พิมพ์หน้านี้ - ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 07-12-2017 16:02:55

หัวข้อ: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 07-12-2017 16:02:55

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

***************************************************************************************




ให้ความลับย่อยสลายไปพร้อมกับศพคนตาย
ส่วนคนเป็นก็ทำราวกับไม่รู้ไม่เห็น
ซ่อนเร้นด้วยชุดคลุมหนังแกะ ปกปิดร่างแท้ซึ่งคือหมาป่า



ลั่นดาล
โดย กระเหี้ยนกระหือรือ (นามปากกาใหม่ 9crimes)


เกิดเหตุพบศพชายผูกคอตายภายในห้องนอนที่ล็อกกลอนแน่นหนา
คิมหันต์…จึงจำต้องกลับมาเหยียบบ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยตอนครั้งยังวัยเยาว์อีกครั้ง
ในฐานะเจ้าหน้าที่ควบคุมการสืบสวนคดีพิเศษและควบตำแหน่งเป็นถึงพี่ชายฝาแฝดของผู้ตาย




สารบัญ – ลั่นดาล
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3749633#msg3749633)
๐๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3749828#msg3749828)
๐๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3750225#msg3750225)
๐๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3750777#msg3750777)
๐๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3751080#msg3751080)
๐๖ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3848433#msg3848433)
๐๗ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3848433#msg3848433)
๐๘ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3848839#msg3848839)
๐๙ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3851203#msg3851203)
๑๐ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3851641#msg3851641)
๑๑ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3852182#msg3852182)
๑๒ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3853020#msg3853020)
๑๓ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3853511#msg3853511)
๑๔ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3855692#msg3855692)
๑๕ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3867338#msg3867338)
๑๖ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3880438#msg3880438)
๑๗ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3890646#msg3890646)
บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3890660#msg3890660)
End credit (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3891101#msg3891101)
ตอนพิเศษ๑ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.msg3930452#msg3930452)


ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)




หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ————
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 07-12-2017 16:19:20
บทนำ




เสียงฟ้าฝนทำคนนอนกระสับกระส่ายหลับไม่สนิทมานักต่อนัก

แถมช่วงกลางคืน อุณหภูมิมีแต่จะยิ่งกดตัวลงต่ำ เมื่อความเย็นผนวกเข้ากับละอองน้ำ น่าพิศวงที่สภาพอากาศภายนอกกลับเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายจู่ ๆ ก็รู้สึกอยากขับถ่ายขึ้นมาเสียดื้อ ๆ 

เด็กหญิงตัวน้อยปรือตาตื่นและลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างงัวเงีย พิมพ์มาดาหรือหนูดาวัยห้าขวบเกิดปวดปัสสาวะจึงทำการเขย่าร่างคนข้างกายที่เคยบอกไว้ว่าถ้ามีอะไรให้ปลุกได้ตลอด แต่จนแล้วจนรอด เขย่าเท่าไหร่คนนอนคลุมโปงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมตื่นแต่อย่างใด

โดยปกติแล้วเด็กมีความอดทนอดกลั้นตื้นเขินกว่าผู้ใหญ่ สุดท้ายเด็กหญิงจึงปีนลงจากเตียงเองโดยพลการท่ามกลางความมืดมิด ก่อนยืนลังเลนิดหน่อยเรื่องทิศทาง สวิตช์จ่ายแสงสว่างอยู่ตรงไหนนะ มือน้อยปัดป่ายในอากาศ ควานมือสะเปะสะปะเพื่อหาผนังปูน 

มือเล็กหยุดคลำเมื่อคว้าลูกบิดได้และไวเท่าความคิดก็บิดมันเพราะนึกว่าเป็นประตูสุขา แต่กลายเป็นว่ามีแสงจ้าจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องจนต้องหรี่ตา ร่างเล็กยืนค้างระหว่างประตูที่เปิดแง้ม ก่อนจะสอดตัวออกไปหลังเกิดความคิดใหม่ ๆ ขณะแทบลืมว่าอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้ตื่นขึ้นมา

สองขาสั้นที่ถูกบดบังด้วยชายกระโปรงชุดนอนขยับทอดน่องจากหน้าห้องตัวเองไปยังฝั่งตรงข้าม ย่ำฝ่าเท้าบนความมันวาวที่สะท้อนเป็นเงาตอนเดินผ่านสามบานประตูที่ยังปิดสนิท ไม่มีใครคิดลุกขึ้นมาหรอกนอกจากเด็กหญิงที่จู่ ๆ ก็รู้สึกโหยหาอ้อมกอดของคนเป็นพ่อ

ลูกสาวก็แค่อยากขอนอนด้วย แต่โชคไม่ช่วยเท่าไหร่ที่ประตูดันล็อกจากด้านใน หนูดาเกือบล้มเลิกความตั้งใจเมื่อหมุนลูกบิดยังไงก็ไม่สามารถเปิดประตูได้ แต่ด้วยนิสัยเด็กที่ชอบเร้าหรือเป็นทุน คิดแค่ว่าถ้าเรียกซ้ำ ๆ คนด้านในก็จะรับรู้แล้วเดินมาเปิดประตูให้ในที่สุด 
   
“คุณพ่อคะ คุณพ่อ”  มือน้อยห่อป้องปากหวังทำให้เสียงยิ่งก้อง ยืนตัวเย็นอยู่หน้าห้องที่ข้างในไร้เสียงความเคลื่อนไหวขณะสายฝนยังเทกระหน่ำ ดีที่ฟ้าไม่ผ่าซ้ำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัว  “คุณพ่อ เปิดประตูให้หนูหน่อย”

“หนูดา…?”  ตอนที่ไหล่เล็กลู่ดูแสนผิดหวัง เสียงทักอย่างอ่อนโยนก็ทำให้เด็กหญิงหมุนตัวหันกลับมามอง  “น้าภัค…”  พร้อมขานรับ เรียกชื่ออีกคนกลับด้วยน้ำเสียงละห้อย   
แถมยืนนิ่งอยู่กับที่ระหว่างทำสีหน้าเศร้าสร้อยจนผู้ใหญ่พลอยเป็นห่วง

นรภัทรหรือภัครีบเดินเข้าหาพลางทวงถามว่าออกมาทำอะไรข้างนอกในยามวิกาล 
“หนูดาออกมาทำอะไรข้างนอกคนเดียวคะ”  ลงท้ายคะขาคงนึกว่าเป็นผู้หญิง

อันที่จริงภัคเป็นผู้ชายที่ลักษณะทางกายภาพค่อนไปทางผอมบาง ความสูงสักร้อยเจ็ดสิบต้น ๆ แต่ถ้าเทียบกับผู้ชายด้วยกันก็ยังถือว่าเป็นคนตัวเล็ก ด้วยความหน้าเด็กเลยดูเหมือนเพิ่งเรียนจบมอปลาย ทว่าความจริงอายุขัยได้ขยับเข้าสู่เลขสองและมีศักดิ์เป็นถึงน้าชายหรืออีกความหมายก็คือน้องแม่ของเด็กหญิงนั่นเอง   

ภัคลดตัวนั่งยอง ๆ แล้วประคองสองมือเล็กไว้บนฝ่ามืออย่างแผ่วเบา แต่เมื่อหลานสาวยังเงียบจึงโอบรอบเอวเล็กเข้าหาตัว กลัวจะหนาวจึงกอดไว้หลวม ๆ 

“หนูแค่อยากนอนกับคุณพ่อ”  แต่เพราะประตูมันล็อกก็เลยเปิดเข้าไปไม่ได้… ร่างบางอ่านเอาจากสายตาหงอย ๆ ที่ส่งมา มองใบหน้ามุ่ย ๆ สลับกับบานประตูด้านหลังที่ยังปิดสนิท

ในขณะเดียวกันก็คิดหาถ้อยคำปลอบใจ พอคิดอะไรดี ๆ ออกก็รั้งตัวเด็กหญิงเข้ามาแนบกายและไม่ลืมคลี่รอยยิ้มหวาน ประดับมันไว้บนริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา  “แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้วนะคะคนดี คุณพ่อคงหลับไปแล้วล่ะ หนูดาอย่ากวนคุณพ่อเลยนะ” 

เอ่ยประโยคจบก็รอดูปฏิกิริยาเด็กหญิงที่นิ่วหน้าประหนึ่งกำลังคิดไม่ตก  “งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า เรากลับไปนอนกันแล้วเดี๋ยวน้าภัคเล่านิทานให้ฟังด้วยดีไหม”  สำหรับเด็กจะมีอะไรสนุกไปกว่าการได้ท่องโลกนิทาน แถมเด็กตรงหน้าเองก็เป็นถึงหลานสาวที่เลี้ยงมาเองตั้งแต่ยังแบเบาะ
 
การเฝ้าฟูมฟักตลอดระยะเวลาห้าปีพอทำให้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ท้ายที่สุดหนูดาก็พยักหน้าเป็นอันตกลงยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ภัคจึงได้ฤกษ์ช้อนตัวหลานสาวขึ้นจากพื้นพลางยกมือเรียวขึ้นลูบผมยาวสลวยเพื่อปลอบใจเด็กหญิงที่ยังอยู่ในอาการโศกเศร้า

หนูดาซบแก้มยุ้ยกับบ่าแคบอย่างหงอย ๆ ระหว่างปล่อยให้น้าชายอุ้มพากลับห้องก็ทำท่าจะหลับต่อเพราะน้ำหนักมือที่ยังลูบหัวทุยไม่ขาด สัมผัสนั้นสม่ำเสมอจนดูปกติดี จะมีก็แต่แววตาอ่อนโยนของผู้ใหญ่ที่เมื่อพ้นสายตาเด็กก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ปรากฏความเฉยเมยยามชายตามองบานประตูที่ยังไร้วี่แววว่าคนอยู่ด้านในจะเดินมาเปิดมัน   

“อ๊ะ นั่น …คุณพ่อนี่นา!”  หลงคิดไปว่าเด็กน้อยใกล้หลับบวกกับกำลังมีเรื่องคิดในใจ ไม่แปลกที่ผู้ใหญ่จะสะดุ้งเพราะเสียงแหลมเล็กและคำพูดของเด็กยังส่งผลทำให้หัวใจทำงานหนัก ภัคเกิดอาการหน้าถอดสี หากมีกระจกสักบานให้ส่องคงมองเห็นว่าตัวเองดูมีพิรุธแค่ไหน

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกล่อกแล่กไปมาขณะเกิดอาการขนลุกขนชัน จู่ ๆ อากาศก็เย็นเฉียบฉับพลัน ไหนจะความเงียบสงัดที่ขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งน่าสยดสยองจนหวั่นใจว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจากมุมมืด ไม่เคยรู้สึกกลัวเวลากลางคืนเท่าตอนนี้มาก่อน     

“เมื่อกี้หนูดาพูดว่าอะไรนะคะ”  เสียงที่สั่นถามย้ำพลางกลืนน้ำลายลงคอ

ระหว่างรอคำตอบก็พยายามทำใจกล้ากวาดสายตามองบริเวณโดยรอบ จนกระทั่งร่างเล็กในวงแขนหันตัวกลับมาชี้ให้มองไปในทิศทางเดียวพร้อม ๆ กัน นิ้วสั้นชี้บอกว่าตรงนั้นไง ขั้นบันไดล่างสุดที่เห็นคุณพ่อ  “หนูเห็นคุณพ่อยืนยิ้มให้อยู่ตรงนั้น เราลงไปข้างล่างกันเถอะน้าภัค” 

เด็กหญิงจำได้แค่ว่าตอนแรกเห็น แม้ต่อมาจะพบเพียงความว่างเปล่าก็ยังฝังใจว่าเห็น
คะยั้นคะยอขอให้น้าชายช่วยพาลงไปข้างล่าง รบเร้าจนภัคต้องปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  “ด้านล่างไม่เห็นจะมีใครเลยนะหนูดา”  เพ่งสายตามองจนค่อนข้างมั่นใจว่าด้านล่างที่สว่างเป็นบางจุดไม่มีคุณพ่ออย่างที่หลานสาวกล่าวอ้าง  “สงสัยหนูคงจะตาฝาดแล้วล่ะ”

“แต่หนูเห็น…”

“คุณพ่อก็นอนอยู่ในห้องไงคะ จะออกมาข้างนอกได้ยังไงจริงไหม”  คนเป็นน้าชายเล่นพูดดักเสียยืดยาว หลานสาวจึงไปต่อไม่ถูกแถมคิดตามไม่ทัน สัญชาตญาณบอกแค่ว่ากำลังโดนดุ เมื่อรู้ตัวว่าคืนนี้อาจจะไม่มีคนนอนกอด จึงรีบอ้อน เลิกยอกย้อนและไม่พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีก

“น้าภัคอย่าโกรธหนูนะ”  สองมือน้อยประคองแก้มผู้ใหญ่ไว้พลางสบสายตาอย่างหวั่น ๆ กลัดกลุ้มตามประสาเด็กที่เห็นกี่ครั้งก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูเสมอ

เจอแววตาเว้าวอนเข้าไปก็โกรธไม่ลง ส่ายหัวแล้วส่งยิ้มให้บาง ๆ  “หนูดาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ น้าภัคไม่โกรธหรอก”

ซึ่งนอกจากเด็กหญิงจะยิ้มกว้างให้ ยังหอมแก้มเนียนซ้ายขวา จุ๊บปากน้าชายปิดท้ายแล้วค่อยเอนหัวซบช่วงไหล่ราดดั่งเดิม เด็กน้อยรูดซิปปากไม่มีอะไรจะคัดค้าน เพียงแต่ตอนถูกอุ้มผ่านบันได นัยน์ตากลมโตก็ยังแอบเหลือบมองลงไปยังเบื้องล่าง ก่อนจะแอบยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโบกไหว ๆ ตอบคุณพ่อที่ทำท่าทางเดียวกันจากขั้นบันไดเดิม

จนเมื่อระยะห่างเริ่มทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด หนูดาลืมตัวชะเง้อชะแง้คอ แต่พอคนอุ้มหลุบตามองก็รีบหดหัวกลับ แกล้งหลับตา คิดว่าจะหลอกผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนได้ ใช่ว่าภัคตามไม่ทัน แต่แทนที่จะคาดคั้นเอาความกับเด็ก ตัวเองก็อยากนอนเต็มแก่จึงทำแค่กวาดสายตามองบริเวณโดยรอบอีกครั้งระหว่างเอื้อมมือเปิดประตูห้องนอนอย่างชำนาญ

จนยิ่งกว่ามั่นใจว่าไม่มีอะไรเหลือนอกเหนือจากความว่างเปล่ากับข้าวของทั้งหลายที่วางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนทุกวัน แววตาหวั่นวิตกคงเหลือเพียงความโล่งใจในขณะที่หลานสาวเรียกชื่อขึ้นมาเบา ๆ  “น้าภัค…”  เจ้าของชื่อขานรับในลำคอรอว่าเด็กหญิงจะพูดอะไร  “หนูปวดชิ้งฉ่อง” 

น้าชายอดอมยิ้มกับคำที่หลานสาวเลือกใช้ไม่ได้ สงสัยว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้น่ารักนัก ระหว่างอุ้มเข้าห้องนอนก็ยิ่งกระชับอ้อมวงแขนให้แน่น แม้นไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ก็รักและทะนุถนอมไม่ต่างจากคนให้กำเนิดเอง  “ได้สิคะ เดี๋ยวน้าภัคพาชิ้งฉ่องก่อนเข้านอนเนาะ” 

ขอแค่เป็นเรื่องของเด็กหญิงพิมพ์มาดา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ หนักหนาสากรรจ์แค่ไหนก็พร้อมทำให้ทุกอย่าง แลกกับการได้เฝ้ามองพัฒนาการอยู่ข้าง ๆ และเป็นฐานให้เด็กหญิงได้เหยียบอย่างมั่นคงเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีและต่อให้ใครเอาแก้วแหวนเงินทองมาแลกก็ไม่มีทางตอบตกลง จะปกป้องหลานสาวซึ่งเปรียบเหมือนโลกทั้งใบของตัวเองจนตัวตาย 

“ฝันดีค่ะสาวน้อย”  ต่อให้ต้องฆ่าใครเพื่อให้เด็กหญิงรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา สองมือที่ใช้ห่มผ้าให้ก็พร้อมจะแปดเปื้อนอย่างไม่มีอิดออด ร่างบางเขยื้อนตัวลงนอนข้างหนูดาที่ฟังนิทานไม่ถึงกลางเรื่องก็ผล็อยหลับไปแล้วค่อยเอื้อมมือปิดโคมไฟ จนทั้งห้องตกอยู่ใต้อาณัติความมืดมิด   

บนเตียงขนาดใหญ่ น้าชายนอนหันตะแคงข้างและกางแขนโอบกอดหลานสาวที่ซุกตัวเข้าหาเหมือนทุกคืน ถึงแม้ว่าจะหลับตามกันไป แต่สัญชาตญาณระแวดระวังภัยก็ยังคงตื่นตัวตลอดเวลา ราวกับงูจงอางหวงไข่ที่คอยปกป้องลูกน้อยไม่ให้ไอ้อีหน้าไหนมาทำร้ายได้ 











----------------------------------------------------
***หมายเหตุ ต้องขออนุญาตแจ้งก่อนว่าลั่นดาลมีอีกเวอร์ชั่นที่ลงในเด็กดี(แต่ปัจจุบันยังลงไม่จบ) เวอร์ชั่นในเด็กดีเป็นแฟนฟิคเกาหลีค่ะ ที่ต้องบอกก่อนก็เพื่อป้องกันการสับสน ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาแฟนฟิคมาแปลงเป็นวายไทยแล้ว(มีบทเรียนเล็กๆน้อยๆจากตอนทงจีกับเหมายัน) แต่ทีนี้บอกตรงๆค่ะว่าเสียดายพล็อตเรื่องนี้มากและรู้สึกว่าไม่อยากจำกัดมันให้อยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆ ก็เลยเอาวะ แปลงก็แปลง โดยพล็อตและฉากของทั้งสองเวอร์ชั่นจะเหมือนกัน ยกเว้นคำบรรยายที่มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ยังไงฝากติดตาม คอมเม้นและเป็นกำลังใจให้ตุ๊กติ๊กด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ  。◕‿◕。
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
   

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทนำ) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-12-2017 17:14:54
เป็นกำลังใจให้คุณตตนะคะะ
เราชอบการเขียนของคุณตั้งแต่เหมายันแล้ว เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทนำ) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 07-12-2017 17:31:33
งื้อออ มาตอนแรกก็ขนลุกเลย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทนำ) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: __puppy ที่ 07-12-2017 17:39:45
 o13
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทนำ) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 07-12-2017 22:57:00

๐๒




หยาดฝนเพิ่งหยุดตกเกือบรุ่งสาง ยอดน้ำค้างยังไม่ทันร่วงจากชายคา น่านฟ้ายังเป็นสีครามอมเขียวแก่ แต่บรรยากาศภายในสวนหน้าบ้านที่ควรจะสงบกลับเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่พิเศษหลังจากมีคนในบ้านโทรไปแจ้งว่าพบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ

คุณผู้ชายของบ้านแขวนคอตายภายในห้องนอนส่วนตัว

ป้าแม่บ้านซึ่งยังตกอยู่ในอาการกลัวให้การกับตำรวจที่รุดมายังสถานที่เกิดเหตุในฐานะผู้พบเห็นศพของเหมันต์ พานัสวินก่อนใครว่า  ‘จะขึ้นมาทำความสะอาดห้องของคุณผู้ชายตามปกติ แต่ทีนี้ประตูมันล็อกจากด้านใน ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แค่ใช้กุญแจไขเหมือนทุกครั้งที่คุณผู้ชายชอบเผลอล็อกห้องก่อนออกไปทำงานตั้งแต่เช้า…’

ระหว่างที่หญิงวัยกลางคนเล่ารายละเอียดก่อนจะโดนซักหนักเรื่องที่ว่ามีสิทธิ์เข้าออกได้ทุกซอกทุกมุมของตัวบ้าน ด้านสมาชิกภายในครอบครัวเองก็ถูกเกณฑ์มารวมตัวกัน ณ ห้องรับรองแขกทั้งสภาพยังแต่งชุดนอนเต็มยศ

มีห้าคน อารมณ์ก็ปะปนกันไป… มินตรา หญิงสาวหน้าตาสะสวยวัยสามสิบนั่งร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่บนวีลแชร์ไฟฟ้า น้ำตาแทบหยดเป็นสายเลือดเนื่องจากผู้ตายเป็นทั้งสามีและยังเป็นบิดาของลูกสาวที่หน้าตาถอดสำเนามาจากเธอทุกกระเบียดนิ้ว

แม้แต่ริ้วรอยความเศร้าในแววตาก็คัดลอกกันมา สองแม่ลูกมีนัยน์ตาอมทุกข์เหมือนกัน
รวมถึงผิวพรรณ …ยกเว้นก็แต่เรื่องสันดาน       

ไม่รู้ว่าหนูดาได้พ่อหรือใครมา เพราะในยามที่คนแปลกหน้าพลุกพล่านเต็มบ้าน เด็กหญิงรู้งานและช่วยลดปริมาณความวุ่นวายไปได้เยอะด้วยการม่อยหลับ ความจริงมันเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องเห็นภาพมารดาโศกา ขณะข้าง ๆ กันบนโซฟามีน้าชายคอยดูแลไม่ห่าง

ภัคให้หลานสาวนอนหนุนตักต่างหมอนและก้มมองร่างเล็กที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ ตัวเองยังช็อกไม่หายกับเรื่องที่พี่เขยด่วนจากไปอย่างไม่มีเหตุผล ในช่วงเวลาเดียวกันก็กำลังห่วงความรู้สึกคนในบ้าน โดยเฉพาะความรู้สึกของหลาน
จะอธิบายอย่างไรให้เด็กวัยห้าขวบเข้าใจ ได้แต่คิดจนเผลอแสดงสีหน้ากังวล 

ผิดกับจอมทัพ ทราวรสัตย์ ที่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายชัดเจน ดูไม่ยินดียินร้าย เหมือนไม่สนว่าใครจะเป็นจะตายด้วยซ้ำ หลายครั้งชายหนุ่มหน้าตาคมคายทำแค่เดินกลับขึ้นไปชั้นบนแล้วก็โดนตำรวจเชิญลงมาทุกที การโดนกักบริเวณทำให้อารมณ์เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งชักหัวเสียใบหน้าดุเป็นทุนเพิ่มระดับความหงุดหงิดขึ้นตามจำนวนวินาที 

คงจะมีก็แต่ธันวาหรือธันเท่านั้นที่เก็บอาการจนอ่านความรู้สึกทางสีหน้าไม่ออก ราวกับหุ่นกระบอกที่มีอารมณ์เดียว อาจเพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผู้ตายจึงไม่รู้จะแสดงความเสียใจในฐานะใด ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งและมีผิวขาวซีดเข้ามาอาศัยชายคาเพื่อดูแลภรรยาเจ้าของบ้านที่มีปัญหาด้านการเดินเหินก็เท่านั้น

ถึงจะอยู่บ้านหลังใหญ่นี้มานาน แต่จะได้คุยกับนายเหมันต์นิด ๆ หน่อย ๆ ก็แค่ตอนรับเงินเดือน ไม่เหมือนคนอื่นที่ได้ใช้เวลาร่วมกับผู้ตายมากกว่า   

“ผมว่าพี่ทำใจดี ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีกคน” 

บทสนทนากำเนิดขึ้นเพราะความเป็นห่วง แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือดวงตาแดงก่ำที่ตวัดมองอย่างกรุ่นโกรธ คนกำลังเสียใจไม่รู้จะระบายอารมณ์ใส่ใคร น้องชายแท้ ๆ จึงกลายเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ร้าย ๆ อีกตามเคย 

“เป็นแกก็พูดได้! ลองให้คนที่แกรักตายดูบ้างไหมล่ะ!” 

วาจาแสลงหูดังก้องบริเวณและประโยคไม่ทะนุถนอมน้ำใจนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ภัคหลุบตามองต่ำ หมดถ้อยคำจะต่อล้อต่อเถียงไปโดยปริยาย เพราะรู้ดีว่าถ้าขึ้นเสียงใส่กลับ ทุกอย่างจะยิ่งมีแต่แย่กับแย่ลง ก็ได้แต่หวังว่าพี่สาวจะยังคงนึกถึงใจลูกน้อยของตัวเองบ้าง 

“ไม่เห็นแก่ผมก็ช่วยเห็นแก่หนูดาด้วยเถอะ แกหลับอยู่นะ”

“ฉันแค่ขาเสีย ไม่ได้ตาบอด!”

“น้าภัค…”  นอนหลับอยู่ดี ๆ พอมีเสียงดังรบกวนก็ลืมตาขึ้นอัตโนมัติ เด็กหญิงเรียกหาน้าชายเป็นคนแรกซึ่งมันก็ไม่ใช่ภาพแปลกตาอะไร สามารถพบเห็นได้อยู่ทุกวัน เพียงแต่ในวันที่มีเรื่องชวนหัวถาโถมเข้ามา สำหรับมินตราไม่ว่าอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด น่ารำคาญจนเผลอตวาดลั่น   

“รักกันดีจริงนะ ผัวมาฆ่าตัวตาย ลูกก็รักคนอื่นมากกว่า นี่มันเวรกรรมอะไรของฉัน!”   

“ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะพี่มิน”   

“หุบปาก!”  อารมณ์ยังขึ้นและดูท่าไม่น่าจะลงง่าย ๆ  “น่าจะเป็นแกมากกว่าที่ตาย ไม่ใช่เหมันต์!”  เป็นใครก็คงนึกว่าหญิงสาวพลั้งปากพูดเพราะกำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 

แต่ไม่หรอก… มินตราตั้งใจพูดให้ได้ยินโดยทั่วกัน เหมือนกับทุก ๆ วันที่ชอบถากถางและเหน็บแนมน้องชายดั่งเช่นแม่เลี้ยงใจร้ายจงใจกลั่นแกล้งซินเดอเรลล่า   

“เธอนั่นแหละหุบปาก”  แล้วก็ไม่ใช่ว่าจอมทัพอยากเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยนางซินที่กำลังโดนโขกสับ เพราะความรำคาญล้วน ๆ ต่างหากถึงได้ยื่นปากเข้ามาสอด ก่อนจะด่าสาดเสียเทเสียยิ่งกว่า เนิ่นนานมาแล้วที่ชายหนุ่มวัยมหาลัยเลิกสนว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง   

ก็อย่างว่าผู้ใหญ่มันทำตัวไม่น่าเคารพเอง  “ทำเป็นสะอึกสะอื้น ร้องห่มร้องไห้อย่างกับรักผัวตายอย่างนั้นแหละ ตอแหล”

“แก…”  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการปะทะ ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาช้านาน
เผลอ ๆ อาจจะตามจองล้างจองผลาญกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนด้วยซ้ำ ก่อนเวรกรรมจะนำพาทั้งคู่มาพบกันอีกในชาตินี้ หญิงสาวออกแนวอาฆาตแค้นในขณะที่คนอายุน้อยกว่าชอบตามราวีและพูดแดกดันเพื่อความสะใจ

“ทำไม…? โกรธเหรอ งั้นลุกขึ้นมาตบฉันเลยสิ” 

จอมทัพมีความทะเล้นแต่ชอบเล่นผิดเวลา ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยไม่สนหัวงอกหัวดำมาจากใคร มีการเอียงหน้าท้าทาย รออยู่ว่าเมื่อไหร่หญิงสาวที่ง่อยเปลี้ยเสียขาจะลุกเดินมาตบตนด้วยตัวเอง ปกติจะเก่งกับเด็ก คนชราแล้วก็ผู้หญิงที่ชื่อว่ามินตราเป็นพิเศษ เพราะเห็นหน้าแต่ละทีแล้วมันรู้สึกหมั่นไส้ อยากจะแกล้งให้อกแตกตายไปซะ  “อย่าคิดว่าพิการแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรเธอนะ”

“คุณจอมทัพครับ…”

“อย่าเสือก ไอ้ขี้ข้า”  แม้ว่าความจริงจอมทัพจะเป็นคนนอกสายเลือดเหมือน ๆ กับธันวา แต่เพราะบิดาแต่งงานใหม่กับแม่ของผู้ตาย ลูกติดพ่ออย่างชายหนุ่มเลือดร้อนจึงกลายเป็นน้องชายเจ้าของบ้านโดยไม่เต็มใจนัก

แถมลึก ๆ แล้วก็ไม่อยากอยู่ที่นี่หรอก ติดที่ว่าไม่มีที่ไปและยังต้องอาศัยเงินบ้านนี้ใช้จ่าย ดังนั้นถึงจะไม่ชอบใจหลายอย่างก็ต้องทน ถึงจะเบื่อขี้หน้าคนดูแลหญิงพิการที่วัน ๆ ทำหน้าตายด้านเป็นอยู่อย่างเดียวแค่ไหน ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากพูดจาส่อเสียดใส่  “ไอ้ธัน นี่มันเรื่องของเจ้านายเว้ยและถ้าแกว่างมากน่ะนะ นู่น ไปเป็นหมาดมกลิ่นให้ตำรวจไป” 

แล้วที่ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าคนอายุไล่เลี่ยกันไม่เคยเอาคืนด้วยการชกปากเลยสักครั้ง     

“ไม่เห็นต้องพูดจากันแรง ๆ แบบนี้เลยนะครับคุณจอม หนูดาก็อยู่ด้วย”  ภัคเสนอตัวเข้าช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อหวังให้เรื่องทุกอย่างจบไป โดยลืมคิดว่าตัวเองอาจกลายมาเป็นเหยื่ออีกรายให้คนอายุน้อยกว่าเล่นหัว 

“นี่ก็อีกคน แอ๊บเก่งตัวแม่ ตอแหลแต่ฉลาดกว่าพี่สาวตัวเองหน่อย”  ผู้ใหญ่ชินกับที่อีกคนชอบพูดพล่อยเป็นนิสัย แต่ไม่ใช่กับเยาวชนตัวน้อยที่น่ากลัวว่าจะจำคำพูดหยาบคายไปใช้ในอนาคต น้าชายที่โดนเหน็บแหนมจึงรีบยกมือขึ้นปิดหูหลานสาวที่หันหน้าเข้าซุกอกทันทีเนื่องจากต้องการหนีจากสายตาไม่เป็นมิตร   

จอมทัพถลึงตามอง ยืนกอดอกจ้องหนูดาที่แอบเหลือบหางตาดูอีกทีว่ายังมีใครมองอยู่ไหมและได้ผล เด็กหญิงรีบหันหน้ากลับไปหลังคนขี้แกล้งแยกเขี้ยวใส่ หมายจะทำให้กลัวหัวหด

“ผมมาเชิญตัวคุณจอมทัพไปให้ปากคำเพิ่มเติมครับ”  จนเมื่อตัวปัญหาได้เวลาต้องตอบคำถามและเดินนำตำรวจออกไปด้านนอก ห้องรับรองแขกจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เพิ่มเติมคือความกระอักกระอ่วน ชวนให้บรรยากาศยิ่งน่าอึดอัด
 
เพราะก็อย่างที่เห็นแท้จริงแล้วบ้านหลังใหญ่เป็นแค่สิ่งปลูกสร้างที่รวบรวมคนต่างความคิดไว้ด้วยกัน คำว่าสถาบันครอบครัวเป็นแค่นามธรรม จับต้องลำบาก หากมองตัวบ้านด้วยตาเปล่า เห็นทำจากปูนก็เข้าใจว่ามั่นคง แต่ถ้าดูลึกถึงโครงสร้างทั้งบ้านมีแค่เสาเดียวค่อยรองรับน้ำหนักมาตลอดและมันก็ผุกร่อนเต็มที

บ้านนี้มีสิทธิโค่นล้มได้ทุกเมื่อถ้าต้องลมแรง ตามผนังมีรอยแตกลายงากินอาณาเขต ความแตกแยกเป็นเหมือนเภทภัยที่คืบคลานเข้ามาใกล้แล้วกระจายตัวอยู่ในทุกความสัมพันธ์

ไม่ใช่ว่าใช้กาวก็จะสมานได้ทุกรอยบาดหมาง

ผู้ใหญ่ต่างรู้ดีว่าหมดหวัง แตกต่างจากเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจ นัยน์ตากลมโตยังประกายขณะเหลือบมองใบหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยความสนอกสนใจ เด็กหญิงเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ยังหลงเหลือความใสซื่อบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ผุดขึ้นเหนือซากปรักหักพัง เบ่งบานท่ามกลางสภาพแวดล้อมเป็นพิษ 





มีต่อด้านล่าง...



หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 07-12-2017 23:02:51
รองเท้าบูทดำลงน้ำหนักบนพื้นหญ้าอย่างไม่กลัวว่าดินเฉอะแฉะข้างใต้จะทำให้หนังแท้เลอะเทอะและตลอดทางที่เดินเจอคนใต้บังคับบัญชาเมียงมองมาอย่างสนใจ เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ที่วัดความสูงครั้งล่าสุดได้ร้อยแปดสิบหกก็จะทำแค่ส่งยิ้มบาง ๆ กลับไปให้

แต่ยิ่งเดินสำรวจโดยรอบนานเท่าไหร่ก็ยิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำให้ลูกน้องวอกแวกจากการเก็บหลักฐาน ดังนั้นคนเพิ่งเดินทางมาถึงจึงว่าจะแยกตัวเข้าไปทักทายสมาชิกในบ้านที่นานแล้วไม่ได้พบกันแทน 

นับตั้งแต่ตอนมารดากับสามีใหม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็อาจจะสักห้าหรือหกปีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคิมหันต์ไม่ได้เข้ามาเหยียบตัวบ้านตระกูลพานัสวิน ซึ่งเป็นบ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยตอนครั้งยังเยาว์วัยก่อนจะแยกออกไปอยู่กับบิดาแท้ ๆ หลังพ่อแม่หย่าร้างกัน 

ลูกชายฝาแฝดถูกจับแยก… นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงมองใบหน้าสมสัดส่วนของนายตำรวจด้วยสายตาแปลก ๆ หากไม่ได้ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่แรกก็คงจะออกอาการสับสน ตกลงไหนคนไหนวิญญาณ คนที่หล่อเหลาเข้าขั้นพระเอกจนน่าจะผันตัวไปทำงานในวงการมายามีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผู้ตาย เรียกได้ว่าเหมือนกันยังกับแกะ   

หลังแม่แท้ ๆ แต่งงานใหม่และพ่อก็ตายหลายปีให้หลัง แม้ว่าจะต่างคนต่างอยู่กันมานาน แต่แฝดพี่ก็ยังคาดหวังว่าจะได้เจอแฝดน้องอยู่เสมอและไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องกลับมาเจอตอนหมดลมหายใจ รวมถึงต้องกลายมาเป็นเจ้าของคดีน้องชายทั้งที่สภาพจิตใจไม่เต็มร้อย   

ถึงการทำงานเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาหลายปีจะสอนให้เริ่มชินชาและคิดอยู่ตลอดว่าชีวิตคนก็เหมือนใบไม้ ถ้าไม่ถูกเด็ดออกจากต้นด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน สักวันก็ต้องร่วงโรยราตามธรรมชาติอยู่ดี แต่พอเป็นเรื่องของคนใกล้ตัว เป็นเรื่องของคนในครอบครัวแล้วก็ยากจะทำใจ สายสัมพันธ์เป็นเรื่องซับซ้อน มันเกิดก่อนที่เราจะลืมตาดูโลกเสียอีก   
   
“เสียใจด้วยนะครับ” 

“ขอบใจมาก”  คิมหันต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำกับยกมือตบบ่าลูกน้องไปทีตอนที่เดินสวนกันตรงประตูทางเข้าบ้าน หลังจากฝากฝังว่าถ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมให้รีบมารายงานก็ปล่อยให้ไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ

ในขณะที่ยืนกวาดสายตามองบริเวณรอบ ๆ อย่างพินิจพิจารณา  “คุณพ่อ!”  เสียงเรียกปริศนามาพร้อมแรงปะทะจัง ๆ ที่ท่อนขา นายตำรวจรีบก้มหน้ามองสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจและชูมือชูไม้เป็นสัญลักษณ์สากลว่าให้อุ้ม

ฝ่ามือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมลื่นแผ่วเบาแล้วค่อยอุ้มเด็กหญิงขึ้นจากพื้นหินขัดเงาเข้าเอวอย่างกับพ่อลูกอ่อน ปล่อยให้เด็กน้อยกอดหอมด้วยความรัก จากลังเลว่าจะบอกดีไหมว่าลุงไม่ใช่พ่อ แต่พอเห็นแววตามีความสุข จากลุงจึงสวมรอยเป็นพ่อ ต่อบทเล่นเป็นน้องชายฝาแฝด โดยไม่จำเป็นต้องดัดเสียงที่ใช้พูดเลยสักนิด  “แล้วตอนนี้คุณแม่อยู่ไหนเหรอคะ” 
 
“ในห้องนั่งเล่นค่ะ”  หนูดาจับเท็จไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป เหมือนกับเด็กวัยขวบกว่าที่พอเห็นเสือก็เรียกว่าแมวแล้วอยากจะเล่นด้วยเพราะคิดว่ามันไม่มีพิษสง   

เด็กหญิงยังแยกแยะอะไรจริงอะไรโกหกไม่ออก ได้แต่ชี้นิ้วบอกว่าเพิ่งวิ่งออกมาจากห้องไหน ไม่ลืมฉอเลาะบอกคุณพ่อว่าหนูคิดถึงจัง พูดจาฉะฉานสรรหาเหตุผลบอกคนที่รอฟังอย่างตั้งใจว่าก็หนูเบื่อนี่นาเลยออกมาวิ่งเล่นข้างนอกคนเดียว  “แต่หนูขออนุญาตน้าภัคแล้วนะคะ”

“น้าภัค…? หนูหมายถึง…”

“หนูดาคะ…”  พูดไม่ทันขาดคำ บุคคลที่พ่อลูกกำลังเอ่ยถึงก็เดินออกมาตามหาเพราะกังวลว่าหลานสาวจะเที่ยวเล่นซนจนอาจจะหัวร้างข้างแตก

ด้วยความเป็นห่วงกลัวจะไปปีนป่ายแล้วร่วงตกลงมาจนแข้งขาหัก ความตั้งใจแรกคือออกมาให้เห็นเองกับตาว่าเด็กหญิงปลอดภัย ไม่ได้เผื่อใจมาเจอภาพหลานสาวถูกใครไม่รู้อุ้มอยู่อย่างสนิทสนม ถ้าหากมีเวลาจะอบรมเด็กหญิงเสียใหม่ว่าอย่าได้ไว้ใจคนแปลกหน้าเด็ดขาด 

“น้าภัค!”  แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักแต่น้าชายก็ยังแยกแยะออก มองตามด้วยสายตารักใคร่และยิ้มหวานให้กับหนูดาที่เรียกชื่อตนขึ้นมาเสียงดัง

ซึ่งพอได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม คนเป็นพ่อก็หมุนกลับหลังหันทั้งสภาพอุ้มลูกสาวอยู่ ก่อนจะยิ้มโชว์ปลายฟันขาวนิด ๆ แสดงออกถึงความเป็นมิตรที่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ค่อยยินดีรับเท่าไหร่

หลังจากได้เห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เอาแต่จ้องหน้าร่างสูงใหญ่ที่เป็นเหมือนดั่งญาติห่าง ๆ คิมหันต์เองก็ยิ้มมุมปากแต่พองาม พยายามแสดงออกว่าบริสุทธิ์ใจ แต่ยิ่งมองด้วยอคติเท่าไหร่ภัคยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังโดนเยียดหยาม พานทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตา

รอยยิ้มเป็นความเหมือนของฝาแฝดที่แทบแยกกันไม่ออก รองจากเรื่องหน้าตา
ยังมีสิ่งที่ละม้ายคล้ายคลึงกันอีกมากมาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นความชอบ
 
“คุณคงมาหาพี่มิน เธออยู่ในห้องนั่งเล่นครับ”  ภัคปรับแววตาให้อ่อนลงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำเสียมารยาทกับพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยที่เคยเจอแค่ครั้งสองครั้งอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เพื่อรับตัวหลานสาวไปอุ้มไว้แทน

ช่วงจังหวะที่คนร่างบางแหงนหน้าส่งยิ้มให้แขกพอเป็นพิธี ตอนที่ค่อย ๆ เปลี่ยนถ่ายหนูดาจากอ้อมแขนสู่อีกอ้อมกอดทำให้นายตำรวจได้มีเวลาสำรวจรูปพรรณสัณฐาน เห็นงานปั้นเซรามิกอย่างประณีต นอกจากจะปากนิดจมูกหน่อยเหมือนลูกแมว คงไม่มีอะไรสะดุดตาเท่าผิวพรรณแวววาว ขาวอย่างกับหยวกกล้วยแซมด้วยสีอมชมพูของเลือดฝาด 

แต่ความคิดฟุ้งซ่านก็มีอันต้องหยุดลงกลางคันยามร่างบางหันกลับมาเรียก  “เชิญครับ”  เจ้าบ้านเดินนำขณะมีเด็กหญิงโบกมือให้พ่อปลอม ๆ เดินตามมา

ตอนนั้นเองนายตำรวจเลยมีเวลาครุ่นคิดถึงพฤติกรรมภายนอกที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยอยากต้อนรับของอีกฝ่าย สงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าจึงรีบก้าวให้ทัน กะจะทำลายความเงียบระหว่างเดินด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ก็ดันมีเสียงเรียกขัดเสียก่อน 

“คิมคะ!” 

ถ้าเผอิญทุกคนไม่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเหมันต์มีแฝดพี่ ความรู้สึกมันก็คงจะไม่ต่างจากการโดนผีหลอกตอนกลางวันแสก ๆ นัก ภัคหลบทางให้คนรู้จักของพี่สาวได้เดินขึ้นนำหน้า 

 “ผมเสียใจด้วยนะ”  คิมหันต์คุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาวที่เอามือใหญ่ไปกุมและรีบพูดทั้งสภาพน้ำตานองหน้า  “ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาทำแบบนี้ทำไม”

“คุณแค่ทำใจให้สบาย ส่วนเรื่องหาสาเหตุปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจนะ” 

“คุณจะอยู่ข้าง ๆ ฉันใช่ไหม”  แทนที่จะตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ มือใหญ่อีกข้างแค่วางทับบนหลังมือหญิงสาวแล้วคลึงเบา ๆ และช่วยเช็ดน้ำตาแห่งความเศร้าออกจากพวงแก้มแล้วยิ้มบาง ๆ ปลอบใจมินตราทางสายตาว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“น้าภัค”  ขณะที่คนในบริเวณไม่เว้นแม้แต่ภัคที่มองภาพชายหญิงตรงหน้าเป็นตาเดียว หนูดาจำต้องเรียกคนอุ้มอยู่หลายครั้ง ต้องเขย่าบ่าจนน้าชายหันกลับมาให้ความสนใจและกระซิบถามเสียงเบาว่าเป็นอะไรคะ  “น้าภัค หนูหิว”

“จริงด้วย”  น้าชายเองก็เพิ่งนึกได้ว่าหลานสาวยังไม่ได้ทานข้าวเช้าสักเม็ด  “จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมกับหลานจะขอตัวไปที่ห้องครัว”  ตัดสินใจถามเจ้าหน้าที่ที่เดินผ่านมาพอดี แต่ว่าก็ไม่ได้รับคำตอบในตอนนั้น เพราะนายตำรวจยศน้อยก็มัวหันมองหน้าหัวหน้าราวกับกำลังรอคำอนุญาตอีกทอด คิมหันต์ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนจึงรีบพยักหน้าระหว่างมือยังถูกมินตรากุมไม่ปล่อย  “คุณพาหนูดาไปได้เลยนะ ผมอนุญาต” 

ถามอีกคนแต่เจออีกคนตอบก็ต้องยอมรับว่ามึนงงและภัคคงจะเป็นคนท้าย ๆ ที่ได้รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยเป็นถึงตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งมีอำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ   

หลังปล่อยให้เด็กหญิงลงยืนบนพื้นแล้วเปลี่ยนเป็นจูงมือกันออกเดิน  “ขอบคุณนะครับ”  ร่างบางไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณ แต่เดินไปสองสามก้าวแล้วก็หยุดกลางคันและหันกลับมามองใบหน้าคิมหันต์ราวกับมีเรื่องข้องใจ จนเมื่อนายตำรวจส่งยิ้มให้ก็หลบสายตา หันหน้ากลับไปและพาเด็กหญิงรีบเดินสวนทางกับจอมทัพที่เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมรอยยิ้มกวน ๆ 

“ผัวตายไม่ทันไรก็จะกลับไปกินของเก่าแล้วเหรอ”  ประโยคแรกคือถามมินตราที่นั่งทำตาเขียวปั๊ด  “หรือว่านายเองก็รอจังหวะเคลมอยู่เหมือนกัน…?”  ขนาดคนตายยังไม่เคยเคารพ แล้วจะนับประสาอะไรกับพี่ชายคนตายที่ดูผิดกันหน่อยเรื่องความใจเย็น

“นายคือจอมทัพใช่ไหม”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” 

ในสายตาเด็กสาวอาจคิดว่าการทำตัวห้าวกับผู้ใหญ่ของจอมทัพช่างดูเท่บาดใจ แต่ในสายตาคิมหันต์ คนตรงหน้าก็เป็นแค่เด็กเกเรและก้าวร้าว ผ่านการขัดเกลาแต่ไม่เอาความรู้เรื่องสมบัติผู้ดีที่ได้ร่ำเรียนมาปรับใช้ 

“เออลืมไป นายมาก็ดีแล้ว ไปบอกให้ลูกน้องรีบทำงานด้วยนะ คนมีธุระ ไม่มีเวลามายืนรออะไรไร้สาระแบบนี้ทั้งวันหรอก”

“แล้วฉันจะขึ้นไปบอกลูกน้องให้” 

ส่วนในสายตาคนโดยรอบ ต่างก็นิยมชมชอบความมีวุฒิภาวะของนายตำรวจ ควบคุมอารมณ์ในที่สาธารณะได้อย่างน่าชื่นชมตอนที่จอมทัพเดินสวนจนช่วงไหล่กระทบไหล่

คิมหันต์ได้แต่ยิ้มพร้อมส่ายหัว ก่อนจะหันไปขอตัวกับหญิงสาวเพราะถึงคราวต้องขึ้นไปตรวจตราความเรียบร้อยด้านบน จะเอาประโยคที่คนปีนเกลียวฝากบอกไปบอกลูกน้องด้วย แม้จะเป็นหัวหน้าก็ต้องช่วยลูกน้อง คนเขาจะได้ไม่มองว่าได้ตำแหน่งมาเพราะจับฉลากได้ 

คิมหันต์โดนมินตรารั้งตัวไว้ไม่นาน หลังจากนั้นก็ให้เวลากับงานที่ผ่านแต่ละนาทีไปอย่างยากลำบาก ยิ่งเห็นร่างผู้ล่วงลับด้วยตาแล้วยิ่งเศร้าสลด คนเป็นใหญ่สุดถึงกับขอเวลายืนสูดอากาศตรงหน้าต่าง มองโลกกว้างข้างนอกแทนภายในห้องที่มีแต่กลิ่นความตาย

สุดท้ายเมื่อยืนอยู่ต่อไปยังไงก็ไม่มีสมาธิ จึงขอตัวกับลูกน้องบอกจะลงไปด้านล่างแต่ถ้าหากมีความคืบหน้าอะไรให้รีบแจ้ง คิมหันต์หอบสภาพนัยน์ตาแดงก่ำลงมาตามขั้นบันได ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากที่ไหนสักแห่งและออกตามหาแหล่งกำเนิด กว่าจะรู้ตัวก็เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องครัวที่ด้านในอัดแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวา 

นายตำรวจยืนกอดอกตรงขอบประตู อยู่เงียบ ๆ ระหว่างมองเด็กกับผู้ใหญ่ผลัดกันป้อนข้าว ไม่อยากเข้าไปทำลายบรรยากาศจึงตัดสินใจอยู่กับที่ พอดีกับมีลูกน้องเดินเข้ามาหาเพราะเรื่องงาน  “ผู้กองครับ” 

ลูกน้องเอารายงานมาให้อ่านถึงมือและหน้าที่ก็คือหน้าที่ คิมหันต์รับแฟ้มมาอ่านอย่างไม่อิดออด อยากจะข้ามขั้นตอนรูปถ่ายแต่ก็ต้องทำใจแข็งมองอย่างละเอียดและเลื่อนสายตาตามตัวเขียนอย่างบรรจง แล้วค่อยออกปากถาม หางานให้ลูกน้องทำจะได้ไม่ยืนเบื่อ 

“พบอะไรน่าสงสัยบ้างไหม”

“ไม่ครับ”

“รอยนิ้วมือบนผ้าล่ะ”

“พบแค่ของผู้ตายคนเดียวครับ ส่วนร่องรอยเข้าออกรอบ ๆ บ้าน”

“โชคร้ายที่เมื่อคืนฝนตก”  นายตำรวจพูดแทรกแล้วค่อยปิดหน้ารายงานลง  “ส่งศพไปแผนกนิติเวชแล้วใช่ไหม”  มือใหญ่ส่งแฟ้มคืนลูกน้องที่ตอบคำถามด้วยคำว่าครับ แต่ก่อนปล่อยอีกคนไปก็ไม่ลืมถามคำถามที่อยากรู้อีกข้อ  “แล้วตอนนี้เหลือสอบปากคำใครอีก”

“ลูกสาวกับน้องชายภรรยาผู้ตายครับ” 

คิมหันต์พยักหน้ารับอีกคนที่ทำความเคารพและเดินจากไป แล้วค่อยหันกลับมาสนใจสองคนต่างวัยในห้องครัวที่ดันรู้ตัวแล้วว่ามีคนแอบมอง ภัคสบตากับคนที่ถูกเรียกว่าผู้กองพลางก้มหัวให้เล็กน้อย กะจะป้อนข้าวหลานสาวต่อ แต่หนูดาก็ดันเหลือบเห็นพ่อปลอม ๆ เข้า 

“คุณพ่อ!”  การป้อนข้าวสะดุดไปชั่วขณะ ส่วนคนถูกจับได้ว่ายืนแอบดูก็เดินเข้ามาร่วมวงและทันได้ยินที่น้าชายพยายามจะอธิบายให้เด็กหญิงเข้าใจ   

“หนูดาคะ คุณลุงเขาไม่ใช่พ่…”

“ไม่เป็นไรครับ ปล่อยให้แกเข้าใจแบบนั้นแหละ”

“แต่ว่า”

“ไหนให้พ่อดูหน่อยสิว่าสาวน้อยของพ่อกำลังทานอะไรอยู่”  คิมหันต์ตัดบทด้วยการชวนเด็กหญิงคุยอย่างยิ้มแย้ม แก้มสากขึ้นรอยบุ๋มลึกตอนที่ลูกสาวกระเถิบตัวบนเคาน์เตอร์กลางเพื่อสร้างที่ว่างเพราะอยากให้คุณพ่อนั่งลงด้วยกัน   

“หนูดากินข้าวต้มหมูค่ะ น้าภัคทำให้ อร้อยอร่อย”  เด็กน้อยยกความดีความชอบให้น้าชายที่ยืนทำสีหน้าวิตก ยังคงไม่เห็นด้วยกับการที่นายตำรวจสมอ้างเป็นพ่อหลาน จนคนไม่รู้จักประหยัดรอยยิ้มต้องรีบพยักหน้ายืนยันอีกรอบว่าไม่เป็นไรและโชคดีที่ได้เด็กหญิงคอยสร้างบรรยากาศให้กลับมามีสีสัน  “คุณพ่อทานด้วยกันไหมคะ อ้า…”  หนูดาอ้าปากรอให้ร่างบางป้อน หมูพูนเต็มช้อนทำให้เด็กหญิงมีความสุข

คุณพ่อมองลูกสาวเคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วก็ยกมือลูบท้อง แสดงถึงอาการหิวอย่างแนบเนียน  “เห็นหนูกินแล้วคุณพ่อหิวขึ้นมาเลยค่ะ”   

“ยังมีอยู่ในหม้อนะครับ ถ้าคุณไม่รังเกี…”

“คุณพ่ออ้าปากสิคะ อ้าปากแบบหนูนี่ ดูนะ”  สงสัยติดนิสัยชอบขัดมาจากอีกคนจนเหมือนเป็นพ่อลูกแท้ ๆ แต่ร่างบางก็หงุดหงิดไม่ลง ส่งช้อนข้าวเข้าปากเด็กหญิงอย่างนุ่มนวล   

แต่แล้วมุมปากรูปกระจับก็ลดลงต่ำตอนรู้ตัวว่ามีสายตาคุณตำรวจจับจ้อง คิมหันต์ไม่มองเปล่ายังอ้าปากรออย่างใจจดใจจ่อ พ่อลูกเลียนแบบกันมา ภัคยืนชั่งใจขณะกำช้อนกระเบื้องไว้ ร่างบางไม่ยอมขยับท่ามกลางท่าทางลุ้น ๆ ของหลานสาว  “น้าภัค~”

การเรียกชื่อคือการเร่งดี ๆ นี่เอง เด็กน้อยจะไปรู้อะไร ผิดกับผู้ใหญ่ที่คิดเยอะ แต่พอเจอรบเร้าหนัก ๆ ร่างบางก็ต้องจำใจ อยากทำลายบรรยากาศประหลาด ๆ ให้หายไปเช่นกัน คิดแค่ว่าป้อนอาหารครั้งเดียวก็คงไม่มีอะไรเสียหาย     

แต่ในยามที่ริมฝีปากหนางับช้อนตอนกลีบปากขยับอมทั้งคัน ฟันคมขูดกับกระเบื้องจนเกิดเสียงหวีดที่ค่อย ๆ กรีดใจคนได้ยิน ท่าทางการกินแล้วมองคนป้อนไปด้วยไม่วางตาไม่ต่างจากกำลังเกี้ยวพาราสี ลูกตาดำจดจ้องอยู่กับของที่อยากกินและร่างบางรู้สึกเหมือนกำลังถูกเคี้ยวแทนชิ้นหมูพวกนั้น จนลำไส้บิดมวนชวนหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งห้องครัวตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ

“คุณมาอยู่ที่นี่เอง ฉันตามหาให้ทั่ว”  ปลายช้อนกับริมฝีปากหนาผละออกจากกันโดยอัตโนมัติจนหญิงสาวที่ใช้วีลแชร์เดินแทนเท้าไม่ทันสังเกตเห็น     

“มีอะไรหรือเปล่ามิน”  เป็นคิมหันต์ที่ตั้งคำถามพลางขยับลงยืนกับพื้นอย่างคล่องแคล่ว     

“ฉันแค่นึกว่าคิมกลับไปแล้วน่ะค่ะ”

“ความจริง… จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขออยู่พักที่นี่ด้วยสักวันสองวัน”  ถามกับคนเป็นพี่สาวแต่หันหน้าเข้าหาน้องชายราวกับอยากจะได้คำตอบจากคนที่ยืนตรงหน้ามากกว่า

“ได้สิคะ คุณอยู่เป็นอาทิตย์เลยก็ได้”  ทั้งนายตำรวจทั้งภัคหันมองหน้ามินตราอย่างพร้อมเพรียงขณะมีเด็กน้อยนั่งเอียงหัวไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่คุยเรื่องอะไรกัน  “แล้วถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติม เรียกใช้ภัคได้ตลอดเลยนะ”   

“พี่ครับ”  เวลาปกติแทบจะไม่เคยเห็นหัวกัน แต่พอต้องการคนใช้ ชื่อ ‘ภัค’ จะกลายเป็นชื่อแรกและชื่อสุดท้ายที่ถูกเรียกขานเสมอ

“เรื่องปรนนิบัติคนอื่นแกก็ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”   

“แต่ผมไม่ใช่คนใช้”

“งั้นก็ออกไปจากบ้านฉัน ถ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันเลี้ยงแกมาก็ไสหัวไปเลย”

“พอเถอะมิน ลูกก็อยู่ด้วยนะ”  ถ้าไม่ห้ามคงได้บานปลาย แล้วนายตำรวจเองก็ลำบากใจที่ตัวเองได้กลายเป็นประเด็นให้สองพี่น้องต้องทะเลาะกัน   

“มินจะออกไปรอข้างนอก คิมรีบตามมานะคะ”  เพราะ ‘อดีตคนรัก’ ขอไว้ ประโยคที่มักใช้ลำเลิกบุญคุณจึงเป็นอันไม่ได้เอ่ยออกมา ล้อวีลแชร์ไฟฟ้ารีบเคลื่อนออกไปจากครัวเหมือนสาวเจ้ากลัวว่ากลิ่นคาวอาหารจะติดชุด 

“ผมขอโทษนะ”  รอจนแน่ใจว่ามินตราไปแล้ว คิมหันต์ถึงกลับมาพูดกับร่างบาง

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ได้ผิดอะไร”  อาการปากไม่ตรงกับใจใช้กับคนอื่นก็อาจพอหลอกได้อยู่หรอก แต่นายตำรวจมองออกเพราะถูกฝึกฝนมา พวกผู้ร้ายปากแข็งน่ะรับมือมานักต่อนัก  “ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็เรียกผมแล้วกัน คิดซะว่าผมเป็นคนใช้คนนึง”

“คนใช้คืออะไรเหรอน้าภัค”  พูดออกมาตอนแรกแค่หวังประชดประชัน ลืมคิดว่ามีหลานสาวอยู่ด้วย น้าชายจึงอึกอักกำลังนึกคำอธิบายดี ๆ แต่ก็ถูกแย่งหน้าที่ไปต่อหน้าต่อตา คิมหันต์อาสาเป็นคนอธิบาย โดยบิดเบือนความหมายจริงทั้งหมด 

“คนใช้ก็คือคนที่ใจดีมาก ๆ น่ารักมาก ๆ แต่เสียดายไม่ค่อยจะยิ้มให้พ่อเลยค่ะ”  เอ่ยผ่านเด็กหญิงที่ยิ่งฟังก็ยิ่งงง คงมีแต่พวกผู้ใหญ่ที่เข้าใจนัยยะแฝงในประโยคนั้น   

“คุณกำลังทำให้หนูดาสับสนนะ” 

“ผมแค่อยากจะทำให้คุณอารมณ์ดี”

“ผมอารมณ์ดีอยู่แล้ว”

“โกหก”  ไม่รู้ว่าเพราะสวนกลับทันควันหรือเพราะว่าตำรวจเป็นคนพูดกันแน่ คำธรรมดาสองคำถึงให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม น้ำเสียงจับผิดทำเอาภัคเผลอก้าวถอยหลัง   

“ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณเชื่ออยู่แล้วนี่”  ได้ทีหันหลัง ว่าจะล้างถ้วยแล้วใช้น้ำกลบทุกเสียง 

“งั้นผมขอน้ำหวานสักแก้ว เสร็จแล้วเอาออกไปเสิร์ฟด้วยนะ”

“นี่คุณ…”  ร่างบางรีบหันมองนายตำรวจที่คล้ายกับอยากจะลองดี 

“ก็คุณพูดเองนี่ว่าให้เรียกใช้ได้”  ยอกย้อนหน้าเป็น ความทะเล้นส่งผ่านทางแววตาเจ้าชู้ คิมหันต์หอมแก้มสาวน้อยที่คอยนั่งมองผู้ใหญ่คุยกันจนหาวเบา ๆ  “เดี๋ยวคุณพ่อไปทำงานก่อนนะคะ”  เอ่ยเสร็จแล้วรอเด็กหญิงพยักหน้าถึงได้ออกห่าง แต่ก็ต้องเดินย้อนกลับมาเพราะลืมล่ำลาร่างบางอีกคนที่สงสัยจะโกรธจนไม่อยากพูดด้วยอีกแล้ว  “อย่าลืมน้ำหวานผมล่ะ”  กระซิบกระซาบข้างกกหูขาว

จู่ ๆ เข้ามาประชิดตัวภัคก็ต้องสะดุ้งเป็นธรรมดา รีบหันแต่ไม่ทันคนไวกว่า นายตำรวจเกือบจะเดินพ้นประตูห้องครัวแล้ว แววตานิ่ง ๆ ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างกับทะเลสาบภายใต้เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำและทำเฉยเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน

“ภัค… คุณคงรู้แล้วนะว่าผมเป็นตำรวจ แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่าผมดูแลคดีนี้ด้วย ถ้าคุณมีอะไรอยากเล่าเพิ่มเติมบอกผมได้ตลอด แล้วผมจะรอฟัง”

เจ้าของคำพูดจากไป ร่างบางยังเหมือนได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังแว่วอยู่ข้างหู

ภัคหันมองหนูดาที่ลงนอนกับเคาน์เตอร์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ น้าชายผลูลมหายใจยาวราวกับมีเรื่องคิดมากระหว่างหันหลังกลับ คิดว่าน้ำเย็น ๆ จะช่วยชโลมจิตใจที่แสนว้าวุ่น แต่สายตาก็สะดุดที่ช้อนกระเบื้องซึ่งอยู่ในถ้วยชามที่กำลังรอการล้างเสียก่อน

มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมาอย่างช้า ๆ ระหว่างหลุบตามองต่ำ เผลอกลืนน้ำลาย ชั่งใจว่าจะกินต่อดีหรือเปล่าเกิดเสียดายข้าวขึ้นมา ไม่ได้หิวโหยแต่โดยปกติแล้วเป็นคนรู้คุณค่าอาหาร มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะเรียกว่าสันดานชอบกินของเหลือก็ได้ ริมฝีปากแดงค่อย ๆ งับปลายช้อนที่ผ่านมาหลายปาก ทาบทับคราบน้ำลายที่น่าจะยังไหลเคลือบช้อนอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์และแน่นอนว่ารสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เคยกิน







--------------------------------------------------
ชอบไม่ชอบเม้นบอกกันบ้างน้า หวังว่าจะชอบกันค่า ขอบคุณค่ะ  :mew1:
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 08-12-2017 00:07:22
ติดตามค้าาาชอบมากก
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-12-2017 00:15:59
ไม่อยากจะบอกว่าเราคิดว่าใครฆ่าคุณพ่อตัวจริง เดี๋ยวไม่ใช่แล้วจะเงิบบบ  :hao7: ภาษายังคงลึกลับน่าค้นหาเช่นเดิมค่ะ ชอบที่บรรยายตอนกินข้าวต้ม วนอ่านอยู่สองสามรอบ สุดยอดจริงๆค่ะ เขียนดีมากเลย ติดตามตอนต่อไปนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 08-12-2017 00:40:58
มีความลึกลับตั้งแต่อินโทรเลย
อ่านไปใจก้ตุ้มๆต่อมๆไป
ยังอ่านไม่จบนะคะ เดี๋ยวช้ามาอ่านต่อ
แต่ขอมาเม้นให้กำลังใจนักเขียนก่อน

ยังชอบสำนวนการเขียนของคุณตุ๊กติ๊กเล่นเคย
จะติดตาม แล้วก้เปนกำลังใจให้เสมอนะคะ
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 08-12-2017 01:16:51
หนูดาน่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-12-2017 01:30:20

แน่นอนว่ารสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เคยกิน


แอบคิดเยอะกับประโยคนี้ หนูภัคเคยไปกินช้อนเดียวกับใครมาก่อนรึเปล่า

เรื่องราวน่าติดตามมาก มีเรื่องสงสัยหลายเรื่องเลย
 ชอบความเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็แอบเจ้าเล่ห์ ร้ายนิดๆของคิมหันต์มากค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 08-12-2017 18:27:25
๐๓




“เหมเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม อย่างเช่นปัญหาภายในบริษัท กับลูกน้อง หรือกับคนนอกที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจ” 

มินตราส่ายหน้าเมื่อตัวอย่างที่อดีตคนรักหยิบยกมาไม่เคยได้ยินจากปากสามีที่ตายไปเลยสักครั้ง ความจริงมันก็นานมากแล้วจนลืมไปว่าล่าสุดพูดคุยกันด้วยเรื่องอะไร เพราะตกลงกันไว้ว่าจะใช้ชีวิตแบบทางใครทางมัน อยู่ร่วมบ้านแต่ไม่มีการสุงสิงเหมือนคู่คนอื่น กลางคืนก็แยกห้องนอน อย่าว่าแต่กอดหรือหอม เสี้ยวหน้ายังแทบไม่ยอมมองกันด้วยซ้ำ
 
แต่งงานแค่ในนามเป็นคำนิยามความสัมพันธ์ที่ทำให้เห็นภาพง่ายที่สุดและหญิงสาวเองก็หยุดร้องไห้นับตั้งแต่คิดได้ว่าเปล่าประโยชน์ คนตายก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แววตาจึงเปลี่ยนมาจดจ่ออยู่กับคนเป็นที่เห็นกี่ครั้งก็ยังคิดถึงและยังหวังว่าสักวันนึงจะได้กลับมามีความสุขด้วยกัน ทุก ๆ วันมินตราจะเฝ้าฝันถึงความเป็นไปได้และในที่สุดก็พบเจอโอกาสนั้นเสียที

หญิงสาวไม่สนว่าจะมีกี่สายตามองมาอย่างครหาหรือว่าร้ายเป็นหญิงชั่วผัวตายไม่ทันครบวันก็หันหัวเรือหาพี่ชายฝาแฝด ใยเธอต้องให้ค่ากับคนที่ชอบสอดและวิจารณ์ชีวิตคนอื่นไปวัน ๆ เพราะคนพวกนั้นไม่เคยรู้เลยว่าเธอรอมานานแค่ไหนและทรมานเช่นไรกับการต้องอาศัยภายใต้ชายคาเดียวกับคนที่ไม่ได้รัก ซ้ำยังเป็นอาชญากรสำหรับเธอด้วย     

หัวใจของเธอเคยอยู่ที่ใครจะนานแค่ไหนก็ยังอยู่กับคนนั้น คิมหันต์คือฝันดีที่เคยสลายไปและหวนกลับมาใหม่ให้เธอได้มีโอกาสประกอบขึ้นอีก คราวนี้หญิงสาวจะระมัดระวังกว่าเดิม เริ่มการสมานด้วยวิธีง่าย ๆ มือขาวซีดเอื้อมจับมือใหญ่แล้วยกมาวางบนตัก ลูบหลังมือกร้านและแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ตอนได้รับรู้ถึงอุณหภูมิที่เคยสัมผัสมาก่อน

 แล้วคิมหันต์เองก็ไม่ได้ชักมือกลับแต่อย่างใด กลับกันคือรู้สึกเห็นใจในฐานะคนรู้จัก หญิงสาวตรงหน้าเพิ่งจะเสียเสาหลักของครอบครัว เธอย่อมรู้สึกกลัวกับอนาคตอันใกล้ที่ไม่รู้ว่าจะมาดีหรือมาร้าย ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย ท้ายที่สุดนายตำรวจก็เปลี่ยนจากการสอบสวนส่วนตัวมาเป็นการถามไถ่เรื่องความเป็นอยู่ 

“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างมินกับเหมันต์ล่ะ”   

“คิมก็รู้อยู่แล้วนี่ว่ามันเป็นยังไง”  หญิงสาวตอบกลับแทบจะทันทีที่พลางยกยิ้มหยัน ๆ ให้กับความอาภัพของตัวเองที่สามารถนำไปเขียนเป็นนิยายโศกขายได้สักเล่ม   

“แต่เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะมิน”

“จนตายมินก็ไม่มีทางลืมหรอก”  หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น  “ทั้ง ๆ ที่มินควรจะได้แต่งงานกับคิมแท้ ๆ”  เธอหมดเยื่อใย ไม่หลงเหลือความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาผจญกับชีวิตน่าสมเพช เธอพร่ำพูดจนคิมหันต์คิดว่าเรื่องราวชักดำเนินไปไกล  “มินควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ความฝันก็ต้องพังลงไม่เป็นท่าเพราะ…”

นายตำรวจรีบห้ามไว้ ใช้น้ำเย็นลูบจิตใจที่กำลังรุ่มร้อน  “ยังไงเหมันต์ก็เสียไปแล้วนะ”  ถือซะว่าขอให้เลิกจองเวรต่อกัน  “อีกอย่างเหมันต์เองก็บอกว่ารักคุณมากด้วย”

“เหอะ นี่คิมเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”  สายตาตัดพ้อไม่ต่างจากวันนั้น

วันที่คนตรงหน้าเป็นฝ่ายล่าถอยโดยที่ไม่ถามความเห็นเธอสักคำ แต่กลับผลักไสเธอให้น้องชายที่ปากพูดว่ารักแต่สายตาช่างแสดงออกตรงกันข้าม  “งั้นบอกมินสิว่าคิมไม่เคยโกรธเขา”  มินตราย้อนถามอย่างต้องการคำตอบ ต้องการรู้ว่าการยอมเสียสละให้น้องในตอนนั้นแน่ใจนะว่ามันไม่ได้มีความโกรธเคืองแฝงอยู่เลย   

“เขาเป็นน้องชายผม”  คิมหันต์จบคำตอบได้สวยและสร้างความประทับใจให้ผู้ฟังที่ยังเทิดทูน ความรักมันพอกพูนขึ้นอีกทีละนิด  “เพราะคิมเป็นแบบนี้ไง มินถึงได้รักและยังรักอยู่”

“แต่เรื่องของเรามันจบไปนานแล้วนะ แล้วผมก็ไม่อยากให้มินถูกใครครหาด้วย” 

“มินไม่สนหรอก”

นายตำรวจจำต้องแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดมากกว่านี้จะยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจมินตราในชั่วโมงที่เปราะบาง คงใจดำน่าดูถ้าผลักไสคนที่กำลังต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ       

“ทั้งที่มินควรจะได้มีลูก ๆ ที่น่ารักกับคิม”

“อย่าพูดแบบนี้ให้หนูดาได้ยินเชียวนะ”  แต่ถ้าอะไรที่มันเกินไป คิมหันต์ก็ไม่ลังเลที่จะแย้งเสียงแข็ง ขนาดผู้ใหญ่ด้วยกันฟังยังรู้สึกว่าแรงไป แล้วกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะ จะน้ำตาตกแค่ไหนหากได้ยินเข้า  “เห็นใจลูกบ้างเถอะ”

“ลูกที่ไม่คิดว่ามินเป็นแม่ด้วยซ้ำเนี่ยนะ”

“อะไรทำให้มินคิดว่าแกไม่รักมิน”     

“ตั้งแต่มาคิม เคยเห็นหนูดาอยู่กับมินสักนาทีไหม”

“เพราะมินไม่เปิดโอกาสให้แกเข้าหาหรือเปล่า”

“คงจะเพราะมีคนคอยเป่าหูให้เกลียดแม่ตัวเองเสียมากกว่า”   

“มินหมายถึงใคร”

“น้องชายตัวดีของมินไง เห็นหน้าตาไม่มีพิษมีภัย แต่ให้คุณระวังไว้เถอะ”     

คำเตือนส่งตรงถึงคิมหันต์ที่เผลอส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ ใช่ว่าไม่ฟังที่หญิงสาวบอกด้วยความหวังดี แต่การที่เชื่อลมปากอีกคนแล้วด่วนตัดสินว่าคนนั้นเลวคนนี้ร้าย มันก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับคนที่กำลังถูกกล่าวหานัก  “มินดูไม่ชอบภัคเอามาก ๆ เลยนะ”

“ก็พอ ๆ กับที่มันเกลียดมินนั่นแหละ” 

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณสองคนมีปัญหาอะไรกัน แต่การอยู่กับความเกลียดชังก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมา ปล่อยวางบ้างเถอะนะ”  มือใหญ่เลื่อนขึ้นวางทับหลังมือมินตราที่ยิ้มหวานรับ

เธอจับมือใหญ่ไว้มั่นแล้วลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  “มินปล่อยวางแน่ถ้ามันตาย”

แล้วไม่กลับมาเกิดใหม่ได้เลยยิ่งดี

















ก๊อก ๆ 

ระหว่างนั่งอ่านเอกสารและแฟ้มรายงานมากมายเกี่ยวกับรูปคดีอยู่เพียงลำพัง นายตำรวจเงยหน้ามองบานประตูห้องที่ถูกเคาะจากด้านนอกเล็กน้อยแล้วค่อยขานรับเป็นการอนุญาต  “เข้ามาได้ครับ”  ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับตัวหนังสือพิมพ์ฟอนต์ขนาดมาตรฐาน

ปล่อยให้ร่างบางที่อุตส่าห์ยกน้ำหวานขึ้นมาเสิร์ฟยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะวางแก้วน้ำสีสดใสไว้ตรงไหนจนตัดสินใจเปล่งเสียง เรียกให้คนยุ่งอยู่กับงานเงยหน้ามอง  “ผมเอาน้ำหวานมาให้”

ไม่จำเป็นต้องฟังซ้ำสอง คิมหันต์เงยหน้ามองแทบในทันที่ได้ยินเสียงคุ้นหูและรู้ดีว่าจะต้องทำยังไงกับน้ำใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้  “ขอบคุณครับ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้กินแล้วซะอีก”  แกล้งกวนเพราะอยากชวนร่างบางมายิ้มด้วยกัน แต่ดันได้ผลตอบรับที่ไม่ค่อยดีจึงเลิกลีลา เอามือแหวกกองเอกสารช่วยหาที่ว่างให้วางแก้ว  “วางตรงนี้ก็ได้ครับ”

ภัคทำตามคำบอกอย่างว่าง่าย ให้วางตรงไหนก็วางตรงนั้นก่อนจะกวาดสายตามองห้องพักรับรองที่แสนจะโล่ง วันแรกคงต้องให้นายตำรวจอยู่กับเตียง โต๊ะ โซฟาและเครื่องปรับอากาศไปก่อน 

“ห้องพอนอนได้ไหมครับ พอดีบ้านเราไม่ค่อยมีแขกเลยไม่ได้เตรียมต้อนรับอะไรไว้มาก”

“ผมอยู่ได้ เท่านี้ก็ถือว่าหรูแล้วล่ะ”  คิมหันต์มองรอบ ๆ ห้องตามแล้ววกกลับมาจ้องดวงหน้าเนียน  “ความจริงจะไม่มีเตียงก็ได้นะ ปกติผมนอนบนโซฟา”  เห็นร่างบางเผลอทำสีหน้าสงสัย คิมหันต์คิดว่านั่นคือสัญญาณที่ดี อย่างน้อยก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อกันบ้างแล้ว 

“งานตำรวจน่ะทำเป็นกะก็จริง แต่สิ่งนึงที่คุณต้องแบกกลับมาที่บ้านด้วยก็คือแฟ้มงาน”  นายตำรวจมีการยกแฟ้มเจ้าปัญหาโชว์ เหตุผลที่ทำให้ต้องอดหลับอดนอนตอนกลางคืนและเผลอหลับไปบนโซฟาตลอด

“มันเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณติดน้ำหวานด้วยใช่ไหม”

“คุณรู้…?”  คนถามออกสนเท่ห์     

ส่วนคนถูกถามก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดตามอำเภอใจออกไป  “ผมเดาเอาน่ะ”  ภัคแค่พยายามจะบอกว่าอย่าได้ใส่ใจเลย พอดีกับที่คิมหันต์เอ่ยต่อ  “ถือเป็นการคาดเดาที่แม่นมากเลยนะ สนใจมาทำงานกับผมไหม”  ทำเป็นพูดเล่นไปแล้วกลับใจในวินาทีต่อมา จนภัคยังไม่ทันคิดตามด้วยซ้ำ  “ไม่ดีกว่า งานที่มีแต่อันตรายไม่เหมาะกับคุณหรอก”

อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าแล้วงานอะไรที่น่าจะเหมาะกับผม ความคารมดีและช่างพูดของคนตรงหน้าเป็นเหตุผลที่ยึดให้สองขาร่างบางยังยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน

“แล้วคุณไม่กลัวอันตรายบ้างเหรอ”

“ผมชอบความอันตราย เป็นนิสัยเสียอย่างนึงที่แก้ไม่หายสักที”  แค่ไม่กี่ชั่วโมงยังพูดเรื่องตัวเองออกมาตั้งเท่าไหร่ นายตำรวจแค่กำลังแสดงออกถึงความจริงใจ ขับไล่ความห่างเหินด้วยการพูดคุยกัน ยังไงก็ถือว่าเป็นญาติ แต่ร่างบางจะอยากนับด้วยไหมนั้นนั่นก็เป็นอีกเรื่อง  “อ่อ แล้วที่คุณถามค้างไว้ ผมนอนไม่เป็นเวลาน่ะเลยมีปัญหาเรื่องความดันนิดหน่อย” 

พูดถึงแล้วก็หงุดหงิด กลายเป็นโรคติดตัวไปจนตาย อาจจะรักษาได้แต่นอนไม่เป็นเวลาเหมือนเดิมก็ไม่มีทางหายขาดแน่นอน  “ผมว่าเหมันต์ ก็คงเป็นเหมือนกันใช่ไหม…?” 
ไอ้การที่ต้องกินของหวานเพื่อช่วยเรื่องอาการเวียนหัว

“ผมว่าเรื่องนี้คุณน่าจะไปถามเอากับพี่มินมากกว่านะครับ”

“งั้นเหรอ… ไว้วันหลังผมจะลองถามดูแล้วกัน”  คิมหันต์ยักไหล่ ไม่รู้คำตอบตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา  “ผมรั้งตัวคุณไว้ตั้งนาน ป่านนี้หนูดาร้องไห้หาแล้วมั้ง”

“ไม่หรอกครับ แกเล่นเพลินจนเพลียหลับไปแล้ว”

“งั้นคุณก็น่าจะพอมีเวลาใช่ไหม” 

สายตาวิบวับฉาบไปด้วยความหวังจนร่างบางได้แต่พยักหน้า  “คุณมานั่งตรงนี้มา ผมมีเรื่องอะไรจะถามหน่อย”  ความจริงมีผ้าของหลานสาวที่ต้องพับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำชวนเหมือนต้องมนตร์สะกด ภัคเดินมานั่งข้างคนที่กลับไปให้ความสำคัญกับกองเอกสารอีกครั้ง เห็นเหมือนกำลังอ่านข้อความแต่มือก็เอื้อมมาจับแขนเรียวให้ขยับตัวเข้าไปใกล้อีก
ระยะห่างหนึ่งศอกจึงเหลือคืบเดียว

“พี่สาวคุณบอกว่าเหมันต์มีชู้ จริงหรือเปล่า”  คิมหันต์เปิดคำถามแรกโดยไม่มีการเกริ่นนำ ซ้ำยังทำสีหน้าจริงจังอย่างกับเป็นคนละคน จนร่างบางที่คิดว่านี่คือการสอบปากคำอีกรอบเกิดอาการอึกอัก ปากหนักเกินกว่าจะขยับ ทำเอาคนรอคำตอบพลอยเสียเวลา  “คือ…”

“แถมยังบอกด้วยว่าเธอชื่อโมรีและถ้าอยากรู้อะไรให้ไปถามกับผู้หญิงคนนี้เอา แล้วคุณล่ะเคยเจอเธอบ้างไหม”  เสียงทุ้มจำกัดความคำว่าชู้ให้แคบลงด้วยการระบุตัวตน บอกชื่อว่าคนไหนกันแน่ที่กำลังกล่าวถึง ซึ่งเมื่อได้ฟังชัด ๆ อาการปากหนักก็คลายในทันที 

ร่างบางถอนหายใจเพราะคำถามรอบนี้ไม่ยากเกินไปที่จะตอบ 

“ถ้าเป็นโมรี เธอเคยมาที่บ้านครับ”

“มากับเหมันต์น่ะเหรอ”

ภัคพยักหน้าก่อนนายตำรวจจะรีบยิงคำถาม  “บ่อยแค่ไหน พอบอกผมได้ไหม”

“อาทิตย์ละสองสามครั้งมั้งครับ”

“พาเข้าบ้านโดยที่ไม่สนใจสายตาคนในบ้านเลยเนี่ยนะ”  ถามย้ำเพราะยังไม่เชื่อ แต่เมื่อร่างบางพยักหน้ายืนยันก็นิ่งไป ไม่เข้าใจเลยว่าน้องชายฝาแฝดคิดอะไรอยู่  “ผมเพิ่งรู้ว่าน้องชายตัวเองมีนิสัยแบบนี้” 

สีหน้าหนักใจอยู่ในสายตาคนเฝ้ามองตลอด
คิมหันต์จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่เข้ามาร่างบางแทบจะไม่เคยละสายตาออกห่าง   

“เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมกลัวว่าความเจ้าชู้จะติดต่อทางพันธุกรรม ถ้าวันนึงผมทำตัวแบบนั้นคุณต้องเตือนผมนะ ผมไม่อยากทำให้คนที่ผมรักเสียใจ” 

ภัคแค่ยิ้มมุมปากให้กับคำพูดเชิงไหว้วานที่หากเอามาตีความอย่างละเอียดจะพบว่าลึก ๆ แล้วนายตำรวจเองก็มีนิสัยอย่างที่เกลียดนั่นแหละ 

“แล้วที่คุณถามมามันเกี่ยวกับเรื่องที่พี่เหมฆ่…”  แค่จะหาจุดโฟกัสสายตาใหม่ แล้วดันลืมตัวหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาดูและพอรู้ว่าเป็นรูปอะไรก็เกิดใบ้กิน ใบหน้าคนตายไม่ได้ติดอยู่แค่ที่ตา ยังฝังรากหยั่งลึกในสมองและไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกำจัดออกไปจากความทรงจำได้     

ส่วนนายตำรวจที่หันมาเห็นพอดีก็ค่อย ๆ ดึงรูปถ่ายออกจากมือเรียว ขณะภัคเพิ่งเข้าใจว่ากำลังทำตัวเสียมารยาท แตะต้องงานคนอื่นโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขอ  “ผมขอโทษครับ” 

“มันไม่ใช่ภาพที่น่าดูสักเท่าไหร่หรอก ขนาดผมที่เห็นรูปถ่ายแบบนี้มานักต่อนักยังไม่ชินเลย”   

“ดีแล้วล่ะครับที่ยังไม่ชิน มันบ่งบอกว่าคุณยังมีหัวจิตหัวใจอยู่ ไม่ได้เลือดเย็นไปกับทุกอย่าง”

“ผมว่าไม่นานหรอก วันนึงผมต้องไม่เหลือความรู้สึกแน่ ๆ ถ้ายังต้องนั่งดูรูปน้องชายตัวเองแบบนี้ทั้งวัน”  คำว่างานกำลังบีบให้ตัดขาดจากอารมณ์อาลัยอาวรณ์ งานกำลังบอกว่าต้องเอาฉันก่อน ส่วนอย่างอื่นเอาไว้ทีหลัง จนนายตำรวจคิดว่าถ้าค่อยกลับมานั่งเสียใจมันก็คงเป็นอะไรที่สายไปเสียแล้ว

“คุณคงยังทำใจไม่ได้”  คำพูดปลอบใจมีเป็นร้อยเป็นพัน แต่มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้รู้สึกว่ายังมีคนเคียงข้าง มือเรียววางทับหลังมือใหญ่ที่แน่นิ่งอยู่เหนือหน้าขาและเสนอตัวผ่านคำพูด จุดประสงค์เพื่ออะไรไม่อาจทราบได้  “ถ้าอยากพูดอะไร คุณพูดมาได้เลยนะ”

คิมหันต์ก้มมองสองมือที่ทับกันก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นมือตัวเองที่ขยับมาทับด้านบน

นายตำรวจยิ้มมุมปากและคอยรอรับรอยยิ้มจากภัคที่ตอนแรกนึกว่าตาฝาด แต่พอมองนาน ๆ แล้วก็เข้าใจว่าตัวเองยังสายตาดี นอกจากริมฝีปากบางจะถูกเคลือบด้วยสีแดงสด มันยังมีความอ่อนโยนประดับอยู่ จนคิมหันต์ชักอยากรู้ว่ามันจะคงอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน 
 
“แล้วคุณล่ะ เสียใจไหมที่เขาจากไป”  ก่อนจะได้รับคำตอบ รอยยิ้มที่ว่าก็หายไปทันทีนับตั้งแต่วินาทีที่คำถามเริ่มต้นขึ้น  “แถมเห็นหน้าผมแบบนี้อีกคุณคงทำใจลำบากแย่” 
   
“แต่คุณกับเขาแตกต่างกัน”

“ยังไง ในเมื่อเราเป็นฝาแฝดที่ใคร ๆ ต่างก็พูดว่าเหมือนกัน”

“ผมเองก็อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าไม่เหมือนเลยสักนิด”  ภัคเคยได้ยินเรื่องราวการเสียสละครั้งใหญ่ของผู้ชายตรงหน้า ยอมสละแม้กระทั่งคนรักให้กับน้องชาย มันเป็นเรื่องราวใหญ่โตก่อนที่ร่างบางจะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เป็นที่โจษจันและเท่านั้นก็มากพอให้รู้สึกถึงความแตกต่าง คนพี่รู้จักการเสียสละ ส่วนคนน้องรู้จักแต่หาผลประโยชน์เข้าตัวเองเป็นอย่างเดียว 
 
“แปลกแฮะ”  แปลกไม่พอยังน่าสนใจมากด้วยในความคิดของนายตำรวจ  “แต่ว่าเราเพิ่งเจอกัน ผมไม่อยากให้คุณประมาทผมนะ”  คิมหันต์พูดติดตลกและทำให้ร่างบางเข้าใจว่าคงรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว

“เข้มแข็งไว้นะครับ” 

“คุณก็เหมือนกันนะ” 

ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง สองคนที่ทำท่าจะไม่ลงรอยกันจะมานั่งจับมือให้กำลังใจกันและกัน แถมสายไปแล้วกับการเขินอาย ทำได้แค่เอ่ยปากขอมือคืนอย่างแผ่วเบา เมื่ออีกคนเขาขอแล้วนายตำรวจก็ไม่อยากหน้าด้านยื้อไว้ ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เพราะมองเห็นโอกาสอีกหลายช่องทางที่ยังรอคอยอยู่ในอนาคต

ก่อนจะชวนคนนั่งข้าง ๆ คุยต่อด้วยหัวข้อใหม่ ช่วงตัวที่โน้มเข้าหาและฝ่าเท้าที่แยกออกบอกว่าอีกฝ่ายเปิดรับและสบายใจกับการสนทนาในครั้งนี้  “ตอนแรกผมนึกว่าคุณไม่ชอบผมซะอีก”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น”

“ท่าทางไง บางทีเหมันต์อาจจะเคยทำเรื่องไม่ดีกับคุณไว้ แล้วผมก็ดันหน้าเหมือนเขา คุณเลยพานเกลียดไปด้วย”   

“ตกลงคุณเป็นตำรวจหรือนักเขียนกันแน่”  จินตนาการเป็นตุเป็นตะเก่งกว่าหนูดาเสียอีก

“จริงด้วย ผมมีอีกเรื่องอยากถาม เหมันต์กับจอมทัพเคยมีหรือมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
 
พาวกเข้าเรื่องที่ยังคลางแคลงใจได้อย่างแยบยลขณะค้นหาบันทึกการให้ปากคำบนโต๊ะแก้วไปด้วยแล้วก็เจอในที่สุด  “เขาพูดว่า คนแบบนั้นน่ะตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี… ผมว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ควรจะพูดในเวลาแบบนี้เลยนะ หรือคุณว่าไง” 

“เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับ”  ภัคฟังแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

“ลูกน้องผมไม่มีทางแต่งคำพูดขึ้นมาเองหรอก”

“ถึงผมจะอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ทุกเรื่องนะ คุณไปถามกับเจ้าตัวเองน่าจะดีกว่า”  กะไว้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้รับคำตอบและการกระทำของร่างบางก็ตอกย้ำว่าคนนอกยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปว่าจะได้รู้ทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
 
“ใจคอจะไม่บอกอะไรผมเลยจริง ๆ สินะ อุตส่าห์ถามในฐานะคนรู้จักแล้วยังไม่ได้รับความร่วมมือเลยแฮะ สงสัยต้องใช้กฎหมาย”  ยิงมุกหน้าตายแล้วก็ได้ผลลัพธ์เป็นใบหน้าที่นิ่งสนิทกว่า

จนนายตำรวจรู้สึกเสียฟอร์มแต่ไม่ยอมแพ้หรอก  “ผมล้อเล่นน่ะ ผมไม่ใช่ตำรวจเลวหรอก”  ยกสองมือขึ้นในอากาศ โชว์มือว่าไม่มีการถืออาวุธในพื้นที่สาธารณะแน่นอน ระหว่างภัคหลุดขำและจับข้อแขนดึงลงมา อายแทนแม้ว่าภายในห้องจะมีกันแค่สองคนก็ตาม   

“แล้วที่คุณจอมพูดไปแบบนั้นจะมีผลอะไรหรือเปล่าครับ”  พฤติกรรมร่างบางไม่ต่างจากที่นักวิเคราะห์บอกว่าฆาตกรจะอยากมีส่วนร่วมในการสืบสวนคดีและมาเข้าใจทีหลังว่ากำลังก้าวก่ายตอนนายตำรวจนั่งจ้องหน้านิ่ง ยิ่งเงียบบรรยากาศยิ่งน่าอึดอัด จึงชิงตัดบทขอโทษเสียงเบา 

“ขอโทษด้วยถ้าผมถามมากไป คุณไม่ต้องตอบก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าถ้าผมพูดอะไรไปคุณจะไม่เอาไปบอกใคร ให้เป็นความลับแค่ระหว่างเราสองคนตกลงไหม”  นายตำรวจพูดปากเปล่า ไม่ได้ร่างเค้าโครงสัญญาให้ลงชื่อหรือเกี่ยวก้อย นับเป็นความเสี่ยงไม่น้อยที่เชื่อว่าร่างบางจะไม่เอาไปพูดต่อและมีการปิดท้ายอย่างตลกร้าย กลายเป็นการกดดันอีกคนในที  “หน้าที่การงานของผมขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ”

หลังจากที่วกเดินกลับเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งก่อนกลับมานั่งทบทวนข้อความในรายงาน อ่านจนจำขึ้นใจ คิมหันต์ก็พบว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยจนทำให้เกิดความสงสัย ทุกอย่างลงล็อกง่ายดายอย่างกับมีใครจัดฉากขึ้นมา  “ผมกำลังหาเหตุผลที่ทำให้เหมันต์เลือกจบชีวิตตัวเองอยู่ ซึ่งดูจากภาพรวมแล้วก็ไม่พบความผิดปกติอะไร หลักฐานสภาพแวดล้อมก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ที่ผมติดใจคือทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป”     

“ง่ายเกินไป…?”

“บางทีตำรวจก็ทำงานด้วยเซ้นส์น่ะคุณ ผมเลยต้องรอผลชันสูตรอีกทีแล้วถึงจะได้คำตอบว่าที่ผมสงสัยมันถูกต้องหรือเปล่า” 

“แล้วคุณสงสัยว่าอะไร”

“นี่อาจจะไม่ใช่การฆ่าตัวตายธรรมดา…”  สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏทันตา แต่บอกไม่ได้ว่าใครเครียดกว่ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน 

“…คุณจะบอกว่านี่คือการฆาตกรรมเหรอ”
ภัคถามอย่างตรงไปตรงมา ตรงจนคิมหันต์ก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลาอ้อมค้อมไปทำไม 

“ผมก็หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คุณพูด” 

“ไม่มีทางหรอก เมื่อคืนทุกคนก็นอนอยู่แต่ในห้อง”   

“ถ้าในเมื่อคุณเองก็นอนอยู่ในห้องเหมือนกันแล้วจะรู้ความเป็นไปด้านนอกได้ยังไง ถูกไหม” 
พอเอาความจริงมาพูดกัน ก็ตัดโอกาสในการถกเถียงไปได้เยอะ

เจอมองด้วยสายตาคลางแคลงใจ นายตำรวจก็รีบแก้ต่าง ทั้งที่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว  “ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าเป็นฝีมือคนในบ้านหรอกนะ”  บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ต่างคนต่างเงียบไปอย่างใช้ความคิด

ท่ามกลางเสียงพลิกหน้ากระดาษ มีคนออกอาการชำเลืองมองไปทางประตูเป็นระยะ ๆ ตีความจากท่าทางได้ว่าอยากออกไป การสนทนาครั้งนี้ชักจะไม่สนุกเสียแล้วสำหรับร่างบางที่เผลอนั่งไขว้ข้อเท้า คิมหันต์หลุบตามองราวกับเข้าใจความนัย เพราะร่างกายไม่เคยโกหก

ภัคก็แค่อยากให้เรื่องจบ ๆ ไปจะไม่ได้ไม่กระทบความรู้สึกหลาย ๆ ฝ่าย เคยจินตนาการไว้ถึงพิธีฝังศพที่แสนเรียบง่ายแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้ายใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนปกติ ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่การที่นายตำรวจพูดออกมามันหมายความว่าเรื่องจะยืดเยื้อเข้าไปอีก ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่กินเวลานาน 
“อีกอาทิตย์กว่า ๆ ผลชันสูตรก็จะบอกทุกอย่างเอง” 

“แล้วคุณมาบอกแบบนี้กับผมทำไม ไม่กลัวเหรอว่าผมอาจจะเป็นคนร้ายแล้วก็ไหวตัวทัน”

“งั้นถ้าคุณเป็นคนร้ายจริงแล้วรับรู้แบบนี้คุณจะทำยังไงต่อ จะหนีไหม” 

“ผมจะไม่หนี เพราะการหนีเท่ากับว่ายอมรับ”

“ผมเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ ด้วย”  ร่างบางเห็นนายตำรวจยิ้มได้ในสถานการณ์มาคุแล้วก็ยิ่งข้องใจ แต่รู้สึกเอะใจกับคำพูดกำกวมมากกว่า  “ผมอยากให้คุณช่วยเป็นหูเป็นตาให้ผมหน่อย”

“หมายความว่าไงครับ”

“จับตาดูคนในบ้านไว้”  ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากก็ยังเข้าใจเลยว่านี่คือการขอให้ช่วยเป็นสายลับและเสียงนั้นไม่ใช่แกมบังคับ แต่ก็เหมือนเป็นคำสั่งกลาย ๆ เพราะไม่ว่ายังไงก็เป็นคนที่มีปืนพกติดตัว เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น   

“ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณบอกเองว่าไม่ได้สงสัยคนในบ้าน แล้วทำไมจะต้องให้ผมจับผิดพวกเขาด้วย” 

“คุณกำลังได้ช่วยงานตำรวจเชียวนะ แล้วผมจะเชื่อทุกอย่างที่คุณบอกโดยไม่มีเงื่อนไข”

คำว่าเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไขมีความหมายเดียวกับคำว่าพร้อมจะเชื่ออย่างสนิทใจ คิมหันต์กำลังมอบอำนาจให้กับร่างบางอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จากที่ตอนแรกทำท่าค้านหัวชนฝาก็เกิดอาการนิ่งไปเพื่อชั่งใจ นั่งทบทวนคำพูดนายตำรวจกลับไปกลับมาระหว่างสบสายตาไม่มีถอย   
   
“แค่คุณพูดมา”

“แม้ว่าสิ่งที่ผมพูดจะเป็นการใส่สีตีไข่ให้ใครกลายเป็นคนร้ายก็ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ”  นายตำรวจพูดง่ายอย่างว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันต้องการมีผลกระทบกับงาน แต่คิมหันต์ก็ยังทำตัวให้ภัคอ่านไม่ออก พยายามมองให้ทะลุแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าถ้าทำแบบนี้ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา 

“ทำไมต้องเป็นผม”

“เพราะนอกจากคุณ ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้อีกแล้ว”  ไม่ได้เห็นแววตาแต่ก็พอจินตนาการออกว่าร่างบางจ้องมองด้วยสายตาแบบไหน นายตำรวจแค่หยิบแฟ้มใหม่มาเปิดอีกครั้งระหว่างพูดขึ้นลอย ๆ  “คุณเปลี่ยนใจได้นะที่คิดว่าผมต่างจากเหมันต์ เผลอ ๆ ผมอาจเหมือนเขา แม้กระทั่งนิสัย”

“หนูดาคงใกล้ตื่นแล้ว ผมไปดูแกก่อนดีกว่า” 

ยกเรื่องหลานมาอ้างและยังเตรียมจะชิ่งหนีทั้งที่ยังไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะช่วยนายตำรวจ ภัครีบลุกพรวดพราดแต่ยังไปไหนไม่ได้เพราะคิมหันต์ไม่ยอม มือใหญ่กำรอบข้อมือขาวไว้ก่อนจะเงยใบหน้าพูดด้วย  “คุณยังพอมีเวลาให้คิดนะ แล้วหวังว่าผมจะได้ยินคำตอบที่อยากฟัง”












------------------------------
ปมเหมือนเยอะ ซึ่งความจริงก็เยอะค่ะ แต่ถ้าเดาทางถูกก็จะหาคำตอบได้ไม่ยากเลย  อี้อี้
ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)[/size]
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: FiZZ ที่ 08-12-2017 20:08:42
โอย ลุ้นอ่ะ ทำไมภัคถึงดูกลัวๆเหมันต์ ยิ่งตอนที่หนูดาบอกว่าพ่ออยู่ตรงบันได ว่าแต่ใครโบกมือให้หนูดา  o22
คือที่หน้าซีดเพราะมีเรื่องกันมาก่อนหรือว่ารู้ว่าฝ่ายนั้นตายแล้วไม่มีทางไปโผล่อยู่ตรงบันไดได้  :katai1:
แต่ชอบคุณตำรวจจังเลย มีเสน่ห์ดึงดูดเว่อร์  :-[
รอต่ออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ แนวโปรดเลย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2017 02:41:58
น่าสงสัยสุดก็ภัคนี่แหล่ะค่ะ แต่กลัวเงิบจัง ขอเก็บหลักฐานต่อไปเรื่อยๆ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 09-12-2017 16:54:24
ภัค คุณคงไม่ใช่คนฆ่าใช่มั้ย...
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 09-12-2017 17:00:29
๐๔





อาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอาจสืบเนื่องมาจากกับการนอนต่างถิ่น กลิ่นคงแปลกไปจนกลายเป็นตัวดึงดูดสิ่งที่ไม่มองเห็นให้แห่เข้าหาและตามระรานกระทั่งในความฝัน

ชายหนุ่มล่องลอยอยู่ในความเวิ้งว้างอันมืดมิดขณะรู้สึกได้ว่ามีมือปริศนาขยำตามร่างกาย ซึ่งประสงค์ต่ออะไรยังไม่ชัดเจน แต่การเค้นคลึงและดึงทึ้งนั้นเรียกความกำหนัดได้ดี จนนำไปสู่การมีอารมณ์ร่วม ความปรารถนาท่วมท้นใจจนไม่อาจนอนเฉย   

   แผงอกที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามขยับขึ้นลงเมื่อใครบางคนพยายามชักธงขึ้นเสา เหลาแก่นกายให้เป็นแท่งที่แข็งโด่ จวนใกล้จะเป็นมังกรตัวโตที่พร้อมพ่นน้ำ เจ้าของร่างกายนอนหายใจพะงาบ ๆ อ้าปากงับลมขณะหัวจมลงไปกับหมอน นอนกระสับกระส่ายเพราะไม่สบายตัว เจ็บหัวหน่าวจนร้าวไปทั้งท่อนล่าง ท้องไส้กำลังบิดมวน ไอ้นั่นปวดตุบ ๆ เพราะต้องการปลดปล่อย

แต่ในระหว่างที่อารมณ์กำลังทยอยเดินทางไปสู่จุดสุดยอด ตอนนั้นเองที่รู้สึกเหมือนถูกจำกัดสิทธิ์ในการหายใจ อย่างกับถูกถุงพลาสติกใสครอบหัวและเนื้อตัวจนเกิดอาการชักกระตุกอย่างรุนแรง แข้งขาถูกับเตียงนอนอย่างทุรนทุราย ตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดก่อนจะพยายามต่อต้านสุดกำลัง แต่ช่างยากเย็นเมื่อมองไม่เห็นศัตรู

เป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ให้ความรู้สึกยาวนาน หายใจเอาอากาศเฮือกสุดท้ายเข้าปอดอย่างแรงจนถุงใสแนบกับใบหน้า ดวงตาเบิกโพลงในขณะที่นรกกำลังเรียกหา เตรียมโบกลาชีวิตอันแสนสั้นและทักทายยมบาลที่ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ 

โชคดีว่าคิมหันต์ผวาตื่นตัวลอยขึ้นจากเตียงราวกับถูกกระชาก ลุกขึ้นมานั่งพร้อมเสียงนาฬิกาที่ตีบอกเวลาแปดโมงเช้า เวลาเดียวกับตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ นายตำรวจรีบกอบโกยอากาศจนสำลัก ทั้งทางปากทางจมูกพลางก้มมองลูกชายที่คายน้ำจนทำให้เป้ากางเกงเปียกชื้นเป็นดวง

ฝันบ้า ๆ ทำเอาความง่วงไม่หลงเหลืออยู่เลย ถึงแม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่ชิน ยังดีที่ว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมานั่งคิดหาสาเหตุว่าเพราะอะไร เพราะเพิ่งจะได้คำตอบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับการอธิบายที่ชัดเจนพอ   

คิมหันต์ค่อย ๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วก็ไม่ได้มีอาการตกใจเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเกิดการหลั่งตามประสาผู้ชาย เพราะเป็นวัยที่ยังไม่เกินเกณฑ์ต้องการเรื่องอย่างว่า 

มือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าลูบตาเพื่อเรียกสติตัวเองลวก ๆ ไม่ง่วงก็ไม่จำเป็นต้องนอนต่อ พอดีกับที่ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังมาทางหน้าต่าง เหมือนจะมีสมาชิกในบ้านตื่นก่อนและก็จำได้ว่าเป็นเสียงหนูดาที่สะท้อนดังขึ้นมาถึงชั้นบน คนช่วงขายาวลองเดินมาดูที่หน้าต่างเพื่อยืนยันสันนิษฐานของตัวเอง รั้งผ้าม่านไปด้านข้างจนเห็นภาพเด็กหญิงวิ่งเล่นกับน้าชายในสภาพสวมชุดนอน

สองน้าหลานพากันออกมาสูดอากาศตอนเช้าเหมือนทุกวันและโดยที่ปกติแล้วก็จะมีสายตาถ้ำมองจากชั้นสอง ภัคที่รับรู้ได้ถึงการจดจ้องไม่วางตาเงยหน้าขึ้นมองตอบในทันที ช้อนนัยน์ตามองไปยังระเบียงที่ว่างเปล่าด้วยความเคยชินก่อนจะรีบหลุบตาลงมองดินด้วยความกลัวอย่างประหลาด เพราะนึกได้ว่าเจ้าของระเบียงห้องนั้นเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวานสด ๆ ร้อน ๆ

ร่างบางเผลอถอนหายใจจนหนูดาที่อยู่ใกล้ ๆ เงยหน้ามองอย่างสงสัย มือเล็กปัดผมที่เกะกะหน้าออกจนเห็นคุณพ่อบนชั้นสองซึ่งมองอยู่ตลอดผ่านกระจก เด็กหญิงยกมือโบกไปมาพร้อมกระตุกแขนน้าชายให้หันมองด้วยกัน ภัคถึงได้เห็นตำแหน่งคนเฝ้ามองที่ถูกต้อง
สุดท้ายก็มีสติจ้องกลับถูกทาง 












“คุณพ่อ!”

