พิมพ์หน้านี้ - Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kirimanjaro ที่ 26-08-2017 03:06:12

หัวข้อ: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-08-2017 03:06:12
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


หัวข้อ: Re: Xianxia: Super Martial God Black Bear Emperor Monarch Domination
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-08-2017 03:08:39

นิยายนี้เป็นประเภท Xianxia  หมายถึง  กำลังภายในบวกกับอภินิหาร

+++++






ซีคงหยูนั่งอยู่บนโขดหินและจ้องมองหมีดำตัวใหญ่ที่กำลังดื่มน้ำจากลำธาร  ธารน้ำนี้ไหลมาจากยอดเขาที่สูงที่สุดและขาวโพลนอันเนื่องจากพายุหิมะนิรันดร์  ลิ้นของหมีดำที่แลบเลียน้ำทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมเบาบางเป็นจังหวะบนผิวน้ำที่ใสกระจ่างประดุจผลึก  แต่กระนั้นซีคงหยูก็ยังคงมองเห็นเงาสะท้อนของ ‘ทวีปฟ้า’ ที่ลอยเลื่อนอยู่ระหว่างหมู่เมฆ

“เสร็จแล้ว?”

เขาเอ่ยปากถามเจ้าหมีดำที่นั่งเอื่อยเฉื่อยเลียอุ้งมือตัวเองราวกับสาวน้อยที่รักความสะอาดสุด ๆ

“อ๊ออออออ!!”  มันร้องและค่อย ๆ ย้ายก้นลุกอย่างเชื่องช้า

“งั้นกลับบ้านกันเถอะ  นี่ก็เลยเวลาอาหารเย็นแล้ว”

หมีดำยักษ์เหลือกตาค้อนอย่างชาญฉลาด  มันอยากจะยอกย้อนกลับไปแต่พูดภาษามนุษย์ไม่ได้  จึงทำได้แค่ชี้จมูกไปยังดวงอาทิตย์ที่น่าจะยังไม่ตกดินไปอีกนาน

ซีคงหยูยิ้มเบา ๆ  แล้วเดินเข้าไปโอบคอหมียักษ์  เขาเกาคางมันเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ปีนขึ้นขี่บนหลัง  หมีดำเชิดหน้าขึ้นแล้วค่อย ๆ เหยาะย่างไปข้างหน้าเหมือนกับม้าศึกของจักรพรรดิ


+++++


บนถนนของเมืองสุยอัน  คนขี่หมีเดินเพ่นพ่านไม่ใช่เรื่องแปลก  แต่ที่แปลกคือหมีตัวนั้นเป็นสีดำ  และบนหลังหมีดำคือชายหนุ่มเสื้อดำที่ทุกคนรู้จักกันดีในเรื่องความเหลวไหลไม่เอาถ่าน  คุณชายสามแห่งตระกูลซีคง

คุณชายสามอายุยี่สิบเจ็ด  อายุยี่สิบเจ็ดไม่ใช่เรื่องแปลก  มีชายหนุ่มเป็นล้านที่อายุยี่สิบเจ็ดใน ‘ทวีปดิน1’  ‘ทวีปดิน2’ และ ‘ทวีปดิน3’  แต่คนเหล่านั้นหากไม่เป็นจอมยุทธมีชื่อก็เข้าไปเป็นกลไกต่าง ๆ ในยุทธจักร  บางคนก็สืบทอดกิจการของครอบครัว  ไม่ว่าโรงเตี๊ยมหรือขายปาท่องโก๋ซาลาเปา

มีผู้กล้าไปถามคุณชายสามว่า  ทำไมท่านไม่ทำอะไรเลย  คุณชายสามยิ้ม ๆ แล้วตอบกลับไปว่า  อยากได้คำตอบสั้น ๆ หรือยาว ๆ  คำตอบสั้น ๆ คือ  บ้านข้ารวย  แต่ถ้ายาว ๆ คือขี้เกียจตอบ  มันยาวไป

ผู้รู้บางท่านแอบวิเคราะห์ว่า  คุณชายสามแห่งตระกูลซีคงอาจจะกำลังฝึกปรือเต๋าแห่งความเกียจคร้าน  ยอดวิชาเร้นลับที่เคยสะท้านสะเทือนยุทธภพเมื่อห้าร้อยปีก่อน  แต่ไม่มีใครเคยเห็นซีคงหยูฆ่าไก่แม้สักตัวหนึ่ง  เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  กิน  ดื่ม  และพาหมีออกเดินเล่นในป่าใกล้ ๆ เมืองสุยอัน

ถ้าซีคงหยูเป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง  หมีดำของเขาก็เป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับสอง  แม้ว่าจะมีหลาย ๆ คนที่ชอบหมี  แต่พวกเขาก็จะเลี้ยงหมีขาว  หมีเขียว  หมีแดง  หมีน้ำตาล  แม้กระทั่งหมีหยกม่วงที่หายากและมีราคาสูงลิ่ว  หมีดำเป็นคำแสลงที่แปลว่าขี้ขลาด  ในยุทธจักรที่ร้อนระอุและเต็มไปด้วยหนุ่มห้าวสาวหาญ  ใครกันล่ะจะหาหมีดำมาขี่เล่น

ทว่าด้วยความที่มันประหลาด  ทำให้ทุกคนเห็นหมีของคุณชายสามแต่ไกล  มันเป็นหมีที่รักสงบ  อุ้ยอ้าย  ตาเฒ่าซานที่ทำร่มขายตรงหัวตลาดบอกว่า  ตั้งแต่นั่งขายร่มตรงนี้มายังไม่เคยเห็นเจ้าหมีดำตัวนี้วิ่งเลย  มันเดินเอื่อย  มีขนอุย  บวกกับหน้าง่วง ๆ ของหมีและเจ้าของหมี ทำให้เด็ก ๆ ในเมืองสุยอันชอบวิ่งตามมาจับมากอดมันเล่น  จนบางทีพวกเด็ก ๆ ที่วิ่งตามเป็นพรวนจนดูเหมือนขบวนลูกเสือ

ซีคงหยูบิดขี้เกียจและเหลือบมองเช็คเรตติ้งไปรอบ ๆ  เขามีใบหน้าที่คมคาย  แม้ผิวจะไม่ขาวราวกับหยกตามขนบพระเอกหนังจีนกำลังภายในอันเนื่องจากชอบไปนอนหลับกลางแดดบ่ายบ่อย ๆ  แต่ก็ถือว่าดูดีทีเดียวล่ะ  ทว่าวันนี้ก็เหมือนทุกวันที่เด็ก ๆ สนใจหมีมากกว่าเขา  และพวกผู้หญิงก็เบื่อที่จะมอง  จอมยุทธหล่อ ๆ ในยุทธจักรมีมากมาย  เดินกันขวักไขว่ยิ่งกว่าแมลงวัน  ทำให้คุณชายซีคงดูจืดจาง  ยิ่งกับชื่อเสีย ๆ เรื่องความไม่เอาถ่านของเขาด้วยแล้ว  ต่อให้มีสาว ๆ คนไหนมาสนใจ  พ่อแม่ของนางก็คงมาฉุดพวกนางกลับบ้านเอาผ้ามัดตาเอาแส้เฆี่ยนแล้วให้คุกเข่าสำนึกผิดที่หน้าป้ายบรรพบุรุษเป็นแน่ 

“เรานี่ก็เพอเฟคท์ระดับหนึ่งนะ  แต่....”  คุณชายจอมลอยชายบ่นเบา ๆ  ก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจเฮือกใหญ่

“คุณชายยยยสามมม  คุณชายสามมม!!”

เสียงเรียกร้อนรนและร่างตุ้ยนุ้ยวิ่งฝ่าฝูงคนบนถนนหลักมายังหมีดำตัวยักษ์

  “ไง”

“คุณชายสาม  เกิดเรื่องใหญ่แล้ว  เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”

“อ่ะ”

ซีคงหยูตอบกลับสั้น ๆ เหมือนกับยิ้มบาง ๆ ของเขาที่ดูแทบไม่ใช้ความพยายามของกล้ามเนื้อใบหน้า

“เถ้าแก่หลี่บุกมาหานายท่านกับฮูหยิน  เขาว่านายท่านติดหนี้เขาอยู่หลายปีแล้วยังไม่ใช้คืน”

“อ่าฮะ”

“นายท่านบอกว่า  ไม่มี  ไม่หนี  ไม่จ่าย”

“สมเป็นพ่อข้า”

“แต่เถ้าแก่หลี่พาคนของสำนักดาบประตูทรราชมาด้วย”

“เล่นแรงแฮะ”

“นายท่านเลยต้องยอมทำตามเงื่อนไขของเถ้าแก่หลี่”

“อ้อ”

“เงื่อนไขที่ว่าก็คือ  นายท่านจะต้องส่งใครสักคนไปแต่งงานกับลูกเถ้าแก่หลี่เป็นการขัดดอก”

“อื้อฮึ”

“แต่ว่า..”

“ว่า”

“ลูกของเถ้าแก่หลี่เป็นผู้ชาย”

“แล้ว..”

มาถึงตรงนี้  บ่าวร่างอ้วนประจำตระกูลซีคงก็ขมวดคิ้วมองนายน้อยของตนอย่างพิพักพิพ่วน

“คุณชายสามมีพี่สาวมั้ย”

“ไม่มี”

“แล้วน้องสาวล่ะ”

“โน”

“คุณชายสามยังไม่เห็นปัญหาใช่มั้ย”

“โอ้ว อย่าบอกนะว่าจะส่งพี่ใหญ่ไปขัดดอก  ตกใจมาก  เรื่องนี้ต้องเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์”

“คุณชายสาม...”  อีกฝ่ายเน้นเสียงหนัก

“หา..”

“คุณชายใหญ่เป็นแม่ทัพอยู่ที่แดนเหนือ  คุณชายสองออกท่องยุทธจักรสร้างชื่อให้ตระกูลซีคง  คุณชายสี่ไปคุมกิจการเดินเรือทางใต้  คุณชายสามคิดว่าใครล่ะที่จะว่างแก้ปัญหาหนี้สินให้นายท่านได้”

แม้ว่าซีคงหยูจะเกียจคร้าน  แต่บางทีสมองของเขาก็ทำงานรวดเร็ว  เขาเหลือกตาแล้วกระพือเสื้อตัวเองให้หายตกใจ

“แต่ข้าเป็นผู้ชาย”

“เถ้าแก่หลี่ตั้งใจทำให้นายท่านอับอาย  เผื่อจะได้หน้าบางยอมคืนเงิน”

“ท่านพ่อไม่คืนหรอก”

“บ่าวก็คิดอย่างงั้น”

“เอ๊ะเดี๋ยว  นี่เจ้านินทาพ่อข้าหรอ”

“คุณชายสามอย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย  คิดเรื่องที่สำคัญกว่านั้นดีกว่า”

“อย่างเช่น..?”

“เช่น  จะเลือกชุดเจ้าสาวแบบไหนดี”

“...”


 
+++++++++++++++



มีคนบอกว่า  พ่อค้าจะคดโกงหรือไม่ให้ดูที่หน้า  ถ้ายึดตามตำราห้าลักษณะเถ้าแก่หลี่น่าจะเรียกได้ว่าโคตรโกง  เพราะสิ่งแรกที่สะดุดตาซีคงหยูเมื่อเขาเดินเข้ามาในโถงคือลูกตาของเถ้าแก่หลี่  ข้างหนึ่งเล็ก  ข้างหนึ่งใหญ่  เหมือนเอาไข่ไก่กะไข่ห่านไปวางไว้ใกล้ ๆ กัน

ระหว่างที่คุณชายสามแห่งตระกูลซีคงสำรวจผู้มาเยือน  อีกฝ่ายก็กวาดสายตามองซีคงหยูขึ้น ๆ คง ๆ ลูบเคราแล้วทำเสียงอืม ๆ ในคออย่างพอใจซึ่งทำให้ซีคงหยูรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านพ่อ”  ซีคงหยูเดินจูงหมีเข้ามาด้วย  เพราะตั้งใจจะใช้ขู่พวกนักดาบ

“หยูเอ๋อร์  เข้ามาสิ”

“นี่คงเป็น..”  ซีคงหยูปรายตาไปทางเถ้าแก่หลี่

“หลี่เทียนหลง  เรียกข้าท่านลุงหลี่ก็ได้”

“โอ้”   ซีคงหยูสบถในใจ หน้าอย่างนี้ยังจะกล้าเทียบกับมังกรฟ้า (เทียนหลง) พ่อแม่ของเถ้าแก่หลี่ต้องกินยาผิดขนานแน่ ๆ ตอนตั้งชื่อลูก

“ข้ามาเพื่อปฏิเสธการแต่งงาน”  คุณชายสามเข้าเรื่องทันที

เถ้าแก่หลี่ขมวดคิ้ว  กลุ่มนักดาบที่ยืนอยู่ข้างหลังเถ้าแก่หลี่เขย่าดาบยักษ์ที่กุมในมือกับพื้นจนเป็นเสียงตึบ ๆ  นี่ถ้าร้องว่าเวง อู้ฮูด้วยคงครบสูตร

“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เรอะซีคงเซี่ย”

“ท่านพ่อตกลง  แต่ข้าไม่ตกลง”  ซีคงหยูแย่งพูดแทรก

“เพ้ย  เป็นแค่ทรัพย์สินขัดดอก  อย่าพูดมาก”  นักดาบคนหนึ่งตวาดมาจากข้างหลังเถ้าแก่หลี่  เถ้าแก่หลี่ยกมือขึ้นห้ามอย่างมีสไตล์  ขณะที่ซีคงหยูโกรธจนหน้าเขียว  เขาเขม้นมองคนพูดกะจะจำหน้าเอาไว้ให้แม่น   วิญญูชนแก้แค้นสิบปียังไม่สาย  เอ้อ...สิบปีสั้นไป   ต่อให้สามสิบปีเลยเอ้า

นักดาบคนนั้นจ้องมองหน้าเขากลับอย่างไม่เกรงกลัว  เขามีโครงร่างสูงใหญ่ตามแบบของจอมยุทธที่ใช้ดาบยักษ์  แต่ก็ไม่ได้มีกล้ามเนื้อส่วนเกินจนดูผิดรูป  คางของเขาดูเรียวแสดงถึงความเยาว์วัย  ซีคงหยูประเมินว่าอีกฝ่ายอายุราว ๆ 19 - 21 ปี  เมื่อมองดี ๆ แล้ว  นักดาบคนนั้นก็มีหน้าตาคมคาย  คิ้วหงส์  ตามังกร  จมูกโด่งเป็นสัน  หน้าตาก็ดีไม่น่าปากหมาเลย  ซีคงหยูถลึงตาจ้องพักใหญ่ก่อนแค่นเสียงเฮอะ  เขาไม่ทะเลาะกับพวกเด็ก ๆ หรอก

“ท่านลุงหลี่...”  เมื่อเห็นว่าไม้แข็งใช้ไม่ได้  คุณชายสามก็ใช้ไม้อ่อน  “..ให้ข้าได้โน้มน้าวท่านลุงสักหน่อย  ที่ข้าปฏิเสธการแต่งงานนั้นไม่ใช่เพราะเห็นแก่ชื่อเสียงตัวเองอย่างเดียว  แต่เพราะชื่อเสียงของลูกชายท่านลุงด้วย  ผู้ชายกับผู้ชายแต่งงานกันชาวบ้านก็นินทา  ถ้าข้าเป็นส้วมหน้าบ้านท่านพ่อ  แต่งเข้าบ้านท่านก็เหมือนเอาส้วมไปแขวนไว้หน้าบ้านท่านลุงด้วย  ท่านลุงหลี่ลองคิดดูดี ๆ”

“หืม..”  หลี่เทียนหลงลูบเคราไปมา  พลางส่ายหน้าน้อย ๆ  ซีคงหยูเห็นว่ายังโน้มน้าวไม่ได้ผล  เลยอ้าปากจะพูดต่อ  แต่ซีคงเซี่ยโบกมือ

“หยูเอ๋อร์  เจ้าไปพักผ่อนเถอะ  พ่อจะคุยกะหลี่เทียนหลงต่อเอง”

ซีคงหยูชะงัก  หันไปมองพ่อตัวเอง  ถอนหายใจแล้วโค้งตัวคำนับลา

เขาเดินออกจากห้องโถงพลางแค่นเสียงในใจ  เพ้ย!  ตาแก่  ลงอีแบบนี้ขายลูกกินแล้วแน่ ๆ 



++++++++++


“นั่นใช่มั้ยคุณชายสาม”

“ใช่ ๆ ที่เขาว่าจะแต่งงานออกเรือน”

“จริงหรอ ๆ ข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย  ใครกันเนี่ยที่ตาถั่วมาคว้าไปซะได้”

“ลูกชายของเถ้าแก่หลี่ไง”

“เถ้าแก่หลี่คนนั้นอ่ะนะ”

“คนนั้นแหละ”

“โอ้โห  คนพ่อหน้าแบบนั้น  ลูกจะหน้าแบบไหน  มิน่าถึงมาสนใจคุณชายสามได้  คงไม่มีใครเอาเหมือน ๆ กัน”

เสียงนินทาของพ่อค้าแม่ค้าตามถนนลอยมาเข้าหูซีคงหยู  เขาไม่มีอารมณ์ทะเลาะกะใครเลยได้แต่กัดฟันกรอด ๆ และกำหมัดแน่น  หมีดำตัวยักษ์ที่เดินข้าง ๆ เขาหันมาเลียแก้มปลอบใจ

“เสี่ยวหมี ๆ”  คุณชายสามตบคอหมีดำเบา ๆ อย่างใจลอยและพึมพำ “ถ้าต้องแต่งงานกะใครแต่งกับเจ้าดีกว่านะ”

“อ๊ออออออ”  หมีดำร้องประท้วง

“อะไรนะ  เจ้าก็ไม่อยากแต่งกับข้าหรอ”

หมีดำยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้น

“อ๋อ  เจ้าตัวผู้หรอเนี่ย  เพิ่งรู้แฮะ”

“อ๊ออออออ”

มันร้องแล้วเดินนำหน้าไปด้วยความงอนที่เจ้าของไม่ใส่ใจถึงขนาดไม่รู้เพศ

“รอด้วยเสี่ยวหมี  โอ๋ ๆ อย่าโกรธนะ  เจ้าก็รู้ว่าข้าเล่นมุก”

ทั้งคู่เดินมาถึงประตูเมือง  ที่ประตูเมืองคนแน่นแออัด  เสียงจ้อกแจ้กจอแจ  เหมือนจะเดินออกไปไม่ได้  คุณชายสามจึงปีนขึ้นบนหลังเสี่ยวหมีเพื่อชะแง้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น

สิ่งที่เขาเห็นคือ  ทหารหญิงในชุดแดงจำนวนมาก  เดินนำขบวนเข้ามาในเมือง  แกนกลางของขบวนเป็นเกี้ยวที่มีคนหามเป็นหญิงสาวในชุดขาว  พวกนางสะสวยประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์  ทว่าด้วยพละกำลังที่แสดงผ่านการแบกเกี้ยวทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่าพวกนางเป็นผู้ฝึกปรือพลังยุทธ  เมื่อดูแล้วคนในเกี้ยวน่าจะมีฐานะสูงส่งไม่เบา  เพราะว่าขนาดคนหามเกี้ยวยังเป็นโฉมสะคราญที่มีกำลังฝีมือ  นายของพวกนางจะขนาดไหน

“สำนักวารีพิสุทธิ์”  ซีคงหยูแอบฟังจากชาวเมืองบางคนที่รอบรู้สักหน่อยพูดคุยกัน

เขาคิดทบทวนและพบว่าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้  คงเพราะว่าเขาขี้เกียจติดตามเรื่องในยุทธจักร  ก็เลยไม่ได้อ่านปูมบันทึกอะไรที่เกี่ยวข้องเลย  ซีคงหยูเดินไปฉุดแขนเสื้อของชาวเมืองผู้รอบรู้ที่กำลังสาธยายให้คนอื่น ๆ ฟัง

“นี่แน่ะพี่ชาย..”

“เจ้า..อ้อ  คุณชายสาม  ยินดีด้วย ๆ”

ซีคงหยูรู้สึกปลื้มใจในความโด่งดังของตัวเอง  ขนาดคนที่เขาไม่รู้จักยังรู้จักเขาเลย  แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว

“ยินดีเรื่องอะไร”

“ได้ยินว่า ท่านจะแต่งงานออกเรือน  ยินดีด้วยจริง ๆ”

“อะแฮ่ม ๆ  ยินดีขนาดนี้  เจ้าไปแต่งแทนข้ามั้ย”

ชายผู้นั้นหัวเราะแห้งแล้วเปลี่ยนเรื่อง  “คุณชายสามเรียกผู้น้อย  มีธุระอะไรหรือ”

“พี่ชายรู้มั้ยว่า  สำนักวารีพิสุทธิ์  พวกเขามาทำอะไร”

“สำหรับเรื่องนี้..”   ชายผู้นั้นยิ้มมีเลศนัยแล้วถูมือไปมา ๆ

“เอ้า.. 5 ตำลึงทอง”  ซีคงหยูยัดเงินใส่มืออีกฝ่าย

“มิกล้า ๆ  เกรงใจคุณชายสามจริง ๆ”  ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่ก็รีบคว้าไปกัดดูว่าทองจริงมั้ย  ทำให้ซีคงหยูรู้สึกเสียหน้านิด ๆ  ความเชื่อใจระหว่างมนุษย์อยู่ที่ไหนกัน  นี่ขนาดข้าให้เจ้าฟรี ๆ นะ

“สำนักวารีพิสุทธิ์...”  ซีคงหยูเตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงง่วนกับการเคี้ยวทอง

“อ้อ.. ผู้น้อยได้ยินจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า  สำนักวารีพิสุทธิ์..พวกนางจะคัดเลือกศิษย์เข้าสำนัก”

“คัดเลือกศิษย์เข้าสำนัก”  ซีคงหยูทวนคำ  สายตาลุกวาว  นี่มันจุดเริ่มต้นของจอมยุทธนี่นา  เมื่อเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรดี  ถูกคัดเลือกเข้าสำนัก  ตบตีกับศิษย์พี่ร่วมสำนัก  ถูกพี่เลี้ยงทั้งสาม  เอ๊ยบรรดาศิษย์พี่กลั่นแกล้งนานัปประการ  ตกภูเขา  เจอยอดวิชา  แล้วสำเร็จวิชายุทธออกไปแก้แค้น  จากนั้นก็กลายเป็นเจ้ายุทธจักร!

“คุณชายสาม”  อีกฝ่ายโบกมือไปข้างหน้าเมื่อเห็นว่าซีคงหยูยืนค้างเหมือนกำลังฝันกลางวัน

“เอ้อ...แล้วพวกนั้นจัดการคัดเลือกที่ไหนนะ”

“สำหรับเรื่องนี้...” 

“เอ้า  10 ตำลึงทอง”   ซีคงหยูกัดฟันจ่ายไปอีก

“มิกล้า ๆ  สถานที่คัดเลือกอยู่ที่ถนนปลาคาร์ปและมังกร”

“ถนนปลาคาร์ปและมังกร..  เสี่ยวหมี  พวกเราไปสมัครเข้าสำนักกันเถอะ”

คุณชายสามตบคอหมีแล้วพามันเดินออกไปจากหน้าประตูเมือง
ชายที่ให้ข้อมูลอ้าปากค้าง  จะร้องเรียกแต่ไม่ทัน  จึงได้แต่พูดพึมพำ

“เขารับแต่ผู้หญิงนะ...”

+++++

“อะไรนะ!”   ซีคงหยูตบโต๊ะลงทะเบียน  “ทำไมถึงรับแต่ผู้หญิง  นี่มันความไม่เท่าเทียมทางเพศ!”

“อ๊อออออ”  หมีดำร้องช่วยอีกเสียง

 “คุณชายใจเย็นก่อน  ต่อให้ท่านเป็นผู้หญิงเราก็ไม่รับ”

เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่โต๊ะลงทะเบียนเป็นหญิงสาวท่าทางเยือกเย็น   นางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ  สุ้มเสียงมีพลังซ่อนอยู่   น่ะ..นี่คือ  พลังที่ซ่อนเร้นของเจ้าหน้าที่ธุรการสินะ

“หา..”

“คุณชายคงอายุเกินสิบแปดปีแล้วสินะ  ถ้าท่านอายุเกินถึงจะฝึกปรือไปก็ไร้ประโยชน์  เพราะพ้นช่วงวัยที่เหมาะแก่การสร้างรากฐานแล้ว  ต่อให้ท่านเข้าสำนักได้ก็ได้เป็นแค่ศิษย์ชั้นนอก  ทั้งชีวิตของท่านจะหมดไปกับการผ่าฟืน  ตักน้ำ  และรับใช้ผู้อาวุโสในสำนัก  ข้าพูดความจริงเพราะเจตนาดี  หวังว่าท่านคงไม่ถือสา”

ซีคงหยูขมวดคิ้วมุ่น

“ข้าดูสิ้นหวังขนาดนี้เชียวเรอะ”

เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนมองเขาอย่างประเมิน 

“ก็ไม่สิ้นหวังเท่าไหร่  ท่านน่าจะผ่าฟืนได้ดีเลยล่ะ”

“...”

ซีคงหยูถกแขนเสื้อขึ้น  แล้วคาเบะด้งกับอากาศ

“พี่สาว..”

“ว่าไงคะท่านลุง”

นี่เจ้าจะหาเรื่องกันใช่มั้ย  จะหาเรื่องกันจริง ๆ ใช่มั้ย  ซีคงหยูกัดฟันกรอด ๆ  แล้วปรับน้ำเสียงพูดให้นุ่มนวล

“น้องสาว...รับข้าเข้าสำนักเถอะนะ  ข้ามีความจำเป็นจริง ๆ”

“ท่านมีความจำเป็น  แต่สำนักเราไม่มีความจำเป็น  โปรดกลับไปเถอะ  ผู้สมัครคนต่อไปเข้ามา”

นางโบกมือไล่อย่างปราศจากเยื่อใย


+++++

เมื่อเดินออกจากกระโจมรับสมัครพร้อมกับหมีของเขา  คุณชายสามตบสีคอหมีดำเบา ๆ

“แผน A ใช้ไม่ได้  เจ้ามีแผน B มั้ย  พวกเราจะหนีการแต่งงานนี้ยังไง”

“อ๊ออออออ”

มันกำลังบอกว่า  มันไม่ได้เป็นเจ้าสาวด้วยซะหน่อยจะนับว่าเราไปทำไม

“เจ้านี่ช่างใจจืดใจดำ  ไหนเขาว่าเพื่อนแท้ต้องมีสุขร่วมเสพ  มีทุกข์ร่วมต้าน”

จู่ ๆ ซีคงหยูก็รู้สึกว่ามีสายตาจ้องมอง  เขาหยุดเดินและเงยหน้ามองคนที่ยืนขวางทางตรงหน้า  เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร  คุณชายสามก็ได้แต่ถอนหายใจ  ศัตรูพบกันบนทางคับแคบจริง ๆ

“ฮ่าๆๆ”  นักดาบหัวเราะเย้ยหยัน  “คุณชายสามแห่งตระกูลซีคง  ขี้ขลาดขนาดจะต้องไปสวมกระโปรงหนีการแต่งงานเลยรึ”

ซีคงหยูยิ้มหยันกลับไป   “เจ้ากล้านัก  ก็ไปแต่งกับลูกชายเถ้าแก่หลี่ให้ดูสิ”

“ฮ่า ๆๆ”  เขาหัวเราะอีก  พลางยิ้มเป็นนัย  “เรื่องนั้น..เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้”

“นั่นไงล่ะ  เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอกน่า  เป็นผู้ชายเหมือนกันน่าจะเห็นใจกันบ้าง  จะตามหาเรื่องข้าทำไมกัน”

“โอ๋อวิ๋น”  นักดาบพูดแล้วยื่นมือมาข้างหน้า

ซีคงหยูยื่นมือไปจับอย่างงง ๆ  “ห๊ะ”

“ชื่อของข้า โอ๋อวิ๋น”

“ซีคงหยู”

“รู้อยู่แล้ว”

“ข้าพูดตามมารยาท”  คุณชายสามงับกลับ  พลางคิดในใจ  หมอนี่ก็ชื่อก้าวร้าวอีกล่ะ  เมฆผยองงั้นรึ  ถ้าไม่มาดแมนแฮนซั่มขนาดนี้  คงน่ากวาดไปกองรวมกับตาลุงอัปลักษณ์หลี่เทียนหลง

นึกขึ้นได้ก็กวาดสายตาปราดอย่างระมัดระวัง  “เจ้าต้องการอะไร”

“ก็แค่ทำความรู้จัก  คุณชายสามและหมีดำผู้โด่งดัง”

“ถึงรู้จักกัน  ข้าก็ไม่เลี้ยงข้าวหรอกนะ”

“....”





++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: Super Martial God Black Bear Emperor Monarch Domination
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-08-2017 07:32:23
โอ้....น่าสนุก  ตาม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
โอ๋หยุน ใช่ลูกชายเถ้าแก่หลี่ หรือเปล่านะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Xianxia: Super Martial God Black Bear Emperor Monarch Domination
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 26-08-2017 12:21:47
ทำไม ชอบสำนวนการเขียน
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: Super Martial God Black Bear Emperor Monarch Domination
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-08-2017 14:23:18
แต้งกิ้ว ♥►MAGNOLIA◄♥  และ ก้มหน้าก้มตา  ที่เข้ามาให้กำลังใจคับ   :katai2-1:


++++


ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ทำความรู้จักอะไรกันต่อ  กระโจมคัดเลือกศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์ก็เปิดออกมา  คุณชายสามเหลียวมองเพราะได้ยินเสียงโล่และชุดเกราะของทหารหญิงชุดแดงที่ดังขึ้นจากการเคลื่อนไหวทำความเคารพ

“คุณชายซีคง..”  หญิงสาวท่าทางเยือกเย็นคนนั้นนั่นเอง   “ผู้อาวุโสเชิญท่านไปพบ”

ซีคงหยูชี้หน้าตัวเองอย่างประหลาดใจ  อีกฝ่ายพยักหน้าน้อย ๆ  คุณชายสามหันไปโบกมือลานักดาบโอ๋หยุนซึ่งแค่แค่นเสียงและทำหน้าเย็นชาใส่

“เชิญทางนี้”

เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนพาเขาไปทางข้างหลังกระโจม  ข้างหลังกระโจมเป็นสวนท้อ  สวนแห่งนี้ชื่อว่าสวนร่ำรวยมั่งคั่งเป็นของเศรษฐีในย่านถนนปลาคาร์ปและมังกร  ในสวนมีเก๋ง (ศาลาแบบจีน)  และในเก๋งก็มีเกี้ยว  ในเกี้ยวมีผู้คน  แต่ระหว่างผู้คนและซีคงหยูมีม่านแพรขาวกั้น

เงาร่างในเกี้ยวนั้นเห็นเพียงแค่เป็นสตรี  มีผมยาวที่มวยขึ้นอย่างอลังการตามแบบอย่างชนชั้นสูง  ซีคงหยูสูดจมูกฟุดฟิด  เขาได้กลิ่นสมุนไพรและดอกไม้พิสดารที่มากไปกว่ากลิ่นดอกท้อ  หญิงสาวที่นำทางเขามาย่อตัวคำนับคนในเก๋ง  แล้วค่อย ๆ ถอยออกไปจากอุทยาน

“ผู้อาวุโส”  ซีคงหยูคำนับอย่างรู้งาน

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง  ก่อนจะถามด้วยสุ้มเสียงที่ไพเราะประดุจปักษาสวรรค์

“ยินว่าคุณชายซีคงมีเรื่องลำบากใจ”

“ผู้อาวุโสได้ยินมาไม่ผิด  พูดแล้วก็น่าละอาย  ผู้น้อยไร้ความสามารถ  ช่วยเหลือตระกูลไม่ได้  ต้องใช้ร่างกายชดใช้หนี้”

“คุณชายไม่ยินยอม?”

“เรื่องนั้น...”

“ในยุทธจักรมีเรื่องเล่ามากมายถึงหญิงสาวที่ชดใช้บุญคุณด้วยร่างกาย  หากสตรีสามารถเป็นวัวเป็นควายใช้หนี้ได้  เหตุใดบุรุษต้องมีข้อเดียดฉันท์กับเรื่องนี้”

ซีคงหยูเงยหน้าขึ้นมองเงาในเกี้ยวด้วยประกายตาวาววับ

“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ได้เรียกผู้น้อยมาสอนสั่งแค่นี้?”

“นั่นเป็นมุมมองส่วนตัวของข้า  แต่สำหรับมุมมองของสำนักวารีพิสุทธิ์..”  นางทอดเสียง  และหยุดไปเหมือนกำลังครุ่นคิด  ซีคงหยูรอฟังจนแทบไม่กล้าระบายลมหายใจ

“..ตัดสินใจว่าจะรับคุณชายเป็นศิษย์ชายคนแรกของสำนัก”

“ขอบคุณผู้อาวุโส  ขอบคุณผู้อาวุโส”  คุณชายสามรีบคำนับแล้วคำนับอีก

“ไม่สงสัยเลยรึ?”

“ผู้อาวุโสมีจิตใจกว้างขวางประดุจมหาสมุทร  และมีความเมตตาประดุจพระโพธิสัตว์  เมื่อเห็นผู้น้อยเดือดร้อนท่านย่อมยื่นมือช่วยเหลือเป็นธรรมดา”

“ฮ่า ๆๆๆๆ”  นางหัวเราะเสียงติงตังจากม่านแพร  ก่อนจะใช้เสียงที่เย็นชากว่าเดิม “หยุด..  ข้าไม่ชอบคนขี้ประจบ  และสิ่งที่คุณชายพูดแสดงว่าท่านไม่รู้จักสำนักวารีพิสุทธิ์”

“ผู้น้อยล้างหูน้อมรอฟัง”

“ข้อหนึ่งสิ่งที่สำนักวารีพิสุทธิ์ชิงชังที่สุดคือการบังคับให้หญิงสาวแต่งงานเพื่อผลประโยชน์  ในมุมมองของสำนักแง่หนึ่งท่านย่อมเข้าเงื่อนไขที่จะเป็นศิษย์”

ซีคงหยูก้มหน้าซ่อนยิ้ม  นี่มันแจ๊คพ็อตชัด ๆ

“ข้อสอง  ข้าชังคนจากสำนักดาบประตูทรราช  ชัดเจนมั้ย”

คุณชายสามอมยิ้มอีก  แจ๊คพอตที่สอง  นี่สินะ  โชคของตัวละครเอก  เดินสุ่ม ๆ ก็เจอแหวนครองพิภพ  เพ้ย  เจอยอดคนให้การช่วยเหลือ  ชีวิตดี ๆ คือชีวิตที่เลซี่ไม่ต้องปีนเขาไปสมัครสำนักไหนอีก

แต่จู่ ๆ ซีคงหยูก็ขมวดคิ้ว  “แต่ว่า...ผู้น้อยไม่ได้มีข้อบาดหมางกับสำนักประตูทรราชขนาดนั้น”

“ฮ่า ๆๆๆ”  นางหัวเราะอีกครั้งมีแววเย้ยหยันนิด  ๆ ในเสียง  “คุณชายไม่รู้จริง ๆ หรือว่าคนที่คุณชายเจอหน้ากระโจมคือใคร”  อย่างไม่รอให้ซีคงหยูคาดเดา  นางพูดสำทับด้วยน้ำเสียงหนักทันที  “หลี่โอ๋อวิ๋น  ศิษย์เอกสำนักประตูทรราช  ลูกชายของหลี่เทียนหลง!”

ฟัค!!  ถ้าท่านไม่สปอยล์หนังสักเรื่องท่านจะนอนไม่หลับใช่มั้ย

   
+++++++

เมื่อซีคงหยูออกมา  นักดาบเจ้าปัญหายังคงรออยู่ที่หน้ากระโจม  คุณชายสามเห็นแล้วจึงกระโดดขี่หมีดำเพื่อเพิ่มความสูงและความน่าเกรงขาม  จากนั้นชี้หน้าตวาด

“หลี่โอ๋อวิ๋น  เจ้ากับข้ามีเรื่องต้องเคลียร์กัน!!”

หลี่โอ๋อวิ๋นสำลักหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ  ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเยาะ  “รู้แล้วหรอ”

“ผู้หญิงดี ๆ มีเจ้าไม่แต่ง  มาแต่งกับข้าทำไมวะ”

ทันใดนั้น  ก็มีเสียงเป่าปาก  และแซวโห่จากชาวเมืองที่อยู่แถวนั้น

“วีดวิ้ว  เอาเลยคุณชายสาม  ปราบสามีให้สิ้นฤทธิ์  แต่งงานไปจะได้ไม่กล้าหือ”

“โอ้  นี่สินะแม่เสือสาว  เอ๊ย  เสือหนุ่ม”

“เพ้ย”  คุณชายสามตวาดใส่พวกจีนมุง  ก่อนหันไปกัดนักดาบหนุ่มต่อ  “เจ้ากะข้าไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน  เจ้าทำเช่นนี้มีเจตนาอะไร”

หลี่โอ๋อวิ๋นยักไหล่  “แต่พ่อข้ากะพ่อเจ้ามีเรื่องบาดหมางกัน”

“พวกคนแก่ก็ส่วนคนแก่  พวกเราคนหนุ่มแทนที่จะแยกย้ายหาเมีย  ทำไมต้องทำเรื่องให้วุ่นวายด้วย”

“ใช่  คนแก่ก็ส่วนคนแก่  ข้าถึงไม่แต่งกับพ่อเจ้าไง  และเจ้าน่าจะขอบคุณข้ามากกว่านะที่ทำให้เจ้าขายออก  คิดว่าชาตินี้เจ้าจะมีปัญญาหาเมียได้หรือไง”

“หลี่โอ๋อวิ๋น!”   ซีคงหยูโกรธจนหน้าเขียว  แต่แล้วก็นึกขึ้นได้  จึงหัวเราะร่า  “ฮ่า ๆๆๆ  แต่เสียใจด้วย  แผนร้ายของเจ้าต้องสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้”

“คุณชายสามสู้ ๆ”  เสียงกองเชียร์ดังขึ้นมาอีกเมื่อเห็นซีคงหยูเริ่มหัวเราะแบบดาวร้าย

“ตอนนี้ข้าคือศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์  ไม่มีใครบังคับข้าแต่งงานได้  หลี่โอ๋หยุน  เจ้าไสหัวไปแต่งกะหมีเถอะ”

“อ๊อออออออ!!”   เสี่ยวหมีร้องประท้วงที่โดนสบประมาท

นักดาบร่างสูงเพียงแค่เลิกคิ้วเหมือนกับคาดเอาไว้อยู่แล้ว  จากนั้นเขาจึงชักดาบออกมาแล้วตวาดไปทางกระโจม

“สำนักวารีพิสุทธิ์  พวกเจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง!”

หญิงสาวท่าทางเยือกเย็นเดินออกมาจากกระโจมและประสานมือคารวะ

“คุณชายหลี่  อุตส่าห์มาเยือนการคัดเลือกศิษย์ของเรา  ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับ”

สำนวนว่าเราไม่อาจตบหน้าคนที่ยิ้มให้  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงได้แต่สอดดาบกลับเข้าฝัก  แล้วกล่าวด้วยเสียงห้าว

“ได้ยินชื่อเสียงสำนักวารีพิสุทธิ์มานานเหมือนอัสนีบาตฟาดกรอกหู  ว่าชอบทำลายความสุขของคนหนุ่มสาว  วันนี้ข้าได้มาเห็นกับตานับว่าไม่เสียคำร่ำลือ”

“คุณชายหลี่ชมเกินไป”

“สำนักเราบาดหมางกันก็จริงอยู่  แต่ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้  นี่มันเรื่องส่วนตัวของข้ากับเขา”  หลี่โอ๋อวิ๋นชี้ไปทางคุณชายสามที่นั่งชมดราม่าอยู่บนหมี

“สำนักวารีพิสุทธิ์จะรับใครเข้าสำนักก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเราเหมือนกัน”

“เจ้า..”  หลี่โอ๋อวิ๋นโกรธเข้าไปใหญ่  เมื่อเห็นคุณชายสามแลบลิ้นปลิ้นตาใส่จากข้างหลัง  แต่ทันทีที่มือของเขาเลื่อนไปกุมด้ามดาบ  ทหารหญิงจากหน้ากระโจมก็กรูเข้ามาป้องกันสตรีชุดขาวทันที

“เจ้าจะเป็นศัตรูกับประตูทรราชจริง ๆ ใช่มั้ย”

“ถ้าคุณชายหลี่สามารถพูดแทนสำนักท่านได้  ผู้น้อยอาจจะตอบคำถามนี้”  นางกล่าวแล้วประสานมือค้อมตัวอีกที  “ถ้าคุณชายหลี่ไม่มีธุระอะไร  ขออภัยที่ไม่ส่ง”

“ช้าก่อน  เจ้าชื่ออะไร”

“ผู้น้อยเรียกว่าไป่หลันหลัน”

“ข้าจะจำเจ้าไว้”

หลี่โอ๋อวิ๋นพูดจบ  กระแทกดาบที่ชักออกมานิดหน่อยกลับเข้าฝัก  แล้วสะบัดหน้าจากไป

“ศิษย์พี่หญิงไป่”   ซีคงหยูรีบปีนลงจากหมีไปตีสนิท

“ศิษย์น้องลุงซีคง”

“เฮ้...”  คุณชายสามกระแอมอย่างอาย ๆ   “ยุทธจักรนับถืออาวุโสกันที่วรยุทธ  ศิษย์พี่หญิงอย่าได้เกรงใจที่จะเรียกข้าว่าศิษย์น้อง...เฉย ๆ”

นางยิ้ม  แต่ไม่ตอบอะไร
ซีคงหยูกระอักกระอ่วนกับความเงียบเลยกระแอมอีกแล้วพูดว่า

“ขอบคุณศิษย์พี่หญิงที่ช่วยขจัดภัยพาล  อภิบาลคนดี  ต่อไปนี้ศิษย์น้องคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ในการดูแลของท่าน”

“ศิษย์น้องซีคงขายร่างกายหรือขายศิลปะ”

“เฮ้ ๆ หมายความว่าไง”

“ถ้าไม่มีศิลปะก็ต้องเอาร่างกายมาแลก  ข้าถึงจะดูแลศิษย์น้องได้”

ไป่หลานหลานพูดแล้วก็เอานิ้วจิ้มที่อกจนคุณชายสามสะดุ้ง

“เอ่อ  ข้าไม่ขายทั้งสองอย่างได้มั้ย”

“เฮอะ งั้นก็ดูแลตัวเอง”  นางแค่นเสียงใส่แล้วสะบัดหน้ากลับเข้ากระโจมไปอีกคน

“เฮ้อ  ผู้คนเดี๋ยวนี้อารมณ์เปลี่ยนแปลงไว  เอาใจยากซะจริง”

ซีคงหยูบ่นพึมพำ  จากนั้นก็จูงหมีดำตัวยักษ์กลับบ้านเพื่อไปแจ้งข่าวท่านพ่อ





+++
หัวข้อ: Re: Xianxia: Super Martial God Black Bear Emperor Monarch Domination
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-08-2017 15:13:34
ตลกดีค่ะ คำว่าหมีเยอะจนต้องค่อย ๆ อ่านอย่างระวัง ฮา
คุณชายสามดูเป็นคนเกรียน ๆ นะ ส่วนคุณชายหลี่ก็ดูท่าจะอยากได้คุณชายสามเป็นเมียมาก (หัวเราะ)

ปล. ชื่อเรื่องทำเราพรั่นพรึงไปพักหนึ่งเลย เราว่าชื่อยาวไป แล้วก็อย่าลืมใส่ข้อมูลบทที่กับวันที่อัพเดทลงไปในชื่อเรื่องด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: Super Martial God Black Bear Emperor Monarch Domination
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-08-2017 18:27:48
ขอบคุณคุณ sirin_chadada ที่แนะนำครับ   :3123:

+++++


ซีคงหยูกลับเข้ามาในบ้านก็เห็นพ่อของตนนั่งเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ที่โต๊ะฝังมุกตัวสวยประจำบ้าน  เขาโบกมือไล่เสี่ยวหมีให้เดินไปที่อื่น  ก่อนรีบไปนั่งใกล้ ๆ ซีคงเซี่ย

“ท่านพ่อ  ใครทำอะไรท่าน”

“หยูเอ๋อร์...กลับมาแล้วหรอ”  ซีคงเซี่ยใช้แขนเสื้อปาดหน้าอีกที  แล้วหันมามองลูกชายคนที่สามอย่างเพ่งพินิจ

“ท่านพ่อเสียใจที่ข้าไม่ยอมแต่งงานกับลูกเถ้าแก่หลี่ใช่มั้ย   ข้ามันอกตัญญู  ข้าสมควรตาย  ข้าผิดไปแล้ว  แต่ยังไงข้าก็ไม่แต่ง  ฮ่าๆๆๆ”   

ซีคงเซี่ยฟังแล้วก็นึกอยากด่าในใจ  ไอ้ลูกเวร  แต่แล้วก็ถอนหายใจ

“เรื่องตาแก่แซ่หลี่น่ะช่างมันเถอะ  หยูเอ๋อร์  เข้ามาให้พ่อดูใกล้ ๆ ซิ”

คุณชายสามขนลุกอย่างบอกไม่ถูก  วันนี้ตาเฒ่าอารมณ์พิกล  จะหลอกลูกไปขายที่ไหนอีกหรือเปล่านะ

“หยูเอ๋อร์...”  เขาจับแขนลูกชายอย่างมั่นเหมาะ  “พ่อเลี้ยงเจ้ามาตั้งยี่สิบเจ็ดปี  ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้”

“วันที่ข้าจะมีสามีใช่มั้ยท่านพ่อ  เพ้ยยย  ไม่ใช่ ๆ”

“เจ้านี่ตลกดี  สงสัยเลือดพ่อมันแรง  สมัยก่อนพ่อก็เป็นคนตลก  แม่เจ้าขำจนยอมเป็นเมียเลย”

ซีคงหยูทำหน้าไม่เชื่อ  เฒ่าสารพัดพิษอย่างท่านพ่อ  คงใช้ยาเสียสาวกะท่านแม่มากกว่า

“หยูเอ๋อร์..”

“มีอะไรก็ผายลมมาท่านพ่อ  จะขึ้นว่าหยูเอ๋อร์อีกสิบเจ็ดรอบมั้ย  ข้ามีเวลาไม่เยอะ”

“...”

อึ้งไปสักพัก  ซีคงเซี่ยก็ถอนหายใจ

“เฮ้อ  ไม่นึกไม่ฝันว่าในที่สุดเจ้าก็มีงานทำ  อย่างน้อยก็ได้ฝึกผ่าฟืน  หาบน้ำที่สำนักวารีพิสุทธิ์  พ่อดีใจจนน้ำตาไหลเลยล่ะ”

“นี่ท่านรู้แล้วหรอ”

“ข่าวเมืองนี้ไวจะตาย”

ซีคงหยูขบคิดตามและพบว่าจริง  ชาวบ้านช่างเมาท์ขนาดนี้  ความเป็นส่วนตัวอยู่ที่ไหนกัน  สวรรค์!

“หมายความว่าข้าไม่ต้องแต่งกะหลี่โอ๋หยุนแล้วหรอท่านพ่อ”

“เจ้ารู้ชื่อเขาแล้วรึ  อ้อใช่  ได้ยินว่าเจ้าไปปะทะคารมกะลูกเขยข้าที่ถนนปลาคาร์ปและมังกรนี่นะ”

“เรียกว่าลูกเขยอะไรกันท่านพ่อ  เดี๋ยวเตะเลยนี่”

“ข้าเป็นพ่อเจ้านะ”

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ  สรุปว่าข้าไม่ต้องแต่งแล้วใช่มั้ย”

ซีคงเซี่ยพยักหน้า  แต่ไม่ทันที่ซีคงหยูจะดีใจ  อีกฝ่ายก็ปริปากต่อ

“แต่...”

คุณชายสามใจเต้นตุ่มต่อม  โฆษณาสมัยนี้นี่ไว้ใจไม่ได้  เดี๋ยวก็มีดอกจันเต็มไปหมด

“..เจ้าก็รู้ใช่มั้ยกฎยุทธจักร”

“ห๊ะ”

“ถ้าจะบอกเลิกการหมั้นหมาย  ผู้ถูกเลิกสามารถท้าประลองกับคู่หมั้นเพื่อรักษาเกียรติยศของตนเองได้”

“เห้ย  มันมีกฎบ้า ๆ แบบนี้ด้วยหรอ  ฝ่ายบุคคลอยู่ที่ไหน  ข้าจะไปลาออกจากยุทธจักร”

ซีคงเซี่ยไม่สนใจที่ลูกชายพูดจาเหลวไหล  เขากล่าวต่อช้า ๆ

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลี่โอ๋หยุนเป็นยอดฝีมือระดับใด”

คุณชายสามส่ายหน้า  ขนลุกชูชันเมื่อนึกถึงตอนที่ฝ่ายโน้นชักดาบออกมาขู่คำรามที่ถนนปลาคาร์ปและมังกร  อึ๋ย ๆ เขาอนุญาตให้ใช้โปเกมอ.. เพ้ย  สัตว์วิเศษสู้แทนได้มั้ย  จะได้ส่งเสี่ยวหมีไปตายแทน

“อ๊ออออ!”  เสี่ยวหมีร้องจากนอกห้องราวกับรู้เจตนาชั่วร้ายของเจ้าของ

“หลี่โอ๋หยุน  เป็นศิษย์เอกของสำนักดาบประตูทรราช  พลังฝีมือของเขาอยู่ในระดับสุดยอดของเมฆาเคลื่อนคล้อย  หยูเอ๋อร์  เจ้าเปลี่ยนใจไปแต่งกับเขาตอนนี้ก็ยังไม่สาย  มีสามีเป็นยอดฝีมือ  สบายไปทั้งชาติ”

“ท่านพ่อ!”

ซีคงหยูขมวดคิ้ว  และนึกทบทวนเรื่องเกี่ยวกับชาวยุทธที่เคยรู้ ๆ มาบ้าง   พลังฝีมือของชาวยุทธในทวีปดิน1 แบ่งออกเป็นสี่ระดับ  ยอดกวีหวูไหว่ได้ประพันธ์ไว้ว่า  ตะวันขึ้นสาย  เมฆาเคลื่อนคล้อย  จันทราเลื่อนลอย  ดาราเงียบงัน 

สำหรับคนทั่ว ๆ ไป  รวมทั้งซีคงหยู  ถือว่าไม่ถึงขั้นตะวันขึ้นสายด้วยซ้ำ  จะเรียกว่าเป็นคนธรรมดาก็ไม่ผิด  ผู้ฝึกปรือระดับตะวันขึ้นสายเป็นจอมยุทธทั่ว ๆ ไป  หัวขโมย  นักล่าเงินรางวัล  ศิษย์ตามสำนักต่าง ๆ  ยอดฝีมือระดับเมฆาเคลื่อนคล้อยมักจะไม่ปรากฎตัวในที่สาธารณะ  พวกเขาล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญ  หรืออัจฉริยะของแต่ละสำนัก

หลี่โอ๋หยุนไม่ใช่เมฆาเคลื่อนคล้อยธรรมดา  แต่เขายังอยู่ในระดับสุดยอด  ซึ่งหมายความว่าก้าวเดียวเท่านั้นเขาจะก้าวเข้าสู่เขตแดนของจันทราเลื่อนลอย
 
“เฮฟเว่นอโบฟ!”   ซีคงหยูอุทานแล้วเหลือกตามองสวรรค์เบื้องบน


++++

ซีคงหยูอยู่หน้ากรงนกพิราบ  ในกรงมีนกพิราบสามตัว  ข้างมือเขาคือสมบัติของบัณฑิต  ในมือถือพู่กันและพู่กันก็จรดลงไปในกระดาษเบื้องหน้า  เจ้าตัวพึมพำเบา ๆ ตามตัวอักษรที่ปาดป้ายลงไป

“พี่ใหญ่  ช่วยข้าด้วย  เรื่องด่วนสุด ๆ  มีคนจะฆ่าข้า..  โอ๊ะ ฟังดูรุนแรงไป”  คุณชายสามขยำกระดาษแล้วเขียนใหม่

“ช่วยข้าด้วย  ข้ามีเรื่องกับว่าที่สามีของข้า...  โอ๊ะ  ฟังดูเป็นเรื่องผัวเมียตบกัน  ไม่ได้ ๆ”  ขยำกระดาษไปอีกก้อน

“พี่ใหญ่   ช่วยข้าด้วย  ข้ามีเรื่องกับยอดฝีมือหลี่โอ๋หยุน  มันสบประมาทพี่ใหญ่ว่าจู๋สั้นนิดเดียว  ด้วยความหน้ามืดโมโห  ข้าก็เลยท้าประลองกับมัน  แต่ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีพลังฝีมือ  ไก่สักตัวยังฆ่าไม่ได้  พี่ใหญ่ต้องช่วยข้านะ  จากน้องสามที่น่ารักของพี่”

คุณชายสามม้วนจดหมาย  แล้วใส่ในกระบอกที่ข้อเท้าของนกพิราบ  จากนั้นเปิดกรงให้ตัวนั้นออกมา 

“ไปหาพี่ใหญ่นะ”  เขาพามันไปที่หน้าต่างแล้วปล่อยออกไปข้างนอก

“ของพี่สองเขียนว่าไงดีนะ  เมียมีชู้ดีมั้ยนะ”

“นายน้อยยย  นายน้อยยยย!!”

บ่าวร่างอ้วนวิ่งเข้ามาที่หน้าห้องเขาอย่างกระหืดกระหอบ  นกพิราบในกระตกใจจนกระพือปีกขนปลิวว่อนไปหมด  ซีคงหยูย่นจมูกแล้วเดินไปดู

“มีอะไรห๊ะหลิวเกา”

“นายน้อยจะไปสำนักวารีพิสุทธิ์  ทำไมไม่บอกบ่าวสักคำ”

“ข้าต้องบอกเจ้าด้วยเรอะ  เจ้ากรมข่าวลือแห่งตระกูลซีคง”

“นายน้อยชมเกินไปแล้ว”

“ไม่ได้ชมเฟ้ย  แล้วเจ้ามีเรื่องอะไร”

“นายน้อย  ให้บ่าวตามไปด้วย  บ่าวจงรักภักดีต่อนายน้อย  กลัวนายน้อยจะไปพบกับความยากลำบาก  ถ้านายน้อยเดินทางตอนกลางคืน  ใครจะจุดกองไฟให้นายน้อยผิง  ในตอนกลางวันใครจะทำอาหารให้นายน้อยทาน”

ซีคงหยูฟังแล้วก็พยักหน้าหงึก ๆ อย่างเห็นด้วย  แต่แล้วก็ชะงัก

“เจ้าว่ายังไงนะ  จะไปด้วยอย่างงั้นเรอะ”

หลิวเกาพยักคางสามชั้นหงึก ๆ

“เจ้าตัวอ้วนเชื่องช้า  จะเป็นตัวภาระของข้าหรือเปล่า”

“บ่าววิ่งเร็วกว่าเสี่ยวหมี”

“โอเค  ผ่าน”

“อ๊อออออ!!”

“งั้นรอเดี๋ยว  ข้ากำลังเขียนจดหมายหาพี่สองกะน้องสี่”

เนื่องจากเวลาเร่งกระชั้น  คุณชายสามก็เลยเขียนไปเหมือน ๆ กันเรื่องจู๋สั้น  แล้วก็ปล่อยนกพิราบ  จากนั้นก็ขนสัมภาระเครื่องนอนหมอนมุ้งขึ้นหลังเสี่ยวหมีอย่างองอาจพร้อมกับบ่าวรับใช้หนึ่งคนไปยังค่ายชั่วคราวของสำนักวารีพิสุทธิ์ที่ถนนปลาคาร์ปและมังกร


++++++


ไป่หลันหลันกรีดนิ้วไล่ตามรายชื่อศิษย์ใหม่อีกครั้ง  การมาเมืองสุยอันถือว่าประสบความสำเร็จ  สำนักสามารถรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์กว่าสิบคน  สามในนั้นมีพลังฝีมือระดับตะวันขึ้นสายเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ยังไม่อายุ 18

นางไล่มาถึงรายชื่อสุดท้าย  ชื่อเจ้าปัญหา  นามนั้นถูกทวนในปากเบา ๆ

“ซีคงหยู”

รอยยิ้มลึกลับปรากฏที่มุมปาก  ไป่หลันหลันเป็นคนฉลาด  นางไม่เชื่อว่าเพียงเหตุผลที่คุณชายสามเข้าไปพัวพันกับสำนักประตูทรราชจะนำไปสู่การแหกกฎสำนักครั้งใหญ่โดยรับผู้ชายเข้าเป็นศิษย์เช่นนี้

“ผู้อาวุโสคงมีเหตุผลของนาง”

พึมพำอยู่ครู่หนึ่ง  ทหารชุดแดงก็เข้ามารายงานว่าศิษย์ใหม่ทุกคนมาถึงจุดรวมพลแล้ว  รวมทั้งคุณชายสามแห่งตระกูลซีคง  ไป่หลันหลันโบกมืออย่างเยือกเย็นให้ทหารหญิงเก็บกระโจมและค่ายชั่วคราวทั้งหมด

นางก้าวออกไปที่ลานกลางถนนปลาคาร์ปและมังกร  บริเวณนั้นถูกกันไว้สำหรับสำนักวารีพิสุทธิ์โดยเฉพาะ  และคนทั่วไปทำได้เพียงแค่ยืนดูห่าง ๆ  พ่อแม่ของเด็กสาวซึ่งเข้าสำนักบางคนก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยรู้ว่าถึงเวลาที่ลูกจะต้องพรากจากไป  ไป่หลันหลันกวาดสายตาไปรอบ ๆ  ศิษย์ใหม่ทั้งหลายต่างมีสีหน้าต่าง ๆ กัน  บ้างก็คาดหวัง  บ้างก็เย่อหยิ่ง  บ้างก็เอียงอาย  และบ้างก็แอบหลับ..โดยเฉพาะไอ้คนที่นอนเอกเขนกอยู่บนหลังหมีดำ

ไป่หลันหลันยิ้มเย็น  นายสิบคู่ใจก็เดินเข้าไปเตะหมีดำให้ตื่นทั้งหมีทั้งเจ้าของ

“โอ้...จะไปกันแล้วเรอะ”

คุณชายสามเช็ดน้ำลาย  มองไปรอบด้วยสายตาบ๊องแบ๊ว  พวกเด็กสาวมองสวนกลับอย่างเหยียดหยาม  และนึกในใจว่า  ตาลุงขยะนี่  พวกนางไม่รู้ว่าทำไมซีคงหยูถึงผ่านการคัดเลือกได้  และทำให้จินตนาการของพวกนางเพริดไปร้อยแปด

ตาลุงนี่ต้องขายร่างกายให้เจ้าหน้าที่ทะเบียนแน่ ๆ  หน้าตาก็ดีไม่น่าหาความสำเร็จทางลัดเลย

ซีคงหยูรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรของศิษย์ใหม่คนอื่น ๆ  เลยเสมองนกมองไม้และผิวปากไป  ไป่หลันหลันซึ่งไม่รู้ตัวว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของข่าวซุบซิบโบกมือให้เคลื่อนพล  ทหารหญิงชุดแดงเดินนำหน้าไปอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับธงทิว  ศิษย์ใหม่เดินตาม  และพวกศิษย์ปัจจุบันก็พากันไปหามเกี้ยวให้ผู้อาวุโส

คุณชายสามบอกเสี่ยวหมีให้รักษาความเร็วไปพร้อม ๆ กับขบวนและมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น  ชาวเมืองสุยอันออกมาดูขบวนของสำนักวารีพิสุทธิ์ที่ค่อย ๆ เดินทางออกจากเมือง  และชี้ชวนกันดูอะไรต่าง ๆ ในชบวนพร้อมกับซุบซิบนินทา  พวกเด็ก ๆ ที่ชอบเล่นกับเสี่ยวหมีทำท่าจะถลันออกไปบอกลามัน  แต่พ่อแม่ของพวกเขารีบจับมันไว้เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของทหาร

นอกเมืองสุยอันเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านป่าและเทือกเขา  สำนักวารีพิสุทธิ์อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองห่างออกไปสามร้อยลี้  เมื่อเดินทางออกมาไม่ทันไร  ก็พบจุดที่พื้นดินลาดต่ำเต็มไปด้วยป่าพรุ  ไป่หลานหลานให้คนเอาสมุนไพรมาแจกกับศิษย์ใหม่  มันเป็นสมุนไพรกับยุงและแมลงมีพิษ  ซึ่งจำเป็นสำหรับคนธรรมดาที่ไม่สามารถเรียกปราณคุ้มครองกายได้

ทุกคนเดินกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย  ซีคงหยูฟังจากที่พวกเด็กสาวคุยกันว่าเป็นเพราะยอดฝีมือในขบวนใช้วิชาเซียนช่วยเหลือ   ซึ่งทำให้เขารู้สึกทึ่งกับความหลากหลายของวิชายุทธ   แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าพวกจอมยุทธฝึกวิชาไปก็เพื่อต่อสู้กัน  และไม่เกี่ยวกับคนธรรมดา  แต่ดู ๆ แล้วมันก็มีประโยชน์กว่าที่คิด  บางทีอาจจะมีวิชาเซียนที่สร้างลมอัตโนมัติ  เอาไว้นอนเล่นตอนหน้าร้อน

“ศิษย์น้อง”   เขาสะกิดเรียกแม่นางคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่มศิษย์ใหม่   หน้าตาของนางดูธรรมดา  เหมือนลูกสาวชาวนา  มีผิวกร้านแดดกร้านลม  แต่มีใบหน้าที่อ่อนโยน

“มีอะไร”  จริง ๆ นางตั้งใจจะเพิกเฉยกับผู้ชายคนเดียวในขบวน  แต่ด้วยความใจอ่อนของนางทำให้ยอมปริปากคุย

“ข้าควรเรียกเจ้าว่าไง”

“ข้าแซ่จาง”

“ศิษย์น้องหญิงจาง  ข้าแซ่ซีคง  ชื่อหยู”

“ศิษย์พี่ซีคง”  นางประสานมือทักทายกลับ

“ศิษย์น้องหญิงจางดูมีสง่าราศี  ดูมีความเป็นผู้นำ  ไม่ทราบว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องฝึกปรือถึงขั้นใด”

ผู้ถูกถามเม้มปากเล็กน้อย  ปกติแล้วการถามระดับพลังฝีมือเป็นเรื่องถือสาในยุทธจักร  แต่เมื่อมองสีหน้าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวของซีคงหยูแล้ว  จางชุ่ยฮัวก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมือใหม่ในยุทธจักรของจริง

“ตะวันขึ้นสายขั้นต้น  ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ซีคง...”

“แหะแหะ   พูดแล้วก็น่าอาย  ข้าไม่เคยฝึกพลังฝีมือเลยน่ะสิ”

“อ้อ  น่าเสียดายจริง ๆ”  นางตอบกลับตามมารยาท  จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีกเลย

ซีคงหยูพบว่า  ความโด่งดังของเขาในการเป็นคุณชายไม่เอาถ่านของเมืองสุยอัน  กลับกลายเป็นคนจืดจางไร้ตัวตนที่นี่  โลกที่บูชายอดฝีมือย่อมไม่มีอะไรจะพูดกับมดปลวก   เขาถอนหายใจเดินกลับไปหาหลิวเกาและเสี่ยวหมี   และหวังว่าจะได้เจออะไรที่ดีขึ้นเมื่อไปถึงสำนักวารีพิสุทธิ์




++++


ที่มุมห่างไกลออกไปทางแดนเหนือของอาณาจักรวายุกระซิบ  แม่ทัพร่างสูงใหญ่ใบหน้าเหี้ยมหาญ  คิ้วหนายังกะแปรงทาสีบ้าน
  กัดฟันกรอด ๆ  กำจดหมายในมือ   พลังปราณของเขาสร้างความร้อนจนแผดเผามันหายไปสิ้นหมดแม้กระทั่งควัน

"จู๋สั้น...อย่างงั้นรึ"



หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-08-2017 19:47:14
เหมือนว่าซีคงหยูจะโยนระเบิดใส่บ้านคนอื่น ส่วนตัวเองก็แจ้นไปที่อื่นเรียบร้อย (หัวเราะ)
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 26-08-2017 20:08:00
ใช่คุณ Kirimanjaro คนเดิมหรือเปล่าคะ? ถ้าใช่ก็ขอบอกว่าคิดถึงมากๆ เลยนะคะ ในที่สุดก็กลับมาเขียนเรื่องต่อ ชอบงานเขียนของคุณมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องตามล่าหารุกแท้ แล้วก็เรื่องทางเพศ ^________^

ป.ล. ขอตัวอ่านเรื่องนี้ก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 26-08-2017 20:20:57
เจอจู๋สั้นเข้าไปคงต้องรีบกลับเมือง555
สนุกค่ะ
มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-08-2017 20:54:32
ทายว่าพี่ใหญ่โกรธน้องชายตัวเองมากกว่าหลี่โอ๋หยุน
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: backforred ที่ 26-08-2017 21:08:15
เรื่องกำลังเข้มข้นเลย :hao5: :hao5:
มาต่อไวๆนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 26-08-2017 23:07:38
สนุกดี ต่อเลยๆครับ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 3 (26/8)
เริ่มหัวข้อโดย: xkoxko ที่ 27-08-2017 09:12:51
ทำไมถึงแต่งได้ตลกขนาดนี้ 55555 สนุกมากๆค่ะ มาต่อไวๆน้า :mew1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-08-2017 18:04:42
sirin_chadada: จะหนีได้จริงร้ออออ 5555+

Wordslinger: ช่ายครับ  จำได้คุณแป้งจี่ได้เหมือนกัน  รู้สึกผิดที่เขียนนิยายไม่ค่อยจบ

พิศตะวัน: ครับผม

ตีสี่:  5555  เหมือนจะใช่

backforred: มาต่อแระคับ

wnkth: แต๊งครับ

xkoxko: ช่วงนี้อ่านนิยายตลกเยอะคับ  เลยอยากแต่งมั่ง



++++


เทือกเขามังกรทะยานมีลักษณะเหมือนมังกรที่ขนดหางล้อมรอบอาณาจักรวายุกระซิบ  หางของมันขดไปทางทิศเหนือ  และค่อย ๆ เพิ่มความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทางทิศตะวันตก  หากท่านอยู่ในหมู่บ้านไหนสักแห่งทางตะวันตก  ท่านจะเห็นยอดเขาสูงลิ่วเหมือนมังกรที่พุ่งตัวโผขึ้นไปกินดวงตะวัน  ในยามเช้าท่านจะเห็นประกายแสงหลากสีจากยอดเขา  ชาวบ้านร่ำลือว่าเป็นรัศมีเซียนผู้วิเศษที่กำลังบำเพ็ญเพียร

ทว่าสำหรับชาวยุทธมันไม่ใช่ความลับอะไร  ประกายแสงหลากสีนั้นเปล่งออกมาจากผลึกเงารุ้ง  ของวิเศษประจำสำนักวารีพิสุทธิ์   มีผู้สงสัยว่าทำไมเจ้าสำนักถึงวางของวิเศษประจำสำนักไว้กลางลานกว้างบนยอดเขาโดยไม่การป้องกัน  และก็มีผู้รู้อีกนั่นแหละ  ชี้ว่าจริง ๆ แล้วผลึกเงารุ้งไม่ได้มีค่าอะไร  นอกจากความสวยงามจากแสงที่มันเปล่งออกมายามต้องแสงอาทิตย์  มันก็ไม่มีคุณสมบัติวิเศษ  เจ้าสำนักวารีพิสุทธิ์จึงวางมันทิ้งไว้โดยไม่ใยดี

ไม่ว่าผลึกเงารุ้งจะเป็นของวิเศษจริงหรือไม่  มันก็ดูห่างไกลเสียเหลือเกินจากคุณชายสามที่อ้าปากค้างยืนมองประกายแสงของมันจากตีนเขา  ที่ตีนเขามีม่านหมอกมืดมัวไปหมด 

ไป่หลานหลานยกมือเป็นสัญญาณให้ขบวนหยุด  นางยื่นสองมือไปข้างหน้า  และร่ายรำ  ไม่ผิดแล้วมันคือการร่ายรำด้วยนิ้ว  นิ้วของนางเคลื่อนไหวอย่างซับซ้อน  ดูคล้ายกับรหัสต่าง ๆ ที่จำเพาะเจาะจง  การเคลื่อนไหวของแต่ละนิ้วทั้งสอดคล้องและแปลกแยกจนทำให้สายตาพร่าพราย

ทันใดนั้น  ม่านหมอกก็พลันสูญสลายจนมองเห็นซุ้มประตูหิน  ถัดจากซุ้มประตูหินมีบันได  และบันไดก็ทอดตัวยาวคดเคี้ยวขึ้นไปบนภูเขาดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

ไป่หลานหลานหันกลับมากล่าวกับศิษย์ใหม่ทั้งหมด

“จากนี้ไปพวกเจ้าต้องเดินไปด้วยพลังของตนเอง  ถือเป็นด่านทดสอบสุดท้าย”

เมื่อสิ้นคำพูดนาง  เด็กสาวทุกคน  รวมทั้งซีคงหยูก็พลันรู้สึกเหมือนพลังบางอย่างถูกพรากออกไป  ความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่เคยประสบมาตลอดการเดินทางก็ประเดประดังกลับเข้ามาจนแข้งขาของพวกเธอและเขาอ่อนระทวย  เป็นสัญญาณว่าวิชาเซียนที่ผู้อาวุโสใช้ได้ถูกถอนออกไปแล้ว

“เฮฟเว่นอโบฟ!!”  คุณชายสามแหงนคอตั้งบ่าดูยอดเขาสูงเสียดฟ้า  คราวนี้เขาไม่เห็นสวรรค์  เห็นแต่นรก

ไป่หลานหลานทำสัญญาณอีกที  ใต้เท้าของนางและของศิษย์พี่ทุก ๆ คน  รวมทั้งทหารหญิงก็มีวงแหวนและอักขระสีรุ้งหมุนวน  พวกนางค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับเกี้ยวของผู้อาวุโสราวกับขบวนเสด็จของพระแม่มารดรที่ดำเนินกลับสวรรค์

“ศิษย์พี่หญิงไป่!”  ซีคงหยูตะโกน  เขาเกือบกระโดดเกาะขานางแล้วหากว่าเสี่ยวหมีไม่งับชายเสื้อเอาไว้  “พาศิษย์น้องไปด้วย”

ไป่หลานหลานไม่ตอบ  แค่ส่งสายตามองอย่างเย็นชาแล้วลอยลับหายไปบนภูเขา

“เจ้างับข้าไว้ทำไมเสี่ยวหมี”

“อ๊อออออ!”  เสี่ยวหมีร้องตอบแล้วหายใจฟืดฟาด

“มันคงจะบอกว่า  ห้ามโกงน่ะนายน้อย”

คุณชายสามปรายตามองหลิวเกา  เจ้าสิโกง  บรรพบุรุษของเจ้าสิโกงทั้งโคตร

“อะแฮ่ม”  ซีคงหยูกระแอมไออย่างรักษามาด “ในเมื่อเขาให้ใช้ความพยายามของตนเอง  เราคุณชายจะลดตัวลงไปปีนบันไดแบบสามัญชนหน่อยก็ได้  เสี่ยวหมี  เดินซิ”

พูดแล้วก็ขยับขาหนีบหลังเสี่ยวหมีแน่น ๆ ให้มันพาปีนขึ้นยอดเขา  เสี่ยวหมีเหลือกตาแต่ก็เดินไปตามคำสั่ง
ทว่าเมื่อพวกเขามาถึงซุ้มประตู  คุณชายสามก็ร่วงลงจากหลังหมี

“ไอ๊หยา!  เสี่ยวหมีเดินดี ๆ สิ”   เขาพยายามปีนขึ้นหลังหมีแต่ก็ร่วงลงมาอีก  ราวกับบนหลังของมันทาน้ำมันหมูเอาไว้
เมื่อเห็นซีคงหยูพยายามอย่างไร้ผลสี่ห้าครั้ง  หลิวเกาจึงออกความเห็น

“นายน้อยขอรับ  บ่าวว่ามันเป็นผนึกของประตูนี้  ไม่งั้นทุกคนคงขึ้นสัตว์วิเศษไต่เขากันหมดแล้ว”

ระหว่างที่พูด  ศิษย์ใหม่ร่วมสำนักอายุราว ๆ 14-15 ปีก็จูงหมีเขียวเดินผ่านทั้งสองคนและหนึ่งหมีไปพร้อมส่งสายตายิ้มเยาะ

“เฮฟเว่นอะโบฟ!”



++++



ไป่หลินหลิงกลับมาถึงสำนักก็ได้รับจดหมายจากนกกระเรียนสื่อสาร  นางวางถ้วยชาในมือลงและรับจดหมายจากมือไป่หลานหลานที่ไปแกะออกมาจากขานกกระเรียน

“เฮ้อ  ข้าเพิ่งกลับมา  เจ้าสำนักก็เรียกตัว”

“ผู้อาวุโสทำเรื่องใหญ่  ไม่ใช่แต่เพียงเจ้าสำนักที่ตกใจ  แม้แต่บรรพบุรุษก็อาจจะสะดุ้งในถ้ำบำเพ็ญพรต”  ไป่หลานหลานวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา

ไป่หลินหลิงปรายตามองอย่างไม่ถือสา  เพราะรู้ว่าศิษย์รับใช้ของตนเองก็เป็นเสียอย่างนี้  นางกรีดนิ้วเบา ๆ ชุดกาถ้วยชาก็ลอยกลับไปเก็บในกล่องหยก  ไป่หลานหลานหยิบเสื้อคลุมยาวสีฟ้าขลิบลายคุนเผิงโต้คลื่นด้วยใยไหมและไพลิน  (1) อันเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของผู้อาวุโสประจำสำนักมาให้แก่ไป่หลินหลิง

นางลุกขึ้นยืนปลดมวยผมที่เกล้าไม้แล้วมัดใหม่รอบ ๆ ปิ่นไม้อู่ถง  จากนั้นสวมมงกุฎหยกสีน้ำเงินทับ  มือหนึ่งคลี่พัดจีบ  และอีกมือก็ถือกระบี่

“ข้าดูมาดแมนแฮนด์ซั่มหรือยัง”

“ผู้อาวุโสหล่อเหลาที่สุดในสำนักวารีพิสุทธิ์แล้ว”

ไป่หลานหลานตอบอย่างจริงใจ  เพราะในสำนักไม่มีผู้ชายคนอื่น  ส่วนซีคงหยูน่ะหรอ  เฮอะ  ไต่บันไดขึ้นมาให้ได้ซะก่อนเถอะ

ไป่หลินหลิงยิ้มบาง  จากนั้นก้าวเท้าเหยียบหน้าต่างแล้วกระโดดออกไป  นอกห้องของนางเป็นหน้าผาสูงลิ่ว  ไป่หลานหลานมองตามอย่างเยือกเย็นโดยไม่มีทีท่าตกใจ  และสักพักก็เห็นไป่หลินหลิงยืนอยู่บนหลังกระเรียนแดงร่อนสู่ตึกวารีอำไพอันเป็นที่ประชุมของสำนัก

+++++

ณ ตึกวารีอำไพ

เจ้าสำนักวารีพิสุทธิ์นั่งขมวดคิ้วอยู่บนบัลลังก์คุนเผิง  พนักวางมือข้างหนึ่งเป็นมัจฉาและอีกด้านหนึ่งก็เป็นนกวายุภักษ์  ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ นั่งประจำเก้าอี้ตำแหน่งการแปลงกายของคุนเผิง  ได้แก่  ต้าเผิง  เฟิงอวิ๋น คงคุน  ฉีเซี่ย  (2)

ทันใดนั้น  เสียงร้องนกกะเรียนดังแว่วมาจากท้องฟ้า  ตามด้วยเสียงดนตรีทิพย์และกลิ่นกำยานสวรรค์  ทุกคนไม่ต้องมองก็รู้ว่าใครมา  ทำสเปเชียลเอฟเฟ็คเวอร์ซะขนาดนี้

แต่ถึงกระนั้นยามที่ไป่หลินหลิงลอยละล่องลงมาจากหลังนกกระเรียน  ด้วยปลายเท้าซ้ายที่ทำท่าเหมือนเหยียบย่าง  เสื้อคลุมคุนเผิงปลิวไสวตามลม  พร้อมพัดจีบไม้กฤษณา  และรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ  ทำให้นางดูเหมือนกับเทพยดารูปงามลงมาเยือนโลกมนุษย์

ไป่หลินหลิงก้มหน้าเล็กน้อยทักทายเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ  แล้วย่างก้าวไปยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งตนเอง เฟิงอวิ๋น 

“ผู้อาวุโสไป่!”

“เจ้าสำนักมีอะไรสั่งสอน?”

“ฮ่า ๆๆ”   เจ้าสำนักหัวเราะอย่างเดือดดาล  นางเป็นหญิงวัยกลางคน  เวลาที่หัวเราะรอยย่นจึงขึ้นมาบนหน้าผากอย่างน่ากลัว  “ผู้ใดกล้าสั่งสอนผู้อาวุโสไป่  ขนาดกฎสำนักร้อยข้อที่จารึกไว้ในโถงบรรพชนยังสั่งสอนเจ้าไม่ได้  ใครล่ะที่เจ้าจะฟัง!”

“หลินหลิงทราบความผิด”

“เจ้าทราบ?”


“เฮอะ"  ผู้อาวุโสที่นั่งฝั่งตรงข้ามบนเก้าอี้ต้าเผิงแค่นเสียงแทรก  นางเป็นหญิงสาวโฉมงามในเสื้อคลุมคุนเผิงสีม่วง  ความงามของนางเผ็ดร้อนเหมือนกับเครื่องเทศในแกงกะหรี่  "เจ้าสำนัก  คราวนี้ท่านต้องเลิกใจอ่อนและลงโทษนางเสียที  นางชอบทำตัวผิดธรรมนองคลองธรรม  เป็นหญิงแต่แต่งตัวเป็นชายทำความเสื่อมเสียให้สำนักยังไม่พอ  ยังจะชักนำศิษย์ชายเข้าสำนัก  นางคิดว่านางเป็นฉู่อ๋องหรือไงถึงจะสร้างฮาเร็มที่นี่”

“เส้าหยูเสวียน! ข้าจะแต่งตัวยังไงก็เรื่องของข้า  ข้าไปแต่งบนศีรษะลูกไม่มีพ่อของยายเจ้าหรือไง  อีกอย่างข้ายอมประนีประนอมกับเจ้าสำนัก  ออกไปคัดเลือกศิษย์ครานี้ข้าก็แต่งเป็นหญิง  เจ้าจะเอาอะไรอีก!”

“เจ้า..เจ้า  เจ้าว่าแม่ของข้าไม่มีพ่อ!”

“หัวไวดีนี่”  ไป่หลินหลิงรวบพัดจีบแล้วเคาะกับพนักเก้าอี้ดังตึบ ๆ  “เจ้าสำนักเชิญกล่าวต่อ  หลินหลิงเอาน้ำร้อนสาดไล่หมาบ้าแล้ว”

เจ้าสำนักกุมขมับ  ผู้อาวุโสสองคนเหมือนน้ำกับไฟ  ใกล้กันเมื่อไหร่เป็นได้เรื่อง

“ผู้อาวุโสไป่  เจ้ารับศิษย์ชายเข้ามา  ผิดธรรมเนียมที่เรามี  เจ้ามีอะไรอธิบายมั้ย”

“ผิดธรรมเนียมแต่ไม่ผิดกฎ  ในกฎสำนักร้อยข้อข้าท่องได้จนขึ้นใจ  ไม่มีข้อไหนที่ห้ามรับศิษย์ชาย”

เจ้าสำนักฟังแล้วก็สบถในใจ  เจ้าต้องท่องได้อยู่แล้วนี่  เพราะเจ้ามันคอยแต่จะแหกกฎและหาช่องโหว่ตลอดเวลา  คิดแล้วก็อยากได้ยาลูกกลอนแก้ไมเกรน

“ไป่หลินหลิง  อ่านปากข้า  ผิด-ธรรม-เนียม”

“เจ้าสำนัก  ธรรมเนียมเป็นของตาย  แต่คนมีชีวิต  ย่อมต้องเปลี่ยนแปลง  เรื่องนี้ต้องดีเบต”  ไป่หลินหลิงเคาะพัดอีกที

“ผู้อาวุโสเส้า!”

เส้าหยูเสวียนสะดุ้ง  หันไปหาแล้วก้มหน้ารับคำ “เจ้าสำนัก..”

“เจ้าไปดีเบตกะผู้อาวุโสไป่ซิ”

ฟัค!!

เส้าหยูเสวียนเลื่อนเก้าอี้ถอยกรูด ๆ  “หยูเสวียนมิกล้า  คำพูดและอากิวเม้นท์ไม่มีตา  อาจทำร้ายกันได้  แต่ถ้าให้ประลองดาบกระบี่  หยูเสวียนจะสั่งสอนนางจิ้งจอกแซ่ไป่แทนเจ้าสำนักเอง”

เจ้าของเก้าอี้เฟิงอวิ๋นยิ้มกริ่มแล้วหันไปหาเจ้าสำนักอีกครั้ง  “เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว  ข้าวสารเปลี่ยนเป็นข้าวสุก  ศิษย์ก็รับเข้ามาแล้ว  ถ้าเราไล่เขาออกไปใหม่  ชาวยุทธก็จะว่าเราชักเข้าชักออก  ท่านก็รู้ใช่มั้ยว่าพวกเขาจะประดิษฐ์แสลงอะไรแบบไหนมาเย้ยหยันสำนักเรา”

“เจ้า...ปากสกปรก”   เส้าหยูเสวียนทาบอก

“จิตใจเจ้าสิสกปรก  ชักเข้าชักออกหมายถึงดาบก็ได้  กระบี่ก็ได้  จิตใจเจ้าต่ำช้ามาตัดสินวิญญูชนอย่างข้า  เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เหล่าศานุศิษย์   เจ้าสำนัก  ข้าขอเสนอให้ลงโทษผู้อาวุโสเส้า  นางควรเข้าห้องบำเพ็ญพรตกักตัวชำระจิตใจ”

หญิงสาวเสื้อม่วงทำท่าจะเป็นลม  เกิดมาไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายกลับผิดเป็นถูกขนาดนี้
เจ้าสำนักกระแอมไอหนึ่งทีและตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเรื่องไร้สาระที่ว่า

“ฮึ่ม  ความผิดของเจ้าไว้พวกเราจะค่อย ๆ พิจารณา  แต่ตอนนี้ศิษย์ใหม่ตัวปัญหาอยู่ที่ไหน”

“อืม..”  ไป่หลินหลิงเคาะพัดเป็นจังหวะ  “..กำลังโดนรับน้องอยู่”

เจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหมดมองหน้ากัน  สำนักนี้มีรับน้องด้วยหรอ..วะ



++++++


(1)  คุนเผิงเป็นสัตว์ในตำนานจีน  มันเป็นปลาที่สามารถแปลงกายเป็นนกได้ 
(2)  ต้าเผิง = นกยักษ์, เฟิงอวิ๋น = ลมและเมฆ, คงคุน = ปลาว่างเปล่า, ฉีเซี่ย = จักรวาลสอดคล้อง
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-08-2017 18:32:49
ผู้อาวุโสไป่จะติสท์เกินไปล้าวววว
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-08-2017 18:45:55
ผู้อาวุโสไป่จะติสท์เกินไปล้าวววว

เราว่าตัวละครในเรื่องนี้ มีแต่พวกติสท์กับเกรียนทั้งนั้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 27-08-2017 20:58:32
 :L1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 27-08-2017 21:43:33
เห็นชื่อสำนักกับชื่อตำหนักแล้ว.... คงจะมีตำหนักวารีดำเนิน ด้วยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-08-2017 21:53:04

sirin_chadada: ฮี่ ๆ

ตีสี่: อ๊อออออออ!!  (แปลว่าเสี่ยวหมีปกตินะ  อย่าเอาไปรวมกับพวกบ้าพวกนั้นสิ)

แฟนตาเซีย:  :กอด1:

wnkth:  แหม   ยังไม่ได้คิดเลย


++++++

ย้อนกลับมาชมข่าวกีฬากันต่อ.. เพ้ย  ไม่ใช่

เลื่อยไม้อย่างขะมักเขม้น  ตัดไม้มาจากป่าข้าง ๆ ไสให้เป็นกระดาน  แล้วขัดด้วยกระดาษทรายจนเลี่ยม  อันที่จริงถ้าการชี้นิ้วสั่งหลิวเกาให้ทำนับเป็นเครดิตของคุณชายสาม  ก็ถือว่าคุณชายสามมีส่วนในงานนี้เป็นอย่างมากกกก

เสี่ยวหมีนั่งเลียรังผึ้งที่เป็นผลพลอยได้  ว่าง ๆ ก็ตบผึ้งทหารที่บินว่อนโกรธแค้นรอบตัวสักที  มันขม้ำรังผึ้งพลางเอียงคอมองอย่างสงสัยว่าพวกมนุษย์กำลังจะทำอะไร

หลิวเกาขัดเนื้อไม้หยาบส่วนสุดท้ายจนเรียบ  เป่าผงไม้ออกดังฟู่  ละอองผงไม้ลอยล่องในอากาศระหว่างที่บ่าวร่างอ้วนหยิบแผ่นไม้ขึ้นมาส่องใกล้ ๆ ดูความโค้งที่ถูกขัดเกลาอย่างประณีต  แก้วตาของเขาสะท้อนภาพคุณชายสามที่ลุกขึ้นตบมือด้วยความดีใจและป่าวประกาศชื่อนวัตกรรม

“ฮ่า ๆๆๆ  สำเร็จแล้ว   กระดานลากเลื่อนสารพัดนึก ver 1.00”

เขาหันไปกวักมือเรียกเจ้าหมีดำที่นั่งกินน้ำผึ้งอยู่

“เสี่ยวหมี  ไสก้นมานี่ซิ”

เสี่ยวหมีทำหน้าตกใจ  ปิดก้นแล้วหันหนี

“ฟัค!!  ใครจะอยากได้เจ้าเป็นเมียกัน  รีบ ๆ มาอย่าทำสะดีดสะดิ้ง”

หมีดำตัวใหญ่ถึงค่อย ๆ คลานมาและย่อตัวลงรอให้คุณชายสามปีนขึ้นไปขี่หลัง

แต่ซีคงหยูมีแผนอื่น  เขาผูกเชือกกับแผ่นกระดานเลื่อน  แล้วคล้องกับเสี่ยวหมีอีกที  จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งเอกเขนกบนกระดานพร้อมกับหมอนอิงอีกหนึ่งใบ  คุณชายสามชี้นิ้วไปข้างหน้าอย่างองอาจและร้องออกมา

“เอ้า  ออกทะเลได้”

“อ๊ออออออ!”  เสี่ยวหมีร้องด้วยความฮึกเหิมแล้วไต่ขึ้นบันไดสำนัก

กระดานเลื่อนไถไปกับบันได  และผ่านซุ้มประตูไปโดยสวัสดิภาพ  ท่ามกลางการถอนใจอย่างโล่งอกของซีคงหยู

“อะฮ้า  ไม่ได้ลงมนตร์ผนึกห้ามของแบบนี้ไว้สินะ  ฮ่าๆๆ”  คุณชายสามหัวเราะชั่วร้าย  และกำลังคิดว่าถ้านั่งเลื่อนผ่านเด็กผู้หญิงเจ้าของหมีเขียวจะยิ้มเยาะสวนคืนไปสักที  หึหึ  บุญคุณต้องทดแทน  ความแค้นต้องชำระ  ยัยหมีเขียว  งานนี้เราต้องเจอกันหน่อย!

แต่ทันใดนั้น!
ก็มีเสียงหวีดหวิวจากท้องฟ้า  เหมือนกับมีวัตถุที่พุ่งด้วยความเร็วสูง   ศิษย์ใหม่ที่ไต่บันไดอยู่แหงนหน้ามองท้องฟ้าและเห็นประกายแสงสีขาวพวยพุ่งกรีดฟ้าลงมายังบันไดขึ้นภูเขา

“หวิ้ววววววววววววววววว  ตู้ม!!!”

แวบเดียวเท่านั้น  พลังงานของมันแผ่ออกมาจนเหมือนกับเวลาเดินเชื่องช้าจนแทบหยุดนิ่ง  ซีคงหยูเหลือกตามองเปลือกตาของเขากระพริบอย่างเชื่องช้าพอ ๆ กับฝุ่นผงที่ปลิวกระจัดกระจายระหว่างที่เวลาเกือบหยุดนิ่ง
มันคือกระบี่สีเงินแวววาว  ด้ามจับของมันแกะสลักเป็นหัวมังกรด้วยเหล็กสีน้ำเงินขาบเข้มดูลึกลับ  ดวงตาของมังกรเปล่งประกายแสงเรื่อเรืองประดุจมีชีวิต  แล้วคล้ายกับจับจ้องทุกสรรพสิ่งภายใต้รัศมีของมันด้วยความอาฆาต  ใบของกระบี่บางเฉียบ  คมของมันสะท้อนแสงแปลบปลาบลงสู่ปลายกระบี่  และปลายกระบี่ก็ปักลงไปที่เชือกผูกเลื่อนของซีคงหยูอย่างพอดิบพอดี

จากนั้น...
เหมือนเวลาไหลย้อนกลับ  กระบี่พุ่งวาบทะยานกลับสู่ยอดเขาในพริบตา

“อ้ากกกกกกกกก!!”

คุณชายสามกรีดร้องเมื่อเชือกขาดกระชากและเขาก็กระเด็นตกภูเขาไปพร้อมกับกระดานเลื่อนสารพัดนึก ver 1.00


++++


ไป่หลินหลิงยกฝักกระบี่รับกระบี่มังกรอาฆาตที่พุ่งกลับมาจากท้องฟ้า   มือหนึ่งขยับนิ้วใช้วิชาเซียนคันฉ่องวารีที่แสดงภาพซีคงหยูให้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสดูพลางส่ายหัวช้า ๆ

“เฮ้อ  เด็กคนนี้  ออกจะเพี้ยน ๆ อยู่สักหน่อย”

เพี้ยนเหมือนเจ้านั่นแหละ  ทุกคนคิดเหมือน ๆ กันจนไม่ต้องหันไปมองตากัน

“อันนี้เรียกว่าด่านกระบี่อาฆาต  เป็นด่านพิเศษ  จะสุ่มโดนศิษย์ใหม่ผู้โชคร้าย”

สุ่มเตี่ยเจ้าสิ   เจ้าจงใจจิ้มไอ้เด็กนี่ชัด ๆ  ทุกคนแค่นเสียงในใจพร้อม ๆ กันอีกครั้ง

“เอาล่ะมาดูด่านต่อไป”  ไป่หลานหลานขยับนิ้วร่ายมนตร์  “ด่านนี้เรียกว่าด่านหินกลิ้ง  ก็ตามชื่อ..มันจะมีหินกลิ้งลงมาตามบันได  ใครหลบได้ก็หลบ  ใครหลบไม่ได้ก็ไม่ต้องหลบ”  ผู้อาวุโสไป่พูดอย่างไม่ยี่หระต่อภาพของพวกเด็กสาวที่กรีดร้องกลิ้งตัวหลบก้อนหินยักษ์

“ส่วนด่านต่อไป...”

เจ้าสำนักเริ่มทนดูไม่ได้จึงรีบเบรก  “ผู้อาวุโสไป่...”

ไป่หลินหลิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าสำนักด้วยรอยยิ้มละไม  “ถ้าท่านเจ้าสำนักอยากให้หยุดการรับน้อง  ท่านต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่องหลินหลิงเรื่องรับศิษย์ชาย”

“ไป่หลินหลิง  เจ้าบังอาจนัก!  กล้าจับศิษย์ใหม่เป็นตัวประกันต่อรองเจ้าสำนัก!”  หญิงสาวเสื้อเขียวบนเก้าอี้คงคุนตบพนักเก้าอี้แล้วตวาด

“ศิษย์พี่ชวงก็พูดเกินไป  หลินหลิงไม่มีเจตนาเช่นนั้น”

“เฮ้อ...เอาอย่างงั้นก็ได้  ผู้อาวุโสไป่รีบส่งคนไปรับศิษย์ใหม่ขึ้นมา  ส่วนเรื่องรับศิษย์ชาย  เฮ่อ...”  เจ้าสำนักถอนหายใจไม่อยากพูดต่อ

เส้าหยูเสวียนเห็นทีเลยรีบใส่ไฟ  “เจ้าสำนักเอาอย่างนี้สิ  ในเมื่อผู้แซ่ไป่อยากรับน้องนัก  ก็ให้ศิษย์ชายปีนบันไดผ่านด่านทั้งหมดด้วยตัวเองเพียงคนเดียวขึ้นมา  รอดหรือไม่ถือว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต  โฮะ ๆๆๆ  หรือจะเรียกว่าแผนร้ายย้อนคืนสู่ตัวดีนะ  ไป่หลินหลิงเจ้าว่ายังไงล่ะ”

ผู้ถูกถามเพียงเลิกคิ้วเบา ๆ  แล้วสะบัดพัดจีบโบกช้า ๆ เหมือนคุณชายสูงศักดิ์

“แผนร้ายจะย้อนคืนใส่ตัวใครนี่ยังไม่รู้แน่  แต่ที่แน่ ๆ ข้าเชื่อว่าศิษย์ข้าย่อมดวงแข็งเหมือนกับข้า  ถ้าข้าดวงไม่แข็งคงไม่ได้นั่งเก้าอี้เฟิงอวิ๋นทั้ง ๆ ที่มีมดปลวกอย่างเจ้าคอยแทะขาเก้าอี้ข้าอยู่อย่างนี้”

ทั้งสองคนจ้องตากัน  อากาศพลันควบแน่นเหมือนมีประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ  ขณะที่คุณชายสามของเรานั้นยังไม่รู้ตัวว่าชะตากรรมของเขานั้นฟัคอัพกว่าศิษย์ใหม่คนอื่น ๆ มากแค่ไหน


++++++++++++++++


จนเย็นวันถัดไปนั่นแหละ  ที่สองชายกะหนึ่งหมีลากสังขารอันสะบักสะบอมขึ้นมาบนยอดเขาที่ตั้งสำนักวารีพิสุทธิ์ได้  เมื่อเขาเข้ามาในลานสำนักก็เห็นพวกเด็กสาวที่มาจากเมืองสุยอันด้วยกัน  หน้าตาเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน  ร่ายรำฝึกวรยุทธอยู่ที่ลานกว้างภายใต้การดูแลของเหล่าศิษย์พี่

“พวกเจ้า..ขึ้นมาถึงก่อนนานแล้วเรอะ  พวกเจ้าผ่านมาได้ไง  ด่านมฤตยูผิดมนุษย์มนาพวกนั้น”

ซีคงหยูครางอย่างไม่เชื่อสายตา

พวกเด็กสาวมองเขาด้วยสายตาเวทนา  หลาย ๆ คนแอบรู้สึกเห็นใจ  และซุบซิบกัน

“นี่ลุงคนนี้ยังไม่รู้สินะ”
“ยังไม่รู้ตัวแน่ ๆ”
“เราบอกเขาดีมั้ยนะ”
“นั่นจะใจร้ายไปหรือเปล่า”
“ปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปดีกว่านะ”

ซีคงหยูเห็นบางคนก็ยิ้มหัวเราะ  บางคนก็มองด้วยความเห็นใจ  แต่ไม่มีใครเอ่ยปากบอกอะไรกับเขา  เขาเลยได้แต่ส่ายหน้า  โดยที่ไม่รู้ตัวว่าในความโชคร้ายของเขาก็มีความโชคดีซ่อนอยู่  พวกเด็กสาวเคยคิดว่าเขาได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเลยได้เข้าร่วมสำนักทั้ง ๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติ  แต่เมื่อพบว่าจริง ๆ แล้วคุณชายสามผู้น่าสงสารไม่ได้มีเส้นสายอะไรในสำนักและดูเหมือนจะถูกพวกผู้อาวุโสกลั่นแกล้งด้วยซ้ำ  ความหมั่นไส้และความไม่ชอบหน้าก็เลยเบาบางลงไป

ไป่หลานหลานที่คุมการฝึกวรยุทธของศิษย์ใหม่มองซีคงหยูด้วยหางตา  และชี้ให้ศิษย์ในสำนักที่ตำแหน่งต่ำกว่าไปช่วยนำทางเขาไปยังที่พักศิษย์ใหม่

++++

คุณชายสามเดินพลางและเหลียวมองรอบ ๆ เหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุง  สิ่งก่อสร้างที่นี่วิจิตรพิสดารกว่าบ้านคหบดีที่รวยที่สุดในเมืองสุยอัน   กลางลานกว้างมีผลึกแก้วสีรุ้งลอยอยู่บนอากาศเหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงที่สอง  ทำให้แสงบริเวณรอบ ๆ เปลี่ยนสีสันไปมาราวกับแดนสวรรค์

“ไม่ได้ ๆ เราเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลซีคง  เราต้องแสดงท่าทีเหมือนกับว่าคร้านที่จะมองของพวกนี้สิ”

ซีคงหยูปลุกปลอบตัวเองและพยายามยืดอก  แต่เสี่ยวหมีที่เดินข้าง ๆ ทำลายภาพลักษณ์ของเขาโดยสิ้นเชิง  เพราะมันเงยมองทางโน้นที  ส่อนจมูกฟุดฟิดดมทางนี้ที  ราวกับกลัวคนจะไม่รู้ว่ามันไม่เคยพบเคยเห็นของพวกนี้

“เสี่ยวหมี  ทำตัวดี ๆ  ไอ้ลูกแก้วนั้นกลับบ้านแล้วข้าจะซื้อให้เจ้าเล่นสักสิบลูกเลยเอ้า”

“ฮ่าๆๆ”  ศิษย์สำนักที่ทำหน้าที่นำทางแอบได้ยินบทสนทนาก็หัวเราะ  แล้วจึงทำหน้าที่มัคคุเทศก์อย่างไม่มีที่ติ  “ลูกแก้วที่เจ้าจะซื้อให้หมีเล่นสิบลูกนั้นเรียกว่าผลึกเงารุ้ง  เป็นของวิเศษประจำสำนัก  จักรพรรดิแห่งอาณาจักรวายุกระซิบเคยขนเพชรนิลจินดามาครึ่งท้องพระโรงกองไว้ที่ตีนเขามังกรทะยานเพื่อขอแลกกับการยืมผลึกเงารุ้งไปให้พระสนมดูเล่นสองสามวัน  แต่เจ้าสำนักปฏิเสธไป”

คุณชายสามฟังแล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อก ๆ  “ข้าล้อเล่นเฉย ๆ ศิษย์พี่  มองดูก็รู้ว่า โอ้วว  ช่างเป็นของวิเศษที่หรูหราราคาแพง  มีค่าครองเมืองมาก ๆ  คุณชายธรรมดา ๆ อย่างข้าอย่าคิดจะฝันไปแตะแม้สักปลายนิ้วเลย”

“ฮี่ ๆ  ข้ารู้ว่าเจ้าล้อเล่น”  อีกฝ่ายไม่ฉีกหน้าและมีรอยยิ้มละไม  เมื่อมองดี ๆ ซีคงหยูก็พบว่าศิษย์พี่ของเขาเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย  เอวองค์ก็คอดกิ่ว ที่ควรเว้าก็เว้าที่ควรนูนก็นูน  ที่เขาว่ากันว่าฝึกวิชาฝีมือแล้วจะดูดีเหมือนผ่านมีดหมอมาร้อยรอบนี่เห็นจะจริง

“ว่าแต่..ศิษย์พี่มีนามอันสูงส่งว่ากระไร”

“ข้าแซ่หวู  นามชิงหรู  ส่วนเจ้าข้ารู้จัก...ศิษย์น้องลุงซีคง”

ซีคงหยูร้องเฮ้เบา ๆ  คนที่ไปเผยแพร่ฉายานี้ของเขาต้องเป็นไป่หลานหลานแน่ ๆ   เฮอะ  ศิษย์พี่หญิงไป่  แค้นนี้ข้าต้องชำระ

“ศิษย์พี่หญิงหวู  ถ้าข้าจะถามอะไรหน่อยจะได้มั้ย”

“ศิษย์น้องลุงเชิญถามมาได้  ไม่ต้องเกรงใจ”

ซีคงหยูกล้ำกลืนความเจ็บปวดและลูบหารอยตีนกาบนหน้าอย่างไม่รู้ตัว  “คือศิษย์น้องไม่เคยฝึกวิชายุทธ  หากจะเริ่มฝึกจะต้องทำอย่างไร”

“เจ้าก็จะต้อง...เอ๊ะ  เจ้าไม่มีพลังยุทธรึ”  นางชะงักเท้าและหันมาเอียงคอมองอย่างสงสัย  “เจ้าผ่านการคัดเลือกมาได้ยังไง  ไม่สิ  นั่นมันไม่สำคัญเท่ากับ...”  สายตาของนางมองไปยังหมีดำที่เดินอุ้ยอ้ายอยู่ข้าง ๆ ตัวของศิษย์น้องคนใหม่
“..เจ้าทำสัญญากับสัตว์วิเศษได้อย่างไร”

“เรื่องนั้น..”  ซีคงหยูลังเล  เขาปรายตามองเสี่ยวหมีที่เดินดมต้นไม้ใบหญ้าระหว่างทาง “...เรื่องมันยาว”

“ฮ่า ๆๆ  ข้าไม่เสียมารยาทถามความลับของศิษย์น้องหรอก  ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”

“คือไม่ใช่นะศิษย์พี่หญิงหวู  เรื่องนี้ข้าเล่าได้”

“ช่างเถอะ  สำหรับคำถามของเจ้า  การฝึกวรยุทธแบ่งออกเป็นการฝึกกายและฝึกจิต  ฝึกกายคือเสริมพลังของเนื้อหนัง  ฝึกจิตคือเสริมพลังปราณและเจตจำนง  เนื้อหนังเป็นภาชนะ  ปราณเป็นพลังงานที่จะมาเก็บกัก   ถ้าเจ้าฝึกให้ได้สมดุลกันผลลัพธ์ของมันก็จะออกมาดี”

“ศิษย์พี่หญิงพูดมาค่อนข้างแอบสแตรกซ์  ศิษย์น้องแอบตามไม่ทัน”

“ฮี่ ๆ  หนึ่งในสิ่งสำคัญสำหรับผู้บำเพ็ญพรตคือพรสวรรค์ทางปัญญา  โดยเฉพาะความสามารถที่จะเข้าใจความคิดนามธรรมยาก ๆ  เพราะวิชาฝีมือขั้นสูงคือการเข้าใจกฎลับของสวรรค์และจักรวาล”

“ศิษย์พี่หญิงจะว่าข้าโง่ใช่มั้ย”

“ฮี่ ๆ”


++++++++++


ปล.  ชื่อ  หลี่โอ๋หยุน  เปลี่ยนเป็น   หลี่โอ๋อวิ๋น  นะครับ  ผมสะกดผิดเอง
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 4 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-08-2017 22:02:32
อ่านไป ขำไป
เสี่ยวหมีนี่ ทั้งฟังภาษามนุษย์ และอ่านจิตใจซีคงหยูออกด้วยนะ
พอไม่ถูกใจ ก็ร้อง อ๊อออออออออ ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

สำนักนี้ดูเหมืิอนเก่งกาจมาก
วิชาตัวเบานี่สุดๆเลย
ฝีปากยิ่งเก่งกาจเข้าไปอีก
พวกผู้อาวุโสของสำนักนี่ยอดเยี่ยม
แม้แต่เจ้าสำนักยังอ้าปากพูดไม่ทันเลย

คุณชายสาม ต้องได้ฝึกปรือเหนื่อยหนักแน่
แต่อดคิดไม่ได้ว่า ซีคงหยู ต้องได้ปาฏิหาริย์เรื่องพลัง
สามารถผลัดเปลี่ยนเนื้อเยื่อ เส้นเอ็นกระดูก /แบบเอาใจช่วยอ่ะ
ไรท์ ต้องเป็นคนตลกๆมีอารมณ์ขำๆแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 5 (27/8)
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 27-08-2017 22:39:11
เป็นนิยายที่น่าสนใจ แต่บางมี่อ่านแล้วก็รู้สึกสะดุ้งเบาๆ เหมือนจะสุดแต่ก็ไม่สุด บางทีก็อ่านแล้วรู้สึกคาใจว่าสรุปแล้วเป็นแนวไหน จะจีนโบราณ แต่อ่านไปก็เหมือนไม่ใช่ เพราะมันมีแต่ความขัดเเย้งในตัวมันเอง แต่ก็ชอบพล็อตเรื่องน่าสนใจพอควร
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 28-08-2017 01:39:00
♥►MAGNOLIA◄♥ :   5555  ดีใจที่ชอบเสี่ยวหมีครับ  มันคือพระเอกของเรื่อง  (เขี่ยคุณชายสามทิ้งแป๊บ)
ปาฏิหาริย์ของหยูหยูกำลังมาครับ  แต่จะเป็นโชคลาภหรือเคราะห์กรรม  ไม่แน่ใจเหมือนกัน  ฮ่าๆๆๆ

wikawee: เข้าใจความไม่สุดที่ว่าครับ
อันนี้ไม่เชิงว่าจีนโบราณ  แต่เป็นแนวกำลังภายในแฟนตาซี (Xianxia)  ซึ่งเรื่องจะเกิดในมิติและจักรวาลอื่นที่ไม่ใช่โลก  (แต่บางทีก็จะมีตัวละครข้ามมิติไปจากโลกมาเข้าร่างคนที่นี่)  เพียงแค่จะเอาวัฒนธรรมและภาษาจีนโบราณมาเป็นต้นแบบ  สำหรับผมมองว่ามันมีองค์ประกอบของนิยายวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมากครับ  และองค์ประกอบเหล่านั้นจะเปิดเผยไปเรื่อย ๆ ตามเรื่องที่ดำเนินไป



++++++++++



ศิษย์ใหม่สำนักวารีพิสุทธิ์จะผ่านการเข้าค่ายคัดตัวเป็นเวลาสามเดือน  ผู้มีพรสวรรค์จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ชั้นใน  ส่วนที่เหลือมีสองทางเลือก  หนึ่งคือเข้าหน่วยวารีโลหิต  เป็นทหารหญิงชุดแดงที่ทำหน้าที่คุ้มกันสำนัก  และสองคือเป็นศิษย์รับใช้งานจิปาถะให้กับผู้อาวุโสและศิษย์ชั้นใน  ที่ไป่หลานหลานขู่ว่าคุณชายสามจะต้องมาผ่าฟืนหาบน้ำก็ตรงนี้

ทว่าอันที่จริงแล้ว  การเป็นศิษย์รับใช้ก็ไม่เลวร้าย  ในหมู่ศิษย์รับใช้ก็มีระดับและการเมืองภายในที่ซับซ้อน  หากว่าท่านโชคดีได้รับใช้พวกขาใหญ่  อย่างผู้อาวุโสและศิษย์เอก  บางทีท่านก็จะได้ผลประโยชน์จากพวกเขาเหล่านั้น  ไป่หลานหลานคือหนึ่งในตัวอย่างนั้น  นางถูกเลือกให้ไปรับใช้ผู้อาวุโสไป่เพียงเพราะมีแซ่เดียวกัน  ผู้อาวุโสไป่ถ่ายทอดวิชายุทธเล็กน้อยให้นาง  แต่คำว่าเล็กน้อยสำหรับขาใหญ่  คือชิ้นปลามันที่ศิษย์ทั่วไปในสำนักจ้องมองจนตาโตเท่าไข่ห่าน

พวกศิษย์ชั้นในและศิษย์เอกไม่มายุ่งกับกิจการทั่วไปของสำนัก  พวกนางฝึกปรือวิชาฝีมือ  ออกไปผจญภัยสร้างชื่อเสียง  และประลอง  ประลอง  ประลอง  กับพวกนายน้อยที่หยิ่งยโสจากสำนักอื่น ๆ  น่าเบื่อใช่มั้ยล่ะ  แต่ทว่าชีวิตแบบนี้เป็นที่น่าอิจฉาของพวกศิษย์ชั้นนอกและผู้บำเพ็ญพรตพเนจร  เพราะพวกนางจะได้รับการคุ้มครองจากสำนัก  พวกนางสามารถยื่นกระบี่ออกไปแล้วพูดว่า  เพ้ย  หากพวกเจ้าไม่เห็นแก่หน้าสำนักวารีพิสุทธิ์  ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้า

ใช่แล้วล่ะ  มันคือยันต์คุ้มกันภัย  คือไม้ไล่หมา  ไม่ให้ปลาเล็กปลาน้อยเข้ามาวอแว  แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือภาระที่พวกนางจะต้องแบกรับชื่อเสียงของสำนัก  และนั่งกังวลเรื่อง ‘หน้า’ ตลอดเวลา  ว่าใครให้หน้าและใครไม่ให้หน้า  เพราะหน้าของพวกนางก็คือส่วนหนึ่งของหน้าของสำนัก

ซีคงหยูก็เป็นคนหนึ่งที่ฝันเฟื่องถึงการเป็นศิษย์ชั้นใน  เขานึกภาพตนเองนำเหล่าศิษย์น้องหญิงในชุดขาวของสำนักออกผจญภัย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาไปเจอหลี่โอ๋อวิ๋น   เขาจะได้บอกว่า  เพ้ย  เจ้าคางคกหลี่โอ๋อวิ๋นนี่หยิ่งจองหองนัก  มันบังอาจอยากกินเนื้อห่านฟ้าอย่างศิษย์พี่  ศิษย์น้องหญิงที่น่ารักทั้งหลาย  ใช้คุณธรรมรุมยำตีนกันเถอะ

แต่การฝันเฟื่องอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เขาเป็นยอดฝีมือ  เขาจึงเริ่มลงมือฝึกวิชาทันที  โดย...

“หลิวเกา  ข้าขี้เกียจออกไปนอกห้อง  เจ้าไปยืมตำราฝึกวิชาขั้นต้นที่หอสมุดมาซิ”

“หลิวเกา  โคจรปราณนี่ทำยังไง  มันดูน่าเหนื่อยจัง  เจ้าทำให้ดูหน่อยซิ  ถ้าข้าอารมณ์ดีเดี๋ยวจะทำตาม”

“หลิวเกา  ฝึกกล้ามเนื้อนี่มันต้องวิดพื้นกับโหนบาร์ด้วยเรอะ  มันจะได้ผลจริงเร้อ  ข้าขี้เกียจทดลอง  เจ้าลองทำดูซิ”

“เสี่ยวหมี  เพลงหมัดนี้มันแปลก ๆ นะข้าว่า  เหมือนเป็นวิชาหลอกให้คนเสียเวลา  เจ้าลองฝึกให้ดูหน่อย  ถ้าได้ผลเดี๋ยวข้าตาม”
“อ๊อออออออ!”

เวลาผ่านไปสองเดือนกับยี่สิบวัน  คุณชายสามนอนกินเชอรี่และอ่านปูมบันทึกเรื่องประหลาดของยุทธภพที่สนามหญ้าในบริเวณที่พัก  ตอนนั้นเป็นยามบ่ายอ่อน ๆ  เสี่ยวหมีขยับอุ้งมือรำหมัดอยู่ใต้ต้นสน  ขณะที่หลิวเกาซึ่งผอมลงไปมากและเห็นกล้ามเนื้อขึ้นเป็นเลา ๆ  คอยพัดวีให้กับนายน้อย

“นายน้อย”  หลิวเการ้องเรียกพลางขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล  “เหลืออีกไม่กี่วันก็จะมีการประลองคัดเลือกศิษย์แล้ว  นายน้อยฝึกวิชาไปถึงไหนแล้ว”

แทงใจดำจึ้ก ๆ  ซีคงหยูพลิกตัวหนีทำเป็นไม่สนใจ  “เดี๋ยวสิ  ข้าอ่านเรื่องนี้จบก่อน  อย่าเพิ่งชวนคุยเรื่องซีเรียส  ฮ่า ๆๆ  เรื่องคางคกทองคำตัวนี้ตลกจัง   จอมยุทธหานอวี้นึกว่ามันเป็นทองจริง  ที่แท้ก็ทองชุบ”

“นายน้อย...”

เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้  คุณชายสามเลยพลิกตัวกลับมาอีกที  “เฮ้อ  ข้าคงไม่มีพรสวรรค์  เลยรวบรวมพลังปราณไม่ได้”

“ไม่จริงนายน้อย  บ่าวว่านายน้อยแค่ไม่มีความพยายาม  วัน ๆ นายน้อยไม่เห็นจะทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือแล้วหัวเราะคิกคัก”

ฟัค!!   นี่เจ้าแอบสตอล์คข้าใช่มั้ย  ทำไมหยั่งรู้ชีวิตข้าจนหมดเปลือก!

“นายน้อยรู้มั้ยว่า  เสี่ยวหมีสำเร็จวิชาหมัดวารีดำเนินขั้นสองแล้ว”

“อื้อฮึ”

“บ่าวเองก็สร้างเนื้อหนังขึ้นระดับหินทรายขั้นต้น”

“อื้อฮึ”

“พลังปราณของบ่าวอยู่ในระดับตะวันขึ้นสายขั้นต้นเกือบขั้นกลาง”

“อื้อฮึ”

“แล้วนายน้อยไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ”

“คิดสิ  ข้าก็คิดตลอดเวลา   ถ้าการนั่งคิดทำให้ข้าสำเร็จวิชาได้  ป่านนี้ข้าเข้าถึงระดับจันทราเลื่อนลอยแล้ว”

“นายน้อยต้องลงมือทำด้วย  ฝึกวิชาไม่ยากเลย  มันมีฮาวทูบอกเป็นขั้น ๆ  ทำ ๆ ไปตามที่เขาบอก  พลังพรตก็ขึ้นปรี๊ด ๆ เอง”

“เฮ้อ  มันยากตรงที่ข้าไม่มีแรงบันดาลใจน่ะสิ”

“นายน้อยอยากได้แรงบันดาลใจมั้ย  อ่ะ  บ่าวให้....หลี่-โอ๋-อวิ๋น”

“เฮฟเว่นอะโบฟ!!”

“นายน้อยอย่าลืม  ว่าคู่หมั้นของนายน้อยอาจจะมาท้าประลองได้ทุกเมื่อ  ถ้านายน้อยไม่ฝึกพลังฝีมือ  นายน้อยจะเอาชนะเขาได้ยังไง”

“เฮ้อ  ระดับของข้ากับเขามันห่างกันเกินไป  ป่านนี้ไอ้ผู้แซ่หลี่คงเข้าสู่เขตแดนจันทราเลื่อนลอยแล้ว”

“นายน้อยต้อง  พยายาม  พยายาม  พยายาม  และพยายาม  แล้วนายน้อยจะไปถึงคาเนกี้ฮอลล์”

“มันคืออะไรฟระ  ข้าก็อยากจะพยายามแต่ข้าไม่มีไฟ  เจ้าไม่เคยได้ยินเต๋าแห่งเส้นตายหรอ  เวลาที่ใกล้เดดไลน์  ไฟมันจะโชติช่วงเป็นพิเศษ  ข้าเชื่อว่าในสิบวันที่ข้ามีไฟลุกโชนอย่างเต็มที่  ข้าจะต้องสำเร็จพลังพรตแน่ ๆ”

“ฮี่ ๆ”

ซีคงหยูปรายตามองเมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะอย่างไม่เชื่อ  เขาจึงโยนหนังสือไว้ข้าง ๆ ตัวแล้วร้องเรียก

“เสี่ยวหมี”

“อ๊อออออออ!!”

“พวกเราไปหาประสบการณ์พิสดารกัน”  (1)


(1)   ประสบการณ์พิสดาร = fruitful encounter  แบบพระเอกนิยายจีนตกเขาเจอยอดวิชา  เจอของวิเศษ  อะไรประมาณนั้น


++++++++


ประสบการณ์พิสดารที่คุณชายสามของเราเล็งเอาไว้ก็คือ  การหน้าด้านเข้าไปขอยอดวิชาจากผู้อาวุโสประจำสำนัก  ฮี่ ๆ 
ซีคงหยูขี่หมีดำเดินทอดน่อง  และเปิดแผนที่ของสำนักไปด้วย

“ผู้อาวุโสเส้าหยูเสวียน  ข้าไม่รู้จักแฮะ  ฟังชื่อเหมือนพวกนางชี  ดูคนต่อไปดีกว่า”

เขาพลิกมองหาถ้ำเซียนของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในแผนที่  “ผู้อาวุโสชวงลี่เอ๋อ  ชื่อน่ารักจัง  แต่ข้าก็ไม่รู้จักอีกนั่นแหละ”

“ผู้อาวุโสหมิงอวี้กว๋อ  ผลไม้หยกหรอ  ชื่อน่ากินจัง  แต่ข้าก็ไม่รู้จักอีกนั่นแหละ”

“ผู้อาวุโสไป่หลินหลิง  คนนี้นี่เอง  แต่ที่พบกันวันนั้นนางดูเป็นคนซีเรียสจังเลย  นางจะยอมช่วยข้ามั้ยเนี่ย  นางบอกไม่ชอบคนประจบอีก  งั้นเราคุณชายต้องทำตัวไม่พินอบพิเทา  และก็ไม่หยิ่งยโส” (2)

ซีคงหยูคิดบทพูดในใจแล้วก็กระตุ้นให้หมีดำพาตนไปยังถ้ำเซียนที่หมายตาไว้
 
(2)   Not arrogant, nor servile

ซีคงหยูแอบซุ่มหลังต้นไม้หน้าถ้ำเซียนของไป่หลินหลิง  เขาคอยแอบดูลาดเลาจังหวะที่พวกศิษย์รับใช้เผลอ  โดยเฉพาะนางมารร้ายไป่หลานหลาน  เขาตัดสินใจที่จะเรียกไป่หลานหลานเช่นนั้น..ในใจ  เมื่อพบว่าทุกคนในสำนักเรียกเขาว่าศิษย์น้องลุงกันหมด  แม้กระทั่งพวกศิษย์พี่ที่อายุมากกว่า

คุณชายสามทำเสียงชู่ให้เสี่ยวหมีทำตัวเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตาก   นอกจากวิชาหมัดวารีดำเนิน   เสี่ยวหมียังได้เรียนวิชาจิ้งหรีดพรางตัวอีกด้วย  ทำให้มันสามารถซ่อนพลังชีวิตและพลังปราณได้ในระดับหนึ่ง

แต่ทันใดนั้น  ก็มีมือมาวางบนบ่า  คุณชายสามสะดุ้งสุดตัว  และหันขวับ

เขากำลังจะตะโกนด้วยความตกใจ  แต่อีกฝ่ายเอามืออุดปากและทำเสียงชู่ววว

ซีคงหยูเบิกตากว้างมองอีกฝ่าย  เมื่อหายตกใจ  อีกฝ่ายก็ปล่อยมือที่ปิดปากเขาไว้  ศิษย์น้องลุงแห่งสำนักวารีพิสุทธิ์ถามทันทีด้วยเสียงกระซิบ

“เจ้าเข้ามาได้ยังไง  สำนักนี้ห้ามผู้ชายเข้า”

“ฮ่า ๆๆ  แล้วเจ้าล่ะเข้ามาได้ยังไง  เจ้าก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน  เอ๊ะ  หรือเจ้าไม่มีจู๋”

ซีคงหยูเอามือกุมเป้าตัวเองทันทีเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะพิสูจน์

“ข้าก็มีจู๋เหมือนกับเจ้านั่นแหละ  และข้าเข้าสำนักมาอย่างองอาจประดุจพญาราชสีห์  เพราะผู้อาวุโสไปก้มหัวขอร้องให้ข้ามาเป็นศิษย์ชายคนแรกของสำนัก”  ซีคงหยูทุบอกตัวเองบึก ๆ อย่างภาคภูมิใจ

“โฮ่  อย่างงั้นเรอะ”

“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร”  คุณชายสามถามพลางกวาดตามองขึ้น ๆ ลง ๆ  หมอนี่ก็หล่อดี  ไม่สิ  หล่อมาก  ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้าขาวราวหยก  ดวงตาเรียว  และมีรอยยิ้มที่มั่นใจในตัวเอง

“ถ้าเจ้าอยากรู้  ข้าจะชี้แจงแถลงไข   เพื่อปกป้องไม่ให้โลกถูกทำลาย  เพื่อความสงบสุขของยุทธภพ  นามข้านั้นก็คือ...”  อีกฝ่ายนิ่งคิดครู่หนึ่ง  “..หวางเซียนเหลย  ราชาผู้วิเศษสายฟ้า  ไวท์โฮลลล”

ไอ๊หยา!!  เดี๋ยวนี้ต้องแนะนำตัวอย่างมีสไตล์แบบนี้แล้วหรอ  ฉันตามแฟชั่นไม่ทันแล้วพี่จ๋า

“ข้าชื่อซีคงหยู  แล้วพี่ชายหวางมาทำอะไรที่นี่”

“โฮ่  เจ้าพูดเหมือนไม่รู้จักไป่หลินหลิง”

“ข้าต้องรู้จักแน่อยู่แล้ว  ผู้อาวุโสไป่คือคนที่เชิญข้ามาที่สำนัก”

“แต่เจ้าต้องไม่เคยเห็นหน้านาง  เจ้าถึงไม่รู้ว่านางนั้นคือโฉมสะคราญสุดยอดของแดนดิน  ความสวยของนางทำให้กระรอกหัวใจวายตายคาต้นไม้  และปลาหลีก็ถึงกับลอยหงายท้องด้วยความเสียใจที่งามไม่ได้เศษธุลีของนาง  และตัวข้านั้นก็คือคนที่ตกในห้วงรัก  ข้ามาเพื่อสารภาพความในใจอันร้อนรุ่มแก่แม่นางไป่  เจ้าไม่ได้มาด้วยจุดประสงค์เดียวกับข้าก็ดีแล้ว  มิเช่นนั้นข้าคงต้องกำจัดเจ้าซะ”

หวางเซียนเหลยพูดพลางใช้นิ้วโป้งงัดกระบี่ออกจากฝักเล็กน้อยเป็นการขู่

เมื่อซีคงหยูเห็นกระบี่ในมือชายหนุ่มคนนั้น  เขาก็ตาเหลือกด้วยความตกใจ 

“กระบี่...กระบี่นี้...”

เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาด  หวางเซียนเหลยรีบใช้แขนเสื้อบังหัวมังกรที่ด้ามกระบี่  แต่สายไปเสียแล้ว

“หยะ..อย่าบอกนะว่า”  คุณชายสามพูดอย่างตกใจ  “กระบี่นี้เป็นกระบี่แบบผลิตขายเป็นเข่ง”

บิดาเจ้าสิขายเป็นเข่ง  ตระกูลเจ้าขายเป็นเข่งทั้งตระกูล   หวางเซียนเหลยด่าทอในใจ

“ไม่  กระบี่นี้มีเล่มเดียวในโลก”

“แล้วทำไมพี่ชายต้องแกล้งข้าตอนข้าปีนขึ้นเขาด้วย  ทำข้าตกใจแทบแย่”

“โอ้  ข้าเผลอทำกระบี่หลุดมือ”

“ฮ่า ๆ พี่ชายหวาง  ข้ารู้นะว่าท่านอิจฉาข้าที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดผู้อาวุโสไป่  ท่านถึงแกล้งข้า  แต่ข้าไม่ถือสาหรอก  ท่านเป็นยอดฝีมือ  ย่อมมีความคิดอ่านต่างจากคนธรรมดา  กล้ารักกล้าเกลียด  นับถือ  นับถือ”

“โฮ่  เจ้านี่ใจกว้างดี  ว่าแต่เจ้ามาหาแม่นางไป่ทำไม”

 “สำหรับเรื่องนี้...”  ซีคงหยูลังเลเล็กน้อย   แต่ก็เล่าถึงต้นสายปลายเหตุเรื่องการท่องเที่ยวหาประสบการณ์พิสดารของเขาให้อีกฝ่ายฟังตั้งแต่ต้นจนจบ



++++++

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 28-08-2017 02:29:11
แล้วแบบนี้จะไปสู้ว่าที่สามี เอ้ย หลี่โอ๋อวิ๋น ได้ยังไงกันล่ะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 28-08-2017 08:48:05
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 28-08-2017 10:17:04
ผมชอบงานเขียนของคุณคิริมันจาโรตั้งแต่เรื่องที่เป็น บันเทิงคดี แล้วนะครับ เพราะว่าคุณสามารถเขียนเรื่องและบรรยายได้ตรงกับ ‘ประเภทวรรณกรรม’ ที่ระบุไว้ได้ แถมยังมีเส้นเรื่องที่น่าสนใจมากด้วย อย่าง ‘เรื่องทางเพศ’ ก็เป็นอะไรที่ไม่ว่าผมจะกลับมาอ่านกี่รอบ มันก็สร้างเสน่ห์ได้อย่างน่าสนใจ คุณซ่อนนัยยะต่างๆไว้ในการบรรยายได้อย่างแยบยล (บางทีอาจแยบยลไปหน่อยนะครับ ผมอ่านมันมาสามรอบยังนัยยะบางอันไม่แตกเลย ฮะๆ) สมกับเป็นบันเทิงคดีที่ซ่อนความรู้ได้อย่างดีเยี่ยม

ในส่วนของเส้นเรื่อง คุณคิริมันจาโรก็วางคร่าวๆไว้ได้ดีมากนะ ผมประเมินจากเรื่องเก่าๆ ส่วนตัวผมคิดว่าคุณคิริมันจาโรไม่เก่งการใส่รายละเอียดในพล็อต แต่ถนัดการมองเห็นในมุมกว้าง อันนี้คงคล้ายๆกับผม ซึ่งข้อดีคือมันทำให้คนอ่านจะตื่นตัวได้ตลอดเวลา

สำหรับเรื่องนี้ เป็น Xianxia ที่คุณคิริมันจาโรทำออกมาแล้วผมก็ประทับใจตั้งแต่บทแรกเลยครับ เพราะอะไร? เพราะไม่ค่อยมีนิยายธีมจีนโบราณหรือธีมจีนที่ทำให้ผมอินได้สักเท่าไหร่ครับ (หัวเราะ) ผมคิดว่าด้วยลักษณะวรรณกรรมทำให้มันบรรยายแบบบางที Redundant เกินไป (สำหรับนิยายย้อนยุคโบราณ) หรือบางทีพล็อตก็สลับมากเกินไป แบบนิยายกำลังภายในรุ่นเก๋าๆ คือมันชอบเดินเรื่องแบบหนังสือ A song of ice and fire แต่บางทีก็สลับช่วงเวลา สลับเหตุการณ์ มันทำให้ผมปะติดปะต่อเรื่องไม่ค่อยได้ครับ อ่านแล้วงง พาลจนจะหยุดอ่านเอา

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ คุณคิริมันจาโรเขียนโดยผสมการบรรยายเชิงทันสมัย (modern) ให้มันไม่ดูลึกเกินไปจนสัมผัสไม่ได้ นอกจากนี้ยังเป็นนิยายตลกที่ทำให้ผมขำได้แทบจะทุกตอนเลย นับถือครับ! มีนิยายไม่กี่เรื่องที่ทำผมกลั้นขำไม่อยู่ขนาดนี้นะ (หัวเราะ) อย่าง ‘ศิษย์น้องลุง’ เนี่ย คิดได้ไง! สุดยอด ผมนี่ขำจนปวดท้องเลย (ฮา) แถมเปิดเรื่องมา เจอตำราห้าลักษณะระบุว่าโคตรโกง ตาไข่ไก่กับตาห่าน นี่ก็ขำแทบตกเก้าอี้แล้วครับ แต่งเก่งจริงๆ ยกนิ้วให้

บุคลิกตัวละครในเรื่องแทบทั้งหมดก็มี sense of humor ได้อย่างน่าสนใจมากครับ ตลกกันได้ทุกคน กระทั่งพี่ใหญ่หรือท่านเจ้าสำนัก (ฮา) โดยเฉพาะน้องหมีของเรา น่าร้ากกกกกกกกก คือเปิดบทบรรยายผมก็ชอบแล้วครับ ขนฟูๆสีดำ ตัวนิ่มๆเดินช้าๆ แล้วก็นิสัยน่ารัก ตามเจ้าของต้อยๆ โดยเขาให้ทำอะไรก็เป็นลูกคู่ แต่ก็มีมุมร้องประท้วงน่ารักๆอีกแน่ะ โอย ยังกับหมีแพนด้าตัวเล็กๆ น่าเล่นที่สุด (หัวเราะ) แถมยังคล้องกับชื่อเรื่องอีกนะ เทพยุทธ์หมีดำในตำนาน โอย ฮาครับ คุณชายสามไปแต่งงานกับสามีไป๊ (เรื่องคือสงสารบ่าว โถ... มีความซื่อและจงรักภักดีกับเจ้านายติงต๊องก็อย่างนี้ละนะ ขอให้ว่าที่สามีของเจ้านายใจดีกับคุณบ่าวละกัน (ฮา))

มีคำถามนึงที่อยากถาม คืออยากรู้อายุของคุณเมฆผยองครับ (ไม่มีปัญญาจำชื่อจีน ยากเกินความสามารถครับ (หัวเราะ)) มันจะมี Age Gap ห่างกับคุณชายสามไหมเนี่ย ถ้ามาก เราไม่เชียร์! (ฮา) แต่ผมคิดว่าน่าจะอายุใกล้ๆกันนะ เพราะว่าปกติชาวยุทธ์ถ้าสำเร็จวิชานี่หน้าตาอ่อนกว่าอายุเยอะมากเลยล่ะ (เช่นเซียวเหล่งนึ่ง) ถ้าอายุเท่ากันนี่เราเชียร์ครับ! (ฮา) รีบๆตามมาเอาว่าที่ภรรยากลับไปได้แล้วครับ ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าไป๋หลินหลิงขึ้นมาหน่อยๆแล้วล่ะ ผู้อาวุโสอะไรฟะ ทำไมติสท์ขนาดนี้ คือมันก็ดีนะในแง่เล่นการเมือง แต่ทำไมดูเหมือนนิสัยส่วนตัวจะเสียยังไงก็ไม่รู้แฮะครับ (หัวเราะ) ต้องให้พี่ใหญ่แห่งตระกูลซีคงมาปราบแล้วมั้ง จะได้ลบคำสบประสาทว่าจู๋สั้น (โอย ตรงนี้ก็ฮาครับ ท้องแข็งเลย) ในหมู่ผู้อาวุโส ผมกลับชอบผู้อาวุโสเส้านะ ดูคำพูดคำจาเปรี้ยวดี เออ กล้าด่าและกล้าตบ แต่ไม่กล้าสู้ด้วยวิชาดีเบต (ฮา) เหมือน Taylor swift แห่งเมืองจีน (หัวเราะ)

ผมว่านิสัยคุณชายสามนี่เกรียนใช้ได้เลยนะ น่าสนใจมาก มีความขี้เกียจเด่นชัดเป็นคาแรกเตอร์มากครับ (ฮา) อย่างฉากขึ้นบันไดก็เพียรพยายามหาช่องว่าง พอสำเร็จก็ดันหัวเราะชั่วร้ายอีกแน่ะ ยังจะไปเย้ยน้องหมีเขียวอีก (เกรียนจริ๊ง) ตอนฝึกวิชาก็ยังไม่วายแอบคิดด้วยความขี้เกียจ (หัวเราะ) ผมชอบนะครับ เพราะว่านิสัยแบบนี้มันพลิกพล็อตได้ตลอด แถมยังคาดเดาไม่ได้ แล้วก็เป็นนิสัยของตัวเอกที่ไม่ Heroic เกินไป ไม่เหมือนกับฝั่งคุณสามี อื้อหือ ฉากชักกระบี่กับแสดงพลังยุทธ์นี่เทิดฟ้าท้าดินมาก เป็นระดับสูงซะด้วย (ความจริงไอ้ฉากต่อปากต่อคำกับไป๋หลานหลานนี่ก็เกือบจะเท่นะครับ ‘ได้ยินชื่อเสียงสำนักวารีพิสุทธิ์มานานว่าชอบทำลายความสุขหนุ่มสาว แต่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้’ แต่ทำไมผมขำก็ไม่รู้อะ (หัวเราะ) นี่สงสัยควันออกหูมากที่ไม่ได้แต่ง สงสัยจะมีประเด็นเรื่องชอบคุณชายสามมานาน บังเอิญว่าเต๋าแห่งความขี้เกียจของคุณชายสามจะทำให้มองอะไรไม่เห็นเลย (หัวเราะ) ยิ่งคุณชายสามไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ผมว่าฉากนี้มันแฟนกันทะเลาะกันชัดๆ (ฮา))

อีกนิดคือ...ที่คุณชายสามคิดว่าตัวเองเป็นเนื้อห่านฟ้าน่ะ ไม่เถียงนะครับ แต่เผอิญว่าคุณเมฆผยองนี่คงไม่ใช่คางคกอย่างที่คุณชายสามปรามาสน่ะนะครับ อาจจะเป็นมังกรหรือเหยี่ยวหรือราชสีห์ อะไรทำนองนี้นะครับ (ฮา)

แต่ก็ยังมีบางจุดที่อยากแนะนำนะครับ คือหนึ่ง ความยาวต่อตอน ผมไม่อยากให้ตัดเป็นช่วงๆ คือเข้าใจว่าตัดบางช่วงมันจะทำให้อารมณ์อิ่มตัวพอดีและอยากรู้ตอนต่อไป แต่บางทีมันก็สั้นไปน่ะครับ ให้เป็นตอนๆแล้วความยาวเหมาะสมดีกว่า ใช้คั่นด้วยเส้นคั่นเอา มันก็ตัดจุดอารมณ์ได้ดีเหมือนกัน ไม่ต้องรีบแต่งรีบลงขนาดนั้น ถ้านิยายมันดี (ซึ่งเรื่องนี้ผมกล้าประกันว่ามันดี) รอนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหาครับ อีกเรื่องคือเรื่องเว้นบรรทัด อยากให้เว้นบรรทัดให้สบายตาหน่อยครับ (แบบโพสที่สองหรือโพสที่สามเนี่ยแหละครับ เว้นบรรทัดหน่อย ถ้าติดกันเป็นพรืดไปหมด อ่านแล้วมันไม่ค่อยมีช่วงจังหวะหยุดหายใจ หรือให้ซึมซับกับรายละเอียดของเรื่องเต็มที่น่ะครับ) ตอนล่าสุดเห็นว่ามีอธิบายอะไรเพิ่มด้วย ตรงนี้โอเคแล้วครับ แต่แทรกไว้ด้วยดอกจันแล้วแต่งสีหน่อยก็จะทำให้สะดุดตามากขึ้น ไม่กลืนไปกับเรื่อง
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-08-2017 10:24:10
หยูเอ๊ย........... :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
เอาแต่ขี้เกียจ นี่ก็ไม่ทำ นั่นก็ไม่ฝึก
ให้หลิวเกาอวบอ้วนฝึก จนไขมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อ   o22
แม้แต่เสี่ยวหมี ก็สำเร็จบ้างและ  :ruready   อ๊ออออออ
ก็คอยปาฏิหาริย์ของหยูนะ  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 28-08-2017 12:12:43
คุณKirimanjaro ดีใจที่กลับมาเขียนนิยายอีกค่ะ พอเห็นชื่อคนเขียนก็รีบกดเข้ามาอ่านเลย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 6 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 28-08-2017 12:39:55
nightsza:  5555  นั่นสิ   เสี่ยวหมี  หลิวเการีบฝึกวิชาเข้านะ  จะได้ไปตายแทนคุณชายสาม

พิศตะวัน:  :mew1:

Grey Twilight: เซียนเซี่ยยุคนี้ของทางจีนก็เป็นแบบนี้เยอะเลยครับ  เพราะในแง่หนึ่งมันก็คือไลท์โนเวล  ก็จะบรรยายน้อยและเดินเรื่องเร็วกัน  ถ้าคุณชอบอ่านแนวนี้  โดยเฉพาะเรื่องตลก  อยากแนะนำให้อ่าน Cultivation Chat Group ครับ  ตลกกว่าที่ผมเขียนเจ็ดเท่า

พล็อตสลับนี่ผมนึกออก  แนวโกวเล้งยุคหลัง ๆ เลย  ผมชอบอ่านนะ  แต่มันต้องใช้พลังมากในการตามเรื่องให้แตก  แต่ว่ามันต้องได้อ่านรวดเดียวยาว ๆ  ให้เห็นภาพรวม  ถ้าตามอ่านเป็นตอน ๆ ผมก็งงเหมือนกัน 555

เมฆผยองก็ราว ๆ 19-21 ครับ  เขาเป็นอัจฉริยะของสำนัก  ก็เลยสำเร็จฝีมือขั้นสูงตั้งแต่อายุน้อย  อายุห่างกันกับตาลุงคุณชายสามมากทำให้ตะขิดตะขวงก็ต้องขออภัยด้วยฮะ  แหะแหะ

ไป่หลินหลิงนางก็เป็นคนร้าย ๆ ตอนล่าสุดก็คงจะเห็น  ผมเขียนไปผมก็คิดว่า  ถ้าเจอในชีวิตจริงคงต้องแบบ..อีนี่ต้องตบ

ตัดเป็นช่วงนี่คือแต่งได้เท่านั้นแล้วก็ลงเลยครับ  กำลังเห่อนิยาย  ไม่ได้กั๊กตอนไว้เลย 5555+

♥►MAGNOLIA◄♥ :  ไม่อยากจะบอกเลยว่า  เอาชีวิตจริงคนเขียนมาเป็นชีวิตหยู  ฮือๆๆๆ


april: ดีใจที่ยังจำกันได้และติดตามกันครับ  ยินดีต้อนรับสู่เรื่องใหม่


++++++


“ฮ่า ๆๆๆ”  อีกฝ่ายหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจเมื่อฟังจนจบ  “น้องชายซีคงมีวิธีหาประสบการณ์พิสดารที่พิสดารไม่ใช่เล่น  หากข้าเป็นผู้อาวุโสสำนักเจ้า  คงจับเจ้าใส่ตะกร้อให้ช้างเตะลงเขา”

“ไอ๊หยา!  แล้วข้าควรจะหาประสบการณ์พิสดารยังไง”

“โฮ่  โดยทั่วไปคนเขาก็จะไปเข้าร่วมด่านทดสอบในมิติลี้ลับตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาของวิเศษ  ตัวยาล้ำค่า  หรือยอดวิชาที่หายาก”

ทั้งคู่เดินคุยกันห่างจากถ้ำเซียนของไป่หลินหลิง  พวกเขาลัดเลาะหลบไปหลังภูเขาที่รกร้างไร้ผู้คน  ข้างหลังภูเขามีป่าไผ่มรกต  ลำต้นไผ่เป็นสีเขียวแวววาวเหมือนแก้วผลึก  และใบมันก็เหมือนเปล่งประกายแสงเรื่อเรือง

“พี่ชายหวาง  ข้าไม่มีพลังพรตแม้แต่น้อย  แล้วผู้น้องจะไปแข่งกับคนอื่นได้อย่างไร   ข้าอยากได้ทางลัด  อย่างเช่น  ถ้าได้ยอดวิชาเต๋าแห่งการนอน  เต๋าแห่งความขี้เกียจ  เต๋าแห่งการผัดวันประกันพรุ่ง  เก้าลอเก้า  ข้าต้องสำเร็จเต๋าเหล่านั้นอย่างรวดเร็วแน่ ๆ”  คุณชายสามนับนิ้วพลางคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง

หวางเซียนเหลยขมวดคิ้วจนแทบจะพันเป็นเลขแปด  แต่แล้วก็หัวเราะฮี่ ๆ

“ทางลัดน่ะมี  แต่น้องชายซีคงจะกล้าหรือไม่”

“ผู้น้องล้างหูรอรับฟัง”

หวางเซียนเหลยมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีคนแอบฟัง  แล้วโน้มตัวไปพูดใกล้ ๆ หู  “เจ้ารู้มั้ยว่า  แม่นางไป่มีศัตรูอยู่หนึ่งคน  ศัตรูคนนั้นก็คือ  ผู้อาวุโสเส้า...เส้าหยูเสวียน”

ซีคงหยูทำตาโตเมื่อได้รับฟังเรื่องการเมืองภายใน

“ศัตรูของนางในดวงใจข้าก็เหมือนศัตรูของข้า  เอาอย่างงี้มั้ยล่ะ  ข้าบังเอิญมียอดวิชาที่เหมาะกับเจ้า  เหมาะเจาะอย่างไม่มีที่ติ  ถ้าเจ้าได้ไป  วรยุทธต้องรุดหน้าเหมือนเอาคัมภีร์เทใส่น้ำร้อนปิดฝาไว้สามนาที  เก่ง”

“โอ้โหหหห”

หวางเซียนเหลยคลี่พัดจีบอย่างมีมาดแล้วเดินไปที่หน้าผาริมป่าไผ่

คุณชายสามรีบเดินตามแล้วถูมือไปมา   “พี่ชายหวาง  แล้วข้าต้องทำยังไงถึงจะได้ยอดวิชานั้นมา”

“ฮี่ ๆ  อย่างที่ข้าบอก  เจ้ากล้าพอหรือเปล่า  เจ้าจะต้องสั่งสอนนางจิ้งจอกแซ่เส้า  ว่าอย่ามาแหยมกับแม่นางไป่”

“ไอ๊หยา  พี่ชายหวาง  นั่นน่ะผู้อาวุโสสำนักเลยนะ  ท่านจับมวยผิดรุ่นแล้ว”

หวางเซียนเหลยฟังแล้วก็เบือนหน้ากลับมามองด้วยหางตา

“เจ้าเคยได้ยินคำเปรียบเปรยเรื่องช้างกับมดมั้ย  มดหลายตัวก็รุมกัดช้างตายได้”

“โอ้  งั้นข้าก็คือมดสินะ”

“โน  เจ้าคือสิ่งชีวิตต่ำชั้นกว่านั้น  อย่างเห็ดราเป็นต้นฯ  แต่..”  อย่างไม่รอให้ซีคงหยูประท้วง  หวางเซียนเหลยรีบกล่าวต่อ  “ถ้าเจ้ารวบรวมฝูงมดได้มากพอ  ก็จะสามารถกัดช้างให้เจ็บ ๆ คัน ๆ ได้”

“พี่ชายหวางกำลังจะบอกว่า..”

“ฮ่า ๆๆ  ริจะประกอบอาชญากรรม  ก็ต้องมีการจัดตั้งองค์กร  แผนระยะแรกของพวกเราคือการรวบรวมกำลังคนและอิทธิพลในสำนักวารีพิสุทธิ์  เราจะตั้งพรรครีดไถเรียกค่าไถ่  และมุ่งก่อกวนพวกศิษย์ของเส้าหยูเสวียนเป็นพิเศษ”  หวางเซียนเหลยหันมากอดคออีกฝ่ายแล้วพาเดินกลับจากหน้าผาไปที่ป่าไผ่

“พี่ชาย..แต่ข้ามันคนโนเนม”

หวางเซียนเหลยรวบพัดในมือแล้วเอาเคาะหัว  “เจ้านี่มันเงื่อนไขเยอะซะจริง  เอ้านี่”  เขาล้วงของจากอกเสื้อแล้วโยนให้จนซีคงหยูรับแทบไม่ทัน   “นี่คือป้ายหยกแทนตัวของข้า  ข้าพอมีเส้นสายในสำนักอยู่บ้าง  ถ้าเจ้าแสดงป้ายนี้ให้แก่ศิษย์ในสำนัก  พวกนางจะปฏิบัติตามที่เจ้าบอก  เฮ้  อย่าแทะป้ายสิ”

หวางเซียนเหลยแทบน้ำตาตกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาป้ายหยกคุนเผิงน้ำเงินไปแทะพิสูจน์

“ข้ากลัวเป็นของเก๊อ่ะ”

“....”


+++++++++



คุณชายสามขี่หมีดำกลับเรือนพักศิษย์ใหม่อย่างองอาจ  เมื่อถึงสนามหญ้าที่หลิวเกากำลังฝึกร่างกายอยู่  เขาก็ประกาศว่า
“ข้าได้กลับมาจากการพิชิตทวีปดิน1  เจอประสบการณ์พิสดารที่โพ้นทะเล  พบพานยอดเซียนผู้มากไปด้วยฤทธิ์  และกลับมาพร้อมกับสมบัติเต็มลำเรือ”

“ยินดีด้วยนายน้อย  ยินดีด้วยนายน้อย”  หลิวเการีบลุกไปพินอบพิเทาตามบท  แต่แล้วก็เหล่มองดวงอาทิตย์  “แต่นี่ยังไม่ถึงชั่วยามเลย  นายน้อยแน่ใจนะว่าได้ออกไปผจญภัยแล้วจริง ๆ ไม่ใช่แวะไปฉี่ข้างทาง”

“ฮี่ ๆ  ยินดีด้วย  ศิษย์น้องลุงซีคง”

เสียงดังมาจากข้างหลัง  ซีคงหยูหันขวับบนหมี  จากนั้นประสานมือคารวะ 
“ศิษย์พี่หญิงหวู”

“ข้าแวะเอาตารางการประลองคัดเลือกมาให้  และก็อยากไต่ถามศิษย์น้องว่า ธีสิสถึงไหนแล้ว  ฝึกวิชาถึงไหนแล้ว”

“ฮ่า ๆๆ  เรื่องนี้...”  คุณชายสามหัวเราะค้างแล้วก็กระแอมไอ  ทำไมคนเดี๋ยวนี้ชอบจี้ใจดำกันนักนะ  ช่างไร้หัวจิตหัวใจกันเสียจริง

“แต่ได้ยินว่าศิษย์น้องพบเจอประสบการณ์พิสดาร  สงสัยคงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะมั้ง”  หวูชิงหรูพูดสายตาวาววับ  คนฉลาดอย่างนางเห็นก็รู้ว่าซีคงหยูยังฝึกวิชาไม่ถึงไหน

“เฮ่อ  พูดแล้วก็น่าอาย  ประสบการณ์พิสดารของข้าไม่ใช่ยอดวิชาโดยตรง  แต่ข้าได้รับการมอบหมายจากยอดคน  ให้ทำงานอันสูงส่ง  คุ้มครองยุทธภพ  ผดุงธรรมแทนสวรรค์”

“อื้อหืออ”  หวูชิงหรูร้องอย่างสนใจ  นางไม่ค่อยเชื่อนักหรอก  แต่ก็อยากฟังว่าศิษย์น้องลุงคนนี้จะโม้ว่าอะไร

“ศิษย์พี่หญิงหวู  ได้พบพานกันนับเป็นวาสนา  ในเมื่อเราสองมีวาสนาผูกพัน   ศิษย์พี่หญิงมาเป็นสมาชิกพรรคคนแรกของข้าดีมั้ย”

หวูชิงหรูขมวดคิ้ว  แต่ไม่ทันจะเอ่ยปากปฏิเสธ  ซีคงหยูก็ควักป้ายหยกออกจากอกเสื้อ

“นี่คือป้ายประกาศิตแทนตนของยอดคนผู้ลึกลับ  ท่านบอกว่าเมื่อยกป้ายขึ้นพลทหารนับแสนจะคุกเข่ารับบัญชา  เอ๊ะ  จริงมั้ยวะ”

“ป้ายนี้มัน...”  หวูชิงหรูอึ้งไปพักหนึ่ง  จากนั้นเมื่อขบคิดต้นสายปลายเหตุในสมอง  บวกกับการรู้ว่านิสัยแต่ผู้อาวุโสแต่ละคนเป็นอย่างไร  นางก็เริ่มหัวเราะ

หวูชิงหรูหัวเราะจนตัวงอ   ขณะที่คุณชายสามเกาหลังคอด้วยความอาย

“ทำให้ศิษย์พี่หญิงต้องหัวร่อเยาะเสียแล้ว  ที่แท้ป้ายหยกนี้ก็ของปลอม  ข้าก็ว่าอยู่แล้วว่าทำไมข้าจะโชคดีขนาดนั้น เลยลองทดสอบกับศิษย์พี่หญิงด้วยการเล่นใหญ่รัชดาลัย  เฮ้อ  โยนทิ้งดีกว่า”

“ฮ่า ๆๆๆ  อย่าโยน  นั่นป้ายของจริง  ข้าหัวเราะเพราะหมีของเจ้าน่ารักดี  ฮ่าๆๆๆ”

นางปัดหลังมือเช็ดน้ำตาที่เล็ดจากการหัวเราะ  แล้วเงยหน้าถาม

“ยอดคนที่ศิษย์น้องว่า  ต้องเป็นคุณชายรูปงาม  สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน  ถือพัดไม้กฤษณาและกระบี่ใช่หรือไม่”

“โอ้  ศิษย์พี่หญิงประสบการณ์กว้างขวาง  ท่านรู้ได้อย่างไรล่ะเนี่ย”

“ฮี่ ๆ ยอดคนผู้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน  ในเมื่อศิษย์น้องอยากให้ข้าเข้าพรรค  ก็เป็นอันว่าตกลง”

“ง่าย ๆ อย่างงี้เลยน่ะหรอ  งั้นแปะมือเป็นสัญญา”

คุณชายสามปีนลงจากหลังเสี่ยวหมีแล้วไปแปะมือกับหวูชิงหรู   นางยิ้มเป็นนัย  ประกายตามีแววระยิบระยับเหมือนกำลังทำเรื่องสนุก

“เดี๋ยวศิษย์พี่จะช่วยหาดาวไลน์ให้  ศิษย์น้องลองติดต่อรวบรวมคนอื่นอีกดู  แต่อย่าไปยุ่งกะไป่หลานหลาน  นางเป็นคนเคร่งเครียด  คงไม่มาเล่นด้วยกับพวกเรา”

“โอ้  ข้าก็ว่าอย่างงั้น”

ซีคงหยูรู้สึกสนิทกับศิษย์พี่หญิงคนนี้เข้าไปอีก  เมื่อทั้งสองคนแบ่งปันคำนินทานางมารร้ายแซ่ไป่


+++++


และในมุมต่าง ๆ ของสำนักวารีพิสุทธิ์ในวันนั้น

“ศิษย์น้องหญิงจาง  ข้ามีข้อเสนอที่เจ้าไม่อาจปฏิเสธได้”

“ศิษย์น้องหญิงเหยียน  เจ้าอยากเป็นสาวน้อยเวทม..  เพ้ย..สมาชิกพรรคหรือไม่”

“ศิษย์พี่หญิงสวี  อย่าถามว่าพรรคจะทำอะไรให้ท่าน  แต่จงถามว่าท่านจะทำอะไรให้กับพรรค”



+++++



เส้าหยูเสวียนตบโต๊ะเขียนหนังสือจนแท่นฝนหมึกลอยขึ้นมาบนอากาศ  แล้วตวาดว่า

“เจ้าคนชั่วร้ายแซ่ไป่  เจ้ากล้าดีอย่างไร”

ไป่หลินหลิง   พรมนิ้วร่ายมนตรา  แท่นฝนหมึกและเครื่องเขียนที่ลอยขึ้นมาก็ลอยค้างต่อในอากาศ  จากนั้นจึงเลิกคิ้วมองผู้อาวุโสแห่งเก้าอี้ต้าเผิง

“ผู้แซ่เส้า  เจ้านี่มันไร้มารยาทเสียจริง  เข้ามาเอะอะโวยวายในห้องเขียนหนังสือของข้า   เด็ก ๆ  ลากตัวมันออกไปประหาร”

เส้าหยูเสวียนหัวเราะอย่างดุร้ายกับการเล่นสวมบทบาทของอีกฝ่าย  พวกศิษย์รับใช้ของไป่หลินหลิงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้  เพราะตามที่เขาว่ากันว่า  เทพยดาตบตีกัน  หญ้าแพรกก็แหลกราญ  “ผู้แซ่ไป่  อย่าทำเฉไฉ  เจ้าให้ศิษย์ชายตั้งพรรคแบบนี้  หมายความว่าอย่างไร”

“ก็หมายความว่าข้าอยากตั้งพรรคล่าหัวเจ้ายังไงล่ะ  และข้าก็ทำอย่างเปิดเผยสุด ๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

“เพ้ย  เจ้าคนคดโกง  การตั้งพรรคมันคือส่วนหนึ่งของโจทย์การประลองศิษย์ครั้งนี้  เจ้าจะโกงก็อย่าเอาข้ามาอ้าง  ข้าจะไปฟ้องเจ้าสำนัก!”

