนออกัสก็ไม่บอกเขาเหมือนกัน ทำให้เขาต้องมารับความอับอายขายหน้าโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
          “โอ๊ต” ออกัสเรียกเขาไว้ ชายหนุ่มหันมามองหน้า สีหน้าของเขาคงบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่น้อย ออกัสถึงมีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
          “ทีโมนมันพูดเกินไปหน่อย นายอย่าคิดมากเลยนะ”
          “ไม่ให้คิดมากได้ยังไง เราทำงานพลาดไม่ใช่เหรอ ก็สมควรแล้วล่ะ ขอบใจนายด้วยที่แก้ข้อมูลให้เรา”
          ข้าวโอ๊ตรู้ดีว่าตัวเองกำลังไม่มีเหตุผลและประชดประชัน แต่เขาห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้จริง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจทั้งทีโมนและออกัส แต่เขาไม่พอใจตัวเองมากที่สุดที่ทำผิดพลาด
          ชายหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองผิด แต่เขาก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่อยากโทษตัวเอง ความไม่พอใจของเขาจึงเอาไปลงที่ออกัสอีกทีหนึ่ง แต่ก็เพราะรู้ว่าตัวเองผิดด้วยนี่แหละ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิมเพราะถึงเขาโทษออกัส ตัวของเขาเองก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว
          ออกัสเข้าใจดีว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร เขาจึงไม่เซ้าซี้อีก ชายหนุ่มตบไหล่ข้าวโอ๊ตเบา ๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ข้าวโอ๊ตก็เดินกลับห้องตัวเองด้วย
          ชายหนุ่มรู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก เขาเปิดไลน์ อยากจะระบายความอัดอั้นตันใจที่มีอยู่ออกมาบ้าง แต่แค่เกริ่นว่า เบื่อที่ทำงานจัง เพื่อนในไลน์ก็ไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม พากันคุยเรื่องอื่นกันหมด ทิ้งให้ชายหนุ่มจมอยู่กับอารมณ์ดำมืดที่มันกัดกร่อนจิตใจของเขา
          เสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้น ข้าวโอ๊ตรับสายโดยอัตโนมัติ ไม่ทันได้ดูชื่อคนเรียก ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงคาร์ล เขาก็รู้สึกแปลกใจ
          “คุณโอ๊ตว่างไหมครับเย็นนี้ ผมอยากไปกินร้านที่คุณพูดถึงคราวก่อน คุณบอกว่าพิซซ่ากับพาสต้าอร่อยใช่ไหม”
          คำชวนของคาร์ลมาในเวลาที่เขาต้องการที่สุด ชายหนุ่มรู้สึกว่าน้ำตาของเขากำลังจะไหล
          “เที่ยงนี้เลยได้ไหม ผมไม่อยากกินข้าวในออฟฟิศ ออกไปกินข้าวข้างนอกบ้างน่าจะดี คุณจะไปกับผมไหม”
          “ได้สิครับ ผมอยากกินอยู่แล้ว งั้นเที่ยงนี้เลยนะ”
          “พอพักแล้ว ผมจะไปหาคุณที่ห้อง”
          ข้าวโอ๊ตวางหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าคาร์ลจะได้ยินเรื่องที่ทีโมนพูดไหม เขาไม่สนใจว่าคำชวนของคาร์ลมันมาในจังหวะที่พอเหมาะพอดีมาก ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาต้องการใครสักคน คนที่เขาจะคุยด้วยได้ ชายหนุ่มจึงไม่สนใจสายตาของคนทั้งออฟฟิศที่มองตามเขากับคาร์ลที่เดินออกไปด้วยกันในตอนพักกลางวัน
          ร้านอาหารที่ข้าวโอ๊ตแนะนำเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ มีโต๊ะไม่ถึงสิบโต๊ะ อยู่บนชั้นสองของร้านขายตุ๊กตา ดอกไม้และของประดับบ้านแบบต่าง ๆ ทั้งสองร้านมีเจ้าของเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นเชฟเองด้วย ราคาอาจจะค่อนข้างแพงไปสักนิด แต่รสชาติดีทำให้คนที่ทำงานอยู่ในละแวกนี้แวะเวียนมาอุดหนุนไม่ขาดสาย
          “เมนูของร้านมีเฉพาะพิซซ่า” ข้าวโอ๊ตส่งเมนูที่เป็นแผ่นไม้อัดให้คาร์ล แล้วบุ้ยใบ้ไปที่กระดานดำบนผนัง “ส่วนพาสต้ากับอาหารพิเศษประจำวันจะเขียนไว้บนกระดานดำ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทุกอาทิตย์”
          คาร์ลสั่งพิซซ่าซึ่งมาเสิร์ฟเป็นถาด พิซซ่าแบบอิตาเลียนแป้งบางกรอบ ซอสรสเข้มข้นแบบต้นตำรับถูกปากคนยุโรปอย่างเขา ส่วนข้าวโอ๊ตสั่งสเต็กหมูพอร์กช็อปซอสพริกไทยดำ อาหารพิเศษประจำวัน ชายหนุ่มสั่งมันบดถ้วยใหญ่มาแบ่งกันกินซึ่งก็รสชาติดีเช่นกัน
          ข้าวโอ๊ตไม่เล่าเรื่องที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี คาร์ลก็ไม่ถามอะไรเช่นกัน เด็กหนุ่มชวนข้าวโอ๊ตคุยเรื่องงานอดิเรก ข่าวสารทั่วไป สุดท้ายเขาถามเรื่องงานแฟร์ที่ได้ยินว่าจะมีบริษัทเยอรมันเข้าร่วมด้วย
          “หมายถึงงานพลาสติกใช่ไหม ปีนี้ก็จัดที่ไบเทคเหมือนเคย คุณก็คงต้องไปช่วยที่บูธด้วยเหมือนกันนะ” ข้าวโอ๊ตพูด
          “ดีจังเลยนะครับจะได้ออกไปนอกออฟฟิศกันบ้าง” คาร์ลพูดด้วยความคาดหวัง ข้าวโอ๊ตฟังแล้วยิ้มนิด ๆ
          “เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ”
          เมื่อเด็กหนุ่มรุ่นน้องมองมาเป็นเชิงถาม เขาจึงเล่าให้ฟังว่า
          “ไปเฝ้าบูธก็เหมือนไปเป็นเด็กรับใช้ให้ตัวแทนบริษัทลูกค้านั่นแหละ เราเป็นนายหน้าให้บริการบริษัทที่ต้องการมาออกบูธโฆษณาบริษัทตัวเองในงานแฟร์พวกนี้แบบครบวงจร ลูกค้าจ่ายเงินให้เรา เราก็เป็นธุระจัดการให้ทุกอย่าง ติดตั้งบูธ จัดพิมพ์แผ่นพับข้อมูลสินค้าอะไรต่าง ๆ ลูกค้าแค่ส่งตัวแทนมาก็พอ นอกนั้นเราดูแลทั้งหมด มีบูธกลางที่มีขนม ของว่าง เครื่องดื่มเอาไว้คอยดูแลตัวแทนบริษัทลูกค้า ก็บูธที่เราจะต้องไปเฝ้านี่แหละ พูดก็พูดเถอะ งานหลัก ๆ คือชงกาแฟ ตัดขนมปัง ตัดชีส ตัดแฮม เสิร์ฟเบียร์กับไวน์ แค่นั้นแหละ”
          “เอ แต่ผมว่าน่าสนุกดีออกนะ ถือว่าเราไปฝึกฝีมือการชงกาแฟไง เผื่ออนาคตคิดอยากเปิดร้านจะได้สบาย เครื่องชงกาแฟที่งานทำลาเต้ได้ไหม ผมว่าเรามาช่วยกันคิดลาเต้อาร์ตดีกว่า เอารูปแปลก ๆ จะได้น่าสนใจ ดีไหมครับ”
          “คุณนี่มองโลกในแง่ดีจังเลยนะ”
          ชายหนุ่มมองรอยยิ้มที่สดใสตรงหน้าด้วยความอิจฉาเล็ก ๆ
          “แต่เสียใจด้วยครับ เครื่องทำกาแฟที่บูธน่ะทำลาเต้ไม่ได้หรอก ทำได้แค่เอสเปรสโซกับอเมริกาโน่”
          ข้าวโอ๊ตดับความฝันของคาร์ลด้วยสีหน้าที่ดีกว่าเมื่อตอนเช้ามาก

          ตอนบ่าย ทีโมนเรียกประชุมเรื่องความคืบหน้าของงานต่าง ๆ ที่ออฟฟิศจะต้องจัด ออกัสรายงานเรื่องสถานที่จัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทเลมอนเซคิวริตี้ที่มีการทำสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ญาดาจัดทำรายชื่อหน่วยงานราชการที่จะเชิญพร้อมร่างจดหมายเชิญรอให้ทีโมนอนุมัติและลงนาม ข้าวโอ๊ตได้รับมอบหมายให้เป็นฝ่ายรวบรวมและจัดทำรายชื่อผู้เข้าร่วมงานซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ชายหนุ่มไม่อยากทำที่สุดเพราะไม่ใช่แค่ต้องคอยอัพเดตรายชื่อเท่านั้น เขายังต้องคอยรับโทรศัพท์ตอบคำถามเกี่ยวกับงานด้วยซึ่งบางทีก็มีคำถามลึก ๆ ที่ชายหนุ่มไม่รู้และตอบไม่ได้ ต้องโอนสายให้ญาดาเป็นคนคุยแทน บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่ใส่ชื่อญาดาในใบตอบรับไปตั้งแต่แรก แล้วให้เขาดูแค่เรื่องอัพเดตรายชื่ออย่างเดียว แต่ชายหนุ่มก็ทำได้แค่บ่นในใจเท่านั้นแหละ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ญาดาไม่ทำหรอก โยนมาให้เขาที่แปะป้ายฝ่ายสนับสนุนหรือ “เบ๊” บนหน้าผากตลอด
          เรื่องสุดท้ายที่ประชุมกันคืองานพลาสติก
          ออกัสเป็นคนจัดการเรื่องเอาของต่าง ๆ สำหรับใช้ที่บูธที่ส่งมาจากเยอรมนีออกจากด่านศุลกากร และตอนนี้ของพวกนั้นก็มาถึงที่ออฟฟิศแล้ว เตรียมพร้อมจะถูกขนไปยังสถานที่จัดงานแฟร์ ออฟฟิศสั่งอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม รวมทั้งไวน์มาจากเยอรมนีโดยเฉพาะเพราะต้องการใช้ยี่ห้อของชาติตัวเอง ไม่มีนโยบายใช้ยี่ห้อของชาติอื่น
          การจัดคนไปอยู่ที่บูธเป็นเรื่องสุดท้ายที่พูดคุยกันในห้องประชุม ทุกวันจะต้องมีพนักงานสองคนไปอยู่ที่บูธ คาริน่ากับทีโมนจัดตัวตามที่เห็นว่าเหมาะสมโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของพนักงานก่อน และมันก็เกิดปัญหา โดยเฉพาะกับข้าวโอ๊ต
งานวันสุดท้ายตรงกับวันเสาร์ ชื่อของเขาถูกใส่ให้ทำงานในวันนั้นกับออกัส
          “ผมทำงานวันเสาร์ไม่ได้ ผมไม่ว่าง ผมขอเปลี่ยนวัน” ข้าวโอ๊ตพูดตามตรง
          “งั้นใครจะทำแทน” คาริน่าขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แต่ข้าวโอ๊ตไม่สนใจ แถมตอกกลับเบา ๆ ว่า
          “พวกคุณจัดรายชื่อกันเอง น่าจะถามก่อนว่าใครว่างหรือไม่ว่างวันไหนบ้าง”
          “ผมก็ไม่ว่างวันเสาร์เหมือนกัน” ออกัสพูด เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุดของเขา บริษัทไม่มีนโยบายให้โอที ถ้ามาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ก็จะได้วันหยุดวันธรรมดาเพิ่มหนึ่งวันเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากมาทำงาน
          คาริน่าทำหน้าบูดบึ้งเพิ่มเป็นสองเท่า ส่วนทีโมนอยากเอาใจออกัสก็เลยอะลุ่มอล่วยว่า
          “ถ้าคุณกัสไม่ว่างด้วย งั้นก็จัดตารางกันใหม่เลยแล้วกัน ใครอยากทำวันไหนบ้างครับ”
          เมื่อทีโมนพูดอย่างนั้น แม้คาริน่าจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่หล่อนก็ไม่อยากจะหักหน้าเขากลางที่ประชุมจึงทำแต่เพียงส่งค้อนให้ต้นเหตุทั้งสองคนเท่านั้น พึมพำโดยไม่ออกเสียงว่า
          “เรื่องมาก”
          “ผมทำงานวันเสาร์ได้นะครับ เพื่อบริษัท ผมยินดีครับ” นัตโตะเสนอตัวเองทันทีและเขาก็รู้สึกดีใจที่เห็นใบหน้าชื่นชมของทีโมน
          “ขอบคุณมากครับคุณนัต เหลืออีกคนหนึ่ง คุณมิคกี้ คุณมาทำได้ไหมครับ”
          ชายหนุ่มหันมาถามคนที่นั่งข้าง ๆ เขา
          “ได้ครับ ผมไม่มีปัญหา”
          “งั้นก็ลงตัว เท่ากับแลกวันกันเลย คุณกัสกับคุณโอ๊ตก็ตกลงกันว่าใครจะทำวันไหน”
          “นายว่างวันไหน” ออกัสหันไปถามข้าวโอ๊ต ฝ่ายหลังก็ตอบโดยไม่ทันคิดอะไรว่า
          “เราไปได้วันพุธกับวันศุกร์”
          ทุกคนฟังแล้วชะงัก ข้าวโอ๊ตงงอยู่แวบหนึ่งก่อนจะเข้าใจเมื่อก้มลงมองตารางงานใหม่อีกรอบ วันที่เขาเลือกคือวันที่คาร์ลไปทั้งสองวัน ชายหนุ่มไม่ทันคิดจริง ๆ ประกอบกับเรื่องเมื่อกลางวันอีกด้วยแล้ว ไม่แปลกเลยที่ใคร ๆ จะมองเขาด้วยสายตาประหลาด
          ออกัสอมยิ้ม จดวันที่เขาต้องไปทำงานลงในสมุดโน้ตเล่มเล็ก
          “งั้นของเราก็วันอังคารกับวันพฤหัส เป็นอันตกลงตามนี้”
          ข้าวโอ๊ตอยากตบกะโหลกตัวเองที่ไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนี้ จากสายตาของทุกคนที่มองมาด้วยความสงสัยปนล้อเลียน ชายหนุ่มคิดว่าต่อจากนี้ การกระทำทุกอย่างของเขาต้องถูกจับตามองอย่างแน่นอน

       
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 10 (6-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 06-01-2016 09:15:18
          สถานที่จัดงานพลาสติกอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมของข้าวโอ๊ตนัก นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสไปเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น ชายหนุ่มจึงไปจากคอนโดเลย ไม่มาที่ออฟฟิศก่อนแล้วค่อยนั่งรถไปกับบำรุงเหมือนคนอื่น ๆ
          ข้าวโอ๊ตไปถึงก่อนเวลาเปิดงานสิบห้านาที ที่บูธยังไม่มีคนมา ชายหนุ่มเคยมีประสบการณ์ทำงานที่บูธอย่างนี้มาหลายครั้ง สมัยเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท เขาก็รับงานเฝ้าบูธแบบนี้เป็นงานพิเศษมาตลอด เขาจึงรู้ว่าควรจะทำอะไร
          ชายหนุ่มเปิดไฟที่บูธจนสว่าง ที่บูธมีห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่มีตู้เย็นและอ่างล้างจานเล็ก ๆ ติดตั้งเอาไว้พร้อม ของทุกอย่างที่เอาไว้จัดบูธก็ถูกเก็บไว้ข้างในนี้ ชายหนุ่มหยิบธงชาติเยอรมันออกมาตั้งที่เคาน์เตอร์พร้อมกับกล่องช็อกโกแล็ต ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ของที่ระลึกติดตราบริษัทจำพวกปากกาลูกลื่น กระดาษโน้ต เข็มกลัด จากนั้นเขาเตรียมเครื่องชงกาแฟ จัดน้ำตาล นม กระดาษทิชชู่ แล้วเอาโบรชัวร์ไปเติมในชั้นหน้าบูธเป็นอันเรียบร้อย
          คาร์ลมาถึงตอนที่ข้าวโอ๊ตกำลังสำรวจของในตู้เย็นและบนชั้นเก็บของเพื่อให้ทราบว่าอะไรเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง เด็กหนุ่มหิ้วถุงใส่ขนมปังถุงใหญ่มาด้วย เขาทักทายข้าวโอ๊ตด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนเดิม
          “สวัสดีครับคุณโอ๊ต”
          “สวัสดีครับ” ข้าวโอ๊ตทักตอบ ยื่นมือมารับถุงขนมปังจากมือคาร์ลพลางเปรยว่า
          “นอกจากเป็นบาริสต้า เรายังต้องเป็นเชฟด้วยใช่ไหมเนี่ย”
          คาร์ลหัวเราะ
          “เรียกว่าเป็นมือมีดดีกว่าครับ มา ผมจัดการเอง” คาร์ลอาสา ข้าวโอ๊ตปล่อยให้เด็กหนุ่มหั่นขนมปังเป็นชิ้น ๆ ไป ตัวเองเปิดตู้เย็นหยิบเอาแฮมสองห่อมาเปิดและจัดใส่จาน เตรียมไว้ให้ตัวแทนบริษัทลูกค้ารับประทานกับขนมปังเป็นอาหารเช้า
          “เมื่อวานคุณกัสเล่าว่าลูกค้าขอให้ผสมค็อกเทลให้ด้วยนะ คุณรู้ไหม เอาว็อดก้าขวดเล็กมาให้ขวดหนึ่งให้ผสมน้ำส้มให้”  คาร์ลชวนคุยขณะที่ช่วยกันยกจานขนมปังและแฮมออกมาตั้งที่โต๊ะเล็ก ๆ ด้านนอก
          “มีทั้งไวน์ทั้งเบียร์เต็มตู้เย็นยังจะดื่มค็อกเทลอีกเนี่ยนะ สุดยอดจริงพวกนี้”
          ข้าวโอ๊ตส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่เขาไม่ได้วิจารณ์อะไรมากกว่านั้นอีกเพราะงานเปิดแล้ว คนเริ่มทยอยกันมา ตัวแทนบริษัทลูกค้าก็แวะเวียนกันเข้ามาขอกาแฟ น้ำผลไม้ และรับประทานขนมปังกับแฮมที่ถูกเตรียมเอาไว้
          งานแฟร์ในลักษณะนี้เปิดโอกาสในการพบปะคู่ค้ารายใหม่ ๆ ได้แสดงผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมชนิดใหม่ในตลาด ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน คนมาชมงานจึงหนาตาเหมือนทุกปีที่จัด แต่ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลที่เฝ้าบูธอยู่ด้วยกันไม่ยุ่ง เนื่องจากมีหน้าที่ดูแลตัวแทนบริษัทลูกค้าเท่านั้น ถ้าไม่ต้องเสิร์ฟของกินให้พวกนั้น พวกเขาก็ว่าง เมื่อว่างก็มีเวลาที่จะพูดคุยกัน
          คาร์ลเป็นคนคุยเก่ง คุยได้กับทุกคน แม้แต่คนที่ค่อนข้างเงียบอย่างข้าวโอ๊ตยังยอมเปิดปากมากกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อคาร์ลถามว่าเขาเคยไปเยอรมนีไหม ชายหนุ่มก็เล่าให้ฟังเรื่องที่เขาเคยได้ทุนไปเรียนต่อระยะสั้นที่เยอรมนี
          “เป็นมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ทางตะวันตกน่ะ ได้ทุนไปหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์หนึ่งเทอม มหาวิทยาลัยนี้กับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนเป็นพันธมิตรกัน มีทุนให้นักศึกษาทุกปี เราก็ไปกันแต่ที่นี่แหละ เมืองเล็ก ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่ก็สนุกดีครับ จบเทอมแล้วก็ยังไม่อยากกลับเลย”
          “แล้วได้ข้ามไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ บ้างไหมครับ อย่างเช็คหรือออสเตรีย”
          “อยู่คนละฟากเลย นักศึกษาธรรมดา เงินไม่ค่อยจะมีหรอกครับตอนนั้น ก็ได้แค่ไปเที่ยวเมืองใกล้ ๆ อ้อ แต่ผมได้ไปอัมสเตอร์ดัมด้วยนะ ผมกับเพื่อนติดรถคนอื่นไป แบบที่เขาเรียกว่า mitfahren น่ะครับ เราก็ช่วยค่าน้ำมันเขา อยู่โน่นก็พักโฮสเทลห้องรวมถูก ๆ กินอยู่แบบประหยัดมาก เอาเงินเก็บไว้เข้าพิพิธภัณฑ์ ล่องเรือ สนุกมากครับ พูดถึงแล้วยังอยากไปแบบนั้นอีกสักครั้งจริง ๆ”
          แวบหนึ่งที่คาร์ลเห็นสายตาของข้าวโอ๊ตทอดมองไปแบบไม่มีจุดหมายและเหมือนจะมีน้ำตารื้นขึ้นมา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันมายิ้มกับเขาและเปลี่ยนเป็นคนถามบ้าง
          “คุณเรียนที่มิวนิกใช่ไหมครับ แล้วเกิดที่นั่นด้วยรึเปล่า”
          “ผมเกิดที่เดรสเดน”
          “เกิดเมืองสวยเสียด้วยนะ ผมเคยเห็นในรูป”
          “คุณคิดจะไปเดรสเดนมั่งไหมล่ะ ถ้าคุณจะไปเยอรมนีอีกครั้ง ผมเป็นไกด์ให้เอง” คาร์ลอาสาด้วยความเต็มใจ เรียกรอยยิ้มจากข้าวโอ๊ตได้อีกครั้ง
          “เหตุผลหนึ่งที่ผมมาสมัครงานที่นี่ก็เพราะหวังว่าบริษัทจะส่งไปเยอรมนีนี่แหละ แต่ห้าปีกว่าแล้วยังไม่มีวี่แววเลย สงสัยผมต้องเสียเงินไปเองแล้วล่ะ”
          ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงละห้อยละเหี่ย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นว่า
          “ผมคงต้องเก็บเงินอีกเยอะ แต่ถ้าถึงตอนนั้น หวังว่าคุณจะยังยอมเป็นไกด์ให้ผมนะ”
          “สัญญาเลยครับ”
          คาร์ลรับคำอย่างหนักแน่น
          “เสาร์อาทิตย์นี้ทำอะไรรึเปล่า” ข้าวโอ๊ตถามหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง
          “ยังไม่ได้วางแผนเลยครับ อาทิตย์นี้ผมไม่มีแผนไปต่างจังหวัด ก็อาจจะไปไหนสักแห่งในกรุงเทพฯนี่แหละ”
          “ไปดูหนังกันไหม เคยดูหนังไทยรึยัง อาทิตย์นี้มีหนังไทยน่าดูเข้าเรื่องหนึ่ง สนใจไหม”
          “อ้าว ไหนว่าคุณไม่ว่างวันเสาร์อาทิตย์ไงครับ” คาร์ลถามด้วยความแปลกใจ
          “ตอนกลางวันไม่ว่าง ผมมีสอนพิเศษเกือบทั้งวันทั้งเสาร์อาทิตย์ เลิกบ่าย ๆ ถ้าคุณตกลง คงต้องไปดูรอบเย็น คุณโอเครึเปล่า”
          “ได้สิครับ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คิดอยากจะดูหนังไทยเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสเลย”
          คาร์ลพูด ก่อนจะมองข้าวโอ๊ตด้วยความทึ่ง
          “แต่คุณนี่เก่งจังนะครับ ขยันมาก นอกจากจะทำงานแปลนิยายแล้ว คุณยังสอนพิเศษด้วย ทำงานทั้งเจ็ดวัน ไม่เหนื่อยแย่รึครับ”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มนิด ๆ ให้กับคำชมของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยสดใสนัก
          “เหนื่อยครับ แต่ออกมาทำงานก็ดีกว่าอยู่ในห้องเฉย ๆ ไม่มีเวลาว่างให้นั่งฟุ้งซ่าน”
          เห็นสายตาสงสัยของคาร์ลที่มองมา ชายหนุ่มก็เลยรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่อยากจะเอาเรื่องของตัวเองมาบ่นให้คนตรงหน้าฟัง ถ้าแม้แต่คาร์ลยังเมินหน้าหนีเขาเพราะความเบื่อหน่ายเหมือนคนอื่น ๆ ชายหนุ่มจะยิ่งรู้สึกแย่มากกว่านี้
          “ตกลงรอบเย็นวันเสาร์นะครับ ผมจะจองตั๋วให้เอง จะพยายามหาโรงที่มีซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษด้วย แต่ถึงไม่มี คุณก็น่าจะดูเข้าใจ เพราะเป็นหนังเบา ๆ เน้นตลก ดูไม่ยากครับ”

          การไปดูหนังวันเสาร์สำหรับหลายคนอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนบางคนมันเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ นัตโตะรู้สึกอย่างนั้นเมื่อเขาได้รับข้อความชวนไปดูหนังจากทีโมน
          ในที่สุด!
          นัตโตะดีใจจนแทบอยากจะกระโดดเมื่ออ่านข้อความที่ทีโมนส่งมาให้เขาเมื่อตอนใกล้เที่ยงคืนของวันศุกร์
          ‘พรุ่งนี้ออกบูธวันสุดท้ายแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณเสียสละมาทำงานวันเสาร์ ผมอยากชวนคุณไปดูหนังหลังจากจบงานแล้ว รบกวนตอบผมด้วยนะครับ ถ้าคุณไปได้ ผมจะได้จองตั๋วเตรียมไว้’
          นี่มันออกเดตชัด ๆ!
          นัตโตะกดส่งข้อความตอบรับคำชวนอย่างไม่มีการลังเล และทีโมนก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับรออยู่แล้ว
          ‘ผมดีใจมากที่คุณตอบรับคำชวนของผม แต่เรื่องนี้อย่าเอาไปบอกใครนะครับ ให้เป็นความลับระหว่างเราสองคน’
          นัตโตะแทบจะลงไปนอนดิ้นตายเพราะประโยคนี้ วันของเขามาถึงจนได้ วันที่เขามีตัวตนในสายตาของรองผู้อำนวยการสุดหล่อ ชายหนุ่มไม่สงสัยเรื่องที่เขาขอไม่ให้บอกใคร ทีโมนคงเป็นห่วงเขา ก็ที่ออฟฟิศมียายแก่คาริน่าที่หวงทีโมนยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ถ้ายายนั่นรู้ เขาก็อาจจะกลายเป็นเป้าให้โดนจิกกัดกลั่นแกล้ง วันนี้คาริน่าจะเข้ามาที่งานด้วยเพราะเป็นวันสุดท้าย หล่อนต้องมาคอยกำกับดูแลการเก็บบูธ ของใช้ อาหารและเครื่องดื่มที่เหลือจะถูกเก็บกลับออฟฟิศทั้งหมด คาริน่าต้องมาด้วยตัวเองเพราะหล่อนไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น กลัวคนงานจะแอบขโมยของกลับบ้าน แต่เขาเคยได้ยินข้าวโอ๊ตกระซิบกับออกัสว่า คาริน่ากลัวพนักงานแอบยักยอกของกลับด้วยนั่นแหละถึงต้องมาควบคุมอย่างใกล้ชิด
          พูดถึงข้าวโอ๊ต นัตโตะก็อดนึกสมเพชไม่ได้ นี่คงหาใครไม่ได้แล้วจริง ๆ ถึงคิดจะเคลมนักศึกษาฝึกงานที่อายุห่างจากตัวเองกว่าสิบปี ตาต่ำที่สุด ถึงคาร์ลจะหน้าตาดี แต่มีภาษีสู้ทีโมนไม่ได้เลยสักนิด ไม่รู้หมอนั่นคิดอย่างไรถึงหน้ามืดตามัวได้ขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่าแหละ คนที่ไม่ฉลาดก็มักจะมองอะไรง่าย ๆ
          นัตโตะชอบความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างตอนนี้จริง ๆ
          ยิ่งเมื่อมองคาริน่าหน้าเหวี่ยงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือมิคกี้ที่ชอบดูถูกเขา มันรู้สึกมีความสุขแบบสุด ๆ ไปเลย
          “ท่าทางอารมณ์ดีนะวันนี้ มีเรื่องดี ๆ อะไรเหรอ”
          มิคกี้อาศัยจังหวะที่บูธไม่มีคนถามนัตโตะที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่เช้าอย่างน่าขนลุก
          “ก็นิดหน่อย”
         นัตโตะแกล้งอุบเพื่อให้อีกฝ่ายแสดงความอยากรู้มาก ๆ แต่มิคกี้ก็รู้ทัน เขารู้นิสัยของนัตโตะที่ชอบเรียกร้องความสนใจเป็นอย่างดีและลองทำท่าทางแบบนี้ ถึงเขาบอกว่าไม่อยากรู้ แต่นัตโตะก็อยากจะเล่าจนตัวสั่นอยู่ดี
          “ดีจังเลย เราสิ เมื่อวานทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย นัดวันนี้ก็เลยต้องยกเลิก เฮ้อ นึกว่าจะได้ไปกินอะไรอร่อย ๆ หลังจากที่ต้องยืนจนเมื่อยขา อดเสียแล้ว”
          ปกตินัตโตะเป็นคนที่อยากรู้เรื่องของชาวบ้านมากที่สุดคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ที่อยากอวดเรื่องของตัวเองมากกว่าและยิ่งอีกฝ่ายเปิดจังหวะให้เหมือนรู้ขนาดนี้ นัตโตะก็อดที่จะ “ขยาย” เรื่องของเขาออกมาเพื่อข่มอีกฝ่ายไม่ได้
          “แย่จังเลยเนอะ เรากับแฟนไม่ค่อยทะเลาะอะไรกันหรอก เขายอมเราตลอดแหละ วันนี้เขาก็ชวนเราไปดูหนัง แล้วก็คงไปทานข้าวกันต่อ”
          “น่าอิจฉาจัง”
          “นายก็น่าจะหาแฟนที่เอาใจนายมากกว่านี้นะ ทำไมไปยอมอยู่ได้ เลิกเลยสิ แล้วก็หาคนใหม่ที่น่ารักแบบของเรา อย่างนายหาไม่ยากอยู่แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ”
          มิคกี้กัดฟันด้วยความไม่ชอบใจน้ำเสียงและคำพูดเยาะเย้ยของนัตโตะ แต่ที่เขายังยอมอดทนอยู่นี่เพราะสะดุดใจในท่าทีมั่นใจเอามาก ๆ ของอีกฝ่าย นัตโตะไม่มีแฟน เขารู้ดี โดนแหย่นิดหน่อยก็มักจะหลุดออกมาเป็นนัยว่ากำลังโกหก แต่วันนี้นัตโตะทำท่าเหมือนคนที่กำลังมีไพ่เหนือกว่าใครต่อใคร
          หรือว่าจะมีผู้ชายหน้ามืดมาหลงรักหมอนี่เข้าแล้วจริง ๆ
          ความอยากรู้ของมิคกี้พุ่งขึ้นสูงภายใต้ใบหน้าที่บังคับให้สงบนิ่ง

          นัตโตะนัดกับทีโมนไว้ที่โรงหนัง เมื่อเสร็จงานและคาริน่ายอมปล่อยทุกคนกลับ ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะอยู่ต่อ รีบพุ่งออกจากงาน ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสกลับเข้ามาในเมืองทันที
          ทีโมนเลือกโรงหนังในห้างสรรพสินค้าแถมสยามเพราะใกล้คอนโดมิเนียมของเขา ชายหนุ่มรออยู่ที่หน้าโรงหนังไม่นาน นัตโตะก็กระหืดกระหอบมาถึง
          “ขอโทษนะครับ มาสายไปหน่อย งานเลิกช้ากว่าที่คิดไว้ ผมอยู่ช่วยคาริน่าเก็บของด้วยเลยยิ่งช้า”
          เขาออกตัวพร้อมกับพูดเอาดีเข้าตัวไปพร้อมกัน ความจริงเขาไม่ได้อยู่ช่วยคาริน่าหรอก งานเลิกปุ๊บเขาก็ออกมาเลย แต่ถึงเขาอยู่ ยายเจ๊ประจำออฟฟิศก็ไม่ให้เขาแตะต้องอะไรทั้งนั้นแหละ
          “ไม่เป็นไรครับ ผมก็เพิ่งมาเหมือนกัน”
          คำพูดของทีโมนทำให้คนฟังปลาบปลื้ม ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมแม้ว่าตอนแรกเขาออกจะตกใจอยู่สักนิดกับการแต่งตัวของคู่เดตของเขา
          แฟชั่นของทีโมนนี่ยิ่งกว่าตัวพ่อบนรันเวย์หรือบนพรมแดงที่เขาเก็บรูปมาเขียนวิจารณ์การแต่งตัวลงในเว็บบอร์ดเสียอีก แจ็กเกตสีเหลืองแปร๋น เสื้อตัวในแบบซีทรูผ่าอกลึก กางเกงสีขาวดำลายม้าลายพับขากางเกงขึ้นมาเล็กน้อย รองเท้าสีแดงเข้ม ใส่หมวกแก๊ปแบบฮิปฮอป
          นัตโตะได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แต่ถ้าถามว่าเขาจะให้คะแนนเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ให้เต็มสิบอยู่ดีเพราะหน้าตาหล่อเหลาของทีโมนปิดหูปิดตาเขาหมด
          “ยังเหลือเวลาอีกเยอะก่อนจะถึงรอบหนัง เราไปหาอะไรดื่มกันสักนิดไหม ชั้นนี้มีร้านกาแฟ”
          ทีโมนชวนและนัตโตะก็ไม่ขัดข้อง ทั้งสองคนเดินไปที่ร้านกาแฟยี่ห้อดังที่มีคนเยอะตลอดเวลา แต่ก็ยังพอหาโต๊ะว่างได้ สั่งกาแฟกันคนละแก้ว แล้วทีโมนก็เริ่มชวนคุยเรื่อยเปื่อยก่อนจะวกเข้าสู่เรื่องที่เขาต้องการรู้
          “คุณกัสนี่เขายังคบกับแฟนอยู่ใช่ไหมครับ คนที่เคยมารับที่ออฟฟิศบ่อย ๆ ที่ผมยาวแล้วมัดไว้ข้างหลัง”
          “พี่ต้นใช่ไหมครับ ก็ยังคบกันอยู่นะครับ คุณถามทำไมเหรอ”
          “เปล่าหรอกครับ แค่ไม่ค่อยได้เห็นมารับคุณกัสแล้วเลยสงสัยนิดหน่อย”
          “พี่กัสเขาไม่เลิกกับพี่ต้นง่าย ๆ หรอกครับ สองคนนั้นอยู่ด้วยกันแล้ว ช่วยกันสร้างครอบครัว ผ่อนบ้านผ่อนรถเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น ถ้ากฎหมายเมืองไทยให้เพศเดียวกันแต่งงานกันได้เมื่อไหร่ สองคนนั้นควงแขนเข้าประตูวิวาห์ก่อนเพื่อนแน่ครับ เขารักกันจะตาย”
           นัตโตะพูดยาวและตีกันออกัสไปในตัว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทีโมนสนใจออกัส แต่ติดตรงที่อีกฝ่ายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วก็เลยทำอะไรไม่ได้มากเท่าไร เขาต้องพยายามตอกย้ำให้ทีโมนเห็นว่าควรจะเลิกยุ่งกับออกัสได้แล้ว
           “โฮ่ รักกันมากขนาดนั้นเชียวนะครับ”
           ทีโมนยกกาแฟขึ้นดื่มเลยทำให้นัตโตะไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของอีกฝ่ายที่ได้ข้อมูลที่ตัวเองต้องการ เขาตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่องของออกัสกับต้นที่เขารู้ให้ทีโมนฟังต่อ
          “ปีใหม่ก็วางแผนจะไปเที่ยวกันด้วยครับ พี่กัสเล่าเสียฟุ้งทั้งออฟฟิศว่าแฟนจะพาไปเที่ยวเกาหลี ตื่นเต้นยกใหญ่ ขนซื้อเสื้อผ้าข้าวของเตรียมตัวไปเที่ยวเต็มที่เลยล่ะครับ พวกผมงี้ยังแซวว่ารักกันมานานก็ยังหวานกันไม่เปลี่ยน พี่กัสหน้าแดงเลยล่ะครับ คู่นี้น่ารักจริง ๆ”
          “คุณกัสนี่เขาชอบช็อปปิ้งนะ”
          “โอ๊ย เรียกว่าบ้าดีกว่าครับ ว่างเมื่อไหร่ก็เห็นเข้าแต่เว็บขายของออนไลน์ บัตรเครดิตกี่ใบ ๆ วงเงินเต็มหมด แต่เห็นว่าแฟนรวย จะซื้อสักเท่าไรก็ไม่มีปัญหา”
           นัตโตะยิ่งเล่ายิ่งมันในอารมณ์ ผสมกับความอิจฉาริษยาที่ตัวเองไม่สามารถทำอย่างเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ได้ พูดไปเขาก็เลยใส่สีตีไข่แถมลงไปด้วยและหยิบยกข้อเสียของออกัสขึ้นมาจิกกัด
           “แต่มีแฟนบ้าช็อปยังงี้พี่ต้นคงลำบากอยู่บ้างเหมือนกันแหละครับ ที่ไม่มารับนี่คงเพราะมัวแต่ทำงานหาเงินมาให้แฟนช็อปปิ้ง ผมว่านะ อย่างพี่กัสน่ะ ใครได้เป็นแฟนมีแต่จะลำบาก ถ้าจะหาแฟนสักคน ผมคิดว่าเอาที่นิสัยดี มีน้ำใจ ขยันทำงาน ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยดีกว่าตั้งเยอะ คุณว่าจริงไหมครับ”
          ทีโมนเออออไปกับนัตโตะแบบส่ง ๆ โดยไม่ได้สนใจมากนัก ที่เขาชวนชายหนุ่มออกมาดูหนังนี่ก็เพราะอยากจะชวนคุยเพื่อสืบเรื่องราวของออกัสโดยเฉพาะ และนัตโตะก็ให้ข้อมูลอะไรดี ๆ แก่เขาหลายอย่าง มันมากพอที่จะทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องได้ราง ๆ
          แล้วเมื่อถึงเวลาที่เขามั่นใจล่ะก็ ออกัสไม่พ้นมือของเขาแน่นอน
          แม้ว่าทีโมนจะค่อนข้างฝืนใจอยู่บ้างที่ต้องเดินกับผู้ชายหน้าตาไม่ดี แต่ผลลัพธ์มันก็คุ้ม แล้วยังได้ของแถมอีก เมื่อนัตโตะสะกิดให้เขาดูคนสองคนที่กำลังจะเดินผ่านพนักงานตรวจตั๋ว
          “เอ๊ะ คาร์ลกับคุณโอ๊ตนี่” เขาอุทานเบา ๆ ด้วยความแปลกใจ
          นัตโตะฉีกยิ้มน่าเกลียดออกมาขณะที่จงใจพูดว่า
          “สองคนนั่นมาดูหนังด้วยกัน งั้นที่คุณโอ๊ตบอกว่าไม่ว่างมาทำงานให้บริษัทก็เพราะนัดดูหนังกับคาร์ลนี่เอง อย่างนี้มันใช้ไม่ได้เลยนะครับ”
          “นั่นสิ อย่างนี้คงต้องตักเตือนกันสักหน่อยแล้ว”
          “วันก่อนสองคนนั่นก็ออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ผมว่าปล่อยเอาไว้มันจะยิ่งไปกันใหญ่นะครับ พนักงานสนิทสนมกันเกินงามแบบนี้ มันไม่ดีเลย ออฟฟิศเราไม่ควรจะมีเรื่องชู้สาวแบบนี้”
          นัตโตะใส่ไฟเข้าไปอีกและมันเป็นสิ่งที่ทีโมนอยากทำอยู่แล้ว
          ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้เพื่อแสดงให้เห็นบทบาทที่เหนือกว่า โดยเฉพาะกับคนที่ตั้งตัวเป็นกบฏและไม่ยอมรับเขาอยู่ในทีอย่างข้าวโอ๊ต
          ทีโมนมุ่งมั่นจะแสดงความมีอำนาจของเขาโดยที่ไม่สนใจว่าตัวเขาเองก็กำลังทำเรื่องแบบเดียวกันอยู่เช่นกัน
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 11 (7-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 07-01-2016 05:19:30
บทที่ 11
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ปวดหัวโดยรู้สาเหตุ (อิโมติค่อนรูปหน้าบึ้ง) ไม่อยากไปทำงานเลย ไม่อยากเจอพวกพูดจากลับกลอก พลิกดำเป็นขาวหน้าตาเฉย พวกว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
Like – Comment – Share

          หลังเสร็จจากงานแฟร์ก็มีประชุมพนักงานอีกครั้งเพื่อประเมินผล งานพลาสติกที่เพิ่งจบลงไปก็เช่นกัน แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่วันประชุมตรงกับวันเกิดของพัดชาด้วยจึงตกลงกันว่าหลังประชุมจะกินเค้กฉลองวันเกิดให้แม่บ้านประจำออฟฟิศกัน
          ออกัสเป็นคนเลือกร้านเค้ก เมื่อก่อนคาริน่าอนุญาตให้ใช้เงินของออฟฟิศซื้อเค้กวันเกิดเลี้ยงทุกคนในออฟฟิศได้ แต่หล่อนมักจะใช้ให้บำรุงไปซื้อเค้กจากร้านอาหารที่เป็นร้านโปรดของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ซึ่งมักจะมีเค้กอยู่แค่สองสามอย่าง รสชาติแค่พอรับประทานได้ มีที่รสชาติดีหน่อยก็เค้กช็อกโกแล็ตที่เข้มข้นแต่ค่อนข้างจะหวานอยู่สักนิดสำหรับคนไทย แต่ถูกปากด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นอย่างมาก บำรุงก็เลยซื้อมาแต่เค้กช็อกโกแล็ตที่ว่านี้ พนักงานที่ออฟฟิศกินบ่อยเข้าก็เบื่อ กี่งานก็กินแต่แบบเดิม ๆ ออกัสเคยเสี่ยงเปลี่ยนร้านอยู่ครั้งหนึ่งโดยที่พนักงานคนไทยทุกคนให้ความเห็นชอบอย่างพร้อมเพรียงกัน จากเค้กช็อกโกแล็ตแบบเดิม ๆ ทุกคนจึงได้กินชูครีมแบบญี่ปุ่นรสชาเขียวที่ไม่หวานมากนัก คนไทยกินแล้วติดใจ แต่ฝรั่งทำหน้าเบ้ และการเปลี่ยนร้านก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติอีกเลย หลังจากนั้นเมื่อถึงวันเกิดของใครคนใดคนหนึ่ง แล้วคาริน่าเดินมาถามว่าจะกินเค้กไหม เจ้าของวันเกิดมักจะส่ายหน้า และเมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยครั้งเข้า หญิงสาวก็ถือเป็นข้ออ้างไม่ใช้เงินของออฟฟิศซื้อเค้กวันเกิดอีก แต่การฉลองวันเกิดของพนักงานในออฟฟิศก็ยังมีอยู่โดยการเรี่ยไรเงินกันเอง เมื่อไม่ต้องพึ่งเงินของออฟฟิศ ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของคาริน่า ร้านเค้กจึงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่าอยากจะกินเค้กของร้านไหน
          หลังจากเลือกเค้กกันได้ ออกัสก็ส่งรายการให้บำรุงไปซื้อ แล้วเมื่อเค้กมาถึง ทีโมนก็เรียกประชุม
          การประเมินผลไม่มีอะไรมากมาย เนื่องจากไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างงาน การดำเนินงานเป็นไปอย่างเรียบร้อย แถมแบบประเมินที่ให้ลูกค้ากรอกเมื่อสรุปผลออกมาแล้วก็มีแต่คำชม ไม่มีคำติ ดังนั้นการสรุปงานจึงทำได้อย่างรวดเร็ว
          หลังเสร็จเรื่องงาน พัดชากับบำรุงช่วยกันยกเค้กมาเสิร์ฟและรับประทานร่วมกันในห้องประชุม ในเวลาแบบนี้ ถ้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์อยู่ เขาจะเป็นคนควบคุมการสนทนา คือไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูด แต่จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เองด้วยเสียงอันดังฟังชัดของเขา ครั้งนี้มีแต่ทีโมน ในห้องประชุมจึงไม่ได้มีแค่เสียงเดียว แต่มีเสียงพูดคุยดังประสานกันหลายเสียง ทุกคนรับประทานเค้กกันไปพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ
           ข้าวโอ๊ตนั่งข้างคาร์ล จากที่ได้ไปดูหนังด้วยกันทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้นและข้าวโอ๊ตยังต้องรบกวนให้เด็กหนุ่มช่วยเรื่องงานแปลด้วย เรื่องที่ต้องพูดกันจึงมีมากมาย คาร์ลได้อ่านต้นฉบับหนังสือนิยายที่ข้าวโอ๊ตจะต้องแปลแล้วและรู้สึกติดใจในความสนุก ดังนั้นทั้งสองคนจึงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนิยายกันด้วย
           ภาพที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ในสายตาของทีโมนและเขาก็รู้สึกขัดตาเป็นอย่างมาก
           “ทุกคนคงจะทราบกันดีใช่ไหมครับว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่ชอบให้มีเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ”
           เหมือนหย่อนระเบิดลงกลางวง ทุกคนเงียบเสียงลงทันทีและสายตาหลายคู่ก็เบนมาที่ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลจนทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกอึดอัด
          “ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่ผมได้ยินมาว่าช่วงนี้พนักงานของเราหลายคนใกล้ชิดกันจนน่าสงสัยว่าอาจจะมีอะไรเกินเลยรึเปล่า ผมขอไม่พูดถึงใครเป็นพิเศษก็แล้วกันเพราะมันก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัด แต่ก็อยากขอเตือนให้เลิกพฤติกรรมแบบนั้นเสีย ไม่งั้นผมคงต้องเรียนให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทราบ”
          ถึงชายหนุ่มจะออกตัวว่าเป็นการเตือนแบบรวม ๆ ไม่ได้หมายถึงใครคนใดคนหนึ่ง แต่การที่เขาจ้องเขม็งมาที่ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลก็เป็นการบอกอย่างชัดเจนที่สุดว่าเขาหมายถึงใคร
          ข้าวโอ๊ตหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธและเกลียดชัง ยิ่งเห็นนัตโตะมองมาด้วยสายตาเยาะ ๆ คาริน่าเองก็แสดงสีหน้าตำหนิออกมาอย่างชัดเจน ส่วนคนอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมามากเท่ากับสองคนแรก แต่ก็พากันนิ่งเฉยไปหมด
ชายหนุ่มมองออกัสซึ่งเป็นคนที่ยุเขาเรื่องคาร์ลมากที่สุด แต่ออกัสก็ไม่สบตากับเขา ญาดาที่แม้ไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่เคยตักเตือนหรือห้ามปรามก็วางหน้าไม่รับรู้เช่นกัน สุดท้ายเขามองหน้าคาร์ลซึ่งก็หันมาสบตาเขาเข้าพอดี สายตาของคาร์ลแสดงความยุ่งยากใจ
          ความรู้สึกของเขาดิ่งวูบลงเหวอีกครั้ง มันเหมือนเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ไม่มีใครยืนเคียงข้างเขา ไม่มีใครอยู่กับเขา ไม่มีใครเลยจริง ๆ
          ไม่มีใครพูดอะไรกับข้าวโอ๊ต ดูเหมือนว่าในเมื่อทีโมนไม่ได้เอ่ยชื่อใครออกมา ทุกคนก็พร้อมใจกันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรืออาจจะเพราะแต่ละคนมีชนักปักหลังอยู่เหมือนกันก็ได้ ถ้าเริ่มต้นชี้นิ้วเข้าใส่ใครก็อาจจะถูกตอกกลับมาหน้าหงายจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยง แต่ลับหลังก็คงซุบซิบกันแน่นอน เขามั่นใจ
          ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกอ้างว้างมากขึ้น
          แต่เขาก็ยังโชคดีอยู่บ้าง ก่อนที่เขาจะรู้สึกแย่จนกู่ไม่กลับ ข้อความจากเพื่อนสนิทก็มาถึงพอดี
          สเตตัสของเขาในเฟซบุ๊กที่แทบไม่มีใครสนใจเริ่มมีคนกดถูกใจ บางสเตตัสมีการแสดงความเห็นตอบกลับ แม้จะเป็นคนเพียงคนเดียว แต่เขาก็รู้สึกดีใจอย่างที่สุด
          “เย็นนี้แกว่างไหม นุ่น ไปหาข้าวเย็นกินกันเถอะ ฉันอยากกินซาชิมิเต็มปากเต็มคำ ฉันไม่ไหวแล้ว!”
          ข้าวโอ๊ตกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที เม็ดนุ่นใช้เฟซบุ๊กแบบนี้แสดงว่ากลับมาจากไปเที่ยวแล้วและหล่อนก็เป็นคนเดียวที่ว่างออกมาเจอเขาได้ตลอดไม่ว่าเขาจะนัดกะทันหันขนาดไหนก็ตาม
          ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ปลายสายตกปากรับคำอย่างง่ายดาย
          “เอาสิ งั้นไปร้านอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์แถวที่ทำงานแกที่เราเคยไปกินกันคราวที่แล้วก็แล้วกันนะ ซุปมิโสะร้านนั้นอร่อยดี ใส่หอยตัวเล็ก ๆ ด้วย ฉันชอบ”
          “ร้านไหนก็ได้แก ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันอยากกินปลาดิบ!”
          เม็ดนุ่นหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงแว้ด ๆ ของเพื่อน ปกติข้าวโอ๊ตเป็นคนเงียบ ๆ แต่ลงโวยวายผิดวิสัยขนาดนี้ก็มีอยู่อารมณ์เดียวคือกำลังจิตตกและต้องการใครสักคนที่จะพูดคุยด้วยได้
           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าวโอ๊ตเป็นอย่างนี้และทุกครั้งหล่อนก็จะอยู่กับเขา
          “เออ งั้นเลิกงานเมื่อไหร่รีบออกมาเลยนะ มากินกันให้เหงือกงอก ครีบงอก ขากลับก็ว่ายน้ำกลับกันเลย”
          วางสายจากเม็ดนุ่น ข้าวโอ๊ตรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและก็ทำให้เขาสามารถอดทนจนถึงเวลาเลิกงานได้

           ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นสถานที่นัดหมายอยู่ใกล้กับออฟฟิศของข้าวโอ๊ตเพียงแค่เดินสิบนาทีก็ถึง เป็นสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ แต่มาตรฐานไม่ต่างจากร้านเดิมที่บริเวณถนนสีลม เจ้าของร้านเป็นคนญี่ปุ่น รสชาติอาหารจึงเป็นแบบต้นตำรับและตอนเย็นมีบริการบุฟเฟต์ ราคาต่อหัวค่อนข้างสูง แต่คุณภาพอาหารดี เดินทางสะดวก ร้านนี้จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เมื่ออยากจะรับประทานอาหารญี่ปุ่นขึ้นมา และเขาก็นึกอยากกินอยู่บ่อย ๆ เสียด้วย อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่เขาชอบที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เครียดแบบในตอนนี้
          เม็ดนุ่นยังมาไม่ถึง ข้าวโอ๊ตจึงเข้ามารอในร้านก่อน ชายหนุ่มเลือกนั่งในห้องส่วนตัวซึ่งต้องเพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่ง แต่เพื่อความเป็นส่วนตัวและเขาไม่อยากให้เสียงของเขาเวลาบ่นดังรบกวนคนอื่น เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะเลือกนั่งในห้อง
          ระหว่างรอ ข้าวโอ๊ตดูเมนูและสั่งอาหารเตรียมเอาไว้ ซาชิมิต้องสั่งเซ็ตใหญ่ เน้นที่แซลมอนกับปลาหมึกยักษ์เพราะทั้งเขาและหล่อนเป็นสายแข็งในการกินปลาดิบด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นสั่งของกินเล่นเพิ่มอีกสองสามอย่างกับไม่ลืมซุปมิโสะของเม็ดนุ่น
          เพื่อนสนิทของเขามาถึงที่ร้านในเวลาเดียวกับที่อาหารที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
          เม็ดนุ่นเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ตัดผมซอยสั้น ทำสีทองสว่างทั้งหัว หล่อนยิ้มร่าโบกมือให้เขา แต่เมื่อถอดรองเท้าก้าวขึ้นบนยกพื้นจะเข้ามาในห้อง เพื่อนของเขาก็สะดุดจนศีรษะแทบคะมำ แต่ยังโชคดีที่ประคองตัวเอาไว้ได้
          ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า
          “โรคซุ่มซ่ามของแกนี่แก้ไม่เคยหายจริง ๆ”
          “แก้ทำไม ผู้หญิงซุ่มซ่ามน่ารักจะตาย” เม็ดนุ่นลอยหน้าลอยตาพูด มือรับเมนูมาจากเพื่อน แต่เอาวางลงข้างตัวแทน เพราะอาหารที่วางพร้อมอยู่บนโต๊ะก็ดูจะเพียงพอแล้ว
          “นี่ของฝากจากหลวงพระบาง ไปเดินตลาดมืดมา เห็นแล้วนึกถึงแก น่ารักไหม”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มชอบใจเมื่อแกะถุงกระดาษแล้วเจอตุ๊กตาทำจากผ้าปะติดหน้าตาตลก ตาสองข้างนูนพองออกมา
          “น่ารักดี ขอบใจนะที่อุตส่าห์นึกถึงฉัน” ชายหนุ่มพูด
          “แกล่ะ มีเรื่องอะไร ตั้งสเตตัสได้น่ากลัวมาก ที่ทำงานมันกดดันนักรึไง”
          ข้าวโอ๊ตถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะพรั่งพรูเรื่องทั้งหมดออกมาให้เพื่อนฟัง ชายหนุ่มเล่า เล่า เล่า ยิ่งเล่าเสียงของเขาก็ยิ่งดังเพราะความเก็บกดเหมือนกับได้ระเบิดออกมา เม็ดนุ่นต้องคอยปรามให้เขาลดเสียงลง แต่มันก็กลับมาดังอีกอยู่ตลอด
          “วันนี้เลยแก อีทีโมนพูดกลางห้องประชุมเรื่องห้ามมีเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ มันไม่ได้เอ่ยชื่อนะ แต่มองหน้าฉัน คือมันหมายถึงฉันกับคาร์ลเว้ย ฟังแล้วโมโหมาก อยากจะเอาส้อมจิ้มเค้กจิ้มหน้ามันสักที พูดออกมาไม่ได้ดูตัวเองเลย ตัวมันเองก็จ้องจะงาบออกัสกับพี่หญ้า ไม่ได้ตาบอดนะจะได้ไม่เห็น ยายคาริน่ากับนัตโตะก็อีก อยากจะกินอีทีโมนจนตัวสั่น แต่กลับมองฉันด้วยสายตาตำหนิติเตียน ทำไมคนเรามันถึงเลวได้ขนาดนี้วะ ฉันไม่เข้าใจ”
          สีหน้าของข้าวโอ๊ตเจ็บปวดแต่ก็บิดเบี้ยวจากการระบายความเกลียดชังที่อยู่ในใจออกมา
          “กลายเป็นว่าฉันเหมือนเป็นคนเลว ทำเรื่องเสื่อมเสียในออฟฟิศ คิดจะเคลมเด็กฝึกงาน”
          “แต่แกก็จีบน้องเขานะ”
          “คาร์ลเป็นเด็กน่ารัก พูดเก่ง ร่าเริงสดใส อยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวา ฉันชอบน้องเขานะแก รู้สึกดีที่ได้คุยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน มันทำให้ฉันหายเหงา แต่เรื่องจะจีบหรือเป็นแฟน มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันเป็นไปไม่ได้ คาร์ลอยู่ที่นี่แค่สองเดือน มันไม่มีทางเลย ก็เหมือนกับเมื่อก่อนนั่นแหละ”
          “เรื่องมันก็ตั้งสิบปีแล้วนะ นี่แกยังไม่ลืมอีกเหรอ”
          “เรียกเข็ดจะดีกว่าว่ะ เรื่องความรักทางไกล เรื่องมีแฟนเด็กกว่า สุดท้ายมันก็ลงอีหรอบเดิม คือฉันต้องเจ็บเหมือนเดิม แล้วคาร์ลน่ะ อายุน้อยกว่าฉันตั้งเป็นสิบปี เขาไม่เอาแฟนอายุเท่าพ่ออย่างฉันหรอก”
          “พูดเสียโอเวอร์” เม็ดนุ่นส่ายหน้าอย่างระอา “มันไม่เกี่ยวกับอายุสักหน่อย แกคิดมากเกินไปอีกแล้วนะ ถ้ารักกันจริง ๆ น่ะ เรื่องอายุหรือระยะทาง มันก็ไม่ใช่อุปสรรค ฉันเล่าให้แกฟังแล้วนี่เรื่องตอนฉันไปญี่ปุ่นเมื่อตอนเดือนเมษายนน่ะ”
          “เพื่อนใหม่ที่เจอที่เกสต์เฮาส์ที่คานาซาว่าน่ะเหรอ” ข้าวโอ๊ตทบทวนความทรงจำ เม็ดนุ่นไปเที่ยวบ่อยมาก เดินทางไปโน่นมานี่ไม่มีหยุด หล่อนเขียนบล็อกบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของหล่อน เขาชอบเข้าไปอ่าน เรื่องของหล่อนระหว่างเดินทางมีมากมาย เขาเองก็จำได้ไม่หมดทุกเรื่อง
          “ใช่แล้ว อัตสึโตะกับมานูเอล ชินจิ มายะ ยูเลี่ยน เด็กพวกนั้นอายุเท่า ๆ กับคาร์ลของแกนี่แหละ แต่พวกเขาก็จริงจังกับความรัก จริงใจกับคนที่พวกเขารัก อย่างคู่ของมานูเอลกับอัตสึโตะ นี่ก็จะได้มาอยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่นแล้ว ฉันยังเชื่อในความรักนะแก ถึงแม้ว่าขาฉันจะเกี่ยวคานอยู่ข้างหนึ่งแล้วก็เถอะ ถ้าเจอคนที่รักเราจริง ความรักมันก็ไม่จบลงง่าย ๆ เหมือนในอดีตหรอก ตอนนั้นพวกเราแค่โชคร้าย เจอคนที่มันไม่ดี อย่างอีฟรองซัวส์ของแก หรือแฟนเก่าฉัน เราก็เลยต้องเจ็บ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะจบแบบเจ็บ ๆ ทุกครั้งนี่ ครั้งนี้แกอาจจะโชคดีก็ได้ใครจะรู้ คาร์ลอาจจะชอบแกก็ได้ แกต้องมั่นใจในตัวแกเองมากกว่านี้นะ อย่าเอาแต่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีค่า ไม่มีใครรักสิ”
           “ฉันเพิ่งโดนด่าไปเองนะ”
           “ก็ช่างมันสิวะ” เม็ดนุ่นสวนคำค้านของเพื่อนทันควัน “เรื่องนี้เป็นเรื่องของแกกับคาร์ลสองคน ไอ้เรื่องห้ามจีบกันในออฟฟิศเนี่ยก็แค่อยากป้องกันไม่ให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับงานเท่านั้นแหละ แต่ถ้าแกไม่ทำให้งานเสีย ไม่ทำให้ออฟฟิศปั่นป่วน ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อน่าเกลียด แกจะสนิทกับใครจะรักกับใครมันก็เรื่องของแกไหมล่ะ หัดช่าง ๆ มันบ้างเหอะ ทำอะไรให้ตัวเองมีความสุขบ้าง มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรสักหน่อย เออ ว่าแต่คาร์ลเถอะ แกคิดว่าน้องเขาชอบแกไหมล่ะ แล้วตอนที่โดนว่าในห้องประชุม น้องเขาว่าไงบ้าง”
           “ฉันไม่รู้ว่าคาร์ลคิดยังไง เขาดีกับฉัน แล้วเราก็สนิทกันระดับหนึ่ง แต่เรื่องชอบหรือไม่ชอบ ฉันไม่รู้จริง ๆ”
           ถึงตอนนี้ ข้าวโอ๊ตนึกถึงสีหน้าและสายตาของคาร์ลขึ้นมา เขาอยากจะคิดว่าตัวเองดูผิดไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสีหน้าและแววตาของคาร์ลแสดงความยุ่งยากลำบากใจออกมา
           “ส่วนเรื่องในห้องประชุม เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย”
           “งั้นก็รอคุยก่อนค่อยว่ากัน” เม็ดนุ่นสรุป “แกน่ะเครียดมากเกินไปแล้ว ทั้งเรื่องงาน แล้วยังจะเรื่องผู้ชายอีก คิดมากเกินไปมันไม่ดีหรอกนะ จะป่วยเอาได้ เห็นแกแบบนี้แล้วฉันกลัวแกจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือว่าฉันจะพาแกไปหมอดี ลองคุยกับจิตแพทย์ดูไหม เผื่อแกจะรู้สึกดีขึ้น ไม่คิดมากแบบนี้”
          “ฉันก็ไม่อยากจะคิดหรอกนะ นุ่น แต่มันห้ามไม่ได้ ในหัวของฉันมีแต่อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ถ้าเปรียบเหมือนสีก็มีแต่สีดำ มีแต่ความมืดมน ความสิ้นหวัง ฉันไม่อยากคิด แต่มันก็คิด บางทีรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด หัวใจจะฉีกขาด มันทรมาน”
          เม็ดนุ่นเห็นท่าทางเป็นทุกข์ของเพื่อนแล้วรู้สึกสงสารมาก ข้าวโอ๊ตก้มหน้าลงจนศีรษะแทบจรดโต๊ะ สองมือจิกผมบนศีรษะจนน่ากลัวจะหลุดติดมือออกมา เสียงของเขาก็สั่นเทิ้ม
          หญิงสาวอยากปลอบใจเพื่อนให้คลายความทุกข์ลงบ้าง หล่อนคิดจะไปนั่งข้าง ๆ เขา ไปกอดปลอบเพื่อน แต่พอลุกอย่างใจคิด มือของหล่อนก็ไปปัดถ้วยชาบนโต๊ะหกกระจาย น้ำชาร้อน ๆ กระเด็นไปโดนแขนของข้าวโอ๊ตจนเขาสะดุ้ง อุทานว่า
          “อุ๊ย!”
          เสียงของเขาประสานเป็นเสียงเดียวกับเม็ดนุ่นที่ร้องด้วยความตกใจว่า
           “เฮ้ย!”
           ข้าวโอ๊ตพลิกแขนตัวเองขึ้นดูโดยอัตโนมัติ รู้สึกแสบเล็กน้อย เม็ดนุ่นลนลานควานหาขวดน้ำเปล่าที่คิดว่ามีติดอยู่ในกระเป๋าถือเพราะอยากจะเอามาล้างแขนให้เพื่อนเพราะกลัวแขนจะพอง แต่หาไม่เจอ หล่อนก็เลยใช้ชาเขียวเย็นของข้าวโอ๊ตเองนั่นแหละหยอดลงไปบนบริเวณที่โดนชาร้อนลวก แต่เผลอหนักมือไปหน่อย น้ำชาก็เลยถูกเทพรวดลงไปจนนองทั้งแขนและบนโต๊ะ ข้าวโอ๊ตกะพริบตาปริบ ๆ มองความเละเทะบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปสบตากับคนต้นเหตุ
            เม็ดนุ่นทำหน้าแหย
            “ฉันขอโทษ”
            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรียกพนักงานมาเช็ดโต๊ะ ส่วนแก อยู่เฉย ๆ นะ ห้ามขยับเขยื้อนเด็ดขาด”
            ข้าวโอ๊ตรีบพูด แล้วลุกออกไปนอกห้อง ไปเรียกพนักงานมาเช็ดโต๊ะและเก็บจานอาหารบางจานที่กินเหลืออยู่แต่ตอนนี้อาหารที่เหลือจมน้ำชาไปหมดจนกินไม่ได้แล้ว
            หลังจากพนักงานออกไปจากห้องแล้ว ข้าวโอ๊ตก็มองเพื่อนที่นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงกันข้ามกับเขาด้วยสายตาขบขัน
           “โรคซุ่มซ่ามแกนี่เลเวลอัพขึ้นรวดเร็วมากว่ะ จากตอนแรกที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง ตอนนี้เป็นอันตรายต่อคนอื่นด้วยแล้วนะ”
           “ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” เม็ดนุ่นแก้ตัว ก่อนจะทักว่า
           “แกไม่ทำหน้าเศร้าแล้วนี่”
           “โดนชาร้อนไปขนาดนั้น แกยังจะให้ฉันเศร้าอยู่ได้อีกเหรอ” ข้าวโอ๊ตว่า น้ำชาเพิ่งเทออกมาจากกา ควันยังขึ้นฉุย โดนเข้าไปถึงกับสะดุ้งเฮือก ลืมไอ้ที่กำลังเครียด ๆ หรือว้าวุ่นใจอยู่ไปเลย
           แล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด
           “ถ้าฉันเป็นโรคซึมเศร้าจริง ๆ ฉันว่าฉันไม่ต้องไปหาหมอหรือกินยาหรอก แค่อยู่กับแกก็พอแล้วมั้ง ฉันคงตื่นตัวมากพอ เพราะต้องคอยหลบลูกหลงจากความซุ่มซ่ามของแก”
           “ปากจัด” เม็ดนุ่นทำปากขมุบขมิบด่าเพื่อน
           “แต่คิดอีกทีก็คงยาก แกมันชอบแทด ๆ ไปโน่นมานี่ ไม่เคยหยุด หายไปทีหนึ่งเป็นอาทิตย์ ๆ ถามจริง มันสนุกนักรึไง ไอ้ชีวิตแบบนี้”
           “สนุกสิ ไม่ต้องนั่งอยู่แต่ในออฟฟิศ ทำงานซ้ำซากจำเจไปวัน ๆ เหมือนเมื่อก่อน ทำงานอิสระมันเลือกได้ อันไหนไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ สบายใจดี” เม็ดนุ่นตอบ ก่อนจะมองหน้าเพื่อนและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น
          “แล้วแกล่ะ โอ๊ต ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่ ฉันไม่เห็นว่าแกจะมีความสุขเลย หน้าหมองลงทุกวัน ๆ เหมือนกับคนโดนของ ถ้างานกับคนที่นี่มันทำให้แกทุกข์ขนาดนี้ ทำไมไม่ลาออก แล้วหางานใหม่ ทำงานอิสระแบบฉันก็ได้ เป็นนักแปลไงแก ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แกจะได้มีความสุขสักที”
         “งานมันไม่ได้หากันง่าย ๆ นะนุ่น งานอิสระมันก็ดี แต่มันไม่มั่นคง ฉันยังต้องผ่อนคอนโดอีกเป็นสิบปี วันไหนเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอีกล่ะ ลาออกมันเสี่ยงเกินไป งานแปลก็ไม่ได้มีเข้ามาบ่อย ๆ เดือนไหนไม่มีงานก็ลำบากแน่ ๆ จะเอาเงินที่ไหนผ่อนคอนโด แล้วฉันก็ไม่อยากรบกวนที่บ้านด้วย”
          “งั้นแกจะอดทนทำงานที่นี่ต่อให้จิตใจของแกมันแย่ลงทุกวัน ๆ อย่างนี้น่ะเหรอ ฟังฉันนะแก ฉันก็มีภาระผ่อนคอนโดผ่อนรถเหมือนแกเหมือนกัน แต่ฉันก็อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วย อยากจะใช้ชีวิตที่ไม่ต้องรู้สึกเสียดายทีหลัง เพราะฉะนั้น บางทีเราก็ต้องสู้ ต้องกล้าที่จะเสี่ยง ทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง”
           เม็ดนุ่นเอื้อมมือไปกุมมือของเพื่อนเอาไว้
          “โอ๊ต โลกนี้มันกว้างใหญ่มากนะ แกอยู่ในออฟฟิศแคบ ๆ ทำงานเดิม ๆ แกจะไม่มีวันรู้เลยว่าแกทำอะไรได้บ้าง และในโลกนี้มันยังมีงานให้ทำอีกมากมายขนาดไหน งานแกตอนนี้อาจจะมีรายได้ดีก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่างานใหม่จะรายได้ดีไม่เท่าสักหน่อย”
          ข้าวโอ๊ตนิ่งเงียบ ท่าทางเหมือนกับคนที่คิดไม่ตก เม็ดนุ่นก็ไม่อยากจะกดดันเพื่อนให้มากขึ้นไปอีก หล่อนบีบมือเพื่อนที่กุมอยู่
          “เอาเถอะ ลองคิดดูก็แล้วกัน แต่ระหว่างที่คิด ไปเที่ยวกันก่อนไหมล่ะ แกทำแต่งาน แทบไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลยถึงได้เครียด ปีใหม่นี้ไปญี่ปุ่นกับฉันเถอะ ไปเต็มโควต้าฟรีวีซ่าเลย สองอาทิตย์ ฉันจะไปโตเกียวอีกรอบ แล้วก็ไปแช่ออนเซ็นดูภูเขาไฟฟูจิ อยากไปชิสึโอกะด้วย แล้วก็ว่าจะข้ามไปคานาซาว่าอีกสักรอบ แวะเที่ยวชิราคาวะโกะกับทาเทยาม่า แล้วค่อยขึ้นเครื่องบินกลับที่นาโงย่า มันต้องสนุกแน่นอน ไปนะ”
          “ไม่รู้สิ มันตั้งสองอาทิตย์” ข้าวโอ๊ตลังเล
          “ไปเถอะ ฉันจะได้แนะนำให้แกรู้จักกับพวกอัตสึโตะด้วย เด็กพวกนั้นน่ารักกันทุกคน”
          “หล่อรึเปล่า ถ้าหล่อฉันอาจจะสนใจก็ได้”
          “เรียกว่าดีงามมากเลยดีกว่า โดยเฉพาะอัตสึโตะ หล่อเหมือนนักเตะทีมชาติญี่ปุ่นเบอร์สองที่เป็นกองหลังที่ดัง ๆ น่ะ คนอื่น ๆ ก็หน้าตาดีนะ เออใช่ ยังไม่เคยเอารูปให้แกดูเลยนี่”
          ข้าวโอ๊ตรับโทรศัพท์มือถือจากเพื่อนมาดู หน้าจอแสดงภาพหมู่ของคนห้าหกคนถ่ายบนสะพานหน้าปราสาทแบบญี่ปุ่นสีขาวและต้นซากุระออกดอกสีชมพูหวาน เพื่อนของเขาตัวเตี้ยสุดยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงกลาง ทางขวามือเป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักที่คงเป็นอัตสึโตะเพราะมีหนุ่มเยอรมันผมทองกอดบ่าอยู่อย่างสนิทสนมและอีกข้างมีหนุ่มญี่ปุ่นหน้าตาดียืนชิดติดแนบแน่นอย่างไม่ยอมน้อยหน้า หน้าของเขาดูบึ้ง ๆ แต่ก็ดูดีไปอีกแบบ
          “หล่อใช่ไหมล่ะ หน้าตาดีกว่าพวกนักร้องดาราหรือบรรดาหนุ่ม ๆ โมเดลหนัง GV ในคอลเลคชั่นของแกเสียอีกนา น้องโช น้องนางิ หนูฮิคารุให้หลบไปเลย นี่สิ! คนตัวเป็น ๆ จับต้องได้ ดีกว่าเห็น ๆ”
          “แกจะชวนฉันไปเที่ยวหรือชวนไปหาคู่กันแน่”
          “สองอย่างเลยก็ด้าย” เม็ดนุ่นยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวน ๆ “อยากให้เพื่อนมีผู้ชายข้างกายเสียที”
          “ไปกันใหญ่ละ พอเหอะ เลิกพูดเล่นได้แล้ว”
          ข้าวโอ๊ตตัดบทพร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนให้ เม็ดนุ่นรับมา แต่ก็ยังอดแถมท้ายอีกนิดไม่ได้ว่า
          “ฉันพูดจริง ๆ นะ ถ้าแกไปเที่ยว แล้วมันจะทำให้แกได้ปลดปล่อยอะไร ๆ ที่มันผูกรัดตัวกับหัวใจแกอยู่ทำให้แกลังเล ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือความรัก ฉันก็จะสนับสนุนแกทุกวิถีทาง ออกค่าเครื่องบินให้ยังได้เลยเอ้า!”
          ชายหนุ่มทำหูทวนลม คีบปลาดิบในจานเข้าปากทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เพื่อนพูด แต่ข้าวโอ๊ตยอมรับว่า ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าตอนที่เดินเข้ามาในร้านมากทีเดียว
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 11 (7-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Alice111 ที่ 07-01-2016 10:21:19
ชอบภาษาที่เขียนมากเลยค่ะมันไหลลื่นมากอ่านแล้วไม่มีสะดุดเลยค่ะ เหมือนอ่านหนังสือนิยายจริงๆ ลุ้นข้าวโอ๊ตอยู่ตลอดเวลา อ่านแล้วเห็นภาพงานในออฟฟิต มีทั้งคนที่เราอยากร่วมงานด้วยและไม่อยากร่วมงานด้วย มันเป็นเรื่องปกติมันมีทุกทีทั่วไปเลยจริงๆ 