น้ำเสียงสดใสตะโกนเรียกนายตำรวจที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณสนามหญ้าพลางถลาวิ่งเข้าใส่เต็มรักและถูกช้อนตัวขึ้นจากพื้นด้วยวงแขนแกร่ง คิมหันต์ฟัดพวงแก้มเด็กน้อยโดยลืมไปว่าตอหนวดแข็ง ๆ รอบริมฝีปากอาจจะบาดผิวบอบบางได้   

“ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกคุณพ่อบ้างล่ะคะ”  เสียเวลาเปลี่ยนกางเกงเลยลงมาหาเด็กหญิงช้า มัวล้างหน้าแปรงฟันเพราะอยากจะดูสะอาดสะอ้านเป็นผู้เป็นคน     
   
“หนูปลุกแล้วแต่คุณพ่อไม่ตื่น”  ปากเล็กยืดยาวเวลาอธิบาย แต่ประโยคสั้น ๆ มันยังไม่เช่นจัดเท่าที่ควร ชวนให้คนฟังข้องใจนิด ๆ จนร่างบางที่อยู่ด้วยแถวนั้นต้องช่วยขยายความให้ 

“แกไปเคาะประตูห้องคุณมาแล้วครับ แต่คุณคงหลับอยู่เลยไม่ได้ยิน” 

“อ๋า ความผิดผมเหรอเนี่ย”  คิมหันต์อุทานกับภัค แล้วหันกลับไปพูดกับหนูดาอย่างอารมณ์ดี  “งั้นต่อไปนี้คุณพ่อจะไม่ล็อกห้อง หนูเข้ามาปลุกได้ตลอดเลยดีไหมคะ”

เด็กหญิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ท่าทางน่ารักช่วยให้บรรยากาศยามเช้าที่แสนขมุกขมัวแจ่มใสขึ้นถนัดตา คนที่สมอ้างว่าเป็นพ่อกระซิบกระซาบเล่นกับสาวน้อยกันอยู่สองคน

ส่วนคนนอกอย่างภัคแค่ยืนมองเนิบนิ่ง อาศัยว่าว่างจึงมองสำรวจนายตำรวจอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสภาพแต่งตัวเนี้ยบเหมือนเมื่อวาน แต่การสวมเสื้อยืดแนบเนื้อกับกางเกงนอนขายาวก็ดูดีไปอีกแบบ พอเอาชุดคนตายมาใส่ก็แทบจะแยกความแตกต่างไม่ออก   

“หิวหรือยังครับ ผมจะได้ไปเตรียมอาหารเช้าให้”  เพราะจ้องนานไปหน่อยจึงพลอยคิดถึงเรื่องที่คุยกันไปเมื่อวาน เรื่องที่ยังตัดสินใจไม่ได้เป็นเหตุผลลึก ๆ ที่ทำให้ร่างบางอยากหลบหน้าและหาอะไรให้ตัวเองทำเพื่อแก้อาการฟุ้งซ่าน 

ก่อนคิมหันต์จะพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ  “ผมกลายเป็นภาระให้คุณหรือเปล่า”

“แค่ต้องหาข้าวเพิ่มให้อีกคน นั่นไม่นับว่าเป็นภาระหรอกครับ”  ภัคพูดแล้วเอื้อมมือขึ้นจับแก้มยุ้ยของเด็กหญิงเบา ๆ  “หนูดาอยู่กับคุณพ่อไปก่อนนะคะ”

น้าชายพูดกับหลานสาวที่พยักหน้ารับอีกรอบ ยื่นปากมาหอมแก้มแล้วโบกมือตามหลังจนร่างบางหันกลับมายิ้มให้น้อย ๆ แล้วค่อยเดินหายไปหลังเงาต้นไม้ใหญ่ เหลือทิ้งไว้แค่พ่อกับลูกสาวที่ขอตัวลงจากวงแขนเพราะจะวิ่งเล่น พอเห็นเด็กน้อยกวักมือให้วิ่งตามคิมหันต์ก็ยิ้ม   

“ปกติน้าภัคดูแลหนูดีไหมคะ”  เสียงทุ้มถามขณะเดินตามแทนการวิ่ง   

แล้วเด็กหญิงก็หยุดยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ  “ดูแลหนูดีหมายความว่าอะไรเหรอคะ”  หนูดาวัยห้าขวบเท้าสะเอวมองคุณพ่อที่ต้องลดความสูงลงมา คุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าสาวน้อย  “แบบว่าหาข้าวหาขนมให้หนู อาบน้ำให้ พาไปเที่ยว…”

“หนูไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเพราะคุณแม่ไม่อนุญาต”  เด็กหญิงพาออกนอกประเด็นที่คุยกันและถึงจะเศร้าที่ไม่ได้มีโอกาสออกนอกบ้านบ่อยนักแต่หนูดาก็ยังมีความหวังอยู่ตลอด  “แต่น้าภัคสัญญาแล้วว่าจะพาหนูไปเที่ยว”

“แล้วหนู …อยากให้น้าภัคอยู่กับเราไปตลอดไหมคะ”  คิมหันต์ถามช้า ๆ ชัด ๆ และเว้นระยะให้เด็กน้อยตรงหน้าได้ประมวลความคิดก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ ด้วยความรวดเร็ว     

“หนูรักน้าภัค”  คำตอบของหนูดาช่างเข้าใจง่าย ความหมายชัดเจนและนายตำรวจเห็นรอยยิ้มกว้างตลอดการพูดถึงน้าชาย  “คุณพ่อให้น้าภัคอยู่กับเราตลอดไปได้ไหมคะ”  เด็กหญิงถามกลับอย่างไร้เดียงสา ใช่ว่าจะเข้าใจ แต่ใจดวงน้อยแค่ไม่อยากให้น้าชายหายไปไหนจึงอยากให้คุณพ่อช่วยยืนยัน

แต่คิมหันต์ไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเป็นมอบคำถามให้ใหม่ คำถามที่ทำเอาหนูดาหนักใจ
“แล้วถ้าให้เลือกระหว่างน้าภัคกับคุณแม่ …หนูจะเลือกใครคะ”











ภัคขะมักเขม้นกับการเตรียมอาหารเช้าแบบง่าย ๆ จนได้ข้าวต้มมาหม้อใหญ่ หลังจากยกหม้อออกมาพักไว้นอกเตาก็ถอดผ้ากันเปื้อนอย่างลวก ๆ ห่วงว่าคนทั้งคู่ที่อยู่ด้านนอกจะหิว กลัวจะหิ้วท้องรอนานจึงไม่อยากช้าให้เสียเวลา รีบเดินออกมาจากตัวบ้านแต่ยังไม่ทันตะโกนเรียก จู่ ๆ เสียงมันก็ถูกดูดกลับลงลำคอเสียหมดเมื่อเห็นจำนวนคนเพิ่มขึ้นจากสองเป็นสาม 
     
ร่างบางมองภาพพ่อแม่ลูกที่อย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารครอบครัวต้นแบบจากมุมตัวเอง เห็นเด็กน้อยวิ่งหนีรอบวีลแชร์ไฟฟ้าขณะมีคุณพ่อวิ่งตามช้า ๆ และแกล้งทำท่าจะเป็นลม โดยมีคุณแม่คอยช่วยปัดผมหน้าที่ระเกะระกะตาเวลาชายหนุ่มหนึ่งเดียวหยุดยืนทำเหมือนเหนื่อย แต่เพราะว่าเด็กหญิงยังคงเรียกให้เล่นด้วยอยู่เรื่อย ๆ สองขายาวจึงต้องออกวิ่งอีกครั้งท่ามกลางเสียงทักท้วงห่วงจะล้มกลิ้งทั้งพ่อทั้งลูก แล้วพูดไม่ทันขาดคำก็เกิดการปะทะขึ้นจริง ๆ แต่เป็นความตั้งใจของเด็กหญิงที่วิ่งชนอกคุณพ่อจนล้มหงายหลังด้วยกันทั้งคู่

หนูดานั่งหัวเราะอยู่บนตัวนายตำรวจที่ร้องโวยวาย พอลุกขึ้นมานั่งได้ก็จับสาวน้อยฟัด กัดท่อนแขนเล็กเบา ๆ ก่อนเด็กหญิงจะฟ้องแล้วยื่นแขนข้างที่แกล้งเจ็บให้คุณแม่ช่วยเป่าและยืนเฉย ๆ ให้มินตราช่วยรวบผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงเสียใหม่แล้วมัดผมให้ด้วยยางรัดเส้นเดิม

แสงแดดยามเช้าที่เริ่มทอประกายแยงเข้านัยน์ตาภัคจนต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อย แล้วค่อยหันกลับมายืนมองด้วยแววตาเฉยชา เรียกว่าจดจ้องภาพที่อยู่ห่างออกไปตาไม่กะพริบระหว่างเผลอเม้มริมฝีปากเป็นระยะและไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาสมทบ   
 
จอมทัพที่ผิวปากควงห่วงกุญแจรถเดินผ่านมาพบร่างบางยืนเฉยเลยสงสัยจนตัดสินใจเดินเข้าใกล้ ยืนซ้อนหลังมองในสิ่งเดียวกับที่อีกคนมองและยกยิ้มเยาะจนเกิดความลึกของร่องแก้ม

“ดูท่าถ่านไฟเก่าจะปะทุนะว่าไหม”  กระซิบหลังใบหูขาวเพื่อเย้าแหย่ แต่ภัคก็ยังไม่สนใจ  “ส่วนแถวนี้ก็น่าจะมีคนขี้อิจฉาหนึ่งอัตรา”  ชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้หวังจะให้คนอายุมากกว่าเถียงกลับ แค่อยากสร้างความรำคาญไปเรื่อย ๆ เพื่อความสะใจของตัวเอง 

“ตกลงที่ทำหน้าเศร้าเนี่ยเพราะเสียใจที่พี่เขยตายหรือกำลังเสียดายเหยื่อรายใหม่กันแน่ล่ะ แต่ฉันว่าอย่างหลังมากกว่า เพราะขนาดฉันเองยังดีใจเลยที่หมอนั่นตาย นายเองก็คงจะเหมือนกัน”  จอมทัพชักจะปากมากเกินไปแล้ว มั่นใจด้วยว่าต้องเข้าหูร่างบางทุกประโยค รวมถึงประโยคหลัง  “…หรือถ้านายคัน แล้วหาอะไรแก้ขัดไม่ได้ก็บอกฉันได้นะ”   

“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอครับ”  น้ำเสียงหงุดหงิดที่ยอมตอบกลับมาเป็นครั้งแรกทำเอาคนช่างแกล้งหลุดหัวเราะ

“มี แต่ยังไม่อยากไป อยากอยู่ปั่นประสาทคนแถวนี้ให้อกแตกตายก่อน”  จอมทัพรีบต่อปากต่อคำ มองเสี้ยวหน้าด้านข้างร่างบางสลับกับภาพครอบครัวที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา 

“นรภัทรผู้อาภัพ สงสัยจะโดนพี่สาวคาบเหยื่อไปกินแล้วล่ะมั้ง แต่ฉันอยู่ทีมนายนะ แย่งหมอนั่นมากจากยัยขาเป๋เลยสิ”  เรื่องสร้างความร้าวฉานไม่ใช่ว่าเป็นแค่งานถนัดของนางร้าย ผู้ชายแมน ๆ เขาก็ทำกันเพราะอยากเห็นความพังพินาศ เอาให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นกันไปข้างเลย เคยเห็นแต่ในละคร แล้วตอนนี้ก็อยากดูจากภาพจริง

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”  ภัคยังสงบนิ่งได้อย่างน่านับถือ ไม่หือไม่อือไปตามที่จอมทัพคาดหวังให้เป็น เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งไว้จึงยอมให้เดินจากไป แต่ไม่วายตะโกนไล่หลัง พูดขึ้นมาดัง ๆ จนครอบครัวตัวอย่างก็ได้ยิน  “บ้านนี้มีเรื่องให้สนุกทุกวันเลยเว้ย!”













พอมีคิมหันต์เพิ่มเข้ามา หน้าที่ดูแลหญิงสาวของธันวาก็ลดน้อยลง แต่ยังคงต้องทำหน้าที่ยืนเป็นหุ่นประดับตามมุมห้องต่าง ๆ เมื่อเช้าก็ข้างสนามหญ้า ส่วนเวลานี้คือมุมห้องทานอาหารและจะได้ทานข้าวเช้าก็ต้องรอเจ้านายทานเสร็จ เป็นอันรู้กันว่าภัคจะเตรียมเผื่อไว้ให้เสมอ ๆ เข้าไปในครัวก็จะเจอเองและตลอดการยืนเฝ้าชายหนุ่มผิวสีขาวซีดก็เอาแต่มองเด็กกับผู้ใหญ่ที่ใช้ช้อนทานข้าวต้มคันเดียวกัน   

บรรยากาศการทานอาหารเช้าไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้น แต่มินตราก็ยังอุตส่าห์สังเกตเห็นหรืออันที่จริงแล้วมองอยู่ตลอดว่าคิมหันต์กำลังค่อย ๆ ทาน กว่าจะยกคันช้อนขึ้นจรดริมฝีปากแต่ละทีก็ใช้เวลาเหมือนกับว่าไม่อยากข้าวต้มตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น   

“ทำไมเหรอคะคิม หรือว่าไม่ถูกปาก” 

“เปล่าหรอก ผมแค่ไม่ได้กินข้าวเช้าแบบนี้มานานแล้วน่ะ มันเลยรู้สึกแปลก ๆ ”  นายตำรวจสบตากับภัคที่ปรายตามองมาเล็กน้อย พลอยให้มินตรามองตามแล้วตัดสินใจทำลายบรรยากาศบนโต๊ะอาหารทันทีด้วยคำพูดที่ก็รู้ว่าตั้งใจแดกดันใคร 

“มินก็นึกว่าไม่อร่อยซะอีก จะได้ให้เอาไปเททิ้งให้หมด”  รู้ว่ามีคนเดียวที่คิดแต่อะไรง่าย ๆ ออก ลูกสาวชอบบอกว่าสิ่งที่น้าชายทำช่างแสนอร่อย แต่เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่ามือคนทำน่ะเคยจับอะไรมาบ้าง คนรู้ดีอย่างเธอจึงแขยงทุกครั้งและได้แต่หวังว่าน้องนอกคอกจะยังรู้จักสุขอนามัย ล้างมือก่อนหยิบจับอะไรสักหน่อยก็ยังดี  “รสชาติก็งั้น ๆ คิมว่าไหมคะ”

“มินตรา”  คิมหันต์ปราม

“เมนูก็เดิม ๆ ”   

“ถ้าพี่มินไม่ชอบข้าวต้ม เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทานใหม่…”

“อะไรที่แกทำ ฉันก็กินไม่ลงทั้งนั้นแหละ”   

“ผมขอนะมิน”  มือใหญ่วางทับบนหลังมือซีดเซียว คิดว่าสัมผัสเดียวจะช่วยทำให้สาวเจ้าใจเย็น แต่เปล่าเลย ถ้าเป็นเรื่องของภัค เธอไม่เคยคิดจะหยุดด่าทอ วัน ๆ ว่างมากพอที่จะนึกคำต่อว่าได้ยาวเป็นหางว่าว 

“คุณเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน คงยังไม่ชินเท่าไหร่ แต่อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเองค่ะ ใช่ไหมภัคน้องรัก…”  กระดากปากก็จริง แต่สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้คิดว่ามันคุ้มที่จะต้องบ้วนปากทั้งวัน แค่ได้เห็นสีหน้าเจื่อน ๆ กับอาการนั่งนิ่งเป็นเป่าสากก็มีความสุข ความจริงคงอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วสวนกลับเต็มทนแต่ติดว่ามีคนนอกอย่างตำรวจหนุ่มนั่งหัวโด่ ไม่ยอมโผล่หางจิ้งจอกเพื่อบอกว่าตัวเองร้ายลึกแค่ไหน 

“ภัค”  หนูดาเรียกเสียงอ่อย อ้าปากคอยข้าวต้มคำต่อไปจนเมื่อยแต่อีกคนก็ยังเอาแต่นิ่ง เด็กน้อยไม่ทันเห็นว่าน้าชายกำลังหยิกขาตัวเองจนกางเกงนอนย่นอยู่ใต้โต๊ะ

“เป็นอะไรหรือเปล่าภัค”   คิมหันต์ถามด้วยความเป็นห่วง 

“อย่าไปสนใจเลยค่ะ ชอบเรียกร้องความสนใจตามประสาคนมีปมด้อย” 

“หนูดาอิ่มหรือยังคะ เราไปอาบน้ำกันดีกว่าไหม”  น้าชายป้อนข้าวต้มหลานสาวคำสุดท้ายแล้วตัดสินใจเอาเองโดยพลการ ลุกก่อนและช้อนตัวเด็กหญิงขึ้นอุ้ม  “ผมกับหนูดาขอตัวก่อนนะครับ”  แต่เดินยังไม่ทันพ้นมุมโต๊ะทานข้าว เสียงพี่สาวก็ดังขึ้นขัดขา 

“แกจะทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดฉันก็ได้นะภัค แต่ทำให้ได้ตลอดก็แล้วกัน”

พอได้พูดในสิ่งที่ต้องการ มินตราก็ไม่สนแล้วว่าสองคนที่ออกไปจะไปตายที่ไหน และเธอยังทำเป็นไม่สนใจสายตาดุ ๆ ดูก็รู้ว่าคิมหันต์ไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น พอ ๆ กับคนที่ยังยืนคอยให้เรียกมารับใช้อยู่ตรงมุมห้อง 

“คุณทำผมปวดหัวนะมิน”   

“เดี๋ยวก็ชินค่ะ” 

“คิดว่าผมจะชินได้จริง ๆ น่ะเหรอ แล้วภัคล่ะ คิดไหมว่าน้องชายคุณจะเจ็บปวดแค่ไหน”

“ฉันจำเป็นต้องสนใจคนที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นด้วยเหรอคะ”

“อย่างน้อยเขาก็ช่วยคุณเลี้ยงลูกนะ” 

“ทำเพราะจำใจมากกว่า เพราะถ้าไม่ทำฉันก็จะไล่ออกจากบ้าน แล้วคนความรู้น้อยแบบนั้น เรียนม.ปลายก็ไม่จบ ประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี อย่างดีก็คงได้แค่ขายตัวหาเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ ”

“นั่นน้องคุณนะมิน”  คิมหันต์ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงสาวตรงหน้าคือคนเดียวกับที่เมื่อก่อนช่างอ่อนหวาน แต่การพูดการจาตอนนี้มันหน้ามือเป็นหลังเท้าไปเลย เคยได้ยินว่าหลังจากประสบอุบัติเหตุมินตราก็มีกราฟอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ไม่คิดว่าจะตกต่ำขนาดนี้   

“น้องโง่ ๆ ที่ไม่มีใครต้องการน่ะสิ ถ้าพ่อแม่ฉันยังอยู่ก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน” 

“เขาทำอะไรให้คุณโกรธแค้นนักหนา”

“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ”  สาวเจ้ายิ้มบาง ๆ ระหว่างเขี่ยข้าวต้มในชาม  “แต่รู้ไว้เถอะว่าภัคไม่มีค่าให้คุณลดตัวลงไปยุ่งด้วยหรอก”  มินตรามองคิมหันต์ด้วยสายตาแห่งความหวังดี แต่หาได้รับการสบตาคืนไม่ นายตำรวจลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะบอกเหตุผลไม่ให้ดูเหมือนคนเสียมารยาทเกินไป  “ผมอิ่มแล้ว นึกได้ว่ามีงานต้องรีบไปเคลียร์น่ะ”

ช่วงขายาวก้าวออกจากตำแหน่งเดิมโดยไม่รอหญิงสาวคัดค้าน เดินผ่านกรอบประตูและชะงักเล็กน้อยเมื่อเจอว่าใครยืนอยู่เพื่อแอบฟัง ภัคยืนหลบอยู่ข้างทางซ้ำยังทำสีหน้าไม่สู้ดี คงจะได้ยินทุกประโยคที่พี่สาวเอ่ยหมดแล้ว

คิมหันต์รีบฉุดข้อแขนเล็กและพอเดินออกมาไกล ๆ  “คุณไม่เป็นอะไรนะ”

“คุณอย่ามาเสียเวลากับคนไม่มีค่าอย่างผมเลยดีกว่า”

“ภัค”

“คุณก็ได้ยินหมดแล้วนี่”  ร่างบางช้อนนัยน์ตาแดงก่ำขึ้นมอง ปลายจมูกแดงเหมือนคนจะร้องไห้

“ผมไม่สนใจหรอก”  นายตำรวจช่วยเช็ดน้ำตาที่กลิ้งลงมาหยดหนึ่งได้ทัน ก่อนจะถือโอกาสสัมผัสแก้มเนียน เฉียดผิวชื้น ๆ ไปมา แต่ก็ถูกหยุดด้วยมือที่มีขนาดเล็กกว่า   

“แต่คุณควรจะฟังคำเตือนพี่มินไว้บ้างนะ” 
คำเตือนที่ไม่ต่างจากการคำยุยงทางอ้อม

“ทำไมผมต้องคอยฟังคำเตือนของใครต่อใครด้วย ในเมื่อผมโตพอจะตัดสินใจได้เองแล้วว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร” 

คิมหันต์ยื้อแขนเล็กไว้ในขณะที่เจ้าของร่างกายพยายามแกะมือกร้านนั้นออก ภัคมองหาตัวช่วย แต่ด้วยเป็นมุมอับลับตาคนจึงอ้างถึงหลานสาวที่ปล่อยให้ขึ้นข้างบนไปคนเดียวก่อน  “หนูดาคงรออาบน้ำอยู่ ผม…”  ร่างบางพูดไม่จบ พวงแก้มกระทบกับแผงอกหนาเสียก่อน ถูกสวมกอดอย่างแนบแน่น สองวงแขนยาวโอบรัดสรีระจนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนของฝ่ามือที่แนบติดกับลำตัว 

ภัคขัดขืนอยู่ในทีเพราะกลัวจะมีใครมาเห็นเข้า แต่เหมือนเอาไม้ซี่งัดไม้ซุง ดิ้นขลุกขลักอย่างไร้ประโยชน์ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งได้กลิ่นโคโลญจน์เย็น ๆ ในแบบผู้ชายจนใจแสนว้าวุ่นค่อย ๆ สงบลงและยอมยกธงขาว ร่างบางเลิกเกี่ยงงอนไม่เข้าท่าและขยับแขนโอบรอบเอวสอบทีละนิด

ซบขมับกับช่วงบ่ากว้างและพลันปิดเปลือกตาลง ปล่อยน้ำตาเปล่า ๆ กลิ้งตกลงหน้าแก้มแล้วลืมตาขึ้นใหม่แทบในทันที สายตาที่เคยเศร้าหมองกลายเป็นมองไม่ออกว่าคิดอะไร มีแค่พฤติกรรมที่อ่านง่ายดาย ภัคเป็นฝ่ายกระชับอ้อมกอดตอนอยากได้ไออุ่น ยืนอิงแอบกับขนาดร่างกายที่คุ้นเคย

คิมหันต์เอ่ยปลอบใจว่าไม่เป็นไรซ้ำ ๆ
ทำดีดั่งพ่อพระ แต่ว่าลึก ๆ แล้วก็ไม่บริสุทธิ์ใจ 
 








---------------------------------------
ดึกๆเดี๋ยวมาอีก ฟิตๆ  :katai2-1:
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: แซมเนท ที่ 09-12-2017 23:12:40
เป็นพล็อตเรื่องที่ไม่ง่าย(ตามหามานาน)และน่าติดตามมากเป็นนิยายที่เราเฝ้ารอคอยความจริงว่าจะเป็นยังไง
#เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 10-12-2017 00:30:10
๐๕




บางครั้งคำพูดก็ไม่ได้แสดงออกถึงความชัดเจน การกระทำมากกว่าที่เป็นตัวชี้วัด แล้วถ้าต่อมรับความรู้สึกยังทำงาน คงรู้ว่าการกอดซ่อนความหมายนัยไว้นอกเหนือจากการแค่ปลอบใจไปอย่างนั้น

ทุกครั้งที่สมองว่าง คิมหันต์จะนั่งระลึกถึงตอนได้กอดร่างบางตลอด คิดถึงผิวสัมผัสลื่น ๆ เหมือนก้อนสบู่ ความนวลเนียนประมาณนั้นที่ปกติแล้วพบได้แค่ในผิวทารก ไหนจะกลิ่นอายของความไร้เดียงสา สงสัยน้าชายคลุกคลีกับหลานมากไปทั้งตัวถึงได้มีแต่กลิ่นแป้งเด็ก     

นายตำรวจคิดว่าตัวเองโรคจิตไม่น้อยที่วูบหนึ่งรู้สึกอยากรังแก อยากข่มเหงจนอีกคนร้องอ้อนวอนด้วยความพ่ายแพ้อยู่ใต้ร่าง ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าล่วงเกินไปแล้วต่าง ๆ นานาผ่านทางความคิด แต่ก็เข้าใจว่าตัวเองไม่ผิดเพราะมันยังเป็นเพียงจินตนาการ

ยิ่งเห็นคนในบ้านด่าทอเหมือนเกิดจากคนละพ่อคนละแม่แบบนั้นแล้วด้วย คิมหันต์ก็ยิ่งสนใจจนชักแยกไม่ออกว่ากำลังอยากรู้อยากเห็นเพราะทำไปตามหน้าที่หรือเพราะว่านรภัทรดันเป็นคนที่ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็น

แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน …นายตำรวจรู้ว่าร่างบางไม่ใช่คนโง่ก็แล้วกัน   

“คุณโมรีพร้อมให้ปากคำแล้วครับ” 

คิมหันต์แค่พยักหน้ารับลูกน้องที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเพื่อแจ้งข่าว แล้วผายมือเชิญสาวสวยในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินเข้ามา เป็นสัญลักษณ์ว่าเชิญนั่ง ก่อนคนหมดหน้าที่จะเดินออกไปและปิดประตูไล่หลังเพื่อให้คำพูดระหว่างการสอบสวนอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว

โมรี สิริมาลินดาวมหาลัยฯคณะบัญชียอมมาให้ปากคำถึงสถานีตำรวจและแทนที่เธอจะให้ตำรวจเป็นฝ่ายซักไซ้ไล่เรียง เธอกลับชิงถามคำถามส่วนตัวกับคิมหันต์ บ้านช่องอยู่ที่ไหน มีเมียแล้วเหมือนน้องชายฝาแฝดหรือเปล่า เย็นนี้ว่างไปกินข้าวกับเธอไหมหรือจะเลยไปคอนโดเลยก็ได้ เธอแอบกระซิบว่าคงไม่ถือที่น้องชายได้เธอไปก่อนหรอกนะ

ความตรงไปตรงมาของโมรีกำลังทำเจ้าหน้าที่รัฐปวดขมับ แถมเล่าตั้งแต่ว่าเจอกับเหมันต์ได้อย่างไร มีอะไรกันครั้งแรกที่ไหน บอกกระทั่งตำแหน่งไฝฝ้า สารภาพว่ารู้ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายมีลูกมีเมีย แต่ที่ไม่รู้เลยและเพิ่งจะมารู้ก็คือคู่นอนของเธอมีพี่ชายฝาแฝดที่แน่นอนว่าเอามาทดแทนกันได้ เธอส่งสายตาให้นายตำรวจอย่างโจ่งแจ้ง แสดงออกถึงความชอบพอ

แถมหลังให้การเสร็จสิ้นยังมีการขอติดรถไปบ้านด้วย ถือว่าช่วยชาติประหยัดน้ำมัน หญิงสาวอ้างแบบนั้นจนกระทั่งได้นั่งรถคันเดียวกับคิมหันต์ที่ตอนแรกเกือบปฏิเสธ แต่เห็นเธอบอกว่าจะกลับไปเอาของที่ลืมไว้ในห้องผู้ตาย นายตำรวจจึงยอม เปิดประตูรถและปิดให้พร้อมเสร็จ เป็นสุภาพบุรุษกับสตรีที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทาง เธอสร้างมิตรภาพด้วยการไถ่ถามเรื่องต่าง ๆ ส่วนคนถูกถามก็ยังแอบไว้ตัว กลัวการเปิดเผยจะทำให้เธอคิดว่าอนุญาตให้ล้ำเส้น

เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่รถแล่นบนท้องถนนก่อนจะขับวนเข้ามาในรั้วบ้านหลังใหญ่ แล้วจอดเทียบขั้นบันไดและดับเครื่องยนต์เป็นอย่างสุดท้าย ชายหญิงต่างลงจากรถกันคนละฝั่งและโมรีเป็นฝ่ายย่างก้าวเข้าบ้านก่อนด้วยความคุ้นเคย เอ่ยบอกนายตำรวจไปแล้วว่ามาบ่อย เธอจึงไม่ค่อยหลงเหลือความเกรงใจ ภาษาบ้าน ๆ ก็คือไร้ยางอายนั่นแหละ 

แม้ว่าผู้คนในบ้านจะชอบมองด้วยสายตาไม่ต้อนรับ แต่ที่เธอทำเป็นประจำก็คือเชิดหน้า ชื่อของเธอหมายความว่านกยูง จะสุขหรือทุกข์ก็ต้องรำแพงหางวางท่าสง่างาม โมรีเดินเข้ามาในห้องรับแขกและมันไม่แตกต่างกันเลยสักครั้ง สายตายังพุ่งตรงมาที่เธอจากทุกทิศทาง แต่มีแค่นัยน์ตาคู่เดียวที่เหลียวมองอย่างเคียดแค้น มินตรากำมือกับพนักวางแขนไว้แน่น   
           
“พอดีเธอขอติดรถมาด้วยน่ะ”  คิมหันต์ที่เดินตามเข้ามารู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลก ๆ จึงแจกแจงให้ทราบโดยพร้อมเพรียง แต่สายตาเอนเอียงไปทางภัคที่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยแล้วค่อยก้มหน้าก้มตาวาดรูปดอกไม้ให้เสร็จ แบ่งเขตแดนในกระดาษกับหนูดา   

“แล้วเธอมาที่นี่อีกทำไมไม่ทราบ ลืมเหรอว่าเหมันต์ตายไปแล้ว” 

แววตาเกลียดชังดูจะเป็นของคู่กันกับมินตราไปเสียแล้วและเธอไม่ต้องการปิดบังว่ารังเกียจเด็กสาวที่ขายเต้าผันตัวมาเป็นชู้กับผัวชาวบ้านแค่ไหน เธอสาปส่ง แช่งชักหักกระดูกให้ตายอยู่ตลอดสามเวลาหลังอาหาร เพราะเป็นผู้หญิงด้วยกันถึงดูออก ถ้าได้ลองถึงขั้นขออาศัยติดรถมานั่นก็เท่ากับว่าโมรีเล็งนายตำรวจไว้ ชายคนรักเก่าที่เธอหมายตาอยู่ก่อน       

“คนที่ลืมว่าผัวตายน่าจะเป็นป้ามากกว่านะ สายตาหวงก้างน่ะเก็บ ๆ ไว้บ้างก็ดี” 

“เธอเรียกใครป้า”

“ในห้องนี้มีคนอายุเยอะกว่าป้าด้วยเหรอคะ”  นัยน์ตาที่ดูใสซื่อมองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจและเมื่อตรวจตราจนมั่นใจ เธอก็พูดใส่หน้าหญิงพิการอย่างไม่มีความเกรงกลัว  “…ก็ไม่เห็นจะมี”  นอกจากจอมทัพก็มีโมรีที่กล้างัดกับมินตราซึ่ง ๆ หน้า จะไม่ทนให้เมียหลวงด่าสาดเสียเทเสีย เป็นเมียน้อยแล้วยังไง อย่างน้อยเธอก็มีประโยชน์พอทำให้ใครสักคนมีความสุข

ไม่ใช่นั่งทำหน้าอมทุกข์ทุกวี่ทุกวันจนกลายเป็นการไล่ผัวออกจากบ้านกลาย ๆ อย่างหญิงพิการตรงหน้า  “อย่ากังวลไปเลยค่ะ หนูแค่ติดรถพี่เขามาเอาของก็เท่านั้น”

“คิมหันต์ไม่เคยมีน้องสาวหน้าด้านอย่างเธอ”

“หนูเดาว่าพี่เขาก็คงไม่เคยมีแม่จุ้นจ้านอย่างป้าเหมือนกัน” 

คิมหันต์ถึงกับกลอกตาเบื่อหน่าย เพราะเป็นผู้ชายจึงไม่ค่อยเข้าใจศาสตร์การทะเลาะของพวกผู้หญิง แล้วยิ่งตัวเองตกเป็นหัวข้อพิพาทแล้วด้วยไม่รู้จะช่วยให้บทสนทนามันดีขึ้นอย่างไร ตัดสินใจหลบฉาก เดินมานั่งกับหนูน้อยที่คอยคุณพ่อกลับบ้านนับตั้งแต่วินาทีที่ขับรถออกไป   

“เพราะหนูเต่งตึงกว่าเลยกลัวว่าเขาจะมาชอบหนูเหรอ”  โมรีรอจนมั่นใจว่านายตำรวจอยู่ห่างมากพอจึงได้ยิ่งสำแดงฤทธิ์  “ก็นะ ป้าคงกลัวจริง ๆ ขนาดคนน้องยังชอบหนู บางทีคนพี่ก็อาจจะชอบเหมือนกัน”

“การศึกษาไม่เคยสอนอะไรเธอเลยสินะ” 

“แล้วรู้หรือเปล่าคะว่าการใช้ความพิการเรียกคะแนนความสงสารมันน่าสมเพช”

“เธอ!”

“ผู้หญิงด้วยกันย่อมดูกันออกจริงไหมคะ มองปราดเดียวหนูก็รู้แล้วว่าป้าคิดจะทำอะไร”  ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าหญิงสาวบนรถเข็นเป็นประเภทโทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง  “เพราะทำตัวเป็นมนุษย์ป้าแบบนี้ไงผัวถึงได้หนี ป้าต้องหัดคิดได้แล้วนะว่าทำไมถึงถูกทิ้งให้นั่งเหี่ยวอยู่แต่บ้าน”

“ก็ยังดีกว่าพวกคิดสั้น อยากรวยทางลัดด้วยการเป็นเมียน้อยคนอื่น” 

ทุกคนรู้ว่ามันคือการยื่นหมูยื่นแมว ใช้สัมพันธ์ทางกายแลกค่าเลี้ยงดู ทุกวันนี้มีคอนโดให้อยู่ก็เพราะสามีแค่ในนามของเธอเป็นคนจ่าย เผลอ ๆ รถที่ใช้ขับไปมหาลัยก็คงเป็นความอนุเคราะห์จากผู้ชายมักมากที่ตายไปแล้วอีกเหมือนกัน

“แล้วยังใช้การได้อยู่ไหมคะ …ตรงนั้นน่ะ”  โมรีไม่ยอมทิ้งประเด็นเก่า  “ลองเคาะ ๆ บ้างนะคะ เผื่อสนิมจะขึ้น”  คำสบประมาททำเอามินตราโกรธจัด ความจริงคงอยากจะลุกขึ้นมา ติดที่ว่าสองขาไม่มีแรง ปากจึงเป็นอาวุธเดียวที่สามารถใช้ทำร้ายคนอื่นได้   
 
“ก็ยังดีกว่าพวกหลวมโครกอย่างเธอ ไม่รู้ติดโรคมาบ้างหรือเปล่า”

“เดี๋ยวนี้เขามีวิวัฒนาการที่เรียกว่าถุงยางอนามัยค่ะ”  ยอกย้อนกลับด้วยคำพูดที่กึ่งด่าว่าอีกคนอยู่แต่บ้านถึงไม่รู้ว่าโลกด้านนอกเขาพัฒนากันไปถึงไหน สงสัยพอไม่ได้ใช้สมองนาน ๆ เข้าก็หมดสมรรถภาพเหมือนขา  “อีกอย่าง หนูเป็นเมียน้อยคนอื่นที่ไหน ก็คนกันเองด้วยกันทั้งนั้น เราเคยใช้ผัวร่วมกัน จำไม่ได้แล้วเหรอคะ” 

เริ่มต้นกระแหนะกระแหนด้วยเรื่องไหนก็จบที่เรื่องนั้น ประเด็นมันก็วนอยู่เท่านี้และไม่ว่าจะผ่านไปอีกสักกี่ปี มินตราและโมรีจะจดจำกันและกันในฐานะเมียหลวงกับเมียน้อย ต่อให้ใครตายไปข้างก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะเลิกอาฆาตพยาบาทหรือเปล่า     

“เธอมาที่นี่ต้องการอะไรกันแน่”  ภัคเอ่ยขัดทั้งที่จริง ๆ ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะเบาะแว้ง แต่เพราะคำพูดแรง ๆ พวกนั้นลอยมาไกลถึงหูหลานที่กำลังวาดดอกไม้ น้าชายจึงต้องย้ำเผื่อคำถามจะช่วยทำให้เด็กสาวนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ออก     

“แค่มาเอาของน่ะพี่ภัค หวัดดีจ้ะหนูดา”  ตอนเข้ามาลืมทักทาย พอได้เวลาจึงโบกมือให้สักหน่อย แล้วค่อยออกเดินอย่างมั่นใจและก้าวขึ้นบันไดโดยไม่คิดถามหาการอนุมัติจากใคร ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองที่จะเข้าหรือออกเมื่อไหร่ก็ได้

โดยมีมินตราด่าพึมพำไล่หลัง  “นังเด็กไม่มีมารยาท หน้าด้านหน้าทน”  แต่ละคำที่พ่นออกมานึกว่าเป็นคำพูดจากแม่ค้าปากตลาด ก่อนจะหันมาเล่นงานนายตำรวจอีกคน  “คิมก็อีกคน กำลังโดนเด็กมันหลอกยังไม่รู้ตัวอีก”  รถเข็นไฟฟ้าเคลื่อนมาทางคิมหันต์ที่คิดว่าจะรอดจากเรื่องวุ่นวายแล้วแต่ก็ไม่ มินตรายังคอยวอแว เธอเริ่มเหมือนแม่จอมจุ้นจ้านอย่างที่โมรีกล่าวไว้เข้าไปทุกขณะ   

“ผมก็ไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรอย่างที่คุณว่าเลยนะ เธอแค่ขอติดรถมาก็เท่านั้น”

“วัน ๆ คิมทำแต่งานคิมจะไปรู้อะไร คิมเป็นผู้ชาย ตามเล่ห์เหลี่ยมนังเด็กนั่นไม่ทันหรอก ผู้หญิงด้วยกันอย่างมินดูออกว่ามันพยายามจะอ่อยคุณ”
 
นายตำรวจถอนหายใจเฮือกใหญ่ แสดงออกถึงความเหนื่อยใจไม่บิดบังจนภัคที่นั่งถัดจากหนูดาแอบเงยหน้ามองสลับกับจ้องสีหน้ากระวนกระวายของพี่สาว

ความจริงร่างบางกำลังลุ้นว่าชายหนุ่มจะกล่าวอะไรต่อไปมากกว่า
ลึก ๆ หวังว่าจะได้ยินประโยคในทำนองที่อยากฟัง       

“หรือผมยังบอกอะไรคุณไม่ชัด ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะมิน”  หญิงสาวชะงักหลังถูกหักหน้ากลางห้องนั่งเล่น ถึงกับไปไม่เป็นก่อนจะยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อเห็นว่าภัคมองมาด้วยสายตาเย็นชา ถึงไม่เอ่ยออกมาตรง ๆ แต่คงกำลังสมน้ำหน้าและยิ้มเยาะเธออยู่ในใจ

“ที่มินเตือนก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ มินกลัวคิมจะ…”

“ผมดูเหมือนคนโง่มากหรือไง”  คิมหันต์ถามกลับเสียงเย็น ดูเป็นอีกคนไปเลยซึ่งน้อยครั้งใครจะได้เห็น นัยน์ตาดำเพ่งมองดวงหน้าที่ยังสะสวยอย่างหงุดหงิด หัวคิ้วแทบขมวดติดกัน แถมคน ๆ เดิมยังสามารถทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นได้อย่างน่าประหลาด

ความเกรี้ยวกราดที่เกาะแน่นบนโครงหน้าสมส่วนทำให้หญิงสาวจำต้องล่าถอยโดยด่วนด้วยการเรียกคนที่คอยยืนดูแลห่าง ๆ ให้มาพาออกไปจากห้องรับแขกบ้า ๆ นี่ที ธันวาที่ยืนนิ่งมานานจึงได้เคลื่อนไหว เข็นพามินตราจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอึดอัด   

“หนูดาวาดอะไรอยู่คะ”  นายตำรวจพยายามข่มใจ คิดถึงเรื่องลูกให้มาก ๆ เพราะอยากหลุดพ้นจากอารมณ์ฉุนเฉียว  “อยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะครับ ดีกว่าเก็บไปคิดคนเดียวแล้วเครียดที่ไม่ได้คำตอบเปล่า ๆ”  ในน้ำเสียงยังเจือความกระด้างระหว่างพูดกับภัคที่ยังนั่งมองด้วยแววตาสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“ผมคิดว่าคุณจะกลับไปคบกับพี่มินซะอีก ในเมื่อมีโอกาส…”

“อะไรก็ตามที่ถูกตัดไปแล้วไม่มีทางต่อกันติดเหมือนเดิมหรอก”  คิมหันต์ยิ้มรับคำพูดตัวเองเล็กน้อยขณะร่างบางยังคอยสบตาเพื่อตามหาความจริง ทั้งสองคนมองกันนิ่ง ๆ โดยมีหนูดาขยับตัวหยุกหยิกตรงกลางไปมา มือหนึ่งวาดรูปขณะส่งเสียงถามด้วยความใคร่รู้     

“คุณพ่อไม่ต้องไปทำงานเหรอคะ”  ปกติเด็กหญิงจะไม่เจอคุณพ่อเลยแทบตลอดทั้งวันหรือบางทีก็หลายวัน ส่วนน้าชายก็เอาแต่บอกว่าคุณพ่อต้องออกไปทำงานจนจำได้ขึ้นใจ พอมาวันนี้ดูแปลกไป วัยช่างสงสัยจึงอดถามไม่ได้ 

“แล้วไม่ดีเหรอคะที่คุณพ่ออยู่บ้านกับหนู”

“ดีค่ะ หนูอยากให้คุณพ่ออยู่บ้านกับหนูทุกวัน”  พักมือจากการวาดรูปแล้วหันมาตอบอย่างฉอเลาะ

“ได้สิคะ คุณพ่อจะอยู่บ้านกับหนูทุกวันเลย”

“เย้!”  ชูมือขึ้นด้วยความดีใจ ได้คุณพ่อหอมแก้มแล้วค่อยลงมือระบายสีตัวบ้านให้เต็ม
 
“คุณกำลังให้ความหวังแกนะ ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่บ้านขึ้นมาแกจะเสียใจมากแค่ไหนรู้ไหม”  ภัคยังทำหน้าที่ผู้ปกครองที่คอยปกป้องความรู้สึกหลานสาวไม่ให้ต้องเจ็บปวดพร่ำเพรื่อ   

“ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปไหน”

“แต่คุณไม่ใช่…”

“ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะพ่อของหนูดา”  ท่าจะยังหงุดหงิดจากตอนแรกไม่หาย นัยน์ตาเอาเรื่องจึงตวัดมองร่างบางที่มองหน้าตอบอย่างสงบ ขนาดคนอารมณ์แปรปรวนอย่างพี่สาวยังทนอยู่ด้วยได้ เจอแค่นี้สบายมากและรู้จักวิธีรับมือ  “คุณช่วยปฏิบัติกับผมเหมือนตอนที่ปฏิบัติกับเหมันต์ได้ไหม คิดซะว่าผมเป็นคนในครอบครัว เป็นพ่อหลานคุณจริง ๆ” 

โทนเสียงแข็ง ๆ แปลงประโยคขอร้องให้กลายเป็นกึ่งสั่ง ไม่เชิงอ้อนวอนแต่คิมหันต์แอบทำให้น้าชายสับสน คิดวกวนว่าประโยคก่อนหน้ามีนัยยะอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า     

“แล้วคุณมั่นใจแค่ไหนว่าจะเลี้ยงลูกคนอื่นได้”   

“แล้วทำไมทีคุณยังเลี้ยงลูกให้พี่สาวตัวเองได้เลยล่ะ”

“หนูวาดเสร็จแล้วค่ะ”  เสียงหนูดาเป็นเหมือนระฆังพักยก คงไม่มีวันทะเลาะกันจบถ้ามีเด็กหญิงอยู่คั่นกลาง ทั้งคู่ต้องปรับอารมณ์กันแทบไม่ทัน ก่อนคิมหันต์จะตื่นเต้นไปกับลูกสาวและเอารูปในมือน้อยมาถือไว้แทน  “ไหน ขอพ่อดูหน่อยว่าวาดอะไร บ้านนี่นา”

“บ้านของเราค่ะ”  อธิบายน้ำเสียงสดใส ใช้นิ้วสั้นชี้ให้มองพวกดอกไม้ใบหญ้าด้วย

“แล้วคนหายไปไหนหมดเอ่ย”

“อยู่ในบ้านค่ะ มีคุณพ่อ มีหนู มีน้าภัค”

“แล้วคุณแม่ …?”

“ต้องถามคุณแม่ก่อนค่ะว่าอยากอยู่บ้านหลังนี้กับหนูไหม”  แม้แต่ตอนพูดถึงคุณแม่ก็ยังดูสดใส ผิดกับผู้ใหญ่ที่เผลอมองหน้ากันอัตโนมัติ ภัคยกมือลูบหัวหลานสาวที่ก้มลงไปวาดรูปต่อด้วยความเวทนา ขณะคิมหันต์เริ่มตระหนักได้แล้วว่าควรจะให้ความรักและทำหน้าที่พ่อที่ดีให้แก่ลูกสาวสักที 













“ฉันอยากจะฆ่านังเด็กนั่นให้ตายด้วยมือของฉันเอง” 

คำพูดไม่หวั่นเกรงใครหน้าไหนดังสะท้อนภายในห้องนอนส่วนตัว เสริมด้วยท่าทางไม่ได้ดั่งใจ หญิงสาวทุบกำปั้นกับพนักแขนวีลแชร์ไฟฟ้าซ้ำ ๆ 

“นายก็ได้ยินใช่ไหมตอนมันยอกย้อนฉัน” 

มินตราระบายความอึดอัดผ่านการพูดและพูดดั่งเช่นทุกวัน ขณะมีโอธันวาคอยเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มผิวสีซีดเหมือนจะไม่มีบทบาท แต่ความจริงแล้วเขาคือกล่องเก็บความลับขนาดย่อมของหญิงทุพพลภาพที่เวลาพูดต่อหน้าได้ไม่หมด ก็ต้องมาพูดกับคนดูแลส่วนตัวลับหลัง ทำปากเก่งเพราะเชื่อใจว่าอีกคนจะไม่ปากโป้งและถ้าไม่ดีจริง ความลับของเธอคงรั่วไหลไปนานแล้ว 

“นายเห็นแววตาที่นังเด็กหน้าด้านนั่นมองฉันหรือเปล่า” 

หญิงสาวถามเหมือนจะเอาคำตอบ แต่เปล่าเลย เธอไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดและเธอจะไม่หยุดเอ่ยวาจาเสีย ๆ หาย ๆ จนกว่าเธอจะพอใจ  “ฉันต่างหากที่ควรจะมองมันด้วยสายตารังเกียจ เป็นแค่เมียน้อยยังไม่รู้จักเจียมตัว” 

“เหอะ! ใช้ผัวร่วมกันงั้นเหรอ ฉันไม่ลดตัวไปมั่วกับผู้ชายบ้ากามอย่างนั้นหรอก ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว!”  แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ทำชีวิตเธอพลิกผันไปหมด จากนักศึกษามีอนาคตกลายเป็นผู้หญิงท้องโย้อยู่เก้าเดือน อาการเลือดลมแปรปรวนทำเอาเธอเกือบบ้า ไหนจะต้องมาเสียขาจากอุบัติเหตุที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เพราะเหมันต์เดียวชีวิตเธอถึงย่อยยับ     
 
 “ธัน…”  อยู่ด้วยกันหลายปีจนรู้ใจ เวลาไหนคือเวลาที่ต้องการ ชายหนุ่มสามารถเดินเข้ามาหาได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรยืดยาว ส่วนหญิงสาวก็ค่อย ๆ หมุนรถเข็นหันเข้ามาในห้องและธันวาต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเพื่อที่ว่าตอนคุยจะได้อยู่ระดับใกล้เคียงกัน 

“นายตอบฉันมาตามตรง ตอนนี้ฉันดูแก่มากไหม”  ยอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อยหลังจากที่โดนหักหน้า กลับมานั่งคิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าเพราะมีลูกติดใช่ไหมชายคนรักเก่าถึงเมิน หรือเพราะว่าเธอไม่สวยเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่เด็กสาววัยละอ่อนอย่างที่คิมหันต์เคยชอบใช่หรือเปล่า เธอไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไรและไม่เชื่อด้วยว่าจะลืมกันง่าย ๆ แบบนี้

“ตอบมาสิว่าฉันดูแก่หรือเปล่า” 

เห็นอีกคนเอาแต่นิ่ง มินตราก็ยิ่งเร่งด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เดี๋ยวเดียวก็เย็นลง คงเพราะสัมผัสนวดเบา ๆ เหนือหัวเข่า ก่อนชายกระโปรงยาวจะสั่นไหวเล็กน้อยเพราะมือที่ค่อย ๆ สอดเข้าไป 

“ไม่ครับ คุณยังสวยเสมอ” 

หญิงสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แค่เพราะมีชายคนหนึ่งบอกว่าเธอยังสวยสดงดงาม ความจริงผู้หญิงอย่างเธอไม่ต้องการอะไรมากนอกเสียจากคนอยู่เคียงข้าง คอยรับฟังและอย่าขัดเวลาเธอปรารถนาอะไร ซึ่งธันวาก็เป็นให้ได้ทั้งหมด …แม้แต่การทำหน้าที่ทดแทนสามีตลอดหลายปี 

เหมาจ่ายค่าจ้างทีเดียวแลกกับความเสียวเท่าที่ต้องการ  “ฉันดีใจที่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามีคนในบ้านอยู่ข้างฉันบ้าง”  มือเรียววางลงบนบ่าแล้วขย้ำกล้ามเนื้อไหล่เต็มแรง อารมณ์กำลังรวนเพราะส่วนนั้นค่อย ๆ ถูกล่วงเกินจนเกิดความชื้นแฉะ   

ขณะนิ่วหน้าเผยอปากครางอย่างชอบใจ มินตราก้มมองกิริยาจาบจ้วงของคนดูแลและไม่แม้แต่จะห้ามปราม เพียงดื่มด่ำหลับตาพริ้มกัดริมฝีปากเมื่อปลายความสากแตะโดนจุดกระสัน ปล่อยให้ชั้นในถูกถอดออกจนกองแทบที่วางพักเท้าพอดีกับที่ก้านนิ้วยาวเริ่มขยับเข้าออก   






มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 10-12-2017 00:31:02




สองมือจ่อใต้ก๊อกน้ำเพื่อทำความสะอาดหลังจากเพิ่งล้างแก้วนมหลานเสร็จ ภัคล้างมืออยู่นานและเช็ดกับผ้าซับมืออย่างที่ทำเป็นประจำ ความจริงเกือบทุกย่ำเย็นร่างบางก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องครัวและหมุนตัวกลับหลังหันเมื่อได้ยินเสียงบานประตูตู้เย็นถูกเปิด

คนที่เดินเข้ามาใหม่คือชายพูดน้อยที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกนึกคิดและดูจะเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นพิเศษเวลาเจอภัค ธันวาทำท่าจะรอให้ร่างบางออกไปก่อนแล้วค่อยหาน้ำดื่มดับกระหาย แต่คนล้างมือเสร็จแล้วก็ยังไม่ไปไหน ยืนพักเท้าระหว่างพิงเคาน์เตอร์ครัว 

“นายกินข้าวเย็นหรือยัง”  ร่างบางถามอย่างเป็นกันเอง แม้รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะรักษาระยะห่าง 

“กินแล้วครับ”

“โกหก”  จับไต๋ได้เพราะคนยืนห่างเป็นวาชอบใช้มุกนี้หลอกประจำและร่างบางก็แค่ทำเหมือนเคยคือบ่นด้วยน้ำเสียงไม่เชิงจริงจังระหว่างเดินไปเดินมาเพื่อหาวัตถุดิบ เดินมาหยิบของจากในตู้เย็นจนธันวาต้องเบี่ยงตัวหลบ

ภัคที่พบเจอเห็นท่าทางแบบนี้ทุกวันถึงขั้นหลุดยิ้ม รอยยิ้มที่แทบหาไม่ได้จากเวลาปกติ  “วัน ๆ น่ะมีอะไรตกถึงท้องบ้างไหม พี่สาวฉันสั่งไม่ให้นายกินข้าวหรือไงน่ะ”

“ผม…”

“ไปนั่งสิ เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน”

“ไม่เป็นไรครับ”  ร่างสูงโปร่งปฏิเสธทันควันเพราะหลายปัจจัย แต่คนนิสัยดื้อก็ยังเป็นคนดื้ออยู่วันยังค่ำ ภัคบังคับทางสายตา สะกดชายหนุ่มให้เดินมานั่งรอตรงเก้าอี้ว่าง ๆ

แล้วธันวาเองก็เชื่องอย่างกับสุนัข มองตามร่างบางที่เดินตัดหน้าตาละห้อยเหมือนสัตว์เลี้ยงขี้เหงาซึ่งรอคอยการกลับมาบ้านของเจ้านายและฟื้นจากอาการใกล้ตายได้เพราะรอยยิ้มที่คอยส่งให้เป็นระยะ ๆ ใบหน้าที่ควรจะเรียบเฉยเช่นหุ่นยนต์จึงดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นตามลำดับ ทำสีหน้ามากกว่าหนึ่งและเป็นช่วงเวลาเดียวที่รู้สึกเป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ

สุนัขตัวใหญ่นั่งคอยอาหารจากเจ้านายอยู่เงียบ ๆ และหากเทียบกันแล้วมันชอบที่จะฟังเสียงฮัมเพลงอย่างเพลินเพลิดมากกว่าเสียงด่าทอคนอื่นที่ปกติจะต้องยืนฟังทุกวัน

ธันวาอยากให้ช่วงเวลาแสนสั้นกลายเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด

“คราวก่อนเห็นนายไม่กินแครอทฉันเลยเดาว่าไม่ชอบ”

จานข้าวผัดหน้าตาน่าทานแต่ขาดไปหลายสีสันถูกดันมาตรงหน้าชายหนุ่มที่หลุบตาลงต่ำ กำลังซาบซึ้งกับความเอาใจใส่  “ใจคอจะไม่พูดอะไรกับฉันเลยหรือไง”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วมีอะไรอยากพูดกับฉันอีกไหม…?”

ภัคไม่ได้รบเร้าแต่ปล่อยให้ธันวาได้กินข้าวเสียก่อน รีบร้อนไปก็เท่านั้นถึงทั้งสองคนจะขลุกตัวอยู่ในครัวเป็นเวลาไม่นาน แต่ก็ไม่ได้สั้นจนขนาดไม่ทันพูดคุยหรือทำอะไร 

ก่อนร่างบางจะเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อนตอนทางสะดวก เดินล่วงหน้ามาไกล ชายหนุ่มถึงได้เดินตามออกมาจากห้องครัว ต่างคนต่างระวังตัวเพราะกลัวมินตรามาเห็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะเป็นปัญหา เพราะแค่ที่ด่าอยู่ทุกวันนี้ก็ฟังไม่หวาดไม่ไหว 

แค่นึกถึงก็ปรากฏกายเรียกว่าตายยากจริง ๆ ภัคก้าวพ้นบันไดขั้นบนสุดแล้วเจอคนที่ไม่มีอารมณ์เสวนาด้วยเข้าระหว่างทาง การหยุดยืนของร่างบางก็ทำให้ธันวาชะงักเท้าอยู่ที่ด้านล่างทันที มินตราจึงไม่ทันได้เห็น 

“แกคงสะใจมากสินะที่ฉันโดนหักหน้า”  สาวเจ้าชวนเข้าประเด็นไม่มีอ้อมค้อม
ไม่ยอมปล่อยผ่านสักเรื่องจนน้องชายอยากเตือนอะไรสักหน่อย

“เลิกคิดร้ายกับคนอื่นสักทีเถอะครับ มันจะทำให้พี่ไม่มีความสุขซะเองนะ”

“แล้วตอนนี้แกมีความสุขดีไหมล่ะ คงจะมีมากสินะ เห็นว่ากำลังให้ท่าคิมหันต์อยู่นี่”

“ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น”

“สันดานขี้ขโมยอย่างแกมีหรือจะไม่อยากได้เขา ยิ่งเคยเป็นของฉันมาก่อนแล้วด้วย”

“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วมีความสุข พี่ก็คิดไปเถอะ ผมขอตัว” 

ต่อล้อต่อเถียงไปไม่ได้แก่นสาร การอธิบายให้คนอคติฟังนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเสียแรงเปล่า ไม่ต่างจากยืนคุยกับเสาหรือกำแพง คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สามารถทำให้คนหัวแข็งอ่อนลงได้ ปล่อยให้ทุกข์กับความคิดตัวเองไปนั่นแหละน่าจะเป็นทางออกที่ดี 

ภัคเดินเลี่ยงจะเข้าห้องแต่เสียงของพี่สาวก็ยังตามหลอกหลอน 

“ฉันจะคอยขัดขวางแกทุกวิถีทาง อย่าหวังว่าจะแย่งเขาไปจากฉันได้”

ร่างบางหลับตาแล้วถอนหายใจ หมุนตัวหันกลับมาใหม่เพื่อเผชิญหน้ากับมินตราที่ยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะเมื่อเข้าใจว่าคำพูดตัวเองยังใช้ยั่วยวนน้องชายให้ตบะแตกได้สำเร็จ 

“ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดหรอก แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วสิ”

“แกจะไม่มีความสุขตราบใดที่ฉันยังอยู่”

“งั้นถ้าไม่มีพี่อยู่ ผมก็คงจะมีความสุขใช่ไหม”  ย้อนถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ริมฝีปากสีแดงสดแสยะออกขณะสองเท้าสืบเข้าใกล้พี่สาว 

ภัควางมือทับหลังมือมินตรา แต่ไม่ได้แค่ต้องการเทียบความขาวที่ถอดแบบกันมา ไม่ได้จะอวดว่ามือเรียวสวยเป็นกรรมพันธุ์ ท่ามกลางการสบตาในระยะเผาขน มีคนหนึ่งพยายามต่อต้าน จะชักมือที่ถูกกดทับกับพนักแขนอย่างแรงจนเจ็บออก แต่ทำอย่างไรก็สู้แรงน้องชายที่โน้มตัวลงมาใกล้ไม่ได้ กลายเป็นฝ่ายต้องอยู่เฉยเพื่อฟังคำเอ่ยยั่วยุกลับบ้าง 

“ก็เอาสิครับ อยากทำอะไรก็ทำ …แล้วผมจะคอยเอาใจช่วย”

พูดเสร็จก็ผละออกในทันที แต่แทนที่จะเดินกลับห้องตัวเอง ภัคกลับเดินไปหน้าห้องคิมหันต์ก่อนจะเคาะประตูโดยรู้ว่าการกระทำของตัวเองนั้นอยู่ในสายตาพี่สาวตลอด 

“พี่คิม ภัคเองนะ”  จงใจเติมคำนำหน้าว่าพี่ให้นายตำรวจเพื่อแสดงออกถึงความสนิทสนม ก่อนจะมีเสียงขานรับจากด้านใน บอกให้เปิดประตูเข้ามาได้เลยอย่างง่ายดาย 

น้องชายหันมองพี่สาวอีกครั้งเหมือนจะถามทางสายตาว่าได้ยินที่อดีตคนรักของพี่เอ่ยไหม แล้วไม่รอช้าเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านในและปิดประตูเพื่อกระตุ้นความอยากรู้จากคนด้านนอก ภัคลองแนบหูกับประตูห้องจนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องดังแว่ว ๆ คิดแล้วก็ตลกดี พี่สาวคงจินตนาการไปไกลว่าเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามหลังบานประตูนี้     

“มีอะไรหรือเปล่า”  คิมหันต์ที่ตอนแรกกำลังจะถอดเสื้อต้องใส่กลับเข้าไปใหม่แทบไม่ทัน ผิดกับท่อนล่างที่ต้องรีบคว้าผ้าขนหนูมาพันเพื่อต้อนรับแขกที่หันมาเห็นสภาพร่างสูงใหญ่แล้วก็อึกอัก  “ขอโทษที่เข้ามารบกวนเวลานี้นะครับ แต่ขอผมอยู่ในห้องคุณต่ออีกสักพักได้ไหม” 

นายตำรวจเลิกคิ้วราวกับไม่เข้าใจ  “หรือคุณเล่นซ่อนแอบกับหนูดา…?”

“เล่นซ่อนแอบยังสนุกกว่าเกมที่ผมเล่นอยู่ตอนนี้อีก”

“งั้นคุณอยู่ในห้องนี้ได้ตามสบายเลยนะ”  คิมหันต์เอ่ยอนุญาตและปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำนานสองนาน

ส่วนร่างบางเองก็ไม่ได้เดินไปไหนเลยนอกจากยืนแนบแผ่นหลังกับบานประตูห้อง อยู่ในความสงบนิ่งและประวิงเวลาด้วยการมองสภาพแวดล้อมโดยรอบแทน แหงนหน้าขาวนวลมองดวงไฟแต่สุดท้ายกับรู้สึกกายร้อนรุ่มมากกว่าแสบตา

เพราะว่าที่จริงแล้วจิตใจจดจ่ออยู่กับเสียงน้ำจากฝักบัว นึกภาพออกถึงเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามซึ่งกำลังเปื้อนฟองสบู่ ฝ่ามือใหญ่น่าจะกำลังลูบตามผิวกายและถูตามซอกเหลือบไหนสักแห่ง ผู้ชายแบบนั้นจะแรงเยอะแค่ไหนกัน เผลอจินตนาการถึงตอนน้ำกระจายโดนตัว ทั่วผิวหนังกร้านแดดมีหยดน้ำเกาะ บางส่วนก็ไหลเป็นทางยาว เข้าร่องกล้ามหน้าท้อง ผ่านสองต้นขาหนาและทิ้งตัวลงตามอวัยวะที่ห้อยอยู่ในแนวดิ่ง

ภาพนายตำรวจยืนนิ่งอยู่ใต้สายน้ำแล้วทำแค่เสยผมที่เปียกไปข้างหลังวนเวียนอยู่ในสมอง ก่อนสองมือจะยกทาบผนังระหว่างรอให้น้ำทำหน้าที่ชะล้างคราบไคล เสียงน้ำที่ไหลกระทบกระเบื้องดังกึงก้องคับสองหูที่เงี่ยฟัง ภัคเห็นภาพทุกอย่างทั้งที่ถูกกันให้อยู่ด้านนอก

จนกระทั่งคิมหันต์เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพพันผ้าขนหนูหมิ่นเหม่และใช้อีกผืนที่เล็กกว่าขยุ้มกับผม นายตำรวจแอบชะงักหลังเห็นร่างบางยังยืนอยู่ที่เดิม แล้วค่อยเริ่มเช็ดผมต่อราวกับว่าไม่มีอะไร ไร้ความเขินอายแม้จะมีนัยน์ตาร่องลอยคอยเมียงมองท่อนบนที่เปลือยเปล่าอยู่ตลอด 

“เป็นอะไรหรือเปล่าภัค”  เห็นว่านิ่งไปจึงถามอย่างห่วงใยและเดินเข้ามาใกล้จนเงาร่างกายพาดทับตัวคนที่ยังยืนแนบหลังกับบานประตู   

‘สันดานขี้ขโมยอย่างแกมีหรือจะไม่อยากได้เขา ยิ่งเคยเป็นของฉันมาก่อนแล้วด้วย’

‘นรภัทรผู้อาภัพ สงสัยจะโดนพี่สาวคาบเหยื่อไปกินแล้วล่ะมั้ง แต่ฉันอยู่ทีมนายนะ แย่งหมอนั่นมาจากยัยขาเป๋เลยสิ’ 


คนที่เป็นฝาแฝดจะมีร่างกายเหมือนกันทุกส่วนจริง ๆ หรือเปล่านะ
ร่างบางเกิดสงสัยขึ้นมาขณะที่จู่ ๆ ก็มีอีกหลายประโยคแทรกซ้อนอยู่ในสมอง

‘ฉันจำเป็นต้องสนใจคนที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นด้วยเหรอ’
‘อย่างน้อยเขาก็ช่วยคุณเลี้ยงหนูดานะ’ 
‘ทำเพราะจำใจมากกว่าค่ะ เพราะถ้าไม่ทำฉันก็จะไล่ออกจากบ้าน แล้วคนความรู้น้อยแบบนั้น เรียนม.ปลายก็ไม่จบ ประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี อย่างดีก็คงได้แค่ขายตัวหาเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ ’
‘นั่นน้องคุณนะมิน’ 
‘น้องโง่ ๆ ที่ไม่มีใครต้องการน่ะสิ ถ้าพ่อแม่ฉันยังอยู่ก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน’ 

‘แค่คุณพูดมา’
‘แม้ว่าสิ่งที่ผมพูดจะเป็นการใส่สีตีไข่ให้ใครกลายเป็นคนร้ายก็ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ’
‘ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ…ผมพร้อมจะเชื่อคุณโดยไม่มีเงื่อนไข’     

‘แต่รู้ไว้เถอะค่ะว่าภัคไม่มีค่าให้คุณลดตัวลงไปยุ่งด้วยหรอก’

 ‘แกจะไม่มีความสุขตราบใดที่ฉันยังอยู่’
‘งั้นถ้าไม่มีพี่อยู่ ผมก็คงจะมีความสุขใช่ไหม…’ 

‘น่าจะเป็นแกมากกว่าภัคที่ตาย ไม่ใช่เหมันต์!’


ถ้าจะมีใครสักคนที่สมควรตายก็คือคนพูดนั่นแหละ

ทุกข้อแม้ที่เคยใช้ค้านกับตัวเองอันตรธานหายไปเพราะคำว่าหมดความอดทนคำเดียว
มันเกี่ยวเนื่องกับปัญหาเรื้อรังที่มีมาอย่างยาวนานและอาจถึงเวลาต้องลงมือทำอะไรสักที แล้วคนที่เหลืออดก็ทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ เช่นการหาแพะรับบาปดี ๆ สักคน

“ภัค…?”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเพราะความเย็นที่ต้นแขน ร่างบางแหงนหน้ามองเจ้าของมือที่สัมผัสโดนตัวในทันที 

“คุณพูดเองว่าจะเชื่อผมโดยไม่มีเงื่อนไข ยังจำได้ใช่ไหม”

“ใช่ ผมจำได้”  คิมหันต์จำได้หมดว่าตัวเองเคยพูดอะไร เหมือนคนชอบโกหกที่จดเรื่องราวไว้ในสมุดโน้ต พอเวลาโดนถามจะได้ตอบตรงกับที่เคยพูดไป  “แต่คุณไม่จำเป็นต้องรีบให้คำตอบผมก็ได้นะ ผมเข้าใจว่าอาจจะต้องใช้เว…”

“ผมตกลงครับ เรื่องที่คุณขอให้ช่วยผมจะช่วยคุณเอง”






หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: __puppy ที่ 10-12-2017 00:45:55
ขยันขันแข็งๆๆๆๆๆ  :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 10-12-2017 07:45:30
หืมมมมมม
จะใช่คนที่เราคิดไหมน้า คึคึ

สองสาวเวลาด่กันนี้ไฟแล้บมากกก
สาดเสียเทเสียสุดๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: wifesuju ที่ 10-12-2017 21:58:55
ลุ้นมาก น่าสงสัยไปหมด อยากรู้ว่าสองพี่น้องโกรธไรกัน ภัคมีซัมติงกับเหมันมั้ย แล้วภัคเป็นคนยังไงกันแน่ โอ้ยยยย งงไปหมด
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: หิมะขาว ที่ 10-12-2017 23:31:51
มาติดตามด้วยความลุ่นและงงไปหมดดดดด :ling1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-12-2017 00:41:00
เราลุ้นไปหมดแล้ววว แบบนี้แง้มออกมาแล้วแน่นอนว่าภัคเคยมีอะไรกับพ่อหนูดาแน่ๆ อีกสิ่งที่น่าจะมั่นใจที่สุดคือภัครักหนูดา
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: FiZZ ที่ 11-12-2017 19:06:12
คือร้ายกันทั้งบ้านเลยว่างั้น แต่ละคนดูมีอะไรเบื้องหลังกันไปหมดแต่ก็ปิดปากเงียบ
ภัคนี่ออกแนวเงียบๆแต่กินเรียบนะเออ  o22
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 18-06-2018 21:53:24
๐๖




ยามตะวันตรงหัว คิมหันต์กับภัคใช้เวลาร่วมกันโดยไม่กลัวใครติฉินนินทา ไม่สนแม้รู้ว่าอาจมีคนไม่พอใจ แถมไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กลายเป็นถูกต้อง พวกเขาแค่ล็อกห้องเพื่อกันคนนอกเข้ามาวุ่นวาย อย่างน้อยบานประตูไม้ก็ช่วยป้องกันความลับรั่วไหลได้ระดับหนึ่ง

ไม่เชิงเป็นเรื่องลับลมคมในแต่เพราะนายตำรวจเพิ่งมาอยู่ใหม่ ร่างบางจึงต้องเท้าความเรื่องเก่า ๆ ให้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นเหมันต์มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับจอมทัพบ่อย ๆ และช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ใช่แค่กระทบกระทั่งกันธรรมดา มีการท้าตีท้าต่อยเพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เด็กหนุ่มที่ต้องการอิสรภาพอยากไปเรียนต่อต่างประเทศแต่คนเซ็นอนุมัติดันไม่เห็นด้วย
 
ภัคยังช่วยล่นระยะความกว้างของความบาดหมางลงด้วยการเล่าว่าครั้งหนึ่งจอมทัพเคยจะขโมยเงินแทนที่จะเดินเข้ามาขอดี ๆ แต่เหมันต์จับได้เสียก่อนและเค้นคอจนได้รู้ว่าเด็กหนุ่มติดพนันบอล เดือดร้อนต้องใช้เงินด่วน นั่นนับเป็นชนวนที่ทำให้ความไม่ลงรอยยิ่งบานปลาย 

แล้วไม่ว่านายตำรวจอยากรู้อะไร ร่างบางก็จะให้คำตอบและความร่วมมือเป็นอย่างดีภายใต้ข้อแม้ว่าเรื่องที่คุยกันในวันนี้จะมีเพียงสองเราเท่านั้นที่รับรู้

“แล้วคุณล่ะ ความสัมพันธ์ของคุณกับเหมันต์เป็นยังไง” 

“ก็ปกติครับ ผมแค่ทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้เขา วัน ๆ เราแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ”  ภัคเอ่ยฉะฉาน จนคิมหันต์ลอบยิ้มกับประโยคที่เหมือนท่องสคริปต์เตรียมมาตลอดทั้งคืน

“เรื่องคุณกับเขามีแค่นี้…?”

“แล้วมันควรจะมีมากกว่านี้เหรอครับ”  ร่างบางย้อนถามหน้าตาย

ส่วนนายตำรวจก็ไม่อยากเซ้าซี้  “ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะ”

“ถ้านี่คือการฆาตกรรมจริง ๆ คุณจอมทัพพอจะเป็นฆาตกรได้ไหมครับ”

“อาจจะได้หรือไม่ได้ ผมไม่เห็นประโยชน์ในการที่เขาจะฆ่าเหมันต์สักเท่าไหร่  คุณบอกเองว่าพวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างผมว่าเขาน่าจะลงมือตั้งแต่แรกแล้ว”

“แต่บางทีการที่เราโดนกระทำซ้ำ ๆ วันหนึ่งอาจทำให้เราหมดความอดทนก็ได้นะครับ”

“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณยอมร่วมมือกับผมด้วยหรือเปล่า”  ถามกลับทีเล่นทีจริงอย่างกับรู้อะไรดี ๆ มา ว่าจะส่งสายตาหยอกล้อให้กับคู่สนทนา แต่แววตาก็เปลี่ยนเป็นอยู่ในความสงบเมื่อหันแล้วพบว่าดวงหน้าด้านข้างของภัคอยู่ใกล้ ๆ
 
ภัคก็เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองประชิดอีกคนมากไป เอาแต่จ้องในสิ่งที่นายตำรวจเขียนลงในสมุดจดจนลืมรักษาระยะห่าง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนปลายคางชนไหล่หนาก่อนจะพยายามปรับเปลี่ยนท่าทางการนั่ง ร่างบางมั่นใจเต็มร้อยว่ากำลังถอยตัวเองกลับ แต่ยิ่งขยับความห่างยิ่งแคบลง คงเป็นเพราะใบหน้าสมส่วนเคลื่อนตามอย่างเผลอไผล กลิ่นแป้งเด็กจากกายขาวโชยเข้าจมูกจนเผลอสูดลมหายใจเสียงดัง คิมหันต์เคลิบเคลิ้มชั่วขณะหนึ่งจนถึงขั้นวางมือจากงาน 

นัยน์ตากลมหลุบมองสมุดจดที่อีกคนวางลงบนหน้าตักก่อนจะช้อนตามองหน้านายตำรวจที่เลิกคุกคามโดยอัตโนมัติแล้วหันมาทำตามธรรมเนียมด้วยการหยุดรอ

ขอแค่ร่างบางอนุญาตก็พร้อมเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ แต่บางทีคิมหันต์อาจประเมินต่ำไป ร่างบางค่อย ๆ แกะวงแขนที่รัดรอบเอวคอดออกอย่างแผ่วเบา กิริยาเท่ากับปฏิเสธกลาย ๆ ในแง่หนึ่งเป็นคำตอบว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดและที่อิดออดก็อาจตีความได้ว่ากำลังเล่นตัวเพื่อหวังอัพราคา

ภัคระบายยิ้มน้อย ๆ ให้กับนายตำรวจที่ทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง ทั้งที่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะคนสนิท แต่ไม่รู้ว่าคิมหันต์ไปเอาความมั่นใจว่าตัวเองมีสิทธิตัดพ้อมาจากไหน 

“จะอ้างไปหาหนูดาอีกแล้วเหรอ”  เสียงทุ้มพูดดักระหว่างคนข้างกายลุกขึ้นยืน 
 
“ผมไม่ได้อ้าง ผมไปหาแกจริง ๆ”

“ได้ยินแบบนี้แล้วผมอยากเป็นหนูดาบ้างจัง ผมจะได้อยู่ในความคิดคุณตลอดเวลา”  ความใจกล้าได้มาจากการทำงานเสี่ยงตายบ่อย ๆ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เกรงว่าถ้ามัวแต่ลีลา สุดท้ายอาจคว้าน้ำเหลว 

คิมหันต์ฉวยมือเรียวมาหอมท่ามกลางการสมยอมแต่โดยดี ภัคไม่คิดว่ามือจะสึกหรอแค่เพราะถูกจุมพิตหรอก ร่างบางกำลังมองทะลุไปถึงผลดีผลเสีย ในอนาคตหากได้เป็นเมียนายตำรวจก็ดีไม่หยอก  “ถ้าอยากให้ผมนึกถึงอยู่ตลอดก็ทำตัวน่ารัก ๆ สิครับ”

“นี่ผมยังน่ารักกับคุณไม่พออีกเหรอ”

“ผมยังสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ”  พูดชัดถ้อยชัดคำแล้วชักมือกลับอย่างนิ่มนวล   

คิมหันต์ทำท่าเหมือนปวดใจกับคำพูดนั้น เป็นการแสดงที่ห่วยสิ้นดี
แต่ก็สามารถที่จะเรียกรอยยิ้มจากทั้งสองฝ่ายได้

หลังมื้อเย็นผ่านไป หนูดาขึ้นมาเล่นบนห้องคุณพ่อพร้อมชุดสมุดระบายสี แทนที่จะขอคำแนะนำการทำตัวน่ารัก คิมหันต์ทำเพียงนั่งมองด้วยรอยยิ้มและกล่าวชื่นชมสาวน้อยที่คอยหันมาถามว่าสวยไหมคะ ‘ไม่มีใครสวยกว่าหนูแล้วแหละ’  ดูจะเป็นที่พออกพอใจของหนูดา ที่นอนตีขาบนโซฟาก่อนจะเงียบไป สุดท้ายผล็อยหลับทั้งที่ถือสีเทียนคามือ

คุณพ่อที่เห็นเข้าจึงอุ้มสาวน้อยขึ้นจากโซฟาพาเดินเข้าหาเตียงนอน หย่อนร่างเล็กลงกลางเตียงด้วยความแผ่วเบาพอดีกับที่มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ภัคแค่จะพาหลานสาวไปอาบน้ำนอน ที่เข้ามาอีกไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่ยอมรับว่าเมื่อเข้ามาในสถานที่เดิม ๆ แล้วก็ทำให้อดนึกถึงไม่ได้ หลังมือยังร้อนวูบวาบเหมือนริมฝีปากหนาประทับอยู่ตลอด 

“คืนนี้ให้หนูดานอนกับผมก็ได้นะ”  เจ้าของห้องออกปากระหว่างจัดแจงผ้าห่ม   

“จะดีเหรอครับ คืนนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอ”  ร่างบางเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียงเพื่อช่วยตรวจตราว่าผ้าผืนใหญ่คลุมทั่วร่างน้อยเรียบร้อย แล้วค่อยนั่งลงริมเตียง 

“ผมกะจะอู้สักวัน”         

“ที่บอกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกินเงินภาษีประชาชนท่าจะจริง”

“ฮ่า ๆ นี่มันนอกเวลาทำงานแล้วนะคุณ”  คิมหันต์นั่งลงบนเตียงอีกด้านและช่วยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าให้เด็กหญิงที่นอนนิ่งแม้จะมีเสียงพูดคุยรบกวน

“แน่ใจเหรอครับว่าจะให้แกนอนด้วย”  ภัคยังลังเลด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือตัวเองคงเหงาเมื่อไม่มีหลานสาวให้นอนกอดตลอดคืน 

“ผมไม่นอนทับแกหรอกน่า คุณสบายใจได้”  นายตำรวจพูดติดตลก  “หรือถ้าคุณเป็นห่วงมากจริง ๆ งั้นมานอนด้วยกันเอาไหม”  คำพูดแกมหยอกบอกไม่ได้ว่าคนพูดเจตนาอย่างนั้นจริงหรือไม่จริง แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเรียกรอยยิ้ม ร่างบางชักมีความสุขกับการโดนจีบโต้ง ๆ

“เตียงคงไม่พอสำหรับสามคนหรอกครับ ผมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองดีกว่า”     

“ความจริงหนูดา คงอยากให้คุณนอนด้วย”

“ให้แกได้อยู่กับพ่อตามลำพังบ้างก็ดีครับ ถึงจะไม่ใช่พ่อจริง ๆ ก็ตามที”

“คุณชอบย้ำจังว่าผมไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของแก ทำไม กลัวผมขึ้นมาแทนที่เหมันต์เหรอ”

“ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกครับ ผมก็แค่กังวลกับอนาคต”

“มีผมอยู่ทั้งคน คุณยังจะต้องกังวลอะไรอีก” 

นิ้วเรียวที่เกลี่ยแก้มยุ้ยของหลานสาวอยู่ถึงกับชะงัก ร่างบางเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดเมื่อกี้ทันที  “คุณนั่นแหละคือเรื่องน่ากังวลที่สุดสำหรับผม”   

“ผมทำไม” 

“สัญญาได้ไหมครับว่าจะไม่ทำให้แกเสียใจ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดคุณก็จะไม่ทำร้ายแก”

คิมหันต์พยักหน้าและถึงแม้ร่างบางจะไม่เรียกร้องขอคำสัญญา นายตำรวจก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีทางทำร้ายหนูดาเด็ดขาด จะการกระทำหรือคำพูดก็ไม่มีวัน เพียงสงสัยว่าทำไมน้าชายถึงเป็นห่วงหลานสาวนักและได้คำตอบในวินาทีถัดมา

“หนูดาน่าสงสารออกครับ เกิดขึ้นมาท่ามกลางความไม่ต้องการของใคร มีแม่ก็เหมือนไม่มี ส่วนพ่อ ...ก็อย่างที่คุณพอทราบ เขาเหมือนจับฉลากได้สถานะพ่อมา” 

“น้องชายผมคงทำตัวแย่ ๆ ไว้เยอะ”

“เปล่าครับ เขาทำหน้าที่พ่อได้ดี แต่เสียอย่างเดียวเขาไม่มีความรักให้หนูดา”
   
“คุณก็เลยพยายามมอบความรักให้แก”

“ผมเข้าใจความรู้สึกของเด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีใครต้องการดี”  มันเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกย้อนถึงความหลัง ภัคนั่งยิ้มขืน ๆ ฝืนแสดงว่าไม่เป็นไรต่อหน้านายตำรวจ  “คุณคงได้เห็นบางส่วนแล้วจากพี่สาวผม หนูดาก็เหมือนผมตอนเด็ก แต่ที่จะแตกต่างกันก็คือตอนโตแกจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าผม”

“คุณคงรักหนูดามาก”

“ผมตายแทนแกได้เลยล่ะ”

“ถ้าผมมีภรรยา ผมก็อยากได้ภรรยาแบบคุณนะ”  ไม่ว่าจะจงใจหรือพูดเอาแค่ขำ ๆ ก็ทำใบหน้านวลเนียนแดงระเรื่อไปแล้ว ภัคต้องอยู่กับสภาพเลือดฝาดขึ้นแก้มเป็นพักระหว่างสานบทสนทนาให้ดำเนินต่อ  “ก็หาสิครับ” 

“คุณก็เห็นว่าผมทำงานอะไร วัน ๆ เจอแต่ลูกน้องไม่ก็ผู้ร้าย”

“ไม่มีใครที่ถูกใจเลยเหรอครับ”

“มีนะ มีอยู่คนหนึ่ง ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็เถอะ”

“บอกได้ไหมครับว่าใคร”

“ผมนึกว่าคุณรู้อยู่แล้วซะอีก” 

นายตำรวจไม่ปล่อยให้สีแดงบนหน้าแก้มจางไปก่อนเวลาอันควร คำพูดสองแง่สองง่ามชวนให้คิดไกล แม้จะเขินอายแต่ก็ยังไว้ลาย ไม่ให้อีกคนรู้ว่ากำลังหวั่นไหวอย่างหนัก  “ค่อย ๆ จีบก็ได้ครับ ผมไม่หนีหายไปไหนหรอก”  พูดออกมาอย่างมั่นใจแต่ก็ต้องรีบหลบสายตารู้ทัน

“ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”  คิมหันต์พูดเหมือนว่าไม่เคยรู้ตัวมาก่อน นึกว่าซ่อนตัวได้แนบเนียนแล้ว 

“ดีแล้วละครับที่เป็นตำรวจ เพราะถ้าให้เป็นดารา คุณคงแสดงได้แย่มาก”  วิพากษ์วิจารณ์อีกคนอย่างเปิดเผย นานแล้วที่ไม่เคยรู้สึกเป็นตัวเองมากเท่าตอนนี้  “ตกลงคุณก็ไม่เชื่อที่พี่สาวผมเตือนจริง ๆ สินะ”

“ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุคุณว่างั้นไหม แต่ไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวคุณห้าม ผมถึงยิ่งได้อยากอยู่ใกล้คุณหรอกนะ”

“กำลังจะสารภาพความในใจเหรอครับ”  ทำเป็นพูดเล่น จนกระทั่งเห็นสีหน้าจริงจังถึงได้นิ่งฟังอย่างตั้งใจก่อนจะเกิดความรู้สึกหลากหลายระหว่างจ้องริมฝีปากหนาเคลื่อนไหวยามพูด 

“ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจริง ๆ” 

บางทีภัคก็อยากให้นายตำรวจรู้จักอ้อมค้อมเสียบ้าง เพราะหากพูดทุกอย่างที่ใจคิดออกมา เกรงว่าจะเป็นตัวเองที่ทนรับฟังไม่ไหวแล้วลงมือทำอะไรที่เรียกว่าเกินงาม กลัวว่าความลับจะแตก กลัวว่าอีกคนจะรู้ว่าภัคก็คิดทำนองเดียวกัน   

“คุณเล่นบอกมาตรง ๆ แบบนี้แล้วจะให้ผมทำอย่างไรล่ะ”

“ให้โอกาสผมนะ”

“แล้วผม …ดูเหมือนไม่ให้โอกาสคุณอยู่เหรอ”  ถามกลับด้วยความอยากรู้ บางทีคงมีแต่คนตาบอดเท่านั้นแหละที่ดูไม่ออกว่าร่างบางเองก็จ้องจะจับพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยอย่างที่ใคร ๆ เขาว่า เพียงแต่ไม่ได้กระโตกกระตาก ยังรักนวลสงวนตัว  “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน”   

“งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”  คิมหันต์อาสาหน้าระรื่น รอให้น้าชายได้จุมพิตหน้าผากหลานสาวเป็นการล่ำลา แล้วค่อยลุกขึ้นยืนตามและเดินขนาบข้างออกมาส่งหน้าประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง นายตำรวจยังยื้อร่างบางไว้ด้วยการชวนคุยอะไรต่ออีกหน่อย 

“ผมว่าพรุ่งนี้จะพาหนูดาไปสวนสนุก คุณไปด้วยกันนะ”

“ไหนว่ายุ่ง ๆ ไงครับ”

“ผมมีเวลาให้ลูกกับคุณเสมอ”

วันหนึ่งพบเจอประโยคหวาน ๆ จนนับไม่หวาดไม่ไหว แล้วไหนจะสายตาคิดไม่ซื่อที่หมั่นส่งหา ชายหนุ่มตรงหน้าชักเหมือนเปลวไฟเข้าไปทุกที เปลวไฟที่มีฤทธิ์เผาไหม้ได้ทุกสรรพสิ่ง ยิ่งลามมาโดนกับวัตถุไวไฟอย่างร่างบางด้วยแล้ว คงต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลในการดับเพลิง

แถมก่อนจากลายังไม่เลิกทำตัวรุ่มร่าม ริมฝีปากหนาประทับบนหลังมือเรียวอีกครั้งอย่างแนบแน่น ทำเหมือนกับว่าต้องห่างไกลทั้งที่ห้องอยู่ถัดไปแค่นี้เอง คิมหันต์ทำตัวไม่เกรงใจซึ่งภัคก็ไม่ได้ต่อว่า แต่อยากให้ระวังตัวหน่อย ติดนิสัยหวาดระแวงเหมือนพวกเมียน้อยที่ต้องคอยทำลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวว่าเมียหลวงจะมาเห็นฉากพลอดรักกับผัวตัวเองเข้า 

“ถ้าใครมาเห็นเข้าคงดูไม่ดี” 

“ผมเองก็ไม่มีพันธะ คุณเองก็ยังไม่มีใคร แล้วทำไมถึงจะดูไม่ดีล่ะ”  เห็นร่างบางมองซ้ายมองขวาก็กวาดสายตามองตาม  “เราไม่ได้กำลังลอบเป็นชู้กันสักหน่อย คุณจะกลัวทำไม” 

ภัครีบชักมือกลับทำราวไม่สบอารมณ์แต่ยังสงวนท่าที ขณะที่นายตำรวจเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองอาจพูดอะไรผิดไป ว่าจะขอโทษแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องอยากคุยกับร่างบาง มือใหญ่ล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบสิ่งของเล็ก ๆ ที่ลักษณะเหมือนกระดุมออกมา 

“หลายวันก่อนผมเจอมันตกอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยอยากให้คุณช่วยตามหาเจ้าของให้หน่อย”  พูดเสร็จแล้วค่อยยื่นให้คนตรงหน้าที่รับไปแต่โดยดี

ร่างบางพลิกดูเล็กน้อยก่อนที่จะชะงักงัน พอสัมผัสสิ่งของแล้วคล้ายความทรงจำย้อนกลับมา ความหลังของเจ้าเม็ดกระดุมที่แสนเลือนรางทำให้ใบหน้าคนถือซีดเผือด 

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ให้ผมเดินไปส่งที่หน้าห้องดีกว่าไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ระยะทางแค่นี้ไม่มีใครดักทำร้ายผมหรอก”  พูดติดตลกแต่ถ้าเอากระจกมาให้ส่อง ภาพสะท้อนจะบอกเองว่าคนพูดไม่มีวี่แววของความสนุกสนานเลยสักนิด 

ภัคหมุนตัวกลับหลังหันแล้วออกเดินจากตรงนั้นทันที ขณะที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าก็เหลือบหางตามองนายตำรวจเป็นระยะ ๆ คิมหันต์ยืนกอดอกมองร่างบางเดินเข้าห้องอย่างปลอดภัยและส่งยิ้มให้จนวินาทีสุดท้ายที่บานประตูปิดลงอย่างอ้อยอิ่ง ถึงได้หมุนตัวที่พิงกับกรอบประตูกลับเข้าห้องบ้าง 

เสียงล็อกห้องนอนดังสะท้อนในความสงัด…

ลับหลังบานประตู ภัคเหมือนหนูติดจั่น วิ่งพล่านไปทั่วห้องเพื่อค้นหาบางอย่าง กระทั่งคุ้ยตะกร้าสานตรงมุมห้องถึงเจอเสื้อนอนที่ยังไม่ถึงคิวซักและรีบนำมาแผ่กางบนเตียงเพื่อตรวจตราว่ามีอะไรหายไป จนนัยน์ตาตระหนกได้เห็นว่าจำนวนกระดุมไม่พอดีกับรังดุม กระดุมหลุดหายไปหนึ่งเม็ดเหตุเกิดเมื่อไหร่ไม่ทราบและมันเพิ่งจะกลับมาหาเจ้าของ แน่นิ่งบนฝ่ามือที่แบออกท่ามกลางเสียงหอบหายใจ
















ยามเช้าของวัน คิมหันต์อุ้มลูกสาวพลางก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่อยู่ในสภาพพร้อมเดินทาง เพราะหลังจากตื่นนอนคุณพ่อซึ่งยังไม่สัดทันงานด้านอาบน้ำก็ได้พาเด็กหญิงไปหาน้าชายแล้วไหว้วานให้ช่วยเหลือ มีการอ้อนอีกคนให้อาบน้ำให้เผื่อจะฟลุค แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ที่ได้ไปเมื่อคืนก็นับว่ามากแล้ว

ถึงขั้นหอมมือก็ถือว่าก้าวหน้าไม่น้อย เลยตัดสินใจแยกตัวกลับมาทำกิจวัตรที่ห้องตามลำพัง แล้วค่อยเปิดประตูต้อนรับเด็กหญิงที่มาพร้อมชุดใหม่ สวมใส่ชุดกระโปรงที่ภัคเป็นคนเลือกให้ ร่างบางที่เดินมาส่งบอกว่าคงใช้เวลาสักพักในการจัดการตัวเอง ดังนั้นจึงอยากให้นายตำรวจช่วยพาเด็กหญิงลงไปทานข้าวด้านล่าง ซึ่งคิมหันต์ก็พยักหน้ารับ

พร้อมทำหน้าที่พ่อเสมอ แต่โชคดีดันเจอลูกสาวน่ารักที่ไม่จำเป็นว่าต้องมีคนคอยป้อนทุกครั้ง หนูดาจับช้อนทานข้าวเองอย่างเรียบร้อย พลอยทำให้คนนั่งมองสบายใจ นายตำรวจมีหน้าที่แค่แนะนำว่าให้เคี้ยวละเอียด ๆ ตักกับข้าวให้และใช้ทิชชู่ช่วยเช็ดริมฝีปากเล็ก 

ส่วนตัวเองก็กินไปพลาง ๆ อันที่จริงอยากได้กาแฟมากกว่าตามประสาพวกติดคาเฟอีน แค่ได้มองลูกสาวกินก็คล้ายจะอิ่มไปด้วย จนข้าวเหลือก้นถ้วยลายหญิง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าน้าชายจะลงมาทานข้าวเลยสักนิด สำหรับคนอื่นมันอาจไม่ผิดปกติ แต่กับคนที่จิตใจจดจ่ออย่างคิมหันต์ รอห้านาทีเหมือนรอเป็นสิบชาติ นิสัยไม่ชอบรอนาน ๆ คล้ายจะกำเริบ แต่เดิมเป็นคนใจร้อนนิด ๆ สุดท้ายคุณพ่อซึ่งออกอาการนั่งไม่ติดจึงขอให้ลูกสาวที่กินข้าวเสร็จไปเดินเล่นรอที่ห้องรับแขก
 
นายตำรวจถ่อสังขารขึ้นมาตามร่างบางถึงชั้นสอง แต่มือที่เตรียมเคาะประตูห้องก็ต้องมีอันชะงักหลังนัยน์ตาดำเห็นภาพบางอย่างผ่านช่องว่างเสียก่อน ดูเหมือนคนด้านในจะลืมลงกลอนและปล่อยให้ประตูอ้า ภัคมัวบรรจงสวมเสื้อผ้าจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนถ้ำมอง เดินโชว์ท่อนล่างที่ผิวนวลเป็นยองใยยามตามหากางเกงขายาวตัวโปรด มีแค่ท่อนบนที่เรียบร้อย เสื้อแขนยาวสีอ่อนคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายตา ถึงจะไม่ได้เรียนจบสูง ๆ แต่ก็พอมีรสนิยมทางแฟชั่นอยู่บ้าง ซึ่งหลังจากเจอกางเกงตัวเก่ง เหมือนนกรู้ว่าอยู่ตรงไหนแล้วคนแอบดูจะมองเห็นได้ถนัด คิมหันต์มองร่างบางหยุดยืนกลางห้องขณะม่านตาบันทึกภาพกำลังสวมกางเกงราวกับจงใจยั่วยวนเก็บไว้ในสมอง จดจ้องช่วงสะโพกผายโดยเฉพาะ

ราวกับได้ยินคำขอว่าอยากเห็นชัด ๆ ก่อนสวมกางเกงเลยหันก้นให้มองเน้น ๆ จนติดตา

เนื้อสดกำลังยั่วน้ำลายหมาป่า… ลูกกระเดือกใหญ่ขยับเป็นจังหวะยามกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นหนัก น่ากลัวว่าเสียงดังจะทำให้เหยื่อรู้ตัวว่ามีคนกำลังหื่นกระหายอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ไม่อยากกลายเป็นไอ้โรคจิตในสายตาใคร แต่ยอมรับว่าพอได้เห็นแบบนี้แล้วก็อยากลองเป็นคนบ้ากามดูสักครั้ง

หากไม่ได้เป็นตำรวจและมีอาชีพสวนทางกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็คงจะบุกเข้าไปทำอนาจารให้รู้แล้วรู้รอด ล็อกกลอนแล้วลงมือกระทำชำเลา กลบกลิ่นแป้งเด็กของอีกคนด้วยกลิ่นคาวโลกีย์ให้มันตลบอลอวล อยากจะถอดยศตำรวจเพียงเพื่อทำผิดอีกสักหน ถอดความเป็นคนทิ้งไว้แล้วแปลงร่างเป็นอสูรกาย คิมหันต์คิดไปต่าง ๆ นานา   

จนภัคเปิดประตูออกมาเห็นแล้วผงะถอยหลังไปเล็กน้อย  “คุณ…?”

นายตำรวจหยุดคิดลามปามกับคนตรงหน้าทันทีที่รู้สึกตัว ส่ายหัวและยิ้มรับ ปรับสีหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรแล้วแถลงไขว่าเหตุใดถึงมาอยู่หน้าประตูห้องด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ  “เห็นคุณหายไปนาน ผมเลยขึ้นมาตามน่ะ”

“ขอโทษที่ช้านะครับ”  ร่างบางยอมรับผิดเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่ปล่อยให้สองพ่อลูกคอยนาน

ส่วนคิมหันต์ก็รีบพูดขึ้นมาว่าไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ช้าขนาดที่ว่าต้องด่าทอกัน อีกอย่างมันคือการไปเที่ยว ไม่ใช่การประชุมเกี่ยวกับธุรกิจที่ไปผิดเวลาไม่ได้ นายตำรวจยกยิ้มกว้างให้และอาศัยช่วงเวลาอีกคนหันกลับไปดึงบานประตูให้ปิดสนิทเพื่อจ้องสรีระด้วยสายตายากจะคาดเดา มองตั้งแต่ปลายเท้าย้อนขึ้นถึงดวงหน้า บรรจบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่หันกลับมาสบพอดิบพอดี ริมฝีปากหนายังคลี่ยิ้มปกติทั้งที่เพิ่งทำพฤติกรรมหยาบคายไปหยก ๆ

“ลงไปข้างล่างกันเลยดีไหมครับ”  ภัคถามหาความเห็น 

“เอาสิ”  คนตอบตกลงผายมือให้คนชวนเดินนำและเพราะว่าเป็นฝ่ายเดินตาม ถึงไม่ได้เห็นว่าร่างบางกำลังเผยรอยยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล
ทั้งคู่ก้าวลงบันไดคนละขั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นบ้านก็เกิดอาการรีบเดินกันอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างแยกย้ายตามหาต้นเสียงที่แสนคุ้นหู จนกระทั่งวิ่งเข้ามาดูในห้องรับแขกถึงได้เห็นภาพมินตรากำลังชี้หน้าลูกสาว โดยมีซากแจกันแตกละเอียดตกอยู่ข้าง ๆ 

“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่งเล่นในบ้าน!”