เมื่อเห็นว่าโดนจับไต๋ได้  ผู้อาวุโสไป่จึงเปลี่ยนท่าที

“เฮ้  ศิษย์น้องหญิงเส้า  เอาอย่างงี้ดีมั้ยเล่า  ทำไมเราไม่แลกกันเป็นข้ออ้างเพื่อเตรียมศิษย์ของตนเองล่วงหน้า  เราสองคนไม่พูด  คนอื่นก็ไม่รู้  ศิษย์ของพวกเราจะได้เอาชนะศิษย์ของศิษย์พี่หญิงชวงและหมิงได้ยังไงล่ะ”

เมื่อเห็นไป่หลินหลิงมีท่าทีอ่อนลง  เส้าหยูเสวียนจึงกอดหน้าอกหน้าใจที่ล้นเหลือของนางแล้วแค่นเสียง หึ

“ศิษย์น้องหญิงเส้าลองคิดดูดี ๆ ต่อให้ไปเปิดโปงข้าต่อเจ้าสำนัก  แต่ถ้าข้ายืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็น  คิดว่าเจ้าสำนักจะทำอะไรข้าได้อย่างงั้นหรือ  อย่างดีข้าก็แค่ต้องเข้าห้องคุกเข่าสำนึกผิด  แต่พรรคข้าจะอยู่ต่อไป  แทนที่เราจะมานั่งทำลายกัน  เรามาแบ่งปันกันรวยไม่ดีกว่ารึ”

“หึ”

“ไม่เอาน่า  ข้าต้องโน้มน้าวเจ้าอีกรึ  ที่เจ้าไม่ไปหาเจ้าสำนักก่อนมาหาข้า  ก็เพราะตั้งใจจะมาดีลอยู่แล้วไม่ใช่รึ  ในสำนักนี้มีคนที่รู้ทันข้าจริง ๆ ก็คือศิษย์น้องหญิงเส้า  ดังที่เขาว่าคนที่รู้ใจที่สุดไม่ใช่คนรัก  แต่เป็นศัตรู  เจ้าว่าจริงหรือไม่”

“อือฮึ  ถือเสียว่ายกประโยชน์ให้เจ้าสักครั้ง  ผู้อาวุโสไป่..ข้าไปล่ะท่านไม่ต้องส่ง”

เส้าหยูเสวียนถอยออกไปจากห้องหนังสือของไป่หลินหลิงโดยไม่พูดอะไรอีก  และในเย็นวันนั้นก็มีข่าวลือว่ามีพรรคตั้งใหม่เพิ่มอีกพรรค  ชื่อพรรคนักล่าจิ้งจอกขาว

(ไป่ แปลว่าสีขาว)



+++++++++++



หญิงสาวในเสื้อคลุมคุนเผิงสีเขียวมีโหงวเฮ้วที่ดูอารมณ์ร้อน  แต่ด้วยวัยและฐานะของนางทำให้นางต้องคอยจิบชาเย็นให้อารมณ์เย็นอยู่เสมอ

ตรงข้ามกับนางคือสตรีวัยใกล้กลางคนในเสื้อคลุมคุนเผิงสีคราม  หมิงอวี้กว๋อแห่งเก้าอี้ฉีเซี่ย  เบื้องหน้านางคือชาร้อน  เพราะผู้คนว่านางอารมณ์เยือกเย็นเกินไป  จึงต้องรับธาตุร้อนเข้าร่างกายให้สมดุล

“เจ้ามีธุระอะไรหรือลี่เอ๋อร์”  ร่างในเสื้อสีครามถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่มีสติปัญญาล้ำลึก  เรื่องที่ลี่เอ๋อร์มาหา  ศิษย์พี่หญิงใหญ่คงเดาได้แต่แรก”

หมิงอวี้กว๋อไม่ตอบ  ได้แต่ยิ้มละไม

“เฮ้อ  พวกนางสองคนปกติเป็นศัตรูกัน  ไม่นึกว่าจะจับมือกันเสียได้”  เจ้าของเสื้อคลุมสีเขียวกล่าวพลางทอดถอนใจ

“เจ้าของเก้าอี้คุนเผิงสี่แปลงไม่มีชนชั้นธรรมดา”  หมิงอวี้กว๋อปริปาก  “เส้าหยูเสวียนดูเหมือนกับชอบทำอะไรมุทะลุไม่รู้จักคิด  แต่จริง ๆ แล้วนางก็คมในฝัก  โบราณว่าประเมินความสามารถของคนให้ประเมินจากศัตรูที่เขามี  เส้าหยูเสวียนและไป่หลินหลิงรบรากันมาหลายปี  ความนี้ก็น่าขบคิดอยู่”

“แต่ครั้งนี้พวกนางทำเกินไปแล้ว  เอาโจทย์ของสำนักออกไปบอกก่อนเวลาทดสอบได้อย่างไร”

“เฮ่อ ๆ  ลี่เอ๋อร์  เจ้าก็อย่าสนใจการแข่งขันของเด็ก ๆ เลย”

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่  ท่านก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันของเด็ก ๆ  ท่านก็รู้ข่าวลือว่าเจ้าสำนักกำลังจะวางมือ  ตอนนี้ทุกคนต่างพยายามทำตัวให้โดดเด่นเพื่อจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป”

เมื่อฟังดังนั้น  หมิงอวี้กว๋อก็ปรายตามองศิษย์น้องหญิงของตนผ่านขอบถ้วยชา

“ลี่เอ๋อร์  หรือว่าเจ้าก็สนใจตำแหน่งเจ้าสำนักอยู่เหมือนกัน”

ชวงลี่เอ๋อร์เม้มปาก  “ลี่เอ๋อร์มิกล้า  ลี่เอ๋อร์เพียงแต่เกรงว่า  ถ้าสำนักเราอยู่ภายใต้การนำของเด็กสองคนนั้น  คงต้องมีปัญหาแน่ ๆ  ลี่เอ๋อร์คิดว่า  คนที่สมควรเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปที่สุดคือศิษย์พี่หญิงใหญ่  เพราะศิษย์พี่หญิงใหญ่เปี่ยมทั้งคุณธรรมและปัญญา  สำนักวารีพิสุทธิ์ภายใต้การนำของศิษย์พี่หญิงใหญ่จะต้องเจริญรุ่งเรืองและโดดเด่นที่สุดในทวีป”

หมิงอวี้กว๋อฟังคำสรรเสริญแล้วก็ไม่เหลิงลอย   มุมปากประดับรอยยิ้มละไมอย่างไรก็ประดับอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง  ชวงลี่เอ๋อร์กำชายเสื้อสีเขียวของตนเองเพื่อซับเหงื่อเย็นเยียบในฝ่ามือ  ด้วยไม่รู้ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่จะมองหยั่งเห็นใจจริงของตนหรือไม่

“ถ้าเจ้าเดือดร้อนกับเรื่องนี้  วิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียว  พวกเราทุกคนก็ร่วมกันเปิดเผยโจทย์ก่อนเวลาให้กับศิษย์พร้อม ๆ กัน  เจ้าสำนักกำลังจะวางมือ  นางคงไม่อยากจะมาวุ่นวายเอาเรื่องกับเรื่องไร้สาระแบบนี้  แต่..”   นางวางถ้วยชาในมือลง  “..ประเด็นสำคัญไม่ใช่การแก้ปัญหาที่พวกนางสร้างไปทีละเปลาะ  แต่ปัญหาใหญ่คือการสร้างพันธมิตรระหว่างเส้าหยูเสวียนและไป่หลินหลิง  ถ้าพวกนางยังสุมหัวอยู่ด้วยกัน  เจ้าก็จะต้องเผชิญกับปัญหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

“ลี่เอ๋อร์ขอบคุณที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ชี้แนะ”

“เรื่องเล็กน้อย  อย่าใส่ใจ  ข้าไม่ได้แนะนำวิธีแก้ด้วยซ้ำ  เพราะข้าไม่ได้สนใจการเมืองพวกนี้  ไม่ว่าพวกเจ้าหนึ่งในสามคนใครจะได้เป็นเจ้าสำนัก  ขอให้เว้นที่ว่างสักนิดให้ข้ายืน  ข้าก็พอใจแล้ว”

“ผู้ใดจะไม่รู้ดีรู้ชั่วขนาดคิดกำจัดศิษย์พี่หญิงใหญ่”  ชวงลี่เอ๋อร์พูดอย่างตกใจและเป็นเดือดเป็นร้อน

หมิงอวี้กว๋อยิ้มน้อย ๆ  และโบกมือเป็นสัญญาณส่งแขก



+++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 7 (28/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 28-08-2017 20:37:21

ช่วงนี้พระเอกไม่มีบท  คนเขียนก็เศร้าเหมือนกันฮะ   :hao5:


+++++



หวูชิงหรูเป็นผู้จัดหาห้องประชุมให้กับพรรคปลาทูสีน้ำเงิน  ห้องนั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ในถ้ำเซียนลับแห่งหนึ่ง  นางเป็นผู้ที่มีฐานะสูงสุดเมื่อเทียบกับสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กหน้าใหม่ของสำนัก  จึงสามารถจัดหาสถานที่แบบนี้ได้

ซีคงหยูกวาดสายตาไปรอบ ๆ  มือข้างหนึ่งวางบนหัวของหมีดำที่หมอบอยู่เพื่อสร้างความน่าเกรงขาม  สร้างออร่าของประมุขพรรค  เด็กสาวคนอื่น ๆ นั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะกลมที่ทำจากไม้โอ๊ค  บางคนก็มีสีหน้าเบื่อหน่าย  บางคนก็มีสีหน้าตื่นเต้น   บางคนก็มีสีหน้าเฉย ๆ และบางคนก็มีสีหน้ากระสับกระส่าย

ทางด้านซ้ายมือของคุณชายสามคือศิษย์น้องจาง  หญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่เขาเคยคุยด้วยตอนออกจากเมืองสุยอัน  คนถัดไปคือศิษย์น้องเหยียน  เด็กสาวอายุ 16  ถักผมเปียสองข้าง  ใบหน้ามีกระเล็กน้อย  จากนั้นคือศิษย์พี่สวี  นางดูเป็นคนใจเย็นและพิถีพิถัน  และอีกคนคือยัยหมีเขียว  เด็กสาวใบหน้าเล็กจิ๋วผมหน้าม้าสั้น  และส่งสายตาปั้นปึ่งมาให้คุณชายสาม  นอกจากนั้นก็เป็นศิษย์พี่หญิงหวูและเด็กสาวอีกสองคนที่นางชักชวนมา  ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด  ชื่ออาสิบหกและอาสิบแปด

“ขอเปิดเข้าสู่วาระการประชุมพรรคปลาทูสีน้ำเงินอย่างเป็นทางการ  พรรคของเราเป็นพรรคท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักวารีพิสุทธิ์”  ซีคงหยูกล่าวอย่างคล่องแคล่ว  ด้วยความที่ปกติแล้วเขาว่างงาน  เขาจึงเป็นรับเป็นพิธีกรให้กับงานแต่ง  และงานบูชาบรรพชนของญาติพี่น้องอยู่บ่อย ๆ

“จุดประสงค์ของพรรคเรา”   คุณชายสามนั่งยืดตัวให้ตรงขึ้นอีกและกวาดสายตาไปรอบ ๆ  “..ยังไม่ได้คิด  และนั่นแหละคือวาระการประชุมแรกของวันนี้  สำหรับผู้ก่อตั้งพรรคคือยอดฝีมือนามหวางเซียนเหลย  เขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับสำนักวารีพิสุทธิ์  พวกเจ้าคงเห็นป้ายหยกแล้ว”

‘เขายังไม่รู้ใช่มั้ย’

พวกสาว ๆ กระซิบกระซาบกันผ่านพลังปราณโดยไม่ต้องกลัวว่าซีคงหยูจะได้ยิน  เพราะศิษย์น้องลุงคนนี้ไม่มีวรยุทธ

‘ยังไม่รู้แน่ ๆ’

‘ผู้อาวุโสไป่อีกแล้ว  จะแกล้งอะไรเขาอีกล่ะ  น่าสงสารจัง’

‘น่าสนุกจะตาย  พวกเจ้ารอดูก่อนสิ’

“ถ้าพวกเจ้าไม่มีข้อเสนออะไร  ขอเข้าสู่วาระการประชุมแรก  จุดประสงค์ของพรรคเราคืออะไร”

หวูชิงหรูรีบยกมือขึ้น  “กินดื่มและรื่นเริงสำราญ”

สองฝาแฝดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  และเริ่มเอาจอกสุราขึ้นมารินจิบกันคนละอึกบนโต๊ะ

“มุ่งแสวงหาสัจธรรมของความรัก”  ศิษย์น้องเหยียนยกมือเสนอความเห็นอีกคน

“บำเพ็ญประโยชน์ให้กับสำนักวารีพิสุทธิ์  อย่างออกไปกวาดลานฝึกวิชา”  ศิษย์พี่สวีออกความเห็นอันถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของตน

“เลี้ยงหมี..”   ยัยตัวแสบพูดก่อนเว้นไปอึดใจหนึ่งก่อนจะพูดต่อ  “..และต้องเป็นสีเขียว  หมีดำน่าเกลียด”  นางย่นจมูกส่งสายตามาจนเสี่ยวหมีร้อง อ๊ออออ

ซีคงหยูกุมขมับในใจขณะที่เสแสร้งเป็นสนใจความเห็นของทุกคนอย่างเต็มที่  ในที่สุดเขาก็หันไปมองหญิงสาวคนสุดท้ายที่ดูปกติธรรมดาที่สุดและนิ่งยิ้มอยู่โดยไม่ออกความเห็น

“ศิษย์น้องหญิงจางล่ะ  มีความเห็นว่าอย่างไร”

นางสบตาซีคงหยู  ยื่นมือมาข้างหน้าและค่อย ๆ วางบนโต๊ะเหมือนกับกำลังวางหมากรุกฆาต  “โจมตีพรรคนักล่าจิ้งจอกขาว”

ทุกคนหันไปมองนาง  ซีคงหยูรู้สึกสนใจจึงถามต่อ

“ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างงั้นล่ะ”

“ถ้าศิษย์พี่ซีคงคิดไม่ออก  ก็ควรลาออกจากตำแหน่งประมุขพรรค”  นางทิ้งระเบิดมาลูกเบ้อเร่อ

“ศิษย์น้อง!”  ศิษย์พี่หญิงสวีผู้รักสงบร้องอย่างตกใจ  ขณะที่ยัยหมีเขียวตบมือหัวเราะร่า

“เอาไปเลย”  ซีคงหยูโพล่งออกไปผิดความคาดหมายของทุกคน  ไม่พูดเปล่า  นิ้วดีดป้ายหยกเผิงคุนสีน้ำเงินไปให้ด้วย

ป้ายหยกหมุนติ้ว ๆ จนเกือบตกโต๊ะถ้าจางชุ่ยฮัวตะปบไม่ทัน   นางมองหน้าคุณชายสามด้วยความงุนงง  คนผู้นี้อ่อนปวกเปียกขนาดนี้เลยหรือ

“ในฐานะประมุขพรรคคนใหม่  ขอเชิญศิษย์น้องหญิงจางดำเนินการประชุมต่อ”

จางชุ่ยฮัวรู้สึกเหมือนพลาดอะไรไปสักอย่าง  แต่ก็สลัดความคิดไป  และยืดตัวขึ้น  ขณะที่ซีคงหยูเอนตัวลงไปกับพนักเก้าอี้มากกว่าเดิม  หวูชิงหรูหัวเราะคิกคักกับสองฝาแฝด  และจางชุ่ยฮัวก็เริ่มรู้สึกกดดัน  เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ประหลาดและไม่ได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  น่าจะคุมยากกว่าที่คิด

..แต่ถ้าไม่ท้าทายก็ไม่สนุกสิ

“ความผิดพลาดของศิษย์พี่ซีคงคือไม่การไม่รู้ว่าผู้อาวุโสไป่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”

เมื่อได้ยินจางชุ่ยฮัวพูดอย่างเปิดเผย  ศิษย์น้องเหยียนก็เอามือปิดปากอย่างตกใจ

“และไม่แปลกอะไรที่ศิษย์พี่จะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเส้าอยู่เบื้องหลังพรรคนักล่าจิ้งจอกขาว”

ซีคงหยูยิ้ม  “จริง..ข้าไม่รู้”

“คำถามคือ  ทำไมผู้อาวุโสทั้งสองคนที่ไม่ถูกกันถึงต้องจัดตั้งพรรคนอมินีขึ้นมาในเวลานี้”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้  ศิษย์พี่สวีก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย  และหมดความรู้สึกต่อต้านที่จางชุ่ยฮัวจะเป็นประมุขพรรค

“ประเด็นสำคัญจริง ๆ ก็คือ..เวลา”  นางอนุมานช้า ๆ เพื่อให้ทุกคนตามทัน  “สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้  คือการประลองศิษย์ใหม่  ข้าเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้..ถ้าเป็นเรื่องจริงจัง  มันต้องเกี่ยวกับการประลองศิษย์ใหม่”

หวูชิงหรูหยุดหัวเราะคิกคัก  และเริ่มเพ่งมองจางชุ่ยฮัวอย่างจริงจัง

“ศิษย์พี่หญิงหวูคงสงสัยว่าทำไมข้าถึงคาดเดาเรื่องพวกนี้  เพราะหลังจากที่ศิษย์พี่ซีคงเชิญข้าเข้าร่วมพรรค  ข้าก็เริ่มสืบสาวเรื่องทั้งหมดจากทั้งศิษย์ใหม่กลุ่มเราเอง  และกลุ่มอื่น ๆ  มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปที่ผู้อาวุโสสองคนจะเล่นแผลง ๆ พร้อมกัน”

“แต่ว่าการตั้งพรรคมันเกี่ยวอะไรกับการประลอง”  ศิษย์พี่สวีถามอย่างสงสัย

“นั่นคือสิ่งที่ข้าก็สงสัย  การประลองควรวัดที่กำลังฝีมือ  ทำไมเราถึงต้องพยายามรวบรวมคนและสร้างระบบจัดการคน  มันดูคล้ายกับ...”

“...การเฟ้นหาเสนาธิการ”  ซีคงหยูโพล่งออกมา  ก่อนจะกระแอมอาย ๆ เมื่อทุกคนหันมามองเขา  เขาจึงอธิบายต่อ  “ข้ามีพี่ชายเป็นแม่ทัพ  เลยรู้สึกคุ้น ๆ  เจ้าอธิบายต่อเถอะ”

แต่จางชุ่ยฮัวไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ  “ศิษย์พี่ซีคง  พวกเราเป็นเด็กสาวชาวบ้าน  ไม่ใช่ลูกสาวหรือน้องสาวแม่ทัพ”

“ฮ่า ๆ แต่เจ้าฉลาดกว่าข้านะ”

หญิงสาวผู้มีใบหน้าสามัญส่ายหน้าช้า ๆ  “ศิษย์น้องมีสิ่งที่สงสัย  อยากให้ศิษย์พี่ซีคงช่วยแถลงไข  อะไรคือส่วนสำคัญของสงคราม”

“ฝ่ายเรา?  ฝ่ายตรงข้าม?”

“คือพรรคปลาทูสีน้ำเงิน  กับพรรคอื่น ๆ  แต่ว่า...อะไรที่ทำให้เราต้องต่อสู้กัน”

ซีคงหยูไถคางตัวเองด้วยนิ้วโป้ง

ศิษย์น้องเหยียนรีบยกมือ  “ให้ข้าตอบได้มั้ย  ให้ข้าตอบ”

ทุกคนพยักหน้า  นางจึงพูดอย่างตื่นเต้น  “ความรัก!”

หวูชิงหรูที่กำลังจะหยิบองุ่นเข้าปากชะงัก  แล้วเปลี่ยนใจเอาไปปาศิษย์น้องเหยียน

“ทรัพยากร”  คุณชายสามพูด  เสี่ยวหมีเหลือบตามองอย่างประหลาดใจ  เหมือนกับเพิ่งเคยเห็นซีคงหยู

“อะฮ้า   แล้วอะไรคือทรัพยากรของสำนัก  ศิษย์พี่หญิงหวูคงรู้ดีที่สุด”

หวูชิงหรูมองประมุขพรรคพลางอมยิ้ม  แล้วชูนิ้วทีละนิ้ว  “มีสองอย่าง  อย่างแรกคือเงินทางโลก  อย่างที่สองคือเงินเซียน”

“แบบกระดาษเงินกระดาษทองที่เผาให้อาแปะอากงใช่ป่ะ”

หวูชิงหรูปาองุ่นใส่คุณชายสาม

“ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า...”  จางชุ่ยฮัวยังคงทำหน้าที่ประมุขพรรคอย่างไม่บกพร่อง  “..โจทย์การประลองก็คือการที่เราอาจจะได้จัดการทรัพย์สินหนึ่งในสองอย่างนี้ของสำนัก  และเป้าหมายของการประลองก็คือการสร้างผลประโยชน์ให้มากที่สุดให้แก่สำนัก”

“ถ้าอย่างนั้น  แปลว่าไม่ได้วัดที่พลังฝีมือแล้วสิ”  ซีคงหยูพูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้นเต้นฉลอง

“ฮี่ ๆ”   หวูชิงหรูหัวเราะ

“ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านกำลังเย้ยหยันข้าล่ะศิษย์พี่หญิงหวู  มีอะไรก็เคลียร์มาเสะ”

“ถ้าพวกเราต้องลงพื้นที่จริง ๆ มันจะซับซ้อนกว่าที่คิด”  ศิษย์พี่หญิงสวีเป็นผู้อธิบาย  “ถ้าเราเจออุปสรรคอย่างเช่นโจรผู้ร้าย  หรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น  เราก็ต้องใช้วิชาฝีมือปราบ  ยังไม่นับการที่พรรคอื่น ๆ โจมตีปล้นสะดมภ์เราอีกด้วย”

เมื่อเห็นศิษย์น้องลุงทำหน้าห่อเหี่ยวนางจึงกล่าวต่อ  “แต่เราก็ต้องการผู้มีความสามารถด้านอื่นด้วย  ทั้งการทูต  การบัญชี  การเจรจาต่อรอง”

“ศิษย์พี่หญิงกล่าวถูกแล้ว”  จางชุ่ยฮัวกล่าวสนับสนุน  “ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงเป็นการเฟ้นหาเสนาธิการ  เพราะหัวใจสำคัญคือการใช้คนให้ถูกงาน  ดังนั้นต่อไป  การเฟ้นหาสมาชิกพรรคของเราจะต้องมีเป้าหมายที่แน่นอนมากกว่าเดิม”



++++



“ทูซีเรียส  ซีเรียสมาก ๆ  เสี่ยวหมี  ข้านึกแล้วว่าข้าไม่เหมาะกับงานนี้”

ซีคงหยูบ่นเมื่อเดินออกจากที่ถ้ำเซียนที่ประชุมพร้อมกับหมีดำคู่ใจ

“แต่ว่านี่ก็ต้องนับว่าการจัดตั้งพรรคสำเร็จสมประสงค์  ข้าก็ไปรับยอดวิชาสามนาทีจากพี่ชายหวางได้แล้วสินะ  หึหึ  ยัยแซ่จางไม่รู้ซะแล้วว่าตัวเองทำงานฟรี”

นึกขึ้นได้  คุณชายสามจึงพาเสี่ยวหมีเลี้ยวไปยังป่าไผ่มรกตที่นัดพบของเขากับหวางเซียนเหลย


++++


“นี่คือปูมบันทึกการประชุมพรรค”

ซีคงหยูชูสมุดขึ้นมาต่อหวางเซียนเหลยที่ยืนหันหลังให้  และกำลังกระพือพัดจีบชมวิวป่าเบื้องล่างจากริมหน้าผา  คุณชายรูปงามเบือนหน้ามาใช้หางตาแลดู

“ยอดเยี่ยมมาก  เยี่ยมจริง ๆ”

“พี่ชายหวาง  แล้วไหนล่ะยอดวิชาที่ท่านสัญญาไว้”

“ฮ่า ๆ  คนหนุ่มสาวนี่ใจร้อนเสียจริง  เอ้า  รับไป”

หวางเซียนเหลยสะบัดพัดจีบ  ม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่ซึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า  ก็พุ่งเข้าไปในมือของซีคงหยูที่คว้ารับไว้อย่างเหมาะเจาะ  คุณชายสามรีบหยิบมันพลิกดูอย่างไม่เกรงเสียมารยาท

“วิชาเซียนสามสิบหกแผน”  เขาอ่านชื่อคัมภีร์  แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความคาดหวัง  “ถ้าข้าฝึกแล้วจะแปลงกายได้สามสิบหกร่างแบบซุนหงอคงใช่มั้ย”

“ฮ่า ๆๆ  มันมีประโยชน์กว่านั้น  เจ้าลองฝึกปรือมันดี ๆ แล้วจะรู้”  เขารวบพัดจีบ  เดินกลับมาจากหน้าผาอย่างเชื่องช้าและสง่างาม  จากนั้นก็แตะบ่าของซีคงหยู

“เจ้าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้  ดังนั้นข้าจะแถมให้   นี่เป็นคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับผู้ที่จะฝึกพลังพรตขั้นตะวันขึ้นสาย”  ว่าแล้วก็กรีดพัดชี้ไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้ายามเย็น 

“สวรรค์สร้างให้ดวงตะวันขึ้นตอนเช้าและตกในตอนเย็น  การโคจรของมันก็คือการไหลเวียนของพลังฟ้าและดิน  เกือบทุกชีวิตใช้ชีวิตตามการขึ้นและตกของมัน  ซึ่งแสดงว่าพวกมันอยู่ภายใต้กฎแห่งสวรรค์อย่างไม่บิดพลิ้ว  จะเกิดอะไรขึ้นหากมีใครสักคนขัดขวางการโคจรของพลังฟ้าดิน  อย่างหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือพลังจะแห้งเหือด  และอีกอย่างหนึ่งก็คือมันจะถูกเก็บกักหรือ ‘หน่วง’ เอาไว้  นั่นคือหัวใจของการบำเพ็ญพรตขั้นตะวันขึ้นสาย”

หวางเซียนเหลยปล่อยให้คุณชายสามที่ยืนเซ่ออยู่ซึมซับคำชี้แนะของเขา  ก่อนผิวปากเรียกนกกระเรียนแดงร่อนไปจากหน้าผาแห่งนั้น


++++++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 29-08-2017 14:01:47
++++++++++




เมืองจิ้งซานเป็นเมืองเล็ก ๆ ในแนวเทือกเขามังกรทะยานฝั่งตะวันตก  ชาวเมืองประกอบอาชีพเรียบง่าย  ทำไร่ไถนาและทอผ้า  ทั้งเมืองจิ้งซานมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งเดียว  ชื่อโรงเตี๊ยมมั่งคั่งร่ำรวยผิดจากสภาพซอมซ่อของมันที่กลืนไปกับความไกลปืนเที่ยงของจิ้งซาน

ในเมืองมีโรงเตี๊ยม  ในโรงเตี๊ยมย่อมมีผู้คน  หากมิใช่อาคันตุกะก็เป็นเถ้าแก่  ถ้าโรงเตี๊ยมไม่มีคนมันย่อมไม่ควรเรียกว่าโรงเตี๊ยม 

แต่ทว่า..จ้าวเหรินเจี่ยนยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมที่ไม่มีผู้คน  ประตูไม้บานพับเปิดอ้าไว้  เห็นโต๊ะที่มีฝุ่นจับและถ้วยชามวางทิ้งเกรอะ  ในชามมีซุปหัวผักกาดที่วางทิ้งไว้นานจนบูดหืน  จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม  รอยยิ้มของเขาประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง  มันเหมือนติดอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา  แม้ยามดีใจท่านก็จะเห็นเขายิ้ม  ยามเศร้าโศกท่านก็จะเห็นเขายิ้ม  ยามที่เขานอนหลับท่านก็จะเห็นเขายิ้ม  และแม้กระทั่งยามที่เขาชักกระบี่สังหารผู้คนรอยยิ้มนั้นก็ไม่ได้จางหายไปจากหน้า  บางคนบอกว่าเป็นเพราะรอยแผลเป็นจากปลายกระบี่ที่ตวัดตรงข้างแก้มมุมปากของเขาอันดูเหมือนรอยลักยิ้ม  แต่บางคนก็ว่าเป็นเพราะเขามีบุคลิกภาพอันละมุนละม่อม  และมีความสุภาพอย่างหาที่ติไม่ได้  เสื้อผ้าของเขาเรียบร้อยปราศจากเส้นด้ายหลุดรุ่ย  เส้นผมทุกเส้นถูกหวีมัดมวยไว้อย่างเรียบกริบ  และไม่ว่าฝุ่นในโรงเตี๊ยมจะหนาแค่ไหน  ก็ไม่มีละอองใดมาจับต้องเสื้อผ้าเขาได้เลย

จ้าวเหรินเจี่ยนพ่นลมหายใจเบา ๆ  ฝุ่นหนาบนโต๊ะตัวหนึ่งก็ถูกเป่าออกไปจนหมด   เขาปลดสัมภาระที่พาดอยู่บนบ่าวางลงกับโต๊ะ  มันเป็นห่อผ้าสีขาวเหมือนกับเสื้อของเขา  ข้อมือผูกด้ายแดงตัดกับสีเสื้อ  คือสัญลักษณ์ของสำนักไมตรีโลหิต

จ้าวเหรินเจี่ยนชะงักมือที่จะวางกระบี่ลงบนโต๊ะ  เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่ยังมียิ้มประดับมุมปากอยู่

“โรงเตี๊ยมนี้มีเจ้าของแล้ว  เป็นของสำนักไมตรีโลหิต  ขอท่านที่นับถือโปรดเข้าใจ”

“ฮ่า ๆๆ”  เสียงหัวเราะเปิดเผยกังวานดังมาจากถนนที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม  “น้องชายจ้าวยึดทำเลที่ดีที่สุดไป  แต่มาตัวคนเดียวกินชิ้นปลาก้อนใหญ่ขนาดนี้  ไม่กลัวก้างจะติดคอหรืออย่างไร”

จ้าวเหรินเจี่ยนหันไปช้า ๆ  ตลอดท่าร่างของเราป้องกันไว้อย่างมั่นเหมาะดูไม่มีช่องโหว่  กระบี่ที่ดูถือหลวม ๆ ไว้ในมือกลับอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุด  ซึ่งบรรยายได้เพียงสองคำว่า  ไว  และเฉียบขาด 

“ที่แท้ก็คุณชายหลี่  ไม่นึกว่าประตูทรราชจะสนใจโรงเตี๊ยมซ่อมซ่อเช่นนี้  นับเป็นเกียรติจริง ๆ”

“ฮ่า ๆ  ถ้าข้าสนใจจริง ๆ ข้าคงมายึดแต่แรกแล้ว  นี่ข้าแวะมาทักทายและตักเตือนกันประสาคนรู้จัก  เพื่อมิให้น้องชายจ้าวต้องตกเป็นเป้าครหาของทั้งห้าสำนัก”

“ขอบคุณสำหรับความกังวลของคุณชายหลี่  จ้าวเชื่อว่าคนทั้งห้าสำนักล้วนใจกว้าง  คงไม่ถือสากับเรื่องแค่นี้”

จ้าวเหรินเจี่ยนตอบไปอย่างสุภาพ  แต่ลึก ๆ ในแววตามีประกายวาววาบและท้าทาย

หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะพรืด   เขาลอบสังเกตจ้าวเหรินเจี่ยนและประเมินอย่างครุ่นคิด  พลังพรตที่แผ่ออกมาจากร่างของฝ่ายตรงข้ามถูกเก็บงำไว้จนอ่านไม่ออก  ท่วงท่าการยืนและจับกระบี่ก็สมบูรณ์แบบกว่าเมื่อตอนที่เจอกันในการประลองครั้งที่แล้ว

“แต่ว่า..ลมอะไรที่ทำให้คุณชายหลี่มาเยือนสถานที่ต่ำต้อยอย่างเมืองจิ้งซาน  การประลองครั้งนี้ไม่ใช่ระดับที่ศิษย์เอกสำนักควรจะเข้าร่วม”

หลี่โอ๋อวิ๋นยักไหล่  “น้องชายจ้าวมาได้  เหตุไฉนข้าจะมาไม่ได้”

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม  แล้วพูดอย่างช้า ๆ  “หรือลมที่ว่าจะเป็น...สำนักวารีพิสุทธิ์”

ผู้ยืนกอดอกที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมเลิกคิ้วเข้มของตัวเอง  ใบหน้าของเขาเหมือนถูกสูบอารมณ์ออกไป  ทั้งรัก เกลียด ชัง ชอบ  จนเหมือนกับหน้ากากน้ำแข็งอันหนึ่ง

“จ้าวกล่าวผิดไป   ขอคุณชายหลี่โปรดอภัย”

หลี่โอ๋อวิ๋นฉีกยิ้มหยัน  “ไม่นึกว่าคุณชายที่สุภาพเหมาะสมที่สุดในยุทธภพ  ก็ชอบเรื่องซุบซิบนินทากับเขาเหมือนกัน”  เขายักไหล่อีกครั้งกล่าวต่อ  “จริง ๆ ก็รู้กันทั้งยุทธจักรว่าข้าเป็นพวกตัดชายเสื้อ  แต่ไม่ต้องห่วง  ข้าไม่ชอบคนที่สมบูรณ์แบบเกินไปอย่างน้องชายจ้าวหรอก”

(ตัดชายเสื้อ = ชอบผู้ชาย)

“ฮ่า ๆ”  จ้าวเหรินเจี่ยนหัวเราะอย่างอ่อนโยน  จนดูคล้ายกับว่าเพียงหัวเราะตามมารยาท  แต่ดวงตาที่ฉายแววซื่อสัตย์จริงใจของเขาทำให้ไม่มีใครคิดว่าเขามีเจตนาร้ายได้ลงคอ

หลี่โอ๋อวิ๋นถอนหายใจ  เขามองจ้าวเหรินเจี่ยนด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน  ก่อนจะตัดสินใจถาม

“ดูเหมือนว่าน้องชายจ้าวจะมีข้อมูลสำนักวารีพิสุทธิ์”

“คุณชายหลี่อยากทราบเรื่องใดล่ะ”

“ข้าอยากทราบว่า  ใครบ้าง..ที่มาร่วมงานประลองศิษย์ใหม่ครั้งนี้”

จ้าวเหรินเจี่ยนนิ่งคิดพักหนึ่ง   “..คนที่ควรมาก็มา  ที่ไม่ควรมาก็ไม่มา”

“คนแบบไหนที่ไม่ควรมา?”

มือกระบี่ไร้ที่ติหัวเราะเบา ๆ  แล้วเอานิ้วชี้หลี่โอ๋อวิ๋นและตนเอง  “ท่าน  และข้า”




+++++++++++



คุณชายสามเชื่อในคติสอนใจที่ว่า  ทำดีโลกต้องรู้  เขาจึงเดินขี่หมีอย่างโอ้อวดไปทั่วสำนัก  และทุกครั้งที่เขาเจอศิษย์รุ่นเดียวกัน  เขาจะพูดว่า

“ดูสิ ๆ ข้าสำเร็จพลังพรตขั้นตะวันขึ้นสายแล้ว  เป็นไงล่ะ”

พวกเด็กสาวหัวเราะคิกคัก  เพราะพวกนางบางคนก็สำเร็จถึงขั้นสูงไปแล้ว
หลิวเกาที่ติดสอยห้อยตามนายน้อยรู้สึกอับอายจนอยากกลับไปซุกหน้ากับหมอนในห้องพัก

“ศิษย์พี่หลิว”   เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งร้องเรียกหลิวเกาอย่างเอียงอาย 

“ศิษย์น้องจิ่ง”  หลิวเกาหยุดแวะทัก

“ถ้าศิษย์พี่หลิวว่าง  วันพรุ่งนี้เราไปฝึกวิชาด้วยกันอีกนะ”

ซีคงหยูที่กำลังป่าวประกาศความสำเร็จของตนเองบนหลังหมี  ชะงัก  และหันมาเขม้นมองจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้า

“หลิวเกา”   คุณชายสามสั่งให้เสี่ยวหมีไปหิ้วคอบ่าวรับใช้กลับมา  เสี่ยวหมีใช้อุ้งมือเกี่ยวคอเสื้อหลิวเกาซึ่งไร้ไขมันแล้วจึงลอยขึ้นจากพื้นมาอย่างง่าย ๆ    “เจ้ามีแฟนคลับด้วยเรอะ   เจ้ามีได้ยังไง  ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่มีเลยสักคน”

“เออะ..คือ”

“ปล่อยศิษย์พี่หลิวลงมาเดี๋ยวนี้นะ”  ศิษย์น้องจิ่งขู่คำรามเหมือนชิวาว่าตัวเล็ก ๆ

“เฮ่อ ๆ  เจ้าหมาจู  นี่คือเรื่องในบ้านของข้า  เจ้าอย่ามายุ่ง”  พูดแล้วก็โยนขนมเปี๊ยะก้อนเล็ก ๆ ที่พกมาให้นางก้อนนึง

ศิษย์น้องจิ่งปัดขนมทิ้งอย่างโมโห  “เจ้าว่าใครเป็นหมาจู  แล้วเรื่องในบ้านเจ้ามันคืออะไร  ศิษย์พี่หลิวเป็นอัจฉริยะของสำนัก  จะมาเป็นคนรับใช้ของเจ้าอยู่ได้ยังไง”

ซีคงหยูฟังแล้วก็ส่งเสียงทูท ทูท  ในคอ  แล้วหันไปซักไซ้คนที่ถูกหิ้ว

“ไม่นึกว่าเจ้าจะมีฉายาใหม่นะหลิวเกา”

“บ่าวมิกล้า  คำเรียกหาเป็นแค่ชื่อเสียงลอยลม  ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร”

“ฮ่า ๆ  พูดได้ดี  อย่างงั้นที่ชาวเมืองเรียกข้าว่าคุณชายไม่เอาถ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปี  นี่ก็ไม่มีสาระอะไรใช่มั้ย”

“นายน้อยกล่าวถูกแล้ว  ฮี่ ๆ”

“หลิวเกา!”

“ขอรับนายน้อย”

“เจ้าโดดเด่นเกินหน้าข้า   เจ้ารู้ความผิดหรือไม่”

“บ่าวทราบความผิด”

ซีคงหยูพยักหน้าอย่างพอใจ  และกอดอกถามอย่างทระนง

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร”

หลิวเกาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบ  “บ่าวก็จะต้อง...เฆี่ยนตี  ฉุดกระชากลากถู  จับนายน้อยโยนลงบ่อเสือบ่อจระเข้  บังคับให้ฝึกวิชาจนกว่านายน้อยจะมีฝีมือรุดหน้าและมีความโดดเด่นเกินหน้าบ่าว  จริงมั้ยเสี่ยวหมี”

“อ๊อออออ!”  เสี่ยวหมีพยักหน้าแล้วค่อย ๆ วางหลิวเกาลงไปกับพื้น  จากนั้นเอาอีกอุ้งมือเกี่ยวคอเสื้อคุณชายสามลงมาแทน

“หยุดนะ  เจ้าพวกทรยศ!  พวกเจ้าแอบสุมหัวกันนี่เฮ้ย  แว๊กกกก  อย่ามัดมือข้า  อุก ๆ”

ที่ศาลาริมสระบัว  กลุ่มหญิงสาวนั่งจิบชาคุยกัน  หางตาเหลือบมองคนกะหมีที่ลักพาตัวคุณชายสามไปยังที่ใดก็ไม่ทราบ  แล้วก็ส่ายหน้า

“เสี่ยวหรู  ดูประมุขพรรคของเจ้าสิ  น่าอายเสียจริง”

“ฮี่ ๆ  ข้าก็แค่เข้าไปเล่นสนุก ๆ  แล้วอีกอย่างเขาไม่ใช่ประมุขพรรคแล้ว  เสี่ยวหลัน..เจ้านี่ก็ดูสนใจเขาเหมือนกันนะ”

ไป่หลันหลันใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปากที่เปื้อนน้ำชา  แล้วส่งสายตากลับไปยังหวูชิงหรู

“ข่าวว่าจ้าวเหรินเจี่ยนและหลี่โอ๋อวิ๋นปรากฎตัวที่จิ้งซาน”

นางพูดถึงหยกคู่ของยุทธจักร  เจ้าของฉายากระบี่ไร้ที่ติและดาบไร้ธุลี  อันทัดเทียมกันทั้งวิชาฝีมือและรูปโฉม

“ไฮ้   ไมตรีโลหิตและประตูทรราชช่างหน้าไม่อาย  ส่งศิษย์เอกมาร่วมการประลองของศิษย์ใหม่เสียได้”

“หลี่โอ๋อวิ๋นอาจจะมีเหตุผลอื่น”  ไป่หลันหลันกล่าวแล้วก็ยิ้มเป็นนัย

“เหตุผลอะไรหรอ”  อาสิบหกที่นั่งติดกับหวูชิงหรูเอ่ยปากด้วยความสงสัย  แต่อาสิบแปดเอาศอกกระทุ้งแฝดของตนแล้วกระซิบกระซาบ

“เรื่องนั้นไง ๆ  ข่าวลือน่ะ”

“ว้าว  จริงหรอเนี่ย”   หวูชิงหรูทาบอกอุทาน  “ซีคงหยู..กับหลี่โอ๋อวิ๋น?”

หญิงสาวเยือกเย็นที่นั่งตรงข้ามเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ

“ทำไมถึงเป็นซีคงหยู  ทำไมไม่เป็นจ้าวเหรินเจี่ยน  หยกน่าจะคู่กับหยก  ทำไมไปคู่กับกิ่งไม้”

“มีแต่สวรรค์มั้งที่รู้”   ไป่หลันหลันตอบพลางหลุบตามองถ้วยชา



+++++


ซีคงหยูถูกจับโยนเข้ามาในถ้ำเซียนบำเพ็ญพรตพร้อมกับอาหารและตำรา  หลิวและเสี่ยวหมีทั้งขู่ทั้งปลอบ

“นายน้อยมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ  ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่บรรลุพลังพรตขั้นตะวันขึ้นสายได้ในวันเดียวหรอก  ดังนั้นนายน้อยต้องอดทนพยายามอีกนิด  แล้วพลังฝีมือจะรุดหน้าแซงทุก ๆ คน”

คุณชายสามถอนหายใจ  เขามีพรสวรรค์อะไรกันเล่า  ที่เขาสำเร็จการวางรากฐานขั้นแรกได้เพราะคำชี้แนะของหวางเซียนเหลย  บวกกับปราณเซียนชี้ทางที่หวางเซียนเหลยทิ้งไว้ให้ตอนที่ตบบ่าเขาก่อนไป  ซึ่งทำให้การสร้างรากฐานขั้นแรกนั้นง่ายเหมือนกับปอกส้มเข้าปาก

ในเมื่อเขามีรากฐานพลังพรตแล้ว  ต่อไปก็คือการหาวิชาเซียนที่เหมาะสม  เพราะพลังพรตก็เหมือนพลังงานที่ไร้ระเบียบ  และวิชาเซียนก็คือวงจรที่บังคับให้พลังพรตหมุนเวียนอย่างเป็นระบบและก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่าง ๆ กันไปตามแต่ละวิชา  นอกจากวิชาเซียนแล้วยังมีวิชาท่าร่าง  วิชาท่าร่างเน้นการเคลื่อนไหวร่างกายและอาวุธให้เป็นไปตามกระบวนท่าที่ถูกต้อง  ถ้าเทียบแล้ววิชาเซียนคือการสร้างวงจรภายในจิตแล้วปล่อยพลังงานออกมา  ขณะที่วิชาท่าร่างเป็นการใช้ร่างกายเป็นวงจรให้พลังพรตไหลเวียนแล้วใช้มันในการโจมตีศัตรู

เมื่อนึกถึงวิชาเซียน  ซีคงหยูก็นึกถึงได้ถึงรางวัลจากการตั้งพรรคปลาทูสีน้ำเงิน   เขาพยายามเลิกถอนหายใจแล้วควักตำราวิชาเซียนสามสิบหกแผนขึ้นมาดู

“ในสามสิบหกแผน  หนีนับเป็นยอดกลยุทธ”   ซีคงหยูอ่านท่อนนำของตำรา  แล้วขมวดคิ้ว    “หมายความว่ายังไง  นี่คือวิชาสำหรับการหนีอย่างงั้นรึเนี่ย”

เขารีบพลิกไล่ดูอย่างรวดเร็ว
“วิชาหนีดาบกระบี่   วิชาหนีในน้ำ  วิชาหนีในอากาศ  ถุย ๆ...นี่มันบ้าอะไรกัน”

ซีคงหยูกวาดสายตาอย่างรวดเร็วตามหัวข้อไปเรื่อย ๆ แต่ไม่พบว่ามีวิชาไหนที่ใช้ในการโจมตีเลย

“ไหนพี่ชายหวางบอกว่า  ฝึกแล้วจะเป็นยอดฝีมือไงเห้ย”

คุณชายสามร้องเห้ยไม่หยุดตลอดห้านาที   จากนั้นก็ล้มลงตายคาตำรา

...สักพัก  เขาก็ฟื้นขึ้นใหม่จากสภาพศพ  แล้วคลานไปที่หน้าประตูถ้ำ 

“เสี่ยวหมมมมมี   เสี่ยวหมมมมมมี”  เขาร้องงื๊ด ๆ และเกาประตูดังครืด ๆ  “ปล่อยข้าออกไป   ข้ากำลังหัวใจสลาย  ร่างกายต้องการทะเลมาเยียวยา”

เสี่ยวหมีหันไปมองถ้ำเซียนที่ล็อคไว้จากข้างนอก  หลิวเกาซึ่งยึดเก้าอี้เอนตัวโปรดของคุณชายและจิบน้ำมะพร้าวอยู่  ส่ายหน้าไม่ให้เสี่ยวหมีใจอ่อน

“หลิววววกาวววววว”   เสียงร้องโหยหวนดังมาจากในถ้ำ  “ถ้าข้ากลายยเป็นนนวิญญญาณณณร้ายยยข้าจามาหลอกกกหลอนนนนเจ้าาาาาาาา”

หลิวเการีบควักเกลือในกะละมังที่เตรียมไว้เขวี้ยงไปหน้าถ้ำแล้วสวดคาถาบูชาพระอมิตาภพุทธเจ้า

“เสี่ยยยววววหมมมมมมี  เจ้าหมีอกกกตัญญญญญู  ข้าขอสาปปปปแช่งงงงงเจ้าาาาาาาาาา   ห้ายยยยโดดนนนนผึ้งงงต่อยยยยทุกกกกกครั้งงงงที่กินนนนนน้ำผึ้งงงงงง”

“อ๊อออออออออ!!”



++++++++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-08-2017 20:01:31
หยูน้อยเหมือนเด็กอะ ต้องมีคนคอยคุมให้ทำการบ้าน ฮา
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2017 20:20:36
แค่อ่านคัมภีร์ หยูก็นอนตายหลายครั้ง
อุตส่าห์อ้อนวอนหลิวเกา เสี่ยวหมี ให้ปล่อยตัวเองออกมา
แต่อนิจจา ทั้งหลิว ทั้งหมีรักหยูมากกกกกกกกกก
เลยถูกสาปแช่งที่น่ากลั้ว น่ากลัว

ความสำเร็จของการฝึกวิชาของพรรควารีพิสุทธิ์
ตั้งชื่อไล่ตามแสงตะวัน ช่างทูอิเมจิ้น
ใจก็เต้นแผ่วลงๆ ว่าหยูต้องสำเร็จพลังแน่ๆ

ไรท์ อ่านเรื่องนิยายกำลังภายในสมัยโกว้เล้ง
แล้วสมัยใหม่อย่างเรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี เทพยุทธ์เซียนกลอรี่
ก็สนุกนะไรท์ แต่ไรท์ เซียนอยู่แล้ว ต้องอ่านแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 29-08-2017 21:06:02
อันนี้ต้องขอเข้ามาตอบแรงมากกก

เรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี  ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร  แต่ไปค้นกูเกิ้ลดูแล้วขนลุก  Jiang Ye โดย Mao Ni นี่เอง  อยู่ในลิสต์จะอ่านครับ

ผู้เขียน Mao Ni คือไอดอลผมมาก ๆ   
ผมอ่านนิยายของเขาเรื่อง Ze Tian Ji (Way of Choice/ Fighter of Destiny) คือสุดมากกกก
ให้โม้ถึงความดีงามของเรื่องนี้สามวันสามคืนก็ไม่จบ

อีกเรื่องที่ผมตามของ Mao Ni คือ Joy of Life  แต่คนแปลเลิกแปลไป  และไม่มีใครเอามาแปลลง LNMTL (light novel machine translation) ด้วย

เทพยุทธเซียนกลอรี่  ผมอ่านฉบับแปลใน LNMTL จนจบล่ะครับ  ชื่อในนั้น The King's Avatar  อันนี้ก็ไอดอลด้านบทพูดและการให้บุคลิกตัวละครที่โดดเด่นจนจดจำได้  คืออ่านแล้วไม่น่าเชื่อ  จนถึงป่านนี้ผมยังจำเกือบทุกคนของทุกทีมและประวัติของผู้เล่นเหล่านั้นได้เลย  เวลาที่ต้าเฉินทั้งหลายมารวมตัว trash talk ใส่กันนี่มันฮามากกกกกกก    (คนโปรดของผมคือ  หวงเส้าเทียน และแชตบอกซ์ของเขา    ลืมอีกคน Blue River ผู้น่าสงสารและประสบวิกฤตวัยทอง)

ปล. เสียงหัวเราะ ฮี่ ๆ ผมก็เอามาจากพระเอกเรื่องนี้แหละ  อิอิ

++++

คุณศรียุดา   ไม่มีใครคุม  ผมก็ม่ายยทำงานเหมือนกัน ฮี่ ๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-08-2017 07:18:47
ดีจัง ได้เรื่องที่จะอ่านใหม่ แล้ว Ze Tian Ji
เพิ่งเคยอ่านของนักเขียนคนนี้ เรื่องแรก ก็เรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี
น้องชายแนะนำให้อ่าน
บอกว่านักเขียนคนนี้แหกกฎเรื่องคุณธรรมมากกกก
แต่พออ่านแล้วชอบมากกกก

ไม่รู้เรื่อง จอมนางจารชนหน่วย 11 กับ เรื่องผลาญ ไรท์เคยอ่านไหม
สนุกจริงๆตาต่อตาฟันต่อฟัน อ่านแล้วมันมากกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 30-08-2017 18:34:29


แปะไว้ก่อน สัญญาเลยว่าจะมาตามอ่านให้เร็วที่สุดค่ะ  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 30-08-2017 19:37:42
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: zakimi ที่ 30-08-2017 21:43:53
สะดุดตาสะดุดใจจริงๆเรื่องนี้ 555555
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 8 (29/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 31-08-2017 02:58:24
 ♥►MAGNOLIA◄♥ :  ถ้านิยายที่ผู้หญิงเป็นตัวเอกผมจะชอบอ่านแนวตลกหน่อย ๆ น่ะครับไม่ค่อยอ่านซีเรียส   ที่อ่านและชอบมากๆ ก็อย่างเช่น
Jiang Hu's Road is Curve
My Disciple, You Die yet again
A Slight Smile is Devastating
สองเรื่องแรกดีงามมาก  ถ้าสนใจลองอ่านดูครับ

Malimaru: คร้าบผม

พิศตะวัน:   :mew3: :mew3:

zakimi: อย่าสะดุดล้มนะครับ  อิอิ




++++++++++++
++++++++++++


“ในกระบอกไม้นี้มีจิ้งซาน  เหิงซาน  ซีซาน  อู๋ซาน  พวกเจ้าผลัดกันจับดูว่าใครจะได้ไปที่ไหน”

เจ้าสำนักชูกระบอกกระเบื้องลายครามในมือที่มีไม้ทาสีแดงปักอยู่สี่ด้าม  เบื้องหน้านางคือประมุขพรรคศิษย์ใหม่สี่คน  อันได้แก่พรรคปลาทูสีน้ำเงิน  พรรคนักล่าจิ้งจอกขาว   พรรคเมฆเขียว  และพรรคหยกคราม 

“เจ้าสำนัก...”  จางชุ่ยฮัว  ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินเอ่ยปาก  “..ถ้าส่งพวกเราไปคนละที่  แปลว่าไม่ต้องแข่งขันกันเองแล้วหรือ”

“คู่แข่งโดยตรงของพวกเจ้าก็คือสำนักอื่น ๆ อีกสี่สำนัก  แต่ถึงยังไง  ก็จงทำให้ดีที่สุด  เพราะผู้อาวุโสหมิงก็จะเปรียบเทียบผลงานของพวกเจ้าและจัดลำดับความดีความชอบ”

เจ้าสำนักส่งสายตาไปทางผู้อาวุโสหมิงอวี้กว๋อแห่งฉีเซี่ยซึ่งทำหน้าที่ตัดสินผลการประลองครั้งนี้  ผู้อาวุโสเจ้าของเสื้อคลุมคุนเผิงโต้คลื่นสีครามค้อมศีรษะน้อย ๆ รับคำเจ้าสำนัก

“ใครจะจับสลากก่อน?”

จางชุ่ยฮัวก้าวเท้าไปข้างหน้า  “ศิษย์เอง”

ประมุขพรรคคนอื่น ๆ มองอย่างขัดหูขัดตาระหว่างที่ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินดึงเอาแท่งไม้เสี่ยงทายออกมาจากกระบอก
เจ้าสำนักรับไม้ไปอ่านและประกาศจุดหมายปลายทาง

“จิ้งซาน”



++++++



ตำนานโบราณเล่าไว้ว่า  เมื่อสมัยอดีตที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ยังเยาว์วัย  และผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ก็ปราศจากการบุกรุกของอารยธรรม  เทพเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในถ้ำ  และสร้างภาพเงาของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้มนุษย์สุขสันต์รื่นเริงกับภาพมายา  เทพเจ้าขังมนุษย์ไว้เพื่อดูเล่นเป็นนันทนาการ  แต่ในที่สุดก็มีมนุษย์ผู้หนึ่งที่เบื่อหน่ายมายาภาพ  และเฝ้าฝันว่าจะได้เจอกับการผจญภัยที่พ้นไปจากถ้ำแห่งนี้

แอ๊ดดดดด...

เสียงประตูถ้ำเปิดอ้า   กระทาชายผู้มีผมกระเซอะกระเซิงยกมือขึ้นบังดวงตาจากแสงอาทิตย์  เขาหรี่ตามองลอดง่ามนิ้วตัวเอง  ทำจมูกฟุดฟิดดมอากาศ

“อ๊าาาา  กลิ่นของเสรีภาพ  หอมชื่นใจ”

“แต่กลิ่นท่านไม่หอมเลยนายน้อย”  หลิวเกาวิจารณ์อย่างซื่อสัตย์จากข้าง ๆ ประตูถ้ำ

“หุบปาก  ใครกันล่ะที่จับข้าขังไว้ตั้งนาน  น้ำท่าก็ไม่มีให้อาบ”

“นายน้อยสำเร็จวิชาหรือยัง”  หลิวเกาถูมือไปมาและถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เพ้ย  เจ้ามีตาแต่หามีแววไม่  ไม่รู้ซะแล้วว่าเขาไท่ซานตั้งอยู่ตรงหน้า  จงดูข้า  ดูดี ๆ ข้าคือยอดอัจฉริยะที่หมื่นปียากจะพบพาน  วิชาเซียนกระจอก ๆ ข้าก็ต้องสำเร็จแน่อยู่แล้ว  วาฮาๆๆๆๆ”

ซีคงหยูชี้หน้าตัวเองแล้วก็หัวเราะอย่างเสียสติ

“สงสัยคงหิวจนตาลาย”  หลิวเกากระซิบกระซาบกับเสี่ยวหมีที่พยักหน้าหงึก ๆ  แล้วหันตัวดุ่ม ๆ ไปเอาแพนเค้กน้ำผึ้งมาเสิร์ฟ

“นายน้อย  วันนี้พรรคปลาทูสีน้ำเงินจะออกเดินทางไปทำภารกิจ  ท่านมีเวลาเตรียมตัวสองชั่วยาม”

คุณชายสามผู้กำลังยัดแพนเค้กเข้าปากอย่างหิวโหยพูดเสียงอู้อี้

“อ้าเอ็นอะอาอิ๊กก่ออั้งอั๊ก อ้องไออ้วยอ๋อ”   (ข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งพรรคต้องไปด้วยหรอ)

“ถ้าท่านไม่ไป  ท่านจะเอาคะแนนความดีความชอบจากไหนล่ะนายน้อย”

ซีคงหยูตบชิ้นขนมเข้าคอแล้วเหล่มองหลิวเกา  “ของเจ้าไง”

ศิษย์น้องจิ่งที่แอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้เพื่อแอบถ้ำมองศิษย์พี่หลิวก็กระโดดออกมาแล้วชี้หน้าตะโกนใส่คุณชายสาม  “อันธพาล  อันธพาลชัด ๆ  ศิษย์พี่หลิวก็ต้องกินต้องใช้  เจ้าทำไมงอมืองอเท้า  ไปเอาเปรียบศิษย์พี่หลิวที่น่าสงสารอย่างงั้น”

“ถ้าข้าบอกว่ามันคือเต๋าแห่งการเป็นอันธพาลท้องถิ่น  เจ้าจะเชื่อหรือไม่”  ซีคงหยูชี้ท้องฟ้าด้วยความมุ่งมั่น

“อ๊ออออออ!”  เสี่ยวหมีบอกว่าไม่เชื่อ

“เฮ้อ  ศิษย์น้องจิ่ง  เจ้าอย่าทะเลาะกับคุณชายสามเลย  ภาษิตว่าสิบคนดีไม่อาจสู้หนึ่งคนบ้า  งาช้างย่อมแทงเขี้ยวสุนัขไม่เข้า  ศิษย์น้องจิ่ง..เจ้าต้องเข้าใจโลก”

ศิษย์น้องจิ่งกอดอกแล้วสะบัดหน้าพรืดไปทางอื่น

“ยัยหมาจู  เจ้าอยู่พรรคไหน”

“เฮอะ  ต้องไม่ใช่ปลาทูสีน้ำเงินไร้สาระของเจ้าอยู่แล้ว  แต่เดี๋ยวนะ  ข้าไม่ใช่หมาจู  ข้าชื่อจิ่ง!”

“สปาย!!  สปายอยู่ตรงนี้!!”   คุณชายสามกระโดดเหยง ๆ ตะโกนเรียกเด็กสาวจากพรรคปลาทูสีน้ำเงินที่เดินคุยกันอยู่ไม่ไกลจากหน้าถ้ำ   พวกนางชะงัก  ก่อนรีบเข้ามารุมล้อมศิษย์น้องจิ่งที่ตัวสั่นด้วยความตกใจ

“เจ้ามาจากพรรคไหน!”

“เจ้ามาสอดแนมพรรคเราทำไม!”

“ข้า..ข้า  มาจากพรรคเมฆเขียว”

“เฮอะ  ถือว่ายังดี  ถ้าเจ้ามาจากนักล่าจิ้งจอกขาวล่ะก็...”  เด็กสาวคนหนึ่งถลึงตาเอานิ้วทำสัญญาณปาดคอ

“หลิวเกาเจ้าอย่าเสียใจไป”   ซีคงหยูลูบหลังบ่าวรับใช้ที่มองตามศิษย์น้องจิ่งถูกลากตัวไปด้วยน้ำตาซึม  “โบราณว่าไว้  อันวีรบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงาม  และท่านประธานเหมาก็กล่าวเอาไว้ว่าผู้กล้าที่แท้จริงต้องทิ้งความรักพิทักษ์มาตุภูมิ  ถ้าเจ้าอยากได้หมาจูมาเลี้ยงจริง ๆ ไว้ข้าไปเมืองติ่งเฟิ่งจะซื้อมาให้”

“นายน้อยมีเงินหรอ”

“เพ้ย  เงินเจ้าสิ”

ซีคงหยูยิ้มกริ่มอย่างภาคภูมิใจในเต๋าของตนเอง




++++++++++++




มนุษย์คนแรกที่ออกไปจากถ้ำมองไปที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์   ในเวลานั้นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีแสงสว่างเท่า ๆ กัน  เขาอยู่ตามลำพังในโลกที่ไม่รู้จัก  นั่งบนอยู่บนโขดหินภายใต้ดาวทั้งสองเคลื่อนไหววนเวียนจนนับเวลาไม่ได้  จนเมื่อพลังของฟ้าและดินเต็มเปี่ยม  เขาจึงยื่นมือขึ้นไปบนท้องฟ้าแบ่งแสงจันทร์ให้แก่แสงอาทิตย์  เวลานั้นความมืดและความสว่างจึงเกิดขึ้น  จึงเกิดฝน  จึงเกิดเมฆ  เกิดฤดูกาล  เกิดกลางวันและกลางคืน  และเมื่อเขามองไปในท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวพราวพร่าง  เขาจึงรู้ว่าโลกนี้กว้างกว่าที่เขาคิด...

และก็เล่ากันอีกว่า  พยับเมฆที่มืดครึ้มเป็นสัญลักษณ์ของพลังหวูจี่..ความปั่นป่วนบรรพกาล  มันคือส่วนผสมปนเปอย่างแยกไม่ออกของลมและน้ำ  ความร้อนและความเย็น  แสงและความมืด  เล่ากันว่ายามที่พลังหวูจี่สะสมจนถึงจุดสูงสุด  เหล่ามังกรเทพยดาจะออกมาร่ายรำและดูดกลืนพลังบรรพกาลเหล่านั้น  พวกมันจะพ่นสายฟ้าและไฟ  น้ำแข็งและพายุ  เพื่อให้พลังฟ้าดินหมุนเวียนกลายเป็นวัฎจักรไท่จี่

ครานี้  พยับเมฆร้ายมาเยือนเมืองจิ้งซาน  สภาวะที่ฝนฟ้าร่ำไม่ออกร้องไม่ได้ชวนให้ผู้คนอึดอัดจนแทบตาย  ต้นไม้ในป่ารอบเมืองต้อนรับลมหวีดหวิว  และเสียงครวญครางของสัตว์ร้ายในภูเขาก็ถูกกลบด้วยครั่นครื้นคำรามของมังกรเทพยดาที่ซุ่มซ่อนในม่านเมฆ

ท่านกลางฝนฟ้าครื้นครั่น  ศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์เดินทางมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมร่ำรวยมั่งคั่งของเมืองจิ้งซาน  หน่วยทหารวารีโลหิตหยุดยั้งกระบวนที่หน้าโรงเตี๊ยมตามคำสั่งของสตรีผู้มีรูปโฉมธรรมดาทว่ามีประกายตาเย่อหยิ่ง  นางมองเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ประตูเปิดครึ่งและปิดครึ่ง  ในโรงเตี๊ยมมีแสงเทียนวับแวมบ่งให้เห็นว่าผู้อยู่อยู่ในโรงเตี๊ยมเป็นชนชั้นที่ละเอียดรอบคอบและรู้จักตระเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ยามจำเป็น  ทว่าในแสงเทียนที่วาบวามก็มีประกายคมกล้าของกระบี่  บนกระบี่มีผ้าขาวที่ลูบไล้  และมือที่จับผ้าขาวอยู่ก็ขาวสะอาดยิ่งกว่าผ้า  เรียวยิ่งกว่าลำเทียน  บางจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวลาง ๆ ใต้ผิวหนัง  นิ้วนั้นดูไม่เหมือนผู้ที่ใช้แรงงานหนัก  มันเหมือนกับหยกที่ยอดกวีใช้ในการดีดเครื่องซีเทอร์ระหว่างร่ายบทประพันธ์  แต่ที่ชวนพิศวงงงงวยกว่ามือที่งดงามนั้น  ก็คือเจ้าของใบหน้าขาวและเครื่องหน้าชัดราวงิ้วตัวเอก  ดวงตาเรียวดูคมชัดสุกใสสะท้อนแสงเทียน  จมูกโด่งพอเหมาะได้รูป  หากจะบรรยายองคาพยพบนหน้าทั้งหมดของเขาแล้วคงต้องอ้างอิงถึงรูปปั้นหยกจำนวนมากที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรวายุกระซิบสะสมในท้องพระคลังอันถูกสลักเสลาโดยประติมากรมือฉมัง  เหล่าดรุณีที่ยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมชมโฉมของเขาจนใจเต้นระทึกแทบกระดอนออกมานอกอก  พวกนางบางคนที่ไม่อาจทนทานต่อความหยาดฟ้ามาดินของใบหน้านั้นได้ก็เสมองเส้นผมเงาดำขลับประดุจขนนกกาที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบและมัดพันเป็นมวยไว้อย่างไม่มีที่ติ

จ้าวเหรินเจี่ยนค่อย ๆ เงยหน้ามองศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์และยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างเป็นมิตร  โดยหารู้มั้ยว่าภาพของตนได้กลายเป็นที่รำลึกในใจอันจะเป็นตำนานสืบต่อไปในหมู่เด็กสาวกลุ่มนี้ว่า  ...เทพยดาขัดกระบี่...

“ท่านที่นับถือ  มิทราบว่าท่านมีคำเรียกหาใด”  จางชุ่ยฮัวประสานมือคารวะ  ด้วยที่นางเพิ่งก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญพรต  นางจึงไม่ทราบว่าคุณชายที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมคือผู้ใด  ทว่าจากลักษณะและอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้ว นับว่าคงมีที่มาที่ไม่ธรรมดา

“แซ่จ้าว  นามเหรินเจี่ยน   สำนักโลหิตไมตรี”

“อา...”  พวกเด็กสาวอุทานและหันไปพึมพำกระซิบกระซาบกัน

คุณชายสามซึ่งยืนมองฟ้ามองฝนอยู่เริ่มรู้สึกสนใจ  จึงสะกิดถามหวูชิงหรูที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ   “ศิษย์พี่หญิงหวู  หมอนี่เป็นใคร  ทำไมทุกคนต้องตื่นเต้น”

หวูชิงหรูฟังแล้วก็มองผู้ถามราวกับตัวโง่งมตัวหนึ่ง  “เขาคือจ้าวเหรินเจี่ยน” 

นางรู้สึกว่าการอธิบายต่อว่าจ้าวเหรินเจี่ยนคือใครคือการลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าใครไม่รู้จักจ้าวเหรินเจี่ยนควรหาอัสนีบาตมาฟาดล้างกกหูสักสองสามรอบ

“ข้าได้ยินแล้วว่าเขาชื่อจ้าวเหรินเจี่ยน  ออกจะนำเสนอตัวเองขนาดนั้น”  ซีคงหยูพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น

“ฮี่ ๆ”  เด็กสาวรอบ ๆ ตัวที่ได้ยินคำวิจารณ์ของเขาหัวร่อพร้อม ๆ กัน  แต่ทำไมคุณชายสามรู้สึกเย็นสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก 


“นายน้อย”  หลิวเกาสะกิด  “ศิษย์น้องจิ่งบอกว่านางรู้ว่าเขาเป็นใคร”

“อ่ะ  ว่ามา...ฟัค!!   ยัยหมาจู  เจ้ามาได้ยังไง”

ศิษย์น้องจิ่งกอดออกและสะบัดหน้าให้ทวินเทลของนางสั่นไหวพอเป็นพิธี

“หึ  เราโกวเนี้ยก็ย้ายพรรคน่ะสิ  เพราะที่เจ้าพูดน่ะถูกอย่างหนึ่ง  วีรบุรุษควรแสวงหาความรักก่อนพิทักษ์มาตุภูมิ”

“...”   ซีคงหยูจำได้เลา ๆ ว่าเขาไม่ได้พูดอย่างงั้น

“สปาย!!!  สปายอยู่ตรงนี้!!!”  คุณชายสามรีบชี้ตัวศิษย์น้องจิ่ง

“หึ  มุกเดิมเจ้าใช้ไม่ได้ผลหรอก  เราโกวเนี้ยคือสมาชิกที่เที่ยงธรรมของปลาทูสีน้ำเงิน”  นางควักธงประจำพรรคออกมาโบกปลิวไสว  และฮัมเพลงมาร์ชเป็นจังหวะ  ขณะที่เหล่าสหายพรรคทั้งหลายรอบ ๆ ยืนปรบมือด้วยสีหน้าชื่นมื่น

“เฮฟเว่นอะโบฟ”  ซีคงหยูเหลือกตามองเมฆทึบเบื้องบน

เมื่อเห็นความวุ่นวายกลางขบวนสำนักวารีพิสุทธิ์  เทพยดาขัดกระบี่ก็ละสายตาจากกระบี่และเพ่งมองเจ้าของหมีดำตรงใจกลางความวุ่นวายนั้นด้วยสายตาคมกล้า  เขาลุกขึ้นจากโต๊ะและหยิบร่มกระดาษที่พิงไว้ข้างโต๊ะด้วยความรอบคอบแม้ว่าพิรุณจะยังไม่โปรยปรายลงมา  การเคลื่อนไหวของเขาดูทั้งเรียบง่ายและสง่างามตั้งแต่ลุกขึ้น  ยืน  หยิบร่ม  สะบัดเล็กน้อย  กางมันออกและสาวท้าวออกมาจากประตูบานพับของโรงเตี๊ยม

และหากท่านยืนอยู่มุมเดียวกับหลี่โอ๋อวิ๋นในตอนนี้  ท่านจะมองเห็นร่มสีขาวจากด้านบนที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวฝ่าผู้คนราวกับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงไปในทะเลลึก  หรือราชาภูตผู้เคลื่อนไหวในทุ่งดอกไม้อันระบัดไหวเปิดทางให้แก่เขา  จุดหมายปลายทางของเกล็ดหิมะนั้นหยุดที่ผู้ชายเพียงสองคนในกลุ่ม  และหมีสีดำตัวใหญ่อันยากจะหลบซ่อน

หลี่โอ๋อวิ๋นกัดฟางที่คาบในปากดังฉับ  แต่ก็ยืนนิ่งและจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา

“พี่ชายท่านนี้คือ...”   จ้าวเหรินเจี่ยนค้อมหัวทักทายก่อน

“เรียกข้าหรอ”  ซีคงหยูชี้ตัวเองอย่างประหลาดใจ  ขณะที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบมากกว่าเดิม  เหมือนถูกวิญญาณอาฆาตนับร้อยตามติด  และ  เอ๊ะ  เหมือนจะมีเงาอาฆาตของหัวหน้าผีที่รุนแรงเป็นพิเศษจากที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นี้

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม   เขาถามไปแล้วและรอคำตอบอยู่

“แซ่ซีคง  นามหยู  คุณชายสามนามกระเดื่องแห่งเมืองสุยอัน  อัศวินแห่งหมีดำ  ผู้ปลดปล่อยอิสระแก่หลิวเกา  ศิษย์ของหวางเซียนเหลย  และผู้ก่อตั้งพรรคปลาทูสีน้ำเงิน”   ซีคงหยูทุบอกตัวเองแนะนำตัว  เอาเสะ  เจ้านำเหนอตัวเองได้  ทำไมข้าจะทำไม่ได้

จ้าวเหรินเจี่ยนเจอชื่อที่ไม่รู้จักจำนวนมากจนงงงวย  หลิวเกาคือใคร  ปลาทูสีน้ำเงินคืออะไร  แต่ด้วยความมีมารยาทดี  จึงจึงพยายามเก็บงำสีหน้า

“ที่แท้ก็คุณชายซีคง  ยินดีที่ได้รู้จัก   จ้าวแซ่จ้าว  นามเหรินเจี่ยน   บิดานามว่าจ้าวโป้ถง  อยู่เมืองติ่งเฟิ่ง  เลี้ยงแมวหนึ่งตัวชื่อเจ้าขาวน้อย”

ไอ๊หยา!  คุณชายสามสบถในใจ  เจ้าจะเลียนแบบข้าเพื่อ  แล้วบอกชื่อบิดา  ไม่กลัวโดนข้าล้อหรือไร

“นับถือมานาน  นับถือมานาน  ถึงจะเพิ่งเคยได้ยินชื่อเจ้าวันนี้ก็นับถือมานาน”  คุณชายสามพยักหน้าประหลก ๆ

“คุณชายสามมีอารมณ์ขัน  เหมือนที่ได้ยินมาจริง ๆ”

“เอ๊ะ  เจ้ารู้จักข้าด้วยหรอ  รู้จักจากใคร”

“หลี่..”

ไม่ทันจะกล่าวคำที่สอง  เขาก็หมุนจากตำแหน่งเดิม  ตรงพื้นมีรอยปราณดาบปักดังฉึกฉึก  จ้าวเหรินเจี่ยนหุบร่มสะกิดเท้าหมุนตัวกลางอากาศ  ร่มในมือพลิกเหนี่ยวไปทางซ้าย  ตวัดข้อมือและทิ่มแทงไปปะทะกับปราณดาบไร้รูปในอากาศด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วและงดงามประดุจพายุกระหน่ำ  หยาดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาทำให้ทุกคนมองเห็นเงาปราณดาบอันแหวกละอองฝนจนเห็นเป็นรูปเงา  เทพยดาชุดขาวร่ายร้อยกระบี่พันกระบี่ในพริบตาเพื่อต่อต้านพลังปราณนั้น  และเมื่อทุกคนหายใจหายคอได้  สายตาของพวกเขาก็มองตามทิศทางการโจมตีไปยังหลังคาเรือนฝั่งตรงข้ามกับโรงเตี๊ยม  และ ณ ที่แห่งนั้นมีอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญยืนกอดอกอยู่พร้อมกับเสื้อกันฝนสีน้ำตาลไหม้ที่มีหมวกคลุมปิดครึ่งหน้าจนเห็นแค่ปากและจมูก

“เพ้ย  ชนชั้นเร้นลับทำตัวเหมือนภูตผี  กล้าลอบทำร้ายคุณชายจ้าวรึ”  ดรุณีของสำนักวารีพิสุทธิ์ตวาดเสียงเจื้อยแจ้วใส่ผู้โจมตี  แต่จ้าวเหรินยกมือเป็นสัญญาณห้าม  เมื่อพวกนางเงียบลง  เขาจึงหันไปทางชายในเสื้อคลุมฝนและประสานมือคารวะ

“นิสัยเสียของจ้าวกำเริบ   ขอพี่ชายท่านนี้โปรดอภัย”  กล่าวจบก็สะกิดเท้า  ใช้วิชาตัวเบาลอยกลับเข้าโรงเตี๊ยมไปโดยไม่แม้แต่จะบอกลาคุณชายสาม

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายล่าถอยไป  ชายในเสื้อกันฝนก็หันหลัง  แล้วกระโดดหายลับไปทางหลังเรือนนั้น

ซีคงหยูเกาหัวแกรก ๆ แล้วหันไปถามคนที่น่าจะพึ่งพิงได้มากที่สุดอย่างศิษย์น้องจิ่ง   “จ้าวเหรินเจี่ยน  เขาเป็นอะไรหรอ  นิสัยเสียอะไร”

“ไฮ้  เห็นแก่หน้าศิษย์พี่หลิว  ข้าจะบอกก็ได้  คุณชายจ้าวน่ะดีงามเพียบพร้อมไร้ที่ติ  แต่สวรรค์มักริษยาคนสมบูรณ์แบบ  คุณชายจ้าวจึงมีโรคที่เรียกว่า  อาการคันในหัวใจยากที่จะเกา   เขามักจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด  โดยเฉพาะความลับทั้งหลายที่ไปรู้มาในเวลาที่ไม่เหมาะสมกับคนที่ไม่เหมาะสม”

ซีคงหยูทาบอก  ไอ๊หยา...นี่มันโรครนหาที่ตายชัด ๆ


+++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 9 (30/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 31-08-2017 20:13:50
+++++++


ในเมื่อโรงเตี๊ยมถูกศิษย์เอกสำนักโลหิตไมตรียึดครอง  จางชุยฮัวจึงนำพรรคของนางไปหยุดที่ศาลเจ้ารกร้างในมุมหนึ่งของเมืองจิ้งซาน  หน่วยวารีโลหิตกางกระโจมพักอย่างขันแข็งท่ามกลางฝนที่ตกพรำลงมาอย่างหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินปรายตามองดูการทำงานของศิษย์ใหม่และทหารคุ้มครองว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี  นางจึงเรียกแกนนำพรรคเข้าไปประชุมกันในศาลเจ้าร้าง  ในศาลเจ้ามีรูปปั้นพระโพธิสัตว์และกระถางธูปหินที่สลักไว้อย่างลวก ๆ  แต่ละคนหยิบฟางที่สุมอยู่ในศาลเจ้ามาเป็นที่รองนั่ง  และเมื่อทุกคนนั่งกันเรียบร้อยดี  จางชุ่ยฮัวก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ จนกระทั่งหยุดที่หมีดำตัวหนึ่ง

“ศิษย์พี่ซีคงไปไหน”

“อ๊ออออออ!!”

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าพรรคไม่เข้าใจคำตอบ   ยัยหมีเขียวเลยเอ่ยปาก

“เฮอะ  เจ้านั่นบอกว่าป่วย  เลยให้หมีเข้าประชุมแทน”   นางพูดพลางย่นจมูก

“ศิษย์พี่หญิงหวูล่ะ”

“นางบอกว่านางไม่ใช่ศิษย์ใหม่  เลยขอไม่ยุ่งเกี่ยว”   ศิษย์พี่สวีพูดพลางขมวดคิ้ว  และนึกตำหนิในใจกับความไม่ดูดำดูดีของคนที่ถูกเอ่ยถึง

“ก็ดีแล้ว  มากคนก็มากความ”  อาสิบหกกล่าว  ก่อนจะหันขวับเพราะโดนอาสิบแปดแกล้งดึงผม

“เอาล่ะ”  จางชุ่ยฮัวสูดลมหายใจลึก  “ศิษย์พี่หญิงสวีช่วยสรุปภารกิจให้หน่อย”

หญิงสวีฟังดังนั้นก็หยิบแผ่นหยกบันทึกข้อมูลออกมา  และปล่อยพลังปราณใส่เข้าไป  ประกายไฟฟ้าพุ่งวาบทั่วแผ่นหยก  ก่อนจะค่อย ๆ รวมตัวเป็นจุดแสงเดียวแล้วยิงขึ้นไปบนอากาศ   ภาพสามมิติของข้อมูลที่บันทึกไว้ปรากฏขึ้นมากลางโถงศาลเจ้าโดยทันที
 
 “การประลองครั้งนี้เป็นการประลองแย่งชิงแร่วิญญาณเซียน  โดยในทุก ๆ ห้าปี  ห้าเมืองรายรอบภูเขามังกรทะยานอันได้แก่  จิ้งซาน  เหิงซาน  ซีซาน  อู๋ซาน  และเทียนซาน  จะมีประตูดินแดนลี้ลับที่นำไปสู่เหมืองแร่ปรากฏขึ้นมา”  นางกล่าวและใช้นิ้วเลื่อนแสดงภาพของเมืองในหูบเขาทั้งห้าและภาพที่บันทึกจากภายในเหมือง

“ในอดีตเหมืองแร่ทั้งห้าเป็นกรรมสิทธิ์โดยขาดของสำนักวารีพิสุทธิ์  แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  สำนักของเราอ่อนแอลง  เราจึงต้องยอมให้สำนักอื่น ๆ เข้ามามีส่วนแบ่ง  แต่เพราะสำนักที่เข้มแข็งก็ไม่อยากแบ่งแร่ให้ทุกๆ คนเท่าๆ กัน  แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีเหตุผลอันดีที่จะครอบครองมากกว่าคนอื่น  ทั้งห้าสำนักจึงตกลงสร้างการประลองแข่งขันขึ้นมา  มันคือสงครามตัวแทนที่จะแย่งชิงทรัพยากรให้แก่สำนัก  และทำให้สำนักที่มีศิษย์เข้มแข็งได้รับแร่วิญญาณเซียนมากกว่าคนอื่นโดยชอบธรรม”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังต้นสายปลายเหตุ

“งั้นหมายความว่าเราต้องลงไปทำเหมืองอย่างงั้นหรอ”  ศิษย์น้องเหยียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

แต่หญิงสวีส่ายหน้า  “ไม่หรอก  ตั้งแต่แรกแล้วที่สำนักของเราตระหนักดีกว่าสองหมัดยากสู้สี่ฝ่ามือ  พวกผู้อาวุโสจึงแบ่งปันเหมืองแร่กับชาวยุทธพเนจร  โดยในทุก ๆ ปีที่ดินแดนลี้ลับเปิดทาง  ชาวยุทธพเนจรจะหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ  และสำนักเราจะทำการ—จ้าง—ให้พวกเขาเข้าไปในดินแดนลี้ลับและขุดค้นแร่ออกมา  โดยแลกกับการแบ่งแร่ที่ขุดได้จำนวนหนึ่งให้  และแม้ว่าสำนักวารีพิสุทธิ์จะสูญเสียสิทธิผูกขาดของเหมืองเหล่านี้แต่ธรรมเนียมดังกล่าวก็ยังเหมือนเดิม  ภายในสี่ซ้าห้าวัน  ชาวยุทธพเนจรและศิษย์สำนักเล็ก ๆ จะหลั่งไหลเข้ามาที่จิ้งซานเพื่อรับจ้างขุดค้นแร่  ในตอนนั้นพวกเราก็จ้างพวกเขา  รวมทั้งอาจจะส่งศิษย์ของเราไปร่วมขุดค้นด้วย”

“โฮ่ ๆๆ   ถ้าแค่นั้นก็ดูสบายจังเลยนะ  ภารกิจนี้”

“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”  หญิงสวีกล่าวต่อ  “อย่างที่รู้กันว่า  ดินแดนลี้ลับเกิดจากการซ้อนเหลื่อมกันของมิติ  ทำให้โลกหนึ่งซ้อนกับอีกโลกหนึ่ง  และการเบียดอัดทับกันระหว่างมิตินั้นทำให้พลังงานที่ก่อตัวเป็นพื้นที่ของมิติย่อยสลายกลายรูปเป็นผลึกแร่วิญญาณเซียน  ดังนั้นมันจึงมีช่องว่างที่เชื่อมต่อกันระหว่างสองมิติ  และเราไม่อาจรู้ได้ว่าในแต่ละครั้งที่ประตูดินแดนลี้ลับเปิด  อีกด้านของประตูเชื่อมต่อกับที่ใดในบรรดาโลกทั้งหมด 3000 โลก”

นางเลื่อนนิ้วบนแผ่นหยกเพื่อแสดงภาพสัตว์ประหลาดหน้าตาพิลึกกึกกือที่มองไม่ออกว่ามันคือส่วนผสมของสัตว์ชนิดใด  จากนั้นชี้ไปที่รูปภาพที่ลอยอยู่บนอากาศ  “พวกเหล่านี้เรียกว่าอสูร (โม่)  มันอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่องว่างระหว่างมิติหรือสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นของอีกด้านของประตู  ไม่มีใครรู้แน่  ที่รู้ ๆ คือ  มันดุร้ายและเต็มไปด้วยพละกำลัง  และมันมักจะปรากฏตัวในเหมืองทุกครั้งที่ดินแดนลี้ลับเปิดให้เข้า”

“น่ากลัวจัง  เหตุไฉนผู้อาวุโสพรรคถึงไม่ส่งยอดฝีมือมากำจัดมันก่อน”

“เพราะไม่จำเป็น”  หญิงสวีตอบคำถามของศิษย์น้องเหยียน  “อสูรพวกนี้มีพลังกำลังที่เทียบกับวรยุทธของมนุษย์แล้วไม่เกินระดับตะวันขึ้นสาย  เหมืองทั้งสี่ในเขตเขามังกรทะยานเป็นเหมืองชั้นต้น   ผู้อาวุโสไม่ส่งพวกเรามาที่เหมืองชั้นกลางและชั้นสูงหรอก”

“แล้วเหมืองที่ห้า...เทียนซานล่ะ?”  จางชุ่ยฮัวจับเบาะแสในคำบอกเล่าของหญิงสวีได้  เพราะนางก็จำได้ว่าตอนจับสลากไม่มีชื่อเหมืองนี้

“เทียนซาน  เหมืองภูเขาสวรรค์  เป็นเหมืองระดับกลาง  และเป็นสถานที่ตัดสินของการประลองขั้นสุดท้าย  สัตว์อสูรในนั้นเทียบได้กับวรยุทธขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อย  ดังนั้นทีมที่ดีที่สุดจากเหมืองห้าขุนเขาจะถูกคัดเลือกไปแข่งขันที่นั่นเป็นจุดสุดท้าย  เพราะพวกเขาจะเป็นหัวกะทิที่สามารถต่อสู้กับอสูรระดับนั้นได้”   

จางชุ่ยฮัวปรบมือเรียกความสนใจของทุกคน  “ถ้าอย่างงั้น  เป้าหมายของเรามีหนึ่งเดียวเท่านั้น”  ดวงตาของนางฉายประกายมาดมั่น  “ไปเทียนซาน”


++++



รัตติกาลหลังฝนไม่เงียบงัน   มันมีเสียงกบเขียดร้องออด ๆ แอด ๆ  และนานทีก็จะมีเสียงนกฮูกร้องจากในป่าที่ทำให้มุสิกและกบเขียดเงียบเสียงลงชั่วคราวด้วยความกลัวภัยจากนักล่า  คุณชายสามผู้ซึ่งไม่อาจนอนหลับลงได้เพราะอยากกินขนมตอนกลางคืน  เขาจึงออกมาจากกระโจมพักและเดินวนไปมาหน้าทหารยามชุดแดงที่ยืนถือหอกอยู่ข้างคบไฟอันคุกรุ่น

“เจ้าหยุดเดินได้มั้ย  ข้าเวียนหัว”

ทหารหญิงเกราะแดงคนหนึ่งกล่าวกับเขา

ซีคงหยูหันไปมองอย่างประหลาดใจ  แต่แล้วก็ประสานมือคารวะ   “ขออภัยด้วยศิษย์พี่หญิง”  เขาจำได้ว่าหน่วยวารีโลหิตคืออดีตศิษย์ใหม่ที่มีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ  แต่ถ้านับตามศักดิ์แล้วก็ยังคงเป็นศิษย์พี่  คุณชายสามกล่าวต่อ  “ข้านึกว่าท่านเป็น npc”

“npc เตี่ยเจ้าสิ   ถ้าจะนอนก็นอน  ถ้าไม่นอนก็ไปที่อื่น”

“น้องลี่”  ทหารหญิงอีกคนกล่าว  “จะไปหงุดหงิดใส่เขาทำไม  ข้ารู้นะว่าเจ้าแอบหึงที่คุณชายจ้าวมาคุยกับเขา  เพราะเจ้าแอบชอบคุณชายจ้าวอยู่ใช่มั้ย”

“พี่หญิงซูอย่าพูดเหลวไหล”  นางพูดแล้วก็ทำหน้าเคร่งขรึม

“ข้ามีว่าที่สามีอยู่แล้ว  ข้าไม่สนใจจ้าวเหรินเจี่ยนหรอก”  ซีคงหยูรีบโบกมือปฏิเสธ

“ผู้ใดถามความเห็นเจ้ากัน”  ทหารที่ชื่อลี่ตวัดเสียง

“ศิษย์พี่หญิง  ถ้าท่านอยากให้ข้าหยุดเดิน  ข้าก็ต้องหาเรื่องอื่นทำ  แล้วในเมืองรูหนูที่ถูกพระเจ้าละเลยจะมีอะไรให้ทำอีกล่ะ  นอกจากนั่งผิงไฟพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน”

หญิงลี่ไม่ตอบ  หญิงซูจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วบอกว่า  “ถ้าศิษย์น้องเบื่อมาก  ลองไปที่ประตูทิศเหนือ  ตรงนั้นมีค่ายของสำนักอื่น  พวกนั้นมีผู้ชายเยอะคงยังไม่นอนและร่ำสุรากันข้ามคืน  เจ้าลองไปที่นั่นก็คงจะมีเพื่อนคุย”

“โอ้  จริงหรอเนี่ย  หลิว...”  ซีคงหยูอ้าปากจะตะโกนเรียกบ่าวคู่ใจ

“ห้ามส่งเสียงดัง”  หญิงลี่เอาด้ามหอกกระทุ้งเท้าเขาจนคุณชายสามกระโดดเหยง ๆ ด้วยความเจ็บ

“จะไปก็ไปคนเดียวไม่ต้องเรียกคนอื่น”  นางเอาด้ามหอกฟาดไล่ต่อเหมือนไล่สุนัข  ซีคงหยูทำหน้าแบบฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร  แล้วเดินหนีไปตามทิศทางที่หญิงซูชี้

“เจ้า..”  หญิงลี่ไล่หมาน้อยเสร็จก็หันมาเหล่มองหญิงซู  “...ถ้าข้าจำไม่ผิด  ประตูทางเหนือนั่นมัน”

“ฮี่ ๆ”



+++++++++



หลี่โอ๋อวิ่นนั่งอยู่บนขอนไม้ข้าง ๆ กองไฟ  มือถือป้านสุรา  หน้าของเขาเริ่มแดงจากฤทธิ์เหล้า  เพราะศิษย์น้องเกือบทุกคนแวะเวียนกันมารินสุราคารวะตั้งแต่หัวค่ำ  เขายังคงใส่เสื้อกันฝนตัวเดิม   ไม่ใช่เพราะว่ากลัวฝนจะตกซ้ำอีกครั้ง  แต่มันคือของวิเศษประจำสำนัก..เกราะเท็นงู  มีฤทธิ์ต้านร้อนต้านหนาว  ป้องกันอาวุธลับและสัตว์มีพิษได้

ศิษย์น้องคนหนึ่งเดินดุ่ม ๆ มาหาเขา  หลี่โอ๋อวิ๋นยกป้านสุราออกไปโดยอัตโนมัติ  เพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะมารินสุราคารวะ

“พี่หลี่..”  ศิษย์น้องคนนั้นไม่ได้มารินสุรา  เขามากระซิบข้างหูบอกข่าว  หลี่โอ๋อวิ๋นประกายตาวาววาบ  จากนั้นออกคำสั่ง

“ทำเป็นเหมือนข้าไม่ได้อยู่ที่นี่  และไม่ต้องบอกเขาว่าเรามาจากสำนักใด”

ศิษย์ชายคนนั้นพยักหน้า  แล้วถอยออกไปเชิญแขก  หลี่โอ๋อวิ๋นดึงหมวกของเกราะเท็นงูลงมาคลุมครึ่งหน้า  และคลึงป้านสุราในมือเงียบ ๆ

ไม่ทันไร  ซีคงหยูก็ก้าวอาด ๆ เข้ามาในเขตกองไฟ  และประสานมือคารวะทุกคนในวง

“ท่านที่นับถือทั้งหลาย  ข้าชื่อซีคง  นามหยู  ใคร่จะผูกมิตรกับผู้กล้าในยุทธจักร  เห็นพวกท่านมีทีท่าห้าวหาญ  วรยุทธสูงส่ง  หากไม่รังเกียจขอให้ข้าร่วมวงด้วยสักคน”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งในวงเจ้าของร่างบึกบึน  คิ้วหนา  และตาเป็นประกาย  ฟังแล้วก็หัวร่อพร้อมตบเข่าฉาด

“พี่ซีคงบุคลิกภาพเปิดเผย  พูดจาชัดเจนไม่ซุ่มซ่อน  นับว่าถูกใจผู้น้อง  ยินดีต้อนรับพี่ซีคง  ตัวข้าแซ่ซ่ง  นามมู่  ต่อไปนี้พวกเราเป็นเฮียตี๋กัน”

คนหนุ่มข้าง ๆ ตบหลังซ่งมู่แล้วหัวร่อฮา ๆ  พวกเขาดื่มสังสรรค์กันมาสักพักแล้ว  จึงอารมณ์ไหลลื่นและเปิดรับคนอื่นได้ง่าย

ซีคงหยูเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ซ่งมู่ที่คุยกับเขาเป็นคนแรก  รับป้านสุราจากศิษย์คนอื่นที่เดินมาแจก  ซ่งมู่รินสุราให้  คุณชายสามรับมือกรอกเข้าปากในอึดเดียวแล้วคว่ำจอกให้ดู  คนที่อยู่ใกล้ ๆ โห่ร้อง  และยกนิ้วให้

“ข้าจะไม่ถามสำนักพี่ซีคง  พวกเราคบกันเป็นเฮียตี๋ไม่เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นของสำนัก  ขอให้เป็นลูกผู้ชายมีจิตใจร้อนระอุ  ย่อมเป็นสหายกันได้  พี่ท่านว่าจริงหรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นซึ่งนั่งฟังอยู่ห่าง ๆ แอบยกนิ้วให้ศิษย์น้องคนนี้  ที่มีวิธีพูดอย่างชาญฉลาดในการที่จะทำให้ซีคงหยูไม่สามารถถามได้ว่าพวกเขามาจากสำนักอะไร  เขาจดจำชื่อซ่งมู่เอาไว้  และคิดว่าเมื่อกลับไปยังสำนักจะแนะนำให้ผู้อาวุโสช่วยส่งเสริม

“ซ่งเซี่ยงตี๋กล่าวได้ถูกต้อง  บุญคุณความแค้นเป็นเรื่องลอยลม  แต่สุราขม ๆ น่ะของจริง  เอามาอีกจอก!”

เมื่อเห็นว่าคุณชายสามไม่มีกำแพงกั้น  คนอื่น ๆ จึงเริ่มเข้าไปรินสุราแลกเปลี่ยนกับเขาและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ  แต่คุยไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มวกเข้าเรื่องเหมืองแร่

“ข้าได้ยินว่า  ไมตรีโลหิตส่งจ้าวเหรินเจี่ยนที่เป็นศิษย์เอกมาร่วมประลอง  ทำอย่างงี้มันโกงชัด ๆ”   ซีคงหยูบ่นสิ่งที่อยู่ในใจ  เขาแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่ค่ายของไมตรีโลหิต  จึงนินทาอย่างคล่องปาก

ทว่าทุกคนในวงทำหน้าปูเลี่ยน ๆ  แล้วแอบหันไปมองชายในเสื้อกันฝนปิดหน้าปิดตาที่นั่งดื่มสุราเงียบ ๆ ในมุมหนึ่งของกองไฟ  เพราะนั่นก็ตัวโกง

“พี่หยูอย่าไปคิดอย่างงั้น”  ซ่งมู่ที่เริ่มสนิทกับคุณชายสาม  จึงเรียกเขาด้วยชื่อ  “การประลองมีข้อจำกัดมากกว่าที่คิด  พี่หยูรู้หรือไม่ว่าในเหมืองจิ้งซานมีปมแบ่งเป็นยี่สิบสี่ปม  แต่ละปมจะมีอสูรเฝ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง  ถ้าสำนักใดกำจัดอสูรได้ก็จะมีสิทธิครอบครองปมนั้น ๆ  แต่จะต้องกำหนดผู้คุมปมเอาไว้หนึ่งคน  เพราะสำนักอื่นสามารถแย่งชิงปมนั้นได้ด้วยการท้าประลองกับผู้คุมปม  และผู้ที่ถูกกำหนดให้คุมปมใดปมหนึ่ง  จะไม่สามารถเข้าร่วมการล่าอสูรในปมอื่น ๆ ได้  กฎนี้ถือเป็นที่สิ้นสุดและจะมีผู้อาวุโสคอยดูแลมิให้ผู้ใดละเมิด”

ซ่งมู่จิบสุราในมืออีกอึกแล้วกล่าวต่อ  “ดังนั้นยอดฝีมือคนเดียวจึงมีผลน้อยมาก  อย่างมากก็สามารถคุมได้แน่นอนเพียงหนึ่งปม”

“ได้เปรียบหนึ่งปมก็ถือว่าได้เปรียบอยู่ดี”  ซีคงหยูเถียง  “ถ้าจ้าวเหรินเจี่ยนยึดไว้หนึ่งปม  ใครจะไปโค่นเขาได้”

“ฮ่า ๆๆ”  ซ่งมู่หัวเราะ  “จ้าวเหรินเจี่ยนนับเป็นตัวอะไร  เพลงกระบี่สามขาและหน้าขาว ๆ ของเขามีเอาไว้กายกรรมให้เด็กผู้หญิงดูเท่านั้นล่ะ”

“จริงสิ  เมื่อเย็นข้าเห็นเขาถูกมือดาบลึกลับต้อนจนหมดรูป  ข้าสงสัยจริง ๆ ว่า...”  ซีคงหยูอ้าปากแต่พูดไม่จบ  เขายื่นมือชี้ไปข้างหน้าเพราะเพิ่งสังเกตเห็นชายในเสื้อกันฝนสีน้ำตาลไหม้ที่มุมหนึ่งของกองไฟ  คุณชายสามลุกไปถึงจะเซนิด ๆ แต่ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนซ่งมู่จับเอาไว้ไม่ทัน

“พี่ชายท่านนี้ ..ท่านคือคนที่สู้กับจ้าวเหรินเจี่ยนนี่นา  ไม่นึกว่าเราจะมีวาสนาได้เจอกัน  นับว่าเป็นสวรรค์ลิขิต ๆ”

“ข้าอายุน้อยกว่าเจ้า  อย่าเรียกว่าพี่ชาย”  อีกฝ่ายตอบด้วยเสียงเย็นชา

ซีคงหยูตบหน้าผากตัวเอง  “อ้าว  ข้าลืมไป  ทีนี่มีแต่เด็ก ๆ  มีแต่ข้าแก่ที่สุด  โอ้  น้องชาย  เจ้ารู้มั้ยว่า  ที่สำนักเขาเรียกข้าว่าอะไร..ศิษย์น้องลุง  เจ้าเชื่อหรือไม่  ฮ่าๆๆๆ”

“ถ้าเจ้าเมา  ก็นั่งดี ๆ เดี๋ยวล้ม”   เสียงเย็นชาเริ่มอ่อนลงนิดนึง  และเขยิบที่ให้นั่งตรงขอนไม้ข้าง ๆ

ซีคงหยูรีบไปนั่งตามคำเชิญ  อีกฝ่ายนี่ไอด้อลเขาชัด ๆ  สามารถสั่งสอนเจ้าเด็กหน้าขาวแซ่จ้าวที่บังอาจหล่อกว่า ดูดีกว่า  และเท่ห์กว่าคุณชายสามคนนี้  เขาหันไปทางซ่งมู่แล้วกวักมือเรียก

“ซ่งเซียงตี๋  มานั่งทางนี้  ตรงนี้มีอะไรน่าสนใจ  เจ้ารู้มั้ยว่าฝีมือดาบของน้องชายคนนี้สุดยอดมาก”

ซ่งมู่ทำคอย่นหน้าแหย ๆ แล้วส่ายศีรษะปฏิเสธ  คนฉลาดอย่างเขารู้ดีว่าเวลาไหนไม่ควรเอาคานเข้าไปสอด
เมื่อเห็นว่าซ่งมู่ไม่มา  เขาจึงหันไปหาคู่สนทนาใหม่

“ว่าแต่น้องชายมีนามอันสูงส่งว่าอะไร”

“ข้าชื่อซีคงเซี่ย”

“ฮ่า ๆ นับถือ ๆ  เพ้ย..นั่นชื่อบิดาข้า”

“ไอแอมยัวร์ฟาร์ทเธอร์”

“ฮ่า ๆ อย่ามาตลก  น้องชายชื่อจริง ๆ ว่าอะไร”  คุณชายสามกรึ่มจนลืมสงสัยว่าอีกฝ่ายล่วงรู้เรื่องครอบครัวได้อย่างไร

“แซ่หยู  นามอวิ๋น”  ชายในเสื้อกันฝนตอบ

“ที่แท้ก็น้องอวิ๋น  เอ๊ะ ทำไมคนชื่ออวิ๋นมักกวนตีน”

“เจ้าอยากตายรึไง”

“ฮ่า ๆ  น้องชายเข้าใจผิดแล้ว  ข้าเพียงแต่นึกถึงศัตรูคู่อาฆาตเท่านั้น”  ว่าแล้วก็ขยับไปนวดเฟ้นแขนเอาใจเพื่อให้อีกฝ่ายหายโกรธ

“เฮอะ”  หยูอวิ๋นแค่นเสียง

“วิชาดาบของเจ้าที่ใช้โจมตีจ้าวเหรินเจี่ยน  เรียกว่าอะไร  ฝึกยากมั้ย”  ซีคงหยูวกเข้าเรื่องหลักที่เขาสนใจ  จะเป็นอะไรไปเสียอีกนอกจากยอดวิชาและประสบการณ์พิสดาร (aka ทางลัด)

“เรียกว่าดาบไร้ธุลี  ..ฟ้าไร้เมตตา  ดินไร้รื่นรมย์  ดาบไร้คันฉ่อง  จึงไร้ธุลีละออง..”

“ห๊ะ..”

“นั่นคือใจความของเคล็ดวิชา”  หยูอวิ๋นกล่าวอย่างไม่ยี่หระราวกับเพลงดาบนี้เป็นหัวผักกาดที่ขายตามข้างทาง  ขณะที่ศิษย์น้องรอบ ๆ กลืนน้ำลายกันเอื้อก ๆ  และพยายามจดจำเคล็ดวิชาให้ได้แม่นที่สุด

“แล้วอย่างข้าจะฝึกได้มั้ย”

ผู้ถูกถามมองผู้ถูกถามผ่านเงามืดของหมวกคลุม

“เจ้าน่ะรึ...ข้าให้เวลาสามวัน”  เขาชูสามนิ้วประกอบ

“สามวันก็ฝึกสำเร็จใช่มั้ย  น้องชาย  เจ้าสายตาแหลมคมจริง ๆ  ทำไมถึงมองทะลุว่าข้าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปียากจะพบพานได้เล่า  เจ้ารู้มั้ยว่าเมื่อวันก่อนข้าฝึกวิชาเซียน...”

หยูอวิ๋นรีบยกมือเบรกคุณชายสามที่เริ่มพูดเรื่อยเปื่อย

“..ข้ายังพูดไม่จบ  ให้เวลาสามวัน  เจ้าต้องเบื่อและเลิกฝึก”

“ไฮ้  น้องอวิ๋น  ทำไมเจ้าพูดเหมือนเป็นพยาธิในท้องของเราคุณชายได้  ถ้ามันยากนักก็ต้องเลิกฝึกแน่อยู่แล้ว  จะทรมานตัวเองไปทำไม”  เนื่องจากซีคงหยูเป็นสายเมาแล้วใจดี  ใครพูดอะไรมาก็เออออกับเขาไปหมด
แต่ว่าแล้วหาวหวอด

“เจ้าง่วงแล้ว?”

“เพ้ย ใครง่วงกัน  ข้าอยู่ได้ทั้งคืน  สมัยข้ายังสิบแปดข้าอ่านหนังสือตลกอยู่สามวันสามคืนโดยไม่หลับไม่นอน”

ซีคงหยูพูดอย่างภาคภูมิใจ 

"แต่ตอนนี้เจ้าแก่เกินสิบแปดไปโขแล้ว"  อีกฝ่ายพูดความจริงอย่างโหดร้ายจากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้น  “มา  ข้าไปส่ง”  อย่างไม่รอให้ปฏิเสธ  ชายหนุ่มในเสื้อกันฝนก็หิ้วปีกคุณชายสามขึ้นจากขอนไม้ที่นั่งทันที  วรยุทธของเขาแข็งกล้า  คุณชายหยูจึงไม่สามารถต่อต้านได้  ในเมื่อทำอะไรไม่ได้  คุณชายสามของเราจึงได้แต่โบกมือลาให้กับซ่งมู่และสหายใหม่ข้างกองไฟคนอื่น ๆ

ที่หน้ากระโจมสำนักวารีพิสุทธิ์  หญิงลี่และหญิงซูกำลังจะเปลี่ยนเวร  แต่พวกนางเห็นเงาที่เดินมาจากทางประตูเหนือในความมืด  จึงรอดูว่าใช่ศิษย์น้องลุงที่หายตัวไปหรือไม่  เงาร่างสองร่างเดินมาใกล้  คนหนึ่งคอพับคออ่อน  อีกคนประคองเอาแขนพาดคอเอาไว้และส่งพลังปราณเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถเดินได้โดยไม่ต้องลากไปกับพื้น

“โอ้..”  หญิงซู่อุทานเมื่อเห็นสภาพของซีคงหยู

“เขาไม่ได้เป็นอะไร  แค่เมา”   ชายลึกลับในเสื้อกันฝนพูดราวกับหยั่งรู้ความคิดของทหารหญิงเกราะแดง

“ขอบคุณน้องชายท่านนี้มากที่พาศิษย์สำนักเรามาส่ง”

หยูอวิ๋นมองเข้าไปในความมืดของประตูกระโจมนอนแล้วกล่าวกับทหารหญิงทั้งสอง  “ข้าคงเข้าไปไม่สะดวก   พวกเจ้ารับไปส่งต่อที”  เขาส่งปีกปวกเปียกของคุณชายสามให้หญิงซูประคอง   แล้วพยักหน้า  ก่อนจะผละจากไปโดยไม่รั้งรอ

“เขาเป็นคนสำนักอื่น  ทำไมปล่อยให้เขาใช้น้ำเสียงสั่งพวกเราอย่างงั้นล่ะพี่หญิงซู”  หญิงลี่ขยี้เท้าด้วยความไม่พอใจและบ่นทันทีที่อีกฝ่ายลับตาไปทางประตูเหนือ

“เจ้าจำเขาไม่ได้รึ”  หญิงซูยิ้มกริ่มถาม

“จำได้สิ  เขาคือยอดฝีมือที่ลอบโจมตีคุณชายจ้าวยังไงล่ะ”

“ฮี่ ๆ  เจ้ามีฉันทาคติต่อคุณชายจ้าวมากไปแล้ว  จนลืมนึกไปว่า  ผู้เยาว์ใดในยุทธจักรที่มีฝีมือทัดเทียมคุณชายจ้าว”

ด้วยสายตาอันแหลมคมของหญิงซู  แม้ว่าหยูอวิ๋นจะสวมหมวกคลุมปิดหน้าปิดตา  แต่นางก็ประเมินอายุของอีกฝ่ายได้  หญิงลี่กลืนน้ำลายอย่างตกใจเมื่อนึกขึ้นได้

“พี่ซูอย่าบอกนะว่า”

“ฮี่ ๆ  ดูท่าวันนี้ข้าได้ทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่  เกื้อหนุนให้คู่รักได้พบเจอกัน”

หญิงลี่ไม่ได้กล่าวคำต่อ  เพราะยังคงเหลียวมองตามไปทางด้านประตูทิศเหนือด้วยความว้าวุ่นใจว่าพลาดโอกาสเสวนาวิสาสะกับหนึ่งในหยกคู่แห่งยุทธจักร

+++++

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 10 (31/8)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 31-08-2017 23:05:00
แหมๆ เกื้อหนุนคู่รัก
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 10 (31/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 01-09-2017 06:34:49




ืีที่สุดก็ตามทันแล้ว เราชอบสำนวนคุณคนเขียนมาก ๆ
ชอบมากพอ ๆ กับเสี่ยวหมีเลย (อ๊อออออออ!)

เท่าที่อ่านเนื้อเรื่องจนถึงตอนนี้ เรามีความรู้สึกว่า
กว่าอาหยูของเราจะกลายเป็นเทพยุทธได้นั้น
น่าจะมีอุปสรรคขวากหนามรออยู่อีกเยอะเชียว
แต่ก็ดีค่ะ เราจะได้ตามอ่านเสี่ยวหมีไปนาน ๆ ฮ่า ๆๆ
(เดี๋ยว! หล่อนจะเมนหมีแทนผู้ชายไม่ได้!!)

เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ ๆ !!  :กอด1:



หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 10 (31/8)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 01-09-2017 17:08:09
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 10 (31/8)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-09-2017 22:13:24
ตามกลิ่น Malimaru มาเม้นหมี

มันสนุกมว๊ากกกก

สำนวนพลิกแพลงไม่ต่างจากเพลงกระบี่พิสดาร
ข้าน้อยขอคารวะด้วยหมีหนึ่งตัว อ๊ออออออออออออ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 10 (31/8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 01-09-2017 23:35:38
wnkth :  ฮี่ ๆ  คนเขียนก็รอลุ้นครับว่าเมื่อไหร่จะได้กัน

Malimaru :  น้อยใจจุง  รู้สึกเป็นรองเสี่ยวหมีนิดหน่อย  และแอบสงสารคุณชายซีคงผู้จืดจางแถมยังไม่สำเร็จวิชาซะที
ส่วนจำนวนตอน  คาดว่าน่าจะเขียนอย่างน้อยก็สัก 1500 ตอนครับตามมาตรฐานนิยายเซียนเซี่ย (ล้อเล่น 555+)

พิศตะวัน :   <3  <3  <3

alternative :  ฮา ๆ ยินดีต้อนรับครับ   รับหมีเป็นคารวะหนึ่งจอก  เอ๊ยหนึ่งตัว


+++++


ไม่กี่วันถัดมา  เมืองจิ้งซานที่เคยเงียบสงบก็คึกคักขึ้นมาทันตาเห็น   นอกจากศิษย์สำนักทั้งห้าที่หาทำเลตั้งซุ้มรับสมัครคนงานเหมือง  บนถนนในเมืองก็เริ่มมีชาวยุทธพเนจรหอบเสื่อผืนหมอนเดินสวนกันไปมา  ทว่าชาวยุทธส่วนใหญ่ยังคงไม่ตกลงใจที่จะเซ็นสัญญากับสำนักใด  พวกเขาคอยเฝ้าสังเกตการณ์และประเมินความสามารถของแต่ละสำนัก  เนื่องจากว่าหากเลือกสำนักที่อ่อนแอ  เหมืองที่พวกเขาเข้าไปขุดได้ก็อาจจะมีคุณภาพแย่  ไม่เพียงเท่านั้น  พวกเขาอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเมื่อต้องร่วมมือกับศิษย์สำนักในการกำจัดอสูรเสียอีก

แต่ในขณะเดียวกันก็มีชาวยุทธบางกลุ่มคิดแตกต่างออกไป  พวกเขามั่นใจในวรยุทธของตนเองว่าจะเอาชีวิตรอดจากดินแดนลี้ลับได้ไม่ว่าจะเข้าร่วมกับสำนักไหน  พวกเขาสนใจสำนักที่อ่อนแอ   เพราะสำนักแบบนั้นมักจะให้ค่าตอบแทนการทำเหมืองที่มากกว่าสำนักอื่นเป็นการชดเชย  และสำนักที่ว่าก็คือสำนักวารีพิสุทธิ์

“พี่ชายท่านนี้   ถ้าขุดได้ร้อยส่วน  ท่านเก็บไว้ได้เจ็ดส่วน”

หญิงสวีซึ่งอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนพูดด้วยรอยยิ้มละไม
ทว่าชาวยุทธพเนจรที่ยืนอยู่ข้างหน้าส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย  เขาสวมหมวกไม้ไผ่สาน  ใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านสีน้ำเงินเข้ม  หลังสะพายทวน  ทวนเป็นสีแดงประดุจเลือดนก  ซึ่งเป็นฉายาของเขา  ผู้กล้าทวนแดง

“ข้ามีวรยุทธตะวันขึ้นสายขั้นสูง  เจ้าให้ค่าจ้างในอัตราเดียวกับคนอื่น ๆ ไม่คิดว่ารังแกกันเกินไปรึ”  เขากล่าวต่อ  “แล้วอีกอย่าง  เมื่อครู่ข้าลองไปถามสำนักประตูทรราช  เขายินดีให้ค่าจ้างหนึ่งในสิบของแร่ที่ขุดได้”

“เป็นไปไม่ได้หรอก”  หญิงสวีโต้แย้ง  “ประตูทรราชกำหนดอัตราตายตัวไว้ที่ห้าในร้อย  พี่ชายคงจำผิดพลาดแล้วกระมัง”

“ฮ่า ๆ  เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ  แต่ถ้าเจ้าให้ไม่ได้มากกว่านี้  ข้าก็ขอดูก่อนล่ะกัน”

ผู้กล้าทวนแดงหัวร่อดังกังวานอย่างไม่ยี่หระ  แล้วผละออกไปจากจุดลงทะเบียน  คำพูดของเขาดังไม่ใช่น้อย  ส่งผลให้ชาวยุทธคนอื่น ๆ หันไปมองหน้ากันอย่างขบคิด  บางคนลุกจากที่จับเจ่ารอ  แล้วเดินไปทางค่ายสำนักประตูทรราช

“ศิษย์น้องหลู่”  จางชุ่ยฮัวที่นั่งดูการเจรจาอยู่กระซิบเรียกหลู่เซียงเอ๋อร์  หรือยัยหมีเขียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  “เจ้าลองตามดูว่าเขาไปที่ไหน”

ศิษย์น้องหลู่พยักหน้า  แล้วกระซิบบอกหมีเขียวของตนอีกที

ผู้กล้าทวนแดงแวะไปดื่มน้ำชาที่ซุ้มขายเครื่องดื่มของศิษย์สำนักอำพันโบราณ  เขาหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเก้าอี้หัก  และเห็นหมีตัวเขียวขนาดเบิ้มนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นท่ามกลางเศษเก้าอี้ในร้าน   เสี่ยวเอ้อของร้านรีบวิ่งมาดูด้วยความตกใจ  และทึ้งผมตัวเองเนื่องด้วยไม่รู้ว่าจะเรียกค่าเสียหายกับหมียังไง

เขาดื่มน้ำชาแก้ความเหน็บหนาวจากอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเสร็จ  ก็แวะดูอาวุธที่ศิษย์สำนักโลหิตไมตรีมาวางขายข้างถนน  เขากำลังจะหยิบทวนเหล็กกล้าสีเขียววาววามเหมือนทำจากเหล็กเย็นใต้ทะเล  แต่ก็มีอุ้งมือสีเขียวมีขนปุยเข้ามาคว้าทวนด้ามนั้นพอดี

“ข้าเห็นก่อน”  ผู้กล้าทวนแดงบอกกับหมีเขียว

“แอออออ๊!”

“แต่เจ้าเอาไปดูก่อนก็ได้”   เขาคิดว่าไม่ควรจะลดตัวไปทะเลาะกับหมี  เลยพลิกดูอาวุธอื่นต่อ

ผู้กล้าทวนแดงไม่พบเจออาวุธที่ถูกใจ  จึงเดินเตร่ไปที่อื่น  แต่ไม่ว่าเขาไปที่ไหน   เขาก็จะเห็นเจ้าหมีเขียวตัวเดิมผลุบ ๆ โผล่ ๆ  ผู้กล้าทวนแดงจึงขยับหมวกไม้ไผ่บนศีรษะให้เข้าที่  แล้วรีบหลบเข้าตรอกลึกที่ไม่มีผู้คนทันที

เขาได้ยินเสียงอุ้งตีนหมีย่ำมากับพื้นช้า ๆ ตามมาข้างหลัง  จึงหยุดชะงัก  และเอื้อมมือไปปลดเชือกที่มัดทวนไว้

“แม้แต่พระพุทธรูปไม้ยังยอมให้คนตบหน้าได้แค่สามครั้ง  แล้วประสาอะไรกะข้าที่ไม่ใช่พระพุทธรูป  เจ้าสะกดรอยตามข้ามาเช่นนี้  คงรำคาญชีวิตมากสินะ”

“อ๊ออออ??”

ผู้กล้าทวนแดงหันกลับไปช้า ๆ  และเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษขนปุย   ทวนในมือของเขาสะท้อนประกายวาบและชี้ไปข้างหน้า  เขาชะงักนิดนึงเมื่อเห็นมัน

“อะแฮ่ม  เจ้าอย่าคิดว่าไปย้อมขนให้เป็นสีดำแล้วข้าจะจำไม่ได้  เจ้าสุนัขรับใช้สำนักวารีพิสุทธิ์”

“อ๊ออออออ!!”  เสี่ยวหมีเถียงว่าตนเองไม่ใช่สุนัข    แต่ไม่ทันไร   ผู้กล้าทวนแดงก็สะกิดเท้าพุ่งเข้ามา  ทวนปักพื้นแล้วดีดตัวกระโดดฟาด  ด้วยท่าทวนทลายภูเขา  เสี่ยวหมีสะดุ้ง  แต่รีบกลิ้งหลบตามสัญชาติญาณ  มันกลิ้งไปหงายกับพื้นมองเห็นพุงปุกปุยแล้วพลิกตัวลุกไม่ขึ้นขณะที่ด้ามทวนฟาดลงมาข้าง ๆ เฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปด

ผู้กล้าทวนแดงดึงทวนกลับ  ควงทวนหมุนมาไขว้หลัง   ท่าแรกเขาแค่ลองหยั่งเชิง

“ฮ่า ๆ ฝีมือมีแค่นี้  กล้าลอบติดตามข้านับว่าเร็วไปร้อยปี  หากว่ายังรักชีวิตก็จงไสหัวไปเรียกเจ้าของเจ้ามาให้ข้าสั่งสอนซะ”

มือทวนเสื้อน้ำเงินขู่ไปอย่างงั้น  ถ้าเป็นไปได้  เขาก็ไม่อยากมีเรื่องถึงเป็นถึงตายกับศิษย์ห้าสำนักใหญ่  ทว่าถ้าเขาเอาชนะศิษย์เหล่านั้นในการขัดแย้งเล็ก ๆ ได้  ค่าตัวของเขาก็จะสูงขึ้นและสามารถต่อรองค่าจ้างได้มากขึ้น

คุณชายสามเดินกินพุทราเชื่อม  และตามเสี่ยวหมีเข้ามา   เมื่อเห็นผู้กล้าทวนแดงและเสี่ยวหมีที่นอนหงายท้องอยู่  เขาก็ชะงักเท้า

“เสี่ยวหมี?”  เขาเรียกทดสอบว่ามันตายหรือยัง

“อ๊อออออ”

ซีคงหยูถอนหายใจอย่างโล่งอก  “ยังไม่ตายก็ดีแล้ว  กว่าข้าจะขุนเจ้ามาได้ขนาดนี้ต้องเสียข้าวสารข้าวสุกตั้งเท่าไหร่”

“อ๊อออออออออ!!”

“เพ้ย  เจ้าคือเจ้าของหมีนี่สินะ”   ผู้กล้าทวนแดงหมุนทวนที่ไขว้หลังไว้  แล้วเอาปลายชี้หน้าคุณชายสาม 

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม  ถ้าไม่ใช่แล้วจะทำไม”  ซีคงหยูย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ  เพราะเชื่อแน่ว่าหมอนี่ต้องเป็นคนชั่ว  เสี่ยวหมีรักสงบขนาดนี้ยังรังแกได้ลงคอ

“ตอนนี้ชีวิตเจ้าหมีนี่อยู่ในกำมือข้า  เจ้ายังพูดจาโอหังอีก!”

เมื่อได้ยินดังนั้นซีคงหยูก็ตกใจรีบเอ่ยวาจา   “ไอ๊หยา!  พี่ชาย  มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา  หมีของข้าไปทำให้ท่านรำคาญใจอะไร  มันก็เป็นแค่หมี  ท่านไปหาเรื่องกับหมี  หรือว่าท่านเป็นหมา”

“เพ้ย  เจ้ารู้อยู่แก่ใจ  ถ้าเจ้าอยากได้หมาของเจ้ากลับไป  ก็จงรับกระบวนท่าของข้าสามกระบวนท่าเสียก่อน”

“พี่ชาย..นั่นมันหมี”

“เหลวไหล!  กระบวนท่าที่หนึ่ง  ทวนสะบั้นแม่น้ำ!”

เขาตวัดทวนกรีดอากาศ  วาดจากซ้ายไปขวา  ในเพลงทวนมีพลังปราณ  และพลังปราณก็ไหลโถมถั่งประดุจแม่น้ำสายหนึ่ง  มันท่าทวนที่เรียบง่าย  แต่เพราะว่ามันเรียบง่ายมันจึงรับมือยาก  หัวใจของเพลงทวนนี้คือแข็งสยบอ่อน  ถ้าท่านมีพละกำลังไม่พอ  ใช้แข็งต้านแข็งย่อมพ่ายแพ้

ซีคงหยูไม่มีประสบการณ์ต่อสู้  ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าท่าแบบไหนต้องรับมือยังไง   เขารู้สึกใจเต้นรัวด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเงาคมทวนเหวี่ยงเข้ามาใกล้  แต่เมื่อหัวใจของเขาเต้นแรง  พลังปราณก็ไหลเวียนตามจังหวะหัวใจเต้น  คุณชายสามย่างเท้าไปข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว  ร่างของเขาบิดหลบ  เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งกลางลมพายุ

ผู้กล้าทวนแดงชะงัก  เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลบได้ยังไง  ทวนเหวี่ยงเป็นเส้นตรงจากซ้ายไปขวา  ถ้าศัตรูจะหลบก็ต้องหมอบกับพื้นหรือกระโดดขึ้นให้พ้น  แต่อีกฝ่ายยืนอยู่กับที่ชัด ๆ ทว่าเพลงทวนของเขาเหมือนกับกวาดผ่านอากาศธาตุ

“พี่ชาย  โปรดหยุดมือก่อน  ข้าไม่รู้วรยุทธ!”

“หุบปาก”  ผู้กล้าทวนแดงไม่เชื่อในภูตผีปีศาจ   เขาดึงทวนกลับมา  หมุนข้อมือ  แล้วแทงเข้าไปตรง ๆ  “ท่าทวนทะลวงศิลา!”

ซีคงหยูหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ  คมทวนหมุนเป็นเกลียวแทงเข้ามาที่ท้องน้อยของเขา  แต่ทันใด  อุ้งมือดำใหญ่ก็ฟาดใส่ด้ามทวน   จนมันเบี่ยงออกไปจากเป้าหมาย

ผู้กล้าทวนแดงสะดุ้ง  พลังที่ฟาดมาถ่ายทอดผ่านทวนจนง่ามมือของเขาเจ็บแปลบ  เขารีบดึงทวนกลับมา กระโดดถอยไป  และย่อตัวยืนถือทวนเฉียงในท่าเตรียมต่อสู้  หมีดำตัวใหญ่ลุกขึ้นมา  แยกเขี้ยวใส่เขา  แต่เมื่อเขาขยับทวนทำท่าจะจิ้ม  มันก็ร้องงื๊ด ๆ แล้ววิ่งจุ้มปุ๊กไปหลบหลังคุณชายสาม

“เฮอะ  ที่แท้ก็ดวงดี  เอาล่ะ   กระบวนท่าสุดท้าย..”  ยังไม่ทันจะกล่าวชื่อกระบวนท่า  สัญชาติญาณของเขาก็บ่งบอกถึงอันตราย  เขารู้สึกเหมือนกับถูกจ้องโดยสัตว์ร้าย  เหงื่อเย็นเยียบของเขาซึมออกมาเต็มฝ่ามือ  ผู้กล้าทวนแดงพยายามกวาดสายตาจากใต้หมวกไม้ไผ่เพื่อมองหาอันตรายที่ว่า  แต่ไม่สามารถจับสิ่งผิดปกติได้  ทว่าสัญชาติญาณของเขาอันผ่านดงดาบดงกระบี่ในชีวิตชาวยุทธพเนจรไม่โกหกแน่ ๆ  มันเหมือนกับมีดาบอำมหิตจ่อคอหอยของเขาอยู่ในตอนนี้

เจ้าของทวนแดงและเสื้อน้ำเงิน  เก็บทวนกลับยืนในท่าพัก  เขากลืนน้ำลายแล้วตวาดไป

“เพ้ย  วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน”  เขาพูดแล้วก็วิ่งไปสุดตรอก  ใช้ทวนงัดพื้นต่างคานแล้วกระโดดข้ามกำแพงลับหายไป

“เฮ้อ...”  คุณชายสามถอนหายใจอย่างโล่งอก  เขาล้มตัวลงไปนอนทับเสี่ยวหมี  เพราะขาของเขาสั่นไปหมด  ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ



++++




ที่ศาลเจ้าเก่า  หมีเขียวเดินกลับเข้ามาคอตก  หลู่เซียงเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองมัน

“แออออออ๊!!”

“เจ้าว่ายังไงนะ  คลาดกันอย่างงั้นหรอ”  ยัยหมีเขียวร้องอย่างตกอกตกใจ

ส่วนจางชุ่ยฮัวมองด้วยสายตาระอา  เจ้าคิดได้ยังไง  ส่งหมีตัวเท่าบ้านไปสะกดรอยยอดฝีมือ  แต่ด้วยความเพลียใจนางจึงไม่พูดอะไร

แต่ไม่ทันไร   ก็เห็นหมีดำเดินดุ่ม ๆ มา   บนหลังมีกระทาชายนอนพังพาบอยู่  เสี่ยวหมีเดินมาใกล้ ๆ กองฟาง  แล้วเอียงตัวให้ศพบนนั้นไหลลงมา  ศพนั้นลืมตาขึ้นและไอแค่ก ๆ จากละอองฟางที่พลัดเข้าจมูก

“ศิษย์น้องซีคง  เจ้าไปทำอะไรมา  ทำไมหมดเรี่ยวหมดแรงแบบนี้”  ศิษย์พี่หญิงสวีที่โต๊ะลงทะเบียนใกล้ ๆ ถามด้วยความใส่ใจ

“ศิษย์พี่หญิง  ข้า..ไปโดนคนจิ้มมา”

หญิงซูและหญิงลี่ที่ยืนยามรักษาการณ์อยู่  สำลักน้ำลายพรวดพร้อม ๆ กัน   พวกนางนึกถึงเรื่องเมื่อคืนวาน  และแอบคิดไม่ได้ว่าคุณชายสามไปโดนอะไรจิ้ม

“แค้นนี้ข้าต้องชำระ”  ซีคงหยูกำหมัดแน่นทั้ง ๆ ที่ยังนอนแผ่อยู่บนกองฟาง  สีหน้าของเขาคับแค้นใจประดุจพระเอกนิยายที่โดนศัตรูฆ่าล้างตระกูล  “เจ้าหมอนั่นคือมือทวน  มันถือทวนสีแดง”

“ทวนแดง..”  ยัยหมีเขียวทวนคำ  แล้วนึกได้   เลยหัวเราะกลบเกลื่อนเดินเข้าไปหาคุณชายสาม  กะจะตบหลังปลอบใจ  ทว่าอีกฝ่ายนอนหงายอยู่เลยตบพุงดังป๊าบ ๆ

“ฮ่า ๆๆ   ศิษย์พี่ลุงซีคงรอดมาได้ก็ดีแล้ว  คนที่เจ้าเจอคือผู้กล้าทวนแดง  เขาคงโกรธที่สำนักเราไม่ให้ค่าจ้างตามที่เขาอยากได้  เลยแกล้งศิษย์พี่ลุงไปอย่างงั้นเอง”

ซีคงหยูจุกพุงจนแทบกระอักพุทราที่กินเข้าไป  เขาคลำพุงป้อย ๆ  แล้วร้อง

“เจ้าเบามือกว่านี้จะได้หรือไม่  มือหนักอย่างนี้จะหาสามีที่ไหน”

หลู่เซียงเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วบอกกับหมีเขียว

“เสี่ยวชิง  ตบมัน”

 “แอ๊ก!”



++++++++



“กราสสส!!”   เสียงสบถพร้อมกับหมวกที่ปามากลางวงหมากรุกที่กลางสวนถั่วฝักยาวอันรกร้าง  ผู้เล่นหมากรุกและคนที่ยืนกอดอกชมดูหมากหันขวับไปมองผู้กล้าทวนแดงที่หายใจหอบอยู่ไม่ไกล 

“ไหนพวกเจ้าบอกว่างานนี้ง่าย ๆ ไม่อันตรายยังไงล่ะ  ทำไมข้าถึงถูกจับจ้องโดยยอดฝีมือ”

ผู้เล่นหมากรุกฝั่งสีแดงเป็นคุณชายท่าทางนุ่มนวลใส่เสื้อไหมลายงูยักษ์สีน้ำตาลทอง  บนหัวสวมมงกุฎ (1) ทรงสูงประดับด้วยบุษราคัมและปิ่นที่ทำจากแร่ชนิดเดียวกัน  เขาหันไปมองผู้กล้าทวนแดงและหรี่ตาจนเรียวเหมือนวงพระจันทร์คว่ำ 

“เจ้าไปทำอะไรให้ใครจับตามาล่ะ”

“ข้าทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง  จนไอ้เด็กสำนักวารีพิสุทธิ์สะกดรอยข้า  ข้าเลยจะสั่งสอนมัน  แต่ว่า...”  ผู้กล้าทวนแดงลังเลที่จะกล่าว   มันเป็นแค่ความรู้สึกของเขา  ที่เหมือนกับมีสายตาจ้องมองที่หลังคอของเขาตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่เขาหนีมาตั้งไกลแล้ว 

“เจ้ารู้สึกว่ามีคนตามเจ้ามา”  ดวงตาของคุณชายเสื้อน้ำตาลเปลี่ยนจากรูปพระจันทร์คว่ำเป็นชี้ขึ้น  หมากในมือถูกบีบจนหักครึ่ง  “..แล้วเจ้าก็นำมันมาที่นี่อย่างงั้นรึ”

“เพ้ย  เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร  ถึงต้องให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสั่งสอนประสบการณ์ยุทธภพ  ข้าสลัดมันหลุดแล้วถึงมาที่นี่”   ผู้กล้าทวนแดงกล่าวเสียงห้วน

คนที่นั่งตรงกันข้ามกระดานหมากของคุณชายเสื้อน้ำตาล  เป็นเด็กหนุ่มท่าทางสบาย ๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม  เขามีผมสั้นปานกลางที่ปล่อยชี้อย่างอิสระเหนือผ้าคาดหัวลายมังกรน้ำ  ดวงตารูปอัลมอนด์ของเขาสุกใส  แต่ลึกลงไปกับมีแววซับซ้อนที่อ่านออกได้ยาก   เขาเอ่ยปากกับคู่เดินหมากว่า

“คนที่ทำให้พี่ชายทวนแดงผวาได้ในเมืองนี้  ที่รู้ ๆ ก็คือจ้าวเหรินเจี่ยน  แต่จ้าวเหรินเจี่ยนไม่น่าจะมีจิตสังหารรุนแรงจนทำให้ผู้คนตระหนกตกใจ  น่าจะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวคนอื่นมากกว่า”

คุณชายเสื้อน้ำตาลวางหมากที่หักในมือลงไป  แล้วหันกลับมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า  “หรือน้องตู้จะหมายถึง  ยังมียอดฝีมือที่เราไม่รู้ในสำนักอื่น ๆ  หรือจะเป็นชาวยุทธพเนจรกันล่ะ”

ตู้เกี่ยนหลง (สังหารพันมังกร)  ฟังแล้วก็จับจมูกตัวเองด้วยความเคยชินก่อนตอบไปว่า  “คงจะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสองสำนักที่เรายุแยงมากกว่า  หากไม่ใช่วารีพิสุทธิ์  ก็ประตูทรราช”

เขาพูดจบก็หันไปหาศิษย์ร่วมสำนักที่ยืนประสานมืออย่างสำรวมอยู่ใกล้ ๆ แล้วสั่ง   “จ่ายแร่ให้เขา”

ศิษย์ผู้นั้นประสานมือรับคำ  ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบถุงหนังออกมาแล้วโยนไปให้กับผู้กล้าทวนแดง  ผู้กล้าทวนแดงรีบยื่นมือคว้ารับแล้วเปิดห่อดูแร่วิญญาณเซียนขั้นกลางก้อนเท่านิ้วโป้ด้วยรอยยิ้มกว้าง  ถ้าเขาใช้ผลึกนี้ในการบำเพ็ญตบะ  ความหวังที่จะก้าวเข้าสู่วรยุทธขั้นตะวันขึ้นสายระดับสุดยอดก็จะอยู่ไม่ไกล

“เจ้ายังอยากจะทำงานกับสำนักเราต่ออีกมั้ย”  ตู้เกี่ยนหลงถามยิ้ม ๆ

“ถ้าพวกเจ้ากล้าจ้างกล้าจ่ายแบบนี้ล่ะก็นะ”  ผู้กล้าทวนแดงหรี่ตาตอบ

“น้ำแถวนี้มันลึก  ข้าจะให้เจ้าเอาเท้าไปหยั่ง  เจ้าอาจจะโดนยอดฝีมือคนนั้นสังหาร  นี่ข้าเตือนไว้ก่อน”

ผู้กล้าทวนแดงฟังแล้วก็มีสีหน้ามืดทะมึน  เงินทองและสมบัติจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีชีวิตอยู่ใช้มัน

“ขอบคุณคุณชายตู้ที่พูดตรง ๆ  ข้าคิดว่างานนี้อาจจะต้องขอปฏิเสธ”

“แร่วิญญาณเซียนขั้นสูงหนึ่งก้อน”   ตู้เกี่ยนหลงโพล่งขึ้นมา

“คุณชายตู้หมายถึง..”

“รางวัลที่เจ้าจะได้..”  เขาเว้นจังหวะ  ดวงตาสดใสของเขาเหมือนส่งยิ้มได้  ยิ้มนั้นมันล่อลวงราวกับน้ำผึ้งเดือนห้าที่ชโลมใจผู้จ้องมองเข้าไป  “..คิดดูดี ๆ นะ  เจ้าอาจจะสำเร็จพลังพรตขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อยได้เลย”

นกตายเพราะอาหาร  คนตายเพราะสมบัติ  สิ่งที่ชาวยุทธพเนจรเฝ้าฝันคือการมีพลังฝีมือเหนือกว่าคนอื่น  ผู้กล้าทวนแดงมีสีหน้าปั้นยาก  บัดเดี๋ยวแดง  บัดเดี๋ยวดำ  แต่ในที่สุดก็ก้มหน้าประสานมือคารวะ

“เชิญคุณชายกล่าวเงื่อนไข”

ตู้เกี่ยนหลงเสยผมตนเองที่ร่วงลงมาบังตา  เชิดคางขึ้นเล็กน้อยมองค้างถั่วฝักยาวใกล้ ๆ  เขายกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นและอีกข้างก็หลู่ต่ำลงอย่างครุ่นคิด  คุณชายเสื้อน้ำตาลที่นั่งตรงกันข้ามลอบมองเสี้ยวหน้าของเขา  ตู้เกี่ยนหลงเวลานี้ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก  และถ้ามีสตรีที่ใจกล้าหน่อยเห็นเขาในตอนนี้  ก็คงจะเดินเข้าไปจับสองข้างแก้มและประทับจูบลงไป

“เจ้าต้องลองไปสมัครขุดแร่กับสำนักประตูทรราชดู”

“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว”   ผู้กล้าทวนแดงตอบอย่างสุภาพ  และถอยออกไปเมื่อตู้เกี่ยนหลงโบกมือเป็นสัญญาณส่งแขก

“น้องตู้..เจ้าให้รางวัลเขามากไปหรือเปล่า”   คุณชายผู้มีใบหน้าสะสวยกล่าวประท้วง  ผลึกแร่วิญญาณเซียนขั้นสูง  ไม่ใช่จะหากันง่าย ๆ  ในหนึ่งปมเหมืองอาจจะขุดเจอแค่ชิ้นเดียว  เท่ากับว่าทั้งเหมืองจิ้งซานอาจจะมีสักยี่สิบสามสิบชิ้น

“ฮ่า ๆ  ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลใจไป  ถ้าข้าเดาไม่ผิด  เขาไม่มีชีวิตรอดกลับมารับรางวัลหรอก”

มุมปากของตู้เกี่ยนหลงยกขึ้นเล็กน้อย  เขาจับตัวหมากที่ล้มระเนระนาดจากหมวกที่ผู้กล้าทวนแดงโยนเข้ามาตั้งใหม่  คุณชายเสื้อน้ำตาลเห็นแล้วก็ยิ้มจนตาคว่ำเป็นพระจันทร์

“ฮี่ ๆ ข้านึกแล้วว่าน้องตู้ทำไมใจกว้างนัก  ที่แท้เจ้าก็คิดยืมดาบฆ่าคนเพราะเขาทำลายเกมหมากของเราสองนี่เอง”

“ฮ่า ๆๆ”  ตู้เกี่ยนหลงหัวเราะ  แต่ไม่บอกว่าที่อีกฝ่ายคาดเดานั้นจริงหรือเท็จ


++++


(1)  มงกุฎผมหมายถึงที่รัดผมคล้าย ๆ แบบนี้

(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/12/A7356326/A7356326-1.jpg)

ปล. เมืองจิ้งซานมันบ้านนอก  ไม่มีสวนท้อป่าไผ่  มีแต่ไร่กล้วยกับค้างถั่วฝักยาว  อิอิ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 11 (วันที่1/9)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-09-2017 02:16:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 11 (วันที่1/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 02-09-2017 02:31:38

++++


เหลืออีกสองชั่วยาม  ประตูดินแดนลี้ลับของเหมืองห้าขุนเขาจะเปิดให้เข้าได้  ในช่วงสุดท้ายนี้  ชาวยุทธส่วนใหญ่รีบตัดสินใจเข้าร่วมคณะสำรวจเหมืองของห้าสำนัก  ขณะที่ส่วนน้อยยังคงรอดูผลงานการโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองรอบแรกของแต่ละสำนักก่อนตัดสินใจ  จางชุ่ยฮัวจดบันทึกสิ่งที่คิดได้และตระเตรียมแผนระหว่างที่หญิงสวีซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขากำลังตรวจสอบรายชื่อของชาวยุทธที่เซ็นสัญญากับสำนักวารีพิสุทธิ์  จางชุ่ยฮัวกัดเครื่องเขียนในมือ  นางไม่ใช้พู่กันซึ่งยุ่งยาก  แต่ใช้ไม้ถ่านที่มีปลายแหลมเพื่อความสะดวกในการพกพา  อันที่จริงนางสามารถหาซื้อแผ่นหยกเซียนมาใช้ในการบันทึก  ซึ่งสามารถถ่ายพลังปราณของตนเข้าไปเขียนและอ่านได้โดยตรง  แต่นางชอบวิธีการแบบสมัยเก่ามากกว่า

“ผลกำไรของกิจการเป็นไงบ้าง”  นางถามหญิงสวีถึงการค้าขายที่ส่งศิษย์สำนักไปทำในเมืองจิ้งซาน  การค้าเหล่านั้นจะได้ผลตอบแทนเป็นตำลึงทองและเงิน  ซึ่งเป็นเงินทางโลกที่มีค่าน้อยกว่าแร่วิญญาณเซียน  แต่ก็ยังถูกนับเป็นความดีความชอบของสำนักได้

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”  หญิงสวีตอบเมื่อเรียกข้อมูลที่บันทึกในแผ่นหยกเซียนขึ้นมาดู   “สำนักโลหิตไมตรียึดโรงเตี๊ยมไป  พวกเขาจัดมันเป็นตลาดนัดเล็ก ๆ และเปิดให้ทุกสำนักเช่าขายของ  ทุกคนดูเหมือนจะได้ผลประโยชน์  แต่จริง ๆ แล้วไมตรีโลหิตได้เงินทองไปมากที่สุด”

“น่าชังจริง ๆ”

“ช่วยไม่ได้  พวกเขามีจ้าวเหรินเจี่ยน”  หวูชิงหรูที่กำลังเลื่อนแผ่นหยกสื่อสารและพิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนต่างสำนักพูดลอย ๆ จากเก้าอี้ที่นางเอกเขนกอยู่

“ถ้าอย่างงั้นต้องตัดไมตรีโลหิตออกจากแผนพันธมิตร  พวกเขากำลังได้เปรียบและมียอดฝีมือ  คงไม่อยากจับมือกับใคร”   จางชุ่ยฮัวหมุนแท่งถ่านในมืออย่างครุ่นคิด

“ศิษย์น้องจาง  นี่เจ้ากำลังคิดจะหาพันธมิตรหรอ  เพื่ออะไร”   หวูชิงหรูเริ่มสนใจและละสายตาจากจอแผ่นหยก

“อย่างน้อยเราก็จะได้วางแผนร่วมกันไม่แก่งแย่งตีเหมืองซ้ำ  และบางทีเราอาจจะตลบหลังบางสำนักได้”

“ฮี่ ๆ  พันธมิตรมันก็แค่ลมปาก  สุดท้ายก็ต้องแก่งแย่งว่าใครจะเป็นที่หนึ่งอยู่ดี  ว่าแต่ศิษย์น้องจางมีเป้าหมายในใจหรือยังล่ะ”

จางชุ่ยฮัวก้มมองดูแผนภาพที่ตนขีดเขียนไว้ในกระดาษ  แล้วกล่าวกับศิษย์พี่หญิงทั้งสอง

“ข้าคงเอาอย่างผู้อาวุโสไป่  พันธมิตรที่ดีที่สุดคืออดีตศัตรู  เราจะจับมือกับประตูทรราช”

“ฮ่า ๆๆๆๆๆ”   หวูชิงหรูฟังแล้วก็หัวร่อยกใหญ่ 

“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หวูมีความเห็นสูงส่งอันใด”

หวูชิงหรูหยุดหัวเราะและถามกลับ  “ศิษย์น้องจางลองบอกศิษย์พี่มาก่อน  ว่ามีเหตุผลเฉพาะเจาะจงอะไรที่ทำให้เจ้าเลือกประตูทรราช”

จางชุ่ยฮัวยิ้มอย่างมั่นใจและเริ่มนับนิ้ว  “ข้อแรก  ข้ารู้สึกว่าในช่วงสองสามวันนี้มีบางสำนักที่พยายามยุแหย่เรากับประตูทรราช  ในเมื่อพวกเขาไม่อยากเห็นเราดีกันนัก   เราก็ช่วยสนองหน่อยล่ะกัน”  นางหยุดไปหนึ่งจังหวะแล้วกล่าวต่อ  “ข้อสอง  ข้ารู้มาว่า  ซีคงหยูไปมาหาสู่กับประตูทรราช  พวกเขามีมิตรภาพต่อกัน  เรื่องนี้น่าจะใช้ประโยชน์ได้”

“อื้อหือ   ความเคลื่อนไหวในค่ายพัก  ไม่รอดพ้นสายตาเจ้าเลยสินะ”  หวูชิงหรูกล่าวชมครึ่งประชดครึ่ง  “เหลือเวลาอีกชั่วยามครึ่ง  แต่ดูเหมือนว่าเจ้าคงมีคนที่คิดจะส่งไปเจรจาในใจแล้วสินะ”

จางชุ่ยฮัวเคาะแท่งถ่านกับโต๊ะก่อนจะกวักมือเรียกคนให้ไปตามคุณชายสาม


++++++++



ซีคงหยูจูงหมีดำไปที่ค่ายของประตูทรราช  หลิวเกาไม่ได้มาด้วยเพราะต้องเตรียมตัวคุมกลุ่มสำรวจเหมืองกลุ่มที่สามกับศิษย์น้องจิ่ง   ตั้งแต่ที่วรยุทธของหลิวเการุดหน้าจนได้ฉายาว่าปีศาจอัจฉริยะ  คนในสำนักก็ดูเหมือนจะหวังพึ่งพิงเขามากขึ้น

“เฮอะ  งานง่าย ๆ  ไม่ต้องมีเจ้าหลิวเกาข้าก็ทำได้”  คุณชายสามพูดพลางเตะก้อนหินจนฝุ่นกระเด็น  เขาเดินคู่เสี่ยวหมีมาสักพักก็มาถึงค่ายที่ประตูเหนือ  พวกเด็กหนุ่มในค่ายกำลังเตรียมตัวออกไปต่อสู้  บางคนก็ต้มเครื่องดื่มควันขโมง   บางคนก็ขัดชุดเกราะอ่อน  และบางคนก็ลับกระบี่ด้วยหินทราย   ซ่งมู่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับคุณชายสามเมื่อเขาเงยหน้าเห็นเจ้าของหมีดำผู้มีเอกลักษณ์

“พี่หยูเป็นไงบ้าง  วันนี้มีเรื่องอะไรให้ผู้น้องช่วยหรือไม่”

“ฮ่า ๆ  หน้าข้าเขียนไว้ชัดขนาดนั้นเลยรึว่า  กำลังต้องการความช่วยเหลือ”

“เวลานี้หน้าสิ่วหน้าขวาน  ประตูแดนลี้ลับใกล้จะเปิด  พี่หยูคงไม่ได้มาคุยเล่นหรอกกระมัง”

  ซ่งมู่เดินกอดคอซีคงหยูเข้าไปในค่าย   พวกสหายวงเหล้าที่คุ้นเคยกันเห็นซีคงหยูก็พยักหน้าส่งยิ้มทักทาย  คุณชายทักทายกลับด้วยท่าทาง  แต่ไม่เสียเวลาพูดคุยสัพเพเหระ  เข้าเรื่องทันที

“น้องซ่ง..ในค่ายของพวกเจ้า  มีใครเป็นผู้ตัดสินใจอย่างงั้นรึ”

ซ่งมู่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถาม  “อ้อ  พี่หยูคงหมายถึงพี่ใหญ่อวิ๋น”

“ที่แท้ก็น้องอวิ๋น  ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าน้องอวิ๋นดูไม่ธรรมดา  ราวกับนกกระเรียนกลางฝูงไก่  มังกรกลางหมู่มนุษย์”

ซ่งมู่ทำหน้าเลี่ยน ๆ เพราะเขาถูกเปรียบเทียบเหมือนไก่ที่เป็นวอลเปเปอร์ให้นกกระเรียน  ซีคงหยูซึ่งไวต่อความรู้สึกคนอื่นเลยรีบหัวร่อแล้วตบบ่าอีกฝ่ายแรง ๆ

“ต่อให้น้องซ่งเป็นไก่  ก็เป็นไก่ฟ้า  ถ้าหล่ออีกนิด  จมูกโด่งอีกหน่อย  ก็เป็นนกฟีนิกส์ได้”  คุณชายสามแกล้งบีบจมูกของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเล่น

ในตอนนั้นกระโจมค่ายก็เปิดออกมาพอดี  เจ้าของเสื้อกันฝนสีน้ำตาลไหม้ที่ปิดหน้าปิดตาอยู่ตลอดวันออกมาเห็นก็ชะงัก  ซ่งมู่รีบเอามือปัดมือของคุณชายสามที่จับจมูกของเขาอยู่ออก  แต่ก็ไม่แรงเกินไปจนกลายเป็นความหยาบคาย

“เจ้า..” 

“ไฮ้  น้องอวิ๋น ตายยากจริง ๆ พูดถึงโจโฉ  โจโฉก็มา”  คุณชายสามย้ายไปติดหนึบกอดคอพ่อคนเย็นชา   ซึ่งดูจะสะดุ้งนิด ๆ เหมือนไม่อยากโดนกอด

“มีลมอะไรก็ผายออกมา  ประตูเหมืองจะเปิดแล้ว”   หยูอวิ๋นเหลือบมองนาฬิกาแดดกลางค่าย  เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามเท่านั้น

สักพัก  พวกเขาก็เข้าไปนั่งคุยกันในห้องบัญชาการ   ซ่งมู่ยืนรับฟังอยู่ใกล้ ๆ ในฐานะมือขวาของหยูอวิ๋น

“ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินของข้า  ส่งข้ามาเป็นตัวแทนเพื่อขอความร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน”  ซีคงหยูบอกจุดประสงค์

หยูอวิ๋นกอดอก  เอนตัวกับเก้าอี้  แสดงถึงระยะห่างที่เขาอยากจะอยู่ให้ไกลกับข้อเสนอดังกล่าว

“แล้วกลุ่มของข้าจะได้อะไรจากการเป็นพันธมิตรกับวารีพิสุทธิ์”

“ฮ่า ๆ  เรื่องนี้....”   ซีคงหยูนึกไม่ออก  เพราะไม่ได้เตรียมทำการบ้านมา

“เจ้าลองคิดดูดี ๆ สำนักของข้าแข็งแกร่งกว่าสำนักเจ้ามาก  วรยุทธของข้าอยู่ในระดับจันทราเลื่อนลอย  มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปช่วยเหลือมดปลวก”

“ว้อท!!”  ซีคงหยูอุทานอย่างตกใจเมื่อรู้ระดับวรยุทธของหยูอวิ๋น  นั่นมันมากกว่าทุกคนในพรรคปลาทูสีน้ำเงินสองเขตแดนใหญ่ ๆ เลยนะ

“พี่ใหญ่...”  ซ่งมู่อ้าปากจะช่วยพูดให้ด้วยเห็นแก่มิตรภาพ  แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามไว้

“แต่ข้าจะรับข้อเสนอก็ได้..”  เขาคลายมือที่กอดอกอยู่  แล้วโน้มตัวมาข้างหน้า  “..ถ้าเจ้าทำตามเงื่อนไขบางอย่าง”

“โอ้  เงื่อนไขอะไร”

“เจ้าต้องเข้าร่วมคณะสำรวจกับเรา”

“ห๊ะ  ให้ข้าทำงานให้ประตูทรราชรึ”

“นั่นคือข้อแลกเปลี่ยน”  หยูอวิ๋นกล่าวและนิ่งรออีกฝ่ายตัดสินใจ

ซีคงหยูครุ่นคิด   กลอกตาไปมา  สักพักหนึ่งจึงเผยอปากพูดสิ่งที่ทำให้ผู้บัญชาการค่ายแทบตกเก้าอี้

“หลี่โอ๋อวิ๋น”

“ฟัค!!”  คนโดนจับได้สะดุ้งจนหมวกแทบหลุด  “เจ้ารู้ได้ยังไง”

“ทุกอย่างมันใช่  ที่นี่ประตูทรราช  เจ้าปิดหน้าปิดตาตลอด  และที่สำคัญ  วรยุทธของเจ้าตรงกับหลี่โอ๋อวิ๋น”

“ฮ่า ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกหมวกของเสื้อคลุมไปด้านหลัง  ใบหน้าคมสันนั้นยังดูมีส่วนผสมของความเยาว์วัย  ความห้าวหาญ  และความถือดีเหมือนเช่นเคย  ซ่งมู่เห็นเช่นนั้นจึงถอยออกไปจากห้องบัญชาการ

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้วและถามคุณชายสามต่อ  “ถ้ารู้ว่าโดนหลอก  ทำไมไม่โวยวายล่ะ”

“ข้าคุยดี ๆ ก็เป็นน่ะสิ  น้องอวิ๋น..”  ซีคงหยูจงใจลากเสียงคำว่าน้องเป็นพิเศษ  ซึ่งทำให้คนหน้าคมรู้สึกคันหัวใจยุบยิบ

“ในที่สุดเจ้าก็ทำตัวสมอายุ”  สุ้มเสียงไม่รู้ว่าชมหรือแดกดัน

“ข้าจะตกลงรับเงื่อนไข”  คุณชายสามโพล่งคำตอบ

“ข้าได้ยินผิดหรือเปล่า”

“น้องอวิ๋น  เจ้านี่มันยังไงกัน  เจ้าอยากให้ข้ารับข้าก็รับ  ใยต้องถามหาเหตุผล”

“นั่นสินะ  งั้นปรบมือทำสัญญากัน”  หลี่โอ๋อวิ๋นยื่นฝ่ามือไปข้างหน้าตรงกลางโต๊ะ   ซีคงหยูยื่นมือออกไปแปะเป็นสัญญา

“ยอดเยี่ยม”  ซีคงหยูกล่าวชม  จากนั้นส่งกระดาษที่เขียนรายการปมเหมืองซึ่งพรรคปลาทูสีน้ำเงินจะเข้าโจมตีให้กับท่านผู้บัญชาการ


+++++

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 11 (วันที่1/9)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 02-09-2017 03:21:06
เราสัมผัสได้ว่า ซีคงหยูฉลาด ความสามารถ แต่นางขี้เกียจ 5555
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 11 (วันที่1/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 02-09-2017 06:58:56

ตายแล้วอาหยู อยู่ดี ๆ ก็ทำตัวมีวุฒิภาวะขึ้นมาเสียอย่างนั้น เสี่ยวหมีของป้าเลยตกลงป๋องไปชั่วคราว
เพ้ย! นี่มันนิยายอะไร ทำไมถึงทำให้ความนิยมในตัวหมีผันแปรได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

(อีป้านี่เอาแต่พูดถึงหมีและเจ้าของหมี แต่มิเคยพูดดี ๆ ถึงน้องอวิ๋นเลย - สงสัยน้องอวิ๋นต้องรีบทำคะแนนเสียแล้วล่ะ จะมามัวแอบหลบแผ่รังสีอาฆาตอยู่ตามซอกหลืบต่อไป เห็นจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้ // ตบบ่าน้องอวิ๋นปุ ๆ )

ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุก ๆ แบบนี้ให้อ่านค่ะ จะลงสักกี่ตอน เราก็จะติดตาม
(นี่ก็เตรียมตะบันน้ำรอแต่เนิ่น ๆ เลยนะ - แต่ต้องขอโทษคุณคนเขียนล่วงหน้า หากเรามาเม้นช้า หรือเม้นข้ามบางตอน
เพราะเรานอนหัวค่ำ จะเห็นหน้าเสี่ยวหมีอีกทีก็ตอนเช้าของอีกวันแล้ว)

ป.ล. เรามาอ่านชื่อเรื่องอีกที แล้วก็ผงะไปชั่วครู่
หรือเนื้อเรื่องกว่าพันสี่ร้อยตอนข้างหน้าจะว่าด้วยการฝึกวิิิทยายุทธของเสี่ยวหมีกันนะ...
หรือแท้ที่จริงแล้ว เทพยุทธหมีดำในตำนานจะมีขนปุกปุยและพุงพลุ้ย ร้องอ๊อ ๆ ? อืม... น่าคิด

ป.ล.1 พอได้ยินเสียงหมีเขียวแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างหมีด้วยกัน จะเคยสนทนากันไหมคะ?
เอาดี ๆ เราว่าต้องน่ารักแน่ ๆ เลย อ๊ออออออออ แออออออออ๊ อ๊ออออ แออออ๊ (แต่คนฟังอย่างเราคงไม่รู้ความหมาย)



หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 11 (วันที่1/9)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-09-2017 08:50:44
แวะมาจิ้มเป็ดเหลืองค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 11 (วันที่1/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 03-09-2017 14:51:37
อะไรคือทำสัญญากันแบบนั้นครับ ?
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 03-09-2017 15:32:59
mild-dy:   :mew1:

korinasai:  ฉลาดหรือเปล่าไม่รู้  แต่ขี้เกียจน่ะจริงแน่แท้  อิอิ

Malimaru: เสี่ยวหมีกลับมาแล้ว  และกำลังบุกตะลุยโจมตีศัตรูอย่างห้าวหาญในตอนล่าสุดนี้  ฮี่ ๆ
ส่วนน้องอวิ๋นก็ยังคงแอบมองในเงามืดต่อปายยย

ปล. ได้ลองอ่าน Ze Tian Ji หรือยังครับ  เป็นไงบ้าง  ผมหลงเสน่ห์มันต้องแต่ prologue เลยนะ

 sirin_chadada: ขอบคุณคร้าบบ  ทั้งสำหรับเป็ดเหลืองและกำลังจาย

wnkth: เหมือนกับบ้านเราเกี่ยวก้อยกันไง  ซึ่งสัญญาก็ไม่ได้หนักแน่นแบบคำสาบาน  แต่มันจะหนักแน่นสำหรับคนที่มีชื่อเสียงในยุทธจักร


+++++



ประตูทรราชแบ่งกลุ่มโจมตีออกเป็นห้ากลุ่ม  แน่นอนว่าคุณชายสามก็ต้องอยู่กับหลี่โอ๋อวิ๋นในกลุ่มที่หนึ่ง  ถึงแม้ว่าซ่งมู่จะแยกไปนำกลุ่มที่สอง  แต่ในกลุ่มที่หนึ่งก็มีซ่งจินพี่ชายของซ่งมู่  เขาเป็นมือธนู..อาวุธที่น้อยคนนักจะใช้งาน   เพราะว่าเมื่อท่านบรรลุถึงเขตแดนจันทราเลื่อนลอย  ท่านก็จะสามารถถ่ายทอดพลังปราณบังคับกระบี่บินโจมตีจากระยะไกลได้  ซ่งจินมีใบหน้าที่ค่อนข้างหล่อเหลาคล้ายกับน้องชาย  แต่บุคลิกของเขานั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง   เขาเป็นคนเงียบ ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าเฉยชา   ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาดูไร้เป้าหมายเหมือนตาปลาตาย  ทว่าหากท่านสั่งให้เขายิงแมลงวันที่บินอยู่ห่างออกไปห้าสิบวา  เขาจะเด็ดปีกมันได้อย่างไม่พลาดเป้า  นอกจากซ่งจินที่ถือว่าฝีมือค่อนข้างดีในบรรดาศิษย์ใหม่ของประตูทรราช  กลุ่มที่หนึ่งก็ไม่มีใครที่คู่ควรแก่การอ้างถึง   และเนื่องจากต้องกระจายยอดฝีมือออกไปตามกลุ่มต่าง ๆ  ผู้กล้าทวนแดงที่ถือเป็นบุคลากรภายนอกก็ถูกแบ่งให้ไปช่วยเหลือกลุ่มที่สาม

ทุกกลุ่ม  ทุกพรรค  และทุกสำนัก  พร้อมอาวุธและเสบียง  เข้ามาชุมนุมกันพร้อมหน้าที่หน้าผาใหญ่ของเขาจิ้งซานอันเป็นที่มาของชื่อเมือง  หน้าผานั้นเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวมองเห็นหลืบเงามืดดำเจาะลึกเข้าไปข้างใน  ผิวของหน้าผาขรุขระแต่มีก้อนหินยื่นออกมาเป็นระยะพอให้แพะภูเขากระโดดไปมาได้   คนธรรมดาอาจจะมีปัญหากับการปีนหน้าผา  แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรกับผู้ฝึกวรยุทธขั้นต้น

ทุกคนแหงนมองหน้าผาจิ้งซานด้วยใจจดจ่อ  รอให้ถึงเวลา  ...และดินแดนลี้ลับก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง   มันเริ่มจากแสงสีแดงเรื่อเรืองที่ค่อย ๆ แผ่จากส่วนลึกในถ้ำรอยแยก  ก่อนที่แสงนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวขับไล่เปลวแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาเหมือนเถาวัลย์หรือหนวดของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ขดตัวและเคลื่อนไหมไปมาที่หน้าปากทางเข้าประตูมิติ  ผู้อาวุโสจากสำนักทั้งห้าซึ่งยืนเหยียบอากาศอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบสะบัดชายเสื้อ  ยิงดอกไม้ไฟเป็นสัญญาณ  ดอกไม้ไฟระเบิดกลางอากาศ   เสียงตึบเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบแบบอัดอั้นของผู้คนเบื้องล่าง  พวกเขาเขาร้องเฮแล้วแยกออกเป็นกลุ่มกรูพุ่งเข้าไปในช่องหลืบเรืองแสงทั้งหมดยี่สิบสี่ช่อง

ศิษย์สำนักประตูทรราชและชาวยุทธรับจ้างในกลุ่มที่หนึ่งหันมามองชายผู้ใส่เสื้อกันฝนและมีหมวกคลุมครึ่งหน้าซึ่งยืนกอดอกมองความสับสนวุ่นวายอยู่  ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มของหลี่โอ๋อวิ๋นที่หยุดรอ  กลุ่มของจางชุ่ยฮัว  จ้าวเหรินเจี่ยน  และตู้เกี่ยนหลงก็ยังไม่รีบเลือกเฟ้นเหมืองที่ตนจะเข้าไปเช่นกัน

“ที่แท้ก็หลี่โอ๋อวิ๋น”  คุณชายเสื้อไหมลายงูยักษ์เอียงศีรษะไปพูดใกล้ ๆ ตู้เกี่ยนหลงซึ่งโยนก้อนหินสองก้อนในมือเล่นสลับไปมา  เจ้าของผ้าคาดหัวขาวปักลายมังกรด้วยเส้นไหมครามเหล่มองกลุ่มเดียวที่ยังยืนอยู่ของประตูทรราช

“แปลก  ถ้าเป็นเขาจริง ๆ ทำไมปล่อยให้เราส่งคนไปสอดแนมได้   ข้าคงต้องประเมินหลี่โอ๋อวิ๋นใหม่”

   “น้องตู้หมายความว่าอย่างไร”

   “ฮ่า ๆ  ศิษย์พี่ภูมิใจในสายเลือดงูโบราณของตนเอง  แต่ทำไมท่านไม่รู้ว่าคุณสมบัติของสัตว์ประเภทงูคืออะไร”
อย่างไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ  ก้อนหินที่ตู้เกี่ยนหลงโยนเล่นร่วงลงมากระทบกันดังเป๊กในมือของเขา 
   “..มันคือความอดทน”

   “แต่หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ใช่อสรพิษ”   คุณชายหน้าสวยท้วง

   “ใช่  เขาไม่ใช่..”  เด็กหนุ่มพูดด้วยดวงตาวิบวับและสีหน้าติดจะสนุก  “..เขาคือมังกร”

เจ้าของดวงตารูปอัลมอนด์จับจมูกตนเองและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสดใส  “และศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่านามของข้าหมายความว่าอย่างไร... สังหาร พัน มังกร”

คุณชายเสื้อน้ำตาลไม่กล่าวอะไร  แต่ค้อมตัวน้อย ๆ คารวะในความทะเยอทะยาน  เพราะตู้เกี่ยนหลงเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก  ระดับวรยุทธและประสบการณ์ยังคงห่างชั้นกับหลี่โอ๋อวิ๋นมาก


เมื่อเห็นว่าทุกคนรีรออยู่  สองเฮียม่วยวังหมื่นบุปผาก็นำศิษย์ร่วมสำนักภายใต้ร่มธงของตนเข้าไป  คนพี่ชายใส่เสื้อสีฟ้าลายเมฆหลังสะพายกระบี่ดูองอาจ  ส่วนน้องสาวใส่ชุดโบราณสีขาวที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ   สองแขนมีแถบผ้าแพร  ทั้งคู่แทบไม่แลมองใคร  จมูกชี้สู่ท้องฟ้าดูเย่อหยิ่ง

   จางชุ่ยฮัวลอบมองหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ  เป็นเชิงสอบถาม    ยอดนักดาบพยักหน้าน้อย ๆ จนแทบจะไม่เห็นถ้าไม่สังเกต  กลุ่มของจางชุ่ยฮัวจึงเป็นกลุ่มที่สองในระดับหัวหน้าที่เลือกทางเข้าดินแดนลี้ลับไปหนึ่งทาง  ศิษย์สามสำนักที่เหลือ  ไมตรีโลหิต  อำพันโบราณ  และประตูทรราชลอบสอดส่องซึ่งกันและกัน  และจ้าวเหรินเจี่ยนก็ทำลายความเงียบ  เขาประสานมือไปทางสำนักประตูทรราช

   “คุณชายหลี่  จากมาสบายดี?”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้าให้   “อืม  น้องชายจ้าวก็ดูสบายดีไม่ใช่น้อย”

   “มิทราบว่า  การขุดเหมืองครั้งนี้  คุณชายหลี่มีแผนการอะไรเป็นพิเศษ”

   “ฮ่า ๆ  เราสองใยต้องปรึกษาเรื่องแผนการ  ภายใต้ดาบกระบี่อันเด็ดขาดย่อมทลายทุกแผนร้าย”   หลี่โอ๋อวิ๋นพูดอย่างโอหัง  สายตาก็กวาดไปทั้งสองสำนักตรงกันข้าม

   “คุณชายหลี่ก็กล่าวไป”  จากนั้นจ้าวเหรินเจี่ยนก็หันไปทักทายผู้นำกลุ่มของสำนักอำพันโบราณ  “คุณชายท่านนี้คือ...”

   “ข้าเรียกว่าตู้เกี่ยนหลง  ขอคารวะพี่จ้าวที่พบกันครั้งแรก”   เด็กหนุ่มส่งยิ้มกว้างกลับไป  ซีคงหยูที่ยืนอยู่หลังหลี่โอ๋อวิ๋นลอบมองคนพูดอย่างสนใจ  เพราะตู้เกี่ยนหลงแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น ๆ  ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของจิ้งซานเขาใส่เสื้อด้ายดิบแขนกุดเหมือนเสื้อของชาวประมงเผยกล้ามแขนที่ถือว่าแน่นเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน  และมีผิวที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนคนที่อยู่กลางแจ้งเป็นประจำ   ถ้ามองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา  ทว่าโครงหน้าที่ละเอียดอ่อนและผ้าคาดหัวสีขาวปักลายมังกรของเขาอันปล่อยชายปลิวไสว  ช่วยเพิ่มความรู้สึกสูงส่งให้กับเขาเจ็ดส่วน  ตู้เกี่ยนหลงเหมือนกับรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาจึงเหลือบสวนกลับไปแวบหนึ่ง

   “คารวะที่พบกันครั้งแรกเช่นกัน”  จ้าวเหรินเจี่ยนประสานมือกลับ   จากนั้นกล่าวกับทั้งคู่  “นี่ก็ได้เวลาแล้ว  คุณชายหลี่  คุณชายตู้  จ้าวขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง”  เขายิ้มบาง  โบกมือเป็นสัญญาณพาศิษย์สำนักไมตรีโลหิตปีนหน้าผาไป

   “น้องอวิ๋น”  ซีคงหยูกระตุกแขนเสื้อของหลี่โอ๋อวิ๋น  อีกฝ่ายทำเสียงอืมในคอ  เขาจึงกล่าวต่อ  “ข้าไม่เข้าไปได้มั้ย”

   “ไหนเจ้าสัญญาว่าจะไปด้วยไง”

   “ข้าช่วยขุดเหมืองได้  ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปช่วยสู้กับอสูร”

   “เจ้าจะมาปอดแหกอะไรตอนนี้”

“ข้าไม่ได้ปอดแหก  ข้าแค่รอบคอบ”

“ถ้าเจ้าทำตัวไม่มีประโยชน์  ข้าจะเตะเจ้าลงเขาตอนนี้”

“เฮ้  ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้านะ”

“เพ้ย  ริจะใช้เต้าไต่  ดูถูกข้าไปหน่อยรึเปล่า  ซ่งจิน  เอาเชือกมา!”