  :L2: :L2: :L2: ให้คนแต่งค่ะ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 11 (7-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 07-01-2016 10:47:06
เพื่อนน่ารักนะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 11 (7-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 07-01-2016 14:07:10
นานๆ ที จะเห็นนิยายที่เก็บรายละเอียด และบรรยายได้ดีงามทุกตัวอักษรอย่างนี้
ตบมือรัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 12 (8-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 08-01-2016 04:33:44
บทที่ 12
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ให้ชีวิตมันมีอะไรดีขึ้นสักนิดเถอะ แค่นิดเดียวก็ยังดี ให้เราได้มีความหวังบ้าง
Like – Comment – Share

          บรรยากาศในออฟฟิศยังคงไม่ดีขึ้น ตั้งแต่ทีโมนประกาศปรามเรื่องความสนิทสนมแบบเกินเลยระหว่างพนักงานด้วยกันในห้องประชุมเมื่อวันนั้น
          ข้าวโอ๊ตนิ่งขรึมลงและเขายังไม่ได้คุยกับคาร์ลจนแล้วจนรอด
          ระหว่างชายหนุ่มกับออกัสก็มีช่องว่างเกิดขึ้นเพราะเรื่องงานตรวจสอบบริษัททำให้เขาไม่ค่อยได้ออกไปเกาะโต๊ะคุยกับออกัสเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
          ออกัสเองก็รู้สึกถึงความห่างเหินที่เกิดขึ้น แต่เขาบอกตัวเองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายไปปรับความเข้าใจกับเพื่อนก่อน แม้ว่าการที่คิดอย่างนี้จะทำให้เขาต้องสูญเสียพันธมิตรไปคนหนึ่งและทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจก็ตามที
          ญาดาลาพักร้อนหนึ่งวันเพื่อจัดการธุระทางบ้าน ตรงกับวันที่ทางโรงแรมอินเตอร์เชิญไปชิมอาหารตามรายการที่บริษัทเลือกเอาไว้สำหรับงานสัมมนาแนะนำผลิตภัณฑ์ ทีโมนถือโอกาสนี้ออกคำสั่งให้ออกัสไปกับเขาแค่สองคนทันที ไม่ต้องให้ข้าวโอ๊ตไปด้วย ออกัสพยายามจะค้าน แต่เมื่อไม่มีทั้งญาดาและข้าวโอ๊ตเป็นตัวหนุน หนึ่งเสียงของเขาก็ไม่อาจคัดค้านการตัดสินใจของรองผู้อำนวยการได้ ชายหนุ่มจึงต้องไปกับทีโมนอย่างไม่มีทางเลือก
          “ผมดีใจนะที่เราได้อยู่กันแค่สองคน ไม่ต้องมีคนอื่นมาด้วย”
          ทีโมนแกล้งโน้มตัวไปกระซิบใกล้หูออกัส เมื่ออยู่ในรถด้วยกัน แต่เขาก็ยังสงวนท่าทีอยู่ ไม่รุกเป้าหมายของเขามากกว่านี้เพราะในรถยังมีบำรุงอยู่อีกคนหนึ่ง
          ออกัสขยับตัวหนีทันที สีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
          “คุณเพิ่งพูดเรื่องความสนิทสนมระหว่างพนักงานอยู่หยก ๆ แต่ตอนนี้คุณกำลังทำเสียเองนะ”
          “ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นา ผมแค่พูดกับคุณเฉย ๆ คิดมากไปรึเปล่า คุณกัส”
          เมื่ออีกฝ่ายยืนกระต่ายขาเดียวอย่างนั้น ออกัสก็โต้เถียงอะไรไม่ออก ได้แต่พยายามระงับอารมณ์และอยู่ห่างจากทีโมนเท่าที่จะทำได้จนกระทั่งบำรุงขับรถมาถึงจุดหมายปลายทาง
          เซลส์โรงแรมที่ออกัสไม่ถูกชะตาด้วยเป็นคนมาต้อนรับและเชิญทั้งสองคนไปที่ห้องอาหาร
          ระหว่างที่เดินไปด้วยกัน ป้าเซลส์ที่ออกัสแอบนึกเรียกอยู่ในใจประกบติดทีโมน พยายามชวนคุยและแนะนำโรงแรมด้วยความกระตือรือร้น แต่ไม่ได้ใส่ใจออกัสมากนัก
          ถ้าเป็นครั้งที่แล้ว ชายหนุ่มคงไม่สบอารมณ์ แต่ตอนนี้เขานึกอยากจะกราบขอบคุณป้าเซลส์แนบอกที่ช่วยดึงทีโมนไปห่าง ๆ เขาได้
          การชิมอาหารใช้เวลาไม่นาน เมนูอาหารที่เลือกเป็นอย่างที่ออกัสกับคนอื่น ๆ เดากันเอาไว้ นั่นคือเน้นอาหารเยอรมันเป็นหลัก อาหารก็เป็นชนิดเดิม ๆ คือ กูลาชเนื้อ หมูชุบเกล็ดขนมปังทอดหรือชนิตเซล สลัดไส้กรอกและชีส สลัดมันฝรั่ง รวมทั้งไส้กรอกและแฮมชนิดต่าง ๆ
          ชายหนุ่มตักชิมนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะอาหารเยอรมันส่วนใหญ่มีรสเค็มและติดจะเลี่ยน ไม่ถูกปากเขาเท่าไรนัก และอาหารของโรงแรมนี้จะว่าไปก็รสชาติธรรมดา ๆ ไม่ถึงกับชิมแล้วต้องร้องว้าว
          “เป็นยังไงบ้างคุณกัส ใช้ได้ไหมครับ” ทีโมนหันมาถามความเห็นของเขา
          “ก็ไม่เลวนะครับ บางอย่างติดจะเค็มไปนิด อย่างกูลาช แต่รวม ๆ ก็ใช้ได้”
          ออกัสยั้งปากยั้งคำเอาไว้ไม่ให้วิจารณ์ไปตามใจคิดเพราะเห็นแก่ความดีที่ป้าเซลส์ทำให้เขาโดยไม่รู้ตัว ทีโมนก็ไม่มีปัญหากับอาหาร เขาแสดงความพอใจเมื่อเชฟใหญ่ออกมารับฟังคำติชมเรื่องอาหารด้วยตัวเองและทุกอย่างก็ตกลงกันได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
          ออกัสคิดว่าเสร็จจากตรงนี้แล้วก็จะได้กลับออฟฟิศกันเลย แต่ชายหนุ่มคิดผิด
          ป้าเซลส์ส่งคีย์การ์ดห้องพักให้ทีโมนและเดินมาส่งถึงที่ลิฟท์ หล่อนยิ้มแย้มบอกทีโมนว่า
          “ห้องพักของเราถึงจะเป็น standard type แต่ก็หรูหราเท่ากับห้องแบบ deluxe ของโรงแรมอื่น วิวก็ดีด้วยค่ะ เห็นวิวกรุงเทพฯ ในมุมกว้าง คุณต้องชอบแน่ ๆ ค่ะ แล้วถ้าคุณตกลง ดิฉันจะประสานงานกับทางแผนกจองห้องให้กันห้องที่ดีที่สุดเพื่อแขกของคุณค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
          “ขอบคุณมากครับ ยังไงขอผมขึ้นไปดูก่อนนะครับ แล้วตัดสินใจยังไงจะรีบแจ้งทางโรงแรมครับ”
          ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในลิฟท์ ออกัสแม้ว่าจะงงและไม่รู้เรื่องว่าวันนี้จะต้องดูห้องพักด้วยก็จำต้องก้าวเข้าไปในลิฟท์เพราะสายตาสองคู่กดดันเขา แต่เมื่อเขาเห็นป้าเซลส์แค่กดลิฟท์ให้ ไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นไปด้วย เขาก็ถามด้วยความแปลกใจว่า
          “อ้าว ไม่ไปด้วยกันหรือครับ”
          “ทางเราอยากให้ลูกค้ามีเวลาชมห้องและปรึกษากันได้ตามสบายค่ะ ยังไงถ้าชมห้องเสร็จเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์หาดิฉันหรือจะคืนกุญแจที่ฟร้อนท์เลยก็ได้นะคะ”
          พูดจบ หล่อนก็กดปิดประตูลิฟท์ เล่นเอาออกัสงงเพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าสมอกสมใจของทีโมนแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเขาตกหลุมพรางของหมอนี่เข้าเสียแล้ว
          “ถ้าคุณจะไปดูห้องก็เชิญคุณไปดูคนเดียวก็แล้วกัน ผมขอไปรอที่ล็อบบี้” ออกัสรีบบอกทันทีและทำท่าจะกดหยุดลิฟท์ แต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า
          “คุณไม่อยากไปดูเหรอว่าห้องที่นี่สวยสู้ห้องของคอนโดได้รึเปล่า”
          “หมายความว่ายังไง”
          “เราไปคุยกันในห้องดีกว่า”
          ออกัสกัดฟันแน่น ทีโมนพูดเหมือนรู้อะไรสักอย่างและจากสายตาของหมอนั่น มันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
          เมื่อลิฟท์เปิด ทีโมนเดินออกมาก่อน เขาหันหลังกลับมามองออกัสที่ยังยืนนิ่งอยู่ในลิฟท์ ทั้งสองคนยืนมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วในที่สุด ออกัสก็จำใจเดินออกมาจากลิฟท์อย่างไม่มีทางเลือก
          ทีโมนใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องพัก ห้องที่เซลส์โรงแรมเลือกให้พวกเขาชมอยู่บนชั้นที่ยี่สิบ ตกแต่งได้อย่างหรูหราสมกับที่โฆษณาเอาไว้ กระจกหน้าต่างกว้างทำให้ห้องสว่างไสวและเห็นวิวอาคารบ้านเรือนได้อย่างชัดเจน ทีโมนเดินสำรวจไปรอบห้องด้วยความพอใจ ก่อนจะไปหยุดยืนตรงหน้าต่าง มองวิวด้านนอกด้วยความชื่นชม
           “ห้องสวย วิวก็สวย มาดูสิครับคุณกัส” ทีโมนหันมากวักมือเรียกเขา แต่ออกัสยังยึดพื้นที่บริเวณประตูห้องอย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมเดินมาหาตามที่อีกฝ่ายเรียกและชายหนุ่มก็ไม่มีอารมณ์จะชื่นชมความสวยงามของห้องพักหรือวิวทิวทัศน์ใด ๆ ด้วยในตอนนี้
          “คุณอยากพูดอะไรกับผมก็พูดมาเลยดีกว่า”
          “ใจร้อนจัง” ทีโมนยั่ว ก่อนจะผละจากหน้าต่างเดินมานั่งลงบนเตียง
          “งั้นเรามานั่งคุยกันดีกว่าครับ ยืนอยู่อย่างนั้นเมื่อยแย่” เขาตบพื้นเตียงข้างตัว ออกัสชักสีหน้าทันที
          “ผมไม่เมื่อย คุณพูดมาเลยเถอะ”
          ทีโมนยักไหล่ แต่ก็ยอมทำตาม และเขาก็เริ่มต้นอย่างไม่มีการอ้อมค้อมด้วยการบอกว่า
          “ผมเห็นคุณที่คอนโด กำลังจะขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องพัก คุณมากับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมแน่ใจว่าไม่ใช่แฟนของคุณอย่างแน่นอน”
          “นั่นเพื่อนผม วันนั้นผมไปเยี่ยมเพื่อน” ออกัสแก้ตัว แต่เขารู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผากพิกล น้ำลายที่กลืนลงไปก็บาดคอจนเสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งผิดไปจากเดิม
          “เอ เพื่อนคนนี้ท่าทางจะสนิทสนมกันมากนะครับ ขนาดที่ว่าคุณทั้งกอดทั้งจูบเขา เพื่อนนี่เขาทำกันอย่างนี้เองนะ”
          ออกัสเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพในโทรศัพท์ที่ทีโมนชูให้ดู ในภาพนั้น คนสองคนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม คนหนึ่งในสองคือเขาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกถ่ายภาพเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
           “เห็นหน้าชัดเจนขนาดนี้ ถ้าผมเอาภาพนี้ไปให้แฟนคุณดู มันจะเป็นยังไงนะ ได้ยินว่าแฟนคุณรักคุณมากเสียด้วย เขาคงเสียใจพิลึกที่เห็นแฟนคนดีกอดจูบกับผู้ชายคนอื่นแบบนี้ คุณว่าไหม”
           “คุณต้องการอะไร แลกกับภาพนั่น”
          ทีโมนไม่ตอบ เขาลุกจากเตียงที่นั่งอยู่เดินเข้ามาหาออกัสอย่างเงียบ ๆ ท่าทางของเขาไม่เชิงว่าคุกคามแต่ออกัสก็ถอยจนหลังติดประตูและเมื่อทีโมนใช้สองมือเท้าประตู เขาก็ถูกขังอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ
          “คุณก็น่าจะรู้ว่าผมต้องการอะไรจากคุณ” ทีโมนกลืนน้ำลายลงคอ สายตาโลมเลียมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป “ยอมทำตามใจผม แล้วผมจะลบรูปนี้ทิ้ง แต่ถ้าคุณไม่ยอม ผมจะส่งรูปนี้ให้แฟนคุณดู”
          พูดจบเขาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เป้าหมายคือริมฝีปากของออกัส แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะประกบกัน ออกัสก็ผลักทีโมนเต็มแรงจนเขาเซเกือบจะล้มและออกัสก็เป็นอิสระในที่สุด
          “สกปรกที่สุด” ชายหนุ่มด่าด้วยความรังเกียจ แต่ทีโมนก็ไม่แคร์
          “ถ้าคุณยอมผมตั้งแต่แรก ผมก็คงไม่ต้องทำอะไรแบบนี้หรอก ว่ายังไงล่ะคุณกัส”
          “ผมไม่มีวันทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้นแน่” ออกัสพูดเสียงแข็ง แต่แววตาของเขาหวั่นไหว
          “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ ผมจะให้เวลาคุณคิดอีกสักหน่อยก็ได้ คิดให้ดี ๆ แต่ก็อย่าคิดนานนักล่ะ ไม่งั้นผมอาจจะเปลี่ยนใจ ส่งรูปนี้ไปให้แฟนคุณดูเล่นก็ได้”
          ออกัสทนอยู่ในห้องไม่ไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มเปิดประตูห้องแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

           ระหว่างที่ออกัสไม่อยู่ในออฟฟิศ ข้าวโอ๊ตต้องมานั่งที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นแทน และทุกครั้งที่เขานั่งตรงนี้เขาก็จะยุ่งตลอด ทั้งรับโทรศัพท์ ทั้งงานของออกัสและงานของเขาเอง แต่เมื่อเขาได้นั่งข้างหน้าออฟฟิศอย่างวันนี้ เขาก็มีโอกาสได้คุยกับคาร์ล
เด็กหนุ่มอาศัยจังหวะที่ข้าวโอ๊ตว่างเดินออกมาหาที่โต๊ะ สีหน้าของเขาไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ข้าวโอ๊ตคนเดียวที่คิดไม่ตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น
          “ผมอยากขอโทษเรื่องที่ทำให้คุณถูกตำหนิในห้องประชุม”
          “คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษสักหน่อย คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”
          ข้าวโอ๊ตรีบพูด ชายหนุ่มเคยกังวลว่าคาร์ลจะคิดอย่างไร ตอนนี้เขาก็ยังกังวลอยู่ เพราะท่าทางของเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่สบายใจเลย เขาไม่รู้ว่าที่คาร์ลไม่สบายใจเป็นเพราะเสียใจที่ดันมาสนิทกับเขาจนเกิดเรื่องหรือเปล่า ถ้าไม่ได้คุยกันตั้งแต่แรก มันจะดีกว่านี้หรือไม่
           “ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ผมไม่คิดว่าการที่เราจะสนิทสนมกับใครสักคนเป็นเรื่องผิดหรือเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”
          “คุณคิดอย่างนี้จริง ๆ เหรอ” ข้าวโอ๊ตรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินแบบนี้
          “ครับ ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ” เด็กหนุ่มยืนยัน “เราสองคนก็ไม่ได้ทำอะไรไม่เหมาะสม แค่ไปกินข้าว ไปดูหนังกันธรรมดา ผมน่ะคิดนะว่าทำไมคนในออฟฟิศเราดูห่างเหินกันพิกล ไม่มีการชวนกันไปกินข้าวหลังเลิกงาน ไม่มีการชวนไปเที่ยวไหน ๆ ผมว่ามันแปลก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว คงเพราะเรื่องนี้เอง ทำให้ต้องระวังตัวกัน”
           “แล้วในเมื่อคุณรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ คุณจะเลิกคุยกับผมไหม”
           ข้าวโอ๊ตตัดสินใจถาม
          “ทำไมผมต้องเลิกคุยกับคุณด้วยล่ะ” คาร์ลขมวดคิ้วทันที “ผมน่ะดีใจจะตายที่คุณยอมเป็นเพื่อนกับเด็กฝึกงานอย่างผม ตอนที่ไปกินข้าวหรือไปดูหนังก็สนุกมาก ๆ ผมมีความทรงจำที่ดีในการมาฝึกงานคราวนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณเลยนะ”
           คาร์ลพูดตามที่ใจคิด แต่เขารู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคต่อไป
           “แต่ถ้าคุณลำบากใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อยากคุยกับผมแล้ว ผมก็เข้าใจนะครับ”
           ข้าวโอ๊ตยิ้มออกแล้วในตอนนี้ นี่เท่ากับว่าต่างฝ่ายต่างกังวลในเรื่องเดียวกันและก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากคุยกับตัวเองอีกอย่างนั้นสินะ
          “ถ้างั้น เราก็คุยกันเหมือนเดิม ตกลงนะ” ชายหนุ่มสรุป
          คาร์ลยิ้มเหมือนกันเมื่อเห็นข้าวโอ๊ตยิ้ม แล้วเมื่อได้ยินข้าวโอ๊ตพูด เขาก็ผงกศีรษะรับอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเด็กหนุ่มเหมือนคนที่ยกภูเขาออกจากอกได้สำเร็จ
          “ถ้ามันไม่ทำให้คุณโอ๊ตเดือดร้อน ผมก็ยินดีครับ”
          “ไม่มีเรื่องคุณ ผมก็เดือดร้อนตลอดเวลาด้วยเรื่องอื่นอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
           คำพูดของข้าวโอ๊ตอาจจะฟังดูแปลก แต่คาร์ลพอจะเข้าใจว่าชายหนุ่มหมายความว่าอย่างไร เขาทำงานที่นี่ได้พักหนึ่งแล้วก็พอจะดูอะไร ๆ ในออฟฟิศออกอยู่บ้าง เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าเขาไม่อยากจะทำลายบรรยากาศที่จะเริ่มจะดีด้วยเรื่องที่ชวนไม่สบายใจ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามว่า
           “แล้วนี่คุณกำลังจะทำอะไรครับ”
          คาร์ลมองไปที่ห่อกระดาษหลายห่อบนโต๊ะ นอกจากนั้นยังมีกล่องใส่ปากกาอีกหลายกล่อง บนพื้นก็มีแฟ้มเปล่าสำหรับใส่เอกสารกองอยู่ด้วย
          “กำลังจะจัดเอกสารให้ผู้เข้าร่วมงานแนะนำผลิตภัณฑ์ของเลมอนเซคิวริตี้น่ะ จริงสิ คุณว่างไหมล่ะ ช่วยขนของพวกนี้ไปไว้บนโต๊ะในห้องอาหารหน่อยสิ ผมจะสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องใช้ แล้วจะได้ลงมือจัดแฟ้ม”
          คาร์ลทำตามที่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ร้องขออย่างไม่อิดเอื้อน ข้าวโอ๊ตคลิกเม้าส์สั่งพิมพ์เอกสารตามจำนวนที่ต้องการ แล้วเดินไปเปิดตู้เอกสารที่อยู่ติดกับห้องทำงานของคาร์ลซึ่งเอาไว้เก็บวารสารของบริษัทที่จัดพิมพ์โดยสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนี แผ่นพับเกี่ยวกับธุรกิจด้านต่าง ๆ ของเยอรมนี หนังสือแนะนำประเทศเยอรมนี รวมทั้งของที่ระลึกต่าง ๆ ที่ประทับตราโลโก้ของบริษัท
          ญาดาเคยสั่งให้หาทางระบายพวกวารสารและแผ่นพับรวมทั้งโบรชัวร์ต่าง ๆ ออกไปเสียบ้าง ข้าวโอ๊ตจึงคิดจะเอาไปใช้ในงานของเลมอนเซคิวริตี้ แต่เอกสารที่มีอยู่ค่อนข้างเก่า ไม่ทันสมัยแล้ว ชายหนุ่มเลือกอยู่ครู่จึงได้หนังสือแนะนำประเทศเยอรมันเล่มเล็กและแผ่นพับที่แนะนำธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศของเยอรมันที่ยังไม่เก่าจนเกินไปมาจำนวนหนึ่ง
          มิคกี้เดินมาเห็นเข้าพอดี ชายหนุ่มจึงเสนอตัวช่วยยกหนังสือและแผ่นพับเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร ข้าวโอ๊ตก็ไม่ว่าอะไร แบ่งบางส่วนให้รุ่นน้องไปแต่โดยดี
          “นี่กำลังจะเริ่มจัดแฟ้มเอกสารกันแล้วรึครับเนี่ย” มิคกี้พูดเมื่อเห็นของที่กองอยู่บนโต๊ะ
          “ใช่แล้วล่ะ จัดเสียให้เสร็จวันนี้เลย พี่หญ้าสั่งเอาไว้” ข้าวโอ๊ตตอบ พร้อมกับหยิบปึกเอกสารที่สั่งพิมพ์เอาไว้จากเครื่องปริ้นเตอร์ที่อยู่ในห้องเดียวกันมาตั้งรวมไว้ด้วยกัน
          “ผมช่วยนะ” มิคกี้อาสา ข้าวโอ๊ตก็พยักหน้ารับอย่างไม่เกี่ยงงอน
          “เอาสิ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”
          ข้าวโอ๊ตเรียงเอกสาร หนังสือ แผ่นพับ และของอย่างอื่นที่จะใส่ในแฟ้มไว้ตามลำดับเพื่อให้คาร์ลกับมิคกี้หยิบใส่แฟ้มได้อย่างสะดวก
           มิคกี้ทำงานไปก็แอบสังเกตคาร์ลกับข้าวโอ๊ตไปด้วย เมื่อเห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเหมือนจะกลับมาดีอีกครั้ง ชายหนุ่มก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า
          “สองคนนี้คืนดีกันแล้วเหรอครับ ก่อนหน้านี้ยังดูตึง ๆ กันอยู่เลย”
           คาร์ลไม่รู้ว่ามิคกี้กำลังพูดถึงเขาอยู่เพราะอีกฝ่ายพูดด้วยภาษาไทย เด็กหนุ่มจึงทำงานของตัวเองต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจนัก ผิดกับข้าวโอ๊ตที่ได้ยินเต็มสองหู
         “พี่กับเขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรกันนะถึงจะต้องมาคืนดีกัน แต่จริง ๆ นายอย่าใช้คำนี้ดีกว่า ฟังดูมันเหมือนแฟนทะเลาะกัน ฟังไม่ค่อยเข้าหูเลย”
          มิคกี้เคืองที่ถูกติง แต่เขาก็ยังยิ้มได้พร้อมกับถามกลับด้วยเสียงและหน้าตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์สุดชีวิตว่า
           “อ้าว ไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอครับ”
           “ไม่ใช่ เป็นเพื่อนกันธรรมดา”
         มิคกี้ยิ้มเหมือนรู้เท่าทัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนั้น เขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็นจึงทำงานต่อไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้พยายามจะแซวหรือกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อีก แต่ข้าวโอ๊ตก็ไม่ได้พัก หมดมิคกี้ไปคนก็ยังเหลือนัตโตะที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแว่ว ๆ ข้างนอกห้องทำให้ทนอยู่ในห้องไม่ได้ต้องเดินออกมาดูว่ามีใครทำอะไรอยู่ เมื่อเห็นคนในออฟฟิศรวมตัวกันอยู่ในห้องรับประทานอาหาร เขาก็เข้ามาร่วมด้วยอย่างไม่ลังเล
          “ให้ผมช่วยด้วยคนนะครับ” ชายหนุ่มเสนอตัวทันที “ทำกันอยู่สองคนกับคาร์ลเมื่อไหร่จะเสร็จละครับ”
           นัตโตะแกล้งลืมมิคกี้ที่ยืนอยู่ในห้องอีกคนอย่างหน้าตาเฉย ข้าวโอ๊ตกลอกตาอย่างเอือมระอา
           “อยากทำก็ทำ”
           “พี่กัสนี่ก็เหลือเกิน ตัวเองไปกินอาหารอร่อย ๆ กับทีโมน แต่กลับทิ้งพี่โอ๊ตให้ทำงานแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ”
           ข้าวโอ๊ตพยายามไม่สนใจคำพูดแบบยุให้รำตำให้รั่วของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง และเขาก็คงจะทำได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ตบท้ายด้วยการวกกลับมาเรื่องของเขากับคาร์ลอีก
          “แต่จริง ๆ อาจจะดีก็ได้ ผมก็ลืมคิดไป พี่โอ๊ตจะได้อยู่กับคาร์ลสองคน ไม่ต้องมีใครมาคอยตำหนิ จริงไหมครับ”
          “พี่ไม่เห็นว่าจะได้อยู่กันสองคนตรงไหน นายก็อยู่ มิคกี้ก็อยู่ คาริน่าก็อยู่ คนอยู่กันเต็มออฟฟิศ แล้วก็เลิกพูดอะไรแบบนี้สักที ถ้าไม่เกรงใจพี่ ก็เกรงใจคาร์ลบ้าง เขาไม่รู้เรื่องอะไร มาฝึกงานแค่เดี๋ยวเดียว ให้เขาเห็นแต่ด้านดี ๆ ของออฟฟิศเราเถอะ อย่าให้เขาต้องเห็นคนในออฟฟิศทะเลาะจิกกัดกันอุตลุตเลย มันน่าเกลียด”
          มิคกี้หลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างขบขัน นัตโตะหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ ส่วนคาร์ลตีหน้าเฉย เขาเข้าใจทุกคำที่นัตโตะพูดเพราะชายหนุ่มใช้ภาษาอังกฤษเพื่อหวังให้เขารู้เรื่องด้วย เขาไม่ชอบคำพูดในลักษณะนี้เหมือนกันและมีความรู้สึกว่านัตโตะพยายามจะหาเรื่องข้าวโอ๊ต เมื่อฝ่ายหลังโต้กลับเอาบ้าง เขาก็รู้สึกว่าสาสมดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาเพราะกลัวว่าจะเสียมารยาท
          “แหม ผมก็แค่แซวเล่น ทำเป็นซีเรียสไปได้ โอเคครับ ถ้าพี่ไม่พอใจ ผมไม่พูดก็ได้”
          “นัตเขาไม่ได้ตั้งใจหรอกครับพี่โอ๊ต ช่วงนี้เขากำลังแฮปปี้อินเลิฟก็เลยมองว่าทุกคนรอบตัวกำลังมีความรักไปหมด จริงไหมนัต เมื่อวันเสาร์วันสุดท้ายของงานพลาสติกแฟนมารับไปดูหนังด้วยกันไม่ใช่เหรอ เออ แล้วเป็นไงมั่ง ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย ดูหนังกับแฟนสนุกแค่ไหน” มิคกี้เพิ่งมีโอกาสได้พูดบ้าง
          “สนุกมากเลย หนังก็สนุก พอหนังจบแฟนเราก็พาเราไปกินข้าว อาหารฝรั่งเศสด้วยนะ บรรยากาศดีมากเลย เป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ยอดเยี่ยมที่สุด เรายังติดใจอยู่เลย คุย ๆ กันไว้ว่าครั้งหน้าจะไปกินร้านนี้อีก”
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเพราะเขาก็รู้เหมือนที่คนอื่นรู้นั่นแหละว่านัตโตะไม่มีแฟน แล้วจู่ ๆ มีคนไปดินเนอร์ด้วยแบบนี้ มันเรื่องจริงหรือราคาคุยกันแน่ ส่วนคาร์ลฟังแล้วทำหน้าประหลาด ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า
          “เอ แฟนคุณนัตนี่คือคุณทีโมนเหรอครับ วันนั้นผมเห็นคุณสองคนออกมาจากโรงหนังด้วยกันตอนหนังเลิก”
          “เอ๊ะ คุณไม่เห็นบอกผมเรื่องนี้เลย” ข้าวโอ๊ตหันไปถามคาร์ล
          “บอกไม่ทันครับ บังเอิญเห็นพอดี กำลังจะสะกิดบอกคุณ แต่หันไปมองอีกทีก็เดินหายไปแล้ว ผมก็เลยไม่ได้บอก คิดว่าไม่มีอะไร”
          “ตกลงว่ายังไง นัตโตะ นายเป็นแฟนกับทีโมนงั้นเหรอ”
         ข้าวโอ๊ตได้ทีหันมาเป็นฝ่ายคาดคั้นบ้าง มิคกี้ก็มองเขม็งมาอีกคนด้วยความสงสัยและอยากรู้
          นัตโตะอึกอัก นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเอาบ้าง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะยืดอกยอมรับเพื่อสร้างความอิจฉาริษยาให้เหล่าคนที่สนใจในตัวรองผู้อำนวยการรูปหล่อ แต่ตอนนี้มีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนในออฟฟิศอยู่ เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ออกตัวตำหนิเรื่องของข้าวโอ๊ตและคาร์ลเพื่อเอาหน้าต่อคาริน่าและทีโมน ถ้าเขายอมรับหรือแสดงตัวว่าคิดอะไรเกินเลยต่อทีโมนแล้วล่ะก็ เขาต้องกลายเป็นคนที่ถูกตำหนิแทนข้าวโอ๊ตอย่างแน่นอน
          “ผมไม่ได้เป็นแฟนกับทีโมนสักหน่อย อย่าพูดมั่ว ๆ นะ”
          “แล้วทำไมนายไปดูหนังกับเขาล่ะ” มิคกี้ถามอย่างเอาเรื่อง
          “ไม่ได้ดูกับทีโมน เราไปกับแฟนเรา บังเอิญเจอทีโมนพอดีก็เลยชวนดูด้วยกันแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรสักหน่อย ดูจบก็แยกย้ายกันไป คาร์ลก็คงเห็นตอนนั้นพอดี นี่ ทีหลังถ้าเห็นอะไรที่ตัวเองไม่แน่ใจแบบนี้ก็อย่าเอาไปเที่ยวพูดอีก ดูซิเนี่ย ทุกคนเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด”
          ตอนท้ายนัตโตะหันมาโวยวายเอากับคาร์ลเป็นการกลบเกลื่อน ท่าทางของเขาเหมือนคนโดนรุมรังแกและกำลังเจ็บช้ำอย่างแสนสาหัส คาร์ลขยับจะโต้ แต่ข้าวโอ๊ตดึงแขนเขาเอาไว้ก่อนเป็นเชิงปราม ชายหนุ่มจึงหยุด มิคกี้เองก็ไม่ได้พูดอะไร แต่มองด้วยสายตาที่รู้เท่าทัน
          “เอาเถอะ เข้าใจผิดก็เข้าใจผิด แล้วพี่ก็หวังว่านายจะบอกตัวเองเหมือนที่บอกคาร์ลเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรเอาไปเที่ยวพูดต่อเพราะมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน”
          นัตโตะไม่อาจทนอยู่ในห้องที่มีแต่สายตารู้ทันและสมเพชได้อีก เขาทิ้งความคิดที่จะช่วยจัดเอกสาร หันหลังเดินปึงปังออกไปจากห้องด้วยอารมณ์หงุดหงิดและไม่พอใจเต็มที่ทันที
          มิคกี้มองตามไปก่อนจะเปรยว่า
          “ทีโมนไปดูหนังกับนัตโตะนี่นะ เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่”
          ไม่มีคำตอบรับใด ๆ จากคนที่เหลือในห้อง ข้าวโอ๊ตไม่แสดงความเห็นเพราะแค่นี้ก็เห็นไส้เห็นพุงอีกฝ่ายมากพอแล้ว คาร์ลก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน มิคกี้จึงพลอยเงียบตามทุกคนไปด้วย
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 12 (8-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 08-01-2016 04:35:08
          ออกัสกับทีโมนกลับมาตอนเที่ยงกว่า ๆ สีหน้าของทีโมนสดใส มาถึงเขาก็พูดถึงโรงแรมและเมนูอาหารที่โรงแรมจัดให้ชิมด้วยความชื่นชมกับคนในออฟฟิศ ต่างจากออกัสที่หน้าบึ้งราวหน้ามือเป็นหลังมือ ชายหนุ่มไม่รับประทานอาหารกลางวันเพราะกินมาแล้วจากที่โรงแรม แต่ก็ยังเข้ามานั่งในครัว เอาผลไม้ที่ซื้อใส่ตู้เย็นไว้มานั่งกิน
          มิคกี้กับข้าวโอ๊ตมองด้วยความสงสัย ไปกันสองคน คนหนึ่งกลับมาอารมณ์ดียิ้มกริ่มตาเยิ้มประหนึ่งสูบกัญชาเข้าไปทั้งบ้อง แต่อีกคนกลับทำหน้าบูดบึ้งเหมือนโรงแรมแกล้งเอาอาหารเน่าเสียมาให้กิน
           “นายเป็นอะไร กัส อารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร หรืออาหารโรงแรมมันแย่”
           ข้าวโอ๊ตถามด้วยความสงสัย ลืมเรื่องที่เคยเคืองออกัสไปชั่วคราว
          “นั่นสิครับ เห็นทีโมนคุยออกลั่นว่าอาหารดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไหงพี่กัสทำหน้าเซ็งขนาดนี้ แปลกจัง”
          มิคกี้ก็รู้สึกเหมือนกัน
          “อาหารก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอก เค็ม ๆ เลี่ยน ๆ ตามประสาอาหารเยอรมันนั่นแหละ แต่ก็ไม่แย่เท่าไหร่ พอใช้ได้”
           “แล้วทำไมอารมณ์ไม่ดี” ข้าวโอ๊ตถาม
          “ก็...” ออกัสอึกอักตอบไม่ถูก จะพูดได้อย่างไรว่าเขาถูกรองผู้อำนวยการข่มขู่ เรื่องนี้เท่านั้นที่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ให้ใครรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
           “หงุดหงิดยายป้าเซลส์นิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ป้าพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ถามอะไรนิดหน่อยก็หน้าหงิก ติอาหารก็ไม่ได้ เรากังวลว่าเวลาทำงานด้วยกันจะต้องทะเลาะกันแน่ ๆ เลย”
          “เปลี่ยนเซลส์ไม่ได้เหรอ” ข้าวโอ๊ตเชื่อคำบ่ายเบี่ยงของออกัสสนิทใจและแสดงความเป็นห่วงออกมา
          การยักไหล่ของออกัสคือคำตอบ
           ทีโมนไม่รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนกัน วงอาหารในห้องรับประทานอาหารจึงเลิกด้วยความไวแสง คาริน่ากับคาร์ลเอาจานอาหารมาเก็บในห้องครัวและเดินออกไปอย่างไม่อ้อยอิ่ง แต่นัตโตะที่เดินตามทั้งสองคนมายังคงไม่ออกจากครัว
ชายหนุ่มอาจจะพลาดเรื่องไปดูหนังกับทีโมน แต่เขามีข่าวล่าสุดที่เพิ่งรู้จากคาริน่าเมื่อสักครู่นี้
           “สำนักงานใหญ่กำลังจะจัดฝึกอบรมล่ะ อาทิตย์หนึ่งที่มิวนิก กำลังพิจารณากันอยู่ว่าครั้งนี้ใครจะได้ไป”
           ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที นาน ๆ ทีสำนักงานใหญ่จะจัดฝึกอบรมอะไรแบบนี้เสียที ออฟฟิศนี้มีแค่ญาดาคนเดียวที่เคยได้ไป ออกัสที่อยู่มานานกว่าคนอื่น ๆ ก็ยังไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง
           “เอาแค่คนเดียวเท่านั้นเหรอ” มิคกี้ถาม
           “สองคน แต่คาริน่าบอกว่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะให้พนักงานที่เวียดนามไปด้วยคนหนึ่ง เท่ากับว่าเหลือว่างที่หนึ่งให้ออฟฟิศเรา” นัตโตะตอบ
          “อะไร ๆ ก็ให้ออฟฟิศที่เวียดนามมีเอี่ยวตลอด” ข้าวโอ๊ตเผลอพูดออกมาด้วยความเซ็ง เป็นที่รู้กันว่าออฟฟิศสาขาที่ฮานอยเป็นออฟฟิศลูกรัก พนักงานที่นั่นมีคนเดียว เป็นผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับญาดา แต่เป็นคนที่ไม่เถียงไม่หือไม่อือแถมยังเอาอกเอาใจด็อกเตอร์แฮร์มันน์และทีโมนอย่างออกนอกหน้า ไม่กระด้างกระเดื่องเหมือนคนในออฟฟิศที่กรุงเทพฯ
         “ยายเลอ วานไปเยอรมนีสามสี่รอบแล้ว รอบที่พี่หญ้าได้ไป ยายนั่นก็ไป พี่หญ้ากลับมาบ่นอุบ ยายนั่นมันโคตรจุ้นจ้าน เจ้ากี้เจ้าการ เตือนโน่นเตือนนี่เหมือนเราเป็นเด็กสามขวบ แถมยังเสนอหน้ากับฝรั่งตลอดเวลา อยู่ในห้องอบรมนี่ก็ยกมือถามยกมือตอบไม่หยุด พยายามอวดว่าตัวเองรู้ภาษาเยอรมัน” ออกัสเล่า
          ข้าวโอ๊ตเองก็จำได้ ญาดาเล่าว่าการอบรมจัดเป็นภาษาเยอรมัน แต่มีพนักงานจากบางออฟฟิศที่พูดภาษาเยอรมันไม่ได้ ญาดาก็เป็นหนึ่งในนั้น ทางผู้จัดก็จัดกิจกรรมพิเศษให้ บางกิจกรรมที่ไม่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษคนกลุ่มนี้ก็จะพลาดไป
          ปกติการอบรมมีเป้าหมายให้คนที่เป็นพนักงานการตลาดได้รับความรู้เรื่องธุรกิจเพิ่มเติม ตำแหน่งของข้าวโอ๊ตแทบไม่เกี่ยวข้อง แต่ออกัสเคยบอกว่ามันอยู่ที่ว่าทางด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คาริน่าและทีโมนจะเขียนแนะนำไปอย่างไร ถึงไม่ใช่ตำแหน่งฝ่ายการตลาด แต่ถ้าทางนี้อยากจะส่งไปมันก็ไม่มีปัญหา แล้วการอบรมจัดเป็นภาษาเยอรมัน ในออฟฟิศมีข้าวโอ๊ตคนเดียวที่พูดภาษาเยอรมันได้ ดังนั้นเขาก็มีความหวังที่จะได้ไป
           “ครั้งนี้ใครจะได้ไปนะ” ออกัสพึมพำ
           ข้าวโอ๊ตมองไปรอบ ๆ
           สายตาของทุกคนบอกชัดว่าอยากไป อาจจะไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกัน แต่เป้าหมายของทุกคนในตอนนี้เป็นสิ่งเดียวกันอย่างแน่นอน

           ทีโมนกำลังเจอเรื่องยุ่งยากอย่างไม่คาดคิด
           เมื่อตอนกลางวันเขายังกระหยิ่มยิ้มย่องที่มีโอกาสไล่ต้อนออกัสจนมุม แต่พอตอนกลางคืน เจอคนที่นั่งรอหน้าบึ้งอยู่บนเตียงในคอนโดมิเนียมที่ชอบมาหาความสุขด้วยกันบ่อย ๆ เขาก็รู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมาทันที
          คนบางคนนี่ขี้หึงขี้หวงอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าไม่ได้เป็นคนรักกันจริงจังสักหน่อย
          “เป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ โกรธอะไรใครมา”
          ถึงจะเบื่ออยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเข้ามาคลอเคลียเอาอกเอาใจอยู่ดี เนื่องจากติดใจรสรักที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้เขา ชายหนุ่มยังไม่อยากตีตัวออกห่างในตอนนี้จึงจำต้องอดทนความหึงหวงของอีกฝ่ายต่อไปอีกหน่อย
          “โกรธคุณ”
          เสียงที่ตอบแข็งและห้วนตามอารมณ์
          “เอ ผมทำอะไรให้คุณโกรธเหรอ ผมว่าไม่มีนะ”
          ทีโมนพรมจูบไปตามซอกคอของคู่ขาของเขา แต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหนี
          “คุณไปดูหนังกับนัตโตะทำไม นี่ตกลงคุณจะเอาไอ้หน้าจืดนั่นจริง ๆ งั้นเหรอ”
          “โธ่ ไม่มีอะไรเลย แค่ไปดูหนังเท่านั้นเอง เขาตื๊อผมมาก ผมรำคาญก็เลยไปด้วยเพื่อตัดรำคาญแค่นั้นเอง” ทีโมนแก้ตัว เขารู้ว่ามันฟังดูไม่เข้าท่า แต่เขามั่นใจว่าอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็เชื่ออยู่ดี ก็หลงเขาหัวปักหัวปำขนาดนั้นนี่นา
         อีกฝ่ายส่งค้อน แต่ก็มีท่าทีอ่อนลงเมื่อทีโมนรุกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
         “หลายครั้งแล้วนะ ครั้งที่แล้วก็ยายเจ้าของร้านน้ำปั่น ครั้งนี้ก็ไอ้แว่นหน้าจืด ครั้งต่อไปจะเป็นใคร”
         “ไม่เอาน่า อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ คุณก็รู้ว่าผมมีคุณคนเดียว อย่างพวกนั้นก็แค่เล่น ๆ สนุก ๆ อยากเสนอมา ผมก็สนองไป นิดหน่อย ไม่จริงจังอะไร คุณอย่าคิดมากเลยนะ นะครับ”
          เสียงอ่อน ๆ ออดอ้อนของทีโมนทำให้คนฟังยอมพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ ทีโมนเป็นผู้ชายเจ้าชู้ เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ การกระทำทุกอย่างบอกชัดเจนอยู่ในตัว แล้วทำไมยังเชื่อคำโกหกหลอกลวงไม่เข้าท่านั่นอีก
           ก็ไม่ได้เชื่อหรอก ไม่ได้โง่สักหน่อย เพียงแต่ทีโมนยังให้ความสุขได้อยู่และความขัดเคืองก็อยากจะไปลงกับคนอื่นมากกว่า
           “ถ้าไม่อยากให้คิดมากก็อย่าทำอีก ถ้าหมดความอดทนเมื่อไหร่ก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
           ทีโมนไม่สนใจคำขู่ คิดว่าอีกฝ่ายก็พูดไปเพราะอารมณ์หึงหวงแง่งอนและอยากจะให้เขาง้อ เขาก็ง้อด้วยการเอนตัวอีกฝ่ายลงไปบนเตียง
           คิดง่าย ๆ เหมือนทุกครั้งว่าเซ็กซ์จะจัดการทุกอย่างได้
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 09-01-2016 08:27:05
บทที่ 13
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
หรือจะไม่มีที่ไหนที่เป็นที่ของเราจริง ๆ ได้แต่ถามตัวเองว่าทำอะไรผิด ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ เราทำสิ่งที่ผิดงั้นเหรอ
Like – Comment – Share

          บางครั้งข้าวโอ๊ตก็ถามตัวเองว่าเขาทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้กับออฟฟิศนี้นักหนา
          เรื่องของคาร์ลเพิ่งพ้นไปไม่เท่าไรก็มีเรื่องใหม่เข้ามาทันที แล้วคนในออฟฟิศนี้ก็ขยันหาเป้าโจมตีกันเหลือเกิน บางอย่างที่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องก็ยังกลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ แถมยังใหญ่โตจนทำให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง
          ข้าวโอ๊ตไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอกกับคาร์ลอีก แต่หลังเลิกงานเป็นเวลาของเขา แม้ว่าทุกคนจะมองเวลาที่เขาเดินออกไปจากออฟฟิศพร้อมกับนักศึกษาฝึกงานในบางวัน ชายหนุ่มก็พยายามไม่สนใจ แล้วเมื่อมีใครมาถาม เขาก็บอกว่าคาร์ลกำลังช่วยเขาเรื่องงานแปล คนในออฟฟิศจะเชื่อหรือไม่เขาไม่รู้ แต่ถ้ามีคนอุตริสะกดรอยตามพวกเขาจริง ๆ ก็จะเห็นเขากับคาร์ลนั่งทำงานอยู่ด้วยกันในร้านกาแฟอย่างที่เขาพูด และในออฟฟิศเขาก็พูดคุยกับคาร์ลเหมือนคุยกับคนอื่น ๆ ไม่มีช่องให้เล่นงานกันได้อีก
          พัดชากลับมาทำงานหลังจากลางานหนึ่งวันพาสามีที่ป่วยไปหาหมอ เมื่อเข้ามาในครัวเจอจานชามใส่อาหารกลางวันของคนในออฟฟิศที่ยังไม่ได้ล้างกองสุมอยู่บนถาดบนเคาน์เตอร์ครัว แม่บ้านตัวกลมประจำออฟฟิศก็เบ้หน้า นอกจากจานอาหารกลางวัน ยังมีจานเล็กจานน้อยใส่ขนม แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟอีกหลายใบ
          หน้าที่ล้างจานเป็นของแม่บ้าน ถ้าหล่อนลางานติดต่อกันหลายวัน พนักงานในออฟฟิศจะล้างจานกันเอง แต่ถ้าลาเพียงวันเดียวอย่างเมื่อวาน หล่อนก็จะเจอกองจานชามที่ไม่ได้ล้างแบบนี้รออยู่ งานล้างจานไม่ใช่งานที่น่าพิสมัยนัก พัดชาเองก็ไม่อยากทำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่หล่อนก็ต้องทำ
          คาริน่าเดินเข้ามาในครัวขณะที่พัดชากำลังเอาจานสกปรกใส่ลงไปในถังพลาสติกเตรียมเอาไปล้าง เจ้าแม่ประจำออฟฟิศเดินตรวจตราของในครัว ขมวดคิ้วเมื่อเห็นกาแฟ นม น้ำเปล่าพร่องไปเยอะกว่าที่คิดมาก หล่อนเปิดตู้หยิบขวดน้ำยาล้างจานขึ้นมาดู เห็นเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวดก็ถามพัดชาด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า
          “ทำไมใช้น้ำยาล้างจานเปลืองขนาดนี้ เพิ่งซื้อไม่นานนี้เองนะ จะหมดอีกแล้วเหรอ”
          พัดชาฟังพอเข้าใจ แต่หล่อนตอบได้ไม่คล่อง ต้องใช้ภาษาใบ้ช่วยด้วย
          “จานเยอะค่ะคุณ” หล่อนชี้จานชามในถังพลาสติก ชี้แก้วน้ำ พลอยชี้มาที่ปิ่นโตอาหารของข้าวโอ๊ตที่วางอยู่มุมหนึ่งบนเคาน์เตอร์ในครัวด้วย
          “ล้างทุกอย่างเลยค่ะ ปวดหัวจริง ๆ”
          หล่อนทำหน้าระอาใจ แถมยังทำท่าทางปวดศีรษะขนาดหนักและนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความเพลียจัด เป็นการบอกให้อีกฝ่ายทราบว่าหล่อนต้องล้างจานเยอะและมันเหนื่อยมากขนาดไหน
          คาริน่าชี้ไปที่ปิ่นโต ถามว่า
          “ของใคร”
          “ของคุณโอ๊ตค่ะ เอามากินทุกวันเลยค่ะ”
          “แล้วต้องล้างนี่ให้เขาด้วยเหรอ”
          พัดชาพยักหน้า หล่อนยังทำท่าปวดศีรษะอยู่ เพราะต้องการจะย้ำว่าหล่อนเหนื่อยมากจริง ๆ
          คาริน่าไม่พูดอะไรกับพัดชาอีก แต่เดินลงส้นเข้าไปในห้องของทีโมนและเปิดฉากบ่นว่า
          “ออฟฟิศเราใช้ของเปลืองมาก คุณรู้ไหม เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูในครัว กาแฟ นม น้ำเปล่า ทิชชู่ น้ำยาล้างจาน ทุกอย่างกำลังจะหมด ทั้งที่เพิ่งซื้อแท้ ๆ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้นะ”
          “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะครับ” ทีโมนถาม คนอย่างเขาไม่เคยสนใจเรื่องจุกจิกอย่างนี้และออกจะรำคาญอยู่ไม่น้อยเมื่อคาริน่าเอาเรื่องนี้มาพูดกับเขา
          “ฉันอยากให้คุณสั่งให้ทุกคนประหยัด กาแฟกินวันละถ้วย น้ำเปล่าคนละขวด อยากกินมากกว่านี้ให้ซื้อส่วนตัวมากินกันเอง เรื่องจานอาหารก็เหมือนกัน ใช้มากกันเหลือเกิน เปลืองน้ำยาล้างจาน คุณพัดเขาก็ล้างไม่ไหว ต่อไปนี้ให้คุณพัดล้างแต่จานชามใส่อาหารกลางวัน ส่วนจานใส่ขนมตอนเช้าตอนบ่ายที่กิน ๆ กันน่ะให้ล้างกันเอง แก้วน้ำก็ล้างเอง ซื้อน้ำยาล้างจานมากันเองด้วย”
          “ขนาดนั้นมันจะดีเหรอครับ” ทีโมนทำหน้าปั้นยาก ตัวเขาเองติดกาแฟ กินวันละไม่เคยน้อยกว่าสี่ห้าถ้วย น้ำเปล่าอีกวันละสองขวดเป็นอย่างต่ำ เรื่องล้างจานก็อีก ชายหนุ่มติดความสบายจนไม่อยากจะเห็นด้วยกับคาริน่าในเรื่องนี้เลย แต่สีหน้าเจ้าแม่ประจำออฟฟิศเอาเรื่องมากจนเขานึกแขยง
          “ต้องขนาดนี้แหละ คนพวกนี้อ่อนข้อให้มากไม่ได้หรอก อ่อนให้หน่อยก็ลามปาม คุณเรียกคุณหญ้ามาสั่งตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ให้คุณหญ้าไปบอกทุกคนต่อ”
          “แล้วผมล่ะ ผมก็ต้องถูกจำกัดของใช้พวกนี้เหมือนกันเหรอ” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน ดวงตาของเขาออดอ้อน คาริน่าแกล้งทำเป็นค้อน แต่น้ำเสียงของหล่อนอ่อนลงมาก
          “อย่ามาแกล้งถามเลยน่ะ ฉันจะห้ามคุณได้ยังไง คุณกับราล์ฟทำได้ตามปกติ กฎใหม่นี้เฉพาะพนักงานในออฟฟิศเท่านั้นแหละ”
          “ค่อยโล่งอกหน่อย ขอบคุณมากครับ” ทีโมนพูดเสียงใส
          ก่อนที่คาริน่าจะเดินออกไปจากห้อง หล่อนไม่ลืมที่จะพูดถึงประเด็นสำคัญ
          “คุณอย่าลืมเรียกคุณโอ๊ตมาเตือนด้วยเรื่องเอาปิ่นโตมากิน เขาบังคับให้คุณพัดล้างปิ่นโตให้เขา ฉันยอมรับไม่ได้นะ เขาทำไม่สุภาพกับคุณพัด สมควรจะต้องโดนเตือนอย่างจริงจังสักที แล้วก็ไม่ให้เอาปิ่นโตมาอีก”
          “คุณโอ๊ตนี่หลายเรื่องแล้วนะ ผมจะพูดกับราล์ฟตอนเขากลับมา ให้ทำจดหมายเตือนคุณโอ๊ตเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
          ทีโมนให้สัญญาและคาริน่าก็ยิ้มรับด้วยความพอใจ