“คุณแม่ หนูเจ็บ”

“แล้วจะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าห้ามเรียกฉันว่าแม่…”  กระชากต้นแขนเล็กให้เขยิบเข้าใกล้ หยิกเนื้ออ่อนไปด้วยขณะใช้น้ำเสียงเย็นข่มขู่ จ้องตาลูกน้อยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ขนาดหมามันยังรักลูกของมัน ยกเว้นก็แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างมินตราที่โดนความทุกข์ระทมกัดกินมาอย่างยาวนานจนไม่เหลือความเป็นแม่ใด ๆ ไม่หลงเหลือความเห็นใจแม้หนูดาจะเบะปาก ใกล้ร้องไห้อยู่รอมร่อ พอคิดถึงพ่อเด็กทีไรแล้วยิ่งหงุดหงิด เกือบจะได้ฟาดก้นสักทีสองที ติดที่ว่ามีคนฉวยตัวเด็กหญิงไปต่อหน้าต่อตา

น้าชายชิงตัวหลานสาวมาอย่างรวดเร็ว  “เกิดอะไรขึ้นครับ!”  ระหว่างคุกเข่าลงเพื่อสำรวจตามร่างกายเล็ก ภัคมองนัยน์ตาแดงก่ำของเด็กน้อยด้วยอารมณ์คุกกรุ่น ไม่บ่อยที่ใบหน้าจะแดงจัดเพราะความเดือดดาล  “ผมถามพี่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”  น้องชายหยัดยืนและหันหน้าเผชิญกับพี่สาวที่ตีสีหน้าเฉยชา     
 
“หัดส่งสอนเด็กแกซะบ้างนะภัค” 

ร่างบางเหลือบมองซากแจกันก็พอเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยก็คือทำไมต้องลงไม้ลงมือ ยื้อยุดฉุดกระชากแขนเด็กที่เล็กและบอบบางเสี่ยงต่อการหักง่าย  “แต่เด็กที่ว่าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่นะ มีอะไรก็คุยกันดี ๆ สิ อย่าทำให้แกรู้สึกเหมือนว่าแค่ยืมท้องพี่มาเกิดได้ไหม” 

“แล้วฉันต้องการให้มันเกิดมาหรือไง เด็กที่เกิดจากการโดนข่มขืนน่ะ ฉันไม่นับเป็นลูกหรอกนะ”  ยอมกลายเป็นคนเลวดีกว่าแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียวไปตลอด คงไม่มีการผ่อนปรนหรือปรานีใด ๆ อีกแล้ว ในเมื่อทุกคนใจร้ายกับเธอก่อน แถมตอนนี้ก็ทำท่าจะหนีไปมีความสุขกันหมด หญิงพิการทนไม่ได้จนต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นสร้างบาดแผลในใจเด็กหญิง

“ผมว่าเราต้องคุยกันหน่อยนะมิน” 

คิมหันต์ที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังถึงกลับเดินขึ้นมาใช้ร่างบังสองน้าหลานไว้ในขณะเผยสีหน้าผิดหวัง เกิดสงสัยว่าครั้งหนึ่งเคยหลงรักผู้หญิงใจดำคนนี้ลงไปได้อย่างไร ทำไมจิตใจถึงไม่อ่อนโยนเหมือนอย่างแล้ว ๆ มา มินตรานับเป็นตัวอย่างที่ดีและค่อย ๆ ทำให้นายตำรวจเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม 

“สักวันเด็กนี่ก็ต้องรู้อยู่ดีค่ะคิม”  นอกจากจะไม่สะทกสะท้านกับสายตาจ้องจะกินหัวของน้องชาย ยังไม่สนสายตาหมดศรัทธาของอดีตคนรักเช่นกัน หญิงสาวแค่มองหนูดาที่ยืนหลบด้านหลังอย่างเย็นชา  “แล้วฉันก็จะพูดกรอกหูทุกวันจนกว่ามันจะโตด้วย”

“ผมรู้ว่าคุณโกรธเกลียดน้องชายผม แต่คุณก็ไม่ควรเอามาลงกับเด็กแบบนี้นะ”  นาน ๆ ทีจะยอมพูดถึงอดีตในที่สาธารณะ เพราะว่ามันเหลืออดแล้วจริง ๆ คนที่เคยนิ่งมาตลอดถึงได้ออกอาการโกรธจัดและเผลอกำหมัดอย่างลืมตัว  “หนูดาไม่ควรจะต้องมารับรู้เรื่องนี้ด้วย”   

“คิมก็ดีแต่เข้าข้างคนอื่น”  ลอยหน้าลอยตาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นสายตาตัดพ้อและเจ็บปวดของเธอที่เด่นชัด จนขนาดคิมหันต์เองยังเบือนหน้าหนี  “คราวนั้นคิมก็หลีกทางให้น้องชาย มีใครเคยถามฉันบ้างไหมว่าอยากแต่งงานกับหมอนั้นหรือเปล่า”

“เหมันต์ควรได้รับผิดชอบคุณ มันก็ถูกแล้วนี่”

“แต่คนที่ฉันอยากแต่งงานด้วยคือคุณไม่ใช่เขา”

“เลอะเทอะไปใหญ่แล้วนะมิน” 
“ถ้าไม่มีมันเกิดขึ้นมา ชีวิตฉันก็ควรจะสุขสบายกว่านี้ เพราะมันชีวิตฉันถึงได้เหมือนตกนรกอยู่แบบนี้ไง” 

‘มัน’ ที่ว่าถูกน้าชายอุ้มพาออกไปข้างนอกทันทีที่เรื่องราวชักบานปลาย
ภัคส่งไม้ให้คิมหันต์ช่วยจัดการต่อ นายตำรวจมองตามแล้วรอจนไม่เห็นแผ่นหลังบาง ถึงได้กลับมาสนทนากับหญิงสาวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ  “เหมันต์ก็เพิ่งตาย คุณจะอโหสิกรรมให้เขาไม่ได้เลยหรือไง” 

“ไม่มีวัน…”

เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนใจคนดูท่าจะเป็นเรื่องยากที่สุด แต่ในฐานะคนที่มีส่วนทำให้เจ้าหญิงกลายเป็นแม่มดแบบนี้ คิมหันต์แค่อยากทำให้มินตราหลุดพ้นจากความทุกข์ที่กำเนิดมาจากความเคียดแค้น ผลลัพธ์มันไม่เคยออกมาดี สุดท้ายแล้วแม่มดในนิทานก็จะอยู่อย่างตายทั้งเป็น ไม่ก็ตกนรกมกไหม้เพราะความไม่รู้จักปล่อยวาง

แต่สำหรับมินตราแล้ว เธอมาไกลเกินกว่าจะอยากได้คำแนะนำหรือแค่ความห่วงใย เธอจำเป็นต้องได้รับการเยียวยา ไม่ใช่เคมีบำบัดแต่เป็นแบบธรรมชาติ ชายตรงหน้าอาจบรรเทาโรคขาดความรักเรื้อรังของเธอได้ แต่น่าเสียดายที่นายตำรวจยืนยันที่จะปฏิเสธมาโดยตลอด จนก่อเกิดเป็นความน้อยใจและกลายเป็นความริษยา สาเหตุก็มาจากการที่เห็นว่าทุกคนรุมปกป้องเด็กคนเดียว ไม่มีใครเหลียวแลเธอเลยทั้งที่เธอดูน่าสงสารกว่ามาตั้งแต่เนิ่นนาน   

“เด็กนั่นจะต้องได้รู้ว่าตัวเองเกิดมายังไง ฉันจะเล่าให้หมดว่าพ่อมันทำอะไรกับฉันไว้บ้าง” 
หนทางเดียวที่คิดออกก็คือทำลาย ถ้าเธอไม่มีความสุขใครก็ห้ามมี

“คุณใจร้ายกว่าที่ผมคิดไว้มากนะมินตรา”

“ให้รู้ไว้ด้วยว่าฉันใจร้ายได้มากกว่านี้อีก” 

ไม่มีประโยชน์จะอยู่ต่อ รู้สึกว่าควรพอกันที คิมหันต์ทำท่าจะเดินออกไปเหมือนสองน้าหลานโดยไร้คำล่ำลา แต่ไม่วายโดนค่อนขอดจนเผลอถอนหายใจเสียงดัง   

“กำลังเล่นบทพ่อแม่ลูกกันอยู่เหรอคะ น่าสนุกดีนี่”

นายตำรวจหันกลับหลังมาเห็นสีหน้ายิ้มเยาะก็ส่ายหน้าหน่าย  “เอาไว้ผมกลับมา เราค่อยคุยกัน”

















------------------------------------
ถ้าสนุกวานบอกต่อด้วยนะคะ กรุบๆค่ะ :katai2-1:
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๕) ๑๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-06-2018 02:07:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๕) ๑๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 19-06-2018 13:15:48
ภัคคคคคค เธอร้ายเงียบหรอ ฟ้องพี่คิมไปสิ่!! ฟ้องเลยแง้
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๕) ๑๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 19-06-2018 14:37:24
๐๗




โชคร้ายที่ตอนกลางวันมีเมฆหนา อากาศดูไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ แล้วสายฝนก็โปรยเอาตอนกลางวันแสก ๆ แผนไปเที่ยวสวนสนุกกลางแจ้งจึงถูกเปลี่ยนแปลงกลางคัน คุณพ่อตัดสินใจเสนอว่าไปกินไอศกรีมดีไหม ลูกสาวที่ตอนแรกยังอยู่ในอาการเซื่องซึมเพราะโดนคุณแม่ดุใช้เวลาสักพักก็ตอบตกลง ร้านติดแอร์ในห้างกลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับในวันฝนตกเช่นนี้   

ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี คิมหันต์เป็นพ่อแบบที่เด็กหลายคนน่าจะใฝ่ฝันถึง

ตอนแรกภัคยังนึกภาพไม่ออกเท่าไหร่ว่าการมาเที่ยววันนี้มันจะสนุกยังไง แต่หลังจากใช้เวลาร่วมกันในรถตลอดจนลงมาเดินบนพื้นก็แล้ว เด็กหญิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหัวเราะเพราะคุณพ่อเอาแต่เล่นตลกให้ดู ร่างบางไม่รู้หรอกว่าอีกคนไปเรียนวิชาเอาใจเด็กมาจากไหนหรือแม้แต่การเทคแคร์ดูแลผู้ใหญ่ รู้แค่ว่านายตำรวจได้ใจตนไปเต็ม ๆ

ความรู้สึกที่แอบเก็บเล็กผสมน้อยมาหลายวันค่อย ๆ เพิ่มพูน นูนขึ้นเหมือนกองภูเขา 

ตกหลุมรักนายตำรวจเต็มเปาโดยที่เจ้าตัวก็น่าจะรู้ดี แต่ยังไว้ทีเพราะมีเด็กอยู่ด้วย จะฉวยมือเรียวมาจับก็ต้องคิดแล้วคิดอีกประมาณสามตลบ หาได้เกรงกลัวสายตาสังคมภายนอกแต่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กน้อยดู ผู้ใหญ่ต่างส่งสายตาเข้าใจดีหากัน ท่ามกลางคนพลุกพล่านทำได้แค่ลอบสัมผัสปลายนิ้วแบบผ่าน ๆ และหันเหความสนใจไปหนูดาเด็กที่ต้องการความรักและความเอาใจใส่มากกว่าใคร

ระหว่างรอไอศกรีมมาเสิร์ฟ เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นบนเบาะหนังจนน้าชายที่นั่งข้าง ๆ ต้องพยายามห้าม แต่นายตำรวจกลับบอกให้ปล่อยแกไปเถอะ นาน ๆ ได้เจออากาศนอกบ้านเลยอาจจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ผลัดกันเป็นฝ่ายป้อนตอนไอศกรีมมาเสิร์ฟ ช้อนเล็กจ่อที่ริมฝีปากของคุณพ่อแล้วป้อนให้น้าชายต่ออย่างใจดี ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตานั่งกินเองบ้าง หนูดาไม่ทันเห็นว่าใต้โต๊ะมีสองมือกำลังเอื้อมจับกัน ให้อารมณ์หวานเลี่ยนกว่าไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีเสียอีก

คิมหันต์ถือโอกาสป้อนของหวานโดยไม่ถามหาคำอนุญาตสักคำ ส่วนภัคทำได้แค่อ้าปากงับช้อนที่เล่นแยงเข้ามาระหว่างกลีบปากกระทั่งความเย็นทำขนลุกเกรียว ก่อนช้อนนั้นจะถูกเรียวลิ้นใหญ่เลียซ้ำ นายตำรวจงับช้อนแล้วยักคิ้วให้ร่างบาง

ทั้งคู่สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ  ไร้เสียง เพียงสื่อสารกันผ่านแววตา ต่างฝ่ายต่างพยายามอ่านความหมายให้แตกฉาน ไม่รู้ว่าเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันไหม แต่ก็มักจะหลุดยิ้มพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำเป็นเนียมอายทั้งที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ 

การพามาเที่ยวปลอบใจยังดำเนินต่อไป โดยที่ผู้ใหญ่ไม่มีใครปริปากพูดถึงเรื่องที่บ้านสักคน คุณพ่ออาสาอุ้มร่างเล็ก แต่พอเดินผ่านโซนเครื่องเล่นเด็ก หนูดาก็ไม่อยู่สุข อ้อนขอลงและคงไม่พ้นวิ่งเข้าหาเครื่องเล่นหลากสีสันด้วยความตื่นตาตื่นใจ เลือกไม่ถูกว่าจะเล่นอะไรก่อนหลังขณะภัคสับขาตามด้วยความเป็นห่วงว่าจะล้ม

คิมหันต์อมยิ้มกับภาพที่เห็น แล้วค่อยสวมบทบาทเป็นป๊ากระเป๋าหนัก ควักกระเป๋าเงินออกมาและให้ร่างบางถือไว้ อยากใช้จ่ายอะไรก็หยิบเงินออกไปได้เลยตามสบาย แล้วถึงแยกตัวออกไปเมื่อจู่ ๆ โทรศัพท์มีสายเข้า เห็นเบอร์แล้วท่าทางจะต้องคุยกันยาวจึงก้าวออกไปหามุมสงบ

ภัคพยักหน้ารับยามอีกคนกระซิบกระซาบว่าเดี๋ยวผมมา แต่ก็ยังแอบชำเลืองมองนายตำรวจเป็นระยะขณะมองหลานไม่ให้คลาดสายตาไปด้วย ร่างบางคอยโบกมือตอบเวลารถไฟที่เด็กหญิงนั่งเคลื่อนผ่านหน้า เวลาหนูดาส่งยิ้มอย่างมีความสุขมาให้ก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แถมดีใจที่นายตำรวจดูแลเด็กหญิงเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ กลับกันดูรักและหวงแหน ทำตัวมากกว่าแค่อยากชดใช้แทนน้องชายฝาแฝดซึ่งเป็นพ่อที่ช่างไม่ได้ความ 

แค่นึกถึงก็เดินกลับมาหา แต่มาไม่ทัน คลาดกับขบวนรถไฟของลูกสาวนิดเดียว   
 
“เรื่องคดีน่ะ”  เสาร์อาทิตย์คืออะไรคิมหันต์แทบไม่รู้จัก วันพักผ่อนแท้ ๆ แต่ก็ยังต้องคุยเรื่องงานและออกอาการเครียดจนร่างบางสังเกตได้ จึงพยายามชวนคุยให้ผ่อนคลายและจะมีอะไรดีเท่าคุยเรื่องของเราสองคน  “คุณไม่จำเป็นต้องรายงานผมทุกเรื่องก็ได้นะ”

“รู้ไว้นั่นแหละดีแล้ว คุณจะได้ไม่คิดเอาเองว่าเป็นผู้หญิงโทรมา”

คนฟังหลุดยิ้มบาง ๆ ที่นายตำรวจกำลังทำตัวเหมือนอยู่ในช่วงโปรโมชั่น แอบสงสัยว่าถ้าผ่านไปสักสามหรือสี่เดือน ชายหนุ่มข้างกายจะยังคอยรายงานและน่ารักแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า 

“ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”

“ว่ามาเลย” 

“อะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจจากผู้หญิงมาชอบผู้ชาย”  ทั้งสองคนคุยไปพลางระหว่างโบกมือให้เด็กหญิงที่มาพร้อมรถไฟ คุณพ่อยิ้มแย้มให้ลูกสาวก่อนจะตอบคำถามอย่างจริงใจ  “เปล่า ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วผมก็ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย”
 
คำตอบที่แทบไม่ใช้เวลาคิดทบทวนชวนให้ภัคหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างคนพูดทันที

“ถ้างั้นทำไม…”

“คุณเคยรู้สึกว่า ‘นี่แหละคือของฉัน’ ไหม”  นายตำรวจกำลังอธิบายพอสังเขป  “รู้สึกเหมือนบางอย่างถูกสร้างมาเพื่อคุณ”  ช่างเป็นประโยคที่แฝงไปด้วยความหวานอย่างที่ผู้หญิงหลายคนคงต้องการได้ยิน หากเป็นคนอื่นคงออกอาการบิดตัวด้วยความเขินอายกันไปข้าง แต่ไม่ใช่กับภัคที่ยังสงบเยือกเย็นจนคิมหันต์ที่คอยสังเกตคาดเดาไม่ออก 

“หรือบางทีผมอาจจะมีความชอบคล้าย ๆ น้องชาย”

“ความชอบคล้าย ๆ น้อง…? คุณรู้เหรอว่าน้องคุณชอบอะไร”

“คิดว่ารู้นะ”

“ยังไง”

“สายใยของฝาแฝดมั้ง… ตอนเป็นเด็ก หมายถึงตอนที่พวกเรายังได้อยู่ด้วยกันน่ะนะ ผมกับเขามักจะแย่งของชิ้นเดียวกัน จนพ่อแม่ต้องตัดปัญหาด้วยการซื้อให้เหมือนกันแต่เป็นคนละชิ้น” 

“แล้วนอกจากหน้าตา ความชอบ ฝาแฝดยังมีอะไรที่เหมือนกันอีกไหมครับ” 

“เรียกว่าสื่อถึงกันดีกว่า เวลาคนนึงป่วย อีกคนก็จะป่วยตาม แต่หลังจากที่พ่อหย่ากับแม่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะยังเป็นหรือเปล่า แต่บางครั้งร่างกายผมก็จะรู้สึกไม่ดีอย่างไม่มีเหตุผล เออ ผมชอบฝันแปลก ๆ ด้วยนะ คิดว่าก็น่าจะมาจากน้องชายเหมือนกัน”

“ฝันว่าอะไรเหรอครับ”  พอได้ถามก็ยากจะห้ามปากไม่ให้พูดต่อ   

แทนที่จะตอบเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา คิมหันต์ก็ชิงดับฝันร่างบางซะก่อน  “คุณอย่าเพิ่งรู้เลยดีกว่า”  ทำเป็นมีลับลมคมใน ทิ้งปริศนาให้ภัคอยากรู้ โดยไม่ลืมยื่นข้อเสนอที่เป็นเหมือนทางลัดแต่ก็ไม่ชัดเจนอยู่ดี  “แต่ถ้าอยากรู้จริง ๆ คุณก็ตอบตกลงผมมาก่อนสิ”

“ตอบตกลง …?  เรื่องอะไรครับ”

นายตำรวจเผยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ มันดูเจ้าเล่ห์เพทุบาย  “คบกันไหม”

ร่างบางนิ่งไปราวกับช็อคเสียเต็มประดา กว่าจะนึกได้ว่าต้องพูดก็ตอนรู้สึกถึงไอร้อน ท่อนแขนหนากำลังถือวิสาสะโอบรอบเอวคอดอย่างเนียน ๆ  “ผมว่ามันยังเร็วไปหน่อยนะ”  หมายถึงเรื่องที่ว่าขอคบ ส่วนเรื่องโอบเอวภัคปล่อยเลยตามเลย

“อายุผมไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะคุณ สมรรถภาพมันก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา”

“น่าสงสารจังนะครับ”

“ฮ่า ๆ ผมชอบนะเวลาคุณพูดแบบนี้ มันทรมานดีเวลาคุณใจร้ายกับผม”

ไม่แน่ใจว่านับเป็นคำชมได้หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าก็ไม่อยากให้จำภาพลักษณ์ว่าตนเป็นนางยักษ์ จึงเปิดโอกาสให้อีกคนโอบช่วงตัวอย่างแนบแน่น ร่างบางเป็นคนเขยื้อนท่อนแขนหนาให้ยิ่งกระชับกับเอวตัวเองแล้วถามตาใส  “ผมดูใจดีขึ้นบ้างหรือยัง”

คิมหันต์พยายามกลั้นยิ้ม เกร็งริมฝีปากแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด

ภัคชอบทำเหนือความคาดหมายเสมอ จนคาดหวังเอามาก ๆ ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะเจอกับอะไร นอกจากจะลุ้นกับเซอร์ไพร์สที่ชอบปล่อยมาเป็นระลอก ชักเดาไม่ออกแล้วสิว่าตกลงร่างบางเป็นคนยังไงกันแน่ 

“คุณดูใจดีขึ้นแล้ว แต่อยากรู้จังว่าจะใจดีได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า”

“ถามหนูดาเอาก็ได้ครับ”  เอ่ยถึงบุคคลที่สามซึ่งกำลังก้าวลงจากเครื่องเล่นรถไฟที่เพิ่งจอดสนิทและก่อนจะไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว กลัวอีกคนได้ยินไม่ชัด ไหนจะเสียงดังรอบด้าน ภัคเขย่งปลายเท้าและกระซิบข้างกกหูคิมหันต์ 

“…บางทีคุณอาจจะชอบตอนที่เราไม่มีสถานะต่อกันมากกว่า”

น้าชายผละตัวออกจากนายตำรวจแทบทันทีที่หลานสาวโถมร่างเข้าใส่ แล้วทั้งคู่ก็จูงมือกันเดินไปทางอื่นเพื่อตามหาน้ำหวาน ทิ้งให้คิมหันต์ยืนขบคิดกับประโยคปริศนาบวกกับสายตาเชิญชวนที่เห็นภายในเสี้ยววินาทีนั้น  “คุณมันร้ายจริง ๆ ด้วย…”  เสียงทุ้มพึมพำพลางก้มหน้าแสยะยิ้มกับตัวเอง

จนเมื่อเด็กหญิงป้องปากเรียก ขายาวถึงออกเดินในทันที

ทั้งสามคนแวะเข้าร้านของเล่นสีสันสดใส แต่เลือกตุ๊กตาได้ไม่นานเท่าไหร่ หนูดาก็ออกอาการง่วงเหงาหาวนอน คิมหันต์จึงช้อนเด็กหญิงขึ้นจากพื้นระหว่างยืนรอภัคจ่ายเงิน

“คุณอยากเดินเที่ยวต่อหรือเปล่า”  เสียงทุ้มถามยามเดินพ้นออกมาจากหน้าร้านขายของเล่นร้านที่สามพลางยกนาฬิกาข้อมือดูไปด้วย 

“กลับเลยดีกว่าครับ คุณคงจะหนักแย่”

แค่อุ้มหนูดาที่ฟุบหลับด้วยความเพลียพาดบ่าก็น่าจะพอแล้วสำหรับคุณพ่อมือใหม่ แต่นี่ยังเล่นเอาถุงทั้งหมดไปถือไว้คนเดียวอีก หลายครั้งภัคจะเข้าช่วยแต่ก็โดนปฏิเสธ โดนยัดเยียดให้เป็นว่าที่คุณนายตำรวจที่เดินตัวปลิวตลอดเวลาหลายสิบนาทีและก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนคอยห่วงใย ถามไถ่ความต้องการแทนที่จะบังคับให้ทำอย่างไม่เต็มใจ
 
หากคิมหันต์คิดใช้แผนตามใจเข้าสู้ ดูท่าชัยชนะคงไม่ไกลเกินเอื้อม   

“ไม่เท่าไหร่หรอกคุณ เด็กตัวนิดเดียวเอง”  พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนนึกขึ้นได้ว่ายังมีสิ่งที่อยากทำ  “ผมว่าจะซื้อเสื้อผ้ากับหนังสือให้ลูก คุณช่วยผมเลือกหน่อยสิ”

“ยังจะซื้ออีกเหรอครับ”  ถามพลางหลุบตามองถุงในมือของคนตรงหน้าที่ข้างในบรรจุตุ๊กตานุ่มนิ่ม กล่องดนตรี รวมถึงบาร์บี้ที่เด็กหญิงไม่จำเป็นต้องรบเร้า ร้องจะเอาเหมือนลูกชาวบ้าน คนเป็นพ่อก็แทบจะกวาดมาให้หมดทั้งชั้นวาง   
 
คิมหันต์ยักไหล่อย่างไม่ยี่ราแล้วเป็นฝ่ายเดินนำ ภัคจำต้องเดินตาม ย่ำเท้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะพบว่าเป็นคนเบื้องหน้าที่เดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันได้ข้องใจว่าทำไม นายตำรวจก็เฉลยเหตุผลด้วยการขยับแขนให้คล้องพลางก้มหน้ามองร่างบางที่ช้อนนัยน์ตาจ้องอย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม 

“เดี๋ยวหลง”

ทางเดินออกจะโล่ง เชื่อว่าคนฉลาดอย่างร่างบางคงไม่หลงกลง่าย ๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมทำตัวเป็นควายไถนา ผู้ชายไม่ชอบคนที่ดูเก่งกว่าไปเสียหมด แต่ชอบคนที่สามารถจูงจมูกได้ในบางที เพื่อประกาศว่ายังมีอำนาจเหนือกว่า
 
ภัคเดินคล้องแขนคิมหันต์ไปตลอดทางเดิน

แอบเขินอายกับสายตาผู้คนที่เมียงมองมา โชคดีว่าเจอร้านหนังสือเลยแวะเข้ามาดูและหลบอยู่ในมุมหนังสือเด็กเป็นพัก ก่อนจะย้ายไปยังแผนกเสื้อผ้าเด็ก คุณพ่อให้เหตุผลง่าย ๆ ว่าผมไม่รู้ว่าลูกชอบอะไร ภาระตกอยู่ที่น้าชายซึ่งสบายมากในการเลือก รู้ใจตามประสาคนที่ได้คลุกคลีกับเด็กจนแทบจะกลายเป็นแม่อีกคน จนได้ข้าวของมาเป็นกอบเป็นกำ

ทุกอย่างล้วนเป็นข้าวของสำหรับสาวน้อยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะกระดิกตัวตื่น คิมหันต์ยืนรอร่างบางเก็บของเข้าหลังรถแล้วค่อยเริ่มทำการถ่ายโอนเด็กหญิง พยายามเบามือระหว่างส่งมอบลูกสาวให้น้าชายที่เข้านั่งประจำตำแหน่งผู้โดยสารเรียบร้อย

หนูดาขยับตัวนิดหน่อยตอนอยู่บนตัก โดยมีภัคช่วยจัดท่าทางให้นอนสบาย ๆ ก่อนจะยิ้มให้นายตำรวจเป็นสัญญาณให้ช่วยปิดประตู ทั้งคู่ได้มีเวลาสบตากันผ่านฟิล์มรถ ตลอดจนช่วงขายาวเดินอ้อมด้านหน้ายานพาหนะก็แทบไม่ละสายตาจากกันและกัน

ขนาดเข้ามาในรถ นานอยู่กว่าคนขับจะเลิกมองได้และเร่งเครื่องยนต์ออกไปจากชั้นใต้ดิน ต่างคนต่างเหมือนมีอะไรจะพูดแต่มันติดอยู่ที่ปาก ส่งผลให้บรรยากาศภายในตัวรถเงียบมากเพราะจริง ๆ แล้วกำลังรอฟังอีกฝ่ายพูดก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครพูดอะไรสักคำ

เอาแต่นั่งอมพะนำมาจนเกือบครึ่งทางกลับบ้าน

เมื่อสัญญาณจราจรบอกให้หยุด คุณตำรวจก็แค่ชะลอความเร็วลง ณ สี่แยกจราจร 

ระหว่างรอสัญญาณไฟเปลี่ยนสีอีกครั้ง คิมหันต์เคาะพวงมาลัยรถเป็นจังหวะไปพลาง ๆ แล้วเหลือบมองร่างบางที่กำลังนั่งก้มหน้ามองเด็กหญิงบนตัก ภัคกำลังเกลี่ยหน้าผากหนูดาเล่น คนเป็นพ่อเห็นเลยอยากมีส่วนร่วมขึ้นมา ขยับตัวเข้าใกล้พลางจรดปลายจมูกกับหน้าผากแคบของลูกสาวเบา ๆ แอบหอมสาวน้อยที่ยังคงหลับใหลเสียหลายฟอดก่อนจะเงยหน้าตามปกติ เป็นจังหวะพอดีกับที่ร่างบางก้มลงมาจนสองใบหน้าประชิดกันด้วยความบังเอิญ

เกิดกระแสไฟแล่นพล่านโดยที่ยังไม่ทันสัมผัสร่างกายกันด้วยซ้ำ แค่สบตาธรรมดาเท่านั้นแต่กลับก่อเกิดแรงดึงดูดมหาศาล เหมือนขั้วบวกดึงดูดขั้วลบยามใกล้กันมากพอ 

คิมหันต์ที่ควรถอยตัวกลับไปประจำที่นั่งหลุบตามองริมฝีปากแดงก่ำตรงหน้าตาเป็นประกาย แต่เพราะไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจทำร้ายประชาชน แทนที่จะเลือกบดจูบอย่างที่ตั้งใจ แค่หยั่งเชิงด้วยการใช้จมูกคลอเคลียปลายคางเรียวอย่างช้า ๆ  จะหยุดหากร่างบางพูดว่าไม่ชอบ แต่ถ้าไม่ตอบอะไรกลับมาจะถือว่าอนุญาต

ไม่นานนักภัคก็พูด แต่ไม่ใช่คำว่าหยุดแต่อย่างใด  “…ไฟเขียวแล้วครับ”

ประโยคบอกเล่ากับเสียงแตรจากรถคันข้างหลังทำให้นายตำรวจได้สติในที่สุด รถคันใหญ่พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าขณะคนขับแบกความรู้สึกเสียดายไว้เต็มอก มือใหญ่ปรับกระจกหน้าหันหาฝั่งผู้โดยสารเพื่อที่จะได้แอบมองและพบว่าร่างบางเองก็กำลังจ้องกลับมาเหมือนกัน ผ่านเงาสะท้อน

ก่อนคนบังคับพวงมาลัยจะตัดสินใจด้วยความรีบร้อน นัยน์ตาดำมองกระจกซ้ายก่อนตบไฟเข้าข้างทาง หักพวงมาลัยทันทีจนรถเบียดเข้าข้างฟุธปาต สัญลักษณ์ไฟสีส้มยังกระพริบอยู่ท้ายรถขณะคนด้านในต่างฝ่ายต่างนิ่งไป

ผิดกับหนูดาที่เริ่มขยับขยายร่างกาย ค่อย ๆ บิดขี้เกียจบนตักน้าชาย ให้เดาว่าอีกไม่นานคงตื่นเต็มตาและนั่นหมายความว่าเวลาส่วนตัวของผู้ใหญ่กำลังใกล้จะหมดลง 

สำหรับภัคคงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ รายที่มีปัญหาน่าจะเป็นคิมหันต์ที่หายใจเข้าออกรุนแรงตอนมองน้าชายกล่อมหลานให้หลับต่ออีกสักหน่อย ด้วยความที่มัวแต่ยุ่งกับเด็กน้อยจึงไม่ทันระวัง โดนริมฝีปากหนาจู่โจมเข้าทางด้านข้างแก้ม ซึ่งแทบจะทันทีที่เบี่ยงหน้าหลบเพราะตกใจ แต่กลายเป็นเปิดช่องทางให้นายตำรวจได้ยิ่งรุกล่ำ งับกลีบปากนิ่มได้ถนัดขึ้น
   
เริ่มแรกนั้นเหมือนการขืนใจ เมื่อสบโอกาสก็รีบเสือกลิ้นใหญ่เข้าสู่โพรงปากของร่างบางที่ยังตระหนกไม่หาย แถมทักทายลิ้นเรียวด้วยความหยาบคายทั้งที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน จูบแรกที่ควรจะค่อนไปทางหวาน ดันลืมใส่น้ำตาลจึงสัมผัสได้แต่ความขมพร่า

การกระทำหยาบโลนเผยตัวตนว่าลึก ๆ แล้วชอบความรุนแรงแค่ไหน ถ้าอยากได้ใครหน้าไหนก็ห้ามขัด ปฏิเสธก็เท่านั้นเพราะไม่ว่ายังไงก็จะทำให้หมดฤทธิ์และเลิกต่อต้านไปเอง ยิ่งกว่าเด็กเอาแต่ใจ เป็นเด็กโข่งตัวใหญ่ที่ความจริงแล้วเลื่องชื่อเรื่องการทำลายล้าง ไม่ต่างจากระลอกคลื่นที่ซัดทุกอย่างพังราบเป็นนาบกองและชอบการฟังเสียงกรีดร้องอันเกิดมาจากกระทำของตัวเอง 

ภัคกำลังเผชิญหน้ากับเด็กนิสัยเสียโดยแท้และใกล้จะพ่ายแพ้ในไม่ช้า

รีบครวญครางอืออ้าในลำคอเพราะกำลังจะหายใจไม่ออก   

จนเมื่อคิมหันต์คลายริมฝีปากที่ล็อกแน่นหนาให้หลวมเล็กน้อย ค่อยรู้สึกสบายขึ้น   

ฝ่ายถูกกระทำโดยสมบูรณ์พยายามจะมีสติ แต่บางทีจิตใจก็วอกแวกและหลวมตัวให้กับสัมผัสป่าเถื่อนนั้น จนเขยื้อนริมฝีปากเบียดกับอย่างอวัยวะเดียวกันอย่างเผลอไผล รู้ตัวอีกทีกลายเป็นจูบโต้ตอบพร้อมประเคนถึงที่อย่างดูดดื่ม แถมดูเป็นงานและรู้ว่าแขกต้องการอะไร การบริการล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ สุดท้ายก็จบลงที่การสมยอม

เผยธาตุแท้ต่อหน้านายตำรวจจนหมดเปลือก เล่นละครตบตาว่าไม่ต้องการมาตลอด แต่พอตอนที่อีกคนทำท่าจะผละออก สัญชาตญาณบอกให้รีบตะครุบเหยื่อไว้ ห้ามปล่อยหลุดมือไปเด็ดขาด

ร่างบางยื้อด้วยการจูบซับงับความหนานุ่มไว้แผ่วเบา จนเจ้าของปากลืมตาจ้องก็มองกลับอย่างมีนัยยะ ระหว่างผสานสายตาลึกซึ้ง ความหวานก็เริ่มตกผลึกหลังผ่านมานาน สลัดคราบความรุนแรง เหลือแค่ความแช่มช้าและค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงความแนบแน่นไว้อย่างเก่า ทั้งสองคนบดเบียดกลีบปากจนเนื้อนั้นแทบแหลกละเอียดดั่งเม็ดทราย แทบป่นกลายเป็นเนื้อเดียวกันจนเกือบแยกไม่ออกว่าริมฝีปากไหนเป็นของใครกันบ้าง     


‘คุณช่วยทำกับผมเหมือนตอนที่เหมันต์ยังอยู่ได้ไหม…’


ภัคใช้มือข้างที่ว่างรั้งท้ายทอยนายตำรวจเพื่อให้โน้มคอลงมาอีก ส่วนคิมหันต์ปรับองศาใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปลายจมูกที่อาจเป็นอุปสรรคระหว่างยึดเบาะร่างบางเป็นหลักและเท้าท่อนแขนอีกข้างกับพวงมาลัยรถ

ต่างฝ่ายต่างกอบโกยรสชาติแปลกใหม่ที่สุดท้ายแล้วจะกลายมาเป็นความคุ้นเคย

การจูบลงเอยด้วยดีครั้งแล้วครั้งเล่า

สุนัขจับจองเสาไฟด้วยการฉี่รด

แต่คนบางคนไม่จำเป็นต้องทำน่าเกลียดขนาดนั้น

แค่แลกน้ำลายเพื่อมัดใจก็ได้ตัวนายตำรวจมาครอบครองแล้ว












------------------------------
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ FANPAGE  (https://www.facebook.com/Krahiankrahuerue/)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๖) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 19-06-2018 14:48:09
หลายปมมากกกกก :a5: :really2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๖) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 19-06-2018 21:45:19
๐๘





นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันของตัวเองที่แสนจะเรียบง่าย หน้าที่สำคัญ ๆ อีกหลายอย่างของธันวาก็เป็นอะไรที่เหมือนเดิมมาตลอดหลายปี เช่นเข้ามาปลุกมินตราจากนิทราในตอนสายและเตรียมน้ำอุ่นให้อาบ มีหน้าอุ้มหญิงทุพพลภาพที่ล่อนจ้อนมาหย่อนไว้ในอ่างสีขาว ยืนรอด้วยความสงบและค่อยเข้าช่วยเมื่อสาวเจ้าอาบน้ำเสร็จ

ทั้งที่มันควรจะเป็นงานของผู้หญิงด้วยกัน แต่เพราะผู้หญิงพวกนั้นไม่สามารถอุ้มคนที่มีน้ำหนักพอ ๆ กันได้ จึงเป็นเหตุว่าทำไมชายหนุ่มผิวขาวซีดถึงได้ถูกเลือกเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน 

แรกเริ่มมินตราเองก็เคยอึดอัดใจกับการให้ผู้ชายไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามาดูแล แต่เมื่อได้ลองใช้ชีวิตแบบเห็นหน้าค่าตากันทุกวัน ไหนจะสัมพันธ์ทางกายที่กำเนิดมาจากความใกล้ชิด ยางอายเธอจึงลดน้อยลงทุกวันจนกระทั่งหมดสิ้น สุดท้ายก็ลอบอยู่กินกันฉันท์ผัวเมียลับ ๆ มาตลอด

อะไรที่เคยด่าเหมันต์ไว้ท้ายที่สุดก็ย้อนเข้าตัวหมด อาจจะลักลอบคบชู้พอ ๆ กับที่คนมักมากเริ่มชอบหาเศษหาเลยนอกบ้าน มินตราบัญญัติการกระทำของตัวเองว่าเป็นเพียงการประชด แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้างของคนไม่รู้จักพอเหมือนกันและไม่มีเหตุผลใดค้านขึ้น 

ธันวายืนสางผมให้หญิงสาวเหมือนเคย ช่วยหวีผมยาวสลวยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เคยเบามืออย่างไรก็ยังเบามืออย่างนั้น แต่อาจจะเพราะว่าช่วงนี้สาวเจ้าอยู่ในช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อารมณ์เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงและความไม่มั่นคงนั้นก็ส่งผลให้เธอปัดหวีที่มือใหญ่ถือไว้ออกไป ก่อนจะต่อว่าต่อขานคนดูแลว่าชักช้าทำอะไรเสียเวลา

เธอเรียกร้องหาเสื้อผ้า บอกว่าหนาวจะตายอยู่แล้วทั้งที่ตอนแรกเป็นคนพูดเองว่ายังไม่อยากใส่ จนอีกคนเดินไปหยิบมาให้แต่ไม่วายโวยซ้ำ ขย้ำชุดในมือไม่พอยังด่าท่อคนตรงหน้าว่าจัดชุดบ้าอะไรมาให้เธอ ทั้งที่ก็เป็นชุดลวดลายเดิม ๆ  แต่ในสายตามินตราสีมันดูเสร่อพิกล

กระโปรงถูกปาใส่หน้าคนที่ยังไม่ปริปากบ่นสักคำ ธันวาทำแค่ยืนเงียบเป็นเป่าสาก ปล่อยให้หญิงสาวขวางข้าวของใส่ รวมถึงหมอนใบใหญ่ที่กระทบเข้ากับหน้าอกแข็งเต็ม ๆ จุกมากกว่าเจ็บแต่ก็อดทน จนชักอยากรู้ว่ามีเหตุผลอะไรให้ยอมอีกคนขนาดนี้ ก่อนมินตราจะเริ่มกรี๊ดเพื่อระบายความอัดอั้น ไปจนกัดฟันจนรู้สึกเจ็บราวทั้งกราม กว่าจะกลับมาสงบได้ต้องใช้เวลาเป็นพัก แต่ก็ยังไม่หายหงุดหงิดซะทีเดียว   

ยาแก้เครียดเป็นทางเลือกหลักที่มักนำมาใช้ประจำแต่พอดีน้ำหมด คนใช้การขาได้ก็ต้องเป็นฝ่ายไปเอามา เป็นหนึ่งในหน้าที่ของขี้ข้าที่ไม่เคยนึกเลยว่าเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วจะเจอกับเหตุการณ์แปลกตากว่าทุกวัน

เห็นแค่เพียงด้านหลังก็ยังจำได้แม่น นายตำรวจกำลังก้าวลงบันไดโดยข้างกายมีน้องชายหญิงพิการเดินควงแขนอยู่ไม่ห่าง แต่เสียงพูดคุยที่ดังแว่วมาเป็นระยะก็ไม่สามารถทะลุเข้าหูชายหนุ่ม นัยน์ตาว่างเปล่าของธันวาเอาแต่จดจ้องสองมือที่เลื่อนกุมกันอย่างสนิทสนมเท่านั้น














 
ชีวิตคนเราพลิกผันเพราะเหตุการณ์เดียวมาก็มาก

ถ้าหากรู้ว่าการจูบกับอีกคนจะทำให้รู้สึกดีก็คงจะไม่มัวลีลา แม้ใจหนึ่งจะกลัวว่าอาจเป็นแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวย แต่ด้วยคำสารภาพที่นายตำรวจพูดไว้  ‘ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจริง ๆ นะ’  ถ้าเป็นคนใจแข็งมาแต่ไหนแต่ไรก็คงไม่หวั่นไหวกับประโยคธรรมดา ๆ แต่เผอิญว่าเป็นคนใจง่าย ก็เลยยอมหลงเชื่อประโยคหากินของผู้ชายในที่สุด

รู้ตัวว่ามีโอกาสหยุดก่อนที่จะสายเกินไป แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วภัคก็อยากลองดูสักตั้ง บางทีมันอาจจะกลายเป็นความรักอย่างที่โหยหามาตลอดก็ได้ ผลจากการทิ้งรองเท้าแก้วไว้อาจทำให้พานพบกับเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตนางซิน ไม่ได้คาดหวังถึงงานแต่งใหญ่โตหรือชีวิตโอ่อ่าในวัง แค่อยากมีบ้านเล็ก ๆ สักหลังแถบชานเมือง หลีกเลี่ยงจากเรื่องวุ่นวายแล้วอาศัยอยู่ด้วยกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก แน่นอนว่าหนูดาจะเป็นเสมือนโซ่ทองคล้องใจ

บ้านหลังนี้อาจจะไม่เคยต้องการเด็กหญิง แต่บ้านอีกหลังของเราต้องการเธอ 

ภัคมองเด็กหญิงที่เดินนำรีบปีนขึ้นโซฟา รอเวลาจนคุณพ่อนั่งลงแล้วถึงค่อยกระเถิบตัวขึ้นนั่งตักอีกที

“คุณอยากได้น้ำหวานหรือเปล่าหรือเราไปโรงพยาบาลกันดีไหมครับ” 

ร่างบางหย่อนก้นลงนั่งข้าง ๆ พลางถามด้วยความเป็นกังวล   

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เดี๋ยวก็หาย”  ส่วนคนปวดหัวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะต้องบอกหมอว่าสาเหตุของอาการมาจากอะไร แอบอายนิดหน่อยที่จะกล่าวถึง ดันทะลึ่งฝันว่ามีคนนั่งคร่อมแล้วเอาบางอย่างรัดรอบลำคอจนนึกว่าจะตายแต่กลายเป็นว่าเกิดการหลั่ง เป็นอีกหลาย ๆ ครั้งที่หว่างขากางเกงต้องเปรอะเปื้อนโดยไม่ทันได้เคลื่อนมือ ผลข้างเคียงต่อมาก็คืออาการผวาตื่น ลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน หัวถึงได้ปวดตุบ ๆ เหมือนตอนสมองใกล้ขาดอากาศในความฝัน

“คุณพ่อเป็นอะไรเหรอคะ”  หนูดาเงยหน้าถาม ทำตาปริบ ๆ หลังได้ยินผู้ใหญ่คุยกัน ด้วยความมันเขี้ยวคิมหันต์กดปลายจมูกถูกับจมูกลูกสาวที่เผลอหัวเราะด้วยความจักจี้ ก่อนจะย่นจมูกให้กันคนละที มีนิสัยราวกับถอดกันมา 

“คุณพ่อแค่ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ” 

“แล้วตัวร้อนด้วยไหมคะ”

สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเด็กหญิงจะซักประวัติไปทำไม นายตำรวจจึงยอมเล่นตามน้ำ หากิจกรรมให้ลูกสาวได้มีส่วนร่วม  “ไม่รู้เหมือนกันสิคะ หนูช่วยวัดไข้ให้คุณพ่อหน่อยได้ไหม”

“งั้นเดี๋ยวหนูไปเอาอุปกรณ์ก่อนนะคะ คุณพ่อรอแป๊บนึงนะ”  เรียกว่าเข้าทางหนูดาที่กำลังรอจังหวะอยู่พอดี นาน ๆ ทีจะมีคนไข้หลงมาให้รักษาสักคนจึงไม่อยากพลาดโอกาส รีบลงจากตักคิมหันต์แล้ววิ่งออกไป เด็กน้อยหายต๋อม ปล่อยให้คนเป็นพ่องง ส่วนน้าชายหลุดยิ้มเพราะรู้ว่าตกลงหลานสาวจะทำอะไร   

“อุปกรณ์…?”

“ของเล่นเด็กนะครับ จำลองการเป็นคุณหมอ” 

นายตำรวจร้องอ่อพลางหลุดหัวเราะด้วยความเอ็นดู  “คุณคงโดนแกตรวจจนเบื่อเลยล่ะสิ”

“บางทีก็ต้องแกล้งไอหนัก ๆ เพื่อให้แกรักษาครับ”  ภัคพูดความจริงที่ยิ่งกระตุ้นให้นายตำรวจยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือลูบแก้มร่างบางเล่นด้วยความเอ็นดูไม่แพ้กัน พอจินตนาการตอนอีกคนป่วยแล้วคงน่าแกล้งไม่หยอก   

เวลาที่ได้อยู่สองต่อสองจบลงเมื่อหนูดาวิ่งกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ร่างเล็กจัดแจงวางกล่องไว้บนโซฟาด้วยความคล่องแคล้ว โดยข้าง ๆ กันมีแววตาอบอุ่นของคุณพ่อคอยมองตาม ช่วยเอาผมทัดหูตอนมือเล็กกำลังปลดล็อกและเอาเครื่องตรวจฟังออกมา ของเล่นสมัยนี้ทำเลียนแบบได้เหมือนของแท้ แต่ของจริงทำมาจากอะไรไม่ทราบ แต่ของเด็กน้อยทำมาจากพลาสติกสีชมพูสดใส

นายตำรวจโน้มแผงอกให้ลูกสาวได้ตรวจถนัด ๆ เอาของปลอมมาใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรหรอก แต่สองพ่อลูกก็ยังสวมบทคนไข้กับคุณหมอตัวน้อยต่อไป

“ผมจะหายป่วยไหมครับคุณหมอ”

“เดี๋ยวคุณหมอจะให้ยาไปทานนะคะ จะได้หายป่วยไว ๆ”

คุณหมอวินิจฉัยอย่างรวดเร็วว่าป่วยธรรมดา ๆ เพียงแค่กินยาตามสั่งก็หายและใช้เวลาไม่นาน แค่รื้อในกล่องปฐมพยาบาลก็เจอของที่ตามหา มือเล็กยื่นซองใสที่ข้างในบรรจุผงสีขาวละเอียดให้คุณพ่อรับไป ในขณะที่ภัคเห็นแล้วไม่คุ้นตาและสงสัยว่ามันมาอยู่กับเด็กหญิงได้อย่างไร  “ซองอะไรคะ หนูดาเอามาจากไหน”

ยามร่างบางถาม คิมหันต์กลับเลือกที่จะแกะซองและลองดม รู้สึกเอะใจเหมือนเคยพบผงขาวแบบนี้ที่ไหนมาก่อนตอนทำงาน หากมองผิวเผินตามประสาพวกไร้ประสบการณ์ก็คงคิดว่าเป็นยาอัดเม็ดที่ถูกนำมาบดละเอียดอีกที แต่ถ้ามันเป็นยารักษาโรคจริงนายตำรวจคงไม่ทำสีหน้าเคร่งเครียดภายในชั่วพริบตาขณะถามหนูดาซ้ำด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แน่   
 
“ใครให้หนูมาหรือหนูเอามาจากไหนคะ”

โดนผู้ใหญ่สองคนจ้องหน้าก็รีบสารภาพ  “หนูไม่ได้ขโมยมานะคะ คุณอาจอมทัพทำตกไว้หนูเลยเก็บมา”     

“ทำไมเหรอครับ”  ภัคที่ดูไม่รู้อะไรอยู่คนเดียวรีบถาม แต่ก็โดยคิมหันต์ย้อนด้วยประโยคคำถาม  “เขาอยู่ไหน”

“หมายถึงใครครับ”

“จอมทัพ”

“น่าจะยังไม่กลับตั้งแต่เมื่อคืนมั้งครับ”

“โทรตามเขา …เดี๋ยวนี้”

คดีของเหมันต์อาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจอมทัพมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
แต่สำหรับคดีมี ‘โคเคน’ ไว้ในครอบครอง ชายหนุ่มผิวสีแทนเกี่ยวข้องด้วยเต็ม ๆ















จอมทัพรีบบึ่งรถกลับมาบ้านโดยละทิ้งงานสังสรรค์กับเพื่อนฝูงตั้งแต่หัววันไปก่อน เหตุผลที่รีบร้อนหลังมีคนโทรไปตามก็เพราะแค่อยากกลับมาดูหน้าคนปากสว่าง อยากรู้นักว่าใครมันพูดเรื่องของตน เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มผิวสีแทนออกอาการหัวเสียตอนเดินเข้ามาในตัวบ้านก่อนจะประจันหน้ากับหนูดาที่ส่อแววพิรุธ สะดุ้งสุดตัวราวกับเห็นผีแถมเตรียมวิ่งหนีอีกต่างหาก

คนที่มีศักดิ์เป็นอารู้สึกตงิดใจปรี่เข้าตะครุบร่างเล็กไว้ไม่ให้ไปไหน ขณะเด็กหญิงพยายามใช้แรงอันน้อยนิดดิ้นรนจนจอมทัพยิ่งมั่นใจกับสัญชาตญาณ รีบหันตัวเด็กกลับมาเพื่อคาดคั้น สภาพโกรธจัดเหมือนหมาบ้าราวกับเทคยาไปหลายโดสจนควบคุมสติตัวเองไม่อยู่  “เธอเป็นคนเอาเรื่องของฉันไปพูดใช่ไหม! ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง!” 

หนูดาได้ยินชัดเต็มสองหูแต่ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ตัวสั่นงันงกยกมือผลักได้แต่ลมและโดนเขย่าตัวจนผมยาวพลิ้วไหว เด็กน้อยยืนโงนเงนตามแรงที่ผู้ใหญ่ใช้อย่างไม่ปรานี เจ็บช่วงไหล่ที่โดนขยุ้มจนกระทั่งเบะปากร้องไห้แทนการตอบคำถามให้มันจบ ๆ ทำเอาจอมทัพสบถเสียงดัง สร้างความรำคาญเกินทน 

“นิสัยเสียเหมือนแม่เลยนะ! สาระแนเหมือนกันไม่มีผิด!” 

บางทีอาจเป็นผลข้างเคียงของสารเสพติดที่ยังตกค้างในร่างกาย แม้แต่กับเด็กถึงได้กล้าทำร้าย มือที่ใหญ่และแข็งกระด้างตบเข้าข้างแก้มเด็กหญิงที่ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะแรงหวด แล้วเริ่มร้องไห้จ๋าเมื่อความปวดมาทักทาย เรียกหาน้าชายทั้งสภาพน้ำตาไหลอาบหน้า

ขณะจอมทัพทำท่าจะเดินเข้ามาซ้ำ เงาดำทะมึนค่อย ๆ กลืนกินร่างเด็กน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่คนยืนจ้องด้วยความอาฆาตก็ต้องมีอันถอยไปไกลเนื่องจากโดนผลักอย่างแรง ภัคคือคนที่ถลาวิ่งเข้ามาขวางและกางแขนกอดตัวหนูดาที่กำลังเสียขวัญไว้ พอได้มองชัด ๆ น้าชายถึงเห็นว่าหลานสาวมีเลือดซิบที่มุมปาก ต้องรีบปลอบว่าไม่เป็นไรทั้งที่ใจตัวเองก็แทบสลาย น้ำตาตกใน ในฐานะคนที่เลี้ยงเด็กหญิงมาเองกับมือแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมย่อมเจ็บปวดไม่แพ้กัน
 
ดวงตาแดงก่ำตวัดจ้องหน้าปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ บางทีจอมทัพอาจจุติมาจากความชั่วร้ายถึงได้ใจดำและโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา ยังไม่หายบ้าได้และย่างสามขุมเข้ามาด้วยเจตนาที่ต้องการทำร้ายทั้งน้าชายทั้งหลาน

แต่กว่าจะฝ่าด่านไปถึงตัวทั้งสองคนได้มันไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องปะทะเข้ากับคิมหันต์ที่เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อและยากต่อการกำจัดเนื่องด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่า นายตำรวจตะบั้นหน้าคนเลือดร้อนไปหนึ่งหมัดเพื่อหวังเรียกสติและเอาคืนที่ทำลูกสาว ยอมเป็นเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังในทางมิชอบ ยอมเสียค่าปรับข้อหาทำร้ายร่างกาย จะต้องจ่ายกี่พันก็พร้อมแลกเพื่อให้ได้เห็นจอมทัพปากแตกสักครั้ง 

ระหว่างชุลมุนวุ่นวาย ธันวาที่ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทจากชั้นบนก็รีบลงบันไดมาแล้วย่อตัวลงตรงหน้าสองน้าหลานเพื่อถามว่าต้องการให้ช่วยอย่างไร ภัครีบส่ายหน้า บอกแค่ว่าไปช่วยนายตำรวจเถอะ เจอปฏิเสธความหวังดียังไม่รู้สึกมากเท่าไหร่ แต่เห็นร่างบางเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ยังยืนเผชิญกับอันตรายด้วยสายตากังวลแล้วมันเจ็บบริเวณหน้าอกพิกล

ถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายจะปวดหนึบ แต่ก็ไม่ลืมทำตามคำขอ คนที่ปกติมีหน้าที่คอยทำให้เจ้านายพอใจเข้ามาช่วยล็อกตัวชายหนุ่มผิวสีแทนไว้และเมื่อจอมทัพเห็นว่าเป็นใครที่บังอาจก็รีบสะบัดร่างกายด้วยความรังเกียจแทบไม่ทัน ยังหลงเหลืออาการฟึดฟัดและนับว่าฉลาดอยู่บ้างถึงได้ล้มเลิกการใช้กำลัง เพราะลำพังคงต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งไม่ไหว แล้วหันมาใช้ปากที่ถนัดแทน 

“ลูกตัวเองก็ไม่ใช่! จะเล่นใหญ่ไปทำไมวะ!” 

“จะลูกใคร นายก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเขา!”  ตะโกนมาตะโกนกลับ กำลังเดือดด้วยกันทั้งคู่แม้จะเลิกต่อสู้แบบมนุษย์ถ้ำที่ใช้กำลังตัดสินปัญหาทุกอย่างไปแล้วก็ตาม  “แล้วหนูดาก็เป็นถึงหลานสาวนายเชียวนะจอมทัพ”

“ฉัน-ไม่-เคย-มี-หลาน แล้วก็ไม่อยากนับญาติกับพวกตอแหลด้วย!”  ปาดเลือดที่กบมุมปากด้วยหลังมือไว ๆ แล้วใช้มือข้างนั้นแหละชี้หน้าสองน้าหลาน  “ช่วยสอนมันด้วยว่าทีหลังอย่ามาสะเออะเรื่องของฉัน”

“หนูดาก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณนักหรอก แกก็แค่เก็บของที่คุณทำตกไว้ได้”  กัดฟันอธิบายขณะพยายามอดกลั้นอย่างถึงที่สุด ถ้าเด็กหญิงไม่ฉุดไว้ด้วยวงแขน ภัคก็คงจะลุกขึ้นไปตบหน้าอีกคนให้หายแค้นหรือตายกันไปข้าง   

   “ถ้าเก็บได้แล้วทำไมไม่เอามาคืน สันดานขี้ขโมยทั้งน้าทั้งหลานเลยนะ”

“นอกประเด็นแล้วจอมทัพ เรื่องนี้คนที่ผิดก็คือนาย”   

“แค่โคเคนมันจะอะไรกันนักกันหนาวะ”

“ฉันเป็นตำรวจ และฉันสามารถจับนายเข้าคุกได้เลยทันที”

“งั้นก็ทำซะสิ จะมัวรออะไร”

“อย่าท้าฉันนะ…”  ขายาวย่างเข้าใกล้และหยุดยืนเทียบให้ทุกคนเห็นกันจะ ๆ ไปเลยว่าใครดูเหนือกว่า สายตาที่นายตำรวจใช้มองจอมทัพมีกลิ่นอายคุกคามแปลก ๆ แบบที่ไม่ควรเอาชีวิตไปแลกหรือเสี่ยง  “เชื่อฉันเถอะว่านายจะโหยหาอิสระไปตลอดชีวิตที่ติดอยู่หลังลูกกรง” 

“คิดจะขู่กันงั้นสิ”

“เลิกซะ”  คิมหันต์ยื่นคำขาด  “เพราะเห็นเป็นญาติหรอกนะฉันถึงให้โอกาส”

“ไม่ยักรู้ว่านับญาติกันด้วย แต่การช่วยของนายก็ไม่ได้ทำให้ฉันหายแค้นนังเด็กนี่หรอก”

สายตาอาฆาตมาดร้ายมองหน้าหนูดาสลับกับน้าชาย ถึงมีคดีติดตัวและโดนขู่แต่ใช่ว่าจะกลัวหัวหด ก็ยังเป็นคนเดิมที่ปากไว ใจร้อนและเตือนภัคให้ระวัง  “อย่าเผลอก็แล้วกัน…”  ถ้าเด็กหญิงอยู่คนเดียวอีกเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าจะไม่จบที่แค่ตบอย่างเดียวแน่ พอลั่นวาจาฉะฉาน จอมทัพก็ทำแค่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที มองคิมหันต์ ธันวาแล้วก็แหงนหน้ามองมินตราที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากบนชั้นสอง แล้วค่อยเดินออกจากบ้านไปอย่างไร้คำขอโทษสักคำ

เหตุการณ์ร้าย ๆ ฝังอยู่ในความทรงจำของเด็กหญิงและดูท่าว่าจะอยู่อีกนานหรืออาจตลอดชีวิต แผลที่มุมปากได้รับการทายาจนเกือบหายสนิทและโชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนพยายามขุดคุ้ยด้วยการพูดถึง ชีวิตของหนูดาจึงดำเนินต่อไปตามปกติ เพียงแต่เวลาที่จอมทัพกลับมาบ้าน น้าชายจะให้หลานสาวคลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน

ภัคแค่อยากป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น คิมหันต์ที่รักษาสัจจะไม่จับคนอารมณ์ร้ายเข้าคุกข้อหามีสารเสพติดก็เห็นด้วยกับที่ร่างบางทำ แต่เผอิญช่วงนี้มีเรื่องสำคัญต้องเข้าไปจัดการทั้งที่บริษัทของเหมันต์และสถานีตำรวจเลยไม่ได้อยู่ดูแลเท่าที่ควร ส่วนแม่เด็กก็เก็บตัวเงียบ บ้านหลังใหญ่จึงเปรียบเสมือนป่าช้าเข้าไปทุกขณะ หาความมีชีวิตชีวาได้ยากเย็นกว่าเห็นวิญญาณเร่ร่อนเสียอีก

วันนี้หนูดาก็ยังต้องนอนกลิ้งบนเตียงขณะมีน้าชายนั่งพับเสื้อผ้าอยู่ข้าง ๆ ภัคหันมองไปทางหน้าต่างยามได้ยินเสียงเครื่องยนต์หึ่ง ๆ ขับออกไปพลางถอนหายใจโล่งอก แต่ต้องแอบตกใจกับดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ยื่นหาในระยะประชิด

เด็กหญิงลุกขึ้นมานั่งมองตาแป๊ว เสียงเล็กอ้อนว่าเบื่อห้องนอนแล้วอยากออกไปเล่นข้างนอกบ้าง ร่างบางซึ่งยังไม่ไว้วางใจเสียทีเดียวจึงยื่นข้อเสนอให้ว่าได้แค่นั่งวาดรูปเล่นอยู่บนชั้นสองเท่านั้นและบานประตูห้องจะเปิดค้างไว้ เพื่อที่ว่าจะได้มองเห็นกันและกัน

หนูดาพยักหน้ารับข้อเสนอแล้วค่อยเดินกอดกล่องสีกับกระดาษออกมาหน้าห้อง ดวงตากลมไม่ลืมมองซ้ายมองขวาอย่างที่น้าชายสอนก่อนจะยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเคให้คนในห้องที่นั่งมองขณะอดยิ้ม มือเรียวหยิบผ้าไปพลางระหว่างมองเด็กหญิงนั่งลงกับพื้น   

มือเล็กเริ่มขีดเขียนสีบนแผ่นกระดาษที่ขาวสะอาด บรรจงวาดดอกไม้ด้วยสีสันสดใส หลีกเลี่ยงการใช้สีดำเพราะเด็กน้อยไม่ชอบและจะไม่ยอมให้มันมาเปรอะเปื้อนในผลงาน

น้าชายที่เหลือพับเสื้อตัวสุดท้ายเห็นว่าหลานสาวยังอยู่ดีก็สบายใจ ก่อนจะลุกเอาผ้าไปเก็บไว้ในตู้ระหว่างคอยเหลือบมองปลายเท้าเด็กหญิงอยู่เป็นระยะ

ท่ามกลางความเงียบสงบจนเสียงเล่าสีไม้กับกบดินสอดังอย่างชัดเจน ไม่มีใครทันเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองจากที่ไหนสักแห่งในบ้าน

ภัคก็มัวแต่จัดเสื้อผ้า …ส่วนหนูดาก็ตามไล่ตะครุบสีไม้ที่กลิ้งไปบนพื้นราบอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและหลบมือเล็กได้อย่างหวุดหวิดในทุกครั้ง

มาคว้าได้ทันตอนก่อนที่อีกนิดมันจะตกจากบันได แต่จังหวะหันตัวกลับมาไม่รู้ว่าเสียหลักอีท่าไหนหรือว่าความจริงแล้วมีคนจงใจผลัก ร่างเล็กตกจากบันไดขั้นบนสุด กลิ้งหลุน ๆ ลงมาอย่างไร้การควบคุมขณะส่งเสียงกรีดร้องสั้น ๆ แล้วค่อยแน่นิ่งไปเมื่อตกจากขั้นบันไดสุดท้าย นอนผมสลายบนพื้นราวกับราพันเซลที่ตกจากหอคอย

ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที  “หนูดา!”  ภัควิ่งออกมาจากห้องอย่างไวแต่ก็ไม่ทัน แล้วแทบคลั่งเมื่อเห็นสภาพหลานสาวนอนไม่ได้สติอยู่เบื้องล่าง น้าชายหลั่งน้ำตาอัตโนมัติขณะรีบวิ่งลงบันไดจนน่ากลัวว่าจะล้มหัวฟาดไปด้วยอีกคน จนกระทั่งเห็นเด็กหญิงในระยะที่สามารถเอื้อมมือถึง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่กล้าสัมผัสร่างกายเล็ก ๆ ที่ดูแสนเปราะบางเหลือเกิน  “หนูดา…”  น้าชายทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก

ได้ลุกอีกทีก็ตอนดวงตาพร่าเห็นบุรุษพยาบาลกำลังช่วยกันโยกย้ายร่างเด็กหญิง

ภัคไม่รู้ว่าตัวเองนิ่งงันไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าสองขาไร้เรียวแรงต้องวิ่งตามเตียงเข็นที่เคลื่อนออกมานอกบ้านให้ทันและขึ้นรถพยาบาลไปกับหลานสาวทั้งเท้าเปล่าอย่างนั้น โดยมีธันวาขับรถของที่บ้านตามไปติด ๆ ในฐานะคนที่โทรเรียกรถพยาบาลก็จะอยากเห็นว่าสองน้าหลานปลอดภัยกับตา แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะโดนมินตราแหกอกที่ละทิ้งหน้าที่กลางคันก็ช่างปะไร เพราะในเวลาแบบนี้ไม่มีใครน่าเป็นห่วงเท่าคนวิตกที่กำลังเดินวนไปวนมา   

ชายหนุ่มผิวสีซีดยืนมองคนเป็นน้าเดินไปเดินอยู่หน้าห้องฉุกเฉินร่วมหลายนาที ไม่แน่ใจนักว่าอีกคนเห็นการมีอยู่ของตนหรือเปล่า แต่ก็อยากอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าหมอจะเดินออกมาบอกว่าเด็กหญิงปลอดภัย ระหว่างรอเวลานัยน์ตาก็สะท้อนแต่ภาพแผ่นหลังบางสั่นเทา เห็นอีกคนเอาแต่ยืนร้องไห้ก็อยากทำอะไรสักอย่าง

ธันวาชั่งใจอยู่นานว่าควรทำอย่างที่ต้องการดีไหม อยากดึงตัวอีกคนมากอดปลอบให้หายกังวล แต่เพราะมัวยืนรวบรวมความกล้าจึงโดนสัตว์สองขาคาบร่างบางไปรับประทานอีกตามเคย 

มือกร้านที่ยื่นออกไปรีบชักกลับแทบไม่ทันตอนร่างบางหันตัวกลับมาตามเสียงเรียก 

“ภัค!”  คิมหันต์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาใกล้  “หนูดาเป็นยังไงบ้าง”

ร่างบางแทบร้องไห้โฮเมื่อเห็นว่าเป็นใคร โผกอดนายตำรวจพลางละล้าละล้ำรายงานความเคลื่อนไหวด้วยน้ำเสียงเครือ  “หมอยังไม่ออกมาเลย ผมควรจะทำยังไงดี” 

“ภัค คุณใจเย็น ๆ ก่อนนะ”  พูดออกไปทั้งที่ก็ใช่ว่าตัวเองจะทำได้ คนเป็นพ่อเองก็ร้อนใจไม่ต่างกัน ใจนึงก็อยากรู้เหตุการณ์คร่าว ๆ แต่คิดว่าคนเล่าคงจะยังไม่พร้อม

“ต้องเป็นเขาแน่ ๆ ต้องเป็นจอมทัพแน่ ๆ ที่ผลักหนูดาตกบันได”  น้าชายเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองโดยที่ไม่มีหลักฐาน เดาด้วยสัญชาตญาณเพราะเข้าใจว่าหลานสาวมีคนหวังทำร้ายอยู่แค่คนเดียว 

“แล้วคุณเห็นเขาหรือเปล่า”  แต่เมื่อเจอคำถามคิมหันต์เข้าไป ภัคถึงได้ชุกคิดว่าได้ยินเสียงรถจอมทัพออกไปก่อนจะเกิดเรื่อง ใบหน้ามอมแมมส่ายช้า ๆ เป็นคำตอบ แล้วก็ได้นายตำรวจช่วยเช็ดน้ำตาให้จนเกือบหมดจด หลงเหลือคราบความชื้นประปราย ฝ่ามือใหญ่จึงกุมสองพวงแก้มไว้เพราะหวังว่าความร้อนจากมือจะทำให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง

“มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้”  สันนิฐานในสิ่งที่สามารถเป็นไปได้มากสุด แต่ลึก ๆ แล้วคนพูดเองก็ไม่ปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ทำทั้งหมดก็เพื่อให้ร่างบางคลายความวิตกกังวล คิมหันต์กอดคนที่โถมร่างกายเข้าหาอีกครั้ง โอบวงแขนรอบแผ่นหลังบางเพื่อทำให้รู้สึกว่ายังมีกัน 

ภัคค่อย ๆ สงบลงเพราะสัมผัสทางกาย ได้มือนายตำรวจลูบศีรษะจนอยากจะเคลิ้มหลับและเมื่อพลิกใบหน้าบนกลับมาอีกด้านถึงเพิ่งได้เห็นว่าธันวามีตัวตนและกำลังเดินไกลออกไปจนกลายเป็นจุดเล็กนิดเดียว แค่มองตามแผ่นหลังกว้างโดยไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งไว้ ก่อนจะพลิกหน้ากลับไปอีกฝั่ง ยืนกอดนายตำรวจตอบระหว่างรอฟังผลการรักษา           
‘เด็กหญิงพิมพ์มาดาปลอดภัยดีครับ’ คือประโยคที่คุณหมอพูดทักทายกับญาติ แต่อาจมีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย ยังถือว่าโชคดีที่มีแผลแตกที่ท้ายทอยเล็กน้อย ส่วนบริเวณแขนเด็กหญิงจะใช้สอยได้แค่แขนขวา แขนซ้ายต้องใส่เฝือกด้ามไว้เป็นเวลาอย่างน้อยเกือบเดือนจนกว่ากระดูกจะเคลื่อนเข้าที่

ภัคยืนส่งคุณหมอกับพยาบาลหน้าประตูห้องพักโดยไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณไล่หลังคนทั้งสอง แล้วค่อยกลับมานั่งมองหลานข้างเตียง ไม่คิดจะลุกไปไหนเพราะกลัวเด็กหญิงตื่นมาแล้วจะไม่เห็นตนเป็นคนแรก ๆ ขนาดนายตำรวจเปิดประตูเข้ามาหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ นัยน์ตาสีน้ำตาลยังแค่มองว่าเป็นใครแล้วหันกลับจ้องใบหน้าหลานสาวต่อ

พ่อเด็กที่โดนเมินชั่วขณะวางถุงร้านสะดวกซื้อไว้ที่โซฟาแล้วเดินมาหยุดยืนข้างเก้าอี้ที่ร่างบางนั่งพร้อมวางมือบนไหล่มน  “เดี๋ยวลูกก็ฟื้น”  มือเรียวยกขึ้นวางทับหลังมือใหญ่พลางเงยหน้ามองนายตำรวจที่ก้มหน้าส่งยิ้มให้บาง ๆ   

“หิวไหมคุณ”  ภัคส่ายหน้าเป็นคำตอบ แต่คิมหันต์ไม่ยอมเลิกตื้อง่าย ๆ  “กินอะไรสักหน่อยเถอะ เกิดคุณล้มป่วยไปอีกคนผมเลือกไม่ถูกนะว่าจะดูแลใคร”  เอ่ยพลางเดินกลับไปรื้อหาอะไรที่พอกินลองท้องได้  “เบอร์เกอร์หน่อยไหม”

นายตำรวจยืนโพสท่าเป็นนายแบบโฆษณาอาหารฟาสฟูดทำเอาร่างบางที่หันมองหลุดยิ้ม ถึงจะอิ่มน้ำตาตัวเองจนคิดว่าคงกินอะไรไม่ลงแล้ว แต่ภัคก็ยอมลุกเดินไปหานายแบบอาหารที่ตบโซฟาเป็นสัญลักษณ์ให้นั่งลงข้าง ๆ ระหว่างนั้นมือใหญ่ก็ช่วยแกะพลาสติกแล้วส่งเบอร์เกอร์ให้มือเรียวรับไป

ภัครับมาไว้ในมือ ถืออย่างเดียวแต่ไม่เหลียวแลแม้มันจะส่งกลิ่นหอมฉุยจนเรียกน้ำย่อยสักแค่ไหน

คิมหันต์ที่เห็นร่างบางทำแค่นั่งมองอาหารตัดสินใจเคลียร์ของที่วางคั่นกลางออกไป 

“ไม่หิวก็ไม่หิว”  ค่อย ๆ ดึงอาหารออกไปวางไว้สักแห่งแล้วเขยิบเข้าใกล้  “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวเบอร์เกอร์ก็น้อยใจ คิดว่ามันดูไม่อร่อยคุณถึงไม่อยากกินมันหรอก”

“ผมกลัว”  ถึงจะเอ่ยมาแค่สั้น ๆ แต่คนฟังก็เข้าใจความหมายได้ทันที นายตำรวจผันตัวเป็นผู้ฟังที่ดีระหว่างกุมมือภัคไว้  “ผมเป็นน้าที่ไม่เอาไหน ผมดูแลแกไม่ดีเอง”

“อย่าโทษตัวเองเลยน่า คุณเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นสักหน่อย อีกอย่างหนูดาก็ปลอดภัยแล้วด้วย” 

“ตั้งแต่มีเรื่องกับคุณจอมทัพ แล้วก็มาครั้งนี้ …ผมแค่กลัวว่าครั้งหน้าจะไม่โชคดีอีก”

“มันจะไม่มีครั้งหน้า เพราะผมจะช่วยดูแลลูกอีกแรง”  คิมหันต์ที่บอกว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระโน้มร่างบางเข้าหาตัวแล้วกกกอดไว้ ระหว่างรอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไรก็หอมหัวกลมไปพลาง ๆ จูบกลางขวัญซ้ำแล้วซ้ำอีก     

“ผมควรพาหนูดาออกไปอยู่ข้างนอกดีไหม” 

“ขอเวลาผมอีกหน่อย แล้วผมจะพาคุณกับลูกไปอยู่ด้วยกัน”

กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำฉันท์ใด นายตำรวจพูดแล้วก็ไม่คืนคำฉันท์นั้น

อาจไม่มีสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็อยากอ้อนวอนให้ภัคเชื่อใจ

“ผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณกับลูกเด็ดขาด ผมสัญญา”












------------------------------
ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๖) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-06-2018 21:55:55
สนุกกกกก อยากให้คุณตุ๊กติ๊กมาบ่อยๆค่ะ เรารออยู่ และยังคงสงสัยว่าเป็นภัคเช่นเคย :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๗) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 19-06-2018 23:37:43
ทำไมใครๆก้ไม่รักหนูดา ฮือออออ
สงสารเด็กน้อยมากเลยค่า

ยังงัยภัคก้ยังดูน่าสงสัยที่สุดอะ
ต้องเคยเปนชู้รัดของเหมันนต์แน่นๆ
แล้วที่มาทำดีกับคิมหันต์ก้ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง
รอลุ้รออยู่นะคะ ยังบ่นกับเพื่อนว่าคิดถึงลั่นดาล
พอมาต่อทีมาเยอะมาก สะใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๗) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 20-06-2018 03:38:20
 :hao4:
ยัยแม่มด น่าจะเป็นคนผลักน้องดา ...
เพราะรู้ว่า จอมทัพโกรธและขู่น้องดาไว้
เลยกะจะพุ่งเป้าคนทำร้ายไปที่จอมทัพ

ส่วนธันวา ... รักภัคแน่นอน o18
ถ้าแม่มดรู้ ก็อาจจะยืมมือธันวามาทำอะไรร้าย ๆ

อูยยยยย สนุกค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๗) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 20-06-2018 19:32:59
ปมเยอะไปหมดเลย  :katai1:

แต่สนุกมากๆเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๗) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 21-06-2018 20:12:23
แอบคิดว่าเป็นธันวาได้มั้ยใครคือฆาตกร?
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๗) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 24-06-2018 20:57:40
๐๙





แม้ว่าในเช้าของอีกวันหนูดาจะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังต้องอยู่ในความดูแลของหมอเพื่อรอดูอาการต่ออีกสักสองสามวัน ภัคเป็นคนแรกที่หลานสาวเห็นหน้าตอนฟื้นสมดั่งใจหวังและสละเวลาส่วนตัวทั้งหมดไปกับการคอยเช็ดตัวร่างเล็ก ป้อนข้าวป้อนน้ำเด็ก ทำเองทุกอย่างเพื่อไถ่โทษที่ก่อนหน้านี้ปล่อยปละละเลยจนสุดท้ายลงเอยด้วยอุบัติเหตุ 
 
ถึงจะอยากรู้ความเป็นจริงสักแค่ไหน น้าชายก็ข่มใจ ไม่ได้ไล่เรียงเด็กหญิงว่าความจริงทำอีท่าไหนถึงได้ตกบันไดลงมา อยากจะให้ได้พักก่อน โดยที่นายตำรวจเองก็บอกว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน หนูดาเสียขวัญมาสองครั้งสองคราว ถ้าจะขอให้เล่าเหตุการณ์วันนั้นอีกอาจจะทำให้ความเครียดยิ่งทวีคูณ   

หลังกล่อมหนูดาหลับ พอดีกับพยาบาลพิเศษเปิดประตูเข้ามา ผู้ใหญ่สองคนละสายตาออกจากเด็กน้อยและถอยห่าง กะจะใช้ช่วงเวลาที่เด็กหญิงหลับกลับไปเอาข้าวของจำเป็นที่บ้าน ภัคฝากฝังพยาบาลให้ช่วยดูแลอย่างดีหรือถ้ามีอะไรก็ให้รีบโทรหา นอกจากสัญญาว่าจะรีบกลับมายังบอกหนูดาก่อนหลับด้วยว่าจะพาตุ๊กตาตัวโปรดมาเยี่ยมด้วย
“ฝากด้วยนะครับ”  ภัคบอกกับหญิงชุดขาว สาวเจ้าก็รับปากด้วยท่าทางใจดี  “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

ทำเอาคนฟังโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ ที่จริงก็ใจชื้นขึ้นมากหลังมีนายตำรวจอยู่เคียงข้างตลอด คิมหันต์ทำหน้าที่พลขับพาภัคกลับมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัยโดยใช้เวลาไม่นาน ตั้งแต่ปลดสายเข็มขัดนิรภัยไปจนถึงเปิดประตูรถ ร่างบางไม่ได้ทำเองเลยสักอย่าง แค่นั่งมาและก้าวขาลงจากรถแล้วปล่อยให้อีกคนกุมมือเดินเข้าตัวบ้าน

ระหว่างเดินผ่านทางเดินก็เกิดเจอกับมินตราที่เลื่อนวีลแชร์ไฟฟ้าออกมาจากห้องรับแขก  “หนูดาเป็นยังไงบ้างคะ”  คิมหันต์ที่ว่าจะเป็นคนตอบคำถามจึงบอกให้ภัคขึ้นไปเก็บของข้างบนก่อนแล้วเดี๋ยวตามไป

มีเหตุต้องปล่อยมือจากกันโดยไม่จำเป็นและแน่นอนว่ามินตราเห็นกิริยาอ้อยอิ่งที่ทั้งคู่มีต่อกันเต็มสองตา น้องชายตัวดีเคลื่อนไหวเชื่องช้าประหนึ่งไม่เต็มใจ ขนาดเดินขึ้นบันไดไปแล้วก็ยังไม่วายหันกลับมาส่งสายตาขณะที่นายตำรวจยิ้มกว้างพลางยืนโบกไม้โบกมือให้ หญิงสาวต้องนั่งมองชายคนรักเก่าแสดงอาการอินเลิฟอย่างออกนอกหน้าด้วยความปวดใจ แล้วกว่าจะเห็นหัวเธอได้ก็ตอนคนบนชั้นสองเดินนวยนาดเข้าห้องไปแล้วนั่นแหละ 

“ผมนึกว่าคุณจะไม่ห่วงลูกแล้วซะอีก” 

คิมหันต์เริ่มคุยกับมินตราสักทีหลังจากที่ปล่อยให้เธอไม่มีตัวตนอยู่ตั้งนานสองนาน      

“เคยอยู่ให้เกะกะสายตาทุกวัน พอหายไปแล้วมันไม่ชินน่ะค่ะ”

“แม้แต่ในเวลาอย่างนี้คุณก็ยังจะพูดถึงลูกแบบนี้เนี่ยนะ”  น้ำเสียงทุ้มต่ำถามด้วยความฉงน  “เวลาเก้าเดือนไม่ได้ทำให้คุณผูกพันกับลูกเลยหรือไง”  ก็แค่สงสัยไม่ใช่ว่ากำลังตำหนิ 

แต่หญิงสาวดันตีความไปอีกอย่าง  “งั้นคุณก็ลองตั้งท้องเองดูบ้างสิ จะได้รู้ว่าเวลาตลอดเก้าเดือนฉันรู้สึกยังไง” 
เธอประชดกลับด้วยเรื่องที่พวกผู้ชายไม่มีวันเข้าใจ ความทุกข์ทรมานเหล่านั้นที่พวกผู้ชายไม่มีวันได้สัมผัสเหมือนโทษทัณฑ์ เป็นต้นเหตุทำให้ผู้หญิงหลายคนมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดจนพานเกลียดชังลูกน้อยที่ทำให้เหมือนติดคุกนานนับปีและสุดท้ายแล้วก็ไม่อยากที่จะเอาใจใส่หรือร้ายแรงกว่านั้นก็คืออาจต้องการฆ่าลูกตัวเอง

“คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกอยากพาหนูดาออกไปจากที่นี่”

“แต่เด็กนั่นจะไปไหนไม่ได้ถ้าฉันไม่อนุญาต”

“ไม่อนุญาต…? ในเมื่อคุณไม่ต้องการลูกแล้วคุณจะเก็บแกไว้ทำไม”

“เป็นตัวประกันไงคะ”  พูดแค่ประโยคเดียวเกร็งว่าคนตรงหน้าจะไม่เข้าใจจึงขยายความให้เห็นถึงเจตนารมณ์  “ฉันไม่มีทางยอมให้ทุกคนหนีไปแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวแน่”

“ไม่มีใครคิดจะทิ้งคุณหรอก แต่คุณเองต่างหากที่กำลังผลักไสพวกเขาออกไปจากชีวิต” 

ฟังคำพูดหญิงสาวแล้วก็สลดใจทั้งรู้สึกเวทนาไปพร้อมกัน เกิดสงสารหญิงสาวที่ดูโดดเดี่ยวจนเสี้ยววินาทีนึงเผลอใจอ่อน คิมหันต์ย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะกุมมือขาวซีดไว้ ก็แค่อยากให้กำลังใจคนที่ความจริงมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้โดยที่ไม่รู้เลยว่าความใจดีกำลังจะย้อนกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง

“เรา…กลับมารักกันเหมือนเดิมได้ไหมคะคิม”  ยามมือใหญ่ทำท่าจะชักกลับ มินตรารีบคว้าหมับเข้าที่ข้อมือข้างนั้นและลองอ้อนวอน  “กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เรารักกันมาก ๆ ไง”  หญิงสาวช้อนนัยน์ตาเศร้ามองชายคนรักเก่าที่แทบจะแกะมือเธอออกในทันที

ยื้อกันไปยื้อกันมา อีกฝ่ายพยายามแกะแต่อีกคนก็ยอมละความตั้งใจง่าย ๆ

จนนายตำรวจยอมยกธงขาว สาวเจ้าจึงได้มีโอกาสจับมือใหญ่ต่อไป

“นี่คุณคิดจะทำให้ผมดูเป็นผู้ชายใจร้ายไปถึงไหน”  ใครมาเห็นเข้าก็คงเข้าใจไปว่าผู้ชายห่วย ๆ คนนึงกำลังปฏิเสธความรักจากหญิงสาวเพียงเพราะเธอพิกลพิการทางด้านร่างกาย คนเรามองกันแค่ภายนอก ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วผู้ชายห่วย ๆ คนนั้นอาจจะกำลังต้องเผชิญกับความพิการทางจิตใจของหญิงสาวด้วยอยู่ก็เป็นได้  “ผมให้คำตอบคุณไปชัดเจนแล้วนะ ทุกอย่างมันจบไปแล้วและผมก็ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีก”

“เพราะภัคใช่ไหม มันเป่าหูให้คุณเกลียดฉันใช่ไหม”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับภัคเลยนะ คุณทำตัวเองทั้งนั้นและตราบใดที่คุณยังเป็นอยู่แบบนี้ ผมไม่มีทางรักคุณลงหรอก”

“ไม่จริง ฉันรู้ว่าคุณยังรักฉัน”

“มินตรา”

“มองหน้าฉันแล้วบอกสิว่าคุณไม่รักฉันแล้ว” 

คิมหันต์มองหน้าหญิงสาวอย่างที่เธอขอให้ทำและทวนประโยคซ้ำอย่างช้า ๆ ชัด ๆ  “ผม-ไม่-รัก-คุณ-แล้ว” 

ราวกับนายตำรวจออกหมัด ซัดเธอจนหน้าหงายด้วยความเย็นชา  “ไม่จริง!”  มินตราที่ไม่ทันเตรียมใจกับความซื่อตรงหวีดร้องเสียงหลง สร้างความตกใจ  “คุณจะเอายังไงกับผมอีก ในเมื่อคุณบอกให้ผมทำ ผมก็ทำแล้วไง”

“ภัคมันมีดีตรงไหน ทำไมใคร ๆ ก็หลงมัน”

“หยุดลากภัคเข้ามาเกี่ยวสักที”

“ทำไม หวงมันนักเหรอ หรือว่าคิม…? คิมนอนกับมันแล้วใช่ไหม”

“มินตรา!”

“ฉันถามว่าใช่ไหม!”  หญิงสาวรบเร้าจะเอาคำตอบแล้วไม่ยอมรามือง่าย ๆ เขย่าแขนนายตำรวจพลางโวยวาย  “ถึงใจดีไหมล่ะ! กินของเหลือเดนต่อจากน้องชา…โอ้ยยย!” 

สุดท้ายความรำคาญชั่ววูบก่อเกิดเป็นเรียวแรงอันมหาศาล ตอนแรกคิมหันต์แค่จะสะบัดตัวออกเฉย ๆ ไม่เคยมีเจตนาจะทำให้หญิงสาวตกจากวีลแชร์ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็พยายามจะแก้ไข ก่อนภาพมินตรากระถดกายเข้าใกล้แล้วเกาะขาของตนไว้จะทำให้ชะงัก นายตำรวจกำลังประสบกับเหตุการณ์น่าลำบากใจ

หญิงสาวหยัดตัวขึ้นนั่งเพื่อกอดขาชายคนรักเก่าไว้ขณะปล่อยน้ำตาให้ไหล  “อย่าทิ้งฉันไป ฉันไม่เหลือใครแล้วนอกจากคุณ”  คำพูดน่าสงสารส่งเสริมให้บรรยากาศยิ่งอึดอัดและย่ำแย่ แม้จะดูน่าสมเพชสักแค่ไหน มินตราก็ไม่สน หากผลลัพธ์คือชายหนุ่มยอมใจอ่อน ต่อให้ต้องอ้อนวอนถึงขนาดกราบกรานก็พร้อมทำ

“พอเถอะมิน ผมขอล่ะ อย่าทำแบบนี้”  นายตำรวจมีสีหน้าเครียดจัดเพราะไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร ยามมืดแปดด้าน ตัวร้ายบอกให้สะบัดขาออกแรง ๆ แต่ตัวดีก็รีบแย้งว่าอีกคนเป็นผู้หญิงนะ จนเมื่อตัวร้ายกระซิบข้างหูอีกครั้งว่าไม่ว่าจะทำอะไรสุดท้ายก็ต้องถูกตราหน้าเป็นคนเลวอยู่ดี คิมหันต์จึงกลั้นใจ สะบัดขาออกแล้วก้าวเท้าหนี

เดินจากมาไกลเพื่อสร้างระยะห่าง แต่การกระทำแสนใจร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ทำมินตราล้มเลิกความตั้งใจ หญิงสาวค่อย ๆ เคลื่อนไหวร่างกาย อาศัยการถดตัวอย่างช้า ๆ ตะเกียดตะกายบนพื้นไปข้างหน้าทีละนิด หวังพิชิตเป้าหมายซึ่งเป็นปลายเท้าที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ความมุ่งมั่นของเธอช่างน่าเลื่อมใสแต่มันไม่ใช่เวลาที่นายตำรวจจะมายืนชื่นชม ต้องข่มอารมณ์สงสารไว้และพยายามทำใจแข็ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแสดงบทคนใจดำไปได้นานแค่ไหนและยิ่งไม่มั่นใจว่าจะทนมองได้อีกก็เมื่อตอนเห็นหญิงสาวหยุดหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า

มินตราหยุดพักกลางทางก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำตา รีบเงยหน้าด้วยความดีใจหลังจากเห็นว่าเท้าใหญ่ก้าวมาตรงมาและยิ้มหวานที่สุดเท่าที่ทำได้ให้นายตำรวจที่ก้มหน้ามองอยู่ก่อน

คิมหันต์ช้อนร่างเธอขึ้นจากพื้นและพากลับไปยังวีลแชร์โดยไม่พูดอะไร แต่เท่านี้หญิงสาวก็ดีใจมากจนไม่กล้าร้องขออะไรอีก มินตราฉีกยิ้มอย่างมีความสุขขณะเอาหน้าซุกกับบ่ากว้างที่แสนคิดถึง ระหว่างโอบแขนรอบลำคอแกร่งเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเป็นจังหวะเดียวกับที่สองพี่น้องได้มีโอกาสสบตากัน พี่สาวแสยะรอยยิ้มเย้ยหยันส่งให้น้องชายที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่บนชั้นสอง

ภัคจ้องหน้าตอบด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วค่อยเดินกลับเข้าห้องไปโดยปิดประตูไล่หลังเสียงดังอย่างที่คนด้านล่างต้องได้ยิน ร่างบางเดินกลับมานั่งที่ปลายเตียงอีกครั้งอย่างสงบ แต่ระหว่างลำเลียงของใช้ทุกอย่างเข้ากระเป๋าจะพบว่ามือเรียวนั้นกำลังสั่น ผลพวงจากการพยายามอดกลั้น สุดท้ายคนทนไม่ไหวคว้าหมอนมาปิดปากแล้วกรีดร้องอัดขณะร่างทั้งร่างสั่นด้วยความโกรธ จนกระทั่งหายอึดอัด เมื่อระบายความอัดอั้นสุดเสียงเสร็จก็ปล่อยหมอนตกลงบนตัก

เหลือแค่แววตาที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นกับน้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความอยากเอาคืน 

“อยากจะลองดีกับฉันนักใช่ไหมมินตรา… ได้ แล้วมาดูกันว่าใครจะชนะ”





มีต่อด้านล่าง...



หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๗) ๑๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 24-06-2018 20:59:00


คิมหันต์เสียเวลากับมินตราไปพอสมควรก่อนจะรีบด่วนจากมา เรียกได้ว่าเป็นการเดินหนีเพราะมีเรื่องสำคัญกว่าต้องจัดการ ขายาวก้าวข้ามขั้นบันไดด้วยอาการร้อนใจ พาตัวเองมาถึงที่หมายแต่กลายเป็นว่าเจ้าถิ่นไม่ต้อนรับ แค่หมุนลูกบิดและเปิดประตูเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงแรงดัน เนื่องจากคนอีกด้านกำลังยันบานประตูไว้สุดแรงด้วยสองฝ่ามือ

คนด้านในพยายามซื้อเวลาทั้งที่รู้ว่าเปล่าประโยชน์ แต่จนแล้วจนรอดก็ต้านไม่ไหว พละกำลังที่ผิดกันทำให้ร่างกายสูงใหญ่แทรกตัวผ่านบานประตูเข้ามาได้ในที่สุด แต่ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร หมอนใบใหญ่ก็กระแทกเข้าหน้าอย่างจัง ถือเป็นการทักทายจากคนหึงหวงจนหน้ามืด

ร่างบางยืนมองนายตำรวจตาแข็ง ช่วงนี้ภัคต้องรับภาระหลายอย่าง ไม่แปลกที่อารมณ์จะแปรปรวนไปบ้าง แถมกลับมาบ้านแทนที่จะได้พักสมอง แต่กลายเป็นว่าต้องมาเห็นภาพคนที่รับปากเสียดิบดีว่าจะดูแลดอดไปแทคแคร์พี่สาวจึงขาดสติเอาง่าย ๆ 

ใช่ว่าคนโดนงอนจะไม่พยายามทำความเข้าใจ ก็กำลังจะอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เพียงขอแค่โอกาสหรือช่วงเวลาสั้น ๆ แต่นอกจากจะไม่ยอมคุยกันให้ความจริงกระจ่าง ร่างบางกลับเดินมาตีอกชกต้นแขนหนาด้วยความโกรธเคือง ทำเรื่องราวชักบานปลาย คิมหันต์ต้องรีบรวบสองข้อมือเรียวไว้พลางผ่อนลมหายใจเข้าลึก ๆ 

“มีเหตุผลหน่อยสิคุณ”

“ทำไมผมต้องมีเหตุผลกับผู้ชายที่พยายามจะจับปลาสองมือด้วย”  ภัคสวนกลับทันควัน

เห็นมากับตาก็ว่าไปตามนั้นเสียงฉะฉานและแสดงอาการรังเกียจอย่างเปิดเผย ทั้งที่ก็เคยให้แตะเนื้อต้องตัวอยู่บ่อย ๆ แต่มาวันนี้พอไม่พอใจก็ถอยห่าง เหตุผลอีกอย่างเพราะไม่อยากคลุกคลี่กับผู้ชายที่มีกลิ่นพี่สาวติดตามตัว 

“ผมเปล่าจับปลาสองมือสักหน่อย”  นายตำรวจปฏิเสธเสียงแข็ง โต้แย้งข้อเท็จจริงด้วยเสียงจริงจัง  “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณออกมาเห็นตั้งแต่ตอนไหน ผมก็แค่ทนเห็นภาพมินตราตะเกียกตะกายบนพื้นไม่ได้ ผมแค่พยายามจะช่วยเธอ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น …ถ้าเป็นคุณ คุณจะยืนดูพี่สาวตัวเองทรมานแบบนั้นโดยที่ไม่ทำอะไรเลยหรือไง”

“ใช่”  ภัคยอมรับหน้าตายว่าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นและจะปล่อยให้พี่สาวผู้น่าสมเพชดิ้นรนจนหมดลมไปเอง  “ผู้ชายนี่โง่เหมือนกันหมด มารยาหญิงแค่นั้นก็ดูไม่ออก…”  ด้วยความเป็นน้อง ออกมาจากช่องคลอดเดียวกันย่อมรู้ดีกว่าใคร การแสดงแบบนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนจบเอกการละคร แค่ทำท่าทางอ่อนแอบวกกับความรู้เก่าที่ว่าผู้ชายล้วนแพ้น้ำตา ต่อให้เรียนจบคหกรรมมาก็ตีบทแตกได้เหมือนกันหมด ถ้าลองให้ร่างบางทำบ้าง ดีไม่ดีอาจมีคนทาบทามเข้าวงการก็ได้     

“คุณมาเป็นตำรวจได้ยังไง ในเมื่อคุณยังแยกไม่ออกเลยว่าอะไรคือความจริงอะไรคือการแสดง”  คำถามคลางแคลงใจไม่ได้ทำให้คิมหันต์อารมณ์คุกกรุ่นเท่าสายตาเยียดหยามที่มองมาและไม่ว่าอีกคนจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร เอาเป็นว่าคนฟังกำลังไม่พอใจมาก ๆ  สีหน้านายตำรวจชักดูไม่ค่อยสู้ดี น่ากลัวว่าจะมีการระเบิดลงในไม่ช้า     

“แล้วตอนทำงานคุณดูออกได้ยังไงว่าคนร้ายกำลังหลอกคุณอยู่หรือเปล่า”

“มันไม่เกี่ยวกันเลยนะ …ภัค”  ทุกคนมีขีดกำจัดมากน้อยแตกต่างกัน

สำหรับคิมหันต์ความอดทนแทบขาดสะบั้นนับตั้งแต่ตอนถูกด่าว่าโง่ครั้งแรกแล้ว     

“เกี่ยวสิ แล้วที่คุณยังดูไม่ออกสักทีว่าใครฆ่าเหมันต์ก็เพราะคุณมันโง่ไง”

ผู้ชายเกลียดที่สุดคือการโดนดูถูกซึ่ง ๆ หน้าและเกลียดรองลงมาก็คือเวลาคนพูดจาถากถางยังลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ร่างบางเหมือนเด็กที่กำลังเล่นหัวผู้ใหญ่และแน่นอนว่าจะไม่มีการปล่อยให้ลูบหัวเล่นเป็นหนที่สอง  “…หยุดพูดซะก่อนที่ผมจะหมดความอดทน”

แต่เวลาโดนเตือนครั้งแรกเด็กมักไม่เชื่อฟังและยิ่งอยากลองดีด้วยความคึกคะนอง

“ทำไม…? ผมจะพูดว่าคุณโง่อีกกี่ครั้งก็ได้ในเมื่อมันเป็นสิทธิของผม คุณมันโง่ คิมหันต์” 

เท้าใหญ่ก้าวถึงตัวคนวอนหาเรื่องทันที ปรี่เข้าคว้าปลายคางแล้วบีบอย่างแรงด้วยมือข้างเดียว
 
“อีกไม่นานคุณจะสำนึกได้เองว่าตัวเองนั่นแหละที่โง่ที่สุด…”  พอพูดประโยคปริศนาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเสร็จก็ผลักร่างบางกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว การใช้กำลังทำเอาภัคตกอยู่ในอาการช็อกและจ้องหน้าคิมหันต์ด้วยสายตาตกใจ แต่ขณะยกมือลูบคลำปลายคางที่ยังหลงเหลือความรวดร้าวไว้จาง ๆ อารมณ์กำลังตีกันจนแยกประเภทไม่ออก 

ได้แต่มองนายตำรวจถอดแจ็คเก็ตดำ ทำราวกับว่าทนอึดอัดมานาน พอหลุดจากตัวก็ปามันลงพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง มือใหญ่เสยผมไปข้างหลังอย่างลวก ๆ ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์เพราะกำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน ยากจะเก็บอาการ ความรู้สึกมันส่งผ่านสีหน้าออกมาหมด พอหัวเสียหนัก ๆ ก็ไม่อยากจะรักษาภาพพจน์คนดีอีกต่อไป 

“คุณถามผมใช่ไหมว่าตอนทำงานดูออกได้ยังไงว่าคนร้ายกำลังหลอกอยู่หรือเปล่า”  นายตำรวจย่างสามขุมเข้าหาภัคอีกหนแล้วเริ่มพูดในสิ่งที่ร่ำเรียนมา  “ตามทฤษฎีแล้วคนโกหกมักจะชอบหลบตา แต่ความจริงแล้วก็ใช่ว่าพวกจ้องหน้าเราตรง ๆ จะพูดความจริง …เหมือนที่คุณจ้องหน้าผมอยู่ไง”

คิมหันต์หยุดยืนถอดเสื้อกล้ามตรงหน้าร่างบางแล้วปาไปอีกทาง เผยร่างกายกำยำตามประสาคนใช้แรงงาน อวดมัดกล้ามตามท่อนแขนสองข้าง แผงอกกว้างที่อุดมไปด้วยเนื้อหนังอยู่เสมอสายตาร่างบางที่เผลอก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว   

“คุณ…พยายามจะพูดอะไรกันแน่”

“ไม่มีใครหลอกผมได้ ยกเว้นซะว่าผมจะยอมให้หลอก”  สองร่างต่างขนาดยืนชิดกัน ใกล้จนสามารถเห็นว่าซ่อนอะไรไว้ในแววตาชัด ๆ และภัคที่ไม่ปรารถนาให้ใครล่วงรู้ว่ากำลังกลัวก็รีบขยับตัวออกห่างพร้อมทั้งยกมือดันจนฝ่ามือได้สัมผัสกับกายร้อน   

“วันนี้ทั้งพี่คุณทั้งคุณทำผมเหนื่อยใจมากนะ”  คิมหันต์บ่นและแน่นอนว่าไม่มีใครอยากอยู่ทนฟัง โดยเฉพาะคนที่มีชนักติดหลัง หลุดปากด่าไปก่อนหน้านี้แล้วทำทีบ่ายเบี่ยงไม่ยอมกล่าวขอโทษ 

“ผมต้องรีบกลับไปโรงพยาบาล”  ร่างบางเกลียดสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังตกเป็นรองจนต้องรีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะหลุดพ้นจากบรรยากาศกระอักกระอ่วน แต่ก็ชวดคำว่าอิสรภาพไป เมื่อมือใหญ่แปรสภาพเป็นคีบเหล็กที่ล็อกแขนเล็กกว่าแล้วกระชากกลับมาอย่างรวดเร็ว 

“ด่าเสร็จแล้วก็ไปมันใช้ได้ที่ไหนล่ะ” 

“ปล่อย”  ภัคยืนบิดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมเป็นพัลวัน  “งั้นคุณต้องการอะไร คำขอโทษงั้นเหรอ…?”  ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ แล้วก็พูดให้ฟังอย่างที่หาความสำนึกผิดแทบไม่เจอ  “ขอโทษ พอใจหรือยัง…!”