   “แว๊ก!”

หลี่โอ๋อวิ๋นมัดคุณชายสามไว้กับเสี่ยวหมี  จากนั้นหิ้วทั้งคนทั้งหมี  สะกิดเท้าใช้วิชาตัวเบาไต่หน้าผาเข้าหนึ่งในประตูแดนลี้ลับไป 

   สองหนุ่มและหนึ่งหมีเข้ามาในรอยแยกมิติ  ภายในนั้นดูเหมือนทางเดินในถ้ำธรรมดา  มันเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย  ก้อนหินหัก ๆ และหลืบรูลดเลี้ยวที่ดูเหมือนจะพาเจาะทะลุลงไปในใจกลางโลก   ซ่งจิน  กลุ่มศิษย์ใหม่ และชาวยุทธรับจ้างยังมาไม่ถึง   พวกเขาไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาได้เหมือนคุณชายหลี่  จึงต้องปีนหน้าผาขึ้นมาด้วยกำลังกาย

   หลี่โอ๋อวิ๋นนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหนึ่งคนกับหนึ่งหมีที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นถ้ำ

   “น้องอวิ๋น  เจ้าจะทำอะไรข้า”  คุณชายสามพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาจ้องหน้าใกล้ ๆ ด้วยสายตาวิบวาว

   “ข้าจะช่วยเจ้าน่ะสิ  ข้ารู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของเจ้า  แต่ทำตัวผ่อนคลาย  ไม่ต้องตื่นเต้น”

   “ไอ๊หยา!  น้องอวิ๋นพูดอะไร  ข้าขายศิลปะ  ไม่ขายร่างกาย”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  เขาผิวปากหวือพลางเรียกกล่องหยกจากแหวนสี่มิติของตนเอง  ข้างในกล่องหยกเป็นกระเปาะแก้วที่มีเข็มตรงปลายวางอยู่บนสำลีบุ  ข้างในกระเปาะแก้วมีของเหลวที่น่าสงสัย  หลี่โอ๋อวิ๋นหยิบมันขึ้นมาโคจรปราณเข้าไปไล่อากาศจนของเหลวในนั้นกระเด็นเป็นฝอยออกมาเล็กน้อย

   “ยาเซียนธาตุไฟ”  ซีคงหยูโพล่งออกมาเมื่อเห็นของในมืออีกฝ่าย

   “อาฮะ...ความรู้กว้างขวางดีนี่อาหยู”

ยาเซียนในยุทธภพแบ่งออกเป็นห้าธาตุ  ดิน ไฟ น้ำ ไม้ ทอง  ซึ่งแยกจากวิธีการบริโภค   ยาธาตุไฟต้องให้ทางโลหิต  ธาตุน้ำสามารถกินเข้าไปได้  ธาตุไม้ต้องให้ผ่านทางเดินหายใจ   ธาตุดินใช้ทาภายนอกที่ผิวหนังหรือบาดแผล  ส่วนธาตุทองต้องใช้พลังปราณละลายและส่งมันเข้าไปในร่างกาย

   “หยึยขนลุก  อย่ามาเรียกสนิทสนมแบบนั้นสิ” 

   “ทีเจ้ายังเรียกข้าว่าน้องอวิ๋น”

   “งั้นข้าจะเลิกเรียก”

   “ห้ามเลิกเรียก”   หลี่โอ๋อวิ๋นจับแขนของอีกฝ่าย  แล้วกดเข็มลงไป

   “โอ๊ย...เจ้ายังไม่บอกเลยว่านี่ยาอะไร”

หลี่โอ๋อวิ๋นใช้พลังปราณขับตัวยาเข้าเส้นเลือดของอีกฝ่ายจนหมด   ดึงเข็มออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนกดแผลรูเข็มเอาไว้ให้

   “ความกล้าหาญของหนู่โม่หวาง  เป็นยาเพิ่มความกล้า”  เขาตอบ  “เจ้าจะรู้สึกตื่นเต้น  สนุกสนาน  และไม่กลัวอันตราย  ปกติเราใช้กับเด็กใหม่สายป๊อดเวลาที่พาออกไปล่าอสูร  แต่บางที...”   คนหน้าดุยื่นมือไปเชยผมที่ซอกหูของคุณชายสาม  “..มันก็ใช้เป็นยาเสียสาวได้  เพราะเจ้าจะขาดความยับยั้งชั่งใจระหว่างที่ยาออกฤทธิ์”

   ซีคงหยูเบี่ยงคอหลบมือที่มาแตะบริเวณแก้มและใบหูของเขา  เม้มปากและมองไปที่อื่น  หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้วอย่างนึกสนุกเมื่อหยอกพอแล้ว   เขาหยิบมีดสั้นข้างเอวมาตัดปมเชือกที่มัดคุณชายสามเอาไว้  แล้วถอยออกมายืนดูห่าง ๆ  ถึงตอนนั้นซ่งจินก็พากลุ่มสำรวจเข้าปากถ้ำมาพอดี   คุณชายสามลุกขึ้น  ปัดเศษผงออกจากเนื้อตัว  แล้วหันไปดุหมี

   “ทำไมเจ้าไม่ปกป้องข้าเลยห๊ะ  เสี่ยวหมี”

   “อ๊อออออออ”

เสี่ยวหมีทำหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม  โดนหิ้วคอปลิวขนาดนั้น  ถ้าขัดขืนก็แสวงหาความอับอายให้ตนเองซะเปล่า ๆ

   “เจ้ามีอาวุธหรือไม่”

   “ต้องมีแน่อยู่แล้ว”   เขาควักเอาก้อนวัตถุกลม ๆ สีดำออกมาจากในกระเป๋าสองก้อน  เมื่อเห็นทุกคนทำหน้าฉงน  คุณชายสามจึงรีบแนะนำ  “นี่คือระเบิดควันสารพัดนึก ver 2.37  ผลงานชิ้นเอกของข้า”

   “ไม่นึกว่าเจ้ามีฝีมือด้านกลไก”   ยากที่หลี่โอ๋อวิ๋นจะเอ่ยปากชมใคร  “ว่าแต่มันใช้ทำอะไร”

   “ฮ่า ๆ ก็ต้องใช้เผ่นหนีแน่อยู่แล้ว”

   “...”



+++++++


   ซ่งจินรับหน้าที่ดูแลคุณชายสาม  ผู้ยิ้มอย่างมั่นใจตลอดเวลาเนื่องจากยาเริ่มออกฤทธิ์  “ความกล้าหาญของหนู่โม่หวาง”  มีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง  คือผู้เสพมักจะกล้าบ้าบิ่นเกินกว่าที่ตนจะประเมินได้   จึงต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแล   ซีคงหยูฟาดดาบในมือกับหินงอกที่อยู่ระหว่างทาง  หินบางก้อนมีสายแร่โลหะอยู่จึงเกิดประกายไฟดังเปรี๊ยะปร๊ะ

“คุณชายซีคง  ถ้าเจออสูร  ท่านต้องยืนข้างหลังข้า”  ซ่งจินเตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินฟาดดาบเล่นไปทั่ว

“ถ้าห้าวนัก  ก็ปล่อยให้มันโดนงาบหัวไปเลยก็ได้”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนมาจากข้างหน้า  เขาเดินสำรวจอย่างระมัดระวังเพื่อจับสัญญาณของอสูรที่ซุ่มซ่อนอยู่

เมื่อได้ยินคำขู่  คุณชายสามเลยทำคอย่น  แล้วเลิกเหวี่ยงดาบเล่น  แต่ทันใดนั้นเอง  พื้นถ้ำที่พวกเขาเดินอยู่ก็สะเทือน  น้ำในแอ่งที่เกิดจากปลายหินย้อยหยดก็กระเพื่อมเป็นระลอก   หลี่โอ๋อวิ๋นยั้งเท้ากำดาบสองมือเป็นมั่นเหมาะ

“มาได้ดี”

สิ้นคำพูด  ก็มีเงากระโจนออกมาจากส่วนลึกของถ้ำพุ่งเข้าใส่หลี่โอ๋อวิ๋น  มือดาบไร้ธุลีพลิกดาบใช้ด้านใบดาบปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่าย  สีหน้าของเขาสบาย ๆ  เหมือนกับหยอกเล่นกับเด็กทารก   ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในเหมืองระดับต้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องต่อสู้อย่างจริงจัง

   เมื่อโจมตีไม่สำเร็จ  เงาดำดังกล่าวก็กระโจนถอยออกไปเกาะกับเพดานถ้ำ  มันเหมือนลิงปีศาจตัวเล็ก ๆ ที่มีร่างกายแคระแกรนผิวสีดำสนิท  ดวงตาโปนโตราวกระดิ่ง  แก้วตาเป็นลิ่มแหลมคล้ายตางู  และมีหูที่ใหญ่เหมือนกับค้างคาว

   “เกรมลิน!”   ชาวยุทธที่พอมีประสบการณ์อุทาน  เกรมลินเป็นอสูรที่ว่องไว  เฉลียวฉลาด  และชั่วร้าย   ที่สำคัญ  มันไม่ออกล่าเพียงตัวเดียว   และตอนนั้นเองก็มีเสียงจิ๊กจั๊ก ๆ จากส่วนลึกของถ้ำ   พร้อมกับเสียงแปะ ๆ ของฝีเท้าที่กรูเข้ามาของฝูงเกรมลิน  เมื่อพวกมันเข้ามาสู่ระยะแสงของมุกเซียนที่คณะสำรวจถืออยู่  มันก็ขู่คำรามอย่างชั่วร้ายดังฟอด ๆ

   “พวกเจ้ารออะไรอยู่!  ฆ่ามัน!”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกน  เมื่อเห็นพวกศิษย์ใหม่กับชาวยุทธยืนตะลึง  ถึงแม้ว่าเกรมลินฝูงนี้จะทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่ปลายผม  แต่ถ้าเหล่าศิษย์น้องยังไม่เริ่มลงมือ  ก็อาจจะต้องมีคนสังเวยชีวิต

   ระดับพลังปราณของหลี่โอ๋อวิ๋นเพียงพอที่จะกวาดทำลายพวกมันทั้งหมดในกระบวนท่าเดียว  แต่ถ้าเขาจะทำอย่างงั้น   ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลากพวกเด็กใหม่มาตั้งแต่แรก

   เสียงหวีดหวิวเฉียดผ่านไป   ซ่งจินเป็นคนแรกที่ตอบสนอง   เขาเริ่มยิงเกรมลินด้วยธนูในมืออย่างเยือกเย็น  อัตราการยิงของเขา  ไม่เร็วไม่ช้า  ดวงตาปลาตายของเขาจ้องไปข้างหน้าและปล่อยธนูซึ่งโดนอสูรน้อยเหล่านั้นแทบทุกดอก

ซีคงหยูเอาดาบฟาดเกรมลินที่กระโดดเข้ามาใกล้  แต่เพราะความไร้ทักษะของเขา  ทำให้พวกมันกระโดดหนีไปได้  ชาวยุทธและศิษย์สำนักคนอื่น ๆ เริ่มแสดงพลังฝีมือของตนเอง   พวกมันเริ่มถูกกำจัดไปทีละตัวสองตัว   ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ฆ่าเกรมลินตัวใดเลย  เขาเอาแต่ปัดป้องและปล่อยให้ศิษย์ใหม่เป็นผู้ล่า

การต่อสู้รอบแรกเป็นอะไรที่น่าตกใจ  แต่ไม่มีอันตราย   พวกเขาหยุดพัก  และคว้านท้องของเกรมลินเพื่อควักแกนอสูรออกมา  พวกมันสามารถใช้ไปเป็นส่วนผสมของยา  รวมทั้งมีวิชายุทธบางประเภทที่ฝึกโดยใช้แกนอสูรเหล่านี้

   ซีคงหยูนั่งพิงกับหลังเสี่ยวหมี  เขามือสั่นเล็กน้อย  ในตอนแรกเขาก็กลัว  แต่ตอนนี้เริ่มตื่นเต้น   เขาอยากเจออสูรอีกรอบ  เพื่อที่จะได้ฝึกโจมตีมันให้โดนเสียที

   “เอ้า  น้ำ”  หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้ามาใกล้และยื่นกระบอกน้ำที่ทำจากไม้ไผ่หยกเย็นให้  ซึ่งทำให้น้ำที่เก็บไว้ในกระบอกจะเย็นชื่นใจตลอดเวลา

   “เจ้าต้องคอยดื่มน้ำตลอด  เพราะถ้าตื่นเต้นเกินไปเจ้าจะลืมดื่มน้ำ  อีกอย่างถ้ารู้สึกเบลอหรือสมองช้า  ให้หยุดพัก  บอกข้าหรือซ่งจินทันที”

“ข้าสบายดี  ขอบใจน้องอวิ๋นที่เป็นห่วง”

“ก็ดีแล้ว”  หลี่โอ๋อวิ๋นพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยแล้วเดินไปดูแลศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น

    “เจ้าเป็นคู่หมั้นของผู้กล้าหาญหลี่จริง ๆ น่ะรึ”  ชาวยุทธรับจ้างที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กระแซะมาแล้วเอ่ยปากถาม

   “เพ้ย  ถ้าไม่ใช่เขาจะดูแลข้าดีขนาดนี้เรอะ”  พูดแล้วก็เหล่ไปเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นส่งกระบอกน้ำแบบเดียวกันให้ซ่งจิน  แถมส่งผ้าซับเหงื่อให้อีกต่างหาก  บร๊ะ!

   “ไม่น่าเชื่อ...”  ชาวยุทธอีกคนมองหน้าคุณชายสามแล้วส่ายหัว

ซีคงหยูฟังแล้วก็อยากคว่ำโต๊ะ  ถึงข้าจะไม่หล่อที่สุดในเรื่อง  แค่ค่าความหน้าตาดีของข้าก็เกิน 6.0 นะเห้ย  ส่วนไอ้น้องอวิ๋นน่ะหรอ  เอาไป 9.5 ล่ะกัน  อ่ะยอมรับก็ได้ว่าข้ามันหมาวัด   แต่เห้ย  นี่ข้ายอมตกลงปลงใจรับเรื่องนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่  ไม่ได้ ๆ ยาเซียนความกล้าของหนู่โม่หวางมันต้องทำให้ตรรกะข้าผิดเพี้ยนไปหมดแน่ ๆ

   “น้องชาย  เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”  ชาวยุทธพเนจรวัยกลางคนที่ถามเขาเมื่อครู่ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นคุณชายสามโคลงหัวไปมาแล้วทุบขมับตัวเองดังปึ๊ก ๆ

   “ไม่มีอะไร”

   เขาใช้ปลายดาบยันพื้นแล้วลุกขึ้น  เพราะว่าหลี่โอ๋อวิ๋นเรียกรวมพลพอดี


+++++

   คณะสำรวจยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าแบบเดิม  หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ใช่คนพูดมาก  เขาไม่สอนหรือบอกว่าใครจะต้องทำยังไง  และปล่อยให้เรียนรู้จากประสบการณ์  พวกเขาเจอการต่อสู้อีกสองครั้ง  โชคดีที่ไม่มีคนตาย  แต่คิดอีกทีก็เป็นเพราะมียอดฝีมือระดับจันทราเลื่อนลอยคอยดูแลอยู่ 

ถัดจากทางคดเคี้ยวของถ้ำใต้ดิน  พื้นที่ที่พวกเขาเดินเข้าไปก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งพวกเขามาหยุดอยู่ตรงจุดที่คล้ายเฉลียงชมวิว  รูที่พวกเขามุดออกมาอยู่สูงจากระดับพื้นเบื้องล่างมาก  และหน้าผาที่เหยียดยาวลงไปเบื้องล่างก็สูงชันราวกับมีคนเอาขวานมาถากจนเรียบ   เมื่อมองลงไปตามมุกเซียนส่องแสงที่ถูกโยน  พวกเขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีเรือนร่างเหมือนมนุษย์  แต่ใหญ่มหึมาสูงมากกว่าห้าเมตรและมีดวงตาเพียงดวงเดียว  ปากของมันไม่ได้อยู่ที่คาง  แต่อยู่ตรงพุงอันล้นหลาม  เหมือนมันถูกแหวะพุงออกแล้วเอาเขี้ยวฉลามไปประดับ  เนื้อของมันเป็นสีขาวอมเขียวยับย่น  ทั้งยังส่งกลิ่นอย่างรุนแรงจนมาถึงคณะสำรวจที่ยืนอยู่ตั้งไกล

“เสียงพื้นดินสะเทือน  ดังมาจากไอ้ตัวพวกนี้นี่เอง”  ศิษย์ใหม่คนหนึ่งอุทานอย่างระมัดระวัง

   “มันตัวใหญ่  แต่วรยุทธของมันก็ไม่เกินขั้นตะวันขึ้นสาย  พวกเจ้าจะกลัวอะไร”  หลี่โอ๋อวิ๋นพูดพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลาย ๆ คนดูสีหน้าไม่ค่อยดี

   “น้องซ่ง  เจ้ายิงพวกมันจากตรงนี้ได้หรือไม่”  คุณชายสามออกความเห็นเมื่อพบว่าพวกเขาอยู่ในที่สูงกว่าพวกอสูร

   “ระยะไกลเกินไป”  ซ่งจินตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์   หลี่โอ๋อวิ๋นกอดอกและยืนรอดู  ซ่งจินลังเลเล็กน้อย  ก่อนสะพายธนูไว้ที่หลังก่อนเรียกศิษย์สำนักและชาวยุทธพเนจรให้เตรียมตัวไต่หน้าผาลงไปข้างล่าง  พวกเขาห่อมุกเซียนส่องแสงไว้ในผ้า  และโรยตัวลงไปเงียบ ๆ  กลิ่นของอสูรฉุนเฉียวมากขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าใกล้พื้นเบื้องล่างจนหลายคนต้องเอาผ้าปิดจมูกไว้  ทว่ายอดฝีมือระดับหลี่โอ๋อวิ๋นสามารถโคจรปราณปิดและเปิดสัมผัสทั้งห้าได้ตามใจนึก  เขาเหยียบอากาศลอยละล่องเหมือนขนนกตามลงไปเมื่อทุก ๆ คน ไต่ลงจากหน้าผาแล้ว  มือของเขาข้างหนึ่งหิ้วเสี่ยวหมี  และอีกข้างหิ้วซีคงหยู

   “ข้าอยากปีนผา”  คุณชายสามประท้วง  เมื่อมีเรื่องสนุกแต่เขาไม่ได้ร่วม

   “....”   หลี่โอ๋อวิ๋นรู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับคุณชายสามเวอร์ชั่นนี้

เสี่ยวหมีปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ร้อง  ขาหลังของมันดิ้นไปดิ้นมาด้วยความกลัวความสูง  แต่มันกลัวพวกอสูรจะได้ยินมากกว่า

เมื่อทุกคนลงมาถึงพื้น  ซ่งจินสั่งให้จัดขบวน  หลี่โอ๋อวิ๋นหามุมยืนหลบพร้อมกับเสี่ยวหมี  เท้าก็เตะซีคงหยูให้ไปรวมกลุ่มกับพวกนักล่า  ซีคงหยูแยกเขี้ยวใส่พ่อคนเท้าหนัก  แล้ววิ่งถือดาบปุเลง ๆ ไปร่วมกับคนอื่น ๆ

   เมื่อกระบวนรบพร้อม   ซ่งจินก็คลี่ห่อผ้าแล้วโยนมุกเซียนส่องแสงไปด้านหน้า

“โฮกกกกกกก!!”

เสียงคำรามดังสนั่นเมื่อพวกมันเห็นแสงจากมุกและผู้บุกรุก  ร่างใหญ่กว่าห้าเมตรนั้นก้าวตะลุยเข้ามา  ขณะที่ซ่งจินเอื้อมมือไปข้างหลังหยิบลูกศรมาน้าวส่งแหวกอากาศไปเสียงหวีดหวือ

   “หน่วยลาก  ล่อตัวอื่นออกไปก่อน”

ซ่งจินสั่ง   ชาวยุทธพเนจรและศิษย์สำนักที่มีวิชาท่าร่างเกี่ยวกับความเร็วก็ถือมุกส่องแสงวิ่งออกไปจากกลุ่มเพื่อล่ออสูรตัวอื่นไม่ให้เข้าไปกลุ่มรุมพร้อม ๆ กัน

มือฉมังธนูยิงพลางถอยพลาง   อสูรร่างยักษ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วกระชากลูกศารที่ปักอยู่ตามร่างกายของมันออก  ตาดวงเดียวกลางศีรษะของมันเหลือกแดงฉานราวกับขอบตานั้นแทบจะปริออกมา   เมื่อมันคำรามกลิ่นก็คละคลุ้ง  ในกลิ่นไม่ใช่ชวนอาเจียนอย่างเดียว  แต่ดูเหมือนจะมีสารพิษที่ทำให้คนเหน็บชาอยู่ด้วย

   “ไอ้อสูรสกปรก!”   เหล่านักดาบสำนักประตูทรราชวิ่งเข้าไปฟันเล็งข้อเท้าและขาของมัน  ก่อนหลบฉากถอยห่างเหมือนนกนางแอ่น    พวกเขาทำตามกลยุทธกองโจรซึ่งได้ผลดีกับการโจมตีศัตรูขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวเชื่องช้า  ซีคงหยูอยู่ในคลื่นการโจมตีลูกที่สาม  เมื่อถึงคิวของเขา  เขาก็วิ่งออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ และร้องอ๊ากกกกเพื่อปลุกปลอบกำลังใจของตน  ไข่มุกเรืองแสงที่ได้รับแจก  ร้อยแขวนอยู่กับหน้าอกกระเด้งกระดอนตามจังหวะย่างเท้าที่วิ่ง  แสงส่องใบหน้าจากปลายคาง  ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างประหลาด

   เสี่ยวหมีและหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนดูจากระยะปลอดภัย  มองเห็นภาพของการโจมตีเป็นลูกไฟสีขาวที่พุ่งวาบไปมา  เหมือนไฟดวงวิญญาณที่กำลังโรมรันทำศึกกันใต้พิภพ   เสี่ยวหมีทาบอกเมื่อเห็นนายน้อยของตนพุ่งเข้าไปโจมตี  แต่แทบจะโดนตีนใหญ่ ๆ ของอสูรเหยียบ   เขากลิ้งตัวหลบทันเหมือนก้อนมุกเรืองแสงที่หมุนเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง

   หลี่โอ๋อวิ๋นจับคางตนเองอย่างครุ่นคิด   เขาเห็นซีคงหยูหลบการโจมตีได้อย่างแปลกประหลาดสองครั้งแล้ว  และด้วยสายตาที่กว้างไกลของเขากลับอ่านไม่ออกว่ามันเป็นท่าร่างชนิดใด  เขาขมวดคิ้วหันไปอีกทาง  ตวัดดาบที่กุมในมือ   อสูรยักษ์ตาเดียวที่ไล่ต้อนหน่วยลากคนหนึ่งจนจนมุม   ถูกปราณดาบร้อยลี้ผ่าศีรษะและร่างของมันให้แยกออกจากกันทันที   เขากะว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะไม่ยื่นมือช่วยเลย  แต่ก็ทำใจไม่ได้เมื่อเห็นศิษย์ร่วมสำนักกำลังจะกลายเป็นก้อนเนื้อเละ ๆ

   “วิ่งกลับมา!”  ซ่งจินตะโกนเมื่อเห็นหน่วยลากคนนั้นตัวสั่นงันงก  ทว่ามันสายไป  เพราะอสูรอีกตัวอ้าปากที่ท้องอย่างกว้าง  แล้วงาบศิษย์คนนั้นเข้าไปทั้งตัว

   “ไร้ประโยชน์จริง ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นพึมพำและปล่อยให้เป็นไป

   “ซีคงหยู!”  ซ่งจินตะโกนเรียก  เพราะเขาเห็นความว่องไวของอีกฝ่าย  “เจ้าไปลากอสูรทางขวาแทน  รู้ใช่มั้ยว่าต้องลากยังไง”

   “ได้เลยน้องซ่ง!”

 เขาเปิดกระติกน้ำดื่มเข้าไปหนึ่งอึก  แล้วปลดมุกที่คอ  ชูขึ้นเหนือหัววิ่งออกไปตามทางที่ซ่งจินบอก  ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางทำให้เขาตื่นเต้นและปราศจากความกลัว  หางตาของเขาเหลือบมองพื้นในระยะที่แสงส่องไปถึง  และกระโดดไปตามก้อนหินที่ระเกะระกะต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว  ขณะเดียวกันก็คอยหลบแขนและขาของพวกอสูรที่ฟาดเข้ามาโดยดูจากตาเรืองสะท้อนแสงที่วาววามอยู่ในความมืด  เขี้ยวของมันงับไล่หลังของคุณชายสามมาติด ๆ  ไอพิษในท้องของมันอบอวลจนแทบจะทนทานไม่ได้  แต่ซีคงหยูใช้ยาเซียนกันอัมพาตที่ซ่งจินแจกหลังจากที่ประเมินความสามารถของอสูรเสร็จ

   หลี่โอ๋อวิ๋นมือกำด้ามดาบแน่นจนเส้นเลือดขึ้นที่หลังมือ   เขาเพ่งปราณไปยังจุดตันเถียนที่หว่างคิ้วเพื่อให้สายตาคมกล้ามองเห็นได้ในความมืด   เสี่ยวหมีมองไม่เห็นอะไรนอกจากดวงแสงมุกที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายตามที่ต่าง ๆ  และบางทีมุกแสงก็พุ่งเป็นเกลียววาบจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

   ซ่งจินไม่มีเวลาสังเกตว่าคุณชายสามวิ่งออกไปไกลเกินไป  เขากำลังน้าวศรอย่างเอาเป็นเอาตายส่งลูกธนูใส่อสูรสามตัวที่กำลังเข้ามาโจมตีกลุ่มสำรวจหลัก


++++++

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-09-2017 16:32:40
+เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 03-09-2017 19:31:15
นี่ยอดวิชาหนีใช่มะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-09-2017 20:13:00
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-09-2017 20:59:49
นี่ยอดวิชาหนีใช่มะ

สงสัยอยู่
ทำไมท่าร่างถึงรวดเร็วแคล่วคล่อง แปลกตา
จนทำให้จับตาหลี่โอ๋อวิ่น
แหมๆ......พอหยูเรียกน้องอวิ๋นทีเดียว
หลี่โอ๋อวิ๋น สั่งหยูว่าห้ามเลิกเรียก  แอ๊ะๆ......ชอบล่ะสิ

หยู นี่ยังไง บางทีก็ยอมรับหลี่โอ๋อวิ๋น เป็นคู่หมั้นง่ายๆ ไบโพลาร์ปะ
แต่พอได้ยาหนู่โม่หวาง หยูก็กล้าหาญได้รวดเร็วเจงๆ
งี้ต้องได้ยาตลอดหรือเปล่า
เอ่อ.....แล้วจะเสียหนุ่มให้หลี่โอ๋อวิ๋น เร็วๆ  รึเปล่านะ  :z3: :z3: :z3: :z3:
 
ได้อ่าน Ze Tian Ji แล้ว ติดหนึบเลย  :ling1: :ling1: :ling1:
ให้สงสัยว่าหยู กับเฉินฉางเซิง คล้ายกันนะ
หยู ไม่มีพลัง เฉิน ก็ไม่มีปราน
แต่ไลฟ์สไตล์ ตรงกันข้ามเหมือนฟ้ากับเหว
หยู สุดจะขี้เกียจ เฉิน ไม่มีทาง ทางตัน ก็ขยันเปลี่ยนทางไปเรื่อยๆ
ขอบคุณไรท์มากกกกกก / อ๊อออออออ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-09-2017 22:17:35
โอ้โห สนุกจนขนลุกเลย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 04-09-2017 00:06:23
สัญชาตญาณ การหนีของซีคงหยู ดีเลิศ ทั้งระเบิดควัน ทั้งการหลบหลีก
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: zakimi ที่ 04-09-2017 04:32:43
เสี่ยวหมี  ค้างจังเลย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 12 (วันที่3/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 04-09-2017 13:43:20
 sirin_chadada:  บวกด้วยๆ

wnkth: แม่นแล้ว

พิศตะวัน: 

♥►MAGNOLIA◄♥:
ฮ่า ๆ  ผมว่าอาหยู is a bit proud of someone
เรื่องยาคิดว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อไปครับ 
ตามตำรับแนวนี้ที่ต้องมียาวิเศษ
และ..ฮี่ ๆ ล่อลวงคนเข้าลัทธิเฉินฉางเซิงได้ 1 ราย

alternative:  ฟังแล้วชื่นใจ  มีแฮง <3

korinasai:  ระเบิดไม่ได้ใช้เลยครับ   มันอยู่ในถ้ำมืด  มีควันหรือไม่มีก็ไม่ต่าง   สงสารอาหยู  ประดิษฐ์แต่ของไม่ได้เรื่อง

zakimi: สอยหมีลงมาแระครับ


++++++

ศิษย์น้องจิ่งผู้หายไปนาน

(http://topicstock.pantip.com/isolate/topicstock/2009/03/M7665242/M7665242-2.jpg)




++++++




อสูรพุงเขี้ยวเงื้อมือของมันฟาดตะปบสิ่งมีชีวิตที่กลิ้งหลบไปได้เฉียดฉิว  พวกมันร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและลากร่างหนักกว่าสองพันชั่งบุกตะลุยไปตามพื้นที่อันซับซ้อนของโถงถ้ำ   ในโถงถ้ำนั้นกว้างราวกับทะเลสาบใต้พิภพ  เสียแต่ไม่มีน้ำ  มันแห้งเสียจนลมหายใจของซีคงหยูเริ่มแห้งผาก   เขาเริ่มรู้สึกกระหายน้ำจากการวิ่งไปทั่วอย่างไม่หยุด  และในดวงตาก็เห็นแสงวูบวาบ  ระหว่างที่วิ่งเขาโคจรปราณตามวงจรของวิชาเซียนสามสิบหกแผน  ในตอนแรกมันเป็นไปโดยไม่รู้ตัว   แต่เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถึงวงจรพลังงานที่สั่นสะเทือนในจุดตันเถียน   เขาก็ทบทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทว่าด้วยความด้อยประสบการณ์  คุณชายสามไม่รู้เลยว่าการใช้วิชาเซียนอย่างต่อเนื่องจะทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานมากแค่ไหน  โดยเฉพาะเมื่อระดับพลังปราณของเขาอยู่เพียงเขตแดนตะวันขึ้นสายขั้นต้นเท่านั้น   ยาเซียนความกล้าหาญของหนู่โม่หวางไม่ได้ชดเชยพลังงาน  แต่เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิต   เขาเริ่มก้าวพลาดในบางครั้ง  แต่ความผิดพลาดดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้  ลมหวือผ่านหัวมาเฉียดฉิวทำให้เขาสบถในใจถึงความว่องไวผิดขนาดตัวของอสูรพวกนี้   

ทว่าจริง ๆ แล้ว  พวกมันไม่ได้ว่องไวขึ้น  แต่จิตของซีคงหยูทำงานช้าลง  สารสื่อประสาทที่ถูกกระตุ้นมาใช้ถึงขีดสุดเริ่มเข้าสู่วงจรพัก  เขาเริ่มรู้สึกชาที่มือและเท้า  เหมือนมันค่อย ๆ อ่อนเปลี้ยลงไปเรื่อย ๆ  อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำลงอย่างรวดเร็วขณะที่เหงื่อซึมออกมาจนโชกเสื้อ  ซีคงหยูอยากตบหน้าตัวเอง  เขารู้สึกว่าเขาทำได้ดีกว่านี้   เขากัดฟันแล้ววิ่งควงมุกแสงต่อไป  และคิดซ้ำ ๆ กันว่า  เขาต้องทำได้ดีกว่านี้  มันเหมือนกับว่า  ในจิตของเขากระจ่างว่าจะต้องทำอะไร  แต่ร่างกายรับคำสั่งช้าลง  เขารู้สึกเหมือนคนมีสติที่ถูกขังเอาไว้ในร่างกายของคนปัญญาอ่อน  มันไม่มีอะไรที่ทันใจ  และทำให้เขารู้สึกคั่งแค้นแทบตายต่อความเชื่องช้าของตนเอง 

เขากัดฟันกระโจนจากโขดหินหนึ่งไปอีกโขดหินหนึ่ง  การที่เขาหมกมุ่นอยู่กับการพิสูจน์ตัวเองทำให้เขาไม่ได้คิดถึงการกลับไปรวมกลุ่มกับคณะสำรวจ  หรือลึก ๆ เขาอาจจะคิดคะเนแล้วว่าไม่มีทางที่เหล่าศิษย์สำนักและชาวยุทธจะต่อสู้กับอสูรเหล่านี้พร้อม ๆ กันได้  เขาจึงวิ่ง  วิ่ง  วิ่ง   ล้มลุกคลุกคลาน  และปีนไต่ไปตามหินระเกะระกะที่บางครั้งที่มีคมจนทำให้หัวเข่าของเขาถลอกไปหมด

   สวบ!

เสียงเดียวเท่านั้น  เหล่าอสูรที่วิ่งตามมาทั้งหมดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง   ก่อนที่ร่างกายของมันจะพุ่งต่อไปข้างหน้าตามแรงเดิม  ขาของพวกมันสะดุดล้มคว่ำ  ร่างไถลไปกับโขดหิน  และหัวที่มีดวงตาเดียวอันบ้าคลั่งก็กระเด็นหลุดจากตัว  หลี่โอ๋อวิ๋นเก็บดาบเข้าฝัก  ดาบไร้ธุลี  จึงไร้โลหิตและไร้ร่องรอย  ชีวิตนับสิบปลิดปลิวไปอย่างเงียบงัน  หลงเหลือแต่เพียงเสียงตึบ ๆๆ ของก้อนเนื้อไร้ชีวิตที่ล้มระเนระนาดลงกับพื้น

   และสุดท้ายก็มีเสียงตึบเบา ๆ ของหัวเข่าและผ้ากระทบกับพื้น  ถึงแม้ซีคงหยูจะรู้สึกว่าจิตของตนเชื่องช้า  แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอันตรายที่ตามมาถูกกำจัดโดยสิ้นแล้ว  เขาคุกเข่าใช้มือยันพื้น  ก้มหน้าหายใจหอบเหมือนม้าที่วิ่งมาพันลี้  หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้ามาช้า ๆ  แสงมุกที่อยู่ในมืออันกำแน่นของคุณชายสามส่องลอดง่ามนิ้ว  เห็นรองเท้าหนังและกางเกงสีน้ำตาลของคนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า

   “เมื่อครู่  ศิษย์น้องของข้าตาย”   นักดาบหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ  “..และข้ามาช่วยเจ้า  พวกเขาก็คงจะตายกันอีก”

   “ข้า..ขอโทษ”

   “เจ้าไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ  พวกเขาถูกกำหนดให้ตายตั้งแต่แรก   คนอ่อนแอตายไป  คนเข้มแข็งจะยังอยู่  นั่นคือธรรมชาติของยุทธจักร”

ซีคงหยูสูดหายใจลึก  และพยายามระงับอาการใจสั่นมือสั่นของตนเอง  เขาเงยหน้ามองคนตรงหน้า  ในใจลึก ๆ เหมือนมีความคาดหวังบางอย่างที่เขาก็ไม่เข้าใจตนเอง

   “แล้วทำไมน้องอวิ๋นถึงช่วยคนอ่อนแออย่างข้า”

   “เพราะเจ้าอยู่ในความรับผิดชอบของข้ายังไงล่ะอาหยู..”  เขาเว้นไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยเสียงเรียบกว่าเดิม  “..ข้าเป็นคนให้ยาหนู่โม่หวางกับเจ้า  มันก็แค่นั้น”

   จากนั้นก็ยื่นกระบอกไผ่หยกเย็นให้   “ดื่มน้ำก่อน”

คนที่ดื่มเสร็จเอาแขนเสื้อเช็ดปากแล้วเอ่ยชมรสชาติ  “..หวาน”

   “ข้าผสมยาเซียนที่ให้พลังงานไปด้วย   เจ้านั่งสมาธิโคจรปราณสักครู่ก็จะดีขึ้น”

  ซีคงหยูทำตามโดยไม่อิดออด  เขาสูดลมหายใจรับปราณฟ้าดินจากจมูกซ้าย  ให้มันเดินไปทั่วเส้นโคจรในร่างกาย   จากนั้นปล่อยออกมาทางจมูกขวา  ของเสียในร่างกายที่สะสมจากการใช้พลังงานอย่างหนักเริ่มถูกปราณจากธรรมชาติชำระล้าง   เนื้อเยื่อต่าง ๆ เริ่มฟื้นฟู  แม้ว่าอาการสมองช้าและตัวชา  รวมทั้งความรู้สึกหนาวสั่นจะยังคงอยู่   แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่มาก 

   เมื่อลืมตาขึ้นมา  ก็ยังเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นยืนกอดอกอยู่ที่เดิม  เงาทะมึนของร่างกายส่วนบนที่พ้นจากเขตของมุกเซียนส่องแสงทำให้ซีคงหยูอ่านสีหน้าฝ่ายตรงข้ามไม่ออก

   “เจ้าไม่กลับไปช่วยพวกศิษย์น้องหรือ”  พูดพลางก็พยายามลุกขึ้นจากพื้น

หลี่โอ๋อวิ๋นคลายมือที่กอดอก  และช่วยหิ้วปีกคนขาสั่นให้ยืนขึ้นได้   “ที่ข้าสังหารอสูรตรงนี้  ก็ช่วยมากเกินไปแล้ว”   จากนั้นดึงตัวคุณชายสามมาใกล้ ๆ  แล้วพาเดินไปในส่วนลึกของถ้ำมากกว่าเดิม

   “เรากำลังจะไปที่ไหน”

   “เดี๋ยวก็รู้”

และสักพัก  ซีคงหยูก็มองเห็นแสงในความมืด   มันไม่ใช่แสงอย่างเดียว   มันเหมือนจอหยกดำขนาดยักษ์แบบที่ไว้แสดงภาพฉายในเมืองหลวง   และก็เหมือนบ่อน้ำมืดมิด  ที่สะท้อนเงาภาพของดวงดาวภายในบ่อ   ตรงหน้าของเขาคือมิติที่ถูกตัด  เหมือนมีคนเอามีดมาหั่นถ้ำออกแล้วโยนถ้ำนี้ออกไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

   “ว้าววว...”   ซีคงหยูอุทาน   สิ่งที่เขาเห็นเหมือนกับจ้องไปในเอกภพ  เสียแต่มีดวงดาวไม่มาก   เพราะเทหวัตถุที่ใหญ่ที่สุดที่เขามองเห็น  คือก้อนกลมสีดำมืดสนิท  ทว่ามีประกายแสงสีขาวบาง ๆ แผ่เรื่อเรืองเหมือนกับเคลือบหุ้มอยู่   เขาก้มลงมองรอยต่อระหว่างถ้ำกับมิติที่เขาไม่รู้จัก   และเห็นว่าก้อนหินและดินที่ประกอบเป็นถ้ำ  กำลังถูกย่อยสลายและกัดกินไปอย่างช้า ๆ  เศษละอองของมันโปรยปลิวและหลุดร่วง  เหมือนกับโลกที่กำลังถูกย่อยสลาย  เขาสังเกตเห็นเศษชิ้นส่วนของผนังถ้ำ  ลอยขึ้นและร่วงลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ซีคงหยูเอื้อมมือไปกะจะคว้าจับเศษหินที่ลอยละล่องอยู่

   “หยุด!” 

เมื่อถูกตวาดห้ามเขาก็ชะงักและหันไปมอง

   “นั่นคือห้วงมิติที่เวลาและทุก  ๆ อย่างไหลวนเวียนอย่างไม่มีทางออก  ถ้าเจ้ายื่นมือออกไป  มือของเจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน  ซึ่งนั่นหมายถึง..”   หลี่โอ๋อวิ๋นส่งสายตาไปยังขอบถ้ำที่ถูกย่อยสลายกัดกิน

ซีคงหยูเก็บมือที่ยื่นออกไป  สูดหายใจลึก  “ที่แท้  เหมืองแร่วิญญาณเซียนก็หน้าตาเช่นนี้  แล้ว...เคยมีใครที่สามารถออกไปข้างนอกได้หรือไม่”  เขาพูดแล้วก็มองไปยังดาวยักษ์สีดำและวงแหวนเรืองแสงของมัน

   “ไม่เคยมีในบันทึก  หรือถ้ามีคนออกไปได้  พวกเขาก็คงไม่กลับมาที่นี่อีก”  สุ้มเสียงของหลี่โอ๋อวิ๋นดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก  จนคุณชายสามต้องหันไปมองหน้าอันฉาบทาด้วยแสงจากเทหวัตถุตรงหน้า

   “แต่ไม่เป็นไร  เรามีทวีปดิน  เรามีทวีปฟ้า  มีเจียงหู่ที่กว้างใหญ่ไพศาล  ขุนเขาเขียวและขาวที่ทอดยาวไปจรดทะเลนิรันดร์  ท่องเที่ยวไปในโลกทั้งสามพันอาจจะเป็นความฝันของเซียน  แต่ข้าจะเป็นราชาในหมู่มนุษย์”

เมื่อฟังถ้อยคำที่ฮึกเหิม  คุณชายสามก็คลี่ยิ้ม  และตบบ่าคนที่ตัวสูงกว่าเบา ๆ  “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้”

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว  เขาเผยอปากเหมือนจะกล่าวอะไร  แต่ก็ไม่มีคำพูดออกมา  เขาหันตัวกลับไปและเดินไปจากมิติที่ถูกกัดกินและคุณชายสาม
   

++++++


เมื่อกลับมาถึงกลุ่มศิษย์สำนัก  ซีคงหยูก็พบว่าการต่อสู้จบสิ้นไปแล้ว   จริงอย่างที่หลี่โอ๋อวิ๋นว่า  การที่เขาช่วยสังหารอสูรไปเกือบสิบตัวนั้นมีผลต่อความสำเร็จภารกิจเป็นอย่างมาก  ซ่งจินเดินดูแลคณะสำรวจเพื่อแจกจ่ายยาและผ้าพันแผล  พวกเขามีพลังยุทธค่อนข้างต่ำ  จึงไม่สามารถใช้ปราณรักษาอาการบาดเจ็บทางกายได้เร็วเท่ากับการรักษาจากภายนอก

เมื่อเห็นสองคนเดินเข้ามาใกล้  ซ่งจินก็ลุกขึ้นมาจากที่ดูอาการคนเจ็บอยู่   เขาก้มหน้าทักทายหลี่โอ๋อวิ๋น

   “ศิษย์พี่ใหญ่”

   “อืม”  หลี่โอ๋อวิ๋นตอบคำเดียว  แล้วเดินสวนไป   เขายังไม่ค่อยพอใจกับผลงานการบัญชาการของซ่งจิน

ซ่งจินเห็นว่าหลี่โอ๋อวิ๋นไม่อยากคุยด้วยจึงหันมาหาอีกคน  “คุณชายซีคง  ท่านทำได้เยี่ยมมาก”

   “ฮ่า ๆ  ก็เพราะหนู่โม่หวางน่ะ”

   “ไม่หรอก”  ตาปลาตายของซ่งจินมีแววชื่นชมฉายขึ้นมา  ซึ่งแต่งแต้มสีสันให้กับใบหน้าเรียบเฉยนั้นขึ้นอีกมาก  “เด็กใหม่ทั่วไปต่อให้ใช้ยาเซียนก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีขนาดนี้  ลึก ๆ แล้วท่านต้องเป็นคนกล้าหาญ  หรืออยากจะเป็นคนกล้าหาญอยู่แน่ ๆ”

   “อาจจะ”  ซีคงหยูยักไหล่   เขากำลังรู้สึกเพลียและเบลอจึงไม่มีอารมณ์พูดสัพยอก

ซ่งจินพยายามยิ้มให้   เขาไม่ค่อยชินกับการแสดงอารมณ์  ทำให้มันดูเหมือนแยกเขี้ยว  เขาตบบ่าซีคงหยูอีกครั้ง  แล้วหันกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง

เมื่อเก็บกวาดทุกอย่าง  ชำแหละอสูรเพื่อควักเอาแกนและชิ้นส่วนที่ใช้ได้ออกมาแล้ว  คณะสำรวจเหมืองก็เดินฝ่าโถถ้ำที่ระเกะระไปด้วยกองหินไปยังเหมืองที่หลี่โอ๋อวิ๋นพาคุณชายสามไปดูเมื่อครู่  ซ่งจินหยิบแผ่นหยกกลมมีรูตรงกลางที่เรียกว่ากุญแจเหมืองออกมาจากแหวนสี่มิติ  และเสียบเข้าไปในช่องบนแท่นที่ซีคงหยูไม่ทันสังเกตตอนเข้ามาครั้งแรก   แท่นนั้นส่องแสงออกมาทันที  เป็นแสงรูปตาข่ายที่กวาดส่องไปรอบ ๆ กับทุกคน   มันประมวลผลข้อมูลและประกาศด้วยเสียงที่ไม่เหมือนเสียงมนุษย์ว่า

   “ปมที่สิบสาม  ผู้คุมปม  หลี่โอ๋อวิ๋น”   

กุญแจเหมืองจะเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเป็นผู้คุมเหมืองเสมอ  เพื่อมิให้สำนักใดใช้ยอดฝีมือไปช่วยบุกโจมตีเหมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผู้ถูกประกาศชื่อยืนเก๊กอยู่อย่างไม่ประหลาดใจ  เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องดูแลเหมืองนี้  เขาจึงเลือกปมเหมืองที่มีสถิติว่ายากที่สุดในยี่สิบสี่ปมของจิ้งซาน

   เมื่อบันทึกการครอบครองเหมืองเสร็จสิ้น   ชาวยุทธรับจ้างและศิษย์สำนักจำนวนหนึ่งก็เริ่มนั่งสมาธิตรงหน้าช่องว่างมิติ   พวกเขาจะได้รับแจกวิชาเซียนที่ใช้สกัดแร่วิญญาณเซียนจากมิติเวิ้งว้างนั้นโดยเฉพาะ   ซึ่งจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคลบวกกับคุณภาพของเหมือง  เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น  ซ่งจิน  หลี่โออวิ๋น  ซีคงหยู  และนักดาบที่มีฝีมือค่อนข้างดี   ก็ออกไปจากเหมืองเพื่อเตรียมตัวบุกโจมตีเหมืองอื่นต่อไป   หลี่โอ๋ออวิ๋นเองก็จะต้องไปรอรับคำท้าดวลพนันเหมืองที่เมืองจิ้งซานซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง


++++++


เนื่องจากซีคงหยูต้องนอนพักเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงของยาเซียน  เขาจึงไม่ได้เข้าประชุมแกนนำพรรควารีพิสุทธิ์   จางชุ่ยฮัวโกรธจัดต่อความล้มเหลวย่อยยับของการบุกยึดเหมืองของทีมแทบจะทั้งหมด  นางจึงไม่อดทนต่อความเหลวไหลไร้สาระ  และขับไล่เสี่ยวหมีออกจากที่ประชุม   พรรคปลาทูสีน้ำเงินสูญเสียสมาชิกไปเกือบหนึ่งในสาม  และยึดเหมืองได้เพียงเหมืองเดียว  และอย่างที่ทุกคนคาดไว้  สำนักที่ทำได้ดีที่สุดในวันแรกคือสำนักประตูทรราช  และไมตรีโลหิต  ซึ่งมีหยกคู่แห่งยุทธจักรประจำการ

ระหว่างที่ทุกสำนักพักฟื้นเพื่อรวบรวมพลังโจมตีเหมืองใหม่อีกครั้ง  ชาวยุทธที่รอดูผลงานก็พากันไปสมัครรับจ้างกับสองสำนักใหญ่ที่ว่า  มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ว่า  ถ้าการสำรวจเหมืองมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง  พวกเขาก็มีโอกาสเป็นเหยื่อป้อนกระสุน (cannon fodder) น้อยลง  สำนักอื่น ๆ ต้องปรับตัวโดยการเพิ่มอัตราค่าจ้าง   โฆษณาและให้สัญญาถึงความสำเร็จ  เสี่ยวหมีและเสี่ยวชิงต้องเดินไปรอบ ๆ เมืองพร้อมป้ายโฆษณา  เพื่อหาชาวยุทธรับจ้างเข้าร่วมทีมสำรวจพรรคปลาทูสีน้ำเงิน

สองเฮียม่วยวังหมื่นบุปผานั่งจิบชาอยู่บนเหลา  สำนักของพวกเขาก็ทำได้ไม่ดีไปกว่าสำนักอื่น ๆ เท่าไหร่นัก  ทำให้จมูกที่ชี้ขึ้นสู่ฟ้าของทั้งคู่ทำองศาใกล้พื้นดินมากขึ้น  และท่ามกลางชาวยุทธที่กินและดื่มอย่างจอแจ   เด็กหนุ่มผิวเข้มหน้าตาหล่อเหลาและทรงผมสั้นชี้ ๆ ปล่อยอิสระก็เดินขึ้นมาบนเหลาพร้อมกับศิษย์พี่คู่ใจ  เขาหยุดเบี่ยงตัวให้ชาวยุทธที่เดินเบ่ง ๆ ลงบันไดอย่างมีมารยาทดี  แล้วก้าวขึ้นไปชั้นสองของเหลาช้า ๆ ราวกับโลกนี้ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองของเหลา  ตู้เกี่ยนหลงก็ฉีกยิ้มสดใส  แล้วเดินเข้าไปประสานมือคารวะสองเฮียม่วย

   “คารวะที่พบกันครั้งแรกคุณชายเว่ยและแม่นางเว่ย”

สองเฮียม่วยคีบอาหารกินต่อไปอย่างไม่สนใจ  ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะทัดเทียมกันในฐานะผู้นำศิษย์ใหม่

   “น้องชายนามว่าตู้เกี่ยนหลงจากสำนักอำพันโบราณ  มิทราบว่า  คุณชายเว่ยและแม่นางเว่ยจะสามารถสนทนากับน้องชายสักครู่ได้หรือไม่”

   “ตู้เกี่ยนหลง?”  คนพี่ชายทวนชื่อ  แต่ตามองหมูสามชั้นในตะเกียบ  “..มันคือตัวอะไร”

   “แมลงวันล่ะมั้งท่านพี่”  คนน้องสาวรับคำราวกับพูดถึงอะไรไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

   “พวกเจ้า...”  คุณชายหน้าสวยเสื้อน้ำตาลทำท่าจะทนไม่ไหว  จับแขนเสื้อถลกมากำลังจะชี้หน้า  แต่ตู้เกี่ยนหลงรีบเอามือกดเอาไว้

   “ยินว่าพี่เว่ยกล้าแข็งด้านการร่ำสุรา   ถ้าผู้น้องจะท้าดวล  พี่เว่ยสนใจหรือไม่”

   “ฮ่า ๆๆๆ”  เว่ยหลิงจื่อหัวเราะอย่างขบขัน  แล้วจึงชายตามองตู้เกี่ยนหลงเป็นครั้งแรก  “เจ้าเด็กหน้าขาว (1)  ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

   “น้องชายว่าหน้าของตนไม่ขาวเท่าไหร่”

   “เพ้ย  ข้าว่าเจ้าหน้าขาว  เจ้าก็ต้องขาว”

   “เอาตามแต่พี่เว่ยสบายใจ”  ตู้เกี่ยนหลงตอบไปอย่างไม่ขุ่นเคือง

   “ฮา ๆ  ข้าชอบนิสัยเจ้า   จะรับท้าดวลก็ได้  แต่เดิมพันคืออะไร”

   “สำหรับน้องชาย  ใคร่อยากให้พี่เว่ยสละเวลาหนึ่งก้านธูปรับฟังข้อเสนอบางอย่าง  ส่วนเดิมพันที่พี่เว่ยอยากได้จากน้องชายก็ตามแต่ท่านกำหนด”

   “ได้!  เดิมพันที่ข้าอยากได้  ก็คือเจ้าจะต้องคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าสามครา”

   “โขกให้ข้าด้วย”  แม่นางแพรขาว  เว่ยเหลียนยู่กล่าวอีกคน

   “แม่นางเว่ยไม่เกี่ยว”  ตู้เกี่ยนหลงท้วง  “ถ้ามิเช่นนั้นฝั่งข้าต้องเพิ่มเดิมพัน”

   “ท่านพี่  เขาว่าข้าไม่เกี่ยว”  นางรีบออเซาะพี่ชาย

   “ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวมีอันใดต้องเสียดายกับชนชั้นนี้มาคำนับ  ไว้พี่จะหาชนชั้นระดับหลี่โอ๋อวิ๋นมาคุกเข่าคำนับเจ้าวันละสองเวลาเช้าค่ำ  น้องเหลียนว่าดีหรือไม่”

   “ท่านพี่  ที่ท่านกล่าวก็ไม่ถูก”  เว่ยเหลียนยู่ท้วงติง

   “ไม่ถูกอันใด  เหลียนเหลียนของพี่มีศักดิ์ศรีสูงส่ง  ทุกคนย่อมควรคำนับ”

   “ท่านพี่ แต่ว่าท่านไม่ควรให้ว่าที่สามีมาคำนับข้า”

   “ไอ๊หยา  ข้าลืมไป  เจ้านิยมชมชอบไอ้เด็กแซ่หลี่อยู่  ได้  ข้าจะไปจับตัวมันมาแต่งกับเจ้า”

   “พี่เว่ย..”   ตู้เกี่ยนหลงพูดแทรกเมื่อบทสนทนาเริ่มบิดเบี้ยวไปไกล  “..แล้วเรื่องท้าดวลดื่มสุรา”

   “เจ้ารับเดิมพัน  ข้าก็รับดวล”

“น้องตู้...”  ศิษย์พี่ของเขากระตุกแขนเสื้อ  “...หัวเข่าลูกผู้ชายมีค่าดุจทองคำ  เจ้าเปลี่ยนเดิมพันไม่ดีกว่าหรือ”

“เพ้ย  เจ้าคิดว่าการดวลสุราเป็นการละเล่นของเด็ก ๆ หรือไร   เดิมพันนี้ข้าพอใจ  ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไสหัวไปที่อื่น”

“พี่เว่ยอย่าเพิ่งโกรธ”   ตู้เกี่ยนหลงยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม  “น้องชายหาได้ตั้งใจจะบิดพลิ้วไม่  ไม่ว่าพี่เว่ยจะต้องการศีรษะน้องชายคนนี้เป็นเดิมพัน  น้องชายก็ไม่เกี่ยง  เพราะถึงอย่างไรน้องชายก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว”

“ฮ่าๆๆๆ  โอหังจริง ๆ  ข้าชอบ  เสี่ยวเอ้อ!  ไปเอาสุรามา!”

เสี่ยวเอ้อซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นศิษย์ของสำนักไมตรีโลหิตซึ่งกำลังเช็ดโต๊ะอยู่  ก็รีบลงไปตระเตรียม  เหลาสุราอาหารนี้เปิดบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมร่ำรวยมั่งคั่ง  จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อมีเรื่องน่าสนใจ   เจ้าของเหลาก็จะปรากฏตัว

   จ้าวเหรินเจี่ยนใช้วิชาตัวเบาลอยล่องลงมาที่เหลาชั้นสอง  เขาประสานมือคารวะทั้งคู่

   “คารวะคุณชายเว่ย  คุณชายตู้  จ้าวได้ยินว่ามีการพนันสุรา  จึงรีบแวะมาเก็บค่าเช่าที่”

   “เพ้ย  เจ้านี่มันงกจริง ๆ   เอาไป”  เว่ยหลิงจื่อโยนตำลึงทองให้  จ้าวเหรินเจี่ยนรับมาเก็บเข้าอกเสื้อแล้วประสานมือกล่าวอีกที

   “พี่เว่ยเข้าใจผิดแล้ว  เหลาของเราไม่รับเงินทองทางโลก  เพื่อสมศักดิ์ศรีโต๊ะพนันระดับผู้นำศิษย์สำนัก  เราจะเรียกเก็บเป็นแร่วิญญาณเซียน”

   “ฮ่า ๆๆ  พี่จ้าว  พี่เว่ย   ค่าโต๊ะพนันน้องชายขอเป็นเจ้ามือเอง”  ตู้เกี่ยนหลงพูดแล้วก็โยนแร่วิญญาณเซียนระดับกลางให้  จ้าวเหรินเจี่ยนรับแล้วเก็บใส่อกเสื้อ  จากนั้นกวาดตามองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม

   “ผู้กล้าเกิดในวัยเยาว์  นับถือ ๆ”

เขาสะกิดเท้าจะใช้วิชาตัวเบาลอยจากเหลา  แต่เว่ยหลิงจื่อรีบเรียกไว้

   “ช้าก่อน!”

จ้าวเหรินเจี่ยนยั้งเท้าไว้ตามที่ถูกเรียก    “คุณชายเว่ยมีอะไรจะสั่งสอน?”

       “ตำลึงทองของข้าล่ะ”

“ฮ่า   จ้าวถือว่าเป็นของขวัญพบกันครั้งแรกที่คุณชายเว่ยให้”  กล่าวจบก็สะกิดเท้าออกไปโดยไม่คืน

   “เพ้ย”  เว่ยหลิงจื่อหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้   “ไม่อยากจะเชื่อว่ามือกระบี่ไร้ที่ติจะหน้าเลือดขนาดนี้”

   “ปกติเขาไม่งกหรอก”   เว่ยเหลียนยู่กล่าว  “แต่เขาจงใจกวนตีนท่านพี่  เพราะเขารู้ว่าท่านพี่ยอมเสียเปรียบใครไม่ได้”

   “ฮ่า ๆ  กวนตีนได้ดี  กวนตีนได้ดี  เป็นเหลียนเหลียนรู้ใจพี่ดีที่สุด  เสี่ยวเอ้อ!  สุราได้หรือยัง!”

เว่ยหลิงจื่อผู้โกรธง่ายหายเร็วตะโกนเรียกให้เริ่มจัดตั้งการพนันดื่มสุรา



++++++
   

(1)    Little white face,  หรือเป็นสำนวนว่า pretty boy
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 13 (วันที่4/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-09-2017 15:01:37
ซับซ้อนพัวพันได้ดี ซับซ้อนพัวพันได้ดี

โอ๋อวิ๋นมีแต่คนจับคู่ให้ แล้วเจ้าตัวอยากจับคู่กับใครล่ะ

และ.....จางฮุ่ยฮัวไล่เสี่ยวหมีได้ไง!!!!


ปล. เพิ่งสังเกตว่ามีแทบเล็ตใช้กันด้วย ล้ำเลิศยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 13 (วันที่4/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-09-2017 18:16:43
พี่น้องเว่ย ที่เลิศ เชิดหยิ่ง จมูกเชิดมองฟ้า
ให้สงสัยเวลาฝนตก น้ำคงเข้าจมูกเป็นแน่

หยู กับโอ๋อวิ๋น พูดจาดีๆกัน ได้แล้ว

น่าสงสารเสี่ยวหมี ถูกไล่ออกจากการประชุม
เพราะจางชุ่ยโกรธ พรรคปลาทูทำผลงานได้ไม่ดี
เอ่อ.......เกี่ยวไรกับเสี่ยวหมีด้วย อ๊อออออออ
รอตอนใหม่
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 13 (วันที่4/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 04-09-2017 18:23:11
เหมือนจะงกทั้งสำนัก ฮ่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 13 (วันที่4/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 05-09-2017 07:28:17

เสี่ยวหมีที่รัก... ที่เราหายหน้าไปสองตอนนี่ไม่ใช่อะไรเลยนะเสี่ยวหมี...
เราไปตามอ่าน ZTJ มาแหละ (กร๊ากกกกก งานการไม่ทำ)
พอกลับมาอีกที เราก็อดสงสารเสี่ยวหมีที่รักไม่ได้
โธ่ พ่อหมีดำล่ำสันของป้า กลายเป็นมาสคอตถือป้ายเรียกแขกไปเสียได้
ตาย ๆๆๆ อะไรจะจงรักภักดีกับต้นสังกัดของนายได้ขนาดนี้ (อ๊ออออออ)

ที่สุดแล้ว ถึงจะอาศัยยาโป๊ว แต่อาหยูก็เริ่มดูจะมีแววเป็นเทพยุทธกับเขาบ้างแล้ว 
แต่อาหยูก็ยอมเชื่อน้องอวิ๋นง่ายไป เกิดคราวหน้าน้องอวิ๋นเอายาแรงกว่านี้มาป้าย ปิดประตูลงกลอนไม่ปล่อยออกจากห้องไปไหน
สงสัยสองหนุ่มจะได้ช่วยกันเดินลมปราณจนเสียการเสียงานไปหลายวันแน่ ๆ (แต่ถ้าน้องอวิ๋นทำจริง ๆ ป้าก็สนับสนุนนะ ป้าชอบ... หืดหาด หืดหาด)

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^_^
ป.ล. คุณคนเขียนขา ตอนนี้เราหาลิงค์อ่าน ZTJ ภาษาไทยได้ถึงแค่ตอน 178 เองอ่ะค่ะ (แล้วก็ดันอ่านจบเสียแล้วสิ) หรือหลังจากนี้เราต้องไปตามอ่านภาษาอังกฤษเอาเองอ่ะคะ? ถ้าคุณคนเขียนพอมีลู่ทางที่ง่ายกว่านั้น ได้โปรดชี้แนะข้าน้อยด้วยเถิด ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 13 (วันที่4/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 05-09-2017 12:26:50
alternative: ฮ่า ๆ อย่าเพิ่งเบื่อช่วงชิงไหวพริบกันนะครับ  ผมเองก็เบื่อ  อยากให้ถึงช่วงบนเตียงไว ๆ  เอ๊ะ!

♥►MAGNOLIA◄♥:  โอยยยย  ขำ  น้ำเข้าจมูก   ถ้าผมคิดได้คงเขียนในนิยายแระ 5555+
ศิษย์น้องจางโกรธอาหยูครับ  นึกว่าอาหยูส่งหมีมาก่อกวน   #ลูบหัวเสี่ยวหมีด้วยความสงสาร


wnkth:  เป็นสำนักที่เงินมาผ้าหลุด  เย๊ย!

Malimaru:  เชอะคิดถึงแต่เสี่ยวหมี
อาหยูไม่ได้ยอมเชื่อฮะ   แต่สู้ม่ายด้ายยย  หนูป่าวนา  เค้ามาเองงง #ร้องเพลง

Ze Tian Ji  ผมว่าภาษาอังกฤษแปลได้สวยมากๆๆๆ   โดยเฉพาะมันจะมีอารัมภบทที่แสดงถึงโลกที่สร้างทั้งหมดได้ในบทเดียว  อันนี้คือลิงค์ครับ
http://www.novelupdates.com/series/ze-tian-ji/
ปกติอ่านที่นี่มีทุกเรื่องเลยครับ

และนี่คือลิงค์ของ machine translation  คือแปลด้วยเครื่องจักร  มันจะเหมือนกับภาษาอังกฤษที่แตกหัก  แต่ผมก็ชอบอ่าน  เพราะว่ามันจะทำให้เห็นโครงสร้างประโยคเดิมของภาษาจีน  และเมื่อคลิกแต่ละคำ  จะเห็นคำศัพท์ภาษาจีนด้วย
และเนื่องจากแปลด้วยเครื่องจักร  มันจึงออกมารวดเร็วมาก   เกือบสองพันตอน  ขณะที่การแปลด้วยกำลังมนุษย์ถึงแค่ 607 ตอน   อ่านจนอิ่มพุงกางกันไปเลย
https://lnmtl.com/novel/way-of-choices

แต่คนก็แซวกันว่า lnmtl คือ Demonic Dao ครับ  ฝึกแล้วจะเบี่ยงเบนจากเต๋าอันเที่ยงธรรมและอาจจะธาตุไฟแตกซ่านได้  ฮี่ ๆ





+++++++

รอยแผลเป็นที่ข้างแก้มของจ้าวเหรินเจี่ยน  ก็แบบนี้เลยครับ

(http://i57.beon.ru/70/2/2820270/23/114824123/83fe2f86b62339767a191cb87e7.jpeg)


+++++


สุราก็เหมือนนารี มีทั้งเผ็ดร้อนฉุนเฉียว  ดุดันจนแทบคลั่ง  มีทั้งอ่อนหวานนุ่มนวล  ทว่าค่อยรีดเร้นสติสัมปชัญญะของท่านไปโดยแนบเนียน  รินจากจอกเย็นใสแล้วเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่อาจแผดเผาท่านทั้งเป็น  แต่กระนั้นบุรุษก็ยังชื่นชอบสุรา  พวกมันหวังฝังตัวจมกับเหล้า  เพียงเพื่อหลงทางในความฝันไม่รู้ตื่นอันเต็มไปด้วยสหายน้ำมิตร  บทสนทนาอันรื่นรมย์  และแม้กระทั่งความตายสีแดงฉานประดุจผ้าย้อมชาดที่หุ้มปากไห   แต่ที่แปลกนักบุรุษมักพนันขันแข่งกันว่าผู้ใดดื่มแล้วไม่เมา  ถ้าท่านไม่อยากให้สุราทำในสิ่งที่มันทำได้ดีที่สุด  ใยไม่ดื่มน้ำเปล่า?

ป้านสุรากระแทกกับพื้นโต๊ะ  กลิ่นไอฉุนเฉียวของสุราอสรพิษเขียวอันปรับปรุงจากใบไผ่เขียวอันโด่งดัง  โชยมาเตะจมูกของผู้ชมดูการท้าประลอง  ยากที่จะแยกว่าใบหน้าอันแดงฉาดฉานของผู้กล้าหนุ่มว่าเกิดจากฤทธิ์อันเร่าร้อนของน้ำโสม  หรือว่าเป็นเพราะโคมแดงที่เพิ่งถูกจุดในเวลาย่ำค่ำกันแน่

เว่ยหลิงจื่อเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ  ชุดของเขารุ่ยร่ายแบะอกออกระบายความร้อนหมดสภาพอันโอหังถือดีของคุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา  ที่หลงเหลืออยู่คือธาตุบุรุษอันร้อนแรงที่แผ่ออกมาทางสองตาแดงซ่าน  เขาจ้องเขม็งไปยังฝ่ายตรงกันข้ามที่จิบสุราประดุจวัวที่ค่อย ๆ ละเลียดวักลิ้นดื่มน้ำในลำธาร

   “เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีก?”

ตู้เกี่ยนหลงฟังแล้วจึงวางป้านสุรา  ประสานมือคารวะและกล่าว  “พี่เว่ยดื่มสุราได้เข้มแข็งอาจหาญประดุจแม่ทัพในสมรภูมิ  น้องชายเลื่อมใสยิ่งนัก  ทว่าจะให้น้องชายยกธงขาวนั้นเห็นจะไม่ได้”

   “เพ้ย! เจ้าดื่มช้ากว่าข้าตั้งเยอะ  ทำไมยังไม่ยอมแพ้”

   “พี่เว่ย  โบราณว่าศึกยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร  สถานการณ์อาจผันแปรทุกเมื่อ  พี่เว่ยใจร้อนเช่นนี้น้องชายใคร่ขอน้อมเตือนว่า  ขับเรือพันปีต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว  ถ้าพี่เว่ยไม่เชื่อ  ท่านลองกระพริบตาสักครั้ง”

เว่ยหลิงจื่อไม่เชื่อเรื่องผีสาง   เขาลองกระพริบตาที่เพ่งจนโตดุจกระดิ่งนั้นดูครานึง   เมื่อลืมตาขึ้นมาดู  เขาก็เห็นไหสุราเปล่าเพิ่มขึ้นมาอีกไหตรงข้างตัวตู้เกี่ยนหลง

   “กราสส!!  เจ้าเล่นกลอะไร”

   “พี่เว่ยลองกระพริบตาอีกสามที”

คราวนี้มีหรือที่เว่ยหลิงจื่อจะเชื่อ  เขากระพริบตาสิบที   และเมื่อลืมตาดู   ปรากฏว่าไหเปล่าเพิ่มมาข้างตัวเด็กหนุ่มผิวคร้ามเจ้าของรอยยิ้มผ่อนคลายอีกสิบไห

   “มาเล่อ โกบี!!!” (1)  เว่ยหลิงจื่อสบถอย่างรุนแรงก่อนเอนกายไปถามน้องสาวตนเอง  “มันโกงหรือเปล่า?”

เห็นได้ชัดว่า  เว่ยเหลียนยู่ก็มีสีหน้าตระหนกตกใจราวกับพบพานผีสางก็ไม่ปาน  นางส่ายหน้ารัว ๆ เมื่อถูกพี่ชายถาม

   “เด็กร้ายกาจ  นับว่าเจ้าพอมีความสามารถอยู่บ้าง”

   “ฮ่า ๆ พี่เว่ยยังจะลองอีกหรือไม่  น้องชายมีวิชาลับของตระกูล  เรียกว่าวิชาเซียนกระพริบตาสุราหมดไห   ทุกครั้งที่คู่ดวลกระพริบตา  น้องชายสามารถใช้วิชาเซียนดื่มสุราได้ทันที  ทางเดียวที่จะเอาชนะน้องชายได้  คือพี่เว่ยต้องไม่กระพริบตาเลย   ท่านทำได้หรือไม่?”

เว่ยหลิงจื่อฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง   เขาจ้องหน้าของคู่แข่งเพื่อจับโกหก  ทว่าไม่มีร่องรอยใดที่แพร่งพรายออกมาจากใบหน้าแจ่มใสและดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นเลย

   “เฮอะ  นับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไป  การพนันครั้งนี้  ข้ายอมแพ้”

   “ท่านพี่  ท่านยอมแพ้เร็วไปหรือเปล่า   นั่นอาจจะเป็นหอกเปล่าดาบปลอมก็ได้”   เว่ยเหลียนยู่รั้งแขนพี่ชายแล้วเขย่าด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   “เพ้ย  ในเมื่อมันไม่ได้โกง  เจ้าเด็กนี่ดื่มเหล้าสิบกว่าไหรวดเดียวโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน  ผู้ใดทำได้  ต่อให้นี่เป็นแผนเมืองว่างนั่งดีดขิม  ข้าก็ต้องนับถือในมันสมองอย่างน้อยสามส่วน”  เขากล่าวกับน้องสาวเสร็จก็หันไปพูดกับตู้เกี่ยนหลง

   “ในเมื่อเจ้าชนะพนัน  มีลมใดก็รีบผายมาในเวลาหนึ่งก้านธูป”

   “ช้าก่อน!”   สุ้มเสียงที่คุ้นเคยพร้อมกับมือกระบี่ชุดขาวที่เรียบกริบราวกับใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วรีดลงแป้ง  “..คุณชายตู้  คุณชายเว่ย  อย่าลืมจ่ายค่าสุรา” 

เว่ยหลิงจื่อเดือดดาล  เขาเกือบลืมตำลึงทองที่เสียไปเมื่อตอนบ่ายแล้ว  “จ้าวเหรินเจี่ยน!  เจ้ายังมีหน้าโผล่หัวมา!”

   “ถ้าจ้าวไม่โผล่มา  ผู้ใดจะกล้าเตือนคุณชายเว่ยว่าสุราของเราขายในโอกาสพิเศษ  ดังนั้น..”

ยังไม่ทันจะพูดจบ  ตู้เกี่ยนหลงก็พูดต่อทันที  “..ดังนั้นต้องจ่ายเป็นแร่วิญญาณเซียน  ให้สมฐานะชนชั้นผู้นำศิษย์สำนัก”

จ้าวเหรินเจี่ยนฟังแล้วก็กวาดตามองเจ้าของผ้าคาดหัวสุดเท่ห์ขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยความชื่นชมอีกครา  “คุณชายตู้มีสติปัญญา  หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร  นับถือ ๆ”

   “ครานี้คงต้องให้พี่เว่ยเป็นเจ้ามือ”   ตู้เกี่ยนหลงยอมแพ้ความไร้ยางอายของมือกระบี่ไร้ที่ติ  เลยส่งผ่านเผือกร้อนไปให้คนแพ้พนัน

   “เพ้ย  ถึงเจ้าจะไม่พูด  ข้าก็ไม่มีหน้าดื่มกินฟรีอีกครั้งหรอก  ข้าไม่ได้แซ่จ้าว  ไม่ได้ชื่อเหรินเจี่ยน”  ว่าแล้วก็ถลึงตามองคนที่ตนประชด  จากนั้นก็ดีดแร่วิญญาณเซียนขั้นกลางไปให้สองก้อน

   จ้าวเหรินเจี่ยนรับค่าสุรา  ส่งยิ้มละไม  รอยแผลเป็นข้างแก้มบุ๋มเข้าไปจนทำให้เขาดูผุดผาดประดุจบัวหนามที่งอกงามกลางหิมะ

   “คุณชายเว่ยใจกว้างสมคำร่ำลือ  จ้าวล่วงเกินแล้ว”  เขากล่าวจบก็สะกิดเท้าหายไปเหมือนที่จากมา

   “ทำให้ผู้คนคลั่งแค้นจนแทบตาย”  เว่ยหลิงจื่อกัดฟันกรอด ๆ   แล้วจึงเตรียมรับฟังสิ่งที่ตู้เกี่ยนหลงต้องการพูด

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว  หนุ่มน้อยผิวคร้ามจึงลุกขึ้นแล้วผายมือ  “ที่นี่ไม่สะดวกสนทนา  เชิญพี่เว่ยและแม่นางเว่ยตามน้องชายมา”   
   
ทุกคนลงจากเหลาแล้วมุ่งหน้าไปยังอุทยานถั่วฝักยาว

(1)   วิธีพูดว่า “เย็บแม่” ในภาษาจีน


++++++



ศิษย์สำนักอำพันโบราณยกอ่างน้ำมาให้เว่ยหลิงจื่อล้างหน้า  เมื่อทุกคนอยู่ในสภาพที่แจ่มใสแล้ว  พวกเขาก็มานั่งกับพรมที่ปูบนก้อนหินยักษ์อันย้ายมาจากภูเขาใกล้ ๆ
 
   “น้องชายจะไม่อ้อมค้อม  ที่เชิญพี่เว่ยมาในวันนี้ก็เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการทำเหมือง”

เว่ยหลิงจื่อพยักหน้าให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ

   “อย่างที่เราเห็น  ลมตะวันออกหนุนสำนักประตูทรราชและไมตรีโลหิต  พวกเขานำหน้าเราไปหนึ่งก้าว  และความได้เปรียบนี้จะยิ่งถ่างขึ้นเรื่อย ๆ หากว่าชาวยุทธพเนจรยังคงหลั่งไหลไปที่สำนักของพวกเขา”

คุณชายแห่งวังหมื่นบุปผาจิบชาบรรเทาอาการเมาค้าง  เหลือบตามองนิดหนึ่งแล้วกล่าว  “ทำไมเจ้าไม่อดทนออมกำลัง  รอให้พวกเขาทุ่มเทกำลังกำจัดอสูรจนหมด  แล้วค่อยบุกยึดเหมืองที่พวกเขาตระเตรียมไว้ให้”
   
   “แผนยืมเสื้อเจ้าสาวนี้น้องชายก็ขบคิดอยู่  แต่มันมีปัญหาสองอย่าง  หนึ่งคือการแก้แค้น  และสองคือความเห็นของผู้คน”

   “ว่ามา”

   “ถ้าคะเนจากกติกา  ในช่วงครึ่งแรกของการประลอง  คือการแข่งขันกำจัดอสูรเฝ้าเหมือง  และช่วงครึ่งหลังคือการแย่งชิงเหมืองจากผู้อื่น  ทว่าครึ่งที่สองเป็นกับดักสำหรับคนที่คิดจะออมกำลัง  เพราะเมื่อท่านโจมตีเหมืองคนอื่นได้  ผู้อื่นก็ย่อมแก้แค้นโจมตีท่านได้  ซึ่งทำให้ในที่สุดแล้ว  ผู้ที่มีกำลังมากกว่า  ย่อมได้ชัยชนะอยู่ดี”

ตู้เกี่ยนหลงเว้นจังหวะนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ   “และอสูรเฝ้าเหมือง  ในแง่หนึ่งมันคือหินลับมีด  อันสลักและขัดเงาดาบทื่อที่เรียกว่าศิษย์ใหม่  หินนั้นจะบดเนื้อเหล็กที่เกินความจำเป็น  อ่อนแอ  เศษสนิม  จนเหลือแต่แก่นโลหะอันแกร่งกล้า  ดังนั้นการรอแย่งชิงเหมืองด้วยดาบทื่อจึงเป็นไปไม่ได้  ถึงอย่างไรเราก็ต้องทำให้เต็มที่ในช่วงครึ่งแรก”

เว่ยหลิงจื่อขบคิดตามและพยักหน้า  “แล้วความเห็นของผู้คนล่ะ”

“ความเห็นของผู้คนคือชาวยุทธพเนจร   หากเรายึดเหมืองของสำนักอื่นและส่งคนของเราไปทำเหมือง  ชาวยุทธพเนจรที่ทำเหมืองนั้นอยู่แต่เดิมก็จะสูญเสียรายได้  พี่เว่ยว่าเขาจะมองเราเช่นไร”
   
“เข้าใจล่ะ  เจ้าหมายถึง  การแย่งชิงชาวยุทธรับจ้าง  ต้องเริ่มทำแต่เนิ่น ๆ  สินะ”

“ฮ่า ๆๆ”  ตู้เกี่ยนหลงหัวร่อ  “หรือมิเช่นนั้นเราก็ไม่ต้องแย่งชิงเลย  เราท่านไม่จำเป็นต้องมองว่าชาวยุทธเหล่านั้นคือบุคลากรภักดีมีสังกัด  แต่ให้มองว่าเป็นทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายถ่ายเทได้  เมื่อท่านแย่งชิงเหมืองสำเร็จ  ท่านไม่จำเป็นต้องขับไล่พวกเขา  พี่เว่ยสามารถเสนอสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมหรือเท่าเดิม  ให้ทุกคนยังคงทำงานเดิม  เท่านี้ทุกคนก็จะสบายใจและเราก็จะช่วงชิงความเห็นของผู้คนได้  ไม่เพียงเท่านั้นเรายังมิต้องเปลืองกำลังและทรัพย์สินในการพยายามแย่งชิงผู้คนในช่วงนี้อีกด้วย”

   “เจ้าเด็กร้ายกาจ  ใครรับมือกับเจ้าต้องปวดหัวน่าดู”   เว่ยหลิงจื่อจิบชาพลางกล่าวชม  แต่เมื่อเห็นตู้เกี่ยนหลงนิ่งยิ้มอยู่  จึงวางถ้วยชาแล้วเอ่ยถามต่อ  “ในเมื่อเจ้ามีแผนที่ดีอยู่แล้ว  ไฉนไม่ปล่อยให้เราสองเฮียม่วยวิ่งหัวปั่นตามเกมของพวกนั้นล่ะ”

เด็กหนุ่มผมสั้นยกมือประสานคารวะ  “เพราะนั่นคือความจริงใจของน้องชายที่มีต่อพี่เว่ย”

     “อย่ามัวแต่อ้อมค้อม  เจ้าอยากให้วังหมื่นบุปผาทำอย่างไร”

   “ถ้าพี่เว่ยเชื่อน้องชาย  ช่วงแรกพี่เว่ยก็ไม่ต้องจ้างวานชาวยุทธ  และเน้นแสวงประสบการณ์การต่อสู้ให้กับศิษย์สำนัก  จากนั้นในช่วงครึ่งที่สอง  เราจะล่อซ้ายโจมตีทางขวาต่อสำนักประตูทรราช  ตราบใดที่เราไม่แตะต้องปมเหมืองที่หลี่โอ๋อวิ๋นคุมอยู่  เขาย่อมไม่สามารถออกมาจัดการอะไรเราได้”

   “เหตุใดจึงเป็นประตูทรราชสำนักเดียว”   เว่ยหลิงจื่อขมวดคิ้วสงสัย

   “เรื่องนี้คงต้องถามพี่จ้าว”

ตู้เกี่ยนหลงกล่าวจบ   เงาร่างของชายรูปงามที่สุดในยุทธจักรก็สาวเท้าเดินเข้าอุทยานมาอย่างแช่มช้า  กระบี่ที่สะพายอยู่ข้างเอวไหวไปมาตามจังหวะก้าวเดิน   เขาหยุดตรงที่ก้อนหินใหญ่อันชนชั้นผู้นำทั้งหมดนั่งหารือกันอยู่  แล้วประสานมือคารวะ

   “คุณชายตู้  คุณชายเว่ย  ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง”

เว่ยหลิงจื่อสำลักน้ำชาพรวด  ราวกับกระอักโลหิตด้วยความแค้นใจเมื่อคิดถึงเงินทองทั้งหมดที่สูญเสียไปในวันนี้   เขาชี้มือแล้วพูดได้คำเดียว  “..เจ้า”

ตู้เกี่ยนหลงตบไหล่คุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา  แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  “ความผิดอยู่ที่น้องชายเอง  น้องชายขอร้องพี่จ้าวให้เล่นละครเพื่อว่าผู้อื่นจะได้คิดว่าพี่ชายทั้งสองไม่กินเส้นกัน”

“ฮ่า ๆๆ  จ้าวก็ไม่ได้เล่นละครหรอก  จริง ๆ ก็ไม่ค่อยชอบหน้าคุณชายเว่ยอยู่เหมือนกัน”

คุณชายจ้าวเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนสุภาพไม่มีที่ติ  ทว่าเนื้อหาของมันทำเอาเว่ยหลิงจื่อกระอักน้ำชาที่กินเข้าไปอีกรอบ   เว่ยเหลียนยู่ลูบหลังพี่ชายแล้วถลึงตาใส่จ้าวเหรินเจี่ยนว่าเจ้าจะพูดยั่วโมโหคนให้น้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่ 

   “เพ้ย  ตอนนี้ไมตรีโลหิตได้เปรียบอยู่แล้ว  ไฉนจะมาเป็นพันธมิตรกับพวกเรา  ตู้  เจ้าไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเหยื่อป้อนกระสุนปืนให้ไอ้เด็กหน้าขาวแซ่จ้าวหรืออย่างไร”

จ้าวเหรินเจี่ยนได้ยินดังนั้นจึงรีบอธิบาย   “คุณชายเว่ยกลัวเช่นนั้นก็มีเหตุผลอยู่  ระหว่างเราสามคนอย่างไรก็ต้องมีผู้ชนะเพียงคนเดียว  ในท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นเหยื่อกระสุนปืนให้ใครนั้นก็ยังไม่แน่  แต่ที่จ้าวตัดสินใจร่วมมือกับคุณชายทั้งสองนั่นก็เพราะว่าไมตรีโลหิตไม่ต้องการที่จะถูกโดดเดี่ยว   คุณชายเว่ยอาจจะยังไม่ทราบว่าประตูทรราชจับมือกับวารีพิสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว  และถ้าคุณชายทั้งสองตกลงร่วมมือกันอีก  จ้าวคงไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้”

ตู้เกี่ยนหลงหรี่ตาแล้วเอ่ยวาจา  “พี่จ้าวกล่าวเช่นนี้หรือจะมีนัยว่า  ยังไงพี่จ้าวก็จะเข้าร่วมพันธมิตรใดพันธมิตรหนึ่ง”

   “ฮี่ ๆ”

เมื่อจ้าวเหรินเจี่ยนไม่ตอบตรง ๆ   เด็กหนุ่มเจ้าของแขนล่ำน่ากัดจึงหันไปเกลี้ยกล่อมเว่ยหลิงจื่อ

“พี่เว่ยโปรดระงับความรู้สึกส่วนตัว  หากไมตรีโลหิตเข้าร่วมกับประตูทรราช  จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีก  พันธมิตรสามสำนักเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของของเราท่าน  และพี่จ้าวเองก็คงไม่อยากเก็บประตูทรราชไว้เป็นคู่แข่งคนสุดท้ายด้วย  น้องชายกล่าวจริงหรือไม่”

จ้าวเหรินเจี่ยนผงกศีรษะน้อย ๆ  ยอมรับการวิเคราะห์ของผู้นำศิษย์สำนักอำพันโบราณ

   “ช้าก่อน!”  เว่ยหลิงจื่อร้องเรียก

   “พี่เว่ยมีอะไรจะกล่าว?”
   
   “ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว  เจ้าคงบอกได้แล้วสิว่าชนะข้าได้ยังไงในการดวลสุรา  แล้ววิชาเซียนกระพริบตามีจริงหรือไม่”

   “ที่แท้ก็เรื่องนี้”   ตู้เกี่ยนหลงจับจมูกตนเองอย่างเขินอาย  “ขออภัยที่น้องชายหลอกพี่เว่ย  วิชาเซียนกระพริบตาไม่มีจริง  วิชาที่น้องชายใช้เรียกว่าโครโนซอรัสกลืนทะเล   มันมีข้อจำกัดอยู่  หาได้ใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดดังที่น้องชายโม้ไม่”

เว่ยหลิงจื่อตบเข่าตัวเองฉาด  “ข้านึกแล้วว่าเด็กหน้าขาวอย่างพวกเจ้าไม่มีตัวดี  ไปกันเถอะเหลียนเหลียน  คืนนี้พี่คงนอนหลับลงแล้ว”

   “ฮ่า ๆ พี่เว่ย  แม่นางเว่ย  เดินดี ๆ ขออภัยที่ไม่ส่ง”

ทุกคนล่ำลากัน  จ้าวเหรินเจี่ยนกลับค่ายตนเองทันทีไม่รั้งรอ  แล้วก็เหลือแต่ตู้เกี่ยนฟงกับคุณชายเสื้อน้ำตาล  ซึ่งยังคงยืนดื่มด่ำกับความสำเร็จของการเจรจา

+++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-09-2017 13:42:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-09-2017 13:43:31
ร้ายกาจๆๆ สามพรรครวมพลัง  o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 05-09-2017 14:02:57
เห็นรูปร่างกับเสื้อผ้าของตู้เกี่ยนหลงแล้วหายใจหืดหาดครับ คนนี้ผมอยากได้อ้ะคุณคีรีมานจาโร! (หัวเราะ) แหม่ สุภาพนอบน้อมแบบอ่านไม่ออก แถมยังมีอารมณ์ขันแบบแปลกๆอีกต่างหาก แล้วยังเลือกเสื้อผ้าเสริมเซ็กซ์แอพพีลสุดๆ! อูย ลำแขนนั้น อยากได้ครับ! (หัวเราะ) ปล่อยให้มังกรกับห่านฟ้าเค้าหวานกันต่อไป อย่าไปขัดเค้าเล้ย

หลายคนเปิดตัวได้น่าสนใจมากเลยครับ และเสี่ยวหมีก็ยังน่ารักเหมือนเดิมมมม (หัวเราะ) มีกลัวความสูงด้วยอะ แถมโดนจิ้มก็นอนหงายแผ่พุงอีก โอ้ยย ว่าแต่ข่าวคุณชายสามไปถึงพี่ชายรองรึยังเนี่ย เป็นจอมยุทธพเนจรรึ? หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโสสำนักปริศนา หรือจะเป็นตัวละครลับแจกของพลิกกระดาน!? โอ้วว

สำหรับคุณชายสาม (ต้องปรับโหมดก่อน) คุณชายสาม... ผู้น้องแซ่ห่านขออนุญาตเสนอแนะ ผู้น้องคิดว่าคุณชายสามประมาทแผนหนีแห่งสามสิบหกแผนมากเกินไปแล้ว โบราณว่าไว้ หากเป็นถึงจ้าวยุทธจักร แต่ยามใดเพลี่ยงพล้ำก็ต้องจบชีวิต หากมีแผนหนีอันล้ำเลิศ ไม่ว่าคุณชายจะประสบยอดฝีมือเพียงใด หรือแม้ปะทะกับจ้าวยุทธจักร คุณชายย่อมคลาดแคล้ว รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ว่าจะเป็นฝีดาบเอี้ยก้วย มหาเวทดูดดาว กระบี่เหล่งหูชง หรือแม้แต่มีดบินลี้กิมฮวง หากคุณชายสำเร็จวิชาเซียนหนีได้ถึงขั้นสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธใดก็สามารถหลบหนีได้ เท่านั้นไม่พอ ด้วยนิสัยคุณชาย ผู้น้องเห็นว่าสมควรยกกรณีขงเบ้งและจิวยี่มาเปรียบเปรย หากหลบหนีแล้วเย้ยหยัน ชาวยุทธจักรล้วนแต่เห็นค่าศักดิ์ศรีมากกว่าชีวิต ย่อมต้องกระอักเลือดตายเป็นแน่ ด้วยฝีปากคุณชายสาม ผู้น้องยังไม่เห็นใครเทียบเสมอเท่า ผู้น้องกล้ารับประกันว่าไม่ถึงสามบทกลอน ศัตรูย่อมหัวร้อนพลังปราณแตกซ่านตายห่าในทันใด

สำหรับศึกชิงเหมือง คุณชายสาม ทำการศึกย่อมต้องรู้จักศัตรู จอมยุทธเป็นได้ก็แค่จอมยุทธ อาจชนะการประลองหรือการต่อสู้ แต่มิอาจชนะศึกสงคราม ศึกสงครามสิ่งสำคัญคือสแตรจติจิส หากไร้ซึ่งกลยุทธ์ พลทหารย่อมวิ่งพล่านไปทั่วสนามรบ มิอาจบรรลุเป้าหมาย นักกลยุทธ์คือผู้กำหนดกระแสแห่งสงคราม ให้เป็นไปตามที่คาดหวัง รับแข็งด้วยอ่อน พลิกอ่อนเป็นกระแสน้ำไหลหลากเข้าถล่มศัตรู เต๋าแห่งการศึกนี้ผู้น้องเห็นว่าสำคัญนัก พี่ใหญ่ของคุณชายย่อมสั่งสอนบ้างเป็นแน่ เหล่าพรรคปลาทูสีน้ำเงิน(...)ควรต้องดึงความสามารถของคุณชายสามออกมาให้ได้ ผู้น้องขอเอาใจช่วย (และขอลวนลามตู้เกี่ยนหลงอยู่ห่างๆ (ฮา)) เสียดาย ผู้น้องอายุน้อยกว่าคุณชายสามสองสามปี หากมีโอกาส จะขอช่วยคุณชายสามพิทักษ์ธรรม อภิบาลผู้มีแวว กำจัดมารยุทธจักร
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 05-09-2017 16:08:57
 JustWait: เว้ลคั้มครับ

♥►MAGNOLIA◄♥: จะสู้คู่รักรวมพลังได้มั้ยนะ 55

Grey Twilight:  แน่ะ  อย่ามาแย่งตู้เกี่ยนหลงของผม  เป็นตัวร้ายที่น่าลูบไล้ที่สุด  ฮี่ๆๆ  เอ๊ะ  แต่แบ่งกันก็ได้  เกรย์เอาท่อนหัว  ผมเอาท่อนหาง  #เอาเขียงมาสับแบ่ง
อีกสามพี่น้องซีคงยังไม่มีบทช่วงนี้เลยครับ  แต่ผมยังไม่ลืมหรอกนะ
วิชาเซียนสามสิบหกแผนจะไปได้แค่ไหนก็ต้องลุ้นกันต่อไป  แต่มันยังไม่ถึงขั้นโกงเย้ยสวรรค์ (heaven defying)  เพราะไม่งั้นหวางเซียนเหลยคงไม่โยนให้ง่าย ๆ  อิอิ
เห็นอีพวกคุณชายและแม่นางทั้งหลายสุมหัววางแผนการ  บางทีผมก็อยากให้นายเมฆผยองเอาดาบมาฟาดทิ้งให้หมด  จะได้เข้าเส้นเรื่องหลักไว ๆ 55555+


+++++



ซีคงหยูลุกขึ้นจากเตียง  มือคว้ากระบอกไผ่หยกเย็นที่แอบจิ๊กมาจากหลี่โอ๋อวิ๋น  แล้วดื่มเข้าไปเพื่อชดเชยกับคอแห้งผาก   ในที่สุดเขาก็ฟื้นตัวจากผลข้างเคียงของยาเซียน  ซ่งมู่บอกเขาว่าที่เขาฟื้นตัวช้าเป็นเพราะใช้ยาเซียนชนิดนี้เป็นครั้งแรก  และเพราะเขาพ้นจากวัยที่ร่างกายแข็งแรงเต็มที่  หรือจะเรียกได้ว่าแก่..

“เพ้ย  จอมยุทธฝึกวิชาอายุขัยยืนยาวเป็นพันปี  27 อย่างข้าทำไมต้องเรียกว่าแก่”

หลิวเกาที่ยืนดูอาการอยู่ข้างเตียงจึงรีบบอกว่า

“เพราะนายน้อยเพิ่งบรรลุวรยุทธขั้นพื้นฐานสุด ๆ  ถ้าเทียบกับห่วงโซ่อาหารก็ปลาซิวปลาสร้อย   ศิษย์น้องจิ่งบอกข้าว่า  เด็กสี่ขวบที่ข้างบ้านนางก็มีวรยุทธระดับนายน้อยได้”

“เฮฟเว่นอะโบฟ!  แล้วเจ้าล่ะหลิวเกา  อายุเท่าไหร่”

“บ่าวอายุ 22 ไม่ขาดไม่เกิน”

“ฟัค!! ข้านึกมาตั้งนานว่าเจ้า 35”

“ความอ้วนมักจะลวงตาน่ะนายน้อย  แต่ตอนนี้บ่าวไม่อ้วนแล้ว”  พูดแล้วก็เบ่งกล้ามให้ดู   

“พูดคุยเรื่องอายุอะไรกันตาแก่”   หลู่เซียงเอ๋อเดินเข้ามาใกล้ ๆ กองฟางที่นอนของคุณชายสาม  พร้อมกับหมีเขียวคู่ใจ  นางเชิดอกแบน ๆ ตามวัยของตนอย่างภาคภูมิใจ   เมื่อเห็นคุณชายสามเลิกคิ้วมองก็เลยกอดอกพูดอย่างหยิ่งยโส

“ข้านำคำสั่งของประมุขพรรค  ซีคงหยู  เจ้ายังไม่รีบคุกเข่ารับคำสั่งอีก”

“เยอะนะยัยหมีเขียว  มีอะไรก็แพล่มมา”

“ประมุขจางสั่งว่า   การบุกเหมืองบ่ายนี้  เจ้าต้องเข้าร่วมคณะสำรวจด้วย”

“เมื่อวานข้าก็เพิ่งลงเหมืองมา  โอ๊ย  กระดูกกระเดี้ยว!”   ซีคงหยูบิดตัวทำสำออย

“เพ้ย  นั่นเจ้าลงให้ประตูทรราช   แต่ยังไม่ได้ช่วยสำนักเรา”

“...”   ซีคงหยูมองหน้าหลู่เซียงเอ๋อร์  แล้วก็เบือนหน้าหนี  ที่เขาลงเหมืองกับประตูทรราชมันเพราะอะไร  ถ้าไม่ใช่เพื่อสำนักวารีพิสุทธิ์

ศิษย์พี่หญิงสวีเดินเข้ามาพอดี   แล้วรีบปลอบประโลม

“ศิษย์น้องซีคง  อย่าได้ใส่ใจที่ศิษย์น้องหลู่พูดเหลวไหล  ศิษย์น้องจางไม่ได้สั่ง  แต่ขอร้องให้ช่วยเพราะเห็นว่าศิษย์น้องซีคงมีประสบการณ์ร่วมสำรวจกับทีมที่ประสบความสำเร็จ”

เมื่อเห็นว่าซีคงหยูยังนิ่งอยู่  นางจึงเกลี้ยกล่อมอีก

“การลงสำรวจครานี้ศิษย์พี่รับประกันว่าศิษย์น้องจะไม่ได้รับอันตรายอะไร  เราได้รับบทเรียนจากการบุกโจมตีครั้งก่อนแล้ว  ถ้าหากว่าเห็นท่าไม่ดี  พวกเราจะล่าถอยทันที”

“รักษาขุนเขาไว้ย่อมไม่ไร้ฟื้นไฟ  ศิษย์พี่หญิงสวีช่างเปี่ยมปัญญา”  ยัยหมีเขียวได้ทีรีบประจบประแจง

“นอกจากนั้น  ศิษย์น้องซีคงรู้เรื่องคะแนนความดีความชอบหรือไม่  ถ้าเจ้าร่วมทีมสำรวจจะได้ครั้งละ 5 คะแนน  แต่ถ้าการสำรวจประสบความสำเร็จจะได้คะแนนความดีความชอบถึง 100 คะแนน”

“โอ้”   คุณชายสามเริ่มกระดิกหูอย่างสนใจ   “แล้วคะแนนพวกนี้เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้างล่ะศิษย์พี่หญิง”

“ใช้แลกยาเซียนประเภทต่าง ๆ  ทรัพยากรสำหรับฝึกวิชา  อาทิเช่นแร่วิญญาณเซียน  แก่นอสูร  รวมทั้งยอดวิชาท่าร่างและยอดวิชาเซียนของสำนัก”

“นายน้อย”  หลิวเกาพูดอีกแรง  “บ่าวแลกวิชาท่าเท้าคุนเผิงมา   มันสุดยอดมาก ๆ”

เมื่อเห็นซีคงหยูทำหน้าสงสัย   หลู่เซียงเอ๋อร์เลยพูดด้วยสีหน้าดูหมิ่น

“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าศิษย์พี่หลิวเป็นผู้นำทีมคนเพียงคนเดียวที่บุกยึดเหมืองได้เมื่อวานนี้  คะแนนความดีความชอบของเขาจึงสูงกว่าคนอื่น”

คุณชายสามหรี่ตามองบ่าวรับใช้ของตน  ฮึ่ม  เจ้าเด่นเกินหน้าเกินตาข้าอีกแล้ว

เหมือนจะอ่านความคิดได้  หลิวเกาจึงรีบประสานมือกล่าว  “นายน้อย  ไม่มีชื่อเสียงใดได้มาโดยไม่ลงแรงกระทำ  ถ้านายน้อยตั้งใจพยายาม  บ่าวเชื่อว่านายน้อยต้องทำได้ดีกว่าบ่าวเป็นล้านเท่า”

“แต่ข้าไม่มีแรง  และข้าก็ปวดกระดูก  วันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ  ดูสิมือข้าสั่นไปหมด”

หลู่เซียงเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็ย่นจมูกใส่  “เจ้านอนขี้เกียจไปเถอะ  ข้าไม่ใช่ทาสรับใช้เจ้าจะได้มานั่งคอยให้ขวัญกำลังใจ”  นางสะบัดแขนเสื้อแล้วจูงหมีเดินจากไป

หญิงสวียิ้มให้ค้อมตัวน้อย ๆ  “ศิษย์พี่ก็คงโน้มน้าวได้แค่นี้  จะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ศิษย์น้องซีคง”

ซีคงหยูเห็นแม่นางทั้งสองเดินจากไป  ก็เผยอปากเล็กน้อยแล้วก็ขมวดคิ้ว  จากนั้นจึงเหลือบไปมองหลิวเกาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

“เจ้าไม่พูดอะไรหรอหลิวเกา”

“บ่าวเข้าใจความรู้สึกนายน้อย   ดังนั้นจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”

   “ความรู้สึกข้าหรอ  ความรู้สึกข้ามันเป็นเช่นไร  ทำไมต้องสนใจ  ข้ามันก็แค่คนขี้คร้าน”   เขาพูดแล้วก็อ้าปากหาวก่อนดึงผ้าห่มมาคลุมหน้า

หลิวเกาตบคอหมีดำที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ  มันหันไปมองหลิวเกาครู่หนึ่ง  หลิวเกาถอนหายใจเดินออกไปจากโรงนอน  ส่วนเสี่ยวหมีหมอบคว่ำลงใกล้ ๆ กับคุณชายสามที่นอนหันหลังให้กับทุกสิ่ง




++++++



ซ่งมู่มาหยุดยืนที่หน้าค่ายวารีพิสุทธิ์ใกล้ศาลเจ้าเก่า  เขาเดินจากประตูเหนือและแวะซื้อพุทราเชื่อมที่คุณชายสามชอบ  ก้อนพุทราเป็นสีแดงสุกใสเหมือนกับลูกแก้ว

“ข้าชื่อซ่งมู่  จากประตูทรราช  มาเยี่ยมพี่หยู  ซีคงหยู”

ทหารหญิงเฝ้าค่ายสองคนมองหน้ากัน  จากนั้นจึงหันไปพยักหน้า  “เจ้าเข้ามาได้”

ซ่งมู่ส่งยิ้มขอบคุณให้  เขาค่อนข้างรูปหล่อ  ทหารหญิงทั้งสองเลยอดที่จะมีสีแดงซ่านแผ่ขึ้นมาบนหลังใบหูไม่ได้

“พวกประตูทรราช  ช่างเป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อใจจริง ๆ”  พวกนางซุบซิบกันเมื่อซ่งมู่เดินสบาย ๆ ไปทางกระโจมนอนที่ทหารหญิงชี้ทาง

“อ๊อออออออ”  เสี่ยวหมีร้องต้อนรับเมื่อเห็นคนรูปหล่อเดินเข้ามาใกล้

“เสี่ยวหมีว่าไง  สบายดีมั้ย”

“อ๊ออออออ”

ซีคงหยูได้ยินเสียงเลยพลิกตัวกลับมาดู  เขาดึงผ้าห่มออกจากคางแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน

“อ้าว  น้องมู่  เป็นไงมาไง”

“ข้าซื้อมาฝาก”  ซ่งมู่ยื่นถุงใส่พุทราเชื่อมให้  อีกฝ่ายรีบคว้าไปสูดจมูกดมฟุดฟิดเหมือนแมวได้กลิ่นปลาย่าง

“ขอบใจน้องมู่มาก  ข้าเกือบอดตายผ่ายผอมแล้วถ้าไม่มีคนส่งอาหาร”  ซีคงหยูดึงคอเสื้อให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่บุ๋มเข้าไปตามความผ่ายผอมที่เขาอ้าง

ซ่งมู่มอง  แล้วก็เสมองทางอื่น  จากนั้นกวาดตากลับมาอีกที  แล้วกระแอม

“พี่หยู  เมื่อครู่ข้าเห็นวารีพิสุทธิ์ส่งคณะสำรวจออกไปที่เหมือง  ข้านึกว่าพี่หยูจะไปด้วยซะอีก”

“ฮ่า ๆ ก็เพราะข้าหยั่งรู้ว่าน้องมู่จะมา  ก็เลยอยู่รอไง”

“พี่หยูอย่าพูดเล่น  เดี๋ยวข้าเผลอคิดจริงจัง”  ซ่งมู่พูดยิ้ม ๆ

“ข้าพูดจริง  ข้าคิดถึงน้องมู่จะตาย  คนที่นี่เอาแต่กลั่นแกล้งข้า  หาว่าข้าขี้เกียจขี้คร้านไม่รักตัวเอง  กระซิก ๆ”   ได้ทีก็บีบน้ำตาใส่สีตีไข่อีกเจ็ดเท่า

“ฮ่า ๆ  พูดธุระดีกว่า  พี่ใหญ่ให้ข้าเอาของมาให้พี่หยู”

ซ่งมู่พูดจบก็ล้วงห่อผ้าออกมาจากอกเสื้อ   วางลงบนฟางใกล้ ๆ กับคุณชายสาม  แล้วคลี่ผ้าออก  มันเป็นกล่องหยกสำหรับรักษายาเซียนไม่ให้บุบสลาย

“ความกล้าของหนู่โม่หวาง”  ซีคงหยูเลิกคิ้วและลองเดาดู

ซ่งมู่พยักหน้า  “ใช่แล้ว”  เขาเว้นแล้วกล่าวต่อ  “พี่หยูอาจจะยังไม่รู้  ยาเซียนชนิดนี้มีมูลค่าสูงมาก  มันเป็นหนึ่งในสามยอดเซียนไฟ   จากตำหนักอาคันตุกะแดนไกล”

“สามยอดเซียนไฟ  อาคันตุกะแดนไกล?” 

เมื่อเห็นซีคงหยูทวนคำอย่างครุ่นคิด   ซ่งมู่จึงอธิบายต่ออย่างอดทน  “ตำหนักอาคันตุกะแดนไกลเป็นตำหนักที่วิจัยยาเซียนโดยเฉพาะ  พวกเขาสั่งสมชื่อเสียงมาหลายร้อยปี   และผลิตยาเซียนมหัศจรรย์จำนวนมาก   ถ้าพี่หยูสนใจด้านยาเซียน  สามารถเข้าศึกษาต่อที่ตำหนักนี้ได้   ทุก ๆ ปีพวกเขาจะเปิดรับนักปรุงยาจากทุกสารทิศมาเรียนรู้และฝึกปรือในตำหนัก”

ชายหนุ่มกล่าวต่ออีก  “สำหรับสามยอดเซียนไฟ  คือยาเซียนธาตุไฟสามชนิด  ที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่ดีที่สุดในยุทธภพ  ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางที่อยู่ตรงหน้าพี่หยูคือหนึ่งในนั้น  อีกสองยอดเซียนไฟคือความมุ่งมั่นของโฮ่วอี้  และความกระจ่างแจ้งของหนี่วา   ถ้าพี่หยูท่องเที่ยวในยุทธภพต่อไปเรื่อย ๆ คงได้สัมผัสยาเซียนทั้งสอง”

ซีคงหยูฟังจนหูกระดิก  “โอ้  ถ้างั้นก็แพงมากเลยสินะ  ทำไมน้องอวิ๋นเขาให้ข้าล่ะ”

“ถ้าพี่หยูไม่รู้  ข้าก็ไม่รู้สินะ  ฮ่า ๆ”   ซ่งมู่หัวเราะแล้วหลบตา

คุณชายสามเหล่มอง  เขาเชื่อว่าซ่งมู่มีสมมติฐานในใจ  แต่ขี้เกียจสืบสาว  เขาจึงยกถุงพุทราเชื่อมในมือขึ้นแล้วเขย่าเรียกความสนใจ

“ความปรารถนาดีของน้องมู่  ข้ารับมาแล้ว  เพื่อความยุติธรรมข้าจะรับความปรารถนาดีของน้องอวิ๋นด้วยก็ได้”    ทำทีเป็นไม่อยากได้แต่ก็รีบคว้ากล่องยาเซียนไปเก็บอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นของฝากตัวเองถูกเทียบกับพี่ใหญ่  ซ่งมู่ก็ยิ้มเขิน ๆ  ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง

“สำหรับวิธีใช้และข้อควรระวังของยาเซียน  พี่หยูคงทราบอยู่แล้ว  แต่ข้าอยากย้ำเตือนพี่หยูให้ระมัดระวังให้มาก  ข้าไม่แน่ใจว่าที่พี่ใหญ่กำนัลยาเซียนนี้จะเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้าย  ขอให้พี่หยูทำให้ดีที่สุด”

“ขอบใจมากสำหรับคำเตือนของน้องมู่”   คุณชายสามตบไหล่ซ่งมู่อย่างหนักแน่น  ก่อนคิ้วของเขาจะเริ่มขมวดอย่างใคร่ครวญ  ซ่งมู่ลอบมองสีหน้าครุ่นคิดของซีคงหยูอย่งตะลึงตะลานใจ  และสักพักคิ้วที่ขมวดนั้นก็คลี่ออก  พร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่คลี่คลายด้วย

“ฮี่ ๆๆๆ   น้องมู่   ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า”

เสี่ยวหมีที่หมอบอยู่ลืมตาโพลง  เพราะรู้สึกได้ถึงรัศมีปีศาจร้าย




+++++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 05-09-2017 16:49:26
อภิทานตัวละคร


ตระกูลซีคง

- ซีคงเซี่ย    ท่านพ่อ
- ซีคงหยู     พระเอก
- ซีคงไท่หยาง   คุณพี่แม่ทัพ
- ซีคงเจี่ยง    ท่านจอมยุทธ
- ซีคงเหอ   เถ้าแก่น้อย


สำนักวารีพิสุทธิ์

- เจ้าสำนัก    ก็เจ้าสำนักน่ะสิ
- หมิงอวี้กว๋อ   ผู้อาวุโสจักรวาลสอดคล้อง
- ชวงลี่เอ๋อร์  ผู้อาวุโสปลาว่างเปล่า
- ไป่หลินหลิง  ผู้อาวุโสลมและเมฆ
- เส้าหยูเสวียน  ผู้อาวุโสนกยักษ์

- ไป่หลันหลัน  ศิษย์รับใช้ไป่หลินหลิง
- หวูชิงหรู   ศิษย์รับใช้ในสังกัดของไป่หลินหลิง
- อาสิบหกและอาสิบแปด  ตัวประกอบ  อย่าไปสนใจ
- จางชุ่ยฮัว   หัวหน้าคณะรัฐประหาร
- ศิษย์น้องเหยียน   ผู้ธำรงความยุติธรรมและความรัก
- ศิษย์พี่สวี   นางฟ้า
- หลู่เซียงเอ๋อร์  ยัยหมีเขียว
- ศิษย์น้องจิ่ง  ยัยหมาจู
- หลิวเกา  ดาวรุ่งพุ่งแรง
- หญิงลี่หญิงซู  ทหารหน่วยวารีโลหิต



สำนักประตูทรราช

- หลี่โอ๋อวิ๋น   นายเมฆผยองพองขนฟูนุ๊มนุ่ม
- ซ่งมู่   อิอิิอิ
- ซ่งจิน   มือธนูตาปลาตาย  แมลงวันก็ตาย


 
สำนักอำพันโบราณ
- ตู้เกี่ยนหลง   ของคนเขียน  ห้ามแย่ง
- หวงอี่กงจื้อ   แปลว่าคุณชายเสื้อเหลือง


สำนักไมตรีโลหิต
- จ้าวเหรินเจี่ยน   บางทีก็น่ารัก  บางทีก็น่าตบ


วังหมื่นบุปผา
- เว่ยหลิงจื่อ   จมูกชี้สู่ฟ้ารูที่หนึ่ง
- เว่ยเหลียนยู่  จมูกชี้สู่ฟ้ารูที่สอง



หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 05-09-2017 17:55:17
ของวังบุปผานี่แบบ อะไรคือรูจมูกชี้ฟ้า เหอๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-09-2017 22:03:20
จริง ๆ หลิวเกาคือพระเอกสินะ....
สามสำนักร่วมมือ ข้าขอเดาว่าไร้มิตรแท้

...........

เป็นทำเนียบแนะนำตัวละครที่ไร้อคติ ช่างเป็นกลางและปล่อยวางดั่งแม่น้ำที่ไหลไปสู่ผู้ซึ่งน่ากินเสมอ

เที่ยงแท้ยิ่ง เที่ยงแท้ยิ่ง
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 05-09-2017 23:15:44
เมื่อไรซีคงหยูจะเทพ555
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 14 (วันที่ 5/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 06-09-2017 07:31:00




เพ้ย! เสี่ยวหมี เจ้าจะยอมพ่ายแพ้ต่อความหล่อของบุรุษง่าย ๆ เหมือนข้ามิได้! (อ๊อออออออ!)
ฮึ่ย! ยิ่งอ่านยิ่งอยากหยำอยากนวดเสี่ยวหมี หมีอะไร น่าร้ากกกกกแบบนี้

มาทางฝั่งมนุษย์ ก็คงต้องปล่อยให้แต่ละพรรคเรียนรู้ความเจ็บปวดของการถูกทรยศหักหลังด้วยตัวเองกันต่อไป
หึ! คิดเหรอว่าเด็กเมื่อวานซืน (ศิษย์น้องตู้) พ่อหน้าหยก (พี่เจ้า) และสองศรีพี่น้องเว่ยจะดีกันได้นาน
นี่ก็รอวันที่คนใดคนหนึ่งจะหันมาสมคบกับไก่รองบ่อนอย่างพรรคปลาทูน้ำเงินบ้าง... สงสารพวกนางนะคะ ที่มีแค่หลิวเกาเท่านั้นให้เพ้อหา

ส่วนน้องอวิ๋นในตอนนี้ ถึงจะไม่มีบทบาท แต่ออร่าสายเปย์แผ่มาเตะตาป้าเต็ม ๆ เลยจ้ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ ๆ !  :กอด1:

ป.ล. ขอบคุณที่ชี้แนะลิงค์ของดีค่ะ แต่ถึงเราจะดีใจที่เราสามารถหาแหล่งอ่าน ZTJ ได้แล้ว แต่พอเห็นจำนวนตอนทั้งหมด เราก็แทบลมจับ คุณพระ พันกว่าตอน... คนเขียนเก่งกล้าสามารถเหลือเกิน!

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 06-09-2017 12:38:25
wnkth:   ฮ่า ๆๆ  แซวพวกเขาเล่นเจ๋ย ๆ

alternative:    หลิวเกา!  ดูสิคนอ่านว่าเจ้าเป็นพระเอกแทนข้าแล้ว!  #คุณชายสามจับคอเสื้อหลิวเกาเขย่าๆๆ
"แม่น้ำที่ไหลไปสู่ผู้น่ากิน"  <<< บรรยายได้ดี บรรยายได้ดี  อิอิ

พิศตะวัน:  เริ่มฉายแววล่ะครับ  *-*

Malimaru: ไม่ได้ยอมแพ้ผู้ชายหล่อ  เขาเรียกว่าต่อให้ก่อน 
สามพันธมิตร  จ้าวเหรินเจี่ยนก็พูดล่ะว่ายังไงสุดท้ายก็ต้องแตกกัน  วารีพิสุทธิ์+ประตูทรราชก็เช่นกัน  เพราะผู้ชนะมีได้เพียงทีมเดียว  รักแท้ข้ามสำนักจะเอาชนะกติกาได้หรือไม่  เรามาติดตามกันต่อครับท่านผู้ชม  (T^T)



 


+++++++++


ดาบเป็นอาวุธที่ไม่สง่างามเท่ากับกระบี่  มันมีคมด้านเดียว  ความหนาและน้ำหนักไม่สมมาตร  ใบของมันบางทีก็ใหญ่บางทีก็เล็ก  ดาบเป็นอาวุธของพวกโจรผู้ร้าย  เพราะมันไม่ได้เอาไว้ดวลกับยอดฝีมือด้วยกัน  มันเอาไว้ฆ่าคน  วางเพลิง  ทำลายรั้วไม้  ทลายผนัง  รวมทั้งใช้สะบั้นคอมนุษย์  ดังนั้นมันจึงต้องการน้ำหนักที่จะช่วยให้การเหวี่ยงของมันรุนแรงขึ้น  มันไม่ได้ใช้แทงด้วยกระบวนท่าที่สวยงามประดุจการร่ายรำ  แต่ว่ามันใช้งานได้ดี

ประตูทรราชเป็นสำนักดาบ  แต่บางคนก็ไพล่ไปใช้ธนู  หรือกระบอง  ที่พวกเขาไม่ใช้คือกระบี่  สัญลักษณ์ของความเสแสร้งให้ดูหรูหราราคาแพง  ในมือซ่งมู่ก็ถือดาบ  มันเป็นดาบมาตรฐาน  ยาวห้าเชียะสามหุน  ด้ามทำจากทองแดงพันด้วยผ้าป่านสีดำธรรมดา   ตรงสันมีห่วงเหล็ก  มันจะส่งเสียงดังติงตังเมื่อเคลื่อนไหว  เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อาวุธลอบสังหาร  มันคือสิ่งที่จะถูกใช้อย่างเปิดเผย   เสียงของมันจะบอกคู่ต่อสู้ว่า  เฮ้  ข้าจะโจมตีล่ะนะ

ท่าดาบที่เขาร่ายรำก็เป็นท่ามาตรฐาน  หงสากางปีก  พยัคฆ์ลงจากภูเขา   มังกรดั้นเมฆ  สามท่าวนเวียนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดประดุจวัฏจักรของฤดูกาล  ป้องกัน  จู่โจม  ฉกฉวยจังหวะ   สามท่าพื้นฐานที่แสดงถึงสารัตถะของการต่อสู้  เหมือนกับไม้หยาบอันถูกริดรอนกิ่งและผิวขรุขระออกจนหมด   เหลือแต่แก่นแกนของมันก็เท่านั้น

ซีคงหยูดูการร่ายรำเพลงดาบอย่างตะลึงตะลาน   เขารู้ว่านี่คือเพลงดาบอย่างง่ายที่ทุกผู้คนสามารถร่ำเรียนได้  หาใช่เพลงอาวุธวิเศษอันเป็นสมบัติบรรพชน  แต่กระนั้นเมื่อมันถูกร่ายโดยดาบที่ธรรมดาอย่างยิ่ง   ในมือที่ดูธรรมดาไม่ผิดแผกกัน  มันกลับดูเหมาะเจาะสอดคล้องโดยไม่มีที่ติ  เพลงดาบของซ่งมู่ถะโถมอย่างต่อเนื่องเหมือนกับธารน้ำไหล  แต่ในอีกชั่วขณะมันก็คือเปลวไฟ  สายตาของชายหนุ่มจดจ่อไปข้างหน้า  ราวกับจับจ้องศัตรูที่มองไม่เห็น   เหงื่อซึมออกมาตามคิ้ว  และย้อยลงไปสู่ขนตางอนยาวตัดกับเครื่องหน้าที่ดูแข็งแรงคมชัด  ซีคงหยูเคยล้อคนผู้นี้ว่า  จมูกยังโด่งไม่พอ  แต่เมื่อมองดูดี ๆ แล้ว  กลับพบว่าจุดบกพร่องของใบหน้ากลายเป็นเสน่ห์ตรึงตรา  ทำให้รู้สึกว่านี่คือมนุษย์  แต่ก็เป็นมนุษย์ที่มีมุมชวนเร่าร้อนและมุมพร่องที่ทำให้เขาเป็นเขาในเวลาเดียวกัน

ซ่งมู่ทวนเพลงดาบรอบที่ห้า   จากนั้นวาดดาบเก็บในท่าพัก  กล้ามเนื้อหลังและแขนที่เขม็งเกลียวของเขาก็ค่อย ๆ คลาย  เขายกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตน  จากนั้นส่งยิ้มเซ่อ ๆ ให้คนที่นั่งปรบมืออยู่ใกล้ ๆ

“พี่หยูดูแล้วจำกระบวนท่าได้หรือเปล่า  ลองดูบ้างมั้ย”

คุณชายสามลุกขึ้น  บิดขี้เกียจหนึ่งที   ก่อนยื่นมือไปรับดาบที่ซ่งมู่ส่งให้

“ลองดูก็ได้”   ซีคงหยูทบทวนความจำ   วาดดาบไปข้าง ๆ ยกขาขึ้นข้างหนึ่ง   อีกมือที่ไม่ได้ถือดาบก็ยกขึ้นเพื่อความสมดุล  นี่คือท่าหงสากางปีก   อาจจะดูเหมือนไม่มั่นคง  แต่หัวใจของมันคือการเปลี่ยนแปลงในสามทิศทาง  ท่าร่างของผู้ใช้จะดูเหมือนปิรามิด  ที่พร้อมจะยักย้ายถ่ายมุมได้ตลอดเวลา  ปีกของหงส์ที่กวาดไปทางซ้ายก็สามารถย้อนมาโจมตีขวา  หรือร่อนไปในนภาเพื่อเตรียมสังหารศัตรู

จากนั้นเขาหย่งปลายเท้าขึ้น   หมุนด้ามดาบมาจับสองมือ  ย้ายจุดศูนย์ถ่วงของร่างลงต่ำ  และพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับฟาดดาบประดุจพยัคฆ์ร้ายที่กระโจนกางเขี้ยวเล็บ  กระบวนท่านี้จุดสำคัญอยู่ที่ความเร็วและการเปลี่ยนน้ำหนัก  มันคือการทำลายศัตรูในเวลาที่พวกเขาระมัดระวังตัวน้อยที่สุด  การอดทนรอจังหวะใช้เป็นเรื่องสำคัญ  เหมือนกับพยัคฆ์ที่จะต้องรู้ว่าควรลงเขาเมื่อใด

ซีคงหยูร่ายดาบทั้งสองกระบวนท่าอย่างเชื่องช้า   เขาทำตามคำแนะนำของซ่งมู่  ว่าให้เน้นความถูกต้องของรูปแบบก่อนแล้วค่อยใส่จังหวะ  พลัง  และจิตวิญญาณลงไป  ท่าสุดท้ายคือมังกรดั้นเมฆ  สองมือจับดาบฟาดช้อนขึ้นและสะบั้นลง  ด้ามดาบยกที่หลังใบหูพร้อมทั้งทิ่มแทง  และพร้อมที่จะยันตัวถอยออกไปห่าง   กระบวนท่านี้อาศัยการผันแปรตามสถานการณ์  ศัตรูพ่ายแพ้ให้รีบรุกไล่  เมื่อศัตรูได้เปรียบก็ต้องรีบถอย   โจมตีซ้ายขวาบนล่างเพื่อทำลายกระบวนทัพ  ซ่อนจริงปนลวง  ลวงปนจริง  ถอยและบุกผสมผสานกัน

“เร็วขึ้นอีก”   ซ่งมู่บอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายร่ายจบหนึ่งรอบแล้ว  โดยที่รูปแบบท่าร่างถูกต้องในระดับที่ยอมรับได้

ซีคงหยูสูดลมหายใจลึก   จากนั้นเริ่มร่างหงสากางปีกใหม่อีกครั้ง  คราวนี้เขาฟังเสียงเต้นของหัวใจตนเอง  และปล่อยให้กระบวนท่าเคลื่อนคล้อยไปตามจังหวะ

“ยอดเยี่ยม”  ซ่งมู่กล่าวชม  เมื่อเห็นคุณชายสามใช้จังหวะของตนเองในการร่ายรำ  แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบ   แต่ซ่งมู่ก็รู้ว่าน้อยคนนักที่ทำถึงขั้นนี้ได้ในการทดลองครั้งแรก

เมื่อได้ยินคำชม  ซีคงหยูก็ฮึกเหิม  แต่เพราะคาดหวังความสำเร็จ  พยัคฆ์ลงจากภูเขาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า   เขาจับจังหวะมันไม่ได้  มันมีแต่รูปแบบทว่าปราศจากลมหายใจ

“ไม่ต้องสนใจ  ท่าต่อไป”   ซ่งมู่ตะโกนบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเสียจังหวะ  ซีคงหยูรีบใช้มังกรดั้นเมฆ  มันรวดเร็วทว่ายังมีข้อผิดพลาด  เมื่อครบหนึ่งรอบ  ซีคงหยูก็หยุด

“ที่พี่หยูผิดพลาดเพราะท่ายืนไม่ถูกต้อง  และเกร็งกล้ามเนื้อผิดมัด  เมื่อใส่แรงลงไปมันจึงผิดเพี้ยนจากที่ฝึก”   ซ่งมู่วิจารณ์

“งั้นต้องทำไงล่ะ”

“พี่หยูลองยืนอย่างนี้”  ซ่งมู่ทำท่าจับดาบในอากาศ  แล้วยืนให้ดู  ซีคงหยูมองดูแล้วรีบทำตาม

“เกือบล่ะ”  ซ่งมู่เดินวนดูรอบ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ว่าท่าทางถูกต้องหรือไม่  “ทีนี้เวลาที่พี่หยูวาดดาบไปข้าง ๆ  พี่หยูต้องเกร็งหลังเหมือนกับบีบสะบักหลังเข้าหากัน”

“ยังไง”

ซ่งมู่ไม่ตอบด้วยคำพูด  เขาเข้าไปยืนข้างหลังศิษย์จำเป็น  แล้วจับไหล่ที่เนียนลื่นนั้นให้เคลื่อนเข้าหากัน

“ทีนี้ลองวาดดาบไปทางซ้ายท่าหงสากางปีก”

ซีคงหยูทำตามที่บอก  ไหล่ของเขาถูกจับเอาไว้ให้เกร็งไปข้างหลัง

“ไม่ ๆ  องศาแขนไม่ถูก”  ซ่งมู่พูดแล้วใช้มือหนึ่งสอดใต้รักแร้ของคนที่ยืนหันหลังให้  จับข้อศอกให้ตรงตามท่าที่ถูกต้อง  เขาต้องเคลื่อนไปใกล้จนร่างแทบแนบชิดกับอีกฝ่าย   จมูกของซ่งมู่เข้ามาใกล้ชิดกับซอกคอของคนตรงหน้า  และสายตาก็มองลงไปในคอเสื้อ  เห็นรอยต่อระหว่างผิวสีน้ำผึ้งกับสีขาวอันเกิดจากการชอบเที่ยวเล่นกลางแจ้งของคุณชายสาม  เขานิ่งไปครู่หนึ่ง   กลั้นหายใจ  ก่อนจะบอกให้ซีคงหยูเริ่มขยับตามกระบวนท่า  ซ่งมู่ต้องเคลื่อนไหวตามไปด้วยดุจเงา  เพื่อไม่ให้กระบวนท่าของผู้เรียนติดขัด  ร่างของทั้งสองสอดประสานและมือของซ่งมู่ก็เคลื่อนไปทั่ว  ตามแต่ว่าจะมีจุดผิดพลาดที่ร่างกายส่วนใด

เมื่อคุณชายสามออกแรงในกระบวนท่าได้อย่างถูกต้องตลอดรอดฝั่ง   ซ่งมู่ก็ลอบระบายลมหายใจที่กลั้นไว้  เขาถอยห่างออกมา  แล้วบอกให้ซีคงหยูทบทวนกระบวนท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การฝึกและปรับแก้กระบวนท่าดำเนินไปอย่างต่อเนื่องถึงสองชั่วยาม   แต่ซีคงหยูก็พอใจในผลลัพธ์ที่ได้   เขาจับดาบในมือชั่งน้ำหนักอย่างอย่างคะเน  จากนั้นหมุนข้อมือให้ดาบควงเป็นวงหนึ่งรอบ  ตอนนี้เขาเริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับว่าอาวุธในมือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สามารถบังคับได้ตามใจ

ซ่งมู่ยืนมอง  ส่ายหน้า  แล้วก็ถอนหายใจ   คุณชายสามที่เหลือบไปเห็นจึงเลิกคิ้วถาม

“ทำไมหรือน้องมู่  ข้ายังทำได้ไม่ดีหรอ”

“เปล่าหรอกพี่หยู   ข้าเพียงแต่สะทกสะท้อนในพรสวรรค์ของตนเอง  กว่าข้าจะฝึกให้ได้เท่าพี่หยู  ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าใช้เวลาไปเท่าไหร่”

ซีคงหยูส่ายหน้า

“สามเดือน..  แต่พี่หยูฝึกได้ในสองชั่วยาม  หากผู้ใดกล้าว่าพี่หยูไร้พรสวรรค์  ข้าจะเตะไข่มัน”

ซีคงหยูยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“น้องมู่พูดจริงหรือ”

“จริง”

“โอ้  งั้นเตะเบา ๆ นะ”

“ไฮ้  ข้าหมายถึงจริงที่พี่หยูมีพรสวรรค์”

“ฮ่า ๆ  และข้าก็หมายถึงน้องอวิ๋นนั่นแหละที่บังอาจบอกว่าข้าไม่ได้เรื่อง  เจ้าจะเตะก็ระวังหน่อย”

“...”


+++++


เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว  ซีคงหยูก็เดินไปหาซ่งมู่อีกครั้ง

“ตอนนี้ข้าก็ฝึกเพลงดาบพื้นฐานสำเร็จแล้ว  เจ้าจะพาข้าไปเที่ยว  เอ๊ย..ลงเหมืองตามที่สัญญาได้หรือยัง”

คุณชายสามประสานมืออธิษฐานทำตาเป็นประกายวิ้ง ๆ  ขณะที่อีกฝ่ายเหงื่อตก   เพราะไม่นึกว่าซีคงหยูจะทำได้ตามเงื่อนไขภายในระยะเวลาเท่านี้  สงสัยว่าเขาเผลอ ‘ตั้งใจสอน’ มากเกินไปหน่อย

“เอ่อ  ไม่ดีมั้ง  เดี๋ยวพี่ใหญ่ดุ  ข้าต้องไปรายงานเขาก่อน”

ซีคงหยูได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วนิ่วหน้า  “หืมมม  น้องมู่  เจ้าจะผิดคำพูดอย่างงั้นรึ”

ซ่งมู่ทำสีหน้ายุ่งยาก  “แต่..แต่พี่หยู   การโจมตีเหมืองกันแค่สามคนมันเป็นไปไม่ได้”

“ยังไม่ได้ลองจะรู้ได้ไง  นะ  นะ  น้องมู่  น้องมู่ผู้องอาจ  ชาญฉลาดและแข็งแรง  ประสาอะไรกับอสูรน้อยกระจอก ๆ พวกนี้  ต่อให้ราชาอสูรมา  น้องมู่ตวัดดาบเดียวก็ปลิวไปทั้งก๊ก   แถมยังมีเสี่ยวหมี..”   คุณชายสามตบคอหมีคู่ใจแปะ ๆ   “โอ้โห  เสี่ยวหมี  เจ้าหมีเทพสงคราม  อะไรจะแข็งแกร่งล่ำบึ๊กขนาดนี้”

“อ๊ออออออ”  เสี่ยวหมีฟังแล้วก็เชิดจมูกอย่างภาคภูมิใจ

“ฮ่า ๆๆ  เสี่ยวหมี  ถ้าเชื่อพี่หยูมาก  ระวังจะโดนหลอกไปขายนะ”

“อ๊อออออออ”

“เพ้ย  น้องมู่  อย่ามาเป่าหูหมีข้า..แล้วข้าจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ถ้าขายได้”

“อ๊อออออออออ!!!”

“เอาล่ะ  จริงจัง”   ซีคงหยูเก็บรอยยิ้มหันไปมองตาซ่งมู่  “ข้าอยากทดลองความกล้าของหนู่โม่หวางอีกครั้ง  ข้ากำลังสงสัยว่ามันจะช่วยแก้จุดอ่อนของข้าได้หรือไม่”

“จุดอ่อนของพี่หยู?”

“อะเครเซีย”  ซีคงหยูพูดภาษาที่หนุ่มร่างสูงไม่รู้จัก  เมื่อเห็นดังนั้นคุณชายสามจึงขยายความ  “ความอ่อนแอของเจตจำนง..”

ซ่งมูพยักหน้าน้อย ๆ 

“ดังนั้นน้องมู่ช่วยไปดูแลข้าในเหมืองได้หรือเปล่าล่ะ”

“กุญแจเหมืองล่ะ”

“แอ่นแอ๊น..”  ซีคงหยูฉีกยิ้มโชว์แผ่นหยกกลมที่ไปจิ๊กมาจากโต๊ะทำงานของพี่หญิงสวี

ซ่งมู่ถอนหายใจ   เพราะดูเหมือนว่าจะเลี่ยงไม่ได้


++++++++++++



ซ่งมู่และซีคงหยูยืนอยู่ที่ปากถ้ำประตูเข้าสู่ดินแดนลี้ลับ   ในมือของทั้งสองคนมีเชือกมัดใหญ่  พวกเขาสาวเชือกดึงมวลวัตถุสีดำและมีขนอุยขึ้นมาที่หน้าถ้ำ  และเนื่องจากรู้ว่าเสี่ยวหมีกลัวความสูง  พวกเขาจึงเลือกประตูที่อยู่บนซอกผาที่ไม่ไกลจากพื้นดินมากนัก  แต่ถึงกระนั้นเสี่ยวหมีก็ต้องหลับตาปี๋เมื่อถูกชักรอกขึ้นมา

“เสี่ยวหมี  เจ้ากินอะไรเข้าไปวันนี้   ขนาดข้าใช้พลังปราณช่วยยังหนักอิ๊บอ๋าย”   ซีคงหยูบ่นขณะที่ลากหมีดำเข้ามาในถ้ำได้สำเร็จ

“อ๊อออออ”

ซ่งมู่ยืนยิ้มและลูบหัวเสี่ยวหมี  “พี่หยู  น้ำหนักเยอะสิดี  เดี๋ยวนี้เนื้อหมีราคาชั่งละหลายร้อยตำลึงเชียวนะ  โอ๋ ๆ เสี่ยวหมี  ข้าล้อเล่น”   นักดาบหนุ่มรีบปลอบใจเมื่อเห็นเสี่ยวหมีตวัดตาค้อนแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น  แต่แล้วก็หันกลับมาเลียมือของซ่งมู่เมื่อได้รับคำปลอบ

คุณชายสามเท้าสะเอวดูอย่างหมั่นไส้  กะเจ้าของงอนเอา ๆ   แต่ทีกะคนหล่อ  ออเซาะเลยนะ   เอ๊ะ  แต่มันเป็นตัวผู้นี่

ซีคงหยูม้วนเชือกเก็บ  แล้วใส่ในห่อผ้าที่สะพายไว้ข้างหลัง  เขาไม่มีแหวนสี่มิติเหมือนกับชนชั้นหัวหน้าศิษย์คนอื่น ๆ  จากนั้นก็ล้วงกล่องยาเซียนไฟออกมาจากอกเสื้อ  แล้วนั่งยอง ๆ คุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อให้ถนัดเปิดกล่อง

เขาหยิบเข็มยาเซียนความกล้าของหนู่โม่หวางมาส่องดู  ผิวแก้วของกระเปาะยาสะท้อนแสงสีแดงอมขาวของประตูดินแดนลี้ลับที่ปากถ้ำ 

“คราวก่อนที่ผลข้างเคียงรุนแรง  อาจจะเพราะว่าได้รับปริมาณมากไป”   ซีคงหยูวิเคราะห์ตนเอง  “งั้นคราวนี้ข้าจะใช้แค่ครึ่งเดียว  ส่วนอีกครึ่ง”   เพ่งพิศดูยาเซียนอยู่ครู่หนึ่ง  ก็เหลือบหางตาไปมองเสี่ยวหมีที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่แล้วฉีกยิ้มหัวเราะฮี่ ๆ

เสี่ยวหมีขนลุก  มันหันไปมองซ่งมู่เพื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือ  แต่กลับเห็นพ่อหนุ่มทำตาเป็นประกายอย่างสนอกสนใจเช่นเดียวกัน   เมื่อสิ้นหวัง   เสี่ยวหมีจึงล้มแบะลงไปแล้วทำเสียงคร่อก   คนที่บอกว่าเจอหมีให้แกล้งตาย  แปลว่าเขายังไม่เคยเจอเหล่านักวิทย์สติเฟื่อง!

ซีคงหยูฉีดยาเซียนเข้าเส้นเลือดตนเองครึ่งหนึ่ง  จากนั้นก็ฉีดให้เสี่ยวหมี  ซึ่งร้องอ๊อเบา ๆ หนึ่งที  แต่ไม่ดิ้นมากมาย

“หมีฉลาด”   คุณชายสามลูบหัวมันแปะ ๆ   เสี่ยวหมีตวัดตาค้อนแล้วลุกขึ้น 

สองคนกับหนึ่งหมีเริ่มออกเดินทาง  สองหนุ่มถือดาบในท่าป้องกันอย่างระวังระไวตลอดเวลา   พวกเขาเคลื่อนที่อย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ศัตรูตัวแรกของพวกเขา  เป็นอสูรต้นไม้  มันมีรากที่ระโยงรยางค์เหมือนรากไทร  และผิวหนังที่ยับย่นเหมือนไม้เน่า ๆ  ดวงตาของมันเป็นก้อนสีดำกลม ๆ ทั้งก้อน   ในปากของมันมีเขี้ยวที่เหมือนทำจากเปลือกไม้หัก ๆ  ทว่าแข็งแกร่งผิดจากที่เห็น  มันสามารถงับก้อนหินและเคี้ยวเล่นได้เลยทีเดียว  ประสาอะไรกับเนื้อหนังและกระดูกของมนุษย์

ซ่งมู่กระชับดาบในมือ  เขาใช้เพลงดาบของประตูทรราชที่สอนให้แก่ซีคงหยูไม่ได้  กระบวนท่าของเขาดุดันและรุนแรง  เหมือนกับจักรพรรดิอำมหิตผู้เข่นฆ่าผู้คนโดยไม่กระพริบตา

อสูรต้นไม้โรมรันพันตูอยู่กับซ่งมู่  รากของมันแกว่งปัดป่ายพยายามที่จะพัวพันเป็นอุปสรรคต่อคู่ต่อสู้  มือของมันที่เหมือนกับกิ่งไม้อันมีสามกิ่งและมีเล็บอันแหลมคม  ก็ตะกุยไปข้างหน้า  ปะทะกับเพลงดาบอันดุเดือด   ซีคงหยูกระโดดไปตามหินงอกข้าง ๆ เพื่ออ้อมการต่อสู้  และลอบเข้าไปข้างหลังอสูรต้นไม้   ทว่าไม่ทันจะได้โจมตี   เสี่ยวหมีก็ตะปบปีศาจต้นไม้จนกระเด็นไปโดนหินย้อยหักร่วงพรูจากเพดานถ้ำ

“โฮกกกกกก!”

อสูรต้นไม้คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว   หนวดรากของมันปัดป่ายไปทั่วท่ามกลางผงคลีและเศษหิน  เหมือนพยาธิเส้นด้ายที่พยายามจะชอนไชเข้าร่างสิ่งมีชีวิต

ซ่งมู่กระโจนเข้าไป  เงาดาบของเขามีประกายสีน้ำเงินม่วงราวกับสายฟ้า  ปราณเซียนพลุ่งพล่านจากในร่างแล้วหลั่งไหลไปรวมเป็นจุดแสงในดาบ

“อัสนีทรราช!”

นักดาบหนุ่มตะโกนแล้วฟาดดาบลงไป   จุดแสงนั้นส่งเส้นสายฟ้าหยักซิกแซกไปกลางอากาศ  สายฟ้าอันรวดเร็วเกินกว่าคู่ต่อสู้จะเคลื่อนไหว  เผามัน  อัมพาตมัน  และทำให้อสูรต้นไม้กลายเป็นฟืนไหม้ ๆ ที่รอการผ่า

“ฉัวะ!”

ดาบฟาดซ้ำเข้าไป  คมของมันแหวกร่างของอสูรจนเห็นเครื่องใน  ไส้พุงของมันเหมือนกับของสัตว์บางชนิด  เป็นสีดำคล้ำและส่งกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน  ซ่งมู่แกว่งดาบอีกสองที  แขนและรากของมันก็ถูกสะบั้นออกจากตัวจนหมด  ซีคงหยูยืนมองตะลึงตะลาน   ตำแหน่งมือขวาของหลี่โอ๋อวิ๋นคงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

เมื่อเห็นว่ามันตายสนิทดี   ซ่งมู่ก็ค่อย ๆ ลดดาบในมือ จากนั้นเข้าไปนั่งยอง ๆ ใกล้ ๆ ใช้มีดสั้นชำแหละหาแกนอสูร

ซีคงหยูไม่พูดอะไรเกินจำเป็น   เวลาที่เขาอยู่ในสภาวะกล้าหาญ  เขาจะคิดอยู่เรื่องเดียวคือการบุกตะลุยไปข้างหน้า  สามคนกับหนึ่งหมี  ค่อย ๆ สังหารอสูรในเหมืองไปทีละตัว   และด้วยว่าซีคงหยูคุมตัวเองได้ดีขึ้น   เขาจึงใช้แผนการต่อสู้  ทั้งล่อ  ทั้งหนี  และสร้างความสับสน 

คราวนี้  ฤทธิ์ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางไม่ได้หมดไปอย่างรวดเร็วเหมือนการลงเหมืองครั้งก่อน   เพราะคุณชายสามคอยรักษาระดับปราณในร่างกาย  ไม่ใช้เกินจำเป็น  ซีคงหยูใช้อสูรเป็นเป้าฝึกเพลงดาบพื้นฐานสามกระบวนท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยแทบไม่ใช้วิชาเซียนสามสิบหกแผนเลย   เขาพยายามลับประสาทสัมผัสการต่อสู้ให้คม  โดยหลบหลีกและล่าถอยด้วยกระบวนดาบ
 
ทั้งสามคนพักเหนื่อยเมื่อลงเหมืองมาได้ครึ่งทาง  ซีคงหยูทิ้งตัวลงเอนกับโขดหินข้าง ๆ ซ่งมู่ซึ่งแลตามองอย่างเป็นห่วง

“เป็นไงบ้างพี่หยู”

“สบายดี”

แต่เหมือนนักดาบหนุ่มจะไม่เชื่อ  เลยตะแคงตัวมาใกล้ ๆ  ยื่นใบหน้าเข้ามาดู  และใช้นิ้วเลิกเปลือกตาของซีคงหยูเพื่อสังเกตม่านตา  ม่านตาของซีคงหยูหรี่ลงทันทีเมื่อถูกมองใกล้ ๆ มันขยับและไหวระริกเล็กน้อยตามจังหวะหายใจที่เขาสูดเข้าออกอย่างรุนแรงเพราะยังไม่หายเหนื่อย  ซ่งมู่นิ่งไปครู่หนึ่ง  ลมหายใจของหนุ่มรุ่นน้องค่อย ๆ ระบาย  ระสัมผัสข้างแก้มของคนตรงหน้า   ซีคงหยูรู้สึกขัดเขินเลยพูดทำลายความเงียบ

“น้องมู่ทำเหมือนเป็นหมอเลย”

ซ่งมู่เหมือนกับเพิ่งรู้สึกตัว  เขาปล่อยมือออกจากเปลือกตาของหนุ่มรุ่นพี่  ถอยห่างออกไปแล้วกล่าว   “พ่อของข้าเป็นแพทย์  แต่ข้าอยากเป็นนักดาบ  ถึงอย่างนั้นก็ยังพอรู้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ”

“โอ้  นอกจากซ่งจินแล้วเจ้ามีพี่น้องคนอื่นมั้ย”

ซ่งมู่ส่ายหน้า

“แปลว่าไม่มีใครสืบทอดวิชาแพทย์ของพ่อเจ้าเลย”

“ฮ่า ๆ  พี่หยูไม่ต้องห่วง  เขามีลูกศิษย์มากมาย  ข้าคงยังไม่เคยบอกท่านว่าพ่อของข้าเป็นอาจารย์อยู่ที่ตำหนักอาคันตุกะแดนไกล”

“สำมะคัญ  สำมะคัญ”  ซีคงหยูกวาดตามองใบหน้าที่แสดงอาการเขินปนภูมิใจนิด ๆ ตรงหน้า  “มิน่าน้องมู่ถึงแนะนำข้าให้ไปตำหนักอาคันตุกะฯ  ที่แท้ก็มีเส้นสาย”

ซ่งมู่ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน   คุณชายสามจึงเอื้อมมือไปบีบจมูกของอีกฝ่ายแล้วเขย่าเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว

“ยังมีความลับอะไรที่เจ้ายังไม่บอกข้าอีกมั้ย”

ซ่งมู่พูดเสียงอู้อี้เพราะถูกบีบจมูกว่าไม่มี
เมื่อคุณชายสามปล่อยมือ   เขาจึงถามกลับไป

“แล้วพี่หยูล่ะ  ถ้าจะลองยาเซียน  ไปกับศิษย์ร่วมสำนักก็ได้  ทำไมถึงต้องมากับข้า”

โดยไม่สังเกตถึงความคาดหวังที่ซ่อนเร้นลึกในสายตาของผู้ถาม  ซีคงหยูส่ายศีรษะ

“ข้าไม่อยากอธิบายกับคนอื่น  ขี้เกียจจะเห็นสายตาประหลาดใจเมื่อข้าพยายามแก้ปัญหาที่ข้าอธิบายไม่ได้”

“แต่พี่หยูก็กำลังอธิบายให้ข้าฟัง”

“ฮ่า ๆ  เจ้าไม่ใช่คนอื่นนี่นา  เราสองคนเป็นเฮียตี๋  เหตุใดจะต้องคิดมากความ”

“ฮ่า..ฮ่า...ฮ่า”  ซ่งมู่หัวเราะตามด้วยช้า ๆ   เขางำประกายตาของตนเอง  แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโขดหินที่เอนพิง  “พี่หยูหายเหนื่อยหรือยัง  พวกเราไปต่อกันเถอะ”

ซีคงหยูพยักหน้า   แล้วดีดนิ้วเรียกเสี่ยวหมี



++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 06-09-2017 19:00:10
เสี่ยวหมีนี่เป็นหมีจริงๆใช่มะครับ ฮ่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-09-2017 21:30:28
ไรท์ สุดยอด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คนอ่าน อ่านไปขำไป  :ling1: :ling1: :ling1:

หยู เป็นนายเอก ที่แก่ไป ในความเห็นของซ่งมู่ อะจ๊ากกกก
ดูจากการฟื้นตัวหลังจากใช้หนูโม่  :เฮ้อ:

นี่ขนาดคิดว่าหยูแก่   o18
เหมือนซ่งมู่ จะหลงเสน่ห์หยูนะ  :z3: :z3: :z3:
มีกลั้นหายใจ เหลือบแลผิวขาวๆของหยู จ้องตาหยู แล้วนิ่งไปเลย  :really2: :really2: :really2:
หยู ไม่ได้จับใจแต่โอ๋อวิ๋นที่สายเปย์นะ ยังจับใจซ่งมู่ซะด้วย
ดีนะที่ซ่งจิน ตาปลาตาย แมงวันตายไม่มาหลงด้วยอีกคน
หมดกันเลย พรรคประตูทรราช

และแล้ว.....ก็มีคนเห็นว่าหยูมีพรสวรรค์เป็นคนแรก แปะ  แปะ /ตบมือให้และ
คือซ่งมู่ หยูอ้อนให้สอนท่ากระบี่ แลัวหยูก็ทำได้ในสองชั่วยาม  o22 o22 o22
ที่ผ่านมานี่หยูขี้เกียจ จนไม่เอาถ่าน จะเอาแต่แก๊สจริงๆสินะ
แต่หยูจะเอาจริงเอาจังแล้วนะ ชวนมู่ กับหมี อ๊ออออออ
เปิดเหมืองเองเลย  ไม่เจ๋งจริง ทำไม่ได้นะ    :a5: :a5: :a5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-09-2017 23:05:28
หลี่โอ๋อวิ๋นไม่พูดอะไรเกินจำเป็น   เวลาที่เขาอยู่ในสภาวะกล้าหาญ  เขาจะคิดอยู่เรื่องเดียวคือการบุกตะลุยไปข้างหน้า

ตรงนี้นุ้งอวิ๋นโผล่ผิดที่หรือเปล่า รอบนี้ซ่งมู่เป็นตัวเด่น (แม้จะโดนหมีแกล้งตายกลบรัศมีก็เถอะ...) ห้ามแย่งซีนสิ!

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-09-2017 01:18:31
คงหยูถ้าจะขายเสี่ยวหมีขายมาให้เรานะคะ อยากฟัดสักที หมั่นเขี้ยว
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 07-09-2017 07:06:07


เฮ้ยยยยย! น้องมู่ น้องมู่จะมาหลงเสน่ห์อาเฮียมิได้
เดี๋ยวน้องมู่จะผิดใจกับน้องอวิ๋นในภายหลัง คนหล่อสองคนทะเลาะกัน อีป้านี้จะร้าวรานเอา

แต่พูดก็พูดเถอะ น้องอวิ๋นหายไปไหน
ทำไมปล่อยน้องมู่มาทำคะแนนกับเหล่าแม่ป้าอยู่แบบนี้
นี่ถ้าอีกตอนสองตอนน้องอวิ๋นไม่ซมซานกลับมา
ป้าอาจจะชิปอาตี๋กะเฮียหยูโดยการวิ่งบนน้ำไปแล้วก็เป็นได้ (นี่เม้นไปก็กำไม้พายในมือไปตลอด ๆ )

ส่วนเสี่ยวหมี... ป้าไม่มีอะไรจะบอก นอกจากบอกรักเสี่ยวหมีที่หลงระเริงไปกับความหล่อของผู้ชายไปเรื่อยเปื่อย
หมีอะไร ได้ใจป้าจริม ๆ (ชูป้ายไฟเชียร์เสี่ยวหมีรัว ๆ )
เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าคนเขียนท้อ ๆ ก็ขอให้รู้ว่ายังมีพวกเรารออ่านอยู่นะคะ  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 15 (วันที่ 6/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 08-09-2017 03:33:40
wnkth: ไม่จริงครับ  มันเป็นเท็ดดี้แบร์ที่ถูกแม่มดเสกให้มีชีวิต #โม้

♥►MAGNOLIA◄♥:  ความแก่มีเสน่ห์จิตาย   มีเพื่อนผู้หญิงคนนึงบอกผมว่า  ชอบผู้ชายที่มีอายุหน่อย  เพราะว่าเวลามองเข้าไปในตา  มันจะเห็นริ้วรอยของความอ่อนล้า  ระโหยโรยแรงต่อชีวิตบางอย่างที่มันดูน่าดึงดูด
"ไม่เอาถ่าน  เอาแต่แก้ส"  <<<< 55555+

alternative: แก้แล้วคร้าบ  ขอบคุณมาก ๆ ที่ช่วยดูให้

JustWait: เอาครึ่งตัวหรือเอาเป็นกิโลดีครับ

Malimaru: น้องอวิ๋นกลับมาแล้วครับ  ไปขี่พายุทะลุฟ้ามา  5555
ซ่งมู่ก็น่ารักดีออก   ทำเรือพ่วงดีกว่า  พ่วงหลาย ๆ ลำ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ   ช่วงนี้ท้อในแง่ว่า   รู้สึกเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ตั้งใจ   บางอย่างก็สกิป ๆ ไป  และแบบพอตอนนี้อ่านนิยายที่เขียนดีมาก ๆ อยู่  เลยรู้สึกเปรียบเทียบตลอด (นิยายเรื่องที่ว่าคือ Legend of the Great Saint)


++++++
 


กลางเมืองจิ้งซานมีแผ่นป้ายประกาศ   บนแผ่นป้ายมีรายนามของผู้คุมปมเหมือง  และเจ้าของรายนามก็มีทั้งหมดสิบสามคน  ทว่า ณ เวลานี้รายชื่อที่สิบสี่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนกระดานนั้น

ตอนแรกไม่มีคนสนใจชื่อที่ว่า  จนกระทั่งศิษย์น้องเหยียนเดินผ่าน   นางเหลือบไปเห็นแวบหนึ่งจากนั้นก็เดินผ่านไป  แล้วชะงักเท้า   แล้ววิ่งกลับมาดูใหม่  นางเอียงคอทางซ้าย   เอียงไปทางขวา  จากนั้นลองตีลังกา   แต่ไม่ว่าจะอ่านยังไง  ชื่อบนป้ายก็ยังเหมือนเดิม

ศิษย์น้องเหยียนวิ่งหน้าตั้งกลับมาที่ค่ายหน้าศาลเจ้า

“ศิษย์พี่สวี!  ศิษย์พี่สวี!”

หญิงสวีเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่นางดูแลอยู่  คณะสำรวจที่ส่งไปล่าสุดเพิ่งกลับมาและนางก็มีงานที่จะต้องทำอีกเยอะ 

“ศิษย์น้องเหยียน  มีอะไรหรือ”

“ศิษย์พี่สวี”   เจ้าของใบหน้ากลมจับแขนศิษย์พี่หญิงเขย่าแล้วระล่ำระลัก  “สำนักเรายึดเหมืองได้!”

“ก็ยึดได้น่ะสิ   เพิ่งยึดไปเมื่อครู่เอง”   หลู่เซียงเอ๋อร์เดินผ่านมาพอดี   นางเบะปากคิดว่ายัยนี่จะตื่นเต้นอะไร   สำนักวารีพิสุทธิ์เพิ่งจัดตั้งทีมใหญ่ไปลงเหมืองมามันก็ต้องสำเร็จอยู่แล้ว

“เหอะ..”   ศิษย์น้องเหยียนหันไปแค่นเสียงใส่  “คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องทีมหลักหรือไงศิษย์น้องหลู่   แต่ที่ข้าเห็นมันคือเสี่ยวหมี  ศิษย์พี่สวีได้ยินมั้ย  เสี่ยวหมียึดเหมืองได้!”

ทั้งยัยหมีเขียวและหญิงสวีได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง   และในตอนนั้นเอง  สองคนกับหนึ่งหมีก็เดินเข้าค่ายมาพอดี   คุณชายสามดูระโหยโรยแรง  แต่เขาไม่นอนแผ่มาบนหมีเหมือนปกติ  เพราะหมีดำคู่ใจเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน   ทั้งคู่อยากนอนเต็มแก่  ซ่งมู่เดินตามมาส่งที่หน้าค่าย  เขาหยุดเท้าเมื่อถึงประตูที่หญิงลี่กับหญิงซูเป็นเวรรักษาการณ์อยู่

“พี่หยู   ข้าส่งเท่านี้นะ”

ซีคงหยูหันกลับไปมองคนตรงหน้าที่ยืนยิ้มบางแบบเหนื่อย ๆ อยู่   “ขอบใจเจ้าจริง ๆ น้องมู่”   พูดแล้วก็ยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วเขย่าเบา ๆ

“ไม่นึกเลยนะ  ว่าสุดท้ายกุญแจเหมืองจะประเมินว่าเสี่ยวหมีเก่งที่สุดในกลุ่มเรา”   ซ่งมู่กวาดตาไปมองหมีดำขนปุกปุยด้วยรอยยิ้มหล่อ

“อ๊ออออ”   เสี่ยวหมีร้องเสียงอ่อยแบบไม่ค่อยมีแรง

“ส่งอาคันตุกะพันลี้  อย่างไรก็ต้องจากกัน”   คุณชายสามทำท่าเจ้าบทเจ้าสำนวนขึ้นมาทันที

“เวอร์น่าพี่หยู”  ซ่งมู่แซว  จากนั้นดึงมือที่อีกฝ่ายจับไว้อยู่ออก  ยักคิ้วให้  ก่อนหันกายจากไป

เมื่อหญิงซูเห็นศิษย์น้องลุงของสำนักยังคงยืนชะแง้มองนักดาบรูปหล่อที่เดินกลับไปทางประตูเหนือ  นางก็แซวทันที

“แฟนใหม่หรือจ๊ะ  ศิษย์น้องซีคง”

คุณชายสามสะดุ้ง แล้วรีบหันมาโบกมือปฏิเสธ

“ไม่ใช่ ๆ  ศิษย์พี่ซูเข้าใจผิดแล้ว  เราเป็นพี่น้องกัน”

“ฮี่ ๆ  ไม่ใช่ก็ไม่ใช่  ไม่เห็นต้องร้อนใจ”

ในตอนนั้นเอง  หญิงสวี  ยัยหมีเขียว  และศิษย์น้องเหยียนก็สาวเท้าเร็ว ๆ มาที่ประตูค่าย  พวกนางกวาดตามองซีคงหยูขึ้น ๆ ลง ๆ  จากนั้นหันไปมองเสี่ยวหมี   ศิษย์น้องเหยียนซึ่งแอบเป็นแฟนคลับของเสี่ยวหมีอยู่ลับ ๆ  ก็ถึงกับไปเดินวนดูรอบ ๆ  แล้วพลิกหูเสี่ยวหมีดูว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่

“ศิษย์น้องซีคง  เสี่ยวหมี  ทำได้ดีมาก”  ยังคงเป็นพี่หญิงสวีที่พูดจาอย่างเหมาะสมโดยไม่ตื่นเต้นจนเกินไป

“เจ้าโกงแน่ ๆ”  หลู่เซี่ยงเอ๋อร์ย่นจมูกใส่  จนคุณชายสามเริ่มเป็นห่วงว่านางอาจจะเป็นไซนัสอักเสบ

“ห้ามว่าเสี่ยวหมีนะ”  ศิษย์น้องเหยียนกางแขนปกป้อง  แล้วกอดเสี่ยวหมีหนึ่งที  เอาหน้าแนบซ้ายแนบขวา  แล้วยีหน้าลงไปในขนฟู ๆ อย่างมันเขี้ยว  เสี่ยวหมีนั่งนิ่งให้กอด  เพราะว่ามันไม่มีแรงแล้ว

ซีคงหยูเห็นคนวุ่นวายก็เริ่มปวดหัวจี๊ดขึ้นมา  จึงรีบประสานมือคารวะ  “ศิษย์พี่  ศิษย์น้องทั้งหลาย  ขอข้าไปนอนพักก่อนเถอะ”

“อ้อ  ได้สิ”   หญิงสวีรีบดึงแขนยัยหมีเขียวให้พ้นทาง  ขณะที่ศิษย์น้องเหยียนปล่อยเสี่ยวหมีไปด้วยความเสียดาย   เมื่อหนึ่งชายกับหนึ่งหมีเดินไปพ้นจากตรงนั้นแล้ว  หญิงสวีก็หันไปคุยกับทหารหญิงหน้าประตู

“ศิษย์พี่ทั้งสอง  เมื่อครู่ศิษย์น้องซีคงเดินมากับใคร  ท่านทราบหรือไม่”

หญิงซูแตะริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิด  “เอ...ข้าก็คุ้น ๆ หน้าเขานะ  เหมือนเคยเห็นในเมือง  เดินไปไหนมาไหนกับคุณชายหลี่”

“คงเป็นคนสนิทของเขา”  หญิงลี่ช่วยวิเคราะห์  จากนั้นหันไปพูดกับหญิงสวี   “ทำไมไม่ไปถามซีคงหยูเลยล่ะ”

หญิงสวีส่ายหน้ายิ้ม ๆ  ในเมื่อซีคงหยูแอบไปโดยไม่บอกใคร  ก็แปลว่าเขาไม่ได้อยากให้คนรู้เท่าไหร่  ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาดี  ก็ไม่จำเป็นต้องสืบสาวต่อไป



+++++



แต่จางชุ่ยฮัวเห็นอีกแบบ

“เราไม่รู้ว่าเขาไปกับใครบ้าง  และเอากำลังของสำนักประตูทรราชไปกี่คน  ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่เหมืองตกเป็นของเรา   แต่ถ้าประตูทรราชได้ไป  เรื่องนี้พวกเจ้าก็คงจะเห็นกันอีกอย่าง”

หลู่เซียงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและกล่าวซ้ำ  “เขาไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเรา   แถมยังไปทำอะไรลับหลัง  ข้าว่าพวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง”

“ทำอะไรล่ะ  เรียกมาต่อว่าหรือไง  หรือจะขับไล่จากสำนัก”  ศิษย์น้องเหยียนประชดประชันจากอีกฝั่งของที่ประชุม

“สุดท้ายแล้ว  เราก็ต้องปะทะกับประตูทรราช  ถ้าเขาเอาใจออกห่าง  มันก็จะมีปัญหา”  จางชุ่ยฮัวกล่าว

“ศิษย์น้องจางพูดรุนแรงไปหรือเปล่า  ถึงอย่างไรศิษย์น้องซีคงก็เป็นศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์  ข้าว่าเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”  พี่หญิงสวีกล่าวท้วง

“เราควรรอบคอบไว้ก่อน  เพราะถึงเขาจะไม่หักหลังสำนัก   แต่ถ้าเขาเผลอปล่อยข้อมูลสำคัญในเวลาที่สำคัญล่ะ  ศิษย์พี่คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่”

หญิงสวีนิ่งครู่หนึ่งอย่างยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดก็มีความเป็นไปได้  “แล้วศิษย์น้องจางคิดว่าจะทำอย่างไรล่ะ”

“ข้าคิดว่า  ต่อไปนี้ก็มองเขาเป็นเบี้ยที่ไว้จัดการกับประตูทรราชล่ะกัน”

ศิษย์น้องเหยียนได้ยินดังนั้นจึงเบะปาก   “เจ้าคิดว่าเขาเป็นเบี้ยตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”

จางชุ่ยฮัวส่งยิ้มเย็นไปให้


+++++



ในห้องบัญชาการของค่ายประตูทรราช  หลี่โอ๋อวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้ลายเมฆา   มือหนึ่งของเขาถือพู่กัน  และสายตาก็มองออกไปข้างนอก  ซ่งมู่เดินเข้าประตูมา  เสื้อผ้าของเขามีริ้วรอยฉีกขาด  และตามร่างกายก็มีบาดแผลตื้น ๆ จำนวนหนึ่ง

“เจ้าไปไหนมา”

“พี่ใหญ่”  ซ่งมู่หยุดที่หน้าประตูก้มหน้าทักทาย  ก่อนเดินเข้ามา  และยืนสำรวมหน้าโต๊ะทำงานของชายผู้มีอำนาจสูงสุดในค่าย  “ข้ากำลังจะมารายงานพี่ใหญ่พอดี”

“ว่ามา”

ซ่งมู่ได้ยินเช่นนั้นจึงเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง   เมื่อหลี่โอ๋อวิ๋นฟังจบก็พยักหน้า  เขามองซ่งมู่อย่างประเมิน  ในแง่หนึ่งการมาพบเขาทั้งในสภาพที่เพิ่งกลับจากเหมืองโดยไม่เปลี่ยนชุดและทำความสะอาดตัว  ก็เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้พยายามปิดบังอะไร  แต่อีกแง่หนึ่งคือความฉลาด  เพราะคิดไว้ก่อนแล้วว่าต้องทำเช่นนี้หลี่โอ๋อวิ๋นจึงไม่รู้สึกระแวง

“ถ้าพี่ใหญ่ไม่มีอะไรแล้ว   ข้าขอตัว”

“ช้าก่อน”

“พี่ใหญ่มีอะไรหรือ”

“ในอีกสองวัน  บอกซีคงหยูให้มาท้าประลองเหมืองกับข้า”

“พี่ใหญ่!”  ซ่งมู่ร้องอย่างตกใจ  แต่คิดอีกตลบ  ก็ตกใจกว่าเดิม  “ท่านอย่าบอกนะว่า  ท่านจะยกเหมืองให้กับเขา”

“ทำไม่ได้หรือ?”  หลี่โอ๋อวิ๋นขมวดคิ้ว

ซ่งมู่ปาดเหงื่อที่ซึมมาบนหน้าผาก  แล้วกล่าว  “โดยส่วนตัวแล้ว  ข้าชอบพี่หยูนะ  แต่ว่าผลประโยชน์ของสำนัก...”