          ทุกคนทำหน้าประหลาดเมื่อรู้เรื่องมาตรการรัดเข็มขัดของออฟฟิศ ญาดาเองก็ไม่ชอบใจเช่นกัน หล่อนลาพักร้อนหลายวันไปเป็นกันชนให้น้องสาวที่พาว่าที่สามีกลับมาบ้าน แม่ของหล่อนล้งเล้งใหญ่ไม่เห็นด้วยเรื่องลูกสาวจะแต่งงานแล้วไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง น้องชายสองคนก็มีความคิดเหมือนกับแม่ อยากให้น้องสาวลาออกแล้วมาช่วยกันทำงานอยู่ในกงสีดีกว่า แต่น้องสาวหล่อนก็ดื้อ ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่พอใจกันก็จะไม่กลับมาจัดงานแต่งงานแบบจีนที่บ้าน จะจัดงานแต่งงานแบบญี่ปุ่นอย่างเดียวที่โอกินาว่าแทน ญาดาเห็นใจน้องสาว แต่ก็ต้องวางตัวเป็นกลางเพราะน้องสาวเป็นตัวชนอยู่คนหนึ่งแล้ว ถ้าหล่อนแสดงตัวเข้าข้างน้องสาวอีก แม่ของหล่อนก็จะยิ่งคร่ำครวญหนักขึ้น
          ปัญหาทางบ้านก็ยังแก้ไม่ตก มาทำงานก็เจอปัญหาอีก แถมเป็นปัญหาที่หล่อนเห็นว่างี่เง่าที่สุด หล่อนค้านแล้ว แต่ทีโมนก็ไม่ฟัง คาริน่าก็ยืนยันหนักแน่นให้ทุกคนทำตามที่หล่อนพูด หญิงสาวผู้เปรียบเสมือนหัวหน้าในหมู่คนไทยก็จำต้องเอาความมาบอกต่อกับน้อง ๆ ในออฟฟิศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          “นี่ออฟฟิศเรากำลังจะเจ๊งแล้วรึไงถึงได้มีเรื่องอะไรแบบนี้ออกมา น้ำเปล่านี่เรื่องพื้นฐานเลยนะ มาห้ามไม่ให้กินเกินหนึ่งขวด บ้าไปแล้ว” มิคกี้บ่นอย่างดุเดือด “ของเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้มันจะประหยัดให้ออฟฟิศได้สักเท่าไหร่กันเชียว”
          “เขาบอกว่ามันหมดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น สงสัยว่าพวกเราใช้กันเปลือง” ญาดาพูดตามที่ได้ยินทีโมนบอกมา
          “ไม่พูดออกมาเลยล่ะว่าพวกเขาสงสัยว่าพวกเราจะเอากระดาษทิชชู่เอาน้ำเปล่ากลับบ้าน”
          เมื่อออกัสพูดจบ คนฟังก็ทำหน้าประหลาดออกมาอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียงกัน
          “เอากลับบ้าน คิดได้ไง” มิคกี้อุทานด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เขายังรู้สึกเหมือนโดนหมิ่นประมาทอีกด้วย นี่คนที่คิดอย่างนี้คงไม่รู้ใช่ไหมว่าบ้านเขารวยแค่ไหน ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอะไรทุเรศทุรังอย่างขโมยน้ำเปล่าขโมยกระดาษทิชชู่กลับบ้านเลย
          “เรื่องของใช้ในออฟฟิศนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกว่าจะหมดวันนั้นวันนี้เป๊ะ ๆ ทำได้แค่คาดเดาเอาแบบคร่าว ๆ แค่นั้นเพราะสถานการณ์แต่ละอาทิตย์ก็ไม่เหมือนกัน อาทิตย์ไหนแขกมาเยอะ ของมันก็หมดเร็ว พวกเราเองกินใช้แต่ละอาทิตย์ก็ไม่เท่ากัน มันก็มีมากน้อยแตกต่างกันไป แต่รายนั้นเขาไม่คิดอย่างนี้น่ะสิ ของหมดเร็วขึ้นไม่กี่วันนี่อยู่ไม่สุขแล้ว กลัวว่าจะมีใครโกงออฟฟิศท่าเดียวนั่นแหละ” ญาดาบุ้ยใบ้ออกไปนอกห้องครัวที่ทุกคนกำลังชุมนุมกันอยู่ ตั้งใจจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า “รายนั้น” ที่ว่าหมายถึงใคร
           “แล้วเราจะเอายังไงครับ จะต้องทำตามนี้จริง ๆ น่ะเหรอครับ” มิคกี้หันมาถาม
          “ก็คงต้องทำ พี่ค้านแล้ว พวกเขาไม่ยอมฟังกันเลยนี่ เราก็ต้องประหยัดอย่างที่เขาว่า แล้วก็ซื้อกาแฟซื้อน้ำเปล่ามากินกันเอง อ้อ น้ำยาล้างจานด้วยนะ อย่าลืม”
          เรื่องการล้างจานนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาถกกันอย่างเมามัน ยิ่งตอนนี้พัดชาไม่อยู่ในครัวเพราะถูกใช้ให้ไปซื้อน้ำผลไม้ปั่นที่ร้านข้างล่างตึก การวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ทุกคนเชื่อว่าพัดชาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าหล่อนไปฟ้องคาริน่าอีท่าไหนเท่านั้นแหละ เจ้าแม่ประจำออฟฟิศถึงได้มีบัญชาออกมาอย่างนั้น
          “พี่พัดน่ะไม่เบาหรอกนะ” ญาดาที่อยู่มานานที่สุดและรู้จักพัดชามานานกว่าทุกคนพูด “เห็นจานต้องล้างมากหน่อยก็คงไม่พอใจนั่นแหละ แล้วก็คงเอาไปพูดกับคาริน่าถึงได้เกิดเรื่องขึ้นมา”
          “แต่แกเป็นแม่บ้านนะครับพี่หญ้า แล้วออฟฟิศเราก็เล็กแค่นี้เอง จานชามก็ไม่ได้เยอะอะไรมากสักหน่อย เราก็ใช่จะกินขนมกันทุกเช้าทุกบ่าย เอาจริง ๆ เวลาใครซื้อผลไม้ซื้อขนมอะไรมาก็หยิบกินกันจากในกล่องในถุง นาน ๆ ทีหรอกจะจัดใส่จาน ถ้ามีจานต้องล้างเพิ่มบ้างมันก็ไม่น่าจะเยอะจนล้างไม่ไหว” มิคกี้พูดด้วยความไม่พอใจ หากจะต้องล้างจานเองขึ้นมา ชายหนุ่มจะเป็นคนที่เดือดร้อนที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยต้องล้างจานเอง ที่บ้านมีเด็กรับใช้เป็นคนทำให้ มาทำงานก็มีแม่บ้านประจำออฟฟิศ แล้วทำไมเขาต้องมาล้างจานเองเอาตอนนี้
          “เรื่องของเรื่องคือแกขี้เกียจทำงาน ออฟฟิศเล็กแค่นี้ งานไม่ได้มาก หนักหน่อยก็เรื่องล้างจาน แต่แกก็ยังไม่อยากจะทำงานอยู่ดี”
          ญาดาสรุปอย่างตรงจุด
          “ทำคนเดือดร้อนกันไปทั้งออฟฟิศ” ออกัสส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปมองข้าวโอ๊ตที่รับประทานอาหารจากปิ่นโตของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มไม่ได้เข้าร่วมวงวิจารณ์ด้วยเพราะตอนนี้เขากำลังมึน
          ข้าวโอ๊ตถูกเรียกเข้าไปพบทีโมนต่อจากญาดาและเขาก็ถูกตั้งข้อหาอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว
เป็นข้อหาที่แปลกประหลาดและงี่เง่าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา แต่ทีโมนก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังมากจนเขาชักเริ่มไม่เข้าใจโลกใบนี้อีกต่อไป
           ทีโมนบอกว่าข้าวโอ๊ตมีความผิดฐานเลือกปฏิบัติ เนื่องจากเขาแสดงความไม่สุภาพต่อพัดชาที่เป็นแม่บ้านโดยการบังคับให้ล้างทำความสะอาดปิ่นโตใส่อาหารกลางวันซึ่งเป็นของส่วนตัว ความผิดของข้าวโอ๊ตในครั้งนี้เทียบเท่ากับการเหยียดผิวหรือเหยียดเชื้อชาติในสังคมตะวันตก และเขาจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทราบเพื่อออกจดหมายเตือนความประพฤติอย่างเป็นทางการ
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วอ้าปากค้าง
          ‘ผมเนี่ยนะไม่สุภาพกับคุณพัด’
          ชายหนุ่มทวนคำด้วยสีหน้าเหวอ ๆ
          ‘มันแค่ปิ่นโตอาหารกลางวันเถาเล็ก ๆ มีสามชั้น และอาหารที่ผมเอามาผมก็แบ่งให้คุณพัดกินด้วยตลอด นี่คือผมไม่สุภาพ นี่คือผมเหยียดคุณพัด นี่คือผมจะได้รับจดหมายเตือนความประพฤติ’
          ทีโมนทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าวโอ๊ตแย้ง เขายังยืนยันว่า
          ‘ผมจะเรียนเรื่องนี้ให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทราบ แล้วเราจะมีการพูดเรื่องนี้กันอีกครั้ง คุณออกไปได้แล้ว’
          ข้าวโอ๊ตเดินออกจากห้องของทีโมนด้วยความมึนงง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในอฟฟิศนี้กันแน่ แค่เอาปิ่นโตอาหารกลางวันมากินและให้แม่บ้านล้างแค่นี้นี่นะถึงกับโดนข้อหาระดับเดียวกับการเหยียดเชื้อชาติ
          โลกนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว
          แต่เอ...หรือเขาต่างหากที่เป็นคนผิดปกติ ที่อื่นคงไม่มีใครเอาปิ่นโตมากินและให้แม่บ้านล้างให้ ทีโมนถึงกล้าตั้งข้อหาเขาใหญ่โตขนาดนั้น
          ข้าวโอ๊ตทั้งมึนทั้งเบลอจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของออกัส
          “เหม่ออะไรโอ๊ต ไม่เห็นพูดอะไรบ้างเลย นายไม่เดือดร้อนเหรอเรื่องที่โดนจำกัดสิทธิในออฟฟิศเนี่ย”
           ญาดาเองก็หันมามองเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องด้วยความสงสัย
          “ทีโมนเรียกโอ๊ตเข้าไปหาเรื่องอะไร พี่เห็นมันทำหน้าซีเรียสเชียว”
          “เขาห้ามผมเอาปิ่นโตอาหารกลางวันมากินครับ เขาบอกว่าผมบังคับพี่พัดให้ล้างปิ่นโตให้ เป็นการกระทำที่ไม่สุภาพมาก ความผิดเหมือนกับการเหยียดเชื้อชาติ เขาจะบอกด็อกเตอร์แฮร์มันน์ และผมจะได้จดหมายตักเตือนความประพฤติอย่างเป็นทางการ”
          ออกัสหลุดปากอุทานคำหยาบคายออกมา ญาดากับมิคกี้ฟังแล้วอ้าปากค้างเหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตเคยทำ พี่ใหญ่ประจำออฟฟิศแทบอยากจะเอามือกุมขมับ
          “นี่มันบ้าไปแล้ว เรื่องแค่นี้นี่นะ”
           แล้วหล่อนก็ให้สัญญากับชายหนุ่มว่า
          “ถ้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะทำจริง ๆ พี่จะเบรกให้เอง เรื่องนี้มันเกินไปแล้ว ใช้ตรรกะอะไรคิดวะเนี่ย”
          “นี่พี่พัดเป็นคนฟ้องอีกรึเปล่าครับว่าพี่โอ๊ตบังคับพี่พัดให้ล้างปิ่นโต” มิคกี้ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา
          “พี่ไม่เคยบังคับพี่พัดนะ พี่กินข้าวจากปิ่นโต พี่พัดก็ล้างปิ่นโตให้พี่แทนจานอาหารเหมือนที่ทำให้ทุกคน ก็ทำอย่างนี้มาตลอด ความจริงถ้าพี่พัดเขาไม่อยากทำ เขาบอกพี่ก็ได้ แต่เขาไม่เคยบอก” ข้าวโอ๊ตพูด
          “เอาเถอะ เดี๋ยวพี่คุยกับพี่พัดเอง” ญาดาตัดบทพร้อม ๆ กับที่ประตูออฟฟิศถูกผลักเปิดเข้ามา พัดชาเดินยิ้มแย้มเข้ามาในออฟฟิศ ไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา หล่อนเอาแก้วน้ำผลไม้ปั่นเข้าไปให้ทีโมนในห้องรับประทานอาหาร ก่อนจะรี่เข้ามาในครัว ท่าทางของหล่อนตื่นเต้น
         “เจ้าของร้านน้ำปั่นข้างล่างตึกกำลังจะขายร้านแล้วนะคะ เด็กที่ร้านบอกว่าขาดทุน แถมยังมีเรื่องข่าวลือไม่ดีอีกด้วยค่ะ เห็นว่าในเน็ตหรืออะไรนี่แหละค่ะ เขาพูดกันว่าคนมากินแล้วไม่ชอบใจ เอาไปด่าว่าเสีย ๆ หาย ๆ จนไม่มีใครกล้ามากิน แถมเขายังว่ากันว่าเจ้าของร้านเนี่ยแกเป็นพวกชอบแย่งแฟนชาวบ้านด้วยนะคะ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่โอ๊ย เขาพูดให้แซดกันไปทั้งตึกเลยค่ะตอนนี้”
         ไม่มีใครสนใจเรื่องที่พัดชาเล่า มีเพียงญาดาที่สั่งแม่บ้านประจำออฟฟิศสั้น ๆ ว่า
          “วันนี้พี่พัดว่างเมื่อไหร่เข้าไปหาหญ้าที่ห้องด้วยนะคะ”
          ข้าวโอ๊ตไม่รู้ว่าญาดาพูดอะไรกับพัดชาบ้าง แต่บ่ายวันนั้นพัดชาก็เดินหน้าหมองเข้ามาหาเขาในห้องทำงาน หล่อนขอโทษขอโพยเขาที่ทำให้เดือดร้อน แต่นั่งยันนอนยันว่า
          “พี่ไม่ได้พูดอะไรกับคุณคาริน่าหรือคุณทีโมนทั้งนั้นนะคะ สาบานได้ค่ะ คุณคาริน่าถามพี่ว่าน้ำยาล้างจานไปไหนหมด พี่ก็ว่าเอาไปล้างจาน ชี้จานชามในถังให้เขาดูค่ะ แค่นั้นจริง ๆ นะคะ”
          “พี่พัดไม่ได้บอกว่าผมบังคับพี่ให้ล้างปิ่นโตให้ใช่ไหมครับ”
          “พี่ไม่ได้พูดเลยค่ะ”
          ข้าวโอ๊ตไม่ดีใจเลยสักนิดที่พัดชาเข้ามาขอโทษเขา เขารู้สึกไม่สบายใจมากกว่าที่เห็นพัดชาทำอย่างนี้ ก็ถ้าเผื่อคาริน่าหรือใครเดินเข้ามาเห็นว่าพัดชาอยู่ในห้องเขา เรื่องมันอาจจะถูกบิดเบือนกลายเป็นว่าเขากำลังข่มขู่พัดชาอยู่ก็ได้ ชายหนุ่มจึงตัดบทเพื่อให้พัดชารีบออกจากห้องของเขาไป
          “งั้นถ้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์เรียกสอบสวนเรื่องนี้ พี่พัดก็พูดไปตามความจริงก็แล้วกันครับ เรื่องมันเป็นยังไงก็พูดไปตามนั้น”
          “คุณโอ๊ตไม่โกรธพี่ใช่ไหมคะ”
          “ถ้าพี่พัดยืนยันว่าที่พูดมาเป็นความจริง ผมจะโกรธพี่ได้ยังไงกันครับ” ข้าวโอ๊ตตอบเสียงเรียบ

         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 09-01-2016 08:28:20
           เมื่อกลับมาถึงคอนโดของตัวเองในตอนเย็นวันนั้น ข้าวโอ๊ตเปิดคอมพิวเตอร์แช็ตกับเม็ดนุ่นในไลน์อย่างไม่รอช้า เพื่อนสนิทของเขารับฟังเรื่องทั้งหมดโดยไม่ขัดหรือซักถามอะไร และหล่อนไม่มีความคิดเห็นอื่นใดต่อเรื่องนี้นอกเหนือไปจากอิโมติค่อนรูปหน้าคนตกใจจนตาเบิกโพลงที่ส่งมาให้หลังจากฟังเรื่องทุกอย่างจนจบ
          ขณะที่คุยกับเม็ดนุ่น ชายหนุ่มก็ได้รับข้อความจากคาร์ลด้วย
          ‘วันนี้เกิดอะไรขึ้นที่ออฟฟิศรึเปล่าครับ ดูทุกคนท่าทางอารมณ์ไม่ดี ตอนเย็นคุณก็รีบร้อนออกไป’
          ‘คาริน่ากับทีโมนไม่ได้บอกคุณเหรอ’ ชายหนุ่มพิมพ์กลับไป
          ‘ไม่ครับ ไม่มีใครบอกอะไรผมเลย’
          ‘….’
          ข้าวโอ๊ตลังเลว่าควรจะเล่าให้เด็กหนุ่มฟังดีไหม เรื่องมันงี่เง่ามาก แต่เขาอยากคุยกับคาร์ลอยู่แล้วและอีกใจก็อยากจะรู้ด้วยว่าคนชาตินี้ตรรกะผิดเพี้ยนเหมือนกันหมดหรือไม่ เขาจึงตกลงใจว่าจะเล่า
          ข้อความแช็ตจากอีกหน้าต่างหนึ่งเด้งขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังใคร่ครวญ เม็ดนุ่นเห็นเขาหายไปนานก็เลยส่งข้อความมาทัก
          ‘ทำไมเงียบไปเลยล่ะ’
          ‘ขอโทษที ฉันคุยกับคาร์ลอยู่’
          อิโมติค่อนรูปหัวใจถูกส่งตอบมาทันที แล้วเม็ดนุ่นก็ออฟไลน์ออกจากโปรแกรมไปเลย เป็นการแสดงจุดยืนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เม็ดนุ่นพร้อมสนับสนุนเพื่อนในเรื่องผู้ชายอย่างเต็มที่ ข้าวโอ๊ตจึงมีสมาธิแช็ตกับคาร์ลได้ ไม่ต้องแบ่งภาคเปิดสองสามหน้าต่างเหมือนเดิมอีก
          ชายหนุ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในออฟฟิศวันนี้ให้เด็กหนุ่มฟังและเขาก็รู้สึกดีใจที่คาร์ลเลือกที่จะอยู่ข้างเขา
          ‘ผมไม่เห็นว่าคุณจะไม่สุภาพกับใครในออฟฟิศเลย’ เด็กหนุ่มพิมพ์ข้อความส่งมา
          ‘คุณว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระไหม หรือคนประเทศคุณเขาซีเรียสกับเรื่องแบบนี้กันจริง ๆ เอาล่ะสมมติว่าผมบังคับพี่พัดล้างจานจริง ๆ นะ’
          คาร์ลหายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาอย่างระมัดระวัง
          ‘ผมว่ามันก็ไม่ผิดนะ ตำแหน่งของคุณสูงกว่าคุณพัด แล้วคุณพัดก็มีหน้าที่ล้างจานอยู่แล้ว คุณก็น่าจะสั่งคุณพัดได้’
          คาร์ลพิมพ์ไม่เร็วอย่างที่เคยเพราะต้องเลือกคำพูดที่จะใช้ เขาเห็นใจข้าวโอ๊ต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องวิจารณ์คาริน่าและทีโมน
          “แต่ที่สองคนนั้นซีเรียส ผมว่าเขาคงมองในมุมว่าคุณพัดก็เป็นพนักงานคนหนึ่งในออฟฟิศเหมือนกับทุกคน การจะใช้งานอะไรคุณพัดก็ควรจะเกรงใจกันบ้างน่ะครับ ไม่งั้นทุกคนรุมใช้งานคุณพัดกันหมด คุณพัดก็คงแย่พอดี’
          ข้าวโอ๊ตคันปากอยากจะพูดเหลือเกินว่าไม่มีใครกล้าใช้งานพัดชาหรอก ทั้งออฟฟิศมีแค่คาริน่ากับทีโมนนั่นแหละที่จิกใช้พัดชาทำโน่นทำนี่ ให้เดินไปซื้ออาหารกลางวันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อน้ำผลไม้ปั่นบ้าง หรือทำความสะอาดห้องทำงานของตัวเองเวลาที่มันสกปรกมาก ๆ บ้าง พนักงานคนไทยไม่เคยมีใครทำแบบนี้ได้ แม้แต่ญาดาก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา เขาเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่และการวิพากษ์วิจารณ์หรือนินทาคนในออฟฟิศให้เด็กฝึกงานฟังก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีด้วย
          ‘คุณพัดคงไม่มีวันแย่หรอก ผมชิงแย่ก่อนเสียแล้วนี่ เจอจดหมายตักเตือนจากผู้อำนวยการกันเลยทีเดียว’
          ข้าวโอ๊ตแกล้งทำให้มันเป็นประโยคติดตลก แต่คาร์ลก็ยังมองออก
          ‘ไม่หรอกครับ อย่าเพิ่งคิดมาก ผมว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์คงเรียกพวกคุณมาสอบถามก่อน ถ้ารู้ว่าเป็นการเข้าใจผิด สื่อสารกันผิดพลาดระหว่างคุณพัดกับคาริน่าและทีโมน คุณไม่ได้เป็นคนทำ คุณพัดก็ไม่ได้พูด เรื่องมันก็คงจบครับ’
          ‘ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้น’
          ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้มากนักหรอก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ยิ่งถูกจูงจมูกง่ายกว่าทีโมนอีกประสาคนแก่ ถูกคาริน่าเป่าหูเข้าหน่อยก็คงไม่แคล้วรีบยัดจดหมายเตือนใส่มือเขาแทบไม่ทัน แต่เขาก็ไม่ได้พิมพ์ข้อความไปอย่างใจคิด คาร์ลก็คงไม่อยากจะถกประเด็นที่ชวนไม่สบายใจต่อไป ทั้งสองคนก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยและคุยกันเพลินจนข้าวโอ๊ตรับโทรศัพท์ไม่ทัน
          ชื่อที่หน้าจอขึ้นว่า “Mutter”
          ถ้าเป็นคนอื่นโทรศัพท์มา เขาคงไม่สนใจ แต่สายจากแม่และคนอื่นในครอบครัว เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้ ชายหนุ่มจึงต้องจบการสนทนากับคาร์ลและรีบกดโทรศัพท์กลับไปหาแม่ของเขา
          “โอ๊ต เป็นยังไงบ้างลูก”
          แม่ทักเขาด้วยประโยคเดิมเหมือนทุกครั้งและเขาก็ตอบเหมือนเดิมว่า
          “เรื่อย ๆ ครับแม่”
          ชายหนุ่มไม่สนิทกับครอบครัวตัวเองมากนัก นาน ๆ ครั้งแม่จะโทรศัพท์มาไต่ถามสารทุกข์สุขดิบหรือเขาจะโทรศัพท์กลับบ้านบ้าง ส่วนคนอื่น ๆ ในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือพี่ข้าวฟ่างจะโทรศัพท์มาหาก็เฉพาะตอนที่มีธุระเท่านั้น อาจจะยกเว้นพี่สะใภ้ของเขาคนหนึ่งที่ติดต่อมาบ่อยกว่าทุกคน แต่ก็แค่ส่งภาพและวีดิโอของหลาน ๆ มาให้เขาดูทางโปรแกรมไลน์เท่านั้น
          “แม่มีอะไรรึเปล่าครับ”
          “เปล่าลูก แม่โทรมาคุยด้วยเฉย ๆ ไม่ได้มีธุระอะไร” แม่ของเขาตอบ “ใกล้จะปีใหม่แล้ว โอ๊ตกลับบ้านใช่ไหมลูก ไม่เปลี่ยนใจไปเที่ยวที่ไหนนะ”
          “กลับครับ”
          “แล้วจะพาใครกลับมาด้วยไหมลูก”
          นี่ก็เป็นคำถามที่แม่ถามเขาแทบทุกครั้งที่ใกล้จะถึงวันหยุดเทศกาลและเขาจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้าน ถึงแม้ว่าครอบครัวเขาพอทำใจยอมรับสิ่งที่เขาเป็นได้ แต่เรื่องที่เขาจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตนดูจะยังเป็นเรื่องที่เกินกว่าครอบครัวเขาจะรับไหว แม่ของเขาถึงต้องคอยถามคำถามนี้อยู่ตลอด
          “ถ้าจะพาใครกลับไปก็คงเป็นนุ่นน่ะครับแม่”
         ข้าวโอ๊ตได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ของแม่ ฟังดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะโล่งใจที่ปีนี้ไม่ต้องเจอกับสถานการณ์ที่อึดอัด เสียงของแม่ในประโยคถัดมาจึงฟังไม่แปร่งอย่างประโยคที่แล้ว
          “แล้วน้องนุ่นจะมาไหม แม่จะได้เตรียมทำความสะอาดห้องพักเอาไว้ให้”
          “ปีนี้คงไม่ได้แล้วล่ะครับ นุ่นมีแผนจะไปเที่ยวปีใหม่ที่ญี่ปุ่น เห็นว่าจะไปแช่ออนเซ็นดูภูเขาไฟฟูจิ”
          “เที่ยวอีกแล้ว เที่ยวเก่งจังเลยนะเพื่อนโอ๊ตเนี่ย” แม่ของเขาพูดเหมือนจะว่า แต่น้ำเสียงของหล่อนแสดงความเอ็นดูคนที่พูดถึงอยู่มาก เม็ดนุ่นเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายหล่อน เที่ยวเล่นกินนอนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย หล่อนเห็นเม็ดนุ่นมาเป็นสิบปี เอ็นดูไม่ต่างจากลูกคนหนึ่ง
          “แล้วน้องนุ่นไปเที่ยวกับใคร โอ๊ตรู้รึเปล่า”
          “ไปคนเดียวตามเคยแหละครับ รายนั้นลุยเดี่ยวได้สบาย ไม่สนใจใครอยู่แล้ว”
          “ความจริงโอ๊ตกับน้องนุ่นก็สนิทกัน ทำไมโอ๊ตไม่ลองมอง...”
          แม่ของเขาหยุดพูด แต่ข้าวโอ๊ตก็รู้ว่าแม่จะพูดว่าอะไร เรื่องนี้ก็เคยคุยกันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว แม่ของเขายังเชื่อว่าสักวันหนึ่งลูกชายจะหายเป็นเกย์ แล้วเมื่อมีโอกาสก็เลยพยายามชงเขากับเม็ดนุ่นอยู่ตลอด ถึงจะรู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้ แต่แม่ก็ไม่หมดความพยายาม
          ส่วนเขาน่ะหรือ ขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินแม่พูดเรื่องนี้ เขากับเม็ดนุ่นเนี่ยนะ ฟ้าจะได้ผ่าตายปะไร
          ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
          “พ่อกับพี่ฟ่างสบายดีไหมครับ หลาน ๆ ด้วยเป็นยังไงกันบ้าง”
          “สบายดีกันทุกคน น้องหม่อนวิ่งซนทั้งวัน น้องไหมเลี้ยงยากหน่อย ร้องไห้บ่อย แต่ก็กินเก่ง อ้วนขาวเชียว เหมือนตาฟ่างตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด” เมื่อพูดถึงหลานชายและหลานสาว น้ำเสียงของแม่ฟังดูมีความสุขอย่างมาก
          “คุณพ่อไปวิ่งที่สนามกีฬาทุกวันเลยนะตอนเย็น ๆ บางวันแม่ก็ไปเป็นเพื่อนคุณพ่อ คุณพ่อเขาบ่นถึงโอ๊ตนะว่าถ้าโอ๊ตกลับมาบ้านจะพาไปวิ่งด้วยกัน โอ๊ตไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย”
          “คิดถึงนี่คืออยากให้ทำโน่นทำนี่” ข้าวโอ๊ตอดพูดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายไม่รู้ความรู้สึกของลูกชายจึงพูดต่อไปเรื่อย ๆ จากเรื่องของครอบครัวตัวเองก็เลยไปถึงเรื่องของคนรู้จักรอบตัว
          “เมื่อวานน้าแป๋วมาหาแม่ที่บ้าน โอ๊ตจำน้าแป๋วเพื่อนแม่ที่โรงเรียนได้ใช่ไหม น้าเขามาชวนแม่กับคุณพ่อไปทำบุญเปิดร้านอาหารของลูกชายคนโต ลูกชายเขาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับโอ๊ตนะถ้าแม่จำไม่ผิด”
          “เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนครับ อ่อนกว่าโอ๊ตสองปี”
          “นั่นแหละ ๆ ร้านอาหารเขาอยู่ริมทะเล เห็นว่าเปิดเสียใหญ่โต”
          “แล้วน้าแป๋วแข็งแรงดีนะครับ” ชายหนุ่มถามเหมือนต้องการจะต่อบทสนทนามากกว่าจะอยากรู้จริง ๆ
          “ร่างกายแข็งแรงดี แต่น้าเขาไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่หรอกลูก ถึงลูกชายคนโตจะเปิดร้าน แต่ลูกชายคนเล็กกลับทำเรื่อง น้าเขาเล่าให้แม่กับคุณพ่อฟังว่าที่บ้านเขาน่ะพ่อกับลูกชายคนเล็กทะเลาะกันใหญ่โต พ่อเขาจับได้ว่าลูกชายคนเล็กแต่งหญิงเป็นกะเทย นี่ได้ยินว่าไล่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว ใครห้ามไม่ฟัง น้าแป๋วเสียใจไม่รู้จะทำยังไง นั่นก็ผัวนี่ก็ลูก วุ่นวายกันไปหมด”
          “เป็นกะเทย แต่งตัวเป็นผู้หญิง ชอบผู้ชาย ไม่ใช่อาชญากรรมนะครับ ทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนั้น”
          ข้าวโอ๊ตทนไม่ไหว ลืมตัวเถียงแทนออกมา
          “ถ้าแม้แต่ครอบครัวยังไม่ยืนอยู่ข้างเขา แล้วจะมีที่ไหนเป็นที่สำหรับเขาอีก”
          “โอ๊ต...” แม่ของเขาพูดไม่ออก ตอนที่เล่าก็ไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ หล่อนรู้ทันทีว่าลูกชายรู้สึกอย่างไร แต่เรื่องบางเรื่องหล่อนก็เข้าข้างลูกตะพึดตะพือไม่ได้ แม้ว่าอาจจะต้องละเลยความรู้สึกของลูกอยู่บ้าง หล่อนก็ต้องทำให้ลูกเห็นแง่มุมที่แตกต่าง 
          “ลูกพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะโอ๊ต ลองคิดถึงหัวจิตหัวใจของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ดูบ้าง จะมีใครที่ยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานบ้างเมื่อเห็นลูกตัวเองเป็นแบบนั้น พ่อแม่ทุกคนก็ย่อมอยากเห็นลูกมีความสุขแบบคนปกติกันทั้งนั้นแหละ”
           “แม่พูดแบบนี้ แม่คิดว่าโอ๊ตผิดปกติด้วยใช่ไหม”
          “ไม่ใช่นะโอ๊ต แม่แค่อยากให้ลูกคิดด้านอื่นบ้าง”
          “พอเถอะครับ ในเมื่อเรามองกันคนละมุม แม่คิดอย่างหนึ่ง โอ๊ตคิดอีกอย่างหนึ่ง พูดกันยังไงก็คงไม่มีวันเข้าใจ” ชายหนุ่มตัดบทด้วยความรู้สึกเจ็บปวดน้อยใจอยู่ไม่น้อยและแม้ว่าแม่จะพยายามพูดอะไรต่ออีกหลายประโยค ชายหนุ่มก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคุยต่ออีกแล้ว ข้าวโอ๊ตกดวางสาย ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนพื้นห้องที่แข็งกระด้าง
          เวลาที่รู้สึกเสียใจเขามักจะนอนบนพื้นท่านี้
          ชายหนุ่มนึกถึงหลาย ๆ เรื่องในอดีต
          ตอนเขาเป็นเด็ก เขารักและชื่นชมข้าวฟ่างมาก แต่ความชื่นชมมันกลายเป็นความอิจฉาในเวลาต่อมา คิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขารู้ตัวว่าเขาชอบเพศเดียวกัน ข้าวโอ๊ตบอกใครเรื่องนี้ไม่ได้ พ่อกับแม่คงไม่สามารถยอมรับได้แน่ ๆ ครอบครัวของเขาเลี้ยงดูลูกชายสองคนอย่างมีระเบียบและเต็มไปด้วยหลักการ เขากับพี่ชายประพฤติตัวเรียบร้อย ไม่เคยเกกมะเหรกเกเร ไม่เคยเดินออกนอกกรอบของคำว่าเด็กดี แต่ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าตัวของเขาสะสมความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
          เขากดดันตัวเอง ดำเนินชีวิตด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าสักวันจะมีคนรู้ความลับของเขาแล้วเขาจะไม่สามารถเป็นเด็กดีอย่างที่พ่อกับแม่ต้องการได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวเขา มือของชายหนุ่มเหมือนถือระเบิดเวลาเอาไว้ ตอนนี้เองที่เขารู้สึกอิจฉาข้าวฟ่างจับใจ พี่ชายของเขาเป็นเด็กดี นิสัยดีเรียนเก่ง เป็นลูกที่สร้างแต่ความชื่นใจให้พ่อแม่ และที่สำคัญ ข้าวฟ่างไม่มีความลับที่บอกใครไม่ได้อย่างเขา
          ข้าวโอ๊ตอยากเป็นข้าวฟ่าง เขาไม่อยากเป็นอย่างตอนนี้ แต่เขาปฏิเสธตัวตนของตัวเองไม่ได้
          ความเครียดและความกดดันของข้าวโอ๊ตคลายลงเมื่อเขาเข้ามาเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพฯ ชายหนุ่มไม่ต้องอยู่ในสายตาใครต่อใครเหมือนตอนอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด เขามีอิสระมากขึ้น มีเพื่อนดี ๆ ที่ยอมรับเขา เขาจึงเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงจะมีชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้นแล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่เคยมีแฟนกับเขาเลยสักคนเดียว เพราะภายในใจลึก ๆ แล้ว เขายังรู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อครอบครัว ถ้าเขามีแฟน มันก็ยิ่งตอกย้ำความผิดนั้น ข้าวโอ๊ตจึงลังเลที่จะรักใครสักคนและทุ่มความรู้สึกไปกับผู้ชายที่จับต้องไม่ได้ อย่างผู้ชายในหนังสือ ดารานักร้อง นักกีฬา หรือนักแสดงหนังผู้ใหญ่แทน แต่ในขณะที่ผลักไสความรัก เขาก็กลับโหยหามันอย่างมากมายในเวลาเดียวกัน
          ข้าวโอ๊ตได้เห็นพิษสงของความรักกับตาตัวเองเพราะเม็ดนุ่น หล่อนเป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนคณะเดียวกัน สาขาวิชาเดียวกัน จบปริญญาตรีก็เรียนต่อปริญญาโทสาขาเดียวกันอีก เม็ดนุ่นได้ทุนไปเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ที่เยอรมนีตอนเทอมที่สี่ หล่อนไปอยู่ที่นั่นห้าเดือน ชีวิตเป็นสุขสนุกสนาน วีดิโอคอลคุยกันแต่ละที แม่เพื่อนตัวดีของเขามีแต่รอยยิ้มกว้างชนิดปากจะฉีกถึงรูหู เม็ดนุ่นพบรักกับหนุ่มเยอรมันคนหนึ่งที่โน่น ความรักกำลังไปได้สวย หญิงสาวกลับเมืองไทยตอนต้นเดือนมีนาคม แต่พอถึงเดือนพฤษภาคม แฟนหนุ่มที่รักกันนักหนาบอกเลิกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เม็ดนุ่นช็อก ข้าวโอ๊ตต้องหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่เป็นเพื่อนหล่อนที่อพาร์ตเม้นท์เพราะกลัวเพื่อนจะคิดสั้น
          เม็ดนุ่นไม่ได้คิดอยากจะฆ่าตัวตายอย่างที่เขานึกกลัว แต่หล่อนทำตัวประหลาด
          หญิงสาวยังอ่านหนังสือทำวิทยานิพนธ์อยู่ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือหล่อนร้องไห้ตลอดเวลา บางครั้งแค่น้ำตาไหลเงียบ ๆ แต่บางครั้งก็ร้องไห้โฮ ๆ สะอึกสะอื้นฟูมฟายเสียงดัง หนังสือกับเอกสารต่าง ๆ ของหล่อนเปียกน้ำตาจนพองแล้วพองอีก ผ่านช่วงร้องไห้ หล่อนก็ทำตัวเป็นผู้หญิงแรง ๆ ย้อมผมสีจัด ๆ แต่งตัวเปรี้ยวซ่า วางท่ามาดมั่นไม่สนศีรษะใครทั้งนั้น เหล้าเบียร์ที่ดื่มอยู่แล้วก็ดื่มมากขึ้น แถมปาร์ตี้หนักข้อขึ้นทุกวัน แล้วก็เริ่มสูบบุหรี่
          ข้าวโอ๊ตด่าเพื่อนทุกวัน เขาไม่ชอบใจเลยที่เม็ดนุ่นทำตัวประชดชีวิตแบบนี้ เรื่องสูบบุหรี่ก็อีก สูบเป็นเสียที่ไหน ทำได้แค่พ่นควันเล่น ๆ พออยากจะอัดควันขึ้นมาก็สำลักกระอักกระไอ น้ำหูน้ำตาไหล บางวันมีแถมมาสคาร่าไหลเลอะเทอะจนเหมือนผีแพนด้า ชายหนุ่มด่าเพื่อนว่างี่เง่า สูบไม่เป็นยังริจะสูบ ด่าทุกวัน ๆ เข้าเม็ดนุ่นก็ดูเหมือนจะสำนึกได้ หล่อนค่อย ๆ หยุดพฤติกรรมประหลาดลงทีละอย่าง
          ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกที่เห็นเพื่อนอาการดีขึ้น และในเทอมที่หกเขาก็ได้รับทุนเดียวกับเม็ดนุ่นไปเยอรมนี
          เรื่องที่เกิดกับเพื่อนสนิททำให้เขากลัวไม่น้อย ความรักที่ไม่สมหวังมันทำให้คนเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้นทีเดียว เขาตั้งใจว่าเขาจะไม่ไปตกหลุมรักใครที่โน่น แต่เอาเข้าจริง เขาก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่เมื่อได้เจอกับหนุ่มฝรั่งเศสผู้ที่มีรอยยิ้มสดใส
          ฟรองซัวส์เป็นนักศึกษาทุนอิราสมุสมุนดุส มาเรียนแลกเปลี่ยนระดับปริญญาตรีที่เยอรมนี อายุน้อยกว่าเขาสองสามปี อยู่หอพักเดียวกัน เจอกันทุกวัน เด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ไม่ใช่คนหน้าตาดีสะดุดตานักหรอก ออกจะดูเฮี้ยว ๆ ด้วยซ้ำ ผมหยักศกสีดำยาวประบ่า คาดผ้าคาดผมจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว แต่เขาเป็นคนที่ร่าเริง พูดเก่ง สนิทกับคนง่ายและยิ้มสวยมาก ฟรองซัวส์คุยกับข้าวโอ๊ตเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน เขาช่างคุยช่างยั่วแหย่ให้เพื่อนรุ่นพี่ที่เงียบขรึมยิ้มได้ ไม่ทันรู้ตัว ทั้งสองคนก็เป็นแฟนกันแล้ว ฟรองซัวส์ทำให้ข้าวโอ๊ตได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ของการมีความรัก ความสุขที่ได้อยู่กับใครคนหนึ่งทุกวันและความอบอุ่นใกล้ชิดแบบที่ครอบครัวของเขาไม่เคยมีให้
          ความรักครั้งแรกของเขาสวยงามและฟรองซัวส์ทำให้เขามั่นใจว่ามันจะคงอยู่ไปนานแสนนาน ข้าวโอ๊ตจึงคิดทำเรื่องที่ตัวเองไม่เคยคิดจะทำมาก่อน นั่นคือ บอกที่บ้านให้ทราบเรื่องความลับของเขา ชายหนุ่มคิดว่าถ้าพ่อแม่และพี่ชายไม่มีใครเข้าใจเขา เขาก็ยังมีฟรองซัวส์
          ครอบครัวของเขารับเรื่องนี้ได้ดีกว่าที่ชายหนุ่มคิด ไม่มีการฟูมฟายน้ำตาหรือด่าทอต่อว่า พ่อของเขานิ่งอย่างน่ากลัว ส่วนแม่พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่ประโยคเดียวว่า เขาจะไม่มีทางเลิกเป็นเกย์อย่างนั้นหรือ ส่วนพี่ชายของเขาเป็นคนเดียวที่ไม่แสดงความแปลกใจมากนัก ดูเหมือนข้าวฟ่างจะระแคะระคายเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว แต่เพราะข้าวโอ๊ตไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผยหรือทำตัวออกนอกลู่นอกทาง เขาจึงไม่แน่ใจ หากเมื่อรู้ความจริง ข้าวฟ่างก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจรังงอนน้องชายแต่อย่างใด เพียงแต่สายตาที่มองน้องชายมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สายตาของพ่อกับแม่ก็ด้วย ภายนอกทุกคนดูเหมือนจะทำใจยอมรับเรื่องที่ข้าวโอ๊ตเป็นเกย์ได้ แต่ข้าวโอ๊ตสัมผัสได้จากบรรยากาศที่น่าอึดอัดภายในบ้าน เขาก็รู้ว่าครอบครัวของเขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ หรอก
          ข้าวโอ๊ตเสียใจ แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ เขามีชีวิตของเขาที่กรุงเทพฯ และเขาก็มีฟรองซัวส์ ชายหนุ่มยังไม่ได้บอกเรื่องคนรักของเขาให้ที่บ้านรู้ ตั้งใจว่าเมื่อฟรองซัวส์มาหาเขาที่เมืองไทย เขาก็จะพาไปพบกับครอบครัวที่ต่างจังหวัด พร้อมกับบอกให้รับรู้ถึงแผนการที่เขาจะไปอยู่กับคนรักของเขาที่เยอรมนี แต่ข้าวโอ๊ตก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้เพราะฟรองซัวส์บอกเลิกกับเขาก่อน และคราวนี้เป็นเม็ดนุ่นบ้างที่หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่เป็นเพื่อนเขาที่อพาร์ตเม้นท์
          อาการของเขาหนักกว่าเพื่อนมาก เพราะเขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักครั้งนี้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับโลกถล่มทลายและตัวเขาก็โดนทับแบนจนติดดิน ข้าวโอ๊ตนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้นกระเบื้องแข็ง ๆ ในห้องพักของอพาร์ตเม้นท์เป็นวัน ๆ ไม่อยากจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงหรือเรื่องใด ๆ อีกต่อไป เม็ดนุ่นไม่ยอมเห็นเพื่อนเอาแต่ทำตัวซึมกระทือ หล่อนลากเพื่อนออกจากห้อง ไม่ยอมให้เขาจมอยู่กับตัวเองหรือหมกตัวอยู่แต่ในห้อง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือเท่าไร แต่หล่อนก็ไม่ยอมแพ้
          คนสองคนที่มีประสบการณ์คล้าย ๆ กันอยู่ด้วยกัน ประคับประคองกันไป และเวลาก็ช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อย ๆ ดีขึ้น เม็ดนุ่นเลิกทำตัวประหลาด แต่ยังไม่เลิกทำผมสีทองสว่าง หล่อนบอกว่ามันทำให้หน้าหล่อนดูเด็กลงและสดใสขึ้น ส่วนข้าวโอ๊ตก็หายซึมและยอมออกจากห้อง แต่เขายิ่งปิดตัวเองมากขึ้นและไม่คิดจะเชื่ออีกต่อไปว่าคนอย่างเขาดีพอที่จะมีความรักเหมือนคนอื่น
          เขาไม่มีครอบครัว เขาไม่มีความรัก ข้างตัวของเขาว่างเปล่า และตอนนี้เขาก็ยังจะไม่มีที่ยืนในออฟฟิศอีก
          ชายหนุ่มกลับมานอนนิ่งบนพื้นห้องแข็ง ๆ อีกครั้ง กับความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวด
          หรือในโลกใบนี้มันจะไม่มีที่สำหรับเขาจริง ๆ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-01-2016 18:16:32
หรือ ฆาตกรรมในออฟฟิส จริงๆ แล้วคือ Office sindrome ที่ทำให้คนเราค่อยๆตายไปอย่างช้าๆ.... ออฟฟิสนี้เรียกได้ว่าฉิบหายมาก เหนื่อยกับคนมากกว่างานซะอีกนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-01-2016 18:57:45
เห็นด้วยกับเม้นบนเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-01-2016 22:18:32
 มันเป็นนิยายที่สามารถตีแผ่ปัญหาสังคมออกมาได้อย่างละเอียดลึกซึ้งจริงๆ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 09-01-2016 23:17:45
ตั้งแต่ระดับหัวหน้ายันแม่บ้าน เฮ้อออ นี่มันคดีฆาตกรรมชัดๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 10-01-2016 00:53:44
ไม่ต้องไปถึงออฟฟิศซินโดรม ความเครียดนี่เเหละตัวดี โชคดีเป็นของคาริน่าที่ไม่เจอคนที่มีความอดทนต่ำ ไม่งั้นโดน9มม.เป่ากกหู+ได้ออกข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของ"หนังสือพิมพ์ตายรัด" ส่วนทีโมนดีนะที่กิ๊กของเฮียเเกยังติดใจในลีลาอยู่ไม่งั้นคงได้กลับบ้านเก่าพร้อมกะคาริน่าเเน่ (โดนตามมาฆ่าคาออฟฟิศ)
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 13 (9-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 10-01-2016 01:34:07
ชอบเรื่องนี้มาก อ่านละคิดภาพตามฉากๆออกเลย อ่านละรู้สึกแค้นแทนข้าวโอ๊ตมาก ในขณะเดียวกันก็สงสาร อึดอัด เห็นใจนาง ความรู้สึกเหมือนมันไม่มีที่ของเรามันแย่มาก ขอบคุณคนเขียนค่ะ เขียนดีมากเลย
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 14 (10-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-01-2016 09:56:24
บทที่ 14
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
สิ่งที่เราทำไม่ใช่เรื่องผิด แต่ทำไมเหมือนกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่เลยล่ะ
Like – Comment – Share

          ระหว่างที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ยังไม่กลับมาทำงานเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัด บรรยากาศในออฟฟิศอึมครึมเหมือนกับเวลาที่กำลังจะเกิดพายุใหญ่
          พนักงานคนไทยไม่มีใครพอใจมาตรการประหยัดของคาริน่า หลังจากถกกันขนานใหญ่อีกครั้งก็มีการตกลงกันอย่างเงียบ ๆ ในที่สุดว่าให้ใช้ของในออฟฟิศเหมือนที่เคยทำ ไม่ต้องรัดเข็มขัด
          ‘เรากินใช้ปกติของเรา ของหมดก็ปล่อยให้มันหมดไป ของพวกนี้ควรจะเป็นสวัสดิการที่เราควรได้ ถ้าเขามีปัญหานักพี่จะออกแรงค้านอีกครั้ง จะพูดกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์โดยตรงเลยคราวนี้’ ญาดาประกาศ ‘เขาตัดอะไรทุกอย่างไปมากแล้ว ปีนี้ก็จะไม่มีกินเลี้ยงฉลองคริสต์มาสด้วย รู้รึเปล่า’
          บริษัทสัญชาติฝรั่งมีวันหยุดคริสต์มาสและมักจะจัดงานเลี้ยงฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ให้พนักงาน ออฟฟิศนี้ก็มี ต้นเดือนธันวาคมของทุกปี คนทั้งออฟฟิศจะไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นที่โรงแรมด้วยกัน ผู้อำนวยการจะมีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ หนึ่งชิ้นให้พนักงานเล่นเกมลักกี้ดรอหาผู้โชคดีหนึ่งคน ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือจะได้รางวัลปลอบใจเป็นช็อกโกแล็ตรูปนิโคเลาส์ นักบุญซึ่งเปรียบได้กับซานตาคลอสของชาวอเมริกัน แต่เมื่อถึงยุคของด็อกเตอร์แฮร์มันน์และคาริน่า บุฟเฟ่ต์อาหารเย็นยังคงมีอยู่ แต่เลือกที่ราคาถูกหรือมีโปรโมชั่นประเภทมาสามจ่ายสองเป็นหลัก และไม่มีของขวัญกับช็อกโกแล็ต พอมาปีนี้ ไม่มีแม้กระทั่งบุฟเฟ่ต์ไปด้วย
          ‘อะไรเนี่ย โหดเกินไปแล้ว ผมรอคริสต์มาสดินเนอร์มาทั้งปีเลยนะ ทำงานหนักมาตลอดก็อยากจะกินอาหารอร่อย ๆ เป็นรางวัลชีวิตบ้าง แต่ก็จะตัดเสียอย่างนั้น โอ๊ย’
          ออกัสครางฮือด้วยความเซ็งจับจิต
          ‘เงินเดือนก็ขึ้นหลักร้อย โบนัสก็มีบ้างไม่มีบ้าง แรงจูงใจหรือรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการทำงานก็ตัดไม่มีเหลือ แล้วใครจะไปมีกำลังใจทำงานไปได้ตลอด’ ญาดาบ่น แล้วหันมามองข้าวโอ๊ตที่นั่งฟังเงียบ ๆ มาตลอด
          ‘เรื่องของโอ๊ตก็อีก’
          คำเตือนเรื่องปิ่นโตและจดหมายตักเตือนความประพฤติเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่ทำให้ญาดาอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป พนักงานคนอื่น ๆ ในออฟฟิศก็เห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้คาริน่ากับทีโมนทำเกินไป และหากด็อกเตอร์แฮร์มันน์กลับมาจากพักร้อนเมื่อไรและมีการสอบสวนเรื่องนี้ คนไทยทุกคนจะช่วยกันแก้ต่างให้ข้าวโอ๊ต
          แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนสามัคคีกันดี แต่คนไทยในออฟฟิศตอนนี้ก็ยังมีเรื่องให้ต้องดูท่าทีของกันและกันอยู่เหมือนกัน
          ญาดาบอกกับทุกคนหลังจากคุยเบื้องต้นกับคาริน่าและทีโมนว่าทุนสำหรับการไปอบรมที่มิวนิกจะมีให้สองทุนสำหรับสองคน หนึ่งในนั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าคือเลอ วานจากออฟฟิศสาขาที่เวียดนาม ส่วนอีกคนหนึ่งจะพิจารณาจากพนักงานที่ออฟฟิศกรุงเทพฯ แต่จะเป็นใครนั้นต้องรอประชุมกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก่อน
          ข้าวโอ๊ตอยากได้ทุนไปอบรมครั้งนี้มาก เพราะมันจะทำให้เขาได้มีโอกาสออกจากออฟฟิศ ออกจากความจำเจเดิม ๆ แม้จะแค่ชั่วคราวก็ตาม แถมเขายังสามารถลางานต่อเพื่อท่องเที่ยวในเยอรมนีได้อีกด้วย ชายหนุ่มหวังว่าเขาจะมีโอกาสได้รับการพิจารณา แม้ว่ามันจะยากมากเพราะช่วงนี้เขามีเรื่องเยอะมากก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังอยากจะลองวัดดวงดูสักครั้ง
          เมื่อมีเรื่องทุนอบรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ ชายหนุ่มจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เขาเลิกเอาปิ่นโตอาหารกลางวันมากินเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ไม่พยายามเถียงกับใครให้โดนเขม่น ทำตัว “โลว์โปรไฟล์” ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรื่องของคาร์ลก็เหมือนกัน เขาไม่คุยกับเด็กหนุ่มในออฟฟิศถ้าไม่จำเป็น แต่ยังส่งข้อความคุยกันและนัดเวลาเจอกันตอนเย็นเพื่อทำงานแปลหรือกินข้าวแทนที่จะเดินออกไปจากออฟฟิศด้วยกันให้เป็นจุดสังเกต
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลักลอบเป็นชู้กับสามีชาวบ้านอยู่ก็ไม่ปาน โดยเฉพาะในวันนี้ เมื่อเขาเจอกล่องขนมบราวนี่วางอยู่บนเก้าอี้ในจุดที่มองจากข้างนอกเข้ามาแล้วจะไม่เห็น คาร์ลคงแอบเอามาวางไว้ให้พร้อมกับข้อความให้กำลังใจเนื่องจากพรุ่งนี้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะกลับมาทำงานแล้ว เรื่องจดหมายเตือนความประพฤติก็น่าจะจบเสียที เขาส่งข้อความไปขอบคุณคาร์ลและเมื่อเดินผ่านห้องก็ยิ้มให้ด้วยแต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มทันทีแล้วแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเหลือบเห็นคาริน่าเดินออกมาจากห้อง คาร์ลเองก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เช่นกัน

          เรื่องจดหมายตักเตือนความประพฤติของข้าวโอ๊ตจบลงดีกว่าที่คาดเอาไว้
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เริ่มงานวันแรกหลังจากกลับมาจากพักร้อนด้วยการเรียกทีโมนกับคาริน่าเข้าไปพบ ทั้งสามคนปิดประตูห้องคุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเรียกญาดาเข้าไปอีกคน
          พนักงานที่เหลือไม่เป็นอันทำอะไร มิคกี้กับนัตโตะออกจากห้องมาเกาะกลุ่มกันอยู่ที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นของออกัส ข้าวโอ๊ตยังนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ไม่ยอมออกมาร่วมวงวิพากษ์วิจารณ์กับคนอื่น แต่ใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ คิดแต่ว่าเมื่อไรจะมีชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยว
          ญาดาไม่ได้ออกมาจากห้องประชุมจนกระทั่งสิบเอ็ดโมงครึ่ง หล่อนออกมาคนเดียว แต่ฝรั่งคนอื่นยังประชุมกันต่อ หญิงสาวเรียกรวมพลน้อง ๆ ในห้องครัวทันที รวมทั้งนัตโตะด้วย พัดชาก็เลยจัดอาหารกลางวันให้รับประทานกันก่อนเวลา
          “เขาว่ายังไงครับพี่” ข้าวโอ๊ตถามเป็นคนแรกด้วยความกังวล
          “เรื่องเยอะมาก” ญาดาเกริ่น ก่อนจะเล่าผลการประชุมให้ทุกคนฟัง หล่อนเริ่มจากเรื่องของข้าวโอ๊ตก่อน
          “ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะไม่ออกจดหมายเตือนข้าวโอ๊ตนะ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ว่าข้าวโอ๊ตไม่สุภาพกับพี่พัด แต่ต่อไปนี้ห้ามเอาปิ่นโตมากินที่ทำงานอีกและเขาฝากพี่มาเตือนข้าวโอ๊ตด้วยเรื่องความสุภาพ เขาอยากให้โอ๊ตใช้คำพูดกับน้ำเสียงที่สุภาพกับคนในออฟฟิศ ให้ยิ้ม ห้ามทำหน้าบึ้งตึง”
         “ที่เปลี่ยนใจเพราะคาริน่าคงนกรู้ว่าพวกเราเตรียมจะชนแน่ ๆ” ออกัสเปรย ก่อนจะปรายตาไปทางนัตโตะและพัดชา เขามั่นใจว่า “นก” ที่ “ปูด” เรื่องต่าง ๆ เข้าหูคาริน่าก็คงไม่พ้นคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้หรอก
         ส่วนข้าวโอ๊ตคนที่ถูกเตือนฟังแล้วทำหน้าประหลาด ปกติเขาไม่ใช่คนหน้าเป็น ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนคาร์ลหรือเหมือนคนอื่น ๆ อยู่แล้ว วางหน้าเฉยก็อาจจะดูว่าหน้าบึ้ง ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไร แล้วนี่ถึงกับจะต้องให้เขาฝืนธรรมชาติกันเลยทีเดียวอย่างนั้นหรือ
          “ให้พูดสุภาพ แม้แต่เวลาที่เราโดนเหวี่ยงใส่งั้นเหรอครับ ผมว่านะเขาควรจะเอาคำเตือนนี้ไปเตือนคาริน่าก่อนคนอื่นเลย ให้เขาเลิกโวยวาย เลิกเหวี่ยง เลิกวีน เลิกจิกกัดคนอื่นเสียที ผมคงจะทำงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มได้หรอกถ้าเป็นอย่างนั้น” ข้าวโอ๊ตอดปากวิจารณ์ไม่ได้จริง ๆ
          “งี่เง่าว่ะ ใครจะรู้สึกยังไงก็เรื่องของเขารึเปล่า ตราบใดที่ยังทำงานได้ ถ้าเราเป็นนาย เราไม่สนใจหรอกเรื่องแค่นี้ จะยิ้มหรือไม่ยิ้ม ขอแต่ให้งานมันเดินก็พอ” ออกัสพูดบ้าง
          “เรื่องล้างจานก็ตามที่คาริน่าบอก เขาให้พี่พัดล้างเฉพาะจานชามอาหารกลางวัน แก้วน้ำหนึ่งใบ ส่วนเกินให้ล้างกันเอง ซื้อน้ำยาล้างจานกันมาเองด้วย น้ำเปล่ากับกาแฟไม่จำกัดการดื่มแล้ว แต่เขาขอให้ช่วยกันประหยัด ๆ หน่อย”
         “ผมไม่ล้างจาน” มิคกี้ประกาศด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาเป็นคนที่ใช้จานเปลืองที่สุดในออฟฟิศเพราะไม่ว่าจะซื้อขนม ผลไม้ หรือของกินอะไรมา เขาต้องถ่ายของใส่จานก่อนถึงจะลงมือกินได้ ไม่เหมือนกับคนอื่นที่กินจากกล่องได้เลยไม่มีปัญหา เพราะว่าที่บ้านของเขาทำกันแบบนี้ น้านีจะจัดขนมจัดอาหารอย่างดีใส่จานให้รับประทานบนโต๊ะอาหารอย่างเรียบร้อย รับประทานเสร็จก็มีเด็กคนงานมาเก็บไปล้างทำความสะอาดโดยที่ชายหนุ่มไม่เคยต้องลงมือทำอะไรเอง
         “แต่ถ้าเขามีมติออกมาแบบนี้ งั้นผมจะเอาจานชามส่วนเกินกลับไปให้คนงานที่บ้านล้างแล้วค่อยเอากลับมาคืนออฟฟิศ”
         “พี่ว่าอย่าดีกว่า ทำอย่างนั้นเดี๋ยวเจ๊เขาคิดว่านายขโมยจานชามของออฟฟิศกลับบ้านนะ” ข้าวโอ๊ตรีบเตือน ชายหนุ่มมีประสบการณ์ใกล้เคียงกันนี้มาแล้ว แต่เป็นถุงกระดาษขนาดหนาพิมพ์ตราบริษัทที่มีเก็บอยู่ในตู้พร้อมกับของใช้หรือของที่ระลึกอื่น ๆ ที่มีตราบริษัทเหมือนกัน ของในตู้นี้พนักงานหยิบได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตถ้าเอาไปเพื่อให้เป็นของขวัญหรือของที่ระลึกแก่แขกของบริษัท นาน ๆ ครั้งคาริน่าก็จะมาตรวจดูสักทีว่าอะไรพร่องไปเท่าไรแล้ว วันที่เกิดเรื่อง ญาดากับออกัสเอาหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ลงข่าวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตของวงร็อคญี่ปุ่นที่เขาชอบมาให้ ข้าวโอ๊ตดีใจรีบตัดข่าวเก็บใส่แฟ้มพลาสติกเอาไว้ แต่เขาไม่มีถุงหรือกระเป๋าที่จะใส่กลับบ้าน จะถือแฟ้มอย่างเดียวก็ไม่สะดวก เขาจึงไปหยิบเอาถุงกระดาษมาหนึ่งใบจากในตู้ ถุงของออฟฟิศยาว กระดาษแข็งเนื้อดี ไม่ต้องกลัวว่าใส่แฟ้มที่เขาทะนุถนอมลงไปแล้วมันจะงอหรือพับ แต่พอเขาจะเดินออกจากออฟฟิศกลับบ้าน คาริน่าก็เห็นเข้าพอดีและโวยวายว่าเขาจะยักยอกของออฟฟิศกลับบ้าน ชายหนุ่มต้องอธิบายว่าเขาขอยืมใส่ของกลับไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะเอากลับมาคืน
          มิคกี้คิดตามหน้ายุ่ง ขณะที่นัตโตะเผลอยิ้มเหยียด ๆ ออกมา ก่อนจะพูดลอย ๆ ว่า
          “คุณหนูมิคกี้คงต้องหัดกินขนมจากถุงจากกล่องแล้วล่ะคราวนี้”
          “ผมเอาจานชามมาจากบ้านเองก็ได้ ไม่ได้อยากใช้เหมือนกันจานชามถูก ๆ พื้น ๆ ของออฟฟิศแบบนี้”
          ญาดาไม่สนใจคำพูดห้วน ๆ ด้วยอารมณ์ของมิคกี้ เพราะเรื่องต่อไปที่จะพูดถึงนี้เป็นเรื่องที่หญิงสาวฟังแล้วก็ทำหน้าบึ้งอารมณ์เสียไม่ต่างจากมิคกี้ในตอนนี้เหมือนกัน
         “นายบอกพี่ด้วยว่าเขาอยากให้พวกเราไปกินข้าวกลางวันกับพวกเขาในห้องอาหาร”
          เหมือนญาดาหย่อนระเบิดตูมลงกลางวง คนฟังพากันตกใจทันที
          “ทำไมล่ะพี่” ออกัสระล่ำระลักถาม หน้าตาของเขาเหมือนเห็นผี
          “เขาบอกว่าเพื่อความสัมพันธ์อันดีในออฟฟิศ ตอนนี้ออฟฟิศเราเหมือนแยกเป็นสองกลุ่ม ฝรั่งกับคนไทย เขาอยากให้ทุกคนสนิทสนมกัน ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะลดเวลาพักกลางวันลงเหลือครึ่งชั่วโมง เพราะตอนนี้เราทำงานไม่ครบแปดชั่วโมงตามในสัญญาจ้างงาน เราทำกันแค่วันละเจ็ดชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่ถ้ายอมกินข้าวกลางวันในห้องอาหารกับพวกเขาก็จะให้พักหนึ่งชั่วโมงเหมือนเดิม”
          “บ้าไปแล้ว” ออกัสเอามือกุมขมับ เขารู้สึกปวดหัวหนักมาก
          “เราเข้างานเก้าโมงเช้า เลิกห้าโมงครึ่ง ก็เจ็ดชั่วโมงครึ่งจริง ๆ” ข้าวโอ๊ตนับนิ้ว “จะหักจากเวลาพักกลางวันก็เข้าใจได้ แต่ทำไมกินข้าวกลางวันกับฝรั่งแล้วไม่เป็นไร พักได้เต็มชั่วโมงเหมือนเดิม”
          “นายบอกว่ากินข้าวกับพวกเขา ได้คุยกันเรื่องงาน เท่ากับเป็นเวลาทำงานเหมือนกัน”
          “นี่มันตรรกะอะไรวะ” ออกัสรู้สึกปวดหัวหนักขึ้นกว่าเดิม “ผมไม่เอานะ ให้คุยแต่เรื่องงานตลอดเวลา เป็นบ้าตายกันพอดี แล้วเข้าไปกินข้างในก็ได้ยินแต่เสียงนายพูด น่าปวดหัว จะคุยอะไรก็ลำบากใจ พวกนั้นไม่มีทางอินเวลาเราคุยกันเรื่องช้อปปิ้ง ผู้ชาย ฟิตเนส ดารานักร้อง”
           “นายบอกว่าพวกเราพูดภาษาไทยกันได้ จะคุยอะไรกันก็ได้” ญาดาพูด
           “แล้วมันถือเป็นเวลางานยังไง” ออกัสยิ่งปวดหัว “ผมไม่เอา ไม่อยากเห็นหน้าอีพวกฝรั่ง มันเซ็ง จะพาลกินข้าวไม่ลง ผมขอกินข้าวเที่ยงในครัวตามเดิม”
           “ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน ผมยอมพักครึ่งชั่วโมง หรือเลิกหกโมงเย็นก็ได้ ผมขอมีเวลาที่สบายใจในออฟฟิศบ้างเถอะ” ข้าวโอ๊ตพูดมาอีกคน
          “ผมก็อยากกินในครัวมากกว่าครับ ถึงเขาจะบอกให้เราคุยเรื่องอะไรกันก็ได้ แต่เอาเข้าจริง เราก็ต้องฟังเขาพูดอยู่ดี เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เราถึงต้องเข้ามากินในครัวกัน” มิคกี้ก็มีความเห็นเหมือนเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทุกคน นัตโตะก็ไม่มีอะไรคัดค้าน แต่เหตุผลของเขาต่างออกไป ชายหนุ่มไม่อยากให้มีใครเสนอหน้าเข้าไปรับประทานอาหารกลางวันในห้องเพื่อไปแย่งซีนเขา ชายหนุ่มพอใจที่เป็นคนเดียวในออฟฟิศที่ได้พูดคุยออกความคิดเห็นเรื่องราวต่าง ๆ กับฝรั่งที่ถือว่าเป็นฝ่ายบริหารและเขามักจะได้ข้อมูลวงในก่อนคนอื่นตลอด ข้อมูลพวกนี้ทำให้ทุกคนในออฟฟิศสนใจเขา ตัวเขาก็พองโตเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญคนหนึ่งเช่นกัน
          “เรื่องนี้ผมไม่ออกความเห็นแล้วกันครับ แต่พวกพี่ไม่เข้าไปกินข้าวในห้องก็ดีแล้วล่ะ เมื่อวานคาริน่าโมโหแม่บ้านว่าทำเตาไฟฟ้าที่ห้องเป็นรอย บ่นตั้งแต่นั่งกินข้าวยันกินข้าวเสร็จเลยว่าแม่บ้านไทยทำงานชุ่ยมาก พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ อยากได้แม่บ้านฟิลิปปินส์หรือชาติอะไรก็ได้ที่พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าคนไทย”
          ถึงจะรู้ว่านัตโตะเล่นใหญ่เกินจริงเหมือนเคยแต่ตอนนี้ไม่มีใครแสดงความกังขา ทุกคนฟังแล้วแขยงกันทั่วหน้า เสียงแปดหลอดของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เสียงบ่นของคาริน่า เสียงอ่อน ๆ ออดอ่อยหงุงหงิงของทีโมน แค่คิดก็เซ็งขนาดหนักแล้ว
          “งั้นก็ตกลงตามนั้น พักกลางวันครึ่งชั่วโมง กินข้าวในครัวเหมือนเดิม” ญาดาสรุป
          “แล้วพี่ขอห้ามเลยนะ เรื่องที่เราพูดกันตอนนี้ คำวิจารณ์อะไรต่าง ๆ ก็ขอให้มันอยู่แค่ในนี้ อย่าเอาไปเล่าให้ฝรั่งหรือให้ใครฟังต่อ พี่ไม่อยากให้ในออฟฟิศมันมีปัญหาอีก แค่เรื่องที่มีอยู่นี่ก็มากพอแล้ว เข้าใจนะ”
          พี่ใหญ่ในออฟฟิศกวาดตามองรุ่นน้องในออฟฟิศแบบเรียงตัว ก่อนจะหยุดอยู่ที่นัตโตะเหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่าหมายถึงตัวเขาเป็นพิเศษทำเอาชายหนุ่มหน้าบึ้งงอด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้
          “แล้วเรื่องทุนไปอบรมล่ะครับ เขาบอกรึยังว่าเลือกใคร” ออกัสถามถึงสิ่งที่อยากรู้
          “แค่พิจารณาดูคร่าว ๆ ว่าใครเข้าข่ายจะได้ไปบ้างเท่านั้นแหละ แต่ยังไม่ได้ตัดสิน” ญาดาตอบ สายตาที่หล่อนมองข้าวโอ๊ตมีแววเห็นใจเล็กน้อย เมื่อพูดต่อว่า
          “คนที่เขาเลือกเอาไว้ก็มีมิคกี้ นัตโตะ แล้วก็ออกัส”
          “แล้วผมล่ะครับ” ข้าวโอ๊ตถามทันที
          “เขาอยากให้พนักงานการตลาดไปเพราะปีนี้มีอบรมเรื่องธุรกิจเยอะเป็นพิเศษ ให้การตลาดไปจะมีประโยชน์มากกว่า ส่วนออกัสทำงานมานานกว่าทุกคนจึงได้รับการพิจารณาด้วย”
          “ส่วนผม ไม่ใช่ทั้งการตลาด ไม่ใช่ทั้งคนที่ทำงานมานานพอ ก็เลยไม่อยู่ในสายตาสินะ”
          “อย่าพูดอย่างนั้นสิโอ๊ต เอาไว้รอลุ้นคราวหน้าก็ได้” ญาดาปลอบ แต่หล่อนก็รู้เหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตรู้นั่นแหละว่าโอกาสแบบนี้กว่าจะมีมาอีกครั้งมันใช้เวลานานมากแค่ไหน หล่อนเองทำงานมาสิบกว่าปียังได้ไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
          ข้าวโอ๊ตนิ่งเงียบด้วยความผิดหวังขณะที่ผู้ท้าชิงทั้งสามมองหน้ากันและกันอย่างท้าทาย
          “เรามาคุยเรื่องงานแนะนำผลิตภัณฑ์ของเลมอนดีกว่า” ญาดาเปลี่ยนเรื่อง “อาทิตย์หน้าก็จะถึงงานแล้ว พี่จะขอแบ่งหน้าที่เลย จะได้เตรียมตัวกันเอาไว้”
          เนื่องจากงานนี้เป็นงานใหญ่ของบริษัท หญิงสาวจึงบอกกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่าจะขอใช้สตาฟทั้งหมดไปทำงานนี้ หล่อนกำหนดให้ออกัสกับข้าวโอ๊ตประสานงานกับโรงแรมในวันงานและดูแลเรื่องการลงทะเบียนของแขกที่เชิญมาในงาน รายชื่อแขก ป้ายชื่อ และแฟ้มเอกสารที่จะแจกแขกในงานข้าวโอ๊ตจัดเตรียมไว้หมดแล้ว
           มิคกี้เป็นพิธีกรดำเนินรายการคู่กับทีโมนบนเวที ส่วนนัตโตะจะเป็นล่ามคอยแปลคำพูดของแขกในงานและคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านล่างร่วมกับญาดา นัตโตะฟังแล้วไม่ค่อยชอบใจนัก เขาอยากโดดเด่นอยู่บนเวทีเคียงคู่กับทีโมนมากกว่าและเขาก็ไม่รีรอที่จะขอเปลี่ยนหน้าที่ทันที
          “ตำแหน่งพิธีกรต้องใช้คนที่พูดเก่ง ๆ ไม่ใช่เหรอครับ ผมพูดเก่งกว่ามิคกี้ ผมน่าจะได้เป็นพิธีกรสิ”
          “นั่นก็จริง แต่มิคกี้เป็นคนพูดดี มาดดี ให้เขาอยู่บนเวทีเหมาะสมที่สุดแล้ว ส่วนเธอพูดเก่ง มีความคล่องแคล่ว พี่ก็ให้แสตนบายอยู่ข้างล่าง ดูแลแขก แปลคำถามหรือความเห็นของแขกให้ฝรั่งฟัง คอยแก้ปัญหา พี่เลือกคนที่เหมาะสมกับงานนะนัตโตะ งานเธอถึงจะไม่เด่น แต่ก็สำคัญ” ญาดาชี้แจง แต่นัตโตะก็ยังไม่พอใจเท่าไรนัก มิคกี้ยังนิ่งสงวนท่าทีอยู่เพราะเขารู้ว่าลองนัตโตะสวมบทตัวร้ายไปแล้วก็น่าจะมีใครสักคนออกมาปกป้องเขา และไม่ผิดไปจากที่คิดจริง ๆ
          ออกัสฟังแล้วรำคาญจึงเสนอว่า
          “ถ้าไม่อยากอยู่ในห้องจัดงาน นายมาทำหน้าที่ประสานงานด้านนอกแทนพี่เอาไหมล่ะ แล้วสักสิบโมงพอแขกเข้าห้องประชุม งานเริ่มแล้ว นายก็กลับออฟฟิศได้เลย สบาย ๆ ไม่ต้องเหนื่อยด้วย”
          “ไม่เอาหรอก ผมอยู่ในห้องจัดงานก็ได้” นัตโตะตอบหน้าบูด
          “พี่กัสจะไม่อยู่จนเลิกงานเหรอครับ” มิคกี้สงสัย
          “อยากอยู่ แต่ปกติงานแบบนี้ พี่กับโอ๊ตอยู่แค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละ เสร็จงานตอนเช้าต้องกลับมาเฝ้าออฟฟิศ ไม่มีใครรับโทรศัพท์ ไม่มีใครลงทะเบียนอีเมลไปวันหนึ่ง ออฟฟิศจะแตกเอา” ออกัสตอบตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ข้าวโอ๊ตก็เสริมว่า
          “ที่สำคัญกว่าคือประหยัดค่าบุฟเฟ่ต์ไปได้สองหัว”
          มิคกี้เพิ่งเข้ามาทำงาน ยังไม่เคยได้เข้าร่วมงานที่ออฟฟิศจัดในลักษณะแบบนี้ พอได้ยินเข้าแบบนี้ก็มีสีหน้าแปลก ๆ แต่เขาไม่ตกใจหรือแปลกใจมากมายนักเพราะมาตรการรัดเข็มขัดของออฟฟิศก็เพิ่งเจอกับตัวมาสด ๆ ร้อน ๆ
          แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ญาดาบอกทั้งสองคนว่า
          “พี่บอกคาริน่าแล้ว กัสกับโอ๊ตจะอยู่จนเลิกงาน เราเตรียมงานหนักกันมานาน ทุกคนเหนื่อยกันทั้งนั้น ใจคอจะไม่ให้อยู่กินข้าวดี ๆ สักมื้อมันเกินไป ที่ออฟฟิศก็ให้คาริน่านั่นแหละเฝ้า ให้คาร์ลรับโทรศัพท์ไป แค่วันเดียวเท่านั้นเอง”
           “คาริน่ายอมเหรอครับ” ข้าวโอ๊ตถาม
          “ไม่ยอม แต่ไม่ต้องสนใจ ถึงวันงานพี่จัดการเอง” ญาดาตัดสินใจ