เหมือนได้ยินเสียงฝางเส้นสุดท้ายขาดแว่ว ๆ แล้วก็เป็นเสียงบางอย่างกระทบกับเตียง 

นายตำรวจเหวี่ยงร่างบางลงกลางที่นอนจนตุ๊กตาที่อยู่แถวนั้นกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง ก่อนจะจับร่างข้างใต้ขึงพืชระหว่างขึ้นคร่อม ฉวยโอกาสหอมแก้มร่างข้างใต้แล้วค่อยให้คำตอบน้ำเสียงราบเรียบ  “ยัง…”

จนคนที่นอนเห็นความพ่ายแพ้อยู่ร่ำไรต้องงัดไม้อ่อนมาใช้อย่างจวนตัว  “หนูดารออยู่ ผมต้องกลับไปหาแก” 

“ก็ไปสิ”  พูดเหมือนยินยอมแต่ยังคร่อมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แถมเบียดร่างกายทับจนภัคขยับเขยื้อนแทบไม่ได้ ทุกส่วนกลายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ   

“เลิกเอาเรื่องลูกมาอ้างสักที มุกนี้มันใช้ไม่ได้ผลหรอก”

“เรียกลูกได้เต็มปากเต็มคำเลยนะ …คิมหันต์”  จงใจเรียกชื่อเต็มเพื่อเตือนความจำ อีกคนจะได้เลิกทำตัวเหมือนเป็นเหมันต์ซึ่งคือพ่อแท้ ๆ ของหนูดา  “ผมขอถอนคำพูดที่บอกว่าคุณแสดงละครได้ไม่เอาไหน คุณต้องรู้แน่ ๆ ว่าใครแสดงละครอยู่ เพราะคุณเองก็แสดงละครเก่งเหมือนกัน หลอกหลานผมว่าเป็นพ่อได้แนบเนียนดีนะ”

“แล้วรู้ไหมว่านอกจากบทพ่อแล้วฉันอยากเล่นบทอะไรอีก บทผัวนายไง” 

สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ประโยคยิ่งดูหยาบโลนโดยไม่ต้องพ่นคำหยาบสักคำ กระซิบประโยคจาบจวงเหนือกกหูร่างบาง หวังจะจูบปากแต่ภัคเอียงหน้าหลบ ไม่สมยอมง่าย ๆ จนทำให้คิมหันต์นึกย้อนไปถึงตอนจูบกันในรถที่เริ่มต้นด้วยการบังคับผ่านความรุนแรง  “สงสัยจะชอบแบบบังคับสินะ ฉันต้องตบนายด้วยไหมนายถึงจะมีอารมณ์” 

แล้วทันทีที่พูดจบก็เป็นนายตำรวจซะเองที่โดนตบจนหน้าหันไปด้านข้าง   

“โดนตบแล้วมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างไหมล่ะ” 

ภัครีบทวงถามความรู้สึก โดยไม่ได้สำนึกเลยว่าเพิ่งทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน 

ส่วนคิมหันต์กำลังหลับตาขณะเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม รู้สึกปวดแถบซีกหน้าด้านซ้ายและความเจ็บนั้นยิ่งสุมไฟในอกจนควันโขมงโฉงเฉง อาการหน้าเทาเข้าแทรกแทนที่ความรู้สึกเกรงอกเกรงใจ ชั่วครู่เดียวอสูรร้ายถือกำเนิดบนดิน มันผุดขึ้นมาจากนรกและคิดจะลากเหยื่อให้ตกลงไปตายตามกัน หรืออย่างน้อยก็ต้องทรมานมากกว่าสองสามเท่า

นายตำรวจประพฤติตัวก้าวร้าวผิดหูผิดตา กิริยาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เผยตัวตนป่าเถื่อนเมื่อถึงคราวเลือดขึ้นหน้า กระชากเสื้อคนนอนใต้ร่างจนผ้าแยกเป็นสองท่ามกลางการออกแรงขัดขืน ร่างบางรีบยกมือขึ้นปัดป้อง เตรียมจะกรีดร้องเสียงดังแต่ก็โดนมือใหญ่ตะครุบปาก ถึงจะกลายเป็นใบ้โดยสมบูรณ์แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดดีดดิ้น

ออกแรงสู้ไม่คิดดิ้นเร้า ๆ พยายามเบี่ยงช่วงตัวขาวโพลนหลบแต่ก็โดนจู่โจมเข้าที่ตำแหน่งหัวใจ ตุ่มไตบนหน้าอกซ้ายกลายเป็นของขบเคี้ยวเล่นถูกดูดดุนเหมือนเจลลี่และถูกบดบี้ซึ่งแทนที่จะยุบกับชูชัน คิมหันต์จงใจกลั้นแกล้งให้เจ็บปวด แล้วมันก็ได้ผลรวดเร็วทันตา ภัคที่เคยต่อต้านออกอาการชะงักงันและนอนครวญครางขณะคนบนตัวกำลังใช้มือข้างที่ถนัดถอดกางเกงท่ามกลางความชุลมุน 

คิมหันต์เอื้อมปลดปราการสุดท้ายของคนใต้ร่างจนมันเลื่อนตกไปค้างอยู่ที่ข้อเท้าขาว แววตาแข็งกร้าวไล่สำรวจความนวลเนียนใต้ร่มผ้า ไม่ได้ดูแค่ตามือยังต้อง ลองสัมผัสส่วนนั้นส่วนนี้ตามอำเภอใจ จนความกร้านบนฝ่ามือเป็นสาเหตุให้ร่างบางรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับจะเป็นไข้ ภัคพยายามหยัดกายขึ้นนั่งแต่ก็โดนผลักลงไปนอนหงายตามเก่า แล้วเริ่มกลับเข้าสู่กระบวนการอารยะขัดขืนอีกครั้งเมื่อนายตำรวจยังใช้กำลังข่มเหงประชาชนตาดำ ๆ พยายามก้มลงจูบริมฝีปากแดง ออกแรงบีบคางบังคับคนดื้อให้อ้าปากจนลิ้นสากได้หลุดลอดเข้าสู่ด้านใน   

ยามน้ำลายไหลเทรวมกัน ร่างบางเผลอตวัดลิ้นตอบตามสัญชาตญาณ ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองต้องต่อต้านยืนกรานว่าไม่ยอมรับ กำปั้นเล็กระดมทุบหัวไหล่หนาก่อนจังหวะการทุบจะช้าลงอย่างชัดเจนตอนที่จิตใจเริ่มเอนเอียงไปมา เข้าสู่สภาวะสับสน โดนรุกเร้าอย่างต่อเนื่องก็ชักหวั่นไหว แอบเผลอไผลไปกับรสจูบหนักหน่วง 

ภัคติดอยู่ในห้วงอารมณ์วาบหวามต้องจำนนต่อหลักฐาน ปฏิเสธกับใครก็ได้แต่ไม่ใช่กับหัวใจตัวเองแน่นอน ร่างบางเริ่มร้อนรนจนหายใจถี่ ยิ่งริมฝีปากร้อนไต่ลงจากปลายคางสู่ลำคอ แล้วต่อด้วยการซุกไซ้ ยิ่งทำให้นอนอยู่ไม่สุข ทุก ๆ ที่ที่เคลื่อนผ่าน คิมหันต์จะใช้ฟันขบบริเวณนั้นเพื่อทำสัญลักษณ์ สร้างรอยระหว่างคอยใช้มือบีบตามสีข้างจนคนนอนใต้ร่างท้องไส้ปั่นป่วน ท่ามกลางการนวดคลึงอย่างหนักมือ แขนหนึ่งก็เลื่อนโอบรอบหัวนายตำรวจที่มัวง่วนกับการตีตรา ขยุ้มผมเส้นแข็งออกแรงจิกอย่างลืมตัว คิมหันต์โงหัวขึ้นจากซอกคอขาวแล้วเลื่อนลงดูดเนิ่นนมที่รวบได้เป็นเต้าอย่างหื่นกระหาย ปลายลิ้นป้วนเปี้ยนอยู่แถวยอดอกละเลงลงบนนั้นอย่างแม่นยำ สร้างความเสียวซ่านและลดระดับความต่อต้านให้เหลือเป็นศูนย์ ภัคหยุดดิ้นรนนานแล้วและแววตาก็หลงเหลือความพยศ

ร่างบางรอจนมั่นใจว่านายตำรวจกำลังเผลอไผล ผลักไหล่อย่างแรง แต่อิสรภาพก็แลกมาด้วยการถูกจับกุม วิ่งหนีไม่พ้นเตียงก็ถูกจับทุ่มกับที่นอนก่อนจะตามด้วยการใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว คิมหันต์นั่งทับเอวคอดตอนปลดกางเกงตัวเองอย่างว่องไว ถอดชั้นในแล้วคร่อมขาเหนือใบหน้าภัคและง้างปากแดง ๆ ด้วยการแยงแก่นกายเข้าไปจนมิดด้าม

เป็นเหตุให้ภัคนอนสำลักและรีบสะบัดหน้าไปอีกทาง กระทั่งถูกดึงให้ลุกขึ้นนั่งและมีร่างสูงใหญ่ยืนค้ำ ขณะมือใหญ่จับแก่นกายยัดใส่โพรงปากอุ่นแล้วชักดุ้นเข้าชักออกมืออีกข้างก็ล็อกหัวกลมไว้ยึดให้อยู่กับที่ ยังดีที่ให้ร่างบางได้พักหายใจหายคอบ้าง รีบชักท่อนเนื้อออกแก้มที่ป่องจึงตอบ ร่างบางรีบกอบโกยอากาศเข้าปอดพอดีกับการสอดใส่ครั้งใหม่ 

นายตำรวจสาวแก่นกายด้วยมือไปพลางระหว่างใช้ขอบปากร่างบางรูดไปด้วย มันช่วยทำให้หลั่งคาปากที่อมไว้ ภัคไม่ทันได้ถอยท้ายทอยก็ถูกดันให้เผชิญกับแรงอัดฉีดและเผลอกลืนกินของเหลวบางส่วนเข้าไป คายส่วนที่เหลือลงเตียง

คราวนี้แค่เพียงแก่นกายเคลื่อนเข้าใกล้อีกครั้ง อย่างกับถูกดูดด้วยแม่เหล็ก อ้าปากไปเองโดยอัตโนมัติ เลียไอ้นั้นอย่างเอร็ดอร่อยปล่อยตัวตามสบาย บ่มแก่นกายด้วยอุณหภูมิพอเหมาะแล้วก็ดูดซ้ำ ๆ ย้ำลงไปจนเกิดเสียงดัง จนสันกรามนายตำรวจขึ้นชัดเพราะกำลังกัดฟันกรอด รีบถอนน้องชายเพื่อที่จะปลดปล่อยบนลิ้นที่แลบออกมาแต่โดยดี

ถึงทีสิ้นลายแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งท่าทีอิดออดเล็ก ๆ ระหว่างอ้อยอิ่งนั่งนิ่งเหมือนไม่ประสา แต่จากลีลาการใช้ปากการันตีได้ว่าเชี่ยวชาญพอตัวเสมือนเคยผ่านการมีผัวมาก่อน ภัคถูกผลักลงนอนหงายอย่างแรง ขาแยกไปคนละทิศคนละทางก่อนจะครางเสียงหลงยกมือปิดปากตอนบริเวณหว่างขาถูกรุกร่ำ ต้องรองรับความใหญ่ยาวที่ดันเข้ารวดเดียว ก่อกำเนิดความเสียวซ่านนอนสะท้านอกแอ่น ร่างกายสั่นระริกตอนที่อีกคนถอนแก่นกายออกจากช่องแคบจนสุดแล้วรุดเข้ามาใหม่ 

ตอนแรกก็หยิบยื่นจังหวะให้อย่างเนิบนาบระหว่างจับหัวเข่าไว้ ลวงหลอกว่าจะไม่รีบร้อน แต่แล้วก็ล็อกเอวคอดก่อนจะรั้งร่างเข้ามารับแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง ทำรุนแรงราวกับโกรธเคืองกันมาแต่ชาติปางก่อน ขนาดภัคพยายามอ้อนวอนเสียงกระเส่า ท่อนเอ็นก็ยังเสือกเข้าออกอย่างหนักหน่วง ทะลวงความฝืดเคืองย่อยยับ นายตำรวจไม่ได้ปรานีปราสัย แผ่นหลังขาวเนียนเสียดสีกับผ้าปูไม่หยุด จนหัวตกจากหมอนที่ใช้หนุนก็แล้ว คิมหันต์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเลิกคลั่งเพราะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามาสักพัก ช่างเป็นโชคร้ายหรืออาจกลายเป็นโชคดีของภัคที่ยังร้องเจียนขาดใจตาย เหมือนต้องการให้มันดังคับบ้าน

ยิ่งใกล้ถึงเป้าหมาย สะโพกสอบยิ่งเคลื่อนไม่บั้นยะบั้นยัง รวบสองแขนขาวไว้แล้วแรงเขยื้อนก็ทำให้เกิดเสียงกุญแจมือกระทบกันอยู่ตลอดสอดผสานไปกับเสียงสปริงของเตียงนอน คิมหันต์ยึดสะโพกผายก่อนจะสวนอวัยวะเพศเข้าออกตรงช่องทางร้อนถี่ ๆ ภายในหนึ่งนาทีแก่นกายขูดผนังอ่อนถลอกไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพราะกำลังทำเวลา

นายตำรวจหน้านิ่วคิ้วขมวดซูดปากเพราะจวนจะถึงปลายทางอีกรอบ เสียงหอบหายใจดังระงมผสมกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังอืออึงพอกัน ขนาดเม้มปากเสียงร้องอืออ้าก็ยังเล็ดลอดออกมาประจานความน่าเกลียดของตัวเอง ภัคสั่นเทิมไปทั้งตัวหัวสั่นหัวคลอนเพราะความเร่งรีบ ไหนจะโดนความอึดอัดบีบคั่น ท้ายที่สุดก็หลั่งน้ำรักราดรดท้องน้อยตัวเอง

ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมาคิมหันต์ก็กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง ระหว่างคำรามเรียกชื่อร่างบางด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก็ปลดปล่อยทะลักทะลาย แช่แก่นกายคาไว้แล้วกระแทกอีกสองสามครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าฝังน้ำเชื้อลึกสุดแล้วหยุดพักหายใจ ระหว่างนั้นก็เขยื้อนกายอย่างช้า ๆ ทำท่าจะต่อยกสอง น้ำสีขาวข้นกระฉอกเมื่อท่อนเนื้อเสือกออกแล้วดันกลับเข้าไปใหม่

เซ็กส์ร้อนแรงวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งหลังจากที่เห็นพ้องต้องกันผ่านการสบตา ทั้งคู่เลือกจะสนทนาด้วยภาษากายต่อ โดยลืมไปเลยว่ามีใครนอนรออยู่ที่โรงพยาบาล พอขาดความยับยั้งชั่งใจผู้ใหญ่ก็เลิกคิดถึงเด็กหญิงไปชั่วขณะ คิดแต่ว่าจะกอบโกยความสุขตรงหน้าอย่างไร ขอเห็นแก่ตัวและหาความบันเทิงเริงรมย์ใส่ตัวเองก่อน

หลายสิบนาทีผ่านไปก็ยังได้ยินเสียงยวบยาบของที่นอน รวมถึงเสียงกระท่อนกระแท่น น้าชายผู้แสนอ่อนโยนของหนูดาเผชิญหน้ากับตุ๊กตาตัวโปรดของหลานสาวในท่วงท่าสัตว์สี่ขา หมาตัวเมียถูกคร่อมยอมให้หมาตัวผู้ขึ้นขี่ คุณพ่อผู้แสนใจดีของเด็กหญิงกำลังทำในสิ่งที่เรียกว่าสั่งสอน ใช้มือตบก้นงอนแล้วเอาท่อนเนื้อฟาดบั้นท้าย ก่อนจะยัดไอ้นั้นกลับเข้าในช่องทางชื้นแฉะและก็เป็นอีหรอบเดิม เริ่มเคลื่อนไหวอย่างหนักแน่นจนก้นที่แอ่นสู้แทบต้านทานไม่ไหว แทบนอนราบไปกับเตียงที่เละเทะ ตุ๊กตาที่เคยวางระเกะระกะก็กระจัดกระจายไปทั่วห้อง 

ยามอีกคนเรียกหา ภัคแค่เอี้ยวหน้ามองนัยน์ตาทั้งสองข้างหยาดเยิ้ม เริ่มไร้สติสัมปชัญญะเข้าไปทุกขณะและสายตาฝ้าฟางถึงขนาดหลุดปากพึมพำบางคำซึ่งทำให้นายตำรวจชะงักสะโพกกลางคันเปลี่ยนมากระแทกอัดด้วยความฉุนเฉียว โดยที่ร่างบางก็ไม่ได้เฉลียวใจกับจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นและยังยื่นแขนที่ไร้พันธนาการแล้วให้คนด้านหลังจับ ยอมรับการพิพากษาโดยดุษฎี เด็กไม่ดีก็ควรถูกลงโทษ ปล่อยให้อีกคนเหยียดหยามศักดิ์ศรีด้วยการแตกใส่หน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายคลานเข้าหาคว้าแก่นกายเปียกชุ่มมาอม ไม่ได้ดูเลยว่าเจ้าของมันอยู่ในอารมณ์ไหน แต่คิมหันต์ก็ยอมให้ทำความสะอาดจนเสร็จ

สายตาเย็นชาหลุบมองดวงหน้าแดงก่ำ ก่อนจะแย้มยิ้มเมื่อคนนอนหมดสภาพช้อนนัยน์ตาฉ่ำน้ำมอง สุดท้ายภัคก็สิ้นฤทธิ์คาอ้อมกอดของนายตำรวจที่ยังตาแข็ง ขณะเท้าศอกกับหมอน คิมหันต์นอนตะแคงข้างเพื่อเฝ้ามองร่างบางหลับใหล ขยับตัวเล็กน้อยภายใต้ผ้าห่มสีขาวที่ยับย่นจนดูราวกับกลุ่มก้อนเมฆในท้องนภา

ดูเหมือนได้เสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่จากสีหน้าคิมหันต์แล้วเหมือนคนตกนรก

ตกอยู่ในภวังค์หลังนึกย้อนไปถึงตอนมีอะไรกัน


‘…พี่ …เหม’


ภัคเรียกชื่อเหมันต์คนน้องในขณะที่ร่วมรักอย่างออกรสกับคิมหันต์คนพี่ 












------------------------------
ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 24-06-2018 22:56:22
 :pighaun: :pighaun:
อ่านจบแล้วก้ได้แต่ร้อง อู้หูวววววว
แสดงธาตุแท้ออกมากันหมดแล้ว
กลายเปนว่าหลอกกันไปหลอกกันมา
แบบนี้ค่อยสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย
ไม่ต้องมาแสดงละครใส่หน้ากากใส่กันแล้ว

ตอนนี้แซ่บมาก พริก10เม็ดเลยค่ะคุณตุ๊กติ๊ก
ชอบการใช้คำเวลาบรรยายบทอัศจรรย์มาก
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-06-2018 23:46:31
อื้อหืออออ ชื่อเรื่องกับเนื้อหานี่ไปคนละทางกันแบบจริงจัง ตอนแรกนึกว่าจะแนวย้อนยุคซะอีกไม่คิดเลยว่าจะเป็นแนวสืบสวนแบบนี้ แถมปมยังเยอะชวนให้สงสัยทุกคนเลยจริงๆ พฤติกรรมของทุกตัวละครคือสามารถเป็นคนร้ายได้หมดเลยอะ โดนเฉพาะกับภัคคือจากบทนำคนเขียนปูมาให้สงสัยภัคมากจริงๆ ไหนจะพฤติกรรมเก็บกดที่ไม่แสดงออกมารวมทั้งความหลอกตาอะไรอีกมากมาย ซึ่งเราก็คิดว่าเป็นภัคจริงๆนะ แต่พอมาถึงตอนล่าสุดนี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วการที่ภัคเรียกชื่อเหมมันบอกได้นิดๆว่าภัคไม่ได้เกลียดเหมจนถึงกับต้องฆ่านะ และคิดว่าภัคกับเหมก็คงเล่นชู้กันด้วยนั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะภัคโหยหาความรักบวกกับต้องการเอาคืนพี่สาวด้วยรึเปล่าเลยทำแบบนี้ ส่วนคิมหันต์นี่ถึงจะเป็นตำรวจแต่เราก็ยังไม่ไว้ใจนะยิ่งมาปลดปล่อยอารมณ์ดิบช่วงท้ายๆด้วยแล้วถ้าเปิดมาว่าเป็นคนร้ายนี่จะพีคมากอะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-06-2018 23:51:32
ตอนแรกไม่ชัวร์ว่าเคยได้กะคนน้องไหม อ่านบรรทัดสุดท้ายของจริงก็มาค่ะ อารมณ์รุนแรงทั้งคู่ ศีลเสมอกันสุดๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 24-06-2018 23:59:54
เราว่าแล้ววว ต้องเคยเป็นชู้กับคนน้องแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-06-2018 00:51:19
 :katai1:


แอร้ยยยยย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 25-06-2018 12:59:16
 o22

อูยยยยยย ... สรุปยังไง ยังไง?

ภัคเป็นชู้กับพี่เขย ... พี่สาวเลยเกลียด

ธันวาแอบรักภัค ... ธันวาหึงภัค ก็อาจจะเป็นคนฆ่าเหม

คิมหันต์ ... อาจจะมีปมบางอย่าง ... แวะมาแอบฆ่าเหม
(เพราะเหมือนอ่านเจอว่า ลูกสาวเห็นพ่อ (ที่อาจจะเป็นแฝด) ยืนอยู่นอกบ้านในคืนที่พ่อตาย)

ภัค .. ถ้ายังเผลอเอ่ยชื่อ ก็ไม่น่าเป็นคนทำ
แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะดูท่าทางฮีจะไม่เบานะเนี่ย

โอ๊ยยยยยย ตายแน่ คิดไม่ออก
คนเขียนรีบมาบอกหน่อยน้าาาาาาาาา
จะยืนรอที่ท่าน้ำทุกวันเลย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 25-06-2018 20:03:42
๑๐





ในวันที่มีเมฆมาก สันนิฐานว่าอีกไม่นานนักฝนคงตก

เท้าเปล่าคู่หนึ่งย่ำลงบนดินและทิ้งรอยเท้าไว้อย่างไม่สม่ำเสมอ ทั้งขาดช่วง เว้นระยะ แลดูสับสนเนื่องจากไม่รู้ว่าที่นี่คือแห่งหนใด ร่างบางที่ไม่เข้าใจแม้กระทั่งว่าตัวเองมาเดินอยู่กลางป่าทึบนี้ได้อย่างไรพยายามกวาดสายตาหาตัวช่วยชี้เบาะแส ขอแค่ป้ายบอกทางเล็ก ๆ ก็ยังดี แต่กลับไม่พบอะไรเลยนอกจากความเขียวขจี มีแค่ต้นไม้ใหญ่ไล่เฉดสีจากเข้มไปอ่อนยืนซ้อนต้นกับเสียงใบไม้เขยื้อนตามแรงลมที่ฟังดูแล้วโหยหวน ชวนให้ขนลุกพิกล   

ท่ามกลางความสงบ มีลมพัดเอื่อย ๆ ก็มีคนเสียงคนเรียกให้ช่วย  ‘ช่วยด้วย!’

   น้ำเสียงปริศนาลอยมาจากที่ไกล ๆ และเรียกให้หันมองในทันที คนหลงทางแสดงสีหน้าลังเลว่าจะทำอย่างไรหลังจากที่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ  ‘ช่วยผมด้วย!’  จนเมื่อตระหนักได้ว่าเจ้าของเสียงแว่วนั้นอาจเป็นคนเดียวที่สามารถพาออกไปจากป่านี้ได้ จากที่หยุดยืนจึงเปลี่ยนใจเป็นออกวิ่งและสิ่งเดียวที่คอยนำทางก็คือเสียงร้องให้ช่วย

   แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ใช่สั้น ๆ กลายเป็นว่าสองขาวิ่งมาไม่ทันเวลาแถมต้องประสบกับภาพน่าสยดสยอง ทำได้แค่ยืนเงยหน้ามองวาระสุดท้ายของเด็กชายตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความทรมานก่อนจะแน่นิ่งในที่สุด ร่างเล็กหยุดดิ้นทั้งสภาพลิ้นจุกปากและห้อยเคว้งคว้างกลางอากาศไปมาขณะมีเชือกรัดลำคอ ชีวิตต้องจบลงเพราะมีคนใจยักษ์ใจมารต้องการกำจัด

จับมาประหารด้วยการแขวนคอโดยเชือกที่ผูกไว้กับกิ่งไม้ที่พอจะรับน้ำหนัก แต่ก็ช่างเหมือนสวรรค์แกล้ง อย่างกับกลัวว่าคนตกตะลึงจะเห็นการแสดงสดเมื่อกี้ไม่ชัด จู่ ๆ กิ่งไม้ก็เกิดเปราะแต่ไม่ถึงกับหัก เพียงแต่โน้มลงมาพานพาให้ร่างเด็กชายหย่อนลงต่ำจนเผชิญหน้ากับร่างบางที่ยกมือปิดปากด้วยความตกใจ ได้เห็นสภาพศพใกล้ ๆ ของที่กินเข้าไปแทบสำลอกออก ช็อกเกินกว่าจะเดินถอยหลังและยิ่งเบิกตากว้างเข้าไปใหญ่ตอนเห็นว่าริมฝีปากคล้ำของคนที่ตายไปแล้วขยับถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย  ‘คุณฆ่าผมทำไม’ 

เด็กชายผู้ตายตาไม่หลับจ้องอย่างกับจะกล่าวโทษ ส่วนคนไม่ผิดก็รีบส่ายหน้าเป็นพัลวันและละล่ำละลักปฏิเสธ  ‘ฉะ …ฉันเปล่า’  เป็นแค่คน ๆ หนึ่งที่มีเจตนาดีมาช่วยและแม้ว่าจะทำอะไรชักช้าไม่ทันการ แต่ความผิดมันก็ไม่น่าร้ายแรงถึงขนาดต้องโดนปักปำว่าเป็นฆาตกร

ถึงจะยืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้ทำ แต่คำถามเดิม ๆ ก็ยังตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเริ่มรบเร้าเหมือนจะเอาคำตอบเดี๋ยวนั้น จาก ‘ฆ่าผมทำไม’  กลายเป็น  ‘นายฆ่าฉันทำไม’  สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นและแสนสงสัยเจือปนอยู่น้ำเสียงกระด้างก่อนที่ใบหน้าของคนบางคนจะซ้อนทับกับใบหน้าเด็กชายนิรนาม  ‘ฆ่าฉันทำไมภัค’

ตอนแรกนึกว่าหูฝาดแต่พอเพ่งสายตามองชัด ๆ ร่างบางยิ่งออกอาการลนลาน ตัวสั่นงันงก รีบยกมือยกไม้โบกไปมาระหว่างก้าวสองขาถอยหลัง  ‘ฉะ …ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ตั้งใจ…’

ทั้งที่เป็นฝ่ายถอยออกมา แต่ภาพตรงหน้าที่ควรจะมีขนาดเล็กลงกลับขยายใหญ่ขึ้น ร่างสูงใหญ่ที่มีผ้าพันรอบคอไว้คล้ายกับเป็นโซ่ตรวนจองจำหยุดยืนค้ำหัวคนที่สะดุดขาตัวเองจนล้ม มองร่างบางพนมมือขอโทษด้วยความหวาดกลัวและกรีดร้องราวกับคนเสียสติ ยังไม่มีใครทันทำอะไร แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้ถึงได้ร้อนรน คิดถึงขนาดที่ว่าอีกคนจะกลับมาเอาชีวิตจากปรโลก จึงยกมือไหว้งก ๆ เพื่อหวังให้อภัยกัน  ‘ฉะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ...’

‘ฉันไม่ได้ตั้งใจ’ 

‘ไม่ได้ตั้งใจ… ฉะ’


“ฉันไม่ได้ตั้งใจ…!!” 

ราวกับมีมือปริศนาช่วยกระชากผมออกจากฝันร้าย ภัคสะดุ้งตกใจตื่นทั้งสภาพใบหน้าซีดเผือด ภาพผู้ชายในฝันตาเหลือกตาปลิ้นยังติดตาทำเอาหวาดผวาถึงโลกปัจจุบัน แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นเหมือนฝันซ้อนฝันอีกที เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของผีสางจึงกระวีกระวายงัดท่อนแขนหนาออกจากร่างกาย

ปล่อยให้ความกลัวครอบงำชั่วครู่ แล้วค่อยรู้สึกได้ว่าผิวหนังที่สัมผัสมันอุ่นร้อน ไม่ใช่เหมันต์ แต่เป็นคิมหันต์ที่นอนกกกอดตัวเองเสียแน่น ร่างบางแหงนหน้ามองแฝดพี่ที่หน้าพิมพ์เดียวกับน้องชายผู้ล่วงลับท่ามกลางความมืดแล้วยื่นมือจับซีกแก้มแผ่วเบา ค่อย ๆ รับรู้ว่าอีกคนเป็นมนุษย์ผ่านลมหายใจที่ยังผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ

ก่อนมือเรียวจะชักกลับหลังเผลอทำรุ่มร่ามมากไปจนนายตำรวจขยับตัวและคลายวงแขน ภัคจึงได้จังหวะพลิกตัวหันออกด้านนอกและกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมภายในห้องพักโรงพยาบาลโดยอาศัยแสงจากดวงจันทร์ น้าชายนอนมองหลานสาวที่หลับสนิทอยู่บนเตียงเหล็กจากโซฟาและช่วงเวลาเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหมอนข้างอย่างดี แขนขาววางทับกับท่อนแขนหนาที่เลื่อนมาโอบรอบเอวอย่างหวงแหน 

คิมหันต์พลิกตัวนอนตะแคงข้าง เบียดร่างกายกับแผ่นหลังบางพลางสวมกอดไว้ แม้ยามหลับก็ยังทำให้ประชาชนอุ่นใจ คอยประคองไม่ให้ตกจากเบาะหนังที่แน่นอนว่าทั้งเล็กและคับแคบ แถมไม่เหมาะกับการใช้นอนสำหรับผู้ใหญ่สองคน แต่เพื่อเด็กหญิงทั้งคู่จึงยอมทน ไม่ปริปากบ่นสักคำ ละทิ้งความสบายส่วนตนเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันในค่ำคืนไร้ดาว

คำว่าครอบครัวคือการที่จะไม่ปล่อยให้ใครสักคนนอนหนาวเพียงลำพังและถึงจะไม่ได้กอดร่างของหลานสาวไว้แต่ภัคก็มั่นใจว่าไม่ได้ลืมห่มผ้าให้หลาย ๆ ชั้นเพราะรู้ว่ากลางดึกสะงัดอากาศจะยิ่งเย็นเป็นเท่าตัว กลัวก็แต่เด็กหญิงจะฝันร้ายเพราะต้องนอนในสถานที่ที่เต็มไปด้วยการเวียนว่ายตายเกิด แต่เท่าที่เฝ้าสังเกตมาสักพักทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี พอหมดเรื่องกังวล ความง่วงก็เข้ามาทักทายร่างบางอีกครั้ง

หนังตาหนักอย่างกับมีหินถ่วง ร่างกายกำลังจะล่วงเข้าสู่สภาวะจำศีลแต่ขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นก็ดันได้ยินเสียงพึมพำ บนเตียงเหล็ก เด็กหญิงกำลังละเมอเพ้อพก น้าชายทันลืมตาเห็นหนูดาโบกมือไหว ๆ ในอากาศ เป็นท่วงท่าปัดป้องที่ไม่ว่าวัยไหนก็ต้องเคยใช้ในยามที่ไม่อยากให้ใครบางคนทำอะไรกับเราและภัคก็เข้าใจว่า ‘ใครบางคน’ ของเด็กหญิงคือมารดา     

“อย่าทำหนู  …แม่จ๋า อย่า”  ถึงน้ำเสียงจะเบาและสะอึกไห้แค่ไหนก็ไม่ยากต่อการจับใจความ ร่างบางนอนฟังประโยคเดิมซ้ำ ๆ จนทนทำตัวใจเย็นไม่ไหว เกือบจะลุกขึ้นนั่งหรือปลุกคนข้างกายให้ตื่นมาช่วยกันดูอยู่แล้วถ้าไม่เผอิญว่าเด็กหญิงหยุดละเมอไปเสียก่อน

หนูดาหลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและทิ้งให้น้าชายนอนตาค้างทั้งคืนด้วยความสับสน ใช้เวลาแต่ละนาทีไปกับการคิดหาคำตอบจากโจทย์ที่ว่าคนเป็นแม่เคยทำอะไรลูกน้อยและหนึ่งในช้อยส์ตัวเลือกทั้งสี่แน่นอนว่าก็มีประเด็นเรื่องผลักตกบันได นี่ฉันมองข้ามความร้ายกาจของผู้หญิงคนนี้ไปได้ยังไงนะ





มีต่อด้านล่าง...




   
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๘) ๒๔.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 25-06-2018 20:11:30

ข่าวดีในช่วงสายของวันหลังจากที่หมอเข้ามาตรวจอาการก็คืออนุญาตให้หนูดากลับบ้านได้ สามารถกลับไปพักตามอัธยาศัยภายใต้คำเตือนไม่มีข้อ หนึ่งอย่าลืมทานยาตามที่หมอสั่ง สองอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังค่อยกลับมาดูเฝือกที่บริเวณแขนและสามถ้าหากระหว่างนี้เกิดอะไรที่ดูผิดสังเกตไปก็ให้ญาติรีบพาตัวเด็กหญิงมาโรงพยาบาล

น้ำเสียงใจดีของคุณหมอกำชับว่าสภาพจิตใจเป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กับบาดแผลนอกกายและใช่ว่าทุกคนจะจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นได้อย่างเด็ดขาด อาจต้องเฝ้าดูกันไปสักระยะและระวังอย่าให้อยู่คนเดียวแถวบันไดเจ้าปัญหา ซึ่งคนเป็นน้าชายก็พยักหน้ารับทุกคำแนะนำและให้คำสัตย์ว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ก่อนนายตำรวจจะเดินออกไปพร้อมกับหมอและพยาบาล ตามไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย ไหนจะเรื่องหยูกยา เสียงทุ้มต่ำบอกแค่ว่าจะรีบกลับมา ระหว่างที่รอภัคจึงจับเด็กหญิงเปลี่ยนชุดซะใหม่ ช่วยแต่งตัวโดยระวังไม่ให้กระทบกระเทือนแขนซ้ายแล้วถึงได้ยินเสียงขอบคุณเบา ๆ หลานสาวยังทำตัวน่ารักเสมอต้นเสมอปลายจนคนช่วยมัดโบหนีไปไหนไม่รอด

ถึงจะไม่อ้อนมากเหมือนเก่า แต่เท่านี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เชื่อว่าถ้าให้เวลาอีกสักนิด เด็กหญิงผู้มีจิตใจอ่อนโยนจะกลับมาร่าเริงดังเดิมอย่างแน่นอน กลับมาเป็นหนูดาที่ช่างฉอเลาะ เอาอกเอาใจ สักวันต้องหายจากอาการเหี่ยวเฉาและเซื่องซึม รวมถึงลืมเรื่องราวเลวร้ายที่ไม่ควรค่าต่อการจดจำ เรื่องสับปะรังเคในบ้านหลังนั้นด้วย

ขณะที่กำลังกับเก็บสัมภาระใส่กระเป๋า น้าชายก็เหลือบมองหลานสาว เห็นนั่งกอดตุ๊กตาอยู่เฉย ๆ เลยถามว่าอยากมาช่วยกันจัดของไหม แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเบา ๆ พอเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากจะรบเร้าและปล่อยให้นั่งรอเงียบ ๆ ต่อไปตามเดิม

“น้าภัค …”  แต่จู่ ๆ คนอายุน้อยกว่าก็เริ่มส่งเสียงและสร้างความประหลาดใจให้น้าชายกับคำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในช่วงเวลาแบบนี้ ช่วงเวลาที่ช่างเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน  “น้าภัค ทำไมคุณแม่ถึงไม่เดินเหมือนหนูล่ะ…” 

คนรู้คำตอบดีชะงักและวางมือจากงานที่ทำในทันทีทันใด  “คุณแม่ป่วยค่ะ เลยต้องนั่งรถเข็น”  ภัคอธิบายในขณะหย่อนก้นลงนั่งข้าง ๆ บนเตียงเหล็กมีที่ว่างเยอะแยะ  “ทำไมหนูถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาอีกล่ะ”  จำได้ว่าหนูดาเคยถาม แล้วก็ให้คำตอบไปแล้วเมื่อนานมาก่อน  การย้อนกลับมาถามใหม่เพราะความใคร่รู้ของเด็กหญิงทำให้ยิ่งมั่นใจในบางอย่าง แต่ร่างบางไม่อยากคาดคั้น อยากให้เป็นการสมัครใจที่จะเล่าออกมาเองมากกว่า  “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

หนูดาเอาแต่ส่ายหน้าจนหวั่นใจว่าจะติดเป็นนิสัยเข้าสักวัน อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือว่าถ้าได้ลองลิ้มรสชาติของการโกหกครั้งแรกแล้วก็ย่อมต้องมีครั้งต่อไป หลานสาวหลบสายตาทันทีที่น้าชายจ้องหน้า เด็กตัวเล็กแค่นี้หัดเรียนรู้ที่จะมีความลับกับผู้ใหญ่ แล้วภัคก็ไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ไหน ๆ ก็ได้โอกาสอยู่กันตามลำพังแล้ว 

“หนูดาเล่าให้น้าภัคฟังได้ไหมคะว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”  ยื่นมือแตะเฝือกที่แขนเล็กแผ่วเบาเพื่อบอกเป็นนัย ๆ ว่าวันนั้นที่หมายถึงคือวันไหน ก่อนจะนั่งคอยอย่างใจเย็นพอจนสามารถรอคำตอบได้ทั้งวัน 

“หนู… ตกบันได”  เสียงนั้นเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน   

“ตกเองเหรอคะ”   

เด็กหญิงพยักหน้าน้อย ๆ แม้จะได้รับการยืนยันแล้วแต่ร่างบางก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ท่าทางการตอบคำถามอันไร้ความหนักแน่นนั้นทำให้ต้องงัดเรื่องคำมั่นสัญญาขึ้นมาพูด  “หนูดาจำที่เราเคยสัญญากันไว้ได้ไหมคะ …ที่ว่าเราจะไม่มีความลับต่อกัน” 

หลานสาวเงยหน้ามองน้าชายด้วยนัยน์ตาหวั่น ๆ  “วันนั้นหนูดาตกลงไปเองหรือมีใครผลักหรือเปล่าคะ”  น้ำเสียงอ่อนโยนถามช้า ๆ ชัด ๆ พร้อมทั้งให้คำสัตย์ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวที่ได้รู้  “หนูไม่ต้องกลัวนะ แค่บอกความจริงมาแล้วน้าภัคสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”  พูดจนขนาดนี้แล้วแต่กลายเป็นว่าร่างเล็กยังเอาแต่เงียบ  “หนูดา …”

“โทษทีที่ช้า พอดี …มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”  คิมหันต์เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาพร้อมคำอธิบายที่หายไป ก่อนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุ ลูกสาวนั่งทำหน้าเศร้าเหมือนโดนดุ ส่วนผู้ใหญ่ข้าง ๆ ก็นั่งทำสีหน้าเรียบเฉย

นายตำรวจยืนรอคำเฉลยจนขาแข็งแต่ภัคก็แค่ถอนหายใจแล้วบอกปัด  “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

ที่สุดแล้วหนูดาก็ไม่ได้บอกความจริงอันชวนน่าตกใจที่ว่า …มีใครบางคนผลักตกลงบันได เพราะเด็กหญิงรักคน ๆ นั้นโดยไม่มีเงื่อนไขและกลัวแค่ว่าถ้าพูดไป แม่จะถูกตำรวจจับอย่างที่น้าชายสอนบ่อย ๆ ว่าคนทำไม่ดีต้องถูกลงโทษ แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่เคยใยดีกันเลยก็ตาม แต่ถ้าถามว่ารักใครมากที่สุดในโลกก็คงตอบว่าแม่จ๋าอยู่ดี

ลูกน้อยยังคงจงรักภักดีต่อผู้มีพระคุณไม่เปลี่ยน แต่แค่ยังอยู่สภาวะหวาดกลัวจึงยืนหลบสายตาเกลียดชังอยู่แต่ข้างหลังน้าชายระหว่างเดินเข้าบ้านและเดินผ่านมินตราที่เข็นรถมารอต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เธอถามไถ่อาการเด็กหญิงราวกับอยากรู้เสียเต็มประดา แถมอ้าสองแขนออกเป็นนัย เรียกให้ร่างเล็กที่สุดเดินเข้ามาสวมกอด หนูดาที่รอคอยวันนี้มาตลอดก็หลงกล ค่อย ๆ เดินหาก่อนจะโดนเตือนข้างหูว่าถ้าแกบอกให้ใครรู้ ฉันจะฆ่าแก่แน่   

แล้วคนเป็นแม่ก็เล่นละครตบตาอยู่หลายฉาก ทั้งถามว่าเจ็บไหมด้วยความห่วงใย ร้อยวันพันปีไม่เคยหอมแก้มเด็กน้อยแต่ตอนนี้กำลังค่อย ๆ บรรจงหอมด้วยความเอ็นดู สร้างความงวยงงให้กับผู้ใหญ่อีกสองคนเป็นอย่างมาก อย่างกับเคยทำความผิดไว้เลยต้องมาเอาใจทีหลังและภัคเองก็ไม่เคยปักใจเชื่อกับท่าทางแสดงความรักที่ช่างดูปลอมเปลือก

เลือกจะดึงเด็กหญิงออกมาแล้วพาไปอยู่ในที่ที่อากาศปลอดมลพิษ น้าชายอุทิศเวลาทั้งวันให้กับหลานสาว โดยจะแวะเวียนมาหานายตำรวจที่นั่งทำงานในห้องนอนเป็นครั้งคราว เอาอาหารคาวหวานขึ้นมาเสิร์ฟ พอเริ่มจะเลยเถิดก็รีบขอตัว แต่ก่อนจากไปไม่ลืมกระซิบกระซาบทำการนัดแนะเวลา เมื่อราตรีมาถึงจึงจะเป็นเวลาสนุกของเรา   

ภัคพาหนูดาเข้านอนในตอนหัวค่ำ ร้องเพลงกล่อมจนหลับสนิทแล้วค่อยปลีกตัวไปอาบน้ำอาบท่า ใช้เวลาทำภารกิจส่วนตัวอยู่เกือบชั่วโมงครึ่ง นึกว่าเสร็จแล้วแต่ที่ไหนได้ยังใช้เวลาหน้าโต๊ะแป้งอีกหลายนาที พิถีพิถันกับการดูแลตัวเองเป็นพิเศษ จนกระทั่งเหลือบเห็นเข็มนาฬิกาที่เดินเกือบเข้าใกล้เวลานัดหมายถึงได้ลุกเดิน ก่อนจะสาวเท้าเข้าใกล้เตียงและจัดเรียงหมอนหลายใบให้กลายเป็นรูปร่างคน เสกมายากลง่าย ๆ ขึ้นมาโดยใช้เวลาไม่เท่าไหร่ ไม่ลืมเอาผ้าห่มคลุมทับ หลานสาวจะไม่ได้รู้ว่ากำลังกอดหมอนแทนตัวน้าชายที่ค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบ   

ฝ่าเท้าขาวเหยียบพื้นไม้ราวกับโจรย่องเบาที่ฝึกฝนการเข้านอกออกในมาอย่างดี ดูยังไงก็เหมือนพวกมีประสบการณ์ แค่เคาะประตูส่งสัญญาณให้คนด้านในได้ยิน ประตูที่ปิดก็เปิดออก แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของนายตำรวจที่แทบจะจับเปลื้องผ้าเพื่อตรวจหาอาวุธร้ายแรงตั้งแต่หน้าประตูห้อง เมื่อบ่ายคิมหันต์อ้างว่ามีเรื่องของลูกอยากปรึกษา ไป ๆ มา ๆ บทสนทนาตลอดค่อนคืนแทบจะไม่เกี่ยวกับเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ มีแต่ภัคที่ขึ้นควบด้วยความชำนิชำนาญ   
   
สถานการณ์ปัจจุบันคือเตียงขนาดหกฟุตกำลังเขยื้อนตามแรงขย่ม หลังจากก้มมอง มือก็ประคองแก่นกายให้ตรงและกดก้นลงจนท่อนเนื้อหายเข้าไปในโพรง สะโพกงอนก็เคลื่อนไหวอย่างเมามัน ปลดปล่อยความร่านเงียบที่กักเก็บมานาน ยิ่งคิมหันต์นอนคำรามด้วยความเสียวซ่านเท่าไหร่ ภัคก็ยิ่งแกล้งให้ขาดใจ ตัวเองก็กรีดร้องไม่ขาดปาก ระหว่างยกบั้นท้ายขึ้นลงเป็นจังหวะคงที่ ก็ใช้ปลายนิ้วบี้ตุ่มไตบนแผงอกนายตำรวจอย่างสนุกมือเรียกเสียงอืออ้า มีบ้างที่ก้มลงละเลงด้วยปลายลิ้นเล็กขณะร่อนเอวตัวเองอย่างเนิบนาบแล้วบดแก้มก้นกับต้นขาหนา สลับกับรุนแรงขนาดที่ว่าแก่นกายใหญ่หลุดออกจากช่องทางร้อนฉ่า ตั้งตระหง่านไม่ทันไรก็โดนมือดีฉวยไปและถูกจับยัดกลับเข้าในความคับแคบดังเก่า

ยิ่งทำนานเท่าไหร่ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสุข นายตำรวจลุกขึ้นนั่งกะทันหัน ก้มมองส่วนที่เชื่อมต่อกันระหว่างควบคุมการขยับด้วยการจับเอวคอด พอตอนได้จังหวะก็เป็นฝ่ายเด้งสวน เล่นทำเอาภัคครวญครางอย่างกับถูกกระหน่ำตอกด้วยตะปูปลายทู่นับพันที่มัดรวมกันเป็นกำ ต่างฝ่ายต่างถูกความกระสันเข้าครอบงำจนกู่ไม่กลับ พอถึงจุดที่ร่างกายประท้วงว่าอดกลั้นไม่ไหว สองมือรีบผสานรัดตึงง่ามนิ้วไว้ก่อนตัวจะกระตุกตามกันไปติด ๆ ชนิดวินาทีต่อวินาที แล้วก่อนที่จะมีใครจับได้ว่ามีคนทำเรื่องบัดสีภายในบ้าน ทั้งสองก็โผจูบกันอย่างโหยหา 

สองกลีบปากบดเบียดช่องว่างจนแหลกละเอียด ละเลียดรสชาติความหวานตัดคาว ก่อนความแวววาวที่เห็นจากหางตาจะทำให้ภัคเกิดอาการขัดเขินขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อลองขยับมือก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างสวมอยู่ที่นิ้วนาง หลังรื้อฟื้นความจำก็ได้ความว่านายตำรวจเป็นคนสวมแหวนให้ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกดันตัวลงนอนบนเตียงแทน

ร่างบางยกมือตัวเองขึ้นมาดูแหวนลูกเกลี้ยงสีเงินใกล้ ๆ ขณะเดียวกันก็เห็นใบหน้าทรงเสน่ห์ผ่านง่ามนิ้วตัวเองที่แยกออก เห็นว่าคิมหันต์มองอยู่ ด้วยความที่ไม่รู้จะตอบแทนสำหรับของขวัญอย่างไรเลยเอาวิธีของหลานสาวมาใช้ หอมแก้มกร้านซ้ายขวาและนั่งหลังตรงตอนจำได้ว่าที่ก้านนิ้วยาวก็มีแหวนหน้าตาลักษณะเดียวกัน คิมหันต์บอกว่ามันคือแหวนคู่ แต่ไม่ยอมบอกว่าเอาเวลาอู้งานตอนไหนดอดไปหาซื้อ ภัคจึงพูดดักว่าไม่ใช่ไปรูดมาจากนิ้วมือผู้หญิงคนเก่าหรอกนะ เรียกเสียงหัวเราะที่พอได้ยินกันสองคน 

ท่ามกลางความเงียบสงัด หลีกเลี่ยงการคุยเสียงดังและหันมาใช้การกระซิบกระซาบและส่งผ่านทางสายตากับกิริยาแทน ร่างบางเคยดูละครน้ำเน่ามาก็มาก เห็นฉากรักที่พระเอกบันดาลทุกอย่างเพื่อทำให้นางเอกมีความสุขมาก็เยอะและไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอฉากแบบนั้นกับตัวเข้าสักวัน

คิมหันต์กลายเป็นคนแรกที่ปฏิบัติกับภัคเยี่ยงเจ้าหญิง จริงอยู่ที่ว่าเพิ่งผ่านการร่วมรักอันแสนร้อนแรงมามาด ๆ การสมสู่อย่างป่าเถื่อนทำเอาเลือดในกายสูบฉีดและใจระส่ำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้าแดงเหมือนผลมะเขือเทศแล้วใจเต้นแรงเป็นกลองรัวเท่าตอนนั่งมองอีกคนจูบตามนิ้วตัวเองซ้ำ ๆ อย่างอ่อนโยน

นายตำรวจจรดริมฝีปากกับทุกนิ้วเรียว เกี้ยวพาราสีด้วยการยักคิ้วลิ่วตาให้ร่างบางอย่างกวน ๆ สายตาหวานเชื่อมดูเหมือนจะชวนทำเรื่องอย่างว่าอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่เจตนาก็เถอะแต่ดันเจอคนชอบคิดไกล ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากว่าอยากได้ ภัคก็พร้อมจะจับตัวเองใส่พานถวายอีกหน โดยคิมหันต์มีหน้าที่แค่ล้มตัวลงนอนรอรับการปรนนิบัติอย่างถึงอกถึงใจ อาศัยช่วงเวลาว่าง ๆ เฝ้ามองการยักย้ายส่ายสะโพกอย่างช่ำชองของร่างบาง ช่างดูไร้ยางอายแต่มันก็กลายเป็นเสน่ห์มัดใจชายชาติชาตรีได้อยู่หมัด เรียกว่าพรสวรรค์ได้หรือเปล่านะ

พี่สาวชอบกล่าวว่าน้องชายสมองทึบ ซึ่งภัคพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่

ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์มีร่างของแม่เสือสาวซ่อนอยู่และฉลาดเป็นกรดเวลาปั่นหัวผู้ชาย ถนัดทำให้เหยื่อหลงใหล หลอกล่อด้วยกลอุบายแล้วพอติดกับก็ค่อยลากไปทรมานอย่างเลือดเย็น คิมหันต์เป็นอีกรายที่หลงหัวปักหัวปำ 

ยามภัคเขยื้อนบั้นท้ายครั้งใหม่แต่ด้วยเจตจำนงเดิมที่ว่าต้องการโค่นล้มแก่นกายให้พ่ายแพ้ คิมหันต์แหย่ก้านนิ้วที่สวมแหวนเข้าในปากร่างบาง ระหว่างควบม้าออกศึกก็ล้วงลึกลงไป กว่าสงครามรักจะจบลงก็ตอนเกือบใกล้รุ่งสาง หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดและสมศักดิ์ศรีก็กลับมาสมานฉันท์ ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของกันและกันทั้งสภาพล่อนจ้อน   

ภัคนอนหลับไปแค่ช่วงสั้น ๆ และตื่นขึ้นเองตามสัญชาตญาณของคนตื่นเช้าเป็นเรื่องปกติ เมื่อเห็นว่าสีท้องฟ้านอกหน้าต่างยังคงเป็นสีครามอมเขียวก็เอื้อมมือเก็บเสื้อผ้าที่ตกเกลื่อนพื้นขึ้นมาใส่ ไม่ลืมกระซิบล่ำลานายตำรวจที่อุตส่าห์ลุกจากเตียงเดินมาส่งถึงหน้าประตูด้วยสภาพพันผ้าขนหนูลวก ๆ คิมหันต์ที่ง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นพยายามรั้ง ออดอ้อนร่างบางให้อยู่ต่อ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ได้รับแค่การจูบลาพอเป็นพิธีกับประโยคทิ้งท้ายว่าเดี๋ยวคืนนี้มาหาใหม่

ช่วงกลางวันทั้งคู่ต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง เลี้ยงเด็กกับตามจับโจร พอตกกลางคืนทั้งสองคนก็แอบนัดเจอกันพร้อมสลัดคราบ วางคำว่าศีลธรรมไว้ข้างล่างแล้วกระโจนลงบนเตียงที่ว่างเพื่อพลอดรักอย่างเริงรมย์ ช่วงสองสามวันแรกแอบไปมาหาสู่กันอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเป็นภัคที่เดินกลับออกมาจากห้องคิมหันต์ในตอนเช้ามืด

จนกระทั่งเข้าคืนที่สี่เริ่มย่ามใจ กลายเป็นนายตำรวจที่บุกมาหาร่างบางถึงห้องนอนในยามวิกาล โชคดีที่ว่ากล่อมหลานสาวหลับไปแล้ว เพราะถ้าหนูดายังนอนลืมตาแป๊วก็คงจะได้เห็นภาพอุจาดตา ความจริงแล้วเซ็กส์ก็เป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ แต่ความน่าเกลียดอาจจะอยู่ที่ผู้ใหญ่ไม่รู้จักยับยั้งชังใจและกำลังไม่เลือกที่ทำ

ที่จริงน้าชายก็พยายามชวนคนรักออกไปข้างนอก อยากกลับไปหลับนอนที่ห้องเดิมเพื่อความสบายใจ กระทั่งเจอเล้าโลมก็ไปไม่เป็น โดนมือใหญ่เค้นหน้าอกระหว่างที่นั่งตกลงกันก็หวั่นไหว สุดท้ายเสียท่า แก้ผ้าแก้ผ่อนแค่ท่อนล่างและลงเอยด้วยท่ายันฝ่ามือกับผนังขณะกางขาโก่งก้นเพื่อให้คนที่สมอ้างว่าอยากหาน้องให้ลูกสาวกระทำชำเลาได้ถนัด

แก่นกายขนาดโตเต็มวัยผลุบหายเข้าไปในช่องทางลับท่ามกลางความเนืองนองของน้ำกาม แล้วชักกลับออกมาอย่างรีบร้อน คิมหันต์ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังขณะเร่งจังหวะจะโคน มือข้างหนึ่งตบลงมาก้นงอนฉาดใหญ่ เสียงดังเพี้ยะสะท้อนอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม ทั้งที่ควรจะมีเพศสัมพันธ์กันอย่างเงียบสงบ ข่มจิตข่มใจค่อย ๆ ทำกลับยิ่งคึกคะนอง

จนน้าชายต้องเอ่ยปากอยากให้ทำเบา ๆ เนื่องจากเกรงใจหลานสาวที่หลับ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยุ ไม่รู้ว่าเก็บกดความเครียดมาจากไหน คิมหันต์เลือกทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่เสียงเครือร้องขอ เพราะรู้ว่าร่างบางเองก็กำลังพึงพอใจ สังเกตได้จากสีหน้าเคลิบเคลิ้มที่หันกลับมามองอยู่เป็นระยะ เสียงต้นขากระทบกับบั้นท้ายพั่บ ๆ กำลังขับกล่อมทั้งสองคนให้ยิ่งรู้สึกเพลิดเพลินจนทำอะไรเกินขอบเขตไปมาก 

สำหรับภัคแล้วการลับลอบมันหอมหวานเสมอ แต่ก็ไม่เคยต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและน่าตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน ทั้งพะว้าพะวงว่าหนูดาจะตื่นขึ้นมาเห็นหนังสิบแปดบวกกลางคัน ไหนจะต้องกลั้นเสียงน่าอายภายในห้องที่ก็ไม่ได้กว้างมากพอจะเลี่ยงไปทำกิจกามกันไกล ๆ เตียงอยู่ห่างจากผนังออกไปแค่ไม่ฟุตกว่า ๆ เอง 

คิมหันต์เหมือนจะรู้ว่าอีกคนกำลังกังวลเรื่องเด็ก เข้าใจว่าคงกระด้างอายจึงยิ่งจงใจทำให้ขายหน้า พาเปลี่ยนมุมใหม่ ให้น้าชายได้เห็นใบหน้าของหลานสาวยามหลับภายใต้โคมไฟสีส้มชัด ๆ เพราะกลัวว่าถ้าขัดขืนแล้วจะมีปัญหา รู้หรอกว่านายตำรวจเอาปืนจ่ออยู่ที่ก้น คนมือเปล่าจะทำอะไรได้นอกจากเม้มปากระหว่างเท้ามือกับขอบเตียงที่ยุบตามแรงกด

ภัคอาจจะคอนโทรลเรื่องการเปล่งเสียงร้องได้แต่ไม่ใช่กับแรงสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหวหลายริกเตอร์ การเคลื่อนไหวช่วงล่างของคนเบื้องหลังส่งผลยังร่างบางโดยตรงและส่งต่อถึงเตียงอีกทอด เตียงที่มีเด็กหญิงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังขยับอันเป็นผลมาจากความมักมากในกามของผู้ใหญ่ ความใกล้จะแตกอยู่แล้วแต่คนเล่นพิเรนทร์ก็ยังดำเนินกิจกรรมทางเพศต่อไป เบี่ยงเบนความสนใจของร่างบางที่ออกอาการร้อนรนเกินกว่าเหตุด้วยการดันอวัยวะเพศเข้าออกไว ๆ จนจวนใกล้จะต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยอยู่แล้วเชียว อีกเดียวทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

แต่จู่ ๆ สถานการณ์ก็พลิกผัน หนูดาทำท่าจะตื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผู้ใหญ่สองคนรีบหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ส่งสายตาถกปัญหาทางโลกว่าจะเอายังไงต่อดี ก่อนคนมีสติกว่าจะชิงลงมือทำเรื่องค้างคาให้เสร็จไป นายตำรวจตัดสินใจขยับไอ้นั้นโดยพละการอีกครั้งระหว่างโอบแขนรอบอกร่างบางและดึงตัวออกห่างจากเตียงเล็กน้อย สะโพกสอบยังขยับสอยถี่ ๆ ท่อนเนื้อเสียดสีช่องทางชื้นแฉะไม่ได้หยุดหย่อน ไม่ได้ผ่อนแรงหรือความเร็วลงเลยสักนิด

มีการถามชิดกกหูว่าชอบไหม กระเส่าเย้าแหย่ว่าอายอะไร รู้สึกสะใจเหมือนได้ข่มขืนแม่ต่อหน้าลูก 

จนภัคแทบจะล้มทั้งยืน ถูกคลื่นลูกใหญ่สาดซัดจนสั่นทั้งสรรพางค์ ยิ่งถางขาขณะควานมือไปข้างหลังจนคว้าสีข้างนายตำรวจได้ จับยึดไว้เป็นหลักระหว่างมองหน้าหลานด้วยสายตาพร่ามัว ทั้งกลัวแล้วก็ลุ้น ภาวนาว่าขออย่าให้โดนจับได้ ยิ่งเข้าสู่ช่วงนาทีสุดท้ายหัวใจนี่แทบหยุดเต้น เหงื่อเป็นเม็ดกระเซ็นออกจากเนื้อตัวที่สั่นเทา ผมเผ้าสยายพลิ้วไหวปกหน้าปกตา ก่อนทั้งคู่จะสำเร็จความใคร่ได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด มือใหญ่รีบตะคลุบปากร่างบางที่หลุดครางแล้วฉุดร่างลงหมอบกับพื้นพอดีกับที่เด็กหญิงละเมอลุกขึ้นมานั่งทั้งหลับตา มือข้างที่ใช้ได้ควานหาหมอนข้างแล้วค่อยคลานไปนอนซุก

คิมหันต์เป็นคนแรกที่โผล่หน้าขึ้นมาดูลูกสาวหลับต่อ ก่อนจะดึงตัวน้าชายที่หัวใจแทบวายอยู่ข้างเตียงให้ขึ้นมาดูภาพน่ารัก ๆ ด้วยกัน เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภัคที่ตกอยู่ในอาการหน้าบางเลยพลอยได้ถอนหายใจโล่งอกแล้วค่อยคิดบัญชีกับคนข้าง ๆ ใช้กำปั้นชกต้นแขนคนที่ยังยิ้มล่าได้หน้าตาเฉย เคยสะทกสะท้านกับใครเขาที่ไหน บางทีก็เกลียดที่นายตำรวจทำเหมือนว่าควบคุมทุกอย่างได้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบในความบ้าดีเดือดเช่นกัน …คนที่วัน ๆ อยู่แต่ในกล่องย่อมต้องหลงรักคนที่เดินมาเจาะรู้กระดาษจนทำให้มองเห็นโลกทัศน์ใบใหม่

พอมานั่งนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วก็ขำ สัมผัสได้ว่าคนข้าง ๆ ก็กำลังยิ้มจนแก้มบุ๋มเช่นกัน หัวไหล่มนโดนต้นแขนหนากระแซะเบา ๆ ก่อนจะชนหนักเข้าเมื่อยังไม่ได้รับความสนใจ เมื่อแผนแรกใช้ไม่ได้ผลก็เปลี่ยนเป็นแผนสอง คิมหันต์ระดมจูบไหล่ราดผ่านเสื้อนอนลามขึ้นยันลำคอระหงและคงจะเลยขึ้นไปถึงพวงแก้ม ถ้าไม่มีฝ่ามือบางดันออกทันและหลวมตัวหันหน้ามองจนเห็นว่าอีกคนจ้องอยู่ก่อนแล้ว

มองด้วยแววตายากแท้หยั่งถึง ไม่ได้ทะลึ่งตึงตังแต่ดูจริงจังว่าครั้งไหน ๆ ภัคกะจะไถ่ถามว่าเป็นอะไร แต่ก็ไม่ได้เอื่อยเอ่ยสักประโยคออกมาเพราะว่าอยู่ในช่วงติดพันกับจูบสุดแสนจะละมุนละไม ที่ทำเอานึกว่าจูบอยู่กับผู้ชายผิดคน โหมดสุภาพกลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ แต่ยังคงคุณภาพของความประทับใจไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง

แสงสีส้มจากโคมไฟทำให้บรรยากาศยิ่งดูสวยสดงดงาม ผู้หญิงด้วยกันถึงได้ชอบห้ามกันเองว่าอย่าแต่งหน้าภายใต้แสงไฟสลัวเด็ดขาดเพราะมันอาจจะหลอกตาจนทำให้เกิดความพลาดอย่างมหันต์ 

“รู้ไหม ว่าผมอยากจูบริมฝีปากนี้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นเลยนะ”  เสียงทุ้มเปล่งวาจามาจากใจ หายหยาบคายและมันดังพอได้ยินกันสองคนก่อนจะปล้นจูบจากริมฝีปากที่ว่าอีกครั้งอย่างไว ๆ         

แม้จะสงสัยแต่ร่างบางก็ไม่ได้ถามว่าเราเจอครั้งแรกที่ไหน  “แล้วพอได้จูบจริง ๆ คุณรู้สึกผิดหวังหรือเปล่า”

“ไม่เลย”   

คิมหันต์ตอบโดยแทบไม่ใช่เวลาคิด เป็นภัคต่างหากที่นิ่งเงียบไปราวกับคนกำลังใช้สมองไตร่ตรองอย่างหนัก  “แล้วถ้าผมเคย …ทำเรื่องไม่ดีบางอย่างลงไป แล้ววันหนึ่งคุณมารู้ทีหลัง คุณจะยังอยากจูบริมฝีปากนี้อยู่ไหม”

“ก็ต้องดูก่อนว่า ‘เรื่องไม่ดีบางอย่าง’ ของคุณมันคืออะไร”  นายตำรวจทำเป็นพูดเสียงแข็งกะจะแกล้งเล่น จนเมื่อเห็นว่าร่างบางมีสีหน้าเคร่งเครียดถึงได้กลับคำพูด  “เด็กโง่ ผมใจดีกว่าที่คุณคิดนะ สัญญาด้วยว่าผมจะไม่ตีก้นคุณเหมือนเมื่อกี้”  ถ้าแค่พูดเพราะหวังให้คนฟังหลุดขำก็ถือว่าทำสำเร็จ ภัคยิ้มบาง ๆ ไปจนถึงกว้างตอนตอบโต้อีกคนกลับ 

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วสักหน่อย ไม่ใช่ลูกคุณด้วย”

“ได้กันไปตั้งหลายครั้งนี่คิดว่าผมอยากให้คุณเป็นแค่ลูกเหรอ”

ร่างบางแบะปาก รออีกคนหันไปอีกทางและได้จังหวะเอาคืน  “คุณพ่อ…”

คิมหันต์รีบหมุนคอแทบเคล็ดไปทางเตียงยามได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ภัคกำลังกลั้นขำหลังจากทำการดัดเสียงแกล้งคนที่ยังขมวดคิ้วมุ่น  “คุณทำเกือบผมหัวใจวายนะ”

“ทีเมื่อกี้ยังดูไม่กลัวว่าหนูดาจะตื่นขึ้นมาเห็นเลยเถอะ”

   “เปลี่ยนจากคุณพ่อเป็นคิมหันต์ได้ไหม”

“อะไร”  ถามกลับอย่างงง ๆ ขณะนั่งมองอีกคนถกเสื้อกล้ามออกทางหัวอย่างรวดเร็ว 

“เรียก”

“คิมหันต์…”   

“เรียกอีกที”

“พี่… คิมหันต์”

“ถ้าคืนนี้ไม่ได้นอนก็ให้โทษตัวเองแล้วกัน”  คนพูดหายใจฟึดฟัด

แล้วร่างบางก็ถูกดันลงนอนราบกับพื้นพรมทันทีที่สิ้นสุดคำเตือน นายตำรวจเองก็เคลื่อนหายไปจากกับขอบเตียง มีเพียงเงาดำที่สะท้อนเป็นภาพเคลื่อนไหวบนผนังปูน ถ่ายทอดเรื่องราวที่ว่า ‘มนุษย์เป็นของคู่กันกับราคะ’ มาแต่ช้านาน












------------------------------
ลั่นดาลมีแท็กในทวิตเตอร์เป็นของตัวเองแล้วนะคะ แท็กนี้เลยๆ #ลั่น_ดาล ตุ๊กติ๊กอยากอ่านความเห็นเยอะๆ มาติดแท็กให้กันเถอะนะคะ ตอนนี้เฉามากอยากรู้ความรู้สึกนึกคิดของทุกคน ชอบไม่ชอบตรงไหนโปรดบอกกัน ฮื่อออออออ  :

ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-06-2018 20:41:16
หรือว่าภัคจะไม่ได้ตั้งใจฆ่า แต่เข้าไปเห็น เราเริ่มสงสัยธันวาอีกคนแล้ววว เซ็กส์ซีนเรื่องนี้เป็นอะไรที่อึดอัดมากค่ะ หวาดระแวงตลอดเวลา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 25-06-2018 21:03:11
อื้อหืออออ เป็นตอนที่เลือดสาดมากมายจริงๆ คนอ่านก็ลุ้นกลัวเด็กตื่นมาเห็น ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นความร้ายของตัวละคร นี่คิดว่าคิมหันต์น่าจะรู้แล้วนะว่าใครเป็นคนร้าย แต่แค่รอเวลาให้เปิดเผยตัวมากกว่า ซึ่งใจนี่ไม่อยากคิดว่าเป็นภัคนะเพราะเห็นคนเขียนชงมาเหลือเกินว่าเป็นคนร้าย แต่ก็กลัวนักเขียนสับขาหลอกเช่นกันว่าจริงๆแล้วภัคนี่แหละแน่ๆ ถ้าถามเราเราสงสัยอยู่สองคนคือธันวากับภัค เหตุจูงใจของธันวาก็คงจะเป็นแอบชอบภัคแล้วรู้ว่าภัคไปนอนกับเหมเลยกำจัดเหมเพื่อให้ตัวเองมีโอกาส ส่วนของภัคนี่ถ้าให้เดาจากการที่คิมฝันเห็น คาดว่ารสนิยมเซ็กส์ของเหมต้องเป็นแนว sm แน่ๆ ชอบความเจ็บปวดอย่างถูกรัดคอหรือทำให้หายใจไม่ออก แล้วระหว่างทำกันภัคอาจเผลอหนักมือไปตามแรงอารมณ์เลยทำให้เหมตายก็ได้ แล้วเลยจัดฉากเป็นฆ่าตัวตายเพื่อให้รอยเชือกมันกลืนกัน
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 25-06-2018 22:43:11
เราว่าภัคไม่ได้ฆ่า แต่อาจรู้เห็นแล้วปล่อยผ่าน

ไว้ใจใครไม่ได้เลยเรื่องนี้  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 25-06-2018 23:22:24
ยังงัยละหนออออออ
หรือคดีจะพลิก แต่เราก้ยังคิดว่าภัคทำอยู่ดี

ไม่อยากจะคิดไปถึงตอบจบ
ถ้าเกิดภัคฆ่าจริง คิมหันต์คงไม่ปล่อยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-06-2018 06:14:14
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 26-06-2018 07:48:54
ภัคอาจจะเลวสุดคิอแอบมีอะไรกะพี่เขย​ แต่ไม่น่าเป็นฆาตกร​ แต่พี่สาวภัคไม่แน่อาจจะร่วมมือกับคนดูแลนางฆ่าเหม​ ขนาดลูกยังคิดทำลายได้เลย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 26-06-2018 19:07:20
:กอด1: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 26-06-2018 20:28:03
๑๑





คงเพราะว่าโตแล้วจนไม่จำเป็นต้องรอฟังคำอนุญาตจากใคร  เป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจชีวิตเอง พักหลังก็เลยไม่ค่อยทำตัวเกรงใจและไม่คิดปิดบังว่ากำลังปลุกต้นรักร่วมกันอยู่ แต่ดูไปแล้วก็เหมือนพวกดาราดังที่ยังกักสถานะ ไม่ยอมบอกคนอื่นในบ้านสักทีว่าลึกซึ้งถึงขั้นไหน ความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมียยังดำเนินไปท่ามกลางความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย

เมื่อไหร่ที่ดวงจันทร์เข้ากะทำงานตอนกลางคืน ภัคจะลืมตาขึ้นหลังจากแกล้งหลับไป คิมหันต์เองที่นอนกอดลูกสาวไว้ก็จะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง หลังแสดงบทคุณพ่อผู้อ่อนโยนมาตั้งแต่หัวค่ำก็ได้เวลาสลับบทบาท เปลี่ยนเป็นชายฉกรรจ์ปลุกปล้ำคนช่างยั่วที่ส่งสายตาหาตั้งแต่หลานสาวยังวิ่งเล่นรอบห้องนอน หนูดาดีใจแทบตายตอนคุณพ่อบอกว่าจะย้ายมานอนด้วยอีกแล้วในคืนนี้ แต่ถ้าสักวันต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองนอนกอดค่อนคืนเป็นหมอนข้างก็ไม่รู้ว่าจะยังดีใจอยู่อีกหรือเปล่า ใกล้รุ่งเช้านั่นแหละที่จะได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวจริง ๆ เด็กหญิงนอนคดในอ้อมอกน้าชายโดยมีนายตำรวจนอนซ่อนหลังและแขนก็พอยาวจะโอบกอดอีกสองร่างซึ่งต่างขนาดกัน นอนอัดเป็นปลากระป๋องตรงกลางเตียงและอาศัยเสียงนกร้องเป็นนาฬิกาปลุก แต่วันนี้ดูเหมือนผู้ใหญ่จะลุกช้ากว่าเด็ก
 
หนูดาหยัดตัวขึ้นนั่งทั้งสภาพงัวเงียแล้วเรียกหาบิดาที่ขานรับในลำคอทั้งสภาพหลับตา นิสัยขี้เซาถอดมาจากใครคงไม่ต้องบอก ก่อนคุณพ่อขาจะลืมตาข้างเดียวตอนได้ยินเสียงเล็กเรียกน้าชายและหยัดกายขึ้นนั่งบ้างพลางถามว่าหนูต้องการอะไร นิ้วเล็กจึงชี้ไปที่ประตูห้องน้ำ นายตำรวจอ้าแขนกว้างให้ลูกสาวกระโจนใส่ตักแล้วอุ้มออกไปจากเตียงทั้งสภาพทุลักทุเลพลางกำชับว่าอย่าเพิ่งกวนน้าภัคเพราะอยากให้ได้นอนพักเอาแรง ทั้งที่บอกไปอย่างนั้นเองแท้ ๆ แต่ก็เหมือนแกล้ง สองพ่อลูกหยอกล้อกันไม่พอยังส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จนคนนอนอยู่พลิกตัวกลับมานอนหงาย ปรือตาถึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงดังทั้งคู่กำลังนั่งเล่นอยู่ตรงปลายเตียง 

"ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกผมล่ะ"

ภัคลุกขึ้นมานั่งพับผ้าห่มอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อยเอ่ยปากถามหาเหตุผล แต่นอกจากจะไม่ตอบคำถามสองคนที่ตื่นก่อนกลับปรี่เข้ามารุมล้อมร่างบางด้วยความดีใจ นัยน์ตาสองพ่อลูกเปล่งประกาย เมื่อได้มองใกล้ ๆ แล้วใบหน้ายิ่งคล้ายเคียง ไม่เหมือนกันก็แค่เพียงเพศสภาพกับขนาดตัวเท่านั้น   

“อรุณสวัสดิ์”  คิมหันต์ทักทายแล้วหอมแก้มซ้ายของคนตื่นสายกว่าก่อนจะพยักหน้าเป็นนัยให้เด็กหญิงลองทำตาม หนูดายืดตัวจนสุดเพื่อกล่าว  “อรุณสวัสดิ์น้าภัค”  แล้วตบท้ายด้วยการหอมแก้มขวาและถูกน้าชายรวบตัวไว้เพื่อหอมแก้มคืนบ้าง แต่ยังไม่ทันคลายอ้อมกอดจากตัวเด็กหญิง ก็มีคนยื่นหน้าเข้ามาสอด อยากจะโดนหอมแก้มคืนเหมือนหนูดาบ้าง ภัคลังเลเล็กน้อยว่าควรทำดีหรือไม่ จนผู้ใหญ่เริ่มทำสีหน้างอแง แค่ช้านิดช้าหน่อยก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ได้สมใจอยากและมากไปด้วยซ้ำ ทั้งคู่จุ๊บกันลับหลังร่างเล็กแบบไว ๆ แล้วตีสีหน้ามึนเสมือนไม่มีอะไรยามนัยน์ตากลมโตหันกลับมามอง   

“วันนี้คุณต้องเข้าสถานีหรือเปล่า”

“เข้า แต่ไปสายหน่อยก็ได้”

“งั้นเดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานรองท้องก่อนไปนะ”

“จ้ะเมีย”  ดันหลุดปากขานรับด้วยประโยคที่ปกติใช้ยามอยู่กันสองต่อสอง ไม่ใช่ตอนมีเด็กวัยห้าขวบจ้องตาวาวแล้วถามกลับด้วยความไม่รู้  “เมียคืออะไรเหรอน้าภัค”  น้าชายถึงกลับใบ้กินไปชั่วขณะก่อนจะรีบโยนหน้าที่แปลความหมายให้คุณพ่อที่ยังยิ้มหน้าระรื่น  “คุณเป็นคนพูดก็อธิบายให้แกเข้าใจเองเลยนะ” 

“เมียก็คือน้าภัคไงคะ”

“นี่คุณ…”

“ฮ่า ๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะสาวน้อย”  หากพูดแค่นี้คงไม่มีทางทำให้เรื่องมันจบ จึงนำความสามารถในการโน้มน้าวและเบี่ยงเบนความสนใจมาใช้ เสียงทุ่มต่ำเอ่ยถึงกิจกรรมสุดพิเศษที่ไม่มีเด็กคนไหนกล้าปฏิเสธไปได้  “ไหน ใครอยากเล่นฟองสบู่กับพ่อบ้าง”

“หนู!”  หนูดารีบแทบถลาตัวหาคนเป็นพ่อที่รอรับขณะถามร่างบางข้างกายไปด้วย  “คุณจะอาบด้วยกันเลยไหม”

“คุณกับหนูดาอาบกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดเสื้อผ้าไว้รอ”

คนฟังพยักหน้าตกลงตามนั้นและหอมขมับร่างบางอีกที
แล้วค่อยช้อนตัวลูกสาวขึ้นพาดบ่าพาเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำ

“ขวดสีขาวคือครีมอาบน้ำ สีชมพูคือยาสระผมนะครับ”  ภัคตะโกนบอกไล่หลังและมีเสียงตอบโอเคกลับมาจากในห้องน้ำเป็นอันรับทราบ

หลังจากบอกสิ่งที่นายตำรวจจำเป็นต้องรู้เสร็จร่างบางก็เริ่มทำตัวเป็นประโยชน์ ตระเตรียมผ้าขนหนูไว้เผื่อสองผืน กางเกงชั้นในเด็กและชุดกระโปรงฟูฟ่อง ส่วนชุดของผู้ใหญ่แค่แวะบอกคนในห้องน้ำว่าจะไปเอาชุดใส่ทำงานมาให้ เล่นน้ำรอกันไปพลาง ๆ ก่อน ภัคเดินออกจากห้องเพื่อมายังห้องของคิมหันต์และหยิบชั้นในชายคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย เพราะเคยได้ช่วยถอดบ่อย ๆ จนเกิดความด้าน ความจริงแล้วนับตั้งแต่วันตกเป็นของกันและกันก็ได้แอบปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะดูแลอีกคนอย่างดี จะเป็นศรีภรรยาที่ไม่ทำตัวน่ารำคาญ แต่จะทำให้สามีคิดถึงสามเวลาหลังอาหารและรู้สึกขาดไม่ได้เหมือนอากาศ

สิ่งที่วาดฝันไว้แม้จะดูไกลเกินเอื้อมไปหน่อยแต่ก็มั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถทำได้ แค่คิดตามคำพูดนายตำรวจที่คุยทิ้งท้ายกันไว้ก่อนหลับไปเมื่อใกล้รุ่งสางก็หลุดยิ้มหวานอย่างกับคนบ้า อยากจะมีบ้านน่ารัก ๆ สักหลังแล้วก็สร้างสวนย่อมเอาไว้ให้หนูดาวิ่งเล่น นอนคิดกันไปถึงขั้นว่าถ้าลูกอยากเป็นอะไรก็จะให้เป็นตามนั้น จะไม่มีการบังคับให้เดินตามความฝันของผู้ใหญ่หรือเอาความหวังไปฝากไว้ที่ตัวเด็กจนเกินพอดี แต่จะคอยสนับสนุนทุกอย่างอย่างเต็มที่

ความคิดความอ่านแบบคุณพ่อสมัยใหม่ทำให้คนพูดประโยคพวกนั้นออกมายิ่งดูไร้ที่ติและเป็นโชคดีของร่างบางที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะเดินใจลอยจนลืมมองทางจนเป็นเหตุให้ระหว่างขากลับเดินชนเข้ากับธันวาที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องพี่สาวด้วยสติที่ไม่เข้าร่องเข้ารอยพอกัน แก้มที่ด้านขวาปรากฏรอยฝ่ามือครบทั้งห้าจาง ๆ
  บทลงโทษของคนที่พักหลังชอบทำตัวนอกเหนือคำสั่ง ยกตัวอย่างก็เช่นเรียกรถพยาบาล

“ฝีมือพี่สาวฉันอีกแล้วสินะ”  ภัคที่สะดุดตากับร่องรอยจากการถูกทำร้ายเอ่ยดักด้วยน้ำเสียงเคืองอยู่เนือง ๆ พลางยกมือลูบไล้แก้มกร้านแผ่วเบา ส่วนชายหนุ่มผิวขาวซีดก็ยังยืนรูดซิปปาก ปล่อยให้ร่างบางจับใบหน้าอีกครั้งในรอบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แค่ยืนฟังเสียงดุที่ไพเราะกว่าเสียงนักร้องในโทรทัศน์ โดยที่เข้าใจดีว่าทุกคำพูดมันมาจากความห่วงใย  “ทีหลังก็หัดตอบโต้ซะบ้างนะ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ยืนเฉย ๆ ให้อีกฝ่ายทำร้ายอย่างเดียว เกิดวันดีคืนดีพี่สาวฉันคว้ามีดขึ้นมานายจะทำยังไง จะยืนเฉยให้เธอแทงเหรอ” 

“ผมขอโทษครับ”  หากหวังว่าจะได้ยินประโยคตอบกลับที่ยาวได้สักครึ่งของที่ภัคพูดคงไม่มีทางสมหวัง ธันวาเป็นที่รู้จักกันดีในนามของคนพูดน้อย ถึงบางทีนิสัยไม่ค่อยพูดจาจะทำให้คู่สนทนารู้สึกหงุดหงิดบ่อย ๆ แต่ภัคก็ไม่ใช่ประเภทชอบหยิบยกประเด็นยิบย่อยขึ้นมาถกเถียงให้เป็นปัญหาใหญ่ กลับกันคือรู้สึกผิดอยู่ในใจลึก ๆ ตลอดเวลา ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ชีวิตผู้ชายตรงหน้าต้องมาติดแหงกกับบ้านหลังนี้

แถมต้องเข้ามาพัวผันกับผู้หญิงอย่างมินตราจนวิถีชีวิตแทบไม่ต่างจากคนคุก ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าคำขอร้องจากผู้มีพระคุณ  “ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษนาย ต้องดูแลผู้หญิงอารมณ์ร้ายแบบนั้นคงทำนายลำบากแย่”

     “แต่คุณภัคครับ…”  กำลังจะต่อท้ายประโยคว่าผมเต็มใจแล้วมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลยสักนิด แลกกับการมีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอน รวมถึงได้เฝ้ามองภัคในทุกช่วงทุกตอนของวัน ความสุขทางใจอย่างหลังมันมีค่ากว่าเงินเดือนทั้งเดือนเสียอีก เหตุผลที่ยอมอดทนแทนที่จะปลีกตัวจากไปหลังมีเงินเก็บมากมายก็เพราะคำว่ารักวงเล็บต่อท้ายว่าข้างเดียวมาเสมอ นับตั้งแต่วันที่เจอกันโดยบังเอิญและอีกคนก็เดินเข้ามาช่วยฉุดมือขึ้นจากนรก  “…ผม”   

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเรียกคุณ…”

“ภัค ชุดผมล่ะ”  ไม่ใช่แค่เสียงเปิดประตูที่ทำให้บทสนทนาสะดุด ประโยคทวงถามหาชุดทำงานหลุดออกจากปากคนยืนเท้าแขนกับขอบประตูซึ่งอยู่ในสภาพผ้าขนหนูพันถอนล่างเท่านั้น คิมหันต์ไม่พูดอะไรต่อแค่ยืนรอเฉย ๆ แต่เหมือนจะเอ่ยกดดันทางสายตาว่าคนกลางจะเลือกข้างไหนระหว่างคนที่มีสถานะไม่ต่างจากคนใช้กับคนที่มีหน้าที่การงานเป็นถึงนายตำรวจของประชาชน ภัคมองหน้าผู้ชายสองคนสลับไปมาอย่างกับว่ากำลังรักพี่เสียดายน้อง แต่เมื่อต้องเลือกจริง ๆ คนเราก็ต้องคว้าสิ่งที่ดีที่สุดไว้   

สุดท้ายสองขาก้าวเดินออกมาไม่ล่ำลาสักคำ ทำเหมือนธันวาไม่มีตัวตนเสียอย่างนั้น แต่เมื่อเกิดกลับใจทำท่าจะหันกลับไปมอง ท่อนแขนยาวก็รีบช้อนเอวคอดเข้าห้องแต่ก่อนจะล็อกประตู คิมหันต์ไม่ได้แค่สบตากับชายหนุ่มผิวสีซีดอย่างเดียว ยังเที่ยวป่าวประกาศความเป็นเจ้าของ ขยับปากบอกคนนอกห้องเป็นข้อความไร้เสียงว่าคนนี้ของฉันว่ะ

ตลอดเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ที่หมดไปกับหุงหาอาหาร ภัคก็ทำตัวเป็นภรรยาที่ดี ที่มึนตึงไปดูเหมือนจะเป็นฝ่ายนายตำรวจที่แม้แต่ตอนร่างบางช่วยตรวจตราความเรียบร้อยของชุดลำลองเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังไม่วายทำสีหน้าเย็นชา   

แต่แล้วก็นึกครึ้มถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  “หมอนั่นเป็นคนยังไงเหรอ”

“ครับ…?”

“ธันวา”  พูดชื่อแล้วรอดูปฏิกิริยา จนเห็นว่าร่างบางชะงักไปเล็กน้อยแล้วค่อยฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ทำทีช่วยจัดเสื้อแจ็คเก็ตขณะบรรยายลักษณะเด่นของชายอีกคนเท่าที่เคยได้คลุกคลี 

“ก็เป็นคนเงียบ ๆ ครับ บางวันก็แทบจะไม่พูดเลย ไม่มีปากมีเสียงแล้วก็มักจะชอบทำตามใจคนอื่นเสมอ ๆ”

“รวมถึงตามใจคุณด้วยไหม”

“อะไรนะครับ”

“ผมแค่จะพูดว่าคุณดูรู้จักเขาดีนะ”  ภัคมองหน้าคนพูดจาแปลก ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไหวพริบดีพอจะแก้ไขสถานการณ์ที่สัมผัสได้ว่าเจือปนไปด้วยความประชดประชัน   

“ก็แหม อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี ถ้าผมไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนน่ะสิแปลก”

“ผมจะพูดตรง ๆ นะภัค”  สองมือใหญ่ลูบท่อนแขนขาวแล้วยึดไว้เพื่อให้เจ้าตัวอยู่เฉย ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคคำสั่งออกมา  “…อย่าให้ผมเห็นว่าคุณอยู่กับเขาสองต่อสองอีก”  เอ่ยปากอย่างไม่มีการอ้อมค้อมใด ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งตีความหมายกันไปแบบผิด ๆ  “แล้วก็ตอนพูดถึงธันวา อย่าทำสีหน้ามีความสุขเหมือนเมื่อกี้นี้อีกเด็ดขาด”

“ผมก็แค่…”

“ผมไม่ชอบสายตาหมอนั่นเวลาที่มองคุณ”

“คุณคิดมากไปแล้วนะ”

“ผมไม่สนว่าก่อนหน้านี้คุณสองคนจะสนิทกันมากสักแค่ไหน”  นายตำรวจแสดงความใจกว้างผ่านทางคำพูด นัยยะแอบแฝงก็คือผมไม่สนว่าอดีตคุณจะเคยทำอะไรไว้ แต่ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของใครก็ควรจำใส่สมองซะ  “แต่ตอนนี้คุณเป็นของผม …เข้าใจตรงกันนะ” 

ร่างบางพยักหน้าตอบอย่างว่าง่ายและไม่ลืมปั้นยิ้มหวานตอนคิมหันต์หอมแก้ม

“งั้นผมไปล่ะ เห็นว่าผลชันสูตรของเหมันต์ออกมาแล้ว” 

อารมณ์ที่ดีขึ้นชั่วพริบตาของคนหันกลับมาโบกมือให้ไม่ได้ช่วยทำให้คนยืนโบกรับสบายใจเลยแม้แต่น้อย ภัคเผลอทำสีหน้ากังวลคล้อยหลังนายตำรวจเดินไปไม่เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลไหนกันแน่ระหว่างห้ามเข้าใกล้ธันวาหรือผลชันสูตรคนตายออกมาแล้วที่ทำให้เป็นทุกข์ จนเมื่อหมุนตัวกลับเข้ามาในบ้านถึงได้เห็นสีหน้าไม่มีความสุขพอกันจากคนยืนแอบฟัง ชายหนุ่มพูดน้อยเดินออกจากที่ซ่อนด้วยสีหน้าหวั่นวิตก คงเพราะได้ยินที่ร่างบางถูกสั่งห้ามให้เข้าใกล้หรือไม่ก็เพราะผลชันสูตรของเหมันต์ออกมาแล้วเหมือนกัน 
















อุตส่าห์ตื่นนอนเร็วกว่าเวลาเดิมตั้งหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อลงมาด้านล่างแล้วกลับไม่พบอะไรนอกจากแห้วและความว่างเปล่า แม้จะเห็นลูกสาวในห้องนั่งเล่นแต่ก็นับเด็กหญิงว่าเป็นธาตุอากาศหรืออะไรทำนองนั้น ที่ต้องการเจอคือคิมหันต์ที่ไม่รู้ว่าจะรีบร้อนออกไปทำงานอะไรนักหนา มินตราทำสีหน้าผิดหวังระหว่างล้อไถลไปตามทางเดินอย่างเรื่อยเปื่อย

รู้ตัวอีกทีคือตอนเมื่อยมือเกินกว่าจะกดปุ่มบังคับรถเข็นและล้อก็หยุดห่างจากท่อนขาเล็กเพียงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น คนเป็นแม่แค่แอบดูลูกวาดภาพและทำการลงสีด้วยมือข้างเดียวอย่างเงียบ ๆ เกิดความใคร่รู้อยู่ครู่หนึ่งว่าเด็กหญิงวาดอะไรและยิ่งจ้องก็ยิ่งได้เห็นความผิดปกติ สีหน้าฉงนเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธเป็นฝืนเป็นไฟขณะกำมือกับพนักแขนไว้แน่น

พี่สาวออกตามหาน้องชายระหว่างที่ในมือถือกระดาษหนึ่งแผ่น

ก่อนจะขยำเป็นก้อนแล้วปาไปที่หน้าคนเพิ่งเดินย้อนกลับเข้ามาในบ้านอย่างแม่นยำ กระดาษโดนแก้มภัคอย่างจัง ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากเท่าไหร่แต่ก็พอสร้างความระคายเคืองได้อยู่

“ไม่มีที่อื่นให้ทำแล้วหรือไงถึงได้ต้องทำเรื่องทุเรศ ๆ ต่อหน้าเด็กมัน”

น้องชายจะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่พี่สาวพูดจนกว่าจะหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่ออก ภัคจึงลองเก็บคำเฉลยขึ้นมากางและเพ่งมองภาพวาดด้วยสายตาเฉยชา ก็แค่มนุษย์กางปลาสองคนกอดกัน มันทุเรศตรงไหนไม่ทราบละอยากจะถามอีกคนกลับจริง ๆ  “ไม่มีวิธีหาเรื่องที่มันดีกว่านี้แล้วหรือยังไงครับ ผมไม่เห็นว่าภาพพวกนี้มันจะทุเรศตรงไหน”

“ก็ตรงที่มันเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ไงล่ะ!”  ลองถ้าอคติบังตาต่อให้มนุษย์กางปลาใส่กระโปรง หญิงสาวก็จะโยงเรื่องเข้าหาคนที่เกลียดเพื่อด่าอยู่ดี  “เด็กมันจะวาดภาพแบบนี้ไหมถ้ามันไม่ได้เห็นเองกับตาน่ะ นี่คงจะไม่มีความละอายใจกันเลยใช่ไหม”

“อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะทำอะไร ๆ ต่อหน้าหนูดาหรอก แต่พี่คิมหันต์น่ะสิเอาแต่รบเร้า …เขาจะเอาผมท่าเดียวเลยนะ”  ร่างบางเอ่ยประโยคสองแง่สองง่ามหน้าตาเฉย จะเรียกว่าเป็นกำลังเผยธาตุแท้ต่อหน้าญาติผู้พี่ที่มีแม่คนเดียวกันก็ได้ 

“หางโผล่ได้สักทีนะน้องรัก”

“คงเพราะเบื่อจะสร้างภาพเป็นคนดีแล้วมั้ง อีกอย่างไม่รู้จะทำดีกับคนที่คิดทำร้ายลูกตัวเองไปทำไมเหมือนกัน”  ภัคลากมินตราเข้าประเด็นที่เพียงแค่ต้องการคำรับสารภาพเท่านั้น  “พี่เป็นคนผลักหนูดาตกบันไดใช่ไหม”

“ทำไม เด็กนั่นฟ้องแกเหรอ แล้วแกก็เชื่อมันงั้นสิ”

“ผมเชื่อแค่ว่าพี่สามารถทำเลว ๆ แบบนั้นได้ คนใจยักษ์ใจมารอย่างพี่ทำได้อยู่แล้วล่ะ”

“แกไม่เห็นเหรอว่าฉันนั่งรถเข็น แล้วฉันจะเป็นคนทำเรื่องอย่างที่ว่าได้ยังไง”

ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิดแต่ภัคกำลังหลุดหัวเราะ เชิดหน้าชูคอระหว่างยืนกอดอก  “…นี่พี่จะปิดเรื่องที่ตัวเองเดินได้ไปถึงเมื่อไหร่”  น้องชายถามเพราะความสงสัยในขณะที่พี่สาวชะงักไป แต่ไม่นานก็กลับมามีสติและเอาคืนด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความอยากรู้มากพอกัน  “งั้นเมื่อไหร่แกถึงจะสารภาพว่านอนกับผัวฉันล่ะ…”

รับกันไปคนละหนึ่งแต้มสำหรับการเล่นเกมต่อปากต่อคำ

“แล้วพี่หมายถึงผัวคนไหนล่ะ”
สำหรับแต้มที่สองมีแค่น้องชายที่ได้ไป  “หมายถึงแฝดน้องหรือแฝดพี่กันเหรอ”  จีบปากจีบคอถามกลับ ถ้ามีผมยาวหน่อยก็คงจะทำเป็นม้วนลอนเล่น ประหนึ่งเมียน้อยที่ไม่เคยเห็นหัวเมียหลวงที่ชอบมาทวงผัวกลับบ้าน  “อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าพี่กำลังจะใช้ความน่าสงสารเรียกร้องความสนใจ มุกแบบนี้มันเชยไปแล้ว ความสงสารก็คือความสงสาร ไม่มีวันเปลี่ยนเป็นความรัก”

“เขารักฉัน”  มินตรายืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เขาก็แค่เคยรักพี่และตอนนี้เขาเป็นของผม”

“คิดว่าเขาจะจริงจังกับแกหรือไง” 

ไม่ว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหน ภัคก็แก้ทางได้หมด คราวนี้ตอกหน้าด้วยการชูมือให้พี่สาวยลโฉมชัด ๆ  “คิดว่าไงล่ะ พี่ว่าสวยไหม”  ถามไปอย่างนั้น อันที่จริงก็แค่อยากอวดแหวนบนนิ้วนางก่อนจะหันมือตัวเองกลับมาดูบ้าง  “ถึงจะเรียบไปหน่อยก็เถอะ ผมว่าน่าจะหลวมกว่านี้สักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร สงสัยคนซื้อให้จะชอบเป็นคับ ๆ”

“แก!”  หญิงสาวลุกขึ้นยืนด้วยความฉุนเฉียว ทั้งยังใช้นิ้วชี้หน้า  “ฉันจะบอกคิมหันต์เรื่องที่แกเคยนอนกับน้องชายฝาแฝดเขา”

“ก็เอาสิ ผมก็จะบอกว่าพี่เดินได้มาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”  น้องชายปัดมือที่จ่อตรงหน้าออกไปเพราะรู้สึกเกะกะสายตา  “คิดดูสิว่าเขาจะเลือกเชื่อใคร ระหว่างพี่สาวที่วัน ๆ เอาแต่ทำตัวลอยไปลอยมา พิการขาอย่างเดียวไม่ว่ายังลามไปถึงสมอง แม้แต่ลูกในไส้ตัวเองก็ไม่เคยเหลียวแลกับน้องชายผู้แสนดีที่อาสาเลี้ยงลูกให้แทนเพราะความรัก ไม่เคยแม้แต่จะตอบโต้พี่สาวที่ชอบด่าให้เกิดความอับอาย เป็นฝ่ายถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด”   

“ตอแหล…”

“เขาเรียกว่าคนฉลาดต่างหาก เรียนหนังสือมาก็ตั้งสูง ไม่เคยได้อ่านเรื่องการวางตัวมาบ้างเลยหรือไง”

“แกก็ไม่ได้ดีกว่าฉันนักหรอก ก็แค่เด็กมีปมด้อยที่พ่อแม่ไม่รัก เห็นฉันได้ทุกอย่างก็อิจฉา ความจริงแกเองก็อยากได้อยากมีเหมือนฉันใช่ไหมล่ะ ถึงได้พยายามเสนอตัวจนได้ใช้ผัวมือสองต่อจากฉัน”  ความอัดอั้นทั้งหลายพรั่งพรูผ่านริมฝีปากไม่หยุด

ยามน็อตหลุดอะไรก็เอาไม่อยู่ รู้แค่ว่าต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามช้ำใจหนักกว่าตัวเอง  “จะบอกอะไรให้นะ ฉันกับคิมหันต์ก็เคยมีอะไรกันมาก่อน ตอนเราคบกันช่วงมหาลัย แกคิดว่าฉันกับเขาจะแค่จับมือแล้วนอนหลับไปหรือไง …แกก็เป็นได้แค่ที่สอง เป็นรองฉันอยู่ดีนั่นแหละ พวกผู้ชายที่แกนอนด้วยล้วนเคยเป็นของฉัน”

“แน่ใจเหรอที่พูดออกมา”  แต่ผิดคาดที่ภัคยังนิ่งได้อย่างน่าชื่นชม ไม่หวั่นไหวไปกับลมปากของหญิงสาวที่สักแต่จะข่มคนอื่นด้วยเรื่องโง่ ๆ ที่ระบายออกเสียยืดยาวก็เท่ากับประจานตัวเองไปด้วยในตัว  “แล้วพวกผู้ชายที่ว่ารวมถึงธันวาด้วยหรือเปล่า”

“นี่แก…”

“ผนังห้องมันบางนะคุณพี่สาว ผมเข้าใจว่าบางทีคนเราก็คงมีอารมณ์เปลี่ยวกันบ้าง แต่เที่ยวป่าวประกาศว่าผัวตัวเองมีชู้อย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไม่ยุติธรรมกับคนตายนะว่าไหม ในเมื่อตัวพี่เองก็ทำเหมือนกัน อาจจะนานพอ ๆ กับที่ผัวพี่มีนอกใจด้วยซ้ำ”  ความรู้มากของภัคกำลังทำให้เป็นต่อในสงครามน้ำลาย แล้วก็กลายเป็นน้องที่ถอนหงอกพี่  “อย่าเห็นแก่ตัวสิ ในเมื่อพี่ทำได้ผัวพี่ก็ทำได้เหมือนกัน”

“แต่มันไม่เหมือนกัน! ฉันแค่ แค่…!”

“แก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์น่า จะเพราะอะไรก็ฟังไม่ขึ้นหรอก”

“แต่ยังไงฉันก็จะบอกเรื่องเลว ๆ ของแกกับคิมหันต์”

“เอาเลย ยังไงก็รีบ ๆ บอกตอนที่ตัวเองยังมีโอกาสซะล่ะ”  ยักไหล่ไม่ยี่ราแถมท้าทายไม่เกรงกลัวสักนิด ดูกล้าได้กล้าเสียผิดปกติจนมินตรารู้สึกสังหรณ์ใจ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของลางร้ายแปลก ๆ  “แกหมายความว่ายังไง”

“จำไว้นะว่าพี่เป็นคนบีบให้ผมต้องทำอย่างนี้เอง”  จากเด็กชายตัวน้อยที่คอยเดินตามพี่สาวต้อย ๆ เพราะอยากเล่นด้วยสู่ผู้ใหญ่ใจเด็ดที่ไม่เห็นแม้กระทั่งหัวคนในครอบครัว  “แล้วเวลาหมามันจนตรอกน่ะมันกัดไม่เลือกหรอกนะ”

“หมาอย่างแกจะทำอะไรฉันได้”  มองด้วยสายตาเหยียดหยาม หนำซ้ำยังหัวเราะเยาะใส่ราวกับไม่เชื่อฝีมือน้องชายว่าจะทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน   

“คอยดูกันต่อไปสิคุณพี่สาว แล้วก็… กำคำว่าอิสรภาพที่ตัวเองมีไว้ให้แน่น ๆ ล่ะ อย่าได้ปล่อยให้หลุดมือเชียว”  พอข่มขู่เสร็จก็กะว่าจะหันกลับหลังเดินจากไป แต่หญิงสาวดันไถลรถเข็นมาดักหน้าไว้ เวลาข้องใจมีอะไรก็ถาม  “แกคิดจะทำอะไร”

“ช่วยตำรวจจับคนร้ายไง”   

“คนร้าย…? คนร้ายบ้าบออะไรของแก”

“ไหนว่าตัวเองฉลาดนักหนา แค่นี้ไม่มีปัญญาคิดเองเหรอ” 

“แก…!”

“อยากเดินตามมาก็ได้นะ คนในบ้านจะได้รู้กันหมดว่าใครกันแน่ที่ตอแหล”

ผู้ชนะแบบขาดลอยเดินจากไป ทิ้งให้ผู้แพ้โวยวายกับผลคะแนนที่คิดว่าไม่เป็นธรรม  “ภัคกลับมาเดี๋ยวนี้นะ! ฉันบอกให้แกกลับมา!”  มินตราโกรธจนตัวสั่น อาการย่ำแย่เข้าขั้นผู้ป่วยทางจิตที่ถูกขัดใจนิดขัดใจหน่อยก็คลุ้มคลั่ง ทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรงก่อนมือจะขย้ำพนักแขนรถเข็นจนเลือดไม่เดิน  “ฉันจะฆ่าแก!... ฉันจะฆ่าแก” 





มีต่อด้านล่าง...




   
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๙) ๒๕.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 26-06-2018 20:35:29

ชายดูแลหญิงพิการทำหน้าที่บกพร่อง จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเพราะมัวแต่คอยชะเง้อคอมองหาโอกาสเข้าถึงตัวภัคตลอดทั้งวัน ขณะเดียวกันเป้าหมายก็เอาแต่คลุกตัวอยู่กับลูกพี่สาว แทบจะไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แม้แต่ตอนเข้าครัวเด็กหญิงก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ จนตะวันบ่ายคล้อยก็แล้ว วี่แววว่าจะได้เข้าหาก็ยังไม่มี แต่โชคยังดีตรงที่ว่าแอบได้ยินร่างบางคุยโทรศัพท์และจับใจความได้ว่าคืนนี้คนในสายจะไม่กลับมานอนที่บ้าน

น้าชายพาหลานสาวเข้านอนแต่หัววันและพอมีเวลาก็เล่านิทานกล่อมจนร่างเล็กผล็อยหลับไป มือเรียวถึงได้ค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความส่งหานายตำรวจว่ากำลังจะนอนตามด้วยอิโมติคอนรูปหัวใจ ภัคได้แต่อมยิ้มให้กับข้อความตอบกลับที่แสนจะเรียบง่าย ขนาดปิดไฟแล้วไถลตัวลงนอนก็ยังอ่านถ้วนคำว่าฝันดีซ้ำ ๆ เอาให้จิตใต้สำนึกจำได้จนเก็บไปฝันต่อยามนิทรา ร่างบางหลับคาเครื่องมือสื่อสาร กำไว้ในมือด้านที่ถนัดแต่ไม่นานก็สะดุ้งตื่นเพราะมือนั้นดันยื่นออกนอกเตียงและเผลอปล่อยโทรศัพท์ตกจนก่อให้เกิดเสียง

น้าชายเอียงหน้ามองหลานสาวว่ายังหลับดีอยู่ไหมก่อนจะถอนหายใจโล่งอก แต่ต้องมาตกใจสุดขีดก็ตอนเหลือบเห็นเงาตะคุ่มที่ปลายตีนหรือเรียกอย่างสุภาพว่าปลายเท้า เงาดำเป็นเหตุผลที่ทำให้คนตระหนกรีบเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟจนกระทั่งเห็นใบหน้าของผู้บุกรุกยามวิกาล เมื่อนั้นจึงกล้าหายใจแต่ยังไงก็ขอบ่นสักหน่อยเถอะ  “นายทำฉันตกใจนะ” 

“ผมขอโทษครับ แต่ผมแค่มีเรื่องอยากคุยกับคุณ”  ธันวาแจ้งความจำนงเสียงเบา ที่แอบลอบเข้ามายามดึกไม่ได้มีเจตนารบกวนแต่อย่างใด แค่หาจังหวะในตอนกลางวันไม่ได้จึงต้องกลั้นใจทำพฤติกรรมอย่างที่รู้ดีว่าอีกคนไม่ค่อยชอบ

“คุยกันเวลาอื่นไม่ได้หรือไง”  ความจริงมีอะไรอยากเทศนาเยอะแยะ แต่ดันเห็นหนูดาเริ่มนอนกระสับกระส่าย ภัคเลยเข้าใจว่าคุยกันในนี่คงไม่สะดวกอีกแล้ว  “ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”  ร่างบางเอ่ยปากชวนและเป็นคนเลือกสถานที่เอง เดินนำลงมาด้านล่างและจูงมือชายหนุ่มอีกคนพามายังห้องครัว ด้วยความที่กลัวว่าจะมีใครจะมาเห็นเข้าจึงปิดประตูอีกชั้น ล็อกลูกบิด เปิดสวิทช์ไฟแล้วหมุนตัวกลับมาจ้องสีหน้าวิตกกังวลเต็มสองตา 
 
“ตกลงมีอะไร ถ้าเรื่องที่นายจะพูดไม่สำคัญมากพอละน่าดู”

ธันวานิ่งไปแต่ไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่ กำลังใช้เวลาเรียบเรียงประโยคในหัวอยู่ต่างหาก มีคำถามอยากถามร่างบางมากมายจนต้องมายืนไล่เรียงลำดับความสำคัญ ก่อนจะเริ่มด้วยคำถามอันดับแรกสุด  “คุณคบกันคุณคิมหันต์เหรอครับ”

“ตกลงนี่คือเรื่องที่นายอยากคุยกับฉันงั้นเหรอ”  ทั้งแปลกใจทั้งหงุดหงิด ก็หลงคิดไปว่าจะเป็นเรื่องสำคัญกว่านี้ ถ้ารู้แต่แรกว่าอีกคนจะถามอะไรคงไม่ถ่อลงมาถึงข้างล่างนี่หรอก คงบอกความจริงไปแล้วตั้งแต่อยู่ในห้อง  “แล้วฉันกับเขาดูเหมือนคนคบกันไหมล่ะ”  ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่พอบอกได้ว่าอารมณ์กำลังขุ่นมัว

ส่วนตัวชายหนุ่มผิวซีดเองก็ไม่ได้ถือสาหาความ ก็ตอบสั้น ๆ ไปตามที่เข้าใจ  “…ครับ”

“ก็ตามนั้น”  ร่างบางเฉลยแบบขอไปทีระหว่างชักสีหน้า ทำตัวไม่น่ารักไม่ต่างจากพวกได้หน้าลืมหลัง ไม่ระวังเรื่องการแสดงกิริยากับคนที่อาจเอาความลับไปเปิดโป่งได้ในอนาคต  “นายหมดคำถามแล้วใช่ไหม ฉันจะได้กลับขึ้นไปนอน”         

“แต่ผมไม่อยากให้คุณยุ่งกับเขา” 

“เหตุผล…?”