“เจ้าชอบอาหยูงั้นรึ”  หลี่โอ๋อวิ๋นหรี่ตามอง  เล่นเอาหนุ่มรุ่นน้องเหงื่อแตกกว่าเดิม

“อันนั้นมันไม่ใช่ประเด็น  ประเด็นคือถ้าท่านยกเหมืองให้กับวารีพิสุทธิ์..”  ซ่งมู่ไม่พูดชื่อคนแต่พูดชื่อสำนักเพื่อเน้นความร้ายแรงของสถานการณ์  “..ข้าเกรงว่าศิษย์น้องหลาย ๆ คนอาจจะไม่พอใจพี่เอาได้”

“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด  จงไปทำตามที่บอก”

หลี่โอ๋อวิ๋นจบบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด



++++



และในบ่ายเดียวกันนั้นเอง   หลี่โอ๋อวิ๋นก็เรียกซ่งจินและผู้มีฝีมือทั้งหลายมารับคำสั่ง  รวมทั้งผู้กล้าทวนแดง

“ต่อไปนี้เราจะไม่บุกยึดเหมืองเพิ่ม”

ทุกคนในห้องบัญชาการส่งสายตาอย่างประหลาดใจไปทางหลี่โอ๋อวิ๋น  สำนักประตูทรราชกำลังได้เปรียบด้านจำนวนเหมืองและกำลังคนที่มาจากชาวยุทธพเนจร   เหตุใดจึงไม่รีบบุกเมื่อได้ชัย

“ซ่งมู่  ซ่งจิน  กวนหนิง”   หลี่โอ๋อวิ๋นเรียกชื่อสามคน   ทั้งสามคนก้าวออกมาข้างหน้าเตรียมรับคำสั่ง  “พวกเจ้าสามคนแบ่งกำลังที่เรามีออกเป็นสามทีม  จากนั้นให้จับตาดูสามสำนัก  ถ้าพวกเขาส่งกำลังไปที่เหมืองไหน  ให้พวกเจ้าตามเข้าไปทันที  สังหารได้ก็สังหาร  ถ้าไม่ได้ก็ก่อกวนอย่าให้พวกเขายึดเหมืองได้”

ทุกคนฟังแล้วก็ตกใจกับแผนการที่บ้าบิ่นและโอหัง

“แต่พี่ใหญ่”  กวนหนิงอ้าปากแย้ง  “ถ้าพวกเขาตลบหลังเราอีกทีล่ะ  เราจะกลายเป็นตั๊กแตนตำข้าวที่เป็นเหยื่อนกกระสาสิ”

หลี่โอ๋อวิ๋นฟังแล้วก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ  แต่กวนหนิงฟังแล้วใจเต้นตุ่มต่อม   มือดาบไร้ธุลีใช้สายตาพยัคฆ์จ้องมองหัวหน้าทีมทั้งสาม   แล้วจึงเอ่ยปาก

“เรื่องนี้  พวกเจ้าต้องคิดเอาเอง”

หัวหน้าทีมหันไปมองหน้ากัน  ยกเว้นซ่งจินที่ยังคงใช้สายตาชืดชามองไปข้างหน้าดุจเดิม



+++++++


ตู้เกี่ยนหลงได้รับข่าวจากนกกระเรียนกระดาษ   เขาอ่านแล้วก็หัวเราะหึ ๆ ในคอ
คุณชายเสื้อน้ำตาลมองอย่างสงสัย  เด็กหนุ่มผมสั้นจึงส่งกระดาษข่าวสารให้ดู

“หลี่โอ๋อวิ๋น!  ชักจะกำเริบไปแล้ว!   เขาไม่เกรงใจพวกเราสามสำนักเลย”

“ศิษย์พี่คิดว่าเราควรทำไงล่ะ”

“เราควรวางเหยื่อล่อ  ให้พวกเขาติดกับ   แล้วโจมตีทั้งซ้ายขวา  ทำลายกองกำลังศัตรูให้ย่อยยับในคราเดียว”

ตู้เกี่ยนหลงกอดอกเอนหลังพิงกับเสา  แขนของเขาเบียดกับกล้ามอกนูนเป็นก้อน  สายตาของเด็กหนุ่มทอดออกไปภายนอกยังสวนถั่วฝักยาวที่ฝักถั่วห้อยระย้าเต็มไปหมด   เขามองนกมองไม้อยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมา

“ยุทธวิธีที่ศิษย์พี่ว่ามานั้นก็ถูกต้องตามตำรา  ทว่าสิ่งที่เราคิดได้  เขาก็น่าจะคิดได้  ถ้าต่างฝ่ายต่างระวังกัน  ก็ไม่มีใครตกกับดัก   แล้วหลี่โอ๋อวิ๋นจะแสดงมีดที่ซ่อนอยู่ทำไม”

“น้องตู้หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าหมายความว่า  ความนี้มีนัยซับซ้อน  หลี่โอ๋อวิ๋นรู้ตัวอยู่ชัด ๆ ว่าเราฝังสายลับเอาไว้  เขาบอกว่าจะโจมตีพวกเราโดยเปิดเผย  ใยมิใช่แส่หาเรื่องใส่ตัว  ประตูทรราชเพียงสำนักเดียวไฉนจึงกล้าชนกับสามสำนัก  กองกำลังของพวกเขาเพียงพอหรือไม่  หรือว่าเขามีเจตนาอื่น”

“ข้าคิดว่าน้องตู้คิดมากไป   ธรรมชาติของหลี่โอ๋อวิ๋นเป็นคนโอหัง  น้องตู้ยังจำวันแรกที่เหมืองเปิดได้หรือไม่  เขาพูดว่าจะใช้หนึ่งดาบทลายทุกแผนร้าย  คนเช่นนั้นคงประเมินตนเองสูงส่งจนไม่มีสายตาเหลือบแลผู้อื่น”

“ฮ่า ๆๆ  บางทีเขาอาจจะเสแสร้งให้เราเชื่อก็ได้นะศิษย์พี่   โบราณว่าจิตคิดร้ายไม่มี  แต่ต้องมีจิตคิดป้องกัน  อย่าว่าแต่พวกเรามีจิตคิดร้ายจะไม่มีจิตป้องกันผู้อื่นเห็นจะเป็นไปไม่ได้   หลี่โอ๋อวิ๋น...หลี่โอ๋อวิ๋น   เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”



+++++



จ้าวเหรินเจี่ยนอ่านคัมภีร์อยู่กับแมวของตนเอง  แมวของเขาร่างสูงระหง   สวมใส่ชุดสาวใช้ในวังสีขาว  และมัดมวยผมด้วยเชือกลายกับกระดิ่ง

“ขาวน้อย”

“เมี้ยว”  นางร้องรับคำ

“เจ้าคิดว่าแผนยุทธวิธีที่ดีที่สุด  มันจะมีคุณสมบัติอย่างไร”

“จริงปนลวง  ปวงปนจริง  ยากจะแยกแยะ  เมี้ยว”

“การหลอกลวงคือเรื่องพื้นฐาน  ก่อนจะหลอกลวงศัตรูต้องหลอกลวงสหาย  แต่นั่นไม่ใช่แผนที่ดีที่สุด”

“งั้นคืออะไรล่ะเมี้ยว”

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มพิมพ์ใจ  ลดคัมภีร์ในมือลงเล็กน้อย 

“มันคือ  การหลีกเลี่ยงไม่ได้  แผนที่ดีที่สุดคือแผนที่ศัตรูของเจ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้  ต่อให้พวกเขาจะชาญฉลาดและคิดตามได้ทันมากแค่ไหน   ยังไงก็ต้องเลือกระหว่างเสียอย่างหนึ่งหรือจะยอมเสียอีกอย่างหนึ่ง”

“ไม่เข้าใจเลยอ่ะเมี้ยว”

“ฮ่า ๆ”   จ้าวเหรินเจี่ยนหัวเราะ  ยื่นมือออกไป  นางจึงย่อตัวยื่นหัวให้ลูบ  “ขาวน้อย  มีคนเคยบอกกับข้าว่าเขาจะใช้หนึ่งดาบทลายทุกแผนร้าย   และตอนนี้เขากำลังจะทำให้ข้าเห็น”



++++++


เมื่อซ่งมู่มาส่งข่าวที่หลี่โอ๋อวิ๋นต้องการให้ส่ง   ซีคงหยูก็พยักหน้า

“ข้าเข้าใจแล้ว  จะทำตามที่น้องอวิ๋นบอก”

“พี่หยู  มันอันตรายนะ”  ซ่งมู่ร้องเตือน   ไม่เพียงเพราะเขาเดาใจหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ถูก  เขายังเกรงว่าซีคงหยูจะได้รับบาดเจ็บเมื่อถูกท้าประลองต่อไป

คุณชายสามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม  “ศิษย์ห้าสำนักสามารถต่อสู้กันถึงชีวิตได้หรือไม่”

“ถ้านอกเหมือง  ไม่สามารถ  แต่ถ้าในเหมืองก็ไม่มีปัญหา  แต่เวลานี้ยอดฝีมือของทุกสำนักกลายเป็นผู้คุมปมเหมืองหมดแล้ว  ซึ่งพวกเขาก็จะเข้าไปปมเหมืองอื่นไม่ได้  จึงทำให้ไม่มีการปะทะกันของยอดฝีมือในช่วงนี้”

“แต่น้องมู่ยังไม่เป็นผู้คุมเหมืองเลยนี่”

“เพราะครั้งก่อนข้าไปกับคนที่มีฝีมือมากกว่า”  ซ่งมู่ตอบแล้วเบนสายตาไปมองหมีดำข้าง ๆ อย่างเอ็นดู  “ส่วนรอบล่าสุดต้องโทษเสี่ยวหมี  แย่งความดีความชอบข้าไป”

“อ๊ออออออออ”

“งั้นข้ารู้แล้วล่ะ  ว่าหลี่โอ่อวิ๋นต้องการจะทำอะไร”

“พี่หยูรู้?  บอกได้หรือไม่”

“ความลับสวรรค์  มิอาจแพร่งพราย”  ซีคงหยูแลบลิ้น

ซ่งมู่ยิ้มแห้ง  เขาไม่ได้บอกถึงแผนของหลี่โอ๋อวิ๋นเรื่องการตั้งทีมล่าแก่คุณชายสาม  และสงสัยว่าทำไมซีคงหยูถึงถามเรื่องกฎการต่อสู้

“น้องมู่มาก็ดีแล้ว   เจ้ายังมีวิชาอะไรที่สอนข้าได้อีกหรือไม่”

“ฮ่า ๆ พี่หยู  ท่านยังจะเรียนอีกหรือ”

“แน่อยู่แล้ว  ข้ารู้สึกว่าเรียนกับเจ้าแล้วกระชุ่มกระชวย  มีแรงบันดาลใจอย่างบอกไม่ถูก  ข้าต้องรีบคว้าช่วงที่ข้าคึกคักเอาไว้   กลัวโรคขี้เกียจกำเริบน่ะ”

“พี่หยู  ถึงเราจะเป็นเฮียตี๋กัน  แต่ข้าสอนวิชาให้ท่านฟรี ๆ ไม่ได้หรอกนะ”

คุณชายสามเกาศีรษะตนเองอย่างขัดเขิน  “แหะแหะ  ข้าโลภมากไป  เลยทำให้น้องมู่ไม่สบายใจ  ต้องขอโทษด้วย”

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่สอนให้  แต่หมายถึง  มันต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน”

“หืม  แย่จริง ๆ  เงินทองข้าก็ไม่มี   พ่อข้าเป็นหนี้พ่อของน้องอวิ๋นอยู่  จะล้มละลายมิล้มละลายแหล่  ข้าคงไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนจริง ๆ  ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด”

ซ่งมู่กระพริบตาปริบ ๆ  เขามิได้ต้องการเงินทองเป็นของแลกเปลี่ยน  แต่ช่างเถอะ..

“อันที่จริง  ต่อให้คิดจะสอนพี่หยู  ข้าก็ไม่มีเวลาอยู่ดี   ต้องทำภารกิจให้สำนัก”

“โอ้  ข้าลืมไปว่าเราอยู่ในระหว่างการแข่งขัน  ข้าไม่รบกวนเวลาน้องมู่ล่ะ”

ซ่งมู่พยักหน้า  แล้วก็กลับไปรายงานผลการส่งข่าวที่ค่ายของตนเอง



+++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 16 (วันที่ 8/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 08-09-2017 06:46:32



เฮ่เว่นอะโบฟ ไฉนตอนนี้ถึงมีประเด็นให้ป้าต้องพูดถึงเยอะนัก!!

น้องมู่ จะสอนวิชาอาเฮียก็สอนไป
แต่ถ้าน้องมู่อยากได้อะไรให้บอกป้าค่ะ อย่าไปเร้าหรืออาเฮีย
อาเฮียเป็นสมบัติของน้องอวิ๋นนะลูก อย่าเผลอใจไปยุ่งกับคนมีเจ้าของเชียว เดี๋ยวจะเจ็บปวดเสียเปล่า ๆ 
(พูดกับน้องมู่พลางวางท่าร่ำรวยพร้อมตบชายพกที่มีแต่ปึกล็อตเตอรี่และโพยหวยเหน็บอยู่)

น้องอวิ๋น เจ้าคิดอ่านการใดอยู่ ป้านี้อยากรู้นัก
ก็จริงแหละที่น้องอวิ๋นอาจจะได้รู้ว่าหนอนตัวไหนมาแฝงตัวอาศัยชื่อสำนักประตูทรราชอยู่
แต่น้องอวิ๋นอย่าลืมนะลูกว่าน้องอวิ๋นไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือย
เกิดเพลี่ยงพล้ำโดนอีกสามสำนักรุมยำตีนขึ้นมา มือขวาน้องอวิ๋นน่ะรอท่าเสียบอาเฮียอยู่รอมร่อแล้วนะลูก
(ถึงป้าจะไม่แน่ใจ แต่โมเมนท์ในสองตอนที่ผ่านมาทำให้มือป้ากับไม้พายผสานเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว วะฮ่า ๆๆๆ )

น้องเหยียน! น้องเหยียนทำแบบนี้กับเสี่ยวหมีได้เช่นไร?!!
นี่มันหยามน้ำหน้าป้าชัด ๆ ! เสี่ยวหมีเป็นของป้า เสี่ยวหมีเป็นของป้าเท่านั้น!!
(ขณะที่อีป้าโวยวาย เสี่ยวหมีก็ลุกหนีไปร้อง อ๊อออ ๆ ด่าทออีป้าอยู่ไกล ๆ )

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^_^  :กอด1:

ป.ล. โธ่พ่อคุณ พ่อคนเขียนของบ่าว อย่าได้พาดพิงถึงนิยายเรื่องอื่นอีกเลย แค่ ZTJ เราก็ยังตามอ่านไม่ถึงไหน ฮรึก!
(ซบหน้ากับฝ่ามือแล้วแสร้งสะอึกสะอื่นล้องห้ายยยยย) 




หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 16 (วันที่ 8/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 08-09-2017 07:09:45
Wow เสี่ยวหมีมีแฟนคลับ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 16 (วันที่ 8/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-09-2017 22:24:16
ให้สงสัย หยู อยากให้มู่ ช่วยสอนวิชาเพิ่มเติม
แล้วมู่บอก อยากเรียนวิชา ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน
หยูบอกไม่มีเงินทอง พ่อก็ล้มละลาย
มู่คิดว่า มู่ไม่ได้ต้องการเงินทองแลกเปลี่ยน
แล้วมู่ ต้องการอะไรจากหยู น้าาาาาาา........อยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:

แล้วแมวของจ้าว ใส่ชุดสาวใช้ในวังสีขาว 
มัดมวยผมด้วยเชือกลายกับกระดิ่ง
พูดได้ ร้องเมี้ยวได้ด้วย
ตกลงเป็นคนที่ทำตัวเป็นแมว เอาใจเจ้านายสินะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 16 (วันที่ 8/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-09-2017 22:44:35
ความนัยมากมายไปหมด

เอ๊ะ! มีคนลวนลามเสี่ยวหมี
อ๊ะ! น้องตู้กอดอกจนกล้ามเบียด
โอ๊ะ! ซีคงรู้ใจน้องอวิ๋น
อุ้ย! ซ่งมู่หวังเสียบ...เอิ่ม...หวังจะเป็นมากกว่ามิตร

อ่านไปยกมือทาบอก อุทานวุ้ย! ว้าย! ไป
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 16 (วันที่ 8/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 09-09-2017 17:46:28

Malimaru: 
หลงรักคนมีเจ้าของแอบมองอยู่ทุกวัน
ไปหลงรักแฟนชาวบ้านทั้งที่รู้ตัว   #มอบเพลงให้น้องมู่เพื่อยุยงส่งเสริม
แผนของน้องอวิ๋น  เดี๋ยวก็มาแล้วครับ
ว่าแต่น้องอวิ๋นไม่ตัวเปล่าเล่าเปลือยจริงหรอ  แอบส่องตอนอาบน้ำแป๊บ
และสำหรับน้องเหยียนและเสี่ยวหมี  พวกเราคือคู่แท้ค่ะ  เทอเป็นใครจะมาพรากเราจากกัน!!

wnkth: มีตั้งแต่เมืองสุยอันเลยยย

♥►MAGNOLIA◄♥:   ฮ่า ๆๆ   เอาหัวใจมาแลกแน่ ๆ เลย  #คิดแบบใสๆหัวใจสี่ดวง
น้องขาวน้อย <3

alternative:  ตอนสั้น ๆ แท้ ๆ แต่ประเด็นแอบเยอะจริง ๆ แหละ




+++++







เว่ยหลิงจื่อฟาดมือกับก้อนหินกลางอุทยานค่ายอำพันโบราณเสียงดังลั่น  เขากัดฟันไม่ให้ร้องด้วยความเจ็บมือ   แล้วชี้หน้าตู้เกี่ยนหลงที่วันนี้รอยยิ้มของเขาดูฝืดกว่าปกติ

“เจ้าขุดหลุมดักข้า!  เจ้าบอกไม่ให้ข้าจ้างชาวยุทธพเนจร  แล้วเป็นยังไง  ตอนนี้ทีมสำรวจของข้าโดนประตูทรราชอัดซะปี้ป่น  ศิษย์น้องของข้าต้องหนีออกมาจากเหมืองแทบเอาชีวิตไม่รอด!”

“พี่เว่ยใจเย็นก่อน”   หนุ่มรุ่นน้องคู่กรณียกมือทั้งสองตรงหน้า  เหมือนท่าทางยอมแพ้

“เห้ย  ไม่เย็นแล้ว  เหตุใดจึงมีแต่วังหมื่นบุปฝาที่เป็นเป้าโจมตีของประตูทรราช  ไฉนพวกเจ้าถึงไม่ถูกโจมตี”

คุณชายเสื้อน้ำตาลที่ยืนข้าง ๆ ตู้เกี่ยนหลงคลี่พัดหยกพัดเบา ๆ ให้ตนเอง  แล้วกล่าว  “เพราะว่าสำนักเราระมัดระวังเป็นอย่างดี  มีความละเอียดรอบคอบ  และเราส่งกำลังสำรองไปซุ่มรออยู่เสมอ”

“เพ้ย  แล้วเหตุใดไม่ส่งกำลังมาช่วยทีมสำรวจของสำนักข้า  พวกเจ้าจะละเมิดสัญญาพันธมิตรหรือไร”

อีกฝ่ายรวบพัดจีบดังฉับ  ถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย  หางตาของเขาชี้ขึ้นแสดงว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี  “ข้อตกลงพันธมิตร  คือการรุมโจมตีประตูทรราชหลังจากนี้อีกสองวัน  เราไม่ได้จัดตั้งทีมครูอนุบาลมาคอยดูแลเด็กเล็ก”

เมื่อเห็นว่าเว่ยหลิงจื่อหน้าดำหน้าแดงราวกับไข่เยี่ยวม้า  ตู้เกี่ยนหลงก็รีบห้ามทัพ  “ศิษย์พี่ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้น  การณ์นี้เป็นน้องชายที่คะเนผิดพลาดเอง  ผู้ใดจะคาดคิดว่าผู้แซ่หลี่จะยอมทิ้งความได้เปรียบในการโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองของตนเอง  แล้วหันมาก่อกวนผู้อื่นเช่นนี้”

“เพ้ย  เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร  ถ้าเจ้าหาวิธีแก้ไขไม่ได้  บางทีวังหมื่นบุปผาอาจจะต้องขอแยกตัวจากพันธมิตร”

เมื่อฟังเว่ยหลิงจื่อขู่  ตู้เกี่ยนหลงก็เหยียดริมฝีปากเล็กน้อย   เขายังต้องการวังหมื่นบุปฝาอยู่  แต่ในฐานะเหยื่อกระสุนปืน   อันที่จริงสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายสำหรับสำนักของเขาเลย  เพราะดูเหมือนว่าประตูทรราชจะเน้นโจมตีวังหมื่นบุปผา  และระหว่างที่เสือสองตัวกัดกัน  อำพันโบราณก็จะค่อย ๆ รุกคืบกินเหมืองใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

“พี่เว่ยอย่าคิดเช่นนั้น  แผนการของหลี่โอ๋อวิ๋นดูเหมือนก้าวร้าวรุนแรง  ทว่าข้างในนั้นกลวงเปล่า  เขาละทิ้งเป้าหมายในการของการประลองครึ่งแรก  และในอีกสองวันการประลองก็จะเข้าสู่ช่วงที่สอง  ถึงตอนนั้น  เราก็ผลัดกันท้าประลองเพื่อยึดเหมืองของเขา  ประตูทรราชจะมียอดฝีมือที่ถือเหมืองไว้ในมือเป็นมั่นเหมาะได้สักกี่คนเชียว”

เขาเว้นไปครู่หนึ่งให้เว่ยหลิงจื่อไตร่ตรองแล้วกล่าวต่อ  “และสำหรับความช่วยเหลือ   เราจะจัดกำลังไปช่วยคุ้มกันคณะสำรวจของพี่เว่ย  แต่พี่เว่ยต้องมีกำลังคุ้มกันของตนเองด้วย   เราทั้งหมดอาจจะสำรวจช้าลงไปอีกหน่อย  แต่เมื่อเทียบกับประตูทรราชที่ไม่คืบหน้าเลย  ในที่สุดแล้วเราก็จะชนะเหมือนเต่าเอาชนะกระต่าย”

เว่ยหลิงจื่อกัดฟันจนกรามนูนเป็นสัน   เขายังรู้สึกโมโหอยู่  แต่มันค่อยบรรเทาลงเมื่อตู้เกี่ยนหลงรับปากว่าจะส่งกำลังไปช่วยคุ้มกัน

“ว่าแต่พี่จ้าว  มิทราบว่ามีความเห็นใดหรือไม่”

จ้าวเหรินเจี่ยนที่ยืนอมยิ้มและถือผ้าเช็ดกระบี่อยู่ก็เงยหน้าขึ้นจากงานในมือ   เขาไม่ชอบความสกปรก  จึงคอยระวังไม่ให้ฝุ่นละอองโรยลงมาต้องฝักกระบี่ของเขา 

“จ้าวก็จะส่งกำลังไปช่วยคุณชายเว่ย  แต่คงไม่มาก  เพราะจ้าวเองก็ต้องระวังการซุ่มโจมตีของประตูทรราชเช่นกัน”

“เฮอะ”  เว่ยหลิงจื่อแค่นเสียง  แต่ก็พอใจในผลการเจรจาไม่น้อย

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศดีขึ้น  หนุ่มน้อยผิวคร้ามหน้าคมจึงยิ้มยิงฟันขาววาววับ  แล้วยื่นมือไปแตะบ่าคุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา

“พี่เว่ย  ที่หลี่โอ๋อวิ๋นเน้นโจมตีวังหมื่นบุปผานั้น  ไม่ใช่เพราะพี่เว่ยโชคร้าย  แต่เขาตั้งใจยุแหย่ให้เราแตกกัน  ถ้าพี่เว่ยมั่นคงไม่หวั่นไหว   เขาก็จะรู้ว่าแผนแบบนี้ไม่ได้ผล  แล้วก็อาจจะกลับไปไล่ตีอสูรเฝ้าเหมืองเหมือนเดิม  พี่เว่ยต้องอดทน  พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วและพวกเราก็จะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน”

เว่ยหลิงจื่อฟังแล้วก็สูดลมหายใจลึก  เขม็งตามองหน้าตู้เกี่ยนหลงอยู่ครึ่งค่อนวัน  ก่อนจะหันไปเขม้นมองจ้าวเหรินเจี่ยน  แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป



++++++




“ช่างโชคดี  สำนักวารีพิสุทธิ์อยู่ห่างจากน้ำขุ่นไปได้อย่างหวุดหวิด”   ศิษย์น้องเหยียนเดินคุยกันมาคู่กับศิษย์พี่สวี

“แต่จำนวนเหมืองที่ยึดได้ของประตูทรราชหยุดนิ่งอยู่ที่เลข 4  ขณะที่อำพันโบราณเริ่มขึ้นนำทุกสำนัก”  หญิงสวีวิจารณ์   ทั้งคู่เพิ่งเดินออกมาจากที่ประชุมในศาลเจ้าและกำลังไปเตรียมตัวบุกยึดเหมืองต่อไป

“ไม่นานประตูทรราชก็คงสังเกตเห็นและเริ่มโจมตีอำพันโบราณบ้าง  ศิษย์พี่สวีไม่ต้องกังวล”

หญิงสวีพยักหน้า  ก่อนจะอุทานเบา ๆ  “เอ๊ะ  แต่แปลกจริง   ประตูทรราชไม่ขอให้เราช่วยอะไรเลยในฐานะพันธมิตร  ทั้ง ๆ ที่เราเป็นฝ่ายบากหน้าไปขอร้องให้เขาช่วย  คุณชายหลี่ใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ศิษย์พี่สวีไม่รู้อะไรเสียแล้ว  มันเป็นพลังของความรัก  ความรักย่อมชนะทุกสิ่ง  ทำให้ยอดฝีมือเย็นชาหน้าตาย  ยอมสละได้แม้แต่สำนักของตนเองเป็นเครื่องพลีบูชารัก”    ศิษย์น้องเหยียนพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ใครรักกะใครหรอ”   ซีคงหยูซึ่งเดินมาจากอีกทางถามขึ้นเพราะได้ยินแค่ครึ่งประโยค

“ฮิฮิ   ไม่บอก”   ศิษย์น้องเหยียนป้องปากหัวเราะ  และกระพริบตาวิ้ง ๆ   จากนั้นก็วิ่งรี่เข้าใส่เสี่ยวหมีที่คลานตามหลังคุณชายสามมาติด ๆ

“อ๊อออออออออ”   เสี่ยวหมีร้องเมื่อโดนลวนลาม

“ศิษย์พี่หญิงสวี”  ซีคงหยูประสานมือคารวะนางฟ้าประจำสำนัก

“ศิษย์น้องซีคงมีอะไรหรือ”

“เราจะออกสำรวจเหมืองใหม่กันเมื่อไหร่  ข้าพร้อมแล้ว”

หญิงสวีได้ยินก็ยิ้มแช่มช้อยยินดี   “ในอีกหนึ่งชั่วยาม  ถ้าศิษย์น้องซีคงไม่เปลี่ยนใจ  ให้รอเข้าร่วมได้เลย  ศิษย์พี่จะเพิ่มรายชื่อให้เอง”

“ต้องรบกวนศิษย์พี่หญิงแล้ว”

“ไม่เป็นปัญหา   ว่าแต่ศิษย์น้องซีคง...ข้าได้ยินว่ายังไม่มีวิชาท่าร่าง  หรือเพลงอาวุธเลย  ศิษย์น้องรู้วิธีใช้คะแนนความดีความชอบแลกเปลี่ยนวิชาหรือไม่”

“อ้อ  เรื่องนี้  ข้าฝึกเพลงดาบพื้นฐานสามกระบวนท่า  คิดว่าคงพอใช้ได้”

หญิงสวีพยักหน้า   เพลงดาบพื้นฐานเป็นที่รู้จักกันทุกสำนัก  ทว่าแต่ละสำนักก็มีการตีความเป็นของตนเอง  และมีการพลิกแพลงที่เป็นเอกลักษณ์ 

“อ้อ   ที่แท้ศิษย์น้องซีคงก็ซุ่มฝึกอยู่  แสดงว่าเวลาสามเดือนที่ผ่านมาไม่เสียเปล่า  ศิษย์พี่ดีใจด้วยจริง ๆ”

ซีคงหยูหัวเราะแหะแหะ  เขาไม่กล้าบอกว่าเขาเพิ่งเริ่มขยันแค่วันสองวันก่อนจะถึงเวลา  นี่คือเต๋าแห่งเส้นตาย




+++++



ระหว่างที่รอคณะสำรวจเตรียมตัว   ซีคงหยูก็ลากหีบไม้ใส่สมบัติของเขาออกมา  ข้างในมีของกลไกที่เขาประดิษฐ์เล่น ๆ รวมทั้งพิมพ์เขียวที่สะสมไว้  เขาหยิบระเบิดควันสารพัดนึก ver 2.37  ออกมาส่องดูอย่างครุ่นคิด   เขาพบว่าสภาพแวดล้อมในถ้ำที่มืดสนิทของเหมือง  ระเบิดควันช่างไร้ประโยชน์   หรือเขาจะลองทำระเบิดแสงดู

เขาวางระเบิดควันในมือลงเมื่อยังคิดไม่ออกว่าจะทำระเบิดแสงอย่างไร   มือของเขาหยิบสมุดรวบรวมพิมพ์เขียวขึ้นมาพลิกดู  บางพิมพ์เขียวเป็นวัตถุกลไกที่เขาออกแบบเองและจดเอาไว้เพื่อกันลืม  แต่ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นมรดก  พิมพ์เขียวสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ไม่มีค่าอะไร   เพราะทั้งหมดทำงานไม่ได้จริง  ในอดีตบิดาของเขาซีคงเซี่ยเคยนำมันไปให้นักพรตเต๋าแห่งกลไกของเมืองสุยอันประเมินมูลค่า  แต่ข้อสรุปก็คือมันเป็นสิ่งที่เขียนขึ้นมาจากจินตนาการ  กลไกเหล่านั้นใช้ไม่ได้จริง  และเขียนถึงแต่วัสดุที่ผู้คนไม่รู้จัก  สิ่งเดียวที่ทำให้บรรดานักพรตเต๋าแห่งกลไกลูบหนวดด้วยความทึ่ง  คือความละเอียดลออและความแม่นยำของมือในการวาดภาพร่าง

มีเพียงซีคงหยูที่เชื่อว่ามันทำงานได้จริง  เขาเพียรปรับปรุงและลอกเลียนไอเดียหลัก ๆ ของสิ่งประดิษฐ์แต่ละชิ้น  ทว่าตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา  เขาทำเลียนแบบได้เพียงไม่กี่อย่าง  ระเบิดควันเป็นหนึ่งในนั้น

ซีคงหยูวางสมุดบันทึกกลับลงไป   เลือกของบางชิ้นออกมาแล้วปิดกล่องไว้เหมือนเดิม   ก่อนจะหันไปเกาคอเสี่ยวหมีที่หลับตาพริ้มเมื่อรู้สึกสบายคอ

“เสี่ยวหมี  คราวนี้ไม่มีเจ้า  ไม่มีน้องมู่  ไม่มีหนู่โม่หวาง  เจ้าคิดว่าข้าจะทำได้มั้ย”

“อ๊อออออออ”

“จริง ๆ ข้าไม่ต้องไปก็ได้เนาะ  แต่เวลาที่ข้ารู้สึกว่ากำลังทำประโยชน์ให้ใคร  มันก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย”

เสี่ยวหมีผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ  จนคุณชายสามหัวเราะกับท่าทางของมัน

“หรือพวกเราควรออกไปเที่ยวป่า  นอนอาบแดดบ่าย  ไล่จับผีเสื้อ  และตกปลาที่ลำธาร?”

เสี่ยวหมีรีบส่ายหน้ารัว ๆ  คุณชายสามเลยจับหนังที่แก้มมันดึงแล้วเขย่า

“เจ้าเป็นใคร  เสี่ยวหมีของข้าอยู่ที่ไหน  เจ้าทำอะไรเสี่ยวหมี  บอกมานะ!”

“อ๊ออออออออ”

“เจ้าไม่เห็นตามใจข้าเหมือนเดิมเลย”  คุณชายสามพูดงอน ๆ  เสี่ยวหมีเลยเลียมือเขา  แล้วเอาจมูกดุนคางซีคงหยูเบา ๆ

“ไม่ต้องมาง้อเลย  ทีหลังถ้าข้าจะไปเที่ยว  จะไม่ชวนล่ะ  ฮี่ ๆ”

“อ๊ออออออออออ!!”




++++++





คณะสำรวจเหมืองของพรรคปลาทูสีน้ำเงินครั้งนี้  เต็มไปด้วยศิษย์หญิงที่ซีคงหยูไม่รู้จักมาก่อน  ผสมกับชาวยุทธรับจ้างที่เข้ามาร่วมด้วย   วารีพิสุทธิ์สามารถดึงดูดผู้คนด้วยว่ามันเป็นสำนักหญิงล้วน   ชนชั้นที่ชื่นชอบบุปฝาจึงมารวมตัวเพื่อสูดดมกลิ่น  ในบรรดาเหล่านี้มีคุณชายจากตระกูลน่ำเก็งและสมุนอยู่ด้วย

“นายน้อย  ท่านดูสิ  คนผู้นั้นคือซีคงหยู  หนึ่งในสองศิษย์ชายของสำนักวารีพิสุทธิ์”

สมุนของเขากระซิบกระซาบให้คุณชายท่าทางรุ่มรวย  ถือพัดหยกคาดเข็มขัดทอง  เสื้อก็เป็นไหมที่ป้อนด้วยหม่อนวิญญาณเซียน  จึงมีคุณสมบัติป้องกันการโจมตีด้วยพลังปราณได้สูงเป็นพิเศษ  ใบหน้าของเขาก็ขาวและเล็ก  คิ้วเรียวและโค้งพอเหมาะพอเจาะเข้ากับสันจมูกได้รูปตามแบบคุณชายเจ้าสำราญ 

“อ้อ  ดูท่าทางปวกเปียกป้อแป้  ฝีมือจะเท่าไหร่เชียว” 

“นายน้อย  แต่ต้องระวังอย่าไปล่วงเกินเขา  คนของเขาชื่อหลิวเกา  ฉายาปีศาจอัจฉริยะ  บำเพ็ญพรตสำเร็จรวดเร็ว  บรรลุเขตแดนตะวันขึ้นสายชั้นสูงภายในสามเดือน  อีกไม่นานก็คงได้เป็นศิษย์ชั้นใน”

“เฮอะ  ที่แท้ก็เกาะขากางเกงผู้อื่น”

“ไม่เพียงเท่านั้น  ลือกันว่าเขาเป็นคู่หมั้นของหลี่โอ๋อวิ๋น..”

มือที่กระพือพัดของคุณชายน่ำเก็งชะงัก   ตาก็ปรายมองบ่าวรับใช้

“หลี่โอ๋อวิ๋น  หลี่โอ๋อวิ๋นคนนั้นน่ะรึ”

“นายน้อยไปอยู่ที่ไหนมา  ทำไมไม่รู้เรื่องอื้อฉาวของยุทธจักร”

“ฮ่า ๆๆๆๆ”

“นายน้อยเพี้ยนแล้วหรอ  หัวเราะทำไม”

คุณชายน่ำเก็งเอาพัดเคาะหัวสมุน

“เจ้านี่มันไม่รู้อะไร  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแปลว่าข้าไม่ต้องกังวลว่าใครจะแย่งจีบแม่นางเหยียนแข่งกับข้า  ในเมื่อเขามีรสนิยมพิเศษก็แปลว่าเราเป็นสหายกันได้  กลุ่มเป้าหมายคนละเป้า”

“นายน้อยช่างชาญฉลาด”

คุณชายน่ำเก็งคิดแล้วก็สาวเท้าเข้าไปหาซีคงหยูที่กำลังมัดห่อผ้าสะพายหลังให้แน่น

“เฮ้  เจ้าคือซีคงหยูใช่หรือไม่”

ซีคงหยูเงยหน้าจากปมเชือกที่มัด  พยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามกลับ  “แล้วเจ้าคือ..”

“ข้าแซ่น่ำเก็ง  เรียกคุณชายน่ำเก็งก็ได้  ข้าเห็นเจ้าพอดูได้  ก็เลยจะมารับเป็นสหาย”

คุณชายสามฟังแล้วก็งง  “เอ่อ..ข้ายื่นใบสมัครเป็นสหายเจ้าไปเมื่อไหร่”

“เพ้ย  ในเมืองติ่งเฟิ่งไม่มีใครไม่อยากเป็นสหายกับข้า  เจ้าไม่รู้ซะแล้วว่าเป็นสหายกับข้านี่มันดียังไง”

“แล้วมันดียังไง”

น่ำเก็งกงจื่อรวบพัดแล้วเคาะมันกับฝ่ามืออีกข้างไปมา

“ข้อหนึ่งคือ  ร้านน้ำชา  หอนางโลม  และโรงเตี๊ยมครึ่งเมืองติ่งเฟิ่งเป็นธุรกิจของบ้านข้า  ถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสหายของคุณชายน่ำเก็ง  เจ้าจะได้รับส่วนลด 2%”

“ทำไมได้แค่ 2%  มิตรภาพของเจ้ามีค่าเท่าขี้เล็บของหัวแม่โป้งเท้าหรอ”

“เพ้ย  ข้ามีสหายหลายคน  ก็ต้องถัวเฉลี่ยกันไป”

“ฮ่า ๆ  งั้นข้าไม่ต้องการเป็นสหายเจ้า   ข้าจะกดปุ่มฟอลโลว์ก็พอ”

ไม่ทันที่คุณชายน่ำเก็งจะเกลี้ยกล่อมอะไรต่อ  ศิษย์น้องเหยียนก็วิ่งรี่เข้ามา   นางกางแขนสองข้างและโผเข้าหาซีคงหยู

“แม่นางเหยียน!”  คุณชายน่ำเก็งร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นนางในดวงใจโผเข้ากอดคนอื่น

ศิษย์น้องเหยียนไม่สนใจ   นางถอยจากซีคงหยูที่ยืนทื่อเพราะซาลาเปาสองก้อนเบียดเข้ามาเต็มรัก  แล้วดมฟุดฟิด

“เจ้าไม่ใช่เสี่ยวหมี”

คุณชายสามรวบรวมสติได้ตะโกนกลับไป  “ก็ไม่ใช่ไงเฟ้ย!”

“อ้าวศิษย์พี่ซีคง   ข้าได้กลิ่นเสี่ยวหมีเลยเผลอไปหน่อย”

“ศิษย์น้องที่รัก  รบกวนเจ้าเปิดตาด้วยอย่าใช้แต่จมูก  ความบริสุทธิ์ของข้าจะถูกทำลายป่นปี้หมด”

“ฮั่นแน่  รู้นะว่าเก็บพรหมจรรย์ไว้ให้ใคร”

“แม่นางเหยียน”  คุณชายน่ำเก็งพยายามแทรกบทสนทนา

“เสี่ยวหมีล่ะ”

“มันไปไม่ได้  มันเป็นผู้คุมปมเหมืองที่ 22”

“แม่นางเหยียน...”  คุณชายน่ำเก็งพยายามส่งสัญญาณไปยังยานแม่อีกที

ศิษย์น้องเหยียนเลยหันมามอง  มองสักพักก็ถอนหายใจ

“เฮ้อ..  เจ้าก็ไม่ใช่เสี่ยวหมี”

แล้วก็เดินไปโดยไม่แลซ้ำ

“นายน้อย  พยายามอีกหน่อย”  บ่าวของเขาปลุกปลอบกำลังใจ

“แม่นางเหยียน  ข้ารักเจ้า!”

ศิษย์น้องเหยียนชะงักเท้า   หันกาย  แล้ววิ่งรี่กลับมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเชื่อในความรักอย่างงั้นรึ  เจ้าชื่ออะไร  บ้านอยู่ที่ไหน  มีแฟนหนุ่มหรือยัง”

“ข้าแซ่น่ำเก็ง  เอ่อะ  แต่แฟนหนุ่มคืออะไร”

ซีคงหยูส่ายหน้า   แล้วปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันเรื่องความรักต่อไป



++++++




คราวนี้ทิวทัศน์ของเหมืองผิดจากทุกครั้ง   มันเต็มไปด้วยภูเขาไฟและธารลาวา  ซีคงหยูมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีแดงเวิ้งว้าง  และควันขี้เถ้าภูเขาไฟที่พวยพุ่งอยู่ลิบ ๆ  มันดูไม่เหมือนในถ้ำ

“สหายจู  เอ๊ยจิ่ง   ทำไมในถ้ำถึงกว้างได้ขนาดนี้เหมือนเป็นคนละโลก”   คุณชายสามถามยัยหมาจูที่เป็นสารานุกรมยุทธจักรเคลื่อนที่   คราวนี้หลิวเกาไม่ได้มาด้วย  นางเลยต้องมาติดสอบห้อยตามเขาแทน

ศิษย์น้องจิ่งกลอกตา  “เจ้าไม่รู้ทุกเรื่องเลยหรือไง   นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของดินแดนลี้ลับ   เมื่อพลังวิญญาณเซียนจากการย่อยสลายมิติไหลเวียนภายในเหมืองได้ระดับหนึ่ง  โลกของเราก็จะเริ่มซ้อนทับกับอีกโลก  ทำให้เจ้ามองเห็นสถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่มีในทวีปของเรา”

“โอ้  ถ้าอย่างงั้นแปลว่า  เดินทางตรงไปเรื่อย ๆ ข้ามทิวเขาลูกโน้น  ก็จะไปถึงอีกโลกได้งั้นสิ”

“คิดอะไรตื้น ๆ   เจ้าเป็นเจ้านายของศิษย์พี่หลิวได้ยังไงล่ะเนี่ย”

“สหายจิ่ง  ถ้าเจ้ายังเหน็บแนมข้า  ก็เข้ามาใกล้ ๆ ตรงนี้  ข้ารับรองว่าจะไม่ตื๊บเจ้าถึงตาย”

ยัยหมาจูรีบถอยออกห่างแล้วแลบลิ้นใส่   แต่ก็อธิบายต่อ  ความกระตือรือร้นที่จะให้ความรู้ก็คือข้อดีเพียงข้อเดียวของนาง  “โลกทั้งหมดที่เจ้าเห็น  มันอยู่ในอาณาบริเวณที่จำกัด   ถ้าเจ้ามีวรยุทธระดับที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้  เจ้าจะพบว่ามีตาข่ายฟ้าดินที่ห่อหุ้มและป้องกันมิให้ผู้ใดข้ามผ่าน  ลือกันว่าตรงเหมือง  หรือรอยต่อมิติที่เราจะไปนั่งสกัดแร่วิญญาณเซียน  คือประตูเชื่อมต่อเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้เดินทางไปยังโลกอื่น ๆ  แต่ไม่มีใครมีวรยุทธสูงส่งพอที่จะทนกับการฉีกทึ้งของกาลอวกาศได้”

ซีคงหยูพยักหน้าอย่างเข้าใจ   จากนั้นจึงเดินตามคณะสำรวจที่กำลังไต่ลงเนินไปยังที่ราบหุบเขาอันร้อนระอุ

เมื่อทั้งหมดลงมาบนที่ราบ  พลสอดแนมซึ่งล่วงหน้าไปก่อนก็กลับมาพอดี  นางหยิบแท่งหยกบันทึกภาพมาฉายภาพสามมิติของอสูรเฝ้าเหมืองที่ไปบันทึกมา  ภาพที่ปรากฏเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายกิ้งก่า   มันเดินสี่เท้าอย่างเชื่องช้าและมีหลังเป็นหนาม  หางของมันก็ดูคล้ายกับลูกตุ้มเหล็ก  ท่าทางหนักและอันตราย

“อสูรกลุ่มนี้เป็นประเภทเคลื่อนไหวช้า”  พลสอดแนมอธิบายข้อมูล  “พวกมันมีสายตาที่ไม่ค่อยดี   ข้าสามารถเข้าใกล้ได้ในระยะห้าสิบเมตรโดยไม่ถูกโจมตี”

“ถ้าเคลื่อนไหวช้าก็ต้องโจมตีแบบกองโจร”   ศิษย์น้องเหยียนซึ่งทำหน้าที่ผู้นำกลุ่มสำรวจนี้กล่าวตามตำรา

“ศิษย์พี่เหยียน  นี่มันดูเหมือนกับพวกสำนักอำพันโบราณเวลาพวกเขาแปลงร่าง”   ศิษย์น้องคนหนึ่งในกลุ่มอุทานเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของอสูร

“โอ้  จริงด้วย”  พวกนางซุบซิบกันอย่างสนใจ

“ถูกแล้ว”  ศิษย์น้องจิ่งเชิดอกอธิบาย   “บรรพบุรุษของศิษย์สำนักอำพันโบราณคืออสูรประเภทนี้  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รับคนนอก  และให้ความสำคัญกับสายเลือดยังไงล่ะ  ถ้าจะกล่าวแล้วสำนักอำพันโบราณก็ไม่น่าเรียกว่าสำนัก  แต่เป็นกลุ่มของตระกูลเก่าแก่ที่มารวมตัวกัน”

“ถ้างั้น  แปลว่าเราสามารถต่อสู้กับพวกมันแบบที่สู้กับศิษย์สำนักอำพันโบราณสินะ”  ซีคงหยูเสนอความเห็น  พวกผู้หญิงหันมามองเขา  จนคุณชายสามรู้สึกไม่สบายใจ    “มองอะไร”

“ไม่นึกว่าเจ้าจะพอมีสติปัญญาบ้าง”

“เพ้ย  ยัยหมาจู  ข้าจะขึ้นบัญชีหนังหมาเจ้าไว้คู่กับยัยหมีเขียว”

“จุดอ่อนของสัตว์พวกนี้คือความเย็น”  ศิษย์น้องเหยียนตัดบท  ถึงบางทีนางจะเพี้ยน  แต่เวลาเป็นผู้นำก็ทำได้ดี  นางกวาดตาไปรอบ ๆ แล้วถาม  “ใครในที่นี้ใช้วิชาเซียนประเภทน้ำหรือน้ำแข็งได้บ้าง”

“ข้า!  ข้าเอง!”  คุณชายน่ำเก็งโบกมือ

“ทำได้ดีเท่าเสี่ยวหมีมั้ย”

“หยุดเปรียบเทียบข้ากับเสี่ยวหมี!”


+++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 17 (วันที่ 9/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 09-09-2017 20:34:22
เอ่อ แม่นางจะเสี่ยวหมีขึ้นสมองขนาดนั้นเลยรึ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 17 (วันที่ 9/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-09-2017 20:49:15
เจอชื่อโอ๋อวิ๋น ก็นึกถึง ฟงอวิ๋น ขี่เมฆทะลุฟ้า เอ๊ย....ขี่พายุทะลุฟ้า(ขอโต้ด มันคิดครั้งแรกอย่างนี้จริงๆ)
อ่านเจอชื่อเว่ยหลิงจื่อ ก็อ่านกลับเป็นจื่อหลิง พระเอกในดวงใจมังกรคู่สู้สิบทิศ
สับสนซะจริงๆ

ที่แท้หยู สนใจสิ่งประดิษฐ์นี่เอง
ถึงละเลยเรื่องฝึกฝีมือ
รู้สึกว่าสิ่งประดิษฐ์ของหยูจะรุ่งนะ
หยู น้อยใจเสี่ยวหมี แล้วตอนนี้ / อ๊อออออออ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 17 (วันที่ 9/9)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2017 21:03:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 17 (วันที่ 9/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 09-09-2017 22:45:01
555555เรื่องนี้พระเอกคือเสี่ยวหมีจริงๆ ทุกคนหลงรัก555
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 17 (วันที่ 9/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-09-2017 22:48:37
พี่เว่ยเกือบฉลาดแล้ว

น่ำเก็งฝึกวิชาไร้ตัวตนหรือเปล่า? ซีคงก็ไม่ฟอลโลว์ น้องเหยียนก็มองทะลุไปหาหมี

ช่างมีฝีมือสูงส่งซะจริง

ซีคงเป็นนักประดิษฐ์นี่เอง ลองทำเครื่องมือจับผู้ที่น่ากินดูไหม? ฉันจะทุ่มเป็นนายทุนหมดกระเป๋าเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 17 (วันที่ 9/9)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 10-09-2017 14:24:43
รอพี่อวิ๋นกะน้องหยู :o8:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 18 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 11-09-2017 01:37:17

wnkth:  ฮิ ๆ  แฟนคลับอันดับหนึ่งของเสี่ยวหมีเลยล่ะ

♥►MAGNOLIA◄♥:  อวิ๋นเดียวกันครับ   แปลว่าเมฆเหมือนกัน
ฮ่า ๆ ตอนตั้งชื่อผมก็รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนกัน  คืออ่านมังกรคู่เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว  ลืมล่ะ

mild-dy:  :mew1:

JustWait:  พระเอกจริง ๆ คือหลิวเกา  #ผิดกว่าเดิม

alternative:  น่านสิ   เต๋าแห่งทรานสเพอเรนซี่
เครื่องมือไม่ต้องสร้างครับ   แค่จับคุณชายหยูไปแขวนไว้หน้าบ้าน  เดี๋ยวก็มาเอง  #ช่างมั่นใจตัวเองเหลือเกินนะอาหยู

 xexezero: พี่อวิ๋นหายไปสักพักล่ะฮะ   ให้โอกาสคู่แข่งทำคะแนน  อิอิ


+++++



ศิษย์น้องเหยียนแบ่งกำลังออกเป็นสามกลุ่ม   กลุ่มเข้าชนซึ่งจะต้องมีความแข็งแรงและสามารถเคลื่อนที่ได้ว่องไว  กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวยุทธรับจ้าง  ซีคงหยูก็อยู่ในกลุ่มนี้   กลุ่มที่สองคือกลุ่มสนับสนุน  มีวิชาเซียนที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ลดความสามารถของศัตรู  เช่นวิชาเซียนสายน้ำแข็งของคุณชายน่ำเก็ง  และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มโจมตีระยะไกล

ซีคงหยูกระชับดาบในมือให้มั่น  เขาและกลุ่มเข้าชน  เดินย่อตัวเข้าใกล้อสูรกิ้งก่าโบราณอย่างระมัดระวัง   เขาไม่รู้สึกหวาดหวั่นเหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะอสูรตัวนี้ดูไม่ดุร้ายและไม่น่าเกลียดน่ากลัว  และจากประสบการณ์การลงเหมืองมาแล้วสองครั้ง  เขาพบว่าการจัดยุทธวิธีของศิษย์น้องเหยียนดูก้าวหน้ากว่าซ่งจิน  ซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

เขามองตรงไปข้างหน้า  คนที่ฝึกวิชายุทธเข้าเขตแดนตะวันขึ้นสาย  จะมีดวงตะวันในจุดตันเถียน  มันเหมือนกับดวงแสงสีทองที่ไม่มีเนื้อหนัง  มีแต่พลังงานที่ไหลเวียนไปมา  แสงของดวงตะวันจะส่งผ่านเส้นเมอริเดียนทั่วร่างกายไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ประสาทสัมผัสทั้งห้า  และองคาพยพทั้งสี่  พลังปราณที่ถูกเก็บกักแล้วหน่วงไว้จะทำให้ดวงตาของผู้ฝึกยุทธทำงานได้ดีกว่าปกติ   พวกเขามองเห็นในความมืดได้ดีขึ้น  และที่สำคัญก็คือ  ตอนนี้พวกเขาจะสามารถรับสัมผัสรัศมีที่แผ่ออกมาจากผู้มีพลังยุทธ  อสูร  และของวิเศษ  ภาพที่พวกเขาเห็นมันไม่ได้ปรากฏชัดเจนเหมือนวาดเส้นสี  แต่เป็นความรู้สึกเหมือนกับมองเห็นสีสันลี้ลับที่ไม่เคยมองเห็นและรู้จักมาก่อนในทุก ๆ สิ่ง  รัศมีลี้ลับนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญพรตสามารถตัดสินซึ่งกันและกันได้ว่าแต่ละฝ่ายบำเพ็ญพรตถึงขั้นใด  และถึงแม้ว่าสีสันเหล่านั้นเป็นสีสันที่มนุษย์บรรยายไม่ถูก  แต่พวกเขาก็แทนและเทียบเคียงมันด้วยแสงสีรุ้ง  โดยสีแดงคือระดับพลังพรตที่ต่ำที่สุด  และเมื่อมันมีความโน้มเอียงเข้าใกล้สีส้มมากเท่าใด   มันก็แปลว่าคนผู้นั้น  หรืออสูรตนนั้นมีระดับพลังพรตเข้าใกล้เขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย

และในตอนนี้อสูรที่ซีคงหยูมองเห็นตรงหน้า  กิ้งก่าหลังหนาม  รัศมีของมันเกือบจะเป็นสีส้ม  ถือเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา 

เมื่อหน่วยเข้าชนเคลื่อนที่ไปใกล้จนเกือบจะถึงระยะ  คุณชายน่ำเก็งก็คลี่พัดหยกสีฟ้า  จากนั้นเริ่มร่ายรำบูชาเทพเจ้าน้ำแข็ง  การร่ายรำเป็นหนึ่งในวิธีการผสมผสานวิชาเซียนเข้ากับวิชาท่าร่าง  ในขณะที่จิตโคจรปราณ   ร่างกายก็ยักย้ายสร้างอีกวงจรที่สอดคล้องและขยายพลังซ้อนทับเข้าไปอีกชั้น

มือขวาสะบัดพัดหยก   อุณหภูมิลดต่ำลง

เท้าซ้ายยกขึ้นและย่างไปข้างหน้า  ไอเย็นเริ่มจับตัว

แขนเสื้อวาดและหมุนเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว  หิมะโปรยปราย

โดยไร้ซึ่งจังหวะและสรรพเสียง  สี่องคาพยพยักย้ายสร้างเขตแดนอันหนาวเหน็บขึ้นมาในพริบตา

“โจมตี” 

เมื่อได้รับสัญญาณ  ซีคงหยูก็ดีดตัวไปข้างหน้าจากท่าย่อรอโจมตี  เขาใช้กระบวนท่าพยัคฆ์ลงจากภูเขาฟาดฟันดาบไปเบื้องหน้า  อสูรกิ้งก่าหลังหนามรู้สึกตัวและเห็นเหล่ามนุษย์พุ่งเข้าใส่  มันอ้าปากแดงฉานคำรามลั่นจนพื้นสั่นสะเทือน   แล้วพลิกตัวบิดหลัง  เหวี่ยงหางลูกตุ้มเข้ากวาดใส่ผู้บุกรุก

“มังกรดั้นเมฆ!”  คุณชายสามตะโกน  สะกิดเท้าอาศัยแรงเหวี่ยงของดาบข้ามหางอันตรายของอสูรไปอย่างหวุดหวิด  ร่างของเขาซิกแซกลงมาที่พื้นและดาบก็กรีดเข้าไปในหนังของมันเกิดรอยแผลสีแดงสด

เมฆไร้ลักษณ์  มังกรไร้ร่องรอย  เมื่อจะดั้นเมฆก็ต้องแปรเปลี่ยนไปตามกระแสลมและฝน

ซีคงหยูโจมตีสำเร็จก็ไม่ชะล่าใจ  สะบัดดาบในมือให้เกิดแรงต้าน  แล้วรีบพุ่งตัวถอยหลังเหมือนกับมังกรที่ถูกตีขนดหาง  หน่อยเข้าชนคนอื่น  โจมตีมันต่อกันติด ๆ เหมือนกับยิงกระสุนลูกปราย  อสูรกิ้งก่าหลังหนามได้รับแผลตื้นเป็นจำนวนมาก  มันกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว  แผงคอของมันตั้งชันเหมือนครีบปลาหมอที่ถูกจับขึ้นมาบนบก   หางลูกตุ้มของมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา  และคอยาวก็พยายามไล่งับผู้คนเหมือนเป็นงูตัวหนึ่ง

ทว่าด้วยวิชาเซียนน้ำแข็งของคุณชายน่ำเก็ง  มันเคลื่อนไหวเชื่องช้าเกินกว่าที่จะไล่ตามชาวยุทธเหล่านั้นทัน  ระหว่างที่อสูรกำลังโรมรันพันตูกับหน่วยโจมตีระยะใกล้  หน่วยโจมตีระยะใกลก็เริ่มตระเตรียมวิชาเซียนและเพลงอาวุธของตน  บางคนใช้ธนูหน้าไม้แบบซ่งจิน  และบางคนก็ใช้ไม้ไผ่ผนึกหยก  ผู้ที่ใช้ไม้ไผ่  กระแทกอาวุธของตนลงกับพื้น  หลับตาโคจรพลังปราณ  ประสานใจเข้ากับฟ้าดิน  และท่องบ่นบทสวดที่ใช้ควบคู่กับวิชาเซียนนั้น  เมื่อโคจรปราณในจิตครบวงจรที่กำหนด  นางก็ลืมตา  ในแววตามีประกายเจิดจ้า  กิ่งไผ่ผนึกหยกในมือพลันงอกกิ่งก้านสาขาราวกับมีชีวิต   ใบของมันแตกออกตามช่อพุ่ม  และราวกับมีลมที่มองไม่เห็น  ใบไผ่ปลิดปลิวหมุนวนแล้วพุ่งเข้าโจมตีอสูรกิ่งก่าในทันที

“หลบ ๆๆๆ”

มีคนตะโกนบอก  ซีคงหยูเลยกลิ้งตัวหลบไปด้านหลัง   ใบไผ่  ห่าธนู  และวิชาเซียนระยะไกลอื่น ๆ ก็พุ่งเฉียดใบหูเขาเข้าไปฝังตามตัวอสูรโบราณที่ร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

มันคู้ตัวยกเท้าหน้าขึ้นกระทืบพื้น  สองตาแดงฉานมองเขม็งไปยังกลุ่มโจมตีระยะไกล  เมื่อเห็นอสูรเขม็งร่างกายเตรียมวิ่งเข้าใส่  ศิษย์น้องเหยียนก็ตะโกนบอกกลุ่มโจมตีระยะไกลให้วิ่งหนีกระจายออกไป  ในจังหวะนั้น  ผู้นำกลุ่มโจมตีระยะใกล้ก็พาสมาชิกเข้าไปตามฟาดฟันหลังและหางของอสูรเหมือนฝูงผึ้งที่ไล่โจมตีหมี

สักพักหนึ่ง  อสูรกิ้งก่าก็เปลี่ยนใจ  มันหันกลับมาแว้งกัดผู้โชคร้ายที่ก่อกวนมันข้างหลัง  ชาวยุทธผู้นั้นกรีดร้องผสมกับเสียงกระดูกแตกร้าว  เขี้ยวของอสูรงับเข้าไปกลางบ่า  และขากรรไกรของมันก็ขบจนกระดูกช่วงอกของเขาแหลกละเอียด  คุณชายสามเห็นแล้วก็กลืนน้ำลายอย่างตระหนก  แต่ก็กัดฟัน  ฉวยจังหวะที่มันยุ่งกับเหยื่อรายนั้น  เข้าไปซ้ำอีกหลายแผล  ขณะเดียวกันหางตาก็คอยเหลือบจ้องระวังหางลูกตุ้มของมันที่จะแกว่งมาฟาด

เพลงดาบของเขาลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้น  รูปแบบอันตายตัวของเพลงดาบถูกปรับเปลี่ยน  บางทีมันก็ไม่ใช่ทั้งสามกระบวนท่า  และบางทีมันก็เหมือนกับเขาใช้หลาย ๆ กระบวนท่าไปพร้อม ๆ กัน

เมื่อเห็นว่าความสนใจของอสูรกลับไปอยู่ที่หน่วยท้าชน  ศิษย์น้องเหยียนจึงเรียกกองกำลังโจมตีระยะไกลมารวมกันใหม่และเริ่มต้นร่ายวิชาเซียนกันอีกครั้ง   หน่วยธนูที่โจมตีได้ทันทีก็ต้องหยุดรอ  เพราะหากว่าพวกนางดึงความสนใจของอสูรมาทางแนวหลังก่อนเวลาอันควร  ผู้ที่ใช้วิชาเซียนซึ่งต้องการระยะเวลาร่ายนานก็จะไม่สามารถหลบหนีได้ทัน

 คณะสำรวจหมุนเวียนโจมตีอย่างนี้อยู่สามสี่รอบ  อสูรกิ้งก่าหางหนามก็ร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนล้มครืนลงไปด้านข้างจนเสียงสะเทือนดังสนั่น  พวกเขาเข้าไปช่วยกันชำแหละ   หาแกนอสูรและชิ้นส่วนที่สามารถใช้ทำยาเซียนและอาวุธ  บางคนเลื่อยหนามที่หลังของมันออกมา  และพินิจพิจารณาความเหนียวและความแข็งแกร่งของมัน  บางทีมันอาจจะถูกใช้ทำชุดอาวุธลับหรือหนามแส้ก็เป็นได้

ซีคงหยูนั่งพักอยู่ใกล้ ๆ  เขาเปิดน้ำมาดื่มและหายใจลึก ๆ เพื่อลดอาการมือสั่น  เขาเพิ่งเคยเห็นคนถูกอสูรฆ่าตายใกล้ ๆ  คราวที่ไปกับหลี่โอ๋อวิ๋นและซ่งจิน  เขารับหน้าที่วิ่งล่อ  และเมื่ออยู่ใต้ฤทธิ์ของหนู่โม่หวาง  ความทรงจำก็เหมือนกับเป็นภาพที่พร่าเลือนไปหมด   สักพักก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมา  เลยหันไปดูและพบว่าศิษย์น้องจิ่งกำลังท้าวสะเอวมองอยู่  เขาเลิกคิ้วกลับไปเป็นเชิงถาม

“สหายซีคง  ไม่นึกว่าจะทำได้ดี”   นางเอ่ยชม  แต่ไม่ทันที่คุณชายสามจะรับคำชม  นางก็กล่าวต่อ  “ฝึกอีกยี่สิบปีก็น่าจะเก่งเท่าศิษย์พี่หลิว  พยายามเข้านะ”

ยี่สิบปีบิดาเจ้าสิ!  ซีคงหยูสบถในใจแล้วปาขนมเปี๊ยะไล่

ศิษย์น้องเหยียนเดินเข้ามา  แล้วตบบ่า

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าศิษย์พี่ซีคงจะใช้เพลงดาบพื้นฐานได้ชำนาญขนาดนี้  เสี่ยวหมีสอนมาใช่มั้ย”

ซีคงหยูเหลือกตาแล้วตอบ  “ไม่ใช่”

“งั้นเดาอีกที  หลี่โอ๋อวิ๋น?”

ซีคงหยูส่ายหัว  อีกฝ่ายเลยทาบอกอุทาน

“ตายแล้ว  นี่ศิษย์พี่ซีคงแอบมีชายอื่นหรอ”

“ใช่ ๆ  ชื่อซ่งมู่  จมูกบี้นิด ๆ แต่หล่อน่ารัก  เพ้ย...คว่ำโต๊ะ  เจ้าคิดถึงเรื่องอะไร!”

ศิษย์น้องเหยียนหัวเราะคิกคัก 

“ฮิฮิ  คนนั้นนี่เอง”   นางนึกถึงนักดาบหน้าตาดีที่เจอหน้าค่ายวันนี้

“พอเลย  หยุดคิดอกุศล  เมื่อไหร่จะไปต่อ”

“ศิษย์พี่มีแรงก็ลุกมาสิ”  นางช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้น  จากนั้นบอกกับเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย  “ศิษย์พี่ซีคง  การต่อสู้ต่อไปต้องระวังให้ดี  ศิษย์พี่ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยแล้วนะ  ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวไว้ให้กับจอมยุทธหลี่และจอมยุทธซ่ง”

ซีคงหยูฟังแล้วก็เหลือกตามองสวรรค์เบื้องบน


+++++ 



เทอราโนดอนตัวสุดท้าย  เบิกตากว้างมองผู้สังหารมัน  ม่านตาของมันเป็นรูปลิ่มสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ  แก้วตาสะท้อนแสงเป็นมันวาวก่อนจะค่อย ๆ หม่นประกายตามลมหายใจที่เหือดหาย   เสียงร้องสั้น ๆ ครั้งสุดท้ายเหมือนกับการบอกลาโลกและผู้บุกรุกแปลกหน้าที่มันไม่รู้จัก  มันเคยมีรังที่สร้างบนหน้าผาสูงลิ่ว  ไข่ที่ยังไม่ฟักและคู่ครอง  ตราบกระทั่งเมื่อมันถูกกลืนหายในท้องฟ้าและทะเลดาวอันมืดหม่น

ซีคงหยูมองเห็นเงาของตนเองสะท้อนในดวงตาอสูรที่สิ้นลมหายใจ  เงาของเขาพร่าเลือนเพราะสีขาวหม่นที่เริ่มปรากฎเคลือบวุ้นใสลูกนั้น  เขามองดาบที่อยู่ในมือและในเงาสะท้อน  มันเปื้อนเลือดที่ทั้งสดใหม่และแห้งกรัง  และก็คงจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำตามกระแสลมอันพัดหวีดหวิวอยู่รอบตัว

ระบำบวงสรวงเทพน้ำแข็งสิ้นสุด  คุณชายน่ำเก็งทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย  การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย  สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่รอให้หัวหน้าคณะนำกุญแจเหมืองไปสอดเข้าแท่นบันทึก

“ท่านดูเศร้าใจ”

“ไม่  แค่เหนื่อย”  ซีคงหยูตอบทั้ง ๆ ที่ห่อไหล่  เขาไม่สนใจหันไปดูด้วยซ้ำว่าใครถาม

เขาเดินไปเรื่อย ๆ ไปสุดเขตแดนมิติลี้ลับที่อยู่ไม่ไกล  เขารู้ได้อย่างไร  ก็เพราะมันมีม่านมิติที่มองออกไปเห็นทะเลดาวและดวงดาราอันมืดดำดวงยักษ์ลูกนั้น

ซีคงหยูนั่งกับก้อนหินใกล้ ๆ ที่หันหน้าไปทางมิติอันถูกกัดกร่อน  และปล่อยให้แสงขาวอันห่อหุ้มดาวสีดำอาบไล้ใบหน้าของตน  เมื่อจ้องดูสักพัก   เขาก็วางดาบในมือลงข้างตัวและปลดห่อผ้าสะพายหลังออกมาดู  ในห่อผ้ามีอาหารและเสื้อผ้าสำรอง  และไม่เพียงเสื้อผ้าสำรอง   เขายังมีกังหันเล็ก ๆ   มันมีก้านตรงเหมือนกับก้านลูกกวาด  ตัวใบกังหันทำจากไม้และเคลือบด้วยโลหะบางชนิดที่มีเส้นใยต่อกันเป็นลวดลายเหมือนรังแมงมุมอันเป็นระเบียบ  เขามองกังหันในมือและจำได้ว่าตอนที่ประดิษฐ์มัน  เขาต้องหลอมโลหะผสมบางอย่างให้ละลาย  ใส่เครื่องมือรีดเส้นเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ หยอดลงไปให้เป็นลวดลายตามพิมพ์เขียว  ในพิมพ์เขียวบอกว่า  มันคือเครื่องมือติดต่อสื่อสาร  เหมือนกับนกกระเรียนกระดาษที่มีวงจรเซียนอยู่ภายในและขับเคลื่อนด้วยพลังปราณ  ผู้รับนกกระเรียนสามารถได้รับข้อความและอัดพลังปราณส่งมันกลับไปได้

ทว่ากังหันนี้กลับไม่เคยใช้งานได้จริงดังที่พิมพ์เขียวระบุ   เขาแค่เก็บมันไว้เป็นที่ระลึก  จนกระทั่งเมื่อเขาได้ลงมาเห็นรอยต่อของเหมืองกับมิติลึกลับ  จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา  ซีคงหยูลุกขึ้น  เขาเลียริมฝีปากแห้งผากโดยไม่รู้ตัว  ลิ้นของเขาแตะที่ปลายจมูกของตนเอง  ก่อนจะหายลับเข้าไปในปาก  โดยที่แทบไม่ได้ช่วยให้ความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นเท่าใด  และเหมือนจะรู้สึกตัว  คุณชายสามจึงปลดกระบอกไม้ไผ่หยกเย็นที่เหน็บไว้ข้างเอวมาดื่มน้ำในนั้นก่อนจะพบด้วยความผิดหวังว่าไม่มีของเหลวในกระบอกเหลือสักหยด

เขาเก็บกระบอกน้ำไว้ข้างเอวเหมือนเดิมด้วยอาการยอมแพ้  มันเป็นของที่เขาแอบยึดมาจากหลี่โอ๋อวิ๋น  และเมื่อมันใช้งานได้ดีเขาจึงพกติดตัวไปทุกที่  ซีคงหยูจ้องมองความลี้ลับของทะเลดาวและเศษซากของมิติที่วิ่งเกาะกันเป็นกลุ่มเหมือนฝุ่นผงปลายดาวหาง   มันโลดแล่นไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับว่าเป็นภารกิจทั้งชีวิต

เขาค่อย ๆ ยกกังหันในมือ  สองมือทาบเข้าหากันที่ก้านกังหัน  ขยับมือเบียดให้มันหมุน  ใบของมันหมุนอย่างรวดเร็ว  กินอากาศรอบ ๆ ตัวเข้าไปพยุงให้ลอยจากฝ่ามือเจ้าของ  แต่แม้กระนั้นมันก็ลอยขึ้นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนเกสรดอกแดนดิไลออน  โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต  แม้ซีคงหยูเองก็ไม่ทราบว่า ณ วินาทีไหน  ที่กังหันสื่อสารลอยออกไปเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางทะเลดาวอันมีดาวสีดำสนิทเป็นฉากหลัง

มันหมุนช้าลงไปชั่วขณะหนึ่ง  แต่แล้วก็หมุนเร็วขึ้นเหมือนกับพยายามปรับตัวตามทิศทางลม   ซีคงหยูไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นมีลมหรือไม่  แต่กังหันของเขาหมุนวนอย่างทระนง  ก่อนจะปลิวหายลับไปจากสายตาในที่สุด

“นั่นอะไร”  ศิษย์น้องจิ่งซึ่งมายืนดูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบถามอย่างสงสัย

“กังหันลม”

“โอ้  มันบินออกไปข้างนอกได้ด้วย”

“มันเป็นกังหันวิเศษ”  คุณชายสามยกยิ้มที่มุมปาก  ไม่มีใครรู้หรอกว่า  ในใจของเขาลิงโลดแค่ไหน  พิมพ์เขียวของวัตถุกลไกทั้งหมดไม่ใช่เรื่องไร้สาระ  มันใช้งานได้จริง

“ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวสักครู่”  ซีคงหยูชำเลืองมองศิษย์น้องจิ่งซึ่งฟังแล้วทำแก้มป่อง

“ถ้าไม่เห็นแก่ศิษย์พี่หลิว  ข้าก็ไม่อยากมาดูแลเจ้าหรอกสหายซีคง”

ซีคงหยูทำเสียงเบา ๆ ในคอ  ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่สนยัยหมาจู  ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดพลุ่งพล่าน  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาลองสร้างวัตถุกลไกตามพิมพ์เขียวมรดกทั้งหมดแล้วมาทดลองที่นี่   ของเล่นบ้าบอที่เขาเล่นมาตลอดสิบกว่าปีจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระแล้วอย่างงั้นหรือ  ถ้าสมาคมเต๋าแห่งกลไกรู้เรื่องนี้  ตาแก่พวกนั้นจะมาแย่งชิงสมุดบันทึกของเขาไปมั้ย

ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะ  เมื่อศิษย์น้องเหยียนเสียบกุญแจเหมืองเข้าแท่นบันทึก  มันประกาศชื่อผู้คุมเหมือง  ซึ่งไม่ใช่เขา  ซีคงหยูไม่สนใจ  จ้องมองทะเลดาวภายนอกอย่างเนิ่นนาน  ก่อนจะถอยกลับไปเมื่อผู้นำคณะเรียกให้ทุกคนไปรวมตัว


+++++




ซ่งมู่รู้สึกเหนื่อย   แต่เขาไม่สามารถหยุดได้  เส้นทางมีแค่สองทาง  ไปข้างหน้าหรือล่าถอย  กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากของลำธารอาจจะทำอันตรายผู้มีพลังยุทธไม่ได้  แต่มันก็กัดกร่อนพลังของผู้คนเหมือนกับผูกกระสอบทรายไว้ที่เอว  การไล่ล่าในธารน้ำระหว่างช่องแคบของหุบเหวเป็นภูมิประเทศที่เขาไม่คุ้นชิน  แต่ศัตรูก็ลำบากไม่แพ้กัน

ลูกทีมของเขาตามมาทางด้านหลัง  ทุกคนย่างเท้าไปข้างหน้าต้านทานกระแสน้ำ  พร้อม ๆ กับที่เงื้ออาวุธในมือของตนและตระเตรียมวิชาเซียนให้พร้อมโจมตีตลอดเวลา   สัตว์ร้ายที่วิ่งหนีเตลิดไปในพงไพร  ไม่แน่ว่ามันจะประสาทเครียดเขม็งเท่าผู้ล่า  มันอาจจะวิ่งไปเรื่อย ๆ ด้วยความตื่นกลัว  เพราะมันรู้แน่ว่ามีนายพรานที่กำลังไล่ล่าและคอยทำร้าย  ทว่านายพรานนั้นเล่า  เขาไม่สามารถเริงใจไปกับการล่าได้โดยสิ้นเชิง  การเป็นผู้ล่ามันก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกเหนือกว่าและความหวาดผวาว่าสัตว์ร้ายจะย้อนกลับมา  ซุ่มอยู่ในป่ารกและคอยกระโจนเข้าใส่ด้วยเขี้ยวเล็บอันแหลมคม

แต่ซ่งมู่ไม่ใช่ทั้งนายพรานและสัตว์ร้าย  เขาคือเหยื่อล่อ  คือม้าตื่นที่ปล่อยให้วิ่งไปในราวไพร  กลิ่นของเหงื่อและเลือดเนื้อม้าจะหอมหวลดึงดูดสัตว์กินเนื้อให้กระโจนตามอย่างหื่นกระหาย  ซ่งจินคือนายพรานที่แท้จริง  ทีมของเขาใช้เส้นทางที่ลัดเลาะไปบนขอบเหวอันมองลงไปเห็นลำธารและกลุ่มผู้ล่าและผู้ถูกล่าที่เตลิดไปอยู่ลิบ ๆ  ภูมิประเทศนี้เป็นรูปแบบที่เขาชื่นชอบที่สุด  เพราะมันเหมือนกับไหที่มีทางเข้าเพียงทางเดียว  และการไล่ต้อนตีตะพาบในไหนั้นก็ง่ายยิ่งกว่าการหยิบส้มในลัง

ทางเบื้องหน้าของศิษย์สำนักหมื่นบุปผาที่หนีเตลิด   มีอสูรเฝ้าอยู่  พวกมันซุ่มและซ่อนในโขดหิน  ลำธาร  และเงาไม้  เหมือนกับว่านั่นคือรังนอนชั่วนาตาปี  วังหมื่นบุปผาที่ไร้ทางเลือก  จึงสั่งให้ศิษย์ทุกคนหยุดเท้า และหันกลับไปตั้งขบวนป้องกัน

เมื่อซ่งมู่นำกำลังมาถึง  พวกนางก็ยึดสถานที่สูงกว่า  และกล่าวกับเขาว่า

“เราขอยอมแพ้”

ซ่งมู่เงยหน้าเล็กน้อยมองสตรีชุดม่วงที่ชายกระโปรงเต็มไปด้วยผ้ากลีบแหลมซ้อนกันแน่นขนัดเหมือนดอกบัว  สิ่งที่สองที่เขาเห็นคือคอระหงของนาง  ริ้วคอที่ขาวราวกับหยกสลัก  และเรียบเนียนราวกับผิวทารกอันซ่อนสีแดงเรื่อ ๆ บ่งบอกความเยาว์วัยภายใต้ผิวอันเรียบเนียนนั้น  เมื่อบุรุษมองเห็นคอของนาง  น้อยคนนักที่จะหักใจทำลายให้แหลกลาญ  พวกเขามักจะฝังจมูกลงไปดมกลิ่นกรุ่นและจุมพิตอย่างแผ่วเบาด้วยระแวงว่าจะทิ้งรอยแปดเปื้อนไว้บนวัตถุศิลปะชั้นดี

ทว่าซ่งมู่มิได้อยู่ในบุรุษกลุ่มนั้น  เขาชี้ปลายดาบเล็งไปที่คอของนาง  หางตาเหลือบแลซ้ายขวาอย่างระวังไว  และกล่าวตอบกลับ

“ถ้ายอมแพ้ก็วางอาวุธลงและส่งทรัพย์สินมา”

สตรีชุดม่วงฟังแล้วก็ตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว   “เพ้ย  เจ้าเป็นโจรหรือเป็นชาวยุทธ  พวกเราจะยอมถอยไม่ยึดเหมืองนี้  เจ้ายังไม่พอใจ?!” 

ซ่งมู่ยิ้มหยันแล้วถามกลับ  “ชาวยุทธพบพานกันต้องฆ่าแกง  แต่โจรผู้ร้ายเพียงต้องการทรัพย์สิน  เจ้าอยากให้ข้าเป็นอะไร” 

“เจ้าคือโจร”  นางตอบอย่างแน่ใจ  แล้วปลดแหวนสี่มิติของตนเองโยนให้กับซ่งมู่

ซ่งมู่มองแหวนที่ลอยผ่านอากาศเป็นวงโค้ง   รับมา  และยังไม่ทันดู  ควันสีม่วงก็พวยพุ่งขึ้นมาจากแหวน  ลูกทีมข้าง ๆ ตะโกนอย่างตกใจ

“ควันพิษห้าบุปฝา!”

ซ่งมู่รีบโยนแหวนทิ้ง  แต่สายเกินไป  เขาสูดควันเข้าไปและรู้สึกถึงพลังปราณที่เริ่มปั่นป่วน

สตรีชุดม่วงโบกมือเป็นสัญญาณ  และร้องบอกกับกองกำลังทั้งหมด  “โจมตี!”

ซ่งมู่ใช้ดาบยันตัวเพราะเริ่มรู้สึกเหมือนโลกโคลงเคลง   เสียงเฮแว่วขึ้นมาโดยที่เขาจับทิศทางไม่ถูกเพราะฤทธิ์ควันพิษกำเริบ   ทว่าซ่งจินซึ่งอยู่ในมุมสูงกว่า  เห็นกองกำลังสามกองที่ซุ่มรออยู่เข้าขนาบกำลังของซ่งมู่พร้อม ๆ กัน   เขากัดฟันยกคันธนูขึ้นสูง   ขึ้นศรแล้วลดลงมาเล็งยังผู้คนในลำธารเบื้องล่าง  จากนั้นออกคำสั่งเดียวกัน

“โจมตี!”


++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 18 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-09-2017 06:51:14
สิ่งประดิษฐ์ของหยูใช้ได้จริง  :katai2-1:
ว่าแต่จะรู้ผลของการสื่อสารได้ยังไง เมื่อไร  :katai1:

หยูต่อสู้ได้ แต่คำถามกลับมานี่ไม่ถามซะดีกว่า
แบบเสี่ยวหมีสอนวิชาให้เหรอ  o22
ถ้าไม่ใช่เห็นแก่หลิวเกาก็ไม่มายุ่งด้วยหรอก  :sad4:
รักษาตัวเพื่อโอ๋อวิ๋น กับซ่งมู่นะ อะจ๊ากกกก  :z3: :z3: :z3:

ซ่งมู่ โดนเล่ห์กลของสำนักหมื่นบุบผาซะและ  :เฮ้อ:
แต่จะสามารถตีตื้นกลับมาต่อสู้ได้อย่างเต็มที่หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 18 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 11-09-2017 07:51:12


เรารักคุณคนเขียนมากที่สุด...
เพราะพอเราออกตัวว่าเราเป็นเมนเสี่ยวหมี
ตอนก่อนหน้านี้ ก็มีฉากเสี่ยวหมีเซอร์วิสเยอะมาก
ยิ่งอ่านเลยยิ่งหลงยิ่งรักเสี่ยวหมีกับคุณคนเขียนไปกันใหญ่

มาถึงตอนล่าสุด จะบอกว่าไม่ประทับใจในความก้าวหน้าของอาหยูก็คงไม่ได้
ดูสิ เล่นเปล่งออร่าตัวละครที่เข้าท่ามาตลอดทั้งตอน
แล้วอย่างนี้ป้าจะอดใจไม่แปรพักตร์หันมาเชียร์หนูให้ได้ดิบได้ดีแทนน้องอวิ๋น น้องมู่ได้อย่างไร...

ไหนคะพระเอกของอาหยู พ่อหลบไปอบผิวอยู่ที่ไหนคะ?
ปล่อยให้ป้ารอนาน ๆ เดี๋ยวป้าตั้งหน้าตั้งตาพายส่งน้องมู่เข้าปากอาเฮียหยูจริง ๆ นะคะ

รักคุณคนเขียนมากค่ะ จ๊วบ ๆๆๆ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 18 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 11-09-2017 12:14:50
เพ้ย ระดับมือขวาของหลี่โอ๋อวิ๋น จะมาพ่ายง่ายๆแค่กับพวกวังหมื่นบุบผารุมโจมตีรึ มันจะหยามหน้าประตูทรราชเกินไปแล้ว แต่ว่าก็น่าสนใจว่าถ้าหากซ่งมู่เกิดบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ มันก็น่าจะกระทบกับเส้นทางชีวิตคุณชายสามเหมือนกันนะครับ

คุณคีรีมันจาโรยังไม่ทิ้งฝีปากกาเดิม ยังมีทิ้งนัยยะให้ขบคิดต่อแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ประโยค นับว่าตรงนี้เสน่ห์การเขียนของคุณคีรีมันจาโรนะครับ ถึงมันจะเป็นเซียนเซี่ย แต่มันก็ไม่ต้องเหมือนแบบที่คนอื่นเขียนจนหมดก็ได้ แค่คงแก่นของธีมเรื่องกับความเด่นของประเภทวรรณกรรม (ติดคอเมดี้อ่านง่ายคล้ายๆไลท์โนเวล) ส่วนอย่างอื่นก็ทำตามนิสัยการเขียนของคุณคีรีมันจาโรเลยครับ ผมว่าอย่างนี้มันจะเป็นเอกลักษณ์ของคุณคีรีมันจาโรและน่าจดจำในสายตาคนอ่านมากกว่านะ อย่างผม ผมชอบงานคุณคีรีมันจาโรก็ตรงนี้ (แต่เรื่องเก่าก็อย่างที่พูดไปแล้ว มันลึกเหลือเกิน บางทีถ้าคนเขียนไม่อธิบายตรงๆผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน (หัวเราะ))

จากตอนก่อน เราจะเห็นว่าคุณชายสามไวต่อความรู้สึกและอารมณ์ของคนรอบข้าง เขาจับสังเกตได้รวดเร็วและรู้จักแก้ไขสถานการณ์ ดังนั้นผมคิดว่าต่อให้กับอสูรก็ไม่น่าจะต่างกัน คุณชายสามจับอารมณ์และความรู้สึกของอสูรได้ มันทำให้เขา ‘เห็นคุณค่าของชีวิต’ ขึ้นมา คุณชายสามเริ่มรู้สึกเศร้าใจกับการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล เขาเริ่มรู้สึกแย่เมื่อต้องปลิดชีวิต นี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากครับ เพราะเมื่อเห็นค่าชีวิต...จะเกิดเมตตา เมื่อเมตตาจะนำพาสู่ความสงบ เมื่อสงบจะพบปัญญา การต่อสู้โดยต้องปลิดชีวิตเริ่มทำให้คุณชายสามไม่รู้สึกดี หรือแม้แต่ถ้าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ปลิดชีวิต สังเกตจากการที่กังวลเรื่องสิ่งประดิษฐ์ที่อาจใช้ได้จริง ในนั้นคงมีอุปกรณ์ต่อสู้ด้วย มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณชายสามไปอยู่สาย Support ก็ได้นะครับ (หัวเราะ) ยิ่งเรื่องส่งมาด้วยว่าพ่อของซ่งมู่เป็นปรมาจารย์อยู่ในโรงเรียนสอนปรุงยาและเป็นแพทย์มือฉมัง แถมตัวสามสิบหกแผน แผนหนีเองก็ไม่ได้ใช้เพื่อปลิดชีวิตอยู่แล้วด้วย น่าสนใจมาก เพราะหลิวเกาที่ฝีมือรุดหน้าก็เป็นบริวารคอยรับใช้คุณชายสามได้ แถมยังมีเสี่ยวหมีผู้น่าฮัก แถมยังสำเร็จวรยุทธ์หมัดวารีอีก! (หัวเราะ)

ผมคิดว่าคุณชายสามน่ะฉลาดนะครับ อย่างที่มีคนบอก เขาน่าจะเก่งนะ แต่แค่ขี้เกียจ (หัวเราะ) เขาไม่เด่นเกินไปก็จะไม่มีคนจ้องเอาชีวิต เขาไม่ไปสู้รบตบมือกับใคร โครงเรื่องน่าสนใจมากครับ แต่ปัญหาคือถ้าคุณชายสามจะไปสาย Support จริงๆ ก็ต้องให้ผู้อาวุโส refer ไปล่ะมั้ง เป็นศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์แล้วนี่

คราวก่อนเห็นชื่อหนี่วาเลยสะดุดใจครับ เดี๋ยวนะ จะมีวิชาเซียนสายพุทธมารึเปล่าครับ แบบเวอร์โก้ ชากะ ในเซนต์เซย์ย่าอะ (หัวเราะ) ถ้ามีจริงนี่อย่างเท่เลยนะครับ จตุรโลกบาลเอย วิทยราชเอย พระพุทธเจ้าเอย นี่ยังไม่นับเหล่าเทพและเซียนบนสวรรค์ใต้อานัติเง็กเซียนฮ่องเต้อีกนะ (ฮา) จักรวาลแฟนตาซีแนวกำลังใจภายในมันแตกขยายไปได้เยอะมากเลยครับ สนุกๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 11-09-2017 17:11:56
♥►MAGNOLIA◄♥:  ฮ่า ๆๆๆ มีแต่ประโยคทำร้ายจิตใจ  สงสารอาหยูจริงจริ๊งงงงง  #ส่งยัยหมีเขียวไปปลอบใจหยูหยู
ซ่งมู่กลับมาแล้วครับตอนล่าสุด  ผมเขียนแอคชั่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่  เลยข้าม ๆ ฉากสู้ไป  ฮ่าๆๆๆ

Malimaru:  ตามชื่อเรื่องเลย  เสี่ยวหมีต้องเด่น  ต้องได้ซีน  ห้ามทุกคนแย่งบท   ยกเว้นพี่มู่ของเสี่ยวหมี แย่งได้ #เอ๊ะ
อาหยูเปล่งออร่าได้แค่ระดับ local  ในสเกลใหญ่ไม่มีใครรับรู้การมีอยู่ของอาหยูเลย  ตู้เกี่ยนหลงผู้หล่อล่ำปล้ำง่ายก็ไม่รู้จัก  แล้วอย่างงี้อาหยูจะไล่เก็บสมาชิกฮาเร็มได้ยังไง   5555+
น้องอวิ๋นกลับมาแล้ววววว   เกจคะแนนความฮอทจะสู้เสี่ยวหมีได้หรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป

Grey Twilight:  ประตูทรราชได้เปรียบที่จำนวนชาวยุทธรับจ้างที่มาเข้าร่วมงับ  ขณะที่ตู้เกี่ยนหลงเดินเกมผิดแต่แรก  เลยถึงสามสำนักรวมพลังกัน(อย่างไม่ค่อยจริงใจ)ก็ไม่ชนะ  แต่ก็ทำความเสียหายให้ประตูทรราชไม่น้อย
ขอบคุณสำหรับกำลังใจสนับสนุนแนวทางการเขียนนะครับ  กอดๆๆๆๆ
เรื่องความฉลาดทางอารมณ์ของคุณชายสาม  ก็คงเพราะ..แก่  อ่ะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แนวพุทธเนี่ยก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันครับ  แต่ยังคิดไม่ออก


++++++


มวลหมอกลอยอ้อยอิ่ง  เสียงจิ้งหรีดร้อง  และต้นสนโบราณโดดเดี่ยว  หลี่โอ๋อวิ๋นยืนอยู่ที่หน้าผาเขาจิ้งซาน  มือไพล่หลังและมองไปยังประตูแดนลี้ลับ  อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องมา  มีกฎห้ามแต่ละสำนักโจมตีกันภายนอกเหมือง  แต่ครานี้เขาทราบข่าวจากสายว่าสองสำนักคู่อริลอบส่งกำลังไปช่วยเหลือคณะสำรวจของวังหมื่นบุปผา

เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยและสายตาเย็นชา  กระตุกยิ้มที่มุมปาก  รอยยิ้มนั้นเหมือนแสงแดดที่ละลายหิมะในตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ  แต่ภายใต้ผืนหิมะคือโลหิตอันร้อนรุ่มที่ถูกแช่แข็งไว้แต่เหมันตฤดู  ในมือของเขามีดาบ  ดาบสอดอยู่ในฝัก  แต่คมดาบเปล่งประกายออกทางแววตา  เมฆหมอกลอยเรี่ยเท้า  และสายตาอันคมกล้าของเขาก็มองลงไปยังทางเข้าดินแดนลี้ลับที่กองกำลังของสำนักประตูทรราชกำลังอพยพกันออกมา

“ชนะหรือไม่!”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนกร้าวด้วยพลังปราณ  เสียงของเขาสะท้อนก้องไปในหุบเขา
 
“ชนะ!”  ศิษย์สำนักประตูทรราชเงยหน้ามองผู้นำและตะโกนตอบเป็นเสียงเดียว  พวกเขามีรอยแผลดาบกระบี่ตามเนื้อตัว  และบางคนก็ต้องถูกพยุงออกมา  คนที่อาการหนักก็มีแคร่หาม  สีหน้าของพวกเขาภาคภูมิใจแกมกังวลต่อเพื่อนร่วมสำนักที่ได้รับบาดเจ็บ

ถัดออกไปคือกองกำลังของพันธมิตรสามสำนัก  พวกผู้ชายถูกบังคับให้ถอดเสื้อและยึดอาวุธไปทั้งหมด  พวกเขาเดินคอตกเหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้  และในเมื่อไม่มีอาวุธ  พวกเขาก็ไม่สามารถบุกโจมตีเหมืองต่อได้  และที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือการที่ประตูทรราชเองก็ไม่ยึดเหมืองที่อสูรถูกกำจัดไปครึ่งทางแล้ว

“ราตรีนี้..”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนอีกครั้ง  เขาแน่ใจว่าจ้าวเหรินเจี่ยน  ตู้เกี่ยนหลง  และเว่ยหลิงจื่อซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ ๆ  “..หลี่ขอเชิญทุกสำนัก  เข้าร่วมประมูลอาวุธและวัตถุมีค่าได้ที่ค่ายประตูทรราช!”

เว่ยหลิงจื่อที่ซุ่มฟังอยู่  กระอักโลหิตออกมากองใหญ่



++++++



เมื่อซีคงหยูกลับมาที่ค่าย  ก็พบว่ามีสหายรอบกองไฟจากประตูทรราชมารอเขาที่หน้าประตู

“พี่หยู”  เขาประสานมือทักทายแล้วกล่าวธุระ  “ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้าเชิญท่านไปพบ”

ซีคงหยูบอกแก่เด็กเดินสารว่าเขาจะต้องล้างเนื้อล้างตัวและจัดการเก็บข้าวของก่อน  หนุ่มน้อยคนนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจและยืนรออย่างอดทน

สักพัก  ทั้งสองคนก็ไปถึงค่ายประตูทรราช  ทั้งค่ายเริ่มมีการประดับประดา  และต้นไม้จากป่าใกล้ ๆ  ถูกโค่นมาเพื่อสร้างแท่นปะรำอะไรสักอย่าง  ซีคงหยูกวาดสายตาไปรอบ ๆ  เห็นศิษย์สำนักและชาวยุทธพเนจร  ก่อกองไฟกันเป็นจุด ๆ  หลาย ๆ คนมีผ้าพันแผล  และใบหน้าที่ขมุกขมอม  สหายรอบกองไฟคนอื่นที่รู้จักคุณชายสาม  พยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร  บางคนจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจ

ศิษย์น้องที่ไปเชิญเขามา  ผายมือให้เขาเดินไปแต่ลำพังยังห้องบัญชาการ  เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง  เขาเห็นเทียนจุดส่องสว่างแข่งกับมุกเซียนส่องแสงที่ประดับตามมุมห้อง  ภายใต้แสงเทียน  ใบหน้าของหลี่โอ๋อวิ๋นคล้ายถูกเคลือบด้วยความลับอีกชั้น  คางของเขาเรียวด้วยว่ายังโตไม่เต็มหนุ่ม  เข้ากับดวงตารูปอัลมอนด์และจมูกโด่งเป็นสันให้ความรู้สึกทระนงถือดี  แววตาของเขาเหมือนจะเย็นชาปราศจากอารมณ์  แต่เมื่อมองดี ๆ ก็จะเห็นสีสันลี้ลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน  มันคือความโศกรันทด   หรือความคิดลึกซึ้ง  หรือการดื่มด่ำกับความทรงจำที่ยังไม่เลือนหาย  ซีคงหยูก็อ่านไม่ออก

ด้วยดวงตาที่ทำให้เขาดูโตกว่าวัย  หลี่โอ๋อวิ๋นใช้จับจ้องผู้ก้าวเข้ามาในห้องอย่างพินิจ 

ซีคงหยูกระแอมเมื่อรู้สึกบอกไม่ถูกจากการถูกจ้องมอง

“น้องอวิ๋นเรียกข้ามามีอะไรงั้นหรือ”

“ดูเหมือนพลังปราณของเจ้าจะรุดหน้า”

“หืม”   คนถูกทักไม่ได้รู้ตัวเอง 

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ตั้งใจจะคุยเรื่องวรยุทธ  เขาจึงเปลี่ยนอิริยาบถไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนประเด็น

“ธุระก็คือ  เจ้ายังจำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวันก่อนได้หรือไม่”

ซีคงหยูคิดทบทวนแล้วพยักหน้า  “แน่นอน  ข้าจำได้”

“ปัญหาก็คือ  การท้าประลองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้นำศิษย์สำนักเสมอ  เพื่อป้องกันสายลับ”  หลี่โอ๋อวิ๋นอธิบาย  “ดังนั้นเจ้าต้องบอกจางชุ่ยฮัวถึงข้อตกลงของเรา  แต่ว่า..”   นักดาบหนุ่มไล้ปลายคางของตนอย่างลังเลว่าจะพูดยังไง

“นางอาจจะไม่ตกลง  ใช่หรือไม่  น้องอวิ๋นไม่ต้องห่วง  ข้าจะเกลี้ยกล่อมนางเอง”

เมื่อเห็นคุณชายสามรับคำอย่างสดใส  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงยันกายขึ้นจากเก้าอี้เล็กน้อยและจ้องหน้าเขาอย่างสนใจ

“เจ้ารู้งั้นรึว่าข้าจะทำอะไร”

“ฮ่า ๆ สองสามวันนี้ประตูทรราชเสียงดังมิใช่น้อย  ข้าเลยพอเดาได้”

“ว่ามา”

“น้องอวิ๋นเปรียบเหมือนพยัคฆ์ที่อยู่กลางฝูงกระต่าย  แต่พยัคฆ์ตนนี้ถูกขังไว้ในกรง  ส่วนข้าคือผู้ที่จะเปิดกรงปล่อยเสือออกมา”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบว่าซีคงหยูเดาถูกหรือผิด  คุณชายสามจึงกล่าวต่อ

“แต่ที่ทำให้ข้าสงสัยก็คือ  แล้วพยัคฆ์จะเอาตัวเข้ากรงไปทำไมตั้งแต่แรก  ถ้าน้องอวิ๋นไม่บุกยึดเหมือง  น้องอวิ๋นก็จะเป็นอิสระที่จะเข้าไปโจมตีสำนักใดก็ได้โดยไม่ต้องรอให้ข้ามาเปิดกรง”

เมื่อเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า  ซีคงหยูมีความมั่นใจในการวิเคราะห์ของตนเองมากขึ้น

“ดังนั้นเมื่อข้าขบคิด  มันคือการล่อให้ทุกคนไม่สงสัยว่าน้องอวิ๋นมีแผนอะไร  ทุกคนคิดว่าเจ้าจะเล่นตามเกม  ใช้ข้อได้เปรียบด้านกำลังทัพของประตูทรราชบุกยึดเหมืองทั้งหมด  แต่อันที่จริงแล้ว  เจ้าต้องการถ่วงเวลาให้การโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองของทุกสำนักล่าช้าที่สุดจนกว่าพยัคฆ์จะออกจากกรง”

“อื้อฮึ”

“ดังนั้นตอนนี้  ผู้เล่นหลัก ๆ ของทั้งสามสำนัก  ไม่สิ..สี่สำนัก  ล้วนแต่มีโซ่ตรวนที่เรียกว่าการเป็นผู้คุมเหมือง  พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวขุนพลเหล่านี้ได้อย่างอิสระ  แต่ถ้าข้าปล่อยเสือออกจากกรงได้  ผู้อื่นก็ทำได้  แผนของเจ้าดูเหมือนจะมีช่องโหว่”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มที่มุมปากอย่างลึกลับ  แต่เขาก็ยังคงไม่กล่าวอะไร

“ทว่าเมื่อคิดดูอีกที  น้องอวิ๋นไม่จำเป็นต้องใส่ใจใครเลย  คนผู้เดียวที่น้องอวิ๋นเล็งไว้ในแผนนี้คือพยัคฆ์อีกตัวในกรงไมตรีโลหิต  ทว่าพันธมิตรสามสำนักจะปล่อยจ้าวเหรินเจี่ยนหรือไม่  ข้าเชื่อว่าไม่  เพราะทุกคนมีความเห็นแก่ตัว  พยัคฆ์ตัวเดียวพวกเขายังมีโอกาสรอด  แต่ถ้าปล่อยเสือเข้าป่าสองตัว  พวกเขาจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก”

“แล้วทำไมเจ้าถึงตกลงล่ะ  ไม่สนใจผลประโยชน์ของวารีพิสุทธิ์หรือไง”

ซีคงหยูหัวร่อ  “ฮ่า ๆ  ถ้าเป็นที่หนึ่งไม่ไหว  ก็ควรยอมเป็นที่สอง  ข้าเชื่อว่าถ้าร่วมมือกับน้องอวิ๋น  ทั้งสามสำนักต้องไม่มีใครที่ขันแข่งกับพันธมิตรของเราได้”

“ข้าชอบคุยกับคนที่ไม่โลภมาก”  หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวชม   จากนั้นพูดเหมือนนึกขึ้นได้   “จริงสิ  ข้าได้ยินว่าซ่งมู่ได้รับบาดเจ็บมา”

เมื่อฟังดังนั้น  รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายสามก็จางหายไป  เพราะเขารู้ว่าถ้าเป็นอาการบาดเจ็บธรรมดา  ชนชั้นระดับหลี่โอ๋อวิ๋นคงไม่พูดให้เขาฟัง

“เจ้าเป็นห่วงเขางั้นรึ”  หลี่โอ๋อวิ๋นถามหยั่งเชิง  และสังเกตสีหน้า

ซีคงหยูยิ้มแล้วตอบกลับ  “น้องอวิ๋นน่าจะเป็นห่วงน้องมู่มากกว่าข้า  เขาเป็นมือขวาของเจ้า”

“ก็จริง”

“งั้น  ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ข้าขอตัว”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า   ผู้มาเยือนจึงถอยออกไปจากห้อง



+++++++


 
ซ่งมู่นั่งหลับตาพิงผนังห้อง  ขาเหยียดยาวอยู่บนเตียง  อกของเขาเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าขาวที่พาดปิดบาดแผลเหนือราวนมด้านซ้าย  กลิ่นสมุนไพรและยาเซียนที่เร่งบรรเทาอาการบาดเจ็บอบอวลอยู่ในห้องที่มีคนเจ็บนั่งและนอนอยู่ห้าหกคน

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของผู้มาเยือน  คือขนตางอนยาวที่พริ้มอยู่  เข้ากับคิ้วหนา ๆ และคางที่ดูแข็งแรง  เขากัดฟันเป็นพัก ๆ เพื่อระบายความรู้สึกเจ็บปวดบาดแผล  ซึ่งทำให้แก้มอันมีตอหนวดเขียวราง ๆ ของเขาบุ๋มเข้าไปเล็กน้อย 

ซีคงหยูมองคนเจ็บอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยเรียก

“น้องมู่”

ผู้ถูกเรียกกระพริบตา  และลืมตามองไปตามทิศทางเสียง  สีหน้าที่ทุกข์ทนกับความเจ็บปวดของเขาละลายหายไปเหมือนขี้ผึ้งที่โดนความร้อน  กรามที่สบหากันแน่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสกึ่งจะเซ่อเหมือนเด็กเลี้ยงวัวในหมู่บ้านที่ห่างไกล  แต่เครื่องหน้าที่คมชัดละเอียดลออทำให้เขาไม่ได้ดูไกลปืนเที่ยงขนาดนั้น

“อา...พี่หยู”   เขาทำท่าจะชันตัวให้นั่งตรงขึ้นจากที่พิงกำแพงจนอีกฝ่ายต้องร้องห้าม

“ไอ๊หยา  อย่าเพิ่งขยับ  เป็นคนเจ็บทำไมไม่นอนดี ๆ”

คุณชายสามพูดพลางเดินเข้าไปใกล้  แล้วหยิบเก้าอี้จากใต้เตียงมานั่ง  ซ่งมู่ไม่ฟังที่เขาห้าม   จัดท่านั่งแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมลอนกล้ามหน้าท้องและไรขนที่ลามมาถึงสะดือ  จากนั้นหันไปก้มหัวทักทายหนุ่มรุ่นพี่

“ขออภัยด้วยพี่หยู  ข้าอยู่ในสภาพที่ไม่สุภาพ”

นอกจากจะดึงผ้าห่มคลุมช่วงล่างแล้ว  เขายังชันเข่าขึ้นอีกด้วยเพื่อปิดบังอาการของร่างกายที่เกิดตามธรรมชาติ

“ไฮ้  เราคนกันเอง  ไม่ต้องมากมารยาท  ว่าแต่เจ้าเป็นอะไรมากมั้ยน้องมู่”

“ขอบคุณพี่หยูที่กังวล  คงจะด้วยความเป็นห่วงของพี่หยูที่คุ้มครอง  ทำให้ข้ารอดมาได้อย่างหวุดหวิด”  เขาพูดแล้วก็ยิ้มยิงฟัน

ซีคงหยูไม่กล้าจ้องสายตาแพรวพราวนั้นนาน  เลยหลบตาแล้วสนทนาต่อ  “ก็ดีแล้ว  แย่จริง ๆ ที่น้องมู่ต้องทำงานอันตราย  การประลองศิษย์ใหม่ครั้งนี้มันสำคัญขนาดที่จะต้องเอาชีวิตแลกกันเชียวหรือ”

“มันเป็นวิถีแห่งการบำเพ็ญพรต  ยุทธจักรอันตรายทุกย่างก้าว  ถ้าผ่านด่านทดสอบเพียงเท่านี้ไม่ได้  ต่อไปต้องเจออันตรายมากกว่านี้  ก็คงเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ดี”

ซีคงหยูพยักหน้า  “น้องมู่อายุน้อยกว่าข้าเยอะ  แต่มองเรื่องโลกทะลุปรุโปร่งกว่า นับถือผู้เยาว์  นับถือผู้เยาว์”

เลือดขับมาที่ผิวหน้าอันอ่อนบางและขาวดุจหยวกกล้วยของซ่งมู่จนเป็นสีแดงเรื่อ ๆ  “พี่หยู  ถ้าไม่อยากให้ข้าโกรธอย่าคิดว่าเราคนละรุ่นกันมากสิ”

“ฮ่า ๆ ขออภัย  ข้ารับบทเป็นศิษย์น้องลุงซะชิน”

คุณชายสามเห็นหนุ่มรุ่นน้องทำหน้างอน  ก็นึกอยากจับจมูกบี้ ๆ อขงอีกฝ่ายเขย่าเล่น  แต่เกรงใจคนป่วยเดี๋ยวจะกระเทือนแผล

“ว่าแต่  เจ้าโดนอะไรที่หน้าอก”

“อ๋อ...ธนู”

“ของใคร”

“ซ่งจิน”

“พี่ชายเจ้า?”

“ใช่”

“ทำไมงั้นล่ะ”

“เขายิงให้ข้าล้ม  เพราะมีคนแกว่งดาบมาจะฟันข้า”

“แผลดาบเจ็บกว่าแผลธนูหรอ”

“ธนูเจ็บกว่า”

“แล้วทำไมซ่งจินยิงเจ้า”

“แผลดาบไม่เจ็บ  แต่โดนแล้วไม่มีทางลุก”

“อ้อ”

“และข้ายังโดนควันพิษห้าบุปผาด้วย”   ซ่งมู่พูดด้วยเสียงอ้อน

เห็นสายตาเว้าวอนแบบนั้น  ในที่สุดซีคงหยูก็ทนไม่ไหว  เอื้อมมือไปบีบจมูกของหนุ่มตรงหน้า  คนโดนแกล้งประท้วงด้วยเสียงอู้อี้   บรรยากาศสมัครสมานจนเตียงข้าง ๆ จ้องมองด้วยความอิจฉา



+++++

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 11-09-2017 17:51:11

เฮเว่นอะโบฟ!! นี่อาหยูทะเยอทะยานถึงขั้นจะเปิดฮาเร็มตอนท้ายเรื่องจริง ๆ เหรอคะ?!!!

ที่ตกใจเบอร์แรงนี่ไม่ได้ต่อต้านนะ... ชอบ!
ยิ่งพอลองเอาคอนเซปต์ตัวเอกด๋อย ๆ ในฮาเร็มส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยล่อแสงไฟเท่าเหล่าบรรดาเมียรักในคอนโทรลมาจับกับอาหยู... ก็เออ เริ่มเห็นเค้าลาง ๆ เพราะตั้งแต่เปิดเริื่องมาจนถึงตอนนี้ ผู้ทั้งหลายที่รายล้อมรอบตัวอาหยูก็งานดีทั้งนั้น
(ยิ่งตอนล่าสุดน้องมู่แอบนั่งชันขา อีป้าก็ใจบ่ดี คิดให้อาเฮียผิดผีกับอาตี๋ไปหลายรอบแล้ว)

มาที่เรื่องของเสี่ยวหมี พอเราได้เห็นคุณคิริมัญจาโรรับปากเป็นมั่นเหมาะ เราก็พลอยสบายใจ...
เอาเป็นว่า เราจะขอสนับสนุนนิยายเรื่องนี้สืบไป ตราบใดที่เสี่ยวหมีของเรามีบทเด่นไม่เป็นรองมนุษย์หน้าไหน วะฮ่า ๆๆๆ !! 
(ว่าแล้วก็เทน้ำแดงผสมโซดาแทนการกรีดเลือดสาบาน ก่อนจะใส่น้ำแข็งและบีบน้ำมะนาวตามเพื่อความชื่นใจ)
รัก และเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 11-09-2017 18:38:45
เอิ่ม ฮาเร็มนี่ 8p เลยไหม
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 11-09-2017 19:49:31
สนุกมากค่ะ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19.5 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 12-09-2017 01:18:10

Malimaru:  ฮ่า ๆ ผมแซวเล่น  จะฮาเร็มหรือไม่  แล้วแต่วาสนาอาหยูครับ
ว่าแต่อาหยูก็ไม่ได้ด๋อยขนาดนั้นนะ  ฮีแค่สตาร์ทเครื่องช้า  โถ  สงสารพ่อพระเอกจืดจาง
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ  อ๊อออออออ!!
ตอนล่าสุดลองมองหาดูครับว่าเสี่ยวหมีซ่อนอยู่บรรทัดไหน  อิอิ

wnkth:  แหม  8p แรงกว่าสโนไวท์อีก

พิศตะวัน:  ขอบคุณคร้าบบ


+++++



เมื่อซีคงหยูออกจากเรือนพยาบาล  ก็เป็นเวลาย่ำค่ำ  ภายในค่ายประดับประดาด้วยโคมไฟกระดาษที่ซ่อนมุกเซียนส่องแสงไว้ข้างใน  แสงสีขาวส่องผ่านกระดาษสาบาง ๆ สีต่าง ๆ ทำให้เกิดเงาหลากสีพร่าพรายให้ความรู้สึกของเทศกาล  แท่นปะรำพิธีที่สร้างเสร็จก็ประดับด้วยผ้าแพรสีดำและม่วง  อันเป็นสีประจำสำนักประตูทรราช  สีดำคือสีแทนของปฐมกษัตริย์ของโลก  กล่าวกันว่าชุดจักรพรรดิของเขาถักทอจากท้องฟ้ายามราตรีและทะเลดาว   เขาเป็นผู้ปกครองทวีปดินและทวีปฟ้าทั้งหมด  และอาจจะรวมไปถึงสวรรค์ทั้งสามพันด้วย  สีม่วงคือสีแห่งมงคลและความยิ่งใหญ่  ยามที่ดวงตะวันขึ้นสู่ท้องฟ้าทางทิศตะวันออก  ปราณสีม่วงจะฟุ้งกระจายทั่วฟ้า  เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นชีวิตใหม่และพลังหยาง 

คุณชายสามจับจองที่นั่งรอการประมูลใกล้ ๆ กับกลุ่มเพื่อนของซ่งมู่และซ่งจิน  มือขมังธนูซึ่งยิงน้องชายตนเองจนเป็นรูนั่งพันเชือกไหมบาง ๆ มัดหัวลูกศรเข้ากับแกนของมันอย่างไม่ทุกข์ร้อน  เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าและมักจะมีงานในมือเสมอ  ซีคงหยูมองแล้วก็หาวหวอด ๆ อย่างไม่เข้าใจเต๋าแห่งความขยัน  เหตุใดผู้คนจึงต้องทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา  ใยไม่หาเครื่องทุ่นแรงหรือช่วงใช้ผู้อื่นทำ

เมื่อแท่นเวทีสำหรับทำการประมูลกลางแจ้งเตรียมการเสร็จสิ้น  ก็มีเสียงพึมพำมาจากทางเข้าของประตูเหนือ  สามสำนักนำโดยหนุ่มหล่อสาวสวย  เดินเข้ามาในเขตจัดงานอย่างสง่าผ่าเผย  ก็บอกแล้วว่าการบำเพ็ญพรตทำให้หน้าตาดี

“สำนักวารีพิสุทธิ์ยังไม่มา?”

คุณชายเสื้อน้ำตาลกระซิบกระซาบกับตู้เกี่ยนหลง  วันนี้หนุ่มน้อยแซ่ตู้ใส่เสื้อแขนยาวสีดำข้างในและใส่เสื้อกั๊กสีขาวขลิบริมฟ้าตัวเดิมทับ  ผ้าคาดหัวของเขาก็เป็นสีดำและปักลายมังกรสีเงิน  ผมของเขาชี้ตั้งเหมือนหนามทุเรียนคงด้วยใส่น้ำมันบางอย่าง  ใบหน้าสีน้ำผึ้งหมดจดประดุจหน้ากากโลหะสำริดประดับไว้ด้วยดวงตาสีนิลสุกสกาวดุจดวงดาว  สองตานั้นสอดส่ายไปรอบ ๆ ค่ายและงานประมูลซึ่งเต็มไปด้วยศิษย์สำนักประตูทรราช

นอกจากฝึกพลังฝีมือจะทำให้หน้าตาดี  มันยังทำให้หูดีอีกด้วย  คุณชายจ้าวในชุดขาวเรียบกริบ  นิ้วกำลังลูบคิ้วที่เรียงเป็นระเบียบสุด ๆ ของตนเอง  กล่าวแก่ทั้งสองคนว่า 

“มาแล้วคนหนึ่ง”  เขาบุ้ยใบ้ไปทางซีคงหยูที่เหลียวหลังมามองผู้มาเยือนจากเก้าอี้ของตน

ตู้เกี่ยนหลง  เว่ยหลิงจื่อ  และคณะมองตามที่จ้าวเหรินเจี่ยนส่งสายตาไป  และเห็นชายหนุ่มที่เรียกได้ว่าธรรมดาและปราศจากจุดเด่นเมื่อเทียบกับศิษย์ชั้นนำของสำนัก  และพยายามทบทวนความจำ   ทว่าสำนักวารีพิสุทธิ์ที่กำลังตกต่ำไม่ควรค่าแก่การสนใจ

“ไม่ใช่หลิวเกา”   เว่ยหลิงจื่อกล่าว  เขารู้จักบุคคลสำคัญในสำนักวารีพิสุทธิ์ประมาณหนึ่ง  เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำก็เลิกสนใจ

เมื่อเห็นทั้งหมดมีท่าทีเดียวกับเว่ยหลิงจื่อ  คุณชายจ้าวแอบหัวเราะในใจ  สหายร่วมพันธมิตรของเขาไม่รู้ถึงความสำคัญของซีคงหยูต่อสงครามครั้งนี้  ช่างเป็นอะไรที่น่าสนุกจริง ๆ  มือกระบี่ไร้ที่ติตัดสินใจว่าจะไม่เตือน  อมยิ้ม  และจัดผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้ในกระเป๋าเสื้อให้ตรงดิก

“ก็เป็นธรรมดาที่วารีพิสุทธิ์จะไม่มา”  ตู้เกี่ยนหลงวิเคราะห์  “มันไม่ใช่ทรัพย์สินของพวกเขา  ถ้าเขาประมูลของสำคัญของเราได้ไป  ก็ต้องผิดใจกับพวกเรา  สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างบอบบางเช่นสำนักวารีพิสุทธิ์คงไม่กล้าพอที่จะแส่หาศัตรูเพิ่ม”

“ผู้ใดว่าพวกเราไม่กล้า”   สุ้มเสียงที่นุ่มนวลทว่ามีความน่าระคายใจแฝงอยู่ดังขึ้นมาจากข้างหลัง  จางชุ่ยฮัวเดินนำคณะแกนนำพรรคปลาทูสีน้ำเงินเข้างานตามมาติด ๆ

“คารวะแม่นางจาง”  ตู้เกี่ยนหลงหันไปทักทายส่งรอยยิ้มสดใสราวกับว่าไม่ใช่เขาที่เมื่อครู่กำลังนินทาพวกนางอยู่

“คารวะคุณชายตู้”   มารยาคนเมืองของจางชุ่ยฮัวก็ลึกล้ำไม่แพ้กัน  นางแย้มยิ้มส่งไปให้  จากนั้นหันไปทักทายผู้นำสำนักอื่น ๆ ตามลำดับ

“แม่นางจางก็สนใจประมูลอาวุธและวัตถุวิเศษอย่างงั้นหรือ”  เมื่อยังไม่มีใครราดน้ำมันเข้ากองไฟ  จ้าวเหรินเจี่ยนเลยรับอาสาพาทุกคนเข้าประเด็น

“ข้าเกรงว่าพวกท่านจะฮั้วประมูลกันและทำให้พันธมิตรของสำนักเราเสียประโยชน์  เลยมาร่วมสนุกด้วย”  จางชุ่ยฮัวตอบยิ้ม ๆ  ระหว่างที่ทั้งหมดเดินไปพร้อม ๆ กันยังที่นั่งบุคคลสำคัญที่ประตูทรราชเตรียมไว้ให้

“แทนที่จะเรียกว่าประมูล  เรียกว่างานเรียกค่าไถ่จะดีกว่า”  เว่ยหลิงจื่อคันปากเลยเหน็บแนมประตูทรราชไปหน่อยหนึ่ง

จ้าวเหรินเจี่ยนฟังแล้วนึกขึ้นได้  “แล้วคุณชายเว่ยมีเงินจ่ายค่าไถ่พอหรือไม่  ถ้ายังไม่มี..จ้าวมีบริการปล่อยกู้  ดอกเบี้ยร้อยละสิบ”

“เจ้า...เจ้ายังจะหาประโยชน์กับพันธมิตร”  อาการกระอักเลือดของเว่ยหลิงจื่อเกือบกำเริบ  ดีที่เว่ยเหลียนยู่ลูบหลังถ่ายลมปราณเย็นเข้าไปทัน

ตู้เกี่ยนหลงเลยรีบรับบทเป็นกาวใจ  “พี่จ้าวแค่ล้อเล่น  พี่เว่ยใจเย็น ๆ”

“ฮี่ ๆ  ไมตรีโลหิตรวยเกินกว่าจะล้อเล่น  สำหรับคุณชายตู้  ถ้าจะกู้คิดดอกร้อยละห้า  ส่วนลดตามหน้าตา”

“เจ้า...”  เว่ยหลิงจื่อผู้เคยมั่นใจในความหล่อของตนเองมาตลอดกระอักเลือดมากำนึง

หลู่เซียงเอ๋อร์ซึ่งยืนอยู่หลังจางชุ่ยฮัวยิ้มเยาะ  เมื่อเห็นละครลิงของพันธมิตรสามสำนัก




++++


ซีคงหยูเหลือบไปเห็นหมีเขียวตัวใหญ่ที่เดินตามหลู่เซี่ยงเอ๋อร์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมอะไร    แต่ในขณะนั้นพิธีการประมูลสินค้าก็เริ่มต้นขึ้น

ผู้ดำเนินการประมูลเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ 17 – 18  หน้าตาหล่อเหลาและยิ้มแย้มแจ่มใส  เนื่องจากถูกคัดมาเป็นพิเศษสำหรับรับแขก  ข้างหลังเขาคือศิษย์ร่วมสำนักที่ไม่หล่อแต่ถึกและบึกบึน  สมแล้วที่สองมือแบก [กล่องสารพัน]  อุปกรณ์สี่มิติที่มีพื้นที่เก็บสิ่งของมากกว่า [แหวนสี่มิติ]

หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่เสียเวลาอารัมภบท  และพูดพิธีมารยาท  เพราะแขกที่มาก็ไม่ใช่คนที่ประตูทรราชอยากจะพินอบพิเทา

“สินค้าชิ้นแรก”  เขาประกาศ  “..ห่วงแม่ลูกพรากวิญญาณ  ราคาเริ่มต้นที่ 1000 ตำลึงทอง  ถ้าจะเสนอราคาเพิ่ม  ขั้นต่ำคือ +50 ตำลึงทอง”

เจ้าของห่วงแม่ลูก  หรือก็คือเว่ยเหลียนหยูนั่งกัดฟันกรอด ๆ แต่อาละวาดไม่ได้  นางเสนอราคาแข่งขันกับชาวยุทธพเนจรและตัวแทนสำนักวารีพิสุทธิ์  ราคาของห่วงพุ่งขึ้นไปถึง 2400 ตำลึงทอง  ก่อนที่ทุกคนจะยอมปล่อยให้นางได้อาวุธคู่ใจกลับไป

ซ่งจินมัดธนูดอกสุดท้ายที่เตรียมไว้เสร็จ  เก็บใส่กระบอก  จากนั้นหันไปมองซีคงหยูที่สนใจการประมูล   คุณชายสามรู้สึกถึงสายตา  จึงหันไปมองอย่างสงสัย

“ถ้าคุณชายซีคงอยากได้อะไรที่ไม่แพงเกินไป  ก็บอกข้าได้”

“น้องซ่งจะซื้อให้หรอ”  คุณชายสามเรียกซ่งจินด้วยแซ่เพราะไม่สนิทเท่ากับซ่งมู่

“เปล่า”

“อ้าว”

“เงินศิษย์พี่ใหญ่”

“เฮ้อ  น้องอวิ๋นอีกแล้วหรอ  เขาให้ [ยอดเซียนไฟ] ข้าตั้งสองชุด  ข้าเกรงใจ”

“คุณชายจะแต่งเข้าตระกูลหลี่  ไม่เห็นต้องเกรงใจ”  ซ่งจินวันนี้พูดมากกว่าทุกวัน

ขณะที่ซีคงหยูตกใจ  “น้องซ่งเอาที่ไหนมาพูด  ข้าไม่ได้อยากแต่งกับเขา  ไม่งั้นจะกระเสือกกระสนมาเป็นศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์ทำไม”

“เข้าใจแล้ว”

ซ่งจินรับคำ  แล้วผละสายตาปลาตายของตนออกไปโดยไม่พูดมาก

“แต่ถ้าได้ดาบดี ๆ สักหน่อยก็คงดี”  ซีคงหยูคิดดัง ๆ

“สรุปจะให้ซื้อหรือไม่”

“เห้ย  เกรงใจน้องอวิ๋น”

“แล้วถ้าอามู่เป็นเจ้ามือ?”

“เอาดิ”

ซ่งจินปรายตามอง  จากนั้นวิจารณ์  “ท่านนี่จนจริง ๆ”

“ฮ่า ๆ”  คุณชายสามได้แต่หัวเราะ  เพราะมันเป็นความจริง

สักพักเขาก็สะกิดซ่งจินอีกที

“น้องซ่ง ๆ”

“ว่า”

“วิธีหาเงินทำไงล่ะ”

“หาแกนอสูรหรือชิ้นส่วนที่ใช้ทำยาเซียนและวัตถุวิเศษไปขาย”

“อ้อ..ข้ามีแกนอสูรเทอราโนดอน  พอจะขายได้มั้ย”

เมื่อคุณชายสามควักแกนอสูรออกมา  ดวงตาปลาตายของซ่งจินก็มีประกายขึ้นมา

“..นี่มัน  แกนอสูรระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย”  หนุ่มหน้าตายหยิบแกนอสูรที่เป็นสีส้มสุกทั้งลูกโดยปราศจากสีแดงปะปนมามองใกล้ ๆ  แน่นอนว่าสีที่เขาหมายถึง  เป็นสีสันอันมองเห็นได้ด้วยดวงตาจิต

“น่าจะขายได้แพงอยู่  สำนักอำพันโบราณคงต้องการแกนอสูรลูกนี้”  ซ่งจินสรุปการประเมิน

“งั้นรบกวนน้องซ่งเอาแกนอสูรนี้เข้ารายการประมูลให้หน่อย”

ซ่งจินคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเป็นการรบกวนลำดับการประมูลหรือไม่   แต่แล้วก็พยักหน้า   แล้วถือแกนอสูรทรงลูกแก้วนั้นไปทางหลังเวที


+++++++

หลังจากการประมูลอาวุธผ่านไป ซึ่งบางชิ้นก็ได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเดิม  และบางชิ้นก็ไปอยู่กับเจ้าของใหม่  การประมูลก็มาถึงช่วงวัตถุวิเศษ  และชิ้นแรก

“แกนอสูรเทอราโนดอน  ระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย  ราคาเริ่มต้น  1300 ตำลึงทอง  ประมูลต่อเพิ่มครั้งละ +50 ตำลึงทอง”

เด็กหนุ่มหน้าใสผู้ดำเนินการประมูลเคาะโต๊ะประกาศ  แกนอสูรที่เขาบ่งชี้ลอยอยู่ในอากาศเหนือแท่นหยกแสดงสินค้าที่มีพลังเซียนต้านแรงโน้มถ่วง  มันมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่าอาวุธระดับตะวันขึ้นสายแทบจะทุกชิ้น  เนื่องจากมันมีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น

คุณชายเสื้อน้ำตาลจากอำพันโบราณมองด้วยตาที่หยีโค้งเป็นพระจันทร์คว่ำ  แต่แม้กระนั้นก็ไม่อาจงำความสนอกสนใจที่ฉายออกมาทางแววตาได้  ตู้เกี่ยนหลงเห็นแล้วจึงสะกิดถาม

“นี่คือแกนอสูรที่ศิษย์พี่กำลังหาอยู่นี่”

อสูรโบราณที่บินได้  เป็นของหายาก  และการล่ามันก็ยาก  เพราะมันสามารถเคลื่อนที่ไปในท้องฟ้าอย่างอิสระ  ถ้าไม่มีวิชาเซียนที่จำกัดการเคลื่อนไหวของมันอาทิเช่นพายุหิมะ  หรืออัมพาต  การสังหารมันก็จะเป็นไปได้ยากมากสำหรับผู้มีวรยุทธขั้นตะวันขึ้นสาย

“1350!”  คุณชายเสื้อน้ำตาลให้ราคาเป็นคนแรก

“2000!”  อีกเสียงสวนมาทันควัน  ราคาที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวดึงสายตาของทุกคนไปยังนักดาบหนุ่มเจ้าของเสื้อกันฝนสีน้ำตาลที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล

“คุณชายหลี่  ท่านเป็นเจ้าของห้องประมูล  แต่มาปั่นราคาเช่นนี้น่าเกลียดไปหรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นแทบจะไม่สนใจคุณชายเสื้อน้ำตาลที่ตั้งคำถาม  เขาพูดโดยที่ไม่เหลือบแลคู่สนทนา

“แกนอสูรนี้เป็นของที่สหายสำนักอื่นส่งเข้าร่วมประมูล  และข้าก็บังเอิญอยากได้มาไว้ดูเล่น  ถ้าใครไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อ”

เมื่อเห็นว่าข้อโต้แย้งของตนไม่ได้ผล  คุณชายเสื้อน้ำตาลจึงกัดฟันประมูลต่อ  “2200!”

“3000!”

“3300!”

เมื่อเห็นหน้าที่แดงก่ำของผู้ร่วมประมูล  หลี่โอ๋อวิ๋นก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วประกาศ  “เจ้าชนะ”

 “3300 ครั้งที่หนึ่ง”   ผู้ดำเนินรายการเริ่มนับถอยหลัง  “3300 ครั้งที่สอง   .....   3300  ครั้งที่สาม  สิ้นสุดการขาย!”

เมื่อค้อนเคาะดังปัง  คุณชายเสื้อน้ำตาลก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือคารวะรอบทิศ

“ไม่ทราบว่าสหายท่านใดที่เป็นผู้ขายแกนอสูรชิ้นนี้  โปรดแสดงตัว  เพื่อข้าจะได้แน่ใจว่าประตูทรราชไม่ได้โกง”

ผู้ดำเนินการประมูลส่งสายตาถามหลี่โอ๋อวิ๋นทำนองว่าจะยับยั้งหรือไม่   แต่อีกฝ่ายทำแค่เพียงยักไหล่

“ถ้าคุณชายซีคงลุกขึ้นยืน  การดำรงอยู่ของท่านจะอยู่ในสายตาของพวกเขาทุกคน”   ซ่งจินแนะนำซีคงหยูซึ่งมีสีหน้าลังเล

ถึงแม้ว่าซีคงหยูจะไม่อยากตกเป็นเป้า  แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เรื่องของตนเองเป็นสิ่งที่ฝ่ายนั้นเอามาใช้ดูหมิ่นประตูทรราช  เขาจึงลุกขึ้นยืนและประสานมือคารวะไปทางสำนักอำพันโบราณ

“แกนอสูรนั้นเป็นของข้าเอง  และข้าไม่ได้อยู่สำนักประตูทรราช”

คุณชายเสื้อน้ำตาล  ตู้เกี่ยนหลง  และคนอื่น ๆ ในพันธมิตรสามสำนักมองอย่างจำได้  ว่าคือคนที่จ้าวเหรินเจี่ยนชี้ให้ดูตอนเข้ามาในลานประมูล

“มิทราบว่า  สหายเต๋าท่านนี้มีนามว่าอะไร”

“ซีคงหยู”

“สหายซีคง  ขอบคุณที่ขายแกนอสูรให้กับข้า”  คุณชายเสื้อน้ำตาลยอมรับความพ่ายแพ้  และนั่งลงไปกับเก้าอี้ด้วยท่าทีที่เหมือนไม่ใส่ใจอะไรแล้ว

“ช้าก่อน!”  หลี่โอ๋อวิ๋นเหมือนพูดธรรมดา  แต่เสียงของเขาทรงพลังสะท้านแก้วหู   “เจ้าติดค้างคำขอโทษต่อประตูทรราช  เจ้าใส่ร้ายว่าเราพยายามปั่นราคาสินค้า”

คุณชายเสื้อน้ำตาลหน้าแดงเหมือนตับหมู  เขานึกขึ้นได้ว่าคู่หมั้นของหลี่โอ๋อวิ๋นที่ร่ำลือกันมีนามว่าซีคงหยู  และเชื่อว่าสองคนนี้เล่นละครคนหนึ่งหน้าขาวคนหนึ่งหน้าดำ (1)  เพื่อสร้างความอับอายให้กับเขา  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจโต้เถียงอะไรได้  ได้แต่ก่นด่าตนเองที่ตกหลุมพราง

“ข้าทำไม่ถูกต้อง”   คุณชายเสื้อน้ำตาลกัดฟันพูด  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงยอมปล่อยเขาไป

ตู้เกี่ยนหลงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ศิษย์พี่ของตน  สูดลมหายใจลึก  เขาเองก็จำชื่อซีคงหยูได้  จึงลอบมองอีกฝ่ายซ้ำสองสามครา  และพยายามจดจำลักษณะท่าทางให้แม่น


(1)    หน้าขาวคือบทตัวเอก  และหน้าดำคือบทตัวร้าย
++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19.5 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 12-09-2017 07:58:48
ขำอาการกระอักเลือด55555

ตอนท้ายคู่รัก(?)มีการแทคทีมกันด้วย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19.5 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-09-2017 14:34:54
ต่อแถวเข้าชมฮาเร็มของซีคงหยู เอ๊ย การประมูล


ลืมเสี่ยวหมี! เจ้าช่างใจอำมหิตนัก
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 19.5 (วันที่ 11/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 12-09-2017 17:30:40
นี่เขาเรียกผัวเมียส่งเสริมกันใช่มะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 20 (วันที่ 13/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 13-09-2017 20:21:02
ยามบ่ายของเสี่ยวหมี

(https://img.purch.com/w/660/aHR0cDovL3d3dy5saXZlc2NpZW5jZS5jb20vaW1hZ2VzL2kvMDAwLzA0Ni83NDcvb3JpZ2luYWwvYmxhY2stYmVhci5qcGc=)




++++

xexezero: อาหยูบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแทค  เขามาเอง  หุหุ

alternative: เสี่ยวหมีกลับมาแร้ว  พร้อมแอร์ไทม์ที่ล้นเหลือ (หรอ?)

wnkth:  ฮ่า ๆๆ  ใช่แร้น


++++


 
ครึ่งหลังของการประมูลเป็นไปโดยราบเรียบ  สมบัติที่ควรจะกลับไปหาเจ้าของก็กลับไป  เหลือไว้แต่กำไรที่ประตูทรราชฟันไว้อื้อซ่า  ซีคงหยูรับเงิน 3000 ตำลึงทองจากศิษย์สำนักประตูทรราช  อีก 300 ถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายของห้องประมูล  เขารู้สึกขอบคุณหลี่โอ๋อวิ๋นที่ช่วยดันราคาให้  แต่เมื่อเหลียวมองรอบ ๆ งานก็ไม่รู้ว่าพ่อคนหน้าดุหายไปอยู่แห่งหนใด

เขาบอกลาซ่งจิน  และเดินไปสมทบกับกลุ่มวารีพิสุทธิ์เพื่อเดินทางกลับค่ายของตน


++++


วันถัดมา  พันธมิตรสามสำนักเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่  พวกเขาเลือกที่จะไม่ปะทะกับประตูทรราชตรง ๆ แล้ว  และแยกทีมออกเป็นหลายทีมเพื่อกระจายความเสี่ยงของการถูกขัดขวาง  คราวนี้ประตูทรราชเปลี่ยนไปมุ่งเป้าโจมตีทีมของอำพันโบราณ  ซึ่งสำนักอื่นก็มองอย่างพึงพอใจเพราะอำพันโบราณมีจำนวนเหมืองในครอบครองมากกว่าทุกสำนัก

และแล้วก็ถึงวันปล่อยพยัคฆ์เข้าป่า...

ลานประลองถูกจัดขึ้นทั้งหมด 16 แห่งตามจำนวนของเหมืองที่ถูกยึดและมีผู้คุมเหมือง   ลักษณะของลานเป็นเส้นใสราง ๆ ของลวดลายและสัญลักษณ์ไทจี่ที่ไขว้ขดกันอย่างซับซ้อน  มันดูเหมือนแผ่นคริสตัลใสลงลายที่ลอยหลดหลั่นกันอยู่ในห้วงนภากาศ  แต่ละลานก็จะมีวงสัญลักษณ์ขนาดเล็กของตัวมันอยู่บนพื้นดินในเมืองจิ้งซาน  มันคือ [วงจร] ที่ถูกสร้างโดยผู้มีวิชาเซียนสูงส่ง  หน้าที่ของมันคือเคลื่อนย้ายถ่ายโอน  มิว่าคน  วัตถุสิ่งของ  สามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้ในพริบตา

วงจรเคลื่อนย้ายในพริบตาเป็นหนึ่งในแขนงวิชาประเภท [เทศะ]  กล่าวกันว่านักพรตเต๋ามู่หรงจวินจื่อเกิดพุทธปัญญาค้นพบความลี้ลับของเทศะหลังจากที่เขาไปนั่งบำเพ็ญเพียรในเหมืองนานกว่าสามร้อยปี  แม้ว่าจะเป็นแขนงวิชาที่สืบทอดและพัฒนามาช้านาน  แต่ชาวยุทธน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์ในธาตุนี้  จะแสวงหาผู้มีพรสวรรค์ในธาตุทอง ไม้ ดิน น้ำ ไฟพร้อม ๆ กันทั้งหมด  ยังจะง่ายกว่า

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ห้าสำนักจะต้องไปเชิญนักพรตเต๋าของพระเจ้าโจวเหวินหวางมาจัดลานประลอง

นักพรตเวิ่นเต๋อทำตัวเหมือนนักพรตเต๋าทั่วไป  เขาใส่เสื้อสีเทาตัวใหญ่ลายหยินหยาง  ตรงบ่ามีแส้ปัด  ใบหน้ามีเครายาว  ทว่าเคราและผมเผ้าสีดำขลับ  ดวงหน้าเต่งตึงแจ่มใสดูไม่ชราแม้ว่าอายุที่แท้จริงจะเกินหลักร้อย

“นักพรตเวิ่น”   ผู้อาวุโสห้าสำนักกำมือประสานเป็นรูปถ้วยที่หน้าอก  ทักทายอีกฝ่ายที่เดินเหยียบเมฆเจ็ดสีมายังจุดชมการประลอง   พวกเขาอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของจิ้งซาน  อันมองเห็นลานประลองทั้งสิบหกที่ลดหลั่นซ้อนกันเหมือนต้นไม้โบราณที่คดเคี้ยวขึ้นมาบนท้องฟ้า

เวิ่นเต๋อเพียงพยักหน้า  ตาของเขาหลุบแทบจะไม่มองใคร  ทว่าไม่มีผู้อาวุโสคนใดรู้สึกไม่พอใจ  ถ้าท่านหยิ่งยโสโดยไม่มีคุณสมบัติ  นั่นคือการไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ  แต่ถ้าท่านเป็นนักพรตเต๋าชั้นสูงของราชสำนัก  ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้าน [เทศะ]  จะถุยน้ำลายรดหน้าคู่สนทนา  บางทีเขาอาจจะยิ้มให้ท่านด้วยซ้ำ

เมื่อถึงเวลา  พวกผู้อาวุโสก็จุดพลุ  ดอกไม้เพลิงกระจายในอากาศ  แสงเจิดจ้าชัดเจนแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน   ลานประลองกลางฟ้าแต่ละลานเริ่มเปล่งแสง  และปรากฏกลุ่มก้อนแสงสีเหลืองเจิดจ้าซึ่งค่อย ๆ จางหาย  กลายเป็นผู้รอการท้าประลองของแต่ละสำนักที่ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นมา  หลี่โอ๋อวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น  เขาสะพายดาบไว้ที่หลังและกอดอกอย่างถือดี  เพื่อรอให้คู่ท้าประลองปรากฏตัว 

“ฮ่า ๆๆ  ยินดีกับผู้อาวุโสตู้ด้วย  ดูเหมือนว่าอำพันโบราณจะยึดเหมืองได้มากที่สุด”

ผู้อาวุโสจากสำนักไมตรีโลหิตกล่าวกับตู้ถงเทียน  ซึ่งยืนมองลานประลองอย่างพึงพอใจ

ได้ยินดังนั้น  เยว่หนานอิ๋งผู้อาวุโสแห่งประตูทรราชก็เข้าร่วมสนทนา
“ยินว่าลูกชายคนเล็กของผู้อาวุโสตู้ก็อยู่ในการประลองครั้งนี้  มิน่าเล่าจึงสามารถชิงความได้เปรียบของการประลองได้”

“ฮ่า ๆ  ข้าไม่ได้หน้าด้านหน้าทนให้ของวิเศษแรง ๆ กับเขาหรอกนะ  ไม่เหมือนบางสำนัก  ส่งศิษย์เอกลงไปแข่งกับศิษย์ใหม่  ไม่ทราบว่าสุนัขคาบจิตสำนึกไปกินแล้วหรืออย่างไร”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตยิ้มแห้ง  ขณะที่เยว่หนานอิ๋งชักสีหน้า  “เพ้ย  พวกเราก็ตกลงกันแล้วว่าสามารถส่งศิษย์เอกอย่างน้อยหนึ่งคนลงไปในห้าเหมือง  สำนักเจ้าก็ส่งไปอู๋ซาน  ไฉนมาทำเหมือนเจ้าเสียเปรียบอยู่คนเดียวแบบนี้  แล้วเจ้าอีก”  นางหันไปแว้งกัดผู้อาวุโสไมตรีโลหิต   “นึกยังไงถึงส่งจ้าวเหรินเจี่ยนมาชนกับศิษย์ข้า  เหมืองอื่นมีทำไมไม่ไป”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตหัวร่อแก้เก้อ  “ไฮ้  ผู้อาวุโสเยว่  ท่านจะขัดหยกด้วยกระเบื้องได้อย่างไร  หยกต้องแข่งกับหยกถึงจะรุดหน้า  ความข้อนี้ทำไมท่านไม่เข้าใจ”

“แต่ข้าก็ไม่เห็นหยกจะไปปะทะกันเองตรงไหน  ข้าเห็นแต่ผู้แซ่หลี่รังแกศิษย์สำนักข้า”  ผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาอดรนทนไม่ได้  จึงเหน็บแนมและส่งสายตาจิกไปยังเยว่หนานอิ๋ง

เมื่อเห็นว่าถูกรุม  เยว่หนานอิ๋งจึงหันไปคว้าแขนคุณชายผู้สวมเสื้อคลุมลายคุนเผิงโต้คลื่นสีน้ำเงิน  ซึ่งยืมอมยิ้มอยู่

“พี่ไป่  ดูพวกนี้สิ  เอาชนะด้วยกำลังไม่ได้ก็มาตีฝีปาก”

ไป่หลินหลิงหัวร่อหนึ่งครา  รวบพัดเก็บแล้วก็โอบบ่าเยว่หนานอิ๋ง  มืออีกข้างเชยผมนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละไม

“น้องเยว่ไม่ต้องกลัว  ถ้าใครกล้ารังแกเจ้า  ข้าจะให้มันชิมกระบี่มังกรอาฆาตสักจึ๊กสองจึ๊ก”

ตู้ถงเทียนกระแอม  แม้ว่าเขาจะเห็นทุ่งลิลลี่ระหว่างสองคนนี้บ่อยมาก  แต่ก็ไม่ชินเสียที

“พวกเจ้าเลิกพูดสาระ  ไปดูการประลองดีกว่า”

บนลานประลอง  ผู้ท้าประลองถูกเคลื่อนย้ายในพริบตามาประจันหน้ากับผู้รับคำท้าเกือบทั้งหมดแล้ว   จ้าวเหรินเจี่ยนไม่มีผุ้ท้าประลองตามที่ทุกคนคาด  ทว่า..ตรงข้ามกับหลี่โอ๋อวิ๋น  มีกลุ่มแสงปรากฏ  ก่อนที่แสงนั้นจะจางหาย  กลายเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อสีดำ  สะพายห่อผ้าสีเหลือง  และในมือก็มีดาบที่ยาวเกือบครึ่งตัว   เขาถือปักพื้นเอาไว้เหมือนไม้เท้า  และยืนรอสัญญาณการเริ่มประลองอย่างสงบ

“โอ้  นั่นศิษย์สำนักใด  ไฉนกล้าท้าประลองกับหลี่โอ๋อวิ๋น”

เมื่อเห็นตู้ถงเทียนอุทานอย่างประหลาดใจ  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตก็พูดว่า  “เจ้าต้องเดาไม่ถูกแน่ ๆ”

เป็นเยว่หนานอิ๋งที่ทุบอกไป่หลินหลิงและทำหน้าเง้างอน  “ดูสิ  ศิษย์ท่านจะมายึดเหมืองของศิษย์ข้า”

คนที่ยังไม่รู้ก็หันไปมองไป่หลินหลิงอย่างประหลาดใจ  ขณะที่นางกำลังปลอบใจคนในอ้อมกอด

“พวกเด็ก ๆ ตีกันใยเราต้องสนใจ  ขนาดเจ้าสำนักพวกเราที่เหมือนน้ำกับไฟยังทำลายความสัมพันธ์เราสองไม่ได้”

“เจ้าก็ปากหวานไปวัน ๆ ข้ารู้ว่าเจ้ามีเล็กมีน้อยเต็มไปหมด”

ทุกคนมองอย่างเหยียดหยามเมื่อเห็นทั้งคู่เล่นละครพ่อแง่แม่งอน  พวกเขาล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่า  ไฉนจะไม่รู้ว่าเหตุใดวารีพิสุทธิ์จึงส่งคนไปท้าประลองหลี่โอ๋อวิ๋น

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตถอนใจอย่างเสแสร้ง  “เฮ้อ  ไฉนวังหมื่นบุปผาและอำพันโบราณ  ไม่ส่งคนมาท้าประลองกับเจ้าเจี่ยนบ้าง  ทำให้ข้าต้องอิจฉาวารีพิสุทธิ์กับประตูทรราชยิ่งนัก”

ตู้ถงเทียนและผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาไม่ตอบ  ถือเสียว่าเป็นประโยคลอยลม

ทุกคนหันกลับไปสนใจลานประลองของหลี่โอ๋อวิ๋น  คู่ต่อสู้ของหลี่โอ๋อวิ๋นปลดห่อผ้าที่สะพายบ่า  และหยิบม้านั่งเตี้ย ๆ มาตัวหนึ่ง  วางไว้ตรงหน้า  แล้วยกเท้าซ้ายขึ้นเหยียบ  จากนั้นเอาดาบพาดบ่าแล้วชี้หน้าตวาด

“เพ้ย  ผู้แซ่หลี่  เอี้ยเอี้ย (your granpa) ลดตัวมาท้าประลองแล้ว  เจ้ายังไม่ไสตูดมายอมแพ้อีก”

เส้นเลือดตรงขมับของนักดาบหนุ่มเต้นปึด ๆ  ถึงจะตกลงเล่นละครกันแต่ก็ไม่ต้องกวนขนาดนี้มั้ย
หลี่โอ๋อวิ๋นนิ่งไปพัก  จากนั้นค่อย ๆ หยิบผ้าขาวยาวมาพันที่มือ  และส่งสายตามังกรไปยังฝ่ายตรงกันข้าม

“ได้ยินว่าเจ้าก็ฝึกเต๋าแห่งดาบ?”

ชายเสื้อดำหัวร่ออย่างลำพอง  “ใช่แล้วจะทำไม  เจ้าเริ่มกลัวแล้วหรือไรว่าจะหล่นจากตำแหน่งเต๋าแห่งดาบอันดับหนึ่งของผู้กล้ารุ่นเยาว์”

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว  “เจ้าน่ะหรอที่จะเขี่ยให้ข้าหล่นลงไป”

“โฮ่ ๆ แน่อยู่แล้ว  เพราะในวันนี้ไม่เป็นข้าชนะ  เจ้าก็แพ้  การประลองมีแค่ผลเดียวไม่มีอื่น  เจ้าเตรียมตัวถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้เถอะ”

“หึ ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะเย็น  มือจับด้ามดาบ  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ  ดึงเอากิ่งไม้ยาวเกือบวาออกจากแหวนสี่มิติ

“เพ้ย  ผู้แซ่หลี่  เจ้าจะดูถูกข้าไปแล้ว  เจ้าใช้กิ่งไม้จะได้เป็นข้ออ้างเวลาแพ้สินะ”

“หรือจะให้ใช้ดาบจริง?”

เมื่อฟังเช่นนั้นชายชุดดำก็เหลือกตาส่ายหน้ารัว ๆ จนลมเข้ากระพุ้งแก้ม

“เฮอะ”  หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียงแล้วจับกิ่งไม้ในท่าเตรียม  “ได้ยินว่าเจ้ารู้เพลงดาบแค่สามกระบวนท่า  ข้าก็จะใช้สามกระบวนท่านั้นสั่งสอนเจ้า  เตรียมรับมือ!”

“คิดว่าข้ากลัวหรอ”   ชายชุดดำรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่เคลื่อนไหว  จึงถอยกรูด ๆ ไปแทบชนขอบเขตวงจรลานประลอง

หลี่โอ๋อวิ๋นเปิดด้วยมังกรดั้นเมฆ  เท้าของเขาสะกิดไปเบื้องหน้า  เขาตั้งใจไม่ใช้พลังปราณขั้นจันทราเลื่อนลอย   เพราะถ้าทำเช่นนั้นซีคงหยูก็จะต้องพ่ายแพ้ในพริบตา

การโจมตีของมือดาบไร้ธุลีไม่เร็วไม่ช้า  เหมือนกับเปิดโอกาสให้คุณชายสามเตรียมรับมือ   ซีคงหยูเก็บรอยยิ้มแล้วกระโดดไปข้างหน้าพร้อมกับวาดดาบในท่าหงสากางปีก

ทว่ามังกรดั้นเมฆของหลี่โอ๋อวิ๋นนั้นประดุจมังกรเทพยดา  เห็นหางไม่เห็นศีรษะ  มังกรซอกซอนเข้าช่องโหว่ของปีกหงส์  และกิ่งไม้ก็เข้าไปพาดคอของซีคงหยู

“เจ้าตายรอบที่หนึ่ง”   หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา  ก่อนถอนกิ่งไม้กลับไปในท่าเตรียม

“เพ้ย  ข้าแค่เผลอไปหน่อย”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่พูดอะไร  เขากวักมือเรียกอย่างท้าทาย

ซีคงหยูพ่นลมหายใจพรืด  แล้วน้าวด้ามดาบไปที่หลังใบหูเตรียมใช้มังกรดั้นเมฆ
หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเยาะ  เขาวาดดาบป้องกันในท่าหงสากางปีกดุจเดียวกับที่ซีคงหยูทำเมื่อครู่

ประกายดาบวาบซิกแซกในอากาศ  ราวกับสายฟ้าสีขาวยวง  ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นทำเพียงแค่ปาดดาบซ้ายป่ายขวาด้วยสีหน้าสบาย ๆ  ประกายดาบที่ถูกป้องกันด้วยกิ่งไม้เกิดเป็นดาวเงินกระจัดกระจายไปทั่ว

“มาอีก”

เมื่อถูกยั่วยุ  ซีคงหยูกระโดดถอยแล้วทะยานตัวในอากาศ  ใช้ท่าพยัคฆ์ลงจากภูเขา  หลี่โอ๋อวิ๋นเห็นดังนั้นจึงใช้ท่าเดียวกัน  เมื่อเสือสองตัวตะปบกันในอากาศ  ตัวที่อ่อนแอกว่าย่อมกระเด็นไป

ซีคงหยูม้วนตัวกับพื้นเพื่อลดแรงกระแทก  และกลับมาเตรียมใช้เพลงดาบต่อได้ทันที  มันไม่ใช่อะไรที่ฝึกจากเพลงดาบอย่างเดียว  แต่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้และลับปฏิกิริยาตอบสนองให้ฉับไว

หลี่โอ๋อวิ๋นไล่โจมตีด้วยมังกรดั้นเมฆ  ทว่าร่างของอีกฝ่ายเหมือนกับว่าเป็นภาพมายาที่ไม่อาจโจมตีได้ถูก  มือดาบไร้ธุลีอุทานในใจ  และในขณะเดียวกัน  เปลือกตาที่หลุบอยู่ของนักพรตเวิ่นเต๋อก็ลืมขึ้นมาเล็กน้อย

แต่กระนั้น  หลี่โอ๋อวิ๋นก็ไม่ได้ประหลาดใจมาก  เขาคำนวณทิศทางและใช้มังกรดั้นเมฆไล่โจมตีอีกฝ่ายที่สะกิดเท้าถอยหลังเตรียมตั้งหลัก

“เจ้าตายครั้งที่สอง”  หนุ่มหล่อหน้าดุกล่าวเมื่อกิ่งไม้ในมือของตนจี้ที่คอของฝ่ายตรงข้ามได้

“เฮ้  ไม่ออมมือให้ข้าเลย”  ซีคงหยูพูดแล้วก็วาบดาบป่ายกิ่งไม้  แล้วโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว

“ข้าออมมือให้แล้ว”  หลี่โอ๋อวิ๋นปล่อยให้กิ่งไม้ถูกดาบปัดหมุนวนตามทิศทาง  อีกมือไขว้หลังบิดตัวหยิบกิ่งไม้ที่ลอยในอากาศตามเพลงดาบ  แล้วใช้โจมตีฝ่ายตรงกันข้ามจากแง่มุมที่ซีคงหยูไม่สามารถคาดเดาได้

“เจ้าตายครั้งที่สาม”

“เพ้ย  เจ้ากะจะฆ่าข้ากี่รอบ  เมื่อไหร่จะยอมแพ้”

ซีคงหยูเหวี่ยงดาบใช้แรงเหวี่ยงกระโจนถอย  เขาเรียกการพลิกแพลงนี้ว่าท่าพยัคฆ์ขึ้นภูเขา  แต่หลี่โอ๋อวิ๋นกัดไม่ปล่อย  เขาพลิกแพลงมังกรดั้นเมฆเป็นมังกรกลืนเมฆ  และกวาดกิ่งไม้โจมตีเป็นวงกว้างกว่าร้อยเงาจากเบื้องล่างพลางสนทนาไปด้วย

“ใครสอนเพลงดาบให้กับเจ้า”   ..ถึงรู้แล้วแต่ก็อยากถาม

“ลองเดาดูสิ”  ซีคงหยูใช้พยัคฆ์ขึ้นภูเขาซ้ำทั้งอยู่ในอากาศ  แรงเหวี่ยงของดาบพาร่างของเขาลอยไกลออกจากพื้นที่โจมตีของมังกรกลืนเมฆ

“สอนได้แย่มาก”  หลี่โอ๋อวิ๋นพูดแล้วใช้ท่าหงสาทะลวงใจ  ปีกหงส์ชี้ไปข้างหน้าหมุนเป็นเกลียวเหมือนพายุทอนาโดที่รุกไล่

“เฮ้  ไหนเจ้าว่าใช้แค่สามกระบวนท่า”  ซีคงหยูซึ่งโดนดาบจ่อคอหอยอีกรอบประท้วง  แล้วก็พูดต่อ  “..โอเค  ข้าตายครั้งที่สี่”

หลี่โอ๋อวิ๋นถอนดาบกิ่งไม้ออกไป  แล้วเลิกคิ้วถาม  “เจ้าจริงจังได้แค่นี้หรออาหยู  ข้าไม่อยากยอมแพ้ให้เพลงดาบเด็กเล่น”

กล้ามเนื้อเหนือริมฝีปากด้านซ้ายของซีคงหยูกระตุก  เป็นสัญญาณว่ากำลังของขึ้น  เขาใช้ปลายดาบยันพื้นแล้วพุ่งเข้าโจมตีด้วยหงสาทะลวงใจ

“ฮ่า ๆ เลียนแบบไปก็เท่านั้น”  หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะเยาะ  แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตระหนกว่าซีคงหยูรู้การพลิกแพลงนี้ได้อย่างไร  ซ่งมู่สอนท่านี้ด้วยหรือ  ทำไมเขาไม่ใช้แต่แรก

ในชั่วพริบตาที่เกลียวพายุทอนาโดพุ่งเข้ามาใกล้  หลี่โอ๋อวิ๋นวาดกิ่งไม้ขึ้นเฉียง ๆ กรีดไปยังช่องโหว่ของกระบวนท่า  ทว่าเสียงตะโกนจากในพายุดาบทำให้เขาสะดุ้ง

“เอามันไปแดกซะ!”

ควันสีดำพวยพุ่งจากพายุในพริบตา  และห้อมล้อมทั้งคู่ไว้ในผงคลีที่ดูดซึมแสงไปทั้งหมด

“ฟัค!  ระเบิดควัน!”

“ฮ่า ๆ  น้องอวิ๋นนี่น่ารักจริง  จำของเล่นข้าได้ด้วย”

ซีคงหยูใส่แว่นครอบตาที่เตรียมไว้  มันเป็นวัตถุกลไกที่ใช้คู่กับระเบิดควันในการมองทะลุความมืด  เขากำด้ามดาบกระชับในมือ  แล้วใช้ท่ามังกรดั้นเมฆพุ่งเข้าประชิดเงาร่างที่เห็นลาง ๆ ในควัน

ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นยกกิ่งไม้ในมือต้านกระบวนท่าเหมือนไม่ได้ลำบากอะไร

“ไอ๊หยา  เจ้ารู้ได้ยังไง”

“อาหยู  อย่าหาว่าข้าสอน  ผู้มีวรยุทธชั้นสูงสามารถมองเห็นกระแสปราณในอากาศ  ของเล่นยังไงก็เป็นของเล่นวันยังค่ำ”

หลี่โอ๋อวิ๋นวาดกิ่งไม้  กระแทกดาบและร่างของซีคงหยูให้กระเด็นลอยไปจากกลุ่มควัน

“แต่ถ้าข้ากะน้องอวิ๋นวรยุทธเท่ากัน  เจ้าต้องแพ้แล้ว”   ซีคงหยูสู้ดาบไม่ได้ก็ต้องใช้ปาก  มือลูบท้องป้อย ๆ ที่เจ็บจากแรงกระแทก

“ผู้ใดใช้ให้เจ้าขี้เกียจ  ไม่ยอมบำเพ็ญพรต”  หลี่โอ๋อวิ๋นกัดที่จุดอ่อนของชายชุดดำอย่างไม่ปราณี

“เมื่อไหร่จะยอมแพ้”  ซีคงหยูพูดแล้วก็โจมตีด้วยพยัคฆ์ลงจากภูเขาอีกครั้ง

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบไพล่มือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง  ส่วนมือข้างที่ถือกิ่งไม้ก็วาดวนสลายกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม  จากนั้น  เท้าสาวเข้าไป  กิ่งไม้กระแทกดาบจนซีคงหยูมือชา  และไม่ทันตั้งตัว  เขาพลิกข้อศอกกระแทกอกคุณชายสามจนกระเด็นไปสิบก้าว

“โอ๊ย!!”   เจ้าของเสื้อสีเหมือนหมีตัวเองคลำหน้าอกแล้วร้องครวญคราง

“สำออย”   หลี่โอ๋อวิ๋นสืบเท้ารุกไล่อีก  กิ่งไม้ลากเรี่ยพื้น  เสียดสีดังหวีดหวิดเหมือนเอาแท่งเหล็กไปกรีดก้อนหิน  ฝุ่นควันคลุ้งตามรอยไม้ที่กรีด  และในที่สุดปลายกิ่งไม้ที่โค้งงอตามการลากก็ดีดผึงสร้างกระแสลมรุนแรงพัดเอาซีคงหยูปลิวไปอีกสามสี่ตลบ

“นี่เจ้าเอาจริงใช่มั้ย”   ซีคงหยูยันตัวจากพื้นอย่างยากลำบาก   ตัวของเขาขะมุกขะมอมไปหมด

“ยัง”   หลี่โอ๋อวิ๋นใช้พลังปราณไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมแพ้  ข้าจะใช้ไม้ตายล่ะนะ”  ซีคงหยูขู่ฟ่อ ๆ

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว  รอดูท่าไม้ตาย

คุณชายสามเอามือป้องปากแล้วตะโกนทีละคำ  “ข้า-ขอ-ยอม...”