         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 14 (10-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-01-2016 09:58:14
          หมดเวลาพักกลางวัน ทุกคนแยกย้ายกันกลับห้อง ข้าวโอ๊ตเดินกลับมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้งด้วยความเสียใจและน้อยใจจนบอกไม่ถูก ในครัวเมื่อสักครู่นี้เขาอาจจะแค่ตัดพ้อและไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมามากประสาคนนิ่งเงียบเก็บความรู้สึก แต่ความจริงแล้ว เขารู้สึกอะไรมากมายและมันเหมือนกับมีอะไรสักอย่างกำลังกรีดแทงหัวใจของเขาอยู่
          ทำไมเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้แม้แต่จะถูกพิจารณาให้เป็นตัวเลือกรับทุนอบรม ด้วยตำแหน่งงานแล้วเขานับเป็นเบ๊ประจำออฟฟิศ คอยช่วยเหลือสนับสนุนงานของทุกคน แต่กลับเป็นตำแหน่งที่ถูกตัดทิ้งไปเป็นตำแหน่งแรก
          มันไม่ยุติธรรมเลย แล้วอย่างนี้เขาจะทำงานหนักไปเพื่ออะไร ยอมอดทนอยู่ทุกวันนี้ไปเพื่ออะไร
          ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ดีเลยที่คิดแบบนี้ แต่เพราะความน้อยใจทำให้เขาคิดอะไรไปไกลมาก
          เสียงข้อความเข้าดังขึ้น ข้าวโอ๊ตหยิบโทรศัพท์มาดูก็พบว่าคาร์ลส่งข้อความมาหาเขา
          ‘เป็นยังไงบ้างครับ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่ายังไงบ้าง เขาจะให้จดหมายเตือนคุณไหม’
          ‘ไม่ให้ครับ’
          ข้าวโอ๊ตนั่งนึกอยู่ครู่ว่าคาร์ลพูดถึงเรื่องอะไร เพราะตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องที่เขาไม่ได้เป็นตัวเลือกรับทุน เมื่อนึกออกเขาก็ส่งข้อความตอบกลับไปสั้น ๆ
          ‘โอ๊ย ดีใจด้วยครับ แต่เอ๊ะ แล้วคุณจะต้องไปคุยกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์อีกครั้งไหมครับ’
          ‘ไม่ต้องครับ’
          ‘งั้นเหรอครับ เอ แต่ผมว่าน่าจะเรียกไปคุยกันสักหน่อยนะครับจะได้เคลียร์กันให้แน่ ไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีกต่อไป ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะได้ทราบความรู้สึกของคุณด้วย เรื่องที่โดนกล่าวหาค่อนข้างจะแรงพอสมควร’
           ‘ครับ’
          คาร์ลเงียบไปครู่หนึ่ง บนหน้าจอโทรศัพท์ของข้าวโอ๊ตปรากฏสัญลักษณ์จุดสามจุดที่แสดงว่าคู่แช็ตกำลังพิมพ์ข้อความ แต่แป๊บเดียวมันก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่ แล้วก็หายไปอีก เหมือนอีกฝ่ายไม่แน่ใจว่าควรจะส่งข้อความที่เขียนไว้ดีไหม ข้าวโอ๊ตสังเกตเห็น แต่เขาไม่ได้คิดอะไรเพราะสมองของเขาตอนนี้ก็มีเรื่องมากพออยู่แล้ว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ส่งข้อความมา เขาก็ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่มีคำร่ำลาหรือแม้แต่อิโมติค่อนน่ารักเหมือนที่เคยส่งให้
          บ่ายหน่อย เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานถูกเรียกเข้าพบผู้อำนวยการออฟฟิศ เขาเดินผ่านห้องของข้าวโอ๊ต เห็นเจ้าของห้องนั่งหน้าเครียด หันหน้าเข้าหาผนังที่มีกระดาษโน้ตรวมทั้งรูปภาพจากหนังและโปสการ์ดหลายแผ่นติดอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งและไม่รู้ว่าเขาเดินผ่านไป
          แม้ว่าจะถูกเตือนผ่านทางญาดามาก็จริง แต่ข้าวโอ๊ตก็ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ดีเมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือทีโมนใช้งานเขา แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องปิ่นโตหรือจดหมายเตือนความประพฤติต่อหน้าเขาเลย มีเพียงเอางานมาให้แล้วก็ออกไปจากห้องของเขาเลยในทันทีเท่านั้น ข้าวโอ๊ตก็ไม่สนใจ ชายหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แม้แต่จะยิ้ม
          “คุณโอ๊ตครับ”
          เสียงเรียกของคาร์ลหยุดเขาเอาไว้หน้าลิฟท์ ข้าวโอ๊ตหันมามองและมองเลยไปเห็นญาดา มิคกี้ นัตโตะที่กำลังจะเปิดประตูออฟฟิศตามออกมา วันนี้ชายหนุ่มกลับเร็วกว่าปกติ เรียกว่าพอห้าโมงครึ่ง เข็มยาวแตะเลขหกปุ๊บ เขาก็เดินออกจากออฟฟิศทันที ไม่ได้ร่ำลาใครด้วย จึงออกมาเร็วกว่าคนอื่นที่ต้องเดินเข้าไปลาด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก่อน
          ชายหนุ่มไม่อยากให้ใครเห็นเขาคุยกับคาร์ลจึงดึงมืออีกฝ่ายให้เดินตามเข้าไปในห้องแพนทรี่ของชั้นซึ่งเป็นห้องครัวเล็ก ๆ มีอ่างล้างจาน โต๊ะและเก้าอี้ ให้พนักงานของบริษัทที่เช่าพื้นที่ในชั้นมาใช้ร่วมกันได้
          เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง ปลอดจากสายตาอยากรู้อยากเห็นแกมจับผิดของคนอื่น ๆ แล้ว ข้าวโอ๊ตก็ปล่อยมือของคาร์ล แต่เด็กหนุ่มกลับเป็นคนจับมือของเขาเอาไว้แทน
          “วันนี้คุณเป็นอะไรไป ผมเห็นคุณท่าทางแปลก ๆ ผิดไปจากปกติ”
          คาร์ลถาม
          “เอ้อ...” ข้าวโอ๊ตตอบไม่ถูก เขามองมือของตัวเองที่อยู่ในมือของคาร์ลด้วยสีหน้าที่แสดงความแปลกใจปนขัดเขิน คุยกันมาเป็นเดือนแล้วก็จริง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใกล้ชิดกันขนาดนี้ คาร์ลไม่เคยแสดงออกกับเขาเกินกว่าความเป็นเพื่อน เขาเองถึงจะชอบคาร์ลไม่น้อย แต่ก็ยังสงวนท่าทีอยู่ นี่จึงเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาหดแคบลง
          “ผมเห็นคุณหน้าเครียดทั้งบ่าย ผมส่งข้อความมา คุณก็ตอบเหมือนเสียไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นครับ เรื่องจดหมายเตือนก็น่าจะเคลียร์ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
          “ไม่มีอะไรหรอกคาร์ล ผมคิดมากเรื่องอื่นน่ะ นิดหน่อย” ข้าวโอ๊ตดึงมือตัวเองออกด้วยความกระดาก คาร์ลก็ไม่ได้คัดค้าน สายตาของเด็กหนุ่มที่มองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่แสดงความเป็นห่วง
          “เรื่องอะไรครับ บอกผมได้ไหม ผมยินดีรับฟังนะ”
          “ขอบคุณครับ แต่มันไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องผิดหวังนิดหน่อย เดี๋ยวผมก็ทำใจได้”
          ข้าวโอ๊ตปด เขารู้ว่ามันไม่ใช่แค่เดี๋ยวเดียวหรอก แต่เรื่องนี้มันคงจะเป็นเรื่องที่กัดกินใจเขาต่อไปอีกนานเลยทีเดียว
          คาร์ลไม่เซ้าซี้ต่อ เมื่ออีกฝ่ายบอกอย่างนั้น เขาก็เชื่อ แม้ว่าดูจากหน้าหมอง ๆ ของข้าวโอ๊ตแล้วเขาคิดว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นก็ตาม
          “วันอาทิตย์นี้คุณเลิกสอนกี่โมง” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
          “วันอาทิตย์นี้ไม่มีสอน คลาสถูกแคนเซิล” ข้าวโอ๊ตพูดไม่หมด ความจริงเขาโทรศัพท์ไปขอยกเลิกคลาสวันเสาร์กับวันอาทิตย์นี้กับทางโรงเรียนสอนพิเศษเองเพราะเขาไม่มีสมาธิจะเตรียมสอนและไม่มีอารมณ์จะไปทำงานด้วย
          เขาอยากจะพักเต็มทีแล้ว
          “ไปตลาดน้ำกับผมไหม” คาร์ลชวน
          ข้าวโอ๊ตลังเล นึกดีใจที่ได้รับคำชวน แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ค่อยคงที่ ถ้าไปเที่ยวทั้งที่อยู่ในสภาพแบบนี้ มันอาจจะทำให้คาร์ลไม่สนุกไปด้วย เขาคงจะต้องไปเดินทำหน้าแบกโลกแน่ แล้วทุกอย่างมันก็จะยิ่งแย่
          “วันอาทิตย์เจอกันที่คิวรถตู้ตอนสิบโมงเช้านะครับ”
          คาร์ลรวบรัด เห็นท่าของอีกฝ่ายแล้ว ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ เห็นทีวันนี้คงจะไม่ได้รับคำตอบแน่ และเด็กหนุ่มก็ไม่รอให้ข้าวโอ๊ตคัดค้าน เขาเอื้อมมือมาบีบมือข้าวโอ๊ตอีกครั้งเป็นการย้ำ แล้วเดินออกไปจากห้องแพนทรี่อย่างรวดเร็ว
          ข้าวโอ๊ตทำอะไรไม่ถูก ประสบการณ์ที่เคยผ่านมากับเรื่องแบบนี้มันก็ดูรางเลือนจนเขาหาวิธีรับมือไม่ถูกและใจจริงเขาก็ไม่อยากส่งข้อความหรือโทรศัพท์ไปปฏิเสธคำชวนของคาร์ลเช่นกัน มันอาจจะดีก็ได้นะถ้าเขาจะมีเรื่องอื่นอยู่ในสมองถ่วงดุลกับเรื่องทุนอบรมบ้าง
          คิดตกแล้ว ชายหนุ่มก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องแพนทรี่บ้าง แต่เขานึกได้ว่าเมื่อสักครู่คาร์ลเพิ่งเดินออกไป แล้วถ้าใครมาเห็นเข้าก็อาจจะเป็นเรื่องเป็นราวอีก ข้าวโอ๊ตจึงรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่หน้าออกไปมองนอกห้องด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดคนก็ค่อย ๆ เดินออกไปกดลิฟท์

          ในออฟฟิศ นอกจากฝรั่งและพัดชาที่กำลังทำความสะอาดรอบเย็นอยู่ ก็ยังมีออกัสอีกคนหนึ่งที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ความจริงชายหนุ่มไม่มีงานให้ต้องอยู่เย็น แต่เขายังกลับไม่ได้
          เพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยออกจากออฟฟิศกันไปหมด เริ่มจากข้าวโอ๊ตที่เดินดุ่ม ๆ ออกไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยลาเขาอย่างที่ทำเป็นประจำ ตามมาด้วยญาดา มิคกี้ นัตโตะ คนหลังนี่มองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน
          “ทำไมยังไม่กลับอีกครับพี่กัส หรือว่ารอใคร”
          คำถามของเขาทำให้ญาดาและมิคกี้ที่กำลังจะเปิดประตูออฟฟิศพลอยหันมามองไปด้วย
          “รอพี่ต้น วันนี้จะออกไปกินข้าวกัน”
          “แล้วทำไมไม่ลงไปรอข้างล่างล่ะครับ เดี๋ยวคาริน่าก็ว่าเอาหรอก” นัตโตะสงสัย
          เจ้าแม่ประจำออฟฟิศไม่ชอบให้พนักงานคนไหนกลับช้าหรืออยู่เย็นจนเกินไปถ้าไม่ได้ทำงานเพราะมันเปลืองไฟและทรัพยากรของออฟฟิศ แล้วนี่ถ้ารู้ว่าออกัสยังไม่กลับบ้าน แต่นั่งตากแอร์รอแฟนมารับ คาริน่าคงวีนแน่ แหม นึกแล้วก็อยากอยู่ต่อรอดูเหตุการณ์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย
         “พี่ต้นมาตอนเกือบ ๆ หกโมง พี่ค่อยออกไปพร้อมพี่พัด”
         ออกัสตอบ แต่หางเสียงเริ่มห้วนเพราะรำคาญการซักฟอกของนัตโตะ ญาดาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยการบอกว่า
         “กลับได้แล้วนัตโตะ ออกัสเขาอยากกลับตอนไหนก็เรื่องของเขาสิ”
         นัตโตะไม่กล้าชนกับญาดาจึงยอมหยุดซักถามและเดินตามคนอื่น ๆ ออกจากออฟฟิศไป
         ออกัสค่อยโล่งอก ชายหนุ่มพูดไม่จริงเรื่องต้น แฟนของเขาไม่ได้มารับเขาวันนี้หรอก แต่เป็นคนอื่น แล้วไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหนว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่และยืนยันว่าจะมารับที่ตึก ชายหนุ่มขัดใจไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกค้า คนที่รับงานให้เขาขอร้องว่าให้ตามใจลูกค้าคนนี้เป็นพิเศษแลกกับเงินก้อนพิเศษนอกเหนือจากค่าตัว เงินก้อนที่ชายหนุ่มฟังข้อเสนอแล้วตาโตเพราะมันมากพอจะเป็นค่าช็อปปิ้งที่เขาคำนวนไว้สำหรับทริปปีใหม่ที่เกาหลีได้
         “อ้าว คุณกัส ยังไม่กลับอีกเหรอครับ หรือว่ารอผมอยู่”
         มาอีกคนแล้ว
         ออกัสกลอกตาด้วยความเอือมระอา ทีโมนเดินออกมาจากห้องของผู้อำนวยการและเมื่อเห็นเขาก็ตรงรี่เข้ามาหา หน้าตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มน่าเกลียดขณะที่มองเขาทำให้เขาขนลุก ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจงใจเดินเข้ามาจนใกล้ ชายหนุ่มก็ยิ่งอยากถอยห่าง
          “ผมรอแฟนผม” ออกัสตอบห้วน ๆ
          “รอแฟนแน่เหรอครับ” ทีโมนมองด้วยสายตารู้ทัน แถมยังแกล้งดักคอหวังให้อีกฝ่ายแสดงพิรุธแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไรเพราะออกัสไม่หลุดอะไรออกมาให้จับได้ มีแต่มองมาด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสาปแช่งเขา แต่ทีโมนก็ไม่สนใจ เรื่องที่เขาสนใจมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแหละ
          “แล้วเรื่องของผม คุณเอากลับไปคิดดูรึยังครับ เร็ว ๆ หน่อยก็ดีนะ เพราะผมอาจจะเปลี่ยนใจแล้วบอกแฟนคุณวันนี้เลยก็ได้”
          “คุณกำลังแบล็กเมล์ผมอยู่นะ” ดวงตาของออกัสลุกวาบด้วยความไม่พอใจ
          “ใช้คำน่ากลัวจัง แบล็กเมล์อะไรกัน ผมน่ะก็แค่อยากตกลงกับคุณ...ดี ๆ”
         ทีโมนแกล้งเว้นวรรค มือของเขาเอื้อมไปจับปอยผมของออกัสมาพันเล่นกับนิ้วก่อนจะดึงจนชายหนุ่มรู้สึกว่าศีรษะของเขากระตุก
          ออกัสยิ่งรู้สึกโมโห ทีโมนทำเหมือนต้องการจะบอกว่าเขาเอาจริงและออกัสจะต้องเจ็บปวดถ้าไม่ยอมตกลงตามข้อเสนอ
          “อุ๊ย ทำอะไรกันอยู่คะ ยังไม่กลับกันอีกเหรอ”
          เสียงของพัดชาดังขึ้นขัดจังหวะของทั้งสองคน แม่บ้านประจำออฟฟิศลากเครื่องดูดฝุ่นออกมาจากห้องรับประทานอาหารและเมื่อเห็นว่าทีโมนยืนชิดออกัสอยู่ที่โต๊ะของฝ่ายหลัง หล่อนก็เดินแกมวิ่งตัวกระเพื่อมเข้ามาหาด้วยความสนใจ
          ทีโมนผละถอยออกห่างจากออกัสทันที แต่ท่าทางไม่ได้เดือดร้อนนักที่โดนเห็น ผิดกับออกัสที่หน้าตาบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ
          “ผมจะกลับแล้วครับพี่พัด” ชายหนุ่มบอก แม้จะยังไม่ถึงเวลานัด แต่เขาก็คงอยู่ข้างในออฟฟิศต่อไม่ได้อีกแล้ว ทีโมนคงจะตามตอแยเขาไม่เลิก แล้วไหนยังจะคาริน่าอีก ถ้าออกมาเจอก็คงบ่นเรื่องสิ้นเปลือง ดูแล้วมีแต่เรื่องชวนให้ปวดหู ลงไปรอข้างล่าง ถึงแม้จะไม่มีที่ให้นั่งเพราะร้านกาแฟกับน้ำปั่นปิดไปแล้ว แต่ยืนรอจนเมื่อยเท้าก็ยังดีกว่าต้องมาทนฟังเรื่องไร้สาระให้เมื่อยหู ออกัสคว้ากระเป๋าถือ แต่ทีโมนยังเอาตัวมายืนขวางเขาไว้ แถมยังยื่นหน้าเข้ามาจนใกล้โดยไม่สนใจพัดชาที่ยืนมองตาโตอยู่ไม่ห่าง
          “ผมให้เวลาคุณจนถึงงานเลมอนนะ แล้วผมจะมาเอาคำตอบ”
          ออกัสเอากระเป๋าถือดันอกทีโมนให้ถอยหลบทาง แล้วเดินกระแทกเท้าออกจากออฟฟิศไปอย่างรวดเร็ว
          ชายหนุ่มเดินไปรอที่ลานจอดรถสำหรับคนมาจอดรับส่งคนในตึก เขารออยู่พักใหญ่จนเห็นรถยนต์สีและเลขทะเบียนตรงกับที่นัดไว้แล่นเข้ามา ออกัสก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับคนขับรถที่เป็นผู้ชายอายุราวสี่สิบปลาย ๆ หน้าตาจัดว่าดูดี ใส่เสื้อเชิ้ตและเนกไทเหมือนกันกับเขา
          “คุณนี่หน้าตาดีกว่าในรูปถ่ายอีกนะ” ลูกค้าของเขาพิศมองหน้าออกัสด้วยสายตาแสดงความพอใจ แต่มันกลับทำให้ออกัสรู้สึกกระอักกระอ่วน
          “เอ้อ...ผมว่าเราไปกันเถอะครับ”
          ชายหนุ่มไม่อยากจะอยู่ที่นี่นาน ๆ เขากลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า ถึงแม้ว่ารถจะติดฟิล์มกันแสงไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
          “รีบขนาดนั้นเลยเหรอ” อีกฝ่ายฟังแล้วเข้าใจไปอีกอย่างก็เลยหัวเราะออกมาเบา ๆ และเกิดอารมณ์อยากแกล้งหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนนี้เล่นจึงไม่ยอมออกรถ แต่กลับดึงตัวออกัสเข้ามาใกล้
          “คุณจะทำอะไร”
          “ก็เห็นคุณรีบร้อน ผมก็เลยอยากทำให้คุณสงบลงหน่อยไง”
          ออกัสกัดริมฝีปากแน่น แต่ก็ต้องคลายออกเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหา คนคนนี้เป็นลูกค้า ถ้าขัดใจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คำพูดของคนรับงานให้เขาก้องอยู่ในหัว
          ออกัสหลับตา ปล่อยให้ลูกค้าของเขาทำอะไรไปตามใจชอบ แต่ใจของเขานั้นเป็นตรงกันข้าม   
          หัวใจของเขาเต้นถี่รัวด้วยความโกรธและเกลียดชัง ข้างในนั้นมันเหมือนมีอะไรสักอย่างที่แหลมคมคอยทิ่มแทงกรีดทึ้งให้เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่เขารู้สึกพลุ่งพล่าน
          ชายหนุ่มไม่โทษตัวเอง แต่เขาทุ่มเทความรู้สึกเกลียดชังทั้งหมดไปที่ทีโมน ถ้าไอ้หมอนั่นไม่ข่มขู่เขา เขาก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 14 (10-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: anata9 ที่ 10-01-2016 22:42:01
สไตล์การเขียนเหมือนอ่านนิยายแปล การดำเนินเรื่องก็ไล่ไปทีละส่วน ไม่สับสนดีครับ รอดูว่าใครจะเป็นเหยื่อในนิยายนี้
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 15 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-01-2016 05:35:27
บทที่ 15
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้นะ ที่เกิดความคิดว่า “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะ..”. เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับอดีตอีก
Like – Comment – Share

          คาร์ลเลือกไปตลาดน้ำอัมพวาเพราะไม่ไกลจากกรุงเทพฯนัก เด็กหนุ่มเปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตซึ่งมีอยู่มากมายเพราะตลาดน้ำถือเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมากัน ข้าวโอ๊ตเองก็เคยมาหลายครั้ง ทั้งมาเที่ยวกันเองหรือพาเพื่อนฝรั่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพื่อนเม็ดนุ่นมาเที่ยว แต่ชายหนุ่มไม่มีปัญหาที่จะต้องมากับคาร์ลอีกครั้ง
          ทั้งสองคนมาถึงในตอนใกล้เที่ยง อากาศยังค่อนข้างร้อน แม้จะใกล้ปลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังพอมีลมคลองเย็น ๆ พัดให้รู้สึกสดชื่นอยู่บ้าง คาร์ลมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยความสนใจ
          “ที่นี่สวยจังเลย สวยกว่าที่เห็นในรูปอีก” เด็กหนุ่มบอกเขา
          ข้าวโอ๊ตเห็นด้วย เขาชอบน้ำ ชอบคลอง และบ้านเรือนห้องแถวไม้ริมน้ำที่สร้างอยู่ติด ๆ กันก็มีเสน่ห์ ยิ่งถ้านั่งเรือไปตามคลอง เห็นสวน เห็นท่าน้ำ เห็นระเบียงที่อยู่ติดริมน้ำเขาก็ยิ่งชอบและอดรู้สึกอิจฉาเจ้าของขึ้นมาไม่ได้ บางทีเขาก็นึกอยากมีบ้านริมน้ำบ้างเหมือนกัน แต่เม็ดนุ่นก็จะขัดโดยบอกว่าบ้านริมน้ำมันรักษาดูแลยาก ถ้าเมื่อไรอยากนอนเล่นริมแม่น้ำให้มาเที่ยวเอาเป็นครั้งคราวดีกว่า
          ชายหนุ่มคิดอะไรเพลินจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของคาร์ล เด็กหนุ่มเข้ามาจับไหล่เขาเขย่า ข้าวโอ๊ตถึงรู้สึกตัว
          “คิดอะไรอีกแล้วครับ” คาร์ลทักพร้อมกับยิ้มสดใส “เอางี้ ถ้าอยากคิดล่ะก็ คุณช่วยผมคิดดีกว่าว่าเราจะกินอะไรดี ผมหิวแล้วล่ะ”
          “เอางั้นเหรอ เอ... อะไรดีล่ะ”
          ข้าวโอ๊ตเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อจะมองหาร้านอาหารและเพื่อให้หลุดจากมือสองข้างของคาร์ลที่จับไหล่เขาด้วย เด็กหนุ่มตัวสูงและหนากว่าเขา พอยืนอยู่ด้วยกันท่านี้แล้วมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จนต้องรีบเลี่ยงออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้โดยเร็ว
          ที่อัมพวามีบริการเรือรับจ้างพาเที่ยวตามคลองและไหว้พระห้าวัดหรือเก้าวัดในตอนกลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนจะเป็นการพาชมหิ่งห้อย ระหว่างที่คาร์ลกับข้าวโอ๊ตเดินดูร้านอาหาร คนขับเรือหลายคนก็เข้ามาล้อมพยายามจะชักชวนให้ใช้บริการของเขา คาร์ลมีทีท่าสนใจ เขาหันมาปรึกษาข้าวโอ๊ต
          “เรือจะพาเราไปไหนบ้างครับ”
          “ชมบ้านเรือนริมคลองครับ ไปวัด ไปไหว้พระ แล้วก็มีพาเข้าไปชมสวนผลไม้ ถ้าไปตามโปรแกรมที่เขาจัดไว้ก็จะเหมือนชะโงกทัวร์หน่อย คือเวลาจะจำกัด แต่ถ้าจะเหมาหรือเปลี่ยนโปรแกรมก็จะต้องตกลงราคากันใหม่”
          “ผมอยากนั่งเรือ” คาร์ลร่ำร้อง และท่าทางเหมือนเด็ก ๆ ของเขามันกระแทกใจของข้าวโอ๊ตไม่น้อย
          ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อทำท่าทางแบบนี้ คาร์ลกลับทำให้ชายหนุ่มนึกถึงฟรองซัวส์ แฟนเก่าของเขา รายนั้นชอบทำตัวเป็นเด็กและชอบยิ้มสดใสปะเหลาะเขาเวลาที่ต้องการอะไรสักอย่าง รอยยิ้มสดใสไม่ต่างกับยิ้มกว้าง ๆ ของคาร์ลในตอนนี้
          “คุณโอ๊ต ได้ไหมครับ”
          “ก็...เอาสิ” ชายหนุ่มไม่ขัดข้อง เขาต้องพยายามไม่นึกถึงใครในอดีตที่มันผ่านไปนานแสนนานแล้ว
          เด็กหนุ่มร้องเย้ แล้วขอกระดาษโปรแกรมนั่งเรือที่มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยจากคนขับเรือมาดูพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นจากข้าวโอ๊ตเป็นระยะ
          เนื่องจากเวลามีไม่มาก ทั้งสองคนเลยเห็นพ้องกันว่าจะเลือกชมเฉพาะจุดที่อยากไปดีกว่าและถ้าเลือกเที่ยวน้อยที่ก็จะได้อยู่แต่ละที่นานขึ้นด้วย ไม่ต้องรีบร้อน คาร์ลบอกสถานที่ที่เขาอยากไปและข้าวโอ๊ตเป็นคนเจรจากับคนขับเรือจนได้โปรแกรมและราคาที่พอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย แถมคนขับเรือยังมีบริการพิเศษแนะนำอาหารเที่ยงให้โดยเป็นธุระเรียกเรือแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวมาเทียบท่าเพื่อให้ทั้งสองคนได้ซื้อรับประทาน
          คาร์ลดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษที่เห็นเรือพายลำเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยภาชนะใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ และหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว เขาฟังแม่ค้าพูดไม่รู้เรื่องเลยสักคำ แต่ก็ยิ้มตลอดและพยายามจะใช้ภาษาไทยงู ๆ ปลา ๆ ที่เรียนรู้ตอนอยู่ที่นี่สื่อสารกับแม่ค้าให้ได้โดยที่ไม่ยอมให้ข้าวโอ๊ตช่วย ในที่สุดเขาก็ได้ของที่ต้องการ เด็กหนุ่มยิ้มแฉ่ง มือถือชามก๋วยเตี๋ยวอวดให้ข้าวโอ๊ตดู
          “เก่งนี่” ข้าวโอ๊ตชม รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วของคาร์ลยิ่งสยายออก ดวงตาของเด็กหนุ่มยิบหยีจนแทบจะเห็นเป็นเส้นตรง
          ข้าวโอ๊ตสั่งอาหารของตัวเองบ้างและนั่งกินอยู่ด้วยกันกับคาร์ลบนขั้นบันไดที่ท่าน้ำนั่นเอง
          หมดจากก๋วยเตี๋ยว เด็กหนุ่มยังติดลมซื้อผัดไทยจากเรืออีกลำมานั่งกินต่อ ท่าทางเอร็ดอร่อยมากจนข้าวโอ๊ตเผลอมองเพลิน
          “ชิมไหมครับ อร่อยนะ”
          คาร์ลคีบเส้นส่งให้ แทนที่จะยื่นกระทงผัดไทยมาให้เขาคีบเอง ข้าวโอ๊ตลังเล แต่คาร์ลคะยั้นคะยอมาอีก ท่าทางของเด็กหนุ่มเป็นธรรมชาติไม่เก้อกระดากเหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตรู้สึกอยู่ตอนนี้สักนิด เขาก็เลยต้องพยายามไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านไปด้วยเหมือนกัน
          ข้าวโอ๊ตจับมือของคาร์ลที่ถือตะเกียบอยู่ส่งเส้นผัดไทยเข้าปากตัวเอง
          “อร่อยใช่ไหมครับ” คาร์ลยิ้มอีกเมื่อถามแล้วชายหนุ่มพยักหน้ารับ
          หลังจากอิ่มอาหารกลางวันก็ถึงเวลาไปลงเรือ ข้าวโอ๊ตซื้อหมวกแก็ปให้ตัวเองและให้คาร์ลด้วยเพื่อกันแดดที่ยิ่งใกล้บ่ายก็ยิ่งแผดจ้า ตอนที่ออกจากบ้านเขาลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
          เรือหางยาวนำเที่ยวพาทั้งสองคนเลาะเรื่อยไปตามคลอง ช่วงเที่ยงใกล้บ่ายแบบนี้ชุมชนริมคลองยังคงเงียบ เรือชาวบ้านก็ยังไม่ออกมามากนักนอกจากเป็นเรือขายอาหารและเรือนำเที่ยว
          “ตลาดน้ำอัมพวาเป็นตลาดเย็น” คนขับเรือที่เป็นผู้ชายวัยกลางคนร่างผอมแกร่งบอกและข้าวโอ๊ตแปลให้คาร์ลฟังอีกต่อหนึ่ง
          “เดี๋ยวตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ นะ เรือออกมาเต็ม คนเยอะมาก”
          “ผมอยากเห็นจัง” คาร์ลพูดด้วยแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
          เด็กหนุ่มมองบ้านเรือนสองฝั่งคลองซึ่งเป็นเรือนไม้หลังคามุงสังกะสีด้วยความสนใจ บ้านแต่ละหลังมีกระถางดอกไม้สวย ๆ แขวนห้อยไว้ที่ชายคาและมีบันไดทอดลงมายังคลอง ถึงแม้บรรยากาศจะไม่คึกคัก แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวา
          ข้าวโอ๊ตที่เคยมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าคาร์ล เขานั่งนิ่งรับลมคลองเย็น ๆ และคอยตอบคำถามของคาร์ลหรือแปลคำพูดของคนขับเรือที่มักมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอัมพวามาเล่าให้ผู้โดยสารของตัวเองฟัง
          เรือพาเริ่มด้วยการไปไหว้พระปิดทองที่วัดเพื่อให้เริ่มต้นการเดินทางด้วยความเป็นสิริมงคล คาร์ลตามข้าวโอ๊ตขึ้นจากเรือเดินเข้าไปในวัดที่มีนักท่องเที่ยวเดินกันอยู่หนาตา เด็กหนุ่มเคยเข้ามาเที่ยวในวัดของชาวพุทธบ้างแล้ว พอจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงไม่มีท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เท่าไรนัก เขารับดอกไม้ธูปเทียนจากข้าวโอ๊ตและนั่งคุกเข่าลงข้างกันเพื่อไหว้พระและอธิษฐานขอพร
          คาร์ลแค่ไหว้เพื่อแสดงความเคารพเท่านั้นแต่เขาไม่ได้อธิษฐานอะไร เด็กหนุ่มจึงลืมตาขึ้นมาก่อน เขาหันไปมองคนข้างตัวที่ยังคงหลับตาอยู่ เสี้ยวหน้าด้านข้างของข้าวโอ๊ตอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม ผิวของคนเอเชียเนียนละเอียด สีผิวคล้ำนิด ๆ จนแทบเหมือนสีน้ำผึ้งนั่นก็สวย ในขณะที่คนยุโรปอย่างเขาอาบแดดอย่างไรสีผิวก็ยังไม่สวยได้เท่านี้
          เขาอยากสัมผัสใบหน้านี้เหลือเกิน อยากรู้ว่าจะนุ่มลื่นมือเหมือนอย่างที่เห็นหรือไม่ แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เขาอยากจะลูบรอยย่นที่หว่างคิ้วให้มันหายไปจากใบหน้าของข้าวโอ๊ตเสียที
          “คาร์ล”
          ข้าวโอ๊ตเรียกอย่างงง ๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเด็กหนุ่มมองเขานิ่ง
          “มีอะไรเหรอ”
          “ผมแค่สงสัยว่าคุณอธิษฐานว่าอะไร เห็นขออยู่นานมาก..ก” เด็กหนุ่มแกล้งลากเสียงยาวล้อ แล้วมันก็ได้ผลเมื่อสีหน้าเคร่งแกมงงของชายหนุ่มคลายลงกลายเป็นอมพะนำ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนิด ๆ
          “ไม่บอก”
          “อ้าว” เด็กหนุ่มร้องอย่างผิดหวัง แต่ไม่มากนัก เพราะตอนนี้รอยย่นระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายหายไปแล้ว
          ข้าวโอ๊ตลุกไปปิดทองที่องค์พระประธานองค์ใหญ่ แล้วรีบออกมาเพื่อให้คนอื่นได้เข้าไปบ้าง คาร์ลเดินตามออกมา แต่หน้ายู่ยี่เล็กน้อย ข้าวโอ๊ตเห็นแล้วนึกขำ เพราะมีเศษทองคำเปลวที่ร่วงจากองค์พระติดอยู่ตามแขนและหน้าของเด็กหนุ่ม
          “ปัดไม่ค่อยออกเลยครับ” เด็กหนุ่มอุทธรณ์
          “ไม่ต้องปัด ปล่อยไว้แบบนี้แหละ เท่ดีออก” ข้าวโอ๊ตบอก
          “จริงเหรอ” คาร์ลไม่ค่อยแน่ใจ ก็ดูหน้าของคนพูดสิ พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดชีวิตขนาดนั้น
          ข้าวโอ๊ตรีบพยักหน้ารับรอง แต่ตอนที่เดินกลับไปที่เรือด้วยกัน คนขับเรือก็แซว
          “ทองติดเต็มหน้าเลยนะพ่อหนุ่ม ดี ได้บุญเยอะดี”
          คาร์ลทำหน้าเหรอหรา แต่พอจะเข้าใจจากที่คนแซวทำมือทำไม้ว่าที่หน้าเขามีอะไรติดอยู่ เด็กหนุ่มหันมาโวยกับข้าวโอ๊ตทันที
          “คุณว่ามันเท่จริง ๆ เหรอ ทำไมคนขับเรือเขาหัวเราะขนาดนั้นล่ะครับ”
          “ก็เท่จริง ๆ เพียงแต่ทองติดหน้าคุณเยอะไปนิด... นิดเดียว”
          ข้าวโอ๊ตรีบบอก แต่เด็กหนุ่มไม่เชื่อแล้ว เขาพยายามปัดเศษทองออกจากหน้า ข้าวโอ๊ตจะเข้ามาช่วย แต่เด็กหนุ่มหันหน้าหนี
          “ไม่เอา”
          “อย่างอนสิ มา หันหน้ามา เดี๋ยวผมช่วยเช็ดให้”
          ข้าวโอ๊ตดึงตัวคาร์ลให้หันมาและปัดเศษทองออกจากหน้าให้
          “เอาล่ะ เรียบร้อย”
          “แน่ใจนะ” เด็กหนุ่มถามย้ำ ข้าวโอ๊ตจึงจับตัวเด็กหนุ่มหันไปหาคนขับเรือให้ช่วยยืนยันอีกแรง เมื่อเห็นเครื่องหมายโอเค คาร์ลก็ยอมก้าวลงไปในเรือ
          ความเครียดในใจของข้าวโอ๊ตมลายหายไปได้มากทีเดียวเมื่อได้ออกมาเที่ยว มีเพื่อนคุยชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่ หรือบางครั้งก็เถียงกันบ้าง หากก็ยังมีเงาวูบวาบของอดีตโผล่ขึ้นมาทุกครั้งที่เขามองหน้าคาร์ล
          คาร์ลตอนนี้อายุพอ ๆ กับฟรองซัวส์ในตอนนั้น และรอยยิ้มก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันจนบางครั้งชายหนุ่มก็นึกไม่อยากมองหน้าคาร์ลเลย มันทำให้เขาหายใจสะดุด แต่คาร์ลก็ช่างร่าเริงเหลือเกิน คอยกวักมือเรียกเขาอยู่ตลอดเวลา
          “คุณโอ๊ต นี่มันข้ามได้จริง ๆ เหรอ”
          คาร์ลมองสะพานข้ามท้องร่องที่เป็นลำไม้สองลำวางพาดสองฝั่งอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เด็กหนุ่มอยากเข้ามาเที่ยวในสวน คนขับเรือจึงพามาแวะที่สวนของชาวบ้าน แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีผลไม้ให้เก็บแล้วก็ตาม ลิ้นจี่ที่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อก็ยังไม่ถึงฤดู แต่ถึงไม่มีผลไม้ให้เก็บ เด็กหนุ่มก็ยังสนุก นอกจากจะได้เห็นต้นลิ้นจี่กับตาตัวเองหลังจากที่เคยแต่เห็นผลของมันในกระป๋อง ในสวนก็ยังมีของที่น่าสนใจอีกเยอะ
          “ได้สิ เวลาเดินก็กางแขนออกนิดหนึ่ง ช่วยทรงตัว” ข้าวโอ๊ตแนะนำ และเด็กหนุ่มก็ข้ามไปอีกฟากได้สำเร็จ
          คาร์ลติดใจมาก ทดลองข้ามไปข้ามกลับอีกหลายครั้ง แล้วเดินมาหาข้าวโอ๊ตที่ยืนหลบร่มรออยู่ใต้ต้นไม้
          “สนุกจัง”
          “ที่บ้านคุณก็มีสวนมีฟาร์มไม่ใช่เหรอ ทำไมดูตื่นเต้นจัง”
          “ที่โน่นทำฟาร์มทำสวนกันแบบใช้เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรง ไม่ค่อยมีของใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างนี้หรอกครับ ผมว่าแบบสวนนี้ดีกว่าเยอะเลย มีเสน่ห์มาก ๆ”
          เด็กหนุ่มพูด นอกจากเครื่องมือเครื่องใช้ชาวสวนแปลกตาแล้ว อัธยาศัยและน้ำใจไมตรีของชาวบ้านก็ยังเป็นเสน่ห์ที่เด็กหนุ่มหมายถึง แม้จะไม่มีลิ้นจี่ แต่เจ้าของสวนก็มีผลไม้ของสวนอย่างอื่นมาให้เด็กหนุ่มได้ชิมทั้งกล้วย ส้มเขียวหวาน และผลไม้ลูกเล็ก ๆ ที่เขาไม่รู้จักชื่อ เมื่อลองชิมดูมีรสฝาดนิด ๆ แต่ชุ่มคอ
          ความร่าเริงสดใสของเด็กหนุ่มทำให้ใครเห็นก็อดเอ็นดูไม่ได้ ตอนจะกลับเจ้าของสวนถึงกับยกส้มเขียวหวานให้เขาถุงใหญ่เพื่อไปกินในเรือ เด็กหนุ่มขอบคุณด้วยภาษาไทยเพี้ยน ๆ ยิ่งเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้มากขึ้นอีก
          ข้าวโอ๊ตก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน
          ไม่ว่าเขาหรือใครต่อใครดูเหมือนจะคล้อยตามเสน่ห์ของคาร์ลกันหมด

         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 15 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-01-2016 05:36:59
          คนขับพาเรือออกจากคลองมายังแม่น้ำแม่กลองตรงไปยังอุทยานร.2 ข้าวโอ๊ตเลือกให้มาที่นี่ก่อนและค่อยไปตบท้ายที่วัดบางกุ้งก่อนจะกลับไปที่ตลาดน้ำ
          ที่อุทยานมีเรือนไทยและศิลปวัตถุสมัยต้นรัตนโกสินทร์ให้เดินชมรวมทั้งประวัติของอัมพวาและวิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ข้าวโอ๊ตเห็นคาร์ลสนใจเรียนรู้เรื่องความเป็นไทยจึงคิดว่าเขาไม่น่าจะเบื่อพิพิธภัณฑ์เหมือนที่เด็กวัยนี้มักจะเป็น แต่ถึงเบื่อ ชายหนุ่มก็ดูไม่รู้เพราะคาร์ลยังมีรอยยิ้มอยู่ในหน้าตลอดเวลาและขยันซักถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ขาดปาก ข้าวโอ๊ตไม่เคยเรียนไกด์ แต่เขาก็สามารถดำน้ำเล่านิทานเรื่องไกรทองหรือแม้แต่รามเกียรติ์ได้เมื่อพาคาร์ลไปดูหัวโขน
          “ผมดูไม่ออกเลย หน้าไหนคือยักษ์ หน้าไหนคือลิง มันก็ดูเหมือน ๆ กันไปหมด” คาร์ลจ้องหัวโขนที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดีในตู้กระจก
          “ยักษ์จะมีเขี้ยวไง” ข้าวโอ๊ตชี้ให้ดู แต่คาร์ลกลับมองหน้าข้าวโอ๊ตแทน
          “เหมือนคุณเลย คุณก็มีเขี้ยว แสดงว่าคุณก็เป็นยักษ์”
          “งั้นคุณก็เป็นลิง เพราะลิงจะอยู่ไม่นิ่ง ส่วนคุณก็ alert ตลอดเวลา”
          ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความชอบใจ
          ข้าวโอ๊ตชี้ให้ดูหัวโขนอีกอันในตู้ซึ่งแตกต่างจากหัวโขนอื่น ๆ เป็นหัวโขนของพญายักษ์ทศกัณฐ์ ชายหนุ่มพูดติดตลกว่า
          “ถ้าผมเป็นยักษ์ นี่ก็คือกษัตริย์ของผม ทศกัณฐ์ มีสิบหน้า ยี่สิบมือ คุณเห็นหัวยักษ์เล็ก ๆ นั่นไหม ลองนับดูซิว่ามีกี่หัว พนันกันไหมว่าคุณหาหัวที่สิบไม่เจอ”
          คาร์ลยอมรับคำท้า แต่ไม่ว่าเขาจะนับอย่างไร ชายหนุ่มก็นับได้เพียงเก้าหัวเท่านั้น เขาจ้องจนหน้าแทบจะติดกระจกอยู่รอมร่อ แต่ก็หาหัวที่สิบไม่เจอสักที เขาหันมาหาข้าวโอ๊ตที่อมยิ้มด้วยความเหนือกว่า
          “ไม่เจอใช่ไหม”
          เด็กหนุ่มส่ายหน้า บ่นว่า
          “คุณจำผิดแน่ ๆ จริง ๆ อาจมีแค่เก้าหัวก็ได้นะครับ”
          “หาไม่เจอก็แสดงว่าแพ้”
          “งั้นคุณบอกผมได้ไหมว่าหัวที่สิบอยู่ไหน”
          “ก็นี่ไง” ข้าวโอ๊ตชี้ที่หน้าของตัวเอง “หน้าของคนใส่หัวโขนคือหน้าที่สิบ หัวโขนของทศกัณฐ์จึงทำหน้าไว้แค่เก้าเท่านั้น” แล้วก็ชี้ไปที่หน้าเด็กหนุ่ม ย้ำว่า “คุณแพ้”
          “โธ่ เล่นอย่างนี้เลยเหรอ ไม่ยุติธรรมเลย ใครจะไปรู้ล่ะ”
          ข้าวโอ๊ตหัวเราะ แต่ไม่ยอมรับฟังคำอุทธรณ์ใด ๆ จากเด็กหนุ่ม
          กลับมาที่เรือ ข้าวโอ๊ตส่งน้ำอัดลมกระป๋องและน้ำเปล่าที่ซื้อติดมือมาให้คนขับเรือ ก่อนจะก้าวกลับลงไปนั่งในเรือ คาร์ลตามลงมา และเรือก็พาทั้งคู่ไปที่วัดบางกุ้งซึ่งมีค่ายทหารเก่าและโบสถ์ที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่ต้องไม่พลาดในการมาเยี่ยมชมอัมพวา
          คาร์ลมองด้วยความทึ่งเมื่อเห็นโบสถ์เก่าหลังเล็กถูกปกคลุมไปด้วยไม้ถึงสี่ชนิดคือต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกรและต้นกร่าง ข้างในโบสถ์มีพระพุทธรูปให้ผู้คนเข้าไปกราบไหว้ เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในพร้อม ๆ กับข้าวโอ๊ต อากาศข้างในค่อนข้างชื้น ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นาน ไหว้พระประธานในโบสถ์เสร็จก็เดินออกมา จากนั้นคาร์ลก็พุ่งเข้าหาสวนสัตว์ของวัด
          “โอ้โห มีนกยูงด้วย”
          นกสีน้ำเงินแสนสวยที่สามารถรำแพนหางได้กรายเข้ามาอวดโฉม นอกจากนกยูงก็ยังมีสัตว์แปลก ๆ อย่างค่าง หมูป่าและกวาง ข้าวโอ๊ตไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่ที่มีสัตว์ป่าอยู่ในวัดแบบนี้ แต่คิดว่าคงมีเหตุให้ยกเว้นได้ถ้าคิดว่าที่นี่คือสวนสัตว์
          “นกกระจอกเทศก็มี คุณโอ๊ต มาดูสิ” คาร์ลกวักมือเรียก
          เด็กหนุ่มดูแปลกใจมากที่เห็นสวนสัตว์อยู่ในวัด เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปหลายรูป แล้วเมื่อหันมาเจอข้าวโอ๊ต เขาก็ยิ้มให้ เดินเข้ามาหา
          “ถ่ายรูปด้วยกันครับ”
          ศีรษะของคาร์ลเอนเข้ามาชิดกับศีรษะของข้าวโอ๊ต ก่อนที่คาร์ลจะกดชัตเตอร์ หัวใจของข้าวโอ๊ตเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอีกเมื่อคาร์ลชักจะเขยิบเข้ามาใกล้เขามากขึ้นทุกที
          ชายหนุ่มถอยห่างออกมานิดหนึ่ง ชวนว่า
          “หลังวัดมีวังมัจฉา ไปให้อาหารปลากันไหม”
          คาร์ลรับปากอย่างว่าง่าย เดินตามข้าวโอ๊ตไปที่ท่าน้ำของวัดซึ่งสร้างอย่างใหญ่โต มีโต๊ะกับเก้าอี้ให้นั่งชมวิวแม่น้ำแม่กลอง เด็กหนุ่มสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว แดดเริ่มหาย แต่ท้องฟ้ายังสดใส มองข้ามไปอีกฝั่งแม่น้ำเห็นบ้านไม้ของชาวบ้านและทิวต้นมะพร้าวสีเข้ม เป็นวิวที่สวยงามมาก
          เด็กหนุ่มหันหาข้าวโอ๊ต เห็นอีกฝ่ายซื้ออาหารมาโยนให้ปลากินอย่างสนุกสนาน ปลาตัวโต ๆ แย่งกันโผล่ขึ้นฮุบอาหาร พวกมันสะบัดตัวไปมาจนทำให้น้ำกระฉอกและบางส่วนก็กระเด็นขึ้นมาโดนคนที่ให้อาหารอยู่ที่ท่า ข้าวโอ๊ตไม่เดือดร้อน กลับสนุกด้วยซ้ำ ชายหนุ่มโยนอาหารให้จนหมดถุง ยิ่งเห็นปลาเยอะ ๆ เขาก็ยิ่งชอบ ยิ้มออกมาอย่างเต็มที่
          “คุณยิ้มสวยกว่าผมอีกนะคุณโอ๊ต ผมดีใจที่เห็นคุณยิ้มออกเสียที”
          ข้าวโอ๊ตแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของคาร์ลข้างตัว เด็กหนุ่มมายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ในมือถือถุงอาหารปลาที่ไปซื้อเพิ่มมา เขาส่งถุงหนึ่งให้ข้าวโอ๊ต
          “เอ้อ...ขอบคุณนะ” ชายหนุ่มรับถุงอาหารมา
          “หายเครียดแล้วนะครับ” คาร์ลถาม มือโยนอาหารลงไปให้ปลาในน้ำบ้าง
          “คุณคิดว่าผมเครียดเหรอ” ข้าวโอ๊ตย้อนถาม โยนอาหารลงไปให้ปลาต่อ
          “ก็ท่าทางของคุณบอกอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าคุณเครียดเรื่องอะไร เรื่องจดหมายเตือนก็จบไปแล้ว แต่คุณก็ยังเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ ผมไม่อยากให้คุณเครียดเลยนะ เวลาเราเครียดน่ะมักจะเห็นปัญหาใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าจนเราคิดว่าแก้ไม่ได้ ทั้งที่จริงมันอาจจะไม่ใหญ่โตขนาดนั้นก็ได้”
           “ผมไม่ได้อยากจะเครียดหรอกนะ แต่บางทีมันก็หยุดคิดไม่ได้” ข้าวโอ๊ตยอมรับ “ผมมีเรื่องให้คิดเยอะมากช่วงนี้ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน คุณก็คงเห็น ที่ออฟฟิศอย่างกับสนามรบ รู้ไหม ผมอิจฉาคุณมากเลยนะที่คุณยิ้มได้ตลอดไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ขนาดบรรยากาศที่ออฟฟิศตึงเครียดขนาดนั้น คุณก็ยังยิ้ม”
          “มันอาจช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่มันทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้ครับ บรรยากาศดี คนก็อารมณ์ดีขึ้น แล้วก็จะหาทางแก้ปัญหาได้เอง คุณลองทำดูสิครับ แค่ยิ้ม มันไม่ยากเลย”
          ข้าวโอ๊ตไม่แน่ใจ คาร์ลกระตุ้นอีก
          “ยิ้มหน่อยสิครับ ผมจะนับหนึ่ง สอง สามก็แล้วกัน เอาละนะ...หนึ่ง สอง”
          ริมฝีปากของข้าวโอ๊ตกระตุก แล้วเมื่อคาร์ลนับถึงสาม ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
          “ต้องอย่างนี้สิครับ เอ้า นี่รางวัล ผมให้อาหารปลาคุณอีกถุงหนึ่งเลย”
          คราวนี้จากยิ้ม ข้าวโอ๊ตยังหัวเราะออกมาได้ด้วย และเป็นครั้งแรกในวันนี้ที่ชายหนุ่มรู้สึกมีความสุขจริง ๆ

          ตลาดน้ำยามเย็นเริ่มคึกคักแล้วเมื่อคนขับเรือพาข้าวโอ๊ตกับคาร์ลกลับมาส่ง เรือขายของมากมายจอดอยู่ที่ท่าน้ำ ส่วนใหญ่เป็นเรือขายอาหารซึ่งมีทั้งก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ขนม และอาหารทะเลสด ๆ เผา นักท่องเที่ยวจะซื้อและนั่งกินกันอยู่ที่ขั้นบันไดท่าน้ำเลย
          คาร์ลกับข้าวโอ๊ตเดินเบียดกับนักท่องเที่ยวชมร้านค้าที่เป็นเรือนแถวไม้ริมคลองอัมพวา ของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดสกรีนชื่ออัมพวาและกางเกงเลดูเหมือนจะเป็นที่นิยมเพราะมีคนมุงซื้อกันมากมาย นอกจากนั้นก็ยังมีขนมและอาหารท้องถิ่นขายมากมายให้เลือกซื้อเลือกชิมจนลานตา
          ข้าวโอ๊ตมองคนมากมายทั้งบนทางเดินและบนสะพานข้ามคลองด้วยสายตาเซ็ง ๆ ตรงกันข้ามกับดวงตาเป็นประกายสนุกสนานของคาร์ล แล้วเมื่อเด็กหนุ่มหันมาเห็นเข้า เขาก็ร้องทันที
          “ยิ้มสิครับ!”
          “โอเค โอเค ยิ้มแล้วครับ”
          ชายหนุ่มยอมแพ้ ดูเหมือนว่าคาร์ลจะยึดเอาการทำให้ข้าวโอ๊ตยิ้มได้เป็นหน้าที่ของเขาไปแล้ว และถ้าข้าวโอ๊ตไม่ยอมยิ้มหรือลืมตัวทำหน้าเครียดขึ้นมาอีก เขาก็จะกระตุ้นอย่างนี้ และข้าวโอ๊ตก็จะยอมแพ้ ยิ้มออกมาในที่สุด
          “คุณนี่เป็นนักศึกษาฝึกงานที่แย่ที่สุดเลยรู้รึเปล่า ข่มขู่รุ่นพี่ในที่ทำงานปาว ๆ ใครที่ไหนเขาทำกัน”
          “ก็รุ่นพี่ดื้อไม่ยอมเชื่อฟัง ผมก็ต้องทำอย่างนี้แหละ ถ้าไม่อยากให้ขู่ก็อย่าดื้อสิ”
          คาร์ลโต้กลับอย่างไม่ยอม ก่อนจะดึงมือข้าวโอ๊ตให้เดินตามมา
          “ผมหิวแล้วล่ะ เราไปซื้ออะไรกินที่ท่าน้ำฝั่งโน้นก่อนแล้วค่อยกลับนะครับ”
          ข้าวโอ๊ตไม่ขัดคำชวนของคาร์ล แต่เขายังคงไม่สามารถทำตัวให้เป็นธรรมชาติได้ ยิ่งเวลาที่มือของเขาอยู่ในมือของคาร์ลแบบนี้ เด็กหนุ่มทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะจับมือใครสักคนจูง หรือตอนที่นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดท่าน้ำด้วยกันชนิดเข่าเบียดเข่า เด็กหนุ่มก็กินอาหารจานเดียวกับเขา
          ความใกล้ชิดในตอนนี้ทำให้ข้าวโอ๊ตต้องคิดว่าตัวเขาเองรู้สึกอย่างไรกันแน่
          แต่ที่แน่ ๆ หัวใจของเขายังเจ็บอยู่ทุกครั้งที่ภาพของฟรองซัวส์ปรากฎซ้อนทับกับภาพของคาร์ลที่อยู่ต่อหน้าเขา
          อะไรก็ตามที่อยู่ภายในหัวใจของเขามันกำลังเคลื่อนไหว ดิ้นรนแถกไถไปมาจนเขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขากำลังมีเลือดไหลซิบ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 15 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 11-01-2016 14:36:04
โอ้ยยยย ประเด็นภาพซ้อน เพิ่มมาอีก หน่วงดีแท้
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 16 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-01-2016 20:46:38
บทที่ 16
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ถึงจะบอกให้ยิ้ม แต่มันทำไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ ยิ่งเวลาที่ใจมันขุ่นมัวแบบนี้
Like – Comment – Share

          ทริปสั้น ๆ วันอาทิตย์ให้พลังแก่ข้าวโอ๊ตมากพอที่ชายหนุ่มจะมาทำงานวันจันทร์ได้ด้วยหน้าตาที่ไม่ยู่ยี่เหมือนทุกครั้งและพร้อมที่จะสู้งานหนักในวันนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงานสัมมนาแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทเลมอนเซคิวริตี้แล้ว
          ช่วงเช้า ทุกคนเริ่มต้นด้วยงานประจำของตัวเอง ด็อกเตอร์แฮร์มันน์แผดเสียงคับออฟฟิศเรียกคาริน่ากับทีโมนเข้าห้องเพื่อบรีฟงานประจำวัน เขาเรียกคาร์ลด้วย ตอนที่เดินผ่านห้องทำงานของข้าวโอ๊ต เด็กหนุ่มก็ชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมกับทำมือทำไม้บอกให้ชายหนุ่มยิ้ม
          ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า ชี้ไปที่คาร์ล แล้วชี้ที่ปากตัวเอง จากนั้นชี้ไปทางห้องของผู้อำนวยการ เพื่อจะบอกว่า
          ‘ผมไม่ต้องใช้ยิ้มหรอก คุณนั่นแหละต้องยิ้ม เวลาเดินเข้าห้องนั้น’
          คาร์ลหัวเราะแบบไม่มีเสียง แล้วผลุบหายไป
          ข้าวโอ๊ตกลับมาทำงานลงทะเบียนอีเมลเข้าระบบอันแสนจะน่าเบื่อต่อไป แต่ตอนนี้เขามีรอยยิ้มน้อย ๆ ติดแต้มอยู่ที่ใบหน้า
          ญาดาถูกเรียกเข้าไปในห้องของผู้อำนวยการเป็นรายต่อไป เมื่อหล่อนออกมา หล่อนก็บอกทุกคนตามห้องว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะเรียกประชุมทั้งออฟฟิศในตอนบ่ายสองโมง
          หลังจากงานประจำวันช่วงเช้าจบลง ข้าวโอ๊ตก็เช็คไฟล์รายชื่อผู้เข้าร่วมงานเพื่ออัพเดตเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะกำหนดวันสิ้นสุดการลงทะเบียนเอาไว้ แต่ก็ยังมีคนส่งรายชื่อเข้ามาล่าช้ากว่ากำหนดอยู่ตลอด เขาต้องคอยอัพเดตรายชื่อลงในไฟล์และรายชื่อสำหรับโต๊ะลงทะเบียน รวมทั้งทำป้ายชื่อ
          นอกจากรายชื่อผู้เข้าร่วมงาน ชายหนุ่มรับผิดชอบดูแลแฟ้มเอกสารที่จะแจกแขกในงาน รวมทั้งของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ จำพวกเข็มกลัดติดเสื้อกับสายคล้องบัตรปักชื่อบริษัทซึ่งคาริน่ายอมให้เอาไปแจกแขกในงานได้ แต่เอาไปกี่อัน แจกแขกกี่อัน เหลือกี่อัน หล่อนให้เขาเช็คให้ละเอียดที่สุดและรายงานหล่อนตอนเสร็จงานแล้วด้วย
          ข้าวโอ๊ตจัดของทุกอย่างลงกล่องแพ็คเรียบร้อยและขนมาไว้ที่หลังเคาน์เตอร์รีเซปชั่นของออกัสเพื่อรอให้บำรุงมาขนเอาไปไว้ในรถของบริษัทอีกต่อหนึ่ง
          ทำงานเสร็จก็ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี พักกินข้าวครึ่งชั่วโมงเริ่มขึ้นได้สองสามวันแล้ว วันแรกเลยที่เริ่มมาตรการนี้ ข้าวโอ๊ตรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุระหว่างคนไทยกับฝรั่ง เพราะการที่พนักงานคนไทยเลือกพักครึ่งชั่วโมงแทนที่จะเข้าไปกินข้าวกับฝรั่งในห้องอาหารก็เหมือนเป็นการบอกกลาย ๆ ว่า “ฉันไม่อยากเสวนากับพวกแก”
          ฝรั่งก็ดูจะเครียดกันเพราะนึกว่าคนไทยต้องยอม แต่พอครบครึ่งชั่วโมงปุ๊บ พนักงานคนไทยแยกย้ายกันกลับห้องอย่างพร้อมเพรียง ฝ่ายที่ยังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องอาหารจึงรู้สึกแปลก ๆ และก็พลอยกลับห้องเร็วไปด้วย
          วันนี้ก็พักครึ่งชั่วโมงกันตามเคย ข้าวโอ๊ตไม่ชอบนักหรอกเพราะต้องกินให้เร็วกว่าเดิม แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะเขาไม่อยากเข้าไปนั่งอึดอัดในห้องรับประทานอาหาร คนอื่น ๆ ก็กินกันอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก มีพูดกันนิดหน่อยเรื่องงานเลมอนในวันพรุ่งนี้ แล้วเมื่อครบครึ่งชั่วโมงก็กลับห้อง เตรียมตัวประชุมในตอนบ่าย
          ถึงเวลาประชุมตอนบ่ายสองโมง ข้าวโอ๊ตหยิบสมุดโน้ตกับปากกา ชายหนุ่มไม่ค่อยอยากมาช้าเพราะจะเลือกที่นั่งไม่ได้ เขาจึงมักมาถึงเป็นคนแรก ๆ แล้วก็เลือกที่นั่งห่างจากประธานการประชุมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะให้มากที่สุด แต่ถึงนั่งห่างออกมาแบบนี้ เสียงของผู้อำนวยการก็ดังชัดเจนจนแทบจะต้องเอามือปิดหูอยู่แล้ว
          คนอื่น ๆ ทยอยกันเข้ามาในห้อง คาร์ลเลือกนั่งลงข้างเขา ชายหนุ่มอยากจะยิ้ม แต่เขาไม่รู้ว่าจะมีใครจ้องมองอยู่หรือเปล่าจึงตีหน้าเฉย ๆ เปิดสมุดโน้ตเตรียมจดรายละเอียดการประชุม
          การประชุมเตรียมงานไม่มีอะไรมาก แค่กำหนดเวลาที่ทุกคนต้องไปถึงที่งาน หน้าที่ที่แต่ละคนต้องทำในวันนั้นซึ่งญาดาบอกเอาไว้ก่อนแล้ว และถามถึงความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมสรรพหมดแล้ว จะมีก็แต่ออกัสที่แสดงความเป็นกังวลเรื่องโรงแรมเล็กน้อยเท่านั้นเพราะเขามีปัญหากับการสื่อสารกับเซลส์โรงแรมรุ่นป้าอย่างที่เคยบ่นให้ทุกคนฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
          นอกจากออกัส คาริน่าเป็นอีกคนที่มีปัญหา ยิ่งเมื่อญาดาบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหล่อนในวันงาน คาริน่าก็รู้สึกไม่พอใจเท่าไร แต่ด้วยหน้าที่ของฝ่ายการเงินและฝ่ายบุคคลซึ่งเป็นงานที่อยู่ในออฟฟิศ หญิงสาวก็ไม่จำเป็นต้องไปในวันงานอยู่แล้ว หล่อนจึงค้านได้ไม่เต็มเสียงนัก แม้ว่าจะอยากออกไปจากออฟฟิศไปเจอแขกของบริษัทที่มาจากเยอรมนีก็ตาม แล้วเมื่อหล่อนไม่ได้ไป คนอื่นก็ต้องไม่ได้ไปเป็นเพื่อนหล่อนบ้าง
          “ทำไมคุณโอ๊ตกับคุณกัสไปทั้งสองคน ให้ใครคนหนึ่งไปก็พอ อีกคนอยู่ที่ออฟฟิศ ไม่งั้นใครจะรับโทรศัพท์”
          ข้าวโอ๊ตมองข้ามโต๊ะไปสบตากับออกัสทันทีเมื่อคาริน่าเริ่มเรื่อง ออกัสหันไปหาญาดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่ใหญ่ของคนไทยในออฟฟิศจึงออกโรงโต้ว่า
          “คุณกัสต้องไปประสานงานกับโรงแรมเผื่อมีปัญหาอะไรระหว่างงาน คุณโอ๊ตต้องอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน ทั้งสองคนต้องไป”
          “แต่งานประสานงานคุณหญ้าทำก็ได้นี่ ลงทะเบียนก็ใช้คนเดียวก็พอ” คาริน่าไม่ยอม
          “ออกัสเขาเป็นคนติดต่อประสานงานตั้งแต่ต้น เขามีคอนแท็ค ติดต่อแก้ปัญหาอะไรรวดเร็วกว่า ส่วนฉันต้องรับรองแขกและจะคอยช่วยที่โต๊ะลงทะเบียนด้วย แขกมากันเยอะ แล้วยังจะคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนมาอีก ข้าวโอ๊ตคนเดียวทำไม่ทันหรอก แล้วไม่ต้องพูดถึงมิคกี้กับนัตโตะ สองคนนั้นต้องเตรียมสคริปท์พิธีกร เตรียมสมาธิในการแปล พวกเขาไม่ต้องมาช่วยที่โต๊ะลงทะเบียน”
          “งั้นใครจะรับโทรศัพท์”
          “ก็ให้คาร์ลช่วยตรงนี้ แค่ครึ่งวันเช้า ไม่น่าจะมีปัญหา”
          “จะไม่มีปัญหาได้ยังไง ถ้ามีคนไทยโทรศัพท์มาก็พูดกันไม่รู้เรื่อง” คาริน่าเริ่มเสียงดัง และญาดาก็เร่งระดับเสียงให้เท่ากันทันที
          “ถ้าอย่างนั้นก็ให้อัดเสียงเครื่องตอบรับโทรศัพท์เอาไว้ ถือว่าออฟฟิศปิดครึ่งวันเช้า เขาจะได้โทรศัพท์มาใหม่ช่วงบ่าย ฉันต้องการให้คุณโอ๊ตกับคุณกัสไปทั้งสองคน”
          “ถ้าไปทั้งสองคนก็ต้องรีบกลับ สักสิบโมงครึ่งงานลงทะเบียนก็น่าจะเสร็จแล้ว คุณโอ๊ตคุณกัสไม่จำเป็นต้องอยู่ถึงงานเลิกก็ได้”
          “เราไม่รู้ว่างานมันจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า ถ้ากลับกันมาก่อนก็เท่ากับขาดคนช่วยงานไปเลย ฉันไม่เห็นด้วย คุณโอ๊ตกับคุณกัส รวมทั้งคุณบำรุงด้วย ให้อยู่ช่วยที่โรงแรมจนกระทั่งจบงาน ฉันขอยืนยันตามนั้น”
          ญาดาพูดแล้วหันไปมองด็อกเตอร์แฮร์มันน์ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ คาริน่าก็หันไปจ้องเขาเขม็งเหมือนกัน
          พนักงานคนอื่นไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทุกคนมองคาริน่าสลับกับญาดาระหว่างที่ทั้งคู่ถกเถียงกันและตอนนี้สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ผู้อำนวยการเป็นตาเดียวด้วยความลุ้นระทึกว่าศึกครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ขยับเนกไทด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่ค่อยชอบการเผชิญหน้า ไม่อยากจะต้องเป็นคนตัดสินข้อพิพาทเรื่องอะไรแบบนี้ แต่เมื่อทั้งออฟฟิศมองเขาแบบนี้ เขาก็จำเป็นต้องทำ
          “ให้ไปทั้งสองคนนั่นแหละ จบงานค่อยกลับ”
          คำตัดสินออกมาแล้ว ญาดาเป็นผู้ชนะ
          ข้าวโอ๊ตเองก็โล่งอก เพราะเขาไม่อยากกลับมาออฟฟิศก่อนงานเลิกเลย นาน ๆ จะได้ออกไปหายใจบ้าง เขาก็อยากจะฉวยโอกาสดี ๆ นั้นเอาไว้และใช้ให้เต็มที่ที่สุด
          คาริน่าไม่พอใจคำตัดสินสักเท่าไร เมื่อเลิกประชุม หล่อนก็เดินเข้าห้องของผู้อำนวยการทันที คงจะหวังให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เปลี่ยนใจ แต่ญาดาประกาศว่า
          “ถึงเปลี่ยนใจก็ช่าง วันงานอยู่ที่โรงแรมกันจนงานเลิกนั่นแหละ ใครจะทำอะไรได้”
          ข้าวโอ๊ตไม่ค่อยเห็นญาดามีท่าทีแข็งกร้าวกับฝรั่งอย่างนี้มานานแล้วในระยะหลังจนเขาถึงกับเคยคิดว่าญาดาดีแต่พูดว่าจะสู้จะออกหน้า แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ทำเพราะกังวลกับตำแหน่งของตัวเองอยู่เหมือนกัน งานนี้ลุกขึ้นมาปกป้องลูกน้องได้นี่นับว่าน่าแปลกใจพอดู เมื่อเขาอดไม่อยู่มาเปรยกับออกัส รายนั้นก็บอกว่า
           “ทนไม่ไหวมั้ง เก็บกดจากที่บ้านไง พูดอะไรไม่มีใครฟังเลยเอามาระเบิดที่ที่ทำงาน”
           “เรื่องอะไรล่ะ” ข้าวโอ๊ตถาม
           “เรื่องน้องสาวจะแต่งงานไง ยังตกลงกันไม่ได้เลย ได้ยินพี่หญ้าเล่าว่าน้องสาวประกาศแตกหักกับครอบครัวแล้ว จะย้ายไปอยู่กับสามีที่โอกินาว่า ไม่กลับมาเมืองไทยอีก ทางบ้านพี่หญ้า คุณแม่งี้ระเบิดลงเลยจ้า ทั้งน้องสาวทั้งพี่หญ้าโดนกันไปหมด แล้วบ้านนั้นโอ๋ลูกชายไง ไม่อยากให้ลูกสาวออกจากบ้านเพราะกลัวไม่มีคนช่วยงานลูกชาย มันเลยเป็นเรื่องไง พี่หญ้าก็พูดอะไรมากไม่ได้ ไม่มีใครฟัง นางเลยเก็บกด แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง...”
           ออกัสลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบ
           “ที่บ้านเกิดรู้เรื่องคนที่พี่หญ้าไปกิ๊กกั๊กด้วยเข้า คราวนี้ยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูลงซะอีก บ้านแทบระเบิด”
           “พี่หญ้ามีแฟนด้วยเหรอ” ข้าวโอ๊ตงง “ก็ไหนว่าไม่อยากแต่งงาน”
           “กับคนนี้ก็คงไม่ได้แต่งงานหรอก เพราะกิ๊กพี่หญ้าเป็นผู้หญิง”
           ข้าวโอ๊ตตาเหลือก ถามย้ำว่า
           “จริงน่ะ”
           ออกัสพยักหน้ายืนยัน เขาหันมองซ้ายขวา เห็นว่าพนักงานทุกคนยังคงอยู่ในห้อง ไม่มีใครเดินออกมา ก็เลยเล่าต่อว่า
           “เราเห็นกับตาเลย วันนั้นแวะไปฟิตเนสที่พี่หญ้าเคยชวนไปเล่นน่ะ จำได้ไหม กะจะไปสมัครเผื่อเจอหนุ่มหล่อกล้ามใหญ่สักคน แต่กลับเจอพี่หญ้ากอดกับหญิงสาวนางหนึ่ง ดูทรงแล้วเป็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสนั่นแหละ หูย เรางี้ขนลุกซู่ อินเนอร์แรงทะลุกระจก ฟันธงว่าไม่ใช่เพื่อนธรรมดาชัวร์”
           “พี่หญ้ามีแฟนเป็นผู้หญิงนี่นะ” ข้าวโอ๊ตไม่อยากจะเชื่อ
           “ก็ผู้ชายรอบตัวมันเลว กวาดตามองไปสิ น้องชายเป็นเทวดา คอยโขกสับเรา มาที่ทำงานก็เจอตาแก่หัวเหม่งหูเบา เด็กเมื่อวานซืนอวดดีจอมเจ้าชู้ แล้วก็เกย์เต็มออฟฟิศ” ออกัสชี้ที่ตัวเอง แต่ไม่มีท่าทีเดือดร้อนกับความจริงข้อนี้ “ยังมีความคิดบวกอยู่ได้ก็แปลกแล้ว เป็นเราเราก็เลือกผู้หญิงเหอะ”
          “ออฟฟิศนี้ก็มีผู้หญิง” ข้าวโอ๊ตเปรย แต่ออกัสรีบโบกมือ
          “คนเดียว แล้วนางก็สู้กันได้ไง ถือว่ายังอยู่ในความควบคุมเลยไม่ได้รู้สึกติดลบเหมือนพวกผู้ชาย”
          ข้าวโอ๊ตเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองด้วยความมึนงง ออฟฟิศนี้มีเรื่องให้แปลกใจไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนเลยสิน่า ชายหนุ่มหวังว่าพรุ่งนี้หรือวันอื่น ๆ จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาอีกนะ

          ชายหนุ่มน่าจะรู้นะว่าคำภาวนาของเขามักไม่ได้ผล
          ทันทีที่ข้าวโอ๊ตมาถึงที่ห้องจัดงานของโรงแรมอินเตอร์ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เขาก็เห็นออกัสกำลังโวยวายกับพนักงานของโรงแรมเรื่องที่ยังจัดสถานที่ไม่เรียบร้อยและไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
          “ผมสั่งจัดโต๊ะและเก้าอี้สำหรับแปดสิบคนนะ แล้วนี่อะไร มีจัดเอาไว้แค่ห้าสิบกว่าที่เท่านั้น”
          พนักงานที่เป็นสาวน้อยวัยน่าจะเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ หน้าเสีย แต่ก็รีบรับปากจะจัดให้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็เห็นคนของโรงแรมช่วยกันขนเก้าอี้กับโต๊ะมาเพิ่มและก็ช่วยกันผูกริบบิ้นที่โต๊ะกับเก้าอี้กันในห้องสัมมนากันให้โกลาหล
          “ป้าเซลส์ลาพักร้อน แล้วก็ส่งเด็กไม่รู้ประสีประสามารับหน้าเราแทน ใช้ไม่ได้เลย”
          ออกัสโมโหมากจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน เอามาบ่นกับข้าวโอ๊ตที่กำลังจัดโต๊ะลงทะเบียนอยู่ซึ่งก็มีปัญหาไม่แพ้กันเนื่องจากทางโรงแรมไม่เตรียมอะไรให้เลยสักอย่าง ที่รองเขียนพร้อมปากกาก็ไม่มี แจกันดอกไม้ขนาดเล็กที่สั่งเอาไว้ก็ไม่จัดให้ โถใส่นามบัตรก็ไม่มี ชายหนุ่มต้องเรียกให้พนักงานไปหามาให้ พนักงานที่ยุ่งอยู่แล้วชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตาม หากก็ช้าจนชายหนุ่มต้องวีนเหมือนกันเพราะใกล้เริ่มงานแล้วแต่อะไรก็ยังไม่เสร็จสักอย่าง
          “กัส โรงแรมไม่ได้เตรียมดอกไม้ติดหน้าอกแขกพิเศษเอาไว้ให้ ไม่มีพานของขวัญด้วย นายแจ้งโรงแรมไปรึเปล่า”
          ชายหนุ่มรายงานปัญหาต่อไปที่พบ ทำเอาออกัสกุมขมับ
          “เราแจ้งไปหมดแล้วว่าจะเอาอะไรบ้าง นี่ในห้องสัมมนาก็ยังไม่เรียบร้อยเลยนะ ดอกไม้ที่จะตั้งที่โพเดียมก็ไม่มี เครื่องโปรเจ็คเตอร์ก็ยังไม่ได้เช็ค แบ็กดรอปกับตัวหนังสือก็สีเพี้ยนไปจากที่ตกลงกันไว้ โว้ย อยากจะบ้า โดนลูกค้าด่าแน่”
          “อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลาลงทะเบียนแล้ว ทำไงดี” ข้าวโอ๊ตดูนาฬิกา
          “ให้พี่รุงนั่งมอเตอร์ไซลค์ไปซื้อดอกไม้ติดเสื้อที่ร้านแถว ๆ นี้ก็แล้วกัน ขอพานจากที่ร้านมาด้วยเลย แล้วค่อยเอาไปคืน เผื่อที่โรงแรมจัดให้ไม่ทัน” ออกัสตัดสินใจ “แบ็กดรอปช่างหัวมัน แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ดอกไม้ที่โพเดียมถ้าโรงแรมไม่จัดให้ก็เอาธงเยอรมันที่โต๊ะลงทะเบียนไปวางไว้อันหนึ่งก็แล้วกัน โว้ย เดี๋ยวจบงานนี้ฉันจะส่งจดหมายคอมเพลน คอยดู”
          คาดโทษเอาไว้เสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปต่อตีกับพนักงานโรงแรมต่อ ข้าวโอ๊ตจัดโต๊ะลงทะเบียนต่อจนเสร็จ บนโต๊ะพร้อมไปด้วยป้ายชื่อ ของที่ระลึก รวมทั้งตั้งแฟ้มเอกสารสำหรับแขกไว้ทางด้านข้าง
          ญาดามาพร้อม ๆ กับมิคกี้และนัตโตะก่อนเริ่มงานประมาณสิบนาที เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน แต่หล่อนไม่โทษโรงแรม กลับส่งค้อนไปให้ทีโมนกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ที่เดินมาด้วยกันหลังจากพวกหล่อนไม่กี่นาที
          “บอกแล้วว่าให้เลือกโรงแรมอื่นก็ยังจะเลือกโรงแรมนี้ แล้วเป็นยังไงล่ะ มีปัญหาขึ้นมาไม่เคยช่วยได้ มีแต่พวกเราวิ่งกันขาขวิด”
          หญิงสาวบ่นเสียงดัง กะว่าให้เข้าหูทั้งสองคน แต่ปฏิกิริยาของทั้งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการเป็นอย่างที่หล่อนคาดคิดเอาไว้ นั่นคือนิ่ง ทำเหมือนไม่ได้ยิน รอเปิดงานอย่างเดียว
          “พี่หญ้า แขกทยอยมาแล้วครับ แต่ห้องยังไม่เรียบร้อยเลย” ข้าวโอ๊ตที่ยืนอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนกระซิบ
          “แขกลงชื่อเสร็จให้เชิญไปกินกาแฟก่อนเลย เดี๋ยวพี่ไปดูแลตรงนั้นเอง”
          “กาแฟก็ยังจัดไม่เสร็จครับ ออกมาหลังเวลาที่เราตกลงกับโรงแรมไว้ ออกัสโวยไปแล้วเมื่อกี้”
          “เวรกรรม ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปลุยอีกคน โอ๊ตดูแลตรงนี้ ถ้าไม่ไหว เอานัตโตะหรือมิคกี้มาช่วยแก้ขัดไปก่อน”
          ญาดาสั่ง แล้วเดินฉับ ๆ ไปทันที ข้าวโอ๊ตหันมาทักทายแขกและเชื้อเชิญให้ลงทะเบียนพร้อมกับขอนามบัตรของแต่ละคนเก็บไว้เพื่อเป็นข้อมูลผู้ติดต่อ
          งานนี้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย แขกที่เชิญจึงมาจากแวดวงของทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางกลุ่มมาด้วยชุดลำลองธรรมดา แต่บางกลุ่มก็ใส่เครื่องแบบเต็มยศ ชายหนุ่มไม่รู้จักใครที่เป็นแขกเพราะหน้าที่ของเขาไม่ต้องติดต่อกับใครหรือหน่วยงานไหนโดยตรง เขาจึงไม่รู้ว่าใครเป็นแขกพิเศษบ้าง และเอาเข้าจริง เขาก็จำหน้าใครไม่ได้เลยด้วย เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหารายชื่อและหาป้ายชื่อส่งให้แขกให้เร็วที่สุดโดยไม่ให้แขกต้องรอ ปากก็พูดซ้ำ ๆ ว่า
          “ลงทะเบียนเสร็จแล้วเชิญรับกาแฟหรือชาที่ด้านโน้นก่อนนะครับ เชิญครับ”
          ไม่มีใครมาช่วยเขาที่โต๊ะ นัตโตะกับมิคกี้เข้าไปในห้องจัดงานกันแล้ว อ้างว่าต้องไปเตรียมตัวและเช็คไมโครโฟน ชายหนุ่มจึงหัวปั่น หยิบของที่ระลึก หยิบแฟ้ม หยิบป้ายชื่อมือเป็นระวิง แทบไม่ได้สังเกตว่ามีใครมาที่โต๊ะบ้างเพราะมัวแต่ก้มหน้าจนกระทั่งมีเสียงทักว่า
          “สวัสดีครับพี่โอ๊ต”
          ข้าวโอ๊ตเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง
          “อ้าว น้องจั๊มป์ มาได้ไงครับเนี่ย”
          ร้อยตำรวจโทนวัชทำหน้าประหลาด ก่อนขอร้องเสียงอ่อยว่า
          “โห พี่ หน้าผมออกจะมาดแมนขนาดนี้ เรียกน้องจั๊มป์ จบเลยอะ ช่วยเรียกหมวดเฉย ๆ หรือเรียกไอ้จั๊มป์ไปเลยก็ได้ครับ”
          “ขอโทษที พี่ก็ติดเรียกตามพี่นุ่น ต้องหมวดจั๊มป์สิเนอะ”
          ข้าวโอ๊ตหัวเราะเบา ๆ มองหน้ารุ่นน้องคนรู้จักของเม็ดนุ่น นวัชมาจากจังหวัดเดียวกับเพื่อนของเขา อยู่โรงเรียนเดียวกัน ก่อนจะแยกกันตอนมัธยมปลาย เม็ดนุ่นเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่ถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ส่วนนวัชเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ทั้งสองคนเจอกันอีกครั้งที่งานแข่งกีฬาระหว่างสองโรงเรียนที่จัดขึ้นทุกปีเป็นประเพณี แล้วเม็ดนุ่นก็แนะนำให้เขารู้จักรุ่นน้องของหล่อนในงานนั้น
          นวัชเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มชนิดเป็นพระเอกหนังพีเรียดประเภทรักชาติกู้แผ่นดินได้ แต่เม็ดนุ่นเรียกน้องจั๊มป์จนติดปากโดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะโอดครวญอย่างไร
          “แล้วนี่มางานนี้ได้ยังไงครับเนี่ย ตอนนี้ทำงานอยู่หน่วยไหน”
          ข้าวโอ๊ตถาม มือเตรียมคุ้ยกระดาษรายชื่อสำหรับลงทะเบียน
          “ผมกำลังจะย้ายมาประจำท้องที่แถวออฟฟิศพี่โอ๊ตแล้วครับ ส่วนงานนี้ผมมาแทนเพื่อนน่ะ เพื่อนผมมันติดธุระพอดี แต่มันเกรงใจคุณหญ้า กลัวหัวหน้าด่าด้วยเลยขอร้องให้ผมมาฟังแทน ผมก็ว่างพอดี เห็นชื่อบริษัทมันคุ้น ๆ ว่าเป็นบริษัทพี่ คิดว่าน่าจะได้เจอพี่โอ๊ตเลยรับปาก”
          “งั้นเซ็นชื่อแทนเพื่อนไปเลยก็แล้วกันนะ”
          ข้าวโอ๊ตส่งกระดาษพร้อมปากกาให้ จากนั้นหยิบแฟ้มกับป้ายชื่อพร้อมของที่ระลึกส่งให้เป็นลำดับต่อไป ชายหนุ่มยังอยากคุยกับนวัชต่อเพราะไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่มีแขกมาอีกกลุ่มใหญ่ เขาจึงได้แค่บอกกับรุ่นน้องว่า
          “ดีใจที่ได้เจอนะครับน้องจั๊มป์ ไว้เราค่อยคุยกันอีกทีนะ พี่ขอทำงานก่อน”
          “เรียกน้องจั๊มป์อีกแล้วอะพี่”
          ข้าวโอ๊ตยกมือขอโทษขอโพยรุ่นน้อง ก่อนจะหันไปหาแขกกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะลงทะเบียน แล้วเมื่อเขาจัดการเสร็จเรียบร้อย หันมาอีกทีก็ไม่เจอนวัชแล้ว แต่เจอออกัสแทน ชายหนุ่มนั่งหน้าหงิกอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ เมื่อเห็นเพื่อนมองมา เขาก็บ่นทันที
          “โรงแรมนี้เตรียมขึ้นแบล็คลิสต์ได้เลย จบงานนี้เจอจดหมายคอมเพลนแน่ ถ้านายกับทีโมนไม่เขียน เราจะเขียนเอง”
          “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหรอ” ข้าวโอ๊ตถามเรียบ ๆ เขามัวแต่ยุ่งกับงานลงทะเบียน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นเลย
          “เรียบร้อยแล้ว พี่หญ้าไปร่วมด้วยช่วยโวยอีกคน ห้องเสร็จทันเวลาพอดี แขกรอชากับกาแฟไม่นานเท่าไหร่ อุปกรณ์อะไรก็เช็คเรียบร้อยไม่มีปัญหา พี่รุงซื้อดอกไม้กับพานมาแล้วด้วย พี่หญ้าเอาไปติดให้นาย ทีโมนกับแขกผู้ใหญ่แล้ว”
          ข้าวโอ๊ตดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้เกือบหมดเวลาลงทะเบียนแล้ว แต่แขกก็ยังทยอยกันมาไม่ขาดระยะ
          “แขกมากันเกือบครบตามที่ลงทะเบียนไว้เลย มีมาเพิ่มด้วย แต่รวม ๆ แล้วก็น่าจะได้ที่แปดสิบคนนะ” ชายหนุ่มบอกเพื่อนหลังจากที่ลงทะเบียนแขกกลุ่มล่าสุดไปแล้วและยังไม่มีใครมาเพิ่มอีก
          “พอหมดเวลาลงทะเบียนแล้ว นายนับจำนวนแขกจากรายชื่อให้เราที เราจะให้พนักงานนับหัวแขกที่อยู่ในห้องด้วย จะได้บอกทางห้องอาหาร แต่เราการันตีไว้ที่หนึ่งร้อยคนแล้ว รวมพวกเรากับตัวแทนบริษัทของลูกค้าก็น่าจะไม่เกินนั้น”
          ออกัสบอก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
          “ว่าแต่ตะกี้คุยกับพ่อหนุ่มรูปหล่อกล้ามใหญ่ที่ไหนน่ะ เห็นแวบ ๆ ท่าทางสนิทสนม นายนี่ก็ไม่เบาเหมือนกันนา เห็นเงียบ ๆ แบบนี้” ชายหนุ่มกระแซะถาม
          “นั่นน้อง รุ่นน้องที่โรงเรียน เป็นตำรวจ ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอก เมียน้องเขาท้องอยู่ สักแปดเดือนได้แล้วมั้ง ไม่นานก็คลอดออกมาเรียกเราว่าลุงแล้ว”
          ข้าวโอ๊ตดักคอ ทำเอาออกัสร้องว้าด้วยความเสียดาย แต่ก่อนจะลุกไปก็ยังทิ้งท้ายแบบแสบ ๆ ว่า
          “เมียท้องนี่แหละดี ผัวกำลังเปลี่ยวจิต เราก็เสียบแทนซะเลยไง หล่อ ๆ อย่างนี้โคตรเข้าตา”
          “ไอ้บ้า”
          ข้าวโอ๊ตพยายามไม่สนใจอารมณ์ขันแบบบ้า ๆ บอ ๆ ของเพื่อน เมื่อหมดเวลาลงทะเบียน ชายหนุ่มก็นับจำนวนแขกจากรายชื่อไปบอกออกัส จากนั้นก็เริ่มเคลียร์โต๊ะลงทะเบียน ของที่ไม่ใช้แล้วเก็บลงกล่องแพ็คอย่างเรียบร้อยเตรียมให้บำรุงขนกลับ ส่วนรายชื่อเก็บเอาไว้ที่ตัวเพราะต้องใช้ในการทำสรุปงานหลังจากกลับไปถึงออฟฟิศ
         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 16 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-01-2016 20:47:56
          งานเริ่มหลังเวลาที่ระบุไว้ในโปรแกรมไปราว ๆ สิบห้านาที นับว่ายังอยู่ในระดับที่พอรับได้ เมื่องานในห้องจัดงานเริ่มต้น ข้าวโอ๊ตก็ว่าง ชายหนุ่มเดินไปหยิบชาที่มุมกาแฟมานั่งดื่มอยู่คนเดียวที่โต๊ะลงทะเบียนนั่นเอง หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ออกัสที่ไปจัดการเรื่องอาหารว่างและอาหารกลางวันจนเสร็จเรียบร้อยก็ตามมานั่งด้วยกัน
          “ข้างในเป็นยังไงบ้าง เรามัวแต่อยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปดูเลย” ข้าวโอ๊ตได้โอกาสถาม
          “น่าจะเรียบร้อยดีนะ ไม่งั้นพี่หญ้าออกมาบ่นแล้ว มิคกี้วันนี้ดูดีเชียว พูดจาคล่อง จับคู่กับทีโมนก็เหมาะดี ส่วนนัตโตะ...” ออกัสเบะปากนิดหนึ่ง “มองสองคนบนเวทีเขม็งเชียว ท่าทางจะอิจฉา อยากขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้าง”
          ข้าวโอ๊ตไม่อยากวิจารณ์เรื่องนัตโตะ เขามองเลยไปที่ประตูห้องจัดงานที่เปิดออกในตอนนั้น แล้วร่างเล็กสมส่วนของญาดาก็เดินออกมา
          “พี่หญ้า เป็นยังไงบ้างครับ” เขาถาม
          “ก็ดูดีอยู่นะ นายพูดเปิดงานจบไปแล้ว พูดนานมาก ตอนพี่ออกมา พรีเซ็นเทชั่นแนะนำบริษัทกำลังจะจบ ตอนนี้ลูกค้ากำลังเตรียมตัวจะนำเสนอผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยที่จะขาย เห็นที่หลังเวที ใส่ชุดดำแบบหน่วยสวาท ท่าทางจะเล่นละครเวที”
          ข้าวโอ๊ตกับออกัสฟังแล้วทำหน้าประหลาด ฝ่ายหลังพึมพำว่า
          “มิน่า ให้ล็อกเวลาห้องจัดงานให้ชั่วโมงหนึ่งเมื่อวานนี้ เอาไว้ซ้อมละครนี่เอง”
          “เหนื่อยชะมัด โชคดีนะเนี่ยที่ลูกค้าดูเข้าใจอะไรง่าย ไม่คอมเพลนอะไรมากตอนเจอว่าโรงแรมจัดอะไรให้ไม่เรียบร้อยสักอย่าง” ญาดาว่า
          “ตอนนี้ไม่คอมเพลน พอกลับประเทศไปแล้ว อาจจะส่งจดหมายคอมเพลนเข้าสำนักงานใหญ่ไปเลยก็ได้นะครับ”
          ข้าวโอ๊ตไม่อยากไว้ใจ เพราะเคยมีเคสแบบนี้มาแล้ว ด็อกเตอร์แฮร์มันน์บ่นเสียงดังออฟฟิศจะแตกอยู่หลายวันทีเดียว
          “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน” ญาดาว่า ก่อนจะลุกไปที่มุมกาแฟเพื่อหาเครื่องดื่มให้ตัวเองบ้าง
          เมื่อเหลือกันอยู่ที่โต๊ะสองคน ข้าวโอ๊ตกับออกัสก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะอันที่จริง ทั้งสองคนก็มีเรื่องที่กินใจกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะพูดกันแล้วในช่วงหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็เรื่องงานหรือสอบถามเรื่องที่อยากรู้ เมื่ออยู่กันตามลำพังในบางครั้ง บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็กลับมาน่าอึดอัดอีกครั้ง
          ออกัสไม่ใช่คนที่นิ่งเงียบได้อย่างข้าวโอ๊ต หลายครั้งที่เขาอยากจะเคลียร์ แต่ก็มักมีเหตุมาขัดอยู่ได้ตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาขยับจะพูด โทรศัพท์ของข้าวโอ๊ตก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มปล่อยให้ข้าวโอ๊ตรับ เขาสังเกตเห็นเพื่อนมีสีหน้ายุ่ง ๆ
          “ใครโทรมา ที่ออฟฟิศเหรอ” ออกัสถาม เพราะได้ยินเพื่อนคุยเป็นภาษาเยอรมัน
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้า
          “คาริน่า โทรมาถามว่าเสร็จงานรึยัง สั่งให้เรากับนายรีบกลับด้วย แต่เราบอกว่าขอถามพี่หญ้าก่อนว่ายังมีงานอีกไหม ถ้ามีก็จะต้องอยู่ต่อ”
          “โอ๊ย แม่นี่กัดไม่เลิกเลยจริง ๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง” ออกัสร้อง แล้วเมื่อญาดาเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมถ้วยกาแฟในมือ เขาก็จัดแจงฟ้องทันที ญาดาฟังแล้วทำหน้าเซ็ง ก่อนจะสั่งเสียงเฉียบขาดว่า
          “ไม่ต้องสนใจ โทรมาอีกก็ไม่ต้องรับ ถ้ายายเจ๊ถามก็บอกว่ายุ่ง ไม่มีเวลารับโทรศัพท์สายที่ไม่สำคัญ เอาตามนี้แหละ”
          ออกัสไม่มีปัญหา ส่วนข้าวโอ๊ตมองญาดาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูญาดาตอนนี้เป็นพี่ใหญ่ที่พึ่งได้ขึ้นมาทันที และเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็สามารถอ้างชื่อญาดาได้ ถ้าคาริน่าจะเอาเรื่องเขา อย่างน้อย เขาก็ไม่โดนระเบิดลงข้อหากระด้างกระเดื่องอยู่คนเดียวเหมือนที่ผ่านมา
          ข้าวโอ๊ตยังมีเรื่องที่อยู่ในใจ ชายหนุ่มใคร่ครวญอยู่หลายครั้งว่าจะพูดดีไหม คิดแล้วคิดอีก ใจเอนเอียงไปในทางไม่อยากจะพูด แต่เมื่อได้เห็นญาดาแบบนี้ เขาก็ตัดสินใจจะพูด อย่างน้อยเขาก็อยากจะลองดูสักครั้งหนึ่ง
          “พี่หญ้าครับ เรื่องทุนไปอบรมที่มิวนิกน่ะ ผมอยากขอให้พี่พิจารณาผมด้วยอีกคนหนึ่ง”
          ญาดาหันมามอง เช่นเดียวกับออกัส แล้วฝ่ายแรกก็ขมวดคิ้ว ตอบว่า
          “แต่ฝรั่งเขาตกลงกันแล้วนะโอ๊ต พี่ว่าน่าจะยาก”
          “พี่หญ้าช่วยพูดให้ผมสักครั้งไม่ได้เหรอครับ อย่างน้อยก็ช่วยพิจารณาให้ผมเป็นแคนดิเดตด้วยอีกคน จะได้หรือไม่ได้ทุนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่ผมไม่ได้เป็นแม้แต่แคนดิเดต มีผมคนเดียวถูกตัดออกไปเลย บอกตรง ๆ ว่าผมไม่ชอบใจเลยจริง ๆ ผมก็ทำงานในออฟฟิศนี้เหมือนกันนะครับ”
          “พี่เข้าใจนะโอ๊ต แต่เธอก็ต้องเข้าใจด้วยว่างานของเธอคือแอดมิน เป็นฝ่ายสนับสนุน เป็นแบ็กออฟฟิศ งานนี้เขาจะเอาการตลาด เธอถึงไม่ได้รับเลือก”
          “แต่ออกัสก็ยังได้เป็นแคนดิเดตเลยนะครับ งานของเขาก็แบ็กออฟฟิศเหมือนกัน”
          ข้าวโอ๊ตอ้าง
          “กัสทำงานมานานกว่าทุกคน”
          “แต่งานของเขาก็ไม่ใช่งานของการตลาด เขาเหมือนกับผม แสดงว่าถ้าทางเราอยากจะส่งใครไปก็ส่งไปได้ พี่หญ้าครับ ผมทำงานที่นี่มาห้าปีกว่า นานไม่เท่าออกัสก็จริง แต่ก็นานเหมือนกัน ผมควรจะได้รับการพิจารณาบ้าง”
          “พี่พูดเรื่องนี้แล้วเหมือนกันนะโอ๊ต แต่ฝรั่งมันไม่ฟังเลย พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน อำนาจตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่พี่ เธอก็รู้”
          “ลองอีกครั้งได้ไหมครับ” ข้าวโอ๊ตขอร้อง “ผมรู้ว่าถึงผมพูดเอง พวกนั้นก็ไม่ฟัง ผมไม่ใช่คนโปรด ไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาใคร แต่ผมก็ทำงาน โอเค มันอาจไม่ดีนัก ผมไม่ใช่คนเก่ง ผมทำงานผิดพลาด อย่างเรื่อง vacation club นั่น ผมก็เสียใจ ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นอีก แต่เขาก็ไม่ให้โอกาสผมได้แก้ตัว ผมถึงต้องขอร้องพี่ พวกฝรั่งยังฟังพี่”
          ญาดามีสีหน้ายุ่งยากใจ ออกัสก็ไม่สบายใจเพราะมีเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
          “เราเห็นด้วยกับพี่หญ้านะโอ๊ต พูดไปก็ไม่ฟังกันหรอก ยิ่งหลังจากเราไม่ยอมเข้าไปกินข้าวด้วย ไหนจะดื้อไม่ยอมกลับออฟฟิศอีก พูดไปก็เสียเวลา เสียอารมณ์เปล่าด้วย”
          เขาพยายามจะช่วยพูด แต่ดูเหมือนจะเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟมากกว่า เพราะข้าวโอ๊ตทำหน้าเครียดใส่เขาทันที
          “นายพูดได้เพราะนายได้เป็นแคนดิเดตไปแล้ว นายไม่เข้าใจหรอกว่าเรารู้สึกยังไง นายจะพูดยังไงก็ได้ นายทำงานเก่ง อีทีโมนมันยังชมนายข่มทับเรา ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับอีเจ๊ก็ไม่กล้าล้งเล้งใส่นายมากเพราะต้องพึ่งนายเรื่องจิปาถะมากกว่าใครในออฟฟิศ อยากจะได้อะไรคุณกัสหาให้ได้ทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาย นายหยุดงานไปไหน ทิ้งงานให้เราทำต่อ แล้วก็เป็นเราที่ต้องรองรับอารมณ์อีพวกนั้น เราไม่เคยบ่น แต่พอถึงตอนนี้ เรากลับเป็นคนเดียวที่โดนตัดทิ้งไป มันควรแล้วเหรอ”
          ข้าวโอ๊ตไม่รู้ตัวว่าเสียงของตัวเองดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขากำลังระบายสิ่งที่สั่งสมอยู่ข้างในออกมา อันที่จริงเขาอยากจะระเบิดมันออกมาเลยด้วยซ้ำ ให้สมกับที่อัดอั้นตันใจมานาน
          ออกัสฟังแล้วไม่พอใจที่ถูกกล่าวหาและเสียงของเขาก็ดังไม่แพ้กัน
          “แล้วการที่เราทำงานเก่งมันเป็นความผิดเรางั้นเหรอ นายทำงานไม่ดี นายก็สมควรพิจารณาตัวเอง ไม่ใช่เอามาลงที่คนอื่น แล้วนายกล้าพูดได้ยังไงว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้ นายไม่รู้อะไรแท้ ๆ ไม่รู้อะไรเลย!”
          ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงคำขู่ของทีโมน ที่เขาเหวี่ยงวีนโรงแรมจะแตกไม่ใช่เพราะเรื่องโรงแรมทำงานไม่เรียบร้อยอย่างเดียวหรอก แต่เขาทำเพื่อระบายความเครียดเรื่องที่โดนข่มขู่ด้วยต่างหาก อีทีโมนมันจะเอาคำตอบวันนี้แล้ว แต่เขายังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย
          เขาอึดอัดอกแทบจะระเบิดอยู่แล้ว มีใครรู้บ้าง!
          ข้าวโอ๊ตกับออกัสจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
          ญาดาตบโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยกาแฟบนโต๊ะสั่น
          “พอได้แล้วทั้งสองคน!” หล่อนตวาด “จะมาเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น” แล้วหล่อนก็หันไปพูดกับข้าวโอ๊ตอย่างหนักแน่นว่า
          “พี่เข้าใจว่าเธอหวังเรื่องนี้เหมือนคนอื่น แต่พี่พูดให้ไม่ได้ ประเด็นนี้เขาตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว ถึงพี่พูด พวกเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้จบนะโอ๊ต รอเอาไว้ครั้งหน้า มันยังมีมาอีก ถ้ามีหัวข้อที่เข้ากับงานของเธอ เธอก็อาจจะได้ไป”
          ข้าวโอ๊ตอยากจะกรีดร้อง สุดท้ายก็แค่นี้ กับคำว่า “อาจจะ” มันเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ยิ่งกว่าหมอกควัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าในหัวใจของเขามีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอีกครั้ง คราวนี้มันแตกต่างออกไปจากเดิม มันขยับตัวอย่างรวดเร็ว พุ่งชนตรงโน้นตรงนี้ไม่ยอมหยุด และกัดฉีกข้างในหัวใจของเขาจนเหวอะหวะ
          ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว
          ประตูห้องจัดงานเปิดออกราวกับรู้จังหวะ มิคกี้เดินออกมาด้วยท่าทางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดรอบตัว เขาเปิดยิ้มไร้เดียงสาทักทายทุกคน
          “มาอยู่ที่นี่กันเองเหรอครับ”
          “ไม่ต้องอยู่ข้างในเหรอมิคกี้” ญาดาถาม
          “ทีโมนให้ผมพักได้ครับ ตอนนี้เขากำลังแสดงละครแนะนำผลิตภัณฑ์กันอยู่ จบจากนี่ก็พักคอฟฟี่เบรกแล้ว เขาว่าเขาดูแลคนเดียวได้”
          มิคกี้ตอบ ก่อนจะบ่นว่า
          “เหนื่อยจัง ยืนตลอดเลย งานพิธีกรนี่ไม่ง่ายจริง ๆ โชคดีนะที่วันศุกร์ผมหยุด จะได้พักสามวัน ค่อยสบายหน่อย”
          “จะไปไหนล่ะ” ญาดาถามเพื่อต่อบทสนทนา แต่ไม่ได้สนใจใคร่รู้จริงจังนัก
          “ทะเลครับ ผมภาวนาให้ฝนไม่ตก จะได้เล่นน้ำทะเลบ้าง ไม่งั้นก็ได้อยู่แต่ในโรงแรมแน่ ๆ”
          มิคกี้เล่า ก่อนจะเป็นฝ่ายถามบ้างว่า
          “แล้วพวกพี่ ๆ ล่ะครับ เสาร์อาทิตย์จะไปเที่ยวไหนกันรึเปล่า”
          ข้าวโอ๊ตไม่มีอารมณ์อยากจะพูดจาเจ๊าะแจ๊ะกับใครในตอนนี้ เขาหันหน้าหนีอย่างจงใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเพื่อกันไม่ให้ใครมายุ่งกับเขา ออกัสก็ลุกขึ้นยืนหน้าบึ้ง บอกห้วน ๆ ว่า
          “ผมจะไปดูว่าเขาเตรียมคอฟฟี่เบรกเรียบร้อยรึเปล่า ขนมออกมาหมดแล้วรึยัง”
          พูดจบก็เดินฉับ ๆ ไปโดยไม่มองหน้าใคร มิคกี้มองคนโน้นคนนี้ที แล้วหันมามองหน้าญาดาด้วยความไม่เข้าใจ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนจะตัดบทว่า
          “เอาไว้ค่อยคุยกันเถอะ พี่จะเข้าไปในห้องจัดงาน มิคกี้เข้าไปกับพี่ไหม หรือจะนั่งพักอยู่ตรงนี้ก็ได้ ตามใจ”
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 16 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-01-2016 21:33:12
เห้ออออออ ใกล้ถึงจุดแตกหักแล้วรึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 16 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 11-01-2016 22:02:18
สนุกมาก
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 17 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 10:08:51
บทที่ 17
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
จบแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะพยายามหรือไม่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร สุดท้ายก็เหมือนเดิม คนอย่างเรายังจะหวังอะไรได้มากกว่านี้อีก
Like – Comment – Share

         ถึงแม้งานใหญ่ของเลมอนเซคิวริตี้จะจบลงไปแล้ว แต่บรรยากาศในออฟฟิศก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่จะยิ่งแย่ลงทุกวัน ข้าวโอ๊ตกับออกัสก็กลายเป็นอีกคู่หนึ่งที่มองหน้ากันไม่ติดไปแล้ว ในห้องครัวเวลาเช้าหรือตอนพักกลางวันจึงมักจะมีแต่ความเงียบ
ญาดามองหน้าเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องทั้งสองคนสลับกันไปมาด้วยความหนักใจ ตั้งแต่วันนั้นข้าวโอ๊ตกับออกัสก็ไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเดิมอีก คงมีแต่เรื่องงานเท่านั้นที่ทำให้ทั้งสองคนยังพอพูดจากันได้อยู่บ้าง ความขัดแย้งของทั้งสองคนไม่พ้นสายตาของนัตโตะและพัดชา ทั้งสองคนพยายามถามถึงสาเหตุ แต่ไม่มีใครยอมเปิดปากเล่า นัตโตะไม่ละความพยายาม เขายอมไม่รับประทานอาหารในห้องอาหารกับฝรั่งอย่างเคย แล้วมายืนรับประทานในครัวกับคนอื่น ๆ เพื่อคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีใครสักคนหลุดพูดอะไรออกมาไหม แต่ก็ยังไม่ได้ความอะไรคืบหน้าอยู่ดี ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ วันนี้เขาก็ยังเข้ามารับประทานอาหารในครัวเหมือนเดิม
          ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ พัดชาก็ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดใจด้วยการถามถึงมิคกี้ที่ลาหยุดหนึ่งวัน
          “คุณมิคกี้ไม่อยู่สักคนนี่ออฟฟิศเงียบนะคะ ปกติแกเป็นคนพูดเก่ง แล้วนี่แกลาไปไหนคะเนี่ย”
          “พักร้อนค่ะ เห็นว่าจะไปเที่ยวทะเล” ญาดาตอบ
          “คุณทีโมนก็จะไปเที่ยวเหมือนกันค่ะ เมื่อเช้าพี่เห็นแกลากกระเป๋าเข้ามาก็เลยไปถาม แกว่าจะไปเกาะอะไรสักอย่างพี่ฟังไม่ออก ลางานครึ่งวันบ่าย” พัดชาเล่า
          “จะไปเกาะก็เลยใส่เสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าว มีใครไปบอกมันรึยังว่าลายแบบนี้มันเชยบรม ไม่มีใครเขาใส่กันแล้ว” ญาดาทำท่าขนลุก รับไม่ได้กับรสนิยมของคนที่กำลังพูดถึง เมื่อเช้าหล่อนแทบตาค้างเมื่อเห็นทีโมนเปิดประตูออฟฟิศมาพร้อมกับแฟชั่นที่หล่อนไม่คิดว่าคนหนุ่ม ๆ ในศตวรรษนี้จะยังใส่กันอยู่อีก เจ้าเด็กนั่นใส่เสื้อฮาวายสีชมพูสดลายต้นมะพร้าวสีน้ำตาลและสีขาว ใส่เนกไทสีขาวแต่มีลายดอกชบาสีแดงดอกใหญ่อยู่ตรงปลาย กะว่าถอดเนกไทก็ไปเที่ยวต่อได้เลย แต่โดยรวมแล้วมันดูอิหลักอิเหลื่อพิกล หากเจ้าตัวก็มั่นใจในรสนิยมของตัวเองมาก ไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น
          “ผมก็จะไปเที่ยวทะเลเหมือนกันครับ แฟนชวนไปเที่ยว ไปกับครอบครัวของเขาด้วยครับ แม่เขาจองวิลล่าแบบมีพูลส่วนตัวให้เราเลยนะครับ ผมนี่ตื่นเต้นจัง” นัตโตะพูดขึ้นบ้าง หัวข้อสนทนาตอนนี้คือการไปเที่ยว เขาก็ต้องแสดงออกไม่ให้น้อยหน้าใครเช่นกัน
         ข้าวโอ๊ตต้องทนฟังการโอ้อวดในเรื่องต่าง ๆ ของนัตโตะมาหลายวันจนรู้สึกว่าประสาทอันตึงเครียดของตัวเองใกล้ขาดผึงเข้าทุกที ชายหนุ่มจึงอดปากไม่อยู่ ดักคอเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องอย่างรู้ทันว่า
         “ไปเที่ยวกับแฟน ทีโมนน่ะเหรอ แต่เขาไม่เห็นพูดเลยนี่ว่าครอบครัวของเขามาเยี่ยม นายมโนเอาเองรึเปล่า”
         “พี่โอ๊ต ใครบอกว่าทีโมนเป็นแฟนผมกัน ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่” นัตโตะหน้าคว่ำ
         “งั้นเหรอ ถ้างั้นใครเป็นแฟนนายกันล่ะ ชื่ออะไร เห็นเรียกแต่แฟนผม ๆ ฟังนายเล่าแล้ว เขาคงเป็นคนที่วิเศษมากเลยนะ นายจะไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยเลยเหรอ”
         นัตโตะอึกอัก ก่อนจะหาเรื่องดำน้ำขายผ้าเอาหน้ารอดไปว่า
         “แฟนผมเขาขี้อาย ไม่ชอบรู้จักคนเยอะ ๆ แต่ผมจะบอกเขาก็แล้วกันว่าพี่ ๆ ที่ทำงานอยากรู้จัก”
         “อยากรู้จักชาตินี้นะ ไม่ใช่ชาติหน้า รีบไปหาคนมาเป็นแฟน เอ๊ย ไปบอกแฟนเลย นี่รอรู้จักจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
         ออกัสช่วยตีลูกมาอีกแรง แถมกระทบตรงจุดเป๊ะ นัตโตะโกรธจัดเหมือนงูที่ถูกตีที่ขนดหาง ดวงตาวาว อาฆาตออกมาว่า
         “ในเมื่อผมตั้งใจจะผูกมิตรด้วยแล้ว แต่พวกพี่ไม่สนใจ แถมยังจับผิดกีดกันผมไปเสียทุกอย่าง ผมจะไม่ทนอีกต่อไป แล้วเกิดอะไรขึ้น อย่าหาว่าผมร้ายก็แล้วกัน”
         พูดจบ ชายหนุ่มก็ทิ้งช้อนส้อมโครมลงบนจานอาหารที่กินค้างอยู่ สะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าออกไปจากห้องครัว
         ข้าวโอ๊ตกับออกัสที่จับมือกันต่อตีศัตรูร่วมมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างเมิน หันหลังกินข้าวในจานของตัวเองต่อ พัดชากะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูกในสถานการณ์แบบนี้ ญาดาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม นึกสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะจบลงที่ตรงไหน

          “คุณโอ๊ต”
          คาร์ลตัดสินใจเรียกเมื่อเห็นข้าวโอ๊ตเดินออกมาจากห้องครัว สวนกับเขาที่เดินออกมาจากห้องรับประทานอาหารเร็วกว่าปกติ เด็กหนุ่มอยากจะพูดกับข้าวโอ๊ตมาหลายวันแล้ว หลังจากสังเกตว่าชายหนุ่มกลับมาเคร่งเครียดอีก และครั้งนี้ดูจะหนักกว่าเดิมเพราะชายหนุ่มแทบไม่ยิ้มอีกแล้ว
          “เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะครับ ผมอยากคุยกับคุณ” เด็กหนุ่มกระซิบ
          “เอาสิ เจอกันที่ร้านเดิมก็ได้ หกโมงครึ่ง” ข้าวโอ๊ตกระซิบตอบ แล้วเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเองไปโดยที่ยังไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
          คาร์ลมองตามไปด้วยความสงสัยและเป็นห่วง
          เด็กหนุ่มถามเขาถึงเรื่องนี้เมื่อนั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหาร เป็นร้านอาหารไทยอยู่ในซอยใกล้กับอพาร์ตเม้นท์ที่บริษัทเช่าให้คาร์ลอยู่ เด็กหนุ่มชอบร้านนี้ เมื่อเขาแนะนำข้าวโอ๊ต ฝ่ายหลังก็พลอยชอบไปด้วยเพราะอาหารอร่อย ราคาไม่แพง แถมอยู่ใกล้ร้านกาแฟร้านโปรดที่นั่งนาน ๆ ได้ซึ่งเป็นร้านที่ทั้งสองคนชอบมานั่งทำงานแปลด้วยกัน
          “มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ ช่วงนี้ผมสังเกตว่าคนในออฟฟิศแทบไม่คุยกันเลย คุณเคยเดินออกมาคุยกับคุณกัสบ่อย ๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ทำแล้ว โกรธกันเหรอครับ”
          “เถียงกันนิดหน่อย” ข้าวโอ๊ตยอมรับ เอาช้อนเขี่ย ๆ อาหารในจาน แต่ไม่ได้ตักเข้าปากเลยแม้แต่คำเดียว
          “พวกคุณเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่น่าจะโกรธกันอย่างนี้เลยนะครับ เรื่องมันร้ายแรงขนาดที่ไม่มองหน้ากันเลยเชียวเหรอ”
          “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” ข้าวโอ๊ตวางช้อนกับส้อมลง ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลย
          “เพียงแต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกน่ะ ถ้าคุณเคยเสียความรู้สึกกับใครสักคน คุณจะเข้าใจว่ามันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ยาก ผมเสียความรู้สึกกับออกัส มันก็แค่นี้แหละ”
          “ผมเข้าใจนะ ผมก็เคยเสียความรู้สึกกับใครบางคนเหมือนกัน” เด็กหนุ่มยอมรับ ดวงตาของเขาขุ่นมัวขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเศร้า แต่ข้าวโอ๊ตไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่จมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง
          “แล้วก็ยังมีเรื่องทุนไปอบรมที่มิวนิกด้วย ผมไม่ได้เป็นแม้แต่แคนดิเดต มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ถูกตัดออก ผมพยายามพูดกับพี่หญ้า แต่ไม่มีใครคิดจะช่วยผมเลยสักคน มันรู้สึกแย่นะเวลาที่ถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ นี่ผมยังทำงานอยู่ในออฟฟิศนี้อยู่รึเปล่า ผมชักไม่แน่ใจแล้ว”
          “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ การที่เขาไม่พิจารณาคุณก็ย่อมมีเหตุผล พวกเขาบอกรึเปล่าว่าเพราะอะไร”
          “หัวข้อสัมมนาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เขาอยากให้ฝ่ายการตลาดไป มิคกี้หรือไม่ก็นัตโตะ แต่เขาก็พิจารณาออกัสด้วยเพราะอายุงานที่นานกว่าทุกคน ยังไม่รู้ว่าใครจะได้รับเลือก”
          “เท่าที่ผมได้ยินคาริน่าคุยกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ น่าจะเน้นไปที่ฝ่ายการตลาดมากกว่า ผมว่าคุณกัสเขาน่าจะเสียใจยิ่งกว่าคุณอีกนะ ให้เขาเป็นแคนดิเดตเพราะเห็นใจว่าทำงานมานาน เหมือนแค่ให้ความหวัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป ส่วนคุณ รู้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่ต้องมีความหวังอะไรให้เจ็บปวด มันไม่ดีเหรอครับ”
          ข้าวโอ๊ตนิ่งคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่ม
          “คุณเอาแต่โฟกัสเรื่องที่จะทำให้ตัวเองเจ็บ แต่ถ้าคุณลองถอยออกมา เปลี่ยนมุมมองอีกสักนิด คุณอาจจะไม่รู้สึกอย่างนี้ก็ได้นะครับ”
          “คุณนี่ ปลอบใจคนเก่งเหมือนกันนะ” ข้าวโอ๊ตค่อยเริ่มยิ้มออก “ผมสิแย่ แก่เสียเปล่า กลับคิดอะไรไม่ค่อยได้ ชอบมองอะไรในแง่ติดลบไว้ก่อน”
          “ปัญหาของเราเรามักจะมองไม่ออกหรอกครับ ต้องให้คนอื่นช่วยมองให้ ถึงจะมองได้รอบด้าน หาทางแก้ได้ ทีนี้ คุณก็ไม่ต้องคิดมากแล้วนะครับ ครั้งนี้ไม่ได้ เอาไว้ครั้งหน้าก็ได้ มันต้องมีสักครั้งสิครับที่เป็นของเรา”
          “ผมจะพยายามไม่หวังมากก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องผิดหวัง”
          “ดีมากครับ มันต้องแบบนี้” คาร์ลยิ้มกว้าง ยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปหา ข้าวโอ๊ตก็ส่งมือตัวเองไปจับมือเชคแฮนด์ด้วย บนใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ติดอยู่ แสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว และเมื่ออารมณ์ดี ความอยากอาหารก็เริ่มมา ชายหนุ่มดึงมือออกจากมือของคาร์ล แล้วเริ่มต้นรับประทานอาหารอีกครั้ง
          “ยังงี้คุณก็น่าจะไปคืนดีกับคุณกัสด้วยนะครับ เพื่อนกัน โกรธกันนาน ๆ ไม่ดีหรอก”
          “เพื่อนร่วมงาน” ข้าวโอ๊ตแก้คำให้ถูก แต่คาร์ลไม่สนใจ
          “ยังไงก็เพื่อนครับ ดีกันไว้ดีกว่า”
          ข้าวโอ๊ตยักไหล่ ทำท่าเหมือนไม่สนใจ ทั้งที่ใจจริงเริ่มคล้อยตามคำพูดของคาร์ล จะว่าไปเขาเองก็มีส่วนผิดที่ไปอารมณ์เสียใส่ออกัสก่อน แต่ชายหนุ่มก็ยังปากแข็ง
          “ผมจะพยายามดูสักครั้งก็แล้วกัน แต่คิดว่าไม่สำเร็จหรอก ช่วงนี้หมอนั่นอารมณ์เสียจะตาย ใครจะอยากเข้าใกล้ นิดหน่อยก็ปึงปังแล้ว ไม่รู้มีเรื่องอะไร”

          ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาของข้าวโอ๊ตกับคาร์ลกำลังเครียดอย่างหนัก
          ออกัสได้รับข้อความจากทีโมนหลังจากที่เขาออกจากออฟฟิศแล้วและกำลังเดินทางกลับบ้าน ดูเหมือนว่าทีโมนไม่อยากจะรอคำตอบจากเขาอีกต่อไปแล้ว
          ‘เลิกบ่ายเบี่ยงถ่วงเวลาได้แล้วคุณกัส ผมเบื่อจะรอแล้ว อาทิตย์หน้าผมต้องได้คำตอบที่น่าพอใจจากคุณ’
          ชายหนุ่มนึกภาพสีหน้าอวดโอ่ลำพองแบบคนถือไพ่เหนือกว่าของคนส่งข้อความออกเลย พูดแล้วก็แค้นใจ ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันหลอกล่อเขา วันดีคืนดีก็ส่งภาพเข้ามาที่อีเมลหรือไม่ก็โทรศัพท์ของเขา ให้เขาหวาดผวาเล่น แล้วมันก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
          ไอ้โรคจิต!
          ‘อ้อ ผมบอกเอาไว้ก่อนนะว่าอย่าคิดจะปฏิเสธผมเลย รูปก่อนนี้อาจจะแค่เด็ก ๆ คุณอาจจะหาข้อแก้ตัวได้ แต่รูปชุดใหม่ที่ผมเพิ่งได้มานี่ เด็ดกว่านั้นเยอะ มีวีดิโอด้วยนะ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณนี่ร้อนแรงเป็นบ้า กับผมน่ะ เอาแบบนี้เลยนะ ผมชอบ’
ข้อความจากทีโมนส่งเข้ามาอีก หน้าของออกัสเปลี่ยนสีเมื่ออ่านจบ แล้วเมื่อกดเปิดดูรูปที่ถูกส่งมาในไฟล์แนบ ตัวของเขาก็สั่นเทิ้มด้วยความตกใจและความหวาดหวั่น
          ทีโมนมันเอารูปพวกนี้มาจากไหน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นรูปพวกนี้ถูกถ่ายได้อย่างไร ก็ไหนตกลงกันก่อนรับงานแล้วว่าต้องไม่มีการบันทึกภาพหรือวีดิโอเด็ดขาด ลูกค้าก็รับทราบข้อตกลงพวกนี้ดี เขาถึงยอมให้ทำได้ถึงขนาดนั้น
          ออกัสรีบร้อนออกจากรถไฟฟ้าทั้งที่ยังไม่ถึงสถานีที่ต้องการ แตะบัตรออกนอกสถานี เมื่อหามุมที่ปลอดคนได้ ชายหนุ่มก็กดโทรศัพท์หาคนที่รับงานให้เขาทันที
          “ลูกค้าถ่ายรูปกับถ่ายวีดิโอเก็บไว้ ทำไมมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้พี่ ก็ไหนพี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องอะไรแบบนี้”
          “เดี๋ยวก่อน กัส ใจเย็น ๆ เกิดอะไรขึ้น เล่ามาก่อน มาถึงก็ปรี๊ดเลยนะ พี่จะรู้เรื่องไหมล่ะ แล้วลูกค้าอะไร คนไหน”
          เสียงวี้ดว้ายใส่จริตของสาวประเภทสองดังสวนออกมาขัด
          ออกัสพยายามจะข่มใจ แต่เขาก็ทำไม่ได้ดีนัก ตอนที่เล่าเรื่องให้อีกฝ่ายฟัง เสียงของเขาแหลมสูงฟังเหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเองเลย
          ปลายสายฟังแล้วนิ่งไปเลย ก่อนตอบเสียงอ่อย ๆ ว่า
          “พี่ไม่รู้ ก็เขารับปากอย่างนั้น แล้วก็ให้เงินดี๊ดี บอกแค่ว่าขอเล่นอย่างว่าแค่นั้น”
          “มันจัดเต็มทั้งกุญแจมือทั้งเชือกทั้งเทียน ผมก็ไม่ว่านะพี่ถ้าตัวผมไม่มีรอยอะไรชัดเจนให้แฟนผมสงสัย แต่นี่มันถ่ายรูป มันร้ายแรงนะพี่”
          ออกัสโวยลั่น นึกขยะแขยงตัวเองเต็มทนเมื่อนึกถึงตอนนั้น ลูกค้ามารับเขาที่ตึกที่เขาทำงาน พอเขาขึ้นรถก็ทั้งจูบทั้งกอด แต่เพราะอีกฝ่ายหน้าตาดี เขาจึงไม่ถึงกับต้องฝืนใจตัวเองมากนัก
          ผู้ชายคนนั้นพาเขามาที่คอนโดที่ไม่ไกลจากตึกมากนัก เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องด้วยกันสองคน เขาก็ต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำเลย ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่มีรสนิยมทางเพศที่โลดโผน ไม่นิยมใช้อุปกรณ์ทุกประเภทที่พวก SM ชอบใช้กัน แต่เพราะตกลงกันเอาไว้ก่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงต้องยอมเป็นของเล่นให้อีกฝ่ายจับมัด หยดน้ำตาเทียนใส่ตัว และอะไรอย่างอื่นอีกที่เขาไม่อยากจะนึกถึง แลกกับเงินจำนวนมาก ทั้งทิปอีกไม่น้อย หลังจากจบงานแล้ว
          “ลูกค้าคนนี้พี่จะขึ้นแบล็กลิสต์เอาไว้เลยก็แล้วกัน จะส่งข่าวให้คนอื่น ๆ รู้ด้วย จะได้ไม่ต้องมีใครรับงานมันอีก”
          “แล้ววีดิโอกับรูปถ่ายของผมล่ะพี่” ชายหนุ่มถามด้วยความร้อนรน
          “พี่จะช่วยล็อบบี้ให้อีกแรง ไม่ต้องห่วงนะกัส มันจะไม่หลุดออกไปมากกว่านี้แน่”
          “แต่มันก็หลุดออกมาแล้ว!” ชายหนุ่มตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความลืมตัว ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อสังเกตว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาที่เขาด้วยความสนใจ
          “กัสก็ลองคุยดูว่าเขาต้องการอะไรแลกกับภาพกับวีดิโอ ทางพี่ก็จะไปเจรจาอีกแรง พี่ว่ามันไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก บางทีเขาอาจจะชอบกัส อยากใช้บริการแต่ไม่อยากจ่ายเงินเยอะ ๆ อีกก็เลยเอารูปภาพมาต่อรอง”
          ปลายสายคิดว่าออกัสได้ภาพมาจากลูกค้าโดยตรงจึงแนะนำไปอย่างนั้น
          ชายหนุ่มกัดฟันแน่นด้วยความโมโห เป้าหมายของอีทีโมนน่ะชัดเจน แต่เขาอยากรู้ว่ารูปมันหลุดไปถึงมือไอ้หมอนั่นได้อย่างไร แล้วจะมีทางไหนไหมที่จะทำลายรูปกับวีดิโอพวกนั้นให้หมด
          “พี่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ผม ต้องเอาภาพกับวีดิโอมาให้ได้ ถ้าพี่ทำไม่ได้ ผมจะบอกเด็กในสังกัดพี่ให้ออกไปอยู่สังกัดอื่นให้หมด จะบอกว่าพี่หักเปอร์เซ็นต์โหดกว่าที่อื่น พี่หมดทางทำมาหากินแน่!”
          ออกัสกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นเหมือนคนหมดแรง ชายหนุ่มอยากจะดึงทึ้งผมบนหัวตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ที่สุมแน่นอยู่ในอก แต่เขาก็ทำได้แค่ซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างเท่านั้น

           
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 17 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 10:10:02
           ข้าวโอ๊ตหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าอพาร์ตเม้นท์ของคาร์ล เด็กหนุ่มเดินตามมาหยุดอยู่ข้าง ๆ
           “ขอบคุณมากนะที่เลี้ยงข้าว” ข้าวโอ๊ตหันมาพูดด้วย คาร์ลก็ยิ้มให้อย่างสดใส
           “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
           มีความเงียบเกิดขึ้นในจังหวะนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนบังเอิญเงียบไปพร้อมกัน ก่อนที่ข้าวโอ๊ตจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า
           “งั้น...ผมกลับก่อนนะ”
           “เดี๋ยวก่อนสิครับ” คาร์ลรีบรั้งเอาไว้ทันที “คุณจะไม่อยู่คุยกับผมก่อนเหรอ”
           ข้าวโอ๊ตชะงักไปนิด มองเด็กหนุ่มเหมือนไม่ค่อยแน่ใจนัก
           “นะครับ อยู่กินกาแฟด้วยกันสักแก้ว แล้วค่อยกลับ”
           ข้าวโอ๊ตจำไม่ได้ว่าตัวเองตอบเด็กหนุ่มไปว่าอะไรหรือไม่ได้ตอบก็ไม่รู้ แต่ขาของเขาก้าวตามคาร์ลเข้าไปในลิฟท์และตอนนี้เขาก็อยู่ในห้องของคาร์ลแล้ว
           “รกหน่อยนะครับ ต้องขอโทษด้วย” เด็กหนุ่มออกตัว มือรวบหนังสือนิตยสารที่วางระเกะระกะอยู่บนโซฟาเอามาวางไว้บนโต๊ะกระจกข้างโซฟาที่มีโทรศัพท์วางอยู่ แล้วชี้บอกชายหนุ่ม
           “เรียบร้อยแล้วครับ ตามสบายนะ เดี๋ยวผมไปชงกาแฟให้”
           คาร์ลเดินไปยังส่วนที่กั้นเป็นครัวเล็ก ๆ อยู่ใกล้กับประตูที่เปิดออกไปเป็นระเบียง แล้วจัดแจงเปิดเตาไฟฟ้าเพื่อตั้งน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟ
           ระหว่างที่เจ้าของห้องอยู่ในครัว ข้าวโอ๊ตก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ
           อพาร์ตเม้นท์ห้องนี้เป็นแบบสตูดิโอที่จัดว่ากว้างขวางทีเดียวสำหรับอยู่คนเดียว เตียงใหญ่ขนาดหกฟุตวางชิดผนังด้านหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นพร้อมสรรพ มีห้องน้ำและส่วนที่กั้นเป็นครัวเล็ก ๆ แถมยังมีชุดโซฟาและโทรทัศน์ให้ด้วย
           คาร์ลใช้เวลาพักใหญ่ในครัว ก่อนจะยกถ้วยกาแฟมาให้ข้าวโอ๊ต แล้วเดินกลับไปหยิบถ้วยของตัวเองมาพร้อมกับจานใส่ขนมคัพเค้กชิ้นเล็ก ๆ
           “ร้านข้าง ๆ อพาร์ตเม้นท์นี้เองครับ อร่อยมาก ลองชิมดูสิครับ”
           ข้าวโอ๊ตหยิบมาชิ้นหนึ่งตามมารยาท คาร์ลวางจานขนมลงบนตั้งหนังสือนิตยสารที่เขาเอาวางกองไว้บนโต๊ะกระจกก่อนหน้านี้ แล้วนั่งลงบนโซฟาข้างข้าวโอ๊ต โดยทิ้งระยะห่างเล็กน้อย
           “ขนมอร่อยดีนะ”
           ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาพูดอะไรไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร แต่มันก็เป็นเรื่องที่เขานึกออกในตอนนี้ คาร์ลฟังแล้วยิ้มกว้างเหมือนเดิม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอวดนิด ๆ ว่า
           “ใช่ไหมล่ะ ผมบอกแล้ว เรื่องขนมนี่ต้องยกให้ผม เน้นแต่ของอร่อยอยู่แล้วครับ”
           ความร่าเริงของคาร์ลช่วยผ่อนคลายบรรยากาศลงได้ ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าตัวของเขาไม่ค่อยเกร็งแล้ว มือที่ยกกาแฟขึ้นจิบก็ไม่รู้สึกเกะกะเหมือนตอนแรก
           “จริงสิ ผมขอโทษด้วยนะที่ต้องให้คุณดื่มกาแฟ ผมไม่มีชาติดห้องเลย ปกติผมดื่มแต่กาแฟ”
           “ไม่เป็นไรหรอก ผมดื่มกาแฟได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็จะเลือกชาก่อนเท่านั้นเอง”
           “กินกาแฟตอนนี้หวังว่าคงไม่ทำให้คุณตาค้างนอนไม่หลับนะ”
           “ไม่ต้องกินกาแฟ ผมก็นอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้วล่ะ” ข้าวโอ๊ตตอบอย่างไม่รู้สึกเดือดร้อน ตรงกันข้ามกับคนถามที่ฟังแล้วคิ้วขมวดทันที
           “ถ้าถึงขนาดนอนไม่หลับ แสดงว่าคุณต้องเครียดมากแน่ ๆ ไม่ดีเลยนะครับ สุขภาพจะแย่เอา”
           “ก็ช่วงนี้แหละครับ ก่อนหน้านี้ผมนอนเยอะเกินไปด้วยซ้ำ บางทีนอนจนไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย สงสัยจะใช้โควต้านอนหลับหมดไปแล้ว ตอนนี้เลยนอนได้น้อยหน่อย”
           ข้าวโอ๊ตพูดให้เป็นเรื่องตลกไป แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกขำไปด้วย สายตาของเด็กหนุ่มแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนจนข้าวโอ๊ตไม่กล้าสบตาด้วย ตอนนี้ในอกมันรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก
           “ผมเป็นห่วงคุณนะคุณโอ๊ต”
           “เอ้อ...ขอบใจนะคาร์ล แต่มันไม่มีอะไรหรอก ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
           เสียงที่ตอบไปมันดูแปร่งเพี้ยนและสั่นพิกล มือของเขาก็ชักสั่นจนต้องมองหาที่วางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ โต๊ะกระจกอยู่ด้านที่คาร์ลนั่ง แต่เขาไม่ต้องลุกขึ้นเพราะคาร์ลที่จับตามองเขาอยู่ตลอดดึงถ้วยจากมือของเขาไปวางให้และวางถ้วยของตัวเองไปพร้อมกันด้วย ก่อนจะหันกลับมาหา เอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไปกุมไว้
           “คาร์ล...”
           เด็กหนุ่มไม่ตอบรับเสียงเรียกของเขา แต่กลับดันตัวเขาพิงพนักโซฟาและก้มหน้าลงมาหา
           ข้าวโอ๊ตกลั้นหายใจตัวแข็ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้ การที่คาร์ลชวนเขาขึ้นมาที่ห้องก็ชัดเจนมากพออยู่แล้ว แต่ในหัวของเขาตอนนี้แทนที่จะว่างเปล่าก็กลับเต็มไปด้วยภาพมากมายหมุนวนต่อเนื่องไม่มีหยุด
           ชายหนุ่มเห็นภาพของฟรองซัวส์ชัดเจน และตอนนั้นก็ไม่ต่างจากตอนนี้
           เพียงแต่ตอนนั้นเขารักฟรองซัวส์เหลือเกิน
           ก่อนที่ริมฝีปากของคาร์ลจะแตะกับริมฝีปากของเขา ข้าวโอ๊ตก็เบือนหน้าหนี มือข้างหนึ่งกำหมัดยันหน้าอกของเด็กหนุ่มไว้
           คาร์ลชะงัก
           “ขอโทษนะคาร์ล ผมทำไม่ได้”
           “ทำไมล่ะครับ”
           ข้าวโอ๊ตถอยออกห่างจากเด็กหนุ่ม กระเถิบมานั่งสุดโซฟาด้านหนึ่ง ขณะที่คาร์ลก็ยึดที่นั่งที่มุมโซฟาอีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเด็กหนุ่มดูผิดหวังและไม่เข้าใจ
           “ผมเคยคิดว่าผมจะนอนกับใครก็ได้ที่ผมชอบหรือพอใจ แต่เอาเข้าจริง ผมทำไม่ได้ ผมยังอยากให้มันเป็นเรื่องของความรัก ผมอยากมีอะไรกับคนที่ผมรัก มากกว่าจะแค่ความพอใจชั่วครั้งชั่วคราว ผมต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง ใครก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”
           “ซึ่งผมทำให้คุณไม่ได้ คุณชอบผม ผมก็ชอบคุณ แต่มันไม่มีทางเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงในความหมายนั้น”
           ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ
           คาร์ลถอนหายใจยาว เด็กหนุ่มเข้าใจความรู้สึกทั้งของตัวเองและของชายหนุ่มตรงหน้าดี ความใกล้ชิดและความถูกตาต้องใจล้วน ๆ ที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนมาจนถึงตรงนี้ แต่ถ้าถามเขาว่ามันจะพัฒนาเป็นความรักได้ไหม เด็กหนุ่มยอมรับตามตรงว่า มันคงเป็นเรื่องยาก
           “คุณอาจจะคิดว่าผมคิดมากเกินไป” ข้าวโอ๊ตพูด
           “ไม่หรอกครับ คุณตัดสินใจแบบนี้ดีแล้วล่ะ มันทำให้ผมมองเห็นอะไรมากขึ้นด้วย”
           เด็กหนุ่มมีสีหน้ารู้สึกผิด
           “ผมไม่ได้ให้เกียรติคุณเลยถึงได้คิดจะทำอะไรแบบนี้ ขอโทษด้วยนะครับคุณโอ๊ต”
           ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า ยิ้มให้
           “คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก”
           “ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องขอโทษ” คาร์ลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจสารภาพว่า
           “เพราะผมตั้งใจจะใช้คุณเป็นเครื่องมือทำให้ใครคนหนึ่งออกไปจากชีวิตของผมด้วย”
           “หมายความว่ายังไง”
           “พรุ่งนี้แฟนผมจะมา” คาร์ลบอกข้าวโอ๊ต “ผมห้ามเขาแล้ว แต่เขาดึงดันจะมา เขาสงสัยว่าผมจะมีคนใหม่ ผมก็ตั้งใจทำให้เขาคิดแบบนั้น แล้วถ้าเขารู้ว่าผมมีอะไรกับคุณ เขาก็จะได้เสียใจ และเลิกกับผม”
           “คุณสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร”
           “เขาโกหกผม เขาบอกผมว่าเขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับแฟนเก่าของเขาแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะมาฝึกงานที่นี่ ผมจับได้ว่าพวกเขายังไปกินข้าวด้วยกันอยู่เลย เขาไม่ยอมรับ แต่ผมรู้ ผมเจ็บ ผมอยากให้เขาเจ็บเหมือนที่ผมรู้สึกบ้าง ผมก็เลยตัดสินใจอะไรบ้า ๆ แบบนั้นลงไป”
           “คนนี้สินะที่คุณบอกว่าทำให้คุณเสียความรู้สึก” ข้าวโอ๊ตเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้
           “เขาบอกว่าเขาลืมแฟนเก่าเขาแล้ว แต่จริง ๆ เขาไม่เคยลืม” คาร์ลเล่าต่อ น้ำเสียงและสีหน้าของเขาเจ็บปวดจนข้าวโอ๊ตอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มรุ่นน้องมากขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับบ่าของอีกฝ่ายบีบเบา ๆ เป็นการปลอบใจ
           “แฟนคุณน่าสงสารนะ ผมเชื่อว่าเขาเจ็บปวดไม่แพ้คุณหรอก อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ”
           คาร์ลมองชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ ข้าวโอ๊ตจึงอธิบายว่า
           “คนที่อยากจะก้าวไปข้างหน้าเหลือเกินแต่ทำไม่ได้เพราะมีอดีตคอยถ่วงขาเอาไว้อยู่มันไม่น่าสงสารหรอกเหรอครับ อยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ มันน่าอึดอัด มันเหมือนหัวใจจะถูกฉีกเป็นสองส่วน จะไปทางไหนก็ไม่ได้สักทาง อาจฟังดูเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้เหมือนกันนะครับ แต่คนอย่างนี้น่ะมันทั้งน่าสงสาร น่าสมเพช แล้วก็อ่อนแอ”
           “คุณกำลังว่าตัวเองอยู่ด้วยนะ” คาร์ลพูด
           ข้าวโอ๊ตยิ้มขม
           “คุณดูออกสินะ”
           เด็กหนุ่มพยักหน้า
           “หลาย ๆ ครั้งเวลาที่คุณมองผม แต่มันเหมือนคุณไม่ได้มองผมเลย คุณมองเห็นคนอื่นในตัวผม ผมรู้สึกอย่างนั้น”
           “ผมก็ยังไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เหมือนกัน” ข้าวโอ๊ตพูดสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกลับมาพูดเรื่องของคาร์ลที่เขายังพูดค้างเอาไว้ต่อ
           “ผมก็ไม่รู้จักแฟนคุณหรอกนะ แต่ผมคิดว่าเขารักคุณ เขาถึงไม่อยากเสียคุณไป ต้องตามมาจนถึงที่นี่ ผมว่าคุณน่าจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งนะครับ ลองปรับความเข้าใจกันใหม่ คุณเองก็รักเขาไม่ใช่เหรอถึงได้โกรธได้เจ็บปวดกับเรื่องของเขาแบบนี้ ให้โอกาสเขาก็เหมือนให้โอกาสตัวเอง ลองดูอีกครั้งนะครับ”
           “ผมไม่รู้จริง ๆ”
           “ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ คุยกัน ใช้เวลาทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แล้วคุณจะได้คำตอบเอง”
           ข้าวโอ๊ตลุกขึ้นยืน คาร์ลลุกตาม เขาก็ทำท่าจะเดินเข้ามาหา แต่พอนึกได้ก็หยุด ลังเล ข้าวโอ๊ตจึงเป็นฝ่ายเดินเข้ามากอดเด็กหนุ่มเสียเอง ตบบ่าเขาเบา ๆ ก่อนจะคลายอ้อมแขนลง แล้วบอกว่า
           “ผมกลับก่อนนะ วันจันทร์เจอกันที่ออฟฟิศครับ”
           “ขอบคุณมากนะครับคุณโอ๊ต ผมจะลองคิดดู”
           คาร์ลเดินมาส่งข้าวโอ๊ตที่ลิฟท์
           เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็มีท่าทางไม่แน่ใจ หากสุดท้ายก็ตัดสินใจบอกข้าวโอ๊ตว่า
           “ผมอาจจะทำตัวไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรื่องที่ผมบอกว่าผมชอบคุณ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะครับ ผมชอบคุณมากจริง ๆ” 
           ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มให้คาร์ลและโบกมือลา แต่เมื่อประตูลิฟท์ปิด มือของเขาก็ตกห้อยลงเหมือนหมดแรง
           เขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจนิดหน่อยอยู่ดี เขามันน่าสมเพชและอ่อนแอจริง ๆ นั่นแหละ จนป่านนี้แล้วก็ยังยึดติดกับเรื่องเดิม ๆ ยังเจ็บปวดกับอดีตที่ผ่านมานานนม
          แล้วก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ความรักของเขามันจบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 18 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 10:28:57
บทที่ 18
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
กลับเป็นเหมือนเดิม ชีวิตมันน่าเบื่อหน่าย คนรอบตัวก็น่าเบื่อหน่าย ทุกสิ่งทุกอย่างมันน่าเบื่อหน่าย
Like – Comment – Share

          เม็ดนุ่นไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนสนิทอย่างไรดี หล่อนรับโทรศัพท์จากข้าวโอ๊ตได้ยินเสียงเพื่อนไม่ค่อยดีนัก หล่อนก็หอบเสื้อผ้ามาค้างด้วย จากสีหน้าของเพื่อนที่เดินลงมารับที่ล็อบบี้ของคอนโด หล่อนอ่านออกเลยว่าเพื่อนกำลังรู้สึกแย่ แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับเลวร้ายมาก เพราะข้าวโอ๊ตไม่ได้ลงไปนอนนิ่งที่พื้นห้อง แค่ซึมกระทือไปเท่านั้น
          เมื่อจับเพื่อนมาซักไซ้ไล่เลียงรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด หญิงสาวก็ถอนหายใจดังเฮือก
          “แล้วแกคิดว่าน้องคาร์ลสุดหล่อเขาจะคืนดีกับแฟนไหมวะ” หล่อนถาม
          “น่าจะนะ ฉันว่าเขารักกันว่ะ แต่เดี๋ยววันจันทร์ก็รู้” ข้าวโอ๊ตตอบ
          เม็ดนุ่นมองเพื่อนด้วยความสงสาร แต่ก็คิดว่าข้าวโอ๊ตตัดสินใจถูกแล้วเหมือนกัน หล่อนตบบ่าเพื่อนไปอั้กใหญ่ ให้กำลังใจว่า
          “เอาน่ะ! ช่างมันเหอะ! ผู้ชายยังมีอีกเพียบ แกแห้วแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไปหาหนุ่ม ๆ ใส ๆ ตาตี่ ๆ ที่ญี่ปุ่นกันดีกว่า ที่โน่นน่ะผู้ชายหล่อทุกสามก้าว ฉันรับรอง นี่ ฉันทำแผนเที่ยวเสร็จแล้วด้วย”
          หญิงสาวยัดเยียดไอแพดใส่มือข้าวโอ๊ต
          “เอะอะก็จะชวนไปญี่ปุ่น” ชายหนุ่มบ่น
          “เอ้า ก็อยากให้เพื่อนไปพักผ่อนไง นะ ไปเหอะ ฉันไม่อยากไปคนเดียวแล้ว อยากมีคนไปด้วย”
          “ไว้คิดดูอีกทีก็แล้วกัน” ข้าวโอ๊ตตัดบทอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไร วางไอแพดของเม็ดนุ่นไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปสนใจคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปตรงหน้าต่อ เม็ดนุ่นยื่นหน้าเข้ามาดูด้วย เห็นเพื่อนกำลังเตรียมเอกสารสำหรับการสอนพิเศษ หล่อนก็ยิ่งเบาใจ ยังทำงานได้แบบนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว
          “โอวัลตินเติมพลังหน่อยนะโอ๊ต ฉันชงให้เอง” เม็ดนุ่นเสนอตัว แล้วเดินอย่างกระฉับกระเฉงเข้าไปยังบริเวณที่เป็นครัวเล็ก ๆ โดยที่ข้าวโอ๊ตห้ามไม่ทัน
         ข้าวโอ๊ตหันซ้ายหันขวา ก่อนคว้ากล่องกระดาษทิชชู่ เดินตามเข้าไปในครัว ทันได้ยินเสียงเพื่อนสนิทของเขาอุทานลั่นพอดีว่า
         “เฮ้ย! มันล้น!”
         เจ้าของห้องส่งกล่องกระดาษทิชชู่ให้โดยไม่ได้พูดอะไร

         ถึงแม้จะมีเม็ดนุ่นมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งเสาร์และอาทิตย์จนชีวิตไม่ค่อยเงียบเหงาเท่าไรก็จริง แต่พอถึงเช้าวันจันทร์ ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะตื่นมาทำงานเลย แต่เขาก็จำต้องมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
         ‘เสียผู้ชายไปแล้ว อย่าให้ต้องเสียงานไปด้วย!’
         เม็ดนุ่นกรอกหูเขาด้วยประโยคเดิมที่เคยพูดเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ แล้วผลักเขาลงจากเตียง
         ทั้งสองคนแยกย้ายกันที่สถานีรถไฟฟ้า แต่เพราะเขานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่นานจนเม็ดนุ่นต้องมาจัดการ ชายหนุ่มจึงไปถึงที่ทำงานสายกว่าปกติ เมื่อเปิดประตูออฟฟิศเข้าไปก็เห็นว่ามาถึงกันหมดแล้วแทบจะทุกคนและหันมามองเขาเป็นตาเดียว แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ ปกติเขาไม่เคยมาทำงานสาย วันนี้เป็นวันแรกและเลยเวลาเข้างานไปแค่สิบนาทีเท่านั้น ถ้าใครมันจะมาวีน เขาก็จะวีนกลับ จะด่าไปถึงทีโมนด้วยเพราะหมอนั่นเข้างานสายทุกวัน วันนี้ก็ยังไม่เข้าเลย แต่ก็ไม่มีใครว่าเขา สายตาที่มองมาทางเขาดูเหมือนจะสงสารเสียด้วยซ้ำ
         “มีอะไรรึเปล่าครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความสงสัย เมื่อเขาเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงชาและทุกคนก็ยังอยู่กันในครัว ไม่มีใครกลับเข้าห้องทำงานทั้งที่เลยเวลางานมาแล้ว
         “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร พี่นึกว่าวันนี้โอ๊ตจะหยุดเสียอีก เห็นมาช้ากว่าปกติ” ญาดาพูด
         “ตื่นสายน่ะครับ” ข้าวโอ๊ตบอก
         คนที่อยู่ในครัวมองหน้ากันไปมา ทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไร แต่ก็ไม่มีใครยอมเปิดปาก ออกัสมองหน้าข้าวโอ๊ตแวบหนึ่งเหมือนจะสมเพช ก่อนเมินไปไม่สนใจ ทำให้ข้าวโอ๊ตยิ่งสงสัยหนักขึ้น
         พิธีแตกเมื่อนัตโตะเดินเข้ามาในครัวอีกคน เขามองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ด้วยสายตาสะใจ ก่อนจะเปิดยิ้มน่าเกลียด ถามว่า
         “ยังมาทำงานไหวเหรอครับ ผมนึกว่าพี่จะหัวใจสลายตายไปแล้วเพราะเรื่องคาร์ลมีแฟน แหม จะหลอกเด็กสักหน่อย แต่ดันถูกเด็กหลอกเข้าให้ เป็นผมนะ เอาปี๊บคลุมหัวมาทำงานแล้ว อายเขาน่ะพี่ ให้ท่าแทบตาย ผู้ชายเขาไม่เอา”
         “นัตโตะ! หยุดเลยนะ ถ้าจะมาป่วนกันแบบนี้ล่ะก็ กลับห้องไปทำงานเลย ไป!” ญาดาไล่
         นัตโตะเบะปาก แต่เขาได้พูดในสิ่งที่อยากพูดแล้วก็เลยยอมเดินออกไปแต่โดยดี ไม่ดันทุรังจะอยู่ต่อ
         “โอ๊ต ไม่เป็นไรนะ” ญาดาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง
         ข้าวโอ๊ตถอนหายใจ เขาไม่โกรธนัตโตะหรอก แค่แปลกใจที่เรื่องของคาร์ลรู้ถึงหูทุกคนเร็วขนาดนี้
         “คาร์ลบอกเหรอครับ”
         “พี่ถามคุณคาร์ลเองค่ะ” พัดชายกมือบอก “ถามว่าเสาร์อาทิตย์ทำอะไร คุณคาร์ลเล่าว่าแฟนมาเยี่ยมค่ะ ไปเที่ยวกับแฟนมา”
         “แล้วพี่พัดก็เล่าต่อให้ทุกคนในออฟฟิศฟัง” ข้าวโอ๊ตต่อประโยคให้ พัดชาหัวเราะแหะ ๆ ที่โดนรู้ทัน
         “พี่โอ๊ตรู้ใช่ไหมครับ” มิคกี้ถามด้วยความเกรงใจ แต่แววตาก็แสดงความอยากรู้จนปิดไม่มิดเหมือนกัน
         “รู้สิ วันก่อนไปกินข้าวกัน คาร์ลเขาก็เล่าว่าแฟนจะมาเยี่ยม ยังถามอยู่เลยว่าจะพาแฟนไปไหนดี พี่ก็เชียร์ให้พาไปดินเนอร์ริมแม่น้ำไม่ก็ไปดริ๊งค์ที่บาร์เก๋ ๆ แต่ยังไม่ได้ถามเลยว่าตกลงพาไปที่ไหน”
         ข้าวโอ๊ตแต่งเรื่องนิดหน่อย เพื่อแสดงว่าเขารู้เรื่องและไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่ามันไม่ได้ผลหรอก เพราะคนเราชอบมองแต่จุดที่อยากจะมอง ไม่สนใจความจริงใด ๆ เพื่อนร่วมงานของเขาก็เหมือนกัน ทุกคนอยากจะเชื่อว่าเขาอกหัก สายตาของทุกคนจึงยังมองชายหนุ่มด้วยความสงสาร เห็นอกเห็นใจ และสมเพชอยู่ดี หากคนพวกนี้ก็ยังไว้หน้าเขาอยู่บ้างจึงไม่ได้พูดอะไรแรง ๆ เหมือนนัตโตะหรือหาคำพูดมาปลอบใจเขา แต่เปลี่ยนไปแสดงความสนใจเรื่องแฟนของคาร์ลแทน
          “อยากเห็นแฟนคาร์ลจัง อยากรู้ว่าหน้าตาดีเหมือนคาร์ลรึเปล่า” มิคกี้รำพึง
          “คนหน้าตาดีมักมีแฟนหน้าตาแย่นะ พี่เห็นมาหลายคู่แล้ว” ญาดาว่า “แต่หน้าตาแย่ก็ยังดีกว่ารสนิยมแย่ คนไม่หล่อแต่งตัวดียังดูดีได้ แต่คนหน้าดีแล้วแต่งตัวเห่ยนี่มันพาลทำให้ดูแย่ไปหมด”
          มิคกี้หัวเราะคิกเพราะรู้ดีว่าญาดาตั้งใจเหน็บใคร แถมคนที่โดนเหน็บก็เปิดประตูออฟฟิศเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังใส่เสื้อยับ เนกไทสีฉูดฉาดลายเปรอะ ๆ เหมือนเดิม ยิ่งทำให้ดูน่าขำ
          “นั่นน่ะ เอาเป็นแฟน เอาไหมล่ะ” ญาดาพยักพเยิดไปทางคนที่เพิ่งเดินผ่านไป
          มิคกี้ส่ายหน้าหวือ
          “ไม่เอาดีกว่าครับ ผมเคยคิดว่าทีโมนเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นะพี่ แต่ยิ่งอยู่ยิ่งแต่งตัวแย่ขึ้นทุกวัน วันก่อนนี่เสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าว เห่ยมาก ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน มันดูแย่มาก”
          “ใช่ ๆ เสื้อตัวนั้นนี่สุด ๆ แล้วอะ ไม่มีใครเตือนเขาเหรอว่ามันแย่เข้าขั้นหายนะแล้ว”
          ข้าวโอ๊ตฟังญาดาคุยกับมิคกี้เงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็น แม้จะรู้สึกว่ามีอะไรสะดุดหูอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ทันจะได้ขบคิดต่อ เพราะครู่ต่อมาทีโมนก็เดินเข้ามาในครัว วงสนทนาจึงแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อข้าวโอ๊ตกลับเข้ามานั่งในห้องทำงาน เห็นอีเมลสีเขียวเรียงกันเป็นพรืดให้ต้องลงทะเบียน เขาก็ลืมสิ่งที่อยู่ในหัวไปอย่างรวดเร็ว

           ตั้งแต่ตกเป็นหัวข้อสนทนาตั้งแต่เช้า ข้าวโอ๊ตก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับคาร์ลเลย มีแค่ส่งยิ้มให้กันตอนที่ต่างฝ่ายต่างเดินผ่านห้องของกันและกันเท่านั้น จนกระทั่งในตอนบ่าย เมื่องานประจำวันซาลงและไม่มีงานใหม่เข้ามาให้ต้องทำ คาร์ลก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องทำงานของข้าวโอ๊ต
           “นั่งสิคาร์ล มีอะไรรึเปล่าครับ”
           ข้าวโอ๊ตชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเด็กหนุ่ม
           เขาไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องระวังตัวอีกแล้วเมื่อเรื่องมันเปลี่ยนแปลงออกมาในรูปนี้ ส่วนใครจะมองเขาน่าสงสารหรือน่าสมเพชก็คงช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาคิดว่าการปฏิบัติตัวต่อคาร์ลให้เป็นปกติน่าจะดีที่สุด
           “คืนดีกันได้แล้วใช่ไหม” ข้าวโอ๊ตถามยิ้ม ๆ
           เด็กหนุ่มมีท่าทีเขิน ๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
           “ก็คุยกันแล้วครับ”
           “แล้วฟาแฟนไปไหนมา ได้ยินเล่าให้พี่พัดฟัง รายนั้นก็เอามาขยายต่อฟุ้งทั้งออฟฟิศ”
           “ตอนกลางวันไม่ได้ไปไหนเป็นพิเศษครับ พาไปเดินเล่นดูของที่ห้างแถวสยาม แต่ตอนกลางคืนพาไปนั่งที่รุฟท็อปบาร์ที่โรงแรม”
           คาร์ลเอ่ยชื่อบาร์ชื่อดังบนชั้นดาดฟ้าโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก เป็นบาร์ที่จัดว่าบรรยากาศดีที่สุดที่หนึ่งในกรุงเทพฯ
           “ว้าว วิวสวยสุด ๆ เลยนะที่นั่น ดีจัง แฟนคงชอบมากเลยใช่ไหม”
           แต่คาร์ลกลับทำหน้าเจ้าเล่ห์ อมยิ้มนิด ๆ
           เมื่อข้าวโอ๊ตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มจึงเฉลยว่า
           “ก็น่าจะชอบมากเลยล่ะมั้งครับ แฟนผมเขากลัวความสูง”
           “อ้าว” ข้าวโอ๊ตอุทาน ก่อนจะหัวเราะชอบใจ คาร์ลก็เลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย
           “คุณนี่ใจร้ายจังเลยนะ เขาอุตส่าห์ตามมาหาถึงที่นี่ กลับไปแกล้งเขาแบบนั้น” ชายหนุ่มบ่น
           “ช่วยไม่ได้” เด็กหนุ่มยักไหล่
           “คงกลัวน่าดู ไม่น่าไปแกล้งเขาเลย” ข้าวโอ๊ตยังบ่นต่อ
           คาร์ลนึกถึงหน้าของคนรักของเขาเมื่อรู้ว่าเขาพาไปที่ไหน หมอนั่นหน้าถอดสีเมื่อเท้าเหยียบชั้นดาดฟ้าของโรงแรม แล้วก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อย ๆ เมื่อโดนเขาดึงมือให้เดินตามไปนั่งที่โต๊ะที่ชิดริมรั้วกั้นที่สุด
           “แต่เขาเดินมาหาผมนะ” เด็กหนุ่มเล่า
           ข้าวโอ๊ตนิ่งฟังอย่างสนใจ เขาเห็นความสุขฉายอยู่ในดวงตาของคาร์ล
           “เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ พยายามจะอธิบาย ตอนแรกผมไม่อยากฟัง ลุกหนีไปยืนเกาะรั้วกั้น รั้วกั้นใส ๆ เพื่อให้มองลงไปเห็นวิวด้านล่าง ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้าเดินเข้ามา แต่เขาก็เดินมาหาผม”
          เด็กหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นคนรักของเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาหา สีหน้าของหมอนั่นยังซีดเผือดอยู่ เหงื่อแตกพลั่ก ขาก็สั่น เดินแต่ละก้าวก็ช้ามาก แต่หมอนั่นก็เดินเข้ามาถึงตัวเขาในที่สุด
          “ยินดีด้วยนะคาร์ล” ข้าวโอ๊ตพูด ไม่ต้องฟังมากกว่านี้เขาก็รับรู้ได้ว่าเรื่องของเด็กหนุ่มจบลงด้วยดีแล้วในที่สุด
          “ขอบคุณมากครับ”
          “คราวนี้ก็พาแฟนไปเที่ยวแบบดี ๆ ได้สักทีนะ อย่าไปแกล้งเขาอีกล่ะ”
          คาร์ลหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า
          “ผมอยากชวนคุณไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ แฟนผมเขาก็อยากเจอคุณนะครับ คุณจะว่ายังไง”
          “ชวนผมเนี่ยนะ รู้ไหมว่าคนทั้งออฟฟิศเขานินทาผมว่าอกหักจากคุณ แล้วคุณยังจะชวนผมไปกินข้าวกับแฟนคุณอีก เชื่อเลย คุณนี่ใจร้ายจริง ๆ”
         ข้าวโอ๊ตแกล้งพูด ซึ่งคาร์ลก็รู้ แต่เขาฟังแล้วก็ยังทำหน้ายุ่งอยู่ดี แย้งว่า
         “ผมต่างหากที่อกหักจากคุณ”
         ข้าวโอ๊ตไม่ว่าอะไร เพียงแต่ยิ้มอ่อน ๆ ให้ แล้วเมื่อเด็กหนุ่มถามซ้ำ เขาก็ตอบตกลง
         “ไม่มีปัญหาหรอก คุณกับแฟนบอกวันมาแล้วกัน ผมว่างตลอดอยู่แล้ว” ข้าวโอ๊ตหยุดไปครู่ก่อนจะถามเมื่อนึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ว่า
         “จริงสิ ผมชวนเพื่อนไปด้วยอีกคนได้ไหม เม็ดนุ่นมันเคยบ่นอยากเจอคุณ คราวนี้จะได้เจอสมใจอยากสักที มีมันไปด้วยคนหนึ่งรับรองไม่เงียบเหงา แต่อาจต้องระวังตัวกันนิดหนึ่งนะครับเพราะมันซุ่มซ่าม”
         “ได้สิครับ เม็ดนุ่นคนนี้เพื่อนสนิทของคุณที่เคยพูดถึงใช่ไหมครับ”
         ตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว คาร์ลก็เดินออกไปจากห้องของข้าวโอ๊ต ตั้งใจจะเดินไปหาออกัสเพื่อขอคำแนะนำเรื่องร้านอาหารเพราะฝ่ายนั้นทำหน้าที่ออแกไนเซอร์ประจำบริษัท รู้จักโรงแรมและร้านอาหารชั้นดีมากมาย แต่ออกัสไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง แต่ครู่เดียว ออกัสก็เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา คาร์ลจึงเดินออกมาหา
         “คุณกัส ผมมีเรื่องอยากจะถาม... เอ๊ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
         เด็กหนุ่มถามเมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
         “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เดี๋ยวกินยาก็หายแล้ว”
         ออกัสฝืนยิ้มให้
         จังหวะนั้น ทีโมนเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาอีกคน แต่สีหน้าของชายหนุ่มผ่องใสเหมือนคนที่กำลังอิ่มเอมใจอย่างเอกอุ คาร์ลเห็นออกัสส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปให้เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะของเขากลับเข้าไปในห้อง แต่ก็รีบปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นปกติทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเด็กหนุ่มกำลังมองอยู่
         “มีอะไรจะถามผมใช่ไหม”
         “อ้อ ครับ ผมจะถามคุณเรื่องร้านอาหารน่ะ คุณกัสมีร้านอาหารญี่ปุ่นดี ๆ แนะนำผมสักแห่งไหมครับ”

          ทันทีที่คาร์ลกลับเข้าห้องของตัวเองไปหลังจากที่ได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ออกัสก็หุบยิ้มทันที สีหน้าระรื่นตอนที่คุยเล่นกับเด็กหนุ่มระหว่างหาข้อมูลร้านอาหารก็หายไปพร้อมกัน
          ตอนนี้ชายหนุ่มมีแต่ความรู้สึกขุ่นเคือง ความหวาดกลัว และความเครียด
          เขาตกลงกับทีโมนไม่ได้ และที่แย่ยิ่งกว่านั้น เขาถูกข่มขู่รุนแรงยิ่งขึ้น
          ผู้ชายที่ถ่ายภาพเขาและอัดวีดิโอเก็บไว้กลายเป็นลูกค้าของบริษัท เขาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเยอรมัน เคยพาคนจากบริษัทคู่ค้าจากเยอรมนีมาเยี่ยมด็อกเตอร์แฮร์มันน์ที่นี่ แต่ตอนนั้นออกัสลาพักร้อนพอดี ข้าวโอ๊ตเป็นคนรับรอง เขาถึงไม่รู้จัก และแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นรู้จักกับทีโมน
          เรื่องทุกอย่างกระจ่างแจ้ง เขาติดกับดักไอ้คนโรคจิตนั่นเต็ม ๆ
          ในมือของมันมีทั้งภาพทั้งคลิปวีดิโอ แถมมันยังข่มขู่เขาว่าถ้าไม่ยอม นอกจากเรื่องจะรู้ถึงหูของแฟนเขาแล้ว เรื่องที่เขานอนกับลูกค้าของบริษัทจะต้องถึงหูด็อกเตอร์แฮร์มันน์และสำนักงานใหญ่ด้วย แล้วเขาจะถูกไล่ออกโทษฐานทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง
          เขารู้ดีว่าถ้ายอมก็จะต้องเป็นลูกไก่ในกำมือของไอ้ทีโมนไปตลอด แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว
          พรุ่งนี้มันนัดเขาไปเจอที่บาร์ของโรงแรม
          ตอนนี้ไอ้บ้านั่นก็คงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เป็นแน่ เขาเกลียดมันเหลือเกิน

           ทีโมนกำลังรู้สึกอย่างที่ออกัสคิดจริง ๆ แต่เขามีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยที่ต้องเคลียร์ให้จบก่อน
           ชายหนุ่มกำลังเบื่อคู่ขาของเขาเหลือทน นับวันฝ่ายนั้นก็ยิ่งขี้หึงและเรียกร้องจากเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะคบกันเล่น ๆ สนุก ๆ ตอนนั้นที่เขาตกลงก็เพราะแบบนี้ ควงกันแบบไม่มีอะไรผูกมัด ไม่เปิดเผย แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของตัวเขา
           จู้จี้จุกจิกเรื่องการแต่งตัว จับผิดเขาเรื่องควงคนอื่น หวาดระแวงหนักข้อขึ้นทุกวันว่าเขากำลังนอกใจ
           แรก ๆ เขาก็ตามง้องอนเพราะยังชอบอีกฝ่ายอยู่มาก เรื่องบนเตียงก็เข้ากันได้อย่างวิเศษ ทำให้เขามองข้ามนิสัยน่ารำคาญหลาย ๆ อย่างของคู่ขาของเขาไปได้ เพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
           ชายหนุ่มมีของเล่นชิ้นใหม่ น่าสนใจมาก ๆ เสียด้วย
           เพราะฉะนั้นก็ได้เวลาโละของเล่นชิ้นเก่าเสียที
           พูดไม่ทันขาดคำคู่ขาของเขาก็ส่งข้อความมาหา ทีโมนเปิดออกอ่าน
           ‘เย็นนี้เราเจอกันที่คอนโดอีกนะ’
           ‘ผมไม่ว่าง’
           อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับมาใหม่
           ‘งั้นพรุ่งนี้ก็ได้ ที่คอนโด เวลาเดิม’
           ‘พรุ่งนี้ผมก็ไม่ว่าง’
           ‘อะไรกัน ไม่ว่าง ไม่ว่าง คุณยุ่งอะไรจนไม่มีเวลาขนาดนั้น บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปนัดเจอคนอื่นใช่ไหมถึงได้ปฏิเสธกันแบบนี้’
           ทีโมนถอนหายใจดังเฮือกเมื่ออ่านข้อความที่ถูกส่งมาเป็นชุด
           ‘ผมจะนัดเจอใครมันก็เรื่องของผมนะ ไหนเราเคยคุยกันแล้วนี่ว่าคบกันเล่น ๆ ไม่ผูกมัด ไม่บอกใคร ผมจะไปควงใครที่ไหน ผมก็ย่อมมีสิทธิ์ทำได้ คุณเองยังมีคนอื่นเลย ผมไม่เห็นจะเดือดร้อน’
           ‘แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้’
           ‘ผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างที่ผมต้องการ ส่วนคุณ ถ้าไม่พอใจผม คุณจะเลิกก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่อยากเลิก เราก็ยังมาเจอกันได้อีก’
           ‘ไอ้คนนั้นมันเป็นใคร คุณนัดเจอกับใคร’
           ‘ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ’
           ‘คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะบอกเลิกกันอย่างนี้’
           ‘ผมไม่ได้บอกเลิกกับคุณนะ เรายังมาเจอกันได้’
           ‘เจอกันได้? ในขณะเดียวกับที่คุณนัดเจอคนอื่นด้วยยังงั้นเหรอ ถ้าจะให้ใช้ของร่วมกับคนอื่นน่ะ ฝันไปเถอะ คุณต้องไปเลิกกับมันก่อน’
           ‘พอเถอะ คุณพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว เอาเป็นว่าผมอยากทำอะไรก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ’
           ‘แล้วคุณจะต้องเสียใจที่บอกเลิกกันอย่างนี้ ทั้งคุณทั้งมัน จำเอาไว้นะ หักหลังกันแบบนี้ก็ไม่มีวันอยู่ร่วมโลกกันได้อีก’
           ทีโมนบล็อกเบอร์ของอีกฝ่ายทันทีเพื่อไม่ให้มีข้อความเข้ามากวนใจเขาได้อีก แล้วก็ลบเบอร์โทรศัพท์รวมทั้งประวัติการแช็ตออกไปจนหมด ไหน ๆ จะโละทิ้งแล้วก็ทิ้งมันเสียให้หมด หลังจากนี้ก็เตรียมตัวต้อนรับของใหม่
           ชายหนุ่มเปิดคลิปวีดิโอที่เปิดให้ออกัสดูเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาดูใหม่
           ภาพคมชัดระดับเอชดี เจ้าตัวเห็นเข้ายังอึ้งไปเลย
           แต่แหม ออกัสนี่เซ็กซี่เป็นบ้า ยิ่งเวลาถูกมัดแล้วร้องครวญครางแบบนี้นี่ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ เขาอดใจให้ถึงพรุ่งนี้แทบไม่ไหวแล้ว ของเล่นที่เตรียมเอาไว้เล่นกับออกัสก็มีพร้อม น่าตื่นเต้นจริง ๆ
           ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว
           เขานี่ช่างโชคดีจริง ๆ ที่มีช่องให้เล่นงานออกัสได้พอดิบพอดี

           แค้นใจจนแทบกระอักเพื่อรู้ว่าเบอร์โทรศัพท์โดนทีโมนบล็อก
           ทำแบบนี้มันหักหลังกันชัด ๆ
           คิดจะเขี่ยทิ้งไปหาคนใหม่งั้นเหรอ อย่าหวังเลยว่าจะทำแบบนั้นได้
           มันไม่มีวันเกิดขึ้น
           ใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดแย่งไปเลย ถ้าจะต้องผิดหวัง ก็ผิดหวังมันให้หมดทุกคนนี่แหละ
           อาฆาตเอาไว้แล้ว หัวก็เริ่มคิดวางแผน

           
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 16 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-01-2016 10:30:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 18 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 10:30:42
            ข้าวโอ๊ตเพิ่งรู้ว่าคาร์ลเป็นคนใจร้อนมากก็ตอนที่เด็กหนุ่มเดินมาบอกเขาในตอนใกล้เลิกงานในวันเดียวกันนั้นหลังจากที่เกริ่นเรื่องไปกินข้าวไว้ก่อนแล้วในตอนบ่ายว่าเลือกร้านอาหารได้แล้วและอยากจะนัดเขากับเพื่อนในวันพรุ่งนี้เลย ชายหนุ่มฟังแล้วงง ๆ ตามไม่ทัน แต่เขาก็พยักหน้ารับ
            ‘เพื่อนคุณเขาจะโอเคไหมครับ’ คาร์ลนึกได้
            ข้าวโอ๊ตทำหน้าไม่แน่ใจ แต่ก็บอกว่า
            ‘น่าจะว่างนะครับ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องกิน เม็ดนุ่นไม่น่าจะพลาด แล้วรายนั้นเป็นฟรีแลนซ์ เรื่องเวลายืดหยุ่นได้เยอะ’ เขาบอก ก่อนจะถามว่า
            ‘ตกลงคุณเลือกร้านไหนครับ’
            แต่เมื่อฟังชื่อร้านที่คาร์ลขอให้ออกัสช่วยแนะนำให้ ข้าวโอ๊ตก็ส่ายหน้า
            ‘ผมว่าถ้าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น คุณเลือกร้านที่เป็นบุฟเฟ่ต์ดีกว่าครับ ทั้งผมทั้งเม็ดนุ่นน่ะสายแข็งด้านการกินซาชิมิ ถ้ากินร้านธรรมดามันรู้สึกไม่คุ้ม’
            ‘เอ เอางั้นเหรอครับ’ คาร์ลไม่ขัดข้องเพราะเขาตั้งใจเลือกร้านอาหารที่ข้าวโอ๊ตชอบอยู่แล้ว และเขาก็เคยรู้ว่าชายหนุ่มชอบอาหารญี่ปุ่น แต่ตอนที่เขาไปปรึกษาออกัส เขาไม่ได้บอกว่าจะไปกับใคร ออกัสนึกว่าเขาจะไปกับแฟนก็เลยเลือกร้านที่ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ให้
            เมื่อต้องเปลี่ยนร้าน เด็กหนุ่มก็เลือกไม่ถูก เขาก็เลยยกหน้าที่ให้ข้าวโอ๊ตเป็นคนตัดสินใจ ข้าวโอ๊ตเลือกร้านประจำของตัวเองและนัดเจอกับทุกคนที่ร้านในวันรุ่งขึ้นหลังเลิกงาน
            เม็ดนุ่นรออยู่แล้วที่ร้านตามเวลานัด และหลังจากนั้นไม่นานคาร์ลที่ไปรับคนรักของเขาที่อพาร์ตเม้นท์ก่อนก็ตามมา
            มิตช์ คนรักของคาร์ลไม่ต่างจากภาพที่ข้าวโอ๊ตเคยคิดเอาไว้ เขาเป็นผู้ชายตัวบางที่เตี้ยกว่าคาร์ลเล็กน้อย ผมสีทรายตัดสั้นหวีเสยอย่างเรียบร้อย หน้าตาของเขาไม่จัดว่าหล่อเหลาสะดุดตา แต่ก็ดูดี โดยเฉพาะเวลายิ้ม ใบหน้าของเขาจะดูนุ่มนวลลง สำหรับข้าวโอ๊ตแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบกับตัวการ์ตูนญี่ปุ่น มิตช์จะเหมือนพวกลูกคุณหนู ประธานนักเรียนอะไรเทือกนั้น ในขณะที่คาร์ลเป็นนักกีฬาหรือพวกเด็กเกเรหลังห้อง แต่เมื่อยืนด้วยกันแล้วกลับเข้าคู่กันเป็นอย่างดี
            “งานดีว่ะแก ทั้งสองคนเลย” เม็ดนุ่นเอาศอกกระทุ้งเพื่อน ความหมายของคำพูดนั้นคือทั้งคาร์ลและมิตช์หน้าตาดีชวนกรี๊ดทั้งคู่
            “หุบปากนะแก” ข้าวโอ๊ตรีบกระซิบปราม ก่อนจะยกมือขึ้นโบกทักเด็กหนุ่มทั้งสองคน
            “ขอโทษครับ มาสายไปหน่อย” คาร์ลออกตัว ก่อนจะแนะนำคนรักของเขาให้ทุกคนรู้จัก ข้าวโอ๊ตก็แนะนำเม็ดนุ่น แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในร้าน
            ข้าวโอ๊ตกับเม็ดนุ่นแสดงความเป็นสายแข็งในเรื่องการกินซาชิมิให้เห็นเป็นที่ประจักษ์หลังจากสั่งแต่ปลาดิบจานแล้วจานเล่าจนฝรั่งสองคนที่มาจากประเทศที่ถนัดกินแต่มันฝรั่งมองอย่างทึ่ง ๆ เม็ดนุ่นที่เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีสนิทกับคนง่ายอยู่แล้วก็เลยพูดจ้อ ชวนคุยให้บรรยากาศบนโต๊ะไม่เงียบเหงาอย่างที่ข้าวโอ๊ตเคยบอกไว้ หล่อนพูดถึงเรื่องแผนการไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วย ลงท้ายด้วยการบ่นเพื่อนว่าไม่ยอมตกปากรับคำไปเที่ยวกับหล่อนเสียที
             “ทำไมไม่ไปล่ะครับ” คาร์ลถาม ตัวเขาชอบเที่ยวอยู่แล้ว ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจ
             “มันเป็นทริปปีใหม่น่ะครับ ปกติผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดตอนปีใหม่ทุกปี” ข้าวโอ๊ตตอบ
             “กลับบ้านทุกปีก็บ่นทุกปีเหมือนกัน ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแกไม่เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง ไปเที่ยวให้มันสนุก หัวสมองผ่อนคลายน่าจะดีกว่า” เม็ดนุ่นขัดขึ้น แล้วก็โดนข้าวโอ๊ตถลึงตาใส่เป็นการปรามทันทีเหมือนกันเหตุที่พูดจาอะไรเรื่อยเจื้อยจนคาร์ลกับมิตช์มองมาด้วยความสงสัย
             “แล้วพวกคุณมีแผนไปเที่ยวปีใหม่กันรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคน
             มิตช์มองหน้าคาร์ลเป็นเชิงหารือ ฝ่ายหลังก็นิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า
            “ก็คิดว่าจะไปเที่ยวเหมือนกันครับ แต่ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะไปไหนดี”
            “มาเอเชียอีกครั้งไหมละคะ ญี่ปุ่น เกาหลีนี่ก็น่าเที่ยวนะ หรือลุย ๆ หน่อยก็ไปอินเดียเลย” เม็ดนุ่นเสนอ
            “อินเดียคงไม่ไหวครับ สารภาพว่าไม่ใช่คนที่ชอบเที่ยวแบบลุย ๆ หรือสมบุกสมบันเท่าไหร่ ถ้าจะมาเอเชียก็คงเป็นพวกญี่ปุ่นเกาหลีมากกว่าครับ หรือนายว่ายังไง” ประโยคท้ายมิตช์หันมาขอความเห็นจากคนรัก
            “นายเลือกเลย ฉันได้ทั้งนั้นแหละ” คาร์ลตามใจ แล้วเขาก็เสริมต่อเมื่อนึกได้ว่า “พูดถึงเกาหลี คุณกัสเขาก็จะไปเกาหลีช่วงปีใหม่เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด เดี๋ยวฉันลองถามข้อมูลจากคุณกัสให้ ถ้านายสนใจ”
            ข้าวโอ๊ตมองเด็กหนุ่มสองคนคุยปรึกษาหารือกันกระจุ๋งกระจิ๋งแล้วก็อยากจะถอนหายใจออกมาให้ดังที่สุด อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ตอบตกลงมากินข้าวกับสองคนนี้
            เม็ดนุ่นเองก็อมยิ้มเมื่อเห็นความน่ารักของทั้งคู่ หล่อนเหล่มองเพื่อน เห็นข้าวโอ๊ตทำหน้าละห้อยก็นึกขำจนอดแซวไม่ได้ว่า
            “เสียดายไหมแก”
            “เก็บปากไว้กินแซลมอนเหอะ อย่าพูดมาก กินให้ครีบงอกเลยนะ” ข้าวโอ๊ตคีบชิ้นปลาแซลมอนยัดใส่ปากเพื่อน เม็ดนุ่นไม่ทันตั้งตัวถึงกับสำลัก ไอขลุกขลัก ทำให้คาร์ลกับมิตช์หันมามองด้วยความตกใจ
            “รีบกินน่ะเลยสำลัก ไม่ต้องไปสนใจหรอก เพื่อนผมมันก็งี้แหละ ซุ่มซ่าม โก๊ะ บ้า” ข้าวโอ๊ตพูดหน้าตาเฉย
            มิตช์มองเม็ดนุ่นที่ยังไอหน้าดำหน้าแดงด้วยความเป็นห่วง แล้วก็คอยดูแลหยิบทิชชู่กับเลื่อนแก้วน้ำส่งให้ ในขณะที่ข้าวโอ๊ตหันมาคุยกับคาร์ลต่อ
            “เออใช่ ว่าจะถามหลายหนแล้ว คุณโอ๊ต คุณได้คุยกับคุณกัสบ้างรึยังครับ” เด็กหนุ่มถาม
            “ยังเลยครับ” ข้าวโอ๊ตทำหน้ายุ่ง “ไม่ได้จังหวะสักที ถามทำไมเหรอครับ”
            “ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะ แต่ผมว่าหมู่นี้คุณกัสดูแปลก ๆ อย่างเมื่อวานก็ทำหน้าประหลาดตอนทีโมนเดินผ่าน เอ สองคนนี้เขาไม่ถูกกันรึเปล่าครับ”
            “ผมบอกไม่ถูกหรอก เพราะมีหลายครั้งที่ผมก็ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ผมเห็นเหมือนกัน”
            คำตอบของข้าวโอ๊ตอาจจะไม่ค่อยตรงคำถามนักแต่คาร์ลก็พอจะเข้าใจจากการที่ทำงานในออฟฟิศนี้มานานพอสมควร
           “แล้วทำไมจู่ ๆ คุณถึงถามผมเรื่องนี้ล่ะ มีอะไรรึเปล่าครับ”
           “แค่สงสัยน่ะครับ เมื่อวานก็หายออกไปข้างนอกออฟฟิศพร้อมกันสองคน แต่คุณกัสกลับมาก่อน แป๊บเดียวทีโมนก็ตามกลับเข้ามา ท่าทางพิกลกันทั้งคู่”
           “ถ้าหายไปพร้อมกันทั้งคู่แบบนี้มันคงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอกครับ” ข้าวโอ๊ตพูด ใจของเขาตอนนี้ยังมีอคติต่อออกัสอยู่ เขาจึงคิดไปในทางที่เป็นการดูถูกฝ่ายนั้น แต่ก็แค่พูดเป็นนัย ๆ เพราะเขารู้ว่ามันไม่เหมาะที่จะพูดออกมาตรง ๆ
           คาร์ลรับรู้ความนัยนั้น เขาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร แต่เขาก็ไม่ค้าน เพราะเขาเองก็ไม่รู้จักออกัสดีนัก และจะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ
           ในตอนนั้นเม็ดนุ่นคลายอาการสำลักแล้ว หญิงสาวจึงแก้แค้นด้วยการแย่งกุ้งเทมปุระที่ข้าวโอ๊ตกำลังจะเอาเข้าปากไปกิน  ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ แล้วเขาก็เปิดศึกแย่งของกินกับเพื่อนในทันใด
           เสียงเอะอะโวยวายเหมือนเด็กแย่งของเล่นกันของทั้งสองคนทำให้คาร์ลอดหัวเราะไม่ได้ และเขาก็พลอยนึกสนุก ร่วมมือกับข้าวโอ๊ตหรือบางครั้งก็เม็ดนุ่นแกล้งคนอื่น ๆ ในโต๊ะ และในที่สุดเขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องของทีโมน ออกัส หรือคนอื่นในออฟฟิศอีกเลย

           ตรงกันข้ามกับความสนุกสนานของพวกข้าวโอ๊ต ออกัสกำลังรู้สึกเหมือนตกนรก
           ชายหนุ่มยอมมาหาทีโมนที่บาร์ของโรงแรมตามที่นัดเอาไว้ เขายังต้องกัดฟันทนนั่งดื่มเป็นเพื่อนแล้วให้ไอ้โรคจิตมันกอดจูบลูบคลำ แลกกับการที่มันจะไม่แฉเขา
           พอเริ่มจะมึน ๆ ทีโมนก็โอบเอวเขาพาขึ้นไปบนห้องพักที่เปิดเตรียมเอาไว้แล้ว
           ออกัสจมอยู่กับความเกลียดชังของตัวเอง เขาไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัวจึงไม่รู้ว่าเขากับทีโมนตกอยู่ใต้สายตาของใครบางคน
           ใครคนนั้นมองทั้งคู่ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวและมุ่งร้าย
           ในเมื่อพวกมันสองคนรวมหัวกันทรยศหักหลัง พวกมันก็จะต้องได้รับโทษอย่างสาสมเช่นกัน
           ในหัวใจของใครคนนั้นมีสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว มันกางเล็บคมกริบฉีกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของมัน ตะกุยตะกายดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากที่ที่มันอยู่ อุ้งเท้าหน้าสองข้างขุดลึกเข้าไป ลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หลุดออกจากสิ่งที่กักขังมันอยู่
           ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมของมันอ้ากว้างส่งเสียงคำรามกึกก้อง ปีกที่เป็นพืดหนังสยายกว้าง แล้วมันก็โผบินออกไป
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 16 (11-1-2016) - Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 12-01-2016 10:30:58
ข้าวโอ๊ตสู้ๆนะ ขอบคุณคนเขียนนะคะมาต่อทุกวันเลย น่ารักกก :mew1:  :L2:
ปล. สมน้ำหน้าอิกัส :laugh:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 18 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 12-01-2016 13:41:17
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 18 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 12-01-2016 13:42:57
เป็นนิยายที่ดีมาก แต่ชื่อเรื่อง ผมว่าไม่เหมาะสม

คนอ่านที่อยากอ่านฆาตรกรรม เปิดมาไม่เจอฆาตรกรรมซักที ก็จะเลิกอ่าน.

ส่วนคนอ่านที่ขี้กลัว ก็จะไม่เปิดอ่านตั้งแต่แรก.
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 19 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 15:53:08
บทที่ 19
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เคยภาวนาให้ชีวิตที่น่าเบื่อมีสีสัน ขอให้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นบ้าง จะได้รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่มันไม่ใช่แบบนี้ เรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยจริง ๆ
Like – Comment – Share

          ข้าวโอ๊ตเข้าออฟฟิศตามเวลาปกติ คือเป็นคนที่สองรองจากคาริน่า หลังจากทักทายกันแบบแกน ๆ ตามมารยาทเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ และเข้าไปชงชาในครัว คาริน่าเสียบปลั๊กเครื่องชงกาแฟและกระติกน้ำร้อนเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ชายหนุ่มชงชาเสร็จก็เปิดตู้เย็น หยิบกล่องนมสดที่เปิดอยู่มาเทผสมในชาของตัวเอง แล้วเก็บนมกล่องที่เหลือไว้ที่เดิม ใกล้กับกล่องที่ทีโมนใช้หลอดเจาะและไม่มีใครแตะต้อง
          อีกครู่ใหญ่ ออฟฟิศก็เริ่มคึกคัก พัดชาเข้ามาพร้อมกับญาดาและมิคกี้ นัตโตะตามมาหลังจากนั้นไม่นาน แล้วทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ในครัว พัดชาจัดถาดน้ำชาของผู้อำนวยการเตรียมเอาไว้แล้วนั่งรับประทานอาหารเช้าที่ซื้อติดมือเข้ามา
          ญาดาชงกาแฟเป็นคนแรก ต่อด้วยนัตโตะ ชายหนุ่มหยิบกล่องนมในตู้เย็นมาเทใส่ถ้วยของตัวเอง แล้วส่งต่อให้ญาดาเมื่ออีกฝ่ายร้องขอ ก่อนที่นมกล่องนั้นจะถูกใส่กลับเข้าไปในตู้เย็นอีกครั้ง
          มิคกี้เข้ามาในครัวเป็นคนสุดท้าย ใส่เสื้อกันหนาวสีน้ำตาลอ่อนที่มักจะใส่ประจำตอนอยู่ในออฟฟิศ ชายหนุ่มเห็นทุกคนมีถ้วยชากับกาแฟอยู่ในมือกันหมดก็เดินไปเปิดตู้หยิบเอาถ้วยของตัวเองมาชงกาแฟบ้าง แล้ววางถ้วยกาแฟลงบนเคานท์เตอร์ครัว ก่อนจะเบียดตัวผ่านคนอื่น ๆ มาที่ตู้เย็น ชายหนุ่มหันหลังให้คนอื่น ๆ สำรวจของที่อยู่ในตู้เย็น แล้วก็หยิบกล่องนมสดที่ญาดาใส่ไว้เมื่อสักครู่นี้ออกมา เดินกลับไปที่เขาตั้งถ้วยกาแฟไว้
          นัตโตะกำลังเล่าเรื่องที่เขาไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวของแฟนให้พัดชาฟังด้วยเสียงที่ดังเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ๆ ด้วย เรื่องนี้เล่ามาตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยเสียที เจอใครก็ยังพยายามจะเล่าถึงความสวยงามของพูลวิลล่าของโรงแรมที่แม่ของแฟนจองให้อยู่ทุกครั้ง จนกระทั่งตอนนี้แม้แต่พัดชาที่เป็นคนเดียวที่ยังยอมทนฟังก็เริ่มจะเบือนหน้าหนีแล้วด้วยความเบื่อหน่าย
          มิคกี้เทนมในกล่องใส่ลงในถ้วยของเขาจนหมด แล้วค่อย ๆ หย่อนกล่องนมทิ้งในถังขยะ ก่อนจะหยิบกรรไกรที่วางอยู่บนกองกล่องนมมาถือเอาไว้ในมือและตัดหูกล่องเปิดนมกล่องใหม่เทใส่ลงไปในถ้วยของเขาอีก
          คาร์ลเดินเข้ามาในครัวเป็นคนต่อไป เขาทักทายทุกคนด้วยความสุภาพ ก่อนจะเปิดตู้หยิบถ้วยมาชงกาแฟ
          “นมหน่อยไหมคาร์ล”
          มิคกี้ยื่นกล่องนมสดมาให้ เด็กหนุ่มไม่อยากกินเท่าไร แต่เกรงใจจึงพยักหน้ารับ มิคกี้เทนมสดใส่ลงไปในถ้วยกาแฟให้คาร์ล
          “พอแล้วครับคุณมิคกี้” คาร์ลรีบบอกเมื่ออีกฝ่ายเทนมพรวดลงมาจนกาแฟเกือบจะล้นถ้วย
          “ขอโทษที มือมันกระตุกนิดหน่อย” มิคกี้รีบขอโทษ ข้าวโอ๊ตได้ยินเสียงคาร์ลก็เลยหันไปมอง เห็นคาร์ลเดินออกไปพร้อมกับถ้วยกาแฟและมิคกี้เอากล่องนมเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็น มือของชายหนุ่มยังถือกรรไกรไว้
          พร้อม ๆ กับที่เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานเดินออกไปจากครัว ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา
          “นายมาแล้ว พี่เผ่นก่อนนะ” ญาดาพูด แล้วรีบเดินออกไปจากครัว
          “ผมไปด้วยครับ”
          ข้าวโอ๊ตเผ่นตาม รวมทั้งนัตโตะ พัดชาที่ถือถาดน้ำชาของนาย และมิคกี้ที่รั้งท้ายเพราะเอากรรไกรไปใส่ไว้ในลิ้นชักริมสุดที่พัดชาเอาไว้เก็บถุงพลาสติกใช้แล้วและถุงขยะ
          ทุกคนเข้าประจำที่ในห้องทำงานของตัวเอง พัดชาเดินเข้าไปในห้องของด็อกเตอร์แฮร์มันน์พร้อมถาดน้ำชา แล้วเดินกลับออกมา กำลังจะเดินกลับไปที่ห้องครัว แต่โดนนัตโตะรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะตอนที่ทุกคนออกมาจากห้องครัวนั้น เขายังเล่าเรื่องของเขาไม่จบ พัดชาฟังจนมึน ก่อนที่นัตโตะจะอนุญาตให้หล่อนกลับออกมาอีกครั้ง
          เดินผ่านห้องของมิคกี้ เจ้าของห้องก็เรียกหล่อนเอาไว้อีก
          “นัตเล่าอะไรให้พี่พัดฟังครับ เห็นคุยกันอยู่นานเชียว”
          “ก็เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวทะเลไงคะ หูย ...”
          ดูเหมือนว่าคำถามของมิคกี้จะไปกระทบต่อมอยากระบายของพัดชาเข้า แต่พอขยับปากจะเล่า เจ้าของห้องก็กลับตัดบทเอาดื้อ ๆ ว่า
          “ผมแค่ถามดู ไม่ได้อยากฟัง ขอบคุณมากนะครับ”
          แม่บ้านประจำออฟฟิศหน้าจ๋อยลงทันที เดินออกมาจากห้องของมิคกี้ หล่อนเห็นออกัสนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ ก็ทักด้วยความแปลกใจว่า
          “อ้าว คุณกัส สวัสดีค่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ พี่ไม่ทันเห็น”
          ออกัสไม่ทักตอบ แต่ทำหน้าบึ้ง ผิดกับรองผู้อำนวยการที่เดินออกมาจากครัวในจังหวะนั้น เขาถือถ้วยกาแฟในมือเช่นกัน ทีโมนสีหน้าสดใส พอเห็นพัดชาก็ทักทายอย่างดี ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป
          แม่บ้านประจำออฟฟิศอดพูดไม่ได้ว่า
          “ช่วงนี้คุณทีโมนอารมณ์ดีนะคะ ตั้งแต่ต้นอาทิตย์ที่กลับจากทะเลก็ทำหน้ามีความสุขเหมือนคนถูกหวย ไม่รู้มีอะไรดี ๆ รึเปล่านะคะ คุณกัสว่าไหม”
         “มันจะทำหน้ามีความสุขหรือถูกหวยก็เรื่องของมันเหอะพี่พัด อย่าเที่ยวอยากรู้เรื่องของคนอื่นนักเลย มันทุเรศ มีงานอะไรพี่ก็ไปทำดีกว่า”
          “อ้าว คุณกัส ทำไมพูดอย่างนี้ละคะ พี่ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ไม่เห็นต้องว่ากันเลย”
          พัดชาทำหน้างอน ออกัสก็ไม่ง้อ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด แม่บ้านประจำออฟฟิศไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้ถูกด่าเอาอีกจึงขยับจะเดินเข้าครัว ในจังหวะนี้เอง หล่อนก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ จากห้องของทีโมนที่อยู่ติดกับห้องครัว
          ตึง! โครม!
          พัดชาเดินออกมาจากห้องครัว พร้อม ๆ กับที่ออกัสลุกขึ้นจากเก้าอี้
          “เสียงอะไรคะคุณกัส ดังจากห้องของคุณทีโมน”
          “มันทำอะไรตกรึเปล่า พี่เข้าไปดูมันหน่อยก็แล้วกัน”
          ออกัสสั่งห้วน ๆ พัดชาจึงเดินเข้าไปในห้องของรองผู้อำนวยการตามคำสั่ง
          “คุณทีโมนคะ” หญิงสาวร้องเรียก รู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานล้มตะแคง ถ้วยกาแฟล้มอยู่บนโต๊ะ กาแฟหกรดโต๊ะและเอกสารที่วางกองอยู่บริเวณนั้น บนพื้นห้องมีถ้วยกาแฟใบเก่าที่ยังไม่ได้ล้างหล่นกลิ้งอยู่ พัดชาเดินเข้าไปชะโงกดูหลังโต๊ะทำงาน ภาพที่เห็นทำให้หล่อนกรีดร้องสุดเสียง