“เพราะเขาเป็นตำรวจ”  เกิดความเงียบชั่วขณะ คำว่าตำรวจของธันวาดังกึกก้องในสมองของภัคที่ตอนแรกแทบลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิท  “ผมได้ยินว่าเขาสั่งห้ามคุณไม่ให้ยุ่งกับผมอีก คุณจะทำตามอย่างที่เขาสั่งจริง ๆ หรือเปล่า”

“ตอนนี้นายพูดเยอะกว่าทั้งเดือนรวมกันซะอีกนะ”  ร่างบางมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับคนสำนึกได้แล้วว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่มีความเป็นความตายเข้ามาเกี่ยวข้องและเลือกมองหาแต่ช่องทางเอาตัวรอดไปก่อนเท่านั้น  “ฉันอาจจะทำจริง ๆ หรือไม่ทำตามก็ได้ จะให้ฉันเมินนายทั้งที่นายเคยดีกับฉันมาก ๆ น่ะเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก”

“ไม่ใช่ว่าเพราะกลัวผมเอาความลับไปบอกใครเหรอครับ”  ลืมคิดก่อนพูด พอหลุดปากประชดไปแล้วก็มายืนเสียใจทีหลัง กลัวไปต่าง ๆ นานาว่าร่างบางจะโกรธ แต่ผลกลับออกมาในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ภัคเลิกทำอะไรบุ่มบ่ามและกลับมามีสติกับปัจจุบันมากขึ้น เลิกยืนรักษาระยะห่างเป็นวาและเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนทั้งที่เมื่อตอนเช้ายังรับปากนายตำรวจอยู่เลยว่าจะเชื่อฟัง  “วันนี้นายพูดเยอะจริง ๆ นะ”  เอ่ยพร้อมทั้งจับเนื้อผ้า ฝ่ามือลูบตามความราบเรียบของเสื้อยืดตรงหน้าก่อนจะยืนพิง เอาแก้มอิงแอบกับช่วงอกอุ่น  “กำลังจะแบล็กเมล์ฉันอยู่หรือไง”

เย้าแหย่ในเรื่องที่รู้ดีว่าอีกคนจะไม่มีวันทำด้วยน้ำเสียงล้อเล่น เมื่อร่างบางยิ่งเอนตัวซบ วงแขนยาวก็ถือวิสาสะโอบหลวม ๆ ด้วยความคิดถึง  “เปล่าครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”

“ธัน ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน แต่เราเคยตกลงกันไว้ว่ายังไงจำได้หรือเปล่า” 

“ตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เราจะไม่มีวันเป็นคนรักกันอย่างเปิดเผยได้…” 

น้ำเสียงราบเรียบพูดครบทุกคำเหมือนท่องจำมาตั้งแต่วันที่ได้ยิน คิดถึงวันแรก ๆ แล้วก็เศร้า ไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องราวความรักต้องห้ามมันจะดำเนินมาไกลขนาดนี้ จนถึงขั้นที่กลายเป็นการหลอกใช้ ใช่ว่าไม่รู้แต่พยายามหลับหูหลับตาทำเป็นไม่เห็นก็แค่นั้น   

“นายก็ยังจำมันได้นี่”  ภัคยกมือกุมใบหน้าของชายที่แสดงออกว่ากำลังน้อยอกน้อยใจจนหลบสายตาเอียงไปทาง ร่างบางต้องรั้งใบหน้านั้นกลับมามองตรง ยกมือลูบผิวเกลี้ยงเกลา เผื่อจะช่วยบรรเทาความเดียวดายทำให้ธันวารู้สึกว่าตัวเองยังอยู่ตรงนี้  “ฉันไม่เคยไปไหน ฉันยังคงเป็นของนายเสมอจำได้ไหม”

“ผมจำได้แค่ว่าผมเจอคุณได้แค่ในความฝัน”

“โธ่…”  คนฟังอุทานอย่างเห็นใจก่อนจะสวมกอดร่างกายใหญ่ มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยให้โน้มลงจนใบหน้าโศกเศร้าซบเข้ากับไหล่ราด  “ฉันขอโทษนะถ้าทำให้นายรู้สึกแบบนั้น ยังไงถ้ามีอะไรให้มาบอกฉันอย่างที่นายเคยทำมาตลอด ถ้าต้องการอะไรมาบอกกันก่อนนะ”

ฝ่ายนึงรับปากว่าจะช่วยเยียวยาเท่าที่สามารถ แต่สำหรับอีกฝ่ายนั้นแค่ได้กอดก็เหมือนฝันเป็นจริง ยิ่งได้กลิ่นหอมที่ชอบยิ่งเข้าใจว่าไม่ได้ทึกทักสร้างภาพมายาขึ้นมาเองแล้วค่อยหมดซึ่งความเกรงใจ ลองได้กอดแล้วไม่มีทางปล่อย ขณะที่ธันวาค่อย ๆ กอดตอบเสียแนบแน่น ภัคก็แหงนหน้าหาเพดาน ยิ้มหวานพร้อมลูบกลุ่มผมดำเล่นอย่างเพลิดเพลิน 

“เด็กดี…”

“ผมยังมีสิทธิ์หวงคุณได้ใช่ไหม”  พึมพำถามหาสิทธิ์ของตัวเองเสียงเบา ทั้งที่เคยลั่นวาจาว่าช่วยแบบไม่ได้หวังผล แต่พอโดนเอาเปรียบหนัก ๆ ก็อยากจะทวงค่าตอบแทนขึ้นมา

ในเมื่ออีกคนพูดเองว่าต้องการอะไรก็ให้บอกประกอบกับลองไตร่ตรองแล้วว่านี่อาจเป็นโอกาสสุดท้าย ลืมไปซะสนิทว่ามีเรื่องจะสารภาพ เป็นความลับที่เก็บงำมาตลอดหลายวัน เรื่องสำคัญที่ความจริงก็จำได้แต่เลือกจะไม่พูดขึ้นมาแม้มันจะคอขาดบาดตายแค่ไหน กลัวว่าถ้าพูดไปตนจะชวดช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดร่างบาง หลังจากยืนรวบรวมความกล้าไม่นานธันวาก็เริ่มเอ่ยเท้าความถึงวันเก่า ๆ ก่อน  “ตอนนั้นที่คุณบอกว่าจะให้รางวัล แต่ผมปฏิเสธไป คุณจำได้ไหมครับ”

“จำได้สิ”  ตอบแทบจะในวินาทีถัดมาเพราะว่าจำ ‘เหตุการณ์ตอนนั้น’ ได้แม่น

ภาพทุกภาพมันยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำทั้งยามหลับและยามตื่น 

“ตอนนั้นผมบอกแค่ว่าอยากทำเพื่อตอบแทนบุญคุณคุณ…”

“พูดความต้องการของนายมาเถอะธัน ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหนฉันก็จะทำให้นาย”

“งั้นถ้าผมจะขอทวงรางวัล …เป็นการขอสัมผัสคุณอีกครั้งจะได้ไหม…ครับ”

ฟังคำขอเสร็จแล้วภัคถึงกลับยิ้มกว้าง ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็คงจะแอบลังเลอยู่สักหน่อย  “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” 

ต่างฝ่ายต่างคลายอ้อมกอดอัตโนมัติเพราะตระหนักได้ถึงเวลาที่มีอย่างจำกัด อีกไม่กี่ชั่วโมงวันใหม่ก็จะมาทักทาย ทั้งคู่หยุดสบตาในระยะประชิดแล้วเคลื่อนริมฝีปากแนบสนิทกัน ธันวาอุ้มร่างบางขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์กลางห้องครัวทั้งที่ยังนัวเนียไม่ห่าง ภัคตะวัดขาทั้งสองข้างล็อกเอวสอบขณะยินยอมให้มือกร้านปลดกระดุมเพื่อเปลื้องผ้า

เสื้อนอนร่นลงจากบ่าจนเห็นเนื้อหนังมังสากับรอยรักประปรายฝีมือนายตำรวจ ระหว่างที่ชายผิวสีซีดหยุดมองภัคต้องเป็นฝ่ายชวนแลกลิ้นอย่างมูมมาม ทำน้ำลายเลอะขอบปากโดยมีธันวาที่เพิ่งได้สติคอยตามล้างตามเช็ด กลับมาเป็นคนพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ยืนรอมือเรียวช่วยถลกเสื้อออกทางหัวชั่วอึดใจแล้วโถมกายเข้าใส่ โอบวงแขนรอบแผ่นหลังบางระหว่างไล่เลียยอดอกที่แอ่นสู้

ภัคกำลังหูอือตาลาย หงายหน้ามองดวงไฟเหนือศีรษะขณะถูกเฟ้นฟอดตามตัว รสมือจากผัวคนแรกทำให้อารมณ์ยิ่งเตลิด กิเลสตัณหาเกิดประทุง่ายดายหลังถูกชายที่กลายมาเป็นชู้เล้าโลม จากที่เคยต้องจินตนาการเอาและแอบสาวมือในห้องน้ำเพื่อประทังความต้องการของตัวเองไปวัน ๆ มาตอนนี้ธันวาเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่บรรยากาศเก่า ๆ วันที่สองเราเคยพลอดรักกันอย่างลึกซึ้งและทำเรื่องทะลึ่งตึงตังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า   

นัยน์ตาดำคนยืนก้มหน้ามองสะท้อนภาพเคลื่อนไหวของมือที่กำลังช่วยสาวของลับ มือเรียวพยายามปั้นแก่นกายที่ไม่ใช่ของตัวเองให้แข็ง บีบนวดอย่างแรงเพื่อเร่งการขยายจนอวัยวะเพศพองคับมือ จะถือไว้ก็หนัก จะใช้ปากช่วยสถานที่ก็ไม่อำนวยเท่าไหร่ ด้านสุดท้ายคือให้สอดใส่แก่นกายเข้ามาในร่างทั้งแท่ง ก่อนแสงตะวันจะมาเยือนแทนที่จะมัวอารัมภบทก็ให้เริ่มถดกายเข้าออกอย่างเชื่องช้าหลังจากคาอยู่ปากอ่าวไม่นาน 

เล่นยัดของใหญ่ใส่รูที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่ามาก ภัคต้องถ่างขากว้างกว่าเก่าและเท้าฝ่ามือขอบเคาน์เตอร์ด้านหลัง ส่วนกลีบปากแดงก็อ้าไม่หุบเหมือนหว่างขา ส่งเสียงสั้น ๆ เคล้าไปกับตอนธันวาขยับช่วงล่าง ใช้แก่นกายเปิดทางเพื่อสร้างความคล่องตัวทีละนิด มือกร้านปลดกางเกงนอนกับชั้นในที่ติดตรงปลายเท้าขาวอย่างหมิ่นเหม่ออก รวมถึงลดกางเกงของตัวเองลงถึงเข่าแล้วค่อยช้อนข้อพับขาร่างบางดึงเข้าหาเพื่อรับแรงกระทุ้งที่ทำเอาสะดุ้งตัวโยน เมื่อมีหนแรกก็ต้องมีหนสอง ต่อด้วยสาม จังหวะที่สี่และห้าตามมาไม่หยุดยั้ง ประดังประเดเข้ามาจนพูดไม่เป็นภาษา 

ฝ่ามือเสียดสีกับเคาน์เตอร์จนเกิดเสียงเข็ดฟัน แต่คงไม่มีอะไรทำให้เสียวซ่านได้มากเท่าการขยับอย่างกระชั้นชิดจนเป็นเหตุให้สีหน้าบิดเบี้ยว สองขากลับมาเกี่ยวเอวสอบไว้อีกครั้งหลังสะเทือนเพราะแรงกระเด้า 

ภัคคิดไม่ออกเลยว่าพรุ่งจะก้าวเดินยังไงไหว ส่วนธันวาก็แค่ทำอย่างที่เคยได้แต่นึกและพยายามกอบโกยความรู้สึกของการได้ครอบครองคนที่รักไว้ให้ได้มากที่สุด ยื้อยุดไว้ด้วยลีลาทำรักที่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ถ้าไม่มีน้ำยามินตราก็คงจะไม่เก็บไว้หรอก หญิงสาวคงจะไล่ออกไปจากบ้านตั้งนานโทษฐานทำอะไรไม่ถึงอกถึงใจ

คนเป็นน้องชายเองก็ยอมรับว่าเสียดายที่ต้องสละผู้ชายตรงหน้าให้พี่สาวและลึก ๆ แล้วก็ไม่ได้อยากปล่อยมือจากธันเลย แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างมีหวังสุดท้ายคงลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมชิงรักหักสวาท ยังถือว่าโชคดีที่เมื่อเช้าไม่ได้ถึงขั้นสบถสาบานกับคิมหันต์ว่าถ้าผิดคำสัญญาขอให้ฟ้าผ่าตาย ไม่อย่างนั้นก็คงสิ้นอายุขัยตายคาอกแกร่งลงตรงนี้ 

ก็จริงที่กินน้ำใต้ศอกเขาเป็นรองพี่สาวมาตลอด แต่กับธันวาที่ได้ก่อน พอมองย้อนไปแล้วก็แอบสะใจ มินตราจะรู้ไหมว่ากำลังนอนกับไส้ศึกที่ถูกฝึกปรือโดยน้องชาย หญิงสาวคงอกแตกตายถ้ารู้ว่าชายผู้อยู่ในโอวาทลอบเอาความลับมาขายทุกเมื่อเชื่อวัน เจ้านายที่แท้จริงของธันวาคือภัคและเป็นรักแรกและรักเดียวมาโดยตลอด 

“สุดยอด…อ้า”  เอ่ยชมเพื่อโหมไฟพิศวาสให้กระพือ

มือเรียวเคลื่อนสะเปะสะปะและปัดโดนตะกร้าผักจนมันตกจากที่สูง

ลูกมะเขือเทศผลใหญ่กลิ้งให้เกลื่อนพื้นก่อนจะถูกธันวาที่ยืนบดบี้จนแหลก

ผลสีแดงปริออกจากกันจนเห็นด้านในที่ฉ่ำน้ำและไหลเยิ้มเป็นคราบลงตามร่อง

นอกจากแสงสว่าง เสียงครางก็เป็นอีกอย่างที่ลอดออกมาจากช่องใต้ประตูเกือบยันเช้า
















เพราะไม่เคยลองจับก็เลยไม่รู้ว่าเขากำลังงอก อีกอย่างคิมหันต์ก็มัวเอาแต่นั่งมองผนังว่างเปล่าระหว่างยกเท้าพาดกับโต๊ะทำงานบนสถานีตำรวจที่ปราศจากบุคคลนอก ลูกน้องมีเหลือบางตา ณ เวลารุ่งสาง แต่ใครกำลังทำอะไรนั้นนายตำรวจไม่ได้สนใจ แค่วางมือรองใต้ท้ายทอยแล้วค่อยเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ระหว่างครุ่นคิดถึงคำพูดหมอชันสูตรที่สรุปผลว่ามีคนทำให้แฝดน้องถึงแก่ความตาย ดูเหมือนว่าศพของเหมันต์จะสามารถบอกอะไรได้ตั้งหลายอย่าง 


‘ฆาตกรรมอำพราง…?’

‘ผู้ตายเสียชีวิตจากขาดอากาศจริงค่ะ แต่กรณีนี้มีความซับซ้อนกว่าที่คิด’

‘ยังไงครับ’

‘แม้ในร่างกายของผู้ตายจะมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ตกค้างแต่ก็ไม่มากพอทำให้ขาดสติค่ะ ถ้ามองเผิน ๆ แล้วก็เหมือนรูปแบบการฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอธรรมดา แต่ว่าที่ลำคอของผู้ตายกลับมีแผลถลอกมากกว่าหนึ่งรอยและทั้งสองรอยนั้นต่างขนาดกัน รอยแรกมีขนาดเล็กกว่าและบาดลึกกว่า สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดมาได้ทั้งจากสายไฟฟ้า เน็คไทด์ เชือก สายโทรศัพท์หรือแม้กระทั่งผ้าพันคอ ส่วนรอยที่สองมีขนาดใหญ่กว่าซึ่งก็ชัดเจนว่ามาจากผ้าห่มที่ใช้แขวนคอผู้ตาย’ 

‘คุณพูดว่าใช้แขวนคอผู้ตาย…’

‘ใช่ค่ะ แม้จะไม่พบรอยนิ้วมืออื่นนอกเหนือจากของผู้ตายบนผ้าห่ม แต่จากรอยอื่นที่พบก็สามารถทำให้เชื่อได้ว่ามีคนทำให้เขาถึงแก่ความตาย’

‘ผมไม่เข้าใจ’

‘ฉันลองตั้งข้อสันนิษฐานดู คนร้ายอาจจะรัดคอผู้ตายด้วยอาวุธบางอย่างจนขาดอากาศหายใจและหมดสติในที่สุด ก่อนจะจัดฉากให้เป็นการฆ่าตัวตาย พอจะเห็นภาพไหมคะ อีกอย่างคนร้ายต้องวางแผนมาดีไม่รู้ก็วิธีทำลายหลักฐานมากพอสมควรและต้องเป็นคนที่ตัวใหญ่ประมาณคุณหรือตัวเล็กกว่าคุณไม่เท่าไหร่ถึงจะแบกร่างผู้ตายได้ค่ะ’

‘หมายความว่ามีใครบางคนฆ่าน้องชายผมเหรอ’

‘หรือทั้งหมดก็อาจจะไม่ใช่ แต่ตอนที่ร่างถูกส่งมาชันสูตร ฉันพบว่าอวัยวะเพศของผู้ตายมีการแข็งค้าง ปกติแล้วในบางรายที่มีการผูกคอตายก็จะพบเห็นอาการแบบนี้ได้เช่นกัน …แต่ฉัน ขอโทษที่ต้องถามคำถามส่วนตัวนะคะ แต่คุณพอจะรู้ไหมว่าน้องชายมีรสนิยมทางเพศแบบไหน’

‘ไม่ครับ เราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว ว่าแต่คุณถามทำไม’ 

‘ฉันพบรอยรัดรอบอวัยวะเพศของผู้ตาย พอมาบวกกับรอยที่คอ มันก็ทำให้ฉันคิดถึงคดีฆาตกรรมนึงที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศน่ะค่ะ’ 

   ‘คดีอะไรครับ’

‘คุณตำรวจเคยได้ยินคำว่า ’ออโต้อีโรติค’  ไหมคะ’

‘ออโต้อีโรติค…?’

‘ใช่ค่ะ การมีเซ็กแบบวิตถาร …ทำให้ขาดอากาศหายใจเพื่อสำเร็จความใคร่’













------------------------------
อ่านคอมเม้นนักอ่านที่วิเคราะห์แล้วขนลุกเลยค่ะ รู้สึกขอบคุณมากๆและดีใจมากๆที่ตัวเองสามารถเขียนชี้นำไปทางนั้นได้ หลังจากนี้จะมีอะไรชวนตะลึงอีกมาก ทั้งยังท้าทายตัวคนแต่งด้วย ช่วยเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถคอมเม้นหรือติดแท็ก #ลั่น_ดาล ได้เลย แล้วตุ๊กติ๊กจะรออ่านความเห็นค่ะ ขอบคุณค่ะ  :

ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-06-2018 21:03:40
เป็นเรื่องฆาตกรรมอำพราง ลึกลับ ซ่อนเงื่อน และก็หื่นแบบสุดๆ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 26-06-2018 22:15:26
เปิดมาอีกปมแล้วววววววว
นุ้งภัคสรุปนุ้งจะฟาดผู้ชายทั้งบ้านแบบนี้เลยเหรอ
แล้วตกลงใครเปนพระเอก เราจะลงเรือผิดรำไหม
แต่ที่น่าจะเดาไม่ผิดคือภัคต้องเผลอทำเหมมันต์ตายแน่ๆ
อาจจะแบบกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วเกิดลงมือแรงไป
ตามที่ตำรวจสันนิฐานแปะเลยแน่ๆ

ตอนภัคตอกเสาเข็มกับคิมหันต์ว่าแซ่บแล้ว
แต่พอกับธันมันแซ่บกว่าอีกค่ะ
ผู้ชายพูดน้อยแต่เ_ดุนี่มันแซ่บจริงๆ
 :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 27-06-2018 01:06:54
อื้อหืออออ กับธันนี่คิดไว้แค่แอบรักนะไม่คิดเลยว่าจะเป็นผัวคนแรกของภัค ภัคนี่กะเหมาผู้ชายหมดบเานจริงๆเหรอ ถ้ามีจอมทัพอีกคนนี่จะอึ้งมากอะ ส่วนเรื่องอื่นๆดีใจที่ตัวเองเดาได้ค่อนข้างถูกเยอะ ไม่เสียแรงที่ชอบดูโคนัน ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 27-06-2018 02:29:24
ฉันงงไปหมดแล้วพี่ตา 5555

ขอเดาว่าเรื่องนี้เป็น incest ด้วยค่ะ หึหึหึหึ
(โคตรมั่ว 5555555)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Emmaline ที่ 27-06-2018 15:47:59
ที่เดาไว้หลายๆอย่างถูกต้อง และเื่องนี้ถูกใจมากค่า
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-06-2018 19:13:07
วนมาอ่านอีกรอบ รอบที่แล้วลืมเม้นท์ค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งประทับใจการใช้ภาษาในเรื่อง เผ็ดร้อนและดิบเถื่อนมากค่ะ ตัวละครทุกตัวเหมือนเป็นสีดำกันหมดยกเว้นหนูดาไว้คนนึง คุณตำรวจนี่เราคิดว่าก็น่าจะสงสัยภัคอยู่นะคะ แต่ด้วยแรงราคะนั้นก็เลยต้องยกยอดไปก่อน หาทางให้เรื่องจบสวยยังไงดี นอกจากเชียร์ให้ธันวาร่วมมือกับภัคฆ่าให้หมดแล้วหนีไปครองรักกันข้างนอก สามีคนแรกเด็ดขนาดนี้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมลีลามัดใจผู้ชายได้เยอะ มาอย่างมีชั้นเชิงจริงๆค่ะ ยอมมม  :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 27-06-2018 22:16:45
น้องภัคแอบแรดร้ายอ่ะ​ สุดยอดกับการฆาตกรรม​ รึภัคจะบงการธันวา​ ที่แน่ๆธันวาน่าจะมีส่วนในการตายของเหม​ ในเรื่องนี่หนูดาไม่ร้ายอยู่คนเดียวเลย​ คิมคือคนมาไขปริศนา​ โอ้ยยยพลอตเรื่องนี้สุดยอดมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Tpoltiw ที่ 27-06-2018 23:29:11
 :haun4:  :jul1:  :katai1:ยอมรับว่าเลือดกหมดตัวมากครับเรื่องนี้ยอมจริงๆ. คนแต่งแต่งได้ดีมากครับ.  เงื่อนซ้อนเงื่อนไปอีก อ่านมาที่แรกเครียดตาม. พอมาโจ๊ะพรึ่มๆกับธันวาอีก. เลยเลิกเครียดเอาสนุกพอ 5555 แต่งได้ดีมากครับ  :katai2-1: :katai2-1: :z10:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-06-2018 05:12:57
อ่านจบไปหาข้อมูลเรื่อง  ออโต้อีโรติค  จัดเป็นโรคทางเช็กซ์เบี่ยงเบนทางเพศ  เราคิดว่าภัคไม่ได้จงใจฆ่าเหมแต่อาจพลาดพลั่งมือไปเพราะเหมต้องขอให้รัดรัดอวััยวะเพศเพื่อบรรลุจุดยอด  หรืออีกทางเหมอาจเล่นเซ็กซ์คนเดียวรัดอวัยวะเพศรัดคอเองก็ได้เพราะมีการล๊อคกลอนประตูไว้ ตอนน้องดามาเคาะเรียกห้องล๊อคนี่แล้วภัคมาตามน้องดา   เพราะเราไปอ่านมาผู้ป่วยโรงนี้มักแอบทำคนเดียวล๊อคห้องขังตัวเอง  หรืออาจให้คู่ขาทำให้ 

    แต่ภัคนายร้ายแรดเงียบนะ 
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 28-06-2018 13:15:38
แซ่บบบ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 28-06-2018 17:12:06
มาเจอเรื่องนี้แล้วตามไปเหมายันแล้วกลับมาอ่านเรื่องนี้ต่อ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Emmaline ที่ 28-06-2018 18:19:46
อูยยยย ภัคแซ่บมากค่า  :haun4:
นี่เดาว่าภัคพลั้งมือฆ่าเหมขณะมีเซ็กซ์แล้วธันช่วยวางแผนอำพราง และคุณพ่อที่น้องดาเห็นคืนนั่นเป็นคุณตำรวจ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๐) ๒๖.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 28-06-2018 20:34:28
๑๒





บุคคลแรก ๆ ที่ใครหลายคนเห็นในวันลืมตาดูโลกคงเป็นหน้าพ่อแม่  แต่สำหรับเด็กกำพร้าคำว่าบิดามารดาสะกดยังยาก รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่แม้จะหลงเหลือติดอยู่ในความทรงจำ ธันวาที่ได้ชื่อมาเพราะถูกพบในถังขยะช่วงเดือนธันวาคมโตมากับสถานสงเคราะห์แถวย่านชุมชนแออัดและมีชีวิตอยู่อย่างอัตคัดกับเด็กอีกประมาณสิบกว่าชีวิต

ไม่เคยมีใครได้กินข้าวครบสามมื้อ อย่างหรูก็แค่สองและวันนั้นต้องเป็นวันที่มีผู้ใหญ่ใจดีหอบข้าวหอบของมาบริจาคพ่วงท้ายด้วยนักข่าวยาวเป็นหางว่าว พวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนใจบุญสุนทานยืนถ่ายรูปคู่กับเด็ก ๆ เพื่อเอาไปทำข่าว ป่าวประกาศความเมตตาที่มีต่อเพื่อนร่วมโลก

ในขณะที่เด็กหลายคนหลงมีความสุขไปกับน้ำใจที่แสนฉาบฉวยและจอมปลอม เชื่อว่าจะมีพ่อแม่อุปถัมภ์มารับไปเลี้ยงดูอย่างดีอย่างที่เจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ชอบกรอกหู แต่เด็กชายเจ้าของนัยน์ตาว่างเปล่ากลับรู้ดีว่านั่นเป็นคำลวงที่แสนอันตราย ก็แค่หลอกให้มีชีวิตอยู่เพื่อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไปวัน ๆ เพราะถ้ามีจริงจำนวนเด็กก็คงจะลดลงไปตั้งนานแล้ว คงไม่มานั่งหน้าสลอนท่องบทสวดขอบคุณพระเจ้าก่อนกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา   

เด็กชายธันวามองเห็นความจริงที่ว่าตัวเองนั้นมีทางเลือกอยู่อย่างจำกัดและแทนที่จะทนอยู่เพื่อกัดก้อนเกลือกินกับพวกเด็กที่ชะตากรรมเดียวกันในสถานสงเคราะห์ พออายุสิบสี่ก็เลือกหนีออกมาจากสถานที่ที่แอบตั้งชื่อให้ว่ากรงขังเพื่อมาเจอกับโลกที่หมักหมมไปด้วยความโหดร้ายและความป่าเถื่อนยิ่งกว่า

เด็กผู้ชายช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อจะทำอะไรได้นอกจากวิ่งเข้าหาโอกาสแทนการนั่งรอ แต่เพราะยังเป็นผู้เยาว์ เจ้านายตามร้านอาหารก็ไม่อยากจะจ้างให้เป็นปัญหา บอกว่าต้องรอสักอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่เพราะเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่อยู่ได้ด้วยแบตเตอรี่ ชั่ววูบหนึ่งคิดว่าจะทำการจี้ปล้นคนเดินผ่านไปผ่านมาในยามวิกาลเพื่อเอาเงินที่ได้นั้นมาซื้อข้าวกิน แต่สุดท้ายก็ใจไม่หินพอจะทำร้ายใคร ได้แต่นั่งหลบอยู่ข้างถังขยะ มองหมาแมวคุ้ยหาอาหารโดยไม่คิดจะทำการเข้าไปคุ้ยแย่งด้วยอีกคน จนกระทั่งวันนึงจับผลัดจับผลู อยู่ดี ๆ ก็ได้เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อเพราะโชคเข้าข้าง ผู้จัดการร้านกำลังรับสมัครพนักงานพอดี รายได้ขั้นต่ำต่อวันช่วยประทังชีวิตให้รอด บวกกับความขยันทำงานล่วงเวลาจนมีเงินก้อนพอเช่าห้องเท่ารูหนูที่อยู่ในย่านเสื่อมโทรมของสังคมประเทศนี้เลยก็ว่าได้

ทุกวันเด็กชายที่กลายเป็นหนุ่มตัวสูงใหญ่จะต้องเดินผ่านสถานอโคจรที่มองลอดกระจกไปจะเห็นโสเภณีที่กวักมือเรียกเป็นพัลวัน หันไปอีกข้างก็จะเจอพวกพี้ยา มีทั้งผู้ค้าและผู้ขาย ไหนจะพวกขี้เหล้านอนเมาแอ๋เหมือนหมาข้างถนน

แต่คนมันดีโดยสันดาน ถึงได้เดินผ่านพวกนั้นมาได้และไม่เคยแม้แต่จะคิดอยากลองเลยสักครั้ง ทุกวันของเด็กหนุ่มมีแต่คำว่างานอย่างเดียว รวมถึงไม่ได้ข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนทั้งที่เป็นวัยเจริญพันธุ์ จนเพื่อนร่วมงานยังแซวอยู่บ่อยครั้งว่าลองหาดูสักคนสิชีวิตจะได้มีสีสัน แถมหน้าตาดีแบบนี้ถ้าประกาศว่าโสดสาวน้อยสาวใหญ่คงจะวิ่งมาต่อแถวกันให้ล้นร้านเป็นแน่ แต่ขนาดโดยยุแหย่วันเว้นวัน คนพูดน้อยมาตั้งแต่จำความได้ก็ยังยืนยันว่าไม่ต้องการ

ธันวาในตอนนั้นไม่ได้ปรารถนาจะหาภาระเพิ่มให้กับตัวเองและปฏิเสธการเป็นเด็กในความสังกัดของใคร หลายครั้งที่ความหล่อเหลาเข้าตากรรมการจนขนาดมีเอเจนซี่ใหญ่ ๆ ร่อนการ์ดเชิญให้ไปลองทดลองงานในวงการมายา แต่เด็กหนุ่มก็เอาแต่ส่ายหน้าและเรียกลูกค้าคนถัดไปมาคิดเงิน ตัดช่องทางแจ้งเกิดของตัวเองด้วยเหตุผลไม่อยากให้ใครมาค้นประวัติ มัวแต่ลีลาท่ามากจนบางทีก็ทำคนรอบข้างหมั่นไส้ ลามไปยังคนไม่รู้จักมักจีกัน

จำได้ว่าวันนั้นฝนเพิ่งหยุดตกไม่นานก็ล่ำลาเพื่อนร่วมงานตามปกติ ผ้าใบกลางเก่าค่อย ๆ ย่ำไปบนน้ำนองที่เอ่อขังตามท้องถนน เกือบจะพ้นโค้งอยู่แล้วเชียวแต่ก็โดนใครไม่รู้เหนียวรั้งไว้ด้วยการคว้าไหล่จนต้องหันใบหน้ากลับมามองและจ้องหน้าตายระหว่างใช้สมองระลึกว่าเรารู้จักกันหรือเปล่า ซึ่งไอ้ท่าทางสบตาซึ่ง ๆ หน้าทำเอาเจ้าถิ่นเนื้อเต้น เห็นแล้วอยากสั่งสอนให้รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ความจริงก็แค่คนเสียพนันที่ไม่รู้จะไประบายอารมณ์โมโหที่ไหนเลยเอามาลงกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เสียงห้าวตะโกนลั่นตรอกว่าทำเป็นเท่นักเหรอมึงก่อนจะกระโจนเข้าใส่ ตะบั้นหน้าจนคนไม่ทันตั้งตัวถอยหลังไปหลายก้าวและเมื่อถึงคราวต้องสู้ก็ไม่มีถอย

เสียเปรียบอย่างเดียวตรงที่จำนวนคนน้อยกว่า หากวัดกันที่สรีระ ความยาวแขนขายังไงศึกนี้ก็สูสี แต่พอดีอีกฝ่ายไม่ได้เล่นงานแบบตัวต่อตัวเหมือนพวกกลัวจะแพ้ เพื่อนพ้องแห่กันเข้ามารุมทำลายเด็กหนุ่ม ตะลุมบอนจนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้แผลเหวอะหวะและกระอักเลือด น่ากลัวว่าจะมีกระดูกหลายชิ้นเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม ก่อนสภาพจะยิ่งดูเริ่มไม่เหมือนคน ฟกช้ำจนแทบจำเคล้าเดิมไม่ได้ เละเทะแทบไม่เหลือชิ้นดี …บางทีถ้าในตอนนั้นไม่มีเสียงตะโกนหลอกว่าตำรวจมา ชีวิตมนุษย์ของธันวาก็คงจะจบลงอย่างน่าเสียดายและกลายเป็นแค่ผีไร้ญาติเฝ้าตรอก     

เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งพยายามฝืนมองใบหน้าของพลเมืองดีที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาดูอาการบาดเจ็บพร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวายให้คนช่วยเสียงหลง แถมยังกล้าคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไม่กลัวเสื้อผ้าจะสกปรกแต่อย่างใด

นั่นเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มผู้แสนเดียวดายได้สัมผัสกับความอ่อนโยนและได้ยินน้ำเสียงซึ่งเจือปนไปด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้นอนหนุนตักที่นิ่มอย่างกับนุ่นระหว่างรอคอยความช่วยเหลือไปพลาง ๆ 

‘นายทำใจดี ๆ ไว้นะ! เฮ้ ได้ยินฉันไหม อย่าเพิ่งสลบนะ!’

อยากจะตอบกลับว่าได้ยิน แต่ติดที่ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปากเลยทำแค่นอนหายใจพะงาบ ๆ แอบหลุบตามองเงานางฟ้าผ่านแอ่งน้ำชำจนกระทั่งภาพทุกอย่างดับไป ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าคนที่ช่วยชีวิตให้รอดจากเงื้อมมือมัจจุราชชื่อภัค คนเดียวกับตอนนี้ที่กำลังฆ่ากันให้ตายทั้งเป็นและพร้อมจะเฉดหัวกันลงนรกทุกเมื่อ 

 











ช่วงบ่ายกว่าน้าชายที่ตื่นสายกว่าวันที่แล้ว ๆ มา ถูกหลานสาวชวนเล่นซ่อนแอบด้วยกันอย่างกระตือรือร้น โดยกฎกติกามีอยู่ว่าจะหลบซ่อนตรงไหนก็ได้แค่ขอเป็นในบริเวณบ้าน แค่ผลัดกันเป็นฝ่ายซ่อนและอีกฝ่ายต้องหา ทั้งคู่สลับบทบาทไปมารอบแล้วรอบเล่าจนกระทั่งวนกลับมาถึงตาผู้ใหญ่ต้องก้าวเท้าไปทั่วอย่างไร้จุดหมายอาศัยการเดาสุ่ม ถ้าโชคดีก็เจอไว ถ้าโชคร้ายก็จะเป็นเหมือนตอนนี้ที่กำลังเดินออกมาถึงข้างนอกตัวบ้านและลัดเลาะไปตามเงาไม้

แต่ระหว่างค้นหาอยู่ดี ๆ นั้นภัคก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสืบเข้ามาใกล้อย่างกระชั้นชิด ทีแรกคิดว่าเป็นหนูดาที่คงแอบออกจากที่ซ่อนแล้วหวังจะวิ่งมาแกล้งชนให้ตกใจ แต่พอได้สัมผัสกับพละกำลังมหาศาลขนาดอุ้มจนตัวลอยจากพื้นก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ ไหนจะมือที่ยื่นมาปิดปากซึ่งมีขนาดต่างจากมือเด็กมากนัก  “อื้อ!”  ร่างบางดิ้นรนยามโดนบุคคลปริศนาดักฉุดกลางทางก่อนจะลากเข้ามุมอับสายตาคนภายในเวลาชั่วอึดใจ       

คนตระหนกเกือบกัดมือใหญ่เพื่อเอาตัวรอด โชคดีที่อีกคนทันเอามือออกก่อนแล้วแสดงตัวว่าเป็นใคร ที่แท้โจรลักพาตัวตอนกลางวันแสก ๆ ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่เป็นนายตำรวจที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่และเซอร์ไพรส์กันด้วยการเล่นอะไรแผลง ๆ อีกตามเคย

“ถ้าผมหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง”  คนกลัวจริงเอ่ยระคนหอบ   

ส่วนคนชอบใจที่แกล้งร่างบางได้สำเร็จก็ยืนยิ้มหน้าระรื่นขณะรวบกอดร่างที่พยายามขืนตัวออกจากวงแขนไว้แน่น ๆ  “ผมก็คงจะรีบฆ่าตัวตายตามคุณไปเลยน่ะสิ”

“คิดว่าตัวเองเป็นโรมิโอหรือไงคุณ”  ภัคยังหงุดหงิดไม่หาย ไม่ใช่แค่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ยังแสดงอาการที่บ่งบอกว่าไม่ชอบเอามาก ๆ ผ่านทางสีหน้าบึ้งตึง

แต่ก็ใช่ว่าคิมหันต์จะสำนึกหรือสลด ยังเย้าแหย่คนอารมณ์เสียไม่เลิกผ่านการออดอ้อนออเซาะ  “แล้วหน้าตาอย่างผมพอจะเป็นโรมิโอของคุณได้หรือเปล่าล่ะ”  อุตส่าห์ทิ้งระยะให้ได้มีเวลาคิดแล้วค่อยตอบ แต่นอกจากร่างบางจะไม่พูดอะไรแล้วยังไม่ยอมมองหน้าอีกด้วย   

คนที่เล่นพิเรนทร์จนได้เรื่องจึงต้องเออออเอาเอง  “ไม่ตอบจะถือว่าได้นะ”  ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการง้ออย่างเต็มรูปแบบ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียกับพวงแก้มอมชมพูไม่ห่าง ยิ่งอีกฝ่ายยังนิ่งยิ่งเอาใหญ่ พอเห็นว่าไม่ขัดขืนหน่อยก็เริ่มใช้กลีบปากขบผิวกายละเอียด หายใจรดต้นคอขาวเนียนที่ตั้งตรงขณะเคลื่อนริมฝีปากลงต่ำท่ามกลางการยืนเฉย   

ไม่หลบแต่ก็ไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด ภัคไม่ไหลไปตามน้ำแม้คิมหันต์จะพยายามเรียกร้องความสนใจอย่างหนัก  “เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นหรอก”  แต่ก็ยังดีที่มีน้ำใจเตือนให้รู้จักระวัง 

“ผมไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”  ปากปฏิเสธแต่มือนี่กำลังเฟ้นตามร่างกายบางหวังจะกระตุ้นอารมณ์บ่มความต้องการให้งอกเงย  “ผมกำลังเล่นซ่อนหากับหนูดาอยู่นะ จะดีมาก ๆ ถ้าคุณช่วยผมตามหาแก”  แต่ก็ลงเอยด้วยคำว่าไม่สมปรารถนา เพราะไม่ว่าจะเล้าโลมอย่างไร คนโดนสัมผัสก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง  “ก็ได้ ๆ” 

นายตำรวจเป็นฝ่ายยอมแพ้และผละตัวออกทันทีที่ตระหนักได้ว่าร่างบางคงจะยังโกรธ รวมถึงยืนรอรับการลงโทษโดยไม่มีข้อแก้ต่างใด ๆ อย่างลูกผู้ชาย

คิมหันต์เดาว่าสุดท้ายแล้วตัวเองคงจะโดนทุบสักปัก ไม่ได้คิดว่าร่างบางจะเขย่งตัวขึ้นมาจูบแบบไว ๆ ถ้ารู้ตัวก่อนก็คงจะรั้งไว้ไม่ปล่อยให้เป็นแค่เพียงการเอาปากแตะปาก แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน กำลังรู้สึกผ่อนคลายเวลามือเรียวสัมผัสโดนใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยของการอดหลับอดนอนอย่างชัดเจน ที่ภัคงอนได้ไม่นานก็เพราะมองเห็นความอิดโรยเหล่านั้น จนออกอาการเป็นห่วง ลูบหน้าลูบตาที่ดูง่วงเหงาหาวนอนพิกล ความจริงแล้วในวินาทีนี้นายตำรวจน่าจะอยากได้หมอนมากกว่าอยากได้ตนเสียอีก
 
“ตัวเองจะไม่ไหวอยู่แล้วยังมีหน้ามาทำลามกใส่คนอื่นอีก”

คนโดนบ่นหัวเราะเบา ๆ แล้วฉวยเอามือเรียวข้างนั้นมาหอม  “ผมไหวน่า” 

“เอากระจกไหมครับ จะได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน”  บางทีที่คนตรงหน้าทำตัวหื่นกามอาจจะแค่กำลังเบี่ยงเบนความสนใจเพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนล้าของตัวเองอยู่ก็เป็นได้ แล้วถ้าจะให้ใจร้ายใส่อีกคงกลายเป็นคนใจดำน่าดู  “เมื่อคืนทำงานจนไม่ได้นอนเลยเหรอครับ”

“อยู่บ้านก็ใช่ว่าผมจะได้หลับนี่”  มีการยอกย้อนแล้วสวมกอดคนที่เถียงไม่ออกจากทางด้านหลังอย่างอ้อน ๆ ภัคได้แต่เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่วางเกยอยู่บนบ่าตัวเองพลางถอนหายใจ ไม่คิดเอาความแต่กลับเสนอสิ่งดี ๆ ให้ในฐานะของคนรักที่อยากให้คนที่รักได้พักผ่อน  “ขึ้นไปนอนข้างบนดีไหม เดี๋ยวผมหาหนูดาก่อนแล้วเราค่อยไปกันนะ”

“ผมก็อยากจะขึ้นไปนอนเหมือนกัน แต่ผมยังทำงานไม่เสร็จเนี่ยสิ” 

เพราะยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบถึงได้หอบงานการกลับมาทำที่บ้านอย่างจนใจ แล้วที่เดินหลบออกมาตามหาร่างบางก็เพราะอยากอยู่กับของสวย ๆ งาม ๆ อยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่า ไม่ใช่ต้องทนยืนรำคาญกับเสียงเอะอะโวยวายเวลาผู้หญิงสองคนทะเลาะกัน นายตำรวจสามารถเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้จากประสบการณ์เมื่อคราวก่อนและไม่ผิดจากที่คาดไว้สักนิด ขนาดอยู่ไกลยังได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแวงแว่วดังมาจากในตัวบ้าน 

“นั่นเสียงโมรีนี่ครับ”     

“พอดีผมนัดเธอมาสอบปากคำใหม่อีกรอบน่ะ”

“สอบปากคำใหม่อีกรอบเหรอ ทำไมล่ะ”

“ดูเหมือนคุณจะสนใจเรื่องคดีมากกว่าผมอีกนะ”  แซวเล่นในประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อใจคนฟัง อาจจะตั้งใจหรือไม่เจตนา นัยน์ตาดำไม่บ่งบอกเลยว่ากำลังรู้สึกอะไร

“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ”  หากยังทำตัวงี่เง่าต่อไปมีหวังไม่นานคงถูกทิ้ง ถึงจะรู้ในความจริงข้อนี้ดีแต่มันก็อดไม่ได้ ไหนเคยบอกว่าจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแล้วมาพูดบ่ายเบี่ยงอย่างนี้มันหมายความว่าอย่างไรถ้าไม่ใช่คิดจะมีความลับหรือพยายามปกปิดบางอย่าง     

“ภัค~”  เรียกแล้วรั้งร่างคนที่ทำท่าจะเดินหนีกลับมากอดเอวไว้หลวม ๆ เหมือนเดิม  “แค่สอบปากคำธรรมดาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”  คิมหันต์ไขข้อข้องใจและไม่ลืมย้ำอีกรอบ  “จริง ๆ นะ”

“แน่ใจนะครับ”   

“ไม่ใช่ว่าคุณกำลังหึงผมหรอกเหรอ เห็นผมต้องยุ่งกับเธออีกคุณเลยกลัวผมจะชอบคุณโมรีเหมือนน้องชาย…?”

“ถ้าคุณชอบเธอผมก็คงห้ามอะไรคุณไม่ได้หรอก”

“งั้นคุณจะยอมยกผมให้เธอเหรอ” 

“ไม่มีวัน”  ภัคหมุนตัวกลับหลังหันแทบจะวินาทีเดียวกับที่ให้คำตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง ขู่คิมหันต์ทางสายตาว่าถ้าจะนอกใจกันก็เอาสิแต่งานนี้คงได้มีการนองเลือดเกิดขึ้นแน่และจบไม่สวยอย่างแน่นอน   

“เวลาหึงคุณยิ่งดูเซ็กซี่เป็นบ้า”   

“คุณคงง่วงจนตาพร่าแล้วล่ะ”  นับถือเลยกับการพาเปลี่ยนประเด็นได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้าด้วยกันจนบางทีก็ตามไม่ทันและนายตำรวจนึกว่าตัวเองกำลังโดนปั่นหัวเล่นอยู่ซะอีก  “แล้วผมจะต้องสอบปากคำใหม่อีกรอบด้วยไหมครับ มีใครคนอื่นอีกหรือเปล่า”

“วันนี้มีแค่พี่สาวคุณกับคุณโมรี อ่อ… นอกเสียจากว่าคุณจะรู้ว่าเหมันต์มีรสนิยมทางเพศแบบไหนน่ะนะ คุณถึงจะถูกสอบปากคำด้วยอีกคน”     

“รสนิยมทางเพศ…”  ทวนเสียงเบา  “แล้วผมจะไปรู้รสนิยมทางเพศเขาได้ยังไง” 

“นั่นสิเนอะ คนที่จะรู้ได้ก็ต้องมีแต่คนที่เคยนอนกับน้องชายผมเท่านั้น”  คิมหันต์พูดเองเสร็จสรรพก่อนจะถามคำถามเดียวกับร่างบางด้วยซุ่มเสียงจริงจัง  “แล้วคุณเคยนอนกับเขาหรือเปล่าละภัค” 

เพราะรู้จักกันมาก่อนจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายแค่ถามเล่น ๆ

ร่างบางเห็นสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็หลุดหัวเราะ  “คุณถามเอาตลกเหรอ”     

“เปล่า ผมถามจริง ๆ”   

ทุกอย่างแน่นิ่งท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน ก่อนนายตำรวจจะทวนประโยคคำถามอีกครั้งอย่างช้า ๆ ชัด ๆ  “ผมถามว่าคุณเคยนอนกับน้องชายผมหรือเปล่า” 

ภัคเหมือนโดนหมัดปริศนาต่อยเข้าที่หน้าจนน็อคไป เกือบจะล้มหงายหลังยังดีที่ได้มือใหญ่คว้าตัวไว้ทันก่อนคิมหันต์จะรีบถามอาการด้วยความตกใจว่าเป็นอะไรหรือเปล่า 

“คงเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ”   

“งั้นเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ” 

พอเสนอความเห็นเสร็จ นายตำรวจก็ช้อนร่างคนจะเป็นลมขึ้นด้วยท่าเจ้าสาว แต่คนถูกอุ้มกลับทำสีหน้าเหมือนไม่ดีใจที่กำลังจะได้เข้าวิวาห์ สงสัยคงเพราะกังวลว่าเจ้าบ่าวจะรู้ความจริงว่าเคยมีประวัติอันฉาวโฉ่มาก่อน













“นายเห็นตอนที่ยัยนั่นยอกย้อนฉันไหม ฉันละอยากจะตบมันให้เลือดกบปาก”  หญิงสาวกัดฟันพูดระหว่างทุบกำปั้นลงกับพนักแขนเพื่อระบายความเคียดแค้นที่มันอัดแน่นอยู่ในทรวง  “ฉันอยากทำให้มันเสียโฉมจะได้ไม่มีหน้าไปเป็นเมียน้อยใครเขาอีก ฉันอยากจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ”  ก่อนสายตาที่อยากกินเลือดกินเนื้อกันจะตวัดมองชายผิวซีดที่ยืนห่างไปเป็นวาแล้วบอกความปรารถนาจากก้นเบื้องของหัวใจให้ฟังอย่างเปิดเผย     
     
“ฉันอยาก …อยาก อยากให้มันหายไปจากโลกใบนี้ได้เลยยิ่งดี”

มินตราแจ้งเจตนารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ถึงไม่พูดคำว่า ‘ฆ่า’ ออกมาชัด ๆ แต่เป็นใครได้ยินก็สามารถตีความความต้องการลึก ๆ นั้นออกและภาระหนักก็มากองอยู่บนฝ่ามือของธันวาในชั่วพริบตา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การฆ่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของงานดูแลคนพิการ อยากปฏิเสธแต่ก็กลัวโดนเฉดหัวไล่ออกจากเคหะสถาน

บางทีคนที่น่าสงสารที่สุดอาจจะเป็นพูดน้อยคนนี้ จากเด็กหนุ่มที่สภาพแวดล้อมไม่มีผลแต่กลับโอนอ่อนให้กับคำพูดขายฝัน เพราะเล็งเห็นโอกาสในอนาคตถึงได้เชื่อคำคนผ่านโฆษณาที่คิดดูแล้วก็ไม่ได้หลอกลวงผู้บริโภคตรงไหน ที่โกรธภัคไม่เคยลง ส่วนหนึ่งคงเพราะร่างบางพูดความจริงทุกอย่างและเป็นตัวเองที่คาดหวังมากเกินไป

ทั้งที่ตอนนั้นจะไม่ตอบรับความเมตตาของร่างบางก็ได้
แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเลือกทางเดินนี้เอง       


‘งั้นนายมาทำงานกับฉันไหมล่ะ เงินเดือนอาจจะไม่มาก แต่นายจะมีข้าวกินครบทั้งสามมื้อแล้วก็มีที่พักด้วยนะ’

‘งานอะไรเหรอครับ’

‘ดูแลคนพิการ พี่สาวของฉันเอง...’



“นี่ ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าธัน”

หญิงสาวค่อย ๆ ย่างก้าวด้วยเท้าตัวเองมาหยุดตรงหน้าธันวาที่หลุบตามองแต่พื้น
“เป็นอะไร”  มินตราถามด้วยความสงสัยหาได้เป็นห่วงมากมาย

“เปล่าครับ”  และในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกก็ขี้เกียจจะเค้นเอาความ แค่ถามคำถามเดิมซ้ำตามประสาคนต้องการความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด  “ตกลงนายได้ยินที่ฉันสั่งหรือเปล่า”

“ได้ยินครับ”

“ดี”  มินตราพูดแค่คำสั้น ๆ แล้วสะบัดก้นเดินไปยังหน้ากระจก เดินได้มั่นคงมากขึ้นหลังจากซุ่มทำกายภาพบำบัดมานาน หญิงสาวรวบผมแล้วมัดเพื่อเตรียมจะอาบน้ำอาบท่า ระหว่างเปลื้องผ้าทีละชิ้นก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปด้วยและก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปไม่ลืมหันกลับมาสั่งอีกคนว่าช่วยเตรียมชุดนอนให้ที   

ขี้ข้ายืนยิ้มให้ตัวเองอย่างขมขื่น นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาที่อุตส่าห์หวังไว้เสียดิบดีว่าจะได้เป็นมากกว่าแค่เด็กกำพร้าที่มาจากชุมชนแออัด หากรู้ล่วงหน้าว่าโตขึ้นมาแล้วจะต้องเป็นในสิ่งที่คนรอบข้างต่างยัดเยียดให้ ก็คงจะกลั้นใจตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว 










ฤดูหนาวก็ไม่ใช่ แต่อากาศกำลังเย็นจัดเพราะสายฝน คิมหันต์กกกอดภัคไว้ตลอดค่อนคืนก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงริงโทน มือใหญ่ค่อย ๆ ควานหาต้นกำเนิดเสียงดังทั้งที่ยังหลับตาสองข้าง มีสายฉุกเฉินโทรเข้ามากลางดึกและเจ้าของโทรศัพท์ต้องรีบรับสายก่อนเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องจะทำให้อีกสองคนที่นอนร่วมเตียงตื่นจากนิทรา

นายตำรวจสะบัดหัวสองสามทีแล้วลุกขึ้นนั่งพลางกดรับสาย เป็นฝ่ายฟังคนอีกฟากพูดอย่างเดียว มีเหลียวกลับมามองคนด้านหลังที่ขยับตัวลุกขึ้นนั่งนิดหน่อยแล้วค่อยหันหน้ากลับไป ช่วงเวลาเดียวกันนั้นร่างบางก็ได้เอื้อมมือเปิดโคมไฟฝั่งที่ใกล้สุดและได้ยินคนนั่งหันหลังให้พูดว่าจะรีบตามไป 

“ใครโทรมาเหรอครับ”  ถามในตอนที่สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้วเรียบร้อย     

“ลูกน้องน่ะ”  ตอบพร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูง ไอ้ท่าทางเหมือนกำลังจะไปไหนสร้างความงุนงงให้กับคนนั่งมองเป็นอย่างมาก  “มีเรื่องอะไรเหรอครับ” 

“ลูกน้องโทรมาตามไปสถานที่เกิดเหตุ” 

“สถานที่เกิดเหตุ… กลางดึกแบบนี้เนี่ยนะครับ”  ย้อนถามพลางขยับหลบเพื่อให้นายตำรวจโน้มตัวลงมาหอมแก้มลูกสาวได้ถนัด คิมหันต์หอมกระหม่อมร่างบางปิดท้ายแล้วค่อยเฉลยว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ตื่นเต็มตา  “โมรีเสียชีวิตแล้วนะ”

ภัคชะงักค้างนั่งเบิกตาโตด้วยความตกใจ คนเพิ่งเห็นกันอยู่หลัด ๆ มันก็อดใจหายไม่ได้ เสียดายความอ่อนเยาว์ ยังสาวเกินไปที่จะหมดอายุขัย ร่างบางได้รู้ข้อมูลแค่ว่าเมียน้อยอีกคนของพี่เขยไม่ได้ตายตามธรรมชาติ ส่วนคนรู้เรื่องราวดีไม่ยอมบอกว่าเป็นอุบัติเหตุหรือเพราะอะไร แค่ทิ้งท้ายว่าเดี๋ยวรีบไปรีบกลับตอนล่ำลากันตรงหน้าประตูบ้าน

“ขับรถดี ๆ นะครับ” 

น้ำเสียงเป็นห่วงย้ำเรื่องความปลอดภัย เห็นสายฝนด้านนอกแล้วก็ไม่อยากให้คนต้องขับรถรีบร้อน ภัคยืนกอดอกเพราะลมที่พัดเข้ามาปะทะตามร่างกายระหว่างมองไฟท้ายรถยนต์เคลื่อนออกไปจากบริเวณรั้วบ้านอย่างช้า ๆ

รอส่งจนกระทั่งแสงสีส้มกลืนไปกับความมืดถึงได้เลิกยืนอยู่กับที่ ร่างบางเตรียมจะปิดประตูบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มีมือหนึ่งรั้งบานไม้ไว้จากด้านนอกตอนที่ฟ้าร้องเสียงดัง แสงสีขาวปรากฏจนพื้นที่โดยรอบสว่างวาบ นัยน์ตาสั่นระริกถึงได้เห็นสภาพเปียกโชกของธันวาที่ดูก็รู้ว่าคงเดินตากฝนกลับมาหลังจากออกไปทำธุระในยามวิกาล   


‘อยากจูบฉันเหรอ’

‘ครับ’  ยอมรับหน้าตายและกลายเป็นคนถามที่ต้องอายแทน

‘จะไม่ปฏิเสธหน่อยเหรอ’  หัวเราะแก้เขินน้อย ๆ แล้วค่อยเขยิบตัวเข้าใกล้จนไหล่เกยกับชายหนุ่มที่ยังจ้องหน้าไม่เลิก  ‘แล้วนายเคยจูบกับใครมาก่อนหรือเปล่า’ 

เจ้าของผิวกายขาวซีดส่ายหน้า ก่อนที่ร่างบางจะยอมรับตรง ๆ  ‘ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน’

คงเพราะบรรยากาศเป็นใจ จากจูบแรกถึงได้เลยเถิดไปถึงขั้นตกล่องปล่องชิ้น นอนแบกับดินกินกลางทราย ร่วมรักอย่างร้อนแรงภายใต้แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ความระอุทะละร้อยองศา จากวันนั้นมาตราตรึงจวบจนปัจจุบัน



“ธัน …? ธันวา ตกลงจะไม่เข้ามาใช่ไหม” 

ภัคเปล่งเสียงดังจนชายหนุ่มที่ขังตัวเองในภวังค์ได้สติและก้าวเท้าเข้ามาในบ้านในที่สุด ทำแค่ยืนมองร่างบางปลดสายรัดเอวแล้วถอดชุดคลุมตัวนอกออก มือเรียวใช้ชุดตัวเองซับเส้นผมกับตามกรอบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำอย่างคล่องแคล่ว  “เดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก”

ไม่วายบ่นคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เข้าไปทุกขณะ  “เดี๋ยวฉันหาอะไรอุ่น ๆ ให้ดื่ม”

ยิ่งร่างบางทำดีด้วยมากเท่าไหร่ ธันวาก็เหมือนคนที่ใกล้จะสำลักน้ำตายไปทุกที
ไม่มีทางลบอีกคนไปจากใจ ในเมื่อยังทำราวกับเป็นห่วงเป็นใยกันเหมือนดั่งเช่นวันวาน 
บอกมาเลยว่า ‘ฉันไม่ต้องการนายแล้ว’ ยังจะดีเสียกว่า

ไม่ใช่มาต่อเติมความหวังผ่านประโยคบอกเล่าธรรมดาที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นประโยคเชิญชวนก็ได้เหมือนกัน  “คืนนี้ ‘เขา’ ไม่อยู่นะ เห็นว่าต้องรีบไปที่ไหนเนี่ยแหละ รู้ไหมว่าโมรีตายแล้วนะ”  ภัคเล่าให้ฟังตามปกติแล้วก็ชะงักไปอย่างไม่มีเหตุผล เสมือนคนฉุกคิดอะไรได้ ก่อนจะช้อนนัยน์ตามองหน้าคนพูดน้อย  “นี่นาย…” 

ต่างฝ่ายต่างผวาเพราะเสียงฟ้าร้อง เสียงดังกึกก้องทำหูแทบดับ ตามด้วยแสงสีขาวที่ทำให้เห็นข้าวของภายในบ้านอย่างชัดเจน รวมถึงเห็นสีหน้าของซาตานที่หมายมั่นจะเอาชีวิต

ก็แค่วนรถกลับมาเอาของที่ลืม ไม่เคยคิดว่าจะเจอกับภาพบาดตาบาดใจ

คิมหันต์ไม่ใช่ซาตานหรอก ก็แค่คนที่กำลังถูกนอกใจ มีเขาเหมือนกันแต่เป็นควายต่างหาก               












------------------------------
หลายคนมาถูกทางแล้วนะคะ แต่ว่าหลังจากนี้จะมีเซอร์ไพรส์อีกแน่นอน มันก็จะซับซ้อนหน่อยๆจนคนแต่งเริ่มเครียดเอง55555555555 55 ยังไงคอมเม้น บวกเป็ด หรือติดแท็ก #ลั่น_ดาล ในทวิตได้เลยนะคะ ตุ๊กติ๊กจะรออ่านความเห็นค่า
ปล.ลังเลว่าจะอัพลงอีกตอนดีไหม ดีไหมเอ่ย

ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-06-2018 21:04:19
จบตอนแบบอ้าปากค้างเลย ก็คิดไว้ว่าธันวาออกไปฆ่าโมรีตามที่มินตราสั่งแน่ๆ แต่คนฆ่าเหมันต์นี่หรือภัคจะเป็นแค่คนเห็นเหตุการณ์กันนะ แบบธันวาหึงหวงเลยฆ่าเหมันต์ ส่วนความพีคสุดท้ายนั้นไม่คิดว่าคิมหันต์จะกลับมาเจอฉากเด็ด นี่ถ้ากลับมาก่อนหน้านี้วันนึงเด็ดกว่านี้แน่นอน นึกไม่ออกเลยว่าคุณตำรวจจะทำยังไงกับภัคต่อ ขออีกตอนค่าาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-06-2018 21:09:32
คือตอนนี้

งงไปหมดแล้วค่าาาาาา
ธันวาสองศพหรือเปล่า

คนสั่งคนละคนงี้
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 28-06-2018 21:24:00
อ่าวววววว...กำของเวรจริงๆ
พระรองจะรีบกลับมาทำไมคะ
พระเอกนายเอกเค้ากำลังจะสวีทกัน
555555

ธันฆ่าโมรีเพราะมินตราสั่ง
คนที่ฆ่าคนอื่นได้ง่ายขนาดนี้
แสดงว่าไม่ใช่พึ่งทำครั้งแรก
เพราะงั่นมีความเป็นไปได้สูงมาก
ที่ธันจะฆ่าเหมมันต์

ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นยิ่งเครียด
สรุปใครฆ่าเหมมันต์
โดเรม่อนของไทม์เมชชีนย้อนเวลาด่วน!!!!
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 28-06-2018 23:17:07
โอ้ยยย  สนุกมากกก ลุ้นตลอด ลึกลับดี
นี่ชอบภัคมาก นายเอกในฝันเลย แซ่บถึงทรวง เวลาด่ากะมินตรานี่ถึงใจ
ชอบตรงภัค ฉลาด ไม่ใส และสู้นี่แหล่ะ
มินตรานางโง่ๆและเดาถูกว่านางตอแหลเรื่องขา
ธันน่าสงสารอะ สองตอนหลังนี่เชียร์ธันมาก
รักภัค บูชาภัคสุด
คิมหันต์นี้ว่ามีลับลมคมใน  ไม่ธรรมดาอะ อาจตะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
นี่ว่าคิมหันต์รู้ทุกอย่าง แต่แอ๊บโง่และรอหลักฐานมากกว่า
คิมหันต์ดูจงใจเข้าหาภัคเกินไป เหมือนตั้งใจไม่ให้หนี
เหตุอาชญากรรมนี่ว่า ภัคไม่ได้ตั้งใจฆ่าเหมันต์ แต่บังเอิญเซ็กซ์พิศดารไปหน่อยเลยตาย
เลยให้ธันผู้จงรักภักดีมาช่วยอำพรางคดี 
ละนี่ว่าคิมหันต์ต้องเห็นเหตุการณ์ตอนตาย เพราะไม่งั้นน้องดาจะเห็นเงาใครโบกมือให้
โมรีตายเพราะธันโดนมินตราสั่ง ธันโดนทั้งมินตราและภัคสั่งเลยตัดพ้อเรื่องเลือกไรเองไม่ได้
วิเคราะห์และเดาล้วนๆ
สุดท้ายคิมหันต์เห็นธันแซ่บกับภัค โอ้ยยน ลุ้นมาก
สนุกมากเลย ตามหานิยายแนวนี้มานาน ชอบ ดาร์กดี
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-06-2018 23:47:47
 :katai2-1:


ชอบธันวา มาตั้งแต่เริ่มแล้ววว ❤️❤️
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-06-2018 03:58:21
เชรดดดดดดด!!!!!พีคคค เอาแล้ววว กล่องแพนโดร่า บึ้มๆไหมงานนี้!! 555555 //ก่อนอื่นเลยขอกรีดร้องดังๆหน่อยค่ะ กรี๊ดดดๆๆๆ 555 เพิ่งเห็นว่าไรท์คนเดียวกันกับ *เหมายัน* เรื่องนี้ชอบบมากกกกก กลายเป็นว่าหลงชอบผลงานคนเดิมซ้ำๆ ขอเป็น FCทันที  5555 คิดว่าจะหาผลงานอื่นของไรท์อ่านอยู่หลังจบเหมายันนานแล้ว เพิ่งรู้ว่าปรับมาจากแฟนฟิค ซึ่งเวอร์ชั่นนี้เราไม่อ่านเลย ไม่สันทัดจริงๆ 5555  ทำให้พลาดนิยายดีๆไป ต้องขอบคุณนะคะที่ทำเวอร์ชั่นวายไทยออกมา  5555 ทำให้เราไม่พลาดนิยายน้ำดีอย่างนี้ ชอบความดาร์กความเทาหม่นผสมอีโรติกซ่อนหลอนนิดๆ คือใช่เลย โอ๊ยยยยยยยชอบบบบบ ^^ //อ่านรวดเดียว 11 ตอน ใจแทบขาดแต่ละตอนนี้กลั้นหายใจอ่านมากอะ ลุ้นเว่อร์วัง 5555 ขมวดคิ้วตลอด พลิกไปมา แต่ละตอนความคิดเปลี่ยนทุกที นี้ยังนั่งงงอยู่เลย สรุปแล้วยังไงว่ะ กูสงสัยอะไรอยู่ กูยังไม่เคลียร์ประเด็นไหน เนี้ยชอบ มึนดี 55555 NCนี่ สุดยอด บรรยายซะเสียวตามเลย ซี๊ดดดด 55555 //ที่อยากรู้คือจะมีใครดับความร่านของภัคได้ไหม 555555555 ถ้าไฟร่านยังไม่มอด สิ่งที่วาดไว้ว่าอยากมีบ้านหลังเล็กๆอยู่เพียงเรา3คนนี้จะเกิดขึ้นได้หรอ ฉากสุดท้ายที่คิมเห็นตะกี้คือผลสรุปหลายเรื่องหลายอย่างได้นะ หวังว่าจะใช้โอกาสนี้เป็นเหตุผลในการลองดับไฟร่านดูจะได้ไหม ดับสิ่งที่ภัคคาดหวังไว้ ก็นายมันเป็นคนแบบรักนะแต่ก็ยังร่าน 555 ไม่ได้จำใจด้วย สมยอม ไม่พอมีบอกเสียดายอีกที่สละผัวคนแรก 5555555 คิมห่างเลย เย็นชาใส่ไม่ต้องใช้ความรุนแรง จับคนร้ายด้วย สติกลับคืนมา อย่าหลงไป นี้เหมือน #ทีมคิม เลยนะ  55555 ส่วนเรื่องอื่นนั้นของเม้นท์ในตอนต่อไป คือมันยาวแล้ว พอก่อน 555555 แต่จะบอกว่าโคตรรรรชอบบบบบบบ ดีใจที่ไม่พลาด รอตอนหน้าใจจดจ่อค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 29-06-2018 04:42:42
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย กลับมาอ่านใหม่แบบ11ตอนรวด อ่านไปก็สืบตัวฆาตกรไป
ภัคนี่เป็นนายเอกที่เราชอบมากกกกกกก โอ้ยแซ่บลื้ม สรุปหนูมีผัวกี่คนคะ
เอาจริงๆตอนแรกภัคน่าสงสัยสุด เหมือนหลักฐานทุกอย่างชี้ว่าภัคนี่แหละ
แต่อ่านไปอ่านมาก็คิดว่าคนร้ายจะเดาง่ายขนาดนั้นเลยหรอ คิดมากไปอี๊กกกกกกก

แต่พอมาตอนล่าสุดนั้น.... ธันว๊าาาาาาาา ธันวามีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ
แล้วที่คิมกลับมาเห็นนี่คือเห็นตอนกำลังคุยกัน หรือตอนกำลังตอกเสาเข็มกันอยู่นะ
ฮือออออออออออ ไม่อยากจะคิดเลยว่าภัคต้องเจอกับอะไร
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-06-2018 06:22:01
ไม่อยากเดาเลยค่ะ กลัวพลิก

แล้วทำไมภัคทำแบบนี้ล่ะ ที่คิมหันต์คืออะไร
ภัคเอ้ย จะไม่รุ่งก็แบบนี้แหละ คนเราก็พลาดได้นะ
คิมมาเหมือนรู้ว่าใครเป็นใคร แต่แค่อยากยืนยัน

แม่ร้ายมากค่ะ ทำกับลูกได้ขนาดนี้
แถมยังโกหกเรื่องขาอีก สุดยอด
แต่ที่สุดกว่าคือธัน

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: water ที่ 29-06-2018 08:12:52
ใครเป็นคนทำร้ายหนูดานี่เดาไม่ถูกเลย อาจจะเป็นธันวาหรือเปล่า?
ลุ้นมากกก
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: water ที่ 29-06-2018 09:04:22
โอ้ววววว เฉลยมาทีละปมๆ ลุ้นทุกตอนเลยยยยค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: water ที่ 29-06-2018 09:29:41
สงสารธันวาอ่ะ ความควายยังไม่ทันหายเลย ถึงกับต้องไปฆ่าโมรีตามคำสั่งอีกมันจะเกินไปแล้ว
ธันนี่ก็โดนเต็มๆ ลึกธันก็เป็นคนดีนะ ทุกคนดูมีทางเลือกแต่ธันแทบไม่มีแล้วก็ด้วยความที่รักภัคอีกก็ดูจะยังไปไหนไม่รอด
หลงเข้ามาแล้ว เห้ออออ ภัคก็พอภัคอ่ะ แต่ละคน
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 29-06-2018 14:49:24
ถ้าให้เดาคิดว่าภัคฆ่าตอนกำลังมีอะไรกัน ส่วนคนที่เอาไปแขวนคอคือธัน
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 29-06-2018 16:58:16
โอ้ยยย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 29-06-2018 21:37:13
๑๓





แต่เดิมก็โกรธอยู่เป็นทุน แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดหัวเสียเข้าไปใหญ่เมื่อภัคคือสาเหตุหลักที่ทำให้เสียการเสียงานจนต้องขอตัวกลับบ้านกลางคันทั้งที่ยังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุไม่เสร็จดี สมาธิถูกบั่นทอน เหมือนเห็นภาพพลอดรักซ้อนในตาจนไม่สามารถโฟกัสกับงาน เป็นเหตุให้ต้องโยนให้ลูกน้องจัดการแทนทั้งหมด 

รถยนต์คันใหญ่เดินทางไวราวกับแสง ขับแซงซ้ายแซงขวา รวมถึงขับฝ่าสัญญาณไฟจนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทำผิดจราจรต่างก็ตั้งคำถามว่าคนขับมันจะรีบร้อนไปตายที่ไหน คิมหันต์เหมือนมีไฟสุมอก ความรู้สึกไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็นและถ้ามัจจุราชคิดจะหยุดกันด้วยความตายก็จะขับรถชนให้กระเด็นตายเป็นรอบสอง ขอถามให้หายข้องใจว่าทำไมไม่เลิกทำนิสัยเก่าแล้วหลังจากนั้นใครจะมาเอาตัวไปชดใช้กรรมก็เชิญตามสบาย 

ยามที่ล้อใหญ่หักเข้าโค้งสู่เขตตัวบ้าน เสียงเครื่องยนต์คุ้นหูก็ทำคนนั่งกลัดกลุ้มรนราน ตอนแรกสรรหาประโยคมากมายไว้เตรียมอธิบายดิบดี แต่พอได้ยินฝีเท้าหนักย่ำขึ้นมาตามบันได ใจภัคก็ยิ่งเต้นระส่ำตามประสาคนกลัว ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไรเพราะไม่เคยถูกใครจับได้คาหนังคาเขา ให้เป็นพี่สาวมาเห็นยังสบายใจเสียกว่าเพราะรายนั้นคงไม่จำเป็นต้องมานั่งรักษาน้ำใจกัน แต่กับคิมหันต์มันแตกต่างออกไป สาบานได้ว่าไม่ได้หวังให้นายตำรวจเป็นแค่คู่นอน แต่คือคนที่อยากนอนกอดไปด้วยตลอดชีวิต

ยอมรับว่าผิดและคิดไว้แล้วว่าจะกลับตัวกลับใจ เหลือก็แต่ว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาจะเชื่อหรือไม่เท่านั้น แต่ก็เข้าใจว่ากว่าคำพูดจากปากคนปลิ้นปล้อนจะดูน่าเชื่อถืออาจต้องใช้เวลา ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็จะรอคอยอย่างมีความหวัง

“รักมันเหรอ…”  นายตำรวจที่ก้าวเข้ามาในห้องมองคนยืนหน้าซีดด้วยนัยน์ตาขวาง หลังจากเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมาก็เว้นช่วงเวลาให้ร่างบางได้ตั้งสติ ระหว่างยืนรอคำตอบที่น่าพอใจก็พยายามควบคุมร่างกายที่สั่น ยืนกำหมัดด้วยความอดกลั้นอย่างถึงที่สุด 

“คุณเอาอะไรมาพูด” 
จนเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม หนำซ้ำร่างบางยังมีหน้าถามกลับเสมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ชนวนระเบิดลูกใหญ่ถูกจุดขึ้นและมีเวลาแค่หนึ่งนาทีในการให้คนในพื้นที่โดยรอบหนีไปซะก่อนที่จะได้รับความอันตราย   

“ฉันถามว่ารักมันเหรอ”  พอโกรธทีไรสรรพนามเปลี่ยนไปทุกที แต่ก็ยังดีที่ไม่หยาบคายถึงขั้นมึงกู 

“ผมเปล่า”

โชคร้ายที่ไม่มีใครสักคนเตือนภัคว่าต้องหนี รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส 

“ถ้างั้นทำไมถึงกล้าขัดคำสั่งฉัน…”

“ผมก็แค่เห็นธัน…!”  ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ฝ่ามือกร้านก็ปะทะเข้าที่แก้มซ้ายอย่างจังและส่งผลให้ทั้งร่างชาดิก คนโดนตบแน่นิ่งไปหลังได้ลิ้มรสชาติคาวที่คละคลุ้งอยู่ในปากระหว่างมีหยดน้ำกลิ้งตกจากหางตา เป็นภาพที่ช่างน่าเวทนาแห่งปีของภัค ทั้งแววตาทั้งสีหน้าแสดงออกถึงความเสียใจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นต่อมสงสารของนายตำรวจเลย แถมคนเพิ่งลงไม้ลงมือไปยังเอ่ยเสียงรอดไรฟัน  “ห้ามเรียกชื่อมันต่อหน้าฉัน”

ภัคหันใบหน้ากลับมามองตรงแล้วยกมือคลำหน้าตัวเองแผ่วเบาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง โดยที่ไม่รู้ว่ายิ่งแก้ไขกลายเป็นยิ่งบานปลาย พูดอะไรไปก็เหมือนโกหก  “แต่เราสองคนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิดจริง ๆ นะ”

“รู้เหรอว่าฉันคิดอะไร”  คิมหันต์หัวเราะเหอะในลำคอเสียงดังก่อนจะกระชากต้นแขนขาวดึงเข้าหาตัว  “ฉันก็แค่คิดว่านายมันเป็นพวกมักมาก ไม่มียางอายจนกล้าทำเรื่องชั่ว ๆ ในบ้าน ถ้าเมื่อคืนฉันไม่กลับมาเห็นก็คงจะพากันเข้าไปกกบนห้องใช่ไหม”  พูดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่เมื่อคืนก็เห็นแค่ว่าอีกคนกำลังเช็ดตัวที่เปียกให้ชายอื่น แต่กลับพูดลำดับเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำอย่างกับว่าแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ตามมุมอับของบ้าน นายตำรวจกำลังทำภัคพูดไม่ออก จากที่เก่งเกมจ้องตาก็มาแพ้ราบคาบเอาในคราวนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังยืนยันหนักแน่นที่จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

“ผมเปล่า”

“เปล่าอะไร!”  ตะคอกใส่ด้วยความฉุนเฉียวเมื่อเค้นยังไงผู้ร้ายปากแข็งก็ยังไม่ยอมรับท่าเดียว  “กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิภัค”

“แล้วคุณจะให้ผมยอมรับอะไร ยอมรับว่านอนกับธันน่ะเหรอ ใช่ ผมนอนกับเขา เรามีความสุขกันมากเวลาคุณไม่อยู่…!” 

ตอนแรกอยากได้ความจริง แต่พอได้ฟังในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ สุดท้ายภัคก็โดนทั้งขึ้นทั้งร่อง โดนตบเป็นหนที่สองจนหน้าหันและมีรอยนิ้วปรากฏบนปรางแก้มอย่างชัดเจน เด่นขึ้นมาพอ ๆ กับหยาดน้ำตาที่เริ่มไหลเป็นสาย ใช้หลังมือเช็ดออกก็ไม่มีประโยชน์   

“นายวอนหาเรื่องเองนะ”  พูดเหมือนจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ไม่แม้แต่จะรู้สึกผิด แล้วคนมือหนักก็คิดว่ามันสมควรแล้วกับคนช่างยั่วให้โกรธ งานนี้ภัคโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่รู้จักซื่อสัตย์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนายตำรวจเกลียดที่เคยให้โอกาสแต่อีกคนกลับทำพังพินาศย่อยยับ   

“แล้วผมต้องทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธ”  ถามตรง ๆ เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก ภัคไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรให้เรื่องราวมันดีขึ้น ได้แต่เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น ยืนร้องไห้ราวกับเด็กหลงทาง มาดนางร้ายถูกน้ำตาชะล้างออกไปจนไม่เหลือเคล้าเดิม  “ผมขอโทษนะ”  ทำท่าจะเดินเข้าหา แต่คนไม่มีอารมณ์อยากจะกอดก็รีบผลักออก 

“ไม่ต้องมาจับตัวฉัน”  คิมหันต์อยากจะจัดการกับอารมณ์ตัวเองตามลำพังและเลือกยืนหันหลังให้ร่างบางเนื่องจากไม่อยากเห็นภาพที่ชวนให้ใจอ่อน เสียงถอนหายใจดังขึ้นไม่ทันไรก็พอดีกับที่หนูดาเปิดประตูห้องเข้ามาด้านใน เรียกหาน้าชายอย่างได้จังหวะ  “น้าภัค”

ผู้ใหญ่ทำสัญญาสงบศึกกันชั่วคราวโดยอัตโนมัติและคนถูกหลานสาวเรียกหาก็มัวแต่ซับน้ำตาจนลืมว่ามีเลือดกบมุมปาก หลังจากเช็ดแก้มจนคิดว่าสะอาดหมดจดก็คุกเข่าต่อหน้าเด็กหญิงที่เดินเข้ามาหาถึงตัว  “ว่ายังไงคะ”  พยายามฝืนยิ้มทั้งที่เจ็บริมฝีปากไปหมด

“น้าภัคเลือดออก”  ดวงตากลมโตมองเห็นคราบสีแดงที่มุมปากน้าชายก็ตกใจ พอสัมผัสโดนใบหน้าก็รู้สึกถึงความชื้น ยกมือขึ้นกุมแก้มข้างที่มีรอยช้ำด้วยความอ่อนโยน  “น้าภัคร้องไห้ทำไม”  คิดว่ากลั้นได้แล้วเชียวแต่เจอคำถามเดียวจากคนที่ห่วงใยเข้าไป ทำนบก็พังทลาย น้ำตาไหลบ่าเวลาที่ฝ่ามือเล็กช่วยเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา     

“เปล่าสักหน่อย น้าภัคไม่ได้ร้องไห้นะ”  ปฏิเสธแม้ว่าจะเห็นหลักฐานกันอยู่ทนโท่

ก่อนจะตัดสินใจรีบปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ กลัวเด็กหญิงจะเป็นห่วงจนพาลไม่สบายใจไปด้วยอีกคน   

“คุณพ่อคะ น้าภัคร้องไห้”  จู่ ๆ หนูดาก็บอกเรื่องน้าชายกับคนเป็นพ่อเพราะความไม่รู้ มีการเรียกให้คนยืนขมวดคิ้วเข้ามาดูใกล้ ๆ เพราะนึกว่าผู้ใหญ่จะช่วยอะไรได้ แต่นอกจากจะอยู่เฉย ๆ ยังเรียกให้ลูกเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแทน  “หนูดามาหาพ่อ” 

“แต่น้าภัค…”

“พ่อบอกให้มาหาพ่อ”  คิมหันต์เอ่ยเสียงดังกังวานขณะทำสีหน้าดุดัน   
พาลลงกับเด็กหญิงอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะฉวยร่างเล็กมาจากคนเป็นน้า

“ถ้าหนูต้องอยู่กับพ่อแค่สองคน หนูจะอยู่ได้ไหม”  นายตำรวจถามคำถามแปลก ๆ ทันทีที่คุกเข่าตรงหน้าลูก หนูดาถูกดึงเข้ามาสู่เกมแห่งการประชดประชัน ใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้ร่างบางเจ็บปวดรวดร้าว เพราะใครต่างก็รู้ดีว่าอีกคนมีหลานสาวเป็นจุดอ่อน ภัคลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตาเมื่อเผลอคิดไปว่าในอนาคตอันใกล้อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน 

“แล้วน้าภัคละคะ น้าภัคจะไปไหน”  ตากลมสบตาผู้ใหญ่สองคนสลับไปมาอย่างสับสน  “จะไม่มีใครคนอื่นทั้งนั้น นอกจากเราสองคน แค่หนูกับพ่อตกลงไหมคะ”  หนูดายืนครุ่นคิดว่าที่คุณพ่อพูดหมายความว่าอย่างไร เด็กวัยห้าขวบคล้ายจะตามไม่ทันจนต้องพึ่งสัญชาตญาณและสะบัดตัวให้หลุดจากการจับไว้ ก่อนจะเดินกลับมากอดขาน้าชาย

“ไม่ หนูจะอยู่กับน้าภัค” 

“หนูดา…!”  มือใหญ่จะคว้าข้อมือเล็กแต่ไม่ทัน   

“คุณไม่ควรพาลมาลงกับเด็กนะ แกไม่เกี่ยวอะไรด้วย”  ภัครีบดันร่างเล็กให้หลบอยู่ด้านหลังตัวเอง กลัวเด็กจะโดนหางเลขตอนเห็นนายตำรวจมีท่าทีเดือดดาล  “อีกอย่างหนูดาก็ไม่ใช่ลูกของคุณจริง ๆ คุณไม่มีสิทธิ์เอาแกไปไหนทั้งนั้น”   

“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อหนูดาเป็นลูกของฉัน”  คิมหันต์ยืนยันเสียงแข็ง ในแววตาน่ากลัวแทรกซ้อนไปด้วยความจริงจังมากกว่าคำว่าอยากเอาชนะ ก่อนจะย่างสามขุมเข้าใกล้แล้วไม่ใช่แค่คว้าต้นแขน ยังบีบเนื้อแน่นจนภัคเผลอร้องเสียงหลง  “ผมเจ็บ”  เลือกบอกความรู้สึกออกไปจนได้ยินโดยทั่วกันแล้วถึงได้หลานสาวช่วยไว้ท่ามกลางความชุลมุน

เด็กหญิงเข้าใจว่าคุณพ่อกำลังทำร้ายน้าชายจึงสอดตัวเข้ามาคั่นกลาง ยืนระหว่างผู้ใหญ่แล้วผลักคนใจร้ายให้ออกห่าง ระดมทุบขา รวมถึงพูดจาไม่น่ารัก เป็นครั้งแรกที่ตะเบ่งเสียงใส่คนอายุเยอะกว่า  “หนูเกลียดคุณพ่อแล้ว! คุณพ่อทำน้าภัคร้องไห้!”

การที่กำปั้นกระทบต้นขาจนเกิดเสียงไม่ได้บอกเพียงแค่ว่าลงแรงไปมากแค่ไหน แต่หมายความว่าในไม่ช้าเจ้าของกำปั้นเองก็จะเจ็บมือด้วยเช่นกัน จนคิมหันต์ต้องปล่อยภัคเพื่อให้มาห้ามร่างเล็กอีกที  “หนูดาไม่เอานะ อย่าทำแบบนี้”  ร่างบางพยายามที่จะรั้งร่างเล็ก ๆ ออกมาแต่ไม่ได้ผลจนต้องใช้ตัวเองเป็นกำบัง คุกเข่าคั่นกลางระหว่างพ่อที่ยืนทำหน้าไม่ถูกกับลูกที่เบะปากร้องไห้  “หนูดา คุณพ่อไม่ได้ทำอะไรน้าภัคเลยนะ”  ลูบหน้าลูบตาเด็กหญิงไปพลางระหว่างเช็ดหน้าบ้าง  “เห็นไหมน้าภัคไม่ได้ร้องไห้เลยสักนิด”  หลังจากทำให้เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่บนหน้าก็โอบกอดร่างเล็กที่โถมตัวเข้าหาไว้แนบแน่น หนูดายกแขนขึ้นคล้องคอน้าชายและไม่ยอมเงยหน้ามองคนเป็นพ่อ 

“เราลงไปข้างล่างกันดีกว่าเนอะ”  ภัคอุ้มเด็กหญิงขึ้นแล้วกะจะพาออกไปจากห้องอย่างที่ปากว่า 

“แต่ฉันยังคุยกับนายไม่เสร็จ”  คิมหันต์เดินมาดักหน้าอย่างรวดเร็ว

“คุณก็เห็นว่าหนูดาเป็นยังไง”  ไม่มีใครไม่เห็นหรอกว่าสถานการณ์มันแย่แค่ไหน นายตำรวจยังตกใจกับภาพลูกตะโกนบอกว่าเกลียดอยู่ซ้ำ ๆ คำพูดหักหามน้ำใจดังก้องในหูราวกับมีใครเปิดระบบกรอเทป มันเจ็บปวดกว่าตอนอกหักหลายเท่าจนต้องก้าวเท้าออกไปด้านข้าง ยอมหลีกทางให้เพราะกลัวลูกจะเกลียดไปมากกว่านี้ แต่ก่อนจะปล่อยไปจริง ๆ ก็มีการกระซิบกระซาบขู่เสียงเบา  “อย่าคิดว่ามีหนูดาช่วยแล้วจะรอดไปได้ทุกครั้งนะ” 

ร่างบางสะบัดข้อศอกออกจากอุ้งมือใหญ่แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างสงบ
ทิ้งนายตำรวจไว้กับอารมณ์ขุ่นมัว ลดตัวลงนั่งกับเตียงก่อนจะเขวี้ยงหมอนไปอีกทาง





มีต่อด้านล่าง...



หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๑) ๒๘.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 29-06-2018 21:45:15

ภัคมีเวลานั่งทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ครึ่งค่อนวัน ขณะได้หลานสาวช่วยป้ายยาที่มุมปากและคอยสร้างเสียงหัวเราะให้เป็นระยะ ๆ แต่พอเด็กหญิงก้มหน้าก้มตาลงไปวาดรูปอย่างเก่า ร่างบางก็กลับมาทำสีหน้าเศร้าสร้อย เหม่อลอยตามประสาคนมีเรื่องในใจ ว่างหน่อยเป็นไม่ได้ จิตใจก็เริ่มฟุ้งซ่านจนต้องหางานให้ตัวเองทำ     

“รออยู่ในห้องนะคะ เดี๋ยวน้าภัคมา”  ร่างบางที่อาสาจะไปเอาขนมมาให้บอกทิ้งท้ายกับหนูดาแล้วค่อยเปิดประตูห้องออกมา แต่เมื่อหมุนตัวกลับหลังหันก็เจอกับภาพชวนเคืองตา นั่นคือภาพของคิมหันต์ที่ก้าวขึ้นบันไดมาขณะอุ้มมินตราที่แสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะทราบเรื่องความร้าวฉานของคู่รักไวไฟแล้ว

แววตาถึงได้ปรากฏแต่คำว่าสมน้ำหน้าตอนส่งสายตาหาน้องชาย เธอมีแผนร้ายว่าจะอาศัยช่องว่างระหว่างทั้งคู่เพื่อแทรกแซง วันนี้ยังไม่ทันได้แกล้งสำออยด้วยซ้ำนายตำรวจก็ยอมทำตามใจทุกอย่าง แถมยังรีบพาขึ้นมาด้านบนหลังจากที่บ่นว่าเหนียวตัวและอยากอาบน้ำ

สำหรับมินตรามันคือช่วงเวลาแห่งการตักตวงและกอบโกยโดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น

สำหรับคิมหันต์เรียกว่าการเอาคืนคนที่ยืนนิ่งไปราวกับช็อก 

ส่วนภัคแทบหยุดหายใจขณะมองทุกอย่างเป็นภาพช้า มันนานโขกว่าพี่สาวจะเปิดประตูให้แทนคนมือไม่ว่างได้แล้วนายตำรวจก็เป็นคนอุ้มพาเข้าห้องไป ร่างบางได้สติอีกครั้งเพราะเสียงล็อกกลอนจากข้างในและสาวเท้าเข้าใกล้ประตูอย่างลืมตัว เกิดความกลัวไปต่าง ๆ นานา แค่คิดว่าชายหญิงอยู่ข้างในห้องสองต่อสอง ไหนจะเคยเป็นของกันและกันมาก่อนจิตใจมันก็ว้าวุ่นแปลก ๆ มือเรียวเกือบจะเคาะประตูไม้และเตรียมโวยวายให้บ้านแตก พร้อมจะแหกอกกันไปข้าง แต่พอตระหนักได้ว่าตนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสร้างความวุ่นวายได้จึงต้องหักห้ามใจ ลดมือลงกำไว้ข้างลำตัว 

ภัคก้าวถอยหลังออกมาจากตรงนั้นทันทีก่อนจะเดินสวนกับชายที่ตามใบหน้ามีร่องรอยฟกช้ำ กลางดึกเมื่อวานคิมหันต์ไม่ได้ออกไปทำงานอย่างหุนหันพันแล่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังต่อยชู้รักจนโหนกแก้มเขียวช้ำทำให้มีสภาพยับเยินพอประมาณ ทั้งสองคนเดินผ่านกันไปเฉย ๆ อย่าว่าแต่เอ่ยคำทักทาย หน้านี่ยังแทบไม่มองกัน

ปฏิบัติตัวฉันท์คนแปลกหน้า ส่วนเรื่องที่ผ่านมาก็ให้มันกลายเป็นเพียงอดีตซะ

ภัคเองก็ไม่ได้อยากจะทำตัวใจไม้ไส้ระกำ แต่ในยามคับขัน อยู่ห่างกันไว้คงเป็นทางออกที่ดี แล้วก็เชื่อว่าคนอย่างธันวาจะเข้าใจในการกระทำที่แสนเย็นชา หวังว่าจะไม่ถือสาที่เบี่ยงมือหลบจนอีกมือคว้าได้แต่ลมเปล่า ๆ

คนนึงแสดงออกว่าอยากจบความสัมพันธ์อันยาวนานเพื่อหันไปคบกับชายคนใหม่ที่รู้จักภายในเวลาช่วงสั้น ๆ หวังพึ่งน้ำบ่อหน้าโดยไม่รู้เลยว่าในน้ำนั้นอาจจะมียาพิษป่นเปื้อน ถึงมีใครเตือนก็ดูท่าจะไม่ฟัง ของอย่างนี้คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม ก็ได้แต่หวังว่าจะกลับลำทัน ความจริงแล้วควรจะเข็ดขยาดกับพฤติกรรมโมโหร้ายและล้มเลิกความคิดอยากกลับไปคืนดีให้หมด เลือกคนผิดคิดจนตัวตาย รักผู้ชายที่รู้จักแค่ชื่อเสียงเรียงนาม ระวังสักวันความตายจะถามหา

บางทีอาจเป็นเวรกรรมที่ตามมาทวงคืนในรูปแบบของความรัก มีเหยื่อที่เกิดจากความรุนแรงมากมายแต่ที่คนเหล่านั้นเลือกจะไม่แจ้งความจับก็เพราะคำว่ารัก ภัคยังทำหลายอย่าง ๆ เหมือนปกติทั้งที่รู้ว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมสักอย่าง ยกเว้นการเดินไปหานายตำรวจเองถึงห้อง ไม่มีหน้าจะไปให้อีกคนมองแล้วก็เข้าใจว่าคืนนี้คงไม่มีแขกมาหาที่ห้องเช่นกัน

น้าชายกล่อมหลานสาวพาเข้านอนจนผล็อยหลับไปด้วยกันทั้งคู่ แต่กลางดึก จู่ๆ ก็รู้สึกแน่นหน้าอกและมวนท้อง ลองขยับร่างกายแต่ก็ไม่เป็นไปตามปรารถนา จนเมื่อลืมตาถึงได้รู้ว่าไม่ใช่กำลังโดนผีอำ แต่โดนคนด้วยกันจับเปลืองผ้า รีบดึงกางเกงนอนออกจากช่วงขาอย่างลวก ๆ แล้วตามด้วยการล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรง มือใหญ่แหกแข้งแหกขาคนที่อยู่ในอาการตกใจ แล้วสอดใส่อวัยวะสืบพันธุ์อย่างรีบร้อน   

ภัคนอนผวาขณะรีบยกมือปิดปาก ระหว่างถูกกระทำชำเลาราวกับตุ๊กตายางก็ได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากร่างกายอีกคนจนนึกว่าไปตกถังแอลกอฮอล์ที่ไหนมา ฤทธิ์น้ำเมาทำเอานายตำรวจขาดสติและมอบความกล้าหาญให้อย่างไร้ขีดจำกัด แทนที่สมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลงอย่างที่โฆษณาเครื่องมึนเมาเตือน เลือดยิ่งร้อน คิมหันต์ยิ่งแสดงถึงพละกำลัง   

ส่วนคนเดียวที่เดือดเนื้อร้อนใจก็คือร่างบางที่เหลือบมองด้านข้างเป็นระยะ กลัวหนูดาที่นอนร่วมเตียงจะตื่นขึ้นมาเห็นพฤติกรรมอันหยาบคายของผู้ใหญ่ น้าชายพยายามส่งสายตาอ้อนวอนคนบนร่าง อย่างน้อยผ่อนแรงลงหน่อยก็ยังดี ช่วยปรานีกันสักนิด แต่สงสัยจะขอร้องผิดคน นอกจากจะไม่เพลาการเคลื่อนไหว ยังเสือกแก่นกายเข้าออกเร็วขึ้น

คิมหันต์ฉุดร่างที่พยายามขืนตัวไว้กับที่นอนขึ้นมา ก่อนภัคจะอาศัยจังหวะนั้นดันร่างใหญ่กว่าออกจากตัว นึกอยากจะปกป้องตัวเองขึ้นมา กระวีกระวาดหลบหนีจากการโดนข่มขืน ยืนหลังแนบกับผนังระหว่างนายตำรวจยอมเล่นตามน้ำ กลายเป็นชายโฉดที่มีความโกรธเป็นแรงขับเคลื่อนจนนำไปสู่การกระทำการอุกอาจต่าง ๆ ย่างสามขุมเข้าหาร่างบางที่มองหาทางหนีทีไล่ให้เลิ่กลั่ก นัยน์ตาหวั่นวิตกมองประตูซึ่งเป็นทางออกเดียวสำหรับห้องนี้ไม่วางตา

ก่อนร่างกายใหญ่จะขยับมายืนบดบังทัศนียภาพ คิมหันต์กำลังปลดเสื้อนอกออกจากตัวอย่างใจเย็น ส่วนภัคเหมือนเห็นภาพปัจจุบันซ้อนทับกับอดีตอีกทีขณะมีฉากล่อแหลมบางฉากผุดขึ้นมาในหัว …จุดเริ่มต้นของการมีผัวคนเดียวกับพี่สาว พี่เขยเมามายบุกเข้ามาปลุกปล้ำในคืนเดือนมืด ถูกขืนใจจนอีกฝ่ายสำเร็จความใคร่แล้วน้องเมียก็ตกกระไดพลอยโจน โดนลากเข้าสู่วงจรอุบาทว์และตกอยู่ในสถานะชู้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ร่างบางค่อย ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านสันจมูกขณะโดนกดหัวกับชั้นวางของและถูกล่วงเกินช่องทางด้านหลัง กัดปากอดทนจนเลือดซิประหว่างบีบมือกับขอบไม้ ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวในยามที่แฝดพี่กระทำพฤติกรรมเดียวกับที่แฝดน้องเคยทำอย่างโหดร้าย เอาความสุขตัวเองเป็นใหญ่ ส่วนใครจะเป็นจะตายก็ช่าง

การกระแทกกระทั้นยังคงดำเนินต่อไป นายตำรวจเร่งเครื่องเพื่อทำเรื่องที่ค้างคาให้เสร็จ เห็นอีกฝ่ายไม่คัดค้านก็ยิ่งทำด้วยแรงบันดาลโทสะ เอวสอบขยับรวดเร็วเมื่อเห็นหนทางบรรลุอยู่ร่ำไร ประเคนความบัดซบให้อย่างต่อเนื่อง กระเสือกกระสนจนเสร็จสมอารมณ์หมาย ร่างกายของภัคกระตุกก่อนแล้วคนยืนซ้อนหลังค่อยกระตุกตามแล้วค่อยชักแก่นกายกลับหลังจากหลั่งในจนสารคัดหลั่งไหลย้อยลงตามโคนขา พอเห็นว่าหมดค่าก็ปล่อยมือจากเอวคอดทันควัน คิมหันต์ดึงกางเกงขึ้นมาปิดของลับ ยืนรูดซิปค้ำหัวร่างบางที่กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นห้องอย่างหมดสภาพ

ภัคทำแค่มองปลายเท้าใหญ่ด้วยสายตาว่างเปล่าและแม้ว่าสองเท้านั้นจะค่อย ๆ ก้าวเดินจากไป แต่ไออุ่นก็ยังกรุ่นอยู่บนพรมสีน้ำตาล นัยน์ตาเหม่อลอยมองอยู่อย่างนั้นระหว่างระลึกถึงเหตุการณ์อัปยศ ไม่ว่าจะเป็นคนน้องหรือคนพี่พอย่ำยีกันเสร็จก็เดินจากไป ไม่มีการขอโทษสักคำ ร่างบางหลุดขำทำเหมือนมีเรื่องตลกเสียเต็มประดาขณะน้ำตาหยดลงหยดแล้วหยดเล่า ค่อยเปลี่ยนมานั่งกอดเข่าร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เอามือปิดปากตัวเองตอนที่ต้องการกรีดร้องและประคองกอดตัวเองไว้เพื่อคลายหนาวในยามที่แดดส่องเข้าไม่ถึง 

   













แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่เที่ยงวันแต่บรรยากาศกลับมืดครึ้มไม่ต่างจากตอนเช้าตรู่ กรมอุตุวิทยารายงานว่าจะมีพายุเข้า ภัคที่มีสีหน้าอิดโรยจึงต้องช่วยหลานสาวเก็บของ ระหว่างเก็บสีไม้เข้ากล่อง จู่ ๆ หนูดาก็พูดถึงความปรารถนาที่ทำเอาคนเป็นน้าชายยิ่งหดหู่ รู้สึกโดนเดี่ยวหลังจินตนาการล่วงหน้าไปคนเดียว  “น้าภัค หนูอยากไปโรงเรียน” 

“หนูดารู้เหรอคะว่าโรงเรียนคืออะไร”

“โรงเรียนใหญ่กว่าบ้านใช่ไหมน้าภัค แล้วก็มีเพื่อน ๆ ด้วย”

“หนูไม่อยากอยู่กับน้าภัคแล้วเหรอ” 

คนเป็นน้าถามเสียงเศร้า พอคิดว่าหลานสาวจะต้องไปมีสังคมใหม่ ๆ ก็เกิดกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นบุคคลสาบสูญและถูกลืมเลือนไป ร่างบางอยู่ในช่วงอ่อนไหวง่ายเพราะเมื่อคืนฝันร้ายที่ไม่เคยปริปากบอกใครดันถูกย้อนรอย เปราะบางทางอารมณ์ บาดเจ็บทางใจ แล้วหนูดาก็คือยาชนิดเดียวที่เยียวยาความทรมานนั้นได้

ส่วนเด็กหญิงเองก็เหมือนจะรู้ว่าน้าชายต้องการเพื่อนมากกว่าตัวเองเสียอีก  “หนูไม่ไปโรงเรียนแล้วก็ได้ค่ะ”  จึงยอมตกปากรับคำอยู่เป็นเพื่อนก่อนจะลุกขึ้นยืนบนม้านั่งแล้วรั้งหัวกลมของคนอายุมากกว่าซบกับอก ภัคยกมือโอบเอวเล็กตอบและปล่อยให้เด็กน้อยกอดปลอบใจท่ามกลางสายลมที่พัดแรงขึ้นเป็นระยะ ๆ ก่อนจะสงบลงอย่างน่าประหลาดในตอนที่แขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาขัดจังหวะหลังจากยืนสังเกตการณ์เป็นพัก     

“เห็นแก่ตัว ไหนว่ารักนักหนาทำไมถึงไม่ปล่อยให้เด็กได้มีอนาคต”  นายตำรวจถือวิสาสะนั่งลงข้าง ๆ ฝั่งร่างบางที่ขยับตัวออกห่างแทบในทันที ซึ่งคิมหันต์ก็พอเข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงมีท่าทีแบบนั้น ถึงจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวและความทรงจำอันเลือนราง แต่ภาพเหตุการณ์ขืนใจก็ยังชัดเจนอยู่ รู้ตัวว่าผิดแต่ติดที่ไม่อยากขอโทษให้เสียฟอร์ม ถึงยอมพูดจริงก็ใช่ว่าคนฟังจะอภัยให้ 

“หนูดา เราเข้าไปในบ้านกันดีกว่าค่ะ”

“แต่ว่า”

“ถ้าหนูดาไม่ไป งั้นน้าภัคไปคนเดียวก็ได้”  ทำตัวแสนงอนไม่สมเป็นผู้ใหญ่ น้าชายทิ้งหลานสาวไว้กับคนเป็นพ่อที่มองตามไม่คลาดสายตา จนเมื่อเห็นว่าหายไปแล้วถึงได้กลับมาสนใจเด็กหญิงที่ยืนมองนิ่ง ๆ และเว้นระยะห่าง คิมหันต์ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการง้อขอคืนดี กว่าลูกสาวจะยอมถอนคำพูดว่าไม่เกลียดคุณพ่อแล้วก็เล่นเอาเหนื่อย 

งานจับโจรดูง่ายดายมากนักหากเทียบกับการทำหน้าที่พ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างเต็มรูปแบบ นายตำรวจแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว อย่างมากก็ได้แค่เข้าห้องน้ำ แต่มันก็เป็นความลำบากที่มีความสุข ลูกสาวเดินตามพ่อต้อย ๆ ติดสอยห้อยตามไปทุกหนทุกแห่ง มีงอแงเรียกหาน้าภัคบ้าง แต่พอบอกว่าจะพาออกไปซื้อขนมข้างนอก เด็กหญิงก็รีบวิ่งออกจากบ้านเป็นคนแรก แต่ถึงจะมีขนมเต็มไม้เต็มมือจนคิมหันต์ต้องช่วยถืออีกแรง หนูดาก็ยังถามหาภัคไม่คาดปากทั้งยังพูดเรื่องความดีความชอบของน้าชายไม่หยุด ส่วนคุณพ่อมีหน้าที่เป็นผู้ฟัง

หากร่างบางคิดส่งเด็กมาเพื่อล้างสมองกันก็ถือว่าได้ผล ความโกรธหดเหลือเท่าเม็ดถั่วและแทนที่ด้วยความรู้สึกผิดมหันต์ที่ดันทำร้ายนางฟ้าผู้แสนใจดีของลูกสาวจนร้องห่มร้องไห้

“เราเอาขนมไปแบ่งน้าภัคกันดีไหมคะ”  วางแผนจะใช้เด็กหญิงเป็นสื่อกลางเชื่อมความสัมพันธ์อันสั่นคลอน แต่คิมหันต์ก็ต้องมีอันฝันสลาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ยืนคอตกไปตาม ๆ กันเมื่อพบว่าประตูห้องล็อกจากด้านในบ่งบอกว่าไม่ต้อนรับใครทั้งนั้น สองพ่อลูกจึงต้องเดินจูงมือกันกลับอีกห้องและถึงได้เห็นว่ามีคนเตรียมข้าวของเครื่องใช้ของเด็กหญิงไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

แม้แต่แก้วบ้วนน้ำลายเจ้าหญิงก็เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ ที่คิมหันต์ต้องทำมีแค่กางผ้าขนหนูรอรับยามหนูดาเดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำ พาพัดแป้งแต่งตัวด้วยชุดนอนสีฟ้าก่อนจะช่วยสางผมที่เปียกอย่างเก้ ๆ กัง ๆ มีครั้งหนึ่งกระตุกหวีเสียแรงจนเด็กหญิงร้องด้วยความเจ็บปวด นายตำรวจถึงกลับหน้าเสียและขอแก้ตัวใหม่ ใช้น้ำหนักมือเบากว่าคราวแรก

พ่อแยกจากลูกไปอาบน้ำ แต่แค่สามสี่นาทีให้หลังลูกสาวก็ปีนลงจากเตียงและเดินมาเคาะประตูห้องน้ำเรียกเสียงดัง  “คุณพ่อคะ คุณพ่อ…”

คิมหันต์ที่อยู่ในระหว่างสวมเสื้อผ้าตะโกนออกมาว่าจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาจริง ๆ ก็ได้เห็นว่าเด็กหญิงทำมือกำลังทำไม้ราวกับสนทนาอยู่กับใครบางคนทั้งที่ตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่า 

“หนูดา…?” 