“หยุด!”  ในที่สุดนักดาบหน้าเครียดก็ต้องยอม    เขาโยนกิ่งไม้ในมือแล้วประกาศ  “ข้า..หลี่โอ๋อวิ๋น  ขอยอมแพ้”

“ฮ่า ๆๆๆๆๆ”  เสียงหัวเราะดังมาจากคนหน้ามอมทันที  “เห็นมั้ยล่ะ  เห็นมั้ยล่ะ  ในที่สุดข้าก็เอาชนะเต๋าแห่งดาบอันดับหนึ่งได้”

ปึด! ปึด!  เสียงเส้นเลือดบนหน้าผากหลี่โอ๋อวิ๋นเต้นตุบ ๆ อีก  แต่ก็กัดฟันไว้

ซีคงหยูหันไปประสานมือคารวะรอบทิศ  “ชาวยุทธทั้งหลายโปรดเป็นพยาน  ข้าเอาชนะหลี่โอ๋อวิ๋นในการท้าประลองถอนหมั้นได้  ต่อไปนี้การหมั้นของพวกเรา...”

“เห้ย!”   คนถูกเอ่ยชื่อตะโกน  นิ้วกระดิก  กิ่งไม้ที่ใช้อัดซีคงหยูเมื่อครู่ก็ลอยกลับเข้ามาในมือ

เมื่อรับรู้ถึงจิตสังหาร  คุณชายสามก็ย่นคอทำตาปี๋ 

“โธ่  ข้าแค่ล้อเล่น  น้องอวิ๋นไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”

“เฮอะ”  หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียง  ก่อนที่แสงของวงจรลานประลองจะกลืนร่างของทั้งคู่แล้วเคลื่อนย้ายกลับไปยังเมืองจิ้งซาน

เมื่อการประลองของทั้งคู่สิ้นสุด  เวิ่นเต๋อก็หลุบตาดุจเดิมราวกับไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว



++++


มาดูทางด้านเสี่ยวหมี
ศิษย์น้องเหยียนผู้สถาปนาตนเองเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งกัดผ้าเช็ดหน้าอย่างเจ็บใจ  เมื่อภาพถ่ายทอดสดที่ปรากฏบนแผ่นหยกสื่อสารคือหมีดำขนปุยตัวใหญ่ตาใสแบ๋วนอนหงายท้องเอาเท้าชี้ฟ้า

“ฮึ่ม  เสี่ยวหมี  แค้นนี้ข้าจะชำระให้เอง”

+++++++


(1)  เทศะ = position, space
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 20 (วันที่ 13/9)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 14-09-2017 06:42:43
เสี่ยวหมีเป็นอะไรลูก?

แต่งกันไปเลยเลยอาหยู ข้าว่าเจ้าหนีเขา(?)ไม่พ้นหรอก//ตบบ่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 20 (วันที่ 13/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 14-09-2017 07:29:16


เสี่ยวหมีีของป้า คิดถึงอ่ะ เมื่อไรจะออกมาให้ป้าเชยชมมมม!!
(ทีกับน้องอวิ๋น อีป้าไม่เคยทุรนทุรายอยากให้เข้าฉากเท่านี้เลย)

มาถึงตอนนี้ น้องอวิ๋นมีความหลัวมากลูก อ่านแล้วอยากจะให้อาหยูเบิกตากว้าง ๆ แล้วเล็งเห็นความน่ากินของคู่หมั้นเสียที
ปล่อยไว้นาน ๆ น้องอวิ๋นอาจจะโดนศิษย์เอกสำนักอื่นลากไปฟาดหลังเหมืองเอานา (เพราะถ้าป้ามีวรยุทธ ป้าก็ทำ!)

มาตอนนี้ เราว่าใครต่อใครต้องเริ่มเห็นอาหยูฉายแววบ้างแล้วล่ะ (อย่างน้อย ๆ ก็น้องอวิ๋นแหละ)
หูย! อยากอ่านเลยว่าถ้าอาหยูเก่งขึ้นกว่านี้ อาหยูจะมีเสน่ห์มากขนาดไหน...
(จริง ๆ อยากรู้มากกว่าว่าจะมีใครตบเท้าเข้ามาสมัครเป็นสนมให้อาหยูมั่ง - นี่ถ้ามีน้องจ้าวติดโผนะ ป้าจะหัวร่อให้ฟันหักเลย)

รักคุณคนเขียนค่ะ จ๊วบ ๆๆๆ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 20 (วันที่ 13/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-09-2017 07:49:53
โธ่ ไปดีซะแล้วเสี่ยวหมี อย่าห่วงใยกังวลอะไรจนไม่ได้ไปสู่ภพใหม่เลยนะ


ปล. สารภาพว่างง ๆ ทำไมอวิ๋นยอมแพ้ให้ซีคงล่ะ นี่ฉันพลาดอะไรไป?

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: บทที่ 20 (วันที่ 13/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 14-09-2017 16:35:17

xexezero:  ท่ายอมแพ้ของเสี่ยวหมีงัย
แต่งกะน้งอวิ๋นแล้วน้องมู่จะเอาไปไหน  >_<

Malimaru:  ฮ่าๆๆๆ  สงสัยจะจำศีลตามน้องตู้ไป  เลยไม่โผล่
หลัวแบบพิศาลมาก ๆ ฮะ  ตบจูบ ๆ  มัดเตียงแล้วเอาแส้ฟาดอะไรประมาณนั้่น
ฮี่ ๆ  แต่ผู้อาวุโสลงความเห็นกันว่า  อาหยูยังธรรมดาอยู่   สงสารอาหยูจริง ๆ  ตอนนี้ก็โดนแย่งซีนอีกแระ

alternative: ตักบาตรด้วยขนมรังผึ้ง  น้ำผึ้งดอกข้าวโพด  และแพนเค้กราดน้ำผึ้งนะฮะ  5555+
ซีคงหยูสมคบคิดกับหลี่โอ๋อวิ๋นมาหลายตอนแล้วครับ  ว่าจะปลดสถานะผู้คุมเหมืองของหลี่โอ๋อวิ๋นออกด้วยการท้าประลอง  เพราะใครที่เป็นผู้คุมเหมืองจะไม่สามารถเข้าไปร่วมการโจมตีเหมืองหรือดักโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้
เหมือนกับที่หลิวเกาและเสี่ยวหมีลงไปช่วยคุณชายสามตีเหมืองไม่ได้ในตอนก่อนหน้า


+++++++


ผลการประลองของหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ผิดความคาดหมายของผู้อาวุโสทุกคน  เพราะรู้อยู่แล้วว่าศิษย์เอกประตูทรราชต้องออมมือ  ทว่าที่น่าแปลกใจคืออาวุธและเพลงอาวุธที่ซีคงหยูใช้

“เล่าฮิว (1) ได้ยินว่าวารีพิสุทธิ์ไม่มีเต๋าแห่งดาบ”  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตเอ่ยขึ้นมา  เป็นที่รู้กันดีว่าวารีพิสุทธิ์ขึ้นชื่อในเรื่องวิชาเซียนธาตุทั้งห้าโดยเฉพาะธาตุที่เกื้อกูลและก่อเกิดจากน้ำ  อันได้แก่ทองและไม้  รวมทั้งท่าเท้าคุนเผิงย่างกราย  และวิชาเซียนคุนเผิงพันแปลง

“ซ้ำเต๋าแห่งดาบที่เจ้าเด็กนั่นใช้  เป็นท่าพื้นฐานก็จริง  แต่มีกลิ่นอายของประตูทรราช”  ผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาตั้งข้อสังเกตอีกเสียง  จากนั้นปรายตามองช่อลิลลี่สองก้านที่ยืนเคียงกัน  “พวกเจ้าสมคบคิดกันมานานแค่ไหน”

เยว่หนานอิ๋งเชิดหน้าขึ้นไม่ตอบ  แต่นางเองก็สงสัยใคร่รู้ว่าซีคงหยูเรียนหงสาทะลวงใจมาจากใคร  มันเป็นเพียงการพลิกแพลงเพลงดาบพื้นฐานหงสากางปีกก็จริง  แต่เป็นการพลิกแพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของประตูทรราช

“ฮ่า ๆ ผู้อาวุโสเม่ย..”  ไป่หลินหลิงออกหน้ากล่าวกับผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผา  “..การแลกเปลี่ยนความรู้วรยุทธเป็นเรื่องธรรมดา  อย่าว่าแต่เป็นเพียงท่าพื้นฐาน  เด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ  ใยพวกท่านต้องลดตัวมาใส่ใจ”

ตู้ถงเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย   วิชาและวรยุทธของซีคงหยูธรรมดาสามัญเป็นอย่างยิ่ง  จนเขาไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสสำนักอื่นจะทำให้เป็นประเด็นทำไม  ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลานประลองที่สี่  ซึ่งตู้เกี่ยนหลงรับคำท้าสู้จากศิษย์สำนักประตูทรราช

ที่ลานประลอง  ชายหนุ่มชุดเขียวถือดาบเขี้ยวนามว่า [สูบโลหิต]  ปลายดาบหยักเป็นเขี้ยวตะขอเหมือนกับปลายฉมวกหรือปลายเบ็ด  ข้างหลังดาบเป็นหนามเล็ก ๆ หลาย ๆ อันเรียงต่อกัน  ปลายคมของหนามโค้งงอลงล่างดุจหนามกุหลาบเสริมความรู้สึกอันตรายแก่อาวุธนี้อย่างน้อยสี่ส่วน

ตรงข้ามของหนุ่มชุดเขียว  คือหนุ่มน้อยเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่เปลือยแขนและไหล่ท้าลมหนาวของจิ้งซาน  กล้ามเนื้อของเขาเหมือนกับหินอ่อนสลักที่ศิลปินรีดเร้นโลหิตในหัวใจมาใช้เป็นแรงขับเคลื่อนในการประติมา  เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเขาที่ย้อยลงจากข้างบนผ้าคาดหัว  ปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลม  ทำให้บางครั้งก็มองเห็นดวงตาด้านซ้าย  และบางครั้งก็มองไม่เห็น

บางทีถ้าตู้เกี่ยนหลงรำคาญผมตัวเอง  เขาก็จะเสยสักที  แต่ที่เขาไม่ทำคือมัดผมเอาไว้แบบคนอื่น ๆ  เขาไม่ชอบไว้ผมยาวจนเกินไป  และก็ไม่ได้อยากไถให้เตียนแบบหลวงจีน  ตู้เกี่ยนหลงพิถีพิถันกับทรงผมของตนเอง  บางครั้งเขาจะใส่น้ำมันลินสีดเพื่อจัดให้ตั้งขึ้นแบบหนาม  และบางครั้งเขาก็ปล่อยให้มันย้อยลงมาข้างหน้าเสริมบรรยากาศมืดมิดและลึกลับให้กับตนเอง  ทว่าดวงตาที่เปล่งประกายและรอยยิ้มที่สดใสดุจพระอาทิตย์มักจะทำให้เขาไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้มากนัก  เพราะเมื่อผู้คนจ้องมองเขา  ก็มักจะพิศวงงงวยกับดวงตาเปี่ยมชีวิตชีวา  และริมฝีปากหนากำลังเหมาะน่าจุมพิต  จนลืมดูว่าวันนี้เขาทำผมทรงอะไร  แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยอดวิชาของเขา

กล่าวกันว่าใต้มหาสมุทรยุคบรรพกาลมีมังกรอาศัยอยู่  มันตัวใหญ่เหมือนกับช้าง  และมีคอยาวเหมือนตะพาบ  ดวงตาของมันกลมโต  และในดวงตาก็มีประกายระยิบระยับเหมือนแผนที่ของดวงดาวบนฟากฟ้า  ยามที่มันแหวกว่ายไปในห้วงเหวใต้สมุทร  ฝุ่นธุลีและสัตว์ทะเลทั้งหลายจะหยุดนิ่ง  และเมื่อมันหยุดเคลื่อนไหว  ทุกชีวิตก็เคลื่อนที่อีกครา  มันคือโครโนซอรัส  มังกรแห่งกาลเวลา  ผู้ท่องเที่ยวไปในห้วงเวลาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  มันสามารถสิ้นอายุขัยได้เพียงในชั่วพริบตาของชีวิตอื่น  และในขณะเดียวกัน  มันก็อาจจะดำรงอยู่ได้นานเกินกว่าที่มหาสมุทรทั้งเจ็ดจะเปลี่ยนเป็นทุ่งหม่อน  (2)

ตามลักษณะเฉพาะของมังกรแห่งกาลเวลา  วิชาเซียนโครโนซอรัสกลืนทะเล  จึงเป็นวิชาเซียนธาตุ [เวลา] ซึ่งถือว่าหายากและหาผู้มีพรสวรรค์ฝึกได้น้อยพอ ๆ กับธาตุ [เทศะ]  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อำพันโบราณให้ความสำคัญกับตู้เกี่ยนหลงเป็นอย่างยิ่ง  และเจ้าตัวก็ตระหนักถึงพรสวรรค์ของตนเองดี

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงไม่เข้าโจมตี  ตู้เกี่ยนหลังจึงประสานมือคารวะทักทาย  “พี่ชาย  ท่านชื่ออะไร”

“กวนหนิง”

“ต้องขอคำชี้แนะพี่กวนแล้ว”   ตู้เกี่ยนหลงกล่าวก็ดึงผ้าคาดหัวมัดให้แน่นขึ้น  ก่อนกำหมัดและย่อตัวเล็กน้อยตั้งท่ามวย

ชายชุดเขียวไม่พูดพล่ามทำเพลงอีกต่อไป  เขาหมุนดาบในมือเป็นวงรอบหนึ่ง  หลับตาโคจรปราณ  และเมื่อลืมตา  แก้วตาสองดวงก็มีประกายสายฟ้าวิ่งพล่าน

“อัสนีสถิต!”

ริ้วคลื่นสีเหลืองของสายฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วผิวโลหะของดาบสูบโลหิต  เขี้ยวหนามของแต่ละคมดาบมีประกายไฟฟ้าวิ่งข้ามไปมา  กวนหนิงตวัดดาบและสะกิดเท้าเข้าโจมตี

ตู้เกี่ยนหลงไขว้หมัดเข้าหากัน  แล้วชักลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็วจนเกิดคลื่นปราณหมัดเป็นรูปกากบาท  จากนั้นเท้าขวากระทืบพื้นส่งร่างลอยขึ้นไปตามปราณหมัด  และเหวี่ยงหมัดซ้ายเฉียงลงสู่ผู้เข้าโจมตี

เปรี๊ยะ!

ดาบอาบสายฟ้าปะทะกับปราณหมัดส่งเสียงเหมือนแก้วหูจะปริแตก  กวนหนิงกำจัดคลื่นกากบาทได้  ก็กลิ้งตัวหลบหมัดซ้ายที่ฝ่ายตรงข้ามซัดตามมา

“อย่าหลบสิพี่กวน”   ตู้เกี่ยนหลงพูดเมื่อหมัดของเขากระแทกพื้นพร้อม ๆ กับหัวเข่า  เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหันหลังไปเผชิญกับพายุดาบที่กวนหนิงซัดเข้าใส่

“เจ้าก็เหมือนกัน  แน่จริงอย่าหลบ”    พายุดาบของกวนหนิงเป็นหนึ่งในคัมภีร์อัสนีของประตูทรราช  ชื่อก็เรียบง่ายว่าพายุอัสนี  ในเงาดาบมีเงาโลหะ  ในโลหะมีประกายสายฟ้า  ธาตุเพลิงและทองผสานสร้างพื้นที่คลุ้มฟ้าคลุ้มฝน  ทำลายสิ้นทุกอุปสรรค

“ฮ่า ๆ ไม่จำเป็น”   หนุ่มน้อยเจ้าของผ้าคาดหัวลายมังกรน้าวหมัดขวาแล้วชกไปข้างหน้า  สร้างกำแพงลม  ในลมมีเงาของมหาสมุทร  และในมหาสมุทรก็มีคลื่น   เหนือยอดคลื่นคือพลังทำลายล้างที่จะกลืนทุกพายุ

เขาสาวเท้าไปข้างหน้าอีกก้าว  เปลี่ยนเป็นชกหมัดซ้าย

“คลื่นที่สอง!”

ก้าวเท้าอีก  ชกหมัดขวา

“คลื่นที่สาม!”

จากนั้นปิดด้วยหมัดซ้าย

“คลื่นที่สี่!”

ท่านี้เรียกเก้าคลื่นสยบมังกรทะเล  เมื่อฝึกถึงขีดสูงสุดสามารถปล่อยคลื่นปราณหมัดซ้อนทับกันได้เก้าครั้ง  ทว่าสี่คลื่นคือขีดจำกัดของตู้เกี่ยนหลง

พายุดาบสายฟ้าถูกคลื่นมายารุกไล่โถมทับ  กวนหนิงรีบสะบัดดาบเก็บท่า  และพุ่งตัวถอยจากพื้นที่โจมตี  ทว่าหมัดเก้าคลื่นสยบมังกรทะเลยังคงไล่ตามเขาไปเหมือนเงาตามตัว  ไม่เพียงเท่านั้น  หลังจากปล่อยกระบวนท่า  ตู้เกี่ยนหลงยังกระโดดขึ้นไปบนอากาศแล้วใช้หมัดซ้ายไม้ตายของเขาอีกครั้ง

“เพ้ย”  กวนหนิงตวาดด้วยความหงุดหงิด  เพลงหมัดของตู้เกี่ยนหลงมันน่ารำคาญตรงนี่เป็นการโจมตีข้ามเวลา  อันสามารถเสริมการโจมตีด้วยกระบวนท่าอื่นทั้ง ๆ ที่กระบวนท่าเดิมยังไม่จบสิ้น  ทำให้ตู้เกี่ยนหลงสามารถรุกไล่ถอยกลับไปมาได้อย่างอิสระเหมือนกับแมวน้ำในน่านน้ำของตนเอง

นักดาบหนุ่มชี้ดาบขึ้นฟ้า  และใช้ท่าเดียวกับที่ซ่งมู่ใช้ 

“อัสนีทรราช!”

ประกายสายฟ้าสวรรค์วิ่งลงมาจากท้องฟ้าที่ไร้วี่แววของเมฆฝน  มันกรีดฟ้าเป็นรอยร้าวสีม่วงเข้ม  เหมือนกับโลหิตของเทพเจ้าที่หยาดหยดลงมาบนพื้นพิภพ

สายฟ้าสวรรค์พุ่งฟาดใส่ทลายสี่คลื่น  มีสาเหตุอยู่ว่าทำไมมันจึงเป็นท่าไม้ตายในคัมภีร์อัสนี  เพราะสายฟ้าในกระบวนท่านี้เป็นธาตุ [หยางวิกฤต]  มิใช่ส่วนผสมของธาตุไฟและทองดุจกระบวนท่าอื่น

เปรี้ยง!  เปรี้ยง!  เปรี้ยง!

เสียงกระหน่ำฟาดหนักแน่นดังสนั่นทั้งลานประลอง  เรียกความสนใจของทุกคนบนภูเขาให้มองดู

ตู้เกี่ยนหลงรีบเก็บกระบวนหมัด  เขาดูแล้วว่าไม่สามารถสู้กับสายฟ้าธาตุหยางวิกฤตได้  จึงคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น  แล้วยกสองหมัดขึ้นตั้งการ์ดป้องหน้า

“เต่าวิเศษคุ้มภัย!”

เกราะแสงสีฟ้ารูปเกล็ดแปดเหลี่ยมจำนวนมากสานต่อกัน  ปรากฏเบื้องหน้าเขาทันที   สายฟ้าอัสนีทรราชฟาดทำลายสี่คลื่นหมัดมาก่อนจึงอ่อนแรงลง  และเมื่อมันฟาดใส่ม่านพลังเกราะเต่าก็ทำให้ตู้เกี่ยนหลงกระเด็นไปสี่ห้าก้าวแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง

มีหรือที่กวนหนิงจะพลาดโอกาส   ระดับปราณของเขาลดลงไปมากจากการใช้ท่าไม้ตาย   แต่เขาก็ยังบุกเข้าโจมตีต่ออย่างห้าวหาญ

“อัสนีดั้นเมฆ!”   หนึ่งในกระบวนท่าพลิกแพลงผสานเพลงดาบพื้นฐานเข้ากับคัมภีร์อัสนี  เงาร่างของกวนหนิงกลายเป็นสายฟ้าที่วิ่งซิกแซกในลานประลองในชั่วพริบตา

ตู้เกี่ยนหลงลุกขึ้นตั้งการ์ดไม่ทันจึงรีบร่ายวิชาเซียน

“โครโนซอรัสจำศีล!”

ทันใดนั้นคลื่นสีขาวก็ปรากฏรอบตัวตู้เกี่ยนหลง  มันรวบเข้าหาร่างของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว  และแช่แข็งร่างของเขาไว้ในห้วงเวลา  ขณะที่ทุกคนเห็นตู้เกี่ยนหลงหยุดนิ่ง   ตู้เกี่ยนหลงก็มองเห็นทุกอย่างเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเวลาภายนอกผันผ่านไปร้อยปีพันปี

ดาบสูบโลหิตฟาดฟันเข้ามาถึง  ทว่าไม่สามารถทะลุผ่านคลื่นแสงสีขาวของร่างที่ถูกแช่แข็งได้

กวนหนิงกัดฟันกรอด   ปราณของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว   เขากระโดดถอยแล้วเตรียมโจมตี   “ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนเป็นเต่าหัวหดได้นานแค่ไหน”

ทว่าเขาไม่ต้องรอนาน  เพราะตู้เกี่ยนหลงรีบคลายสถานะอมตะ  แล้วกระโดดถอยไปตั้งหมัดเช่นกัน 

“พี่กวนรอเดี๋ยว”

“??”

ตู้เกี่ยนหลงไม่อธิบาย  เขายกหมัดซ้ายชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า  คลายนิ้วชี้จากหมัด  กระแสลมเริ่มพัดปลิวหมุนวนรอบ ๆ ตัว  เมื่อเขาเริ่มร่ายท่าไม้ตายเต๋าด้วยเสียงที่สะท้านสะเทือนเหมือนมังกรคำราม

“เต๋าของข้าคือเต๋าแห่งมังกรกาลเวลา..”

นักพรตเวิ่นเต๋อลืมตาที่หลุบอีกอีกครั้ง  ความสนใจของเขาพุ่งไปสู่การสั่นไหวของกระแสปราณในลานประลองที่สี่

“..หัวใจของข้าคือหัวใจแห่งหุบเหวมหาสมุทร  ณ ที่ซึ่งเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด”

กวนหนิงรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอกให้เสียสมาธิ   เขาตะโกนแล้วฟาดดาบร่ายกระบวนท่าเข้าใส่อีกครั้ง  ทว่าแผลดาบที่เกิดขึ้นถูกลดทอนด้วยกำแพงพายุปราณ  ตู้เกี่ยนหลงกัดฟันทนบาดแผลและร่ายท่าไม้ตายเต๋าต่อไป

“..เมื่อข้าหลับ  ทุกชีวิตจะตื่น  และเมื่อข้าตื่น  นั่นคือจุดจบของทุกสรรพสิ่ง!”

“ย๊ากกกกกกก!!”

กวนหนิงรวบรวมปราณทั้งหมด และเรียกอัสนีทรราชมาอีกครั้ง   บนท้องฟ้าสะท้อนเงาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้มีอาภรณ์เป็นทะเลดาวและพื้นนภาอันมืดมิด  ปลายนิ้วของจักรพรรดิที่ชี้ลงมายังพื้นพิภพเบื้องล่างมีสายฟ้าสีม่วงที่อัดแน่นกันเป็นดวงแสงกลมพร้อมที่จะแผดเผาทำลายสิ่งตรงหน้าทุกเมื่อ  ทว่าอีกด้านของท้องฟ้า  ปรากฏม่านหมอกเมฆหมุนเป็นเกลียว   เสียงคำรามของสัตว์ร้ายยุคบรรพกาลดังครั่นครื้นเลื่อนลั่น   ทุกคนในขุนเขาจ้องมองการปะทะกันของเต๋าอย่างไม่กระพริบตา

ใจกลางเกลียวม่านเมฆที่เหมือนฟ้าทะลุ  เกิดม่านแสงสีดำกำมะหยี่เหมือนหุบเหวใต้ทะเลอันแสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง  เงาของโครโนซอรัสเป็นแสงเรืองเหมือนเกิดจากการย่อยสลายของแพลงตอนใต้ทะเลค่อย ๆ แหวกว่ายออกมาจากช่องมิติ   มันขู่คำรามไปทางจักรพรรดิสวรรค์   เงาร่างของจักรพรรดิบนทะเลดาวพลันจางหายไปอย่างเงียบเชียบเหมือนกับเงาจันทร์ที่หายไปยามน้ำในบ่อกระเพื่อม  และกวนหนิงก็กระอักโลหิตทรุดลงไป

ผู้อาวุโสทั้งหมดอุทานในใจ  พวกเขาไม่นึกว่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักจะสามารถโจมตีโดยใช้เต๋าได้  ฝ่ายกวนหนิงนั้นพอเข้าใจว่ามันคือการสะท้อนเต๋า  ยิ่งผู้โจมตีมีพลังเต๋าที่รุนแรงเท่าไหร่  ก็จะยิ่งดึงเอาศักยภาพของเต๋าอีกฝ่ายออกมาได้มากขึ้น

เยว่หนานอิ๋งมีสีหน้ามืดทะมึน  นางไม่คิดว่าลูกชายคนเล็กของผู้อาวุโสตู้จะมีท่าไม้ตายนี้  มันเกินความคาดหมายของผู้มีวรยุทธระดับตะวันขึ้นสายไปมาก

“มิทราบว่า  พี่กวนจะยอมแพ้หรือยัง”

ตู้เกี่ยนหลงถามฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าสบาย ๆ  เงาเต๋าของทั้งคู่จางหายไปจากท้องฟ้าแล้ว  และแพ้ชนะก็เห็นชัดเจน  เหลือเพียงแค่การยอมรับจากปาก

“ฮึ่ม”  กวนหนิงใช้แขนเสื้อเช็ดเลือด  และพยายามลุกขึ้นยืนทั้งที่ขาสั่นพั่บ ๆ  เขาเอาดาบยันพื้นพยุงตัวไว้แล้วกล่าว

“ข้ายอมแพ้”

ตู้เกี่ยนหลงฟังแล้วก็ประสานมือคารวะ  โค้งตัว   ระบบประกาศชื่อผู้ชนะและประกาศว่าตู้เกี่ยนหลงยังคงรักษาตำแหน่งผู้คุมเหมืองไว้ได้  จากนั้นแสงของการเคลื่อนย้ายฉับพลันก็คลี่คลุมและดูดกลืนทั้งคู่หายวับไปจากลานประลอง




++++++++



“ดูเหมือนว่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ต่อจากหยกคู่จ้าวและหลี่  ก็คงต้องนับตู้เข้าไปไว้ล่วงหน้า”  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับทุกคนกล่าวกับตู้ถงเทียนซึ่งพยายามที่จะไม่ยิ้มภูมิใจมากเกินไป

“ฮ่า ๆ สหายเต๋าก็กล่าวเกินไป  เด็กคนนี้ยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะเทียบชั้นกับจ้าวและหลี่ได้”  ตู้ถงเทียนกล่าวอย่างถ่อมตน

ทว่าผู้อาวุโสไมตรีโลหิตหันไปเอ่ยถามนักพรตเวิ่นเต๋อต่อ  “แล้วท่านนักพรตเวิ่น  มีความเห็นว่าอย่างไร”

เวิ่นเต๋อลืมตาขึ้นเล็กน้อย  แล้วกล่าวช้า ๆ  “เขาชนะด้วยเต๋า  มิได้ชนะด้วยพลังฝีมือ”

“ไฮ้  เต๋าไม่นับเป็นพลังฝีมือหรืออย่างไร   ข้ารู้น้อย   ท่านนักพรตโปรดอธิบาย”

“เต๋าในโลกมีสามพัน  ทว่าผู้ใดจะบอกได้ว่าเต๋าใดแข็งแกร่งกว่าเต๋าใด  ความเข้มแข็งของเต๋าแต่ละคนขึ้นกับความเข้าใจ  และการอุทิศตนต่อเต๋านั้น ๆ”  เวิ่นเต๋อนิ่งไปพักหนึ่งแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง  “ในที่สุดแล้ว  ยอดฝีมือย่อมไปถึงจุดสูงสุดของเต๋าของตน  ดังนั้นข้อได้เปรียบที่เด็กคนนั้นมี  ไม่ใช่ทางอันยั่งยืน”

“ขอบคุณท่านนักพรตที่ชี้แนะ”  ตู้ถงเทียนรีบประสานมือก้มศีรษะคารวะ  เพราะในเมื่อนักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวให้เขาได้ยิน  เขาย่อมใช้ชี้แนะบุตรชายต่อได้

เมื่อเห็นว่านักพรตเวิ่นเต๋อไม่ได้ชมตู้เกี่ยนหลงเสียเลิศลอย  เยว่หนานอิ๋งในฐานะผู้อาวุโสของฝ่ายที่พ่ายแพ้ค่อยมีสีหน้าที่ดีขึ้นหน่อย   ทว่าในหัวกลับปรากฏเสียงของไป่หลินหลิงที่ถ่ายทอดปราณเสียงมา

“จริง ๆ แล้วตาเฒ่านี่อิจฉา  พวกใช้วิชาเซียน [เทศะ] มักมีอคติกับผู้ใช้วิชาเซียน [เวลา]   ดังนั้นอันที่จริงเด็กของเจ้ากระจอกกว่าเด็กแซ่ตู้จริง ๆ นั่นแหละ”

เยว่หนานอิ๋งหันขวับไปมองคุณชายรูปงามที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่  นางเอื้อมมือไปหยิกแขนอีกฝ่ายแล้วส่งปราณเสียงกลับไป

“เฮอะ!  ใช่ว่าพวก [เทศะ] จะมีอคติอยู่คนเดียวเมื่อไหร่  พวก [เวลา] ก็อคติเข้าข้างพวกเดียวกัน”

ไป่หลินหลิงยิ้มเฉย  ไม่โต้ตอบกลับ


+++++++




(1)    เล่าฮิว = old body  ใช้เรียกตนเองอย่างถ่อมตน   
(2)    สำนวนจีนเดิมคือ mulberry field turn into sea  หมายถึงระยะเวลาที่นานมาก
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 14-09-2017 17:29:58
โอโห...
ไม่ธรรมดาเลย แต่ละคน o22

ปล. ท่ายอมแพ้ของเสี่ยวหมีน่ารักมากกกก ขอบคุณท่านคิลิมันจาโรที่ชี้แนะข้าพเจ้า//คารวะสามจอก555
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 14-09-2017 18:50:10
เสี่ยวหมีไมยอมแพ้ท่านั้นล่ะ ว่าแต่นักพรตนี่จะโผล่มาอีกไหม แล้วอีตาจอมขี้เกียจนั่น(ลืมชื่อ)จะเป็นยังไงต่อไป ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว...  เดี๋ยวขอบรรลุสุดยอดเต๋าแห่งการกินก่อน
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-09-2017 21:53:01
อื้อหือ

ข้าน้อยแทบกระอักเลือดออกมาเพราะรูปลักษณ์ของน้องตู้เกี่ยนหลง

ข้าน้อยแทบกระอักเลือดเพราะพลังเต๋าแห่งจินตนาการบรรเจิดที่อัดแน่นอยู่ในทุกตัวอักษร!

บรรเจิดยิ่ง บรรเจิดยิ่ง

ปล. ขอบคุณที่มาไขข้อข้องใจจ้ะ ก็แบบหนุ่ม ๆ เยอะแยะ ฉันก็จิ้นจนมึนบ้างอะไรบ้าง....
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-09-2017 22:19:51
ภาพเสี่ยวหมี นอนพักผ่อนบนต้นไม้ได้น่ารักมาก อ๊อออออออ

ถึงแม้หยู รู้วิชาดาบเพียงสามดาบ
แต่ก็ใช้ได้อย่างแคล่วคล่อง ต่อเนื่อง
แล้วยังสามารถใช้ท่าหงสาทะลวงใจ แบบพลิกแพลง ทั้งที่ไม่เคยเรียนได้ด้วย
แม้โอ๋อวิ๋นเองยังแปลกใจที่หยู ไม่ได้เรียนจริงหรือ
ไม่ได้เรียนทำไมใช้เพลงดาบนี้ได้
แสดงว่าหยู มีไหวพริบ แค่เห็นสามารถนำไปปฏิบัติได้  ประยุกต์ใช้จริง

ละครประลองฝีมือ หยู สามารถชนะตอนจบได้ด้วย
คนที่ตายเป็นครั้งที่สี่ ก็ยังเอาชนะคนที่ฆ่าตัวเองสี่ครั้งได้ด้วย นับถือๆ
แถมไม่มีกรรมการท่านใดทักท้วง มีแต่ถกกัน
ว่าทำม้ายท่าสู้ของหยู มีกลิ่นอายของพรรคประตูทรราช เอ่อ.....ฝีมือหยูเก่งมากๆ

ตู้เกี่ยนหลง ฝีมือไม่เบา ท่ามังกรแอบกาลเวลา เอ๊ย.....แห่งกาลเวลา สุดยอดดดด
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ปล.ได้อ่าน Legend of the Great Saint บ้างแล้ว  ถึงตอนเจอพวกขายโสม สูรบกัน พวกบ้านม้ามาช่วย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 15-09-2017 00:19:26
กระจก! กระจกเข้าไปวันเดอร์แลนด์อยู่ไหนครับ!!? ผมจะกระโจนเข้าไปช่วยศิษย์พี่ซีคง (หัวเราะ) จะขอร่วมสาบานเป็นเฮียตี๋ (ที่ไม่ได้หวังเคลม /กดเสียงพลางแอบเหล่ซ่งมู่อย่างจับผิด) แต่ว่าที่ต้องเข้าไปช่วย เพราะว่าน้องตู้เนี่ยบทโยนให้มากเลยครับ เล่นใช้วรยุทธมวยเลยหรือเนี่ย จะเพิ่มเซ็กซ์แอพพีลให้ตัวเองไปขนาดไหนกัน (กลืนน้ำลาย แต่ไม่! ของคนเขียน เราจะไม่แย่ง! (ฮา)) แต่แววตัวร้ายก็เริ่มฉายเห็นแล้ว ความหยิ่งผยองที่กลบไม่มิดกับท่าทางที่ดูมั่นใจในตัวเองจนเกือบยโสนั่น คล้ายๆกับมังกรเมฆผยองของเราเลยนะครับ ด้วยสาเหตุฉะนี้ เราจะเปลี่ยนข้าง! (ฮา) ผมจะเชียร์น้องซ่งมู่ของเราแทนแล้ว น้องซ่งของเราก็หุ่นไม่แพ้เค้าหรอกน่า! จมูกบี้นิด หน้าซื่อๆหน่อย แต่โดยรวมแล้วนิสัยน่ารักจะตาย! ยอหอ อย่าห่วง น้องซ่ง ภายใต้การดันของผู้น้อง น้องซ่งในอนาคตย่อมสูสีกับตู้เกี่ยนหลงแน่นอน ผู้น้องรับประกัน!

เปิดตัวบรรดาวิชาเซียนได้ดีเลยครับ มีวิชาสายอัญเชิญด้วย บรรยายออกมาได้ดีนะครับ ไม่ติดขัดอะไร แต่ผมยังคงเชียร์เต๋าแห่งพุทธะอยู่ หึๆ วิชาเซียนสายเวลาและสถานที่ ไฉนหรือจะสู้เต๋าแห่ง ‘พุทธะ’ ได้ สรรพสิ่งย่อมไม่จีรัง กาลเวลาไหลผ่าน หากแต่ผู้เข้าถึงสัจธรรมย่อมยั่งยืนผ่านนิจนิรันดร์ เดี๋ยวผู้น้องจะโชว์ซัมมอนวิทยราชนาม มหามยุรี มากวาดฟิลด์ หรือแสดงวิชาเซียนประทับร่างพลังพระโพธิสัตว์ทั้ง 5 หรือโชว์หอยสังข์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เจ้าแม่กวนอิม) โชว์นรกทั้งเจ็ดสิบสองขุมให้ดูกันจะๆ เหล่าจอมยุทธต้องอ้าปากค้างกันเป็นแถบๆแน่นอน (อินๆ อยากเข้าไปเล่นกับเค้าด้วยครับ ฮา) จะได้ไม่มีใครมาดูถูกศิษย์พี่ซีคงของผู้น้อง! แล้วศิษย์พี่ก็จะได้เปิดฮาเร็มเป็นของตัวเอง (เอาจริงๆผมว่าซีคงหยูกับหลี่โอ๋อวิ๋นนี่เหมาะกันมากเลยนะครับ คนนึงขรึมๆทะมึนๆนิ่งๆเหมือนหัวหน้ามาเฟีย ส่วนอีกคนนิยมกวนประสาทแล้วทำให้อีกฝ่ายหลุดได้แบบที่เราเห็นว่าก็ เออ น่ารักดีนี่นา ถ้าสองคนนี้ขึ้นเตียงนี่ดุเด็ดเผ็ดมันส์แน่ๆครับ ฮะๆ)

ส่วนวิชาเซียน นี่เลยครับ แซมเปิล ภูตฟ้า มารดิน วิญญาณรุกขเทพ มารฟ้าสิ้นสลาย! (ไอดอลผมเลยนะเนี่ย)

(http://www.saintseiyafan.com/stseiyawiki/images/a/a3/Asmita-anime.jpg)

(https://i.pinimg.com/originals/2a/a6/d7/2aa6d76ebdf3087bfff58cfa36dbd3a5.jpg)

เอ้อใช่ เห็นจุดแปลกๆนิดนึง จำได้ว่าผู้อาวุโสของสำนักทั้ง 5 ที่มาร่วมงานประลองศิษย์ใหม่เนี่ย ของสำนักวารีพิสุทธิ์คือผู้อาวุโสแห่งตำแหน่งจักรวาลสอดคล้องไม่ใช่หรือครับ? ทำไมฉากประชุมกันเชิญนักพรตเต๋าแห่งราชสำนักมาวาดวงล้อมนตรา ถึงกลายเป็นไป๋หลินหลิงไปได้ ผมโอเคนะถ้าจะเปลี่ยนคน แต่อยากให้มีซ่อนนัยยะหรือเพิ่มฉากอธิบายมาด้วย เพื่อความไหลลื่นของเนื้อเรื่องน่ะครับ อีกคำถามนึงคือ ผมอยากรู้ว่าระดับผู้อาวุโสเนี่ย วิทยายุทธระดับไหนกันครับ เข้าขั้นดาราเงียบงันหรือยัง? หรือว่าส่วนมากจะยังอยู่แถบกลางๆของจันทราเลื่อนลอยอยู่ และถ้ามีราชสำนักในโลกแฟนตาซีนี้ จะทำให้สเกลเรื่องเพิ่มไปได้ไกลมากเลยนะครับ ส่วนตัวผมชอบนะ แต่อยากแนะนำคืออยากให้ตรวจเรื่องความแน่นของพล็อตพื้นหลังหรือเนื้อหาสนับสนุนของสิ่งที่เราจะเพิ่มมาด้วยครับ เพื่อที่มันจะได้ดูมีน้ำหนักและมีมิติ อ่านแล้วมันสมเหตุสมผลกับตัวพล็อตเรื่องและไหลลื่นไปได้ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 15-09-2017 01:45:16
แหมการบรรยายน้องตู้ช่างน่าลากจริงๆ :ling1:

ช่างต่างกับศิษย์พี่ลุงซีของเราสุดใจ :hao5: :hao5:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 15-09-2017 07:35:02


ถึงใครจะกรี๊ดน้องตู้ก็ช่าง...
และถึงน้องตู้จะมีช่วงสโลว์โมชันโชว์ความแมนเป็นแก่นสารอยู่เนือง ๆ ก็เถอะ
ป้าก็ยังจะรักมั่นแต่เสี่ยวหมีและอาหยูอยู่เท่านั้น... มิได้หวั่นไหวกับกล้ามและความสดใสในหน่วยตาของน้องตู้ไม่ (แอบเช็ดน้ำลายแบบไม่มีพิรุธ)

รักคนเขียนค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
ป.ล. ไม่ต้องบอกก็รู้เนอะว่าทำไมตอนนี้เม้นสั้น ก็เมนฉันไม่ออกสักตัวเลยนี่นา T^T

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เต๋าแห่งมังกรกาลเวลา (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 15-09-2017 10:36:27

xexezero: ฮ่า ๆ ครับผม  //รับคารวะ

wnkth: นักพรตเวิ่นจะอยู่กะเราไปอีกนานครับ
อะไรนะ! ลืมชื่อพระเอกได้ยังไง  55555555

alternative:  เหล่มองอย่างหยั่งรู้จิตเจตนาที่แท้จริม
555+  ตัวละครเยอะจริง ๆ ครับเรื่องนี้  เข้าใจความมึน

♥►MAGNOLIA◄♥: ไปค้นรูปหมีดำมาแล้วน่ารักน่ากอดทั้งนั้นเลย  แต่ถ้าไปเข้าใกล้มันจริง ๆ คงโดนตะปบหัวหลุด #ฟามจริงช่างโหดร้าย  ฝึกวรยุทรอรหันต์ร่างทองแปบ
อวิ๋นเขาอ่อนข้อให้หรอก  อาหยูเลยมีโอกาสตบตีกันตามประสา ผ. ม.  ฮี่ ๆๆ
LOTGS ถือว่าเป็นนิยายที่ทำระบบการฝึกฝีมือได้มีรายละเอียดมาก ๆ เลยครับ  รวมทั้งพื้นหลังและลักษณะนิสัยของตัวเอกก็ดูเข้าถึงง่ายต่างจากเรื่องทั่ว ๆ ไป
และ...ฮี่ ๆ  reading list ที่แนะนำ  เพื่อเผาผลาญเวลาสหายเต๋าแมกโนเลียอย่างโหดร้าย

World of Cultivation
เด่นในเรื่องการพูดถึงไดนามิคของเทคโนโลยีและทรัพยากรใหม่ ๆ  ที่ส่งผลต่อโลกผู้บำเพ็ญพรตได้อย่างดีงามมาก ๆ
พระเอกก็ตลก  แต่ไม่ขำถึงขั้นตกเก้าอี้

I Shall Seal the Heaven
ตลกเป็นบ้าเป็นหลัง  ตั้งแต่ the Lord Fifth ออกมา (ตอนที่ 200 กว่ามั้ง)  ก็หัวเราะจนหยุดไม่ได้  หัวเราะแล้วหัวเราะอีก  ดิ้นกับพื้นแล้วทุบพื้นรัว ๆ
ตัวเรื่องเองก็ดีมาก ๆ  มีความลึกลับปนสยองขวัญแบบโปเยโปโลเย  และความเป็นหนังฮีโร่ขบวนการลับสืบทอดผ้าคลุมแบทแมนอะไรแบบนั้น

"Have faith in the Lord Fifth, gain eternal life! When the Lord Fifth appear, who dare to cause striff!"

Grey Twilight: รีบฉุดสหายเต๋าเกรย์ไว้  แล้วชิงกระโดดเข้ากระจกไปแทน!!
เรื่องปักป้ายจองนี่ล้อเล่นฮะ  ผู้ชายหล่อ ๆ เป็นสมบัติผลัดกันชม  ยิ่งบ่มให้งอมยิ่งน่ากิน   เย๊ย!!
ว่าแต่สหายเต๋าเกรย์นี่ช่างสายตาแหลมคมซะจริง  เห็นว่าน้องมู่เป็นลูกรักของคคนเขียน  เลยจะดอดมาแฮปใช่ม๊าา 
อันที่จริง  ตัวละครในเรื่องมีคนนึงที่ใช้เต๋าแห่งพุทธะและเปิดตัวไปแล้วครับ  ฮี่ ๆ  สงสัยผมจะซ่อนแนบเนียนไป
เรื่องหยูกะอวิ๋นที่สหายเต๋าเกรย์ตีความปฏิกิริยาแบบนั้นก็น่าสนใจดีครับ   ทั้งคู่เหมือนจะหลุดเก๊กตลอดเวลาอยู่ด้วยกันในที่สาธารณะ
เรื่องผู้อาวุโส  เดี๋ยวผมค่อย ๆ อธิบายในเรื่องครับ  แต้งกิ้วที่ท้วงติง  แต่ถ้าอธิบายคร่าว ๆ ก่อน  คือเหมืองในเขามังกรทะยานมีทั้งหมดสี่เหมืองที่จัดการประลองพร้อม ๆ กัน (จิ้งซาน  เหิงซาน  ซีซาน  อู๋ซาน)

NuTonKaw:  ไอ้คนเขียนมันลำเอียงครับ  #ซีคงหยูตะโกน  แล้วปาแก้วชาเขียวใส่

Malimaru:  เสี่ยวหมี  เสี่ยวหมีอยู่ที่ไหน  รีบออกมาเรียกแขกเร้ว  โมะ ๆๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจคร้าบบบ  ทำให้มีแรงแต่งต่อเรื่อย ๆ




 




+++++++




เมื่อซีคงหยูลงมาข้างล่าง   เขาก็ไปรวมตัวกับศิษย์ห้าสำนักและคนอื่น ๆ ที่ไม่มีแผ่นหยกสื่อสาร  ยืนดูจอภาพอันฉายจากวิชาเซียนคันฉ่องวารีในลานกว้างของเมืองจิ้งซาน  มือหนักแน่นตบมาที่ไหล่เขา

“เป็นไงพี่หยู  โดนพี่ใหญ่อัดมาเจ็บมั้ย”

ซีคงหยูจำเสียงได้ก็ (หัวเราะ) แล้วหันกลับไปคุย  “น้องมู่หายดีแล้วหรอ”

ซ่งมู่ส่ายหน้าน้อย ๆ  “ก็ยังไม่สนิทดี   แต่เดินได้”

“แล้วอย่างงี้จะหายมั้ย”

“ไม่ต้องห่วง  กำลังใจดี  เดี๋ยวก็หาย”   พูดไม่พูดเปล่า  ถลกแขนเสื้อเบ่งกล้ามแขนให้ดู  แล้วก็ร้องโอ๊ย  เพราะเจ็บสะเทือนไปถึงแผล

คุณชายสามส่ายหน้า  “พูดไม่ทันขาดคำ” 

เมื่อหายเจ็บ  ซ่งมู่ก็สะกิดอีกฝ่าย  “พี่หยู  ไปหาร้านน้ำชานั่งกันมั้ย”

“เอาดิ   เดี๋ยวข้าเลี้ยงน้องมู่เอง   วันนี้รวย”  ว่าแล้วก็เอาตั๋วเงินมากระพือเป็นพัดโชว์ป๋า

เจ้าของตอหนวดเขียวเพราะลืมโกนยกนิ้วโป้งชี้ไปข้างหลัง  “ร้านน้ำชาสำนักอำพันโบราณ  นั่งตรงนั้นก็เห็นจอคันฉ่องวารี”

ซีคงหยูหันไปมองแล้วพยักหน้า  ทั้งคู่เดินไปจับจองที่นั่ง

เสี่ยวเอ้อเห็นลูกค้าเข้ามาก็พาดผ้าเช็ดโต๊ะไว้ที่บ่าแล้วรีบมาต้อนรับ

“คุณชายสองท่านนี้รับอะไร”

ซีคงหยูหยิบเมนูที่วางไว้มาดู

“อะไรคือชาน้ำทิพย์สุคนธ์”

“โอ้  คุณชายท่านนี้สายตาแหลมคมจริง ๆ  นี่เป็นสุดยอดชาจิตวิญญาณของร้านเรา  ทำจากดอกไม้เซียนเจ็ดชนิด  บ่มไว้ในสุราขึ้นชื่อจากเมืองมังกรเพลิง  จากนั้นจึงตากแห้งแล้วทำเป็นใบชา”

คุณชายสามฟังแล้วก็กลอกตารอบหนึ่ง   ตาแหลมคมอะไร  ถ้าเห็นว่านี่เป็นเมนูที่แพงที่สุดแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นของดีประจำร้าน  ก็ควรเอาศีรษะไปชนเต้าหู้ตาย

ซ่งมู่เหลือบตามองเมนูเห็นราคาแล้วก็รีบร้องห้าม  “พี่หยู  พวกเราทานชาเขียวธรรมดาก็ได้”

“เฮ้   ข้าจะเลี้ยงน้อง  เจ้าอย่าขัดสิ”

ซ่งมู่ยิ้มฝืด ๆ น้องคนที่ว่าก็นั่งประท้วงอยู่ตรงนี้ไง  เขาจึงใช้ท่าไม้ตาย

“แต่ข้าอยากกินชาเขียวอ่ะพี่หยู”

“อ่ะ  ชาเขียวก็ชาเขียว  เอาชาเขียวเย็น  ใส่ฟองนม  ใส่ไข่มุก  ใส่ทุกอย่างที่มี”

ซ่งมู่อมยิ้มกับวิธีสั่งชาของคนตรงหน้า  และแอบจดจำไว้ในหัวว่าหนุ่มรุ่นพี่ชอบกินแบบไหน

“น้องมู่ทานชาเย็นหรือร้อน”

“เอาเหมือนพี่หยู”  เขาตอบง่าย ๆ

ในตอนนั้นเอง  ที่เสียงเฮของผู้คนดังลั่น  เพราะการประลองของตู้เกี่ยนหลงและกวนหนิงมาถึงจุดที่เร้าใจที่สุด  ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองจิ้งซานเปลี่ยนเป็นมืดมิด  และเงาร่างของจักรพรรดิสวรรค์ที่ประดุจเหมือนทะเลดาวทั้งกาแลคซี่มาก่อรูปรวมกันก็ปรากฏขึ้นมาที่ปลายฟ้าด้านตะวันออก

ซีคงหยูลุกขึ้นอย่างลืมตัว  และแหงนมองภาพฉายการปะทะกันของเต๋าที่ทำให้สวรรค์เปลี่ยนสีสัน

ซ่งมู่เองก็จับจ้องมอง  แต่สิ่งที่เขามองคือชายหนุ่มรุ่นพี่  เจ้าของใบหน้ากึ่งจะไร้เดียงสา  ตัดกับดวงตาที่เหม่อลอยเหมือนมีหมอกควัน  ทว่าภายใต้หมอกควัน  เขาเห็นประกายแห่งความทะเยอะทะยานอันจะเผยออกมาก็ต่อเมื่อสวรรค์และโลกทั้งหมดมืดมิดเช่นนี้

“เป็นเช่นนี้เอง”

ซีคงหยูค่อย ๆ นั่งลงแล้วก็ถอนหายใจ

ชายหนุ่มรุ่นน้องกระตุกมุมปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม  และเลิกคิ้วหนาเป็นเชิงถาม  เสี่ยวเอ้อเดินเข้าเสริฟชาเขียวพอดี  และกล่าวกับทั้งคู่อย่างภูมิใจว่า

“ท่านเห็นมั้ย  นั่นคือศิษย์พี่ตู้ของสำนักเรา”

“ฮ่า ๆ”  ซีคงหยูหัวเราะตามมารยาทระหว่างที่รับแก้วชามาจากเสี่ยวเอ้อที่ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ  เมื่อเสี่ยวเอ้อเดินจากไป  คุณชายสามก็จิบชาชิมรสชาติ  จากนั้นเปลือกตาก็เผยอขึ้นและมองคนตรงหน้า  เขากล่าวช้า ๆ

“ความห่างชั้นของอัจฉริยะกับคนธรรมดา  มันช่างเหมือนสวรรค์กับพื้นดิน”

“พี่หยูก็เป็นอัจฉริยะ  เพียงแค่ยังไม่มีใครสังเกตเห็นเท่านั้น”

เมื่อฟังหนุ่มรุ่นน้องพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม  ซีคงหยูก็วิเคราะห์ตนเองอย่างใจเย็น

“ไม่หรอก  สิ่งที่ข้าได้เปรียบคือประสบการณ์ชีวิต  เมื่อข้ามองย้อนกลับไปในอดีต  ในวัยที่เท่ากับพวกเขาเหล่านั้น  ข้าพบว่ามีหลายเรื่องที่ข้าเชื่ออย่างผิด ๆ และไม่มีความเข้าใจเท่ากับเวลานี้”  เขาหยิบกระดาษเช็ดฟองนมที่ริมฝีปากแล้วกล่าวต่อ  “ที่ข้าฝึกยุทธได้รวดเร็ว  เพราะข้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ  ข้าเข้าใจวิธีการเรียนรู้  การจับสังเกตสิ่งที่ควรสังเกต  และเน้นในส่วนที่ควรให้ความสำคัญ  ทว่านั่นต้องแลกมาด้วยเวลาที่ไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำ  ปัญญาที่ข้ามี  มันคือสิ่งที่ทุกคนควรจะมีตามวัย”

จากนั้นเขาก็เงยหน้าเล็กน้อยและมองท้องฟ้าที่กลับเป็นปกติ  อันเห็นลานประลองทั้งหมดสิบหกลานซ้อนเหลื่อมกันกลางฟ้าสีฟ้าอมเทาและเมฆหมอกหนาวเย็น

“ทำไมทุกสำนักจึงมองหาผู้มีเชาว์ญาณตั้งแต่อายุเยาว์  เพราะพวกเขามีช่องว่างให้เติบโตได้  พวกเขาเกิดมาพร้อมกับปัญญาภายใน  และเมื่อสลักและขัดเกลาด้วยประสบการณ์ของโลก  ปัญญาญาณของพวกเขาก็เปี่ยมพร้อมสมบูรณ์   สามารถนำสำนักให้รุดหน้า”

ซ่งมู่ยิ้มแห้ง  “ข้าไม่ค่อยเข้าใจที่พี่หยูพูดเท่าใดนัก  แต่มันฟังดูลึกซึ้ง  เหมือนกับที่พวกนักพรตพูดเรื่องเต๋า”

คุณชายสามพยักหน้าน้อย ๆ   “ถ้ามันเป็นเต๋า  มันก็เป็นเต๋าจากโลกอื่น”

ซ่งมู่ดื่มชาของตนเอง  มันหวานจนเขาแทบสำลัก

“เอาน้ำเปล่ามั้ย”   เป็นซีคงหยูที่ทักอย่างรู้ใจ

“ฮ่า ๆ ทำไมพี่หยูรู้”

“ดูสีหน้า  อีกอย่างข้ากินไม่เหมือนคนอื่น  เสี่ยวเอ้อ  น้ำชาธรรมดาหนึ่งกา”

เมื่อเสี่ยวเอ้อผงกหัวประหลก ๆ แล้วไปตระเตรียม  ซ่งมู่ก็ชวนคนตรงข้ามคุยต่อ   พวกเขาไม่เหมือนคนที่มาดูการประลอง  เพราะเอาแต่สนใจเครื่องดื่มในมือและคู่สนทนา

“พี่หยู  ถ้าข้าถามอะไรเรื่องส่วนตัว  จะโกรธมั้ย”

“ถามได้หมด  ยกเว้นขนาดจู๋”  คุณชายสามตอบยิ้ม ๆ   แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหน้าแดงเล็กน้อยจากมุกนี้

“ฮ่า ๆ  คือข้าได้ยินพี่จินบอกว่าท่านไม่อยากแต่งกะพี่ใหญ่  จริงหรือเปล่า” 

“เอ้า  จริงน่ะสิ”

“อ้อ..”

เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องรับคำแค่นั้น  ซีคงหยูก็เลิกคิ้วและถามกลับ   “ไม่อยากรู้หรอว่าทำไม”

“รู้แค่นั้นก็พอแล้ว”

คนตอบตอบพลางอมยิ้ม

ซีคงหยูใช้ปลายนิ้วยันตรงกรามตนเองใต้ใบหู  เอียงคอเล็กน้อยแล้วถาม

“น้องมู่ไม่คิดว่าผู้ชายแต่งผู้ชายมันประหลาดหรอ”

ซ่งมู่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“โอ้  สงสัยข้าจะตกเทรนด์”

ซ่งมู่ฟังดังนั้นจึงอธิบาย  “พี่หยูรู้จัก  คู่เต๋า (1) หรือไม่”

“ข้าล้างหูรอฟัง”

“คู่เต๋าไม่เหมือนกับคู่ครองของปุถุชน  ชีวิตของผู้บำเพ็ญพรตยาวนาน  พบเจอแต่ประสบการณ์พิสดารผิดประหลาด  ซ้ำระยะทางก็ยาวไกล  เต๋าบางทีก็แปลว่า [ทาง]  และบางครั้งเพื่อนร่วมทางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนร่วมเตียง”

“โอ้..”

“และคู่เต๋าก็หมายถึงผู้ที่มีความตั้งใจอันสูงส่งเดียวกัน  และอยู่ด้วยกันเพื่อส่งเสริมหนทางการไล่ตามเต๋าของแต่ละฝ่าย  ในยุทธจักรมีทั้งคู่เต๋าทุกแบบ  ทุกเพศวัย  ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดอย่างที่พี่หยูคิด”

“ฟังดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่า เพลโตนิกเลิฟ”

ซ่งมู่ทำหน้าฉงนกับคำแปลก ๆ  คุณชายสามจึงหัวเราะกลบเกลื่อน

“ฮ่า ๆ  ถ้าอย่างงั้นแปลว่าน้องอวิ๋นเขาอยากให้ข้าไปเป็นคู่เต๋าอย่างงั้นรึ”

“อันนี้ก็ไม่รู้”  ซ่งมู่ส่ายหน้า  เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักชอบคุณชายสามแบบไหน  เพราะหลี่โอ๋อวิ๋นแทบไม่แสดงอะไรออกมาเลย  ไม่ว่าความเป็นเจ้าของ  การหึงหวง  หรือความห่วงใย  มีหลายครั้งที่หลี่โอ๋อวิ๋นช่วยคุณชายสามเอาไว้  แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษระหว่างทั้งคู่

“ยังไงก็ขอบคุณน้องมู่ที่ช่วยเปิดหูเปิดตา  ยุทธจักรนี่ช่างซับซ้อนจริง ๆ”

ซ่งมู่พยักหน้า  เขาไม่ได้บอกซีคงหยูอีกเรื่องว่า  ตามสถิติแล้ว  คู่เต๋า  ในที่สุดก็จะลงเอยเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน  เพราะใกล้ชิดและมีจิตวิญญาณพัวพันกันมากเกินไป  แต่ ฮี่ ๆ ไว้รอตกหลุมพรางก่อนล่ะกัน



++++

(1)    คู่เต๋า = Dao companion
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: Dão Companion (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-09-2017 11:51:13
ซ่งมู่ จะล่อลวงศิษย์น้องลุงพี่หยูเหรอคะ555

พี่อวิ๋นน ศิษย์น้องจะตีท้ายครัวแล้วค่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: Dão Companion (วันที่ 14/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 15-09-2017 16:55:26
JustWait: วี้หว่อ ๆๆ  สงสัยต้องหาเครื่องกันขโมยมาติดตั้งไว้บนตัวอาหยูล่ะ    :hao3:

+++++++




วันถัดมา   เสี่ยวหมีก็เดินออกจากค่ายวารีพิสุทธิ์โดยสวมเสื้อแปะป้ายโฆษณาใหม่เอี่ยม  ทุกคนรู้จักมันมากขึ้นเพราะเห็นมันในลานประลอง  สัตว์วิเศษเพียงตัวเดียวที่กลายเป็นผู้คุมเหมือง   ไฉนจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเล่า

“นั่นมัน  เสี่ยวหมีนี่นา”  ชาวยุทธพเนจรชี้ชวนกันดู 

“เสี่ยวหมี”  ชาวยุทธผู้หนึ่งไปดักมันไว้  และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง  ในมือมีช่อกุหลาบ  “โปรดแต่งงานกับหมีของข้า”

หมีของเขาเป็นหมีแดงตัวอ้วน  ทำท่าทางเอียงอายอยู่ข้างหลังเจ้าของ

“อ๊ออออออ”  เสี่ยวหมีร้องพลางส่ายหน้าไปมา

“อะไรนะ  เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรอ”  ชายผู้นั้นคุยกับเสี่ยวหมีเป็นตุเป็นตะ

“อ๊อออออออออ”

ในตอนนั้น  เสี่ยวหมีก็ชูจมูกฟุดฟิด  ดมกลิ่นในอากาศ  มันทำหน้าดีใจ  แล้วเดินดมหา  ขณะที่หมีแดงและเจ้าของหมีเดินตามอย่างไม่ยอมถอดใจ

และในที่สุดมันก็เจอเป้าหมาย  เสี่ยวหมีรีบคลานเข้าไปใกล้  แล้วเอาจมูกดุนหลังชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนทอดหุ่ยอยู่ใกล้ ๆ ร้านขายซาลาเปา

อีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสายตาปลาตาย

“ข้าไม่ใช่อามู่”  ชายผู้นั้นตอบ  ก่อนจะกัดซาลาเปาไส้ถั่วดำของตนเองไปคำนึง

“อ๊อออออออ”

“เจ้าอยากกินหรอ”  เขาบิซาลาเปาไส้หวานส่งให้เสี่ยวหมีที่แลบลิ้นตวัดกินเข้าไปในรวดเดียว  แถมฉวยโอกาสลวนลามมือของอีกฝ่ายด้วยลิ้นเปียก ๆ

ซ่งจินเช็ดมือกับชายเสื้อตนเองอย่างใจเย็น  และตบคอเสี่ยวหมีเบา ๆ  ในตอนนั้นชาวยุทธหมีแดงก็ตามมาถึงและยื่นช่อกุหลาบให้ซ่งจิน

“ให้ข้า?”  ซ่งจินชี้หน้าตนเอง

จอมยุทธหมีแดงพยักหน้าหงึก ๆ  “ท่านเป็นเจ้าของเสี่ยวหมีไม่ใช่หรอ  ข้าจะสู่ขอเขาให้กับหมีของข้า  เสี่ยวหง”  จากนั้นเขาก็ไปกวักมือเรียกเสี่ยวหงที่ยังไม่หายเขิน   “เสี่ยวหง  มาคารวะท่านพ่อตาสิ”

“ทำไมข้าเป็นพ่อตา”  เจ้าของตาปลาตายถามอย่างงวยงง

“เพราะเสี่ยวหงของข้ากำลังหาเจ้าสาวอยู่”  เขาตอบและมองซ่งจินเหมือนกับว่าเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม

“ข้าไม่ใช่เจ้าของเสี่ยวหมี”

“งั้นท่านเป็นอะไรกับนาง  หรือว่า..”

ไม่เพียงจอมยุทธหมีแดงทำหน้าช็อค   เสี่ยวหงก็ช็อค

ซ่งจินขี้เกียจคุย  เลยพาเสี่ยวหมีเดินหนี
เสี่ยวหมีแลบลิ้นใส่เสี่ยวหงแล้วเดินตามคนหล่ออันดับสองในบัญชีรายชื่อของมันไป

“กราส!  หมีก็จับไม่ได้  แถมเสียกุหลาบไปหนึ่งกำมือ” (1)

“อี๊ยอ  อี๊ยอออ”

เมื่อซ่งจินเดินไปสักพัก  ถึงรู้สึกตัวว่ามีหมีดำตัวใหญ่เดินต้วมเตี้ยมตามมาด้วย

“ซาลาเปาข้าหมดแล้ว”   เขาเอามือที่ล้วงกระเป๋าอยู่ออก  และแบสองมือเปล่าให้ดู

“อ๊ออออออ”

“หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าพาไปหาอามู่”

 เสี่ยวหมีผงกหัวสามสี่ครั้ง

“ตามมา”  ซ่งจินเอามือล้วงกระเป๋าและเดินตุหรัดตุเหร่ไปทางประตูทิศเหนือของเมืองจิ้งซาน

+++

ที่ค่ายประตูทรราช  หลี่โอ๋อวิ๋นกำลังเตรียมกองกำลังเพื่อโจมตีสำนักอื่น ๆ  เขาเดินสำรวจดูว่าแต่ละคนมีอาวุธโธปกรณ์ครบถ้วนหรือไม่   ในตอนนั้นเองที่หนึ่งคนกับหนึ่งหมีเดินทอดน่องเข้ามาในค่าย

“อ๊อออออออ” 

ทุกคนหันไปมองหมีดำในตำนานที่ประกาศตัวว่ามาเยือนแล้ว

หลี่โอ๋อวิ๋นซึ่งนั่งยอง ๆ คุยกับศิษย์น้องคนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น   ใช้ดวงตาสีสนิมจ้องมองหมีดำที่สวมเสื้อติดป้ายโฆษณาเต็มไปหมด  เขาลุกขึ้นยืน   จากนั้นก้าวเข้าไปใกล้เสี่ยวหมี  เดินวนดูรอบ ๆ  อ่านข้อความให้แน่ใจสายตาตัวเอง  ทำเสียงฮึ่มฮ่ำในคอ  แล้วมองหน้าซ่งจิน

“เจ้าเอาหมีนี่มาทำไม”

“โอ้...”  หนุ่มหน้าตายเบิกเปลือกตาบนสูงขึ้นเล็กน้อย  แต่แววในดวงตาก็ดูเฉยสนิทอยู่ดี  “หมีของคุณชายซีคงไงครับ”

“ฮ่า ๆๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นโกรธจนหัวเราะอย่างรุนแรง  “เจ้าลองอ่านดูสิ  ว่าเสื้อมันเขียนว่าไง”

ซ่งจินทำตามที่บอก  เขาอ่านออกเสียง 

“ข้าซีคงหยู  นักดาบอันดับหนึ่งผู้เอาชนะหลี่โอ๋อวิ๋น  มือดาบไร้ธุลีในการประลอง  ขอเชิญชาวยุทธทุกท่านเข้าร่วมเซ็นสัญญาขุดแร่กับสำนักวารีพิสุทธิ์  เราจะบุกอัดสี่สำนักด้วยทุกสิ่งที่เรามี  รวมพลังให้ทะลุอย่างไม่หยุดยั้ง!”

เสี่ยวหมีผงกหัวไปมาเมื่อฟังซ่งจินอ่านข้อความบนเสื้อและเชิดอกอย่างภูมิใจ
ซ่งจินอ่านจบก็หันไปมองศิษย์พี่ใหญ่ของตน  จากนั้นก็ส่งเสียงอืมในคอ  เขาไม่เห็นว่าข้อความนี้จะมีปัญหาตรงไหน

แต่ในตอนนั้นเอง  ซ่งมู่ที่ได้ยินเสียงร้องของเสี่ยวหมี  จึงออกมาจากเรือนพยาบาล  เมื่อเห็นเสื้อของเสี่ยวหมี  เขาก็รีบไปช่วยถอดมันออก

“โอ้  เสี่ยวหมี  เจ้ากล้าใส่เสื้อตัวนี้เข้าค่ายประตูทรราชได้ยังไง”

“อ๊อออออออออ”  เสี่ยวหมีหันไปกอดขาซ่งมู่   ขณะที่ซ่งจินคิ้วกระตุกกับการได้ใหม่แล้วลืมเก่าของเสี่ยวหมี

“พี่ใหญ่  เสื้อก็ถอดออกแล้ว  ท่านปล่อยเสี่ยวหมีไปเถอะ”

เมื่อซ่งมู่ขอความเมตตาให้หมี  คนหน้าดุก็แค่นเสียงในคอแล้วบอกว่า

“เจ้าคิดว่าข้าจะใจแคบลงมือกับหมี?  อย่าว่าแต่เรื่องก่อกวนเล็ก ๆ น้อย  ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  แต่ข้าชักรำคาญซีคงหยู  ส่งคนไปเรียกเขามาคุยหน่อย”

ซ่งมู่ทำท่าจะออกตัว  แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขารีบเบรก

“เจ้าคอยดูหมี”   หลี่โอ๋อวิ๋นชี้คางหนุ่มน้อยหน้าซื่อแล้วก็เดินกลับไปนั่งรอที่ห้องบัญชาการ



+++++



เมื่อซีคงหยูทราบว่าหมีของตนเองถูกจับเป็นตัวประกัน  เขาก็เหงื่อตก  เขาบอกเสี่ยวหมีแล้วว่าอย่าไปเตร่เข้าใกล้ค่ายประตูทรราช  แล้วทำไมหลี่โอ๋อวิ๋นถึงจับตัวเสี่ยวหมีไปได้  เขารีบวิ่งแจ้นไปเจรจากับโจรเรียกค่าไถ่

เมื่อซีคงหยูเข้าประตูห้องบัญชาการประตูทรราชมา  สิ่งแรกที่เห็นก็คือเสี่ยวหมีผู้หลับตาพริ้มนอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ สองพี่น้องหนุ่มหล่อ  ซ่งมู่เกาหูให้  ส่วนซ่งจินเอามือวางไว้ที่หลังมันและลูบไปมาอย่างใจลอย   ดูไม่เหมือนตัวประกันเลยแม้แต่น้อย

เขาหันไปมองหลี่โอ๋อวิ๋น  และฉีกยิ้มประจบ

“เฮ้  น้องอวิ๋น”

“ทำไมช่วงนี้เจ้ากวนประสาทข้าจริง ๆ”   หลี่โอ๋อวิ๋นยิงคำถามกลับไปทันที

“ฮ่า ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”  ซีคงหยูพูดแล้วเกาหลังคออย่างขัดเขิน  เขาแค่คิดป้ายโฆษณาใหม่ ๆ ทำไมต้องจับผิดกันด้วย

“เจ้าสามตัวออกไปได้”

“สองคนกับหนึ่งตัวครับพี่ใหญ่”  ซ่งมู่เถียงมาจากหลังใบหูของเสี่ยวหมี  แต่เมื่อเห็นสายตาของหลี่โอ๋อวิ๋น  เขาก็รีบจูงเสี่ยวหมีและดึงคอเสื้อพี่ชายออกไป  โดยไม่ลืมปิดประตูห้องบัญชาการให้ด้วย

“เจ้าทำข้าปวดหัวจริง ๆ เลยอาหยู”  หลี่โอ๋อวิ๋นทอดถอนใจ  แล้วชี้ให้อีกฝ่ายนั่งตรงข้ามโต๊ะ

“ไฮ้  ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ  ก็แค่เอาขำ ๆ”

“สำหรับเจ้าอาจจะขำ  แต่ว่ามันทำลายภาพลักษณ์ของข้า”

“เฮ้  ไม่นึกว่ามือดาบไร้ธุลีจะสนใจภาพลักษณ์”

“มีผู้ใดไม่สนใจ  จอมยุทธเย็นชาผู้ชืดชาต่อลาภยศชื่อเสียง  มันมีแต่ในนิยาย  ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวแล้วก็จ้องตาซีคงหยูอย่างจริงจัง  ในดวงตาไม่มีวี่แววของความโกรธ  ความขุ่นเคืองรำคาญใจ  มันมีแต่ความจริงจัง  จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นความกระตือรือร้นที่แรงกล้า

คุณชายสามเจอสายตาเช่นนี้  เขาก็สูดหายใจลึก  และรู้สึกอึดอัดใจแกมรู้สึกผิด  เขาอยากจะหลบสายตา  แต่ดวงตาสีสนิมคู่นั้นเหมือนบ่อน้ำวนที่ดึงดูดผู้คนให้จ้องมองกลับไป  เขานึกถึงวรรณคดีจากโลกอื่น  ที่บอกว่า  เมื่อท่านจ้องลงไปในนรก  นรกก็จะจ้องกลับมา  แต่นรกที่เขามองเห็นไม่ได้มีไฟมีน้ำแข็ง  มันมีเพียงประกายหม่นของแท่นเหล็กที่สลักบาปของท่านไว้  และทำให้ท่านรังเกียจตนเอง

“ข้าไม่ได้ผิดหวัง”   ซีคงหยูตอบเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะต่อบทสนทนา

หลี่โอ๋อวิ๋นกระตุกยิ้มบางที่มุมปาก  เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม  เขาค่อย ๆ ถอนสายตาสะกดเหยื่อออกไป  แล้วเอนตัวกลับไปที่เก้าอี้  สีหน้าของเขามีความเย็นชาเพิ่มขึ้นสามส่วน  อุปมาคล้ายยามที่ท่านราดน้ำลงไปบนหัวผักกาดในอากาศหนาวจัด  มันจะเกิดชั้นน้ำแข็งใสบาง ๆ ห่อหุ้ม   แต่ในขณะเดียวกัน  เพราะน้ำแข็งนั้นจึงทำให้ชีวิตชีวาสีเขียวถูกถนอมไว้ไม่สูญหาย

เมื่อเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ซีคงหยูจึงขมวดคิ้วและกล่าวถาม

“งั้นเจ้าคือใครกันแน่”

หลี่โอ๋อวิ๋นเข้าใจคำถามนี้แต่ไม่ตอบ  เขายักไหล่และเปลี่ยนเรื่อง

“อาหยู  ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็มีธุระอยู่  ในอีกสามวันการทดสอบก็จะสิ้นสุด  และทุกวันจะมีการประลองชิงเหมือง  เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

“ถ้าหมายถึงเหมืองที่ข้ายึดได้จากน้องอวิ๋น  ข้าก็คิดจะป้องกันให้เต็มที่  ไม่ว่าผู้ท้าชิงจะเป็นใคร”  คุณชายสามพูดอย่างมั่นเหมาะ

“ข้าหมายถึงสำนักวารีพิสุทธิ์  พรรคปลาทูสีน้ำเงิน  หรือก็คือจางชุ่ยฮัว  นางยังจะทำตามข้อตกลงอยู่หรือไม่”

ซีคงหยูคิดนิดหนึ่งแล้วตอบ  “น่าจะ  ถ้าน้องอวิ๋นมีแผนที่ทำให้พรรคของเราเป็นที่สองได้”

“งั้นดูตรงนี้”   หลี่โอ๋อวิ๋นลุกขึ้นยืน  และยกกระดานยุทธศาสตร์มาจากชั้นวางของข้างหลังโต๊ะทำงาน   ซีคงหยูมองแผ่นหลังกว้างและคอขาว ๆ ของอีกฝ่ายจนเพลินตา  เพราะความที่เป็นชาวยุทธ  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงไม่ค่อยหันหลังให้ใครหรือยอมให้ใครอยู่ข้างหลังง่าย ๆ  เขาจะเป็นคนที่อยู่ข้างหลังและจับจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ

เจ้าของตำแหน่งหยกคู่แห่งยุทธจักรหันกายกลับมา  และวางกระดานลงบนโต๊ะ  บนกระดานมีภาพแผนที่เหมืองทั้งยี่สิบสี่ปมของเขาจิ้งซาน   และแต่ละปมก็มีตัวหมากสีต่าง ๆ วางอยู่เป็นจุด ๆ

ซีคงหยูกวาดตามองและเห็นว่า  เหมืองที่วารีพิสุทธิ์ยึดครอง  มีตัวหมากสีน้ำเงิน  อำพันโบราณใช้หมากสีเหลือง  ไมตรีโลหิตใช้หมากสีแดง  วังหมื่นบุปผาใช้หมากสีม่วง  และประตูทรราชใช้หมากสีดำ

ประตูทรราชยึดได้ 5 เหมือง  เนื่องจากประลองชิงเหมืองสำเร็จไป 2  และสูญเสีย 1 ให้กับวารีพิสุทธิ์
อำพันโบราณมี 4 เหมือง  พวกเขาสูญเสีย 2 ให้กับประตูทรราช  ทว่ายึดเหมืองจากวารีพิสุทธิ์ได้ 1
ไมตรีโลหิตมี 4 เหมือง  เพิ่มขึ้นมา 1 จากการยึดสำนักวารีพิสุทธิ์
วังหมื่นบุปผามี 1 เหมือง  เนื่องจากพวกเขาถูกก่อกวนตลอด  ซ้ำยังชิงเหมืองไม่สำเร็จ
และวารีพิสุทธิ์ก็เหลือเพียง 2 เหมือง  ที่ซีคงหยูชิงมาได้  และที่หลิวเกาเฝ้าไว้

“ดูเหมือนว่าที่ 1 จะเป็นส้มในลังของประตูทรราช”  ซีคงหยูลูบคางและวิจารณ์

“ก็อาจใช่  แต่ที่สองดูจะห่างไกลพอสมควรสำหรับสำนักเจ้า”

“ฮ่า ๆ เช่นนั้นน้องอวิ๋นมีความเห็นใดจะชี้แนะเล่า”

“เจ้าลองดูตรงนี้”   หลี่โอ๋อวิ๋นชี้ให้ดูหมากสีขาว   “มีเหมืองที่ยังไม่ถูกยึด 8 แห่ง  พวกนี้คือตัวแปรชี้ผลแพ้ชนะ”

“อืม...”

“ที่ข้าถ่วงเวลาไม่ให้สำนักอื่นยึดเหมืองเหล่านี้ได้จนถึงตอนนี้เพราะ  เราจะเก็บมันไว้จนถึงวันสุดท้ายของการทดสอบ”

“อ่าฮะ  เพราะประตูทรราชมียอดฝีมือที่ป้องกันเหมืองได้ไม่พอใช่หรือไม่  แต่น้องอวิ๋นคนเดียว  สามารถต่อต้านทุกสำนักไม่ให้เข้าไปยึดเหมืองได้”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า  เขาไม่แปลกใจที่ซีคงหยูจะวิเคราะห์ได้ถูก  เพราะสมคบคิดกันมาตั้งแต่แรก

“ตัวเลขของเหมืองที่ทุกคนมี  น่าจะคงที่ไปจนถึงวันสุดท้าย  ในกรณีที่เจ้าป้องกันเอาไว้ได้นะอาหยู”   หลี่โอ๋อวิ๋นส่งยิ้มชั่วร้ายให้

“ฮ่า ๆๆๆ  นักดาบอันดับหนึ่งที่ชนะหลี่โอ๋อวิ๋นได้  มีหรือจะแพ้ใคร”

คนถูกพาดพิงที่นั่งอยู่หัวโด่กระแอมแรง ๆ หนึ่งที  แล้วอธิบายแผนต่อ

“แต่เพราะว่าประตูทรราชไม่มีกำลังพอที่จะยึดเหมืองเองได้ทั้งหมดในวันสุดท้าย  และเราก็ไม่อยากปล่อยมันไปให้พวกพันธมิตรสามสำนัก  ดังนั้นเราจะปล่อยให้วารีพิสุทธิ์เลือกยึดไปได้ 4 เหมือง  แต่สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือ  หยุดกิจกรรมการยึดเหมืองทั้งหมด  และจัดตั้งกองกำลังผสมเพื่อคอยป้องกันไม่ให้สำนักอื่นเข้าไปโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองได้จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย”

“เป็นแผนที่ดี”   ซีคงหยูเอ่ยชม  มีทัพเสริมเป็นยอดมือดาบไร้ธุลีคอยระวังหลังให้  ก็ไม่ต้องกลัวสำนักใดจะซุ่มโจมตี  “ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องจางจะสนใจ”

หลี่โอ๋อวิ๋นเหยียดยิ้มเย็น  “นางไม่มีทางเลือกอื่น  ประตูทรราชสามารถรับความเสี่ยงปล่อยเหมืองทั้งสี่ไปให้สำนักอื่นได้  และเราก็ก่อกวนวารีพิสุทธิ์ไม่ให้ยึดเหมืองได้เช่นกัน”

“แต่แผนของเจ้ามีจุดอ่อน”  ซีคงหยูกล่าวพลางหรี่ตา  “ถ้าพวกเขาปล่อยจ้าวเหรินเจี่ยนออกมา...”

“หึหึ  ถ้าเป็นเช่นนั้น  ข้าก็จะขอพิสูจน์ดูว่ามือกระบี่ไร้ที่ติมีพิษสงเพิ่มมามากแค่ไหน”  นักดาบหนุ่มกล่าวอย่างไม่กลัวเกรง

“งั้นเป็นอันตกลง”

ซีคงหยูยกมือไปแปะกับหลี่โอ๋อวิ๋นเป็นสัญญา  จากนั้นคุณชายสามจึงลากลับไปค่ายของตนพร้อมกับเสี่ยวหมี





++++


(1)  สำนวนเดิม  จับไก่ไม่ได้  แถมเสียข้าวสุกไปหนึ่งกำมือ
(2)  เสี่ยวหง  แปลว่า เจ้าแดงน้อย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-09-2017 20:29:03
ให้สงสัย ที่หยู คุยกับมู่  :katai1:
 “ถ้ามันเป็นเต๋า  มันก็เป็นเต๋าจากโลกอื่น”
เหมือนหยู ก็มาจากโลกอื่น ถึงได้รู้ จริงป่ะ

มู่ หลงเสน่ห์หยู แล้วล่ะ
ตามู่ไม่ได้มองกระจกถ่ายทอด มองแต่หน้าหยู
เลยเห็นความทะเยอทะยาน ที่ปกติไม่เห็น
แหะๆ.....เพราะหยู ให้คนเห็นแต่ทีท่ารักสบาย ไม่เอางานเอาการ
แต่ที่หยูพูดนั้น แสดงถึงความเข้าใจโลกทีเดียว
หยู ไม่ใช่ขี้ไก่แล้วนะ หยูเติบโตทั้งปราณ ทั้งความคิด ใช่ย่อย

แล้วอวิ๋น กับหยู จะเป็นเต๋าแบบไหนกันนะ
รอหยูก้าวกระโดด วาร์ปพลังฝีมือ
ขอบคุณไรท์ แนะนำการเผาผลาญเวลาที่ยอดเยี่ยม ลุยเลยยยย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-09-2017 21:02:12
แอร์ไทม์ของเสี่ยวหมีนี่มีราคาเท่าช่วงไพรม์ไทม์ใช่ไหม

ได้ออกโฆษณาแป๊บเดียวก็โดนเซนเซอร์ซะแล้ว เฮ้อ

อาหยูมีวุฒิภาวะแบบที่หลาย ๆ คนไม่มี อวิ๋นทะเยอทะยาน มีพลังราวลูกธนูที่พร้อมพุ่งไกล หากมีอาหยูที่ไม่ได้ทะเยอทะยานในแบบนั้น แต่มีความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายไม่ต่างกัน เช่นนี้ย่อมเป็นคู่เต๋าที่สมน้ำสมเนื้อ

ทำไมฉันรู้สึกอิจฉาหมี?
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 15-09-2017 21:58:45
เมื่อไหร่จะได้กัน? `พูด
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 16-09-2017 01:06:11
เชียร์น้องมู่คู่ศิษย์พี่ลุงหยูดีกว่า :hao7: :hao7:

เสียวหมีจะได้มีสุดหล่อเบอร์1และได้เบอร์2เป็นของแถม  :hao6:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 16-09-2017 10:20:32
อาจจะไม่ได้อัพสัก 4-5 วันนะครับ  ปั่นงานแปบ  ใกล้เดดไลน์  T^T   :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 16-09-2017 14:53:24


ทำงานให้เต็มที่เลยค่ะ พวกเราทางนี้จะตั้งตารอเสี่ยวหมีและบรรดาผู้ชายในคอนโทรลด้วยใจจดจ่อ
จริง ๆ เราชอบนะคะที่ได้เห็นเสี่ยวหมีออกมาโลดแล่นเยอะ ๆ แต่ถ้าต้องแลกกับการไม่ได้เห็นหมีดำติด ๆ กันหลาย ๆ ตอนก่อน
เราว่าเฉลี่ยบทให้เสี่ยวหมีออกตอนละนิดละหน่อยก็ได้ค่ะ เราจะได้ไม่คิดถึงเสียงอ๊อออออ ของหมีดำมากนัก... ถ้าค่าตัวเสี่ยวหมีเยอะนัก เรายินดีหนับหนุนน้องให้ได้ออกมาเชยชมสปอตไลท์เองค่ะ (ว่าแล้วก็ควักแบงค์ยี่สิบออกมากรีดโชว์)

เรื่องผู้ชายที่เหลือของเรื่องเหรอคะ... นี่ไม่ได้สน ไม่ได้หวั่นไหวเลยนะคะ
จะน้องอวิ๋น น้องมู่ น้องจิ่น อาหยู ลามไปถึง น้องตู้ น้องจ้าว หรือจะใครก็เถอะ ใจป้านี่รักภักดีกับหมีวิเศษแค่ตัวเดียวจริม ๆ (ได้ข่าวว่าไม่ปลื้มผู้เหรอป้า แต่ที่ไล่ชื่อมาก็ตัวกลั่นทั้งนั้นนะ)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ จะรอนะคะ *กอดแน่น* :กอด1:



หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-09-2017 17:04:32
เทพยุทย์หมีดำ ว่าด้วยเรื่องการเก็บฮาเร็มของเสี่ยวหมี...

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: เสี่ยวหมีขอสอง (วันที่ 15/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-09-2017 19:50:21
สู้ ๆ นะคะ

ฉันจะจิ้นถึงหนุ่ม ๆ รออย่างสงบเสงี่ยม
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: "ข้าเกือบลืมถามท่านอาจารย์แน่ะ!" (วันที่ 22/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 22-09-2017 16:09:49
♥►MAGNOLIA◄♥: ฮ่า ๆ คำถามเรื่องเต๋าโลกอื่นก็ต้องดูต่อไปครับ
สงสารมู่จุงเบย  รักข้างเดียวชีช้ำกะหล่ำปลีโนะ
หยูเหมือนจะโต  แต่ก็ยังเกรียนเหมือนเดิม 555+

alternative: เจอกสมท บังคับให้ลดเวลาแอร์ไทม์ของเสี่ยวหมี T^T
นั่นสิ  จริง ๆ คู่นี้ก็ดูเข้ากันได้ดีนะ  แต่ว่า  รักอวิ๋นเสียดายน้องมู่จุงเบยยยย

wnkth:  หุหุหุ  หวังว่าคงเร็ว ๆ นี้    #ปั่นฉากกระท่อมร้างฝนพรำ

NuTonKaw: อย่างนี้ต้องเรียกว่า love me love my bear สินะ ๆ

Malimaru: สรุปว่างานก็ยังไม่เสร็จครับ   แต่อ่านนิยายเรื่องล่าสุดจบที่ 1600 กว่าตอน  T^T
ชีวิตติดนิยายนี่ลำบากมาก ๆ ครับ  งานก็ไม่คืบ  นิยายตัวเองก็ไม่ได้แต่ง
ผู้ชายในเรื่อง  เอ๊ะ  เรื่องนี้มีฮาเร็มด้วยหรอ  #เลิกชายเสื้อส่องหน้าท้องของน้องตู้

JustWait: ดูชื่อเรื่องก็รู้แล้วว่าใครนายเอก 555




++++++++++

ซีคงหยูแจ้งให้จางชุ่ยฮัวทราบถึงแผนการขั้นต่อไป  นางรับทราบโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ   ซีคงหยูถอนหายใจระหว่างที่ออกไปจากที่ชุมนุมของผู้บริหารพรรค  เขารู้ว่าประมุขพรรคของตน  ไม่ค่อยพอใจที่เขาทำท่าเหมือนกับสนใจผลประโยชน์ของสำนักอื่นมากกว่าสำนักตน  แต่ทำอย่างไรได้  ถ้าท่านไม่มีพละกำลังมากพอ  ท่านก็ต้องรอกินทีหลังผู้อื่น

เขาเดินคู่กับเสี่ยวหมีออกไปเดินเล่นที่ป่าละเมาะใกล้ ๆ เมืองอย่างเหนื่อยหน่าย  บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่  ความสนุกเพลิดเพลินของเขามาชั่วครั้งชั่วคราว  อย่างเช่นเมื่อวางแผนร่วมกับหลี่โอ๋อวิ๋น  โดยที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายยอมรับว่าเขามีประโยชน์

เขาคิดย้อนกลับเข้าไปในตนเอง  ทบทวนความรู้สึกเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา  ใช่แล้ว  คนหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนี้  พวกเขาต้องการประสบความสำเร็จ  ต้องการพิสูจน์ตนเอง  และไล่ตามเป้าหมายที่อยู่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  ซีคงหยูไม่แน่ใจว่ามันคือความไร้เดียงสา  หรือความกล้าหาญ  ที่คนวัยเยาว์มักไขว่คว้าหาอุดมคติ  ชีวิตนิรันดร์  อำนาจเด็ดขาด  พลังฝีมือไร้ต่อต้าน  หรือจุดสูงสุดของยุทธภพ

แต่เมื่อเขาอายุมากขึ้น  เขาพบว่าเรื่องเหล่านี้ชืดชาไร้รสชาติ  เหตุใดเราต้องการชีวิตนิรันดร์ในเมื่อชีวิตไม่มีอะไรใหม่  และมองไม่เห็นว่าอะไรคือความหมายของชีวิตจริง ๆ  เหตุใดเราจึงต้องการอำนาจเด็ดขาด  การมีอำนาจเหนือผู้อื่นทำให้เรามีความสุขมากขึ้นอย่างไร  แน่ล่ะว่า  เราสามารถป้องกันตนเองจากความทุกข์และความเจ็บปวดได้  หากว่ามีอำนาจและพลังฝีมือ  ซีคงหยูเห็นผู้เยาว์จำนวนมากที่เชื่อว่าต้องไขว่คว้าหาพลังที่ยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องคนรักของตนเอง  แต่ความรักก็ชืดชาไร้รสชาติ  เหตุใดคนสองคนจึงต้องผูกพันเข้าด้วยกัน  การรักกันหมายความว่าอะไร

ถ้าโชคชะตาของแต่ละคนเป็นของตน  และความรักมักเปลี่ยนแปร  ไฉนจึงต้องสาบานว่าจะปกป้องกันชั่วนิรันดร์  แต่เมื่อคิดอีกที  นิรันดรสามารถที่จะไม่หมายถึงห้วงเวลาอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด  แต่มันคือความรู้สึกที่ฟูฟ่องในชั่วขณะจิต  สูงส่งเหมือนกับว่าหัวใจของตนกระเด็นกระดอนไปยังสุดขอบฟ้าและเห็นเส้นสายธารดาราอันยิ่งใหญ่  มันอาจจะเหมือนกับ  การได้สัมผัสเสี้ยวหนึ่งของนิรันดรภาพที่ธำรงอยู่อย่างไม่รู้หน่ายในโพ้นจักรวาล

โดยที่ไม่รู้ตัว  หนึ่งชายและหนึ่งหมีผู้เดินท่องไปในป่าโปร่ง  ท่ามกลางไม้สนและซีดาร์สูงชะลูดอันทิ้งใบเกลื่อนกลาดเนื่องจากความหนาวเย็น  ความหนาวที่ประดุจลมหายใจ  ซึ่งบางครั้งก็ระโหยโรยแรง  บางครั้งก็กระชั้นร้อนเร่า  บางครั้งลมหายใจของโลกก็เหมือนนำพามาซึ่งความตายและการสิ้นสุดของสรรพชีวิต  ทว่าในความตายก็คือการตระเตรียมสำหรับชีวิตใหม่ที่ซ่อนตัวเหมือนช่อกิ่งอ่อนอันแอบซ่อนอยู่ใต้ผิวอันปริแตกของไม้ซีดาร์

และโดยที่ไม่รู้ตัวดีเช่นนั้น  ลมหายใจของฟ้าและดิน  โลกและสวรรค์  ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยโคจร  และหมุนวนเวียนเหมือนกับเฉลิมฉลองการค้นพบกฎธรรมชาติ   แกนกลางของการหมุนวนคือวัตถุชีวิตสีดำก้อนใหญ่  หรืออันที่จริง  ก็คือชายผู้เป็นเจ้าของ  สหาย  และผู้รับการปกปักษ์จากวัตถุสีดำก้อนนั้น

มันเริ่มจากลมที่ผัดแผ่วปลายนิ้ว  เหมือนกับเปลวไฟที่เคลื่อนตัวเหมือนเถาวัลย์อันซึมลึกลงไปในเนื้อหนัง  และรู้สึกอีกที  มันก็เหมือนกับสายฟ้าที่ทั้งร้อนและเย็นในเวลาเดียวกัน  สายฟ้าและเปลวไฟ  หมุนเป็นเกลียวเหมือนผ้าที่ถูกบิดในถังย้อมคราม  เกลียวน้ำครามกลางถังมีดวงตะวันสีเหลืองอมส้มเรื่อ   ที่ค่อย ๆ ดูดซับ  หน่วงกักและปลดปล่อยรัศมีอันอ่อนโยนของมัน  เมื่อดวงตะวันดึงดูดเอาไฟและสายฟ้า  ความเย็นและความร้อน  หมอกก็ก่อเกิด  และเมฆก็เคลื่อนคล้อยมาปกคลุม

"สิ่งที่ชนะความเหลวไหลของชีวิตคือความงาม"  ซีคงหยูคิดดัง ๆ กับหมีข้าง ๆ  แต่เหมือนเขาไม่ได้คุยกับมัน  เขาไม่ได้คุยกับใครและเขาก็ไม่รู้ว่าเต๋าที่ยิ่งใหญ่กำลังรับฟังอยู่

"และมันคือความฟูฟ่องของจิตยามที่ได้สัมผัสกับนิรันดรภาพของจักรวาล"

"เมื่อรู้สึกถึงความงามนั้น  จะไม่มีคำถามอีกต่อไปว่าทำไมมนุษย์จึงดำรงอยู่"

"ในเสี้ยววินาทีที่ตกตะลึงพรึงเพริดต่อความยิ่งใหญ่อันประเมินไม่ได้  มันคือนิรันดร"

"ความรักชั่วนิรันดร์จึงเกิดได้ในเสี้ยววินาที"

"เวลาจึงไม่สำคัญ  เวลาคือสิ่งที่กัดกร่อนนิรันดรภาพ"

"ความเศร้าโศกรันทดใจของมนุษย์  เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่ในเวลา" 

"สิ่งที่ไม่เป็นนิรันดร์  สิ่งที่ไม่สามารถหยุดนิ่งในเสี้ยววินาทีอันอิ่มเอิบใจได้อย่างแท้จริง"

ไม่เพียงหมู่เมฆที่เคลื่อนคล้อยเข้ามาบดบังดวงตะวันในจุดตันเถียนของซีคงหยู  มันยังเคลื่อนมาชุมนุมกันเหนือศีรษะของเขา  เสียงครั่นครื้นเลื่อนลั่นเหมือนมังกรคำรณดังขึ้นมาจากเบื้องบน  และไม่ทันที่คุณชายสามจะแหงนมอง  เขาก็พบว่าเบื้องหน้าของเขามีโขดหินที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน  บนโขดหินมีนักพรตเต๋าหนวดเครายาวดำขลับ  บนบ่ามีแส้ปัด

"สหายน้อย...คัมภีร์ที่เจ้าฝึกคือ [คัมภีร์แห่งเทศะ] ใช่หรือไม่"

ซีคงหยูตกตะลึงไปพักหนึ่ง  ก่อนประสานมือคารวะอีกฝ่าย

"เรียนท่านผู้อาวุโส  ผู้เยาว์ไม่รู้จักคัมภีร์ที่ท่านพูดถึง"

นักพรตโบกมือเล็กน้อยไม่ใส่ใจว่าซีคงหยูจะรู้จักคัมภีร์หรือไม่  เขาหลุบตาแล้วกล่าว  "พุทธิปัญญาที่เจ้าพบ  มันคือหัวใจของคัมภีร์แห่งเทศะ  เวลาคือมายาภาพ  คือสิ่งที่เกิดทีหลังเทศะ  เทศะคือนิรันดร์  เทศะคือทุกสิ่ง  เวลาคือเต๋าที่บิดเบือนและทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงเต๋าที่ยิ่งใหญ่"

ซีคงหยูฟังแล้วก็ลังเลเล็กน้อย  เขารู้สึกเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ  เขาจึงประสานมือและค้อมตัวอีกที

"ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ  ว่าแต่มันแปลว่าอะไร  ข้าไม่เข้าใจเลย"

นักพรตเต๋าสำลักน้ำลายเล็กน้อย  เจ้าจะเสแสร้งเป็นเข้าใจสักนิดไม่ได้หรือไง   เขาโบกแขนเสื้ออีกครั้งเหมือนจะรำคาญใจ

"ข้าเรียกว่าเวิ่นเต๋อ  เรามีวาสนาต่อกัน  สหายน้อย..เจ้าสนใจเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่"

"ห๊ะ  ข้าเนี่ยนะ"  ซีคงหยูชี้หน้าตนเอง  พล็อตนี้มันคุ้น ๆ พบยอดคนลึกลับกลางเขา  กราบกรานเป็นอาจารย์  ฝึกยอดวิชา  แล้วออกไปยึดครองยุทธภพ  เพ้ย  ไม่ใช่  ออกไปกอบกู้ยุทธภพจากมารร้าย

เมื่อหายตกใจ  ซีคงหยูก็รีบสะบัดแขนเสื้อสองข้าง  เป็นพิธีทำความสะอาดมือก่อนแสดงความเคารพอย่างสูงสุด  เขาคุกเข่าลงกับพื้น  แล้วก้มศีรษะจรดพื้น

"ศิษย์ซีคงหยู  คำนับท่านอาจารย์"

นักพรตเวิ่นเต๋อก็ตกใจจนโพล่งออกมา  "ง่ายอย่างงั้นเลยเรอะ"

"ท่านสิใจง่าย  จู่ ๆ เดินมาดักข้ากลางเขาแล้วรับข้าเป็นศิษย์"  คุณชายสามเงยหน้าเถียงคำหนึ่ง  แล้วก้มหน้าต่อเพื่อแสดงความเคารพ

นักพรตเวิ่นเต๋อขมวดคิ้วที่ยาวเหมือนหางหมาจู 

"ถ้าเจ้าชอบยาก ๆ  งั้นข้าจะให้เจ้าทำบททดสอบ"

"ไฮ้ ท่านอาจารย์  ข้าล้อเล่น"  ซีคงหยูรีบลุกขึ้นจากที่ก้มหน้าอยู่แล้วตบปากตัวเอง  "นี่แน่ะ  ไอ้ปากไม่รักดี"

""บททดสอบแรก  ผ่านทัณฑ์สวรรค์"  นักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจแล้วชี้ไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

ซีคงหยูแหงนมองตาม  และเห็นเปลวฟ้าที่รวมตัวกันและแล่นถักทอไปมาเหมือนตาข่าย

"เฮเว่นอะโบฟ!"




+++++++




ที่หน้าทางเข้าดินแดนลี้ลับของเหมืองจิ้งซาน  หลี่โอ๋อวิ๋นยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ยอดหน้าผา  เขาคอยดูว่าสำนักใดที่จะแอบลอบเข้าไปโจมตีเหมือง  เพื่อที่จะได้เข้าไปขัดขวางได้ทันที    แต่ในตอนนั้นที่เขาเห็นพยับเมฆสีดำและสายฟ้าที่ก่อตัวทางทิศตะวันตก  เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพึมพำกับตนเอง

"ทัณฑ์สวรรค์ระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย.."

ไม่ใช่แค่หลี่โอ๋อวิ๋นที่สังเกตเห็น  ชาวยุทธและศิษย์สำนักทุกคนในเมืองจิ้งซานก็เห็น  ส่วนใหญ่พวกเขาไม่รู้จักทัณฑ์สวรรค์ระดับนี้  เพราะยังบำเพ็ญพรตไปไม่ถึง  ส่วนผู้ที่รู้จักก็ประหลาดใจ  และคาดเดาว่าผู้รับการทดสอบน่าจะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของสำนักต่าง ๆ อาทิเช่น ตู้เกี่ยนหลง  เว่ยหลิงจื่อ  หลิวเกา  ฯลฯ

แต่เมื่อมีคนตั้งใจจะเข้าไปสังเกตการณ์โดยไม่เกรงฟ้าผ่า  พวกเขาก็พบว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นบริเวณป่าละเมาะนั้นไว้  จนไม่สามารถรู้ได้ว่าใครที่กำลังผ่านบททดสอบทัณฑ์สวรรค์อยู่ในขณะนี้

ส่วนผู้อาวุโสจากสำนักต่าง ๆ สามารถใช้เนตรพันลี้หรือคันฉ่องวารีมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้  พวกเขาหันไปแสดงความยินดีกับไป่หลินหลิงด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนความอิจฉาไม่มิด

"ยินดีด้วยผู้อาวุโสไป่  ไม่เพียงศิษย์สำนักท่านบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยเป็นคนแรกของจิ้งซาน  ยังได้รับความใส่ใจจากนักพรตเวิ่นอีกต่างหาก"

"ทำไมนักพรตเวิ่นถึงสนใจเด็กนั่น"  ผู้อาวุโสเหม่ยแห่งวังหมื่นบุปผาตั้งคำถามที่ทุกคนก็สงสัย  "ดูจากอายุกระดูกน่าจะอายุใกล้สามสิบ  จะบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก"

"ฮ่า ๆๆ"  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตหัวเราะแฝงนัย  "ถ้าให้เล่าฮิวเดา  เด็กคนนั้นน่าจะมีพรสวรรค์ด้าน [เทศะ]"

ทุกคนตาลุกวาวเหมือนได้รับความกระจ่าง

"สำนักท่านมีวิชาเซียนสายเทศะด้วยรึ  ผู้อาวุโสไป่"  ตู้ถงเทียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้

ไป่หลินหลิงอมยิ้ม  กระพือพัดในมือเบา ๆ แล้วกล่าว   "มี  เรียกว่าวิชาเซียนสามสิบหกแผน"

ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ มองหน้ากันอย่างอึ้งกิมกี่  โลกนี้มีวิชาเซียนชื่อหยาบช้าแบบนี้ด้วยหรอ

"ฮ่า ๆๆ  พวกเจ้าดูไปก็รู้เอง  เด็กคนนี้คือม้ามืดที่ข้าเตรียมไว้  กะกินรวบทุกสำนัก"  นางกวาดพัดในมือไปข้างหน้าเหมือนกับแม่ทัพที่เตรียมทำลายกำลังศัตรู  แต่แล้วก็นึกได้รีบเอาพัดปิดปาก  "อุ๊บส์  แต่ถ้าพวกเจ้ารู้แล้ว  จะมีใครพนันกับข้าอีกล่ะ"

"ปีนี้ท่านก็จะตั้งโต๊ะพนันอีกงั้นรึ"  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตถามอย่างสนใจ

"ฮี่ ๆ  พระพุทธองค์กล่าวว่าถ้าอาตมาไม่ลงนรกแล้วผู้ใดจะลงนรก  ข้าเลยคิดจะเสียสละตัวเป็นเจ้ามือโต๊ะพนันอีกครา"

ทุกคนทำหน้าเครียด   เสียสละเตี่ยเจ้าสิ  เจ้าเป็นเจ้ามือทีไรกินรวบทุกที



++++++



สัตว์บางชนิดร้อง อ๊อออ  อ๊อออออ  บางชนิดก็ร้อง  อี๊ยอออออ  อี๊ยอออออ  แต่บางชนิดก็ร้อง เอ๋ง เอ๋ง  เหมือนหมาที่โดนฟ้าผ่า

เสี่ยวหมีนั่งจิบน้ำมะนาวอยู่ใกล้ ๆ นักพรตเวิ่นเต๋อ  พร้อมกับแว่นดำกันแสงจ้าจากสายฟ้าที่นักพรตเฒ่ามีสำรองมาเผื่อ

"อ๊ากกกก!!  เอ๋งงง!!"

ซีคงหยูร้องลั่นกลางพายุอัสนี  ซึ่งฟาดมาแต่ละทีก็จะเห็นโครงกระดูกของเขาเรืองแสงจากไฟฟ้าที่อาศัยเรือนกายของเขาเป็นสื่อวิ่งสู่อ้อมอกของพื้นปฐพี

"อ๊ออออออออ"

นักพรตเต๋าหลุบตา  แต่ไม่มีใครเห็นเพราะเขาก็ใส่แว่นกันแดด

"เจ้าเป็นห่วงเขางั้นรึ"

"อ๊อออออออ"  เสี่ยวหมีส่ายหน้า

"ที่แท้  เจ้าก็กลัวจะกลายเป็นหมีกำพร้า"  นักพรตเวิ่นเต๋อรู้สึกสะเทือนใจจนแว่นดำหล่นลงมาที่ปลายดั้ง

"อ๊อออออออออออ"

นักพรตเคราดำวางแส้ปัดในมือ  แล้วยื่นมือไปลูบหลังเสี่ยวหมี  "ไม่ต้องห่วง  ถ้าเขาตาย  ข้าจะรับเลี้ยงเจ้าต่อเอง"

"อาจ๊าานนนน  ข้ายังไม่ตายยย!  อ๊ากกกกก!!!"

ซีคงหยูโดนช็อตอีกรอบ  คราวนี้หัวเขาฟูเหมือนทรงแอฟโฟร่

"เฮเว่นอะโบฟ!  ข้าจะสู้กับเจ้า!"  คุณชายสามกำหมัดชูใส่สวรรค์เบื้องบน  เลียนแบบเรื่องราวของจอมยุทธในรวมเรื่องสั้นตำนานพิสดารของยุทธจักรเล่มที่ 473  และ  521

"เจ้าคิดว่าจะทำลายเต๋าของข้าได้  แต่เจ้าคิดผิด  ข้าไม่มีวันยอมแพ้  ข้าจะต่อสู้กับเจ้า  เทพขวางข้าจะฆ่าเทพ  สวรรค์มาขวางข้าจะตบให้หน้าหัน"

เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดมาอีกรอบเป็นคำตอบ   ซีคงหยูตัวสั่นชักกระตุกตามกระแสไฟฟ้าที่วิ่งพล่าน

"บรื๋อ...  แต่ถ้าเจ้าตบแก้มซ้ายข้า  ข้าจะหันแก้มขวาให้ตบด้วย"  คุณชายสามเริ่มสับสน  เอาวรรคทองในเรื่องสั้นตำนานพิสดารเล่มที่ 612 มาปน

ไม่ไกลจากป่าละเมาะ  หนุ่มหล่อจมูกบี้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่สูงสุดในแถบนั้น  เขาใช้กล้องส่องทางไกล 'ของเล่น' ที่ยืมมาจากซีคงหยูส่องเข้าไปในใจกลางพายุสายฟ้า  และเห็นเงาของเสี่ยวหมีลาง ๆ  เลยเดาได้ว่าใครที่ทำลังผ่านด่านทดสอบทัณฑ์สวรรค์

ซ่งมู่ปีนขึ้นไปที่ยอดไม้อีก  และชูเสาทองแดงขึ้นไปบนท้องฟ้า

"สายฟ้า!"  เขาตะโกน  "วิ่งมาตรงนี้  อย่าไปยุ่งกะพี่หยู!"

เปลวแฉกสายฟ้าวิ่งแยกออกมาจากพายุ  และฟาดใส่ซ่งมู่เข้าจั๋งหนับ  เจ้าของร่างแกร่งโดนช็อตจนกระดูกเรืองแสงและตัวสั่นพั่บ ๆ อยู่บนยอดไม้  ทว่ายังกัดฟันชูเสาทองแดงในมือ

"สวรรค์!  เจ้าทำได้แค่นี้หรอ  ไม่เจ็บเฟ้ย  แน่จริงมาอีก!"

เปรี้ยง!!

ซ่งจินยืนมองอยู่ในระยะที่ปลอดภัยและกุมขมับต่อความอุทิศตนของน้องชาย



++++++




เมื่อทัณฑ์สวรรค์ผ่านพ้น   เสี่ยวหมีก็เดินเข้าไปอย่างระวังระวังพลางแหงนมองท้องฟ้าไปด้วยเผื่อมีลูกหลง  เมื่อเข้าใกล้หมาย่างที่สุกเกรียมได้ที่กลางลานป่า  มันก็ดมจมูกฟุดฟิดดูว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

นักพรตเวิ่นเต๋อโยนเม็ดยาเซียนธาตุดินลงไป  มันชื่อว่าผงทองฟื้นชีพ  เป็นยาเซียนระดับกลางที่เหมาะกับผู้บำเพ็ญขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อย  เม็ดยาเซียนหมุนวนกลางอากาศ  และเริ่มสลายเป็นผงสีทองระยิบระยับโรยลงไปบนร่างของซีคงหยู  แผลจากสายฟ้าของเขาเริ่มสมานเข้าหากันเล็กน้อย  ปากแผลมีสัญญาณว่าเริ่มจะแห้ง  และระบบฟื้นฟูของร่างกายก็รวดเร็วยิ่งขึ้น

เมื่อเห็นนิ้วของศิษย์คนใหม่ที่นอนคว่ำกับพื้นเริ่มกระดุกกระดิก  นักพรตก็กล่าวกับเขา

"ถึงข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์  ไม่ได้หมายความว่าข้าจะดูแลเจ้าทุกย่างก้าว  การบำเพ็ญพรตและวิถีแห่งเต๋าเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเดินด้วยตนเอง"

ซีคงหยูรีบเงยหน้า  หัวแอฟโฟรของเขากระดุ๊กกระดิ๊กไปมาเหมือนดอกกะหล่ำ

"อาจารย์  ท่านจะไม่สอนวิชาข้าเรอะ"

นักพรตเวิ่นเต๋อส่ายหน้า

"แล้วจะให้ของวิเศษข้ามั้ย"

ส่ายหน้าอีกที

"หรือยาเซียนดี ๆ  ท่านไม่มีให้หรอ"

นักพรตเวิ่นเต๋อก็ยังคงส่ายหน้า

"ฟัค!  แล้วท่านจะรับศิษย์หาพระแสงของ้าวอะไร"

"เจ้าหยู!  กล้าตะคอกอาจารย์งั้นรึ"

เอาเสะ  ตะคอกแข่งกันนึกว่าข้าจะยอมแพ้เจ้าเรอะ  นักพรตเวิ่นคิดในใจพลางลูบหนวด

 "โอ้  อาจารย์  ศิษย์ขออภัย  ลืมตัวไปหน่อย   แต่ท่านไม่มีผลประโยชน์ให้ข้าจริง ๆ หรอ  อย่างส่วนลดโรงเตี๊ยมร้านน้ำชาในเครือธุรกิจ"

"เพ้ย  ข้าไม่ใช่คนตระกูลน่ำเก็ง"

คราวนี้เป็นซีคงหยูที่นึกในใจ  ที่แท้  ชื่อเสียงของน่ำเก็งกงจื่อก็โด่งดังไม่ใช่เล่น

"งั้นข้ารู้แล้ว"   คุณชายสามอุทานอย่างเกิดพุทธิปัญญา  "ที่แท้ทรัพย์สินที่ท่านให้ก็คือชื่อเสียง  ข้าสามารถเข้าไปที่หอจันทร์สราญ  แล้วบอกแก่ตั่วเนี๊ยว่า  เพ้ย  ข้าคือศิษย์ของนักพรตเวิ่นเต๋อ  ค่าอีหนูที่ข้าค้างไว้  ถือว่าหายกันข้าไม่จ่าย"

แส้ปัดฟาดหลังซีคงหยูจนสะดุ้ง

"โอ๊ย!  ถ้าอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ก่อกรรมทำกินฟรีในชื่อของท่าน  ท่านก็ให้วิชาเซียนข้าสิ"   คุณชายสามคลำหลังตัวเองด้วยความแสบพลางเงยหน้ามองอย่างดื้อดึง

"ไอ้ศิษย์ไม่รักดี  เจ้ากล้าต่อรองกับข้างั้นเรอะ"

"ศิษย์มิกล้า.."  เขาเว้นไปนิดนึงแล้วกล่าวต่อ  "..แต่ทำไปแล้ว"

เวิ่นเต๋อพ่นลมจากจมูก  แต่ท่วงท่าของเขาก็ยังดูเป็นสว่วนผสมของความสูงส่ง  ความหยิ่งยโส  และความสำรวมกิริยาอยู่ดี

"งั้นเจ้าอยากได้วิชาเซียนอะไร"

"หืม...ข้าได้ยินท่านอาจารย์พูดถึง  [คัมภีร์เทศะ]"

เวิ่นเต๋อฟังแล้วก็โกรธจนคิ้วหางหมาจูชี้ชัน  คัมภีร์เทศะคือคัมภีร์ที่รวบรวมเต๋าทั้งหมดของวิชาเซียนสายเทศะ  อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญพรตทั่วไป  แม้แต่พระเจ้าโจวเหวินหวาง  เวิ่นเต๋อก็ไม่ยอมให้ยืมดู  ขณะที่คุณชายสามนอนนับนิ้วพลางพึมพำด้วยเสียงไม่ดังไม่ค่อย

"นอกจากหอจันทร์สราญ  ข้ายังมีบัญชีค้างชำระที่หอหญ้าหอม  หอนางแอ่นหยก  เหลาเสี่ยวเสี้ยว  ร้านผ้าของหม่าหวางเฉิง..."

"หยุด!"   นักพรตเต๋าเริ่มสงสัยว่ารับศิษย์ใหม่คนนี้ถือเป็นโชคลาภหรือเภทภัย

"ฮี่ ๆ ท่านอาจารย์  ท่านอย่าขี้เหนียวนักเลย  ความรู้คือสิ่งที่ต้องแบ่งปันกัน  ชุมชนวิชาการถึงจะรุดหน้า  อะไรนะ  ท่านไม่รู้จักชุมชนวิชาการหรือ"  ซีคงหยูเห็นแววกังขาของอีกฝ่ายเลยส่งสายตาดูหมิ่นไป

"อ๊ออออออออออ"   เสี่ยวหมีเสริมอีกแรง  คราวนี้แส้ปัดเลยฟาดลงหลังหมีดำด้วย

"ศิษย์ไม่รักดี  เจ้ามีคัมภีร์อยู่แล้ว  ก็ฝึกของตัวเองไป"

"ท่านอาจารย์  ท่านหมายความว่ายังไง  ข้ามีคัมภีร์หรอ  คัมภีร์อะไร  ดีมั้ย"

เวิ่นเต๋อกระชากหนวดตนเองอย่างหมดความอดทน  "นี่เจ้าไม่รู้ตัวหรอว่ากำลังฝึกวิชาเซียนสาย [เทศะ]"

"โอ้  ท่านอาจารย์  ข้าเกือบลืมถามเลยแน่ะ  [เทศะ] คืออะไร??"

นักพรตเต๋าฟังแล้วก็ทึ้งหนวดตนเองจนหลุดมากระจุกนึง


++++++


หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: "ข้าเกือบลืมถามท่านอาจารย์แน่ะ!" (วันที่ 22/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-09-2017 19:41:42
อยากจะทึ้งผมตามเวิ่นเต๋อไปด้วย

นี่ท่านไปรับตัวอะไรมาเป็นศิษย์?

น้องมู่ ป่านนี้ไม่เป็นนายแบบอะโฟรจมูกบี้ไปแล้วเรอะ? โธ่ คนหล่อดั้งแหมบของพี่
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: "ข้าเกือบลืมถามท่านอาจารย์แน่ะ!" (วันที่ 22/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 22-09-2017 20:38:57
นอกจากเรื่องผู้แล้วมีอะไรที่จะได้ดีบ้างเนี่ย ฮ่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: "ข้าเกือบลืมถามท่านอาจารย์แน่ะ!" (วันที่ 22/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-09-2017 20:45:52
เอาละสิ หยู เข้าถึงเต๋าแห่งเทศะ สุดยอดดดด
แล้วผู้รู้ กูรู ก็รู้ทั่วกัน แอ่ะ.....เป็นพยานให้หยูกันถ้วนหน้า
ขนาดผู้อาวุโสไป๋ เตรียมตั้งโต๊ะพนัน อะจ๊ากกกกก
ทั้งที่ผ่านมาก็กินเรียบตลอด สายหยูค่อนข้างแข็ง
เอ้อ.....แบบเอาผลประโยชน์เพื่อตัวเองซึ่งๆหน้านะ

เหมือนหยู จะมีอาจารย์ เอ๊ะ....หรือไม่มีอาจารย์
เพราะหยูต้องบำเพ็ญเพียรหาเต๋าด้วยตัวเอง
เพราะอาจารย์ไม่สั่งสอน ยังไงกัน แปลกๆเน้าะ

โถๆๆๆๆ.....มู่ เสียสละเพื่อหยู
ยอมแบ่งความเจ็บปวดจากการถูกสายฟ้าช็อต
ขนาดซ่งจิน ตาปลาตายยังกุมขมับกับมู่เลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: "ข้าเกือบลืมถามท่านอาจารย์แน่ะ!" (วันที่ 22/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 24-09-2017 17:40:29

alternative:  ฮ่าๆๆๆ  จะว่าไป  น้องมู่หาย  ไม่มีแอร์ไทม์  อ๋อ  สลับกับน้องอวิ๋นนี่เอง  ผลัดกัน ๆ

wnkth: เรื่อง seeking death  5555+

♥►MAGNOLIA◄♥:  อะไรของหยุแข็งครับ  แอ๊ะ
อาจารย์หยูก็มีฮะ  แต่... 
น้องมู่นี่น่าสงสารจริง ๆ พ่อติโตผู้ปิดทองหลังพระ  แล้วต้องมองพี่หยูไปเริงรื่นกับพี่ใหญ่ของตนเอง  ฮือ ๆ



++++




"เต๋าแห่งเทศะ  คือเต๋าที่ช่วงใช้ตำแหน่งและสถานที่  จัดเรียง  เคลื่อนย้าย  บิดผัน  สร้างวิชาเซียนพิสดารสารพัน"  นักพรตเวิ่นเต๋ออดทนอธิบายซีคงหยูซึ่งตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งสำรวมรับฟังเรียบร้อย

ในลานกลางป่า  เต็มไปด้วยรอยหินหลอมเหลวอันเกิดจากความร้อนสูงของสายฟ้า  มันละลายและประกอบเป็นแก้วผลึกอันจัดเรียงตัวเพราะเต๋าของผู้ผ่านทัณฑ์สวรรค์  จนทำให้ทั้งลานดูเหมือนกับแก้วหลอมที่ถูกช่างรังสรรค์เป็นรูปคลื่น  ในแก้วผลึกมีทั้งสีฟ้า  ครามและเขียว  ทำให้ลานแห่งนั้นจะถูกเรียกว่าลานภูเขาหยกในอนาคต

"เต๋าแห่งเทศะหากจะแบ่งออกเป็นสาแหรก  ก็มีอย่างน้อยสองสาแหรก  คือ อากาส และ จลล์ ... [อากาส] จัดการกับที่ว่าง  การกินที่  ความกว้างยาวสูง  มิติ  ส่วน [จลล์] เป็นเต๋าที่สนใจการเคลื่อนที่  ลำดับเหตุการณ์  ความเป็นสาเหตุ  และปฐมเทวา"

ซีคงหยูฟังจนอ้าปากหวอ  "โอ้...ช่างฟังดูหวือหวา  ท่านอาจารย์  ถ้าข้าสำเร็จเต๋าแห่งจลล์  ข้าจะมีพลังเหมือนปฐมเทวาหรอ"

"หุบปาก  ปฐมเทวาไม่ใช่นามที่เจ้าจะเอ่ยถึงได้เล่น ๆ"

คุณชายสามทำท่ารูดซิบปาก

"จบ"

นักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวแล้วก็สะบัดแขนเสื้อทำท่าจะไป

"อะไร๊!  ท่านอาจารย์จะรีบจบไม่ได้  ข้าตั้งใจฟังอยู่  ดูสิ  ท่านจะหานักเรียนที่เชื่อฟังและกระตือรือล้นขนาดนี้ได้ที่ไหน"

"อ๊อออออออ"

"เพ้ย  เจ้าศิษย์ไม่รักดี  ที่เหลือก็หาอ่านเอาเองสิ  ดูนี่"

เวิ่นเต๋อกล่าวพลางสะบัดมือ  ม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่คลี่ลงมาจากมือของเขาตามแรงโน้มถ่วง  แต่ละซีกของไม้ไผ่มีรายนามของคัมภีร์แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นและเอกสารอ้างอิง  ซีคงหยูชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ  อ่านแล้วก็ตาโตเท่าไข่ห่าน

"โอ้โห  เยอะขนาดนี้เลย"

"ฮ่า ๆ เจ้าทึ่งกับความลึกล้ำของวงการเต๋าแห่งเทศะแล้วใช่มั้ยล่ะ"

"อื้อหือ...แต่ว่าท่านอาจารย์.."  ซีคงหยูลูบคางตนเองอย่างครุ่นคิด  "..ทำไมหนังสือทุกเล่มที่ท่านแนะนำ  มีชื่อท่านเป็นคนเขียนหมดเลยล่ะ"

"เพ้ย  ก็เพราะว่าข้าเป็นผู้ฝึกเต๋าแห่งเทศะชั้นแนวหน้า  ผู้สืบทอดวิชาอันเที่ยงแท้จากท่านมู่หรงจวินจื่อ ไม่เพียงเท่านั้นข้ายังเป็นราชบัณฑิตชั้นเก้าแห่งอาณาจักรวายุกระซิบผู้รับสนองโองการโดยตรงจากพระเจ้าโจวเหวินหวาง  ดังนั้นหนังสือที่ข้าเขียนจึงดีแท้และเที่ยงตรงที่สุด"

เมื่อฟังดังนั้น  ซีคงหยูจึงนึกขึ้นได้และรีบเข้าไปกอดขา

"ท่านอาจารย์  ถ้าอย่างงั้น  ท่านจะให้หนังสือพวกนี้กับข้าใช่มั้ย"

"เฮ่อ ๆ  เจ้าคิดว่าวัน ๆ ข้ากินอะไร"

"ท่านอาจารย์ก็ต้องกินน้ำค้างกลางหาว  และลมหนาววิเศษสุดที่ผุดจากสวรรค์ชั้นเก้า  เหมือนกับเทพยดาผู้มีอายุวัฒนะเท่าเทียมฟ้าและดิน  จึงเสพสิ้นภักษาสวรรค์ก็อิ่มท้อง"   ซีคงหยูตอบอย่างคล่องแคล่วและรู้ทัน

เวิ่นเต๋อใช้ด้ามแส้เคาะกระโหลกศิษย์ใหม่หนึ่งที

"เพ้ย  ข้ายังกินไฟและควันอยู่  ดังนั้น  เจ้าศิษย์ดื้อ  ถ้าอยากฝีมือรุดหน้า  อย่าลืมหาซื้อหนังสือมาอ่าน  ขายที่ร้านค้าชั้นนำตามเมืองใหญ่ทั่วไป"

นักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวจบก็เหาะกลับไปจากลานภูเขาหยก  ทิ้งแคตตาลอกหนังสือไว้ให้หนึ่งชายกับหนึ่งหมีที่แหงนคอมองตามไปอย่างตกตะลึง

ซีคงหยูถ่ายจิตเข้าไปในคัมภีร์ไม้ไผ่  มันมีรายละเอียดราคาและวิธีการสั่งซื้อโดยไม่ขาดตกบกพร่อง  เขาดูราคาหนังสือแต่ละเล่มไปได้สักพัก  ก็แหงนมองฟ้าอีกรอบ

  "เฮเว่นอะโบฟ!"



+++++



เมื่อนักพรตเฒ่าออกไปจากพื้นที่   กำแพงที่มองไม่เห็นอันกั้นบริเวณด่านทดสอบทัณฑ์สวรรค์ก็มลายหายไป   ผู้คนรีบกรูกันเข้าไป  เพื่อดูว่าใครที่สำเร็จเขตแดนเมฆาลอยเลื่อนเมื่อครู่

"ยินดีกับพี่ซีคงด้วย  ที่ผ่านด่านทัณฑ์สวรรค์สำเร็จ"   จ้าวเหรินเจี่ยนเดินเข้ามาพร้อมกับแมวขาวและกระบี่ฝักขาวดุจงาช้างที่ห้อยอยู่ข้างเอว  รอยแผลลักยิ้มของเขาดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาดต่อผู้คน  ทว่าความงามที่มอมเมาผู้คนจนแทบตายกลับทำให้ซีคงหยูรู้สึกดีดตัวห่าง  เขาไม่เคยนึกชอบคนที่รูปงามสุด ๆ รูปงามจนเหมือนเทพยดา แบบนี้อยู่แล้ว  มันทำให้เขารู้สึกว่า  สิ่งที่เขาเห็นมันไม่ใช่ของจริง  มันคืออะไรที่สมบูรณ์แบบจนเกินไป  จ้าวเหรินเจี่ยนอาจจะเป็นชายในฝันของหนุ่มสาวน้อยใหญ่  ทว่าความรุนแรงของเสน่ห์เขากลับทำให้คนรู้สึกยากที่จะวางใจ

"ขอบใจจอมยุทธจ้าว"   ซีคงหยูตอบกลับและผงกหัวเล็กน้อย

"ถ้าคุณชายซีคงไม่รังเกียจ  จ้าวอยากจะเชิญไปดื่มน้ำร้อนน้ำชากับสหายอีกสองสามคน"   จ้าวเหรินเจี่ยนผายมือไปด้านหลัง  ซึ่งก็คือตู้เกี่ยนหลงและเว่ยหลิงจื่อ

"เฮ้"  ตู้เกี่ยนหลงยกมือทักทาย  และส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้  รอยยิ้มของเขาเห็นฟันสีขาวจนเหมือนเงิน  ฟันของเขาซี่เล็กพอเหมาะและเรียงกันอย่างมีระเบียบเรียบร้อยยกเว้นก็แต่ฟันเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปากเหมือนเขี้ยวฉลาม  ทำให้เขาดูซุกซนเหมือนกับเด็กหนุ่มวัยกำลังเฮี้ยว

เว่ยหลิงจื่อแค่มอง  เขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม  ตรงหน้าผากมีรอบความกังวลใจเนื่องจากสถานการณ์ของวังหมื่นบุปผา  แต่เขาก็พยายามกลบเกลื่อนมันให้ดีที่สุดด้วยสีหน้าออกจะยโสโอหัง

ซีคงหยูมองสามหนุ่ม  จากนั้นสายตาของเขาไปสบกับตู้เกี่ยนหลง  เขาเคยเห็นหนุ่มน้อยคนนี้สองสามครั้ง  แต่ต้องยอมรับว่าทุกครั้งที่เห็นก็ชวนตรึงตาตรึงใจตลอด  บวกกับท่าทีง่าย ๆ สบาย ๆ และเป็นมิตรของอีกฝ่าย  ทำให้ดูน่าคบหาพูดคุย

"นับเป็นเกียรติที่พวกท่านเชิญข้าไปดื่มชา  แต่ว่า..."   ซีคงหยูกำลังนึกหาข้ออ้าง

"ไฮ้  พี่ซีคง  พวกเราอยากรู้จักท่าน  เพราะทึ่งที่เห็นท่านผ่านด่านทัณฑ์สวรรค์  ไม่ได้มีเจตนาอื่น"  ตู้เกี่ยนหลงเดินเข้ามาตบไหล่เขาใกล้ ๆ  จนคุณชายสามได้กลิ่นซ่า ๆ เหมือนดอกส้มผสมดอกข่าจากเรือนกายของอีกฝ่าย

"นับข้าด้วยอีกคนสิ"   สุ้มเสียงห้าวกล่าวมาจากด้านหลัง  เขาเหมือนกับพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ทว่าอำนาจในน้ำเสียงทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนกำลังถูกบัญชาให้ทำตาม

หลี่โอ๋อวิ๋นก้าวออกจากหลังแมกไม้ซีดาร์    ชาวยุทธคนอื่น ๆ ที่เห็นมังกรเทพยดามารวมตัวกัน  จึงคอยดูอยู่ห่าง ๆ และไม่เข้าไปใกล้

เว่ยหลิงจื่อเห็นดังนั้นก็ทำสีหน้าปั้นยาก  ทั้งแค้นเคืองทั้งจนปัญญา  และแม้แต่ตู้เกี่ยนหลงที่ดูจะรักษาอารมณ์ได้ดีก็มีสีหน้าพิกลเล็กน้อย

"หรือว่า  ข้าไม่เป็นที่ต้อนรับ"   หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้าไปใกล้ตู้เกี่ยนหลงกับซีคงหยู  ร่างของเขาเหมือนแผ่ไอสังหารที่หนาแน่น  อันทำให้ทั้งคุณชายสามและจอมยุทธตู้ต้องถอยห่างออกจากกัน

เมื่อหลี่โอ๋อวิ๋นเข้าไปใกล้ซีคงหยู   เขาก็โอบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะทันที

"แต่เสียใจด้วย  ถึงพวกเจ้าจะไม่ต้อนรับข้า  แต่ซื้อหนึ่งแถมสอง  เพราะข้าต้องไปนั่งเฝ้าคู่หมั้น"

"เห้ย"   ซีคงหยูสะดุ้ง   เขาหันไปมองคนข้าง ๆ  แต่เมื่อเห็นสายตาสำทับของอีกฝ่าย  จึงกลืนน้ำลายและไม่โต้แย้งอะไร

"ฮ่า ๆๆ"  จ้าวเหรินเจี่ยนหัวร่อเบา ๆ  "ที่แท้คุณชายหลี่ก็ขี้หึงไม่ใช่เล่น  ทำอย่างไรได้  คุณชายตู้ของพวกเราเสน่ห์แรงเกินไปนี่นะ"

คราวนี้เป็นตู้เกี่ยนหลงที่สะดุ้ง  และร้องเฮ้เบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม

"จะไปก็รีบไป  จะไม่ไปก็ไม่ต้องไป"  เว่ยหลิงจื่อพูดอย่างหมดความอดทน

"น้องอวิ๋นว่าไง"   ซีคงหยูจึงหันไปปรึกษากับ 'คู่หมั้น' ของตน

"อาหยู  เจ้าควรได้เปิดหูเปิดตาบ้าง  น้องจ้าวเป็นผู้กว้างขวาง  คบผู้คนหลากหลายและเปี่ยมประสบการณ์โลก   จอมยุทธตู้มีฝีมือสูงล้ำ  ว่ากันว่าในอีกไม่กี่ปีจะเข้ามาแทนตำแหน่งหยกคู่แห่งยุทธจักรของข้ากับน้องจ้าว  ยังไม่นับจอมยุทธเว่ยที่เป็นศิษย์สายตรงของประมุขวังบุปผา  เจ้ารู้จักพวกเขาไปก็ไม่เสียหาย"

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวแนะนำเหมือนกับเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง  และทำให้คนที่ฟังคำเยินยอโดยอ้อมทำหน้าปั้นยาก  เพราะถึงจะเป็นคำชม  แต่ก็เป็นการพูดข้ามหัวเหมือนไม่สนเป้าหมายของการกล่าวถึงในสายตา

ซีคงหยูซึ่งรู้สึกถึงบรรยากาศประหลาด  ก็กระแอมหนึ่งที  และหันไปหาจ้าวเหรินเจี่ยน

"เชิญคุณชายจ้าวนำทาง"

จ้าวเหรินเจี่ยนค้อมกายน้อย ๆ และเดินนำไปตามทางที่นำไปสู่เมืองจิ้งซาน



+++++


ที่ร้านน้ำชาสำนักอำพันโบราณ   ซีคงหยูกระทุ้งสีข้างคนหน้าดุที่เดินเบียดกอดคอกันมาตลอดทาง  และพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

"ปล่อยได้แล้ว  จะแอคติ้งไปไหน"

หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะหึหึในคอ  แล้วปล่อยเหยื่อในมือตามที่ถูกขอ

เสี่ยวเอ้อของร้านรีบเดินเข้ามาคารวะตู้เกี่ยนหลง  และผู้นำศิษย์สำนักอื่น ๆ  จากนั้นรีบจัดเตรียมโต๊ะที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา

"ร้านของคุณชายตู้  ให้คนอื่นเป็นเจ้ามือสงสัยจะไม่ดี"  จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวยิ้ม ๆ

"ฮ่า ๆ  พี่จ้าวก็ยังคิดเล็กคิดน้อยไม่เปลี่ยน  แน่อยู่แล้ว  มื้อนี้น้องชายขอเป็นเจ้าภาพ  ขอเชิญพี่ ๆ ทุกท่าน  โดยเฉพาะพี่ซีคงดื่มกินให้อิ่มหนำสำราญ"

พุดแล้วก็หันไปสั่งเสี่ยวเอ้อ  ให้นำชุดชารสสุคนธ์  และชาจิตวิญญาณอื่น ๆ ที่ทัดเทียมกันออกมาเสริ์ฟ  ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นสั่งด้วยน้ำเสียงอันดังต่อ

"ชาเขียวเย็น  ไข่มุก  หวาน ๆ  ใส่เฉาก๊วย  โรยถั่วทองอบกรอบสองที่"

ซีคงหยูฟังแล้วก็เลิกคิ้ว  นั่นคือเมนูที่เขาทานวันก่อนกับซ่งมู่  หมอนี่รู้ได้ยังไง  แต่ก็คร้านจะไต่ถาม

"ชาถ้วยนี้ขอแสดงความยินดีต่อคุณชายซีคงอีกที  ที่ผ่านด่านทํณฑ์สวรรค์ขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อย"  จ้าวเหรินเจี่ยนมือหนึ่งจับชายเสื้อตนเอง  อีกมือถือถ้วนชาร้อนกรุ่นไปข้างหน้า  แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม   

"ขอบคุณจอมยุทธจ้าวอีกครั้ง"

"คุณชายซีคง  ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านเป็นศิษย์สำนักคนแรกที่บรรลุวรยุทธระดับนี้ในเมืองจิ้งซาน  ถ้าไม่นับจ้าวและคุณชายหลี่"

"อ้อ  ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น  แต่ข้ารู้ตัวดีว่า  ถ้ามองที่อายุมันไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยที่จะบรรลุเขตแดนเมฆาลอยเลื่อน"  ซีคงหยูกล่าวด้วยสีหน้าถ่อมตน

เว่ยหลิงจื่อลอบพยักหน้าเห็นด้วย  เขายังรู้สึกสงสัยไม่หายว่าทำไมจ้าวเหรินเจี่ยนถึงให้ความสำคัญกับศิษย์น้องลุงแห่งสำนักวารีพิสุทธิ์ถึงกับลากทุกคนมาเช่นนี้

"พี่ซีคงอาจจะคิดว่าพวกเราอายุห่างกันมาก  แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตที่อายุยืนยาวแล้ว  มีอันใดแตกต่างระหว่างอายุหนึ่งพันปีและหนึ่งพันกับอีกสิบปี  พรสวรรค์ก็คือพรสวรรค์  บรรลุเขตแดนสำเร็จก็คือความสำเร็จ  มีผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากที่ติดค้างอยู่ในเขตแดนตะวันขึ้นสายตลอดทั้งชีวิต  ดังนั้นแล้วพี่ซีคงอย่าประเมินตนต่ำเลย"   ตู้เกี่ยนหลงพูดอย่างยืดยาวและส่งสายตาจริงใจมาให้

"ขอบคุณจอมยุทธตู้มาก  ข้าเรียกว่าน้องได้หรือไม่"

"ฮ่า ๆ  ข้าถือวิสาสะเรียกท่านว่าพี่แล้ว  ถ้าพี่ซีคงไม่รังเกียจ  เรียกข้าว่าน้องหลงก็ได้"

หลี่โอ๋อวิ๋นกระแอม  แล้วกล่าวลอย ๆ   "ข้าว่าเจ้ามีน้องเยอะไปแล้วนะ"

คุณชายสามหันไปมองคนที่จิบชา  เหมือนกับเมื่อครู่ไม่ได้พูดอะไร 

 "อิจฉาหรอ  น้องอวิ๋น"  พูดไม่พูดเปล่า  มือที่ว่างก็เอื้อมไปขยี้หัวด้วย

ทุกคนในโต๊ะอ้าปากค้าง  ที่ดื่มน้ำชาก็สำลักน้ำชา  ใครจะคิดว่าจะมีวันได้เห็นภาพมือดาบไร้ธุลีโดนคนแตะศีรษะ

"เจ้า!"  หลี่โอ๋อวิ๋นโกรธจนหน้าแดงก่ำ  ปล่อยไอสังหารอย่างรุนแรง  ซีคงหยูเลยรีบดึงมือออกและชูสองมืออย่างยอมแพ้

"ไฮ้  อย่าโกรธสิ  มือข้าเผลอ  ใครใช้ให้เจ้าน่ารัก"

หลี่โอ๋อวิ๋นกลั้นเลือดที่จะกระอักจากคอ  วันนี้มันผิดบทไปหมด  ต้องเป็นเขาไม่ใช่หรอที่จะหยอกคุณชายสามเล่นเหมือนเสือหยอกไก่

ซีคงหยูเหมือนอ่านความคิดเขาได้  ส่งรอยยิ้มกระหยิ่มอย่างรู้ทันไปให้  แล้วหันไปดูดชาเขียวเย็นอย่างไม่ใส่ใจ

จ้าวเหรินเจี่ยนยกนิ้วหัวแม่โป้ให้จากฝั่งตรงข้าม  "เขาถึงว่าวิญญูชนไม่พบกันสามวันต้องประเมินใหม่  เต๋าของคุณชายซีคงรุดหน้าจนเกือบเท่าจ้าวแล้ว"

ซีคงหยูฟังแล้วก็เลิกคิ้วถาม  "เต๋าอะไรเรอะ"

มือกระบี่ไร้ที่ติเดาะปาก  แล้ววิสัชณา

"เต๋าแห่งการรนหาที่ตาย"

"..."



+++++++++



เป็นตู้เกี่ยนหลงที่นำบทสนทนาสู่ร่องรอยที่ถูกต้อง

"น้องชายได้ยินว่า  นักพรตเวิ่นเต๋อทำหน้าที่ผู้พิทักษ์เต๋าให้พี่หยูตอนผ่านด่านทัณฑ์สวรรค์"

"ถูกต้องแล้ว"   ซีคงหยูยืดอกอย่างภูมิใจ  และกล่าวต่อว่า  "ไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์เต๋า  แต่ท่านนักพรตยังเป็นอาจารย์ของข้าอีกด้วย"

คราวนี้   ขนาดเว่ยหลิงจื่อที่ตอนแรกไม่ค่อยสนใจ  ก็เริ่มหูผึ่ง

"นักพรตเวิ่นเต๋อ  ราชบัณฑิตชั้นเก้า?"

"ใช่แล้วจอมยุทธเว่ย  ท่านรู้จักด้วยรึ  ข้านึกว่าอาจารย์ของข้าไม่มีชื่อเสียง  ที่แท้ก็พอมีชื่ออยู่บ้าง"

ทุกคนกระอักเลือดกับการโอ้อวดโดยอ้อมของคุณชายสาม  พอมีชื่ออยู่บ้างเตี่ยเจ้าสิ  ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นจิบชาอย่างไม่แปลกใจ  เพราะรู้ว่าคุณชายสามเป็นพวกบ้านนอกในเรื่องยุทธจักร

"ฮ่า ๆ นักพรตเวิ่นเต๋อ  ยอดฝีมือระดับดาราเงียบงันขั้นปลายเพียงไม่กี่คนของอาณาจักรวายุกระซิบ   คุณชายซีคงนับว่าโชคดียิ่งนักที่ได้กราบกรานเขาเป็นอาจารย์"

"โอ้โห...แต่ดาราเงียบงันก็แค่อีกเขตแดนเดียวจากระดับจันทราลอยเลื่อน  เหตุใดพวกเจ้าถึงยกย่องนักล่ะในเมื่อระดับพลังยุทธก็ต่างกันไม่ไกล"

ซีคงหยูพูดถึงหลี่โอ๋อวิ๋นและจ้าวเหรินเจี่ยน

"คุณชายซีคงอาจจะยังไม่รู้  การข้ามเขตแดนยิ่งขั้นสูงขึ้นไปจะยิ่งยากเข็ญทบเท่าทวี  อุปมาเหมือนเทียบการข้ามเนินเล็ก ๆ  กับการปีนข้ามภูเขามังกรทะยาน  และการเสาะหาบันไดไต่ขึ้นสวรรค์  นั่นก็คืออุปมาของการข้ามเขตแดนสู่เมฆาเคลื่อนคล้อย  จันทราลอยเลื่อน  และดาราเงียบงันตามลำดับ" 

"โอ้โห  ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะเหมือนกันนะเนี่ย"   ซีคงหยูกระทุ้งยอดฝีมือระดับจันทราลอยเลื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จนอีกฝ่ายสำลักน้ำชา

หลี่โอ๋อวิ๋นยกผ้ามาซับเช็ดปาก  จากนั้นล้วงสมุดบันทึกออกมาจากอกเสื้อและเริ่มขีดเขียน

"น้องอวิ๋นเขียนอะไรรึ"

"บัญชีหนังหมา  จดว่าวันนี้เจ้ากวนตีนข้ากี่ครั้ง"

"...."

จ้าวเหรินเจี่ยนยกนิ้วเป็นกำลังใจให้คุณชายสามอีกที



++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: ล้อมวงดื่มชา (วันที่ 24/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 24-09-2017 21:03:01
คุณคีรีมันจาโรพิถีพิถันกับการเขียนดีมากนะครับ ขอชม ชื่อเฉพาะก็ใส่ก้ามปู มีการแอบซ่อนอธิบายเนื้อหาของโลกในส่วนที่บรรยายเข้าใจง่ายๆผ่านสถานการณ์ไว้ด้วย ทำให้นักอ่านเข้าใจเรื่องมากขึ้นครับ มีการซ่อนบ้างสำหรับปมที่พิเศษๆ แต่ก็มีการปลดปมผ่านการบรรยายยากๆ ผมโอเคกับตรงนี้นะครับ ถ้าซ่อนไว้ก็อย่าลืมบรรยายให้คนอ่านปลดได้ด้วย ไม่งั้นบางทีมันจะงงๆน่ะครับ แล้วยิ่งแฟนตาซี ถ้าพล็อตลึก ซ่อนเอาไว้มาก แล้วค่อยๆทยอยเปิดปมหรืออธิบายมามันก็จะทำให้พล็อตมีมิติสนับสนุนแน่น น่าสนใจครับผม

ทีนี้มาขอโรลเพลย์หน่อยครับ (ฮา ขอเป็นตัวละครลับซ่อนอยู่ในทวีปฟ้า รอวันเปิดตัว)

เพ้ย ตาแก่จองหอง กล้าดียังไงมาแอบขายของให้คุณชายซีคงของผู้น้อง ผู้น้องรู้ทันนะ ชอบเขียนหนังสือขายล่ะสิ แต่ดันหาคนมีพรสวรรค์ [เทศะ] ได้น้อย หนังสือขายไม่ออก พอได้โอกาสเลยต้องรีบฉวย วะฮ่าๆ คุณชายซีคง อย่าได้กลัว ระหว่างที่คุณคีรีมันจาโรไปปั่นธีสิส อะแฮ่ม ระหว่างที่คนเขียนหายไปนาน ผู้น้องได้บำเพ็ญพรต อ่านทวนไปสองสามรอบ จึงได้เข้าถึงพุทธิปัญญาระดับดาราเงียบงันชั้นต้น ไม่นานก็คงจะเทียบฝีมือกับตาเฒ่าจองหองนี่ได้ วิชาเซียนสาย [พุทธะ] นี้ผู้น้องศึกษาเรียนรู้จนแตกฉาน ไม่ว่าจะนามพุทธองค์ใดๆผู้น้องก็ย่อมอัญเชิญเปิดฟ้าได้ (ขออวดหน่อย ฮ่าๆๆ)

แม้นคราวที่แล้วผู้น้องจะบอกว่าเชียร์น้องมู่ แต่นั่นก็คือการอุ้มสมเพิ่มบารมีให้กับคุณชายสามในสายตาของผู้น้อง คนที่ผู้น้องอยากจะใกล้ชิดเพื่อนำความรุ่งโรจน์มาให้จริงๆ น่าจะเป็นท่านแม่ทัพซีคงไท่หยางต่างหาก พุทธองค์กล่าวไว้ คนที่เหมาะสมกับย่อมต้องมี ศีล[วิธีการดำเนินชีวิต] ศรัทธา[ความเชื่อในการดำรงชีวิต] จาคะ[แนวทางการแก้ปัญหาในชีวิต] และปัญญา[แนวทางการพิจารณาปัญหา มองไปด้านเดียวกัน] เสมอเท่าเทียมกัน ผู้น้องเล็งเห็นแล้วว่าต้องพิสูจน์คำสบประมาทเลื่อนลอยของคุณชายสาม /ยิ้มมุมปาก จึงขออาสาพิสูจน์กับคุณชายหนึ่งแห่งตระกูลซีคง (หัวเราะ)

ส่วนอันนี้ขออธิบายสหายเต๋าผู้ร่วมเดินทางทั้งหลาย ผู้น้องสังเกตแล้ว การบรรยายตรงที่ยากจะเข้าใจในหลายๆตอนที่ผ่านมา แม้ตอนแรกจะเลื่อนผ่าน แต่แท้จริงแล้วเป็นจุดสำคัญของเรื่อง ทั้งการบรรยายที่สื่อถึงความเป็นไปของฟ้าดินในโลกแห่งนี้ จุดเริ่มต้นของบรรพกษัตริย์ที่สรรค์สร้างโลกใบนี้จากการหลุดออกจากถ้ำที่เทพเจ้าขังไว้ มายังพลังบรรพกาลอันเป็นปริศนา [หวู่จี่] และวัฏจักรของพลังฟ้าดิน [ไท่จี่] ทั้งหมดย่อมมีประเด็น ยังมีมอนสเตอร์ในตำนานนาม [มังกรเทพยดา] อยู่ด้วย ถ้าหากใช้วิทยาศาสตร์ มันคือวัฏจักรธรรมชาติ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นแฟนตาซี มันอาจเป็นมอนสเตอร์ในตำนานก็ได้ เรายังไม่ชัวร์ แต่ก็ควรรู้เอาไว้ก่อนเพราะคนเขียนยังไม่เฉลย (ฮา) แต่ผู้น้องคาดเดาว่าไม่ว่าอย่างไร ทุกอย่างย่อมอยู่ใต้อนิจจัง [เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสุดท้ายย่อมมีวันดับไป] หากสำเร็จเต๋าแห่งพุทธะชั้นต้นก็จะมองเห็นไตรลักษณ์ที่เหลืออีกสองข้อ ซึ่งเป็นความจริงเหนือความจริงทั้งมวล

ส่วนวิชาเซียน ก็ถือว่าคุณคีรีมันจาโรทำออกมาได้ดีมากครับ มีการค่อยๆอธิบายที่ปลดล็อกปมตอนต้นออกมาได้ดี ไม่ลึกล้ำจนคนอ่านแงะปมไม่ออก ผู้น้องเห็นแล้วว่าวิชาเซียนของคุณชายสาม ที่เห็นว่าหลบผู้กล้าทวนแดงได้ กับหลบทางดาบหลี่โอ๋อวิ๋นนั้น จริงๆนั่นคือไม่ได้หลบ แค่ร่างของเขา [เปลี่ยนที่ยืน] ระยะสั้นๆได้ในพริบตา เหมือนวิชาก้าวหมื่นลี้ในนิยายกำลังภายใน ส่วนตัวแล้ว ผู้น้องยังคงเห็นดังเดิมนะว่าคุณชายสามไม่เหมาะกับสายบุก ควรจะเป็นสายสนับสนุน แต่เดี๋ยวคงมีตัวละครเข้ามา involve ในเรื่องต่อไป (อย่าลืมว่าสำนักอาคันตุกะแดนไกล กับวิชาเซียนสาย [หยิน] หรือ [หยาง] ก็ยังไม่มีอธิบาย แถมน่าจะมีตัวละครใหม่ๆที่เชี่ยวชาญวิชาธาตุทั้ง 5 ด้วย) ส่วนดาบไร้ธุลี ก็ตีความหมายได้ ฟ้าไร้เมตตา แปลว่าต้องห้ามสงสาร ใจต้องเด็ดขาดไร้ซึ่งสิ่งรบกวน ดินไร้รื่นรมย์ แปลว่าอย่าใช้อารมณ์เข้าช่วย เมื่อจิตนิ่งและใจเย็นชาต่อทุกสรรพสิ่ง จะมองเห็นการไหลของปราณ ดาบไร้คันฉ่อง แปลว่าเงาสะท้อนของดาบนั้นสร้างขึ้นได้ภายในจิตของตน วาดเส้นทางดาบขึ้นจากจิตเพื่อสะท้อนการวาดฟันของดาบนั้น เมื่อทำให้เกิดได้ทั้งหมด จึงไร้ธุลีละออง สร้างเป็นปราณดาบได้โดยไม่ต้องชักออกจากฝัก ทำนองเดียวกับ ดาบแห่งใจ ของหัวขโมยแห่งบารามอส

ส่วนวิชาเซียนโครโนซอรัสกลืนทะเลตอนใช้ดื่มเหล้า น่าจะเป็นการเร่งเวลาที่ใช้ดื่ม แต่ข้อจำกัดคือมันไม่ได้เร่งเวลาฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งวิชาสุดยอดของสาย [เวลา] น่าจะเป็นการใช้เกี่ยวกับร่างกายมากกว่า ดึงเวลาของเซลล์ร่างกาย ไม่ก็เร่งการฟื้นฟู แต่ก็คงมีข้อเสียเพราะคงกินพลังปราณมาก เพราะแม้ [เวลา] ก็ย่อมอยู่ใต้กฎอนิจจัง ไม่มีอะไรที่จะอยู่รั้งยืนยงได้ในทุกบรรพกาล แค่ว่าจะดับไปตอนไหนก็เท่านั้น แม้นได้รับอมตะภาพ ก็ย่อมไม่มีวันเข้าถึงธรรมชาติแท้จริง การวนว่ายตายเกิดในวัฏจักรที่สร้างทุกข์ หรืออยู่ยั้งยืนยงในกามโลก ย่อมไม่ถือเป็นอมตะภาพที่แท้จริง แต่เรื่องสาย [เวลา] นี่คงเป็นสายวิชาเซียนของไป่หลินหลิง ถ้าจะรู้วิชาเอาชนะตู้เกี่ยนหลง คงต้องไปถามจากผู้อาวุโสสำนักวารีพิสุทธิ์คนนี้นี่แหละ

เรื่องการพัฒนาของปราณก็ทำออกมาได้ดีครับ การขยับเคลื่อนของพลังปราณ จากไม่มีพลัง เป็นตะวันขึ้นสาย เคล็ดลับการไปสู่ชั้นสูงๆของตะวันขึ้นสายคือหลบแสงตะวัน หน่วงพลังปราณไม่ให้ไหลตามธรรมชาติพระอาทิตย์ เพื่อให้พลังพรตขึ้นปรู๊ดๆ น่ากลัวว่าเคล็ดลับนี้ เจ้ากรมข่าวลือแห่งตระกูลซีคงก็คงไปได้ยินมา จึงนำมาใช้กับคุณชายสาม นับว่าการได้ยินข่าวลือของหลิวเกามีประโยชน์ไม่น้อย /ตบบ่าหลิวเกาสามที ส่วนการพัฒนาปราณเข้าสู่ขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อยก็บรรยายออกมาได้ดี เมื่อเกิดพุทธิปัญญามองเห็นแก่นแท้ของวิชาเซียนสายที่ตนเองกำลังฝึกอยู่ ก็จะเข้าสู่แนวเมฆาเคลื่อนคล้อย แต่ที่น่าสนใจคือ เสี่ยวหมีเป็นศูนย์กลางของการโคจรปราณฟ้าและดิน โลกและสวรรค์ ตรงนี้เกิดขึ้นได้ยังไง หรือเป็นเพราะสายสัมพันธ์ระหว่างสัตว์วิเศษกับเจ้าของที่ทำให้รับรู้และพัฒนาไปพร้อมๆกัน? ยังไงก็ตาม แก่นแท้ของวิชา [เทศะ] ก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่ถ้ามองตามความจริงของจักรวาลตามแนวพุทธ เพราะถึงแม้เวลาจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้คนตกหลุมพราง แต่ต่อให้หลุดจากเวลาได้ แต่คิดว่าความงามคือนิรันดรภาพของจักรวาล (ซึ่งสื่อถึงสถานที่นับสามพัน) นั่นก็ยังถือเป็นความลุ่มหลงต่อสรรพสิ่งอยู่ดี เพราะทุกสรรพสิ่งไม่จีรังและสร้างทุกข์ตามกฎไตรลักษณ์ ความเข้าใจและเบื่อหน่ายในกามโลก เข้าถึงสัจธรรมแห่งความดีงามของจิต จึงเป็นสัจธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (แต่นี่เป็นสายหินยาน ถ้าเป็นมหายาน จะคล้ายๆกัน แต่มีเทพเจ้าภาคดีมาคอยปกป้องสัจธรรมและมีภาคอวตารน่ากลัวๆมากำจัดมาร)

ปล. อากาศ กับ จลน์ ที่ถูกสะกดแบบนี้นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณคีรีมันจาโรจงใจสะกดผิดหรือเปล่า แต่ถ้าจะแก้ก็ตามนี้ครับ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: ล้อมวงดื่มชา (วันที่ 24/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-09-2017 22:38:04
นี่ฐานกรุณานะ ซีคง น้องอวิ๋นถึงได้ใช้สมุดหนังหมา
ถ้ากวนมากเข้าอาจจะได้เห็น สมุดหนังหมีสีดำ อึ๋ย!

เฮเว่นอะโบฟ! รายการขายหนังสือคืออัลไล? ทั่นอาจารย์อดอยากปากแห้งถึงเพียงนั้น? อนาถแท้ทรู

ฉันชักสงสัยว่าพระเอกคือใคร ดูไปดูมาน้องตู้ท่าทางเด่นเด้งและได้พื้นที่ในใจคุณคิริมันจาโรมากกว่าพระ-นายคู่ป่วงเสียอีก

ปล. ขอบคุณคุณ Grey Twilight ทุกเมนท์ของศิษย์พี่เป็นดั่งหนังสือนอกเวลาที่ช่วยให้ข้าน้อยเข้าถึงเต๋าแห่งวิชาหลักได้อย่างดื่มด่ำ

คารวะสามจอก
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: ล้อมวงดื่มชา (วันที่ 24/9)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 25-09-2017 03:52:28
โถ่น้องมู่ผู้ปิดทอง ไปลอกทองมาให้ลุงหยูใช้ดีกว่านะหนู

เริ่มกลัวเต๋าแห่งการรณหาที่ตายของลุงหยูที่ช่างรุณแรงมากๆ

กลัวจะกลายเป็นบัญชีหนังหมีเข้าสักวันจริงๆ :serius2:

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: ล้อมวงดื่มชา (วันที่ 24/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-09-2017 07:37:21
น้องโอ๋อวิ๋น ทำไมถือตัวนักล่ะกับพี่หยู
ทีตัวเองลากหยูไปนั่นมานี่ได้ แถมตังเองยังมองหยูเป็นเหยื่ออิีก
แค่ถูกลูบหัวแบบเอ็นดู คิดไรมาก
นี่แสดงให้จ้าว ตู้ เห็นความใกล้ชิดที่ไม่มีใครได้จากหยูนะ นอกจากเสี่ยวหม่ อ๊ออออออออออออออ

ชอบลำดับขั้นความก้าวหน้าของการฝึกนะ ไรท์เข้าใจตั้งชื่อ
ตะวันขึ้นสาย เมฆาเคลื่อนคล้อย  จันทราลอยเลื่อน ดาราเงียบงัน ดูเก๋า เอ๊ย....เต๋ามากๆ

อาจารย์เวิ่นเว้อของหยูโด่งดังนะ เพราะเขียนหนังสือปะ
เล่มไหนๆก็อาจารย์เวิ่นเว้อเขียนไปซะหมด หยูน่ะไม่รู้เอง
ได้ค่าขายรวยเลยสิ  ไม่รู้ไปจดลิขสิทธิ์หรือยัง
ปากเดียวท้องเดียวเป็นนักพรตด้วย เก็บเงินเพื่อใครกันนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: งานอดิเรกของคุณชายเว่ย (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-09-2017 01:48:54
Grey Twilight:  ต้องบอกว่า  ขอบคุณมาก  ๆสำหรับคอมเม้นท์ที่ยืดยาวและพิถีพิถัน  เหมือนเป็นกระจกส่องสะท้อนที่ดีมาก ๆ ว่าผมเขียนตรงไหนยังไม่ชัดเจน  ยังไม่เคลียร์   ผมก็จะอ่านและเอาไปทบทวนว่าถ้ามีโอกาสเขียนถึงจุดนั้นอีกครั้งนึงก็จะเอาคอมเม้นท์ไปแก้ไขวิธีเล่าให้ชัดเจนขึ้น

อีกอย่าง  เป็นกำลังใจที่ดีมาก ๆ ครับ  ผมก็ปลื้มใจมีแฮง  ที่เห็นว่า hint เล็ก ๆ น้อย ๆ ถูกเก็บมาทำความเข้าใจ  แปลว่าคุณเกรย์อ่านอย่างใส่ใจมากจริง ๆ  ทำให้ผมอยากเขียนและทำพล็อตให้ดีขึ้นและสมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามความคาดหวังของผู้อ่าน

มังกรเทพยดา (เฉินหลง) เป็นสำนวนของจีนน่ะครับ  แต่จินตนาการเป็นมอนสเตอร์ก็น่าสนใจ   นึกถึง divine dragon ในเกมดราก้อนเควสท์เลยแฮะ
ธาตุเซียนตอนนี้มี
ดิน, น้ำ, ไม้, ไฟ, ทอง, เวลา, เทศะ, หยางวิกฤต (extreme yang), หยินวิสุทธิ์ (pure yin)
อากาส (อา-กา-สะ)  ผมใช้ความหมายตามบาลี  คือ "ที่ว่าง"  หรือ space  ไม่ใช่ air/gas  เลยเลือกสะกดตามของเดิมครับ   ส่วน จลล์  สะกดผิดจริง ๆ  แหะแหะ

alternative: ตาย ๆ  ทำไมไปขู่เสี่ยวหมีอย่างงั้นครับ  ดูสิ  มันกลัวตั่วสั่นจนหายไปทั้งตอนเลย  ไม่รู้จะกลับมาเข้าฉากตอนไหน
ฮิ ๆๆ  บอกแล้วว่าน้องตู้  ผมปักป้ายจองเรียบร้อย 

NuTonKaw:  ฮ่า ๆ ไม่รุนแรงเท่าต้นตำรับอย่างคุณชายจ้าวหรอกครับ
เริ่มสงสารเสี่ยวหมี  พูดให้หวาดเสียวกันหลายเสียงแระ

♥►MAGNOLIA◄♥:  น้องอวิ๋นแก้แค้นแล้วนะฮะ  หายกันล่ะ
อ่านเรื่องขั้นวิชา  จริง ๆ ผมเขียนสลับกันบ่อยมาก  จันทราลอยเลื่อน  จันทราเลื่อนลอย  คนละความหมายเลย   ที่ถูกคือจันทราเลื่อนลอย  แต่ตอนนี้ขี้เกียจแก้  วาฮาๆๆๆๆ  (เหมือนไมตรีโลหิตก็สลับเป็นโลหิตไมตรีบางบท  ไม่มีพรู๊ฟก็เงี้ย)
แหมนั่นนักพรตดังอยู่แล้ว   จะว่าไป  เวิ่นแปลว่าเอ่ยปากถาม  แหมเข้ากะคำว่าเวิ่นเว้อจริง ๆ
ปล.  ท่านอาจารย์อาจจะมีเด็ก ๆ ที่ต้องเปย์ซ่อนไว้เยอะแยะไปหมดก็ได้นะครับ  #เด๋วนะ


++++++




หลี่โอ๋อวิ๋นจดบันทึกกรรมเสร็จก็หันไปคุยกับจ้าวเหรินเจี่ยน

“สรุปว่าน้องจ้าวชวนคู่หมั้นข้ามาดื่มชาเพื่อคุยเรื่องไร้สาระกันอย่างงั้นรึ  หรือว่าอยากจะชวนวารีพิสุทธิ์เข้าร่วมพันธมิตรอีกราย”

เมื่อโดนโยนบอมบ์  จ้าวเหรินเจี่ยนก็ยิ้มละไม  แล้วกล่าวว่า

“คุณชายหลี่ระแวงเกินไปแล้ว  จ้าวเพียงชอบทำความรู้จักกับสหายเต๋าที่มีแววก้าวหน้า  เผื่อจะได้สร้างเครือข่ายธุรกิจร่วมกัน”

ซีคงหยูซึ่งกำลังชะโงกหน้าแอบดูว่าหลี่โอ๋อวิ๋นเขียนนินทาว่าร้ายอะไรเขาบ้างก็หันมาหาจ้าวเหรินเจี่ยนและอุทานอย่างนึกขึ้นได้

“อ้อ  พูดถึงธุรกิจ  สหายเต๋าทั้งหลาย  พวกท่านสนใจซื้อหนังสือหรือไม่”

“หนังสืออะไรหรือพี่หยู”  ตู้เกี่ยนหลงถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น

“ฮี่ ๆ  เป็นหนังสือแนะนำเต๋าที่ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศที่สุดของที่สุด  เต๋าแห่งเทศะ  เขียนโดยนักพรตเวิ่นเต๋อ  อาจารย์ข้าเอง”

“ฮ่า ๆๆๆ”  จ้าวเหรินเจี่ยนหัวเราะ  ขณะที่ตู้เกี่ยนหลงทำสีหน้าปั้นยาก  “เต๋าแห่งการหาที่ตายของคุณชายซีคงนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ  ขายหนังสือของ [เทศะ] ให้กับพวก [เวลา]”

“ถ้าพี่หยูแนะนำ  ข้าจะลองใจกว้างอ่านสักบรรทัดก็ได้”   ตู้เกี่ยนหลงตอบอย่างรักษามารยาทที่สุด

คุณชายสามถอนหายใจอย่างเสียดาย  นึกว่าจะได้ส่วนแบ่งค่านายหน้าซะแล้ว  กลายเป็นแทงตับหนุ่มน้อยหน้าคมที่ดูมีศักยภาพจะเป็นลูกค้าที่ดีไปซะได้

“อ้า...ถ้าอย่างงั้น  ข้าก็มีหนังสือมือสอง  รวมเรื่องสั้นตำนานพิสดารของยุทธจักร  ข้าสะสมไว้ตั้งแต่เล่ม 1 จนถึงเล่มปัจจุบันเลยนะ”

คราวนี้เว่ยหลิงจื่อที่นั่งหน้าบูดมานานวาถ้วยชาในมือ  และเงยขึ้นมองหน้าผู้พูด  “นี่เจ้าอ่านเรื่องสั้นตำนานพิสดารด้วยรึ”

“โอ้  อย่าบอกนะว่า  จอมยุทธเว่ยก็ติดตามเหมือนกัน”

“หึ  ข้าไม่ใช่แค่ติดตามธรรมดา”  เว่ยหลิงจื่อพูดด้วยน้ำเสียงกระหยิ่ม  “ข้ายังเป็นนักเขียนขาประจำในรวมเรื่องสั้นฯด้วย”

ทุกคนทำตาโต  และมองคุณชายแห่งวังหมื่นบุปฝาอย่างไม่เชื่อสายตา  เมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศ  เว่ยหลิงจื่อก็แค่นเสียง

“อะไร  พวกเจ้าคิดว่าคนหยาบกร้านอย่างข้าจะไม่เคยฝึกศาสตร์ทั้งสี่อย่างงั้นรึ”

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณชายเว่ยก็รู้ตัวว่าเป็นคนหยาบกร้าน”   รนหาที่ตายเช่นนี้จะเป็นใครไปเสียอีกนอกจากจ้าวเหรินเจี่ยน

“เจ้าอยากเจออะไรที่หยาบกร้านกว่านั้นมั้ย  อย่างเช่นหนังตาปลาที่เท้าข้า”   เว่ยหลิงจื่อทำท่าจะถอดรองเท้า

ซีคงหยูประสานมือคารวะ  “เลื่อมใส ๆ  มิทราบว่าจอมยุทธเว่ยใช้นามปากกาอะไร”

เว่ยหลิงจื่อฟังคำถามแล้วก็อึกอัก  หน้าค่อย ๆ ซับสีแดงเรื่อ  ไม่ใช่ด้วยความโกรธ  แต่เป็นอารมณ์อื่น  “เออะ..ข้าไม่บอกได้มั้ย”

“ฮ่า ๆ พี่เว่ย  ถ้าท่านไม่บอก  พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านพูดจริง”  ตู้เกี่ยนหลงใช้ศอกกระทุ้งคนข้าง ๆ ที่นั่งอมพะนำ

“เพ้ย  ข้าพูดจริง  ทำไมข้าต้องพิสูจน์ด้วย  เปลี่ยนเรื่อง ๆ”

จ้าวเหรินเจี่ยนหรี่ตา  “จ้าวว่าเรื่องนี้ต้องมีความนัยอะไรแน่ ๆ  ดูท่าคุณชายเว่ยจะอับอายกับนามปากกาจนมิกล้าเสนอหน้าพบเจอผู้คน”

เมื่อโดนคู่แค้นอันดับหนึ่งยั่วโทสะ  เว่ยหลิงจื่อจึงแค่นเสียง  “เฮอะ  ข้าน่ะรึจะอาย  เดินไม่เปลี่ยนชื่อ  นั่งไม่เปลี่ยนแส้  นามปากกาของข้าก็คือ  นกน้อยในดงเหมย  จงรับรู้ไว้ซะ”

ซีคงหยูสำลักน้ำชา  แล้วเบิ่งตามองคุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา   “นกน้อยในดงเหมย  นั่นมัน!”

“เฮ้  พี่หยูรู้อะไรอย่างงั้นรึ”

คราวนี้ซีคงหยูก็หน้าแดงและอึกอักบ้าง  ขณะที่เว่ยหลิงจื่อแตะนิ้วที่ริมฝีปาก  และส่งเสียงจุ๊ ๆ มาจากฝั่งตรงข้าม

“มา  ข้าจะบอกให้”  หลี่โอ๋อวิ๋นกอดอกพูดด้วยสีหน้าเรียบ  “มันเป็นเรื่องสั้นแนวตัดชายเสื้อ”

“เพ้ย  เจ้ารู้ได้ยังไง  หรือ..หรือว่า  เจ้าก็อ่านแนวนี้”   เว่ยหลิงจื่อชี้นิ้วไปยังยอดฝีมือแห่งประตูทรราชด้วยนิ้วสั่นระริก

ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นทำแค่ยักไหล่  “ข้าอ่านแนวนั้นแล้วมันจะแปลกตรงไหน  ใช่มั้ย..อาหยู”   พูดแล้วก็หันไปพ่นลมใส่ใบหูของคุณชายสามที่นั่งข้าง ๆ  ซึ่งสะดุ้งโหยงแทบตกเก้าอี้

ทุกคนคิดตามและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  หลี่โอ๋อวิ๋นเปิดเผยมาตั้งแต่ไปขอหมั้นกับซีคงหยู  ทว่าที่น่าแปลกใจคือเว่ยหลิงจื่อต่างหาก

“ไม่นึกว่าพี่เว่ยจะเชี่ยวชาญอะไรแบบนี้”  ตู้เกี่ยนหลงแซวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“เพ้ย  ตอนแรกข้าเขียนให้น้องสาวอ่าน  เขียนไปเขียนมาได้เงิน  ข้าก็ทำมาเรื่อย ๆ”

“เฮ้  พี่เว่ยไม่ต้องกลบเกลื่อนก็ได้  ต่อให้พี่เว่ยเป็นแบบไหน  น้องชายก็รับได้ทั้งนั้น”  ตู้เกี่ยนหลงตบบ่าให้กำลังใจคนที่ไม่ต้องการกำลังใจ

ในเมื่อหลี่โอ๋อวิ๋นเปิดโปงเรียบร้อยแล้ว   ซีคงหยูจึงออกความเห็นในฐานะแฟนพันธ์แท้ของเรื่องสั้นตำนานพิสดารที่อ่านทุกเรื่องและทุกเล่มโดยไม่สนเจนรี่

“จะว่าไป  ตัวละครที่คุณชายเว่ยชอบเขียนนี่คุ้น ๆ  เป็นยอดนักดาบ  นิสัยเย็นชาหน้าตา  ชอบยืนกอดอก  เต๊ะท่า  ทำหน้าดุ  และขี้โมโหนิด ๆ  เซ็กซี่หน่อย ๆ  เอ๊ะนี่มัน...”   เหลือบตาไปมองคนที่แกล้งเป่าหูเขาเมื่อกี้

หลี่โอ๋อวิ๋นฟังแล้วก็สะดุ้งจนแขนที่กอดอกไว้หลุด

“นี่เจ้าเอาข้าไปเขียนงั้นรึ”

“เฮ่อ ๆๆ”  เว่ยหลิงจื่อหัวเราะกลบเกลื่อน  “ทำไงได้  พระเอกแนวนี้มันฮิต  ข้าไม่ได้ชอบเจ้านะ  อย่าเข้าใจผิด”   

หลี่โอ๋อวิ๋นแบมือแล้วยื่นไปหาเว่ยหลิงจื่อพลางกระดิกนิ้ว 

“อะไร”

“ส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์  เอามา”

เว่ยหลิงจื่อฟังแล้วอยากคว่ำโต๊ะ  “เพ้ย  นี่เจ้าติดโรคขี้ตืดจากเด็กแซ่จ้าวมาหรือไง”

ผู้ถูกพาดพุงรีบแก้ต่างทันที  “คุณชายเว่ยเข้าใจผิดแล้ว  ความขี้ตืดไม่ใช่โรคร้าย  แต่เป็นเต๋าอันสูงส่ง  เงินทุกเบี้ยทุกตำลึงมีค่าต้องรักษาให้ดี  จะว่าไปดอกเบี้ยที่คุณชายเว่ยยืมไปตอนงานประมูลยังไม่ได้จ่ายเลย”

เว่ยหลิงจื่อทำหูทวนลม

“หรือจ้าวควรจะเอาอย่างคุณชายหลี่  รับคุณชายเว่ยแต่งเข้าสกุลแทนดอกเบี้ยดี?”

“ฟัค!”



+++++



งานเลี้ยงในไต้หล้าสุดท้ายก็ต้องเลิกรา   หลี่โอ๋อวิ๋นถอนหายใจอย่างเสียดายที่วางระเบิดวงสนทนาไม่สำเร็จ  บางคนก็มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นโลกาวินาศ  และพ่อเจ้าประคุณนักดาบหน้าคมคิ้วเข้มก็คือหนึ่งในนั้น  ทั้งหมดทั้งมวลต้องโทษซีคงหยูที่หาเรื่องคุยเก่งเกินไป

เมื่อหนี้แค้นเก่าทบกับหนี้แค้นใหม่   หลี่โอ๋อวิ๋นก็หิ้วปีกเจ้าตัวดีไปในตรอกทันทีหลังจากที่แยกย้ายกับผู้นำศิษย์สำนักอื่น

“น้องอวิ๋น  เจ้าจะทำอะไรข้า”  ซีคงหยูกอดตัวเองไว้แน่นมองด้วยสายตาระแวง

“อาหยู  เคยได้ยินหรือไม่ว่า  ถ้าไม่รนหาที่ตาย  เจ้าก็ไม่ตาย  สัจธรรมแค่นี้  ทำไมเจ้าไม่รู้”

หลี่โอ๋อวิ๋นพลิกมือตัวเองไปมาช้า ๆ มองเล็บและมองนิ้วเหมือนกับกำลังชื่นชมอาวุธ  จากนั้นก็ยกมือขึ้นตาก็จ้องเหมือนแมวที่เตรียมลงมือข่วน

เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของอีกฝ่าย  ซีคงหยูก็เตรียมถอยกรูด   ทว่าร่างของเขาถูกล็อคอยู่กับที่ด้วยวิชาเซียนบางอย่างที่อีกฝ่ายลอบใช้  “น้องอวิ๋น  เราคุยกันดี ๆ ก็ได้นะ  มะ..ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย”

“หุบปาก   เตรียมรับมือ!”

หลี่โอ๋อวิ๋นยื่นมือออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า  และ...ขยี้หัวคุณชายสามแรง ๆ สี่ห้าที

“...”

อึ้งไปพัก  ซีคงหยูก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก  และปล่อยให้อีกฝ่ายจับตรงนั้นลูบคลำตรงนี้บนหัวไปมาอย่างไม่ดิ้นรนขัดขืน  ซึ่งคนทำก็ดูจะเพลินกับความนุ่มของเส้นผมละเอียดเล็กทว่ามีสีดำด้านของซีคงหยู

“แค่นี้หรอ”

หลี่โอ๋อวิ๋นทำเสียงเอ็นเบา ๆ ในคอ  แล้วดึงมือกลับมา  ที่มือเขาติดสีดำด้านมาเล็กน้อย  ซึ่งหลี่โอ๋อวิ๋นไม่มีสีหน้าประหลาดใจ  เขากำมือแล้วก็ซ่อนไว้ข้างตัว

เมื่อวิชาเซียนที่ล็อคร่างกายของเขาคลายออก  ซีคงหยูก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  แล้วเอามือปัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบเหมือนเดิม  จากนั้นกล่าวกับคนหน้าเข้มที่ยืนตรงหน้า

“น้องอวิ๋น  ในเมื่อเสร็จธุระแล้ว  เราแยกย้ายกันดีมั้ย”

หลี่โอ๋อวิ๋นใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะโพล่งถาม  “อาหยู  เจ้าคิดว่าพวกเขาต้องการอะไร”

“ต้องการให้น้องอวิ๋นระแวงข้าไง”

นักดาบหนุ่มส่ายหน้า  “เป็นไปไม่ได้  จ้าวเหรินเจี่ยนก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าไม่ธรรมดา”

“เพ้ย  ไม่ธรรมดาอะไร  เรื่องแต่งกับเจ้าข้าปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่หรอ”

“อาหยู   ไม่อยากแต่งกับข้าจริงหรอ”

เมื่อถูกถามด้วยสายตาจริงจัง  คุณชายสามก็ได้แต่หลบสายตาและพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม 

“น้องอวิ๋น  เจ้าอย่าฝืนใจข้าเลย  ข้าไม่ได้ชอบผู้ชาย”

หลี่โอ๋อวิ๋นกระตุกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  “ถ้าวันไหน  เจ้านึกอยากแต่งกับผู้ชายเมื่อไหร่   นึกถึงข้าด้วยก็แล้วกัน”

ทันใดนั้น  แผ่นหยกสื่อสารที่หลี่โอ๋อวิ๋นเก็บไว้ในอกเสื้อก็ร้องเตือน   เขาล้วงมันออกมาดู  และพบว่าคำถามที่เขาอยากรู้  ตอนนี้มีคำตอบแล้ว

“ทำไมรึ?”   ซีคงหยูเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสายตาจริงจังของหลี่โอ๋อวิ๋นเปลี่ยนเป็นความเย็นชาและรอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวลก็แทนที่ด้วยรอยยิ้มหยันติดจะเลือดเย็น

“ไมตรีโลหิตลอบตีเหมืองที่เราดักเฝ้าไว้สำเร็จไปหนึ่งเหมือง”

“!!”

“จ้าวเหรินเจี่ยนฉวยโอกาสตอนที่ถ่วงเวลาข้าไว้ที่ร้านน้ำชา  จัดการทุ่มเทกำลังเข้าโจมตีอสูรคุมเหมืองโดยไม่ทันที่พันธมิตรของเราจะตั้งตัว”

“เอ้อ..ข้าขอโทษด้วย  ข้าไม่นึกว่าพวกเขาจะฉวยโอกาสแบบนี้”

“การศึกไม่หน่ายอุบาย  นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้านะอาหยู  อีกอย่าง  โอหังจนมีจุดอ่อน  แบบนี้สิถึงจะเป็นหลี่โอ๋อวิ๋น”

เมื่อซีคงหยูฟังดังนั้นก็โพล่งถาม

“หลี่โอ๋อวิ๋นคนไหนล่ะ”

“คนในเรื่องสั้นของนกน้อยในดงเหมย”    ยอดนักดาบพูดกลั้วหัวเราะ


++++++++


ตัดแขนเสื้อ (cut sleeve)  = แนว boyslove  อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: งานอดิเรกของคุณชายเว่ย (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-09-2017 07:00:10
โอ๋อวิ๋น ถูกเว่ยหลิงจื่อ เอาไปเขียนในเรื่องตัดเแขนเสื้อด้วย  :laugh:
มีขอค่าลิขสิทธิ์ซะด้วย

โอ๋อวิ๋น ทำเหมือนไม่รู้ทันพรรคที่คิดลอบโจมตีเหมืองของตัวเอง

เหมือนโอ๋อวิ๋น ทำโกรธจัดจะแก้แค้นหยู ถึงชีวิต
แต่พอลงมือ ก็แค่ลูบหัวขยี้ผมหยู แบบเอ็นดูเท่านั้น / เอ่อ.....ย้ำ เอ็นดูนะ ไม่ใช่ดูเอ็น

แล้วผงสีดำที่ติดเล็บโอ๋อวิ๋นตอนลูบหัวขยี้ผมหยู มันคืออะไร  :ling1: :ling1: :ling1:
คงไม่ใช่ขี้เล็บ ขี้ดิน ผงฝุ่นจากในเมืองตอนต่อสู้กับอสูร
หรือเป็นผลที่เกิดจากการลงทัณฑ์สวรรค์ของอาจารย์เว่อเต๋อ
เอ๊ะ......หรือเป็นผงจากเม็ดยาเซียนธาตุดิน ทำให้ฟื้นตัวที่อาจารย์โรยใส่หยู หลังถูกสายฟ้าช็อต
นี่หยู ไม่ได้อาบน้ำสระผมเลยรึ ที่ผ่านมา จะเต๋าเกินไปมั้ย เต๋าสกปรกสินะ  :mew5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: งานอดิเรกของคุณชายเว่ย (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-09-2017 14:57:13
 ♥►MAGNOLIA◄♥: จริง ๆ แล้ว  ที่เอาไปเขียนเพราะเว่ยเหลียนยู่รีเควสท์ 
ขอพระเอกคนนี้ชั้นจะจิ้นเค้ากะชายอื่น  ครุคริ ๆ 555+
ตอนก่อนคือเอ็นดู  แต่ตอนล่าสุดนี้  ไม่รู้สินะ >_<
เห็นสหายเต๋าแมกโนเลียทักเรื่องอาบน้ำ  เลยเขียนให้อาบน้ำเลย 
กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงนายเอกพระเอกของเรื่องหมด



++++


ที่ร้านน้ำชา  โซนรับรองสัตว์วิเศษ

จอมยุทธหมีแดงพาหมีของเขามานั่งรอพร้อมกับสัตว์วิเศษชนิดอื่น ๆ  ไม่ว่าหมีเขียว  หมีฟ้า  หมูป่าม่วง  แมวขาว  และหมีดำ

ใช่  หมีดำ

จอมยุทธหมีแดงขยี้ตาดูอีกทีให้ชัด ๆ  แล้วอุทาน

“เสี่ยวหมี!”

“อี๊ยออออออ”   หมีแดงที่เดินตามมารีบถลันเข้าไปใกล้  แต่เสี่ยวหมีเอาอุ้งเท้าหน้ายันหน้าผากเสี่ยวหงเอาไว้

เมื่อกันการจู่โจมได้  มันก็ส่ายหน้า  พ่นลมพรืดจากจมูก  แล้วเดินอุ้ยอ้ายออกไปอย่างไว้ตัว

 “เสี่ยวหง  เจ้าอย่าเพิ่งถอดใจ  โบราณว่ารักแท้แพ้ตามตื๊อ  พวกเราลองตามไปดูอีกที”

“อี๊ยอออออ”

เสี่ยวหมีเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่โซนคนนั่งในร้านน้ำชา  มันมองดูอยู่พักหนึ่งและไม่เห็นเงาร่างของซีคงหยู   เลยทำจมูกฟุดฟิด  สูดดมหากลิ่นว่าเจ้าของหายไปไหน

“เสี่ยวหมี  เจ้าโดนทิ้งแล้วล่ะ   มาอยู่กับเสี่ยวหงของข้าดีกว่า  รับรองว่าเสี่ยวหงของข้าจะไม่ฟันแล้วทิ้ง”

“อ๊อออออออ”

เสี่ยวหมีร้องแล้วก็เดินหนี  ทว่าหมีแดงและหนึ่งจอมยุทธยังเดินตาม

บนหลังคาบ้านเรือนตรงข้ามร้านน้ำชา   เจ้าของผมทรงดอกกระหล่ำนอนพังพาบอยู่พร้อมกับกล้องส่องทางไกล  ขณะที่ซ่งจินนั่งยอง ๆ  ปากคาบก้านหญ้าอยู่ใกล้ ๆ

“พี่จิน  พี่ใหญ่ลักพาตัวพี่หยูไปแล้ว”

“อ้อ  แล้วเจ้าไม่ตามไปล่ะ?”

“เฮ้อ  ถ้าตามไปพี่ใหญ่ต้องรู้ตัวแน่ ๆ”

ซ่งจินนิ่งไปสักพัก  ตาปลาตายเหม่อมองไปข้างหน้า  แล้วถามโดยไม่หันไปมองคู่สนทนา  “อามู่ เจ้าจริงจังหรอ”

“ข้าไม่รู้ว่าแค่ไหนเรียกว่าจริงจัง  แต่มันเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำ”

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นศัตรูกับพี่ใหญ่?”

“แม้ว่าข้าจะต้องเป็นศัตรูกับพี่ใหญ่!”

“บังอาจ!”

“หวา  ดุข้าทำไม”

“ไม่มีอะไร  ข้าอยากลองตวาดเจ้าเล่น ๆ”

“…”

นิ่งไปพัก  ซ่งมู่ก็พูดต่อ

“เอาจริง ๆ นะพี่  เราก็เป็นแค่ศิษย์ใหม่  ถ้าพี่ใหญ่เป็นคนใจแคบและทำให้พวกเราไม่มีที่ไป  พวกเรากลับไปหาท่านพ่อก็ได้”

ซ่งจินคายดอกหญ้าในปาก  แล้วหันมามองซ่งมู่อย่างพินิจ

“แต่วิถีดาบเป็นความฝันของเจ้าไม่ใช่รึอามู่  ทำให้ถึงกับแตกหักกับท่านพ่อเพื่อมาประตูทรราช”

“พี่จิน  ข้าขอโทษ  ข้ารู้ว่าท่านยอมทิ้งอนาคตที่ตำหนักฯเพื่อตามมาดูแลข้า”

“หึ ดรุณีเติบใหญ่มักเอาใจออกห่าง”

“เพ้ย  ข้าม่ายช่ายดรุณี”

“ทำตามหัวใจเจ้าก็แล้วกัน”  ซ่งจินตบไหล่น้องชายเบา ๆ  จากนั้นรู้สึกบางอย่าง  จึงหันหลังไป

และสิ่งที่เขาเห็น  ก็คือ  หัวของหมีดำ  หมีแดง  และจอมยุทธหมีแดง  ที่ปีนหลังคามาแอบฟังข้างหลัง

“พวกเจ้าได้ยินไปแค่ไหน”  ซ่งจินถามด้วยสีหน้าตาย

“แหะแหะ”  จอมยุทธหมีแดงหัวเราะ  “ข้าไม่ได้ยินอะไรเลยสักนิด  แต่ข่าวลือนั่นมันจริงใช่มั้ยว่ามีคนจะสวมหมวกเขียวให้กับจอมยุทธหลี่”

ซ่งมู่ฟังแล้วก็ยิ้มเหี้ยมหันไปปรึกษากับพี่ชาย

“พี่  เห็นทีเราต้องฆ่าปิดปากซะแล้ว”

“ฆ่าได้หมด  ยกเว้นเสี่ยวหมี”  ซ่งจินพูดแล้วก็ลูบหัวหมีดำหนึ่งที

“จอมยุทธซ่งโปรดไว้ชีวิต  จอมยุทธซ่งโปรดไว้ชีวิต  ข้าจะรูดซิบปากให้สนิท  ไม่พูดเรื่องที่ได้ยินให้ใครฟังเด็ดขาด”

“หืม...ก็ได้  แต่เจ้าต้องรับปากอีกข้อ”  ซ่งจินรับการเจรจา

“จอมยุทธซ่งโปรดกล่าวมา”

“เจ้าต้องเลิกตามตื๊อเสี่ยวหมี”

“เพ้ย  เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้  เสี่ยวชิงกับเสี่ยวหมีเป็นคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทาน  ท่านจะมาแยกพวกมันได้ยังไง”

ซ่งจินเลิกคิ้วเล็กน้อย   จากนั้นสั่งผู้เป็นน้อง  “มู่  จัดการมัน”

จอมยุทธหมีแดงร้องแว๊กแล้วรีบกระโดดลงจากหลังคา   แต่ซ่งมู่กระโจนตามไปส่งขนมตุ๊บตั๊บ ๆ


+++++


ซีคงหยูเดินออกไปทางนอกเมืองจิ้งซานเพื่อหาที่สงบในการปรับเสถียรภาพพลังพรต    เขาได้ยินเสียงร้องอู้อี้มาจากดงไม้ข้างหน้า  เลยรีบสาวเท้าไปดู 

ภาพตรงหน้าทำให้เขาตะลึงไปครู่หนึ่ง  บนต้นอู่ถงมีเชือกมัดโตงเตง  ปลายเชือกคือชายร่างเปลือยที่ถูกจับมัดไขว้ทั้งตัวอย่างซับซ้อน  มีผ้าอุดปาก  และดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊กเหมือนหนอนในรังไหม

ที่คอของเขาห้อยป้ายผ้าที่เขียนไว้ด้วยลายมือไก่เขี่ยเหมือนลายมือของพวกแพทย์

“นี่คือตัวอย่างของผู้ไม่เจียมตัว  ตะกายจะกินเสี่ยวหมีของข้า”

ซีคงหยูอ่านทวนคำ  งงสักพัก  จากนั้นชี้ตนเองแล้วทวนคำอีกที  “ของข้า  เอ๊ะ?   แต่ข้าไม่ได้เป็นคนจัดการหมอนี่   หรือว่าเสี่ยวหมีถูกลักพาตัว  หรือมันไปหาเจ้าของใหม่”  คุณชายสามยิ่งคิดยิ่งกังวล  ยกมือตัวเองขึ้นมาขบกัดอย่างกระสับกระส่าย 

เมื่อขบคิดแล้วไม่ได้มรรคผล  เขาจึงเดินไปดูชายที่ถูกมัดห้อยไว้ใกล้ ๆ เผื่อจะเจอเบาะแสหรือจดหมายเรียกค่าไถ่  แต่ดูไปดูมา  ก็ส่งสายตาอย่างดูหมิ่นไป

“หืม...จู๋เจ้าสั้นกว่าพี่ใหญ่ข้าอีก”

จอมยุทธหมีแดงใคร่จะร่ำไห้แต่ไม่มีน้ำตา  ลองเจ้าถูกมัดแขวนแบบนี้แล้วจู๋ไม่หดก็ให้มันรู้ไปสิ!


+++++++++



ซีคงหยูปีนขึ้นไปตัดเชือกปล่อยจอมยุทธหมีแดงลงมา  และเอามีดชี้อีกฝ่าย

“เสี่ยวหมีของข้าไปไหน  ใครเอาตัวมันไป  บอกมา”

จอมยุทธหมีแดงส่ายหน้าที่บวมเหมือนหน้าหมูจากการถูกต่อย  “ข้าไม่รู้  ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น  ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น”

“หืม”   เมื่อเห็นว่าท่าจะรีดเค้นไม่ได้  และดูท่าทางอีกฝ่ายก็เจอประสบการณ์อันหนักหน่วงมา  คุณชายสามก็เลิกพยายามสอบสวน

“จอมยุทธซีคง  ขอบคุณที่ปล่อยข้า  ข้าไปล่ะ”

พูดแล้วก็รีบเอาป้ายผ้าพันตัว  แล้ววิ่งแจ้นไปทางเมืองจิ้งซาน

ซีคงหยูส่ายหน้า  เขาคร้านเกินกว่าจะตามหาเสี่ยวหมี  ในเมื่อไม่มีจดหมายเรียกค่าไถ่  คนเอาตัวมันไปคงไม่มีเจตนาร้าย  คุณชายสามสรุปเช่นนั้นด้วยความขี้เกียจ  จากนั้นเดินทอดน่องไปในทิศทางที่มีลำธารและน้ำตกใกล้ ๆ

ที่น้ำตก   มวลน้ำถะโถมเป็นฟองฝอยและกระไอละเอียดสีขาวลอยฟ่อง  ความหนาวเย็นของอากาศยิ่งทำให้ละอองน้ำดูฟุ้งเหมือนกับแดนสวรรค์  ที่ริมลำธารใกล้ผาน้ำตก  มีโขดหินเรียบเกลี้ยงจำนวนมากเรียงกันและบางทีก็เกยกัน  มันคือหินที่จะจมอยู่ใต้น้ำในหน้ามรสุม  แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีฝนตกเหนือเทือกเขามังกรทะยานในฤดูนี้  ลำธารก็ยังคงมีชีวิตชีวาจากการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขา

ซีคงหยูเลือกก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กับลำธาร  เขาเอามือปัด ๆ เศษฝุ่นและใบไม้แห้งที่มีอยู่บ้างออกไป  และนั่งลงขัดสมาธิที่ใจกลางหิน  เขายังไม่หลับตาและเริ่มสำรวจภายในตนตามวิธีการปรับเสถียรภาพพลังพรต  แต่กลับจ้องมองกระแสน้ำที่ไหลซ้ำไปซ้ำ ๆ ในริ้วและเฉกเดียวอย่างไม่รู้จบเบื้องหน้า  พลางทบทวนถึงประสบการณ์การบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย

มันง่ายเกินไป   เขาคิดในใจ   ปกติแล้วเขาไม่เคยได้ยินว่าใครบรรลุเขตแดนได้ด้วยการเดินเล่นและขบคิดเรื่องที่ไหลมาตามอารมณ์กันล่ะ  หรือว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะจริง ๆ  ทว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  ทำไมพรสวรรค์ของเขาไม่แสดงออกมาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  ทำไมเขาถึงถูกตราหน้าว่าไม่มีความสามารถด้านการบำเพ็ญพรต  และถูกปฏิเสธจากสำนักวิชาฝีมือเป็นสิบ ๆ แห่งจนกระทั่งถอดใจและยอมรับความจริงว่าคงจะได้เป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งชีวิต

ซีคงหยูสลัดความคิด  และเริ่มทบทวนเคล็ดวิชาเซียนสามสิบหกแผน   จากคำอธิบายของนักพรตทำให้เขาเข้าใจในที่สุดว่า  วิชาเซียนสามสิบหกแผนเป็นวิชาสาย [เทศะ]  แต่แก่นของมันไม่ใช่แนวคิดที่ว่าห้วงนิรันดร์กับเสี้ยววินาทีไม่มีความแตกต่างกัน  หรือว่าจะใช่

“มันน่าจะเป็นสาย [จลน์] เพราะเกี่ยวกับการเคลื่อนที่  ข้ารู้ทฤษฎีเกี่ยวกับการเคลื่อนที่อย่างน้อยสามทฤษฎี  แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช้ในการทำความเข้าใจคัมภีร์ได้หรือไม่”

เขาเปิดดูบทว่าด้วยวิชาเซียนการหนีในน้ำ  มันอธิบายเกี่ยวกับวิธีการโคจรปราณและสร้างวงจร  การสร้างวงจรคือการจินตนการภาพร่างกายของตนในจิต  อันร่างนี้เรียกว่าร่างธรรมกาย  และใช้จิตสัมผัสขีดลากเส้นสายที่สลับซับซ้อนขึ้นมาในร่างธรรมกาย  ความซับซ้อนของเส้นขึ้นกับระดับความยากของวิชาเซียน  และระดับความยากของมันก็บ่งบอกถึงพลังทำลายล้างของวิชา  ทว่าความนี้ก็ไม่จริงเสมอไป  ซีคงหยูเข้าใจว่าวงจรดังกล่าวมีลักษณะที่เรียกว่าอัลกอริธึม  ประสิทธิภาพของวงจรไม่ได้ขึ้นกับความซับซ้อน  แต่ขึ้นกับว่าผู้ออกแบบวิชาเซียน   สามารถคิดอัลกอริธึมที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามเป้าหมายของผลลัพธ์วิชาเซียนที่ตั้งไว้  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าท่านจะหาว่าส้มหกลัง  แต่ละลังมีหกผล  รวมกันทั้งหมดเท่าไหร่  ท่านจะไม่เขียนอัลกอริธึมให้มันบวกกันหกครั้ง  แต่จะเขียนให้มันคูณกันครั้งเดียว

แต่ถึงอย่างไร  ซีคงหยูก็ไม่สามารถทำความเข้าใจอัลกอริธึมที่อยู่เบื้องหลังได้โดยง่าย  เพราะเขาจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสัญลักษณ์และการวิเคราะห์วิชาเซียน  สิ่งที่แผนภาพในคัมภีร์แสดง  จึงเป็นเหมือนแผนที่นำทางให้เดินตามโดยไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำไมจึงต้องเดินเช่นนั้น  ทว่าหากมีแต่รูปแบบปราศจากจิตวิญญาณของเต๋านั้น ๆ วิชาเซียนก็จะไม่สำแดงประสิทธิภาพเต็มที่  มันจึงมีคำบรรยายที่เป็นข้อความลึกลับแบบรหัสยลัทธิ  ที่บ่งชี้ถึง [เต๋า] หรือก็คืออัลกอริธึมที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบวิชาเซียน

“เข้าใจธรรมชาติโดยไม่เข้าใจการเคลื่อนที่  คือการละเลย
เข้าใจการเคลื่อนที่แต่ไม่เข้าใจธรรมชาติ  คือการบกพร่อง
น้ำคือวัตถุธาตุที่สะท้อนธรรมชาติ  มี [การเคลื่อนไหว] และ [ความปรารถนา] ดุจเดียวที่ธรรมชาติมี
น้ำจึงเคลื่อนที่ทั้งด้วยตัวของมันเอง  และด้วยสิ่งอื่นมากระทบ”

“การเคลื่อนไหว  และความปรารถนา”  ซีคงหยูพึมพำทวนข้อความในตำรา  และมองไปที่ลำธาร  เขามองเห็นผิวน้ำที่ไหลเปลี่ยนรูปตามริ้วของก้อนหิน  ผิวน้ำบางส่วนก็ปะทะกับสิ่งกีดขวางกระเด็นเป็นฟองฝอย  และบางส่วนก็ดูเรียบลื่นประดุจแก้วซึ่งมีริ้วรอยเหมือนคลื่นแก้วเวลาช่างแก้วสลักลายลงไปบนพื้นผิว   น้ำในลำธารเหมือนกับเป็นส่วนเดียวกันทั้งก้อน  ทว่าฟองที่กระเด็น  และละอองอันปลิวจากน้ำตกย้ำเตือนว่าพวกมันสามารถถูกแบ่งแยกได้

ซีคงหยูแหงนมองยอดน้ำตก  ที่มาของแหล่งน้ำอันซ่อนอยู่ในหมอกของหน้าผา  เขารู้ว่าเหนือน้ำตกก็มีลำธาร  และน้ำตกซ้อนกันไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วนของเทือกเขามังกรทะยาน

เมื่อคิดดูแล้ว  มวลน้ำในลำธารเหมือนกับงูสีเงินตัวใหญ่ที่ไหลเลื้อยลงสู่ที่ต่ำ  จู่ ๆ เขาก็นึกได้ว่า  มีบางคนพูดไว้  จิตใจมนุษย์ก็เหมือนน้ำ  มักไหลลงสู่ที่ต่ำหากไม่ได้รับการบ่มเพาะ  หรือนี่คือ  [ความปรารถนา] ของน้ำ  เหมือนกับความปรารถนาของนกที่จะบินขึ้นไปสู่ที่สูง  ความปรารถนาของคนหนุ่มสาวที่ต้องการชื่อเสียง  ความปรารถนาเป็นจุดเริ่มต้นในการเคลื่อนที่ของตัวมันเอง  มันทำงานในทิศทางที่ตรงกันข้ามหรือต่อต้านกฎระเบียบของธรรมชาติ  หรือมิเช่นนั้นแล้ว  การทำงานของมันก็คือธรรมชาติในตัวมันเอง  เช่นเดียวกับการที่น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำประกอบสร้างเป็นแม่น้ำและทะเลดังที่มนุษย์รู้จักว่านั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น  สิ่งที่ปกติ  สิ่งที่เป็นธรรมชาติ

ซีคงหยูรู้สึกเหมือนกับเข้าใจส่วนความปรารถนาของวิชาเซียนบทนี้  ทว่าอีกส่วนหนึ่งที่มันเน้นย้ำคืออะไรกัน  อะไรคือการเคลื่อนไหว 

เขาจ้องมองลำธาร  มือเท้าคาง  และเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย  แสงแดดระยิบระยับของยามเที่ยงเริ่มตัดหมอกลงมา  นอกจากหมอกแล้ว  มันยังถูกแยกเป็นจุด ๆ จากใบไม้อันรกครึ้มริมธาร  ทำให้แสงแดดกระจัดกระจายเป็นดวง ๆ  แสงพร่าพรายนั้นกระทบลงบนผิวน้ำ  และกระจัดกระจายไปรอบทิศตามแต่แง่มุมที่มันเกิดปรากฎการณ์การสะท้อนกลับหมด

คุณชายสามจ้องมองน้ำล้อเล่นกับแสงแดด  เนิ่นนาน  จนกระทั่งตาลาย  เขาเพ่งตามองปรับโฟกัสสายตาไปมา  ทำให้ภาพที่เห็นบางทีก็เบลอ  บางทีก็ชัด  เขาลองปรับโฟกัสสายตาให้มองเห็นภาพเบลอ  และพบว่าภาพที่ประจักษ์มันดูเหมือนประกอบด้วยจุดฝุ่นสีที่กระจายตัวออกห่างกัน  เหมือนแต้มแปรงที่จิตรกรบรรจงแตะลงไปให้จุดเหล่านั้นประกอบเป็นภาพสระน้ำ  กอบัว  และเงาไม้

เขารู้สึกเหมือนเห็นกฎเต๋าที่ซ่อนอยู่ในภาพเบลอดังกล่าว  แต่ครั้นจะคว้าจับก็คว้าจับไม่ได้   

ซีคงหยูสูดลมหายใจลึก  ในเมื่อนั่งคิดไม่สำเร็จ  เขาจึงเปลี่ยนอิริยาบถ  เขาลุกขึ้นยืนและถอดเสื้อชั้นนอกของตนเองออก  ก่อนจะพบด้วยความประหลาดใจว่าอากาศหนาวของจิ้งซานไม่มีผลต่อผิวหนังของเขาแล้ว  แล้วนึกขึ้นได้ว่าผู้บำเพ็ญพรตในเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยจะมีปราณคุ้มครองร่างจากความร้อนและความเย็น  เหมือนกับเมฆหมอกที่คอยคุ้มกันรอบ ๆ ดวงตะวันในจุดตันเถียน

“ที่แท้  ติ่งเฟิ่งแฟชั่นวีคถึงรับสมัครนายแบบนางแบบที่มีพลังพรตระดับนี้  เพราะจะได้ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เวอร์วังอลังการไม่แคร์สภาพอากาศนี่เอง”

ซีคงหยูทอดถอนใจเมื่อค้นพบอาชีพในฝันของตนเอง   เขาถอดเสื้อชั้นในออก  แล้วนั่งยอง ๆ ส่องใบหน้าของตนเองกับอกเปลือย ๆ บนผิวน้ำ

“เรานี่มันหล่อไม่ใช่เล่นแฮะ”

ส่องดูหน้าตัวเองในมุมต่าง ๆ  ไป ๆ มา ๆ  คุณชายสามก็สะบัดหน้า 

“เห้ย  ข้าต้องหาเต๋าสิฟะ  อย่าเพิ่งวอกแวก”

เขาลุกขึ้นอีกครั้ง  ถอดกางเกงขายาวออก  แล้วค่อย ๆ เดินลงไปในน้ำอันเย็นเฉียบ  อุณหภูมิของน้ำทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อยถึงแม้จะมีปราณคุ้มกัน

น้ำในลำธารที่ไหลแรงและค่อยปะทะข้อเท้า  ต้นขา บั้นเอว  และท่วมจนมาถึงหน้าอกตามระดับความลึกที่ชายหนุ่มเดินลงไป   เขาใช้มือแหวกในน้ำ  ช้อนมันขึ้นมา  และมองหยาดมุกที่หยดติงตังจากมือและง่ามนิ้ว  เมื่อมองน้ำหยดสักพัก  เขาก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ในลำธาร  เข้ามาอยู่ใกล้น้ำขนาดนี้  ก็พบว่า  เสียงเคลื่อนไหวของน้ำมันชัดเจนและซับซ้อนกว่าที่คิด  ภายใต้น้ำลึกมีเสียงของมวลน้ำที่ปะทะโขดหินและท่อนไม้ใต้น้ำ  ข้าง ๆ มีเสียงน้ำตก  บนผิวน้ำมีเสียงของน้ำสัมผัสกับอากาศและดูดเอาอากาศเข้าไปในตัวจากเกลียวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อซีคงหยูยืนขวางทางของพวกมัน  เขากอบน้ำขึ้นมาใกล้ ๆ หู  และเอียงคอฟังเสียงของมันที่ร่วงกลับลงไปใหม่

เมื่อยังไม่เจอแรงบันดาลใจที่ถูกต้อง  ซีคงหยูจึงย่อตัวลงในลำธาร  ปล่อยให้น้ำค่อย ๆ กลืนศีรษะของตนเอง   เส้นผมของเขาสยายในน้ำเหมือนกับสาหร่ายและเส้นไหมสีดำ  เส้นผมที่ถูกทำลายจากสายฟ้า  ถูกชำระล้าง  และผลัดเปลี่ยนเป็นเส้นไหมละเอียดเหมือนขนแมวน้ำ  เศษซากของมันกลายเป็นผงสีดำที่ถูกน้ำพัดพาหายไป  จนเหลือแต่เนื้อแท้ดั้งเดิมที่ดูเหมือนกับเป็นสายเส้นทองคำอร่ามอันพลิ้วไหวใต้บาดาล  ทว่ามันอาจจะเป็นการหลอกตาจากแสงอาทิตย์ก็ได้

ผู้ที่ยืนยันว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตาจากการเล่นแสง  คือชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากแมกไม้ริมฝั่ง   ข้างตัวของเขามีหมีดำ  ซึ่งค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยมไปที่ลำธารนำหน้าผู้มาใหม่

ซ่งมู่ยืนตะลึงตะลานมองร่างที่โผล่พ้นน้ำ  เส้นผมของอีกฝ่ายเป็นสีน้ำตาลอ่อนจนดูเผิน ๆ เหมือนสีทอง  มันเปียกจนลู่ลีบไปกับต้นคอและบ่าของเขา  สิ่งที่ดึงดูดใจกว่านั้นคือผิวสองสีที่เป็นสองสีจริง ๆ คือสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนกับแก่นไม้สนที่วางทิ้งไว้กลางแดด  และผิวสีขาวเหมือนน้ำนมอันตัดกันระหว่างในร่มผ้าและนอกร่มผ้า  และเมื่อสายตาของเขาไล่ไปตามหลังเนียนและเอวคอดตัดกับสะโพกที่งอนขึ้นมาเล็กน้อย   ซ่งมู่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายยืนค้างอยู่ตรงนั้น

สัมผัสเซียนระดับเมฆาเคลื่อนคล้อยของซีคงหยู  จับได้ว่ามีคนกำลังจ้องมอง   เขาจึงรีบขยี้มือกับหน้า  เพื่อไล่น้ำออกจากตา  และเขม้นมองฝ่ายตรงข้าม

“อ๊อออออ”

เสี่ยวหมีร้องทักทาย  ก่อนจะแลบลิ้นเลียน้ำในลำธารดังแจ๊บ ๆ

“อ้าว  น้องมู่  เสี่ยวหมี”   คุณชายสามทักทายอย่างดีใจ

“พี่หยู..เอ่อ  ข้า  คือข้า  พาเสี่ยวหมีมาส่ง”  หนุ่มรุ่นน้องพูดติดอ่าง  และเดินเข้ามาใกล้ริมธารอย่างลังเล  และเมื่อเดินเขาก็รู้สึกถึงอาการผิดปกติของร่างกายตน  จึงรีบดึงชายเสื้อลงมาบังไว้  แต่เพราะว่าพ่อให้มาล้นเหลือเหลือเกิน  จึงไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

ซีคงหยูทำเป็นมองไม่เห็น  แล้วรวบผมของตนเอง   บิดไล่น้ำ  จากนั้นมัดมวยเหมือนทรงผมชาวยุทธทั่วไป  ก่อนจะทักอีกฝ่าย

“เฮ้  น้องมู่ทำทรงผมดอกกระหล่ำหรอ”

ซ่งมู่มือหนึ่งดึงชายเสื้อ  อีกมือจับทรงผมตัวเองแล้วหัวเราะแหะ ๆ

“พี่หยูกำลังอาบน้ำหรือ”

“อ้อ  เปล่า  ข้ากำลังปรับเสถียรภาพพลังพรต  เลยทบทวนวิชาเซียนที่เกี่ยวกับน้ำ”

ซ่งมู่ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ริมธาร  แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะ  เลยย้ายนั่งหลบหลังเสี่ยวหมี  พร้อมกับโคจรปราณเพื่อควบคุมไฟร้อนรุ่มที่สุมตรงท้องน้อยไปด้วย

“แล้ว  เส้นผมพี่หยูคือ..”

ซีคงหยูฟังแล้วก็แตะศีรษะตนเอง  จากนั้นกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

“ถ้าข้าบอกเจ้า  เจ้าอย่าไปบอกใคร  นี่คือสีผมธรรมชาติของข้าเอง  นอกจากนี่แล้ว  ข้ายังมีความลับอย่างอื่นอีกด้วย  ฮี่ ๆ”

“เอ๋  ความลับอะไร”

“มานี่มา ๆ  เข้ามาใกล้ ๆ อย่าไปหลบหลังเสี่ยวหมี” 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมมาตามที่บอก   ซีคงหยูเลยปีนขึ้นมาบนฝั่ง  แล้วเดินไปนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหนุ่มหน้าซื่อที่ดูเขินจัด  เขาจับบ่าซ่งมู่แล้วบอก

“หลับตาสิ”

ซ่งมู่รู้สึกวิงเวียนจากโลหิตสูบฉีดที่พลุ่งพล่านไปทั้งใบหน้าและลำคอ  เลยหลับตาตามที่บอก  สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงบอกให้ลืมตา

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  สิ่งแรกที่เขาเห็นคือลูกแก้วใสสีเขียวมะกอก  ในลูกแก้วมีริ้วลายเป็นขีดรัศมีของวงกลมล้อมรอบวงกลมเล็ก ๆ ชั้นในที่เป็นสีเขียวเข้มจนแยกแทบไม่ออกจากสีดำ  เมื่อมองสักพัก  เขาถึงพบว่านั่นคือแก้วตาของอีกฝ่าย  แก้วตาสีประหลาดลึกลับเหมือนกับสีของปีศาจร้ายอันแสนยั่วยวนประดับอยู่บนใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ซ่งมู่รู้สึกเหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้าในเวลาเดียวกัน

“พี่หยู...”  ซ่งมู่ครางฮือ  เสียงของเขาเหมือนอยู่ในความฝัน  “..ท่านเป็นสัตว์อสูร หรือเผ่าปีศาจ”

“เพ้ย  เจ้าสิเป็นเผ่าปีศาจ  บ้านเจ้าสิเป็นสัตว์อสูร”

“อ๊อออออออออ!!”

เสี่ยวหมีร้องปกป้องซ่งมู่จากการด่าทอของคุณชายสาม  ตามประสาดรุณีเติบใหญ่มักเอาใจออกห่างที่แท้ทรู

“ข้าเป็นมนุษย์  จริงแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ว่าคนอื่น ๆ ก็คงคิดเหมือนเจ้าว่าข้าคือเผ่าอื่น   ก็เลยต้องย้อมผมกับปิดบังสีตาเอาไว้น่ะ”

ซ่งมู่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่  ไม่รู้ว่าโล่งอกหรือว่าอะไร  จากนั้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและลึกลับสำหรับเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง  “ข้าดีใจที่พี่หยูไว้ใจ”

ซีคงหยูยิ้ม  จับจมูกของอีกฝ่ายเขย่าด้วยความหมั่นเขี้ยว  “เจ้าก็ไว้ใจข้าไม่ใช่หรอ  ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงกระโดดหนีแล้วชักดาบออกจู่โจมแล้ว”

“ฮ่า ๆ  ข้ากลัวจนขยับไม่ได้ต่างหาก”   ซ่งมู่ตอบ  แต่ลึก ๆ แล้วเขาพบว่าชั่ววินาทีเมื่อครู่  เขาไม่ได้กลัว  มันมีแต่ความยอมแพ้สิ้นหวัง  ถ้าซีคงหยูเป็นเผ่าปีศาจที่ชั่วร้ายจริง ๆ  เขารู้สึกว่าถึงมีชีวิตอยู่ไปก็คงไร้ความหมาย

ซีคงหยูปล่อยมือออกจากจมูกของซ่งมู่  แล้วลุกขึ้นไปแต่งตัว   เขาปลดมวยผมหยิบผงสีดำเหมือนถ่านจากอกเสื้อมาละเลงศีรษะ  แล้วรูด ๆ สองสามที  สีผมที่แท้จริงก็ถูกกลบจนสิ้น  จากนั้นก้มหน้าทำอะไรยุกยิกในมือสักครู่  ดวงตาก็กลับมาเป็นสีดำตามปกติ

ซ่งมู่ลุกขึ้นยืนช้า ๆ และมองซีคงหยูที่จัดการเสื้อผ้าร่างกาย  เขามองคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะมีความลึกลับห่อหุ้มหลายชั้น  และพบว่าความลึกลับนั้นแทนที่จะทำให้เขาคลายใจผูกพัน  กลับเหมือนยิ่งถีบเขาเข้าไปในไฟเร่าร้อนที่โหมกระพือเข้าไปใหญ่



++++


สวมหมวกเขียว = เล่นชู้   หรือ 'สวมเขา' ในสำนวนไทย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-09-2017 18:11:59
อวิ๋น นายมีแววถูกสวมหมวกเขียวแรงมาก 555
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 26-09-2017 19:19:17
ซีคงหยูเป็นอะไรอะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-09-2017 21:23:21
มหัศจรรย์ สวรรค์สร้าง เอ๊ย.......ไรท์สร้าง สุดยอดดดดด
ที่ผ่านมาว่าเดอะเบสท์แล้วนะ ทั้งฝีมือ ทั้งสมองไรท์
ตอนนี้ยิ่งเวรี่ๆ เอ่อ.....ขั้นซุปเปอร์เนเชอรัลเลยล่ะ
อ่านด้วยความตื่นตาตื่นใจ มีความสุข
แทบจะบรรลุวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ เต๋า ด้วยเลย นับถือๆ  :impress2: :impress2: :impress2:

พี่น้องตะกูลซ่ง รักกันดีจริงๆ  แถมรักใคร่เอ็นดูเสี่ยวหมีมากกกกก
ช่วยเสี่ยวหมีจากการตามตื๊อของจอมยุทธชุดแดงกับหมีแดง แบบปกปิดความลับไปในตัวด้วย

แต่สภาพจอมยุทธชุดแดง ต่อแต่นี้ต้องเรียกเป็นจอมยุทธชุดเปลือยซะและ
แถมหยูยังวิจารณ์ซะแทบตัดทิ้งเลย  (แฮ่....สั้นยังไงก็ไม่ตัดร้อก )
“หืม...จู๋เจ้าสั้นกว่าพี่ใหญ่ข้าอีก” หยูนะหยู ว่าซะเสียความมั่นใจหมดเลย

แล้วหยูที่อาบน้ำไป พิจารณาเต๋าไป ได้ประโยชน์หลายทางดี
พบมู่ที่มาโด่เด่ๆกับหมีดำ หยูน่ารักมากไม่ล้อเลียนมู่เลย
แล้วยังเปิดเผยความลับของตัวเองให้มู่รู้เพิ่มนอกจากสีผม ยังให้ดูสีตาอีก
แสดงว่าหยู ไม่ใช่คนจีนสิ หยูเป็นคนตะวันตก ที่ทะลุมิติมาใช่บ่

งั้นโอ๋อวิ๋น ที่ฉลาดเฉลียว คงรู้ความลับเรื่องสีผมของหยู แล้วสิ
       :L1::L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-09-2017 10:29:09

ภาพสระบัวของโมเน่ต์

(http://www.bloggang.com/data/t/travelaround/picture/1263200954.jpg)
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 27-09-2017 11:31:56
คงหยูตาสีเขียวด้วย
 ซ่งจิ่น รับเสี่ยวหมีเป็นภรรยาเต็มตัวแล้วเหรอคะ :m20:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-09-2017 11:54:04
หนูอวิ๋นตั้งท่าคิดบัญชีซะน่ากลัว ดั๊นนนน แก้แค้นซะมุ้งมิ้งอ่อนด๋อย
เฮ่อ! ฉันก็ลุ้นซะเลือดกำเดาแทบไหล
เอ๊ะ! นี่ฉันไม่ได้คิดลึกเลยจริงจริ๊ง!

ว่าแต่น้องอวิ๋นคุมหน้าตาท่าทางได้ดี หรือรู้อยู่แล้วว่าหยูจงใจปกปิดอัตลักษณ์?
ประเด็นนี้น่าสงสัย น่าสงสัย

ไหนจะคำพูดขอเป็นตัวเลือกนั่นอีก นี้น้องอวิ๋นถูกวิชาเต๋าแห่งการล่อลวงผู้ของหยูแล้วใช่ป่ะ

ช่วงอาบน้ำ...เอิ่ม...ปรับเสถียรภาพพลังพรต เป็นการบรรยายที่จินตนาการตามแล้วรู้สึกสายตาพร่าพราย ทั้งซับซ้อน ทั้งล้ำลึก ทว่าในขณะเดียวกันก็เรียบง่าย เปิดเผย วิถีแห่งธรรมชาติเป็นเช่นนี้เอง
 
ซีคงหยูในตอนนี้ก็เหมือนดั่งสายน้ำเอง สัมผัสได้ แต่มิอาจจับต้องยึดถือ

น้องมู่เอ๋ย ข้าว่าเจ้าจนปัญญาจะไถ่ถอนหัวใจออกมาแล้วล่ะ ข้ายังหลงตาลุงคนนี้เลย

เสี่ยวหมี เจ้าทำดีมากที่ปกป้องผู้ เอาน้ำผึ้งไปกิน 1 ไห
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-09-2017 17:13:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 27-09-2017 20:49:15


วะฮ่า ๆๆ เรากลับมาแล้ว (ขอโทษนะคะที่หายไปเลย ไม่คิดถึงกันใช่ไหม - ช้อนตามองปริบ ๆ )
ยิ่งอ่านเราก็ยิ่งรู้สึกหลงรักเสี่ยวหมีมากขึ้นทุกที หมีอะไรก็ไม่รู้ จังหวะตลกดี ๆ มาก ๆ
ส่วนอาหยูก็เป็นตัวเอกที่เราเชื่อเหลือเกินว่าเราจะภูมิใจที่ได้เห็นพัฒนาการของนางในตอนท้ายเรื่องแน่ ๆ รู้สึกว่าอาหยูมีอะไรมากกว่าอายุ ฮ่า ๆๆๆ

ในด้านของเหล่าสนมของอาหยูนั้น เราคงต้องดูไปยาว ๆ เพราะไป ๆ มา ๆ
ดูเหมือนน้องตู้เองก็น่าจะมีช่วงเวลาแอร์ไทม์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าน้องอวิ๋นหรือน้องมู่เลยสักนิด
(ถ้าเปรียบเป็นนักวิ่ง ก็ต้องอาศัยภาพถ่ายวัดกันไปเลยว่าใครจะเข้าเส้นชัย)
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราจะติดตามความเจริญรุ่งริ่ง เอ๊ย รุ่งเรืองของฮาเร็มแห่งลุงไปเรื่อย ๆ นะคะ
เป็นกำลังใจให้คุณคิริมัญจาโรค่ะ ^_^  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-09-2017 20:21:37
 o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #30 ความปรารถนาของน้ำ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 29-09-2017 01:29:32
เฮเว่นอะโบฟ!!  วันจันทร์นี้ผมต้องรายงานความก้าวหน้า
แต่เพิ่งเขียนบทความเมื่อเช้า  เสร็จเมื่อกี้ 
เลยมาเขียนนิยายต่อ  คงไม่ว่าที่หายไปนะ  จุ๊บุ๊ ๆ

+++++


korinasai: 55555+  นั่นสิ

wnkth:  เป็นคนใจดำหน้าตาดี

♥►MAGNOLIA◄♥: ฮี่ ๆ เต๋านี้เดินทางมาไกล
เป็นผลงานความคิดของปราชญ์โบราณ
เขียนถึงพี่น้องคนเขียนก็แอบอยากชิบให้ได้กันเอง  เอ๊ะยังไง
ล้อเล่นนะเสี่ยวหมี   ไม่ใครทำอะไรสามีเจ้าหรอก
เดาได้ดี ๆ  แต่รออ่านเฉลยในเรื่องนะคร้าบ  อีกสามพันตอน  ความลับของคุณชายสามจะถูกเปิดเผย

JustWait:  ฮ่า ๆ  ทำไมเดาถูกว่าซ่งจินเขียนป้าย  กำลังจะตั้งเป็นคำถามไว้อยู่เชียวว่าป้ายนี้ฝีมือใคร

alternative: แน่ะๆ รู้นะว่าลุ้นอะไร   คนเขียนก็ลุ้นฮืดฮาด ๆ  แต่จังหวะไม่เหมาะซะที   เมื่อไหร่จะปล้ำกันซะทีห๊ะ   #ท้าวสะเอวตั้งคำถามต่อเหล่าหนุ่มๆ
ทำสำออยขอเป็นตัวเลือกไปงั้นแหละอีตาอวิ๋น  เพราะซ่งมู่ออร่าพระรองแสนดีแรงมว้ากกกก
#รับน้ำผึ้งให้แทนเสี่ยวหมี

mild-dy: ขอบคุณที่แวะมาคร้าบ

Malimaru: คุณเป็นใคร  มาที่นี่ได้ยังไง  เพ้ย  ล้อเล่น  55555+  อย่าเพิ่งงอนนะแม่นาง
อ่ะ  ส่งเสี่ยวหมีไปปลอบ  มีเสี่ยวหมีปิ้ง  เสี่ยวหมีต้มยำ  เสี่ยวหมีเย็นตาโฟน้ำใส
"อ๊ออออออออ!!"
โอเค ๆ ไม่แกล้งเสี่ยวหมีแระ  ช่วงนี้ยิ่งบทน้อย ๆ อยู่  เหมือนตอนนี้จะได้ออกฉากห้าวิเท่าน้องมู่  #ตบบ่าแปะๆ
น้องตู้ผู้เตี้ยล่ำปล้ำง่ายยยยยยย <3 <3 <3

ommanymontra:  ฮี่ ๆ มีเหยื่อ  เอ๊ย  ผู้อ่านรายใหม่หลงมาอีกราย


+++++



ในบ่ายนั้น   เมฆดำรวมครึ้มกันทั่วทิศ  ดูเหมือนว่าการผ่านด่านทัณฑ์สวรรค์ของซีคงหยูจะเป็นตัวจุดประกายให้ยอดฝีมือรุ่นเยาว์บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยกันเป็นทิวแถว  คุณชายสามป้องตามองดูท้องฟ้าที่มีอัสนีบาตแลบแปลบปลาบ  และคะเนว่าคงมีผู้ผ่านด่านทัณฑ์สวรรค์อย่างน้อยก็ห้าหกราย

เขาเดินเข้าตัวเมืองพร้อมกับซ่งมู่และเสี่ยวหมี  เพื่อเตรียมรอเวลาท้าประลอง  ไม่นานนัก  วงแหวนเวทอันเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ยันต์แปดทิศก็ปรากฏอยู่ตามจุดต่าง ๆ  ซีคงหยูดึงผ้าคาดเอวสีดำของตนให้แน่นขึ้น  แล้วก้าวเข้าไปในวงเวทเคลื่อนย้ายฉับพลัน

“เฮ่อ ๆ ศิษย์คนใหม่ของท่านนักพรตเวิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง”   ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตเริ่มเปิดบทสนทนา  เมื่อเห็นซีคงหยูก้าวขึ้นไปบนลานประลองกลางหาว

“มา ๆ ตั้งโต๊ะ ๆ”   ไป่หลินหลิงเตรียมโพยมาพร้อม  นางใช้วิชาเซียนโพยไม้ไผ่ก็พุ่งวาบเข้าไปในมือของผู้อาวุโสทุกคน

“ของนักพรตเต๋าผู้นี้ล่ะ”  เวิ่นเต๋อเอ่ยปากทวงอย่างสงวนท่าทีโดยที่เปลือกตาแทบไม่กระพริบ

“ฮ่า ๆ ไม่นึกว่าท่านนักพรตจะสนใจการละเล่นนี้ด้วย”  ไป่หลินหลิงรีบควักโพยสำรองจากอกเสื้อ  คราวนี้นางไม่ใช้วิชาเซียนส่งไป  แต่ประคองสองมือแล้วก้าวเข้าไปยื่นให้

นักพรตเต๋าเลิกตาข้างหนึ่งมองรายชื่อในโพย  คัมภีร์ไม้ไผ่นี้มีกลไกภายใน  เมื่อท่านเลือกพนันที่ลานประลองไหน  ผู้อื่นที่ถือโพยจะเห็นถ้วนทั่วกันหมดว่ามีคนสนใจพนันลานนี้  แต่จะไม่เปิดเผยชื่อของผู้พนันจนกว่าจะพนันเสร็จสิ้น

เวิ่นเต๋อดูสักพักก็เบิ่งตากว้างขึ้น  เขากวาดสายตานับดูจำนวนผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนยอดเขา  แล้วก็ขมวดคิ้ว

“ไฉนผู้คนจึงเยอะนัก”

เขาเลือกเข้าไปดูจำนวนผู้พนันในลานประลองของซีคงหยูและพบว่ามีรายการคนรอเล่นอยู่มากกว่ายี่สิบรายการ

ตู้ถงเทียนเองก็ดูเหมือนจะอยู่ห้องเดียวกัน 

“จริงด้วย  ผู้อาวุโสไป่  คราวนี้ท่านหาผีพนันเพิ่มมาจากไหน”

ไป่หลินหลินสะบัดพัดกฤษณาบังปากหัวร่อ  “ฮี่ ๆ  ในชาวยุทธที่มา  เงินหนาก็มี  ไหน ๆ ก็พัฒนานวัตกรรมโต๊ะพนันออนไลน์จะไม่เผยแพร่คงน่าเสียดายไปหน่อย”  นางก้าวเดินสองสามก้าวเหมือนเวลาที่บัณฑิตจะร่ายบทกวี  “นอกจากนี้  ข้าได้ยินว่าไมตรีโลหิตร่ำรวยมั่งคั่ง  เลยช่วยสำนักท่านใช้เงินหน่อย”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิต  ขมวดคิ้วจนแทบเป็นเลขแปด  ทำท่าจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารมาใช้ดุด่าศิษย์สำนัก

“อ๊ะ ๆ  ห้ามขัดขวางโต๊ะพนัน  ท่านให้สัตย์สาบานตั้งแต่ครั้งก่อนที่เล่นกันแล้วไม่ใช่รึ”

“ฮึ่ม  แต่เจ้าไม่เคยแจกโพยให้ศิษย์สำนัก”  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตซึ่งเคยใจเย็นที่สุดพูดลอดไรฟัน

“เอ๋  บางทีข้าอาจจะเคยแจกก็ได้  แต่ท่านไม่รู้ตัวเอง  ฮี่ ๆ”

เยว่หนานอิ๋งที่ยืนเกาะแขนไป่หลินหลิงอยู่ตวัดหางตาไปทางผู้อาวุโสไมตรีโลหิต  “เฮอะ  พนันแค่นี้มาทำปอดแหก  เป็นบุรุษเสียเปล่า  สู้หลิงเกอเกอของข้าก็ไม่ได้”

คราวนี้คุณชายในเสื้อคลุมคุนเผิงก็ขมวดคิ้วบ้าง   “เอาข้าไปเปรียบเทียบกับพวกผู้ชายตัวเหม็นนี่เหลือจะทน”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตส่ายหน้ากับพวกนางสองคน  นี่คงเรียกว่าหมาไนในรังเดียวกัน  ตัวหนึ่งงับซ้าย  ตัวหนึ่งงับขวา

นักพรตเวิ่นเต๋อลองใช้สักพักก็คล่อง  จึงประกาศต่อผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ว่า

“นักพรตผู้นี้จะพนันลานที่สิบสาม  ไม่ทราบว่าสหายเต๋าท่านใดสนใจร่วมสนุก”

ตู้ถงเทียนซึ่งอยู่ในห้องอยู่แล้ว  ก็มองด้วยสายตาเป็นประกาย  เพราะโอกาสเล่นพนันกับนักพรตเวิ่นเต๋อไม่ได้มีบ่อย ๆ

“มิทราบว่า  ท่านนักพรตลงขันทางด้านไหน”

“อ๊ะ ๆ ไปถามได้ยังไง  ผู้อาวุโสตู้เห็นท่านนักพรตไม่ช่ำชองเรื่องโลกเลยจะหลอกถามอย่างงั้นรึ”   ไป่หลินหลิงในฐานะเจ้ามือต้องรักษาผลประโยชน์ให้ทุกคน

“มิเป็นไร  แม่นางไป่  ถึงนักพรตผู้นี้ไม่บอก  ท่านอื่นก็คงทราบอยู่ดีว่าข้าลงข้างไหน”   เวิ่นเต๋ากล่าวแล้วก็หลุบตาเป็นสัญญาณจบการสนทนา

ที่ลานประลอง  ซีคงหยูยืนกุมดาบปักพื้นรอคู่ท้าประลองปรากฏตัว   ไม่นานนัก  ก็ปรากฏแสงสีเหลืองอันแสดงถึงการเคลื่อนย้ายฉับพลัน  และแสดงให้เห็นหญิงสาวในกระโปรงกลีบบัวสีม่วง  นางคือหนึ่งในยอดฝีมือวังหมื่นบุปผา  เชี่ยวชาญวิชาพิษสารพัน

ซีคงหยูมองอีกฝ่ายด้วยตาจิตและเห็นออร่าของอีกฝ่ายยังคงเป็นสีแดงอมส้ม  บ่งบอกว่ายังมีพลังยุทธในระดับตะวันขึ้นสายขั้นปลาย  เขาจึงประสานมือคารวะทักทายด้วยความแปลกใจ

“แม่นางท่านนี้คือ...”

“ฮู้หลิน”

นางตอบแล้วก็กรีดมือ   เป่าผงสีชมพูไปข้างหน้า   ซีคงหยูรีบกลั้นหายใจแล้วสะกิดเท้าถอยไปข้างหลัง

“ฮิฮิฮิ”  นางหัวเราะเสียงติงตังดุจกระดิ่งเงิน  “นั่นแค่แป้งประทินผิวของข้า  ซีคงต้าเกอใยต้องแตกตื่น”

“ฮ่า ๆ  ข้าเกรงว่าแป้งของเจ้าจะผสมปรอทกะสารฟอกขาวซะมากกว่า  หน้าเจ้าเลยซีดเซียวขนาดนี้”

ซีคงหยูกล่าวแล้วก็ร่ายดาบเป็นหงสากางปีกผสมกับหงสาทะลวงใจสร้างลมพายุเป่าผงแป้งกลับไป

หญิงสาวกระโปรงดอกบัวฟังแล้วก็ขยี้เท้าอย่างขัดใจ  นางดึงแส้หางกระเบนอสูรที่รัดเอวอยู่ออกมา  แล้วสะบัดข้อมือฟาดส่งแรงฟาดเป็นระลอกคลื่นไปยังปลายแส้

ซีคงหยูไม่รู้วิธีใช้พลังปราณแบบอื่นเพื่อโจมตี   เขาจึงได้แต่ปัดป้องแส้หางกระเบนนั้นด้วยท่าดาบพื้นฐาน

บนยอดเขา  ผู้อาวุโสหลายคนมองดูแล้วขมวดคิ้วนิ่วหน้า   พวกเขาไม่นึกว่าเวิ่นเต๋อจะมิได้ถ่ายทอดวิชาเซียนดี ๆ ให้กับศิษย์คนล่าสุดเลย  และเมื่อเห็นเวิ่นเต๋อยืนอมยิ้มใจเย็นเหมือนไม่คาดว่าศิษย์ตนจะชนะ  ก็รู้สึกเย็นวาบถึงปลายเท้า  นี่มันหมูหลอกกินเสือชัด ๆ

ฮู้หลินร่ายเพลงแส้เร่าร้อนประดุจเปลวไฟและสะเก็ดดาว   มือหนึ่งก็ลอบปล่อยผงพิษไปตามกระแสลมของแส้  ซีคงหยูกระโดดหลบทางลมไปมา  มือก็ต้องตวัดดาบปัดป้องแส้

“ซีคงต้าเกอ  เมฆาเคลื่อนคล้อยคนแรกของจิ้งซาน  ที่แท้ก็ฝีมือเท่านี้”   นางยิ้มเยาะ  และเหวี่ยงแส้ฟาดด้วยท่าทีเบาแรง

“เพ้ย  ขอโทษด้วยที่ฝีมือข้าไม่ดีเท่าหน้าตา”   ซีคงหยูกัดฟัน   หลังมือเขาเริ่มแสบ ๆ คัน ๆ ยุกยิกเหมือนมดแดงไฟกัด  ดูเหมือนเขาจะสัมผัสผงพิษเข้าไปเล็กน้อย

“ฮิ ๆๆ   ซีคงต้าเกอช่างมั่นใจในตัวเองเหลือเกิน  ท่านี้ดูจะเหมาะกับท่าน  คันฉ่องส่องมาร!”

ปลายแส้กระเบนอสูรเต้นเร่าประดุจมีชีวิต  มันเสียดสีกับอากาศจนเกิดความร้อนจัด  สร้างพยับแดดลวงตาเหมือนกระจกบานใหญ่ที่พร่าพรายและสะท้อนแสงแสบตาไปหมด   

“พยัคฆ์ขึ้นภูเขา!”   ซีคงหยูตะโกนและเหวี่ยงดาบไปข้างหลัง  พาร่างลอยไปบนอากาศ  มือข้างหนึ่งปิดตาจากแสงสีทองเจิดจ้า  แต่ทว่ามีเสียงหัวเราะมาจากข้างหลังที่ทำให้เขาขนลุกชูชัน

“ฮิ ๆ  ท่านหนีข้าไม่พ้นหรอก  ควันพิษห้าบุปผา!”

เมื่อครู่นางใช้ปลายแส้ฉกกับพื้นแล้วดึงร่างตัวเองให้พุ่งใส่ซีคงหยูอย่างรวดเร็ว  เป็นจังหวะที่คุณชายสามลอยขึ้นไปในอากาศพอดี  นางจึงมาปรากฏข้างหลังเขา  ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว   ซีคงหยูทันได้เห็นแต่ควันสีม่วงที่พวยพุ่งเหมือนดอกไม้เบ่งบานจากพื้น

“ฮึ่ม  มังกรกลืนเมฆด้านกลับ!”   ซีคงหยุพลิกแพลงกระบวนดาบอีกตลบ  เงาดาบนับพันทิ่มลงมาจากท้องฟ้า  สยบบุปผาควันม่วงที่กำลังเบ่งบานสยายให้เป็นรูพรุนและถูกทำลายหายไปกับปราณดาบ  ถึงแม้ว่าซีคงหยูจะไม่รู้วิธีใช้ปราณในการต่อสู้ที่ถูกต้อง   แต่พลังปราณระดับเมฆาเคลื่อนคล้อยก็แอบแฝงมากับเพลงอาวุธและสามารถต่อต้านพิษและวิชาเซียนที่ระดับต่ำกว่าได้ไม่มากก็น้อย

 “นับว่ายังมีฝีมืออยู่บ้าง”  นางกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ  จากนั้นดึงแส้กลับมา  ตวัดข้อมือม้วนพันเป็นวงกลมที่พื้นเหมือนสปริงแล้วดีดตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าพ้นเขตการโจมตีของมังกรกลืนเมฆ  ซีคงหยูกำลังจะร่วงลงพื้น  แต่เมื่อเห็นนางขึ้นมาสู้รบปรบมือกลางหาว   เขาก็ใช้หงสาทะลวงใจพุ่งเข้าใส่ดุจพายุลูกหนึ่ง

“ฮ่า ๆ  ท่านติดกับแล้ว  ควันพิษห้าบุปผา!”

นางปล่อยดอกไม้ควันสีม่วงขวางทางโจมตีของหงสาทะลวงใจ   ปลายแส้ก็ฉกพื้นและดึงร่างนางไปทิศทางอื่นพ้นวิถีดาบ

“ฟัค!@”

เขารีบโคจรปราณร่ายวิชาเซียนทะลวงอากาศ  ประกายดาบของเขาหมุนเป็นเกลียว  และซีคงหยูก็ปรากฎตัวที่ด้านหลังดอกไม้โดยไม่ได้รับอันตรายอะไร  เขาหันไปมองดอกไม้อย่างนึกได้

“ควันพิษห้าบุปผา  เจ้าคือคนที่วางยาน้องมู่!”

“ซีคงต้าเกอ  น้องมู่ของท่านคือซ่งมู่ประตูทรราชงั้นหรือ”  นางกล่าวพลางสะบัดแส้โจมตีเขาไปด้วย  ซ่งมู่ไม่ใช่ชนชั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนาม  และนางยังเคยประจันหน้ากับเขา  จึงจำได้

“น้องมู่  ถ้าดวงวิญญาณของเจ้ายังคงอยู่  จงรับรู้ไว้ว่าพี่หยูคนนี้จะล้างแค้นแทนเจ้า!!  ย๊ากกกก!!”

ซ่งมู่ซึ่งยืนดูจอภาพอยู่  เอามือกุมหน้า

“พี่หยู  ข้ายังไม่ตาย..”

เสี่ยวหมีเอามือแปะ ๆ แต่แปะบ่าไม่ถึงเลยแปะได้แค่กลางหลัง

“ฮิ ๆๆ”  ฮู้หลินหัวเราะ  แล้วเป่าผงพิษไปเรื่อย ๆ   ซีคงหยูเริ่มคันมือ  และตัวชา  เหมือนกับพิษอัมพาตที่เขาเจอในเหมืองแรก

ควันพิษและผงพิษหลากสี  ลอยผสมปนเปกันในอากาศในลานประลอง  ซีคงหยูกระโดดถอยออกมา  พื้นที่การโจมตีของเขาถูกบีบให้แคบลงเรื่อย ๆ  เขาเกามือและแขนตัวเองไปมาจนห้อเลือด  พิษที่นางใช้ไม่อันตรายถึงชีวิต  แต่ลดทอนความสามารถในการต่อสู้ได้ชะงัดนัก

คุณชายสามกัดลิ้นตัวเองให้มีสติ  และพยายามมองผ่านม่านหมอกและผงควันว่าฮู้หลินซุ่มโจมตีอยู่ทางไหน   ริ้วควันไหวระดับไปมาตามลมอ่อน ๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเริงร่าในลานประลอง  เสียดายที่วิชาเซียนของเวิ่นเต๋อแกร่งกล้าเกินไป  ลานประลองจึงมีลักษณะเป็นระบบปิด  ลมฝนและหิมะไม่ระคาย

“แม่นางฮู้  เจ้าเอาชนะข้าแบบนี้  จะไม่เสียเกียรติไปหน่อยหรือ”

ฮู้หลินฟังดังนั้นก็ตอบมาจากหมอกควัน  เสียงของนางสะท้อนไปทั่วโดยไม่มีทางรู้ได้ว่านางซ่อนตัวอยู่ตรงไหน

“ซีคงต้าเกอ  ท่านจะไร้เดียงสาไปหน่อยหรือไม่  พิษก็เป็นหนึ่งในเต๋าทั้งสามพัน  ท่านสิไม่รู้สึกเสียเกียรติหรืออย่างไรที่มีพลังพรตระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย  แต่ทำอะไรผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้าไม่ได้”

ซีคงหยูฟังแล้วก็แค่นเสียง  “เจ้าน่ะหรือตัวเล็ก  รอบเอวเจ้าสามสิบสองเห็นจะได้”

“ฮิ ๆๆ  ท่านเคยได้ยินหรือไม่  ถ้าไม่รนหาที่ตาย  ท่านก็ไม่ตาย”   สุ้มเสียงนางมีแววอาฆาต 

ซีคงหยูหันดาบไปมาอย่างตระหนก  เมื่อรู้ตัวว่าละเมิดข้อถือสาของจอมยุทธหญิงเสียแล้ว

“เฮ้  แม่นางฮู้  ข้าขอโทษ  ข้าตาฝาดไป  จริง ๆ เอวเจ้าบางร่างเจ้าก็น้อย  เอวเจ้า 28 แต่สายตาไม่รักดีของข้ามันถั่วไป”

“เอวข้า 24”  ฮู้หลินแค่นเสียงบิดเบือนความจริงอย่างไร้ความละอาย

“24 ก็ 24  ทำไมต้องโมโห”  ซีคงหยูวาดดาบเป็นวงปล่อยปราณดาบออกไปใส่ควันรอบ ๆ  เขาพูดกับนางถ่วงเวลาเพื่อคิดวิธีแก้ไขสถานการณ์

ดูเหมือนว่าฮู้หลินก็จะเพลินที่เห็นเขาเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น  นางเหมือนแมวร้ายที่เฝ้ามองมุสิกในอุ้งมือวิ่งพล่านอย่างเวทนาจนหมดแรง  แล้วนางจะค่อย ๆ เขมือบกินทั้งเป็น ๆ

เมื่อซีคงหยูเห็นว่านางยังไม่โจมตี  เขาจึงสงบใจและเริ่มสังเกตหมอกควันพิษ  มันดูเหมือนเคลื่อนอย่างไม่มีระเบียบแบบแผนทว่าเมื่อมองดูดี ๆ แล้วมันมีลักษณะที่ตายตัวอย่างหนึ่ง  ซีคงหยูใช้ตาจิตระดับเมฆาเคลื่อนคล้อยซูมเข้าไปดูอณูหมอก  ในหมอกมีผงพิษละเอียดเล็ก  มันพุ่งไปมาทางนั้นและทางนี้  เขาสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่อณูแต่ละอณูชนกัน  มันจะเปลี่ยนทิศทางทั้งคู่และเคลื่อนไหวต่อไปตามทิศทางที่เปลี่ยนแปลง  หลักการที่ดูเรียบง่าย  การเคลื่อนที่ที่เรียบง่าย  แต่เมื่อพวกมันมารวมตัวกันอย่างมหาศาลก็ทำให้ดูเป็นความโกลาหล  ไร้ระเบียบ  เหมือนกับว่าพวกมันมีชีวิตและขยายตัวไปเรื่อย ๆ ตามใจปรารถนา ทว่าอันที่จริงแล้ว  มันอยู่ภายใต้แบบแผนง่าย ๆ เท่านั้นเอง

ในวินาทีนั้นเอง  วินาทีที่เข้าใจการเคลื่อนที่ของหมอก  ความกังวลใจที่ล็อกเขาเอาไว้ก็คลี่คลาย

“ไม่มีสิ่งใดที่เคลื่อนที่ด้วยตนเองได้”

เขาพึมพำเบา ๆ

“สิ่งหนึ่งที่เคลื่อนที่เพราะอีกสิ่งที่เคลื่อนที่อยู่ก่อนหน้า”

“ความปรารถนาของสรรพสิ่งที่จริงแล้วจึงไม่ใช่ความปรารถนา”

"เราเข้าใจว่ามันคือความปรารถนาที่เป็นอิสระ  เพราะเรามองเห็นความโกลาหล"

“แต่ทว่าความโกลาหลก็คือระเบียบแบบแผน”

“เข้าใจระเบียบแห่งจักรวาลจึงเข้าใจความปรารถนา..”

ซีคงหยูหลับตาลงไปครู่หนึ่ง   จากนั้นลืมตาขึ้นมา  ในดวงตาเขามีประกายแสงเต๋าพุ่งวาบก่อนจะจมหายไปลงในม่านตาสีดำที่เท็จเทียม

“ฮู้หลิน  จงยอมแพ้ซะ”

“เพ้ย  เจ้าพึมพำอะไร  เพี้ยนไปแล้วหรือไง”

ซีคงหยูไม่ตอบ  เมื่อเห็นนางไม่โจมตี  แต่ก็ไม่ถอยไป  จึงเข้าใจเจตนาว่านางรอให้พิษในร่างเขากำเริบมากกว่านี้จึงจะเข้าใกล้  แต่ในเมื่อเขาบรรลุวิชาหนีในน้ำ  หรือถ้าเรียกให้ถูก..

“ความปรารถนาย้อนกลับ!”

สุ้มเสียงดังกังวานของเขาประกาศนามวิชาเซียน  ดาบวาดวนอย่างเชื่องช้าเหมือนฟาดก้านกล้วยท่ามกลางลมพายุ

อณูของควันพิษทั้งหมดรอบตัวเหมือนกับถูกแช่แข็งค้างในอากาศ  แต่ก็เป็นแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น  จากนั้นมันจึงวิ่งย้อนทิศทางเดิม  กฎการเคลื่อนที่ของมันถูกพลิกกลับหัวกลับหาง  แทนที่มันจะชนกันแล้วกระจายออกไป  มันก็เข้ามารวมตัวกัน  พื้นที่ของควันและหมอกหดลงอย่างรวดเร็ว  แม้กระทั่งฮู้หลินก็ยังประหลาดใจไม่ทัน  และเมื่อนางเตรียมตวัดแส้โจมตี  ซีคงหยูก็เผยอปากและทำเสียงในคอเบา ๆ

“บึ้ม..”

บรึ๊ม!!!

อณูที่อัดแน่นจนถึงขีดสุดของควัน  ทนแรงกดดันต่อไปไม่ไหว  มันระเบิดกระจายไปรอบทิศรอบทาง  ฮู้หลินซึ่งไม่เคยพบวิชาเซียนแบบนี้มาก่อน  รับมือไม่ทัน  นางโดนแรงระเบิดจนกระเซอะกระเซิงเสื้อกระโปรงขาดเป็นริ้ว

“เจ้า!!”

ซีคงหยูหยิบกระบอกไผ่หยกเย็นจากข้างเอวออกมาเปิดจุก  แล้วสาดน้ำใส่นาง  น้ำถูกปราณทำให้กระจายเป็นไอละออง

“ความปรารถนาย้อนกลับ!”

บรึ้ม!!

ไอน้ำควบแน่นแล้วระเบิดเป็นดอกดวงรอบตัวฮู้หลิน  ร่างของนางเอนไปมา  และขาก็เซถอยไปห้าหกก้าว  ที่มุมปากมีเลือดไหลซึม   นางเบิ่งตาจ้องซีคงหยูเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด   นางไม่เคยเห็นวิชาเซียนแบบนี้มาก่อน

“แม่นางฮู้  ข้าให้โอกาสเจ้ายอมแพ้อีกครั้ง”

เขาพูดจบ  แต่ก็พลันสะดุ้ง  เพราะมีเสียงถ่ายทอดผ่านปราณเด้งขึ้นมาในหัว

“ศิษย์ไม่รักดี   เจ้ายังไม่รีบยอมแพ้อีก!”

“ท่านอาจารย์  ท่านจะให้ข้าล้มมวยเรอะ”    คุณชายสามกำหนดจิตให้เป็นเสียงในหัว

“เพ้ย  เขาไม่เรียกล้มมวย  เขาเรียกช่วยกันทำมาหากิน  ยอมแพ้เร็วเข้า  ข้าแทงข้างเจ้าแพ้ไว้ด้วยผลึกวิญญาณเซียนตั้งหลายเม็ด!”

“.....”

ซีคงหยูเหยียดร่างยืนตรงแล้วเหลือกตามองสวรรค์เบื้องบน



++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #31 นักพรตเวิ่น ท่านแทงข้างไหน? (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-09-2017 02:02:36
 :laugh: o13 :laugh:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #31 นักพรตเวิ่น ท่านแทงข้างไหน? (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-09-2017 10:39:31
ดาเฮลอันเดอร์

'จารย์ ทั่นแทงสีข้างกันแบบนี้ ข้าล่ะเพลีย ทีหลังก็บอกกันก่อนเซ่!

ซีคงฉลาดมาก เข้าใจเต๋าแห่งอะตอม (ดีนะที่ขยันเรียนวิทย์ ไม่งั้นฉันคงเอ๋ออีกนาน)
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #31 นักพรตเวิ่น ท่านแทงข้างไหน? (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 29-09-2017 15:08:58
อาจารย์เล่นแทงอะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #31 นักพรตเวิ่น ท่านแทงข้างไหน? (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 30-09-2017 00:55:06
ommanymontra:  สวัสดีสหายเต๋าโอมมณีมนตรา   ข้าน้อยสะกดถูกหรือไม่  *-*

 alternative: แน่ะ  มีคำสบถใหม่  #จดเข้าดิกชันนารี่
เข้าใจถูกล่ะฮะ  แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนที่แบบราวเนี่ยน

wnkth:  จะให้อาจารย์แทงที่ไหนถึงจะดี อิอิ  เปลี่ยนน้องตู้มาแทงดีก่า



++++




“ท่านอาจ๊ารย์  มันผิดกฎนะ  จะให้ข้าล้มมวยได้ยังไง”  ซีคงหยูพูดพลางถอยออกไปห่าง ๆ จากฮู้หลิน   นางมองตามประหลาดใจที่ซีคงหยูไม่ฉวยโอกาสยามกำชัยรีบรุกไล่

“เฮ้อ  ศิษย์ไม่รักดี  คราวก่อนเจ้ายังนัดกันล้มมวยอยู่เลย”

“เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป  ท่านจะมาตัดสินความผิดย้อนหลังย้อนหลังไม่ได้  กฎหมายไม่อนุญาต”

“เพ้ย  มาตราที่ 16 วรรค 8  หากศิษย์สำนักคนใดจงใจบิดเบือนผลการประลอง  มาตรว่าจะพบหลักฐานการกระทำผิดในภายหลังก็จะต้องโทษจำคุกของสำนักตนไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินสามพันตำลึงทอง  หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ซีคงหยูเหงื่อตก   “ท่านอาจารย์  ท่านล้อข้าเล่นใช่มั้ย  กฎแบบนี้มันมีด้วยหรอ”

“ใช่  ข้าล้อเจ้าเล่น  ข้าคิดขึ้นมาสด ๆ ประเดี๋ยวนี้เอง”

ซีคงหยูกำลังจะอ้าปาก  แต่นักพรตเวิ่นเต๋อชิงส่งปราณเสียงมาต่อทันที

“..แต่เดี๋ยวข้าเขียนเพิ่มลงไปในคัมภีร์จารึกกฎ  เฮ่อ ๆ ใครใช้ให้ข้าใหญ่สุดแถวนี้ล่ะ”

“...”

“ฮัลโหล เทส เทส  1..2..3..4”

ปราณเสียงอีกกระแสดังขึ้นมาในหัวของซีคงหยู   เจ้าของหมีดำรู้สึกคุ้น ๆ กับเสียงก่อนจะโพล่งขึ้นมา

“พี่ชายหวาง?”

“โนววว  ข้าคือไป่หลินหลิง  ผู้อาวุโสลมและเมฆ”

“คารวะท่านผู้อาวุโส  ท่านมีอะไรจะชี้แนะ”

“ศิษย์ไม่รักดี  เจ้าทำอะไรอยู่  ทำไมไม่ตอบ”

“ท่านอาจารย์รอสักครู่  มีสายเรียกซ้อน”

“นักพรตเวิ่นเต๋อคงกำลังเรียกให้เจ้ายอมแพ้การประลอง?”

“ผู้อาวุโสไป่ช่างมีปัญญาเทียมฟ้า  หรือพูดสั้น ๆ ท่านรู้ได้ไงวะ”

“ฮี่ ๆ  ความลับ”

“ซีคงหยู   ตกลงเจ้าจะเอายังไงกันแน่”

“แม่นางฮู้  ใจเย็นก่อน  ตอนนี้รถไฟกำลังชนกัน”

“ศิษย์ซีคง  จงรับคำสั่งสำนัก   การประลองครั้งนี้เจ้าต้องชนะเท่านั้น   ถ้าแพ้...ฮี่ ๆ”

“อย่าบอกนะว่าผู้อาวุโสแทงข้างข้าชนะ”

“ตายจริง  โดนจับได้   ตกใจมาก”

“ศิษย์ไม่รักดี  ถ้าเจ้ายอมแพ้การประลอง  ข้าจะให้เจ้าเลือกหนังสือในคอลเลคชั่นข้าหนึ่งเล่ม”  เวิ่นเต๋อเห็นว่าไม้แข็งไม่ได้ก็เริ่มใช้ไม้นวม

“แต่อีกท่านบอกกับข้าว่าจะให้ของที่ดีกว่าอีกนะท่านอาจารย์”  ซีคงหยูได้ทีบลัฟเพิ่มมูลค่า

“เพ้ย  เป็นไปได้ยังไง  ถ้ามีคนส่งปราณเสียงไปหาเจ้า  ข้าต้องรู้สิ”

“วัวเฒ่าผู้นั้น  เขาไม่รู้หรอก”  ไป่หลินหลิงพูดแล้วหัวเราะคิกคัก

ซีคงหยูฟังแล้วเย็นวาบถึงข้อเท้า   ไป่หลินหลิงสามารถสอดแนมการสนทนาของเขากับเวิ่นเต๋อได้ชัด ๆ ขณะที่เวิ่นเต๋อไม่สามารถสอดแนมไป่หลินหลิงได้  เช่นนี้แล้ว..มันแปลว่าอะไร

“ผู้อาวุโสไป่  ข้าจะชนะการประลองนี้ตามที่ท่านขอก็ได้  แต่ท่านจะให้อะไรกับข้า”

“ศิษย์ไม่รักดี  นี่เจ้าคุยกับไป่หลินหลิงอยู่เรอะ”

“ไอ๊หยา!  ข้าพิมพ์ผิดแชนแนล”

“หึหึ  เจ้านี่มันร้ายนักซีคงหยู”   ไป่หลินหลิงรู้ว่าคุณชายสามจงใจ  แต่นั่นทำให้ลักยิ้มที่ข้างแก้มของนางบุ๋มไปกว่าเดิม  ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว  ซีคงหยูได้เปลี่ยนจากสภาวะของไข่ที่ถูกเบียดจากก้องหินสองด้าน  ให้ก้อนหินทั้งสองไปบดกันเอง  แต่ถ้ามิเช่นนั้นนางคงไม่เลือกเขาตั้งแต่แรก

บนยอดเขา  นักพรตเวิ่นเต๋อลืมตาที่หลุบอยู่ประดุจสายฟ้า  ทว่าทันใดนั้น   เขาก็ได้ยินเสียงปราณเสียงของไป่หลินหลิงที่ปรากฏในหัวของซีคงหยู

“เฮ้  ซีคงหยู  ข้าคือผู้อาวุโสไป่  ข้ามีเรื่องอยากจะเจรจา”

ซีคงหยูงุนงงว่าทำไมไป่หลินหลิงจึงแนะนำตัวอีกรอบ  แต่เมื่อนึกได้  เขาจึงพ่นลมหายใจพรืดและเอ่ยปากชม  “ท่านก็ร้ายเหมือนกันผู้อาวุโสไป่”

เวิ่นเต๋อหลุบตาลงอีกที  เขาพบว่าเมื่อครู่เขาโดนซีคงหยูบลัฟจนเชื่อเสียสนิท  หากว่าไม่ได้ยินเสียงปราณของไป่หลินหลิงเมื่อครู่  เขาคงคิดว่านางเป็นยอดคนที่งำประกายลึกล้ำ  และตบตาได้แม้กระทั่งยอดฝีมือระดับดาราเงียบงันขั้นปลาย

เวิ่นเต๋อแอบฟังต่อ

“ข้าแทงเจ้าแพ้เอาไว้  แต่นึกขึ้นได้ว่าเจ้าจะแพ้หรือชนะมันเป็นผลประโยชน์ของสำนัก  ข้าคงไม่อาจหักใจใช้ให้เจ้าทำอะไรที่ขัดกับมโนธรรมเพื่อผลประโยชน์ของตัวข้าได้   เจ้าจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าล่ะกัน”   ไป่หลินหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยแกมเสียดาย  เหมือนกับว่าได้ลงเงินเดิมพันครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดไป  และต้องมองเงินเหล่าจมหาย

ซีคงหยูกัดฟันกรอด  เขาตกในสภาวะไข่กลางหินอีกรอบ  แต่หินก้อนหนึ่งกลายเป็นดาบซุ่มเกาทัณฑ์ซ่อน  แต่ครั้นจะเปิดโปงนักพรตเวิ่นก็คงไม่เชื่อ  เขาหันไปหาฮู้หลินที่ยืนมองเขาเหมือนตัวประหลาด   เพราะซีคงหยูเปลี่ยนสีหน้าไปมาเหมือนกับงิ้วเปลี่ยนหน้ากาก

เขาถอนหายใจแล้วหันไปคารวะอีกฝ่าย

“แม่นางฮู้  เราเสมอกันดีหรือไม่”

“เพ้ย  เจ้าพูดอะไร  ศิษย์วังหมื่นบุปผา  ฆ่าได้หยามไม่ได้”

“ฆ่าได้หยามไม่ได้ที่ดี”  ซีคงหยูสาดน้ำใส่นางแล้วใช้วิชาเซียนอีกครั้ง  "ตายซะ!"

บรึ้ม!!

บรึ้ม!!

บรึ้ม!!


คราวนี้ระเบิดดังติดกันต่อเนื่อง   ร่างของสาวชุดม่วงปลิวกระเด็นไปเจ็ดแปดวา   ก่อนจะสลบไปเพราะแรงระเบิด

“เจ้า!!”   เวิ่นเต๋อโกรธจนหนวดสั่น

“เฮ้อ  ท่านอาจารย์  ขอโทษด้วย  ข้าเผลอบันดาลโทสะ  อาชญากรรมจากการบันดาลโทสะศาลต้องลดโทษให้ใช่มั้ยล่ะ  บ๊ายยย”

ซีคงหยูโบกมือทั้งที่หันหลังให้กับยอดเขาที่พวกผู้อาวุโสเฝ้าดูอยู่   เสียงประดิษฐ์ประกาศชัยชนะของคุณชายสาม  จากนั้นแสงเคลื่อนย้ายฉับพลันก็ห่อหุ้มตัวเขา  และพาร่างเขากลับมายังเมืองจิ้งซานอีกครั้ง


++++++++++


แม้เมื่อการประลองจบลงแล้ว  ปราณเสียงของไป่หลินหลิงก็ยังติดต่อมาอยู่  คราวนี้นางใช้แชนแนลที่เวิ๋นเต๋อจับไม่ได้

“ฮี่ ๆ ทำไมเจ้ากล้าขัดคำสั่งอาจารย์ตนเองล่ะ”

“ผู้อาวุโสไป่  เอ๊ะ  หรือเรียกพี่ชายหวางดี”

“แล้วแต่”

“เฮ้อ  ท่านนี่ลึกลับเสียจริง  คัมภีร์ที่ท่านให้ข้ามา  ข้าเพิ่งรู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน   แม้แต่นักพรตเวิ่นเต๋อก็คงไม่กล้าให้วิชาเซียนระดับนี้แก่ข้า”

“เจ้าจะบอกว่าสำนึกในบุญคุณอย่างงั้นรึซีคงหยู”

“มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม  ข้าโดนท่านช่วงใช้ให้สร้างเรื่องปั่นป่วนในสำนัก  ท่านให้รางวัลข้าก็ชอบธรรมแล้ว  แต่ประเด็นก็คือ  วรยุทธของท่านสูงล้ำกว่านักพรตเวิ่นเต๋อ  ซ้ำคัมภีร์ล้ำค่าเช่นนี้ท่านยังโยนทิ้งได้เหมือนหัวผักกาด  ท่านคือใครกันแน่?”

“ฮี่ ๆ คนสอดรู้สอดเห็นมักจะอายุสั้น  เจ้าไม่รู้หรือไร”

“พี่ชายหวาง  ทั้งหมดที่ข้าจะพูดก็คือ  ถ้าจะต้องล่วงเกินยอดฝีมือที่ลึกลับ  เจ้าเล่ห์  และเต็มไปด้วยไพ่ตายในมืออย่างท่าน  ข้าล่วงเกินอาจารย์ข้าดีกว่า”

“เจ้าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว”

ไป่หลินหลินยืนยันความคิดของซีคงหยู  จากนั้นก็จบการสนทนา

เสี่ยวหมีและซ่งมู่เดินเข้ามาหาพอดี  ซ่งมู่กำลังจะเอ่ยแสดงความยินดี  แต่เห็นหน้ายุ่งยากใจของซีคงหยู  ไม่เหมือนคนที่เพิ่งชนะการประลอง  จึงรีบไต่ถาม

“เกิดอะไรขึ้นหรือพี่หยู”

“ไม่มีอะไร  ว่าแต่เจ้าไม่ประลองชิงเหมืองหรือ”

ซ่งมู่ยักไหล่  “ก็เขาส่งคนอื่นไป  ข้ากับพี่จินรับหน้าที่นำกองซุ่มโจมตีในเมือง   เราจึงไม่ควรไปรับภาระเป็นผู้คุมเหมือง”

“งั้นแย่เลย  พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้ว   ข้าก็ไม่มีโอกาสไปร่วมสนุกกับน้องมู่สิ”

“ฮ่า ๆ มันอันตรายจะตายไป   พี่หยูอยู่ข้างนอกเป็นกำลังใจให้ข้าก็พอแล้ว”

ซ่งมู่พูดพลางส่งสายตาวิบวับ  ซีคงหยูรู้สึกเขินกับสายตาเลยหันไปมองเสี่ยวหมี

“เฮ้  เสี่ยวหมี  เดี๋ยวนี้เจ้าลืมข้าแล้วใช่มั้ย  เห็นติดแหงกอยู่แต่กับน้องมู่ไม่ก็น้องจิน”

“อ๊ออออออออออ”

“หืม  เจ้าว่าไงนะ”

“อ๊ออออออออออ”

“ใช่สิ  ข้ามันจน  ใครจะป๋าเหมือนซ่งจินของเจ้า   กินไปเยอะ ๆ เลยนะขนมน่ะ  กินให้อ้วนเป็นหมีไปเลยนะ”  ซีคงหยูพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ  แต่นึกได้ว่ามันก็เป็นหมีอยู่แล้ว

“ฮ่า ๆ พี่หยู  หมีของท่านก็เหมือนหมีของข้า   พี่จินซื้อขนมเลี้ยงก็ถือเป็นการดูแลกันของคนในครอบครัว”

“หืม  ใครเป็นครอบครัวกับใคร”

ซ่งมู่ฟังเสียงก็สะดุ้งเล็กน้อยแต่ระงับอาการ  แล้วหันไปประสานมือคารวะ

“พี่ใหญ่”

“ซ่งมู่  บังเอิญจริง ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นรับการทักทายแล้วหันไปคุยกับซีคงหยู  “ยินดีด้วยนะอาหยู  ที่บรรลุวิชาเซียนใหม่  ‘ความปรารถนาย้อนกลับ’  ชื่อน่าสนใจ  แต่ออกจะจืดชืดไปหน่อย”

“ถ้าเป็นเจ้าจะเรียกว่าอะไรล่ะน้องอวิ๋น”

“อืม..ก็คงเรียก  น้ำระเบิด  น้ำแตก  น้ำกระจาย   อะไรสักอย่าง”

หลี่โอ๋อวิ๋นพูดด้วยสีหน้านิ่ง  ขณะที่สองหนุ่มทำหน้าพิพักพิพ่วน

หนุ่มหน้าดุพูดต่อ  “อย่างดาบข้าที่เรียกว่าดาบไร้ธุลี  เพราะมันสะอาดมาก  ข้าขัดมันอย่างดี  เช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ  สะอาดกว่ากระบี่ของจ้าวเหรินเจี่ยนอีก”

ซีคงหยูยืนอึ้ง  แค่คำว่า ‘สะอาดกว่าจ้าวเหรินเจี่ยน’ อันร้ายกาจ  ก็ควรแก่การจารึกข้อความนี้ไว้บนป้ายหยกหน้าตำหนักเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว

“พยายามต่อไปนะ  เต๋าแห่งการตั้งชื่อนั้นยากลำบากและยาวไกล  แต่สักวันเจ้าคงทำสำเร็จ”

หลี่โอ๋อวิ๋นตบบ่าอีกฝ่าย  แล้วเดินหายไปในฝูงคน

“วันนี้พี่ใหญ่ดูแปลก ๆ”  ซ่งมู่อุทานเมื่ออีกฝ่ายลับหายไปแล้ว

“ข้าว่าเขาดูแปลกทุกวัน”  ซีคงหยูลูบคางตนเองและมองตามอย่างครุ่นคิด  “แต่วันนี้บางทีเขาอาจจะรู้สึกผิดอะไรบางอย่างแต่ไม่อยากบอกข้าตรง ๆ  เลยมาเล่นมุกหน้าตายสร้างความบันเทิงให้ข้าเป็นการไถ่โทษ”

“พี่หยูคิดอะไรซับซ้อนจริง ๆ”

“ฮี่ ๆ  น้องมู่  เจ้ายังเห็นโลกมาไม่พอ  หลี่โอ๋อวิ๋นที่เจ้ารู้จัก  อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นจริง ๆ”

ซ่งมู่ทำหน้างงเล็กน้อย   ก่อนนึกขึ้นได้ว่าพี่ใหญ่ของตนก็น่าจะระแคะระคายเรื่องเขากับพี่หยู   ตามนิสัยถือดีของพี่ใหญ่แล้ว  มีหรือจะปล่อยให้เขาคอยแทะเล็มขนมในกล่องของอีกฝ่ายได้  เขาลอบมองหน้ายิ้มกระหยิ่มของซีคงหยูด้วยความเศร้าในเบื้องลึกของหัวใจ  พี่หยูของเขาดูเข้าอกเข้าใจศิษย์พี่ใหญ่ดีกว่าทุก ๆ คน  ถ้าพี่หยูลึกซึ้งถึงหัวใจมนุษย์  ไฉนเขาจึงไม่ชายตาแลเห็นความอัดอั้นใจและความปรารถนาอันรุ่มร้อนจนเกินจะทนของน้องมู่คนนี้เล่า





++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #32 บันดาลโทสะ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 30-09-2017 01:35:51
อวิ๋น เป็นคนยังไงกันแน่ สรุปนายชอบซีคงหยูจริงๆเหรอ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #32 บันดาลโทสะ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-09-2017 05:05:28
ปล่อยให้ผ่านไปๆ ไม่เข้ามาดู เพราะเข้าใจว่าเป็นตอนเก่า 32 บันดาลโทสะ  (วันที่ 26/9)
ปรากฎว่าไรท์ ลืมเปลี่ยนวันที่ตอนอัพใหม่
แหะๆ คนอ่านไม่ได้จำตอน ดูแต่วันที่ เริ่มเป็นอัลไง
ทำเอางงๆ ว่าทำไมนานละนะ ที่ไรท์ไม่มาลง

หยู สุดยอด ตีความ ทำความเข้าใจเต๋าได้กระจ่างแจ้ง
ความปรารถนาย้อนกลับ เจ๋งงงงงง  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
น่าเข้าใจยิ่งกว่าอาจารย์ตัวเองซะละมั้ง
เต๋าก็มีกฎของการโกลาหล
ทำให้นึกถึงสถาบันสถาปนาเลย ยอดมากกกกกกกกกก

แม้......อาจารย์เวิ่นเต๋อ ร้ายกาจ OMG
ไหนใครว่าเป็นนักพรต ไม่ชำนาญทางโลก ดูแล้วช่ำชอง ทั้งยังหน้าเงินด้วย
ทั้งจากการขายหนังสือ ทั้งการพนัน ฮี่ๆ
ใครจะคิดว่าอาจารย์จะพนันให้ศิษย์ตัวเองแพ้ซะเอง

แล้วผู้อาวุโสไป๋ ก็พนันให้ชนะ ช่างสวนทางกันซะจริง
มันต้องชนะอย่างเดียว เห็นควรด้วย

โอ๋อวิ๋น ดูแปลกๆไปจริงๆ แต่หยูเข้าใจโอ๋ อีกแน่ะ
แบบหลี่โอ๋อวิ๋นที่รู้จัก  อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นจริง ลึกซึ้งจริงๆ

โอ๋ ชำนาญการตั้งชื่อแบบติดเรทนะ เอิ่มมม......น้ำระเบิดงี้ น้ำแตกงี้ น้ำกระจายงี้ อะจ๊ากกกกก

หยู ไม่ธรรมดาและ ยิ่งกว่าได้กินบัวหิมะพันปี โสมวิญญาณซะอีก เพราะมาจากตัวเองล้วนๆ
มู่ มองหยูได้ลึกขึ้นเพราะหยู ไม่ธรรมดา อ๊ะๆ ไม่ธรรมดา......♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #32 บันดาลโทสะ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 30-09-2017 17:27:54
เรื่องนี้มีผู้เชี่่ยวชาญการเงินเยอะจัง หุๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #32 บันดาลโทสะ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-09-2017 20:10:18
ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกต้องรู้จักถอนโคนหนีขึ้นไปขี่คอช้างที่ได้เปรียบ

ปรบมือเปาะแปะให้ความหยู ที่รู้อยู่รู้เอาตัวรอด

'จารย์เวิ่น สนามนี้ท่านพลาดแล้ว ...เอาจริง ๆ พลาดตั้งแต่รับหยูเป็นศิษย์แล้วล่ะ

น้องมู่นี่ยังมีเงาหัวอยู่ไหม?

ไหนมาส่องหัวนมน้องตู้ดูสิ

อ้าว...ไม่เกี่ยวกันเหรอ ว้า!
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #32 บันดาลโทสะ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 30-09-2017 20:58:10
ทายได้เพราะซ่งมู่น่าจะไม่เขียนแบบนั้น ซ่งจิ่นที่โผล่มาอย่างมีน้ำโหตอนอีกฝ่ายเกี้ยวเสี่ยวหมีจึงเป็นไปได้มากที่สุดค่ะ!

มาตอนนี้กันดีกว่า โถ่ท่านอาจารย์ นี่คือผลจากการไม่เชื่อมั่นในตัวศิษย์ตัวเองไงล่ะคะ!  (แต่เป็นเราก็ไม่เชื่อว่าพี่หยูจะชนะ5555)
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #32 บันดาลโทสะ (วันที่ 26/9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 01-10-2017 12:44:31
korinasai:  นั่นสิ ๆๆๆ  *-*

♥►MAGNOLIA◄♥: วันที่เขียนคือ  ทานยานอนหลับเข้าไปครับ   ฤทธิ์ยาออกเต็มที่ตอนเขียนจบ  เลยลืม 5555+

อ่านสถาบันสถาปนาด้วยหรอครับ  คิดถึงจังเลย  อยากกลับไปอ่านอีกรอบ

ทุกคนคิดว่าศิษย์นักพรตเวิ่นต้องเก่งกาจมีพรวสรรค์  แต่ที่ไหนได้  ได้ีเพราะหมีช่วย  เย๊ย  ได้ดีเพราะวิชาเซียนที่ไป่หลินหลิงให้

wnkth:  ฮ่า ๆ  มีจ้าวเหรินเจี่ยน  นักพรตเวิ่น  ล่ะใครอีกดี

alternative:  ถ้าหญ้าแพรกไปขึ้นหัวหลี่โอ๋อวิ๋น  ต้องเรียกว่า  หญ้าแพรก on top!!

น้องมู่ยังมีชีวิตอยู่ดีครับ   อยู่ให้เรือฝั่ง อวิ๋นxหยู ระคายใจเล่น ๆ ไปอีกนาน

JustWait: ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง  *-*
จริง   คนเขียนยังไม่เชื่อเลย  5555+
วิชาพิษนี่รับมือยากจะตาย


+++++++



การประลองลานที่ 13 จบสิ้นลง  โพยไม้ไผ่ในมือของนักพนันทุกคนจึงแสดงรายชื่อของผู้แพ้และชนะและจำนวนที่แทง   ตู้ถงเทียนยิ้มกระหยิ่มเพราะรู้ว่าตนแทงข้างที่ถูกต้อง   เขาสำรวจเงินเดิมพันที่จะได้และรายชื่อของคนแทง  จากนั้นอุทานอย่างประหลาดใจ

“ท่านนักพรตเวิ่น  ท่านไม่ได้แทงข้างซีคงหยูชนะงั้นรึ?”

เวิ่นเต๋อถอนหายใจเล็กน้อย  ถึงแม้ว่าจะเสียผลึกวิญญาณเซียนไปหลายเม็ด  แต่จิ้งจอกเฒ่าอย่างเขามีหรือจะแสดงอาการให้คนอื่นรู้

“เฮ่อ  นักพรตผู้นี้ไม่นึกว่าศิษย์ไม่รักดีของข้าจะมีท่าไม้ตาย”  เขาเผยอเปลือกตาขึ้นอีกเล็กน้อยและเหลือบแลไปทางผู้อาวุโสแห่งวารีพิสุทธิ์  “ดูท่า  ผู้อาวุโสไป่จะรู้ดีกว่าข้าเสียอีก”

ไป่หลินหลิงยิ้ม  เคาะพัดกับมืออีกข้าง   “ท่านนักพรตกล่าวผิดแล้ว  ข้าก็แทงข้างที่เขาแพ้” 

เวิ่นเต๋อและคนอื่น ๆ สำรวจดูก็พบว่าไป่หลินหลิงแทงข้างซีคงหยูแพ้จริง ๆ ที่ 10 ตำลึงทอง   เพราะจำนวนเดิมพันของนางต่ำมาก  รายชื่อจึงอยู่อันดับท้าย ๆ  ยากที่จะสังเกตเห็นในแวบแรก

“10 ตำลึงทอง?”   ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตทำหน้าฉงน

“ข้าแทงพอเป็นพิธี  ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเจ้ามือ   ฮี่ ๆ”

ขณะที่ทุกคนสนใจไป่หลินหลิง  เยว่หนานอิ๋งก็เอาคัมภีร์โพยไม้ไผ่บังปากตนเองที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง  นางเป็นนอมินีให้ไป่หลินหลิง   เพราะอีกฝ่ายรับประกันว่าซีคงหยูจะต้องชนะการประลองแน่นอน

เมื่อทราบว่าไป่หลินหลิงก็พนันข้างเดียวกับตน  เวิ่นเต๋อจึงหลุบตา  แล้วดีดนิ้วให้ผลึกวิญญาณเซียนที่เดิมพันพุ่งเข้าไปมอบให้กับเจ้าของเสื้อคลุมคุนเผิง


+++++



“น้องมู่ส่งข้าแค่นี้ก็ได้”

คุณชายสามกล่าวกับหนุ่มร่างสูงที่เดินตามมาถึงหน้าค่ายวารีพิสุทธิ์

ซ่งมู่ยิ้มเล็กน้อยและเกาข้างแก้มของตนที่มีตอเคราตื้น ๆ สีเขียว

“พี่หยู..ถ้าท่านไม่มีอะไรทำ  ก็แวะมาหาข้าได้นะ”

“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ค่อยว่างไง”

ซีคงหยูยังจำได้ว่าตอนขอให้สอนวิชาเพิ่มซ่งมู่แก้ตัวไปอย่างงั้น

“ฮ่า ๆ  แต่ก่อนข้าขยัน  พยายามทำงานเพื่อสำนัก   แต่ช่วงนี้เบื่อ ๆ  เลยอู้เสียหน่อย”

“เฮ้  เจ้าจะขี้เกียจไม่ได้  เดี๋ยวน้องอวิ๋นว่าข้าทำให้เจ้าเสียคน”

ซ่งมู่ใช้มือขวาจับหลังศีรษะตนเองแล้วหัวเราะ  “ฮ่า ๆ  ว่าแต่พี่หยูจะทำอะไรต่อล่ะเย็นนี้”

“อืม...ข้าอยากลองไปบำเพ็ญพรตในเหมือง  เพื่อขุดแร่วิญญาณเซียน  บางทีอาจจะโชคดีก็ได้”

“ฟังดูน่าสนใจ  พี่หยูต้องโชคดีได้แร่ดี ๆ แน่ ๆ”

“ขอบใจ  งั้นข้าไปล่ะ”

เมื่อซีคงหยูจะก้าวเท้ากลับเข้าไปในค่าย  มือที่แข็งแรงและมีรอยด้านจากการฝึกดาบนับพันนับหมื่นครั้ง  ก็รีบมาคว้ามือเขาเอาไว้

“พี่หยู...”

คุณชายสามได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองหนุ่มรุ่นน้อง  และเลิกคิ้วเล็กน้อยรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“..วันพรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว  ที่เราจะได้เจอกัน”

ซีคงหยูฟังแล้วก็ถอนหายใจ   “เฮ้อ  ใช่  การประลองชิงเหมืองครั้งนี้  เป็นกิจกรรมที่ข้ารู้สึกสนุกที่สุดในชีวิตเหมือนกัน  แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดในต่ำใต้ที่ไม่เลิกรา”

“พี่หยู  จบจากนี้แล้ว  ท่านย้ายมาประตูทรราชดีหรือไม่”

หญิงลี่กับหญิงซูที่ยืนเฝ้าหน้าประตูค่ายรีบกระแอม  ซ่งมู่มาบ่อยจนพวกนางจำหน้าได้หญิงลี่จึงเรียกชื่อ   “จอมยุทธซ่ง...ท่านจะขุดแงะเอาศิษย์สำนักเราไปซึ่ง ๆ หน้าอย่างนี้ไม่ได้”   

“ใช่ ๆ อย่างน้อยต้องมีสินสอดทองหมั้น”  หญิงซูกล่าวเสริม

“เฮอะ  ศิษย์ระดับเมฆาเคลื่อนคล้อยไม่ใช่ของที่เจ้านึกจะพาตัวไปก็พาไป”  หญิงลี่แค่นเสียง

ซีคงหยูดึงมือจากที่ซ่งมู่จับไว้  แล้วหันไปประสานมือคารวะ

“ศิษย์พี่หญิงทั้งสอง  ข้ายังไม่ไปไหนหรอกน่า”

ซ่งมู่ยิ้มเขิน ๆ เมื่อเห็นทหารหญิงที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นไม้  ขยับตัวทีก็ส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่

หญิงซูขยิบตาให้กับเขา  “หนุ่มน้อย  เจ้าไม่รู้หรือไงว่ามันต้องอาศัยบรรยากาศที่สงบกว่านี้”

“ฮ่า ๆ”  ซ่งมู่ได้แต่หัวเราะ   ทำไมเขาจะไม่คิด  ตลอดทางที่เดินจากในเมืองเขาร่ำจะอ้าปากตั้งหลายครั้ง  แต่เพิ่งรวบรวมความกล้าได้เมื่อครู่

“พี่หยู  ไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้นะ”

ซ่งมู่บอกลาแล้วโบกมือ  ขณะที่ซีคงหยูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม   คุณชายสามพาเสี่ยวหมีกลับเข้าไป   และเมื่อเดินลับตา  หญิงซูก็รีบสะกิดสหาย

“นี่เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือเปล่า”

“ข้าไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”   หญิงลี่พูดห้วน ๆ


+++++


ซีคงหยูไปพบกับศิษย์พี่หญิงสวี  ผู้คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ในค่าย

“ศิษย์น้องซีคงอยากลงไปขุดแร่อย่างงั้นหรือ”

“ใช่แล้วศิษย์พี่หญิง  ไม่ทราบว่าข้าต้องทำไงบ้าง”

หญิงสวีเปิดลิ้นชักโต๊ะ  และหยิบเอาแท่งหยกบันทึกวิชาจากในกล่องที่มีแท่งหยกแบบเดียวกันหลายสิบแท่ง  จากนั้นนางก็ยื่นส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“นี่คือวิชาเซียนสำหรับดึงดูดพลังงานของมิติที่ถูกย่อยสลายให้มาก่อรูปเป็นผลึกวิญญาณเซียน”

“โอ้..”

“จริง ๆ ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องมาลองไปขุดเหมืองนานแล้ว  แต่ไม่อยากรบกวนเวลาฝึกวิชา”

“ทำไมหรือศิษย์พี่หญิง”

“วิชาเซียนขุดแร่  พัฒนาจากวิชาเซียนสายเทศะ  ถ้าผู้มีพรสวรรค์ด้าน [เทศะ] ใช้มัน  ผลลัพธ์จะเพิ่มขึ้นทวีคูณ”

ซีคงหยูคิดตามแล้วก็ไม่แปลกใจ  เพราะประตูมิติที่ปลายเหมืองรวมทั้งดินแดนลี้ลับทั้งหมดดูจะเกี่ยวข้องกับเทศะเป็นอย่างยิ่ง

“แล้วศิษย์น้องจะไปเหมืองไหน  ข้าจะได้จัดคนถูก”

“ข้าคิดว่าจะลงเหมืองที่ข้าคุมอยู่  เหมืองที่ 13”

หญิงสวีพยักหน้า  เขียนบันทึก  จากนั้นให้คำแนะนำจิปาถะแก่อีกฝ่าย  ก่อนจะปล่อยตัวไป

เมื่อซีคงหยูเดินออกจากห้องชั้นในของศาลเจ้า  เขาก็เห็นจางชุ่ยฮัวยืนสนทนากับคนที่หายหน้าไปนานอยู่  ทั้งคู่เหลือบสังเกตเห็นเขา  จางชุ่ยฮัวมองเขานิดนึง  นางจะยิ้มก็ไม่จะบึ้งก็ไม่เชิง  สีหน้าเหมือนพันพัวสับสนว่าควรจะทำอย่างไรกับซีคงหยูดี

ในแง่หนึ่ง  ซีคงหยูเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เชื่อมต่อกับประตูทรราช  แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้พยายามต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของสำนัก    ทว่าในเมื่อเขาบรรลุระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย  ซึ่งทำให้เมื่อกลับไปยังสำนักวารีพิสุทธิ์  เขาจะได้กลายเป็นศิษย์ชั้นในแน่ ๆ  ขณะที่นางก็ยังไม่รู้เลยว่าตนจะถูกคัดแยกให้เป็นศิษย์ระดับไหน  จางชุ่ยฮัวจึงมีอารมณ์ผสมผเส  เพราะจะกล่าวตำหนิก็ไม่ได้  จะกล่าวพินอบพิเทาก็ไม่อยาก

“หลิวเกา!”  ซีคงหยูร้องเรียกพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 

“ฮ่า ๆ  นายน้อย  สบายดีเรอะ”

“สบายดีมากกกกก  ข้าโดนฟ้าผ่าหัว  วิ่งหกลุกคลุกคลาน  เจอหมอกเบื่อควันพิษ  เจ้าว่าข้าจะสบายดีกว่านี้ได้หรือไม่”

หลิวเการีบวิ่งเข้ามาแล้วถูมือไปมา  “ยินดีด้วยนายน้อยที่บรรลุเขตแดนเมฆาลอยเลื่อน  ซ้ำยังเอาชนะการประลองได้  ฮู้เร้  เอ้า  เชียร์ให้นายน้อยหนึ่งที”

“อ๊อออออออออออ”

“ฮึ่ม  นับว่าเจ้ายังรู้ดีรู้ชั่ว  แล้วเจ้าหายไปไหนมา”

“โอ้  ข้าก็ลองปล่อยให้นายน้อยเผชิญโลกกว้างดูบ้าง   ดูสิ  ได้ผลมาก ๆ  ท่านหายขี้เกียจแล้วเห็นมั้ย”

ตอนนั้นเองศิษย์น้องจิ่งก็ชะโงกมาจากประตูศาลเจ้า

“ศิษย์พี่หลิว   วันนี้เราไปจับผีเสื้อกันอีกนะ”

ซีคงหยูฟังแล้วมุมปากกระตุก  “ดีมาก   ดีจริง ๆ  เจ้าช่างปรารถนาดีกับข้าจริง ๆ หลิวเกา  อื้อฮึ   อยากให้ข้าเผชิญโลก  แล้วเจ้าทำอะไร  ไล่จับผีเสื้อ  หืม...”   ซีคงหยูเดินวนไปรอบ ๆ อีกฝ่ายและใช้สายตาทิ่มแทงทุกองศา

“หยุดนะ  สหายซีคง!  เจ้าจะทำอะไรศิษย์พี่หลิวอีก”

ศิษย์น้องจิ่งวิ่งปุเลง ๆ มาสวนกับจางชุ่ยฮัวที่เดินออกไป

“สหายจิ่ง  นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“ไม่ใช่เรื่องของข้าอะไรกันล่ะ  เจ้าพาดพิงข้าอยู่ชัด ๆ หาว่าข้าพาศิษย์พี่หลิวเที่ยวเล่นใช่มั้ย  เจ้านี่มันไม่รู้อะไรเลยสหายซีคง  ยูโนว์นอตทิง!”

“เห  เจ้าหมายความว่ายังไง”

“ที่เหมือง 21 มีอสูรผีเสื้อมายา  ผงที่ปีกมันเอาไปใช้ทำยาเซียนธาตุดินได้  หนวดและขารวมทั้งกระเปาะท้องมีค่าทั้งสิ้น  ส่วนแกนอสูรของมันไม่ต้องพูดถึง  ไม่เพียงเท่านั้น  ถ้าเจ้าจับมันได้เป็น ๆ จะสามารถส่งขายให้ตำหนักอาคันตุกะแดนไกล  หรือสำนักโอสถที่ต้องการทดลองยาได้”

ศิษย์น้องจิ่งอธิบายรวดเดียวแทบลืมหายใจ

“เชอะ  แต่ยังไงข้าก็น้อยใจอยู่ดี   นี่เจ้าเห็นผีเสื้อดีกว่าข้าหรอหลิวเกา”

เมื่อเห็นคุณชายสามกอดอกทำหน้าตะแบง   หลิวเกาก็รู้แล้วว่าตอนนี้ไม่ว่าเกลือหรือน้ำมันก็ซึมผ่านซีคงหยูไม่ได้

“แหะแหะ  นายน้อย  ข้าเห็นนายน้อยดีกว่าผีเสื้ออยู่แล้ว”

“แล้วเจ้าเห็นใครดีกว่าข้าล่ะ  ยัยหมาจูหรอ”

“ไม่ใช่เลยนายน้อย  ที่ดีกว่านายน้อยก็เสี่ยวหมียังไงล่ะ”

“อ๊ออออออออ”

“ดีมาก  เสี่ยวหมี  ดีมาก ๆ”   ซีคงหยูแค้นจนฉีกยิ้มกว้าง  “พวกเจ้าสองคนสมคบคิดกันตลอด  งั้นก็ไปด้วยกันให้หมดเลยนะ  ข้าจะหนีไปเหมือง 13 คนเดียว”

พูดแล้วก็สะบัดแขนเสื้อจากไปทิ้งให้เสี่ยวหมีมองตามตาละห้อย

หลิวเกายิ้มส่ายหน้านิด ๆ

“ทำไมสหายซีคงเอาแต่ใจตัวเองจัง”

เมื่อฟังเช่นนั้นหลิวเกาจึงแก้ต่างให้นายน้อยของตน

“เขาแค่เสียหน้า  ไม่อยากยอมรับว่าเข้าใจผิด  เลยแกล้งโวยวาย”

“เด็กจริง ๆ”  ศิษย์น้องจิ่งพูดอย่างดูหมิ่น

“อย่างน้อยเขาก็ให้เสี่ยวหมีเราไว้นะ”  หลิวเกาบอกแล้วตบคอเสี่ยวหมีที่หันมามองและร้องอ๊อเบา ๆ

“เอ๋..”

“เจ้าลองใช้ตาจิตมองระดับพลังพรตของเสี่ยวหมีสิ”

ศิษย์น้องจิ่งทำตาม  และอุทานอย่างประหลาดใจ


++++++++



ที่โต๊ะทำงานในห้องบัญชาการประตูทรราช  ชายหนุ่มเจ้าของห้องนั่งอยู่หลังโต๊ะ  มือทั้งสองข้างของเขาวางอยู่บนโต๊ะ  ให้ข้อศอกรองรับน้ำหนัก  คิ้วที่เข้มและคมกริบดุจดาบกระบี่ขดโค้งเล็กน้อยตรงปลายด้านหัวคิ้วดูคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  ดวงตาอันคมชัดเนื่องจากขนตาอันเรียงตัวกันเป็นระเบียบอย่างพอเหมาะก็กำลังมองไปในอากาศธาตุข้างหน้า  แต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของเขา  มันมีความคิด  มันมีความพิเคราะห์พิจารณา  ทว่าไม่มีสรรพชีวิตในใต้หล้าอยู่ในนั้น  มันเหมือนกับสายตาของจักรพรรดิที่ทอดมองลงไปยังพสกนิกรซึ่งเขาจะปกครองโดยเท่าเทียมกันโดยไร้เมตตาและอารมณ์

เขารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีคนเดินเข้ามาใกล้

“พี่ใหญ่  ข้าเรียกท่านสองครั้งแล้ว”

ชายเสื้อเขียวผู้สะพายดาบตะขอเขี้ยวสูบโลหิตกล่าวด้วยสีหน้าแสดงความกังวลเล็กน้อย

“กวนหนิง  มีอะไรรึ”

“สายรายงานว่า  วังหมื่นบุปผากับอำพันโบราณจะลอบเข้าเหมือง 17 ในตอนหัวค่ำ”

“ดี  เจ้ารู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง”

“รับทราบ  ว่าแต่พี่ใหญ่  ท่านมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่า”

หลี่โอ๋อวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ตวัดตาอันคมปลาบไปจ้องมองอีกฝ่ายซึ่งเม้มปากและรีบพูดต่อ

“ขอโทษด้วยพี่ใหญ่  ข้ายุ่งมากไปเอง”

“กวนหนิง”

“ขอรับ  พี่ใหญ่”

“ถ้าเจ้าต้องเลือกระหว่างสำนักกับ...”  เขาทอดเสียงไปเล็กน้อยอย่างลังเล  “..สหาย  เจ้าจะเลือกอย่างไหน”

กวนหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามกลับ  “เป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรือไม่?”

“ไม่”

“ขออภัยด้วยพี่ใหญ่  ถ้าเช่นนั้น  ข้าคงเลือกสำนัก”

“หมายความว่า  ถ้าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย  เจ้าเลือกสหายงั้นรึ”

“ถูกต้องแล้ว  นั่นแหละที่ข้าขออภัย”  กวนหนิงพูดแล้วก็ก้มศีรษะ

“ข้าอยากรู้ว่า  เพราะเหตุใด”

“สำนักต้องการท่าที  ท่านต้องแสดงออกในเวลาที่สมควรว่ายืนข้างสำนัก  แต่สหายต้องการความจริงใจ  และความจริงใจที่แท้จริงคือความจริงใจที่มายามจำเป็น  ถ้าท่านจะต้องแสดงท่าทีทุกครั้งว่าท่านยืนข้างเขา  เขาถึงจะรู้ว่าท่านเป็นสหาย  นั่นไม่ควรเรียกว่าสหาย”

“อืม...”  หลี่โอ๋อวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่ง  ก่อนโบกมือเล็กน้อย  “เจ้าออกไปได้”

กวนหนิงประสานมือคารวะอีกที  แล้วโค้งร่างถอยออกไป




+++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #33 หลิวเกา เจ้าหายไปไหนมา (วันที่ 1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 01-10-2017 13:33:46
ยังไงก็ชอบน้องมู่ เสี่ยวหมีก็ชอบแพ็ค1แถม1นี้ อิอิ

หลิวกังหายไปนานจนลืมเลย รอบหน้าเสี่ยวหมีโชว์ใช่ปะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #33 หลิวเกา เจ้าหายไปไหนมา (วันที่ 1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 01-10-2017 14:07:43
รอติดตาม
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #33 หลิวเกา เจ้าหายไปไหนมา (วันที่ 1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-10-2017 17:19:50
โอ๊ะโย้โหย เสี่ยวหมีบำเพ็ญพรตจนได้ขั้นไหนกันนะ   o22
ทั้งหยู ทั้งเสี่ยวหมี ก้าวหน้ากันพรวดๆเลย
อ๊าาาาาา..............เสี่ยวหมีเป็นพระเอก แล้วอยู่ในรูปแปลงกาย อ๊อออออออออออออ

มู่ จริงจังกับหยู อยากสารภาพรักกับหยูใช่ป่ะ

หยู จะเปลี่ยนใจไปล่าผีเสื้อแทนหรือเปล่า ดูทุกส่วนใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น

โอ๋ หน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะเรื่องของมู่ หรือหยู กันนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #33 หลิวเกา เจ้าหายไปไหนมา (วันที่ 1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-10-2017 20:53:51
หลิวเกา เจ้าหายไปมีแต่ผู้มาหลีซีคง!

ทำดีมาก!
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 01-10-2017 22:08:18


NuTonKaw:  ฮ่า ๆๆ  จริง ๆ ซ่งจินก็แอบน่ารักเนาะ

wnkth: ฮี่ ๆ แต๊งกิ้วที่แวะไปเยี่ยมในเด็กดี  *-*

♥►MAGNOLIA◄♥: ขั้นเดียวกะอาหยูนั่นแหละ  ไม่ใช่ความลับอะไร
เสี่ยวหมีจะบำเพ็ยพรตสำเร็จวิชาเซียนแปลงร่างเป็นหนุ่มรูปงามได้หรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป
มู่อาจจะแค่อยากขอยืมตังหยูก็ได้นะ  เลยลังเลซะนาน

alternative:  จริง ๆ หลิวเกาคิดในใจ   ข้าไม่อยากเป็น กขค นายน้อยยยย


+++++



ซีคงหยูไต่หน้าผาขึ้นไปยังประตูดินแดนลี้ลับที่ต้องการ  เขารู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น  และเมื่อเขาคว้าจับแง่งหินก็รู้สึกเหมือนกับว่าจะไม่ตกลงลงไปง่าย ๆ  เมื่อไต่ขึ้นมาถึงปากทางเข้า  คุณชายสามก็ถลกแขนเสื้อดูกล้ามแขนตนเอง

“อื้ม  ไม่เห็นเพิ่มขึ้นมาเลยนี่หว่า  ฮี่โด่  นึกว่าอัพเลเวลแล้วจะหุ่นดีเหมือนน้องมู่กะน้องอวิ๋นซะอีก”

พึมพำสักพักก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นแต่ซ่งมู่ถอดเสื้อ  แต่ยังไม่เคยเห็นของหลี่โอ๋อวิ๋นนี่หว่า  เพ้ย  แล้วทำไมข้าต้องนึกถึงไอ้น้องอวิ๋นตอนเปลือยท่อนบนด้วยฟระ

เมื่อสะบัดหน้าไล่ความคิดเสร็จ  ซีคงหยูก็กระชับห่อผ้าสะพายหลัง  ยกมุกเซียนส่องแสงในมือชูขึ้นและก้าวเดินไปตามเส้นทางของเหมืองอย่างมั่นใจ

ใช้เวลาไม่นาน  ซีคงหยูก็เดินมาถึงเขตแดนมิติ  และท้องฟ้าดาราราย  ชาวยุทธซึ่งรับจ้างสำนักวารีพิสุทธิ์นั่งขัดสมาธิร่ายวิชเซียนสำหรับขุดแร่ซ้ำไปซ้ำมา  มีหลายคนที่สังเกตเห็นการมาของผู้มามาใหม่  แต่เมื่อกุญแจเหมืองไม่ส่งเสียงเตือนก็แสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน  พวกเขาจึงแค่พยักหน้าน้อย ๆ หรือมิเช่นนั้นก็หลับตาลงไปใหม่  และบางคนก็ไม่สนใจ  เพราะผู้คนไป ๆ มา ๆ  ชาวยุทธบางคนพบว่าบางวันพวกเขาจะสกัดแร่ได้ช้ากว่าปกติ  หรือได้แร่คุณภาพต่ำกว่าปกติ  และบางวันก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม  พวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถหรือออกไปนอกเหมืองเพื่อให้ช่วงที่โชคร้ายผ่านไป

ซีคงหยูจับจองที่นั่ง  ปัดฝุ่นบนพื้น   แต่ไม่ทันที่เขาจะได้นั่ง  ก็มีเสียงทักทาย

“ซีคงหยู  ไม่เจอกันนานทีเดียว”

น่ำเก็งกงจื่อผู้จืดจางเอ่ยทัก

“อ้อ  ใช่ ๆ  ว่าแต่เจ้าคือใคร”

“เพ้ย  เจ้าลืมคุณชายน่ำเก็งคนนี้ได้ยังไง  ไหนว่าเจ้ากดฟอลโลว์ข้าในแผ่นหยกสื่อสารแล้วไง”

ซีคงหยูนึกอยู่พักหนึ่งแล้วชี้หน้าอย่างนึกขึ้นได้  “อ้ออออ  เจ้านี่เอง  เจ้าของหอนางโลมในเมืองติ่งเฟิ่ง”

คุณชายน่ำเก็งทำหน้าปั้นยาก  “กิจการบ้านข้ามีตั้งหลายอย่าง  ไฉนมาเน้นเรื่องนี้”

“ฮี่ ๆ  บุคลิกของคุณชายน่ำเก็งดูรุ่มรวยสำราญ  เหมือนดั่งเทพบุตรที่เดินเด็ดดอมบุปผาในสวน  ท่านย่อมควรคู่กับกิจการที่เต็มไปด้วยโฉมสะคราญบานสะพรั่งประดุจดอกไม้”

เมื่อฟังคำเยินยอ  น่ำเก็งกงจื่อก็โบกพัดหยกอย่างอิ่มเอมใจ

“ว่าแต่  เฮ้  ท่านมีกิจการร้านขายหนังสือหรือไม่”

“เอ๋  หนังสือหรือ  ข้ามีร้านสรรพวิชาในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วอาณาจักรวายุกระซิบ  เจ้าอยากได้หนังสืออะไรล่ะ”

“หามิได้  หามิได้  ข้าจะฝากหนังสือไปขายต่างหาก”   

“ซีคงหยู  เจ้าเขียนหนังสือด้วยเรอะ”

“ฮ่า ๆ คุณชายน่ำเก็งเข้าใจผิดแล้ว  หนังสือนี้เป็นของอาจารย์ข้า  นักพรตเวิ่นเต๋อ  ราชบัณฑิตชั้นเก้าแห่งอาณาจักรวายุกระซิบ”

น่ำเก็งกงจื่อได้ฟังดังนั้นก็ตกใจอยู่ครึ่งค่อนวัน  “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

“หนังสือของนักพรตเวิ่นเต๋อ  ราชบัณฑิตชั้นเก้าแห่งอาณาจักรวายุกระซิบ”

“ไม่ใช่  ก่อนหน้านั้น...เจ้าพูดว่า  อาจารย์ของเจ้าอย่างงั้นรึ”   คุณชายรูปงามครางด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสุด ๆ  เขาไม่ได้ออกไปนอกเหมืองเลยไม่รู้คราวคราวความเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างละเอียด

ซีคงหยูพยักหน้า  เขาควรจะรู้สึกภูมิใจสินะ  แต่กลับปวดตับอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วเจ้าไม่มีเงินอย่างงั้นรึ  ถึงหันมาเอาดีด้านขายหนังสือ”

“เฮ่อ  เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว  คุณชายน่ำเก็งคงไม่รู้ว่าข้าได้ล่วงเกินอาจารย์ข้า  และต้องหาวิธีทำให้ท่านอาจารย์หายโกรธ”

“อ้อ  เป็นเช่นนั้นนี่เอง”  น่ำเก็งกงจื่อพยักหน้าอย่างเห็นใจ   และมองซีคงหยูด้วยสายตาที่สนใจมากขึ้น  บทบาทเล็ก ๆ อย่างหมอนี่ที่มีพลังพรตระดับตะวันขึ้นสาย  กลับไปล่วงเกินยอดฝีมือดาราเงียบงันเสียได้  แต่เอ๊ะ...

“นี่เจ้าบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยงั้นรึ!”

“ฮ่า ๆ คนแรกของจิ้งซาน”  ซีคงหยูพยายามทำเสียงให้ถ่อมตน  แต่จมูกของเขายาวยืด  ยาวยืด

“เฮอะ  นับว่ามีบทบาทอยู่บ้าง”  น่ำเก็งกงจื่อก็ยังคงเป็นน่ำเก็งกงจื่อที่มีสายตาอยู่สูงกว่าศีรษะ

“แล้วเรื่องสายส่งหนังสือ   ท่านรับปากข้าได้หรือไม่”

“เจ้าไม่ได้แอดเฟรนด์ข้า  ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าล่ะ”

“ฮ่า ๆ  งั้นถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด”  ซีคงหยูไม่ใช่คนช่างตื้อ  เมื่อไม่ได้ผลเขาก็ถอดใจ

 “แต่ว่า..”  น่ำเก็งกงจื่อทอดเสียงเล็กน้อย

“ว่า?”

“ถ้าเจ้าช่วยข้าเรื่องแม่นางเหยียน  ข้าจะลองคิดดูอีกที”

“ไฮ้  ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน  ข้าจะช่วยท่านได้ยังไง”

“เพ้ย  ทำไมจะไม่ได้  เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้ามีสองสิ่งที่แม่นางเหยียนชอบที่สุด”

“เอ๋?”  ซีคงหยูพอรู้ว่าศิษย์น้องเหยียนคลั่งไคล้เสี่ยวหมี  แต่อีกอย่างคืออะไร

“เจ้าให้ข้ายืมเสี่ยวหมีหนึ่งอาทิตย์  แล้วข้าจะตกลงรับหนังสือของเจ้าไปขายโดยไม่หักค่าใช้จ่าย”

“โนวว”  ซีคงหยูไม่ขายเสี่ยวหมีเด็ดขาด   หรือถ้าจะขายมันต้องแพงกว่านี้  ฮี่ ๆ

“หึ  ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามันขี้งก”

“เฮ้  ด่าข้าแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดต่อยปากแตก”

“หนังสือจะขายมั้ย?”

“ขายสิขอรับคุณชายน่ำเก็งรูปหล่อ”

“ข้าหักใจเรื่องเสี่ยวหมีก็ได้  แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์น้องเหยียนคลั่งไคล้เกี่ยวกับเจ้า  คือการที่เจ้ามีแฟนเป็นหลี่โอ๋อวิ๋น”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะยืมน้องอวิ๋น”

“เจ้าดูให้ดี ๆ”  น่ำเก็งกงจื่อชี้หน้าตนเอง  “หน้าข้าเหมือนคนรนหาที่ตายมั้ย”

“ความรนหาที่ตายเป็นเต๋า  เต๋าอยู่ในจิตใจ  ไม่เกี่ยวกับโหงวเฮ้ง”   คุณชายสามกล่าวอย่างเข้าใจถ่องแท้ถึงวิถีเต๋านี้

“เจ้ามันไม่เข้าใจคำเปรียบเปรย  ช่างเถอะ   ข้าไม่บังอาจยืมตัวจอมยุทธหลี่แน่ ๆ  และที่เหลือก็คือ...”  เขาปรายตามอง

“เจ้าจะยืมตัวข้า?”

เมื่อน้ำเก็งกงจื่อพยักหน้า   คุณชายสามก็สบถ

“โอ้ มายหนี่วา!”

“เจ้าต้องสอนข้า  ว่าทำยังไงถึงจะมีแฟนหนุ่ม”

ซีคงหยูสูดหายใจลึกแล้วกล่าว   “คุณชายน่ำเก็ง  สมองท่านหายไปไหน  สล็อตคาบไปกินหรอ  หรือดมถุงบ่อยไป”

“หนังสือจะขายมั้ย?”

“โอ๊ะ ๆ  ตบปากตัวเองแปบ  แต่ข้าขอแนะนำด้วยความจริงใจเลยนะ  สิ่งที่ท่านทำมันจะทำลายจุดประสงค์ของท่านเอง  ลองดูอันนี้”

ซีคงหยูเปิดห่อผ้าของตนเอง  แล้วควักคัมภีร์ไม้ไผ่ออกมา  “รวมเรื่องสั้นตำนานพิสดารยุทธจักรเล่มที่ 69  เล่มนี้คลาสสิกมาก  และข้าชอบมากเลยพกติดตัวไว้ตลอด”

น่ำเก็งกงจื่อเลิกคิ้วเล็กน้อยและดูว่าในน้ำเต้าของอีกฝ่ายจะมียาอะไร (1)

“เรื่องนี้เป็นนิยายเปิดตัวของนกน้อยในดงเหมยผู้โด่งดัง  ฮี่ ๆ เจ้าต้องเดาไม่ถูกแน่ ๆ ว่าเขาคือใคร”  ซีคงหยูพูดแล้วก็คันปาก  อยากเม้าท์เสียจริง  แต่ด้วยจรรยาบรรณของนักอ่านผู้อุทิศตน  เขาจึงไม่สามารถเปิดโปงตัวตนของนักเขียนได้

“พระเอกในเรื่องก็เหมือนคุณชายน่ำเก็งนี่แหละ  จะจีบสาว  แต่แม่นางดันมีรสนิยมแปลก ๆ ชอบคู่ตัดชายเสื้อ  พระเอกเลยไปเป็นคู่ตัดชายเสื้อกับเพื่อนซี้  ไป ๆ มา ๆ บ๊ะจ้ำบ๊ะจ้ำบ๊ะพรึ่ม ๆ”

น่ำเก๊งกงจื่อรับไปพลิกดู  ดูสักพัก  เปิดข้ามไปช่วงท้าย ๆ  แล้วก็หน้าแดงเหมือนลูกท้อ  เพราะฉากอย่างว่าช่างโจ่งครึ่มโจ่งแจ้งเหลือเกิน

“เพ้ย  เจ้าเอาอะไรให้ข้าอ่าน”

“ชะตาชีวิตของท่าน”   ซีคงหยูกล่าวแล้วตบไหล่อีกฝ่ายแปะ ๆ

“เพ้ย  ข้าไม่มีวันทำอย่างงั้นแน่ ๆ”

“เฮ้อ  ในนิยายของนกน้อยในดงเหมย  พระเอกก็พูดงี้ทุกเรื่องเลย   แล้วสุดท้ายก็ไม่รอด”

“หยุดสะกดจิตข้า  นี่เจ้าเป็นพวกตัดชายเสื้อจริง ๆ หรอ”

“เปล่า  ข้าเป็นนักอ่านผู้อุทิศตน  เรื่องไหนดีก็ว่าดี”

“งั้นก็แปลว่าเจ้าก็มีโอกาสทำอย่างงั้น ๆ กับผู้ชายเหมือนกันสิ”

“ใช่  ข้ามีโอกาส  แต่ตอนนี้ข้ายังไม่อยาก”  ซีคงหยูกล่าวยอมรับทฤษฎีของนกน้อยในดงเหมย

“แล้วเรื่องแม่นางเหยียน..?”

“ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ   ท่านไม่รู้เรื่องทฤษฎียิ่งไล่ก็ยิ่งหนีหรอ  ผู้หญิงบางคนก็เหมือนผีเสื้อ  ถ้าท่านนิ่ง ๆ เดี๋ยวนางก็มาตอมเอง”

“นี่ข้าก็นิ่งจนไม่รู้จะนิ่งยังไงแล้ว  ข้าอุทิศตนขุดเหมืองสามสี่วันเพื่อแสดงถึงรักแท้  แต่นางไม่มาดูดำดูดีเลย”

“ฮ้า..ใครใช้ให้ท่านนิ่งแบบนั้น  ท่านต้องนิ่งแต่ต้องอยู่ในสายตาของนาง  ปรากฏตัวให้เห็นแต่ทำเป็นไม่สนใจ  คอยช่วยเหลือนาง  แต่ไม่ต้องบอกเจตนาที่แท้จริง   อย่าแสดงความอยากได้ใคร่มีออกไป  ท่านต้องนิ่งเหมือนน้ำในบ่อที่สะท้อนเงาจันทร์อันอำไพ  ทำตัวให้ดูลึกลับน่าค้นหา  แล้วนางจะสงสัยว่า  ท่านต้องการอะไรกันแน่  เมื่อนางหาคำตอบไม่ได้ว่าท่านคิดอย่างไรกับนาง  นางจะยิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับท่านมากขึ้นทุกที  จนไม่อาจจะสลัดออกไปได้”

น่ำเก็งกงจื่อหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจดตามที่ซีคงหยูกล่าวทุกตัวอักษร

ซีคงหยูกล่าวต่อ  “ถ้าท่านทำทุกอย่างแล้วยังไม่ได้ผล  ท่านต้องลองทำให้นางแค้นใจ  เจ็บใจดูสักที  แล้วนางจะจดจำท่านได้ตลอดชีวิต”

“ในฐานะคนรัก?”

“ในฐานะศัตรู”

“ฟัค!  เจ้าจะขุดหลุมดักข้ารึ”

“ฮ่า ๆๆ   คุณชายน่ำเก็ง  ท่านพอใจกับคำแนะนำของข้าหรือไม่”

น่ำเก็งกงจื่อคิดอยู่ครู่แล้วกล่าว  “ที่เจ้ากล่าวมาก็น่าใคร่ครวญอยู่  แต่จะใช้ได้จริงหรือไม่ต้องดูกันอีกที”

“คุณชายน่ำเก็ง  สินค้าส่งมอบไปแล้ว  อุปมาเหมือนข้าส่งหนังสือชุนกะ (2) ให้ท่าน  แต่ท่านดูแล้วนกเขาไม่ขัน  มันไม่ใช่ความผิดของหนังสือข้า  แต่เป็นความผิดของจู๋ท่าน”

“เพ้ย   จู๋ข้ายังแข็งแรงดี”

“ขอบคุณคุณชายน่ำเก็งที่แจ้งให้ทราบ  แต่ไม่ได้อยากรู้  เรื่องของเรื่องก็คือ  ท่านรับปากจะรับหนังสือของอาจารย์ข้าไปขาย  ความนี้ยังตกลงกันอยู่หรือไม่”

“เจ้าไม่ได้ตกลงตามสองเงื่อนไขแรกของข้านี่”

ซีคงหยูฟังแล้วก็หรี่ตา  “งั้นท่านหักค่าสายส่งได้หนึ่งในยี่สิบ  ตกลงหรือไม่”

“ส่วนเจ้าต้องให้คำปรึกษาข้าตลอดหากว่าข้ามีปัญหาในการจีบแม่นางเหยียน”

“แน่นอน”   ซีคงหยูตอบรับ  ก่อนจะนึกขึ้นได้   “เอ้อ..อีกเรื่อง  วิธีใกล้ชิดกับใครสักคนก็ต้องหาเรื่องที่สนใจร่วมกัน  ท่านสนใจเรื่องตัดชายเสื้อก็ถือว่ามาถูกทางแล้ว  ท่านลองอ่านเรื่องสั้นของนกน้อยในดงเหมยดูหลาย ๆ เรื่อง  จะได้มีเรื่องคุยกับศิษย์น้องเหยียน”

“ข้าจะลองดู”  น่ำเก็งกงจื่อกำหมัดอย่างหมายมาด

“สู้ ๆ นะ”

ซีคงหยูจบการสนทนา  แล้วก็หันกลับไปจัดการที่นั่งของตนเอง   เขาหยิบแท่งหยกบันทึกวิชาออกมา   และถ่ายจิตเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างใน   แผนภาพที่เป็นเส้นเขียวเรือง ๆ ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า  แสดงเส้นทางเดินของวงจรที่ปราณของผู้ใช้วิชาจะต้องวิ่งไป  และมีคำอธิบายง่าย ๆ ถึงเต๋าของวิชาเซียนนี้

ซีคงหยูจับจมูกตนเองเมื่อพบว่าจริงอย่างที่ศิษย์พี่หญิงสวีกล่าว  ผู้มีพรสวรรค์ด้านเทศะจะเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดแร่ได้  แต่นางคงไม่ทราบว่าเขาสามารถปรับปรุงวงจรโดยเทียบเคียงกับตัวอย่างของบางแผนภาพในวิชาเซียนสามสิบหกแผน  อีกทั้งเมื่อเขาเข้าใจเต๋าของเทศะในวิชาเซียนทะลวงอากาศ   และวิชาเซียนความปรารถนาย้อนกลับ  การทำความเข้าใจเต๋าของการสกัดแร่จึงง่ายยิ่งกว่าการหยิบส้มในลัง

คุณชายสามเริ่มหลับตา  โคจรปราณ  และลากเส้นวงจรด้วยจิตกลางธรรมกายของตนอย่างแม่นยำ   ความสั่นไหวของอวกาศรอบ ๆ เริ่มตอบสนองต่อวงจรที่ซีคงหยูสร้างเหมือนเศษผงเหล็กที่เริ่มกระดิกและปลิวเข้าหาแม่เหล็ก   พวกมันเริ่มเข้ามารวมตัวเปลี่ยนสภาพจากสภาวะมายาภาพกลายเป็นสภาวะความเป็นจริง   ถ้าซีคงหยูใช้ตาจิตมองดูใจกลางฝ่ามือที่ประสานกันตรงหน้าตาตอนนี้  เขาจะเห็นอณูผลึกที่เล็กเกินกว่าสายตาของคนทั่วไปจะสังเกตได้  เริ่มเข้ามาเกาะกุมทีละอณูสองอณู


+++++++


(1)    ในน้ำเต้ามีตัวยาอะไร  หมายถึง  รอดูว่าอีกฝ่ายจะโน้มน้าวตนเองด้วยผลประโยชน์หรือเหตุผลอะไร
(2)   ชุนกะ  คือ  หนังสือโป๊โบราณ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #33 หลิวเกา เจ้าหายไปไหนมา (วันที่ 1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-10-2017 22:16:39
 o13
นมัสเต...Kirimanjaroซือตี๋  ผู้ถลำลึกเฮ้ย ลำ้ลึกในเต๋าทั้ง๓๐๐๐
ทั้งเต๋าแห่งความลับ และ(((เต๋าแห่งของลับ ))) อันหลังนี้ผู้ซือเฮียตระหนักชัดแน่แก่ใจว่า Kirimanjaroซือตี๋ถลำลึกเฮ้ย ลำ้ลึกในเต๋าแห่งของลับ เป็นที่ยิ่ง   ....ฮี่ๆ
ยิ่งอ่านยิ่งแน่แก่ใจว่า....ตัวเอกในเรื่องของKirimanjaroซือตี๋ นั้นยังเน้นฝึกปรือ(((เต๋าแห่งพิสุทธิ์ครุฑา )))กันอย่างขมันขมีเป็นแน่แท้  เพราะว่าจนบัดนี้...ล่วงเลยมา ๓๔เต๋าแล้ว   ยังคร่ำเคร่งใน ((( เต๋าแห่งนก  )))กันอยู่เลย....ฮี่ๆ
....................
ommanymontra:  สวัสดีสหายเต๋าโอมมณีมนตรา   ข้าน้อยสะกดถูกหรือไม่  *-*((( แม่นแล่ววววว   )))

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
......................................................
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 01-10-2017 23:46:48
ทำไมผู้อาวุโสแต่ละคนนี่มันเปี่ยมด้วยเล่ห์กล เหลี่ยมจัด ไม่มีคนที่คงซึ่งคุณธรรมใสสะอาดราวกับน้ำในแจกันดอกบัวเจ้าแม่กวนอิมเลยรึครับเนี่ย หรือคุณคีรีมันจาโรจะให้ผู้น้องออกมาแสดงจริงๆ ค่าตัวผู้น้องถูกนะ /ค่อยๆลุกจากอาสนะดอกบัวที่กำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญพรต (ยังอินกับโรลเพลย์อยู่ ฮ่าๆ)

อย่างนักพรตเวิ่นเต๋อ ผู้น้องพอจะเข้าใจอยู่ว่าใช้ชีวิตในราชสำนักมานาน วังหลวงล้วนเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี แม้จะเป็นผู้จิตใจโอบอ้อมอารี แต่คำครหาก็เหมือนเชื้อโรค อยู่เฉยๆมันก็มาหา ทำให้ต้องระวังตัวตลอดเวลา เลยทำให้พอรับศิษย์อย่างคุณชายซีคง ก็คงจะทำให้ได้ช่องทางขายของ แถมได้ชื่อเสียงอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจศิษย์จริงๆเลยนา โถ ช่างน่าสงสารคุณชายสามเหลือเกิน มีอาจารย์ทั้งที แต่ตากลับมองไม่ออกระหว่างผู้ที่มีความงดงามในใจ กับผู้ที่เปี่ยมด้วยความกระหายในอำนาจ แม้แต่ไป่หลินหลิงเอง ก็ไม่ได้บริสุทธิ์งดงามสมกับวรยุทธที่ได้มา แหม ทำไมผู้น้องจะรู้ไม่ทัน คัมภีร์สามสิบหกแผนเป็นวิชาสาย [เทศะ] มันคงไม่ค่อยมีประโยชน์กับผู้ที่มีพรสวรรค์ [เวลา] อย่างท่านน่ะสิ ท่านถึงไม่ใส่ใจมัน แหม เล่ห์กลอย่างท่านมีหรือผู้ใดจะมองไม่ทัน เง็กเซียนฮ่องเต้มองลงมาจากตำหนักยังรู้เลยว่าท่านกับเส้าหยูเสวียนนี่นิสัยคล้ายคลึงกันมาก จึงเป็นเหตุว่าเสือสาวสองตัวอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันไม่ได้ ฮ่าๆ

นักพรตทั้งหลาย อย่าหาว่าผู้น้องสอน เต๋าแห่งพุทธะของผู้น้องนั้นมองทะลุทุกสิ่งอย่าง เพราะพุทธะเท่านั้นที่บอกความจริงจักรวาล พุทธะเท่านั้นที่ทำให้ลดละสัมผัสรับรู้ที่เคล้าด้วยกามกิเลส พุทธะเปิดปัญญาให้แจ่มชัดและควบคุมกิริยาที่ทรงศีลเพื่อรับรู้ถึงจิตในร่างกาย ความเมตตากรุณาและเอื้อเฟื้อนั้นเป็นสิ่งค้ำจุนสัตว์โลก แม้แต่พระอวโลกิเตศวรก็ยังรู้เรื่องนี้

ว่าจะถามคุณคีรีมันจาโรอยู่ เรื่องนี้ฉากปะทะกันแบบฟ้าถล่มดินทลายยังไม่มีรึครับ ผู้น้องรอออดิชันอยู่นะ (หัวเราะ) เพราะปกตินิยายจีนมันต้องมีฉากประเภทนี้สิครับ เพื่อเปิดตัวร้ายแบบลาสบอสมาชิมลาง หรือเปิดตัวตัวละครลับที่เก่งระดับ heaven’s defying อะ ตอนนี้ผู้น้องมีสองสามประเด็นรออยู่นะครับ พี่น้องตระกูลซีคง เรื่องราวศึกสงครามของอาณาจักรวายุกระซิบที่น่าจะมีแน่ๆ เพราะมีนัยไว้ (ซึ่งผู้น้องยินดีถวายตัวเป็นสหายช่วยเหลือท่านแม่ทัพ ‘ใกล้ชิด’ มากๆเลยทีเดียว ฮ่าๆ) แล้วก็พวกสถานที่อื่นๆ ทวีปดิน ทวีปฟ้า ตำหนักอาคันตุกะ แต่เรื่องคงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เพราะตอนนี้เดี๋ยวเราคงได้เห็นการชิงเหมืองไปก่อน แต่การชิงเหมืองก็มีอะไรน่าสนใจพอสมควรไม่น้อยเลยทีเดียว ฝีมือของเหล่าผู้อาวุโสที่ยังไม่ปรากฏชัดเอย เหมืองทั้งห้าขุนเขา อีกสี่เขาล่ะเป็นยังไง แล้วเรื่องชิงเหมืองจะจบยังไง ศิษย์เอกของอำพันโบราณที่ส่งไปอู่ซานล่ะ แล้วศิษย์เอกของวังหมื่นบุปผาอยู่ไหน หลายปริศนารอวันเปิดตัวอยู่ครับ นับถือๆ

เมฆผยองเอ๋ย แม้เรื่องทางโลกผู้น้องจะไม่ชำนาญ แต่บอกได้เลยว่า สหายนั้นเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้ สำนักควบคุมโดยคน ในคนนั้นมีจิตใจ ในจิตใจหากขาดการขัดเกลาย่อมลังเลโลเล กลับกลอกเปลี่ยนไปมา หาได้มีความหวังดีจริงใจไม่ เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน แต่หากมีสหายที่ยึดถือกันด้วยพันธะทางใจ ไม่ว่าอย่างไรเรากับเขาก็จะไม่มีวันบาดหมาง โบราณกล่าวไว้ ฟาดฟันข้าศึกสิบกองพันยังไม่น่ากลัวเท่าสูญเสียหนึ่งสหายให้ทรยศตน อีกอย่าง แบ่งๆกันเถอะ คุณชายซีคงรับมือศึกบนเตียงได้อยู่แล้ว (ถึงแม้ว่าไซส์น้องมู่จะ ‘ไม่ธรรมดา’ ก็เถอะ หลายทีแล้วนา ขอจังๆสักที /ปาดน้ำลาย เดี๋ยวๆ เดี๋ยวตบะแตกซ่าน ไม่ได้ๆ ของเราต้องท่านแม่ทัพ ฮ่าๆ)

รู้สึกว่าไมตรีโลหิตนี่เรื่องเงินจะเป็นเต๋าประจำสำนัก หน้าเลือดกันทั้งผู้อาวุโสทั้งศิษย์เอกเลยนะครับ แหม หาเงินเก่งกาจก็ให้ใช้จ่ายกันหน่อยจะเป็นอะไรไป เนอะท่านผู้อาวุโส /มือข้างนึงตบบ่าไป่หลินหลิง อีกข้างตบบ่าผู้อาวุโสไมตรีโลหิต

ปล ศัพท์จีนบางอันผมว่าแปลเลยก็ดีนะครับ หลายส่วนทำได้ดีอยู่แล้ว แต่อย่าง ซีคงต้าเกอนี่ ใช้พี่ชายซีคงไปเลยน่าจะเหมาะกับบริบทแล้วก็กลุ่มผู้อ่านที่เป็นประเทศไทยมากกว่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 02-10-2017 02:14:54
 o13 o13
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 02-10-2017 07:08:37
เต๋าแห่งวายจะแผ่ขยายกลางใจฝูงชน หุๆ เด็กดีมีปัญหา อับแล้วเปิดอ่านไม่ค่อยได้ มาอ่านมนเล้าเหมือนเดิมครับ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-10-2017 17:54:14
ดอกวายจะบานทั่วยุทธจักร

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-10-2017 18:18:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-10-2017 19:06:59
พอหยู บรรลุเต๋าแห่งเทศะ ขั้นเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย
อะไรๆก็ดูง่ายขึ้นแม้การขุดแร่
เอ่อ....ไม่ใช่สิต้องเป็นการสกัดแร่ที่บริสุทธิ์   สุดยอดดดด  :katai2-1:
นี่ถ้าเป็นหนัง คงเห็นรายละเอียด ความสั่นไหวของอากาศรอบๆตัวหยู
แบบ cg ผงอณูของแร่ที่ลอยมารวมกัน แสงสีพิศดารน่าดูชม
ไม่แน่ ต่อไป  Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน:
จะได้มีการถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ ......อยากดูๆๆๆๆๆๆ

หยู มีจิตใจดีงามนะ  :mew1:
พูดคุยกับคุณชายน่ำเก็ง เพื่อขายหนังสือให้อาจารย์
นี่ไงจิตใจที่แสนประเสริฐของหยู ทองเนื้อแท้....นพคุณ....ฮื้ม..ฮึ่ม
แต่น่ำก็มีสิ่งที่ต้องการจากหยู ตกลงกันได้
ดูท่าหยู จะล่อลวงน่ำ ให้มาหลงในวังวนนกน้อยในดงเหมย
เอิ่ม.....พวกตัดแขนเสื้อได้สำเร็จนะ เฮ้อ.....แม่นางเหยียนของน่ำ
       :L1:  :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #34 ข้อคิดชีวิตจากนกน้อยในดงเหมย (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-10-2017 14:31:16
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (1/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 05-10-2017 23:55:42
I am sick!

+++++++


ommanymontra:  นมัสเตซือเฮียมณีมนตรา  ซือเฮียเคยได้ยินหรือไม่ว่า ช้า ๆ ได้นก..เอ๊ยพร้าเล่มงาม  ผลีผลามมักได้ NC  #ผิด

Grey Twilight: สงสัยเพราะคนเขียนเป็นคนร้าย ๆ เลยเขียนถึงแต่ผู้อาวุโสร้าย ๆ ฮี่ ๆๆๆ

สารภาพตามตรงว่า  เขียนฉากแอคชั่นกับฉากฝึกวิชาฝีมือไม่ค่อยเก่งเลยอ่ะ   เลยอาจจะยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่  อีกอย่างหนึ่งคือระดับฝีมือแรก ๆ ยังไม่ได้เหนือธรรมชาติมากนัก  วิชาที่ดูรุนแรงอลังการที่สุดคงเป็นการประชันเต๋า  แต่จะมีอะไรที่อลังการกว่านั้นหรือไม่คงต้องรอให้พวกยอดฝีมือจริง ๆ มาปะทะกัน

ฉาก 3P ก็น่าสน  แต่เกรงว่าจะเขียนยากมาก ๆ  5555+

NuTonKaw:  ขอบคุณคร้าบที่แวะมา

wnkth: ลืมอัพที่เด็กดี  ไม่ได้ลืมหรอก  ขี้กียจ 5555+

alternative: บานแข่งกะดอกเบี้ย

JustWait: thx u too

♥►MAGNOLIA◄♥:  ง่ายจนป่วนคนอื่นเลยทีเดียว
5555  ขอให้สมพรปาก  แค่มีใครสนใจเอาไปพิมพ์ก็เกินคาดแล้วครับ
พูดซะหยูเป็นพ่อพระเลย  ทีแท้ก็กลัวเจออจ.เฉ่งเท่านั้นแหละ หึ
ส่วนน่ำจะเป็นยังไงต่อไป  โปรดติดตามมม

 puiiz: ซาหวักลี


++++++




เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปหลังจากที่ซีคงหยูเริ่มสกัดแร่..

“กราสส!!”  ชาวยุทธคนหนึ่งสบถขึ้นมาเมื่อพบว่าแร่ที่เขาสกัดได้ครึ่งก้อนหยุดนิ่งไม่ไหวติง  เขามองดูก้อนแร่ที่ลอยอยู่ใจกลางฝ่ามือ  อันนิ่งสนิทและไม่รู้สึกถึงพลังงานของมิติที่ไหลผ่านวงจรวิชาเซียน

เขาเหลียวมองไปรอบ ๆ เพื่อหาสาเหตุ  แต่ไม่พบอะไรผิดปกติ   จึงกล้ำกลืนคำสบถในคอแล้วหลับตาโคจรปราณตามวงจรวิชาเซียนสกัดแร่ต่อ

เริ่มแรกมีชาวยุทธเพียงสองสามคนที่พบเหตุการณ์ผิดปกติ  ทว่าไม่นาน  ปรากฏการณ์นี้ก็แผ่ขยายไปทั่ว  ทุกคนเริ่มลืมตาและเหลียวมองกันไปมา  คนที่รู้จักกันก็ซุบซิบตั้งคำถามต่อกันและกัน

น่ำเก็งกงจื่อลืมตา   โชคดีที่เขาสกัดแร่ได้เสร็จสมบูรณ์พอดี  แร่ที่เขาสกัดได้เป็นผลึกวิญญาณเซียนระดับต่ำ  ซึ่งเป็นผลึกแร่ปกติที่จะได้จากเหมืองนี้  หูของเขาสดับฟังเสียงพูดคุยของนักขุดแร่ที่เริ่มดังขึ้นทุกที

“อี้หาน  เจ้าก็เจอเหมือนกับข้าหรือเปล่า”

“เหมือนกัน  พี่ปู้”

“หรือว่านี่เป็นช่วงดวงไม่ดีของพวกเรา”

“ไฮ้  อะไรจะดวงไม่ดีพร้อม ๆ กันขนาดนั้น”  ชาวยุทธคนหนึ่งที่ได้ยินบทสนทนาก็พูดด้วยเสียงอันดัง  คนอื่นเลยเริ่มออกความเห็นกันระเบ็งเซ็งแซ่

“ใช่ ๆ”

“จอมยุทธท่านนี้กล่าวก็ถูกต้อง  ข้าว่าต้องมีคนเล่นเล่ห์กลอะไรแน่ ๆ”

“หรือว่าเหมืองจะเกิดการผิดปกติ  ใครออกไปดูข้างนอกหน่อยมั้ย”

คนหนึ่งออกความเห็น  พวกเขาไม่สามารถใช้แผ่นหยกสื่อสารติดต่อไปยังโลกภายนอกได้  เพราะในดินแดนลี้ลับมันเหมือนกับมิติที่ถูกตัดขาด

“ข้าเลิกล่ะ  วันนี้คงเป็นวันซวยของข้า”

ชาวยุทธจำนวนหนึ่งตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลา  เขาสามารถย้ายไปยังเหมืองอื่นของสำนักที่ตนทำสัญญาไว้ได้  ซึ่งก็คือสำนักวารีพิสุทธิ์

“ข้าดูปากทางประตูดาราแล้ว  มันดูไม่ผิดปกติ”  ชาวยุทธคนหนึ่งไปยืนดูที่รอยต่อของถ้ำกับมิติภายนอก  ถ้ำนี้ยังถูกกลืนกินไปทีละนิดเห็นสะเก็ดที่ถูกย่อยสลายเหมือนเช่นเคย

“เฮ้  เจ้าคนนั้นน่ะ”   คนหนึ่งสังเกตเห็นซีคงหยูที่ยังนั่งโคจรวิชาเซียนรวบรวมแร่อยู่  และเมื่อเพ่งดูดี ๆ  แร่ในมือของเขาก่อตัวอย่างรวดเร็วกว่าปกติมากจนแทบสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า   ระหว่างที่เขาโคจรวิชาเซียน  เขาตัดสัมผัสจากโลกภายนอกจึงไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของชาวยุทธ รวมทั้งเสียงเรียกเมื่อครู่ด้วย

ทุกคนหันไปมองซีคงหยูแล้วหายใจฟืดฟาด  พวกเขาเชื่อว่าพบสาเหตุของสิ่งผิดปกติแล้ว

ชาวยุทธคนที่เรียกคุณชายสามไม่ได้รับคำตอบ  เขาจึงเดินเข้าไปหมายจะผลักให้ซีคงหยูตื่นจากการโคจรปราณ

“หยุดให้กับเราคุณชายเดี๋ยวนี้”  น่ำเก็งกงจื่อลุกขึ้นไปยืนขวาง

“เพ้ย  เจ้าคือใคร”

“ฮ่า ๆ  นามสูงส่งของข้าไม่คู่ควรที่เจ้าจะรับรู้”   น่ำเก็งกงจื่อโบกพัดจีบและสาวเท้าเดินสองสามก้าว  จากนั้นหันกลับมามอง   “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”

“เหอเหอ  จะเป็นใครใหญ่มาจากไหน  แต่มาขัดขวางการสกัดแร่ของพวกเรา  เรื่องนี้จบไม่สวยแน่นอน”  ชาวยุทธผู้นั้นหรี่ตา  เขาระมัดระวังอยู่เล็กน้อย  แต่เมื่อเห็นว่าซีคงหยูมีรูปร่างหน้าตาธรรมดาสามัญ  อีกทั้งเสื้อผ้าการแต่งกายก็ไม่ได้วิเศษอะไร  เขาจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นชนชั้นสูงที่ล่วงเกินไม่ได้

“เขาคือซีคงหยู”   ชาวยุทธคนหนึ่งที่ออกจากเหมืองไปเมืองจิ้งซานบ่อยครั้งร้องขึ้นมาเมื่อเขม้นมองเห็นถนัด

“ซีคงหยูนับเป็นตัวอะไร”

“เขาเป็นคู่หมั้นของหลี่โอ๋อวิ๋น”   ชาวยุทธอีกคนกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ  ธรรมดาแล้วถ้าไม่เห็นแก่หน้าสงฆ์  ก็ต้องเห็นแก่หน้าพุทธเจ้า

“ฮ่า ๆๆ นั่นเป็นแค่สถานะชั้นหนึ่งของเขาเท่านั้น”  น่ำเก็งกงจื่อโบกพัดกล่าวอย่างยโสโอหัง

“เฮอะ  เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

คุณชายแห่งตระกูลน่ำเก็งเลิกคิ้วเล็กน้อย  รวบพัดแล้วก็ชี้ไปยังชาวยุทธทุกคน  “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ว่าจ้างพวกเจ้า”

คนที่ทราบว่าซีคงหยูสังกัดสำนักก็แค่นเสียงขึ้นมา  “เฮอะ  ถึงเป็นศิษย์สำนัก  ก็ใช่ว่าจะก่อกวนพวกเราได้  เจ้าเป็นสุนัขรับใช้วารีพิสุทธิ์หรืออย่างไร  ถึงยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

เมื่อฟังดังนั้นน่ำเก็งกงจื่อก็โกรธกริ้วจนฉีกยิ้มกว้าง  เขาถอยฉากไปด้านข้าง  เปิดทางให้ทุกคนมองเห็นคุณชายสามซึ่งนั่งสมาธิหลับตาพิงโขดหิน   จากนั้นผายพัดที่รวบไว้ไปทางเจ้าคนที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าเป็นเป้าของความแค้นของกลุ่มคน

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา  ก็เชิญตามสบาย”

ชายคนที่ยืนประจันหน้ากับน่ำเก็งกงจื่อ  ถลกแขนเสื้อ  แล้วเดินเข้าไปจะผลักซีคงหยู

เปรี้ยะ!!

ประกายสายฟ้าพุ่งวาบจากกุญแจเหมืองที่เสียบไว้ในแท่นหินใจกลางโถง   ชายผู้นั้นถูกช็อตจนกระเด็นไปห้าหกวา

เสียงประดิษฐ์ดังก้องขึ้นมาทันที   “คำเตือน  โจมตีผู้คุมเหมืองครั้งแรกต้องโทษอัสนีขั้นหนึ่ง”

ฟัค!

ทุกคนสบถพร้อม ๆ กันในใจ

“ข้าไม่ทันบอกว่า  เขาเป็นผู้คุมเหมืองนี้”   ชาวยุทธคนที่พูดถึงหลี่โอ๋อวิ๋นเมื่อครู่พูดเสียงอ่อย ๆ

ทุกคนสูดลมหายใจลึก   การเป็นผู้คุมเหมืองไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เขาจะไร้พ่ายในเหมืองนี้เท่านั้น  แต่หมายถึงเขามีวิชาฝีมือเพียงพอที่จะชิงหรือป้องกันตำแหน่งการคุมเหมืองจากอัจฉริยะของสำนักอื่น ๆ ด้วย  ไม่เพียงเท่านั้นมันยังบ่งบอกสถานะของเขาในสำนัก  การล่วงเกินศิษย์สำนักธรรมดานั้นยังพอทำเนา  ทว่าการล่วงเกินศิษย์ที่มีสถานะสูงส่งนั้นเท่ากับการรนหาที่ตาย

“ที่แท้ก็คุณชายซีคง  พวกข้าล่วงเกินแล้ว”  ชาวยุทธคนหนึ่งที่ปรับตัวไวต่อสถานการณ์  ประสานมือคารวะต่อซีคงหยูซึ่งหลับตาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว  จากนั้นเขาก็รีบโกยอ้าวออกไปจากโถงสกัดแร่  พลางนึกยินดีที่ซีคงหยูตกอยู่ในภวังค์และไม่ได้จดจำหน้าของผู้คนที่ตะโกนด่าทอเขา

“เฮอะ”  น่ำเก็งกงจื่อยิ้มเยาะ  และถอยหลบไปติดผนังอีก  เมื่อชาวยุทธทั้งหมดตัดสินใจออกจากเหมือง

คนที่ถูกไฟช็อตลุกขึ้นช้า ๆ  กัดฟันอย่างผูกใจเจ็บ  ทว่าทำอะไรไม่ได้  เขาจึงตามคนอื่น ๆ ออกไป

เมื่อเหลือเพียงน่ำเก็งกงจื่อและซีคงหยู   คุณชายรูปงามก็กำลังครุ่นคิดว่าจะออกไปด้วยดีหรือไม่  หรือจะเฝ้าดูต่อดี  ซีคงหยูก็ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ  เขาดีดนิ้วให้แร่วิญญาณเซียนระดับกลางที่สกัดได้กระเด็นเข้าอกเสื้อตนเอง  จากนั้นประสานมือคารวะ

“ขอบคุณคุณชายน่ำเก็งที่ช่วยออกหน้า”

น่ำเก็งกงจื่อเบิ่งตามองอย่างประหลาดใจ  “เจ้าตื่นอยู่ตลอดงั้นรึ!?”

ซีคงหยูพยักหน้า   แต่เมื่ออีกฝ่ายจะอ้าปากถาม  เขาก็อธิบาย

“ข้ารู้ระบบป้องกันของกุญแจเหมืองอยู่แล้ว  แต่ที่ข้าไม่เผชิญหน้ากับพวกเขา  ก็เพราะว่าวิธีนี้น่าจะดีกว่าในการลดความพยาบาท  ถ้าพวกเขารู้ตัวว่าข้าจดจำการล่วงเกินของพวกเขา  พวกเขาก็จะกลัว  ความกลัวนำมาซึ่งการคิดตอบโต้ป้องกัน”

“เฮอะ  เจ้าเสแสร้งเป็นไร้เดียงสาสินะ”

“ข้าเป็นคนไร้เดียงสา”   ซีคงหยูยิ้ม  และเกร็งกล้ามเนื้อหน้าให้มีลักยิ้มประดิษฐ์

“แล้วเจ้า..ทำปรากฏการณ์นี้ได้ยังไง”

“ข้ามีพรสวรรค์ด้านเทศะ”

น่ำเก็งกงจื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างจำได้  และเชื่อว่าคงไม่ใช่พรสวรรค์เล็กน้อยด้วยหากว่ามันไปเตะตานักพรตเวิ่นเต๋อได้

“ดูเหมือนข้าอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์”  น่ำเก็งกงจื่อถอนหายใจ  ถ้ามีคนอย่างซีคงหยูสักสิบคน   ชาวยุทธพเนจรคงตกงานกันเป็นทิวแถว

“ท่านก็ไม่ได้มาหาเงินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”   คุณชายสามพูดยิ้ม ๆ ด้วยรู้ฐานะอันร่ำรวยของอีกฝ่าย

“จริง  ข้ามาเพราะแม่นางเหยีย..”

ไม่ทันที่น่ำเก็งกงจื่อจะพูดจบประโยค  โถงถ้ำที่พวกเขานั่งสกัดแร่ก็สั่นสะเทือน

น่ำเก็งกงจื่อเซไปมา  ก่อนจะคว้าจับแง่งหินใกล้ผนังได้   เขาทรุดตัวลงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยปากถาม

“เกิดอะไรขึ้น!”

พื้นยังสั่นสะเทือนอยู่และมีเสียงครืดคราด  ซีคงหยูซึ่งนั่งอยู่กับพื้นอยู่แล้วไม่ได้รับผลกระทบมากจึงย่นคิ้วแล้วตอบกลับไป

“ถามข้าแล้วข้าจะถามใคร”

“พวกเราออกไปก่อนดีมั้ย”

“ดี!”

ซีคงหยูรับคำ  แล้วลุกขึ้นปรับการทรงตัวตามการสั่นสะเทือนของถ้ำที่ค่อยแผ่วลง ๆ  เขารู้สึกเสียดายกับความเร็วในการสกัดแร่ของตนเอง  ทว่าชีวิตต้องมาก่อน

ทั้งคู่รีบเร่งออกมาจากในถ้ำ  ซีคงหยูที่มีวรยุทธสูงกว่า  คอยช่วยดึงน่ำเก็งกงจื่อข้ามภูมิประเทศที่ยากลำบากเป็นพัก ๆ   เมื่อเขาออกมาหน้าถ้ำที่ประตูดินแดนลี้ลับอันมีแสงสีสีแดงเรื่อเรือง  ซีคงหยูก็เห็นหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกอยู่  ตามังกรของอีกฝ่ายจับจ้องซีคงหยูตั้งแต่ใบหน้า  ลำคอ  เนื้อตัว  และมือของเขาที่ฉุดดึงน่ำเก็งกงจื่อซึ่งหอบแฮ่ก ๆ ออกมาจากถ้ำ

“เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าคือซีคงหยูไง  น้องอวิ๋น”

“ข้าไม่ได้ถามเจ้า” 

ซีคงหยูทำเสียงจี๊จ๊ะในปาก   ถ้าไม่ได้ถามเขาแล้วจะถลึงตาจ้องหน้าเขาทำไม

“ข้าแซ่น่ำเก็ง”  น่ำเก็งกงจื่อประสานมือตอบอย่างไม่ค่อยถือตัวเท่าไหร่  เนื่องจากทราบว่าอีกฝ่ายคือใคร

“อ้อ   ขอบใจที่ช่วยดูแลอาหยูให้ข้า”

“หามิได้  เขาต่างหากที่ดูแลข้า”   น่ำเก็งกงจื่อตอบตามข้อเท็จจริง  แต่ข้อเท็จจริงทำเอาคนหน้าดุขมวดคิ้วรูปดาบของตน

“น้องอวิ๋น  เจ้ามาที่นี่ทำไมรึ”

“พวกเจ้าอยู่ในเหมือง  ไม่รู้สึกหรือว่ามีสิ่งผิดปกติ”  หลี่โอ๋อวิ๋นถามกลับ

“หรือว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เหมือง 13?”  ซีคงหยูตั้งข้อสงสัยอย่างฉับไว  เขาก้าวเท้าออกไปที่พื้นหินอันยื่นออกไปจากหน้าผา  และกวาดสายตามองปากทางเข้าเหมืองอื่น ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนอันกรูกันออกมาเหมือนมดปลวก

“ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่”  ซีคงหยูถอนหายใจแล้วหมุนตัวกลับไป  ทว่าใบหน้าเขาไปชนกับคางของอีกฝ่ายที่เดินตามมาโดยเขาไม่รู้ตัว

“อ๊ะ”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ปล่อยให้เขาเขยิบถอย   มือทั้งสองของเขาจับหัวไหล่ของอีกฝ่ายไว้   ดวงตาสีสนิมอันแสนจะดึงดูดจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำของอีกฝ่าย

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เอ่อ..เปล่า”  เขาพยายามจะถอยไป  ทว่าไม่สำเร็จ   จึงพูดเสียงอ่อย   “เจ้าปล่อยข้าก่อนดีหรือไม่น้องอวิ๋น”

ไม่ทันที่หลี่โอ๋อวิ๋นจะตอบ  น่ำเก็งกงจื่อก็ประสานมือคารวะ

“ซีคงหยู  ขอบใจเจ้ามาก  จอมยุทธหลี่  ข้าขอตัวก่อน”

ว่าแล้วก็รีบไต่หน้าผาลงไปเหมือนกลัวจะไปไม่ทัน

ตอนนั้นหลี่โอ๋อวิ๋นจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายถอยออกไปในระยะที่เหมาะสม

“อะแฮ่ม”  ซีคงหยูกระแอมเมื่อรู้สึกว่าเกิดความเงียบที่น่าอึดอัด  “เจ้าคิดว่า  แผ่นดินไหวครานี้  มันเกิดขึ้นเพราะอะไรงั้นรึ”

หลี่โอ๋อวิ๋นปรายตามอง  แล้วย้อนถาม  “ขนาดผู้อาวุโสยังไม่รู้  ทำไมเจ้าคิดว่าข้าจะทราบ”

“ข้าก็แค่ชวนคุย”  คุณชายสามบ่นอุบอิบ

“35 ปีก่อน  เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ครั้งหนึ่ง”  หลี่โอ๋อวิ๋นโพล่งขึ้นมา  จากนั้นมองคุณชายสามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ  “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้”

“ทำไมข้าถึงจะรู้ล่ะ  ฮ่า ๆๆ  35 ปีก่อน  ข้ายังไม่ลืมตาดูโลกเลย”  ซีคงหยูหัวเราะเบา ๆ จากนั้นมองหลี่โอ๋อวิ๋นกลับไปด้วยสายตาหยอกเย้า  “น้องอวิ๋นเองก็เพิ่ง 20-21  เหตุใดจึงสนใจเหตุการณ์ในอดีตนักเล่า”

“เพราะอดีตมักย้อนรอยกลับมาเสมอ  ผู้คนจึงต้องเรียนรู้อดีตเพื่อรับมือกับปัจจุบัน”

“พูดได้ดี  พูดได้ดี  เป็นคำที่ชาญฉลาด  สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของประตูทรราช”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเล็กน้อย  แต่อาจจะไม่ใช่เพราะคำเยินยอ

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วอาหยู  ช่วงนี้เจ้าควรพักผ่อนที่ค่าย  ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการชิงดีของยุทธจักร”

“เฮ้  ข้ามาขุดแร่  เกี่ยวอะไรกับยุทธจักร”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  รวบเอวของซีคงหยู  แล้วพาเขาใช้วิชาตัวเบาลงไปจากหน้าผาส่งที่พื้น

ซีคงหยูกุมหน้าอกที่ใจเต้นตุ้มต่อม ๆ ถึงจะโดนหลี่โอ๋อวิ๋นหิ้วไปมาสองสามครั้งแล้ว  เขาก็ยังทำใจกับความเร็วไม่ได้  หลี่โอ๋อวิ๋นปล่อยมือที่จับเอวของเขา  พยักหน้าหนึ่งที  แล้วหันหลังเดินจากไป


++++++++



หน้าศาลเจ้าอันพรรคปลาทูสีน้ำเงินยึดเป็นค่ายทำการมีต้นสาลี่แผ่กิ่งก้าน  ใต้ต้นสาลี่มีก้อนหินเรียบที่เด็ก ๆ ของเมืองจิ้งซานชอบมานั่งและปีนป่ายเล่น  ทว่าเด็ก ๆ เหล่านั้นในตอนนี้ต้องอยู่แต่ในบ้านของตน  ด้วยพ่อแม่ของพวกเขาเกรงว่าจะไปวุ่นวายกับศิษย์สำนักและชาวยุทธ

ซ่งมู่นั่งอยู่บนแผ่นหินใต้ต้นสาลี่  ขาที่แข็งแรงของเขาข้างหนึ่งห้อยลงกับพื้น  และอีกข้างหนึ่งชันขึ้นมากอดเอาไปพลางเอาคางเกย  คางของเขาก็ดูแข็งแรง  มันเป็นสีขาวเกลี้ยงเกลาเพราะเพิ่งโกนหนวดมาหมาด ๆ   สายตาของเขามองเหม่อไปจากใต้ต้นสาลี่ยังประตูค่าย  และขนตายาวเป็นแพก็แทบไม่กระพริบ

เขามองผู้คนที่เดินขวักไขว่  แผ่นดินไหวที่เหมืองทำให้ศิษย์สำนักและชาวยุทธกรูกันกลับมายังค่ายเพื่อรอการประเมินสถานการณ์  ในฐานะมือขวาของหลี่โอ๋อวิ๋น  เขาควรกลับไปดูสถานการณ์ที่ค่ายประตูทรราชเช่นกัน  ทว่าคนที่เขารอคอยอยู่  ยังไม่มา

ซีคงหยูก็เห็นต้นสาลี่  เขานึกกังวลใจถึงเสี่ยวหมีและหลิวเกา  นอกจากนั้นยังนึกถึงซ่งมู่กับซ่งจิน  ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงซ่งมู่น้อยกว่าเสี่ยวหมี  แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่เข้าไปในเหมือง  เจ้าตัวอ้างว่าขี้เกียจและลอยชายไปมาตลอดทั้งวัน  ซีคงหยูไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ซ่งมู่หมดกำลังใจที่จะแข่งขันแสวงหาความดีความชอบในสำนัก  แต่ในฐานะคนที่หมดกำลังใจบ่อย ๆ อย่างไร้สาเหตุเช่นเดียวกัน  ซีคงหยูรู้สึกเข้าใจซ่งมู่อย่างประหลาด

ศิษย์น้องหญิงหลายคนที่ไม่เคยข้องแวะมาก่อนทักทายซีคงหยู  พวกนางมีสีหน้าเป็นมิตรและวาจาที่อ่อนโยน  เขารู้ว่านั่นเป็นเพราะสถานะของเขาที่สูงขึ้นจึงตอบรับด้วยท่าทีไม่เย็นไม่ร้อน  คุณชายสามหาข้ออ้างเดินจากพวกนางมาเมื่อเห็นว่ามีเงาร่างของคนนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นสาลี่หน้าค่าย

“ไง  น้องมู่”

ซ่งมู่ได้ยินเสียงก็สะดุ้งจากภวังค์และเบือนหน้าหันมามองพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อย ๆ คลี่บานเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า

“พี่หยู  ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย  ข้าไปถามคนในค่ายและรู้ว่าท่านไปเหมือง 13 เลยบอกพี่ใหญ่ให้ไปดู”

“อ้อ  ที่แท้พระเอกตัวจริงอยู่ตรงนี้นี่เอง”   ซีคงหยูกล่าวกลั้วหัวเราะ  แล้วตบหลังเขาทีนึง  “ข้าก็ต้องไม่เป็นไรแน่อยู่แล้ว  โชคดีที่ในเหมืองไม่แออัด  เลยไม่มีการเหยียบกันล้มลุกคลุกคลาน”

เขาละข้อเท็จจริงที่ว่า  ในเวลานั้นทั้งเหมืองเหลือแค่เขากับน่ำเก็งกงจื่อ

เวลานั้น  ทหารหญิงชุดแดงเริ่มจุดไต้ที่หน้าค่าย  ท้องฟ้าที่แต่เดิมหม่นมัวก็มืดดำลงไปพร้อมกับเสียงสัตว์กลางคืนที่แว่วมาเป็นระยะ  แข่งกับเสียงจอแจของผู้คนที่สนทนาเหตุการณ์ประหลาดของวันนี้

ในระยะใกล้แค่สองฝ่ามือ  ซีคงหยูแทบมองไม่เห็นใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง  ไม่สิ  เขาสามารถมองเห็นได้ถ้าเขาเพ่งปราณไว้ที่ตา  ทว่าซีคงหยูชอบเวลาที่มองเห็นอะไรอย่างคลุมเครือแบบนี้  มันทำให้เขาจินตนาการอีกฝ่ายเป็นใครก็ได้  หรืออาจจะเป็นคนไร้หน้าที่สามารถรับฟังความคิดเร้นลึกของเขาโดยไม่ต้องกังวลอะไร

ทว่าลมหายใจของซ่งมู  และกลิ่นกายของเขา  ไม่อนุญาตให้ซีคงหยูลืมเลือนตัวตนของคนข้าง ๆ  เขาอยู่กับซ่งมู่บ่อยจนจดจำได้แม้จังหวะการหายใจ  เขาจำได้ว่าเวลาที่อีกฝ่ายตื่นเต้นกดดัน  ลมหายใจของหนุ่มรุ่นน้องจะกระชั้นแค่ไหน  ซีคงหยูจินตนาการถึงความร้อนผ่าวของลมที่ถูกเป่าออกมาจากจมูกของซ่งมู่  หากว่าลมนั้นพ่นลงมาบนผิวกายของเขา...คุณชายสามยับยั้งความคิด  เขาคงอ่านนิยายของนกน้อยในดงเหมยมากเกินไป  ถึงคิดอะไรพิลึกพิลั่นแบบนี้

ขณะที่ซีคงหยูไม่พยายามมองเห็นซ่งมู่  อีกฝ่ายกลับโคจรปราณมาที่ตา  และมองทะลุความมืดเพื่อเก็บรายละเอียดของดวงหน้า  มือของเขากำแน่นจนเล็บสั้น ๆ จิกเข้าไปในเนื้อเพื่อยับยั้งความปรารถนาที่จะยกมันขึ้นไปลูบไล้ดวงหน้าของอีกฝ่าย  เขาเพ่งพิศรอยยิ้มที่มุมปากของซีคงหยู  และแววตาที่ผ่านลมผ่านฝน  มันมีแววอ่อนระโหย  ไม่เหมือนสายตาของเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่เปี่ยมไปด้วยไฟแห่งชีวิต  ซ้ำในดวงตาคู่นั้นเหมือนกับมีกุญแจล็อคอยู่หลายชั้น  ยากที่จะอ่านความคิดที่แท้จริง  ในแง่หนึ่งมันทำให้เขาปวดใจจนแทบบ้าที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีใจให้เขาหรือไม่  แต่ในอีกแง่หนึ่ง  การไม่รู้ก็ทำให้เขาเพ้อฝัน  ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้มองเห็นความรู้สึกของเขา  และกำลังค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะยอมรับมัน

“พี่หยู..”

รอยยิ้มของซีคงหยูบุ๋มลึกเข้าไปกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อหลังจากที่ทั้งคู่เงียบและจมอยู่ในความคิดของตนอยู่พักใหญ่

“ว่าไงน้องมู่”

“เราคุยกันมาตั้งนาน  แต่พี่หยูไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองให้ข้าฟังเลย”

“อ้อ  ที่แท้ก็เรื่องนี้  น้องมู่คิดว่าข้าไม่ค่อยเล่างั้นหรือ  แล้วที่ลำธารล่ะ”  คุณชายสามย้อนถาม

ซ่งมู่ก้มหน้าเล็กน้อยอย่างละอายเมื่อนึกขึ้นได้

“เอาอย่างงี้  เรามาเล่นเกมกัน  ข้าพูดสิ่งที่ข้าชอบหรือเกลียด  และน้องมู่ก็ตอบมาด้วยสิ่งประเภทเดียวกันที่เจ้าชอบหรือเกลียด  ยกตัวอย่าง   ข้าชอบสีแดง”

“เอ๋”

“บอกสิ่งที่เจ้าชอบสิ”

“ข้าชอบพี่หยู”

“เห้ย  เอาสีที่ชอบสิ”

“สีน้ำเงิน”

ซีคงหยูพยักหน้าเมื่อเห็นว่าซ่งมู่เข้าใจเกม  เขาจึงกล่าวว่า

“ตาเจ้าล่ะ”

“อ่า..งั้น  ข้าชอบพี่หยู”

“เจ้าจะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย  ได้  ข้าชอบน้องอวิ๋น  ฮ่าๆๆๆ”

ซ่งมู่ขมวดคิ้ว  “เดี๋ยว  พี่หยู  เกมนี้อนุญาตให้โกหกด้วยหรอ”

“เจ้าคิดว่าไงล่ะ”   ซีคงหยูถามยิ้ม ๆ

“ฮ่า..ฮ่า”

“ตาข้าล่ะ   ข้าเกลียดต้นหอม”

“ข้า  เอ่อ..เกลียดข้าวต้ม”

“เอาประเภทผักสิ”

“อ้าวพี่หยูไม่ได้หมายถึงอาหารหรอ”

“แล้วแต่จะตีความก็แล้วกัน   ตาน้องมู่ล่ะ”

“ข้าชอบหมั่นโถวไส้ถั่วแดง”

“ข้าชอบพุทราเชื่อม  ตาข้าล่ะ  ข้าเกลียด...”  ซีคงหยูนึกเล็กน้อย  “..ความรู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถ”

“เอ๋  ข้าเหมือนกัน”

“ไม่ได้  เจ้าพูดซ้ำไม่ได้  เจ้าต้องหาเรื่องอื่น”

“อ่า...งั้น  ข้าเกลียด..ความรู้สึกว่า  ไม่เป็นที่ต้องการ”

“ทำไม”

“พี่หยูจะเลิกเล่นเกมแล้วหรอ”

“ไม่  นี่คือส่วนหนึ่งของเกม  ถ้าเราสงสัยเหตุผลเราสามารถถามกันได้ตลอด”

“ฮ่า ๆ งั้นข้าถามพี่หยูก่อน  ทำไมท่านถึงเกลียดความรู้สึกไร้ความสามารถ  ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ท่านคือยอดฝีมือคนหนึ่งของจิ้งซาน”

“ไฮ้  ต้องถามด้วยหรอ  ข้าไม่เอาถ่านมาตั้ง 27 ปี  เพิ่งจะมาได้ดีตอนนี้  เจ้าคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ารู้สึกกับตนเองยังไงล่ะ”

“ข้าลืมนึกไป  ขออภัยด้วยพี่หยู”

“ไม่จำเป็นต้องขออภัย  และถ้าให้ข้าพูดตรง ๆ  น้องมู่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเวลาที่อยู่กับข้า  เจ้าทำตัวเหมือนกับเด็กที่คอยดูสีหน้าผู้ใหญ่เพื่อระวังว่าจะพูดอะไรหรือไม่พูดอะไรที่จะทำให้ผู้ใหญ่ไม่พอใจ”

“พี่หยูไม่ชอบอย่างงั้นหรือ...”

“ไม่เชิงหรอก  น้องมู่เป็นงี้ก็น่ารักดี   ข้ารู้สึกเหมือนมีน้องชายที่น่ารักคนนึง  อันที่จริงข้าก็มีน้องชายแท้ ๆ คนนึงนะ  แต่มันอายุห่างกับข้าแค่ปีเดียวเลยไม่ค่อยเกรงใจ  ชอบเล่นหัวข้า  เด็กเปรตชัด ๆ”

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะออกทะเล  ซีคงหยูก็วกกลับเข้าเรื่อง  “ดังนั้นข้าเลยเข้าใจว่าทำไมน้องมู่เกลียดความรู้สึกว่าตนไม่เป็นที่ต้องการ  เจ้าคงกลัวว่าถ้าทำทุกอย่างตามใจปรารถนาโดยไม่สนใจความชอบหรือไม่ชอบของผู้อื่น   คนจะไม่ชอบเจ้า”

ซ่งมู่อ้าปากค้าง  อีกฝ่ายเหมือนควักหัวใจของเขาออกมาตีแผ่

“แต่เจ้าต้องดูอย่างน้องอวิ๋น  ความโอหังบางครั้งก็เป็นเสน่ห์  การทำตามใจตนเองบางครั้งก็ทำให้ผู้คนหลงใหลในคุณสมบัติอันก้าวร้าวเหล่านั้น”

“พี่หยูอยากให้ข้าทำตามใจตนเองอย่างงั้นรึ”

“เฮ้  เจ้าเข้าใจผิดแล้ว  ข้าแค่ยกตัวอย่างถึงคนที่มีคุณสมบัติตรงกันข้าม  แต่ละคนก็มีแนวโน้มบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน  เจ้าแค่ต้องแสวงหาบูรณภาพและสมดุลของตนเอง”

“พี่หยูพูดอะไรที่ข้าไม่เข้าใจอีกแล้ว”

“ฮ่า ๆ”  ซีคงหยูหัวเราะเบา ๆ  จากนั้นยื่นมือไปจับจมูกของอีกฝ่าย  ตั้งใจจะบีบ  แต่เปลี่ยนใจลูบเบา ๆ  เจ้าของจมูกอันเป็นส่วนที่โดดเด่นน้อยที่สุดของใบหน้าตัวสั่นเทาภายใต้สัมผัสนั้น

“น้องมู่...เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่ชอบเจ้าใช่มั้ย”

ได้ยินดังนั้น  ซ่งมู่กลั้นหายใจ  แต่ร่างของเขาสั่นเทากว่าเดิม

มือของซีคงหยูเปลี่ยนไปสัมผัสข้างแก้มของอีกฝ่าย  เลื่อนไปถึงจอนผมและใบหูที่ร้อนผ่าวของหนุ่มหน้าซื่อ  ก่อนจะดึงออกอย่างรู้สึกผิดเพราะรู้สึกเหมือนตนเองกำลังล่อลวงเด็กหนุ่มไร้เดียงสา

“ข้าชอบเจ้าแน่ ๆ  แต่ข้าไม่แน่ใจว่าชอบแบบไหน..”  ซีคงหยูพูดด้วยน้ำเสียงลังเล  “บางทีอาจจะเพราะว่าข้าเหงาและไม่ค่อยมีคนคุยกันถูกคอ  ข้าเลยชอบคุยและพบเจอกับน้องมู่”

“พี่หยู..”  ซ่งมู่เรียกชื่อเขาและจับมือของซีคงหยูที่กำลังถอนออกไป  จากนั้นประจงจูบอย่างแผ่วเบาที่ปลายนิ้ว

ซีคงหยูตกใจเล็กน้อย  แต่ปล่อยให้ริมฝีปากอุ่นของอีกฝ่ายแตะต้องกับปลายนิ้วของตน  สัมผัสนั้นพุ่งวาบเข้ามาที่หัวใจ  ทว่ามันไม่ได้ทำให้เขาสั่นไหวมากพอ  สีหน้าของเขาที่ซ่งมู่มองเห็นฝ่าความมืด  ยังคงสงบนิ่งและสำรวม  ไร้ความหวั่นไหวทางอารมณ์  ซ่งมู่ค่อย ๆ ปล่อยมือนั้นไปอย่างเสียดาย

“นี่แหละ  ที่เรียกว่าการทำตามใจตนเองบ้าง  เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยังล่ะ”

ซ่งมู่ฟังดังนั้นก็ส่ายหน้า  และหัวเราะเบา ๆ  เขารู้สึกเจ็บปวดใจ  แต่ในขณะเดียวกันก็โล่งใจ  เขารู้สึกเหมือนเข้าใจสิ่งที่ซีคงหยูพูดเพิ่มขึ้นอีกนิด  และรู้สึกเข้าใกล้ความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าเดิม



+++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-10-2017 02:18:17
พี่หยู เราเชื่อค่ะว่าพี่ชอบน้องอวิ๋น!!/กำผ้าเช็ดหน้าแน่น


เสี่ยวหมีเป็นอย่างไรบ้างหนอ ในเรื่องนี้ใครเป็นอะไรไปก็ได้ แต่เสี่ยวหมีนี่ไม่ได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 06-10-2017 10:50:01
นั่งคุยกันเฉยๆหรอ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-10-2017 12:09:33
อร๊ายยยยยย เขินจังเลย  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-10-2017 13:32:43
Get well soon!

---------------

แผ่นดินไหวที่ใดกันแน่?

ในเมืองจิ้งซาน? หรือในใจคน?
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-10-2017 19:53:36
 o13


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #35 แผ่นดินไหว (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-10-2017 20:04:39
แล้วหยูก็สกัดแร่ แบบแย่งแร่คนอื่นสินะ :เฮ้อ:

โอ๋ เหมือนเป็นห่วงหยูมาก  :hao3:

มู่ ตกหลุมรักหยู  พะวงแต่หยู
จนไม่สนใจชิงความก้าวหน้า่งฝีมือในพรรค

หยู ตอบมู่ว่าชอบโอ๋อวิ๋น
ที่ตอบนี่มาจากใจจริง หรือให้มู่ ตัดใจจากตัวเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #36 วิกาลอันหนักอึ้ง (6/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 08-10-2017 01:38:50

JustWait:  ดีใจแทนน้องอวิ๋นที่ยังคงมีคนลงเรือนี้  #ซับน้ำตาอย่างปลาบปลื้ม
เสี่ยวหมีคือใครอะไรหรอ  ลืมแระ 5555+

wnkth: มีจับมือถือแขนแล้วน้าาาา

puiiz: เขินความละมุนน้องมู่สินะ

alternative: thx
แผ่นดินไหวที่...ญี่ปุ่น 55555++

ommanymontra:  นมัสเตซือเฮีย

♥►MAGNOLIA◄♥:  พระเอกไง  ต้องเด่นต้องเด้ง  แบบไม่ให้ใครได้ผุดได้เกิด  #เอ๊ะไม่ใช่สัมภเวสี
หยูเหยียบเรือสองแคม  โฮะ ๆๆๆๆ
จริง ๆ หยูชอบใคร  ก็ยากจะอ่านใจเหมือนกันแฮะ

+++++



ค่ำคืนนี้เหมือนก้อนพายุทมิฬลูกใหญ่ที่เคลื่อนตัวมากดทับเสี้ยวเล็ก ๆ แห่งเทือกเขามังกรทะยาน  บนท้องฟ้าที่มืดมิดไร้ดาว  จันทร์ค่อนลูกสีแดงแง้มออกมายลพื้นพิภพผ่านเมฆหมอกราง ๆ เหมือนกับสัญญาณของเคราะห์ร้าย

นักพรตเฒ่าเขย่ากระดองเต่า  ในกระดองเต่ามีเหรียญห้าเหรียญ  เหรียญมีสองด้าน  และเมื่อมันพลิกไปมาในกระดองเต่า  ด้านทั้งสองก็พลิกคว่ำและหงายแตกต่างกันไป

“เป็นอย่างไรบ้างท่านนักพรต”

เวิ่นเต๋อเพ่งมองเหรียญในกระดองเต่า  ถอนหายใจช้า ๆ  แล้วกล่าว   

“ในโชคเคราะห์มีหายนะ  เผชิญหายนะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ทว่าสองเหรียญคือโชคบ่งว่าหายนะนั้นยังไกลตัว  สามเหรียญคือฟ้า ดิน และมนุษย์  บ่งถึงหายนะของสวรรค์”

“ถ้าเช่นนั้นการประลองนี้ยังจะดำเนินต่อหรือไม่?”   ตู้ถงเทียนเอ่ยถามความเห็น

“นักพรตผู้นี้ตรวจสอบดูแล้ว  ดินแดนลี้ลับไม่มีอะไรผิดปกติ  แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นดูจะเป็นลางสวรรค์เท่านั้น”

ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ไป่หลินหลิงรวบพัดแล้วกล่าว  “ท่านนักพรตเวิ่นเคยได้ยินเหตุการณ์ที่เหมืองแร่ระดับสูงขุนเขาสายฟ้าพิฆาตหรือไม่”

ทุกคนชะงักและเหยียดตัวยืนตรง


“ผู้อาวุโสไป่คงหมายถึงหายนะเมื่อ 30 กว่าปีก่อน”   ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตถามหยั่งเชิง

“นักพรตผู้นี้ตรวจสอบม่านคุ้มกันทุกปากทางเข้าออกดินแดนลี้ลับแล้ว  รับรองว่าไม่มีช่องว่างให้สัตว์อสูรหลุดออกมาได้เหมือนกับหายนะที่ขุนเขาสายฟ้าพิฆาต”

นักพรตเวิ่นเต๋อรับรองอีกครั้ง 

“เฮอะ  ถึงแม้ว่าจะหลุดออกมาได้  พวกเราจำเป็นต้องเหลือบแลสัตว์อสูรระดับตะวันขึ้นสายด้วยอย่างงั้นหรือ”

ผู้อาวุโสเหม่ยกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงหมิ่นแคลน  ขณะที่ไป่หลินหลิงยิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก



++++++




ซ่งมู่เดินเข้ามาในห้องบัญชาการประตูทรราช   ในห้องมีหลี่โอ๋อวิ๋น  ซ่งจิน  กวนหนิง  และชนชั้นผู้นำของศิษย์สำนักคนอื่น ๆ จำนวนหนึ่ง   หลี่โอ๋อวิ๋นมองเขาจากหลังโต๊ะบัญชาการอย่างไม่ประหลาดใจที่ซ่งมู่มาสาย  เขาเพียงแค่ชี้ให้นักดาบหนุ่มนั่งที่เก้าอี้ทางฝั่งขวาที่ใกล้ที่สุด

“ผู้อาวุโสเยว่แจ้งว่าอีกครึ่งชั่วยามเหมืองจะเปิดให้เข้าตามปกติ”  หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวกับทุกคนในห้องบัญชาการ

ทุกคนยังคงเงียบอยู่เพราะรู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่คงไม่เรียกมาประชุมด้วยเหตุผลเท่านี้

“ในวันพรุ่งนี้จะเป็นวันตัดสินการประลองศิษย์ใหม่ห้าสำนัก”  มือดาบไร้ธุลีเริ่มเข้าเรื่อง   “การประลองชิงเหมืองครั้งสุดท้ายจะพิเศษกว่าทุกครั้ง  เพราะจะเป็นการประลองลับที่ไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ท้าประลองและผลลัพธ์การประลอง  ซึ่งนั่นหมายความว่า...”

หลี่โอ๋อวิ๋นทอดเสียงและกวาดสายตามองรอบ ๆ   “..เราไม่อาจแน่ใจได้ว่า  หลังจากนั้นแต่ละสำนักจะมีเหมืองในครอบครองเป็นจำนวนเท่าไหร่  เราจะต้องอนุมานเอาจากผลลัพธ์การประลองเท่าที่พวกเราทราบ”

เขาหมายถึงว่าประตูทรราชจะรู้ผลลัพธ์การประลองเฉพาะเหมืองที่ประตูทรราชคุมอยู่  หรือเหมืองที่พวกเขาส่งผู้ท้าชิงไปประลองชิงเหมือง

“และหลังจากนั้นจะเหลือเวลาอีกสองชั่วยามในการโจมตีเหมืองที่ยังไม่มีเจ้าของ 7 เหมืองที่เหลือ”

ทุกคนสูดลมหายใจลึก   ตามยุทธศาสตร์ของประตูทรราช  7 เหมืองที่เหลือคือเงื่อนไขตัดสินชัยชนะ  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่า  หนึ่งดาบหนึ่งคนของหลี่โอ๋อวิ๋นจะไร้ผู้ต่อต้านในศิษย์ห้าสำนักที่จิ้งซาน  แต่ก็อดรู้สึกกระสับกระส่ายมิได้

“แล้วเราจะทำอย่างไรกับวารีพิสุทธิ์?”  กวนหนิงเอ่ยถามขึ้นมา

หลี่โอ๋อวิ๋นยกมุมปากเล็กน้อย   ถามกลับ  “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

“เราควรรักษาคำพูด”  ซ่งจินพูดสั้น ๆ

“แต่สัญญายกให้ตั้งสี่เหมืองนั้นมันมากเกินไป  สำนักวารีพิสุทธิ์แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย”  ศิษย์สำนักแซ่เฟยกล่าว

“ที่พี่เฟยพูดก็จริงอยู่”  กวนหนิงสนับสนุน  “ทว่า   เราไม่มีกำลังพอที่จะโจมตีเหมืองทั้งเจ็ดพร้อม ๆ กัน   ดังนั้นวารีพิสุทธิ์จึงมีประโยชน์ในแง่กีดกันเหมืองไม่ให้ตกในเงื้อมมือของสำนักอื่น”

“ยังไงสี่เหมืองก็มากเกินไป”

“งั้นให้พวกเขาสองเหมือง  พี่ใหญ่คิดว่ายังไง”

เมื่อถูกถาม  หลี่โอ๋อวิ๋นใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ  ก่อนหันไปทางขวาเล็กน้อย

“ซ่งมู่  เจ้าคิดว่าไง”

ผู้ถูกถามกำลังใจลอยเลยตอบว่า  “ข้าไม่มีความเห็น”

ซ่งจินที่นั่งฝั่งตรงข้ามเตะขาซ่งมู่ใต้โต๊ะ  ทว่าเหมือนจะเตะผิดขา

“เจ้าเตะข้าทำไม”  หลี่โอ๋อวิ๋นหันไปถามเจ้าของตาปลาตาย

“ขออภัย”   ซ่งจินตอบสั้น ๆ และเสมองไปทางอื่น

เมื่อรู้ว่าพี่ชายของตนเตะคนที่ไม่ควรจะเตะที่สุดในโต๊ะ  ซ่งมู่ก็เรียกสติกลับมาทันทีและออกความเห็น

“พี่ใหญ่  กินห้าเหมืองนั้นมันมากเกินไป  ถ้าเราแบ่งออกเป็นห้ากลุ่มสำรวจ  กำลังของเราจะอ่อนแอลงมาก  และหมายความว่าพี่ใหญ่จะต้องคอยระวังไม่ให้พันธมิตรสามสำนักลอบโจมตีถึงห้าทางเข้าเหมืองพร้อม ๆ กัน”

หลี่โอ๋อวิ๋นลูบคางตนเองช้า ๆ รับฟัง

“ในวันพรุ่งนี้พันธมิตรสามสำนักก็จะเหมือนสุนัขจนตรอก  พวกเขาจะต้องดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายแน่ ๆ  ...อีกอย่าง  ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าในแคว้นที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง  เวลาชาวบ้านจะต้อนวัวข้ามแม่น้ำ  พวกเขาจะต้องเชือดลูกวัวและโยนลงไปในน้ำเพื่อล่อจระเข้  หากพวกเขาเชือดลูกวัวน้อยเกินไป  จระเข้ก็จะไล่กัดกินฝูงวัวที่ถูกต้อนอยู่ดี”

“เจ้าหมายความว่า?”

“ตัวเลขที่ดีที่สุดคือสี่  ยกสี่เหมืองให้วารีพิสุทธิ์  พันธมิตรสามสำนักจะไปแย่งชิงสี่เหมืองนั้น  และสามเหมืองของเราจะปลอดภัยอย่างแน่นอน  ทว่าหากเราใช้เลขสี่  ต้องมีคนระแวงสงสัยว่าเหตุใดเราจึงยอมปล่อยเหมืองให้พันธมิตรมากกว่า  ดังนั้นสามจึงดีที่สุด”

หลี่โอ๋อวิ๋นฟังดังนั้นจึงตบบ่าซ่งมู่

“เจ้าพูดได้เหมือนกับใจของข้า  สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องที่ข้าหมายตาเอาไว้”

ซ่งมู่ฟังดังนั้นก็ยิ้มฝืน  ก้มหน้าซ่อนความขมอันเร้นอยู่ที่มุมปากของตน

“ดังนั้นเรามาดูกัน   เราจะเลือกเหมืองที่ยึดง่ายที่สุด  แล้วที่เหลือจะส่งให้วารีพิสุทธิ์”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าว  พลางส่งสัญญาณให้กวนหนิงเปิดภาพฉายจากแท่งหยกสื่อสารถึงข้อมูลเหมืองที่พวกเขาส่งหน่วยสอดแนมไปสำรวจล่วงหน้า   เมื่อผ่านการโต้เถียงและวิเคราะห์ว่าจะจัดคณะสำรวจอย่างไร  หลี่โอ๋อวิ๋นก็เขียนตัวเลขสามชุดในกระดาษ  และม้วนส่งให้กับพลสื่อสาร

“ส่งให้จางชุ่ยฮัว”

เขาออกคำสั่งและมองตามพลสื่อสารที่เดินลับออกไปจากกระโจม



+++++



ด้วยวิธีใดไม่ทราบ  ตัวเลขสามชุดนั้นตกอยู่ในมือของผู้กล้าทวนแดง   เขาเขียนมันใส่นกกระเรียนกระดาษ  พับมันแล้วเป่าลมปราณเข้าไป   นกกระเรียนสีขาวโบยบินหายไปในท้องฟ้าสีกำมะหยี่  เขากำลังจะหันหลังกลับ  ทว่าสัญชาตญาณระวังภัยของเขาเตือนให้เขาหยุดยั้งร่างกายทุกส่วนไว้เท่านั้น 

“เจ้าส่งข่าวเสร็จแล้วใช่มั้ย”

“ข้า..”

อย่างไม่รอคำตอบ  ปราณดาบไร้รูปรอยพุ่งเข้ามาสะบั้นชีพจรหัวใจ  ผู้กล้าทวนแดงไม่ทันแม้จะจับด้ามทวน  เรี่ยวแรงที่เหลือของเขาทำได้แค่กุมหน้าอก  คุกเข่าลงไป  ใบหน้าบิดเบี้ยวและกระอักเลือดย้อยจากปากไปถึงคางของตน  สองตาเหลือกโพลงของเขาพยายามจะเหลียวไปมองข้างหลัง  แต่ความเจ็บปวดทำให้ร่างของเขาเกร็งกระตุกจนไม่อาจควบคุมได้   ผู้กล้าทวนแดงคว่ำหน้าลงไปกับพื้นเย็นชืด...และไม่นานร่างกายก็เย็นเยียบพอ ๆ กับก้อนหินเล็ก ๆ ที่กลิ้งอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขา

ผู้ลงมือสังหารเก็บดาบเข้าฝัก  เขาไม่ชอบการนองเลือดและการทำร้ายผู้คนให้เจ็บปวดเกินจำเป็น  เพลงดาบของเขาจึงเฉียบขาด  ไร้รูปรอย  และบางครั้งก็ไร้บาดแผล  เป็นดาบที่มีไว้สังหาร  มิได้มีไว้แสดงบนเวทีงิ้ว



+++++



ตู้เกี่ยนหลงรับนกกระเรียนจากฟากฟ้า  รอบตัวเขาคือผู้นำพันธมิตรสามสำนักซึ่งกระวนกระวายในคืนสุดท้ายก่อนรุ่งสางแห่งการตัดสิน

“เขาตายแล้ว”

คนอื่น ๆ นอกจากหวงอีกงจื่อ  ไม่ทราบว่าตู้เกี่ยนหลงหมายถึงใคร  แต่ก็พอเดาได้   แผ่นหยกสื่อสารของเว่ยหลิงจื่อและจ้าวเหรินเจี่ยนมีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าในเวลาไม่นาน  และเมื่อเห็นข้อความ  ผู้นำของสองสำนักก็ทำสีหน้าปั้นยาก

“ดูเหมือนว่าหลี่โอ๋อวิ๋นจะกวาดล้างสายลับทั้งหมดในคืนนี้”   ตู้เกี่ยนหลงกล่าวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของแต่ละคน  นิ้วของเขาคีบกระดาษที่ถูกคลี่จากนกกระเรียนพับ  แสดงให้เห็นตัวเลขสามชุดในนั้น  ตัวเลขสามชุดเขียนด้วยหมึกดำทว่าทุกคนเหมือนกับมองเห็นมันเป็นสีแดงเข้มดุจโลหิตและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดฉุนเฉียว

“ถ้างั้น  นี่คือข้อมูลที่สายลับของเจ้าใช้ชีวิตแลกมา?”   เว่ยหลิงจื่อกล่าวถาม

เด็กหนุ่มหน้าคมเข้มส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มประดับที่มุมปาก  “พี่เว่ยกล่าวผิดแล้ว  นี่คือข้อมูลที่หลี่โอ๋อวิ๋นจงใจปล่อยออกมา”

“ถ้างั้นแปลว่าเราเชื่อไม่ได้งั้นรึ”

ตู้เกี่ยนหลงไม่ตอบ  แต่หันไปถามมือกระบี่ชุดขาว  “พี่จ้าวคิดว่าอย่างไร”

“ตามหลักพิชัยยุทธ  ในจริงมีลวง  ในลวงมีจริง  สิ่งที่จริงทำให้ศัตรูคิดว่าลวง  ความลวงนั้นก็จริง”

“ว้าว  พูดจาลึกลับเช่นนี้ข้าก็พูดได้  ในนิยายข้าเขียนเยอะแยะไป”  เว่ยหลิงจื่อเหน็บแนม

“ถูกคุณชายเว่ยเปิดโปงเสียแล้ว  จ้าวละอายจริง ๆ”   จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวยิ้ม ๆ

“พี่จ้าวโปรดกล่าวมาอย่าเกรงใจ”  ตู้เกี่ยนหลงยังยืนยันที่จะฟังความเห็นของอีกฝ่าย

“ในเมื่อเป็นข้อมูลที่มาอย่างจงใจของฝ่ายตรงข้าม  ย่อมผ่านการขบคิดมาแล้ว  เราจะขบคิดดักทางอีกกี่ชั้นก็ไม่รู้จะเปลืองสมองไปเท่าไหร่  คุณชายตู้เคยได้ยินหรือไม่ว่า  ในสามร้อยหกสิบแผนพิชัยยุทธ  หลักพื้นฐานมีสามประการ”

“น้องชายล้างหูรอรับฟัง”

“พื้นฐานแรกคือตั้งมั่นป้องกัน  พื้นฐานที่สองคือยึดถือความเรียบง่าย  และพื้นฐานที่สามคือล่าถอยเมื่อมองไม่เห็นทาง”

“แล้ว...”

“เราควรยึดถือความเรียบง่าย  เชื่อถือข้อมูลที่ได้มา  จ้าวเชื่อว่า  คุณชายหลี่คงไม่เปลืองแรงคิดป้องกันให้สำนักวารีพิสุทธิ์แน่นอน  และเขาคงปล่อยให้เราทำตามใจตนเองกับสามเหมืองที่แสดงอยู่นี้”

จ้าวเหรินเจี่ยนเว้นไปครู่หนึ่ง  ใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดที่นิ้วโป้งซ้ายของตนเองช้า  ๆ

“สามเหมือง  สำหรับเราสามสำนักแบ่งปันกัน  นั่นคือท่าทีของประตูทรราช”

“เฮอะ  ถึงอย่างงั้น  ประตูทรราชก็ชนะอยู่ดี”

เมื่อฟังเว่ยหลิงจื่อแค่นเสียง  จ้าวเหรินเจี่ยนก็ตอบทันที

“คุณชายเว่ยกล่าวถูกแล้ว  เพราะไม่มีใครในที่นี้ที่ต่อกรกับคุณชายหลี่ได้  และเขาก็ไม่ได้โลภเกินไปจนเปิดช่องโหว่  ก็จำเป็นต้องยอมรับสภาพ”

ตู้เกี่ยนหลงยิ้มเล็กน้อย   “พี่จ้าวคงลืมนับตนเองไป  กระบี่ไร้ที่ติมีชื่อเสียงคู่กับดาบไร้ธุลี  ถึงอาจจะตัดสินชัยชนะไม่ได้ในระยะอันสั้น  แต่ถ่วงเวลาจนกระทั่งพวกเรายึดเหมืองสำเร็จก็พอได้อยู่”

เมื่อฟังเช่นนั้นจ้าวเหรินเจี่ยนก็มองผู้พูดด้วยสายตาเป็นประกาย

“หรือคุณชายตู้คิดจะปล่อยให้จ้าวเป็นอิสระจากหน้าที่ผู้คุ้มกันเหมือง”

“เฮ้  เรื่องนี้อาจจะต้องถามพี่เว่ย  ข้าคนเดียวคงตัดสินใจไม่ได้”

เมื่อสายตาของทั้งคู่มองมาที่เว่ยหลิงจื่อ  เว่ยหลิงจื่อหันไปจ้องตาตู้เกี่ยนหลง  “ถ้าข้าบอกว่าเห็นด้วยล่ะ”

“น้องชายก็จะบอกว่าไม่เห็นด้วย”  เด็กหนุ่มกล่าวพลางยิ้มยิงฟัน

“แต่เจ้าเป็นคนเสนอความเห็น”

“มีอะไรทำให้น้องชายไม่สามารถไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่ตนเองเสนอล่ะ”

“ไม่มี”  เว่ยหลิงจื่อยอมแพ้

“ฮ่า ๆ  คุณชายตู้หยอกจ้าวกับพี่เว่ยแล้ว  ถ้าจ้าวเป็นคุณชายตู้จ้าวก็คงไม่ปล่อยยอดฝีมือระดับจันทราเลื่อนลอยออกมาเพ่นพ่านอีกคนหรอก”   มือกระบี่ไร้ที่ติกล่าวกลั้วหัวเราะ

“ถ้างั้นเราจะทำยังไง”   คุณชายวังหมื่นบุปผากัดฟันพูด

“หรือว่าจะจับซีคงหยูเป็นตัวประกัน”   หวงอีกงจื่อที่เงียบมานานเอ่ยแสดงความเห็น

“นั่นมันน่ารังเกียจ”   เว่ยหลิงจื่อไม่เห็นด้วย  เขายังไม่อยากเสียฐานนักอ่านฮาร์ดคอร์อย่างคุณชายสาม

“ไม่มีเกียรติยศและความต่ำช้าในการทำศึก”   หวงอีกงจื่อเถียงด้วยดวงตายิบหยี

“จับคุณชายซีคงไปก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล  ซ้ำร้ายหากว่าพวกท่านไม่อยากรนหาที่ตาย  อย่าแตะต้องเขาจะดีกว่า”   จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละไม

“ทำไม?”

เมื่อฟังคำถาม  เจ้าของลักยิ้มแผลเป็นอันโดดเด่นก็ชี้นิ้วไปทางท้องฟ้าทิศใต้  ทางยอดเขาจิ้งซาน

“พวกท่านลืมแล้วหรือว่าคุณชายซีคงเป็นศิษย์ของใคร”

“ฮึ่ม  ถ้านักพรตเวิ่นจะลำเอียงขนาดนั้น  ทำไมไม่ให้ซีคงหยูชนะประลองไปเลยล่ะ”

“ฮ่า ๆ  หวงอีกงจื่อพูดเล่นแล้ว  แต่ระวังอาจจะเป็นจริง”

ทุกคนหันไปมองหน้ากัน  และเริ่มรู้สึกว่าที่หวงอีพูดอาจจะเป็นปากนกแสกก็ได้




+++++++



เวิ่นเต๋อเชื่อว่าโดยปกติแล้วตนเองไม่ใช่คนลำเอียง   ทว่าเมื่อแผ่นหยกสื่อสารแจ้งให้เขาทราบว่า  สำนักพิมพ์ของเขาได้รับดีลจากตระกูลน่ำเก็ง  เขาก็รีบเรียกตัวผู้ต้องสงสัยมาพบที่ลานภูเขาหยกทันที

“ท่านอาจารย์มีอะไรให้ศิษย์รับใช้”  ซีคงหยูกล่าวกับนักพรตเต๋าที่ยืนหันหลังให้และเอามือไพล่หลัง  รอบ ๆ ลานมีแสงเต๋าเป็นดวง ๆ ทำหน้าที่แทนมุกเซียนส่องแสงอันให้ความสว่างตัดกับความมืดมิดของราวป่าโปร่ง

“เฮอะ  ศิษย์ไม่รักดี  เจ้าทำให้ข้าเสียพนัน”

แต่ซีคงหยูไม่เกรงกลัว  เขายืนประสานมือในองศาเดิมและอมยิ้มเล็กน้อย

“ศิษย์คิดว่า  เสียทรัพย์สินดีกว่าเสียชื่อเสียง  หากผู้คนร่ำลือกันว่าศิษย์ของนักพรตเวิ่นเต๋อไม่เอาถ่าน  แพ้แม้กระทั่งผู้มีพลังพรตต่ำกว่าหนึ่งเขตแดน  ศิษย์เกรงว่าท่านจะเสียหน้าไม่ใช่น้อย”

เวิ่นเต๋อฟังแล้วก็สะบัดแขนเสื้อหันกลับมา

“ศิษย์ไม่รักดี  ลิ้นของเจ้านี่มันลื่นไหลจริง ๆ   ข้าขี้เกียจจะตีฝีปากกับเจ้า  ที่ข้าเรียกเจ้ามาในราตรีนี้เพื่อสอบถามสถานการณ์การประลอง”

ซีคงหยูกระตุกยิ้มฝืดเล็กน้อยแล้วตอบ  “เรียนท่านอาจารย์  สำนักวารีพิสุทธิ์นั้นอ่อนแอ  ไม่มียอดฝีมือเพียงพอ  คงยากจะพลิกสถานการณ์”

“นับว่าพวกเจ้ายังรู้ตัวอยู่บ้าง”

“ท่านอาจารย์เป็นยอดฝีมือ  ท่านมิได้หยั่งรู้เหตุการณ์ทั้งหมดในจิ้งซานแล้วหรอกหรือ”  ซีคงหยูนึกได้จึงถามอย่างประหลาดใจ

“ไม่สามารถ”

เวิ่นเต๋อตอบสั้น ๆ  ขณะที่ซีคงหยูประเมินขอบเขตความสามารถของผู้บำเพ็ญพรตระดับดาราเงียบงันในใจ  ดูเหมือนว่าผู้บำเพ็ญพรตระดับนี้มิได้มีสรรพเดชะเหมือนที่เขาเคยคิดวาดภาพเอาไว้

“พวกเราตัดสินใจว่าจะกอดขาอ่อนของประตูทรราชขึ้นไปเป็นที่สองของการประลอง”   คุณชายสามตัดสินใจบอกเล่าแผนการให้นักพรตเวิ่นทราบ

“เฮ่อ ๆ”

เมื่อฟังเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย  ซีคงหยูก็เลิกคิ้วเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์คิดว่าอย่างไร”

“ศิษย์ไม่รักดี  บางทีเจ้าก็ดูเหมือนฉลาด  แต่บางทีเจ้าก็ตื้นเขินเกินไป  ในยุทธจักรไม่มีมิตรแท้  ไม่มีพันธมิตรถาวร”

“ศิษย์ทราบดีว่าจิตใจผู้คนยากจะหยั่งถึง  ทว่าศิษย์เชื่อว่าถ้าทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์  ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องหักหลังกัน”

“ร้อยคำนวณพันคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต”   นักพรตเวิ่นกล่าว  “แต่ฟ้าลิขิตก็ไม่เท่ากับพลังที่อยู่ในมือตนเอง  เจ้ายืมพลังผู้อื่นจึงต้องอาศัยการคำนวณคาดคะเน  แต่หากว่าตัวเจ้าเองไร้เทียมทาน  เหตุใดต้องหวังพึ่งลมฟ้า”

ซีคงหยูฟังดังนั้นก็พยักหน้า   “ก็จริงอยู่  ทว่ามันช่วยไม่ได้ที่ศิษย์ด้อยฝีมือ  การประลองนี้ไม่เป็นธรรมตั้งแต่แรกที่ประตูทรราชกับไมตรีโลหิตส่งยอดฝีมือระดับนั้นลงมาแข่ง”

“เฮ่อ ๆ  แล้วเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

“ศิษย์คิดว่าจะลองกอดขาที่ใหญ่กว่านั้น  เช่นขาของท่านอาจารย์”

“เฮอะ  เหตุใดข้าต้องช่วยสำนักวารีพิสุทธิ์   วารีพิสุทธิ์แพ้ ๆ ไปก็ดีแล้ว  เจ้าจะได้โดนเตะออกจากสำนักแล้วมาช่วยข้าขายหนังสือ  อา..เพ้ย  มาเรียนรู้เต๋าแห่งเทศะเต็มตัว”

“ท่านอาจารย์  รังแกคนก็ต้องมีขอบเขต  ข้ามีความสุขที่วารีพิสุทธิ์ดีอยู่แล้ว  เหตุใดต้องตามท่านไปร่อนเร่เป็นเซลล์แมน”  คุณชายสามกัดฟันกำหมัดแน่น

“น่าเสียดาย  เจ้ามีพรสวรรค์อยู่บ้างแท้ ๆ”   

ซีคงหยูไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายชมเขาเรื่องพรสวรรค์เต๋าเทศะ  หรือเต๋าแห่งการขาย

“ถ้าอย่างงั้น   ท่านอาจารย์เรียกข้ามาทำไม”    ...ในเมื่อไม่คิดจะช่วย  ซีคงหยูกลืนอีกครึ่งประโยคเอาไว้

“เจ้าพูดถูก  ถ้าเจ้าแพ้การประลอง  ข้าก็จะเสียหน้า  ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาบอกว่า  ลานประลองที่เจ้าจะใช้พรุ่งนี้  ข้าจัดการสภาพแวดล้อมให้เป็นพิเศษ  ฮี่ ๆ”

“ท่านอาจารย์หมายความว่า?”

“ข้าเห็นเจ้าสำเร็จวิชาทางน้ำ  ดังนั้นพรุ่งนี้ลานประลองของเจ้าจะเต็มไปด้วยน้ำ”

“เฮเว่นอะโบฟ!  ท่านอาจารย์  นี่มันโกงไม่ใช่หรือ”

“หรือจะให้เปลี่ยนเป็นทะเลไฟ”   เวิ่นเต๋อชักสีหน้า

“โน ๆๆ  ท่านอาจารย์ทำดีแล้ว  ขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก  ว่าแต่ท่านไม่กลัวผู้อาวุโสคนอื่นทักท้วงหรือ”

“เพ้ย  พรุ่งนี้เป็นการประลองลับ  คนอื่นมองไม่เห็นลานประลอง  เจ้าโกงได้ตามสบาย”

ซีคงหยูเหลือกตามองสวรรค์เบื้องบน   




++++++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #36 วิกาลอันหนักอึ้ง (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-10-2017 04:51:02
 :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #36 วิกาลอันหนักอึ้ง (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 08-10-2017 07:25:12
วางแผนกันง่ายๆงี้เลยนะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #36 วิกาลอันหนักอึ้ง (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 08-10-2017 09:14:47
พึ่งเข้ามาอ่านสนุกดีคะ กำลังเบื่อแนวปกจิอยู่พอดี มาต่อไวๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ยักเขียนคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #36 วิกาลอันหนักอึ้ง (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2017 10:18:00
แผ่นดินไหว เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว
มีความรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับหยู
แต่หยูอายุยี่สิบเจ็ด
หรือหยูมาในรูปไข่มังกร ใช้เวลาฟักตัวแปดปี  o22 o22 o22
เหมือนโอ๋ ก็คิดว่าเกี่ยวกับหยูนะ

มู่ เข้าใจสรุปการแบ่งเหมืองอย่างชาญฉลาด
ไม่ทำให้โอ๋ ผิดสังเกต
และไม่ดูเข้าข้างพรรควารีพิสุทธิ์
ก็แบ่งให้แล้วตั้งสามเชียวนะ ไปรักษากันเอาเองนะ   :hao3:
แต่โอ๋ ยอดมากถือโอกาสกำจัดสายลับซะเลย

แล้ว อ.เวิ่นก็ถูกใจขายหนังสือได้เพราะหยู
แล้วก็วางแผนโกงต่อ สมกับที่บำเพ็ญพรตมาอย่างบริสุทธิ์ใจ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #36 วิกาลอันหนักอึ้ง (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-10-2017 13:09:57
ในคืนที่ฟ้าไร้แสงจันทร์
เบื้องล่างก็ห้ำหั่นอย่างกราดเกรี้ยวทว่าเงียบงัน

เป็นเซลส์แมนได้ท่องยุทธจักรเหนือใต้ออกตกนะหยู ได้พบเจอผู้มากมาย
ลองคิดใหม่ไหม?
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 08-10-2017 16:54:48
 puiiz:  5555  ตกใจอะไรครับ

wnkth: แบบนี้แหละ  ท่านนักพรตเวิ่นหน้าหนายิ่งกว่ากระเบื้องตราช้าง

xหยกน้อยx: ยินดีต้อนรับครับ  หวังว่าบทต่อ ๆ ไปคงทำให้สหายเต๋าหยกน้อยสนุกเหมือนเดิม

♥►MAGNOLIA◄♥:  โอ้  ไข่มังกร  #จดพล็อตๆ
มู่ก็แบบนี้แหละฮะ  เนียนตลอด
วารีพิสุทธิ์จะรักษาเหมืองได้หรือไม่  ต้องดูกันต่อไปและต่อไปและต่อไป 

alternative:  ยากมาก ๆ เลยครับที่จะเขียนถึงความโหดเหี้ยมและชั่วร้ายของผู้คน  ในเมื่อนักเขียนเองออกจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสา  harmless to animal and human ขนาดเน้





++++++++++


เมื่อกลับจากลานภูเขาหยก  ซีคงหยูเดินกลับมายังที่นอนฟางของตน  เสี่ยวหมีซึ่งนอนหลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการล่าอสูรผีเสื้อมายากรนเสียงดังครืดคราดผ่านจมูกที่มันพาดอยู่กับต้นขาของหลิวเกาที่นอนนิทราหงายอ้าซ่าเช่นกัน

ซีคงหยูปีนขึ้นเตียงฟางของตนเอง  แล้วเปิดกล่องสมบัติที่เขาเก็บเครื่องใช้ไม้สอยของตนเองเอาไว้  เขาไม่จำเป็นต้องใช้มุกเซียนส่องแสง  เพราะแสงสว่างเลือนลางจากจันทร์สีแดงทมิฬภายนอกก็เพียงพอสำหรับผู้บำเพ็ญพรตระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย

คุณชายสามรู้สึกจิตใจปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูกในคืนนี้  อาจจะเป็นความตื่นเต้นที่ทุกอย่างจะถูกคลี่คลายไปสู่บทสรุป  หรืออาจจะเพราะความเสียดายที่จะต้องจากสหายที่คุยกันถูกคออย่างซ่งมู่และคนอื่น ๆ  เขายอมรับว่าเขาเข้ากับพวกผู้หญิงได้ไม่ค่อยดีนัก  พวกนางมักจะคุยกันในเรื่องที่เขามิใคร่สนใจ  และในขณะเดียวกัน  ความแตกต่างระหว่างเพศก็ทำให้พวกนางกีดกันเขาโดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ซีคงหยูถอนหายใจเมื่อคิดว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอกของสำนักวารีพิสุทธิ์  ความสัมพันธ์ที่เขาจะมีได้กับศิษย์พี่ศิษย์น้อง  อาจจะมีเพียงแค่เหนือกว่าหรือต่ำกว่า..การเป็นผู้นำหรือผู้ตาม 

ซีคงหยูเลื่อนมือสัมผัสวัสดุ  เครื่องมือ  และแบบแปลนในกล่อง  ทุกอย่างเรียงกันอย่างเป็นระเบียบดุจเดิมที่เขาจัดเอาไว้  มือของเขาหยิบแผ่นไม้ในซองหนัง  มันเป็นแผ่นไม้ไสบาง ๆ ที่แช่น้ำยาพิเศษ  ทำให้เหนียวและหักได้ยาก  ความยืดหยุ่นของมันเหมือนกับกิ่งหลิวทว่าทนทานราวกับแผ่นเหล็ก   ซีคงหยูใช้มันในการฝึกความแม่นยำของมือในการวาดลวดลายทองคำตามแบบแปลน  แต่ก่อนเขาจำเป็นจะต้องใช้แว่นขยายและไม้บรรทัด  เมื่อบีบโลหะผสมกับทองคำหลอมเหลวไปตามเส้นแนวที่ซับซ้อน  ทว่าเมื่อทำตามแบบแปลนเดิมบ่อยเข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องมือในการใช้มืออันนิ่งวาดเส้นซึ่งละเอียดกว่าเส้นไหม

ซีคงหยูพบว่า  การวาดเส้นบนกระดาษ  ก็ช่วยฝึกความนิ่งของมือ  ตอนแรกเขาคัดลอกภาพที่ชัดเจนและสวยงามของแบบแปลนมรดก  และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มดัดแปลงและออกแบบสิ่งประดิษฐ์บางชิ้นเอง  ทว่าดูฝีมือการร่างภาพของเขาก็ยังคงห่างไกลจากต้นแบบอันทำให้เขารู้สึกชื่นชมมือของอีกฝ่ายไม่รู้จบ

เขาไม่อยากฝึกเขียนแปลนวงจรในค่ำคืนนี้   ความอัดอั้นกลัดกลุ้มใจทำให้เขาวาดภาพเรื่อยเปื่อยไร้สาระ  เขาบีบหลอดบรรจุโลหะหลอมเหลว  โลหะภายในไหลหยดออกมาตามรูเข็มและมันจะแข็งตัวเมื่อเจอกับอากาศภายนอกในไม่กี่ชั่วอึดใจ  นี่ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของเขา  แต่เป็นภูมิปัญญาของสมาคมเต๋าแห่งกลไก  พวกเขาใช้หลักการเดียวกันในการสร้างวงจรเซียนที่จะขับเคลื่อนวัตถุวิเศษ  หรืออาวุธเซียน  วัตถุวิเศษระดับต่ำวงจรของมันจะทำจากเส้นโลหะที่ใช้มือในการขีดเขียน  ทว่าวัตถุวิเศษระดับสูง   ยอดฝีมือจะใช้พลังปราณเชื่อมต่อและเปลี่ยนธรรมชาติของอณูในเนื้อวัสดุ  แน่นอนว่าผู้ที่สามารถบงการอณูวัตถุได้ตามใจย่อมเป็นยอดฝีมือด้านเต๋าแห่งเทศะ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาซีคงหยูเคยคิดจะเอาดีด้านเต๋าแห่งกลไกหรือไม่?  แน่นอนว่าเขาคิด  ทว่าเมื่อเขาทดลองเรียนรู้จากสมาคม  เขาพบว่าปรัชญาของผู้เฒ่าเต๋าเหล่านั้น  หรือกล่าวอีกอย่าง..อัลกอริธึมของพวกเขา  แตกต่างและขัดแย้งกับอัลกอริธึมของแบบแปลนที่ซีคงหยูได้รับสืบทอดมาโดยสิ้นเชิง  เขามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถทำใจคิดได้ว่าสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ  เหลวไหลไร้สาระ  เป็นความคิดฝันเฟื่องของคนที่มีเวลาว่างมากเกินไป  จนคิดสิ่งกลไกพิลึกพิลั่นอันใช้งานไม่ได้จริงจำนวนมาก

และโดยที่ความคิดคำนึงของเขาพาไป  มือของเขาก็วาดภาพร่างเป็นรูปโครงหน้า  เขามองดูเส้นของคางและกรามที่มีองศาแน่นอนซึ่งเขาร่างโดยไม่ได้ตั้งใจเท่าใดนัก  และตัดสินใจว่ามันควรจะเป็นรูปของใคร  ซีคงหยูจึงเริ่มเติมรายละเอียดของดวงหน้าด้วยเส้นใยโลหะละเอียดยิบ  แรงบีบของเขากำหนดความหนาของเส้นได้ตามใจ  และบางครั้งเขาก็ถักทอเส้นเป็นลวดลายพื้นผิวที่ทำให้เกิดเงาในลักษณะต่าง ๆ อันประกอบขึ้นเป็นใบหน้าหล่อเหลาอันสมจริง

ซีคงหยูละทิ้งจมูกไว้เป็นอย่างสุดท้าย  เพราะเขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะ แต่งแต้มจุดในดวงตา  และเพิ่มดอกท้อบนกิ่งไม้ ดีหรือไม่  แต่เมื่อคำนึงถึงความซื่อตรงต่อผลงาน  เขาจึงตัดสินใจวาดไปอย่างที่เขาเห็น  ซีคงหยูเป่าเส้นโลหะให้แห้งสนิทอย่างระมัดระวัง   ถอยออกมาดูห่าง ๆ  จากนั้นขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดให้สมบูรณ์  ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่วาดภาพของชายหนุ่มที่เขารู้จักก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ  เมื่อตัดสินใจว่างานศิลปะชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว  ซีคงหยูก็นอนหงายไปกับเตียง  สองแขนเหยียดให้ภาพวาดเส้นโลหะบนแผ่นไม้อยู่ห่างจากสายตาเขาในระยะเหยียดแขน  เขาพยักหน้ากับภาพวาดแล้วพึมพำอย่างพึงพอใจ

“อื้ม  หล่อแล้วล่ะนะ  ซ่งมู่”

เขาดูภาพต่ออีกครู่หนึ่ง  จากนั้นสอดไว้ใต้หมอน  เพราะขี้เกียจเอาเก็บเข้ากล่องที่ถูกถีบไปไว้ใต้เตียงแล้ว  จากนั้นจึงข่มตาหลับเพื่อรอรุ่งเช้าสุดท้ายของการประลองที่จิ้งซาน


++++++


ซีคงหยูลืมตาตื่นเพราะนกกระเรียนกระดาษมาจิกที่ปลายจมูก  วิธีการสื่อสารของผู้บำเพ็ญพรตมีหลายวิธี  ไม่ว่าจะใช้แผ่นหยกสื่อสาร  หรือการใช้ปราณเสียงถ่ายทอด  ทว่ายิ่งวิธีการสื่อสารซับซ้อนและพึ่งปราณเซียน  มันก็ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกสอดแนมโดยผู้มีพลังยุทธสูงกว่า  การเขียนข้อความบนกระเรียนสื่อสารจึงถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง  เพราะผู้คนไม่สามารถใช้พลังปราณสำรวจข้อความบนกระเรียนกระดาษได้ทันที  พวกเขาต้องขัดขวางและจับนกกระเรียนด้วยมือ  ซึ่งนั่นจะทำให้คนส่งข้อมูลรู้ตัวว่าข้อมูลนั้นตกไปอยู่ในมือผู้อื่นแล้ว

ซีคงหยูจามจากอากาศเย็นในยามเช้า  มันเป็นความเคยชินของเขามากกว่าจะรู้สึกหนาวจนเกินทนจริง ๆ  คุณชายสามคว้ามือจับนกกระเรียนและหรี่ตาสลึมสลือระหว่างที่คลี่ดูข้อความ

“ประตูละทิ้งวารี  สามสำนักพุ่งเป้า  ท่านต้องหาวิธีดูแลตนเอง”

ซีคงหยูสูดลมหายใจเฮือก  ลายมือที่เขียนเป็นลายมือคล้ายคลึงกับลายมือที่เขียนป้ายห้อยคอจอมยุทธหมีแดง  เพียงแต่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่า  เขาขยำกระดาษและบดมันเป็นผงในมือจากนั้นโปรยออกไปทางหน้าต่างศาลเจ้า  จากนั้นจัดเสื้อลำลองชั้นในอันเป็นผ้าฝ้ายดิบสีขาวของตนให้เรียบร้อยและลูบผมเผ้าที่มีเส้นกระเซิงจากการนอน  ซีคงหยูเดินออกไปข้างนอกตรงใต้ทับทิมเตี้ย ๆ ใกล้ ๆ จากนั้นเทน้ำจากกระบอกไผ่หยกเย็นล้างหน้าล้างตา  จากนั้นเดินกลับมาที่เตียงอีกที  เพื่อสวมเสื้อและกางเกงตัวนอกสีดำตัวเก่งของเขา   คุณชายสามสังเกตว่าเสี่ยวหมีและหลิวเกาหายไปจากที่นอนเรียบร้อยแล้ว  พวกเขาและศิษย์น้องจิ่งคงไปล่าอสูรผีเสื้อมายาต่อ  เพราะใกล้จะหมดเวลาของการผจญภัยในเหมืองจิ้งซานเข้าเต็มที

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว  เขาไม่ไปหาจางชุ่ยฮัวหรือศิษย์พี่สวี  แต่มุ่งตรงไปที่ค่ายประตูทรราชทันที



+++++++



หลี่โอ๋อวิ๋นตื่นแต่เช้ามืดเป็นปกติ  ทุก ๆ เช้าเขาจะฝึกดาบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ด้วยท่าพื้นฐานอย่างเช่นการชักดาบ  หรือการฟันดาบในองศาต่าง ๆ  แต่ละวันเขาจะฝึกการฟันดาบในหนึ่งองศา  และวันต่อไปก็จะเลื่อนไปเรื่อย ๆ  จนครบหนึ่งปีเขาจะฝึกเกือบครบรอบองศาของการฟันดาบ  การฝึกนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เต๋า  แต่เป็นการฝึกร่างกาย  เมื่อนักดาบคุ้นเคยกับทุกท่าร่างและแง่มุมของตนเอง  ปฏิกิริยาตอบสนองก็จะคล่องแคล่วว่องไว  และการตัดสินเป็นตายก็อยู่ในเสี้ยววินาทีนี้

เช้านี้ก็เช่นกัน  มือดาบไร้ธุลีฟาดดาบใส่ศัตรูในจินตนาการตรงหน้าครั้งที่สามพันสี่ร้อยหกสิบสองของวันนี้  ร่างเปลือยท่อนบนของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่พอเหมาะพอเจาะ  ไม่มากและไม่น้อยเกินไป  ไม่เทอะทะเกินจำเป็น  ทุกมัดแฝงด้วยพลังงานที่บีบอัดจนแทบระเบิดและถูกรีดจนเหลือแค่เนื้อเยื่ออันแข็งแกร่งเพียว ๆ เหมือนกับริ้วลายของรูปปั้นหินอ่อน  เหงื่อที่หลั่งโซมกายของเขาหยดลงมาจากปลายข้อศอก  เขาจงใจไม่ใช้ปราณคุ้มครองร่างในการลดความเหนื่อยล้า  และปรับสภาพของร่างกายให้คล้ายกับมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังยุทธมากที่สุดระหว่างการฝึก

เมื่อซีคงหยูมาเห็น  เขาจึงมิได้เห็นหลี่โอ๋อวิ๋นผู้เยือกเย็น  เทพบุตรยุทธจักรผู้มีใบหน้าขาวประดุจหยกอันปราศจากฝุ่นละอองและเหงื่อไหล  ซึ่งที่เขาเห็นเป็นใบหน้าแดงก่ำซึ่งมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาที่หน้าผาก  และฟันที่กัดแน่นจนเห็นกรามนูนเป็นสัน  หยาดเหงื่อผุดเป็นเม็ด ๆ และหลั่งเป็นสายค้างเติ่งอยู่ที่คิ้วหนาอันคมเข้มดุจดาบในมือของชายหนุ่ม

หลี่โอ๋อวิ๋นวาดดาบเป็นครั้งสุดท้าย  และตัดสินใจที่จะหยุดการฝึกเมื่อเห็นผู้ที่มาเยือนถึงลานฝึกวิชา   เขาคว้าผ้าเช็ดตัวจากศิษย์น้องที่คอยยืนรับใช้มาเช็ดหน้าตาพร้อมเดินเข้ามาใกล้คุณชายสามซึ่งอึ้งและสาวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อเผชิญกับกลิ่นความเป็นชายเข้มข้นที่ทำให้เขารู้สึกใจเต้นอย่างประหลาด

“อาหยู  เจ้ามีธุระอะไร”

ซีคงหยูสุดลมหายใจเพื่อผ่อนคลายตนเอง  จากนั้นปรายตาไปมองศิษย์น้องของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“เราไปคุยกันที่เงียบ ๆ ได้หรือไม่”

“เจ้ามีอะไรก็ว่ามา  วันนี้ข้ามีธุระเยอะ  ไม่ค่อยมีเวลา”  หลี่โอ๋อวิ๋นปฏิเสธ

คุณชายสามจึงสูดหายใจลึกอีกครั้งและเอ่ยถาม

“น้องอวิ๋น  เจ้าช่วยคุ้มกันวารีพิสุทธิ์อีกวันหนึ่งได้หรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย   จากนั้นก็ส่ายหน้า

“ทำไมข้าต้องช่วยพวกเจ้าอย่างไม่รู้จบด้วยล่ะ”

“เพราะเจ้าสัญญาไว้  ไม่ใช่หรือ”

“ข้าทำตามสัญญาแล้วนะอาหยู  สามเหมืองข้ายกให้วารีพิสุทธิ์  ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลง  เจ้ายังต้องการอะไรอีก”

“แต่ว่า...แต่ว่า...”

ซีคงหยูจะพูด  แต่ก็พูดไม่ออก  ที่หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวนั้นไม่ผิดพลาด  เขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ของพันธมิตร   และวารีพิสุทธิ์เองก็ไม่มีแต้มต่อในมือที่จะใช้แลกเปลี่ยน

“อาหยู   ประตูทรราชไม่ใช่โรงเจที่จะเจือจานผู้ยากไร้โดยไม่มีข้อแม้  ถ้าเจ้าอยากให้ข้าคุ้มกันวารีพิสุทธิ์ต่อ  เจ้าควรจะมีข้อแลกเปลี่ยนมาเสนอ”

“เฮ้อ..เจ้าอยากได้อะไรล่ะน้องอวิ๋น  ข้าจะไปถามศิษย์น้องจางให้”

“สิ่งที่ข้าต้องการ  จางชุ่ยฮัวให้ข้าไม่ได้”

“แล้ว..?”

“คนที่ให้ได้  ก็คือเจ้าไงล่ะอาหยู  แต่งงานกับข้า..”

“ฟัค!  เจ้ายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีกเรอะ!”

“ข้าไม่ฝืนใจเจ้าหรอกนะอาหยู  หากว่าเจ้ายอมเป็นคู่ครองข้า  อย่าว่าแต่เหมืองแค่นี้  ต่อให้ดาวหรือเดือน  ข้าก็จะเด็ดมาให้”

หลี่โอ๋อวิ๋นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง  และแววตาที่มุ่งมั่นเสียจนคุณชายสามไม่กล้าสบและเสตาลงล่างมองหน้าอกอันแน่นตึงและหน้าท้องที่เป็นลอนชัดเจนของอีกฝ่าย

“มันมากเกินไป..”  ซีคงหยูพูดด้วยเสียงเบาลง  จากนั้นตัดสินใจเงยหน้าสบตาของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมถอย  “ข้อแลกเปลี่ยนนี้มันมากเกินไป  ข้าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนกับผลของสำนักขนาดที่ข้าจะต้องเสียสละตัวเอง  น้องอวิ๋น..เจ้าเลือกเงื่อนไขอื่นเถอะ”

“งั้น..”  หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้ามาใกล้อีก  มือของเขาเอื้อมมาไล้ตรงจอนผมและใบหูของคุณชายสาม  ซีคงหยูเริ่มรู้สึกเหมือนกรรมสนอง  เพราะเมื่อวานเขาก็เล่นกับหูของซ่งมู่แบบนี้เหมือนกัน

“..จูบข้า  เพียงจูบเดียว  ทุกอย่างจะเรียบร้อย”

“ว้อท!”

หลี่โอ๋อวิ๋นทำสีหน้ารำคาญ  “มันก็แค่จูบ  เจ้าจะสึกหรอตรงไหน  ข้าแค่อยากได้รางวัลบ้าง  จะให้ข้าทำงานฟรีได้ยังไง”

ซีคงหยูมองดวงตาของอีกฝ่ายที่โหมกระพือประดุจเปลวไฟ  ตั้งแต่พบกันที่จิ้งซานหลี่โอ๋อวิ๋นไม่เคยแสดงความปรารถนาในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย  เขางำทุกอย่างเอาไว้จนซีคงหยูตายใจ  และในที่สุดก็ถูกจู่โจมในยามที่ตัดสินใจยากที่สุดแบบตอนนี้

คุณชายสามกลืนน้ำลาย  เขาคิดว่าเขาเคยอ่านฉากนี้ในเรื่องสั้นของนกน้อยในดงเหมย  และนึกเวทนาตัวเอกที่สั่นเทาดังลูกนกเมื่อถูกพระเอกล่วงล้ำแตะต้อง  ทว่าความเป็นจริงแทบจะไม่ต่างจากนิยาย  ยกเว้นแต่ว่าในความสั่นเทาของร่างกายเขามันมีความโกรธแฝงอยู่ด้วย  ความโกรธที่เสียรู้และตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก   เขาคิดอย่างรวดเร็วว่าเขาควรจะยอมแพ้และปล่อยให้วารีพิสุทธิ์อัปราชัยไปดีหรือไม่  ทว่าในแง่หนึ่ง  นั่นคือการยืนยันว่าการดำรงอยู่ของเขานั้นไร้สาระและเปล่าดายมิใช่หรือ  ไม่ว่าเขาจะสำเร็จเต๋าแห่งเทศะ  กราบกรานนักพรตเวิ่นเต๋อเป็นอาจารย์  หรือแม้กระทั่งบรรลุพลังยุทธระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย  มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย  เขายังเป็นเขาคนเดิมที่เหมือนกับไม้ประดับของทุกหนทุกแห่ง  และไม่มีผลกับใครหรืออะไรไม่ว่าจะอยู่หรือไป

ซีคงหยูกระพริบตา   ดวงตารื้นของเขาจ้องกลับไปยังเปลวไฟที่พยายามจะแผดเผาลามเลีย

“เจ้าสัญญาหรือเปล่า  น้องอวิ๋น”

“ข้าสัญญา”   หลี่โอ๋อวิ๋นตอบอย่างไม่ลังเล 

เมื่อซีคงหยูพริ้มตาลงช้า ๆ  มือของหลี่โอ๋อวิ๋นที่จับข้างคอและใบหูของซีคงหยูก็กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับโน้มหน้าเข้าไปใกล้  ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับริมฝีปากของอีกฝ่าย  มันเริ่มจากสัมผัสละมุนละไมเหมือนกับการเลียชิมผลไม้สุกที่หวานหอม  หลี่โอ๋อวิ๋นขบเม้มริมฝีปากของหนุ่มรุ่นพี่ที่ไม่กร้านโลกเท่าอย่างแช่มช้า  และไล้ลิ้นสอดเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย  ซีคงหยูกัดฟันไว้ไม่ยอมให้วัตถุนุ่มอุ่นลื่นล่วงล้ำเข้าไป  แต่อีกฝ่ายก็ไม่ถอดใจ  มือของเขาสอดเข้าไปในไรผมของซีคงหยู   แล้วลูบไล้เบา ๆ ให้เขาผ่อนคลาย  ความเผลอไผลทำให้ซีคงหยูยอมถูกล่วงล้ำ  เขาไม่กล้ากัดลิ้นของอีกฝ่ายและปล่อยให้มันพัวพันกับลิ้นของเขาเหมือนกับคู่รักที่จากพรากมานาน

ซีคงหยูแตะหน้าอกของอีกฝ่ายเหมือนกับยันเอาไว้   มือของเขาสัมผัสความร้อนผ่าวของเนื้อและความเย็นของเหงื่อพร้อม ๆ กันกับจังหวะหัวใจที่เต้นตุบตับ ๆ  เขาพบว่าจังหวะชีพจรของเขาก็เร่งเร้าไม่แพ้กับหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า  และด้วยเวลาที่ผ่านไปเหมือนกับนานชั่วกัปชั่วกัลป์  หลี่โอ๋อวิ๋นก็ยอมล่าถอยออกไปพร้อมกับเลียริมฝีปากบางสีชมพูบนใบหน้าขาวปานหยกของตนเองอย่างเสียดาย  ไม่เพียงแต่กลีบปากของซีคงหยูจะชอกช้ำ  อีกฝ่ายก็ดูระบมไม่แพ้กันและอาจจะยิ่งกว่าด้วยผิวที่ขาวกว่ามาก

ซีคงหยูสูดลมหายใจเร่งเร้า   สิ่งแรกที่เขาทำคือกระโดดถอยออกห่างแล้วเช็ดปากที่เปียกชื้นของตนด้วยหลังมือ  จากนั้นหันไปมองรอบ ๆ ลานฝึกวิชา  แต่พบว่าศิษย์น้องของหลี่โอ๋อวิ๋นที่คอยรับใช้เมื่อครู่หายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบ  เขาไม่รู้ว่ามีคนมาเห็นเขากี่คน  แต่คนเหล่านั้นคงรู้ดีและรีบหลบหลีกจากสถานที่นั้น  ซีคงหยูหันกลับไปมองหลี่โอ๋อวิ๋นด้วยสายตาที่แทบจะไม่เผยอารมณ์   เขาผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ  และโคจรปราณเพื่อบังคับให้เลือดฝาดที่หน้าจางหายไปอีกทั้งบังคับจังหวะการเต้นของหัวใจของตนเอง

“การแลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว  เจ้าพอใจหรือไม่น้องอวิ๋น”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  เขาก็โคจรปราณเพื่อบังคับร่างกาย ‘ทุกส่วน’ ให้กลับสู่สภาวะปกติเช่นกัน  จากนั้นพยักหน้าแล้วกล่าว

“เป็นจูบที่ดี”

“งั้นข้าหวังว่า  น้องอวิ๋นจะช่วยคุ้มกันวารีพิสุทธิ์  และไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

ซีคงหยูกล่าวอย่างนุ่มนวล  จากนั้นประสานมือคารวะแล้วหันกายจากไปอย่างไม่รั้งรอ



++++++++



ซ่งมู่เห็นทุกอย่าง  และได้ยินทุกอย่าง   แต่ความรู้สึกช่วยไม่ได้นั้นท่วมท้นทั้งร่างกายและหัวใจของเขา  เป็นเขาเองที่ส่งนกกระเรียนกระดาษไปเตือน  เป็นเขาเองที่ชักนำซีคงหยูมาสู่ผลลัพธ์นี้  เขาควรจะมีหัวคิดและปล่อยให้ซีคงหยูจมอยู่ในความไม่รู้มากกว่าหากว่ามันจะนำไปสู่เหตุการณ์เช่นนี้  แต่มันช่วยไม่ได้  เพราะเป็นเขาเอง  เป็นความผิดของเขา

เมื่อเขาลอบดูจูบนั้นที่ทำให้หัวใจของเขาแทบจะถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้น ๆ  เขารู้ดีว่าหลี่โอ๋อวิ๋นก็รู้ว่าเขากำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่  แม้แต่เมื่อเขาส่งนกกระเรียนกระดาษ  หลี่โอ๋ออวิ๋นก็คงรับรู้อยู่แต่แรก  เขารู้สึกเหมือนเดินอยู่ในใยแมงมุม  ยิ่งดิ้นก็ยิ่งพัวพัน  รู้สึกไร้พลังและไร้เรี่ยวแรง  ทว่าท่าทีเฉยชาในตอนท้ายสุดหลังจากจูบอันเร่าร้อนนั้นของซีคงหยู  ทำให้เขาใจชื้นและปวดใจไปพร้อม ๆ กัน  ชายที่ดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยน้ำจิตน้ำใจอย่างซีคงหยูกลับมีหัวใจที่ทำจากศิลา  มันดูเหมือนกันว่าไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว  หรือพี่หยูของเขาอาจจะชอบผู้หญิงจริง ๆ  และเมื่อเขาจูบกับผู้หญิง  ใบหน้าของเขาอาจจะแดงฉานเหมือนอาทิตย์อุทัย  และท่าทีก็เอียงอายประดุจเด็กหนุ่มแรกรัก  ซ่งมู่ปล่อยให้จินตนาการเพริดไปพร้อมกับความโกรธเกรี้ยวในตนเอง   เขาเดินเข้าไปในดงไม้ลับตาคนไม่ไกลจากค่ายประตูทรราช  ดึงเชือกพันเอวของตนเองให้หลุดออก  และเริ่มขยับมือขวากำรอบอวตารของความโกรธแค้นปนความรู้สึกสิ้นหวังของตน  และปล่อยให้มันทะลักทะลายดุจภูเขาไฟ



++++++



ซีคงหยูไม่ได้มีหัวใจศิลาดังที่ซ่งมู่คิด  เขาเพียงแค่ไม่พึงพอใจกับการควบคุมตนเองไม่ได้  มันก็แค่จูบ...ซีคงหยูคิด  มันคือการสัมผัสกันทางกายภาพของวัตถุชีวภาพสองก้อน  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรือน้อยไปกว่านั้น  มันดูสำคัญและสะเทือนอารมณ์เพราะมายาและเรื่องเล่าที่สังคมถักทอให้ผู้คนเข้าใจว่ากิจกรรมเช่นนี้ของมนุษย์แสดงถึงสายใยอันผูกพันกันลึกซึ้ง  คือการแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณ  และอาจจะหมายถึงการแลกเปลี่ยนสัญญารักมั่น  ..ทว่ามันก็แค่จูบ

คุณชายสามตัดสินใจโยนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไว้ในส่วนที่เก็บของหลงลืมของศีรษะ  ทว่าแม้เมื่อเขาพยายามผิวปากอย่างร่าเริงยามที่เดินกลับค่ายวารีพิสุทธิ์  เขาก็ยังเผลอเอามือแตะริมฝีปากตนเองเป็นระยะ

แน่นอน  เขาควรคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในแง่ดี  พรรคปลาทูสีน้ำเงินของเขาน่าจะได้ลำดับที่สองของการประลอง  เขาคิดว่าหลี่โอ๋อวิ๋นคงรักษาคำพูด  และถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรับรู้เลยว่าเขาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้  แต่ก็ทำให้ซีคงหยูรู้สึกภูมิใจตนเองนิด ๆ อยู่ดี

และอีกเรื่อง  เขาคงต้องประเมินน้องอวิ๋นของเขาเสียใหม่  เขาไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกและมีความอดทนดุจเสือเฒ่า  สามารถอดทนปล่อยให้เขาเข้าใกล้จนตายใจแบบนี้ได้  ซึ่งแสดงว่าภายใต้สีหน้าเฉยชาของอีกฝ่าย  มีความปรารถนาเร้นลับที่อยากจะฉีกทึ้งแกะตัวน้อย ๆ อย่างเขาอยู่ตลอดแต่ไม่เปิดเผยออกมาสักนิด  เขาไม่แน่ใจว่าหลี่โอ๋อวิ๋นมีกี่หน้า  และหน้าไหนคือโฉมหน้าที่แท้จริง  และเมื่อเป็นเช่นนั้นมีเพียงคำเดียวที่บรรยายถึงน้องอวิ๋นของเขาได้  ก็คือคำว่า  อันตราย  เมื่อคิดดังนั้นซีคงหยูก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าภายในเย็นนี้เขาจะได้เดินทางกลับสำนักวารีพิสุทธิ์  และไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับนักดาบหนุ่มที่แสนจะคาดเดาได้ยากคนนี้อีกต่อไป

เมื่อเขาเดินถึงหน้าค่ายเขาก็เข้าไปหยิบข้าวของที่เขาเตรียมไว้  แล้วกล่าวกับศิษย์น้องที่อยู่แถวนั้นให้แจ้งศิษย์พี่หญิงสวีหรือไม่ก็หลิวเกาว่า  เขาจะไปฝึกวิชาที่ลำธาร  ไม่ต้องเป็นห่วง  ศิษย์น้องหญิงคนนั้นรับคำอย่างเคารพนบนอบ  เขาจึงเดินออกจากค่ายเข้าป่าไปอย่างไม่กังวล


++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #37 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 08-10-2017 17:59:47
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #37 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 08-10-2017 18:38:25
จะเกิดศึกชิงนายไหมเนี่ยครับ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #37 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-10-2017 22:26:43
อะโห น้องมู่โกรธจนต้องทำร้าย "น้องมู่น้อย" เลย
แล้วอย่างนี้พี่อวิ๋นมิซ้อม "อวิ๋นต้าเกอ" จนป้อแป้เรอะ

หยูช่างซับซ้อนและเรียบง่ายในคราวเดียวกัน
และเสี่ยวหมี ค่าตัวเจ้าแพงกว่าพระเอกเสียอีก

ปล. ฉันจะพยายามกัดฟันเชื่อว่าคุณคิริมันจาโรไม่เป็นภัยกับสิ่งแวดล้อมนะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #37 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-10-2017 22:33:49
 o13

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #37 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 09-10-2017 00:10:18
รัก มู่ เสียดาย หลี่ ไม่อยากให้ใครผิดหวังเลย 3p ได้ไหมคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #37 หัวใจศิลา (8/10)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 09-10-2017 01:11:19
โถ่มู่น้อยอัพสกิลพระรองซะเต็มเลย :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 งานฟรีแลนซ์ของซ่งจิน (14/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 14-10-2017 17:18:51

FaiiFay_Elle:  *-*  ยินดีต้อนรับครับ

wnkth: เกิดแน่ ๆ ครับ 55

alternative:  ถ้าน้องมู่เรียกว่าน้อย  แล้วต้าเกอจะเท่าไหร่!!
เออ...เสี่ยวหมีไปไหนอ่ะ  5555

ommanymontra: แต๊งกิ้วซือเฮีย

xหยกน้อยx: 3P!! น่าสนใจ

NuTonKaw: มา ๆ ช่วยกันแจวเรือน้องมู่


++++++



แมกไม้ยังคงโบกกิ่งไหวเอื่อย ๆ เหนือลำธารอันมีริ้วหมอกจาง ๆ ลอยเรี่ยผิว  น้ำตกยังคงหลั่งไหลผ่านซอกหินและหน้าผาอันซ่อนตัวอยู่ใต้ตะไคร่น้ำและแผ่นมอส  แสงแดดและเงาไม้ยังคงหยอกล้อกันเล่นเป็นวัฏจักร 

และท่ามกลางบรรยากาศอันเหมือนจะหยุดนิ่งในภาพวาด   เสียงเหยียบใบไม้กรอบแกรบดังมาจากทางเดินอันลดเลี้ยวที่นำไปสู่ลานหินริมลำธาร

บูทของชายหนุ่มลอยขึ้นจากพื้นและซากใบไม้แห้งที่ถูกบดยวบจากน้ำหนักเท้า  เจ้าของบูทไม่รู้วิชาตัวเบา  และไม่ระมัดระวังในการเดินเหมือนกับพรานป่าที่ชำนาญ  ทว่าถึงเขาจะรู้แต่ก็ไม่ใส่ใจ  ซีคงหยูฟังเสียงของใบไม้และลำธารที่อยู่เบื้องหน้า  ก่อนที่เขาจะหยุดยั้งเท้าและทอดสายตาไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า

นิ่งอยู่นิดหนึ่ง  เขาเลือกโขดหินกว้างที่แสงแดดอ่อน ๆ ยามสายส่องลงมาถึง  เขายื่นมือเข้าไปในแสง  ทำให้ฝ่ามือที่ขาวสะอาดของเขาดูเหมือนจะเปล่งแสงได้  นิ้วของเขาขยับเล็กน้อย  อากาศสั่นไหวและก่อตัวเป็นก้อนผลึกขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยอันหักเหแสงและส่องประกายเป็นสีรุ้งพร่าพราย

นี่คือ [เมล็ดพันธุ์เต๋า] ของเขา  นักพรตเวิ่นเต๋อสอนวิธีเรียกมันออกมาเมื่อคืนนี้  เมล็ดพันธุ์เต๋าคือการก่อตัวเป็นวัตถุกายภาพของเต๋าของผู้บำเพ็ญพรต  สีสันและรูปร่างของมันแตกต่างกันไปในแต่ละคน  บางคนก็เป็นสะเก็ดไฟ  และบางคนก็เป็นต้นอ่อนของพืช  สำหรับผู้บำเพ็ญพรตเต๋าแห่งเทศะ  เมล็ดพันธุ์มักจะเป็นรูปผลึก  เพราะผลึกคือการเรียงตัวที่สวยงาม เป็นระเบียบ และสอดคล้องกันของอณูในธรรมชาติ  มันมีเนื้อหนังและร่างกายภาพ  ทว่ายอมให้แสงส่องผ่านและหักเหภายในอย่างเป็นระบบระเบียบ

[เมล็ดพันธุ์เต๋า]  จะพัฒนาเป็น [หัวใจเต๋า]  ทว่ากว่าจะเป็นเช่นนั้นได้  ผู้บำเพ็ญพรตต้องผ่านภัยพิบัติทั้งสามและอุปสรรคทั้งเก้า  ซึ่งจะพิสูจน์ว่าเต๋าที่ตนเองยึดถือนั้น  มั่นคงและแข็งแกร่งพอหรือไม่

ซีคงหยูมองเมล็ดพันธุ์เต๋าในมือของตนเอง  มันมีสีหมองออกเหลือง  และมีจุดด่างดำ  รวมทั้งรอยแตกร้าวภายในจำนวนมาก  แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังดูจับสายตาภายใต้แสงอาทิตย์   เขาไม่กังวลกับมันมาก  นักพรตเวิ่นบอกว่าแต่ละตำหนิและรอยร้าวคือสิ่งที่เขาจะต้องขจัดมันออกไปทีละเล็กละน้อยในการชำระล้างเต๋าของตนให้บริสุทธิ์  มันไม่ใช่งานที่สามารถทำให้สำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน  เขาจะต้องให้เวลากับมัน  พิจารณาวิถีทางของตน  และแสวงหาความเข้าใจที่ถ่องแท้ต่อ [เทศะ]  และนั่นคือสาเหตุที่เวิ่นเต๋อมอบรายชื่อหนังสือจำนวนมากที่เขาต้องอ่าน

ซีคงหยูกำมือ  เมล็ดพันธุ์เต๋าของเขาหายวับเข้าไปกลางฝ่ามือเหมือนอากาศธาตุ  บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มของความรู้สึกช่วยไม่ได้  ถึงแม้ว่าเขาอาจจะมีโอกาสได้อ่านและเรียนรู้  ทว่าก็อาจจะไม่เข้าใจ  มิเช่นนั้นในโลกนี้คงเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญพรตที่ครอบครอง [หัวใจเต๋า] เต็มไปหมดแล้ว




+++++



ซ่งจินยืนงุนงงอยู่ข้างถนนในเมืองจิ้งซาน  ทว่าผู้คนไม่อาจบอกได้ว่าเขากำลังงุนงง  หรือกำลังมองไปข้างหน้าเฉย ๆ  หรือเขากำลังคิดอะไร  บางทีเขาอาจจะกำลังครุ่นคิด  หรืออาจจะไม่ได้คิด  ทว่าก็ไม่มีใครสนใจคนที่ยืนนิ่งเหมือนก้อนหินข้างทางแบบนี้  โดยเฉพาะเมื่อศิษย์สำนักทุกคนกำลังรีบเร่งและตระเตรียมแผนสำหรับการประลองวันสุดท้าย

ทว่าซ่งจินทำตัวเหมือนชาวยุทธทั่วไป  พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน  สำนักไหนจะชนะหรือแพ้ก็ไม่ค่อยมีผลกระทบ  ถึงแม้ว่าหลังจากวันนี้ศิษย์สำนักทั้งห้าจะเดินทางกลับหลังสิ้นสุดการประลอง  ทว่าสัญญาของพวกเขากับแต่ละสำนักในการขุดเหมืองจะคงอยู่ต่อไปจนกว่าประตูดินแดนลี้ลับจะปิด  ซึ่งอาจจะกินเวลาสองอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนก็ไม่มีใครรู้แน่  และหลังจากนั้นพวกเขาสามารถเดินทางไปทั่วอาญาจักรวายุกระซิบหรืออาณาจักรข้างเคียงเพื่อเสาะหาเหมืองที่ต้องการคนงานขุดแร่  มิติที่ถูกกัดกินปรากฏอยู่ทั่วไปตามที่ต่าง ๆ ของทวีปดิน  แต่ละจุดปิดเปิดตามเวลา  บางทีก็ทุก ๆ หนึ่งปี  และบางทีก็ทุก ๆ 5 ปีเหมือนกับเหมืองห้าขุนเขา  ถ้าเปรียบเทียบทวีปดินทั้งหมดเป็นก้อนดิน  ร่องรูเหล่านั้นก็เหมือนกับโพรงไส้เดือนที่ชอนไชจนพรุน  ไม่มีใครรู้แน่ว่า  เหตุใดทวีปดินจึงเต็มไปด้วยช่องว่างมิติและดินแดนลี้ลับ  ทว่าสิ่งที่พวกเขารู้แน่ ๆ คือมันเป็นแหล่งทรัพยากร  และเป็นแหล่งที่มาของพลังพรตที่ทำให้ผู้บำเพ็ญพรตฝีมือก้าวหน้าไปรวดเร็วกว่าการดูดซับปราณฟ้าและดินเพียงถ่ายเดียว

“ไฮ้..”   ใครบางคนเดินมาที่หน้าซ่งจินและโบกมือไปมาผ่านดวงตาปลาตายที่แทบไม่กระดุกกระดิก

ซ่งจินนิ่งไปพัก  ก่อนจะเอ่ยปาก  “เจ้าต้องการอะไร?”

“คุณชายซ่ง   ท่านพอมีเวลาว่างสองสามชั่วยามต่อวันหรือไม่”

“ไม่มี..”

อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้  ตื้อต่อ  “ไม่เอาน่า  ท่านยืนนิ่งอยู่ตรงนี้สักพักแล้ว  ถ้าคุณชายซ่งไม่มีอะไรทำ  ไม่ลองทำงานง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ได้เงินดีหรอกหรือ?”

ซ่งจินฟังแล้วก็คิดเล็กน้อย  เขากำลังนึกถึงซ่งมู่ที่กำลังหาเงินแต่งเมีย  เอ..หรือจะลองดูดี   “ผิดกฎหมายหรือเปล่า”

“ไม่ ๆ  ข้าจะให้ท่านทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด”

“โอเค”

“งั้นเชิญคุณชายซ่ง”

อีกฝ่ายผายมือให้เดินตาม  ซ่งจินจึงเดินตามไปอย่างง่าย ๆ


+++++


ซีคงหยูกลับจากการฝึกวิชาริมลำธาร   เขาเดินถือกล่องอุปกรณ์ของตนเอง  แบกเป้สะพายหลังสีเหลืองแสบตา  และกำเงินแน่น  มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมมั่งคั่งร่ำรวยที่ถูกปรับปรุงให้เป็นห้างสรรพสินค้า

หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่ใส่ชุดกี่เพ้าสีเปลือกมังคุดเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้ม

“คุณชายท่านนี้  ไม่ทราบว่าท่านสนใจสินค้าประเภทใดในห้างมิตรไมตรีของเรา”

“แม่นาง..”  ซีคงหยูวางกล่องที่หิ้วในมือ  แล้วประสานมือคารวะ  “ไม่ทราบว่าร้านเสื้อผ้าอยู่ทางไหน”

“อ้อ  เชิญทางนี้”

พนักงานต้อนรับสาวเดินนำคุณชายสามไปตามตรอกซอกซอย  พื้นที่โรงเตี๊ยมอันแต่เดิมมีที่แคบนิดเดียว  ถูกจัดวางตามหลักค่ายคูประตูกล  ทำให้ทางเดินและพื้นที่ขายสินค้าขยายกว้างกว่าสามสิบเท่าตัว  ซีคงหยูเดินผ่านร้านรวงที่ตั้งขายสินค้าต่าง ๆ ละลานตา  บางร้านก็เป็นของศิษย์ห้าสำนัก  และบางร้านก็เป็นของจอมยุทธพเนจร  แต่ไม่ว่าใครมาตั้งร้านก็ต้องจ่ายค่าเช่าที่ให้ไมตรีโลหิตทั้งสิ้น  ซีคงหยูกลืนน้ำลาย  เมื่อพบว่าเงินที่เดินสะพัดในห้างมิตรไมตรีดูจะมหึมาไม่ใช่เล่น

ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงร้านเสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่เป็นของไมตรีโลหิตตั้งเอง  ข้างในร้านเต็มไปด้วยแพรพรรณหลากชนิด  และมีลูกค้าเดินเลือกดูอยู่มากมาย  หญิงสาวในชุดกี่เพ้าม่วงแนะนำซีคงหยูกับพนักงานในร้านที่ล้วนแต่เป็นสาวสวยเช่นกัน

“เสี่ยวหยิน นี่คือคุณชายซีคง  แขกวีไอพีของเรา”

อีกฝ่ายน้อมกายกล่าวกับซีคงหยูอย่างชมดชม้อย

“เสี่ยวหยินยินดีรับใช้คุณชายซีคง”

“พวกเจ้ารู้จักข้าหรอ”  คุณชายสามชี้หน้าตนเองอย่างประหลาดใจ

หญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวหยินเอามือปิดปากหัวเราะเบา  เสน่ห์ของนางยามนี้ดูร้อยเปลี่ยนพันแปลงชวนละลานตา   

“ผู้ใดไม่รู้จักคุณชายซีคงรูปหล่อและกล้าหาญ  สาว ๆ ในสำนักเราล้วนแต่หมายตาท่านไว้  แต่เสียดายที่ท่านมีเจ้าของแล้ว”

“อะแฮ่ม”  ซีคงหยูกระแอมอย่างภูมิใจ  พลางสบถด่าหลี่โอ๋อวิ๋นในใจที่ทำชื่อเสียงเขาด่างพร้อย

“บ่าวของท่านทำหน้าที่เสร็จแล้ว  ขอตัวก่อน”  สาวในกี่เพ้าม่วง  ค้อมตัวคารวะคุณชายสาม  ก่อนเดินจากไป

“ศิษย์พี่ใหญ่จ้าวกำชับให้ดูแลท่านเป็นพิเศษ  ดังนั้นถ้าคุณชายซีคงมีความปรารถนาใด  เชิญกล่าวกับเสี่ยวหยินผู้นี้ได้ทันที”

นางกล่าวแล้วก็กระพือขนตา  หน้าอกขาวผ่องที่ล้นจากเสื้อกระเพื่อมเหมือนเต้าหู้นิ่มที่ถูกนิ้วจิ้มจนสั่นสะเทือน

ถึงซีคงหยูจะผ่านร้อนผ่านหนาว  แต่เขาแทบไม่เคยโดนสาว ๆ ยั่วยวนแบบนี้  เขาจึงกลืนน้ำลายเล็กน้อยแล้วกล่าวกับนางอย่างตะกุกตะกักว่า  “อ่า...พวกเจ้าขายเสื้อผ้า  คือข้าอยากได้เสื้อผ้า”

นางอมยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามต่อ  “คุณชายซีคงต้องการเสื้อผ้าประเภทไหน  ร้านของเรามีเสื้อผ้าทุกรูปแบบ  ถักทอจากเส้นใยทุกชนิด  มีตั้งแต่ผ้าฝ้ายทั่วไปจนถึงไหมจากรังหนอนไหมใต้พิภพเก้า  อีกทั้งราคาก็เป็นธรรมไม่หลอกลวงผู้เยาว์และคนชรา”

นางพูดไปอกก็สะเทือนไป   ซีคงหยูดูจนตาลาย  แต่ก็ตั้งสติตอบ  ก่อนที่จะโดนหลอกให้ซื้อหมดร้านโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ข้า..เอ่อ  อยากได้..เอ่อ  ชุดว่ายน้ำ”

“ชุดว่ายน้ำ!”  ดวงตากลมโตของนางเบิกกว้างพร้อมกับอุทาน  ก่อนจะนึกได้ว่าเสียกิริยาจึงลดเสียงลงและกล่าวกับเขาอย่างแช่มช้อย  “เสี่ยวหยินขออภัยคุณชาย  เสี่ยวหยินแค่ประหลาดใจ  ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น  จึงไม่ค่อยมีลูกค้าถามถึงสินค้าประเภทนี้”

“แล้ว  เอ่อ..เจ้ามีมั้ยล่ะ”   ซีคงหยูยังเขินไม่หายที่ต้องซื้อชุดว่ายน้ำกับพนักงานหญิง

“ร้านของเรามีทุกอย่าง”  นางพูดอย่างภูมิใจพลางผายมือ  “เชิญคุณชายซีคงทางนี้”

เมื่อซีคงหยูเดินตามไป  ก็เห็นมุมหนึ่งที่แขวนชุดว่ายน้ำทั้งชายหญิงเอาไว้  มีกระทั่งหางเงือก

“โอ้...”   เขาอุทานและพลิกดูชุดว่ายน้ำแบบแขนยาวขายาวของผู้ชาย  แต่เมื่อดูราคาแล้วก็ตาถลน

“ทำไมถึงแพงนักล่ะ”

“ขออภัยคุณชาย  ช่วงนี้เข้าวินเทอร์ซีซั่น  ร้านของเราจึงเก็บสต็อคไว้เฉพาะเส้นใยที่คุณภาพดีที่สุด  ทุกชุดทอจากเส้นใยปะการังเซียนน้ำลึก  ไม่เพียงแค่ช่วยกันน้ำกันความร้อนความเย็น  ยังสวมใส่สบายเหมือนไม่ได้ใส่อะไร  ถ้าคุณชายลองสวมดูท่านจะรู้ถึงคุณภาพของสินค้าเรา”

ซีคงหยูกลืนน้ำลาย  จะล้วงห่อเงินที่เหลือจากการขายแกนอสูรขึ้นมานับก็อายพนักงานสาว  เขาจึงกระแอมแล้วถาม

“เจ้าพาข้าไปดูตัวที่ถูกที่สุดหน่อย”

ด้วยความเป็นมืออาชีพ  รอยยิ้มของนางจึงไม่เปลี่ยน  อย่าว่าแต่ซีคงหยูเป็นลูกค้าวีไอพีที่จ้าวเหรินเจี่ยนกำชับไว้  นางจึงผายมืออย่างนอบน้อมอีกครั้ง

“งั้นเชิญคุณชายทางนี้”

ซีคงหยูเดินตามไปอีกล็อคหนึ่ง  ที่มีชุดเหมือนผ้าเตี่ยวหลากสีสันแขวนไว้กับไม้แขวนตั้งโชว์อยู่   เขาเอื้อมมือไปสัมผัสวัสดุที่ใช้ถักทอ  และพบว่าเป็นคุณภาพเดียวกันกับชุดแขนยาวเมื่อครู่

“สิ่งนี้เรียกว่าอะไร”

“เรียนคุณชายซีคง  สิ่งนี้เรียกว่าสปีโด  เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเครือข่าวแพรพรรณหม่าหวางเฉิง  เราเป็นตัวแทนจำหน่ายเจ้าแรก ๆ  เนื่องจากว่าใช้วัสดุน้อย  เราจึงสามารถขายได้ในราคาที่ถูกโดยที่ท่านยังได้สัมผัสคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของเส้นใยดุจเดิม”

ซีคงหยูพลิกซ้ายพลิกขวา  ดึงออกจากไม้แขวนแล้วยืดดู  ในฐานะนักประดิษฐ์  เขาจึงสนใจนวัตกรรมใหม่ ๆ จนลืมความเขินอายที่ต้องมาเลือกชุดว่ายน้ำต่อหน้าพนักงานสาวสวย   “ว่าแต่..สิ่งนี้มันไม่วาบหวิวไปหน่อยรึ”

“สำหรับแฟชั่น  ไม่มีคำว่าเกินไป  มีแต่ว่าท่านเป็นผู้นำเทรนด์หรือผู้ตามเทรนด์”

คุณชายสามฟังดังนั้นก็ลูบคาง  เขาดูราคาแล้วพบว่าพอรับได้

“อืม..เจ้าพูดก็ถูก  ว่าแต่  ใส่แล้วจะออกมายังไง”

เสี่ยวหยินยิ้มจนอกกระเพื่อมอีกที

“คุณชายสามารถลองใส่ดูได้  เรามีห้องลองเปลี่ยน”

“แย่จริง ๆ  ข้าน่าจะลากหลิวเกาหรือเสี่ยวหมีมาด้วยจะได้ช่วยเลือกให้”  ซีคงหยูพึมพำ   เซ้นส์แฟชั่นของเขาไม่ค่อยดี  เขาจึงเลือกใส่แต่ชุดง่าย ๆ สีเข้ม ๆ  ถ้าจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่แฟนซีแบบนี้ก็ควรจะต้องมีคนช่วยวิจารณ์  เขาเหล่มองเสี่ยวหยิน  นางดูจะเป็นแฟชั่นกูรู  แต่ก็ล้มเลิกความคิด

เหมือนนางจะอ่านความคิดเขาได้  “หรือคุณชายซีคงจะใช้บริการพิเศษของเรา   เราสามารถจัดหาหุ่นลองเสื้อผ้าที่รูปร่างคล้ายคลึงกับท่านมาลองสวมใส่สินค้าเพื่อให้ท่านเดินตรวจตราดูได้รอบทิศ”

“โอ้  มีเรื่องเช่นนี้ด้วย”

นางยิ้มเหมือนรอการตัดสินใจของเขา  ซีคงหยูจึงสาวเท้าเข้าใกล้ราวแขวน  และเลือกสปีโดมาสองสามตัว  จากนั้นกล่าวกับเสี่ยวหยิน

“ข้าอยากลองสามตัวนี้กับหุ่น”

เสี่ยวหยินฟังดังนั้นก็ปรบมือเป็นสัญญาณ  พนักงานร้านคนอื่นอีกสองคนรีบช่วยกันแบกหุ่นลองเสื้อมาจากหลังร้าน  พวกเขาตั้งหุ่นที่แบกมาตรงหน้าซีคงหยู  นอกจากผ้าเตี่ยวแล้ว  หุ่นนี้ก็ไม่ได้ใส่อะไรเลย  เผยร่างสมส่วนเปลือยเปล่าอันมีกล้ามเนื้อทะมัดทะแมง

ซีคงหยูเดินเข้าไปใกล้และลองจิ้มดู  เพราะสีและแสงสะท้อนของเนื้อหนังดูสมจริงไม่ผิดเพี้ยน  เมื่อเขาแตะดูก็พบว่าผิวสัมผัสก็เหมือนคนจริง ๆ และอุ่นเหมือนกับหยก  เขาพยักหน้าอย่างพอใจกับเทคโนโลยีของร้านเสื้อผ้า  เขามองสำรวจรอบเอวของหุ่น  เส้นเมอเมดไลน์   ริ้วกล้ามท้องและกล้ามอก   ไหนเสี่ยวหยินว่าจะหาคนรูปร่างใกล้เคียงมาให้   นี่มันหุ่นดีกว่าเขาโขเลยนี่หว่า

คุณชายสามก่นด่าทุนนิยมในใจ  ที่ทำให้การโฆษณาเลยเถิดผิดความจริง  ก่อนจะไล่สายตาไปยังโครงหน้าของหุ่นและดวงตาปลาตายที่ทื่อสนิท

“เอ ทำไมหุ่นนี้หน้าตาคุ้น ๆ”

ไม่ใช่คุ้นธรรมดา  คุ้นมาก...   ซีคงหยูกระโดดโหยงแล้วตะโกนลั่น

“ฟัค!  ซ่งจิน!  เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

หุ่นซ่งจินไม่ตอบ  ยืนทื่อเหมือนเดิม  แต่ซีคงหยูรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หุ่นเพราะได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะจากอีกฝ่าย  เขาจึงหันไปชี้หน้าเสี่ยวหยิน

“พวกเจ้าทำอะไรกับน้องจิน!”

เสี่ยวหยินยิ้มอย่างขออภัย  “คุณชายโปรดใจเย็นก่อน”

“เจ้าปล่อยตัวน้องจินมาเดี๋ยวนี้นะ  เจ้าใช้วิชามอมวิญญาณอะไรถึงลักพาตัวน้องจินมาได้  น้องจิน  เจ้าอย่าเพิ่งตาย  กลับมาก่อน”  ซีคงหยูหันไปเขย่าตัวซ่งจินที่ยืนทื่อ

ซ่งจินรู้สึกรำคาญกับความวุ่นวายจึงเอ่ยปาก

“พี่ซีคง  ข้ากำลังทำงานอยู่  อย่าชวนคุย”

“ว้อท!”

“เราจ้างชาวยุทธมากมายมาเป็นหุ่นลองเสื้อให้ลูกค้า  คุณชายซีคงอย่าเพิ่งแตกตื่น”   เสี่ยวหยินกล่าวอย่างขออภัยและพยายามใช้เนินอกที่ขาวดุจน้ำนมเบนความสนใจของคุณชายสาม

“ฮึ่ม  ข้านึกว่าพวกเจ้าบังอาจจับน้องจินมาซะอีก”

“ฮ่า ๆ  ผู้ใดกล้าแตะต้องจอมยุทธซ่งกัน  เขาเซ็นสัญญากับเราอย่างสมัครใจและจะให้บริการเฉพาะลูกค้าวีไอพีเท่านั้น”

เมื่อฟังดังนั้น  ซีคงหยูก็โล่งใจ  เนื่องจากพบว่าน้องจินของเขาคงไม่ชอกช้ำมากจากผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาซื้อเสื้อผ้า

“จอมยุทธซ่ง  เชิญลองเสื้อผ้าเหล่านี้”   เสี่ยวหยินส่งสปีโดสีขาว  ดำ  และแดง  ให้ซ่งจินลอง

ซ่งจินรับไป  หันหลังให้ทั้งคู่  ถอดผ้าเตี่ยวออก  จนเห็นก้นเปลือกที่ไร้ริ้วรอยใด ๆ  แล้วใส่สปีโด  จัดขอบกางเกงให้เข้ากับสะโพกและเอว   จากนั้นหันกลับมา  เอามือไพล่หลังเชิดอกให้ซีคงหยูซึ่งยืนอ้าปากค้างในความนิ่งและความเร็วชมดู

“คุณชายซีคงเชิญตรวจสอบสินค้าดูได้”

เสี่ยวหยินเตือนเขาเมื่อเห็นซีคงหยูยืนตะลึงอยู่  พลางนึกแค้นเคืองในใจว่าอกขาว ๆ ของตัวเองทำไมถึงไม่ทำให้ลูกค้าวีไอพีเกิดปฏิกิริยาได้ขนาดนี้  หรือที่เขาลือว่าซีคงหยูก็เป็นพวกตัดชายเสื้อเหมือนกันนั้นท่าจะจริง  ทว่าทั้งหมดที่นางคิดก็ไม่ปรากฏบนสีหน้า  เรียวปากของนางยังคงโค้งเป็นรอยยิ้มหวานอยู่ดี  และรออย่างอดทน

“โอ๊ะ...อ้อ...โอ้  ดูดีมาก”

ซีคงหยูมองไล่ขึ้นไล่ลง   จากนั้นเดินวนรอบ ๆ เพื่อดูด้านหลังและด้านข้าง  ไม่เพียงแต่เขาสำรวจสินค้า  เขาก็สำรวจซ่งจินไปในตัว  เขาพบว่าแม้จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันจนแทบจะเป็นฝาแฝด  ซ่งจินก็ผอมกว่าซ่งมู่เล็กน้อย  ไม่ล่ำเท่า  ทว่าก็ยังถือว่ามีกล้ามเนื้อที่สมส่วนจนชายใด ๆ ควรจะอิจฉา  ขนตามร่างกายของซ่งจินก็น้อยกว่าซ่งมู่   เขาไม่มีไรขนที่ขึ้นจากขอบกางเกงจนถึงสะดือ  และแขนขาก็เกลี้ยงเกลาเหมือนกับหยกเนื้อดี  เขาพยายามไม่จ้องภูเขาลูกย่อม ๆ ที่ขดตัวอยู่กลางสปีโดมาก  แต่ก็จำเป็นต้องดูตามหลักการดูสินค้า  และรำพึงในใจอย่างอิจฉาว่า  สองพี่น้องคู่นี้  พ่อให้มาเยอะพอ ๆ กัน

“โอเค  เอาตัวนี้ล่ะ”

ซีคงหยูตกลงใจ  และชี้ชุดว่ายน้ำที่ซ่งจินใส่  มันเป็นสีดำ  สีที่ปลอดภัยทางแฟชั่นที่สุด   จริง ๆ แล้วเขาก็แอบสนใจสีแดง  แต่ก็ยังไม่กล้าพอ

“คุณชายซีคงไม่ซื้อพร้อมกันทีละสามตัวหรือ  ถ้าซื้อสามตัวเราขายในราคาส่ง”

“หืม”

“ลูกค้าวีไอพีลด 10%  ราคาขายส่งลดเพิ่มอีก 15%  ท่านจะประหยัดเงินไปได้ถึง 75 ตำลึงทอง”   นางกดแผ่นหยกคำนวณแล้วแสดงตัวเลขให้เขาดู

ซีคงหยูเลียริมฝีปากแห้งของตนเอง  75 ตำลึงทองไม่ใช่น้อย ๆ  แต่สามตัวก็มากเกินไป   “สองตัวแล้วคิดราคาส่งไม่ได้หรือ”

เสี่ยวหยินทำหน้าลำบากใจ  แต่สุดท้ายก็ตกลง  “ลดให้คุณชายคนเดียวเท่านั้น”  นางกล่าวแล้วขยิบตา

“งั้นอีกตัว  เอาสีอะไรดีน๊า  น้องจิน  เจ้าชอบสีอะไร”

“สีแดง”  ซ่งจินตอบหน้าตาย

“ตกลง  เอาสีแดง  แยกถุงด้วย”

เสี่ยวหยินห่อให้เขา  และเมื่อจ่ายเงินเสร็จ  ซ่งจินซึ่งถอดกลับไปใส่ผ้าเตี่ยวแล้วยืนนิ่งรอให้พนักงานสองคนยกไปเก็บหลังร้าน  ทว่าซีคงหยูหยุดพวกเขาไว้

“น้องจิน”  เขาเรียกอีกฝ่ายซึ่งหันมามองเขาเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น  “ตัวนี้ข้าให้  แทนคำขอบใจที่มาเป็นหุ่นลอง  ถ้าข้าต้องลองเองต้องอายแย่แน่ ๆ เลย”

ซ่งจินมองเขานิดนึง   แล้วยื่นมือรับ  จากนั้นตอบสั้น ๆ “ขอบใจพี่ซีคง”

จากนั้นเขาก็โดนยกไปเก็บหลังร้าน 

“คุณชายซีคงสนใจอะไรในร้านเราอีกหรือไม่  เสี่ยวหยินจะได้พาคุณชายไปเดินชมดู”

“ไม่มีอะไรแล้ว  ขอบใจมาก”  ซีคงหยูโบกมือ  เสี่ยวหยินจึงเดินจากไปอย่างชมดชม้อย   นางจงใจลงน้ำหนักซ้ายขวาสลับกันจนสะโพกบิดไปมาเหมือนกับก้อนซาลาเปา  แล้วสักพักก็หันกลับมามองเขาอย่างเอียงอายก่อนจะเดินต่อไป

ซีคงหยูชมมารยาร้อยเปลี่ยนพันแปลงจนละลานใจ  ก่อนจะรู้สึกตัวสบถในใจ

ฟัค! จ้าวเหรินเจี่ยน  หาพนักงานแบบนี้เจ้ากะจะฟันลูกค้าหัวแบะใช่มั้ย!



+++++



เมื่อซีคงหยูเดินออกมาจากห้างมิตรไมตรี   เขาก็ชนเข้ากับหนุ่มหน้าซื่อข้างหน้า   ก็ไม่ถึงกับชนหรอก  แค่ตกใจที่เจอเท่านั้น

“อะ..อ้าวน้องมู่”

“พี่หยู”  ซ่งมู่เดินเข้ามาตบไหล่เขา  แล้วกอดคอดึงตัวไปเดินที่ถนน

“บังเอิญซะจริง”

“ไม่บังเอิญหรอก  พี่จินบอกข้าทางแผ่นหยกสื่อสารว่าพี่หยูมาซื้อเสื้อผ้าที่นี่”

“โอ้  มีแผ่นหยกสื่อสารนี่สะดวกดีจริง”

“พี่หยูยังไม่มีงั้นหรือ  ฮ่า ๆๆ”

“ก็ไม่มีน่ะสิ  ข้ามันจน  เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรอน้องมู่”

“เห้ย  เปล่า..  ข้าหัวเราะเพราะดีใจ  ข้านึกว่าที่พี่หยูไม่เคยให้รหัสติดต่อกับข้าเพราะเหตุผลอื่นซะอีก”

“เฮ้  ข้าจะจงใจกีดกันเจ้าไปทำไมล่ะ”

“นั่นสินะ”

ทั้งสองเดินกอดคอกันมาพักใหญ่ ๆ ก็ถึงที่นั่งใต้ต้นสาลี่   เมื่อทั้งคู่นั่งลง  ซีคงหยูก็เอ่ยปากถาม

“น้องมู่  วันนี้เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมดูขรึม ๆ”

“ฮ่า ๆ เปล่านี่พี่หยู”

เขานิ่งไปนิดหนึ่ง  ก่อนจะกล่าวต่ออย่างลังเล  “หรืออาจจะเพราะข้ารู้สึกว่า  เวลาที่ข้าจะเจอกับพี่หยูเหลือน้อยลงทุกที  และข้าก็ต้องเฝ้ามองพี่อหยูห่างไกลออกไปด้วยความรู้สึกช่วยไม่ได้”

พร้อมกับคำพูด  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคุณชายสาม

“เฮ้  น้องมู่เคยได้ยินหรือไม่  คนเราถ้าชอบพอกัน  ไม่ว่าอยู่ห่างแค่ไหนก็เหมือนแค่ชายคากั้น  แต่ลงว่าชังกันแล้ว  ต่อให้อยู่ใกล้ชิดก็เหมือนมีขุนเขากางกั้น”

ซ่งมู่เผยอยิ้มเล็กน้อยต่อคำปลอบประโลมของหนุ่มรุ่นพี่  เขายกมือขึ้นจะแตะข้างแก้มอีกฝ่าย  แต่ก็ชะงัก  ทว่าเมื่อมองเห็นดวงตาสีดำที่จ้องเขานิ่งอย่างไม่กระพริบและไม่หลบหลีก  ซ่งมู่ก็กล้าแตะใบหน้าของอีกฝ่ายและลูบเบา ๆ  จากนั้นถามด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเหมือนกับการรำพึง

“พี่หยูจะลืมข้าหรือเปล่า”

“ข้าจะลืมเจ้าได้ยังไง  ความจำข้าดีจะตาย”  ซีคงหยูพูดยิ้ม ๆ  แต่แล้วก็ทำสีหน้านึกขึ้นได้  “เออ  จริงสิน้องมู่  ข้ามีอะไรจะให้เจ้า”

ซ่งมู่ชะงัก  และปล่อยมือที่จับแก้มอีกฝ่ายออก  ซีคงหยูลุกขึ้นและจูงมือหนุ่มรุ่นน้องไปทางประตูค่าย   คอนนี้ศิษย์สำนักกำลังเตรียมพร้อมรับมือการประลองและการบุกยึดเหมืองครั้งสุดท้าย  จึงไม่มีใครสนใจชายสองคนที่เดินตามกันเข้าไปในโรงนอน

ซีคงหยูพาซ่งมู่ไปยังที่นอนตนเอง   หยิบหมอนพลิก  แล้วดึงแผ่นไม้ใต้หมอนออกมาส่งให้กับซ่งมู่ที่ยืนงง

“อันนี้  ข้าให้เจ้าเป็นที่ระทึก  อา..เพ้ย  ระลึก”

“โอ้..”  ซ่งมู่อุทาน  มองภาพของเขาอันขีดเขียนจากเส้นลายโลหะที่ปรากฏบนแผ่นไม้   รอยยิ้มค่อย ๆ เบ่งบานบนใบหน้า  และดวงตาก็สดใสขึ้นจนแทบจะเหมือนท้องทะเลกลางแดดจัดที่สะท้อนประกายระยิบระยับ  เขาหันไปมองตำแหน่งที่ซีคงหยูเก็บภาพนั้นไว้เมื่อครู่  จากนั้นมองซีคงหยูด้วยความตื้นตันใจ

ทว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่รู้ตัว  เอาแต่ยิ้มแฉ่งเหมือนรอคำชมในฝีมือหัตถศิลป์

“มันสวยมาก ๆ”  ซ่งมู่กล่าวพลางกลืนก้อนตัน ๆ ในคอ  เขาก้มมองภาพ  และเงยหน้ามองซีคงหยูหลายครั้ง  ยืนคิดใคร่ครวญ  และสูดลมหายใจอย่างตกลงใจ

เขาสบตากับหนุ่มรุ่นพี่อีกครั้งและร้องเรียก

“พี่หยู..”

“หืม..”

“ข้าก็มีของจะให้พี่หยูเหมือนกัน”

ซ่งมู่กล่าวแล้วยกมือขวาของตนขึ้นมาที่ระดับอก  จากนั้นใช้อีกมือถอดแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วชี้   แหวนนั้นเป็นโลหะเกลี้ยงสีเงิน  แต่อาจจะไม่ได้ทำจากเงิน  ตรงหัวแหวนมีตัวอักษรสีน้ำเงินเพียงตัวเดียว  เขียนว่า ‘ซ่ง’

“นี่คือแหวนประจำตัวข้า  ถ้าพี่หยูมีแหวนนี้  สามารถใช้มันตามหาข้าได้ตลอด”

“เอ๋  ของสำคัญขนาดนี้  เจ้าจะให้ข้าหรอ”   ซีคงหยูมองปราดเดียวก็รู้ว่า  นี่คือสัญลักษณ์แทนตัวของสมาชิกตระกูลซ่ง  ถึงเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลซ่งยิ่งใหญ่แค่ไหนสำคัญอย่างไร  แต่ฟังจากพื้นเพของซ่งมู่กับตำหนักอาคันตุกะฯแล้วก็พอเดาได้สี่ห้าส่วน

ซ่งมู่ถอนหายใจ  “นี่คือ  ของเพียงชิ้นเดียวที่มีคุณค่าพอจะแลกเปลี่ยนกับของที่ระลึกของพี่หยู  รับไปเถอะ  ข้าสามารถขอวงใหม่ได้เมื่อกลับไปที่ตระกูล”

“อ่า...ถ้างั้นข้าไม่เกรงใจล่ะนะ”

ซีคงหยูรับแหวนของอีกฝ่าย  เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในแหวน  เมื่อใช้ตาจิตมองก็พบว่าแหวนนั้นแผ่รังสีสีเขียว  ซึ่งเป็นรังสีของวัตถุวิเศษระดับดาราเงียบงัน  เขานิ่งอึ้งและเงยหน้ามองซ่งมู่ที่ก็จับจ้องเขาอย่างพินิจเช่นกัน

ซ่งจับมือซีคงหยูที่ถือแหวน  ค่อย ๆ ใช้อีกมือรวบมือเขาให้กำแหวนเอาไว้  สองมือที่ซ่งมู่กุมส่งความอุ่นมาให้หนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า   จนอีกฝ่ายรู้สึกร้อนผ่าวจนถึงลำคอ

“รับไปเถอะนะพี่หยู  ถือว่าข้าขอร้อง”

เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย  ซีคงหยูจึงไม่อาจหักใจปฏิเสธ   เขาถอนหายใจ  และคิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลี่คลาย   เมื่อซ่งมู่เห็นสีหน้าของเขาแล้ว  ก็เลยปล่อยมือที่กุมมือของซีคงหยูไว้  จากนั้นกล่าวกับเขา

“แล้วข้าจะเชียร์พี่หยูในการประลองบ่ายนี้  ทำให้เต็มที่นะ”

เขาชูมือกำหมัดเป็นกำลังใจให้คุณชายสาม  ซึ่งก็ส่งยิ้มตอบและมองดูหนุ่มร่างสูงที่เดินออกไปจากโรงนอนโดยไม่กล่าวอะไรอีก

+++++++




ที่หายไปนาน  เพราะช่วงนี้ป่วยน่ะครับ  และทานยาที่มีผลต่ออารมณ์  ทำให้อารมณ์ราบเรียบมาก  และพอมันราบเรียบเลยเขียนอะไรไม่ออก  เท่านั้นยังไม่พอ  ยังรู้สึกคลื่นไส้กะง่วงงุนตลอดด้วย   แต่ก็ยังเขียนต่อเรื่อย ๆ ครับ
 
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 งานฟรีแลนซ์ของซ่งจิน (14/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 14-10-2017 17:58:36
ขอบคุณครับ หยูจะเลือกใคร ทำไมเหมือนจับปลาดุกอุยหลายมือ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 งานฟรีแลนซ์ของซ่งจิน (14/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-10-2017 19:28:47
โอ๋ ควบคุมอารมณ์ ความปราถนาได้สุดยอด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
จนแม้ หยู ก็ไม่ล่วงรู้มาก่อนเลย

ขำที่หยู ใช้ปราณ ควบคุมระดับการเต้นของหัวใจ
แต่โอ๋ ใช้เพื่อควบคุม ทุกส่วน เอ่อ....ส่วนนั้นด้วย อะจ๊ากกกกก
อิจฉา ความเยาวัยจริงๆ   
เอิ่มมม......จูบทีเดียวเท่านั้น....♩ ♭ ♪.....โอ๋ แข็งขันไปถึง.......♫ ♬ ♪

ยิงนกทีเดียว เอ๊ย......จูบทีเดียว มู่เสียวสะท้าน จนลาวาทะลักทะลาย หลั่งไหล ฮืออออออ

ชุดว่ายน้ำให้จิน   รูปวาดให้มู่  มู่ให้แหวน
แหวนที่มีปราณไหลวนซะด้วย
เหมือนหยู จะไปไหนสักที่ ที่ไกลแสนไกลหรือเปล่า
อย่างนี้ โอ๋ จะคิดอะไรไหมนะ ที่คู่หมั้นของตัวเองใส่แหวนของชายอื่น

ประทับใจ แอนด์ซาบซึ้งไรท์มาก
ที่ว่ายากมากกกกก  แต่ไรท์ ก็สามารถเขียนถึงความโหดเหี้ยมและชั่วร้ายของผู้คน 
ในเมื่อไรท์แสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา  harmless to animal and human ขนาดเน้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 งานฟรีแลนซ์ของซ่งจิน (14/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-10-2017 20:03:58
 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 งานฟรีแลนซ์ของซ่งจิน (14/10)
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 14-10-2017 22:07:16
 พระเอกค่าตัวแพงจนพระรองจะกลายเป็นพระเอกแทนแล้ว สู้ๆคะน้องมู้
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #38 งานฟรีแลนซ์ของซ่งจิน (14/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-10-2017 22:25:14
คุณคิริมันจาโร ขอให้แข็งแรงสดใสไว ๆ นะ
-------

สิ่งที่ซับซ้อนกว่าเต๋าทั้งหลายก็หัวใจของหยูเนี่ยแหละ

ว่าแต่...น้องจ้าวจะมาเปิดร้านแถวเมืองไทยไหม? พี่จะไปคลำน้องจิน ...เอ๊ย! ไปดูผ้า

หัวข้อ: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 16-10-2017 14:10:53
wnkth:  ก็มันอุยจนน่าจับทุกตัวเลย #ปาดน้ำลาย

 ♥►MAGNOLIA◄♥: ฮี่ ๆ ไม่เจอกันนานเลย
สวัสดีครับ  ตอนแรกว่าจะเขียนใส ๆ แต่ทำไมเริ่มเรตไม่รู้
สงสัยเป็นเพราะ...แมวพิมพ์  #มีอะไรก็โทษแมว
ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่  เลยแลกของขวัญกัน
กับน้องอวิ๋นก็แลก...น้ำลายกันไปแล้วงัยล่ะ  555+

puiiz:  สวัสดีคร้าบ

xหยกน้อยx:  พระเอกนี่  หมายถึงเสี่ยวหมีใช่มั้ย   เออ  มันหายไปไหน

alternative: แต๊งกิ้วครับ  ถ้าเจอร้านน้องจ้าวจะไปลองชุดจนกว่าจะช้ำเลย  อุอุอุอุ



+++++++



เมื่อผู้อาวุโสทั้งห้าสำนักมารวมตัวกันที่ยอดเขา  นักพรตเวิ่นเต๋อก็วาดมือร่ายวิชาเซียนสร้างลานประลองลับขึ้นมา 17 ลานประลอง  ครานี้แต่ละลานประลองที่ลอยหลั่นอยู่กลางฟ้ามีม่านพรางตาเป็นรัศมีสีเงินอันจะป้องกันการสอดแนมของผู้มีพลังพรตต่ำกว่านักพรตเวิ่นเต๋อ  ซึ่งหมายความว่าผู้อาวุโสทั้งห้าก็ไม่สามารถมองเห็นภายในลานประลองได้  เว้นแต่ว่าเวิ่นเต๋อจะแสดงภาพให้ดู

“ไม่ทราบว่า  วันนี้ผู้อาวุโสไป่จะเปิดโต๊ะพนันหรือไม่”   ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าการประลองครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

“ฮ่า ๆ วันนี้เป็นการประลองปิดลับ  เราจะพนันกันได้อย่างไร”   ไป่หลินหลิงกล่าวกลั้วหัวเราะ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น  นักพรตเวิ่นก็ลืมตาที่หลุบอยู่ขึ้นและเสนอความเห็น

“นักพรตผู้นี้มีความเห็นบางประการ   มิทราบว่าผู้อาวุโสไป่สนใจรับฟังหรือไม่”

“ท่านนักพรตเวิ่นมีมารยาทมากเกินไปแล้ว  ผู้น้อยใคร่ฟังข้อเสนอแนะของนักพรตเวิ่นอย่างสุดจิตสุดใจ”

“มิกล้า ๆ  นักพรตผู้นี้เพียงแต่เห็นว่า  การตั้งโต๊ะพนันไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดของผู้ร่วมประลองทั้งสองฝ่าย  ว่าผู้ใดประลองกับผู้ใด  เราเพียงแต่พนันผลลัพธ์สุดท้ายของแต่ละลานประลองว่าผู้คุ้มกันหรือผู้ท้าชิงที่จะได้ชัยชนะ”

ไป่หลินหลิงฟังแล้วก็โบกพัดอย่างครุ่นคิด  ก่อนจะพยักหน้า  “เช่นนั้นก็ได้อยู่  ฝากชะตาไว้กับโชคเคราะห์มากกว่าเดิม  เหมือนกับปิดตาเสี่ยงทาย  เช่นนั้นจึงเรียกว่าการพนัน  ว่าแต่...”  นางเหลือบแลผู้ออกความเห็น  “..เหตุใดท่านนักพรตจึงดูกระตือรือร้นนัก”

“เฮ่อ ๆ  นักพรตเต๋าผู้นี้พนันแพ้อย่างหมดรูปไปรอบก่อน  รอบนี้จึงคิดจะแก้มือ  มิเช่นนั้นคงคันในหัวใจยากที่จะเกาไปอีกนาน”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้  ในเมื่อท่านนักพรตออกหน้า  ผู้น้อยก็คงไม่กล้าขัด”   นางหยิบม้วนไม้ไผ่โพยพนันตัวเซิร์ฟเวอร์แม่ออกมา  พรมนิ้วร่ายมนตราเพื่อปรับปรุงระบบ  และส่งข้อความแจ้งเตือนการปรับปรุงไปยังโพยไม้ไผ่ที่แจกให้กับนักพนันทุกคนในจิ้งซาน

นักพรตเวิ่นก้มมองม้วนไม้ไผ่ในมือที่ส่งข้อความแจ้งเตือน  เขาถ่ายจิตเข้าไปเพื่อทำการวางเดิมพันการประลอง  ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็รีบเข้าไปดูและเลือกวางเดิมพันเช่นกัน

“แต่ท่านนักพรตจะเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นผู้ท้าประลองของทุกลานมิใช่รึ”  ผู้อาวุโสเหม่ยทักท้วง

“เฮ่อ ๆ นักพรตผู้นี้มิได้โลภมาก  เพียงแต่วางเดิมพันข้างศิษย์ของข้าในลานประลองที่ 13 เท่านั้น  หวังว่าทุกท่านคงยอมให้นักพรตผู้นี้ได้เปรียบบ้างสักครา”

ตู้ถงเทียนรีบประสานมือคารวะแล้วกล่าว  “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้  พวกเราจะไม่ให้หน้าแก่ท่านนักพรตได้อย่างไร”

ไป่หลินหลิงอมยิ้ม  เพราะนางเองก็มองทะลุเห็นรายละเอียดของลานประลองและผู้ท้าประลองทุกคน  รวมทั้งเห็น ‘เล่ห์กลเล็ก ๆ น้อย ๆ’ ที่เวิ่นเทียนจัดการกับลานประลองที่ 13 ด้วย

“หืม..จมูกโคเฒ่าผู้นี้...ไม่เบาทีเดียว”   นางรำพึงในใจ  ก่อนส่งปราณเสียงบอกนอมินีของตนซึ่งก็คือเยว่หนานอิ๋งให้ลงเดิมพันข้างซีคงหยูเช่นเดียวกัน


+++++



หวงอีกงจื่อจัดสาบเสื้อของตนให้เรียบร้อย   เสื้อของเขายังคงเป็นไหมเนื้อดีปักลายงูโบราณ   แขนเสื้อของเขากว้างตัดกับข้อมือที่เรียวเล็กราวกับอิสตรี  ดวงหน้าของเขาก็เกลี้ยงเป็นรูปไข่เข้ากับดวงตาเรียวที่บางครั้งก็โค้งเหมือนวงพระจันทร์  และคิ้วบางโก่งเหมือนคันศร  ปลายจมูกของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย  เข้ากับริมฝีปากเล็กอิ่มที่ดูรั้น  องค์ประกอบทั้งหมดของดวงหน้าทำให้หวงอีกงจื่อเป็นชายงามที่หาจับตัวได้ยาก  ทว่าไม่มีกลิ่นอายของบุรุษเพศที่เข้มข้นประดุจหลี่โอ๋อวิ๋นหรือจ้าวเหรินเจี่ยนก็เท่านั้น

พลุสัญญาณเตรียมตัวเริ่มการประลองถูกจุดบนท้องฟ้า  ทว่าก่อนที่หวงอีกงจื่อจะก้าวเข้าไปในวงเวท   เขาหันไปหาเด็กหนุ่มผมสั้นที่ยืนกอดอกอยู่เบื้องหลัง

“ศิษย์น้องว่าข้าจะชนะหรือไม่?”

“ท่านต้องชนะ”

“ทำไมจึงคิดเช่นนั้น”

“เพราะท่านแข็งแกร่งกว่าเขา”

“บางทีคนที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่ชนะ”

“ศิษย์พี่กลัวแพ้หรือ”

“ข้ากลัวทำให้ศิษย์น้องผิดหวัง”

“แม้ว่าท่านจะแพ้  น้องชายก็ไม่ผิดหวัง”

“เพราะเจ้าไม่ได้หวังอะไรกับข้าแต่แรก?”

เด็กหนุ่มหน้าคมยิ้มนิ่งไม่ตอบ

หวงอีกงจื่อมีสายตาผิดหวังเล็กน้อย  จากนั้นหันกายไปก้าวเข้าวงเวทเคลื่อนย้ายฉับพลัน


+++++


ในวันนี้ทุกลานประลองมีสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน  นักพรตเวิ่นเต๋ออุทิศพลังปราณอย่างมหาศาลเพื่อกลบเกลื่อนลานประลองน้ำของซีคงหยู  ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มผู้หนึ่งเคลื่อนย้ายเข้ามาในลานประลอง  เขาจึงเห็นลานหญ้ากว้างใจกลางป่าที่มีต้นไม้โบราณอันเกรอะไปด้วยมอสสีเขียวสด  ปลายสุดด้านของลานหญ้ามีโขดหิน  และบนโขดหินชายอีกผู้หนึ่งนั่งกอดกระบี่ในฝักของตนเอง  เขาหลับตานิ่งเหมือนกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศของป่าชื้น  หรือมิเช่นนั้นก็เพียงแต่ฆ่าเวลารอให้การประลองจบสิ้นไป

“ฮึม..”  ผู้มาเยือนทำเสียงในคอ  เพื่อเตือนอีกฝ่าย

ผู้เหย้าลืมตามอง  ดวงตานั้นสุกใสและฉลาดเฉลียว  เขามองฝ่ายตรงข้ามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“เป็นท่านหรอกรึ”

“ใช่”

“เพราะเหตุใด”

“ข้าไม่ชอบโดนคนหลอกใช้”

เจ้าของกระบี่สีขาวราวหิมะฟังแล้วก็นิ่งไปครู่  ก่อนจะกล่าว  “แต่ถึงยังไงท่านก็แพ้อยู่ดี”

“แพ้โดยที่รู้ว่าเพราะอะไร  ดีกว่าแพ้โดยที่ไม่รู้อะไร”

ผู้เหย้าถอนหายใจเบา ๆ  “อันที่จริงแล้ว ข้าคำนวณไว้แต่แรก  ว่าท่านจะต้องมาในวันนี้”

“ฮืม...เช่นนั้น  จงลุกขึ้นมา  และรับการท้าประลอง”

ผู้มาเยือนชักกระบี่จากกลางหลัง  ใบกระบี่ของเขาเป็นสีเขียวมรกต  ลายของเหล็กดูคล้ายกับดอกไม้กระจายเป็นดวง ๆ

“เชิญ”

เจ้าของกระบี่ฝักขาวลุกขึ้นจากโขดหินที่นั่งอยู่   ชักกระบี่สีเงินยวงออกจากฝัก  กระบี่นั้นสะท้อนแสงพร่าพรายจนแทบจะส่องเห็นเบื้องลึกของใจคน

“เชิญ”

และทันใดนั้น  พายุฝนลมคลั่งของเพลงอาวุธ  ก็ปะทุก่อตัวขึ้นท่ามกลางป่าฝน



+++++++



สิ่งแรกที่ต้อนรับหวงอีกงจื่อคือความเย็นเฉียบที่ทะลุเสื้อผ้าและรองเท้าของเขาในทันที  เขาเบิกตามองบรรยากาศสีครามเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา   ก้อนอากาศเป็นลูก ๆ หลุดจากจมูกและปากของเขาเหมือนกับบอลแสงสีเงินที่เต้นระริกระรี้และพุ่งขึ้นไปเบื้องบน  หวงอีกงจื่อถีบเท้าของตนเองตามฟองอากาศขึ้นไป   เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อใบหน้าโผล่พ้นน้ำ 

“เฮ้  ทางนี้”

หวงอีกงจื่อรีบหันไปตามทิศทางเสียงด้วยความระวังไวจนเกร็ง  เขายังไม่มีเวลาขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับลานประลอง  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือคู่ต่อสู้ของเขาที่ยืนอยู่บนผิวน้ำ  ไม่เพียงแค่นั้น  อีกฝ่ายยังใส่ชุดว่ายน้ำชิ้นเล็กตัวเดียวจนหวงอีรู้สึกใบหน้าร้อนฉ่า   ซีคงหยูไม่ใช่คนรูปงามจนฟ้าและดินตกตะลึง  แต่เขาก็ไม่ได้ไร้เสน่ห์

“เจ้า...”   หวงอีกงจื่อมองเห็นอุปกรณ์ประหลาดที่หัวและเท้าของคู่ต่อสู้   เขาพูดแบบไม่ออก  เพราะทุกอย่างมันประหลาดไปหมด

“ฮ่า ๆ  เจ้าสนใจวัตถุกลไกของข้าใช่มั้ยล่ะ   นี่เรียกว่าสน๊อกเกิ้ลสารพัดนึก ver 0.7 beta  และนี่..”  ซีคงหยูยกเท้าขึ้นมาเอามือชี้วัตถุกลไกที่เท้าของตนเองพูดด้วยน้ำเสียงอวดโอ่  “...ตีนกบสารพัดนึก ver 1.8”

คุณชายหน้าสวยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้   เขาชักพู่กันขนาดยักษ์สูงเท่าตัวคนจากกลางหลัง  แล้วควงหมุนมันเหนือศีรษะ  พลังปราณระดับเมฆาเคลื่อนคล้อยของเขา  ก่อตัวเป็นรูปลักษณ์เหมือนกับเมฆสีดำประดุจหมึก   ริ้วเมฆเหล่านั้น  เข้ามาโคจรรอบกายเขา  และพาหวงอีกงจื่อขึ้นจากน้ำ   จนยืนอยู่บนผิวน้ำได้สำเร็จ 

“ซีคงหยู  เจ้ามันขี้โกง!  เจ้ารู้อยู่แล้วว่าจะเจอลานประลองแบบไหน”   หวงอีเอาพู่กันชี้หน้าเจ้าของชุดว่ายน้ำตัวจิ๋ว

“เพ้ย  พูดแบบนี้  ระวังข้าฟ้องหมิ่นประมาท  ทั้งหมดนี้ข้าเดาเอาและบังเอิญเดาถูก  เจ้าไม่เคยเห็นคนที่ดวงดีจนสวรรค์ต้องยอมแพ้หรืออย่างไร”

“ฮึ่ม  ใครทำอะไรก็รู้อยู่แก่ใจ  วันนี้ข้าจะสั่งสอนคนหน้าด้านอย่างเจ้าแทนสวรรค์เอง”

ถึงจะพูดเช่นนั้น  หวงอีกงจื่อก็ยังคงยืนมองอย่างระวังไว   เขาใช้ปราณเมฆาพยุงร่างจึงยืนที่ผิวน้ำได้  ทว่าซีคงหยูดูเหมือนไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย  ดูท่าวัตถุกลไกที่ซีคงหยูสวมใส่ไว้ที่เท้าคงมีอิทธิฤทธิ์วิเศษมากกว่าที่คิด

“ฮ่า ๆ  แน่จริงก็เข้ามา  จะได้รู้ว่าใครสั่งสอนใครกันแน่”   ซีคงหยูหัวร่ออย่างลำพอง  และดึงสามง่ามที่เตรียมไว้ออกมาตั้งท่า  ลานประลองกลางน้ำไม่เหมาะกับดาบที่มีใบใหญ่  เพราะมันต้านน้ำทำให้เปลี่ยนทิศทางยาก

“เพ้ย!”   หวงอีตวาดเสียงสดใส  เท้าสะกิดผิวน้ำ  พุ่งตัวเข้าใส่พร้อมกับเงื้อพู่กัน  เขาทำท่าจะโจมตีอกเปลือยของอีกฝ่ายที่ไร้การป้องกัน  ทว่าเปลี่ยนทิศทางปลายพู่กันกะทันหัน  โจมตีใส่ตีนกบของซีคงหยู

“ฮั่นแน่”  คุณชายสามชักเท้าหลบอย่างรู้ทันพร้อมส่งรอยยิ้มเยาะ   เขาวาดสามง่ามด้วยเพลงดาบหงสากางปีก

เป๊ง

เป๊ง

เป๊ง


พู่กันและสามง่ามปะทะกันส่งเสียงติงตัง   หวงอีกงจื่อผละถอยออกมาสองมือจับพู่กันแล้วควงหมุนอย่างรวดเร็วจนลายดำและขาวของพู่กันสร้างภาพลวงตาเป็นสัญลักษณ์ไท่จี่  ปราณเมฆาของเขาโคจรผ่านฝ่ามือเข้าไปในม่านพู่กัน  พร้อมกับตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว

“หยินหยางกำราบมาร!”

เงาของไท่จี่เปล่งแสงจ้าและพุ่งจากเงาพู่กันกระแทกใส่ซีคงหยู

คุณชายสามรีบโคจรปราณเมฆาเข้าไปที่สามง่าม  และถือมันขวางหน้าอกไว้ต้านสัญลักษณ์ไท่จี่

ตึ้ม!

ปราณเมฆาสองสายปะทะกัน  ทว่าของหวงอีกงจื่อเหนือกว่าเพราะโคจรด้วยวงจรวิชาเซียน  ซีคงหยูกระเด็นกลิ้งไปตามหิวน้ำสามสี่ตลบเหมือนกับก้อนหินแบนที่ถูกโยนเรียดน้ำ

หวงอีกงจื่อรีบกระโจนตามเข้าไป   เขากระโดดเงื้อพู่กันเหนือศีรษะฟาดลงไปตรง ๆ

“ฟัค!  คนสวยทำไมใจร้ายนัก”    ซีคงหยูอุทาน  เพราะพู่กันฟาดเข้ามาที่จุดยุทธศาสตร์ของเขา  ทว่าทันใดนั้น   น้ำใต้หว่างขาของเขาก็ระเบิดพวยพุ่งใส่หน้าของอีกฝ่ายจนเซถอยไปสี่ห้าก้าว

“ฮี่ ๆ  ท่านี้เรียกว่า  วิชาเซียนน้ำแตกกระจาย   เจ้าชอบหรือไม่”

หวงอีกงจื่อใช้มือข้างที่ว่างลูบน้ำออกจากหน้า  ใบหน้าแดงสดใสด้วยความโกรธ  แต่สักพักก็สูดหายใจลึกยาว  และจ้องมองคุณชายสามด้วยดวงตาหยีดุจพระจันทร์

“ชอบสิ  เจ้าทำน้ำแตกใส่หน้าข้าเยอะ ๆ เลยนะ”

ซีคงหยูรีบกระโดดโหยงจากที่นอนลอยบนผิวน้ำเมื่อครู่   เขาถือสามง่ามชี้ไปข้างหน้าอย่างระแวง

“เพ้ย  ข้าไม่เล่นด้วยกับเจ้าแล้ว”

“ฮี่ ๆ  คุณชายซีคง  ท่านคิดจะทำให้ข้าเสียสมาธิด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างงั้นรึ  งั้นเรามาแข่งกันมั้ย   อย่างเช่นข้าจะถามว่า  ท่านอึ๊บกับหลี่โอ๋อวิ๋นไปกี่รอบแล้ว”

ซีคงหยุสะดุ้งเหมือนถูกไฟช็อต   เขากระโดดโหยงอีกรอบ

“เจ้า..หวงอี่  เจ้ารนหาที่ตาย!”

ไม่เพียงแต่ซีคงหยูสะดุ้ง   นักพรตเวิ่นที่สอดแนมอยู่ก็สะดุ้งจนเปลือกตากระตุก  พวกเจ้าช่วยพูดคุยกันให้เหมาะแก่การเผยแพร่ต่อเยาวชนได้หรือไม่  เคราะห์ดีที่เป็นประลองลับ  มิเช่นนั้นต้องต้องใส่เสียง ตื๊ดดดด กลบตอนถ่ายทอดสด

ขณะที่ไป่หลินหลิงเอาพัดปิดปากและหัวเราะคิกคัก

“หรือข้าควรจะถามว่า  อาวุธของจอมยุทธหลี่กับจอมยุทธซ่ง  แท่งไหนถึงใจกว่ากัน”

ซีคงหยูโกรธจนพูดไม่ออก   เขาฟาดสามง่ามไปข้างหน้าพร้อมกับโคจรปราณเมฆา

“ความปรารถนาย้อนกลับ!”

ผิวน้ำในทิศทางระเบิดปะทุเป็นคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่คุณชายเสื้อเหลือง  ทว่าหวงอี่ควงพู่กันอย่างใจเย็นใช้หยินหยางกำราบมารต่อต้านแรงระเบิดของน้ำ

“ฮิ ๆๆๆ  ข้ารู้จุดอ่อนวิชาเซียนของเจ้า  เจ้าควบคุมวัตถุไหลได้  ทว่าในวัตถุไม่มีพลังปราณ  เป็นแค่การโจมตีกายภาพ  ทริคของเจ้ามีเอาไว้รังแกผู้บำเพ็ญพรตระดับต่ำกว่าเท่านั้นล่ะ”

ซีคงหยูไม่พูดพล่ามทำเพลง   เขาใช้วิชาเซียนเดิมอย่างต่อเนื่องเกิดคลื่นโถมซัดและแรงระเบิดปั่นป่วนรอบตัวหวงอีกงจื่อ

“ฮ่า ๆๆๆ  ข้าบอกว่าไม่ได้ผลก็ไม่ได้ผลสิ”   หวงอีกงจื่อเอาพู่กันปักพื้นน้ำ  เร่งเร้าปราณเมฆาของตนเอง  ครานี้ปราณเปลี่ยนจากสีดำหมึกเป็นสีน้ำตาลดูเก่าแก่โบราณ  ดวงตาของเขามีแสงสีน้ำตาลเจิดจ้า  และปราณแสงก็พุ่งจากมือและพู่กันไปที่กลางหลังของเขา  สร้างปีกแสงสีน้ำตาลมหึมาคู่หนึ่ง

“จงดูข้า!  เทอราโนดอนสยบฟ้า!”

หวงอี่เหินขึ้นไปบนท้องฟ้า  และสร้างแรงกดดันมหาศาลลงสู่เบื้องล่าง  ปีกของเขาแผ่สยายเหมือนจะกลืนกินท้องฟ้าเหนือลานประลอง  แรงกดดันของปราณเมฆาสีน้ำตาล  ทำให้ผิวน้ำอันปั่นป่วนและระเบิดตลอดเวลาเชื่องเหมือนกับมังกรที่ถูกสยบ

“ซีคงหยู  เจ้ารู้สึกยังไงล่ะ  ที่จะต้องพ่ายแพ้เพราะแกนอสูรที่เจ้าขายให้ข้า”   หวงอีกงจื่อเย้ยหยันจากท้องฟ้า   เขาวาดพู่กันชี้และโคจรปราณเมฆา  ปราณแสงมารวมเป็นก้อนที่ปลายพู่กัน  เจ้าของพู่กันตวาดเสียงครั่นครื้น

“ลำแสงบรรพกาล!”

แสงเต๋าสีน้ำตาลพุ่งวาบเป็นเส้นตรงเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่ทะลุทะลวงจากฟากฟ้า  ซีคงหยูไม่มีเวลาคิดเขากัดฟันยกสามง่ามขึ้นต้าน

“อ้ากกก!!”

ลำแสงความเข้มข้นสูงแผดเผามือและหน้าอกของเขาจนเหวอะหวะเป็นแผลเหมือนไฟไหม้  ร่างของเขาถูกกระแทกกระเด็นและจมลงไปใต้น้ำ  ขณะที่หวงอีหอบหายใจรัวด้วยความอ่อนล้าเพราะเป็นท่าที่ใช้พลังงานสูง  ปีกแสงของเขาค่อย ๆ สลาย  ปราณเปลี่ยนเป็นริ้วเมฆสีดำรอบ ๆ ตัวและค่อย ๆ พาร่างคุณชายหน้าสวยลงแตะพื้นน้ำ

เขาวาดพู่กันไปรอบ ๆ ในท่าป้องกัน  และมองหาเงาร่างของซีคงหยูอย่างระแวง

“หวงอีกงจื่อ..”  ปราณเสียงของคุณชายสามดังขึ้นมาในหัวของคู่ต่อสู้  “..ข้ายอมรับว่าประมาทเจ้าไปนิด”

“ฮี่ ๆ นั่นเรียกว่านิดหน่อยงั้นรึ  เจ้ารีบไสหัวออกมารับความพ่ายแพ้ดีกว่า”

“สำหรับคำถามที่เจ้าถามข้าก่อนหน้า..”

“หืม?”

“ข้ายังไม่เคยโดนใครอึ๊บ  ข้ายังซิงเฟ้ย”

“เพ้ย  ใครสนใจความซิงของเจ้ากัน”

“แต่ถ้าข้าจะเปิดซิงกะใครคนแรก  ตู้เกี่ยนหลงก็ไม่เลวนะ  ฮ่าๆๆๆ”   ซีคงหยูหัวเราะเหมือนตัวร้ายด้วยปราณเสียง

“เจ้า..!”

“ไม่เอาน่าหวงอี  เจ้านึกว่ายั่วโมโหข้าขึ้นอย่างงั้นรึ  ข้าคือนักอ่านผู้อุทิศตนของนกน้อยในดงเหมย  เต๋าของข้าแข็งแกร่ง  ไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะทำให้หวั่นไหวง่าย ๆ ด้วยมุกตัดชายเสื้อแค่นี้”

“หืม...ข้ายอมรับว่าต้องยอมแพ้เรื่องความหน้าด้านหน้าทน  แล้วเมื่อไหร่จะไสหัวออกมาตัดสินพลังฝีมือกันให้รู้ดำรู้แดง”

“ฮี่ ๆ  ไม่เพียงแค่นั้นนะหวงอี  ข้ายังบันทึกเสียงที่เจ้าพูดเมื่อกี้ไว้ด้วย   เจ้าคิดว่าถ้าน้องอวิ๋นของข้าได้ยินคำถามของเจ้า    เขาจะทำอะไรกับเจ้าดีนะ  ติ๊กต่อก ๆ”

“เจ้าโกหก   บนตัวเจ้าไม่มีวัตถุวิเศษสำหรับบันทึกเสียง”  หวงอีตะโกนกลับไปพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวเต็มใบหน้า

“ข้าไม่มี  แต่ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ของข้าจะไม่มี  เจ้าคิดว่าลานประลองน้ำนี้เป็นฝีมือของใครกันล่ะ”

“...”  หวงอีได้แต่ก่นด่านักพรตเวิ่นในใจ  เพราะเขารู้ว่านักพรตเวิ่นต้องกำลังสอดส่องลานประลองนี้อยู่แน่ ๆ

“หวงอี  ทำไมเราไม่ถอยกันคนละก้าว  เจ้ายอมแพ้ไปซะ  ส่วนข้าก็จะไม่แบล็คเมล์เจ้า”   ซีคงหยูส่งปราณเสียงด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมเหมือนกับนักเรียกค่าไถ่มืออาชีพ

“ข้าไม่เชื่อว่านักพรตเวิ่นจะเตรียมการไว้ก่อนแล้ว”   หวงอียืนกระต่ายขาเดียว  ขณะที่นักพรตเวิ่นที่สอดแนมอยู่บนยอดเขาก็พยักหน้า  เขาไม่ได้เตรียมอัดเสียงไว้จริง ๆ นั่นแหละ

“ฮี่ ๆ  หลักฐานเท็จทำง่ายจะตายไป  อย่าลืมว่าข้ากับน้องอวิ๋นเป็นอะไรกัน  ข้าแค่ไปบีบน้ำตาออเซาะเขาหน่อยเดียว  เขาก็ต้องมาจัดการเจ้าแน่ ๆ”   ซีคงหยูคุยโวอย่างไร้ยางอาย

“เฮอะ  ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าสวมหมวกเขียวให้จอมยุทธหลี่  ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขาจะดีได้อย่างไร  เจ้าอย่าเอาเขามาขู่ข้าดีกว่า”

“ฮั่นแน่  ได้อีกหนึ่งหลักฐาน  ท่านอาจารย์โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย”

ทันใดนั้น  ในลานประลองที่ 13 ก็มีเสียงดังก้องสะท้อนไปทั่ว  สุ้มเสียงนั้นคือหวงอีกงจื่อไม่ผิดเพี้ยน

“เฮอะ  ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าสวมหมวกเขียวให้จอมยุทธหลี่ “

“เฮอะ  ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าสวมหมวกเขียวให้จอมยุทธหลี่ “

“เฮอะ  ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าสวมหมวกเขียวให้จอมยุทธหลี่ “


คุณชายเสื้อเหลืองยืนช็อคในความไร้ยางอายของคู่อาจารย์ลูกศิษย์







+++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 16-10-2017 15:36:40
I want a ม้วนไม้ไผ่นั่นจัง รองรับการอับเดท path ผ่านการกรีดนิ้วร่ายมนต์ได้ด้วย ว่าแต่ใช้ cpu กี่ core การ์ดจอก็ท่าจะแรงด้วยเปิดปิดได้ดั่งใจขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 16-10-2017 15:45:58
อุ้ย รีเพลย์ได้ด้วย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-10-2017 16:21:15
อูยยย..............ไม่เรทหรอก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

แหมๆ....หยุูมีวิชาเซียนน้ำแตกกระจายด้วย ยอดเยี่ยม
แถมมีการประนีประนอมให้อีกฝ่ายยอมแพ้ด้วยการแบล็กเมล์ซะด้วย  :laugh:
มีบันทึกคำพูดในการประลองด้วย ครั้งแรกยังไม่ฉลาด ครั้งต่อไปไม่พลาด  o18
สมเป็นอาจารย์กับศิษย์จริงๆ  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-10-2017 21:30:34
แต่ละอย่างที่ทำนี่...เหมาะเป็นอาจารย์และศิษย์ดั่งผีเน่าโลงผุ ส่งเสริมกันดีเหลือเกิน

ช่างเป็นการประลองที่ใสสะอาด ไม่มีเรื่องใต้สะดือ ไม่มีกลโกง ไม่มีการขยี้จุดอ่อนเล้ยยยยยย

พระเอกอย่างเสี่ยวหมีอยู่ที่ไหน? ฉันสมทบทุนค่าตัวเสี่ยวหมีสามสลึง
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-10-2017 21:40:21
 :jul3: :jul3: :jul3:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-10-2017 22:25:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #39 ท่านอาจารย์ โปรดรีเพลย์ให้ศิษย์ด้วย (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 20-10-2017 04:10:00
แหม ศิษย์ อาจาร์รู้จักใช้งานกันจริงๆ ใส่ชุดหวีวววววซะ :hao6:

หายป่วยไวๆนะคะ พักผ่อนเยอะๆนะ :L2:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 20-10-2017 12:08:42

wnkth: ติดต่อซื้อได้ที่ห้างมิตรไมตรี  เรามีขายทุกอย่าง  #ช่วยโฆษณาให้คุณชายจ้าว

 ♥►MAGNOLIA◄♥:   เอาชื่อวิชาที่สามีน้องอวิ๋นตั้งให้มาใช้ไง 55555+
ส่วนอาจารย์กระศิษย์  #ส่ายหัวแบบโนคอมเม้นท์

alternative: รอโอนเข้าบัญชีครบ 10 ล้านตำลึงทองแล้วจะปล่อยตัวเสี่ยวหมีออกมา  ฮี่ๆๆๆๆๆๆ

puiiz: *-*

mild-dy: thx ja

NuTonKaw:  คนมันจนน่ะครับ  ไม่มีเสื้อผ้าใส่  เลยต้องใส่น้อยชิ้น 55555+
ขอบคุณมากครับ  จะรีบหายไว ๆ


++++++




“ผู้แซ่ซีคง  เจ้าคิดว่าข้ากลัวหลี่โอ๋อวิ๋นอย่างงั้นรึ”

หวงอีกงจื่อกล่าวพลางจิ้มพู่กันสุ่ม ๆ ลงไปใต้น้ำรอบ  ๆ ตัว   มวลน้ำในลานประลองที่เคยใสในระดับหนึ่งตอนนี้ดูมืดทึบด้วยกระแสอันเชี่ยวกรากภายใต้  ผนวกกับฟองพรายของคลื่นที่ถูกกลืนไปใต้น้ำ  ถึงแม้ว่าซีคงหยูจะไม่สามารถใช้ความปรารถนาย้อนกลับโจมตีได้รุนแรงพอ  แต่เขาสามารถใช้มันสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อกับวัตถุกลไกของตนได้เป็นอย่างดี

ซีคงหยูแหวกว่ายไปใต้ก้นบึ้งของน้ำที่พู่กันจิ้มมาไม่ถึง  แสงเต๋าสีดำพุ่งวาบ ๆ จากปลายพู่กันเหมือนกระสุนปืนที่ยิงสุ่มไปมา

“ได้ ๆ นับว่าเจ้ากล้าหาญ”   ซีคงหยูส่งปราณเสียงตอบไป  และครุ่นคิดว่าจะต่อสู้อย่างไร  แผลที่หน้าอกและมือของเขาโดนน้ำจนแสบไปหมด  ถึงแม้ว่าสน็อกเกิ้ลของเขาจะช่วยให้หายใจใต้น้ำได้ระดับหนึ่ง  แต่ก็มีขีดจำกัดของมัน  ซ้ำเรี่ยวแรงของเขาก็เริ่มหมดลงไปเรื่อย ๆ

“ผู้แซ่ซีคง  นอกจากขี้โกงแล้ว  เจ้ายังขี้ขลาด  ไฉนไม่กล้าขึ้นมาสู้กับข้า”

“ฮ่า ๆ  วิธียั่วยุผู้คนให้ทำตามของเจ้ายังต่ำชั้นไปนะหวงอี  ข้ารู้ว่าเจ้าใช้ปราณเมฆาพยุงตัวเหนือผิวน้ำ  ส่วนข้ามีวัตถุกลไกช่วยอยู่ใต้น้ำ  ข้าจะคอยดูว่าปราณของใครจะหมดก่อนกัน”

คุณชายเสื้อเหลืองฟังแล้วก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ  เขาใช้ปราณเมฆาไปมหาศาลตอนที่ยิงลำแสงบรรพกาล  ซ้ำการพยุงตัวยืนบนน้ำก็เปลืองพลังพรตไม่ใช่เล่น  ตอนนี้เขามีปราณเมฆาเพียงสองในสิบส่วน

“สมแล้วที่เจ้าขี่หมีดำ  เจ้ามันก็ขี้ขลาดเหมือนกับหมีดำ”

“เฮ่อ ๆ  หวงอี  ใครขี้ขลาดกันแน่  แน่จริงเจ้าก็ลงมาสู้ใต้น้ำกับข้าสิ”

หวงอีไม่ตอบ  เขาดีดยาเซียนฟื้นฟูปราณเข้าไปในปาก  จากนั้นเสแสร้งกล่าวกับซีคงหยู

“ฮึ่ม  ถึงปราณเมฆาของข้าใกล้จะหมด  ข้าก็ไม่มีวันยอมแพ้  ถ้าเจ้าอยากได้หัวของข้า  ก็จงมาเด็ดด้วยตนเอง”

ซีคงหยูที่ไม่เห็นหวงอีโด๊ปยา  ยังคงว่ายวนไปรอบ ๆ อีกฝ่ายเหมือนฉลามที่ซุ่มรอเหยื่อ  เขาคิดว่าจะรอสักพัก  แล้วจะขึ้นไปโจมตีหลอกล่อเพื่อเร่งให้ปราณเมฆาของอีกฝ่ายหมดเร็วขึ้น

ซีคงหยูหยุดว่ายและยืนอยู่ใต้น้ำ   ในขณะเดียวกันเขาก็ยังส่งประแสปราณควบคุมกระแสน้ำให้ไหลวนเชี่ยวกรากดุจเดิม  ชื่อดั้งเดิมของความปรารถนาย้อนกลับคือวิชาเซียนหนีในน้ำ  และมันมีจุดเด่นที่ความอึดของการใช้พลังปราณ  หากท่านไม่สามารถอดทนได้นานพอ  ท่านจะหนีผู้อื่นได้อย่างไร

ซีคงหยูจับสามง่ามด้วยมือขวา  ชี้ไปยังเงาร่างของศัตรูเหนือผิวน้ำ  เขาโคจรปราณเมฆาจากจุดตันเถียงมายังแขนและข้อมือ  มันสร้างริ้วเมฆสีเขียวมรกตหมุนวนตลอดทั้งลำของสามง่าม  ริ้วเมฆหมุนวนอย่างรุนแรงและรวดเร็วขึ้นทุกทีจนเหมือนกับมีพายุก่อตัวรอบ ๆ อาวุธ

“หงสาทะลวงใจ!”

ทอนาโดสีมรกตพวยพุ่งทะยานจากใต้น้ำ  โจมตีใส่หวงอีกงจื่อในพริบตา

“ฮ่า ๆ ในที่สุดเจ้าก็เผยหาง”   แทนที่จะตกใจ   หวงอีตวัดปลายพู่กันยิงลำแสงสีดำสวนกลับไปในกลางทอนาโดทันที   และในขณะเดียวกัน  ปีกแสงสีน้ำตาลก็กระพือออกมาห่อหุ้มคุ้มกันเบื้องหน้าเขาจากทอนาโด

“อั่ก!”

แสงเต๋าสีดำยิงโดนหัวไหล่ของคุณชายสามจนเป็นรู   เลือดสีคล้ำเข้มพวยพุ่งและกระจายเหมือนกับควันใต้น้ำ   ซีคงหยูกัดฟันข่มความเจ็บปวด  และว่ายหลบหลีกลำแสงที่ยิงจากผิวน้ำไม่หยุดหย่อน  เขาเชื่อว่าด้วยการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของอีกฝ่าย  ปราณเมฆาของหวงอีต้องหมดในไม่ช้า  สิ่งที่เขาต้องทำคืออดทน  จนกว่าหวงอีจะทนไม่ไหวและลงมาเปิดศึกใต้น้ำ

หวงอีทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นคาวเลือดที่ไหลลอยมาถึงผิวน้ำ  และเผยยิ้มชั่วร้าย

“ซีคงหยู  เจ้าบาดเจ็บอยู่อย่างงั้นรึ”

ซีคงหยูไม่ตอบ   เขาใช้มือกดแผลที่หัวไหล่เอาไว้และพยายามโคจรปราณมายับยั้งโลหิต

แม้จะไม่มีเสียงตอบกลับมา  หวงอีก็ยังคงกล่าวต่อ  “ข้าจะบอกอะไรให้นะซีคงหยู  ปราณเมฆาข้าไม่มีวันหมด  เพราะข้ามียาเซียนฟื้นฟูปราณ  นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกบ้านนอกกับตระกูลใหญ่ที่แท้จริง”

ซีคงหยูสะอึก   เขาลืมนึกไปถึงจุดนี้

“อีกอย่างนะซีคงหยู  จริง ๆ แล้วข้าสามารถจบการต่อสู้กับเจ้าได้ในพริบตา  แต่ข้าไม่ทำ  เพราะว่าอะไร...”

หวงอีหัวร่อ  แม้ว่าสิ่งที่ตอบเขากลับมามีแต่ความเงียบ   แต่เขาก็รู้ว่าทุก ๆ ถ้อยคำของเขาเหมือนกับมีดที่กรีดลงไปกลางใจของอีกฝ่าย

“..เพราะว่าข้าสนุกที่เห็นเจ้าวิ่งไปมาเหมือนหนูสกปรก  ซีคงหยู  เจ้าคิดว่าจะเผยอตัวเทียบเทียมกับยอดฝีมือและตระกูลใหญ่ได้  แต่จริง ๆ แล้วเจ้าเป็นแค่พวกหลังเขา  ทายาทจากตระกูลเล็ก ๆ ในเมืองไกลปืนเที่ยงที่ประสบโชคนิด ๆ หน่อย ๆ  วิชาเซียนของเจ้ามีแต่ขยะไร้ประโยชน์  เจ้าไม่รู้พื้นฐานที่ถูกต้องของการใช้ปราณด้วยซ้ำ  น่าสมเพชจริง ๆ”

ถึงตอนนั้น   ซีคงหยูจึงตอบกลับไปด้วยปราณเสียง

“หวงอี  เจ้าแค้นข้าเรื่องอะไร”

“ฮ่า ๆๆ  ข้าจำเป็นต้องแค้นเจ้าด้วยหรอในการพูดเหยียดหยามเจ้า  ข้าแค่ดูหมิ่นเจ้า  สมเพชเจ้า  รังเกียจเจ้า  เจ้าไม่ควรค่าแม้แต่นิดที่จะถือรองเท้าให้กับชนชั้นอย่างข้าและศิษย์น้องตู้”

ซีคงหยูฟังแล้วก็นอนหงายและปล่อยตัวเองจมลงไปใต้น้ำ  และเงยมองเงาร่างของอีกฝ่ายอยู่อยู่บนผิวน้ำอันมีแสงส่องระยิบระยับ   ในตอนนี้ผิวน้ำเบื้องบนเหมือนกับสรวงสวรรค์ที่เปล่งประกาย  และสุรเสียงที่เปล่งลงมาเหมือนกับเสียงของเทพเจ้า  มันยิ่งใหญ่และลำพองราวกับจะตอกย้ำว่าปุถุชนนั้นไร้ค่าไร้ความหมายเพียงใด

“หวงอี  ถ้าอย่างงั้น  ข้ายอมแพ้เจ้าดีหรือไม่”

นักพรตเวิ่นเต๋อได้ยินเช่นนั้นก็หลับตา  จริง ๆ เขาสามารถเตือนซีคงหยูตั้งแต่ตอนที่หวงอีกงจื่อกลืนยาเซียนฟื้นฟูปราณ  และในตอนนี้เขาก็สามารถส่งปราณเสียงไปปปลุกปลอบกำลังใจได้  แต่เขารู้สึกว่าได้ยื่นมือเข้ายุ่งกับการประลองครั้งนี้มากเกินไปแล้ว

ศิษย์ของเขาช่างมีเจตจำนงที่อ่อนแอ  อุปสรรคเพียงเท่านี้ยังผ่านพ้นไปไม่ได้  ถึงแม้ว่าจะมีสติปัญญาดีและมีพรสวรรค์  ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์

ในขณะที่นักพรตเวิ่นเต๋อตัดใจ  ไป่หลินหลิงกลับมองไปที่ลานประลอง 13 ด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

หวงอีฟังดังนั้นก็นิ่งไปนิดหนึ่ง  จากนั้นกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้ายอมแพ้แล้วข้าจะพอใจ  เจ้าคิดผิด  สิ่งที่เจ้าจะทำ  มันก็แค่ยืนยันว่าเจ้ามันเป็นคนขี้ขลาดมากแค่ไหน”

“ฮ่า ๆๆๆ”  ซีคงหยูหัวเราะอย่างเจ็บปวด  แผลของเขาทำให้เรี่ยวแรงและพลังปราณไหลออกไปอย่างรวดเร็วดุจหม้อรั่ว   กระแสน้ำที่ปั่นป่วนค่อย ๆ สงบลง   จนหวงอีมองเห็นร่างที่นอนหงายอยู่ใต้พื้นน้ำ

“ข้าขอยอมแพ้”

สิ้นคำพูด   แสงสีทองห่อหุ้มร่างของทั้งสองฝ่าย  และพาพวกเขาออกไปจากลานประลองทันที


+++++


ร่างในชุดประดาน้ำร่วงลงมาพร้อมกับสามง่ามของตนยังจุดเดิมที่เขาวาร์ปขึ้นไป  ทว่าก่อนที่ร่างนั้นจะเซร่วงลงกับพื้น  ก็มีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่และอ้อมแขนที่แข็งแกร่งโอบรับไว้ทันที

เจ้าของดวงตาดุเพ่งมองรอยแผลและเลือดสีซีดที่ยังซึมออกมาปนกับสายน้ำอันหยดรินจากไรผมและเรือนร่างเกือบเปลือยของอีกฝ่าย

ซีคงหยูกระพริบตาและกระตุกยิ้มให้กับเจ้าของดวงตาสีสนิมที่จ้องเขาเหมือนกับจะฉีกเนื้อใครสักคน

“อา..ข้าแพ้จนได้”

หลี่โอ๋อวิ๋นกัดฟันจนกรามนูนเป็นสัน  และรวบผ้าเช็ดตัวห่อร่างของอีกฝ่ายมากกว่าเดิม  “เจ้าต่อสู้กับใคร”

“มันไม่สำคัญ”   คุณชายสามปรือตาอย่างเหนื่อยอ่อนและกล่าว  “น้องอวิ๋น..ปล่อยข้านั่งพักสักครู่  แล้วข้าจะดีขึ้นเอง”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ฟังคำ  เขาสะกิดเท้าใช้วิชาตัวเบา  หายวับไปจากสถานที่นั้นพร้อมร่างที่เขาอุ้มไว้ทันที


+++++


ในห้องนอนของผู้บัญชาการค่ายประตูทรราช   หลี่โอ๋อวิ๋นวางร่างในผ้าเช็ดตัวลงกับเตียงของตนเองอย่างไม่กลัวเปียก   เขาหยิบผ้าอีกผืนจากแหวนสี่มิติของตนเองมาเช็ดร่างกายของอีกฝ่ายรวมทั้งซับน้ำจากบาดแผลอย่างเบามือ   จากนั้นเรียกยาเซียนธาตุดินมาบดเป็นผงแล้วโรยลงไปที่บาดแผล  ยาของเขาไม่ดีเท่ากับของนักพรตเวิ่น  แผลของซีคงหยูจึงไม่ได้สมานอย่างรวดเร็ว  ทว่ามันก็ช่วยลดความเจ็บปวดให้ได้เป็นอย่างดี

คนเจ็บที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นพยายามเผยอเปลือกตามองอีกฝ่าย

“เฮ้..”

“...”

“ขอบใจเจ้ามาก”

หลี่โอ๋อวิ๋นยืนนิ่งมองริมฝีปากเปื่อยซีดของคนที่อยู่ใต้น้ำเย็นเฉียบเป็นเวลานาน  เขาเอื้อมมือไปกดจุดหลับของอีกฝ่าย  ตาของอีกฝ่ายค่อย ๆ ปรือมากกว่าเดิมจนปิดสนิท  เสียงของลมหายใจก็ช้าลง   จากนั้นหลี่โอ๋อวิ๋นดึงผ้าห่มคลุมร่างให้  ด้วยความลังเลใจ   เขาแตะใบหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย  ความเย็นของผิวหนังส่งผ่านปลายนิ้วที่เขาสัมผัส  เขาคิดจะแตะต้องปลายคางและคอของอีกฝ่ายแต่หักห้ามใจ  แล้วหันกายเดินออกมาจากห้อง

“พี่ใหญ่  พี่หยูเป็นยังไงบ้าง”

หลี่โอ๋อวิ๋นปรายตามองชายหนุ่มที่มีสีหน้าร้อนใจอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก 

“ใช้ปราณและพลังเลือดเนื้อมากไป  เลยอ่อนเพลีย”

“ข้าขอเข้าไปดู”

หลี่โอ๋อวิ๋นผลักอกซ่งมู่เอาไว้  ไม่ให้เดินเข้าห้อง

“ปล่อยให้เขาพักผ่อน  ส่วนเจ้ามีหน้าที่ต้องทำ”

ซ่งมู่กัดฟันและพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว  พี่ใหญ่”

ทั้งคู่เดินออกไปที่หน้าค่ายอันกองกำลังทั้งหมดของประตูทรราชมารวมตัวกัน  กองกำลังแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มสำหรับโจมตีสี่เหมืองที่ตั้งใจไว้   หลี่โอ๋อวิ๋นและยอดฝีมืออีกจำนวนหนึ่ง  จะทำหน้าที่คอยขัดขวางสำนักอื่นที่จะเข้ามาแย่งโจมตีอสูรเฝ้าเหมือง   เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า  หลี่โอ๋อวิ๋นก็นำกองกำลังไปเตรียมตัวที่หน้าผาที่จิ้งซาน  ทางเข้าดินแดนลี้ลับ  เพื่อรอให้การประลองของทุกลานสิ้นสุดลง


++++++


เนื่องจากการรักษาความลับเรื่องผลการประลองเป็นหัวใจสำคัญของการประลองครั้งสุดท้าย  นักพรตเวิ่นเต๋อจึงไม่แจ้งผลการประลองให้กับผู้อาวุโสห้าสำนักทันที  และโพยไม้ไผ่พนันก็จะยังไม่แสดงผลจนกว่าอีกสองชั่วยามจะผ่านพ้น  ทว่าก็มีบางคนที่อยากรู้ก่อนเวลา

“ท่านนักพรตเวิ่น  ไม่ทราบว่าผลการประลองลานที่ 13 เป็นอย่างไรบ้าง”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตเอ่ยถาม  ขณะที่ตู้ถงเทียนขมวดคิ้ว  เพราะเขาทราบผลผ่านช่องทางติดต่อกับตู้เกี่ยนหลงแล้ว  แต่ไม่ต้องการให้สำนักอื่นทราบ  ทว่านักพรตเวิ่นเหมือนจะไม่เข้าใจความลำบากใจของตู้ถงเทียน   นักพรตเคราดำถอนหายใจลึกยาวแล้วตอบ

“น่าอายจริง ๆ  ศิษย์ของข้ายอมแพ้การประลอง”

“โอ้..”   ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตพูดได้คำเดียว  เพราะเขาก็ไม่สามารถวิจารณ์ซีคงหยูซึ่ง ๆ หน้ากับเวิ่นเต๋อได้

“บางทีเขาอาจจะเห็นว่าไม่มีทางชนะแล้วก็ได้”   ไป่หลินหลิงกล่าวปกป้องศิษย์สำนักตน

ผู้อาวุโสเหม่ยแห่งวังหมื่นบุปผายิ้มหยัน  “เฮอะ  ไม่มีคำว่าแพ้ชนะแน่นอนในการต่อสู้  ยังทำไม่ถึงที่สุดก็ถอดใจ  ศิษย์สำนักเจ้านี่ช่างมีเจตจำนงที่อ่อนแอจริง ๆ”

เวิ่นเต๋อนิ่งไม่ตอบคำ  เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าไปด้วย  จึงเปลี่ยนเรื่อง

“การประลองทุกลานสิ้นสุดแล้ว  นักพรตผู้นี้จะทำหน้าที่สุดท้าย  คือเปิดม่านคุ้มกันดินแดนลี้ลับ  เพื่อให้ศิษย์ห้าสำนักชิงชัยกันในช่วงสุดท้าย”

เวิ่นเต๋อกล่าวแล้วก็ทำสัญลักษณ์มือจำนวนมากในการร่ายวิชาเซียน   ม่านคุ้มกันสีฟ้าที่คอยป้องกันไม่ให้ใครเข้าเหมืองได้ยามค่ำคืนและยามที่มีการประลองก็ค่อย ๆ จางหายไป

“พวกเราจะพนันกันอีกหรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วสำนักใดที่จะได้ชัยชนะ”  ไป่หลินหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ

“นักพรตผู้นี้คิดว่าจะเลิกอบายมุขแล้ว  จะมุ่งทางธรรมและบำเพ็ญภาวนาชำระจิตใจ”  เวิ่นเต๋อกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเหยียบเมฆเจ็ดสีเหาะไปจากยอดเขาทันที


++++++



“เจ้าสำนัก  เราตรวจจับกังหันสื่อสารได้ที่วินาทีที่ 11.00000000237”

ผู้รับฟังรายงานผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้รูปร่างแปลก ๆ ที่ทำจากโลหะอันไม่ทราบชนิดทันที

“โอ...เช่นนั้นรีบเปิดวงจรเคลื่อนย้ายวัตถุระยะไกล  แล้วดูว่ามีข้อความอะไรส่งออกมา”

“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง”   อีกฝ่ายประสานมือคารวะแล้วโค้งตัว  ก่อนรีบไปจัดการ

เจ้าสำนักมองนาฬิกาหายนะขนาดมหึมาที่ผนังฝั่งตรงข้าม  เหลือเวลาอีกไม่ถึง 9 วินาทีจักรวาล   ก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้ในเกมหมากนี้อีกครั้ง


+++++


ที่ทางเข้าดินแดนลี้ลับ  กองกำลังของประตูทรราชและวารีพิสุทธิ์  เดินทางเข้าไปยังเหมืองที่แต่ละฝ่ายแบ่งสรรไว้    ไม่นานนัก  กองกำลังของพันธมิตรสามสำนักก็ปรากฏตัว   และรีบกรูเข้าไปตามหลังเหมืองที่วารีพิสุทธิ์บุกโจมตีทันที   ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นใช้ปราณจันทราเรียกดาบที่ปักอยู่ตรงหน้าให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า   สายฟ้าสีม่วงผ่ามารวมตัวกันที่ดาบและใช้มันเป็นจุดหักเห  สร้างม่านสายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าทำลายพื้นที่ตรงหน้าของกองกำลังสามสำนักทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น  ตู้เกี่ยนหลงจึงประสานมือคารวะ

“พี่หลี่  ท่านจำเป็นต้องปกป้องวารีพิสุทธิ์ด้วยหรอ”

หลี่โอ๋อวิ๋นมองกลับอย่างเย็นชา   ขณะที่สายฟ้ายังคงผ่าที่พื้นอย่างไม่หยุดหย่อน 

“ข้าสัญญากับใครบางคนไว้”


“พี่หลี่  ภาษิตว่าอย่ารังแกสุนัขจนตรอก  พวกเราสามสำนักยอมให้พี่หลี่ได้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้แล้ว  ท่านยังจะหวงอันดับสองไว้อีกหรือ  พี่หลี่ไม่เกรงว่าจะถูกสุนัขรุมกัดจนตายหรือไง”

“ฮ่า ๆๆๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นหัวร่ออย่างลำพอง  จากนั้นชี้หน้าเด็กหนุ่มเจ้าของผ้าคาดหัวลายมังกร  “อาศัยเพียงแค่ชนชั้นอย่างพวกเจ้าน่ะรึ”

“แล้วถ้านับจ้าวด้วยล่ะ  คุณชายหลี่”  จ้าวเหรินเจี่ยนปรากฎตัวเหมือนภูตผีที่หน้ากองกำลังสามสำนัก  ชุดขาวเย้ยหิมะของเขาเข้ากับผิวอันเนียนและเอียดและใบหน้าที่งดงามหล่อเหลาดุจภาพวาด  ผ้าขาวมัดมวยผมปลิวไปตามลมเหมือนกับเซียนผู้วิเศษลงมาเยือนโลกมนุษย์  ปราณจันทราของเขาเหมือนกับแสงจันทร์ที่แทงทะลุเมฆมืดมัวและดินแดนสายฟ้าอันหลี่โอ๋อวิ๋นสร้าง  ด้ายแดงที่ข้อมือขยับเป็นเกลียวคลื่นและเปล่งรังสีสีแดงบาดตาตัดกับบรรยากาศสีขาวทั้งหมดของจ้าวเหรินเจี่ยน

กองกำลังที่เหลืออยู่ของหลี่โอ๋อวิ๋นตระหนกตกใจ  ทว่ากองกำลังสามสำนักก็แตกตื่นไม่แพ้กัน   ตู้เกี่ยนหลงปั้นยิ้มและประสานมือคารวะ

“ไม่นึกว่าพี่จ้าวก็มาร่วมสนุกด้วย”

“ฮ่า ๆ มีบางคนอยากให้จ้าวมาดื่มชาสนทนากับคุณชายหลี่  จ้าวจึงหลุดจากจากตำแหน่งผู้คุ้มกันเหมืองมาได้”

ตู้เกี่ยนหลงหัวร่อตามไปด้วย  ทว่าในใจลึก ๆ รู้สึกหวั่นวิตกอย่างประหลาด  พร้อมกับพิศวงว่าใครที่ปล่อยจ้าวเหรินเจี่ยนออกมา  หรือว่าวารีพิสุทธิ์ตั้งใจหักหลังประตูทรราชอีกที  หรือว่าวังหมื่นบุปผา   เพราะจ้าวเหรินเจี่ยนให้ศิษย์สำนักตนท้าประลองไม่ได้  และเขาในฐานะผู้นำศิษย์สำนักย่อมรู้ว่าศิษย์อำพันโบราณไปประลองที่ลานใดบ้าง   หรือว่าจะเป็นประตูทรราชสมคบคิดกับไมตรีโลหิต  ทว่าถ้าพวกเขาสมคบคิดกัน  เหตุใดไม่ทำตั้งแต่แรก  ความคิดทั้งหมดวุ่นวายอยู่ในหัว  แต่ตู้เกี่ยนหลงก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า  เขากล่าวกับจ้าวเหรินเจี่ยน

“ถ้าเช่นนั้น   น้องชายคงต้องรบกวนพี่จ้าวอยู่สนทนากับพี่หลี่แล้ว”

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม  แล้วกล่าวกับหนุ่มรุ่นน้อง

“เหมืองที่เหลือมีเจ็ดเหมือง  ไมตรีโลหิตขอสาม  ที่เหลืออีกสี่  คุณชายตู้และคุณชายเว่ยแบ่งกันอย่างไรก็ตามใจ”

ตู้เกี่ยนหลงสูดลมหายใจ  ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง  ถ้าไมตรีโลหิตได้สามเหมืองไป   และประตูทรราชสูญเสียเหมืองที่น่าจะได้ไปทั้งหมด  ไมตรีโลหิตก็จะครองอันดับหนึ่ง  ในเมื่อรู้จิตเจตนาของจ้าวเหรินเจี่ยน  และพบว่าผลลัพธ์ที่ออกมา  น่าจะดีกว่าการปะทะกับหลี่โอ๋อวิ๋น   เขาจึงตอบรับคำ

“ขอบคุณพี่จ้าวมาก  เช่นนั้นผู้น้องไม่เกรงใจ”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มหยัน

“พวกเจ้าแบ่งเค้กกันเร็วเกินไปหรือไม่  ไฉนไม่ถามดาบในมือของข้าก่อน”

“ฮ่า ๆ คุณชายหลี่เหี้ยมหาญองอาจดุจเดิม  จ้าวนับถือเป็นอย่างยิ่ง  ทว่าสองหมัดยากสู้สี่ฝ่ามือ  จ้าวขอน้อมเตือนคุณชายหลี่ให้รู้จักประมาณตน”

เขากล่าวแล้วก็สะบัดกระบี่ในมือให้บินวาบประดุจประกายแสงสีเงินเข้าโจมตีหลี่โอ๋อวิ๋นทันที

หลี่โอ๋อวิ๋นชูนิ้วชี้ขึ้นท้องฟ้า  วาดนิ้วลงมาแทนดาบ   ปราณจันทราของเขาก่อตัวเป็นรูปดาบฟาดปะทะกับกระบี่บินของจ้าวเหรินเจี่ยนทันที

“จังหวะนี้ล่ะ  พวกเรารีบโจมตีม่านสายฟ้า”   ตู้เกี่ยนหลงตะโกน  และรวมกำลังศิษย์สามสำนักเข้าจู่โจมดาบที่ยังคงลอยอยู่กลางท้องฟ้า

หลี่โอ๋อวิ๋นใช้มือเปล่าต่อสู้กับกระบี่วิเศษของจ้าวเหรินเจี่ยน  ในขณะที่ถ่ายเทปราณจำนวนหนึ่งรักษาม่านสายฟ้าที่ป้องกันทางเข้าเหมืองไว้

ทว่าเพลงกระบี่ของจ้าวเหรินเจี่ยน  ยิ่งมายิ่งเจือจางและคมกริบประดุจแสงจันทร์ที่เย็นเยือกเสียดกระดูกในฤดูเหมันต์   ประกายแสงสีเงินยวงพุ่งวาบ  รวมตัวและแตกตัว  เหมือนกับกระบี่นับร้อยนับพันที่พุ่งเข้าจู่โจมจนหลี่โอ๋อวิ๋นแทบไม่ได้พักหายใจ

“ฟ้าไร้เมตตา!”

หลี่โอ๋อวิ๋นคำรามลั่น   ท้องฟ้าเบื้องบนของเขาเหมือนกับแตกทำลาย  เกิดคลื่นพลังกดดันไปรอบ ๆ บริเวณ   พื้นดินรอบตัวเขาพลันแห้งผาก   หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้ง   สีน้ำตาลแห่งความตายแผ่ขยายไปรอบ ๆ ตัวพรากสรรพชีวิตในรัศมียี่สิบวาอย่างรวดเร็ว   แมลงในบริเวณรอบ ๆ หยุดส่งเสียงด้วยความหวาดกลัวอันฝังลึกในสัญชาตญาณ  หลี่โอ๋อวิ๋นทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับปราณดาบแห่งการทำลายล้างบุกโจมตีใส่จ้าวเหรินเจี่ยนทันที

“มาได้ดี”

จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าว   กระบี่บินของเขาพุ่งกลับมาที่มือ  จากนั้นวาดกระบวนท่าหนึ่งในเพลงกระบี่สิบสามเงาจันทร์  แสงจันทร์เจิดจ้าเข้ากับปราณจันทราของเขาเหมือนกับดวงเดือนลอยหลั่นลงมาสู่โลกมนุษย์

จังหวะที่ทั้งคู่ปะทะกับอย่างจริงจัง   ศิษย์สามสำนักก็ทำลายม่านสายฟ้าได้สำเร็จ   ตามข้อตกลงของจ้าวเหรินเจี่ยน  ไมตรีโลหิตเลือกสามเหมืองที่จะบุกโจมตีก่อน  พวกเขาเลือกติดตามสำนักวารีพิสุทธิ์ที่อ่อนแอที่สุดไป  ขณะที่อำพันโบราณและวังหมื่นบุปผาจำเป็นต้องแยกกันติดตามกองกำลังของประตูทรราชสำนักละสองเหมือง

ยอดฝีมือที่เหลืออยู่ของหลี่โอ๋อวิ๋น  มองการต่อสู้บนท้องฟ้าด้วยใจว้าวุ่น   หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนออกคำสั่ง

“พวกเจ้านิ่งเฉยทำไม  ตามไปช่วยสำนักเราเร็วเข้า!”

ทั้งหมดรับคำสั่ง  แล้วสะกิดเท้าพุ่งเข้าประตูดินแดนลี้ลับทิ้งการต่อสู้อันสะท้านฟ้าสะเทือนดินไว้เบื้องหลัง

เมื่อม่านสายฟ้าถูกทำลาย  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงเรียกดาบกลับมาในมือ   เขามองมือกระบี่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามหลังจากผ่านการปะทะไปยี่สิบกว่าเพลงด้วยสายตาโอหัง

“น้องจ้าว  ไม่นึกว่าเจ้าจะทำให้ข้าต้องเอาจริงจนได้”

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละมุน  “จ้าวใคร่สัมผัสประสบการณ์การเอาจริงของคุณชายหลี่  โปรดชี้แนะด้วย”

“เฮอะ!”

หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียงและวาดดาบพุ่งเข้าปะทะกับฝ่ายตรงข้ามอีกครา



+++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 20-10-2017 12:44:29
ฝีมือร้ายกาจจังท่านจ้าว
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-10-2017 15:56:32
ซับซ้อนดั่งดอกบัว

หวงอีปากสุนัข
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 20-10-2017 18:05:18
พี่หยูเจ็บเราก็เจ็บ :ling1: :hao5:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-10-2017 18:47:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-10-2017 19:21:38
ให้สงสัย  :katai1: :katai1: :katai1:
ขนาดสถานที่ได้เปรียบ เพราะอ.เวิ่นเลือก
หยู ถนัดเรื่องน้ำ แต่แพ้
งั้นที่แพ้ เพราะหวงอี กินยาเสริมพลังปราณ
อย่างนี้ถือว่าอ.เวิ่น กับผู้อาวุโสไป๋ ไม่ได้สนับสนุนหยูจริงจังสินะ
ไม่เตรียมยาเสริมพลังปราณให้เลย
แต่แค่นี้คิดไม่ได้ ก็ต้องมีอะไรมากกว่านี้และ
ดูท่าหยูต้องแพ้เพื่อ ?  :hao3: :hao3: :hao3:

คิดอีกอย่าง ถ้าหวงอีไม่กินยา ก็แพ้หยู
โอ๋ ท่าทางแค้นแทนหยูนะ เอาคืนให้หนักๆเลย
เข้าข้างหยูออกหน้าออกตาไปไหม
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 20-10-2017 19:27:38
alternative : เจ็บแต่จริง หวงอี้พูดถึงความจริงในยุทธจักรล้วนๆครับ คุณชายสามไม่มีอาจารย์สอนวิชาอย่างจริงๆจังๆ การใช้ปราณเซียนก็เลยดูงกๆเงิ่นๆ แล้วก็มาจากตระกูลเล็กๆจริงๆ จะแพ้ก็ไม่แปลก ...แต่เดี๋ยวเหอะ! เจอทั่นจอมยุทธพี่ชายสองแล้วจะได้รู้ว่า 'เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ...ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่' เดี๋ยวได้เจอมหาอัลติจากคนบ้านนอกสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ฮ่าๆ

แต่ดูเหมือนคุณชายหวงอี้นี่คิดเคลมน้องตู้รึเปล่า อ้ะๆ อาตมารู้ อาตมาเห็นนะ

เสี่ยวหมี! หลิวเกา! นี่พวกเจ้าไปมุดหัวอยู่ไหนห๊ะ เจ้านายหมอบราบคาบแก้ว นอนให้น้ำเกลือขนาดนี้ ยังไม่มาอยู่ข้างเตียงอ้อนพินอบพิเทาตามบทอีก เดี๊ยะๆ เดี๋ยวใช้ฝ่ามือยูไลส่งไปเรียนมารยาทซะเลย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #40 ห้าสำนักชิงชัย (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: llSJAr34 ที่ 21-10-2017 10:52:29
  เป็นตอนที่สะเทือนใจแต่ก็เป็นความจริง หงอยเลยเรา ตอนหน้าขอเสี่ยวหมีนะ ขอฟังเสียงน่ารักๆจะได้มีกำลังใจ  :m31: :katai1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 24-10-2017 20:14:27

wnkth: ตอนล่าสุดยิ่งร้ายเนาะ 

alternative: รุมตบหวงอีกันคร่ะ

NuTonKaw: พี่หยูฟื้นแร้วววว   

mild-dy: อิอิ  หวัดดีคับ

♥►MAGNOLIA◄♥:  ก็ดูตอนอาหยูฝึกวิชาที่สำนักสิ  ยังกะเลี้ยงไก่แบบบุฟเฟต์ (ปล่อยหากินตามธรรมชาติ)  55555+
เป็นสำนักที่เหมาะแก่การปิคนิกแต่อย่าหวังอะไรมาก
แต่ถ้าเอาจริง ๆ คือ  พวกนี้คือ probation disciple ครับ   สำนักจะไม่ลงทุนมาก  เพราะต้องการคัดผู้มีความสามารถโดดเด่นจริง ๆ  ขณะที่หวงอีและตู้เกี่ยนหลงมาจากตระกูลใหญ่  เพราะเคยบรรยายไว้ในตอนนึงว่าสำนักอำพันโบราณเป็นการรวมตัวกันของหลายตระกูลใหญ่ที่มีสายเลือดโบราณ

Grey Twilight:  ซือเฮียกล่าวได้ตรงใจผู้น้องยิ่งนัก   เสี่ยวหมีกับหลิวเกากลับมาแร้ว  แต่ออกฉากแปบเดียว

llSJAr34: ยินดีต้อนรับครับ   เสี่ยวหมีมาแล้วครับ  แต่ตอนน่ารัก ๆ ยังไม่มาเลย


+++++++




เปลวดาบและรังสีกระบี่โรมรันกันสะท้านปฐพี  ทว่าภายใต้พลังทำลายล้างและรัศมีอันเจิดจ้าบาดตา  จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวกับคู่ต่อสู้ว่า

“คุณชายหลี่  เรามาเจรจากันดีกว่า”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  บิดข้อมือและฟาดฟันดาบออกไปอย่างรวดเร็ว   

“ดาบของท่านคือดาบไว  คือดาบพิฆาต  หากคุณชายหลี่ต้องการเอาชนะจ้าวคงไม่รอให้เราต้องประมือกันกว่ายี่สิบเพลง  ใช่หรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นจึงยอมเอ่ยปาก

“มีอะไรก็พูดมา”

ทั้งคู่ยังคงปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้ง  กระแสปราณจันทราสองสายปะทะกันจนมิติบิดเบี้ยวสั่นสะเทือนจนยากที่คนภายนอกจะสอดแนมเข้าไป  ถึงแม้จะมีพลังยุทธสูงกว่า

“คุณชายหลี่เองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะจ้าวได้ด้วยดาบพิฆาต  จึงไม่รีบเร่งร้อนตัดสินเป็นตาย  ทว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  จ้าวก็จะทำงานให้กับสามสำนักสำเร็จ  ก็คือถ่วงเวลาคุณชายหลี่เอาไว้จนกว่าการยึดเหมืองจะเสร็จสิ้น”

“หึ..แต่น้องจ้าวดูเหมือนจะไม่ต้องการทำงานให้กับสามสำนัก”

จ้าวเหรินเจี่ยนฟังแล้วก็ตวัดกระบี่ในกระบวนท่าที่ 7 ของเงาจันทรา   กระบี่อันเคยเลือนรางคล้ายเงาจันทร์  กลับดูกดดันเหมือนพระจันทร์ทรงกลดที่กดทับห้วงนภาด้วยแสงสีรุ้งเบาบางรอบ ๆ ดวงสุกใสสีเงินยวง

“มีคนกล่าวกับจ้าววันนี้ว่า  ชีวิตของเขาเกลียดที่สุดไม่ใช่ความพ่ายแพ้  แต่เป็นการถูกหลอกใช้”

“แล้ว..”

หลี่โอ๋อวิ๋นใช้ฟ้าไร้เมตตาอีกครั้ง  รัศมีแห่งความตายเข้าปะทะกับพระจันทร์ทรงกลดประดุจมารฟ้าต่อสู้กับเทพีฉางเอ๋อ

“ไฉนคุณชายหลี่กับจ้าวไม่แยกย้ายกันทำธุระของตนเองกันเล่า   คุณชายหลี่สามารถไล่โจมตีขับไล่สองสำนัก  และจ้าวเองก็จะได้เข้าไปช่วยเหลือศิษย์น้องยึดเหมืองของวารีพิสุทธิ์”

ทั้งคู่ปะทะกันอีกห้าเพลง  เมื่อเห็นว่าหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  มือกระบี่ชุดขาวจึงเอ่ยถามอีกครา

“คุณชายหลี่  ท่านเห็นว่าอย่างไร”

“ข้ากำลังสงสัย..”  หลี่โอ๋อวิ๋นหรี่ตามองทั้ง ๆ ที่ฟาดดาบไปด้วย  เหมือนกับการสนทนาและการต่อสู้แทบไม่ได้เปลืองแรงเขาเลย  “..เหตุใดเจ้าจึงจะยอมเป็นที่สอง  ในเมื่อหากว่าเจ้าถ่วงเวลาข้าไว้ได้สำเร็จ  เจ้าจะได้เป็นที่หนึ่ง”

คำถามของหลี่โอ๋อวิ๋นนั้นไม่ผิดความจริง  หากประตูทรราชขับไล่สองสำนักและยึดสี่เหมืองได้  ก็จะมีคะแนนนำไมตรีโลหิต  เหตุใดจ้าวเหรินเจี่ยนต้องยื่นข้อเสนอที่ตนเองเสียเปรียบมากกว่าเดิม

“คุณชายหลี่ท่านอาจจะไม่เข้าใจการเมือง  การเมืองไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานของการหักหลังหรือการทำผิดข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น  เพราะนั่นจะทำให้ทุกอย่างปั่นป่วน  จนการเมืองไม่สามารถดำเนินต่อไปได้  ไมตรีโลหิตยังคงต้องสานสัมพันธ์กับสี่สำนักในระยะยาว   ดังนั้นจ้าวจึงต้องทำตามข้อตกลงทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับทุกสำนัก”

“ถ้าให้ข้าเดา  วังหมื่นบุปผาใช่หรือไม่”

“ใช่  สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่สั่งสอนอำพันโบราณเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”

“หืม  ถ้าเช่นนั้นมิใช่เจ้าละเมิดข้อตกลงกับอำพันโบราณในพันธมิตรสามสำนักหรอกหรือ”

“พันธมิตรสามสำนักตกลงกันว่าจะไม่ปล่อยให้จ้าวออกมาช่วยต่อสู้  ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้ว  จ้าวไม่มีหน้าที่ต้องคุ้มกันพันธมิตรสามสำนัก”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าว  และยังคงโจมตีจ้าวเหรินเจี่ยนอีกสิบกระบวนท่า  เพลงดาบของเขาดุดันขึ้นสามส่วนจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกกดดัน

“คุณชายหลี่ไม่ตกลงอย่างงั้นรึ”

“เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีสัญญาผูกพัน..”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวพลางเรียกสายฟ้าอัสนีฟาดรุกไล่จ้าวเหรินเจี่ยน

“ท่านคิดจะแลกผลประโยชน์สำนักกับคำสัญญาของคนคนเดียวน่ะหรือ”

สิ่งที่จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวก็มิผิดเช่นกัน  เพราะหากประตูทรราชสูญเสียสี่เหมือง  อันดับของเขาจะตกลงไปที่สาม

หลี่โอ๋อวิ๋นคิดว่าตนไม่ใช่คนเสแสร้ง  ทว่าการที่เขาถ่วงเวลารอฟังข้อเสนอของจ้าวเหรินเจี่ยนโดยไม่รีบตัดสินชี้ขาดก็แสดงว่าจิตใจของเขาเอนเอียงไปแต่แรกอยู่แล้ว  เมื่อตระหนักรู้ใจตน  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงหยุดมือพร้อม ๆ กับที่จ้าวเหรินเจี่ยนเรียกกระบี่บินกลับไปราวกับใจเชื่อมถึงกัน

“ตกลง!”

“คุณชายหลี่ตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว”   จ้าวเหรินเจี่ยนประสานมือคารวะ  “ทว่าจ้าวมีเรื่องขอร้องอีกเรื่อง”

“ว่ามา”

“โปรดปล่อยให้วังหมื่นบุปผาได้ไปหนึ่งเหมือง”

“ทำไม”  หลี่โอ๋อวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ  เพราะไม่ว่าวังหมื่นบุปผาจะได้เหมืองเพิ่มอีกหรือไม่ก็ไม่ส่งผลต่ออันดับของประตูทรราชและไมตรีโลหิต

“นั่นคือท่าทีที่ต้องแสดง  คุณชายตู้ควรจะได้รู้ว่าใครที่หักหลังเขา”

หลี่โอ๋อวิ๋นสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ  จ้าวเหรินเจี่ยนวางแผนอย่างไม่มีที่ติ  ไม่ยอมแบกชื่อของการเป็นผู้ทรยศสัญญาพันธมิตรสามสำนัก  และข้อเสนอนี้เขาก็ปฏิเสธไม่ได้  เพราะนั่นจะช่วยอธิบายว่าเหตุใดหลี่โอ๋อวิ๋นจึงถูกบีบให้ต้องยอมละทิ้งการคุ้มกันวารีพิสุทธิ์
 
จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไมเมื่อเห็นว่าหลี่โอ๋อวิ๋นไม่กล่าวปฏิเสธ  และใช้วิชาตัวเบาเหยียบเมฆหมอกตามกองกำลังของวารีพิสุทธิ์ไป

หลี่โอ๋อวิ๋นเก็บดาบเข้าไปในฝักด้วยสีหน้าไร้อารมณ์   เต๋าของเขาคือไร้ใจ  ในเมื่อตัดสินใจหักหาญ  ใยต้องนึกเสียดายทีหลัง  มือดาบไร้ธุลีสะกิดเท้าติดตามไปช่วยเหลือสำนักของตน





+++++++




ตู้เกี่ยนหลงหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม  เมื่อพบว่ายอดฝีมือที่ติดตามมาข้างหลังและส่งปราณสังหารกดดันศิษย์สำนักทุกคนคือใคร

“วางอาวุธและไสหัวออกไป”

ศิษย์ประตูทรราชซึ่งเพิ่งผ่านการต่อสู้อันเจ็บปวดร้องเฮดังลั่น  ขณะที่ศิษย์อำพันโบราณรีบร่นขบวนกลับมาตั้งท่าคุ้มกันตู้เกี่ยนหลง

“พี่หลี่...ท่านมาได้อย่างไร”  เด็กหนุ่มฝืนยิ้มและประสานมือคารวะถาม   หลี่โอ๋อวิ๋นดูไม่เหมือนผ่านการต่อสู้อย่างหนัก  เขาไม่มีรอยแผลและเสื้อผ้าก็ปราศจากริ้วรอยกระบี่

“เจ้าจำเป็นต้องถาม?  รีบไสหัวออกไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

เขาแผดรังสีสังหารรุนแรงขึ้น  ตู้เกี่ยนหลงกลืนน้ำลาย  จากนั้นส่งสัญญาณมือให้ศิษย์สำนักทุกคนวางอาวุธและล่าถอยออกไปจากเหมือง   พวกเขาทำตัวลีบแบนแนบกับทางเดินอ้อมศิษย์พี่ใหญ่แห่งประตูทรราชไปด้วยความหวั่นเกรง   หลี่โอ๋อวิ๋นเดินตามและต้อนกองกำลังของตู้เกี่ยนหลงออกไปภายนอก  จากนั้นเข้าถ้ำอื่นเพื่อไปจัดการแบบเดียวกัน



++++++


ซ่งมู่ต่อกรกับฮู้หลินอย่างดุเดือด  ทั้งคู่เหมือนกับศัตรูคู่อาฆาตที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง  ฮู้หลินร่ายควันพิษห้าบุปผา  ทว่าอัสนีทรราชซึ่งเป็นธาตุหยางวิกฤตมีฤทธิ์สยบธาตุหยินทุกประเภท  รวมทั้งพิษและแมลงร้าย   นางจึงต่อสู้ด้วยความเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง

ศิษย์ประตูทรราชภายใต้การนำของซ่งมู่เห็นว่าผู้นำกองกำลังของตนได้ชัยก็มีใจฮึกเหิม   พวกเขาตวัดดาบและยิงธนูรุกไล่ศิษย์วังหมื่นบุปผาที่ถอยร่นกลับไปไม่เป็นขบวน   ทว่าในตอนนั้นเอง  ก็มีเสียงตวาดดังดุจฟ้าผ่า

“หยุดมือ!”

เสียงนั้นสะเทือนเลื่อนลั่นแฝงปราณจันทราอังสูงส่งและทำให้พลังปราณของทุกคนปั่นป่วน  ทั้งสองสำนักที่ปะทะกันยืนซวนเซจึงต้องหยุดการต่อสู้  และหันไปทางที่มาของสุ้มเสียงด้วยความตระหนก

ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ยืนขวางทางออกขนาบด้านหลังของวังหมื่นบุปฝา   ประตูทรราชก็ส่งเสียงอย่างดีใจ  ขณะที่ศิษย์วังหมื่นบุปผาเข่าอ่อนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

“ซ่งมู่  นำศิษย์ของเราถอยออกมา”

หลี่โอ๋อวิ๋นออกคำสั่ง   ทว่าผู้รับคำสั่งยืนตะลึงอยู่ครึ่งค่อนวันก่อนจะถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหู

“พี่ใหญ่  ท่านกล่าวว่าอย่างไร”

“ซ่งมู่  นำศิษย์ของเราถอยออกมา”

หนุ่มหน้าซื่ออ้าปากค้าง  ทว่ารีบตั้งสติ  และประสานมือรับคำสั่ง

“รับทราบ  พวกเราถอย!”

ศิษย์ประตูทรราชคนอื่น ๆ ก็งุนงงไม่แพ้กัน  ทว่าด้วยระเบียบวินัยของสำนัก   คำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่ถือเป็นเด็ดขาดและไม่มีช่องว่างให้สงสัย  พวกเขาจึงตั้งขบวนเดินตามซ่งมู่ผ่านกองกำลังของฮู้หลินไปทางหลี่โอ๋อวิ๋น

“เหมืองนี้  จ้าวเหรินเจี่ยนยกให้กับพวกเจ้า  เชิญตามสบาย”   หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวกับวังหมื่นบุปผา  จากนั้นพาศิษย์สำนักประตูทรราชออกไปจากเหมือง  ทิ้งฮู้หลินและกองกำลังยืนทื่อเหมือนหินอย่างไม่เชื่อหูตนเอง



++++++

เมื่อออกมาภายนอก  ซ่งมู่ก็เห็นกองกำลังของอำพันโบราณที่ยืนอย่างหดหู่ปนกับเคียดแค้นเหมือนกับไก่ชนที่พ่ายแพ้อยู่ที่หน้าผาจิ้งซาน  ทว่ากองกำลังของวังหมื่นบุปผาไม่ได้รู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นนั้นเพราะไม่ว่าพวกเขาจะได้เหมืองนี้หรือไม่ก็แทบไม่ส่งผลต่ออันดับ

ที่ร้ายที่สุดคือวารีพิสุทธิ์  พวกนางมองมาทางประตูทรราชด้วยน้ำตาคลอเบ้า  และสายตาแดงก่ำอย่างปิดไม่มิด  จางชุ่ยฮัวกัดฟันจนฟันสีเงินของนางแทบจะแหลกทำลาย  นางไม่กล้าจ้องหลี่โอ๋อวิ๋น  นางจึงมองซ่งมู่เหมือนกับจะฉีกเนื้อ

ซ่งมู่เมินสายตาของนางและมองหาหลิวเกาและเสี่ยวหมี  ทว่าทั้งคู่ไม่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น   ถึงบางครั้งเขาจะหัวช้า  แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่  หนุ่มหล่อร่างสูงเจ้าของไรหนวดเขียวหลับตาลงช้า ๆ สะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน  จากนั้นเดินเข้าไปหาหลี่โอ๋อวิ๋น

“พี่ใหญ่”

ซ่งมู่ร้องเรียกให้อีกฝ่ายหันมา  จากนั้นง้างหมัดชกหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

หลี่โอ๋อวิ๋นจับข้อมือของเขาไว้ทันควัน   หมัดของอีกฝ่ายอยู่ห่างจากใบหน้าเขาแค่ไม่ถึงหุน   และเลิกคิ้วถาม  “เจ้าจะทำอะไร”

ซ่งมู่ไม่ตอบ  เงื้ออีกหมัดที่ว่างชกหน้า  ทว่าถูกหยุดยั้งไว้ได้อีกครั้ง  เขาจึงยกเท้าถีบ  ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นชิงถีบท้องเขากระเด็นออกไปเจ็ดแปดวา

“อย่าทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า”   หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวเตือน  จากนั้นใช้วิชาตัวเบาลอยลงมาจากหน้าประตูดินแดนลี้ลับมาที่พื้นเบื้องล่าง

ทันใดนั้น   ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเพราะพลุไฟจำนวนมากที่จุดประกาศว่าเหมืองสุดท้ายถูกยึดเสร็จสิ้นแล้ว   จากยอดเขาเบื้องบน  ร่างของผู้อาวุโสทั้งห้าลอยเลื่อนลงมาเหมือนเซียนเหยียบเมฆ   แรงกดดันของยอดฝีมือระดับดาราเงียบงันทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้านและไม่สามารถขยับตัวได้  ซ่งมู่กัดฟันพยายามลุกขึ้นยืน  ทว่าแม้เพียงแรงกดดันที่ปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เขาคุกเข่าอยู่กับพื้นเหมือนมดปลวก  เขาได้แต่จ้องด้วยดวงตาแดงฉานไปทางผู้อาวุโสห้าสำนักและหลี่โอ๋อวิ๋น

ปราณจันทราคุ้มครองร่างของหลี่โอ๋อวิ๋น  ทำให้เขายังคงยืนตรงโดยไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดัน  เขาค้อมศีรษะทักทายผู้อาวุโสสำนักตน

“ผู้อาวุโสเยว่”

“เจ้าทำได้ดีมาก  อวิ๋น”   นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า  เพราะผลสุดท้ายประตูทรราชคว้าชัยชนะไปได้  และทีมของนางกับหลี่โอ๋อวิ๋นก็จะได้ไปต่อสู้ที่เหมืองเทียนซานต่อ

ตู้ถงเทียนเห็นสีหน้าของลูกชายคนเล็กของตนก็ถอนหายใจและกล่าว   “เจ้ายังเยาว์วัยไป..”

เว่ยหลิงจื่อไม่ได้ร่วมการต่อสู้  เพราะเขาเป็นผู้คุ้มกันเหมืองที่ชิงมาจากจ้าวเหรินเจี่ยน   ผู้อาวุโสเหม่ยจึงพยักหน้าทักทายเว่ยเหลียนยู่และฮู้หลิน

“ศิษย์ไร้ความสามารถ  ผู้อาวุโสไป่โปรดลงโทษ”  จางชุ่ยฮัวคุกเข่าและโขกศีรษะหน้าไป่หลินหลิง  ทว่าไป่หลินหลิงไม่ยิ้มไม่บึ้ง  นางโบกพัดเหมือนกับไม่สนใจผลการประลองและตั้งคำถามต่อคนอื่น ๆ

“ซีคงหยูไปไหนล่ะ”

ในตอนนั้นเอง  หลิวเกาก็เดินนำหมีดำมา  บนหลังหมีดำมีชายในชุดลำลองชั้นในสีขาวสำหรับใส่นอน  นั่งสลึมสลืออยู่บนหลังหมี

“ศิษย์คำนับผู้อาวุโสไป่”  หลิวเกาประสานมือคารวะและค้อมกายแสดงความเคารพ

เมื่อไป่หลินหลิงเห็นว่าซีคงหยูพยายามปีนลงจากหลังหมี  นางก็รีบโบกมือห้าม

“ไม่ต้องมากมารยาท  แต่ซีคงหยู  เจ้าทราบใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

คุณชายสามฟังแล้วก็ฝืนยิ้ม

“ศิษย์ทราบ”

“ความพ่ายแพ้ของสำนักเรา  ส่วนหนึ่งต้องนับไว้ที่เจ้าที่ไว้ใจผู้คนมากเกินไป”   ไป่หลินหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“ศิษย์เข้าใจดี”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว  เรื่องลงโทษ  กลับสำนักไปค่อยว่ากัน”   ไป่หลินหลิงกล่าวแล้วก็หันกายกลับไปรวมกลุ่มกับผู้อาวุโสห้าสำนัก  ขณะที่จางชุ่ยฮัวรู้สึกลิงโลด  หากว่าไป่หลินหลิงไม่กล่าวตำหนิซีคงหยู  นางก็วางแผนที่จะกล่าวโทษเขาต่อผู้อาวุโสหมิงซึ่งรับผิดชอบการประลองทั้งหมดอยู่แล้ว

พิธีปิดการประลองเป็นไปอย่างเรียบง่าย   ผู้อาวุโสห้าสำนักตั้งโต๊ะสักการะจักรพรรดิสวรรค์   จากนั้นเซ่นสรวงด้วยผลึกวิญญาณเซียนที่ดีที่สุดของแต่ละสำนัก   ใช้ผลึกแร่สร้างไฟวิเศษเผากำยานในกระถางเพื่อส่งสัญญาณถึงสวรรค์   พลังปราณในผลึกแร่กระกระจายเป็นเปลวไฟและพวยควัน  สร้างบรรยากาศลี้ลับเหมือนกับแดนเทพยดา  ตลอดพิธีปิด  นักพรตเวิ่นเต๋อไม่ปรากฎตัวทุกคนคาดเดาว่าเขาคงเดินทางกลับเมืองหลวงไปแล้ว  หลังจากนั้นแต่ละสำนักก็แยกย้ายกลับไปจัดการเก็บข้าวของและเตรียมเดินทางกลับ

ซีคงหยูกระตุ้นเสี่ยวหมีให้เดินเข้าไปหาหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนรออยู่ 

“น้องอวิ๋น  เจ้าผิดสัญญา”

หลี่โอ๋อวิ๋นก้มหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว   “อาหยู  ข้าทำผิดต่อเจ้า”

“ต่อไปนี้ข้าจะไม่เชื่อเจ้าอีกแล้ว  เจ้ารู้หรือไม่”

“ข้ารู้”

“เจ้าชอบข้าจริงน่ะหรือ  น้องอวิ๋น”

“จริง”

“งั้นทำไม?”

“เพราะข้าไม่ใช่แค่หลี่โอ๋อวิ๋น”

“เจ้าหมายถึง?”

“ข้ายังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของประตูทรราช  ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบต่อสำนัก”

ซีคงหยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า  “เข้าใจล่ะ  ถ้าข้าเป็นน้องอวิ๋นก็คงทำแบบเดียวกัน”

“แต่ถ้าข้าเป็นเขา  ข้าจะไม่ทำแบบเดียวกัน”   ซ่งมู่ก้าวเข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มหยัน  “เช่นนั้นเจ้าถึงไม่มีวันได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ยังไงล่ะ”

“น้องมู่  ใจเย็น”  ซีคงหยูเอ่ยปากเมื่อเห็นซ่งมู่หน้าแดงก่ำ

“ทำไมพี่หยู  คนผู้นี้ทำกับพี่ถึงขนาดนี้  ไฉนจะต้องปกป้องมันอีก”

“ระวังปากของเจ้า”  หลี่โอ๋อวิ๋นเตือน

“ฟัคยู!  ฟัคประตูทรราช!  เจ้ามันจอมปลอม  หลอกใช้ความรู้สึกพี่หยูแลกผลประโยชน์!”

“ใช่  เจ้ากล่าวเช่นนั้นได้..”   หลี่โอ๋อวิ๋นยังคงยืนยิ้มน้อย ๆ อย่างใจเย็นโดยไม่สนใจคำสบถที่ถูกถ่มใส่หน้า  “..เพราะอะไรรู้มั้ย  เพราะเจ้าไม่จำเป็นต้องอุทิศตนเพื่อสำนัก  ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อชีวิตที่ดีของตนเอง   เพราะเจ้ามีที่ให้กลับไป  เจ้าไม่ต้องพนันทุกอย่างของชีวิตไว้กับการแข่งขันไร้สาระพวกนี้  เจ้าถึงพูดใส่หน้าข้าได้  ทำตัวเหมือนกับผู้มีคุณธรรมสูงส่งเต็มประดา..  ข้ากล่าวถูกหรือไม่  ทายาทของหมอเทวดาซ่งเฉิน”

ซ่งมู่ถอยหลังหนึ่งก้าวเหมือนโดนฟ้าผ่าทั้งด้วยถ้อยคำเย้ยหยันเสียดแทงใจ  และการที่หลี่โอ๋อวิ๋นทราบดีถึงที่มาของตน  ขณะที่ซ่งจินเดินตามมายืนข้างหลังน้องชายของตน  และใช้ดวงตาปลาตายจ้องมองหลี่โอ๋อวิ๋นอย่างไม่ลดละ   ศิษย์สำนักอื่น ๆ เริ่มสังเกตเห็นจึงหยุดรอชมดูแต่ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะเกรงกลัวหลี่โอ๋อวิ๋น

“ซ่งมู่  เจ้าเหมือนต้นไม้ในเรือนกระจก  เจ้าไม่เข้าใจความยากลำบากของชนชั้นล่างที่ต้องดิ้นรน  เจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเราจึงต้องทะเยอทะยานและปีนป่ายไปยังชีวิตที่ดีขึ้น  ดังนั้นข้าจึงเข้าใจเจ้า  และหวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าเช่นกัน”

ซีคงหยูเอื้อมมือจากหลังหมีไปตบบ่าซ่งมู่เบา ๆ   หนุ่มรุ่นน้องหันไปสบตาผู้ที่มองจากที่สูงกว่า  ในดวงตานั้นมีความเห็นใจและความอารี  ไฟโทสะในใจของเขาจึงลดลงช้า ๆ

“น้องมู่  ข้าไม่เป็นไร”

“อ๊ออออออออ”

เมื่อเสี่ยวหมีพูดอีกเสียง  ซ่งมู่จึงสูดหายใจลึกแล้วกล่าวกับหลี่โอ๋อวิ๋น

“นับแต่นี้  ข้าขอตัดขาดกับประตูทรราช”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเย็นเหมือนกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  เขาชี้หน้าซ่งมู่แล้วตั้งคำถาม

“แต่เจ้าเรียนคัมภีร์อัสนี  และเพลงดาบจักพรรดิทมิฬ  อันเป็นวิชาที่ถ่ายทอดเฉพาะศิษย์สำนักประตูทรราช”

“ข้าจะชดใช้”  ซ่งมู่เชิดหน้ากล่าว

“ด้วยเงินทองงั้นหรือ  อ้อ  ข้าลืมไป  หมอเทวดาซ่งเฉินมีหรือจะขาดทรัพย์สฤงคาร”

ซ่งมู่ไม่ตอบ  เขายกมือขึ้นขึ้นระดับอก   จากนั้นค่อย ๆ แบมือออก   ตรงใจกลางฝ่ามือมี [เมล็ดพันธุ์เต๋า] เป็นรูปดาบเล็ก ๆ ทว่าสุกใสเจิดจ้า  มันหมุนวนใจกลางฝ่ามือช้า ๆ เหมือนอัญมณีที่ถูกตั้งแสดงไว้ในตู้    ซ่งมู่ถ่ายเทปราณเมฆาของตน  กระแทกกระทั้นเมล็ดพันธุ์เต๋าครั้งแล้วครั้งเล่า  ใบหน้าของเขาซีดเผือดสลับแดงฉาน   เมล็ดพันธุ์เต๋าเริ่มแตกร้าว  และแหลกสลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน

ซ่งมู่กระอักเลือดแล้วทรุดลงไป  ทว่าซ่งจินหิ้วปีกเขาเอาไว้ทัน  เจ้าของดวงตาแดงฉานจากการบาดเจ็บภายในและความคั่งแค้นใช้สองตาแดงฉานจ้องมองหลี่โอ๋อวิ๋น

“เต๋าแห่งดาบของข้าถูกทำลาย  ต่อไปนี้  ข้าจะไม่จับดาบอีก!”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า  ยอมรับการชดใช้นี้  จากนั้นกล่าวกับซีคงหยู

“อาหยู  หวังว่าคงได้เจอกันอีก”

ซีคงหยูเหลือบมองผู้พูด  จากนั้นรีบลงจากหลังเสี่ยวหมีไปดูอาการซ่งมู่  ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นจากไปอย่างเงียบงันท่ามกลางสายตาของศิษย์ห้าสำนักนับร้อย



++++++



เมื่อเวิ่นเต๋อกล่าวรายงานทุกอย่างกับผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

ราชาแห่งอาณาจักรวายุกระซิบวางคางของตนกับฝ่ามืออย่างครุ่นคิด

"ท่านนักพรตคิดว่า  การประลองครั้งนี้สำนักใดชนะกันล่ะ"

เวิ่นเต๋อถอนหายใจแล้วกล่าว

"เรียนท่านอ๋อง  นักพรตผู้นี้คิดว่าผู้ที่ได้ชัยชนะสุดท้ายคือไมตรีีโลหิต"

"น่าสนใจ  ทำไมท่านคิดเช่นนั้น"

"ด้วยความสามารถในการคาดคะเนและช่วงใช้จิตใจของผู้คนของจ้าวเหรินเจี่ยน  ตลอดการประลองไมตรีโลหิตแทบไม่ได้ทำอะไรเลย  ทว่ากลับได้ที่สอง  เรียกว่าชนะโดยไม่ต้องยกมือ  มิหนำซ้ำยังสร้างรอยร้าวฉานระหว่างอำพันโบราณและวังหมื่นบุปผา  และขยายรอยร้าวระหว่างประตูทรราชกับวารีพิสุทธิ์  ที่ร้ายที่สุดคือการทำให้ประตูทรราชสูญเสียเมล็ดพันธุ์ยอดฝีมือที่ดีไปถึงสองคน"

"เจ้าหมายถึงสองพี่น้องตระกูลซ่ง?"

"ใช่แล้วท่านอ๋อง"

"แล้วศิษย์คนใหม่ของเจ้าล่ะ?"

"เฮ้อ.."  นักพรตเวิ่นถอนหายใจ   "..ดาบที่ดีต้องผ่านไฟและผ่านน้ำ  เคี่ยวกรำและฟาดตีด้วยค้อนของช่างฝีมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทุกอย่างขึ้นกับสวรรค์และเจตจำนงของผู้คน  ข้ามิอาจยุ่งเกี่ยว"

"พูดได้ดี  ข้าหวังว่าเขาจะกลายเป็นดาบที่ดี  ช่วยเจ้าขายหนังสือได้เยอะ ๆ"  พระเจ้าโจวเหวินหวางกล่าวกลั้วหัวเราะ

"ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว"

นักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวแล้วก็ประสานมือคารวะ  กล่าวลาพระเจ้าโจวเหวินหวาง




++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2017 20:56:18
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 24-10-2017 21:19:08
อ่านไปอ่านมาเหมือนนักพรตเป็น บก. เจ้าของบริษัทแล้วซีคงเป้นพนักงานขาย ฮ่า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-10-2017 21:21:03
แล้วก็ถึงการเลิกลา แยกย้าย
เพื่อการเดินหน้าต่อไป

รอหยู เก่งกาจขึ้นอีก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 25-10-2017 12:13:34
อืมมม์ ว่ากันตรงๆ หลี่โอ๋อวิ๋นกับซ่งมู่นี่คนละรุ่นกันเลยนะครับ คนละรุ่นในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอายุ แต่หมายถึงทั้งความสามารถด้านการปั่นหัวคน คาดเดาสถานการณ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวสูงสุด อุปนิสัยใจคอ และสกิลฝีมือ ดังนั้นเอาจริงๆถ้าสองคนนี้ปะทะกัน ซ่งมู่ก็พ่ายแพ้กันเห็นๆอยู่แล้ว แม้ต่อให้ฝีมือทัดเทียม แต่ซ่งมู่ตามฝีมือหมากคาดเดาจิตใจของหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ทันหรอก เมื่อจิตใจแปรปรวน คู่ต่อสู้ย่อมเอาชัยได้ในทุกสนามรบ ไม่เพียงแค่การต่อสู้เท่านั้น ดังนั้นอย่าเสี่ยงจะดีกว่า

อีกอย่าง พี่น้องตระกูลซ่งจิตใจดีงาม สมกับเป็นทายาทของแพทย์จีน ผู้เห็นชีวิตและจิตใจมนุษย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง จะไปสู้คนที่เล่นนอกเกมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองอยากจะได้แบบหลี่โอ๋อวิ๋นได้อย่างไร การจะทำอย่างนั้นต้องไร้เมตตา ไร้รื่นรมย์ สมฉายาประตูทรราชที่อาจเปิดสู่การเป็นจักรพรรดิ ผู้น้องรู้นะ หลี่โอ๋อวิ๋น เจ้าคาดการณ์หลายอย่างไว้หมดแล้ว เจ้าไม่ให้ซ่งมู่ไปดูอาการซีคงหยู เพราะเจ้ารู้ว่าถ้าซ่งมู่เห็น ประตูทรราชจะขาดกำลังรบสำคัญ แล้วเจ้าก็รู้ดีว่าถ้าเจ้าไม่ให้ซ่งมู่ไปดูแต่เมื่อเขามารู้ทีหลัง ซ่งมู่จะมุทะลุแตกหักกับประตูทรราชแน่ ดีไม่ดี การทำลายเต๋าแห่งดาบของเขาก็อาจอยู่ในการคาดการณ์ของเจ้า กำจัดคู่แข่งมากเกินไปไม่ดีนะ หลี่โอ๋อวิ๋น ข้าไม่เห็นว่าซ่งมู่จะเป็นภัยต่อเจ้าตรงไหน พรสวรรค์ด้านดาบของเขา ผู้น้องก็ยังไม่เห็นว่ามันจะโดดเด่นตรงไหน คุณชายซีคงเสียอีกที่ดูจะมีพรสวรรค์ด้านการอ่านวิชาและคาดการณ์ทิศทางของคู่ต่อสู้

คำเตือนของข้านะ หลี่โอ๋อวิ๋น จากผู้สำเร็จเต๋าแห่งพุทธะ มังกรดินที่ทะเยอทะยานเป็นมังกรฟ้า มันก็เป็นไปได้ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าจะขึ้นมาด้วยวิธีโหดร้ายเย็นชาเพื่อถีบตนเองให้ขึ้นมาสู่จุดสูงสุด คำเตือนของข้าคือ เจ้าอาจจะคิดว่าเมื่อเจ้าเป็นจักรพรรดิเหนือผู้คน เจ้าจะแสวงหาทุกอย่างที่เจ้าละทิ้งไปในระหว่างเส้นทางได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ เจ้าจะไม่มีวันได้พักตราบใดที่เจ้าใช้วิธีการนี้เพื่อแสวงหาครอบครองตำแหน่ง และสิ่งที่สำคัญกับเจ้าที่สุด เจ้าจะไม่สามารถเอื้อมมันมาได้ หรือเอื้อมได้ก็แค่ชั่วคราว ไม่อาจครอบครอง เพราะในทุกเงามืดจะปรากฏคมดาบ มิตรบังเอิญกลายเป็นศัตรู อาหารอาจย้อมกลายด้วยยาพิษ และเป้าหมายของสิ่งเหล่านั้น จะพุ่งตรงมาที่สิ่งสำคัญหรือความสุขของเจ้า เนื่องจากผลของสิ่งที่เจ้าเคยทำตลอดเส้นทางนั่นแหละ ตรองดูให้ดี

น้องมู่... เจ้ามุทะลุเกินไป อาจจะด้วยอายุยังเยาว์วัย การทำลายเต๋าแห่งดาบที่ฝึกเพียรขัดเกลามากี่ปีทิ้ง มันคุ้มค่าเสียเวลาไหม? มุทะลุเกินไปจริงๆ /ถอนหายใจ ทั้งๆที่วิชาของหยางวิกฤตินั้นไม่ได้หาเรียนกันง่ายๆ น้องมู่ ผู้น้องขอเตือนในฐานะที่บรรลุเต๋าแห่งพุทธะ การมุทะลุเกินไปนั้นเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้เรียนวิชาต่อสู้ได้ดี มีความตั้งใจจะเอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้น มันขัดเกลาจิตใจและร่างกายให้หมั่นฝึกฝนในสิ่งที่ตนอยากได้ แต่ข้อเสียคือทำให้สายตาไม่ยาวไกล ไม่อาจตามเล่ห์กลคนทัน อีกทั้งยังทำให้ง่ายดายที่เจ้าอาจตกเป็นทาสของโทสะและการแก้แค้น ไปลั่นวาจาเสียแบบนั้น ส่วนตัวแล้วผู้น้องก็คิดว่าน้องมู่ไม่เหมาะเป็นแพทย์หรอก แต่การจะไม่จับดาบอีกเลย ถือว่าน่าเสียดายแทนเจ้าสำนัก สำหรับมือคู่นั้นจริงๆ /ถอนหายใจหนักๆอีกรอบ

แต่ก็ถือว่าผู้น้องจะขอเป็นซัพพอร์ตน้องมู่อยู่อย่างลับๆแล้วกัน เป้าหมายแรก ไปฝึกวิชาหมัดมวยแบบตู้เกี่ยนหลง! ผู้น้องว่าเต๋าแห่งหมัดมวยสายปราณแข็ง หรือ [มวยแข็ง] น้องมู่น่าจะทำได้ดี อย่าไปกลัว! ยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร! ถ้ามือดาบหลี่โอ๋อวิ๋นมีประตูทรราช มือกระบี่จ้าวเหรินเจี๋ยนมีไมตรีโลหิต ตู้เกี่ยนหลงมีอำพันโบราณ ซีคงหยูมีนักพรตเวิ่นเต๋อกับไป่หลินหลิง (ที่ทั้งคู่ดูไม่จริงจัง) เหล่านี้คอยแบ็คอัพ น้องมู่ก็มีผู้น้องกับสหายเต๋านักอ่านคอยซัพพอร์ตเหมือนกัน! /ผลักซีคงหยูไปให้ท่านหมอเทวดาคอยสอนวิชา

รายงานในท้องพระโรง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซีคงก็ต้องอยู่ด้วยสิ ไม่ธรรมดานะท่านแม่ทัพ ผู้น้องต้องแสดงความยินดีกับน้องชายสามของท่านด้วย /แอบยิ้มแล้วเนียนถือจอกเหล้าไปคลุกวงใน ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 25-10-2017 14:27:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 25-10-2017 23:16:03
โอ๊ย หยูเจ็บแล้วน้องมู่ก็มาเจ็บอีกงี้น้องมู่ก็ไม่ได้ดูแลหยูนะสิ :ling1:

เสียดายสองพี่น้องแต่ออกไปก็ดีจะได้ลุยเรื่องหยูแบบไม่ต้องกรงใจใคร
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-10-2017 23:51:58
ทุกคำกล่าวของอวิ๋นล้วนทิ่มแทงใจ
คนที่เกิดมาสบาย ไหนเลยจะเข้าใจผู้ขาดแคลน? การกัดไม่ยอมปล่อยย่อมเป็นหนทางของคนด้อยโอกาสอย่างแท้จริง

อาหยูบทน้อยไปหรือไม่? air time ของหลิวกับหมีแพงยิ่งกว่าทองเสียอีก

ปล. ขอบคุณคุณ Grey Twilight ที่ชี้แนะให้กระจ่างใจ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-10-2017 11:06:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: kawoat ที่ 27-10-2017 11:12:46
ดีใจอ่านทันแล้วคืออ่านนิยายแปลของจีนแนวกำลังภายในมาตลอดทั้งพี่เมิ่ง จี้หนิง ปู่ฉีเย่ จ้าวเฟิง ชูเฟิง เจียงเฉิน เลยเข้าใจแนวการเขียนนิยายแบบนี้มากกว่าผู้อ่านหลายๆท่านที่งงว่ามันจะออกจีนแนวโบราณรึอย่างไหนแน่ ขอบคุณมากนะที่แต่งแนวนี้มาให้อ่าน เพราะตอนที่อ่านนิยายแปลพวกนี้เคยคิดว่าแหม มันน่าจะแบบช-ช บ้างเนาะ โดยเฉพาะเรื่องที่มันฮาเร็มมากๆ อย่างชูเฟิงมันหงุดหงิด เดี่ยวก็ได้เมียๆ ไปไหนก็ได้เมีย ถ้าไม่ติดว่าเนื้อเรื่องมันสนุกจะไม่ทนอ่านเลย อยากเปลี่ยนจากน้องนี เป็นเด็กหนุ่มคงสนุกไม่น้อย เคยถอดใจขนาดที่ว่าคงต้องแต่งเองเพื่อสนองนี๊ดแล้วล่ะ เพราะคงไม่มีใครเขียน xianxia แนวช-ช หรือต้นฉบับที่จีนอาจจะมีแต่ก็ไม่มีคนไทยคยไหนหยิบมาแปลอยุ่ดี ตอนเลื่อนมาเจอนิยายนี้ขึ้นหัวเรื่องว่า xianxia นี่ตาลุกวาวมาก ขอบคุณมากจริงๆ ที่แต่งนิยายแนวนี้มาให้อ่าน ส่วนตัวมองว่ายังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธน้อยไป เพราะแทบไม่เห็นวิชาอะไรกันเลย อาจจะด้วยอ่านแนว xianxia มาเยอะแล้วเค้าเน้นที่ฝึกปราณ วิชา บ่มเพาะ แล้วก็เสี่ยงโชค เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ตัวละครยังใช้ชีวิตแบบสามัญชนเหมือนคนไม่ได้ฝึกปราณซะงั้น (อันนี้ผมอาจจะคิดหรือรุ้สึกไปเองคนเดียวนะ) ยังไงก็สู้ๆ น้าเป็นกำลังใจให้จ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: llSJAr34 ที่ 27-10-2017 15:01:13
 สำนักวารี ไม่ไหวจริงๆ ฝืนต่อไปก็เป็นตัวถ่วง คอยรอแต่ความช่วยเหลืออย่างเดียว   
ส่วนประเด็นดราม่าก็น่าเห็นใจ แล้วก็น่าเสียดายเต๋ากว่าจะขัดเกลาให้ประกายเงางามขนาดนั้นได้ คงไม่ง่ายแน่นอน
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 28-10-2017 18:07:38
โอ้ เพิ่งได้เข้ามาอ่าน
อยากทึ้งหัวตัวเองว่าปล่อยให้เรื่องสนุกแบบนี้หลุดรอดสายตาไปได้ยังไง
ติดตามค่าาา
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 29-10-2017 18:47:25
เริ่มงงกับตัวละครอยากให้หน้าแรกมีชื่อตัวละคล เป็นใคร มาจากสำนักไหน
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #41 บทสรุปการประลอง (24/10)
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 31-10-2017 15:13:52
 :hao5: :hao5: :hao5: แลดูโหดร้ายย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 31-10-2017 16:34:07
++++++



ซ่งจินประคองซ่งมู่ไปนั่งพักที่โขดหิน  และป้อนยาเซียนฟื้นโลหิตให้  จากนั้นหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ สีดำออกมา   แล้วใช้เข็มในกล่องไม้  ปักตามจุดชีพจรต่าง ๆ บนหลังของซ่งมู่

“น้องมู่...ข้าขอโทษที่ลากเจ้ามาพัวพันกับเรื่องนี้”

ซ่งมู่อ้าปากจะตอบ  ทว่าซ่งจินรีบสกัดจุดที่คอ  และส่งสายตาชืดชาไปยังคุณชายสาม

“อย่าเพิ่งชวนเขาคุย”

ซีคงหยูก้มหน้าอย่างสำนึกผิด  และหาที่ยืนไม่ไกลนักเพื่อรอให้หนุ่มรุ่นน้องฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเสร็จสิ้น

โดยไม่ต้องรอให้พี่ชายกระตุ้นเตือน  ซ่งมู่หลับตาโคจรปราณตามจุดชีพจรที่ถูกปักเข็มสามสิบหกตำแหน่ง  เขารู้ลำดับของการโคจรดีอยู่แล้ว  กระแสปราณเมฆาที่อุ่นวาบเหมือนกับไออันร้อนผ่าวของไอแดดในฤดูร้อนเคลื่อนผ่านเส้นเมอริเดียน  สร้างวงจรโดยใช้เข็มแต่ละตำแหน่งเป็นจุดอ้างอิง  พร้อม ๆ กันนั้น  ยาเซียนธาตุน้ำที่ซ่งมู่กลืนเข้าไปก็แตกตัวเป็นละอองที่แทรกซึมผ่านเนื้อเยื่อและเส้นเอ็นไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อและเครื่องในที่บอบช้ำจากอาการบาดเจ็บภายใน

หน้าผาของจิ้งซานตอนนี้ไร้วี่แววของศิษย์ห้าสำนัก  ทว่ามิได้ไร้ร้างผู้คน   ชาวยุทธพเนจรที่ถูกกันเอาไว้ตอนแรก  เริ่มกลับมาจับจองเหมืองที่ตนจะเข้าไปสกัดแร่  รวมทั้งเหมืองใหม่ทั้งเจ็ด  พวกเขาบางคนก็มองดูสามหนุ่มที่กำลังนั่งรอซ่งมู่รักษาอาการบาดเจ็บด้วยความสนใจเนื่องจากมีสัญลักษณ์ของศิษย์ห้าสำนัก

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม  สีหน้าของซ่งมู่ก็ดีขึ้น   หน้าผากและคิ้วเข้มหนาของเขาผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ  เส้นเลือดฝอยในดวงตาที่แตกซ่านก็เริ่มจางหาย   เขาผ่อนลมหายใจและมองไปยังซีคงหยูที่ยืนรออยู่ด้วยสายตาลึกซึ้ง  เขาอ้าปากพูด

“......”

“ฮาโหล ๆ สัญญาณไม่ค่อยดีเลย  น้องมู่เจ้าพูดว่าอะไร”

“.........”

ซ่งมู่พยายามเปล่งเสียงพะงาบ ๆ  ทว่าไม่มีเสียงเปล่งจากคอ   เขาตะโกนจนหน้าแดงก่ำ   ทว่ายังไม่ได้ผล  จึงนึกขึ้นได้  หันไปฉุดชายแขนเสื้อของพี่ชายที่ยืนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“..........”

ซ่งจินมองหน้าน้องชายสักพัก  ก็ตบที่ต้นคอ  คลายจุดเสียงให้

“ฟัค!”

เมื่อได้ยินคำแรกของซ่งมู่  เจ้าของตาปลาตายเลยตบหัวน้องชายทีนึง  แล้วจับหัวของอีกฝ่ายหันไปทางซีคงหยู

“พี่หยู”   หนุ่มรุ่นน้องเผยรอยยิ้มบางให้  “ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก”

“ข้าจะไม่ห่วงเจ้าได้อย่างไร  เหตุใดถึงต้องทำขนาดนี้”

“พี่หยู  ข้าตัดสินใจไว้นานแล้วว่าจะแยกจากประตูทรราช   เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพียงโอกาสที่พวกเราสองพี่น้องจะได้ปลีกตัวเท่านั้น”

“แล้วเจ้าจะไปที่ไหนต่อ  เจ้าทำลายพลังฝีมือของตนเอง   ชีวิตจะไม่ลำบากหรืออย่างไร”

“เต๋าถูกทำลายได้  ก็ฝึกใหม่ได้  ถ้าข้าตั้งใจ  มีอะไรที่จะทำไม่ได้”

ซีคงหยูฟังแล้วก็ถอนหายใจ  กี่ปีแล้วที่เขาเคยมีความมุ่งมั่นแบบนี้    เขาจำได้ลาง ๆ ถึงความรู้สึกเปี่ยมความหวังและความหมายมาดในชีวิต  ราวกับว่าภายใต้ท้องฟ้านี้ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางเจตจำนงของตน  ท้องฟ้าของคนรุ่นเยาว์ทั้งกว้างและก็แคบในเวลาเดียวกัน  มันกว้างเพราะว่าในใต้หล้าเต็มไปด้วยการผจญภัยและสิ่งใหม่ ๆ ที่พวกเขายังไม่ได้สำเร็จ  มีตัวตนที่พวกเขายังไม่ค้นพบ   และมันแคบก็เพราะว่า  คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นเชื่อว่าด้วยสองเท้าของตน  พวกเขาจะเดินทางไปถึงสุดขอบฟ้า  และปีนป่ายยอดเขาที่สูงที่สุดได้สำเร็จ

ขณะที่คนอายุมากขึ้นมักจะมองความเป็นจริงของชีวิต  พวกเขาสำรวจขอบเขตความสามารถของตนเอง  และยอมรับเส้นขอบฟ้าที่ตนเองไปถึง  การผจญภัยอันตื่นเต้นที่ชวนให้ใจสั่นสะท้านก็เป็นเพียงแค่ความฝันกลางฤดูร้อนที่พร้อมจะระเหิดหายไปกับพยับแดด  บางคนอาจจะมีความสุขกับการนั่งที่ม้านั่งตัวเดิม ๆ และจ้องไปยังแม่น้ำเหลืองซ้ำ ๆ ซาก ๆ  ความสุขที่เป็นจริงคือความสงบใจ  และการมีชีวิตที่สุขสบายพอสมควรต่างหากล่ะ

ซีคงหยูมองไฟในแววตาของฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  ทั้งเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริงและเป็นรอยยิ้มหยันตนเอง  การประลองครั้งนี้จุดไฟฮึดสู้ให้เขาไม่มากก็น้อย  เขาพบว่าความคิดของเขามีค่าสำหรับหลี่โอ๋อวิ๋น  และเป็นหนึ่งในผู้เรียกลมเรียกฝนของจิ้งซาน  ทั้งยังพลังฝีมือที่เขาไม่เคยฝึกมาก่อนก็รุดหน้าเร็วอย่างไม่น่าเชื่อจนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน  ทว่าในขณะเดียวกัน  เขาก็รู้สึกร้าวรานใจเมื่อนึกถึงว่าทุกสิ่งที่ทำให้เขาตัวพองเหมือนปุยนุ่น  พังทลายในเสี้ยวพริบตา  ความพ่ายแพ้และการถูกหลอกใช้  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดีแค่ไหน  และไม่ว่าเขาจะเข้าอกเข้าใจการตัดสินใจของหลี่โอ๋อวิ๋นมากแค่ไหน  มันก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าสุดท้ายเขาถูกหักหลังอย่างไร้เยื่อใย

“แล้ว..พี่หยูล่ะ  เป็นอย่างไรบ้าง”   หนุ่มรุ่นน้องส่งเสียงถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนนิ่งเหมือนตกในภวังค์

สายตาซีคงหยูกลับมาโฟกัสที่ใบหน้าและจมูกบี้ ๆ อันเขารู้สึกว่าน่ารักอีกครั้ง  รอยยิ้มหยันบาง ๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง  จากนั้นเอื้อมมือไปแตะบ่าของอีกฝ่าย

“ข้าก็ต้องไม่เป็นอะไรแน่อยู่แล้ว  นี่มันแค่การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ  อย่าว่าแต่วารีพิสุทธิ์เองก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร  จะหวังพึ่งน้องอวิ๋นตลอดไปก็ไม่ถูก  เท่าที่เขาทำให้ตั้งแต่แรกก็ถือว่าเขาเห็นแก่หน้าข้ามากแล้ว”

“แต่...”  ซ่งมู่จะเอ่ยวาจาทว่าก็กลืนถ้อยคำกลับไปในคอ  เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเขาลอบเห็นจูบอันเร่าร้อนนั้น  อันเป็นข้อสัญญาที่เกินเลยไปกว่า ‘การเห็นแก่หน้า’

“น้องมู่  เจ้าไม่ต้องห่วงข้าจริง ๆ  ข้าจะขยันฝึกฝีมือ  แล้วกลับมาเตะไข่น้องอวิ๋นให้ครางฮือ”   ซีคงหยูพูดกลั้วหัวเราะ

ในตอนนั้น  หลิวเกาก็เดินมาพร้อมกับเสี่ยวหมีที่บรรทุกข้าวของเครื่องใช้ของคุณชายสามมาเต็มหลัง 
“นายน้อย  สำนักเราจะออกเดินทางแล้ว”  หลิวเกากล่าวกับซีคงหยู  พลางจับสัมภาระบนหลังเสี่ยวหมีให้นิ่งไม่หล่น
ซีคงหยูสูดลมหายใจลึก   และมองหน้าของซ่งมู่พลางใคร่ครวญว่าจะพูดอะไรดีในการลาจากกัน

“น้องมู่  น้องจิน  พวกเจ้ามาวารีพิสุทธิ์ดีหรือไม่”

“ฮ่า ๆ”

“เฮ้  ทำไมต้องหัวเราะ”

“ข้าจำได้ว่าเคยชวนพี่หยูไปประตูทรราช  แต่ท่านไม่ตกลง”

“มีเรื่องนี้ด้วยรึ”   คุณชายสามยืนนึกแต่จำไม่ได้

“พี่หยู  ข้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า  ผู้คนในยุทธจักร  มิอาจเป็นตัวของตัวเอง  จนถึงวันนี้ข้าถึงรู้ซึ้งถึงความหมายของมัน”

“หืม..”  ซีคงหยูเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเป็นปรัชญา

“หลี่โอ๋อวิ๋นต้องทำเพื่อสำนัก  เขาจึงไม่อาจทำตามใจ  ถ้าข้าเข้าสำนัก  เหตุการณ์เดิม ๆ ก็จะวนซ้ำมาอีก  ข้าไม่อยากเลือกทำสิ่งที่ชวนให้ปวดร้าวใจ”

ซ่งมู่กล่าวพลางจ้องตาหนุ่มรุ่นพี่อย่างลึกซึ้ง   มือของเขาคลอเคลียเส้นผมของอีกฝ่ายที่ตกระใบหน้าอย่างไม่เกรงใจเสี่ยวหมีที่ยืนสี่ขาอยู่ข้าง ๆ

“ถ้าข้าอยากทำตามใจ  ข้าต้องกรุยเส้นทางของตนด้วยสองมือ..”

ซ่งจินที่ยืนข้าง ๆ อดไม่ได้จึงกล่าวแทรก  “เจ้าเรียกการกลับไปคุกเข่าสำนึกผิดกับท่านพ่อว่าการเริ่มต้นด้วยสองมือตัวเองหรอกหรือ”

ซีคงหยูหันไปมองซ่งจินที่พูดประโยคยาว ๆ อย่างประหลาดใจ  ขณะที่ซ่งมู่ทำปากขมุบขมิบคงจะด่าทอพี่ชายร่วมสายเลือด

“เราจะกลับตำหนักอาคันตุกะแดนไกล”  ซ่งจินเฉลย  “ที่พี่หยูเอ่ยชวนนั้น  ขอบคุณ”

“พี่หยูชวนข้า  ท่านพี่อ่ะตัวแถม”   ซ่งมู่ประท้วงจากข้าง ๆ

“เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าเป็นตัวแถม”

“อ๊อออออออ”   เสี่ยวหมีร้องสนับสนุนอีกเสียง 

“เสี่ยวหมี  ขนมโก๋ชุบน้ำผึ้งน่ะ  ไม่เอาแล้วใช่มั้ย”

“อ๊ออออออออออ”  เสี่ยวหมีรีบเปลี่ยนฝั่งไปสนับสนุนซ่งมู่

“ทำไมข้ารู้สึกเสี่ยวหมีไม่ใช่ของข้ามากขึ้นทุกที”   คุณชายสามหันไปปรับทุกข์กับหลิวเกา

“เสี่ยวหมีเป็นของบ่าวตั้งนานแล้วนายน้อย”

“เพ้ย...งั้นที่จริงแล้ว  ข้าคือตัวแถมใช่มั้ย”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน  ก่อนจะระเบิดหัวเราะ  แม้แต่หน้าตายอย่างซ่งจินก็ยังยิ้มน้อย ๆ

“ตัวพี่หยูน่ะของแถม  แต่ของหลักที่ข้าอยากได้คือหัวใจ”  ซ่งมู่ไม่ลืมทิ้งท้าย

“เฮ้..”   ซีคงหยูยิ้มเขิน ๆ  เขารู้มาสักพักแล้วว่าอีกฝ่ายชอบเขา  ทว่าพูดกันซึ่ง  ๆ หน้าแบบนี้  เขาก็ทำตัวไม่ค่อยถูก  เขาพบว่านอกจากความเขินน้อย ๆ แล้วเขาไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัด  หรือการพยายามปฏิเสธตนเองว่าไม่ได้รู้สึกดีกับอีกฝ่าย

ซ่งมู่ดึงตัวคุณชายสามมากอดอย่างแนบแน่นเป็นการลา  เขาทำใจกล้า  ทว่าจริง ๆ แล้วใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูก  และรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ซีคงหยูไม่ผลักไส   และกอดตอบอย่างแนบแน่นเหมือนกัน   เมื่อซ่งมู่สูดลมหายใจลึกดมกลิ่นกายของหนุ่มรุ่นพี่ไว้ราวกับจะจดจำให้ฝังใจแล้ว   เขาจึงปล่อยอีกฝ่าย

“มา  น้องจิน”  ซีคงหยูอ้าแขน   เจ้าของตาปลาตายลังเลเล็กน้อย  ก่อนเดินเข้าไปและรับกอด  ท่ามกลางสายตาริษยาจนลุกเป็นไฟของซ่งมู่

“ขอบคุณมากที่ช่วยข้าตั้งหลายเรื่อง”  ซีคงหยูพูดที่ข้างหูของอีกฝ่าย 

“อืม”   ซ่งจินส่งเสียงตอบ  จากนั้นถอนตัวจากแบร์ฮักของซีคงหยู  แล้วไปฮักแบร์จริง ๆ ที่ยืนชะแง้อยู่
“อ๊ออออออออ”   เสี่ยวหมีทำตาละห้อยและมองซ่งจินอย่างอาวรณ์   มันงับมือของอีกฝ่ายไว้  ด้วยแรงที่ไม่มากจนทำให้เจ็บ  จากนั้นเอาหัวไปไถ ๆ ที่ข้างเอวและขาอ่อนของหนุ่มหน้าตาย

“เราจะได้เจอกันอีก”  ซ่งจินกล่าวกับเสี่ยวหมี   แล้วถอยกลับไปยืนข้าง ๆ น้องชายของตน

ซีคงหยูพยักหน้า  เขารู้ว่าซ่งจินกล่าวกับเขาเช่นเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันเมื่อศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์มาตามตัวอีกครั้ง  ซ่งมู่และซ่งจิน  ยืนมองสองคนกับหนึ่งหมีเดินลับหายไปพร้อมกับดวงตะวันยามเย็นที่คล้อยตัวลงไป



++++++



ที่เชิงเขามังกรทะยาน   ผลึกเงารุ้งเปล่งประกายจากยอดเขาเสมือนต้อนรับการเดินทางกลับของศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์  ซีคงหยูแหงนมองประกายแสง  ทว่ามันไม่ได้ดูบาดตาเช่นเคย  แลหมอกหนาอันเกิดจากค่ายกลอันพรางตาทางเข้าสำนักก็มิได้ดูลึกลับดังเช่นที่เขาเคยรู้สึก

ผู้อาวุโสไป่เปิดทางเขาสำนัก  เผยบันไดที่ลดหลั่นซับซ้อนไปตามเหลี่ยมมุมของภูเขา  ขบวนทหารวารีโลหิตและสมาชิกพรรคปลาทูสีน้ำเงินภายใต้การนำของจางชุ่ยฮัวตามหลังกองกำลังไป  ขณะที่ซีคงหยูยืนไพล่หลังมองทางขึ้นสำนักพร้อมกับหลิวเกาและเสี่ยวหมี

“นายน้อย  ท่านหยุดทำไม”

คุณชายสามสูดลมหายใจลึก   และปรายตามองอัจฉริยะแห่งสำนักวารีพิสุทธิ์ด้วยสายตาตำหนิ

“ให้เวลาข้าหว่องสักหน่อยไม่ได้หรือไง”

“อ๊ออออออออ”

“เสี่ยวหมีบอกว่า  ท่านจะถ่วงเวลาไปก็หนีการลงโทษไม่พ้นหรอก”

หลิวเกาอธิบายพลางเคี้ยววุ้นแปลภาษา

“เฮ้อ...”   ซีคงหยูถอนหายใจแล้วสะบัดแขนเสื้อ   จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปสองสามก้าวก่อนเอี้ยวคอกลับมาอย่างนึกขึ้นได้

“เสี่ยวหมี”

“อ๊อออ?”

“เจ้าลืมหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือไง”

เสี่ยวหมีผงกหัว   ก่อนจะนึกขึ้นได้   รีบส่ายหน้า  จากนั้นเดินไปยอบตัวหมอบหน้าหลิวเกา

คุณชายสามยืนตะลึงอยู่ครึ่งค่อนวันเมื่อเห็นหลิวเกาขี่เสี่ยวหมีกระโจนขึ้นบันไดสำนักหายไปในพริบตา


++++++



เมื่อไป่หลินหลิงนำพรรคปลาทูสีน้ำเงินกลับมา  ก็เจอกับผู้อาวุโสชวงและพรรคเมฆเขียว  นางโบกพัดจีบแล้วหัวร่อ

“โฮ่ ๆๆๆ  ผู้อาวุโสชวง  ท่านก็ซมซานกลับมาเหมือนกันเรอะ”

“เฮอะ  เจ้าเอาเวลาไปกังวลถึงเส้าหยูเสวียนจะดีกว่า  ได้ข่าวว่าพรรคของนางกับศิษย์พี่ใหญ่หมิงผ่านเข้าไปต่อสู้ในสนามประลองเขาเทียนซาน”

ไป่หลินหลิงแย้มยิ้ม   “ไม่นึกว่าผู้แซ่เส้าจะมีฝีมืออยู่บ้าง  คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ”

เมื่อชวงลี่เอ๋อร์เห็นว่าทำให้อารมณ์ของอีกฝ่ายหวั่นไหวไม่สำเร็จ  จึงหุบปากเงียบและยืนรอเจ้าสำนักที่หน้าตึกวารีอำไพ

สักครู่หนึ่ง  เจ้าสำนักก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเปล่งปลั่งเบิกบาน    จากสี่ลานประลอง  วารีพิสุทธิ์ชนะสองลานประลอง  ลบล้างคำสบประมาทที่ว่าเป็นสำนักที่อ่อนแอที่สุดในห้าสำนักไปได้   ทว่าเมื่อคิดถึงความพ่ายแพ้ย่อยยับของทางจิ้งซานและเหิงซาน  นางก็เก็บรอยยิ้มและเดินออกมาเบื้องหน้าผู้อาวุโสทั้งสองและศิษย์สำนักทั้งสองพรรค

“คารวะเจ้าสำนัก”   ทุกคนกล่าวพร้อมกันพลางประสานมือ

“ไม่ต้องมากพิธี”   เจ้าสำนักโบกมือ  จากนั้นหันไปมองชวงลี่เอ๋อร์   “ผู้อาวุโสชวง  พรรคของเจ้ายึดเหมืองมาได้เท่าไหร่”

“เรียนเจ้าสำนัก  โปรดลงโทษลี่เอ๋อร์  ศิษย์พรรคเมฆเขียวยึดเหมืองได้มาเพียงสี่เหมือง”

เจ้าสำนักโบกมืออีกที  แล้วหันไปมองไป่หลินหลิง   ผู้อาวุโสไป่เห็นดังนั้นจึงรีบประสานมือรายงาน

“นับว่าโชคเกื้อหนุน  ภารกิจจึงสำเร็จ  พรรคปลาทูสีน้ำเงินยึดเหมืองได้มากถึงสองเหมือง”

เจ้าสำนักฟังแล้วก็ขมวดคิ้วจนรอยตีนกาที่หน้าผากจมลึกเข้าไปอีกครึ่งหุน

“นี่เจ้าเรียกว่าภารกิจสำเร็จเรอะ!”  ผู้อาวุโสชวงตวาดแว๊ดแทนสิ่งที่เจ้าสำนักคิดอยู่ในใจ

“ผู้อาวุโสชวงอาจจะเรียนมาน้อยเลยไม่เข้าใจ  สำเร็จมากสำเร็จน้อยก็เรียกว่าสำเร็จ  ไว้ข้ายึดไม่ได้เลยสักเหมืองท่านค่อยติติงก็ยังไม่สาย”   

“เจ้า!”

“เอาเถอะ ๆ”  เจ้าสำนักโบกมือห้ามและแอบตบหายาเซียนแก้ไมเกรนจากอกเสื้อตน  ขนาดเส้าหยูเสวียนไม่อยู่  ยังมีคนชวนไป่หลินหลิงทะเลาะ  ผู้อาวุโสไป่น่าจะไปเอาดีด้านเป็นสายล่อฟ้า  หรือหน่วยค้นหากับระเบิด

“เจ้าสำนัก  หลินหลิงไม่ได้ตั้งใจจะเล่นลิ้น  แต่ที่จิ้งซาน  วารีพิสุทธิ์ต้องเผชิญกับศิษย์เอกถึงสองสำนัก  ยึดได้สองเหมืองควรจะถือว่าเป็นความสำเร็จ  สมควรแก่การปูนบำเหน็จความดีความชอบ”

“หน้าด้านหน้าทน  ที่เหิงซานก็มีศิษย์เอกสำนักอำพันโบราณ  ข้าไม่เห็นจะเอามาอวดอ้างเอาความดีความชอบ”

“ผู้อาวุโสชวง  นั่นคือความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะกับตัวโง่งม”

“เพ้ย  เจ้าหมายความว่ายังไง!”

“ฮี่ ๆ”

เมื่อเห็นว่าสงครามน้ำลายเริ่มจะดุเดือด  เจ้าสำนักเลยโบกมือไล่    “ชวงลี่เอ๋อร์  เจ้าพาศิษย์กลับไปพักผ่อนก่อน  ข้าจะซักถามสถานการณ์ของจิ้งซานก่อน  ไป่หลินหลิง  เจ้าเลือกศิษย์มาสองคน  แล้วตามข้าเข้าไปรายงานสถานการณ์”

เจ้าสำนักกล่าวจบก็เดินกลับเข้าตึกวารีอำไพ  ชวงลี่เอ๋อร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  จากนั้นพาศิษย์สำนักตนแยกไป   ไป่หลินหลิงชี้จางชุ่ยฮัว  และซีคงหยู  ซึ่งฝ่ายหลังเพิ่งปีนบันไดมาถึงประตูสำนัก

“เจ้าสองคน   ตามข้ามา”

ซีคงหยูชี้หน้าตนเองอย่างฉงน  เมื่อไป่หลินหลิงพยักหน้ายืนยัน   เขาก็เดินตามไปอย่างเซื่อง ๆ เข้าตึกวารีอำไพ

จางชุ่ยฮัวเตรียมพร้อมอยู่แล้ว  นางเอาแท่งหยกบันทึกสถิติของศิษย์สำนักที่ไปจิ้งซานทั้งหมด  อันศิษย์พี่หญิงสวีตระเตรียมไว้ให้  มอบให้แก่ไป่หลินหลิง  และไป่หลินหลิงก็น้อมมอบให้กับเจ้าสำนักอีกที   เจ้าสำนักวาดมือ  ใช้วีชาคันฉ่องวารี  ผู้อาวุโสหมิงอวี้กว๋อก็ปรากฏตัวจากอีกด้านของกระจกทันที

“คารวะเจ้าสำนัก  หลินหลิงเจ้าเดินทางกลับถึงแล้วหรือ”

“ด้วยความคุ้มครองของศิษย์พี่ใหญ่  หลินหลิงเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ”

เจ้าสำนักฟังจนคิ้วกระตุก  พวกเจ้าจะเลียรองเท้าบู๊ตกันก็อย่าลืมว่าข้ายืนอยู่ตรงนี้ทนโท่

“นี่คือข้อมูลของจิ้งซาน”  แท่งหยกในมือเจ้าสำนักเรืองแสงสีฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่ไอแสงจะพวยพุ่งไปยังคันฉ่องวารีและส่งข้อมูลไปยังแท่งหยกอีกแท่งของหมิงอวี้กว๋อ   เมื่อโอนถ่ายข้อมูลเรียบร้อยแล้ว  หมิงอวี้กว๋อก็ใช้สัมผัสเซียนสอดส่องข้อมูลจำนวนมากในแท่งหยกทันที

ทั้งหมดรอนางวิเคราะห์ข้อมูลอยู่หนึ่งก้านธูป  หมิงอวี้กว๋อจึงเงยหน้ามองคันฉ่องวารีอีกครั้ง

“ศิษย์คนไหนคือซีคงหยู?”  อันที่จริงผู้อาวุโสหมิงเห็นแต่แรกแล้ว  ศิษย์ชายของสำนักมีเพียงสองคน  ไฉนนางจะจำไม่ได้

ผู้ถูกเรียกชื่อชะงัก  ก่อนยกมือขึ้น  “ศิษย์เอง”

“ตามรายงาน  ความผิดพลาดส่วนใหญ่  เกิดจากการที่เจ้าดำเนินแผนตามสำนักประตูทรราชมากเกินไป  ซ้ำยังปกป้องเหมืองที่ตนคุ้มกันไว้ไม่ได้  เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

คุณชายสามฝืนยิ้ม  “เป็นเช่นนั้นจริง”

หมิงอวี้กว๋อไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย  นางเพ่งดูข้อมูลเพิ่มเติมจากนั้นกล่าวว่า  “ถ้าหากเจ้าไม่ได้บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย  ข้าคงส่งเจ้าไปตบยุงเฝ้าร้านขายของแล้ว”

“ศิษย์พี่ใหญ่  ตามกฎแล้ว  ศิษย์ที่บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยจะได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นในโดยไม่มีข้อแม้  ใช่หรือไม่”  ไป่หลินหลิงเอ่ยถาม

“ที่เจ้ากล่าวนั้นก็จริง   แต่ในเมื่อเจ้าสำนักมอบหน้าที่การประเมินให้กับข้า  การตอบแทนและลงโทษต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม”

เมื่อหมิงอวี้กว๋อกล่าวอ้างเจ้าสำนัก  ไป่หลินหลิงจึงยิ้มไม่ตอบคำ

“ซีคงหยู  เจ้าจะได้เป็นศิษย์ชั้นใน  ทว่าการลงโทษสำหรับเจ้าก็คือ  หักค่าความดีความชอบ 2000 แต้ม”

“และจากการประเมิน”   ผู้อาวุโสหมิงหยิบเครื่องคิดเลขมาคำนวณ  “เจ้ามีค่าความดีความชอบจากการประลองที่จิ้งซาน  527 แต้ม  หักไป 2000 ก็เท่ากับติดลบ 1473 แต้ม  เจ้ามีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่”

ซีคงหยูกลืนน้ำลาย  เข้าสำนักไม่ทันไรก็เป็นหนี้หัวโตซะแล้ว  เขาหันไปมองผู้อาวุโสไป่ด้วยสายตาลูกหมาโดนทิ้ง  ทว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็น   ซีคงหยูจึงได้แต่ค้อมตัวรับคำ

“ศิษย์ไม่มีข้อโต้แย้ง”

“ที่เหลือ  ข้าจะส่งผลการประเมินให้กับเจ้าสำนัก  ท่านเจ้าสำนักมีอะไรจะชี้แนะเพิ่มเติมหรือไม่”

“อวี้กว๋อ  เจ้าจัดการได้เรียบร้อยดีแล้ว  ขอบใจเจ้ามาก”

เมื่อแสงสีฟ้าพุ่งมาจากแท่งหยกอีกด้านของกระจกเข้าสู่แท่งหยกเดิมของเจ้าสำนัก  นางก็วาดมืออีกที  คันฉ่องวารีหายไปจากห้องโถงทันใด

“นี่คือรายชื่อของศิษย์ที่จะได้เป็นศิษย์ชั้นใน  ที่เหลือสามารถเลือกว่าจะเข้าหน่วยวารีโลหิต  เป็นศิษย์ชั้นนอก  หรือออกจากสำนัก”

เจ้าสำนักกล่าวตามพิธีแล้วส่งมอบแท่งหยกคืนให้แก่ไป่หลินหลิง

ไป่หลินหลิงรับแท่งหยกกลับมา  ประสานมือคารวะเจ้าสำนัก  และพาศิษย์ทั้งสองเดินออกจากตึกวารีอำไพ  ซีคงหยูเดินคอตกไปยืนใกล้ ๆ กับเสี่ยวหมี  หลิวเกา  ศิษย์น้องจิ่ง  รวมทั้งศิษย์น้องเหยียนที่เดินมากระแซะเสี่ยวหมี

“เป็นอย่างไรบ้าง นายน้อย”

“ข้าได้เป็นศิษย์ชั้นใน”  ซีคงหยูตอบด้วยน้ำเสียงระโหย

“มันแน่อยู่แล้ว  ผู้บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยทุกคนจะได้เป็นศิษย์ชั้นใน  ส่วนที่เหลือถ้าแสดงความสามารถโดดเด่นก็จะได้รับการคัดเลือกเช่นกัน”

ศิษย์น้องจิ่งผู้รู้ทุกเรื่องให้อรรถาอธิบาย

“เจ้าว่าจางชุ่ยฮัวจะได้เป็นศิษย์ชั้นในหรือไม่”

เมื่อฟังคำถามของซีคงหยู   ศิษย์น้องเหยียนก็ยิ้มหยัน  “นางเป็นคนเขียนรายงาน”

คุณชายสามพยักหน้าอย่างเข้าใจ   จากนั้นกล่าว  “แต่นับว่าโชคดีที่พวกเราสามคนได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นในพร้อมกัน”

ศิษย์สำนักที่ไปจิ้งซาน  มีเพียงซีคงหยู  หลิวเกา  และศิษย์น้องเหยียนที่บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย

“แล้วข้าล่ะ”  ศิษย์น้องจิ่งทำแก้มป่อง  เหมือนหมาจูที่อดขนมจนงอน

“น้องจิ่งก็ขยันเข้า  เดี๋ยวก็ได้เลื่อนขั้น”  หลิวเกากล่าวพลางลูบหัวอีกฝ่ายที่เตี้ยกว่าเขาตั้งสองคืบ  “ว่าแต่  ไฉนนายน้อยมีสีหน้าซีดเซียว”

ซีคงหยูฟังแล้วกระแอมสองสามที

“อะแฮ่ม ๆ...จะว่าไปแล้ว  พวกเจ้ามีแต้มความดีความชอบให้ข้ายืมสักพันสองพันมั้ย”

สิ้นคำพูด  หลิวเกา  เสี่ยวหมี  ศิษย์น้องจิ่ง  และศิษย์น้องเหยียนก็กระโดดออกห่างจากคุณชายสามไปสี่ห้าวาทันที

"เฮเว่นอะโบฟ!"




++++++++++++++


P.S.  การประลองลับครั้งสุดท้ายที่จิ้งซาน  วารีพิสุทธิ์ถูกชิงไปสองเหมืองรวมที่ซีคงหยูเสียไปให้กับหวงอี 
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-10-2017 21:52:51
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 31-10-2017 22:09:58
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 31-10-2017 22:39:07
รอตอนต่อไปคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 13:10:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-11-2017 16:55:53
หลิวเกาเจ้าช่างเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์.....หักหลังคงหยูได้อย่างสม่ำเสมอ...

เสี่ยวหมีก็ไม่น้อยหน้า ผู้มาข้าเปลี่ยนทิศ ฮ่า ๆ ๆ

ซ่งมู่น่ารักเสมอเลย แต่ก็นะ ไม่ใช่พระเอกก็ชวดไปเช่นนี้แล

เมื่อไรน้องอวิ๋นจะได้สำรวจปรานเซียนกับซีคงหยูอย่างลึกซึ้งล่ะ?
อุ้ย! หมีพิมพ์

หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #42 กลับสำนัก (31/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 03-11-2017 21:17:12
อ้าว ช่วงตอบเมนท์หายไปไหนล่ะครับเนี่ย (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 05-11-2017 11:38:30

ขอผลุบ ๆ โผล่ ๆ สักพักครับ  ช่วงนี้ยังไม่ค่อยดีขึ้น


+++++++++




ซีคงหยูกลับมาเก็บข้าวของที่เรือนพักเก่า   และพบว่ามีนกพิราบยืนเกาะชายคาสองสามตัว   พวกมันทำตาลุกวาวเมื่อเห็นคุณชายสามเดินเข้ามาในประตูรั้ว

“อู้ ๆ”

พวกมันส่งเสียงก่อนจะตีปีกร่อนลงมากระพือดักหน้า   ที่ขาของพวกมันมีกระบอกไม้เล็ก ๆ ผูกอยู่   ซีคงแกะออกมาทีละตัว  นกพิราบสื่อสารบินพึ่บพั่บจากไปทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจ

“โอ้  จดหมายพี่ใหญ่”

ซีคงหยูแกะม้วนกระดาษที่ซ่อนอยู่ในกระบอกแล้วอ่าน  ก่อนจะเหงื่อตก  เพราะในจดหมายเขียนไว้แค่สองประโยค

“เจ้าสิจู๋สั้น  บ้านเจ้าจู๋สั้นทั้งตระกูล”

คุณชายสามปาดเหงื่อบนใบหน้า  ลงอีแบบนี้แปลว่าพี่ใหญ่รู้ทันเขาสินะ  แต่ ฮี่ ๆ ส่งต่อให้น้องอวิ๋นดีกว่า

ซีคงหยูสาวเท้าเข้าไปในห้องหาโต๊ะนั่ง  แล้วเริ่มเลียนแบบลายมือของซีคงไท่หยาง  เขาเขียนเติมข้างหน้าแค่คำเดียว  และข้างหลังอีกคำ   จากนั้นม้วนมันกลับเข้าไปในกระบอกเดิม  เพื่อเตรียมหานกพิราบส่งไปที่เทียนซาน

จากนั้นคุณชายสามเปิดดูจดหมายฉบับต่อไป  มันมาจากพี่รอง   พี่รองของเขาถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง  ก่อนจะแสดงความยินดีที่เขาได้เข้าสำนักวารีพิสุทธิ์  แล้วลงท้ายด้วยการบอกว่า  เขาไม่ถือสาที่มีคนหมิ่นหยามว่าจู๋สั้น  เพราะปกติก็ไม่ได้ใช้จู๋อยู่แล้ว  อามิตตาพุทธ

ซีคงหยูตบหน้าผากตัวเอง   ลืมไปได้ไงว่าพี่สองเป็นหลวงจีน

จดหมายอันที่สามเป็นของน้องสี่  ข้อความข้างในไม่ใช่คนเขียน  แต่เป็นระบบตอบกลับข้อความอัตโนมัติ   ซีคงหยูขมวดคิ้วพลางสงสัยว่าซีคงเหอวุ่นกับธุรกิจขนาดไม่มีเวลาอ่านจดหมายเชียวหรือ  หรือจะเกิดเรื่องอะไร

และจดหมายอันที่สี่  ซีคงหยูเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นชื่อผู้ส่ง

“ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าและหลี่โอ๋อวิ๋น  และข้าเสียใจที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง  /เว่ยหลิงจื่อ”

ซีคงหยูใช้นิ้วโป้งยันคางตนเองอย่างครุ่นคิด  เขาไม่นึกว่าคนที่โผงผางและดูหยิ่งยโสอย่างเว่ยหลิงจื่อจะส่งขอหมายขอโทษเขาเป็นการส่วนตัว  เขาตัดสินใจที่จะเขียนจดหมายตอบ  รวมทั้งให้กำลังใจนกน้อยในดงเหมยในเรื่องงานเขียน

หลังจากนั้น  เขาก็ไปนอนที่เตียง  มือก่ายหน้าผากและมองเพดานอันมีเพียงขื่อคาและแผ่นกระเบื้อง  ความขี้เกียจเข้ามาเกาะกุมทำให้เขาไม่รู้สึกอยากรีบเก็บข้าวของอย่างที่ตั้งใจไว้

“ก๊อก ๆๆ”

หลิวเกาเคาะขอบประตูที่เปิดข้างไว้   ซีคงหยูเหลือบตามองจากใต้แขนตัวเอง

“นายน้อย  ท่านยังไม่ย้ายไปที่พักของศิษย์ชั้นในอีกหรือ”

“ข้าเหนื่อย  วันนี้ทำงานทั้งวันเลย”

“หา...ท่านเพิ่งเดินกลับมาเมื่อครู่เอง  นายน้อยทำงานอะไรเป็นด้วยหรอ”

“ข้าตอบจดหมายสองฉบับ”  ซีคงหยูพูดด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรง

หลิวเกาทำหน้าหนักอก   ซีคงหยูคร้านจะมองดู  เลยนอนตะแคงตัวหันไปทางกำแพง

“วันนี้นายน้อยเป็นอะไรกันแน่”

“ข้าหมดกำลังใจจะมีชีวิตอยู่  ทำไมชีวิตของข้าจึงมีแต่หนี้สิน”  ซีคงหยูคุยกับกำแพง

“นายน้อยหมายถึงแต้มความดีความชอบ?”

“ถ้าข้าไม่มีแต้มความดีความชอบ  ข้าจะไปแลกแผ่นหยกสื่อสารที่ไหน  ยังมีแหวนสี่มิติ  ยาเซียน  สมุนไพรวิเศษ  ยอดวิชาอีก  โอ...”

“นายน้อยจะเอาแผ่นหยกสื่อสารไปทำไม  ท่านไม่เคยฮอทในโลกโซเชียลอยู่แล้ว”

“...”

“แล้วแหวนสี่มิติ  สมบัติของนายน้อยมีกี่อย่างกันเชียว  มันของคนรวยเขาใช้กัน   นายน้อยไม่มีเงินต้องรู้จักพอเพียง”

“...”

“ยาเซียน  สมุนไพรอีก  บ่าวไม่เคยได้ยินว่ามียาเซียนแก้โรคขี้เกียจ  ดังนั้นนายน้อยจะหามันไปทำไม”

“หลิวเกา!”

“อ๊อออออออ!”

เมื่อคุณชายสามหันไปปาหมอนก็พบว่าสิ่งที่ยืนหน้าซื่ออยู่คือหมีดำตัวปุกปุย  ขณะที่เสียงหัวเราะของหลิวเกาดังมาจากข้างนอก

“ฮ่า ๆๆ  ลืมบอกไปว่า  บ่าวสำเร็จวิชาจักจั่นลอกคราบ  เลยแสดงให้นายน้อยดูเป็นขวัญตา”

เสี่ยวหมีก้มลงคาบหมอนของคุณชายสาม  แล้วเดินต้วมเตี้ยมเอามาส่งให้เจ้านาย

“เสี่ยวหมีน่ารักที่สุด”   ซีคงหยูเอ่ยชมพลางลูบหัวอย่างรักใคร่  รับหมอนมาหนุนนอนต่อ  ก่อนจะสะดุ้งโหยง

“ฟัค!  น้ำลายเจ้า!”

เสี่ยวหมีทำตาเยิ้มแล้วเขย่าหัวเหมือนกำลังหัวเราะดังซี่ ๆ  แล้วรีบวิ่งแจ้นออกไปนอกห้อง

“นายน้อย   รีบเก็บข้าวของเถอะ  ไม่งั้นบ่าวกับเสี่ยวหมีไม่รอแล้วนะ”

เสียงของหลิวเกายังเร่งเร้าเขาจากข้างนอก  ซีคงหยูทึ้งผมตนเองเมื่อพบว่าการนอนอู้ตอนบ่ายถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง


++++++



หลิวเกาและเสี่ยวหมี  นำคนหน้ามุ่ยแบกข้าวของย้ายไปยังที่พักศิษย์ชั้นใน   มันเป็นถ้ำเซียนที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขา  ให้บรรยากาศที่พำนักของผู้บำเพ็ญพรตมากกว่าเรือนพักแบบปุถุชน   ภายในถ้ำมีพลังปราณไหลเวียน  ว่ากันว่าภายใต้ยอดเขาวารีพิสุทธิ์มีเหมืองแร่วิญญาณเซียนอยู่  ซึ่งจะมีพลังปราณรั่วไหลส่งมาหล่อเลี้ยงถ้ำเซียนของศิษย์ในสำนัก

คุณชายสามสูดหายใจลึก  เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมระดับขั้นบำเพ็ญพรตของศิษย์สำนักจึงก้าวหน้าได้ง่ายในตอนที่ไปสู้ที่เขาจิ้งซาน   เพราะบริเวณใกล้เหมืองแร่จะมีความหนาแน่นของพลังปราณมากกว่าพื้นที่ทั่วไป  และเขาเพิ่งสัมผัสมันได้เมื่อประสาทสัมผัสเฉียบไวขึ้นจากการก้าวหน้าของระดับขั้นบำเพ็ญพรต

ตะวันขึ้นสายเป็นขั้นตอนการสร้างนิสัยใหม่ในการไหลเวียนของปราณ  โดยทั่วไปแล้ว  พลังปราณอยู่ในธรรมชาติ  อยู่ในสิ่งต่าง ๆ ภายใต้ฟ้าและดิน  มนุษย์ปุถุชนหายใจเข้าและออกก็จะมีพลังปราณไหลเวียนเข้าไป  แต่กลไกโดยธรรมชาติของมนุษย์จะทำให้เข้าปราณที่ไหลเวียนไม่ถูกเก็บกัก  มันช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย  ทว่าไม่สามารถเรียกใช้ได้  เหมือนกับแม่น้ำลำคลองที่ขุดลอกโดยตลอด  และมีน้ำไหลเวียนตลอดเวลา  ขณะที่การบำเพ็ญพรตเพื่อย่างเข้าสู้เขตแดนตะวันขึ้นสาย  ผู้บำเพ็ญพรตจะมีวิธีการหายใจและการโคจรปราณให้เกิดพื้นที่ว่างบริเวณท้องน้อย  หรือที่เรียกว่าจุดตันเถียน  โดยจะมีมนตรากำกับการหายใจ  ซึ่งก็คือการสร้างวงจรภายในร่างให้เริ่มเปลี่ยนนิสัยของร่างกายในการรับปราณให้มากขึ้นและปล่อยปราณไหลเวียนกลับสู่ฟ้าดินให้น้อยลง  อุปมาเหมือนกับฝายหรือเขื่อนกั้นน้ำที่มีประตูระบายน้ำเล็ก ๆ  ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญพรตระดับตะวันขึ้นสาย  ตราบใดที่เขายังหายใจอยู่  พลังปราณก็จะสะสมในจุดตันเถียนมากขึ้น ๆ  ทำให้ระดับขั้นบำเพ็ญพรตก้าวหน้าโดยอัตโนมัติ  ทว่าหากผู้บำเพ็ญพรตไม่ขวนขวายหาวิธีอื่นในการช่วยสะสมปราณ  กว่าที่พวกเขาจะบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยก็อาจจะใช้เวลาเป็นสิบปี

สำหรับเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย  คือการที่ผู้บำเพ็ญพรตใช้สายฟ้าทำปฏิกิริยากับดวงตะวันในจุดตันเถียน  ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า [การก่อรูปภายนอกของปราณ]   นั่นก็คือเมื่อพลังปราณเต็มขีดจำกัดของตันเถียน  มันจะควบแน่นและก่อตัวเหมือนเมฆหมอกที่เกาะกุมรอบ ๆ ดวงตะวัน  ซึ่งเมฆหมอกพวกนี้จะเชื่อมต่อตันเถียนเข้ากับอวัยวะทั้งห้าและสัมผัสทั้งหก  ทำให้ผู้บำเพ็ญพรตมีสายตาเฉียบไว  มีหูที่ฟังเสียงได้แม่นยำ  และอื่น ๆ  นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผู้บำเพ็ญพรตขั้นนี้จะรู้สึกว่ามองเห็นโลกได้ชัดเจนขึ้น  เหมือนกับแง้มดูความลับของธรรมชาติและสัมผัสเศษเสี้ยวของเต๋าอันยิ่งใหญ่

ในขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อย  มนตราดึงดูดปราณเข้าร่างกายก็ยังจำเป็นอยู่  ทว่าสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการส่งปราณที่ก่อรูปเข้าไปหล่อเลี้ยงอวัยวะทั้งห้าและสัมผัสทั้งหก  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการมนตราอีกบทที่ใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะและประสาทสัมผัสโดยเฉพาะ

วารีพิสุทธิ์มีมนตราพื้นฐานของสำนักที่แจกให้กับศิษย์แต่ละระดับ  ซึ่งไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับมนตราชั้นสูงและมนตราลับ  ซึ่งถ่ายทอดจากอาจารย์สู่ศิษย์  หรือต้องใช้การแลกเปลี่ยน  อาทิเช่น  แต้มความดีความชอบ  นอกจากนั้นยังมีมนตราเฉพาะตน  ซึ่งเป็นวิธีการหายใจและสร้างวงจรที่ออกแบบให้กับคนคนเดียวโดยเฉพาะ  โดย [นักออกแบบวงจร] จะวิเคราะห์โครงสร้างของร่างกายและจุดตันเถียน  เพื่อออกแบบมนตราที่มีประสิทธิภาพที่สุด  ทว่านั่นคือสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับศิษย์สำนักและชาวยุทธทั่ว ๆ ไป

ทว่าสำหรับซีคงหยู  อย่าว่าแต่มนตราเฉพาะตน  มนตราอื่น ๆ นอกจากมนตราพื้นฐานเขาก็ไม่มี  ตำราวิชาเซียนสามสิบหกแผนบันทึกมนตราไว้แต่ของระดับตะวันขึ้นสาย  ซึ่งเขาสงสัยว่าอาจจะเป็นมนตราขั้นสูงมาก ๆ ถึงทำให้เขาบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่ยืนเหม่อ  เขาก็พบว่า  สองเตียงหินในถ้ำถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว 

“เสี่ยวหมี..”

“อ๊อออออ?”

“เจ้าก็นอนเตียงด้วยหรอ”

เสี่ยวหมีฟังแล้วก็ผงกหัวประหลก ๆ

ซีคงหยูหันไปมองหลิวเกา

“หลิวเกา..”

“นายน้อยมีอะไรให้บ่าวรับใช้”

“ได้ข่าวว่าเจ้ามีถ้ำของตัวเอง  ดีกว่าข้าอีก”

“โอ้  ไม่นึกว่านายน้อยก็ข่าวไว”

“ฮ่า ๆๆๆ”  ซีคงหยูหัวเราะแล้วชี้หน้าหนึ่งหมีหนึ่งคน  “ดีมาก  ดีมาก ๆ  พวกเจ้าอยู่ด้วยกันตามสบาย  เดี๋ยวข้าไปยึดถ้ำเจ้าเอง”

คุณชายสามกล่าวจบก็หอบที่นอนและหมอนของตนเองผลุนผลันออกไป

“ช้าก่อน นายน้อย”

เสียงตะโกนตอบกลับมาจากข้างนอกทันที  “เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้วหลิวเกา  ถ้ำเซียนของเจ้าข้าจะฝืนใจรับเอาไว้ก็แล้วกัน วะฮ่าๆๆๆๆ”

“บ่าวกำลังจะบอกว่า...”

ซีคงหยูไม่รอฟัง  รีบแจ้นไปหาถ้ำเซียนของหลิวเกาทันที



++++++



“ฟัค!”  ซีคงหยูทุบประตูถ้ำอย่างโกรธเกรี้ยว  “ข้าลืมจิ๊กกุญแจมา”

เมื่อสงบสติอารมณ์  คุณชายสามก็หันซ้ายหันขวา   และพบว่าศิษย์สำนักในถ้ำข้างเคียงชะโงกออกมาดูเขาด้วยความสนอกสนใจ

“เจ้าใช่หลิวเกาที่เข้ามาใหม่หรือเปล่า”  ผู้กล่าวถามเป็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม  ตาของนางโตและแวววาวเหมือนลูกแก้ว  ชุดโบราณสีฟ้าอ่อนพลิ้วสะบัดไปมาตามลม

“ข้า...”

นางรีบกระโดดข้ามรั้ว  แล้วเดินวนดูสำรวจรอบ ๆ  “หืม...ทำไมเจ้าไม่เห็นเหมือนที่เขาร่ำลือกัน  ไหนพวกนางบอกว่าเจ้าน่ะสูงองอาจผึ่งผาย  สมชายชาตรี  ใบหน้าหล่อเหลาประดุจหยก  ฝีมือยังสูงล้ำประดุจปีศาจ  แต่ข้าดูแล้ว  เจ้าก็โซ ๆ”  นางกล่าวแล้วก็ส่ายหน้า

“โลลิอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร  เหนือฟ้ายังมีฟ้า  เหนือหลิวเกายังมีข้า..ซีคงหยู!”

“อ้อ...”   คราวนี้นางเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น  “..ที่แท้เจ้าก็คือศิษย์น้องลุงในตำนานคนนั้นนี่เอง”   ว่าแล้วนางก็จิ้มเอวและท้องของเขาเหมือนกับกำลังพิจารณาของแปลก

“เพ้ย  เด็กโลลิปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม  เจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่!”

นางฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย  “ได้สิ  ศิษย์พี่ลุง”

ซีคงหยูทึ้งผมตนเอง  ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่สนใจนาง  เขานั่งพักที่บันไดหน้าประตูถ้ำอันปิดสนิท

“เฮ้  แล้วเจ้ามาหาศิษย์น้องหลิวงั้นรึ  เขายังไม่มาหรอก”

“ฮึ่ม   ข้ามาเดินเล่นเฉย ๆ”  จะให้เขายอมรับได้ยังไงว่าตั้งใจมายึดถ้ำแต่ไม่สำเร็จ

ทว่าสายตาของนางมองที่นอนและหมอนในมือของคุณชายสามแล้วปิดปากอุทาน  “เจ้าจะมานอนกับเขา  หรือว่า..พวกเจ้า!”

“หยุดความคิดบัดซบของเจ้าเลยนะ  โลลิ”

“ฮี่ ๆ  ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”   นางหัวเราะแล้วก็มานั่งข้าง ๆ โดยที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญ  “ได้ข่าวว่าเจ้าสนิทกับศิษย์น้องหลิวงั้นหรือ”

คุณชายสามเหล่ตามอง  “เจ้าสนใจเขางั้นรึ”

“ฮิ ๆ ใครล่ะจะไม่สนใจ  ผู้ชายคนเดียวในสำนักก็เหมือนบุปผาโดดเดี่ยวที่เบ่งบานท่ามกลางทะเลทราย”  นางพูดพลางประสานมือน้าวไปข้างหน้าด้วยนัยน์ตาเคลิ้มฝัน

“แล้วข้าไม่ใช่ผู้ชาย?”  ซีคงหยูชี้หน้าตัวเอง   แต่สิ่งที่ตอบเขาคือการย่นจมูกของเด็กสาว

“ศิษย์พี่ลุงเป็นผู้อาวุโส  ควรแก่การเคารพสักการะของชนรุ่นหลัง”

“เจ้า..”

เมื่อเห็นซีคงหยูพ่นลมหายใจฟืด ๆ เหมือนวัวกระทิง   นางก็แลบลิ้นแล้วบอก

“ข้าล้อเล่น  โถ  ศิษย์พี่ลุงยังหนุ่มยังแน่นทำไมใจน้อยนัก”

“ฮึ่ม  ถือว่าเจ้ายังรู้สำนึก”  เขากล่าวแล้วก็เลิกคิ้วถาม  “แล้วมีข่าวลืออะไรเกี่ยวกับข้า  ที่เจ้าพูดว่าศิษย์น้องลุงในตำนานคืออะไร”

“ฮี่ ๆ  ท่านอยากรู้จริง ๆ หรอ”

ซีคงหยูชักลังเลว่าควรจะอยากรู้ดีหรือไม่

“ตำนานรักสามเส้าของเจ้ากับจอมยุทธหลี่และจอมยุทธซ่ง  ถูกเอาไปทำเป็นแฟนฟิคแพร่หลายอยู่ในสำนักตอนนี้”

“เฮเว่นอะโบฟ!”

“ซีคงหยูครวญครางเสียงกระเส่า  ร่างบางผวากอดเรือนกายอุ่นที่ทาบทับอย่างตระหนกเมื่อถูกรุกล้ำ  ซ่งมู่เป่าลมเบา ๆ ที่ข้างใบหูของเจ้าของใบหน้าหวานพลางกระแทกแก่นกายเข้าไปเป็นจังหวะ..”

นางหยิบตัวอย่างแฟนฟิคมาอ่านให้เขาฟังโดยที่ไม่ได้ร้องขอ

“ฟัค!”

ซีคงหยูอุทาน  หน้าแดงฉาดฉาน  ภาษาช่างเปิดเผยเสียจนเขาเผลอนึกภาพตามไปด้วย

ในตอนนั้นเอง  ก็มีเด็กสาวอีกคนเดินกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดมาจากภายนอก  นางก็เป็นอีกคนที่กระโดดข้ามรั้วมา  อา...ข้ารู้ว่าเจ้ามีวรยุทธ  แต่ประตูอยู่ตรงนั้น..

“ศิษย์พี่เหยา”   เจ้าของแววตาสดใสและใบหน้าที่คุ้นเคยกล่าวทักทาย  จากนั้นหันมาทางซีคงหยู   “เอ๊ะ  เจ้าก็มานี่ด้วย”

“ศิษย์น้องเหยียนสบายดี?”  คนที่นั่งข้าง ๆ ซีคงหยูเอ่ยทัก

“ขอบคุณที่ศิษย์พี่หลู่เป็นห่วง  ที่ข้าแวะมาเพราะว่าต้นฉบับเรื่องต่อไปเสร็จแล้ว”

ศิษย์น้องเหยียนยื่นกระดาษสี่ห้าแผ่นในมือให้กับเพื่อนใหม่ของซีคงหยู  นางรับไปอ่านแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ  ซีคงหยูชะโงกมอง  ก่อนจะอุทานอีกที

“ฟัค!  แฟนฟิคพวกนี้ฝีมือเจ้าเรอะ!”  เขามองศิษย์น้องเหยียนด้วยอารมณ์อยากไปกระชากคอมาเขย่าเต็มแก่

“งานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยชม”  ศิษย์น้องเหยียนกล่าวอย่างถ่อมตน

“เอ่ยชมน้องสาวเจ้าสิ!  เจ้าทำลายชื่อเสียงข้าย่อยยับ  ต่อจากนี้ผู้หญิงที่ไหนจะคิดเอาข้าไปเป็นเมีย..อาเพ้ย  สามี”

ศิษย์น้องเหยียนมองเขาด้วยสายตาสงสาร  จากนั้นตบบ่า  “ศิษย์พี่ซีคง   จากที่เห็นที่จิ้งซาน  ท่านไปกระโดดแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่ออก  ที่ข้าเขียนแฟนฟิคนั้นเรียกว่าเสริมเติมแต่งในสิ่งที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว”

ซีคงหยูเหลือกตาใส่  จากนั้นลุกหอบหมอนกับที่นอนหนี 

“ช้าก่อน  ท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปหาแม่น้ำเหลืองน่ะสิ  ถ้ากระโดดแล้วไม่หายก็จะไปแม่น้ำแดง ส้ม เขียว คราม ม่วงต่อ”

“สีรุ้ง”  พวกนางหันมาสบตากันเป็นนัย

ซีคงหยูคร้านจะคุยกับพวกนางเลยรีบหนีกลับถ้ำเดิม


+++++


เมื่อกลับมาถึง  เขาก็เห็นหลิวเกานอนเล่นป้ายหยกในมือ  ซีคงหยูรีบสะกิดเท้าพุ่งตัวไปตะครุบ  ทว่าหลิวเกาพลิกมือหลบกระบวนท่าอย่างว่องไว

“เอากุญแจถ้ำมา”  เมื่อเห็นว่าใช้กำลังไม่สำเร็จ  ซีคงหยูก็แบมือออกคำสั่ง

“นายน้อย  นี่ไม่ใช่แค่กุญแจถ้ำ  แต่เป็นป้ายหยกประจำตัวของศิษย์แต่ละคน  บ่าวให้ท่านไม่ได้หรอก”

ซีคงหยูฟังแล้วขมวดคิ้ว  “แล้วเจ้าเข้าถ้ำข้าได้ไง”

“แอ่นแอ้น  เพราะข้ามีนี่ไง”   หลิวเกาชูมือซ้าย  ที่มีป้ายหยกลักษณะเดียวกัน  ซีคงหยูรีบตบอกเสื้อตนเองอย่างตกใจเพื่อหาของที่เก็บไว้  แล้วร้อง

“ป้ายหยกของข้า!”

หลิวเการีบโยนป้ายหยกคืนให้

“ทำไมเราไม่สลับป้ายกัน”  ซีคงหยูออกไอเดีย

“ท่านจะเป็นหลิวเกาหรอ”   เจ้าของเสียงทุ้มหรี่ตาถาม

“เป็นหลิวเกาจะยากอะไร  ทั้งหน้าตา  ทั้งวรยุทธข้าก็ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า”  ซีคงหยูกอดอกกล่าว

“ฮี่ ๆ  แต่บ่าวคงต้องปฏิเสธ  นายน้อยจะโยนหนี้แต้มความดีความชอบพันกว่าแต้มให้บ่าวไม่ได้นะ”

“ชิชะ  รู้ทันด้วย”

ซีคงหยูจุ๊ปาก  แล้วหันไปหาเสี่ยวหมีที่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียง  แล้วใช้เท้าเขี่ย

“หมีอะไรเอาแต่กินกะนอน”

“อ๊อออออออออ”  เสี่ยวหมีร้องพลางส่ายหัวอย่างงัวเงีย

“เสี่ยวหมีบอกว่า  มันเลียนแบบนายน้อยไง”  หลิวเกาออกความเห็นจากเตียงฝั่งตรงข้าม

ซีคงหยูทำหูทวนลม  ช่วงนี้เขาโดนรังแกจนมีภูมิคุ้มกัน 

“เสี่ยวหมี  ข้าให้เจ้าเลือกสองอย่าง  หนึ่งสละเตียงให้ข้านอน  สองสละหนังหมีให้ข้าปูนอนที่พื้น”

เสี่ยวหมีลืมตาโพลง

“อ๊อออออออออออ!”

“โอเค  รีบลงไปได้แล้ว”  ซีคงหยูถีบเสี่ยวหมีที่คลานลงจากเตียงแล้วเริ่มปูที่นอน  วางหมอนเสร็จ  เอนตัวนอน  ดึงผ้าห่มคลุมตัว  ก่อนจะนึกขึ้นได้  ผงกหัวขึ้นมา

“หลิวเกา  เจ้าอย่าลืมเตรียมอาหารเย็น”

ผู้รับคำสั่งส่ายหัวยิ้ม ๆ  ก่อนโยนป้ายหยกในมือเล่นต่อ




++++++
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 05-11-2017 19:35:45
ไปขอรูปจากศิษย์น้อง น่าจะเสี่ยวหมี  (http://www.mx7.com/i/26c/rLH0nd.jpg) (http://www.mx7.com/view2/AdQuHGO4jf3LotIm)
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-11-2017 19:43:35
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-11-2017 19:47:00
เสี่ยวหมี5555หลังๆเป็นกิ้งก่าแล้วค่ะ ไม่หมีแล้ว ไม่ก็นก นกสองหัวด้วย55
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-11-2017 22:06:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 06-11-2017 18:42:02
นายน้อยเป็นลูกครึ่งหรอ ผมน้ำตาล ตาเขียว อย่าบอกนะว่าแม่มาจากมิติอื่น ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: llSJAr34 ที่ 06-11-2017 20:35:52
นายน้อยเป็นลูกครึ่งหรอ ผมน้ำตาล ตาเขียว อย่าบอกนะว่าแม่มาจากมิติอื่น ฮี่ๆ
  คิดอยู่เหมื่อนกันทั้งภาษาแปลกๆ แล้วอะไรที่ชาวบ้านเขาไม่รู้จักแต่ตัวเองเข้าใจ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-11-2017 21:28:32
โอ๊ย........ขำก๊ากกกก เลย
พี่รอง   ไม่ถือสาที่มีคนหมิ่นหยามว่าจู๋สั้น  เพราะปกติก็ไม่ได้ใช้จู๋อยู่แล้ว  อามิตตาพุทธ

โธ่.....โถ ถัง กะละมังแตก หยู ติดลบ เป็นหนี้มิใช่น้อย
สำนักวารีพิสุทธิ์นี่ หน้าเลือดไม่เบา
ไม่สั่งสอนวิชา แต่พองานไม่สำเร็จ ลงโทษอี
แล้วดูสิ พอหยูเอ่ยปากยืมเงิน แม้แต่เสี่ยวหมี ก็กระโดดถอยห่างเสียด้วย อ๊ออออออ

เสี่ยวหมี จะรู้มากเกินหมีไปละ   :laugh:
มีแปลงกายได้ด้วยจากหมี เป็นนก มีหัวมากกว่าหนึ่งหัวด้วย เก่งสุดๆ
แล้วยังเมินเฉยหยู ไปยอบตัวให้หลิวเกาขี่หลังอีก โธ่......หยูเป็นตัวแถมตัวจริง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ปราณ ที่สำนักวารี น่าจะทำให้หยูก้าวหน้าขึ้นอีกนะ  :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 06-11-2017 22:18:18
รอตอนต่อไปคะ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-11-2017 23:16:15
แม้แต่หลิวเกากับเสี่ยวหมีก็รังแกเจ้า

เมียน้องอวิ๋นนี่น่าสงสาร

ว่าแต่....ฟิคนั่นมาถึงกทม.ยัง? ฉันหยอดกระปุกรอแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: JAJii ที่ 09-11-2017 16:45:14
อ่านรวดเดียว ไม่ปลื้มน้องอวิ่นแล้วอะ ทิ้งได้ตอนนี้ อนาคตก็ทิ้งได้มากกว่านี้ หาผู้ใหม่ไปเย้ยเลยไป้  :m31: :z6:
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 23-11-2017 22:01:59
สนุกมาก อ่านรวดเดียวเลยกว่าตามทัน
ในเรื่องนี้เกรียนทุกคนเลยตั้งแต่ตัวประกอบยันนักพตร จากมุมมองของเราเองนะคนที่น่าสงสารที่สุดในตอนนี้ก็น่าจะเป็นน้องอวิ๋นนั่นแหละ โดนกดดันจากหลายทิศทางเลย ด้วยตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบ การวางตัว คนในปกครอง ต้องต่อสู้กับความรู้สึกในใจอีก ที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวคงเป็นแบบนี้ละมั้ง
ส่วนอามู่ ก็สงสารแต่การรักโดยไม่ยั้งคิดก็มักเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะแสดงให้เห็นว่ามุ่งมั่นและจริงใจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรลืมว่าอาหยู่กับพี่ใหญ่ จะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจทั้งคู่ก็เป็นคู่หมั้นกัน แต่เพราะอายุยังน้อยหัวใจเลยมาก่อนเหตุและผลเสมอ น่าสงสารคนละแบบ
นที่น่ากลัวที่สุดน่าจะเป็นจ้าวละมั้ง ฉลาดเกิน

แต่ยังไงก็จะคอยติดตามนะคะว่า น้องอวิ๋นจะไถ่โทษอาหย่ยังไง สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-12-2017 12:45:10
รวดเดียวจบ ต้องตามต่อ

เป็นอะไรที่จี้เบาๆ
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 03-03-2018 17:42:27
แอบมองเธออยู่นะจ้ะ :ruready
หัวข้อ: Re: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-03-2018 21:48:08
ยังรอนะคะ

ส่งกำลังใจให้คุณคิริมันจาโรค่ะ