          วันนั้นทั้งวันเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย
          ตำรวจกับรถพยาบาลถูกเรียกมาอย่างรวดเร็ว แต่ดูจากตัวแข็งทื่อของทีโมนที่อยู่ในเปลพยาบาลแล้ว ทุกคนก็คิดเหมือนกันหมดว่า มันน่าจะสายไปแล้ว
          ตำรวจเข้าไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุคือในห้องของทีโมนและเดินสำรวจรอบออฟฟิศ พนักงานทุกคนถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ห้องประชุม ข้าวโอ๊ตรู้สึกกลัว ตกใจ และเป็นกังวล แต่ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นไม่น้อยเมื่อเห็นหน้าหมวดน้องจั๊มป์
          เขากับนวัชไม่ได้ทักทายกันเพราะอีกฝ่ายอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ นวัชทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักเขา ข้าวโอ๊ตก็เลยต้องพลอยนิ่งไปด้วย เพราะเขาก็นึกรู้เหมือนกันว่ามันอาจจะดูไม่ค่อยดีที่นายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีจะรู้จักสนิทสนมกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี หรือจะว่าไป อย่างเขาตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วยซ้ำ
          ทีโมนไม่ได้ป่วยหรือตายโดยธรรมชาติ แต่เขาถูกฆาตกรรม ตำรวจแจ้งทุกคนว่าอย่างนั้น มียาพิษอยู่ในกาแฟที่ทีโมนดื่มในตอนเช้าวันนี้ และทุกคนในออฟฟิศมีสิทธิ์ที่จะเป็นคนวางยา
          จบคำแถลงของตำรวจ ทุกคนในออฟฟิศก็มองกันและกันด้วยสายตาที่เคลือบแคลงและไม่เป็นมิตร
          ตำรวจขอสอบปากคำทุกคน โดยเชิญด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นคนแรก
          คนที่เหลือในห้องขยับตัวอย่างอึดอัด แล้วคาริน่าก็ตะโกนออกมาเป็นคนแรก
          “ใครมันทำเรื่องแบบนี้! จู่ ๆ ก็ฆ่าคนตายในออฟฟิศ บ้าไปแล้ว! ฉันไม่น่าถูกย้ายมาประจำประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนี้เลย รู้อย่างนี้ขอไปลงที่อื่นดีกว่า ที่ที่มันศิวิไลซ์กว่านี้!”
          “น่าจะคิดได้อย่างนี้ตั้งแต่แรกนะ พวกเราจะได้ไม่ต้องทนผู้หญิงขี้เหวี่ยงขี้วีนมาเป็นปี ๆ ให้เสียสุขภาพจิต” ญาดาโต้ ทำเอาคาริน่าเต้นผางด้วยความโมโห
          “เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
          “ก็หมายความตามที่ได้ยินนั่นแหละ ไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าตัวเองนิสัยแย่แค่ไหน ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนรำคาญมากขนาดไหน ยังจะทะนงตัวคิดว่าตัวเองดีวิเศษอยู่ได้ ฟังแล้วคลื่นไส้”
          ข้าวโอ๊ตและทุกคนที่เคยผจญฤทธิ์ของคาริน่ามาฟังแล้วตบมือกันเกรียวกราว บทพี่ใหญ่ในออฟฟิศจะเอาจริงขึ้นมานี่ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว หรือจะเรียกว่าดีมากดีกว่าเพราะคาริน่าถึงกับกรี๊ดลั่น ชี้มือกราดใส่คนไทยทุกคน
          “พวกแก จะต้องเป็นพวกแกแน่ที่เป็นคนฆ่าทีโมน!”
          “ตำรวจเขายังไม่สรุปเลย อย่าเพิ่งกล่าวหาใครลอย ๆ ได้ไหม คาริน่า ตัวคุณเองก็มีสิทธิ์เป็นคนร้ายได้เหมือนกัน ไม่เฉพาะแค่พวกเราคนไทยเท่านั้นหรอก” ข้าวโอ๊ตตำหนิ
          สุดจะทนสำหรับคาริน่า หล่อนตวาดแว้ดทันที
          “อย่ามากล่าวหาฉันนะ ไอ้พวกผิดเพศ!”
          ข้าวโอ๊ตเลือดขึ้นหน้าทันที ตวาดมาเขาก็ตวาดกลับ
          “ผิดเพศก็ยังดีกว่าผู้หญิงบ้าผู้ชาย! นึกว่าคนอื่นเขาไม่รู้เหรอว่าเธออยากจับทีโมนตัวสั่น แต่ผู้ชายเขาไม่เอาด้วยเพราะเธอมันน่าเกลียดทั้งนิสัยทั้งหน้าตา ความจริง เธออาจจะเป็นฆาตกรก็ได้ เพราะแค้นที่เขาไม่เอาไงล่ะ”
          คาริน่าโกรธจนลุกขึ้นจะพุ่งข้ามโต๊ะไปตบหน้าข้าวโอ๊ต แต่บำรุงกับพัดชาช่วยกันยึดแขนเอาไว้คนละข้างเสียก่อน คาร์ลนี่นั่งใกล้ข้าวโอ๊ตก็รีบจับไหล่ข้าวโอ๊ตรั้งเอาไว้เช่นกันเมื่อเห็นชายหนุ่มขยับตัว และนั่นทำให้นัตโตะมองอย่างหมั่นไส้จนต้องพูดออกมาว่า
          “อย่าว่าคนอื่นเลย พี่โอ๊ตเองก็อาจจะเป็นฆาตกรก็ได้”
          “หมายความว่ายังไง” ข้าวโอ๊ตหันขวับมาทันที
          “ใครเขาก็รู้กันทั้งออฟฟิศว่าพี่เกลียดทีโมนยังกับอะไร พี่น่ะโดนทีโมนเล่นงานทั้งเรื่องงาน เรื่องปิ่นโต เรื่องของคาร์ลที่ถึงกับจะออกจดหมายตักเตือนความประพฤติอย่างเป็นทางการ แถมยังมีเรื่องทุนอบรมที่มิวนิกอีก ทำงานมาก็นาน แต่ไม่มีใครเห็นหัว พี่อาจจะแค้น เอาไปลงกับทีโมนเพื่อสร้างความวุ่นวายก็ได้ ใครจะไปรู้” นัตโตะพูดด้วยความสะใจ
          “ถ้าจะมีใครสักคนต้องการสร้างเรื่องวุ่นวายล่ะก็มันน่าจะเป็นนายมากกว่า” ข้าวโอ๊ตโต้ “เที่ยวได้สอดรู้สอดเห็น พูดยุแยงทำให้คนอื่นเขาทะเลาะกัน ที่ออฟฟิศมันวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะนายนี่แหละ ไม่ใช่คนอื่นหรอก”
          “แต่พี่โอ๊ตก็ไม่พอใจเรื่องทุนอบรมจริง ๆ นะครับ วันงานเลมอน ผมได้ยินนะ พี่ขอร้องให้พี่หญ้าไปพูดกับฝรั่งให้อีกครั้ง แต่พี่หญ้าไม่ยอม พี่ก็โกรธมาก จริงไหมครับพี่หญ้าพี่กัส”
         มิคกี้พูดขึ้นมานิ่ม ๆ แต่ทำให้ทุกคนหันไปมองข้าวโอ๊ตเป็นตาเดียว
         “มันก็ใช่อยู่หรอก แต่เรื่องแค่นี้ไม่น่าถึงกับจะต้องฆ่าแกงกัน” ญาดาขมวดคิ้ว หล่อนหันไปหาออกัส ชายหนุ่มก็พยักหน้า
         “ไม่พอใจอะไรก็พูดกันตรง ๆ ไม่ใช่เอาไปพูดลับหลัง หรือเก็บเอาไว้พูดเพื่อโจมตีคนอื่น พี่ก็เห็นด้วยกับพี่หญ้าว่าเรื่องแค่นี้มันไม่น่าจะต้องฆ่ากันให้ตาย”
         สายตาของออกัสที่มองมิคกี้ขณะที่พูดทำให้มิคกี้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที ออกัสจงใจพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเขาด้วยแน่ ๆ ชายหนุ่มจึงเหยียดยิ้มน่าเกลียดออกมา
         “งั้นต้องแค่ไหนถึงจะฆ่ากันได้ ต้องถึงขนาดพี่กัสรึเปล่า ต่อหน้าก็ทำเป็นไม่ชอบ แต่เอาเข้าจริงก็แอบไปกินกันลับหลัง ไอ้ที่ไปลูบคลำกันที่บันไดหนีไฟเมื่อเช้าก่อนเข้าออฟฟิศน่ะอย่านึกว่าไม่มีใครรู้เห็น ยังมีที่อื่นอีกไหมก็ไม่รู้ หรือที่ชอบมาสายกันบ่อย ๆ ก็เพราะแบบนี้”
         ออกัสฟังแล้วหน้าซีด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าแดงด้วยความโกรธ เมื่อทุกคนในออฟฟิศมองเขาเป็นตาเดียวด้วยสายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ โดยเฉพาะญาดากับข้าวโอ๊ตที่มองด้วยสายตาผิดหวังและเสื่อมศรัทธาเนื่องจากรู้กันดีว่าออกัสมีแฟนอยู่แล้ว
         “อย่าพูดอะไรบ้า ๆ นะมิคกี้!”
         “ไม่บ้า ไม่เชื่อก็ไปเอากล้องวงจรปิดมาดูสิ ผมว่าพี่กัสนั่นแหละที่เป็นฆาตกร พี่มีแฟนอยู่แล้ว พี่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องพี่มีอะไรกับทีโมน แต่ทีโมนอาจจะอยากให้คนอื่นรู้ ทุกคนก็เห็นว่าเขาชอบพี่ พี่ไม่พอใจก็เลยฆ่าเขาตายเพื่อปิดปาก ไม่ให้ความลับรั่วไหล”
          เมื่อถึงตอนนี้ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลหันมามองหน้ากัน และมันไม่พ้นสายตาของมิคกี้ ชายหนุ่มถามทันทีว่า
          “พี่โอ๊ตกับคาร์ลมองหน้ากันอย่างนั้นแสดงว่ารู้อะไร ๆ อยู่ใช่ไหม ไหน ๆ เรื่องมันก็มาขนาดนี้แล้ว รู้อะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่าน่ะ รู้อะไร คาร์ล นายเห็นอะไร!”
          คาร์ลไม่แน่ใจว่าเขาสมควรจะพูดดีหรือไม่ ข้าวโอ๊ตมองหน้ามิคกี้ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อเพราะมิคกี้ตอนนี้เหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก ตอนที่มิคกี้สั่งคาร์ลด้วยเสียงแข็งกร้าว ชายหนุ่มรุ่นน้องดูเหมือนกับเป็นอีกคนหนึ่ง
          ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขามีต่อมิคกี้ มันคืออย่างนี้นี่เอง มิคกี้ไม่ใช่คนสุภาพเหมือนที่แสดงออกต่อหน้าทุกคนแน่ ๆ
          “พูดมาเถอะคาร์ล” ญาดาสั่ง เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานจึงยอมพูด
          “ผมไม่ได้เห็นอะไรหรอกครับ แค่เห็นคุณกัสกับทีโมนออกไปข้างนอกออฟฟิศในเวลาเดียวกันค่อนข้างบ่อย กลับมาพร้อมกัน ไม่ก็เร็วช้ากว่ากันนิดหน่อย เช้านี้เข้ามาพร้อม ๆ กันครับ ห้องผมอยู่ด้านหน้า มีช่องกระจกมองเห็นด้านหน้าออฟฟิศพอดี”
          “เห็นไหมล่ะ! แค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว” มิคกี้ยิ้มอย่างสมใจ
          “อย่ามาพูดมั่ว ๆ นะ!” ออกัสโกรธจนตัวสั่น ยิ่งเข้าทางมิคกี้ ชายหนุ่มได้ทีเยาะเอาว่า
          “ร้อนตัวเหรอครับ คนทำผิดก็แบบนี้แหละ”
          “ฉันไม่ได้เป็นฆาตกร! ฉันไม่ได้ฆ่าใคร!”
          เสียงถกเถียงกันดังลั่นของทุกคนในออฟฟิศดังออกไปนอกห้องประชุมจนตำรวจที่สอบปากคำด็อกเตอร์แฮร์มันน์เสร็จเรียบร้อยแล้วตัดสินใจที่จะแยกทุกคนกลับเข้าไปในห้องของตัวเองโดยให้มีตำรวจคอยเฝ้าทุกคนเอาไว้ และจะสอบปากคำพนักงานในห้องทีละคน
          หลังจบการสอบปากคำและการเก็บหลักฐาน ตำรวจก็ปิดห้องของทีโมน สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในห้องนั้นทั้งนั้น แต่อนุญาตให้บริษัทดำเนินการต่อไปได้ พนักงานก็ยังทำงานกันต่อไปได้ตามปกติ แต่ไม่มีใครมีแก่ใจจะทำงานกันอีกแล้ว สายตาของคนในออฟฟิศที่มองกันและกันมีแต่ความหวาดระแวงสงสัย บรรยากาศในออฟฟิศตึงเครียดจนใกล้ระเบิด สุดท้ายด็อกเตอร์แฮร์มันน์ต้องประกาศปิดออฟฟิศในวันนี้
           ข้าวโอ๊ตก็ไม่อยากอยู่ในออฟฟิศต่อเหมือนกัน เขากลับบ้านเลย ก่อนจะโทรศัพท์หาเม็ดนุ่นและรอคอยเวลาค่ำนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะก่อนที่ตำรวจจะกลับไป นวัชแอบมากระซิบบอกเขาว่า คืนนี้จะมาคุยด้วย

           
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 19 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 15:54:15
           เม็ดนุ่นเป็นคนลงมารับนวัชที่ล็อบบี้ของคอนโดและพาขึ้นมาที่ห้องของข้าวโอ๊ต เจ้าของห้องนั่งรอหน้าเครียดอยู่แล้ว เมื่อเห็นหน้าและรับไหว้รุ่นน้อง ชายหนุ่มก็ถามทันที
           “รู้รึยังครับน้องจั๊มป์ว่าใครเป็นฆ่าทีโมน”
           “แหม ผมไม่ควรเปิดเผยรายละเอียดของคดีนะครับพี่...โอ๊ย ทุบหลังผมทำไมเนี่ยพี่นุ่น”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปโวยรุ่นพี่สมัยมัธยมต้น เพราะฝ่ายนั้นกำหมัดทุบหลังเขาชนิดไม่มีการออมแรงกันเลย เม็ดนุ่นด่าเอาว่า
          “อย่ามาลีลามาก ไอ้น้องจั๊มป์ ไม่คิดจะเปิดเผยรายละเอียดคดี แต่มาถึงที่นี่เลยนะ”
          “ผมก็อยากมาสอบถามพี่โอ๊ตเพิ่มเติมไงครับ”
          “ถามมา ถามไป แลกกัน” เม็ดนุ่นยื่นข้อเสนอ นวัชบ่นทันที
          “ยิว”
          “พอ ๆ นุ่น อย่าทำให้น้องจั๊มป์ลำบากใจสิ” ข้าวโอ๊ตปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าหล่อนทำท่าจะชักใบให้เรือเสีย ก่อนจะหันมายังนายตำรวจที่ตอนนี้ออกเวรแล้ว ไม่ได้แต่งเครื่องแบบเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
          “น้องจั๊มป์จะถามอะไรพี่ ถามมาเลยครับ”
          “ก็ไม่ได้จะถามอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ อยากมาคุยกับพี่โอ๊ตมากกว่า เผื่อยังมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นึกออกเพิ่มเติมจากตอนสอบปากคำที่พี่โอ๊ตยังไม่ได้บอกตำรวจ หรืออะไรแปลก ๆ ในออฟฟิศ”
          “พี่ก็บอกตำรวจไปหมดแล้วนะ” ข้าวโอ๊ตคิดหนัก แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าซ้ำอีกครั้ง
          “พี่เข้าออฟฟิศตอนสักแปดโมงสี่สิบหรือสี่สิบห้านี่แหละ ปกติพี่เข้าออฟฟิศเป็นคนที่สอง คนแรกเป็นคาริน่า รายนั้นมาเช้ามาก พี่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่กี่โมง เขาจะเปิดไฟรอบออฟฟิศ เสียบปลั๊กพวกเครื่องชงกาแฟ กระติกน้ำร้อนเตรียมเอาไว้ คนที่สามที่เข้าออฟฟิศจะเป็นพี่หญ้า พี่ญาดาน่ะ ถัดมาก็พวกพี่พัด นัตโตะ มิคกี้ สามคนนี้แล้วแต่วัน ใครมาก่อนมาหลัง ระบุไม่ได้ชัดเจน ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับคาร์ลเข้าออฟฟิศไล่เลี่ยกันคือประมาณเก้าโมงเช้า คือเวลาเริ่มงานเลย แต่ส่วนใหญ่คาร์ลมาก่อนนิดหน่อยนะ พอด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาพวกเราก็จะกลับเข้าห้องทำงาน”
          “ทีโมนล่ะครับ ปกติมากี่โมง”
          “รายนั้นมาสาย เหมือนออกัส รายนั้นก็มาสายบ่อย แต่เข้าออฟฟิศก่อนทีโมน ทีโมนไม่เคยมาหลังจากเก้าโมงครึ่ง”
          “แล้วปกติตอนเช้าพวกพี่จะมารวมตัวกันในครัวใช่ไหมครับ”
          “ใช่ครับ ก็ชงชาชงกาแฟกินกันปกติ บางคนก็กินข้าวเช้า เช้านี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ ทุกคนอยู่ด้วยกันในครัว ยกเว้นออกัสที่ยังไม่เข้าออฟฟิศ คาริน่าอยู่ในห้อง คาร์ลมาก่อนด็อกเตอร์แฮร์มันน์แป๊บนึง เข้ามาชงกาแฟ แล้วก็ออกไป พอด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาทุกคนก็กลับห้อง หลังเก้าโมงออกัสกับทีโมนถึงเข้ามาในออฟฟิศ คาร์ล เด็กฝึกงานน่ะครับ บอกว่าออกัสเข้ามาก่อนครู่หนึ่ง ทีโมนถึงเข้ามา แต่เขาบอกว่าไม่มีใครเข้าไปในห้องของทีโมนเลยนะครับ ยกเว้นเจ้าตัว ห้องของเขาอยู่เยื้องกับห้องของทีโมน ถ้ามีคนเดินผ่าน เขาต้องเห็น”
          “แม่บ้านก็บอกแบบเดียวกัน แกบอกว่าเอาถาดน้ำชาไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หลังเก้าโมงนิดหน่อย พอออกมาก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องของนัตโตะ ตอนนั้นแกบอกว่ายังไม่เห็นออกัสกับทีโมน พอแกออกจากห้องนัตโตะก็เข้าไปในห้องของมิคกี้ แต่อยู่แค่แป๊บเดียว กลับออกมาก็เห็นออกัสนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว แล้วแกก็เห็นทีโมนออกมาจากครัว กลับเข้าไปในห้อง แกยังยืนคุยอยู่กับออกัสที่โต๊ะของฝ่ายนั้น ไม่มีใครเข้าไปในห้องของทีโมนแน่ ๆ” นวัชพูด
          “ไม่ต้องเข้าห้องก็ฆ่าคนได้นะฉันว่า ไหนบอกว่ามียาพิษอยู่ในกาแฟไง ใครบางคนอาจจะแอบใส่ยาเอาไว้ในกาแฟโดยที่หมอนั่นไม่รู้ พอกินเข้าไปก็...แหงก” เม็ดนุ่นเดา แต่ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า
          “ไม่มีทาง กาแฟที่กินกันน่ะเป็นของออฟฟิศ ของส่วนกลางที่ให้ทุกคนกินได้ เครื่องชงกาแฟก็มีอยู่เครื่องเดียว ใช้กันทั้งออฟฟิศ ตอนเช้าทุกคนก็กินกาแฟกัน อ้อ ฉันไม่ได้กินนะ ฉันกินชา แต่ก็ไม่เห็นใครมีพิรุธอะไร ไม่มีใครเติมเมล็ดกาแฟลงไปในเครื่องด้วย”
         “ฟังแล้วคนที่อยู่ในครัวในตอนเช้าไม่น่าจะลงมือได้ พอออกจากครัวกันไปก็ไม่มีใครกลับเข้ามาในครัวอีกหรือเข้าห้องของคนตายด้วย ก็เหลือคนเดียวที่ไม่มีใครเห็นว่าทำอะไรบ้างในเช้าวันนี้ก็คือออกัส เขาอาจแอบเปลี่ยนเมล็ดกาแฟหรือไม่ก็เคลือบยาพิษไว้ที่ถ้วยกาแฟของเหยื่อ”
         เม็ดนุ่นตาโต ยิ่งเดาก็ยิ่งมัน นวัชฟังแล้วหัวเราะก๊าก
         “โห พี่นุ่น อ่านนิยายอ่านการ์ตูนนักสืบมากไปแล้ว เพ้อเจ้อ เคลือบยาพิษไว้ที่ถ้วยอะไรกัน ไม่มีหรอกครับ”
         “เคลือบยาพิษที่ถ้วยคงไม่ได้หรอก ทีโมนไม่มีถ้วยประจำตัว คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ใช้ถ้วยของออฟฟิศที่อยู่ในตู้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าใครจะใช้ถ้วยใบไหน ส่วนเรื่องเปลี่ยนเมล็ดกาแฟนี่...”
         ข้าวโอ๊ตไม่กล้าเดา หันไปมองหน้านายตำรวจที่อยู่ในห้อง นวัชส่ายหน้า
         “ไม่มียาพิษปะปนอยู่ในเครื่องชงกาแฟครับ เมล็ดกาแฟในห่อที่ยังไม่ได้เปิดก็เอาไปตรวจแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเหมือนกัน”
         “โอ๊ย งั้นตกลงมันยังไงกันแน่” เม็ดนุ่นบ่น ก่อนจะหันขวับไปจ้องนวัชเขม็ง แล้วคว้าคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
         “ว่าไงไอ้น้องจั๊มป์ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เอาให้เคลียร์ อยากรู้ทนไม่ไหวแล้วเว้ย หรือถ้าแกกลัวเรื่องเสียรูปคดีก็ให้โอ๊ตมันอุดหูไว้ ฉันเป็นคนนอก ฉันรู้ได้ บอกมา!”
         “เฮ้ย ปล่อยก่อนพี่ โอเค ผมบอกแล้ว ๆ”
         นวัชร้องลั่น เม็ดนุ่นจึงยอมปล่อย
         “ถ้าใครรู้ว่าผมมาคุยกับพวกพี่มีหวังผมโดนสอบสวนแน่” นายตำรวจยังบ่นพึม
         “มาถึงขั้นนี้แล้วอย่าบ่น รีบ ๆ บอกมา” เม็ดนุ่นเร่ง
         “ก็เห็นว่าเป็นพวกพี่หรอกนะเนี่ย” นวัชว่า ก่อนที่เขาจะยอมพูด หลังจากที่โยกโย้อยู่นานพอสมควร
         “ยาพิษอยู่ในนมสดครับ กล่องที่อยู่ในตู้เย็น เหยื่อผสมนมสดลงไปในกาแฟ พอกินเข้าไปก็เลยเสียชีวิต”
         “เป็นไปไม่ได้” ข้าวโอ๊ตอุทาน สีหน้าผิดคาด
         “ทำไมครับ” นวัชถามด้วยความสนใจ
         “ก็นมเป็นของออฟฟิศเหมือนกัน เมื่อเช้าทุกคนก็กิน พี่ยังกินเลย กินเหลือก็ใส่ตู้เย็นเอาไว้ คนอื่นก็มากินต่อ ถ้าใส่ยาพิษไว้ในนม ทุกคนก็มีสิทธิ์โดนยาพิษสิ”
         “กินกันทุกคนเลยใช่ไหมครับ พี่โอ๊ตลองเล่าให้ละเอียดหน่อยได้ไหม”
         “ก็เมื่อเช้าพี่กินชาใส่นม นมกล่องที่เหลือที่แช่เอาไว้ในตู้เย็นน่ะ พอคนอื่น ๆ มากันก็เอานมกล่องนั้นมากินจนหมด แล้วก็เปิดกล่องใหม่ รู้สึกจะเป็นมิคกี้นะที่เป็นคนเปิด แต่เขาก็เทนมกล่องนั้นให้คาร์ลด้วย ก่อนจะเอาเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้”
         “พี่คิดว่ามิคกี้ไม่น่าจะใส่ยาพิษได้ใช่ไหมครับ” นวัชถามอย่างระมัดระวัง
         “พี่ว่าอย่างนั้นนะครับ ตามสายตาพี่เขาไม่น่ามีจังหวะใส่ได้เลย”
         นวัชนิ่งครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อว่า
         “ผมขอถามพี่อีกครั้งนะครับ ใครน่าสงสัยที่สุด หรือพี่สงสัยใครที่สุดครับ”
         “พี่ไม่แน่ใจนะน้องจั๊มป์” ข้าวโอ๊ตทำหน้ายุ่ง “คนเกลียดทีโมนก็เยอะ คนที่ชอบเขาอยากได้เขาก็เยอะ แล้วยังมีคนที่พี่ไม่แน่ใจว่าคิดยังไงอีก พี่น่ะอยู่ในจำพวกเกลียด แต่ก็เรื่องงานเท่านั้นแหละ ขัดแย้งกันธรรมดา พี่ด่ามันทุกวัน อยากให้มันย้ายไปเร็ว ๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดอยากให้มันตาย แล้วพี่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครฆ่ามันด้วย”
         “คนที่พี่ไม่แน่ใจว่าคิดยังไงกับทีโมนนี่มีใครบ้างครับ”
         “ก็มีออกัส” ข้าวโอ๊ตตอบ “ต่อหน้าพวกเราก็ด่าทีโมนอยู่หรอกนะ แต่พอลับหลังได้ยินว่าไปมีอะไรกัน มิคกี้น่ะประกาศออกลั่นออฟฟิศว่าเห็นสองคนนี้ไปทำอะไรกันที่บันไดหนีไฟตอนเช้า ท้าให้เอากล้องวงจรปิดมาดูเลย พี่ก็คิดว่าน่าจะจริงนะ คาร์ลก็เคยคุยกับพี่ว่าสองคนนี้ท่าทางมีอะไรแปลก ๆ เหมือนกัน”
         “ออกัสอะไรนี่ชักน่าสงสัยเหมือนกันนะ เช้านี้ก็ไม่มีใครเห็นว่าเขาทำอะไรในครัวใช่ไหมล่ะ เขาอาจเป็นคนวางยาก็ได้นะ” เม็ดนุ่นออกความเห็นบ้างหลังจากเป็นฝ่ายนิ่งฟังมานาน
         “ตอนนี้ใครเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุดครับน้องจั๊มป์ พอจะบอกได้ไหม” ข้าวโอ๊ตถาม
         “ก็ยังไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษครับ เพียงแต่เราพบอะไรน่าสนใจในโทรศัพท์มือถือของทีโมน”
         “อะไร” ข้าวโอ๊ตกับเม็ดนุ่นถามพร้อมกัน
         “รูปแอบถ่ายของออกัสครับ แต่น่าแปลกที่ไม่มีรูประหว่างทีโมนกับออกัสเลย เป็นรูปของออกัสกับคนอื่นทั้งหมด มีทั้งวีดิโอทั้งภาพนิ่ง”
         “เอ๋ นอกจากทีโมนแล้ว ออกัสยังมีคนอื่นอีกเหรอครับเนี่ย” ข้าวโอ๊ตรู้สึกตกใจมาก พร้อมกันนั้นก็นึกสงสารต้น แฟนหนุ่มของออกัสด้วย
         “เรากำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ครับ ตามที่ทางตำรวจคิด เรื่องชู้สาวน่าจะเป็นประเด็นหลักสำหรับการฆาตกรรมครั้งนี้”
ข้าวโอ๊ตรู้สึกเหนื่อยและตอนนี้เขาก็รู้สึกปวดศีรษะเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ชายหนุ่มยังไม่หยุดคิด เขาคิดวนเวียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดว่าใครน่าจะมีโอกาสเป็นคนทำมากที่สุด ใครที่มีความแค้นจนคิดจะฆ่าคนตายได้ แต่เขาก็คิดไม่ตก ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครเป็นฆาตกร
         “พี่โอ๊ตครับ ถ้าพี่คิดอะไรออกอีก โทรหาผมได้ทุกเวลานะครับ”
         นวัชจดเบอร์โทรศัพท์ของเขายื่นส่งให้ เพราะถึงจะรู้จักกัน แต่ก็ยังไม่เคยแลกเบอร์โทรศัพท์กันเอาไว้ ข้าวโอ๊ตก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรให้ต้องติดต่อกับรุ่นน้องของเพื่อนคนนี้มาก่อนด้วย
         “ขอบคุณนะ แล้วถ้ามีอะไร พี่จะรีบติดต่อไปทันที” ข้าวโอ๊ตรับกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์มาและบันทึกเบอร์ของนวัชลงไปในโทรศัพท์ของเขาทันที
         “แล้วเรื่องวันนี้ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ อย่าเพิ่งคุยกับใครหรือบอกใครว่ารู้จักกับผมนะครับ”
         นวัชย้ำอีกครั้ง ข้าวโอ๊ตพยักหน้า และเม็ดนุ่นก็รีบรับรองมาอีกคนหนึ่งอย่างแข็งขัน
         “พี่เฝ้ามันเอง รับรองว่าจะไม่ให้มันคุยกับใครเลย ไม่ต้องกังวลนะน้องจั๊มป์”
         “พี่นุ่นรับรอง ทำไมผมรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจยังไงไม่รู้” นวัชพึมพำ ก่อนที่เขาจะกลับไป
         เม็ดนุ่นเป็นคนลงไปส่งรุ่นน้อง เมื่อกลับขึ้นมาอีกครั้ง ข้าวโอ๊ตก็ยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หญิงสาวจึงตรงเข้าไปตบไหล่เพื่อนเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
         “อย่าคิดอะไรมากน่ะโอ๊ต เดี๋ยวตำรวจเขาก็หาตัวฆาตกรได้”
         “ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันเคยคิดนะว่าชีวิตมันโคตรน่าเบื่อ อยากให้มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นบ้าง แต่เอาเข้าจริงก็กลับเป็นเรื่องแบบนี้เสียได้ ไม่ควรเลยจริง ๆ ฉันน่ะเกลียดอีทีโมนมากนะ แต่เห็นมันตายยังงี้แล้วรู้สึกไม่ดีเลย ไม่ดีมาก ๆ”
         “มันคงเป็นเวรกรรมน่ะ กรรมของใครก็ของคนนั้น ไอ้หมอนั่นมันคงไปทำอะไรใครเขาไว้”
         เม็ดนุ่นนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนที่โซฟา เอื้อมมือมาโอบข้าวโอ๊ตเอาไว้ ฝ่ายหลังก็ซบศีรษะลงกับไหล่ของหล่อนเหมือนคนหมดแรงและอยากหาที่ยึดเหนี่ยว
         “โชคดีที่พรุ่งนี้หยุดเสาร์อาทิตย์พอดี ฉันไม่อยากไปทำงานเลย ตอนนี้ที่ออฟฟิศแย่มาก ทุกคนมองกันเหมือนเป็นศัตรู ฉันเองก็เหมือนกัน มองหน้าใครก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าเขาจะเป็นฆาตกรรึเปล่า ฉันเหนื่อยว่ะ เครียดด้วย”
         “เครียดก็พักก่อน” เม็ดนุ่นลูบหลังเพื่อน “อาทิตย์นี้แกก็ไม่ต้องไปสอนพิเศษด้วย ออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่า เปลี่ยนบรรยากาศบ้างเนอะ”
         ข้าวโอ๊ตยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มไม่อยากจะรับเลย แต่เป็นเบอร์ที่บ้านจึงจำต้องกดรับ เสียงของเขาระโหยเมื่อทักทายว่า
         “สวัสดีครับ”
         ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนที่เสียงของพ่อของเขาจะตอบกลับมาว่า
         “นี่พ่อเองนะ”
         “ครับพ่อ มีอะไรรึเปล่าครับ”
         “เอ้อ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” ปลายสายอึกอักเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไรดียิ่งทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกแย่หนักยิ่งขึ้น เขาอยากวางหู แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้จึงต้องอดทนต่อไป
         “แม่เขากำลังหาอัลบั้มรูปของโอ๊ต รูปตอนเด็ก ๆ น่ะ นี่รื้อทั่วทั้งบ้านแล้วแต่หาไม่เจอ เจอแต่อัลบั้มของข้าวฟ่าง แม่เขาบ่นใหญ่ กลัวทำอัลบั้มหาย พ่อรำคาญก็เลยโทรมาถามโอ๊ต เผื่อจะเห็นบ้าง แม่เขาจะได้เลิกตีโพยตีพายเสียที”
         “อัลบั้มอยู่ที่โอ๊ต โอ๊ตคิดว่าโอ๊ตเก็บเอาไว้เองน่าจะดีกว่า ที่บ้านน่ะเก็บแต่ของข้าวฟ่างไว้ก็พอแล้วล่ะครับ”
คำตอบของข้าวโอ๊ตทำให้พ่อชะงัก แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดบทไปเลยว่า
         “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เอาแค่นี้นะครับ โอ๊ตจะเข้านอนแล้ว”
         ชายหนุ่มกดวางหู แล้วโยนโทรศัพท์ไปไว้บนโต๊ะข้างโซฟา เขารอดูว่าที่บ้านจะโทรศัพท์มาอีกหรือเปล่า แต่ผ่านไปพักใหญ่แล้วก็ไม่มี สีหน้าของชายหนุ่มจึงไม่สู้ดีเอาเสียเลย
         “พูดแบบนี้มันดูเย็นชาไปหน่อยไหมวะแก” เม็ดนุ่นอดพูดไม่ได้
         “โทรมายังไม่ถามสักคำเลยว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ไม่มีใครสนหรอกว่าฉันจะพูดอะไรหรือจะรู้สึกยังไง ช่างมันเหอะ อย่าไปสนใจเลย”
          ข้าวโอ๊ตทำท่าไม่สนใจ เม็ดนุ่นไม่เห็นด้วย แต่ไม่อยากจะทำให้เพื่อนเครียดไปมากกว่าเดิมจึงกลับมาถามเรื่องที่ยังคุยค้างเอาไว้
         “แล้วตกลงพรุ่งนี้เอาไง ไปหาอะไรกินข้างนอกกันนะ จะได้แวะช็อปปิ้งด้วย ฉันอยากได้เสื้อกันหนาวตัวใหม่แบบฮีธเทค ของแบรนด์ญี่ปุ่นน่ะ พับแล้วเล็กดีด้วย ไม่เปลืองที่ในกระเป๋า”
         “เอาสิ ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว”
         “แกชวนคาร์ลกับมิตช์ไปด้วยสิ สองคนนั้นคุยสนุกดี ฉันชอบ”
         “ชวนสองคนนั้นไปด้วยเนี่ยนะ ไหนแกรับปากน้องจั๊มป์ไว้ดิบดีว่าจะไม่ให้ฉันพูดกับใคร แล้วนี่อะไร แป๊บเดียวผิดสัญญาเสียแล้ว” ข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว แต่เม็ดนุ่นก็ยังดิ้นไปได้ว่า
         “ก็ชวนกินข้าวเดินเที่ยวเฉย ๆ ไม่ได้ชวนมาคุยเรื่องคดีสักหน่อย แกก็อย่าไปบอกเขาเรื่องน้องจั๊มป์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
         ข้าวโอ๊ตยอมตามใจกดโทรศัพท์หาคาร์ล ฝ่ายนั้นเงียบไปปรึกษากับคนรักอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง หลังจากนัดแนะเวลาและสถานที่กันเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็กดวางหูโทรศัพท์ หันมาบอกเพื่อนว่า
          “เรียบร้อย ไปได้”
          เม็ดนุ่นร้องเย้ ก่อนจะหลุดปากบอกความจริงออกมาชนิดไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่มาอาศัยเขาอยู่ว่า
          “พรุ่งนี้จะได้ควงหนุ่มน้อยหน้าตาดีสองคน มีความสุขจริงโว้ย ดีกว่าควงหนุ่มหน้าเก่า ๆ น่าเบื่อ”
          แต่พอพูดจบ หล่อนก็ต้องรีบวิ่งหลบสารพัดข้าวของที่เจ้าของห้องปาใส่กันให้จ้าละหวั่น
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 20 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 16:09:47
บทที่ 20
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
คิดไม่ถึงจริง ๆ
Like – Comment – Share

          นัดรับประทานอาหารครั้งนี้ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นเหมือนครั้งที่แล้ว เม็ดนุ่นที่อยากควงหนุ่มน้อยสองคนเหลือเกินให้คาร์ลกับมิตช์เป็นคนเลือกร้านอาหารและทั้งคู่ก็เลือกร้านอาหารอิตาเลียนในห้างใหญ่ที่มีสาขาของร้านเสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่เม็ดนุ่นตั้งใจจะไปซื้อเสื้อกันหนาว
          หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เม็ดนุ่นที่สนิทกับมิตช์ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ควงแขนกันไปเลือกเสื้อกันหนาวขนเป็ดตัวพอง ๆ ที่มีสีให้เลือกเป็นสิบ ๆ สีแขวนเรียงกันเป็นตับอยู่ที่ราว หญิงสาวติดใจเสื้อผ้าของแบรนด์นี้เพราะคุณภาพดีและราคาไม่แพงจนเกินไป
          ผิดกับเพื่อนสนิท ข้าวโอ๊ตกลับรู้สึกเฉย ๆ กับเสื้อผ้าแบรนด์นี้ เสื้อผ้าผู้ชายที่เป็นสีพื้น ๆ ก็พอใช้ได้อยู่หรอก แต่เสื้อผ้าผู้หญิงนี่ไม่ไหว บางคอลเล็กชั่นออกแบบมาโดยใช้ลายตาหมากรุก ลายจุดหรือลายดอกไม้ซึ่งมันดูเชยในความคิดของเขา ชายหนุ่มเคยวิจารณ์เม็ดนุ่นอย่างตรงไปตรงมาตอนที่อีกฝ่ายเลือกเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ตัวหนึ่งขึ้นมาทาบตัวให้ดู
           ‘แกดูอย่างกับเป็นคุณป้าญี่ปุ่น นี่ถ้าแกใส่เสื้อตัวนี้แล้วขี่จักรยานหิ้วตะกร้าจ่ายตลาดนี่คือเหมือนเป๊ะเลยล่ะ’
           ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นเหมือนเพื่อนสนิทเท่าไรนักและอาจจะเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดอยู่เต็มหัวด้วยก็ได้ แต่เขาก็อดที่จะเดินดูเสื้อผ้าในร้านที่มีอยู่มากมายไม่ได้เช่นกัน
           คาร์ลเดินอยู่กับเขา เด็กหนุ่มเห็นคนรักของตัวเองอยู่กับเม็ดนุ่นแล้ว เขาจึงมาเดินเป็นเพื่อนข้าวโอ๊ตที่วันนี้เอาแต่นิ่งเงียบฟังคนอื่นคุยกันอย่างเดียว
           “เราไปดูเสื้อผ้าผู้ชายด้านโน้นกันไหมครับคุณโอ๊ต” คาร์ลชวน
           “เอาสิ” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ
           “ผมอยากจะได้เสื้อเชิ้ตใหม่กับยีนสักตัว” เด็กหนุ่มบอกเขา ขณะที่เดินเลือกดูเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายที่แขวนอยู่ที่ราว แบรนด์นี้เพิ่งออกคอลเล็กชั่นเสื้อเชิ้ตใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเห็นในใบปลิวก็รู้สึกว่าสวยดี แต่พอเห็นของจริง เขาก็คิดเหมือนเดิมว่ามันดูเชยและสีไม่ค่อยสวยเท่า
           “คุณว่าสีพื้นหรือลายตารางดีครับ” คาร์ลหยิบเสื้อเชิ้ตจากราวมาสองตัวชูให้เขาดู
           “ถามผม ผมก็ต้องตอบสีพื้น เพราะว่าผมไม่ค่อยชอบเสื้อผ้าที่มีลวดลายเท่าไหร่ คุณเลือกที่คุณชอบดีกว่า เพราะคุณเป็นคนใส่ ใส่แบบที่ชอบจะได้มีความมั่นใจไงครับ”
           “แต่ถ้าใส่ของที่ไม่เข้ากับตัวมันจะกลายเป็นพวกมั่นใจไร้สติเอานะครับ” คาร์ลแย้ง ก่อนจะพูดต่อโดยที่ไม่ได้คิดมากว่า
           “ดูอย่างทีโมนสิ อย่าหาว่าผมนินทาคนตายเลย รายนั้นชอบใส่อะไรที่ไม่เข้ากับตัวเอง แล้วก็มั่นใจเอามาก ๆ ว่ามันเข้ากับตัวเอง มันดูดีมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่”
           “รายนั้นยกให้คนหนึ่งเถอะ แฟชั่นเขาสุดยอดที่สุดแล้ว แต่ก่อนนี่ใส่เสื้อเชิ้ตสีสด ๆ สารพัดสีสัน เนกไทลายดอกไม้ดอกไร่สีฉูดฉาดอะไรมีหมด แต่ที่เด็ดสุด มติเป็นเอกฉันท์ ต้องเสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าว อันนี้เห่ยจริงอะไรจริง ไม่รู้ใส่มาได้ไง”
           “นั่นสิครับ ไม่รู้ว่าไปซื้อมาเพื่อทริปนั้นเลยรึเปล่า ผมไม่เคยเห็นเขาใส่มาก่อนเลย เพิ่งเห็นใส่ก็วันนั้นแหละ”
           “ใช่ ไม่เคยเห็นใส่... เดี๋ยวก่อน” ข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนสะดุดใจอะไรบางอย่าง
           “ทีโมนไม่เคยใส่เสื้อตัวนั้นมาก่อน คนที่ไม่ได้อยู่ในวันนั้นก็ไม่น่าจะรู้สิ แต่ทำไม...”
           “มีอะไรรึเปล่าครับ ใครไม่อยู่ ใครไม่รู้อะไร” คาร์ลตามไม่ทัน
           ข้าวโอ๊ตไม่ได้ใส่ใจจะตอบคำถามของเด็กหนุ่ม หัวสมองของเขาทำงานหนัก พยายามคิดถึงเรื่องในวันนั้น ก่อนจะเบิกตาโพลง อุทานออกมาด้วยความลืมตัวว่า
           “หมอนั่นไม่น่าจะรู้! ใช่แล้ว!”
           คาร์ลยิ่งงงหนักเมื่อจู่ ๆ ข้าวโอ๊ตก็อุทานออกมาเป็นภาษาไทยที่เขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็พุ่งตัวไปหาเพื่อนสนิทที่เดินเข้ามาหากับมิตช์
           เม็ดนุ่นถือตะกร้าใส่เสื้อกันหนาวมาด้วย แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร ข้าวโอ๊ตก็ตรงเข้ามาดึงตะกร้าออกจากมือเพื่อนเอาวางไว้บนพื้นแล้วฉุดมือให้ตามเขามา ขณะที่มิตช์กับคาร์ลมองตามด้วยความแปลกใจแกมงงงัน
           “โอ๊ต! แกเป็นอะไรวะเนี่ย จะลากฉันไปไหน ฉันยังไม่ได้ซื้อเสื้อเลยนะ” เม็ดนุ่นโวยวาย พยายามขืนตัวไว้ แต่สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้
           “เรื่องเสื้อช่างมันก่อน แต่ฉันมีเรื่องจะพูดกับน้องจั๊มป์ เดี๋ยวนี้เลย!”
           ข้าวโอ๊ตหันมาบอกหน้าเครียด

            แม้ว่าจะได้หยุดงานไปสองวันเต็ม แต่ทุกคนในออฟฟิศก็รู้สึกเหมือนกันหมด คือไม่อยากจะมาทำงานเลย เมื่อก่อนนั้นบรรยากาศในออฟฟิศก็ถือว่าแย่มากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ต้องเรียกว่าเข้าขั้นหายนะ ทุกคนแทบไม่มีใครมองหน้ากันเพราะกลัวว่าจะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยและไม่ไว้วางใจเข้า แล้วก็คงจะได้ถกเถียงด่าทอกันอีก
            ข้าวโอ๊ตก็ไม่มองหน้าใครเหมือนกัน เขากลัวว่าตัวเองจะเผลอมองใครบางคนด้วยแววตาไม่ปกติ แล้วจะทำให้ใครคนนั้นเอะใจเสียเปล่า ๆ
            ตอนนี้ไม่มีวงสนทนาในครัวตอนเช้าอีกแล้ว ทุกคนที่เปิดประตูเข้ามาในออฟฟิศต่างเดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในห้องของตัวเอง ไม่มีการทักทายกันและกัน แล้วทุกคนก็นั่งรับประทานกาแฟ ชา และอาหารเช้าที่ต่างซื้อติดมือเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองนั่นเอง กาแฟหรืออาหารของออฟฟิศที่อยู่ในห้องครัวไม่มีใครกล้าแตะต้องอีกต่อไป ข้าวโอ๊ตก็ซื้อเครื่องดื่มและอาหารของตัวเองมาเหมือนกัน ตอนที่เดินผ่านห้องของทีโมนที่ปิดตาย มีเทปสีเหลืองกั้นเป็นเขตห้ามเข้าเอาไว้ เขาก็อดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้
การทำงานในวันนั้นเริ่มต้นอย่างแกน ๆ คาริน่าและญาดาต้องเป็นคนเข้าไปรับบรีฟงานจากด็อกเตอร์แฮร์มันน์แทนทีโมน ซึ่งทั้งสองสาวก็มองกันด้วยสายตาเป็นอริอย่างชัดเจน
            ข้าวโอ๊ตนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง รอให้อีเมลถูกใส่สัญลักษณ์สี แล้วเขาก็เริ่มต้นทำงาน แต่ใจของเขาไม่สงบนัก มันเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่เข็มวินาทีกระดิก
            นัตโตะเดินผ่านห้องของเขา เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องยังทำแบบเดิมคือไม่ว่าจะเดินผ่านห้องใครเป็นต้องหันมามองด้วยความสนใจว่าเจ้าของห้องทำอะไรอยู่ แล้วชายหนุ่มก็สบตากับข้าวโอ๊ต ในดวงตาหลังแว่นของนัตโตะปรากฏความสงสัยเมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของข้าวโอ๊ต แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบดี ๆ แน่ ชายหนุ่มจึงเดินผ่านไป
           คนถัดมาที่เดินผ่านห้องของเขาคือญาดากับมิคกี้ สองคนนี้เดินคุยกันมาจึงไม่ได้สนใจข้าวโอ๊ตที่มองออกมา ญาดาแต่งตัวสวยเฉี่ยวเหมือนเดิม เดรสแขนกุดสีดำ ดูเหมือนว่าหล่อนจะต้องการไว้ทุกข์ให้ทีโมน มิคกี้ก็ใส่ชุดขาวดำเหมือนกัน เชิ้ตขาว เนกไทสีดำ กางเกงสแล็กสีดำ ใส่เสื้อหนาวที่มีกระเป๋าด้านหน้าตัวที่เขาเอาไว้ใส่อยู่ในออฟฟิศ
           บรรยากาศในออฟฟิศถึงแม้จะเลวร้ายขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นบรรยากาศของออฟฟิศคนทำงานเหมือนเดิม วันนี้เริ่มต้นเหมือนเดิมและทุกคนก็คิดว่าคงจะจบลงเหมือนเดิมด้วย
           มีแต่ข้าวโอ๊ตคนเดียวที่รู้ว่ามันจะไม่เหมือนเดิม
           เสียงประตูออฟฟิศเปิดทำให้ข้าวโอ๊ตสะดุ้งทั้งตัว ชายหนุ่มรีบลุกออกมาจากห้องทำงานทันที เห็นตำรวจชุดที่ทำคดีของทีโมนยืนอยู่บริเวณหน้าออฟฟิศ ส่วนผู้หมวดน้องจั๊มป์กำลังคุยกับออกัสอยู่
           “ตำรวจมาทำไมครับ หรือได้เบาะแสอะไรเรื่องของทีโมนแล้ว” คาร์ลเห็นข้าวโอ๊ตเดินมาก็เลยเดินออกมาสมทบด้วย
           ข้าวโอ๊ตหันไปยิ้มเครียดกับเด็กหนุ่ม
           “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
           นวัชเห็นข้าวโอ๊ตกับคาร์ลก็โบกมือให้ ท่าทางเหมือนคนที่รู้จักกันมาก่อนทำให้ออกัสหลุดอุทานออกมาเบา ๆ ก่อนจะถามว่า
           “เอ๊ะ นี่รู้จักกันเหรอครับ”
           ผู้หมวดหนุ่มไม่ตอบคำถาม แต่พูดกับข้าวโอ๊ตว่า
           “ทุกอย่างชัดเจนแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือครับคุณโอ๊ต”
           “งั้นก็หมายความว่ารู้ว่าใครเป็นฆาตกรแล้วใช่ไหมครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยสีหน้าโล่งอก
           นวัชพยักหน้าในขณะที่ออกัสร้องเอ๊ะอีกรอบ นายตำรวจจึงหันมาบอกชายหนุ่มว่า
           “คุณออกัสช่วยไปบอกด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วยนะครับว่าผมขอใช้ห้องประชุม ส่วนคุณโอ๊ตกับน้องฝรั่งคนนี้ช่วยพาทุกคนเข้าห้องประชุมด้วยครับ”

            พนักงานทุกคนที่ถูกต้อนเข้าไปนั่งในห้องประชุมมองหน้ากันและกันด้วยความกระสับกระส่าย นวัชนั่งลงที่หัวโต๊ะตรงที่ที่เคยเป็นของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ส่วนเจ้าของที่เดิมเลื่อนไปนั่งทางด้านขวามือของนายตำรวจ ข้างเขาเป็นญาดาที่ถูกขอให้เป็นล่าม ถัดมาคือคาริน่าที่มีนัตโตะประกบข้างเป็นล่ามให้ ติดกับนัตโตะเป็นคาร์ลและข้าวโอ๊ต อีกด้านหนึ่งใกล้กับนวัชคือออกัส ถัดมาคือมิคกี้ บำรุง และพัดชาตามลำดับ เก้าอี้ที่เหลือคือนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่จะคอยบันทึกทุกอย่างลงในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปตรงหน้า ส่วนนายตำรวจที่เหลือที่มาด้วยกันกระจายกันยืนรอบห้อง
            “ที่ผมเรียกทุกท่านมารวมกันในวันนี้เพราะผมมีความคืบหน้าของคดีจะแจ้งให้ทราบครับ”
           นวัชเริ่มพูด
           ปฏิกิริยาของคนในห้องเหมือน ๆ กันคือมองเขาเป็นตาเดียวด้วยความสนใจและอยากรู้ แต่มีอยู่คนเดียวที่ขยับตัวด้วยความอึดอัด มิคกี้รู้สึกว่าอากาศในห้องประชุมตอนนี้ร้อนอบอ้าวขึ้นอย่างบอกไม่ถูกจนเขาทนไม่ไหว ต้องถอดเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ออกและเอาวางไว้บนตัก
            “อย่างที่ทุกท่านทราบนะครับ คุณทีโมนเสียชีวิตจากยาพิษที่อยู่ในกาแฟ ทางเราได้ตรวจสอบแล้วพบว่ายาพิษนั้นผสมอยู่กับนมสดที่ถูกแช่เอาไว้ในตู้เย็น เมื่อผู้ตายเทนมที่มียาพิษลงไปในกาแฟที่ต้องดื่มเป็นประจำทุกเช้าก็เลยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตครับ”
            “แต่นมเป็นของส่วนกลางที่ให้ทุกคนกินนะครับ จะเจาะจงให้ทีโมนกินคนเดียวได้ยังไง”
            ออกัสตั้งคำถามเหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตเคยสงสัย
            “ยาพิษอยู่ในกล่องนมสดที่ถูกเปิดด้วยการใช้หลอดเจาะครับ เป็นกล่องเดียวที่อยู่ในตู้เย็น”
            เสียงพึมพำวิพากษ์วิจารณ์ดังแซดขึ้นทันที นวัชอธิบายต่อว่า
            “ผมทราบมาว่าปกติแล้วนมสดจะถูกเปิดด้วยการใช้กรรไกรตัดหูกล่อง เพื่อให้สะดวกในการเทนมใส่เครื่องดื่ม มีเพียงผู้ตายคนเดียวที่มักง่ายเอาหลอดเจาะ นมสดเจาะหลอดเทไม่สะดวกก็เลยมีการสั่งห้ามไม่ให้ใครใช้นมสดที่มีการเจาะด้วยหลอดแบบนั้นใช่ไหมครับ”
           “ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนสั่งทุกคนเอง” ญาดาพูด
           “ปกติแล้วถ้าในตู้เย็นมีนมสดอยู่สองกล่องคือกล่องที่เจาะด้วยหลอดกับกล่องที่ตัดหู ผู้ตายก็จะเลือกกล่องที่ตัดหูเพราะเทง่ายกว่า แต่ถ้าในวันเกิดเหตุมีนมแค่กล่องเดียวในตู้เย็น ผู้ตายก็คงเลือกกล่องนั้นเพราะนิสัยขี้เกียจ ไม่อยากเปิดนมกล่องใหม่ หรือถ้าคิดจะเปิด แต่หากรรไกรไม่เจอเพราะมันไม่ได้อยู่บนกองกล่องนมเหมือนทุกที ผู้ตายก็คงขี้เกียจหา แล้วก็ไม่อยากจะเปิดกล่องใหม่ให้เสียเวลาด้วย ยังไงผู้ตายก็ต้องเลือกนมกล่องนั้น คนร้ายคิดแบบนั้น และก็เป็นจริงครับ นมสดกล่องที่เปิดหูกล่องถูกใช้หมดไป เหลือแค่กล่องที่เจาะด้วยหลอดที่คนร้ายทำให้แน่ใจว่าเหลือกล่องนั้นอยู่แค่กล่องเดียวในตู้เย็น และผู้ตายก็ขี้เกียจเปิดนมกล่องใหม่จริง ๆ ก็เลยใช้นมกล่องที่มียาพิษ หรือถึงผู้ตายไม่ใช้นมกล่องนั้นวันนี้ ก็มีหวังจะใช้ในวันอื่น แล้วก็ไม่มีใครในออฟฟิศที่จะโดนพิษด้วยในเมื่อมีการสั่งห้ามใช้นมกล่องเจาะหลอดเอาไว้แล้ว ทุกคนในออฟฟิศไม่ค่อยชอบผู้ตายใช่ไหมครับ จึงทำให้ไม่มีใครแตะต้องนมกล่องเจาะหลอดอยู่แล้ว”
            “แล้ววางยายังไงครับ ตอนนั้นไม่เห็นมีใครน่าสงสัยเลยนะ” นัตโตะเป็นฝ่ายถามบ้าง วันนั้นเขาเองก็อยู่ในครัวเหมือนกัน ทุกคนทำตัวปกติ ไม่เห็นใครมีพิรุธสักคนเดียว
            “สลับหลอดครับ” นิวัชพูด เรียกเสียงพึมพำจากคนทั้งห้องได้อีกครั้ง
            “คนร้ายเอาหลอดที่มียาพิษบรรจุอยู่ สลับกับหลอดของนมกล่องนั้น แต่ถ้าเอาหลอดที่สลับมาได้ทิ้งที่ถังขยะในครัวก็จะน่าสงสัย คนร้ายก็เลยต้องเก็บหลอดไว้กับตัว เพื่อหาจังหวะทิ้งที่หลัง หรือเอาทิ้งถังขยะในห้องก็คงไม่มีคนสงสัย ยิ่งถ้ามีกล่องนมหรือน้ำผลไม้ที่ดื่มหมดแล้วด้วย ก็คงไม่มีใครคาดคิด แต่คนร้ายลืมนึกไปว่าหลอดอันนั้นเปื้อนนม เมื่อถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงหรือไม่ก็กระเป๋าเสื้อ คราบนมก็ติดอยู่ที่ด้านในของกระเป๋าด้วย”
            นวัชกวาดตามองทุกคนและมาหยุดอยู่ที่มิคกี้ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าค่อนข้างซีด สองมือที่จับเสื้อกันหนาวอยู่บนตักขยับยุกยิก สายตาของชายหนุ่มหลุบต่ำลงและเอาแต่มองเสื้อกันหนาวบนตักของตัวเองด้วยความกังขา นายตำรวจหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินเข้าไปหา
            “ผมขอดูเสื้อกันหนาวของคุณหน่อยได้ไหมครับคุณมิคกี้”
            มิคกี้เชิดหน้าขึ้น กัดริมฝีปากแน่น แต่ไม่ยอมส่งเสื้อกันหนาวให้ และตอนนี้ทุกคนหันมามองชายหนุ่มเป็นตาเดียว
นวัชไม่รอคำอนุญาต แต่ดึงเสื้อหนาวไปจากมือของมิคกี้เลย ชายหนุ่มร้องลั่น
            “จะทำอะไรน่ะ! เอาคืนมานะ!”
            นายตำรวจคนหนึ่งเข้ามาจับตัวมิคกี้กดเอาไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้นจากที่ได้ ส่วนนวัชก็ปลิ้นด้านในกระเป๋าออกมาดู มีคราบแห้ง ๆ ติดอยู่ด้านในจริงอย่างที่เดาเอาไว้
            “คุณเอาหลอดใส่กระเป๋าเสื้อหนาวแทนที่จะใส่กระเป๋ากางเกงเพราะกลัวคนจะเห็น กระเป๋าเสื้อหนาวอยู่ด้านหน้า แค่คุณหันหลัง คนอื่นก็มองไม่เห็นแล้ว คุณลืมคิดไปว่าเสื้อหนาวของคุณสีน้ำตาลอ่อน นมที่ตกค้างอยู่ในหลอดสามารถทิ้งคราบเปื้อนเอาไว้ได้ เสื้อหนาวตัวนี้คุณใส่อยู่แต่ในออฟฟิศและยังไม่ถึงเวลาที่จะเอากลับไปซักทำความสะอาด คราบนมจึงยังไม่หายไปไหน”
            “แค่คราบเปื้อนแค่นี้จะมากล่าวหากันอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
            มิคกี้ตวาด หน้าตาที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด น้ำเสียงที่ใช้ก็แข็งกระด้าง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนจากมิคกี้ที่ทุกคนในออฟฟิศรู้จักเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว
            “เรื่องนมและคราบเปื้อนทำให้เราสงสัยคุณ แต่ที่ทำให้เรามั่นใจคือเรื่องนี้ครับ”
            นวัชรับซองเอกสารจากมือของตำรวจคนหนึ่ง หยิบเอากระดาษสองสามใบออกจากซองมาวางลงตรงหน้าของมิคกี้และเมื่อชายหนุ่มเห็นข้อความบนกระดาษเหล่านั้นก็อึ้งไปทันที
            “คุณใช้ให้เพื่อนสนิทติดต่อซื้อสารเคมีที่เป็นพิษทางอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวนี้ของทุกอย่างมีขายบนอินเตอร์เน็ต ถ้ามีเงิน ถ้ารู้แหล่ง สารเคมีนิดหน่อยก็ขอซื้อมาได้ เพื่อนของคุณไม่รู้ว่าคุณจะเอามันไปทำอะไร พอรู้เขาก็กลัวมาก เมื่อตำรวจติดต่อไป เขาก็เลยสารภาพออกมาจนหมด และนี่ก็คืออีเมลที่เขาติดต่อกับผู้ขายและข้อความทางไลน์ที่เขาติดต่อกับคุณ”
           นายตำรวจหนุ่มยังดึงภาพหลายภาพที่สั่งพิมพ์ออกมาจากกล้องวงจรปิดโยนลงตรงหน้าของชายหนุ่ม
           “คุณมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย พวกคุณมีการนัดเจอกันที่คอนโดที่เป็นชื่อของคุณอยู่บ่อย ๆ ล่าสุดพวกคุณนัดเจอกันที่รีสอร์ทบนเกาะ พวกคุณไปถึงคนละเวลา คุณเป็นคนเช็คอิน ผู้ตายตามไปทีหลัง ที่รีสอร์ทไม่มีกล้องวงจรปิด แต่บังเอิญพนักงานที่รีสอร์ทแอบถ่ายรูปพวกคุณสองคนเอาไว้เพราะรู้สึกชอบใจหน้าตาที่หล่อเหลาของพวกคุณทั้งคู่”
           รูปใบสุดท้ายถูกวางลงบนกองรูปถ่าย เป็นภาพของคนสองคนกำลังโอบเอวกันและกัน ภาพแอบถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์ไม่ชัดมากนัก แต่ดูออกว่าคนในภาพเป็นใคร
           ออกัสชะโงกหน้าไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมิคกี้ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ หวาดหวั่น รวมถึงรังเกียจ และนั่นทำให้มิคกี้รู้สึกทนไม่ได้อย่างรุนแรง ชายหนุ่มขยำรูปภาพและกระดาษเอกสารบนโต๊ะขว้างใส่หน้าออกัสเป็นพัลวัน
           “โอ๊ย! ทำอะไรของนายวะ!” ออกัสร้องลั่น ยกมือขึ้นปิดป้องใบหน้าโดยอัตโนมัติ
           “แกไม่มีสิทธิ์มองฉันอย่างนี้!” มิคกี้ตะโกนใส่อีกฝ่ายเสียงดัง ทำท่าจะโผเข้าไปชกหน้าหรือทำร้ายออกัสเสียด้วยซ้ำแต่ถูกนายตำรวจที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังล็อคตัวเอาไว้เสียก่อน
          “แล้วจะให้มองยังไง!” ออกัสตวาดกลับด้วยอารมณ์โมโหไม่แพ้กัน “ไอ้คนตีสองหน้า! เที่ยวได้ว่าคนอื่นเขาไปทั่ว ตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ลับหลังก็แอบไปกกผู้ชายเหมือนกัน แถมยังเลวด้วยที่ฆ่าคนทั้งคนได้ลงคอ”
          “ก็ถ้าแกไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับของของฉัน ฉันก็ไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก คนที่เลวน่ะคือแกต่างหาก แกให้ท่าเขา ไปนอนกับเขา ทั้งที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว แกมันน่ารังเกียจที่สุด! แกใช้ให้ทีโมนเลิกติดต่อกับฉัน บล็อกเบอร์ของฉัน เพื่อที่แกจะได้ครอบครองเขาเอาไว้คนเดียวใช่ไหมล่ะ เลว! พวกแกสองคนทรยศหักหลังฉัน!”
           ถึงแขนสองข้างจะถูกพันธนาการเอาไว้ แต่ปากของมิคกี้ยังก่นด่าออกัสไม่หยุด ชายหนุ่มโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบูดเบี้ยว ฤทธิ์ของโทสะบังตาจนไม่นึกว่าสิ่งที่พูดออกไปเท่ากับเป็นการยอมรับกลาย ๆ ในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
           “ไอ้ทีโมนมันแบล็กเมล์ฉันต่างหาก ฉันถึงต้องยอมทำ ทรยศหักหลังบ้าบออะไร คนที่ซวยน่ะมันฉันเว้ย ถูกดึงเข้าไปยุ่งกับเรื่องผัวเมียตีกันแท้ ๆ ไอ้คนเจ้าชู้อย่างนั้นมันคงได้นายจนเบื่อ อยากจะเขี่ยทิ้งมากกว่า ก็เลยเอาฉันมาอ้าง ระยำจริง” ออกัสโต้กลับอย่างเหลืออด
           นอกจากสองคนที่กำลังโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนแล้ว คนอื่น ๆ ในห้องต่างจับตามองด้วยสายตาและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ทั้งคาดไม่ถึง ไม่อยากเชื่อ โกรธเคือง สมเพช เกลียดชัง และสะใจ
           นัตโตะเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่แสดงความรู้สึกออกมาแบบเปิดเผย ชายหนุ่มแสยะยิ้ม อุทานลอย ๆ ว่า
           “เอาอีก! สนุกจัง!”
           ออกัสกับมิคกี้หันขวับมาทันที และก็เป็นฝ่ายหลังที่มองมาด้วยสายตาชิงชังอย่างไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป มิคกี้คงจะชี้หน้านัตโตะด้วยแล้วถ้ามือของเขาเป็นอิสระ แต่เมื่อทำไม่ได้ เขาก็ได้แต่อาฆาตเอาไว้ว่า
           “แกก็อีกคน ไอ้คนชั้นต่ำ นิสัยอย่างนี้ระวังจะไม่ตายดี”
           “ชั้นต่ำเหรอ แล้วอย่างนายสูงแค่ไหนกันเชียว ฉันโคตรสะใจเลยว่ะที่เห็นไอ้คนหัวสูงหน้าเชิดอย่างนายสะดุดความอวดดีของตัวเองหน้าคะมำเหมือนตอนนี้ ขอให้นายมีความสุขอยู่ในตะรางนะคุณหนูมิคกี้”
           “คนอย่างฉันไม่มีวันติดคุก” มิคกี้คำรามลอดไรฟัน เส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดโปนอย่างน่ากลัว แต่แววตาของเขาวูบไหวด้วยความหวาดหวั่นเมื่อพูดประโยคนี้เช่นกัน และอุปทานทำให้รู้สึกว่าคนทุกคนในห้องมองเขาด้วยสายตาที่สะใจเหมือนที่นัตโตะมอง หูของเขาก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางจากทุกคน
           ‘แกต้องติดคุก’ ยายคาริน่าลอยหน้าลอยตาใส่เขา
           ‘ไอ้ฆาตกร’ ญาดาพูดเสียงหยัน
           ‘เน่าตายในคุกซะเถอะ’ ข้าวโอ๊ตเบะปาก
           ยังไม่พอ แม้แต่พัดชากับบำรุงก็ยังดูถูกเขาด้วยการถอยหนีเขาอย่างเดียดฉันท์
           มิคกี้ไม่เคยลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยถูกเกลียดชัง ไม่เคยถูกรังเกียจ ทุกคนต่างรักเขา ยอมเขา ไม่มีใครกล้าขัดใจเขา
           “ไม่มีทาง! ฉันไม่มีวันติดคุก! แล้วพวกแกทุกคนจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันอย่างนี้!” ชายหนุ่มตะโกนเอะอะอย่างคนที่ไม่สามารถคุมสติได้อยู่ เขาพยายามดิ้นรนให้พ้นจากความควบคุม แต่ตอนนี้ตำรวจเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง ทำให้เขาไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้
           นวัชเห็นท่าไม่ดีจึงออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขาพาตัวมิคกี้ไปสอบสวนต่อที่โรงพัก ระหว่างที่มิคกี้ถูกพาตัวออกไป ชายหนุ่มยังดิ้นรนด่าทอทุกคนไม่หยุด แต่คนเดียวที่เขาไม่ด่าว่าคือตัวเอง ชายหนุ่มคนนั้นเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา คนอื่นต่างหากที่ทำให้เรื่องเกิดขึ้นและต้องจบลงแบบนี้
           คาร์ลมองตามด้วยสายตาแขยงแกมหวาดหวั่น ความหึงหวงและโทสะของคนคนหนึ่งนี่น่ากลัวเหลือเกิน เด็กหนุ่มเอนตัวไปกระซิบกับข้าวโอ๊ตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า
           “คุณมิคกี้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยนะครับ น่ากลัวมาก”
           ข้าวโอ๊ตถอนหายใจเบา ๆ ตอบว่า
           “หรือไม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เพิ่งแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาต่างหาก และผมเห็นด้วยกับคุณ มันน่ากลัวจริง ๆ”
           ชายหนุ่มตอบคาร์ลไปแค่นั้น แต่ในใจของเขามีอะไรมากมายกว่านั้นมาก

           
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 20 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 16:20:16
            เม็ดนุ่นเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของข้าวโอ๊ตพร้อมกับถุงใส่อาหารเต็มสองมือที่ซื้อมาเพื่อเป็นอาหารเย็น หญิงสาวมาค้างเป็นเพื่อนชายหนุ่มตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาจึงให้กุญแจสำรองกับคีย์การ์ดสำรองแก่หล่อนไว้ หล่อนจึงไม่ต้องโทรศัพท์เรียกให้เจ้าของห้องลงไปรับที่ล็อบบี้เหมือนทุกครั้ง
            ตอนนี้เจ้าของห้องกำลังนอนอยู่ที่พื้นห้อง แต่ไม่ได้นอนนิ่ง ๆ ชายหนุ่มกำลังกลิ้ง เขากลิ้งจากผนังห้องด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ห้องในคอนโดมิเนียมไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ข้าวโอ๊ตกลิ้งตัวไม่กี่ทีก็ไปถึงผนังอีกด้านหนึ่ง แล้วเขาก็กลิ้งตัวกลับทางเดิม กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจเสียงประตูเปิด ไม่หันมามองด้วย
           เม็ดนุ่นเอาถุงทั้งหมดที่หิ้วมาไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว แล้วเดินมาหา
           “โอ๊ต แกทำอะไรของแกอยู่น่ะ” หล่อนส่งเสียงถาม
           ข้าวโอ๊ตหยุดกลิ้ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง ตอบเรียบ ๆ ว่า
           “ฉันกำลังคิด”
           “คิดเรื่องอะไร แล้วทำไมต้องลงไปนอนกลิ้งอย่างนั้น” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งประจันหน้าด้วย
           “หลายเรื่อง” ข้าวโอ๊ตยกมือขึ้นลูบหน้า ท่าทางของเขาดูเหนื่อย คิ้วก็ขมวดมุ่นเหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักจริง ๆ
           “เรื่องอะไรบ้างล่ะ แกเล่าให้ฉันฟังบ้างได้ไหม”
           “ก็เรื่องวันนี้ เรื่องมิคกี้ เรื่องที่ออฟฟิศ คิดวนไปวนมา มันหยุดคิดไม่ได้จริง ๆ” ข้าวโอ๊ตตอบ ก่อนจะนิ่งไปเหมือนกำลังคิดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อาจจะเพราะกำลังคิดว่าจะถ่ายทอดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ให้เพื่อนฟังอย่างไรดี เม็ดนุ่นก็นิ่ง ไม่เร่งรัด ให้เวลาเพื่อนอย่างเต็มที่ และในที่สุด ข้าวโอ๊ตก็พูดขึ้นอีกครั้ง
           “วันนี้ฉันเห็นมิคกี้กลายเป็นสัตว์ประหลาด เขาน่ากลัว สายตาของเขามีแต่ความโกรธความเกลียดชัง ถ้าสายตาของเขาเป็นเขี้ยวเล็บ เนื้อตัวของพวกเราก็คงเต็มไปแผลขบขย้ำจนเลือดสาด เขาตะโกนด่าว่าทุกคน แล้วถ้าคำพูดของเขาเป็นไฟ พวกเราก็คงถูกเผาไหม้เกรียมกันหมด”
           ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย
           “ฉันกลัว เพราะในหัวใจของฉันก็มีตัวอะไรอยู่เหมือนกัน ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเกลียดชัง รู้สึกโกรธ รู้สึกเศร้าเสียใจ หรือรู้สึกสิ้นหวัง มันก็จะขยับตัว หัวใจของฉันก็จะเจ็บปวดทุกครั้ง เหมือนกับว่ามันกำลังฉีกทึ้งหัวใจของฉันอยู่ แล้วถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งมันก็จะออกมาจากหัวใจของฉัน แล้วฉันก็จะกลายเป็นอย่างมิคกี้”
           เม็ดนุ่นฟังแล้วรู้สึกใจหาย รีบขยับตัวมานั่งข้างเพื่อนทันที หล่อนโอบแขนรอบบ่าของเขา ปลอบว่า
           “แกไม่มีวันเป็นอย่างนั้นหรอกโอ๊ต เชื่อฉันสิ แกควบคุมมันได้”
           “ถึงควบคุมได้ ถึงมันไม่ได้ออกไปจากหัวใจของฉัน แต่หัวใจของฉันก็เป็นแผลเหวอะหวะไปหมดแล้วเพราะมันตื่นขึ้นมา”
           “ถ้างั้นก็ทำให้สัตว์ประหลาดในหัวใจของแกหลับต่อไปสิ ลดละอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลาย ปล่อยวาง อย่าไปคิดอะไรให้มากมายจนกลายเป็นทำร้ายตัวเอง อย่ายึดติด แกต้องหัดช่างมันเสียบ้าง เรื่องบางเรื่องคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน บอกตัวเองเข้าไป แกต้องพยายามนะ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวของแกเอง”
           “ฉันเหนื่อยจัง นุ่น เหนื่อยจริง ๆ นะ สับสนกับหลาย ๆ อย่างด้วยตอนนี้ ฉันคิดซ้ำไปซ้ำมาว่าทุกอย่างที่เคยทำที่เคยรู้สึก มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วรึเปล่า ตั้งแต่ที่ฉันเข้าทำงานที่นี่ ฉันมีแต่ความรู้สึกไม่ดี ฉันเกลียดคนอื่น ฉันมองทุกอย่างในแง่ร้าย มีแต่ความเบื่อหน่าย ชิงชัง ไม่ชอบ แต่ฉันลืมคิดไปว่าตัวฉันเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย ทำงานไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ เวลามีปัญหาก็ไม่ได้สู้ เอาแต่เงียบ แล้วก็มาหงุดหงิดคิดมากอยู่คนเดียว โทษแต่ว่าโลกมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
           “แกเริ่มจะคิดมากอีกแล้วนะ แล้วก็อย่าโทษตัวเองสิว่าเป็นความผิดของแกอยู่ฝ่ายเดียว ออฟฟิศแกมันป่วง คนก็ป่วงพอกัน ถึงแกพยายามให้ตายก็เปลี่ยนแปลงอะไรได้ยาก ของอย่างนี้มันต้องทำหลายฝ่ายพร้อมกันไม่ใช่เหรอ”
           “แต่อย่างน้อยฉันก็จะได้ไม่รู้สึกแย่เหมือนตอนนี้ ฉันจะพูดได้ว่าได้พยายามทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว เท่าที่ตัวของฉันจะทำได้ แล้วก็ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่มันจะเป็น เหมือนที่แกบอก ช่างมัน”
           “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นใหม่สิ เป็นข้าวโอ๊ตคนใหม่อย่างที่แกอยากจะเป็น ใช้ชีวิตอย่างที่แกจะไม่กลับมาเสียใจทีหลังอีก อดีตก็ช่างหัวมันไป แก้ไขอะไรไม่ได้ แค่เอามาเป็นบทเรียน เป็นเครื่องเตือนใจเท่านั้นก็พอ แล้วไม่เฉพาะเรื่องงานหรอกนะ เรื่องความรักก็ด้วย ฉันน่ะดีใจจะตายที่แกไปเดตกับคาร์ล อย่างน้อยแกก็ได้พยายาม ได้ลองทำดู ไม่เอาแต่ปิดกั้นตัวเองเหมือนที่ผ่านมา ถึงมันจะไม่สำเร็จก็เหอะ แต่ครั้งหน้า กับคนใหม่ในสถานการณ์ที่แตกต่าง มันอาจจะสำเร็จก็ได้”
          “พูดไปแล้ว มันก็พังทั้งสองเรื่องเลยนะตอนนี้ ชีวิตฉันน่ะ” ข้าวโอ๊ตหัวเราะเสียงขื่น เม็ดนุ่นกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นเข้าอีก ชายหนุ่มก็เลยซบศีรษะลงกับไหล่หล่อน
          “พังก็สร้างมันขึ้นมาใหม่ อย่างที่บอกแหละ เราเริ่มใหม่ได้เสมอ แต่ถ้าแกยังไม่พร้อมก็พักไปก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานใหม่ก็ได้”
          “ฉันต้องพักแน่ ๆ อยากจะรักษาฟื้นฟูไอ้ที่มันเหวอะหวะอยู่ข้างในนี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อน” ชายหนุ่มแตะมือลงที่หน้าอกข้างซ้ายตรงตำแหน่งของหัวใจ
          “แต่ฉันคงไม่กลับไปทำงานที่เดิมแล้ว ความรู้สึกของฉันที่มีต่อออฟฟิศ ต่อคนในออฟฟิศมันเกินกว่าที่จะเยียวยาแล้ว กลับไปก็ทำงานไม่ได้ ฉันเห็นตัวตนที่น่าเกลียดของคนพวกนั้น พวกเขาก็เห็นตัวตนของฉัน ถึงจะยังพูดคุยกันได้ แต่ไม่มีวันสนิทใจ”
          “ไปที่อื่นก็เหมือนเดิม คนป่วง ๆ มันมีอยู่ทุกที่”
          “ก็อาจจะใช่ แต่ฉันมีประสบการณ์แล้วและฉันจะพยายามทำสิ่งที่ฉันทำได้ให้ดีที่สุด จากนั้นก็...ช่างหัวมัน”
          “ดีมาก” เม็ดนุ่นชม หล่อนรู้สึกดีใจจริง ๆ ที่ข้าวโอ๊ตคิดได้แบบนี้ ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นมันจะร้ายแรงสักแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ของมันก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก อย่างน้อยมันก็ทำให้เพื่อนของหล่อนมีความคิดอะไรใหม่ ๆ ความคิดที่พร้อมจะเสี่ยงและเปลี่ยนแปลง
           “เอาล่ะ จบเรื่องนี้กันดีกว่า แกหิวรึยัง ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันใช่ไหม ฉันรู้ว่าแกยังไม่ได้กินข้าวแน่ ฉันเลยไปซื้อกับข้าวร้านอร่อยมาเยอะแยะเลย กินเลยนะ”
           ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ หญิงสาวเลยกระโดดลุกขึ้นอย่างไม่รอช้า
           เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นในจังหวะนั้น หญิงสาวหันมาโบกมือให้เพื่อนนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ต้องลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู นึกสงสัยอยู่นิดหน่อยว่าใครกันที่สามารถเดินมาถึงที่ห้องได้เลย ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้ว เวลามีใครมาหา ถ้าไม่มีคีย์การ์ดก็ไม่สามารถเปิดประตูกระจกตรงล็อบบี้เข้ามาที่ลิฟท์ได้ เจ้าของห้องจะต้องเป็นคนลงไปรับและพาขึ้นมา แต่หล่อนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดาว่าอาจจะเป็นคนที่อยู่ในคอนโดเดียวกันและมีธุระกับข้าวโอ๊ต
           เม็ดนุ่นเปิดประตูโดยลืมมองที่ตาแมวก่อน เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง หล่อนก็ตาโตด้วยความคิดไม่ถึงจนหลุดอุทานออกมาเสียงดังว่า
           “เฮ้ย! คุณพ่อ!”


           
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 21 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 16:30:28
บทที่ 21
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
คงถึงเวลาพักรักษาหัวใจและทบทวนอะไร ๆ สักที ที่ผ่านมามันผิดมาตลอด มันผิดจริง ๆ
Like – Comment – Share

           เม็ดนุ่นยิ้มแหยหลังจากเผลอหลุดปากอุทานอย่างไม่สมกับเป็นผู้หญิงสักเท่าไรหลังจากที่เปิดประตูไปเจอพ่อของข้าวโอ๊ตยืนอยู่ หล่อนรีบยกมือไหว้ชายวัยกลางคน
           “สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
           พ่อของข้าวโอ๊ตยกมือรับไหว้เพื่อนของลูกชาย เขารู้จักเม็ดนุ่นดีจนไม่นึกถือสาความห้าวห่ามหรือกิริยาเอะอะมะเทิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหล่อน บางครั้งเขายังนึกอยากให้ลูกชายกับเพื่อนคนนี้สลับนิสัยบางอย่างกันเลยด้วยซ้ำ
          “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหนู”
          “คุณพ่อมาถึงเมื่อไหร่คะ” เม็ดนุ่นกุลีกุจอเข้าไปช่วยลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่บนพื้นข้างตัวพ่อของเพื่อนและเบี่ยงตัวหลบทางให้เขาเดินเข้ามาในห้อง
          “มาถึงเมื่อตอนเช้า พ่อไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เสร็จแล้วก็มาที่นี่”
          ข้าวโอ๊ตชะเง้อมองตั้งแต่ได้ยินเสียงเม็ดนุ่นอุทานด้วยความแปลกใจ เขาเองก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นพ่อของเขายืนอยู่ที่ประตูพร้อมกระเป๋าเดินทาง ปกติแล้ว ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ของเขามาตรวจสุขภาพที่กรุงเทพฯ ก็จะมาแบบเช้าไปเย็นกลับ ขึ้นเครื่องบินเที่ยวเช้า ตรวจสุขภาพช่วงบ่าย และกลับด้วยเที่ยวบินในตอนค่ำ พ่อกับแม่ไม่เคยโทรศัพท์บอกเขาเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
          “พ่อ สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้ รับกระเป๋าเดินทางใบเล็กจากมือเพื่อนมาวางแอบไว้ที่ริมผนังข้างตู้ใส่รองเท้าก่อน
          “พ่อมาแวะที่นี่ แล้วจะไปสนามบินทันไฟลท์หัวค่ำเหรอครับ”
          “พ่อไม่ได้กลับวันนี้หรอก ตั้งใจจะค้างสักคืน แล้วกลับพรุ่งนี้ตอนเช้า”
          เม็ดนุ่นมองหน้าสองคนพ่อลูกสลับกัน ก่อนจะถามว่า
          “คุณพ่อกินข้าวเย็นรึยังคะ”
          “ยังเลยหนู ตรวจเสร็จก็ตรงมาที่นี่เลย”
          หญิงสาวได้โอกาส หยิบกระเป๋าสตางค์ กุญแจบ้านและโทรศัพท์มือถือของข้าวโอ๊ตที่มักจะวางอยู่ในถาดบนตู้รองเท้ามายัดใส่มือเพื่อนแล้วดันไปที่ประตู ปากก็บอกว่า
          “โอ๊ตพาคุณพ่อไปกินข้าวข้างนอกดีกว่า ไปที่ห้างใกล้ ๆ นี่ก็ได้ นั่งสองแถวไปนิดเดียว”
          “อ้าว แต่ว่า... แล้วอาหารที่แกซื้อมาล่ะ”
          “เดี๋ยวฉันจัดการเอง แกพาคุณพ่อไปเถอะ ฉันจะได้เก็บของกลับด้วยเลย ทิ้งห้องมาหลายวันแล้ว เสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ในตะกร้าก็ยังไม่ได้ซัก ป่านนี้เน่าแล้วมั้ง”
          “พ่อกินข้าวที่ห้องก็ได้”
          เมื่อเห็นว่าเรื่องชักจะยุ่งยาก พ่อของข้าวโอ๊ตจึงแย้งขึ้นมา แต่เม็ดนุ่นรีบหันมาบอกเขาว่า
          “ไม่ดีหรอกค่ะ ให้โอ๊ตพาคุณพ่อไปกินอะไรอร่อย ๆ ดีกว่าค่ะ ของที่หนูซื้อมามันอาหารตามสั่งธรรมดาแถว ๆ นี้ มันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แค่พอกินกันตายได้”
          หล่อนเปิดประตูห้องให้พ่อของข้าวโอ๊ตออกไปก่อนและเอามือดันหลังเพื่อนสนิทให้เดินตามออกไป ก่อนจะยกมือไหว้พ่อของเพื่อนอีกครั้ง
          “หนูลาคุณพ่อเลยนะคะ ทานข้าวให้อร่อย คุยกันดี ๆ แล้วพรุ่งนี้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”
          ประตูห้องปิดลงทันทีหลังจากที่เม็ดนุ่นพูดจบ
          ข้าวโอ๊ตยังงง ๆ ตั้งตัวไม่ทัน ขณะที่พ่อของเขานิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา คล้ายกับจะรอการตัดสินใจของเขา ชายหนุ่มจึงบอกเก้อ ๆ ว่า
          “เอ้อ... งั้นไปกันเถอะครับ”
          ชายหนุ่มพาพ่อลงลิฟท์มาที่ชั้นล่างและเดินไปที่จุดรอรถสองแถวที่อยู่เลยคอนโดออกไปไม่ไกลมาก ตอนแรกเขาจะเรียกแท็กซี่ แต่แถวนี้ค่อนข้างหารถได้ยาก เขาจึงเปลี่ยนใจใช้บริการรถสองแถวอย่างที่เม็ดนุ่นบอก นั่งไปเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด
          ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกัน พ่อของเขาได้นั่ง ส่วนข้าวโอ๊ตต้องยืน ภายในรถสองแถวค่อนข้างแออัด เมื่อรถจอดหน้าห้าง ชายหนุ่มจึงค่อนข้างโล่งใจ เขาลงจากรถไปก่อน แล้วคอยดูให้พ่อของเขาลงจากรถอย่างปลอดภัย เพราะรถสองแถวมีประวัติที่จัดว่าแย่เทียบเท่ารถเมล์ทีเดียว คนขับรถขับเร็วและกระชากจนถ้าผู้โดยสารจับราวไม่มั่นแล้วล่ะก็มีหวังกระเด็นตกรถได้แน่นอน
          “กินอะไรดีครับ” ข้าวโอ๊ตถามเมื่อเดินเข้ามาในอาคารขนาดใหญ่ที่ปรับอากาศจนเย็นผิดกับความอบอ้าวด้านนอกและขึ้นลิฟท์มายังชั้นที่รวมร้านอาหารไว้มากมาย
          “อะไรก็ได้ โอ๊ตเลือกก็แล้วกัน”
          “พ่อเลือกเถอะครับ อย่าให้โอ๊ตเลือกเลย เดี๋ยวจะไม่ถูกใจเปล่า ๆ”
          ชายหนุ่มไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้เลยสักนิด แต่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่เขาพูดกับพ่อหรือแม่ เขามักจะใช้คำพูดรวมทั้งน้ำเสียงที่มีการประชดประชันแฝงอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว
          พ่อของเขาคงจะรู้อยู่เหมือนกัน ดวงตาของชายวัยกลางคนวูบไหวขึ้นตามอารมณ์ที่อยู่ข้างใน เขามองไปรอบตัว ก่อนจะชี้ไปที่ร้านหนึ่ง
          “ร้านนั้นก็ได้มั้ง น่าจะดีนะ”
          ข้าวโอ๊ตมองตามก่อนจะนิ่งไป
          พ่อของเขาเลือกร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชอบอาหารญี่ปุ่นสักเท่าไร เขายังจำได้ ตอนที่ข้าวฟ่างกับครอบครัวพาพ่อกับแม่ขึ้นมาเที่ยวกรุงเทพฯและมาเยี่ยมเขาเมื่อนานมาแล้ว พี่ชายพาทุกคนไปรับประทานอาหารญี่ปุ่น คนสูงอายุไม่สามารถทำใจกินปลาดิบ ๆ ได้ จึงสั่งเป็นอาหารชุด เน้นปลาย่าง แต่ก็บ่นนิดหน่อยว่ารสค่อนข้างอ่อน ไม่ค่อยถูกปากเท่าอาหารไทยจำพวกน้ำพริกหรือแกงเผ็ดที่กินอยู่เป็นประจำ
          วันนี้คนที่ไม่กินปลาดิบ ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น กลับชี้นิ้วเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นเสียอย่างนั้น
          ชายหนุ่มยิ้มอ่อน ๆ แต่ในดวงตาของเขามีน้ำตารื้น
          “ร้านนี้ไม่ดีหรอกครับ เป็นแฟรนไชส์ คุณภาพวัตถุดิบเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไปกินร้านอื่นดีกว่า”
          “อ้าวเหรอ งั้นกินร้านไหนดีล่ะ”
          “ตามโอ๊ตมาครับพ่อ”
          ชายหนุ่มเดินนำพ่อของเขาไปอีกทางหนึ่ง ร้านที่ชายหนุ่มเลือกไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่น แต่เป็นร้านอาหารเกาหลีชื่อดังที่มีไก่ทอดเป็นของขึ้นชื่อ ปกติร้านนี้คนเต็มตลอด แต่ทั้งสองคนโชคดีที่ยังมีโต๊ะเหลือสำหรับสองที่จึงไม่ต้องรอคิว
          ข้าวโอ๊ตเลือกสั่งไก่ทอดรสเผ็ด หมูผัดซอสรสเข้มที่กินโดยการใช้ใบผักห่อ และซุปกิมจิที่มีเต้าหู้และผัก รสชาติอาหารเกาหลีที่เข้มข้นถูกใจพ่อของเขามากกว่าอาหารญี่ปุ่น เพราะเมื่ออาหารมาเสิร์ฟและพ่อได้ชิมหมูกับไก่ทอด สีหน้าของพ่อแสดงว่าพอใจ
          “อร่อยไหมครับ”
          “อร่อย พ่อไม่คิดว่าพวกอาหารเกาหลีญี่ปุ่นอะไรนี่จะรสชาติดีเหมือนกันนะ ไก่นี่เผ็ดนิด ๆ หนังกรอบ รสดีทีเดียว ถ้าแม่เขาได้ชิม เขาต้องชอบแน่ ๆ”
          “ถ้าชอบ คราวหลังพ่อก็พาแม่มาสิครับ ตอนตรวจสุขภาพคราวหน้าก็ได้ หลังตรวจเสร็จก็มากิน แล้วเลือกไฟลท์กลับให้ดึกหน่อย”
          “ดึกนัก แม่เขาคงไม่ค่อยชอบ อาจจะต้องมาค้าง” พ่อมีสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจ และสีหน้าแบบนี้ก็มักทำให้ลูกชายเข้าใจผิดเสมอมา ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
          “ถ้าพ่อกับแม่ไม่สะดวกค้างที่ห้องโอ๊ต โอ๊ตเปิดโรงแรมให้ก็ได้นะครับ ใกล้ ๆ นี่ก็มีโรงแรม เชนของเมืองนอก คุณภาพก็น่าจะดีอยู่ ไม่ต้องห่วง”
          “มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ไม่ใช่พ่อกับแม่ไม่สะดวก”
          “งั้นทำไมละครับ คีย์การ์ดก็มี เดี๋ยวโอ๊ตทำกุญแจสำรองให้เลยก็ได้ อยากค้างเมื่อไหร่ก็มา”
          ข้าวโอ๊ตหยุดไปนิดเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของพ่อ และมันก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจผิดไปอีก
          “หรือที่พ่อไม่อยากมา เพราะกลัวว่ามาแล้วอาจจะเจอใครอยู่ที่ห้องโอ๊ต ใครที่ไม่ใช่เม็ดนุ่น ตอนที่เห็นคนเปิดประตูให้คือเม็ดนุ่น พ่อคงโล่งใจใช่ไหมครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น พ่อไม่ต้องกังวลหรอกครับ โอ๊ตไม่มีใคร และคงจะไม่มีใครไปตลอดด้วย”
          ชายกลางคนถอนหายใจ เขาเป็นคนไม่พูดมาก พูดไม่เก่ง ต่างจากภรรยาที่เป็นครูบาอาจารย์ คนเป็นทหารชินกับการสั่งการสั้น ๆ ง่าย ๆ จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่เขาก็พยายาม เหมือนกับตอนที่ตัดสินใจมาหาลูกชายคนเล็กที่คอนโดมิเนียม
          “พ่อโล่งใจที่เห็นโอ๊ตมีเพื่อน มีคนอยู่ด้วย ไม่ได้อยู่คนเดียว จะเป็นนุ่นหรือเป็นคนอื่น พ่อไม่ได้คิด แล้วพ่อก็โล่งใจด้วยที่เห็นโอ๊ตสบายดี พ่อนึกว่าโอ๊ตอาจจะป่วยหรือไม่สบาย ตอนที่รับโทรศัพท์พ่อ น้ำเสียงโอ๊ตไม่ดี”
         “พ่อมาดูโอ๊ตเหรอ” ชายหนุ่มคาดไม่ถึง
         “จะมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว แต่ไฟลท์เสาร์อาทิตย์เต็มหมด แล้วไหน ๆ วันจันทร์ก็มาตรวจสุขภาพอยู่แล้วก็เลยรอมาทีเดียว เลื่อนไฟลท์ขากลับเอาก็พอได้”
         พ่อของเขาอธิบายเรียบ ๆ หน้าก็เรียบนิ่ง ดวงตาเท่านั้นที่แสดงความรู้สึกภายในออกมาให้เห็น และเขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างจากเดิมว่า
         “พ่อกับแม่เป็นห่วงโอ๊ต”
         ถึงตอนนี้น้ำตาของข้าวโอ๊ตที่พยายามสะกดกลั้นไว้ก็ไหลออกมา ชายหนุ่มไม่ได้ร้องไห้ แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบ ๆ
         พ่อก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน ถ้าเป็นครอบครัวอื่นอาจจะมีการโอบกอดหรือปลอบโยน แต่เขาไม่เคยแสดงความรักทางกายกับลูกชายคนไหน ไม่เคยโอบกอด และเขาก็ไม่คิดจะทำเอาตอนนี้ด้วย แต่เขานั่งอยู่กับลูกและเขาก็จะทำแบบนี้ตลอดไป
ในที่สุดข้าวโอ๊ตก็หยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดน้ำตาหลังจากที่ปล่อยให้มันไหลพรากมาพักใหญ่ แล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พ่อของเขาฟัง
         เรื่องการฆาตกรรมทีโมนไม่ได้ออกข่าว พ่อของเขาก็เลยไม่รู้เรื่อง ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ขอร้องให้ตำรวจช่วยปิดข่าวเพราะเกรงจะกระทบชื่อเสียงของบริษัทถ้าคนอื่นรู้ว่าพนักงานฆ่ากันตายเพราะเรื่องชู้สาว แถมผู้ร้ายกับคนตายยังเป็นเพศเดียวกันอีก และโชคดีที่นวัชสามารถปิดคดีนี้ได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้จึงสามารถปิดเป็นความลับเอาไว้ได้
         พ่อฟังเรื่องจนจบ เขาไม่ได้สนใจเรื่องของทีโมนหรือมิคกี้นัก แต่เขาสนใจความรู้สึกของลูกชาย ข้าวโอ๊ตเล่าหมดทุกเรื่อง รวมทั้งความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหตุการณ์นี้
         “ผมคิดว่าผมจะลาออกจากงาน ผมรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่เหมาะกับงานออฟฟิศ แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวผมอยากจะทำอะไรหลังจากนี้ แต่ถ้าผมจะกลับมาทำงานออฟฟิศหรือหางานใหม่ ผมก็อยากจะเริ่มต้นด้วยหัวใจที่ดีกว่านี้ครับ”
         “ทำตามที่คิดนั่นแหละ พ่อจะบอกแม่เขาเอง”
         “พ่อไม่ว่าอะไรเหรอครับที่โอ๊ตจะลาออก แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อไปชีวิตจะเป็นยังไง จะหางานได้ไหม”
         “ชีวิตเป็นของโอ๊ต ใครจะตัดสินใจแทนได้ ทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ พ่อกับแม่อาจจะไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นห่วง แต่ที่สุดแล้ว ชีวิตก็เป็นของโอ๊ต ถ้าโอ๊ตเลือกแล้ว ทุกคนก็ยอมรับ เราอาจจะไม่เคยพูดกันให้ชัด ๆ คิดว่าโอ๊ตจะเข้าใจ แต่พูดก็ดีกว่าใช่ไหม”
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ
          “ถ้าคิดจะลาออกก็ไปจัดการให้เรียบร้อย แล้วพักผ่อนสักพัก เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที เอาให้อารมณ์เราปกติก่อน”
          “พ่อครับ” ข้าวโอ๊ตเรียก
          “หือม์?”
          “เรื่องที่โอ๊ตไม่ได้ชอบผู้หญิง พ่อรับไม่ได้ใช่ไหม”
          นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขามองลูกชายอย่างเต็มตา นับตั้งแต่วันที่เขารู้เรื่อง แต่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ข้าวโอ๊ตถามเขาตรง ๆ แบบนี้
          “พ่อยอมรับไม่ได้ แต่พ่อเข้าใจ”
          คำตอบที่ได้รับอาจจะไม่ใช่อย่างที่หวัง แต่น่าประหลาดที่ข้าวโอ๊ตกลับรู้สึกมีความสุข
          “อย่างที่พ่อบอก ชีวิตเป็นของโอ๊ต ไม่ว่าโอ๊ตจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร พ่อกับแม่ก็พร้อมที่จะเข้าใจ เพราะเราเชื่อมั่นในตัวลูก โอ๊ตเป็นลูกชายที่ดีของพ่อกับแม่มาตลอด ความสุขของลูก แม้เป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ยอมรับได้ยาก แต่เราก็เข้าใจและจะยินดีด้วยเสมอ จำไว้เถอะ โอ๊ตมีพ่อกับแม่ มีพี่ชาย มีครอบครัว”
          “งั้นถ้าโอ๊ตพาผู้ชายเข้าบ้าน พ่อกับแม่ก็จะไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”
          “ถ้าไม่โทรมาบอกให้เตรียมใจไว้ก่อน ก็อาจจะช็อก”
          ข้าวโอ๊ตหัวเราะชอบใจ น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขารีบยกกระดาษทิชชู่ขึ้นซับ
          “งั้นโอ๊ตจะบอกพ่อกับแม่แต่เนิ่น ๆ จะได้มีเวลาทำใจกัน แต่โอ๊ตว่าคงอีกนาน พ่อเย็นใจได้เลย ดีไม่ดีโอ๊ตอาจจะขึ้นคานเหมือนนุ่น หาใครไม่ได้ หรือคิดอีกที ตอนอายุสักห้าสิบ โอ๊ตอาจขอนุ่นแต่งงานก็ได้ ไหน ๆ ก็โสดกันทั้งคู่อยู่แล้ว”
          พ่อของเขายิ้มอ่อน ๆ แต่ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เพราะรู้ว่าลูกชายไม่ได้ต้องการคำตอบ
           “พูดถึงนุ่นก็นึกได้ พ่อครับ ถ้าปีนี้โอ๊ตไม่กลับบ้านตอนปีใหม่ แม่จะบ่นมากไหม”
           “บ่นคิดถึงคงมีอยู่แล้ว โอ๊ตจะไปไหนล่ะ”
           “นุ่นมันชวนไปญี่ปุ่น ชวนอยู่ทุกวี่ทุกวันทุกครั้งที่เจอ โอ๊ตรำคาญ โอ๊ตเลยว่าจะตกลง มันจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที”
           “ก็ไปสิ โทรไปบอกแม่เขาสักหน่อย เผื่อเขาจะฝากซื้ออะไร แล้วจะไปกันกี่วัน”
           “ตัวตั้งตัวตีบอกว่าสองอาทิตย์ครับ”
           “ตามโควต้าฟรีวีซ่าพอดีเป๊ะเลยสินะ” ถึงจะไม่ใช่คนชอบเที่ยว แต่เขาก็รับรู้ข่าวสาร อาจจะมากกว่าลูกชายด้วยซ้ำเพราะอ่านหนังสือพิมพ์และดูข่าวทุกวัน ส่วนข้าวโอ๊ตที่เน้นแต่เรื่องบันเทิง ตอนนี้แสดงความตื่นเต้นกับทริปที่เพิ่งตัดสินใจและพูดคุยกับพ่อเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากไปทำที่ญี่ปุ่นด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายมากขึ้น
           เมื่อเดินออกมาจากร้านอาหารด้วยกันหลังจากนั้น ข้าวโอ๊ตมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เขาเดินอยู่ข้าง ๆ พ่อ ไม่ได้พยายามเร่งฝีเท้าเดินนำหรือผ่อนฝีเท้าเดินตามหลังเหมือนที่เคยทำ พูดคุยเรื่องไร้สาระไปได้เรื่อย ๆ ในขณะที่พ่อของเขาเอาแต่นิ่งฟังอย่างเดียว และเมื่อเขาเรียกรถแท็กซี่ได้ที่หน้าห้าง ชายหนุ่มก็เปิดประตูรถด้านหลังและช่วยจับแขนประคองให้ขณะที่พ่อของเขาก้าวเข้าไปนั่งข้างใน

         
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 21 (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 16:50:31
          การลาออกอย่างกะทันหันของข้าวโอ๊ตไม่ได้ทำให้คนในออฟฟิศตกอกตกใจกันสักเท่าไร อาจจะเพราะทุกคนมีความคิดเดียวกันอยู่ในหัว เพียงแต่ข้าวโอ๊ตตัดสินใจทำก่อนคนอื่นเท่านั้น ชายหนุ่มยื่นใบลาออกหลังจากตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงวันสิ้นเดือน เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่อยากจะรออีกต่อไป
          ตามกฎของบริษัท ผู้ที่ต้องการลาออกจะต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่เพราะเขาไม่อยากจะทำงานที่นี่อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว เขาจึงยื่นใบลาออกให้คาริน่าพร้อมกับบอกว่า
          “จะหักเงินเดือนผมหรืออะไรก็ได้สำหรับวันทำงานที่เหลือ ผมไม่มีปัญหา ขอแค่อนุมัติใบลาออกของผมก็พอ”
          ชายหนุ่มรู้สึกสะใจนิด ๆ ที่ได้พูดประโยคนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาอยากจะพูดมานานเหลือเกิน เมื่อได้พูดเข้าจริง ๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แต่คาริน่าคงไม่รู้สึกดีนัก ตั้งแต่เกิดเรื่องทีโมน หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกติดลบกับพนักงานคนไทยของออฟฟิศมากขึ้นตามนิสัยไม่แยกแยะของหล่อน เจ๊ใหญ่ประจำออฟฟิศเอาแต่ทำหน้าบึ้งหน้างอ รอยยิ้มแทบจะไม่มีอยู่บนใบหน้าอีกแล้ว เมื่อหล่อนรับใบลาออกพร้อมกับเงื่อนไขของข้าวโอ๊ต หญิงสาวก็ยังทำหน้าบึ้งอยู่เหมือนปกติ บอกเสียงห้วนว่า
           “ฉันต้องไปคุยกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก่อน แล้วจะบอกคุณอีกที”
           ข้าวโอ๊ตกลับมาที่ห้องทำงานของเขาและเริ่มเก็บของ มั่นใจว่ายังไงเขาก็ได้ไปวันนี้แน่ ๆ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่สนใจเรื่องกฎยื่นใบลาออกล่วงหน้าหนึ่งเดือน ถ้าข้าวโอ๊ตอยากลาออกวันนี้ เขาก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ส่วนคาริน่า เมื่อผู้อำนวยการอนุมัติ หล่อนก็ไม่คัดค้าน และถึงจะไม่ชอบหน้าพนักงานคนไทยในออฟฟิศมากแค่ไหน หล่อนก็ยังมีความยุติธรรมอยู่บ้าง ข้าวโอ๊ตไม่ถูกหักเงินเดือนเพราะคาริน่าเอาวันหยุดที่ข้าวโอ๊ตยังไม่ได้ใช้มาหักลบกับวันทำงานที่เหลือ เมื่อหักลบแล้ว วันหยุดยังมีเหลืออยู่อีกหลายวัน หล่อนก็คิดเป็นเงินคืนกลับมาให้ข้าวโอ๊ตอีก ถือเป็นน้ำใจส่งท้ายการทำงาน แต่หล่อนก็ฝืนใจทำให้ได้แค่นั้น เพราะเมื่อการลาออกของข้าวโอ๊ตได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว ญาดาเข้าไปหาด็อกเตอร์แฮร์มันน์เพื่อจะพูดถึงการจัดปาร์ตี้อำลาให้ข้าวโอ๊ต หญิงสาวคิดถึงแค่การสั่งอาหารหรือขนมมากินด้วยกันเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งเท่านั้น ไม่ใช่ปาร์ตี้จริง ๆ มีดอกไม้หรือของขวัญเหมือนที่จัดให้พนักงานคนก่อน ๆ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยให้จัดงานแบบนั้นสักเท่าไร แต่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กลับเฉย ไม่สนใจ ทำเหมือนเขาไม่ได้ยินเรื่องที่ญาดาถาม คาริน่าก็เฉยเหมือนกัน ญาดาเห็นอย่างนั้นก็ไม่เซ้าซี้อะไรอีก แต่ตัดสินใจส่งเงินของตัวเองให้ออกัสสั่งเค้กกับเครื่องดื่มมากินกันในตอนเลิกงาน
           “เขาไม่จัด เราจัดกันเองก็ได้ ไหน ๆ ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” ญาดาบอก และออกัสก็ตั้งใจเลือกร้านเค้กที่รสชาติอร่อยที่สุด นอกจากเค้ก เขายังสั่งขนมมาอีกหลายอย่างใส่กล่องห่อของขวัญอย่างดีเพื่อให้ข้าวโอ๊ตด้วย
           ก่อนถึงเวลาเลิกงานเล็กน้อย พัดชากับบำรุงช่วยกันจัดขนมเค้กและขนมอื่น ๆ ที่ออกัสสั่งใส่จานวางบนโต๊ะในห้องรับประทานอาหาร เมื่อถึงเวลาเลิกงาน คนในออฟฟิศก็มารวมกันในห้อง
           ญาดา ออกัส ข้าวโอ๊ตถือถ้วยใส่ชาและกาแฟของตัวเองเข้ามา คาร์ลรู้เรื่องปาร์ตี้ก็โทรศัพท์ไปชวนคนรักของเขามาด้วย มิตช์มาถึงตรงเวลาเลิกงานห้าโมงครึ่งพอดี ชายหนุ่มซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งติดมือมาด้วยนำมาให้ข้าวโอ๊ตเป็นของขวัญจากเขาและคาร์ล
           งานปาร์ตี้เล็ก ๆ นี้ญาดาไม่ได้บอกคาริน่ากับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เพราะถือว่าปรึกษาแล้วแต่ทั้งสองคนกลับทำท่าไม่สนใจเองและงานจัดกันในตอนเลิกงาน ไม่มีใครสามารถว่าอะไรได้ทั้งนั้น ซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ได้ว่าอะไรจริง ๆ แต่คงเสียหน้าไม่น้อย เพราะทำหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นความวุ่นวายในออฟฟิศ ทั้งสองคนปิดประตูอยู่ด้วยกันในห้องของผู้อำนวยการ ไม่ออกมาร่วมงาน แต่ก็ไม่ยอมกลับบ้านด้วย ข้าวโอ๊ตนึกเดาได้เลยว่าที่คาริน่ายังอยู่ก็เพราะอยากจะเข้าไปสำรวจในห้องทำงานของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ทำทรัพย์สินของออฟฟิศหักพังเสียหาย
           ส่วนนัตโตะ รายนั้นไม่ได้อยู่ร่วมงานด้วย เพราะไม่มีใครเชิญ ข้าวโอ๊ตยอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย แต่เขาทำใจเชิญนัตโตะไม่ได้จริง ๆ ชายหนุ่มรุ่นน้องรายนั้นสร้างความเดือดร้อนให้เขาและคนอื่น ๆ ในออฟฟิศมาตลอด ล่าสุดก็เรื่องของออกัส นัตโตะไม่ได้เข้าไปในห้องรับประทานอาหาร แต่เขาก็ไม่ยอมกลับบ้านเหมือนกัน ยังคงนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองและคอยเงี่ยหูจับตาดูสถานการณ์อยู่เงียบ ๆ
           เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในห้องหมดแล้ว ข้าวโอ๊ตก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้มศีรษะให้ทุกคน ก่อนจะพูดว่า
           “ขอบคุณสำหรับปาร์ตี้อำลานะครับ แล้วก็ต้องขอบคุณทุก ๆ คนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยครับ มันอาจจะมีเรื่องมากมายในหลายวันที่ผ่านมา แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานที่นี่ ได้รู้จักพวกคุณทุกคน”
           ทุกคนปรบมือให้เขา
           ข้าวโอ๊ตหันมาที่ญาดาผู้เป็นพี่ใหญ่ของทุกคน ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
           “พี่หญ้าครับ ผมอาจจะเคยคิดหรือทำอะไรที่ไม่ดี ไม่เคารพพี่ ผมต้องขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาด้วยครับ หวังว่าพี่จะยกโทษให้ผม”
           ญาดารับไหว้เขา พูดว่า
           “พี่ไม่เคยโกรธเคืองอะไรโอ๊ตเลย พี่ก็ต้องขอโทษเหมือนกันสำหรับหลายเรื่องที่พี่ตัดสินใจไปแล้วแต่มันอาจจะทำให้โอ๊ตไม่พอใจ” หล่อนยิ้มให้เขาอย่างมีเมตตา แล้วพูดต่อว่า
           “หลังจากนี้ก็ติดต่อหาพี่บ้างนะ อัพเดตบ้าง ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน หรือถ้ามีอะไรอยากให้พี่ช่วยก็บอกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
           “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ญาดาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาออกัส ยื่นมือข้ามโต๊ะไปให้
           “เราขอโทษนายด้วย สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำไม่ดีไว้กับนาย”
           “เราก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่เคยพูดจาไม่ดีกับนาย”
           ออกัสยื่นมือไปจับด้วย แล้วยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นชายหนุ่มหันไปหาคาร์ลกับมิตช์ ส่งมือให้คาร์ลก่อน
           “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ และสำหรับคาร์ล ต้องขอบคุณเป็นพิเศษ เพราะความช่วยเหลือของคุณ ตอนนี้ผมแปลนิยายเรื่องนั้นเสร็จแล้ว ส่งไปให้บรรณาธิการแล้วด้วยครับ มีกำหนดจะตีพิมพ์ในอีกสองเดือนข้างหน้า ถ้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะส่งไปให้คุณเล่มหนึ่งเป็นของที่ระลึก”
           “ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณมากกว่า คุณทำให้ช่วงเวลาที่ผมฝึกงานที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก และคุณยังให้คำแนะนำที่มีค่ากับผม ทำให้ผมมีความสุขอย่างทุกวันนี้ ขอบคุณมากนะครับ”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มอ่อน ๆ ให้ ก่อนที่เขาจะถูกเด็กหนุ่มฝึกงานดึงเข้าไปสวมกอด ชายหนุ่มตบหลังคาร์ลเบา ๆ ก่อนจะดึงตัวออก แล้วส่งมือให้มิตช์
          “ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับมิตช์ สวยมาก ๆ เลย และขอบคุณที่มาร่วมงานวันนี้ด้วย วันที่พวกคุณกลับเยอรมนี ผมคงไม่ได้ไปส่ง ก็ขออวยพรให้ตรงนี้เลยก็แล้วกัน ขอให้เดินทางปลอดภัยและมีความสุขมาก ๆ ด้วยกันทั้งสองคน”
          “ขอบคุณมากครับ” มิตช์ตอบอย่างสุภาพ แล้วทั้งสองคนก็สวมกอดกัน
          จากนั้นข้าวโอ๊ตหันไปขอบคุณพัดชากับบำรุงเป็นคนสุดท้าย แล้วทั้งหมดก็เริ่มต้นกินขนมและสนทนากัน สำหรับข้าวโอ๊ต บรรยากาศในตอนนี้ใกล้เคียงกับตอนที่เขาเข้ามาทำงานใหม่ ๆ แต่ชายหนุ่มก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า ถึงจะคล้าย แต่ก็ไม่เหมือนกับสมัยก่อนเสียทีเดียว อย่างน้อยก็มีคนสองคนในห้องนี้ที่ไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน
          “พี่หญ้าครับ ที่บ้านเขายังโกรธเรื่องแฟนพี่หญ้าอยู่รึเปล่า”
          ชายหนุ่มถามญาดา เขาเคยรู้มาว่าครอบครัวของหล่อนรู้เรื่องที่หล่อนมีแฟนเป็นผู้หญิงแล้วและต่อต้านอย่างรุนแรงขนาดที่บังคับให้ญาดาต้องเลิกกับแฟน แต่หญิงสาวก็ดื้อรั้นและหล่อนก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากน้องสาวของหล่อนเอง
          “โกรธชนิดไม่มองหน้าเลยแหละโอ๊ตเอ๊ย หม่าม้าพี่ด่าทั้งวันทั้งคืน ขนาดพี่หนีเข้าห้องปิดประตู แกยังตามมาเคาะประตูด่าต่อเลย คิดดู เธอน่ะโชคดีแล้วนะที่ครอบครัวเข้าใจ ไม่หัวเก่าอย่างครอบครัวพี่”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มให้หล่อนด้วยความเห็นใจ ญาดาคงต้องสู้อีกมาก ทั้งกับครอบครัว ทั้งกับที่ออฟฟิศนี่ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าหล่อนสามารถผ่านมันไปได้แน่ ๆ
          อีกคนที่มีความทุกข์อยู่ในดวงตา คือ ออกัส
          “นายล่ะ กัส คืนดีกับพี่ต้นได้แล้วรึยัง”
          “ยังเลย งานนี้พี่ต้นโกรธจริง ๆ เราไม่เคยเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อนเลย ง้อยังไงก็ไม่ได้ผล พี่ต้นกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ชั่วคราว เราไปที่บ้านนั้นทีไร เจอแต่สายตาพิฆาต”
          ออกัสเล่าพร้อมกับถอนหายใจดังเฮือก คนในออฟฟิศไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาขายตัว ชายหนุ่มปิดปากสนิทในเรื่องนี้ เพราะเขารู้ว่าไม่มีใครรับได้แน่ ๆ ทุกคนจึงแค่รับรู้ว่าเขานอกใจคนรักและทีโมนบังเอิญไปรู้เรื่องเข้าจึงนำเรื่องนี้มาแบล็กเมล์ให้ออกัสต้องยอมมีสัมพันธ์ด้วย ข้าวโอ๊ตก็รู้แค่นี้เหมือนกัน ชายหนุ่มไม่เคยเห็นรูปในโทรศัพท์มือถือของทีโมนและนวัชก็ไม่เปิดเผยเรื่องที่ออกัสเล่าระหว่างการสอบปากคำให้ใครรู้ด้วย แต่ถึงจะไม่มีใครรู้ความลับสุดยอดของเขา แต่แค่เรื่องนอกใจ เขาก็ประสบปัญหามากมายแล้ว นัตโตะบอกเรื่องของเขาให้ต้นรู้ คนรักของเขาโกรธมาก ประกาศว่าจะเลิกกับเขาและหอบข้าวของออกจากบ้านที่อยู่ร่วมกันไป
          พูดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็นึกโมโหขึ้นมาทุกครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นความผิดของเขา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นที่จะเอาไปป่าวประกาศ โดยเฉพาะเอาไปฟ้องคนรักของเขา
          “เพราะนัตโตะแท้ ๆ ปากสว่างไม่เข้าเรื่อง ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนไปหมด”
          “คนที่ผิดคือพี่กัสต่างหาก อย่ามาโทษผมนะ”
          เสียงของนัตโตะสอดขึ้นทันทีที่ออกัสพูดจบ แล้วคนพูดก็เดินหน้างอเข้ามาในห้อง ท่าทางไม่พอใจมากที่ออกัสนินทาเขา ข้าวโอ๊ตอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มรุ่นน้องช่างบังเอิญได้ยินถูกจังหวะพอดี จนเหมือนกับว่านัตโตะยืนแอบฟังอยู่นอกห้องตลอดเวลา
           “พี่กัสนอกใจพี่ต้น พี่กัสเป็นคนผิด ผมบอกพี่ต้นเพราะไม่อยากให้พี่ต้นโง่ ถูกแฟนสวมเขาให้แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไร ทำตัวเองก็อย่ามาว่าคนอื่น”
           “แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของนายแม้แต่นิดเดียว ทำตัวช่างสอดช่างแส่ ยื่นจมูกยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว แถวบ้านฉันเขาเรียกว่าคนขี้เสื...”
           ออกัสพูดยังไม่ทันจบประโยค ญาดาก็ปรามเสียงดุขึ้นก่อนว่า
           “หยุด! หยุดทั้งสองคน! เกิดเรื่องขนาดนี้แล้วยังคิดอะไรกันไม่ได้รึไง ที่เกิดเรื่องทีโมนกับมิคกี้นี่ก็เพราะทะเลาะกันอย่างนี้ไม่ใช่เรอะ!”
           ข้าวโอ๊ตถอนหายใจเบา ๆ ในออฟฟิศตอนนี้ไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องทีโมนกับมิคกี้อีก ดูเหมือนใคร ๆ ก็อยากจะลืม ๆ มันไปให้ได้โดยเร็ว ชายหนุ่มเองก็เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะรู้จากนวัชว่าตอนนี้มิคกี้กำลังดิ้นรนสู้คดีอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ปริปากเล่าให้ใครฟัง
           “นัตโตะ อย่ามาป่วนได้ไหม นี่งานเลี้ยงให้พี่โอ๊ตเขานะ เกรงใจเขาบ้าง”
           “ผมไม่เกรงใจ พวกพี่เคยเห็นหัวผมที่ไหนกัน และไหน ๆ พี่ก็จะไปแล้วนะพี่โอ๊ต ผมขอให้พี่โชคดีแล้วกัน ได้งานที่ไม่ใช่ขี้ข้าให้คนอื่นจิกใช้ ได้ผู้ชายที่มันดีกว่าเด็กฝึกงานกระจอก ๆ ผมอวยพรให้แล้วนะ พี่ก็อย่าตาต่ำให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกล่ะ”
           “นัตโตะ! ออกไป!” ญาดากับออกัสประสานเสียงไล่พร้อมกัน ข้าวโอ๊ตไม่พูดอะไรเพราะเห็นว่าทั้งเพื่อนทั้งพี่ออกตัวให้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่นึกเคืองนัตโตะด้วยที่พูดกับเขาอย่างนี้ เพราะเขามีบทเรียนมากเกินพอ
           แค่ลมปาก ถ้าไม่ใส่ใจมันก็จบ ไม่เก็บมาคิด มันก็ทำร้ายอะไรเขาไม่ได้ และชายหนุ่มรู้ดี นัตโตะไม่มีความสุขหรอกที่เป็นแบบนี้ ในเมื่อใคร ๆ ก็เมินหนี และถ้าเจ้าตัวไม่รู้ตัวเอง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้
           งานเลี้ยงอำลาดำเนินต่อไปอีกไม่นานก็ถึงเวลาต้องเลิกรา ทุกคนช่วยพัดชาเก็บล้างจานชามจนเรียบร้อยก่อนจะออกจากออฟฟิศมาด้วยกันและร่ำลากันอีกครั้งที่สถานีรถไฟฟ้า ข้าวโอ๊ตไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองในคืนนี้ ชายหนุ่มนัดกับเม็ดนุ่นเพื่อนสนิทคุยเรื่องแผนเที่ยวญี่ปุ่นที่คอนโดของฝ่ายนั้น
          ข้าวโอ๊ตยิ้มให้เพื่อนที่เคยทำงานร่วมกัน เพื่อนที่เขารู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จักในเวลาเดียวกัน เพื่อนที่เขาชอบแต่ก็เกลียดด้วย เพื่อนที่ทำให้เขาได้ประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี เพื่อนที่ทำให้เขาคิดอะไรได้มากมาย แล้วก็โบกมือลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 16:53:58
บทส่งท้าย

           เวลาผ่านไปรวดเร็ว ยิ่งในตอนที่มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำ เวลาก็เหมือนจะเดินเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด ข้าวโอ๊ตก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ชายหนุ่มคิดว่าเขาเพิ่งจะลาออกจากงานได้สักอาทิตย์เดียวเท่านั้น ทั้งที่จริงมันผ่านไปเกือบจะสองเดือนแล้ว และตอนนี้ก็ถึงวันที่เขาจะต้องเดินทางไปญี่ปุ่น
           ข้าวโอ๊ตนั่งอยู่ที่เกต รอเวลาขึ้นเครื่อง ข้างตัวเขาคือเม็ดนุ่นที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่านโปรแกรมท่องเที่ยวที่ทำเองเหมือนกับต้องการจะจำให้ได้ขึ้นใจ ชายหนุ่มปล่อยให้เพื่อนอ่านไป ตัวเขาจำแค่คร่าว ๆ ว่าจะไปเมืองไหนบ้าง พักที่ไหน กี่วัน เพื่อเอาไว้ตอบคำถามตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เรื่องอื่น ๆ เขายกให้เม็ดนุ่นจัดการในฐานะคนจัดทริปและไกด์กิตติมศักดิ์ ส่วนเขาขอทำตัวเป็นลูกทัวร์ที่ดีและว่าง่าย
           เวลารอขึ้นเครื่องค่อนข้างนาน และเขาก็อ่านหนังสือที่ติดกระเป๋ามาจนเบื่อ ชายหนุ่มจึงเอนศีรษะพิงไหล่เพื่อนและหลับตาลงเพื่อจะพักสายตา
           รอบตัวของชายหนุ่มมีเสียงดังจอแจ แต่เมื่อไม่ใส่ใจ เสียงก็ไม่ดังเข้าหู และเขาก็รู้สึกถึงความเงียบ มันเงียบจนทำให้เขาเผลอคิดอะไรที่ไม่ได้คิดมาหลายเดือนแล้ว
           ชายหนุ่มนึกถึงคาร์ล ญาดา ออกัส นัตโตะ คาริน่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ทีโมนและมิคกี้ ตั้งแต่ลาออกจากงาน เขาไม่ได้ติดต่อกับใครอีก นอกจากคาร์ลที่ส่งอีเมลคุยกันนาน ๆ ครั้ง แต่ข่าวคราวของแต่ละคนก็ยังเข้าหูเขาอยู่บ้างจากเฟซบุ๊กและกระดานข่าวของโปรแกรมไลน์
           เรื่องราวของคนพวกนี้ผ่านตาเขาและเขาก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว
           ข้าวโอ๊ตยกมือขึ้นแตะที่หัวใจ
           อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในนั้นมันก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ แต่เป็นแค่ความเคลื่อนไหวที่แผ่วเบา ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้สึก
           ชายหนุ่มลุกขึ้นจากท่าที่เอียงศีรษะพิงไหล่เพื่อนมานั่งตัวตรง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตกันหนาว เขาพิมพ์ข้อความช้า ๆ ก่อนจะกดโพสต์ลงไปบนหน้ากระดานเฟซบุ๊กของเขา

What’s on your mind?
Oatmeal
Samut Prakan

“...ในใจของคนมีสัตว์ประหลาดอยู่
จะว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่ผิด
ปกติเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันจะนอนหลับ แต่มันก็พร้อมจะตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อมีอะไรไปปลุกมันขึ้นมา
แล้วเมื่อมันตื่น มันก็จะหงุดหงิด อาละวาดฟาดหัวฟาดหาง อ้าปากร้องคำรามเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน และกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมัน ยิ่งถ้ามันถูกเจ้าของให้อาหาร มันก็จะยิ่งเพิ่มเขี้ยวเล็บ สยายปีกบินออกไปจากหัวใจและพ่นไฟทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเห็นจนราพณาสูร
แต่ถึงแม้มันจะไม่ได้อาหาร ไม่ได้บินออกจากหัวใจไปที่ไหน หากแค่มันตื่นขึ้นมาเท่านั้น ข้างในหัวใจก็ถูกมันฉีกทึ้งกัดกินจนเหวอะหวะอยู่ดี และการที่จะทำให้มันกลับไปนอนหลับอีกครั้ง เพื่อให้เราได้ซ่อมแซมหัวใจให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...”
Like – Comment – Share

           มีเสียงเคลื่อนไหวเกิดขึ้นรอบตัว คนข้างตัวของเขาก็ขยับเช่นกัน เม็ดนุ่นเก็บกระดาษโปรแกรมปึกใหญ่ใส่กลับลงไปในกระเป๋าเป้ แล้วยกขึ้นสะพายหลัง มือข้างหนึ่งกอดเสื้อกันหนาวตัวหนาที่ซื้อมาเพื่อลุยอากาศหนาวช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ หล่อนหันมาบอกเขาว่า
           “ไปกันเถอะโอ๊ต ได้เวลาแล้ว”
           ข้าวโอ๊ตพยักหน้า และก่อนที่เขาจะเก็บโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มกดโพสต์อีกครั้ง

Oatmeal
Samut Prakan
ไปหาอะไรใหม่ ๆ ให้ชีวิต – is going to Tokyo from here: Suvarnabhumi Airport, Bangkok
Like – Comment – Share



                                                                        - The End -
หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-01-2016 16:58:47

สำหรับ "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" ก็จบลงตรงนี้นะคะ
เป็นเรื่องแรกที่เขียนโดยมีรายละเอียดมากมาย มันคงไม่สมบูรณ์และยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงต้องขออภัยสำหรับความผิดพลาดไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุก ๆ ความเห็น

สุดท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกคนรักษาตัวเองดี ๆ
ไม่ตกเป็นเหยื่อฆาตกรรม ทั้งจากสัตว์ประหลาดในใจของตัวเองและสัตว์ประหลาดจากใจของคนอื่นนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี
Mettnoon
12-1-2016
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: momoko35 ที่ 12-01-2016 17:14:04
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-01-2016 19:38:53
นิยายเรื่องนี้แหวกแนวจากทุกเรื่องในเล้าเลยจริงๆ
ตอนแรกเราเข้ามาเพราะคิดว่าจะเป็นอนวสืบสวนอะไรประมานนั้น
แต่พออ่านๆ ไปแล้วแบบ นี่มันตีแผ่ชีวิตมนุษย์ทำงานชัดๆ
คือเขียนได้ดีมาก แบบ อ่านไปก็แบบ เออ จริง สังคมมันไม่สวยงาม
ทุกคนมีปัญหา แต่ก็มีมุมที่ต้องปั้นหน้าเข้าหากัน
ตอนอ่านก็ยังสงสัยว่า เอ้ะรึฆาตกรรมในที่นี้หมายถึงแบบตายทั้งเป็น เล่นคำอะไรแบบนั้น
เพราะไม่มีใครตายจริงๆ แต่พอมาตอนเกือบๆ สุดท้าย หวยไปออกที่ทีโมนจ้าา
เราเดาๆ ว่านางน่าจะกิ้กกับคนในออฟฟิต ไม่มิกกี้ก็นัตโตะ เพราะมีตอนที่คุยกับหญ้าแล้วกิ้กนางส่งข้อความมา
แต่อิทีโมนนี่ก็น่าขยะแขยงจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับควรตาย
ตอนแรกนึกว่าถ้าจะมีคนตายจริงๆ นี่เราเสนอนัตโต๊ะ นะ 55555
แล้วพอมีคนตายปุ้บ เรื่องเดินไปเร็วมาก คือจบปึ้งเลย เราก็แบบ ขออีกนิดดิ่
มาแจกความสดใสทิ้งท้ายหน่อยได้มั้ย ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะค๊าา
เป็นเรื่องที่ให้แง่คิดได้ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: nekodollzz ที่ 12-01-2016 20:48:24
โห ชอบมาก อ่านรวดเดียวเลยค่ะ
ถึงจะบอกว่ารวดเดียว แต่แรกๆอ่านข้ามๆค่ะ
นึกว่าจะมาแนวสยองขวัญ พออ่านไปสักพักเริ่มรู้แนวละ
แต่ก็ยังอ่านข้ามอยู่ดี เพราะรับความรู้สึกกดดันไม่ไหวอ่ะ
ช่วงนี้นิยายแนวนี้อ่านไม่ไหวจริงๆ มันเหมือนระเบิดเวลาอ่ะ
พอระเบิดเวลาระเบิดตู้มเท่านั้นแหละ เลยอ่านเก็บรายละเอียดใหญ่เลย
เพราะจุดประสงค์ที่เข้ามาอ่าน คือ คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นแนวสืบสวนนั่นแหละนะ
สนุก และให้ข้อคิดดีค่ะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 12-01-2016 21:56:24
ขอบคุณครับนิยายดีมากๆๆ แต่ยังคงคิดว่าชื่อเรื่องไม่นำพาเท่าไหร่นะครับ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 12-01-2016 22:08:35
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ดีมากในความคิดเรา การใช้ภาษา การเขียน การสะกด การบอกเล่า ดีมากๆ ตั้งแต่เริ่มอ่านก็มักจะติดตามเรื่อย ๆ เข้าเวปมาก็จะมองหาเรื่องนี้ในลำดับต้นๆ ก่อนเสมอ ขอสารภาพว่าคาดเดาไว้ว่ามิคกี้นี่แหละกิ๊กขี้หึงของอีตาทีโมนที่มันง้องอนกันอยู่ ถ้าการฆาตกรรมในชื่อเรื่องจะมีคนตายจริง ก็อีตานี่แหละ น่ารังเกียจกว่าใครเพื่อน เหมือนเข้าไปอยู่กลางออฟฟิตเลยจริงๆ (เคยทำงานออฟฟิตมาช่วงเวลาหนึ่งเลยอินจัด แล้วมันมีจริงๆ นะคนประเภทนั้นประเภทนี้ในออฟฟิต) แต่ถ้าไม่มีใครตายก็นี่แหละบรรยากาศการทำงานนี่แหละการฆาตรกรรมชัดๆ เหมือนพิษที่ฆ่าให้ตายช้าๆ เลย แต่ก็มีคนตายจริงๆ ด้วย (ซะงั้น)

คุณผู้แต่งแต่งได้ดีมากๆ มากจริงๆ ในระดับที่อ่านนิยายออนไลน์ ชื่นชมจากใจ

ขออนุญาตเสนอแนะเรื่องคำบางคำ เช่น เสื้อหนาว ถ้าผู้แต่งใช้ว่าเสื้อกันหนาวจะดีกว่ามากเลยค่ะในความคิดเราเพราะเสื้อหนาวใส่แล้วคงเย็นดีนะไม่ได้ให้ความอบอุ่นเหมือนกับคำว่ากันหนาว อีกคำที่สะดุด คือ ราพนาสูร มันต้องเขียนแบบนี้รึเปล่านะ ราพณาสูร

(การดู CSI ทำให้การสืบสวนชัดเจนขึ้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 12-01-2016 23:02:58
เสียใจด้วยคะ นัตโตะน้องไม่ใช่เดอะเฟซ ... อ้าวคนละนัตโตะหรอขอโทษที #ผิด

สรุปก็ฆาตกรรมกันจริงๆตามที่ชื่อเรื่องสัญญาจริงๆด้วย เเล้วก็ตายด้วยความหึงหวง ไม่ใช่ความเครียดหรือออฟฟิศซินโดรม
ตอนเเรกก็นึกไม่ถึงว่ามิกกี้คือกิ๊กของทีโมน เเค่นึกถึงว่าคุณกิ๊กเเกมีสายดี(เเบบว่าสนิทกับใครซักคนในออฟฟิศ)

ขอบคุณคนเขียนที่เอาผลงานที่น่าสนใจมาให้อ่านนะครับ ทั้งตีเเผ่ชีวิตนักเรียน(ญี่ปุ่น)เเลกเปลี่ยน เเละชีวิตพนักงานออฟฟิซ

ต้องซูฮกสกิลการเสี้ยมของตัวป่วงอย่างนัตโตะนะสามารถสร้างความเเตกเเยกให้ทุกคนในออฟฟิศได้

ปล.เรื่องต่อไปมาเฉลยเเฟนของข้าวโอ็ตได้ใหมหละ???
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: anata9 ที่ 12-01-2016 23:36:43
ชอบครับ นิยายแนวนี้ แตกต่างจากนิยายอื่น ๆ ที่เล้าจริง ๆ

สิ่งที่ชอบอีกเรื่อง คือ การนำเสนอช่วงแรก เป็นมุมมองของพนักงานแต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร ซึ่งยอมรับว่าผู้แต่งผูกเรื่องได้ดีจริง ๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: PaePT ที่ 13-01-2016 00:47:18
ชอบมาก !!!!  o13
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-01-2016 14:32:37
สนุกมากค่ะ ขอบคุณ :pig4:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 16-01-2016 20:58:19
เป็นเรื่องที่หลากหลายอารมณ์ในการอ่านมาก สุดยอดจริงๆค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาอย่างดี :mew1:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 16-01-2016 21:33:56
เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งนะ เก็บกดดี  :ling2:
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 28-01-2016 04:30:25
เรื่องนี้ดีมาก เรียล พีคมาก ทุกคนเป็นสีเทา 
ไม่มีใครดีสุดและร้ายสุด ชอบมากกก
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 29-01-2016 04:46:50
ชอบบบ  o13
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 30-01-2016 22:24:33
เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่อยากอ่านกลัวหน่วง  แต่ก็อ่านจนจบ มันหยุดไม่ได้   น้ำตสไม่ไหลไม่รู้สึกเศร้าแต่หน่วงๆป่วงๆในใจ ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆน้า^ ^
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: zhanzhao ที่ 31-01-2016 23:17:37
เขียนดีมากๆเลยค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ
เกลียดนัตโตะมากๆ น่าจะมีภาคต่อ ให้ศพรายต่อไปเป็นนัตโตะนะคะ อุ้ยขอโทษค่ะ สายดาร์กไปหน่อย
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 15-02-2016 15:52:08
ได้อ่านทุกความคิดเห็น
ต้องขอบคุณมากนะคะ ดีใจที่มีคนอ่านค่ะ

Mettnoon
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Thanthic ที่ 16-02-2016 01:13:48
ขอบคุณผู้เขียนนะคะ

เรื่องนี้ดีมากให้ข้อคิดเยอะทีเดียซ

ขอให้มีผลงานต่อไปอีกเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: PPink ที่ 18-02-2016 02:39:29
ภาษาดีมาก อ่านแล้วบีบหัวใจสุดๆ
ไม่เจอเรื่องแนวนี้ในเล้ามานานมาแล้ว ถือเป็นแรร์ไอเทมเลยนะคะเนี่ย
ชอบหารดำเนินเรื่องที่ทำให้เราอินไปกับตัวละครอย่างบอกไม่ถูก
ชื่อเรื่องที่ตอนแรกนึกว่าอุปมาก็กลายเป็นตายจริงซะงั้น

อีกประเด็นที่ชอบคือการสื่อเรื่องครอบครัวของเพศที่สามในหลายๆมุม
พอเราได้มองมุมพ่อแม่ จากที่ไม่เข้าใจท่านก็กลายเป็นเข้าใจมากขึ้น
ชอบที่สุดคือประโยคของพ่อที่บอกว่า "ไม่ยอมรับ แต่เข้าใจ" เหมือนหมัดฮุคกระแทกลงไปในใจ
เข้าใจข้าวโอ๊ตมากๆ ในจุดนั้น และก็เข้าใจพ่อข้าวโอ๊ตแล้วเหมือนกัน
อินจังกับเรื่องนี้ ฮือ

ขอบคุณสำหรับการเขียนเรื่องราวดีๆ แบบนี้ให้นำไปคิดและตกตะกอนต่อนะคะ
ชอบคอนเซป "สัตว์ประหลาด" มากเลยค่ะ ประโยคท้ายบทหลายๆ บทสื่อให้เรานึกภาพความรู้สึกตามชัดเจนมาก

แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีแนวกุ๊กกิ๊กมาก แต่เป็นเรื่องที่นริงมากจนเรามองข้ามอะไรแบบนั้นไปเลย
รอภาคต่อของข้าวโอ๊ตนะคะ หวังว่าอนาคตของนางจะสดใสขึ้นบ้าง
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 08-03-2016 09:29:33
ขอนิยามสั้นๆ

เหนือความคาดหมาย มีกลิ่นอายที่เข้มข้นชวนลุ่มหลง แตกต่างและชัดเจน ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 08-03-2016 23:14:04
อ่านแล้วเครียดๆ แต่ก็ลุ้นไปตลอดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องย้อนมองตัวเอง เฮ้ยเราเคยทำแบบนี้ ไม่ดีเลย, เออ น่าจะทำแบบนั้น ให้แง่คิดดีมากค่ะ
ในเรื่องนี้ตัวละครที่ช่วยพักเครียดชั่วคราวคือเม็ดนุ่น เป็นเพื่อนที่โคตรดีอ่ะ
ถ้าไม่มีนาง โอ๊ตอาจเป็นบ้าไปแล้วก็ได้ 55 :laugh:
ช่วงหลังๆพี่หญ้าสตรอง เท่มาก o13

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ บวกๆ :L2:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-03-2016 11:43:34
ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ ดิฉันดีใจมาก

ขอฝากเรื่องที่สามด้วยนะคะ
"ภาพลวงตาของปีศาจ"
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52402.0
ยังเขียนไม่จบ แต่จะทยอยลงค่ะ

Mettnoon
11/3/2015

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 13-03-2016 19:19:33
เขียนดีภาษาดี แหวกทุกเรื่องในนี้เลยจริงๆ
อ่านแล้วลุ้นมากว่าใครจะตาย
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 14-03-2016 05:19:57

เขียนออกมาเห็นภาพการทำงานในออฟฟิศเลย
ตรงกับสิ่งที่เราเผชิญหลายๆอย่างในออฟฟิศตัวเอง
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-03-2016 18:50:00
เดาฆาตกรได้ไม่ยากนะ แต่จุดเด่นของเรื่องนี้ก็คือ การที่คนเขียนสื่ออารมณ์ความรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ กดดัน และอะไรอีกหลายๆอย่างของตัวละครได้ดีมากเลยค่ะ อ่านไปก็นึกถึงตัวเองไป (โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ที่เป็นพาร์ทแยกของแต่ละคน) ว่าเราเคยทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยความเอาแต่ใจ รักสบายของของตัวเองบ้างหรือเปล่า (ก็คงจะมีแหละ แต่หวังว่าคงจะไม่ได้สร้างบาดแผลในใจให้ใคร)
ตอนจบสรุปได้ดีเลยค่ะ ได้ข้อคิดมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้เคยอ่าน แต่อ่านไม่จบสักที เลิกไปซะก่อนเพราะดูท่าจะเครียดไม่น้อย วันนี้ได้มีโอกาสอ่าน รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งทีเดียว
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ และขอให้กำลังใจหากจะมีงานเขียนใหม่ๆในอนาคต
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-04-2016 20:34:59
จัดเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ ครับ
ทึ่งมากที่สี่ห้าบทแรก พูดเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่น่าติดตามมาก
การเดินเรื่องก็ชวนติดตาม เป็นเรื่องฆาตกรรมก็จริง แต่ไม่ใช่มุมสอบสวน เป็นการเล่นกับสภาพสังคมสมัยนี้ได้ดีจริงๆ
สุดท้ายนี้ ขออย่าให้ที่ทำงานใครต้องเป็นแบบออฟฟิศนี้เลย แค่มีแบบไอถั่วเน่าซักคนก็แย่แล้ว
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 07-04-2016 07:21:21
 :hao5: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 04-10-2016 16:26:50
 o13
หัวข้อ: Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Maainmint ที่ 26-03-2018 03:14:43
ยกนิ้วให้เลย ภาษาและเรื่องดีมาก อ่านไปบีบใจไป