เด็กน้อยหันตามเสียงเรียกแล้วทำหน้าฉงน ทำไมคุณพ่อมีสองคนล่ะ แต่พอหันกลับมามองตรงหน้าคุณพ่อคนที่ทำแค่ยืนเฉยก็สลายหายไป เป็นเวลาเดียวกับที่นายตำรวจรีบเดินเข้ามาช้อนตัวลูกน้อยออกจากตรงนั้นพลางพูดเสียงดังฟังชัด ประกาศเตือนความจำอย่างไม่มีความเกรงกลัวต่อสิ่งลี้ลับ  “ผีก็อยู่ส่วนผีนะ”  พี่ชายบอกกับน้องซึ่งไม่รู้ว่ายังวนเวียนอยู่ในห้องหรือเปล่าแล้วค่อยพาหนูดาเข้านอน กอดไว้กับอกอย่างหวนแหน 

“น้าภัคอยู่ไหนคะ ให้น้าภัคมานอนกับเราด้วยได้ไหม” 

เด็กหญิงรู้สึกไม่ดีอย่างประหลาดและต้องการน้าชายมากที่สุดในชั่วโมงนี้   

“อะไร ๆ ก็น้าภัคนะเรา”

“หนูอยากให้น้าภัคเล่านิทานให้ฟัง”

“พ่อก็เล่าได้เหมือนกันนะ สนุกด้วย กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…”

“หนูอยากให้น้าภัคหอมหน้าผากหนูก่อนนอน”   

“โอเค ๆ หนูอยากให้ภัคทำอะไรอีกไหม พ่อจะได้ไปบอกเขาทีเดียว” 

คิมหันต์ยอมยกธงขาวและทำตามบัญชาลูกสาวแต่โดยดี แต่การเดินมาตามร่างบางให้ไปด้วยกันนั้นใช่ว่าจะราบรื่นตั้งแต่นาทีแรก หลังยืนเคาะประตูอยู่ห้านาทีแล้วคนด้านในยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดประตูให้ สุดท้ายเสียงทุ้มตัดสินใจเอ่ยบอกว่าหนูดาเห็นอะไรบางอย่างเข้า

พอรู้ว่าหลานสาวเพิ่งเจอกับอะไร ภัคก็รีบเปิดประตูและเดินออกมาในทันที ลดทิฐิบ้าบอ แม้จะยังโกรธคนพ่อแต่ก็แยกแยะได้ว่าคนลูกไม่มีความผิดใด ๆ น้าชายเปิดประตูเข้ามาในห้องและเมื่อเห็นหน้า หลานสาวก็ร้องไห้หาด้วยความคิดถึง เพราะเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ และความงี่เง่าของพวกผู้ใหญ่ ตารางเวลานอนของหนูดาจึงได้รวนและกว่าจะหลับก็จวนเข้าสู่วันใหม่ ร่างบางอยู่กล่อมจนเด็กหญิงสลบไสลคาอกและค่อยเอาลงนอนราบกับเตียงอย่างแผ่วเบา

พอดีกับที่มีเงาดำพาดผ่านเตียงนอน คิมหันต์เดินมาหยุดดูผลงานและยืนรอจนน้าชายห่มผ้าให้หลานเสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ภัคเหลือบมองการมีอยู่ของนายตำรวจแค่เล็กน้อยแล้วทำเหมือนไม่เห็น ลุกขึ้นเดินตัดผ่านหน้าไปเสียเฉย ๆ  “จะไปไหน”  จนหัวหลักหัวตอที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลต้องเอ่ยทักเสียงเรียบ 

“หนูดาหลับแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ”

“กล่อมลูกแล้วไม่คิดจะกล่อมพ่อด้วยเหรอ”

“คุณบอกมาดีกว่าต้องการอะไร ถ้าไม่มีผมจะได้ไปนอน”

“ฉันต้องการภัคคนที่นับจากนี้จะพูดแต่ความจริง ให้ได้ไหมล่ะ”  กล้าถามก็กล้าตอบ ขี้เกียจเสียเวลากับการพูดอ้อมไปอ้อมมาเต็มที  “มานี่มา”

ภัคมองท่าทางกางแขนออกแล้วถึงกลับหลุดขำก่อนจะขยับปาก  “คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังกันงั้นเหรอ”

“ถ้าไม่เดินมา งั้นฉันเดินเข้าไปหาเองนะ”  ปากว่าขาก็ออกเดินและแม้ว่าร่างบางทำท่าจะหนีแต่ก็ไม่เกินความสามารถ มือใหญ่ทันคว้าตัวแล้วหมุนให้กลับมาคุยกัน  “ฉันขอโทษ”   

“คุณทำอะไรผิดเหรอถึงต้องมาขอโทษผม”  ย้อนถามเสียงสั่น รีบสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม ภัคแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ในตอนที่รับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกคน ไม่อยากแสดงออกถึงความอ่อนแอแต่มันอดไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทุบตีนายตำรวจ หวังจะทำให้ปวดร้าวได้เท่ากับที่ตนประสบ

คิมหันต์ปล่อยให้ร่างบางระดมตบหน้าจนกว่าจะหายโกรธ จนแก้มแดงเถือกไปข้างมือภัคก็เริ่มอ่อนแรงพอกัน เมื่อเหนื่อยจะเล่นงานตามร่างกาย ก็เปลี่ยนจากการประทุษร้ายคนหน้าด้านหน้าทนเป็นพูดประชดประชัน ด่าทออย่างหยาบ ๆ คาย ๆ ด่าว่านิสัยเสียบ้างล่ะ ลามไปถึงไอ้หน้าตัวเมีย พูดสาดเสียเทเสียใส่จนแทบสำลักน้ำลายและหายใจไม่ทัน   

แต่ยิ่งดิ้นเชือกก็ยิ่งรัด เถาวัลย์เหนียวเกินกว่าจะใช้แค่มือเปล่าแกะออก ลองได้สวมกอดแล้วไม่มีทางปล่อย คิมหันต์ยืนคอยอย่างสงบ จนภัคอารมณ์เสถียรมากขึ้น ปล่อยระบายความอัดอั้นเต็มที่  “ด่าพอหรือยัง ถ้าพอแล้วจะได้จูบ”  ก่อนจะถึงทีตัวเองบ้าง ประกบปากที่พูดไม่หยุดด้วยอวัยวะเดียวกัน แต่ไม่มีการรุกล้ำหรือบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจ กลับเคารพในการเลือกของอีกฝ่าย ถอยได้ทุกเมื่อถ้าอยากถอย แต่ถ้าอยากปล่อยมือคงยากหน่อย     

ภัคถอยตัวออกเพราะอยากมองหน้า แต่น้ำตาทำให้เห็นอะไรไม่ชัดและมองพลาดไป บางทีชาติก่อนอาจจะทำร้ายตำรวจไว้เยอะ พอมาเจอกันชาตินี้จึงต้องชดใช้ให้อย่างหนัก ความรักทำให้คนโง่เขลาเบาปัญญา สมองทำงานได้ช้าลง ผิดกับใจที่พร้อมจะอภัยให้กับคนที่ไม่สมควรได้รับโอกาส แค่เพราะคนคนนั้นเอ่ยปากขอโทษ ร่างบางที่เกือบจะหลุดพ้นจากวงจรเดิม ๆ ก็วนลูปกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เป็นคนที่สวรรค์จงเกลียดจงชัง ลิขิตทางเดินให้มาแบบนี้   

ท้ายที่สุดกลีบปากก็งับกันอย่างอ้อยอิ่งแล้วนิ่งค้างไป ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เกิดการทำซ้ำอยู่เรื่อย ๆ จนปากแทบเปื่อยยุ่ยถึงได้เลิกลาแล้วเปลี่ยนมาคลอเคลียกัน คิมหันต์จูบรอยช้ำที่มุมปากภัคอย่างอ่อนโยน กลัวการที่ปากแตะโดนจะทำให้ระคาย จึงแผ่วเบาให้ได้มากที่สุด     

“คืนนี้นอนด้วยกันนะ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร”  เอ่ยชวนในขณะที่ช่วยเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ส่วนร่างบางก็ไม่ได้ปฏิเสธถือเป็นอันตกลง ภัคนิ่งเงียบไปขณะยืนคิดว่าจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาดีหรือไม่ กลัวว่าเรื่องของธันวาจะทำลายบรรยากาศดี ๆ ที่มีต่อกัน แต่สุดท้ายก็กลั้นใจพูด  “ผมติดหนี้บุญคุณเขา…”   

เว้นวรรคให้นายตำรวจได้ทำความเข้าใจว่าเขาในที่นี้คือเขาไหน คิมหันต์ถอนหายใจเสียงดัง 

“แต่มันก็มีวิธีตอบแทนบุญคุณคนเป็นร้อยเป็นพันนะภัค”

“คุณก็เห็นว่าผมไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินมีค่าติดตัวสักชิ้นก็ไม่มี”

“แล้วมั่นใจแค่ไหนว่าหมอนั่นไม่ได้กำลังหลอกนายอยู่”

“หมายความว่าไง ผมตามไม่ทัน”

“งั้นฉันจะถามใหม่ หมอนั่นข่มขู่เพื่อให้นายยอมทำตามที่มันต้องการหรือเปล่า”

“เขา…”  เข้าใจคำถามอย่างทะลุปรุโปร่งและรู้ดีว่าเรื่องมันจะลงเอยอย่างไรหากไม่ใส่สีตีไข่เข้าไปหน่อยเพื่อทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร  “ครับ เขาข่มขู่ผม”

“ฉันจะเอามันเข้าคุก”

“ยะ อย่าให้ถึงขั้นต้องเข้าคุกเข้าตะรางเลยนะ ผมขอร้อง”

“ห่วง…?”

“แล้วพี่สาวผมล่ะ เธอจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีคนดูแล”

“มินน่าจะมาได้ยินเองกับหูนะว่าน้องชายห่วงเธอมากแค่ไหน”   

“อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มีเวลาหาคนใหม่ เมื่อหาได้เราค่อยไล่เขาไปก็พอ”

“สามอาทิตย์ ฉันให้เวลาแค่สามอาทิตย์”

“แต่ว่า… ก็ได้ครับ”

“ถ้าครบสามอาทิตย์แล้วนายยังทำให้หมอนั่นออกไปเองไม่ได้ ฉันก็จะจัดการด้วยวิธีของฉันเอง” 












------------------------------
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นและทุกๆแท็กมากเลยนะคะ ตุ๊กติ๊กมีความสุขมากที่ได้อ่าน เป็นกำลังใจให้กันไปจนจบเรื่องเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ แท็ก #ลั่น_ดาล

ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-06-2018 22:18:36
มาแนวมนต์รักอสูร ตบจูบ ตบจูบ แต่เหมือนเป็นวังวน ที่หาทางออกไม่ได้ยังไงไม่รู้เน๊อะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 29-06-2018 22:28:00
โอ้ยยยยยยยยยยย ยิ่งอ่านยิ่งเครียดค่าาาาาา ตอนคิมตบหน้าภัคนี่เราตกใจมากเลย ทำน้องได้ไงห๊ัะะ
ภัคคือไม่ได้ตั้งใจจะเป็นชู้กับเหมป่ะ แต่อีเหมสารเลมาข่มขืนถึงห้อง ปวดหัวไปหมด...

อยากตัดช้อยว่าภัคไม่ได้ฆ่าออกไปเลยอ่ะ เราว่าภัคไม่ได้ทำ แต่ไม่รู้จะหลอกซ้อนหลอกมั้ย ฮือๆ
อยากอ่านต่ออีกค่า อยากอ่านทุกวันทุกวัน :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Emmaline ที่ 29-06-2018 23:24:21
ภัคคค ถ้าธันรู้ว่าเราพูดถึงเขาแบบนี้ เขาพูดความจริงมา เราแย่เลยนะ :katai4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 29-06-2018 23:42:49
ฮือออออออ
ตอนคิมพูดว่า"ฉันขอโทษ"นี่เราแทบร้องไห้ตามภัคเลยค่ะ
เห็นไหมภัคคิมหันต์ไม่เหมือนเหมมันต์นะ

รู้อดีตของการต้องยอมเป็นชู้ของภัคแล้วเศร้าจังเลยค่ะ
น้ำเมานี่มันทำให้คนหลายเป็นปีศาจได้จริงๆ
เดาว่าเหมมันต์คงใช้เรื่องนี้มาขู่ภัคให้หลับนอนด้วย
พอธันรู้เลยฆ่าเหมมันต์เพื่อช่วยภัค
มันต้องแบบนี้แน่ๆค่ะคุณผู้ชมมมมม
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-06-2018 23:59:29
ตอนแรกเดาว่าเรื่องนี้ไม่มีผี
ยังไงเนี่ย งงไปหมดล้าวววววว  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-06-2018 03:21:59
เดี๋ยวก๊อนนนนนคิมมม สติๆ ก็รู้ว่าหึงนะก็เข้าใจอยู่ว่าไม่อยากให้เขาอยู่ใกล้กันแต่มันมีคนตายในบ้านนะ!! เพราะงั้นผู้ต้องสงสัยมากสุดคือคนในบ้านควรจะเก็บไว้สังเกตุไหม หรือว่าไง หรือว่าเป็นแผนล่อ แบบก็สงสัยพวกเขาอยู่ไงเลยจะลองดูปฎิกิริยาคนที่ตัวเองสงสัย ว่าจะดิ้นกันยังไงบ้าง เห้!! คิมไม่น่าจะคิดได้นะ อยากไล่ออก คงเพราะหึงนั่นละ(มั้ง) 5555555 //พายุลูกนี้ดับไฟร่านได้เหลือแค่ควันจางๆจริงๆ 555555 ถึงจะไม่มอดสนิทเลยก็ถือว่าดีมากแล้ว จะทำอะไรอีกต้องคิดหนักแล้วละ ความไม่มีความสุขในเซ็กส์ครั้งนี้ถือว่าสาสมแล้วที่ภัคได้รับเมื่อคิดไปถึงความสุขของเซ็กส์จนทำให้มะเขือเทศหล่นพื้นกระจาย55555 ถึงจะฟังดูโหดร้ายแต่เมื่อยามเห็นว่าตอนนั้นภัคไม่ได้รู้สึกผิดอะไรต่อคิมเลย ร้ายไปกว่านั้นยังคิดไปถึงว่าเสียดายที่สละผัวคนนี้ให้กับพี่ แต่ถ้ากลับกัน ณ ตอนนั้นภัครู้สึกผิดกับคิมมากจนแทบจะไม่รู้รสเซ็กส์กับธันเพราะกังวล จะให้ทำยังไงได้ ต้องฝืนทำอยากจะทดแทนบุญคุณให้รางวัลให้มันจบๆไป ความรู้สึกเราจะเปลี่ยนไปทันทีเลย จะสงสารภัคที่โดนข่มขืนโดยคนรัก แต่นี้ถือว่าสาสมแล้ว แต่ว่านะเราก็โกรธคิม โกรธระดับนึง ที่ตบภัคตั้งสองครั้ง แต่ก็นะถ้าลองเป็นตัวเองได้ยินกับหูว่าเขาเอากันขนาดนั้นคงไม่แค่ตบ อาจเอาปืนมายิงเลยก็ได้ 555555 //ถือว่าโอเคผ่านไปได้ด้วยดีที่คิมยังรู้สำนึกรับผิดขอโทษยอมให้เขาทุบตีต่อว่าแรงๆ ก็ไม่ว่าอะไร ดีแล้วที่ลงเอยแบบนี้ แต่อยากรู้ใจภัคที่มีต่อเหม โอเคครั้งแรกเพราะโดนเหมข่มขืน แล้วครั้งต่อๆมาละ มีความสมยอมจนกลายมีความรักปนบ้างไหม แล้วทำไมตอนนั้นถึงครางชื่อเหม....เพราะรักหรือเพราะเกลียด ตอบดีๆนะภัค 5555555 เซ็กส์ครั้งแรกกับภัคของคิมนั้น ทำให้รู้เลยว่าภัคเคยมีเซ็กส์กับเหม หลังรู้ผลชันสูตร ที่คิมถามภัคว่าเคยเอากันกับเหมไหม แล้วภัคโกหกพร้อมเลี่ยง รู้เลยว่าภัคโกหก ถ้าคิมโฟกัสอีกหน่อยอาจจะได้รู้ฆาตรกรตัวจริงเร็วยิ่งขึ้น คึคึ!! กูเครียดดดว้อยยยย กูอิน 5555555 //ยิ่งภัคสารภาพว่าเอากับธันเพราะอะไร เรายิ่งมั่นใจว่าภัคไม่ได้ฆ่า (เดาไว้ก่อนหน้าคือ:มินฆ่า ธันอำพราง ภัคปกปิด) จะเป็นยังงี้รึป่าวนาาา?? 55555 ลุ้นต่อๆ //อีกอย่างที่ได้จากตอนนี้คือคิมเองก็ไม่ได้รู้อะไรเยอะมาก่อนเลย คือก่อนหน้าเราคิดว่าคิมรู้แทบทุกอย่าวแต่แกล้งงโง่ ป่าวเลย คิมไม่รู้อะไรจริงๆ ต้องสืบสวนเองหมด แต่ที่ติคิมตอนนี้คือยังตั้งสติไม่ได้ อารมณ์มาก่อนสอบสวนหาความจริง ถ้าแยกเรื่องส่วนตัวกับงานออกได้กว่านี้อีกนิดนึง จะเบิกเนตรเลย คึคึ!! อยากรู้แล้วววววใครคือฆาตรตัวจริง รออ่านตอนต่อไปค่ะ ภัคจะทำยังไง อิอิ!!! สนุกกกกมากกกก ชอบจริงๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 30-06-2018 04:33:22
ยังคงสงสารธันวา คือนางอยุ่ของนางดีๆ ภัคลากนางเข้ามาในบ้านแล้วทำลายชีวิตธันด้วยความภัคดีที่ธันมี ธันบูชาและเห็นภัคเป็นพระเจ้า


ขอเดาว่าเรื่องนี้มีคนคิดฆ่าเหมและลงมือมากกว่าสอง คือยังตัดประเด็นที่ดาเห็นพ่อคืนนั้นไปไม่ได้ แล้วไหนจะภัคที่โกหกทุกอย่าง และธันคงช่วยภัค


1.คิมหันต์
2.ภัค+ธัน

เหมือนแบบคนแรกเข้ามาฆ่าแล้ว แต่ยังไม่ตาย มีคนที่อยากฆ่าตามมาทีหลังและทำให้ตาย แต่เรายังเดาไม่ออกว่า1กับ2ใครมาฆ่าก่อนหรือหลัง

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-06-2018 14:24:58
รู้สึกว่าตอนนี้ได้เบาะแสมาเยอะมาก และคิมอาจจะพลาดอะไรไปจากหลักฐานศพโมรีหรือเปล่า ใจนึงก็คิดว่าธันวาเป็นคนฆ่าทุกคนตามที่มินตราต้องการ ให้ทุกอย่างมันชี้ว่ามินตราเป็นคนฆ่าเพื่อจะได้ครองคู่กับภัค แต่ดันมีอีพี่คิมเข้ามาขวาง  :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 30-06-2018 16:46:57
เรื่องนี้สนุกมากก เนื้อหาแน่นมาก ปริศานาเต็มไปหมด ติดตามอยู่นะคะ นี่สงสารธันนะ แต่ก็อยากให้ภัคคู่กับคิม อยากรู้พระเอก
มีส่วนเกี่ยวข้องก้ับปริศนาการตายของเหมันต์มั้ย ชอบการวางบทของพี่สาวกับนายเอกนะ เป็นตัวร้ายที่แบบร้ายสู้น้องไม่ได้ ฮา ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดน่ารำคาญ อารมณืนายเอกเจ้าน้ำตาถูกพี่สาวใจร้ายรังแกงี้ ชอบภาษาและการบรรยายเรื่องนี้มากๆ จะติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 01-07-2018 04:05:52
เพิ่งได้เข้ามาตามอ่านรวดเดียว
ปริศนากะปมเยอะมากกก
ภัคคือเป็นนายเอกที่ทำนี่กุมขมับ 55555
นี่เป็นคนเดาเรื่องไม่ถูกเลย โอ้ยย ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก
ชอบบทอัศจรรย์จังค่ะ เซ็กซี่มาก 5555
อยากรู้ความจริงไวๆแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-07-2018 23:05:39
 :o12:   สงสารธัน  ธันรู้คงใจสลาย
ภัคกับคิมหันต์ก็ศีลเสมอกัน
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Tpoltiw ที่ 02-07-2018 23:55:52
 :hao6: :z3: o22 :3125:  นึกตอบจบไม่ออก.  คนแต่งนี้สุดยอดจ้าาาา.,        NC.  นี้เลือท้วมมมมม
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 03-07-2018 01:14:52
ภัคเริด ชอบนายเอกที่มีผัวหลายคน แต่อยากให่เลือกธันวาอ่ะ กลัวธันวาจะกลับมาทำร้ายภัคถ้านางได่ยินที่ภัคพูดกับคิม
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: water ที่ 04-07-2018 11:15:02
เป็นตำรวจที่วุฒิภาวะต่ำมาก5555555
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 04-07-2018 18:43:04
๑๔




“ขอโทษด้วยกับความใจร้อนของฉัน” 

คิมหันต์เอ่ยความในใจแทนการถามว่าวันนี้เป็นยังไงบ้างขณะหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายผิวซีดที่เที่ยงนี้ถึงคิวถูกสอบปากคำรอบสอง ซึ่งความจริงนายตำรวจไม่จำเป็นต้องทำเองก็ได้ แต่เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วยตามประสาผู้ชายจึงแย่งงานลูกน้องมา       

ระหว่างที่คนมียศเปิดเอกสารการสอบปากคำครั้งก่อนดูคร่าว ๆ ธันวาก็นั่งนิ่งเป็นเป่าสาก สงบเสงี่ยมเรียบเฉยดั่งเช่นวันแรกที่เจอะเจอกัน โดยที่ตรงโหนกแก้มยังปรากฏความช้ำเลือดช้ำหนองชัดเจน โดดเด่นจนไม่มีทางที่คนฝากรอยไว้จะมองไม่เห็นผลงานของตัวเอง   

นัยน์ตาดำด้านเหลือบมองรอยช้ำดำเขียวบนใบหน้าอีกคนเพียงเล็กน้อย แล้วค่อยพูดเข้าประเด็นซึ่งไม่พ้นเป็นเรื่องส่วนตัวอีกตามเคย  “เมื่อคืนภัคอธิบายให้ฉันฟังชัดเจนแล้วว่านายไม่ได้เป็นอะไรกับเขาและดูเหมือนว่านายจะเข้าใจอะไรผิดไป …เขาไม่ได้รักนาย” 

จงใจลงน้ำหนักเสียงที่ประโยคสุดท้าย รวมถึงเปลี่ยนท่านั่งยกขาซ้ายพาดขาขวาแล้ววางท่อนแขนเท้ากับขอบโซฟาด้านหลัง ดูวางอำนาจอย่างกับราชาผู้กำชัยชนะศึกสงครามมาหลายคราและกำลังจะหยิบยื่นความพ่ายแพ้ให้กับศัตรูที่ยอมรับว่าดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ 

“เขาพูดแบบนั้นเหรอครับ” 

“นายก็พูดได้นี่”  คิมหันต์เอ่ยสวนเสียงดัง ซ้ำยังแสรงทำสีหน้าตกอกตกใจก่อนจะหัวเราะเพราะตลกกับการแสดงของตัวเองที่ช่างดูจอมปลอมเสียเหลือเกิน  “คิดว่าฉันแต่งคำพูดมาโกหกนายหรือไง”  เลิกขำได้ก็ย้อนถามและไม่รอเอาคำตอบก็พูดรอบใหม่  “เอาล่ะ เรามาเริ่มคุยเรื่องของนายกันบ้างดีกว่า นายเข้ามาทำงานที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“แล้วคุณภัคไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังด้วยเหรอครับ”  ธันวาถามกลับหน้าตาย หงายการ์ดคนมาก่อนเพื่อตอกย้ำคิมหันต์ซึ่งมาทีหลัง  “ถ้าคุณอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับผม ถามคุณภัคเอาก็ได้ครับ เพราะเขารู้เรื่องผมดีที่สุดกว่าใคร”  ดูท่านายตำรวจจะประเมินอีกคนต่ำไป สุดท้ายเลยโดนเอาคืนพอให้แสบ ๆ คัน ๆ และบังเกิดสงครามประสาทขนาดย่อมขึ้นมา 
 
“ไอ้เรื่องที่ภัคชวนนายมาทำงานด้วยน่ะเหรอ”  สานต่อการทับถม ข่มว่ารู้เยอะด้วยการกล่าวอ้างถึงบางช่วงบางตอนที่สำคัญของบทสนทนา  “รู้ไหมว่าภัคพูดกับฉันว่ายังไง ‘ผมสงสาร เขาดูหมดหวัง ไม่มีที่ไปก็เลยลองชวนให้มาทำงานด้วยกัน แต่ผมไม่คิดว่าความปรารถนาดีของผมจะทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าผมมีใจให้…’ ”  ใครชนะ ใครปราชัยก็เห็น ๆ กันอยู่ แล้วผู้แพ้ก็ได้แต่นั่งกำหมัด ถูกความเจ็บปวดกัดกินก้อนเนื้อในอกซ้ายจนน้ำตาตกใน

“เหมือนนายจะรักผิดคนนะ”  ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอก

นี่เล่นตอกย้ำซ้ำเติมกันอย่างเลือดเย็น สัญญาเลยว่าถ้าเกิดธันวากระอักเลือดตาย นายตำรวจจะเป็นเจ้าภาพงานศพให้เอง  “เขายังบอกด้วยอีกว่าจำเป็นจะต้องตอบแทนเพราะติดหนี้บุญคุณนาย”  ได้ยินอะไรมาก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้กลั้นกรองหรือเกาคำพูดให้ดูนุ่มนวลขึ้น แล้วยังมีหน้าขยายประเด็นด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกต่างหาก 

“เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่าบุญคุณอะไรกัน ฉันถามแทบตายภัคก็ไม่ยอมบอก ไม่รู้จะมีความลับอะไรนักหนาทำอย่างกับว่าฉันเป็นคนอื่นคนใกล้อย่างนั้นแหละ”  บ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้วเพิ่งนึกได้ว่ามีอีกคนนั่งร่วมห้อง

ธันวาจ้องมองราวกับมีความแค้นส่วนตัว ซึ่งคิมหันต์ก็หาได้กลัวไม่เพราะเคยถูกฝึกสบตากับคนร้ายที่มักจะจ้องนายตำรวจด้วยความอาฆาตมาเป็นอย่างดี  “ก็ได้ จะไม่บอกกันก็ได้ เดี๋ยวฉันค่อยเค้นกับภัคเอาทีหลังเองแล้วกัน แต่ไหน ๆ ก็พูดเรื่องภัคขึ้นมาแล้ว งั้นฉันขอถามอะไรหน่อย นายชอบภัคที่ตรงไหน”

“นี่ไม่น่าใช่คำถามสำหรับใช้สอบปากคำนะครับ” 

“เถอะน่า มาถึงขั้นนี้แล้วเราก็ควรจะคุยกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อพวกเราสามคนก็เคยใช้เมียร่วมกัน”     

ธันวามองหน้าคิมหันต์ในตอนที่คิดว่าได้ยินอะไรผิดไป แต่นอกจากอีกคนจะไม่พูดแก้ให้ถูกยังยักไหล่ พยักหน้าว่าใช่ นายได้ยินถูก สามไม่ใช่สอง

“ผมจะตอบคำถามที่เกี่ยวกับการสอบปากคำเท่านั้น”     
   
“งั้นฉันตอบก่อนก็ได้ ฉันชอบที่ภัคช่างเอาใจ แบบ… นายก็คงพอเข้าใจใช่ไหม เขารู้วิธีมัดใจผู้ชายหน้าโง่ ๆ อย่างพวกเราให้อยู่หมัด เป็นงาน ทั้งเรื่องดูแลบ้านแล้วก็เรื่องบนเตียง นายเองก็คงจะชอบอย่างหลังเหมือนกันถูกไหม หรือไม่ใช่…?”  เห็นคนตรงหน้าเงียบไปก็ยิ่งทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ  “อย่าบอกนะว่านายไม่ได้หวังเรื่องนั้นน่ะ ให้ตาย นายนี่มันหน่อมแน้มกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”  ออกจะรู้สึกประหลาดใจปนขบขัน  “แต่สำหรับฉัน ฉันหวังว่ะ”

ประโยคสารภาพอย่างตรงไปตรงมาทำให้ธันวาขมับกระตุก ลังเลว่าจะลุกออกจากตรงนี้หรือปรี่เข้าตะบั้นหน้าอีกคนให้หายแค้นดี นอกเหนือจากอารมณ์กรุ่นโกรธก็ยังผิดหวังที่ร่างบางเลือกผิดคน รักโจรในคราบตำรวจ แค่เพราะมีอาชีพการงานที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีไปด้วย  “ถ้าคุณภัคมาได้ยินเข้า เขาคงผิดหวังในตัวคุณมาก”

“คนรักกันก็ย่อมต้องมีผิดหวังกันบ้างเป็นธรรมดา แต่พนันกันไหมละว่าเขาจะทำอย่างไหน ระหว่างเดินเข้ามาตบหน้าฉันหรือเดินแก้ผ้าเข้ามาอ้าขาให้ฉันเอา”

“คุณภัคมีค่ามากกว่าจะให้คุณเอามานั่งพูดจาดูถูกนะครับ”   

“แล้วคนที่นายเทิดทูนนักหนาเขาเคยคิดจะเหลียวแลเวลาที่นายมีปัญหาบ้างไหมล่ะ”

“ถ้าคุณจะไม่สอบปากคำ งั้นผมขอตัวกลับไปทำงาน”

“ใจเย็นสิพวก โดนจี้ใจดำแค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้”  ยกมือยอมแพ้แต่ไม่วายเหน็บแหนบคนที่ยอมลงนั่งอีกครั้งอย่างอดทนอดกลั้น  “ผลชันสูตรออกมาว่าน้องชายฉันไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่มีใครบางคนทำให้เขาตาย ฉันก็แค่อยากรู้ว่านายรู้จัก ‘ใครบางคน’ ที่ว่านั่นหรือเปล่าก็เท่านั้น”  นายตำรวจตัดสินใจรายงานความจริงให้ผู้ต้องสงสัยทราบ แน่นอนว่าที่ทำแบบนี้ต้องมีเหตุผล  “นายเป็นใครบางคนที่ว่าหรือมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าธันวา” 

“เปล่าครับ”  ตอบด้วยความมั่นใจและจ้องตาคิมหันต์ไม่มีหลบ

“ฉันให้โอกาสตอบใหม่อีกที นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าน้องชายฉันหรือเปล่า”  เป็นการถามไม่ใช่การคาดคั้นเอาความท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย แต่อาจจะมีแค่นายตำรวจที่ดูสบายใจแปลก ๆ  “บอกฉันมาตรง ๆ เถอะน่า ถ้านายยอมสารภาพฉันจะกันนายเป็นพยาน …หรือนายพยายามปกป้องใครอยู่ ก่อนจะตอบว่าเปล่าอีกทีลองคิดให้ดี ๆ ก่อนนะ”

“ตั้งแต่คุณเข้ามาเหยียบในบ้าน ผมไม่เห็นว่าคุณจะดูเสียใจกับการตายของน้องชายคุณตรงไหน” 

“นายนี่มันพูดมากกว่าที่คิดแฮะ”   

“สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตลอดเวลาก็คือคุณพยายามกะลอกะติดคุณภัคมากกว่าที่จะหาหลักฐานช่วยน้องชายตัวเอง”

“เพราะฉันมีหลักฐานจะเอาผิดคนร้ายมากพอแล้วต่างหากล่ะ” 

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวคนฟัง นั่งมาตั้งนานเพิ่งจะได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก  “คุณ… รู้ตัวคนร้ายแล้ว…?”

“ทำไม…? กลัวเหรอหรือว่ากำลังเป็นห่วงใครกันแน่ สำหรับคดีฆาตกรรมโทษอย่างต่ำก็ติดคุกตลอดชีวิต คิดดูสิว่าถ้าคนที่นายพยายามปกป้องต้องเข้าไปอยู่ในคุกกับพวกเดนคน นึกภาพออกใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”  เป็นใครมาได้ยินก็คงจินตนาการภาพตามได้ไม่ยาก ชีวิตหลังลูกกรงก็คือตกนรกดี ๆ นี่เอง ความโหดร้ายจะไม่เหมือนกับเด็กที่แค่ส่งเข้าสถาบันดัดสันดาน การเป็นผู้ใหญ่มันยากและลำบากไม่รู้จักจบจักสิ้น ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด

“ใจคอจะไม่บอกอะไรฉันหน่อยเหรอ นี่ฉันอุตส่าห์เล่นเป็นตำรวจดีแล้วนะ”

“ผมก็นึกว่าคุณเป็นตำรวจเลวมาโดยตลอด”

“ใครจะไปดีแบบนายล่ะ”  ประชดเข้าให้แล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้มจอมปลอม  “หวังว่าจะคงความดีแบบนี้ไว้นะ อย่าเพิ่งดีแตกเพราะเกิดกลัวขึ้นมาก็แล้วกัน”  นายตำรวจพูดทิ้งท้ายแล้วคว้ารายงานเดินออกจากห้องส่วนตัวของคนดูแลหญิงพิการ คิมหันต์เปิดประตูออกมาเจอภัคที่กำลังเดินไปเดินมาราวกับหนูติดจั่นและเมื่อเห็นว่าเป็นใครกันที่เดินออกมาก็รีบปรี่เข้าหาทันที 

“มีอะไรหรือเปล่า”  ออกปากถามร่างบางที่เดินเข้ามากอดเอวไว้หลอม ๆ     
     
“ผมแค่ไม่อยากอยู่ห่างคุณ”

“ไม่ใช่ว่ากำลังเป็นห่วงชู้รักหรอกเหรอ”

พูดดักอย่างรู้ทันและนั่นทำให้คนฟังหน้างอในชั่วพริบตา  “ไหนคุณว่าเราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกแล้วไง ถ้าคุณยังเอาแต่ประชดประชันแบบนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

“ไม่เอาน่า”

“ผมยอมยกโทษให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดจาไม่ดีกับผมยังไงก็ได้นะ แล้วถ้าคุณตบผมอีก คราวนี้ผมจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่”   

“อยากโดนข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงานหรือไง”

“ผมก็จะแจ้งจับคุณข้อหาทำร้ายร่างกายประชาชนเหมือนกัน”

“โหดจัง”

“ก็คุณนั่นแหละเริ่มก่อน”

“ผมขอโทษครับ”  กล่าวออกมาอย่างง่ายดายเพื่อเอาใจ ลูกไม้เดิมใช้ได้ผลกับคนเดิม ๆ ที่ครู่เดียวก็เบี่ยงหน้าหลบ ก้มหน้าหนีริมฝีปากหนาที่พอไม่สามารถจูบปากได้ก็ย้ายไปคลอเคลียแถวขมับ จนต้องภัคต้องรีบห้ามและยับยั้งเพราะกลัวจะมีใครมาเห็น

“จะอ้วก”  ไม่ทันแยกย้ายจอมทัพที่ก้าวขึ้นบันไดมาก็กลายเป็นพยานรักอย่างไม่เต็มใจ  “ตกลงว่าเครมคนน้องหรอกเหรอ อย่างนี้คนพี่ก็ช้ำใจตายแย่สิ”  ดูเหมือนว่าการที่ไม่อยู่บ้านหลายวันจะทำให้พลาดเรื่องสนุก ๆ ไปจนอดนึกเสียดายไม่ได้ 

“คุณจอมทัพ”

“สภาพดูไม่ได้เลยนะ”

จอมทัพยักไหล่รับกับคำทักทาย ค่อย ๆ กลับมามีบทบาทภายในบ้านอีกครั้งหลังหายหัวไปอยู่คอนโดเพื่อนเสียตั้งหลายวัน แถมการกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มาตัวเปล่าแต่นำกลิ่นเหล้ากับบุหรี่ติดตัวมาด้วย ป่วยการจะตักเตือน ขอแค่อย่าทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ 

“แล้วที่เรียกฉันกลับมามีอะไร หรือมีใครตายอีก ใช่พี่สาวนายหรือเปล่าที่ตาย ฉันจะได้สั่งทำป้ายหลุมศพให้เลย”

“ไม่มีใครตายเพิ่มทั้งนั้น แต่ถ้านายไม่ตอบคำถามลูกน้องฉันตามตรง นายได้ตายแน่” 

ชายหนุ่มผิวแทนที่แค่แวะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจกลอกตาบนใส่คิมหันต์ที่เก่งแต่เบ่งอำนาจก่อนจะยกมือขอตัว เดินเข้าห้องตัวเองไปโดยมีสายตาสองคู่มองตาม แล้วความหนุ่มก็เตือนความจำให้ภัคนึกถึงใครอีกคนที่มีอายุไล่เลี่ยกันแต่ดันด่วนจากไปตั้งแต่อายุยังสาว ตอนนั้นว่าจะถามอยู่ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรแต่ก็ดันทะเลาะกันยกใหญ่เสียก่อน

“ผมถามเรื่องโมรีได้ไหมครับ ทำไมเธอถึง…”

“ตามรายงานบอกว่าเป็นฆ่าชิงทรัพย์”

“ฆ่าชิงทรัพย์…?”  ร่างบางกำลังคิดถึงวันที่นายตำรวจได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องให้ออกไปสถานที่เกิดเหตุกลางดึกและนึกได้ว่าธันวากลับบ้านมาด้วยสภาพเปียกมะล่อกมะแล่ก     

คืนนั้นภัคไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มผิวซีดถืออะไรติดมือกลับมาด้วยหรือเปล่าและเพราะไม่อยากจะกล่าวหาใครลอย ๆ จึงต้องออกตามหาหลักฐาน เพื่อลบล้างความคาใจ อาศัยช่วงเล่นซ่อนแอบกับหลานสาวลอบเข้ามาในห้องนอนคนอื่นอย่างถือวิสาสะและทำเรื่องเสียมารยาท เปิดตู้ดูมันทุกชั้น กวาดสายตามองของในลิ้นชัก หาบางอย่างไปทั่วห้องนอน ตรวจสอบแม้กระทั่งในปอกหมอน ตบ ๆ มือทั่วที่นอนก่อนจะเปิดผ้าห่ม แต่ขนาดก้มดูใต้เตียงก็ยังไม่พบความผิดปกติอะไร ไม่มีข้าวของแปลกตาเกินมา เหมือนของใช้ส่วนตัวจะลดลงไปด้วยซ้ำ 

แต่ร่างบางก็ยังไม่ลดละความพยายาม รีบเดินเข้ามาในห้องน้ำราวกับมีอะไรดลใจ ทั้งที่ก็แทบไม่มีพื้นที่ตรงไหนให้พอซ่อนสิ่งแปลกปลอม แต่ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลก็ยังคงไม่หายไปอยู่ดี นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงมองบริเวณโดยรอบให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง หันไปทางอื่นแล้วก็วกกลับมาที่โถสุขภัณฑ์สีขาวสะอาดตา ภัคเดินเข้ามาจด ๆ จ้อง ๆ มองฝาตรงบริเวณที่กดน้ำก่อนจะนับหนึ่งถึงสามในใจขณะภาวนาว่าขออย่าให้ใช่เถอะ ลุ้นระทึกจนมือไม้สั่น จนเมื่อตัดสินใจยกฝากระเบื้องออกก็เจอกับสิ่งของที่หายไป กระเป๋าสตางค์หน้าตาไม่คุ้นกำลังลอยอืดบนน้ำ แต่ร่างบางไม่กล้าหยิบขึ้นมาเพราะกลัวว่าจะได้รับคำยืนยันจากบัตรประจำตัวที่อยู่ด้านในว่าเจ้าของเป็นใคร ไม่มีคนปกติที่ไหนเอาของตัวเองมาลอยน้ำเล่นหรอก

มองจากรูปการแล้วก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ภัคมองหลักฐานชั้นดีด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ยืนเหม่อจนฟื้นสติตอนที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ มีคนขับรถออกไปจากรั้วบ้านกับมีใครบางคนกำลังจะเปิดประตูห้องเข้ามาด้านใน เสียงหมุนลูกบิดเป็นสาเหตุให้มือเรียวต้องปิดฝากระเบื้องลงไปอย่างเก่าอย่างรีบร้อนแล้วเดินออกมาประจันหน้ากับฆาตกรที่ยืนอึ้ง

ธันวานึกไม่ถึงว่าร่างบางจะย่างกรายเข้ามาในห้องนี้อีกหลังจากที่ตัดความสัมพันธ์ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลจริง ๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มยืนน้ำลายท่วมปาก ยิ่งเห็นภัคเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก็ไม่รู้จะเริ่มอธิบายอย่างไร ไม่รู้ว่าเห็นไปแล้วหรือยัง เกิดไม่มั่นใจเพราะอีกคนเอาแต่ทำท่าทางเฉยเมย เตรียมจะเดินเลยไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

   ชินแล้วกับการถูกทำเหมือนเป็นธาตุอากาศ แต่มาวันนี้เพิ่งเคยได้เห็นแววตาที่วูบหนึ่งเจือไปด้วยความผิดหวังเป็นครั้งแรกจากภัคและสร้างความน้อยใจขึ้นมาขนาดทำตามคำสั่งใครต่อใครก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ลึก ๆ แล้วธันวากลัวการทำให้คนอื่นผิดหวังเพราะมีคนไม่มากที่จะกล้าตั้งความหวังกับคนไม่มีอะไรอย่างตัวเอง กับเด็กกำพร้าคนนึง

มือกร้านคว้าข้อมือขาวไว้แทบจะในทันทีโดยที่ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร

“ปล่อยเถอะ ฉันไม่อยากให้มีปัญหา” 

ภัคเอ่ยน้ำเสียงกระด้างแต่ยังเทียบไม่ได้กับนัยน์ตาเย็นชา

แต่แม้ว่าร่างบางจะใจร้ายด้วยมากแค่ไหน ธันวาที่จำได้ว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะบอกก็อยากจะเตือนในฐานะคนรู้จัก ถึงการพูดบางอย่างออกไปอาจจะทำให้อีกคนมองตนในแง่ร้าย คิดว่ากำลังป้ายสีคู่แข่งทางความรัก แต่ยังไงก็ยอมให้ร่างบางมองว่ากำลังเอาความดีเข้าตัวเอาความชั่วเข้าคนอื่น

“ผมแค่อยากจะเตือนคุณไว้” 

ยอมปล่อยมือและเว้นระยะห่าง วางมือจากคนหมดรัก

ทั้งที่ความจริงตัวเองน่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยร่างบางให้หลุดพ้นจากคนแบบนั้นได้แต่กลับถอดใจอย่างง่ายดาย ได้แต่เอ่ยว่าให้ระวังคนที่รักจะแว้งมาทำร้ายเข้าสักวัน  “เขาไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดหรอก”   

“นายหมายถึงใคร”

“เขารู้ …ว่าคุณเคยนอนกับน้องชายเขา”  และการแสรงทำราวกับไม่รู้ ย่อมมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน   





มีต่อด้านล่าง...



หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๒) ๒๙.๐๖.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 04-07-2018 18:45:20

คิดแล้วก็ได้แต่สงสัยอะไรคือความยุติธรรม คนใช้ได้สิทธิ์สอบปากคำที่บ้าน ส่วนคนเป็นญาติต้องถ่อสังขารมาถึงสถานีตำรวจเพื่อตอบคำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ มีคำถามใหม่เพิ่มขึ้นมาเพียงไม่กี่ข้อที่พอฟังแล้วก็แอบหงุดหงิดใจเหมือนกัน

ไล่ต้อนอย่างกับอยากให้ตอบว่า ใช่ ฉันคือคนร้าย แต่จะให้ตอบอย่างนั้นได้ยังไงนับเป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอ…? จอมทัพที่ขอตัวกลับทันทีหลังให้ปากคำเสร็จเดินจ้ำอ้าวมาที่รถยนต์แล้วกดปลดสัญญาณล็อก เปิดประตูออกแล้วขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ แค่ปรับแอร์และเหยียบคันเร่งจนรถทยานออกจากลานจอดรถ สี่ล้อใหญ่หมุนวนบนถนนสายหลักแล้วค่อยหักเข้าโค้งก่อนถึงสี่แยกไฟแดง แยกตัวออกมาจากความวุ่นวายเพื่อใช้เส้นทางลัดไปสู่ที่นัดหมาย

ปลายทางก็คือคอนโดของเพื่อนในเอก รองเท้าหนังเหยียบเบรกได้ทันก่อนที่กั้นชนหน้าจะกระแทกกับผนังและเตรียมจะคว้าข้าวของเพียงไม่กี่อย่างลงจากรถ แต่ตอนที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัย หางตาดันเหลือบเห็นอะไรผิดสังเกตบริเวณที่วางเท้าเบาะนั่งด้านหลัง มันมีบางอย่างลักษณะคล้ายเคียงกับเท้าเด็ก

จอมทัพปลดพันธนาการแล้วรีบลงจากรถด้วยความสงสัย ขายาวเดินอ้อมมาเปิดประตูรถด้านข้างดูให้แน่ใจและทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะเมื่อพบว่ามีเด็กบางคนซนจัดขนาดแอบขึ้นมาบนรถโดยไม่ได้รับอนุญาตแถมกำลังหลับฝันหวานอย่างไม่สนใจใคร

หนูดาน่าจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกพาออกมานอกบ้าน หลานสาวเผลอหลับไปในระหว่างเล่นซ่อนแอบ หลังจากวิ่งหาที่ซ่อนไปทั่วบ้าน สาวน้อยก็พบว่ามีรถหนึ่งคันจอดอย่างไม่มีระเบียบแถมประตูไม่ได้ล็อกอีกต่างหาก จึงลอบขึ้นรถแล้วใช้บริเวณวางเท้าเป็นที่ซ่อนตัวจากน้าชาย แต่สงสัยจะซ่อนแนบเนียนไปหน่อยถึงไม่มีใครมาหาสักที รอจนตาปรือก็ยังไม่มีวี่แววจนผล็อยหลับไป นับว่าโชคดีมากแค่ไหนว่าระหว่างที่จอมทัพลงจากรถไปให้ปากคำและดับเครื่องยนต์ เด็กหญิงไม่ขาดอากาศหายใจจนสลบไปเสียก่อน ยังนอนหายใจเข้าออกเสม่ำเสมอ กระทั่งเจอปลุกอย่างรุนแรง บวกกับแสงแดดที่แย้งตา ร่างเล็กลืมตาในที่สุดและลุกขึ้นนั่งทั้งสภาพงัวเงีย

หนูดากวาดสายตามองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างงง ๆ ยังคงง่วงเหงาหาวนอนก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงตบเบาะ เด็กหญิงหันหน้ากลับมาเจอคนปากคอเราะร้ายแล้วกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด เสียงกรี๊ดแหลมเล็กทำให้จอมทัพต้องยกมือปิดหูแทบไม่ทัน พอดีกับมีสายจากเจ้าของวันเกิดโทรมาตาม ต้องรับโทรศัพท์ทั้งที่ใช้อีกมืออุดหู

“เออ กูมาถึงแล้ว”  ดันหลุดปากบอกตำแหน่งไป คนในสายจึงยิ่งเร่งให้ขึ้นไปด้านบน แต่พอจะแจ้งเหตุจำเป็นเห็นทีว่ามีเรื่องต้องจัดการก่อน เพื่อนก็รีบด่วนตัดสาย ทิ้งคนหัวเสียไว้กับเสียงสัญญาณน่ารำคาญ  “เวรเอ้ย…”  จอมทัพสบถเสียงดังระหว่างหันกลับมามองเด็กหญิงนั่งร้องไห้  “ลงมา”  เข้าใช้กำลังกระชากแขนเล็กให้ลงจากรถด้วยสภาพทุลักทุเล

ท่ามกลางการขัดขืนหนูดายืนกระโดดเหยง ๆ บนพื้นด้วยเท้าเปล่า เด็กหนุ่มมองสองเท้าเล็กด้วยความขัดใจแล้วโยนรองเท้าสำรองที่เก็บไว้ในรถให้ใส่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ยืมรองเท้ามันก็ยังดีกว่าให้อุ้มเข้าเอวพาเดินไปทั่วคอนโดแล้วกัน จอมทัพยังไม่อยากถูกยัดเยียดให้เป็นพ่อใคร แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนเพื่อนฝูงแซวอย่างสนุกปาก

หนูดายังร้องไห้พลางใช้หลังมือเช็ดแก้มระหว่างอยู่ในลิฟต์ เด็กน้อยสะอึกสะอื้นยืนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแปลกใหม่กับคนคุ้นหน้าแต่ว่าก็ดันเป็นคนเดียวกับที่เคยทำร้ายกัน แค่ตื่นขึ้นมาไม่เจอหน้าน้าชายก็ขวัญเสียจะแย่ ยังต้องเผชิญหน้ากับคนหงุดหงิดง่าย อ้าปากแต่ละทีก็มีแต่คำหยาบคาย จอมทัพเป็นฝ่ายเดินนำออกไปจากลิฟต์เมื่อประตูเปิดออกแล้วก็ต้องวกเดินกลับเข้ามาคว้าต้นแขนเล็กและพาเดินไปด้วยกันทั้งสภาพแขนห้อย

เด็กน้อยจำต้องเดินตามคนเจ้าอารมณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ น้ำตาเริ่มไหลน้อยลงจนกระทั่งได้พบกับโลกใบใหม่ที่ค่อยข้างมืด เด็กหญิงยืนหลบด้านหลังคนพามาเมื่อทุกสายตาในห้องหันกลับมาจ้องด้วยความสนใจ พี่ชายพี่สาวทั้งหลายเลิกสนใจเสียงเพลงและของมึนเมาชั่วขณะ ปาร์ตี้วันเกิดตอนกลางวันแสก ๆ เป็นอันหยุดชะงักเพราะความอยากรู้อยากเห็น

“มีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่บอกกันบ้างวะ” 

เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปากแซวแล้วได้นิ้วกลางเป็นคำตอบ จอมทัพตัดสินใจพาเด็กหญิงเดินฝ่าวงล้อมที่เต็มไปอบายมุข จูงมือเดินมาที่โซฟาซึ่งปราศจากคนจับจองแล้วออกคำสั่งเสียงดัง 

“นั่งอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน” 

ยืนเท้าเอวชี้หน้าเสร็จก็เดินออกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนฝูง เคลียร์เรื่องที่ว่าแอบซุกลูกไว้ อธิบายคร่าว ๆ ว่ามีเหตุจำเป็นนิดหน่อยจึงต้องเอาเด็กติดสอยห้อยตามมาด้วย

แสงสีมากมายดูจะช่วยทำให้เด็กหญิงลืมกลัวไปชั่วขณะแล้วแทนที่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ มือน้อยแบออกตอนที่มีประกายระยิบระยับพาดผ่าน มีแสงสะท้อนบนเพดานทำให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังท่องอวกาศอยู่ หนูดามองไฟวิบวับรอบห้องตาเป็นประกายในขณะนั่งห้อยขาบนโซฟา ก่อนจะแอบทำตัวลีบเมื่อพวกพี่สาวเข้ามานั่งประคบข้างและชวนคุย

พวกเธอสอบถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครด้วยน้ำเสียงสดใส มีการยื่นแก้วน้ำให้ดื่มอย่างใจดี ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่ก็ชวดตำแหน่งนางงามรักเด็กไปเมื่อจอมทัพเดินเข้ามาขัด  “ถอยไป”  ออกปากไล่ให้ไปพ้น ๆ แล้วลดตัวลงนั่งแทนที่ว่างพลางวางจานขนมไว้บนโต๊ะแก้วหน้าโซฟา  “กินซะ”

คนอุตส่าห์หาขนมคบเคี้ยวมาให้กินรองท้อง เด็กหญิงกลับทำแค่นั่งมองอย่างหวาด ๆ เพราะน้าชายเคยเล่านิทานสโนไวท์กบคนแคระทั้งเจ็ดให้หลานสาวฟัง ว่าสโนไวท์ยอมกินแอปเปิ้ลที่ได้รับจากแม่มดจนกระทั่งสลบไป 

“ไม่มียาพิษหรอกน่า อย่าเว่อร์”  จอมทัพที่ถือแก้วติดมือมากระดกเหล้าเข้าปากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เยาวชน ขอไฟแช็กจากคนเดินผ่านไปผ่านมาเพื่อจะจุดบุหรี่สูบ

“หนูเหม็น”  เด็กหญิงเป็นใบ้มานานและอาจจะเป็นไปอีกสักพักถ้าหากผู้ใหญ่ไม่เล่นพิเรนทร์สูบบุหรี่ในที่ปิดทึบ ลืมว่ามีอนาคตของชาตินั่งอยู่ร่วมห้อง

“อะไร”  นอกจากจะไม่สำนึกยังมีการเป่าควันบุหรี่ใส่หน้า

ควันสีเทากระจายฟุ้งจนหนูดาต้องรีบยกมือขึ้นปิดจมูก แสดงท่าทางรังเกียจอย่างชัดเจน แต่เห็นแบบนั้นก็ใช่ว่าจอมทัพจะสน ยังนั่งไขว่ห้างพ่นควันพิษออกสู่อากาศ ดื่มด่ำกับสาเหตุของมะเร็งปอดสลับกับยกแก้วเหล้าดื่มอีกสักหน่อยแล้วค่อยเอาบุหรี่จุ่มในน้ำจนไฟสีส้มดับในที่สุด 

“น้าภัคบอกว่าจอมทัพชอบทำตัวไม่น่ารัก”

“จะด่าว่าฉันเลวงั้นสิ”  น่าแปลกที่บรรยากาศระหว่างคนต่างวัยไม่ได้แย่อย่างที่คิด อาจเพราะผู้ใหญ่เข้าหาอย่างเป็นมิตรกว่าแต่ก่อน เด็กน้อยเองก็ค่อนข้างแปลกที่แปลกทางจึงฝากชีวิตไว้กับคนที่อย่างน้อยก็รู้จักเห็นมาตั้งแต่เกิด   

“จอมทัพอยู่ที่นี่เหรอ”

“อะไร”

“ไม่เห็นจอมทัพที่บ้านตั้งหลายวัน”

“ฉันจะอยู่หรือไม่อยู่บ้านมีใครสนใจด้วยหรือไง”  เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ ถ้าเป็นคนอื่นถามก็ว่าไปอย่าง แต่คนที่แสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยกลับเป็นเด็กที่เคยโดนตนทำร้ายจนเลือดตกยางออกเนี่ยสิ มีความจำเท่าปลาทองหรือไงถึงได้ลืมเรื่องราวบาดหมางง่ายขนาดนั้น  “หายกลัวฉันแล้วเหรอ”  ลองถามยั้งเชิงขณะหลุบตามองอย่างดุ ๆ  “แล้วใครสั่งใครสอนให้เรียกผู้ใหญ่ด้วยชื่อเฉย ๆ”  แทนที่จะแสดงอาการหวาดกลัวอย่างที่เคย ๆ เห็น ร่างเล็กกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เซมองไปทางอื่นเสียอย่างนั้น ถ้าน้าชายรู้ว่าทำตัวเสียมารยาทกับผู้ใหญ่คงได้โดนบ่นไปหลายวัน  “นี่ ฉันพูดด้วยอยู่นะ เฮ้…”

   ระหว่างที่คนโดนเมินกำลังเรียกร้องความสนใจ โทรศัพท์ก็มีสายโทรเข้า คำว่า ‘นรก’ เด่นหลาบนหน้าจอ ตอนแรกก็สงสัยว่ามีเหตุผลอะไรให้คนที่บ้านต้องโทรหา แต่พอเหลือบหางตามองด้านข้างก็ถึงบางอ้อ แล้วก็ยิ้มด้วยความสนุก

“ฮัลโหล ใช่ อยู่กับฉัน”  ไม่ผิดไปจากที่คาด น้าชายโทรมาถามเรื่องหลานสาวด้วยความร้อนใจและถ้าให้ทายก็คงใกล้จะหน้ามืดเป็นลมเต็มทีเมื่อรู้ว่าแก้วตาดวงใจอยู่กับชายหนุ่มที่เคยลั่นวาจาว่าอย่าได้เผลอก็แล้วกัน  “ฉันเคยบอกนายว่าไง ถึงตาฉันเอาคืนบ้างแล้วล่ะ”  พูดทิ้งท้ายอย่างมีเลศนัยแล้วกดตัดสายทิ้ง แย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ระหว่างมองเด็กหญิงเอื้อมมือหยิบขนมกินทีละชิ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว 




   คิมหันต์ที่ใช้ชีวิตเยี่ยงค้างคาวเข้าไปทุกขณะ ถึงเวลาบ่ายก็หลบอยู่ในถ้ำ เผลอหลับลึกหลังเอนตัวพิงกับพนักโซฟาได้ไม่นาน ก่อนจะโดนฝันร้ายเข้าครอบงำจนส่ออาการกระสับกระส่าย ยังคงฝันว่ามีใครสักคนหมายจะเอาชีวิตด้วยการบีบคอ แต่คราวนี้ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมจนเกิดการหลั่ง มันรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ เจ้าของมือที่กุมรอบลำคอไม่ได้เป็นแค่เงาดำแต่หน้าตากลับเหมือนตัวเองทุกประการ มีเลือดไหลจากดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

คนเป็นน้องกำสองมือรอบลำคอพี่ชายไว้แน่น แล้วออกแรงบีบเพิ่มจนฝ่ายหายใจไม่ออกหน้าเริ่มเปลี่ยนสี อ้าปากค้างแถมยังนัยน์ตาเบิกโพลง โชคดีที่มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องหลังจากได้ยินเสียงไอโครกครากดังไปถึงข้างนอก ภัคชะงักแล้วหยุดมองภาพน่าแปลกใจชั่วครู่ ก่อนจะรีบเข้าช่วยนายตำรวจที่กำลังหลับตาและละเมอบีบคอตัวเองอยู่จนหน้าดำหน้าแดง เขย่าอย่างแรงเพื่อปลุกให้ได้สติ รวมถึงช่วยง้างมือที่กำรอบลำคอออก

ลืมว่าจะมาบอกเรื่องที่หนูดาหายไปกับจอมทัพ

แล้วก็ช่วยให้คิมหันต์รอดจากการสิ้นใจได้อย่างหวุดหวิด  “เกิดอะไรขึ้นครับ”

ร่างบางรีบถามยามอีกคนลืมตาตื่นจากความตาย  “หยิบน้ำให้ผมหน่อย”  นายตำรวจร้องขอเสียงสั่น วิญญาณยังไม่อยู่กับร่องกับรอย ภัคที่รีบหาน้ำมาให้ปล่อยอีกคนได้มีเวลาดื่มน้ำ ความเย็นอุณหภูมิห้องพอทำให้ใจเย็นลงตามลำดับ กลับมาสงบ  “ฝันร้ายน่ะ” 

คิมหันต์ลูบหน้าตัวเองระหว่างพูดไปด้วยเสียงเบา 

“อยากเล่าให้ผมฟังไหม”  ร่างบางที่อาสาเป็นผู้ฟังหย่อนก้นลงนั่งตรงที่ว่างด้านข้าง   

“บางทีอาจเป็นภาพก่อนตายของน้องชายและความเป็นฝาแฝดก็ทำให้ผมระลึกถึงตลอดเวลา”  น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ก็ให้คำตอบไม่ได้ พอคนไม่มีฝาแฝดได้ฟังก็เกิดความสงสัย จินตนาการไม่ออกเท่ากับเรื่องที่มีคนเพิ่งบอกมา ‘เขารู้ …ว่าคุณเคยนอนกับน้องชายเขา’  นัยน์ตาสีน้ำตาลเอาแต่จ้องด้วยความเคลือบแคลงจนนายตำรวจถามว่ามีอะไร     

“ผมแค่สงสัยว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”

“ตอนงานศพแม่ผมไง เมื่อหกเจ็ดปีก่อน”

“ไม่ใช่ ผมหมายถึงนอกเหนือจากนั้น”  คิมหันต์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจว่าทำไมถึงอยากรู้ขึ้นมา  “ก็อาจจะเป็น…ในฝันละมั้ง”  ฉวยมือเรียวมากุมบนตักอย่างไม่มีเหตุผล แล้วพูดจาเหมือนคนยังไม่ฟื้นสติซะทีเดียว  “บางทีคนที่บีบคอผมในฝันอาจจะเป็นคุณ”

“บีบคอ…?”

ไม่มีคำอธิบายอะไรมากไปกว่ายกมือเรียวขึ้นมาวางรอบลำคอตัวเอง  “ลองบีบดูสิ”  สงสัยเป็นผลจากการที่ออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงสมองชั่วขณะ ไม่เข็ดแม้ว่าจะรู้รสชาติความทรมานของการถูกบีบคอดี

“คุณจะบ้าเหรอ…”

เกือบจะหลุดหัวเราะด้วยความตลกถ้าไม่เผอิญเห็นแววตาจริงจังมองแกมกดดัน  “บีบ”

“ผมทำไม่ได้”  สองมือที่กุมรอบลำคอหนาสั่นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนจะตามไม่ทันทั้งที่ก้าวนำคิมหันต์ไปหลายก้าว ไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายเสียมากกว่าและจะไม่มีทางปล่อยให้หัวข้อนี้คงอยู่นาน ภัคยกเรื่องหลายสาวมาคั่นกลางหลังจากที่เพิ่งนึกออก น้าชายที่บกพร่องต่อหน้าที่จนหลานหายออกไปจากบ้านรีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่รอเวลาให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง  “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนได้ไหมครับ หนูดาหายออกไปจากบ้าน ผมเลยลองโทรหาคุณจอมทัพ แล้วแกก็อยู่เขา”

“ที่ไหน”

“ผมไม่รู้ แต่เขาพูดเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง” 

ไม่ทันฟังให้จบ คิมหันต์ก็รีบคว้าแขนภัคลุกไปจากโซฟาด้วยกัน




“หนูง่วง”
เด็กหญิงบอกเสียงอ่อย

ภายในห้องกว้างไม่มีกิจกรรมไหนพอให้เยาวชนเข้าร่วมได้เลย สุดท้ายจึงได้แต่นั่งกินขนมกับแอบลองชิมน้ำอัดลมตามคำเชิญชวนของคนมากประสบการณ์ หนูดาออกนอกลู่นอกทางหนึ่งวัน ยังขัดเขินกับการคุยกับแปลกหน้า แต่ถ้ากับจอมทัพก็พอจะสนิทอยู่ในระดับหนึ่ง ยอมให้อีกฝ่ายถึงเนื้อถึงตัว หายกลัวไปมากหลังจากที่เมื้อกี้ได้น้ำอัดลมกระป๋องใหม่ ดื่มไปหลายอึกจนเดินเองไม่ไหวและได้คนพามาอุ้มพาเข้าห้องนอนเพื่อน

จอมทัพใช้ปลายเท้าเขี่ยก้นสหายที่กำลังใช้เตียงทำเรื่องอย่างว่ากับสาวที่พามา
“ออกไปไป ลูกกูจะนอน”  ออกปากไล่อย่างเย็นชาโดยไม่สนว่าอีกสองคนจะอยู่ในอารมณ์ไหน ผู้หญิงต้องรีบใส่เสื้อผ้า ส่วนสหายก็ยกนิ้วกลางให้ก่อนจะคว้าเสื้อยืดออกไปจากห้องอย่างเซ็ง ๆ   

“เมื่อกี้พี่สองคนเขาทำอะไรกันเหรอจอมทัพ” 

ตอนถูกวางร่างลงกลางเตียง หนูดาก็เอียงคอถามด้วยความใคร่รู้ 

“แก่แดด ไม่ใช่เรื่องที่เด็กต้องรู้สักหน่อย”

เด็กน้อยอมลมจนแก้มป่องแล้วนอนมองอีกคนนั่งลงบนเตียงเดียวกัน หยัดขายาวขึ้นมาหนึ่งข้างระหว่างเอนหลังพิงกับหัวเตียง 

“จอมทัพง่วงไหม” 

คนถูกถามเอียงหน้ามองคนถามเล็กน้อย  “จะว่าไปก็ไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายคืนเหมือนกัน”  จอมทัพขยับตัวลงนอนและจากที่ตอนแรกแบ่งโซนชัดเจน เป็นผู้ใหญ่ที่ล้ำเส้น เขยิบเข้าเขตแดนของหนูดาและนอนตะแคงต่ำกว่าร่างเล็ก โตแล้วแต่ก็ยังให้คนที่เด็กว่าลูบหัวเล่น ไม่ได้ปฏิเสธความมีน้ำใจ แค่นอนกอดอกเฉย ๆ แล้วปล่อยให้เด็กหญิงร้องเพลงกล่อม ลักจำพฤติกรรมมาจากน้าชายและเลียนแบบได้อย่างไม่มีที่ติ

น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังแผ่ว ๆ แล้วก็เงียบหายไปอย่างเป็นปริศนา 
 
แต่จอมทัพที่ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้ารู้สาเหตุดี ชายหนุ่มผิวสีแทนค่อย ๆ ยกมือเล็กที่วางค้างไว้บนศีรษะตัวเองออก แล้วนอนมองดวงหน้าจิ้มลิ่มด้วยสายตายากแท้หยั่งถึง มองลึกลงไปเหมือนจะเห็นความลังเลและความสงสารอยู่หน่อย ๆ เกิดเห็นใจเด็กน้อยที่ดันมีแม่เป็นคนที่ตนเกลียดเข้ากระดูกดำทั้งที่ไม่เคยทำอะไรให้ อันที่จริงก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ล้วนเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา พ่อแม่หย่าร้างกับพ่อแม่ไม่รักกัน

บทสรุปก็คือเด็กขาดความอบอุ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าน้าชายเลี้ยงหลานสาวให้โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ พูดในแง่ของความน่ารัก ผิวพรรณที่ขาวอย่างกับนุ่นและนุ่มดุจขนนก มือหนึ่งวางลงบนท่อนขาเล็กที่แสนเรียบเนียน ความคิดน่ารังเกียจกำลังกัดกินจอมทัพอย่างช้า ๆ มือนั้นลูบย้อนขึ้นจนใกล้จะถึงชายกระโปรงและอะไร ๆ ก็คงจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ถ้าไม่มีคนเปิดประตูห้องออกอย่างแรง   

หลังจากใช้เส้นสายให้เพื่อนตำรวจจารจรช่วยหาว่าป้ายทะเบียนเป้าหมายขับรถไปไหนคิมหันต์ถึงได้พบกับแหล่งกลบดานและเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาช่วยเด็กหญิงได้ทัน มือกร้านกระชากคอเสื้อจอมทัพให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว  “แกคิดจะทำอะไรลูกฉัน!”  หมัดหลุน ๆ กระแทกเข้ากับหน้าคนที่เกือบจะทำอนาจารเด็กอย่างจังและนายตำรวจก็พร้อมตั้งข้อหาถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยอมสารภาพว่าคิดจะทำอะไรกันแน่  “ฉันถาม!!”

“ใจเย็นสิพวก”  จอมทัพที่มีเลือดออกตามไรฟันกลับยิ้มเย้ยยันอย่างไม่กลัวตาย 

“ภัค พาหนูดาออกไป”  น้าชายทำตามที่นายตำรวจบอกทันที ปรี่เข้าช้อนตัวเด็กหญิงที่ยังหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราขึ้นจากเตียง หนูดายังสลบไสลราวกับตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยานอนหลับและไม่ว่าใครจะทำเสียงดังสักแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

ชายสองคนที่ยืนประจันหน้ากันรอให้สองน้าหลานออกไปจากห้องเป็นที่เรียบร้อย แล้วคนอายุน้อยกว่าก็พาเข้าประเด็นสำคัญทันที ไม่มีการอ้อมโลกใด ๆ  “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ ลูกฉัน…?”  ทวนประโยคที่ใครฟังก็คงแอบตะขิดตะขวงใจ แต่ไม่ใช่กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งนึกอะไรดี ๆ ออก  “อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนแรกเกือบจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ต้องขอบคุณหมัดนายที่ช่วยเตือนความจำฉัน”

“จะพูดอะไร”

“ยังต้องให้ฉันพูดอีกเหรอ”  คนเป็นต่อย้อนถามหน้าระรื่น       

นายตำรวจดันตัวอีกฝ่ายเข้ามุมห้อง มองซ้ายมองขวาให้มั่นใจว่าถ้าพูดอะไรไปแล้วจะไม่มีคนอื่นเข้ามาได้ยิน 
“นายรู้อะไรมา”

“ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกยัยมินตรา ยัยนั่นคงดีใจจนเนื้อเต้น”  จอมทัพพอจะเห็นลางแห่งความวุ่นวายในอนาคตอันใกล้ ถ้าแพร่งพรายความลับออกไปไม่ใครก็ใครต้องถูกแหกอกโทษฐานปกปิดความจริงที่ยิ่งกว่าละครเน่าน้ำ บทละครหลังข่าวยังต้องยอมแพ้

“นายต้องการอะไร” 

“ให้ได้แค่ไหนล่ะคุณตำรวจ”

“อย่าคิดจะขู่ฉัน”  คิมหันต์เลิกชายเสื้อขึ้นเพื่อโชว์ปืนที่เหน็บไว้ด้านหลังกางเกง

แต่เด็กหนุ่มก็หาได้เกรงกลัวไม่  “อย่าดีแต่ขู่สิคุณตำรวจ”

“นายเองก็คงไม่อยากให้ฉันเอาจริงสักเท่าไหร่หรอกใช่ไหม” 

“แล้วจะให้ส่งเลขบัญชีไปทางช่องทางไหนดีล่ะ”  ลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้และทำถ่อยด้วยการพ่นน้ำลายปดเลือดรดมือที่จับปกเสื้อไม่ปล่อย  “คงรู้นะว่าต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นค่าปิดปากคนอย่างฉัน”  จอมทัพสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแล้วตบบ่ากว้าง เป็นเหตุให้คิมหันต์โกรธจัดจนเผลอดึงปืนออกมาจากด้านหลัง ตั้งท่าจะยิงกะโหลกศีรษะของคนที่เดินลอยชายออกไป เกือบจะลั่นไกเพื่อทำให้เรื่องมันจบ ๆ แต่ท้ายที่สุดก็ตระหนักได้ว่าอีกคนยังไม่สมควรตาย โทษที่สาสมกับคนแบบนั้นไม่ควรจะเป็นอะไรที่ง่ายดายอย่างการส่งไปปรโลก แต่ทำให้รู้จัก นรก บนดินจริง ๆ   












------------------------------
แท็ก #ลั่น_ดาล

ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 04-07-2018 19:29:27
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย ที่แน่ๆในตอนนี้คือธันวาฆ่ามินตรา
แล้วหนูดาก็น่าจะเป็นลูกคิมหันต์ไม่ใช่ลูกเหม
คิมเป็นตำรวจที่ไม่ได้ดีจริงๆ ไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน หรือจริงๆแล้วคิมจะฆ่าพี่ชายตัวเอง... :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-07-2018 20:03:04
พัวพัน เป็นงูกินหางไปเลย ตกลงแล้วเกี่ยวข้องโยงใยเป็นลูกโซ่เลยหรือนี่
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 04-07-2018 22:16:10
ปมเยอะไปหมดแล้ววว
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 04-07-2018 22:46:49
งงไปกันใหญ่เลยทีนี้
 :really2: :really2:

สรุปธันวาเปนฆาตกรจริงๆใช่ไหม
แต่เหมือนคิมหันต์จะสงสัยภัค
แล้วจอมทัพแค้นอะไรนักหนา
ถึงต้องมาลงกับเด็กแบบหนูดา
แล้วหนูดานี้ลูกคิมหันต์ใช่ไหม

งือออออออ สับสนไปหมดละค่า
ได้แต่คิดแล้วก้สงสัยวนไปวนมา
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 05-07-2018 02:25:42
เดาไม่ผิด หนูดาเป็นลูกคิมหันต์  ตอนนี้แอบรำคาญหนูดาเล็กๆ 5555
สงสารธันวา อย่าติดคุกนะ สงสาร
นี่ว่าภัคฆ่าแหล่ะ คิมหันต์ก็รู้ ธันวาช่วยเฉยๆ
คิมหันค์ร้ายอะ ร้ายมาก
สุดท้ายเรื่องนี้คนทีาจะน่าสงสารที่สุดคงเป็นภัค โดนหลอกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Nachar ที่ 05-07-2018 06:48:11
ฆ่าตกรนี่ยังไม่ปักใจที่ใครอ่า แต่ที่แน่ๆคือหนูดาลูกคิมหันต์แน่ๆ มันเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว :fire:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: sunsatoh ที่ 05-07-2018 19:51:16
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 06-07-2018 08:29:28
ลุ้นมาก
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 06-07-2018 13:34:24
ปมอลังการเวอร์ต้องแกะกี่วันถึงจะหมดดดดด
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 06-07-2018 19:57:39
เหมือนจะมีปมใหม่มินตราสั่งรึธันวาจัดเอง​ เด็กน้อยเป็นลูกคิมหรอ​ เพราะเหมเป็นเกย์ใช่มั้ย​ งั้นอะไรยังอ่ะโอ้ยปมมมม
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-07-2018 00:10:23
เอาระเบิดไปปาบ้านเลย ตายทุกคน จบง่ายๆ5555
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 08-07-2018 03:10:21
ยืนันคำเดิม ว่าคิมฆ่า แต่ธันวาเข้าใจว่าภัคฆ่าเลยช่วยปิด ภัคลงมือจริง แต่เหมไม่ได้ตายเพราะภัคฆ่า (ภัคอาจจะลงมือเอง หรือยืมมือธนวาช่วยก็เป้นไปได้)

สงสารธันวา รักเขาแบบยอมตายถวายหัว แต่สุดท้ายเขาก็รักคนอื่น เจ็บแทนอ่ะ ที่คิมมันพูด คือพระเอกร้ายไปอี๊ก

จริงๆคิมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าดาเป็นลูกตัวเอง แต่ภัคไม่เคยเอะใจ นับว่าจอมทัพฉลาดมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 09-07-2018 13:47:10
โอ้ยสนุกมากกกกกกอินเวออออออ  มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 09-07-2018 21:21:03
สรุปแล้วคนที่ร้ายและรู้ทุกอย่างคือคิมหัน

ธันว่าสู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-07-2018 11:13:52
คิมหันต์ร้ายสุด ขนาดวิญญาณเหมยังอาฆาต
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 20-07-2018 10:49:46
หนูดาเป็นลูกคิมหันต์จริงๆ สินะ
อยากอ่านรวดเดียวจบเลยเนี่ย มันค้างคามาก
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 20-07-2018 16:36:13
คถจุง
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๓) ๐๔.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 29-07-2018 20:45:05
๑๕



   

“อยู่ไหนวะ” 

ท่ามกลางเสียงรื้อค้นจอมทัพก็สบถกับตัวเองด้วยความร้อนใจ แต่กลายเป็นว่ายิ่งตามหายิ่งไม่เจอ ของที่เคยอยู่ในลิ้นชักหายไปอย่างไร้ร่องลอยขณะเวลาลดเหลือลงน้อยเต็มที เด็กหนุ่มมีเวลาไม่มากหลังจากทำตัวลองดีและแน่นอนว่านี่เป็นการลักลอบเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าของบ้านเพื่อหาเอกสารที่เคยเห็นผ่าน ๆ ตาเมื่อครั้งริอาจเป็นขโมย ตอนนั้นเจอโดยบังเอิญแต่เกิดถูกจับได้เสียก่อนว่ากำลังยักยอกทรัพย์เลยได้อ่านผลวินิจฉัยแบบข้าม ๆ

มันคือผลตรวจสุขภาพของเหมันต์ที่ปัจจุบันตกอยู่ในมือของพี่ชายร่วมสายเลือด 

“หานี่อยู่เหรอ”  ซองสีน้ำตาลเจ้าปัญหาถูกชูขึ้นกลางอากาศระหว่างคิมหันต์เดินล่วงกระเป๋าเข้ามาในห้องทำงานน้องชาย นายตำรวจยกยิ้มเย้ยหยันเมื่อเห็นคนปากสว่างอยู่ในอาการคับแค้นใจ มองมาด้วยสายตาอาฆาต ของแบบนี้มันใครดีใครได้ ถ้าไวมากพอก็จะกลายเป็นต่อเหมือนเช่นตอนนี้  “นายคิดว่าจะได้ค่าปิดปากจากฉันจริง ๆ น่ะเหรอ”   

จอมทัพนับเป็นคนที่ไม่ฉลาดเลยคนนึง นึกจะพูดอะไรก็พูด โดยไม่คำนึงว่าสุดท้ายแล้วคำพูดพวกนั้นจะกลับมาเล่นงาน แถมพลาดอย่างมหันต์ที่คิดจะเป็นศัตรูกับผู้ผดุงความยุติธรรม หารู้ไม่ว่าคนร้ายในคราบตำรวจมีถมเถไป

“นอกจากข้อหาอนาจาร นายจะโดนตั้งข้อหาบุกรุก แล้วก็ข้อหา …ครอบครองยาเสพติด”  ถุงยาที่หนูดาเคยเก็บได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานมัดตัวคนกระทำผิด แต่โคเคนไม่กี่กรัมอาจทำให้ติดคุกสูงสุดแค่สิบปีและคิมหันต์แค่อยากมั่นใจว่าภายในยี่สิบหรือสามสิบปีข้างหน้าจะไม่ต้องเจอกับอีกคน จึงสั่งให้ลูกน้องค้นห้องของผู้ต้องหาทุกตารางนิ้ว

“ลองไปดูที่ห้องนายสิ”  คิมหันต์แนะและหลบทางให้จอมทัพเดินนำออกมาอย่างรีบร้อน   

คนที่สังหรณ์ใจแปลก ๆ รีบก้าวกลับมาที่ห้องของตัวเองและกวาดตามองนายตำรวจหลายนายกำลังวุ่นวายกับการค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย ก่อนสายตาตกใจจะปะทะกับของกลางที่วางอยู่บนเตียงให้เกลื่อนกลาด ปริมาณมันมากพอให้เป็นผู้ขายในขณะที่ความจริงแล้วตนเป็นเพียงผู้เสพเท่านั้นและเด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ในทันทีว่าโดนยัดยา

แล้วคนที่สามารถทำได้ขนาดนี้ก็มีคนเดียว  “มึง!”  จอมทัพกระชากคอเสื้อคิมหันต์แล้วออกหมัดไปที่หน้าอย่างจัง โดยที่เจ้าพนักงานก็ไม่ได้ปัดป้อง ออกจะยินดีที่ถูกชก พอเห็นรอยยิ้มมุมปากเด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางอีกครั้ง 

“ข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน”  และขณะคิดทำการหลบหนีก็มีคำสั่งเสียงเด็ดขาด  “จับตัวผู้ต้องหา!” 

นายตำรวจบัญชาการลงมา ลูกน้องก็ถลาเข้าจับกุมผู้ต้องหาไว้ทันที

“ปล่อยสิวะ! ฉันโดนยัดยา! มันยัดยาฉัน!” 

รุมสี่ต่อหนึ่งถึงพอต้านทานพฤติกรรมโวยวายและขัดขืนได้ ไม่ปล่อยให้แก้ต่างยึดหลักฐานเป็นหลัก การพาตัวผู้ต้องหาลงมายังชั้นล่างไปเป็นด้วยความทุลักทุเลท่ามกลางเสียงก่นด่าอย่างหยาบ ๆ คาย ๆ วาระสุดท้ายของคนช่างสอดหมดสภาพเหมือนหมาจรจัดที่กำลังถูกกวาดล้างตามถนน มันดิ้นรนอย่างหนักพลางร้องเสียงหลงเมื่อรู้ว่าหลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตในกรงขัง วิ่งเล่นอย่างอิสระไม่ได้อีก ไม่ฆ่าก็เหมือนตาย เจ็บใจจนน้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบหน้านัยน์ตาแดงก่ำ แม้ไม่อยากก้าวขาออกห่างจากอิสรภาพ แต่ก็มีคนพยายามหามปีกออกห่าง กลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยอนาคตอันมืดมน     

นายตำรวจอุตส่าห์เดินมาส่งถึงรถแล้วใช้ซองเอกสารตบบ่าเสมือนให้กำลังใจคนต้องโทษร้ายแรง  “ฉันไม่เคยขู่ ทีนี้รู้แล้วนะ”  แอบเย้ยหยันผ่านคำพูดแล้วป้ายเลือดจากมุมปากลงบนชุดของจอมทัพที่กำลังจะหันมาถุยน้ำลายใส่ แต่ก็ถูกกดหัวแล้วยัดเข้าไปในรถตำรวจอย่างรวดเร็ว คิมหันต์เป็นคนปิดประตูให้แล้วโบกมือลารถที่เคลื่อนออกไปจากรั้วบ้าน     

ยืนรอจนบริเวณปลอดควันเทา ค่อยหันตัวกลับเข้าในบ้านและเงยหน้าสูดอากาศบริสุทธิ์จนชุ่มปอด ท่าทางผ่อนคลายบิดซ้ายบิดขวาไล่อาการเมื่อยขบตามร่างกาย ดูสบายใจหลังจากที่เพิ่งส่งใครบางคนเข้าตะราง ระหว่างนั้นก็เห็นภัคกำลังเดินลงบันไดมาอย่างระมัดระวัง

“ลูกล่ะ”  เสียงทุ้มถามหาหนูดา 

“อยู่บนห้องครับ”  รางวัลสำหรับคำตอบเป็นการหอมขมับอย่างรักใคร่  “ซองอะไรเหรอครับ”  ร่างบางถามถึงสิ่งที่อยู่ในมือ ส่วนคนถือของดังกล่าวแค่ส่ายหน้าแทนการตอบว่าไม่สลักสำคัญแล้วหอมแก้มนวลปิดท้ายก่อนเดินขึ้นบันไดไป

ภัคอดสงสัยว่าอะไรทำให้นายตำรวจอารมณ์ดีนักหนา แล้วเสียงวิวาทเมื่อครู่มาจากไหนกัน ได้แต่มองตามจากด้านล่างจนแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปทางประตู 

คิมหันต์อยากขึ้นมาดูหนูดาด้วยตาตัวเองว่าปลอดภัย แม้จะให้หมอมาตรวจดูอาการเรียบร้อยแต่ใจก็ยังพลอยเป็นกังวล ตามประสาคนเป็นพ่อ ขณะลดตัวลงนั่งกับเตียงก็คว้ามือเล็กมาหอมเบา ๆ แล้วมองลูกสาวด้วยแววตาอ่อนโยน

“พ่อจ๋า…”  จนกระทั่งเด็กหญิงสะลึมสะลือเรียกหา

นายตำรวจกระชับมือเล็กไว้แล้วหอมซ้ำย้ำ ๆ อย่างไม่มีเบื่อแล้วพูดเพื่อให้สบายใจ  “พ่ออยู่นี่” 

“พ่อจ๋า”  ฤทธิ์ยาทำเพ้อและละเมอออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงบางเบาราวกับไม่มั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินใช่พ่อของตัวเองหรือไม่ สภาพที่น่าสงสารทำให้คนนั่งมองสังเวชใจและรู้สึกละอายที่แค่เด็กตัวเล็ก ๆ คนเดียวก็ยังดูแลไม่ได้ ขนาดเป็นลูกในไส้แท้ ๆ ยังไม่มีปัญหาแม้แต่จะปกป้อง แต่นับจากนี้จะขอใช้เกียรติของตำรวจเป็นประกัน ว่าจะไม่มีอะไรหรือใครมาทำร้ายได้อีกเด็ดขาด  “…พ่อจะรีบทำให้ทุกอย่างมันจบ อดทนอีกนิดนะคนเก่งของพ่อ”

 

‘ฉันเป็นหมัน’

‘แล้วมาบอกฉันทำไม’

‘นายจะได้กลับมารับผิดชอบในสิ่งที่ควรรับผิดชอบตั้งแต่แรกน่ะสิ’  แฝดน้องพูดกับแฝดพี่อย่างอารมณ์ดี ดูไม่เหมือนคนที่กำลังมาทวงคืนความยุติธรรมหลังจากที่รับเป็นพ่อลูกคนอื่นมานานหลายปี  ‘จริงอยู่ที่คืนนั้นพวกเราเมากันทั้งสามคน แต่ถึงจะไม่มีสติยังไง ฉันก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้ข่มขืนใครแน่ ฉันก็เป็นแค่แพะและยัยนั่นก็เป็นแค่พวกความจำปลาทอง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครพี่ใครน้อง ใครที่ขืนใจตัวเอง …ส่วนเด็กนั่นน่ะลูกนาย’ 

คำพูดร่ายราวทำเอาแฝดพี่น้ำลายท่วมปาก นั่งนิ่งไปอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าแฝดน้องจะมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งและไม่หลงกลไปกับการแอบสลับตัวเหมือนที่คนหลายคนเชื่อมาโดยตลอด …ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย ตนและน้องชายหลงรักผู้หญิงคนเดียวกันถึงขั้นมีปากเสียง เพียงเพราะความเป็นพี่ก็จำใจที่จะต้องสละให้น้อง ขนาดแม่มาขอร้องเองก็ยากจะปฏิเสธและเป็นวันนั้นที่เลือกสังสรรค์เพื่อลืมเธอ

นัดเจอน้องชายเพื่อปรับความเข้าใจและไม่นึกว่ามินตราจะมาหา มันกลายเป็นปาร์ตี้ขนาดย่อม ตนดื่มเหล้าย้อมใจในขณะที่อีกสองคนก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน

ต่างคนต่างซัดแอลกอฮอล์เหมือนน้ำเปล่า จนเข้าสู่เช้าวันใหม่ก็เริ่มทรงตัวไม่ไหว ได้แต่นั่งคอพับคออ่อนกอดขวดเหล้า มึนเมาจนตราพร่าและแน่นอนว่าตอนนั้นยังเห็นหญิงสาวเป็นสมบัติส่วนตน แค่อยากส่งท้ายให้ความรักพัง ๆ จนกระทั่งนำไปสู่การข่มเหงรังแก ก็แค่จะมีอะไรด้วยเท่านั้นเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มาจนเมื่อเป็นไปตามความปรารถนาก็เกิดตาสว่างสร่างเมาทันที

พอได้สติก็รนราน หันรีหันขวาง มองท่อนล่างที่เปลือยของหญิงสาวสลับกับน้องชายที่เมามาย เพราะรับปากไว้แล้วว่าจะเลิกยุ่ง แถมเล่นไม่สวมถุงยางโอกาสก็ท้องง่ายมากจนกลัว เลยทำการสลับตัว ลากน้องชายขึ้นเตียงนอนแล้วทำการถอดเสื้อผ้า จัดฉากเหมือนอย่างในละครน้ำเน่าก่อนจะจากไปอย่างลอยนวล รู้ข่าวอีกทีก็ตอนมินตรามาพร้อมผลตรวจตั้งครรภ์และฝ่ายผู้ใหญ่ต้องการให้แฝดน้องแต่งงานเป็นการรับผิดชอบ เพราะเหมันต์ยอมอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ระแคะระคายถึงได้เบาใจและเก็บงำความลับไว้คนเดียวมาตลอด

แต่ตอนนี้จู่ ๆ กลับมาพูดจาเหมือนเป็นต่อ ปฏิเสธว่าไม่ใช่พ่อเด็กแต่ตัวเองแค่เล่นตามน้ำมาหลายปี           

‘ถ้านายเป็นหมันงั้นฉันก็ต้องเป็นด้วย ในเมื่อเราคือฝาแฝดกัน’  คิมหันต์ว่า

‘ฝาแฝดกันใช่ว่าทุกอย่างจะเหมือนกันนี่’  เหมันต์แย้ง  ‘จำตอนที่ฉันประสบอุบัติร้ายแรงตอนเด็กได้ไหม หมอบอกว่านั่นอาจจะเป็นสาเหตุ ก็ว่านอนกับผู้หญิงคนไหน ไม่ใส่ถุงก็ไม่เห็นจะท้อง’

‘ผู้หญิงพวกนั้นอาจจะกินยาคุมก็ได้’

‘ใครทำอะไรไว้ย่อมรู้แก่ใจดีนะพี่ชาย’

‘แล้วทำไมนายเพิ่งมารื้อฟื้นเอาตอนนี้ ทำไมไม่บอกทุกคนไปตั้งแต่ทีแรกเลยล่ะ ว่าฉันคือคนที่ข่มขืนมินตรา’

‘เพราะฉันมีเหตุผลน่ะสิ น้องชายยัยมินตราไง นายเองก็สนใจใช่ไหมล่ะ’


 

หลังจากจัดที่จัดทางดันร่างหนูดาเข้าด้านในเตียงเสร็จเรียบร้อย คิมหันต์เป็นคนอาสาทยอยปิดไฟแล้วค่อยเดินมาล้มตัวลงนอนข้างกายภัค รวบร่างบางมากอดแนบตัวประหนึ่งคืนนี้กลัวว่าอีกคนจะสลายหายไป

“เมื่อเย็นผมเพิ่งเห็นข่าวคุณจอมทัพในทีวี”  ดูเหมือนคดีมีสารเสพติดไว้ในครอบครองจะต้องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล คนเป็นน้าก็แค่กลัวว่าหลานจะต้องไปให้การในฐานะคนพบสารเสพติด แค่คิดว่าเด็กหญิงจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ ก็เริ่มไม่สบายใจ แต่นายตำรวจก็ยืนยันว่าจะกันลูกสาวออกห่างจากความวุ่นวาย ไม่ให้มีประวัติด่างพร้อยติดตัว   

ระหว่างหอมหัวไหล่มน ไล่สูดกลิ่นกายจาง ๆ อย่างกับคนติดโคเคนขั้นสุดท้ายก็พูดเปรยเหมือนเข้าใจสัจธรรม 

“ใครทำอะไรไว้ก็สมควรได้รับกรรมแบบนั้น”

 

‘พูดเรื่องอะไรของนาย’

‘ที่ฉันยอมรับเป็นพ่อเด็กแทนนายก็เพราะว่าจะได้อยู่ใกล้ ๆ ภัคไงล่ะ’  เหมันต์เล่าอย่างตรงไปตรงมา แล้วสันนิษฐานเผื่อส่วนของพี่ชาย  ‘ส่วนนายก็คงจะเริ่มชอบภัคหลังจากที่ยกยัยมินตราให้ฉันตามที่แม่ขอ เพราะนายเลยนะฉันถึงได้เริ่มสนใจภัค’ 

ครั้งแรกที่เจอกันกับร่างบางเป็นเพียงการเดินผ่านตอนไปมาหาสู่ถึงบ้านอดีตคนรัก หลังจากนั้นก็เจอข้างนอกบ้างแต่เป็นตัวเองมากกว่าที่เป็นฝ่ายเห็นจนเกิดเป็นความสนใจ ถูกชะตาก็ว่าได้ จนเมื่อต้องยกมินตราให้น้องชายก็กลายเป็นคนไร้พันธะ ไม่ผิดที่จะเริ่มมองหาความรักครั้งใหม่ แต่ในงานแต่งน้องชายก็ยังทำได้เพียงเมียงเท่านั้น ถ้าจะให้เล่าถึงการพูดคุยอย่างเป็นทางการ คงต้องย้อนไปงานศพพ่อแม่ของมินตราที่เกิดขึ้นหลังมีพิธีมงคลสมรสไปมาด ๆ

ในฐานะลูกชายคนเล็กภัคมีหน้าที่ดูแลแขกเรื่อในงาน แต่ด้วยปริมาณคนที่ไม่ใช่น้อย ๆ พลอยทำให้ตาลายไปบ้าง ขณะสามีคนปัจจุบันอย่างเหมันต์หอบหิ้วภรรยาที่ท้องโย้เดินมานั่งข้างหน้าเพื่อฟังพระสวด คิมหันต์ที่มาถึงวัดทีหลังใครอาศัยยืนไหว้ข้างนอก ด้วยสูทดำกับหน้าตาที่เหมือนกันพานพาให้น้องของอดีตคนรักทักว่ามายืนทำอะไรตรงนี้ ไม่ได้อยู่กับพี่มินตราหรอกเหรอ คนเป็นแฝดพี่เลือกจะเอออ่อตามไป สวมรอยเป็นน้องชายเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับร่างบาง

ภัคไม่ได้เฉลียวใจว่าในงานมีทั้งแฝดพี่และแฝดน้อง แล้วก็ไม่เคยรู้เลยว่าจะต้องมาผจญเวรผจญกรรมกับทั้งคู่ 

และดูเหมือนการชอบคน ๆ เดียวกันอยู่ร่ำไปจะเกิดจากความตั้งใจของฝ่ายหนึ่งเสมอ   

‘ฉันจะบอกความลับอะไรให้อย่าง …ฉันไม่เคยรักมินตรา’  เหมันต์สารภาพด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะยกมุมปาก ยิ้มอย่างผู้ชนะ  ‘ฉันแค่อยากจะแย่งทุกอย่างมาจากนายก็เท่านั้น’

แม้พ่อแม่จะสอนให้รักกัน แต่มันก็มักจะมีการขันแข่งเล็ก ๆ ระหว่างสายเลือด

เชือดเชือนกันไปมาเพื่อรักษาศักดิ์ศรี แต่สำหรับคนเป็นพี่ก็เพิ่งรู้ว่าน้องมีนิสัยอย่างนี้ ไม่แปลกที่จะช็อก

การเสียสละกลายเป็นช่องทางให้น้องชายมาเอาเปรียบแล้วเหยียบหัวเล่นอย่างสนุกสนาน 

‘ฉันรักภัค…’ ความจริงทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ แต่ไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่ที่พูดอย่างนี้ขึ้นมา

เหมือนชี้โพรงให้กระรอก บอกช่องทางเอาคืนเสร็จสรรพ

คิมหันต์เองก็มีความชอบอยู่เป็นทุน จึงพูดด้วยอารมณ์ ‘งั้นฉันก็จะแย่งภัคมาจากนายบ้าง’

‘ฉันจะบอกความจริงทุกอย่างกับทุกคน’

‘ไม่ได้!’

‘กลับไปรักกับมินตราไม่ดีหรอกเหรอ หนูดาเองก็ควรรู้ได้สักทีว่าใครเป็นพ่อที่แท้จริง’

‘นายจะไม่บอก’

‘ลองพนันกันไหมล่ะ’  คนเป็นแฝดพี่คว้าเอกสารที่เป็นหลักฐานชั้นยอดขึ้นมาฉีกแล้วโปรยทิ้งต่อหน้าต่อตาคนเป็นแฝดน้อง  ‘ไม่ต้องห่วง นี่แค่สำเนา’  คิมหันต์รวบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน กำหมัดซ่อนไว้ใต้โต๊ะหลังโดนพูดดัก

แม้ตอนนั้นจะอับจนหนทาง
แต่ตอนนี้พวกปากสว่างก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว 

 

 

         

‘ตั้งแต่คุณเข้ามาเหยียบในบ้าน ผมไม่เห็นว่าคุณจะดูเสียใจกับการตายของน้องชายคุณตรงไหน’

ใช่ ดูไม่เสียใจเลยสักนิดเดียว สักเสี้ยววินาทีก็ไม่

ธันกำลังนั่งทวนประโยคที่ตัวเองเคยพูดตอกกลับนายตำรวจไปด้วยอารมณ์และพบข้อผิดสังเกต มันไม่สมเหตุสมผลที่คนในครอบครัวจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ในหนังยังมีการกันตัวออกไป เว้นแต่ว่ามีส่วนร่วมในการตายเลยอาศัยหน้าที่การงานเข้ามาจัดการ ควบคุมและอำพราง ปกปิดบางอย่างจากสายตาทุกคน 

เจ้าของผิวขาวซีดรอจนรถของคิมหันต์ขับออกไปจากเขตบ้านถึงได้ตัดสินใจแอบเข้ามาในห้องพักส่วนตัวเพื่อทำการรื้อค้น เริ่มต้นจากตู้เสื้อผ้า ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังตามหาหลักฐานประเภทไหน ขอแค่อะไรก็ได้ที่พอเป็นประโยชน์ จนเจอซองเอกสารสีน้ำตาลถูกแฟ้มสีดำวางทับไว้อย่างดีในลิ้นชัก บทความจริงจะกระจ่างก็ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ

ผลตรวจเป็นหมันของเหมันต์ผ่านการถูกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ธันแค่อยากเข้าใจคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ถูกระบุไว้ทั้งภาษาไทยและภาษาเทศ หากเหมันต์เป็นหมันถ้าอย่างนั้นหนูดาลูกใคร มันเกี่ยวกับการที่ตำรวจเลวแทนตัวว่าพ่อไหม เมื่อลองปะติดปะต่อความเป็นไปได้กับเหตุการณ์ที่เหมันต์ตายในบ้านเข้าด้วยกัน หรือจะเป็นคิมหันต์ที่…   

“ทำอะไรน่ะ!”

เสียงร้องทักอย่างดังทำให้ธันหันกลับมาเจอภัคที่กำลังมองอย่างจับผิด

ก่อนร่างบางจะเดินมาประชิดตัวแล้วคว้าแผ่นกระดาษไปถือ   

 “ฉันถามว่านายกำลังทำอะไร”  แทนที่จะหยุดอ่านสิ่งที่อยู่ในมือให้หายหน้ามืดกลับเอาแต่ยืนกดดัน แสดงออกผ่านสีหน้าว่าไม่ชอบใจที่ธันเข้ามาในห้องของคนอื่นโดยพลการ แถมทำเสียมารยาทด้วยการแอบอ่านเอกสารที่อาจจะเป็นความลับทางราชการของนายตำรวจ แค่นี้ในบ้านยังมีเรื่องน่าปวดหัวไม่พออีกเหรอ   

แล้วเมื่อไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจก็เป็นฝ่ายผลักธัน ดันร่างสูงโปร่งออกจากห้อง

“ออกไปจากห้องนี้ซะ”  จะยอมปิดหูปิดตาแล้วทำตามเจตนารมณ์เดิมคือแค่มาเอาผ้าไปซัก 

“คุณต้องฟังผม”  มีหลายเรื่องอยากพูดที่สุดท้ายแล้วล้วนสำคัญทั้งสิ้น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ร่างบางตาสว่าง ยอมกระทั่งแม้ต้องเล่าความจริง  “…ผมโกหก” 

“จะโกหกอะไรมันก็เรื่องของนาย”

“แต่คืนนั้นผมไม่ได้เป็นคน…”

“นายไม่เข้าใจเหรอ!”  ภัคขึ้นเสียงดังอย่างเหลืออด ถูกปัญหาหลายวันมานี้กดดันจนฟิวขาด แล้วธันก็ดันเป็นคนเดียวที่สามารถร้ายใส่ได้ มองเป็นของตาย ต่อให้ถูกดุด่าก็จะไม่มีวันหันกลับมาตอบโต้  “นายฆ่าโมรี ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกเขา”  ลึก ๆ แล้วก็อยากได้ธันวาคนที่ว่าง่าย ๆ กลับคืนมา คนที่พร้อมปฏิบัติตามแม้จะออกคำสั่งให้ไปตาย  “นายมีเวลาอีกสองอาทิตย์กว่าในการหาที่อยู่ใหม่”  ตอนแรกว่าจะแจ้งให้ทราบทีหลัง แต่บอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ดี ขี้เกียจจะปิดบัง  “หวังว่าเงินเดือนที่เคยให้ไปจะทำให้นายเช่าบ้านดี ๆ ได้สักหลังนะ”

ภัคตั้งหน้าตั้งตาเก็บเอกสารใส่ซองอย่างเก่า ราวกับผีบางตา ความจริงอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ แต่ดันมองไม่เห็น

“เขาให้คุณเป็นคนมาบอกแบบนี้กับผมเหรอ”

“เราตกลงกันแล้ว” 

ธันรู้ว่า เรา ที่ว่าไม่ได้รวมความคิดเห็นของตนเข้าไป เป็นการตัดสินใจแค่ของคนทั้งคู่ 

“แต่ผมไม่อยากไปไหน ผมอยากอยู่กับคุณ”

“เรื่องของเรามันจบแล้วธัน มันจบแล้ว”  พูดน้ำเสียงเบื่อหน่าย ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน  “ฉันเลือกเขา”

“แม้เขาจะไม่ใช่คนดีเลยน่ะเหรอครับ แม้เขาจะโกหกคุณอยู่ก็ตามน่ะเหรอ”

“ใช่”  คนเรามีสิทธิ์เลือกทางเดินเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้ใครพยายามทัดทาน ถ้าใจมันเรียกร้องก็เลือกจะไม่ฟังเสียงของใคร แล้วคนไม่รักดีอย่างภัคก็เลือกจะสร้างอนาคตกับคนที่เชื่อว่าดี  “เราจบกันตรงนี้เถอะนะ”  จะคว้ามือกร้านแต่ถูกสะบัดออกอย่างเชื่องช้า ไม่อยากจะจับมือเป็นการยอมความแต่ก็ต้องรับสภาพคนอกหัก เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ธันแสดงอากัปกิริยาต่อต้าน แต่ภัคไม่โกรธเพราะเชื่อว่าถ้าประสบเหตุการณ์เดียวกันก็คงจะรู้สึกน้อยใจ

เจ้าของผิวซีดไม่พูดอะไรให้นัยน์ตาแดงก่ำเป็นภาพเล่าเรื่อง ลึก ๆ ก็เคืองโกรธ แต่ถึงร่างบางจะกุมความลับของตนและตนก็กุมความลับของร่างบาง ก็ไม่ได้ทำขนาดขู่ว่าจะเอาไปฟ้องตำรวจอย่างที่ภัคทำ กล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไป ยอมเลิกลาง่ายดายในเมื่อมันเป็นคำขอสุดท้ายจากผู้มีพระคุณ แต่ก็บอกใจตัวเองว่ามันต้องเป็นการใจสลายที่ไม่สูญเปล่า











----------------------------------------------------
 ขอโทษที่หายไปนานค่ะ ผิดไปแล้วววววว .ยกมือไหว้ คัมแบคแล้ว กลับมาอ่านกันก่อนนนนนน อ่อ ตอนนี้ตุ๊กติ๊กเปลี่ยนนามปากกาแล้วนะคะ เพจเดิมมีปัญหาก็เลยเปิดเพจใหม่ด้วย ไปติดตามกันได้ค่า
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 29-07-2018 21:32:25
รู้สึกมืดแปดด้านเลยค่ะตอนนี้้้​  :katai1:
คิมหันต์เลวมากอ่ะ​เลวจริงๆ​ เผลอๆคิมหัน์นี่แหละฆ่าเหม​ ส่วนธันวาสงสารธันมาก​ ฮือ​ นี่อยากรู้ว่าธันกุมความลับของภัคเรื่องอะไร​ เครียดจุมมมม :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 29-07-2018 22:00:15
 :katai1: ปมเยอะไปหมดเลยนะคะ
แบบว่าอย่างเยอะจนอึ้ง ๆ แล้ว

ขอให้จบดี๊ดีนะคะ จะรอติดตาม
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-07-2018 23:04:46
อห.ตอนนี้เก็ทหลายเรื่อง คลายปมได้ระดับนึงเลย แต่สรุปแล้วคือทุกคนก็เลวเสมอกันดีอ่ะ 5555 น้องชอบอยากแย่งของพี่ แย่งให้ได้มาไม่ว่าจะชอบจะสนใจหรือไม่ ขอแค่ได้แย่ง พี่ดันพลาดทำมินท้องและด้วยความที่ไม่ยอมแพ้ พอรู้ความจริงว่าชอบถูกแย่งก็ต้องการเอาคืนบ้าง พี่น้องพอกันเลย 555 ภัค ธันวา มินตรา กลายเป็นหมากวิ่งวนในเกมส์สองพี่น้องไปแบบงงๆไม่รู้ตัวเลย 5555 แต่น้องดันพลาดก่อนซะงั้น แล้วคนที่ได้ประโยชน์จากวังวน4คนนั้นสุด .....หึหึ!! ตั้งใจหรือมันเข้าทางพอดีวะ? 555555 //เคยเดาไว้ มินฆ่า ธันอำพราง ภัคปกปิด ขอเดาใหม่อีกที มิน+ธันฆ่า ธันอำพราง ภัคปกปิดแต่หลักฐานชี้ชัดไปที่มิน เดาแบบนี้ละกัน เปลี่ยนแผนเดาทุกตอน 5555 สนุกมาก แม้ว่าอย่างไรยังไงก็อยากให้จบดีนะ อยากให้ภัครักคิมหันต์จริงๆจากใจไม่ใช่เพราะต้องเลือกทางที่ดี แต่คิมคงต้องง้อหนักหน่อยเมื่อภัครู้ความจริง แต่ภัคก็คงไม่งอนเยอะ ตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่ผิด เดี๋ยวๆรอดูตอนต่อไปดีกว่า รอตอนต่อไปค่ะ ชอบๆสนุกๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 30-07-2018 02:11:33
 :pigha2:  เดาไม่ผิด คิมหันต์ร้ายสุด
คิมหันต์นี่แหล่ะฆาตกรตัวจริง
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 30-07-2018 07:06:36
อ้าว​ รึจะเป็นคิมที่ฆ่าเหม​  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-07-2018 18:16:36
ทำไมเกมพลิกกลายเป็นคิมน่าจะฆ่าแล้ว เราทีมธันวา รักกก
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 31-07-2018 00:25:42
มันไม่พอจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-08-2018 17:51:56
ปมเยอะมาก :z3:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 13-08-2018 07:53:53
ที่หนูดาเห็นคืนนั้นคือพ่อตัวจริงเลยใช่ไหม

ตอนนี้เริ่มมีเค้าลางบ้างแล้ว ซับซ้อนมากค่ะ
อำนาจในมือ ถือไว้ระวังหนักนะคิมหันต์

ตอนนี้สงสารธันวา แต่ต่อไปภัคจะน่าสงสารกว่าไหม
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Toxic ที่ 16-08-2018 08:20:14
ธันจะถูกทำให้เป็นแพะรึเปล่าคะ? :really2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 29-08-2018 22:23:07
๑๖




“ช่วงนี้มีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า ผมเห็นคุณเอาแต่ยิ้ม” 

“แค่สบายใจน่ะ”

“สบายใจ…? สบายใจเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ก็หลาย ๆ เรื่อง ยกเว้น…”  คิมหันต์รวบช้อนในจานเมื่อทานเสร็จและดื่มน้ำตามเป็นการปิดท้ายแล้วถึงได้ปริปากว่ายกเว้นเรื่องอะไร  “…ยกเว้นเรื่องของนาย”  มองด้วยสายตายากจะคาดเดาระหว่างกล่าวด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง   

“เรื่องของผม…?”  ภัคที่กำลังวางแก้วน้ำลงเลิกคิ้วเหมือนจะถามความต่อ ก่อนจะร้องอ่อในใจ คิดออกได้อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งกลายเป็นชนักติดหลังมาจนถึงปัจจุบันแถมอาจจะนำไปสู่ข้อพิพาทในอนาคต แน่นอนว่าประเด็นนี้จะวนเวียนเพื่อรอวันถูกขุดขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีปากเสียงกัน  “ถ้าเป็นเรื่องระหว่างผมกับธัน ผมบอกเขาไปแล้วนะเรื่องที่เราตกลงกันว่าจะให้เขาออกจากบ้าน”

“แล้วหมอนั่นว่ายังไง”

“ก็ไม่ว่ายังไง เขายอมไปแต่โดยดี”

“ง่าย ๆ อย่างนั้นเลย”  ถามไปอย่างนั้นแท้จริงแล้วก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ก็เป็นไปตามคาด

ถ้าคนอย่างธันวาหันมาต่อต้านนั่นแหละถึงจะน่าแปลกใจ ความจริงก็เสียดายความจงรักภักดีที่อีกคนมีต่อคนตรงหน้า ร่างบางจะรู้ไหมนะว่าใกล้จะเสียคนที่รักตัวเองมาก ๆ อีกคนไปและแต่ก่อนที่ทุกรายจะจากไป ตนจะทำให้มั่นใจว่าจะย้อนกลับมาแวงกัดไม่ได้อีก 
 
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”  เห็นนายตำรวจนั่งใจลอยก็พลอยเป็นห่วงเป็นใย 

“สองสามวันนี้บ้านเรามีแต่เรื่องวุ่นวายพอว่างเลยเพิ่งคิดอะไรออกน่ะ เรื่องสาเหตุการตายที่แท้จริงของเหมันต์”

ภัคหมดอารมณ์ทานมื้อค่ำไปโดยปริยายและรีบหลบสายตาหลุบมองผ้าปูโต๊ะด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก พอเกิดช่องว่างระหว่างบทสนทนา ก็ทำทีท่าว่าจะเก็บจานไปล้าง ลุกออกจากเก้าอี้อย่างร้อนรนขณะโดนจับตามองทุกฝีก้าว แม้ร่างบางจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เอนจอยกับหัวข้อสำคัญ แต่คิมหันต์ก็ยังอุตส่าห์เดินตามมาถึงในห้องครัว ราวกับจงใจทำลายช่วงเวลาหัวค่ำที่แสนเรียบง่ายของร่างบางเสียอย่างนั้น 
   
“ฉันรู้มาว่ามีวิธีนึงที่ฆาตกรสามารถเข้าหาตัวเหยื่อได้โดยที่เหยื่อไม่ระวังตัว นั่นคือการมีเพศสัมพันธ์และจากการชันสูตรศพ หมอพบความผิดปกติบางอย่างทางร่างกายของเหมันต์แล้วถึงถามฉันว่ารู้จักออโต้อีโรติคไหม ฉันตอบไปว่าไม่ เธอเลยบอกให้ฉันลองหาข้อมูลออโต้อีโรติคชนิดขาดอากาศหายใจอ่านดู”

“มัน… คืออะไรเหรอครับ”  ทำเหมือนอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาเผื่อจะลดอาการพิรุธได้ทั้งที่อยากหนีไปจากตรงนี้ใจจะขาด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากสลัดนายตำรวจออกจากชีวิต นี่อาจจะเป็นหมายถึงสิ่งที่ธันพยายามเตือนมาโดยตลอด ว่าฆาตกรจะรักกับตำรวจไม่ได้ แต่ถ้ารักไปแล้วก็ลำบากหน่อย ต้องคอยแบกรับความอกสั่นขวัญแขวนไว้เพียงลำพัง   

“มันคือการมีเซ็กแบบวิตถาร แบบทำให้ขาดอากาศหายใจเพื่อสำเร็จความใคร่อะไรประมาณนั้น”

ภัคหันกลับมาเห็นนายตำรวจสาธิตประกอบคำอธิบายด้วยการบีบคอตัวเองอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะถูกสวมกอดจากด้านหลัง หมดหนทางปลีกตัวออกไปจากความกระอักกระอ่วนในขณะที่อีกคนยังชวนคุยเรื่องเก่า  “มีบทความบอกว่าออโต้อีโรติคชนิดขาดอากาศหายใจสามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองหรือมีคู่นอน ต้องอาศัยความไว้ใจกันมาก ๆ ต้องผ่านการศึกษา ผ่านการซ้อมหรือคุยกันอย่างจริงจัง แถมคนที่มีรสนิยมแบบนี้ก็ไม่จำเป็นว่าต้องมีปมในอดีต น่าสนใจดีแฮะ”

ออโต้อีโรติค ถือเป็นหัวข้อใหญ่ ใช้เรียกแทนการเบี่ยงเบนทางเพศ ในแง่ของการสำเร็จความใคร่ด้วยวิธีต่าง ๆ นานา ส่วนชนิดขาดอากาศหายใจก็ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น จะนิยมตัดออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองเพื่อให้เกิดความรู้สึกเบา  เข้าข่ายลักษณะคล้ายกับ มาโซคิสม์ คือสุขสุดยอดเมื่อตนเองเจ็บปวดเจียนตาย

โดยเฉพาะขณะจวนเจียนใกล้ขาดอากาศหายใจจนใบหน้าขึ้นสีคล้ำ

“แต่ฉันคิดสภาพน้องชายตัวเองไม่ออกเลย เหมันต์ขี้ขลาดจะตาย ไม่น่ายอมทำเรื่องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น”

“ฟังดูน่ากลัวจังครับ” 

ยิ่งลงรายละเอียดลึกคนถูกกอดยิ่งรู้สึกมืดแปดด้าน เกิดภาวะความดันต่ำ หูอือตาลายคล้ายจะวิงเวียนจนต้องจับเคาน์เตอร์เป็นหลัก คงเป็นผลข้างเคียงจากการพยายามปกปิด ประหนึ่งเป็นอีกรายที่กำลังโดนคิดบัญชี     

“บางทีเหมันต์อาจจะทำด้วยตัวเอง”  นายตำรวจด่วนสรุปด้วยความไวจนภัคเผลอถอนหายใจโล่งอก หลงกลกับการหลอกให้ตายใจก่อนใบหน้าจะกลับมาขาวซีดอีกครั้งหลังได้ยินประโยคที่กระซิบข้างหู  “…หรืออาจทำกับใครสักคน”

ไม่ต่างจากการโดนปั่นหัว แต่เพราะความหวาดกลัวบดบังทัศนียภาพเลยไม่ทันระแคะระคายไอ้พฤติกรรมรู้มาก ถ้าเพียงแต่จะสังเกตคงเห็นสีหน้าสนุกสนานของคิมหันต์ ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าแค่ข้อมูลทั่วไปที่อ่านมา  “ก่อนที่โมรีจะตายเธอให้การว่าเหมันต์มีกิจกรรมทางเพศที่ปกติดี แล้วนายล่ะ นายอยู่ที่นี่มานานไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอะไรเลยเหรอ”

“พี่มินน่าจะพอตอบคุณได้”

“พี่สาวนายบอกว่าไม่เคยนอนกับเหมันต์อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น”  วันที่เข้าใจว่าถูกแฝดน้องข่มขืน ส่วนแฝดพี่ยืนหลับหูหลับตาอยู่ห่าง ๆ  “ภัค”  เว้นช่องไฟไว้ให้ลุ้นอีกตามเคย ก่อนจะเอ่ยบางอย่างทางอ้อมและไม่ว่าอีกคนจะยินยอมหรือไม่ก็พร้อมโน้มนาวใจด้วยน้ำเสียงบางเบาราวกับคนหลงทาง  “ฉันแค่อยากเข้าใจความรู้สึกนั้น…” 

สงสัยเครียดกับงานจนสมองกลับ นายตำรวจถึงหลุดปากร้องขอในเรื่องที่สุดแสนอันตราย คิดจะให้ร่างบางรับหน้าที่สำคัญทั้งที่มันร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตถ้าหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา นับเป็นความกล้าที่บ้าบิ่นและการตัดสินใจโดยพลการ แต่เพราะเอ่ยขอต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญคิมหันต์จึงวางใจในระดับหนึ่ง

เป็นภัคที่คาดไม่ถึงและส่ายหัวเหมือนไม่เข้าใจคำขอนั้น ปฏิเสธด้วยกิริยาพึมพำว่าพูดเรื่องอะไรของคุณก่อนจะถูกหมุนตัวให้กลับมาเผชิญกับความอ้อนวอนทางสายตา ร่างบางหลบเลี่ยงด้วยการเซมองไปไกลขณะคนเป็นแฝดพี่ปักใจเชื่อว่ามันสัมพันธ์กับความฝันที่เกิดขึ้นบ่อยอย่างแน่นอน

ตอนมีชีวิตพวกเขาสื่อถึงกันแต่พอเหมันต์ตายคิมหันต์ก็ไม่ฝันว่าถูกรัดคอหรือถูกครอบหัวอีก

“ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร”  เอ่ยอย่างอ่อนแรง อ่อนล้ากับการแสแสร้งเต็มทนจนแทบร้องไห้ อยากจะพูดให้อีกคนตระหนักถึงความเป็นความตายแต่ก็น้ำลายท่วมปาก ถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับแบไต๋ ได้แต่ถอนหายใจเสียงดังแล้วมองสีหน้าจริงจังเหมือนอยากจะเตือนว่าคุณไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร นั่นเสี่ยงยิ่งกว่าแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายด้วยซ้ำ อีกอย่างคือไม่อยากกลับไปคิดถึงมัน ต้องการปิดตายความทรงจำส่วนนั้นไปให้หมด   
 

‘ฉันเชื่อใจนายได้ใช่ไหม’
‘จะถามแบบนี้ทุกครั้งที่มีอะไรกันหรือไง’
‘ก็แค่อยากมั่นใจ’



เสมือนใบหน้าแฝดน้องซ้อนทับกับแฝดพี่ ริมฝีปากหนาขยับถามคำถามเดียวกัน  “ฉันเชื่อใจนายได้ใช่ไหม”
   









“คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนะ”  แทนที่จะคล้อยตามกับการเล้าโลมกลับกระวนกระวายจนไม่มีอารมณ์วาบหวาม นอกจากเอียงหนีการซุกไซ้เสมือนไม่เต็มใจให้สัมผัสเลยสักนิด หัวสมองก็เอาแต่คิดจะหาทางออก สองมือพยายามดันไหล่กว้างหวังให้หยุดล่วงเกินเพื่อเจรจากันก่อน  “ถ้าคุณต้องการผมยอมทำให้คุณก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ในห้องนี้”

บรรยากาศเก่า ๆ เคล้าความวังเวงทำให้ร่างบางกลัวหัวหด ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจาะจงทำในห้องของคนตาย ร่วมรักในห้องหนูดาเหมือนเดิมก็ได้ในเมื่อกล่อมหลานสาวหลับไปแล้วแต่ตอนค่ำ ไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงที่นี่

ที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นห้องนอนของเหมันต์และยังเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม   

“เดี๋ยวคุณ…”  ทัดทานไปก็เปล่าประโยชน์ เหมือนพูดให้คนหูหนวกฟัง

ภัคถูกผลักลงเตียงนอนที่ห่างหายจากการใช้งานมานานและถูกจับพลิกด้านเป็นนอนคว่ำ โดยมือใหญ่ข้างหนึ่งจับร่างบางถอดท่อนล่างระหว่างที่อีกมือควักแก่นกายตัวเองออกมาสาวให้แข็ง แหกก้นงอนแล้วสอดใส่ส่วนปลายฝ่าความแห้งเหือด ตามด้วยการเขยื้อนเข้าออกอย่างใจร้อน ไม่ผ่อนแรงแถมกระแทกซ้ำอย่างหนักหน่วง ราวกับจวกแทงด้วยท่อนเนื้ออย่างฉุนเฉียว 

ห้องของเหมันต์ก่อเกิดความรู้สึกที่รุนแรง สภาพแวดล้อมมีผลต่อความต้องการและแทรกความเย้ยหยันลงไปในทุกจังหวะ ขณะทำรักก็ยืนเท้าเอวอย่างวางอำนาจ คิมหันต์กวาดนัยน์ตามองทั่วบริเวณระหว่างเล่นลิ้นเลียริมฝีปาก ส่วนภัคจากตอนต้นไม่มีอารมณ์ร่วมแต่พอโดนกระทำจนอ่วมอรทัยก็ปล่อยตัวปล่อยใจ ความเสียวเบียดความเจ็บตกไหล่ทาง ทอดกายให้ชำเราอย่างป่าเถื่อนท่ามกลางเสียงเตียงเคลื่อนอย่างดุดัน

ยกแรกผ่านไปใช้เวลาประมาณสถิติเก่า พอถดกายเข้าออกจนคายของเหลวเจือจางก็ชักกลับ

แล้วปล่อยให้คนร่านรักตามประกบ อ้าปากอมแก่นกายไว้ใช้ลิ้นตะวัดอย่างช่ำชองขณะช้อนมองอย่างยั่วยวน นายตำรวจใช้เวลานั้นจัดการถอดเสื้อตัวเองอย่างเชื่องช้า สลับสายตามองระหว่างดวงหน้าแดงก่ำของภัคกับตู้เสื้อผ้าที่ปิดไว้อย่างดีและก่อนที่จะหลั่งอีกรอบ ร่างบางได้ลิ้มรสชาติแค่พอหอมปากหอมคอเพราะอีกคนชัดแก่นกายออกจากปาก

พอร่างบางถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ แค่เดินอ้อมเตียงขนาดหกฟุตไปยังตู้เสื้อผ้าแล้วลงมือค้นหาบางอย่าง โดยภัคนั่งมองตามด้วยความสงสัยจนเมื่อเห็นมือใหญ่ไล่มือตามลิ้นชักก็ขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า ลืมเป้าหมายการมาถึงห้องนี้ไปเสียสนิท เมื่อเปิดลิ้นชักก็พบกับเนกไทมีลวดลายไปยันสีเรียบเนียน 

คิมหันต์หยิบเนกไทออกมาหนึ่งเส้น เป็นคนเลือกเองว่าจะให้ลายไหนประดับอยู่บนลำคอแล้วก็เดินย้อนกลับมาที่เตียง กวักมือเรียกภัคอย่างมีความหมายและล้มตัวนอนหงายจนอวัยวะเพศตั้งตระหง่าน ร่างบางเขยิบมาบริการอย่างอิดออด ขึ้นร่อนสะโพกอย่างเนิบนาบขณะทำสีหน้าลำบากใจ สุดท้ายก็ขอให้คนชอบความท้าทายลองคิดทบทวนดูอีกทีเพราะบทรักครั้งนี้มีแต่จะเสี่ยงกับเสี่ยงตาย อีกความจริงที่ปิดบังไว้ก็คือตนห่างหายจากการทำอย่างนั้นมาพักใหญ่

ก็ตั้งแต่เหมันต์ตาย ก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องน่ารังเกียจอีกต่อไป

ลึก ๆ ก็กลัวใจถ้าควบคุมน้ำหนักมือตัวเองไม่ได้ เหตุการณ์จะเลยเถิดแค่ไหน 

ทั้งที่เพิ่มแรงควบจวบจนตัวเองหลั่งรดกล้ามหน้าท้อง ของลับของนายตำรวจก็ยังแข็งค้างอย่างกับว่ารูทวารไม่อาจบันดาลและเติมเต็มความสุขได้อีกต่อไป ใจจดใจจ่อกับหนทางไปสู่สวรรค์ด้วยวิธีอื่น คิมหันต์ยื่นและยัดเนกไทใส่มือเรียวอย่างมุ่งมั่นพร้อมบอกเสร็จสรรพว่าการเขย่าแขนหลายทีคือสัญญาณผ่อนแรงในกรณีฉุกเฉิน

ภัคก้มมองเนกไทในมือด้วยแววตาหวาดหวั่น มันคืออันเดียวกับคืนนั้น โชคร้ายที่ดันจำรายละเอียดได้แม่นยำ

ขณะบั้นท้ายถูกประคองให้ขยับเพื่อขับเคลื่อนความปรารถนาไปข้างหน้า มือเรียวก็เผลอลูบผ้าด้วยความเคยชิน สัมผัสมันติดอยู่ที่ปลายนิ้วมาโดยตลอด ความทรงจำในวันวานย้อนกลับมาเล่นงานภายใต้ความเงียบงัน ตอกย้ำว่าไม่มีวันหนีสิ่งที่ตัวเองเคยทำพ้นและมันจะหลอกหลอนไปจนวันตาย ในเมื่อสลัดยังไงก็ไม่หลุดก็ต้องเลิกมุดหัวอยู่แต่ในกระดอง 

คิมหันต์ฝากชีวิตไว้ในมือของร่างบางอย่างกล้าหาญ

ก่อนภัคจะเริ่มลงมือย้อนรอยการฆ่าอย่างเลือดเย็น

มือเรียวค่อยเป็นค่อยไป ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการเริ่มสอดเนกไทจากท้ายทอยมาด้านหน้า คล้องกับลำคอแกร่งโดยแบ่งปลายความยาวผ้าข้างละเท่า ๆ กัน ทำอย่างพิถีพิถันและประณีต เป็นความอ่อนโยนที่เคลือบยาพิษ จะถูกปลิดชีพเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นัยน์ตาดำหลุบมองปลายเนกไทเล็กน้อยแล้วค่อยเงยจ้องใบหน้าสวยที่นิ่งสงบจนดูน่ากลัวไว้ 

ภัคใจเย็นผิดหูผิดตาละทิ้งความประหม่าไปจนหมด

รอยยิ้มหวานปรากฏเหมือนจะบอกว่าอดทนแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ยึดปลายเนกไทสองด้านไว้มั่นแล้วพันรอบลำคอก่อนจะออกแรงรัด แรก ๆ เป็นความอึดอัดที่พอรับไหวแต่ก็เล่นทำเอาหายใจไม่สะดวก กระทั่งห้วงหนึ่งเกิดความรู้สึกรักตัวกลัวตาย เป็นกลไกอัตโนมัติของร่างกายที่คว้าเนกไทเอาไว้ไม่ให้มันรัดหลอดลมมากไปกว่านี้

ก่อนคิมหันต์จะโดนดูถูกว่าเป็นพวกไอ้ขี้ขลาดผ่านทางสายตา ขายขี้หน้าร่างบางที่ยักยิ้มมุมปากให้อย่างมีเลศนัย พอทำใจได้แล้วถึงยอมให้อีกคนแกะมือออกจากเนกไท  “ไม่เจ็บหรอก…รับรองคุณจะมีความสุข”  พูดปลอบใจให้คลายความกังวล เพื่อลดความตึงเครียดเปลี่ยนมาสอนนายตำรวจให้ปล่อยตัวตามสบาย  “ไม่ต้องเกร็งนะ”  หลอกล่อด้วยวาจาอ่อนหวานแล้วลงมือรัดคอด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนใบหน้าสมส่วนขึ้นสีคล้ำ

ตามทฤษฎีก่อนหมดสติ พอสมองเริ่มขาดออกซิเจน ร่างกายจะหลั่งอดรีนาลินเพื่อลดความเสียหายของสมองและทำให้บางคนถึงจุดสุดยอดง่ายขึ้น ขณะถึงจุดสุดยอดช่วงเวลาสวรรค์ของผู้ชายจะเกิดขึ้นแค่ภายในช่วงไม่กี่วินาทีแต่ยามที่สลบไปจะรู้สึกว่ายาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ซึ่งหลังจากฟื้น อาการมึนงงมักถูกแทนที่ด้วยการความรู้สึกตื่นเต้น ภาวะเลือดเป็นกรดเล็กน้อยไม่คงเหลือในร่างกาย

ระหว่างปล่อยให้นายตำรวจดื่มด่ำกับความทรมานจนตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช ภัคเฝ้ามองสีหน้าเหยเกด้วยสายตาเย็นชา ไม่รู้ว่าอีกคนกำลังสุขหรือทุกข์แถมกระตุกตอนเพิ่มแรงอีกก่อนคิมหันต์จะเป็นฝ่ายแน่นิ่งไป อยู่ในภาวะสลบไสลหลังสำเร็จความใคร่เป็นที่เรียบร้อย ได้ปลดปล่อยสารคัดหลั่งมากกว่าครั้งไหน ๆ ในโพรงที่ยังตีบตัน เมื่อตอดรัดแก่นกายสมใจภัคคลายมือออกจากเนกไทแล้วยกบั้นท้ายหนีเพื่อคืนอิสรภาพให้กับท่อนเนื้อที่เอนลงไปซบต้นขาหนาขณะยังมีน้ำซึมตรงส่วนปลาย สิ้นฤทธิ์ไม่ต่างจากเจ้าของของมัน

แต่เมื่อหันกลับมาตรงหน้าก็พบว่าคนที่หมดสติไปกำลังนอนจ้องตาแข็งแล้วพูดจายุยงแปลก ๆ สร้างความงุนงง   

“เอาเลยสิ  ฆ่าฉันเหมือนที่นายเคยทำ…”

มือนั้นกำรอบมือเรียวทั้งสองข้างแล้วยังบังคับให้จับเนกไทอีกครั้ง  “ฆ่าฉันสิภัค! ฆ่าฉัน!”

บอกเจตจำนงเสียงดังจนร่างบางตระหนกตกใจ พยายามยื้อมือไว้สุดแรงเกิด สถานการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับความกระโชกโฮกฮากที่เปลี่ยนเป็นตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจ  “นายฆ่าฉันทำไม…”  ก่อนจะกลายเป็นการถามซ้ำ  “นายฆ่าฉันทำไม”  ครั้งแล้วครั้งเล่าจนความกระวนกระวายเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวทีละนิดระหว่างหันรีหันขวาง เสียงที่เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ ดังลั่นไปทั่วห้องนอนและไม่นานมันจะลอดออกไปจากช่องใต้ประตู ภัครู้เพียงว่าต้องทำให้อีกคนหุบปากให้ได้ก่อนใครจะมาได้ยินเข้า จงใจฆ่าเงาของเหมันต์ ครั้งแรกอาจพออ้างว่าพลาดได้แต่ไม่ใช่กับครั้งที่สอง ออกแรงรัดเนกไทอย่างหนักกัดปากแถมใบหน้ายังบิดเบี้ยว มองจากเสี้ยวหน้าด้านข้างไม่ปรากฏความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันไม่มีทางตายอีกครั้ง…”  ทั้งที่ถูกรัดคอ นอกจากจะลอยหน้าลอยตายังพูดจาถากถ่าง  “มีปัญญาแค่นี้เหรอ”   
 
ต่างจากภัคที่ทุ่มแรงจนเหนื่อย เลือดไม่ไปเลี้ยงมือจนรู้สึกชาและไม่รู้เลยว่าคิมหันต์ผวาตื่น ฟื้นขึ้นมาด้วยอาการตาเหลือกก่อนจะพยายามกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดจากห้วงมรณะ ระหว่างทุรนทรายพอคว้าแขนขาวได้ก็รีบเขย่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่งสัญญาณให้ปล่อยมืออย่างที่เตี๊ยมกันไว้แต่แรก เขย่าด้วยแรงมากจนกระทั่งแรงเริ่มตก แต่ก็ยังคงทำต่อเนื่องกระเตื้องร่างบางจนได้สติในที่สุด เหมือนมีมือปริศนาฉุดกระชากออกจากโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ภาพมายาคงไว้ซึ่งกิริยาอ้าปากค้าง

ภัคปล่อยมือจากเนกไทอัตโนมัติและช่วยแก้ส่วนที่รัดคอออกระหว่างละล้าละลังขอโทษยกใหญ่ สติแตกไปชั่วขณะ ลนลานหาทางแก้ไขแต่พอแตะโดนร่างกายก็ถูกปัดมือออกราวกับอีกคนไม่พอใจ ทำได้แค่นั่งมองนายตำรวจไอโครกโก่งคอเหมือนจะสำรอกทั้งที่สองมือตัวเองยังสั่น เกือบต้องโทษฐานฆ่าคนตายแต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเกือบทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม





มีต่อด้านล่าง...



หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๔) ๒๙.๐๗.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 29-08-2018 22:27:38



กลุ่มเมฆลอยตัวต่ำเหนือหลังคาบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น ภัคปลีกตัวออกมายืนใจลอยอยู่ในครัวตามลำพัง มองต้นไม้นอกหน้าต่างสภาพอย่างกับคนอดหลับอดนอน ดูอ่อนเพลียและไม่สดใสเพราะค่อนคืนให้หลังถัดจากเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ลง แม้สุดท้ายแล้วนายตำรวจจะยกโทษให้เพราะเข้าใจว่าเป็นเหตุสุดวิสัยแต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

ไม่มีหน้าจะมองตอบตรง ๆ คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าความรู้สึกบางอย่างที่ติดอยู่ในใจจะเจือจาง 

“เมื่อคืนฉันเห็นแกพาคิมเข้าไปในห้องเหม”  เหมือนความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เรื่องแรกยังไม่ทันคลี่คลาย พี่สาวใจร้ายก็บังคับวีลแชร์ไฟฟ้าเข้ามาหาเรื่องถึงที่ ตามราวีได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

ต่างจากภัคที่ตอนนี้อ่อนล้าเกินกว่าจะต่อปากต่อคำจึงทำแค่ถอนหายใจกับแก้ความเข้าใจผิดเสียใหม่   

“ต้องพูดว่าพี่คิมพาผมเข้าไปในห้องของพี่เหมต่างหาก”  เอ่ยอย่างสบาย ๆ ถ้าเป็นเมื่อวานคงได้ฉะกันฉากสองฉาก แต่วันนี้อย่างกับหนังคนละม้วน ไม่มีการพูดจายียวนกวนประสาท ขนาดน้ำเสียงที่ใช้ยังเป็นไปในเชิงบวกหาใช่การประชดประชัน ดูท่าฝนจะตกฟ้าจะร้องเมื่อจู่ ๆ คนเป็นน้องชายหันมาพูดจาธรรมดากับพี่สาวเหมือนชาวบ้านเขา

ระหว่างรอกาต้มน้ำเดือดเมื่อเห็นสัญญาณไฟแจ้งเตือนว่าเดือดแล้วก็หยิบแก้วน้ำที่คว่ำไว้มาวางตั้งบนเคาน์เตอร์

“ถ้าแกไม่อ่อยเขาแล้วเขาจะพาแกเข้าไปเหรอห๊ะ”

นาน ๆ ทีจะมีความเห็นใจให้สักครั้ง ทั้งสังเวชและสงสาร อยากถามว่าเหนื่อยไหมกับการพยายามทำให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ต้องการแต่ผลที่ออกมาดันตรงกันข้าม เห็น ๆ อยู่ว่าพยายามไปก็เสียแรงเปล่า ควรจะเตือนเธอเพราะเห็นแก่ความเป็นพี่สาว แต่บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องเกิดมาเกลียดกันมากมาย ทำไมไม่ปรองดองเหมือนอย่างพี่น้องคู่อื่น

เจตนาของภัคมีแค่อยากปลุกมินตราให้ตื่นจากฝันหวานและหันมายอมรับความจริง 

“ผมอ่อยเขาแล้วผิดตรงไหนในเมื่อเราเป็นคนรักกัน พี่น่าจะเลิกหลอกตัวเองได้แล้วนะ”  แต่ขณะที่ก้มหน้าก้มตากดน้ำร้อนใส่แก้วเซรามิก ไม่ทันระวังหญิงสาวก็ปรี่เข้าประชิดด้านหลังแล้วกระชากผมอย่างแรงจนหน้าหงาย จู่ ๆ ก็เกิดเหตุทำร้ายร่างกายระหว่างสายเลือดเดียวกัน ท่ามกลางความชุลมุนน้องชายพยายามงัดมือพี่สาวออกจากศีรษะ เจ็บจนน้ำตาเล็ด ราวกับหนังหัวจะหลุดออกเป็นแผ่น ๆ แรงแค้นของสาวเจ้าเอาชนะแรงชาย สามารถกดหัวกลมลงไปจนใบหน้าแนบกับเคาน์เตอร์ครัวอีกที 

“อย่าสะเออะมาสอนฉัน…”  กระซิบเสียงลอดไรฟันก่อนจะจับศีรษะคนดิ้นขัดขืนกระแทกปูนแข็ง ๆ ไปทีแล้วถึงยอมที่จะปล่อยมือ หลังได้แสดงออกถึงพละกำลังที่เหนือกว่า คิดว่าข่มน้องได้ มินตราก็เดินกลับไปนั่งวีลแชร์อย่างเก่า

ส่วนภัคเงยตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยสภาพนัยน์ตาดูไร้แวว รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมเราถึงไม่มีวันญาติดีกันได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คนนึงยอมอ่อนข้ออีกคนก็จะได้ใจและลงท้ายด้วยการเอาชนะ เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรักกัน เราเกิดมาเพื่อริษยาซึ่งกันและกัน จมอยู่กับความอาฆาตพยาบาทและมันจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด

มือเรียวแนบจับกับแก้วที่ร้อนฉ่า มินตราแปลว่ากระถินพืชริมรั้วชนิดตายยากแต่ถ้าหากโดนน้ำร้อนสาดก็ไม่แน่

แปลกที่คนเป็นน้องแค่เดินถือแก้วน้ำที่กำลังขึ้นไอกรุ่น ๆ เข้าหา คนเป็นพี่สาวก็ออกอาการร้อนรนจนกระทั่งบังคับวีลแชร์ถอยหลังและชนกับตู้เข้าอย่างจัง ในระหว่างที่กำลังปรับเปลี่ยนเส้นทางวีลแชร์ลืมว่าแค่ลุกเดินจากไปยังง่ายกว่า น้อยชายก็หยุดยืนตรงเบื้องหน้าพร้อมสายตาเย็นชา เลือกจะไม่ทำให้เสียโฉมผ่านการราดตั้งแต่ศีรษะ นับว่าปรานีที่เทลงกระโปรงอย่างช้า ๆ ความร้อนคงซึมถึงต้นขาถึงได้กรีดร้องอย่างกับว่าเป็นหมูถูกเชือด  กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงนั้นดังพอจะปลุกคนทั้งบ้าน รวมถึงคิมหันต์ที่ผลัดแป้งแต่งตัวเตรียมออกไปราชการทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งผ่านความเป็นความตายมาหยก ๆ และไม่นับเป็นความบังเอิญเมื่อเดินลงบันไดมาแล้วเห็นมินตราตรงหน้าประตูทางออก แน่นอนว่ารออยู่ก่อนแล้วด้วยสถาพเปียกม่อล่อกม่อแลก เธอฟ้องว่าถูกน้องชายกลั่นแกล้งโดยเลือกไม่เล่าว่าตอนแรกตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เธอต้องการให้นายตำรวจช่วยทวงคืนความยุติธรรม ไปนำตัวมันคนผิดมากราบกรานขอโทษหรือให้ตนสาดน้ำร้อนคืนเผื่อจะหายเป็นหมาบ้า จะอย่างไหนก็ได้เหมือนกัน

“คิมต้องจัดการมันให้มินนะ”

“มินดูละครมากไปหรือเปล่า” 

“แล้วกระโปรงที่เปียกมันหมายความว่ายังไง คิดว่ามินลงทุนราดตัวเองเหรอ มันราดน้ำร้อนใส่ขามินเชียวนะ” 

เธอเลิกกระโปรงขึ้นถึงหน้าขาอย่างไร้ความอาย เพื่อโชว์ผิวหนังที่ได้รับความระคายเคืองจากน้ำร้อน
กระทั่งคิมหันต์บอกให้เอาชายกระโปรงลงก่อนเพราะตอนนั้นสายตาเหลือบเห็นมากกว่าผิวที่แดงก่ำ

“ขาคุณรู้สึกเหรอถึงรู้ว่ามันเป็นน้ำร้อน”  ถามด้วยความสงสัยค่อนเข้าไปทางจับผิดอย่างไม่จริงจัง 

“ก็…!”  มินตราชะงักหลังหลุดปากพาตัวเองเกือบซวย ถ้าความลับที่ว่าเดินได้มาแตกเอาตอนนี้มีหวังความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคิมหันต์คงจบไม่สวยแน่ ๆ  “ก็ฉันเห็นกับตาว่ามันกดน้ำร้อนใส่แก้ว”

“ผมมีงานต้องรีบไปทำ”  พอได้ฟังคำตอบนายตำรวจก็ออกตัวว่าไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านทันที  “ผมเป็นแค่คนนอก คุณสองพี่น้องจัดการกันเองดีกว่า”  ตัดบทง่ายดาย ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วค่อยสวมแว่นตาดำกับเดินลวงกระเป๋าออกไป
   
ปล่อยให้หญิงสาวเรียกตามไล่หลังเป็นวรรคเป็นเวร  “เดี๋ยวสิคิม! คิม! คิม!”  ถ้าไม่ติดว่าตัวเองต้องเล่นละครเป็นคนพิการ คงวิ่งตามออกไปนอกตัวบ้านแทนการนั่งมองเฉย ๆ ด้วยความรู้สึกขัดใจอย่างนี้ บางครั้งก็อดสงสัยไม่ว่าสองพี่น้องฝาแฝดนี่ตกลงมันยังไงกัน ตอนแรกก็อยากได้เธอจนตัวสั่นแต่พอได้สมใจแล้วก็หันไปต่อมน้องชายตัวดีเหมือนแมลงวันต่อมขี้กันหมด สองสามวันก่อนเธอมีค่าเป็นแค่หมากตัวนึงในเกมการประชดและพอหมดประโยชน์ก็โดยเขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดี หรือบางทีเธอควรยอมแพ้…? ไม่หรอก เธอไม่ควร ยิ่งแพ้ให้กับน้องชั่วอย่างภัค จ้างให้ก็ไม่มีวัน   

มินตรารีบหมุนวีลแชร์เข้ามาในตัวบ้าน เธอต้องการขึ้นข้างบนจึงเรียกหาคนดูแลลั่นและล้อที่เคลื่อนไปกับพื้นก็ทับนกกระดาษของหนูดาจนแบนพอดี เด็กหญิงที่เล่นอยู่ไม่ไกลอาศัยหลบหลังแจกันยักษ์ระหว่างสบตาแม่ที่มองมาสลับกับหลุบตาจ้องซากนกกระดาษของตัวเองตาย แล้วร่างเล็กก็ยังคงรักษาระยะห่างไว้เมื่อมารดาเรียกให้ตามขึ้นไปด้านบน   

เท้าเล็กเหยียบขั้นบันไดตามยามที่แม่มีคนดูแลคอยเดินอุ้มขึ้นบันได หลังหย่อนตัวลงนั่งบนวีลแชร์ที่ถูกย้ายขึ้นมาก่อนอีกหนคนเป็นแม่ก็ออกมาปากเรียกอีกครั้ง  “มาสิ”  เด็กหญิงที่แสดงท่าทางเกรงกลัวค่อยเข้าใกล้และยอมให้มินตราจับมือจูงเดินเข้าห้อง สองขาสั้นขยับพอดีกันกับสองล้อใหญ่เพื่อเข้ามาข้างใน ก่อนเสียงเรียบของหญิงสาวจะบอกให้ธันวาที่เป็นคนเข็นวีลแชร์เข้ามาออกไป  “ออกไปก่อน ฉันอยากอยู่กับลูกตามลำพัง

ร้อยวันพันปีไม่เคยอยากนับญาติมันน่าประหลาดใจ ธันมองหน้าเด็กน้อยที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของเจ้านายอย่างกังวล เพราะหนนึงเธอเกือบตายเพราะแม่ใจยักษ์ กลัวว่าถ้าปล่อยให้อยู่กันตามลำพังแล้วจะเกิดเหตุการณ์ที่มากกว่าตกบันได…  “ออกไปสิ”  เห็นว่าลีลาเลยออกปากไล่ เธอรอจนธันยอมออกไปและปิดประตู จึงบอกให้หนูดาไปนั่ง

เด็กหญิงปีนขึ้นเตียงสูงตามคำสั่งอย่างว่าง่าย นั่งห้อยขาตรงปลายเตียงอย่างน่ารัก แถมตัวแค่นี้ยังรู้จักประหม่า เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในห้องของแม่จากที่เคยทำได้แค่จินตนาการว่ามันจะหน้าตาเหมือนห้องของตัวเองไหม แม่จะนอนกอดตุ๊กตาแล้วหลับไปเหมือนกันหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าบนเตียงนอนว่างเปล่าไร้เงาตุ๊กตาก็อยากจะกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อรื้อเจ้าพวกสิงสาราสัตว์ออกให้หมด ที่แม่ไม่ยอมเข้าหาตนเหตุผลเป็นเพราะพวกตุ๊กตาแน่ ๆ

แค่บอกมาว่าไม่ชอบก็พร้อมจะสละทุกอย่าง ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้แม่รัก

ส่วนเรื่องผลักตกบันได… เด็กหญิงให้อภัยไปแล้วล่ะ

มินตราค่อย ๆ ลุกเดินมานั่งด้านข้างระหว่างลูกน้อยคอยกวาดสายตาสำรวจรอบบริเวณ แถมนั่งนิ่งปล่อยให้เด็กหญิงเล่นปรอยผมเงางามและลูบคลำลวดลายลูกไม้ที่ชายเสื้อด้วยความสนอกสนใจ จดจำว่าแบบไหนสีอะไรเพื่อที่ว่าโตขึ้นจะได้ซื้อใส่ เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม นับตั้งแต่กินนมจากเต้าได้เดือนเดียวแล้วแม่บังคับให้หย่าก็เกือบห้าปีที่ถูกชิงชัง แต่ถึงจะปฏิเสธเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างไร ความคล้ายคลึงและความรักสวยรักงามก็ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มือเล็กสัมผัสผิวเนียนละเอียดของมารดาอย่างหลงใหล กลัวจะเจ็บเลยแตะใบหน้าด้านข้างเบา ๆ

คนเป็นแม่เองก็เพิ่งมีโอกาสได้จ้องหน้าลูกสาวใกล้ ๆ ความอ่อนโยนและอ่อนหวานพานทำให้เกิดความคิดถึง ครั้งหนึ่งเธอก็เคยเป็นเด็กที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องและดีใจที่มีน้องชาย ตอนภัคตัวเท่านี้ก็ขี้สงสัยอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมดจนบ่อยครั้งก็รำคาญ แต่นั่นเพราะอีกคนทำบางอย่างให้ถึงได้เกิดความรู้สึกด้านลบ แต่กับกรณีของเด็กข้างกายแค่อยู่นิ่ง ๆ ก็ให้ความรู้สึกขวางหูขวางตา ทำไมเด็กน่ารักคนหนึ่งถึงถูกเมิน  “ทำไมแกไม่ไปเกิดกับครอบครัวที่ดีกว่านี้นะ”

แต่ลูกที่เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจ เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกลียด

“คุณแม่หายเจ็บขาแล้วเหรอคะ”

“น้าภัคของแกบอกว่าฉันเจ็บขาเหรอ”  คนเป็นลูกพยักหน้าหงึกงัก มองระหว่างแม่กับวีลแชร์  “อยากลองนั่งไหม”

จู่ ๆ หญิงสาวก็ถามความต้องการขึ้นมาซ้ำไม่ห้ามด้วยถ้าอยากจะลองนั่งดู หนูดาต้องถามย้ำว่าได้เหรอคะ

มินตรายืนยันว่าได้และความใจดีของหญิงสาวยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เธอยอมให้ลูกสาวเอาชุดตัวเองมาสวมใส่ ขนาดตัวที่ไม่เท่ากันทำให้ต้องดัดแปลงกระโปรงยาวลายลูกไม้ให้กลายเป็นเดรสเกาะอก เธอลงมือแต่งหน้าบาง ๆ ให้กับร่างเล็ก มองเด็กน้อยผ่านเงาสะท้อนในกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเลือกทาปากเล็กด้วยลิปสติกสีแดงสดเหมือนผลเชอรี่

หนูดามีท่าทีพออกพอใจกับสิ่งที่มารดาบรรจงทำให้จนยิ้มไม่หุบ ผมที่รุมรามถูกรวบขึ้นสูงแต่ก็ยังเหลือลูกผมที่ต้องตามเก็บด้วยการทัดหู แม้จะไม่ประณีตแต่ก็ดูตั้งใจ ค่อยหยิบผมทีละช่อคล้องกับใบหูเล็ก เด็กหญิงดูมีความสุขกว่าวันไหน ๆ โดยไม่เอะใจว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แม่ทำให้แฝงไปด้วยจุดประสงค์อื่น มินตราหวังเรียกคืนค่าเหนื่อยด้วยการให้หนูดาทำอะไรบางอย่าง โดยอ้างความเป็นมารดา  “ทำอะไรสักอย่างเพื่อแม่ได้ไหมคะคนดี”












------------------------------
อีก3ตอนก็จะจบแล้วค่าาาา ฮื่ออออออ ตุ๊กติ๊กจะลบล้างอาถรรพ์ได้หรือป่าวมาลองเอาใจช่วยกัน
แท็ก #ลั่น_ดาล

ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-08-2018 22:34:54
สรุปภัคเผลอฆ่าตอนมีอะไรกัน

แล้วมินตราจะทำอะไร หึ้ยยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 29-08-2018 23:51:21
เริ่มเหนื่อยกับอารมณ์ค้างคาแล้วค่ะ
คุณคนเขียนบอกว่า เหลืออีกสามตอนจบ ?
ก็คงอีกสักประมาณ 3 เดือนเนาะ อิอิ

งั้นรอปิดป้าย END แล้วค่อยกลับมาย้อนอ่านใหม่นะคะ
หัวใจอ่อนล้ากับการรอ … ไม่ไหวแล้วค่ะ ฮือ ฮือ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-08-2018 10:02:09
นานมากเกือบลืมไปแล้ว แต่ก็ดีใจที่มาต่อนะ จะรอไปจนจบ สงสารแต่เด็กที่เป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 30-08-2018 10:18:54
สรุปภัคฆ่าเหมจริงๆด้วยอ่ะ คิดว่าจะหักมุมว่าคนอื่นทำงี้ แต่ยังไงก็รักภัคอยู่ดีนะ 555555555555
มินตราจะสั่งให้น้องดาทำอะไรรรรรรรรรรรรร  :katai1: :angry2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 31-08-2018 23:37:06
เฮ้ยยยยยยยยยย
สรุปเปนภัคจริงๆไม่ผิดโพล
แต่คงเผลอฆ่าตอนกำลังถึงจุด
แล้วจะยังงัยต่อดีหนอ คิดหนักเลยทีนี้

แล้วมินตราจะทำอะไรอีก
หนูดาลูกออกมาให้ห่างๆแม่แบบนั้น

รอตอนต่อไปนะคะ
เปนกำลังใจให้เขียนได้ราบรื่นจนจบค่า
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-09-2018 15:01:38
อะไรก็ได้ แต่อย่าให้หนูดาเป็นอะไรเลยค่ะ   :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 22-09-2018 21:59:41
๑๗




“หนูปวดหัว”

“แต่เมื่อกลางวันยังดี ๆ อยู่เลยนะเรา”

ตกค่ำพออาบน้ำจับใส่ชุดนอนเรียบร้อยหลานสาวก็เอาแต่พร่ำบอกบ่อยขึ้นว่าปวดหัวตุบ ๆ 

แม้น้าชายจะลองวัดไข้ผ่านการสัมผัสมุมอับตามร่างกายและไม่พบความร้อน หนูดาก็ยังอ้อนว่าไม่สบาย สุดท้ายจึงจับป้อนยาน้ำและพาลงนอนตามเก่า ก่อนภัคจะหาทิชชู่มาเช็ดคราบสีแดงออกจากริมฝีปากเล็กอย่างเบามือ

“หนูอยากหาคุณพ่อ”  ระหว่างนอนห่มผ้าก็บอกความปรารถนาเสียงอ้อมแอ้ม 

“อ้อนเก่งเชียวนะ สงสัยจะป่วยจริง ๆ ด้วย”  ภัครวบกระดาษใช้แล้วไว้ในมือ กะว่าจะถือไปทิ้งแล้วค่อยออกไปตามคิมหันต์ แต่นายตำรวจดันเป็นฝ่ายเปิดประตูเข้ามาในห้องเสียเองจึงบอกว่าเด็กหญิงกำลังต้องการตัว  “หนูดาอยากหาคุณพอดีเลย แกบ่นปวดหัว ดูท่าจะไม่สบายน่ะ”

คิมหันต์พยักหน้ารับ ถามร่างบางกลับว่าให้หนูดากินยาหรือยัง อย่างน้อยถ้ากินยาแล้วอาการแย่ลงจะได้นำส่งโรงพยาบาล ร่างบางพยักหน้าตอบเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้พ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกัน ส่วนตัวเองก็เขยิบมาหาที่วัดไข้ตามลิ้นชัก   
 
“ไหน อาการมันเป็นยังไงเล่าให้พ่อฟังซิ”

ร่างใหญ่ล้มตัวลงนอนด้านข้างร่างเล็ก กกกอดเด็กหญิงที่พลิกตัวเข้าหาแล้วฟัดแก้มอูมอย่างไม่กลัวว่าจะติดไข้

“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ”  กระทั่งการมาใหม่ของแขกไม่ได้รับเชิญ ประตูที่เปิดค้างไว้กับไฟที่ติดอยู่ทำให้มินตราอยากมาดูว่าคนในบ้านทำอะไรกันบ้างก่อนนอน ภัคที่ซ่อนรอยนูนจากการหน้าผากกระแทกไว้ใต้ปรอยผมหน้าเหลือบมองด้วยหางตา ชัดเจนแล้วหนึ่งว่าไม่ต้อนรับ ส่วนคิมหันต์ก็เงียบเป็นคำตอบ เหลือหนูดาที่ลอบมองใบหน้าของมารดาและเห็นสัญลักษณ์ การพยักหน้าให้ราวกับกำลังส่งซิก เด็กหญิงจึงถามขัดความเงียบ  “ให้คุณแม่เข้ามาได้ไหมคะ”

‘อยากมีน้องไหม ถ้าอยากก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ได้อยู่ด้วยกันนะ’

เห็นแก่ที่ว่าเด็กป่วย ไม่อย่างนั้นเสือสองตัวคงไม่ยอมอยู่ด้วยกันในห้องเดียว

ภัคมองนายตำรวจวางร่างพี่สาวลงบนเตียงเพื่อนั่งเคียงลูกน้อยด้วยความรู้สึกหึงหวง แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำอะไรบุ่มบ่าม ตนไม่มีทางดิ้นไปตามเกมของมินตรา แค่จ้องหน้าอย่างอาฆาต โดยมีคิมหันต์รับบทคนกลางที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็โดนทั้งขึ้นทั้งร่อง สบตาคนน้องระหว่างต้องช่วยเหลือคนพี่ หลีกหนีความวุ่นวายไม่เคยพ้นเพราะเป็นคนพาตัวเองเข้ามาแต่แรก การที่มีคนสองคนกำลังแย่งเราเอาเข้าจริงก็ไม่ได้สนุกอย่างที่คิด ออกจะน่าปวดหัว บางทีอาจเป็นตัวเองที่ต้องการยามากกว่าหนูดา เป็นยานอนหลับสำหรับช้างได้เลยยิ่งดี จะได้ตื่นอีกทีในวันที่โลกพบเจอกับสันติภาพแล้ว

ถ้าไม่เพราะแก้วตาดวงใจนอนอยู่ตรงนี้ ก็อาจจะปล่อยให้สองพี่น้องตีกันเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ
ใครเก่งกว่าเอาตนไปและมั่นใจว่าคน ๆ นั้นต้องเป็นภัคอย่างแน่นอน   

“แม่คะ หนูไม่สบาย”  ร่างเล็กหนึ่งเดียวที่ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังเล่นสงครามประสาทเรียกคะแนนความสงสารด้วยการออเซาะและขอนอนตัก คนเป็นแม่ยิ้มกว้างแถมยังช่วยประคองศีรษะเล็กเสมือนไม่เคยชิงชังลูกตัวเองมาก่อน พูดจาก็อ่อนหวาน เล่นทำเอาอีกสองคนงงไปตาม ๆ กัน 

“ไปหาหมอไหมคะคนดี เดี๋ยวแม่พาไป”

“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”  เป็นการพูดในใจที่ดังจนได้ยินกันหมด คงลืมว่าตัวเองอยู่ในคราบคนพิการ ลำพังจากวีลแชร์มาเตียงยังต้องให้คนอุ้ม แล้วนับประสาอะไรกับการพาเด็กคนหนึ่งไปหาหมอ ไม่แคล้วก็ต้องรอให้คนอื่นช่วย

พี่สาวสบตาน้องชายเหมือนจะถามว่าใครคุยกับแกด้วยมิทราบ ทนระงับความเคืองโกรธไว้ เพราะเป้าหมายของการมาเยือนยิ่งใหญ่เกินกว่าจะใส่ใจเรื่องหยุมหยิม   

“คืนนี้คุณพ่อกับคุณแม่นอนกับหนูที่นี่ได้ไหมคะ”

“แล้วน้าภัคละคะ”  มินตรายังอุตส่าห์ถามเผื่อเมื่อเตียงกว้างพอแค่สำหรับสามคน ต่อให้ขนตุ๊กตาออกไปพื้นที่ก็ยังไม่มากพอสำหรับคนที่สี่และแน่นอนว่าในที่นี่ต้องมีคนเสียสละ  “หนูดาจะให้น้าภัคนอนพื้นเหรอคะ”  พูดเองเออเอง ร่างเล็กยังไม่ได้เอ่ยปากสักคำ หนูดาไม่อาจต่อบทติดเมื่อคุณแม่คิดด้นสด  “เรานอนด้วยกันทั้งหมดไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้ค่ะ” 

ภัคตอบแทนเสียงกระด้างเพราะกำลังน้อยใจ ยอมเป็นฝ่ายไปง่ายดาย เพราะไหน ๆ ก็กลายเป็นหมาหัวเน่าแล้ว

“ผมไปนอนห้องพี่คิมนะ”  คิดว่าจะจากไปอย่างผู้แพ้แต่เปล่าเลย

เอ่ยกับนายตำรวจเสียงขุ่น มองหน้าเหมือนจะให้ช่วยพูดอะไรสักหน่อย     

“งั้นก็ออกไปสักทีสิ พ่อแม่ลูกเขาจะนอนด้วยกัน”  มินตราออกปากไล่กอขอคอ

ขอความเป็นส่วนตัวให้กับครอบครัวหลอก ๆ รออย่างใจเย็นจนน้องชายออกไปปิดประตูไล่หลังดังปัง ตอนมายังสวมเสื้อคลุมทับไว้ พอหมดก้างขวางคอก็ได้คลายเชือกคาดเอวออก ถอดตัวนอกเพื่อเผยตัวในที่เลือกมาแล้วว่าต้องสร้างความประทับใจ ชุดนอนผ้ามันกับการโนชั้นในเรียกนัยน์ตาดำด้านที่กำลังเงยขึ้นจากใบหน้าลูกให้หันมอง สองเต้าเด่นชัดยอดปทุมถันดันผ้าจนขึ้นรูปนูน พอดีกับที่หนูดาพูดความต้องการอันแรงกล้า แม่บอกว่าถ้าถอดเสื้อคลุมแล้วก็ให้พูดได้   
 
“หนูอยากมีน้อง”

“ดูสิ ใครสั่งใครสอนให้พูดจาแบบนี้นะ”  ก็ตัวเองยังไงล่ะยังมีหน้าถาม 

หญิงสาวโน้มตัวลงต่ำเพื่อหอมหน้าผากแคบแบบไม่ทันระวังเลยเห็นทั้งยวง ชุดนอนแหวกลึกทำให้เห็นทรวงอกเปลือยเปล่า ทำเอาคิมหันต์ต้องเลี่ยงมองไปทางอื่นอย่างเสียไม่ได้ ธรรมดาผู้ชายคงชอบมองแต่เพราะรักกับคนน้องแล้วจึงไม่มีความหมาย นายตำรวจแค่กำลังรอเวลาให้ลูกสาวหลับ ไม่มีความคิดจะนอนด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกแต่แรกอยู่แล้ว โชคดีว่ายาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ห้านาทีถัดมาหนูดาก็หลับคาท่าจับมือพ่อกับแม่ไว้ 

“คุณนอนที่นี่ไปนะ เดี๋ยวผมจะกลับไปนอนที่ห้อง”  มินตราช้อนตามองคนลุกขึ้นยืนพรวดพราดแล้วตะวัดคว้าข้อแขนหนาไว้ได้ทัน ถ้าปล่อยไปก็เท่ากับว่าคิมหันต์จะได้กลับไปนอนกับภัค ส่วนแผนการยั่วยวนที่เธอวางไว้ก็จะล้มไม่เป็นท่า เธอไม่ได้จงใจโนบราเพราะแค่ว่าอยากให้อีกคนดูแล้วก็ไป เธออยากเป็นฝ่ายถูกเชยชมบ้าง เธอไม่เชื่อหรอกว่านายตำรวจหมดรักเธอแล้ว ดูจากแววตาสั่นไหวตอนได้สัมผัสเนินนมอย่างเนิบนาบภายใต้การบังคับจับมือให้ลองขย้ำ

หญิงสาวขยับปลดสายชุดนอนตัวบาง สายเดี่ยวตกจากไหล่และตัวชุดไหลฮวบลงสู่หน้าตักขาว มินตรานั่งเปลือยท่อนบนท่ามกลางลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศและยื้อมือคิมหันต์ไว้ให้ลองลูบคลำหน้าอกทรงสวยระหว่างพูดจาโน้มน้าวไปด้วยอย่างอ่อนหวาน เธอรู้จักสันดานผู้ชาย ยังไงของแท้ก็ต้องจูงใจได้มากกว่าของเทียม  “มินรู้ว่าคิมเอ็นดูหนูดาถึงยอมให้เรียกว่าพ่อ ในเมื่อหนูดาเข้าใจว่าคิมเป็นพ่อไปแล้ว งั้นทำไมเราไม่ทำให้กลายเป็นครอบครัวจริง ๆ ไปเลยล่ะ ครอบครัวที่เราปรารถนามาตลอดไง”  ก็แค่สวมรอยเป็นพ่อแทนไปตลอดกาล เหมันต์ก็ตายไปแล้วยังจะต้องกังวลอะไร

แต่นอกจากความลับที่ว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้า อีกอย่างที่นายตำรวจไม่เคยบอกใครก็คือเขาไม่ต้องการของแถม
ไม่เอาแม่ อยากได้แค่ลูกมา  “จะต้องให้พูดเรื่องนี้กันอีกกี่ครั้งมินถึงจะเข้าใจ นี่เราไม่ได้พูดภาษาเดียวกันเหรอ” 

บิดข้อมือออกทันทีที่สบโอกาสแล้วพยายามโฟกัสสายตาแค่ที่ใบหน้าของหญิงสาว

เต้านมไม่อาจหลอกล่อให้ติดกับ แต่ของลับของผู้หญิงก็เคยทำให้ผู้ชายทำสงครามแย่งชิงกันมาแล้ว  “ฉันยอมเป็นน้อยก็ได้ ให้ภัคเป็นหลวง ที่ฉันต้องการมีแค่ขอให้คิมมาหาฉันบ้าง”  ความสามารถอย่างเดียวที่เธอมีในตอนนี้คือการให้กำเนิดบุตรและเธอจะทำสุดความสามารถเพื่อให้ตั้งครรภ์อีกครั้งหากมันจะช่วยรั้งนายตำรวจไว้กับเธอ  “ลูกเอ่ยปากเองเลยนะว่าอยากได้น้อง”  อ้างความต้องการของเด็กที่หลับไปเหมือนย้ำให้คิมหันต์ยิ่งเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง   
 
“ให้หนูดาโกหกว่าป่วยแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ตุ๊กตาหรือว่าขนมล่ะที่คุณใช้ติดสินบน”

“น้อง… ฉันบอกว่าจะมีน้องให้แกอีกคน”  คว้ามือใหญ่แล้วกุมไว้อย่างมีความหวัง ผู้หญิงอย่างเธอไม่เหลือศักดิ์ศรีไว้ให้ต้องรักษา รู้แต่ว่าด้านได้อายอด  “หนูดาต้องดีใจมากแน่ ๆ คิมไม่อยากให้แกมีความสุขเหรอคะ”  ถือวิสาสะลูบเป้าที่อยู่เสมอสายตาแล้วบีบเบา ๆ เป็นการกระตุ้นความกำหนัด ระหว่างนั้นก็พูดจาน่าอายประหนึ่งโสเภณีขายลายทาง บทร่านรักอาจเรียกร้องความสนใจได้มากกว่า  “ดูสิแข็งหมดแล้ว” 

จนนายตำรวจต้องเป็นฝ่ายล่าถอย คอยรวบมือเรียวทั้งสองข้างไว้  “พอเถอะมิน”  แต่ขณะผลักไสก็เสียหลักให้กับหญิงสาวที่จงใจดึงให้ล้มทับ ก่อเกิดความใกล้ชิดชนิดหายใจรดใบหน้ากัน  “แค่เพราะฉันพิการเหรอคะ”  กระซิบถามด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจขณะใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับแก้มกร้าน  “ขาฉันอาจจะไม่มีความรู้สึก แต่อย่างอื่นยังรู้สึกอยู่นะ”

มินตราเริ่มควบคุมมือใหญ่อีกครั้งโดยที่นายตำรวจก็ไม่ได้ขัดขืนอย่างที่ควรจะทำ นัยน์ตาดำเพียงจ้องดวงหน้าเชิญชวนนิ่ง ๆ คราวนี้หญิงสาวพาเคลื่อนลงด้านล่างผ่านหว่างขาที่อ้าออกเพื่อให้สัมผัสกับตรงนั้นที่เจิงนองอยู่ก่อน แต่ยังไม่ทันได้สอดแก่นนิ้วเข้าช่องคลอด พายุฤดูร้อนก็พัดผ่านมาจนพากระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ภัคที่จะกลับมาเอาของเปิดประตูเข้ามาในห้องก็ต้องตกใจ  “ทำอะไรกันน่ะ!”  ผลักร่างนายตำรวจที่คร่อมพี่สาวอยู่ออกแล้วมองทั้งคู่ตาแข็ง 

มินตราที่นอนแยกขาค่อยดันศอกลุกขึ้นมานั่ง ระหว่างแต่งตัวให้เรียบร้อยก็คอยยิ้มมุมปากยั่วน้องชาย  “แกก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะภัค ยังจะต้องถามอีกเหรอว่าเรากำลังทำอะไรกัน”  แต่แทนที่จะฟังความข้างเดียวจากคนที่ชอบใส่สีตีไข่ ร่างบางอยากได้ความจริงจากปากคนรักมากกว่า 

“จริงเหรอ” 

เกรงว่าจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืด คิมหันต์ที่ยืนขึ้นจึงตัดความรำคาญด้วยการไม่เอ่ยถึงเรื่องก่อนหน้า

“ฉันจะไปนอน”  โดยนายตำรวจหารู้ไม่ว่าความไม่ชัดเจนนั้นแหละที่จะทำให้ไม่ได้นอน

ภาพตำตาไม่ได้ทำให้ภัคเป็นเดือดเป็นร้อนเท่าไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ถ้าปฏิเสธแต่แรกอย่างลูกผู้ชายว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ เรื่องคงจบลงอย่างง่ายดายและต่างฝ่ายต่างยอมแยกย้ายไปนอนทันที แต่นี่เล่นเติมเชื้อไฟด้วยการทำให้เรื่องมันยิ่งกำกวมและจู่ ๆ น้องชายที่มีความแค้นอยู่ในใจท่วมท้นก็เดินเข้าหาคนเป็นพี่แล้วตบหน้าไปทีท่ามกลางความงงงวย

แม้ความจริงแล้วอาจเป็นความผิดด้วยกัน แต่ภัคเลือกจะบันดาลโทสะใส่แค่พี่สาว  “ตบนี้สำหรับเรื่องเมื่อเช้า” 

มินตราที่หน้าหันไปอีกทางสะบัดหน้ากลับมามองตรงอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าน้องชายจะกล้าทำตัวร้ายกาจต่อหน้าต่อหน้านายตำรวจ เธอประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปแถมยังต้องมาเจ็บตัวซ้ำสองโดยที่ไม่ทันได้ปัดป้อง แรงตบมากพอจะทำให้เลือดตกยางออกที่มุมปาก เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับพวกที่ชอบมายุ่งกับของรักของหวงของคนอื่น  “ตบนี้สำหรับที่ให้ท่าคนของผม”  ภัคเช็ดมือที่ใช้ตบพี่สาวกับชายเสื้อและเพื่อแสดงออกว่ารักนี้จะไม่มีวันร้าวฉานเพราะคนนอก ร่างบางแค่คว้ามือคิมหันต์แล้วจะพากันเดินออกจากห้องพัก แต่แล้วก็โดนพูดดัก  “…ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกนะน้องรัก”

ภัคชะงักกึก  “ถ้าแกไม่เข้ามาคิดว่ามันจะไปจบที่ตรงไหนล่ะ ดูท่าคงไม่ใช่แค่รอบเดียวแน่ ๆ”

“ทุเรศ”

“จะเป็นไรไปถ้าเราใช้ผู้ชายคนเดียวกัน ขนาดแกมาทีหลังฉันยังไม่ว่าอะไรเลยนะ”

มินตรากำลังฝันถึงครอบครัวที่อยู่ด้วยกันสามคนผัวเมีย ส่วนภัคก็พยายามเขี่ยความเพ้อผกนั้นด้วยเท้าเปล่า 

“พี่ไม่ใช่เจ้าของเขา”

“แกก็ไม่ใช่…”  ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ กฎหมายบอกว่าผู้ชายจดทะเบียนสมรสได้แค่หนึ่งครั้งแต่ความจริงจะมีเมียสักกี่คนก็ย่อมได้  “ทำไมไม่ให้ผู้ชายเลือกเองเลยล่ะ หรือว่าแกกลัวว่าเขาจะไม่เลือกแก”

งานเข้านายตำรวจอย่างจัง จากที่ใช้สิทธิ์งดออกเสียงอยู่นานก็ถึงช่วงเวลาสำคัญที่ต้องเลือกระหว่างพี่หรือน้อง

“ผมบอกไปแล้วนะมินว่าเรากลับไปเป็นอย่างเดิมไม่ได้”

ได้ยินประโยคทำนองนี้บ่อยจนชินชา แรก ๆ มันก็เจ็บที่หน้าอกอยู่หรอกแต่เพราะส่วนหนึ่งอยากเอาชนะน้องชายถึงได้หน้าด้านหน้าทน ไม่บ่นแม้โดนทำร้ายจิตใจจนแหลกละเอียด บางทีเธอก็เกลียดตัวเองที่ไม่รู้จักยอมแพ้ไปซะ สิ้นหวังอยู่แล้วก็ยังจะทำให้สิ้นหวังเข้าไปอีกเพื่อต้องย้ำว่าความจริงเธอไม่เป็นที่ต้องการ  “ตกลงคิมจะเลือกฉันหรือเลือกมันคะ”  หญิงสาวทำหูทวนลมขณะอมยิ้มบาง ๆ เธอต้องการปั่นให้ทั้งคู่ตีกันจากภายในโดยใช้นิสัยไม่ชอบตอบตรงประเด็นของนายตำรวจให้เป็นประโยชน์ รอจนกว่าความสัมพันธ์จะสั่นคลอนแล้วค่อยเข้าเสียบตอนนั้นก็ยังไม่สาย   
   
“ผมไม่เลือก”

“ต้องเลือก”  เป็นภัคที่เข้าร่วมกดดัน ประกาศให้ชัดเจนไปเลย พี่สาวจอมหน้าด้านจะได้เลิกเกาะแกะ 

“นี่นายก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ ขนาดนี้แล้วนายคิดว่าฉันจะเลือกใคร”  คิมหันต์ย้อนถามนัยน์ตาดุ อยู่ไปก็ไม่น่าจะเข้าท่า อยากบ้าก็เชิญบ้ากันตามสบาย นายตำรวจแค่เดินออกมาจากกับดักระเบิดและมีภัคเดินถือชนวนตามออกมา แน่นอนว่าถ้าไม่ได้รับคำตอบภายในคืนนี้ก็คงไม่มีทางข่มตาหลับลง

“แค่พูดออกมามันยากมากเลยหรือไง” 

“นายไม่รู้หรือไงว่ากำลังถูกพี่สาวปั่นหัว”

“เลือกมาสิ”  แค่คิดว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นประเภทเผื่อรักเผื่อเลือกก็จะพร้อมจะทำตัวงี่เง่า ลึก ๆ ก็ระแวงว่าถ่านไฟเก่าจะปะทุเพราะเล่นอยู่บ้านเดียวกัน จากคนที่เคยบอกว่าไม่อยากจำกัดสถานะสู่คนที่อยากจะฟังคำตอบที่มันเป็นเรื่องเป็นราวและชัดเจน แต่พอรบเร้าเข้ามาก ๆ ก็ถูกผลักกระเด็นจนล้มลงไปนั่งกับพื้นขณะนายตำรวจยกมือขึ้นประสานไว้ที่ท้ายทอย ท่าที่พบได้บ่อยเวลาเครียดและรู้ตัวว่าทำพลาดลงไป หลังจากที่เผลอใช้กำลังก็เดินไปเดินมาอย่างคนคิดไม่ตก

เหตุการณ์ลงไม้ลงมือสร้างความตลกขบขันให้กับมินตราที่นั่งมองจากในห้องและเฉลิมฉลองฉากรักร้าวในละครน้ำเน่าด้วยการตบมือ ถือเป็นการให้กำลังใจนักแสดงทั้งสอง เห็นนายตำรวจเข้าประคองแต่ถูกน้องชายตัวดีของตัวเองผลักคืนก็หัวเราะครื้น เป็นคืนที่เธอสุขที่สุดและก็อาจจะคืนที่ทุกข์ขนัดที่สุดเช่นกัน

ธันวาได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทและทันเปิดประตูออกมาเห็นท่าทางพ่อแง่แม่งอนระหว่างภัคกับคิมหันต์ พอหันไปอีกฝั่งก็เห็นมินตรากำลังหัวเราะสะใจจนเห็นไรฟัน ดูเหมือนการมีอยู่ของเธอจะคอยแต่สร้างปัญหาให้กับคู่รัก ตราบใดที่ยังไม่หายไป บ้านก็คงไม่สงบสุขสักที ธันไม่ได้เพิ่งคิดออกเดี๋ยวนี้ว่าจะจัดการปัญหาคดีที่คาราคาซังอย่างไร ใช้เวลาสองวันเต็มในการคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อจะทำให้การใจสลายครั้งนี้ไม่สูญเปล่า จึงตัดสินใจได้ว่าจะเล่าความเท็จ ในฐานะที่เป็นผู้ร่วมรู้ร่วมคิดฆ่าเหมันต์ จะช่วยร่างบางกำจัดมารคอหอย จนวินาทีสุดท้ายก็ยังคอยทำเพื่อภัค

ซึ่งมันคือการ… หวังดีประสงค์ร้าย 

ชายผิวซีดเดินเข้ามาช่วยประคองร่างบางให้ยืนขึ้นอีกแรง ตอนแรกนายตำรวจทำท่าจะไล่ไม่ใช่เรื่องของแก แต่ต้องมีอันชะงักหลังได้ยินประโยคคำถามที่ย้อนความไปตอนสอบปากคำ  “ที่คุณเคยถามว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายคุณหรือเปล่า จำได้ไหมครับ” 

“ถ้าจำได้แล้วมันจะยังไง”  นายตำรวจถามกลับ ไม่เข้าใจว่าพูดขึ้นมายามนี้ทำไม

“ผม… มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายคุณ”  ธันพูดด้วยท่าทีสงบท่ามกลางลมเอื่อย ๆ ที่พัดไหลเวียนอยู่ภายในตัวบ้าน คำสารภาพนั้นทำเอาคนที่เหลืออึ้งกิมกี่ไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครทันตั้งหลัก

ขนาดมินตรายังช็อกกับความจริง หญิงสาวส่ายหน้าว่าไม่มีทาง

ปกติแล้วคนผิดจะยอมรับสารภาพยามถูกสถานการณ์บังคับ แต่สำหรับธันวาที่อีกไม่กี่วันก็จะถูกเนรเทศออกจากบ้าน การพูดความจริงกึ่งหนึ่งง่ายดายกว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่ รู้สึกเข้าตาจนทั้งที่แค่ถูกไล่ออกจากงาน ถ้าร่างบางบอกให้ไปตายคงง่ายกว่าการคิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร อย่างน้อยการติดคุกก็มีข้าวให้กินมีที่ไว้ให้ซุกหัวนอน ดีกว่าออกไปเร่ร่อนข้างทาง แค่อยากถูกจับเข้าลูกกรงแล้วหันหลังให้กับโลกที่แสนโหดร้าย เจอคนนิสัยไม่ดีจนหน่าย จึงอยากถูกกักขังไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์ ยังไงซะตนก็มีความผิดฐานฆ่าโมรีอยู่แล้ว ก็สมควรได้รับการชดใช้ที่สาสม     

“แล้วก็ที่คุณถามว่าผมพยายามปกป้องใครอยู่…”   

ประโยคนี้ดูจะมีผลกับภัคมากกว่าใคร ๆ  ร่างบางใจเต้นระส่ำกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่นหนาขณะช้อนนัยน์ตาสั่นระริกมองธัน เข้าใจว่าถึงตอนอวสาน คิดว่านี่อาจเป็นการเอาคืนกับสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำกับอีกคนไว้ เห็นภาพตัวเองยืนใส่กุญแจมืออยู่หลังลูกกรง สีหน้านายตำรวจเองก็กังวลอย่างไม่ปกปิด คงมีแต่มินตราที่อยากรู้ใจจะขาดว่าใครคืออีกคนที่ร่วมฆ่าเหมันต์ เธอจะได้จัดงานเลี้ยงขอบคุณถูกคน จนกระทั่งได้ยินชื่อตัวเองเต็มชัดสองรูหู 

“มินตรา …คุณมินตราครับที่ผมพยายามปกป้องอยู่” 

คำตอบเหนือความคาดหมายทำเอาสองคนโล่งใจ กับอีกคนโวยวายเสียงดัง  “แกว่าอะไรนะไอ้ธัน!”

“เธอเกลียดคุณเหมันต์เรื่องนั้นเราทุกคนรู้ดี เธอบอกกับผมว่าเกลียดคุณเหมันต์จนอยากฆ่าให้ตาย”  ตนไม่ใช่พระเจ้าเที่ยวตัดสินใคร แต่การที่ครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยพยายามฆ่าลูกตัวเองให้ตายด้วยการผลักตกบันได โทษมันก็ร้ายแรงมากพอจะติดคุก บางทีการไม่มีแม่แบบนั้นอาจจะดีต่อตัวลูกสาวอย่างหนูดา  “คืนนั้นเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณเหมันต์แต่พลาดทำให้เขาหมดสติ มีแค่ผมกับคุณมินตราเท่านั้นที่รู้ว่ารสนิยมทางเพศของคุณเหมันต์เป็นยังไง”

“แล้วทำไมนายถึงรู้”  คิมหันต์ถามท่าทางผ่อนคลายกว่าเก่า

“เพราะคุณมินตราจะกลับมาเล่าให้ผมฟังเสมอ”

“ไม่จริง! รสนิยมทางเพศบ้าบออะไร ฉันไม่รู้เรื่อง!”  หญิงสาวตะโกนปาว ๆ จนลูกสาวสะลึมสะลือตื่นจากนิทรา
 
“เธอรัดคอเขาด้วยเนกไทจนขาดอากาศหายใจและสลบไป เธอเลือกใช้วิธีนั้นเพราะมันเข้าถึงตัวง่ายที่สุด เธออยากให้เขาตายและมั่นใจว่าจะตายแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยขอให้ผมช่วย ผมจับเขาแขวนคอด้วยผ้าห่ม …เราร่วมมือกัน”

“ฉันถูกใส่ร้าย! ฉันถูกปรักปรำ! คิมอย่าไปเชื่อมันนะ!”  ไม่แปลกที่เธอจะแก้ต่าง ใครบ้างอยากกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนและจบหนทางชีวิตด้วยการยอมเดิมเข้าซังเต เธอไม่ได้ทำแล้วทำไมต้องมารับกรรมแทนคนอื่น

ภัคยืนมองหน้าธันที่เล่าเหตุการณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติผ่านแววตาสับสน ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมชายผิวซีดถึงยอมปลดเปลื้องพันธนาการให้ ไม่กล้าแม้แต่จะแทรกแซงบทสนทนาเพราะกลัวว่าเสียงตัวเองจะรบกวนใจคนฟัง ทั้งที่มีเรื่องอยากพูดด้วยมากมายแต่อะไรบางอย่างบอกว่าควรเอาไว้ทีหลัง อย่าทำร้ายความตั้งใจใครแม้จะต้องกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ตาม แต่นิยายที่แต่งขึ้นมาใหม่ก็ทำให้มินตรายิ่งโกรธเคือง เรื่องมันเลยเถิดไปใหญ่เรียกว่าการใส่ความกันชัด ๆ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอึดอัดกับการหลอกว่าเป็นคนพิการ ไม่อย่างนั้นคงลุกไปทุบตีคนดูแล ไม่ใช่แค่ปาหมอนออกมาจากในห้อง 

“เธอเดินได้ครับ เธอแค่โกหกเพื่อให้เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยน้อยที่สุด” 

“ไอ้ธัน!”  มันเหลืออดจนเผลอลุกขึ้นยืนชี้หน้า ตอกย้ำความจริงที่ว่าเธอปิดบังเรื่องเดินได้ สอดคล้องกับคำให้การเพื่อให้ถูกสงสัยน้อยที่สุด อะไร ๆ ก็ชี้เป้าไปที่ภรรยาผู้ตายที่รู้ตัวเมื่อสาย ดวงตาหลายคู่เห็นแล้วอย่างพร้อมเพรียงกันว่าเธอสามารถยืนได้ด้วยขาตัวเอง  “คิมคะ… ฉันอธิบายได้ ฉันว่าจะบอกคุณอยู่เรื่องที่เดินได้ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะโกหกเลยนะ”

“พอเถอะมินตรา” 

“ฉันไม่ได้ทำ ไม่ใช่ฉันสักหน่อยที่นอนกับเขา โมรี โมรีไง ยัยนั่นก็เคยนอนกับเหมันต์ไม่ใช่เหรอ” 

“แต่เธอตายแล้วนะ”

“งั้นก็ยังมีอีกคน”  พี่สาวจ้องตาน้องชายเขม็ง  “แกนี่เอง ไอ้ภัค…”

“อย่ากล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐาน”  คิมหันต์ปราม
 
มินตรารู้สึกเหมือนผู้ชายสองคนกำลังปกป้องน้องชายของเธอยังไงยังงั้นและได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม

โดยลืมไปว่าตัวเองมีความผิดจริงฐานบงการฆ่าภรรยาน้อยของสามี 

“คุณมินตราเป็นคนบงการฆ่าคุณโมรีด้วยครับ”

สิ้นคำสารภาพความเงียบก็เข้าคลอบงำตัวบ้านไว้อีกรอบ

ธันยอมรับว่าเป็นคนลงมือฆ่าภายใต้คำสั่งของหญิงสาวจอมลวงโลกและถ้านายตำรวจอยากดูหลักฐานก็พร้อมจะเปิดฝาเก็บน้ำของชักโครกให้ คิมหันต์จึงขอตัวเข้าไปในห้องกับธันวา ปล่อยสองพี่น้องยืนมองหน้ากันอย่างไม่ลดละ   

วูบหนึ่งน้องชายแสดงออกทางสายตาว่าเห็นใจในโชคชะตาของพี่สาวขณะที่เธอก้าวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมคำถาม  “แกใช่ไหม…”  ภัคไร้การตอบสนอง ก้มมองปลายราวกับรู้สึกผิด  “ฉันถามว่าเป็นแกใช่ไหม”  มินตราผลักไหล่ พออีกคนไม่ตอบโต้ก็ยิ่งผลักแรงขึ้นกว่าเก่า เหมือนตอนยังเยาว์ที่พี่สาวพยายามหาตัวคนตัดผมตุ๊กตา ไม่ว่าจะทำหรือไม่ได้ทำก็ตาม น้องชายก็ต้องยอมรับผิด กลายเป็นแพะรับบาปจากความริษยา แต่คราวนี้จะแตกต่างไป มินตราควรได้ริมรสชาตินั้นบ้าง 

ภัคยอมรับตาใส  “ใช่ ฉันทำเอง…”  ลงมือตบตัวเองจนเกิดเสียงดัง แถมยังฉีกเสื้อให้ขาดก่อนจะปัดผมให้ยุ่ง ทำเหมือนว่าถูกทำร้ายและลงไปนั่งกองกับพื้นพร้อมกรีดร้อง จนคนในห้องทั้งสองรีบเปิดประตูออกมา เป็นจังหวะที่มินตราเงื้อมือในอากาศ ส่วนน้องชายก็อยู่ในอาการหวาดผวาขณะพูดเสียงดัง  “ยอมรับผิดเถอะครับ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”  แม้จะถูกพี่สาวทำร้ายก็ยังจะมีกะจิตกะใจเป็นห่วง นั่งกุมแก้มน้ำตาร่วง ตีบทแตกกระจายตอนมองนายตำรวจเดินเข้ามารวบตัวหญิงสาว คว้ากุญแจมือจากกระเป๋าหลังอย่างคล่องแคล้วแล้วใช้มันล็อกข้อมือทั้งสองข้างของมินตรา

เสียงดังกึกสะท้อนในโสตประสาท คิมหันต์ไม่ลืมบอกสิทธิของผู้ต้องหา  “คุณมีสิทธิจะไม่พูดและเรียกทนาย”














หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 22-09-2018 22:19:29
บทส่งท้าย




ไฟหน้าจากรถหลายคันที่จอดซ้อนกันถูกเปิดทิ้งไว้ แสงสีส้มกระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณหน้าบ้าน ณ ยามวิกาล คนพลุกพล่านทั่วเคหะสถานเสมือนเช้าวันนั้นที่พบศพเหมันต์ คิมหันต์เป็นคนโทรแจ้งลูกน้องให้มารับตัวผู้ต้องหาถึงสองคนกลางดึกก่อนจะถูกงานดึงไว้จนไม่มีเวลาปลีกตัวออกมา ระหว่างนั้นภัคก็อยู่เป็นเพื่อนหลานบนห้อง พยายามลองกล่อมให้หลับอีกครั้งแต่หนูดาก็ยังเอาแต่นอนมองออกมาข้างนอก จ้องบานประตูห้องมารดาเหมือนรู้ว่ามีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับแม่ น้าชายทำได้แค่ลูบหัว กระทั่งเห็นธันถูกควบคุมตัวออกมาจากห้องโดยสองมือถูกพันธนาการแล้วมีผ้าพันทับไว้อีกรอบ 

“หนูดารอนี่นะคะ” 

คิดว่าเป็นจังหวะดีที่จะได้กล่าวคำอำลา จึงบอกหลานว่าอย่าไปไหน

แล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายเดินออกมาดักหน้าเจ้าพนักงานตรงบริเวณขั้นบันไดสุด 

“ขอผมคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ”  ก่อนจะถูกนำตัวออกไปขอแค่ได้ขอบคุณก็ยังดี
 
เห็นแก่ที่เป็นญาติของคิมหันต์ ตำรวจสองนายจึงยอมขยับออกไปไกลพอเพื่อให้ได้พูดคุยกันตามลำพัง

ภัคแตะหลังมือกร้านแผ่วเบาตอนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ  “ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”  รู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกตื้นตันใจในเวลาที่คนตรงหน้ากำลังจะติดคุกเพราะตัวเองแต่มันก็อดไม่ได้และความภักดีจนวินาทีสุดท้ายก็ทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกละอายใจ ตอนอยู่ไม่เคยดูดำดูดี พอตอนนี้จะไปกลับมาอาลัยอาวรณ์ ภัคซ่อนความรู้สึกผิดและเสียใจไว้ไม่มิด

โดยธันยินดีรับความรู้สึกทั้งสองไว้ด้วยใจ แต่ไม่รับคำขอบคุณ  “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ …ผมทำเพื่อตัวเอง”  คำพูดเหล่านั้นสร้างความงงงวยให้กับร่างบางอย่างมาก ธันอาจให้ความกระจ่างในสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้ แต่บอกได้ว่าความลับอะไรที่เก็บงำไว้มาโดยตลอด ตอนที่ตำรวจมองไปทางอื่น ชายผิวซีดแค่ยื่นใบหน้าเข้าใกล้ เพื่อกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น  “ผมไม่ได้เป็นคนแขวนคอคุณเหมันต์…” เป็นความลับที่พยายามหาโอกาสสารภาพอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ถูกปฏิเสธการฟังอยู่ร่ำไป แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบัง มันเป็นสิ่งที่ร่างบางควรได้รู้  “…เขาถูกแขวนคออยู่ก่อนแล้วตอนที่ผมเข้าไป” 

ภัคก็นิ่งงันราวกับโดยสาป ได้ยินแต่ไม่เข้าใจและไม่ทันได้ถามความต่อ ตำรวจสองนายก็เข้ามาพาตัวผู้ต้องหาเดินลงบันไดไป ทิ้งให้ร่างบางมองตามจากข้างบนด้วยความสับสน หมายความว่าไงที่ว่าไม่ได้เป็นคนแขวนคอและเหมันต์ก็ถูกแขวนอยู่ก่อนแล้วตอนที่เข้าไป หลายคำถามประดังประเดเข้ามา ถ้าไม่ได้เป็นคนทำแล้วรับสารภาพว่าทำทำไม ถ้าไม่ใช่ธันแล้วอย่างนั้นจะเป็นใครกันล่ะ ในเมื่อ ‘คืนนั้น’ อีกคนก็กลับมาพูดเองว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ยังจำแววตาและท่าทีเป็นกังวลของคนที่โดนปลุกขึ้นมากลางดึกได้แม่นยำ เป็นคืนที่เข้าไปขอความช่วยเหลือถึงในห้องนอนทั้งอาการรนรานหลังจากที่พลาดทำเหมันต์ขาดอากาศหายใจ จากการลองเขย่าแรง ๆ ตนที่สติแตกก็มั่นใจว่าพี่เขยตายแล้วและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ บุกเข้าไปหาเพราะต้องการคำปรึกษา ย้ำเสมอว่าไม่ได้ตั้งใจ พูดจาวกไปวนมาอยู่เกือบยี่สิบนาที สุดท้ายธันวาที่กลายมาเป็นเสาหลักจึงบอกให้ตั้งสติและรออยู่แต่ในห้อง เดี๋ยวจะเป็นคนออกไปเก็บกวาด

พยายามคิดขั้นตอนการอำพรางที่ชาญฉลาด แต่ตอนนั้นสมองก็ว่างเปล่าพอกัน ไร้แผนการดี ๆ คิดแค่ว่าจะต้องไม่มีใครสาวถึงตัวคนที่รักได้ ก่อนสัมผัสลูกบิดก็แค่ใช้ผ้าที่ถือติดมือมารองก่อนหมุนลูกบิด ตามที่ร่างบางเล่าทำให้จินตนาการเอาว่าเหมันต์นอนตายบนเตียงอย่างเดียวดาย แต่ภาพที่เห็นหลังจากที่ได้เปิดประตูกลับเป็นเจ้าของบ้านห้อยต่องแต่งอยู่ในอากาศ สภาพหมุนคว้างอย่างกับพัดลมเพดานที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าก่อนจะหยุดนิ่งกับที่   
 
เป็นฝีมือใครสงสัยแต่ไม่ถาม ตอนนั้นยอมรับว่าแค่อยากได้ความดีความชอบก็เท่านั้น จึงสมอ้างว่าเป็นคนจัดฉาก หวังตื้น ๆ ว่าสิ่งที่ทำจะช่วยเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์ให้ยิ่งยากจะตัดขาด จงใจผูกมัดด้วยความลับและหากินกับคำโกหก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมา ถ้าไม่มีคิมหันต์สักคนบทสรุปอาจไม่ลงเอยเช่นนี้ เขาทั้งคู่คงมีความสุขกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้จะรู้แต่แรกว่าร่างบางเป็นคนมากรักก็ยังจะพยายามเปลี่ยนใจ ตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่มีทางและตระหนักไว้ว่าโทษในคุกมันไม่สาสมกับคนแบบนั้น …การแก้แค้นร่างบางที่แยบยลคือการปล่อยให้อยู่กับคนอย่างคิมหันต์ไปชั่วกัลปาวสาน

ผู้ต้องหาถูกดันตัวเข้าในรถที่ติดเครื่องยนต์ไว้ ได้นั่งตรงกลางโดยมีนายตำรวจสองนายนั่งขนาบข้าง ระหว่างที่ล้อค่อยเคลื่อนออกมาตามทางและมีตัวบ้านหลังใหญ่เป็นฉากหลัง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ชายผิวซีดยกยิ้มจาง ๆ ไม่ใช่เย้ยหยันอย่างผู้ชนะแต่ว่าสุขใจในฐานะผู้หลุดพ้น 

รถตำรวจอีกคันขับเข้ามาจอดเทียบท่าบันไดหน้าบ้าน เพื่อรอรับตัวผู้ต้องหาอีกรายที่ไม่ง่ายต่อการใช้กำลังบังคับ มินตราพยายามดิ้นรนและขัดขืนตลอดการจับกุม ตำรวจหญิงรุมล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวที่น้ำตานองหน้า หาใช่ความโศกเศร้าร้องไห้ราวขาดใจเพราะคับแค้นในอก แถมหกคะล้มจับกบเพราะขาเกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ พยายามยื้อร่างไว้เล่นทำเอาเจ้าพนักงานเหนื่อยไปตาม ๆ กัน กว่าจะพาตัวออกจากบ้านได้สำเร็จระยะไม่กี่เมตรเหมือนยาวเป็นสิบ ๆ กิโล   

ก่อนหนูดาที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนจะเข้าขัดขวาง มือเล็กไล่ผลักทุกคนที่เข้าใกล้มารดา  “อย่าทำแม่หนูนะ!”  เด็กหญิงวิ่งปรี่มาจากชั้นสองเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นลูกเห็นแม่ถูกรังแกก็พยายามจะปกป้อง รักของเด็กบริสุทธิ์ดุจน้ำนมจากเต้า ลูกสาวกอดขาคนเป็นแม่ไว้ก่อนจะเริ่มร้องไห้จนนำมาซึ่งภาพสะเทือนใจ

พวกผู้ใหญ่ที่ทำตามหน้าที่เบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกเศร้าสลด กฎหมายก็ส่วนกฎหมาย ความเห็นใจก็ส่วนความเห็นใจ ต้องแยกให้ออก ภาพสองแม่ลูกกันกลมจนคนแม่เป็นลมลงไปทำเอาชุลมุนวุ่นวายกันหมด ก่อนหนูดาจะถูกใครสักคนเหยียบจนร่างหัก คนเป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานก็เข้ามาจัดการ คิมหันต์ช้อนตัวหนูดาขึ้นจากพื้นง่ายดายแล้วส่งคืนน้าชายที่วิ่งมารับนัยน์ตาแดงก่ำ สภาพหลานน่าสงสารจนเกือบกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่

หนูดาร้องเรียกหาแม่เสียงหลง “แม่จ๋า!”  พยายามส่งมืออกไปให้จับตอนที่ร่างมารดาถูกหามขึ้นรถ 

สร้างความทุลักทุเลให้กับคนอุ้มไม่น้อย แม้จะต้องได้ชื่อว่าเป็นคนพรากลูกพรากแม่ แต่ภัคก็ไม่สามารถปล่อยร่างเล็กไปได้เหมือนกัน ทำทั้งหมดก็เพื่อร่างเล็กทั้งนั้น รีบคุกเข่าเพื่อกอดรัดตัวหลานสาวไว้ ขอโทษในใจนับร้อยนับพันครั้งระหว่างเรียกชื่อให้ได้สติ  “หนูดา หนูดาอยู่กับน้าภัคนะ”  พยายามถ่วงเวลาจนกระทั่งมินตราถูกพาขึ้นด้วยสภาพอเนจอนาถ หนูดาปล่อยโฮเมื่อยานพาหนะสี่ล้อขับออกไปแล้วหันกลับมาสะอึกสะอื้นในอ้อมแขน ภัคกอดเด็กหญิงไว้แน่นหนา ทำหน้าที่ปลอบแทนแม่บังเกิดเกล้า ทุกอย่างที่พี่สาวขาดตกบกพร่องไป

นับจากนี้ตนจะแก้ไขและให้สัญญาว่าจะดูแลเด็กหญิงพิมพ์มาดาอย่างดี











พิธีเผาศพของเหมันต์เกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์ถัดมาและบรรยากาศก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายภายในวัดเดียวกันกับที่เก็บอัฐิของแม่แท้ ๆ หลังจากที่ธันวาและมินตราถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย คิมหันต์ก็ได้ทำเรื่องขอร่างน้องชายกลับบ้านเพื่อนำมาประกอบพิธีทางศาสนา แขกที่เชิญมาในงานวันนี้มีบางตา ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีดำเพื่อร่วมไว้อาลัย ยกเว้นหนูดาที่ใส่ชุดขาวยืนมองลูกไฟในเตาเผาด้วยความเศร้าสร้อย เด็กน้อยยังทำใจเรื่องที่แม่ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักไม่ได้ โชคดีว่ายังมีน้าชายยืนกุมมืออยู่ข้าง ๆ ภัคกระชับมือเล็กไว้ขณะที่มืออีกข้างถูกคว้าไปกอบกุม นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบมองมือใหญ่แล้วเงยมองใบหน้าสมส่วน วันนี้นายตำรวจแต่งตัวเต็มยศเพื่อเป็นเกียรติให้แก่คนตาย แต่สายตานั้นกลับเรียบเฉยกว่าทุกวัน 

คงรู้ว่าทำตัวเย็นชาเกินไปจึงหันมายิ้มให้ร่างบาง เหมือนจะแสดงออกเป็นนัย ว่านี่คือหนึ่งในท่าทางอันเป็นผลข้างเคียงมาจากการเสียคนในครอบครัวไปก็เท่านั้น แล้วค่อยหันมองไปข้างหน้า จ้องเปลวไฟโลมเลียร่างน้องชายฝาแฝดจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน อัฐิของเหมันต์จะถูกเก็บไว้ที่นี่ด้วยเหมือนกัน จะไม่มีใครนำกลับบ้านให้เป็นที่น่าหวาดหวั่น

สองพ่อลูกเดินลงบันไดล่วงหน้าไปก่อนเพราะต้องทยอยส่งแขกเรื่อ เหลือภัคที่ยังยืนอยู่บนเมรุเป็นคนสุดท้าย ไม่รู้จะพูดอะไรกับรูปภาพเลย ‘ขออโหสิกรรม’ ในใจ แล้วถึงได้ยินเสียงเรียกหา คิมหันต์สัญญากับหนูดาว่าจะพาไปกินไอติม ทั้งคู่จึงกวักมือเรียกร่างบางให้รีบลงมา ภัคพยักหน้าแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะมีแมวดำปริศนากระโดดตัดหน้าทำเอาหวาดผวา มีโอกาสได้จ้องตามัน เจ้าแมวจ้องตอบอย่างอาฆาตเหมือนจะบอกว่าไม่มีวันอโหสิกรรมให้ คนกลัวจึงไล่ไปให้พ้นทางแล้วรีบเดินลงจากบันไดและเมื่อเผลอหันมองเหลียวหลังก็เหมือนถูกดวงตาคนตายในรูปภาพมองตามไม่วางตา 
 
คืนนั้นร่างบางต้องเผชิญกับสภาวะนอนไม่หลับ ภายใต้แสงสีส้มจากโคมไฟภัคพลิกตัวกลับไปกลับมาก่อนจะลงเอยด้วยท่านอนตะแคงข้าง มองเสี้ยวหน้าของทั้งสองพ่อลูกที่นอนกอดกันกลมภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันอย่างคิดไม่ตก   

ทั้งที่ทุกอย่างมันจบลงไปแล้วแต่กลับรู้สึกไม่เป็นอย่างนั้น

คำพูดของธันยังตามหลอกหลอน  ‘…เขาถูกแขวนคออยู่ก่อนแล้วตอนที่ผมเข้าไป’ 

มันหมายความว่าอย่างไรกัน จะมีวันได้รู้คำตอบหรือไม่

บ้านหลังใหญ่เงียบเหงาลงถนัดตาเมื่อสมาชิกหลายคนหายไป คงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะชิน

ช่วงนี้พวกเขาอาศัยกินข้าวนอกบ้านเป็นหลัก พักผ่อนด้วยการช็อปปิ้งและจบหนึ่งวันด้วยการที่เด็กหญิงให้พาแวะสวนสาธารณะใกล้บ้านเพราะเพิ่งเห็นว่ามีการเอาเครื่องเล่นเด็กเล็กมาลงใหม่ พอได้ลงเดินเองเท่านั้นแหละ หนูดาก็ปรี่เข้าหาชิงช้าก่อนเป็นอันดับแรก แต่เล่นแป๊บ ๆ ก็ย้ายไปเครื่องเล่นใหม่เหมือนกลัวพวกมันจะน้อยใจถ้าเล่นไม่ครบ

ภัคตามประกบหลานสาวทุกฝีก้าว เฝ้าหนูดาที่เล่นสไลเดอร์อย่างสนุกสนานแต่ระหว่างนั้นก็มีบ้างที่ใจลอย ปล่อยให้คำพูดของคนอื่นเข้ามามีอิทธิพลและลองคิดย้อนไปตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่คืนที่ฝนตกกระหน่ำ หลังธันกลับเข้ามาในห้องพร้อมบอกว่าจัดการเรียบร้อย ตนก็ค่อยออกมาข้างนอกและเห็นว่าหนูดากำลังเคาะห้องพ่อตัวเองอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าตนรู้ว่าเหมันต์จะลุกมาเปิดประตูให้ไม่ได้และไม่มีวันออกมา แต่ตอนนั้นร่างเล็กกลับบอกว่าเห็นคุณพ่อที่ด้านล่าง แล้วถ้าคุณพ่อที่เห็นไม่ใช่วิญญาณเหมันต์อย่างที่คิดล่ะ คนตายมีฝาแฝดเป็นคิมหันต์ ทั้งคู่หน้าตาเหมือนกัน… 

พอลองผนวกเข้ากับคำพูดของธันวาขนก็พากันลุกชัน เสียวสันหลังวาบอย่างกับคนที่เพิ่งประจักษ์กับความจริงว่าสิงสู่อยู่กับวิญญาณร้าย ‘เขาถูกแขวนคออยู่ก่อนแล้วตอนที่ผมเข้าไป’ ภัคส่ายหน้าแทนการพูดว่าเป็นไปไม่ได้ สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป แต่ถึงจะไม่เชื่อ เพื่อไขข้อข้องใจของตัวเองจึงอยากให้เด็กหญิงช่วยยืนยันว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด 

หนูดาเล่นคลุกดินคลุกทราย วิ่งวนรอบตัวน้าชายและเครื่องเล่นสไลเดอร์เพื่อที่จะเล่นซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง ส่วนภัคที่อยากได้คำตอบยอมเดินตามทุกความเคลื่อนไหว ระหว่างรอรับร่างก็ถามเสียงเครียดไปด้วย  “หนูดาคะ หนูดาจำวันที่เห็นคุณพ่อโบกมือให้ได้ไหมคะ คืนที่หนูดาอยากนอนกับคุณพ่อไง”

เด็กหญิงที่สไลเข้าวงแขนพอดีค่อยลุกยืนตามความช่วยเหลือและเท้าคางเมื่อต้องครุ่นคิด  “อืม...” 

คิมหันต์และเหมันต์เหมือนกันแทบทุกอย่าง ยกเว้นลักษณะการแต่งกาย เหมันต์เป็นนักธุรกิจเพราะฉะนั้นก็จะชอบใส่สูทผูกไท ส่วนคิมหันต์เป็นตำรวจก็ชอบใส่ชุดที่ทะมัดทะแมงแจ็คเก็ตหนังกับกางเกงยีนส์ ถ้าจะแยกทั้งสองคนออกจากกันโดยสิ้นเชิงก็ต้องดูที่การแต่งกายเป็นอันดับแรก 

“จำได้ไหมคะว่าวันนั้นคุณพ่อแต่งตัวแบบไหน”  คืนนั้นเหมันต์ใส่สูทผูกไทแน่นอน

ภัคร้อนใจแต่ก็ไม่อยากเร่งเด็กหญิงที่คิดหนักเพราะมันก็ผ่านมาตั้งหลายสัปดาห์ จนกระทั่งเห็นคุณพ่อเดินเข้ามาในสนามเดินเล่น เห็นตัวอย่างจึงนึกออก  “แบบนั้นค่ะ”  ปลายนิ้วหันไปทางคิมหันต์ที่นั่งลงบนชิงช้าขนาดกะทัดรัดก่อนจะออกแรงดันขา ไกวชิงช้าเองอย่างอืดอาดขณะควักมวนบุหรี่ออกมาจุดสูบท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า

ท้องนภามีสีส้มอมแดง นายตำรวจนั่งอาบแสงสุดท้ายของวันด้วยท่าทางสบายใจ

ทั้งที่ไม่เคยสูบบุหรี่ให้ใครเห็นมาก่อน แต่เลือกจะทำขึ้นมาเพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องหลบซ่อนอีกต่อไป   

ในเมื่อ ‘อะไร ๆ’ ก็เข้าทางและลงล็อกอย่างที่หวังไว้

“ไม่ยักรู้ว่าคุณสูบบุหรี่ด้วย”  คิมหันต์เหลือบมองภัคที่เอ่ยถามอย่างประหม่าระหว่างเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ชิงช้าด้านข้าง ร่างบางมีท่าทีแปลกไป ไม่กล้าสบสายตาเพราะคำตอบของหนูดาทำกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เงยมองท้องฟ้าสีวิปริตผิดแผกกว่าวันไหน ๆ ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ เคยคิดว่ารู้จักผู้ชายข้างกายเป็นอย่างดีจนมาวันนี้ต้องเริ่มคิดใหม่

ลืมไปว่ามีเด็กเล็กอยู่ด้วย  “ขอโทษที”  บุหรี่จึงถูกปาลงดินแล้วปลายมวนที่ติดไฟก็โดนรองเท้าใหญ่เหยียบจนดับ

จู่ ๆ ร่างบางก็รู้สึกเหมือนได้รับคำเตือนผ่านภาษากายว่าถ้าไม่ระวังปากสักวันจะเป็นเหมือนบุหรี่ที่ถูกบดขยี้จนบี้แบน ดังนั้นแทนที่จะถามจึงนั่งสงบปากสงบคำและจมอยู่กับความอึดอัด ว่ากันว่าเรื่องบางเรื่องไม่รู้น่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่กับความคลางแคลงใจไปได้นานแค่ไหน เป็นนายตำรวจที่ทลายความเงียบงันกลั้นยิ้มอย่างอารมณ์ดี
 
“มีอะไรอยากถามก็ถามมาเถอะภัค” 

ร่างบางที่ได้รับโอกาสซักถามถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจับต้นชนปลายจากตรงไหน ความคับข้องใจมีมากมายเหลือคณาและก็ไม่แน่ใจว่าถ้ารู้ไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือกับเด็กหญิง แต่ยิ่งนิ่งก็เหมือนยิ่งเผยพิรุธ สุดท้ายจึงเอ่ยปากถามเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้นอย่างระมัดระวัง เลือกใช้ทางอ้อมยอมเสียเวลา  “…คุณจำเรื่องกระดุมได้ไหม”

กระดุมที่ภัคเข้าใจว่าหลุดจากรังตอนที่ถอดเสื้อผ้าชักช้าจนพี่เขยเปลี่ยนมากระชากชุดนอนแทน

“จำได้สิ”  คิมหันต์ตอบทันทีเหมือนนี่เป็นเรื่องเดียวที่ฝั่งแน่นอยู่ในความทรงจำ 

“ถ้าผมจะถามว่าคุณไปเจอมันที่ไหน…”

“ในสถานที่เกิดเหตุน่ะ”  ตอบอย่างตรงไปตรงมาหน้าระรื่นพลางกลั้วขำ  “ไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นเลยภัค”  นายตำรวจหันมองไปทางหนูดาระหว่างเปรยเสียงเบา  “ฉันเก็บมันได้ก่อนที่ใครจะผ่านมาเห็นเข้า ไม่มีอะไรจะสาวถึงตัวนายได้หรอก”  สองนัยน์ตาหันสบกันเนิ่นนาน ลูกตาสีดำด้านเหมือนจะดูดวิญญาณของร่างบางออกจากร่างยังไงยังงั้น

แล้วความแปลกใจก็แทนที่ด้วยความหวาดกลัว  “คะ คุณรู้…?” 

“เรื่องไหนล่ะ เรื่องที่ว่านายเคยนอนกับน้องชายฝาแฝดฉันหรือว่าเรื่องที่นายพลาดเกือบฆ่าคนตายซึ่งก็คือน้องชายฝาแฝดของฉันอีกเหมือนกัน”  ที่ถามเพื่อที่จะได้ให้คำตอบถูกและถ้าต้องการจับร่างบางเข้าคุกคงทำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้ลอยนวลแบบนี้หรอก  “หรือว่าจะถามว่ารู้ได้ยังไง…?”

ภัคใบ้กินลิ้นจุกอยู่ในปาก ลังเลว่าควรจะกัดลิ้นให้ตายไปเลยหรืออยู่รอฟังคำเฉลยของคิมหันต์ก่อน

กว่าจะตัดสินใจได้ นายตำรวจก็พอย้อนถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เลือกจะเล่าแต่ฉากสำคัญ ตัดน้ำเหลือแต่เนื้อและเพื่อปกปิดความลับที่ว่ามีเจตนาจะเข้าไปขโมยเอกสารสำคัญจากน้องชายจึงได้ข้ามช่วงนี้ไป แทนช่องว่างด้วยการบอกว่าน้องขายเป็นคนนัดเจอช่วงดึกแต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะมาถึงก่อนเวลานัดจนตกเป็นพยานปากเอกโดยไม่ได้ตั้งใจ 
   
แต่ความจริงแล้วคิมหันต์ลอบเข้ามาในบ้านก็เพื่อขโมยผลตรวจสุขภาพของเหมันต์โดยใช้ความชำนาญทางวิชาชีพให้เป็นประโยชน์ คลุกคลีกับโจรและได้รู้กลยุทธ์มาจนสามารถสะเดาะกลอนบ้านหลังไหนก็ได้ ไม่ลืมสวมถุงมือเพื่อป้องกันการทิ้งรอยนิ้วไว้ตามวัตถุต่าง ๆ หลังจากเข้ามาในบ้านที่มืดสนิทได้เรียบร้อยก็ค่อยออกเดินสำรวจอย่างใจเย็น ทั่วบริเวณชั้นล่างว่างเปล่าไร้ผู้คน คงอยู่ด้านบนกันหมดเพราะเวลาที่เลือกกระโดดข้ามรั้วเข้ามาเกือบจะยี่สิบสี่นาฬิกาแล้ว
   
ก่อนจะต้องหลบตามแนวบันไดเมื่อเห็นใครบางคนเดินออกมาจากห้องอย่างระมัดระวัง เป็นภัคที่เดินไปยังอีกห้องและตอนนั้นเองก็เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของน้องชายที่เป็นฝ่ายเดินมาเปิดประตู ดูเหมือนทั้งคู่จะนัดแนะกันไว้และหายเข้าไปในห้อง เป็นใครก็ต้องเดาออกว่าทั้งสองคนหายไปทำอะไร เสียงแว่วจากด้านในช่วยยืนยันว่าเกิดกิจกามกลางดึกและนายตำรวจที่ย่องขึ้นมาด้านบนก็อดจินตนาการถึงท่าทางร่วมรักของภัคไม่ได้ อย่างที่รู้ว่าตนมีใจให้ร่างบาง เสียงครางช่วยเบนความสนใจให้ลืมเรื่องเอกสารไปชั่วครู่ เปลี่ยนมายืนเงี่ยหูฟังหน้าห้อง โดยรู้ดีว่าความเจ็บปวดเป็นของคู่กันกับความอยากรู้อยากเห็น มันเป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน ตัดสินใจหมุนลูกบิดแผ่วเบาแล้วดันบานประตูเข้าด้านในพอให้เกิดช่องว่าง เพื่อผันตัวมาเป็นนักถ้ำมอง สองนัยน์ตาดำสะท้อนภาพสองชายกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนเตียงสั่นไหว

ก็เหมือนกิจกรรมทางเพศทั่วไป จนเมื่อมีเนกไทเข้ามาเป็นส่วนประกอบก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล การแอบดูทำให้รู้ว่าน้องชายฝาแฝดตัวเองมีรสนิยมทางเพศแบบไหนและไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะต้องมาเห็นภาพนาทีชีวิตของใคร เมื่อเซ็กส์แบบวิตถารนำไปสู่อันตรายถึงขั้นหมดลม แม้จะชำนาญแต่ถ้าพลาดนิดเดียวก็จบกัน ตอนแรกก็เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งแฝดพี่เห็นแฝดน้องพูดอะไรบ้างอย่างและร่างบางก็ลงน้ำหนักมือเพิ่มขึ้นก่อนจะตื่นจากการอาการเหม่อลอย

ตอนที่ปล่อยเนกไทด้วยความตระหนก หัวของเหมันต์ก็ตกลงสู่หมอนและท่อนแขนห้อยลงข้างเตียง ส่วนภัคที่ไม่ได้ตั้งใจมาฆ่าใครแต่แรกก็ออกอาการสติแตก ลองเขย่าร่างแน่นิ่งอย่างแรงแต่ไม่กล้าจะเอามืออังจมูก รีบลุกขึ้นสวมชุดนอนด้วยความร้อนรน เพราะคำพูดคะนองปากของคน ๆ เดียว ประสบการณ์เสียวจึงกลายเป็นประสบการณ์สยอง

เพราะเหมันต์บอกอย่างติดตลกว่าไม่ใช่พ่อของหนูดาและจะเอาเด็กหญิงไปขาย

ก็แค่พ่อที่ไม่เอาไหนที่ล้อเล่นในเรื่องอ่อนไหวเลยต้องมาตายกลางคัน เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่าได้ริอาจพูดพล่อย ไม่อย่างนั้นเกิดเหตุการณ์ก็จะพลอยจบลงแบบนี้

โชคดีว่าหลบได้ทันจึงไม่เกิดการปะทะกันระหว่างคนแอบมองกับคนที่เดินออกมาจากห้องหน้าตาตื่น ร่างบางเดินไปเปิดประตูห้องอื่นและหายเข้าไปขณะมีนายตำรวจมองตามก่อนจะหันกลับมามองน้องชายที่นอนแน่นิ่งผ่านประตูที่ปิดไม่สนิท วูบหนึ่งเกิดความคิดร้าย ๆ ว่าถ้าเหมันต์หายไปสักคน บนโลกนี้ก็จะไม่เหลือใครที่ล่วงรู้ความลับ เห็นเหมันต์ตายแล้วแต่ก็อยากได้ความมั่นใจ แผนอำพรางคดีให้ใครไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน แต่เผอิญฆาตกรคือคนที่ชอบ มันคงเป็นการยอมทำเพื่อคนรักที่น่าขนลุก เหมันต์บุกเดี่ยวเข้ามาในห้องแล้วจับน้องชายสวมเสื้อผ้าก่อนจะทำลายหลักฐานการมีอยู่ของภัค ลบล้างลายนิ้วมือด้วยการเช็ดตามที่ต่าง ๆ ทำทุกอย่างภายในเวลาจำกัด รีบเอาผ้าห่มมาพันเป็นเกี้ยวแล้วโยนขึ้นคล้องกับโคมไฟระย้าบนเพดาน ลองดึงว่ามันจะรับน้ำหนักไหวไหม ทำอยู่หลายครั้งจนมั่นใจจึงได้มัดเป็นห่วงขนาดพอดี

ก่อนจะแบกร่างที่หนักเอาเรื่องจากเตียงมายังตำแหน่งที่เตรียมไว้ เปลี่ยนมาอุ้มน้องชายแนวตั้งแล้วยกร่างขึ้นอย่างเชื่องช้าจนบริเวณใบหน้าสอดเข้าไปในห่วงผ้า กระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เหมันต์ดันตื่นจากการสลบไสลคว้าผ้าไว้ด้วยอาการผวา นับเป็นวินาทีเป็นวินาทีตาย คนเป็นพี่ชายเองก็ตกใจและไวเท่าความคิด ตัดสินใจปล่อยมือจากร่างน้องจนคอเข้าล็อกกับผ้าและปล่อยให้คนจะตายพยายามกระเสือกกระสน ดิ้นด้วยความทุรนทุราย คิมหันต์มองวาระสุดท้ายนั้นด้วยสายตาเลือดเย็น จนเห็นสองขาที่เตะในอากาศเริ่มอ่อนแรงและแข็งค้างในที่สุด เมื่อนั้นจึงรู้ว่าอีกคนหัวใจหยุดเต้นแล้ว 
     
“ทั้งหมดนี่ก็เพื่อนาย”  เป็นการแสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่

แต่แม้จะลงท้ายและอ้างว่าทำไปเพราะรัก ภัคก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือสามารถปั้นหน้าได้ว่าดีใจ   
กลับกันคืออยากร้องไห้ แต่ไม่มีแรงแม้แต่จะกลั่นหยาดน้ำตา   

“ฉันแอบออกมาจากห้องก่อนที่ธันจะเปิดประตูเข้าไป”  ไม่เล่าช่วงที่ตามหาเอกสารสำคัญให้วุ่นวายและดินชนปลายเท้าน้องชายก่อนเดินออกมา  “ตอนแอบดูฉันก็ลุ้นอยู่ว่าหมอนั่นจะทำยังไง ไม่ได้คิดด้วยว่าหมอนั่นจะปกป้องนายจนยอมติดคุกเอง แม้ลึก ๆ จะคาดหวังก็เถอะ หมอนั่นรักนายมากนะ ฉันล่ะนับถือใจ” 

‘เขาไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดหรอก’  ภัคเข้าใจความหมายประโยคนั้นจากธันอย่างถ่องแท้
ทั้งที่อีกคนพยายามเตือนมาตลอด แต่ก็ยังตาบอดเพราะความลุ่มหลง
ร่างบางไม่ได้แสดงท่าทางกระโตกกระตาก เหมือนนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระ
ที่จริงน้ำตาตกใน ใจบอกให้หนีไปแต่รู้ดีว่าไม่มีทางทำอย่างนั้น 

“งั้นคุณก็รู้อยู่แล้วว่าพี่มินตราไม่ได้เป็นคนทำ”

“ถ้าฉันไม่จับพี่สาวนาย นายจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ”

“แต่คุณโกหกหน้าตาย”

“นายก็โกหก เราทุกคนล้วนโกหก”

ไม่ว่าจะหยิบยกประเด็นไหนมาพูดก็เหมือนจะเข้าตัวไปเสียหมด แถมอีกคนยังพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ขณะที่ตนต้องจมอยู่กับความหวาดระแวงว่าเรื่องจะแดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ร่างบางรู้สึกเหมือนถูกหลอกใช้

แล้วถ้าถามว่าใครได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คงไม่พ้นเป็นนายตำรวจที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เพราะความลับที่รู้ระหว่างกันและกันจะเป็นหลักประกันในชีวิตรัก เริ่มจากทำให้ร่างบางกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและมีคดีร้ายแรงติดตัว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดความสัมพันธ์

รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย 
ทางเดียวคือร่วมหัวจมท้ายไปจนกาลอวสาน

“แต่ตอนนั้นพี่เหมันต์ยังไม่ตาย”  ก็เท่ากับว่าตนไม่มีความผิดในฐานฆ่าคน แต่พี่เขยตายด้วยน้ำมือชายผู้โหดเหี้ยมตรงหน้า ควรเป็นอีกคนมากกว่าที่ต้องแบกรับสถานนะฆาตกรตัวจริงไว้  “คุณฆ่าเขา”  คิมหันต์ส่ายหน้าราวกับว่าภัคพูดผิด ยังเหลือโทษฐานช่วยกันปกปิดและส่งมินตราเข้าตะราง ต้องพูดว่า  “เราร่วมมือกันต่างหากล่ะ”  ถึงจะถูก   













จบบริบูรณ์
---------------------------------------------------
ทอร์คอยู่ด้านล่าง อย่าลืมอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (๑๕) ๒๙.๐๘.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 22-09-2018 22:21:40
จากตุ๊กติ๊ก
--------------------------------------------------------------
ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำว่าจบบริบูรณ์สักที ฮื่อออออ อย่างที่รู้กันว่าเรื่องลั่นดาลแปลงมาจากฟิคชั่นที่แต่งไม่จบ เรียกว่าถูกทิ้งไว้กลางทาง แต่งไว้ตั้งแต่ปี2017 แต่พล็อตมาจริงๆคือปี2016 นับๆแล้วก็สองปีกับการหยุดพักไปหลายช่วง ระหว่างทางมันท้อแท้มากเลยค่ะ ได้รับเม้นน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ได้แต่คิดว่าเราเขียนอะไรยาก ๆ เองมั้ง นักอ่านคงไม่ชอบกันเท่าไหร่ เลยเลือกจะหยุดไว้กลางคัน จนวันนึงครึ้มอกครึ้มใจอยากนำมาปัดฝุ่นใหม่ในรูปแบบของวายพร้อมความกดดันเพิ่มเป็นสองเท่า55555555555 55 เพราะครั้งแรกเคยล้มเหลวไปแล้วก็กลัวว่าจะล้มเหลวอีก แต่ก็พยายามฮึบไว้เพราะถ้าไม่แต่งต่อพล็อตมันก็จะไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ในสมองไม่จบไม่สิ้น มันคาใจ อยากสานต่อให้จบ แต่อารมณ์ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวนอยด์เดี๋ยวท้อเดี๋ยวก็มีกำลังใจ หลายอารมณ์วนไปค่ะ ช่วงเนื้อเรื่องครึ่งหลังมาจะเห็นว่าก็พักเขียนไปนานเลย ตรงนี้ต้องขอโทษมากๆที่ปล่อยให้ทุกคนรอ อ่อนแอเองยอมรับค่ะ ;-; แต่หนทางที่จะทำให้วัฏจักรนี้จบลงก็คือต้องแต่งให้จบ จนสุดท้ายก็มีวันนี้ ;-;  เสียน้ำตาไปหลายลิตร แต่ถ้าถามว่าลั่นดาลยังมีข้อผิดพลาดตรงไหนไหม แน่นอนว่ามีค่ะ ตุ๊กติ๊กว่ามีนะ ในทุกๆเรื่องที่แต่งเลย อยากเข้าใกล้แต่ความจริงอาจไม่เฉียดความสมบูรณ์แบบเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามว่าภูมิใจหรือเปล่า ภูมิใจมากๆค่ะ อย่างน้อยก็ลบล้างอาถรรพ์ของตัวเองได้ โดยที่เนื้อเรื่องก็เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่(สำหรับในความคิดตัวเอง) ฮ่า มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่พิมพ์ขอบคุณทุกคนก็ไม่ได้ ตุ๊กติ๊กคลานมาถึงจุดหมายได้เพราะแรงใจจากทุกคนเลยค่ะ ดีใจที่ทุกคนพยายามวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กัน คอมเม้นหรือแท็กทั้งหลายมันทำให้รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนี่  ระหว่างทางยังมีคนรอให้กำลังใจเราอยู่นะ อยากจะขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณทุกความเมตตา ทุกความบอกต่อและที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษก็คือคุณหมีคุก  ตอนเหมายันไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเป็นลายลักษณ์อักษรเลยค่ะ คือระหว่างที่กำลังจะตายเพราะใช้พลังไปหมด คุณหมีคุกเหมือนโยนหน้ากากออกซิเจนมาให้ และไม่ว่าจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม ทุกคนคือความสุขของตุ๊กติ๊กนะคะ ขอบคุณมากค่ะ และจะรู้สึกขอบคุณตลอดไป
ปล1.ไม่พูดถึงเนื้อหาในเรื่องเลยเพราะคิดว่าได้บอกทุกอย่างไปในเนื้อเรื่องแล้วค่ะ
ปล2.ตอนแรกบอกเหลือ3ตอน ความจริงคือรันเลขผิดค่ะ รันเลขตอนผิดหมดเลย ฮ่า
ยังไงฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่ๆของตุ๊กติ๊กด้วยค่ะ อ่านตอนนี้แล้วอย่าลืมคอมเม้นหรือติดแท็กกันนะ ตุ๊กติ๊กจะตามไปอ่านว่าขาดตกบกพร่องตรงไหน เป็นกำลังใจให้ตุ๊กติ๊กด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  。◕‿◕。
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)



หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 22-09-2018 22:59:07
อูยยยยยยยยยยย  :mew1:
จบแล้ว จบแล้ว ... และอ่านจบแล้วทุกตัวอักษร

ดีงามค่ะ

และเข้าใจเลย ... ลั่นดาลขังภัคไว้กับคนเลวในคราบนักบุญ
ทรมานไปชั่วชีวิตแน่นอน

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ
จะรอตามงานชิ้นต่อไปค่ะ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-09-2018 23:13:16
 :pig4: :pig4:สนุกค่ะเป็นกำลังใจให้นะคะจะรอติดตามผลงานเรื่องใหม่น้า
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 22-09-2018 23:21:06
สนุกมากกกๆๆๆลุ้นมากกกๆ อยากอ่านตินพิเศษต่อจากนี้ว่าชีวิตหลังจากรุ้ความจริงละจะเปนยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 22-09-2018 23:40:36
เป็นนิยายที่แบบ สุดๆไปเลยยยย

เข้าใจกับชื่อเรื่อง 'ลั่นดาล' ที่แท้จริง

 :serius2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 23-09-2018 00:28:14
ฮืออออออออออ
ในที่สุดก้รู้สักทีว่าใครคือฆาตกรตัวจริง
แต่กลายเปนความคนที่ไว้ใจร้ายที่สุด
ภัคเอ๋ยต้องร่วมหัวจมท้ายไปกับคนอย่างคิมหันต์
ชีวิตหลังจากนี้จะเปนยังงัยหนอ
ไม่รู้ว่าคุณตุ๊กติ๊กจะมีตอนพิเศษไหม
แต่ยังงัยก้เปนกำลังใจให้เสมอนะคะ
จะรอติดตามผลงานใหม่ๆด้วยน้า
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 23-09-2018 02:33:36
จบได้สุดยอดมาก สมชื่อเรื่อง  :z3:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 23-09-2018 10:18:45
จบแล้ววววววววววว​ เป็นเรื่องที่ภาษาดีมาก​ แบบทากจริงๆไม่รู้จะอวยยังไงดี​ สรุปคนที่ร้ายที่สุดในเรื่องนี้ก็คือคิมหันต์จริงๆด้วย​ เป็นฆาตกรที่แท้จริง​
ธันวาไปอยู่ในนั้นคงจะดีกว่าอยู่แล้วต้องทนเห็นภัคทุกวันๆอ่ะ​ ส่วนหนูภัคไปไหนไม่ได้อีกแล้วต้องติดอยู่กับคนเลวแบบคิมต่อไป​  :ling3:

เป็นกำลังใจให้คุณตุ๊กติ๊กนะคะจะติดตามเรื่องใหม่ๆ​ อย่าท้อใจนะคะ​ มีนักอ่านอีกหลายคนที่ติดตามแน่นอน​ สู้ๆค่าาา
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-09-2018 11:26:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 23-09-2018 12:44:45
ชอบมาก เรื่องค่ะ จบได้สุดยอดจริงๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-09-2018 16:36:19
ดีใจที่ธันวาหลุดพ้นจากบ่วงที่รัดคอมาตลอด ส่วนภัคก็ได้อยู่กับคิมและหนูดาแบบครอบครัว ขอให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะคะ วินาทีที่หนูดาชี้เราไม่อยากจะยอมรับแต่ก็นั่นล่ะค่ะ คนศีลเสมอกันอยู่ด้วยกันเหมาะสมดี ขอบคุณคุณตุ๊กติ๊กสำหรับนิยายสนุกๆ อีกเรื่องนะคะ จะติดตามทุกผลงานตลอดไป  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย) ๒๒.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 23-09-2018 20:13:00
End credit


ศุกร์เว้นศุกร์… ทุกคราวเด็กสาววัยสิบแปดจะมาทัณฑสถานหญิงทั้งยูนิฟอร์มโรงเรียนดังเพราะอยากให้ใครบางคนภาคภูมิใจ บนกระเป๋าผ้าใบขนาดกลางปักชื่อสถาบันนานาชาติ เธอได้รับการศึกษาอย่างดีเยี่ยงเด็กธรรมดาทั่วไป แต่ที่ไม่เหมือนกับเพื่อนก็คือการมีแม่อยู่ในเรือนจำ

หนูดาที่กำลังจะเอ็นทรานซ์เข้ามหาลัยฯ มาหามินตราเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย

เพราะว่ากันว่าไม่มีพรใดประเสริฐเท่ากับพรของพ่อแม่

“แกดูโตขึ้นนะ”  เทียบจากครั้งล่าสุดที่เจอกัน ผ่านไปสิบสี่วัน นานเหมือนศตวรรษ 

สองแม่ลูกนั่งเผชิญหน้ากันผ่านกระจกและจำต้องปฏิบัติตามกฎด้วยการยกหูโทรศัพท์เพื่อสื่อสารท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม นอกหน้าต่างนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนจนอาณาบริเวณเหมือนดินแดนเร้นลับ เหมือนภาพที่ย้อมไปด้วยสีน้ำเงินอมดำ   

“แม่สบายดีไหมคะ”  เด็กสาวหน้าตาสะสวยถามด้วยน้ำเสียงเศร้า 

มินตราไม่ได้ตอบกลับ ให้สภาพทรุดโทรมทางกายเล่าเรื่องเอง ต่างจากเด็กสาวที่ดูผิวพรรณเปล่งปลั่ง การนั่งมองลูกทำให้เธอห้วนคิดถึงอดีต ชีวิตที่เป็นของเรา ความสาวที่มอบให้กับชายคนรักและหวังว่าจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็แทบไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ความรู้สึกนั้นเลย เคยคิดว่าเป็นเพราะอะไร เวลาในคุกมีมากมายให้ขุดคุ้ยความจริงจนพบว่าสิ่งที่ถ่วงเธอไว้ หาใช่เพราะการกระทำของคนอื่นแต่เป็นของตัวเธอทั้งสิ้น บางทีถ้าเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเองสักนิด ชีวิตก็อาจไม่ลงเอยแบบนี้ คนอื่นมีความลับแล้วทำไมเธอจะมีบ้างไม่ได้ ความลับที่ว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นลูกของชายอื่น คืนนั้นเธอเลือกจะเมามายกับสองพี่น้องฝาแฝดหลังจากตรวจพบว่าตั้งครรภ์กับผู้ชายที่แอบวันไนท์สแตนด้วย

เธอดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเผื่อว่ามันจะซึมผ่านสายรกและช่วยทำลายก้อนเนื้อระยะหกสัปดาห์ เธอนอกใจฝาแฝดคนพี่และก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกฝาแฝดคนน้องข่มขืนซ้ำ แน่นอนว่าเธอรับในสิ่งที่อีกคนกระทำกับเธอไม่ได้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีทางออก แม้จะต้องแต่งงานกับคนน้องก็ยังดีกว่าท้องไม่มีพ่อและแม้ว่าจะคลอดแล้วแต่เหมันต์ก็ยังระแคะระคายอยู่ตลอดจนตอนนั้นทะเลาะกันหนักถึงขั้นหักพวงมาลัยรถจนเกิดอุบัติเหตุ เพราะเหมันต์ต้องการให้ตรวจดีเอ็นเอเพื่อความมั่นใจ อาการบาดเจ็บที่ขาช่วยประวิงเวลาไม่ให้เธอถูกรบเร้าเอาความ เหมันต์รับผิดชอบอุบัติเหตุด้วยการเลิกพูดถึงเรื่องตรวจดีเอ็นเอ แต่เพื่อลบล้างข้อครหา วันนึงหลังจากที่กลับมาจากทำกายภาพบำบัดที่โรงบาลฯ เธอยื่นใบตรวจดีเอ็นเอให้เหมันต์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ใบตรวจผลเท็จ คัดลอกรหัสดีเอ็นเอมาจากเส้นผมของเหมันต์ที่ตกตามทาง เธอยอมจ่ายราคาแพงเพื่อแลกกับการไม่ถูกขับไล่ออกจากบ้าน เรื่องนี้แม้แต่ธันวาเองก็ไม่รู้และจะไม่มีใครล่วงรู้รวมถึงหนูดา

ในฐานะแม่ เธอทำได้แค่ปกปิดเป็นความลับเพื่อไม่ให้ลูกสาวต้องพบเจอกับความลำบาก
เป็นหนทางเดียวที่เธอจะชดใช้ให้ลูกได้   













หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 23-09-2018 20:32:17
อาเมน  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-09-2018 20:35:27
เดี๋ยวนะ..  :ling3:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 23-09-2018 20:58:54
โอโหหหหหหหหหหหหหหห​
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 23-09-2018 21:12:26
อ่านแล้วได้แต่ โอโห สุดยอดมากเรื่องนี้เล่นเราซ้ำแล้วซ้ำอีก หักแล้วหักอีก 555555555 นับถือจริงๆค่ะคนเขียน จะติดตามผลงานนะคะ สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Shin b ที่ 23-09-2018 21:52:38
...........เดี๋ยวนะ  :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-09-2018 23:51:43
กลับมาอ่านเรื่องนี้หลังจากที่เห็นว่าอัพจบแล้ว ที่เดาไว้ถูกเกือบหมดและก็เป็นจริงว่าคนที่ลงมือจริงๆคือคิมหันต์ อาจเพราะเราสัมผัสได้ถุงความอันตรายของคนๆนี้แต่จะผิดก็ตรงที่เรื่องของธัน สรุปแล้วธันดีกว่าที่คิดไว้อีกนะไม่น่าต้องมาอยู่กับบ้านนี้เลยไม่งั้นชีวิตคงมีความสุขกว่านี้ ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าชื่อเรื่องสัมพันธ์กับเนื้อหานิยายยังไง แต่พอได้อ่านจบปุ๊บบวกกับมีคนแสดงความเห็นไว้ก็รู้เลย ลั่นดาลนี้มีไว้สำหรับภัคที่จะต้องติดอยู่กับคิมหันต์ไม่มีหนทางให้หนีไปไหน

ปล. End credit พลิกในพลิกมาก ดีนะว่าจบแล้วไม่งั้นถ้ามีต่อแล้วคิมมันรู้ว่าไม่ใช่ลูกมันจริงๆก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเด็กรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 24-09-2018 00:11:20
ตอนจบหลายตลบมาก​ ปมคลายมากเป็นเชือกก็รัดแน่นมากจริงๆซับซ้อน​ แต่ชัดเจน​ เซอร์ไพร​ส์สุดก็หนูดาไม่ใช่ลูกคิมนี่แหละค่ะสุดยอดจริงๆในการวางกลของเรื่อง​ สุดท้ายนี้​ ขอบคุณ​มากๆที่ไม่ท้อจนเลิกอัพไปซะก่อนนะคะ​ จบได้สวยงามตามแนวทางของเรื่องมากๆเลย​ พีคมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 24-09-2018 01:52:53
จากการย้อนกลับมาเก็บความใน end credit ...
เราเริ่มงง ..

คิมหันต์ คิดว่า ตัวเองเป็นพ่อ
เพราะผลตรวจร่างกายเหมันต์ ... เขาเป็นหมัน

คิมหันต์ แอบเข้ามาในบ้านคืนนั้น เพื่อหาเอกสารเกี่ยวกับสุขภาพของเหมันต์

มาตอนนี้ มินตราบอกว่า หนูดาเป็นลูกของชายคนที่ 3
แต่ขโมยเส้นผมเหมันต์ ไปปลอมแปลงผลดีเอ็นเอ

ผลเลยออกมาว่า เหมันต์กับหนูดาเป็นพ่อลูกกัน
เท่ากับ คิมหันต์ก็ต้องรู้สิว่า ผลตรวจดีเอ็นเอ ปลอม?
เมื่อรู้ว่า ปลอม .. ก็ฟันธงว่า หนูดาเป็นลูกของตนเองเลยหรือคะ?


หรือเราเข้าใจอะไรผิดไป? 

end credit ทำให้งงแล้ว 555+
มันพลิกไปพลิกมาจนปวดหัวจี๊ด ๆ ขึ้นมาทันควันเลยเชียว
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-09-2018 10:13:00
ยังมีอะไรที่ทำให้เซอร์ไพรส์ตลอดเลยนะ แม้ว่าจะจบแล้ว สุดยอดเลยจริง ๆ
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 24-09-2018 11:48:33
แม่เจ้า...  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 24-09-2018 22:52:50
อ่านจบโล่งมากเรื่องนี้ลุ้นทุกตอน ขอบคุณนะคะที่มาต่อจนจบ :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 29-09-2018 14:28:14
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 02-10-2018 18:16:08
จบแล้วจริงๆเหรอค่ะ ฆาตกรตัวจริงก้อยังลอยนวลต่อไป
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 10-10-2018 18:19:18

ปมดรามม่าหนักมาก

ทุกคนล้วนโกหก

ขอบคุณที่แบ่งปันนขอรับ

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 12-10-2018 16:21:09
นี่เป็นคนที่ชอบอ่านนิยายแนวฟีลกู้ด ไม่ชอบดราม่า แต่นิยายวายสืบสวนสำนวนดีๆหายากมากๆๆๆๆ (พอๆกับผช.ในชีวิตจริงเรยค่ะ เด่วๆๆ 55555) เรื่องนี้คือที่สุดอะ เพิ่งมาตามอ่านละแบบ อุทาน อิหยังวะๆๆ บ่อยมาก คือเดาทางไรท์ไม่ได้และไม่ถูกเลย  :call: ขณะเดียวกันคือนั่งอ่านคอมเม้นคนอื่นแล้วคือ ชั้นคิดไม่ถึง ตามไม่ทันนนนนน มันดีมากเดาทางไม่ถูก ตัวละครคือมีมิติทุกตัว ภัคแรกๆยังดูไม่ออกด้วยซ้ำ เป็นนายเอกที่แหกกฎนายเอกน้องมาก  :z3: ละคือไรท์มีความหลอกซ้ำหลอกซ้อน พีคสุดคือพี่คิม ฆ่าน้องตัวเองนี่แหละเด้อ บทสรุปของเรื่องคือ พระ นาย เค้าจะต้องอยู่ด้วยกันแบบร่วมมือกันช้ะ เรื่องบางเรื่องคือไม่รู้แล้วดีกว่าจริงๆ  :katai1:  ละคือตอนพิเศษล่าสุด หลอกแม้กระทั่งฝาแฝดไม่ใช่พ่อน้องดาไปอี้กกกกกก โอย ดีจริงๆ ตอนนี้คือแบบโดนต้มจนเปื่อยพร้อมกินเรยยย  :hao7:  ชอบบบบบบเดี๋ยวตามไปอ่านอีกเรื่องนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 13-10-2018 19:45:47
ปวดตับลุ้นทุกตอนสุดท้ายเงิบ พระเอกนายเอกเป็นคนผิดทั้งคู่ มินตราเป็นแพะ สงสารธันมากเป็นตัวละครที่เสียสละมากที่สุด :katai5:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Warapich ที่ 19-10-2018 12:31:39
พีีีคในพีค ขอยกให้เป็นนิยายที่ดีที่สุดในใจเรา คือต่างคนต่างมีความลับเลวๆของตัวเอง พระเอกนายเอกก็เหมาะกันดี บทสรุปถุกใจมาก เราว่าธันฉลาดนะ แก้แค้นให้นายเอกติดกับคนที่ร้ายที่สุดไปตลอดชีวิต ขอบคุณนักเขียนมากที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน อารมณ์แบบสืบสวนบวกอิโรติคและโรคจิต อินมากๆ ภาษาดีงามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 24-10-2018 08:51:20
สรุปน้องดาไม่ใช่ลูกคิม
พลิกแล้วพลิกอีก
เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ
แต่เรื่องนี้สงสารธันที่สุด
ต้องมาเจอกับคนบ้านนี้
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 27-10-2018 23:14:42
เป็นเรื่องที่พีคตลอดทั้งเรื่อง
โกหกเกือบทุกคนทั้งเรื่อง
ธันกลายเป็นคนดีที่สุดในเรื่องเลย
พี่น้องคิม-เหม ร้ายที่สุดในเรื่อง
ทำลายกันและกันได้อย่างเลือดเย็น
คนเขียนแต่งเก่งมากๆๆๆ
รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 28-10-2018 21:38:47
 :hao4:  นิยายแห่งปี  ชอบมากๆ
นานๆจะมีนิยายวายแนวนี้มาให้อ่าน
สนุก ลุ้นทั้งเรื่อง อึมครึม หักแล้วหักอีก  nc  แซ่บ ดราม่าสสนุก
คือทุกคนมีความลับและโกหกหมด ร้ายหมด
ธันน่าสงสารสุด แต่ก็แอบร้าย ขอบ
มินตรานี่แบบนางร้ายละครมาก แต่บทส่งท้ายแอบซึ้ง
คิมหันต์เลือดเย็นมาก ฆาตกรจริงด้วย เดาไม่ผิด ร้ายสุด สะใจมากที่หนูดาไม่ใช่ลูก
ส่วน ภัค โดนจองจำไว้กับคิมหัน โอ้ยย จะสงสารก็ไม่สุด
ฉาก งานศพคือแบบเหมันต์แค้นคิมหันต์แน่ๆ ทั้งๆที่จะไม่ตาย ตายเฉย
สุดท้ายชื่นชมคนเขียน เขียนเก่งมาก สนุก ภาษาดี เข้าใจง่าย
เป็นกำลังใจ รอติดตามเรื่องอื่นๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Annmarie_ann ที่ 31-10-2018 13:42:05
 :hao5: o13 :hao7:

เป็นนิยายที่สนุกมากค่ะ โอ๊ยยยย มันช่าง ฟสวาด่วฟหส่เวสฟหดฟงหหฤโ๋งด อธิบายไม่ถูก หลอกไปหลอกมา เชื่อใจใครไม่ได้เลย สุดหัวใจจริง ๆ ชอบมาก เป็นนิยายวายสืบสวนที่เล่นกับความอยากรู้ของคนอ่านแบบเรามาก ตอนจบว่ช็อคแล้ว ตอนพิเศษยิ่งช็อคกว่า เชื่อใจใครเลยไม่ได้จริง ๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 31-10-2018 16:38:34
โอ้โหหหหหหหหหหหหห
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Thanthic ที่ 02-11-2018 23:09:16
หืมมมมมมม.....
คือ?????????? :z3:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 03-11-2018 14:37:40
พีคไปอีก ดักแล้วดักอีก สนุกมากกกกก :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 04-11-2018 13:25:57
นิยายดีมากๆๆๆๆค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-11-2018 14:28:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 09-12-2018 19:10:30
เป็นเรื่องที่พีคมากๆในทุกตอนจริงๆ แบบว่าลืมไม่ลงแน่ๆ พล็อตเรื่องนี้คือจะต้องตรึงในใจไปตลอด พล็อตดี nc แซ่บ ยอมแล้วค่า ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่แต่งจนจบ ขอบคุณที่พยายามขนาดนี้  :mew1: o13
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: mameaw.omg ที่ 19-12-2018 19:52:11
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะสนุกมาก
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 27-12-2018 14:05:24
สนุกมาก แนวฆาตกรรมซ่อนเงื่อนแบบนี้รักเลย เดินเรื่องกระชับดี เราเดาคนร้ายมั่วไปหมด ตอนแรกเนื้อเรื่องชี้ไปที่ภัค แต่ดูนิสัยแล้วรักเด็กไม่น่าเหี้ยมได้ขนาดนั้น ต่อมาก็อาจเป็นมิน หรือจะธัน แล้วภัครู้เห็น  คิมก็อยู่ในข่ายน่าสงสัยแต่ยังไม่รู้แรงจูงใจ กลับมาเล็งภัคอีกว่ามีส่วนแหงๆในการช่วยเหมทำออโต้อีโรติค และเป็นธันแน่ที่รักภัคจนช่วยกลบเกลื่อน แต่ทำไมผู้กองสืบสวนอย่างคิมกลับดูไม่ระแวงภัคเลย มีแต่หาเรื่องเอา ผู้เขียนถึงกับเจาะให้เห็นถึงความคิดคิมว่ามีใจให้ภัคหึงหวงภัคแค่ไหนด้วยซ้ำ (หลอกให้เราหลงตายใจ  :o12: กับหลงฉากจุดๆๆสุดแซบ :o8: ) พอเฉลยเท่านั้นแหละ ตบเข่าฉาด แหม! ก็มันคือคนร้ายเองไง จะระแวงใครอีกล่ะ ว่ะฮ่ะๆๆๆ :laugh:
เรื่องนี้สงสารธันสุดละ ชีวิตอาภัพโดนคนพี่โขกสับโดนคนน้องหลอกใช้
สุดท้ายพลิกอีกรอบ หนูดาไม่ใช่ลูกคิม โอ้ มาย! อย่าให้คิมรู้เชียว สยองอ่ะ o22

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
บวกค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 28-12-2018 18:45:16
แต่ละตัวละคร มีความลับของตัวเองกันทั้งนั้นเลย 555
เลยไม่รู้ใครร้ายที่สุด เอิ้กๆ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 31-12-2018 14:09:39
เราสงสารธันวา แงงงงงงง  ตอนแรกนึกจะสามพี แบบพี่ตำรวจรวบหมดไว้ในฮาเร็ม 5555555 พล๊อตโดจินมาก
แต่เอาจริง เรื่องนี้ธันวาคือคนดีสุดละ ฮืออออออ  อยากให้เจอคนของตัวเองบ้าง
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 04-01-2019 23:35:03
ตอนพิเศษ๑



เสียงกระหืดกระหอบมาพร้อมอาการลุกลี้ลุกลน เหมือนวิ่งวนในเขาวงกตแทนที่จะเป็นบริเวณบ้าน ระหว่างหนีบางอย่างมาจากชั้นล่างก็หันมองกลับหลังเป็นระยะ ประสาทสัมผัสตื่นตัว สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับใจ พอขึ้นมาถึงชั้นสองก็ไล่เปิดประตูห้องที่ไม่ได้ล็อกเพื่อพาตัวเองเข้าไป เป็นเวลาใกล้รุ่งสางที่ตาเบิกกว้าง อะดรีนาลีนหลั่งพอ ๆ กับเหงื่อที่แตกพลั่ก เมื่อเข้ามาในห้องกว้างก็รีบกวาดสายตาหาหลุมหลบภัย สักแห่งที่จะพอให้ซ่อนตัวได้ชั่วคราว

ร่างบางวิ่งเข้าหาโต๊ะทำงานและยัดตัวเองเข้าไปในช่องว่าง ข้างใต้โต๊ะพอมีพื้นที่เหลือและเมื่อมองผ่าน ๆ ก็แทบไม่เห็นว่ามีการเล่นซ่อนหา เป็นเกมที่ไม่ได้เล่นด้วยความสมัครใจและตานี้ก็ไม่ใช่หนูดาที่เป็นคนนับหนึ่งถึงสิบ เสียงประตูขยับกรุกกรักอย่างกับมีคนพยายามผลักเข้ามาทำให้คนซ่อนขวัญผวารีบกลั้นหายใจทางจมูก ลูกตาล่อกแล่กเมื่อเงาที่เห็นผ่านแสงข้างใต้ช่องประตูเคลื่อนย้ายไป แต่ไม่นานก็ต้องกลับมานั่งตัวสั่นตอนได้ยินเสียงไขกุญแจจากด้านนอก

ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างช้า ๆ แสงสาดเข้ามาค่อนห้องทำงานแต่พอบานประตูปิดลงห้องทั้งห้องก็มืดสนิท คนซ่อนปิดปากเงียบขณะได้ยินเสียงเหยียบพื้นใกล้เข้ามา เพราะหยาบช้าภาวนาไปก็ไม่เกิดผล ผสานสายตาเข้ากับอีกคนพอดิบพอดีและเป็นภัคที่น้ำตานอง ร้องไห้ยามถูกลากขาออกมาจากข้างใต้ ก่อนจะยกมือไหว้คิมหันต์เพื่อขอความเมตตา แต่จังหวะขอร้องเสียงสั่นก็ถูกตบหน้าหันจนหัวฟาดกับขอบโต๊ะไม้ โทษของการไม่เชื่อฟังก็คือใช้กำลังสั่งสอนให้ราบจำ

ขนาดก้มลงกราบกรานก็แล้ว แววตาเห็นใจยังไม่มีให้ ถูกกระชากผมจนหน้าหงายทำให้เห็นว่ามีเลือดกบปาก มือเรียวคว้าข้อมือข้างนั้นแล้วพยายามบิดออก เจ็บจนร้องเสียงหลง พยายามขัดขืนจนหัวโขกกับพื้นเสียงดังแล้วก็นั่งเป็นเป้านิ่งให้ถูกทำร้าย ไม่ต่างจากกระสอบทรายที่ถูกเตะซ้ำตามด้วยน้ำหนักมือที่หนัก แก้มข้างขวาชาดิก มุมปากฉีกและมีแผล

ร่างบางในสภาพยอดแย่ตัดสินใจคลานเข่าเข้ากอดขา หมดปัญญาจะต่อต้านแต่พอหันมาเห็นปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวนายตำรวจก็กระชากมาอย่างรวดเร็วแล้วลั่นไก ยิงเสยปลายคางอีกคนแล้วเลือดก็ไหลทะลักรดใบหน้าเหมือนห่าฝนและฐานฆ่าคนตายจึงถูกใบหน้าผู้ตายตามหลอกหลอน ทำเอาสะท้อนในอกสะดุ้งตกใจตื่นจากฝันร้ายเหมือนทุก ๆ คืน     

ภัคลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แล้วพักหลังมาก็ติดจะผวาเวลาถูกสัมผัสร่างกาย รีบก้มนัยน์ตาลงมองท่อนแขนใหญ่ที่ตวัดรัดเอวเหมือนจะไม่ยอมให้ไปไหนเด็ดขาด แม้อยากไปใจจะขาดก็ไม่สามารถหรอก เพียงเหลือบมองไปยังโต๊ะข้างหัวเตียงก็จะเห็นปืนวางนิ่งและมันจะไม่ไปไหนเมื่อนายตำรวจจงใจใช้มันเป็นคำขู่แทนการบอกว่าอยู่ด้วยกันนะ

ถามว่าหลังจากได้รับรู้ความจริง อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ก็แทบไม่ต่างจากเดิม

แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือความหวาดระแวงเต็มขั้น ขนาดน้องชายยังฆ่าได้แล้วจะนับประสาอะไรกับคนรัก ต้องอยู่อย่างวิตกจริตและไม่รู้เลยว่าชีวิตจะหาไม่เมื่อไหร่ ถ้าตัวคนเดียวก็คงจะเลือกหนีไปตั้งหลักแต่เผอิญมีหนูดาที่กำลังต้องกินต้องใช้ ถ้าถามว่ายังหลงใหลได้ปลื้มในตัวนายตำรวจอยู่หรือเปล่า เอาเป็นว่าทั้งรักทั้งชัง ทั้งหวานและขมขื่น   

คิมหันต์ขึ้นมาเป็นใหญ่ในบ้านหลังกำจัดเสี้ยนหนามไปจนหมด หลังจากเหลือกันแค่สามคนอย่างที่วาดฝันไว้หนูดาก็ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนเอกชน คนเป็นพ่อเลือกเองและยินดีจะจ่ายทุกค่าใช้จ่ายให้กับเด็กหญิงด้วยความเต็มใจ ทำตัวหน้าใหญ่ใจกว้าง เหมือนกับเชื้อไวรัสที่แทรกซึมเข้าไปในอวัยวะส่วนต่าง ๆ เปรียบให้หรูก็ดั่งท่อน้ำเลี้ยงขนาดใหญ่ที่ถ้าตัดขาดไปชีวิตก็วอดวาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่อีกคนเข้ามามีส่วนร่วมและนั่นทำเอาภัคน้ำลายท่วมปาก อยากค้านในบางทีแต่ก็ไม่มีอำนาจพอ เพราะไม่มีทั้งเงินทั้งอาชีพจึงเหมือนถูกบีบให้ต้องอยู่ตรงนี้ต่อไปโดยปริยาย

ส่วนเรื่องราวที่รู้มาจะเอาไปแจ้งตำรวจก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นพวกใคร เล่นกับคนมีสีก็มีแต่จะสร้างความอันตราย หากแจ้งจับนายคิมหันต์ต้องเกิดการซักทอดและแน่นอนว่าต้องติดร่างแห แม่ต้องติดคุก น้าชายก็มาถูกจับ คิดว่าสภาพจิตใจหนูดาจะป่นปี้สักแค่ไหน จะทิ้งให้อยู่กับคนใจคอโหดเหี้ยมตามลำพังก็เหมือนผลักหลานลงเหว 

“เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวคุณพ่อไปรับนะคะ”  คิมหันต์รับปากหนูดาก่อนจะส่งเด็กหญิงขึ้นรถแท็กซี่ที่มาจอดรับเทียบกับบันไดหน้าบ้าน ทุกวันนายตำรวจจะมายืนตรงนี้เพื่อที่จะดูให้เห็นกันตาว่าสองน้าหลานขึ้นรถไปโรงเรียนเรียบร้อยและมือใหญ่จะไม่ปล่อยจากประตูเด็ดขาดถ้าภัคไม่ทำการหอมแก้มปิดท้าย มันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่บางวันก็ไม่เต็มใจ

ภัครีบบอกให้คนขับขับออกไปทันทีที่ประตูรถปิดลง หนูดายังคงโบกมือให้พ่อ ส่วนภัคก็เหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้น จนเมื่อพ้นเขตรั้วบ้านถึงได้กล้าถอนหายใจแล้วดันเหลือบเห็นสายตาที่มองมาสะท้อนผ่านกระจกหน้าพอดี ร่างบางทำทีถามเรื่องการบ้านกับหนูดาเมื่อรู้ว่ากำลังถูกจับตามอง ให้ทายคนขับแท็กซี่ก็คงเป็นคนของนายตำรวจที่ส่งมาสอดส่องความเคลื่อนไหว แต่ความจริงก็สอดแหนมได้แค่ช่วงเช้า เมื่อสองน้าหลานก้าวลงจากรถก็วนล้อกลับไปทางอื่น

น้าชายยืนรอเป็นเพื่อนหลานสาวระหว่างถือกระเป๋าคิตตี้ให้อยู่หน้าโรงเรียน ไม่ลืมกำชับว่าถ้าใครมารับห้ามไปด้วยเด็ดขาดแม้จะเป็นคิมหันต์เองก็ตาม จะกลับหรือไปไหนต้องมีน้าภัคไปด้วยตลอด ขณะรอคุณครูเดินมารับ ภัคก็ได้เปิดกระเป๋าเด็กหญิงเพื่อนำบางสิ่งที่ซ่อนไว้ออกมาแล้วถึงปล่อยหนูดาเดินจับมือเข้าไปกับคุณครู ยืนดูจนมั่นใจว่านักเรียนตัวน้อยปลอดภัยถึงได้เปิดถุงผ้าดูว่าทรัพย์สินข้างในยังอยู่ครบ พบเห็นนาฬิกาหลายเรือนที่ล้วนมีมูลค่า

ช่วงเวลากลางวันที่อยู่บ้านตามลำพังหมดไปกับการลักขโมยของของคนตายเพื่อจะนำมาขายให้กลายเป็นธนบัตร วันนี้แอบยักหยอกนาฬิกาของเหมันต์มาได้หลายเรือน ในเมื่อตายแล้วก็คงไม่ได้ใช้จึงนำมาขายเอารายได้เข้าธนาคาร ภัคนั่งมองตัวเลขในสมุดบัญชีที่มีเงินอยู่ค่อนแสน วางแผนว่าจะเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น รวมถึงนำไปใช้ในการหลบหนีที่อาจจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรือในอนาคต ไม่สามารถกำหนดวันได้แน่นอนแม้จะร้อนใจมากก็ตาม 

ภัคกลับมาบ้านเพื่อรอให้คิมหันต์มารับตอนบ่ายสามเพื่อจะไปรับหนูดาที่โรงเรียนพร้อมกัน ผ่านมาเป็นอาทิตย์ก็ยังไม่มีการพูดจาเป็นกิจจะลักษณะ โชคดีว่านายตำรวจกำลังยุ่ง ๆ กับงานราชการ ร่างบางเลยได้โอกาสพักหายใจหายคอ ระหว่างนั่งรอในรถก็เป็นคิมหันต์ที่บ่นเรื่องคดีความให้ฟัง ภัคนั่งนิ่งเป็นเป่าสาก มีบ้างที่ตอบกลับ จนเมื่อเสียงทุ้มถามว่าเป็นอะไรถึงได้สติว่าเผลอแสดงกิริยาเฉยเมยออกมา ยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี รีบยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา ปั้นหน้าสดใสไม่นานหนูดาก็เดินมาด้านหน้าโรงเรียนพร้อมกับคุณครู เหมือนรู้ว่าจะถูกสัมผัสน้าชายรีบผลักบานประตูรถลงไปรับหลานสาวทันที

คิมหันต์นั่งมองสองน้าหลานที่กำลังเดินใกล้เข้ามาผ่านกระจกหน้าระหว่างเดาะลิ้นกับกระพุ้งแก้มเล่น เห็นเหมือนอารมณ์ดีแต่ที่จริงเปล่าเลย แต่ด้วยหน้าที่พ่อก็ไม่ลืมเอ่ยทักทายสาวน้อยที่ค่อยปีนจากเบาะหลังมายังเบาะหน้า หนูดาจะนั่งตักน้าภัคที่อยากให้บรรยากาศดูผ่อนคลายจึงสอนหลานให้เอาใจอีกคน แค่หนูดาโน้มตัวไปหอมแก้มระหว่างขับรถ นายตำรวจก็ยิ้มออก นึกครึ้มใจพาไปฉลองเนื่องในโอกาสอะไรก็ไม่มีใครทันฟัง พยายามที่จะสร้างความกลมเกลียวในครอบครัวโดยลืมไปว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนทำลาย ความสัมพันธ์เกือบฉิบหายก็เพราะใครกันล่ะ

พอกลับมาบ้านภัคก็ต้องพาหลานสาวอาบน้ำนอน ถามก่อนว่ามีการบ้านไหมถ้ามีก็ทำให้เสร็จแล้วค่อยนอนกอดกัน ต่างคนต่างก็พาเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านขึ้นเตียงแล้วนอนเรียงกันสามคนเหมือนทุกคืน ยึดร่างบางเป็นแก่นกลาง แขนทางซ้ายให้หนูดานอนเกาะ ส่วนแขนขวาก็เป็นกรรมสิทธิ์ของคิมหันต์ รายนั้นทำงานมาเหนื่อย ๆ พอหัวถึงหมอนก็หลับ

เก็บแรงจากตอนค่ำเพื่อตื่นขึ้นมาลักหลับกลางดึก ภัคปรือตาเมื่อรู้สึกได้ว่าบางอย่างกำลังเสือกลึกเข้ามาในร่างกาย กางเกงถูกล่นลงไปถึงต้นขา แล้วบั้นท้ายก็ถูกแหวกด้วยมือใหญ่ขณะเกิดการสอดใส่จนมิดด้าม บั้นเอวค่อย ๆ ขยับท่ามกลางความมืดเพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวมากไปจะทำให้เด็กตื่น ส่วนร่างบางลืมตาขึ้นแล้วก็รีบหลับลงเมื่อนายตำรวจชะโงกหน้ามามองระหว่างถดแก่นกายเข้าออกทางทวาร คิมหันต์เพิ่มแรงขึ้นเมื่อความอึดอัดมันตีตื้นอยู่ที่คอหอย ซอยสะโพกสอบขณะหายใจผิดจังหวะเหมือนว่าเป็นโรคหอบหืด อารมณ์สวาทพุ่งขึ้นสูงสุดหยุดไม่ได้จะขาดใจเอา

ในขณะที่ภัคทำเป็นนอนนิ่งราวตุ๊กตายางแต่ที่จริงกำลังอดกลั้น กดสัญชาตญาณดิบไว้ บังคับให้ร่างกายไร้การตอบสนองไม่อยากให้คิมหันต์รู้ว่ารู้สึกตัวอยู่ตลอด เพราะอย่างนั้นก็คงไม่ได้นอนต่ออย่างเป็นสุข ทุกแรงอัดเป็นเหตุให้เพิ่มแรงกัดปากกระทั่งแอบสะดุ้งเพราะแรงกระตุกและแรงกระทุ้งเฮือกสุดท้ายที่ส่งผ่านมาทางช่วงล่างแล้วสัมผัสได้ว่าแก่นกายถูกชักออกไป เหลือไว้เพียงของเหลวรอบปากทางเข้า ก่อนเจ้าแห่งการทำลายหลักฐานจะเก็บกวาดทุกอย่างให้เสร็จสรรพ

ใช้ประดาษซับความหนืดแล้วค่อยดึงกางเกงร่างบางขึ้นมาอย่างเก่า แล้วตัวเองก็ลอบไปเข้าห้องน้ำ ภัคผงกหัวมองพอดีกับตอนที่คิมหันต์เดินกลับออกมาจากสุขา ดีว่าอีกคนมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินมาล้มตัวลงนอนหงาย พอสบายตัวแล้วก็หลับลึกเลยไม่รู้สึกถึงมือที่วางรอบลำคออย่างเผลอไผล แต่ก่อนที่จะกลายเป็นความพลาดพลั้งภัคก็ตั้งสติได้ทันถ่วงที

เช้านี้อากาศแปรปรวนชวนให้อารมณ์ขุ่นมัวยิ่งนัก อย่างกับว่ามีเงาดำครอบงำศีรษะ แค่มองตาขวางใส่ก็กลายเป็นประเด็นทะเลาะ ก็เหมือนลิ้นกับฟัน ชีวิตคู่คือการกระทบกระทั้งกันในบางที โดยที่ต่างคนต่างก็มีเหตุจูงใจ นายตำรวจเป็นฝ่ายเปิดปากว่าร่างบางหมางเมินเกินเหตุและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักนวลสงวนตัวกับผัวที่รัก ภัคแทบสวนว่าใครอยากจะจูบอย่างดูดดื่มกับฆาตกรบ้างล่ะ แต่ก็เลือกจะอ้างว่าเพราะเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น พอหลานสาวเข้าโรงเรียน อะไรหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงตาม อารามกำลังหงุดหงิดก็คิดมาก ถามอย่างตรงไปตรงมาว่ามีคนอื่นหรือเปล่า เพราะสันดานเก่าของภัคมันทำให้ยากจะวางใจได้ในระยะยาว สุดท้ายก็วนเข้าเรื่องพิษรักแรงหึง   

“อย่าให้ฉันรู้นะว่านายนอกใจ”  ตอนจะเดินไปมือใหญ่กระชากต้นแขนกลับก่อนมอบคำขู่  “ฉันเอาตายทั้งคู่แน่”

เดี๋ยวนี้แค่จะกล่าวขอบคุณแท็กซี่ยังถูกตีหน้ายักษ์ใส่ แต่ใครสนล่ะ ทั้งที่ควรจะกลัวกลับทำตัวท้าทาย ภัคไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันแต่ก็สามารถผูกมิตรกับผู้ปกครองของเพื่อน ๆ หนูดาได้ ทั้งที่รู้ว่าใครมารอรับกลับบ้านก็ยังทำทีคุยเป็นนานสองนานกับพ่อเพื่อนหลานสาว ยืนมันตรงหน้าทางเข้าโรงเรียนเพื่อความโดดเด่นให้เห็นในระยะฟากถนน

กระทั่งได้ยินเสียงแตรรถที่บีบเหมือนเป็นการเร่งอย่างเอาแต่ใจ เสียงดังจนหลายสายตาหันมองและก่อนจะมีการร้องเรียนว่าหนึ่งในผู้ปกครองเด็กสร้างความรำคาญ ภัคพาหลานสาวข้ามทางม้าลายและอุ้มขึ้นรถที่ติดเครื่องรออยู่ แล้วพอเป็นตัวเองที่เข้ารถบ้างยังไม่ทันปิดประตูดีคนขับตีนผีก็ออกรถด้วยความรวดเร็วจนต้องคาดเบลล์เพื่อความปลอดภัย โชคดีว่าระหว่างทางไม่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่เมื่อเข้ามาในเขตบ้านก็ชนกระถางต้นไม้แตก ความฉุนเฉียวแลกมาด้วยชีวิตดอกไม้สีสดก่อนจะดับเครื่องแล้วจอดรถคาไว้อย่างนั้น

คิมหันต์อุ้มหนูดาเข้าบ้าน ทิ้งให้ภัคลงจากรถแล้วยืนสลดกับการตายของดอกไม้ที่เคยตั้งใจปลูก

แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็คือการพยายามเอาคืน พอตื่นเป็นต้องคิดแผน เพราะกฎระเบียบที่แสนเคร่งครัด ภัคแค่อยากจะประกาศถึงความไม่ชอบใจ ไอ้นั่นก็ไม่ได้ไอ้นี่ก็ไม่ดี อย่าให้เห็นว่ามีปฏิสัมพันธ์กับใครเพราะคราวหน้าจะไม่ใช่แค่ดอกไม้ที่แหลกสลาย เป็นอาทิตย์ที่นายตำรวจคอยรับส่งหนูดาแล้ววนรถกลับมาส่งร่างบางที่บ้านก่อนจะกลับไปทำงาน หน้าตาของคุกมันเป็นแบบนี้สินะ ภัคเพิ่งรู้ว่าคุกอาจจะไม่ได้หมายความถึงแค่สถานที่แต่เป็นคน วังวนน่าเบื่อมีไว้เพื่อทดสอบความอดทน แล้วหัวขบถอย่างภัคก็ไม่สามารถอยู่ในกรอบที่ถูกวางไว้ได้นาน 

ตารางการเดินทางของสองน้าหลานเป็นเส้นตรงมาโดยตลอด แต่วันนี้ภัคนั่งรถมาเองเพื่อรับหนูดาก่อนเวลา อ้างว่ามีธุระต้องไปต่างจังหวัด น้าชายได้หลานมาไว้กับตัวในที่สุดแล้วพกสมุดบัญชีเข้าธนาคารเพื่อถอนเงินสำหรับการเดินทางไกล

“เรากำลังจะไปไหนกันเหรอคะ”  เด็กหญิงถามด้วยความสงสัยขณะนั่งอยู่ภายในรถแท็กซี่คันไม่คุ้นตา 

ตอนแรกภัคว่าจะปิดเรื่องสถานที่ไว้เป็นความลับ แต่เห็นแก่ความอยากรู้จึงบอกหนูดา  “ทะเลค่ะ เรากำลังจะไปทะเลกัน”  รีแอคชั่นหลังจากได้ยินคำว่าทะเลของหนูดาไม่ต่างจากที่คนเป็นน้าจินตนาการไว้ สาวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ จนลืมถามว่าทำไมคุณพ่อไม่มาด้วยกัน แล้วภัคก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นการท่องเที่ยวที่ไม่ได้รับการอนุมัติ ไม่ได้ขออนุญาตนายตำรวจก่อนจะมาและตั้งใจทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการหนีทั้งที่ไม่ได้พกกระเป๋าเดินทางมาสักใบ   

หวังไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้เอาดาบหน้าและกะว่าจะพักค้างอ้างแรมสักคืนที่โรงแรมแถวหาด รถโดยสารส่วนตัวพาทั้งคู่มาถึงปลายทางอย่างปลอดภัยอาศัยระบบเหมาและก่อนจะเข้าทำการจองห้องพักกับทางโรงแรมที่หมายตาไว้ ภัคได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หนูดาใส่เพราะยูนิฟอร์มนักเรียนไม่ค่อยเข้ากับทะเล อีกอย่างเพราะต้องการทำลายภาพลักษณ์ทางตัวตน เพราะกำลังงัดข้อกับคนมีเส้นมีสาย ไม่อยากถูกใครตามตัวเจอก่อนเวลาที่จะได้เที่ยวเล่นจนหนำใจ

หลังเก็บสัมภาระไว้ที่ห้อง สองน้าหลานก็จับมือวิ่งลงทะเลพร้อมกันแล้วหัวเราะอย่างพร้อมเพรียงเมื่อถูกน้ำซัด สำหรับภัคมันนานมากแล้วที่ได้เห็นทะเลจริง ๆ และสำหรับเด็กหญิงก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกิดมา เพียงฝ่าเท้าสัมผัสความนุ่มนวลของเม็ดทรายก็ลืมวัย ลืมว่าเคยเป็นใคร เหมือนได้ห้วนกลับไปไร้เดียงสาและโอบรัดความอิสระสุดลูกหูลูกตาที่ถาโถมใส่เหมือนคลื่น ยืนต้านด้วยความชอบใจ ทรายกับเด็กเป็นของคู่กันและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องสร้างปราสาททรายโดยใช้อุปกรณ์เสริมที่ซื้อมาจากร้านของเล่น เก็บเศษหอยขึ้นมาประดับตกแต่งยามชายหาดอาบไปด้วยแสงสีส้มเรืองรอง

ก่อนทั้งสองคนจะล้มตัวลงนอนบนทรายแล้วหงายหน้ามองฟ้า

มือสอดผสานขนาดลดหลั่นขณะอยู่ในสภาพเปียกม่อล่อกม่อแลกด้วยกันทั้งคู่   

“ชอบไหมคะ” 

หนูดาพยักหน้าเป็นคำตอบระหว่างภัคลอบนอนมองจากด้านข้าง บางครั้งเด็กหญิงก็ชอบเหม่อลอยเหมือนกับผู้ใหญ่ที่มีเรื่องคิดมากในใจ ขนาดใกล้กันยังไม่อาจล่วงรู้ อยากหยุดอายุหนูดาไว้เป็นเด็กตราบนานเท่านาน เพราะโลกของผู้ใหญ่คือการเอาตัวเองให้รอด น้าชายก็แค่กลัวว่าหลานสาวจะรู้เข้าสักวันว่าปราสาททรายไม่คงอยู่ถาวรตลอดกาล 
 
“คุณพ่อจะงอนเราไหมคะ”  คำถามของหลานสาวทำเอานึกขึ้นได้ ป่านนี้นายตำรวจคงกำลังตามหาตัวให้ควั่กและโกรธเคืองมากกว่าครั้งไหน ๆ  “งอนแน่ ๆ ค่ะ แต่ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวน้าภัคง้อคุณพ่อให้เอง”

เด็กหญิงยิ้มกว้างเมื่อน้าชายรับปากแล้วว่าจะทำ ก่อนขยับมานอนหนุนต้นแขนขาวราวกับมีเรื่องอ้อน 

“หนูอยากกินกุ้ม”

“กินกุ้ม…?”  ภัคทวนคำซ้ำและพยายามนึกหน้าตาของกุ้มให้ออก แล้วถึงร้องอ่อในใจ  “หมายถึงกุ้ง…?”  หนูดาพยักพเยิดหน้าอย่างอาย ๆ ที่ออกเสียงตัวสะกดผิดมาตรา ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ เด็กหญิงถูกจั๊กจี้เข้าที่ลำตัวจนงอตัวเหมือนกุ้ง หัวเราะจนปวดท้องแล้วสองน้าหลานถึงลุกจากหาดแล้วพากันเข้าห้องพักเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ 
 
เงินที่สั่งสมไว้มีมากพอจะจ่ายค่าอาหารตรงหน้า กลายเป็นว่าต้องมานั่งขอบคุณคนตายที่ตาย แต่พอนึกไปถึงพี่ชายฝาแฝดก็รู้สึกมืดแปดด้าน ถ้าเข้าวัดตอนนี้จะผ่อนหนักกรรมที่กำลังตามสนองให้เป็นเบาได้หรือเปล่า บาปที่หนาจะเบาบางลงไหม แต่ที่แน่ ๆ ถ้ากลับไปคงได้ถูกเจ้ากรรมนายเวรสะสางปางตาย ชดใช้กรรมที่อาจร้ายแรงยิ่งกว่าในความฝันเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นหนูดากำลังเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อยก็พลอยยิ้มทั้งหน้าตาม แค่นี้ก็นับเป็นการแหกกฎที่คุ้มค่า เพื่อแลกกับความสุขของหลานสาว แม้ต้องกลับไปคอยรองมือรองเท้านายตำรวจก็ยอมรับได้ ภัคที่เป็นฝ่ายแกะมากกว่ากินอ้าปากด้วยความยินดีเมื่อเด็กหญิงป้อนกุ้งให้ เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนได้รับโทษทัณฑ์ถึงขั้นประหาร 







มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทส่งท้าย/End credit) ๒๓.๐๙.๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กระเหี้ยนกระหือรือ ที่ 04-01-2019 23:41:00



ระหว่างภัคกับนักโทษมีเพียงเส้นกั้นบาง ๆ คั่นกลางและบางครั้งมันก็ทำให้นายตำรวจสับสน เปรียบคนรักดั่งผู้ต้องขังและไม่ว่าจะสักกี่รายต่อกี่ราย คิมหันต์ก็ไม่เคยปล่อยใครให้ลอยนวลและไม่มีใครเลยที่จะเคยสร้างเรื่องปวดหัวไว้ให้ แต่ร่างบางทำได้ ทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันคือการพรากพ่อพรากลูกและกระตุกหนวดเสือ ทั้งที่ทำเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด ผ่อนปนให้หลายอย่างเพราะเห็นว่าเป็นคนรัก อีกคนก็ยังจะกล้าหอบผ้าหอบผ่อนหนี 

ที่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเพราะเมื่อบ่ายกลับมาบ้านแล้วเจอเพียงความว่างเปล่า ต้องมารับน้าชายเพื่อไปรับหลานสาวที่โรงเรียนด้วยกัน แต่กลายเป็นว่าบ้านเงียบอย่างกับป่าช้า พอตะโกนหาก็ไม่มีคนขานรับ เดินดูตามส่วนต่าง ๆ มองหาร่างบางตามห้องหับกลับไม่เห็นหน้า จากรักษาระยะก้าวเป็นสืบเท้าถี่เพราะลางสังหรณ์บอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลงคิดไปว่าแม้จะนัดหมายกันไว้ดิบดีแต่บางทีภัคอาจเปลี่ยนใจล่วงหน้าไปรับหนูดาก่อนก็ได้ แต่พอลองต่อสายโทรศัพท์หากลับมีผู้หญิงพูดแทนว่าไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ขณะนี้ ทำคดีมานักต่อนักใจมันก็ตั้งสมมติฐานไปเอง 

คิมหันต์โทรหาครูประจำชั้นเด็กหญิงเพื่อที่จะถามว่ามีใครไปรับที่โรงเรียนแล้วหรือยัง ครูบอกหมดเปลือกว่าน้าชายมารับไปต่างจังหวัด ได้ยินเท่านั้นก็ด่วนตัดสายหายใจแรงรดมือถือ ก่อนจะวิ่งด้วยความร้อนใจขึ้นมาบนชั้นสอง ผลักบานประตูห้องเข้าไปแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าร่วมกันแต่แบ่งสัดส่วนชัดเจนและเห็นว่าเสื้อผ้าในส่วนของภัคกับหนูดาหายไป อาจจะไม่ทั้งหมดแต่พอค้นด้านล่างตู้แล้วก็ไม่เจอกระเป๋าเดินทาง ถ้าไม่โง่พอก็คงรู้ว่านี่ไม่ใช่การลักพาตัว แต่คือการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพราะความชะล่าใจสุดท้ายต้องมายืนกำหมัดกัดฟันกรอด แน่นอนว่าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า 

ก่อนข้าวของที่อยู่บนโต๊ะใกล้เคียงจะถูกกวาดลงพื้นรวดเดียว แจกันตกแตกเพราะความเกรี้ยวกาด ขาดการยับยั้งชั่งใจจนมือไม้มันไปเองอัตโนมัติ ปากรอบรูปรวมเข้าที่ผนังอย่างแรงจนกระจกแตกเป็นเสี่ยงแล้วความคมก็เหวี่ยงกลับมาถากหน้าแก้ม แต่ความเจ็บแสบแค่นั้นไม่อาจหยุดยั้ง ทุกอย่างมันขวางหูขวางตาไปหมด คิมหันต์ระบายความโกรธเคืองด้วยการทำลายทรัพย์สิน ไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นที่ต้องสังเวยชีวิตต่อความป่าเถื่อน ก่อนความเคลื่อนไหวจะชะลอตัวลงคงเพราะเริ่มเหนื่อยหลังจากสูญเสียพลังงานไป หลังจากพังมันเกือบทั้งห้องก็ถอยหลังลงนั่งมองเศษซากจากปลายเตียง     

“ไม่มีใครหนีไปจากฉันได้…”

อุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าร่างบางจะไม่สามารถหนีไปไหนได้อย่างที่ใครหลาย ๆ คนทำกับตัวเอง ทั้งที่ไม่ใช่เด็กที่ทำได้เพียงยืนมองพ่อแม่หย่าร้างแล้วแยกทางกันอีกต่อไป คิมหันต์เกลียดการถูกทิ้งไว้ข้างหลังจะจากคนในครอบครัวหรือใครก็ตาม แค่คิดว่าอีกสองคนกำลังมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่งนัยน์ตาก็แดงก่ำ ความแค้นผนวกกับความน้อยใจ แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชาย ที่พ่อส่งเรียนนายตำรวจก็เพราะไม่อยากให้อ่อนแอ

‘ในระหว่างที่แกมัวแต่ร้องไห้ คนอื่นเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว’

แม้เวลาจะยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดี แต่ก็สามารถใช้อำนาจในหน้าที่เพื่อสั่งการกับลูกน้อง หลังรอสัญญาณไม่นานเท่าไหร่ก็กรอกเสียงเย็นชาไปตามสาย  “…ตามหาคนให้ฉันหน่อย”

ตอนแรกรักคือการครอบครอง

ต่อมารักคือการครอบงำ   
 
ได้รับอิทธิพลมาจากคำพ่อสอน 

คิมหันต์ล้มตัวลงนอนเพียงเพื่อจะพักสายตา แต่ความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงานทำให้เข้าสู่สภาวะหลับลึกจนนึกว่าตาย ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน หลายชั่วโมงหรือแค่สิบนาทีกว่า เปลือกตาจึงคอยมีการเคลื่อนไหว แต่ยังไม่ทันลืมตา ประสาทการรับรู้ก็เริ่มทำงาน เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะแว่ว ๆ จากที่ไกลแสนไกลก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เหมือนจงใจหัวเราะเหนือกกหู เป่าลมฟู่วแผ่วเบาแล้วเหมือนควันเทาที่สลายไป นายตำรวจลืมตาขึ้นมาในสายของอีกวัน เห็นแสงผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าผ้าม่านปลิวละล่อง ก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างจากนอกห้องนอน หรือเสียงหัวเราะนั้นจะตามมาหลอกหลอนแม้ในยามตื่น ค่อยลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดประตูออกมาจากห้อง ยืนมองจากด้านบนมายังด้านล่างอย่างไม่เชื่อสายตา

ภัคและหนูดาเดินเข้ามาในบ้านหลังผลัดกันหยอกล้อจนเกิดเสียงหัวเราะ แล้วพอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนทั้งสองคนก็ยกมือโบกทักทายนายตำรวจที่ยืนนิ่งก่อนจะออกวิ่งเต็มกำลังจากบันไดขั้นบนสุดแล้วก็หยุดชะงักที่ขั้นล่างเมื่อตระหนักได้ว่าไม่ควรแสดงออกถึงความยินดีเกินหน้าเกินตา แม้ดีใจที่ทั้งคู่กลับมาแต่ว่าความผิดที่ทั้งคู่หายไปก็ยังมีอยู่ ยิ้มรับเมื่อหนูดาตะโกนเรียกพ่อคะแล้วถลาวิ่งเข้ามากอดขา แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังยามมองตาขวางใส่ภัค

หนูดาดึงความสนใจด้วยการบอกว่าหนูมีของมาฝาก โมบายหอยจากทะเล  “ไปเที่ยวกันมาสนุกไหมคะ”  ถามหนูดาแต่ตามองภัค คิมหันต์แค่ความอยากรู้ว่าเวลาไม่มีผู้คุมอยู่ด้วยแล้วจะสนุกสนานสักแค่ไหน 

“สนุกค่ะ หนูอยากให้คุณพ่อไปด้วย”

“งั้นทีหลังก็บอกพ่อด้วยสิคะ”  เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นแล้วกั้นเด็กหญิงไว้เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ให้หนูดาออกจากวิถีของผู้ใหญ่ด้วยการบอกว่าไปรอที่ห้องนั่งก่อนนะคะ แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าเพราะผู้ใหญ่จะทะเลาะกัน

เมื่อพ้นรัศมีการมองเห็นของเด็กน้อย คิมหันต์ก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เพราะทุกวินาทีคือการพิพากษา กระชากต้นแขนภัคเข้ามาใกล้ตัว เงาดำพาดหัวร่างบางเป็นลางร้ายว่าจะตายในอีกไม่ช้า  “โง่มากนะที่กลับมา”  คิดว่าร่างบางจะฉลาดกว่านี้แต่ที่ไหนได้ โดยลืมไปว่าถ้าภัคฉลาดจริงก็คงไม่มองกรวดเป็นเพชร เห็นผิดว่าตำรวจเป็นคนดีหรอก

ระหว่างพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุม ทั้งที่ควรเอาน้ำเย็นเข้าลูบไฟภัคกลับเงยใบหน้ามองอย่างถือดี  “ผมก็ไม่ได้จะหนีไปไหนสักหน่อย”

“แล้วจะอธิบายเรื่องที่เสื้อผ้ากับกระเป๋าเดินทางหายไปได้ยังไง”  เรื่องเดียวที่คาใจและอยากได้คำตอบชัด ๆ

แต่นั่นกลับทำให้ถูกยิ้มเยาะ จนเผลอชักสีหน้าไม่พอใจและเมื่อได้ฟังคำเฉลยยิ่งไปกันใหญ่  “ผมซักแล้วตากไว้หลังบ้านต่างหาก”  ภัคลอยหน้าลอยตาตอบและรู้ดีว่าคิมหันต์กำลังไม่ชอบใจเอามาก ๆ เพราะมันไม่ต่างจากการถูกดัดหลัง สร้างหลักฐานเท็จเพื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น มันคือการลูบคมนายตำรวจผู้คิดว่าตัวเองเก่งกาจเหนือใคร บางครั้งเราก็ต้องร้ายเพื่อไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ถ้าเทียบกันแล้วร่างบางยังร้ายไม่ได้เท่าคนตรงหน้าด้วยซ้ำและลูกไก่ในกำมือตัวนี้จะจิกถ้าหากอีกคนกำมือแน่นไปหรือเมื่อไหร่ก็ตายที่เริ่มหายใจไม่ออก

“อยากลองดีกับฉันใช่ไหม”  มันไม่ใช่แค่ถูกด่าว่าเป็นตำรวจซะเปล่าแต่กลับสับเพร่าไม่ตรวจแวดล้อมให้ดี แต่ที่สุดแล้วกลับอารมณ์เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถูกอีกคนล้อเล่นกับความรู้สึกจนกลายเป็นไอ้หน้าโง่ ทำตัวโอเว่อร์เกินเหตุ จากบีบต้นแขนขาวจนเป็นรอย ปล่อยให้เลือดเดินแล้วบีบซ้ำและด้วยความไวกว่ากระชากผมด้านหลังจนภัคหน้าหงายแล้วบังคับให้เดินตาม ท่ามกลางการยื้อพยายามแกะมือใหญ่ร่างบางต้องกลั้นเสียงร้องไว้เพราะไม่อยากให้หนูดารับรู้

เป็นการต่อสู้ภายใต้ความเงียบงัน หยาดน้ำตาแทบหยดเมื่อเจ็บไปทั้งโคนผม ตบแก้มกร้านไปทีเพื่อให้ปล่อย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เด็กน้อยโผล่หน้าออกมาจากห้องนั่งเล่น ยิ้มด้วยความทะเล้นเมื่อภาพที่เห็นเป็นตอนคิมหันต์ปลดมือลงได้ทันแล้วโอบรัดเอวภัคไว้อย่างแนบแน่นและหนูดาไม่มีทางเห็นเลยว่าคุณพ่อกำลังถูกน้าชายจิกแขนจนได้เลือด แม้จะเป็นผู้ใหญ่ยอดแย่แต่อย่างน้อยก็ยังมีความรับผิดชอบต่ออนาคตของเด็ก กลัวตัวเองจะสร้างภาพจำอันโหดร้าย     

“เล่นกับหนูได้ไหมคะ”  ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องสะสางกับร่างบางคิมหันต์ก็คงจะตกปากรับคำลูกสาวโดยทันที แต่แทนที่จะปฏิเสธไปเลยอย่างไร้เยื่อใย นายตำรวจจึงออกกลอุบาย  “งั้นเล่นซ่อนหากันดีไหมคะ หนูดาเป็นฝ่ายหาแล้วพ่อกับน้าภัคจะไปซ่อน”  ภัคไม่รู้เลยว่าอีกคนจะมาไม้ไหนแต่ก็เออออไปตามกัน เมื่อแบ่งหน้าที่ชัดเจนว่าหนูดาจะเป็นคนนับ คนเป็นพ่อไม่ลืมกำชับกติกา  “นับหนึ่งถึงร้อยนะคะ”

“นับหนึ่งถึงร้อยเลยเหรอคะ”  หนูดาลังเลเพราะว่ายังนับเลขได้ผิด ๆ ถูก ๆ ทุกวันนี้ที่โรงเรียนก็สอนแต่ยังอ่อนหัดไปสักหน่อยสำหรับเด็กเข้าโรงเรียนช้า     

“ให้เวลาพ่อกับน้าภัคได้ซ่อนบ้างสิ”  สีหน้าอ้อนวอนทำให้เด็กหญิงโอนอ่อนผ่อนตาม พยักหน้ารับอย่างแข่งขันแล้วหลับตาลงพลางส่งเสียงนับเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้น  “หนึ่ง…”  ไม่ต้องรอให้ถึงสอง คิมหันต์ก็ออกแรงกระชากภัคขึ้นชั้นบนท่ามกลางการต่อต้าน ขนาดร่างบางล้มไปกับบันไดมือใหญ่ก็ยังออกแรงลากกระชากแขนแทบหลุด ภัคถูลู่ถูกังไปกับพื้น พยายามยืดหยัดแต่ก็ถูกสะบัดเข้าไปในห้องก่อนจะชนกับข้าวของที่เกลื่อนกลาดจนล้มลงระเนระนาดไปด้วยกัน 

เสียงดังจากชั้นบนทำหนูดาสะดุ้ง นัยน์ตาสุกสกาวเต็มไปด้วยความสงสัย ลังใจว่าจะนับเลขต่อดีหรือเปล่า แต่เมื่อเสียงนั้นเบาลงก็เข้าใจว่าคงเป็นเสียงโครมรามจากการพยายามแอบซ่อน ก่อนจะเริ่มนับต่อ  “สิบสาม”

ความรักช่างเลวร้าย มันทำให้คนกลายเป็นบ้า ขณะที่ภัคกำลังนั่งมึนงงเพราะหัวดันไปโขกกับขอบเตียงไม้ คิมหันต์ก็เดินมาคร่อมหน้าตักไว้แล้วตบแก้มใสไปทีเผื่อจะช่วยเรียกสติให้เข้าร่องเข้ารอย ก่อนร่างบางจะเอาคืนด้วยการต่อยเข้าที่ต้นขา ระดมทุบด้วยกำปั้นแล้วผลักยักษ์ปักหลักไปด้านหลังหวังให้ล้มดูบ้าง ภัคหยัดกายจากพื้นปีนขึ้นเตียงแล้วเตรียมจะคลานหนีไปอีกฝั่ง แต่กลายเป็นว่าถูกคว้าเข้าที่ข้อเท้าอย่างจัง นอกจากสะบัดก็ยังถีบเข้าที่ยอดหน้านายตำรวจอย่างแรงจนแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง แต่โชคร้ายว่าคิมหันต์ตั้งหลักได้ก่อนเลยลากภัคที่ล้มลงบนที่นอนเข้าหาตัว

เสียงหัวเข็มขัดกระทบกันเหมือนเสียงโมบายหอย แค่ต่อยเข้าที่ท้องน้อยเบา ๆ ก็ทำเอาปวดร้าวจนนอนน้ำตาคลอ ร่างที่งออยู่ของภัคค่อยถูกมือใหญ่คลายออกพร้อมกับกางเกงที่ลงไปกองกับพื้น มีเพียงกางเกงชั้นในที่ถูกหยิบขึ้นมาก่อนจะยัดเข้าปากร่างบาง เผื่อว่าอยากกรีดร้องเสียงจะได้ไม่ก้องมากและกว่าจะทันตั้งตัวส่วนหัวของแก่นกายก็ดันเข้ามาในร่างอย่างจัง กระแทกผนังอ่อนเหมือนจะสั่งสอนให้ราบจำ กำราบความดื้อรั้นด้วยการยัดเหยียดความเป็นผัว ขยับจนตัวคลอน เคลื่อนสะโพกสอบด้วยความดุดันทำเอาร่างบางนอนมองเพดานตาลอย มือที่จิกท่อนแขนใหญ่ปล่อยตกข้างกายเปลี่ยนเป็นกำผ้าปูไว้จนยับยู่ยี่ พยายามจะไม่มีอารมณ์ร่วมแต่พอหลวมตัวให้แป๊บเดียวความเสียวซ่านก็เล่นงาน

ปฏิเสธว่าอย่าขณะถูกจับพลิกคว่ำ ระหว่างที่นายตำรวจพยายามรำลึกความหวานผ่านการเสือกกายเข้าออก ร่างบางก็ลอบมองบานประตูอยู่ตลอด เพราะตอนนี้ประตูยังเปิดอ้าซ่าจนได้ยินเสียงนับเลขลอยมาจากด้านล่าง ทั้งที่ต่างรู้ดีว่าของที่แตกหักแล้วต่อให้ประกอบใหม่ก็ยังคงเหลือรอยร้าว แต่เหนือซากปรักหักพังภัคก็ยังปล่อยให้คิมหันต์เอาจนเกือบถึงฝั่งฝัน เผลอดันบั้นเอวหนาให้ยิ่งเขยิบมาประชิดบั้นท้ายตอนได้ยินเสียงหนูดา ตัวเองร้องอืออ้าเพราะกางเกงในคาปาก

ร่วมรักเพื่อให้ผ่านไปอีกวัน รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เพราะรูทวารยังใช้การได้อยู่และต่อไปนี้คงมองกันเองเป็นเพียงวัตถุทางเพศ วันไหนอยากเสร็จก็เข้าหา วันไหนคันมาก็อ้าขาให้ ใช้ระบบพึ่งพาอาศัย ช่างหัวความรักมันไปซะ

‘ห้าสิบหก’

เด็กหญิงหลงจนวกกลับมานับเลขเดิมอีกครั้ง ได้แต่หวังว่ามันจะถึงร้อย ค่อยนับอย่างใจเย็น

‘ห้าสิบเจ็ด… ห้าสิบแปด… ห้าสิบเก้า…หกสิบ…หกสิบเอ็ด… หกสิบสอง… หกสิบสาม…’

กว่าเด็กจะนับถึงร้อย ความรู้สึกของผู้ใหญ่ก็ทยอยลดลงเหลือศูนย์












-------------------------------------
ชอบไหมมมมม ถ้าชอบคอมเม้นหรือติดแท็ก #ลั่น_ดาล ให้ชื่นใจหน่อย อิอิ
เดี๋ยวมีอีกน้า ทยอยๆแต่งอยู่ ส่วนเรื่องพ่อกับพี่คิมเดี๋ยวมีพาร์ทขยายเป็นตอนวัยเด็ก เนี่ย คิดว่าจะแต่งหนูดาตอนโตด้วยแต่กลัวตัวเองไม่ไหว เอาไว้ถ้าไม่ได้แต่งจริงๆจะเล่าตอนโตหนูให้ฟังในแท็กนะคะ
ติดตามข่าวสาร
9crimes - นายคราม FANPAGE  (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว  ---> เหมายัน   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 05-01-2019 00:30:39
คิมหันโหดร้ายกับภัคมาก รอตอนต่อไปนะคะ :hao3:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-01-2019 10:58:55
สงสารภัคเลย ลงเรือผิดชีวิตเปลี่ยน  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 05-01-2019 15:15:33
โหดร้าย  :a5: ใจหายเลย ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 05-01-2019 20:57:25
ฮืออออออออออออ
สงสารภัคจังเลยค่ะ
ทำไมคิมหันต์ถึงโหดร้ายแบบนี้
หนูดาจะรู้ไหมหนอว่าน้าภัคของหนู
โดนคุณพ่อทำร้ายทั้งกายและใจขนาดไหน

แอบคิดว่าตอนพิเศษจะมาหวานๆให้กระชุ่มกระชวยหน่อย
แต่ที่ไหนได้ ฮือออออออออออ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-01-2019 21:04:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 08-01-2019 15:01:16
หืมมมม เราอ่านแบบรวดเดียวจบ กลั้นหายใจตลอด เหนื่อยมาก ลุ้นสุด

เรารู้สึกสงสารภัค ถ้าจำไม่ผิดคือภัคโดนเหมันต์ข่มขื่นในตอนแรก แต่หลังๆก็ไม่รู้ว่าทำไมภัคถึงกลายเป็นเล่นชู้ซะเอง
อีกอย่างภัคก็ไม่ได้ตั้งใจฆ่าเหมันต์  กับคิมหันต์คงหลงคารมแหละ เล่นจีบแบบหวานๆ โต้งๆ ใจเหลวเลยภัค
แถมยังมารู้ความจริงทีหลังสุดว่าตัวเองเลือกอยู่กับฆาตกร เลยอยู่แบบหวาดระแวง

ส่วนตัวเราว่า ภัค น่าสงสารสุดถึงแม้ทุกอย่างภัคจะเลือกทำเอง แต่ทุกอย่างก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับให้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง

เราเข้าข้างภัค #ทีมภัคเด้อ 55555555

ปล. เราว่าคนที่ร้ายสุดที่คือ คิมหันต์กับมินตรา ร้ายพอกัน เก็บความลับเก่งงงงง

หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 10-01-2019 23:06:59
ไหนๆก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้วก็อยู่กันดีๆไม่ได้รึไง อย่ารุนแรงไปมากกว่านี้เลย
เป็นความสัมพันธ์ที่อึดอัดมากกก อยากจะกลั้นใจตายไปเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-01-2019 12:34:17
ซาดิสต์มาก คิมหันน่ากลัวสุดๆ ลบภาพตำรวจที่หุ่นดีสุดหล่อไปเลย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 13-01-2019 23:53:43
 o13
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 14-01-2019 10:24:56
จะว่าสงสารภัคก็สงสาร แต่มันก็มีความรู้สึกอื่นมาปนน่ะนะ  แต่นั่นแหละ  ไม่ว่าใครก็ไม่ควรถูกทำร้ายกันทั้งนั้น เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 15-01-2019 03:24:47
อ่านแล้ว อึดอัด มากจริงๆ เราว่าคนที่ร้ายที่สุดคือธันวา เหมือนธันวารู้อยู่แล้วว่าคนที่เหม คือคิม เลยจะทำให้ภัครู้ถึงตกนรกทั้งเป็น ในความคิดเรานะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 15-01-2019 05:38:44
ต่อเนื่องความโหด ... ได้โหดมาก :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Gottomon ที่ 27-01-2019 22:30:28
      ลุ้นทุกตอนค่ะ ตอนแรกมารู้สึกขนลุกหน่อยๆ พอถึงตอนเฉลยขนลุกหนักมาก
แถมระหว่างทางก็คิดไปต่างๆนาๆ ก็แอบสงสัยภัค แต่พอข้อสันนิษฐานของตำรวจมา
ก็สงสัยธัน แต่อิฉากแรกมันวกมาตลอดๆ บวกกับธันคอยพูดเป็นนัยเสมอ
       
       พี่คิมมาเหมือนเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมากก คือเอาจริงๆ ทั้งเหมทั้งคิม สันดานพอๆกันค่ะ
ดีไม่ดี เหมยังจะปกติซะกว่า ตอนนี้คือแบบสงสารและสมน้ำหน้าภัคนะ555 เลือกยากจัง

     ใจแอบสงสารธันวา สงสารจริงๆนา ทีแรกก็อยากให้ได้กับภัค แต่สิ่งที่ภัคปฏิบัติต่อธันคือ
.... ธันทำถูกละ ไปเถอะ บาย 555
     
      ทุกตอนนี่หักไปหักมา แต่ฉากหนูดาเยี่ยมแม่ นี่มัน...วอททท!?
ไงล่ะคิม นายคิดว่านายเจ๋งสุด อยู่บนสุดจองห่วงโซ่อาหาร เหนือทุกคน? โนว เหมือนมีเขาๆๆๆหลายๆอันเลยอะ
แต่อเมซิ่งมินตรามาก นางทำเพื่อลูกได้ขนาดนี้? แม้ว่าเดิมทีนางทำเพื่อตัวเอง อันนี้ตกใจหนักมากก

อ่านจบนี่แบบว่า ใช่ค่ะ มันคือการลั่นดาลที่แท้ทรู เพื่อภัคโดยเฉพาะ
สนุกมากกกกกกค่ะ ชอบแนวสอบสวนอยู่แล้วด้วย เนื้อหาแน่นมากก เยี่ยมมากค่ะ

ปล.เราไม่ได้ติดตามคุณตุ๊กติ๊กแบบนักอ่านประจำอะไรแบบนี้ แต่วันก่อนเจอคนแนะนำนิยายในทวิต
เรื่องnc1 ก็ไปอ่านมา เอ้าสนุก เพิ่งเห็นว่าคนแต่งเดียวกัน สงสัยจะได้ติดตามต่อไปอีกเรื่อยๆแน่ๆเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ รอตอนต่อไปนะคะ >< ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 28-02-2019 04:35:01
 :mew5:  เป็นเรื่องทีสุดๆจริงๆิ่ค่์ะะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: KYLM_s ที่ 23-05-2019 04:40:19
ตั้งแต่อ่านตอนแรกยันตอนที่สิบแล้ว สรุปคือทุกคนมีสิทธิ์เป็นคนร้ายได้หมดเลยแล้วภัคนี่คือไม่เบาเลยนะ แถมภัคนังเคยมีอะไรกับแฝดน้องแล้วดูไม่น่าเกลียดอะไรขนาดนั้นมั้ยอะแล้วธันก็ชอบภัคอีกอาจจะเป็นคนร้ายก็ได้แต่มันมีหลายเรื่องให้สงสัยมากเลยโอ้ยย เอ็นซีตอนสิบก็คืออ่านไปขมวดคิ้วไปฟินไม่ลงฮือเครียดเรื่องนี้มีคนดีมั้ยเหมือนทั้งเรื่องหนูดาดีสุดเลยจ่ะแม่ยังดีที่อย่างน้อยภัคนางก็รักหนูดา
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: KYLM_s ที่ 24-05-2019 04:59:52
อ่านจบแล้วแบบอึดอัดมากแงง สรุปภัคก็คือทำจริงแต่เหมไม่ตายคนที่ฆ่าจริงๆก็คือคิม คิมนังน่ากลัวมากเลยนะ สงสารสุดก็ธันเลยฮืออสงสารนางรักเค้ามาตลอดเลยอะเศร้า คนเขียนแต่งดีมากเลยค่ะขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมานะคะ  เราพึ่งได้มาอ่านแล้วอึดอัดมากอินมากด้วยฮือชอบนะคะเดี๋ยวจะไปอ่านเหมายันตอน
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 24-05-2019 21:15:42
เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆค่ะ   :katai5:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 11-06-2019 14:34:52
สนุกมากกกก ลุ้นตลอดเลยว่าใครฆ่าเหม มีความพีคให้คาดไม่ถึง ที่คิดไว้ไม่ใช่ กลายเป็นคนที่คาดไม่ถึง  นักบุญในคราบตำตรวจ ทุกคนมีึความลับ มีมุมมืดกันทุกคน พีคสุดก็มินตรานี่ล่ะ โอ้ยยย กลายเป็นความสะใจลึกๆ เธอมันร้ายมินตรา หึหึ... สงสารธ้นที่สุด เหมือนถูกเหวี่ยงให้เข้ามาอยู่ในเกมส์ที่สุดท้ายก็ไม่มีใครเห็นค่าของธันจริงๆเลยสักคน ภัคเองถึงจะดูเห็นแก่ตัว แต่ก้ไม่ใช่คนเลวเลือดเย็นเหมือนพี่สาว ตรงข้ามภัคไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกสองแฝดแย่งชิง จนเหมือนเป็นเหยื่อกลายๆของสองพี่น้อง ทุกคนต่างต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ ถึงลึกๆจะแอบหวังว่าสักวันธ้นพ้นโทษออกมา ถ้าได้กลับมาอยู่กับภัคก็คงจะดี จะมีวันที่ภัคจะได้หลุดพ้นจากคิมไหมนะ....

ขอบคุณนะคะ นิยายแนวนี้หาอ่านยาก เขียนออกมาได้ดีมากๆ ภาษาและสำนวนดีมากก เนื้อเรื่องสนุกกระชับ ผูกปมซ่อนไว้ได้น่าติดตามและตื่นเต้น พีคแล้วพีคอีก จนต้องปรบมือให้เลยค่ะ ชอบบบบบมากเลย ดีใจที่อ่านไม่พลาดเรื่องนี้ไป ประทับใจมากก  :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: เพลิงพิษ ธิดาซาตาน ที่ 12-08-2019 16:11:32
พระเจ้าช่วย นี่มันนิยายน้ำดีเลยชัดๆ ไม่อยากจะเชื่อเลย เป็นนิยายสืบสวน ที่สนุกจนวางไม่ลง เห็นคอมเม้นไม่เยอะ เอาจริงเรื่องจำนวนหน้า หรือคอมเม้น เยอะไม่เยอะ ไม่ได้บ่งบอกว่านิยายเรื่องนี้สนุกหรือไม่สนุกเลย ขอบคุณอะไรก้ตามที่ดลใจให้เรามาอ่านเรื่องนีี้ มีคุณค่ามากมาย ขอบคุณนักเขียนมากๆที่รังสรรค์ผลงานอันเลิสรสนี้ขึ้นมา ขอให้พบเจอแต่ความสุข และความสำเร็จนะ :L2: :L1: :pig4: :3123:คะ
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 21-09-2019 09:34:54
พลิกแล้วพลิกอีก พระนายสมกันอย่างกะกิ่งทองใบหยก สุดจริงเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 08:52:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Sevenny ที่ 28-07-2020 12:59:31
บรรดาตัวละครทั้งหมด เราสงสารหนูดาที่สุด กรรมหนอกรรม เกิดมาในครอบครัวแบบนี้ ภัคเราไม่ได้สงสารเลย ภัคต้องอยู่แบบนี้เพราะเลือกเอง เเต่หนูดาเลือกไม่ได้ โถ่ ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจคิมไม่ถูกฆ่าตายหายอย่างไร้ร่องรอยเลยเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (บทนำ) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 21-04-2021 23:58:23

รู้สึกไม่ชอบภัครเลย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 22-04-2021 01:11:51
 

แล้วไม่กลับมาเกิดใหม่ได้เลยยิ่งดี
 
[/quote]
ไม่กลับมาเกิดอีกก็คือนิพพาน พ้นเวียนว่ายตายเกิด ใครแช่งเราอย่างนี้จะรีบสาธุๆๆรัวๆเลย
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 22-04-2021 11:07:51
ทรูมูฟ ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 20 เม็ก
https://www.youtube.com/watch?v=d5gLVMnJJL4 (https://www.youtube.com/watch?v=d5gLVMnJJL4)
หัวข้อ: Re: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Aphrodite ที่ 27-04-2024 15:23:06
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำ ค่ะ เพิ่งอ่านบทนำ แต่คิดว่าน่าจะสนุก เพราะปกติเราชอบพล๊อตเรื่องสืบสวนสอบสวนอยู่แล้วค่ะ  :mew1: :katai2-1: