พิมพ์หน้านี้ - เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: mooaiir ที่ 05-07-2013 16:35:19

หัวข้อ: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 05-07-2013 16:35:19
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

---------------------------------------------

ก็จะเป็นแนว นายเอกตามตื้อ ตามจีบพระเอกอ่ะค่ะ
พระเอกก็นักเลงๆหน่อย โหดนิดๆ
อิมเมจที่ปิ๊งขึ้นมาเลยคือพระ-นายจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง Yume Musubi, Koi Musubi
แบบ...เหมือนมากๆ ใช่เลย นี่แหละพระ-นายของฉัน! 555


(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/03copy_zps3759dd70.jpg)

(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/01copy_zps12624071.jpg) (http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/photo_zps1f70e772.jpg)

เพราะตลอดชีวิต โดนแต่กดขี่ข่มเหงและรังแกสารพัด
เมื่อได้รับอิสระ จึงมีความคิดเยี่ยงกบฏ
ความต้องการในใจแรงกล้า ขนาดว่ายอมแลกทุกอย่าง
แม้กระทั่งศักดิ์ศรีน้อยนิดของตัวเอง
สิ่งที่เขาต้องการ คือใครก็ได้ ที่จะช่วยให้เขาสมปรารถนา
จะยอมตามก้นทุกคนที่มีพลังมากพอจะช่วยเขาได้...
แม้ว่านั่นจะเป็น ผู้ชายที่โหดแบบเหี้ยๆคนนั้นก็ตาม !
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | Intro
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 05-07-2013 16:37:01
Intro

เขาเคยมีชีวิตโดยที่ไม่รู้ถึงความหมายของมัน

ทุกๆวันต้องโดนกดขี่ข่มเหง ถูกเอาเปรียบ และกลั่นแกล้ง

ต้องสูญเสีย ทั้งอิสระ ศักดิ์ศรี ความสุข และคนที่รัก

 

เธอคือคนที่ช่วยเขาออกมาจากสิ่งที่เรียกว่านรก

ก่อนจะมอบชีวิตใหม่ให้

จึงมีจุดหมายยิ่งใหญ่ก่อเกิดขึ้นมาในใจอีกครั้ง...

 

จะต้องมีชีวิตที่ดี ดีกว่าใครๆ

จะต้องมีเงินทองมากมาย มากกว่าใครๆ

มีอำนาจ มากพอที่จะไม่โดนใครดูถูกอีก

จะต้องเอาทุกอย่างที่เสียไปกลับคืนมา

และชิงทุกอย่างจากคนที่เคยแย่งไป

จะไม่กลับไปเป็นคนอ่อนแอขี้แยอีกแล้ว...

.

.

.

เด็กผู้ชายตัวผอมแห้งในชุดนักเรียนของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา มาทำอะไรอยู่หน้าโรงเรียนอันธพาลอย่างวิไลวิทย์ในตอนเย็นวันศุกร์แบบนี้กัน

เขาค่อยๆกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก่อนจะทำใจกล้าเดินผ่านรั้วสีดำสนิทตรงหน้าเข้าไป สายตาน่ากลัวของทั้งชายและหญิงต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาตรงขมับทั้งสองข้าง หัวใจเต้นถี่รัวด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัว

ผลัวะ!

เสียงกำปั้นหนักหน่วงดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนทั่วบริเวณ ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างของผู้ชายคนหนึ่งก็ลอยมาหยุดอยู่แทบเท้าของคนตัวเล็ก เขารีบก้าวเท้าถอยหนีเมื่อเห็นว่าเด็กที่เพิ่งโดนอัดจนสลบไป กำลังใส่เสื้อของโรงเรียนเดียวกัน

แต่กว่าจะตั้งสติได้ทัน ผู้ชายหน้าตาแข็งกร้าวก็เข้ามาคว้าข้อมือเอาไว้ซะก่อน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองลงมาอย่างเหยียดหยาม มีเม็ดเหงื่อเกาะไปตามเส้นผมสีดำสนิท ถูกซอยสั้นระต้นคอ ดูเหมาะกันดีกับผิวสีขาวอมเหลือง กล้ามเนื้อน่าหลงใหลแสดงออกมาให้เห็นผ่านเนื้อผ้า บวกกับจมูกที่โด่งเป็นสัน ยิ่งเสริมให้ภาพตรงหน้าดูคล้ายความฝันก็ไม่ปาน ริมฝีปากบางสีธรรมชาตินั่นเผยออกเล็กน้อย

“นายเป็นพวกมันเรอะ!?”

“ปละ...เปล่าครับ”

“แล้วมาทำอะไร?” พอรู้ว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน น้ำเสียงแววตาก็เริ่มอ่อนลงอย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความน่ากลัวเอาไว้ไม่คลาย ผู้ชายคนนี้คือเป้าหมายของเขา...

“เอ่อ ผ..ผมชื่อพะภูครับ แล้วผมก็มาหาคุณ”

“มาหาฉัน? มีอะไร?”

“คือว่า...ชะ ช่วยคบกับผมด้วยครับ!” มือข้างที่ว่างรีบควานหากล่องช็อกโกแลตบาร์ในกระเป๋า ก่อนจะยื่นไปให้ คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางรำคาญเต็มที

“โทษทีนะ แต่ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น”

“ต..แต่ว่า..”

“นายกลับไปได้แล้ว”

“แต่ถ้าลองคบกันดู คุณอาจจะชอบผมก็ได้!” ยืนยันเสียงหนักแน่น ทั้งที่ในใจอยากจะแหวกอกตัวเองออกเป็นสองส่วนซะเดี๋ยวนั้น คำที่พูดออกไปทั้งน่าอับอายและน่ารังเกียจ

“กลับไปไ...”

“ขอร้องล่ะ คบกับผมเถอะนะครับ”

“บอกให้กลับไปได้แล้ว!!”

ร่างผอมถูกผลักจนล้มไปกองกับพื้น ก้นกระแทกปูนหนาเสียงดังตุบ กล่องช็อกโกแลตในมือลอยไปหลุดอยู่ใกล้ๆรองเท้าหนังสีดำวาว คนที่ผลักตวัดสายตากลับมามองด้วยท่าทีโหดร้าย คำพูดที่ใช้เปลี่ยนไปตามระดับความหงุดหงิด

“กูไม่คิดจะเอาเด็กผู้ชายแบบมึง!”

กล่องช็อกโกแลตที่เตรียมมา ถูกเหยียบจนแบนเละ ก่อนที่แผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นจะหายออกไปจากประตูโรงเรียน คนตัวเล็กค่อยๆพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้น ท่ามกลางสายตาหลากหลายความรู้สึกของเด็กนักเรียนที่นี่ สองมือกำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ทางออกว่างเปล่า...

นายกีรติ อัครโภคิน ครั้งหน้าจะไม่มีวันได้พูดแบบนี้แน่!!

-----------------------------

ฝากเด็กใหม่เราด้วยเน้ออ
พี่ติ กับ พะภู


 :man1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | Intro
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 05-07-2013 17:06:41
พระเอกโหดไปไหนเนี่ยย ดราม่าเยอะรึป่าวคะจะได้ทำใจก่อนอ่าน555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | Intro
เริ่มหัวข้อโดย: LoleNz_Floer ที่ 05-07-2013 17:10:04
เข้ามาเจิมจ้า  :mc3: :mc3: :mc3: :mc2: :mc2: :mc2: แนวแบบนี้ชอบมากมาย อ๊ายยยยยโชตะจงเจริญ :hao7: :hao7: :hao7:
 :bye2 :bye2: :bye2:  ปอ.ลิงใครแซกฉ้านนนนนนนนน :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | Intro
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 06-07-2013 13:10:29
สู้ๆไอ้น้องชาย ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 06-07-2013 14:27:20
 เราชอบแนวนี่มากๆเลยยยยยย  :katai1:  รอติดตามค่ะ :hao3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 06-07-2013 14:30:10
บทที่ 1

 

“พี่พาย คนที่รวยที่สุดในโรงเรียนคือใครครับ?” เด็กผู้ชายเอียงคอถามคนที่เหมือนเป็นพี่สาว

“ก็คงเป็นน้องชา ลูกชายผู้อำนวยการล่ะมั้ง”

“แล้วเขายิ่งใหญ่มากไหมครับ มีอำนาจคับโรงเรียนเลยสินะ”

“เอ่อ เท่าที่เห็นก็ไม่นะ ถึงจะมีเรื่องกับเด็กอื่นบ้าง แต่เขาเป็นเด็กดี ไม่เคยใช้ความเป็นลูกชายผอ.ในทางที่ผิดหรอกจ๊ะ”

“ไม่เท่เลย”

พายหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยีหัวน้องชายเล่น เด็กคนนี้น่าสงสารมาก ต้องสูญเสียครอบครัวไป และถูกใช้งานเยี่ยงทาสมาตลอดหลายปี ชีวิตคืออะไรก็คงไม่เข้าใจหรอก ถ้าวันนั้นเธอไม่ผ่านไปช่วยออกมา ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไง

“ถ้าพะภูอยากเห็นคนเท่ๆ พี่จะแนะนำให้”

“จริงเหรอครับ บอกหน่อยครับ” แววตาของคนตัวเล็กเป็นประกายขึ้นมา เขาต้องรู้จัก คนที่จะสามารถช่วยให้เขาสมตามใจหวังได้

“โรงเรียนพันธมิตรของโรงเรียนเรา... วิไลวิทย์ เป็นโรงเรียนที่บ่มเพาะพวกอันธพาลกับนักเลง”

“เอ่อ รสนิยมของพี่พายนี่ช่าง...” ไม่คิดว่าที่แนะนำมาจะเป็นโรงเรียนอันธพาล นี่คือสิ่งที่เธอเรียกว่าเท่งั้นเรอะ ผู้หญิงคนนี้บางทีก็แปลกเหมือนกันแฮะ

“นี่ ถึงจะดูเป็นนักเลง แต่ก็เต็มไปด้วยพวกคนรวยนะจ๊ะ”

“แล้วใครคือคนที่เก่งที่สุดของวิไลวิทย์ครับ?”

“คนนอกไม่ค่อยรู้ดีนักหรอก แต่ถ้าถามพี่นะ พี่ว่าน่าจะเป็นนายติ ลูกชายเจ้าของบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม”

“อ๋อ.. ท่าทางรวยน่าดูนะครับ แถมเก่งด้วย แล้ว...เขาหน้าตาเป็นยังไงหรอ?”

 

 

เด็กน้อยหน้าหวานในชุดกระโปรงสั้นของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา มาทำอะไรอยู่หน้าโรงเรียนอันธพาลอย่างวิไลวิทย์ในตอนเย็นวันจันทร์แบบนี้กัน

ผมสีดำยาวถึงกลางหลังถูกสะบัดไปมาอย่างน่ารำคาญ ก่อนจะทำใจกล้า เดินเชิดหน้าเข้าไปภายในประตูรั้วสีดำสนิท สายตาแปลกๆจากนักเรียนทั้งชายและหญิงต่างส่งมาไม่ขาดสาย จำได้งั้นเหรอ? มีคนจำเขาได้หรือเปล่า ขนาดลงทุนยอมยืมชุดนักเรียนกับวิกเพื่อนผู้หญิงในห้องมาใส่แล้วนะ ก็ถ้านายติไม่ชอบผู้ชาย เขาก็ย่อมเป็นเด็กผู้หญิงให้ได้เช่นกัน

“ขอโทษนะครั...คะ”

“หืออ เด็กธารวิทยามาทำอะไรที่นี่ยะ?”

น้ำเสียงหาเรื่องดังออกมาจากปากของยัยผู้หญิงหน้าปุ พะภูพยายามกลั้นความหงุดหงิดในตัวไว้ ก่อนจะตีสีหน้าใสซื่อ และแอ๊บเสียงเล็กเหมือนเดิม นี่มันโรงเรียนบ่มเพาะอันธพาลของแท้เลย ขนาดพวกผู้หญิงก็ยังกร่างไม่เข้าเรื่อง

“หนูมาหาพี่ติค่ะ” อยากตบปากตัวเองสักร้อยรอบ นี่เขาเพิ่งเรียกตัวเองว่า หนู เหรอเนี่ย!

“ชิ เด็กของติเองเรอะ โน่น ตึกแรกชั้นสองลองหาดู”

“ขอบคุณมากค่ะ”

มีความหมายบางอย่างปรากฏอยู่ในคำพูดเมื่อครู่ ‘เด็กของติ’ นี่แปลว่าเขาคงจะล่อลวงพวกเด็กสาวๆให้มาหาอยู่บ่อยครั้งสินะ แต่คราวนี้จะต้องเซอร์ไพรส์แน่ ที่เห็นว่าเด็กสาวอย่างที่ตัวเองชอบนักชอบหนา กลายมาเป็นนายพะภูคนนี้

พะภูเร่งฝีก้าวไปที่อาคารเรียนหลังใหญ่ด้านหน้าสุด เดินตามบันไดสูงขึ้นไปยังชั้นที่สอง ไม่เห็นวี่แววของติ มีแต่ผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจกำลังนั่งดูดบุหรี่กันอยู่หน้าห้องเรียนเท่านั้น แต่จะว่าไปไอ้เด็กโรงเรียนนี้มันก็ไม่น่าไว้ใจสักคนนั่นแหละ

“อ้าว สาวน้อยมาไงล่ะเนี่ย”

“อึ๋ยย”

ก่อนจะหันหนีได้ทัน หนึ่งในพวกมันก็ตรงเข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้ สองคนที่เหลือเดินมาอ้อมไว้ตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมาเชยขางของเขาขึ้น น่ารังเกียจโคตร!

“หน้าตาน่ารักนี่หว่า ชื่ออะไรจ๊ะ?”

“ทำไมต้องบอกขยะอย่างพวกแกด้วย?”

คนถูกจับยังคงเล่นเป็นเด็กผู้หญิงด้วยการบีบเสียงให้แหลมให้เล็กเข้าไว้ โชคดีที่เสียงเดิมก็ไม่ได้ทุ้มมากอยู่แล้ว ไอ้พวกนั้นถึงไม่สงสัยอะไร ถึงอย่างนั้นคำที่หลุดออกจากปาก ก็แสดงให้เห็นถึงความหงุดหงิดชัดเจน

“ปากดีนี่หว่า!”

ดวงตากลมโตของพะภูหลับลงทันทีที่ไอ้เหี้ยตรงหน้าเงื้อมือขึ้น เกิดเสียงตุบตับประหลาดดังอยู่ใกล้ๆ แรงตบที่ควรจะเกิดขึ้นกลับหายไปเสียเฉยๆ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆเลย ไม่นานนักมือที่มัดเขาไว้ก็คลายออก คนตัวเล็กค่อยๆปรือตาขึ้นเพื่อพบว่า ไอ้สามคนเมื่อกี้กำลังถูกใครบางคนต่อยลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนที่ผู้ชายตัวใหญ่สองสามคนจะตรงเข้าไปลากร่างพวกมันโยนลงไปทางบันไดแบบไร้ความปราณี

“พี่ติ!”

ฟุ่บ

วิกบนหัวของพะภูถูกเจ้าของหมัดหนักๆเมื่อครู่ดึงออกไปอย่างง่ายดาย ดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้ายังคงดูน่ากลัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงทุ้มถูกกดให้ต่ำลงไปอีก

“ทำบ้าอะไร?”

“ผมตั้งใจมาหาพี่ติครับ”

“จำได้ว่าฉันไล่นายไปแล้ว”

“ก็ผมคิดถึงพี่ตินี่ครับ อนุญาตให้ผมมาหานะครับ”

คนตัวเล็กกลั้นหายใจและรีบพาตัวเองเข้าไปหยุดอยู่ข้างๆร่างใหญ่ของติ มือเล็กคว้าแขนแกร่งของคนหน้าโหดมาเกาะไว้แบบไม่กลัวตาย สายตาออดอ้อนแบบเด็กๆถูกช้อนขึ้นมองคนสูงกว่า

“เพราะพี่ติบอกว่าไม่ชอบเด็กผู้ชาย วันนี้ผมเลยแต่งเป็นผู้หญิง”

“...”

“ไม่น่ารักหรอครับ?”

พลั่กก

“โอ้ยย!”

ร่างผอมแห้งของพะภูถูกติสะบัดแขนทีเดียว ก็ลอยลงไปกองกับพื้นแข็ง สายตาเหยียดหยามจิกลงมา พร้อมกับส้นรองเท้าหนังที่กดทับอยู่ตรงบริเวณหน้าแข้ง คนตัวเล็กกัดปากตีสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด ไอ้เหี้ย ร้าวเหมือนขาจะหักอยู่แล้ว!

สายตาของพะภูเบือนไปทางอื่น เมื่อเห็นว่าข้าวของในกระเป๋านักเรียนของตัวเองมันกระเด็นออกมา ก็รีบเอื้อมแขนไปควานหาบางอย่าง ยังคงมีสายตาน่ากลัวของคนด้านบนจับจ้องอยู่

“อ้ะ ค่อยยังชั่ว”

พวงกุญแจแก้วทรงกลม มีเม็ดสีแต้มอยู่ภายในสามจุดดูแปลกตา กลิ้งออกมาอยู่ในระยะมือของพะภูพอดี แต่ก่อนที่เขาจะคว้าไว้ได้ทัน ก็มีมือใหญ่ตรงเข้ามาหยิบเอาไปเสียก่อน ความเจ็บปวดที่ขาคลายออกไป พอให้พะภูยันตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง สายตาตกใจจ้องไปที่ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของติสลับกับพวงกุญแจในมือ พยายามไม่แสดงออกถึงความโกรธให้มากเกินไป

“พี่ติ ผมขอคืนด้วยครับ”

“ไอ้นี่มันสำคัญกับนายมากเหรอ?”

“...มะ...ไม่เท่าพี่อะครับ”

“หา?”

“มันไม่ได้สำคัญกับผมเท่าพี่ติหรอกครับ”

พะภูย้ำอีกครั้งให้คนตรงหน้าเข้าใจ สังเกตเห็นลูกน้องสองสามคนของเขากำลังทำท่าอยากอาเจียนเต็มทีแล้ว ยังไงก็ต้องพูดจาเอาใจไว้ก่อนแหละ ถึงแม้ว่าจริงๆแล้ว พวงกุญแจนั่นจะมีค่ามากกว่าชีวิตของนายติคนนี้เสียอีก

“ถ้างั้นก็ทิ้งมันไปได้สิ”

“เฮ้ยย!!”

ติแสยะยิ้มพอใจ เมื่อพะภูทำท่าจะรุดเข้าหา ตอนที่เขาแกล้งแกว่งพวงกุญแจในมือไปทางระเบียง บ้าชะมัด ผู้ชายคนนี้ดูเขาออกทุกอย่าง

“เลิกยุ่งกับฉัน และเลิกมาที่นี่อีก ไม่งั้นจะโยนมันทิ้งล่ะนะ”

“ไม่ครับ! ผมจะมาหาพี่ แล้วก็จะไม่ให้พี่โยนมันทิ้งด้วย” ทำปากดีไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจกลัวแทบตาย ไม่รู้ด้วยว่าต้องทำยังไงต่อไปดี สายตายังคงจับจ้องไปที่พวงกุญแจนั่นด้วยความเป็นห่วง

“คิดให้ดี ไอ้นี่มันดูสำคัญกับนายมากหนิ”

“ยังไงผมก็จะมาหาพี่ติ แต่ว่าพี่ติห้ามโยนพวงกุญเจทิ้งนะ ไม่งั้นผมจะกระโดดลงไปจริงๆด้วย!”

“อ้อ น่าสนุกดีนี่”

ฟิววว..

พวงกุญแจทรงกลมในมือถูกแกว่งเล่นอีกสองสามรอบ ก่อนที่คนตัวสูงจะจงใจปล่อยมือจากมัน เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เด็กผู้ชายในชุดกระโปรงก็รุดขึ้นไปบนที่นั่งติดระเบียง มือสองข้างยันท่อนอลูมิเนียมตรงหน้าไว้แน่น ก่อนจะตวัดตัวลงไปเบื้องล่างทันที

“เฮ้ยยย!!!”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ สายตาจับจ้องไปยังร่างเล็กที่เพิ่งทะยานลงไปจากระเบียงอย่างบ้าบิ่น ลูกน้องของเขารีบตรงเข้ามาก้มดูสถานการณ์ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของพวกผู้หญิงด้านล่าง


ไอ้เด็กนั่น...

------------------------------------------

ดราม่าไหม.. เราก็ไม่รู้ 555555
ไม่น่าจะนะ คือตอนนี้แต่งตอนต่อตอนเลยงะ
(เปรี้ยวมากอ่อ 555)
ยังคาดเดาตัวเองไม่ถูก พล็อตเปลี่ยนได้ตลอดเวลา อิอิ
แต่จะพยายามไม่ให้ดราม่านะ
แต่งดราม่ามาเยอะแล้ว ฮ่าๆ
ถ้าจะดราม่า ก็คงเพราะความใจร้ายของพี่ตินี่แหละ
 :hao5:

ถ้ายังไงฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ
มาเป็นกำลังใจให้พะภูกันเถอะว่าจะจับ เอ้ย จีบพี่ติได้หรือเปล่า!
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 06-07-2013 16:14:19
มันคงสำคัญมากๆเลยสิน่ะะ  :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 06-07-2013 16:15:03
ไม่เข้าใจความคิดพะภูเลยจริงๆ

หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: PapermintReal ที่ 06-07-2013 17:14:46
  :ruready เพิ่งตื่นนนนนนน กรี๊ดดดดดดด ขอถวายตัวไม่ถวายใจ ติดตามมม :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 06-07-2013 19:54:54
อ้ากกกกกก ชอบสาวดุ้น  :bye2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 07-07-2013 07:50:12
น้องกล้ามากกระโดดเลยเหรอ


จะตายไหมนั่น
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 07-07-2013 09:25:18
เข้ามาเชียร์เด็กน้อยพะภู จัดการอิพี่ติให้อยู่หมัดนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: done_dirt_cheap ที่ 07-07-2013 09:59:44
สู้สู้น้องภู
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: thepopper ที่ 07-07-2013 10:06:24
-.-
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 07-07-2013 12:58:00

เรื่องนี้น่าจะสนุกนะ

เปิดเรื่องได้น่าติดตามมากๆ

+ 1+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 07-07-2013 15:33:46
เห่ย!!! เจ๋ง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 07-07-2013 19:58:09
มันคงสำคัญมากๆเลยสิน่ะะ  :mew4: :mew4:

สำคัญมากเลยค่ะ ต้องติดตามดูน้าว่าเพราะอะไร ;D

ไม่เข้าใจความคิดพะภูเลยจริงๆ

ไม่เข้าใจเหมือนกันเลยค่ะ (อ่าว 5555)

  :ruready เพิ่งตื่นนนนนนน กรี๊ดดดดดดด ขอถวายตัวไม่ถวายใจ ติดตามมม :กอด1:

ขอบคุณมากเลยค่า ฝากตามต่อไปเรื่อยๆเลยนะค้า >w<

อ้ากกกกกก ชอบสาวดุ้น  :bye2:

แอบชอบอยู่เหมือนกัน เลยจัดซะเลย 555

น้องกล้ามากกระโดดเลยเหรอ


จะตายไหมนั่น

ตายแล้วเรื่องก็จบค่ะ........... (ไม่ใช่และ)

เข้ามาเชียร์เด็กน้อยพะภู จัดการอิพี่ติให้อยู่หมัดนะ

พะภูไม่ยอมแพ้แน่นอนค่ะ ยังไงก็ต้องเกาะพี่ติให้ได้ 555

สู้ๆๆๆคับ

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

สู้สู้น้องภู
 :mew1:

ขอบคุณมากค่า ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ :D

-.-

นักอ่านเก่าเรา จำได้! เย้ ดีใจที่ยังอ่านเรื่องของเราอยู่นะค้า ><

เรื่องนี้น่าจะสนุกนะ

เปิดเรื่องได้น่าติดตามมากๆ

+ 1+ เป็ดจ้า

ขอบคุณมากเลยค่ะ จะพยายามแต่งให้ดีที่สุดนะคะ ;)

เห่ย!!! เจ๋ง

พะภูใช่ป่าว ใจกล้าบ้าบิ่นมากเลย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: LoleNz_Floer ที่ 07-07-2013 20:03:57
มาชวกเป็ดให้จร้า  :mew1: :mew1: :mew1: ว่าแต่ทำไมพระเอกเรานิสัยอย่างนี้เนี่ย  :pigangry2: :pigangry2: :pigangry2: จับมันตอน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: †คุณเขียด ที่ 07-07-2013 22:18:00
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

แอร๊ยยยยย

รอค่ะรอ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 1 | 06/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 07-07-2013 22:41:31
ชื่อเรื่องมันโดน...*0*
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 08-07-2013 20:32:08
บทที่ 2

 

“พี่ติ?”

หนึ่งในลูกน้องของติรีบหันมาขอความเห็นจากพี่ใหญ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนิ่ง หางตาจับจ้องไปที่ระเบียง ลูกน้องอีกคนแตะบ่าเพื่อนเบาๆเหมือนเป็นสัญญาณให้ลงไปดูสภาพการณ์ด้านล่าง แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขา ติก็เป็นฝ่ายออกคำสั่งเสียงแข็ง

“มันอยากโดดลงไปเอง ไม่ต้องไปสนใจ”

“ต..แต่ว่า..”

“หุบปาก”

ทั้งชั้นเงียบลงทันที ความน่ากลัวของผู้ชายตรงหน้า เด็กทุกคนในวิไลวิทย์ประจักษ์กันดี การได้มาอยู่ภายใต้อำนาจของกีรติ ถือเป็นโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่หากขัดคำสั่งของเขาเมื่อไร ก็กลายเป็นเหยื่อได้ทุกเมื่อ คนสร้างเรื่องเดินไปคว้ากระเป๋านักเรียนของพะภูขึ้นมา ของด้านในส่วนใหญ่เป็นหนังสือเรียนกับเครื่องเขียน

ติถือกระเป๋าใบนั้นไปหยุดอยู่ริมระเบียงอลูมิเนียมของอาคารเรียน ก้มหน้าลงไปเห็นว่าเด็กนั่นยังไม่ได้นอนไส้ทะลักตามที่คาด สายตาที่ดูฝืนทำเป็นดีกำลังเงยขึ้นมองตัวเองอยู่เช่นกัน ท่ามกลางเด็กนักเรียนที่เริ่มวิ่งเข้ามามุงดูเหตุการณ์ ติตัดสินใจเทของในกระเป๋าลงไปกระแทกศีรษะของคนที่นั่งระบมอยู่เบื้องล่าง พะภูรีบกำพวงกุญแจที่คว้าได้เอาไว้แน่น ก่อนจะยกแขนขึ้นป้องตัวเองไว้พลางปิดตาสนิท

ต้องฝืนกัดริมฝีปากเอาไว้ทุกครั้งที่สันหนังสือร่วงลงมากระแทกร่างกาย จบท้ายด้วยกระเป๋าว่างเปล่าของตัวเองที่ลอยตามลงมา ผู้ชายที่ยืนส่งสายตารังเกียจอยู่บนชั้นสอง ตอนนี้หายไปแล้ว ลืมนึกไปเสียสนิทเลยว่า คนที่เก่งที่สุดของวิไลวิทย์ ก็ต้องหมายถึงคนที่ร้ายที่สุดเช่นกัน แบบนี้ก็เท่ากับว่าพะภูกำลังพาตัวเองเข้ามาในดงสิงโตชัดๆ และเป้าหมายของเขาก็คือพญาราชสีห์เสียด้วยสิ

“โอ..โอ๊ยยย”

“อย่าเพิ่งขยับ”

เจ้าของเส้นผมซอยสั้นกัดสีทองเด่นชัด ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนที่กำลังนอนแหมะอยู่กลางวงนักเรียนช่างสงสัย เสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นคล้ายพวกชอบจัดการ

“ขาหักซะล่ะมั้ง”

“โอ้ย เจ็บ! เจ็บ!!”

พะภูร้องเสียงหลงเมื่อโดนผู้ชายคนนี้เข้ามาจับๆตั้งแต่ต้นขาไปถึงหน้าแข้ง ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง การขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นมหัตภัยเมื่อมันทั้งร้าวทั้งระบม ชายแปลกหน้ากดโทรศัพท์หาใครบางคนและเข้ามาเช็ดเหงื่อให้ตนเองอย่างไม่ถือสา ทำตัวเป็นนักบุญน้ำใจงาม หมอนี่มันใครกัน คนแบบนี้สามารถมีชีวิตในโรงเรียนนักเลงแบบนี้ได้ยังไง

ไม่นานนักเสียงรถพยาบาลก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากนักเรียนคนอื่นได้อีกครั้ง ร่างของพะภูถูกหามขึ้นไปบนเปลตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด มีผู้ชายคนนั้นติดตามไปพร้อมกันด้วย

เมื่อตัวก่อเรื่องหายไป ไทยมุงก็ได้ฤกษ์แยกย้าย เด็กม.4หน้าจืดคนหนึ่งที่คอยเฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น รีบวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปยังอาคารเรียนหลังแรก ชั้นสองห้องสามคือจุดหมายของเขา ที่นั่นคือห้องเรียนในตอนเช้า แต่พอเลิกเรียนมันจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มเด็กผู้อยู่ใต้อำนาจของกีรติ

ประตูไม้ถูกเคาะเป็นจังหวะที่รู้กันแค่คนใน มีเด็กหน้าโหดเดินมาเปิดประตูให้ ก่อนที่เขาจะรีบตรงไปยกมือไหว้ผู้เป็นพี่ใหญ่ ทั้งห้องเงียบลงทันทีเพื่อฟังคำรายงาน

“ดูเหมือนเด็กของธารวิทยาจะไม่เป็นอะไรมาก แค่ขาหักเท่านั้นครับ”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน?” ผู้ชายหัวเกรียนคนหนึ่งถามขึ้น จากตำแหน่งการนั่ง ดูท่าทางจะเป็นที่นับถือในกลุ่มไม่ใช่น้อย

“ไปแล้วครับ”

“ไปไหน ขาหักแบบนั้นไม่น่าจะลุกไหวด้วยซ้ำ”

“มีรถพยาบาลมารับไปแล้วครับ”

“โฮ่ ใครใจดีไปช่วยมันวะ?”

“โรงเรียนเรามีคนบ้าแบบนั้นด้วยเรอะ ฮ่าๆๆ”

“ฮ่าๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะร้ายกาจตามประสาพวกอันธพาลดังขึ้นทั่วทั้งห้อง ทุกคนที่นี่เห็นการช่วยเหลือเด็กต่างโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กที่มาสร้างความรำคาญให้แก่นายตัวเอง เป็นเรื่องตลกสิ้นดี สาบานได้ว่าถ้าติรู้ตัวคนนั้น มันจะต้องรีบเพ่นออกไปจากวิไลวิทย์แทบไม่ทันแน่ แต่จากสีหน้าไม่สู้ดีของเด็กม.4ที่เข้ามารายงาน รวมทั้งสายตาวอกแวกประหลาด ก็ทำเอาเสียงหัวเราะเมื่อครู่ค่อยๆสงบลงตามลำดับ กลับกลายเป็นความเครียดที่ตรงเข้าเล่นงาน ความคิดเดียวกันเริ่มผุดขึ้นมาในหัวของทุกคนที่นี่

เพราะมันมีอยู่น่ะสิ คนที่ไม่ว่าจะทำใจดีกับใคร ก็ไม่มีทางถูกหัวเราะเยาะหรือเอาเรื่องได้...

ชายผู้เป็นมือขวาตลอดกาลของกีรติ เพื่อนสนิทคนเดียวของเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นคนสบายๆ ติดจะใจดีกับเพื่อนร่วมโลก แต่เวลาสู้ก็ไม่เคยแพ้

“เอ่อ..คือ...”

“พูดมาเถอะ”

“พี่เกต์เป็นคนไปช่วยมันไว้ครับ”

ทั้งห้องเงียบเป็นป่าช้า พยายามเหลือบตามองปฏิกิริยาของคนที่นั่งอยู่หน้ากระดาน ติได้แต่ถอนหายใจสั้นๆ เอือมระอากับการเป็นคนดีเกินไปของเพื่อนคนนี้ ไม่ดีแน่ถ้าไอ้เกต์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตนไปให้ความช่วยเหลือเด็กนั่น อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเขาเป็นห่วงเป็นใย จนไม่ยอมเลิกราวีเอาได้ ในหัวพยายามคิดหาวิธีการที่จะทำให้เด็กผู้ชายคนนั้นไม่นึกอยากเข้าใกล้ตัวเองอีก

ไม่นานนัก ริมฝีปากที่ปิดเงียบมานานก็เริ่มเผยอออก พร้อมคำสั่งล่าสุดที่ทำเอาลูกน้องทุกคน งงไปตามๆกัน

“เตรียมอะไรให้ฉันหน่อย คืนนี้เราจะไปเยี่ยมไอ้เด็กนั่นกัน”

 

“ผมไม่มีเงินหรอกนะครับ” คนเจ็บบนเตียงของโรงพยาบาลพูดขึ้น ขาข้างหนึ่งถูกเข้าเฝือกไว้พร้อมของแถมเป็นไม้ค้ำขนาดยาว ความเจ็บปวดทุเลาลงบ้างหลังได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ผู้ชายหัวทองก้มหน้าลงมองมือถือตัวเองพลางขมวดคิ้วมุ่น

“นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันออกค่ารักษาทั้งหมดให้แล้ว แต่ตอนนี้ฉันมีธุระ คงต้องไปก่อน นอนดีๆแล้วหายเร็วๆล่ะ” เขารีบพูดรัวเร็ว ก่อนจะหนีหายไปจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลทันที

คนบ้าแบบไหนกันที่เขามาช่วยเหลือคนไม่รู้จัก แถมดูแลอย่างดีอย่างกับครอบครัวเดียวกันแบบนี้อีก ไม่สิ ถ้าเป็นใครคนอื่นก็คงไม่น่าสงสัยเท่านี้ แต่เพราะว่านี่เป็นนักเรียนของโรงเรียนไม่น่าคบอย่างวิไลวิทย์นั่นแหละ คงไม่ใช่ว่าจะมาทวงบุญคุณเอาทีหลังหรอกนะ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้ถามแม้แต่ชื่อของเขาด้วยซ้ำ แล้วเขาเองก็ไม่ทันถามชื่อหมอนั่นเช่นกัน

คนบ้าที่กำลังถูกเด็กผู้ชายเมื่อครู่นินทา รีบก้าวเท้าออกจากโรงพยาบาลพลางยกมือถือขึ้นแนบหู เสียงโหดออกคำสั่งผ่านสายทันทีที่กดรับ

(ไปซื้อเบียร์มาให้กูด้วย)

“อะไรวะ ไอ้ติ นี่มึงอยู่ไหน?”

(เรื่องของกู มึงอะ รีบซื้อเบียร์แล้วไปรอกูที่บ้าน)

“เออๆ...เฮ้ย วันนี้กูเจอเด็กที่ตามตื้อมึงตกมาจากชั้นสอง มีเรื่องไรกันวะ?”

(ไม่มี)

“แล้วเด็กนั่นชื่อไรนะ กูก็ลืมถาม”

(กูจำไม่ได้...ชื่อผดุงมั้ง)

“เออ กูขึ้นรถและ ไว้มีเรื่องคุยกันยาว”

(มึงคุยไปคนเดียวแล้วกัน กูจะแดกเบียร์)

“อ่าว ไอ้ห่า”

ติตัดสายไปก่อนที่จะฟังจบด้วยซ้ำ เขาสายหน้าให้เพื่อนเวรคนนี้เล็กน้อย ก่อนจะออกรถตรงไปที่มินิมาร์ท มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างติดอยู่ที่หลัง ดูเหมือนไอ้ติตั้งใจก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว

 

“พี่เกต์ขับรถออกไปแล้วครับ” เด็กม.4หน้าจืด ฝ่ายสะกดรอยคนเดิมรีบวิ่งมารายงานติกับพรรคพวกจำนวนหนึ่ง ซึ่งดักรออยู่ที่หลังโรงพยาบาล พี่ใหญ่ผู้กุมอำนาจพยักหน้า ก่อนจะเดินนำเข้าไปถามหาห้องของเด็กธารวิทยาทันที

ไม่นานนัก ทั้งหมดก็มาหยุดลงตรงหน้าห้องพิเศษ 608 ประตูถูกเปิดออกอย่างเสียมารยาท ลูกน้องผู้ติดตามยืนคุมอยู่เต็มพื้นที่หน้าห้อง ปล่อยให้ติเข้าไปเผชิญหน้ากับเด็กน้อยบนเตียงลำพัง

เมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยมเอาในเวลาอย่างนี้ พะภูก็รีบปล่อยมือถือตัวเองหล่นและเลื่อนความสนใจมาที่ภาพตรงหน้าทันที ดวงตาเปล่งประกายด้วยความดีอกดีใจ พยายามยันตัวเองลุกขึ้นอย่างเก้ๆกังๆ ไม่มีการช่วยเหลือใดๆ นอกจากสายตาที่มองลงมาอย่างมีเลศนัย

“พี่ติมาเยี่ยมผมเหรอครับ?”

“อืม”

ตอบเสียงสั้น กระชับของในมือให้แน่นขึ้น ท่าทางเป็นสุขของเด็กนี่ยิ่งทำให้เขานึกสนุก อยากจะเห็นเหลือเกิน ใบหน้าตอนที่ได้รับของฝากสุดพิเศษ จากคนพิเศษคนนี้

“ดีใจจัง!”

“เอ้า หวังว่านายจะชอบ”

ช่อดอกไม้ขนาดเล็กถูกยื่นออกไป พะภูเกร็งหน้ามองของในมืออีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก ไม้โมกที่ถูกไสเป็นแผ่นบางๆถูกขึ้นรูปให้เป็นดอกกุหลาบ นำมาประกอบกับแพรช่อเชิญ มัดไว้ด้วยริบบิ้นสีดำ ลักษณะแบบนี้มันคงไม่ใช่แค่ดอกไม้ประดิษฐ์ธรรมดาเสียแล้ว

ถึงแม้อยากฆ่าให้ตาย แต่ก็ต้องฝืนทำหน้าระรื่นและรับมันมาทั้งอย่างนั้น ติเหยียดยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันหลังกลับ เสียงทุ้มดังส่งท้ายขึ้นมา เป็นคำอวยพรที่ช่างโหดร้าย

“ตายไวๆนะ”

ทันทีที่ประตูห้องปิดสนิทลง คนตัวเล็กก็รีบปาของที่เพิ่งได้รับมาลงกับพื้นอย่างเกรี้ยวกราด กรามทั้งสองด้านขบแน่นด้วยความโมโห สายตากดจิกลงไปยังเศษซากดอกไม้จันทน์เบื้องล่าง นายกีรติ...ถ้าไม่ได้ต้องใช้ประโยชน์อะไร เขาไม่มีวันอยากรู้จักผู้ชายคนนี้แน่!

----------------------------------------------

อีพี่ติเป็นพระเอกหรือนางร้ายวะคะ 5555
ตอนแรกว่าจะลงพรุ่งนี้ แต่ฮึด แต่งจบบทพอดี เลยลงซะเลย เย้~
ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งที่เข้ามาอ่าน มาเม้นให้กันนะคะ
มีกำลังใจแต่งต่อขึ้นเยอะเลย ปลื้มมากๆ
ถ้ายังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ มาร่วมเชียร์พะภูไปด้วยกันเน่อ!

ป.ล. ชื่อ เกต์ ออกเสียงว่า เก้ (เหมือนช่อบูเกต์) นะคะ ไม่ใช่ เก เด้อออ


 :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 08-07-2013 20:50:22
อย่าลืมเอาคืนพี่ติให้หนักๆน่ะ  :z13: :z10: :z6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 09-07-2013 07:55:59
เอิ้ก...อ่านแล้วอยากฆ่าพระเอก แล้วจับนายเอกไปให้พระรอง :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 09-07-2013 09:57:15
ส่งพระรองมาอยู่ใกล้พะภูให้ขัดใจพี่ติสิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-07-2013 17:51:48
แม่ง...ติดูละครมากไป... สรุป เกต์-พระเอก / พระภู-นางเอก/ ติ - นางร้าย .... ป่ะ 555+
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: LoleNz_Floer ที่ 09-07-2013 18:22:31
พระเองเราทำไมหน้าตบอย่างนี้เนี่ย  :z6: :z6: :z6:  :pigangry2: :pigangry2: :pigangry2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: PapermintReal ที่ 09-07-2013 18:55:29
จะมาม่าไหมว้าาา ไหมกลิ่นมันลอยมายังไงไม่รู้ :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 09-07-2013 20:35:29
อิพี่ติ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 09-07-2013 20:49:57
อิพี่ติ โหดร้าย ใจดำ พะภูเอาคืนให้กระอักเลือดไปเลยนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 09-07-2013 23:50:24
สนุกๆ  o13
พะภูจะทำอะไรนี่ อยากรู้ๆ :heaven
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 2 | 08/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 10-07-2013 18:29:39
อย่าลืมเอาคืนพี่ติให้หนักๆน่ะ  :z13: :z10: :z6:

กำลังคิดอยู่เลย 55

เอิ้ก...อ่านแล้วอยากฆ่าพระเอก แล้วจับนายเอกไปให้พระรอง :katai1:

แต่งไปก็หงุดหงิดไปเหมือนกัน ทำไมใจร้ายแบบนี้!

ส่งพระรองมาอยู่ใกล้พะภูให้ขัดใจพี่ติสิ

จัดไป!

แม่ง...ติดูละครมากไป... สรุป เกต์-พระเอก / พระภู-นางเอก/ ติ - นางร้าย .... ป่ะ 555+

5555555 อ่านคอมเม้นแล้วขำมากๆ จริงงง ติมันเป็นนางร้าย!

พระเองเราทำไมหน้าตบอย่างนี้เนี่ย  :z6: :z6: :z6:  :pigangry2: :pigangry2: :pigangry2:

กระถืบเลยดีกว่า

จะมาม่าไหมว้าาา ไหมกลิ่นมันลอยมายังไงไม่รู้ :hao5:

ยังไม่รู้เลย 555 อาจจะไม่ หรืออาจจะมี //มองกระติกน้ำ

อิพี่ติ  :katai1:

ใจร้ายกะพะภูมาก TT

อิพี่ติ โหดร้าย ใจดำ พะภูเอาคืนให้กระอักเลือดไปเลยนะ

เดี๋ยวพี่ติโดนหนักแน่.. 55

สนุกๆ  o13
พะภูจะทำอะไรนี่ อยากรู้ๆ :heaven

ขอบคุณมากเลยค่า พะภูจะหลอกจับพี่ติ เอิ้กก

 :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 11-07-2013 17:16:09
บทที่ 3

 

เด็กผู้ชายในสภาพเข้าเฝือกที่ขา มือพยุงไม้ค้ำ พร้อมสวมชุดของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา มาทำอะไรอยู่หน้าโรงเรียนอันธพาลอย่างวิไลวิทย์ในตอนเย็นวันพุธแบบนี้กัน หลังจากเหตุการณ์น่าตกใจที่มีเด็กต่างโรงเรียนกระโดดลงมาจากอาคารเรียนชั้นสอง ก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว แต่ใบหน้าของเด็กคนนั้นก็ยังคงติดตานักเรียนวิไลวิทย์ไม่หาย ซึ่งตอนนี้ใบหน้านั้นก็กลับมาแล่นไปแล่นมาภายในรั้วสีดำสนิทของพวกเขาอีกจนได้

พะภูพยายามลากสังขารไม่สู้ดีของตัวเองตรงไปสะกิดผู้ชายคนหนึ่งเข้า ดูจากหน้าคงจะเป็นพี่ม.6 อาจจะเป็นเพื่อนของติก็ได้

“ขอโทษนะครับ พี่ติอยู่ที่ไหนหรอ?”

“เด็กธารวิทยารู้จักกับไอ้ติด้วยเรอะ?” โดนคนหน้าตาไม่รับแขกถามกลับซะงั้น

“ครับ ผมกับพี่ติเราสนิทกัน” ปานจะกลืนกินเลยแหละ!

คนตัวเล็กยิ่งดูตัวหดลงไปอีกเมื่อถูกสายตาน่ากลัวจับจ้อง ผู้ชายคนนี้ทำท่าครุ่นคิดพลางไล่สายตามองพะภูตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อคำพูดจอมปลอมเมื่อครู่เท่าไรนัก สักพักก็มีเพื่อนของเขาเดินกรูเข้ามากันอีกโขยง

“เฮ้ย เด็กนี่บอกว่ามันสนิทกับไอ้ติ”

“จริงเหรอวะ?”

“ยังไงก็เอาไปก่อนเถอะ”

“เออๆ”

ดูเหมือนพวกนี้จะคุยรู้เรื่องกันเฉพาะในกลุ่ม ไม่ได้สนใจว่าเด็กที่ตกเป็นเป้าสายตากำลังมีสีหน้างุนงงขนาดไหน พอทำท่าจะก้มหัวปลีกตัวออกไปกลับถูกหนึ่งในนั้นรั้งแขนเอาไว้เสียแน่น พะภูตีสีหน้าเหยเกเพราะแรงบีบ ปากอ้ากว้างเตรียมจะโวยวาย ไม่ทันไรก็ถูกผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ตรงเข้ามัดปิดปากอย่างโจ่งแจ้ง ท่ามกลางสายตาหลายอารมณ์ของนักเรียนคนอื่นๆ ร่างเล็กถูกแบกขึ้นหลังใครสักคนอย่างง่ายดาย หนึ่งในพวกนั้นคว้าไม้ค้ำที่หล่นไปอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะพากันขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าประตูไป

ไม่ว่านักเรียน อาจารย์ ยาม แม่บ้าน และบุคลากรทุกคนของโรงเรียนนี้เหมือนกันหมด เป็นไอ้แค่พวกตีหน้าโหดไปวันๆ แต่จริงๆล้วนขี้ขลาด ต้องก้มหน้าก้มตาทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร และดำเนินกิจการการศึกษาภายใต้อำนาจมาเฟียใหญ่เท่านั้น

รถเก๋งจอดลงที่หน้าห้างร้างใกล้ๆนี้ เคยมีเรื่องเล่าเชิงวิญญาณน่ากลัวเกี่ยวกับที่นี่มากมาย ทำเอาคนถูกมัดเริ่มขวัญผวา ไอ้ตัวใหญ่หน้าเหี้ยมแบกร่างพะภูที่ตอนนี้ถูกมัดมือมัดเท้าเข้าไปรอด้านใน อีกคนกดโทรศัพท์หาใครบางคน

“ว่าไง”

(มีอะไร?)

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากบอกให้รีบมารับของของมึงกลับไปซะ”

(ของ?)

“รีบมาที่ห้างร้างแถวโรงเรียน ก่อนที่จะเสียใจดีกว่ามั้ง”

พะภูมองตามการกระทำของคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมันก็ชิงตัดสายไปเสียเฉยๆ ฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดว่าไม่ได้นอนดิ้นเป็นหนอนอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก เขาก็คงนึกสนใจแสงสีส้มอันสวยงามยามพระอาทิตย์ตกดินให้มากกว่านี้

พวกนักเรียนที่จับพะภูมา เริ่มเข้ามาร่วมตัวกันมากขึ้นจนกินพื้นที่ไปทั่วชั้น ไม่นานนักเสียงเบรครถก้ดังขึ้นด้านนอก ตามมาด้วยเสียงโวยวายพวกพวกผู้ชายท่าทางป่าเถื่อน ทุกตารางนิ้วที่ผู้มาเยือนย่างกรายเข้าไป จะต้องเกิดการปะทะอันดุเดือด พร้อมร่างของเด็กนักเรียนหลายต่อหลายคนที่ถูกซัดจนลงไปกองกับพื้น

ตุ้บ!

ผลัวะ!

“ไอ้สัด!!” เกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นที่หน้าประตู เรียกความสนใจของทุกคนในตัวอาคารให้หันไปมองเป็นตาเดียว

ท่อนไม้ขนาดใหญ่หมายจะฟาดลงไปกลางหน้าของคนที่เดินนำขบวนเข้ามา แต่ชายหนุ่มร่างใหญ่ก็รับมันไว้ได้ ก่อนจะแย่งเอามาถือไว้อย่างง่ายดาย ไม้ท่อนนั้นถูกฟาดลงไปที่ท้ายทอยของเจ้าของเดิมเต็มแรงท่ามกลางเสียงหัวเราะท้าทาย เขาเงื้อไม้ในมือขึ้นและปล่อยให้มันตรงเข้าปะทะประตูใสตรงหน้า เกิดเสียงแตกหักดังไปทั่วบริเวณ พวกลูกน้องที่เดินตามหลังบางคนรีบหยิบเอาเศษกระจกบนพื้นขึ้นมาเป็นอาวุธ

วินาทีต่อมา สองพวกก็เริ่มเข้าตะลุมบอนกันยกใหญ่ ส่วนพะภูก็ถูกกันให้ออกห่าง มีผู้ชายตัวใหญ่สี่คนยืนล้อมเขาไว้ทุกทาง สายตาของคนตัวเล็กกลอกไปทั่วบริเวณด้วยใจที่เต้นรัว ไม่อยากคิดว่าวิไลวิทย์คือโรงเรียนเอกชนมีหน้ามีตาอีกต่อไป ทำไมพวกนักเรียนถึงได้น่ากลัวกันขนาดนี้!

พลั่ก!

ผลัวะ!

การต่อสู้เบื้องหน้าดูโหดร้ายเกินกว่าจะเป็นระดับเด็กนักเรียน ทุกคนต่างคว้าอุปกรณ์หลายแบบมาใช้เป็นอาวุธ ในขณะที่ผู้ชายไม่กี่คนก็ฝ่าดงอันป่าเถื่อนเข้ามาได้ด้วยมือเปล่า หลายนาทีต่อมา พวกนักเรียนฝ่ายที่จับตัวพะภูไว้ก็เริ่มล้มระเนระนาดกันเป็นแถบ ทำให้ทิวทัศน์มันเริ่มชัดเจนขึ้นมาบ้าง

สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดออกมาก็คือเส้นผมสีทองแสบตาซึ่งกำลังตรงเข้ามาใกล้ แม้ว่าใบหน้านั้นจะเหมือนกับคนที่พาพะภูไปโรงพยาบาลไม่ผิดเพี้ยน แต่บัดนี้เขากลับมีสีหน้าน่ากลัวแบบที่ไม่อยากนึกเห็น แววตากำลังทอแสงเหมือนสนุกนักหนา รอยยิ้มโหดเหี้ยมผุดขึ้นมา หลังจากที่เตะคนตัวใหญ่กว่าออกไปปะทะกำแพงด้านหลัง

“เกต์!”

มีเสียงของเด็กในวงดังขึ้น ก่อนที่ท่อนเหล็กบิดเบี้ยวจะถูกโยนออกมา เจ้าของผมสีทองหันไปรับไว้อย่างชำนาญ ก่อนจะค่อยๆย่างเท้าเข้ามาใกล้ มือขวาลากเหล็กแท่งนั้นไปตามพื้น เมื่อเข้ามาใกล้พอที่จะเห็นหน้าของคนถูกจับ สีหน้าน่ากลัวเมื่อครู่ถึงเริ่มอ่อนลงจนน่าแปลกใจ

“ผดุง!?”

ใครวะนั่น!?

ไม่รอให้คนตัวเล็กหายงง เขารีบฟาดแท่งเหล็กในมือใส่หนึ่งในสี่การ์ดตรงหน้า ทุกคนต้องกระจายตัวออกไปเพื่อหยุดผู้ชายที่ชื่อเกต์ไว้ แต่ดูเหมือนจะมาอีกสักสิบคนก็ยังไม่คณนามือของเขาได้ เกต์ปล่อยแท่งเหล็กเข้าใส่หัวเหม่งๆของหนึ่งในนั้น ก่อนจะกระโดดเตะตามไปอีกทีจนร่างใหญ่ถึงกับล้มไปกองกับพื้น ผู้ชายอีกคนทำท่าจะเข้ามาล็อกตัวเข้าไว้จากด้านหลัง ตอนนั้นเองที่มีผู้ชายอีกคนเข้ามาเสริมทัพ

เจ้าของผมสีนิลกับดวงตาสีน้ำตาลแข็งกร้าว จับตัวคนที่กำลังจะตรงเข้าหาเกต์ทุ่มลงกับพื้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะถวายส้นรองเท้าลงไปทาบหน้าบูดเบี้ยวของมันซ้ำอีกดอก ทางเกต์ก็จัดการปล่อยหมัดหนักหน่วงเข้าปะทะโหนกแก้มของผู้ชายที่เหลือจนเซ เขารีบรั้งตัวคนนั้นไว้แล้วกระแทกเข่าเข้าไปตรงหน้าท้อง จนหมอนั่นทรุดตัวลงพลางร้องครวญไม่เป็นภาษา

ฉากด้านหลังเริ่มสงบลง มีผู้ชายหัวเกรียนที่เป็นแนวหลักกำลังซัดไอ้ตัวโตคนสุดท้ายล้มลงไป นาทีต่อมาเด็กม.4หน้าจืดคนเดิมก็รีบแทรกตัวเข้ากระซิบบางอย่างกับผู้ชายสองคนตรงหน้าพะภู

“จัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ”

“ดีมาก” เกต์โยกหัวเด็กนั่นยิ้มๆ ก่อนจะปล่อยให้กลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆที่เริ่มโวยวายเรื่องแผล

ผู้ชายอีกคนก้มตัวลงมองพะภูอย่างพิจารณา มือใหญ่เอื้อมเข้ามาแก้มัดที่ปาก ส่วนเกต์ก็รีบตามมาช่วยปลดเชือกที่รัดข้อมือข้อเท้าไว้แน่นออก คำพูดแรกที่ได้ยินก็โหดร้ายจนแทบไม่อยากฟัง

“ถ้ารู้ว่าคนที่โดนจับมาเป็นนาย ฉันคงไม่มาช่วยหรอก”

“เฮ้ย ทำไมพูดกับผดุงแบบนั้นล่ะ?” เกต์รีบเอ็ด จนพะภูทนไม่ได้ต้องแทรกขึ้นมาทันควัน

“ผมไม่ได้ชื่อผดุงซะหน่อย!”

“อ่าว ก็ไอ้ติบอกว่านายชื่อผดุง”

“ไม่ใช่นะครับ ผมชื่อพะภูต่างหาก”

“งั้นก็ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะ ฉันชื่อเกต์ เป็นเพื่อนไอ้ติ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ่อ..”

คนตัวเล็กไม่ได้สนใจเกต์มากนัก สายตาจับจ้องไปที่ติซึ่งกำลังทำท่าจะลุกออกไป เขารีบดึงกระเป๋านักเรียนกลับมาใกล้ตัวและหยิบกล่องช็อกโกแลตแบบทุกทียื่นให้ อีกมือถือปากกาเมจิกสีดำเอาไว้

“ผมตั้งใจจะเอาไปให้พี่ติครับ” คนตัวสูงรับไปมองๆ ก่อนจะโยนทิ้งแบบไม่ใยดี พลางหันหลังกลับไปหาลูกน้องคนอื่น เกต์ขยับเข้ามาใกล้และเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นแทน

“คิดยังไงมาตามไอ้ติเนี่ย?”

“ก็เพราะชอบพี่ติไงครับ”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่ามันไม่สนใจผู้ชาย”

“ครับ แต่เดี๋ยวก็สนใจเองแหละครับ”

“โฮ่ เชื่อนายเลย” เกต์พยักหน้าช้าๆเหมือนจะชื่นชมในความมั่นใจของเด็กตรงหน้า พะภูพูดต่อเพื่อย้ำความรู้สึกอันหนักแน่นของตัวเอง

“ถึงวันนี้จะยังไม่ชอบ แต่วันหน้าก็อาจจะชอบหนิครับ”

“แต่ไอ้ติมันโหดนะ ขี้รำคาญ แถมใจร้ายด้วย ผู้หญิงก็เยอะแล้วนายจะทำยังไง?”

“ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมก็แค่จะทำทุกอย่างเพื่อชนะใจพี่ติให้ได้”

“เลิกคุยอะไรไร้สาระได้แล้ว ไอ้เกต์กลับ”

เสียงของติดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาที่กำลังเริ่มน่าสนใจ พะภูรีบคว้าโอกาสนี้ฝืนตัวเองลุกขึ้นอย่างยากลำบาก มีเกต์คอยช่วยประคองแขนข้างหนึ่งไว้ ก่อนจะก้มลงหยิบไม้ค้ำขึ้นมาให้ พอยืนได้ก็รีบยัดปากกาที่เตรียมมาเข้าไปในมือของผู้ชายตรงหน้าทันที

“พี่ติช่วยเขียนเฝือกให้ผมเป็นที่ระลึกหน่อยสิครับ พรุ่งนี้ผมจะถอดแล้ว”

ติทำท่าเหมือนจะโยนปากกาทิ้ง แต่กลับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อน แววตาชั่วร้ายส่อออกมาให้เห็นก่อนที่คนตัวสูงจะยอมก้มลงไปคุกเข่ากับพื้น เปิดฝาปากกาออกจนกลิ่นหมึกโชยออก ค่อยๆบรรจงเอียงคอเขียนตัวอักษรภาษาไทยสามตัวเด็ดๆลงไปบนเฝือกสีขาว ตัวใหญ่ชัดเจนจนน่าใจหาย

“กลับกันได้แล้ว!”

เสียงตะโกนออกคำสั่งดังขึ้น พวกลูกน้องทั้งหมดที่กำลังนั่งคุยนั่งมองเหตุการณ์ต่างพากันลุกขึ้นเดินออกไปอย่างอ้อยอิ่ง บางคนก็ยังหันกลับมาเตะร่างที่สลบอยู่บนพื้นซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้ง

“เดี๋ยวฉันไปส่งนะ”

“เฮ้ย! ไม่ต้อง เด็กนี่มันเก่ง หาทางกลับเองได้อยู่แล้ว มึงอะรีบมาเลย”

เกต์ที่พยายามจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้พะภูอีกครั้ง ถูกติเข้ามาปิดปากแล้วล็อกคอให้เดินออกไป ไม่นานนัก ที่แห่งนี้ก็เงียบลง นานๆทีจะแว่วเสียงร้องระบมของพวกคนที่นอนราบอยู่กับพื้นบ้าง พะภูกระชับกระเป๋ากับไม้ค้ำไว้ ก่อนจะพยุงร่างอันหนักอึ้งของตัวเองตามออกไปด้านนอก สายตาโกรธแค้นก้มลงมองเฝือกที่ขาของตัวเองพลางกัดฟันกรอด

มีตัวอักษรบัดซบพาดอยู่บนนั้นชัดเจน...

ค ว ย

พ่อมึงสิไอ้พี่ติ!!!

--------------------------------------

อยากฆ่าพี่ติจริงๆว้อยยย
 :katai4:

แต่เห็นพี่ติเลวๆงี้ แอบบอกว่า..
บทต่อไปจะได้เห็นอีกด้านของพ่อคุณบ้างละ
(แค่นิดหน่อยนะ 55555)

เข้ามาอ่านแล้วคอมเม้นให้กำลังใจกันหน่อยนะค้า
จะได้มีแรงแต่งต่อ เพราะตอนนี้มันไม่มีอารมณ์แต่งเลย 55
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 11-07-2013 19:35:05
55555555 พี่ติโคตรร้าย เปลี่ยนพระเอกได้มั้ย จองพี่เกต์  :hao7:
อ๊ากกกกก น้องผดุง เอ้ย พะภูสู้ๆ อ่านมาถึงตอนบอกว่าชื่อผดุง ขำก๊ากเลย  :laugh: 5555555555555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 11-07-2013 19:53:54
เอิ่ม..อะไรของคุณมึงค่ะพี่ติ
เกรียนมากกกก
ส่วนผดุง(พะภู)มีอะไรแอบแฝงล่ะซิ
เชียร์พี่เกต์อ่ะ!
5555  :hao7:
รอตอนต่อไปค่ะ คนเขียน  :mew1:
สู้ๆ   o13
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 11-07-2013 20:03:56
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 11-07-2013 20:04:16
ผดุงรีบครองโลกเร็วๆหล่ะะ :hao3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 11-07-2013 22:55:34
อ่านชื่อ ผดุง ตอนแรก

งงเลยอะไรว้า  แอบลืม

แต่ติก็ไม่ทำร้ายพะภูเนอะ รู้สึกว่าพะภูยังเข้าใกล้ได้อยู่ สักวันก็จะสำเร็จสินะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 11-07-2013 23:11:16
ไอ้ที่ร้ายมากๆแบบเนี้ยยยย
เวลารักเค้าขึ้นมานะ

หึหึ..

เห็นจะเป็นจะตายกันทุกคน
 o18
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 12-07-2013 07:38:31
เห้ยยยยยยยยย

ชอบบบบบบบมากกกกกกกกกกก

ชอบนายเอกแบบพะภูอะ  :katai2-1:

พี่ติใจร้ายไปปะ :katai1:

ปล. รอๆ  :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3 | 11/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 13-07-2013 20:11:54
55555555 พี่ติโคตรร้าย เปลี่ยนพระเอกได้มั้ย จองพี่เกต์  :hao7:
อ๊ากกกกก น้องผดุง เอ้ย พะภูสู้ๆ อ่านมาถึงตอนบอกว่าชื่อผดุง ขำก๊ากเลย  :laugh: 5555555555555

แน่ใจอ่อ เดี๋ยวเปลี่ยนจริงแล้วจะเสียใจน้า 5555

เอิ่ม..อะไรของคุณมึงค่ะพี่ติ
เกรียนมากกกก
ส่วนผดุง(พะภู)มีอะไรแอบแฝงล่ะซิ
เชียร์พี่เกต์อ่ะ!
5555  :hao7:
รอตอนต่อไปค่ะ คนเขียน  :mew1:
สู้ๆ   o13

พี่เกต์จะเกินหน้าเกินตาพระเอกไปละ 555
ขอบคุณที่ติดตามมากเลยนะค้า

:mew1: :mew1: :mew1:

 :-[ :-[

ผดุงรีบครองโลกเร็วๆหล่ะะ :hao3:

ต้องครองหัวใจพระเอกให้ได้ก่อน 55555

อ่านชื่อ ผดุง ตอนแรก

งงเลยอะไรว้า  แอบลืม

แต่ติก็ไม่ทำร้ายพะภูเนอะ รู้สึกว่าพะภูยังเข้าใกล้ได้อยู่ สักวันก็จะสำเร็จสินะ
อิอิ

ใช่ เห็นความดีลึกๆของพระเอกเราแล้วสินะคะ 555

ไอ้ที่ร้ายมากๆแบบเนี้ยยยย
เวลารักเค้าขึ้นมานะ

หึหึ..

เห็นจะเป็นจะตายกันทุกคน
 o18

นั่นสิ อยากให้รักเร็วๆจัง ;w; (ก็แต่งต่อสิ)

เห้ยยยยยยยยย

ชอบบบบบบบมากกกกกกกกกกก

ชอบนายเอกแบบพะภูอะ  :katai2-1:

พี่ติใจร้ายไปปะ :katai1:

ปล. รอๆ  :katai5:

ชอบเหมือนกัน พะภูมันแบบ ทำเป็นเก่งอะ
ปากดี แต่จริงๆซื่อนะเราว่า
ถ้ายังไงฝากติดตามต่อไปด้วยนะค้า
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3.5 - คุยกันหลังฉาก | 14/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 14-07-2013 13:39:39
(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/0_zps16e739ab.jpg)

(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/1_zps9793b6d2.jpg)

(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/2_zps30fd7c7f.jpg)

(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/3_zpse32b3fec.jpg)

(http://i1303.photobucket.com/albums/ag155/airairair13/4-1copy_zpsc46d52e7.jpg)

มันแต่งไม่จบบทซะที 55555
(แต่มีเวลานั่งวาดการ์ตูนเล่นนะ)

เอาอันนี้มาลงแก้ขัดไปก่อนละกัน 55
แล้วเจอกันบทที่ 4 ค่า
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยเน่อ~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3.5 - คุยกันหลังฉาก | 14/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-07-2013 14:48:47
ฮ่าๆ คาเรคเตอร์แปลกๆดี ตามๆด้วยคน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3.5 - คุยกันหลังฉาก | 14/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 14-07-2013 19:34:47
สนุกกกกกกกก มาติดตามด้วยคนค่ะ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 3.5 - คุยกันหลังฉาก | 14/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: done_dirt_cheap ที่ 15-07-2013 00:12:04
เอาใจช่วยผดุง เอ๊ย พะภู
ประสบความสำเร็จนะ สู้สู้
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 15-07-2013 15:57:51
บทที่ 4

 

จำได้ว่าห้างนี้เคยรุ่งเรืองสมัยเขาเด็กๆ แต่ก็ถูกปิดตัวลงเพราะเจ้าของต้องคดียาเสพติด สุดท้ายก็ร้างจนกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกอันธพาลแบบนี้ไง

แถวนี้นอกจากเรื่องนักเลงยังมีข่าวลือเกี่ยวกับวิญญาณ ทำให้ไม่มีรถโดยสารผ่านเข้ามาถึงที่นี่หรอก ป้ายรถเมล์เดียวที่ใกล้ที่สุดคือหน้าโรงเรียนวิไลวิทย์ เดินเลยไปสักพักจะเป็นธารวิทยา ส่วนบ้านเช่าของพะภูกับพะพายก็อยู่ไม่ไกลจากนั้น

โทรศัพท์มือถือเงินหมด โทรออกไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน อะไรจะมาซวยขนาดนี้ คนตัวเล็กพาตัวเองไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของถนน ค่อยๆก้มลงพันผ้าเช็ดหน้าไว้รอบเฝือก เพื่อปิดบังตัวอักษรน่ารังเกียจที่เพิ่งได้รับมา

ประกายเพชรนับล้านส่องสว่างอยู่บนผืนฟ้ากำมะหยี่สีดำ แสงจันทร์คืนนี้อ่อนแรงเหลือเกิน มีแค่แสงไฟริบหรี่จากสองข้างถนน ที่พอจะช่วยนำทางพะภูให้เดินต่อไปได้ คนตัวเล็กเดินกะเผลกไปกะเผลกมาอยู่นาน เม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาถึงแผ่นอก กระเพื่อมขึ้นลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“วิไล..วิทย์”

เสียงแหบพร่าดังขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ถนนด้านหน้าโรงเรียน ในหัวลังเลว่าจะรอรถโดยสารอยู่แถวนี้ หรือจะยอมเดินต่ออีกสักพักไปให้ถึงบ้านเลยดี

ไม่ทันได้ตัดสินใจ ขามันก็อ่อนแรงลงเสียเฉยๆ ร่างกายที่พยายามประคองไว้ค่อยๆทรุด ไม้ค้ำที่ใช้ยึดเหนี่ยวถูกวางลงกับพื้น ลมหายใจหอบถี่ขึ้นทุกที ได้แต่นั่งพับเพียบสองแขนยันตัวเองเอาไว้ แว่วเสียงวิทยุจากซุ้มรปภ.ของวิไลวิทย์ดังขึ้นมาไกลๆ แต่กว่าจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือออกไปได้ สติสัมปชัญญะทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนหายไปเสียก่อน

ราวกับภาพในอดีตที่ถูกฉายซ้ำก็ไม่ปาน ชีวิตที่ได้แต่เร่ร่อน อาศัยนอนข้างถนนมันช่างเจ็บปวด ความกลัวถูกพัดพาเข้ามาคลุมกาย จังหวะเดียวกับความเหน็บหนาวที่เริ่มก่อตัว คืนนี้นายพะภู ก็คงต้องกลับไปโดดเดี่ยวอยู่ภายใต้แสงดาวอย่างที่เคยเป็น..

ตั้งแต่ที่สูญเสียทุกอย่างไป โลกนี้ก็กลายมาเป็นบ้าน ไม่มีคนที่จะให้เชื่อใจได้อีกแล้ว ถึงอย่างนั้น ข้างในหัวใจก็ยังร่ำร้องหาอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นอีกครั้ง

ความฝันในค่ำคืนนี้ไม่สวยงามเลย... ใบหน้ายิ้มแย้มของพะพายคือหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ทำให้เขามีชีวิต แต่ตอนนี้กลับปรากฏรอยยิ้มโหดร้ายของผู้ชายอีกคนฉายขึ้นมา ซ้อนทับกันจนน่าปวดหัว

ถ้าพะพายคือพระเจ้าของเขา แล้วติคืออะไร...?

 

“ใครอะ?”

“เด็กธารวิทยาไม่ใช่หรอ?”

“ใช่เด็กที่ตกลงมาจากตึกวันก่อนรึเปล่า?”

“เด็กที่ตามตื้อติอยู่น่ะเหรอ?”

เสียงจอแจมันดังเข้าหู จนคนที่นอนสลบไป ค่อยเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เสียงพูดคุยรอบข้างยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง แม้อยากจะลืมตาขึ้นมองแต่กลับหนักอึ้งจนแทบปรือไม่ขึ้น พวกนักเรียนที่ต้องเดินผ่านทางนี้ทุกคน หยุดมองสภาพไม่น่าดูของเด็กชายซึ่งมาแกล้งตายเอาแถวโรงเรียนตัวเอง เกิดการวิจารณ์ต่างๆนาๆ ดูเหมือนรปภ.กับอาจารย์บางคนที่ทราบเรื่องไม่ได้คิดสนใจจะช่วยแต่อย่างใดเลย สมแล้วที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนคนเถื่อน

“ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ?”

“จะไปรู้ได้ไง”

“เข้าไปช่วยสิ”

“เธอก็ไปสิ”

“เฮ้ย! มุงอะไรกันวะ หลบไป!” ผู้ชายหัวเกรียนเดินนำขบวนนักเรียนชายจำนวนหนึ่งผ่านมาใกล้ๆที่เกิดเหตุ เขารีบกระชากเสียงใส่นักเรียนคนอื่นๆที่เอาแต่เอะอะแต่เช้า เด็กม.4หน้าจืดขาประจำรีบแจ้นมาหยุดอยู่หน้าคนส่งเสียงดังเมื่อครู่

“อ่าว ไอ้นิว”

“พี่ศิลป์ สวัสดีครับ พี่ติ พี่เกต์ สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มรีบยกมือไหว้คนตรงหน้า รวมไปถึงรุ่นพี่อีกสองคนด้านหลัง ทั้งหมดรับไหว้หน้าตาเรียบเฉย

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เด็กธารวิทยา เอ่อ.. คนที่มาตามตื้อพี่ติอะครับ มานอนสลบอยู่แถวโรงเรียนเรา”

“ว่าไงนะ!?”

คนแรกที่มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันควันไม่ใช่ใครอื่น เกต์ได้ยินก็รีบแหวกผู้คนตรงนั้นเข้าไปหาเด็กที่สลบทันที สายตามาดร้ายที่ผู้ชายคนนี้ซ่อนเอาไว้ ถูกส่งไปให้นักเรียนทั่วบริเวณ ไม่นานนักที่ตรงนั้นก็โล่งเปล่า เหลือเพียงกลุ่มของเขาที่ยังคงยืนดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่าง ติขยับเข้ามาที่หน้าแถวเพื่อมองเหตุการณ์ให้ชัด สภาพร่างกายปวกเปียกของพะภูช่างไม่น่าดูเอาเสียเลย

“พะภู! พะภู!”

เกต์ค่อยๆช้อนตัวพะภูขึ้นมา มือข้างหนึ่งประคองไว้ อีกข้างก็คอยตบไปที่แก้มเนียนเบาๆ พอไม่มีใครมายืนล้อม แสงอาทิตย์ยามเช้าถึงได้โอกาสแทรกตัวเข้ามา ทำให้คนตัวเล็กค่อยๆปรือตาตื่นขึ้นมาได้ ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่สายตาจะปรับสภาพ และมองเห็นอะไรชัดเจน

“เฮ้ย!” พอเห็นว่าภาพตรงหน้าเป็นยังไง ก็รีบร่นตัวหนีออกจากอ้อมกอดของเกต์แทบจะทันที การขยับตัวดูมีข้อจำกัดมากเหลือเกินยามต้องเข้าเฝือกเอาไว้แบบนี้

“ใจเย็นก่อน นายเป็นอะไร ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ?”

“ผม.. นี่ผมนอนอยู่ตรงนี้เหรอ?”

“ใช่”

สายตาใจดีของเกต์คงพอให้คนตัวเล็กสงบลงได้บ้าง พะภูรีบสำรวจร่างกายตัวเองก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจ เมื่อคืนตอนที่พยายามเดินมาที่ป้ายรถเมล์ เขาคงเหนื่อยมากจนสลบไป แย่ล่ะสิ แบบนี้พะพายไม่เป็นห่วงตายแล้วหรอ!

“ขอบคุณนะครับพี่เกต์” รีบบอกคนที่กำลังช่วยพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มหัวลงเล็กน้อย “ผมต้องไปแล้ว”

“จะไปไหน แล้วไปยังไง?”

“ไปโรงเรียนสิครับ เดี๋ยวผมรอรถเมล์ตรงนี้แหละ”

“สภาพแบบนี้จะไปเรียนไหวได้ยังไง ไปพักก่อนเถอะ” เกต์ตรงเข้ามาจะคว้าแขนพะภูไว้ แต่คนตัวเล็กกลับรีบส่งเสียงห้าม พยายามส่งสายตาที่บอกว่าไม่เป็นอะไร

“พวกพี่รีบไปเข้าเรียนเถอะครับ”

“แต่ว่านาย..”

“นะครับ ไปเถอะ” ตอนนี้กลายเป็นว่าพะภูต้องขอร้องให้เกต์รีบเข้าโรงเรียนไปซะ เพราะดูจากสายตาอาบพิษของติที่ส่งมา กับใบหน้าน่ากลัวของทุกคนที่ยืนรออยู่ด้านหลัง ทำเอาเขาไม่กล้าที่จะรับความช่วยเหลืออะไรเลย คงไม่ดีถ้ายังปล่อยให้นักเลงพวกนี้มามัวเสียเวลาอยู่กับตัวเอง แค่เป็นที่รำคาญของติคนเดียวก็แทบเกินทนแล้ว เขาไม่อยากจะเป็นที่เขม่นของนักเรียนคนอื่นอีก

“ไอ้เกต์ ไปได้แล้ว”

ติเดินเข้ามาลากคอเกต์ไปเหมือนทุกที ก่อนที่ขบวนนักเรียนหน้าโหดจะค่อยๆทยอยเดินตามกันไป เกต์ยังคงพยายามหันกลับมามองเขา จึงต้องแสร้งยิ้มและโบกมือหยอยๆ

พอไม่เห็นใครแล้วก็ได้ฤกษ์ก้าวเท้าต่อ ใกล้ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนมีตู้โทรศัพท์เก่ากึกตั้งอยู่ เขารีบพาตัวเองเข้าไปในนั้น ก่อนจะหยอดเหรียญต่อสายหาพี่สาวคนดี เสียเวลาอธิบายกับพะพายอยู่หลายนาทีจนเหรียญแทบหมดกระเป๋า เธอเองก็เป็นอีกคนที่ไม่ต้องการให้เขาไปเรียน แถมยังดึงดันว่าจะไปอธิบายกับอาจารย์ให้ฟังอีก ดูเหมือนถ้าไปโรงเรียนตอนนี้จะมีแต่ทำให้พะพายกังวลใจ คงต้องกลับบ้านลูกเดียวซะล่ะมั้ง

สายตาเหลือบไปเห็นรถเมล์สีแดงสภาพทรุดโทรมเต็มที กำกับตัวเลขสายที่ตรงไปยังป้ายแถวบ้านกำลังแล่นเข้ามาจอดพอดี จึงรีบคว้าเอาไม้ค้ำมาไว้แนบตัว ก้าวขาออกไปจากตู้โทรศัพท์ทั้งที่สายตายังเหลียวไปจับอยู่ที่รถเมล์คันนั้น หวังว่าคงจะไม่พลาดคันนี้หรอกนะ เพราะเขาไม่อยากป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่อีกแล้ว

“เหวออ!”

ปลายไม้ในมือถูกวางค้ำไว้บนก้อนหินแถวนั้น พอทิ้งน้ำหนักลงไปก็เลยเซจนล้มไม่เป็นท่า แขนซ้ายเป็นสิ่งที่รองรับร่างกายทั้งหมดเอาไว้ พอดีกับที่ความเจ็บแสบเริ่มเข้าจู่โจม พอลุกขึ้นนั่งได้ ถึงเพิ่งเห็นว่าแขนข้างเมื่อครู่ถลอกเป็นทาง มีเลือดซึมออกมา อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ เพราะไม่ยอมมองพื้นให้ดี ถึงได้พลาดล้มลงไปจนได้ แบบนี้จะบอกพะพายว่ายังไงอีก ดีแต่ทำให้คนอื่นเขาเป็นกังวล น่าตีตัวเองจริงๆ นายพะภู

เขาเริ่มนั่งสำรวจตัวเองท่ามกลางความเงียบบนถนน รถเมล์คันเมื่อกี้ขับออกไปแล้ว พร้อมกับผู้คนแถวนั้นที่หายไปพร้อมกันด้วย ไม่มีนักเรียนมาเดินเพ่นพ่านอีก จะเหลือก็แค่รปภ.หน้าประตู ที่ไม่คิดแม้แต่จะหันมามองคนที่นั่งจุมปุกอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

ที่ขาเองก็มีรอยถลอกเป็นจุดๆเหมือนกัน ไม่ไหวเลย เริ่มเสียใจที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเกต์ขึ้นมาตงิดๆแล้ว แต่ถึงตอนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากรีบพาตัวเองไปนั่งรอรถเมล์เท่านั้น แต่ไอ้การจะลุกขึ้นทั้งที่มีแผลเต็มตัวแถมขายังเข้าเฝือกหนาขนาดนี้ มันก็ไม่ง่ายเลย พะภูสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะปล่อยมันออกมาทางปาก มือขวาหันไปหวังจะคว้าไม้ค้ำขึ้นมา แต่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว !?

“เอ๊ะ...?”

ในขณะที่กำลังงงกับไม้ค้ำที่หายไป อยู่ดีๆร่างกายของเขาก็ถูกใครบางคนฉุดให้ลุกขึ้นอย่างไม่ปราณีสักเท่าไร แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นใคร คำด่าที่ตั้งใจจะพ่นออกไปก็ต้องรีบกลืนลงคอทันที

“พี่ติ!?”

“นายมันน่ารำคาญจริงๆ”

“โอ้ยย!”

ไม่ว่าเปล่ากลับกระชากร่างเขาให้ตรงไปที่รถเก๋งคันหนึ่ง ซึ่งขับมาจอดรออยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ มีนักเรียนที่เป็นลูกไล่ในกลุ่มของติรีบรุดเข้ามาเปิดประตูให้ ก่อนที่ร่างของพะภูจะถูกคนตัวใหญ่จับยัดขึ้นรถอย่างง่ายดาย ติรีบเดินอ้อมมาขึ้นรถจากประตูอีกฝั่ง พลางออกคำสั่งให้ออกรถทันที

“นี่มันอะไรครับ!?”

“เราจะพานายไปโรงพยาบาล”

เสียงของเกต์ดังขึ้นจากเบาะข้างคนขับ ก่อนที่คนใจดีจะโผล่หน้าออกมาให้เห็น ยิ้มกว้างระบายอยู่บนนั้นชัดเจน แต่กลับดูขัดใจพะภูเสียเหลือเกิน พวกนี้ตั้งใจจะทำอะไร คิดจะดึงเขามาก็เอามาเสียทั้งอย่างนั้น ไม่เคยถามกันก่อนสักคำ เอาแต่ใจตัวกันทั้งหมดเลย

“ไปทำไมครับ แล้วพวกพี่ไม่ต้องเข้าเรียนหรอ ออกมาอย่างนี้ได้ยังไง?” คำถามเป็นชุดถูกรัวเข้าใส่ เกต์เชิดหน้าขึ้นทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

“ไปเอาเฝือกออก ไปทำแผล ส่วนพวกฉันไม่เป็นอะไรหรอก โรงเรียนอันธพาล ไร้กฎเกณฑ์อย่างที่นายเห็น.. ไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว”

“แต่มันก็ไม่ดีนะครับที่โดดออกมาแบบนี้”

“พวกเรารู้ แต่ให้ทิ้งนายไว้ก็ไม่ได้หรอก ถึงยังไงกลุ่มเราก็ถือว่าดีที่สุดในโรงเรียนแล้ว ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆหรอกนะ วางใจเถอะ”

นี่เหรอคือกลุ่มที่ดีที่สุดในโรงเรียน...กลุ่มที่มีเรื่องชกต่อยกับเด็กอื่น เอาแต่ทำตามอำเภอใจ ทำตัวกร่างไปทั่ว น่ากลัว ไร้มนุษยสัมพันธ์ แถมยังชอบเขม่นเด็กโรงเรียนอื่นอีก ไอ้กลุ่มที่มีนายเหนือเป็นผู้ชายชื่อกีรติ จะเป็นกลุ่มที่ดีได้ยังไง ไม่เห็นอยากจะเชื่อเลย!

ไม่นานเราก็มาถึงโรงพยาบาล เมื่อเห็นว่าใครก้าวขาออกมาจากรถคันหรู เหล่าพยาบาลก็รีบกรูกันเข้ามารับใช้ดูแลซะยิ่งกว่าบ่าว คุยกันสักพักเกต์ก็ชี้มือไปทางพะภู ทำให้พวกพยาบาลเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขาทันที รถเข็นรีบแล่นมาจอดอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่คนตัวเล็กจะถูกประคองอย่างดีให้ขึ้นนั่งบนนั้น นายพยาบาลเข็นรถเข็นเหมือนกลัวเต็มที เพราะว่าเป็นคนที่มากับติและเกต์ถึงถูกปฏิบัติเป็นพิเศษขนาดนี้เหรอ ทุกคนในโรงพยาบาลดูต้องระมัดระวังทั้งท่าทางและคำพูด รถเข็นที่เขานั่งอยู่ก็แทบไม่มีการกระตุกอะไรเลยด้วยซ้ำ จะสองมาตรฐานเกินไปแล้ว!

พะภูได้รับการลัดคิวเพื่อเข้าพบคุณหมอก่อนใครอื่น เฝือกที่ขาถูกเอาออกไป ก่อนจะพาตัวไปยังอีกห้องเพื่อทำแผลเล็กๆน้อยๆตามตัว ยังไม่เสร็จดี เกต์ก็เปิดประตูเข้ามา

“เป็นไงบ้าง?”

“ผมไม่เป็นไรครับ ความจริงพวกพี่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”

“พวกฉันแค่ทำตามคำสั่ง”

“คำสั่ง?” พะภูหันมองเกต์ที่เอาแต่อมยิ้ม จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยกล้าสั่งให้เด็กวิไลวิทย์มาประคบประหงมถึงขนาดนี้

“เพราะไอ้ติบอกให้พานายมา”

“พี่ติน่ะหรอครับ!?” ร้องออกไปอย่างไม่เชื่อหู ผู้ชายที่ไม่คิดจะแยแสตัวเองหรือแม้กระทั่งใครๆ ทำไมถึงได้พลิกล็อคมาเป็นผู้ช่วยชีวิตได้ล่ะ

“มันบอกให้เตรียมรถ ตั้งแต่เดินเข้ารั้วโรงเรียนแล้ว”

“อ้ะ ขอบคุณครับ” พะภูไม่ทันได้คุยกับเกต์ต่อ พยาบาลก็ทำแผลเสร็จเรียบร้อยพอดี เขารีบหันไปยกมือไหว้พวกเธอ ก่อนจะพาตัวเองลงมาเดินที่พื้น สาบานได้ว่าตั้งแต่ลงจากรถมา เขายังไม่ได้เอาเท้าแตะพื้นด้วยตัวเองเลย

คนตัวเล็กเดินนำออกไปก่อน เมื่อเห็นว่าเกต์เริ่มหันไปต่อบทสนทนากับพยาบาลสาวสวย ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เจอผู้ชายตัวสูงกำลังยืนก้มหน้าพิงกำแพงอีกฝั่ง ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ในเวลานี้ พอเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าติหลับตาอยู่ ถึงอย่างนั้นก็มั่นใจว่าเขาต้องได้ยินสิ่งที่จะพูด

“พี่ติเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารคนรวย ว่าพี่จะเป็นคนเลวที่กำจัดคนเลว..”

“...”

“แต่ความจริง...พี่ติไม่ใช่คนเลวใช่ไหมครับ?”

ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆนานเป็นนาที จนพะภูตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินจากไปเอง ทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่หยุดคิดอะไรบางอย่าง เปลือกตาค่อยๆปรือขึ้นมองพื้นโล่งเปล่า ภาพใบหน้าที่เอาแต่วุ่นวายและน่ารำคาญของเด็กธารวิทยามันลอยขึ้นมาในหัว เสียงของหมอนั่นยังคงดังชัดเจนในโสตประสาท

 

...ไอ้เด็กบ้า เขาก็แค่จะหาเรื่องโดดเรียนเท่านั้นแหละ...

--------------------------

ทุกคนอย่าเพิ่งเกลียดตินะ
จริงๆมันเป็นคนดีแหละ! มันแค่แอ๊บบ 5555
แล้วก็อีกเรื่อง.. ทำไมถึงคิดว่าเกต์เป็นพระรอง 555

 :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 15-07-2013 16:16:20
แหมะะะะะะ

พี่ตินี่พระเอกซึนรึเปล่าเนี่ยยยยยย

 :-[

ใจดีกับน้องซักทีสิ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 15-07-2013 22:31:59
ไอ้ที่บอกว่าตอนนี้จะดีนี่...นี่ดีแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 15-07-2013 22:54:23
พะถูจะเจ็บตัวอีกไหมเนี่ยยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 15-07-2013 23:42:50
พี่ติไม่ใช่คนเลวก็ถูก แต่ยังไม่จบ
พี่ติเขาน่ะซึนด้วย^^
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 18-07-2013 00:12:40
แหมะะะะะะ

พี่ตินี่พระเอกซึนรึเปล่าเนี่ยยยยยย

 :-[

ใจดีกับน้องซักทีสิ  :katai1:

ซึนนน! 5555
เดี๋ยวก็ดีแล้ว แพ้เด็ก ฮี่ๆๆ

ไอ้ที่บอกว่าตอนนี้จะดีนี่...นี่ดีแล้วสินะ

นี่ดีแล้วนะ 555 พามารพ.เลยนะ

พะถูจะเจ็บตัวอีกไหมเนี่ยยยย  :katai1:

ต้องรอติดตาม ;w;

พี่ติไม่ใช่คนเลวก็ถูก แต่ยังไม่จบ
พี่ติเขาน่ะซึนด้วย^^

ใช่ๆ ก็แอบคิดไว้ว่าต้องซึน
ต้องไม่ยอมรับง่ายๆ หึหึ
แต่ใจอะ ไปแล้วหรือเปล่าาาาา 55
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 18-07-2013 00:56:40
ปูเสื่อรออ่าน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: LoleNz_Floer ที่ 18-07-2013 03:18:41
พี่ติ ซึนนะเนี่ย  :hao7:  :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 18-07-2013 09:59:51
ที่แท้ติเป็นพวกซึนนี่เอง  :hao3:


นิสัยเกต์นี่มัน..... พระรองชัดๆ  :laugh:


ฤ รักนี้เป็นสามพี?   :impress2:


อย่าดองนานนะ เดี๋ยวเราลืมเนื้อเรื่องหมด555555  :katai3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: done_dirt_cheap ที่ 18-07-2013 10:17:13
พี่ติเป็นซึน
ไม่ใช่เลวนะ
อิอิ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 18-07-2013 14:43:33
ชอบจ้าเรื่องนี้ รอติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 18-07-2013 17:40:35
ที่ทำตัวแบบนั้น เพราะซึนนี่เอง  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 19-07-2013 00:18:01
ทำไมเรามองไม่เห็นความหวานของพะภูเลย

อ่านกำลังซึ้งๆว่าพี่ติมาช่วยพะภูแล้ว

แต่พะภูกลับกำลังคิดถึงคนอื่นนนน}}}}}   พี่พะพาย55

อ่านตอนนี้แล้ว ติน่ารักเลย ขอรักได้ป่ะ  :mew1: โดนพะภูตบ :z6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 19-07-2013 01:52:51
จะนั่งรอพะภู ส่วนไอ้พี่ติอะไรนั่นจะรอดูต่อไปว่าจะเป็นไง มาต่อไวๆ นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 4 | 15/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mira ที่ 19-07-2013 05:19:43
ถ้าพี่เกต์ไม่ใช่พระรอง  แต่เป็นพระเอก  ส่วนพี่ติเป็นนายเอก ส่วนพะภูเป็นตัวดำเนินเรื่อง ก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 19-07-2013 15:42:06
บทที่ 5

 

เด็กนักเรียนม.ปลายปีสุดท้าย เจ้าของร่างสูงใหญ่กำยำ หน้าตาไม่รับแขก แห่งโรงเรียนอันธพาลอย่างวิไลวิทย์ มาทำอะไรที่หน้าประตูโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา ในตอนเย็นวันศุกร์แบบนี้กัน

สายตานับสิบคู่จับจ้องมาที่เขาอย่างหวาดกลัว ดูเหมือนเด็กโรงเรียนนี้จะมีแต่พวกปวกเปียก น่ารังเกียจทั้งนั้น แค่เห็นว่าใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนที่มาตรฐานต่ำกว่าตน ก็คิดไว้ก่อนแล้วว่าเป็นคนละระดับกัน ช่างไม่น่าคบหาเอาเสียเลย ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่พวกคุณหนูคุณชายเอาแต่ใจ นอกจากเรียนกับชี้นิ้วสั่งแล้วไม่เห็นว่าจะทำอะไรเป็นสักคน

อ้อ ไม่ใช่สิ มีคนนึงที่ต้องละเว้นไว้เป็นกรณีพิเศษ แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งตัวประหลาดที่คิดจะมาสุงสิงกับคนจากวิไลวิทย์อยู่เหมือนกัน เด็กบ้าที่ทำให้ชีวิตเขาปั่นป่วนมาตลอดอาทิตย์...

“พ..พี่ติ!?” พูดไม่ทันขาดคำ เสียงของเด็กบ้าที่ว่าก็ดังขึ้นด้านหลัง

พะภูเงยหน้ามองติที่ค่อยๆหันมา ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ผงะจนเกือบจะล้ม น่าตกใจไม่ใช่เล่น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นคนคนนี้ที่นี่ มาโผล่ต่อหน้าก่อนที่เขาจะไปหาซะอีก

“เออ”

“พี่ติมาหาผมหรอครับ?”

รีบถามเสียงหวาน พลางตรงเข้าไปคว้าแขนแกร่งมาเกาะไว้แน่นแบบไม่กลัวตาย สายตาของเด็กรอบโรงเรียนยิ่งจับจ้องมาทางพวกเขายิ่งขึ้น ติรีบสะบัดเจ้าแมลงตัวน้อยที่ชื่อพะภูออกไปและเป็นฝ่ายกระชากคอเสื้อของคนตัวเล็กให้เดินตาม ที่ด้านนอกมีรถสีดำคันหรูกำลังจอดเทียบอยู่เลียบฟุตบาทสีขาวสลับแดง แบบไม่แยแสกฎหมายกันเลย

“หัดอายซะบ้าง”

“อายทำไมครับ แล้วสรุปว่าพี่ติมาหาผมหรอครับ?”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ ฉั..”

 “พี่ติ!”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงใสของผู้หญิงคนหนึ่งดังขัดขึ้นก่อน ทั้งติและพะภูต่างหันไปมองแทบจะพร้อมกัน เธอคนนั้นกำลังยืนทำตาโตอยู่ที่หน้ารถ สวมใส่ชุดนักเรียนของธารวิทยาอย่างเรียบร้อย นักเรียนที่ติต้องขอละเว้นการตำหนิเป็นกรณีพิเศษ...

“ตาล!”

เด็กผู้ชายร่างผอมรีบตวัดสายตาไปทางคนตัวสูงข้างๆ เมื่อเห็นว่าเขาเรียกชื่อของผู้หญิงตรงหน้าออกมา ท่าทางสนิทสนม

“พี่ติรู้จักพะภูด้วยเหรอ?”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอน่า”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง หนูเป็..”

“พี่ตาล!” เสียงตะโกนขานชื่อดังออกมาจากปากของพะภู ซึ่งเงียบมาได้สักพัก ตาลรีบเบนสายตามาทางรุ่นน้องตัวเองทันที พร้อมกับที่สีหน้าคำถามถูกส่งออกไป

“พี่ตาล..เป็นแฟนพี่ติหรอครับ”

“เอ่อ มะ..”

“ผมไม่รู้มาก่อนเลย... พี่ตาล ยกพี่ติให้ผมเถอะนะครับ”

“หะ?”

ติที่ได้แต่ยืนฟังพยายามจะเข้าไปดึงตัวพะภูออกมา แต่สายตาห้ามของตาลก็ทำให้เขาได้แต่หยุดอยู่เฉยๆ มือใหญ่ฟาดลงกับหน้าผากตัวเองเสียงดังเพียะ เหนื่อยใจกับไอ้เด็กผู้ชายคนนี้เหลือเกิน

“ผมชอบพี่ติครับ ชอบมากด้วย ถึงจะเป็นพี่ตาลแต่ผมก็ไม่ยอมหรอกนะครับ” พะภูดึงมือตาลมากุมไว้แน่น สายตาจริงจังถูกส่งไปให้ ตาลคือรุ่นพี่ที่ดีคนหนึ่งสำหรับเขา แต่ถ้าจะมาเป็นศัตรูหัวใจ ก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน

“งั้นพี่ยกให้เลย~”

“หะ?”

คำตอบยิ้มแย้มของตาลทำเอาพะภูเงิบไปสามวิ รุ่นพี่คนสวยเอาแต่ยืนกลั้นหัวเราะ พร้อมกับที่มือใหญ่ด้านหลังเอื้อมเข้ามาล็อกคอเขาไว้หลวมๆ ความไม่เข้าใจแล่นขึ้นมาในสมองแทบจะทันที

“เลิกบ้าได้แล้ว ทั้งคู่เลย.. ตาลเป็นน้องสาวฉัน” ติรีบชี้แจง จนพะภูคลายสงสัยในที่สุด รอยยิ้มแห้งๆเผยออกมาให้รุ่นพี่ตรงหน้า ได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่ตาลคืออัครโภคิน”

“พี่ก็ไม่เคยรู้เหมือนกัน ว่าพะภูเป็นเด็กของพี่ติ”

“เด็กของพี่อะไร!? หมอนี่ก็แค่เด็กบ้าที่มาตามตื้อพี่เท่านั้นแหละ”

ติโวยวายขึ้นมาทันควัน พลางตบไหล่คนเด็กกว่าทั้งสองให้ขึ้นรถ ดูเหมือนยิ่งอยู่นานก็ยิ่งกลายเป็นเป้าสายตามากเท่านั้น ยังไงก็ต้องพาไปคุยกันที่อื่นก่อน ให้ยืนส่งเสียงดังหน้าโรงเรียนท่ามกลางสายตาคนมากมายแบบนี้ไม่ดีแน่

“แล้วสรุปว่าพี่ติมารับพี่ตาลหรอครับ?” คนเด็กสุดยื่นหน้าออกมาจากเบาะหลังรถ พลางเอียงคอถามคนขับ ดูน่ารักน่าชังไม่ใช่น้อย... น่ารักในความคิดตาล แล้วก็น่าชังสำหรับติน่ะนะ

“เออ”

“แต่ทุกทีก็ไม่เคยเห็นเลย”

“พอดีคนขับรถป่วยกะทันหัน พี่ติเลยต้องมารับน่ะ” ตาลเป็นฝ่ายตอบคำถามนี้ เพราะดูท่าทางพี่ชายตัวเองจะเริ่มรำคาญเต็มทีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังอยากเห็นอะไรสนุกๆต่ออีกสักหน่อย

“ถ้ายังไง วันนี้พะภูไปกินข้าวเย็นบ้านพี่นะ”

“ได้หรอครับ!?”

“ไม่ได้! ยัยตาลจะชวนหมอนี่ทำไม”

ผู้ชายหลังพวงมาลัยรีบโวยวาย เมื่อคนเป็นน้องเชิญชวนเด็กที่เขาไม่นึกอยากอยู่ใกล้มากที่สุด ให้เข้ามาใกล้มากที่สุด ถ้ายอมพาหมอนี่เข้าบ้าน ไม่ยิ่งได้ใจใหญ่เหรอ เผลอๆจะคิดว่าเขาไม่ได้รังเกียจอะไร แล้วแบบนั้นก็คงตามตื้อไม่เลิกเป็นแน่

“ก็เป็นแขกของตาลเอง พี่ติจะทำไมคะ?”

แม้อยากจะเปิดปากเถียง แต่จากท่าทางดีใจของพะภู บวกกับสายตาเอาแต่ใจของตาล ก็ทำให้ติต้องยอมเออออห่อหมกไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ รถคันหรูขับแซงหน้าคันอื่นขึ้นมา จนคนด้านในแทบจะกลิ้ง ไม่นานนักก็หยุดตัวลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านเศรษฐีแห่งหนึ่ง ดูโอ่อ่าจนแทบจะกลายเป็นน่ากลัวเลยทีเดียว

ทันทีที่คุณหนูของบ้านทั้งสองคนก้าวเท้าลงมาจากรถ เหล่าคนรับใช้ก็เรียงแถวกันเข้ามารอต้อนรับซะอีกกว่าในละคร กระเป๋านักเรียนของทั้งสองคนถูกแม่บ้านรับไป ก่อนที่ตาลจะเป็นฝ่ายหันมาแนะนำตัวพะภูให้ทุกคนได้รับรู้โดยทั่วกัน ซึ่งตำแหน่งที่เธอมอบให้เขา นอกจากเป็นรุ่นน้องของตาลแล้ว ก็ยังได้เป็นเด็กในความดูแลของพี่ติด้วย แม้ว่าคนเป็นพี่ต้องการจะเถียงก็ไม่ทันแล้ว

“พ่อกับแม่ของเราทำงานอยู่ต่างประเทศ นานๆทีถึงจะกลับมา พะภูตามสบายเลยนะ”

“อะ...ครับ”

“อีกหนึ่งชั่วโมงจะเรียกทานอาหารเย็น ตอนนี้พะภูอยากทำอะไรหรือเปล่า?”

พะภูทำท่าครุ่นคิดได้สักพักก็ส่ายหน้าออกมา บ้านกว้างไกลแบบนี้คือสิ่งที่เคยคิดอยากจะมีมาตลอด แต่พอได้ลองมาสัมผัสจริงๆแล้ว ทำไมมันดูน่ากลัวก็ไม่รู้ เหมือนว่าจะกว้างเกินไป จนรู้สึกเหงาใจไปหมด...

“งั้นเราไปเล่นกับน้องน้ำฝนกันไหม?”

“ครับ?”

ตาลไม่ตอบสายตาคำถามของพะภู กลับตรงมาจูงมือเขาและติออกไปยังสนามหญ้าขนาดใหญ่ ดูเหมือนติจะแพ้น้องสาวคนนี้เอาซะมากๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจด้วยซ้ำ มุมน่ารักแบบนี้ก็มีนี่ นึกว่าทำเป็นแต่ปั้นหน้าโหด แล้วก็เที่ยวหาเรื่องชาวบ้านซะอีก

“โฮ่ง!”

ลูกหมาตัวเล็ก เจ้าของเส้นขนนุ่มลื่น สีน้ำตาลทองสวย วิ่งออกมาจากมุมหนึ่งของสวน ท่าทางร่าเริง และปุ้มปุ้ยสมบูรณ์ดีเหลือเกิน

ตาลอุ้มมันขึ้นมาและเดินตรงไปหาพะภูที่กำลังค้างเติ่ง ดวงตากลมแป้วจ้องเข้าไปในตาเขาเป็นเวลานาน จนตาลหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ดูเหมือนพะภูจะถูกความน่ารักของลูกหมาตัวน้อยเล่นงานเข้าให้ซะแล้ว

“นี่คือน้องน้ำฝน ลูกหมาของบ้านเรา จะอุ้มไหม?”

คนตัวเล็กรีบพยักหน้ารัวแรง พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ ตาลต้องกลั้นขำอีกครั้งก่อนจะส่งลูกหมาในมือเข้าไปในวงแขนของเด็กผู้ชายตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะขอจับภาพเป็นที่ระลึก ปกติพะภูก็เป็นรุ่นน้องที่ถูกกล่าวขานในโรงเรียนอยู่แล้ว เพราะหน้าตาที่น่ารักผิดปกติ กับความฉลาดหลักแหลมแบบหาตัวจับยาก ทำให้เขากลายมาเป็นที่ต้องการของสาวๆมากมาย แต่ในสายตาของตาล เขามองพะภูเป็นเหมือนตุ๊กตาตัวน้อยๆ หรือตัวการ์ตูนที่หลุดออกมาจากหนังสือซะมากกว่า ยิ่งอยู่คู่กับน้องน้ำฝนที่น่ารัก ก็ยิ่งเสริมให้ภาพตรงหน้าดูดีคูณสอง ไม่นึกเลยจริงๆว่าพะภูจะเป็นเด็กที่ติคอยก่นด่าอยู่ประจำช่วงนี้

เธอไม่รู้หรอกนะว่า ความสัมพันธ์ของพะภูกับพี่ชายตัวเองเป็นยังไง แต่ถ้าติเกลียดใครจริงๆ เขาจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือแม้แต่จะเสวนาด้วยให้เสียเวลา แต่นี่มันไม่ใช่ ติไม่ได้เกลียดพะภูอย่างที่พยายามแสดงออก...เคยมีทั้งหญิงทั้งชายที่มาตามตื้อติตั้งมากมาย แต่พอโดนเขาร้ายใส่ ยังไม่ทันจะหมดวัน ก็แจ้นหนีไปหมด บางรายขอแค่ได้ร่วมหลับนอนด้วยคืนเดียว รับเงินนิดๆหน่อยๆไป ก็พอใจแล้ว ทุกๆคนก็แค่ผ่านเข้ามาในชีวิตของติแค่ชั่วคราวเท่านั้น

คนแบบพะภูคือจอมตื้อในแบบที่ติไม่เคยเจอ เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ไม่หนีหาย และไม่เกลียด แม้ว่าติจะทำตัวแย่ใส่ขนาดไหนก็ตาม บางที...อาจจะเป็นคนแบบนี้ก็ได้ ที่มาทำลายกำแพงในใจของพี่ชายจอมโหดของเธอ น่าสนุกดี...

“นั่ง”

“โฮ่ง!”

“เฮ้ย!!”

จมอยู่กับความคิดตัวเองได้ไม่ทันไร พอหันไปอีกที ก็เห็นน้องน้ำฝนกับพะภูกำลังนั่งท่าเดียวกันอยู่บนพื้นหญ้า มีติคอยออกคำสั่งบนเก้าอี้ในสวนซะแล้ว บ้าชะมัด ไอ้พี่ติ! กล้าดียังไงมาทำเหมือนแขกของเธอเป็นลูกหมาแบบนี้กัน!

“พี่ติ พะภู เล่นอะไรกัน!?”

“ก็พี่ติบอกว่าผมเหมือนลูกหมาอะครับ” เด็กผู้ชายที่กำลังตั้งท่าจะหมอบตามน้องน้ำฝน เงยหน้าขึ้นตอบตาลแบบไร้เดียงสา จนเธอต้องรีบหันไปทำตาเขียวใส่คนออกคำสั่ง ที่ดูสนุกสนานเต็มที

“นี่พี่ยอมลดตัวลงมาเล่นกับรุ่นน้องเธอเลยนะ”

“พี่ติ!!”

“เออน่า เด็กนี่มันก็เล่นด้วย ไม่เห็นเป็นไรเลย น้ำฝน..ไปคาบมา!”

ติดึงแขนคนเป็นน้องให้นั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตน ก่อนจะหยิบของเล่นทรงกระดูกขว้างออกไปไม่ไกลนัก น้ำฝนเห่าดีใจและวิ่งไปคาบกลับมาแทบจะทันที ในขณะที่พะภูกลับนั่งนิ่ง สายตาจับจ้องไปยังของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย

“เอ่อ อันนี้ผมไม่เล่นนะครับ”

คนตัวสูงทำใจดียอมหยิบของเล่นแบบเดียวกันชิ้นใหม่ออกมายื่นให้ แต่พะภูกลับเอาแต่ส่ายหน้าพัลวัน ทำท่าจะลุกขึ้นยืน จนติต้องรีบกดไหล่เอาไว้

“ผมไม่เอ...อุ๊ฟ!!” ไม่รอให้พูดจบ ของเล่นลูกหมาในมือก็ถูกยัดเข้าไปในปากของคนตัวเล็กอย่างจงใจแกล้ง ตาลร้องออกมาแทบจะทันที แต่ก็ไม่รู้จะห้ามยังไง เมื่อสายตาของพี่ชายในตอนนี้ดูเปรมปรีดิ์ซะเหลือเกิน

“..อุ..พ..อื้ออ!”

“เป็นลูกหมา ก็ต้องเชื่อฟัง”

“อึ๊...พี่..อ...ติ ฮ้า...”

มือเล็กของพะภูยกขึ้นกุมมือของติไว้แน่น พยายามอย่างมากที่จะดึงมันออกห่าง แต่กลับไม่เป็นผล สิ่งของในปากถูกดันเข้ามาลึกจนแทบจะอาเจียน น้ำใสๆเริ่มเอ่อขึ้นมาจากขอบตาทั้งสองข้าง ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ น้ำลายที่กลืนไม่ทัน ไหลเยิ้มลงมาจนถึงปลายคาง เสริมให้ภาพของเขายิ่งดูน่ารังแกขึ้นไปอีก

ไม่รู้ทำไม ตาลถึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเฉยๆ เมื่อมองภาพของติกับพะภูในตอนนี้ สายตาเหยียดหยามจากคนตัวสูง ราวกับราชาที่กำลังกลั่นแกล้งเด็กน้อยไร้เดียงสาก็ไม่ปาน เสียงร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษาจากปากของพะภู ฟังไปฟังมาทำไมมันชักจะดูอีโรติกขึ้นทุกทีก็ไม่รู้

“พะ..พี่ติ พอเถอะค่ะ”

ตาลทำใจกล้าเข้าไปสะกิดพี่ชายตัวเอง จนติต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ แต่ก็ยอมถอนของเล่นลูกหมาออกมาจากปากเล็กตรงหน้า น้ำลายเหนียวหนืดของพะภูยังยืดตามออกมาอีกเป็นสาย ทำเอาคนตัวสูงอดแขยงไม่ได้

“นี่จ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้นะ” กระดาษทิชชู่จากตาลถูกส่งไปให้พะภูที่กำลังนั่งหอบ เอาแต่งืมงำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน มีน้องน้ำฝนที่ไม่รู้เรื่องอะไรวิ่งตามไปด้วย ปล่อยให้คู่กรณีต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

“อึ่ก!” มือใหญ่เอื้อมเข้ามาบีบคางพะภูไว้แน่น บังคับให้เชิดหน้าขึ้นมองตัวเอง น้ำเสียงเย็นเยียบถูกส่งออกไป ช้าๆ ชัดๆ

“ถ้าอยู่กับฉัน นายมันก็เป็นได้แค่ลูกหมา”

“...”

“เพราะฉะนั้น... ก็ออกไปจากชีวิตฉันซะ!”

------------------------------

:katai4: :katai4:

มันมีเหตุผลอยู่ ว่าทำไมพี่ติถึงอยากไล่พะภูนักหนา
จริงๆพี่ติเป็นคนดีนะ 5555
ดูไม่ค่อยมีคนเชียร์พี่ติ แอบเศร้าแทน 55

พี่เกต์เป็นเพื่อนพระเอก  :z10:

ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นมากจริงๆ
มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย T-T
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 19-07-2013 16:35:26
ถ้าออกไปจากชีวิตนายง่ายๆ ก็ไม่ใช่พะภูสิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 19-07-2013 17:18:52
เป็นลูกหมาที่น่า...รักที่สุดเลยหล่ะ
อยากเก็บมาเลี้ยงไว้ดูเล่นสักตัว
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 19-07-2013 17:55:33
ทำไมผมตงิดๆว่าพะภูต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงถึงได้คอยตามตื๊อพี่ติไม่เลิก
เอ๊ะ!หรือตูจะมองในแง่ร้ายเกินไปหว่า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: full69 ที่ 19-07-2013 20:19:58
เค้าว่าอีกไม่นาน พี่ติได้หงอกับ ลูกหมาแ่น่ๆๆ

 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 19-07-2013 20:48:36
เป็นลูกหมาก็พกพาสะดวกดีนะ

อิอิ คิดไปไกลขนาดให้พะภูใส่ชุดหมาน้อยละ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: LoleNz_Floer ที่ 19-07-2013 21:39:16
เหตุผลที่ พี่ติอยากไล่พะภูไปไกลๆเพราะอะไรอะ//ทำหน้าเอ๋อ :m28: :m28:   :confuse: :confuse:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 19-07-2013 22:03:44
ต๊ายยย พอคิดภาพตามแล้วหน้าพะภูอีโรติคมั่กๆเบย  :-[
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 20-07-2013 16:17:41
พะภูต้องการอำนาจจากพี่ติในการปกป้องตัวเอง
ตอนนี้น่าจะมีแค่ความรู้สึกนี้นะ ยังไม่น่าจะชอบพี่ติด้วยซ้ำ
(ใครจะชอบลง ร้ายกับตัวเองขนาดนัั้น .. เอ๊ะ หรือน้องจะมาโซ  :hao6: )

ส่วนพ่อพระเอก .. อืมมมม ยังเดาปมในใจไม่ออกแฮะ

 :katai1:


หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 22-07-2013 22:25:03
ถ้าออกไปจากชีวิตนายง่ายๆ ก็ไม่ใช่พะภูสิ

จริงง! 55

เป็นลูกหมาที่น่า...รักที่สุดเลยหล่ะ
อยากเก็บมาเลี้ยงไว้ดูเล่นสักตัว

น่ารัก น่ากด.. เอ๊ย น่ากอด จริงๆ ><

ทำไมผมตงิดๆว่าพะภูต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงถึงได้คอยตามตื๊อพี่ติไม่เลิก
เอ๊ะ!หรือตูจะมองในแง่ร้ายเกินไปหว่า

ไม่ได้มองในแง่ร้ายเกินไปเลยค่ะ.. 555 ก็มีจริงๆนะ แอบบอกทิ้งๆไว้ตั้งแต่บทแรกแล้ว คือไม่ใช่เพราะรักแน่ๆ (ตอนนี้อะนะ)

เค้าว่าอีกไม่นาน พี่ติได้หงอกับ ลูกหมาแ่น่ๆๆ

 :hao7: :hao7:

นั่นสิ ต้องแพ้ลูกหมาตัวนี้นี่แหละ!

เป็นลูกหมาก็พกพาสะดวกดีนะ

อิอิ คิดไปไกลขนาดให้พะภูใส่ชุดหมาน้อยละ :katai2-1:

คิดไปไกลแล้วเหมือนกัน =.,=

เหตุผลที่ พี่ติอยากไล่พะภูไปไกลๆเพราะอะไรอะ//ทำหน้าเอ๋อ :m28: :m28:   :confuse: :confuse:

เป็นเหตุผลที่ต้องบอกว่า พี่ติเป็นคนดีมาก ><

ต๊ายยย พอคิดภาพตามแล้วหน้าพะภูอีโรติคมั่กๆเบย  :-[

ใช่มะะ 555 จริงๆอยากให้ยัดนิ้วใส่ปากมากกว่า ชอบแบบนั้นอะ ฮ่าๆๆๆๆๆ //แสดงความหื่น

พะภูต้องการอำนาจจากพี่ติในการปกป้องตัวเอง
ตอนนี้น่าจะมีแค่ความรู้สึกนี้นะ ยังไม่น่าจะชอบพี่ติด้วยซ้ำ
(ใครจะชอบลง ร้ายกับตัวเองขนาดนัั้น .. เอ๊ะ หรือน้องจะมาโซ  :hao6: )

ส่วนพ่อพระเอก .. อืมมมม ยังเดาปมในใจไม่ออกแฮะ

 :katai1:




เบื้องหน้าพะภูดูเป็นเด็กดี พี่ติดูใจร้าย แต่เหตุผลของพะภูจริงๆใจร้าย แล้วเหตุผลของพี่ติกลายเป็นดี ! ต้องรอติดตามค่ะ >w<


ขอบคุณทุกๆคอมเม้นมากเลยนะคะ
แต่งช้านิดนึง เพราะทำนู้นทำนี่เยอะแยะไปหมด
แต่มาต่อแน่นอน ยังไงก็ฝากติดตามกันไปเรื่อยๆด้วยนะค้า~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 23-07-2013 07:03:47
ถ้าพะภูเป็นลูกหมาก็เป็นลูกหมาที่น่ารักที่สุดอ่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 23-07-2013 11:09:45
พี่ติขาาา
หนูชอบพี่จังเลย><!!!!
อ่านแล้วอดอยากเห็นพี่โดกดไม่ได้5555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 5 | 19/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 23-07-2013 15:29:42
จริงๆแล้วพี่ติเป็นคนใจดี...?   :undecided: :undecided: :undecided:



เมื่อไหร่จะใจดีแบบที่ทำให้คนอ่านเขินได้น๊อ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 24-07-2013 21:26:04
บทที่ 6

 

ลูกหมาตัวน้อยในชุดของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา มาทำอะไรอยู่หน้าโรงเรียนอันธพาลอย่างวิไลวิทย์ในตอนเย็นวันจันทร์แบบนี้กัน สายตาของนักเรียนที่นี่เริ่มไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะชินชากับการปรากฏตัว หรือเพราะข่าวลือเรื่องที่ติกับเกต์เข้ามาช่วยเหลือเขากันแน่

“นี่นาย”

“ค..ครับ?” ไม่ทันไรก็มีเด็กนักเรียนหญิงสองคน เดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทางใจดีผิดปกติซะแล้ว พะภูรีบหันไปก้มหัวให้เล็กน้อย เมื่อเห็นท่าว่าจะเป็นรุ่นพี่

“มาหาติกับเกต์เหรอ?”

“เอ่อ ครับ”

“อยู่ที่ตึกแรก ชั้นสองห้องสามน่ะ”

“ขะ ขอบคุณมากครับ”

คนตัวเล็กรีบก้มหัวอีกสองสามทีก่อนจะวิ่งไปยังอาคารเรียนตรงหน้า ถ้ามองไม่ผิดไป เมื่อกี้ผู้หญิงสองคนนั้นยังส่งยิ้มให้เขาอีกด้วย ทำไมพอเป็นรอยยิ้มจากเด็กวิไลวิทย์แล้วถึงไม่น่าดีใจเอาซะเลย กลับกัน มันดูน่าขนลุกมากกว่า นักเลงพวกนี้เวลาทำตัวดีแล้วน่ากลัวกว่าปกติอีกแฮะ

ความคิดในหัวถูไล่ออกไป เมื่อพะภูมาถึงหน้าห้องเรียนหมายเลข 203 ได้ข่าวว่าอาคารนี้พิเศษกว่าที่อื่น เพราะเป็นส่วนของพวกนักเรียนโครงการภาคภาษาอังกฤษ จึงได้อยู่ในห้องติดแอร์ น่าหมั่นไส้

ก๊อก ก๊อก..

พอยื่นมือออกไปเคาะประตู เสียงพูดคุยด้านในก็สงบลงทันที แอบเห็นจากเงาลางๆว่ามีหลายต่อหลายคนกำลังหันมองมาทางประตูที่เขายืนอยู่ แต่กลับไม่มีใครยอมขยับตัวลุกขึ้นมาเลย นี่มันบ้าอะไร ทำไมถึงต้องเอาแผ่นกระดาษมาแปะตามกระจกจนมองแทบไม่เห็นอะไรแบบนี้ด้วย แถมยังล็อกประตูเสียแน่นหนาจนน่าสงสัยอีก กลุ่มของกีรติช่างเลือกแหล่งซ่องสุมได้ไม่เกรงใจสถาบันเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ!

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ข้อต่อนิ้วมือทั้งสี่เคาะลงกับประตูไม้เสียงดังขึ้นอย่างจงใจ สายตาหรี่ลงแนบประตูที่เคยเป็นกระจกใส พอจะทำให้เห็นด้านในได้บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังประชุมอะไรสักอย่างกันอยู่ มีผู้ชายหลายคนนั่งเรียงแถวไปตามโต๊ะเรียน กับอีกสามคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะหน้ากระดาน แทบทั้งหมดไม่ได้สนใจจะเดินมาเปิดประตูให้เขาแต่อย่างใดเลย!

ก๊อก! ก๊อก!!

“ขอโทษครับ!”

เสียงเคาะประตูกับเสียงตะโกนของคนแปลกหน้ายังคงดังขึ้นต่อเนื่อง ทำเอาบรรยากาศภายในห้องเริ่มวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจฟังสิ่งที่ผู้ชายหัวเกรียนหน้ากระดานกำลังร่ายอีกแล้ว เจ้าของผมสีทองที่นั่งอยู่ถัดไป ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดพูดเพื่อจะฟังเสียงจากนอกประตูให้ชัดเจน

“เปิดประตูให้หน่อยครับ!”

“นั่นมันเสียงพะภูหนิ!”

“เฮ้ย!/เฮ้ย!”

เสียงร้องห้ามจากสองคนข้างๆดังขึ้นทันทีที่เกต์ลุกออกจากเก้าอี้ สายตาหลายสิบคู่ของนักเรียนด้านหน้าจับจ้องมาที่เขาด้วยความคาดหวังบางอย่าง ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาได้ ยกเว้นจะรู้รหัสเฉพาะกลุ่มเท่านั้น และการที่อยู่ดีๆจะเดินหน้าสลอนไปเปิดประตูให้เด็กที่ไหนไม่รู้ ก็ถือเป็นเรื่องผิดเช่นกัน

พะภูยืนร้องกระจองงองแงอยู่หน้าประตูเป็นเวลาอีกพักใหญ่ กว่าเสียงด้านในจะสงบลงอีกครั้ง พร้อมกับที่นักเรียนผู้ชายเริ่มทยอยลุกกันออกมา ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็รีบแทรกตัวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระดานขนาดใหญ่ มีผู้ชายสามคนกำลังจ้องลงมาด้วยสายตาที่แตกต่างกัน

“ทำไมไม่ยอมเปิดประตูให้ผมล่ะครับ?”

“ขอโทษด้วยนะ แต่เราไม่ให้คนนอกเข้า”

เกต์พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้พะภูรู้สึกดีขึ้นได้ คำว่าคนนอกดูจะจี้ใจดำเขามากเกินไป บวกกับสายตาเยาะเย้ยที่ติส่งมา ก็ยิ่งดูน่าหงุดหงิด

“เฮ้ย กูไปหาเฟย์แล้วนะ” ศิลป์เลิกสนใจเด็กผู้ชายตรงหน้า ก่อนจะหันไปตบไหล่ลาเพื่อนทั้งสองคนออกไป

“ฉันพูดอะไร ไม่เคยเข้าหัวเลยสินะ”

ติทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงกลางอีกครั้ง พลางเริ่มต้นบทสนทนาขึ้น พะภูต้องเก็บซ่อนอารมณ์โมโหเมื่อครู่ไว้ และรีบตีหน้าสดใสเข้าไปคลอเคลียคนบนเก้าอี้ทันที เกต์ตามมานั่งลงข้างๆติ ก่อนจะผายมือเป็นสัญญาณให้พะภูขึ้นนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง

“เสาร์อาทิตย์ไม่ได้เจอพี่ติ ผมคิดถึงมากเลยนะครับ”

“ฉันก็คิด”

“เอ๊ะ?” ความหวังบางอย่างเปล่งออกมาจากดวงตาสดใสทั้งสองข้าง แต่ก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อคนตัวสูงรีบพูดต่อ

“คิดว่าจะทำยังไง ให้นายเลิกตามตื้อสักที!”

“พี่ติใจร้ายจัง วันนั้นยังพาผมเข้าบ้านตัวเองแท้ๆ~”

“หือ? นี่มึงพาพะภูไปบ้านเหรอ ไม่เห็นเล่าเลยนะ” เกต์แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา ก่อนจะฟาดหลังมือลงกับแผ่นอกของเพื่อนข้างๆเต็มแรง คนถูกตีชักสีหน้าพลางตบหัวอีกฝ่ายคืน รุนแรงไม่แพ้กัน

“ยัยตาลเป็นคนชวน กูไม่เกี่ยวว้อย!”

“แล้วไปทำอะไรกันล่ะ?”

“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แล้วนี่มาทำไม?”

ติรีบตัดบทจากเกต์ และหันมาเอาเรื่องคนบนเก้าอี้อีกด้านต่ออย่างฉุนเฉียว พะภูทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก ก่อนจะวาดมือผ่านตัวติไปจนถึงมือใหญ่ของเกต์ซึ่งอยู่ถัดไป กอบกุมเอาไว้แน่นพลางส่งสายตาน่าสงสารให้ ทำเอาคนตรงกลางอดส่งเสียงหมั่นไส้ออกมาไม่ได้

“พี่เกต์ ผมขอยืมเงินหน่อยได้ไหมครับ?”

“อ้อ ได้สิ จะเอ..”

“เฮ้ย!” ติโวยออกมาแทบจะทันทีหลังได้ยินคำพูดของพะภู มือเล็กถูกเขาปัดออกให้ห่างจากเพื่อนตน ก่อนที่สายตาไม่สบอารมณ์จะถูกส่งไปให้

“สนิทกันก็ไม่ใช่ อยู่ดีๆมาขอเงิน พ่อแม่ไม่สอนให้มีความเกรงใจบ้างหรือไง!?”

“อึ่ก!”

“ไอ้เด็..”

“...ขอโทษครับ แต่ผมไม่มี” สายตาแข็งขืนไม่แพ้กันจากเด็กตรงหน้าถูกส่งกลับมา น่าแปลกใช่เล่น ปกติไม่เคยเห็นหมอนี่ทำหน้าทำตาแบบนี้หรอก เจอกันทีก็เอาแต่ยิ้มร่า เข้ามาออดอ้อนเหมือนลูกหมาเท่านั้น

“อะไ..”

“ผมไม่มี พ่อแม่ที่จะมาสอนเรื่องความเกรงใจ”

“.....”

“พอดีพี่สาวผมไม่สบาย ต้องฉีดยา ราคาแพงมากครับ แถมบิลค่าน้ำค่าไฟก็ส่งมาแล้ว”

พะภูเลิกสนใจติที่เถียงไม่ออก ก่อนจะเดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเกต์แทน แก้มเนียนถูไถไปกับกางเกงนักเรียนของรุ่นพี่ต่างโรงเรียนอย่างกับลูกหมาไม่มีผิด เกต์เอื้อมมือขึ้นตบบ่าติเบาๆ เหมือนเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาจะช่วย แม้ว่ามันจะทำให้ติไม่พอใจก็ตาม

“ตอนนี้ฉันมีแค่นี้ เอาไปก่อนนะ”

แบงค์พัน 5 ใบ ถูกนำออกมาจากกระเป๋าสตางค์ราคาแพง ยื่นให้คนตัวเล็กที่ทำท่าเหมือนอยากร้องไห้เต็มที พะภูรีบรับมาและเอาแต่ก้มหัวขอบคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ส่วนติก็ทำได้แค่ถอนหายใจให้กับความใจอ่อนของเพื่อนคนนี้เท่านั้น

ถ้าจะบอกว่าเกต์คือเทวดาที่มาโปรดพะภูก็คงไม่ผิด นอกจากให้ยืมเงินโดยไม่มีข้อแม้อะไรสักคำแล้ว ยังอาสาพาไปส่งบ้านฟรีๆอีก ความจริงแล้ว การมีเกต์อยู่ก็ทำให้พะภูกล้าเข้าหาติมากขึ้นด้วย เพราะรู้แน่ว่า ต่อให้ติรำคาญตัวเองแค่ไหน แต่เกต์ก็จะเป็นคนมาช่วยคลายบรรยากาศไม่ดีให้ทุกครั้ง บางทีก็รู้สึกว่าคนคนนี้ดูเหมือนพี่ชายในอุดมคติอยู่เหมือนกัน

เงินที่ได้ก็รีบเอาไปให้พะพาย ที่ดันไปออกค่ายแล้วติดไข้เลือดออกกลับมา แบ่งบางส่วนไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ กับค่าโทรศัพท์ แน่นอนว่าต้องเริ่มหางานพิเศษ เพื่อจะหาเงินไปคืนเกต์โดยไวด้วย ไม่อย่างนั้น ทุกครั้งที่ไปหาติ ก็คงไม่วายโดนจิกกัดเข้าให้อีก

พูดถึงติ..วันนี้ต้องยอมรับเลย ว่าเขารู้สึกโกรธจริงๆ การที่ติพูดจาถึงพ่อแม่นับว่าเป็นอะไรที่แย่มาก แต่พอคิดทบทวนดูดีๆ ติเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เขาแค่พูดตามประสาผู้ชายปากเสีย โดยที่ไม่รู้ก็เท่านั้น...ยังไง พะภูก็ต้องทำให้ติรัก และเพื่อจะทำให้มันลุล่วง เขาก็คงไม่มีสิทธิ์ไปเอาความอะไรได้หรอก วันนี้พลาดไปหน่อยที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่ จนแสดงด้านที่ไม่น่ารักออกไปให้เห็น แต่ครั้งหน้าที่เจอกัน เขาก็ต้องกลับไปเป็นลูกหมาเซื่องๆของติเหมือนเคย

กริ๊งง..

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นทำลายความคิดในหัวพะภูไปหมด เสียงพะพายอาบน้ำดังลงมาจากชั้นสองของทาวน์เฮาส์ราคาถูก ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายลากขาออกไปเอง ปกติไม่เคยมีใครมาหาเอาเวลาอย่างนี้หรอก ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่คนทวงค่าเช่าหรืออะไรเทือกนั้นนะ

“...พะ”

ประตูบ้านถูกปิดลงอย่างไว ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังผู้ชายตัวสูงในชุดไปรเวทสบายๆ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง พะภูรีบเดินมาเปิดรั้วด้านนอกและตรงเข้าไปเกาะกุมแขนใหญ่เอาไว้เหมือนทุกที กลิ่นสบู่แชมพูฟุ้งเตะจมูก จนคนเป็นแขกแทบจะอาเจียน

“พี่ติ มาหาผมเหรอครับ!?”

“เออ”

น้ำเสียงรำคาญตอบกลับมาพลางกระตุกแขนแรงๆ จนคนตัวเล็กเกือบกระเด็น สายตาเรียบเฉยจับจ้องไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กทุนโรงเรียนผู้ดี เขาค่อยๆดึงซองสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยื่นให้พะภูรับไว้

“อะไรครับ?”

“ดูเหมือนนายจะมีปัญหาด้านการเงิน รับนี่ไป แล้วอย่ามาให้เห็นหน้าอีกได้ไหม?”

คนตัวเล็กฟังไปแกะซองในมือไป ด้านในเป็นเงินสดฟ่อนใหญ่ หนาจนอดตาโตไม่ได้ เท่าไรกันเนี่ย น่าจะหลายหมื่นอยู่เพราะที่เห็นก็มีแต่แบงค์สีเทาทั้งนั้น... ไม่สิ แบบนี้ต้องเป็นแสนแน่ๆ บ้าไปใหญ่แล้วกีรติ แบกเงินขนาดนี้มาฟาดหัวคนอื่น เพื่อสั่งให้เขาออกไปจากชีวิตตัวเองเนี่ยนะ

เงินนี่มากพอสำหรับครอบครัวพี่น้องสองคนอย่างพะภู สำหรับการใช้ชีวิตนับจากนี้ ก็คงไม่ต้องลำบากอีกแล้ว แต่ว่า...เขาเดินมาไกลเกินกว่าจะยอมรับแค่เศษเงินจากตระกูลอัครโภคิน มีแค่เงินปึกสองปึก ไม่พอจะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงหรอก...

พะภูปิดซองกลับอย่างเดิม ก่อนจะยัดมันเข้าไปในมือของคนให้ สีหน้าเรียบเฉยถูกแสดงออกไป พร้อมกับน้ำเสียงที่ตั้งใจให้ฟังดูจริงจังเป็นพิเศษ

“คนที่รักพี่จริงๆ เขาไม่ต้องการเงินนี่หรอกครับ”

“...”

คนตัวสูงเงียบไปนาน มีเพียงแค่เสียงลมที่พัดผ่าน กับเสียงของเครื่องยนต์ที่ขับเข้ามาในซอยเท่านั้น ทั้งสองต่างหยุดนิ่ง ทิ้งเวลาไปกับการจ้องหน้ากันและกันด้วยสายตาซึ่งแปลความไม่ออก

ระหว่างที่ทั้งคู่ยังคงจมเข้าไปในความคิดของตัวเอง ใครบางคนก็ใช้โอกาสนี้โผล่ตัวออกมาจากเงาต้นไม้ใหญ่ เข้ามาขนาบหลังพะภูพร้อมกับวัตถุน่าสงสัยบางอย่าง ซึ่งกำลังดันกระแทกเอวเขาเข้ามา ความหวาดหวั่นแล่นไปทั่วร่างจนขาสองข้างสั่นไปหมด ติที่ยืนอยู่อีกฝั่งรีบชักสีหน้า ก่อนจะทอดสายตาผ่านคนตัวเล็กไปยังผู้มาเยือน

กริ๊ก

เสียงเหนี่ยวไกปืนดังขึ้นชัดเจนในโสตประสาต ทำเอาสติสตังแทบจะวิ่งหนีหายไปเสียเดี๋ยวนั้น สายลมที่พัดมาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ น่ากลัวว่าจะมีพายุผ่านมาทางนี้ซะแล้วล่ะมั้ง...

--------------------------------------

ตอนต่อไปน่าจะได้อยู่กันสองต่อสองแล้ว ฮิ้วววว~
แต่เพิ่งแต่งไปได้ไม่กี่บรรทัดเอง ฟิ้วววว~ 5555

ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งสำหรับทุกๆคอมเม้นค่ะ
เราอ่านซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว 55
ยังไงก็ขอฝากให้ติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

 :heaven
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 24-07-2013 21:33:49
ใครกันน่ะ อยู่ๆก็เอาปืนมาจ่อ  :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 24-07-2013 21:52:29
เจ้าหนี้? หรือใคร
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 24-07-2013 22:02:35
ใครมา!!  o22
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 24-07-2013 22:08:12
ใครอะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 24-07-2013 22:34:55
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:เข้ามาติดต่มด้วยคน :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 24-07-2013 22:52:51
พะภูต้องการมากกว่าเงิน แล้วมันคืออะไร? แล้วใครยิงปืน ? ทำไมพี่ติถึงไล่พะภู ?
ปริศนาเยอะจัง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: done_dirt_cheap ที่ 24-07-2013 23:00:59
ใคร?
ยิงพะภู เหรอ
นางอิจฉา เมียเก่าพี่ติ
 :ling1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 25-07-2013 12:42:12
ยังงงกับเหตุการณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นไงมาไง
แต่ก็เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่จ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-07-2013 14:11:42
งะเกิดอารายขึ้นนะนี่ ให้ตายสิ!!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 25-07-2013 14:48:05
ค้าง...ตัวเท่าบ้าน :katai4:
มาต่อเร็วๆนะคร้าบบบบ :mew2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 26-07-2013 20:13:27
 :katai2-1: ชอบเรื่องนี้มากเลย ติดตามอ่านตั้งแต่ตอนแรกยันตอนนี้เลยอ้ะ!

ลงทุนสมัครสมาชิกเว็บเพื่อเรื่องนี้เลยนะเนี๊ยะ  :-[

สาธุ! ขอให้อานิสงส์นี้ช่วยให้นักเขียนอย่าดองงานด้วยเทอญ  :call:

ฮ่าๆ แต่งอีกเยอะๆนะๆๆๆ รออ่าน เย้วววว!!!  :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 26-07-2013 22:17:31
ภูไม่ธรรมดาจริงๆใช่มั้ย? มันดูกล้าเกินไปมากกว่าเด็กทั่วๆไป
ส่วนติก็ไม่ได้เลวอย่างที่คิดหรืออะไรยังไง
เอาตรงๆว่าเป็นเรื่องแรกที่เดาพล็อตเรื่องไม่ออก
มันดูกำกวมไปหมด คนนี้เหมือนดีอาจแย่ คนที่ดูแย่อาจดี
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 6 | 24/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 26-07-2013 22:31:37
อ่าว โจรปล้นเหรอนั้นน  :ling2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 27-07-2013 17:35:08
อ่านคอมเม้นแล้วตกใจนิดนึง
ทุกคนอย่าเพิ่งคาดหวัง เราไม่ได้แต่งซับซ้อนขนาดนั้น 555555
คือเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลย เรื่อยๆมาก 55
แค่เด็กบ้า กับ ผู้ชายหน้าโหด น่ะ..........




บทที่ 7

 

“พี่ติ!”

พะภูรีบร้องขึ้นเมื่อเห็นชายร่างใหญ่อีกคน โผล่ออกมาด้านหลังของติพร้อมปืนอีกกระบอกในมือ ไม่ทันที่คนตัวสูงจะได้ขยับตัว เสียงเหนี่ยวไกก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางความเงียบสงบของซอยเล็กๆนี้ เขาตัดสินใจทำตัวว่านอนสอนง่าย เพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวเอง

“เดินไปขึ้นรถ”

เจ้าของปืนว่าเสียงเรียบ ก่อนจะดันไหล่ทั้งสองคนให้เดินไปขึ้นรถตู้คันใหญ่ที่ขับเข้ามาจอดเมื่อครู่ ด้านในมีพรรคพวกของมันอีกสองสามคน ในมือถืออาวุธกันพร้อมสรรพ ทำให้ไม่สามารถขัดขืนได้เลย

ทั้งคู่ถูกจับมัดมือ และปิดปากซะสนิท โทรศัพท์ถูกยึดเอาไปปิดเครื่องทิ้งทันที แถมเงินแสนในซองที่ตั้งใจเอามาให้พะภูก็ถูกมันเอาไปด้วย รถตู้ขับไปเรื่อยๆเป็นเวลานานมาก แต่เพราะมีปืนมาจ่อหัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีกะจิตกะใจจะนอนหลับได้ด้วยซ้ำ กว่าที่จะรู้ตัวก็เป็นตอนสายของอีกวันเข้าไปแล้ว ความสับสนยังคงแล่นอยู่ในอกของพะภู และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อประตูรถถูกเปิดออก เผยให้เห็นเพียงต้นไม้ใหญ่ละลานตา

ป่า !?

พวกคนร้ายค่อยๆลากตัวทั้งสองคนเข้าไปในกระท่อมไม้หลังเล็ก ก่อนจะถูกโยนเข้าไปในห้องทึบที่มีทางออกเป็นเพียงประตูบานเดียว ข้อเท้าทั้งสองข้างถูกเชือกหนามัดรวบไว้ด้วยกัน จนทั้งติและพะภูมีสภาพเหมือนหนอนใบไม้กลายๆ ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากความเงียบและสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความร้ายกาจจากพวกคนร่างบึกทั้งหลาย สุดท้ายก็ถูกจับขังไว้ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กเท่ารูตูด ประตูลงกลอนจากด้านนอกหนาแน่น หน้าต่างสักบานก็ไม่มี ที่พอจะประทังให้มีชีวิตอยู่ได้ก็แค่ช่องระบายอากาศเล็กๆเท่านั้น

“อืออื้ออ!”

พะภูมองตามคนตัวสูงที่ส่งเสียงอู้อี้ไม่รู้เรื่องออกมา พยายามกระดึ้บตัวเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นพลางขมวดคิ้วมุ่น ติส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้เขาหันหลัง ก่อนที่มือใหญ่จะตรงเข้ามาคลำๆเชือกตรงข้อมือ ดูเหมือนติตั้งใจจะแก้มัดให้ได้ ทั้งที่มองไม่เห็นเงื่อน

เวลาผ่านไปนานสองนาน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคุณชายจอมโหดคนนี้จะแก้มัดได้ และดูเหมือนเจ้าตัวก็จะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นทุกที สุดท้ายก็จบลงด้วยการล้มเลิกไปเสียกลางคัน ได้แต่ดิ้นพล่านๆเหมือนโดนน้ำร้อนสาดเพราะความไม่ได้ดั่งใจ เห็นแบบนี้ก็น่าหัวเราะอยู่เหมือนกัน กีรติที่ว่าแน่ก็ยังแก้เชือกผูกข้อมือกระจอกๆไม่ได้ คนอย่างเขาคงเคยแต่เตะต่อยหาเรื่อง ไม่มีโอกาสเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแบบนี้สินะ ผิดกับพะภูที่เคยโดยจับมัดแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในอดีต บางที ความทรงจำอันแสนโหดร้ายก็กลายมาเป็นประสบการณ์ที่ดีได้เหมือนกันแฮะ

“อืออื้ออือ..”

ติเป็นฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันแทนเมื่อคนตัวเล็กพยายามส่งเสียงออกไปบ้าง พะภูไม่ได้สนใจว่าเขาจะเข้าใจไหม แต่กลับขยับเข้าไปชิดแผ่นหลัง พลางใช้มือเล็กแตะไปตามแนวเชือกเส้นหนา ไม่กี่นาทีต่อมา เงื่อนที่รัดข้อมือของติอยู่นั้น ก็ค่อยๆคลายออกตามลำดับ ทำเอาคนตัวโตถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ ขณะเดียวกันก็ยิ่งหงุดหงิดความใช้ไม่ได้ของตัวเอง

สก๊อตเทปแผ่นใหญ่ถูกดึงออกหลังจากที่เชือกตรงแขนตรงขาคลาย ติรีบหันไปแก้มัดให้พะภูและเริ่มคิดทบทวนเรื่องโจรพวกนี้ ฝั่งคนตัวเล็กพอเปิดปากได้ ก็รีบยิงคำถามใส่เสียงกระซิบ

“โดนจับง่ายๆแบบนี้ ไม่สมเป็นพี่ติเลยครับ”

“ไอ้ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เพราะมีนายอยู่ด้วย เลยต้องระวังต่างหาก”

“ทำไมครับ?”

“ก็ถ้านายเป็นอะไรไปจะว่ายังไง ฉันไม่มานั่งจัดงานศพให้หรอกนะ ไอ้บ้านี่”

“แบบนี้เรียกว่าเป็นห่วงสินะครับ” คนพูดเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางช้อนตาขึ้นมองคนโตกว่า นิ้วเรียวถูกยกขึ้นชี้หน้าติเป็นเชิงแซว อีกฝ่ายไม่ถึงกับปฏิเสธอะไร เพียงแต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับมา พร้อมกับจิ้มนิ้วชี้ลงบนหน้าผากของพะภูแรงๆ

“แบบนี้เรียกว่าตัวเกะกะ ยังไม่สำนึกอีก”

“เจ็บนะครับ” คนตัวเล็กตีสีหน้าบูดบึ้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ติรีบส่งสัญญาณมือให้เงียบเสียงลง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ใบหู เสียงกระซิบทุ้มต่ำดังขึ้นชัดเจน

“เราจะหนีออกไปจากที่นี่”

 

แผนการตามมีตามเกิดยังคงไหลเวียนอยู่ในหัวสมอง ตอนนี้ทั้งสองคนกลับไปประจำที่ ทำทีเป็นถูกพันธนาการไว้เหมือนแรกเริ่มด้วยเงื่อนหลอกๆ อากาศภายในห้องเย็นตัวลงอย่างเห็นได้ชัด มีเม็ดฝนสาดเข้ามาบ้างเล็กน้อย บวกกับเสียงลมกับใบไม้น่ากลัวที่ดังติดต่อกันมาร่วม 20 นาทีแล้ว ไอ้พวกโจรด้านนอกเหลือเพียงแค่ 2 คน นอกนั้นดูเหมือนจะขับรถกลับไปที่ไหนสักแห่ง อาจจะกำลังเตรียมการบางอย่างอยู่ก็เป็นได้

ส่วนจุดประสงค์...ที่พอจะเดาออก ก็คือการจับตัวเรียกค่าไถ่ ไม่ก็การแก้แค้นจากพวกนักเลงกลุ่มอื่นๆ จากประสบการณ์ที่ติเคยถูกปองร้ายลักษณะนี้มาเฉียดๆ 10 ครั้งต่อปี แต่ทุกทีก็มักรอดมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยตัวคนเดียว ยกเว้นแต่ครั้งนี้ที่ดันมีพะภูเข้ามาเกะกะ ทำให้ไม่กล้าวู่วามมากนัก เพราะถึงเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเด็กนี่เท่าไร แต่ก็คงไม่ดีถ้าปล่อยให้คนอื่นต้องมาพลอยรับลูกหลงไปด้วย

สักพักหนึ่งประตูห้องก็เปิดออก พร้อมผู้ชายร่างบึกที่ก้าวเท้าเข้ามา ในมือถือกล่องโฟมใส่อาหาร ซึ่งส่งกลิ่นโชยจนเตะจมูก

“กินซะ จะได้ไม่ตายไปก่อน”

แคว๊กก

มือหนาตรงเข้ามากระชากสก็อตเทปบนปากทั้งคู่ออกอย่างดิบเถื่อน ก่อนที่กล่องข้าวในมือจะถูกวางลงบนพื้น คนตัวเล็กรีบชักสีหน้า ก่อนจะแสร้งโวยวายเป็นการใหญ่

“ทำไมมีข้าวแค่นี้อะ?”

“มีให้กินก็ดีแล้ว!”

“งั้นก็แก้มัดสิ ไม่งั้นจะกินยังไ...อุ๊ฟ!”

โจรหน้าโหดส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนจะตักข้าวคำใหญ่ขึ้นมายัดใส่ปากคนพูดมากตรงหน้า ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการได้เห็นคนตัวเล็กสำลักข้าวคำโต ชายร่างสูงอีกคนก็ใช้โอกาสนี้ย่องมาทางด้านหลัง มือสองข้างกอบกำกันไว้แน่นพลางเงื้อขึ้นสูง

ปักก!

“อ่อก!!?”

ทันทีที่ติปล่อยหมัดหนักเข้าไปกระแทกท้ายทอยของโจรตรงหน้า จนล้มไปกองกับพื้น พะภูก็รีบสะลัดแขนให้หลุดจากเชือกที่ถูกผูกไว้หลวมๆ ก่อนจะดึงเชือกที่ขาออกอย่างง่ายดาย เขารีบชักเท้าเข้าหาตัวไม่ให้ไอ้โจรคว้าไว้ได้ทัน และรีบวิ่งดุ๊กๆไปยืนหลบอยู่ด้านหลังของติด้วยใจที่เต้นรัว

“ไอ้เวรเอ๊ย!”

โจรบนพื้นสบถออกมาเสียงดังพลางชักปืนกระบอกหนึ่งออกมาจากกางเกง แขนซ้ายใช้ยันตัวเองเอาไว้อย่างทุลักทุเล ขณะที่ปืนในมือขวากำลังพุ่งเป้าไปทางตัวประกันทั้งสอง สายตาโหดร้ายจ้องเขม็งออกไปด้วยความโกรธจัด แต่ไม่ทันที่จะได้ลุกขึ้นหรือแม้กระทั่งลั่นไก ปืนในมือก็ถูกลูกเตะของติกระแทกจนกระดอนไปตกอยู่ที่มุมห้อง

ส้นรองเท้าราคาแพงตามลงมากดทับศีรษะบูดเบี้ยวของไอ้โจรกระจอก ก่อนที่แรงกระทืบน่ากลัวจะถูกรัวเข้าไปตามร่างกายบนพื้นอย่างไร้ความปราณี เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นเรื่อยๆ จนโจรอีกคนซึ่งกำลังเฝ้ายามอยู่ภายในระเบียงแคบๆหน้าบ้านได้ยินเข้า เสียงประตูด้านนอกเปิดออก ทำให้ติรีบผละตัวออกจากผู้ชายใต้ฝ่าเท้า และกระโจนเข้าไปหยิบปืนที่หล่นอยู่มาไว้ในมือทันที

เพียงวินาทีต่อมา ประตูห้องที่ขังพวกเขาไว้ก็ถูกกระทืบจนเปิดออก โจรผู้มาใหม่รีบตวัดสายตาไปทางเพื่อนตนที่กำลังนอนเป็นซากอยู่บนพื้น ก่อนจะรีบชักสีหน้า พลางหันกระบอกปืนในมือไปทางติที่ตั้งท่าจะลุกขึ้น ในหัวคิดไว้แล้วว่าคงหลบไม่ทันแน่ๆ..

“แกกก!!!”

ปังง!

แค่พริบตาเดียว ร่างสูงของติก็ถูกผลักเข้าไปกระแทกกับกำแพงด้านหนึ่ง มีร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กกำลังดิ้นพล่านอยู่บนพื้นไม้ พร้อมกับเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดที่ดังขึ้นจนน่าตกใจ มีเลือดข้นไหลออกมาจากหัวไหล่ด้านซ้ายของหมอนั่น ในขณะที่ตัวเขากลับปลอดภัยดี

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างขึ้นด้วยความเดือดดาล ก่อนที่เสียงปืนในมือของเขาจะดังขึ้นอย่างไม่มีการลังเล ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่ไหปลาร้าของโจรที่ประตูจนเซออกไป

“อ๊ากกกกก!!!!”

ติรีบยันตัวเองลุกขึ้นและเริ่มรัวปืนเข้าใส่โจรตรงหน้าเหมือนคนเสียสติ เลือดสีสดพุ่งทะลักออกมาจนดูเละเทะไปหมด สักพัก ปืนในมือของโจรคนนั้นก็ถูกปล่อยลงไปกระแทกพื้น ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะร่วงตามลงไปเสียงดังโครมใหญ่ ติปล่อยปืนในมือลง และรีบพุ่งตัวกลับมาประคองร่างของพะภูขึ้นพักไว้กับกำแพงห้องอย่างระมัดระวัง มือใหญ่พลิกแขนของคนตัวเล็กเพื่อให้เห็นบาดแผลชัดเจน โชคดีที่กระสุนเมื่อครู่เพียงแค่เฉี่ยวทะลุเนื้อเขาไป แต่ก็ยังนับว่าหนักหนาเอาการสำหรับเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ ยังคงมีเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด พอๆกับเสียงครวญที่ดังขึ้นต่อเนื่อง

“บ้าเอ๊ย! ไม่เป็นไรนะ!?”

“พะ...พี่ติ..ฮึก...”

ถ้าเทียบกับโจรที่นอนจมกองเลือดอยู่หน้าประตู แผลแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก แต่สำหรับคนอย่างพะภู นี่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะรับได้ ความจริงก็คือเขาถูกยิง...ความเจ็บปวดย่อมมหาศาลต่างกับการหกล้มหรือโดนมีดบาดแน่นอนล่ะ

“อย่าร้องไห้.. นายเป็นผู้ชายไม่ใช่รึไง?”

“ฮ..ฮือ..อ...”

“เจ็บมากเลยเหรอ?”

พะภูส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะออกแรงยันตัวเองขึ้นเล็กน้อย สายตาทอดผ่านไปยังร่างอาบเลือดของโจรหน้าประตู พอดีกับที่เขาสำลักเสียงสะอื้นออกมาอีกระลอกใหญ่ มือเล็กทั้งสองข้างค่อยๆเอื้อมเข้าไปกุมมือที่สั่นเทาของติเอาไว้แน่น พลางปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม

“ขอ...ขอโทษ..ครับ”

“อะไ...”

“ผ..ผม ผมทำให้ ฮึก..พี่ติ ตะ...”

“...”

“ต้องทำ ฮึ..ก เรื่อง..แบบนั้น.....”

ดวงตาของติเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ สายตาจับจ้องไปยังร่างของโจรที่นอนแน่นิ่ง สลับกับปืนที่เขาถืออยู่จนถึงเมื่อครู่ ก่อนจะหันกลับมาหาคนตรงหน้าซึ่งกำลังร้องไห้ด้วยท่าทางที่ทรมาน จนแทบทนมองไม่ได้ แรงบีบที่มือเพิ่มขึ้นเหมือนตั้งใจจะปลอบเขา มากกว่าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตัวเองเสียอีก

ทั้งที่เป็นแค่เด็กนักเรียนไปวันๆก็ดีอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวพันกับคนอย่างเขาด้วย ถึงได้คิดว่าหมอนี่มันบ้าชัดๆ ใครที่มีความสัมพันธ์กับกีรติเคยมีชีวิตสงบสุขตั้งแต่เมื่อไรกัน ทั้งที่เป็นแบบนั้น ก็ยัง...

“นายนี่มัน...”

มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดออกจากแก้มของเด็กตรงหน้า ซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าพะภูจะเลิกร้องไห้ ยังคงมีเสียงสะอื้นบางๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก เช่นเดียวกันกับเสียงเม็ดฝนในป่าด้านนอก

“ฮ..ฮึก...”

.

.

“...ช่างเป็นลูกหมาที่ดื้อจริงๆ”

----------------------------------------

เห็นปะ มันไม่มีอะไรอะ 5555
น่าจะเดาเรื่องติกันออกแล้วสิ

ไม่ต้องคิดลึกก็ได้นะ เราก็แต่งพื้นๆ
ซับซ้อนมาก คนแต่งจะสับสนเอง 55
แต่ก็ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม ที่ชอบ (?) มากๆค่ะ
อ่านคอมเม้นแล้วยิ้มแก้มแตก
ฝากเชียร์พี่ติกับพะภูไปเรื่อยๆด้วยนะค้า~

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 27-07-2013 19:26:03
ฉึก สุดท้ายก็ไม่พ้นความเป็นลูกหมา :z10:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 27-07-2013 19:42:22
รักพี่ติ ขึ้นมานิดนึงงง  :hao3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 27-07-2013 22:17:34
หนีออกมาให้ได้นะทั้งคู่
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 27-07-2013 22:26:55
สรุปว่าโจร(?)นั้นเป็นใคร --?
แต่ดีนะที่รอดมาได้
เอะ ยังไม่ได้ออกมาจากสถานที่นั้น จะรอดมั้ยน้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 27-07-2013 23:31:57
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:ถึงจะเป็นลูกหมาแต่พี่ติก็เริ่มจะหลงรักแล้วไหมอะ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 28-07-2013 00:49:48
พี่สาวพะภูยังไม่ออกโรงเลย อยากเจอๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: ♀♥♀DearigA♂♥♂ ที่ 28-07-2013 01:29:10
พะภู อยากคบกับติ เพราะ คิดว่า ติเป็นคนที่จะทำให้ เค้าครองโลกได้ใช่ไหมคะ?  :hao7:

แรกๆอาจจะเรียกว่าชอบได้แต่ให้รักจริงๆ เหมืออนไม่ได้ซีเรียสเสียใจอะไรเลยตอนที่ถูกปฏิเสธ มันก็แปลกๆเนอะ



เอาใจช่วยลูกหมา ให้เป็นตัวโปรดไวๆ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-07-2013 05:21:37
เริีมใจอ่อน ระสิ๊ อิอิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 28-07-2013 15:25:06
อ่านตอนนี้แล้ว ชักอยากจะรู้อดีตของพะภูซะแล้วสิ
พี่ติก็เริ่มรู้สึกดีๆกับพะภูมากขึ้น(รึเปล่า?)
เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 28-07-2013 18:02:15
 :-[
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: LoleNz_Floer ที่ 28-07-2013 20:40:00
ลูกหมา  ก็ลูกหมาที่น่ารักละหว้า//เเล้วเหตุผลที่พี่ติไล่พะภู(ยังไม่จบ :o11: :o11:)คือ ไม่อยากกินเด็กใช่ม๊า~ :give2: :give2: แต่พระภูขนาดนี้แล้ว  ไม่เด็กแล้วน้า(โดนพี่ติไล่กระทืบ)
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 29-07-2013 21:01:34
พี่ติใจอ่อนแน่ๆ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 29-07-2013 23:57:58
ฉึก สุดท้ายก็ไม่พ้นความเป็นลูกหมา :z10:

เป็นลูกหมาของพี่ติ แอร้ย~

รักพี่ติ ขึ้นมานิดนึงงง  :hao3:

เดี๋ยวจะรอดู ว่าจะรักพี่ติมากๆเมื่อไร 55

หนีออกมาให้ได้นะทั้งคู่

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีไรเลยค่ะ ออกมาได้อย่างสบายๆ 55

สรุปว่าโจร(?)นั้นเป็นใคร --?
แต่ดีนะที่รอดมาได้
เอะ ยังไม่ได้ออกมาจากสถานที่นั้น จะรอดมั้ยน้า

ไม่ได้มีบทบาทสำคัญเลยค่ะ
ช่วงนี้แต่งปูให้เห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของพระ-นายเฉยๆ 5555

:hao3: :hao3: :hao3: :hao3:ถึงจะเป็นลูกหมาแต่พี่ติก็เริ่มจะหลงรักแล้วไหมอะ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

นั่นสิ มีเช็ดน้ำตงเช็ดน้ำตา อร้ายย

พี่สาวพะภูยังไม่ออกโรงเลย อยากเจอๆ

จะว่าไป ในพล็อตที่วางไว้ ยังไม่เจอบทนางเลย 555
จะออกเมื่อไรหว่า~

พะภู อยากคบกับติ เพราะ คิดว่า ติเป็นคนที่จะทำให้ เค้าครองโลกได้ใช่ไหมคะ?  :hao7:

แรกๆอาจจะเรียกว่าชอบได้แต่ให้รักจริงๆ เหมืออนไม่ได้ซีเรียสเสียใจอะไรเลยตอนที่ถูกปฏิเสธ มันก็แปลกๆเนอะ



เอาใจช่วยลูกหมา ให้เป็นตัวโปรดไวๆ  :mew1: :mew1:

อีกไม่ใกล้ไม่ไกล จะเริ่มหวั่นไหวกันทั้งสองฝ่ายแล้วล่ะม้างงง

เริีมใจอ่อน ระสิ๊ อิอิ

บอกแล้ว ยังไงก็ต้องแพ้เด็กผู้ชาย หึหึ

อ่านตอนนี้แล้ว ชักอยากจะรู้อดีตของพะภูซะแล้วสิ
พี่ติก็เริ่มรู้สึกดีๆกับพะภูมากขึ้น(รึเปล่า?)
เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ

ขอบคุณมากค่า
พี่ติก็คงเริ่มใจอ่อนแล้วแหละ ยอมเสี่ยงตายแทนขนาดนี้!

:-[

ฝากเชียร์พี่ติ-พะภูต่อไปด้วยนะค้า

ลูกหมา  ก็ลูกหมาที่น่ารักละหว้า//เเล้วเหตุผลที่พี่ติไล่พะภู(ยังไม่จบ :o11: :o11:)คือ ไม่อยากกินเด็กใช่ม๊า~ :give2: :give2: แต่พระภูขนาดนี้แล้ว  ไม่เด็กแล้วน้า(โดนพี่ติไล่กระทืบ)

ตอนหน้าเฉลยแล้วค่ะ 555 (อีนี่ใจร้อน คลายปมหมด) แต่ก็ยังมีเรื่องอดีตของพะภู จุดประสงค์ของพะภู และอื่นๆ.... ต้องติดตาม

พี่ติใจอ่อนแน่ๆ  :hao7: :hao7: :hao7:

แน่นอน! แต่ยังต้องแอ๊บซึนอยู่ ตามสไตล์ 5555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 7 | 27/07/56 | P.3
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 30-07-2013 12:18:28
ไม่ซับซ้อนก็ไม่เป็นไรค่ะ  ชอบที่ผู้แต่งเขียนมาแบบนี้อยู่แล้ว  :mew1:

พะภูนี่ก็น่ารักได้อีกน้าห่วงพี่ติด้วย :-[

หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 31-07-2013 18:50:46
บทที่ 8

 

“ตามจับกุมคนร้ายทั้งหมดได้แล้วครับ จุดประสงค์คือการเรียกค่าไถ่อย่างที่คิด”

“สำหรับผู้ชายที่ถูกคุณติยิง โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ จึงยังไม่เสียชีวิต ถึงอย่างนั้นก็บาดเจ็บสาหัส ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแห่ง ภายใต้การดูแลของตำรวจครับ”

“ส่วนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราได้ประสานกับทางสื่อให้ช่วยปิดข่าวเอาไว้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“แล้วก็.. ที่ให้ติดต่อไปหาพี่สาวคุณพะภู เราได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว เธอเข้าใจดีและไม่ได้เอาผิดอะไรครับ”

ภายในห้องพิเศษของโรงพยาบาลชั้นหนึ่ง คนของอัครโภคินกำลังกล่าวรายงานเรื่องราวชวนหดหู่ที่เพิ่งเกิดขึ้น พะภูได้แต่นั่งฟังเงียบๆอยู่บนเตียง มีติกุมมือเอาไว้ไม่ห่างบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ดูเหมือนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ติยิงคน แต่ที่คลั่งจนรัวลูกกระสุนใส่ไม่ยั้งแบบนั้น คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกตินัก

“ขอบใจมาก ไปได้แล้ว”

“ครับ”

ผู้ชายสองคนในชุดสูทสีดำก้มหัวให้นายน้อยแห่งตระกูลใหญ่ ก่อนจะพากันออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ทิ้งไว้เพียงคนสองคนที่ยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว เพิ่งจะเมื่อคืนเท่านั้นเองที่เรื่องบ้าๆพวกนี้มันเกิดขึ้น หลังจากที่พะภูร้องไห้จนเหนื่อยและคล้อยหลับไป ติก็เจอโทรศัพท์ที่ถูกยึดไว้ ทำให้ทั้งคู่ถูกช่วยออกมาได้ในเวลาไม่นาน ก่อนจะมาจบลงที่โรงพยาบาลในตัวเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าเขาทั้งสองที่เพิ่งผ่านประสบการณ์แบบนั้นมา ยังคงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก นับตั้งแต่พะภูลืมตาตื่นขึ้น

“หายเจ็บรึยัง?”

คนตัวสูงถามเสียงเรียบ สายตาเหลือบมองมือของตัวเองที่วางพักไว้บนเตียง เพราะเป็นฝ่ายทำให้พะภูต้องโดนลูกหลงไปด้วยหรอกนะ ถึงได้ยอมจับมือไว้ตามที่ขอ ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนั้น เขาคงไม่ยอมมานั่งใจอ่อนกับเด็กนี่หรอก

“เอ่อ..”

“ถ้าหายเจ็บแล้ว ฉันจะได้ปล่อยมือสักที”

“ยะ.. ยังครับ! ยังเจ็บอยู่เลย”

พะภูรีบตีสีหน้าเจ็บปวด พลางบีบมือของติไว้แน่น ถึงอย่างนั้นคนโตกว่าก็ยังใจร้ายด้วยการชักมือกลับ ไม่ทันได้งอแงอะไร เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมการปรากฏตัวของเหล่าคนคุ้นตาทั้งหลาย เกต์กับศิลป์เดินขนาบข้างตาลเข้ามาด้วยท่าทีเป็นห่วง ก่อนที่ผู้หญิงหนึ่งเดียวในนี้จะรีบรุดเข้ามาเกาะขอบเตียงไว้ มีน้ำใสๆเคลื่อนไหวอยู่ในแววตาคู่สวย

“พะภู เป็นอะไรมากไหม?”

“ผมไม่เป็นไรครับ”

“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?” หญิงสาวหันไปขึ้นเสียงใส่พี่ชายตัวเองที่นิ่งสลดไป ความกดดันแปลกๆบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นภายในห้อง แม้แต่เกต์กับศิลป์เองก็ยังทำได้แค่ปิดปากสนิท

“พี่ผิดเอง พี่ดันไปหาหมอนี่ที่บ้าน แล้วพวกมันก็คงตามพี่มา” น้ำเสียงแผ่วเบาของติทำเอาตาลไม่กล้าว่าต่อ เลยได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเท่านั้น

“เฮ้อ...เอาเถอะ ปลอดภัยกันก็ดีแล้วค่ะ”

“พี่ตาลไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” พะภูเอ่ยปากขึ้น หวังจะช่วยให้บรรยากาศในห้องกลับมาเป็นอย่างเดิม รอยยิ้มของรุ่นน้องตรงหน้าคงพอบรรเทาให้ตาลสงบใจลงบ้าง จึงได้โอกาสเปลี่ยนประเด็นการสนทนาให้ดูน่าคุยน่าฟังมากขึ้น

“จริงสิ พะภูอยากกินอะไรไหม เมื่อกี้พี่รีบมาเลยไม่ได้ซื้ออะไรมาให้เลย”

“เอ่อ ไม่เป..”

“เดี๋ยวพี่ซื้อขนมมาให้แล้วกันนะ”

“งั้นพี่ไปเป็นเพื่อน” ศิลป์รีบพูดพลางลุกขึ้นไปเปิดประตู เขาคงอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องอยู่ในห้องนี้ ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรู้จักหรือแม้กระทั่งพูดคุยกับคนเจ็บเลยนี่น่า

หลังจากที่สองคนนั้นออกไปจากห้องได้ไม่ทันไร ติก็ขอตัวไปสูดอากาศด้านนอกอีกคน สีหน้าของเขาดูแย่กว่าเดิม ตั้งแต่ที่ได้เจอตาล และเหตุผลของมัน เชื่อว่าคนเยี่ยมที่เหลือคงจะรู้อยู่แก่ใจดี ไม่งั้นคงไม่ตีสีหน้าเป็นห่วงเพื่อนตัวเองแบบนี้หรอก

 เกต์ขยับเข้ามานั่งบนเก้าอี้แทนที่ติ สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าขาวซีดของเด็กบนเตียง สลับกับร่องรอยบาดแผลตรงหัวไหล่ มืออุ่นเอื้อมขึ้นไปลูบผมพะภูเบาๆ

“ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้...กลัวหรือเปล่า?”

“....ก..กลัวครับ” ตอบออกไปตามความสัตย์จริง เพราะการที่ต้องถูกจับขัง โดนพันธนาการและข่มขู่ ความเจ็บปวดและหยดเลือด ทุกอย่างช่างน่ากลัว ไม่ต่างกับอดีตที่เคยวิ่งหนีมา

“ถ้ากลัว แล้วยังอยากเข้าใกล้ติอีกหรือเปล่า?”

“พี่เกต์...ผมอยากรู้ เรื่องที่ทำให้พี่ติกลายเป็นคนแบบนี้”

แทนที่จะเป็นคำตอบ สิ่งที่หลุดออกไปจากปากบางกลับเป็นคำขอซึ่งดูจริงจังจนไม่อาจปฏิเสธได้ จากเหตุการณ์คราวนี้ เขาพอจะเดาออกแล้ว ถึงเหตุผลที่ติไม่ต้องการให้ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะว่ารำคาญก็อาจจะใช่ แต่ความจริงมันมากกว่านั้นสินะ...

“อืม....อัครโภคินมีศัตรูอยู่เต็มไปหมด พอมีเด็กผู้หญิงเกิดมาก็เป็นที่กังวลมาก ยิ่งร่างกายตอนเด็กๆนั้นอ่อนแอก็ยิ่งน่าเป็นห่วง จนต้องแยกบ้านกันอยู่ น้อยคนเหลือเกินที่จะรู้ว่าตาลคือน้องสาวของติ”

“ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน”

“นั่นแหละ เพราะเป็นผู้หญิง แล้วแต่ก่อนก็อ่อนแอมาก เลยต้องสนใจความปลอดภัยของตาลเป็นพิเศษ โรงเรียนก็ต้องแยกกันเรียน นามสกุลที่ใช้ก็เป็นนามสกุลของญาติ เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่ทั้งสองคนเรียนอยู่ม.ต้น...”

พะภูขยับตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนเล่าให้ชัดเจน น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก เกต์เองก็มีสีหน้าที่ดูไม่ดีนักยามต้องพูดถึงเรื่องนี้

“ธารวิทยากับวิไลวิทย์ต้องจัดงานเทศกาลร่วมกันทุกปีใช่ไหมล่ะ แล้วก็จะปล่อยให้พวกคนนอกเข้ามาดูงานได้ด้วย ตอนนั้นพวกเราบังเอิญเจอตาลกำลังถูกรังแก ไอ้ติมันก็ทนไม่ได้จนไปออกรับ และทำให้รู้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน พอตกเย็นวันนั้น ตาลก็ถูกคนที่ต้องการผลประโยชน์จากอัครโภคินจับตัวไป...”

“พี่เกต์...” คนบนเตียงส่งเสียงเป็นห่วงออกมา เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเกต์มันเริ่มสั่นเครือ บางทีว่าเหตุการณ์นั้นก็อาจเป็นแผลที่อยู่ในใจของเขาเช่นเดียวกัน

“ตอนนั้นพวกเราเพิ่งรวมกลุ่มกีรติกันได้ไม่นาน ก็คึกคะนองตามประสาเด็กวิไลวิทย์ รีบพากันตามไปช่วยตาลโดยไม่ยอมปรึกษาคนทางบ้าน จำได้ว่าเด็กนักเรียนม.ต้นหลายต่อหลายคน ต้องเสียแรงสู้กับพวกผู้ใหญ่ที่มีแต่อาวุธ พอบอดี้การ์ดของอัครโภคินตามมาช่วย ทุกอย่างถึงเริ่มคลี่คลาย แต่จากเหตุการณ์นั้น ก็ทำให้ตาลถูกยิงเข้าที่อกขวา กว่าจะรอดมาได้ก็แทบตายเหมือนกัน”

มือเล็กสองข้างยกขึ้นปิดปากตัวเองไว้ พยายามไม่ส่งเสียงใดๆออกไป การได้รับฟังเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมายของพะภูมาก แบบนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมติถึงคลุ้มคลั่งไป ตอนที่เขาโดนยิง

“หลังจากนั้นการปกปิดความเป็นอัครโภคินของตาลก็อ่อนลง แต่คนที่รู้ก็ไม่ได้มีมาก พอขึ้นม.ปลาย ตาลถึงย้ายกลับมาอยู่บ้านใหญ่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ส่วนพวกเรา...ก็กลายมาเป็นอันธพาลเต็มตัว ไอ้ติน่าสงสารมาก มันไม่เคยเลิกโทษตัวเอง...หลังจากนั้นก็ไม่ยอมเปิดรับใครเข้ามาในชีวิตอีก เพราะเอาแต่กลัวว่าจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนเพราะความเป็นอัครโภคิน...เพราะความเป็นกีรติ”

“จะเรียกว่าบ้าหรือบ้าดีครับ...?”

“ฮึ.. นั่นสินะ ก็มันบ้าจริงๆนั่นแหละ”

ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้สนทนากันต่อ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมร่างสูงของคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่ เกต์รีบโน้มตัวเข้าหาเด็กบนเตียง พลางใช้มือป้องปาก แนบไปกับใบหูเล็ก

“ช่วยทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้แล้วกันนะ”

พะภูพยักหน้ารับปาก ก่อนจะมองตามเกต์ที่เอาแต่เดินยิ้มออกไปจากห้อง โดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ ติเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม สายตาจับผิดส่งมาให้อย่างไม่นึกเข้าใจ

“เอ่อ...”

“คุยอะไรกับไอ้เกต์?”

“เปล่านี่ครับ!”

คนตัวเล็กหัวเราะแห้งๆพลางพลิกตัวไปอีกด้าน ถ้าโดนจ้องนานๆคงถูกจับได้แน่ สักพักหนึ่ง ก็เกิดเสียงกุกกักรอบๆเตียง พอหันไปดูก็เห็นติกำลังกดปุ่มให้ขอบเตียงเคลื่อนลง ก่อนที่ร่างใหญ่จะย้ายตัวเองมานั่งลงบนเตียงเดียวกัน เห็นแบบนี้พะภูก็ยิ่งต้องรีบเบือนหน้าหนี ในใจเต้นรัวด้วยว่าทำอะไรไม่ถูก

มือใหญ่วางลงที่หัวไหล่ บริเวณจุดที่เป็นแผลจากกระสุนเมื่อวาน ก่อนจะลูบไปมาช้าๆ พะภูขดตัวขึ้นพลางดึงผ้าห่มเข้าหาตัว ความเจ็บปวดยังคงหลงเหลืออยู่เล็กน้อย

“ทีนี้จะเลิกยุ่งกับฉันได้รึยัง?”

“มะ...ไม่ครับ!”

พอได้ยินคำพูดแนวเดิมๆ พะภูก็รีบพรวดพราดลุกขึ้น และฝืนจ้องหน้าคนตัวใหญ่ข้างๆด้วยสายตาจริงจัง บอกแล้วไงว่าเดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว ความจริงที่ว่ากีรติไม่ใช่คนเลว แถมยังดีจนน่าเหลือเชื่อ ยิ่งทำให้ความหวังในใจเขาเพิ่มพูนขึ้น แบบนี้ยิ่งง่ายที่จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง...คิดถูกสินะ ที่เลือกเป้าหมายเป็นผู้ชายคนนี้ เพราะงั้นก็มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้น...

“พี่ติอย่าไล่ผมอีกเลยนะครับ..”

“...”

“เพราะไม่ว่ากี่ครั้ง...ผมก็จะพูดเหมือนเดิม”

ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตาของเด็กตรงหน้า ทำเอาติถึงกับนิ่งไปนาน ไม่สามารถหาคำพูดใดขึ้นมาเถียงได้อีก บ้าจริงๆด้วยนะ เด็กผู้ชายคนนี้...

“พิสูจน์อีกสิ”

“เอ๊ะ? อ..เอ่อะ...”

พอได้ยินแบบนั้นก็เริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าลามไปถึงหูขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ มือไม้ทั้งสองข้างถูไถกันรุนแรงจนชื้นไปด้วยเหงื่อ ความเงียบและความกดดันค่อยๆโปรยตัวเข้าปกคลุมทั่วบริเวณเป็นเวลานาน พอติขยับตัว  พะภูถึงรีบเอื้อมเข้าไปคว้าไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้ ในหัวขาวโพลนไปหมด

“อ..อ่ะ...”

วินาทีต่อมา ริมฝีปากสั่นระริกของคนตัวเล็ก ก็ตรงเข้าทาบทับริมฝีปากของติอย่างเก้อเขิน แช่อยู่อย่างนั้นสักพักจนชักน่ารำคาญ ดวงตาสองข้างปิดแน่นสนิท มีเสียงบางอย่างดังขึ้นชัดเจนจากอกซ้ายตรงหน้า

ติพยายามกลั้นยิ้มไว้ ก่อนจะปิดตาลงอีกครั้ง มือใหญ่เอื้อมขึ้นกดคางของพะภูลงให้เปิดปากออก ไม่รอช้า ลิ้นอุ่นก็ถูกส่งผ่านเข้าไปตรวจสอบด้านในอย่างชำนิชำนาญ คนไม่เคยสะดุ้งสุดตัว พลางดันสิ่งแปลกปลอมให้ออกห่าง แต่ยิ่งพยายามอย่างนั้น ก็ยิ่งเหมือนเป็นการตอบรับเสียมากกว่า

“อื้อ!!?”

ร่างบางทำท่าจะผละตัวออกด้วยความตกใจระคนตื่นกลัว แต่กลับถูกแขนแกร่งรั้งเอาไว้แน่น มือข้างหนึ่งยังคงค้างอยู่ที่คางตนไม่ให้หันหนีไปไหน สัมผัสประหลาดยิ่งเร่งเร้าให้หัวใจเต้นแรงจนน่าอาย มือคู่เล็กพักอยู่ที่ไหล่กว้างพลางขย้ำเสื้อของคนตรงหน้าไว้ด้วยใจที่สั่นรัว

“อ..ฮ้าา...”

ผู้บุกรุกค่อยๆถอนจูบออกไป พลางปรือตาขึ้นมอง ใบหน้าแดงก่ำของเด็กผู้ชายที่เคยอวดดีนักหนา พะภูได้แต่ก้มหน้าก้มตาและปิดปากเงียบสนิท หัวสมองมันโล่งเปล่าไปหมดด้วยความรู้สึกแปลกๆเมื่อครู่ ติที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งได้ใจ เอาแต่ยิ้มกริ่ม แต่แล้วก็ต้องรีบโดดลงจากเตียงทันทีเมื่อเสียงประตูดังขึ้น

“โทษทีนะ ช้าไปหน่อย คนเยอะมากเลย”

เสียงเจื้อยแจ้วของตาลดังขึ้นก่อนตัว ตามมาด้วยศิลป์และเกต์ ทั้งสามคนตรงเข้าไปใกล้เตียง ความสงสัยบางอย่างก่อเกิดขึ้นมาในใจ อะไรคือการที่คนเจ็บนั่งก้มหน้านิ่ง ขณะที่ขอบเตียงถูกลดลงและผ้าปูที่ยับขึ้นแบบนี้...?

ติไม่พูดไม่จาอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นป้องปาก เพื่อปิดบังรอยยิ้มของตัวเอง ก่อนจะเดินสวนออกไปจากห้องท่ามกลางความงุนงงของคนที่เหลือ

 

รสชาติของเด็กผู้ชาย เป็นแบบนี้เองเหรอ...

------------------------------

แต่งตอนนี้แล้วอยากจะ แหมมมมมม ใส่อิพี่ติสักร้อยรอบ!
555555  :hao3:

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นอีกครั้งและอีกครั้งค่ะ
ก็คงต้องพูดแบบนี้ไปตลอด เพราะขอบคุณจริงๆ
เราก็แบบ ไม่ได้แต่งดีเว่อร์อะไร ถูๆไถๆ
มีคนมาอ่านมาเม้น มันก็ดีใจจนบอกไม่ถูก 555 เขิน
สัญญาว่าจะพยายามแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ (ถ้าเป็นไปได้)
แล้วก็ฝากติดตามความรักของสองคนนี้ต่อไปด้วยนะค้า~

ป.ล. แอบชอบคอมเม้นของคุณ teatimes มากๆ ตรงที่บอกว่า "ชอบที่ผู้แต่งเขียนมาแบบนี้อยู่แล้ว" คือมันเป็นประโยคที่เรารู้สึกว่า อยากได้ยินอยู่พอดี 555 มีกำลังใจขึ้นมากเลยค่ะ !
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 31-07-2013 19:59:25
กลัวคนอื่นเห็นว่ายิ้มหรอออ อายอ่ะสิ 555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 31-07-2013 20:14:18
ติดใจแล้วล่ะสิติ...รสชาติของเด็กผู้ชาย น่ะ o18
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 31-07-2013 22:44:18
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[กรี้ดดดดดดดดดพี่ติจูบน้องภูแล้วอะ :o8: :o8: :o8: :o8:


 :z1: :z1: :z1: :z1:จูบไปแล้วงานนี้มีหวังถอนตัวไม่ชึ้นแน่ๆ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:


จะรอออออตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 01-08-2013 00:15:28
ฮั่นแน่~ เห็นนะติ อิอิ  :impress2: :ruready
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-08-2013 00:33:58
กรี๊ดดดดดดดดดดดด>< เค้าเขิล บร้าจิงนะพี่ชาย

อั้ยย>< ไม่รุ็จะเม้นอารายขอเขิลนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 01-08-2013 02:00:53
อ่ะ....เขินล่ะซิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 01-08-2013 09:33:00
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เขินแทนพะภู :o8: :o8: :o8:

ดูท่าพี่ติคงจะติดใจซะแล้ว

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 01-08-2013 11:09:14
ปิดปากกลั้นยิ้มด้วยอีกคน ><
'รสชาติของเด็กผู้ชาย เป็นแบบนี้เองเหรอ...'
อร่อยล่ะสิ
กินอีกก็ดีนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 01-08-2013 21:18:25
ติดใจก็กินอีกดิพี่ติ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 01-08-2013 23:17:17
ตอนนี้ติน่ารักอ่ะ

ไม่ไหวแล้ว ละลาย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 02-08-2013 00:49:54
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด  :-[

เอาแล้วไง เอาแล้วไง!!!  อ้ากกกกกก~~ ชอบมากอ่ะ 55555

รักผู้แต่งมากมาย   :mew1:

ปล.พี่ติเริ่มน่ารัก อ๊างงงง~ :o8:

หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 03-08-2013 20:05:38
กลัวคนอื่นเห็นว่ายิ้มหรอออ อายอ่ะสิ 555

เขินแน่ๆ 55

ติดใจแล้วล่ะสิติ...รสชาติของเด็กผู้ชาย น่ะ o18

ต้องได้กินอีกแน่เลยงานนี้ หึหึ

:-[ :-[ :-[ :-[ :-[กรี้ดดดดดดดดดพี่ติจูบน้องภูแล้วอะ :o8: :o8: :o8: :o8:


 :z1: :z1: :z1: :z1:จูบไปแล้วงานนี้มีหวังถอนตัวไม่ชึ้นแน่ๆ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:


จะรอออออตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

รสชาติของเด็กผู้ชายทำพี่ติติดใจแล้วแน่ๆ โฮะๆๆๆๆ

ฮั่นแน่~ เห็นนะติ อิอิ  :impress2: :ruready

เห็นกันหลายคนเลยแหละ 55

กรี๊ดดดดดดดดดดดด>< เค้าเขิล บร้าจิงนะพี่ชาย

อั้ยย>< ไม่รุ็จะเม้นอารายขอเขิลนะ

แต่งเอง เขินเองเหมือนกัน 55

อ่ะ....เขินล่ะซิ

แน่!

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เขินแทนพะภู :o8: :o8: :o8:

ดูท่าพี่ติคงจะติดใจซะแล้ว

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ :L2: :L2:

ขอบคุณมากค่า
พี่ติคงติดใจจริงๆอะ แบบนี้ต้องมีอีกแน่ 55

ปิดปากกลั้นยิ้มด้วยอีกคน ><
'รสชาติของเด็กผู้ชาย เป็นแบบนี้เองเหรอ...'
อร่อยล่ะสิ
กินอีกก็ดีนะ :katai2-1:

อร่อยยยย 555 ตอบให้เลย แบบนี้ต้องอยากกินอีกอยู่ละ ฮุฮุ

ติดใจก็กินอีกดิพี่ติ  :hao7: :hao7: :hao7:

รอดู.... 555

ตอนนี้ติน่ารักอ่ะ

ไม่ไหวแล้ว ละลาย

555 พี่ติก็มีมุมน่ารักนะ!

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด  :-[

เอาแล้วไง เอาแล้วไง!!!  อ้ากกกกกก~~ ชอบมากอ่ะ 55555

รักผู้แต่งมากมาย   :mew1:

ปล.พี่ติเริ่มน่ารัก อ๊างงงง~ :o8:



55555 จริงๆพี่ติน่ารักน้าาาา และคาดว่าจะน่ารักขึ้นเรื่อยๆ (รึเปล่า?)


ฝากทุกคนติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ~~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: papae8_1 ที่ 04-08-2013 00:50:45
^
จิ้มนักเขียนค่ะ
จะรอดูเหตุผลที่ลูกหมาน้อยๆตัวนี้อยากครองโลก
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 8 | 31/07/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 04-08-2013 10:21:46
ติน่ารักจริงๆ  :-[


ถ้าติรู้เรื่องที่พะภูจะจับติเพื่อหวังผลประโยชน์ขึ้นมาจะเป็นไงนะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 04-08-2013 19:17:19
บทที่ 9

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่กระท่อมคืนนั้น ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว พะพายยิ่งเป็นห่วงพะภูมากกว่าเดิมจนแทบไม่ยอมให้กระดิกตัว แต่เขาจะทนงอมืองอเท้าไม่ได้ เงินที่ยืมเกต์มาคราวก่อนก็ต้องรีบหาไปใช้

จากการถกเถียงกันอย่างยาวนาน สุดท้ายก็จบลงตรงที่ พะพายยินยอมให้เขาทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในซอยแถวบ้านเท่านั้น เพราะเป็นสถานที่ที่ใกล้พอจะอยู่ในสายตาของเธอ อีกอย่าง เธอก็เคยทำงานที่นั่นมาก่อน หลังจากตกลงกันได้แล้ว ก็ถูกจัดการพาไปหาเจ้าของร้านและฝากฝังซะดิบดี โดยมีข้อแม้ว่าให้ทำงานเก็บเงินพอไปจ่ายคืนเกต์เท่านั้น ดูจะเป็นพี่สาวที่ขี้เป็นห่วงเกินไปจริงๆ แต่การยอมให้เขาได้ช่วยแบ่งเบาภาระบ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว คราวนี้จะได้หาเงินไปคืนเกต์ให้จบๆ ไม่ต้องทนฟังเสียงจิกกัดเรื่องนี้จากติอีก..

พูดถึงคนชื่อติ... ถึงแม้ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาจะแวะเวียนไปกวนใจที่วิไลวิทย์เหมือนอย่างเคย แต่ที่ผิดแปลกไปก็คือ การที่ไม่สามารถมองหน้าหรือสบตาผู้ชายคนนั้นตรงๆได้ เหตุก็เพราะไอ้จูบบ้าๆที่โรงพยาบาลนั่นแหละ ทำให้ต้องเสียน้ำยาบ้วนปากไปเกือบครึ่งขวด แถมความรู้สึกแปลกๆมันก็ไม่ยอมหายไปอีกต่างหาก กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็เพิ่งเมื่อวันก่อนนี้เอง

คิดถึงแล้วก็น่าโมโหชะมัด กีรติที่เคยบอกว่าเกลียดเด็กผู้ชาย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ซะแล้วล่ะ ถึงแม้ท่าทีหลังจากนั้น จะกลับมาร้ายเหมือนเดิมยังไง แต่จูบตอนนั้นมันก็คือเรื่องจริงนะ เรื่องจริงที่ว่าหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ใหญ่ที่สุดในวิไลวิทย์ ขโมยจูบจากเด็กผู้ชายอย่างเขา! จูบ...ที่ไม่ใช่แค่ปากแตะปาก เป็นจูบที่เขาไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลย มันทั้งน่าตกใจ แล้วก็.....

“เฮ้ย” รีบส่งเสียงขึ้นเตือนตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ก่อนจะหันไปไล่พะพายให้กลับบ้าน ในหัวตอนนี้ควรจะมีเพียงเรื่องงานพิเศษเท่านั้นสิ!

จิน เจ้าของร้าน ท่าทางใจดีมาก เป็นคนรับปากกับพะพายว่าจะดูแลเขาอย่างดี แถมยังลงทุนมาสอนงานให้เขาด้วยตัวเองอีกต่างหาก พอตกเย็น พนักงานทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปเตรียมตัวตามหน้าที่ของแต่ละคน เพื่อรอต้อนรับลูกค้าในช่วงวันหยุด

ร้านอาหารญี่ปุ่นในบรรยากาศเป็นกันเอง มีชื่อร้านสวยๆว่า ฮิคาริ ที่แปลว่าแสงสว่าง ตั้งอยู่ภายในซอยขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยร้านอาหารหลากหลาย มีเวลาเปิดปิดร้านสองกะด้วยกัน คือช่วงเช้าถึงบ่าย และอีกทีคือช่วงเย็นถึงค่ำ ได้ยินมานานว่าเป็นร้านที่เน้นการบริการเป็นเลิศ อาหารรสชาติดีเยี่ยม สมกับราคาที่แพงหูฉี่ ความกังวลต่างๆนาๆมันเพิ่งจะแล่นเข้ามาก็ตอนที่ป้าย OPEN ถูกพลิกออก พร้อมกับที่ลูกค้าเริ่มทยอยกันเข้ามานั่นแหละ

พนักงานทั้งชายหญิงต่างสวมชุดยูกาตะดูสวยงามทุกคน รุ่นพี่ที่ทำงานท่าทางคล่องแคล่วจนน่าประทับใจ ไม่ว่าลูกค้าแบบไหนผ่านประตูเข้ามา ก็ต้อนรับได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มใจดีจากจิน ยังพอบรรเทาอาการตื่นเต้นในตัวพะภูลงได้บ้าง จนเมื่อประตูร้านเปิดออกอีกครั้ง พร้อมร่างสูงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งทำเอาพนักงานทั้งร้านผวากันไปเป็นแทบ

“ธ..ธร ยินดีต้อนรับครับ”

จินรีบรุดเข้าไปหาลูกค้าปริศนาทันที ก่อนจะผายมือไปยังห้องส่วนตัวด้านในสุดของร้าน ถ้าได้ยินไม่ผิดรู้สึกว่าหมอนี่จะชื่อ ธร หรืออะไรสักอย่าง ระหว่างที่เดินไปตามทางไม้ สายตาน่ากลัวของคนคนนั้นก็จับจ้องมายังพะภูที่ได้แต่ยืนนิ่ง ในมือกอดเมนูอาหารเอาไว้แน่น คุณลูกค้าท่าทางน่าเกรงขามค่อยๆเหยียดยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับจิน

พอเดินไปส่งลูกค้าเข้าห้องเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับมาหาพะภูหน้าตั้ง จินมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย กว่าจะยอมเปิดปากขอร้องคำโตออกมา

“พะภู ช่วยไปดูแลลูกค้าคนเมื่อครู่หน่อยได้ไหม?”

“เอ๊ะ ผมเหรอครับ? แต่ว่า...” ไม่ใช่แค่เป็นพนักงานใหม่ แต่ดูเหมือนคนคนนั้นจะมีรังสีน่ากลัวแผ่ออกมา จนไม่อยากเข้าใกล้เลยจริงๆ

“เขาเอ่ยปากขอมาแบบนี้น่ะ... คนคนนั้นเป็นลูกชายของนักธุรกิจใหญ่ ชื่อธร ถึงจะเป็นแค่เด็กนักเรียนแต่ก็กุมอำนาจน่ากลัวไว้ อย่างเช่น...การเป็นเจ้าของที่ดินของซอยนี้ทั้งหมด ฉะนั้นขอร้องล่ะ แค่วันเดียว แล้วพี่จะจ่ายเงินพิเศษให้นะ”

จินรีบอธิบายยาวเยียด น้ำเสียงลนลานเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทำเอาคนฟังถึงกับไม่กล้าปฏิเสธ เลยได้แต่ยอมโดนลากให้เข้าไปในห้องญี่ปุ่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกกันออกมาจากโซนอื่นอย่างชัดเจน จนแทบไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย

มีพนักงานอีกคนกำลังจดรายการอาหาร ทั้งที่มือทั้งสองข้างสั่นระริก สักพักก็รีบก้มหัวเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เขายืนเอ๋ออยู่อย่างนั้น ผู้ชายท่าทางน่ากลัวบนเบาะรองนั่งแบบญี่ปุ่น หันมามองเขาด้วยสายตาที่แปลไม่ออก ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความกดดันประหลาดจนแทบอยากจะอาเจียน

ทุกองค์กระกอบบนใบหน้าเรียวนั้นราวกับถูกบรรจงคัดมา ทั้งริมฝีปากสีส้มธรรมชาติ จมูกโด่งเป็นสัน ไปจนถึงดวงตาคมสีเทาหม่น อะไรกัน ใส่คอนแทคเลนส์สีนั้นยิ่งเสริมให้ดูน่ากลัวเข้าไปอีกไม่ใช่เหรอ ผมสั้นซอยต่ำสีน้ำตาล ถูกเซตยุ่งๆมาด้านหน้า ดูไม่สมเป็นนักเรียนอย่างที่ว่าสักนิดเดียว ยิ่งร่างกายสูงโปร่ง กับกล้ามเนื้อที่แสดงออกมาผ่านเนื้อผ้าก็ยิ่งดูโตเกินวัย ไม่ได้ต่างอะไรจากสามหัวขบวนแห่งกลุ่มกีรติเลยแม้แต่น้อย

“นั่งสิ”

เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้พะภูตื่นจากภวังค์ มือใหญ่ตบลงบนเบาะข้างตัว แทนที่จะเป็นที่นั่งตรงกันข้าม เขาค่อยๆปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะคลานเข้าไปนั่งที่เบาะดังกล่าว พยายามขยับให้มีช่องว่างระหว่างกันมากที่สุด

“ฉันชื่อธรนะ นายชื่ออะไร?”

“เอ่อ..ผม ชื่อพะภูครับ”

“พะภูอายุเท่าไรหรอ?”

“16 ครับ” บรรยากาศชักไม่ดีเมื่อธรเอาแต่ตั้งคำถาม พลางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ยังไม่มีวี่แววว่าอาหารจะเข้ามาเสิร์ฟ และคงไม่มีใครกล้าเข้ามากวนโดยไม่จำเป็นด้วย

“อ่า แล้วเรียนอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“ธารวิทยาครับ”

“เอ๊ะ ธารวิทยาหรอ เป็นลูกชายตระกูลไหนน่ะ?”

ว่าแล้วเชียวว่าจะต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ อย่างที่รู้กันว่าธารวิทยาเป็นโรงเรียนผู้ดี มีแต่คุณหนูคุณชาย กับเหล่าคนมีเงินเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าศึกษา ความจริงนี้ไม่ได้ต่างกับวิไลวิทย์สักเท่าไร เพียงแค่ทางนั้นออกจะให้อิสระนักเรียนมากเกินไป จนกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของเหล่าทายาทที่ยึดเรื่องอำนาจมากกว่าปัญญาไปซะอย่างนั้น

“เปล่าครับ ผมเป็นแค่นักเรียนทุนน่ะ”

“อย่างนั้นเอง ฉันเรียนอยู่ที่วิไลวิทย์ ว่างๆก็แวะมาบ้างสิ”

“ห๊ะ!?”

เผลอส่งเสียงออกไปจนอีกฝ่ายถึงกับมีสีหน้างุนงง ดูเหมือนคำว่าวิไลวิทย์จะส่งผลกระทบกับเขาเอามากๆเลย แต่ที่น่าแปลกใจจนต้องร้องออกไปก็เพราะว่า เขาไม่เคยเจอธรที่โรงเรียนเลยสักครั้งเดียว ทั้งที่แวะไปบ่อยซะจนจำหน้านักเรียนส่วนใหญ่ได้เกือบหมดแล้วแท้ๆ

“มีอะไร?”

“คือ..ผมก็ ไปที่วิไลวิทย์อยู่บ่อยๆนะครับ แต่ว่าไม่เคยเห็นคุณเลย”

“อ้าวเหรอ พอดีญาติฉันที่ต่างประเทศเขาป่วย เลยต้องไปอยู่ด้วย เพิ่งกลับมาได้ไม่นานน่ะ”

“อ๋อ..ครับ”

“แล้วเด็กอย่างนาย ไปทำอะไรที่วิไลวิทย์ล่ะ?”

“เอ่อ...”

ดวงตาคมหรี่ลงรอคำตอบ อะไรบางอย่างบอกพะภูว่าไม่ควรจะพูดชื่อของติออกไปเลย ขณะที่ความรู้สึกกลัวกำลังจุกแน่นอยู่ตรงลำคอ เสียงเลื่อนประตูไม้ก็ดังขึ้น ขัดจังหวะบทสนทนาอันชวนอึดอัดนี้ไว้ก่อน คนตัวเล็กลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตรงเข้าไปช่วยพนักงานคนอื่นนำอาหารมากมายมาวางเรียงรายบนโต๊ะ ธรเลิกสนใจที่จะซักถามต่อ และเริ่มคีบข้าวปั้นหน้าปลาดิบเข้าปาก

“นายจะกินด้วยก็ได้นะ”

“มะ..ไม่ได้หรอกครับ”

“แต่ฉันกินไม่หมดหรอก”

“ก็แล้วจะสั่งมาทำไมล่ะครับ!?”

ทั้งห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหายใจชัดเจน ข้าวปั้นที่ถูกคีบขึ้นมาหล่นไปอยู่บนจาน ขณะที่ธรกำลังผงะกับการถูกขึ้นเสียงใส่ ส่วนพะภูที่เผลอตะคอกออกไปตามนิสัย ก็เริ่มทำท่าเหมือนอยากฆ่าตัวตายเต็มทนแล้ว

“ขะ ขอโทษครับ! ขอโทษจริงๆครับ แบบว่า..คือ...ผมไม่ได้ร่ำรวย เลยไม่ค่อยอยากเห็นใคร กินของทิ้งๆขว้างๆ อ๊ะ! ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้จะว่า..ตะ แต่ อ๊า~~~” คนตัวเล็กรีบยกมือยกไม้กันพัลวันพลางอธิบายเสียงสั่น แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งแย่ สีหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆของธรตอนนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรซะอีก ไม่เห็นมีลางบอกเลยว่าวันนี้คือวันตายของเขาน่ะ!

“..ฮุ...”

“เอ๊ะ?”

“ฮ่ะๆๆ...อุฟ.. โทษที”

คนตัวใหญ่โบกมือไปมา สีหน้าอ่อนลงกว่าเดิมจนน่าประหลาดใจ เสียงหัวเราะที่หลุดลอดจากปากทำเอาพะภูถึงกับงงเต๊ก ความกลัวเมื่อครู่ค่อยๆจางไปทีละน้อย กลับกลายเป็นความหงุดหงิดที่แทรกตัวเข้ามาแทน ทำไมต้องพยายามกลั้นหัวเราะขนาดนี้ด้วย สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่มุกตลกสักหน่อย! หลอกให้กลัวจนแทบหัวใจวาย ที่ไหนได้ มานั่งหัวเราะกันแบบนี้ แย่ชะมัด!

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะนาย แต่ไม่ค่อยมีคนกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้หรอก”

พะภูได้แต่จ้องหน้าธรโกรธๆ แก้มสองข้างป่องขึ้นมาด้วยว่าหงุดหงิด ใบหน้าน่ากลัวของลูกค้าคนนี้ไม่ได้ส่งผลใดๆกับเขาอีกแล้วนับตั้งแต่โดนหัวเราะใส่อย่างเสียมารยาท

“ก็แค่รู้สึกประทับใจนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที แล้วฉันจะห่อกลับไปให้คนที่บ้านแล้วกัน” ธรขอโทษแล้วขอโทษอีก ก่อนจะยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มของพะภูให้กลับมาเป็นอย่างเดิม

บรรยากาศในห้องดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ดูท่าว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะดำเนินไปได้ดีเกินคาด เพราะความผิดพลาดของพะภูแท้ๆ ความจริงธรก็ไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่จินหรือพนักงานคนอื่นต่างคิดกันไปเองเลย ถ้าเขาแสดงด้านนี้ออกมาให้ใครต่อใครเห็นเสียตั้งแต่ทีแรก ก็คงดูเป็นมิตรมากทีเดียว

“ฉันดีใจนะที่นายตะคอกฉันน่ะ”

“หา?”

มาโซคิสม์ อะไร?

“แบบว่า ใครๆก็เอาแต่กลัวฉัน น่ารำคาญจะตาย”

“ก็คุณธรทำให้คนอื่นกลัวเองไม่ใช่เหรอครับ”

“เรียกพี่ธรสิ ฉันอยู่ม.6 เองนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำให้ใครกลัวด้วย แค่ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เก่งเท่านั้นเอง”

แบบนี้ไม่ใช่แค่ไม่เก่งแล้วมั้ง ต้องเรียกว่าแย่ขั้นรุนแรง การวางตัวที่ดูเป็นใหญ่ สีหน้าเรียบเฉย กับแววตาคมเฉียบจนน่าพรั่นพรึง ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมา ถ้าใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว! ทั้งที่ความจริงก็หัวเราะออกมาได้อย่างง่ายดายแท้ๆเลย

“ครับๆ พี่ธร”

คนตัวสูงหันไปตักอาหารอีกไม่กี่คำก็เรียกเก็บเงิน พร้อมนำของที่เหลือมากมายใส่กล่องกลับบ้านตามที่บอก เอาจริงๆ หมอนี่มาทำอะไรกันแน่!

“เอ่อ ธร.. เรื่องค่าเช่าที่...”

จินแทรกตัวเข้ามาในห้อง พอดีกับที่พนักงานคนอื่นกำลังยกห่ออาหารมาวางบนโต๊ะ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีจากเจ้าของร้านทำเอาพะภูนึกเป็นห่วง ธรไม่สนใจสิ่งที่จินพูดสักเท่าไร เพียงแต่ตอบกลับด้วยคำถามแปลกๆ

“พะภูเลิกงานกี่โมง?”

“เอ๊ะ ก็.. ประมาณ 4 ทุ่ม”

“งั้นค่าเช่าของเดือนนี้ แลกด้วยเวลาทำงานของหมอนี่แล้วกันนะ”

“หะ?”

ทั้งจินและพะภูต่างส่งเสียงไม่เข้าใจออกไปพร้อมกัน ธรกดโทรศัพท์เรียกลูกน้องในชุดสูทเข้ามาแบกอาหารทั้งหมดไป ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กของพะภูไว้ และบังคับลากออกมาจากร้าน ท่ามกลางความตกใจของลูกค้าและพนักงานคนอื่นๆ เสียงตะโกนเรียกของจิน หรือแม้แต่เสียงร้องโวยวายของพะภูก็ไม่ได้ทำให้ธรยอมปล่อยมือแต่อย่างใด กว่าจะรู้ตัวก็ถูกพามาหยุดอยู่หน้ารถเก๋งสีดำด้านคันหรูเสียแล้ว

“นี่มันอะไรกันครับ!?”

“ก็บอกไปแล้วไง ว่าวันนี้จะขอรับตัวนายไป แลกกับค่าเช่าที่ของร้านฮิคาริเดือนนี้”

“อะไรกัน? ผมไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย แล้วยัง...” พะภูใช้โอกาสนี้สะบัดมือออกจากการเกาะกุม พลางก้มลงมองสภาพตัวเอง ถูกลากออกมาทั้งที่ยังสวมชุดยูกาตะของร้านอยู่เลย แถมรองเท้าก็ไม่มีอีกต่างหาก บ้าที่สุด!

“เอาน่า ไปนั่งรถเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

“ไม่ครับ ผมจะกลับไปทำงาน”

“พะภู” มือใหญ่ตามมาคว้าข้อมือเล็กไว้อีกครั้ง พวกลูกน้องสองสามคนของธรเริ่มขยับเข้ามาล้อมทั้งคู่ไว้ ผู้ชายคนนี้ยังไงกันแน่ จะดีหรือจะร้าย ไม่เห็นเข้าใจเลย!

“เฮ้ย!”

จู่ๆก็มีเสียงตะคอกที่แสนคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบผู้ชายสามคน กำลังยืนทำหน้าโหดมองมาทางนี้ ธรค่อยๆคลายแรงบีบที่มือ ทำให้พะภูสลัดแขนออกมาได้ ดวงตาสีซีดทอประกายความโกรธเกลียดบางอย่างออกมาจนน่าขนลุก บรรยากาศมาคุถูกพัดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณแบบไม่ให้ตั้งตัว

“ทำไมพะภูถึงอยู่กับไอ้ธรได้?”

คำถามแรกหลุดออกมาจากปากเจ้าของเรือนผมสีทอง ซึ่งทำท่าจะเข้ามาคว้าตัวพะภูไว้ แต่กลับถูกธรรุดหน้ามาขวางซะก่อน สายตาคมจ้องไปที่ทั้งสามคนสลับกับใบหน้าซีดเผือดของพะภูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอออกมา น้ำเสียงเสียดหูฟังดูร้ายกาจดังขึ้นชัดเจน

“นี่คือเหตุผลที่นายไปวิไลวิทย์บ่อยๆงั้นเหรอ?”

------------------------------------

แงงงง้ เปิดเทอมแล้วเด้อ!
อาจจะมาอัพช้าขึ้นนะคะ TT
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปล่ะ
เราก็จะไม่ทิ้งไปเลยเหมือนกัน
จะพยายามหาเวลามาแต่งต่อให้ได้


 :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 04-08-2013 19:36:13
พี่ติเข้าใจผิดซะแล้ว
พี่ธรนี่คนดีป่ะ
ถ้าดี ก็คง ศัตรูหัวใจเลย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ืrattapon ที่ 04-08-2013 19:53:50
สนุกมากกกกกก เลยอ่ะ ชอบพะภู
กรี๊ดดดดดด เป็นไรมั๊ยถ้าจะเชียร์ ธร  :katai2-1:

พี่ธร  :L1: น้องพะภู

*ถีบอิติไปให้หลบไป* 5555+ :hao6:

เพราะเหมือนว่าพะภูจะแตกต่างนะ อืม...ธรคงรู้สึกประมาณว่าเด็กคนนี้อะไรกัน  :katai2-1:
และคงจะเข้ากันได้ดี หวังว่าคนเขียนจะแต่งให้พะภูเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของติกับธรนะคะ
อิอิอิ :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 04-08-2013 21:14:36
ศึกชิงแมงภู่ เอ้ยพะภู ติไปฉุดพะภูกลับมาเดี๋ยวนี้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 04-08-2013 21:31:12
อย่าเข้าใจผิดน่ะะะะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 04-08-2013 21:43:42
เอ.....ดูเหมือนว่าธรจะเป็นทั้งมือที่สามและศัตรูของติเลยนะเนี่ย

เรื่องชักจะเข้มข้นขึ้นแ้ล้วสิ

เป็นกำลังใจให้ครับ :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 08-08-2013 18:04:26
พี่ติเข้าใจผิดซะแล้ว
พี่ธรนี่คนดีป่ะ
ถ้าดี ก็คง ศัตรูหัวใจเลย

ดีรึเปล่า... ต้องติดตามค่ะ 55

สนุกมากกกกกก เลยอ่ะ ชอบพะภู
กรี๊ดดดดดด เป็นไรมั๊ยถ้าจะเชียร์ ธร  :katai2-1:

พี่ธร  :L1: น้องพะภู

*ถีบอิติไปให้หลบไป* 5555+ :hao6:

เพราะเหมือนว่าพะภูจะแตกต่างนะ อืม...ธรคงรู้สึกประมาณว่าเด็กคนนี้อะไรกัน  :katai2-1:
และคงจะเข้ากันได้ดี หวังว่าคนเขียนจะแต่งให้พะภูเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของติกับธรนะคะ
อิอิอิ :mew1:

ไม่รู้จะเชื่อม หรือจะยิ่งทำให้แตกหักนะเนี่ย ;; 555

ศึกชิงแมงภู่ เอ้ยพะภู ติไปฉุดพะภูกลับมาเดี๋ยวนี้ๆๆๆ

เดี๋ยวโดนฉุดแน่... หึหึ

อย่าเข้าใจผิดน่ะะะะ  :mew6:

ไม่น่าจะทันละ ><'

เอ.....ดูเหมือนว่าธรจะเป็นทั้งมือที่สามและศัตรูของติเลยนะเนี่ย

เรื่องชักจะเข้มข้นขึ้นแ้ล้วสิ

เป็นกำลังใจให้ครับ :L2:

ขอบคุณมากเลยค่า >3


คือไม่คิดว่าการเปิดเทอมจะเลวร้ายขนาดนี้ 555
เปิดมา 4 วัน เจอการบ้านไปแล้วตั้งนึง
เป็นดินพอกหางหมูมาก T^T เวลาจะมาต่อนิยายยังไม่มี ฮือ
แต่จะรีบเคลียร์การบ้านให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้นะคะ
(แล้วอาทิตย์หน้าแม่งก็จะได้การบ้านใหม่อีก เชื่อปะ ;;; )
ถ้ายังไงอย่าเพิ่งทิ้งกันน้า รอติดตามกันต่อไปก่อนนน~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 9 | 04/08/56 | P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 08-08-2013 18:12:09
รอตอนต่อไป ...แฮ่ๆ แอบมาไซโค
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 09-08-2013 21:56:22
บทที่ 10

 

“พะภูนี่มันอะไร? นายรู้จักธรด้วยเหรอ?” เกต์คาดคั้นเสียงดัง จนพะภูถึงกับหงอ ไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้ากราดเกรี้ยวแบบนี้ต่อหน้าตัวเองมาก่อน

“แล้วนี่นายรู้จักไอ้พวกนี้ด้วยเหรอ เป็นอะไรกัน?”

ธรเป็นอีกคนที่หันมาเอาความ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามใครก่อน และควรจะพูดว่ายังไง แต่ไม่ทันจะคิด เกต์ก็เป็นคนตอบให้เสร็จสรรพ มีความเหนือกว่าแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“พะภูเป็นเด็กของติ มึงอย่ามายุ่ง!”

พูดจบก็เข้าไปผลักธรให้ออกห่าง ก่อนจะคว้าตัวพะภูมาส่งต่อให้ศิลป์ดูแล ติเพียงแค่เหลือบสายตาเรียบเฉยลงมามองเท่านั้น ลูกน้องของธรทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ แต่ยังดีที่เจ้านายยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน แววตาน่ากลัวเพ่งตรงไปยังคนตัวเล็กที่ได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูก

“ไว้พบกันใหม่แล้วกันนะ พะภู”

สิ้นเสียงธร ลูกน้องคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปเปิดประตูรอ ไม่นานนักรถคันหรูก็ขับออกไปจนลับสายตา ศิลป์ดันหลังพะภูให้เดินตามไปที่รถเก๋งสีเงินวาว ตัวเองรีบไปประจำที่ที่นั่งคนขับ และปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งบนเบาะหลังข้างๆติ พอเจอสถานการณ์เมื่อครู่เข้าไป ก็หมดอารมณ์จะกลับไปทำงานแล้วล่ะ

“อธิบายมาหน่อยสิ ว่านายรู้จักธรได้ยังไง รู้จักมานานรึยัง สนิทกันมากไหม มาทำอะไรที่นี่ แล้วเมื่อกี้กำลังจะไปไหน” ทันทีที่รถออกตัว คำถามมากมายจากเกต์ก็ถูกรัวเข้าใส่ ทำเอาเบลอไปหลายวิ

“เอ่อะ...คือมันไม่มีอะไรเลยนะครับ ผมแค่มาทำงานพิเศษที่ร้านฮิคาริ ส่วนพี่ธรก็มาเป็นลูกค้า เพิ่งเคยเจอกันวันนี้เอง แล้วอยู่ดีๆผมก็ถูกลากออกมาจากร้าน ยังงงๆอยู่เลย ว่าแต่.. พวกพี่ก็รู้จักกันหรอครับ?”

“ไอ้ธรเป็นศัตรูของติ ทั้งที่โรงเรียน แล้วก็ทางธุรกิจด้วย ฉะนั้นนายห้ามไปสนิทกับมันเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

“อ..เอ่อ ครับ...”

ตอบออกไปเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองพื้นรถ ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกตลอดทาง สมองมีเรื่องให้คิดมากมายจนปวดหัวไปหมด เท่าที่จับความได้.. ถ้าเมื่อกี้เขายอมไปกับธร ร้านของจินก็คงไม่เดือดร้อนเรื่องค่าเช่า แต่พอลงเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าทางนั้นจะต้องรับเคราะห์อะไรหรือเปล่า แล้วถ้าพะพายรู้เรื่องวันนี้จะเป็นห่วงมากขนาดไหนนะ

อีกอย่าง...เรื่องของธรกับติ เขาไม่ได้ศึกษามาให้ดีเลย ความจริงแล้วเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิไลวิทย์ หรือพวกทายาทตระกูลเศรษฐีทั้งหลายนักหรอก ข้อมูลทั้งหมดเป็นแค่การพูดคุยปากต่อปากจากเด็กนักเรียนและพี่สาวคนดี การเข้ามาตีสนิทกับติก็เป็นแค่แผนการเด็กๆ ที่เขาเอาชนะใจติไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับติเลยรึเปล่า... แล้วการที่ไปรู้จักกับศัตรูของตัวเอง จะทำให้ตินึกโมโหบ้างไหม ทำไมถึงเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรเลยแบบนี้ล่ะ อึดอัดชะมัดให้ตายเหอะ..

“เอ่อ ที่นี่ ที่ไหนครับ?” รีบส่งเสียงออกมาทันทีที่รถขับมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ เกต์หันกลังมายิ้มกว้าง ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัว “บ้านฉันเอง ยินดีต้อนรับ”

สรุปว่าวิไลวิทย์เป็นแหล่งรวมลูกคนรวยไม่ต่างอะไรกับธารวิทยาจริงๆเหรอเนี่ย ถึงแม้การเรียนการสอน และกฎระเบียบจะต่างกันโขก็เถอะ ธารวิทยาสั่งสอนให้นักเรียนเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและชาญฉลาด ในขณะที่วิไลวิทย์เอาแต่รับเงิน โดยปล่อยอิสระให้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นลูกเศรษฐีเอาแต่ใจไปสินะ

พะภูถูกพาไปล้างเท้าในห้องน้ำขนาดกว้างกว่าห้องนอนบ้านเขาซะอีก จากนั้นก็ได้แต่เดินตามอีกสามหนุ่มขึ้นไปยังห้องชั้นบน มีเด็กในกลุ่มกีรติกำลังนั่งเล่นเกมอยู่ 3-4 คน หนึ่งในนั้นคือคนคุ้นหน้าคุ้นตา ที่วันนี้ออกจะแปลกไปจนน่าตกใจเชียว

“เอ๊ะ นาย?”

“อ้าว เด็กธารวิทยาที่มาตามตื้อพี่ติ”

ตั้งใจจะเรียกแบบนี้ไปตลอดจริงดิ?!

“ฉันเห็นนายบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้คุยกันเลย อยู่ม.4เหมือนกันใช่ไหม?”

“ใช่ ฉันชื่อนิวนะ”

“อื้อ ต่อไปเรียกฉันว่าพะภูนะ”

“อ๋อ..อืม”

นิว...เท่าที่จำได้คือเด็กม.4 ที่ชอบตามสืบตามสอด(แนม)เรื่องต่างๆมาคอยรายงานหัวขบวนทั้งสาม เป็นแค่ผู้ชายตัวเล็ก ผอมบางต่างจากคนอื่น จงน่าสงสัยว่าถูกหลอกมาเข้ากลุ่มหรือเปล่านะ ความจริงแล้วเขาไม่เหมาะจะเรียนที่วิไลวิทย์ด้วยซ้ำ ท่าทางอ่อนแอเกินไป แต่ที่ยังใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนได้ น่าจะเป็นเพราะความจืดจางจนแทบไม่มีใครสนใจจะหาเรื่องนั่นแหละ ปกติก็ตัดผมทรงเรียบๆ แสกกลางธรรมดา ไม่มีการจัดทรงใดๆทั้งสิ้น มีแว่นตากรอบเหลี่ยมสีน้ำตาลไม้หนาเตอะ ยิ่งเสริมให้ใบหน้าขาวซีดนั้นดูจืดสนิทเข้าไปอีก

แต่วันนี้ที่บอกว่าแปลกไปก็เพราะ เขาตัดผมมาใหม่น่ะสิ! เปลี่ยนไปมากจนตอนแรกนึกว่าจำผิดคนด้วยซ้ำ มีแค่โครงร่างกับแว่นอันเดิมที่ทำให้แน่ใจว่าเป็นนิวเท่านั้น ผมที่เคยแสกแบบขอไปที ตอนนี้กลับถูกซอยเป็นหน้าม้า ไล่ความยาวลงมาเจอกันตรงกลางระหว่างคิ้ว ผมด้านหลังถูกซอยขึ้นเป็นทรง มีวอลลุ่มจากความหยักศกธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ดูรกรุงรังอย่างแต่ก่อน ดูเหมือนจะทำสีผมให้อ่อนขึ้นนิดหน่อยด้วย เห็นได้ชัดตอนที่แสงในห้องตกกระทบ เป็นประกายน้ำตาลสวยทีเดียว สรุปว่าหมอนี่มันหน้าตาดีเห็นๆเลยไม่ใช่เรอะ! แล้วตลอดมาเอาความหล่อไปซ่อนไว้ที่ไหนหมดเนี่ย??

“ตัดผมมาใหม่ ดูดีนะ”

“อ๊ะ สังเกตด้วยเหรอ ขอบใจ”

สังเกตสิเฮ้ย! ใครไม่สังเกตก็ต้องเรียกว่าตาบอด ไม่ก็บ้าแล้ว!

“ทำไมไม่ลองถอดแว่นด้วยล่ะ?”

“มะ..ไม่เอา” ไอ้มือเล็กๆที่เล็กกว่าเขาเสียอีก ยกขึ้นปัดไปมาในอากาศ สายตาหลังเลนส์เหลือบขึ้นมองใครบางคน พอหันไปก็เห็นแววตานิ่งเฉยของศิลป์กำลังก้มต่ำลงมา แค่แวบเดียวก็เบือนหน้าหนีกันไป อะไรหว่า?

จะว่าไปเขาก็ไม่เคยคุยกับศิลป์เลย แล้วก็ยังอยากรู้จักนักเรียนคนอื่นๆภายใต้กลุ่มของกีรติให้มากขึ้นอีกด้วย ถ้าต้องมาป้วนเปี้ยนบ่อยๆ การสนิทกันไว้มันก็คงทำให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าทุกทีที่เป็น แต่จะคุยอะไรดีล่ะ ในสามคนนั้นศิลป์ดูน่ากลัวสุดเลยไม่ใช่หรือไง ชอบขึ้นเสียงดังตลอด แถมตีสีหน้าหงุดหงิดอยู่เรื่อยเลย

“กูไปหยิบขนมมาเพิ่มนะ” ว่าไม่ทันขาดคำ ซุ่มเสียงกระโชกโฮกฮากของศิลป์ก็ดังออกมาจากด้านหลัง คนตัวเล็กชั่งใจได้แค่แวบเดียว ก็รีบพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน

“ผ..ผม ผมไปด้วยครับ”

“อะ..อ่า...”

คนที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปจากห้อง ตีสีหน้าไม่ถูก แต่ก็ยอมให้เขาเดินตามลงบันไดไปแต่โดยดี ไม่ได้หันกลับมามองปฏิกิริยาของคนที่เหลือ ก็เลยไม่ทันได้เห็นว่า แต่ละคนกำลังงงกับการกระทำของเขามากแค่ไหน ช่วยไม่ได้นะ นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ลองเริ่มต้นสนทนากับศิลป์ดูก็ได้

“เอ่อ...พี่ศิลป์ครับ”

“หือ?”

“เรื่องพี่ธร... พวกพี่เกลียดกันมากหรอครับ?”

“มากสิ ไอ้ธรชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด คอยแต่จะบีบคั้น รังแกคนอื่น เป็นพวกไม่น่าคบ นายเองก็อย่าไปเข้าใกล้มันอีกจะดีกว่า”

ไอ้เรื่องการใช้อำนาจของผู้ชายคนนั้นเขาได้สัมผัสมันมาแล้วล่ะ แต่ถ้าตัดเรื่องความกร่างนั่นออกไป ก็ดูเป็นคนดีออก ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ แต่การที่พูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง และการที่หัวเราะออกมาแบบนั้นได้ มันไม่น่าจะใช่อย่างที่ศิลป์หรือเกต์พูดเลยนี่น่า

“แต่ว่าวันนี้เขาคุยกับผมดีมากเลย..”

“น่ากลัวนะ ระวังให้ดีล่ะ” มือใหญ่เอื้อมขึ้นเปิดตู้ในห้องครัว มีขนมสองสามถุงร่วงลงมาบนเคาน์เตอร์ขนาดกว้าง

“หมายความว่าไงครับ?”

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายมันไม่เกี่ยง ขอแค่หน้าตาน่ารักถูกใจ ก็จะหลอกเอาให้ได้ มันเป็นคนแบบนั้นแหละ แล้วถ้ามันคุยกับนายดีอย่างที่ว่าจริงๆ บางทีนายอาจตกเป็นเป้าหมายใหม่ของมันแล้วก็ได้”

น้ำเสียงเรียบเฉยอธิบายออกมาเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ในแววตาสีนิลตรงหน้ากลับแฝงความห่วงใยบางๆไว้อยู่ ธร...เป็นคนแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ..

“แต่ว่า...”

“อย่างที่ไอ้ศิลป์ว่านั่นแหละ” ไม่ทันได้พูดต่อ เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นด้านหลัง

“พี่ติ!”

เส้นผมสีดำที่หล่นลงมาปรกหน้า ถูกเสยขึ้นอย่างรำคาญ ก่อนที่มือใหญ่ของติจะตรงเข้าคว้าข้อมือพะภูไว้แน่น คนตัวเล็กถูกลากขึ้นไปตามบันไดอย่างเงอะๆงะๆ เดินผ่านหน้าห้องที่คนอื่นนั่งเล่นเกมกันอยู่ไป ไม่ทันได้ทักถ้วง ประตูห้องอีกบานก็เปิดขึ้น ก่อนจะถูกผลักเข้าไปในนั้นอย่างไร้ความปราณี

ห้องขนาดกว้าง มีเตียงคิงไซส์ตั้งอยู่ตรงกลาง ที่ขอบกำแพงอีกด้านเป็นโต๊ะทำงานกับชั้นหนังสือยาวเป็นทาง การตกแต่งน้อยชิ้น เน้นความเรียบเป็นหลัก ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความหรูหรา ไม่นานนัก เสียงล็อกประตูก็ดังขึ้นเรียกพะภูให้ตื่นจากภวังค์ คนตัวสูงค่อยๆขยับตัวเข้าหาจนเขาต้องก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็จนมุมเข้าที่ปลายเตียงซะแล้ว

“เฮ้ยย!”

ตุ้บ

เจ้าของห้องออกแรงผลักแค่นิดหน่อย ร่างของพะภูก็ล้มลงไปนอนแหมะอยู่บนฟูกขนาดใหญ่ ผ้าห่มที่ถูกพับไว้อย่างดีถูกเท้าเล็กๆถีบออกไปอย่างไม่เกรงใจ ทันทีที่ติคลานตามขึ้นมา ขยับตัวหนีได้อีกแค่ไม่กี่ที แผ่นหลังก็ชนเข้ากับหัวเตียงเสียงดังปัก

“เอาแต่พูด ‘แต่ว่าๆ’ อยู่ได้”

“หะ? อะไรกันครับ?”

“ไอ้เหี้ยนั่นมันดีกับนายนักหรือไง เจอกันครั้งแรกก็กลายเป็นทาสมันแล้วเหรอ?”

หมายถึงธรงั้นเรอะ? อะไรกัน อยู่ดีๆก็มาพูดเอาตอนนี้ ทั้งที่เงียบมาตลอดเนี่ยนะ ถ้าโมโหที่เขาไปคุยกับศัตรูก็บอกแต่แรกสิ ไม่ใช่เก็บมาระบายเอาบนเตียงแบบนี้! ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่กีรติ?!

“ไม่ใช่นะครับ แต่ว่า...”

อ๊ะ! เผลอหลุดจะแก้ตัวให้ธรอีกแล้ว

“ชิ!”

แววตาดุดันจ้องเข้ามาเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อกัน น้ำเสียงไม่พอใจดังขึ้น คนตัวใหญ่ขยับเข้ามาใกล้จนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆ ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ตรงหน้า...

ใกล้... ใกล้เกินไปแล้ววววว !!!??

------------------------------------------

เปิดเทอมแม่งหนักหนาจริงๆ TT
การบ้านกองท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
วันนี้รีบมาปั่นสักตอนก่อน ก็ได้แค่นี้แหละ ฮืออ

บทก่อนหน้านี้ เปิดตัวพี่ธร
คอมเม้นหายวูบ แอบตกใจแต่ไหวอยู่
เห็นอนาคตเรตติ้งของธร ทำท่าจะดิ่งลงเหว รำไรๆ....555555
อยากขอโอกาสให้ผู้ชายคนนี้ด้วยค่ะ 55

ส่วนบทนี้... ด้วยความที่รีบจัด
เลยตัดจบแค่นี้ (แอบเลว)
ไม่รู้ต่อไปจะเกิดอะไร เอาใจช่วยพะภูกันด้วยนะค้า
อย่าทิ้งเราน้าา~~ ขอบคุณทุกคอมเม้นเช่นเคยค่ะ
 :call:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 09-08-2013 22:38:09
พี่ติหึงอ่ะดิ
เปิดตัวนายแว่นมีแวว ได้อีกคู่สิน่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 09-08-2013 22:40:10
สนุกดี รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 09-08-2013 23:27:06
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:แบบว่าเค้าไม่ได้หายไปนะคอมมันเสียอะดิเพิ่งจะได้มา :mew2: :mew2:



อื่มพี่ธรก็น่าสนใจดี :z1: :z1: :z1:พี่ติจะได้เห็นค่าน้องพระภู :hao6: :hao6: :hao6: :mew2: :mew2:เอหรือจะ3พีดี :hao6:


 :hao6: :hao6: :hao6:พี่ติ :z6: :z6: :z6: :z6:จะรอออออออตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: full69 ที่ 09-08-2013 23:50:20
พี่ติหึงน้องไง ปากแข็งจริงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: done_dirt_cheap ที่ 10-08-2013 00:45:48
 :3123:
:pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 10-08-2013 07:42:32
พี่ติหึงอ่ะดิ
 :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 10-08-2013 12:27:29
เฮ้ย!!! ตัดจบแบบนี้เอามีดมาฆ่ากันเลยดีกว่า
มันค้างนะ(เว้ย)ครับ!!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 10-08-2013 14:00:55
เพิ่งเข้ามาอ่าน ติก็ซึนจริง ๆ แต่พะภูเข้าหาติเพราะเหตุผลไม่ใช่เหรอ ถ้าวันนึงติเปิดใจจริง ๆ มันจะไม่ดราม่าหนักรึไง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Gongy B.Du ที่ 10-08-2013 16:14:18
โอ้ พี่ติมีหึง อิอิ ซึนอ่ะ o18
ว่าแต่พี่ติจะทำอะไรพะภูน่ะ  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 10-08-2013 17:11:25
อู้หูวววววววววววววววววว  :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 10-08-2013 17:20:49
พี่ติ อย่าลง หึงหวง เสียงดังน่ะ เดี๋ยว เพื่อนข้างลางได้ยิน  :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 10-08-2013 17:41:35
ทำไมตัดตรงนี้ล่ะคะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 10-08-2013 19:43:54
แต่ว่า... แต่ว่าค้างอ่ะ
นายแว่นกับศิลป์มีซัมติงกันใช่ม่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 10-08-2013 22:31:37
โฮฮฮฮ มาต่อเร็วๆเถอะค่ะ ได้โปรดดดด ค้างมามาย :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ืrattapon ที่ 11-08-2013 01:12:18
อีพี่ติแกจะทำอะไรพะภู โอ๊ยยยยย   :serius2:
ไม่ได้นะ ฆ่ามันๆๆๆ !!!!   :angry2:



อ่ะ ลืมตัว...  อีพี่ติมันเป็นพระเอกนี่หว่า  :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-08-2013 03:47:12
ไอ้ซึน ให้เค้าเอาไปซะนี่ บรู้วว!!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PapermintReal ที่ 13-08-2013 20:49:12
กำเนิดคู่ใหม่!!!!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 14-08-2013 21:55:59
 o22 อยากจะบอกว่าเริ่มรักพี่ติมากๆๆๆ พี่แกซึน! 5555

//สงสัยพี่ติติดใจรสชาติเด็กผู้ชาย หุๆ :hao6:


ปล. ไอ้คุณธรนี่คนดีไหมน่ะ?
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 10 | 09/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 15-08-2013 02:44:53
กำลังสนุกเลย แต่ว่า  ทำไม่ตัดจบแบบนี้ละ แง่ๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 16-08-2013 21:57:53
บทที่ 11

 

ข้อมือทั้งสองข้างของพะภูถูกยกขึ้นเหนือหัว โดนรวบไว้อย่างแน่นหนาด้วยมือเพียงข้างเดียว ใบหน้าบอกความหงุดหงิดเริ่มขยับเข้ามาใกล้ จนคนตัวเล็กรีบโวยวายพลางก้มหน้าหนี แต่มือที่ว่างก็ยังตามมาช้อนคางเขาขึ้นจนได้ ริมฝีปากสีส้มของติตรงเข้าครอบครองปากบางของเขาภายในเสี้ยววินาที

ลิ้นอุ่นถูกส่งเข้ามาอย่างละลาบละล้วง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเหมือนวันนั้นบนเตียงของโรงพยาบาล ยิ่งอยากผลักไส กลับกลายเป็นการตอบรับ ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัด พัลวันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานหลายนาทีจนพะภูเริ่มหายใจไม่ออก

“ฮ…อืมม..ม!”

ข้อมือสองข้างเสียดสีไปมาหวังจะปลดตัวเองออกจากการเกาะกุม แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผลสักนิดเลย ลีลาการจูบของติค่อยๆดูดดึงเอาเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ พอถอนริมฝีปากออก ก็กดทาบลงไปที่ซอกคอขาวต่ออย่างไม่ให้ตั้งตัว

“พี่ติ! ทำอะไรครับ?!!”

มือที่คางเลื่อนลงไปดึงสายคาดเอวของชุดยูกาตะออกอย่างง่ายดาย จนแผ่นอกบางค่อยๆเผยให้เห็นตามแรงขัดขืน ลิ้นชื้นไล้ลงมาถึงไหปลาร้า ก่อนจะเคลื่อนผ่านไปยังติ่งไตสีชมพูสวย จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกใจ ที่ร่างกายของเด็กนี่เรียบเนียนเสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยซะอีก

ริมฝีปากอุ่นครอบลงกับหัวนมด้านหนึ่ง ออกแรงดูดจนคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้ง ติค่อยๆคลายแรงบีบเหนือศีรษะ ก่อนจะยอมปล่อยให้ข้อมือของพะภูเป็นอิสระ มือใหญ่ทั้งสองข้างช่วยกันกระชากเสื้อญี่ปุ่นบนร่างของเด็กตรงหน้าออก ปากยังคงทำหน้าที่หยอกล้อเม็ดสีหวานสลับด้านซ้ายขวาอย่างชำนาญ

“อ๊ะ! พ..พี่...”

ไม่เท่าไรชุดคลุมยาวก็ถูกปลดออก หลงเหลือไว้เพียงร่างเปลือยเปล่ากับบ๊อกเซอร์ตัวบาง พะภูได้แต่ร้องครวญ ด้วยว่าทั้งกลัวทั้งอาย ทั่วทั้งร่างมันร้อนผ่าวไปหมด ทุกจุดที่ปากของติลากผ่าน ปรากฏเป็นรอยแดงเล็กๆชัดเจน นี่มันอะไรกัน กีรติเกิดเป็นบ้าอีกแล้วงั้นเหรอ! ทั้งที่บอกว่าไม่มีวันเอาผู้ชายอย่างเขา แต่ดูสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้สิ! ทุเรศสิ้นดี!!

ทุกสัมผัสที่ได้รับมันช่างน่ารังเกียจ แต่ที่น่ารังเกียจยิ่งกว่า เห็นจะเป็นร่างกายของตัวเอง ซึ่งได้แต่ตอบรับการกระทำอันน่าขยะแขยงนี้อย่างควบคุมไม่ได้ มือสองข้างที่เป็นอิสระพยายามผลักคนตรงหน้าออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล เรี่ยวแรงที่มีมันน้อยจนแทบใจหาย สุดท้ายก็ทำได้แค่ยกขึ้นปิดปากตัวเองไว้แน่น ไม่ต้องการส่งเสียงทุเรศๆออกไป ถึงอย่างนั้น สัญชาตญาณกลับทรยศกัน...

“อะ..อ๊ะ! อื้ออ!”

“นี่คือการเตือน...”

“ฮึ..ก...”

“ถ้าจะยุ่งกับฉัน ก็ห้ามไปยุ่งกับธร”

ติค่อยๆถอนปากออกไปจากแผงอกบาง ซึ่งกำลังกระเพื่อมรุนแรงด้วยความตื่นกลัว พะภูกำหมัดทั้งสองข้างแน่นพลางทุบลงไปที่ไหล่กว้างของติอย่างโกรธแค้น น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มจนเปียกชื้นไปหมด

ดูไม่ได้เลย ทั้งผู้ชายที่เอาแต่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็ทั้งตัวเขาเองด้วย... ร่างกายสั่นเทากับเสียงสะอื้นจากคนตรงหน้า ค่อยๆเรียกสติกลับคืนมาให้เขาได้บ้าง รู้ตัวอีกที ความรู้สึกผิดระคนสับสนก็แล่นปราดขึ้นมาจุดอยู่ที่อกซะแล้ว

อยู่ดีๆร่างกายก็ชาจนแทบไม่รู้สึกถึงแรงทุบตีที่กำลังได้รับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลอกซ้ายขวา พลางหันหน้าหนี ร่างกายหนักอึ้งคว้าจังหวะหนึ่ง อพยพออกมาหยุดลงตรงปลายเตียง เพิ่งจะได้สงบอารมณ์และคิดทบทวนเรื่องเมื่อกี้ตอนนี้เอง

“..ฮ..ฮือ อ” เสียงร้องไห้ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง จนคนฟังทนไม่ได้

“หยุดร้องได้แล้ว!”

“โฮฮฮ!!”

ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งแย่ คนบนเตียงปล่อยโฮออกมาขนานใหญ่ ก่อนจะคว้าเอาชุดยูกาตะขึ้นมาสวมกลับอย่างลวกๆ สายตาเกลียดชังที่ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น จับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ชายที่เพิ่งกลั่นแกล้งตน

“นี่”

ทันทีที่ติเริ่มขยับเท้า พะภูก็รีบร่นตัวจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับหัวเตียง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบหมอนมากอดไว้แน่น พอคนตัวสูงทำท่าจะตรงเข้าหา ก็ปาหมอนในมือออกไปปะทะใบหน้าเรียวอย่างหมดซึ่งความเกรงใจ

“ถ้าพี่ติไม่อยากให้ผมยุ่งกับพี่ธร ก็บอกกันดีๆสิครับ ทำไม..ถึง...” คนตัวสูงทิ้งหมอนที่ถูกโยนมาลงพื้น ได้ยินเสียงพะภูกำลังกัดฟันกรอดอย่างโมโหเต็มที

ความจริงแล้วเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน อะไรที่เกี่ยวกับธรมักทำให้เขาอารมณ์เสียได้เสมอก็จริง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ตอนที่เห็นพะภูอยู่กับธร หรือตอนที่ได้ยินพะภูออกรับแทนธร ก็ทำเอาเขาหงุดหงิด ไม่ใช่หงุดหงิดแบบที่อยากจะเข้าไปต่อยหน้าสั่งสอน แต่เป็นความหงุดหงิดที่ทำเอาเจ็บจี๊ดออกมาจากข้างใน

มันคล้ายกันกับตอนนั้น ผู้หญิงที่เขาเคยคั่วด้วยถูกธรแย่งเอาไปในอดีต มันทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด รู้สึกเหมือนเด็กๆที่หวงของเล่น แต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่านั้นมาก.. มากจนไม่เข้าใจ...

“พี่ติบอกว่าไม่ชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอครับ?” น้ำเสียงแหบพร่าพูดออกมาด้วยความเจ็บปวด นั่นยิ่งสะกิดใจให้ติสับสนมากขึ้นไปอีก

ใช่...เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่เขาก็ไม่รู้ตัวเองว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น ซ้ำร้าย..เขากลับไม่นึกรังเกียจร่างกายของพะภูเลยแม้แต่น้อย แบบนี้ มันควรจะหมายความว่ายังไงล่ะ...?

หัวหน้ากลุ่มอันธพาลโรงเรียนได้แต่ยืนอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเข้าใกล้คนบนเตียงอีก คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นยีผมตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ห้องนอนขนาดกว้างเต็มไปด้วยความอึดอัด

สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง อะไรบางอย่างข้างในกำลังพยายามอย่างหนัก ที่จะผลักไสเหตุการณ์บนเตียงออกไปจากสมอง ไม่ไหวแฮะ.. ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ยิ่งพยายามทำความเข้าใจ ก็ยิ่งไม่เข้าใจ!

 เวลาภายในห้องผ่านไปอย่างเชื่องช้า ติยืนนิ่งไม่ไหวติง ในหัวขาวโพลนเกือบหมด ส่วนเด็กผู้ชายบนเตียงก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ท่ามกลางเสียงสะอื้น นานมาก.. จนน้ำตาที่พรั่งพรูเป็นน้ำตกเมื่อครู่ค่อยๆเหือดแห้งลงตามลำดับ หัวใจที่เคยเต้นถี่รัวจนน่ากลัว ค่อยๆกลับเข้าที่เข้าทาง เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบและมีโอกาสสติอารมณ์ลง ก็พลันได้หยุดคิดอะไรบางอย่างในหัว เสียงพร่าจากการร้องไห้เป็นเวลานานดังขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ

“หรือว่าพี่ติ...จะชอบผม?”

“ไม่! ฉันไม่มีวันชอบนาย!”

คนตัวสูงตอบกลับทันควัน สายตาดุดันตวัดมามองพะภูอย่างโหดร้าย มีความรู้สึกบางอย่างกำลังส่งเสียงทักถ้วงขึ้นมาจากข้างใน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับแม้เพียงเศษส่วนของมัน สิ่งที่ถูกต้องมีแค่อย่างเดียว นั่นคือความจริงที่เขายังคงเกลียดเด็กผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายตรงหน้าคนนี้!

“อึก”

“ที่ฉันทำไป ก็เพราะฉันเกลียดธร ถ้านายยุ่งกับธร ฉันก็จะเกลียดนาย”

“อะ..”

“เพราะเกลียดถึงได้ต้องสั่งสอน.. แล้วเป็นไงล่ะ! นายเองก็กลัวจนตัวสั่นเลยใช่ไหม!?”

“อะไรกัน...”

“ถ้าจะเข้าข้างตัวเอง มันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง อย่าได้คิดอะไรทุเรศๆแบบนี้อีก!”

สิ้นเสียงเด็ดขาด ติก็รีบพาตัวเองออกไปจากห้อง ประตูไม้ปิดตัวลงตามหลังเสียงดังปัง ทิ้งให้พะภูได้แต่นั่งมองผ้าปูที่ยับย่น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างราวกับเพิ่งถูกหอกพุ่งเข้าใส่ ร่างกายชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร ผิดกับหัวใจที่ตรงข้ามกัน.. ทุกครั้งที่ถูกติพูดจาทำร้ายหรือปฏิเสธกลับมา เขาก็ไม่เคยสนใจ จุดมุ่งหมายเดียวคือการทำให้ติตกหลุมรักเท่านั้น เพียงแต่ว่าคราวนี้มันแปลกออกไป...

มันเจ็บ...

 

หลังจากที่ติเดินออกไปจากห้อง สักพักเกต์ก็เปิดประตูเข้ามา พาตัวพะภูกลับบ้านโดยที่ไม่ปริปากพูดจาอะไร พอวันอาทิตย์ก็ไม่สามารถไปทำงานที่ร้านฮิคาริได้จนพะพายนึกเป็นห่วง จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น ติเพียงแค่เอาอารมณ์โกรธเกลียดธรมาลงที่เขา ด้วยการกลั่นแกล้งแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ.. ถ้าใช่ มันก็ออกจะโหดร้ายเกินไปนะ ทั้งที่เขาไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าธรเป็นใคร แค่พูดคุยด้วยก็ถือว่าผิดมหันต์แล้วหรือไงกัน ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ว่าธรกับติเป็นศัตรูคู่แค้น เขาก็คงไม่นึกพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแต่แรกหรอก เพราะงั้น.. ติก็ไม่มีสิทธิทำร้ายเขาถึงขนาดนั้นเลย

ทำเรื่องแบบนั้น แล้วบอกว่าเกลียด...

บ้าชะมัดเลยกีรติ บ้าที่ทำให้เขาแทบเป็นบ้าแบบนี้!

“พะภู เป็นอะไรรึเปล่า เลิกเรียนแล้วนะ?”

เสียงเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ไฟในห้องเรียนจะถูกปิดลง เด็กผู้ชายสั่นหัวไล่ความคิดอันชวนปวดหัวออกไป มือเล็กรีบคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายหลัง ถึงจะยังช็อกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ตั้งใจไปหาติเหมือนเคย เขาจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้จริงๆ

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้ารั้วสีดำสนิทแห่งวิไลวิทย์ สายตามากมายของนักเรียนทั้งด้านในด้านนอก หันมาจับจ้องเขาเป็นตาเดียว แปลกกว่าทุกทีจนชักสังหรณ์ใจไม่ดี พอคิดจะก้าวขาเข้าไปในโรงเรียน กลุ่มผู้ชายตัวใหญ่หลายสิบคนก็รี่เข้ามาขวางเขาไว้ หน้าตาแบบนี้...ลูกน้องของติไม่ผิดแน่

“นี่มันอะไร..ครับ?”

“พี่ติสั่งมา ไม่ให้นายเข้าไป”

“ทำไมครับ?”

“ยังจะกล้าถามอีก ก็พี่เขารำคาญนายไงเล่า!”

เสียงซุบซิบของนักเรียนคนอื่นโดยรอบเริ่มดังขึ้น ยิ่งทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกหงุดหงิด พยายามมองทะลุร่างกายขนาดใหญ่เข้าไป ก็ไม่พบกับเป้าหมาย ไม่มีสักคนในสามหัวขบวนแห่งกลุ่มกีรติ คาดว่าคงสุมหัวกันอยู่ในห้องชั้นสองของอาคารเรียนอีกแน่ มันดูจะแปลกอยู่ไม่ใช่น้อย กับการที่ติไม่ยอมออกมาเฉดหัวไล่เขาด้วยตัวเองเหมือนทุกที

“ผมขอเจอเขาก่อนไม่ได้เหรอครับ?” พยายามช้อนสายตาที่ดูน่าเห็นใจที่สุดไปให้ จนนักเรียนตัวใหญ่หลายคนเริ่มเบือนหน้าหนี แต่แล้วคนด้านหน้าสุดก็รีบส่งเสียงดัง เรียกความตั้งใจเดิมของทุกคนให้กลับมา

“ม..ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้!”

“เออ ฉันว่านายกลับไปเถอะ พี่เขาไม่อยากเจอ ไม่เข้าใจหรือไง?”

“แต่...!”

“กลับไป แล้วอย่ามาที่นี่อีก!”

ตุ้บ!

หนึ่งในนั้นตัดสินใจยื่นมือออกมาผลักไหล่บาง จนร่างทั้งร่างของเด็กธารวิทยาล้มลงไปกองกับพื้น ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกจากพวกนักเรียนหญิง สายตาที่คาบกันอยู่ระหว่างความร้ายกาจและความรู้สึกผิดต่างพร้อมใจกันส่งมาให้เขา คนตัวเล็กทำได้แค่กัดฟันลุกขึ้น ปัดเอาฝุ่นบนตัวออก ทันทีที่คำพูดสุดท้ายดังขึ้น เขาก็ไม่มีหน้าจะยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป

“วิไลวิทย์ไม่ต้อนรับคนอย่างนาย”

---------------------------------------------

นักอ่านคนไหนบอกว่าเริ่มรักติแล้วนะคะ ?
555555555555555

ตินี่ให้อารมณ์เหมือนคนบ้า..
เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
ทำอะไรไม่มีเหตุผล ไม่เข้าใจตัวเอง
แหมะ อาการแบบนี้มัน.............

ส่วนทางพะภูเอง ก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกันแล้วสิ
"มันเจ็บ" สั้นๆ แต่ได้ใจความจริงๆ หึหึ

เอาเป็นว่า ช่วยลุ้นพะภูกันต่อด้วยนะคะ
อาจจะได้มาต่อแค่ อาทิตย์ละครั้ง
อย่าเพิ่งลืมกันเน้อ <3
รักและขอบคุณทุกๆคน ทุกๆคอมเม้นเลยค้า~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 16-08-2013 22:18:52
อะหายไปเลย
มาถึงตอนนี้ยังงงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่จะรอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 16-08-2013 22:52:00
ให้ติสามคำ ซึน ยัน เอส(เบาๆนะเอ็ง เริ่มเห็นแววตั้งแต่ฉากน้องหมาละ)
รอครึบ อาทิตย์ละตอนก็ยังดี
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 16-08-2013 23:25:15
ซึนเดเระจริงๆ ติ

ความรู้สึกช้านัก ไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง เดี๋ยวเชียร์ให้พะภูได้กับธรซะเลย ฮึ่มๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: capool ที่ 17-08-2013 02:08:46
ไม่ช่วยลุ้นหรอกค่ะ เกลียดพระเอกแบบนี้ ไม่สนับสนุนให้ได้กัน อยากเอาเท้าเหยียบหน้ามัน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 17-08-2013 09:38:19
อีตาพี่ติแกจะซึนไปไหนวะเนี่ย
กลับไปเถอะพะภูแล้วไม่ต้องมาให้มันเห็นหน้าอีก
ฮึ่ย!โมโหแทน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Gongy B.Du ที่ 17-08-2013 14:23:45
อิพี่ติเอ๊ย! ช่างทำกับน้องได้! :m31:
พะภูเปลี่ยนเป้าหมายเถอะ ให้อิพี่ติมันดิ้นตายไปเลย!!  :m16:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 17-08-2013 19:57:03
ไม่กล้าจะเจอหน้า กลัวอดใจไมได้เหรอ นายติ  :katai4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 17-08-2013 20:06:47
พี่ตินี่น้า --!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 17-08-2013 21:30:44
นายเอกเรื่องนี้ทนมาก สักวัน.....
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 17-08-2013 21:44:52
 :m16: :m16: :m16: :m16:เปลี่ยนใจมาเชียธรแทนแล้ว :m16: :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: AnimajuS ที่ 17-08-2013 23:06:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 18-08-2013 21:22:10
พี่ติจะซึนไปไหน?? ระวังเหอะพะภูจะไปอาศัยบารมีไอ้คุณธรแทน

หึ่มๆ อุตสาห์เทใจให้แล้วนะเนี่ยะ มันน่าดึงหัวเล่นจริง!  :fire: :m31:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 11 | 16/08/56 | P.5
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 18-08-2013 23:04:58
พี่ติเป็นไรอีกเนี่ยยยยย  หรือกำลังซึนๆแบบสับสนป่ะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 23-08-2013 20:41:36
บทที่ 12

 

คืนอันน่าเจ็บใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะโดนไล่ออกมาเมื่อวาน แต่เขาก็ต้องกลับไป ต้องทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะเจอติ เขาเดินมาไกลมากแล้ว และจะไม่ยอมปล่อยให้มันจบแบบนี้!

รถเมล์สายประจำจอดตัวลงใกล้ๆประตูบานใหญ่ มีนักเรียนหลายคนเริ่มทยอยกันออกมาหลังจากเลิกเรียนได้ไม่นาน ทันทีที่ก้าวขาลงมา สายตามากมายก็จับจ้องมาที่เขาราวกับเป็นตัวประหลาด เกิดเสียงซุบซิบขึ้นโดยรอบ ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไร การที่โดนกลุ่มกีรติไล่ออกมาอย่างเด็ดขาด ไม่ควรมีหน้ากลับมาอีก แต่เขาก็ยัง.. ไม่รู้ว่าจะดูน่าขัน หรือน่าตกใจกันแน่

“อ้ะ!”

สายตาเหลือบไปเจอผู้ชายตัวไล่เลี่ยกัน กำลังหลบอยู่หลังกำแพง ผมหยักศกสีน้ำตาลซอยสั้นไม่ได้ทำให้เขากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมอีกแล้ว หน่วยสอดแนมของกลุ่มกีรติกำลังทำท่าท่าลับๆล่อๆ ในมือถือโทรศัพท์ดูรีบร้อนแปลกๆ ถ้าเดาไม่ผิด นิวจะต้องรายงานไปหาใครสักคนเรื่องที่เขามาปรากฏตัวอยู่หน้าโรงเรียน อีกไม่นานก็ต้องมีพวกลูกน้องร่างยักษ์โผล่ออกมา เพราะงั้นถึงต้องบุกเข้าไปในตอนนี้เท่านั้น..

กลุ่มของกีรติทำงานภายใต้คำสั่งได้ดีแล้ว แต่ที่พลาดไปก็คือ พวกนั้นไม่ได้รู้ถึงระดับความบ้าบิ่นของเขา! ทันทีที่ตัดสินใจ ขาสองข้างก็รีบก้าวให้ยาวที่สุดไปทางอาคารเรียนหลังแรกตรงหน้า แอบได้ยินเสียงร้องของหนุ่มแว่นที่แอบสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ แค่นาทีเดียวก็มาจนถึงชั้นที่สอง

ดูเหมือนการต้อนรับอันน่าประทับใจจะถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดีแล้ว คนตัวเล็กหยุดหอบสักพัก สายตามุ่งมั่นจับจ้องไปยังเหล่านักเรียนตัวใหญ่ ซึ่งกำลังยืนกระจายกันไปทั่วทั้งชั้น เสียงประตูห้องที่ใกล้ที่สุดดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงของหัวขบวนทั้งสามที่ค่อยๆเผยออกมาให้เห็น เกต์เป็นคนแรกที่รีบเบือนหน้าหนี ดูจากนิสัยแล้ว เขาคงไม่อยากทำเรื่องแบบนี้สักเท่าไร ศิลป์เองก็มีท่าทีแปลกออกไปเช่นกัน คนที่เอาแต่ปั้นหน้าโหดกับสายตาน่ากลัวนั่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ยกเว้นเพียงติที่ยังคงเหมือนเดิม...

สายตาเรียบเฉยจนดูน่ากลัวนั้นยังคงเหมือนเดิม.. สายตาที่เกือบจะเปลี่ยนไปแล้วครั้งหนึ่ง...วันนี้มันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง...

“พี่ติ!”

“...”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆนอกจากแววตาโหดร้ายผิดปกติ ติหันไปมองลูกน้องที่ยืนอยู่รอบบริเวณเพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง เจ้าของร่างผอมชักสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหุนหันพุ่งตัวออกไปตรงหน้า

“เฮ้ย!” เสียงโหดของเด็กม.5 คนหนึ่งดังขึ้น พอดีกับที่แขนใหญ่ตรงเข้ามาล็อคตัวเขาไว้ มีนักเรียนอีกสองสามคนขยับเข้ามาล้อมในระยะประชิด จนแทบมองไม่เห็นหน้าของคนที่อยู่ด้านหลังอีกแล้ว

“กลับไปซะ!”

“พี่ติ!!”

“ออกให้กลับไปไง”

“พี่ติ! พี่ติ...!!”

ได้แต่ตะโกนเรียกชื่อคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับมา ท่ามกลางสายตากดดันหลายสิบคู่ ความเจ็บปวดบางอย่างแล่นปราดขึ้นมาจุกอยู่บริเวณอก นี่มันเป็นครั้งแรก ที่ติตั้งใจจะไล่เขากลับไปจริงๆ แน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์ยอมแพ้ แต่ภาพตรงหน้ามันทำเอาท้อเหลือเกิน ในสมองได้ยินเพียงแต่คำว่า ‘กลับไป’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน่าปวดหัว

พลั่ก

ร่างบางล้มลงไปกองกับพื้น ด้วยแรงผลักเพียงแค่น้อยนิด ลูกน้องทั้งหมดเดินเข้ามาขวางหน้าเขาไว้จนมิด ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นของคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านลงไปตามขั้นบันได แม้ว่าเกต์กับศิลป์จะแสดงอาการกังวลใจออกมาอย่างชัดเจน ติกลับเป็นฝ่ายที่ไม่คิดจะหันไปมองคู่กรณีเลยแม้สักนิดเดียว

พะภูคิดจะลุกตามไป แต่กลับทำได้แค่นั่งจุมปุกอยู่กับที่ การล้มเมื่อครู่ทำเอาปวดบั้นท้ายเป็นวงใหญ่ ไม่นานนักพวกลูกน้องที่เหลือก็ค่อยๆทยอยเดินตามลงไป จนไม่เหลือใครอยู่อีก ความรู้สึกมากมายจู่โจมเข้าใส่ทันทีที่ความเงียบเริ่มปกคลุม ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ในหัวปั่นป่วนไปหมด

ไม่ว่าเขาจะตามตื้อติยังไง คนคนนั้นก็ทำได้แค่ออกปากไล่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เพียงแต่คราวนี้มันไม่เหมือนกัน ติไม่เคยสั่งให้ลูกน้องเข้ามายุ่งกับเขาแบบนี้ ไม่เคยปิดปากเงียบและไม่ยอมมองหน้ากันแบบนี้ ราวกับว่า...ถูกเกลียดเข้าแล้วจริงๆ

มันน่าเจ็บใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน ทั้งที่แผนของเขากำลังดำเนินไปได้ด้วยดีแท้ๆ แต่กลับพังลงในชั่วพริบตา โดยไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของมันด้วยซ้ำ!

วันนั้นที่หน้าวิไลวิทย์ ไม่ใช่ติเหรอที่พาเขาไปทำแผล... คืนนั้นที่กระท่อมในป่า ไม่ใช่ติเหรอที่เช็ดน้ำตาให้... ตอนนั้นบนเตียงของโรงพยาบาล ไม่ใช่ติเหรอที่ขโมยจูบแรกของเขาไป... แล้วเมื่อวานซืนในห้องของเกต์ ไม่ใช่เขาเหรอไง ที่ทำเรื่องแบบนั้น! แล้วจะให้เชื่อว่าเกลียดได้ยังไง กีรติ! ทั้งที่ทุกอย่างมันตรงข้ามกันเกือบหมด แล้วทำไม! ทำไมตอนนี้มันถึงกลายเป็นแบบนี้.. ไม่เข้าใจเลย!!!

“ฮ...ฮึก..”

ไม่เข้าใจเลย...ทำไมน้ำตาต้องไหลด้วย ทำไม ทำไม..

ทำไมถึงได้รู้สึกเสียใจขนาดนี้...

 

“การสอบมิดเทอมที่จะถึงนี้ ขอให้ทำเต็มที่ ครูคาดหวังในตัวพวกเธอทุกคนนะ”

“ครับ/ค่า”

อาจารย์ประจำชั้นท่าทีเข้มงวดพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เกิดเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ดังไปทั่ว อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็จะเข้าสู่ช่วงการสอบมิดเทอมหฤโหดแห่งธารวิทยาแล้ว นอกจากคนที่นี่จะต้องทนปวดหัวกับการเรียนการสอนที่ยากผิดปกติ ยังเพิ่มระดับความเครียดยิ่งขึ้น ด้วยการจัดอันดับห้องที่มีคะแนนสูงสุดในแต่ละชั้นปีอีกด้วย นั่นทำให้บรรยากาศภายในโรงเรียนตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ได้ยินเพียงแค่เสียงพูดคุยเกี่ยวกับวิชาเรียน ภาพเด็กทั้งหญิงชายจับกลุ่มติวหนังสือเป็นเรื่องธรรมดามากจนน่าใจหาย อะไรจะดูต่างกับโรงเรียนเพื่อนบ้านได้มากขนาดนี้!

แน่นอนว่าการเป็นนักเรียนทุนที่จำเป็นต้องรักษาระดับผลการเรียนให้อยู่ 1 ใน 10 ตลอดระยะเวลาการศึกษา ทำให้เป็นที่คาดหวังสำหรับคนในห้องรวมทั้งอาจารย์หลายท่านมากขึ้น

“พะภู จะกลับแล้วเหรอ?” หัวหน้าห้องเดินถือหนังสือวิชาสังคมเข้ามาถามหน้าตาตื่น เพื่อนบางคนหันมาสนใจกันเป็นตาเดียว

“อะ อืม.. มีอะไรรึเปล่า?”

“นึกว่าจะให้ช่วยติวสังคมให้หน่อย”

“อ..อ้อ ถ้างั้นเอาหนังสือเราไปดูก็ได้ ไฮไลท์เฉพาะส่วนสำคัญไว้แล้วน่ะ”

ละล่ำละลักตอบออกไป พลางดึงหนังสือสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋า หัวหน้าห้องรับไว้ด้วยท่าทีมีความสุขเหลือล้น เช่นเดียวกับเพื่อนในห้องคนอื่นๆที่พลอยส่งสายตาเป็นประกายออกมาด้วย พะภูยิ้มแห้งๆ ก่อนจะขอตัวลาออกมาจนได้

โชคดีมากที่ไม่เคยมีใครสงสัยถึงการไปเยือนวิไลวิทย์ทุกๆเย็นของเขา เหตุก็เพราะไม่เคยมีใครรู้ แน่นอนว่านักเรียนระดับธารวิทยาจะต้องมีรถหรูขับมารับมาส่งทุกวันอยู่แล้ว จึงถือเป็นเรื่องปกติที่จะไม่เจอใครใส่ยูนิฟอร์มเดียวกันบนรถเมล์กรังๆนี้เลย

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมันยังไม่หายไป ถึงอย่างนั้น ความเคยชินก็ส่งให้เขามาหยุดอยู่ตรงนี้อีกจนได้ ที่หน้าประตูรั้วสีดำสนิทแห่งวิไลวิทย์ มีนักเรียนหลายคนพยายามเหลือบมองมาทางเขา บ้างก็แสดงท่าทีตกใจ บ้างก็ดูห่วงใยจนถึงขั้นเวทนา มองไม่เห็นวี่แววของนักเรียนสังกัดกลุ่มกีรติแม้แต่คนเดียว ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเอาแต่ซุกตัวกันอยู่ในห้องชั้นสองตามเคย ขณะกำลังตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงต่อ กลับมีเสียงฝีเท้าหนักๆหลายสิบคู่ดังใกล้เข้ามา บรรยากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป นักเรียนที่เคยจับตามองมาทางนี้พากันเบือนหน้าหนีเกือบหมด ผู้ชายร่างสูงเดินมาหยุดลงตรงหน้าคนตัวเล็กที่ได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ด้วยว่าสัมผัสถึงแรงกดดันน่ากลัวบางอย่าง

เสื้อนักเรียนสีขาวถูกปล่อยชายลงมาทั้งสองด้าน กระดุมสองสามเม็ดบนปลดออก เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวซีด เนคไทสีเลือดหมูถูกดึงลงต่ำจนแทบจะคลายแหล่มิคลายแหล่ ดวงตาสีเทาหม่นโน้มลงต่ำ จับจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยของผู้มาเยือน

“ดีใจที่ได้พบกันอีก.. พะภู”

“พี่ธร...”

“มาหาติเหรอ?” ธรถามท่าทางไม่ชอบใจนัก

“ครับ”

“ทั้งที่เพิ่งโดนไล่ออกมาเนี่ยนะ”

“อึก..”

ก้อนความรู้สึกบางอย่างตรงเข้าจุกภายในลำคอ พะภูได้แต่เสมองไปทางอื่น เถียงไม่ออกเลยแม้สักคำเดียว ธรแสยะยิ้ม ก่อนจะตรงเข้าคว้ามือเล็กของเด็กตรงหน้าไว้อย่างถือวิสาสะ

“พะ พี่ธร!?”

“เขาไม่อยากเจอ แล้วทำไมเราต้องง้อด้วย วันนี้ไปนั่งรถเล่นเป็นเพื่อนฉันดีกว่านะ”

“ด..เดี๋ยวครับ!”

ไม่ฟังเสียงประท้วงใดๆ กลับลากเอาร่างผอมออกไปจากรั้วโรงเรียนทันที มีสายตาหลายสิบคู่กำลังเหลือบมองมาทางนี้ด้วยความประหลาดใจ รถเก๋งคันหรูที่เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งแล่นมาจอดเทียบฟุตบาท คนตัวเล็กถูกจับให้เข้าไปนั่งด้านในอย่างง่ายดาย ตามมาด้วยร่างใหญ่ของธร ก่อนที่ลูกน้องหลังพวงมาลัยจะเริ่มเดินเครื่องยนต์อีกครั้ง พะภูขมวดคิ้วมุ่น ตั้งใจส่งสายตาคาดโทษไปยังผู้ชายข้างๆ

“อย่าโกรธสิ”

“ทำไมถึงชอบลากตัวคนอื่นนักครับ!” วันนั้นที่ร้านฮิคาริก็เหมือนกัน อยู่ดีๆก็ลากตัวเขาไปที่รถแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ควรจะด่าว่าไร้มารยาทหรือเอาแต่ใจดีล่ะ!

“ก็อยากอยู่กับนายนี่นา”

ร่างเล็กสะดุ้ง เมื่อจู่ๆธรก็วาดแขนเข้ามาโอบไหล่เขาไว้หลวมๆ คำพูดทีเล่นทีจริงกับสายตาส่อแววร้ายกาจนั้น ไม่ได้ดูเข้ากันเลยแม้แต่น้อย

เพราะว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนคนนี้เลย แล้วยังบรรยากาศรอบตัวอันชวนน่าปวดหัว ก็ทำเอาเขาไม่กล้าที่จะขัดขืน รัศมีความน่ากลัวของติกับธรมันร้ายแรงพอๆกัน เพียงแต่ว่าเวลาอยู่กับติ มันยังรู้สึกสบายใจมากกว่า...

“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ..” พูดออกไปได้เพียงแค่นั้น ก็ต้องรีบหุบปากลง เมื่อมองเห็นแววตาน่ากลัวจากคนขับรถซึ่งสะท้อนออกมาจากกระจกมองหลัง

ธรพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะรั้งตัวพะภูให้เข้าไปซบลงบนไหล่กว้าง ไม่มีการขัดขืนหรือโวยวายอีก.. น่ากลัวเกินไปแล้ว! ไม่ใช่แค่ตัวธร แต่เป็นเพราะลูกน้องที่ทำท่าเหมือนจะตรงเข้ามาปาดคอกันอย่างนั้นแหละ! แย่จริงๆแฮะ ไอ้ที่ถูกเตือนว่าไม่ควรมายุ่งกับธรเนี่ย มันอาจจะหมายถึงลูกน้องของธรก็ได้มั้ง...อ๊ะ!

จริงสิ.. คำเตือนที่ไม่ให้ยุ่งกับธร... ถ้าเรื่องวันนี้ถูกรู้เข้า จะโดนเกลียดยิ่งกว่าเดิมไหมนะ

 

เวลา 18 นาฬิกา ท้องฟ้ากำลังส่องแสงสีส้มดูงดงามอย่างที่มันควรจะเป็น นักเรียนทยอยกลับบ้านกันจนเกือบหมดโรงเรียนแล้ว ยกเว้นเพียงกลุ่มเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่ ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสามชั้นสองของอาคารเรียนหลังแรก เมื่อเห็นใบหน้าขรึมของพี่ใหญ่ เด็กม.5 สองสามคนผู้รับอาสาเฝ้ายามหน้าห้องก็รีบลุกขึ้นก้มหัวให้ทันที

“ไล่เด็กนั่นไปแล้วใช่ไหม ทำได้ดีมาก” กีรติหยุดชื่นชมรุ่นน้องตัวเอง มีเกต์กับศิลป์เดินมารวมตัวด้านหลัง

 “เอ่อ หมายถึงเด็กธารวิทยาคนนั้นหรอครับ?”

“อือ”

“อ้อ ถ้าเด็กนั่น..วันนี้ไม่ได้มานะครับ”

คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยิน แต่แล้วก็ต้องรีบคลายสีหน้าออก เมื่อเห็นท่าทีสงสัยของคนในกลุ่ม ติโบกมือไล่ให้ทุกคนกลับบ้าน ก่อนจะเดินนำเพื่อนสนิทอีกสองคนไปลงไปด้านล่าง ความคิดในหัวเริ่มตีกันมั่วไปหมด

ไม่ได้มา...

.....ทำไมถึงได้น่าหงุดหงิดขนาดนี้

-----------------------------------------------

ทุกคนอย่าเพิ่งเกลียดติ !! 5555
(แต่คงห้ามไม่ได้แล้วสิ T-T)
ให้ธรแย่งไปเลยดีกว่า ! 55

ช่วงนี้โดนการบ้านโจมตีทุกวิชาเลย
อยากจะร้องไห้ ฮืออ

ยังไงก็ขอบคุณทุกๆคอมเม้นนะคะ
ที่ยังเป็นแรงให้เราแต่งต่อ ><
ฝากติดตามต่อไปด้วยน้า

ป.ล. เดี๋ยวจะเริ่มแทรกเรื่องของ ศิลป์กับนิว ไว้นิดๆด้วยน้า ชอบส่วนตัวอ่า 5555555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: AnimajuS ที่ 23-08-2013 21:13:47
หึหึ ถ้าอีพี่ติรู้ว่าไปกับธรจะเป็นยังไงนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 23-08-2013 21:30:29
แล้วติจะเสียใจ  :z2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 23-08-2013 21:33:30
 :m16: :m16: :m16: :m16:ไอ้บ้าไล่เขาเองนะ :m16: :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 23-08-2013 21:34:40
 :pig2:จะแทรกอะไรก็ได้...ชอบทั้งนั้นแหละคร้าบบบบ
ปล.แต่รู้สึก ค้างงงงงงงงงงงงงงงง!!!มากกกกเลยครับ  :sad4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Gongy B.Du ที่ 23-08-2013 22:04:43
 :a6: :a6: :a6:
อิพี่ติเอ๊ย...เลิกซึนได้ละก่อนพะภูจะถูกแย่งไปซะก่อน =_=;;
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Flirter_kung ที่ 23-08-2013 23:02:37
จัดมาครับ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 23-08-2013 23:33:22
รอติดตามน้องภูกับพี่ติ ต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ืrattapon ที่ 24-08-2013 00:45:31
คือมันแบบน่าหงุดหงิดมากอ่ะ อีพี่ติเนี่ย :katai1:

อยากตบม๊านนนนนน อ่า ธรกับพะภู หวานได้อีก  :hao6:

เดี๋ยวๆๆ ได้ข่าวว่าำพระเอกคือ อีพี่ตินะ :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: polartotty ที่ 24-08-2013 01:01:47
มาต่อสั้นจังเลยยยยย  :monkeysad:  หมั่นไส้พระเอกมากมาย ฮึ่มๆๆ เริ่มเชียร์ธรแระ 55555 มาต่อเร็วๆนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 24-08-2013 01:38:14
มัวแต่ปากแข้ง ใขแข็งอยุ่นั่นแหละน้าพี่ติ
จะโดนพี่ธรแย่งไปแล้วนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 24-08-2013 06:02:17
ไล่ให้ไป พอไปจริงๆก็หงุดหงิดอีก
จะเอายังไงกันแน่เนี่ยอีพี่ติ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PapermintReal ที่ 24-08-2013 06:24:17
อีซึนนนน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 24-08-2013 16:15:03
ไล่ให้ไป แต่พอเขาไม่มาก็หงุดหงิด


ทำไมซึนได้จัดเต็มขนาดนี้นะพี่ติ  :katai5: :katai5: :katai5:



หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 25-08-2013 18:58:12
ง่ะ  :angry2:


 :katai4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 25-08-2013 21:06:06
ฮ้ากกก อยากรู้อดีตของพะภู


พี่ติใจร้าย งืออ :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: akira334 ที่ 25-08-2013 21:54:12
หมั่นไส้ติอ่ะ :z6:

เปลี่ยนพระเอกทันมั้ย 5555555555 :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 26-08-2013 00:05:08
พะภูใจง่ายอ่ะ ทำไมไปกะธรง่ายๆแบบนั้น
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-08-2013 01:19:02
สมน้ำมะหน้ามัน เค้าไม่มาแร้วเปงไงละ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 12 | 23/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 27-08-2013 21:42:45
 :pig4: รักนักเขียน จุ๊ฟ  :mew1:

มาต่อสักที ก่อนที่คนอ่านจะรอนาน  :sad4:

ปล. พี่ติ...หึๆ เจอดีแน่ /ย้ายฝั่งไปหาพี่ธร   :o12:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 27-08-2013 23:24:59
บทที่ 13

 

“อะไรนะ?”

ผู้ชายตัวเล็ก เจ้าของผมย้อมสีน้ำตาล ขยับแว่นบนหน้าตัวเองเล็กน้อย ความรู้สึกไม่ดีตรงเข้ากระแทกอกทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าจากนักเรียนกลุ่มหนึ่ง เมื่อวานไม่มีใครในกลุ่มกีรติได้พบกับพะภู ทุกคนเข้าใจว่าเขาไม่ได้มา แต่ความจริงคือเขามาแล้ว...

“หมอนั่นขึ้นรถไปกับธร”

“ไปอย่างว่าง่ายเลยหรอ?”

“มองไกลๆก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่ดูท่าทางสนิทกันระดับหนึ่งนะ”

“อ..อืม ขอบใจมาก”

แบบนี้ไม่ดีแล้ว ทั้งที่ถูกเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าไปยุ่งกับผู้ชายอย่างธร แต่เด็กธารวิทยาจอมตื้อคนนั้นท่าทางจะไม่คิดเชื่อกันเลย ทั้งที่รู้อยู่ว่าติจะต้องโกรธ แต่ก็ยังทำแบบนั้น แถมวันนี้ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นจริงๆซะอีก ชักจะไม่เข้าใจกันไปใหญ่แล้ว

ส่วนติเองก็ทำตัวน่ามึนงงไม่แพ้กัน ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ ที่พาตัวพะภูไปบ้านเกต์ เขาก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ออกคำสั่งเด็ดขาดกับทุกคนในกลุ่มให้กันพะภูออกไปจากรั้ววิไลวิทย์ บอกว่าไม่ต้องการเห็นหน้าอีก ทั้งที่ความจริงออกจะสนใจหมอนั่นมากกว่าใครด้วยซ้ำ

อ่า แล้วเรื่องนี้ควรจะรายงานยังไงดีล่ะเนี่ย...

“นิว!”

“เหวออ”

เสียงร้องโผงผางอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น ระหว่างกำลังพาตัวเองขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ร่างทั้งร่างถูกมือใหญ่ของใครอีกคนผลักเข้าติดผนังอย่างง่ายดาย ผู้ชายตัวสูงเหยียดยิ้มช้าๆ ก่อนจะดึงเนคไทสีเลือดหมูของคนตัวเล็กลงต่ำ พลางทาบริมฝีปากอุ่นลงไปกับคอขาวๆ ผมชี้สั้นสีดำสนิททิ่มอยู่ใต้คางจนน่ารำคาญ การทักทายแบบฉบับของเขาสองคนเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนทุกที

“อ๊ะ..พ...”

เจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่ค่อยๆผละตัวออกมา เมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้าก็ยิ่งพอใจ คนตัวใหญ่ไม่รอช้า รีบขยับตัวเข้าหาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับถูกนิวรั้งไว้ด้วยแขนสองข้าง ดวงตากลมหลังเลนส์แว่นส่อแววโมโหเต็มที

“พอเถอะครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ไม่มีใครนี่ ทุกคนประชุมอยู่นะ”

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ครับ!” คิ้วสองข้างขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ มือเล็กยกขึ้นจัดเนคไทให้กลับเข้าที่เข้าทาง พลางตั้งท่าจะออกเดินอีกครั้ง

“งั้นคืนนี้ขอไปบ้านนาย..”

“พี่ศิลป์!”

รีบหันกลับไปโวยใส่หน้าคนโตกว่า หูสองข้างเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความเหนื่อยใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ของเขา เห็นจะเป็นผู้ชายคนนี้นี่แหละ!

“ฉันล้อเล่น แล้วนี่นายกำลังจะไปรายงานเรื่องพะภูเหรอ?” ศิลป์พยายามเปลี่ยนเรื่อง รองเท้าขัดมันสีดำเงาหยุดลงข้างๆ น้ำเสียงเริ่มส่อเค้าจริงจังขึ้นมา

“ครับ”

“ถ้าจะบอกเรื่องที่หมอนั่นออกไปกับไอ้ธร ฉันว่าอย่าเพิ่งดีกว่า”

“พี่ศิลป์รู้?!”

“อ่า ฉันได้ยินจากพวกเด็กม.ต้...” คนตัวเล็กหรี่ตามองศิลป์อย่างจับผิด อีกฝ่ายได้แต่เสมองไปทางอื่น สีหน้าส่อเค้ากระอักกระอ่วนจนเห็นได้ชัด

“พี่ศิลป์ไปยุ่งอะไรกับน้องม.ต้นไม่ทราบครับ?”

“เปล่า แค่เดินผ่าน”

“พี่ศิลป์!” นิวกระชากเสียงให้ดังขึ้น มือเล็กตรงเข้ากุมข้อมือของคนตรงหน้าไว้แน่น

“ก็นายผิดเองนี่! ไปตัดผมมาใหม่ ก็มีแต่คนเข้าหา แล้วฉันสมควรจะหึงไหม!?”

ศิลป์เริ่มมีท่าทีโมโห สายตาที่เคยหลบหลีก ตอนนี้กลับจ้องเขม็งเข้าไปในตาของคนเด็กกว่า ความรู้สึกโกรธแผ่ขยายไปทั่วจนสัมผัสได้ นิวที่เห็นศิลป์เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ ยืดอกขึ้นท้าทายคนตัวใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว

“แต่พี่ก็ไม่สมควรไปหาเรื่องคนอื่น!”

“ถ้าไม่อยากให้ฉันไปหาเรื่องคนอื่น งั้นนายก็เลิกยุ่งกับพวกมันสิ!!”

พลั่ก

พยายามผลักคนตัวใหญ่ออกห่างด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มี ศิลป์เพียงแค่เซไปด้านหลังก้าวเดียว ปากอ้าค้างด้วยความตกใจ คำถามคำโตถูกส่งออกไปผ่านทางสายตาดุดัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าอดกลั้นของนิวกลับเท่าเอาเขาชะงัก เด็กม.4 กำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น คำพูดที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดถูกตะโกนออกไปอย่างลืมระวัง

“งั้นพี่ก็เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นก่อนสิ!!”

“นิว...”

ตึก ตึก ตึก..

ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ก็ต้องรีบหุบปากลง เมื่อเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่กำลังตรงลงมาจากทางบันได ไม่นานนักก็ปรากฏร่างของนักเรียนภายในกลุ่มกีรติที่กำลังแบกกระเป๋ากลับบ้าน หน้าตาท่าทางแต่ละคนดูเซ็งไม่เบา พวกรุ่นน้องส่วนใหญ่หันมาก้มหัวให้ศิลป์ซึ่งเอาแต่ยืนแข็งทื่อ ไม่มั่นใจว่ามีใครได้ยินพวกเขาสองคนคุยกันหรือเปล่า ส่วนเด็กตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อครู่ ตอนนี้กลับจรลีหนีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“ไปไหนมา ไม่เข้าประชุมวะ?” เสียงเกต์ดังขึ้นก่อนตัว มีติเดินตามหลังมาเงียบๆ

“เออ โทษที แล้ววันนี้มีอะไรสำคัญหรอ?”

“ก็..ไม่อะ วันนี้ไอ้ติอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วว่ะ”

“เรื่องไรวะ?”

ศิลป์ทำเป็นตั้งคำถาม ทั้งที่พอจะรู้คำตอบของมันอยู่แล้ว เจ้าของผมสีทองพาดแขนหนักๆลงกับไหล่กว้างของเขา ก่อนจะดึงตัวเข้าไปไกล พลางกระซิบเสียงเบา

“หงุดหงิดที่พะภูไม่มาไง”

“อ่า..”

“มึงว่าพะภูเขาจะถอดใจไปแล้วยังวะ?”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ถ้าเป็นกูนะ กูเลิกยุ่งกับไอ้ห่านี่ไปนานละ”

ศิลป์พูดดังขึ้น จงใจให้ติได้ยิน แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ นอกจากตีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเดิม เขาล่ะแสนหน่ายใจกับหัวหน้ากลุ่มที่ดีทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องความรัก! เห็นเจ็บมานักต่อนักแล้ว ไอ้พวกปากไปทางหัวใจไปทางเนี่ย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พอเข้าใจอยู่ว่ามันคงยากสำหรับติที่จะยอมรับ ในเมื่อความเป็น ‘กีรติ อัครโภคิน’ มันค้ำหัวอยู่ตลอดแบบนี้

ไม่ว่าใครก็คงนึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ว่าคุณชายอันธพาลที่หนึ่งของโรงเรียน เวลาตกหลุมรักเด็กผู้ชายแล้วจะเป็นยังไง...แน่นอนว่าเขาเองก็อาจคัดค้านเรื่องนั้น ถ้าเป็นก่อนหน้าที่จะมาเจอกับนิวน่ะนะ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเพศ ไม่ใช่ตัวกำหนดคำว่ารัก และหวังเป็นอย่างมากให้เพื่อนสนิทคนนี้ได้เข้าใจในไม่ช้าเช่นกัน

“แต่อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้ว ถ้าปิดเทอมไปทั้งที่เป็นแบบนี้ กูว่าพะภูหลุดชัวร์”

เกต์เองก็เริ่มที่จะไม่ส่งเสียงกระซิบกระซาบอีกต่อไป แล้วคราวนี้ก็ได้ผลกว่าที่คิด ระยะการก้าวขาของติเร่งขึ้นจนเริ่มทิ้งระยะห่างจากอีกสองคนด้านหลัง คนนำหน้าล้วงเอาหูฟังในกระเป๋าขึ้นมาต่อกับโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเปิดเสียงเพลงดังระดับทำลายโสตประสาทได้เลยทีเดียว

“เออ แล้วกูจะรอสมน้ำหน้าแม่งเอง”

 

พะภูไม่มาปรากฏตัวที่วิไลวิทย์อีกเลยจนถึงช่วงเวลาแห่งการสอบวันสุดท้าย นักเรียนหลายคนรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่แผ่ออกมาจากตัวของติในระดับที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าบรรยากาศการสอบของโรงเรียนนักเลงแห่งนี้จะไม่ได้กดดันเท่าโรงเรียนพันธมิตรใกล้ๆ แต่ว่าออร่าน่ากลัวจากหัวหน้าอันธพาลกลุ่มใหญ่ก็ทำเอาทั่วโรงเรียนเกิดความตึงเครียดขึ้นมาได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ

ยิ่งเวลาที่กลุ่มของติกับกลุ่มของธรต้องโคจรมาเจอกันภายในรั้วสีดำสนิท ทุกอย่างรอบตัวนักเรียนคนอื่นๆก็ยิ่งดูไม่ปลอดภัย แม้ว่าจะเป็นที่กล่าวขานกันดีว่าสองกลุ่มนี้ไม่ถูกกันจนถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูก แต่พักหลังมานี้ ความรู้สึกชวนคลื่นไส้มันยิ่งปะทุรุนแรงจนน่าผวา มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยระหว่างเด็กธารวิทยาจอมตื้อกับสองขั้วอำนาจใหญ่แห่งวิไลวิทย์ ว่ากันว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้ติกับธรเหม็นขี้หน้ากันยิ่งกว่าเดิม

ในสายตาของนักเรียนส่วนใหญ่ซึ่งหมายถึงคนกลาง ผู้รับรู้เหตุการณ์ทุกด้านมาโดยตลอด ถือว่าเป็นโชคดีอย่างเหลือล้นที่ทั้งสองคนไม่ค่อยเปิดปากเสวนากันมากมายนัก เพราะทุกครั้งที่มีคำพูดหลุดออกมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นั่นมักจะเป็นบ่อเกิดแห่งสงครามขนาดหย่อมแทบทุกครั้งไป คราวนี้ก็เช่นกัน มีเพียงสายตาเยาะเย้ยจากธรที่จงใจส่งมาให้ติเท่านั้น แม้ไม่มีคำพูดใดๆ แต่ก็น่าโมโหไม่ใช่น้อย..

“มันจะยิ้มทำหอกอะไรวะ!?” คนนำขบวนพูดลอดไรฟันออกมา จนเพื่อนทั้งสองคนซึ่งเดินขนาบข้างมาด้วย ต้องรีบตรงเข้าตบบ่าเป็นเชิงให้ใจเย็น

“ช่างแม่งเหอะ เหลือสอบอีกวิชาเดียวก็ไม่ต้องทนเห็นหน้ามันแล้วเว้ย”

“เออ จะว่าไป.. พวกม.4 สอบเสร็จแล้วสินะ?” เกต์พยายามเปลี่ยนเรื่องไปทางนิวที่ยังคงทำหน้าเหรอหรา จับทางไม่ทัน คนตัวเล็กเอ๋อไปสองสามวิ ก่อนจะขยับแว่นให้เข้าทางและพูดเสียงดัง

“ครับ! สอบแค่ช่วงเช้า เสร็จไปแล้ว”

“แล้วจะกลับเลยเหรอ?”

“ผมต้องไปไปรษณีย์อะครับ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนในกลุ่มเริ่มหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กทันทีที่ติหยุดฝีเท้าลงเสียเฉยๆ เพราะรู้ดีว่าไปรษณีย์ที่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่ข้างกับโรงเรียนธารวิทยา.. โรงเรียนของพะภู โจทก์คนสำคัญของกีรติในคราวนี้

“เอ่อ ถ้าเสร็จแล้วก็กลับมาประชุมตอนเย็นด้วยล่ะ” เกต์รีบพูดขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุ เขาหันไปรอบๆกลุ่มเพื่อบอกผ่านข้อความเดียวกันนี้ไปถึงนักเรียนม.4ทุกคน

ติออกเดินอีกครั้ง พยายามไม่คิดอะไรนอกจากข้อสอบวิชาสุดท้ายของวัน ก็แค่เรื่องที่เด็กในกลุ่มจะแวะไปไปรษณีย์ ที่ตั้งอยู่ติดกับธารวิทยา ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสักหน่อย ไม่ว่าจะไปที่ไหน หรือแม้แต่จะไปหาพะภูคนนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย หลายวันมานี้ที่ไม่ได้เห็นหน้าหมอนั่น มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักหน่อย...ใช่ ไม่รู้สึกอะไรเลย..

การสอบช่วงบ่ายเริ่มขึ้นในไม่กี่นาทีต่อมา เสียงติวหนังสือของเพื่อนในห้องก่อนหมดเวลาพัก ไม่ได้เข้าสมองของติแม้แต่น้อย ข้อสอบวิชาภาษาไทยตรงหน้าถูกกามั่วไปแทบจะหมดชุด ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยจนหมดเวลา ทั้งที่บอกกับตัวเองไว้ซะดิบดี แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่ใบหน้าของเด็กคนนั้นที่ลอยเข้ามาในหัวตลอด

หลังจากนี้ไปคือช่วงเวลาของการปิดเทอมหนึ่งเดือนครึ่ง มันจะเป็นอย่างที่เกต์ว่าจริงๆใช่ไหม.. ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ พะภูก็จะหลุดลอยหายไปจากเขาจริงๆ เด็กที่เคยนึกรำคาญ ในวันนี้กลับกลายเป็นอะไรไปแล้ว.. ทำไมต้องเข้ามาวนเวียนจนทำเอาปวดหัวใจแบบนี้

บ้าชะมัด...

“นักเรียน”

เสียงดุๆของอาจารย์คุมสอบดังขึ้นเรียกสติ คนตัวใหญ่หันมองหน้าหงุดหงิดของเธอครู่หนึ่งเหมือนไม่เข้าใจ จนอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาดึงข้อสอบบนโต๊ะไปเสียเอง เสียงกริ่งหมดเวลาดังออกจากลำโพงทุกตัวภายในรั้วโรงเรียน ท่ามกลางเสียงร้องโหวกเหวกของนักเรียนหลายร้อย เกต์กับศิลป์เดินเข้ามาแตะไหล่ติเบาๆ เป็นสัญญาณให้เก็บของออกจากห้อง ไม่นานนัก ทุกคนในกลุ่มกีรติก็มารวมกัน ณ ห้องสามชั้นสอง อาคารเรียนหลังแรกเช่นทุกวัน

ศิลป์กับเกต์เป็นคนออกหน้า สรุปทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมา ปล่อยให้คนเป็นหัวหน้านั่งง่อยอยู่บนเก้าอี้อาจารย์ เกต์เป็นคนกล่าวเตือนไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครระหว่างช่วงหยุดยาว ส่วนศิลป์รับหน้าที่แนะนำเกี่ยวกับการทำงานพิเศษ ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจจนจบก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน มีเพียงหนึ่งคนที่เพิ่งจะได้ฤกษ์โผล่หัวเข้ามาในห้องที่เกือบจะว่างเปล่า สายตาของเกต์กับศิลป์จับจ้องไปยังผู้มาใหม่อย่างมีความหวัง

เด็กผู้ชายตัวเล็กวิ่งหอบเข้ามาหยุดอยู่หน้าโต๊ะไม้สีโอ๊ค มีติกำลังฟุบหน้าอยู่บนนั้น ท่าทางเบื่อหน่ายเต็มทน กล่องช็อกโกแลตยี่ห้อดังถูกเลื่อนเข้าไปใกล้ จนคนแกล้งหลับต้องขยับตัวขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบลงมองของบนโต๊ะ พอดีกับที่หัวใจเต้นถี่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ภายในหัวมันโล่งเปล่า มือใหญ่ตรงเข้าคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ไวยิ่งกว่าความคิด ร่างสูงพรวดพราดลุกขึ้นทันทีอย่างลืมตัว สายตาดุดันจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า

“พะ...”

“อ..เอ่อ”

คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนยุ่งเป็นโบ ติค่อยๆคลายแรงบีบที่มือออกอย่างช้าๆ สายตาส่อแววผิดหวังอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักจากผู้ชายคนนี้ถูกส่งออกมา อีกสามคนมีสีหน้าเห็นใจไม่ต่างกัน ได้ยินเพียงเสียงของติที่ฟังดูแผ่วเหลือเกินดังก้องอยู่ในห้องเล็กๆ

“นิว..”

 

ดูท่าว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ...เด็กคนนั้นกำลังจะหายไปจริงๆ...

----------------------------------------------

มาต่อแบบไวๆ ให้ทุกคนรุมตอกย้ำพี่ติเพิ่มเติม (เอ้ย) 55555
คือเดี๋ยวจะไปต่างจังหวัด เลยปั่นมาลงไว้ก่อน
ชอบศิลป์กะนิวง่ออออ 555
 :hao7:

ทุกคนอย่าว่าติเลย คนมันกำลังสับสน!
จริงๆมันแทบเป็นบ้าอยู่แล้ว เห็นไหมมมม ฮุฮุ
ว่ากันว่าคนแบบนี้ พอยอมรับว่ารักเมื่อไร ก็รักมากๆเลยนะ
ต้องลองมารอดูกัน.......

ขอบคุณทุกคอมเม้นเช่นเดิมนะคะ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย แอบดีใจ (มากกก)
 :-[
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 28-08-2013 00:50:43
พะ พะ พะ พะภูหายไปหนายยยยยยยยยยยย
หายไปนานด้วยนะเนี่ย ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พะภูจสูญเสียความเวอร์จิ้นให้กับธรไปแล้วรึเปล่า
ส่วนติ...สมน้ำหน้าเบาๆ เห็นใจนิดๆ สะใจหน่อยๆ ปต่โดยรวมแล้วอยากส่งพะภูกลับมาหาติ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-08-2013 03:48:27
เห้ยยย!! อยากให้ต่อเลยยย แหะๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 28-08-2013 19:56:38
นั่นไงพี่ติ! มัวแต่ซึนน่ะ รู้ตัวเองบ้างสิเฮ้ย!

/ชั่งใจว่าจะย้ายของกลับมาข้างพี่ติดีไหม? 555  :hao4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Gongy B.Du ที่ 28-08-2013 21:31:00
หลงพะภูขนาดนี้แล้ว ยอมเป็นฝ่ายไปหาพะภูเองบ้างเหอะน่าพี่ติ!
...
พะภู พะภู พะภู...แล้วพะภูหายตัวไปหนายยยยยยย  :serius2:

Ps. ศิลป์กับนิวน่ารัก...แต่เหมือนจะยังมีเรื่องที่เคลียร์กันไม่จบนะ หุหุ -.,-
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 28-08-2013 22:43:33
พะภูมีแผนหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-08-2013 10:26:51
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 29-08-2013 16:40:02
เริ่มส่อเค้าตึงเครียด อยากรู้ว่าพะภูไปไหนกัน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: akira334 ที่ 29-08-2013 17:13:02
พะภูเมียผม(?)หายไปไหน(โดนติกระทืบ :z6:)

ค้าง อย่าง แรงง (ออกสำเนียงใต้ เพื่อความสมจริง)

มาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 29-08-2013 18:20:15
เหอะๆ เพ้อคะนึงคิดถึงแต่พะภูเลยสินะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 31-08-2013 22:05:06
มาต่อไวๆน่ะ อย่าหายไปเหมือน พะภู    :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 13 | 27/08/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 31-08-2013 22:27:25
:laugh: หัวเราะดังๆ กับอาการท่าทางของไอ้พี่ติ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 02-09-2013 19:45:51
บทที่ 14

 

‘ฉันโดนไล่ออกมาหลายต่อหลายครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนจะถูกเกลียดเข้าแล้วจริงๆ เพราะงั้นถึงไม่มีหน้ากลับไปไงล่ะ’

“เขาว่ามาแบบนี้นะครับ พี่ติ! รีบไปตามพะภูกลับมาเถอะ”

หน่วยสอดแนมของกลุ่มถือวิสาสะยัดกล่องช็อกโกแลตที่รับฝากมาใส่มือติที่ยังคงเหม่อลอย ผู้ชายอีกสองคนด้านหลังเดินเข้ามารวมกลุ่มกัน พลางส่งสายตาจริงจังไปให้ คนเป็นหัวหน้าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนจะเสมองไปทางหน้าต่าง ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมา

“ปกติก็เอาแต่ใจตัวเอง แล้วทำไมเรื่องแบบนี้ ไม่ยอมฟังหัวใจตัวเองบ้างวะ?” เกต์เป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังปล่อยให้เงียบมาสักพัก มีสองคนที่เหลือคอยส่งเสียงสนับสนุนทุกประโยค

“เออ มึงนี่โง่หรืองี่เง่าเนี่ย” ศิลป์เสริมขึ้นอย่างร้ายกาจ ทำเอาคนเหม่อถึงกับชักสีหน้า กล่องช็อกโกแลตในมือถูกกำแน่น

“กูเป็นอัครโภคิน! กูเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลง! แล้วมึงจะให้กูไปชอบเด็กผู้ชายเนี่ยนะ!?” ติตะคอกเสียงดัง พลางลุกขึ้นตบโต๊ะจนมือชาเป็นแถบ

“ไอ้ห่า อย่าให้กูขุดญาติพี่น้องในตระกูลมึงออกมาแฉนะ คิดว่าอัครโภคินไม่มีคนผิดเพศบ้างเลยหรอ จะสรรเสริญวงษ์ตระกูลตัวเองเกินไปแล้ว!”

“เออจริง ส่วนเรื่องในกลุ่มมึงยิ่งไม่ต้องสนใจ ทุกคนแม่งรู้กันหมดแล้วมั้งว่ามึงอะ ชอบ-พะ-ภู!”

“สัตว์!” มือใหญ่ของติฟาดลงกับศีรษะของเกต์เสียงดังป้าบ คนถูกรุมสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย แต่กลับไม่กล้ามองหน้าเพื่อนสนิทตรงๆ

“มึงดิ ไอ้ควาย เลิกทำฟอร์มแล้วไปหาเขาซะ!”

เกต์ลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักขมับของคนตรงหน้าอย่างแรง ติได้แต่กลอกสายตาไปทั่วเหมือนกำลังสับสนเต็มที กรามบนล่างขบกันไปมาจนน่ารำคาญ สักพักหนึ่งถึงยอมเปิดปากขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงแผ่วที่ดูไม่มั่นใจเอาซะเลย

“ถึงอย่างนั้น ผู้ชายสองคนชอบกัน มันก็แปลกอยู่ดีวะ..”

“เฮ้ย คุณชายกีรติ นี่มันปีอะไรแล้วครับ! แหกตาดูโลกบ้างนะ เดี๋ยวนี้เขาไม่สนใจเรื่องเพศกันแล้วโว้ยยย”

“เออ ไม่เห็นต้องคิดมากว่าเป็นผู้ชายหรืออะไรเลย แค่คิดว่าเป็นพะภู คนที่ทำเพื่อมึงมาตลอดไม่ได้หรอวะ?”

“แต่ถ้ามึงห่วงภาพพจน์มากกว่าความรู้สึกตัวเองก็เชิญ พวกกูก็จะไม่สนใจแล้ว แต่ถ้าเสียเข้าไปแล้วอย่ามาร้องไห้ทีหลังแล้วกัน” เกต์พูดตบท้ายอย่างระอิดระอา ก่อนจะเดินกลับไปคว้ากระเป๋ามาไว้ในมือ

นิวรีบเดินไปหยิบกระเป๋ามาส่งให้ศิลป์ ก่อนที่ทั้งสามคนจะก้าวเท้าออกไปเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงละอองความห่วงใยที่มอบให้คนในห้องเท่านั้น สิ่งที่เพื่อนอย่างพวกเขาพอจะทำได้ ก็ทำไปแล้ว หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับติ ว่าจะทำยังไงต่อ

คนตัวสูงถอนหายใจออกมายืดยาว หย่อนร่างหนักอึ้งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง พลางทอดสายตาออกไปยังกำแพงห้องด้านหน้า ในหัวเฝ้าคิดทบทวนเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น พะภู...เด็กที่สมควรหายไปจากชีวิตเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วันนี้กลับกลายมาเป็นส่วนสำคัญที่เอาแต่คิดถึง ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมามีเพียงความอึดอัดในจิตใจ เพราะเอาแต่แบกหน้าตาตัวเองไว้จนเหนื่อยล้าไปหมด คำพูดของเกต์กับศิลป์ยังคงดังก้องอยู่ในสมองชัดเจนทุกคำ ตอกย้ำให้เขาได้รู้สึก...

มันคงดีใช่ไหม ถ้าเพียงแค่โยนทิฐิกับความยึดติดแสนโบราณนั่นทิ้งไป แล้วปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามหัวใจตัวเอง กีรติ อัครโภคิน...

 

‘เอ่อ ผ..ผมชื่อพะภูครับ แล้วผมก็มาหาคุณ’

‘คือว่า...ชะ ช่วยคบกับผมด้วยครับ!’

 

‘เพราะพี่ติบอกว่าไม่ชอบเด็กผู้ชาย วันนี้ผมเลยแต่งเป็นผู้หญิง’

‘พี่ติมาเยี่ยมผมเหรอครับ?’

‘ผมไม่ได้ชื่อผดุงซะหน่อย!’

 

‘พี่ติเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารคนรวย ว่าพี่จะเป็นคนเลวที่กำจัดคนเลว’

‘แต่ความจริง...พี่ติไม่ใช่คนเลวใช่ไหมครับ?’

 

‘ก็พี่ติบอกว่าผมเหมือนลูกหมาอะครับ’

‘เสาร์อาทิตย์ไม่ได้เจอพี่ติ ผมคิดถึงมากเลยนะครับ’

‘คนที่รักพี่จริงๆ เขาไม่ต้องการเงินนี่หรอกครับ’

 

‘ขอ...ขอโทษ..ครับ’

‘ผ..ผม ผมทำให้ ฮึก..พี่ติ ตะ...”

“ต้องทำ ฮึ..ก เรื่อง..แบบนั้น.....’

 

 

‘พี่ติอย่าไล่ผมอีกเลยนะครับ..’

‘เพราะไม่ว่ากี่ครั้ง...ผมก็จะพูดเหมือนเดิม’

 

‘หรือว่าพี่ติ...จะชอบผม?’

‘พี่ติ! พี่ติ...!!’

 

กีรติ อัครโภคิน.. ผู้ที่ไม่เคยแพ้ใคร ในวันนี้คงต้องยอมแพ้แล้วใช่ไหม...?

ยอมแพ้ให้กับ ‘หัวใจตัวเอง’

 

“พะภูอยู่ที่ไหน?”

กระเป๋าสีดำถูกสะพายขึ้นหลังอย่างลวกๆ หัวหน้ากลุ่มนักเลงอันดับหนึ่งของโรงเรียนรีบสาวเท้าออกมาจากรั้วสีดำ ตรงไปยังรถเก๋งคันหรูของตัวเอง ในมือถือโทรศัพท์ ต่อสายถึงรุ่นน้องผู้ใช้การได้ดีที่สุด

(ค..ครับ?)

“ตอนที่นายไปเจอพะภู หมอนั่นกำลังจะไปไหน?”

(เอ่อ.. ถ้าบอกไปแล้ว พี่ติต้องใจเย็นๆนะครับ)

น้ำเสียงไม่แน่ใจของนิวดังผ่านสายโทรศัพท์เข้ามา ยิ่งเสริมให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดอย่างใคร่รู้ เวลามีคนบอกให้ใจเย็นทีไร มักเป็นเวลาที่เขาเย็นลงไม่ได้ทุกทีสิน่า และถ้ามันเกี่ยวข้องกับพะภู เขายิ่งไม่มั่นใจ ว่าจะควบคุมตัวเองในตอนนี้ไหว

“เออน่า บอกมาเร็ว”

(พะ..พี่ธร พี่ธรมารับกลับไปแล้วครับ)

“ห๊า!!? เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่รีบบอก!?”

คันเร่งของรถถูกเหยียบจนมิด ข้างในใจร้อนรุ่มขึ้นมาดั่งกองเพลิงที่กำลังโหมไหม้ ไม่สนใจเรื่องกฎระเบียบจราจรอีกแล้วในขณะนี้ มีแต่ความโกรธที่กำลังจะปะทุอยู่ร่อมรอเท่านั้น

(ก็พี่ติยังไม่ยอมรับตัวเองนี่ครับ ถ้าบอกก่อน พี่ก็จะยิ่งโกรธพะภูจนไม่ยอมไปตามง้อใช่ไหมล่ะ)

“แล้วพะภูไปกับไอ้ธรได้ยังไง นี่มันบ้าอะไรวะ!!”

(บอกให้ใจเย็นไงครับ!)

“เล่ามาให้หมดเลยนะ ทุกอย่างที่นายรู้ เกี่ยวกับสองคนนั้น!”

(อึ๋ยย ก..ก็แค่ เมื่อวันพุธที่แล้ว พะภูได้ไปที่วิไลวิทย์นะครับ แต่ไม่ทันได้เจอพวกเรา เพราะถูกพี่ธรลากตัวออกไปก่อน นอกจากนี้ผมไม่รู้แล้ว)

“ไอ้เวรนั่น..!”

คนเดือดจัดไม่รอฟังเสียงเตือนของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย กลับตัดสายไปเสียเฉยๆ ก่อนจะกุมพวงมาลัยไว้แน่น ทั้งที่เขายอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว ทั้งที่ใจตรงกันแล้ว.. กลับมีไอ้บ้าเข้ามาขัดขวางไว้อีกจนได้ ธัญธร...แล้วจะทำให้รู้ ว่ามายุ่งกับของของคนอื่น มันจะเป็นยังไง!

รถสีดำเงาเลี้ยวตรงมุมถนน ตรงเข้าไปในซอยเล็กๆ มีรถอีกคันกำลังจอดเทียบอยู่หน้ารั้วบ้านของเด็กธารวิทยาพอดี ทันทีที่ติลงจากรถ เสียงประตูบ้านก็เปิดออก พร้อมร่างของธรกับพะภูที่เดินขนาบข้างกันออกมา ท่าทางมีความสุขซะจนน่าโมโห

“ไอ้ธร!!”

กีรติบุกเข้าไปจนชิดขอบรั้ว สายตาโกรธจัดส่งไปให้ผู้ชายตัวสูงข้างๆเด็กตัวเล็ก ธรแสยะยิ้มออกมาอย่างคนมีชัย ในขณะที่พะภูกลับร้องออกมาด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว ด้วยว่าท่าทางของติในตอนนี้ดูไม่น่าเข้าใกล้เอาเสียเลย

“พี่ติ! มาได้ยังไงครับ ละ..แล้วมาทำอะไร?” คนตัวผอมรีบวิ่งมาเลื่อนประตูให้เปิดออก แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก

“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย แต่ก่อนอื่น...”

ผลัวะ!

“เฮ้ยย!”

พะภูส่งเสียงร้องทันทีที่ติพุ่งเข้าประชิดธรอย่างรวดเร็ว พร้อมปล่อยหมัดหนักๆใส่แก้มขวาของคนร่วมสถาบันจนเซไปหลายก้าว ธรยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลลอดไรฟันออกมาเปรอะอยู่ตรงมุมปาก ค่อยๆหันไปเผชิญหน้ากับติอีกครั้ง ดวงตาสีเทาหม่นส่อแววดุร้าย ไม่ทันไรคนเจ็บเมื่อครู่ก็ชิงเอาคืน ด้วยการออกหมัดรุนแรงไม่แพ้กันออกไปปะทะใบหน้าของอีกฝ่าย

“พี่ติ!!”

“ไอ้เวร!”

ทั้งสองคนพลัดกันจู่โจมใส่อีกฝ่าย โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของพะภูเลยสักนิด มีเพื่อนบ้านหลายคนเริ่มเดินออกมาดูเหตุการณ์ตามเสียงเอะอะ

“หยุดครับ! ทั้งสองคน หยุดเดี๋ยวนี้!!”

คนตัวเล็กคว้าจังหวะหนึ่ง วิ่งเข้าไปขวางหน้าทั้งคู่ไว้ แขนบางยกขึ้นกั้นไม่ให้ใครพุ่งเข้าใส่กันอีก ทั้งติกับธรได้แต่สะกดอารมณ์เดือดพล่านในตัวไว้ ใบหน้าที่โกรธจัดของคนตรงกลางค่อยๆทำให้พวกเขาสงบใจลงได้บ้าง พะภูหันมองหน้าสองหนุ่มสลับกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอด พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“พี่ธรกลับไปก่อนเถอะครับ” เจ้าของผมสีน้ำตาลส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ก็ยอมพยักหน้ารับฟังแต่โดยดี ไม่ลืมที่จะตรงเข้าไปลูบผมของพะภูอย่างเย้ยหยันอีกคนตรงนั้น ก่อนจะเดินขึ้นรถตัวเองและขับออกไป คนตัวเล็กหันมาเอาเรื่องคนที่เหลือด้วยท่าทางจริงจังระคนหน่ายใจ

“พี่ติ ทำแบบนี้ทำไมครับ?”

“ก็บอกไปแล้วว่าไม่ให้ยุ่งกับธรไง ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันต่อยมันแทนที่จะเป็นนายน่ะ”

“ถ้างั้นก็ต่อยผมด้วยเลยสิครับ! พี่เกลียดผมนักไม่ใช่เหรอ!”

“เหอะ ฉันก็อยากเกลียดนายเหมือนกันนั่นแหละ แต่ดันทำไม่ได้เท่านั้นเอง” คนตัวสูงกลอกตาไปทางอื่น ใบหูเริ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ บ้าชะมัด ทำไมคนอย่างกีรติต้องมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าไอ้เด็กนี่ด้วย

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“ฉันมาขอให้นายกลับไป กลับไปวุ่นวายที่วิไลวิทย์ กลับไปอยู่ในกลุ่มกีรติ” คุณชายอันธพาลเวลานี้กลับหมดท่าอย่างสิ้นเชิง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกดท้ายทอยตัวเองแก้เขิน คำพูดแปลกๆถูกส่งออกไปแทนที่จะตอบคำถาม พะภูขมวดคิ้วเข้าหากันพลางเอียงคอด้วยความงุนงง

“ผมคือเด็กธารวิทยาที่วิไลวิทย์ไม่ต้อนรับ แล้วจะให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของพี่ในฐานะอะไรได้ล่ะครับ?”

น้ำเสียงแสดงความน้อยใจเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ดวงตากลมโตจ้องมองลึกเข้าไปยังแววตาสีน้ำตาลเข้มเบื้องหน้า มองเห็นความลึกซึ้งบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน กลุ่มคนที่ออกมาออกันเมื่อครู่หายกลับเข้าไปในบ้านตัวเองหมดแล้ว ทิ้งไว้แค่เพียงสัมผัสจากสายลมจางๆเท่านั้น คนตัวสูงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะพ่นมันออกมาทางปาก น้ำเสียงจริงจังดังขึ้นชัดเจน จนคนฟังถึงกับเบิกตากว้างราวกับว่าเพิ่งจมลงไปในห้วงความฝัน

“ช่วยกลับไป...ในฐานะคนรักของฉัน”

------------------------------------------------

แรงงงง 5555
พี่ติกลับมาทวงตำแหน่งคืนแล้วนะ !

 :hao7:

รู้สึกชอบเกต์กับศิลป์ตอนนี้มาก
5555 อ่านซ้ำแล้วมันขำยังไงไม่รู้

นอกเรื่องนิดนึง.. ได้ยินเขาบอกว่าช่วงนี้ดวงเมถุนจะประสบความสำเร็จด้วยแหละ
อยากให้ตรงจริงๆ !! ล้มลุกคลุกดินมานาน ขอลืมตาอ้าปากกับเขาบ้างนะ TT ฮ่าๆ

แต่ตอนนี้แค่มีคอมเม้นเป็นกำลังใจจากนักอ่านทุกคน
ก็ถือว่าดีมากๆแล้ววว ขอบคุณเช่นเคยนะค้า <3
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: akira334 ที่ 02-09-2013 20:31:14
ง่ะ ง่ายไปๆ อย่าไปยอมนะพะภู

ทีตอนเราตามตื๊อแทบตายก็ยังไล่

ทีมาตอนนี้เราทำเป็นไม่สนใจ ก็กลับมาง้อ อย่าไปยอมนะ :angry2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 02-09-2013 20:52:46
ตอนต่อไป คำตอบของพะภูจะ Yes or No
แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าพะภู่และธรในวันนั้นเป็นอย่างไร
คนอ่านยังรอการไขปริศนาจากคนเขียนอยู่นะคร้าบบบบ o18
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ืrattapon ที่ 02-09-2013 21:29:48
พะภูอย่าไปยอมมันง่ายๆนะ  :katai1:

ฮึ่ยยยยยยย.... ทียังงี้ก็จะมาขอคบง่ายๆงี้หรออิพี่ติ

เชิดๆไปเล๊ยยยย พะภู  :katai3: 555+ :laugh:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Gongy B.Du ที่ 02-09-2013 22:19:49
ไหนๆ ก็รักเขา(?)แถมเขาก็รักก็ตกลงไปเถอะพะภู!
แล้วพอเป็นคนรักอิพี่ติก็เล่นมันหนักๆ เลย  :hao7: (//ไม่ใช่ละ ฮ่าๆๆ)
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 02-09-2013 22:44:16
พี่ติรู้ใจตัวเองแล้ว
แต่พี่ธร คนอ่านยังไม่รุ้ใจเขาเลย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 03-09-2013 00:00:39
อะ! มันยังไงกัน555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 03-09-2013 01:03:09
ว้าย
พูดจากใจสินะนี่
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 03-09-2013 01:16:18
555 พี่ติ สมแล้วที่ย้ายข้าง เอิ๊กๆ  :กอด1:

แต่!!

พะภู อย่าไปยอมพี่ติง่ายๆนะลูก เล่นมันซะมั่ง! ฮึ่มๆ :3125:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 03-09-2013 06:22:02
พะภู เล่นตัวไปเล้ยอย่าไปยอมง่ายๆนะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-09-2013 12:07:55
แล้วมันจะเปงอารายยังไงต่อไปละนี้ ไม่อยากจะคิดเล๊ยยย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-09-2013 12:38:12
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:ในที่สุดติก็รักพระภูแย้ว :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 03-09-2013 15:21:07
กลัวติโดนพะภูหลอกก

ชอบติอะ

หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 04-09-2013 21:53:37
คอมเม้นส่วนใหญ่ ค่อนข้างไปทาง หมั่นไส้อีพี่ติ และอยากให้เฮียแกโดนเล่นบ้าง สินะ 555

ตอนนี้เราก็ดองอยู่ งานเยอะจริงไรจริง เดี๋ยวต้องเขียนรายงานอีกหลายวิชา TT เครียดแปบ
แต่อยากลองให้ทุกคน คิดถึงจุดประสงค์ กับ นิสัยของพะภูดีๆ แล้วจะรู้คำตอบ

แว้บบบบ~ โผล่มาแค่นี้ ไปละ
รักนักอ่านทุกคนเยย <3
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 04-09-2013 22:44:28
นายติ เขิลได้น่ารักอ่ะ  รอตอนดราม่า ต่อไป  :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 04-09-2013 22:51:12
พะภูใกล้ครองโลกแล้ว
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 05-09-2013 17:38:50
พะภูรักติจริงป่าวอ่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 14 | 02/09/56 | P.7
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 05-09-2013 19:49:27
เขินแทนพี่ติ  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 06-09-2013 22:24:15
บทที่ 15

 

8 วันที่แล้ว

“พะภูอยู่ไหม?”

เสียงใสของสาวรุ่นพี่ดังขึ้นจากประตูหน้าห้อง เด็กนักเรียนคนอื่นหันมองไปรอบ ก่อนจะหยุดสายตาลงกับร่างเล็กของผู้ชายที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างขยันขันแข็ง คนถูกเรียกลดหนังสือในมือลง ก่อนจะตีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นว่าใครมาหา

“พี่ตาล มีอะไรเหรอครับ?” พะภูถามขึ้นทันทีที่เดินพ้นประตูห้องเรียนออกมา ลูกสาวแห่งอัครโภคินถือวิสาสะจูงมือรุ่นน้องไปคุยกันในมุมอับสายตา คำถามที่ชวนให้งุนงงหลุดออกมาจากปากของเธอ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“อะไรครับ ผมไม่เข้าใจ?”

“ระหว่างนายกับพี่ติ มันเกิดอะไรขึ้น?”

คำถามของตาลเป็นเหมือนเข็มที่ตรงเข้าทิ่มแทงหัวใจ พะภูพยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด พลางส่งเสียงเรียบเฉยตอบกลับไป

“ผมก็ไม่รู้ครับ”

“มันอะไรกันเนี่ย 3-4 วันมานี้ พอพี่ถามถึงนาย พี่ติก็ทำท่าหงุดหงิดตลอดเลย”

“...”

“แถมเพื่อนที่วิไลวิทย์ยังบอกว่านายโดนพี่ติไล่ออกมาอีก?” ตาลถามต่ออย่างใส่อารมณ์ เลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่รับรู้มา แต่สายตาไม่สู้ดีของคนตรงหน้าก็ต้องทำให้เธอประหลาดใจ

“ครับ ใช่ครับ”

“บ้าไปแล้ว! พี่ติเป็นอะไรไป!?”

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

“พี่คิดว่าพี่ติชอบนายแล้วซะอีก”

พะภูเบิกตากว้างมองรุ่นพี่ตัวเองอย่างตกใจ ความรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตแล่นปราดขึ้นมาจุกอก เพราะเคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าติอาจจะชอบเขาบ้างแล้วเหมือนกัน ถึงอย่างนั้น...หลายวันที่ผ่านมานี้มันกลับทำให้เขาไม่มั่นใจเอาซะเลย บางที นี่อาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดของพวกเราทุกคน

“ความจริง...ผมก็เคยลองถามพี่ติเหมือนกัน”

“เอ๊ะ?”

“แต่ผมก็แค่คิดไปเองน่ะครับ..”

รอยยิ้มที่ดูฝืนเต็มทนระบายอยู่บนใบหน้าขาวเนียน ตาลไม่พูดอะไร เพียงแต่ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว พี่ชายของเขาเป็นคนแบบไหน เรื่องนั้นเขาควรจะรู้ดีที่สุด กีรติ อัครโภคิน ไม่มีวันยอมรับว่าตัวเองตกหลุมรักเด็กผู้ชายง่ายๆอยู่แล้วจริงไหม ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...

“เข้าใจล่ะ” ตาลส่งเสียงกับตัวเอง แววตากลมโตส่อแววนึกสนุก ก่อนจะหันมาเอ่ยปากกับพะภูด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่มีแผนที่จะทำให้รู้ว่าพี่ติชอบนายจริงหรือเปล่า แล้วคงทำให้เขารู้ใจตัวเองด้วย”

“อะ..อะไรครับ?”

 

‘หลังจากนี้ไม่ต้องไปหาพี่ติอีกเลย’

 

ปัจจุบัน

“อธิบายเรื่องไอ้ธรมาให้หมด” ติทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเล็กภายในบ้านของพะภูอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูหงุดหงิดเต็มที

แผนของตาลใช้ได้ผลดีเกินคาด การที่เขารุกไล่ตามตื้อติแบบไม่ยั้งคิด ทำให้ก่อเกิดเส้นบางๆที่เรียกว่าความผูกพันขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะงั้นเธอถึงบอกให้เขาเสี่ยงเดิมพันกับมัน ด้วยการหายตัวไป... ถ้าติมีความรู้สึกพิเศษให้เขาจริงอย่างที่สงสัยกัน แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือ ‘ความคิดถึง’

และดูเหมือนว่า ตอนนี้ความคิดถึงจะส่งให้กีรติมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“ผมกับพี่ธรไม่ได้มีอะไรกันนะครับ”

“แล้วทำไมถึงอยู่กับมันได้ล่ะ?”

“เพราะผมถูกลากตัวมาต่างหาก”

ไม่อยากจะบอกว่าที่ต้องยอม เพราะลูกน้องของธรแต่ละคนน่ากลัวมาก ดูเหมือนจะชักปืนออกมาฆ่ากันได้ทุกเวลา ถ้าทำให้เจ้านายของพวกเขาไม่พอใจ อีกอย่างคือ..ตอนนี้พะภูไม่ได้มีบารมีของติคุ้มหัวอยู่อีกแล้วตั้งแต่โดนไล่ออกมาเมื่อหลายวันก่อน ถึงอย่างนั้นธรก็ไม่ได้ทำตัวเลวร้ายอย่างที่คนอื่นว่ากันนัก

“แล้วให้มันเข้าบ้าน?” คนตัวสูงขึ้นเสียงเล็กน้อยตามอารมณ์เดือดภายใน

“ผมไม่ได้เชิญสักหน่อย พี่เขาแค่เดินตามเข้ามาเอง”

“แล้วนายก็ปล่อยให้มันเข้ามาง่ายๆเลยเนี่ยนะ นี่มันเข้ามาในบ้านนี้กี่ครั้งแล้ว? แล้วทำอะไรกันไปบ้าง!? ไอ้บ้าเอ๊ย!”

ความอดทนของผู้ชายที่ชื่อติดูจะต่ำกว่าที่คิด เขาค่อยๆระเบิดเสียงตะคอกออกมาภายในห้องรับแขกขนาดเล็ก ทำเอาเจ้าของบ้านถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว พะภูขยับตัวออกห่างจากติเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวัน

“มันไม่มีอะไรจริงๆนะครับ พี่ธรเขาแค่มาคอยรับส่งผมไปโรงเรียน แล้วก็พูดคุยกันทั่วไปเท่านั้นเอง”

“ฉันไม่เชื่อ ไหน ถอดเสื้อสิ”

“ห๊า!?”

“ฉันจะเช็คเอง ว่าไอ้เวรนั่นได้ทำอะไรนายรึเปล่า”

ไม่พูดเปล่า กลับขยับตัวเข้าหาพะภูอย่างจู่โจม จนคนตัวเล็กร่นหนีแทบไม่ทัน นิ้วเรียวทั้งห้าตรงเข้าดันแผงอกบางตรงหน้าให้ราบลงไปกับโซฟา ก่อนที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มจะโน้มตัวทับลงมาในท่าทางล่อแหลม

แขนเล็กๆของพะภูเริ่มปัดป่ายไม่รู้ทิศทางเพื่อกันไม่ให้คนด้านบนเข้าใกล้มากไปกว่านี้ ถึงอย่างนั้นก็หนีไม่พ้นมือใหญ่แข็งแรง ที่รวบเอาข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้อย่างง่ายดาย ติเลื่อนแขนบางเกะกะขึ้นไปพักไว้เหนือหัว ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าสีแดงระเรื่อ คนตัวใหญ่ขบลงไปเบาๆที่ปลายคางของเด็กข้างใต้ ก่อนจะลากลิ้นสวนกลับขึ้นมา ตั้งแต่ต้นคอจนถึงริมฝีปากสีส้ม

“อื้ออ!” ร่างบางหลับตาปี๋ด้วยความกลัว พยายามเงยหน้าออกห่าง พลางออกแรงดิ้นเป็นปลาขาดน้ำ “พี่ติ...อย่านะครับ!”

“...”

คนตัวสูงชะงักไปแค่เสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่ก็ยังยืนยันที่จะจู่โจมร่างเล็กตรงหน้าต่อไป การขยับตัวอีกครั้งยิ่งทำให้พะภูนึกหวาดกลัวจนขนลุกพอง น้ำเสียงเด็ดขาดตะโกนออกไปอย่างท้าทาย แม้ว่าจะไม่แน่ใจในผลลัพธ์ของมันเลยก็ตาม

“ถ้าพี่ไม่หยุด ผมจะไปจากพี่จริงๆแล้วนะ!!”

“..อึ่ก!”

ความเงียบอันชวนอึดอัดพัดเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ พร้อมกับร่างหนักอึ้งของติที่ยอมผละตัวออกไปซะที พะภูรีบจัดแจงตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะย้ายไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆแทน

“ผมไม่เข้าใจพี่เลยจริงๆ พี่ทำเรื่องแบบนั้นแล้วบอกว่าเกลียดผม พี่ไล่ผมให้ออกไปจากชีวิตพี่ แล้วอยู่ดีๆก็มาตามผมให้กลับไปด้วยคำพูดแปลกๆ แถมยังทำเรื่องพวกนี้ มันอะไรกันแน่ครับ??” คนเด็กกว่ารัวคำถามเข้าใส่ไม่ยั้ง ขอบตาเริ่มรื้นไปด้วยหยดน้ำใสๆแห่งความสับสน ถึงจะดีใจที่ติเป็นฝ่ายกลับมาหาตน แต่สิ่งที่ผ่านมาก็ทำเอาเหนื่อยล้าเหลือเกิน

ติหลุบตาต่ำลงแทบจะทันที มือสองข้างถูไถไปมาจนรู้สึกถึงความร้อน ภายในหัวยังมีความคิดหลายๆอย่างต่อสู้โจมตีกันอยู่อย่างรุนแรงจนแทบจะระเบิดออกมา ใจหนึ่งยังคงหลงเหลือกำแพงบางเบา ทำให้ปากมันไม่ยอมขยับแม้เพียงสักนิด แต่อีกใจก็ไม่ต้องการเสียคนตรงหน้าไปจนทำเอาข้างในมันปวดไปหมด

เวลาภายในห้องผ่านไปอย่างเชื่องช้า พะภูได้แต่เฝ้ารอคำตอบอย่างคาดหวัง เมื่อเห็นว่าติไม่มีทีท่าจะตอบอะไรกลับ น้ำตามันก็พาลไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเรียวเล็กส่ายไปมาช้าๆ ท่าทางเสียใจต่างกับทุกที

“คำที่พี่พูดเมื่อกี้ ผมยังไม่เข้าใจ...และผมจะไม่กลับไป ถ้าพี่ไม่ยอมพูดทุกอย่างให้ชัดเจน” น้ำเสียงสั่นเครือเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก ในขณะที่ติยังคงเอาแต่นั่งก้มหน้าเหมือนคนเก็บกด

“...”

“ผมว่าพี่กลับไ..”

“เพราะฉันหวงนาย” เสียงทุ้มดังขึ้นทันทีที่พะภูลุกออกจากเก้าอี้ คนตัวเล็กหันมองผู้ชายบนโซฟาอย่างไม่เชื่อหู

“หะ?”

“เรื่องคืนนั้นที่บ้านของเกต์ ฉันทำลงไปเพราะหวงนาย ฉันไม่อยากให้นายรู้จักกับธร ไม่อยากให้นายไปสนิทกับใครอื่น”

“อะ..”

“แล้วที่บอกว่าเกลียด และไล่นายออกไป ก็เพราะฉันกลัว.. ฉันกลัวใจตัวเอง มีความรู้สึกรุนแรงบางอย่างที่ฉันพยายามจะหนีจากมัน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้”

อยู่ดีๆ คำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากของติ จนคนฟังถึงกับไปต่อไม่เป็นด้วยความประหลาดใจ คนตัวสูงลุกขึ้นจากโซฟา ภายในแววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า น้ำเสียงจริงจังยังคงเปล่งออกมาเรื่อยๆ ราวกับน้ำตก

“ที่ฉันมาขอให้นายกลับไปก็เพราะฉันคิดถึงนาย แล้วที่ต้องทำแบบเมื่อกี้ ก็เพราะว่าฉันหึงนาย! ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องนายง่ายๆอีก”

“พ..พี่ติ”

“ฉันเองก็งงตัวเองเหมือนกัน แต่พอลองทบทวนทุกอย่างดีๆถึงได้รู้... ความจริงฉันเป็นถึง กีรติ อัครโภคิน ไม่ควรมาพูดแบบนี้เลยด้วยซ้ำ บ้าเอ๊ย!”

พะภูได้แต่ยืนฟัง อ้าปากค้าง ยิ่งเห็นท่าทีขัดแย้งในตัวเองของติก็ยิ่งชวนให้แปลกใจ ตอนนี้กีรติที่อยู่ต่อหน้าเขาดูแตกต่างจากคนที่เขาเคยรู้จักมาก ทั้งสับสน ทั้งลนลาน ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิดเดียว ดูๆไปแล้วก็ชักน่าเป็นห่วงขึ้นมา นี่เขาบีบคั้นอีกฝ่ายมากเกินจนสติสตังพังไปแล้วรึเปล่า

“พี่ติ...” คนตัวเล็กค่อยๆยื่นมือออกไป หวังจะช่วยประโลมให้คนตรงหน้าสงบจิตใจลงบ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปแล้ว ในการระงับอารมณ์พุ่งพล่านของเขา

“ตั้งแต่เจอนาย ชีวิตฉันก็ปั่นป่วน ฉันค่อยๆสูญเสียความเป็นตัวเองไป และทำอะไรไม่มีเหตุผล...แต่ทั้งหมดนั่นมันยังไม่พอให้นายเข้าใจอีกหรือไง!?”

“อะไรครับ? ยิ่งพี่พูด ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจนะเนี่ย”

“ไอ้เหี้ย! ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ!?!” ท่าทีนิ่งขรึมที่ติเคยมี ตอนนี้กลับถูกลบหายไปจนเกือบหมดสิ้น หลงเหลือไว้เพียงตัวตนที่ใจร้อนจนคุมไม่อยู่

“เอ่อ....”

“ทั้งหมดที่ฉันทำ ทั้งหมดที่ฉันเป็น กับทั้งหมดที่พูดไป มันก็ชัดเจนจะแย่แล้ว! นี่นายไม่เข้าใจจริงๆเหรอ??!!”

“ไม่ครับ”

ตอบออกไปทันทีอย่างไม่ต้องคิด แม้ว่าในใจจะรู้คำตอบของทุกอย่างดีอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากได้ยินจากปาก คำพูดที่รอฟังมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังจากต้องเผชิญกับความเจ็บช้ำมากมายหลายเหตุการณ์...

“ไอ้เด็กบ้านี่!”

เสียงถอนหายใจรุนแรงและยาวนานดังขึ้น ก่อนที่ท่าทีของคนตัวสูงจะเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม สายตาจับจ้องไปยังเด็กธารวิทยาตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด ไม่คิดว่าในชีวิตจะต้องมาถูกกดดันให้พูดคำคำนั้น โดยเฉพาะกับผู้ชายแบบนี้

กีรติขยับเท้าเข้าไปใกล้พะภูจนร่างของทั้งคู่แนบชิดสนิทกัน ไม่ทันได้โวยวายอะไร ร่างบางก็ถูกรวบเข้าไปไว้ในอ้อมแขนแน่น ฝ่ายจู่โจมโน้มตัวลงต่ำ จนริมฝีปากอุ่นๆระไปกับใบหูสีแดงก่ำ ไม่อาจจะขัดขืน ไม่อาจจะเคลื่อนไหว ไม่อาจ..แม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ

เสียงคุ้นเคยที่บัดนี้ฟังดูอ่อนโยนชอบกล กระซิบขึ้นใกล้ๆ ทั้งที่อยากได้ยินเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ชัยชนะขั้นที่หนึ่งของตัวเองเท่านั้น ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่คำที่เอ่ยออกมากลับทำให้เขารู้สึกดีได้มากถึงขนาดนี้...

“ฉันชอบนาย...เข้าใจรึยัง?”

----------------------------------------------

คือให้มันเล่นตัวไม่ได้จริงๆ 555
เพราะมันคงขัดกับจุดประสงค์ของพะภูอะเนอะ
1. พะภูต้องการทำให้ติรักตั้งแต่แรกแล้ว
2. ที่พะภูหายไป ก็เป็นแผนที่ตั้งใจล่อให้ติกลับมาง้ออยู่แล้ว
ส่วนติหลังจากนี้ คิดว่าคงดีขึ้นจนทุกคนย้ายฝั่งแทบไม่ทันเลยล่ะ!! 55
อย่างที่บอกว่าคนปากหนักแบบนี้ พอยอมรับขึ้นมา ก็รักมากเลยนะ
ส่วนตอนนี้คิดว่าจะปล่อยให้สองคนได้สวีทกันไปสักพักก่อน
แล้วค่อย...........................

 :hao3:

ต้องขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจเช่นเคยค่ะ
คืองานก็เยอะมาก เหนื่อยมาก
แต่พอได้อ่านคอมเม้นของทุกคน แล้วมันก็อดฮึดไม่ได้
อยากมาต่อสักนิดก็ยังดี ถึงจะยืดเรื่องไปหน่อยก็ตาม... 5555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ที่ 06-09-2013 22:52:29
 เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย เขินนนนนนนแทนพะภูอะะะะะะะะะะะะะะะ  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 06-09-2013 23:33:23
ยังไงต่อเนี่ยพะภู สนุกจ้า รอตามต่อ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 06-09-2013 23:50:28
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-09-2013 23:55:07
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:ในที่สุดก็รักพระภูจนได้ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Gongy B.Du ที่ 07-09-2013 05:33:38
ฮ่าๆๆ ในที่สุดพะภูก็ง้างปากอิพี่ติได้แล้ว โฮะๆ  :laugh:
พี่ตาลสุดยอด  o13
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-09-2013 06:01:00
ป๊าดดด!! เส้ดพะภูสะละ อิอิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: GoodNice ที่ 07-09-2013 07:46:32
 :hao3:   :impress2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 07-09-2013 08:28:48
แล้วค่อยอะร๊ายยย!!  อย่าดราม่ามากเลยนะขอแบบหวานๆนานหน่อย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 07-09-2013 12:03:23
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 07-09-2013 17:18:11
กว่าจะง้างปากพูดออกมาได้พ่อคุณ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 07-09-2013 18:25:42
กว่าจะพูดออกมาได้นะ พี่ติ :hao3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 07-09-2013 22:16:36
ย้ายข้างทันที ฮ่าๆๆ ในที่สุดนายก็พูดคำนี้จนได้ เราเชียรศ์นายเต็มที่กีรติ \(°w°~)
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: princessrain ที่ 08-09-2013 01:39:11
ติเริ่มน่ารักแล้วจริงๆซะด้วยยยย
มาอ่านที่เดียว15. ตอนรวดเลย
สนุกมากค่ะ. รออ่านตอนต่อไปนะตัวเองงงง

ปล.จะว่าอะไรป่าวคะถ้าแอบอยากเชียร์คู่ ธรเกต์.  :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 08-09-2013 11:30:03
อรั๊ยยยยยยยยย :hao7:

ส๊าาาาแก่ใจยิ่งนัก พี่ติตกหลุมรักพะภูของเค้าแล้วสินะสิน้าาาา
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 08-09-2013 20:07:30
 :-[
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ืrattapon ที่ 09-09-2013 00:47:35
ถึงจะยอมรับว่าไม่ชอบอิพี่ติซักเท่าไหร่  :katai2-1:

แต่เค้าก็ไม่เอาดราม่าน๊า คนเขียน แงงงงง สงสารพะภู

อย่าทำแบบนี้ ได้โปรด  :o12:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 09-09-2013 16:09:40
เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย เขินนนนนนนแทนพะภูอะะะะะะะะะะะะะะะ  :-[ :-[ :-[

เขินเหมือนกันนน 555555

ยังไงต่อเนี่ยพะภู สนุกจ้า รอตามต่อ

ขอบคุณมากค่า ฝากติดตามไปเรื่อยๆเลยน้า~

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

:D :D :D

:laugh: :laugh: :laugh: :laugh:ในที่สุดก็รักพระภูจนได้ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

เก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวใจอย่างเธอ ! 55555

ฮ่าๆๆ ในที่สุดพะภูก็ง้างปากอิพี่ติได้แล้ว โฮะๆ  :laugh:
พี่ตาลสุดยอด  o13

ตาลท่าจะเป็นสาววายอันดับหนึ่ง อย่างไม่ต้องสงสัย 55

ป๊าดดด!! เส้ดพะภูสะละ อิอิ

เกลียดอะไร เขาว่าจะได้อย่างนั้น หึหึ

:hao3:   :impress2:

<3 <3 <3

แล้วค่อยอะร๊ายยย!!  อย่าดราม่ามากเลยนะขอแบบหวานๆนานหน่อย

จะรับไว้พิจารณา... 5555 ได้ๆ ช่วงนี้หวานอยู่

:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :mew1: :mew1: :mew1:

จุ๊บุๆ <3 รักนักอ่านจัง

กว่าจะง้างปากพูดออกมาได้พ่อคุณ

เล่นตัวซะนาน 555

กว่าจะพูดออกมาได้นะ พี่ติ :hao3:

คนอ่านลุ้นแล้วลุ้นอีก คนเขียนก็ยืดแล้วยืดอีก 55555

ย้ายข้างทันที ฮ่าๆๆ ในที่สุดนายก็พูดคำนี้จนได้ เราเชียรศ์นายเต็มที่กีรติ \(°w°~)

ดีใจที่มีคนเชียร์พระเอก 55 หลังจากเกลียดมานานสินะ

ติเริ่มน่ารักแล้วจริงๆซะด้วยยยย
มาอ่านที่เดียว15. ตอนรวดเลย
สนุกมากค่ะ. รออ่านตอนต่อไปนะตัวเองงงง

ปล.จะว่าอะไรป่าวคะถ้าแอบอยากเชียร์คู่ ธรเกต์.  :hao6:

ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่เข้ามาอ่าน ><
ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปด้วยเน้อ
ส่วนเรื่องคู่ จิ้นได้ตามสะดวกเลย
แต่อยากรู้นิดนึงว่ามาจากตอนไหนอะ 55 ไม่ทันรู้ตัวจริงๆ

อรั๊ยยยยยยยยย :hao7:

ส๊าาาาแก่ใจยิ่งนัก พี่ติตกหลุมรักพะภูของเค้าแล้วสินะสิน้าาาา

ชอบคำว่า ส๊าาาาแก่ใจ 55555 มันดูสะใจจริงๆ

:-[

เขินแทนพะภูเลย ฮุฮุ

ถึงจะยอมรับว่าไม่ชอบอิพี่ติซักเท่าไหร่  :katai2-1:

แต่เค้าก็ไม่เอาดราม่าน๊า คนเขียน แงงงงง สงสารพะภู

อย่าทำแบบนี้ ได้โปรด  :o12:

//ผิวปาก
5555 ตอนนี้ยังหวานอยู่ รอดูไปๆ
คิดว่าไม่มาก..... ม้างงงงง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 15 | 06/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: corn_rain ที่ 09-09-2013 19:02:46
แสดงว่ามาม่าใกล้มา เตรี ยมตุนไว้ก่อน
จะหลอกใช้ติก้อได้ มันคงยอมอยู่แล้ว
แต่อย่าทำให้ติเสียใจเลยนะๆๆๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 11-09-2013 21:19:51
บทที่ 16

 

“สวัสดีครับ”

โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดังขึ้นต่อเนื่อง จนคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ต้องรีบกุลีกุจอออกมารับทั้งที่ยังพันผ้าเช็ดตัวเอาไว้ เบอร์แปลกๆที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอ ถูกคลายความสงสัยทันทีที่ได้ยินเสียงใครบางคนดังลอดสายออกมา

(พะภู~)

“พี่เกต์!?”

(ใช่แล้ว ปิดเทอมวันแรกเป็นไงบ้าง?)

“ก็ดีครับ ว่าแต่พี่รู้เบอร์ผมได้ยังไง?” คนถามเลื่อนนิ้วไปกดเปิดลำโพงมือถือ ก่อนจะเดินไปคว้าชุดนอนมาไว้กับตัว

(ก็เบอร์นายมันหาง่ายกว่าเบอร์พิซซ่าอีกนี่น่า)

“เอ่อะ เหรอ..ครับ”

(นี่ๆ กับติเป็นยังไงบ้างหรอ มันได้คุกเข่ากอดขานายเลยไหม?)

เกต์ถามไปกลั้นหัวเราะไป ทำให้พะภูต้องนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อวานอีกครั้ง ทันทีที่ใบหน้าของคนถูกพาดพิงลอยคว้างเข้ามาในหัว แก้มสองข้างของเขาก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ ได้แต่กระอึกกระอักตอบกลับไปไม่เต็มเสียงนัก

“มะ..ไม่มีอะไรนี่ครับ พี่เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย”

(เหรอออ)

“ถ้าพี่เกต์ไม่มีอะไรแล้ว ผมวางนะครับ!” พะภูที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ รีบพูดแทรกขึ้นมาเพื่อกลบความเขินอาย อีกฝ่ายเลยได้แต่หัวเราะชอบใจ และพาเปลี่ยนเรื่องก่อนที่คนตัวเล็กจะนึกโมโห

(หยอกเล่นน่า ฉันโทรมาขอความเห็นเรื่องทริปปิดเทอมกับนาย)

“ทริป? อะไรหรอครับ?”

(อ้าว ติไม่ได้บอกเหรอ? ปกติกลุ่มของเราจะพากันไปเที่ยวพักผ่อนตอนปิดเทอม แต่ช่วงเข้าหน้าหนาวแบบนี้มีหวังโดนลากไปขึ้นดอยอีกแน่ น่าเบื่อจะตาย)

“แล้วมันยังไงครับ?”

คนที่ไม่รู้เรื่องอะไร เริ่มส่งเสียงรำคาญออกมาจากในลำคอ รู้สึกขัดใจตงิดๆกับคำว่า ‘ติไม่ได้บอกเหรอ’ เมื่อครู่นี้ ไว้เจอกันคราวหน้า คงมีเรื่องต้องอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้วสิ ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ใช่พะภู เด็กน่ารำคาญอีกต่อไปแล้วนะ

(คือฉันว่าทะเลหน้าหนาวมันน่าจะดีนะ ไม่เคยไปด้วยส..)

“เข้าเรื่องเถอะครับ”

(ก็...ฉันอยากให้นายลองขอติไปทะเลน่ะสิ)

“ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย พี่ติไม่ได้ชวนผมด้วย”

รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมาบนหน้าของเกต์ทันทีที่ได้ยินคำพูดผ่านสัญญาณโทรศัพท์ แม้ว่าเด็กนี่จะพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากแค่ไหน แต่ก็ห้ามอารมณ์น้อยใจที่แฝงตัวไว้ไม่ได้เลย

(เออน่า เดี๋ยวมันก็ชวนเองแหละ ถ้ายังไงก็อย่าลืมล่ะ ทะเลนะทะเล)

“คร้าบๆ”

พะภูส่งเสียงกลับไปเพื่อตัดบทสนทนา อีกฝ่ายเอง พอหมดธุระแล้วก็รีบกดวางสายไป หลังจากบอกลากันได้เพียงสองสามคำ ไม่ทันได้หายใจหายคอ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเบอร์ประหลาดซึ่งแตกต่างจากเดิม คนตัวเล็กชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมือถือบนโต๊ะขึ้นมาไว้แนบหู พร้อมกดรับสาย

“สวัสดีครับ”

(สวัสดี พะภู)

“พ..พี่ธร!?” เป็นอีกครั้งในรอบ 10 นาที ที่ต้องส่งเสียงประหลาดใจแบบนี้ออกมา

(อือ ฉันเอง)

“เอาเบอร์ผมมาจากไหนครับ?”

(คิดว่าฉันจะหาเบอร์นายไม่ได้งั้นเหรอ)

ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย คิดว่าตามล่าเบอร์คนอื่นได้แล้ว มันน่าภูมิใจมากเหรอ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับพวกโรคจิตที่คอยถ้ำมองคนอื่นเลยนี่

“เอาเถอะครับ โทรมามีอะไรเหรอ?”

(ฉันรู้เรื่องที่นายกับติคบกันแล้ว)

ความโกรธเคืองซ่อนตัวอยู่ภายในน้ำเสียงซึ่งเปล่งออกมา ชัดเจนจนน่าใจหาย พะภูค่อยๆสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะปล่อยออกมาทางปากยืดยาว ไม่คิดว่าเหตุการณ์ภายในรั้วบ้านของตัวเองเมื่อวาน จะสามารถแพร่กระจายไปได้ไวขนาดนี้

“ครับ”

(แล้ว...เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันอยู่รึเปล่า?)

คำถามของธรสะกิดใจพะภูเข้าเต็มๆ มันคือคำสัญญาที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ ในตอนที่ติทอดทิ้งเขาไป ธรคือคนที่เข้ามาแทรกช่วงเวลานั้น พร้อมหยิบยื่นความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องมาให้ ไม่รู้ว่าเพราะธรไม่เคยแสดงด้านเลวร้ายออกมาให้เห็น หรือเพราะกำลังเสียใจจากติกันแน่ ถึงทำให้เขาตอบรับข้อเสนอนั้นอย่างง่ายดาย

“ครับ ผมก็ยังไม่คิดว่าพี่เป็นคนเลวอะไร แต่มันคงไม่เหมาะถ้าเราจะใกล้ชิดกัน”

(ฉันเข้าใจ... เมมเบอร์นี้ไว้ด้วยล่ะ แล้วจะโทรไปใหม่)

คำพูดส่อแววคล้ายคำสั่งดังลอดออกมา ไม่ทันได้ตอบอะไรกลับ ก็ถูกอีกฝ่ายตัดสายไปเสียเฉยๆ พะภูได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง พลางจ้องมือถือในมือนิ่ง สิ่งที่ธรพูดกับที่ธรทำมันไม่ได้ไปทางเดียวกันสักนิดเลย เขาบอกว่าเข้าใจแล้วทำไมถึงยังจะโทรมา ทั้งที่บอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ แล้วทำไมถึงยังไม่ไป... คนตัวเล็กค่อยๆหลับตาลงหวังจะพักผ่อน แต่สมองก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่ต้องอธิบายให้ติฟังจนปวดประสาท

นาฬิกาภายในห้องเริ่มขยับเข้าใกล้คำว่าดึกขึ้นทุกขณะ หลังจากกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเกต์กับธรเรียบร้อยแล้ว เสียงเรียกเข้าก็พาลดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาคนเตรียมจะนอนถึงกับสะดุ้ง นิ้วโป้งขวาเลื่อนไปกดรับสายทันทีด้วยความตกใจ

“สวัสดีครับ”

(นี่ฉันเอง)

“พี่ติ!”

คนตัวเล็กส่งเสียงประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะถามเรื่องที่หาเบอร์มาได้อีกแล้ว แค่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย ที่คนพวกนี้กำลังทำให้ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในชีวิตของเขาสั่นคลอน

(อาทิตย์หน้าไปเที่ยวด้วยกัน)

ไม่รู้ว่าที่พูดออกมาเป็นประโยครูปแบบไหนกันแน่ ทำไมฟังดูแล้วแอบคล้ายคำถาม แต่พอทวนอีกทีรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่ง และดูท่าว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน ถึงชิงพูดแทรกต่อขึ้นมา

(ปิดเทอมแล้ว ไปเที่ยวด้วยกันกับฉันแล้วก็พวกคนในกลุ่มนะ)

“อ่ะ..ครับ ไปครับ!”

ตอนแรกก็ว่าจะทำฟอร์มสักหน่อย แต่ท่าทางสมองกับหัวใจจะขัดแย้งกันมากเกิน ทำให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และเผลอแสดงท่าทางดีใจออกไปอย่างโจ่งแจ้ง เป็นอย่างที่เกต์ว่าจริงๆ เดี๋ยวติก็ต้องชวนเขา ฮิๆ

(อืม ฉันว่าคงขึ้นเหนื..)

“ทะเล!” รีบโพล่งออกมาตามที่เกต์ย้ำนักย้ำหนา ก่อนจะไม่มีจังหวะพูด ทำให้ติต้องหยุดประโยคไว้กลางคัน

(หือ?)

“ผ..ผม อยากไปทะเลครับ”

(เหรอ...งั้นก็ได้)

พอได้ยินแบบนั้น พะภูก็รีบดึงมือถือออกห่างจากตัว ท่าทางประหลาดใจปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า นี่ใช่กีรติคนนั้นจริงหรือเปล่า ทำไมถึงตามใจกันง่ายๆแบบนี้ อิทธิพลของคำว่ารักนี่มันน่ากลัวจริงๆ ให้ตายเถอะ!

(เออนี่ เมื่อวาน.. จู่ๆนายก็กลายเป็นหินไป เลยไม่ได้เคลียร์เรื่องไอ้ธรต่อ)

“อ้ะ! ผมก็อยากคุยกับพี่เรื่องนี้เหมือนกัน พี่ติ! ผมกับพี่ธรเราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันครับ” คนตัวเล็กรีบกรอกคำพูดในหัวลงไปรัวเร็วจนแทบฟังไม่ทัน ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ได้ยินมันชัดเจนทุกคำ ทำเอาอารมณ์ดีๆเริ่มเดือดขึ้นมาอีกอย่างคุมไม่ได้

(หมายความว่ายังไง?)

“ผมไม่คิดว่าพี่ธรเป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมชอบเขาแบบนั้น เพราะงั้น...เลยอยากให้พี่ติเข้าใจ ถ้าผมจะไม่เกลียดเขา”

พะภูพยายามคุมน้ำเสียงหนักแน่นให้อยู่ แต่ก็แผ่วปลายจนได้ ด้วยว่าในใจยังคงกลัวปฏิกิริยาตอบโต้ของคนฟังคนนี้ เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องธรเข้ามาเอี่ยว ติไม่เคยใจเย็น ต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟตลอดสิน่า และแน่นอนว่าคราวนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่ได้ยิน ‘คนรัก’ ของตัวเองพูดจาปกป้องศัตรูตัวฉกาจ ก็อดของขึ้นไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามใจเย็น เพราะเพิ่งจะรู้ใจตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง พร้อมกับได้ตัวพะภูกลับมา เพราะฉะนั้นถึงต้องระวังทุกคำพูดให้ดี เขาไม่อยากเสี่ยงที่จะต้องเสียเด็กผู้ชายคนนี้ไปอีกแล้ว

(....อย่าไปสนิทกับมันให้มากนักละกัน จำใส่หัวไว้ว่านายเป็นของฉัน)

“////”

ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากเสียงลมหายใจที่ดังผิดปกติ อวัยวะตรงอกซ้ายเต้นรัวจนแทบกระดอนออกมา เพียงด้วยคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตอนนี้ใครคือคนที่อยู่เหนือกว่า เขา...ที่ทำให้คนอย่างกีรติตกหลุมรักได้ หรือว่าเป็นติ...ที่ทำให้คนอย่างเขาสั่นไหวได้กันแน่

(อาทิตย์หน้าเจอกัน)

“ค..ครับ พี่ติ...”

(อือ?)

มือซ้ายกำโทรศัพท์ในมือแน่น ส่วนมือขวาวางทาบไปกับตำแหน่งหัวใจ พยายามกดลงไปหวังให้หยุดส่งเสียงดังน่ารำคาญเสียที ในหัวพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ดีก่อนจะเอื้อยเอ่ยออกไป...

“...ผมคิดถึงพี่นะครับ”

(...)

“พี่..”

(เหมือนกัน)

“ครับ?”

(ฉันก็คิดถึงนายเหมือนกัน)

.

.

ตึก

ตัก

ตึก

ตัก


.

.

ไอ้หัวใจบ้าเอ๊ย หยุดส่งเสียงดังน่ารำคาญสักที!

----------------------------------------------------------

บทนี้คือเป็นการยืดเรื่องแบบน่าเกลียด 5555
ปกติแต่งหน่วงตลอด พอเข้าช่วงรักๆแล้วแต่งไม่ออก ฮา~
หวังว่าทะเลหน้าหนาวจะช่วยเพิ่มความหวานให้คู่นี้ได้บ้าง...
ต้องรอติดตาม (แต่ตอนนี้ขอหนีไปเคลียร์งานก่อนนะ TT )

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นเช่นเคยนะคะ
ติชมเราได้เลยน้า ตรงไหนที่มันไม่ดีบอกได้เลย
แต่ก็จะพยายามแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆเด้อ ><'
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 11-09-2013 21:46:28
จะรอ ตอนทริปทะเลหน้าหนาว ว่าจะเพิ่มความหวานให้กับ ติ+พะภู แค่ไหนน่ะ         :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: corn_rain ที่ 11-09-2013 21:59:58
ฉันไม่ควรรักเธอ แต่เผลอให้เธอไปแล้วจนหมดใจ
แล้วจะกล้าหลอกใช้ติได้ลงคอหรอ!
ใช้เค้าอย่าลืมเอาตัวเข้าแลกนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 11-09-2013 22:32:47
 :hao6: :hao6: :hao6:รอตอนไปทะเล :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 11-09-2013 22:34:17
อุ๊ยตาย!!!!เขินไปด้วยเลย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 11-09-2013 22:42:10
เขินแทน

"คิดถึงเหมือนกัน" อร๊ายยยย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 11-09-2013 22:49:49
พะภูเขินเลยล่ะสิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 11-09-2013 23:06:24
สั้นแต่ :o8:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-09-2013 01:37:39
อรั้ยย น่านักดีนะนี่
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 12-09-2013 07:52:13
อ่านสองตอนรวดแล้วยิ่งเขินไปใหญ่  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 12-09-2013 13:00:26
อ่านบทนี้แล้ว...เขิน :-[
ว่าแต่ธรน่ะจะคิดกับพะภูแค่พี่น้องจริงเร้ออออ
พะภูออกจะน่ารักน่าฟัดขนาดนั้น  :o9:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 12-09-2013 20:47:33
ฮ่าๆ รอคอยทริปแสนหวาน (?)

อีตาพี่เกต์นี่เป็นพ่อสื่อสินะ สินะ~555

ชอบ!  :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 12-09-2013 20:52:33
ดูเหมือนพี่เกต์จะมีจุดประสงค์แอบแฝง
แล้วมันคืออะไร?
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 16 | 11/09/56 | P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 17-09-2013 22:35:28
น่าจะได้มาอัพอีกทีวันศุกร์น้า
ตอนนี้งานล้น ท่วมหัวมากๆ
ไม่ได้แต่งต่อเลย เศร้า TT
รอเค้าหน่อยเน่อออ~~ <3

ป.ล. พี่เกต์ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรหนิ 5555 มันแค่อยากไปทะเล ;w;
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 20-09-2013 21:55:42
บทที่ 17

 

“นอนไหม?”

เสียงทุ้มดังขึ้นภายในเครื่องบินส่วนตัว ขนาด 18 ที่นั่ง หลังจากเหลือบเห็นรุ่นน้องตัวเองอ้าปากหาวหวอดได้สองสามที ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่หันมอง ศิลป์กำลังเอื้อมมือไปกดหัวของนิวลงซบกับไหล่กว้างของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร ทั้งที่คนตัวเล็กข้างๆแทบจะส่งเสียงร้องตกใจออกมา

“ผมไม่เป็นไรครับ เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยเอง” นิวในชุดไปรเวทโทนน้ำเงินรีบขยับตัวออกห่าง บนที่นั่งแบบโซฟายาว พลางยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวัน สายตากลมโตกลอกทางซ้ายทีขวาทีอย่างลนลาน

“ตื่นเต้นหรอวะนิว” เสียงกวนตีนจากเบาะตรงข้ามดังขึ้น สายตาล้อเลียนถูกส่งมาให้จากผู้ชายหัวชี้ฟูในเสื้อเชิ้ตสีกรมท่า

“ผมอยู่เล่นเกมต่างหากพี่ผา!”

“อะไร? นี่มึงเล่นกูอ่อ?” ทันทีที่นิวให้คำตอบรุ่นพี่ตรงหน้า เพื่อนข้างๆก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางกวนประสาทไม่แพ้กัน เด็กม.4ห้องใกล้เคียงพยายามเล่นมุกกับชื่อตัวเอง พลางตรงเข้ายีผมย้อมสีของนิวอย่างนึกสนุก

“ไอ้เชี่ยเกม!” คนโดนแกล้งโวยวาย ก่อนจะปัดแขนบนหัวออกอย่างหงุดหงิด ความง่วงเมื่อครู่พลันหายไปซะเฉยๆ

“เฮ้ย ไอ้เกม..มึงหุบปากดิ๊ กูรำคาญ” ศิลป์เอื้อมมือผ่านคนตรงกลางไปผลักหัวของเกมออกห่าง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูน่ากลัวชอบกล ทำเอาเด็กขี้เล่นไม่กล้าแม้แต่จะขยับปาก ก่อนจะควักมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดเล่นแทนอย่างเซ็งๆ

ส่วนผาเอง เมื่อเห็นท่าทีไม่สบอารมณ์ของศิลป์ ก็กลับมานั่งสงบปากสงบคำเหมือนเดิม แต่ยังไม่วายหันไปส่งยิ้มหวานให้คนตัวบางบนเบาะเดียวกัน ถือเป็นการท้าทายอำนาจหัวหน้ากลุ่มที่นั่งส่งสายตามาดร้ายอยู่ระหว่างกลางเป็นอันมาก

“มึงยิ้มอะไร?” ติกระชากเสียง พร้อมกดตัวพะภูลงจนตัวแทบจะกลืนเข้าไปในเบาะ พยายามใช้ร่างกายสูงใหญ่ของเขาเป็นฉากกำบัง ไม่ให้สายตาน่าเกลียดของรุ่นน้องม.5คนนี้ผ่านไปถึงคนรักของตนได้

“พี่ติ ขี้หวงว่ะ”

“ไอ้นี่ วอนตีนและ”

ติว่าพลางชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศ จนคนตัวเล็กข้างๆต้องรีบรั้งเอาไว้ สายตาดุๆถูกส่งไปให้ ติเลยต้องยอมปล่อยผาไปโดยไม่ได้สั่งสอนอะไร ขณะที่คนรอดตัวยังคงนั่งกลั้นหัวเราะกับท่าทีหมดสภาพของหัวหน้ากลุ่มตัวเอง

“หิวเปล่า?” ติพยายามเลิกสนใจไอ้เด็กเวรด้านซ้าย ก่อนจะหันไปตั้งคำถามกับพะภูแทน คนตัวเล็กส่ายหน้าสองสามที พลางเอนศีรษะลงไปกับไหล่กว้าง คนโตกว่ามองการกระทำของเด็กข้างๆยิ้มๆ มือขวาเอื้อมออกไปกดหัวพะภูให้โน้มเข้ามา

สายตาทุกคู่บนเครื่องค่อยๆลอบมองคู่รักสดใหม่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย จะว่าต้องขอบคุณพะภูก็อาจจะใช่ เพราะเขาทำให้ติอ่อนโยนขึ้นได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน หรือใครทำได้มาก่อน ราวกับเป็นชิ้นส่วนสำคัญซึ่งถูกนำพามาพบกันเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ติที่เคยร้ายกาจ เด็ดขาด และผยอง วันนี้กลายเป็นผู้ชายที่ยิ้มออกมาได้ไม่อายใคร และกลายเป็นฝ่ายที่ยอม

ถึงจะดูแปลกไปจนน่าตกใจ แต่นี่แหละ คือตัวตนแท้จริงของติที่พวกเขาทุกคนต่างศรัทธาและหลงใหล ถึงได้ติดตามคนคนนี้มาโดยตลอด กาลเวลา อำนาจ ชื่อเสียง ทุกอย่างต่างหลอมให้กีรติต้องกลายมาเป็นคุณชายอันธพาลจอมโหดในสายตาของคนอื่น

ได้แต่รอคอยใครสักคน ที่จะเดินเข้ามากะเทาะเปลือกนอกพวกนั้นให้หายไป... และพะภู ก็คือคนคนนั้น

“กัส อีกนานไหม?” เกต์ถามรุ่นน้องม.5ที่กำลังก้มหน้าอ่านวรรณคดีอังกฤษเล่มหนาอย่างใช้สมาธิ คนชื่อกัสลดหนังสือในมือลง ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมอง

“น่าจะไม่เกิน 20 นาทีครับ”

“รอลงน้ำไม่ไหวแล้วว”

“พี่เกต์ชอบเล่นน้ำหรอครับ?” นิวถาม เมื่อเห็นท่าทางเร่าร้อนของรุ่นพี่ที่ดูใจดีที่สุด แววตาเปล่งประกายถูกส่งกลับมา พร้อมน้ำเสียงมีความสุข

“ฉันชอบทะเล! แต่ไอ้เวรสองตัวนี้เสือกไม่ชอบ เราเลยไม่เคยได้มาเลยจนคราวนี้เนี่ยแหละ” เกต์ทำปากยื่นไม่พอใจไปทางเพื่อนสนิททั้งสองคนที่เอาแต่นิ่งเฉย ติก้มมองเด็กข้างๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ปลุกเขาเข้า ก่อนจะหันไปต่อบทสนทนากับเกต์

“ที่ได้มา ก็เพราะพะภูอยากมาหรอก”

“เออ กูรู้! แต่ใครวะเป็นคนทำให้มึงรู้ใจตัวเอง จนได้รักกับพะภู มึงต้องตอบแทนกูบ้างนะเว้ย”

เกต์พูดเป็นเชิงแซว พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ที่สุด กีรติเอ๊ย ไม่ได้รู้อะไรเลย ที่ได้มาเที่ยวทะเลครั้งนี้ก็เพราะเขาเตี๊ยมกับสุดที่รักของตัวเองไว้แล้วต่างหากเล่า!...ไม่คิดมาก่อนว่า พอติยอมรับว่ารักแล้วจะกลายเป็นทาสขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิ ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นลูกหมาน่ะ

 “ถึงโรงแรมแล้วมึงก็โดดลงน้ำไปเลยดิ”

“กูทำแน่ แต่พวกมึงต้องไปกับกูด้วยนะ กูจะได้เห็นหุ่นพะภูกับนิวด้วยอะ”

เกต์พูดจาติดตลก หวังจะแหย่เล่นเพื่อสร้างบรรยากาศครื้นเครง เพราะพะภูกับนิวเป็นสองคนในนี้ที่เขาไม่เคยเห็นตอนถอดเสื้อเลยก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนคำพูดที่หลุดออกมา จะไปกระตุกต่อมอารมณ์ของคนแถวนี้เข้าให้

“กูขอให้คลื่นซัดมึงออกไป ไม่ต้องกลับมาอีกตลอดชีวิต” ติว่าท่าทางเรียบเฉย แต่กลับส่งสายตามาดร้ายออกไปอย่างโจ่งแจ้ง ตามมาด้วยเสียงคำรามจากในลำคอของศิลป์ ซึ่งดังขึ้นเป็นการสนับสนุน

“ไอ้เกต์ ไปตายไป” เจ้าของผมชี้สั้นสีดำสนิทออกปากเสียงโหด ก่อนจะวาดมือไปโอบรอบตัวนิวไว้เหมือนต้องการปกป้อง ไม่ทันที่ใครจะได้สงสัย คนตัวเล็กก็รีบดันแขนแกร่งออกห่างจากตัวซะก่อน

ไม่นานนัก เครื่องบินภายใต้ชื่อ อัครโภคิน ก็แล่นลงจอดเทียบพื้น ผู้โดยสารทั้งแปดคนพากันย้ายไปขึ้นเรือเร็วที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ อีกไม่กี่นาทีก็มาถึงสรวงสวรรค์ที่เรียกกันว่า เกาะกูด

โรงแรมกว้างขวาง ติดอันดับท็อปของเกาะ การันตีความหรูหราระดับห้าดาว ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้า ดูเหมือนพะภูจะเป็นคนเดียวที่มีอาการเหงื่อตกด้วยว่าแพ้ความโอ่อ่าของสถานที่นี้ คนตัวเล็กพยายามหุบปากที่อ้าค้าง ก่อนจะหันไปดึงชายเสื้อของติให้เข้ามาใกล้

“พะ พี่ติ...โรงแรมหรูจังครับ แพงแย่เลย”

“ไม่นะ ฉันได้ส่วนลดด้วย” คนตัวสูงฉีกยิ้ม มือข้างหนึ่งตรงเข้าลูบหัวเด็กข้างๆอย่างเอ็นดู

“แล้วเหลือคืนละเท่าไรครับ?”

“อืม...เฮ้ยกัส มึงจองได้เท่าไรนะ?” ติทำท่าครุ่นคิด สักพักจึงหันไปถามรุ่นน้องซึ่งยังหลบหน้าอยู่หลังหนังสือเล่มเดิม กัสชูนิ้วโป้งขึ้นกลางอากาศแทนคำตอบ ทำเอาพะภูถึงกับตาโต

“6 พัน!? นี่ลดแล้..”

“6 หมื่นต่างหาก”

เกมที่ยืนฟังทุกอย่างอยู่พูดขึ้น จนคนได้ยินถึงกับลมจับ พะภูยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเพิ่งถูกกระชากวิญญาณออกไปจากร่างก็ไม่ปาน จำนวนตัวเลขบอกราคาห้องพักต่อคืนมันมากเกินกว่าที่คนระดับเขาจะรับไหว ไม่อยากคิดว่าเหล่าคุณชายทั้งหมดตรงหน้า จะควักเอาเงินหลักนั้นออกมาพลาญเล่นง่ายๆแบบนี้

“เอาน่า นานๆที” เกมเดินเข้ามาผลักให้พะภูเดินต่อ มีติคอยส่งยิ้มหายากมาให้เป็นการปลอบประโลมไม่ให้สติแตกไปซะก่อน สังคมคนรวยนี่มันน่ากลัวจริงๆ ให้ตายเถอะ!

“เตียงเดี่ยว 4 หลัง หลังละ 2 คน” กุญแจสี่ดอกถูกแผ่ออกในมือของกัส หลังจากที่เราเข้ามาถึงส่วนของล็อบบี้

“อ้าวเฮ้ย เตียงเดี่ยวเนี่ยนะ มึงเห็นพวกกูเป็นคู่แต่งงานรึไงวะ?” ร่างสูงในเสื้อสีกรมท่ารีบโวยขึ้นมาก่อนเพื่อน แต่คำตอบที่ได้รับ กลับทำเอาเขาไปต่อไม่เป็น สาบานเลยว่าครั้งหน้าจะไม่ให้ไอ้หนอนหนังสือนี่เป็นคนจองที่พักอีกแล้ว

“ก็โรงแรมนี้ดังในหมู่คู่รักหนิ”

สิ้นเสียงของกัส ทุกคนต่างก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา จนติต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจเป็นคนแรก พลางดึงกุญแจดอกหนึ่งมาไว้กับตัว

“กูจะนอนกับพะภู”

“พี่ติ จะทำอะไรพะภูปะเนี่ย?” เกมโพล่งออกมาอย่างจงใจแหย่เล่น ทำให้บรรยากาศอึดอัดเมื่อครู่ค่อยๆคลายลงได้บ้าง

“แล้วมึงจะทำไม?”

ติเอื้อมมือไปผลักหัวคนพูดแรงๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะจากผู้ชายที่เหลือ ยกเว้นแค่บุคคลผู้ถูกพูดถึง ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหินไปแล้ว ใบหน้าสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างคุมไม่ได้ บทสนทนาเมื่อครู่ฟังดูกำกวมมากไปจนชักใจไม่ดี เขาต้องนอนร่วมเตียงกับผู้ชายชื่อกีรติจริงๆเหรอเนี่ย!?

“กัสกับเกมคงนอนด้วยกันสินะ” เกต์ส่งเสียงขึ้นมา สายตาคำถามพยักเพยิดไปทางพี่น้องคู่ที่ว่า ทั้งสองคนหันมองหน้ากันแวบหนึ่งเหมือนเบื่อขี้หน้าเต็มที

“ก็คงต้องเป็นงั้นอะ” เกมว่าท่าทางหน่ายใจ ก่อนจะดึงกุญแจอีกดอกมาเก็บใส่กระเป๋ากางเกง อีกสี่คนที่เหลือเริ่มทำตัวไม่ถูก จนเกต์ต้องเป็นฝ่ายออกปากสรุปให้เอง

“งั้นมึงก็นอนกับกู แล้วให้ผานอนกับนิว โอเคปะ?”

“ไม่!/ไม่ครับ!”

ผากับเกต์ที่กำลังยื่นมือออกไปหยิบกุญแจ ชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงคัดค้านจากอีกสองคน สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังศิลป์กับนิวด้วยท่าทางสงสัย ก่อนที่ผู้ชายร่างกำยำต้องเป็นฝ่ายออกตัวเสียงแข็ง

“ไปไหนๆ กูก็ต้องนอนกับมึง เบื่อจะตายชัก” สิ้นเสียงศิลป์ เกต์ก็ตั้งท่าจะเถียงกลับ แต่ไม่ทันได้โวยอะไร นิวก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

“ผมก็ไม่อยากนอนกับพี่ผาเหมือนกัน”

“อ้าววว”

“เอาเป็นว่ากูกับนิวนอนด้วยกัน”

ศิลป์ดึงกุญแจหนึ่งดอกออกมาจากมือกัส และดันไหล่นิวให้เดินตามพนักงานคนหนึ่งออกไปแบบไม่รีรอ ท่ามกลางความงุนงงของสมาชิกที่เหลือ กัสก็จัดการยัดกุญแจดอกสุดท้ายเข้าไปในมือผา ก่อนจะพยักหน้าให้เกมออกเดิน มีติกับพะภูก้าวขาขนาบข้างไปด้วย โดยทิ้งให้เกต์กับผาได้แต่กอดคอวิ่งตามไปเป็นคู่สุดท้าย ตลอดทางเดินก็เอาแต่ฮัมเพลงเบาๆกันอยู่สองคน

“แต่คนถูกทิ้งก็เป็นอย่างเนี้ยะ จะมีทางไหนให้ฉันหลีกหนี ให้ดีไปกว่า จมอยู่กับน้ำตา~~”

เดินต่อได้แค่พักเดียว ก็มาถึงหน้าบ้านพักหลังใหญ่ แบบโอเชี่ยนวิว ดูไฮโซสมราคาอันแพงหูฉี่ แต่ละคู่แยกย้ายกันไปตามหมายเลขบนกุญแจ มีคนยกสัมภาระทั้งหมดมาวางเตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว

ติยื่นกุญแจให้พนักงานในชุดผ้าไหมรับไปเปิดประตูห้อง ข้าวของถูกนำไปเรียงบนชั้นไม้สำหรับวางกระเป๋าโดยเฉพาะ ก่อนจะหันกลับมารับทิปหนักๆตามวิสัย ถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะอึ้งในความหรูหราของที่พักจนแทบเป็นลม แต่ก็อดตื่นเต้นและตื่นตาไปกับทิวทัศน์ระดับพรีเมี่ยม บวกกับความสะดวกสบายอันดับหนึ่งไม่ได้ พะภูรีบตรงดิ่งเข้าไปสำรวจภายในบ้านพักกว้างขวาง หยุดสายตาอยู่กับประตูกระจกซึ่งฉายให้เห็นวิวทะเลสวยงาม เกินกว่าที่เคยจินตนาการถึง ขณะที่กำลังจมลงไปในห้วงความรู้สึกอิ่มเอม เสียงล็อคประตูหลักที่ด้านหน้าก็ดังขึ้นเรียกสติเอาไว้

กริ๊ก

เกือบลืมไปแล้ว ว่าตอนนี้มีเพียงแค่เขากับติสองคนเท่านั้น...

--------------------------------------

ฮือออ มาอัพช้ามาก ขอโทษทีน้า
ช่วงนี้จะสอบแล้ว งานรุมเร้ามาก
ดองด้วยประเด็น 555 ตอนนี้เคลียร์หัวหมุนเลยจ้า
เดี๋ยวจะสอบ 2 อาทิตย์ (ที่จะถึงนี้แล้ว)
ไม่แน่ใจว่าจะมาต่อได้อีกทีเมื่อไร
แต่จะพยายามมมม หาเวลามาแต่งต่อให้ได้ TT
ถ้ายังไงฝากนักอ่านทุกคนติดตามไปเรื่อยๆด้วยน้า
อย่าทิ้งเราไป~ 555
สุดท้ายก็ต้องขอบคุณทุกๆคอมเม้นที่เป็นกำลังใจอย่างดีเช่นเคยค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: corn_rain ที่ 20-09-2013 22:01:52
อุต๊ะ
พี่ติ ถึงบรรยากาศจะพาไปยังไงก้อ...เบาๆนะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-09-2013 03:50:07
ค้างงงงง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 21-09-2013 10:44:16
บรรยากาศ อย่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ............
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 21-09-2013 11:18:35
อุ๊ก ล็อคประตูแล้วจะทำอะไรน้อ
แค่ป้องกันขโมยเข้าห้องใช่มั้ย
(ขโมยพะภูน่ะ ^^)
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 21-09-2013 11:39:06
กริ้ก!! คำเดียวที่ทำร้ายจิตใจ  :ling3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 21-09-2013 11:42:03
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:น้องพระภูกับพี่ติเข้าห้องแล้ว :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 21-09-2013 16:34:08
อยู่กันสองต่อสองงงง :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 24-09-2013 19:18:24
เฮ้ยยยยยย~~ อยู่ด้วยกันแล้วไง~~

*ซับเลือดๆ* จินตนาการมันไปไกลเหลือเกิน! ว๊าก!  :pighaun:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 25-09-2013 11:29:19
น้านนน อยู่ด้วยกันต่อแล้วเป็นไงน้อออ รออ่านจ้าา  :z1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 25-09-2013 14:27:42
อั๊ยย่ะ เสร็จแน่ๆ  :haun4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 17 | 20/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 25-09-2013 17:39:57
พะภูต้องการใช้ติเป็นเครื่องมือใช้ป่ะ
พอติรู้เข้าก็ดราม่าใส่กันใช่ป่าว
อิอิ เรามั่วแระ

รอตอนต่อไปจร้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 28-09-2013 19:25:21
บทที่ 18

 

“จุ๊บ”

แขนแกร่งตรงเข้าโอบรอบเอวบางของพะภูไว้จากทางด้านหลัง ติค่อยๆโน้มหน้าลงมา ฝากรอยจูบลงบนซอกคอขาว ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้ง แต่แม้อยากหนียังไง ก็ต้านทานเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายไม่ได้เลย

“พะ..พี่ติ!?”

พะภูร้องเรียกเมื่อคนตัวสูงกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้น สันจมูกลากไล้ตั้งแต่พวงแก้มเนียนไปจนถึงใบหู ออกแรงขบเบาๆอย่างหยอกล้อ ก่อนจะจับตัวคนเด็กกว่าให้หันกลับไปเผชิญหน้ากัน

“ชอบไหม?” ติถามขึ้นพลางกวาดสายตาไปรอบๆห้อง กระจกและหน้าต่างทุกบานฉายให้เห็นวิวทะเลสีใส คนโดนกอดพยักหน้าสองสามที พยายามดันตัวออกห่าง

ติก้มลงมองเด็กที่กำลังตีสีหน้าซีดเผือดภายในอ้อมแขนของตัวเองอย่างไม่พอใจนัก ทั้งที่ใจตรงกันแล้ว ก็ยังมีท่าทีขัดขืน ราวกับรังเกียจนักหนา ปากบอกว่าชอบแต่ร่างกายเอาแต่ปฏิเสธกันแบบนี้มันน่านักนะ...

“เหวออ!!”

คนตัวใหญ่พ่นลมหายใจออกมาทางปาก แขนสองข้างอุ้มร่างทั้งร่างของพะภูขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย คนตัวเล็กที่ไม่กล้าดิ้นได้แต่ตะโกนโวยวายด้วยความตกใจ ก่อนจะถูกโยนลงบนเตียงขนาดใหญ่ของโรงแรม ตามด้วยร่างกำยำของติที่คลานขึ้นมาคร่อมตัวเขาไว้

“พี่ติจะทำอะไรครับ!?”

“แล้วคนรักกัน เขาทำอะไรล่ะ?”

“พะ..อุบ!”

คำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นคำถามกำกวมจนฟังดูน่ากลัว ไม่รอให้ตั้งตัว กีรติก็ตรงเข้าครอบครองริมฝีปากบางของอีกฝ่ายแทบจะทันที มือใหญ่รวบข้อมือเล็กๆเอาไว้อย่างที่เคย ก่อนจะปล่อยให้มืออีกข้างทำหน้าที่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าบนตัวของคนด้านล่างออก ท่าทางชำนิชำนาญเป็นพิเศษ

“อื้ออ..พ..”

“อืม..ม”

เสื้อเชิ้ตสีครีมถูกดึงแยกออก เผยให้เห็นแผ่นอกขาวๆ กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการเต้นของหัวใจ นิ้วเรียวของคนด้านบนเลื่อนขึ้นไปเขี่ยติ่งไตสีหวานเล่นได้พักหนึ่ง จึงค่อยถอนจูบออกมา เพราะดูท่าว่าคนโดนแกล้งจะเริ่มปั่นป่วนจนแทบสำลักซะแล้ว

“ฮ..ฮ้า พี่ติ...”

“ก็บอกไปแล้วไง ว่านายเป็นของฉัน”

“มะ..อ๊ะ!”

กีรติเปิดปากพูดได้ไม่กี่คำ ก็กลับมาลากลิ้นสากๆไปกับแผงอกตรงหน้าอย่างจงใจแกล้ง คนด้านล่างสะดุ้งจนตัวลอย ทันทีที่ริมฝีปากของคนตัวใหญ่ครอบลงไปกับหัวนมของตัวเอง ค่อยๆดูดดันอย่างมีชั้นเชิง ส่งให้อารมณ์ภายในตัวของพะภูค่อยๆปะทุขึ้นทีละน้อย

“อ๊ะ! พ..พี่ อื้ออ”

จุกทับทิมทั้งสองข้างถูกละเลงลิ้นจนเปียกชื้น เนื้อขาวๆเกิดร่องรอยสีชมพูขึ้นทั่วบริเวณ เสียงร้องครางด้วยความอายผนวกกับความรู้สึกแปลกๆจากภายในยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ร่างกายด้านใต้บิดไปมา พร้อมๆกับใบหน้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ

“พี่ติ ยะ..อย่า...”

ความรู้สึกมากมายตีกันจนวุ่นไปหมด พะภูรู้ดีว่าควรต้องหยุดการกระทำล้ำเส้นเหล่านี้ แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะขัดขืน ความร้อนภายในตัวพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนแทบระเบิดออกมา... ขณะที่คนตัวใหญ่กำลังสนุกกับการได้เห็นร่างบางตีสีหน้าทรมานด้วยว่าเขินอาย เสียงจากด้านนอกประตูก็ดังขึ้นรบกวนเสียก่อน

“ไอ้ติ! พะภู!”

เกต์ในชุดว่ายน้ำเตรียมพร้อม เดินมาเคาะประตูห้องของเพื่อนสนิทได้พักหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนคนด้านในจะไม่สนใจเขาเลย ถึงต้องเพิ่มระดับเสียงจนแทบจะเป็นการรบกวนแขกคนอื่นๆ ตลอดเวลาที่ยืนอยู่หน้าประตูสีน้ำตาลไม้ ได้ยินเพียงแต่เสียงร้องแปลกๆที่เขาเองก็ไม่นึกอยากจะรู้ว่าเป็นเสียงอะไร ตอนนี้คงมีแค่คลื่นทะเลกับสายลมที่ดังก้องอยู่ในสมองเท่านั้น

“ไอ้เชี่ยเกต์...”

ติสบถเสียงทุ้มต่ำจนน่ากลัว เขาก้มมองใบหน้าขึ้นสีเบื้องล่างครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวเยียด และยอมผละตัวออกจากร่างเล็กบนเตียง ปล่อยให้พะภูมีเวลาหอบหายใจได้อย่างเต็มปอด พลางจัดเสื้อผ้าให้กลับเข้าที่เหมือนเดิม ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูห้องก็เปิดขึ้น พร้อมเสียงเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญจากคนขัดจังหวะ

“ไปว่ายน้ำกันนน”

“ถ้ามึงอยากว่ายมาก มึงก็ไป!”

“เอะอะไรวะ?” ศิลป์ตะโกนตามมา ก่อนที่ร่างสูงจะปรากฏตัวพร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ

“ไอ้ติเป็นบ้า แม่งตะคอกใส่หน้ากู”

เกต์รีบโวยพลางยกนิ้วขึ้นชี้หน้าติอย่างหาเรื่อง ไม่ทันที่ใครจะได้โต้กลับ ร่างบางจากในห้องก็เดินพ้นประตูไม้ออกมา หยุดอยู่ท่ามกลางสายตาแปลกๆจากทุกคน เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นทันที พร้อมกับที่นิวและศิลป์ต่างเบือนหน้าหนีไปอีกทาง กัสค่อยๆยกหนังสือในมือขึ้นสูง ขณะที่อีกสามคนเริ่มหน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ

“ปะ..ไปเหอะ”

เกต์ว่าเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะตรงไปล็อคคอผากับเกมให้รีบก้าวเท้าออกจากบริเวณนี้ คนที่เหลือทยอยเดินตามกันไปอย่างเงียบเชียบ จนพะภูอดสงสัยในท่าทีของพวกนี้ไม่ได้ ส่วนตินั้นดูเหมือนจะพอเข้าใจอยู่ แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมา

“เอ่อ...จู่ๆเป็นอะไรกัน?” เด็กธารวิทยาสาวเท้าเข้าไปขนาบข้างนิว พลางถามขึ้นสีหน้างุงงง อีกฝ่ายได้แต่อึกอักอยู่นานกว่าจะยอมส่งเสียงออกมา

“ที่คอ..”

“หือ?”

พะภูรีบยกมือขึ้นทาบลำคอตัวเอง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ยังคงหลงเหลือบางเบา พอก้มลงสำรวจทั่วทั้งตัวก็พบว่า เสื้อผ้าที่สวมใส่ ตอนนี้มันปรากฏรอยยับชัดเจนจากเหตุการณ์เมื่อครู่

บ้าจริง รอยแดงที่คอ !!!

“อ..อะ..////”

“ไม่ว่ายน้ำเหรอ?” นิวพยายามเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นท่าทีหลุกหลิกของคนข้างๆ พร้อมใบหน้าที่ขึ้นสีแดงชัดเจน ไอ้เหตุการณ์แบบนี้เขาเข้าใจดีสุดๆเลยล่ะ เพราะงั้นถึงรู้ว่าควรตอบสนองยังไง ไม่ให้เจ้าตัวลนมากไปกว่านี้

“ม..ไม่อะ แล้วนายล่ะ?”

“ฉันก็ไม่ มีแค่พี่เกต์ พี่ผา กับเกมล่ะมั้ง” คนหลังเลนส์แว่นว่า พลางส่งสายตาไปทางผู้ชายในกางเกงว่ายน้ำสามคนด้านหน้า

ไม่เท่าไรก็มาถึงโซนทะเล พะภูจัดการถอดรองเท้าออก ก่อนจะเหยียบย่ำลงไปบนหาดทรายขาว เหล่าคนที่ไม่คิดจะแตะน้ำทะเลพากันไปหลบอยู่รอบโต๊ะตัวเล็ก ภายในร่มผ้าใบขนาดใหญ่ของทางโรงแรม ติกับศิลป์เป็นคนประเดิมสั่งเครื่องดื่มมาดับกระหาย ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มก่อตัวขึ้น

“เป็นคนบอกอยากมาทะเลไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่เล่นน้ำล่ะ?” น้ำมะพร้าวถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าพะภู พร้อมกับคำถามจากคนรักตน จะให้แก้ตัวอีกสักกี่ครั้งกัน ไอ้คนที่อยากมาน่ะกระโจนลงน้ำไปโน้นแล้วต่างหาก

“เอ่อ..ผ ผมแค่อยากมาเห็นวิวน่ะครับ”

“เหรอ..”

“เรา..เรามาเล่นเกมต่อประโยคกันไหมครับ?” คนถูกจี้รีบโพล่งออกมาเพื่อเบนความสนใจ และดูเหมือนจะเห็นผลเกินคาด เมื่อสมาชิกที่เหลือต่างพยักหน้าตอบรับ ด้วยว่าไม่อยากนั่งกร่อยเฉยๆ และรอเจ้าสามหน่อเล่นน้ำเป็นผู้ปกครองแบบนี้

“เอาสิ งั้นฉันก่อนนะ..อืม พวกเรามาทะเล” ศิลป์เป็นคนแรกที่เริ่มเกม ท่ามกลางสายตาเรียบเฉย ประหนึ่งจะบอกว่า ‘คิดได้แค่นี้เหรอไง?’

“เลกาซี่ แปลว่ามรดก ในภาษาไทย” กัสวางหนังสือในมือลง ก่อนจะเอ่ยปากต่อประโยคที่ฟังดูจริงจังเหลือเกิน ตามมาด้วยติ ซึ่งยิ่งเพิ่มระดับความจริงจังของเกมให้เพิ่มขึ้นไปอีก

“ไทยเป็นหนึ่งในประชาคมอาเซียน”

“ยากอะพี่ติ!” นิวบ่นขึ้นทันทีที่จบประโยคเมื่อครู่ เจ้าของผมสีน้ำตาลตั้งท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก กว่าจะเปิดปากออกมาได้ “เซียนกำลังทำสวน”

“อะไรของมึงวะ?” ติรีบโวย แต่ก็ถูกรุ่นน้องเถียงกลับขึ้นมาทันควัน

“ก็คนชื่อเซียน กำลังทำสวนไงครับ”

“ฮ่าๆ เอาเหอะครับ ผมต่อนะ...เอ่อ สวนสยามมีเครื่องเล่นมากมาย” พะภูเล่นต่อ ก่อนที่ศิลป์จะเริ่มบังคับให้เกมดำเนินไปเร็วกว่าเดิม คนในวงมีท่าทีสนุกสนานกับการต่อประโยคมากขึ้นเรื่อยๆ จนวนกลับมาถึงตาของกัสอีกครั้ง

“ภาพวาดโมนาลิซ่าจัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์”

ติยกมือขึ้นลูบคางตัวเองไปมาพลางตีสีหน้าคิดหนัก ทำเอาคนในวงอดกลั้นยิ้มในความจริงจังเกิดเหตุของหัวหน้ากลุ่มตัวเองไม่ได้ ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มกลอกไปรอบๆบริเวณ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของศิลป์ซึ่งกำลังตั้งตาคอยคำตอบ ติเผยยิ้มบางเบาออกมา ก่อนจะต่อประโยคถัดไป

“ศิลป์เป็นผัวเฟย์”

ทั้งวงเงียบลงทันควันทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าของศิลป์ซีดเผือด ทำท่าเหมือนอยากจะฆ่าเพื่อนสนิทเสียให้ได้ ในขณะที่นิวกลับก้มหน้านิ่งผิดปกติ พอถูกสะกิดให้เล่นเกมต่อ กลับพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางสายตาแปลกใจจากทุกคน

“ผม...ผมไปเข้าห้องน้ำแป็บนึงนะครับ” คนตัวเล็กพูดขึ้นรัวเร็ว ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปทางโรงแรม ไม่รอให้ใครพูดอะไร ศิลป์ก็รีบวิ่งตามออกไปทันทีโดยไม่สนใจท่าทางงุนงงจากคนที่เหลือเลยแม้แต่น้อย

“นิว!” คนตัวใหญ่เร่งสาวเท้ายาวๆของตัวเองให้ไวขึ้น จนสามารถอ้อมไปดักอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังเดินหนีได้ทัน “อย่าสนใจคำพูดไอ้ติ”

“ผมทำไม่ได้!” นิวตวาดกลับไปอย่างลืมระแวง หยดน้ำใสๆเริ่มคลอขึ้นมาตรงเบ้าตาทั้งสองข้าง โชคดีที่ยังไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้

“นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเฟย์”

“ผมรู้ แต่มันก็ยังเสียใจ”

“นิว... จะไม่ให้เขาหรือใครมาขัดขวางความรักของเรา ฉันพูดแบบนั้นไม่ใช่เหรอ” ศิลป์ขยับเข้าไปประชิดร่างของเด็กตรงหน้าซึ่งเริ่มสั่นเทิ้ม ก่อนจะคว้าตัวของนิวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแน่น น้ำเสียงจริงจังแต่ทว่าแหบพร่าถูกเปล่งออกไป ไม่ทันไรน้ำตาจากคนตัวเล็กก็ร่วงหล่นอย่างห้ามไม่ได้

“ฮึก...”

“ฉันแค่ขอให้นายรอ..”

นิวพยักหน้าช้าๆอยู่ภายในวงแขนแกร่ง พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ให้มากที่สุด เขารู้ดีว่าศิลป์รักเขามากกว่าใคร แต่ความจริงที่คนรักของตนไม่ใช่แค่ของตน มันก็ทำร้ายจนเขาท้อแท้เหลือเกิน หลายครั้งที่ต้องหลบมุมร้องไห้อยู่เพียงลำพังเพราะความเจ็บช้ำแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาทนอยู่เฉยๆโดยไม่รู้สึกเสียใจเลยไม่ได้

แม้ความรักของเขาและศิลป์จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่นาน แต่มันก็หยั่งรากลงไปข้างในจิตใจ ลึกเกินกว่าจะหาคำใดมาอธิบาย ทุกอย่างเป็นเหมือนของขวัญจากฟากฟ้าและกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี จนถึงวันที่เฟย์กลับมาจากเมืองนอก ประกาศตัวว่าเป็นคู่หมั้นของศิลป์อย่างออกนอกหน้าท่ามกลางการรับรู้จากทุกคน วินาทีนั้น...เขาก็กลายเป็นคนนอกไปโดยปริยาย กลายเป็นที่สอง เป็นคนมาทีหลัง ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจเลย

ทั้งที่ศิลป์ให้คำมั่นสัญญาหนักแน่น ว่าจะจัดการเรื่องเฟย์ให้จบให้ได้ แต่ดูเหมือนหนทางนั้นมันยากเย็นจนเขาเริ่มหมดศรัทธาลงเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ความร้ายกาจของผู้หญิงที่ชื่อเฟย์ ครอบครัวของศิลป์เองก็คงไม่มีทางเปิดรับความสัมพันธ์ครั้งนี้ง่ายๆ และถึงแม้ว่าศิลป์จะคอยย้ำอยู่เสมอ ว่ากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อความรักของเรา

แต่ความรู้สึกน้อยใจ มันดูจะมากเกิน...มากเกินจนเขาเริ่มท้อที่จะรอต่อไป...

“ฉันรักนายนะ”

“ผ..ผมก็รัก พี่...”

ศิลป์ผละตัวออกเล็กน้อยพอให้ทั้งคู่ได้สบตากันชัดเจน ค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ทาบริมฝีปากอุ่นลงกับพวงแก้มขาวซีด ก่อนจะลากต่อไปยังริมฝีปากบางสีส้ม นิวยกแขนขึ้นโอบรอบคอของศิลป์ไว้หลวมๆ ขณะที่คนตัวสูงกำลังเค้นคลึงสะโพกมนอย่างโหยหา ลีลาการจูบของทั้งสองคนเริ่มร้อนแรงขึ้นตามลำดับ โดยที่ลืมสนใจทุกสิ่งรอบตัวไปชั่วขณะ เพียงแค่ต้องการกอบโกยช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้มากที่สุด

“พี่ศิลป์!...นิว!?”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้คนถูกเรียกต้องรีบผละตัวออกจากกันทันที ดวงตาสองคู่เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าซีดเผือดของผู้มาเยือน ความอึดอัดกดดันบางอย่างตรงเข้าจู่โจมไปทั่วบริเวณแห่งนี้

“พะภู!!”

----------------------------------------

อยากจะเพิ่มบทของ ศิลป์กับนิว ให้มากขึ้นนะ ;w;
แอบอวยส่วนตัวเบาๆ
นี่คือหนีกองหนังสือมาอัพให้ หลังจากนี้น่าจะหายยาว
ประมาณ 7 วันขึ้นไป  :hao5:
แต่อย่าเพิ่งทิ้งเราไปน้า รอด้วยๆ เดี๋ยวจะกลับมาาา
ทริปทะเลหน้าหนาวยังมีอะไรอีกเยอะ !
แล้วก็ขอบคุณทุกๆคอมเม้นเช่นเดิมค่า มีกำลังใจมากเลย  :3123:
จะรีบมาต่อหลังจากสอบเสร็จเลยน้า  :mew2:
แอบทิ้งท้ายไว้ว่า จะมีตัวละครปริศนาโผล่ออกมาในตอนหน้าด้วยล่ะ
(แต่ยังไม่ได้แต่งเลย คิดไว้เฉยๆ 5555)
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 28-09-2013 19:58:48
อยากให้มีฉากของพะภูกับพี่ติอีกเยอะ ๆ จ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MZter ที่ 28-09-2013 20:14:25
 อยากจับเกต์ไปถ่วงทะเลพร้อมกับคนชื่อเฟย์ซะจริงๆ :katai1:
คนแรก ข้อหาขัดขวางฉาก NC
คนที่สอง ข้อหาโผล่มาไม่ถูกที่ถูกเวลา ทำให้เกิดอุปสรรคระหว่างศิลป์กับนิว
ฆ่า มานนนนนนนน  :m31:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 28-09-2013 20:51:51
พะภูเห็นของดีซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pannixz ที่ 28-09-2013 21:22:39
 :m15: สงสารนิว
 :beat:  :z6: แค่ยัยเฟย์
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 28-09-2013 21:58:56
สงสารคู่ศิลป์ กับ นิว  :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-09-2013 23:22:21
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:พระภูมาเห็นพอดีเลย :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-09-2013 01:46:36
เอิ่มมม!!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 30-09-2013 02:06:11
สงสารนิวแท้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 30-09-2013 06:36:36
สนุกดีอะ พึ่งอ่าน พระเอกเราน่ารักนะเนี่ย  ถึงแรกๆจะเถื่อนไปนิดก็อภัยได้
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 30-09-2013 09:23:46
ตายละความแตก แต่กับพะภูคงไม่เป็นไรมั้ง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 30-09-2013 14:33:25
สงสารนิวอ่ะ

พะภู ปิดตาไม่ทันแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 30-09-2013 15:43:41
พะภูกะพี่ติกะลังน่ารัก o13
ขอฉากสวีทยาวๆๆๆเลยนะคะ  :impress2:

ส่วนคู่พี่ศิลป์กะนิวกะลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียด เฮ้อ สงสารนิว  :mew6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 30-09-2013 18:42:00
สงสารนิวจัง


แต่ตะกี้ ถ้าพวกพี่เกต์ไม่เคาะประตูก่อน พระภูเสร็จพี่ติไปแล้ววววว  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 18 | 28/09/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 02-10-2013 12:43:29
เอ่ม...พี่ติกะพะภู  :pighaun:

5555 ขอฉากสวีทเยอะๆๆๆๆ

ปล. เอาแล้วไงพะภู เห็นของดีแล้วไงลูก อิๆ :haun4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 05-10-2013 21:48:54
บทที่ 19

 

7 เดือนก่อน

“ไอ้เวร!!”

ผลัวะ!

ตุ้บ!

เสียงเอะอะจากหน้าประตูโรงเรียนนักเลงอย่างวิไลวิทย์ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน เด็กผู้ชายม.ปลายสองกลุ่มกำลังเข้าตะลุมบอนกันยกใหญ่ และค่อยๆขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนหลายคนที่ยืนรอรถโดยสารบนฟุตบาทต้องรีบอพยพไปทางอื่นเกือบหมด

“ไอ้เหี้ยศิลป์!”

ชายร่างใหญ่ตะคอกอย่างสุดกลั้น ก่อนจะปราดเข้าหามือซ้ายจอมโหดแห่งกลุ่มอันธพาลที่ใหญ่ที่สุดของโรงเรียน ในขณะที่คนโดนท้ากลับยืนรออยู่แล้วด้วยท่าท่างสนุกสนานเต็มที เมื่อคู่อริพุ่งเข้าใส่ เขาก็ยกเท้าขึ้นถีบอีกฝ่ายออกไปอย่างแรง

“อั่ก!?”

ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ เด็กผู้ชายตัวเล็กในชุดม.ต้นบนขอบฟุตบาท ท่าทางจืดจางจนแทบไม่รู้สึกถึง กำลังเซไถลลงไปยังถนนด้านหน้า ด้วยว่าถูกกระแทกจากร่างที่ลอยมาตามแรงถีบเมื่อครู่ พอดีกับเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ซึ่งกำลังตรงเข้ามา เร็วเกินกว่าจะหยุดได้ทัน

โครมมม!

นักเรียนตัวผอมกลิ้งลงไปนอนแหมะเกือบกลางถนนสายเล็กๆ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้หญิงทันทีที่เลือดสีแดงข้นเริ่มไหลออกมาจากศีรษะ คนที่เพิ่งโดนถีบมาชนเด็กบนพื้นรีบยันตัวเองลุกขึ้น ก่อนจะกวักมือเรียกลูกน้องคนอื่นๆให้หนีออกจากบริเวณกันจ้าละหวั่น

“เชี่ยแล้ว..”

ศิลป์สบถคำโต มองหน้าคนในกลุ่มเลิ่กลั่ก สักพักก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปช้อนร่างบนถนนขึ้นมา สีหน้าซีดเผือด มีเพื่อนอีกคนตามมาเก็บกระเป๋าและแว่นตาบนพื้น แน่นอนว่าไอ้มอเตอร์ไซค์คันเมื่อครู่ ได้หนีหายเข้ากลีบเมฆไปเรียบร้อยแล้ว

รถเก๋งสีเงินวาวของรุ่นน้องคนหนึ่งขับมาจอดใกล้ๆ ไวยิ่งกว่าคำสั่ง ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะรีบกระโจนเข้าไปด้านใน พร้อมพยุงร่างอาบเลือดของเด็กโรงเรียนตัวเองไว้ด้วย ทุกคนเอาแต่นั่งทำหน้าไม่ถูก มือไม้สั่นตลอดทางไปโรงพยาบาล แต่คนที่ต้องคิดหนักสุดก็เห็นจะเป็นมือซ้ายจอมหาเรื่อง ซึ่งกำลังก้มมองใบหน้าขาวซีดของเด็กบนตักอย่างเครียดจัด ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายถีบไอ้เวรนั่นไปชนหมอนี่ ถือเป็นเรื่องราวซวยๆในวันสุดท้ายของการสอบจบชั้นม.5

รถยนต์จอดตัวลงหน้าโรงพยาบาลเอกชนใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าใครกำลังเปิดประตูออกมา เหล่าพยาบาลทั้งหลายก็รีบรุดเข้าหากันแทบไม่ทัน ร่างสลบไสลของนักเรียนหน้าไม่คุ้นตาถูกยกขึ้นเตียง ตรงไปยังห้องฉุกเฉิน หนึ่งในกลุ่มรับอาสาเจรจากับทางคุณหมอ ปล่อยให้ตินั่งสงบจิตใจอยู่บนเก้าอี้ ได้แต่กำมือแน่นจนเส้นเลือดปรากฏเด่นชัด ในหัวภาวนาให้คนไม่รู้จักปลอดภัยด้วยเถอะ หลายคนอาจไม่รู้ว่าผู้ชายจอมหาเรื่องคนนี้มีพ่อจอมโหดเป็นนายตำรวจยศสูง ซึ่งพร้อมจะฆ่าลูกตัวเองได้ทุกเมื่อหากไปก่อคดีร้ายแรงเข้า และถ้าเกิดอะไรกับเด็กนี่ขึ้นมา เชื่อเลยว่านั่นหมายถึงชะตาของเขาเช่นกัน

นานพอดูกว่าที่คุณหมอร่างท้วมจะเดินซับเหงื่อออกมา คำพูดที่ว่า ‘คนไข้ปลอดภัยดีครับ’ แทบทำให้ศิลป์เกือบร้องตะโกนด้วยความโล่งอก พอจบปัญหาไปหนึ่งเปลาะ ก็หันกลับไปไล่พวกเด็กในกลุ่มคนอื่นๆให้แยกย้ายกลับบ้าน ไม่อยากต้องดึงไอ้พวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เขาสร้างเอง ก่อนจะจบตัวลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ ภายในห้องพิเศษขนาดกว้าง ได้แต่ไล่สายตามองร่างเล็กๆบนเตียงอย่างพิจารณา ผิวขาวอย่างกับกระดาษดูน่ากลัว ยิ่งกับทรงผมยาวๆปิดหน้าปิดตานั่นแล้ว ก็แทบไม่จับสายตาใครเลย บนหน้าผากตอนนี้มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ เช่นเดียวกับแขนข้างขวาซึ่งถูกจับเข้าเฝือกชิ้นหนา สาบานได้ว่าเขาไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าผู้ชายคนนี้ในรั้ววิไลวิทย์

“ใครวะเนี่ย..” พึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะฟุบหน้าลงบนเตียง ปล่อยให้จิตใจค่อยๆจมลงไปในห้วงนิทรา นานเท่าไรไม่รู้ที่ศิลป์มัวแต่พักผ่อนจนเกือบลืมไปว่ากำลังอยู่ที่ไหน กว่าจะรู้สึกตัวตื่นอีกที ฟ้าด้านนอกก็กลายเป็นสีดำสนิทแล้ว

“ท..โทษที ฉันหลับไป” คนตัวใหญ่เอ่ยปากพลางขยี้ตาตัวเองสองสามที พอให้เห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น คนเจ็บบนเตียงกำลังนั่งกดมือถืออยู่อย่างเงียบๆ มีแว่นตากรอบสีเหลี่ยมสีน้ำตาลคาดอยู่บนหน้า

“นาย...เป็นอะไรไหม?” คำถามเบสิคที่สุดถูกถามออกไป ทำให้คนตัวเล็กต้องเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ก่อนจะหันมาคุยกับศิลป์เป็นเรื่องเป็นราว ใบหน้าเรียบเฉยที่แสดงออกมา ทำให้เดาไม่ถูกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ไม่แล้วครับ ขอบคุณ”

“คือ ฉันขอโทษจริงๆนะ ทำให้โดนลูกหลงแบบนี้..”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แล้ว.. นายชื่ออะไร?”

“ผมชื่อนิวครับพี่ศิลป์”

คนตั้งคำถามเมื่อครู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังตกใจที่เด็กนี่รู้ชื่อของเขาด้วย แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อนอย่างรู้ทัน

“ใครๆในโรงเรียนก็รู้จักพี่ทั้งนั้นแหละครับ”

จริงสินะ...ก็เกือบลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร หนึ่งในหัวขบวนของกลุ่มกีรติ กลุ่มนักเรียนนักเลงที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ แหม ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่จริงๆน่ะแค่แหล่งรวมตัวพวกบ้าชวนตีเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าหน้าไหนก็เอาแต่กลัวพวกเขาจนหัวหด โอเวอร์เสียจนน่าหมั่นไส้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อแท้ของกลุ่มกีรติ มันไร้สาระสิ้นดี

“อ่า แล้วนายเป็นเด็กม.1เหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“เปล่าครับ ผมม.3แล้ว” ดวงตาของศิลป์เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู เด็กตัวกะเปี๊ยกเดียว จะขึ้นม.ปลายแล้วเนี่ยนะ หลอกกันหรือเปล่า

“ไม่ได้หลอกนะครับ ผมอยู่ม.3 จะขึ้นม.4แล้ว”

เดี๋ยวนะๆ พูดเหมือนอ่านความคิดกันออกแบบนี้ ชาติที่แล้วทำอาชีพหมอดูหรอครับ!

“แต่พี่คงไม่รู้จักผมหรอก ผมหลืบจะตาย”

“ก็นั่นน่ะสิ ปล่อยให้ผมยาวรุงรังแบบนี้ แค่หน้าชัดๆของนายฉันยังไม่เห็นเลย” คนตัวสูงเริ่มพูดคุยด้วยอย่างผ่อนคลายมากขึ้น เขาพรวดพราดลุกออกจากเก้าอี้และตรงเข้าไปคว้าหัวไหล่ของเด็กบนเตียงเอาไว้ ทำท่าทำทางอย่างกับคุณพี่ที่กำลังหงุดหงิดน้องชายก็ไม่ปาน

“พะ..พี่ศิลป์!?”

“นี่ไง...ก็...”

มือข้างหนึ่งกดไหล่คนบนเตียงไว้ไม่ยอมให้หนี อีกด้านยกขึ้นเสยผมรุงรังของนิวออกไป เป็นวินาทีแรกที่เขาได้หยุดมองดูใบหน้าขาวซีดนี้ให้ชัดเจน เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันดูดีขนาดไหนยามไม่มีเส้นผมใดๆมาบดบัง โครงหน้าเรียว เกลี้ยงเกลา เบื้องหลังเลนส์แว่น บัดนี้กลับขึ้นสีเลือดฝาดอย่างที่อยากเห็น แก้มแดงๆบนผิวขาวเผือดไม่ได้ดูน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว

“ดูดีออก...”

สิ้นสุดคำพูด ศิลป์ก็รีบผละตัวลงมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม อารมณ์ชะงักงันเมื่อครู่ถูกไล่ออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับที่คนตัวเล็กเริ่มยีหัวตัวเองให้กลับมาเป็นทรงเดิม ก้มหน้างุดเสียยิ่งกว่าเก่า บรรยากาศภายในห้องเริ่มเข้าสู่ความเงียบสงัด ก่อนที่พยาบาลจะเปิดประตูเข้ามา ศิลป์ได้จังหวะปลีกตัว แต่ก็ไม่ลืมสัญญาว่าจะคอยดูแลคนเจ็บจนกว่าจะหายดี แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาต้องรับผิดชอบ

คนตัวสูงเดินพ้นประตูห้องพิเศษออกไปด้วยรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกแบบนี้โดยที่ไปสร้างเรื่องเดือดร้อนไว้ แต่อะไรบางอย่างกำลังตะโกนบอกเขาว่า ‘โชคดีจริงๆ’

วันแรกของการปิดเทอมฤดูร้อน ถูกประเดิมด้วยการแวะเยี่ยมผู้ป่วยรุ่นน้อง เค้กช็อกโกแลตจากร้านเบเกอรี่ชื่อดังตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะเลื่อนของทางโรงพยาบาล ในขณะที่คนบนเตียงดูไม่ตื่นเต้นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้

“เป็นอะไร ไม่ชอบเหรอ?” คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ ทำเอาศิลป์ถึงกับหน้าเสีย สายตาจ้องมองก้อนเค้กตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง น้ำเสียงเหมือนเด็กเอาแต่ใจดังขึ้นงืมงำ “แล้วชอบอะไรอะ..?”

“อืม...สตรอเบอรี่ มั้ง”

พรึ่บ!

นิวเกือบหลุดส่งเสียงร้อง เมื่ออยู่ดีๆคนข้างเตียงก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องอย่างไร้คำบอกกล่าว เกือบ 10 นาทีผ่านไป ก็กลับมาพร้อมสตรอเบอรี่ ช็อตเค้กชิ้นใหญ่ในถุงของร้านกาแฟใต้โรงพยาบาล เรียกรอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี

“ไม่เห็นต้องไปซื้อมาเลย” พูดไปแบบนั้น ทั้งที่ข้างในก็ดีใจจนซ่อนไม่อยู่ คนกำลังยืนหอบไม่ตอบอะไร เพียงแต่เดินเอาเค้กมาวางบนโต๊ะแทนที่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม แค่รู้สึกว่าอยากให้เด็กคนนี้ดีใจ อยากเห็นเขายิ้ม...

มันแปลกมาก เขากับนิวสนิทกันได้ภายในระยะเวลาแสนสั้น ทุกครั้งที่เริ่มพูดคุยกันมักทำให้เขารู้สึกสบายใจได้อย่างน่าประหลาด บรรยากาศชวนหดหู่ยามต้องสนทนากับเด็กคนอื่นๆ แทบไม่มีอยู่เลย

“ไม่คิดว่าพี่ศิลป์จะใจดีขนาดนี้” นิวว่า มือซ้ายหยิบส้อมตักชิ้นเค้กตรงหน้าอย่างเก้ๆกังๆ จนคนนั่งมองแทบอยากจะดึงเค้กมาป้อนให้เอง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำ เพราะกลัวว่าจะดูผิดปกติมากไปหน่อยหรือเปล่า

“ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ คนอื่นแค่ไม่รู้จักกันจริง แล้วก็ตัดสินไปเรื่อย” พอพูดประเด็นนี้ทีไร ก็อดใส่อารมณ์หงุดหงิดไม่ได้ “ชอบมองว่าน่ากลัวไว้ก่อนตลอด ทั้งที่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ไม่รู้อะไรเลยแล้วพูดแบบนั้น..”

เสียงของคนพูดเริ่มแผ่วลง มีมือเล็กๆเอื้อมเข้ามากุมมือเข้าไว้หลวมๆเหมือนต้องการส่งผ่านกำลังใจ ซึ่งเจ้าตัวคงไม่รู้หรอก ว่าสัมผัสเล็กน้อยนี้มันช่วยให้จิตใจเขาโปร่งขึ้นมากขนาดไหน ให้ตายสิ.. มันชักจะแปลกกันเข้าไปใหญ่ ทำไมถึงรู้สึกดีที่ได้อยู่กับเด็กนี่จัง

“แล้วนายล่ะ กลัวฉันรึเปล่า?” คำถามลองใจถูกส่งออกไปด้วยน้ำเสียงคาดหวังบางอย่าง นิวไม่ได้หลบสายตาไปทางไหน แต่กลับตอบออกมาตรงๆ ทำเอาคนฟังใจชื้นขึ้นมากโข

“ไม่ครับ”

รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น ทำเอาใจอีกคนกระตุกวูบ ถึงแม้จะมีกลุ่มเส้นผมปรกหน้าปรกตา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความน่ารักน่าหยิกที่แผ่ออกมาได้เลยสักนิดเดียว ถ้าแค่มองผ่านไปก็จะไม่รู้สึกถึงหมอนี่เลย แต่ถ้าได้ตั้งใจมองสักครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะละสายตาออกไปไม่ได้เช่นกัน

บ้าชะมัดที่เผลอยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้ และคงบ้ากว่ามากที่เผลอคิดว่า อยากย้อนเวลากลับไปป้อนเค้กให้เด็กคนนี้จริงๆเลย

 

เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ศิลป์แวะเวียนมาเยี่ยมนิวไม่ได้ขาด ข่าวลือเรื่องมือซ้ายแห่งกลุ่มกีรติที่คอยตามปรนนิบัติเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนทำเอาเขาเกือบสูญเสียภาพลักษณ์นักเลงหน้าโหด ถึงอย่างนั้น การมาโรงพยาบาลทุกวัน ก็ดูจะกลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเขาไปเสียแล้ว และคงจะดูน่าขนลุกไม่น้อยทีเดียว ถ้าต้องสารภาพตามตรงว่าเหตุผลหลัก ก็คือการมาพบหน้ารุ่นน้องตัวเองคนนี้

“พี่ศิลป์!” นิวร้องขึ้น ไม่มีการปกปิดความดีใจแต่อย่างใด ตอนนี้ที่หน้าผากหลงเหลือไว้แค่ผ้าก๊อซแผ่นเล็กๆ ส่วนเฝือกรอบแขนก็โดนถอดออกไปแล้ว คนตัวสูงยิ้มกว้างเป็นการตอบกลับ สายตาเหลือบมองผู้ชายในสุดชูทซึ่งกำลังก้มตัวผ่านเขาออกไปด้านนอก

“ลูกน้องของบ้านผมเองครับ ผมขอให้เอาหนังมาให้” คนบนเตียงรีบบอกเหมือนรู้ความคิด ก่อนจะชูกล่อง DVD ภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่งขึ้น หนังผีเนี่ยนะ..

ศิลป์ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เดินไปเปิดทีวีจอใหญ่ของห้องพิเศษให้ ก่อนจะสอดแผ่นดิสก์เข้าไป เดินกลับมานั่งประจำที่เก้าอี้ข้างเตียง เนื้อเรื่องน่ากลัวจนแม้แต่เขายังอดเสียวสันหลังวาบไม่ได้ แถมดันเป็นเรื่องราวสยองขวัญในโรงพยาบาลร้างอีกต่างหาก ไอ้เด็กนี่ก็ช่างคิดดีเหลือเกิน ตัวเองกลัวจนแทบมุดหายเข้าไปในหมอนอยู่แล้ว ก็ยังจะเลือกหนังแนวนี้มาดูเอาในเวลาแบบนี้อีกนะ

ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนจากสีส้มเป็นสีกรมท่า สักพักก็มืดสนิท ทอประกายแสงดาวนับล้าน เคียงคู่พระจันทร์เสี้ยวสวย หนังจบแล้วแต่คนอยากดูยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาควานหาสร้อยพระอยู่เลย แบบนี้จะไหวไหมให้ทาย

“ฉันกลับแล้วนะ”

“เดี๋ยว!”

“หืม..?” คนตัวสูงพยายามกลั้นยิ้ม ยื่นใบหน้าเจ้าเล่ห์เข้าไปใกล้เด็กที่ยังเอาแต่กำหมอนในมือแน่น ดวงตากลมโตหลังเลนส์แว่นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด...น่ารักดีแฮะ

“เอ่อ...คืนนี้อยู่นอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม?”

“นี่นายกำลังเชิญชวนฉันอยู่รึเปล่า?” ถูกตั้งถามคำกวนตีนกลับ ทำเอาใบหน้าเล็กชาแดงไปทั่วจนถึงใบหูทั้งสองข้าง หมอนในมือถูกปาออกไปปะทะแผ่นอกแกร่งซึ่งกำลังกระเพื่อมตามแรงหัวเราะ

“พี่ศิลป์!!”

ต้องเรียกว่าหมดสภาพนักเลงนาม ศรศิลป์ อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าเวลาไหนที่อยู่ต่อหน้าเด็กชื่อนิว ก็ทำให้เขาหลุดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้อย่างง่ายๆ รู้สึกเหมือนไม่ต้องกลัวอะไร สบายใจที่จะทำลายกำแพงสูงใหญ่ลง ซ้ำร้าย ยังมีความสุขอย่างน่าประหลาด ‘อยากอยู่อย่างนี้’ นั่นคือความคิดในหัวของเขา

ไม่นานนัก คุณพยาบาลก็เอาชุดคนไข้ตัวใหม่มาเปลี่ยนให้คนตัวเล็ก ซึ่งวันนี้ยิ่งดูน่ารักเป็นพิเศษ เพราะกลัวจนขึ้นสมอง เลยยอมให้เขาขึ้นมาเบียดนอนบนเตียงเดียวกัน ทั้งที่พูดออกไปเล่นๆเท่านั้น ไฟในห้องถูกปิดตัวลงจนหมดแล้ว หลงเหลือไว้เพียงแสงสลัวที่ลอดผ่านออกมาจากประตูห้องน้ำ ท่าทางว่านิวจะกลัวจริงๆ ถึงได้ไม่ยอมปล่อยมือจากเสื้อเขาเลย

เสียงเครื่องปรับอากาศในห้องคือเสียงที่ดังที่สุดในตอนนี้ เวลาผ่านไปนานจนร่างบางข้างๆจมเข้าสู่ดินแดนความฝัน ทิ้งให้เขาได้แต่แอบมองใบหน้าสว่างอยู่เพียงลำพัง นอกจากครอบครัว กับเพื่อนสนิทสองคนแล้ว เขาไม่เคยนึกอยากจะเปิดเผยตัวตนให้ใครได้รู้จัก เพราะไม่เคยเชื่อว่าจะมีใครคนไหนสามารถเข้าใจตัวตนเหล่านั้นของเขาได้อย่างแท้จริง หากคนทั้งโลกจะมองว่าเขาร้ายก็ไม่สน จนเกิดเป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่มีเพียงแค่ประตูบานเล็กๆ ล็อกกุญแจแน่นหนาเอาไว้เท่านั้น แต่ทำไมไม่รู้ นิวถึงได้เดินเข้ามาสะเดาะกุญแจนั้นออกอย่างง่ายดาย เปิดประตูเข้ามาในชีวิตของเขา และมอบสัมผัสอันแสนอ่อนโยนให้ ภายใต้ใบหน้าน่ารักที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังแว่นตากับเส้นผมสีนิล

มันแปลกมากจริงๆ กับช่วงเวลาเพียงไม่นาน... กลับทำให้เขารู้สึกเชื่อใจเด็กคนนี้อย่างไร้ข้อกังขา แบบนี้มันเหมือนกับตัวต่อชิ้นสุดท้ายที่หายไป เมื่อไรก็ตามที่ได้พบพาน ชิ้นงานตรงหน้าก็คงสมบูรณ์ได้ในทันที

สงสัยเหลือเกิน...ว่าตอนนี้ชีวิตของศรศิลป์ที่แหว่งหาย มันถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์แล้วหรือยัง?

ใบหน้าเรียวค่อยๆเลื่อนเข้าหาเด็กในห้วงนิทรา มือใหญ่โอบรอบเอวบางอย่างระวังที่สุด ค่อยๆยกตัวเองขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากบางจะจรดลงบนแก้มใส อวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมดด้วยเหตุผลบางอย่าง กลับกลายเป็นว่าหัวใจ ส่งเสียงดังยิ่งกว่าอะไรในห้อง...

ศิลป์ลากริมฝีปากเข้าแนบกับเรียวปากอิ่ม แช่ไว้อย่างนั้นสักพัก ก็ค่อยถอนตัวออกมา นิวยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องอะไร ขณะที่อีกคนกำลังจะเสียสติไปเพราะการกระทำเมื่อครู่ มือที่เคยจับเอวอีกฝ่ายไว้ยกขึ้นครอบปากร้อนผ่าวของตัวเอง ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างที่ไม่เคยมาก่อน

บ้าไปแล้ว ศรศิลป์...

-----------------------------------------

โอ้ยย สอบเสร็จแล้วคือนิพพาน TT
ตอนนี้นึกว่าจะสั้นๆ ทำไปทำมา แต่งเพลินเลย
ตัวละครปริศนาที่บอกเลยยังไม่ได้ออก
แต่ตอนหน้ามาแน่นอน พร้อม ติ-พะภู
ส่วนตอนนี้ฟินกับ ศิลป์-นิว ไปก่อนนะ
น่ารักไม่แพ้เลย เราชอบมากอะ 55555
ถ้ายังไงขอคอมเม้นให้คู่นี้ด้วยน้า~
ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยค่า <3
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 05-10-2013 22:51:17
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[คู่นี้ก็น่ารักดี :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 06-10-2013 19:34:14
รอดูตัวละครปริศนาตอนหน้า

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.9
เริ่มหัวข้อโดย: rinia ที่ 06-10-2013 19:43:53
น่ารัก
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-10-2013 01:49:20
อุ้ต้ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 07-10-2013 10:58:51
นี่คือการพบกันครั้งสินะ
ถึงได้ก่อเกิดเป็นสมัพันธ์ขึ้นมา
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: PapermintReal ที่ 07-10-2013 11:40:57
หายไปนาน

เขารักกันแล้ววว :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 07-10-2013 14:51:37
เบื้องหลังของคู่นี้ก็น่ารักจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Crown ที่ 07-10-2013 15:09:19
คู่นี้น่ารักจริงๆ

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 19 | 05/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 10-10-2013 22:18:26
 :L1:น่ารัก
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 20 | 11/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 11-10-2013 18:47:28
บทที่ 20

 

ในที่สุดก็ถึงวันสุดท้ายของการนอนปลักอยู่บนเตียงสีขาว ศิลป์รีบออกตัวชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ตามความรับผิดชอบ ก่อนทั้งคู่จะออกมายืนรอรถที่ด้านหน้าโรงพยาบาล ทรงผมปิดหน้าผิดตาของนิวที่เคยโดนศิลป์เอ็ดใส่ ตอนนี้เขากลับรู้สึกชอบใจขึ้นมา อย่างนี้แหละดีแล้ว...ไอ้ใบหน้าแบบนั้น ให้เขาเห็นคนเดียวก็พอ

“ไม่เป็นไรแล้วจริงๆนะ?” หันไปถามคนตัวเล็กข้างๆ ย้ำแล้วย้ำอีกด้วยความกังวล

“ไม่เป็นไรแล้วครับ”

“อืม ต่อไปก็ทักฉันด้วยล่ะ ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะ”

“ครับ ถ้าเจอจะทักนะ” ศิลป์เลิกคิ้วสูงกับคำตอบของอีกฝ่าย คำถามชวนสงสัยถูกส่งออกไปแทบจะทันที

“เปิดเทอมจะไม่เจอกันรึไง?”

“เอ่อ...” นิวก้มหน้ามองพื้น สายตาครุ่นคิดหลบลงอย่างหวาดๆ มีบางสิ่งที่ยังไม่ได้บอกให้ศิลป์รู้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันสำคัญพอให้พูดออกไปรึเปล่า ในเมื่อทั้งคู่ก็แค่บังเอิญมารู้จักกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

“มีอะไร?” ศิลป์ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าว ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งน้อยๆ ในที่สุดก็ยอมสูดหายใจเข้าเต็มปอด และเงยหน้าขึ้นสบตากัน

“ผมคงไม่ต่อม.ปลายที่วิไลวิทย์ อาทิตย์หน้าจะเดินทางไปออสเตรเลียแล้วครับ”

“ว่าไงนะ?” ความโกรธเคืองก้อนโตถูกจับได้ภายในน้ำเสียงแผ่วเบาเมื่อครู่ คิ้วสองข้างของศิลป์ค่อยๆขมวดมุ่นเข้าหากัน ดวงตาสีนิลไหวระริก

“ผมจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย เราอาจจะไม่ได้พบก..”

“ทำไมเพิ่งบอก!”

“อึ่ก..”

คนโตกว่าตรงเข้าคว้าแขนสองข้างของนิวไว้แน่น เขาทำได้แค่เบือนหน้าหนีสายตาไม่เข้าใจซึ่งถูกส่งมาให้ ทุกคำพูดของศิลป์ตอนนี้ ปะปนไปด้วยความโกรธและเสียใจในคราวเดียวกัน แอบคิดไว้แล้วว่ามันอาจจะลงเอยแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะเป็นจริงๆ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับบีบรัดคนทั้งสองให้พันผูกกันมากมายถึงขนาดนี้

“พี่ศิลป์.. ผมเจ็บ...”

คนตัวสูงขมวดคิ้วเข้าหากันยิ่งกว่าเก่า พยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะเพื่อเรียกสติ ค่อยๆคลายแรงที่มือ ก่อนจะผละตัวห่างออกมา พอดีกับที่รถแวนคันหรูขับเข้าจอดลงตรงหน้าประตูโรงพยาบาล สักพักก็มีผู้ชายในชุดสูทเปิดประตูออกมารอต้อนรับคนเพิ่งหายเจ็บ

“คุณหนู เชิญครับ”

หนึ่งในลูกน้องของบ้านนิวก้มตัวลงทำความเคารพทั้งสอง ก่อนผายมือไปทางประตูรถซึ่งเปิดกว้างอยู่ ดูเหมือนทั้งคู่ไม่คิดจะสนใจอะไรอย่างอื่น นอกจากใบหน้าเจ็บปวดของกันและกัน ศิลป์กัดฟันกรอด ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างสมเพชตัวเอง

“ใช่สินะ ฉันมันก็แค่ตัวปัญหาที่ทำให้นายต้องเข้าโรงพยาบาล เอาเป็นว่าฉันรับผิดชอบทุกอย่างหมดแล้ว เรื่องของเราก็เป็นอันจบ”

“พี่ศิลป์...”

“ก็ขอให้นายโชคดีแล้วกัน”

“พี่ศิลป์!” ร่างทั้งร่างมันชาจนขาแทบขยับไม่ออก ทุกคำพูดของศิลป์เมื่อครู่ราวกับมีดกรีดแทงหัวใจ แค่เสียงที่ตะโกนออกไปก็ดังไม่พอให้อีกฝ่ายหันกลับมา บ้าชะมัดเลย เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้สักหน่อย!

การออกจากวิไลวิทย์มันคงไม่ยากขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีๆกับใครบางคนที่นั่น...

 

“คุณศิลป์ นี่ครับ”

“อ่า ขอบใจ”

ศิลป์รับเอกสารในมือของลูกน้องบ้านตัวเองมา ก่อนจะไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนนั้น ข้อมูลเที่ยวบินมุ่งหน้าสู้แดนจิงโจ้ของลูกชายตระกูลศุทธิสงคราม ใครก็ได้บอกเขาทีว่าเขาบ้าหรือบ้ากันแน่ ทำตัวเป็นพวกโรคจิต เพราะแค่ตัดใจจากเด็กคนคนนึงไม่ได้นี่มันก็บ้าพอตัวอยู่นะ ถึงอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ถ้าบอกว่าไม่ให้ไป แล้วจะทำให้หมอนั่นไม่ไปหรือเปล่า

แล้วจะพูดในฐานะอะไร ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

“เฮ้อออ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางปล่อยกระดาษในมือให้หล่นไปตามแรงลม ก่อนจะเหยียดกายลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่ ในหัวคิดถึงแต่วันมะรืน วันที่นิวจะจากเขาไป

เวลาก็ช่างเป็นใจให้ผ่านไปไวเหลือเกิน แป๊บๆก็ถึงวันที่เครื่องจะออก ลูกน้องสองสามคนถูกสั่งให้เฝ้าจับตามองรั้วบ้านศุทธิสงครามไว้ตั้งแต่เช้ามืด มีการรายงานเข้ามาตลอด ตั้งแต่แม่บ้านเดินออกมาทิ้งขยะ คนรับใช้พาสุนัขออกไปเดินเล่น จนถึงตอนที่ลูกชายคนเดียวเดินออกมาขึ้นรถเตรียมไปสนามบิน ทั้งที่รู้ทุกย่างก้าวของอีกฝ่าย แต่ศิลป์ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากการนอนแผ่อยู่บนโซฟาตัวยาว สายตาจมเข้าไปยังหน้าจอทีวีเอลซีดีขนาดใหญ่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารายการที่ฉายอยู่คืออะไร ในเมื่อหัวสมองเอาแต่คิดถึงอะไรอย่างอื่นตลอดเวลา

“คุณศิลป์!” หนึ่งในลูกน้องที่เพิ่งกลับมาจากบ้านของนิวรีบแจ้นเข้ามาในห้องรับแขก แบบลืมเกรงใจเจ้านายตัวเอง ก่อนพูดรัวเร็วจนคนฟังต้องขมวดคิ้วมุ่น

“พอแม่บ้านเห็นพวกเรา ก็เอานี่มาให้ บอกว่าจากคุณนิวครับ”

“ห๊ะ!” รีบเด้งตัวขึ้นนั่ง มือขวาคว้าเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาไว้กับตัว หลังจากลูกน้องก้มหัวออกไปจากห้อง ก็ค่อยๆคลี่มันออกด้วยใจที่เต้นรัว ตัวอักษรภาษาไทยลายมือสวยยิ่งกว่าผู้หญิงปรากฏขึ้นตรงหน้า

ถึง พี่ศิลป์

                        ผมไม่คิดว่าการโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนเป็นเรื่องโชคร้าย ผมกลับดีใจเสียอีกที่มันทำให้เราได้มารู้จักกัน ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็มีความสุขมาก ผมอยากขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องเรียนต่อ แต่นั่นก็เพราะว่าผมไม่อยากให้มันมาทำลายบรรยากาศดีๆระหว่างเรา เพราะผมรู้สึกดีมากเวลาอยู่กับพี่ ถึงได้อยากเก็บเกี่ยวทุกวินาทีนั้นไว้ ยังไงก็ขอบคุณที่ทำให้ผมจบจากวิไลวิทย์ไปด้วยรอยยิ้มนะครับ

                                                                                                                                                              จาก นิว

ไม่ตลกแล้วนะ...!!

คนตัวใหญ่กำกระดาษในมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน ขายาวสาวเร็วๆไปยังลาดจอดรถหน้าบ้าน ก่อนจะขับออกไปไวยิ่งกว่าในสนามแข่ง การนั่งถอนหายใจมันคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ การออกไปทวงเศษเสี้ยวของหัวใจตัวเองคืนมา!

เด็กม.ปลายเหยียบคันเร่งแบบสุดเท้า ไม่กลัวว่าจะถูกตำรวจเรียกไปตรวจใบขับขี่ที่ยังไม่มีแต่อย่างใด สักพักหนึ่ง ก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิอันกว้างขวางสุดลูกตา ตามเวลาเที่ยวบินของนิว ตอนนี้เขาน่าจะใกล้เข้าเกทเต็มทีแล้ว

ศิลป์วิ่งแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ตรงไปยังโซนของสายการบินชื่อดัง มีคนชาติต่างๆกำลังยืนออ ทั้งต่อแถวละลานตาไปหมด สายตาคมกวาดไปรอบบริเวณ จนมาหยุดอยู่ที่แผ่นหลังบางของเด็กผู้ชายตัวไม่สูงมาก ผมสีดำยุ่งเหยิงยาวระต้นคอ ไม่มีการจัดทรงใดๆทั้งสิ้น ทันทีที่เห็นแบบนั้น ก็รีบรุดเข้าไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน มือหนาตรงเข้าคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แน่นก่อนจะกระชากให้หันหน้ากลับมาหากัน

“นิว!”

“...”

“เอ่..อะ...”

คนตัวสูงอึกอักมองหน้าที่ไม่คุ้นเคย ค่อยๆคลายแรงบีบที่มือออก ก่อนจะโค้งหัวให้สองสามที ไม่ใช่นิว...บ้าชิบ! มีรปภ.สองคนกำลังสาวเท้ามาทางเขา ขณะกำลังสับสนว่าควรจะทำยังไงต่อ ระหว่างวิ่งหนีไปตามหานิว หรือหันมาเคลียร์กับคุณพี่ร่างบึกในชุดเครื่องแบบ เสียงใสเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง เสียงที่กำลังอยากได้ยิน...

“พี่ศิลป์!”

รีบหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยท่าทางดีใจซะออกนอกหน้า เด็กผู้ชายตัวบางในชุดไปรเวทแขนยาวกำลังส่งสัญญาณมือบอกรปภ.ที่กำลังตรงมาให้หยุด กลุ่มผมที่เคยปรกลงมาปกปิดใบหน้า บัดนี้กลับถูกเสยขึ้นไปด้านบน รั้งไว้ด้วยกิ๊บดำสองสามตัว ทำให้มองเห็นใบหน้าสว่างชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน นี่คงไม่ได้จงใจจะยั่วกันหรอกใช่ไหม

“อย่าไปนะ!” คำพูดเรียบง่ายแต่ทว่าจริงจังหลุดออกไปจากปาก ศิลป์ก้าวเข้าประชิดร่างเล็กก่อนจะคว้าเอามือข้างหนึ่งมากุมไว้แน่น

“ครับ?”

“อย่าไปเรียนต่อที่อื่นเลย”

“อะ..อะไรกันครับ?” แม้ปากจะตั้งคำถามออกไปแบบนั้น แต่ในใจกลับพองโตขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความจริงเขาดีใจแทบบ้าตั้งแต่เห็นหน้าศิลป์ที่สนามบินนี่แล้ว

“เพราะฉันไม่อยากให้นายไป”

คำตอบที่ฟังดูง่ายเหลือเกินทำเอาคนตัวเล็กถึงกับต้องถอนหายใจออกมา คนแบบไหนกันที่ตามเด็กคนหนึ่งมาถึงสนามบินเพื่อพูดแค่นี้ และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมทิ้งอนาคตของตัวเอง เพียงเพราะคำว่า ‘ไม่อยากให้นายไป’ ซะด้วยสิ

“ผมติดต่อกับโรงเรียนที่ออสฯแล้ว เครื่องก็จะออกในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว นี่พี่ศิลป์คิดว่...”

“ฉันชอบนาย!”

“...หะ?.......” ทั้งที่มีผู้คนรายล้อมรอบกายเต็มไปหมด แต่วินาทีนี้กลับรู้สึกถึงได้เพียงแค่กันและกันเท่านั้น แก้มสองข้างเริ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมาทั้งคู่อย่างปิดไม่มิด

พูดออกไปแล้ว...

พูดออกมาแล้ว...

รอยยิ้มกว้างค่อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าเนียน รอยแต้มสีชมพูระเรื่อบนผิวขาวๆนั่นยิ่งทำเอาใจของศิลป์สั่นไหว นิวกำหนังสือเดินทางในมือตัวเองไว้แน่น ก่อนสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ยังคงจริงที่ว่าเขาจะไม่ทิ้งอนาคตตัวเองเพราะคำตอบง่ายๆแบบนั้น แต่กับคำว่า ‘ชอบ’ ซึ่งได้แต่รอฟังมาตลอดหลายวัน มันเป็นคนละเรื่องกัน...

สัญญากับตัวเองไว้แล้ว... ถ้าแค่ได้ยินคำนั้นสักครั้ง ก็จะยอมทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนี้เลย...

“ผมก็ชอบพี่ครับ” ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถูกดูดกลืนหายไปชั่วขณะ คนตัวเล็กแย้มยิ้มชื่นใจ ก่อนกระโดดเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างลืมอาย ศิลป์ยิ้มกว้างไม่แพ้กัน แขนแกร่งโอบรัดร่างบางเข้าหาตัวแนบแน่นยิ่งขึ้น ไม่สนใจว่าจะมีใครกำลังมองพวกเขาอยู่บ้าง

สัญญาแล้วว่า...จะขอวางอนาคตตัวเองไว้บนฝ่ามือของคนตรงหน้า

ราวกับตัวต่อชิ้นสุดท้ายที่หายไป...เมื่อพบพานเมื่อใด ก็คงทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ขึ้นทันที... ณ วินาทีนี้ คิดว่าทั้งศิลป์และนิว คงได้พบกับชิ้นส่วนที่แหว่งหายเข้าแล้ว หวังเพียงแค่ว่ามันจะไม่หลุดลอยออกไปจากกันอีกก็เท่านั้น

หลังจากนี้ คงมีแต่ต้องหาคำแก้ตัวชิ้นโตไปอธิบายให้ครอบครัวของคนตัวเล็กเข้าใจ สำหรับการทิ้งตั๋วสู่แดนจิงโจ้ แลกกับชีวิตใหม่ภายในรั้ววิไลวิทย์ สถานที่ที่เขาเกือบจะทิ้งมันไปแล้ว...

 

“ความสัมพันธ์ของเราพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในช่วงปิดเทอม พอเปิดเทอมฉันก็พานิวเข้ากลุ่มกีรติ ตั้งใจจะประกาศกับทุกคน...”

“แต่พี่เฟย์ดันโผล่ออกมาในวันแรกของการเรียน ชิงประกาศกับทุกคนก่อนหน้าเราซะได้” เสียงนิวดังขึ้นต่อประโยคของศิลป์ คำพูดส่อแววน้อยใจระคนเสียดแทง เล่นเอาคนฟังถึงกับหน้าเจื่อน

“แล้วทำไมถึงไม่บอกทุกคนไปเลย ว่าทั้งสองคนรักกัน?” นี่คือคำถามแรกจากพะภู หลังได้ฟังนิยายรักที่มีศิลป์กับนิวเป็นพระนายของเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบครบถ้วน

“จริงๆพวกเราก็อยากบอกนะ แต่กลัวว่าถ้าบอกไปแล้ว เรื่องนี้จะหลุดไปถึงหูเฟย์เข้า ยัยนั่นร้ายจะตาย เผลอๆจะมารังแกนิวเอาน่ะสิ” ศิลป์เป็นฝ่ายตอบ ตามมาด้วยนิวที่รีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “พี่ศิลป์เองก็เหมือนกัน ฉันกลัวว่าถ้าพี่เฟย์รู้เรื่องนี้แล้วจะทำให้พี่ศิลป์เดือดร้อน เพราะงั้นถึงยังไม่กล้าบอกใครเลย”

“งี้นี่เอง...แต่ผมก็เห็นพี่ศิลป์หลุดบ่อยๆนะครับ ยังตงิดอยู่เลย” พะภูหันไปบอกศิลป์ทีเล่นทีจริง ทำเอาคนถูกพูดถึงต้องรีบสวนกลับทันควัน

“แน่สิ! ฉันไม่ได้มีความอดทนสูงนักหรอกนะ แต่เพื่อความปลอดภัยของนิว...ฉันก็พยายามที่สุดแล้วนั่นแหละ”

“แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะครับ?”

“ยัยเฟย์ไม่ใช่คนที่จะยอมง่ายๆ เพราะงั้นเลยต้องพยายามโน้มน้าวให้พ่อกับแม่ฉันเป็นฝ่ายยกเลิกไอ้สัญญาหมั้นบ้าๆนี่ซะ”

“แต่พี่ก็ยังทำไม่ได้” เสียงกึ่งโมโหกึ่งน้อยใจดังขึ้นจากปากของนิว ทำเอาศิลป์ถึงกับหน้าเสีย แต่ก็รีบว่าต่อ

“ญาติฉันก็กำลังช่วยกันพูดอยู่ เดี๋ยวมันก็สำเร็จเองแหละ พอถอนหมั้นได้แล้ว ฉันมั่นใจว่าเฟย์จะไม่กล้าหืออะไรอีก”

“ผมก็ขอให้มันเกิดขึ้นไวๆ เราจะได้รักกันอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกังวลอะไร..”

“ฉันก็แทบรอวันนั้นไม่ไหวแล้ว” ศิลป์เอื้อมมือเข้าไปลูบแก้มนิวอย่างทะนุถนอม ก่อนจะฝากรอยจูบบางเบาเอาไว้บนปลายจมูกของคนตัวเล็ก โดยไม่ได้นึกสนใจพะภูซึ่งกำลังหน้าขึ้นสีกับภาพที่เห็นเลยแม้แต่น้อย

“ถ้ายังไงก็ขอให้เก็บเป็นความลับด้วย แม้แต่ติกับเกต์ก็บอกไม่ได้นะ เพราะดูแล้ว..ถ้าพวกมันรู้เข้า คงยิ่งทำให้วุ่นวายไปใหญ่ เรื่องนี้ฉันต้องจัดการเอง...” เจ้าของผมชี้สั้นสีดำสนิท หันมาบอกพะภูเป็นเชิงขอร้อง ตามมาด้วยสายตาอ้อนวอนจากนิว ทำให้เขาต้องรีบพยักหน้าถี่รัวเพื่อให้ทั้งคู่วางใจ

“ได้ครับ ผมเอาใจช่วยทั้งคู่นะ แต่ตอนนี้รีบกลับกันก่อนเถอะ”

“อืม ขอบใจนะ”

สามหนุ่มเดินกลับไปรวมกลุ่มที่ริมหาดเหมือนเดิม ต้องช่วยกันแก้ตัวอยู่สักพักกว่าคนอื่นๆจะยอมเลิกซักไซ้อะไรต่อมิอะไร เมื่อพวกเกต์ว่ายน้ำจนพอใจแล้วก็ถึงเวลาอาหารค่ำสุดพิเศษ ติกับพะภูเป็นเพียงสองคนที่แยกตัวออกไปนั่งกินข้าวกันตามลำพัง ภายใต้การดูแลชั้นหนึ่งจากทางโรงแรม

“สั่งมาขนาดนี้ กินหมดหรอครับ?” คนตัวเล็กถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิหน่อยๆ สายตากวาดไปทั่วโต๊ะขนาดยาว ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด บนจานชามหม้อและถ้วยขนาดต่างๆ

“ก็ฉันไม่รู้ว่านายชอบอะไรหนิ”

“หืม...วันหลังไม่ต้องสั่งเยอะแล้วนะ อะไรที่พี่จัดมาให้ ผมก็ชอบหมดแหละครับ”

พะภูเอ่ยปากบอก ก่อนจะพยายามฆ่าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกว้างบนหน้า ติชะงักไปครู่หนึ่งก็ต้องรีบทำทีก้มหน้าก้มตามองเม็ดขาวบนจานตัวเองแก้เขิน ท่าทางดีใจแบบเก็บไม่อยู่ของคุณชายอันธพาล ดูน่ารักจนคนแกล้งอดส่งเสียงหัวเราะไม่ได้ ก่อนที่คำถามต่อมาจะถูกยิงออกไปเพื่อกลบความเงียบที่กำลังจะเกิดขึ้น

“แล้วพี่ติชอบอะไรครับ?”

“อืม...”

ติกระแอมไอเล็กน้อยเพื่อไล่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนรักตนออกไปจากหัวชั่วครู่ สายตากะลิ้มกะเหลี่ยเงยขึ้นจ้องพะภูนิ่ง แขนใหญ่ทั้งสองข้างวางบนกับขอบโต๊ะพลางยืดตัวขึ้นสูง กลับกลายเป็นว่าคนเด็กกว่าเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะเฉยๆ ก่อนจะทันได้หลบหน้า สุ้มเสียงจากปากของคนตรงข้ามก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ก็ชอบนายไง”

หลังจากได้ยินคำตอบที่ดูจงใจเอาคืนกันเห็นๆ ใบหน้าของพะภูก็เริ่มขึ้นสีระเรื่อแทบจะทันที รู้สึกว่าไม่ควรจะดีใจจนทำให้อีกฝ่ายหลงระเริง แต่ความรู้สึกมากมายกลับดันขึ้นมาจุกอยู่ที่อกจนแทบจะเก็บไว้ไม่ไหว ริมฝีปากเม้มสนิทเพราะไม่ต้องการให้เห็นว่ามันกำลังจะฉีกออกกว้างอย่างน่าอาย

ถ้านี่เป็นเกมที่ใครเขินกว่าต้องแพ้ ก็ขอบอกเลยว่ากีรติเป็นผู้ชนะ!

“ผ..ผม ไปเข้าห้องน้ำ..แปบนึงนะครับ”

คนถูกแกล้งกลับรีบขอตัวออกไปให้พ้นบริเวณด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ ต้องพยายามอย่างมากในการควบคุมเสียงให้ดูเป็นปกติที่สุด ใบหน้าร้อนผ่าวหันหนีไปอีกทาง เมื่อคนบนเก้าอี้เอาแต่ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีชัยมาให้

บ้าไหมล่ะ! นี่เขาชักจะไหลไปตามเกมของกีรติง่ายเกินไปแล้ว ไม่ว่าเมื่อไรที่ดูเหมือนตัวเองอยู่เหนือกว่า ก็ต้องถูกฉุดลงมาด้วยมือคู่นั้น สายตาคู่นั้น และคำพูดแบบนั้นทุกทีเลย สุดท้ายแล้วคนที่กำลังติดกับดักมันคือใครกันแน่...

ตุ้บ

“อ้ะ!..ขะ ขอโทษครับ!”

เพราะเอาแต่สาวเท้าไวๆโดยไม่สนใจทางข้างหน้า เลยเดินชนคุณยายท่าทางมีระดับคนหนึ่งเข้า กระเป๋าสตางค์ยี่ห้อดังหล่นไปนอนแหมะอยู่บนพื้น ก่อนที่เขาจะรีบก้มลงหยิบยื่นคืนให้ หัวเย็นๆก้มลงขอโทษไม่รู้กี่ครั้ง

หมับ!

แทนที่จะเป็นเสียงก่นด่าหรือคำว่าไม่เป็นไร กลับกลายเป็นมือบางอันเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามประสาวัยชรา ที่ตรงเข้าเกาะกุมแขนของเขาเอาไว้จนแน่น ความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างเคลื่อนตัวอยู่ภายในแววตาเหนื่อยล้าตรงหน้านี้ พร้อมกับน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งดังออกมาค่อนข้างยากเย็น แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่เขาไม่อาจเข้าใจ

“รวิชญ์!”

------------------------------------------

เป็นตอนที่ยาวสุดละ 555
มันคือการรวบเรื่องราวความรักทั้งหมดของ ศิลป์-นิว เอาไว้ใน 2 บท ;;;

ตัวละครปริศนา คือ ใคร กัน !
แล้ว รวิชญ์ คือใคร !! โปรดติดตาม.... 55

ขอบคุณทุกๆคน ทุกๆคอมเม้นมากๆเลยนะ
เราเป็นคนที่ท้อง่ายมาก แต่พอเห็นคอมเม้นจากนักอ่านแล้ว
มันก็มีกำลังใจขึ้นมา T^T คือแบบ พูดอีกกี่ครั้งก็ไม่พอ 55
แต่ก็ยังอยากพูดว่าขอบคุณจริงๆ <3
ถ้ายังไงก็ขอฝากให้ติดตามกันไปเรื่อยๆด้วยนะค้า ~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 20 | 11/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: pannixz ที่ 11-10-2013 21:32:51
เดียวๆ ทำไมตัดจบแบบนี้
มันค้างมากมายเลย  :katai1:

ถ้าตอนหน้ามาไวๆ จะพอให้อภัยนะคะ  o18
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 20 | 11/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 17-10-2013 00:36:05
ค้าง มาก อ่า ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 20 | 11/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 17-10-2013 13:22:06
 :z3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 20 | 11/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Crown ที่ 17-10-2013 14:05:04
รวิชญ์ คือ พะภู ที่พลัดจากครอบครัว

มั้งน่ะ 5555555555

รอค๊าาาาาาาาาา

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 18-10-2013 20:40:33
บทที่ 21

 

“??” สายตาคำถามถูกส่งออกไปทันที ทำให้หญิงชราค่อยๆคลายแรงบีบที่มือออกอย่างไม่มั่นใจ ดวงตาเรียวเล็กหรี่ลงพิจารณาโครงหน้าของพะภูอย่างถี่ถ้วน ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ขอโทษที” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินสวนออกไปอีกทาง ท่าทางจะจำคนผิดเท่านั้น

พะภูเลิกคิดไร้สาระ รีบพาตัวเองไปล้างหน้าล้างตาเพื่อคลายอารมณ์เขิน ก่อนจะเดินกลับไปจัดการอาหารมากมายบนโต๊ะ การพูดคุยระหว่างเขากับติเป็นไปอย่างปกติ โดนหยอกบ้างหยอดบ้างสลับกันไป ในที่สุดก็ถึงเวลากลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆบริเวณล็อบบี้

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบโถงโรงแรม ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นกัสกับศิลป์กำลังยืนคุยกับผู้ชายวัยกลางคน ท่าทางตึงเครียดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ มีพนักงานโรงแรมคนสวยยืนตีสีหน้าลำบากใจอยู่ใกล้ๆ

“มีอะไรวะ?” ติถามคนอื่นๆที่กำลังยืนรอหน้านิ่ว เกต์เป็นฝ่ายรี่เข้ามาใกล้พลางกระซิบเสียงเกร็ง

“คุณหญิงเดือนฉายมาที่นี่ แต่มีปัญหาเรื่องห้องพักนิดหน่อย”

“ทำไมอะ มีอะไรให้ช่วยไหม?”

พะภูเหลือบสายตามองคนตัวสูงข้างๆ น่าประหลาดที่คุณชายอันธพาลอย่างกีรติ มีท่าทางกระตือรือร้นกับการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่นมากขนาดนี้ ท่าทางว่าคุณหญิงเดือนฉายที่พูดถึงจะไม่ธรรมดาซะแล้ว แต่แค่ได้ยินคำนำหน้าชั้นสูงก็พอจะเดาได้ว่า คงยิ่งใหญ่พอตัว และมากพอให้เหล่าทายาทเศรษฐีทั้งหมดตรงนี้หงอได้เลยทีเดียวล่ะ

“เพราะอยู่ดีๆท่านก็บอกว่า อยากมาพักที่นี่ขึ้นมา เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะห้องมันเต็มหมดแล้ว”

“เป็นเวรกรรมของพวกเรา ที่ดันเดินมาเจอคุณสุทธิชัย เลขาคุณหญิงเข้าพอดี ก็เลยจับพลัดจับผลูมาช่วยเจรจากับทางโรงแรมอยู่นี่แหละ”

ผาเข้ามาเสริมทัพ หน้าตาบูดบึ้งผิดกับปกติ เชื่อเลยว่าไอ้หนุ่มพวกนี้คงไม่สบอารมณ์เท่าไร กับการต้องคอยช่วยเหลือรับใช้พวกผู้ใหญ่ที่มักเอาแต่สวมหน้ากากออกจากบ้าน ถึงแม้ว่าพะภูจะไม่ได้รู้จักมักจี่กับคุณหญิงอะไรนี่เลย แต่ดูท่าทางของคนอื่นแล้ว ก็คงเป็นพวกคุณป้าเจ้าปัญหาอะไรอย่างนี้ล่ะมั้ง

“อย่าพูดไป ถ้าไม่ใช่เขา บริษัทของพ่อมึงกับครอบครัวกูจะยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ไหม” ติเขกกบาลผาไปที เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่ครั้ง ที่เริ่มเห็นว่าเขาเองก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้ แต่จากคำพูดเมื่อครู่ก็ทำให้เข้าใจแล้ว ว่าอิทธิพลของคุณหญิงเดือนฉายมันกว้างขวางขนาดไหน

“ครับๆ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อห้องมันเต็มหมดแล้ว จะให้เราช่วยไล่แขกคนอื่นหรือไง”

“หรือไม่ก็เป็นพวกเราเอง ที่ต้องระเห็จออกไปนอนที่อื่น” เกมขยับเข้ามากระซิบเสียงเบื่อ แต่ดูท่าว่าคนใหญ่สุดในกลุ่มจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย ไม่รู้จริงๆว่า บุญคุณของคนชื่อเดือนฉายมันค้ำอะไรเขาอยู่หรือไง

“ความจริง ผมมีญาติอยู่ในตัวเมืองตราด เราไปพักบ้านเขาก็ได้นะครับ”

พะภูที่ทนฟังและเงียบมานานเอ่ยปาก คนอื่นๆนอกจากติมีท่าทีคัดค้านอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้หัวหน้ากลุ่มตัวเองต้องเป็นฝ่ายเสียสละ แต่คำว่า ญาติของพะภู ก็ทำเอาไม่มีใครกล้าเสนอตัวเช่นกัน ติลูบคางตัวเองไปมาพลางตั้งท่าครุ่นคิด สายตาทอดไปยังผู้ชายท่าทางร้อนใจตรงเคาน์เตอร์ เพียงครู่เดียวก็เปิดปากออกอีกครั้ง

“อย่างงั้นก็ได้ แต่นายจะไม่เป็นไรนะ?”

ติสรุป แต่ก็ไม่วายก้มลงมาถามเด็กข้างๆ ถึงจะเกรงใจญาติของพะภูอยู่หน่อย แล้วยังเสียดายที่เขาทั้งคู่จะไม่ได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบายที่นี่ แต่การปล่อยให้คุณหญิงเดือนฉายต้องเดือดร้อนทั้งที่ตัวเองมีส่วนรับรู้ คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร โดยเฉพาะถ้ามันหลุดไปถึงหูของพ่อกับแม่เขาน่ะนะ

“ไม่หรอกครับ แค่ได้มาเที่ยวผมก็มีความสุขแล้ว” รอยยิ้มพิมพ์ใจระบายอยู่บนใบหน้าเรียว ทำเอาคนมองถึงกับใจสั่น ขนาดผู้ชายคนอื่นตรงนั้นก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้

ติยิ้มรับ แขนแกร่งวาดเข้าโอบรอบเอวบางพลางรั้งตัวพะภูเข้าไปใกล้ มืออีกข้างเอื้อมลงเชยคางมนให้หันมาสบตาตน ก่อนค่อยๆจรดริมฝีปากอมส้มลงแนบกับหน้าผากของคนตัวเล็กอย่างไม่เกรงใจสายตาใคร เสียงกระซิบผะแผ่วดังขึ้นเรียกความร้อนในตัวพะภูให้พุ่งสูง

“ไว้ฉันจะทำให้นายมีความสุขมากกว่านี้อีก”

พูดขนาดนี้ไม่จับเขากดเสียเลยล่ะ! โว้ย ล้อเล่นนะ คนอย่างพะภูไม่ได้ได้ง่ายๆแน่ แต่เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นถึง กีรติ อัครโภคิน คนนี้น่ะสิ ถึงได้น่ากลัว... ไม่รู้ว่าร่างกายของเขาจะยังเป็นของเขาต่อไปได้สักเท่าไรกัน ฮืออ! บ้าจริงๆพะภู ถ้าบอกว่ารู้สึกผิดที่เลือกเป้าหมายเป็นติตอนนี้จะทันไหม แบบนี้เหมือนเข้ามาเดินเล่นในถ้ำเสือชัดๆเลย!

หลังจากที่เคลียร์เรื่องห้องได้แล้ว คุณสุทธิชัยอะไรนั่นก็ก้มหัวขอบคุณเป็นการใหญ่ ไม่รอพบหน้าคุณหญิงเดือนฉาย พะภูกับติก็ล่ำลาสมาชิกกลุ่มคนอื่น ก่อนจะย้ายไปขึ้นเรือเร็วของทางโรงแรม มุ่งกลับไปยังท่าเรือแหลมศอก ต่อรถโดยสารมาอีกไม่เท่าไร ก็เข้าสู่ตัวเมือง

บ้านปูนขนาดพอดีจำนวนคน ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดในเมืองตราด ถูกตกแต่งด้วยสีสันและเครื่องประดับที่ให้อารมณ์อย่างชายทะเล ทันทีที่กดกริ่ง เด็กผู้หญิงตัวเล็กพอๆกับพะภูก็โผล่หน้าออกมา ดวงตากลมโตลุกวาวด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสียงเจื้อยแจ้วรีบตะโกนเรียกหาผู้เป็นพ่อ ก่อนที่คุณลุงร่างอวบในชุดชาวเลจะเดินออกมาตามเสียงใส

“พะภู!”

“ลุงยศ สวัสดีครับ”

“ไปยังไงมายังไงเนี่ย เข้ามาๆ” ท่าทางดีใจไม่แพ้กันของทั้งสามคนตรงหน้า ทำเอาคนนอกอย่างติเผลอยิ้มตามไปด้วย ลุงยศที่ว่ากวักมือเรียกทั้งสองคนเข้าไปด้านในบ้าน ดูแล้วเป็นมิตรมากทีเดียว

“แล้วยัยพะพายล่ะ?”

“พี่พายไปออกค่ายของโรงเรียนครับ ผมมากับ...เอ่อ เพื่อน...ชื่อติ”

ลังเลอยู่แวบหนึ่งถึงตอบลุงยศไปแบบไม่เต็มเสียงนัก แน่นอนว่าลุงยศเป็นลุงของพะพาย ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเขาเลย ถึงอย่างนั้นก็สำคัญกับชีวิตเขามาก เพราะเป็นอีกคนที่ช่วยเขาไว้ในคืนแห่งนรกนั่น...

คิดแล้วก็น่าเสียดายที่พะพายไม่ได้มาด้วย พี่สาวคนดีคงคิดถึงลุงยศกับยัยฟางมากเช่นกัน ถ้ารู้ว่าเขาได้มาเยี่ยม ดีไม่ดีจะงอนเข้าให้ แต่ก็ช่วยไม่ได้แฮะ ที่มาเนี่ยก็ใช่ว่าไม่อยากชวน แต่เห็นว่าพะพายติดธุระของคณะกรรมการนักเรียนอยู่แล้วหรอก อีกอย่าง...ตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้ พะพายยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ลึกซึ้งของเขากับเด็กวิไลวิทย์เลย สิ่งที่เธอรู้ก็มีแค่ว่า น้องชายสุดหวงกำลังพาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับพวกนักเลงโรงเรียนใกล้เคียง และมีเรื่องเดือดร้อนกลับมาทุกที

ส่วนไอ้เรื่องเช่นว่า น้องชายที่รักคนนี้กำลังคบหาดูใจกับคุณชายอันธพาลหัวรั้นน่ะ ยังไม่กล้าบอกจริงๆอะ...

“แล้วยังไงกัน ถึงมาเวลานี้?”

“เรามีปัญหาเรื่องที่พักนิดหน่อย ผมเลยเสนอให้มาที่นี่ หวังว่าคงไม่รบกวนลุงยศกับฟางนะครับ”

“รบกงรบกวนอะไรล่ะ ตามสบายเลย”

“แต่ว่ามากันสองคน...ห้องว่างมีแต่เตียงเดี่ยวเองนะ” ฟางว่าท่าทางกังวลแทน พะภูกับติหันมองหน้ากันคนละอารมณ์ ฝ่ายหนึ่งลำบากใจขึ้นมา แต่อีกคนกลับกระตุกยิ้มมีเลศนัยบางอย่าง

“ไม่เป็นไรครับ พวกเรานอนด้วยกันได้”

ติแย้มยิ้มตอบออกไป ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาพื้นๆกับลุงยศ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนข้างๆเอ็ดตะโรใส่ พะภูที่ไม่กล้าแสดงสีหน้าอะไรมากนัก ได้แต่เดินตามฟางไปยังห้องชั้นล่างด้านในสุดของตัวบ้าน ดูเหมือนไม่มีคนเข้ามาใช้สักพักแล้ว ถึงอย่างนั้น ข้าวของเครื่องนอนภายในกลับดูสะอาดดี แต่ไอ้ที่ควรจะช็อคก็คือเตียงเดี่ยวของฟางเนี่ยแหละ นี่มันไม่เดี่ยวธรรมดานะ ยังแคบเสียจนแค่คนเดียวก็แทบพลิกตัวไม่ไหว!

“โห...”

“เดี๋ยวฟางไปหาผ้านวมมาปูให้ไหม?” เด็กหญิงข้างๆ ถามขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพะภู ไม่ทันที่เขาจะพยักหน้าขอร้อง ร่างสูงโปรงของใครอีกคนก็ตรงเข้าแทรกกลาง พลางออกปากเสียงเด็ดขาด

“ไม่ต้องหรอก พวกเรานอนด้วยกันได้จริงๆ อย่าทำตัวรบกวนมากนักสิ”

ติยิ้ม ก้มตัวลงมากระซิบใส่หูพะภูในท้ายประโยค ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเถียงอะไรออกไป เพราะมันจริงที่ว่าไม่อยากทำตัวรบกวนไปมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเขากับครอบครัวพะพายจะสนิทกันดี แต่ก็ไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ต้องเรียกว่าเจ้าชีวิตผู้มีบุญคุณท่วมหัวเสียมากกว่า

“อะ..อือ ไม่เป็นไรหรอกฟาง ขอบใจนะ”

“งั้นเดี๋ยวหนูเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะ”

“จ่ะ”

ฟางก้มหัวออกไปจากห้องแคบๆ ขณะที่ลุงยศกำลังลากกระเป๋าเดินทางของเขาทั้งคู่เข้ามาวางไว้ให้ ก่อนจะขอตัวกลับขึ้นไปอ่านหนังสือบนห้อง ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำพูดใจดีว่า ไม่ต้องเกรงใจ ทำเอาติถึงกับยิ้มกริ่มแบบน่าสงสัย ลุงบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่ว่าทำอะไรตามใจก็ได้นะ

ทั้งสองคนต่างจัดการข้าวของของตัวเอง ไม่พูดไม่จาอะไร สักพักฟางก็เอาผ้าเช็ดตัวมาให้ พะภูได้สิทธิ์อาบน้ำก่อน จนเมื่อสบายตัวแล้วก็มานั่งจุมปุกอยู่บนเตียง ในมือมีนิตยสารอ่านเล่นซึ่งถูกทิ้งไว้ในห้องนี้ ผ่านไปไม่นานนัก ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมร่างโปร่งในชุดนอนเรียบหรูสีเลือดหมู สองสายตาประสานกันได้แค่แวบเดียว คนตัวใหญ่ก็พุ่งเข้าหาคนบนเตียงอย่างไม่ให้ตั้งตัว

“เฮ้ย!?”

รีบโวยวายเมื่อติทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ใกล้เสียจนชายเสื้อของทั้งคู่เกยกัน แขนแกร่งวาดเข้าโอบไหล่พะภูไว้อย่างเคย ส่วนอีกข้างพักไว้บนตักของเด็กตัวเล็ก โครงหน้าเรียวพยายามขยับเข้าหาหวังจะขโมยจูบบนแก้มใส แต่พะภูกลับยกนิตยสารในมือขึ้นบังได้ทัน ใบหน้าสีชมพูระเรื่อเบนไปอีกทางตามสัญชาตญาณ

“นี่เราคบกันแล้วนะ ยังเอาแต่หลบอยู่ได้”

“คบกันไม่ได้แปลว่าต้องใจง่ายนี่ครับ”

“โห...คิดดูนะ กว่าฉันจะรู้ตัวว่าชอบนายก็เสียเวลาไปตั้งเยอะ ฉันขอชดเชยเวลานั้นบ้างสิ”

ไม่พูดเปล่า มือข้างที่วางอยู่บนตักเขาก็เริ่มออกแรงนวดเบาๆ ทำเอารู้สึกสยิวไปทั่วทั้งตัว มือที่จับนิตยสารสั่นไหวไปกับน้ำเสียงออดอ้อนแปลกๆ กีรติคงบ้าไปแล้วตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบเขา คนที่เคยเอาแต่ตีหน้าโหดตะโกนไล่เขาปาวๆ วันนี้กลับมาเรียกร้องความชิดใกล้ซะอย่างนั้น แล้วไอ้คนก่อเหตุอย่างเขาควรจะทำไงล่ะทีนี้

“ไม่อ๊าวว”

พะภูตอบกลับเสียงแหลมสูง แขนขยับไปมาเพื่อขัดขวางการรุกล้ำจากสันจมูกโด่งๆตรงหน้า สักพักกีรติก็หยุดท่าทางจู่โจมลง เปลี่ยนมานั่งปั้นหน้าลูกหมาหงอยเพื่อเรียกคะแนนสงสารแทน ความคาดหวังบางอย่างเคลื่อนตัวอยู่ภายในดวงตาเรียวสีน้ำตาลสวย มือบนตักขยับมาจับนิตยสารในมือพะภูไว้ ค่อยๆกดลงเชื่องช้า พร้อมส่งเสียงทุ้มออกมาแผ่วเบา

“นะครับ...”

หนังสือที่ขวางกั้นพวกเขาถูกลดระดับลงจนพ้นทางตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สายตาทั้งสองคู่สอดประสานกันอย่างมีความหมาย ก่อนที่กีรติจะใช้โอกาสนี้ ฝังปลายจมูกลงไปกับแก้มเนียนๆของคนตัวเล็ก สูดเอากลิ่นกายหอมหวานเข้าจนเต็มปอด พลางอมยิ้มไม่หุบ

คนโดนฉวยโอกาสได้แต่นั่งนิ่งราวกับหุ่นที่ถูกมนตร์สะกด ชักไม่แน่ใจว่าฝ่ายที่บ้าคือใครกันแน่...ไม่รู้จริงๆว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ที่เขาไม่นึกรังเกียจสัมผัสจากผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว...

-----------------------------------------

ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ารวิชญ์เป็นใคร 555 มาหยอดไว้ก่อนเท่านี้แหละ
ติกับพะภูเริ่มหวาน (^---^//)
จากใจคนที่ไม่ค่อยได้แต่งฉากสวีท นี่คือพยายามที่สุดละ 55
หวังว่าบทนี้จะเรียกนักอ่านคืนมาได้บ้าง 'นะครับ' (ฮ่าๆ)
เห็นบทที่แล้วนักอ่านหาย เราก็ใจหายไปด้วย TT
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆคอมเม้นน้า ฝากติดตามกันต่อไปด้วยค่า ~
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 18-10-2013 22:48:22
อยากได้ฉากหวานๆ ของทั้งคู่อีกจ้า..............
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 19-10-2013 00:06:04
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:ยังหวานได้อีกนะ :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 19-10-2013 15:39:52
อดีตพะภูเกิดอะไรขึ้นกันนะ
รวิชญ์ - พะภู ยังไงกันน้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: PapermintReal ที่ 19-10-2013 18:39:55
เขินนนนน  :impress2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 19-10-2013 18:43:42
ขอโทษน้าที่หายไป

ตอนนี้หวานมาก (นั่นใช่พี่ติคนเดิมรึเปล่า)


หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: คนจากต่างดาว ที่ 19-10-2013 21:32:05
เย้ยยยยย หายไปเหมือนกัน T^T แต่ติดตามอยู่เสมอนะ เหตุการณ์มันไม่สนองต่อการแสดงความเห็นง่ะ /อ่านในโทรศัพท์เน้อ :hao5: ขอโทษหลายๆ

มาติดตาม ตามเดิมแล้ว //พี่ติ...ชอบ! สมแล้วที่ย้ายข้อง 555

ปล. พี่ธรหายไปเลยแหะ
ปล2. เพ่งเห็นว่าลงนิยายในเด็กดีด้วย เอ้ยยย ติดตามๆ 555
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 21 | 18/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 19-10-2013 22:26:42
ยังติด ตามความหวาน ติ+พะภู  ตลอดน่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 22 | 22/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 22-10-2013 19:52:58
บทที่ 22

 

‘นะครับ...’

แค่พูดออกมาคำเดียว ก็สามารถทลายกำแพงของเด็กชายพะภูลงได้ในเสี้ยววินาที ไม่ยุติธรรมเลย! อยากรู้จริงๆว่าใครสั่งใครสอนวิธีอ้อนแบบนั้น สาบานได้ว่าถ้ากีรติไม่มีดีกรีเป็นนักเลงใหญ่โต ก็คงมีชื่อติดในอันดับคาสโนว่าตัวพ่อเป็นแน่!

โดนขโมยหอมไปฟอดใหญ่ไม่พอ ยังถูกบังคับให้นอนกอดกันตลอดทั้งคืน ไอ้เตียงในห้องนั้นก็แคบได้ใจเหลือเกิน ทำเอาเขากับติแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยต้องถือว่าโชคดี ที่ติยังพอเกรงใจเจ้าของบ้านอยู่บ้าง จนไม่กล้าทำอะไรเกินเลยกว่านั้น

“วันนี้ปู่ยัยฟางจะลงมาหา ลุงคงต้องไปดูแลเขาหน่อยนะ” ลุงยศพูดขึ้นทำลายความเงียบบนโต๊ะอาหาร ฟางดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ตามประสาหลานที่ห่างญาติมานาน ไม่รู้คิดถึงคุณปู่ หรือคิดถึงขนมของเล่นที่แกมักจะซื้อมาฝากกันแน่

“เพราะงั้นคงต้องขอฝากบ้านด้วย”

“วางใจเถอะครับ ฝากทักทายคุณปู่ด้วย”

ลุงยศยิ้มกว้าง แต่คงไม่เท่าเด็กผู้ญิงข้างๆซึ่งกำลังอมยิ้มมองเขากับติสลับไปมาอย่างมีเลศนัย ทันทีที่ลุงยศลุกขึ้นเอาจานข้าวไปเก็บ พะภูก็ได้ฤกษ์ออกปากเอาความกับน้องสาวตัวแสบ

“ยิ้มอะไรหึ ยัยฟาง”

“ความจริงเมื่อคืน หนูตั้งใจเอาผ้านวมมาให้ แต่ได้ยินอะไรแปลกๆ เลยไม่อยากรบกวน...”

พูดไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้ง แก้มสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมา ได้ยินอะไรแปลกๆเนี่ยหมายถึงอะไร!? นี่อย่าบอกนะว่าฟางรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับติเรียบร้อยแล้ว ตายละหว่า แบบนี้จะทำเด็กเสียคนไหม!

“บะ..บ้า! ได้ยินอะไรของเรา?” พะภูยังคงพยายามทำเนียนต่อ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ทันการเสียแล้ว ในขณะที่อีกฝ่ายกลับเอาแต่นั่งยิ้มกริ่มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร

“จะให้พูดจริงๆเหรอ..?”

พี่ชายตัวบางแยกเขี้ยวใส่ก่อนทำท่าจุ๊ปาก ไม่ยอมให้พูดอะไร พอดีกับที่พ่อของตนเดินกลับมาคว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะไปอ่าน ฟางอาสายกจานข้าวทีเหลือของคนอื่นๆไปล้าง จนเมื่อใกล้สาย เจ้าของบ้านทั้งคู่ก็เตรียมตัวออกเดินทาง

“ตามสบายเลยนะ มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”

“ครับ เดินทางดีๆนะครับ”

ลุงยศพยักหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเดินไปสตาร์ทรถรอลูกสาวที่ยังเอาแต่จ้องหน้าแขกไม่ได้ตั้งใจทั้งสอง ยัยฟางตัวดีดึงแขนเสื้อของติลง กระซิบอะไรบางอย่างไม่ให้อีกคนได้ยิน ไม่ทันจะต่อว่าอะไรก็รีบแจ้นขึ้นรถออกไปเสียแล้ว ทำให้เขาต้องหันมาเอาเรื่องร่างโปร่งข้างๆแทน

“ยัยฟางพูดอะไรครับ?” ติอมยิ้ม เอื้อมมือไปปิดประตูบ้าน ก่อนเดินเข้ามาประชิดคนถาม

“น้องบอกว่าอย่ารุนแรง”

“หา!?”

สิ้นเสียงกระซิบ ติก็รวบเอวบางยกขึ้นสูง พะภูรีบร้องโวยวายพลางทุบไหล่คนอุ้มหนักๆ ถึงอย่างนั้นมืออีกข้างกลับรวบท้ายทอยคนตัวใหญ่เอาไว้แน่น ติกระชับแขนแกร่งขึ้นก่อนเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดห้องนอนเมื่อคืนให้เปิดออก โยนคนตัวเล็กลงกับเตียงจนก้นระบม

“โอ้ย พี่ติ ทำอะไ...อุ๊บ!!”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกกดราบลงไปกับฟูกนิ่ม ริมฝีปากอมส้มบดขยี้ลงมาดูดกลืนทุกซุ้มเสียงอย่างไม่ให้ตั้งตัว ยิ่งพยายามผลักอกกว้างตรงหน้าออกไป กลับยิ่งเพิ่มความเร่าร้อนของรสจูบที่ได้รับ อะไร!? ไหนว่าไม่รุนแรงไง!

ม..ไม่ ไม่ใช่ดิ! จะรุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ไม่ได้ทั้งนั้น!!

“พ..พี่…อื้อ!”

กึก

“โอ้ยย!!” กีรติรีบผละตัวออกจากปากบาง สีหน้าหงุดหงิดบ่งบอกถึงความโมโหร้ายเต็มทน ไอ้เด็กนี่! เดี๋ยวนี้กล้าดีถึงขั้นกัดลิ้นเขาแล้วใช่ไหม

คนตัวสูงยกมือขึ้นกดริมฝีปากบวม ใบหน้ากระตุกไปตามอารมณ์โกรธ หากแต่ว่ากลับไม่กล้าแม้แต่จะลงมืออะไร เพราะข้างหน้านี้คือผู้ชายที่เขาสัญญากับตัวเองหนักแน่นแล้วว่า...จะไม่ยอมให้จากไปอีก พะภู นายแน่มาก ทำให้คนอย่างเขาศิโรราบได้ทั้งๆที่เลือดกำลังขึ้นหน้าแบบนี้

“ข..ขอโทษครับ แต่ว่า...ผม ผมยังไม่พร้อม” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงสั่น สายตาเสมองไปทางอื่นด้วยท่าทีหวาดหวั่น

“.....อ่า ฉันขอโทษ”

ติส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ก็ยอมย้ายตัวออกไปจากร่างเล็กข้างใต้ พะภูรีบฉวยโอกาสนี้พาตัวเองลุกขึ้นนั่ง ขาสองข้างขยับออกห่างจากคนจู่โจ่มเมื่อครู่ทันทีตามสัญชาตญาณ ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันต่อไปอีกสักพักโดยไม่หันหน้ากลับมามองกันอีก...คนเด็กกว่าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงเริ่มขยับตัวกลับเข้าไปนั่งข้างๆ แขนเล็กโอบรอบเอวเป็นคลื่นของติอย่างกล้าๆกลัวๆ นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้นมองร่างสูงพลางตีสีหน้าเหมือนเด็กๆ

“รอให้ผมพร้อมก่อนนะครับ...”

เข้ามากอดแบบนี้ ทำหน้าทำตาแบบนี้ แล้วยังน้ำเสียงนี่อีก คิดว่าเขามีความอดทนมากเท่าไรกัน แค่ต้องฝืนตัวเองไม่ให้จับคนข้างกายเข้ามาจูบทุกครั้งที่เห็นหน้ามันก็แย่พอแล้ว นี่กลับมาขอให้รอ รอโดยที่ไม่มีคำใบ้ถึงเส้นชัยเลย ตั้งใจจะทรมานให้ตายทั้งเป็นชัดๆ!

“เฮ้อ..” ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางพยักหน้าอ้อยอิ่ง ปล่อยให้เจ้าของมือเล็กๆไชศีรษะเข้ากับต้นแขนด้วยท่าท่างดีใจระคนโล่งอก เอาเถอะพะภู คราวนี้เขาจะยอมปล่อยไป...

แต่ถ้าพร้อมเมื่อไร จะทำให้ลุกไม่ขึ้นอีกเลย คอยดู!

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

เสียงกดกริ่งถี่รัวดังขึ้นจากหน้าบ้าน พะภูค่อยๆผละตัวออก หันมองหน้าติเป็นเชิงสงสัย คนตัวใหญ่เพียงแค่ยักไหล่และปล่อยให้คนรักเป็นฝ่ายเดินออกไปต้อนรับแขกปริศนา เดาว่าอาจจะเป็นคนรู้จักของลุงยศก็ได้

“ครับๆ”

พะภูรีบขานตอบพร้อมเอื้อมมือไปบิดลูกบิดให้เปิดออก ปรากฏเป็นภาพผู้ชายตัวสูงใหญ่กลุ่มหนึ่ง สองคนด้านหลังสวมเสื้อกล้ามสีขาวแบบเดียวกัน หน้าตาโหดเอาเรื่อง กล้ามเป็นมัดๆสีแทนเด่นชัดจนแทบทะลุสายตาออกมา ผิดกับเจ้าของผิวขาวอมเหลืองตรงกลางในชุดเสื้อเชิ้ตยี่ห้อดัง ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซตเข้าทรงอย่างเช่นผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป ดวงตาคมกริบก้มลงมองเขาอย่างไร้อัธยาศัย

“นายยศอยู่ไหน?” น้ำเสียงส่อแววประสงค์ร้ายดังขึ้นจากปากสีส้มธรรมชาติตรงหน้า คนไม่รู้เรื่องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนตั้งคำถามกลับไป

“พวกคุณเป็นใคร?”

“เฮ้ย! คุณชุนถามว่านายยศอยู่ไหน”

ผู้ชายในเสื้อกล้ามคนหนึ่งพูดเสียงดัง ท่าทางอยากมีเรื่องเต็มทีแล้ว แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาพอเดาข้อมูลบางอย่างได้บ้าง คนตรงกลางท่าทางคุณชายคงจะชื่อชุน ส่วนสองคนด้านหลังไม่แคล้วเป็นพวกลูกน้องขาใหญ่ แบบนี้เห็นทีจะเจอกับพวกนักเลงเมืองตราดเข้าให้แล้ว แต่ที่น่าสงสัยก็คือ...ลุงยศไปข้องเกี่ยวอะไรกับไอ้พวกนี้

“ลุงยศไม่อยู่ แล้วพวกนายมีอะไร?” คนตัวเล็กวางท่า ไม่แสดงสีหน้าเกรงกลัวใดๆ ถ้าแค่นักเลง...ทางนี้เองก็มีอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน

“หึ คงจะไม่รู้เรื่องสินะ คนนี้คือคุณชุน ลูกชายคนเดียวของเสี่ยพิชัย เจ้าหนี้รายใหญ่ของนายยศยังไงเล่า!”

“ว่าไงนะ!?”

เมื่อกี้ไอ้พวกกล้ามปูมันพูดว่า เจ้าหนี้ อย่างนั้นใช่ไหม! นี่มันเรื่องอะไรกัน ลุงยศขัดสนเรื่องอะไร และมากเท่าไรกัน ถึงขนาดต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากไอ้เศษเดนพวกนี้ ทั้งๆที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าหนี้นอกระบบมันน่ากลัวขนาดไหน...ทั้งที่รู้ดีขนาดนั้นแท้ๆ!

“ถึงเวลาชำระหนี้แล้ว”

ลูกน้องอีกคนขยับเท้าผ่านหน้าเจ้านายตัวเองเข้ามาในตัวบ้าน รอยยิ้มชั่วร้ายระบายอยู่บนใบหน้าโหด น่ากลัวมากพอจะทำให้เขาถึงกับเซถอยหลัง ทันทีที่ได้ยินคำว่าเจ้าหนี้ ร่างกายมันก็สั่นเทาไปเอง ความทรงจำในอดีตต่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง ราวกับฆ้อนที่จงใจตอกย้ำซ้ำแผลเก่าซึ่งยังไม่หายสนิท มือสองข้างยกขึ้นกดขมับ ดวงตากลอกซ้ายขวาอย่างคนใกล้เสียสติ

“ถ้านายยศไม่อยู่ แกก็ไปเอาเงินมา”

“ย..อย....อย่า...”

เสียงแหบพร่าเปล่งออกไปอย่างยากลำบาก แขนข้างหนึ่งกำลังถูกลูกน้องของนายชุนรั้งขึ้นสูงจนตัวเกือบลอย ภาพในปัจจุบันถูกซ้อนทับด้วยแผ่นฟิล์มจากอดีต ยิ่งกระตุ้นความกลัวที่หลบซ่อนอยู่ให้ทะลักออกมา พะภูที่ว่าเก่งกล้าบ้าบิ่นนักหนา แพ้แค่เรื่องตรงหน้านี้เอง...

เจ้าหนี้ที่เคยพรากชีวิตของพ่อแม่ตัวเองไป

เจ้าหนี้ที่เคยจับเขาไปขังไว้ในสถานที่ที่เรียกว่านรก

เจ้าหนี้...ไม่ว่าจะใครต่างก็เลวร้ายพอกัน!! ความน่ากลัวในคืนนั้นไม่อาจจลบเลือนออกไปจากสมองและหัวใจได้เลย ทั้งกลัว ทั้งเกลียด ทั้งโกรธ ทั้งชัง คับแค้นฝังลึกมาจนถึงตอนนี้

สติสตังเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หูสองข้างอื้ออึงไม่รับรู้ถึงคำพูดมากมายจากนักเลงตัวโต มีน้ำใสๆรื้นขึ้นมาบนขอบตาซึ่งกำลังเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เป็นอีกครั้งที่เสียงปืนและหยดเลือดในวันนั้นย้อนคืนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้คิดถึงมันมานาน

“เฮ้ย ปล่อย”

เสียงเย็นเยียบจากด้านหน้าประตูดังขึ้น ทำให้มือสากที่เกาะกุมแขนพะภูไว้ต้องรีบปล่อยออกแทบไม่ทัน รองเท้าหนังอย่างดีค่อยๆเยื้องย่างเข้ามาในบ้าน หยุดลงตรงหน้าเด็กที่กำลังทรุดตัวลงกับพื้น มือข้างหนึ่งเอื้อมมาพยุงร่างบางเอาไว้ได้ทัน ก่อนโน้มตัวเข้ามาใกล้

“นายชื่ออะไร?”

ดวงตากลมโตไหวระริก ปากบางเม้มสนิทด้วยทั้งโมโหและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้นบริเวณต้นแขน จึงยอมเผยอปากออกเล็กน้อย

“พ..พะภู”

“พะภู...เป็นอะไรกับนายยศงั้นเหรอ?”

“ฉันเป็นญาติของลุงยศ พวกแกคิดจะทำอะไร!?” ร่างบางพยายามควบคุมสติทั้งหมดไว้ เท้าสองข้างช่วยกันยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ไม่ต้องกลัว พวกเราก็แค่มาเก็บเงินที่ลุงนายยืมไปเท่านั้น”

“เท่าไร?” ถึงจะยังตกใจและแปลกใจอยู่มากกับการรู้ว่าลุงยศไปกู้เงินอันธพาลท้องถิ่นพวกนี้ แต่ก็ทำได้แค่เก็บคำถามทั้งหมดเอาไว้ในใจ ยังไงตอนนี้คงต้องจัดการเรื่องตรงหน้า และไล่ไอ้พวกบ้านี่ออกไปซะก่อน

“ลุงนายใช้คืนมาพอตัวแล้วล่ะ วันนี้แค่มารับก้อนสุดท้ายไป ตามที่ตกลงกันไว้ก็...หนึ่งแสนบาท”

“หนึ่งแสน!!?”

“ใช่ นายรีบติดต่อลุงนายให้เอาเงินมาเลยดีกว่า จะได้จบๆกันไปไง” ชุนว่าเสียงเรียบ มือที่รั้งต้นแขนของพะภูไว้จนถึงเมื่อครู่ค่อยๆเลื่อนมาอยู่บริเวณข้อมือ เกาะกุมแน่นซะยิ่งกว่าเดิม

“อึ่ก...”

เงินตั้งหนึ่งแสน จะบ้าหรือยังไง! นี่ลุงยศมีปัญหาอะไรกันแน่ ทำไมต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ แล้วที่บอกว่าใช้คืนไปพอตัวแล้ว แปลว่าจำนวนเต็มยังมากกว่านี้อีกงั้นเหรอ ปัญหาที่เขาเชื่อว่าพะพาย หรือแม้แต่ยัยฟางก็คงไม่รู้ แต่ในเมื่อมันมาอยู่ต่อหน้าของพะภู เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องช่วยลุงยศทุกทาง ช่วย...ให้เหมือนกับตอนที่ถูกช่วยไว้ แต่ประเด็นก็คือ จะทำยังไงล่ะ เขาไม่ได้มีเงินก้อนโตแบบนั้นสักหน่อย และดูท่าว่าไอ้พวกนี้จะไม่ยอมไปไหนง่ายๆจนกว่าจะได้รับค่าใช้หนี้คืนซะด้วยสิ

“หรือจะแลกด้วยอะไรอย่างอื่นดี...?” ใบหน้าพะภูกระตุกเกร็งทันทีที่ชุนเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งบีบข้อมือเขาไว้แน่น อีกข้างพักลงตรงแถวสะโพกมน น่าสะอิดสะเอียนยิ่งขึ้นด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยแบบที่นึกเกลียดนักหนา

ให้ตายสิ! นอกจากจะเป็นพวกเจ้าหนี้น่าโหดแล้วยังโรคจิตจนน่ารังเกียจอีก... กีรติ ช่วยสะกิดใจแล้วเดินออกมาช่วยเขาซะทีเถอะ!!

กร็อบ

“อ๊าก!!”

นายชุนร้องลั่นท่ามกลางสายตาตกอกตกใจจากลูกน้องทั้งสอง แขนข้างที่รวบข้อมือพะภูไว้ถูกใครอีกคนตรงเข้าบิดรุนแรงจนได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของกระดูก เจ้าของร่างโปร่งด้านหลังรีบฉวยโอกาสนี้ คว้าตัวพะภูให้ถอยกลับมาซบลงกับอกกว้าง พลางสบถเสียงเย็นเยียบ

“อย่าเอามือสกปรก มาแตะต้องคนของกู”

“พี่ติ!”

“เห็นออกมาตั้งนานแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ติตั้งคำถาม สายตามาดร้ายพุ่งตรงไปยังผู้ชายทั้งสาม ท่าทีน่าเกรงขามทำเอาพวกแขกไม่รับเชิญถึงกับหน้าซีด ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว ชุนลูบข้อมือตัวเองเบาๆพลางว่าเสียงแข็ง

“นายยศติดเงินพวกเราหนึ่งแสน ไปเอามา!”

ติเลิกคิ้วขึ้นสูง ก้มหน้ามองพะภูที่เอาแต่ส่ายหน้าน้อยๆ มือใหญ่ผลักให้คนรักเข้าหลบด้านหลังตน ก่อนจะควักกระเป๋าเงินออกมาจากกางเกง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แต่ดูเหมือนแค่ให้เงินไปก็คงจบสินะ ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยสิ

“ตอนนี้มีเท่านี้ แต่เดี๋ยวจะไปกดเงินทีเหลือมาให้” แบงค์พันปึกใหญ่ถูกดึงออกมาจากกระเป๋าหนังเนื้อดี ชุนรีบคว้าเอาไว้ก่อนส่งให้หนึ่งในลูกน้องเอาไปนับ

“สามหมื่นครับ”

“เหอะ เอางั้นก็ได้ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่ เตรียมเงินเอาไว้ให้ดีล่ะ”

เงินก้อนนั้นถูกส่งคืนให้ชุนที่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ถอยกลับ เมื่อพวกคนแปลกหน้าเดินพ้นประตูบ้าน ร่างของพะภูก็ทรุดลงกับพื้นทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อนระคนโล่งใจ ติรีบเบี่ยงตัวกลับประคองคนตัวเล็กเอาไว้ ก่อนจะอุ้มเข้าไปพักในห้องนอน

“เป็นอะไร พวกมันได้ทำอะไรนายรึเปล่า?”

คนตัวสูงเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าของพะภูตอนนี้ทำเขาใจไม่ดีเอาซะเลย แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็มีเพียงคำว่าไม่เป็นไรเท่านั้น ท่าทางหวาดกลัวแบบนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไง เด็กชายพะภูผู้ไม่เคยกลัวทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ มีอะไรที่เด็กนี่ไม่ได้บอกเขางั้นเหรอ ไม่สิ..จะว่าไปแล้ว เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวพะภูเลยด้วยซ้ำ...

“พี่ติ ผมไม่เป็นไรจริงๆ แค่ตกใจครับ”

คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยยิ่งทำให้คนตัวใหญ่อดคิดมากไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยอมพยักหน้าเข้าใจโดยดี กีรติเอื้อมมือปัดเส้นผมที่ปรกหน้าของคนบนเตียงออก ก่อนก้มลงจูบเน้นบนหน้าผากเพื่อถ่ายทอดกำลังใจ พะภูยิ้มรับ พลางส่งมือข้างหนึ่งให้ติกุมเอาไว้ ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ

ไม่เป็นไรหรอก... ถ้ามีคนคนนี้อยู่ก็ไม่เป็นไร...

------------------------------------------

ช่วงนี้ดองงานทุกอย่าง มานั่งปั่นนิยายรัวๆ
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะค้า
ถ้ายังไงคอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันด้วยเน้อ <3

ป.ล. ช่วงนี้พี่ธรหลบฉากก่อนน้า ปล่อยให้สองคนได้สวีทกันบ้าง

 :hao4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 22 | 22/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 22-10-2013 20:23:28
อดีตของพะภูค่อยๆเผยออกทาทีละนิดแล้ว

อีตาชุนแกอย่าทำอะไรพะภูนะเว้ย!

พี่ติจัดการมันเลย!!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 22 | 22/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 22-10-2013 21:00:51
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ถ้าไม่มีพี่ติพระภูแย่แน่ๆ :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 22 | 22/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 22-10-2013 22:06:04
เรื่องพะภู กำลังจะคลายปม แต่ก็มาพร้อมกับ เรื่องดราม่า เห็นๆ   รอตอนต่อไป   :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 22 | 22/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 22-10-2013 22:40:09
ฝากพี่ติดูแลพะภูให้ดีจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 23 | 30/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 30-10-2013 20:29:46
บทที่ 23

 

“เรื่องนี้ยัยฟางไม่รู้หรอก ความจริงแล้วแม่ของลุงป่วยหนัก ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยเร็ว ลุงเลยต้องจำใจไปกู้เงินไอ้เสี่ยพิชัย แต่นี่พวกญาติๆก็ช่วยกันปลดหนี้ไปเกือบหมดแล้ว ติดแค่เงินแสนก้อนสุดท้าย ที่ลุงยังหามาไม่ทัน แถมยัยฟางก็ใกล้เปิดเทอมแล้วด้วย ไหนจะค่ากินค่าอยู่...”

“พอเถอะครับ เอาเป็นว่าผมเข้าใจ และผมจะช่วยลุงเอง” พะภูยกมือขึ้นปรามไม่ให้ลุงยศพูดมากไปกว่านี้ ดูท่าทางแกคงเสียใจมาก เล่าไปน้ำตาก็เอ่อล้นจนคนฟังทนมองไม่ได้จริงๆ

“หนี้ก้อนสุดท้ายผมจะเป็นคนจ่ายให้เอง” ติเสริม ก่อนที่พะภูจะออกปากเห็นด้วยพลางเอื้อมมือไปตบบ่าลุงยศเบาๆเพื่อให้กำลังใจ แต่คนเป็นผู้ใหญ่กลับส่ายหน้าพัลวัน

“ไม่ได้หรอก จะให้คนอื่นมาจ่ายหนี้ให้ได้ยังไง นี่มันปัญหาที่ลุงก่อเอง..”

“คนอื่นที่ไหนกัน ผมก็หลานลุงนะครับ” พะภูเปลี่ยนมาบีบหัวไหล่ของคนตรงหน้า ต้องการให้รู้ว่ายังมีตัวเองคอยอยู่ตรงนี้ และพร้อมจะช่วยเหลือทุกเวลา แต่คำของลุงยศที่ตอบกลับมาก็ทำเอาเด็กทั้งสองถึงกับชะงัก หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“ก็นั่นมันเงินของติไม่ใช่เหรอ”

ก็ลืมนึกไปว่าไอ้คนที่ยื่นมือเข้าช่วยลุงจริงๆน่ะคือติต่างหาก แบบนี้ลุงยศคงต้องเกรงใจเป็นธรรมดาล่ะ อยู่ดีๆมีเพื่อนที่ไหนไม่รู้ของหลานนอกไส้จะมาช่วยปลดหนี้ก้อนโตให้ มันก็ออกจะแปลกอยู่นะ แล้วจะให้อธิบายว่ายังไงดี...จะบอกว่าติกับเขาเราก็เหมือนคนคนเดียวกันคงไม่ได้ด้วยสิ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็คิดกับพะภูเหมือนน้องแท้ๆคนนึง ผมพร้อมช่วยเหลือครอบครัวของน้องอยู่แล้ว ลุงยศแค่รับไปก่อนก็ได้ ไว้มีเงินเมื่อไรค่อยเอามาคืน”

คนฟังทำท่าครุ่นคิด ชั่งใจอยู่ได้ครู่หนึ่งก็ยอมพยักหน้าตกลง เพราะถึงจะเกรงใจอยู่มากแต่ก็คิดถึงความเป็นอยู่ในครอบครัว รวมทั้งค่าเรียนของยัยฟางด้วย อีกอย่างให้ติดหนี้คนแบบติก็คงดีกว่ารับมือกับพวกเสี่ยพิชัยแน่นอนอยู่แล้ว

“ขอบใจมากจริงๆนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยว่าพรุ่งนี้เช้าติจะออกไปกดเงินมาเตรียมไว้ให้ชุนเอง ลุงยศก็ขอปลีกตัวออกไปนอน เมื่อไม่มีใครแล้วพะภูจึงลุงขึ้นบ้างโดยไม่สนใจจะหันมองคนข้างๆแม้สักนิด ติเลิกคิ้วสงสัยในท่าทีแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้ ก่อนจะก้าวขาเร็วๆตามไปถึงในห้องนอน รีบคว้าข้อมือเล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน

“เป็นอะไรรึเปล่า?”

“เปล่าครับ” พะภูตอบกลับเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา แถมยังพยายามสะบัดมือออกอีกต่างหาก

“อยู่ดีๆเป็นอะไร งอนอะไรฉันเหรอ?”

“งอน? ผมเป็นแค่ ‘น้อง’ พี่ติ ไม่มีสิทธิ์ไปงอนพี่หรอกครับ”

คนได้ฟังชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะอมยิ้มกับตัวเอง เขาคิดว่าพะภูจะเปลี่ยนไปแล้วเสียอีกตั้งแต่ตกลงคบกัน เพราะเด็กที่เคยเอาแต่วิ่งไล่ตามเขาอย่างไม่รู้จักคำว่าอาย พอเขาเป็นฝ่ายเข้าหาบ้างกลับหลบหลีกจนน่าน้อยใจ วันนี้รู้แล้วว่าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย พะภูที่รักเขาก็ยังเป็นพะภูที่รักเขาจริงไหม แถมไอ้ท่าทีเง้างอดแบบเด็กๆเพียงเพราะเขาหลุดปากพูดว่า ‘น้อง’ ยิ่งทำให้ดูน่ารักกว่าเดิมหลายเท่า

“นี่...”

ติส่งเสียงออกมาเพื่อกลบความเงียบ มือใหญ่ดึงรั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้ ก่อนรวบตัวพะภูไว้ในอ้อมกอดแน่น คนตัวเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวรีบโวยพลางดิ้นพล่าน แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าจะหลุดไปได้ถึงยอมสงบลง สายตาเคืองลอบมองคนตัวใหญ่อย่างไม่เข้าใจ

“ฉันไม่กอดน้องแบบนี้หรอก” คราวนี้พะภูกลับเป็นฝ่ายชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงกระซิบข้างๆหู ติยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนฝังปลายจมูกลงกับแก้มใสอย่างถือวิสาสะ มือเล็กพยายามดันไหล่คนตรงหน้าออกแต่ก็ไม่เป็นผล

“พะ..พี่ติ!”

“ฉันไม่หอมแก้มน้องแบบนี้”

“อึ่ก...”

คนตัวสูงหยุดมองหน้าพะภูนิ่ง แขนข้างหนึ่งรั้งเอวบางให้แนบชิดตนเองยิ่งขึ้น มืออีกข้างทำหน้าที่เชยคางมนของคนตัวเล็กไม่ให้หันหนีไปไหน ดวงตากลมโตแกล้งเสมองไปทางอื่นทันทีที่ความรู้สึกบางอย่างเริ่มตรงเข้าจู่โจม

ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดอยู่ตรงหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ริมฝีปากสีอมส้มจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากบาง สัมผัสอ่อนนุ่มทำให้พะภูยอมปิดเปลือกตาลงช้าๆ ดื่มด่ำไปกับรสจูบที่คนรักมอบให้ กีรติเปลี่ยนมาประคองใบหน้าเรียวไว้ด้วยมือสองข้าง สอดไส้ลิ้นหนาเข้าไปสำรวจทั่วโพรงปากแสนหวาน เมื่อพอใจแล้วจึงค่อยๆผละตัวออกมาอย่างอ้อยอิ่ง สองสายตาสอดประสานกันอย่างมีความหมาย

“แล้วฉันก็ไม่จูบน้องแบบนี้ด้วย”

“....พ..พี่ติบ้า...”

ใบหน้าแดงก่ำก้มลงมองพื้นอย่างเขินอาย ปากเป็นกระจับเอ่ยออกไปเสียงแผ่ว ยิ่งทำให้ติอยากจะกอดรั้งเด็กคนนี้ไว้ไม่ปล่อยเลย โชคดีเหลือเกินที่เขามีโอกาสรู้ใจตัวเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้สัมผัสกับความสุขเพราะความน่ารักของคนในอ้อมแขนอย่างตอนนี้แน่

ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กที่เคยรำคาญนักหนา วันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนที่ชิงเอาหัวใจเขาไปได้ทั้งดวง...

“ฉันต้องพูดแบบนั้นเพื่อกล่อมให้ลุงยศยอมรับเงินหรอกน่า”

“ผมรู้...แต่มันก็.. อดน้อยใจไม่ได้อะ” คนตัวเล็กส่งเสียงงึมงำ พลางกอดตอบเขาไว้แน่น หัวเล็กๆส่ายดุ๊กดิ๊กอยู่ตรงหน้าด้วยความเขิน แก้มสองข้างร้อนผ่าว ขึ้นสีระเรื่อไปจนถึงใบหู ทำเอาคนโตกว่าอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“หรือจะให้ฉันเดินไปบอกลุงยศว่าเราเป็นอะไรกัน”

“ไม่ต้องเลย!” พะภูร้องห้าม พลางดึงแขนคนตัวใหญ่ให้ไปนั่งบนขอบเตียงด้วยกัน ติหัวเราะน้อยๆที่ได้แกล้งให้เด็กน้อยหน้ามุ่ย เจ้าของใบหน้าสีแดงก่ำทำแก้มป่องอย่างเคืองๆ ก่อนตั้งคำถามกลับหวังจะหยอกคนตัวสูงบ้าง

“แล้ว...เราเป็นอะไรกันล่ะครับ?”

“ยังต้องบอกอีกเหรอ”

“ก็ผมอยากได้ยินนี่ จะอีกกี่ครั้ง ก็ยังอยากได้ยิน”

ติอาจไม่รู้ และตัวเขาเองก็แทบไม่รู้ตัวเช่นกัน ว่าทุกครั้งที่ติแสดงความรักให้เห็น มันทำให้เขาดีใจมากแค่ไหน ช่วงเวลาอันน่าเจ็บช้ำมากมายซึ่งได้เผชิญมา นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากัน กลับทุกลบทิ้งอย่างง่ายดายด้วยคำว่ารักจากคนคนนี้ ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่เขาค่อยๆลืมจุดประสงค์แรกในการเข้าหาผู้ชายที่ชื่อกีรติไป ราวกับว่าเพราะรักจริงๆ มีแค่ความรู้สึกนี้เท่านั้นที่เด่นชัดขึ้นมาในใจ เพียงแค่ตอนนี้...ที่อยากให้มีแค่ความรู้สึกนี้เท่านั้น...

คนตัวสูงเอื้อมเข้าไปประคองมือเล็กมากอบกุมไว้อย่างอ่อนโยน ค่อยๆยกขึ้นแตะริมฝีปากอุ่นของตัวเองแผ่วเบา พร้อมฉายรอยยิ้มพิมพ์ใจขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

“เราเป็นคนสำคัญของกันและกัน.....เป็นคนรักกันนะ”

ใบหน้าเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อยิ่งกว่าเก่า รอยยิ้มกว้างน่าเอ็นดูระบายอยู่บนนั้น เขาแทบไม่อยากให้เข็มนาฬิกาเดินหน้าอีกเลย ขอได้ไหม...ขอหยุดช่วงเวลาที่แสนสุขใจนี้ไว้ได้หรือเปล่า

“พะภู รักฉันรึเปล่า?” ติเอ่ยปากถาม มือใหญ่รั้งเอวคนข้างๆเข้ามาใกล้ พลางกดจูบไล่ขึ้นไปจากข้อมือจนถึงซอกคอขาว

“ก็รู้อยู่แล้วนี่..”

“ไม่เอา...อยากได้ยิน”

คนตัวโตแกล้งส่งเสียงอ้อนเลียนแบบเขาเมื่อครู่ พลางส่งสายตาคาดหวังไปให้ พะภูทำท่านึกอะไรในหัว ก่อนจะเผยยิ้มออกมาทั้งที่ใบหน้าร้อนผ่าว ร่างบางยืดตัวขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองลงกับแก้มเนียนเร็วๆ ทำเอาติถึงกับเบิกตากว้าง ในเวลานี้หัวใจที่เคยเป็นเหมือนน้ำแข็งกลับพองโตขึ้นมา รู้สึกดีใจจนแทบจะปิดไม่มิด เสียงใสดังขึ้นปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

“รักพี่ครับ”

ติยิ้มกว้างพร้อมยื่นหน้าเข้าไปขโมยหอมคืนอย่างหมั่นเขี้ยว เด็กนี่กำลังจงใจทำให้เขาเป็นบ้า สักวันคงต้องกรามค้างเพราะยิ้มไม่หุบแน่ๆ

“ถ้ารัก...งั้นนายก็เล่าเรื่องของนายให้ฉันฟังได้รึเปล่า?”

เสร็จสิ้นจากการหยอกเย้า ติก็เริ่มพาเข้าประเด็นจริงจัง คำถามมากมายเกี่ยวกับคนรักของตนเองยังคงวนเวียนเต็มหัวสมอง ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อเช้า พะภูมีสีหน้ากังวลขึ้นมาแทบจะทันที ดวงตาสดใสค่อยๆหลุบต่ำลง

“เรื่องของผม.. เรื่องอะไรกันครับ...”

“ก็หลายๆเรื่อง ฉันแทบไม่รู้จักนายเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่นายชอบไม่ชอบ ครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้ง...อดีตของนายด้วย...”

อดีตของเขาก็คือเหตุผลที่เข้าหาติด้วยเช่นกัน บอกตามตรง...เขายังไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไปเลย อาจเป็นเพราะว่าบางส่วนในหัวใจของเขา มันเกิดลังเลขึ้นมา เพราะการได้เข้ามาใกล้ชิดกับติจริงๆ มันทำให้ความรู้สึกข้างในรวมทั้งความตั้งใจเดิมผิดเพี้ยนไปหมด...ในเมื่อเขาเดินมาไกลจนยากจะถอยกลับได้แล้ว ก็มีแต่ต้องคิดว่าจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางไหนกันแน่ ทิศทาง...ที่เขาเองก็ยังไม่รู้เลย

“คือว่า..ผม...” ท่าท่างอึดอัดของพะภูทำให้ติเข้าใจดี เขาค่อยๆลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนคว้าตัวพะภูมากอดไว้แน่น คางมนเกยอยู่บนไหล่บาง

“ถ้านายยังไม่พร้อมจะเล่าก็ไม่เป็นไร”

“พี่ติ...”

“ฉันจะรอ”

ความเงียบถูกพัดพาเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องขนาดเล็ก พะภูขมวดคิ้วมุ่นด้วยความรู้สึกผิดที่ยังไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ มือเล็กทั้งสองข้างโอบตอบรอบเอวของติ พลางซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง ค่อยๆซึบซับความอบอุ่นของกันและกันไว้ให้นานที่สุด

ไม่อยากคิดถึงเรื่องอะไร นอกจากคนในอ้อมกอดนี้เท่านั้น...

-----------------------------------------

ฉากมีความสุขนี่แต่งยากเนอะ.........
หวังว่าจะยังมีคนคอยติดตามพี่ติกับพะภูต่อไปน้า
เห็นช่วงนี้เงียบเหงาเชียว แอบเศร้า ;w;
ยังไงก็ขอบคุณคนอ่านทุกคน และทุกๆคอมเม้นมากจริงๆนะค้า ~


 :mew6:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 23 | 30/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 31-10-2013 00:18:19
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:น้องพระภูกลับมาแล้ว :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 23 | 30/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 31-10-2013 01:25:45
ถึงคนเขียนจะบอกว่าฉากมีความสุขแต่งยาก
แต่ฉากนี้มาบ่อยๆ ก็ได้น้า

แล้วเราก็ยังไม่รุ้อดีตพะภู :onion_asleep:
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 23 | 30/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-10-2013 04:23:48
หูยย!! พะภูปมเยอะน่าดู รอรอต่อไปป!!

พี่ติก้อแมนซะ><
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 23 | 30/10/56 | P.10
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 31-10-2013 12:46:10
ความสุข อยู่กับเราไม่ได้นานซิน่ะ.................เครียดล่วงหน้า    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 06-11-2013 20:11:20
บทที่ 24

 

“เจ็ดหมื่นบาทถ้วนครับ”

กัสยื่นซองหนาสีน้ำตาลให้ติ ตอนนี้ภายในบ้านขนาดไม่ใหญ่นัก ยิ่งดูแคบลงถนัดตาเมื่อบรรจุสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆซึ่งตามมาสมทบในตอนเช้าไปด้วย ทุกคนตกลงเตี๊ยมกัน ให้ลงยศทำทีเป็นว่าพายัยฟางออกไปเดินตลาด ปล่อยให้พวกเขาเป็นฝ่ายรับมือกับเจ้าหนี้ขาใหญ่เอง

“นี่พวกนายนอนด้วยกันจริงอะ?” เกต์เอ่ยปากถาม หลังเดินออกมาจากห้องนอนคับแคบที่ด้านในสุดของตัวบ้านชั้นล่าง

“เออ”

“เตียงเล็กขนาดนั้น มึงไม่ทับพะภูแบนเลยเรอะ” เปิดปากแซวหวังจะช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียด ขณะที่คนถูกพาดพิงกลับยักยิ้มอย่างมีเลศนัย เรียวตาคมเหล่มองเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

“กูก็อยากทับเหมือนกันแหละ แต่เขาไม่ให้”

พะภูได้ยินใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที รีบตวัดสายตาดุๆไปทางคนพูดจนติต้องรีบหุบยิ้มแทบไม่ทัน ส่วนคนอื่นๆกลับแสร้งเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง แก้มร้อนวาบไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ของติกับพะภูมันก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดกำกวม หรือแม้กระทั่งร่องรอยแปลกๆตามร่างกาย ก็อดเขินคิดภาพตามไม่ได้จริงๆ ยิ่งกับคนแบบติที่ฟันสาวมานับร้อยแล้วด้วย...รู้สึกสงสารพะภูขึ้นมาจับใจเลยแฮะ

“แล้วไอ้ชุนอะไรนั่นจะมาเอาเงินเมื่อไร?” ศิลป์เป็นฝ่ายออกปากเปลี่ยนประเด็น ทำให้สมาชิกที่เหลือเริ่มกลับมาตีสีหน้าปกติได้สักที

“คงใกล้แล้วแหละ”

“แล้วจะเอาไง เล่นแม่งเลยมะ?” เกต์ถาม พร้อมหักนิ้วตัวเองเสียงดังกรอบแกรบ ติยืดตัวขึ้นมองพะภูที่กำลังส่ายหน้ากลับมาให้ ก่อนจะออกปากสั่งลูกน้องทุกคนเสียงดังฟังชัด

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ให้เงินมันไปก็พอ”

“โหว ไม่หนุกเลยอะ” เกมบ่นน้ำเสียงเบื่อหน่าย เลยโดนติดุด้วยสายตาไปตามระเบียบ

“ผมว่าก็ดีแล้วนะ ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยครับ” นิวที่ยืนขนาบข้างศิลป์อยู่ตลอดเป็นฝ่ายเสนอความเห็นขึ้นบ้าง พะภูพยักหน้ารัวแรงเพื่อเสริมทัพ ก่อนที่เกมจะยอมพยักหน้ารับรู้ตามอย่างเซ็งๆ

กริ๊ง กริ๊ง..

พูดถึงยังไม่ทันจะขาดคำ ดูเหมือนเจ้าหนี้ตัวปัญหาจะโผล่หน้าออกมาสักที พะภูถูกดันเข้าหลบหลังเกมไว้เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่ติจะเป็นฝ่ายก้าวขาไปเปิดประตูออก เผยให้เห็นใบหน้ายียวนของคนโดนหักข้อมือเมื่อวาน พร้อมด้วยลูกน้องอีกฝูงใหญ่ ยืนขวางทางเดินหน้าบ้านจนเต็มบริเวณ

“ว่าไง”

ชุนทัก สีหน้าชิงชังอย่างไม่ปิดบังสักนิด ติไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยื่นซองเงินในมือไปให้ แต่ลูกชายเสี่ยพิชัยคนนี้กลับไม่ยอมรับ แถมชะเง้อคอเข้าไปด้านในหวังจะพบเจ้าของใบหน้าหวาน น้ำเสียงกวนประสาทเปล่งออกมาดังฟังชัด

“ฉันจะรับจากมือพะภูเท่านั้น”

“หา?”

“ไอ้เวรนี่!”

คนอื่นด้านในตัวบ้านส่งเสียงโวยวายขึ้นมาทันที พลางขยับเข้ามาใกล้หน้าประตูมากขึ้น แต่ท่าทางคนที่อารมณ์ไม่ดีสุดๆก็เห็นจะเป็นตินี่แหละ เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนักที่จะไม่ปล่อยหมัดออกไป ได้แต่กำมือแน่นจนผนึกปิดซองสีน้ำตาลเปิดออก ท่ามกลางบรรยากาศมาคุ พะภูตัดสินใจแทรกตัวออกมาหยุดอยู่ข้างๆคนรักตน พร้อมส่งยิ้มให้ดูว่าไม่เป็นไร

“ผมจัดการเองครับ”

มือเล็กเอื้อมไปแกะกำปั้นของติออกช้าๆ ก่อนจะคว้าซองเงินมาไว้กับตัว คนสูงกว่ามีทีท่าเป็นห่วงยิ่งขึ้น แต่ก็โดนพะภูส่ายหน้าใส่ เกต์กับผาเป็นสองคนที่ช่วยเข้ามาดึงตัวติให้พ้นทางพลางตบบ่าเป็นเชิงให้ใจเย็น

“นี่เงินทีเหลือ เจ็ดหมื่นบาทครับ”

ชุนยิ้มพอใจ เอื้อมมือเข้ามารับซองเงินไปโดยไม่พลาดที่จะลอบสัมผัสมือนุ่มนิ่มตรงหน้า ทำเอาคนด้านหลังพะภูถึงกับเลือดขึ้นหน้า แต่ทว่ากลับถูกรุ่นน้องตัวเองรั้งไว้ จริงๆเลย เป็นคนบอกว่าไม่ให้มีเรื่อง แต่กลับเอาแต่จะพุ่งเข้าใส่ลูกเดียว แบบนี้ต้องเรียกว่าเป็นโรคหวงเมียเข้าขั้นหนักซะล่ะมั้ง

“อ่ะ” ซองในมือถูกส่งต่อให้ลูกน้องคนหนึ่งเอาไปนับ ระหว่างรอก็หันมาเปิดบทสนทนาใหม่กับเด็กตัวเล็ก

“เมื่อคืนฉันลองถามพ่อเรื่องครอบครัวนายยศ แปลกนะ”

“แปลก? อะไรครับ?”

“พ่อบอกว่านายยศไม่มีหลานชาย”

สิ้นเสียงของชุน พะภูก็รีบคว้ามือใหญ่ตรงหน้าลากออกไปให้ห่างจากจุดที่ยืนอยู่ ไม่ลืมที่จะหันมาส่งสายตาเพื่อคลายความกังวลใจให้กับคนด้านใน หลังจากทั้งคู่เดินไกลออกมา พวกลูกน้องของชุนก็ตรงเข้าล้อมประตูบ้านเอาไว้เพื่อกันไม่ให้มีใครถลาออกไปขัดขวางเจ้านายตน พะภูรีบปล่อยมือจากชุนทันทีที่หยุดฝีเท้าลง เพราะรู้สึกได้ถึงรัศมีน่ากลัวซึ่งแผ่ออกมาจากในตัวบ้าน

“มีอะไรจริงๆสินะ” ชุนว่า สายตาเหล่มองติที่ยืนชะเง้อคออยู่ไกลๆ พลางส่งยิ้มเย้ยหยันไปให้ ก่อนจะหันกลับมาสนใจร่างบางที่เริ่มตีสีหน้าไม่สบอารมณ์

“พ่อคุณจะมารู้เรื่องครอบครัวเราได้ยังไง แม่ผมเป็นน้องสาวของลุงยศ” ถามหยั่งเชิงออกไป แม้ว่าในใจจะกังวลไม่น้อยว่าชุนอาจรู้อะไรต่อมิอะไรดีกว่าที่คิดก็ได้

“พ่อเป็นผู้มีอิทธิพลของเมืองนี้ ทุกเรื่องของคนที่นี่เขารู้หมดแหละ”

“งั้นพ่อคุณก็คงรู้อะไรมาผิดๆแล้ว”

“ผิดเหรอ... แล้วเรื่องที่ว่าน้องสาวของนายยศเป็นภรรยานอกสมรสของนักธุรกิจรายใหญ่ และถูกไล่ตะเพิดออกมาหลังจากคลอดลูกสาวคนเดียวที่ชื่อพะพาย ก็ผิดด้วยหรือเปล่าล่ะ?”

รู้ถึงขนาดนี้เชียว!!? ชักสงสัยแล้วว่าเสี่ยพิชัยเป็นแค่มาเฟียใหญ่แห่งเมืองตราด หรือว่าเป็นหน่วยข่าวกรองชั้นหนึ่งกันแน่ เรื่องของครอบครัวพะพายซึ่งน้อยคนเหลือเกินจะรู้ก็ยังมีข้อมูลได้ แบบนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะแม้แต่สังคมวงในชั้นสูงก็ยังแทบไม่มีใครรู้เรื่องของแม่พะพายเลย

“ยังไม่หมดนะ พ่อยังบอกอีกว่า...เมื่อปีก่อน นายยศกับหลานสาวช่วยเด็กที่กำลังจะโดนจับไปขายมาได้คนนึง ถ้าให้ฉันเดา...เด็กคนนั้นคือนาย พะภู”

“!!!”

แม้ปากอยากจะเถียง แต่ร่างกายดันชาไปเสียทุกส่วน ไม่คิดว่าจะชุนจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ แถมยังรู้มากจนน่ากลัวทีเดียว

“ไม่ต้องห่วงหรอก เสี่ยพิชัยพ่อฉัน ไม่ใช่พรรคพวกของเสี่ยจิว ศัตรูของนายอยู่แล้ว”

“พะ...พอแล้ว!” ไม่อยากจะฟังไม่มากกว่านี้ ชื่อของคนคนนั้นที่นึกชิงชัง ยิ่งได้ยินก็ยิ่งหงุดหงิด มือเล็กที่สั่นเทารีบยัดซองเงินเข้าไปในมือใหญ่ตรงหน้าก่อนจะออกแรงผลักอกกว้างออกไป

“นี่เงินของนาย พวกเราใช้คืนหมดแล้ว อย่ามายุ่งกับลุงยศอีก” ทันทีที่พูดจบก็รีบหันหลังกลับและสาวเท้าออกไปให้พ้นบริเวณ หากแต่ว่าคำพูดสุดท้ายของชุนยังคงดังขึ้นให้พอได้ยินอยู่ไกลๆ

“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงอยู่กับอัครโภคิน”

ชุนส่งสัญญาณเรียกลูกน้องทั้งหมดให้ถอนตัว เขาหยุดมองแผ่นหลังของเด็กเมื่อครู่ที่กำลังหายไปหลังประตูสีไม้ ก่อนจะก้าวขาขึ้นรถด้วยท่าทีสงสัย จากทุกอย่างที่พ่อเล่าให้ฟังมันทำให้ยิ่งน่าแปลกใจ ถ้าคนที่พะภูสมควรเกลียดที่สุดคือเสี่ยจิว แล้วทำไมคนที่รักที่สุดถึงกลายมาเป็นกีรติได้ล่ะ...

หรือพะภูจะไม่รู้ว่า..........

 

“มึงไม่ไปด้วยกันแน่นะ?” เกต์ถามย้ำอีกครั้ง ขณะกำลังเปิดประตูรถออก ติได้แต่ส่ายหน้าและกวักมือไล่สองสามที จนเมื่อสมาชิกกลุ่มทั้งหมดกลับไปแล้ว ถึงได้โอกาสหันมาถามคำถามคาใจกับคนตัวเล็ก

“เมื่อกี้ออกไปคุยอะไรกับมัน?” พูดถึงตอนที่พะภูลากชุนออกไปพ้นสายตา

“เอ่อ..ป...เปล่าครับ” พะภูได้แต่ปิดบังพลางหันหลังให้ ไม่ยอมสบตาที่กำลังสั่นไหวแปลกๆ คนตัวสูงลอบถอนหายใจ ก่อนจะขยับเข้ามากอดรั้งร่างบางไว้จากทางด้านหลัง โน้มตัวฝังปลายจมูกลงกับเรือนผมอ่อนนุ่ม ความอบอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาจนเขารู้สึกสงบใจขึ้นมาก ความหงุดหงิดจากบทสนทนาเมื่อครู่หายไปราวกับถูกร่ายมนต์ใส่

“นี่ก็บอกฉันไม่ได้อีกแล้วงั้นเหรอ...”

น้ำเสียงน้อยใจทำเอาพะภูถึงกับเจ็บแปล็บ มือเล็กยกขึ้นเกาะแขนแกร่งที่กำลังโอบร่างตัวเองไว้ ค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลซึ่งกำลังมองลงมาเช่นกัน สายตารู้สึกผิดทำให้ติรู้ดีว่าเขาคงยังไม่มีโอกาสรับรู้อะไรไปมากกว่านี้

“พี่ติ...”

พะภูเอี่ยวตัวเล็กน้อย ฝ่ามือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มเนียนซึ่งกำลังขยับใกล้เข้ามา ริมฝีปากหยุ่นค่อยๆประทับลงกับริมฝีปากบางของเขาแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มรุกไล่เพิ่มระดับความรุนแรงยิ่งขึ้นจนคนตัวเล็กหายใจแทบไม่ทัน ทั้งอ้อมกอดและรสจูบที่ได้รับ ทำให้เขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างชัดเจน ความลังเลที่เคยมีมันค่อยๆคลายปมออกทีละเล็กทีละน้อย...

เมื่อแรกเริ่มเขาคิดได้อย่างเดียวคือการหลอกใช้กีรติเพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง แต่ยิ่งได้ใกล้ชิด ได้รู้จัก และได้รัก... ความคิดต่างๆก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มพอใจกับทุกวันที่เป็นอยู่ ทุกนาทีที่ได้อยู่กับติเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าจะร้องไห้หรือมีความสุข เขาก็ยังอยากอยู่เคียงข้างคนคนนี้ ความรู้สึกทั้งหมดมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ยังไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ

ตอนนี้เขาไม่ได้อยากใช้ประโยชน์อะไรจากกีรติอีกแล้ว ที่ต้องการก็มีแค่ให้ได้อยู่ด้วยกัน เมื่อไรที่นึกหวาดกลัวความทรงจำขึ้นมา พอเข้ามาอยู่ในรัศมีของผู้ชายคนนี้แล้วมันกลับรู้สึกปลอดภัย เพราะงั้นถึงได้อยากทิ้งอดีตทั้งหมดเอาไว้ อยากลืมความแค้นทั้งหมด และอยากใช้ชีวิตต่อไปในฐานะคนรักของติเท่านั้น

อยากจะเป็นแค่เด็กชายพะภู ที่รักพี่ติเท่านั้น...

“เรื่องของผมมันไม่มีอะไรหรอกครับ พี่รู้แค่ว่าผมรักพี่มากก็พอ”

พะภูหันตัวเองกลับไปเผชิญหน้าติตรงๆ มือเล็กกอบกุมมือสากของคนตัวใหญ่ไว้แน่น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยอดีตอันเลวร้ายทั้งหมดไป เหลือไว้แค่ปัจจุบันที่มีพะพายเป็นครอบครัวอันอบอุ่น มีเพื่อนพี่น้องที่ร่าเริง และมีติเป็นดั่งโลกทั้งใบของเขา

ไอ้เรื่องที่พะภูเคยเป็นใคร เคยโดนทำอะไรไว้ รวมทั้งเรื่องที่เคยคิดหลอกใช้คนตรงหน้า ขอให้มันเลือนหายไปเลย...เขาจะไม่คิดถึงมันอีก ตั้งแต่นี้ไป เขาขอเริ่มต้นใหม่ด้วยความรู้สึกรักอันแท้จริง ต่อแต่นี้จะมีแค่พะภูที่รักพี่ติและพะภูที่พี่ติรัก นั่นแหละดีแล้ว...เพราะว่าไม่อยากคิดถึงหรือแม้แต่พูดถึงเรื่องราวในอดีตอีกแล้ว...

“แต่ว่า..”

“ผมขอเป็นแค่พะภู คนที่อยู่ข้างๆพี่ไม่ได้เหรอครับ?”

นิ้วเรียวยกขึ้นปิดปากของติไว้ ก่อนส่งยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดออกไป คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นพลางครุ่นคิดบางอย่าง เขาเองก็ไม่ได้อยากคาดคั้นเอาความอะไรจากพะภูหรอก และไม่เคยคิดสงสัยอะไรในตัวเด็กนี่ด้วย เพียงแค่อยากให้พะภูระบายความอึดอัดในใจออกมาให้เขารับรู้บ้าง แต่ถ้าไม่ต้องการเขาก็ไม่อยากบีบคั้น ได้แต่เชื่อว่าสักวัน คนตรงหน้าคงพร้อมที่จะเผยมันออกมาเอง

“ก็ได้...ฉันจะไม่ถามอีก”

“อดีตของผมมันไม่สำคัญเลย ถ้าเทียบกับความรู้สึกในปัจจุบันที่ผมรักพี่ เพราะงั้น...เชื่อใจผมนะ” คนตัวเล็กเขย่งปลายเท้าขึ้นสูง แขนบางโอบรอบคอติไว้ให้โน้มต่ำลงมาอีกครั้ง สายตาจริงจังทำให้ติคิดถึงอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องยอมพยักหน้าโดยดี นั่นสินะ ปัจจุบันสำคัญที่สุดแล้ว แค่พะภูรักเขาก็พอแล้ว...

“ฉันเชื่อใจนาย”

รอยยิ้มอบอุ่นระบายอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ ภายในตัวบ้านที่ว่างเปล่า มีเพียงเสียงเต้นของหัวใจสองดวงที่ดังขึ้นพร้อมๆกัน จุมพิตอ่อนโยนถูกมอบให้แก่กันและกันนับครั้งไม่ถ้วน

------------------------------------------

เรื่องยังไม่จบน้าาา ! 555
คาดว่ายังต้องเจออะไรอีกเยอะ ;w;
แต่ช่วงนี้ไม่รู้จะได้มาอัพตอนไหน ไม่แน่นอนแล้ว
เจอไฟนอลโปรเจกพร้อมกัน 4 วิชา
แทบตายแล้วอะ T_____T
สัญญาว่าตอนปิดปีใหม่จะปั่นรัวๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแต่งให้จบเลย
แต่คงยาก 555555 จิพยายาม
ตอนนี้ถ้ามาแต่งต่อได้ ก็จะอัพให้นะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกคน และขอบคุณทุกๆคอมเม้นมากจริงๆ <3
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 06-11-2013 21:59:01
ยังไงต่อน้าพะภู เอาใจช่วย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-11-2013 22:01:22
 :katai1: :katai1: :katai1:อย่าม่าม่านะยังไม่อยากกิน :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-11-2013 14:00:59
อุ้ต้ะ อยากจะย้อนอดีตจุงเบยยยย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 09-11-2013 22:19:11
แล้ว ถ้าติ มารู้ที่หลังละ โอ้ย ไม่อยากจะคิด  :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 26-12-2013 15:31:51
บทที่ 25

 

“ฮัลโหล”

โทรศัพท์ที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าบนโต๊ะหนังสือถูกกดรับจากคนที่เพิ่งวิ่งออกมาจากห้องน้ำ และคงไม่แปลกใจเท่าไรถ้าเกิดคนที่โทรมาไม่ใช่คุณหัวหน้าห้องสุดสวย ร้อยวันพันปีไม่เคยคุยโทรศัพท์กันเลย แล้วนี่อะไร หวังแค่ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรอกนะ

(พะภู จริงหรือเปล่า!?)

เดี๋ยวนะ ใครสอนให้เธอตั้งประโยคคำถามที่จับความอะไรไม่ได้เลยแบบนี้กัน เขาได้แต่เกาหัวน้อยๆ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง

“อะไรเหรอ เราไม่เข้าใจอะ”

(ก็รูปในเฟซบุ๊กไง)

“เราไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กอะ มีอะไรหรือเปล่า?”

เพราะแลปท็อปมือสองเครื่องเดียวในบ้านเป็นของพะพาย เขาได้แค่ขอยืมใช้ทำงานบางครั้งบางคราวเท่านั้น และมือถือเก่ากึกของเขาก็ไม่ได้พร้อมใช้งานโซเชียลมีเดียใดๆ ทำให้ค่อนข้างขาดการติดต่อจากเพื่อนฝูงคนอื่นๆ หลายครั้งแล้วที่เพื่อนในห้องคอยแต่จะพูดถึงเรื่องราวในโลกออนไลน์ซึ่งเขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย

(ตอนนี้มีคนแชร์รูปนายกับพี่ธรไปทั่วเลย)

“ห๊ะ?”

จำไม่เห็นได้ว่าเคยไปถ่ายรูปกับธรตอนไหน แต่พอได้ยินแบบนี้กลับใจคอไม่ดีขึ้นมา ไม่รู้ว่าถ้าพวกติเห็นแล้วจะว่ายังไง ทั้งที่ไม่อยากให้ทั้งสองคนมีเรื่องกันอีกแล้วแท้ๆ

“รูปอะไรอะ?”

(มีคนถ่ายรูปพวกนายกินไอศกรีมด้วยกัน ตอนนี้แพร่ไปทั่วแล้ว)

บ้าน่า! เขาเคยโดนธรลากไปกินไอศกรีมจริงๆ ตอนก่อนหน้าจะคบกับติ ก็ไอ้ตอนที่ติเป็นบ้าหลบหน้าเขาไปนั่นแหละ ช่วงนั้นธรก็เข้ามาเทียวรับเทียวส่ง แถมบังคับพาไปไหนต่อไหนตามใจ โดยอ้างสิทธิ์ของความเป็นพี่-น้อง แม้ว่าหลายอย่างที่ธรทำ มันจะไม่ใช่สิ่งที่พี่น้องทำกันก็เถอะ

“อะ..เอิ่ม ไว้เราจะดูละกัน ขอบใจมากนะที่บอก”

(อ...อืม)

ทันทีที่วางสาย ก็รีบวิ่งลงบันไดไปหาพี่สาวที่เพิ่งกลับมาจากค่ายของคณะกรรมนักเรียน พอดีกับช่วงที่เขากลับมาจากตราด

“พี่พายยย”

“มีอะไร เดินดีๆ” คนเป็นพี่หันไปเอ็ด เมื่อเห็นพะภูทำท่าจะไถลลงมาจากขั้นบันได น้องชายบุญธรรมรีบวิ่งเข้ามานั่งตรงข้ามหน้าตาตื่น

“ในเฟซบุ๊ก มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“หือ? มีอะไรเหรอ พี่ยังไม่ได้เปิดดูเลย”

เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย พะภูที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสังคมออนไลน์อยู่ดีๆมาถามเรื่องเฟซบุ๊กมันน่าแปลก พลันมือขวาจับเมาส์คลิกเข้าไปยังบราวเซอร์อินเตอร์เน็ตทันที บนหน้า News Feed ของเว็บไซต์ชื่อดังปรากฏเป็นภาพน้องชายตัวเองกำลังนั่งกินไอศกรีมกับเด็กนักเรียนวิไลวิทย์ ดูเหมือนถูกแชร์ต่อๆกันมามากกว่าหนึ่งร้อยครั้ง แถมยังมีจำนวนไลค์พุ่งขึ้นเรื่อยๆอีกต่างหาก

“นี่เรารู้จักกับธรด้วยหรอ?”

คนโดนถามสะดุ้งเฮือก พยายามเลี่ยงที่จะสบสายตาด้วยการถือวิสาสะหันหน้าจอแลปท็อปมาทางตัวเอง พะพายไม่เคยรู้ว่าเขากับธรรู้จักกัน เพราะต้องทำงานพิเศษตลอด 6 วันต่ออาทิตย์ แถมกลับบ้านดึกทุกวันจนไม่มีโอกาสเคยเจอกันเลย หรือแม้แต่ติเอง พะพายก็ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ พอรู้แค่ว่าเขาเข้าไปคลุกคลีอยู่กับคนกลุ่มนี้เท่านั้น

“ก็..นิดหน่อยครับ” ตอบออกไปเสียงแผ่ว สายตาจ้องมองภาพบนจออย่างอึ้งๆ ใครกันช่างแอบถ่ายได้มุมดีเหลือเกิน กล้องซูมเสียจนเห็นตราโรงเรียนชัดเจน และแน่นอนว่าใบหน้าของเขาและธรก็ปรากฏเด่นหราแบบไม่ต้องเดากันเลย

“พี่เคยบอกว่าเด็กวิไลวิทย์ดูเท่ดีก็จริง แต่พี่ไม่ได้อยากให้เราไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนี้หรอกนะ แล้วดูสิ กลายเป็นว่าไปสนิทสนมกับสองขั้วอำนาจใหญ่ซะได้”

พะพายถอนหายใจยาวเยียด ส่ายหน้าช้าๆเหมือนไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเด็กตรงหน้า ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายแนะนำโรงเรียนอันธพาลแห่งนี้ให้ได้รู้จักเองก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริง ก็ไม่อยากให้พะภูเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเลย

รู้สึกเสียใจที่วันนั้นแนะนำน้องชายไปแบบนั้น เพราะไม่คิดว่าเจ้านี่จะบ้าขนาดพาตัวเองเข้าไปในดงสัตว์ป่าอย่างวิไลวิทย์จริงๆ ซ้ำร้ายดันอยู่ตรงกลางระหว่างสองราชสีห์ตัวเบ้งเสียอีก แบบนี้น่าเป็นห่วงว่าจะยิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายเข้าไปใหญ่ ลำพังติแค่คนเดียวก็แย่พออยู่แล้ว สาบานได้ว่าถ้าเธอรู้สักนิดว่าติจะสร้างความเดือดร้อนให้น้องขนาดนี้ วันนั้นจะไม่ปริปากบอกว่าหมอนี่เท่เลยสักนิดเดียว ตั้งแต่พะภูถูกพวกกีรติลากไปเจออันตรายมากมาย ทัศนคติที่เคยมีต่อวิไลวิทย์ก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เชื่อสนิทใจแล้วว่าที่นั่นเป็นแหล่งบ่มเพาะอันธพาลไม่น่าคบอย่างที่ใครต่อใครว่าจริงๆ

“แต่ทั้งสองคนดีกับผมมากนะครับ” ยกเว้นก่อนหน้านี้ที่โดนติทำร้ายแทบขาดใจมาแล้วน่ะนะ

“ไม่รู้สิ แต่ตั้งแต่เราไปยุ่งกับกลุ่มกีรติ พี่ก็เห็นเจอเรื่องแย่ๆตลอด”

“ตะ..”

“แล้วนี่คิดยังไงไปรู้จักกับธรอีก สองกลุ่มนี้เขาเป็นอริกันนะ แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?” ไม่ทันได้โต้กลับ พะพายก็รัวใส่มาไม่ยั้ง แต่พะภูก็รู้ดีว่าพี่สาวพูดทุกคำเพราะว่าเป็นห่วงเขาเท่านั้นเอง เมื่อตอนครั้งแรกที่รู้ว่าเขารู้จักกับติ ก็ตกใจจนเกือบลมจับมาแล้ว

“ก็...ไม่หรอกครับ พี่ธรเป็นแค่พี่คนหนึ่งเท่านั้นเอง”

“แล้วติไม่ใช่แค่พี่รึไง?”

คนเป็นพี่ถามกลับแบบไม่ทันคิดอะไรมาก แต่ก็ทำเอาพะภูถึงกับตัวเกร็งเพราะหลุดปากพูดออกไปอย่างไม่ตั้งใจ เขายังไม่พร้อมให้พะพายรู้เรื่องที่คบกับติเลย ประเด็นไม่ใช่แค่เพราะว่าเป็นกีรติที่พะพายคงไม่ชอบใจนัก แต่มันอยู่ที่น้องชายตัวเองดันชอบผู้ชายด้วยกันนี่สิ!

“ก..ก็ เป็นพี่ครับ...”

ทำทีเป็นคลิกเมาส์เข้าไปยังรูปตัวเอง พลางก้มหน้าแทบติดจอ จนเมื่อตามมาถึงเฟซบุ๊กต้นตอของรุ่นน้องจากธารวิทยาก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อพบว่าจำนวนไลค์ แชร์ และคอมเม้นมันมากจนน่าตกใจ ทั้งๆที่ภาพถูกโพสลงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เท่านั้น

เขารีบเลื่อนเคอร์เซอร์ไปกดดูคอมเม้นทั้งหมดซึ่งมีมากกว่าร้อย แถมยังเด้งเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆจนแทบไล่ตามไม่ทันอีกต่างหาก ดูจากรูปโปรไฟล์เจ้าของคอมเม้นทั้งหลายแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะถูกส่งต่อไปอีกหลายทอด ถึงได้เต็มไปด้วยนักเรียนจากโรงเรียนอื่นมากมาย รวมทั้งคนที่ไม่คุ้นเลยก็เยอะเช่นกัน


Korawit Swt เด็กใหม่ไอ้ธร?
See Translation
Like · Reply · (Y) 35 · 2 hours ago

Minnie Tashar เดี๋ยวนี้วิไลวิทย์กับธารวิทยารักกันแล้วหรอ อิอิ
Like · Reply · (Y) 56 · about an hour ago via mobile

Nai’ Muang สัส สวีทนะมึงงง Tanyatorn Sirisopon
Like · Reply · (Y) 8 · about an hour ago

เจนนิตา ประสพสุข ชื่อพะภู อยู่ม.4 จ้า ตัวจริงหน้าตาน่ารักมากๆ เป็นเด็กทุนด้วย
Like · Reply · (Y) 63 · 26 minutes ago

Ornwalai Chokkit เราว่าเราเคยเห็นน้องคนนี้อยู่กับติ ไม่ใช่หรอ?
ถ้าเราเข้าใจผิดก็ขอโทษนะ (จากเด็กพิทยศึกษา)
Like · Reply · (Y) 39 · 13 minutes ago

Newyear Nartthapoom พะภูเป็นแฟนพี่ติครับ...
Like · Reply · (Y) 71 · 6 minutes ago via mobile
----------------------------------------------------------------------------
            Vida Party คบกันแล้วจริงๆใช่ไหมน้องนิว เห็นมานาน (:
            See Translation
            Like · 2 minutes ago


อะไรกันเนี่ยยยย!?

ดูเหมือนที่แย่กว่าการแอบถ่ายรูปคนอื่นมาลงเฟซบุ๊ก ก็เห็นจะเป็นไอ้พวกคอมเม้นชอบใจของใครต่อใครนี่แหละ กลายเป็นเรื่องพูดคุยสนุกปากไปซะแล้วสิเนี่ย ชักกังวลแล้วว่าเปิดเทอมจะทำหน้ายังไงดี แต่จะว่าไป ทางด้านของธรก็เงียบเลย ไม่รู้ว่าคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง แต่ถ้าให้เขาเดา...คิดว่าคงกำลังยิ้มกว้างหัวเราะมีความสุขอยู่แน่ๆ

แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือทำยังไงให้พะพายไม่บ้าจี้ตามอ่านคอมเม้นพวกนี้ ไม่งั้นเรื่องที่เขากับติคบกันคงได้ความแตกดังโพละ ถ้าต้องบอกก็ขอเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้หน่อยเถอะ และแน่นอนว่าจะต้องออกมาจากปากของเขาเองเท่านั้น

กริ๊ง กริ๊ง...

ดั่งฟ้ามาโปรด เมื่อกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นรัวๆ หลังจากเสียงดับเครื่องยนต์ พะพายยกกองชีทออกจากตัก ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตู ปล่อยให้พะภูรีบกดปิดหน้าเฟซบุ๊กทิ้งซะ แต่ทันทีที่แขกปริศนาก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน พายุลูกใหญ่ก็ถูกซัดตามหลังมาด้วย ไม่ใช่ฟ้าหรอกที่มาโปรด...ตัวปัญหาชัดๆ

“พี่ติ!” คนโดนเรียกชักสีหน้านิดหน่อย ก่อนเดินมานั่งข้างๆพะภูตามคำเชิญของพี่สาว

“ทำไมอยู่ดีๆก็มาถึงบ้าน” คำถามนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของคนเด็กสุด แต่กลับออกมาจากปากของพะพาย ซึ่งกำลังผลักแบบเรียนทั้งหมดออกห่าง เชิดหน้าขึ้นสู้กับผู้ชายที่เอาแต่ปั่นหัวน้องตัวเองเล่นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“ฉันจะมาหาน้องเธอ ไม่ได้เรอะ”

“ก็แล้วมาทำไมเล่า บ้านนี้ไม่มีอะไรให้ทำหรอกนะ”

“ต้องมาเพราะไอ้รูปบ้าๆนั่นไง” ติหลุดขึ้นเสียงออกมาเล็กน้อย จนคนตรงข้ามถึงกับนิ่ง พะพายสูดหายใจเข้าเต็มปอด เตรียมพร้อมรับมือนักเลงชื่อโต โดยมีพะภูคอยนั่งสังเกตการณ์ใบหน้าขาวซีดอยู่ใกล้ๆ

“รูป? รูปธรกับพะภูอะเหรอ?”

“เออ”

คนตัวใหญ่เหล่ตามองผู้ชายข้างๆอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ให้ดีที่สุด เขาไม่ได้ไม่เชื่อใจคนรักคนนี้ แต่ไอ้ที่ไม่น่าไว้ใจก็คือคู่อริอย่างธรนั่นแหละ ถึงแม้จะเคยคุยกันเรื่องนี้จนจบไปแล้ว แต่ก็ห้ามไม่ให้หงุดหงิดไม่ได้ เพราะเขามั่นใจเหลือเกินว่าธรไม่ได้คิดกับพะภูแค่พี่น้องอย่างที่ว่าแน่นอน

“แล้วไงอะ น้องฉันมีสิทธิ์คบค้ากับใครก็ได้ไหม”

“แต่น้องเธอเป็นคนของฉัน”

“พี่ติ” มือเล็กยกขึ้นรั้งชายเสื้อของติไว้แน่น พะภูส่ายหน้าช้าๆเหมือนต้องการส่งสัญญาณเตือนบางอย่าง จนเมื่อพะพายพูดอีกประโยคกลับมา ก็ทำให้เขากระจ่างว่ามันหมายถึงอะไร

“นายจะมาทำตัวเหมือนพะภูเป็นลูกน้องนายไม่ได้นะ แล้วนี่อะไร หวงกันซะยิ่งกว่าแฟนอีก”

“นี่นายไม่ได้บอกเรื่องเราเหรอ?” ติสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม และเปลี่ยนมาคว้าข้อมือของคนข้างๆไว้แทน สายตาคาดคั้นถูกส่งไปให้จนพะภูทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าซีดเผือดเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่จนพี่สาวเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“เรื่องของพวกนาย...หมายความว่ายังไง?”

“พะพาย น้องเธอไม่ใช่ลูกน้อง รุ่นน้อง หรือ เพื่อนฉัน...”

มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาจับมือพะภูไว้ นิ้วเรียวสอดประสานกันอย่างมั่นคง ก่อนจะชูขึ้นกลางอากาศ พะภูได้แต่ก้มหน้างุดพลางหายใจเสียงดัง คงถึงเวลาแล้วที่จะบอกความจริง ได้แต่หวังว่าพี่สาวคนนี้จะยอมรับและเข้าใจ

“เขาเป็นคนรักของฉัน”

--------------------------------------------

ฮึ่ยย อุตส่าห์รอปิดเทอม จะมาต่อนิยายยาวๆซะหน่อย
ดันเจอไฟนอลโปรเจกไป 2 วิชา เงิบเลย
ทำไมต้องมีงานช่วงวันหยุดด้วย โอ้ยยย
เลยกลับมาได้ทีละนิดละหน่อยอีกละ
แต่จะไม่หายไปเลยแน่นอนน้าาา จะมาต่อให้จบ !
ฝากไว้ด้วยจ้าา >< หายไปนอน อย่าเพิ่งลืมกันน้า


 :hao4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 26-12-2013 21:36:00
ตามเข้ามาอ่านจ้าาา พี่ธรน่ารักจังงง
แบบนี้เป็นศัตรูหัวใจกับติเลยสินะหุหุ
ท่าจะมันส์แล้วสิ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 27-12-2013 10:29:40
ในที่สุดก็ตามจนถึงตอนล่าสุดเย้! สนุกมากเลยค่ะ
เรื่องเสี่ยเจียนี่ยังไง เป็นไรกับติอ่ะะะ  :katai1:
พี่ธรดูน่าสงสัยสุดๆ ติอย่าเพิ่งโมโหนะะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 24 | 06/11/56 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 27-12-2013 15:51:53
พี่ติเป็นลูกเสี่ยจิวเหรอคะ?

รอรอ :ling2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 26 | 03/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 03-01-2014 20:53:17
บทที่ 26

 

“เราจะเป็นเพศอะไร คบใครพี่ไม่ว่า แต่ทำไมต้องกีรติ?” คำถามแรกดังขึ้นทันทีที่สองพี่น้องก้าวขาเข้ามาในเขตห้องครัวหลังบ้าน สาบานว่าเมื่อครู่เธอเกือบจะเป็นลมไปแล้ว

“แต่พี่พายเป็นคนแนะ..”

“พี่ไม่เคยพูดสักคำ ว่าเขาเป็นคนดี”

“แต่ว่า...”

“ติอาจจะเป็นพี่ เป็นเพื่อนที่ใช้ได้นะ อันนี้พี่ก็ไม่รู้ แต่ในฐานะคนรักพี่มั่นใจว่ายังไงก็ไม่ดี”

ตอนนี้เธอรู้สึกผิดยิ่งกว่าเก่าอีก ที่ตอนนั้นเคยแนะนำผู้ชายชื่อ กีรติ อัครโภคิน ให้พะภูได้รู้จัก ก็ไม่ได้คิดนี่ว่าจะเป็นพวกเลวร้าย คอยก่อแต่ปัญหาตามข่าวลือจริงๆ นี่พาน้องเขาไปผจญอะไรมากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ ยิ่งกว่านั้นก็คือ...สิ่งที่เพื่อนในชั้นเล่าต่อๆกันมาเรื่องอดีตของติกับพวกผู้หญิงทั้งหลาย

“พี่พายรู้ได้ยังไงครับ พี่ติเขาดีกับผมมากเลยนะ” พะพายเลิกคิ้วสูง รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่น้องชายตัวเองทำทีปกป้องคนอื่นซะออกนอกหน้า พะภูดูเหมือนจะรู้ตัวเช่นกัน จึงค่อยๆปรับสีหน้าให้อ่อนลง พลางเดินมากุมมือพี่สาวไว้

“ผมรู้ว่าพี่พายเป็นห่วง แต่ว่าพี่ติไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกครับ”

“เรารู้จักเขาดีแล้วเหรอ ชื่อเสียเยอะมากนะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากจะเชื่อใจ...”

พะพายถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบหัวน้องตัวเองเบาๆ ถึงหลายคนจะมองว่าพะภูเป็นพวกบ้าบิ่น และเกลียดการถูกเอาเปรียบเข้าไส้ แต่ความจริงแล้วเด็กนี่ซื่อเกินกว่าจะตามคนอื่นทันซะอีก นิสัยคิดอะไรตื้นๆนั้นเขารู้จักมันดี และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน

“พี่ยอมให้คบกับติก็ได้ แต่พี่ยังไม่ยอมรับนะ”

“........ขอบคุณครับ”

พะภูได้แต่ตอบรับหน้านิ่ง คิดว่าคงต้องใช้เวลาและอีกหลายๆอย่างเพื่อพิสูจน์ให้พะพายยอมรับ ก่อนที่ทั้งคู่จะอพยพกลับมานั่งรอบโต๊ะตัวเดิม มีติยืดตัวรอคำถามมากมายที่คาดว่าจะได้รับ

“นี่คบกันมานานรึยัง?” คนถามพยายามสะกดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดไว้ พลางเลื่อนแลปท็อปกลับมาเปิดเล่นไปด้วย หวังช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียดรอบห้อง

“เพิ่งคบกันตอนปิดเทอมนี้เองครับ”

“ถึงช่วงเวลาจะไม่นาน แต่ก็รักน้องเธอมากนะ” ติรีบแทรกขึ้นก่อน พร้อมใช้แขนแกร่งรั้งเอวพะภูเข้ามาแนบตัว แต่นั่นยิ่งทำให้พะพายรู้สึกหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก

“แล้วพวกผู้หญิงทั้งหลายของนายล่ะ?”

“ไม่มีแล้ว มีพะภูคนเดียว”

“ใช่สิ นายฟันเสร็จก็ทิ้งหมดทุกคนอยู่แล้ว นี่ถ้าได้น้องฉันแล้วก็จะทิ้งไปเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

พะพายไล่จี้แบบไม่เกรงใจพะภูที่เอาแต่นั่งฟังหน้าซีด เหตุก็เพราะเพื่อนต่างห้องของเธอเพิ่งหลุดปากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ข้ามคืนที่เคยมีกับติ บอกตรงๆว่าฟังแล้วใจหายวาบ แทบไม่อยากให้พะภูไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีกเลย ตอนแรกเธอเข้าใจว่าคนพวกนี้ก็แค่เก่งเรื่องเตะต่อย มองจากสายตาคนนอกแล้วก็แอบดูเท่ดี อย่างกับหลุดออกมาจากในหนังหรือนิยาย แต่ถ้ารู้ว่าทำตัวแย่เรื่องผู้หญิงด้วย อันนี้เธอรับไม่ได้

“ไม่ พะภูกับผู้หญิงพวกนั้นไม่เหมือนกัน ฉันจะไม่ทิ้งน้องเธอเด็ดขาด” สายตาจริงจังถูกส่งไปให้คนตรงหน้า ความเงียบโปรยตัวเข้าปกคลุมทั่วบริเวณกินระยะเวลานานหลายนาที จนในที่สุดพะพายก็ยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“แล้วฉันจะรอดู วันนี้นายกลับไปได้แล้ว”

ติพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะฉุดแขนพะภูให้ลุกขึ้น เมื่อเดินออกมาพ้นสายตาของบุคคลที่สามแล้ว จึงเริ่มเปิดประเด็นหลักในการมาเยือนที่นี่อีกครั้ง

“ไหน อธิบายเรื่องรูปนั้นมาสิ”

“นั่นมันนานแล้วนะ ก็ตอนที่พี่ติไล่ผมออกจากวิไลวิทย์ไง” ตอบกลับด้วยท่าทางน้อยใจ ทำเอาคนตัวสูงถึงกับไปต่อไม่เป็น ได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอเบาๆ

“ตอนนั้นผมโดนพี่ธรลากไปนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆหรอก คนอื่นไม่รู้อะไรก็แอบถ่ายรูปเก็บไว้น่ะสิ” พะภูอธิบายต่อไป หวังช่วยให้คนตรงหน้าใจเย็นขึ้นมาได้บ้าง

“เอาเถอะ ไว้วันหลังฉันพานายไปบ้างดีกว่า” ดูเหมือนว่าเขาต้องควบคุมให้หัวตัวเองเย็นลง ในเมื่อรู้ว่าภาพนั้นมันหลุดออกมาในช่วงที่เขาปล่อยปละละเลยพะภูเอง ขืนให้ซักไซ้ต่อไปรังแต่จะเอาชั่วเข้าตัวซะมากกว่า

“ผมไม่ไปยุ่งกับคนอื่นหรอก เชื่อใจกันบ้างสิ”

“ฉันเชื่อใจนาย แต่ฉันไม่เชื่อใจคนอื่น โดยเฉพาะมัน!” กระแทกเสียงลงตรงท้ายประโยค ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา จะว่ากีรติเป็นพวกขี้หวง หรือเป็นพวกขี้ระแวงคู่อริตัวเองกันแน่

“ตบมือข้างเดียวไม่ดังอยู่แล้ว” พะภูขยับเข้าไปใกล้คนโตกว่า ก่อนเงยหน้าขึ้นจูบคางมนเบาๆ เรียกรอยยิ้มของติกลับมาได้มากโข คนตัวสูงก้มลงหอมพะภูคืนฟอดใหญ่ ไม่ลืมที่จะสูดกลิ่นหอมหวานจากพวงแก้มสวย

“ถ้ารู้ว่าหึงแล้วนายยอมทำแบบนี้ ต่อไปจะหึงทุกวันเลย”

“พี่ติบ้า”

“อะแฮ่ม!”

เสียงกระแอมไอดังขึ้นขัดจังหวะจากด้านในตัวบ้าน พะภูเลิกหยิกแขนติและหันกลับไปมอง ก็เห็นพี่สาวตัวเองยืนทำหน้าปั้นปึ่งอยู่หน้าประตู ทั้งสองคนจึงรีบผละตัวออกจากกัน ก่อนที่ติจะโบกมือลาพลางสาวยาวเท้าๆขึ้นไปบนรถคันหรู

ตอนนี้เรื่องที่น่าเป็นห่วงกว่าธร ก็คือพะพายตัวดีนี่แหละ!

 

“ไอ้บ้า! ใครบอกให้ใช้น้ำยาเยอะขนาดนั้น” เสียงดุๆของพะพายดังขึ้นลั่นครัว เมื่อเห็นกลุ่มฟองที่ปกคลุมไปทั่วทั้งจานชาม แทบจะปิดวิสัยทัศน์ของอ่างสีเงินจนหมด ไม่มั่นใจว่านี่มาช่วยหรือมาเล่นกันแน่

“ก็เดี๋ยวมันไม่สะอาด”

“นี่ก็เยอะเกินย่ะ!”

ผู้หญิงหนึ่งเดียวในบ้านเดินไปกระแทกไหล่ติให้หลบทาง ก่อนจะเป็นฝ่ายจัดการทำความสะอาดจานข้าวทั้งหมดต่อเอง ทิ้งให้ตัวปัญหาเมื่อครู่ได้แต่ยืนมองอย่างสงบนิ่ง มีคนรักนั่งให้กำลังใจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะกับภาพที่เห็น ภายนอกจะดูเถื่อนแค่ไหน แต่ยังไงก็เป็นคุณชายอยู่ดีจริงๆนั่นแหละ แค่ล้างจานยังทำไม่เป็นเลย แบบนี้ทำให้พะพายประทับใจไม่ได้สักนิด

นี่ก็ปาเข้าไปวันที่สี่แล้ว ตั้งแต่ที่พะพายรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับติ หลังจากนั้นติก็มักแวะเวียนมาหาที่บ้านเป็นประจำ คอยซื้อของติดไม้ติดมือมาฝาก หวังเรียกคะแนนชอบใจจากพี่สาวคนสวย แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล หลังๆมานี้เลยเปลี่ยนมาช่วยทำงานบ้านตามคำสั่งแทน เผื่อได้คะแนนสงสารจากความพยายามบ้าง แต่ดูไปดูมา เห็นท่าจะยิ่งทำให้พะพายหงุดหงิดเสียมากกว่า

“ขอล้างมือหน่อยดิ” ติขยับเข้าไปใกล้อ่าง พยายามยื่นมือที่เปื้อนฟองเข้าไปขวางมืออีกคู่ซึ่งกำลังยกจานขึ้นมา แต่กลับโดนพะพายเอ็ดเสียงดัง

“อย่าเพิ่งยุ่ง!”

คนโดนว่าขมวดคิ้วมุ่นด้วยทีท่าไม่พอใจ ถ้าไม่ให้ล้างจานแล้วก็ขอล้างมือหน่อยเถอะ จะได้แอบฉวยโอกาสนี้ไปนั่งสวีทกับคนรักบ้าง ตั้งแต่ยอมอาสาให้พะพายจิกหัวใช้ ก็แทบไม่มีเวลาส่วนตัวกับพะภูเลย ขนาดอยู่ในบ้านเดียวกันยังรู้สึกไกลขนาดนี้ เขาทนไม่ไหวหรอก

ติหันไปป้ายฟองบนมือลงกับแขนของพะพาย ก่อนจะตีสีหน้าหงุดหงิด แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ครึ่งของอีกฝ่าย ที่กลายเป็นนางมารไปแล้ว เสียงโวยวายดังจนแสบแก้วหู แม้แต่พะภูยังต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ ไม่ง่ายเลยที่ติจะผ่านด่านพะพายไปได้ถ้ามันยังเป็นอยู่แบบนี้ ในเมื่อพะพายก็เอาแต่ตั้งแง่ แล้วติก็หมดความอดทนง่ายๆอยู่เรื่อย

เสียงแหลมสูงของคนเป็นพี่ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ติก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกต่อไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างแข่งกันป้ายฟองสีขาวลงบนตัวอีกคนอย่างกับเด็กๆ เห็นแล้วมันทั้งน่าปวดหัวและน่าขันไปพร้อมๆกัน

“อะไรของเธอเนี่ย”

“ก็นายมาแกล้งฉันก่อนทำไมล่ะ!”

“ยัยบ้า เลอะหมดแล้วเห็นไหม!”

พะภูได้แต่นั่งมองคนรักกับพี่สาวตัวเองทะเลาะกันเสียงดัง เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปหมด แปลกชะมัดที่ส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมา...

ทั้งสองคนตรงหน้าดูเหมาะสมกันมากจนน่าตกใจ... กีรติ ที่ยืนคู่กับผู้หญิงสวยๆ คงเป็นภาพที่เข้ากันดีมากกว่าเด็กผู้ชายอย่างเขาอยู่แล้วล่ะ บ้าจริงๆแฮะ ดันเพิ่งคิดได้เอาป่านนี้ ถ้าเกิดเขาไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าหาติตั้งแต่แรก ติก็อาจจะยังเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่รักผู้หญิง เขาคงยังไม่ได้ชอบผู้ชาย และน่าจะมีสาวๆรายล้อมเต็มไปหมด

ภายในจิตใจตอนนี้ มีความรู้สึกปั่นป่วนมากมายตีกันจนวุ่นไปหมด ทั้งเศร้า ทั้งอิจฉา ทั้งน้อยใจ ทั้งหงุดหงิด แล้วยังรู้สึกผิดด้วย เขาทำอะไรลงไป...เปลี่ยนชีวิตผู้ชายคนหนึ่งเลยนะ พะภู.....

เปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไป ในขณะที่ก็เปลี่ยนจิตใจของตัวเองไปด้วย... ใช่สิ แผนตื้นๆของเขามันทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยน เขาทำให้ติตกหลุมรักเขา และทำให้ตัวเองตกหลุมรักติ ทั้งที่ความจริงมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย

“เอ้า เอาไปปอกมาให้พะภูกิน”

พะพายเลิกเล่นไร้สาระ และเดินไปล้างคราบน้ำยาออกจากตัว ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบถุงแอ็ปเปิ้ลมาวางไว้ให้ติเห็น พยายามหว่านล้อมด้วยการใช้ชื่อพะภูมาอ้าง ทำให้อีกฝ่ายถึงกับรีบเปิดก๊อกน้ำทำความสะอาดตัวเอง และก้มตัวหามีดปอกผลไม้ทันที ทีงี้ล่ะเชื่องเชียวนะ

คนออกคำสั่งลากมือพะภูออกมานั่งรอที่โซฟา โดยปล่อยติทิ้งไว้ในห้องครัวตามลำพัง แล็ปทอปตัวเดิมถูกเปิดหน้าจอขึ้นอีกครั้ง พร้อมไล่สายตาอ่านคอมเม้นบนรูปของธรกับน้องชายตัวเองที่วันนี้ก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่จบสิ้นสักที

“พี่พาย เลิกแกล้งพี่ติเถอะครับ” เสียงเด็กผู้ชายตรงหน้าดังขึ้น พร้อมสายตาอ้อนวอน

“ก็พี่ยังไม่ยอมรับนี่”

“แต่ก็ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย”

“นี่มันยังเล็กน้อยนะ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำให้ไม่ได้ ก็ไม่มีปัญญาดูแลนายหรอก”

พะพายว่าเสียงฉุน เธอเองก็ไม่ได้คิดจะขัดขวางความรักของพะภูนักหรอก แต่อย่างน้อยก็อยากลองดูนายติซะบ้าง ถ้าแค่ลำบากนิดๆหน่อยๆยังถอดใจ ก็คงยากที่จะยอมรับล่ะนะ ถึงยังไงช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา กีรติก็พิสูจน์ให้เห็นหลายๆอย่างแล้ว ว่าเขาค่อนข้างทุ่มเทให้พะภูจริง แต่เธอก็ต้องจับตาดูต่อไป ไม่แน่ว่าจะหมดโปรโมชั่นขึ้นมาเมื่อไรก็ได้

“พี่มาอยู่กรุงเทพคนเดียวตั้งแต่เด็ก ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจก็เหงา พี่ถึงดีใจมากที่มีภู...” เมื่อเห็นสายตาอ่อนใจของน้องชาย เธอจึงเริ่มอธิบายอย่างจริงๆจังๆ มืออุ่นเอื้อมเข้ากุมมือพะภูไว้ พยายามส่งทอดสายตาจริงจังไปให้

“พี่คิดเสมอว่า ไม่ใช่แค่พี่ที่ช่วยภูไว้ แต่คือภูที่ช่วยพี่ไว้เหมือนกัน เพราะงั้นพี่ถึงห่วงและหวงนายมาก ถ้าใครจะเข้ามาพรากนายไปจากพี่ พี่ก็อยากทำให้แน่ใจ ว่าเขาต้องดีพอที่จะยืนเคียงข้างนายได้”

ดวงตากลมโตสั่นไหวไปตามคำพูดของพี่สาว แก้มสองข้างชาวาบด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่น้ำใสๆจะเริ่มเอ่อล้นขึ้นมา จนอีกฝ่ายถึงกับเบิกตากว้างท่าทางตกใจ

“ปะ เป็นอะไร? ซึ้งขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พี่พาย ผมขอโทษ ฮึ..ก... ผมมันเลวที่คิดอิจฉาพี่พายซะได้”

“อิจฉาพี่?”

“เมื่อกี้ จู่ๆก็คิดว่า พี่พายกับพี่ติเหมาะสมกันมาก จนรู้สึกอิจฉาขึ้นมา...ทั้งที่พี่พายเป็นห่วงผมขนาดนี้แท้ๆ” ยิ่งพูดไป น้ำเสียงก็ยิ่งสั่น ทำเอาคนฟังทนไม่ได้ต้องรีบเขกหัวเล็กๆตรงหน้าเพื่อเรียกสติ พะภูร้องโอ๊ยพลางลูบหัวป้อย

“บ้าหรือไง อิจฉาพี่ทำไมในเมื่อติรักนาย”

“แต่ผู้ชายกับผู้ชายมัน...โอ๊ย!” ร้องออกมาเสียงดังกว่าเดิม เมื่อคนเป็นพี่ตีหน้าผากเขาซ้ำอีกครั้ง สีหน้าเคืองๆฉายอยู่ต่อหน้า ดูน่ากลัวใช่เล่นเลย

“มาถึงขั้นนี้แล้วยังพูดเรื่องนั้นอีกหรอ ชักสงสัยแล้วว่านายรักติจริงหรือเปล่า”

“รักนะครับ! ผมรักพี่ติจริงๆ”

“ถ้างั้นก็เลิกกังวลเรื่องนี้ได้แล้ว อย่าพูดว่าคนรักของตัวเองเหมาะสมกับใครต่อใครเลย พี่ว่าถ้าหมอนั่นได้ยิน คงเสียใจนะ มันฟังดูเหมือนว่านายกำลังผลักไสไล่ส่งเขายังไงไม่รู้”

“ปละ เปล่า...”

“เชื่อมั่นหน่อยสิ เชื่อมั่นในความรักของพวกนาย”

พะพายรีบแทรกขึ้นก่อน พร้อมยกมือขึ้นยีหัวพะภูแรงๆจนยุ่งไปหมด เด็กผู้ชายได้แต่ยิ้มรับทั้งคราบน้ำตา โชคดีจริงๆที่คนที่ช่วยเขาออกมาคือพะพาย เป็นมากกว่าครอบครัว และมากกว่าชีวิต ขนาดบ่นว่าไม่ยอมรับเขากับติ แต่ก็ยังมาพูดให้กำลังใจกันแบบนี้ เขานี่มันบ้าชะมัดเลย...บ้าที่คิดเรื่องบ้าๆออกไปได้ ถ้าจะอิจฉาก็ต้องอิจฉาใครต่อใคร ที่ไม่มีพี่สาวดีๆอย่างนี้มากกว่า

“เสร็จแล้ว”

เสียงทุ้มของบุคคลที่สามดังขัดจังหวะขึ้นมา จนพะพายต้องแอบหันไปสบถกับตัวเองเบาๆ พี่น้องเขาจะทำซึ้งยังจะมาขวาง ไอ้นี่มันมารผจญชัดๆ ไอ้บ้าที่จะมาแย่งความรักของพะภูไป เธอไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆแน่!

จานแอ็ปเปิ้ลที่ถูกปอกแบบเละเทะถูกวางลงบนโต๊ะตัวเตี้ย พะพายเบะปากไม่พอใจ ก่อนส่งสายตาดูแคลนไปให้ผู้ชายตัวโตไม่ได้เรื่อง แต่ดูเหมือนติไม่อยู่ในอารมณ์ต่อกรด้วย เขาเพียงแต่หันมาหาเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบที่แปลไม่ออก

“ดึกแล้ว วันนี้ขอค้างที่นี่เลยนะ”

“จะบ้าเหรอ กลับบ้านไ...อ..อะไรยะ”

เจ้าของผมสีดำยาวถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสายตานิ่งจริงจังแบบที่ไม่เคย คิ้วเข้มสองข้างของติขมวดมุ่นอย่างคนเครียดจัด ดูเหมือนกำลังพยายามสื่อความหมายบางอย่างมาให้ จนเมื่อเธอหันไปเห็นใบหน้าฉงนของพะภูถึงเริ่มเข้าใจ คาดว่าเมื่อครู่ติคงได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกันเป็นแน่ และดูเหมือนมีเรื่องที่คู่รักข้าวใหม่ปลามันตรงหน้าต้องเคลียร์กันยาว

“อะ..เออ ก็ตามใจ” สุดท้ายก็ต้องยอมตกลง ก่อนจะลุกออกไปพ้นบริเวณเพื่อค้นหาหาชุดที่คนตัวสูงจะพอใส่ได้ หวังว่าเสื้อผ้าผู้ชายมือสองที่เคยซื้อเก็บไว้ตอนลดราคาล้างสต๊อกจะยังอยู่แถวไหนสักที่ในบ้าน

“แต่บ้านนี้มีห้องนอนแค...”

“ฉันจะนอนกับนาย”

ตอบทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบ แถมยังพรวดพราดลุกขึ้นพร้อมดึงข้อมือเล็กให้ลุกตาม คนเป็นแขกถือวิสาสะลากเจ้าของบ้านขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ก่อนจะดันร่างเล็กเข้าไปภายในห้องนอนขนาดเล็ก กดล็อกประตูแน่นหนา

“พี่ติ?” พะภูเอ่ยปากออกมา เมื่อคนตัวใหญ่โผเข้ามากอดเข้าไว้แน่น พลางซุกไซ้ลงกับซอกคอขาวแบบไม่ให้ตั้งตัว

“ฉันรักนาย” พูดทั้งที่ยังระดมจูบไปทั่วคอเนียน ไต่ลงมาจนถึงไหปลาร้าซึ่งโผล่พ้นคอเสื้อยืดสีน้ำตาล คนตัวเล็กพยายามยืดตัวหนีพร้อมดันตัวติออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล เสียงทุ้มยังคงดังก้องขึ้นมาภายในห้องที่เงียบสงัด

“แล้วก็ไม่เสียใจที่รักนายด้วย”

“พี่ติ เป็นอะไรครับ..อื้ออ”

แทนที่จะได้คำตอบ กลับเป็นกลีบปากอุ่นที่ทาบทับลงมาดูดกลืนสุ้มเสียงทั้งหมดไป ติออกแรงขบริมฝีปากล่างของพะภูเบาๆ ก่อนจะสอดไส้ลิ้นหนาเข้าไปสำรวจทั่วโพรงปากอย่างฉาบฉวย พะภูพยายามขัดขืนแต่ในที่สุดก็เป็นฝ่ายจำนนแต่โดยดี ร่างบางอาศัยแขนแกร่งของติในการพยุงตัวไม่ให้ทรุดลงไปเสียก่อน ในเมื่อลีลาการจูบของคนตรงหน้ามันเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆจนร่างเล็กถึงกับอ่อนยวบ นานพอตัวกว่าที่ติจะยอมถอนปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง และยังไม่วายทิ้งรอยจูบบางๆไว้ตรงมุมปากของคนเด็กกว่า พะภูรวบรวมสติและรั้งแขนเสื้อของติไว้ เพื่อให้ตัวเองได้กลับมายืนเต็มความสูง แก้มสองข้างแดงจัดด้วยความเขินอายระคนตกใจ

“มีอะไรเหรอครับ?”

“ฉันได้ยินนะ ที่นายพูดกับพะพาย”

“อ้ะ! ด..ได้ยิน? ตั้งแต่ตอนไหนครับ”

รีบถามออกไปทันที เพราะห่วงว่าติอาจรู้แล้วว่าเขากับพะพายไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นคงเลี่ยงที่จะเปิดเผยอดีตอันเลวร้ายของตัวเองไม่ได้ ทั้งที่เขาไม่อยากพูดหรือคิดถึงมันอีกแล้ว

“ตั้งแต่ที่นายบอกว่าฉันกับพายดูเหมาะสมกัน” ลอบถอนหายใจบางเบา ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับสายตาจริงจังอีกครั้ง

“ขอโทษครับ...ผมแค่คิดว่า ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า พี่ติเป็นผู้ชายที่ควรคู่กับผู้หญิง..”

“ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันก็คงคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า เราทุกคนต่างเหมาะสมกับใครก็ตามที่เราเลือกแล้ว” ดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง มือใหญ่กดหัวพะภูให้ซบลงกับแผงอกกว้าง

“และตอนนี้ฉันก็รักนาย จะมีแค่นาย เข้าใจใช่ไหม...”

“พี่ติ...”

“อย่าสงสัยอะไรอีกนะ เพราะฉันคงเสียใจมาก ที่รู้ว่านายไม่เชื่อมั่นในความรักของเราเอาซะเลย”

“อืออ....ขอโทษครับ”

ร่างบางส่ายหัวดิ๊กเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘ไม่อีกแล้ว’ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกปนเปมากมาย ทั้งรู้สึกผิดที่เผลอคิดเรื่องแย่ๆ และทั้งปลื้มใจกับคำของคนตรงหน้า มือเล็กกอดตอบคนตัวใหญ่ไว้แน่นไม่แพ้กัน ก่อนจะปล่อยให้เสียงหัวใจสองดวงเต้นดังประสานขึ้นมาท่ามกลางความเงียบภายในห้องเล็กๆ

ผิดไปแล้วที่ดันรู้สึกไม่ดีกับคนทั้งคู่ซึ่งรักมาก ทั้งที่พะพายคิดแค่ว่าเป็นห่วงเขา และทั้งที่ติคิดแค่ว่ารักเขาเท่านั้น... ต่อไปนี้จะไม่คิดมาก จะไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว หวังแค่ว่าให้มีแต่เรื่องดีๆระหว่างพวกเขา อย่าได้เกิดเรื่องหมางใจใดๆอีกเลย...

-----------------------------------------------

รู้สึกเรื่องนี้ แต่งช้ามากกกก 55
สมองตันเป็นพักๆ ขี้เกียจเป็นช่วงๆ
ไม่มีอารมณ์อยู่เรื่อยๆ และไม่ว่างอยู่บ่อยๆ ฮรือออ!
แต่ยังยืนยันว่าไม่ทิ้งนะคะ
เพราะงั้นก็อยากให้ช่วยตามกันต่อไปด้วยน้า
อาจจะนานๆมาที แต่ว่าได้ต่อจนจบบริบูรณ์แน่นอน ;D
ขอบคุณทุกๆคอมเม้น และนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 26 | 03/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 03-01-2014 22:10:59
จะตามอ่านจนจบเลยครับ

ชอบๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 26 | 03/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-01-2014 22:50:58
รอนานมาก
นานๆมาต่อทีก้อจะค่า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 26 | 03/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: jilantern ที่ 05-01-2014 10:50:44
หรือว่าเสี่ยจิวที่เคยเป็นเจ้าหนี้พะภูจะเป็นพ่อพี่ติ -.-
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 26 | 03/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 05-01-2014 13:33:04
ไม่อยากให้ดราม่าเลย สงสารน้องพะภูจัง
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 27 | 10/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 10-01-2014 20:53:07
บทที่ 27

 

Bouquet
[ยังไม่นอนหรอ] 9:48 PM
                                                   Read 9:50 PM [ยังครับ พี่เกต์ล่ะ]
Bouquet
[ยังเลย คิดถึงพะภูอยู่ <3] 9:50 PM
                                                   Read 9:51 PM [555]
                                                   Read 9:51 PM [ระวังพี่ติดุนะ]
Bouquet
[ไอ้ติขี้หวง] 9:53 PM
Bouquet
[อิจฉามัน  มีคนน่ารักให้นอนกอด] 9:53 PM
Bouquet
[วันหลังให้ฉันไปนอนด้วยสิ] 9:54 PM
                                                   Read 9:54 PM [55 ถามพี่ติก่อน]
Bouquet
[โห่วว] 9:55 PM


“คุยกับใครน่ะ?”

เสียงทุ้มของคนถูกพาดพิงดังขึ้นใกล้ๆ ทำเอาพะภูตกใจจนเผลอทำโทรศัพท์ราคาแพงของติหลุดมือ หลังจากที่ทั้งคู่อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย พะภูก็หาหนังสือเล่มสองเล่มให้ติอ่านฆ่าเวลา เนื่องจากในห้องของเขาไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ส่วนตัวเขาก็กำลังเล่นมือถือของคนข้างๆอย่างสบายใจ เห็นว่าเกต์ทักแชทขึ้นมาพอดี ก็เลยเนียนคุยด้วยซะนานสองนาน

“พี่เกต์ชวนคุยครับ”

คนตัวเล็กหยิบมือถือส่งคืนให้เจ้าของ พร้อมทั้งขยับตัวขึ้นไปนอนเกยอยู่บนไหล่กว้าง ซึ่งอ้ารอต้อนรับร่างบางเอาไว้แล้ว มือข้างหนึ่งกอดรัดพะภูเอาไว้อย่างหวงแหน ส่วนอีกข้างก็วางหนังสือลง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเช็คข้อความเมื่อครู่ คิ้วสองข้างขมวดมุ่นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากสบถคำด่าเพื่อนสนิทออกมาคำโต นิ้วเรียวก็เริ่มกดพิมพ์อะไรบางอย่างตอบกลับไป


                                                   Read 10:01 PM [สัสเกต์]
Bouquet
[เชี่ยติ กูจะคุยกับพะภู] 10:01 PM
                                                   Read 10:02 PM [ไม่ให้คุย]
                                                   Read 10:02 PM [แฟนกู กูหวง]

Bouquet
[ห่า หมั่นไส้!] 10:02 PM
Bouquet
[ทำไรกันอยู่] 10:02 PM
                                                   Read 10:02 PM [คิดว่าไง]
Bouquet
[เฮ้ย ทำไรวะ] 10:03 PM
Bouquet
[เดี๋ยวกูฟ้องพะพายนะโว้ย] 10:03 PM
                                                   Read 10:05 PM [ไปนอนได้ละมึง]
                                                   Read 10:05 PM [คนกำลังมีความสุข อย่ามากวน]
Bouquet
[ไอ้ติ! พะภูยังเด็กนะเว้ย] 10:05 PM
Bouquet
[มึงทำไรวะ] 10:06 PM

 
“พี่ติ! คุยอะไร พี่เกต์เข้าใจผิดหมดแล้ว”

คนตัวเล็กชะเง้อมองข้อความกำกวมบนหน้าจอก่อนจะต่อว่าคนพิมพ์ยกใหญ่ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งทำให้ดูน่าแกล้งเข้าไปอีก

“ยังไม่ได้ต่อจากที่โรงแรมเลยนี่”

ติว่าเสียงเจ้าเล่ห์ ไม่ทันที่พะภูจะขยับตัวหนี ก็ถูกคนโตกว่าพลิกตัวขึ้นคร่อมเอาไว้ ใบหน้าโน้มต่ำลงมาจนรู้สึกถึงลมหายใจชัดเจน ไอ้เรื่องที่โรงแรมมันก็น่าจะลืมไปได้แล้วนะ ยังขุดคุ้ยขึ้นมาได้อีก!

“ออกไปเลยครับ” มือเล็กพยายามดันอกกว้างด้านบนให้ออกห่าง แต่กลับทำให้ติกดตัวลงต่ำกว่าเดิมอย่างจงใจ

“ในเมื่อเราก็รักกัน นายต้องเป็นของฉันสักวันอยู่แล้ว”

“แต่ไม่ใช่วันนี้...อ๊ะ!”

คนด้านล่างเบือนหน้าหนีริมฝีปากอุ่นๆ จนคนแกล้งต้องหันมากดจูบลงกับคอขาวแทนอย่างช่วยไม่ได้ ติออกแรงดูดจนเกิดรอยแดงแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจน ก่อนจะเชยคางพะภูให้หันกลับมาสบตากัน

“ไม่อยากรอแล้วอะ..”

เสียงออดอ้อนแบบที่พะภูไม่นึกอยากได้ยินนักดังขึ้นข้างๆใบหู ทำเอาคนเด็กกว่าขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่ก็ยังพยายามยืนยันคำเดิม พร้อมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างหนักอึ้งด้านบนออกไปอย่างยากลำบาก

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพี่ติได้ผมแล้วจะทิ้งผมหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ที่พูดออกไปเป็นแค่การหยั่งเชิงตามคำพูดที่พะพายเคยเตือนไว้ ยังไงก็เชื่ออยู่เต็มอก ว่าติจะไม่เลิกรากันไปง่ายๆแบบนั้น แต่มันช่วยไม่ได้ ถ้าเขาไม่พูดอะไรสักอย่างก็คงสลัดบรรยากาศแปลกๆที่เป็นอยู่นี้ไม่หลุด

“ลองดูไหมล่ะ?” คนตัวโตดันพะภูลงราบกับเตียงอีกครั้ง พร้อมบดจูบหนักๆตามมาปิดกลีบปากบาง มือสากเลื่อนปลดกระดุมชุดนอนของร่างข้างใต้อย่างชำนิชำนาญ ลูบไล้ผ่านจุกสีชมพูหวาน

“อ๊ะ..”

“ขอนะ” ติถอนปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนเอ่ยขอเสียงแหบพร่า ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะดิ้นขัดขืนแค่ไหน

“มะ..ไม่ครับ พี่ติ!”

หัวนมด้านหนึ่งถูกครอบครองโดยปากสีส้มธรรมชาติ ดูดดุนแรงๆจนร่างบางถึงกับตัวลอย มือเล็กทั้งสองข้างพยายามดันไหล่หนาตรงหน้าออกไป แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ติรู้สึกสนุกสนานในการคุกคามคนรักตนยิ่งขึ้น เสียงจ๊วบจ๊าบดังระงมไปทั่วห้อง ทำเอาพะภูนึกอายจนแก้มและใบหูแดงก่ำ

“อื้อ!”

“จ..จ๊ว...บ”

“อะ...อ๊ะ”

ริมฝีปากอุ่นไต่ลงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าท้องขาวเนียน แกล้งแหย่ลิ้นชื้นเข้าไปหยอกล้อภายในร่องสะดือ ทำเอาคนเด็กกว่ากลั้นเสียงครางแทบไม่ไหว ถึงอย่างนั้นก็ยังพอคุมสติได้อยู่ จึงทิ้งแรงทั้งหมดไปที่ขา ถีบร่างหนักๆด้านบนออกไปเสียงดังปัก

“โอ้ยย!” คนตัวใหญ่กลิ้งไปอยู่ปลายเตียง สายตาถมึงทึงจ้องเขม็งไปยังพะภูอย่างคาดโทษ

“ข..ขอโทษครับ”

“ภู...”

เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของคนตรงหน้า ติถึงยอมลดอารมณ์โกรธลง พลางคลานช้าๆเข้าไปหาคนที่กำลังดันหลังจนติดหัวเตียงขณะติดกระดุมกลับอย่างลวกๆ มือใหญ่เอื้อมขึ้นลูบแก้มใสแผ่วเบาเป็นเชิงปลอบประโลม อีกใจหนึ่งก็ยังอยากหว่านล้อมให้ยอมตนสักที

“ไม่เอาครับพี่ติ ผมยังไม่พร้อม” ตอบกลับเสียงหนักแน่น พร้อมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แสดงให้รู้ว่าเขาเองก็กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่เหมือนกัน

“โห...แต่ฉันมีอารมณ์แล้วอะ” พูดไปก็คว้ามือพะภูให้มาวางลงตรงเป้ากางเกงของตัวเอง ซึ่งมีบางอย่างกำลังแข็งขืนอยู่ภายใน

พะภูรีบตวัดสายตาดุๆไปทางติ ก่อนจะชักมือกลับทั้งที่ใบหน้าแดงเถือก ลามไปจนถึงใบหูและลำคอ เป็นบ้าหรือไงนะ อยู่ดีๆถึงได้จับมือเขาไปแตะตรงนั้น แถมยัง....โอ้ยยย สัมผัสมันติดมือหมดแล้ว!

“ห้องน้ำอยู่ด้านนอก ออกไปเลยครับ”

เจ้าของใบหน้าขึ้นสีชี้นิ้วไปทางประตูห้อง พร้อมยื่นคำขาด ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสเถียงกลับ ก็รีบล้มตัวลงนอนและกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไม่รับรู้อะไรอีก ติยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมต่ออีกสักพัก แต่ก็ไร้วี่แววว่าคนแกล้งหลับจะลุกมาคุยด้วยง่ายๆ

สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจลากสังขารหนักอึ้งของตัวเองออกไปยังห้องน้ำด้านนอก รีบจัดการทำธุระของตัวเองให้เสร็จสิ้น ก่อนจะเดินกลับมาเพื่อเห็นว่าคนรักได้จมลงสู่ห้วงนิทราเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ติลอบถอนหายใจเบาๆ และเอื้อมมือไปกดปิดไฟในห้อง

“ฝันดีนะ” จุมพิตบางเบาถูกมอบให้ร่างบางข้างๆบนเตียงหลังเดียวกัน ก่อนที่ตัวเขาจะหลับตาลง ปล่อยให้สติทั้งหมดค่อยๆเลื่อนลอยหายไป

 

“โอ๊ะ”

พะพายร้องเมื่อกองเอกสารของคณะกรรมการนักเรียนที่แบกลงมาจากชั้นบนร่วงหล่นไม่เป็นท่า พะภูซึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่กับติรีบรี่เข้ามาก้มลงเก็บไปวางบนโต๊ะให้ แต่แทนที่จะได้ยินคำขอบคุณอย่างเช่นปกติ ครั้งนี้กลับกลายเป็นน้ำเสียงดุๆเชิงจับผิดเสียแทน

“พะภู เปิดเสื้อซิ”

“ครับ?”

ไม่ทันได้คำตอบอะไร พะพายก็ตรงเข้ามาเลิกชายเสื้อของเขาออกอย่างละลาบละล้วง ผิวขาวๆซึ่งบัดนี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงปรากฏหราต่อหน้าพี่สาวคนดี ทำเอาเธอเกือบลมจับ สายตาส่อแววดุร้ายตวัดกลับไปทางผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอยู่บนโซฟาใกล้ผุ

“ทำอะไรน้องฉัน!?”

“อะไร?” ทำเป็นตีหน้าซื่อถามกลับ ทั้งที่รู้อยู่ว่าหมายถึงอะไร

“ไม่ต้องมาทำไขสือ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?” พอเห็นว่าคงคุยกับติไม่รู้เรื่อง ถึงหันกลับมาซักไซ้เอาความกับพะภูแทน เด็กผู้ชายส่ายหน้ารัวเร็วทั้งที่ใบหูเริ่มขึ้นสีระเรื่อ

“เปล่านะครับ เรายังไม่มีอะไรเกินเลยกัน”

“แล้วไอ้รอยพวกนี้?”

“พี่พาย งานของคณะกรรมการนักเรียนยังไม่เสร็จเลยนี่ครับ ใกล้เปิดเทอมแล้วนะ”

ทำทีเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะถูกซักไปมากกว่านี้ และดูเหมือนข้ออ้างเรื่องงานจะใช้ได้ผล เมื่อพะพายเลิกถามต่อและย้ายไปนั่งลงตรงหน้ากองเอกสารมากมายบนโต๊ะแทน โชคดีที่ผู้หญิงคนนี้ยังให้ความสนใจเรื่องงานมากกว่า เขาถึงได้รอดจากการสอบสวนมาแบบเฉียดฉิว

“นายติ ออกไปซื้อน้ำตาลมาซิ ใกล้หมดแล้ว” แต่ยังไม่วายหันไปออกคำสั่งใส่แขกจอมโหด ที่ตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับเสือเชื่องๆตัวหนึ่ง

คนตัวโตส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ แต่ก็ยอมลุกออกจากโซฟาแต่โดยดี พะภูที่ตั้งท่าจะตามออกไปด้วยโดนคนเป็นพี่รั้งตัวไว้ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เลยทำได้แค่ส่งกำลังใจไปให้เท่านั้น เวลาผ่านไปสักพักโดยไม่มีการพูดคุยรบกวนการทำงานของพะพายเลย จนเมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นนั่นแหละ

“ผมไปเองครับ” พะภูลุกออกจากโซฟาอย่างรู้หน้าที่ โดยมีพี่สาวคอยส่งสายตาระแวดระวังตามหลังไปให้ ที่หน้าประตูรั้วมีเพียงรถแวนสีดำติดฟิล์มหนาทึบ กับเด็กผู้ชายสองสามคนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาชอบกล

“มาหาใครครับ?”

ถามออกไประหว่างเดินเข้าใกล้รั้วบ้านสีกรมท่า เริ่มมองเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนชัดเจนขึ้นมาภายในความทรงจำ แต่ก่อนจะทันได้ทำอะไร หนึ่งในนั้นก็ชิงฉีดสเปรย์ประหลาดที่ถูกซ่อนไว้จนถึงเมื่อครู่ เข้าใส่ใบหน้าของคนตัวเล็กเต็มๆ รู้สึกเวียนหัวจนโลกหมุนได้แค่ครู่หนึ่ง ก็ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย

เกิดเสียงกุกกักขึ้นภายในตัวบ้าน เมื่อพี่สาวคนเดียวเริ่มกังวลใจขึ้นมา พวกชายแปลกหน้าจึงรีบปีนข้ามรั้วที่สูงเพียงระดับหน้าอกเข้ามาช้อนร่างบนพื้นขึ้น และย้ายไปไว้บนเบาะของรถคันใหญ่อย่างทุลักทุเล ไม่ทันได้ปิดประตูรถดี เสียงแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไอ้พวกบ้า ทำอะไรน่ะ!!?”

“ชิบหาย”

ชายคนหนึ่งอุทาน มือใหญ่รีบกระแทกประตูรถให้ปิดตัวลง และหันไปส่งสัญญาณทางสายตาให้เพื่อนคนอื่น ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในบ้านซึ่งไร้รั้วกั้นขว้าง พะพายยืนนิ่งกล้าๆกลัวๆอยู่กับที่ ไม่รู้ทำไมขาถึงไม่ยอมขยับไปไหนเลย พอคิดจะตะโกนขอความช่วยเหลือ ก็ถูกผู้ชายตรงหน้าต่อยเข้าที่ท้องน้อยจนตัวงอลงไปกับพื้น ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่าง พาลทำให้สติค่อยๆดับหายไปทีละน้อย ภาพสุดท้ายที่เห็นคือประตูรถแวนที่ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมร่างตัวเองที่โดนโยนเข้าไปภายในอย่างไร้ความอ่อนโยน

บ้าชะมัด ถ้าพะภูเป็นอะไรไปแล้วเธอจะทำยังไง...

ใครก็ได้ มาช่วยพะภูด้วย...

---------------------------------------------

มาปั่นก่อน เดี๋ยวจะเปิดเทอมละ
เห็นตารางเทอมสองแล้วจะเป็นลม
มีแต่วิชายากๆ ที่แบบ...ไม่ได้คิดว่าจะมาเจอในคณะนี้เลย ฮืออ
ไม่รู้จะได้มาต่ออีกเมื่อไร แต่ยังยืนยันว่าไม่ทิ้งนะค้า
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นและนักอ่านทุกท่านด้วย <3 จุ๊บบ
ป.ล. มันยังไม่ดราม่าหรอก... อุ้บ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 27 | 10/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2014 21:14:01
ห๊ะ จะดราม่าแล้ว
โอโน่
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 28 | 20/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 20-01-2014 19:41:03
บทที่ 28

 

รถสีดำจอดเทียบลงกับรั้วบ้านคนรัก ก่อนที่ร่างใหญ่ของกีรติจะเดินลงมาพร้อมถุงน้ำตาลในมือ ดวงตาเรียวหรี่มองประตูที่เปิดทิ้งไว้อย่างไม่มั่นใจ

“พะภู!” ร้องเรียกเสียงดังพลางก้าวขายาวๆเข้าไปด้านในบ้าน ประตูทุกบานถูกปลดไว้ ภายในไม่มีใครขานกลับแม้แต่เสียงเดียว กองเอกสารของพะพายยังคงตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟาคล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะหายไปอย่างนั้น...นี่มันเรื่องอะไร!?

“พะภู! พะพาย!...บ้าชิบ”

ติ๊ด ติ๊ด

เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ขณะกำลังร้อนใจ ติรีบควักออกมาเปิดดูก็ปรากฏเป็นข้อความภาพจากเบอร์ที่ไม่เคยบันทึกไว้ แต่ก็พอจำได้ว่าเป็นเบอร์ของใคร

ภาพถูกฉายขึ้นมาบนหน้าจอ เห็นพะภูกับพะพายกำลังถูกมัดด้วยเชือกเส้นหนา นั่งพิงเสาผุๆอยู่ภายในสถานที่ร้างแห่งหนึ่ง ดูท่าท่างไม่มีสติทั้งคู่ ฉากหลังมองเห็นกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยกำลังยืนรายล้อมพร้อมอาวุธเต็มมือ แนบมาด้วยข้อความสั้นๆเชิงคำสั่งให้เขาไปหาเพียงลำพัง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจรับรองความปลอดภัยของตัวประกันได้

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!” มือใหญ่กดปิดภาพนั้นลงพลางกำโทรศัพท์แน่น ติรีบสาวเท้ากลับไปขึ้นรถอย่างคนเดือดจัด รีบมุ่งตรงไปยังห้างร้างแห่งหนึ่งใกล้ๆกับวิไลวิทย์ เขาประมาทมากเกินไปที่คิดว่าไอ้ตัวการในคราวนี้จะยอมรามือไปแล้ว

ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าซึ่งแออัดไปด้วยรถรามากมาย ซึ่งไม่ได้สะทกสะท้านกับสกิลการขับรถแบบทรามๆของเขาเท่าไร นิ้วเรียวก็เอื้อมไปกดปุ่มโทรหารุ่นน้องในกลุ่มอย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดลำโพงจนเสียงต่อสายดังก้องไปทั่วทั้งคัน สักพักอีกฝ่ายก็รับสายพร้อมกรอกเสียงงัวเงียกลับมา

(ฮัลโหล ครับ)

“ไอ้นิว เรียกรวมตัวทุกคนด่วน”

(ครับ?)

“พะภูถูกไอ้แจนจับตัวไป!”

(ห๊ะ!!) เสียงแบบคนเพิ่งตื่นหายไปทันทีที่ได้ยิน และดูเหมือนรุ่นน้องตัวเล็กจะอุทานออกมาดังมากไปหน่อย ถึงปลุกร่างใหญ่ข้างๆตัวให้ตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวอีกคน

(คุยกับใครอะ..)

(หวะ! พ..พี่ติ! ว่ายังไงนะครับ แล้วคราวนี้จับไปที่ไหน?)

นิวรีบกลอกเสียงแสบแก้วหูผ่านสัญญาณโทรศัทพ์เข้ามาอย่างลนลาน ทำเอาคนกำลังขับรถถึงกับขมวดคิ้วมุ่น จากที่หงุดหงิดอยู่แล้ว ก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดีเข้าไปอีก ไม่รู้ว่านิวเป็นบ้าอะไรหรือทำอะไรอยู่ถึงได้ดูวุ่นวายแปลกๆ แถมยังได้ยินเสียงคุ้นหูของใครอีกคนดังลอดออกมาอีกต่างหาก คุ้นมากจนแทบไม่กล้าเดา

“ที่เดิม แต่คราวนี้มันมีอาวุธ และขู่ให้ฉันไปคนเดียว”

(คนเดียว!? ไม่ไหวมั้งครับ พี่ติรอพวกเร..)

“นายจะให้ฉันรอได้ยังไง!?”

(อึ่ก.. ข ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบตามเข้าไปช่วยทันที)

“ไม่ ฉันจะให้พวกนายรออยู่ในจุดที่ปลอดภัย พอฉันช่วยพะภูออกมาได้แล้ว ถึงเข้าไปเก็บกวาดไอ้เวรนั่น)

(อะไรกันครับ แน่ใจได้ยังไงว่าพี่ติไปคนเดียว แล้วมันจะไม่ทำอันตรายพะภู)

“เรื่องนั้นฉันไม่รู้ แต่ถ้าฉันไม่ทำตามมันสั่ง พะภูก็ต้องไม่ปลอดภัยแน่อยู่แล้ว”

(แต่ว...)

สายจากหัวหน้ากลุ่มถูกตัดไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้พูดต่อ นิวรีบโยนมือถือตัวเองเข้ากระเป๋าสะพายหนังแท้ที่พาดอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบผิวเนื้อสีขาวละเอียด ก่อนจะถูกบดบังด้วยกางเกงยีนส์สีซีดบนพื้น คนตัวเล็กหันไปออกปากเสียงจริงจังกับผู้ชายอีกคนบนเตียงยับย่น

“พี่ศิลป์แต่งตัวเร็วครับ พะภูถูกไอ้แจนจับไป”

“ว่าไงนะ!”

พอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับร้องอ๋อกับท่าทีร้อนรนของนิวในตอนนี้ ก่อนที่ศิลป์จะเด้งตัวออกจากที่นอน ตรงไปคว้าเสื้อกับกางเกงขึ้นสวมใส่อย่างว่องไว มือใหญ่คว้ามือถือขึ้นกดโทรออกหาเกต์ และสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มที่ยังเหลืออยู่ เพราะดูเหมือนหลายคนจะบินไปพักผ่อนช่วงปิดเทอมตามต่างประเทศกันเสียเกือบหมด

ทางด้านติซึ่งเหยียบคันแร่งปาดหน้ารถคันอื่นๆมาตลอดทาง ก็มาถึงจุดหมายด้วยความเร็วไม่กี่นาที ที่หน้าประตูกลวงๆซึ่งเคยถูกเขาฟากท่อนไม้เข้าใส่ครั้งหนึ่ง ถูกกั้นไว้ด้วยเด็กนักเรียนใต้บัญชาการของคู่อริชื่อแจน

“หลบไป”

ติว่าเสียงต่ำ ก่อนที่ทุกคนจะรีบขยับตัวออกห่างจากบริเวณประตูตามแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้มีอิทธิพลคนนี้ ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาประชันหน้ากับเจ้าของข้อความอย่างง่ายดาย แจนยกยิ้มขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว บนใบหน้าเปรอะไปด้วยแผลน้อยใหญ่ที่ได้จากการหาเรื่องต่อยตีกับกลุ่มนักเลงต่างๆภายในเมือง

“ตัวประกันคนเดิม แต่ทำไมคราวนี้หน้าซีดเชียว ไม่เห็นทำกร่างเหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ...ไอ้ติ”

แจนโยนมือถือตัวเองส่งให้ลูกน้องใกล้ๆ และค่อยสาวเท้าเข้ามาท้าทายติอย่างวายร้าย ดูเหมือนว่าแจนจะรู้ทันเรื่องราวในคราวนี้ดี ตั้งแต่ข่าวการคบกันของติกับพะภูแพร่กระจายออกไปทางโลกออนไลน์ เขาก็ตามสืบเรื่องของเด็กธารวิทยาคนนี้อย่างละเอียดตั้งแต่วันแรกที่โผล่หน้ามายังวิไลวิทย์ จนมั่นใจว่านี่แหละคือจุดอ่อนของกีรติในปัจจุบัน และครั้งนี้เขาก็จะไม่พลาดอีกแล้ว

“มึงต้องการอะไรก็บอกมา”

มือหนากำแน่นจนเส้นเลือกปรากฏขึ้นชัดเจน ต้องพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบเข้าไว้ ทั้งที่สายตาดุดันกำลังจับจ้องไปยังเบื้องหลังของกำแพงมนุษย์ตรงหน้า เห็นร่างของพะภูกับพะพายที่นั่งสงบนิ่งลอดออกมาจากระหว่างขาของพวกลูกน้องไอ้แจน ในมือมีทั้งมีดสั้น ท่อนไม้ และราวเหล็กกันเกือบทุกคน

“ง่ายมากก มึงก็แค่ก้มกราบขอร้องกูเท่านั้นเอง” รองเท้าขัดมันจงใจเหยียบลงตรงพื้นด้านหน้า ก่อนแสยะยิ้มพอใจ ท่ามกลางเสียงหัวเราะซุบซิบจากคนอื่นๆ

“ไอ้...แ..”

“ถ้ามึงขอร้องกูดีๆ รับรองว่าเด็กมึงปลอดภัย”

แจนไม่สนใจท่าทีเดือดจัดของติ ซึ่งดูคล้ายกับกาน้ำที่เตรียมระเบิดเต็มทีแล้ว คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นโบ เส้นเลือดปูดขึ้นบนขมับและกำปั้นยิ่งเสริมให้ภาพของชายคนนี้ยิ่งดูน่ากลัว ถึงอย่างนั้นกลับต้องสะกดกลั้นความโกรธทั้งหมดไว้จนอวัยวะในร่างกายต้องสูบฉีดอย่างหนัก ติกัดฟันกรอดพร้อมพ่นลมหายใจรุนแรงออกมา ทันทีที่เห็นแจนหันหลังกลับไปนั่งลงตรงหน้าพะภูซึ่งยังคงสลบไม่ได้สติ

มือสากฟาดลงบนแก้มซ้ายขวาของเด็กผู้ชายตัวเล็ก ไม่นานนักเปลือกตาหนักอึ้งก็ค่อยๆลืมขึ้น พร้อมรับความรู้สึกมึนตื้อในหัว พะภูกระพริบตาถี่ๆสองสามที่พอให้สายตาคุ้นชินกับทิวทัศน์เบื้องหน้า พอเห็นแจนกับลูกน้อง รวมทั้งติที่ยืนแข็งเป็นหินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ถึงกับแผดเสียงดังลั่น

“พี่ติ!!!” ร่างบางรีบประมวลผลและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยไปยังร่างของผู้หญิงข้างๆ สักพักพะพายก็เริ่มได้สติขึ้นมาอีกคน พร้อมกรีดร้องด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว

“ไอ้ติ” แจนลุกขึ้นว่าเสียงทุ้มต่ำ พลางก้าวเท้ากลับไปยืนอยู่ระหว่างร่างสูงของติ กับ ตัวประกันอ่อนเปลี้ยทั้งสองคนด้านหลัง ลูกน้องทั้งหมดเริ่มกระจายตัวกันออกไปตามจุดต่างๆรอบบริเวณ “กราบตีนกูสิ แล้วทุกอย่างจะจบ”

“ห๊า?...พี่ติ! อย่านะ!” พะภูรีบร้องบอก ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆให้ชัดเจนอีกครั้ง นี่มันบ้าอะไร ทำไมเขาถึงมาที่นี่แค่คนเดียว และคงบ้ายิ่งกว่าถ้าคนอย่าง กีรติ อัครโภคิน จะยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ เพื่อปกป้องคนอย่างเขา

ติทำท่าจะก้าวขาเข้าไปหาต้นเสียง แต่ก็ถูกพวกแจนสกัดไว้ทันที ตอนนี้เขาสับสนไปหมด น้ำเสียงเยาะเย้ยของแจน กับเสียงร้องจากพะภูมันตีกันจนวุ่น ไม่มั่นใจว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่ ทั้งเกลียดทั้งโกรธไอ้เหี้ยตรงหน้า แล้วก็ทั้งห่วงเด็กด้านหลังโน่น

เม็ดเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งตัวด้วยแรงกดดันมหาศาล บวกกับความเครียดที่เริ่มไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ติรีบสะบัดลูกน้องของแจนให้ออกห่าง พร้อมส่งเสียงฮึดฮัดอย่างคนเดือดจัด สายตามาดร้ายราวกับจะฆ่าให้ตาย จับจ้องตรงไปยังใบหน้ากวนส้นของแจนอยู่สักพัก ขณะที่เสียงของพะภูยังคงดังลอดเข้ามาภายในโสตประสาทตลอดเวลา

“ห้ามนะพี่ติ! พี่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น!”

คำพูดของพะภูไม่ผิดเลย คนอย่างกีรติ อัครโภคิน หัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ใหญ่ที่สุดในย่าน แถมยังเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทอาหารและเครื่องดื่มอันดับต้นๆของประเทศ จะต้องมาก้มหัวกราบเท้าใคร มันใช่เรื่องที่ไหนกัน ศักดิ์ศรีของทั้งตระกูลและตัวเขาที่สั่งสมมาจะเอาไปโยนทิ้งไว้ไหนล่ะแบบนั้น!?

“เร็ว! หรือต้องให้เมียมึงกับพี่สะใภ้มึงเสียโฉมซะก่อน?”

“เชี่ยแจน ห้ามทำอะไรสองคนนั้น!”

ติคำรามลอดไรฟันอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นแจนกำลังจะตั้งท่าหันไปกลับหาคนถูกจับ พะพายได้แต่เงียบราวกับถูกสาป ขณะที่พะภูก็เอาแต่ตวาดซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนเสียสติ ทั้งที่ตัวเองจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ ยังเป็นห่วงศักดิ์ศรีแทนเขาอยู่ได้ ดวงตากลมโตของคนรัก บัดนี้กลับหม่นหมองพร้อมทั้งหยดน้ำที่ค่อยๆเอ่อขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่บีบหัวใจเขามากเกินไป...

มากเกินไปแล้ว...

แค่คิดว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หลังจากที่ยอมกราบเท้าคู่อริกะโหลกกะลานี่ ก็ปวดหัวมวนท้องจนแทบสำรอกให้ตายคาที่ เขาจะทนแบกหน้าแบกชื่อสกุลต่อไปยังไง ในเมื่อใครๆก็คงเอาแต่นินทา ถึงกีรติผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งยอมศิโรราบให้กับไอ้กระจอกจากโรงเรียนเล็กๆ ความเข้มแข็งและน่าเกรงขามของกลุ่มกีรติที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ใครจะเอามาบดขยี้ได้ง่ายๆแบบนี้ เพราะไม่เคยยอมใคร ถึงทำให้เขาไม่เคยแพ้ ความคิดที่จะให้คนอย่างเขาก้มหัวให้ คงเป็นได้แค่ความฝันปัญญาอ่อนของพวกหมาขี้เรื้อนเท่านั้น

.

.

.

ตราบเท่าที่เขายังไม่รู้จักความรักที่ชื่อ พะภู น่ะนะ!!

“พี่ติ!!!” พะภูตะโกนออกไปจนสุดเสียง พร้อมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างคุมไม่ได้ ภายในใจถูกบีบรัดและเจ็บปวดเมื่อเห็นติค่อยๆชันเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น ท่ามกลางสายตาเย้ยหยันและสนุกสนานของไอ้พวกนักเลงไม่มีระดับ พะพายเองแม้จะส่งเสียงอะไรไม่ออก แต่ก็ตกใจกับภาพตรงหน้าไม่แพ้กัน ในเมื่อคนที่ยึดติดกับอำนาจบ้าบอรวมทั้งศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้อย่างกีรติ ตอนนี้กลับยอมลดตัวลงมาเกลือกกลั่วในแผนตื้นๆเสียได้

ติพยายามส่งสายตาไปให้พะภูเพื่อบอกให้สงบใจ เขาไม่เป็นไรหรอก เพราะคิดแล้วว่า...สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะยอมสูญเสียไปไม่ได้ ก็คือพะภูเท่านั้น

เขาค่อยๆทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าแจนซึ่งกำลังยักยิ้มอย่างพอใจ พลางเลื่อนรองเท้าสกปรกมาจ่อใกล้ๆ ได้แต่หัวเราะในลำคอให้กับความบ้าของตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความปลอดภัยของตัวประกันพรรค์นี้หรอก คงได้ยกพวกเข้าตะลุมบอนกันยกใหญ่ ถ้าไอ้ลูกน้องหรือผู้หญิงคนไหนที่พลาดโดนจับตัวมา โชคดีหน่อยก็รอดไป แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะได้แผลบ้างไม่มากก็น้อย แต่ช่างปะไร แค่ไม่ตายเขาก็ไม่แคร์อยู่แล้ว แค่ได้กระทืบไอ้พวกเหี้ยนี่แล้วทำให้เรื่องมันจบก็พอ

แต่คราวนี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนกัน ตัวประกันไม่ใช่ใครต่อใครที่เขาจะเพิกเฉยไปได้ นี่คือคนรักที่เขารักจริงๆ คนรักหนึ่งเดียวที่กลายมาเป็นจุดอ่อนชิ้นโตของเขา... ตอนนี้สิ่งที่ต้องสนใจ มีแค่ความปลอดภัยของพะภู ไม่ใช่ความเป็นกีรติ หรือแม้แต่ความเป็นอัครโภคิน ถึงได้ต้องยอมอดกลั้นความโกรธที่ใกล้ปะทุออกจากอกเต็มที ถ้าเป็นเรื่องของเด็กคนนี้ในตอนนี้...เขาไม่กล้าจะเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น

“พี่ติ อย่าทำแบบนี้!!”

คนตัวสูงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนรัก พลางปิดตาลงและกัดปากแน่น พยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านภายในร่างกายเอาไว้ แม้จะเจ็บใจที่ต้องทำเรื่องแบบนี้ แต่นี่คือหนทางที่จะช่วยให้พะภูปลอดภัย เขาถึงต้องทำ! ต้องทำ ทั้งๆที่รู้ดีว่า หลังจากนี้อาจต้องจมลงสู่ความรู้สึกผิดต่อตัวเอง และการสูญเสียความนับถือเชื่อใจจากใครต่อใครไปอีกนาน

แต่ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้ เขาเองก็ทนไม่ได้เหมือนกัน...

“กราบกู ติ” แจนเร่งพลางเลื่อนเท้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ติเม้มปากแน่น มือทั้งสองทั้งกำหมัดจนเส้นเลือดปูดชัด สายตาว่างเปล่าตอนนี้ดูน่ากลัวและน่าเห็นใจยิ่งกว่าครั้งไหน จนพะภูถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ไม่อาจมองภาพของคุณชายนักเลงผู้ยิ่งใหญ่ ที่ต้องมาโดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรี และถูกกดดันจนหมดสภาพถึงขนาดนี้

ศีรษะของติค่อยๆก้มลงไปยังเบื้องล่าง ช้าๆ.....

ช้า...ช้า...

“อ๊ากกก!!”

เสียงหวีดร้องของหนึ่งในลูกน้องแจนดังขึ้น ทำให้ทุกคนต้องรีบหันไปมองยังด้านหลัง พบว่าเด็กผู้ชายเจ้าของผิวขาวซีดกับผมสีน้ำตาลอ่อนกำลังถือเครื่องช็อตไฟฟ้าไล่จี้พวกถืออาวุธทีละคนทีละคน พร้อมทั้งกลุ่มวัยรุ่นคุ้นหน้าคุ้นตาอีกสิบกว่านายที่เริ่มกระจายตัวกันออกไปจัดการพวกของแจนด้วยมือเปล่า ดูช่ำช่องและเชี่ยวชาญการต่อสู้มากจนเริ่มได้เปรียบในเวลาเพียงไม่กี่นาที หลังจากแอบลอบเข้ามาจากด้านหลังห้างฯ

“ไอ้เวร!!” แจนคำรามอย่างโกรธจัด ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปหาตัวประกันทั้งสองซึ่งยังคงขยับร่างกายไม่ได้ แต่ไม่ทันได้ทำตามใจ ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของติเสียก่อน

หัวหน้ากลุ่มกีรติใช้มือข้างหนึ่งปัดเศษฝุ่นออกจากกางเกง ก่อนจะปล่อยหมัดลุ่นๆออกไปปะทะกับใบหน้าเรียวของอริตัวแสบ ตามด้วยการจับทุ่มลงกับพื้นปูนของตัวห้าง และต่อยเข้าใส่อีกอย่างไม่ยั้งมือ ท่ามกลางเสียงตะลุมบอนรุนแรงจากทุกฝั่ง แจนที่ตามไม่ทันค่อยๆตาปรือด้วยความจุก ก่อนที่ติจะลุกขึ้นฝังส้นรองเท้ามันเงาลงไปกลางหน้าผากของร่างแน่นิ่งบนพื้น กดขยี้จนร่างข้างใต้หวีดร้องออกมาไม่เป็นภาษาพลางดิ้นขลุกขลักอย่างทรมานเต็มทน

“พี่ติ พอแล้ว!” ยังไม่ทันสาแก่ใจ มือเล็กของใครบางคนก็ตรงเข้ารั้งตัวเขาไว้ก่อน ติตวัดสายตากลับไปตามเสียงคุ้นหู และรีบผละตัวออกจากแจนเข้าหาพะภูทันที

“พะภู!”

ทั้งสองคนรีบสวมกอดกันและกันอย่างโหยหา จนไม่ทันสังเกตว่าบรรยากาศรอบข้างเริ่มสงบลงแล้วตามลำดับ กลุ่มกีรติเพียงกลุ่มเดียวสามารถจัดการกับพวกนักเลงติดอาวุธของแจนได้อย่างราบคาบ ไม่ต่างอะไรกับฟิล์มม้วนเก่าที่เคยเล่นไปแล้วครั้งหนึ่ง

“พะภู มานี่”

เสียงของผาดังขึ้นเรียกให้พะภูหลุดออกจากภวังค์ เมื่อหันไปเห็นสายตาจริงจังของคนที่เหลือ จึงยอมผละตัวออกจากติอย่างเชื่องช้า ก่อนที่เกต์กับศิลป์จะสาวเท้าเข้าไปฝากหมัดหนักๆลงกับใบหน้าเรียวของหัวหน้ากลุ่มตัวเองกันคนละที โดยมีผาคอยปิดปากไม่ให้พะภูส่งเสียงร้องโวยวายออกไป

“ไอ้พวกเวร! ทำอะไรวะ!?” ติรีบยันตัวเองลุกขึ้นหลังจากที่ล้มลงไปด้วยแรงต่อย ตั้งท่าจะเข้าไปหาเรื่องเพื่อนสนิททั้งสอง แต่กลับถูกหยุดไว้ด้วยคำพูดแดกดันของเกต์

“มึงสิไอ้เวร! ไม่เชื่อใจพวกกูหรือไง!?”

“กล้ามากสินะ บุกเข้ามาหาศัตรูคนเดียวแบบนี้” ศิลป์เสริมทัพขึ้นทันที สายตาดูโกรธเคืองและผิดหวังไม่ต่างจากคนอื่นๆ “พวกกูทุกคนห่วงพะภูไม่น้อยไปกว่ามึงหรอก แต่มึงรู้ไหม ว่าพวกกูก็ห่วงมึงเหมือนกัน!”

“พะภู บอกสิว่านายไม่ได้เอาหัวใจไอ้บ้านี่ไปอย่างเดียว แต่เอาสมองไปด้วยใช่ไหม!!”

เกต์หันมาเอาเรื่องพะภูซึ่งกำลังพูดไม่ออกเพราะโดนผาจับปิดปาก จนได้แต่แสดงความรู้สึกผ่านทางแววตาที่สับสนและมึนงงเท่านั้น

“ถ้ามึงคิดสักนิด มึงก็จะรู้ว่า มันง่ายมากในการจัดการไอ้พวกกระจอกนี่ โดยที่ไม่ทำให้พะภูเป็นอันตรายแม้รอยเล็บ อย่างเช่นที่ไอ้กัสวางแผนไว้เมื่อกี้” เกต์ยังคงว่าต่อไป พร้อมทั้งโยนความดีความชอบไปทางรุ่นน้องซึ่งกำลังก้มหน้าขยับแว่นตัวเองอย่างไม่ใส่ใจนัก

“อะไรวะ ก็ตอนนั้นกูตกใจอะ กูทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล...แล้วก็กลัวด้วย มึงเข้าใจไหม กูจะเสี่ยงให้พะภูเป็นอันตรายไม่ได้”

“ด้วยการมองข้ามประสิทธิภาพของลูกน้องตัวเองไปเลยงี้ สัตว์! กูเกลียดมึงห้าวิ!”

“ไอ้เกต์ มึงกลับมาได้ละ” ศิลป์ทำท่ากวักมือเรียก เมื่อเห็นว่าเกต์ชักจะพูดจานอกออกประเด็น และเริ่มเข้าข่ายไร้สาระ

“ช่างเถอะครับ ยังไงเรื่องก็จบแล้ว ตอนนี้เราออกไปจากที่นี่ดีกว่า” ผายอมปล่อยมือออกจากพะภูในที่สุด และเป็นฝ่ายเตือนสติให้ทุกคนทราบ ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ไว้คุยเล่น

ศิลป์ประกาศทิ้งท้ายให้ทุกคนไปเจอกันที่ร้านอาหารร้านหนึ่งเพื่อเคลียร์ทุกเรื่องวันนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเอง โดยมีนิวติดสอบห้อยตามมาอยู่เบาะหลังของรถติด้วยอีกคน เพราะถูกย้ำให้คอยดูแลสภาพจิตใจของพะพายให้ดี เนื่องจากเป็นคนเดียวที่ไม่เคยประสบเหตุการณ์เชิงนี้มาก่อน และดูท่าว่าจะตกใจไม่ใช่น้อยเลย

คนเก๋งสีดำค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากบริเวณห้างร้างแห่งนี้ ระหว่างทางเต็มไปด้วยความเงียบอันชวนอึดอัด จนเมื่อพะภูส่งเสียงออกมา

“พี่ติ...วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ”

“อะไร?”

“จะยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆได้ยังไง!” พะภูหันไปขึ้นเสียงใส่จนที่กำลังตีหน้าเครียดมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า

“แต่ฉันทำเพื่อนายนะ”

“ก็นั่นแหละ ต่อไปห้ามนะครับ ผมทนเห็นพี่อยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ ร้องไห้เลย..” คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยพลางทำแก้มป่องอย่างเด็กๆ ติค่อยๆชะลอความเร็วรถเมื่อมาถึงไฟแดงตรงทางแยก ก่อนจะหันไปเชยคางพะภูให้กลับมาเผชิญหน้าตนอีกครั้ง

“ที่ฉันยอมเพราะเห็นนายสำคัญที่สุดยังไงเล่า เพราะงั้นก็ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย สู้เก็บน้ำตาไว้ร้องตอนอยู่บนเตียงยังดีกว่า”

“อะแฮ่ม!” ไม่ทันที่พะภูจะได้โต้กลับ เสียงกระแอมไอที่จงใจขัดก็ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเงยหน้ามองกระจกก็พบว่าพะพายกำลังส่งสายตาคมกริบมาให้ จนไม่กล้าพูดอะไรต่อ ผู้หญิงหนึ่งเดียวในนี้เริ่มเอ่ยปากพูดบ้าง หลังจากสงบจิตใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้มากแล้ว

“นายติ”

“ห..หะ?”

“ขอบใจมากนะ”

“หื้อออ!?” คนตัวใหญ่ส่งเสียงอย่างไม่เชื่อหู พะพายที่เอาแต่จิกกัดเข้ามาตลอด ยอมพูดว่าขอบใจเนี่ยนะ นี่เรียกว่าการพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้รึเปล่า

พะภูหันหลังไปส่งยิ้มให้พี่สาวตัวเอง และไม่ลืมมอบยิ้มสดใสแบบเดียวกันให้คนข้างๆ ติเองก็หลุดยิ้มกว้างแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักออกมา พร้อมเอื้อมมือเข้าไปกุมมือพะภูไว้แน่น รถทั้งคันกลับสู่ความเงียบซึ่งต่างออกไป ก่อนที่เสียงใสเสียงเดิมจะดังขึ้นอีกครั้ง

“ต่อไปนี้ ก็ฝากดูแลน้องชายฉันด้วย”

รอยยิ้มทั้งสี่ระบายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พอดีกับที่ไฟจราจรถูกสลับไปยังดวงสีเขียวสุกสว่าง เป็นสัญญาณแห่งการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ท่ามกลางความอบอุ่นที่โอบล้อมไปทั่วทั้งคันรถ

---------------------------------------

บอกแล้วว่ายังไม่ดราม่าหรอก ;w;
ช่วงนี้หวานแหวว เยิฟๆ มาก
ถ้ายังไงขอคอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันสักนิดนะคะ
เผื่อมีแรงปั่นนิยาย จะได้ไม่ดอง 5555

ขอบคุณนักอ่านทุกๆคนเลยนะคะ !  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 28 | 20/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-01-2014 20:30:24
น้องภูมาแล้วววว
เย้
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 28 | 20/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 20-01-2014 21:08:17
พะภูปลอดภัยเพราะได้พี่ติช่วยไว้แท้ ๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 29 | 27/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 27-01-2014 18:32:21
บทที่ 29

 

“พะภู จะไปวิไลวิทย์เหรอ?” รถแวนคันหรูจอดเทียบฟุตบาทหน้าป้ายรถเมล์ประจำธารวิทยา ซึ่งมีพะภูกำลังยืนรออยู่ ประตูถูกเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ ก่อนที่คุณหัวหน้าห้องจะชะโงกหน้าออกมาถาม

ตั้งแต่เปิดเทอมสองมา ทุกคนในโรงเรียนดูจะเข้าหาและเกรงใจเขามากขึ้นด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ ทั้งที่เขาแอบกังวลไว้ว่าจะต้องถูกรังเกียจหรือไม่เห็นด้วยจากข่าวการคบหากับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่อกีรติจากโรงเรียนอันธพาลข้างเคียง แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่อผู้หญิงหลายคนทั้งจากธารวิทธยาและวิไลวิทย์ ไม่เว้นกระทั่งจากโรงเรียนอื่นๆในละแวกนี้ คอยทำดีกับเขามากผิดปกติ บางครั้งก็จะมาชวนพูดคุยเรื่องราวความรักที่คงไม่ได้หวานสักเท่าไร ไม่ก็ถึงขั้นอยากได้รูปถ่ายคู่ของเขากับติซะงั้น

ส่วนพวกผู้ชายนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้พวกที่ไม่ได้สนใจก็โอเคอยู่หรอก แต่มันดันมีบางกลุ่มที่ชอบตีหน้าเสียดายเวลาเขาเดินผ่านบ่อยๆ จนชักไม่แน่ใจแล้วว่าเคยไปทำอะไรไว้ให้หรือเปล่า

“อะ..อือ”

“ไปด้วยกันสิ บ้านฉันต้องผ่านทางนั้นพอดี”

“เอ่อ...”

“ขึ้นมาเถอะ”

คุณหัวหน้าห้องบังคับตัดบท ก่อนจะเดินออกมาดันไหล่พะภูให้เข้าไปนั่งในรถ ระหว่างทางซึ่งไม่ไกลนักเป็นไปอย่างอึดอัดสำหรับเขา เพราะหัวหน้าห้องเอาแต่รุกไล่ถามไถ่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับติอย่างเช่นทุกที แถมดึงดันจะขอให้ทั้งคู่ไปเป็นแบบวาดภาพให้กับเธอ ในฐานะประธานชมรมศิลปะอีกต่างหาก

“ลองเอาไปคิดดูนะ เจอกันพรุ่งนี้จ้ะ”

“อ่า ขอบใจนะ แล้วเจอกัน”

พะภูตอบรับก่อนจะก้มหัวเล็กน้อย ลงมาจากรถคันหรูที่ค่อยๆจอดลงหน้ารั้วโรงเรียนสีดำสนิท ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่จากนักเรียนวิไลวิทย์ ซึ่งแน่นอนว่ามีทีท่านอบน้อมกับเขามากขึ้นกว่าปกติจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ว่ากันว่าเพราะตอนนี้เขามีฐานะเป็นคนรักของกีรติ พ่วงด้วยการเป็นคนรู้จักของธร

“มาหาติเหรอ?” กลุ่มผู้หญิงสองสามคนรี่เข้ามาทักทายด้วยคำถามที่เขาได้ยินมาตลอดตั้งแต่เปิดเทอมมา

“ค..ครับ”

“วันนี้พวกนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องนะ”

“เมื่อกลางวันพวกนั้นลงมาเล่นบอลที่สนาม แล้วดันเตะไปโดนกระจกห้องผอ. ตอนนี้เลยโดนใช้ให้ทำความสะอาดห้องเก็บของอยู่น่ะ”

พี่ผู้หญิงหนึ่งในนี้รีบอธิบายมาเป็นฉากๆ พอจะจินตนาการออกเลยว่าสถานการณ์เมื่อกลางวันมันเป็นยังไง แต่จุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือ วิไลวิทย์เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว! ใช่ เพราะผอ.ที่ว่า เป็นผอ.คนใหม่ที่ย้ายมารักษาการแทน เนื่องจากผอ.คนเก่าดันป่วยหนักกระทันหันระหว่างช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าผู้บริหารโรงเรียนคนใหม่นี้จะมีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าแค่การทำงานรับใช้ถุงเงินถุงทองจากพวกผู้ปกครองทั้งหลาย เห็นพวกคนในกลุ่มกีรติบ่นอยู่เนืองๆเรื่องการปรับเปลี่ยนระบบการเรียน และกฎเกณฑ์มากมาย ส่งผลให้โรงเรียนอันธพาลค่อยๆกลับเข้าสู่ระเบียบวินัยทีละน้อย

และคงไม่ผิดอะไร ถ้าเขาจะขอยืดอกอย่างภูมิใจว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เพราะเด็กนักเรียนที่เคยโดนตามใจมาตลอดคงไม่มีทางอ่อนข้อให้ผอ.คนใหม่ ถ้าไม่ใช่ว่า สองขั้วอำนาจใหญ่อย่างกีรติและธัญธรยอมทำตามกฎ แล้วใครล่ะ ที่ทำให้สองคนนั้นกลายเป็นสิงโตเซื่องๆได้...หึ แน่นอนว่าเป็นเพราะคำสั่งเด็ดขาดจากเขาเอง

“ห้องเก็บของอยู่ถัดจากตึกสี่ไปทางด้านขวา เกือบติดรั้วโรงเรียนฝั่งนู้นน่ะ”

“อ๋อครับ ขอบคุณมากนะครับ”

พะภูก้มหัวให้ ก่อนมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่นักเรียนกลุ่มเมื่อครู่ชี้มา ใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะมองเห็นตึกชั้นเดียวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท้ายโรงเรียน เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยกับการต้องเดินข้ามจากรั้วอีกฝั่งมาถึงอีกฝั่ง แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขายิ้มออก

เด็กนักเรียนผู้ชายล้วนเกือบยี่สิบคน กำลังเดินแบกโต๊ะ เก้าอี้ ลูกบอล บ้างก็ถือไม่กวาดกับผ้าเปียกแกว่งไปมา ได้ยินทั้งเสียงบ่น และเสียงตะโกนคุยกันเป็นระยะ ใบหน้าแต่ละคนเปื้อนไปด้วยเม็ดเหงื่อกับรอยฝุ่น สภาพไม่ต่างอะไรจากตอนออกไปหาเรื่องต่อยตีชาวบ้านเลย

“ทุกคน!” พะภูตะโกนเรียกความสนใจจากนักเรียนทั้งหมดตรงนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ รวมทั้งทักทายเพื่อนชั้นเดียวกัน และจบลงตรงหน้าหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งบัดนี้กลับชุ่มไปทั้งตัว

“ใครครับเนี่ย?” คำถามสั้นๆ หลุดออกมาจากปากผู้มาใหม่ ทำให้สายตาทุกคู่ในบริเวณนี้จับจ้องไปยังใบหน้าเหลอหลาของเด็กม.4 ซึ่งกำลังยกถังน้ำออกมาจากตัวอาคาร

“ก็บอกว่าขอโทษ ขอโทษ จะเอาอะไรอีกครับ!” เกมโวยวายสร้างเสียงหัวเราะน้อยๆให้กับคนอื่น รวมทั้งพะภูด้วย เพราะเดาไว้ไม่ผิดเลย ว่าตัวการต้องไม่ใช่ใคร นอกจากนายจอมแสบคนนี้

“พี่ติ วันนี้ผมซื้อนี่มาด้วย”

พะภูส่งยิ้มให้กำลังใจเกมที่เพิ่งเดินผ่านไป และหันกลับมายิ้มกว้างให้คนรักตน พร้อมชูกล่องช็อกโกแลตบาร์ยี่ห้อดัง ของโปรดติขึ้นมา

“เฮ้ย คิดถึงอะ”

“ไว้ทำความสะอาดเสร็จแล้ว ค่อยกินนะครับ” คนตัวเล็กบอก ทำท่าจะเก็บกล่องขนมเข้ากระเป๋า แต่ก็ถูกติคว้ามือเอาไว้ได้ก่อน แถมยังโน้มหน้าลงมาใกล้ซะจนพะภูต้องผงะหนี ร่างสูงยิ้มกริ่มพร้อมทั้งอ้าปากค้างในอากาศอย่างคนเอาแต่ใจ

“จะกินตอนนี้แหละ ป้อนหน่อย”

พะภูรีบหลบสายตากะลิ้มกะเหลี่ยที่ถูกส่งมาให้ ก่อนชั่งใจครู่หนึ่ง แอบเหลือบไปเห็นเกต์กำลังยืนถือไม้ถูพื้นมองมาด้วยสายตาเอือมสุดๆ แน่แหละ ตั้งแต่พวกเขาคบหากันอย่างเปิดเผย กีรติที่เคยผยองตอนนี้กลับอ้อนซะจนน่าหมั่นไส้ เรียกว่าชักหวานจนเลี่ยนไปหมดแล้ว

“เร็ว”

อืม แต่กีรติก็ยังคงเป็นกีรตินั่นแหละ!

สิ้นเสียงคำสั่งกลายๆ พะภูถึงยอมแกะห่อช็อกโกแลตออก ก่อนจะยื่นเข้าไปให้คนตัวสูงกัด ท่าทางพอใจของนักเลงขาใหญ่ แค่เพราะได้ทานขนมหวานของโปรดนี่มันน่ารักจนเขาอดยิ้มไม่ได้

“พะภู!”

อารมณ์ดีได้ไม่เท่าไร ก็ต้องมาหงุดหงิดใจอีกแล้ว หลังจากได้ยินเสียงของอริหมายเลขหนึ่งกำลังเรียกชื่อคนรักตัวเองมาแต่ไกลๆ ธรกำลังสาวเท้าใกล้เข้ามาพร้อมลูกน้องอีกสองสามคน ไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าตรงที่ถิ่นใคร

“พี่ธร” คนตัวเล็กขานรับและส่งยิ้มบางออกไปเล็กน้อยพอเป็นมารยาท ใบหน้าเปื้อนยิ้มของธรดูไม่ดีเลยเมื่อมีรอยช้ำเป็นดวงที่มุมปาก แถมยังมีพลาสเตอร์ปิดแผลระหว่างขมับกับหางคิ้วไว้อีก

“อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็จะมีงานแสดงกิจกรรมแล้วนะ”

“อ๋อครับ ช่วงนี้พี่พายยุ่งมากเลย”

“ทางนี้ก็เหมือนกัน”

นักเรียนชายร่างโปร่งก้าวเท้าออกมาข้างหน้า คนนี้ชื่อวินเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนของวิไลวิทย์ ซึ่งมีหน้าที่คอยประสานงานกับทางธารวิทยา เกี่ยวกับงานแสดงกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น งานนี้นักเรียนของสองโรงเรียนจะออกมาตั้งซุ้มโชว์ผลงานของแต่ละหมวดคณะและชมรม ถือเป็นงานสานสัมพันธ์ปีละครั้งของพวกเรา อ้อ แต่ประเด็นน่าแคลงใจก็คือทำไมคนแบบนี้ถึงมาเข้าร่วมกับกลุ่มของธรได้นี่แหละ

“ฉันฝากนี่ให้พายด้วยนะ ยัยนั่นปิดโทรศัพท์ตลอดเลย” ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกยื่นมาให้ด้วยใบหน้าคร่ำเครียด คนรับได้แต่ยิ้มแหยๆ ก็แน่ล่ะ...พะพายตัดขาดจากทุกคน เพราะตัวเองยังทำงานที่รับมอบหมายมาไม่เสร็จน่ะสิ

“แค่นี้ใช่ไหม กลับไปได้แล้ว” ติแทรกขึ้นมาทันทีพลางโบกมือไล่ แขนอีกข้างพาดลงกับบ่าพะภูอย่างจงใจแสดงความเป็นเจ้าของ

วินยักไหล่เหมือนไม่สนใจนัก ก่อนจะหันหลังกลับ รวมทั้งธรและลูกน้องที่เหลือด้วย ท่าทางจะเหนื่อยมีเรื่องแล้วล่ะมั้ง แต่ถึงอย่างงั้น เรื่องมันก็มาจนได้ เมื่อผีสางเทวดาตนไหนไม่ทราบมาดลใจให้พะภูเอื้อมมือเข้ารั้งชายเสื้อของธรไว้ ท่ามกลางสายตาจับจ้องจากทุกคนในบริเวณ โดยเฉพาะท่าทีตกใจจากร่างสูงข้างๆ

“อ..เอ่อ”

“อะไรเหรอ?” ทำเป็นพูดเสียงเรียบ ทั้งที่ใบหน้าแสดงออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่ากำลังดีใจ รวมทั้งสะใจขนาดไหน กับการถูกรั้งไว้ด้วยคนคนนี้

“แผล...ไปมีเรื่องกับใครอีกแล้วครับ?”

พะภูทำใจกล้าชวนสนทนาต่อ จนรู้สึกได้ถึงแรงกดจากไหล่ รู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้ติไม่พอใจแค่ไหน แต่เขาก็เป็นรุ่นน้องคนหนึ่งของธร มีสิทธิ์เป็นห่วงและถามไถ่ พูดต่อหน้าให้รู้กันไปเลยนี่แหละดี จะได้แสดงความบริสุทธิ์ใจให้ติเห็นว่า เขาไม่ได้มีอะไรในกอไผ่กับธรทั้งนั้น ถึงจะต้องไปหลบๆซ่อนๆ ทุกอย่างมาจากความรู้สึกในฐานะพี่น้องจริงๆ

“อืม ขอโทษนะ...ที่ทำให้เป็นห่วง” คนสุดท้ายตั้งใจพูดออกมาเสียงดังฟังชัด ราวกับต้องการเย้ยใครบางคนแถวนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็นสายตาจริงจังของคนตัวเล็ก พร้อมน้ำเสียงที่ดังยิ่งกว่า

“ใช่ครับ ผมเป็นห่วง พี่ติ พี่ธร และทุกคน ผมเป็นห่วงทั้งนั้น การใช้ชีวิตนักเรียนปกติมันยากมากเลยเหรอ... ถ้ายังดึงดันจะไปมีเรื่องกับใครอีก ผมโกรธจริงๆด้วย”

พะภูยื่นคำขาดต่อหน้าสมาชิกทุกคนที่ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กาท่ามกลางความเงียบของช่วงอาทิตย์ตกดิน ท่าทางเด็ดขาดกับน้ำเสียงฮึดฮัดของเขาไม่น่ากลัวพอจะทำให้ใครผวาได้ ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์กลับน่าพอใจยิ่งกว่าที่คิด เพราะทุกคนต่างเข้าใจในความเป็นห่วงที่พะภูมีให้ และคิดไว้ว่าควรมีเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นกัน

ธรยิ้มกว้าง พยายามกลั้นหัวเราะกับท่าทีน่ารักของเด็กตรงหน้า ก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือมายีหัวพะภูเล่นอย่างชอบใจ จนเมื่อติปัดมือเขาออกนั่นแหละ ถึงได้ฤกษ์ถอยทัพกลับแต่โดยดี ในขณะที่นักเรียนในกลุ่มกีรติต่างลอบยิ้มอยู่ในมุมของตัวเอง ผาวางไม้กวาดในมือลงพลางตะโกนข้ามหัวสมาชิกมาทางคนสร้างเรื่องเมื่อครู่

“พะภู จะมาเป็นเมียหรือมาเป็นแม่พี่ติกันแน่เนี่ย”

“ฮ่าๆๆ”

เด็กธารวิทยาได้แต่สะบัดหน้าหนีพร้อมกระเง้ากระงอดตีแก้มป่องอย่างเด็กๆ ทำให้ติต้องเข้ามารวบร่างบางไว้ในอ้อมแขนแกร่ง พลางซุกใบหน้าลงกับหลังคอขาวอย่างควบคุมไม่ได้ แบบนี้สิถึงได้กลัวว่าจะถูกธรหรือใครมาแย่งไป เพราะชอบทำตัวน่ารักมากจนเขาใจสั่นไปหมดเลย

“ผมจริงจังนะ”

“รู้แล้ว”

“แล้วยังไง?” พะภูเงยหน้าขึ้นสบตากับคนด้านหลัง ซึ่งกำลังมองลงมาเช่นกัน ดูเหมือนตอนนี้ทั้งสองคนได้เข้าสู่โลกของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสมาชิกคนอื่นที่ได้แต่เฝ้าดูเหตการณ์ตรงหน้านิ่ง

“ก็จะไม่ไปมีเรื่องแล้ว”

“แล้ว?”

“จะตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี เชื่อฟังอาจารย์ด้วย” คำพูดแต่ละคำเปล่งออกมาอย่างฝืนเต็มที สาบานได้ว่าคงต้องรออีกสักสิบปี กว่ากีรติจะทำอย่างที่ว่าได้จริงๆ

“ให้มันจริง”

“เออน่า พอใจยัง?”

พะภูผงกหัวเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดแขนหนาซึ่งวาดมาจากข้างหลังตน ค่อยๆปล่อยน้ำหนักลงพิงกับแผ่นอกกว้าง พรอ้มยิ้มกว้างแบบที่ติอยากเห็น

“ฉันยอมทุกอย่างเพื่อนายเลยนะ”

“รู้แล้ว”

“เชี่ย มดขึ้นไม้กวาด”

เสียงผาดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาของสองตัวละครหลัก เรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่ให้หันไปมองพร้อมปล่อยหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ เกต์ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำท่าเหมือนคนอยากอาเจียนอย่างหยอกล้อ ขณะที่ศิลป์ค่อยๆเคลื่อนตัวไปกระแซะต้นแขนบางของเด็กตัวเล็กอีกคน

“เป็นไร ซึ้งอ่อ?”

“อะไรครับพี่ศิลป์” นิวตีหน้าเหลอหลา ก่อนจะเบี่ยงตัวไปทางอื่นทันที ไม่อยากให้ใครจับสังเกตได้ว่ากำลังกลั้นยิ้มขนาดไหนอยู่

แต่ถึงจะเห็นว่ายิ้มก็คงไม่เป็นปัญหา ในเมื่อตอนนี้ รอยยิ้มน้อยใหญ่ต่างก็ระบายอยู่บนใบหน้าของทุกๆคน มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าที่เคย ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีเด็กธารวิทยาคนนี้

บางที เรื่องทั้งหมดมันอาจจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว พะภูอาจถูกลิขิตให้ต้องระหกระเหินไปเจอเข้ากับพะพาย ถูกดลบันดาลให้เกิดความรู้สึกคับแค้นชิงชัง อะไรบางอย่างทำให้พะพายพูดถึงผู้ชายที่ชื่อ กีรติ ในวันนั้น ก่อนที่ฟ้าจะนำพาทั้งคู่ให้มาพบเจอ...

ถ้าเพียงเพราะว่าชะตาทั้งคู่ต้องกัน...ก็อย่าให้มีวันที่ต้องจากเลย...

-----------------------------------------------

มาต่อสั้นๆ ;w;
ตอนนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้จบไม่เกิน 45 ตอน
ไม่รู้จะได้ป่าว เพราะขยันยืดเหลือเกิน 5555
ถ้ายังไงฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ ><
ถึงไม่ค่อยว่าง แต่ก็จะพยายามมาต่อน้า!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 29 | 27/01/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 27-01-2014 18:58:47
ขอฉากหวานๆ เพิ่มอีกจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก | บทที่ 30 | 09/02/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 09-02-2014 17:42:21
บทที่ 30

 

“ไม่เอาโบว์สีแดง”

นักเรียนหญิงในชุดสูทแบบพิธีการของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยาเอ่ยปากเสียงแข็ง ก่อนจะชี้นิ้วไล่ให้เด็กรุ่นน้องท่าทางหงิมๆรีบไปจัดการงานตามสั่งให้เรียบร้อย ทั้งที่ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องเอาโบว์ติดกรรไกรสีทองเท่านั้น แต่ยัยเฉิ่มนั่นก็ยังจะซื้อสีแดงเนื้อกำมะยี่บ้าบออะไรนี่มาอีก ทำให้ทุกอย่างยิ่งช้าไปกันใหญ่

นาฬิกาฉายเลข 05:45 ขึ้นมาบนหน้าปัด จวนเจียนเวลาฟ้าสว่างเต็มที แทบทุกพื้นที่ภายในเขตรั้วสีเงินวาวแห่งธารวิทยา กำลังวุ่นวายไปด้วยนานาซุ้มบริเวณ และการประดับตกแต่งอันละเอียดอ่อน เพื่อต้อนรับงานแสดงกิจกรรมแสนยิ่งใหญ่ ระหว่างสองโรงเรียนดังประจำเขต ซึ่งนี่เป็นปีที่เธอได้เข้ามาดูแลงานอย่างเต็มตัว และแน่นอนว่า ทุกความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น ย่อมต้องตกที่เธอเช่นกัน ถึงได้ทำเอาปวดหัวตุบๆมาร่วมอาทิตย์แล้ว

“ประธาน!” ขณะกำลังก้มลงอ่านตารางงานในมือ ใครบางคนที่ตามหาตัวมาตั้งแต่ ตี 3 ก็ยอมโผล่หน้ามาจนได้

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”

“ก็เหมือนจะนะ ประธานไปไหนมา ซ้อมกล่าวต้อนรับผู้ใหญ่กับแขกในงานรึยัง?”

พูดรัวเร็ว พร้อมยื่นกระดาษเล็กๆปึกบางไปให้ผู้ชายในชุดเต็มยศแบบเดียวกัน ประธานนักเรียนหน้าหล่อ ที่ชอบทำตัวเอื่อยเฉื่อยจนน่าตบ ยื่นมือรับเอกสารไปแบบงงๆ แต่ก็ยังฉายยิ้มอยู่ได้อย่างไร้ความกังวล ผิดกับตัวเธอที่ใกล้ระเบิดลงเต็มทีแล้ว

“ใจเย็นๆก็ได้”

“เย็นได้ยังไง งานจะเริ่มอยู่แล้ว”

“คิดว่าปีนี้จะเกิดปัญหาอะไรไหม?” ประธานไม่สนใจท่าทีร้อนรนของคณะกรรมการนักเรียนตรงหน้า แถมยังชวนสนทนาเข้าประเด็นอื่นซะงั้น

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ 15 ปี ที่ผ่านมา ไม่เคยพ้น เกิดเรื่องวุ่นวายเพราะพวกวิไลวิทย์ตลอด”

“วันก่อนหยกบอกว่าปีนี้จะเป็นปีแรกที่ทุกอย่างลงตัว”

“แหม ก็ขอให้จริงเถอะ” พะพายกระแทกเสียงลงหวังประชัด แต่ลึกในใจก็คาดหวังให้มันเป็นไปตามที่ยัยหยก ประธานชมรมโหราศาสตร์ของโรงเรียนว่าเช่นกัน

“ฉันก็รู้สึกได้ จริงๆนะ พวกผู้หญิงสองโรงเรียนเลิกเขม่นกันแล้วใช่ไหมล่ะ ยังเห็นแท็กรูปคุยกันในเฟซบุ๊กอยู่เลย ถ้าไม่รู้มาก่อนคงนึกว่าสนิทกันซะอีก”

“รูปน้องฉันอะนะ ยัยพวกนั้นก็มากไป..”

“ไม่นะ ดีออก การที่พะภูเข้าไปคลุกคลีกับพวกวิไลวิทย์นี่แหละ เป็นจุดกำเนิดความสัมพันธ์อันดีงามของสองโรงเรียน” ประธานพูดไปทั้งยังทอดสายตามองฟ้า ราวกับเพิ่งค้นพบว่าพระเจ้ามีจริง ทำเอาพะพายไม่กล้าแม้แต่จะเถียงต่อ

เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าควรยินดีหรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า พะภู คือปัจจัยหลักสำหรับการเปลี่ยนแปลงมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา เห็นได้ชัดจากการที่กลุ่มนักเลงอย่าง กีรติ กับ ธัญธร เริ่มทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นบ้างแล้ว รองมาก็คือพวกผู้หญิงบางกลุ่มจากสองโรงเรียน ที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ร่วมแก๊งกันได้ซะงั้น เห็นว่าเป็นพวกรสนิยมชื่นชอบ ความสัมพันธ์ชายรักชายอะไรนี่แหละ ตอนแรกก็ตกใจนะ ว่ามันแปลกอยู่ แต่ดูไปดูมาก็ดีเหมือนกัน ทำให้คนที่เคยเกือบตบกันตายกลายมาเป็นหนึ่งได้ คงต้องบอกว่า พะภู น้องเธอ ไม่ธรรมดาจริงๆ

“เออ พายก็ว่างานปีนี้คงรอดนะ แต่ไม่แน่ใจว่าประธานจะรอดรึเปล่า”

“หือ?” คนตัวสูงขมวดคิ่วมุ่นอย่างสงสัยในคำพูดเมื่อครู่ แต่พอรู้สึกถึงแรงทึ้งผมจากด้านหลังพร้อมเสียงโวยวายใกล้ๆหู ถึงได้เข้าใจขึ้นมาในทันที

“ไอ้ประธาน! ทำไมเพิ่งโผล่หัวมาครับ!?”

“โอ้ย เจ็บอะ” ทำทีสะดีดสะดิ้งจนคนตัวเล็กกว่าต้องยอมถอนมือออก ก่อนจะก้าวมาเผชิญหน้ากันตรงๆ ประธานส่งยิ้มแห้งๆไปให้เจ้าของดวงหน้าบูดบึ้งสีขาวอมเหลือง แลดูสุขภาพดี

“ไม่ต้องมายิ้มเลย นี่ซ้อมกล่าวต้นรับผู้ใหญ่กับแขกรึยัง” โดนคำถามแบบเดียวกันถึงสองรอบภายในเวลาไม่กี่นาทีแบบนี้ทำเอากดดันขึ้นมานิดหน่อยแล้วแฮะ

“กำลังๆ”

“พี่พาย ติวจะมาปรึกษาเรื่องที่นั่งของชา” เมื่อเห็นโพยกระดาษในมือ ถึงได้ยอมลดระดับเสียงกลับมาคุยกับรุ่นพี่อีกคนต่อ ปล่อยให้ประธานจอมเรื่อยเปื่อยยืนท่องสคริปต์ต่อไป

“ต้องมีที่นั่งของชาด้วยหรอ” พะพายขึ้นเสียงสูงเมื่อไม่แน่ใจนักกับความคิดนี้ ชา เป็นรุ่นน้องม.5 ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้อำนวยการธารวิทยา แต่เขาก็เป็นแค่นักเรียนคนหนึ่งที่มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ไม่เห็นสมควรว่าจะต้องจัดหาพื้นที่รับรองให้นักเรียนแค่คนเดียวขนาดนั้น

“ติวไม่รู้ ติวถาม”

“เอ่อ พี่ว่าไม่ต้องอะ ปีที่แล้วก็ไม่เห็นมีเลย”

“อืมๆ”

“ไหนๆมาแล้ว พี่ฝากเราคุมประธานด้วยแล้วกันนะ จะรีบไปตรวจเรื่องริบบิ้นเปิดงานก่อน”

ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสปฏิเสธ ก็รีบออกตัวเดินไปอีกทาง พร้อมโบกมือเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังตีหน้าเหลอหลา ติวเป็นรุ่นน้องม.5 หนึ่งในคณะกรรมการนักเรียน ตัวเก็งประธานนักเรียนปีหน้า เรียกว่ามีความรับผิดชอบและเอาการเอางานมากยิ่งกว่าประธานคนปัจจุบันมากทีเดียว มากจนบางทีก็เริ่มสงสัยว่าคนไหนกันแน่ที่ดำรงตำแหน่งนี้อยู่จริงๆ ข้อเสียอย่างเดียวในตัวเด็กนั่นคือการถูกเลี้ยงมาแบบต้องเดินอยู่เหนือคนอื่นเสมอ จนขาดสิ่งที่จำเป็นบางอย่างไป นั่นก็คือสัมมาคารวะ

“พอพิธีช่วงเช้าจบแล้ว น้องติวไปเดินดูงานกับพี่ไหม?” คนตัวสูงลดกระดาษในมือลง พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนเด็กกว่า

“แต่เราต้องคอยดูแลความเรียบร้อยนะ”

“ก็เดินตรวจตราไง ชมรมคหกรรมทำคาเฟ่ด้วยแหละ คิดถึงช็อกโกแลตพุดดิ้งเมื่อปีที่แล้ว อร่อยสุดๆ พูดแล้วก็อยากกินเนอะ”

“อ้ะ...อ..อืม งั้นไปเดินตรวจตรานะ” ติวครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่ง ก็ยอมเห็นดีเห็นงาม แต่ยังไม่วายกำชับเสียงแข็ง

“ครับ”

ประธานนักเรียนยิ้มกว้างอย่างพอใจ ในความใสซื่อของรุ่นน้องตรงหน้า ทำเป็นปากดีไป สุดท้ายก็ยังติดนิสัยเด็กๆจากการถูกตามใจแบบคุณชายนั่นแหละ คิดจริงๆหรือไงนะ ว่าตัวแค่นี้จะมีปัญญาขึ้นมาเหยียบหัวเขาได้ เอาแต่ตีหน้าถมึงทึงจนหัวคิ้วย่น ทั้งที่กำลังกลั้นยิ้มแทบตายเนี่ย ช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียยิ่งกว่าอะไร เล่นซะไม่อยากจบการศึกษาแล้วต้องบอกลาเจ้าตัวแสบคนนี้เลย

เสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดประธาน เห็นติวกำลังเปิดสมุดโน้ตเล่มเล็กในมือตัวเองไปมาเหมือนกำลังไล่หาบางอย่าง สักพักก็ทำตาโตเป็นประกาย พร้อมยื่นสมุดเข้ามาให้ดู น้ำเสียงห้าวบ่งบอกความตื่นเต้นที่ซ่อนไม่มิด ยิ่งกระตุ้นให้เด็กตรงหน้าดูน่ารักน่าชังจนอดยิ้มตามไม่ได้ ถ้าไม่กลัวจะโดนเตะกลับมา เขาคงได้พุ่งเข้าไปกอดติวแล้วแน่ๆ

“ห้อง 4/3 เปิดร้านไอศกรีมด้วยนะ ไปตรวจแถวนั้นกันไหม แบบว่า...น้องอาจจะทำเลอะเทอะก็ได้”

“ครับ ไปครับ”

 

พอ 6 โมงกว่า ขบวนรถจากวิไลวิทย์ก็เคลื่อนตัวเข้าจอดภายในรั้วธารวิทยา พร้อมเด็กนักเรียนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัดกับเนคไทสีเลือดหมู ประจำโรงเรียน คุณประธานนักเรียนจอมเฉื่อยชาโยนสคริปต์ใส่มือรุ่นน้องก่อนจะก้าวขึ้นกล่าวต้อนรับ พวกผู้ใหญ่ นักเรียน และแขกภายในงานอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางความปลื้มปริ่มของเหล่าคณะกรรมการนักเรียนผู้ฝากความเชื่อใจไว้ให้กับคนคนนี้มาตลอดหนึ่งปีเต็ม แน่นอนว่าประธานเป็นคนมีความสามารถ ถึงจะดูเอื่อยๆ แต่เมื่อไรต้องเอาจริง ก็ทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมกับตำแหน่ง ประธานนักเรียนโรงเรียนผู้ดีอันดับหนึ่งของย่านนี้

หลังจากนั้น ท่านผู้อำนวยการของทั้งสองโรงเรียนก็ขึ้นกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมกันตัดริบบิ้น และแน่นอนว่าตัดด้วยกรรไกรประดับโบว์สีทอง ทั้งสองคนเดินมานั่งบนโซฟาตัวยาว พูดคุยกันอย่างออกรส ผิดกับทุกปีที่ผ่านมา เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ข่าวน่าสนใจก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่ว เรื่องที่ว่า รักษาการผอ.ของวิไลวิทย์คนนี้ เป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยมัธยมปลายของผอ.ธารวิทยา ยิ่งเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือและความเป็นมิตรให้มีมากขึ้นกว่าเดิม

เสียงดนตรีดังออกจากลำโพงทุกตัวภายในโรงเรียน เพื่อช่วยสร้างสีสันให้กับงาน พร้อมเสียงเซ็งแซ่จากบรรดาซุ้มบูธมากมาย ของทั้งสองโรงเรียน ทั่วทั้งสนาม ลานกีฬา ลามไปจนถึงบริเวณที่จอดรถ รวมทั้งห้องหับทุกตารางแถวของอาคารเรียน ถูกแปรสภาพกลายเป็นนิทรรศการแสดงผลงานของบรรดานักเรียนจากชั้นปี และชมรมต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นวันที่สดใสและอึกทึกที่สุดในรอบปีทีเดียว

“พะภู ไปเดินงานกับฉันนะ”

เสียงทุ้มของธรดังขึ้นทันทีที่ทุกคนทยอยเดินลงจากรถบัสคันใหญ่ เพื่อมาพบนักเรียนธารวิทยาคนสนิทซึ่งยืนรออยู่แล้ว คนถูกชวนตีหน้าไม่ถูกเลยได้แต่อ้ำๆอึ้งๆอยู่นาน ธรกำลังทำให้เขาลำบากใจ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าอย่างไร เขาก็ต้องไปเดินดูงานวันนี้กับพวกติ

“พะภูจะไปกับพวกเรา”

ติเป็นฝ่ายตัดบท ก่อนเข้ามาล็อคคอพะภูไว้ให้ออกเดินไปด้วยกัน แต่คนตัวเล็กก็ยังไม่วายหาเรื่องอีกจนได้ เมื่อจู่ๆก็ยกแขนติออก แล้วอ้อมกลับไปดึงมือธรไว้ ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ จากสมาชิกของทั้งสองกลุ่ม

“ภู?”

“ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละครับ”

คนตัวเล็กสรุปเสียงเด็ดขาด และเข้ามากุมมือติไว้อีกข้างหนึ่ง ออกแรงลากผู้ชายตัวใหญ่ทั้งสองคนไปตามทางเดิน เข้าสู่ตัวงานซึ่งกำลังคึกคัก ไม่มีใครกล้าขัดคำพูดนายน้อยผู้นี้สักคน ทำให้นักเลงสองกลุ่มใหญ่แห่งวิไลวิทย์ ต้องยอมลงมาเดินเคียงกันอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าสายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาทางพวกเขา เพราะภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นนาทีแห่งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ใครจะคิดว่าในชีวิตนี้ สองขั้วอำนาจใหญ่อย่างกีรติกับธัญธรจะยอมเดินอยู่บนลู่เดียวกัน เหตุเพราะจำนนต่อคำพูดของเด็กผู้ชายเพียงคนเดียว

“วันนี้ต้องทำตัวดีๆ อย่ามีเรื่องกันนะครับ” พะภูหันซ้ายหันขวา กำชับร่างสูงทั้งสองฝั่ง ซึ่งได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก

“แล้วยัยเฟย์ไม่มาด้วยเรอะ?” ติส่งเสียงถามศิลป์ที่เดินตามหลังมาไม่ห่าง ข้างๆมีนิวคอยลอบมองอยู่ตลอดเวลา พะภูเองเมื่อได้ยินคำทักแบบนี้ก็พลอยอึดอึดใจไปตามกันด้วย

“ไม่รู้ดิ ไปทำผิดไว้แล้วไม่กล้ามาเจอหน้ากูมั้ง”

“อะไรของมึง?”

รีบถามกลับอย่างสงสัยในคำตอบส่อนัยบางอย่างเมื่อครู่ แต่ศิลป์ไม่คิดจะสานต่อบทสนทนาชวนหงุดหงิดใจนี้ จึงทำเพียงแค่ยักไหล่น้อยๆ ก่อนทำทีเป็นชี้โน่นชี้นี่ให้นิวดูไปตามทาง ติเลยเลิกซักไซ้ต่อ หันกลับมาดูแลเด็กข้างๆที่ยังคงไม่ยอมปล่อยมือจากศัตรูหมายเลขหนึ่ง กลุ่มนักเรียนขบวนใหญ่แหวกม่านผู้คนเข้ามาเรื่อยจนถึงบริเวณส่วนกลางของลานกีฬา พอมองเห็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มอยู่ในช่วงสายตา ติเลยแสร้งบ่นกับคนตัวเล็กเสียงอ่อย

“เอ้อ หิวน้ำอะ ไปซื้อให้หน่อยดิ”

“อ่า...ครับ” พะภูมองติสลับกับร้านขายน้ำใกล้ๆ พยายามไม่แสดงสีหน้าฉงนออกไปให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย ก็ถ้าหิวน้ำทำไมไม่เดินไปซื้อเองล่ะ แต่ช่างเถอะ เขายอมบริการให้ก็ได้ เห็นแก่ว่าช่วงนี้ทำตัวดีขึ้นมาโข

“ฉันก็..”

“เฮ้ย ธร ช่วงนี้เป็นไงบ้างวะ?”

ก่อนที่ธรจะได้ออกตัวอาสาไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนกัน ติที่รู้ทันจึงรีบคว้าไหล่หนาของอีกฝ่ายเอาไว้ พลางตั้งคำถามโง่ๆที่ดูจริงใจน้อยเหลือเกิน ปล่อยให้คนตัวเล็กเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนที่เรียงรายอยู่บริเวณซุ้มเครื่องดื่ม หวังให้สลัดหลุดจากมือของไอ้เวรตรงหน้า

ธรไม่ตอบอะไรเพียงแต่สะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุม พลางส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอ กับท่าทีมีชัยของกีรติ สักพักหนึ่ง พะภูก็เดินกลับออกมาพร้อมน้ำอัดลมสองแก้วในมือ ข้างหนึ่งยื่นให้คนสั่ง อีกข้างก็ยื่นให้ธรที่ยังคงดูงงๆ

“หิวน้ำไหม ซื้อมาเผื่อ”

“อ๋อ.. หิวๆ ขอบใจนะ”

รับแก้วน้ำจากมือเล็กขึ้นมาดูดสองสามอึก ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้ติที่ยังคงตีหน้าเหวอ รู้สึกเข้าใจคำว่า หัวเราะทีหลังดังกว่า ก็ตอนนี้แหละ

“ไม่เห็นต้องซื้อให้มันเลย” ติบ่นเสียงน้อยใจ แต่ก็พยายามกลั้นอารมณ์เดือดปุดๆ เพราะถ้าเกิดมีเรื่องกันตอนนี้ พะภูโกรธตาย

ทางด้านคนใจดีเกินเหตุเห็นท่าทางหงุดหงิดของอีกฝ่าย จึงรีบใช้ศีรษะเข้าไปกระแซะถูไถ จนติเริ่มยิ้มออก ไม่รู้ด้วยจั๊กจี้หรือหมั่นเขี้ยวในความน่ารักน่าหยิกของคนรักตนกันแน่ เดินต่ออีกเดี๋ยวเดียว ก็ต้องชะงักกับเสียงร้องเรียกแสนคุ้นหู ดังออกมาจากซุ้มขนาดใหญ่ เลียนแบบเกมยิงปืนตามงานวัด

“พี่ติ พะภู!”

เกมโบกไม้โบกมือผ่านกลุ่มคนที่อออยู่ตรงด้านหน้า ถัดไปอีกหน่อย ก็เห็นผู้ชายสองคนยืนยิ้มให้ธรเช่นเดียวกัน พอแทรกตัวเข้าไปใกล้ได้แล้ว จึงทราบว่านี่เป็นซุ้มของนักเรียนวิไลวิทย์ ห้องม.4/2 ซึ่งดูเหมือนจะจับใจแขกในงานได้มากกว่าที่อื่นๆ คงด้วยการละเล่นอย่างที่เหล่าคุณหนูคุณชายแถวนี้ไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนักล่ะมั้ง

“พี่ธร ทำไมมาเดินด้วยกันได้ครับเนี่ย” เด็กสองคนซึ่งดูท่าจะเป็นลูกน้องของกลุ่มธัญธรรีบท้วง พลางเหล่สายตามองสมาชิกจากฝั่งกีรติด้วยท่าทีไม่ไว้ใจเท่าไรนัก

“ฉันมากับพะภูต่างหาก” ธรตอบกลับแบบไม่ยี่หระ ราวกับว่าคนอื่นๆนอกจากพะภูนั้นไร้ตัวตนในสายตาเขา

“สักหน่อยพี่”

เกมยิ้มร่าพลางแบมือขอเงิน ก่อนจะเลื่อนปืนอัดแก๊สกับกระสุนยางไปไว้ตรงหน้าติอย่างชักจูงแกมบังคับ พอเห็นติยอมหืออือตามรุ่นน้องในกลุ่มท่ามกลางเสียงโห่ฮาของสมาชิกคนอื่น ธรจึงควักเงินออกมายื่นให้ลูกน้องตัวเองบ้าง เพียงไม่กี่วินาที ลานหน้าซุ้มยิงปืน ก็กลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่แห่งวิไลวิทย์ มีนักเรียนและแขกเหรื่อต่างจับจองพื้นที่ทั่วบริเวณจนเกิดเป็นไทยมุงกินวงกว้าง

เกมยืนอธิบายกติกาของซุ้มยิงปืนตามแบบฉบับเขา โดยสิ่งของที่วางเรียงรายอยู่บนแท่น เป็นเพียงกล่องรูปทรงต่างๆ ที่จำเป็นจะต้องยิงให้ล้มลงไป แล้วด้านในกล่องพวกนั้นก็จะมีกระดาษ เขียนบอกรางวัลที่จะได้เอาไว้

ปัง! ปัง!..

ปัง!...

ปัง! ปัง!..ปัง!...

เสียงกระสุนยางพุ่งออกจากปลายกระบอกปืนทั้งสอง รัวเร็วจนสายตาแทบจับไม่ทัน ติกับธรมีฝีมือการยิงปืนที่แม่นยำมากจนน่ากลัวพอๆกัน เกิดเสียงเชียร์ดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรียกความสนใจจากผู้คนในงาน บรรยากาศมาคุระหว่างหัวหน้ากลุ่มทั้งสอง ค่อยๆจางลง แปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์สนุกคึกครื้นจากเสียงโห่ร้อง บวกกับดนตรีสร้างสีสันจากลำโพงตัวใหญ่ เชื่อว่าแม้แต่คนถือปืนทั้งสองเองก็คงไม่รู้ตัว ว่ากำลังฉีกยิ้มอยู่อย่างไม่ปิดบังสักนิด มันคงดีถ้าเขาเลิกเป็นศัตรูกันแบบถาวรไปเลย ทั้งที่สามารถมีความสุขร่วมกันได้ขนาดนี้แท้ๆ

ปัง!

เสียงปืนนัดสุดท้ายจากธรดังขึ้น ก่อนที่นักเรียนห้อง 4/2 แห่งวิไลวิทย์จะรีบกุลีกุจอนำผลสรุปออกมาประกาศให้รู้ทั่วถึงกัน ผู้ชายใส่แว่นสองคนช่วยกันหอบกล่องทรงต่างๆมาวางกองไว้ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า แทบทุกชิ้นเกิดร่องรอยการกระแทกอย่างแรงจนแทบฉีกขาด

“เสมอกัน!” เด็กแว่นคนหนึ่งประกาศก้อง ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของเกมที่ดูจะตื่นเต้นซะเหลือเกิน “แถมยิงล้มทุกนัดอีก!”

เสียงปรบมือดังสนั่นลานกีฬาขนาดกว้าง ก่อนที่ลูกน้องของทั้งสองฝั่งจะขยับเข้ามาช่วยกันเปิดกล่องแต่ละใบออก แต่ผลที่ได้กลับน่าผิดหวัง เมื่อกระดาษเกือบทุกใบ ปรากฏคำว่า ‘คุ้กกี้’ นอกจากนี้ก็มีของธรอีกสองใบ คือ ‘ปากกา’ กับ ‘ตุ๊กตาหมี’ ส่วนติมีดีอยู่แค่อันเดียวคือ ‘สร้อยข้อมือ’

ทั้งธรและติพร้อมใจกันไล่ตบหัวลูกน้องตัวเองกันคนละที จนคนยืนดูถึงกับหลุดขำออกมาก๊ากใหญ่ เกมรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน พลางฉวยจังหวะอธิบายเสียงดังฟังชัด

“ก็พวกพี่ดวงไม่ดีเอง รางวัลใหญ่มันมีอยู่ แต่ไม่ใช่กล่องพวกนี้ต่างหากเล่า” ว่าจบก็หันไปสั่งเพื่อนร่วมห้องให้ขนของรางวัลออกมาแจกจ่าย หมู่มวลชนที่จับกลุ่มออกันเมื่อครู่ก็ค่อยๆทยอยหายไปเดินดูงานด้านอื่นต่อ

ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวกำลังกอด ปักรอยยิ้มดูน่ารักน่าชัง ถูกยื่นต่อให้พะภูทันทีที่ธรรับมา คนตัวเล็กส่ายหน้าอย่างเกรงใจแต่ก็ถูกคะยั้นคะยอให้รับจนได้ ติที่ยืนมองเหตุการณ์ลอบสบถออกมาเบาๆ ก่อนจะคว้าต้นแขนของคนรักให้หันกลับมาสนใจตัวเอง สร้อยเส้นบางสีเงินวาวถูกบรรจงสวมรอบข้อมือเล็ก แถมยังโน้มตัวฝากรอยจูบหนักแน่นลงกับหลังมือขาว แบบไม่ยี่หระต่อสายของใครๆ ทำเอาธรต้องรีบเบือนหน้าหนีด้วยไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจ

เดินต่ออีกหน่อยก็ต้องชะลอฝีเท้าลง ด้วยว่าถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่านักเรียนหญิงจากหลายๆโรงเรียน เสียงกรี๊ดกร๊าดดังไปทั่ว พร้อมใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อของพวกเธอ ยิ่งสร้างความงุนงงให้กับพวกเขามากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว จะว่าเพราะหน้าตาดีก็ไม่น่าเป็นกันขนาดนี้ และไม่เคยเจอแบบนี้ด้วยซ้ำ ตรงนี้ก็ไม่มีอะไร เป็นแค่ซุ้มเล็กๆของชมรมการ์ตูนจากธารวิทยา

“เล่มนี้เป็น 3P หรอ?”

เสียงสะดุดหูของคุณหัวหน้าห้อง ทำให้พะภูเผลอหันไปมอง เห็นเธอกำลังหยิบหนังสือการ์ตูนตีพิมพ์เองเล่มบางขึ้นมากวาดสายตาไปทั่ว ปกสีทะมึนถูกแต่งแต้มด้วยลายหยดเลือดดูน่ากลัว มีตัวการ์ตูนชายสามตัวนอนเกยกันอยู่บนเตียง ตั้งใจวาดให้มีใบหน้ายั่วยวนผิดแปลกไปจากความเป็นชาย ให้ตายเหอะ การ์ตูนเกย์นี่หว่า! แถมไม่เกย์เปล่า พวกคนในชมรมจงใจวาดออกมาให้มีใบหน้าละม้ายคล้ายตัวเขา ติ แล้วก็ธร ชัดๆ!

“รีบไปกันเถอะครับ”

รู้สึกลางไม่ค่อยจะดี เลยรีบปิดหูปิดตาลากแขนคนตัวใหญ่ทั้งสองให้ออกไปพ้นบริเวณ แต่ยังคงมีเสียงวี๊ดว๊ายและซุบซิบตามหลังมา พอให้หวั่นในใจ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าติหรือธรเห็นเข้า จะเกิดอะไรขึ้น ขี้คร้านจะไปร่วมเห็นดีเห็นงามแล้วขอให้วาดออกมาอีกเรื่อยๆน่ะสิ แบบนั้นไม่เอาหรอก จะยอมให้ตัวการ์ตูนที่หน้าเหมือนตัวเองถูกจับไปปู้ยี่ปู้ยำได้ไง

นักเรียนกลุ่มใหญ่ถึงสองกลุ่ม ค่อยๆเดินดูงานกันไปทีละโซน เผลอแป๊บเดียวท้องฟ้าด้านนอกอาคารเรียนก็มืดตัวลงจนเริ่มเห็นดาวชัดเจน พระจันทร์คืนนี้ทอแสงเป็นเสี้ยวสวย เรียกความสนใจจากสายตาหลายร้อยคู่ด้านล่างให้เงยขึ้นมอง แอบเห็นพะพายกับพวกคณะกรรมการนักเรียนวิ่งวุ่นไปทั่ว สักพักประธานนักเรียนของฝั่งวิไลวิทย์ก็ขึ้นเวทีหลักไปประกาศออกไมค์ เชิญชวนแขกในงานทุกคนให้เดินตามทางเท้าที่จัดเตรียมไว้ไปทางสวนดอกไม้ด้านหลังโรงเรียน พวกพะภูเองก็ไม่พลาดธรรมเนียมปิดงานของการแสดงกิจกรรมนี้เช่นกัน

สติ๊กเกอร์รอยเท้าเรืองแสงถูกติดเป็นทางยาวไปจนถึงต้นไม้สูงใหญ่อายุร่วมหลายสิบปี ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางวงล้อมของเหล่าดอกไม้นานาพันธุ์ จากฝีมือชมรมพฤกษศาสตร์ประจำโรงเรียน รอบๆบริเวณถูกประดับด้วยโคมไฟสีส้มแลดูอบอุ่น มีเสียงเพลงบรรเลงดังคลอขึ้นมาเบาๆ ผสานกับสายลมเย็นในช่วงหัวค่ำ เสริมให้บรรยากาศรอบตัวดูโรแมนติกเสียจนอดยิ้มกว้างตามความงดงามของมันไม่ได้

ก่อนจะเข้าสู่ลานดอกไม้ แขกในงานจะได้รับแจกกระดาษการ์ดคนละหนึ่งใบ เอาไว้เขียนความรู้สึกหรืออะไรก็ตาม เพื่อนำไปแขวนไว้ตามกิ่งใบของต้นไม้ด้านหน้า ถือเป็นธรรมเนียมประจำงานแสดงกิจกรรมนักเรียนทุกปี และดูเหมือนปีนี้จะยิ่งคึกครื้น ด้วยว่าทุกอย่างภายในงานดำเนินไปได้ด้วยดีเกินคาด ไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทหรือปัญหาใดๆให้พวกคณะกรรมการนักเรียนปวดหัว ทุกคนต่างยิ้มแย้มและเพลิดเพลินไปกับตัวงานจากซุ้มต่างๆ ท่ามกลางสายสัมพันธ์เส้นใหม่ที่คอยเชื่อมธารวิทยากับวิไลวิทย์เข้าไว้ด้วยกัน แน่นขึ้นกว่าเดิม

ไม่นานนัก ต้นไม้สีเขียวครึ้มก็ถูกแซมไปด้วยกระดาษสีขาวสว่าง พะภูก้มมองกระดาษในมือตัวเอง ที่เขียนไว้ว่า ‘ขอให้มีความสุขแบบนี้ทุกวัน’ แล้วคลี่ยิ้มบาง นำเอาไปแขวนไว้กับกิ่งเล็กๆกิ่งหนึ่ง มีกระดาษของธรกับติขนาบอยู่ทั้งสองด้าน เห็นธรลูบกระดาษของตัวเองแล้วก็หันมาจ้องหน้าเขานิ่ง สักพักก็เดินออกไปรวมตัวกับสมาชิกคนอื่น ปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่งง จนเมื่อถือวิสาสะเข้าไปจับอ่านกระดาษใบนั้นถึงเข้าใจขึ้นมาบ้าง

‘ยินดีที่ได้รู้จัก’

เป็นแค่คำสั้นๆง่ายๆ ที่เหมือนไม่มีความหมายมากมาย แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน ธรอาจดูเป็นคนเลวร้ายในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับเขา ธรคือพี่ที่ดีมากคนหนึ่ง และเขาเองก็ยินดีที่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้เช่นกัน

พะภูเผยยิ้มบางออกมา ก่อนตั้งท่าจะเดินไปรวมกับคนอื่น แต่อะไรบางอย่างรั้งให้เขาหันกลับไปมองกระดาษอีกใบของกีรติ ทันทีที่เห็นข้อความบนนั้น ความเย็นของอากาศซึ่งเริ่มจับตัวก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น แผ่ซ่านขึ้นมาตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงขั้วหัวใจ ใบหน้าแดงเรื่อชัดเจนอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกับที่มือเล็กเอื้อมเข้าไปสัมผัสกระดาษแผ่นบางตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง ตอนนี้เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถหุบยิ้มได้อีกต่อไปแล้ว

‘You’re my chocolate’

ใครจะไปคิดว่าคนอย่าง กีรติ อัครโภคิน จะมีมุมหวานน่ารักแบบนี้กับเขาด้วย แค่ประโยคพื้นๆประโยคเดียว ก็เล่นเอาคนอ่านถึงกับเขินจนแทบม้วน เพราะรู้ดีว่า You ของติ ก็คือตัวเขานั่นเอง...

---------------------------------------------

ตอนนี้ยาวหน่อย ชดใช้ที่หายไปนาน
แต่คือการบ้านโคตรรรรเยอะอะ TT
คือไม่ไหวละ ร่างจะแหลกให้ได้เลย
ไม่สบายอีก เป็นลมดีกว่า..
 :z3:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| บทที่ 31 | 20/02/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 20-02-2014 18:37:47
บทที่ 31

 

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง...

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นต่อเนื่องจนน่ารำคาญ พะพายรีบวางปากกาในมือแล้วตรงไปเปิดประตู ท่าทีร้อนใจของผู้ชายตัวใหญ่ในชุดลำลองราคาเฉียดหมื่นทำเอาเธอเผลอหัวเราะออกมาน้อยๆ

“เป็นบ้าอะไรยะ?” ส่งเสียงทักทายคนที่ได้ชื่อเป็น แฟนน้องชายตัวเอง ซึ่งทำท่าอยากจะกระโจนเข้ามาในบ้านเต็มทน

“พะภูอยู่ไหน?”

“อยู่บนห้อง มีอะไร..เฮ้ย!” พอปลดล็อคประตูรั้วได้ ติก็รีบพุ่งตัวเข้ามาจนพะพายต้องรีบคว้าแขนใหญ่เอาไว้อย่างไม่สบอารมณ์นัก พูดยังไม่ทันจะรู้เรื่อง อยู่ๆจะมาพรวดพราดเข้าบ้านคนอื่น เป็นบ้าอะไรมาอีกล่ะคราวนี้

“ก็น้องเธอน่ะสิ ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ ไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันเลย แถมไม่ค่อยมาหาที่โรงเรียนด้วย”

“น้องฉันก็ไม่ว่างบ้างปะ”

“แบบนี้เขาเรียกหลบหน้าแล้ว! อย่าบอกนะว่า...”

เพียะ!

มือเรียวฟาดลงกับไหล่แกร่งแบบไม่เกรงใจ เมื่อเห็นติทำท่าครุ่นคิดเหมือนจะจับผิดคนรักตัวเอง เธอรู้ดีว่าพะภูเป็นคนแบบไหน และแน่นอนว่าไม่ใช่เด็กสำส่อน!

“เพ้อเจ้อ!”

“ขอขึ้นไปหาพะภูได้ไหม?” ปากถามไป สายตาก็จับจ้องไปทางหน้าต่างห้องนอนของคนตัวเล็กที่บนชั้นสอง แอบมองเห็นเงาลางๆจากภายในยิ่งร้อนใจอยากจะไปเจอหน้าเสียเดี๋ยวนี้

“เออ แล้วอย่าไปโวยวายอะไรไม่เข้าเรื่องล่ะ”

สิ้นเสียงอนุญาต ติก็รีบก้าวเท้ายาวๆเข้าไปในบ้านอย่างคนคุ้นถิ่น ก่อนจะขึ้นบันได เปิดเข้าไปในห้องนอนของคนรักทันทีแบบไม่บอกกล่าว ทำเอาคนกำลังนั่งอ่านหนังสือบนเตียงสบายๆ ถึงกับหงายหลังด้วยความตกใจ

“พะ..พี่ติ!?”

มือใหญ่ดันประตูให้ปิดตัวลงพร้อมกดล็อคแน่นหนา ก่อนสาวเท้าหน้าตึงเข้ามาดึงมือพะภูไปกุมไว้อย่างหวงแหน หัวคิ้วขมวดยุ่งด้วยความไม่เข้าใจในหลายๆอย่าง เมื่อเห็นว่าร่างบางไม่ยอมปริปากพูดอะไร เขาถึงต้องยอมเปิดบทสนทนาเสียเอง

“นายหลบหน้าฉันทำไม?”

“เอ่อ ก็ไม่ได้หลบหน้าสักหน่อย”

“โทรมาก็ไม่รับ แถมไม่ยอมไปหาที่โรงเรียนอีก พวกผู้หญิงมาถามหานายทุกวัน ฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไงนะ” คนตัวใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจจนอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ จะสักกี่คนกันที่มีโอกาสได้เห็นด้านนี้ของกีรติ ทำเป็นงอนอย่างกับเด็กๆ ทั้งที่ตัวโตอย่างกับหมีควาย

“โธ่ พี่ติ คิดมากจัง ก็ช่วงนี้ม.6เริ่มทยอยสอบเข้ามหาลัยกันแล้ว ผมไม่อยากรบกวนพี่ เลยพยายามเว้นออกมาให้พี่มีเวลาอ่านหนังสือไงครับ”

นี่ถือเป็นเหตุผลหลักที่ช่วงนี้เขาทำตัวห่างเหินออกมา แต่บางส่วนเป็นเพราะว่าตัวเขาเองก็ต้องรับมือกับการสอบของทางโรงเรียนเช่นกัน เวลาติโทรมาทีไร ก็ต้องคุยด้วยจนเลยเถิดทุกที กว่าจะได้วางสายก็ปาไปเกือบเช้า เป็นแบบนี้เขาจะหลุดทุนเอาน่ะสิ

“อะไร เหตุผลนี้เหรอ ยิ่งนายหายไป ฉันยิ่งไม่เป็นอันทำอะไรเลยมากกว่า” แขนแกร่งวาดเข้ามาโอบไหล่พะภูอย่างเคยชิน ก่อนฝังปลายจมูกลงกับแก้มเนียน ตั้งใจออดอ้อนเต็มที่ จนคนเด็กกว่าได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด และยืดตัวขึ้นฝากรอยจูบบางเบาบนคางมนเหมือนเป็นการขอโทษ

“ไม่หายไปก็ได้ครับ”

“น่ารัก” ติฉีกยิ้มกว้าง พลางบีบจมูกพะภูเบาๆอย่างเอ็นดู จนคนตัวเล็กอดยิ้มตามไม่ได้ นี่สรุปว่าเขาก็แพ้เหลี่ยมกีรติอีกจนได้ใช่ไหม เฮ้อ!

“แล้วนี่...อื้อ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ คนคิดถึงใจแทบขาดก็ทำการรวบรั้งร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนบดเบียดริมฝีปากเข้าหากลีบปากนุ่มหยุ่นอย่างจาบจ้วง พะภูสะดุ้งเฮือกกับการกระทำแบบปุบปับของคนตัวใหญ่ หากก็ปล่อยให้ลิ้นหนาแทรกเข้ามาควานหาความหวานจากโพรงปากอุ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็คิดถึงติอยู่ไม่น้อยระหว่างที่ทิ้งระยะห่างออกมา เพิ่งรับรู้ว่าการต้องไกลกันมันทำให้ยิ่งโหยหาขนาดไหน

“อืมม..” ติใช้มือหนึ่งประคองใบหน้าสีระเรื่อของคนรักไว้อย่างทะนุถนอม อีกข้างก็ฉวยโอกาสสอดผ่านเสื้อยืดตัวบางเข้าไปลูบโลมทั่วทั้งแผ่นหลัง

ลิ้นร้อนไล่ฉกไล่ดูดลิ้นเล็กกันพัลวัน จนแผ่นอกบางเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงด้วยว่าหายใจไม่ทัน แก้มสองข้างร้อนผ่าวจากลีลาการจูบที่เร่าร้อนไม่แพ้ใครของคนตรงหน้า มือใหญ่เลื่อนเข้ายึดท้ายทอยสวยไว้เมื่อเห็นท่าว่าคนตัวเล็กกำลังคิดขืนตัวหนี ก่อนที่ติจะใช้ร่างกายกำยำของตัวเองโถมทับร่างบางลงนอนราบไปกับผืนฟูก จนหนังสือบนเตียงหลบตุบไปอยู่บนพื้น มือที่เคยลากไปตามแผ่นหลังเนียน ค่อยๆเคลื่อนมาหาติ่งไตสีชมพูภายใต้เนื้อผ้า ออกแรงเขี่ยเบาๆเป็นการหยอกล้อ เล่นเอาพะภูถึงกับตัวกระตุก อุณภูมิในร่างกายพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสติแทบกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ การเล้าโลมอย่างตรงไปตรงมาที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ทำให้เจ้าของใบหน้าหวานเริ่มเผลอไผลไปกับทุกอณูความรู้สึก ซึ่งถูกกระตุ้นขึ้นจากเบื้องลึกของจิตใจจนร่างทั้งร่างอ่อนยวบไปตามแรงถวิลหา

“อื้อ..ออ”

ปากบางเผลอครางออกมาเสียงแหบเครือ ทันทีที่ติถอนจูบออกไป ลากลิ้นชื้นลงกับหัวนมชูชันอย่างชำนิชำนาญ เสื้อยืดที่สวมใส่ถูกเลิกขึ้นมาอยู่เหนืออก ปล่อยให้คนตัวใหญ่เข้าครอบครองเม็ดสีชมพูสวยได้ถนัดถนี่

“พะภู...”

มือเล็กขยุ้มเส้นผมสีดำสนิทเพื่อระบายอารมณ์ เมื่อติเริ่มลากไล้มือหนาไปมาอย่างสะเปะสะปะ ก่อนมาหยุดอยู่บริเวณหน้าท้องเกร็ง จงใจวนนิ้วเรียวไปตามแนวสะดือ ก่อนผลุบหายเข้าไปใต้ขอบกางเกงยางยืดรวมทั้งชั้นในตัวเล็ก กอบกุมเอาความอ่อนไหวของร่างบางเอาไว้อย่างเต็มไม้เต็มมือ ยิ่งเพิ่มแรงทึ้งเส้นผมสลวยให้เพิ่มมากขึ้นไปตามกระแสอารมณ์ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ติมีโอกาสแตะต้องร่างกายตรงหน้าได้มากถึงขนาดนี้ แล้วก็คุ้มค่ากับการรอคอยเสียจริงๆ เมื่อตอนนี้ใบหน้าหวานกลับแดงก่ำซะจนน่าหยิก แถมยังเอาแต่หลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ ยิ่งกระตุ้นความกระหายของเขาเข้าไปอีก เพียงสัมผัสเบาๆ ก็ทำให้ส่วนสงวนของพะภูชื้นแฉะขึ้นมา พร้อมกระดิกตัวคล้ายว่ากำลังเชื้อเชิญยังไงยังงั้น

“พ..พี่ติ หยุด” พยายามส่งเสียงห้ามปรามออกไปอย่างยากเย็น เมื่อสติมันเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากแต่ไม่ต้องการให้อะไรๆมันเลยเถิดจนเกินห้ามใจ

“จ๊..วบ”

กีรติไม่สนใจเสียงประท้วงแหบพร่า กลับดูดดึงเนื้อขาวๆอย่างแรง จนเกิดร่องรอยความเป็นเจ้าของไปทั่ว พะภูเริ่มหอบหายใจถี่ ก่อนใช้สองมือทาบปิดเรียวปากของตัวเองไม่ให้ส่งเสียงน่าอายออกไป ในขณะที่ติก็เริ่มย่ามใจ ดึงกางเกงที่ขวางกั้นทั้งสองเอาไว้ลงไปพักตรงข้อเท้า ก่อนตรงเข้าครอบครองแก่นกายขนาดพอดีตัวอย่างจู่โจม

“อ๊ะ!”

คนตัวเล็กแอ่นหลังไม่ติดฟูก ทุกครั้งที่ปลายลิ้นสากตวัดถูกส่วนยอดรัวแรง ติทั้งกดจูบทั้งโลมเลียส่วนแข็งขืนของคนรักอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับสัตว์ป่าที่อยากอาหารมาเป็นเวลานาน มือใหญ่ช่วยรูดรั้งแก่นกายขึ้นลง เสริมให้คลื่นอารมณ์ถาโถมเข้าใส่ร่างบางด้านล่างจนหัวคิ้วขมวดยุ่ง

“ฮะ...พ พี่ติ ออกไป..ผมจะ...”

พะภูเกร็งตัวบิดซ้ายขวาเหมือนคนทรมาน ย้ายมือที่ปิดปากตัวเองไปดันศีรษะติให้ออกห่างจากจุดสงวน เพียงไม่นาน ร่างกายก็กระตุกรุนแรง ปลดปล่อยของเหลวกลิ่นคาวออกมา เปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องและมือใหญ่

ติรีบลุกไปหยิบกล่องกระดาษทิชชู่บนโต๊ะหนังสือมาเช็ดไม้เช็ดมือ และทำความสะอาดระหว่างขาให้คนรัก ซึ่งกำลังนอนหอบร่วนทั้งๆที่ยังคงหลับตา คนตัวสูงโน้มกายเข้าหาร่างบางอีกครั้งเพื่อจูบปลอบขวัญ มือใหญ่ลูบศีรษะน้อยไปมาหวังช่วยให้พะภูคลายใจ

พอได้สติแล้ว คนตัวเล็กก็รีบพรวดพราดลุกจากเตียง มือดึงกางกางกลับขึ้นสวมใส่อย่างลวกๆ พลางจ้องหน้าคนต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับยิ้มกริ่มเหมือนมีความสุขนักหนา ทำให้พะภูต้องตีไหล่ไปทีด้วยขัดเคืองใจ แก้มสองข้างแดงซ่านจนถึงใบหู

“พี่ติบ้า!”

เพราะเข้ามาฉวยโอกาสเอาจากช่องว่างความคิดถึง ทำให้เขาเองก็เผลอไผลไปกับรสอารมณ์เผ็ดปนหวานเมื่อสักครู่ ติเอาแต่หัวเราะจนตาหยีก่อนจะดึงมือพะภูลุกขึ้น ส่งสัญญาณว่าให้ไปทำความสะอาดตัวให้เรียบร้อยอีกทีในห้องน้ำ แต่คนตัวเล็กกลับรั้งข้อมือกลับในจังหวะหนึ่ง ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาให้หัวก่อตัวเป็นความรู้สึกผิดเล็กๆในใจ ทั้งที่ติเป็นฝ่ายเรียกร้องและต้องการขยับความสัมพันธ์ทางกายของพวกเขาอยู่ตลอด แต่เขากลับไม่เคยให้อะไรติได้เลยด้วยอ้างว่าไม่พร้อม กลายเป็นติซะเองที่มาปรนเปรอความสุขให้โดยไม่ปริปากบ่นหรือแสดงทีท่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย ทั้งทีตัวเองก็คงมีอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่ข้างในเช่นกัน แต่มีแค่เขาที่ได้ปลดปล่อยมันออกมา...

ดูเหมือนความคิดของพะภูจะฉายผ่านแววตาทอใสชัดเจนเสียจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ ถึงออกแรงบีบมือเล็กไว้แน่น พลางส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมเผยรอยยิ้มบางแลดูอ่อนโยนผิดจากทุกที เขายอมรับว่าตัวเองนึกปรารถนาในร่างกายของเด็กตรงหน้ามากเหลือเกิน แต่ถ้าพะภูยังไม่พร้อมเขาก็ย่อมรอได้ อย่างที่พยายามหักห้ามใจมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แค่วันนี้คนตัวเล็กยอมให้เขาละลาบละล้วงถึงเพียงนี้ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากพอแล้ว ส่วนเรื่องนอกเหนือจากนี้ สักวันก็คงมาถึงเอง ไว้พะภูพร้อมจริงๆเมื่อไร วันนั้นจะเอาให้ไม่ได้นอนเลยเชียว

“ได้เห็นหน้าแดงๆของนายก็คุ้มแล้ว” คนตัวสูงแกล้งหยอกเพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัด ก่อนจะตรงเข้าหอมแก้มพะภูอีกครั้งเร็วๆ “รู้สึกดีรึเปล่า? ตอบมาแค่นี้แหละ”

ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามสุดเถรตรงจนดวงตาคนฟังเบิกกว้าง สักพักก็หลุบต่ำลง พึมพำอะไรบางอย่างออกมาแผ่วเบา ถึงอย่างนั้นก็ยังดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน ทำเอากีรติถึงกับฉีกยิ้มพอใจอย่างหุบไม่อยู่ รีบดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น

“อือ...”

“น่ารักไปแล้ว”

ยิ่งโดนชม โดนกอด ก็ยิ่งทำให้พะภูเขินจนตัวม้วน ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามองใบหน้าของคนด้านบน เลยทำได้แค่ซบศีรษะลงกับแผงอกแกร่งจนแทบกลืนหายเข้าไปในเนื้อผ้า น่ารักไปแล้วอะไรกันเล่า นี่ทั้งเขินทั้งอายจนตัวจะระเบิดอยู่แล้ว!

“พี่ติบ้า..” เสียงแผ่วหลุดลอดออกจากลำคอ ยิ่งทำให้ติรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก สงสัยว่าตัวเขาจะบ้าจริงๆเสียด้วย เพราะดันดีใจทุกครั้งที่ถูกเด็กนี่ต่อว่าตลอดเลยน่ะสิ

“ไปอยู่กับฉันนะ”

“หะ?” สิ้นคำพูดแปลกๆ พะภูถึงเริ่มกลับมาได้สติและผละตัวออกอย่างงุนงง

“ไปอยู่เป็นกำลังใจให้ฉันไง”

“เอ่อ..”

“ไปเล่นเป็นเพื่อนน้องน้ำฝนด้วย” แหนะ อันนี้จะหลอกด่าว่าเขาเป็นเพื่อนลูกหมารึเปล่า แต่พูดแล้วก็คิดถึงเหมือนกันแฮะ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ก็ไม่เคยกลับไปเล่นด้วยอีกเลย

“แต่ว่า..”

“นะนะ”

ฮึ่ยย กีรตินี่มารยายิ่งกว่าผู้หญิงอีกนะ พอเข้าอีหรอบนี้ทีไรก็ชอบตีหน้าออดอ้อน พร้อมส่งเสียงมุ้งมิ้งผิดกับหน้าโหดๆตลอด แบบนี้ใครไม่แพ้ก็แย่แล้ว

“ก็ได้ครับ...แต่ต้องไปขอพี่พายก่อนนะ”

คนตัวใหญ่ดีใจได้แค่วินาทีเดียว ก็ต้องกุมขมับเมื่อพูดถึงชื่อพี่สาวจอมเข้มงวด ติเบ้ปากเหมือนเซ็งเต็มทีที่จะต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับพะพาย เมื่อรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ยอมเห็นดีเห็นงามกับเขาง่ายๆ แต่พะภูก็ยังให้กำลังใจด้วยการตบไหล่พลางหัวเราะใส่น้อยๆ รู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลยแหม!

พะภูขอตัวเข้าห้องน้ำไปทำความสะอาดคราบไคลให้เรียบร้อย ด้วยห่วงว่าใครจะมาได้กลิ่นแปล่มๆไม่พึงประสงค์เอาได้ สักพักก็พากันลงไปนั่งจุมปุกอยู่บนโซหาตัวประจำ มีพะพายนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ใกล้ๆ ในที่สุดติก็รวบรวมความกล้าเปิดปากถามออกไป

“พาย...ฉันขอให้พะภูไปอยู่ด้วยได้ไหม?”

“หา?” รีบละสายตาจากกองชีทมากมายบนโต๊ะตัวเตี้ยแบบพับเก็บได้ และเหลียวตามองร่างสูงโปร่งด้านหลังอย่างหาเรื่อง

“ให้พะภูไปค้างที่ฉันสัก...สองสามปี โอ้ย” ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกพะภูตีเข้าที่แขนอย่างแรงจนชะงัก สายตาตำหนิถูกส่งมาทำให้ติต้องรีบแก้ประโยคเสียใหม่ แอบเสียดายนิดๆ “ให้ไปค้างกับฉันสักสองสามเดือนได้ไหม?”

“ไปทำไม?” คราวนี้หันมามองหน้าคนเป็นน้องก่อนตั้งคำถาม ทำให้พะภูต้องออกตัวอธิบายด้วยคนอย่างช่วยไม่ได้

“เห็นว่าน้องหมาที่บ้านคลอดลูกเป็นโหล คนรับใช้ไม่ค่อยจะพอ เลยอยากไปช่วยดูแลสักพัก จนกว่ามันจะโตแล้วค่อยเอาให้คนอื่นต่อน่ะครับ”

พะพายหรี่ตามองน้องชายนิ่งเหมือนกำลังจ้องจับผิด ฟังดูคล้ายคำโป้ปดยากจะฟังขึ้น หากแต่รู้ดีว่าพะภูชอบพวกลูกหมาลูกแมวเป็นนิจ ผิดที่เธอไม่เคยอนุญาตให้เลี้ยงเอง หลังจากคิดไปมาจนอีรุงตุงนังกันอยู่ในหัว สุดท้ายจึงยอมพยักหน้าฝืนๆให้แต่โดยดี เรียกรอยยิ้มจากติได้มากทีเดียว พะภูก้มหัวขอบคุณพี่สาว ก่อนทั้งสองคนจะรีบพากันกลับขึ้นไปบนห้อง จัดเตรียมเสื้อผ้าเพื่อเดินทางสู่คฤหาสน์อัครโภคิน มีพะพายมองตามไม่ห่าง...ยอมให้ครั้งนี้ไม่ได้แปลว่าเลิกห่วง แต่เพราะกีรติได้พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดถึงความจริงใจและซื่อตรง เพราะงั้นจะถือว่านี่เป็นรางวัลตอบแทนความรู้สึกที่มีให้น้องชายแสนรักของเธอแล้วกัน แต่ถ้าเกิดอะไรไม่ดีไม่งามขึ้น เธอเองก็พร้อมจัดการนักเลงขาใหญ่คนนี้อย่างไม่ลังเลเช่นกัน!

---------------------------------------------------

จะสอบมิดเทอมแล้ว อ๊ากกกก  :katai4:
คือใกล้จบเต็มทีละ แต่ก็ไม่จบสักที
เป็นงี้ตลอดเลย คือตกม้าตายตอนจบ 5555
มักจะหมดอารมณ์แต่งแล้วงี้ ;w;
แต่ไม่ได้ ยังไงก็ต้องจบ ! ขอฝากให้ติดตามกันต่อด้วยนะคะ ><
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| บทที่ 31 | 20/02/57 | P.11
เริ่มหัวข้อโดย: fiixtion ที่ 19-04-2014 23:03:01
 :hao6:3p เหอะน่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| แจ้งข่าวหน้า 11 !!
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 29-05-2014 16:27:20
ขออนุญาต ดอง นิยายเรื่องนี้ชั่วคราวนะคะ
หลังจากไม่ได้มาต่อซะนาน แล้วไม่ได้แจ้งไว้เลย
ก็เลยถือโอกาสมาแจ้งอย่างเป็นทางการ
เพราะว่ายุ่งมาก ในหลายๆ เรื่อง
แถมไอ้สมองส่วนที่เอาไว้คิดนิยายเรื่องนี้
เหมือนมันจะหายไปอย่างไม่มีสาเหตุค่ะ ;w;
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ /(_  _")\
แต่รับรองว่า จะกลับมาต่อให้จบ ในวันใดวันหนึ่งแน่นอน !

ส่วนนิยายเรื่องก่อนหน้านี้
ก็ยังอยู่ในกระบวนการตีพิมพ์กับสนพ.เฮอร์มิต นะคะ
สามารถรอติดตามรูปเล่มกันได้ค่ะ
หรือถ้าสนใจ ก็ลองเข้าไปอ่านๆ ดูก่อนได้นะคะ ;)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37393.90
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 32 (หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 17-11-2014 20:32:59
บทที่ 32

 

โฮ่ง! โฮ่ง!

เสียงเห่าฟังดูตื่นเต้นดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ร่างบางบนเตียงขนาดใหญ่ค่อยๆงัวเงียผงกหัวขึ้นมอง เห็นลูกหมาตัวกลมบ๊อก เจ้าของเส้นขนสีน้ำตาลทองเป็นประกาย กำลังกระโดดขึ้นมาหา

“น้องน้ำฝน”

พะภูกวักมือเรียกน้องน้ำฝน ซึ่งมีขนาดตัวอ้วนโตขึ้นผิดจากครั้งแรกที่เจอกัน เจ้าหมาน้อยรีบกระโจนขึ้นมาอยู่บนแผงอกบางตามเสียงขาน พลางเลียแก้มเนียนของคนเพิ่งตื่นอย่างอารมณ์ดี พะภูหัวเราะด้วยจั๊กจี้ก่อนอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวอุ่นมาไว้ในอ้อมกอด สายตากวาดมองไปทั่วห้องนอนโอ่อ่า

“เจ้านายแกไปไหนฮะ?”

ก้มถามลูกหมาตาแป๋วลอยๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวและเดินลงยังโถงด้านล่าง มีน้ำฝนวิ่งดุ๊กดิ๊กตามมาไม่ห่าง เรียกรอยยิ้มจากแม่บ้านผู้พบเห็นได้ทุกคน ตอนนี้สมาชิกในบ้านต่างก็เข้าใจตรงกันว่า นี่คือคนของคุณชายเล็กแห่งอัครโภคิน มีสิทธิเท่าเทียมติและตาลทุกประการ

พะภูยกมือไหว้แม่บ้าน คนรับใช้ทุกคนอย่างเป็นกันเอง โดยไม่ถือตัวเลยสักนิด ทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจกันยกใหญ่ กลายเป็นว่าใครๆต่างก็อยากมารับใช้ว่าที่คุณชายคนใหม่ของบ้าน เจ้าของใบหน้าหวานก้มตัวผ่านเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร มีลูกสาวคนเดียวของตระกูลนั่งจิบชา อยู่อย่างสบายอารมณ์ พอเห็นรุ่นน้องขวัญใจก็รีบวางถ้วยชาสไตล์อังกฤษลง และหันมากวักมือเรียกพะภูให้เข้าไปหาทันที

“อรุณสวัสดิ์ครับ” คนเป็นแขกยกมือไหว้ท่าท่างเงอะงะ เมื่อเหลือบตามองนาฬิกาบนผนังแล้วเห็นว่านี่มันเลยคำว่า เช้า มานานแค่ไหน

“เมื่อคืนนอนไม่หลับหรอ?”

ตาลทักอย่างรู้ทัน เพราะไม่คิดว่าคนอย่างพะภูจะตื่นนอนเอาสายโด่งขนาดนี้หากไม่มีเหตุผลรองรับ อีกทั้งขอบตาที่คล้ำขึ้นจนสังเกตได้ เห็นแล้วมันน่าจับไปเข้าโรงหมอขอยาบำรุงผิวพรรณมาติดไว้เสียจริงๆ เชื่อเหลือเกินว่าไม่มีใครอยากเห็นเด็กคนนี้เสียรูปเสียโฉมเป็นแน่

“ครับ สงสัยแปลกที่ แต่ช่วงนี้ก็นอนดึกติดต่อกันจนร่างกายมันจำไปแล้วมั้งครับ” พะภูรีบอธิบาย ก่อนหันไปก้มหัวให้แม่บ้านคนหนึ่ง ซึ่งยกสำรับอาหารเข้ามาวางให้

“จะไม่ดีต่อร่างกายเอานะ”

“แต่ช่วงนี้ใกล้สอบมิดเทอม เลยต้องอ่านหนังสือเยอะหน่อยครับ”

“ขยันจริงเรา”

ว่าไปตัวเธอเองยังไม่เริ่มแตะหนังสือสักกะผีกเดียว ขนาดว่าไม่ใช่คนขี้ก่งขี้เกียจอะไรแล้วนะ ยังแพ้ความขยันของคนตรงหน้าไปเยอะเลย แต่คงเพราะว่าแต่ละคนมีเทคนิคการท่องหนังสือแตกต่างกันด้วยมั้ง ส่วนตัวเธอน่ะแปลกกว่าชาวบ้าน ถ้าไม่ไปอ่านเอาตอนไฟลนก้นจริงๆ มันจะไม่ยอมเข้าหัว ก็เลยต้องมาติวสอบภายในสามวันสุดท้ายทุกที

“ไม่ได้หรอกครับ เป็นเด็กทุนต้องรักษาเกรด”

“ถ้าหลุดทุนก็ให้พี่ติจ่าย ไม่เห็นเป็นไร”

“ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย” คนเป็นนักเรียนทุนรีบโบกไม้โบกมือพัลวันพลางเบิกตากว้าง เหมือนจะจับความเอาจริงในคำพูดของตาลเมื่อครู่ได้ ทำเอาอีกฝ่ายหลุดหัวเราะพรืด

“ล้อเล่นก็ได้”

“ละ แล้วนี่ พี่ติไปไหนหรอครับ ตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว” รีบขวนเปลี่ยนเรื่อง ทำท่าเป็นกวาดตามองหาคนหายต๋อมแบบไม่ยอมบอกกล่าว

“ไปช่วยงานคุณอาที่บริษัทมั้ง เห็นช่วงนี้แวบไปบ่อยๆ”

“อ๋อ..”

พยักหน้าเข้าใจ ก่อนยกช้อนข้าวต้มขึ้นตักอาหารทาน ไม่กล้าซักถามอะไรยืดยาว เดี๋ยวจะหาว่าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวเสียเปล่าๆ แต่ก็แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าคนท่าทางลอยไปลอยมาแบบติ จะนึกสนใจช่วยกิจการทางบ้านกับเขาด้วย ภาพพจน์ดูดีมีอนาคตขึ้นมาเฉยเลย

พอกินข้าวสายเสร็จ ก็ขอตัวกลับขึ้นห้องไปอ่านหนังสือ แต่เอาเข้าจริงกลับอ่านไม่รู้เรื่องสักตัวอักษร เมื่อในหัวเอาแต่คิดว่าเมื่อไรเจ้าของห้องถึงจะกลับมาสักที จะไปไหนมาไหนก็สิทธิ์ของเขา พะภูรู้ดี แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ไม่ยอมบอกกล่าวกันบ้างเลย ใจหายนะ ตื่นมาแล้วไม่เจอใครเนี่ย ทั้งที่เมื่อคืนเป็นฝ่ายเข้ามาออเซอะขอกอดท่าเดียวแท้ๆ

หนังสือวิชาภาษาไทยในมือ ถูกวางลงกับพื้นฟูก ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นขนาดเล็กภายในห้องนอนของแฟนตัวเอง มีน้องน้ำฝนเดินตามทุกฝีก้าว ราวกับแม่ลูกตัวติดกันก็ไม่ปาน ดูเหมือนทุกอย่างด้านในเครื่องสี่เหลี่ยมจะเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตล้วนๆ แค่เห็นก็ชวนเลี่ยนแล้ว ไม่เป็นเบาหวานตายให้มันรู้ไปสิ แต่อ่านหนังสือไม่เข้าหัวแบบนี้ ลองหาอะไรทานเป็นของว่างหน่อยดีกว่า

ว่าแล้วก็ปิดตู้เย็นชาร์ลีลง และเลือกหยิบนูเทลล่ากับแครกเกอร์ที่ตั้งอยู่ในตะกร้าด้านบนมาแทน พอหันหลังจะเดินกลับเตียงเท่านั้นแหละ เสียงประตูก็เปิดขึ้น พร้อมร่างสูงกำยำในเสื้อเชิ้ตผูกไทดูแปลกตา ท่าทางดีใจเมื่อเห็นหน้าต้องรีบกลบซ่อนไว้ เพราะนึกขึ้นได้ว่าควรจะเคือง อยู่ๆมาทิ้งเขาไว้ ไม่พูดอะไรสักคำได้ไง

“ทำอะไรอยู่?”

ไม่ยอมตอบคำถาม กลับเดินไปนั่งแหมะอยู่ปลายเตียง มีน้องน้ำฝนกระโดดตามขึ้นมานอนเฝ้าใกล้ๆ สนใจแค่การเปิดฝาเฮเซลนัทบดผสมโกโก้ในมือ

คนตัวใหญ่เลิกคิ้วสูงกับท่าทีเฉยเมยของคนรัก ก่อนจะเดินเข้ามาหาและโน้มตัวต่ำ ฝังปลายจมูกโด่งๆลงบนแก้มป่องๆ มือหนึ่งดึงเนคไทให้คลายออก อีกข้างใช้ยึดท้ายทอยสวยไม่ยอมให้ร่างเล็กหันหนี แต่พอจะเคลื่อนเข้าหาเรียวปากบางเท่านั้น ก็ถูกพะภูผลักออกอย่างรุนแรงพร้อมขยี้แก้มระเรื่อตัวเองไปด้วย แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด จนติถึงกับใจหายวาบ รีบเอ่ยปากเสียงอ่อน

“เป็นอะไรเหรอ?”

“เปล่าครับ” คนตัวเล็กตอบกลับเสียงห้วน พลางทำปากยื่นเหมือนเด็กๆ ติจึงค่อยหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนวาดแขนเข้าโอบไหล่บางเป็นการหยั่งเชิง หัวไหล่มนยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนอยากขืนหนี

“ถ้าเปล่า ก็ต้องหันมาคุยกันดีๆ” พยายามใช้โทนเสียงอ่อนทุ้มเข้าสู้ มือข้างที่เหลือเชยคางเรียวได้รูปให้หันกลับมาสบสายตากัน หัวคิ้วของคนตัวเล็กขมวดยุ่งจนอดสงสัยไม่ได้ หรือว่าจะไม่พอใจที่เขาหายไปเมื่อเช้าโดยไม่ได้บอก “ไหน งอนอะไรก็ว่ามา”

“เมื่อเช้าไปไหนมา..” ในที่สุดก็ใจอ่อน ยอมเปิดปากพูดด้วยแต่โดยดี เหตุเพราะแพ้ไอ้น้ำเสียงหวานๆ กับสายตานุ่มลึกนี่แท้ๆเชียว

“ไปทำงาน”

“ไม่บอกก่อน” เริ่มส่งเสียงน้อยใจออกมาอย่างไปปิดบัง ทำให้ติต้องเพิ่มแรงบีบที่มือ หวังช่วยส่งผ่านความรู้สึก ก่อนค่อยๆอธิบายอย่างใจเย็น

“คุณอาเรียกตัวไปตั้งแต่เช้า เห็นเราหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก”

พะภูนั่งจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สมองประมวลผลทำความเข้าใจ ความจริงเขาก็ไม่ถึงกับโกรธอะไร เพียงแต่ตกใจมากกว่า ก็ไอ้การตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคนที่เรารักอยู่ มันน่ากลัวนี่น่า...น่ากลัวจนไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

“ทีตัวเองหลบหน้า ฉันยังไม่ว่าเลย” ติรีบเสริมติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศชวนอึดอัด ถึงพะภูจะไม่เห็นด้วยกับประโยคเมื่อครู่ แต่ก็ยอมรับว่าสบายใจขึ้นแล้ว... ทีเขาหลบหน้าแล้วติไม่ว่าอะไรงั้นเหรอ เหอะ ไม่ว่า แต่มาลากตัวถึงบ้านเลยน่ะสิ!

“เอาคืนนี่” พะภูแกล้งต่อยหมัดเบาๆไปที่อกกว้าง ก่อนทั้งคู่จะเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน ดูเหมือนมันช่างยากเย็น กับการไม่มีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างจริงๆด้วย

“งั้นต่อไปจะบอกทุกอย่างเลย นายก็ด้วย”

“อือ”

พอเคลียร์ข้อกังขาแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็กลับมาสดใสหวานชื่น ราวกับดอกไม้แรกผลิอีกครั้ง คนตัวเล็กหันกลับไปเปิดกระปุกนูเทลล่าออก แล้วตักทาลงบนแครกเกอร์แผ่นบาง รีบยื่นให้คนรักอย่างเอาใจ ติกัดลงคำหนึ่ง แล้วส่งต่อให้พะภูอีกคำ สลับกันอยู่อย่างนั้นจนลืมนึกไป ว่ายังมีกองหนังสืออีกมากต้องอ่านให้จบ

มันคงดูบ้ามาก ที่เขาสองคนเดินมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งเคยแต่คิดใช้ประโยชน์โดยปราศจากความรู้สึก และอีกฝ่ายหนึ่งเคยนึกเกลียดขี้หน้าจนอยากจะไล่ไปให้ไกลสุดฟ้า แล้วใครจะคิดล่ะว่า สองคนนั้นจะกลายมาเป็นคนรักกันได้จริงๆ แถมความรักที่มีมันยิ่งเอ่อล้นมากขึ้นทุกวัน มากจนไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่นใดที่อาจมาทำลายความสัมพันธ์ครั้งนี้.....

 

ตลอดหลายวันที่พะภูเข้ามาใช้ชีวิตในบ้านอัครโภคิน บอกตามตรงว่าแทบไม่เป็นอันอ่านหนังสือ เดี๋ยวก็มีน้องน้ำฝนคอยมาคลอเคลียให้เล่นด้วย เดี๋ยวก็มีกีรติมาโลมเลียให้สติหลุดอยู่บ่อยครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอดไม่เว้นแม้แต่คืนก่อนสอบครั้งสำคัญของคนตัวใหญ่ เพื่อนำคะแนนที่ได้ไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ชักไม่มั่นใจว่าเขามาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้ติสอบผ่านหรือทำให้แย่กว่าเดิม ถึงอย่างนั้น คนควรจะเครียดกลับมีท่าทีสบายใจเกินคาด

ประมาณหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ผลคะแนนก็ถูกส่งมาที่บ้าน แอบเห็นติเปิดซองดูไม่ถึงสามวิก็เก็บกลับ ใบหน้านิ่งเฉยเสียจนเดาไม่ถูกว่ามันดีหรือร้ายกันแน่ ไอ้จะไปถาม ก็กลัวจี้ถูกจุดไม่เหมาะไม่ควร ด้วยรู้ดีว่านักเรียนม.6 มักอ่อนไหวง่ายกับเรื่องมหาวิทยาลัยเอาซะมากๆ ได้แค่เพียงเอ่ยปากเตือนให้รีบยื่นคะแนนไปเสียให้เสร็จสิ้น ที่เหลือก็มีแค่รอผลผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์เท่านั้น

การสอบมิดเทอมของทางโรงเรียนเองก็จบลงอย่างสวยงามไปตามๆกัน โชคดีที่เขาออกจะหัวไวผิดจากเด็กคนอื่น ถึงแม้ไม่มีเวลาท่องตำรามากนัก แต่ก็ถือว่าทำข้อสอบได้เป็นที่น่าพอใจ

การรอคอยผ่านพ้นไปได้เกือบหนึ่งเดือนเต็ม ผลประกาศรอบแรกจากมหาวิทยาลัย คณะต่างๆก็เริ่มทยอยออกมาให้ลุ้นกันจนหัวใจแทบหยุดนิ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นของภาคอินเตอร์หรือไม่ก็การสอบตรงต่างๆ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักของเหล่าเด็กโครงการภาคภาษาอังกฤษหรือพวกหัวกะทิกันอยู่แล้ว ได้ข่าวคราวพวกรุ่นพี่ที่ธารวิทยากับวิไลวิทย์หลายคน ดูท่าว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี และกีรติก็เช่นกัน เขามารู้ทีหลังว่าคะแนนสอบภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ที่ติยื่นไป มันสูงลิ่วจนแทบจะติดท็อปของนักเรียนปีนี้เลยทีเดียว ส่วนพะพายเองก็โล่งไปได้เปลาะใหญ่ๆ เมื่อผลประกาศออกมาว่าผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์ของโครงการรับตรงจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ตอนโทรมาบอกข่าวคราว ได้ยินเพียงแค่เสียงสะอื้นด้วยความดีใจของพี่สาวคนเก่งเท่านั้น เล่นเอาเขาแอบน้ำตาซึมตามไปด้วย เพราะความรู้สึกปลามปลื้มยินดีในครั้งนี้ แต่สำหรับเด็กอีกหลายชีวิตที่เหลือซึ่งเล็งเป้าเอาไว้ที่การแอดมิชชั่น ก็ยังคงต้องเหน็ดเหนื่อยกับการอ่านหนังสือสอบกันต่อไป

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อคุณผ่านด่านแรกเข้าสู่การสัมภาษณ์ได้ นั่นก็การันตีไปได้หลายเปอร์เซ็นแล้วว่าคุณต้องได้เข้าศึกษาตามวาดฝันเป็นแน่ แต่ก็ยังไม่เห็นใครกล้าพอฉลองใหญ่ เมื่อยังคงตุ่มๆต่อมๆกับการพิจารณาขั้นสุดท้าย ซึ่งจะมีขึ้นในอีกประมาณ 20 วันถัดไป แต่ในขณะที่ใครต่อใครยังคงเก็บงำความเครียดไว้ กีรติเจ้าเก่า ก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คน ซึ่งดูเรื่อยเปื่อยเสียจนน่าหมั่นไส้ ไม่ตื่นเต้นยังพอว่า แต่อย่ามาทำท่าเหมือนการสอบเข้ามันเป็นเรื่องง่ายได้ไหม ในเมื่อความจริงแล้วมันไม่ใช่! พูดไปก็ชักหงุดหงิด ไม่รู้ชาติที่แล้วร่างสูงทำบุญด้วยอะไรไว้ เกิดมาถึงฉลาดหลบในได้เสียขนาดนี้ นี่ขนาดเขาหัวดีพอจะเป็นนักเรียนทุนโรงเรียนชั้นหนึ่ง เขายังเครียดกับเรื่องมหาลัยแล้วเลย

แต่ละวันผ่านไปอย่างเรื่อยเปื่อย เขามาอาศัยชายคาคนอื่นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ถึงขนาดเรื่องนี้แว่วไปกระทบหูทางพ่อแม่ของติที่ต่างประเทศ ไม่แน่ใจว่าข่าวที่หลุดลอดไปนั้นมันมีเนื้อความยังไงกันแน่ แต่เขาเองก็ไม่ได้ทอดทิ้งพะพายมาเสวยสุขอยู่ภายใต้ตระกูลใหญ่อย่างเดียว ยังคงกลับบ้านตัวเองบ้างบ่อยครั้ง ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เพราะพะพายเอาแต่สนใจเรื่องแฟ้มสะสมผลงานที่จะนำไปยื่นในวันสัมภาษณ์ อีกยังเตรียมอ่านหนังสือเผื่อแอดมิชชั่นเอาไว้อีก สมกับเป็นนักเรียนทุน มักจะมีความขยันมากเกินกว่าคนอื่นเป็นปกติ เพราะเขาก็เช่นกัน

ส่วนทางติ เกต์ กับศิลป์ ซึ่งสอบเข้าที่เดียวกัน ก็เพิ่งมาปั่นทำแฟ้มผลงานเอาไม่กี่วันก่อนสอบตามสไตล์ ดีที่วันสอบสัมภาษณ์ตรงกับวันหยุด เหล่าคนที่ไม่มีข้ออ้างหยุดเรียนอย่างพวกม.4-5 อย่างเขา เลยมีโอกาสมาให้กำลังใจถึงภายในมหาลัยขนาดกว้างขวาง เห็นรุ่นพี่นักศึกษาเดินผ่านไปผ่านมาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เขาเองก็อยากเข้าเรียนที่เดียวกับติเหมือนกันนะ

“เป็นไงบ้างครับ?” รีบลุกเข้าไปหารุ่นพี่ทั้งสามซึ่งเดินหน้าสบายออกมาจากตึก หลังผ่านไปชั่วโมงกว่า

“ก็ไม่ไง”

ติตอบแบบไม่ใส่ใจ ก่อนก้มลงดูดน้ำในมือพะภู ส่วนศิลป์เองก็ตรงเข้าหานิวซึ่งหาซื้อน้ำมารอรับเช่นกัน ทิ้งให้เกต์ยืนทำหน้าเบ้อย่างน้อยใจ จนนิวต้องรีบรี่เอาน้ำอีกขวดมาส่งให้ เดี๋ยวจะถูกจับผิดเอาได้

“โล่งแล้วทีนี้”

“ไม่นะครับ ยังมีสอบไฟนอลรออยู่อีก” พะภูเตือนหน้าเครียด ทำเอาบรรยากาศโล่งอกกลับมาอึดอัดอีกครั้ง รู้สึกเหมือนเพิ่งสอบมิดเทอมไปไม่ทันไรนี่เอง แป๊บๆจะไฟนอลอีกแล้ว ชีวิตนักเรียนมันจะมีแค่นี้หรือยังไง!

แต่ก็จริงที่ว่าความเครียดยังคงไม่หายไป และดำเนินต่อมาตลอดหนึ่งเดือน จนถึงการสอบสุดท้ายก่อนจบชั้นปี ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาได้ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว หนึ่งปีแล้วสินะที่เขากับติได้พบกัน และได้เปลี่ยนแปลงหัวใจเขาไป

เมื่อสัญญาณหมดเวลาสอบวิชาสุดท้ายดังขึ้น พะภูก็รีบยื่นกระดาษคำตอบให้อาจารย์ ก่อนพุ่งไปยังป้ายรถเมล์ เตรียมตัวเข้าประชุมใหญ่ภายในกลุ่มกีรติ แน่นอนว่ามันสำคัญมาก ในเมื่อสามหัวขบวนผู้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มนี้มา กำลังจะจบการศึกษาจากโรงเรียนอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่อึดใจ แว่วมาว่าผาคงได้ขึ้นตำแหน่งหนึ่งในสามแทนใครสักคน ส่วนที่เหลือเห็นลือกันต่างๆนาๆ ว่าอาจดึงตัวนักเรียนนอกกลุ่มให้มาเข้าร่วม แต่เรื่องนั้นยังดูน่าสนใจน้อยกว่าสิ่งที่พะภูได้ทราบมา...การประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ของศิลป์กับนิว!

“ขอโทษที่มาช้าครับ” เด็กธารวิทยาพูดไปหอบไป หลังจากสมาชิกคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูห้องสามชั้นสองให้เหมือนทุกที

“พี่ทั้งสามคนกล่าวอะไรกันหมดแล้วน่ะ ประกาศตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มคนใหม่แล้วด้วย” เกมรีบเดินเข้ามากระซิบบอก พอกวาดสายตามองก็เห็นว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงพูดคุยโต้แย้งดังเซ็งแซ่จนดูวุ่นวานกันใหญ่ เกิดอะไรขึ้น?

“ทำไมทุกคนดูสับสนล่ะ พี่ผาไม่ได้ขึ้นแทนหรอกเหรอ?”

“พี่ผาขึ้นมาแทนพี่เกต์ พี่นัทขึ้นมาแทนพี่ศิลป์” พะภูอ้าปากอ๋อ หันมองคนชื่อนัทที่เพิ่งถูกพูดถึง เห็นว่าเป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ไม่ค่อยผิดจากพี่ศิลป์เท่าไรนัก แต่ส่วนใหญ่มักค่อยช่วยวางแผนอยู่เบื้องหลังมากกว่า เพราะไม่ได้มีนิสัยพิศวาสการอาละวาดอย่างคนอื่น แต่จากการเล่าขาน เห็นว่าเมื่อไรต้องลงมือ ก็สู้ได้ไม่แพ้คนเป็นหัวหน้ากลุ่มเลยทีเดียว

“ก็ดีนี่”

“ไม่หรอก เพราะคนที่ขึ้นแทนพี่ติเป็นคนนอก ก็เลยไม่พอใจกัน”

“ให้คนนอกมาเป็นหัวหน้ากลุ่มเนี่ยนะ!?”

พะภูโพล่งออกมาเสียงดังจนสายตาหลายสิบคู่หันมามอง รวมทั้งพี่ใหญ่ทั้งสามซึ่งกำลังยืนแจงอะไรบางอย่างกับแนวหน้ารุ่นถัดไปอยู่บริเวณมุมหนึ่งของห้อง คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นสบตาติอย่างไม่แน่ใจ ก่อนหันกลับมาคุยกับเกมต่อด้วยใบหน้าคร่ำเครียด

“ไม่รู้เรียกคนนอกได้ไหม จริงๆแล้วเป็นญาติพี่ตินั่นแหละ เรียนม.ปลายอยู่ต่างประเทศ แต่เห็นว่าเบื่อแล้วเลยจะกลับมาเข้าวิไลวิทย์เอาช่วงม.6”

“ญาติพี่ติเหรอ...” ส่งเสียงประหลาดใจน้อยๆ เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเองไม่ได้รู้เรื่องครอบครัวของติเลยสักนิด

“อืม ชื่อกรณ์ ณัฐกรณ์ อัครโภคิน เป็นญาติทางพ่อ เหมือนว่าพี่เกต์กับพี่ศิลป์ก็รู้จัก แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครเคยได้ยิน เลยยังโวยวายกันอยู่น่ะ”

“ทุกคนฟัง จะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ... ฉันขอให้พวกนายยอมรับกรณ์เข้ามานำกลุ่ม ภายใน 3 เดือน ถ้ามันยังทำให้ทุกคนไม่พอใจ ฉันจะไล่มันออกเอง”

ติตบโต๊ะเรียกความสนใจจากสมาชิกในห้อง ก่อนพยายามอธิบายเสียงเข้ม แต่ละคนหันมองหน้ากันเลิ่กลัก แต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมเห็นชอบจนได้ แม้ยังมีหลายส่วนไม่พอใจนักก็ตาม ต่อไปนี้คงเป็นกรณ์ ซึ่งจะต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น ว่าสามารถคุมกลุ่มกีรติได้อย่างว่าจริงๆ

พอทุกคนเริ่มสงบ ศิลป์ก็เป็นฝ่ายกระแอมไอเสียงดัง เพื่อเรียกสายตาหลายสิบคู่อีกครั้ง คนตัวสูงใหญ่ปัดเส้นผมที่เริ่มยาวลงมาปรกหน้าออก ก่อนผงกหัวให้นิวเดินมาอยู่ข้างหน้าห้องเคียงกัน ท่ามกลางความสนอกสนใจของสมาชิกคนอื่น เกต์กับติยืนมองการกระทำของเพื่อนรักอย่างงุนงง ผิดกับพะภูที่เอาแต่ลุ้นจนตัวโก่ง

“คือว่า ฉันมีอะไรจะบอก”

“...”

“ฉันเลิกกับเฟย์แล้ว”

เสียงโห่ดังขึ้นเล็กน้อย เหมือนผิดหวังกับความตื่นเต้นเมื่อครู่ แค่เลิกกับแฟนนี่ต้องประกาศเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เชียวเหรอ เห็นปกติก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนคนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ยัยเฟย์นั่นดูไม่สนใจกลุ่มด้วย คิดไว้ตั้งนานแล้วว่าต้องไปกันไม่รอด

“คือฉันไม่ได้รักเฟย์อยู่แล้ว พวกนายก็พอรู้ใช่ไหม ต้องทนคบเพราะทางบ้านจัดหาให้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฉันกับญาติเพิ่งจับได้ว่าครอบครัวยัยเฟย์ ตั้งใจเข้าหาเพื่อมาโกงบริษัทของคุณย่าฉัน ตอนนี้เลยตัดขาดกันเรียบร้อย”

“ดีแล้วพี่” รุ่นน้องคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากบริเวณกลางห้อง ตามมาด้วยเสียงเห็นด้วยอีกมากมาย ทำเอาคนพูดถึงกับโล่งไปเปลาะหนึ่ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด มือซ้ายเอื้อมเข้ากุมมือเล็กของเด็กข้างๆ พอให้บางสายตาเริ่มนึกสงสัย

“จบเรื่องเฟย์แล้ว ฉันเลยอยากสารภาพอะไรหน่อย...”

นิวเงยหน้ามองคนรักตัวเองซึ่งเริ่มมีเหงื่อซึมขึ้นตามขมับ ค่อยๆเพิ่มแรงบีบที่มือเพื่อส่งผ่านกำลังใจและความรู้สึก ทั้งห้องเงียบสนิททันทีที่ศิลป์ยกมือที่กุมกันอยู่นั้นขึ้นกลางอากาศ แทบทุกคนเกิดอาการอ้าปากค้างดวงตาเบิกกว้างหลังจากสิ้นเสียงแถลงไข

“ฉันกับนิว เราคบกันอยู่”

พะภูลอยระบายลมหายใจเบาๆ ทำให้เกมซึ่งกำลังช็อคจับได้ว่าที่นั่งข้างกันอยู่นี่ รู้เรื่องนี้มาตลอดสินะ แต่นั่นยังไม่แย่เท่าเกต์ ซึ่งยกมือชี้หน้าศิลป์ทันที ทั้งที่ขากรรไกรค้างจนพูดอะไรไม่ออก ส่วนตินั้นกลับสงบนิ่ง จ้องลึกเข้าไปภายในดวงตาสีดำสนิทของเพื่อนตรงหน้า ความตกตะลึงแผ่ไปทั่วทั้งห้อง นานมากจนผาต้องรีบทำใจกล้าแทรกกลางปล้องออกมา

“กูคิดแล้ววว!” คนเสียงดังรีบส่งสายขอความช่วยเหลือไปทางเกมซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มสมาชิก ส่วนคนโดนเพ่งเล็งก็เอาแต่ตีหน้าเหลอเหลาพลางชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ แต่ก็ยอมลุกขึ้นตบโต๊ะดังป๊าบ แสงไฟพร้อม แอคติ้งมาเต็ม

“เออใช่! ตอนไปเที่ยวทะเล พี่ศิลป์ถึงอ้างนู้นอ้างนี่ให้ตัวเองได้นอนกับนิวใช่มะ”

“พี่ศิลป์เป็นคนพานิวเข้ากลุ่มด้วยนี่ ก็สงสัยอยู่แล้วเชียว”

คนในกลุ่มที่โดนทั้งเกมและผาส่งสายตามากดดัน รีบยกเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาพูด ทำให้คนอื่นๆเริ่มคุ้ยหาอีกหลายๆเรื่องในความทรงจำขึ้นมาแฉซะจนหมดเปลือก จากบรรยากาศมาคุเมื่อครู่ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าสนุกสนานกันไปหมด ปล่อยให้สองคนด้านหน้ายืนหน้าแดงแข็งทื่อไม่ไหวติง

เกต์ตบหน้าผากตัวเองแรงๆ เหมือนอยากจะโทษความไม่นึกคิด ทำไมถึงดูไม่ออกทั้งที่ศิลป์ก็ชอบทำตัวหลุดวิสัยอยู่บ่อยครั้ง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ได้อะไรขึ้นมา เลยยอมพยักหน้าให้ทั้งสองคนเป็นสัญญาณแห่งความเข้าใจ ติหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปแตะบ่าผาเบาๆเป็นเชิงขอบคุณ และเดินตรงเข้าไปตบหลังศิลป์เสียงดังตุบ ทำเอาทั้งห้องเงียบกริบอีกครั้ง

“รักกันนานๆ”

คำพูดแสนสั้นจากคนเป็นหัวหน้า เรียกรอยยิ้มคืนมาบนใบหน้าของสมาชิกทุกคน ภายในห้องเล็กๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งมิตรภาพและความรัก แม้จะเศร้ากับการจากลา แต่ทุกวินาทีที่ผ่านมาก็มีค่ามากจนกลายเป็นความสุขเอ่อท่วมหัวใจ

ใครจะรู้ว่ากลุ่มนักเรียนนักเลงอย่างพวกเขา จะมีมุมสดใสอย่างเด็กม.ปลายทั่วไปเหมือนกัน และความสัมพันธ์นี้ มันก็แนบแน่นมั่นคงยิ่งกว่าใครต่อใครเสียอีก...

กล้าพูดได้เลยว่า กลุ่มกีรติ... เป็นกลุ่มที่ดีนะ


----------------------------------------

อหหหห หายไปประมาณ 6 เดือน TT
ฟีลมันกลับมาล่ะ ถ้าเป็นไปได้
อยากแต่งให้จบภายในปีนี้ 55555
ละอีเรื่องเก่าอ่า The missing piece
เฮอร์มิตบอกว่าต่อคิวนานมาก (เกือบลืมไปแล้ว)
กว่าจะเปิดให้จองอาจจะเป็น เมษา ปีหน้าเลยค่ะ ;w;


 :hao5:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 32 (หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 18-11-2014 22:03:35
บทที่ 33

 

หลังจากปิดเทอมใหญ่มาไม่ทันข้ามคืน พวกโครงการสอบตรงของพะพายก็ประกาศผลผู้ผ่านการสัมภาษณ์ รับรองการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน และเป็นไปตามคาด พะพายขึ้นโผผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาอย่างไม่ต้องสงสัย พะภูเลยถือโอกาสขอลากลับบ้านไปนอนฉลองกับพี่สาวสองคน พอรุ่งขึ้นรถยนต์คันหรูจากอัครโภคินก็ตามมารับกลับแบบไม่ให้หายใจหายคอ ทำเอาพะพายอดต่อว่ากับความเอาแต่ใจของกีรติไม่ได้

“อีกไม่กี่วัน คณะฉันจะประกาศแล้ว นายต้องคอยอยู่ใกล้ๆ เป็นกำลังใจสิ” คนตัวสูงบ่นอุบ พลางเคล้าเคลียไปตามพวงแก้มขาวของคนในอ้อมกอด บนเตียงขนาดใหญ่ พะภูกำลังสนใจรายการทีวี ขณะเอนตัวลง ซบอกกว้างของติแทนพนักวางหลัง

พอเห็นพะภูไม่สนใจ เลยโน้มหน้าเข้าไปขบใบหูเล็กเบาๆเป็นการแกล้ง มือสองข้างลากผ่านเนื้อผ้าไปตามแผ่นอกบางหวังกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก

“พี่ติ ไม่เอา” คนเด็กกว่าว่าเสียงดุ พยายามแกะมือซุกซนออกจากร่างกาย และเหมือนฟ้าเป็นใจ ส่งให้โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของติส่งเสียงดังน่ารำคาญออกมา

ร่างสูงยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะยอมลุกไปหยิบมือถือบนโต๊ะขึ้นมาดู พอเห็นว่าใครโทรมาก็รีบกดรับสายและค่อยปลีกตัวออกไปคุยด้านนอก ทิ้งให้แขกนั่งเก็บกำความสงสัยบางเบาเอาไว้ลำพัง ผ่านไปไม่ถึงนาที เสียงมือถือตัวจิ๋วของเขาก็ดังขึ้นบ้าง เห็นเป็นข้อความเข้าจากคนคุ้นเคย พอเปิดอ่านก็ถึงกับยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่ได้

‘สอบติดแล้วนะ พาไปเลี้ยงไอศกรีมเลย ^^ (พี่ธร)’

นิ้วเรียวรีบกดพิมพ์ข้อความตอบกลับ ลืมเรื่องของติไปชั่วขณะ ตอนนี้มีแต่ความยินดีปรีดาไปกับความสำเร็จของรุ่นพี่ที่เขาเองก็นึกเคารพอยู่ไม่น้อย รู้สึกเข้าใจถึงความสุขเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากขึ้นกว่าเดิม จากที่ต้องเหน็ดเหนื่อย พยายาม ต้องมุ่งมั่น ตั้งใจ และฝ่าฟันการแข่งขันกับใครมากมาย สุดท้ายมันก็คุ้มค่ากับทุกอย่าง จริงๆสินะ

‘ยินดีด้วยครับ เดี๋ยวขอพี่ติก่อน จะโทรไปบอกอีกทีนะ’

ติ๊ด

รีบกดรีโมทปิดเสียงทีวี เพื่อมานั่งใช้ความคิด หาทางหว่านล้อมให้ติยอมปล่อยตัวเขาไปหาธรสักสองสามชั่วโมง แต่พอทั้งห้องเงียบลง จึงได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ด้านนอกแว่วเข้ามาชัดเจนกว่าเดิม แม้ไม่อยากสอดรู้สอดเห็น แต่ก็ยังได้ยินอยู่ดี

“ตอนนี้ผมก็พยายามใกล้ชิดเขาให้มากที่สุด จะได้ตายใจ”

“อาก็รู้ว่าผมเต็มใจจะช่วย”

“ผมยอมแลกได้อยู่แล้ว ขอให้ไว้ใจผมเถอะ... ผมจะช่วยอาจับเขาให้ได้”

“ครับ สวัสดีครับ”

พอไม่ได้ยินเสียงคุยต่อ พะภูก็รีบกดเปิดทีวีกลับขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องลนลานแบบนี้ด้วย อาจเพราะว่าไม่อยากให้รู้ว่าเขาแอบได้ยินเรื่องที่คุยกัน แม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม แต่นั่นก็คือการเสียมารยาท

“ม..มีอะไรเหรอครับ?”

“ไม่มีอะไร”

ติตอบแบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะย้ายตัวเองกลับมานั่งซ้อนหลังพะภูเหมือนเก่า เกยคางมนอยู่บนศีรษะเล็กอย่างสบายใจ ทำให้คนข้างหน้าต้องรีบสะบัดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไปจากหัว ตอนนี้ควรคิดว่าจะทำยังไงให้ติอนุญาตเรื่องธรมากกว่า

“เอ่อ พี่ติ...”

“หึ?”

“พี่ธรสอบติดแล้วนะครับ” โพล่งออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาคนฟังถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ชักสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดให้ต้องแสบใจเล่นอีกแล้วสิ

“อือ แล้วไง” น้ำเสียงห้วนขึ้นทันที

“ผมขอออกไปเจอพี่เขาหน่อยได้ไหม..?” ค่อยๆหันไปช้อนตาใส่อย่างออดอ้อน เสียงใสอ่อยลงเหมือนไม่แน่ใจนัก กลัวน่ะกลัว แต่เขาก็อยากทำอะไรๆอย่างบริสุทธิ์ใจไว้ก่อน

“โทรไปก็พอ ตอนนี้แหละ”

“โธ่ พี่ติ แค่วันเดียวเอง ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีสักหน่อย” พะภูเริ่มโอด ก่อนพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้าอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา มือเล็กทั้งสองข้างรั้งเสื้อของติไว้แน่น พยายามส่งสายตาขอความเห็นใจออกไป

“งั้นฉันไปด้วย”

“พี่ธรคงยอมหรอก..”

บ่นเสียงแผ่ว พลางยื่นปากอย่างไม่พอใจ จนคนตัวใหญ่นึกหมั่นเขี้ยว ต้องหยิกแก้มป่องๆนั่นไปที ก่อนเลื่อนมือหนาไปพักลงบริเวณสะโพกมนสวย ทำเป็นมองทีวีเหมือนมีอะไรน่าสนใจนักหนา ส่วนทางด้านพะภูก็ยังไม่ถอดใจ รีบขยับตัวเข้าซบลงกับแผงอกกว้างด้วยท่าทีออเซาะแบบที่ไม่มีวันทำกับใครคนไหน

“ผมไปทานไอศกรีมกันแถวโรงเรียนนี่เอง ในร้านมีคนตั้งเยอะ ใช่ว่าอยู่กันสองต่อสองซะเมื่อไร ไม่เห็นต้องห่วงเลย น้า~”

พยายามเอ่ยปากอธิบายเสียงหวาน พลางเขย่าแขนแกร่งไปด้วยอย่างรบเร้า ติเองก็ยังเอาแต่จับจ้องไปที่จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ด้วยรู้ดีว่า ถ้าเผลอหันมองคนในอ้อมแขนเมื่อไร เป็นต้องยอมใจอ่อนเผลอไผลไปด้วยทุกที ถึงพะภูจะไม่คิดอะไร แต่ไอ้ธรน่ะคิดแน่! แค่ปลายตามองหน่อยเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อย่างมันน่ะ คิดจะง้าบพะภูอยู่แน่นอน

“พี่ติอ่า! ไม่รู้ด้วยแล้ว ยังไงผมก็จะไป”

พอโดนเมินใส่ เลยคิดจะไม่สนใจบ้าง รีบลุกออกห่างจากคนขี้ระแวงโดยไม่ลืมจะฝากหมัดเล็กๆเอาไว้กลางหน้าท้องแข็ง ทำเอาติจุกจนตัวงอ ตวัดสายตาโกรธเคืองเข้าใส่ เพื่อพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่แพ้กัน

“ก็หวงนี่” ท่าทางชักไม่ดี สงสัยต้องใช้ไม้อ่อนเข้าประโลมไว้ก่อน ถ้าโดนพะภูโกรธขึ้นมาจริงๆเดี๋ยวจะแย่เอา เพราะรู้แก่ใจดีอยู่ ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องแพ้ก็คือเขาเอง

ร่างบางทำเป็นสะบัดหน้าหนี ทันทีที่ติขยับเข้ามาโอบเอวเขาไว้หลวมๆ จมูกโด่งไล้ตั้งแต่ใบหูจนถึงหัวไหล่มน ทำให้คนตัวเล็กต้องส่งเสียงปรามอยู่ในลำคอ ก่อนจะผละตัวออกด้วยท่าทีกระเง้ากระงอดอย่างเห็นได้ชัด คนถูกผลักไสใจหายวูบ จนแล้วจนรอดก็ต้องยอมเอ่ยปากอนุญาตด้วยว่าไม่อยากถูกเมินตลอดแบบนี้ ถึงจะไม่เห็นด้วยอย่างแรงก็เถอะ

“ป..ไปก็ได้ ยอมให้ไปแล้ว อย่างอนนะ”

นิ้วเรียวสะกิดไหล่คนตัวเล็กให้หันกลับมามองหน้ากันเป็นการหยั่งเชิง ก้อนหนืดๆถูกกลืนลงคออย่างรีรอ เมื่อพะภูยังคงเอาแต่ตีสีหน้าบูดบึ้ง จำใจต้องย้ำให้ฟังอีกรอบเพื่อความชัดเจน

“นายจะไปหาไอ้ธรก็ได้”

“.....”

เงียบไปสักพักพอให้คนตัวใหญ่ได้ลุ้นจนตัวโก่ง ก่อนจะยอมเผยยิ้มกว้างออกมา พร้อมกระโจนเข้ากอดรัดเอวแข็งของเขาอย่างกับเด็กโดนตามใจ ทำเอาเผลอยิ้มตามไปด้วยกับท่าทีน่ารักของคนตรงหน้า เห็นไหมล่ะว่า ยังไงเขาก็ต้องแพ้ เฮ้ออ..

“พี่ติน่ารักที่สุดเลย”

เมื่อพอใจแล้วก็กลับมาเป็นลูกหมาเซื่องๆ ขี้ออดขี้อ้อนเหมือนเก่า นอกจากเอ่ยหยอดคำหวานให้ร่างสูงได้ชื่นใจแล้ว ยังยืดคอขึ้นหอมแก้มติอีกฟอดใหญ่ แก้มขาวๆแดงเรื่อขึ้นมาจากความดีใจอีกทั้งขวยเขิน เพราะถ้าไม่ยอมทำถึงขนาดนี้ เดี๋ยวอีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้ไปขึ้นมาก็แย่สิ นี่ถือเป็นรางวัลที่ยอมตามใจก็แล้วกันนะ

“ใครน่ารักกันแน่..” คนโดนขโมยหอมหมาดๆบ่นเสียงเรียบ ก่อนโยนตัวพะภูลงราบกับเตียง และตามเข้าประกบปากอย่างนึกหมั่นเขี้ยวในความออเซาะเมื่อครู่ แล้วจะทำให้รู้ ว่าริอ่านมายั่วกีรติแล้วจะเจออะไร

“อื..มม”

ภายในห้องนอนหรูหรา มีเสียงจากโทรทัศน์ดังแข่งกับเสียงดูดปากอย่างเร่าร้อนของคนสองคนนานหลายนาที แทบจะลืมไปเลย ว่าก่อนหน้านี้ยังเล่นเป็นพ่อแง่แม่งอนกันอยู่ ในขณะที่คนตัวเล็กกำลังจมดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ คนด้านบนก็กำลังคิดหนักในหัว ว่าจะจัดการกับการพบกันของพะภูและธรยังไง...

 

“เข้าไปในร้านแล้วครับ”

(ตามเข้าไป)

“ครับ”

เด็กผู้ชายเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนรีบดึงชายเสื้อของชายตัวใหญ่อีกคนเข้าไปในร้านไอศกรีมชื่อดังแถวโรงเรียน ตามคำสั่งของอดีตหัวหน้ารุ่นพี่ ที่บอกมาว่าให้ตามดูพะภูกับธรในวันนี้ไว้ให้ดี บทขี้หึงขี้หวงเนี่ยไม่เป็นรองใครเลยจริงๆ แต่คนที่เดือดร้อนทำไมเป็นเขาทุกที! ถ้าคราวนี้เกิดถูกจับได้ นอกจากจะโดนติแหวใส่แล้ว อาจจะถูกเพื่อนต่างโรงเรียนอย่างพะภูโกรธเอาอีก เพราะงั้นถึงต้องลากตัวศิลป์ให้มาร่วมชะตากรรมด้วยกัน ให้รู้ไว้ซะบ้างว่าการทำหน้าที่หน่วยสอดแนมของกลุ่มน่ะมันไม่ง่าย!

“บอกไว้ก่อนว่าผมไม่มีเงินนะ” เสียงพะภูดังขึ้น จังหวะเดียวกับที่นิวและศิลป์หาที่นั่งได้จากโต๊ะตัวใกล้ๆ แต่ทว่าอยู่ในมุมหลบสายตาอย่างพอดิบพอดี แอบเห็นธรหัวเราะออกมาท่าทางน่าขนลุกยิ่งนัก สาบานได้ว่าไม่มีทางได้เห็นภาพแบบนี้ในเวลาปกติเป็นแน่

“งั้นสั่งที่เดียว มากินด้วยกันไหม?”

“ก็ดีครับ” คนกระเป๋าแห้งยิ้มแหย และรับหนังสือเมนูมาจากพนักงานสาว

ร้านนี้คือสถานที่ที่ธรเคยบังคับลากถูเขามาอยู่บ่อยๆช่วงหนึ่ง และก็เป็นต้นเหตุทำให้มีภาพหลุดออกไปทางเฟซบุ๊กเมื่อคราวนู้นด้วย ครั้งนี้เขาเองก็แอบเตรียมใจไว้บ้างแล้วกับการเข้าใจผิดที่อาจมีตามมา เพราะแถวนี้น่ะ ไม่พ้นหูพ้นตาพวกเด็กธารวิทยากับวิไลวิทย์นักหรอก ถ้าจะมีใครผ่านมาเจอแล้วตีความเป็นอื่นไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก สิ่งเดียวที่ต้องการคือความเชื่อใจจากติเท่านั้นแหละ

“ผมเอาสตรอเบอรี่ ส่วนพี่ธรก็...วานิลลา?”

“รู้ใจ”

ธรยิ้มแซว ก่อนถือวิสาสะเอื้อมเข้าหยิกแก้มเด็กตรงหน้าอย่างเบามือ เล่นเอาคนในร้านซึ่งกำลังลอบมองอยู่ ต้องรีบเบือนหน้าหลบด้วยความเขินอายไปตามๆกัน ผิดจากคนโดนแกล้งที่ทำได้แต่หัวเราะฝืนๆ และขืนตัวหนีเล็กน้อย ส่วนศิลป์กับนิวก็ถึงกับเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าธรจะกล้าถึงเนื้อถึงตัวพะภูขนาดนี้ ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นของของใครแท้ๆเชียว แบบนี่สิถึงได้น่าเป็นห่วง

“ท็อปปิ้งสามอย่างค่ะ” พนักงานบอก พร้อมผายมือไปทางอีกหน้าหนึ่งของเมนู พะภูกับธรช่วยกันไล่สายตาไปสักพัก ก่อนจะได้ข้อตกลงสุดท้าย

“ช็อกโกแลต วิปครีม กับอัลมอนด์ครับ”

“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” หนังสือเมนูถูกเก็บกลับ หลังจากที่จดรายการตามสั่งเรียบร้อยแล้ว คิดอยู่ตั้งนานสุดท้ายก็เลือกแต่พวกเบสิคจนได้สิน่า

“แล้วนี่คิดเรื่องมหา’ลัย รึยัง?” ธรชวนเปิดประเด็นเครียด เล่นเอาพะภูถึงกับถอนหายใจยาวเหยียด ใช่สิ ตัวเองโล่งแล้วหนิ สอบติดคณะดีๆที่ดังๆไปแล้ว ตอนนี้คนที่สมควรคิดมากน่ะเขาเอง!

“คิดแล้วแต่คิดไม่ออก”

“เหรอ ไม่เป็นไรหรอก ค่อยๆตัดสินใจ”

“พวกพี่เนี่ย ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้เลย” ทั้งที่เป็นแค่คุณชายนักเลง ที่เอาแต่คอยหาเรื่องต่อยตี แถมหนีเรียนประจำ แต่ทำไมถึงได้สอบติดกันด้วยคะแนนสูงลิ่วทั้งนั้นก็ไม่รู้ แบบนี้ตัวเขาที่ท่องตำราแทบเป็นแทบตายก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้โง่คนหนึ่งเลยสิ คิดแล้วชักหงุดหงิดแฮะ อิจฉาจริงว้อยย

“อ้าว อย่าดูถูกสิครับ”

“ดูผิดมากกว่า”

พะภูบ่นอุบ ก่อนหลุดหัวเราะออกมา ไม่นานนัก ของหวานสุดโปรดก็เสิร์ฟถึงที่ หน้าตาน่าทานจนน้ำลายแทบเยิ้ม และดูเหมือนจะยั่วคนใกล้ๆแถวนี้ให้ทนไม่ได้ตามไปด้วย นิวถึงรีบยกมือขอเมนูมาสั่งอะไรทานบ้างเพื่อฆ่าเวลา

“แต่ไม่คิดว่านายจะออกมาได้นะ เห็นว่าถูกขังอยู่ในปราสาทอัครโภคินไม่ใช่หรือไง?” คนตัวใหญ่พูดติดตลก พลางตัดไอศกรีมคำหนึ่งยื่นให้เด็กตรงหน้าอย่างขอร้องแกมบังคับ พะภูเลยต้องยอมเปิดปากรับป้อนอย่างเก้กัง ก่อนตอบกลับคำถามเมื่อครู่ยาวเหยียด

“ก็เกือบไม่ได้แล้ว ขอร้องอยู่ตั้งนาน จนโกรธกันนิดหน่อยด้วย แต่พี่ติก็ยอมอ่อนข้อให้จนได้แหละ พี่ธรเองก็น่าจะทำดีกับพี่ติไว้นะ เอาแต่เขม่นกัน แบบนี้พี่ติไม่มีทางเชื่อหรอกว่าพี่ไม่ได้เลวร้ายน่ะ” แล้วมันก็ลำบากคนกลางอย่างเขาเอามากๆเลยด้วย!

“ท่าจะยาก”

“ก็ลองดูก่อนสิ เอ้อ ว่าแต่...ใครขึ้นมาคุมกลุ่มธัญธรแทนเหรอครับ?”

“น้องชายฉันเองอะ”

“อ๋อออ.....ห๊ะ!?” พะภูหันขวับเมื่อเสร็จสิ้นการประมวลผลคำว่า ‘น้องชาย’ เขาไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าธรมีน้องด้วย อาจจะเพราะเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นล่ะมั้ง แต่ก็เหนือความคาดหมายนิดหน่อยแฮะ

“ลูกคนละแม่น่ะ ย้ายไปต่างประเทศตั้งแต่ม.ต้น แต่เพิ่งได้ฤกษ์กลับมา เพราะพ่อไม่ค่อยสบาย” คนโตกว่าค่อยๆเล่ารายละเอียดด้วยท่าทีสงบนิ่งผิดจากปกติ น้ำเสียงห้าวที่ฟังดูหยิ่งยโส ตอนนี้กลับแผ่วปลายเสียจนคนฟังใจคอไม่ดี

“คุณพ่อพี่ธร...เป็นอะไรมากเหรอครับ?”

“ไม่เป็นไรหรอก” พยายามฝืนยิ้ม ด้วยไม่อยากให้บรรยากาศดีๆที่หาได้ยากต้องสลายไป ก่อนจะลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู เหมือนอยากจะขอบใจในความเป็นห่วง

คนตัวเล็กเลือกที่จะไม่ขัดขืน แถมยังออกตัวป้อนไอศกรีมคำต่อไปให้ธรอีกต่างหาก คนใกล้ซึมเมื่อสักครู่เลยมีแรงกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง มันคงดูน่าขำจริงๆ ที่คนอย่างเขาซึ่งเคยเที่ยวเล่นไปกับใครต่อใครมากหน้าหลายตา ยอมเสียเวลาเพื่อเด็กตรงหน้าคนเดียว ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน...เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าความประทับใจนั้นมันจะพัฒนาขึ้นมาง่ายดายถึงเพียงนี้...

อีกด้านหนึ่งของร้าน นิวกับศิลป์เริ่มตีหน้าซีด ไม่มีอารมณ์รับประทานของหวานบนโต๊ะอีกต่อไป เพราะภาพเมื่อครู่ ดูจากสายตาคนนอกแล้ว มันคล้ายกับคู่รักเสียจริง ให้ตายเถอะ! นึกไม่ออกเลยว่าถ้าติมาเห็นจะเกิดอะไรขึ้น งานนี้ได้มีคนเจ็บไม่ก็น้ำตาร่วงแน่

“พ..พี่ศิลป์ เอาไงดีอะ?”

“เงียบไว้ละกัน มันคงไม่มีอะไรหรอก”

“ก็ต้องไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่พี่ติคงไม่เชื่ออะเนอะ”

“อือ เพราะงั้นก็ไม่ต้องบอก”

นิวพยักหน้ารับรู้ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเล่น พยายามไม่ใส่ใจอะไรนัก เวลาผ่านไปสักพัก ไอ้เรื่องที่ว่าจะไม่เกิดมันก็เกิดจนได้ เมื่อวิดีโอหนึ่งถูกแชร์ต่อกันภายในโซเชียลมีเดีย เพียงไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง นิ้วเรียวเล็กเลื่อนไปกดปิดเสียงโทรศัพท์ ก่อนกดเปิดวีดิโอที่ว่าขึ้นมาดูเงียบๆ ปรากฏภาพธรกับพะภูตั้งแต่เริ่มหาที่นั่งภายในร้านจนถึงฉากเมื่อสักครู่ ความยาวร่วม 20 นาที โดยมีจำนวนคนดูแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คน ในเวลาเพียงแค่น้อยนิดนั้น! ชักจะมากไปแล้ว!!

คนตัวเล็กรีบยื่นโทรศัพท์ในมือให้ศิลป์ดูต่อ ก่อนจะไล่กวาดสายตาไปรอบๆบริเวณร้านเพื่อหาต้นตอของวีดิโอดังกล่าว แต่ท่าทางจะเป็นเรื่องยาก เมื่อเห็นกลุ่มสาวๆหลายคนกำลังจับจ้องไปทางธรกับพะภูเป็นสายตาเดียว ไม่สามารถบ่งชี้ได้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการของความร้าวฉานที่อาจเกิดขึ้น เดาว่าพวกเธอไม่มีความตั้งใจแบบนั้น แต่บางครั้ง การทำอะไรสนองใจตัวเองแบบไม่ยั้งคิด ก็อาจทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้เหมือนกัน อย่างเช่นครั้งนี้ ซึ่งเริ่มมองเห็นเค้าลางไม่ดีมาแต่ไกลๆแล้ว

 “เก็บเงินด้วยครับ” ยังคิดทางแก้ไม่ออก เสียงธรก็ดังขึ้น ก่อนที่พนักงานจะเดินเข้ามาหา ตั้งท่าว่าจะกลับกันแล้ว แบบนี้มีหวังทำได้แค่ภาวนาให้ติไม่เห็นคลิปบ้าๆเมื่อกี้ด้วยเถอะ ขี้หึงขนาดนั้นมีหวังคิดเองเออเองจนองค์ลงอีกแน่

สายตาหวาดหวั่นจับจ้องไปยังคนรักเบื้องหน้าเหมือนต้องการขอคำแนะนำบางอย่าง แต่ดูเหมือนศิลป์เองก็จนปัญหา ได้แต่เหลียวหลังมองสองคู่กรณีเดินพ้นไปจากประตูร้านกระจกใส ก่อนพยักหน้าให้เด็กอีกคนรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวต่อไป จากประสบการณ์ความเป็นเพื่อนติมานาน เขารู้ได้เลยว่าติจะต้องโมโหและไม่ฟังใครในสการณ์แบบนี้ สิ่งที่ทำได้ก็คงมีแค่คอยตามไปช่วยเหลือห่างๆเท่านั้น

 

“วันนี้ ขอบใจมากนะ”

ธรลูบหัวพะภูอีกครั้งอย่างย่ามใจ ก่อนจะโบกมือให้เด็กที่กำลังเปิดประตูลงจากรถคันหรูของตน ความจริงก็อยากรอส่งให้แน่ใจ แต่ถ้าต้องมาเจอหน้าอริหมายเลขหนึ่งในถิ่นของฝ่ายนั้น คาดว่าจะยับยั้งความเกลียดชังในใจไม่ไหว เลยขอตัวก่อน

เมื่อธรขับรถออกห่างจนลับสายตาแล้ว พะภูจึงเดินตรงไปกดกริ่งหน้าประตูรั้วขนาดใหญ่ รออยู่สักพักก็เห็นพี่แม่บ้านสองคนเดินก้มหน้าก้มตา ยกสัมภาระทั้งหมดของเขาลงมากองอยู่บนพื้น สีหน้าท่าทางไม่เต็มใจนัก ไม่ทันมีใครได้เปิดปากถามหรืออธิบาย นายน้อยของบ้านก็กระแทกเท้าตึงตังออกมา ไม่เก็บซ่อนความเดือดดาลในใจไว้เลยแม้แต่น้อย

“นี่มันอะไรครับ?” กลั้นใจถามออกไปด้วยท่าทีงุนงง ติไม่ตอบ เพียงแต่หันไปไล่คนรับใช้ทั้งสองให้กลับเข้าบ้าน ก่อนปรายสายตาดุดันมาทางเจ้าของคำถามเมื่อครู่ มือสองข้างกำหมัดแน่นเหมือนต้องการระงับอารมณ์

“หวานกันจนไอศกรีมขมเลยมั้ง”

“หะ?”

“ก็คิดว่านายจะรักษาเนื้อรักษาตัวซะบ้าง แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นฝ่ายให้ท่าเสียเอง!”

“พี่ติพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ!?” พะภูเริ่มขึ้นเสียงบ้างเมื่อถูกปรามาสคำโต หากแต่ยิ่งสร้างความปั่นปวนให้กับอีกฝ่าย จนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา

“มีคนส่งคลิปพวกนายสองคนวันนี้มาให้..”

“ว่าไงนะ?”

“เดี๋ยวหยิกแก้ม เดี๋ยวลูบหัว เดี๋ยวป้อนไอศกรีม ท่าทางมีความสุขนักนี่! ถ้าอย่างนั้นก็ไปอยู่กับมันเลยแล้วกัน!!” สิ้นเสียงกระแทกกระทั้น กระเป๋าใบหนึ่งก็ถูกเตะอย่างแรงมากองอยู่แทบเท้าคนตัวเล็ก ซึ่งได้แต่มองตามการกระทำไร้เหตุผลของร่างสูง น้ำใสๆเริ่มคลอขังอยู่ภายในดวงตากลมคู่สวย ซึ่งบัดนี้กลับหม่นหมอง อยู่ๆจะลากตัวมาก็พามา อยู่ๆจะไล่ให้ไปก็ถีบส่งกันแบบนี้ นี่เหรอคนรักกัน!? ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นเลย กีรติ!!

“พี่จะไม่ให้ผมอธิบายเลยใช่ไหม...”

“เห็นอยู่ทนโท่ ยังต้องอธิบายอะไรอีกเหรอ”

“เฮ้ย! ไอ้ติ” ไม่ทันจะโต้เถียง เสียงทุ้มของศิลป์ก็ดังขึ้นด้านหลัง มีนิวยืนหอบฮั่กอยู่ใกล้ๆ ทั้งสองคนตั้งท่าจะช่วยแก้ตัว แต่กลับถูกสายตามาดร้ายของคนเป็นหัวหน้ากดไว้ จนพูดอะไรไม่ออก

“เด็กที่วิ่งไล่ตามผู้ชาย...มันก็ใจง่ายแบบนี้เองสินะ”

“พี่ติ!!”

เพียะ!

คนตัวเล็กแผดเสียงดังลั่น ก่อนยืดแขนขึ้นตบหน้าติรุนแรงจนคนที่เหลือถึงกับสะดุ้ง น้ำตาหยดใสไหลลงอาบแก้มแดงก่ำด้วยความโกรธ ศิลป์รีบเรียกสติคืนและตรงเข้าปรามเพื่อนสนิท ไม่ให้ตอบโต้อะไรกลับไป

“พะภู ไปก่อนเถอะ” นิวรีบสะกิดเสียงสั่น ก่อนก้มตัวยกกระเป๋าสัมภาระบนพื้นขึ้นมา และดันหลังให้คนสะอื้นเดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ไม่ไกล

แอบเห็นสายตาถมึงทึงด้วยความกราดเกรี้ยวไม่ต่างกัน ปรากฏอยู่บนใบหน้าของทั้งสองฝ่าย กีรตินะกีรติ...ปล่อยให้อารมณ์หึงหวงเข้าครอบงำจนทำร้ายใจคนที่รักที่สุดไปแล้ว อย่าเป็นฝ่ายมานั่งร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าทีหลังแล้วกัน

-------------------------------------------

หลังจากนี้จะทยอยแต่ง ทยอยลงให้จบนะคะ

 :katai4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 33 (หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: NOPKAN ที่ 26-11-2014 14:20:09
อ่านทันแล้วววววววววว อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ T^T
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: mooaiir ที่ 30-11-2014 17:23:07
บทที่ 34

 

“ไอ้พี่ติ คนบ้า! ใจร้าย!”

หมอนหนุนในมือถูกปาออกไป จังหวะเดียวกับที่ประหูห้องนอนถูกเปิดออก พะพายเหลือบตามองใบหน้าบูดบึ้งของน้องชาย ก่อนก้มลงเก็บหมอนบนพื้นขึ้นมาวางเข้าที่ น้ำส้มคั้นสดหนึ่งแก้ววางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ

“เลิกโมโหได้แล้ว คนแบบนั้นไม่มีค่าพอให้ไปสนใจหรอก”

ไม่มีการตอบรับอะไร นอกจากร่างซีดผอมที่ล้มตัวลงนอนราบกับพื้นฟูก พร้อมดึงผ้าห่มคลุมโปงจนถึงศีรษะ รังให้เธอได้แต่ถอนใจยาวเหยียดอย่างนึกสงสาร

ไอ้สารเลวกีรติ บังอาจมากที่กล้ามาทำน้องชายสุดที่รักของเธอเสียใจ ทั้งที่พูดไว้ดิบดี ตอนนี้กลับทำตัวราวน้ำกลิ้งบนใบบอน กลับคำที่เคยบอกว่ารักพะภูนักหนาเข้าให้เสียแล้วหรือยังไง เจ้าตัวเล็กถึงเอาแต่ร้องไห้เป็นวักเป็นเวรมาร่วมสองวันเต็มแล้ว ไอ้ใบหน้าหวานๆอันแสนน่าเอ็นดู บัดนี้กลับหม่นหมอง รอบดวงตาแดงก่ำจากความเสียใจ ใต้ตาก็คล้ำเสียจนดูไม่ได้ ด้วยว่าไม่ได้กินไม่ได้นอนอย่างเต็มที

“ลุกขึ้นมาดื่มน้ำส้มสักหน่อย”

พะพายเอ่ยเสียงอ่อน พร้อมดึงผ้าห่มที่ขวางกั้นออกช้าๆ เห็นร่างคุดคู้กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงสะอื้นไห้ ก็ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ด้วยยากจะรับไหว ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณห้องได้สักพัก เธอจึงเป็นฝ่ายยอมปลีกตัวออกมา ทิ้งให้น้องชายคนดีได้แต่นอนร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่คนรักตนกระทำไว้

ความเหน็ดเหนื่อยผลักดันให้พะภูจมลงสู่ห้วงนิทรา จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ถึงรู้สึกตัวขึ้นมาจากเสียงเรียกของโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็ก ผ้าห่มผืนบางถูกถีบออกแทบจะทันที ก่อนรีบรุดไปกดรับสายโดยไม่ทันได้มองว่าใครโทรมาด้วยซ้ำ ในใจเอาแต่คาดหวังว่าจะได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูอีกครั้ง

“ฮะ..ฮัลโหล”

(พะภู ฉันนิวนะ)

ความผิดหวังก่อตัวรวมกันอยู่ภายใน จนร่างทั้งร่างทรุดกลับลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน น้ำเสียงแหบพร่าไร้เรี่ยวแรงตอบกลับไปช้าๆ

“มีอะไรเหรอ..?”

(เป็นยังไงบ้าง น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเลย)

“เปล่า ไม่เป็นไร”

พอถูกทักด้วยความเป็นห่วง จึงต้องรีบแสร้งปั้นเสียงสดใสขึ้นมาอีกนิดหน่อย เพราะไม่อยากให้เพื่อนต่างโรงเรียนคนนี้ต้องเป็นกังวลมากไป แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ช่วยอะไรเลย เมื่อนิวยังคงจับได้ถึงความผิดปกติจากอีกฝ่าย จึงพาเข้าประเด็นหลักทันทีแบบไร้การอ้อมค้อม

(พะภู กลับไปอยู่ข้างๆพี่ติเถอะนะ)

หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเมื่อได้ยินชื่อคนที่เฝ้าคิดถึง หากแต่สุ้มเสียงด่าทอในวันนั้นยังคงดังก้อง คอยหลอกหลอนอยู่ในสมองจนเจ็บปวดขึ้นมา

“จะกลับไปได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่ต้องการ” ครั้งนี้กลับเปล่งเสียงเศร้าหมองออกไปอย่างไม่ปิดบัง น้ำตาเริ่มคลอขังพาลจะไหลลงมาทุกขณะ จนปลายสายต้องรีบแย้งขึ้นมาทันควัน

(ไม่จริงเลย! พี่ติรู้สึกผิดมาก อยากขอโทษจะตาย แต่เพราะเครียดเกินไปเลยล้มป่วยแล้วต่างหาก)

“หะ! พี่ติป่วยหรอ?”

(ใช่ พี่ติคิดว่าคงโดนนายเกลียดแล้ว แต่มันไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมพะภู?)

“ฉัน...”

(ยกโทษให้ความงี่เง่าของพี่ติด้วยนะ!)

นิวส่งเสียงจริงจังผ่านสายโทรศัพท์มา ทำเอาพะภูถึงกับทำตัวไม่ถูก มันฟังดูเหมือนว่าหมอนี่กำลังขอร้องเขาจากใจจริง ราวกับว่าความรู้สึกจากนิวจะส่งผ่านมาถึงเขาได้ เพราะอยู่ๆ ก็ลืมความโกรธก่อนหน้านี้ไปเสียเฉยๆ ตอนนี้กลับมีเพียงความโล่งใจที่รู้ว่าติสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำ และขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าติจะเป็นอะไรมากอย่างว่าหรือเปล่า

“ฉะ..ฉัน จะไปหาพี่ติ!”

ก็ความรักของเรา ไม่สมควรถูกฉีกกระชากได้ด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้นี่น่า มันมากกว่านั้น! สิ่งที่ผ่านมาด้วยกัน สิ่งที่เชื่อมกันไว้ มันเหนียวแน่นกว่านั้น!!

 

“คุณภู!” แม่บ้านคนหนึ่งรีบรุดมาเปิดประตูรั้วให้ เมื่อชะโงกหน้ามาเห็นว่าเป็นใคร ที่เอาแต่ยืมดอมๆมองๆอยู่นาน

“พี่ติไม่สบายเหรอครับ?”

“ค่ะ แถมไม่ยอมทานอะไรเลย ดีใจจริงๆ ที่คุณกลับมา”

คุณป้าทำท่าจะเข้ามาช่วยถือถุงผลไม้ที่เตรียมมา พะภูจึงส่ายหัวน้อยๆ และรีบตรงเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย พอเหยียบย่างเข้าไปไม่เท่าไร เสียงหวีดร้องดีใจจากคุณหนูคนเล็กของตระกูลจะดังขึ้นกระทบโสตประสาทแทบจะทันที จนต้องชะงักฝีเท้าไว้ก่อนชั่วคราว และหันไปทักทายรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน ซึ่งกำลังตีหน้าตาตื่นวิ่งมากอดเขาด้วยความปลื้มปริ่ม

“พะภู พี่ขอโทษแทนพี่ติด้วยนะ เขาแค่หึงจนหน้ามืดไปเท่านั้นเอง”

“ครับ ผมเข้าใจ”

คนเด็กกว่ารีบตัดบทด้วยการพยักหน้าเป็นสัญญาณ ก่อนจะถูกดันหลังให้ขึ้นบันไดไปยังห้องส่วนตัวที่เขาเคยร่วมหลับนอนมาแล้วไม่รู้กี่คืน ทันทีที่ประตูไม้เปิดออก ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นร่างใหญ่กำลังนอนสงบอยู่บนเตียงคิงไซส์ ท่าทางอ่อนเพลียไม่สมกับเป็นกีรติเลยจริงๆ พอขยับเข้าไปใกล้ถึงได้ยินเสียงหอบหายใจคล้ายคนทรมานเต็มที นี่เป็นมากขนาดนี้เลยเหรอ!

“อ..อือ”

คนบนเตียงบิดตัวเล็กน้อย ก่อนจะปรือตาลืมขึ้น เสียงเปิดประตูเมื่อครู่คงปลุกให้เขาตื่น แต่ดูเหมือนยังไม่อาจเปิดตาได้เต็มที จนหันไปเห็นหน้าของผู้บุกรุกถึงได้เบิกตากว้างเป็นไข่ห่าน พร้อมเด้งตัวลุกขึ้นจนหน้ามืด ลำบากคนเป็นแขกต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงอย่างเสียไม่ได้

“พะ..ภู”

“พี่ติอย่าเพิ่งขยับสิครับ”

“นาย..มาได้ยังไง แล้ว...ไม่โกรธฉันแล้วเหรอ?”

มือใหญ่ตรงเข้ากุมข้อมือเล็กไว้แน่นเหมือนไม่อยากให้หลุดหายไปไหน ก่อนรัวคำถามใส่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าแสดงออกถึงความตกใจไม่หาย แต่เลือดภายในตัวกลับเต้นเป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ

“โกรธสิ แต่จะยอมให้พี่ป่วยแบบนี้ได้ยังไง” พะภูตำหนิถึงความไม่เอาไหนของคนรักผ่านทางสายตา และช่วยประคองติให้นั่งพิงหัวเตียงดีๆ

“ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆนะ ฉันมันบ้า มันเลว” คนตัวใหญ่เริ่มใช้กำปั้นทุบตีตัวเองเหมือนเด็กๆ จนพะภูต้องรีบห้ามไว้ ติมองกลับมาด้วยสายตาสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง ทำเอาคนมาเยี่ยมถึงกับใจอ่อน ยอมกุมมือติไว้ให้อีกฝ่ายคลายใจ

“ช่างมันเถอะครับ แต่คราวหลังไม่เอาแล้วนะ”

“จะไม่มีอีกแล้ว สัญญาเลย!” มือหนากุมตอบแน่นอีกกว่าเดิม พร้อมเปล่งน้ำเสียงจริงจังออกมา ถ้าบอกว่าตอนเริ่มคบกัน กีรติเชื่องขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ยิ่งเชื่องขึ้นกว่านั้นสักสิบเท่าเห็นจะได้

“พี่ติต้องเชื่อใจผมมากกว่านี้”

“อื้อ! ฉันจะเชื่อใจนาย อย่าไปจากฉันเลยนะ ฉันขอโทษ...” คำขอโทษครั้งที่ล้านหลุดออกมาจากปางสีซีดอย่างคนป่วย ยิ่งทำให้พะภูอ่อยระทวยไปทั้งตัวทั้งใจ ใช่สิ สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ติอยู่ดีนั่นแหละ เพราะรักแท้ๆเลย...

“ถ้าพี่ไม่ไล่ ผมก็ไม่ไปหรอกครับ”

“ไม่.. ไม่อีกแล้ว ฉันรักนาย”

กีรติพูดเสียงแผ่วลงทุกทีจนเขาอดใจหายไม่ได้ หลังจากยอมให้ติพรมจูบไปทั่วทั้งมือจนพอใจแล้ว จึงรีบสั่งให้คนยกอาหารขึ้นมาทันที ที่อ่อนแอลงได้ขนาดนี้เพราะไม่ยอมกินอะไรเลยน่ะสิ แบบนี้สงสัยต้องใจอ่อน ยอมป้อนสักหน่อยแล้วมั้ง

“กินข้าวหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมป้อน”

“อือ”

คนตัวสูงดูว่าง่ายผิดวิสัยปกติ ยอมกินข้าวกินยา ไม่มีบ่นสักแอะ ทำไปทำมาเขาชักติดใจกีรติตอนป่วยเข้าซะแล้วสิ นอกจากเลิกทำตัวดื้อแพ่งแล้วยังเซื่องเสียจนน่ารักเชียว แต่ถึงยังไงก็ขอให้กลับมาแข็งแรงไวๆดีกว่าแหละนะ

พะภูต่อสายโทรศัพท์หาพะพายเพื่อขอนอนค้างที่บ้านติ ด้วยถูกขอร้องจากทั้งเจ้าตัว ตาล และแม่บ้านทั้งกอง เรียกว่าถ้าขืนปฏิเสธออกไป คงได้มีใครแถวนี้นอนซมต่ออีกคืนเป็นแน่ ซึ่งหลังจากอธิบายเรื่องราวความเข้าใจผิดและการสำนึกของติแล้ว พะพายก็ยอมเข้าใจอย่างไม่เต็มร้อยนัก หากก็ปล่อยให้เขาอยู่ดูแลที่บ้านหลังนี้ได้อีกหน่อย

“พี่ติจะนอนพักไหมครับ?”

“ไม่เอา นอนมาเยอะแล้ว อยากมองหน้านายมากกว่า”

ทำเป็นพูดดี ก็ตัวเองไม่ใช่เหรอไงที่ออกปากไล่เขาไปวันนั้น แต่ก็ช่างเถอะ พอเข้าใจอยู่หรอกว่าผู้ชายคนนี้น่ะอารมณ์ร้อนแค่ไหน พะภูลอบถอนหายใจ ก่อนจะย้ายขึ้นไปนั่งข้างกันบนเตียง เรียกรอยยิ้มจากคนตัวใหญ่ได้มากโข

“รีบๆหายได้แล้วครับ”

“ครับ”

ติพูดจาดีหวังเอาใจ แถมขโมยหอมเขาอีกฟอดใหญ่ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างคนรัก ลืมเลือนเรื่องราวหมาดบางทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตอนที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มันมีความสุขมาก มากเสียจนไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่นๆ ความสัมพันธ์แบบนี้ บางทีก็ดีเหมือนกันนะ...ถึงต่อให้ทะเลาะกันยังไง สุดท้ายก็ยังกลับมารักกันได้ดังเดิม เผลอๆจะเหนียวแน่นยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ใช่แล้ว...ขอให้เป็นแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะต้องผิดใจกันกี่ครั้ง ก็ขอให้กลับมาคืนดีกันได้ทุกครั้ง

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ติตื่นมาพร้อมความสดชื่นในรอบสองสามวันที่ผ่านมา เพราะนอกจากไข้จะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ยังมีใบหน้าจิ้มลิ้มของคนรักมารอต้อนรับถึงเตียงนอนอีก มาคิดดูแล้ว เขานี่มันบ้าจริงๆ ถึงได้นึกสงสัยในตัวพะภูจนพรั้งปากทำร้ายจิตใจไป สาบานเลยว่าเหตุการณ์แบบนั้นมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว

เพราะว่าเมื่อคืนยังมีไข้อยู่ ก็เลยไม่ได้นอนกอดพะภูอย่างที่หวัง ความจริงอยากจะดึงตัวเข้ามาจูบตั้งแต่เห็นหน้าตอนแรกแล้วด้วยซ้ำ แต่วันนี้แหละ ยังไงก็ต้องขอฉวยโอกาส ทดแทนเวลาที่หายไปให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีจังหวะเหมาะๆ ให้เขาละลาบละล้วงคนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อหมอนั่นเอาแต่เครียดตลอดวัน จนถึงช่วงหัวค่ำ แค่เพราะว่าวันนี้มหาวิทยาลัยที่เขาไปสัมภาษณ์มาจะประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาเท่านั้นเอง เครียดยิ่งกว่าคนเข้าเรียนเองซะสินะเนี่ย ยังไงก็ต้องผ่านอยู่แล้ว เขามั่นใจ

พอใกล้ถึงช่วงเวลาประกาลผลตามตาราง ติก็เปิดหน้าเว็บไซต์ของทางมหาวิทยาลัยรอไว้ ขณะเดียวกันก็ต่อ Skype หาศิลป์กับเกต์ เพื่อรอลุ้นไปพร้อมๆกัน

“เชี่ย พวกมึงแม่ง!” ได้ยินเสียงเกต์โวยวายทันทีที่เปิดโปรแกรมขึ้นมา และเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่กับพะภู ส่วนศิลป์ก็กำลังกอดนิวซะแน่น ทำอย่างกับจะอวดให้ใครแถวนี้อิจฉาเล่น แถมดูเหมือนว่าจะได้ผลเต็มๆอีกต่างหาก

“อะไรของมึง?”

“กูเป็นคนเดียวที่ไม่มีใคร ฮืออ!”

คนอยู่ลำพังได้แต่โอดครวญแบบติดตลก เรียกเสียงหัวเราะแกมเห็นใจจากอีกสี่คนที่เหลือ ความจริงเกต์ก็หน้าตาดีระดับต้นๆ ถ้าคิดจะหาแฟนสักคนก็ไม่นักหนาอะไรอยู่แล้ว ทำมาเป็นบ่น เพราะตัวเองไม่คิดจะรักใครเองน่ะสิ ถึงต้องอยู่คนเดียวแบบนี้

“ก็หาสิมึง”

ศิลป์ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง โพลงความคิดของติออกไป แถมยังแกล้งเกต์ด้วยการก้มลงหอมแก้มนิวฟอดใหญ่ จนคนตัวเล็กเขินหน้าแดงก่ำ เห็นแล้วก็ชักอิจฉา เลยคว้าตัวพะภูที่นั่งแกะเปลือกส้มข้างกัน เข้ามาจุ๊บเบาๆ บนริมฝีปากนุ่มไปทีอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แน่นอนว่าแลกมาด้วยการโดนฟาดแรงๆตรงไหล่

“เออ พวกมึงจำไว้ อย่าให้กูมีบ้างนะ”

“เขาประกาศผลแล้วมั้ง” ศิลป์เปลี่ยนประเด็นก่อนจะหายไปกดเข้าหน้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเพื่อตรวจสอบ ตามมาด้วยเกต์ และติ ตามลำดับ

ทั้งสามคนต่างเงียบใส่กัน จนแม้แต่พะภูที่ไม่เกี่ยวข้องก็ยังอดลุ้นจนตัวโก่งไม่ได้ หลังจากติเข้าระบบไปแล้ว หน้าจอประกาศผลก็ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตาทั้งคู่ พอเลื่อนลงมาเล็กน้อยจึงเห็นข้อความสีเขียวลอยเด่นอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม

[ผ่านการสอบสัมภาษณ์]

“เฮ้ยย!”

พะภูร้องออกมาก่อนเจ้าตัว กระโจนเข้ากอดติด้วยความดีใจออกหน้าออกตา จนคนตัวใหญ่อดยิ้มในท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้ ติรีบคว้าโอกาสนี้รวบเอวบางเข้ามาใกล้ และฝังปลายจมูกลงกับแก้มเนียนเป็นครั้งที่ร้อยของวัน

ดูเหมือนทางศิลป์กับเกต์เองก็ผ่านอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน ทั้งสามคนคุยกันต่ออีกหน่อยถึงแผนปิดร้านอาหารเลี้ยงข้าวรุ่นน้องในกลุ่ม ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำธุระของใครของมัน

“ขอรางวัล”

“หา?” คนเด็กกว่ารีบเขยิบตัวหนี เมื่อติหันมาแบมือใส่ แถมตีสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่ไม่นึกอยากเห็น “มะ..ไม่ได้เตรียมไว้ เดี๋ยวไว้ค่อยให้นะครับ”

“จะเอาตอนนี้แหละ” สิ้นเสียงทุ้ม คนตัวใหญ่ก็ลุกขึ้นช้อนร่างพะภูขึ้นไปโยนไว้บนเตียงสปริง ทำเอาคนถูกแกล้งถึงกับผวา รีบยกแขนขึ้นยันอกกว้างซึ่งทำท่าจะโน้มเข้าหา

“ไม่เล่นนะพี่ติ”

“ก็ไม่ได้เล่น ขอจริงๆ”

“มะ..”

“นะ”

คำสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจของคนเบื้องล่างเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ แก้มสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อจนถึงใบหู ดวงตากลมโตพยายามหลุบต่ำลง พลางส่งเสียงประท้วงออกไปไม่เต็มปากเต็มคำนัก

“ม..ไม่เอา”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่ท่าทางร่างกายจะไม่ใช่ ถึงได้ยอมลดแขนที่กำบังไว้ลง ปล่อยให้ติโน้มเข้ามาตักตวงความหวานจากโพรงปากอุ่นอย่างง่ายดาย ลิ้นหนาตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างจู่โจม มือหนึ่งช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนตัวเล็กให้คลายออก พร้อมลากไล้ไปทั่วแผงอกบาง

“อื้ม..ม”

ติค่อยๆถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนกดริมฝีปากหนักๆลงกับซอกคอขาว จงใจฝากรอยแดงแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ชัดเจน เริ่มไล้ลิ้นชื้นลงมาตามแนวไหปลาร้า จนถึงยอดอกสีชมพู ซึ่งตั้งชูชันราวกับจะเชิญชวนให้เข้าไปลิ้มลอง

ไม่รอช้า รีบตวัดลิ้นสะกิดเบาๆ ก่อนดูดดึงเล่นด้วยความชำนิชำนาญ พาลให้คนด้านใต้เกร็งเสียจนตัวบิด ติส่งเสียงพอใจในลำคอออกมา เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำกับท่าทางระส่ำระส่ายของคนรัก จึงยิ่งแกล้งขบเม้มไปตามเนื้อตัว แทบทุกจุดที่ปากอุ่นลากผ่าน กางเกงนอนกับชั้นในถูกปลดออกไปไม่ยากนัก เผยให้เห็นแก่นกายขนาดพอดีตัว กำลังสั่นระริกจากอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

คนตัวใหญ่แสยะยิ้มเมื่อเห็นของเหลวสีขุ่นเริ่มไหลออกมาชโลมส่วนสงวนของพะภูบ้างแล้ว ติกดจูบบางเบาบนส่วนยอด ก่อนจะครอบปากลงไปจนเกือบสุด พยายามใช้ลิ้นนำ และตามด้วยการขยับเข้าออกช้าๆ มือข้างหนึ่งอ้อมไปนวดคลึงบริเวณสะโพกมน ไล่ร่นลงมาถึงก้อนเนื้อนุ่มหยุ่น พร้อมสอดนิ้วเรียวแทรกผ่านเข้าไปยังช่องทางด้านหลังอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

“อ..อ๊ะ!”

พะภูพยายามยกตัวขึ้นมองการกระทำน่าอายที่กำลังดำเนินอยู่ พลางเอื้อมมือเข้าขยุ้มกลุ่มเส้นผมสีดำสนิทตรงหน้าเพื่อช่วยระบายอารมณ์ ความรู้สึกมากมายปนเปกันอยู่ในหัว ทั้งแปลก ทั้งอาย ทั้งกลัว ทั้งรู้สึกดี จนไม่รู้ว่าควรตอบรับแต่ละสัมผัสอย่างไร นอกจากปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นอิสระ ความจริงเขาเองก็นึกปรารถนาในเรื่องแบบนี้ไม่แพ้กัน เพียงแต่คอยปิดกั้นมันไว้ตลอดมา จนในที่สุด จุกที่เคยปิดซ่อนแรงราคะตามธรรมชาติของมนุษย์ก็เริ่มเปิดออกทีละเล็กทีละน้อย

ติเพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปมากขึ้นตามลำดับ ยิ่งเร่งเร้าทั้งความเจ็บและเสียวซ่ายในเวลาเดียวกัน ไม่นานนักร่างข้างใต้ก็กระตุกตัวเกร็ง พร้อมปลดปล่อยสายน้ำอุ่นๆ เข้ามาเต็มปากของคนตัวใหญ่ ก่อนจะคลายมือออกจากเส้นผมของติ และกลับไปนอนหอบน้อยๆ

“อึ๊!” ปากแดงฉ่ำร้องออกมาเบาๆ เมื่อติถอนนิ้วทั้งหมดออกจากร่างกาย ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง แทรกผ่านเข้ามายังช่องจีบที่เพิ่งถูกแหวกออกสำหรับการเตรียมพร้อม ทำเอาสั่นสะท้านไปทั่ว

คนตัวสูงลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกอย่างเร่งรีบ ก่อนขยับตัวเข้าหาร่างเล็กอีกครั้ง ริมฝีปากอุ่นพรมจูบไปทั่วใบหน้าและแผ่นอกหวังช่วยปลอบขวัญ พอเห็นว่าพะภูเริ่มสงบลงแล้ว จึงจัดการแยกขาเรียวออก และจับเอาความเป็นชายขนาดใหญ่โตของตัวเองเข้าจ่อยังปากทางสีหวาน มีน้ำรักหยดลงมาจากส่วนยอดของแก่นกายซึ่งเริ่มจะทนไม่ไหว ไม่รอให้อีกฝ่ายส่งเสียงทักถ้วง ก็ค่อยๆ แทรกตัวผ่านเข้าไปทีเดียวครึ่งทาง

“โอ้ยยย! เจ็บ! พี่ติเจ็บ!” เป็นอย่างที่คาด คนตัวเล็กดิ้นพล่าน ทำท่าจะถดตัวหนี จนเขาต้องรีบยึดขาเนียนทั้งสองข้างไว้แน่น พร้อมยัดเยียดส่วนอุ่นๆเข้าไปจนสุด เพราะยากที่จะทานทนกับแรงอารมณ์ซึ่งกำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง รีบโน้มตัวเข้าแลกลิ้นกับคนเด็กกว่าอย่างเร่าร้อน หวังช่วยคลายความเจ็บ

“อื้ออ...อืม”

“โอเคยัง?”

เอ่ยปากถามหลังจากที่แช่แก่นกายเอาไว้นานพอตัว จนไม่เห็นทีท่าว่าคนตัวเล็กจะร้องโอดครวญแบบเมื่อครู่แล้ว บอกตรงๆว่าถึงไม่โอเคตอนนี้เขาก็คงไม่รอแล้วล่ะ เมื่อไอ้ส่วนที่เต้นตุบๆอยู่ภายในตัวอีกฝ่ายทำท่าว่าใกล้ระเบิดเต็มที ยิ่งพะภูตอดรัดเขาขนาดนี้ ถ้าไม่รักจริงมีหวังได้จัดเต็มไปนานแล้ว แต่ที่พยายามควบคุมตัวเองอยู่ก็เพราะรักหรอก ไม่อยากให้ต้องเจ็บ ยิ่งเป็นครั้งแรกด้วย เขาอยากให้เด็กนี่จดจำเฉพาะความสุขที่ได้รับจากมัน

คนถูกถามหลุบตาต่ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ ถึงอย่างนั้นก็ยอมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้ติยิ้มออก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขากำลังมีอะไรกับผู้ชาย แถมมันยังเจ็บสุดๆ แต่เขาก็อยากจะทนนะ เพราะเขารักติมากนี่น่า เขาอยากทำให้ติมีความสุขในวันที่ดีแบบนี้

“ถ้าเจ็บก็จิกแขนฉัน อย่าทำร้ายตัวเอง เข้าใจไหม?” ฝ่ายนำ ยกแขนพะภูขึ้นเกาะไหล่เป็นมัดของตัวเอง ก่อนจะขยับร่างกายส่วนล่างเข้าออกช้าๆ และเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นตามลำดับ ภายในห้องมีเพียงเสียงครางกระเส่าสลับกับเสียงหอบของคนสองคนดังระงมไปทั่ว ยิ่งกระตุ้นอารมณ์รักภายในตัวทั้งคู่ให้ยิ่งกระเจิดกระเจิง

“อ๊ะ...อ๊า!”

“อา...” ติครางต่ำ พร้อมกดต้นขาพะภูเข้าหาตัวเจ้าของ เพื่อที่จะแทรกความเป็นชายเข้าไปให้ลึกยิ่งขึ้น จนคนตัวเล็กได้แต่ส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษา หลังจากความเจ็บค่อยๆจางหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความสุขสมและรู้สึกดีเกินคาด

“โอ้ย..พ..พี่ติ”

“ภู..วิเศษ...นายวิเศษมาก”

“อึ๊ อ๊ะๆ...”

คนตัวใหญ่เร่งเครื่องเต็มที่ พลางโน้มตัวเข้าไปดูดริมฝีปากล่างของร่างบางอย่างหยอกเย้า พะภูที่กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ พยายามแลบลิ้นออกมาหวังจะได้สัมผัสกับลิ้นอุ่นของอีกฝ่าย แขนสองข้างเลื่อนขึ้นโอบรอบคอติไว้แน่น ทั่วทั้งใบหน้าและลำตัวร้อนผ่าวจากแรงรักและความเขินอาย น้ำตาหยดใสร่วงผ่านพวงแก้มเนียนยิ่งเสริมให้ภาพของเด็กตรงหน้าแลดูน่ารักน่ามองกว่าทุกที

“พี่ติ..ผม อ๊ะ..จะ” พะภูร้องบอก เมื่อเริ่มใกล้ถึงขีดจำกัดของความรู้สึก

“ฉันก็ใกล้จะถึงแล้ว งั้นพร้อมกันนะ”

“อ..อ๊าาาา!”

ติกัดฟันกระแทกตัวเข้าหาร่างข้างใต้อย่างสุดแรง พร้อมปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเข้าไปจนล้นออกมาเปรอะเปื้อนก้อนสะโพกทั้งสอง ยืดหยดลงมาถึงผ้าปูที่นอนสีขาว พอดีกับที่ร่างบางกระตุกรุนแรง พร้อมน้ำสีขาวขุ่นที่พวยพุ่งออกมาเต็มหน้าท้อง

ร่างสูงจำใจถอนแก่นกายออกอย่างเนิบช้า ก่อนจะพลิกตัวลงนอนขนาบข้างกับคนตัวเล็ก ซึ่งเอาแต่หอบเหนื่อยจนแผงอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ แขนใหญ่รวบตัวคนรักเข้ามากอดไว้หลวมๆ พอให้ไม่อึดอัดจนเกินไป พลางกดจูบลงบนขมับ นิ้วเรียวยกขึ้นซับน้ำตาออกให้อย่างเบามือ

“ฉันรักนายนะ”

“ผมก็รักพี่ติครับ” ร่างบางยิ้มรับ และกอดตอบคนตัวใหญ่ไว้แน่นทั้งที่ยังเปลือยเปล่า ต่างฝ่ายต่างซึบซัมความสุขที่อบอวลไปทั่วด้วยหัวใจอันพองโต นี่สินะ...สิ่งพิเศษที่เรียกว่า ความรัก

“ฉันมีความสุขมากเลย”

ติกระซิบ พลางกดปลายจมูกลงกับกลุ่มผมชุ่มเหงื่อของคนตัวเล็ก มือที่โอบรั้งเอวอีกฝ่ายไว้เริ่มลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังอย่างรักใคร่ พะภูเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายด้วยแววตาลึกซึ้ง

“พี่ติอย่าทิ้งผมนะครับ”

“นายก็เหมือนกัน”

“อื้อ...อยู่ด้วยกันนะ”

ร่างสูงยิ้มกว้าง ค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าหา จนหน้าผากทั้งคู่แตะกัน พะภูอมยิ้มหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ รับฟังคำพูดจากคนรักด้วยความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าทุกครั้ง

“อยู่ด้วยกัน”

----------------------------------------------------

ทำยังไงถึงจะแต่งได้ไวๆ เนี่ยยย
 :ling1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 19-10-2015 19:25:20
บทที่ 35

 

“อืม..ม”

พะภูผละตัวออกจากร่างสูงด้วยท่าทีขัดเขิน ถึงแม้ว่าเขากับติจะไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แต่ไอ้การมีปฏิสัมพันธ์แบบจู่โจมอย่างเช่นการจูบบ้าง การหอมบ้าง หรือบางครั้งก็ลามปามไปถึงขั้นซุกไซร้เนี่ย ยังไงก็ไม่มีวันชิน! ดูเหมือนภายหลังจากคืนนั้น ติจะยิ่งหยอดความหวานใส่มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบทำตัวไม่ถูกแล้ว

อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็มาชวนไปกินข้าวดูหนัง แถมอ้อนเสียตลอดวัน ทำอย่างกับเป็นเด็กไปได้ พอมาส่งถึงหน้าบ้าน ก็ยังไม่ยอมกลับสักทีอีก ที่ห่วงน่ะ กลัวว่าพะพายจะออกมาเห็นแล้วแว้ดใส่เอาน่ะสิ

“เกือบลืมบอก พอดีฉันเพิ่งได้บัตรละครเวทีจากรุ่นพี่มา มะรืนนี้ไปดูด้วยกันนะ” ติแกว่งมือเขาไปมา หวังว่าจะได้ยินคำตอบรับที่น่าพอใจ แต่คงต้องผิดหวัง เพราะมะรืนนี้เขามีงานต้องทำ กำลังหาจังหวะบอกคนตัวใหญ่อยู่พอดีเลย

“มะรืนนี้จะมีทัวร์มาลงที่ร้านฮิคาริ พี่จินเลยวานให้ผมไปช่วยอ่า”

“อะไรอะ ไปแถวนั้น เดี๋ยวก็เจอไอ้ธรอีก”

“ไม่เจอหรอกน่า ผมอยากไปช่วยพี่จินด้วย ขอไปนะครับ” รีบเข้าไปคลอเคลียเป็นลูกแมว จนอีกฝ่ายเริ่มมีท่าทีโอนอ่อน ก่อนจะถอนหายใจออกมา พยักหน้าลงเล็กน้อย

“ก็ได้ งั้นฉันเอาบัตรให้ไอ้ศิลป์ละกัน”

“ดีครับ พี่ศิลป์จะได้ไปกับนิวไง”

“อืมๆ งั้นฉันกลับละ”

“ขับรถดีๆนะครับ”

ติยิ้มตอบ และเดินขึ้นรถไปอย่างอ้อยอิ่ง ความจริงเขาไม่อยากอยู่ห่างจากพะภูเลยแม้แต่นาทีเดียว เพราะรู้ดีว่า พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คงมีโอกาสได้เจอกันน้อยลง จึงอยากตักตวงช่วงเวลานี้ให้ได้มากที่สุด

 

“พะภู วานดูแลแขก VIP หน่อยนะ”

เสียงตะโกนของพี่จินดังขึ้นจากในครัว ก่อนที่พนักงานอีกคนจะรีบยื่นเมนูสองแผ่นมาให้ และดันหลังเขาให้ตรงไปยังห้องด้านในสุดของร้าน ขณะที่ด้านหน้ากำลังวุ่นวายและเสียงดัง ด้วยจำนวนของลูกค้าที่มากเป็นพิเศษ ทั้งที่เพิ่งมาถึงและเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะประจำร้านได้แป๊บเดียว ก็ต้องเริ่มทำงานแล้ว ท่าทางว่าคงต้องอยู่ช่วยจนถึงดึกเลยล่ะมั้งเนี่ย

“ขอโทษที่ให้รอ..ครับ”

สุ้มเสียงขาดช่วงไปเล็กน้อย เมื่อเขาเลื่อนบานประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของผู้ชายสองคน ซึ่งมั่นใจว่าเป็นสองคนบนโลกที่ติไม่นึกพิสวาสมากที่สุด!

“พี่ธร...ชุน!?”

ประตูถูกปิดลง พร้อมความงงงันที่ลอยตัวอยู่ทั่วบริเวณ ธรเองก็คงตกใจไม่น้อยที่มาเจอเขาทำงานอยู่ที่นี่อีก แถมพวกเขายังไม่ได้เจอกันอีกเลยหลังจากวันที่ไปกินไอศกรีมแล้วเกิดเรื่องเข้าใจผิดบ้าๆนั่น แต่ที่ดูจะน่าตกใจมากยิ่งกว่า เห็นจะเป็นนายชุน ลูกชายเสี่ยพิชัย เจ้าหนี้เก่าของลุงยศ ซึ่งเคยเผชิญหน้ากันมาก่อนตอนไปเที่ยวทะเล ทำไมคนคนนั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่ และทำไมถึงอยู่กับธร?

“รู้จักกันเหรอ?” ธรถาม พลางมองหน้าพะภูกับชุนสลับไปมา ท่าทางดูงงไม่แพ้กัน

“เคยเจอกัน แล้วพวกนายก็รู้จักกันเหรอ?”

ธรไม่ตอบคำถาม แต่กลับกวักมือเรียกพะภูให้เข้าไปใกล้ บังคับให้อยู่ดูแลตัวเองกับชุนตลอดการรับประทานอาหาร ถึงแม้ว่าอยากจะออกปากต่อว่า แต่คิดอีกที พี่จินคงไม่ยอม เลยได้แต่ก้มหัวเออออไปตามนั้น

“ตั้งแต่เจอพะภูคราวนั้น ฉันก็ต้องไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ เพิ่งกลับมา ทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรที่นี่เลย มีอะไรรึเปล่า?” ชุนหรี่ตาถามขึ้น หลังจากทานอาหารไปได้สักพัก บทสนทนาเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ที่ทั้งคู่เอาแต่คุยกันเรื่องธุรกิจกับผลประโชยน์ที่เขาฟังแล้วไม่เข้าใจ

“ทำไม?”

“ก็ไม่คิดว่านายกับพะภูจะสนิทกันได้ ในเมื่อหมอนี่เป็นเด็กของกีรติ”

ชื่อคนรักถูกเอ่ยถึง ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง หูสองข้างตั้งใจฟังว่าทั้งคู่กำลังจะพูดอะไรต่อไป เกือบลืมไปแล้วว่าทั้งธรและชุน ต่างก็ไม่ถูกกับติสักเท่าไร คงไม่ใช่ว่ากำลังวางแผนต่อต้านติหรอกนะ

“ไม่รู้สิ” ธรตอบแบบปล่อยให้คิดต่อเอาเอง ท่าทางคงไม่อยากพูดเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่คนที่ยิ่งซักไซ้เข้าหาเรื่องของกีรติกลับเป็นผู้ชายที่ดอดขึ้นมาจากทางใต้นี่สิ

“ความจริงนอกจากเรื่องธุรกิจแล้ว ฉันก็ตั้งใจมาคุยกับนายเรื่องกีรติกับพะภูเหมือนกัน”

“หือ?”

“เพิ่งมีโอกาสมาปรึกษา เพราะคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ น่าจะมาคุยกันต่อหน้า ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเจ้าตัวเองแบบนี้” ชุนยังคงพูดต่อเหมือนไม่เกรงใจว่าคนในบทสนทนากำลังนั่งหัวโด่ ตีหน้าสงสัยอยู่ตรงนี้ ธรเหล่ตามองคนข้างๆเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้ชุนเปิดปากเรื่องที่ต้องการจะปรึกษา เพราะไม่แน่ว่าอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะพลิกเกมระหว่างเขากับติก็ได้ ในเมื่อทายาทของเจ้าพ่อข่าวสารในวงการธุรกิจเป็นคนเอ่ยปากเองแบบนี้

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

“เพราะฉันสงสัยว่าทำไมนายถึงคบกับติ ทั้งที่มีความแค้นต่อเสี่ยจิวมากแท้ๆ” คราวนี้ชุนหันไปจ่อพูดเอากับพะภูโดยตรง ยิ่งเร้าความสงสัยในใจคนฟังให้เพิ่มมากขึ้น

“หมายความว่ายังไง?” ธรกับพะภูถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทำเอาชุนถึงกับเบิกตากว้าง แอบตกใจที่แม้แต่ธรเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย แถมยังค่อนข้างเป็นข้อมูลท้องถิ่นก็ได้มั้ง

“นายไปมีความแค้นอะไรกับเสี่ยจิว ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง” ธรหันมาคาดคั้นพะภูต่อ ทำให้ชุนถึงกับร้องอ๋อในใจ ที่คุยกันไม่รู้เรื่องก็เพราะ ธรกับพะภู ต่างมีข้อมูลของเรื่องนี้กันเพียงคนละครึ่ง จึงรีบเอ่ยปากอธิบาย

“พะภูเคยถูกเสี่ยจิวจับไป แต่หนีออกมาได้ เพราะงั้นถึงสมควรเกลียดเสี่ยจิวเข้าไส้ ทำให้ฉันสงสัยว่า ทั้งที่เป็นแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้อยู่กับอัครโภคิน แต่ตอนนี้คิดว่าเข้าใจแล้ว...”

พอเล่ามาถึงตรงนี้ ธรก็รีบหันควับเข้าจ้องหน้าคนตัวเล็กอย่างตกใจ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพะภูคือเด็กที่หนีออกมาจากเสี่ยจิว ความจริงเรื่องนี้เขาพอแว่วๆมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์นั้น และเด็กคนนั้น จะกลายมาเป็นหมากตัวสำคัญของเรื่องนี้เอาในตอนนี้!

“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้...”

พะภูมองหน้าชุนกับธรสลับกันไปมาอย่างหวาดระแวง ความกลัวบางอย่างเริ่มจู่โจมเข้าใส่จากภายใน หัวใจสูบฉีดเลือดด้วยจังหวะแปลกๆ ราวกับว่าไม่อยากจะรับรู้

“นายไม่รู้เหรอ ว่าเสี่ยจิว เป็นอาของกีรติ”

เหมือนกับมีใครมาหยุดเวลาเอาไว้ หลังจากสิ้นเสียงหนักแน่นของชุน พะภูก็ได้แต่นิ่งงัน จ้องหน้าคนพูดเขม็ง เหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสี่ยจิว คนที่เขาเกลียดนักหนาจนถึงขั้นว่าอยากฆ่าให้ตาย กลับกลายมาเป็นอาของคนที่รักที่สุดได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เสี่ยจิวไม่ใช่อัครโภคินสักหน่อย ไม่ใช่จริงๆนะ! เพราะงั้นติก็ต้องไม่เกี่ยวข้องสิ!

“แต่ก็ไม่แปลกหรอก น้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้ เพราะเสี่ยจิวเป็นพี่ชายของแม่ไอ้ติ แถมไม่ค่อยได้ออกงานร่วมกันด้วย”

พี่ชายของแม่...ก็แปลว่าต้องใช้คนละนามสกุลงั้นสิ ไม่...ไม่จริงอะ ไม่ใช่ใช่ไหม ทั้งที่คิดว่ามันควรจะจบแล้ว เรื่องนี้มันควรจะมีความสุขแล้ว แล้วทำไมถึงกลับตาลปัตรอีกจนได้!?

“พี่...ติ..”

ดวงตากลมโตกลอกซ้ายขวาอย่างคนกำลังเสียสติ ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว ถูกประมวลผลอย่างหนักจนรู้สึกปวดตุบไปทั่วขมับ หัวคิ้วสองข้างย่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ ส่งให้ผู้ชายอีกสองคนอดเป็นห่วงไม่ได้ ธรเอื้อมมือขึ้นแตะหัวไหล่บางซึ่งเริ่มสั่นน้อยๆ แต่ก็ถูกสะบัดออกทันที ราวกับถูกไม่เชื่อใจ ใช่...เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรทั้งนั้น

ทุกอย่างที่ผ่านมาระหว่างเขากับติ มันมากมายเกินกว่าที่จะสลายลงไปง่ายๆแบบนี้ เพราะงั้นเขาถึงไม่อยากเชื่อ! ติไม่มีทางทรยศเขา เช่นกันกับที่เขาจะไม่ทรยศติอีก...ทั้งที่ฟันฝ่ามาจนได้รักกันแล้ว จนความเจ็บช้ำจางหายแล้ว ทำไมถึงต้องมารับรู้เรื่องชวนปวดใจแบบนี้ด้วย

หลอกสินะ...สองคนนี้กำลังหลอกให้เขาสงสัยติใช่ไหม เพราะสองคนนี้เกลียดตินี่น่า! คนตัวเล็กยึดมือทั้งสองข้างไว้กับชุดยูกาตะแน่น เริ่มพูดคุยกับตัวเองภายในความคิด พะภู...นายต้องใจเย็นๆนะ อย่าลืมสิว่านายกับติผ่านอะไรด้วยกันมาบ้างกว่าจะถึงวันนี้ อย่าลืมว่าความรักครั้งนี้มันสำคัญและยิ่งใหญ่มากขนาดไหน อย่าลืม ว่าเราจะอยู่ด้วยกัน...

“พี่ธร..หลอก...”

ปากบางเอ่ยเสียงสั่น สายตาถมึงทึงซึ่งเริ่มมีน้ำตาคลอขัง จับจ้องไปยังใบหน้าถอดสีของธรนิ่งๆ อีกฝ่ายได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทีของคนตัวเล็ก ไม่คิดว่าจะถูกต่อว่าด้วยกิริยาแบบนี้ เด็กนี่ไม่เชื่อใจเขาเลยจริงๆสินะ ทั้งที่เป็นห่วงจนแทบอยากจะดึงร่างตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่นๆ แล้วทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้าง

“ไม่ใช่นะ เสี่ยจิวเป็นอาของติจริงๆ ถามมันเองเลยก็ได้”

“นี่เรื่องจริงนะ แล้วพวกเราก็เป็นห่วงนายด้วย เพราะถ้ามันเป็นแบบนี้ อาจแปลว่านายกำลังโดนหลอกก็ได้!”

“ไม่!!”

พะภูตวัดสายตาดุร้ายใส่ชุนที่ทำท่าจะเข้ามาปลอบอีกคน จนคนถูกตวาดใส่ได้แต่กลับไปนั่งนิ่งๆ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเข้าหา ทั้งที่ในใจก็ห่วงเหลือเกิน คนตรงหน้าดูเปราะบางเกินไป บางทีคงถูกทำให้ไหลไปตามเกมของไอ้เสี่ยจิวแล้วก็ได้ใครจะรู้ ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็อยากช่วย เพราะส่วนตัวก็ไม่ถูกกับทางเสี่ยจิวอยู่แล้วด้วย

“ถึงพี่ติจะเป็นหลานไอ้เสี่ยจิว แต่เขาต้องไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเลวๆที่มันทำอยู่แล้ว เขาต้องไม่รู้เรื่องแน่เลย...” ประโยคที่เปล่งออกไปค่อยๆแผ่วลงตามระดับความเชื่อมั่น แม้แต่ในใจเขาเองก็ยังหวั่นไหว ไม่กล้าปักใจตัดสินอะไรทั้งนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยากเชื่อใจติ แต่ติคนเดียวเท่านั้น

แค่ติไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เสี่ยจิวเคยทำร้ายเขาไว้ในอดีต เขาก็จะไม่เอาผิดอะไรเลย ต่อให้เป็นญาติพี่น้องกันเขาก็จะไม่ว่าอะไรเลย แค่ติเท่านั้น...ที่เขาขอเชื่อใจ ความจริงตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเสี่ยจิวจากติเลย ทั้งที่ใกล้ชิดกันขนาดนั้น แบบนี้ก็แปลว่าทั้งคู่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันน่ะสิ ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ติจะต้องไม่รู้เรื่องเลวๆของเสี่ยจิวแน่ เพราะอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ก็เขาตัดสินใจไปแล้วนี่น่า ว่าจะขอฝากตัวและใจไว้กับอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ โดยเลิกคิดเรื่องในอดีตทั้งหมด อยากอยู่ภายใต้ความอบอุ่นของคนคนนี้...คนที่ทำให้เขาลืมได้แม้กระทั่งความเจ็บปวดแสนสาหัส

ก็กีรติเป็นเหมือนคนที่มาเยียวยาเขาไว้ เพราะงั้นจะเป็นคนที่ทำร้ายเขาได้ยังไงกันล่ะ...ไม่ใช่หรอก...ไม่ใช่...

“ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่พอชุนเล่าเรื่องนี้ ฉันก็พอจะเชื่อมอะไรหลายๆอย่างเข้าด้วยกันได้บ้างแล้ว” ธรยังคงตั้งหน้าตั้งตาอธิบาย แม้รู้ดีว่าตอนนี้คนข้างกายกำลังพยายามปิดใจ ไม่รับฟังอีกแล้ว แต่ชุนกลับยิ่งเร่งเร้าให้เขาเล่าต่อด้วยความใคร่รู้

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเข้าหาติทำไม แต่ไม่ว่าจะตื้อขนาดไหน ติก็ไม่เคยใจอ่อนเลยใช่ไหม...จนกระทั่งวันที่หมอนั่นกลับมาหานายที่บ้าน แล้วต่อยหน้าฉันนั่นแหละ”

“...”

พะภูทำเป็นหลบสายตาคนทั้งคู่ พยายามท่องให้ขึ้นใจ ว่าเขากับติรักกันมากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นก็ห้ามไม่ให้ได้ยินสิ่งที่ธรกำลังพยายามบอกไม่ได้

“มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไอ้ติเริ่มเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของเสี่ยจิว”

“จริงรึเปล่า? ถ้าแบบนั้นอาจเป็นอย่างที่ฉันกำลังกลัว...ว่าพวกนั้นกำลังวางแผนหลอกนายกลับไป” ชุนรีบเสริม ยิ่งทำให้จิตใจของคนไม่ตั้งใจฟังสั่นคลอนขึ้นมาอีกระลอกใหญ่ หากก็ยังพยายามระงับอารมณ์ความรู้สึก และเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยอมมองหน้าใครทั้งนั้น

“เป็นไปได้ไหมว่า พอติมาช่วยงานเสี่ยจิว ก็รู้เรื่องพะภู ทำให้รู้ว่านี่คือเด็กที่หนีออกมา เลยเข้ามาตีสนิทเพื่อจะหลอกพาพะภูกลับไปให้เสี่ยจิวน่ะ...เอ แต่ คนอย่างกีรติจะยอมทำขนาดนั้นรึเปล่า” ชุนลองเสนอความน่าจะเป็น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก ทำให้ธรต้องรีบสรุป ด้วยเริ่มคิดว่าติอาจจะหลอกพะภูจริงๆ บอกตรงๆว่าตอนนี้เขาเริ่มเดือด อยากไปตั้นหน้าไอ้เวรนั่นจะแย่แล้ว

“ไม่หรอก ถ้าติมันร่วมกับเสี่ยจิวจริง มันก็คงต้องยอมทำตามคำสั่งของอา เพราะถึงตัวมันจะบุ่มบ่าม แต่เสี่ยจิวเป็นประเภทวางแผนจัด อาจจะสั่งให้มันเข้ามาตะล่อมพะภูทีละน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าจะจับได้อยู่หมัด ไม่ปล่อยให้หนีไปอีกไง”

“ยอมทำตามคำสั่ง โดยการคบหากับผู้ชายด้วยกันเลยน่ะเหรอ?” ชุนตั้งคำถาม เพราะเขาไม่รู้จักกีรติดีขนาดนั้น แต่จากที่ได้ยินมา ก็ดูไม่ใช่คนที่จะโยนศักดิ์ศรีความเป็นหัวหน้านักเลงทิ้งไปง่ายๆ ถึงแม้ว่าพะภูจะดูน่ารักในสายตาของผู้ชายด้วยกันมากขนาดไหนก็ตามเถอะ

“มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากอยู่แล้วหนิ เพราะสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่ายิ่งมันคบกับพะภู ก็ยิ่งมีคนติดตามมันมากขึ้นซะด้วยซ้ำ”

“อย่างงั้นเอง”

คนตัวเล็กเริ่มคดตัวเข้าหากัน มือสองข้างปิดหูไว้แน่น แต่ก็ยังไม่วายได้ยินทุกคำที่ทั้งสองคนช่วยกันตั้งข้อสังเกต ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ว่า หัวใจดวงนี้ไม่ได้มีความมั่นใจมากมายนักเลย ทั้งที่อยากจะเชื่อในความรักของตัวเอง แต่อะไรบางอย่างกำลังเริ่มเกาะกินทีละเล็กทีละน้อย กระซิบเบาๆให้ได้ยินว่า ทุกอย่างที่ฟังมานั้นเป็นเรื่องจริง สมองแสนทรยศเริ่มขุดคุ้ยความทรงจำในอดีตขึ้นมาฉายให้เห็นอยู่ภายในหัวซึ่งกำลังปวดตุบตับ

 

‘ละ แล้วนี่ พี่ติไปไหนหรอครับ ตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว’

‘ไปช่วยงานคุณอาที่บริษัทมั้ง เห็นช่วงนี้แวบไปบ่อยๆ’

 

‘เมื่อเช้าไปไหนมา..’

‘ไปทำงาน’

‘ไม่บอกก่อน’

‘คุณอาเรียกตัวไปตั้งแต่เช้า เห็นเราหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก’

 

‘ตอนนี้ผมก็พยายามใกล้ชิดเขาให้มากที่สุด จะได้ตายใจ’

‘อาก็รู้ว่าผมเต็มใจจะช่วย’

‘ผมยอมแลกได้อยู่แล้ว ขอให้ไว้ใจผมเถอะ... ผมจะช่วยอาจับเขาให้ได้’

 

น้ำตาหยดแรกร่วงเผาะ โดยไร้เสียงสะอื้น หัวใจสูบฉีดเป็นจังหวะเนิบช้า คล้ายว่ากำลังเหน็ดเหนื่อยเต็มทน กับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา แม้ไม่อยากคิดแต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เมื่อหลายๆอย่างมันช่างลงล็อคกันอย่างพอดิบพอดีเสียจนน่าใจหาย ริมฝีปากบางค่อยๆเผยอออกทั้งที่สั่นระริก

“ผม..จะ..ไปถาม...พี่ติ”

“จะบ้าหรือไง! นายมั่นใจแค่ไหนกัน ถ้าเกิดไอ้ติมันร่วมมือกับเสี่ยจิวจริง แล้วนายเกิดหลุดปากเรื่องนี้ คิดว่ามันจะปล่อยให้นายกลับมาได้อีกไหม?”

เสียงตะคอกจากธรรังแต่จะทำให้จิตใจของคนตัวเล็กสั่นคลอน ยิ่งกับสายตาจริงจังของทั้งคู่ที่ส่งมา ก็ยิ่งกดดันให้เขาต้องตัดสินใจ ในหัวมันปวดไปหมดจนแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว...สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาอย่างไม่คิดปิดบัง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเอาแต่พึมพำคำเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนคนมองรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ

“ไม่...พี่ติ..ไม่...”

ไม่จริงใช่ไหม กีรติ... ไม่จริงใช่ไหม...?
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:18:32
บทที่ 36

 

“อีกเดี๋ยวฉันต้องไปบ้านเพื่อน จะค้างนั่นสักสองอาทิตย์ ยังทำสรุปแผนงานของคณะกรรมการไม่เสร็จเลย”

พะพายยืนกอดร่างไร้เรี่ยวแรงของน้องชายสุดที่รักเอาไว้ ปากก็พูดกับธร ที่เพิ่งขับรถมาส่งพร้อมอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังจนเสร็จสรรพไปด้วย ความจริงเวลาแบบนี้เธอควรอยู่ข้างกายพะภูมากที่สุด แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อนัดกับพวกอดีตคณะกรรมการนักเรียนไปแล้ว ว่าจะไปช่วยกันปั่นสรุปแผนงานตลอดปีที่บ้านประธาน เพื่อส่งต่อให้กับคณะกรรมการนักเรียนรุ่นต่อไป แล้วยังต้องเสนอต่อผอ.ในไม่ช้านี้แล้วด้วย

แม้ว่าใจจริง เธออยากจะบุกไปคฤหาสน์อัครโภคิน แล้วถีบยอดหน้าไอ้เวรที่เคยสัญญาว่าจะดูแลพะภูอย่างดีซะเดี๋ยวนี้เลยก็เถอะ แต่ก็ทำได้แค่ใจเย็นและคอยให้กำลังใจเด็กในอ้อมกอดเท่านั้น ตอนแรกที่ได้ฟังเรื่องจากธร เธอก็ไม่อยากเชื่อหรอก แต่ดูท่าทีของพะภูที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่าคงจะเป็นเรื่องจริงอย่างว่า และเธอก็ไม่อยากต้องไปช่วยน้องคนนี้ออกมาจากเสี่ยจิวอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะงั้นเลยว่าจะอนุญาตให้นายธรรับอาสาคุ้มครองพะภูในช่วงที่เธอไม่ว่างนี้ไปก่อน

“ฉันให้พะภูไปอยู่บ้านฉันละกัน”

“ก็ได้ แต่อย่าคิดทำอะไรไม่เข้าท่าล่ะ” ไม่วายออกปากเตือน เพราะรู้ๆกันอยู่ ว่าคนอย่างธรนิสัยยังไง และคิดอะไรกับน้องเธอบ้าง

“จะทำอะไรล่ะ น้องเธอไม่เคยยอมอยู่แล้วหนิ”

พะพายเลิกเถียงต่อ ก่อนจะยกมือลูบหัวพะภูสองสามที แล้วส่งต่อให้ธรดูแล ส่วนตัวเองขึ้นไปเตรียมจัดของเก็บกระเป๋าให้น้องชายย้ายถิ่นฐาน เพื่อหลบจากกีรติ ไอ้จอมวางแผนแสนกลับกลอก! ไม่นานนักก็กลับลงมาพร้อมกระเป๋าใบโต คนตัวเล็กยังคงนั่งขดตัวอยู่บนโซฟาตัวประจำ พร้อมสะอื้นไห้ไม่หยุด นี่คงไม่ได้จะร้องไปตลอดทั้งคืนหรอกใช่ไหม ไม่งั้นสุขภาพหน้าตาก็พังกันพอดี

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...

เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วของคนเจ้าน้ำตาดังขึ้นรบกวน ก่อนที่ทั้งหมดจะทันได้ออกไปขึ้นรถ พะพายเป็นคนถือวิสาสะเข้าไปหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง บนหน้าจอแสดงชื่อ ‘พี่ติ’ เด่นหรา และคนที่เหลือก็ดูท่าจะพอเดาออก เมื่อพะภูยิ่งปล่อยโฮออกมาอีกระลอกใหญ่ จนธรต้องส่งสัญญาณว่าให้ทิ้งมือถือไว้ที่นี่ และรีบลากตัวคนป่วยใจขึ้นรถตรงไปยังบ้านตัวเองทันที

เมื่อรถคันหรูจอดตัวลง เหล่าแม่บ้านก็รีบกรูกันออกมาต้อนรับ พร้อมหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี ซึ่งดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นลูกชายตัวเองกลับบ้านมาพร้อมเด็กผู้ชายอีกคน แถมยังอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วงแบบนี้อีก

“ธร เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก นี่ใคร?”

“รุ่นน้องผมเองครับ พอดีมีปัญหานิดหน่อย จะให้เขามาพักบ้านเราสักระยะนะครับ”

“อะ...จ๊ะ” คุณแม่ที่ยังคงงงๆ ได้แต่พยักหน้า และสั่งให้พวกคนรับใช้เข้ามาช่วยกันประคองร่างเหนื่อยอ่อน ซึ่งใกล้จะหมดสติเต็มที

“คุณพ่อไปแล้วหรอครับ?” ธรหันมาถามแม่ ก่อนที่จะก้าวขาขึ้นบันได เห็นพ่อบอกอยู่ว่าต้องเดินทางไปดูงานถึงต่างประเทศ ทั้งที่ร่างกายก็ไม่ค่อยดีนักช่วงนี้ ซึ่งก็เป็นเหตุให้เขาต้องไปคุยธุรกิจกับทางชุนแทน

“ออกไปได้สักพักแล้วจ๊ะ ลูกดูแลน้องดีๆนะ มีอะไรก็เรียกพวกแจ๋วล่ะ”

“ครับ”

ร่างบางถูกประคองขึ้นมาจนถึงห้องนอนส่วนตัวของธร ขนาดกว้างใหญ่พอๆกับห้องของติ ที่ผนังตรงกลางมีเตียงคิงไซส์ท่าทางสบายตั้งตระหง่าน อีกมุมของห้องมีเครื่องดนตรีสากลตั้งอยู่สองสามชิ้น โต๊ะทำงานกับชั้นวางหนังสือก็เรียงเข้าที่เข้าทางดี สิ่งเดียวที่ผิดแปลกไปจากเครื่องตกแต่งทั้งหมด รวมถึงวิสัยของเจ้าของห้องก็เห็นจะเป็นตุ๊กตากระต่ายขนฟูตัวใหญ่ที่กำลังเอนหลังพิงเข้ากับด้านหนึ่งของเตียงนอน ถูกเย็บให้มีรอยยิ้มน่ารักผุดขึ้นมาตลอดเวลา ชวนให้คนสะอึกสะอื้นเมื่อครู่ใจเย็นลงได้บ้าง

“หยุดร้องไห้หรือยัง?”

คนตัวเล็กสูดน้ำมูกสุดแรง พยายามอย่างมากที่จะฝืนตัวเองไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาอีก ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับน้อยๆ ร่างสูงจึงรีบยิ้มรับ พลางลูบหัวพะภูอย่างปลอบประโลม

“อย่าเครียด อย่าคิดมาก เข้าใจไหม?”

“...”

“จะมัวแต่เศร้าอย่างเดียวไม่ได้นะ เราต้องสู้กับพวกมัน เพราะงั้นก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้”

“...”

พะภูได้แต่ก้มหน้าฟังโดยปราศจากคำพูดใดๆ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายนึกเป็นห่วงสภาพจิตใจของเขามากขึ้นไปใหญ่ ธรลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะรวบตัวพะภูเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เมื่อไม่รู้สึกถึงท่าทีขัดขืนจึงยิ่งกดหัวเล็กให้ซบลงกับอกกว้าง เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาอยู่ใกล้ใบหู

“แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

ความจริงเขาต้องขอบคุณกีรติที่ อาจจะเข้ามาหลอกพะภู ตามข้อสันนิฐานของเขากับชุน ส่งให้เขามีโอกาสได้ทำคะแนนในช่วงที่พะภูกำลังอ่อนแอแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะยังคอนเฟิร์ม 100 เปอร์เซ็นไม่ได้ ว่าติตั้งใจวางแผนจับพะภูกลับไปให้เสี่ยจิวจริงหรือเปล่า แต่ดูจากอะไรหลายๆอย่าง มันก็ทำท่าจะเป็นไปได้มากทีเดียว แถมพะภูเองก็ดูเหมือนจะรู้อะไรมาหรือจับสังเกตอะไรได้ ที่ทำให้ต้องเชื่ออย่างอยากจะเลี่ยงซะด้วยสิ

แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง เขาก็ไม่อยากสนใจ นอกจากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดพะภูให้มากที่สุด แม้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหนก็ตาม...

 

“บ้าเอ๊ย!”

เสียงสบถดังขึ้นที่หน้าบ้านว่างเปล่าภายในซอยแคบๆแสนคุ้นเคย กีรติสลัดมือที่เพิ่งปล่อยหมัดเข้าใส่กำแพงแบบไม่ยั้งแรงอย่างหัวเสีย เมื่อเขาไม่สามารถติดต่อคนรักได้เลยตั้งแต่เมื่อคืน เพราะไม่แน่ใจว่าพะภูไปช่วยงานที่ร้านฮิคาริ จะเลิกกี่โมง เลยกะจะโทรถามเผื่อไปรับ แต่ดันไม่มีคนรับสายโทรศัพท์นานซะจนผิดปกติ พอขับรถมารอที่บ้านก็ไม่เจอใครเลย ปิดไฟเงียบอย่างกับบ้านร้าง แม้แต่ยัยพะพายก็ยังไม่อยู่ ไม่รู้ว่าสองพี่น้องคิดจะเล่นสนุกอะไรกัน แต่บอกตรงๆว่าเขาไม่สนุกด้วย ในใจมันร้อนเพราะความเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว นี่ก็อุตส่าห์บึ่งรถมาหาตั้งแต่ไก่โห่ ยังไม่มีวี่แววใครสักคนในบ้าน ครั้นจะถามคนแถวนี้ก็ไม่มั่นใจว่าจะรู้เรื่อง คงไม่ใช่ว่าถูกใครที่ไหนจับตัวไปอีกหรอกนะ

ตืด..ตืดด...

โทรศัพท์เครื่องบางสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ในกระเป๋ากางเกง พอคนหงุดหงิดหยิบขึ้นมาดูก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา รีบกดรับสายและกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน

“ว่าไงบ้าง?”

“พี่จินบอกว่า เมื่อคืนพะภูกลับไปพร้อมพี่ธรครับ” เสียงหวั่นๆของนิวรายงานขึ้นมารัวเร็ว

“ไอ้เวรนั่น!”

สบถออกมาคำโตเมื่อได้ยินชื่อคู่อริหมายเลขหนึ่ง เป็นอย่างที่กลัวไว้ไม่มีผิด ถึงได้ไม่อยากให้ไปทำงานที่ร้านนั้นอีกไง เพราะมีสิทธิ์ต้องเจอธรแน่ แล้วเป็นยังไง คราวนี้ไม่รู้โดนมันหลอกไปไหนอีกแล้ว บ้าชิบ!

พอรู้ที่ตั้งของเป้าหมาย จึงรีบออกรถตรงไปยังคฤหาสน์ของไอ้คุณชายธัญธรจอมเจ้าเล่ห์ทันที แต่พอเข้าไปใกล้ กลับต้องจอดเทียบหน้าบ้านฝั่งตรงข้ามไว้อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนตากแดดเปรี้ยงๆอยู่ทั่วบริเวณ ด้านในรั้วสีกรมท่าสูงกว่าสามเมตร เป็นส่วนยอดของตัวบ้านที่โผล่ออกมาให้เห็นได้อย่างถนัดตา ถัดจากระเบียงเล็กๆซึ่งยื่นออกมาจากประตูกระจก มีผ้าม่านสีเบจกั้นเป็นแนว คือห้องนอนของลูกชายคนโตในครอบครัว ฉายให้เห็นเบื้องหลังงองุ้มเหมือนคนเจ็บป่วย หากแต่เป็นแผ่นหลังที่เขารู้จักดี

“พะภู”

คนตัวใหญ่กัดฟันกรอด พลางจ้องเขม็งไปยังหน้าต่างห้องตรงหน้า หากทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่นพิงรถยนต์ของตัวเองอยู่อีกด้านหนึ่งของถนนเท่านั้น ถ้าเกิดพลีพลามบุกเข้าไปคงไม่ดี ในเมื่อเขายังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ไม่เห็นเข้าใจว่าทำไมธรต้องพาพะภูมาที่นี่ แถมยังเพิ่มจำนวนคนคุ้มกันเยอะขนาดนี้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ บางทีเขาอาจจำเป็นต้องรอ...รอให้มีจังหวะได้เจอพะภู หรือไม่ก็รอจนกว่านิวกับศิลป์จะสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดมาได้

ต้องรอ...ทั้งที่ในใจมันเดือดมันร้อนจนแทบปะทุออกมาอยู่รอมร่อแล้ว

ทางฝั่งของคนในตัวบ้าน กลับสงบจนแทบจะเรียกได้ว่าหม่นหมอง เมื่อคนหนึ่งเอาแต่เหม่อลอยตลอดเวลา และอีกคนก็ไม่กล้าแม้แต่จะปลอบด้วยคำใดๆ ตั้งแต่มาอยู่นี่ พะภูพูดจากับเขานับคำได้ ข้าวก็ไม่ค่อยกิน นอนก็ไม่ค่อยนอน พอปล่อยทิ้งไว้คนเดียวสักพักก็จะร้องไห้ยกใหญ่จนใต้ตาบวมแดงดูไม่ได้เลย

“กินผลไม้หน่อยนะ”

ธรเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง พร้อมถือถาดแอปเปิลไว้ในมือ แน่นอนว่าติที่อยู่ด้านนอก ยิ่งต้องร้อนรนเมื่อเห็นเงาของเป้าหมายกำลังเข้าไปใกล้คนรักตนขึ้นทุกที น่าหงุดหงิดชะมัด ทั้งที่ยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ พวกนั้นกลับไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จริงๆว่าทำอะไรกัน

พะภูปรายตามองธรเล็กน้อย ก่อนส่ายหัว ทำให้คนตัวสูงต้องขึ้นมานั่งข้างๆ พลางยื่นแอปเปิลชิ้นหนึ่งเข้าไปใกล้ คล้ายจะบังคับ หากแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกไปกลับอ่อนโยนเสียจนไม่กล้าปฏิเสธ

“นิดนึงนะ” ร่างบางเริ่มขยับตัว ตีสีหน้าลังเลได้แค่ครู่หนึ่ง ก็ยอมกัดแอปเปิลจากมืออีกฝ่ายแต่โดยดี ธรยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะใช้โอกาสนี้คะยั้นคะยอผลไม้ชิ้นต่อไปใส่ปากคนไม่ยอมทานข้าว มือข้างที่ว่างยกขึ้นลูบหัวเล็กช้าๆ

“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะมีงานบนเรือสำราญ ได้ข่าวว่าเสี่ยจิวจะไปร่วมด้วย... เราจะจัดการมันที่นั่น เพราะงั้นนายต้องรักษาตัวเองให้ดีนะ”

ทั้งความโกรธและความเจ็บแปล็บต่างแข่งกันแล่นไปทั่วร่างของคนที่แอบมองสถานการณ์อยู่ ติได้แต่กำมือแน่นทั้งที่หัวใจปวดหนึบขึ้นมา ไม่เห็นท่าทีขัดขืนของคนรักที่มีต่อคู่อริของตนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ ในหัวพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนาๆมารองรับ จำไม่ได้จริงๆว่าตัวเองเผลอทำอะไรให้ไม่ถูกใจตอนไหนอีกหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงจากไป ทำไมพะภู...ทำไมทำแบบนี้

 

งานแสดงอัญมณีถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่และแปลกตาบนเรือสำราญขนาดกว้าง ซึ่งจะแล่นออกไปจอดอยู่กลางทะเล ภายในงาน มีทั้งไฮโซ นักแสดง ศิลปิน และคนดังในแขนงต่างๆมากมาย คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามธรติดๆ รู้สึกเก้ๆกังๆในชุดสูทสีครามราคาแพงบนตัว กางเกงสแลคกับรองเท้าหนังซึ่งไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ทำให้ขาดความมั่นใจในการก้าวเดินเป็นที่สุด ผิดกับคนนำหน้าที่ดูช่ำชองกับการแต่งตัวและการเข้าสังคมแบบนี้นักแหละ แถมยังออกมาดูสง่าอย่างไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก

“มั่นใจหน่อยสิ วันนี้นายดูดีมากเลยนะ” ธรหยุดเดินและหันมากระซิบใส่

“ก็ผมไม่ชินนี่”

“ก็ชินซะสิ เผื่อต้องออกงานด้วยกันบ่อยๆ”

“พะ..พูดอะไร”

คนตัวสูงยิ้มกวน แล้วถือวิสาสะคว้ามือเล็กของเขาเข้าไปจูงเดินหน้าตาเฉย ดึงดูดให้คนในงานเริ่มจับจ้องมาทางพวกเขาอย่างใคร่รู้ บ้างก็หันไปหัวเราะคิกคัก กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน พะภูรู้สึกไม่ดีเลยที่โดนมองแบบนี้ ไม่ใช่เฉพาะกับตัวเอง แต่เพราะธรด้วย ธรเป็นคนมีหน้ามีหน้าในสังคม ต้องมาคอยดูแลผู้ชายอย่างเขา คงดูแปลกมาก อาจจะถูกเอาไปนินทาเสียหายเอาก็ได้

“พี่ธร ปล่อยเถอะครับ ผมเดินเองได้”

“ไม่อยาก” คำตอบสั้นๆดังขึ้น ทั้งที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ทำเอาหัวใจของคนตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้ ธรเป็นคนดีจริงๆ เขาไม่ได้มองผิดไปจากวันแรกเลยแม้แต่น้อย

ธรพาพะภูเดินไปทางห้องพักบนตัวเรือซึ่งเตรียมเอาไว้ให้แขกพิเศษหลายราย หนึ่งในนั้นก็คือเสี่ยจิว ซึ่งกำลังยืนคุยอะไรบางอย่างกับบอดี้การ์ดท่าทางคร่ำเครียด เลือดในตัวมันสูบฉีดรัวแรง จนแสดงผ่านออกมาทางสีหน้าจนหมดเปลือก ความเคียดแค้นที่เคยจมหายไปแล้วครั้งหนึ่งกลับแล่นขึ้นมาจุกอกจนอยากจะวิ่งเข้าไปฆ่าคนคนนั้นให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ทั้งที่ทำร้ายใครต่อใครมามากมาย กลับยังยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน มันน่าเจ็บใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเลยเชียว

“ใจเย็นๆ” มือที่จับอยู่ถูกกุมแน่นขึ้น ราวกับจะส่งผ่านกำลังใจมาให้ พะภูเลยต้องพยายามสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ หวังช่วยสงบใจตัวเอง พอเห็นคนตัวเล็กเริ่มหัวเย็นลงบ้าง ธรจึงก้มลงกระซิบตามแผน “นับสาบแล้วไปเลยนะ”

“ค..ครับ”

“หนึ่ง สอง.....สาม”

พะภูถูกผลักออกจากมุมอับ ทำให้สายตาดุดันของเขาสบเข้ากับสายตาของเสี่ยจิวที่กำลังหันหน้ามาทางนี้พอดี ดูเหมือนทางนั้นจะตกใจมาก แต่ก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งไล่ตามพะภูซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังดาดฟ้าเรือตามแผน ตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือ ธรก็ได้กระจายข่าวไปให้ถึงหูของพรคคพวกเสี่ยจิวว่าในงานนี้ จะได้พบกับเด็กที่เคยหลบหนีจากเขามาเมื่อปีก่อน ทำเอาทางฝ่ายนั้นร้อนใจใช่เล่นเลยทีเดียว พะภูยังคงก้าวขาเร็วๆโดยไม่คิดหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งไล่หลังมาติดๆ ส่วนธรนั้นรีบวิ่งไปดักรอจากอีกทาง เพื่อเตรียมจัดการเสี่ยจิวให้อยู่มัด

ปัง!

เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นทันทีที่พะภูกับพวกเสี่ยจิววิ่งออกมายังดาดฟ้าเรือโล่งเปล่า บอดี้การ์ดคนเมื่อครู่ของเสี่ยจิวถูกยิงเข้ากลางอกพอดิบพอดี จนล้มไปกองบนพื้น ธรรีบรวบตัวพะภูเข้ามาหลบหลังตนเอง ก่อนจะจ่อปืนตรงไปที่เสี่ยจิว ซึ่งกำลังตีสีหน้าซีดเผือด

“นี่มันเรื่องอะไร ทำไมแกถึงได้อยู่กับไอ้เด็กธร!?” เสี่ยจิวตะคอกถามคนที่กำลังหลบหลังธรด้วยตัวที่สั่นเทา ทั้งโกรธทั้งกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูก ทำให้ธรต้องอาสาเป็นฝ่ายเจรจาเอง

“ตกใจล่ะสิ เด็กที่ตามหาไม่พบมาตลอดหนึ่งปี อยู่ดีๆก็มาปรากฏตัวใกล้กว่าที่คิด แต่คุณคงจับเขากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”

เสี่ยจิวเริ่มหน้าเสียกว่าเดิม มือข้างหนึ่งทำท่าเหมือนจะล้วงกระเป๋า ทำให้ธรต้องลั่นไกขู่ไปอีกนัด จนไม่มีใครกล้าขยับไปไหน ส่วนแขกเหรื่อด้านในโถงเรือคงไม่ได้ใส่ใจเหตุการณ์บนนี้นัก เนื่องจากดนตรีในงานค่อนข้างดัง รวมทั้งยังมีพวกของธรคอยกระจายรักษาความเรียบร้อยแทบทุกจุด

“สารภาพความผิดกับตำรวจซะเถอะ”

ธรพยายามใช้ไม้อ่อนที่สุดเพื่อกล่อม แม้รู้ดีว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น คนจากเสี่ยจิวต่อให้โดนจับโดนฟ้องสักกี่ครั้ง ก็รอดข้อหามาได้ทุกเมื่อ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ตามสืบสาวจนถึงต้นตอหลักฐานได้จริงๆ ด้วยความรอบคอบเป็นพิเศษ ทำให้ไม่ยากเลย ในการกลบเกลื่อนทุกอย่างมาได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คิดว่าคงมีแค่สองทางที่จะทำให้เอาผิดเสี่ยจิวได้จริงๆ ถ้าเจ้าตัวไม่สารภาพผิด ก็ต้องตามไปจับให้ได้คาหนังคาเขา ซึ่งจุดนี้แหละที่ตำรวจไทยยังทำไม่ได้สักที เพราะเสี่ยจิวระวังตัวมากเกินไปจนไม่มีใครสามารถแฝงตัวเข้าไปสปายได้อย่างแยบยลเลย ซ้ำร้ายจะถูกจับได้แล้วก็จัดการปิดปากซะเสร็จสรรพ เรียกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลไม่กี่คนซึ่งยากที่จะต่อกรด้วยที่สุด

สังเกตเห็นว่าเสี่ยจิวเริ่มเครียด เหงื่อผุดขึ้นมาบริเวณขมับทั้งสองข้าง สายตากลอกไปมาเหมือนกำลังคิดหาทางออก แล้วด้วยโชคดีอะไรของมัน ทำให้ประตูดาดฟ้าเรือเปิดออก พร้อมกับผู้ชายร่างสูงโปร่ง ในมือถือปืนจ่อกลับมาตรงหน้าธรพอดี ทั้งที่การกระทำดูเด็ดขาดขนาดนั้น หากแต่สีหน้ากลับดูสับสนเหลือเกิน

“ไอ้ธร...พะภู นี่มันเรื่องอะไร!?”

“ไอ้ติ!”

“ติ นี่หลานรู้จักพวกนี้ด้วยเหรอ?” เสี่ยจิวหันควับกลับไปถามหน่วยสนับสนุนที่ออกมาได้จังหวะพอดี ติพยักหน้าช้าๆ ทำเอาเสี่ยจิวแทบลมจับ ก่อนจะออกปากเสียงแข็ง “ไอ้นี่แหละ คือเด็กเวรที่หนีไปเมื่อปีก่อน!”

“ว่าไงนะครับ?”

โครมม!

ทั้งที่สถานการณ์ยังค้างคา แต่เรือสำราฐลำโตดันเกิดโคลงเคลงขึ้นมากะทันหัน ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลอดออกมาจากในโถง พร้อมเสียงกัปตันประกาศเหตุฉุกเฉินออกมาตามสาย จับใจความได้ว่า ท้องเรือถูกครูดไปกับโคนหินและปะการังใต้ทะเลเล็กน้อย ถึงจะบอกว่าไม่ให้กังวลเพราะสามารถควบคุมได้ แต่การที่เรือเกิดหักลำกระทันหัน ก็เล่นเอาคนที่อยู่บนดาดฟ้าอย่างพวกเขาถึงกับเซกันไปคนละทาง ยิ่งไม่มีอะไรให้ยึดเกาะ ก็ทำให้ยากต่อการทรงตัว ทั้งธรและติต่างลดปืนในมือลงชั่วคราว ไม่ให้ตัวเองเสียสมดุล

“เหว..ออ!” คนตัวเล็กร้องเสียงหลง เมื่อรองเท้าขัดมันลู่ไปตามแรงโน้มถ่วงบวกกับแรงโคลงของตัวเรือเมื่อครู่ พาลให้ร่างบางค่อยๆลื่นไหลไกลออกไปจากแผ่นหลังของธรเรื่อยๆ ตัวพะภูถูกดีดออกไปจนพ้นลำ ไร้ชิ้นส่วนใดๆให้ยึดเหนี่ยว ก่อนที่จะร่วงหายลงไปยังผืนทะเลที่กำลังซัดเป็นบ้าเป็นหลัง จากแรงดันน้ำของใบเรือด้านใต้

“พะภู!!”

ติกับธรร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้างเท่าไข่ห่าน จับจ้องไปยังสายน้ำเบื้องล่างด้วยใจที่เกือบหยุดเต้น ท่ามกลางความช็อคของคนบนดาดฟ้า ติซึ่งยังคงสับสนกับทุกอย่าง เลือกที่จะสลัดความไม่เข้าใจออกไปจากหัว รีบถอดรองเท้าหนังกับสูทหนักๆออกไปจากตัว แล้วกระโจนตามลงไปยังท้องทะเลลึกสุดหยั่งถึง

“บ้าเอ๊ย!”

ธรสบถอย่างเกรี้ยวกราด อยากจะเป็นฝ่ายโดดตามลงไปไม่แพ้กัน แต่ถ้าปล่อยเสี่ยจิวไปตอนนี้ คนที่จะเสียใจคงเป็นพะภูมากกว่า พอหันกลับมาก็เห็นแผ่นหลังของเสี่ยจิวกำลังวิ่งหนีหายกลับเข้าไปในโถงเรือ ธรชั่งใจได้ไม่ถึงวินาทีก็ตัดสินใจวิ่งตาม มือข้างหนึ่งยกขึ้นกดโทรศัพท์หาลูกน้อง ให้ระดมพลออกช่วยเหลือพะภูทันที

ท่ามกลางสายน้ำที่เชี่ยวกราก คนตัวสูงกำลังพยายามต้านแรงดันทุกอย่างรอบตัว และดำลงไปจนเจอร่างของคนรักซึ่งกำลังหมดสติ ติกลั้นใจว่ายตรงเข้าไปรวบร่างพะภูมาไว้ในอ้อมกอดแน่น ทั้งที่ถูกคลื่นซัดเข้าใส่จนรู้สึกร้าวไปทั่วทั้งตัว พอเรือแล่นออกไปไกลพอสมควร สายน้ำที่เคยโมโหร้ายก็ค่อยๆสงบลงตามลำดับ หากแต่ติเองก็เริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงและสัมปชัญญะลงทีละเล็กทีละน้อย

เวลาผ่านไปสักพัก กว่าที่สติของเขาจะเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ จนดับวูบลงในที่สุด...
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:19:27
บทที่ 37

 

“อือ...”

ติค่อยๆปรือตาขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสลัว นาฬิกากันน้ำที่สวมอยู่บอกเวลา ตีสี่เกือบตีห้าของอีกวัน พอมองไปรอบตัวก็เห็นพื้นทรายหยาบๆ กับน้ำทะเลที่ซัดซาดอย่างนิ่งๆ มีร่างเล็กของพะภูนอนไม่ไหวติงอยู่ไม่ไกลนัก เสื้อสูทของทั้งคู่ถูกกระแสน้ำพัดหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้... ไม่น่าเชื่อว่าจากตอนเย็นของเมื่อวาน พวกเขาจะถูกซัดมาติดอยู่ที่นี่และหมดสติไปจนถึงตอนนี้ พอเริ่มหายมึนหัว ก็รีบลุกไปหาพะภู ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะพอให้โล่งอก หากแต่ในหัวกลับเริ่มคิดหนักขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยจิวบอกว่าพะภูคือเด็กที่หนีไปเมื่อปีก่อน เป็นเรื่องที่เขาเคยได้ยินมาแต่ก็ไม่คิดสนใจมากนัก ใครจะไปรู้ว่าเด็กคนนั้นก็คือพะภูคนนี้ แล้วสิ่งที่พะภูต้องการคืออะไร ที่ไปเข้าร่วมกับธรก็เพราะจะแก้แค้นจิวอย่างนั้นหรอ...แล้วทำไมถึงได้มายุ่งกับเขา...

คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องบังคับตัวเองให้หยุด ด้วยว่าไม่กล้าแม้แต่จะเดาอะไร พูดให้ถูกก็คือ ไม่อยากรับรู้ความเป็นจริงในตอนนี้เลยมากกว่า ทุกอย่างดูสับสนและผิดแผนไปหมด ถึงยังไงก็คงต้องรู้เรื่องทุกอย่างจากปากของพะภูเองเท่านั้น แม้ว่ามันอาจจะเป็นความจริงที่ทำร้ายเขามากที่สุดก็ตาม

“แค่ก..ก”

ไม่นานนัก คนตัวเล็กก็เริ่มรู้สึกตัว ติรีบเข้าไปประคองร่างพะภูให้ลุกขึ้น แต่พออีกฝ่ายเห็นหน้าเขาเท่านั้น ก็รีบผลักออก แล้วฝืนลุกหนีทันที สายตาเคียดแค้นอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้รับถูกส่งมาให้ ทำเอาใจของติหล่นวูบ พยายามลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับพะภูด้วยใจที่สั่นไหวเหลือเกิน

“อย่าเข้ามา!” คนตัวเล็กชี้นิ้วใส่หน้า ปากตะคอกเสียงแข็ง

“พะภู...”

“พี่ติรู้เรื่องผม ก็เลยจะจับผมกลับไปให้เสี่ยจิวล่ะสิ!”

“ไม่ใช่นะ ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายคือเด็กคนนั้น”

“โกหก!” พะภูตอกกลับแทบจะทันที ขายังคงก้าวถอยหลัง ไม่ยอมให้ติเข้าประชิดตัวง่ายๆ “ผมโง่เองแหละ คิดอะไรตื้นเกินไป แถมยังไม่หาข้อมูลให้ดีอีก”

“หมายความว่ายังไง?”

“ก็ผมโง่ที่ไม่รู้ว่าพี่ติเป็นพวกเดียวกับเสี่ยจิวไง ทั้งที่คิดจะให้พี่ติช่วยแก้แค้นให้ กลับถูกพวกพี่ซ้อนแผนจนเละเทะไปหมด..” น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา เสียงที่เปล่งออกไปเริ่มสั่นไหวจนคนฟังเองก็ชักใจไม่ดี หากแต่คำที่ได้ยินกลับทำให้ติรู้สึกเจ็บได้มากกว่านั้น จนเมื่อพะภูตวาดออกมาประโยคสุดท้าย...หัวใจของเขาก็แทบจะแหลกสลายลงในทันที

“ถ้ารู้ว่าพี่เป็นพวกมัน ผมคงไม่หาเข้าพี่แต่แรกหรอก!!”

คนตัวใหญ่หยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น ภายในหัวตื้อตันไปหมด ส่วนหนึ่งในสมองไม่อยากจะยอมรับคำที่ได้ฟัง หากแต่หัวใจกลับเจ็บปราดขึ้นมาจนคุมตัวเองไม่อยู่ พะภูเองก็เริ่มนิ่งไป เมื่อเห็นท่าทีกับสีหน้าปวดร้าวของติ หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

“นั่นคือความจริงจากนายใช่ไหม?” ติถามกลับเสียงเรียบ หากแต่สัมผัสได้ถึงความสั่นคลอนในคำพูดนั้น

“ช...ใช่!”

“งั้นมาฟังความจริงจากฉันบ้างไหม...”

“ว่าไงนะ”

ร่างสูงกำมือแน่นเหมือนต้องการสะกดกลั้นอารมณ์ความเสียใจเอาไว้ ติพยายามทำตัวมั่นคงเข้าสู้ และเริ่มอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ ยาวเหยียด

“ใจเย็นๆแล้วลองทบทวนเรื่องราวให้ดี...ฉันไม่รู้จริงๆว่านายคือเด็กคนนั้น ตอนอยู่บนเรือก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ อาจิวเพิ่งจะบอกฉันเองว่านายคือเด็กที่หนีไป หรือต่อให้รู้ ฉันก็ไม่คิดจะทำร้ายนายแบบนั้น เพราะความจริงก็คือ.....ฉันกำลังร่วมมือกับตำรวจ เข้าไปเป็นสปายในรังของอาจิว เพื่อจับตัวเขาให้อยู่หมัด”

“ละ..แล้ว โทรศัพท์ล่ะ! ผมได้ยินนะ พี่ติคุยโทรศัพท์กับอา บอกว่าจะทำให้ตายใจแล้วจั...”

“ตอนนั้นฉันคุยกับอาใหญ่ พ่อไอ้ศิลป์! ฉันบอกว่าจะทำให้อาจิวตายใจ แล้วจับเขาให้ได้ เข้าใจหรือยัง!?”

ความอดทนราวกับจะขาดผึ่งลง ติเริ่มขึ้นเสียงจนพะภูตกใจ รีบถอยตัวหนีด้วยความหวาดกลัวที่แล่นเข้ามาในอก ท่าทีของติตอนนี้ไม่ต่างกับวินาทีแรกที่เขาได้เจอกันเลยแม้แต่น้อย จะแตกต่างกันก็ตรงที่ ติในตอนนี้...นอกจากจะดูน่ากลัวแล้ว ยังดูน่าสงสารอีกด้วย... น้ำตาลูกผู้ชายอย่างกีรติค่อยๆไหลลงอาบแก้ม ยิ่งกระตุ้นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพะภูให้ตื่นขึ้น หัวใจดวงน้อยสูบฉีดเนิบช้า ในหัวเองก็ขาวโพลนไปหมด...

“ความจริงคือฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายทั้งนั้น! กลายเป็นคนโง่ พะภู!......คนโง่ที่ไปรักนาย!!”

ขายาวสองข้างไร้เรี่ยวแรง ก่อนทรุดตัวลงกับหาดทรายขาว หัวใจถูกกรีดแทงด้วยคำพูดของพะภูเมื่อครู่ ยังคงสะท้อนก้องกังวานอยู่ในภายโสตประสาตซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร้าวระบม เรื่องที่เข้าใจผิดจนไปเข้าพวกกับธรเขาไม่ว่าหรอก แต่ที่ทำให้เสียใจอยู่ตอนนี้ก็คือการที่ต้องมารับรู้ว่า พะภูไม่ได้เข้าหาเขาเพราะความรักเลยแม้แต่น้อย... ความแปลบปลาบแล่นเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายรวดเร็วไม่แพ้กัน หลังจากได้ฟังความจริงจากปาก รวมทั้งภาพชวนสะเทือนใจตรงหน้า มวลความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในพลัน ค่อยๆผนวกตัวเข้ากับกลุ่มก้อนความเสียใจและความโกรธเกลียดตัวเอง พะภูปล่อยร่างหนักอึ้งลงบนพื้นทราย ค่อยๆคลานเข้าหาคนก้มหน้าก้มตากลั้นเสียงสะอื้น มือเล็กอันสั่นเทาแตะลงเบาๆบนแขนหนา

"จ..จริง...จริงรึเปล่า?"

ไม่มีเสียงตอบกลับมา หรือแม้แต่การขยับตัวให้รับรู้ถึงชีวิต เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งดังขึ้นชัดเจนจนน่าเวียนหัว ราวกับจะตอกย้ำความผิดของตัวเขาเข้าลงกลางใจที่เริ่มบอบช้ำ ทุกอย่างมันดูจะผิดไปหมด ผิดตั้งแต่แรก ที่เขาคิดจะใช้ประโยชน์จากติ ผิดที่ดันหลงรักอย่างจริงจัง ผิดที่หลงไปกับคำพูดคนอื่นจนหมดสิ้น ผิด...ที่ไม่เชื่อใจ

กลายเป็นว่าเรื่องราวถูกพลิกกลับอีกครั้ง สรุปว่ามีแต่พะภูที่ทำร้ายติตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แม้ว่าพะภูจะรักติด้วยใจจริงในท้ายที่สุด แต่มันก็คงไม่พอจะลบล้างบาปที่เคยก่อไว้ จากการเคยคิดล้อเล่นและหลอกใช้คำว่ารัก ไม่มั่นใจว่าติจะยังเชื่อในตัวเขาอีกไหม ว่าเขาก็รักติมากจริงๆ ตั้งแต่ที่ติละลายความตั้งใจอันแสนสกปรกของตัวเอง จนถึงวินาทีนี้ เขาก็ยังรักติจริงๆ... เพียงแต่ถูกความกลัวและคำโอ้โลมของใครต่อใครเล่นงาน ทำให้พลาดพลั้งทำร้ายติเข้าอีกครั้ง

แม้ว่าติจะเป็นหลานของเสี่ยจิว เขาก็ไม่คิดจะสนใจ ถ้าติไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเลวร้ายที่จิวทำ หากแต่เขากลับไม่ยอมเชื่อใจ และหักหลังติไปอย่างไม่น่าให้อภัย...พอได้ยินความจริงเมื่อครู่ ก็เล่นเอาช็อคจนแทบอยากจะทุบอกตัวเองให้ตายไปซะเลย

“พี่ติฟังผมก่อนนะ...ผมขอโทษ ผมยอมรับว่าเข้าหาพี่ด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ แต่สุดท้ายผมก็ตกหลุมรักพี่เข้าจริงๆ รักพี่จริงๆนะ!”

“...”

“ส่วนที่ผมหนีไปอยู่กับพี่ธร เพราะผมเข้าใจผิดเท่านั้นเอง ยังไงตอนนี้ผมก็ยังรักพี่...ฮึ..ก...”

ทั้งที่ควรจะดีใจว่าเรื่องที่ติหลอกตัวเองกลับไปให้จิวเป็นแค่การมโนบ้าบอซึ่งไม่จริง แต่กลับต้องถูกจองจำด้วยความรู้สึกผิดอันน่าเสียใจยิ่งกว่า ทั้งที่เขาตัดใจเรื่องแก้แค้นไปนานแล้วตั้งแต่ที่มอบหัวใจให้กีรติ ทั้งที่คิดว่าจะรักกันต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องสนใจอดีต แต่มันก็ไล่ตามหลังเขามาทุกขณะ จนสุดท้ายก็เปิดเผยออกไปจากปากของตัวเอง ราวกับบทลงโทษสำหรับคนหลอกลวงก็ไม่ปาน

“ฉันจะจัดการอาจิวแน่...นายไม่ต้องขอร้อง ไม่ต้องหลอกใช้ ฉันก็จะทำให้อยู่แล้ว เพราะงั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง...ฉันจะจัดการกับเขาเอง ส่วนนายก็เลิกยุ่มย่ามกับฉันได้เลย” ติถ่ายทอดแต่ละคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก หลังจากที่เงียบมานาน แต่กลับไม่ใช่คำที่พะภูอยากได้ยินแม้แต่น้อย รังแต่จะยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ

“ผมผิดไปแล้วที่เข้าหาพี่แบบนั้น...แต่พอได้รู้จัก ได้ใกล้ชิด และได้ผูกพัน ผมก็รักพี่จริงๆนะ...รักจนเคยคิดว่าจะไม่แก้แค้นแล้วด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่มาเข้าใจผิดเรื่องบ้าๆครั้งนี้ ผมก็คงเลิกคิดเรื่องเสี่ยจิวไปตลอดชีวิตแล้ว ผมแค่อยากอยู่กับพี่ติ...จริงๆ”

คนตัวเล็กร่ายยาว มือสองข้างยังคงพยายามเกาะกุมแขนแกร่งอันสั่นเทิ้มตรงหน้าไว้ หากก็ถูกสะบัดออกทุกครั้ง สายตาเย็นชาที่ถูกส่งมาบอกให้รับรู้ว่า เขายังไม่ได้รับการให้อภัย...ความผิดครั้งนี้ คงไม่อาจสลายไป ง่ายขนาดนั้น

“เลิกพูดได้แล้ว...”

คราบน้ำตาบนหน้าของติยิ่งทำให้พะภูร้องไห้ออกมาหนักยิ่งขึ้น ติไม่คิดจะสนใจฟังเสียงอ้อนวอนและคำขอโทษใดๆ เขาเลือกที่จะหลบไปนั่งกอดเข่าเอาที่มุมหนึ่งให้ไกลจากเด็กที่เคยเอ่ยคำว่ารัก ก็แค่เสียใจที่หลงคิดว่าได้เจอกับคนที่รักตัวเองอย่างจริงใจเข้าแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี...ส่วนลึกในใจกำลังบอกเขาว่า ถ้าไม่มีเรื่องครั้งนี้เกิดขึ้น และปล่อยให้เขาไม่ต้องรับรู้ถึงจุดประสงค์แท้จริงของพะภูเลยก็คงดีไม่น้อย ให้พวกเขายังคงรักกัน ยังคงอยู่ด้วยกัน...โดยที่ไม่ต้องรับรู้อะไรที่มันน่าปวดใจแบบนี้เลย

เสียงสะอื้นไห้ของคนตัวเล็กยังคงดังแว่วมาให้ได้ยินชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ทำเอาหัวใจของเขายิ่งเจ็บแปล็บๆ นึกอยากจะตรงเข้าไปกอดเอาไว้ แล้วพูดปลอบด้วยคำหวานอย่างเช่นทุกที แต่เขาจะทำได้ยังไง ในเมื่อเขาเองก็กำลังเจ็บเหมือนกัน

“ผ..ม ขอโทษ...ฮือ..อ”

ตลอดวันนั้นเขากับพะภูไม่ได้กินหรือแม้แต่ดื่มอะไรลงคอนอกจากน้ำลายตัวเอง ซ้ำร้ายยังเสียน้ำตาออกไปหลายหยดจนร่างกายซูบซีดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางฝ่ายพะภู ที่ยังเอาแต่ร้องไห้เหมือนคนเสียสติ หัวไหล่บางกำลังงองุ้มและสั่นเทา หากแต่เขาก็ทำได้แค่หลับตาและฝืนทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น ขอโทษจริงๆที่เขาคงยังไม่อาจกลับไปเชื่อคำพูดของพะภูได้ในตอนนี้ คำพูดซึ่งเคยหลอกลวงเขาอย่างแยบยลมาแล้วครั้งหนึ่ง

ติตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น มีกองผลไม้ป่าวางอยู่ใกล้ๆ พร้อมโน้ตขนาดสั้นบนพื้นทรายด้วยคำว่า ‘ผมขอโทษ’ พอมองไปทางที่พะภูอยู่ ก็เห็นว่ากำลังนอนขดตัวอยู่อย่างเงียบๆ ไม่มีเศษชิ้นส่วนของอาหารหลงเหลือให้เห็น แผ่นหลังบางยิ่งดูขี้โรคเมื่อมองจากตรงนี้ ทำให้เขาทนไม่ได้ ต้องรวบของกินบางส่วนกลับไปวางคืนไว้ให้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะนั่งเสวนาด้วยคำใดๆ แต่เขาก็ไม่ได้อยากเห็นใครต้องมาผอมตายไปต่อหน้าหรอก

จากการสังเกตการณ์มาตลอดวัน กว่าที่พะภูจะตื่นมาเห็นกองอาหารก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าๆ สงสัยว่าเมื่อวานคงร้องไห้มากไปจนเหนื่อยล่ะสิ แต่สิ่งแรกที่ทำกลับไม่ใช่การหยิบผลไม้พวกนั้นเข้าปาก แต่ดันเดินหอบของกินกลับมาทางเขาซะงั้น ดวงตากลมโตมีหยดน้ำใสเอ่อขึ้นมาอีก ทันทีที่เห็นสายตาเย็นชาจากคนตัวใหญ่ พยายามทำใจกล้าส่งเสียงทักทายออกไป พลางก้มลงวางพวกผลไม้ป่าที่ลงทุนเข้าไปเก็บมาให้ตั้งแต่เมื่อเช้ามืด

“พะ..พี่ติ กิน...”

“ฉันกินแล้ว นายเอากลับไปเถอะ” ยอมปริปากพูดคุยด้วยจนได้ ถ้าไม่อย่างงั้นคงได้เห็นคนตรงหน้าบ่อน้ำตาแตกอีกรอบแน่

“แต่...”

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอก”

“ฮ..ฮึก...พี่ติ พี่เลิกใส่ใจตัวผมในอดีตไม่ได้หรอ ผมไม่ใช่คนนั้นแล้ว ทำ..ไมไม่เชื่อ ฮืออ...ผมรักพี่”

จนแล้วจนรอด เขาก็ทำให้พะภูร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอีกอยู่ดี ปากบางสั่นเครือ เอาแต่พร่ำบอกว่ารักและขอโทษ ตอนนี้ในหัวเขามันเริ่มตีกันจนสับสนไปหมด ส่วนหนึ่งในใจร่ำร้องบอกให้เชื่อ บอกว่าให้อภัย แต่อีกส่วนหนึ่งก็กลัว กลัวต้องเสียใจอีก... แล้วแบบนี้เขาควรทำยังไง แต่แค่เห็นพะภูมานั่งสะอึกสะอื้นต่อหน้า เขาก็แทบทรุดแล้ว

เขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือ เขาชักไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝืนอดทนกับอะไรอยู่กันแน่ อดทนที่จะไม่เกลียด หรือว่า อดทนที่จะไม่รัก

“......กลับไปเถอะ” หลังจากลังเลได้พักใหญ่ ก็หลุดปากบอกไล่อีกตามเคย ไม่ไหวหรอก ถ้ายังเห็นพะภูนั่งร้องไห้ตาบวมอยู่แค่เอื้อมมือแบบนี้ เขาจะยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจนไม่รู้จะปวดยังไงแล้ว

“ฮืออ...”

คนตัวเล็กได้ยินก็ปล่อยโฮออกมาดังลั่นจนติสะดุ้งเล็กน้อย มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะถูกชักกลับแทบจะทันที พะภูยังคงพร่ำบอกขอโทษ ขณะพยายามพาร่างหนักอึ้งของตัวเองลุกขึ้นช้าๆ ขาเล็กดูอ่อนแรงจนเกือบจะล้มอยู่หลายที พอยืนขึ้นได้เต็มตัว ก็ค่อยๆหันหลังกลับโดยไม่คิดจะนำผลไม้ติดตัวไปด้วย คนตัวใหญ่อดมองด้วยสายตาเป็นห่วงไม่ได้ เห็นก้าวไปแค่ไม่เท่าไร จู่ๆร่างทั้งร่างก็ทรุดลงกับพื้นทรายเสียงดังตุบ สัญชาตญาณในตัวบอกให้ติรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพะภูขึ้นมาพักบนตัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นตบหน้าซูบเซียวเบาๆ แต่ก็ไร้การโต้ตอบ ใบหน้าซีดเผือดกับเปลือกตาที่ปิดสนิททำเขาใจไม่ดีเอาซะเลย

“พะภู...พะภู!”

รีบอุ้มคนหมดสติเข้าไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่หวังหลบแดดยามบ่าย หยิบคว้าเศษใบไม้แถวนั้นได้ก็เอามาใช้ต่างพัด พอให้คนบนตักได้คลายอุณภูมิที่ร้อนขึ้นผิดกับตอนกลางคืนที่หนาวจัด เพราะอากาศไม่คงที่ แถมยังไม่มีอาหารตกใส่ท้อง ก็เลยล้มพับจับไข้แบบนี้น่ะสิ งี่เง่าชะมัด…

พอยื่นหลังมือเข้าแตะหน้าผากซึ่งเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา ถึงได้รู้ว่ามันร้อนเป็นไฟ ริมฝีปากซีดเพราะขาดน้ำ เนื้อตัวที่ผอมบางเป็นปกติอยู่แล้ว กลับยิ่งดูโรยแรงมากขึ้นไปอีก ขนาดไม่รู้สึกตัวอยู่แบบนี้ แต่น้ำตามันก็ยังไหลออกมาให้เห็น ราวกับจะบีบหัวใจคนมองให้ต้องยอมสยบซะอย่างนั้น

ทำยังไงดี พะภู...ในเมื่อฉันโกรธ ฉันเกลียดนาย......ไม่ได้จริงๆ

 

“อืออ”

ผ่านไปสักพักใหญ่ คนตัวเล็กถึงเริ่มได้สติกลับมา ติรีบประคองศีรษะเอาไว้ไม่ให้กระแทกพื้นทราย ก่อนจะก้มลงสังเกตอาการของคนเพิ่งตื่น ทันทีที่ลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าเป็นใบหน้าใคร น้ำตาที่เก็บไว้มันก็พรั่งพรูออกมาอีก พะภูสะอึกสองสามทีจนตัวกระตุก แล้วค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง มองไม่ชัดเจนนักว่าติกำลังทำสีหน้าแบบไหน เพราะม่านน้ำตามันบดบังทัศนียภาพรอบๆไปหมด

“เป็นยังไงบ้าง?”

“ฮ..ฮืออ..” แทนที่คำตอบ กลับเป็นเสียงโฮฮือราวกับเด็กๆ พะภูถลาตัวเข้าสวมกอดคนตัวใหญ่ไว้แน่น โดยไม่สนใจว่าติจะยังโกรธตัวเองอยู่ไหม เพียงแต่ตอนนี้เขาแค่รู้สึกอ่อนแอมากเกินกว่าจะยอมเดินกลับไป

“...”

“พี่..ติ ผ..ผม ฮึก ขอโทษ”

คนกำลังสับสนชั่งใจได้แค่ครู่หนึ่ง ก็ยอมยกแขนขึ้นกอดตอบ มือข้างหนึ่งตบหลังอีกฝ่ายเบาๆเป็นเชิงปลอบ ทั้งที่ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา จะมีก็แต่เสียงสะอื้นไห้อย่างกับเขื่อนแตกกับคำพูดเดิมๆที่เริ่มฟังไม่ได้ศัพท์จากปากของพะภูเท่านั้น

เขาอยากเชื่อ...อยากเชื่อในตัวเด็กคนนี้ อีกสักครั้ง แล้วก็อยากฟัง...ความจริงจากใจทั้งหมด

“ฮือ...ผม ผมรัก..พี่”

“หยุดร้องได้แล้ว” ติพยายามผละตัวออกอย่างยากลำบาก เมื่อพะภูเอาแต่กอดคอเขาแน่นยิ่งกว่าติดกาว มือสองข้างช่วยกันปาดน้ำตาให้พ้นใบหน้าซีด แต่เหมือนยิ่งทำอย่างนั้น ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า จนคนอยากปลอบถึงกับเกือบถอดใจ

“ฮึ..ฮือ...”

“ฉันไม่โกรธแล้ว เพราะงั้นก็หยุดร้องเถอะ”

พะภูส่ายหน้าเบาๆ และยังปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาแบบไม่รู้จักหมดสิ้น สาบานได้ว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย มีหวังร่างกายขาดน้ำ ตายขึ้นมาจริงๆแน่

“รัก...พี่ติ”

“รู้แล้ว ฉันเชื่อนาย โอเคยัง?”

พอได้ยินคำว่า เชื่อ น้ำตาที่ควรจะหยุดกลับทะลักออกมาเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเสียใจ ครั้งนี้มันเป็นเพราะความดีใจจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด นึกว่าจะต้องเสียติไปแล้วซะอีก ไม่รู้ต้องขอบคุณอะไรดี ที่ทำให้คนตรงหน้ายอมใจอ่อนให้

“ฮืออ...จ-จริงนะ?”

“จริงๆ”

พะภูฉีกยิ้มทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก หลังมือทั้งสองข้างยกขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆพอให้เห็นท่าทีอ่อนโยนของติที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นซะแล้ว คนตัวเล็กขยับเข้าไปนั่งบนตักของอีกฝ่าย แล้วโผเข้ากอดติอีกครั้ง สองมือขยุ้มเสื้อเชิ้ตเอาไว้ราวกับกลัวว่าคนคนนี้จะหลุดลอยหายไป เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาให้ได้ยิน แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

“หยุดร้องได้แล้ว” มือใหญ่บรรจงลูบศีรษะของคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา ทำอย่างนั้นอยู่นานพอตัว กว่าที่เสียงร้องไห้จะเริ่มหยุดลงได้สักที

ทั้งคู่ผละออกกันเชื่องช้า โดยที่ติยังปล่อยให้พะภูทับอยู่บนตักตัวเองอย่างนั้น พลางเอื้อมไปหยิบพวงผลไม้บนหาดมาป้อนใส่ปากคนขี้แยจนแทบจะกลายเป็นขี้โรค พะภูยอมหาอะไรลงท้อง และค่อยๆซบตัวลงกับแผงอกกว้าง จมดิ่งสู่ห้วงนิทราไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ท่าทางจะเหนื่อยมากจากการเสียน้ำตาเป็นบ่อๆ ติเกลี่ยเส้นผมบนใบหน้าของเด็กในอ้อมกอดออก ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมนไปที ไม่รู้ว่าอยากจะปลอบประโลม หรือเพราะตัวเองก็นึกห่วงหาอยู่ในใจกันแน่

พอตกเย็น พะภูก็ตื่น ท่าทางสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้ ยังพอมีผลไม้ที่เหลืออยู่และไม่เน่าให้ประทังชีวิตไปอีกมื้อ ทั้งสองคนช่วยกันเก็บเศษไม้เศษใบมากองรวมกันเพื่อจุดไฟ ทั้งให้ความอบอุ่น และเผื่อเป็นสัญญาณส่งไปถึงความช่วยเหลือด้วย ระหว่างกำลังก่อประกายไฟ ติก็เอ่ยปากขอให้พะภูเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง โดยสัญญาหนักแน่นว่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร เมื่อคนตัวเล็กตกลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าอันแสนยาวเหยียด

“ผมไม่ใช่น้องแท้ๆของพี่พายหรอก...ผมเกิดและอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ แถวภาคอีสาน ฐานะไม่ค่อยดีแต่ก็พอใช้ชีวิตไปได้ ญาติฝ่ายแม่ก็เสียหมดแล้ว ส่วนทางพ่อ ท่านไม่เคยเล่าให้ฟังเลย อ้อ แล้วก็... จริงๆผมชื่อ วี...ชื่อ ระวีร์”

“ห้ะ!?”

ติดูจะตกใจไม่น้อยจนท่อนไม้ในมือร่วงเผาะลงไปกลิ้งบนพื้นทราย ท่าทางว่าความจริงของพะภูมันจะมีอะไรมากกว่าที่คิดซะอีก แล้วทำไมคนฐานะล่างถึงตั้งชื่อลูกซะหรูเชียว ไปได้ยินศัพท์แบบนั้นมาจากไหนหรือไง

“มีช่วงนึงที่แม่ล้มป่วย แถมต้องจ่ายค่าเทอมให้ผมด้วย บ้านไม่มีเงินเลยต้องไปกู้เขา แล้วรู้ไหมเจ้าหนี้ของเราคือใคร?” ตั้งคำถามใส่คนที่กำลังนั่งฟังด้วยใจลุ้น แอบเห็นความหม่นหมองภายในดวงตากลมโตคู่ตรงหน้า ทำให้ติเดาคำตอบข้อนี้ได้ไม่ยากเลย

“....อาจิว?”

“ใช่ แล้วพอเราไม่มีเงินไปใช้หนี้ ก็ถูกเสี่ยจิวส่งคนมาทำร้าย แม่ก็ยังป่วยออดๆแอดๆ ส่วนพ่อก็ทำงานหนักจนร่างกายทรุดโทรมลงทุกที แค่เงินจะกินข้าวยังแทบไม่มีเลย ตอนนั้นจำได้ว่าลำบากมาก พอพลัดจ่ายเงินไปได้สักพัก เสี่ยจิวก็คงทนไม่ไหว พาคนมาอีก...”

เล่ามาถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เริ่มขาดช่วงไป พะภูนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น พลางจับจ้องไปยังเศษใบไม้ซึ่งเริ่มติดไฟ หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็เริ่มเล่าต่ออีกครั้ง ทั้งที่น้ำเสียงนั้นช่างฟังดูทรมานเหลือเกิน

“พ่อกับแม่พยายามอ้อนวอน จนทำให้คนพวกนั้นรำคาญ เลยถูกยิง...ทั้งคู่เสียชีวิตทันที ส่วนตัวผมก็ถูกจับขึ้นรถไป ทั้งมือทั้งขาโดนล่ามโซ่อย่างกับทาส พาไปเก็บตัวอยู่ที่บ้านพักทางใต้ ชีวิตแสนโสมมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเขานั่นแหละ ที่นั่นมีเด็กถูกจับมาอีกเกือบสิบคน แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ต้องโดนแกล้งและทำร้ายสารพัด พวกดื้อแพ่งก็จะถูกเฆี่ยนจนตัวเปื้อนเลือดไปหมด พวกเด็กผู้หญิงก็ถูกข่มขืนกันต่อหน้า บางคนก็ถูกบังคับให้กินดินกินหญ้า ทำกับเราเหมือนเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้”

ทั้งดวงตาดุดันและริมฝีปากสั่นเทิ้มด้วยความคับแค้น พะภูยังคงจ้องมองเข้าไปในกองไฟตรงหน้า สองมือกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปรากฏขึ้นมาชัดเจน หยดน้ำใสค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มทั้งที่ไร้เสียงสะอื้น ดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเวลาปล่อยโฮออกมาดังๆเสียอีก ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป ในเมื่อคำว่า เป็นหลานเสี่ยจิว มันยังค้ำคออยู่แบบนี้

“ต้องทนอยู่อย่างนั้นเกือบปี แต่ละเดือนก็จะถูกย้ายสถานที่กักขังไปเรื่อยตามประสาคนรอบคอบอย่างเสี่ยจิวนั่นแหละ จนถึงวันที่ผมถูกจับขึ้นเรือ เตรียมเอาไปขายให้ต่างประเทศ เห็นว่ามีพวกรสนิยมแปลกๆที่ชอบมีอะไรกับเด็กผู้ชายอยู่ด้วย....” วงแขนเล็กรวบเข่าตัวเองเอาไว้แน่นขึ้น จิกเล็บลงกับต้นแขนจนเกิดรอยลึก น้ำตายังคงร่วงเผาะด้วยความรู้สึกโกรธเกลียดที่กำลังเผาไหม้อยู่ภายในใจ

“โชคดีที่ลุงยศกับพี่พายอยู่แถวท่าเรือตอนนั้นด้วย ทั้งสองคนเป็นคนดีมาก เข้ามาช่วยเหลือผมไว้ทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไร เป็นอีกสองคนบนโลกที่ผมไม่มีวันลืมบุญคุณได้เลย...หลังจากนั้นผมก็ขึ้นมากรุงเทพกับพี่พาย สอบเทียบจนติดทุนที่ธารวิทยา ทุกวันผมเอาแต่คิดว่าจะแก้แค้นเสี่ยจิว แต่ในเมื่อตำรวจยังจัดการไม่ได้ ก็เลยคิดว่าต้องใช้คนที่มีอำนาจพอๆกัน เป็นความคิดตื้นๆโง่ๆของเด็กคนนึง...พี่พายเป็นคนพูดชื่อพี่ติขึ้นมาในตอนนั้น ทำให้ผมเลือกพี่ ทั้งที่ไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง”

คนเล่าหยุดพักชั่วคราว หันมองหน้าติที่เริ่มส่อเค้าเสียใจ แต่แล้วก็ค่อยๆฝืนยิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไรพะภูชั่งใจครู่หนึ่ง จึงขยับตัวเข้าไปใกล้ติ คนตัวสูงเห็นแบบนั้นก็จัดการอุ้มร่างเล็กมานั่งบนตักตัวเองซะเลย วงแขนแกร่งโอบรัดเอวบางเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจ ว่าเขาจะไม่โกรธ จะไม่ทำให้ต้องร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแบบนั้นอีกแล้ว พะภูเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มน้อยๆให้ แล้วกอดแขนติไว้แน่นไม่แพ้กัน

“ผมคิดเอาเองว่าคนจากตระกูลใหญ่อย่างพี่ติ คงช่วยจัดการเสี่ยจิวได้ เลยพยายามเข้าหาพี่ทุกทาง แต่ยิ่งถล้ำลึกเข้าไปเท่าไร ผมกลับเป็นฝ่ายที่ตกหลุมรักพี่ซะเอง แล้วตอนที่เราไปเที่ยวตราดกัน ผมก็คิดได้ว่าจะลืมอดีตทุกอย่าง จะไม่แก้แค้นแล้ว และขออยู่กับพี่ติไปตลอด จนมาเข้าใจผิดเรื่องนี้นี่แหละ ทำให้ผมเสียใจมาก เลยกะจะกลับไปเอาคืนเสี่ยจิวอีกครั้ง ทั้งๆที่ผมรักพี่จะตาย ตอนที่คิดว่าโดนพี่ติหลอก ผมเองก็เจ็บปวดมากเลยนะ เพราะผมรักพี่...รักพี่ติ...”

อธิบายไปน้ำตาก็ไหลไป ทั้งที่พยายามอดทนไม่ร้องแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อรู้สึกผิดจนเจ็บไปหมด คนตัวเล็กเอี้ยวตัวพาดแขนไปกับบ่ากว้างของคนด้านหลัง ดึงตัวติเข้ามากอดทั้งที่ยังสะอื้นไห้ ฝ่ายถูกจู่โจมเผยยิ้มบาง แล้วยกมือลูบหัวพะภูอย่างอ่อนโยน รู้ตัวดีว่ารักเด็กตรงหน้ามากเกินกว่าจะตัดใจ ถ้าแค่ได้ยินคำอธิบายทั้งหมดแบบนี้ เขาก็ไม่คิดจะเอาความอะไรกับเรื่องในอดีตอีกแล้ว เพียงแค่สัญญาว่าจะรักกันต่อไป เขาก็ไม่อยากสนใจอะไรแล้ว...

“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไร...ไม่ต้องร้อง”

“ฮ...ฮึก”

พะภูฝังจมูกลงกับไหล่หนา พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ทุกหยด มือสองข้างยังคงโอบรอบคอของติไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ความสุขบางอย่างรื้นขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยอมเข้าใจและไม่โกรธเกลียดตัวเอง เขาไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คิดถูกหรือผิดกันแน่ มันอาจจะผิดที่อยากแก้แค้น และผิดที่เห็นคนอื่นเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะถูก...ถูกกำหนดมาว่าให้เขากับติต้องเจอกัน ต้องเข้ามาหากัน และได้รักกัน

ทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ มันมากมายเกินกว่าจะขาดสะบั้นไปง่ายดายจริงๆ ต่อให้สองมือนี้จะต้องไกลห่างกันแค่ไหน เขาก็อยากจะเชื่อว่า มันจะต้องกลับมาจับกันแน่นขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้ง...

ความอบอุ่นก่อตัวขึ้น ไม่ใช่จากแก่กองไฟขนาดหย่อม หากแต่แผ่ขยายออกมาจากหัวใจสองดวง ซึ่งกลับมาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันอีกครั้ง คืนนั้น...อากาศที่ว่าหนาว ไม่สามารถทำอะไรคนทั้งคู่ได้เลย ทุกความผิดพลั้ง และความเสียใจในอดีต ถูกปลดเปลื้องออกไปจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้แค่ความเชื่อใจ ที่หลังจากนี้จะไม่มีวันปล่อยให้แตกสลายไปอีกเป็นอันขาด

เพราะความรู้สึกรักของพวกเขา มันไม่ได้เปราะบางขนาดนั้นนี่น่า.....
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:24:02
บทที่ 38

 

“ไม่ใช่แค่เพราะเสี่ยจิวรอบคอบมากหรอกนะ แต่เพราะไม่เคยมีตำรวจหน่วยไหนเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆด้วย” เสียงอาใหญ่ พ่อของศิลป์ นายตำรวจยศสูงกำลังอธิบายแผนการจับกุมตัวเสี่ยจิวให้ฟัง ภายในห้องด้านในสุดของอาคารสำนักงานหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ลับสำหรับคุยงานตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาของเขากับเหล่าเพื่อนร่วมทีม

หลังจากพะภูกับติลอยไปติดเกาะร้างถึงสามคืนเต็มๆ ก็มีเรือของครอบครัวธรแล่นมาเจอเข้าจนได้ กว่าจะเล่าทุกอย่างให้ธรฟังจนเข้าใจก็ปาไปไม่รู้กี่ชั่วโมง เกือบมีเรื่องกัน เพราะติหาว่าธรเป่าหูพะภูด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมก้มหน้ารับความจริง ที่ว่าเขาเอาชนะความผูกพันของทั้งสองคนไม่ได้ และตกลงที่จะช่วยเหลือในการจับกุมเสี่ยจิวด้วยอีกคน

“แต่ฉันจะไม่ยอมลอยแพเรื่องนี้เหมือนคนอื่น ต้องจัดการเสี่ยจิวให้อยู่หมัดให้ได้”

“ก็ดีครับ”

คนที่ตอบกลับอาใหญ่คือธร ซึ่งนั่งฟังแบบไม่ยี่หระอะไรนัก ส่วนอาใหญ่พอเห็นท่าทีแบบนั้นก็ต้องชักสีหน้ากลับ อยากจะสื่อให้รู้ว่า ครอบครัวของธรเองก็ใช่ว่าจะขาวสะอาดไปซะหมด เพียงแต่ยอมให้เข้ามาร่วมในแผนการเพราะคิดว่าคงช่วยให้อะไรมันง่ายขึ้นเท่านั้น ก็รู้ดีอยู่ว่าธุรกิจของเสี่ยจิวไม่ว่าจะเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็คอยแต่จะขัดผลประโยชน์ตระกูลของเด็กนี่

“ผมคิดว่านายชุนคงยอมมาช่วยด้วยอีกแรง” พอรู้ตัวว่าแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ทำให้บรรยากาศของการอธิบายแผนกลับมาอีกครั้ง

“ตอนนี้ติก็แทรกซึมเข้าไปทำงานให้เสี่ยจิวจนได้รับความไว้วางใจพอตัวแล้ว ต่อไปเราจะแสร้งให้ติจับตัวพะภูกลับไปส่งให้เสี่ยจิว ทีนี้แหละ เราจะได้ตามไปถึงรังที่ซ่อนของมันได้สักที ด้วยเครื่องรับสัญญาณที่จะขอให้ทั้งคู่พกติดตัวไว้”

อาใหญ่ว่าต่อไป แล้วหยิบเครื่องรับสัญญาณแบบคลิปขนาดเล็กขึ้นมาให้ดู แผนนี้ถ้าเป็นไปได้ด้วยดี มันก็จะง่ายมากในการจับกุมเสี่ยจิวได้อย่างคาหนังคาเขา ไม่มีสิทธิ์ให้เลื้อยหนีไปไหนอีก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังมาก เพราะหากพลาดไป ก็คงยากจะมีโอกาสแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ถือว่าโชคดี สำหรับการหยิบยื่นความช่วยเหลือจากธรและชุน เพราะตอนแรกทางตำรวจที่ยอมเข้าร่วมแผนที่กับอาใหญ่ก็มีจำนวนน้อยนิด แต่ละคนต่างกลัวอำนาจมืด จนไม่กล้ากระดิกตัวกันหมด และนั่นคงเป็นอีกเหตุผลหลักที่ทำให้ยังจับเสี่ยจิวไม่ได้นั่นแหละ มั่นใจว่าถ้าเอาจริงเอาจังและกล้ามากกว่านั้น การรวบตัวผู้มีอิทธิพลรายใหญ่คนเดียว ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย

“ผมติดต่ออาจิวไว้แล้ว คืนนี้เริ่มดำเนินการได้เลย”

ติพูดขึ้นเสริมความมั่นใจให้ทุกคน ตั้งแต่กลับมาจากเกาะร้างนั่น เขาก็รีบติดต่อไปหาเสี่ยจิว อ้างว่าได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจน้ำ ส่วนเรื่องพะภู ก็บอกไปว่าเป็นแค่รุ่นน้องที่รู้จักกัน และจะจับตัวกลับไปให้ ทำให้ทางนั้นค่อนข้างพอใจในตัวเขามากขึ้นอีก ทีนี้คงพอมีลุ้นจะได้ติดตามไปยังที่กบดานของเสี่ยจิวสักที คงต้องบอกว่า นอกจากเขาที่เป็นหลานแล้ว คงยากจะหาใครมาทำให้งานนี้สำเร็จไปได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น มีหวังถูกตั้งข้อสงสัยทุกประเด็น และไม่มีทางได้เข้าใกล้ตัวมากขนาดนี้หรอก เขาเองก็คิดอยู่หลายครั้ง ว่าเสี่ยจิวคงหวังจะให้เขามาช่วยสานต่อธุรกิจมืดตัวเอง เพราะแกก็อายุมากขึ้นทุกวัน แถมหันซ้ายขวาก็ไม่เห็นญาติคนไหนท่าทางดูเลวเท่าเขาแล้วมั้ง...แบบนั้นก็ดี เขาจะได้จัดการอะไรๆง่ายขึ้น ถึงจะเป็นญาติกัน แต่ถ้าทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้เขาก็รับไม่ได้หรอก ยังไงก็คงต้องขอให้ชดใช้กรรมล่ะนะ

“ฝากด้วยนะ”

อาใหญ่ส่งเครื่องรับสัญญาณให้ติกับพะภู ก่อนจะพาทุกคนออกจากตึกด้วยความระแวดระวัง ทางธรเองก็ขอตัวกลับไปเจรจากับชุนเพื่อส่งหน่วยสนับสนุนไปให้กับตำรวจ ส่วนตัวแสดงหลักสองคน ก็ได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทางกลับบ้าน คนตัวเล็กเอาแต่พิมพ์ข้อความในมือถือส่งให้พี่สาวซึ่งเพิ่งจะรับทราบเรื่องทั้งหมด จนแทบลมจับไปอีกไม่รู้กี่รอบ จำได้ว่าหลังจากประมวลผลและพยายามเข้าใจทุกอย่างแล้ว พะพายก็ยื่นคำขาดที่ดูท่าทางจริงจังกว่าทุกครั้ง บอกว่าให้นี่เป็นการพาน้องชายของเธอไปเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอนว่าถ้าพะภูเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แม้แต่ชีวิตของติ ก็ยอมชดใช้ให้

คนตัวสูงเอื้อมมือข้างหนึ่งเข้าขยี้หัวเด็กบนเบาะข้างๆ พยายามบอกให้ไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าจอดในตัวบ้าน ซึ่งมีตาล กับชายหญิงคู่หนึ่งยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตู ท่าทางเป็นกังวลมาก ทันทีที่คุณชายของบ้านเดินลงจากรถ เสียงทักทายไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น ทำให้พะภูต้องรีบหันตามไปมอง ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดผ้าแพรราคาแพงตรงเข้าสวมกอดติไว้ พลางร้องเสียงหลง

“ติ! ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”

“ใจเย็นสิคุณ” ผู้ชายอีกคนซึ่งเดินขนาบข้างกันมารีบตำหนิ และดึงตัวเธอออก ก่อนจะจ้องหน้าติอยู่นานเหมือนกำลังสื่อสารกันทางจิตอย่างนั้น สุดท้ายก็เปล่งเสียงทุ้มฟังดูภูมิใจออกมา

“ทำได้ดี”

“เอ่อ...” พะภูรวบรวมความกล้าแทรกออกไปกลางปล้อง ทำเอาทุกสายตาหันมามองเป็นจุดเดียว ติรีบคว้ามือพะภูมากุมไว้ ตั้งท่าจะอธิบาย หากแต่ถูกตาลชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อน

“นี่ไงคะ พะภู แฟนพี่ติ”

“ห..หะ”

คนถูกแนะนำแบบนั้นอ้าปากเหมือนปลาพะงาบน้ำ ท่าทางไม่ยี่หระของตาลทำเอาคนทั้งคู่แปลกใจ และยิ่งน่าฉงนเข้าไปใหญ่เมื่อชายหญิงคู่ตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างให้เขาอย่างไม่นึกรังเกียจหรือกีดกันเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงที่กอดติเมื่อครู่ เริ่มแนะนำตัวเสียงใส พร้อมกับผายมือไปทางผู้ชายด้านข้าง

“สวัสดีจ่ะพะภู ฉันเป็นคุณแม่ของติกับตาลนะ ส่วนทางนี้ก็คุณพ่อ”

“ส..สวัสดีครับ!”

คนตัวเล็กรีบชักมือออกจากการเกาะกุม แล้วก้มหัวไหว้จนหน้าเกือบคว่ำ ทำเอาคนมองถึงกับลอบอมยิ้มในท่าทีน่าเอ็นดู อยู่ดีๆก็มาเจอพ่อกับแม่ติแบบไม่ตั้งตัว แถมยังดูใจดีกว่าที่คิดอีก ใครมาเป็นเขาตอนนี้ก็ต้องทำตัวไม่ถูกทั้งนั้นแหละ

“เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ” คนเป็นพ่อตบบ่าไล่หลังทุกคน จนทั้งหมดมานั่งล้อมลงกันอยู่บนโซฟากลางโถงบ้าน ความอึดอัดที่มาจากความงุนงงตรงเข้าจู่โจมแขกของครอบครัวทันที จนแม่ของติต้องเริ่มอธิบายเสียงนุ่ม พอให้คนกังวลคลายความตกใจลงบ้าง

“ยัยตาลคอยรายงานเรื่องพะภูให้แม่กับพ่อฟังตลอด เราทั้งสองคนไม่ได้รังเกียจหนูเลยนะจ๊ะ”

ว่ามาถึงจุดนี้ ตาลก็ยืดอกอวดท่าทางภูมิใจ โดยมีติส่งยิ้มกว้างให้ ในหัวคิดตบรางวัลน้องสาวคนเก่งเอาไว้แล้ว แต่คนที่ชื้นใจที่สุดก็เห็นจะเป็นพะภูนี่แหละ ไม่นึกเลยว่าปราการด่านนี้จะผ่านไปได้ง่ายๆ แถมทั้งคู่ก็ดูใจดีผิดกับในจินตนาการลิบลับเลย

“เราเข้าใจเรื่องรสนิยมของคน และไม่คิดกีดกัน แค่เป็นคนที่ติรัก และจัดการเขาได้อยู่หมัด พ่อกับแม่ก็วางใจแล้ว”

“ความจริง พ่อไม่คิดว่าจะมีใครเอาติอยู่ซะแล้วนะ ต้องขอบคุณพะภูมากกว่าที่ช่วยทำให้มันเป็นคนเต็มคนขึ้น ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทะเลาะต่อยตีหนีเรียนไปวันๆ” ประโยคหลังหันไปกัดพฤติกรรมเด็กเกเรของลูกชายเข้าหนึ่งดอก ก่อนจะกลับมายิ้มอบอุ่นเหมือนเดิม ดูเหมือนพะภูเริ่มผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว จึงค่อยๆก้มหัวลงเล็กน้อยด้วยท่าทีขัดเขิน

“ครับ..คุณอา”

ความเงียบจู่โจมทั่วบริเวณอย่างฉับพลัน ทำเอาผู้ชายตัวเล็กชะงักไปหน่อยๆ เริ่มวิตกว่าเมื่อกี้ได้ทำอะไรไม่เหมาะสมไปรึเปล่า พ่อกับแม่หุบยิ้มลงครู่หนึ่งพร้อมตีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ตาลกับติเอาแต่อมยิ้มอย่างแปลความไม่ออก สักพักติจึงกระแอมไอเรียกความสนใจจากคนคิดหนัก เรียวแก้มขาวแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย

“เรียกพ่อเลย”

พยักพเยิดบอกคนรักที่เอาแต่นั่งนิ่งเหงื่อเริ่มไหล พอเห็นท่าทีตกใจพร้อมพวงแก้มซึ่งแดงเถือกขึ้นมา ก็อดขำตามกับความน่ารักใสซื่อไม่ได้ พะภูชั่งใจได้แค่แวบเดียว ก็กลั่นสุ่มเสียงออกมาทั้งที่ริมฝีปากแดงๆนั่นเอาแต่สั่นระริกด้วยความกระดากอาย

“คร..ครับ คุณ..พ่อ”

ได้ยินแบบนี้แล้ว ทั้งสี่คนที่เหลือก็อมยิ้มตาม คนเป็นแม่ดี๊ด๊าดีใจ รีบเขย่าแขน ‘ลูกสะใภ้’ ให้เรียกตัวเองบ้าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักจากคนอื่นๆ คงต้องขอบคุณครอบครัวที่อบอุ่นนี้ ทำให้พะภูลืมเรื่องแผนจัดการเสี่ยจิวไปได้ชั่วขณะ ทั้งที่จะต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตลอดมาในไม่ช้าแล้ว แต่วินาทีนี้กลับยิ้มออกมาจากหัวใจได้ สงสัยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะกีรติ ไม่ใช่เพราะอัครโภคิน จะทำให้เขาอุ่นใจแบบนี้ได้ไหม ทั้งหมดนั่งคุยกันต่ออย่างออกรส ทั้งเรื่องของตัวเขา ความสัมพันธ์กับติ และเรื่องเสียจิวด้วย

พ่อกับแม่ของติดีกับเขามาก แน่นอนว่ารวมถึงตาลกับคนงานในบ้านทุกคนด้วย ความจริงนี่เป็นสถานที่ที่ดีมาก ผิดกับภายนอกที่คนมักมองว่า อัครโภคินต้องหยิ่งยโสตามฐานะ แต่มันไม่ใช่เลย ทุกคนใจดี และให้กับยอมรับในตัวเขามากเสียยิ่งกว่าที่เขาเคยมอบให้กับตัวเองด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้พะภูอยากจะขอบคุณการตัดสินใจของตัวเอง แม้จะไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีนัก แต่มันก็ได้นำพาเขาให้มาพบกับเส้นทางและจุดจบที่สวยงามมากจริงๆ หลังจากนี้ ก็คงมีแต่ต้องจัดการเรื่องเสี่ยจิวเท่านั้น

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว แขกคนเดียวของบ้านก็รีบปลีกตัวไปโทรศัพท์หาพี่สาว ซึ่งกำลังเดินไปมาทั่วบ้านด้วยความกังวลใจ ทั้งคู่พูดคุยกันยาวจนเกือบดึก ราวกับไม่ได้คุยกันมานานเหลือเกิน พะพายเอาแต่พูดซ้ำๆว่าให้ระวังตัวและเป็นห่วงมาก ซึ่งก็ทำให้คนฟังยิ้มรับทุกครั้งไป เขารู้ดีว่าพะพายต้องคิดหนักแค่ไหนกว่าจะยอมให้เขาเข้าร่วมในแผนการณ์สุดอันตรายแบบนี้ เธอที่ช่วยเขาออกมาจากเงื้อมมือมารครั้งหนึ่ง ไม่มีทางอยากให้เขาต้องกลับไปเสี่ยงกับเหตุการณ์เดิมๆอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะทำมัน จะได้สะสางเศษเสี้ยวความโกรธแค้นที่ยังซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจให้หมดไป และเพื่อช่วยเหลืองานของติด้วย เขาอยากทำให้มันจบจริงๆสักที

“พี่พายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะระวังตัวให้มากที่สุด”

(ดูแลตัวเองนะ พี่จะรออยู่)

“ครับ ฝันดีนะครับ”

(จ่ะ)

พะภูกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าด้านนอกมันเปลี่ยนเป็นสีดำไปตั้งนานแล้ว พอหันหลังกลับจะเดินขึ้นห้องก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นติกำลังยืนอ้าปากหาวหวอดรออยู่ก่อนแล้ว ให้ตาย มาเงียบๆแบบนี้ก็แอบน่ากลัวเหมือนกันนะ

“พี่ติ รอผมหรอครับ ขอโทษนะ”

“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”

“ครับ” รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินเข้าไปควงแขนคนตัวใหญ่ขึ้นห้องอย่างออดอ้อนเอาใจ ติเอื้อมมือมาหยิกแก้มเขาเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วพากันมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มพื้นหนา เตรียมพักผ่อนสำหรับงานใหญ่ในวันรุ่งขึ้น

“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะปกป้องนายเอง” ติสอดแขนเข้ามากอดเขาไว้หลวมๆ พลางยกมือขึ้นลูบหัวอย่างแผ่วเบา สายตาอบอุ่นถูกส่งผ่านออกมาจนอดยิ้มตามไม่ได้

“ผมไม่กลัว...”

คนตัวเล็กอมยิ้มเหมือนมีแผน ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยสงสัย จนเมื่อพะภูพลิกตัวขึ้นมานอนทับบนตัวเขา พร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้นั่นแหละถึงเข้าใจ...เด็กนี่มันยั่วชัดๆ

“มีพี่ติอยู่ ผมไม่กลัวหรอก”

“อืม...”

คนถูกอ่อยกระตุกยิ้มพอใจ และดึงหน้าหวานๆเข้ามาประกบปากอย่างรู้งาน ค่อยๆเพิ่มลีลาจากความนุ่มนวลไปเป็นความเร่าร้อนตามลำดับ ติค่อยๆยกตัวลุกขึ้นทั้งที่ยังคงแลกจูบดูดดื่มกับอีกฝ่ายอยู่ มือใหญ่พาลถลกเสื้อนอนลายสก็อตของคนรักออกตามแรงอารมณ์ในร่างกาย

พอถอนริมฝีปากออก ก็ตามมากดลงไปบนซอกคอขาวแทบจะทันที ติ่งไตสีชมพูซึ่งโผล่พ้นออกมาถูกนิ้วเรียวเขี่ยเล่นอย่างหยอกเย้า จนพะภูถึงกับแอ่นตัว ปากร้องครางไม่เป็นภาษา นึกรู้สึกผิดที่เมื่อครู่ทำเป็นกล้าไปยั่วติเข้า

“พ..พี่ติ พอเถอะครับ” พะภูพยายามร้องเรียกสติคนตัวสูงให้กลับมา จนติเริ่มชะงัก ค่อยๆถอนปากออกจากอกขาวอย่างอ้อยอิ่ง พลางตีสีหน้าสำนึกผิด ระคนเสียดาย

“ขอโทษ ก็นายน่ารักนี่...ฉันเลยทนไม่ได้”

คนโดนชมหน้าแดงฉานไปถึงใบหู รีบพลิกตัวกลับมานอนบนหมอนตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันทีเพื่อเก็บซ่อนความเขิน ติได้แต่เกาหัวแก้เก้อ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างกันในที่สุด รู้สึกว่าจะแพ้เด็กนี่ทุกทางจริงๆแฮะ ทั้งที่เป็นฝ่ายบอกให้นอนพักผ่อน แต่เขากลับห้ามใจไม่ไหว หวังจะไม่ให้พักซะเอง มันน่าด่าตัวเองที่ไม่มีความอดทนมากพอ หรือน่าตีคนข้างๆที่เอาแต่ทำตัวน่า.....รักขนาดนี้ดี

แต่ถ้าแผนการครั้งนี้ดำเนินไปได้ด้วยดี ทุกอย่างคลี่คลายหมดแล้ว เขาและพะภูก็คงได้โล่งอกกันสักที ทีนี้จะขอเอาคืนเด็กแสบที่ริมาป่วนชีวิตเขาให้สมใจเลยคอยดู ส่วนตอนนี้ขอเก็บแรงไว้ลุยพรุ่งนี้เช้าก่อน หวังว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไร หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี หวังว่าจะปลอดภัย... จะเทพเทวดาหรืออะไรก็ได้ อย่าลืมลงมาปกป้องพะภูด้วยนะ...
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:28:01
บทที่ 39



รถตู้สีดำปิดม่านบังหน้าต่างทุกด้านเคลื่อนตัวออกจากรั้วอัครโภคินตั้งแต่เช้ามืด พะภูนั่งก้มหน้ามองข้อมือสองข้างของตัวเองที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกุญแจมือสีเงิน ก่อนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายด้านข้าง สายตาจับผิดถูกส่งไปให้ กว่าติจะเข้าใจก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวันพร้อมตีหน้าตายที่สุด

“ของไอ้ศิลป์นะ”

“ของพี่ศิลป์?” ถามย้ำอีกครั้งพลางเอียงคอยกมือสองข้างขึ้น รู้สึกถึงภาพในหัวที่ไม่ค่อยดีนักระหว่างศิลป์กับนิว

“หมายถึงของอาใหญ่ พ่อศิลป์ไง”

“อ๋อ...”

บอกเลยว่าลงทุน เล่นใหญ่มาก รถตู้นี่เอามาจากไหนยังไม่รู้เลย ให้ฟีลมาเฟียสุดๆ แถมยังจับล็อคข้อมือแบบจริงจังจนน่าตกใจอีก ส่วนจุดหมายปลายทางในวันนี้ก็คือ บริษัทผลิตยางรถยนต์ในเขตปริมณฑล ซึ่งเป็นธุรกิจบังหน้าของเสี่ยจิว ความได้เปรียบในตอนนี้ของฝ่ายเราก็คือการที่ฝั่งนู้นดูจะไม่เอะใจเท่าไร และยังวางใจติแบบไม่มีข้อกังขาอีกต่างหาก

ก่อนจะถึงเวลาสว่างเต็มฟ้า รถตู้ที่นั่งมาก็ขับเข้าไปจอดอยู่ด้านในโกดังขนาดใหญ่ ติดึงสก็อตเทปแผ่นใหญ่ออกมาปิดปากผมไว้ทีก่อนพากันลงจากรถ บอดี้การ์ดตัวบึกหลายคนยืนล้อมแทบทุกบริเวณของพื้นที่ มีเสี่ยจิวยืนอ้วนรออยู่แล้ว ท่าทางภูมิใจแสดงออกมาทันทีที่เห็นหลานชายตัวเองเดินกระชากเด็กผู้ชายร่างเล็ก โจกย์ข้ามปีของเขาลงจากรถ สีหน้าโกรธเกลียดของพะภูฉายออกมาอย่างไม่ปิดบัง ขณะที่ติยังคงต้องแอ๊บโหดอยู่อย่างนั้น

“ถ้าผมรู้ว่าหมอนี่คือเด็กคนนั้น คงพามาให้เร็วกว่านี้” ติกดไหล่พะภูให้นั่งชันเข่าอยู่กับพื้น มีลูกน้องบางคนก้าวเข้ามาประชิด เผื่อกรณีฉุกเฉิน จิวเพียงแค่ส่ายหน้าและหันมาตบบ่าติเบาๆ เป็นเชิงเชยชม

“ไม่หรอก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อาล่ะนึกว่ามันไปตายที่ไหนแล้วซะอีก ตามกลับมาได้ก็ดี จะได้เอาคืนให้สาสม” คำสุดท้ายหันมากดเสียงต่ำลงต่อหน้าเด็กบนพื้น ยิ่งทำให้พะภูกัดฟันกรอด ติได้แต่สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ในใจที่อาจปะทุออกมาเมื่อไรไม่รู้ ก่อนรีบส่งคำถามเข้าเรื่องออกไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“แล้วนี่ จะทำยังไงต่อครับ?”

“เดี๋ยวพาขึ้นรถตู้ไปที่ท่าเรือ จากนั้นค่อยต่อไปที่ซ่อน ติไม่เคยไปนี่ บรรยากาศอาจจะแย่หน่อยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมช่วยคุมเด็กนี่ไว้ด้วยดีกว่า”

“ดีๆ แต่เราจะเดินทางกันตอนค่ำหน่อย ช่วงนี้พามันไปขังไว้ในห้องด้านในก่อนไป”

เสี่ยจิวชี้นิ้วสั่งลูกน้องคนหนึ่งให้เดินเข้ามา แล้วรับเอากุญแจห้องหนึ่งดอกมาไว้ในมือ ลูกน้องคนนั้นเดินนำติที่กำลังลากแขนเล็กของพะภูไปตามทางเดินที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เพราะปราศจากหน้าต่างรับแสง แถมยังเปิดไฟไว้ไม่กี่ดวง ท่าทางสลัวจนแทบจะดับเต็มทีแล้ว

ทั้งสามคนหยุดฝีเท้าลงที่ห้องเกือบจะด้านในสุด ประตูสีเทาดูแน่นหนาและน่ากลัวไม่น้อย พาลให้จิตใจของคนตัวเล็กแกว่งไหวขึ้นมาด้วยความกลัว ภาพในอดีตเริ่มตีกลับเข้ามาในหัว ก่อนจะรีบสะบัดไล่มันออกไปก่อนจะแย่มากกว่านี้ ติแสร้งผลักพะภูจนเซเข้าไปในห้อง ลูกน้องที่มาด้วยตรงเข้ามัดเอวพะภูไว้ติดกับเสาต้นหนึ่ง ทั้งห้องแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากลังปริศนา ขยะ กับกระป๋องเบียร์

ติชั่งใจครู่หนึ่ง มองหน้าพะภูด้วยสายตาเป็นห่วง โดยระวังไม่ให้อีกคนในนี้เห็น ที่สุดแล้วก็ต้องยอมเดินกลับไป แล้วทิ้งคนรักเอาไว้กับลูกน้องหน้าโหด แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้อาจจะตกเป็นที่สงสัยได้ แม้จะยังตีหน้าเคร่งขรึม แต่ข้างในก็กำลังร้อนรนเพราะกลัวว่าพะภูจะได้รับอันตราย ทันทีที่ออกมาเจอจิวอีกครั้ง เขาจึงรีบเอ่ยปากแนะนำเสียงจริงจัง

“อาครับ บอกลูกน้องให้ดูแลเด็กนั่นให้ดี จะดีกว่าไหมครับ”

“หือ?” เสี่ยจิวเลิกคิ้วอย่างสงสัยจนติต้องรีบอธิบายต่อ

“ถ้าเกิดมีแผลหรือเป็นอะไรไป ราคาขายก็คงตกลงไปอีก นานๆ ทีจะได้เด็กหน้าตาน่ารักๆ มา จะเสียดายเอานะครับ”

“อืม...ก็จริงนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกน้องอารู้อยู่แล้ว ว่าควรจะดูแลสินค้ายังไง”

“อ่า...ครับ”

พอตกเย็นพะภูก็ถูกจับขึ้นรถตู้ติกฟิล์มดำจนแทบไม่เห็นอะไร แน่นอนว่ามีตำรวจหลายนายที่แอบเป็นพวกให้อยู่ลับหลัง เลยผ่านฉลุยไปขึ้นเรือลำกลางที่ท่าได้อย่างสบาย คนโดนจับยังคงถูกมัดขังเอาไว้ในห้องห้องหนึ่ง พร้อมกับลูกน้องคนเดิมที่คอยเฝ้าอยู่

จิวกวักมือให้ติเดินไปนั่งคุยงานกันต่ออีกพักใหญ่ๆ สาบานว่าแต่ละคำพูดของคนเป็นอาแทบไม่เข้าหัวเขาเลย เมื่อเอาแต่คิดถึงพะภูที่ต้องอยู่กับลูกน้องตัวหนาสองต่อสองในห้องเล็กๆ เหม็นอับนั่น ถึงจิวจะย้ำว่าสั่งสอนลูกน้องมาเป็นอย่างดี แต่พะภูน่ารักขนาดนั้น ใครอยู่ใกล้ก็ต้องมีเคลิ้มบ้างแหละ ถึงทำให้เขาไม่มั่นใจเลยว่าคนรักตัวเองจะปลอดภัยจริงๆ

 

“ผู้ชายจริงเหรอวะ ทำไมตัวเล็ก ดูบอบบางอย่างกับผู้หญิง” ไอ้ลูกน้องหัวโล้นจ้องพะภูที่ถูกมัดติดเสาตาเป็นมัน คนตัวเล็กกลอกตาหนีทำทีเป็นไม่สนใจ จนอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แล้วใช้มือสากบีบคางของเขาให้หันมาเผชิญหน้ากัน สายตาหื่นกระหายแปลกๆ ถูกส่งมาให้พอให้ใจหายวาบ

“อืออ!!” พยายามส่งเสียงท้วงผ่านสก็อตเทป และเริ่มดิ้นหนีแต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน

“ขอชิมสักนิดคงไม่เป็นไรมั้ง”

“ไอเอี้ย! อื้ออ!!”

ริมฝีปากแห้งแตกกดลงกับพวงแก้มใส ทำเอาคนโดนมัดเสียวปราดขึ้นมาด้วยว่าขยะแขยงเต็มทน ไอ้โล้นค่อยๆ ริมปากผ่านไปถึงลำคอขาว ทำเอาน้ำตาของพะภูรื้นขึ้นมาเพราะความกลัว ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้เพื่อขอความช่วยเหลือที่อาจมาไม่ถึง

พี่ติ! พี่ติอยู่ไหน!!

ปึงง!

เสียงประตูเปิดออกทันที พร้อมกับร่างสูงของกีรติที่กำลังถือก้อนขนมปังเข้ามา คงกะจะเอามาให้พะภูรองท้องซะก่อนจะไปเผชิญแผนการณ์ใหญ่ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขนมปังก้อนนั้นก็ถูกเขวี้ยงลงพื้น ตามมาด้วยแรงกระชากคอเสื้อ ทำให้ไอ้โล้นต้องลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หมัดหนักๆ จากติถูกส่งเข้าไปปะทะใบหน้าสีมืดของมันจนร่างทั้งร่างเซจนเกือบล้ม ติไม่หยุดแค่นั้น ตามเข้าไปอัดมันต่ออีกไม่รู้กี่ครั้ง จนเสียงดังไปถึงด้านนอก เรียกให้เสี่ยจิวกับลูกน้องคนอื่นต้องตามเข้ามาดูเหตุการณ์

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” นายใหญ่รีบถาม รีบสั่งลูกน้องให้จับแยกติออกมาก่อน สภาพไอ้โล้นตอนนี้แทบไม่ต่างจากซอมบี้ที่ได้แค่กระดิกนิ้วเท่านั้น

“ไอ้เหี้ยนี่มันลวนลามพะภู!” ติขึ้นเสียงอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสายตาจับผิดกลายๆ จึงต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดหวังสงบอารมณ์ ก่อนอธิบายต่อไปเสียงเรียบ

“ไหนอาบอกว่าลูกน้องอารู้เรื่องดี แล้วนี่อะไรครับ ทำสินค้าเสียหายหมด”

“ใจเย็นน่า”

“เย็นอะไรครับ ถ้าเมื่อกี้ผมไม่เข้ามาก่อน ไม่รู้มันจะทำอะไรบ้าง ถ้าเกิดขายไม่ได้ราคาขึ้นมา พวกเราก็เป็นฝ่ายเสียหายนะครับ”

“เอาล่ะๆ ไอ้นี่มันผิดจริง ติจะทำยังไงกับมันก็แล้วแต่เลย อาอนุญาต”

“โยนมันลงทะเลไปเลย”

“เฮ้ย.. จะดีหรอ ไอ้นี่มันทำงานให้อามานานอยู่นา”

จิวพยายามตบบ่าติให้ใจเย็น เขาเองไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้ด้วย ทางด้านติที่ดูจะหงุดหงิดไม่น้อย พยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นมาอารมณ์ เมื่อรู้สึกว่าเริ่มทำตัวน่าสงสัย จึงค่อยๆ ฝืนเอ่ยปากเสียงอ่อนลง

“ล้อเล่นน่ะครับ จับมัดไว้ที่ไหนสักที่แล้วกัน อย่าให้มายุ่มย่ามกับสินค้าอีก กว่าผมจะจับมาให้อามันก็ลำบากอยู่” รีบยกเรื่องความดีความชอบของตัวเองขึ้นมาอ้าง เพื่อไม่ให้จิวจับผิดได้ และจิวก็ดูจะเชื่อสนิทใจในส่วนนี้ เลยพยักหน้าให้ลูกน้องอีกสองคนลากตัวไอ้โล้นที่สลบเหมือดไปขังไว้ในห้องเล็กๆ ท้ายเรือ

ติไล่ทุกคนไม่แม้กระทั่งจิวให้ออกไปทำธุระของตัวเอง แล้วเขาจะเป็นคนเฝ้าพะภูเอง ถึงตอนแรกจิวจะไม่ยอมเพราะไม่อยากให้ติต้องลำบาก แต่ติก็งัดคำพูดมาโน้มน้าวใจได้อีกตามเคย

“ยังไงผมก็เป็นรุ่นพี่มัน น่าจะคุยกันง่ายกว่า ให้คนอื่นมาเฝ้าเกิดมันอาละวาดขึ้นมาอีกจะแย่ ผมไม่ไว้ใจลูกน้องของอาแล้วด้วย”

“อ่าๆ เอางั้นก็ได้ แต่ถ้าต้องการอะไรก็เรียกไอ้พวกนี้ได้เลยนะ” จิวชี้ไปทางลูกน้องคนอื่นๆ ซึ่งดูจะสงบเสงี่ยมลงมาก หลังจากเห็นสภาพเพื่อนรวมงานโดนติซ้อมจนน็อคคาที่เมื่อครู่

“ครับ อาไปพักก่อนก็ได้”

“อืมๆ”

เมื่อทุกคนออกไปพ้นบริเวณหมดแล้ว ติจึงปิดประตูห้องลง ดีที่ประตูของเรือมันเป็นวัสดุที่หนาพอไม่ให้ใครด้านนอกได้ยิน และยิ่งดีขึ้นเมื่อพวกลูกน้องสองคนที่ถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าเข้ามารบกวนใกล้ขนาดนั้น จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเขาพูดคุยกับ ประกอบกับว่าห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดแน่นอนตามที่จิวบอกไว้ และเขาก็สำรวจดูเองแล้วด้วย รู้สึกคุ้มค่าที่สละเวลามากมายมาคอยช่วยงานเสี่ยจิวจนรับความไว้วางใจในฐานะหลานรักเพียงคนเดียวแบบนี้

“เป็นไงบ้าง ขอโทษนะ” ติรีบปราดเข้าหาคนรัก ดึงเอาสก็อตเทปที่ปิดปากออก แล้วใช้มือสองข้างประคองใบหน้าหวานขึ้นอย่างทะนุถนอม

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย”

คนตัวสูงไม่พูดอะไร กดจูบลงกับหน้าผากมนแล้วลากปลายจมูกไล่ลงมา จนริมฝีปากทั้งคู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซน พะภูลอบยิ้ม ก่อนเชิดหน้าขึ้นรับสัมผัสอบอุ่นจากปากนุ่มหยุ่นของอีกฝ่าย เมื่อพอใจแล้วจึงผละตัวออก ตินั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าพะภู สีหน้าห่วงใยมองผ่านไปยังเชือกที่มัดรอบตัวกับกุญแจข้อมือที่ยังถูกสวมใส่

“อึดอัดไหม”

“นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ”

“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวมันก็จบแล้ว” ฝ่ามือหนาลูบแก้มเนียนซึ่งเริ่มชื้นเหงื่อ พะภูพยักหน้ารับแล้วปล่อยน้ำหนักศีรษะลงกับมือข้างนั้น ค่อยๆ หลับตาพริ้มเพื่อซึมซับทุกกำลังใจ

ใช่...เดี๋ยวมันก็จะจบแล้ว

 

พะภูเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอตื่นมาอีกทีก็ไม่เห็นติแล้ว รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยใต้ท้องเรือ ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง พอให้เดาได้ว่าพวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางเป็นอันเรียบร้อย ไม่นานนัก ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมลูกน้องของเสี่ยจิวสองคนที่ตรงเข้ามาแก้มัดเขาออกจากเสาแล้วหิ้วปีกสองข้างไว้ไม่ให้หนี ขณะที่ติกำลังยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของอาตัวเอง ท่าทางสะใจของเสี่ยจิวทำให้พะภูนึกชิงชังแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกไปได้

ดูเหมือนจะมีพรรคพวกของเสี่ยจิวคอยรอต้อนรับอยู่บนท่าเรือแล้ว แต่ไม่ว่าจะมองซ้ายหรือขวาก็เห็นเป็นแค่เกาะร้างแห่งหนึ่งซึ่งเดาไม่ออกเลยว่าคือส่วนไหนของประเทศไทย ติเดินตามประกบพะภูอยู่ในระยะห่างที่พอดี ก่อนจะถูกย้ายขึ้นรถกระเป๊าะท่าท่างคร่ำครึ ฝ่าทางขรุขระเข้าไปในตัวป่า (?) ไม่กี่นาทีต่อมา ก็จอดลงตรงหน้ากระท่อมไม้หลังหนึ่ง ซึ่งถูกล็อคกลอนแน่นหนาจากด้านนอก

คนเฝ้ากระท่อมโค้งหัวให้จิว แล้วจัดการเปิดประตูอย่างยากลำบาก คิดดูว่ากว่าจะเปิดประตูไม้โง่ๆ นี่ได้ก็กินเวลาไปหลายนาทีแล้ว อะไรจะความปลอดภัยดีขนาดนั้น

ทันทีที่ประตูถูกแง้มออก กลิ่นอับจากภายในก็ลอยฟุ้งออกมาจนผู้มาใหม่ถึงกับต้องปิดจมูกหนีด้วยความไม่ชิน เสียงโวยวายกับเสียงโซ่ที่กระทบกันไปมาดังขึ้นแทบจะทันทีที่แสงสว่างลอดผ่านเข้าไปภายใน น้ำใสเริ่มรื้นขึ้นมายังขอบตาทั้งสองข้างของคนตัวเล็ก ภาพเด็กหญิงชายอายุไม่เกิน 15 ปี ถูกจับล่ามไว้กับเสาบ้านกำลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหาอากาศบริสุทธด้านนอก

เหมือนภาพซอมบี้ หรือขอทานที่หมดหนทางแล้วจริงๆ น่าสงสารมาก... มากพอให้เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ภาพตรงหน้าราวกับฟิล์มที่ฉายซ้ำอดีตของตัวเอง มันเจ็บปวดจนเข่าอ่อน ทรุดตัวลงท่ามกลางความตกใจของติและลูกน้องที่กำลังพยุงอยู่

“พะภู!/เฮ้ย!”

ติแทบจะเก็บอาการไม่อยู่ตอนที่คนตัวเล็กอาเจียนออกมา จนสก็อตเทปแผ่นบางหลุดตามออกมากองบนพื้น น้ำหูน้ำตาไหลจนแม้แต่เด็กๆ ที่ถูกจับขังไว้ยังนิ่ง มองมาด้วยสายตาสงสัยระคนสงสาร คงจะเดาออกว่านี่คือสมาชิกใหม่ของกระท่อมฝันร้ายแห่งนี้

“เป็นอะไร!?”

คนเป็นห่วงรีบย่อตัวลงไปดูสีหน้าไม่สู้ดีของพะภูใกล้ๆ เขาต้องแสร้งกระชากเสียงโหดให้เหมือนกับว่ากำลังรำคาญและไม่พอใจ ทั้งที่ข้างในน่ะปั่นป่วนจะแย่ อยากช่วยลูบแผ่นหลังสั่นเทานั้น อยากเข้าไปกอด อยากบอกว่าไม่ต้องกลัว...

“แค่กๆ...”

พะภูส่ายหน้าแล้วยกสองมือขึ้นเช็ดปาก พยายามยันตัวเองลุกขึ้นโดยมีติคองประคองอยู่อย่างเนียนๆ เขาแค่คิดถึงภาพเก่าๆ วันที่เคยโดนจับมาทรมานจนเหมือนตายทั้งเป็น เช่นเดียวกับเด็กตรงหน้าพวกนี้

“ถ้าไม่เป็นไรแล้ว ก็จับมันมัดไว้ แล้วเราก็กลับกันเถอะ” จิวออกปากสั่งท่าทางรำคาญ ก่อนจะปลีกตัวกลับออกไปนั่งรอบนรถ ท่ามกลางการอารักขาแน่นหนา

มีแค่ติที่ยังคอยเฝ้ามองพะภูอยู่ให้แน่ใจ คนตัวบางถูกจับล่ามด้วยโซ่ไว้ใกล้กับเด็กคนอื่น ความยาวของมันพอแค่ให้เดินต่อได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ลูกน้องทั้งสองคนถอนตัวออกมาเมื่อจัดการงานเรียบร้อยแล้ว ติพยักพเยิดหน้าไล่ทั้งคู่ออกไปรอด้านนอก แล้วทำทีเป็นเข้ามาเช็คความเรียบร้อยของสิ่งพันธนาการ

แผ่นหลังกว้างพยายามบดบังคนตรงหน้าให้พ้นสายตาลูกสมุนแถวประตู ก่อนยื่นมืออุ่นออกมาแตะแก้มปลอบพะภูเบาๆ คนตัวเล็กยิ้มรับ พยายามส่งสายตาบอกว่าไม่เป็นไร

“ทำความสะอาดด้วยล่ะ” หลานชายนายใหญ่หันกลับมาออกคำสั่ง พร้อมปรายตามองกองอ้วกเมื่อครู่

ไม่นานนักกลุ่มของจิวก็หายออกไปจากป่า ทิ้งไว้เพียงความเงียบกับแสงจันทร์สลัวๆ ในคืนนี้เท่านั้น...


รอก่อนเถอะ เจ้าโชคชะตา...

เขาจะต้องเอาคืนแกให้ได้เลย
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:28:54
บทที่ 40



“น..นาย ชื่ออะไร?” เด็กชายท่าทางผอมแห้งจนหนังแทบติดกระดูก ถามพะภูขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ มีเด็กคนอื่นพยายามกลบอยู่ด้านหลัง จ้องมาด้วยท่าทีไม่วางใจนัก เขาจึงต้องรีบระบายยิ้มแล้วตอบกลับเสียงอ่อนโยน

“ฉันชื่อ พะภู แล้วพวกนายล่ะ?”

“เราชื่อจั่น นี่แหวน พี่แก้ม แล้วก็โอ๊ค” เด็กจั่นหันไปแนะนำคนที่หลบหลังตัวเองอยู่ พร้อมกับดึงให้เจ้าพวกนั้นออกมาสบตากับเขาตรงๆ ผู้หญิงที่ดูโตหน่อยชื่อแก้ม เธอยิ้มให้ทั้งที่ใบหน้าดูอิดโรย แล้วกวักมือเรียกเด็กคนอื่นๆ ที่เอาแต่นั่งกอดเข่าให้เข้ามาใกล้มากขึ้น

“ไล่จากซ้ายไปขวาคือ จินนี่ สรุต ยอร์ช แป๋ม แล้วก็ซิน”

“ทำไมพะภูถึงถูกจับมาได้ล่ะ”

จั่นเอ่ยปากถาม สายตาไล่สำรวจตัวเขาตั้งแต่หัวจรดนิ้วเท้า แน่นอนว่ามันดูแปลก เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ถูกจับมาต้องมีปัญหาสักอย่าง อาจติดหนี้ โดนทิ้ง หลงทาง หรืออะไรก็ว่าไป แต่สภาพเขาตอนนี้มันดูดีเกินกว่าจะถูกพาตัวมาง่ายๆ แบบนั้น

“ฉัน...ฉันติดหนี้เสี่ยจิวไว้”

“พ่อแม่เราก็เป็นหนี้มันเหมือนกัน” เสียงจั่นดูแผ่วลง ถึงแสงจันทร์จะเป็นแสงเดียวในคืนนี้ แต่เขาก็พอจะมองเห็นสีหน้าของเด็กทุกคนได้อยู่ มองออกอยู่ ว่ามันย่ำแย่แค่ไหน

“แต่กำลังจะมาจ่ายคืนแล้วล่ะ”

พะภูพูดทิ้งท้าย แล้วหันหน้าออกไปทางหน้าต่างบานเล็กที่ถูกปิดสนิทจนฝุ่นเกาะ ปล่อยให้คนที่เหลือได้แต่นึกสงสัยในคำพูดแปลกๆ นั้น

เขากำลังจะชดใช้ไอ้เสี่ยจิว ด้วยการแก้แค้นอันสาสมไง พอกันทีกับวงจรธุรกิจอุบาทว์ๆ มันจะจบที่นี่ ที่เขา....กระท่อมฝันร้าย จะต้องไม่มีอยู่อีกแล้ว และเด็กพวกนี้ก็ต้องรอด เขาสัญญา

 

“ฮ..แฮ่ก..แฮ่...ก”

เสียงหอบหนักๆ ปนกับเสียงหายใจติดขัดของใครบางคนดังขึ้นกลางดึก ทำให้พะภูต้องปรือตาขึ้นมาสำรวจทั่วพื้นที่ แก้มที่ดูโทรมลงไปอีกตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กำลังนอนกุมหน้าอกตัวเองพลางตีสีหน้าเหยเกเหมือนกำลังเจ็บปวด

“แก้ม เป็นอะไร” คนตื่นรีบคลานเข้าไปดูเธอใกล้ๆ พยายามกระซิบให้เบาไว้กลัวรบกวนการนอนของเด็กคนอื่น ซึ่งดูท่าทางจะเพลียเต็มที่กันหมด

“เรา...ไม่ค่อย แค่กๆ..สบาย”

“ไม่สบายเป็นอะไร แล้วเป็นมานานยัง”

พะภูอดที่จะส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมไม่ได้เมื่อสภาพของแก้มเริ่มแย่ลงแต่เขากลับทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดเด็กคนอื่นก็สะลึมสะลือตื่นตมขึ้นมากันหมด ทุกคนดูตกใจกับท่าทีของแก้มจนจินนี่คลานเข้ามากอดแก้มไว้หลวมๆ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วยว่าเห็นใจพี่สาว

“อีกแล้วหรอพี่แก้ม”

คำพูดของจินนี่ทำให้พะภูสะกิดใจ อีกแล้ว? แปลว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้น่ะสิ อะไรกัน ทำไมมีเด็กป่วยแล้วไอ้เสี่ยเวรตะไลนั่นยังไม่คิดจะดูดำดูดีบ้าง รู้หรอกว่าคนอย่างมันคงไม่ห่วงชีวิตคนอื่น แต่อย่างน้อยแก้มก็เป็นสินค้าของมันไม่ใช่หรือไงวะ!

“เป็นมานานแล้วเหรอจินนี่?”

“จ่ะ พี่แก้มป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่เดือนที่แล้ว จนช่วงนี้มาทรุดหนัก ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน”

“แล้วไม่บอกไอ้จิวล่ะ”

“มันไม่สนใจหรอก ถ้าใครใช้งานไม่ได้มันก็ปล่อยให้ตายเหมือนหมูเหมือนหมา” จั่นพูดน้ำเสียงโกรธแค้น แต่กลับโดนเพื่อนคนอื่นเอ็ดเป็นเสียงเดียวกัน

“จั่น!”

จินนี่ส่งสายตาดุๆ ให้จั่นที่หน้าเจื่อนไป ก่อนก้มลงดูอาการของแก้มต่อ จั่นรีบขยับตัวอ้อมมาอยู่ข้างหน้าแก้มแล้วก้มหัวขอโทษ และนั่นก็พอให้แก้มฝืนยิ้มออกมาได้บ้าง หลังจากทำท่าคลื่นไส้มานานกว่าสิบนาที

 “พี่แก้มไม่เป็นอะไรหรอก อดทนไว้นะ”

น้องที่เหลือพากับรุมกอดแก้มเอาไว้เหมือนต้องการมอบพลังบางอย่างให้ ภาพตรงหน้าช่างดูอบอุ่นจนพะภูเผลอน้ำตาคลอตามอย่างช่วยไม่ได้ มันไม่ได้เว่อร์หรอก ถ้าเกิดว่าคุณเคยมีชะตากรรมแบบเดียวกับเขา แล้วมาอยู่ในจุดๆ นี้ เห็นภาพที่ดูน่าเวทนาแบบนี้ เป็นใครก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

แก้มพยายามยิ้มรับอ้อมกอน้อยๆ มือข้างหนึ่งยังคงกำแน่นไปที่อะไรบางอย่างตรงหน้าอก เขาแอบเห็นสายสร้อยที่คล้องคอของเธอกำลังล่อแสงจันทร์เป็นประกายจึงถือวิสาสะตั้งคำถาม

“นั่น...อะไรเหรอ?”

คนป่วยพยายามดันร่างตัวเองไว้ไม่ให้ฟุบลงกับพื้นเสียก่อน เด็กคนอื่นคลายอ้อมกอดออกไปกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่รอบๆ แก้มควักจี้ทรงรีประดับด้วยหินสีออกมาให้ดู เธอก้มมองมันด้วยสายตาคิดถึงระคนเจ็บปวด ก่อนอธิบายเสียงสั่น

“นี่เป็นของเพื่อนเรา ที่โดนจับมาด้วยกัน เธอให้เราไว้ก่อนที่จะถูกพาตัวไปขาย”

คนเล่าเริ่มหอบอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ เอนตัวลงนอนแล้วส่ายหน้าบอกให้คนอื่นไม่ต้องห่วง เด็กๆ เฝ้าดูแก้มอีกสักพักจึงแยกย้ายกันไปนอน ความเงียบคืนนั้นยิ่งทรมานมากกว่าคืนไหน... พะภูแทบไม่ได้นอนเลยจนถึงเช้า ด้วยทั้งเป็นห่วงคนป่วยท่าทางร่อแร่ ด้วยทั้งตื่นเต้นกับแผนการวันรุ่งขึ้น

มันจะจบแล้ว จะจบแล้วจริงๆ !

(หมายถึงนิยายเรื่องนี้อ่ะค่ะ จะจบแล้ว 555555)

 

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสอดส่องเข้ามาภายในกระท่อมอับชื้น เด็กหลายคนเริ่มตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจบ้าง ขยี้ตาไปมาบ้าง ทุกการเคลื่อนไหวมักตามมาด้วยเสียงกระทบกันของโซ่เส้นหนา ที่พันกันจนมั่วอยู่แถวเสาบ้านต้นใหญ่ เอาจริงๆ คือเดินได้คนละไม่เกินสิบก้าวก็เรียกว่าที่สุดแล้ว และแน่นอนว่าเป็นสิบก้าวที่ไปไม่ถึงลูกบิดประตูหรือหน้าต่างด้วยซ้ำ

ใบหน้าของแก้มซูบซีดจนน่ากลัว แป๋มกับแหวนช่วยกันพยุงร่างของแก้มขึ้นนั่งพิงเสาเอาไว้ สรุตที่ดูนิ่งเงียบมาตลอด ถึงกับยอมถอดเสื้อตัวเองออกมาพัดให้ความเย็น มีจั่นคอยช่วยด้วยอีกแรง แก้มพยายามฝืนยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก รู้สึกได้เลยว่าร่างกายไม่แข็งแรงอีกต่อไปแล้ว มันปวดตุบตุบอยู่ข้างในโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังดูสิ้นหวังเหลือเกิน เธอมาอยู่ที่นี่นานเกินไป...

นานจนลืมความสใสข้างนอกนั่น

นานจนไม่คาดหวังที่จะกลับไป อีกแล้ว.....

“แก้ม!/พี่แก้ม!” ทุกคนร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวเมื่อจู่ๆ แก้มก็ทรุดตัวลงจนเด็กสาวอีกสองคนรับน้ำหนักแทบไม่ไหว เธอหอบหายใจแรงขึ้นจนคนอื่นชักหวั่น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยหยดเหงื่อ

พะภูขยับเข้าไปช่วยช้อนร่างของแก้มขึ้นอีกครั้ง มือเล็กๆ ที่กำลังสั่นเทาพยายามยกขึ้นจับจี้ตรงหน้าอก เธอถอดสร้อยออกอย่างยากลำบาก ก่อนจะส่งมันเข้ามาในมือของพะภูซึ่งยังงงอยู่ แก้มเหมือนไม่มีเสียงจะพูด แต่สุดท้ายก็ดึงดันส่งเสียงออกมาจนได้ แม้ว่ามันจะแผ่วเบาแค่ไหน แต่ทุกคนก็รับรู้ทุกคำพูดอย่างชัดเจน

“ชะ ช่วย...ท..ทุกคน...ด้วย..นะ...”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่พวกเขาได้ยินจากเด็กผู้หญิงชื่อแก้ม น้ำตาและเสียงโฮถูกปลดปล่อยออกมาจนดังระงมไปทั่วกระท่อมหลังเล็ก แก้มไม่สามารถขยับร่างกายได้อีกแล้ว...หรือแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจ ก็ไม่มี...

เธอจากไปแล้ว...

ร่างแน่นิ่งของแก้มในอ้อมแขนของพะภูยิ่งทำให้เขารู้สึกชิงชังทุกอย่างที่เสี่ยจิวกระทำไว้ ยิ่งเสียงกรีดร้องของเด็กที่เหลือ ก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปถึงข้างในจิตใจ น้ำตาคลอเบ้าทั้งสองข้าง ก่อนที่จะไหลออกมาเฉกเช่นเดียวกับทุกคน พะภูกำหมัดแน่น สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก

สร้อยคอที่ถูกมอบมาถูกสวมเข้ากับคอขาวๆ สายตาขึงขังกวาดมองหน้าสมาชิกทุกคนในที่นี่ เขาจะทำให้ได้ แก้ม ไม่ต้องห่วงนะ..เขาจะช่วยทุกคนเอง

แกร๊ก แกร๊ก

ประตูบ้านถูกปลดล็อคออกจากด้านนอก ก่อนที่ลูกน้องตัวใหญ่ในชุดสีดำสนิทจะกระทืบเท้าเข้ามาดูสถานการณ์ แอบได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา ฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างขึ้นตามลำดับ

พะภูวางมือข้างหนึ่งไว้ตรงกระเป๋ากางเกง ยังคงมีเครื่องส่งสัญญาณตัวเล็กอยู่ด้านใน สายตาเกลียดชังตวัดเข้าใส่ร่างท้วมของเสี่ยจิวทันทีที่โผล่เข้ามา ท่าทางสะอิดสะเอียนกับสภาพรังหนู เสียงแข็งกร้าวตวาดออกไปพร้อมจ้องเขม็งไปยังไอ้เลวตรงหน้า

“มึง!” เด็กชายตวาดลั่น พร้อมกับถลาเข้าไปหวังจะแตะให้ถึงตัวของเสี่ยจิวซึ่งยังคงมีท่าทีนิ่งๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าพะภูไม่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้

“ไอ้เด็กนั่นมันตายซะแล้วเหรอ” เสี่ยจิวพูด ปรายตามองร่างของแก้มบนพื้น มีเด็กนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ

ติที่เพิ่งตามเข้ามายืนด้านหลังเสี่ยจิว ดูจะช็อกมากกับภาพตรงหน้า แอบเห็นว่าเขากำลังกำหมัดแน่นไม่แพ้กัน และคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลอยู่ภายใน เขาแทบไม่อยากนับญาติกับไอ้คนจิตใจอำมหิตขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

“เอาตัวมันไปได้แล้ว”

เสี่ยจิวพูดสั่งลูกน้อง ก่อนที่พะภูจะถูกแก้โซ่ที่ขาออก หากแต่ก็ยังอยู่ในความควบคุมของผู้ชายตัวใหญ่ถึงสองคน แรงน้อยนิดของเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย มันยิ่งรู้สึกปวดใจเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนจากเด็กในบ้าน ที่บอกว่าไม่ให้เอาเขาไป

ปวดใจจริงๆ.....

ปังง!!

“เฮ้ย! อะไรวะ!?” จิวตะโกนหน้าตาตื่น ลูกน้องหลายคนรีบกรูกันเข้ามาล้อมวงรอบพวกเขาเอาไว้ ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นจากจุดไหนไม่แน่นอน อาวุธในมือเตรียมพร้อมแม้จะยังงุนงงกับสถานการณ์อยู่

ไม่กี่วินาทีผ่านไป กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเกราะของตำรวจ พร้อมปืนคนละกระบอกก็โผล่ตัวออกมาจากที่ซ่อนตามแนวป่าและพุ่มไม้ พวกจิวดูจะตกใจกันมาก แต่ก็ยกปืนขึ้นสู้ไว้ก่อน ใหญ่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ด้านหน้าสุดอย่างไร้ความเกรงกลัวพร้อมประกาศเสียงดัง

“มอบตัวซะ แกถูกล้อมไว้หมดแล้ว”

“ไอ้สัด!!” จิวคำรามจนพุงกระเพื่อม ราวกับเป็นสัญญาณบอกให้ลูกน้องทุกคนพร้อมรบ แน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่มีวันยอมมอบตัวง่ายๆ อยู่แล้ว

ปัง!

ปัง!

เสียงปืนจากทั้งสองฝ่ายรัวเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว จิวที่กำลังรีบหนีไปขึ้นรถท่ามกลางความดูแลของลูกน้องสี่ห้าคน ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าตอนนี้หลานชายคนโปรดกำลังจ่อปืนพกที่ซ่อนเอาไว้ไปทางฝั่งไหน

“ปล่อยมือซะ” ติขู่ลูกน้องที่กำลังหิ้วปีกพะภูอยู่ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทั้งที่ก็ต้องคอยหลบหลีกกระสุนที่ถูกยิงออกมาไม่รู้ทิศรู้ทาง ราวกับกำลังยืนคุยกันอยู่ในสังเวียนรบจริงๆ ก็ไม่ปาน

พะภูใช้จังหวะที่พวกของจิวกำลังเอ๋อรับประทาน ดิ้นจนหลุดออกจากการเกาะกุม พอลูกน้องทั้งสองตั้งท่าจะคว้าร่างบางกลับไป ติก็ไม่ลังเลที่จะยิงปืนเข้าใส่พวกมันทั้งคู่ ก่อนรวบตัวพะภูมาไว้ในอ้อมกอด พยายามใช้ตัวเองบังคนรักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ศีรษะเล็กถูกกดลงให้หมอบราบไปกับพื้น ได้ยินเสียงร้องไห้และกรีดร้องหวาดกลัวดังออกมาจากกระท่อมซึ่งถูกปิดล็อกเอาไว้

ปัง! ปัง!!

“คุณติ พาคุณภูไปหลบก่อนครับ”

หนึ่งในตำรวจที่ลอบบุกเข้ามา พยายามฝ่าดงผู้คนที่กำลังตะลุมกันจนมั่ว เพื่อมาบอกให้ติกับพะภูหลบออกจากที่นี่ก่อน เพราะตำรวจทุกคนมีเครื่องป้องกันตัวแน่นหนาดีอยู่แล้ว ยกเว้นแค่ติกับพะภูซึ่งไม่ได้สวมใส่อะไรไว้เลย

ตำรวจอีกสามนายเข้ามาช่วยล้อมทั้งสองคนเอาไว้ ในขณะที่กำลังคลานออกห่างจากจุดที่ปะทะกัน หางตาของติหันไปเห็นว่าจิวกำลังเริ่มสตาร์ทรถและจงใจจะหนี พะภูที่เห็นแบบนั้นรีบเพิ่มความเร็วเท้าแบบไม่กลัวตาย หลายครั้งที่กระสุนเฉียดร่างพวกเขาไปเพียงไม่เท่าไร ตำรวจบางนายพยายามยิงสกัดไม่ให้จิวออกรถได้ หรืออย่างน้อยก็เพื่อยืดเวลาจนกว่าจะจัดการลูกน้องที่ยั้วเยี้ยอยู่ให้หมด

นับว่าใหญ่เก่งมากที่กล้าขนลูกน้องมามากมาย โดยไม่กลัวว่าจะถูกจับได้ และน่าชื่นชมยิ่งกว่าเมื่อฝีมือยิงปืนของเขานั้นไม่มีการพลาดเลยแม้แต่นัดเดียว และทุกครั้งที่ใหญ่ลั่นไก นั่นคือการทำให้ลูกน้องของเสี่ยจิวลงไปทรุดตัวอยู่กับพื้นเพราะขยับขาไม่ได้ ไม่ใช่การยิงเพื่อเอาให้ตาย

“พะภู!” ติร้องเมื่อเขาทั้งคู่ถูกกันตัวออกมาหลบหลังต้นไม้ใหญ่ได้สำเร็จ แต่เด็กที่ยังคงแค้นฝังใจไม่ยอมให้จิวหนีไปง่ายๆ รีบดึงปืนจากมือติมาแล้ววิ่งไปจ่อยิงคนบนรถกระเป๊าะคันเก่า

ปัง!

ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่กระจกมองหลังแตกดังเพล้ง ก่อนที่กระสุนอีกนัดจะถูกส่งออกมาจากลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ พะภูรีบย่อตัว แต่ก็ถูกยิงเฉี่ยวไปหน่อยหนึ่งบริเวณข้างแก้ม

“ทำบ้าอะไร!?”

ติกับตำรวจสองนายรีบเข้ามารั้งตัวพะภูไว้ไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ สายตาดุๆ ระคนห่วงใยของติทำเอาพะภูคอหดอย่างรู้สึกผิด แต่ในแววตาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคั่งแค้นชิงชัง ตำรวจหนึ่งนายพยายามไล่ทั้งคู่กลับไปหลบในที่ปลอดภัยพลางเสี่ยงลุกขึ้นยิงกระสุนนัดหนึ่งออกไป จังหวะเดียวกับที่คนขับรถกำลังจะยิงมา

ปืนในมือของไอ้คนขับรถกระเด็นออกไปไกล แถมด้วยรอยเลือดที่มือด้านขวา เสมอกัน...ตำรวจคนที่ว่าถูกยิงเข้าที่ไหล่ซ้ายจนต้องทรุดตัวลง ใช้มือกดปิดแผลไว้แน่น พะภูตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของติ รู้สึกอยากขอโทษที่โกรธจนหน้ามืด และเป็นต้นเหตุให้มีคนบาดเจ็บเพราะเขา ติที่พอดูอาการคนรักออกยิ่งกอดพะภูไว้แน่นแล้วพากลับไปหลบหลังต้นไม้ เสียงทุ้มดังอยู่ข้างใบหูที่กำลังแดงด้วยความเดือดดาลในจิตใจ

“ใจเย็นๆ ไม่เป็นอะไร”

“พี่ติ...มัน...มันจะหนี ไปแล้ว”

“พะภูใจเย็น เห็นไหม อาใหญ่จัดการลูกน้องมันจะหมดแล้ว” ติกระชับอ้อมกอดอีกครั้งเมื่อพะภูเริ่มทำท่าจะดิ้นหนี ท่าทางว่าคนตัวเล็กจะทั้งสับสน โกรธ และกลัวมากจนสติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกต่อไป

เขาพยายามชี้นิ้วไปด้านหลังต้นไม้ ซึ่งขณะนี้แทบไม่เหลือพวกเสี่ยจิวยืนอยู่แล้ว ตำรวจหลายนายเริ่มเข้ามาจับกุมลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้นเป็นรายคน เสียงปืนบางลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีรอยแผลเกิดขึ้น แต่ตำรวจทุกนายยังคงทำหน้าที่สุดความสามารถ ราวกับรู้ดีว่า นี่คือโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้าย ที่จะได้จับเสี่ยจิวให้อยู่หมัด

รถกระเป๊าะที่เตรียมออกตัวตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อนยังไม่สามารถหลุดจากฝูงกระสุนที่พุ่งเข้าใส่ ทั้งกระโปรงหน้า ล้อรถ รวมทั้งกระจก ใบหน้าเสี่ยจิวซีดเผือด เอาแต่หดหัวลงไปด้านหลังคอนโซล สองมือกอดร่างท้วมของตัวเองไว้ท่าทางกลัวจัด ใบหน้าเปื้อนเหงื่อไม่ต่างอะไรกับหมูที่กำลังจะโดนขึ้นเขียงเฉือด

ปัง!

“เอื๊อกก”

คนขับรถโดนยิงจนเลือดสีสดพุ่งทะลักออกมา ก่อนจะนอนแน่นิ่งไปเลย ยิ่งทำให้เสี่ยจิวรู้ถึงอนาคตอันมืดบอดของตัวเองมากขึ้น คนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พยายามเบียดร่างตัวเองลงมาจากตัวรถบุโรทั่ง หวังจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่เพียงไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงและยกมือยอมแพ้ขึ้นกลางอากาศ เมื่อตำรวจสามสี่นายพุ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้

ไม่นานนัก เสียงสวบเท้าก็ดังขึ้นใกล้ๆ ร่างของนายตำรวจยศสูงชื่อใหญ่ ก้าวออกมาประจันหน้ากับผู้ร้ายชั้นหนึ่งที่กำลังจะถูกปราบเซียน

“ไอ้เวรรร!!!” เสี่ยจิวร้องลั่นด้วยความโกรธ พุ่งตัวเข้าใส่ใหญ่ซึ่งยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ไม่ทันถึงตัวก็ถูกตำรวจลูกน้องเข้ามาล็อคแขนสองข้างเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งใส่กุญแจล็อคข้อมือเสร็จสรรพ

“แกน่ะสิ”

ใหญ่พูดทิ้งท้ายแค่นั้นแล้วชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้ลูกน้องลากตัวเสี่ยจิวซึ่งกำลังดิ้นพล่านไปทางรถตำรวจ ที่เพิ่งขับตามมาสมทบเมื่อครู่ ก่อนจะหันไปโบกมือให้ส่วนหนึ่งไปดูแลติกับพะภู และอีกส่วนหนึ่งเข้าไปจัดการกับเด็กๆ ภายในบ้าน โดยให้ช่วยเหลือออกมาให้หมด พร้อมติดตามหาครอบครัวหรือองกรค์อุปถัมป์

“คุณติ คุณภู ไปขึ้นรถเถอะครับ เราจัดการทางนี้หมดแล้ว” ตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้นแล้วผายมือไปทางรถสีดำพาดขาวหลายคันใหญ่ๆ รวมทั้งรถเก๋งอีกเป็นขบวนซึ่งถูกขนมาพร้อมกันด้วยเรือลำใหญ่ ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากนายพลเรือ เพื่อนสนิทของใหญ่

“จับ...จับมัน ไปแล้วเหรอ..ครับ?”

“ครับ”

พะภูเผยรอยยิ้มออกมาในรอบวัน ก่อนโผตัวเข้ากอดกับติแนบแน่น น้ำตาแห่งความสุขเอ่อล้น หลังจากปลดเปลื้องความทุกข์ในใจตลอดหลายปีออกไปได้ แววตากลมโตเหลือบมองร่างท้วมของเสี่ยจิวกำลังถูกตำรวจนอกเครื่องแบบพาตัวขึ้นรถ ก่อนที่รถขันนั้นจะแล่นออกไปก่อนใครเพื่อน

“ไม่ร้องนะ จบแล้วเห็นไหม คนดี” ติกระชับอ้อมกอดพลางยกมือขึ้นลูบหัวปลอบ น้ำเสียงอ่อนโยนผิดจากทุกทีทำให้พะภูรู้สึกสงบใจลงได้มาก

ไม่นานนัก ใหญ่ก็เข้ามาตบหลังเด็กทั้งสองคนซึ่งยอมลงมาช่วยงานนี้ ทั้งที่เสี่ยงอันตรายมากเหลือเกิน คนโตสุดยิ้มบางให้ติกับพะภูแล้วชี้มือไปทางฝูงเด็กๆ กำลังเดินตามตำรวจออกมาจากตัวกระท่อมไม้

“เราจะดูแลเด็กพวกนั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ฝากด้วยนะครับ” พะภูย้ำเสียงสั่น เขาสงสารเด็กพวกนั้น...

“แน่นอน เชื่อใจเถอะ”

“อาใหญ่ ขอบคุณมากนะครับ”

ติคลายอ้อมกอดออกจากร่างพะภูแล้วยกมือไหว้คนเป็นอา ใหญ่ส่ายหน้าแล้วรับไหว้เล็กน้อย ก่อนขอตัวลาไปขึ้นรถตำรวจคันหนึ่งขับออกไป ใช้เวลาพักใหญ่กว่าตำรวจคนอื่นจะเคลียร์ลูกน้องเสี่ยจิวออกไปพ้นบริเวณ เหลือแค่รถกระบะคันสุดท้าย รถเก๋งอีกสอง ตำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง ติ แล้วก็ พะภู เท่านั้น

“ไปเถอะ กลับไปพักผ่อนกัน” ติสะกิดร่างบางแล้วค่อยๆ พยุงร่างเหนื่อยอ่อนของพะภูขึ้น ซ้ายขวามีตำรจคอยอารักขาไม่ห่าง

ปัง!
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:29:54
บทที่ 41



“เฮ้ยยย!!”

เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นทั้งที่ทุกอย่างสงบแล้ว ตำรวจที่ยืนรออยู่ข้างรถ รีบพุ่งเข้าไปรวบตัวลูกน้องหัวโล้นของเสี่ยจิวเอาไว้ ปืนในมือถูกแย่งมาก่อนจะรีบใส่กุญแจและล็อคคอไม่ให้หนี

“พะภู!! พะภู!!!”

ติร้องลั่นพลางเขย่าร่างพะภูที่เพิ่งล้มลงกับพื้น บริเวณอกขวามีรอยเลือดซึมผ่านเนื้อผ้าออกมา ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด คนตัวใหญ่รีบรวบตัวพะภูมาไว้ในอ้อมกอด พร่ำสบถไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แววตาที่เคยคมเข้มกลับวูบไหวด้วยความตกใจกลัว

“คุณติ รีบพาคุณภูขึ้นรถเร็วครับ!”

ตำรวจนายหนึ่งรีบเข้ามาเตือนสติ ก่อนประคองทั้งสองคนไปทางรถเก๋งซึ่งจอดรออยู่ ระหว่างเดินผ่านลูกน้องเสี่ยจิว ติก็รี่เข้าไปอัดหมัดหนักๆ ใส่หน้าบูดเบี้ยวนั้น จนตำรวจหลายคนต้องเข้ามาห้ามไว้ แล้วดันร่างติเข้าไปในรถ ตรงกลับไปยังท่าเรือ รีบส่งต่อโรงพยาบาลทันที

ใหญ่รีบตามมาที่โรงพยาบาล คอยนั่งปลอบเพื่อนลูกชายซึ่งมีท่าทีย่ำแย่จนน่ากลัวว่าจะล้มไปอีกคน เวลาภายในตึกเก่าๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลายชั่วโมงถัดมา คุณหมอก็เดินซับเหงื่อออกจากห้องฉุกเฉิน แค่คำว่า ‘คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ’ ก็ทำให้ติกลับมายิ้มกว้างได้อีกครั้ง รีบขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมคนรักทันที

ภายในห้องของโรงพยาบาลแถวต่างจังหวัด มีคนตัวเล็กนอนสงบเงียบ ยังคงต่อเครื่องช่วยหายใจไว้อยู่แม้ว่าอาการจะทรงตัวดีแล้วก็ตาม หมอบอกว่าโชคดีที่พามาเร็ว และพะภูไม่ได้ถูกยิงในจุดที่สำคัญจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนไอ้ลูกน้องเสี่ยจิวคนนั้นก็ถูกจับกุมเรียบร้อย มันคือไอ้โล้นที่ลวนลามพะภูบนเรือ แล้วถูกเขาจับมัดไว้นั่นเอง สงสัยว่าจะหลุดออกมาได้แล้วตามมาแก้แค้นแน่ๆ

“ไอ้ขี้เซา ตื่นเร็วๆ สิ”

นิ้วเรียวยื่นเข้าไปเกลี่ยหน้าม้าของร่างบนเตียงอย่างเบามือ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ทว่าแฝงไปด้วยความเศร้าเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก เพราะเขาหรือเปล่าที่ไม่ได้ปกป้องพะภูให้ดีกว่านี้ ถึงถูกทำร้ายได้ง่ายดายนัก...

ถ้าเขาทำได้ดีกว่านี้ เด็กนี่จะไม่ต้องเจ็บปวดเลยหรือเปล่า...

พะภูถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลเอกชนชั้นหนึ่งของกรุงเทพในเวลาต่อมา โดยมีความช่วยเหลือจากทั้ง อัครโภคิน และตำรวจยศใหญ่ ติต้องชั่งใจนานพอตัวกว่าจะกล้าโทรไปแจ้งเรื่องทั้งหมดให้พะพายฟัง แน่นอนว่าเขาโดนสวดกลับมาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง แถมยังเผลอทำผู้หญิงร้องไห้อีกต่างหาก แต่ให้ทำไงล่ะ...เขาเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้สักหน่อย

ไม่ได้อยากให้พะภูต้องเจ็บตัวสักนิด...

 

“ถ้าเจ็บหน้าจะบีบคอให้ตายเลย”

พะพายบ่นเสียงเข้มมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเมื่อเช้า หลังจากกีรติ คนรักของน้องชายสุดหวงยอมโทรมาอธิบายเหตุการณ์การจับกุมเสี่ยจิวให้ฟัง เธอว่าจะโกรธตั้งแต่ได้ยินเรื่องไอ้ลูกน้องบ้ามาลวนลามพะภูแล้วนะ แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่บอกว่า พะภูโดนยิง!!

สาบานเลยว่าเธอเกือบเป็นลมตอนได้ยิน ถึงติจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ต้องห่วง เพราะปลอดภัยดีแล้ว แต่เธอก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี จะบ้าเหรอ คนโดนยิงนะไม่ใช่มดกัด พะภูต้องเจ็บมากแน่ ไม่อยากคิดเลย

“เสื้อผ้าแล้ว...ขนมไปด้วยดีกว่า...” พี่สาวคนสวยยืนเช็คของที่กำลังเตรียมเอาไปให้พะภูที่โรงพยาบาล บางทีเธอน่าจะพกตุ๊กตาตัวโปรดของหมอนั่นไปด้วย

“อ้ะ จริงสิ”

เกือบลืมของสำคัญ!

รีบวิ่งกลับขึ้นไปห้องนอนของน้องชาย ควานหาของสิ่งนั้นไปทั่วโต๊ะเขียนหนังสือ ต่อด้วยตู้ใบเล็กใบน้อยทุกอัน ในที่สุดก็เจอ...พวงกุญแจแก้วทรงกลม มีเม็ดสีแต้มอยู่ภายในสามจุด ของสุดหวงที่ติดตัวพะภูมาตั้งแต่เกิด ปกติหมอนั่นไม่ทิ้งไว้แบบนี้หรอก แต่เพราะว่าไปเสี่ยงอันตรายมาก ช่วงหลังมนี้เลยเลือกเก็บไว้ให้ปลอดภัยดีกว่า ตอนนี้เรื่องวุ่นวายจบแล้ว คงได้เวลาที่เจ้าพวงกุญแจอันน้อยจะคืนสู่เจ้าของสักทีนะ

“เรียบร้อย!” กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถุกรูดซิปปิด ก่อนพะพายจะห้อยพวงกุญแจเอาไว้กับนิ้วชี้และนิ้วกลาง หลังจากล็อคประตูบ้านด้านในเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาปิดรั้ว

ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างปกติสุข ถ้าไม่ใช่ว่ามีรถเก๋งคันหรู แล่นมาจอดยู่ตรงหน้าเธอ พร้อมกับใบหน้าของผู้ชายวัยกลางคนซึ่งบัดนี้กลับดูอิดโรยจนน่าตกใจ ดวงตาสองข้างแดงก่ำจนเธออดสงสัยไม่ได้...ถึงอย่างนั้น เธอก็เลือกที่จะทำเป็นเมินผู้มาเยือนไปซะ เพราะไม่ได้ต้องการแสวนาหรือติดต่อด้วยสักเท่าไรนัก

“พะพาย กำลังจะไปไหนน่ะ?” ชายปริศนาเอ่ยปากถาม และเข้ามาบังตัวเธอไว้ ทำให้ต้องยอมอ้าปากคุยด้วยอย่างช่วยไม่ได้

“เรื่องของฉัน คุณไม่ต้องมาสนใจ”

“จะไม่ให้สนใจได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นพ่อของหนู”

“อึก...”

พะพายกระแทกเป้ในมือลงกับพื้นอย่างหัวเสีย สายตาถมึงทึงจ้องผู้ชายตรงหน้าด้วยความไม่ยอมรับ ชายคนนั้นค่อยๆ ปรับน้ำเสียงให้อ่อนทุ้มลง ก่อนเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย

“คุณนิชนันท์เสียแล้ว”

“ว่าไงนะ?”

พะพายอ้าปากค้าง นิชนันท์ที่ว่าคือภรรยาหลวงของผู้ชายคนนี้...หรือแท้จริงแล้วคือพ่อแท้ๆ ของเธอเอง ส่วนเธอน่ะเหรอ เป็นแค่ลูกที่เกิดจากความผิดพลาดเท่านั้น แม่เธอเป็นคนรับใช้อยู่ที่คฤหาสน์ นฤบดินทร์ เศรษฐีรายใหญ่ของเมืองไทย แต่คุณนิชนันท์ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ ไล่ตะเพิดแม่กับเธอออกจากบ้าน จนต้องกลับไปอาศัยอยู่กับพี่ชายแม่ ซึ่งก็คือลุงยศ เธอสาบานว่าจะตัดขาดกับครอบครัวนฤบดินทร์และไม่ต้องการแม้แต่จะเรียกร้องอะไร

“เธอประสบอุบัติเหตุ เสียได้สักพักแล้ว”

แน่นอนว่าเธอไม่ค่อยตามข่าววงการเศรษฐี หรือแม้แต่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ เธอยังไม่มีเวลาเฉียดสายตาไปส่องด้วยซ้ำ เนื่องจากเธอไม่ใช่คนอ่านข่าวอยู่แล้ว และพักหลังยังยุ่งมาก ทั้งงานโรงเรียนเรื่องพะภู หรือการสอบเข้ามหาลัย

“ละ...แล้วยังไง”

“พ่อจะให้ลูกกลับไปอยู่ที่บ้าน”

“ไม่จำเป็นค่ะ ทุกวันนี้ฉันสบายดีอยู่แล้ว”

“พะพาย...พ่อเสียทุกคนไปหมดแล้ว ทั้งคุณนิด ทั้งแม่ของหนู” นักธุรกิจรายใหญ่ว่าเสียงสั่น จนอดให้เธอนึกหวั่นไม่ได้

เธอทำเป็นไม่ใส่ใจเลยไม่ได้ ในเมื่อคนตรงหน้าคือพ่อของเธอ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็รู้แก่ใจดีถึงความเป็นจริงข้อนี้ และถึงจะโกรธเคืองในหลายเรื่อง แต่ความผิดทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ที่เขาเพียงคนเดียว

“ฉัน...ขอคิดดูก่อนละกันค่ะ”

รอยยิ้มฉายขึ้นมาบนใบหน้าซูบผอมนั้น แต่ก่อนที่ลูกสาวจะเดินหนีไป ก็รีบคว้าข้อมือบางไว้ก่อนพลางเอ่ยปากถาม สายตาก้มมองกระเป๋าใบใหญ่บนพื้น

“แล้วสรุปว่าจะไปไหน เดี๋ยวพ่อไปส่ง”

“ไปโรงพยาบาล”

“ใครเป็นอะไรเหรอ?” คนเป็นพ่อถามอย่างตกใจ ก่อนดันหลังพะพายให้ขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังของรถคันหรู

“พะภู...เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ”

“พะภู เด็กที่หนูช่วยไว้น่ะเหรอ แล้วเป็นอะไรมากไหม ให้พ่อช่วยอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีคนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ”

พะพายพูดทั้งที่ยังหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ในหัวในแต่คิดว่าจะทำยังไงกับไอ้บ้ากีรติดี ระหว่างผลักตกบันได หรือเอามีดแทงให้ตายไปเลย มีอย่างที่ไหน เอาน้องเธอไปเสี่ยงอันตรายแล้วยังดูแลไม่ดี ถึงเจ็บตัวกลับมาแบบเนี้ย คิดแล้วก็โกรธไม่หาย ถึงจะเข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องนี้ก็เถอะ

“พะพาย...นั่นอะไร?” คนด้านข้างสะกิดแขนเธอเบาๆ ทำให้ต้องหันกลับไปเผชิญหน้า สายตาประหลาดใจหลุบลงต่ำ พอมองตามไปก็เจอพวงกุญแจของหวงของพะภูที่คล้องอยู่บนนิ้วเธอ

พวงกุญแจแก้วรูปแบบแปลกตา ถูกยกชูขึ้นกลางอากาศ พอเห็นชัดๆ ก็ยิ่งทำให้ผู้ชายตรงหน้าเบิกตากว้างยิ่งกว่าเจอผี พะพายเลิกคิ้วอย่างตั้งคำถามกับสีหน้าแบบนั้น

“ทำไมหนูถึงมีพวงกุญแจอันนี้ได้?”

“เอ่อ...อันนี้เป็นของพะภูน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

วิทวัส สมบูรณ์โชคชัย เศรษฐีวัยกลางคนแทบนั่งไม่ติดเบาะรถอีกต่อไป ดวงตาของเขายังคงทอประกายความรู้สึกมากมาย ทั้งตกใจและตื่นเต้น (?) อย่างไรชอบกล มือใหญ่ยื่นเข้าไปช้อนพวงกุญแจในมืออีกคนมาจ้องเขม็งอีกครั้ง เมื่อคิดว่าแน่ใจอะไรบางอย่างแล้วจึงรีบล้วงเอามือถือเครื่องบางออกมากดโทรหาใครสักคนทันที ไม่แม้แต่จะตอบคำถามลูกสาวตัวเองที่ยังนั่งงงกับเหตุการณ์อยู่

“คุณหญิงเดือนฉาย สวัสดีครับ”

“...”

“ผมคิดว่าผมเจอแล้วล่ะครับ...”

“...”

“...หลายชายของคุณหญิง”

ว่าไงนะ??

 

“หมายความว่ายังไง หนูไม่เข้าใจ” พะพายถามเสียงเครียดขณะที่เธอกับพ่อกำลังเดินตรงไปยังห้องพักในโรงพยาบาล

“พ่อคิดว่าพะภูอาจเป็นหลายชายของคุณหญิงเดือนฉาย”

“ได้ยังไงคะ”

“เพราะพวงกุญแจแก้ว แต้มสีสามจุด เป็นของประจำตระกูลวรวิโรจน์เท่านั้น”

“แต่ว่า...”

“คุณหญิงเดือนฉายตัดขาด คุณรวิชญ์ ลูกชายคนเล็กเป็นสิบกว่าปีมาแล้ว หลังจากที่เขาตกลงจะคบกับอาจารย์สาว ฐานะยากจน ทั้งสองคนต้องระเห็จออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง โดยไม่มีการช่วยเหลือหรือติดต่อจากตระกูลอีกเลย ข่าวคราวของสองคนนั้นหายไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ตามไม่พบอีก”

วิทวัสหยุดเดินแล้วเริ่มร่ายยาว อธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่คิดว่าพะพายต้องรู้ และมาช่วยกันตัดสินใจว่า เด็กพะภูคนนั้นจะบังเอิญมาเป็นคุณชาย ระวี หลานชายคนสุดท้ายของคุณหญิงหรือเปล่า

“เมื่อไม่นานมานี้ คุณหญิงท่านล้มป่วย ลูกชายคนโตก็ยุ่งอยู่แต่กับธุรกิจ จึงคิดอยากจะให้คุณชายรวิชญ์กลับมา แต่ออกตามหาเท่าไรก็ไม่พบเบาะแส ยกเว้นสิ่งนี้”

ปลายนิ้วชี้หยุดลงที่พวงกุญแจบนมือพะพายอีกครั้ง เธอพยายามประมลผลทั้งหมดอย่างมีเหตุผลให้ได้มากที่สุด แม้จะยังตกใจและสับสนอยู่ไม่น้อย

“ละ..แล้ว คุณหญิงรู้ได้ไงคะว่าคุณรวิชญ์มีลูกชาย”

“เพราะนั่นคือข่าวคราวสุดท้ายที่ท่านได้รับรู้ ก่อนที่ครอบครัวนั้นจะขาดการติดต่อไปอย่างจริงจัง พ่อคิดว่าเขาอาจย้ายไปต่างจังหวัดหรืออะไรเทือกนั้น”

“ระ...วี...”

พะพายเผลออุทานชื่อที่ไม่คุ้นหูเลยออกมา ความจริงพะภูชื่ออะไร เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะวันที่เธอช่วยเด็กนั่นออกมา จำได้ว่าสั่นไปทั้งตัว ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นเธอห่วงเหลือเกินว่าสติยังสมประกอบดีไหม

พะภูน่ะ แม้จะเอาแต่แค้นฝังใจกับเรื่องในอดีต แต่อีกใจเขาก็ต้องการที่จะลบเลือนสิ่งเหล่านั้นให้หมด ‘ชีวิตใหม่’ นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกมัน หลังจากถูกเธอกับลุงยศช่วยเอาไว้ แถมพวกเขายังไม่ค่อยได้คุยเรื่องอดีตของกันและกันมากเท่าไรนัก เหมือนจะรู้หัวอกกันดีว่า ไม่อยากรับรู้ และไม่อยากคิดถึง เมื่อเป็นอย่างนั้น เธอจึงไม่เคยซักไซ้อะไร และช่วยตั้งชื่อใหม่ให้เขาเช่นกัน ชื่อนั้นก็คือ พะภู...

เรียกแบบนั้นมาเกือบสองปีแล้ว โดยที่ไม่เคยถามเลยว่าความจริง...เด็กคนนั้นชื่อว่าอะไร?

“ใช่ ระวี เป็นชื่อที่คุณรวิชญ์พูดถึงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าคนคนนั้นมีลูกชายก็ต้องตั้งชื่อว่าระวีแน่นอน”

“ไม่อยากจะเชื่อ...” เธอพูดได้แค่นั้น ก่อนจะสาวเท้าต่อไปยังห้องพักผู้ป่วย ซึ่งมีน้องชายตัวเองนอนรออยู่แล้ว

ภายในห้องเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ไอ้ตัวดี กีรติ พ่วงด้วยเพื่อนในแก๊ง ทั้งเกต์ ศิลป์ นิว เกม กัส และผา ไอ้บ้าพวกนี้ ขนกันมาทำไมเยอะแยะ ถึงห้องมันจะใหญ่ก็เถอะ แต่พอรวมเธอกับพ่อเข้าไปอีกนี่ยิ่งแคบลงถนัดตา ไม่นับรวมพวกบอดี้การ์ดหน้าประตูอีกนะ

“มาทำไรกันเยอะแยะ”

พะพายบ่นทันที แต่คนอื่นดูจะไม่ได้สนใจเธอนัก เพราะทันทีที่เห็นชายแปลกหน้าด้านหลัง ก็รีบยกมือไหว้กันระนาว อ้อ...นะ ก็ลืมไปว่าพ่อเธอเป็นถึงเศรษฐีใหญ่ คงมีตามีหน้าให้ลูกไฮโซพวกนี้จำได้กันบ้างแหละ

“ทำไมคุณวิทวัสถึงมานี่ได้ครับ แล้ว...มาพร้อมยัยนี่เหรอ” ติรีบถามท่าทางงุนงง พะภูเองก็คงงงนิดๆ เหมือนกัน แต่คงน้อยกว่าคนอื่นแหละ เพราะเขาก็รู้เรื่องที่เธอเป็นลูกนอกสมรสของวิทวัสอยู่แล้ว

“เอ่อ เรื่องมันซับซ้อนน่ะ ไม่คิดว่าพวกเธอจะรู้จักพะพายด้วย”

“พวกเรารู้จักพะภูครับ เลยจำเป็นต้องรู้จักพะพาย” นายเกต์เริ่มกวนตีน จนผู้หญิงหนึ่งเดียวในห้องต้องหันไปแหวใส่ ก่อนถลาเข้าหาน้องชายบนเตียง มีผ้าพันแผลรอบหน้าอกภายใต้ชุดผู้ป่วยสีคราม

“พะภู เป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม”

“ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ครับ”

“จริงนะ?”

“คร้าบ แล้วนี่...” คนบนเตียงเอียงคออย่างตั้งคำถาม สายตามองเลยไปทางวิทวัสซึ่งส่งยิ้มใจดีมาให้

“พอดีเขามาหาเมื่อเช้า แล้วอาสามาส่ง”

“แล้วสรุปว่า คุณวิทวัสรู้จักกับพะพายด้วยเหรอครับ?” ติยังคงจี้ถาม ท่ามกลางสายตาสงสัยของสมาชิกคนอื่นในห้อง ซึ่งส่งมากดดันกันจนไม่อาจปิดปากเงียบได้ พะพายเม้มปากแน่นก่อนตัดสินใจเป็นฝ่ายเฉลยเองทุกอย่าง

“อือ ฉันเป็นลูกสาวของเขา”

“อ่อ....ห๊ะ!!?”

“ไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้หรอกนะ แต่ฉันมีภรรยานอกสมรสอยู่ แล้วพะพายก็คือลูกที่เกิดกับเธอคนนั้น” คราวนี้วิทวัสยอมเปิดปากเองแบบลูกผู้ชาย ไม่มีอาย และไม่มีการรักษาชื่อเสียงตัวเองแต่อย่างใด ในเมื่อตอนนี้เขาไม่เหลือคนที่รักอีกแล้วนอกจากลูกสาวคนนี้ เขาก็อยากชดใช้คืนให้เธอในทุกๆ อย่าง

“บ้าไปแล้ว” ผายกมือขึ้นกุมหัวอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นเองก็อ้าปากค้างไปตามๆ กัน มีแค่พะภูกับพะพายที่ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ

“เอ่อ...คิดไม่ถึงเลยครับ”

เกต์พยายามทำลายบรรยากาศชวนอึ้งระคนอึดอัดออกไป แล้วส่งยิ้มให้ทั้งสองพ่อลูก ใช้เวลาพูดคุยกันต่ออีกสักใหญ่ กว่าพวกลูกหลานเศรษฐีแถวนี้จะทำความเข้าใจกับเรื่องเมื่อครู่ได้จริงๆ วิทวัสสะกิดพะพายขณะกำลังปอกแอปเปิ้ลให้คนเจ็บ ซึ่งกำลังนอนอ้อล้ออยู่กับกีรติข้างเตียง เธอสูดหายใจเข้าฮึดหนึ่ง ก่อนจะวางมีดลงแล้วเดินไปหยิบพวงกุญแจตัวปัญหาออกมา

“พะภู นี่ของเรา”

“กำลังจะถามหาพอดีเลยครับ” เด็กน้อยพรวดพราดลุกขึ้นมารับไปเชยชม พร้อมกับส่งยิ้มกว้างที่ละลายหัวใจคนตรงนี้ได้หลายชีวิตทีเดียว

“อืม...เราพกไว้ตลอดเลย พี่ก็ไม่เคยถามด้วย...แบบว่า มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ”

พะพายพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถาม ทั้งที่ไม่อาจสบตากับพะภูตรงๆ ได้ เธอจึงแสร้งเดินไปหยิบจับของขวัญกับกระเช้าเยี่ยมไข้ที่กองรวมกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่กำลังแบกกล่องขนมติดป้ายชื่อ ธัญธร ไว้หรา

“สำคัญมากเลยครับ เป็นของพี่คุณพ่อผมให้ไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”

“ง..งั้นหรอ”

“พี่พายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เอ่ยปากถามเมื่อเห็นพี่สาวตีสีหน้าลำบากใจ แถมยังดูเหมือนโดนหลบตายังไงไม่รู้ แต่ยิ่งโดนพูดแบบนั้น พะพายก็ยิ่งไม่กล้าซักไซ้อะไรต่อ ก็จะบ้าเหรอ อยู่ดีๆ ก็มาเล่าเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนั้น จะให้เธอยอมรับได้ทันที มันก็ออกจะ...ยากอยู่นะ

“ปะ เปล่า”

บางที...มันอาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดก็ได้ พะภูน่ะเหรอจะเป็น.....

“ระวี”

เฮ้ย! สงสัยว่าเธอเอาแต่พิรี้พิไรอยู่ได้ วิทวัสเลยลุกขึ้นมาขานชื่อไม่คุ้นหูนั้นซะเองเลย แถมยังจ้องพะภูนิ่งเหมือนต้องการหาความจริงบางอย่าง และความจริงนั้นก็เผยตัวออกมาง่ายดายจนยากจะคาดเดาเสียด้วย

“ครับ”

“...”

พะพายตวัดสายตาหาคนบนเตียงซึ่งขานตอบกลับพ่อของเธอหน้าตาเฉย ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้ยินประโยคต่อมา

“คุณวิทวัสรู้จักชื่อผมได้ยังไงครับ?”
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:31:01
บทที่ 42



“รวิชญ์ วรวิโรจน์ คือพ่อของเธอใช่ไหม?” วิทวัสจี้ถามหน้าตาตื่น เด็กคนอื่นในห้องยิ่งตกใจเมื่อได้ยินนามสกุลยิ่งใหญ่นั้น หากแต่พะภูยังคงดูสับสน

“เอ่อ พ่อผมชื่อรวิชญ์ครับ แต่ไม่ได้นามสกุลวรวิโรจน์นะ”

“กรองเงิน?”

“อ้ะ ครับ ผมใช้นามสกุลกรองเงิน”

“นั่นนามสกุลของแม่เธอ พิมพ์ผกา กรองเงิน”

“ท...ทำไมคุณวิทวัสถึงรู้ละเอียดจัง” พะภูเอ่ยปากถามเสียงติดขัด เขาเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีแปลกๆ จากเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ซะแล้ว

“ฟังให้ดีนะ...”

“...”

“คุณรวิชญ์ พ่อของเธอ เป็นลูกชายคนเล็กของคุณหญิงเดือนฉาย วรวิโรจน์ เศรษฐินีอันดับต้นของประเทศเชียวนะ!”

“มะ...ไม่น่า...”

“เป็นไปได้ยังไงครับ?”

กีรติเป็นฝ่ายโพลงออกมากลางปล้อง สายตาว้าวุ่นส่อออกมาให้เห็นอย่างปิดไม่มิด เขาดูร้อนใจและตกใจมากในเวลาเดียวกัน พะภูที่เห็นอย่างนั้นยิ่งรู้สึกไม่ดี คุณวิทวัสพูดเรื่องแปลกๆ ซึ่งเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง

แต่ถ้ามันจริงล่ะ...จะเกิดอะไรขึ้น

คุณหญิงเดือนฉาย ใช่คนที่บังเอิญเจอตอนอยู่โรงแรมหรือเปล่า? คนที่กีรติดูเกรงอกเกรงใจนักหนา...

“พวงกุญแจอันนี้ เป็นของประจำตระกูลวรวิโรจน์ มีแค่ทายาทเท่านั้นที่มี” วิทวัสชี้ไปยังพวงกุญแจแก้วในมือของพะภู ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งเอ่ยปากออกมาแหมบๆ ว่าเป็นของพ่อ แล้วดูเหมือนทุกอย่างจะค่อยๆ เวียนมาบรรจบกันได้อย่างพอดิบพอดีจนน่าใจหายซะด้วย

ท่ามกลางความเงียบงันและสับสนของทุกคน วิทวัสยังคงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่ รวิชญ์พบกับแม่ของพะภู ตั้งแต่ถูกเนรเทศออกจากตระกูล จวบจนวันที่คุณหญิงเดือนฉายต้องการตามตัวกลับมาอีกครั้ง

“ท่านพร้อมจะให้อภัยและยอมรับทุกอย่าง ขอแค่กลับไปดูแลท่านในช่วงสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น”

คำพูดของวิทวัสยังไม่อาจทำให้ทุกคน โดยเฉพาะพะภูเชื่อได้อย่างสนิทใจในทันที หากก็ทำให้เขาซึมเศร้าลงไปกว่าเก่าได้มาก ก็ถ้ามันคือเรื่องจริงขึ้นมา...คุณหญิงเดือนฉายหรือคุณย่าแท้ๆ ของเขาจะรับได้อย่างไร เมื่อต้องรู้ว่าลูกชายคนสุดท้ายกับลูกสะใภ้น่ะจากไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับมา

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...เขาก็คงไม่พร้อมให้ผู้หญิงคนนั้นรับรู้เรื่องนี้

“ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยครับ...”

“แต่เธอต้องเชื่อนะ ขอร้องล่ะ จะลองตรวจ DNA ดูเลยก็ได้”

“เรื่องนั้น ยังไงก็ต้องทำอยู่แล้ว แต่คุณคงยังไม่ทราบเรื่องทั้งหมดของพะภู ก่อนที่หนูจะช่วยเขาไว้” พะพายเปิดปากออกอีกครั้ง หวังจะช่วยแบ่งเบาความกดดันหนักอึ้งบนบ่าน้องชายตัวเอง ซึ่งท่าทางหน้าซีดกว่าตอนโดนยิงเสียอีก

“ทำไมเหรอ พ่อนึกว่าพะภูเป็นเด็กที่คุณยศรับมาเป็นหลานบุญธรรมซะอีก”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ...ความจริง มันซับซ้อนกว่านั้นมากเลย”

พะพายพูดเสียงเบาลงทุกขณะ เธอไม่ได้อยากตอกย้ำอดีตอันขมขื่นของพะภูอีก แต่ก็ช่วยไม่ได้ เธอคิดว่ามันถึงเวลาต้องเคลียร์ทุกประเด็นในวันนี้ ไม่งั้นความจริงที่ถูกปิดบังจะยิ่งทำให้เรื่องราวพันกันยุ่งจนคลายไม่ออก

“ครอบครัวของพะภู ที่ไม่มีวรวิโรจน์ห้อยท้าย ต้องอยู่อย่างลำบากมาก...สุดท้ายก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน...”

พะพายหยุดชะงัก ไม่กล้าพูดต่อ จนทั้งห้องเงียบสนิท...วิทวัสพอจะเดาออกว่าเหตุการณ์คงเลวร้ายจึงไม่ได้เร่งรัดอะไร หากแต่ข้างในกลับใจหาย สุดท้าย คนบนเตียงก็เป็นฝ่ายเปิดปากเล่าทุกอย่างเอง แม้สีหน้าจะดูลำบากมากก็ตาม

“พ่อกับแม่เสียแล้วครับ...”

วิทวัสไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงอะไรออกมา สองคิ้วขมวดมุ่นอย่างนึกเห็นใจเด็กตรงหน้า รวมทั้งผู้ใหญ่คนสนิทอย่างคุณหญิงเดือนฉาย ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นกุมหน้าอกของตัวเอง ขณะฟังเรื่องเล่าที่ไม่ชวนพิสมัยเอาซะเลย

“ฝีมือเจ้าหนี้น่ะ...ผมเองก็ถูกจับตัวไปตอนนั้น แต่พี่พายมาช่วยให้หนีออกมาได้ หลังจากนั้นผมก็กลายมาเป็นพะภู น้องชายของพี่พายครับ”

“....ส...เสียใจด้วย...เสียใจด้วยจริงๆ” วิทวัสส่ายหน้าช้าๆ เขาดูไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องโหดร้ายพรรค์นี้ ใจหนึ่งยังนึกสงสาร ใจหนึ่งก็นึกชื่นชมในความเข้มแข็ง

แต่ปัญหาตอนนี้คงเป็นว่า...คุณหญิงเดือนฉาย จะยอมรับเรื่องนี้ได้ยังไง?

“ครับ...”

“ต..แต่อย่างน้อย ก็ยังเหลือเธอนะ กลับไปอยู่ข้างๆ คุณย่าเถอะ”

“เอ่อ...” พะภูตีสีหน้าลำบากใจยิ่งกว่าทุกครั้ง เขาค่อยๆ หันมองพะพายที่พูดไม่ออก ก่อนจะเบนหน้าไปทางจิซึ่งเอาแต่ทำท่าขรึม ไม่พูดไม่จามาสักพัก คนที่ช็อคกว่าเขาก็เห็นจะเป็นผู้ชายคนนี้แหละ

แน่นอนว่ากีรติต้องกลัว และความกลัวหนึ่งเดียวของเขาก็คือ สูญเสียเด็กที่ชื่อพะภูไป...พะภูเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาตั้งแต่แรก เพราะต้องการพละกำลังในการจัดการเสี่ยจิวใช่ไหม แล้วถ้าตอนนี้พะภูกลายมาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเขาไปเสียแล้วล่ะ

คุณชายระวี หลานคนสุดท้องของคุณหญิงเดือนฉาย วรวิโรจน์ ตระกูลที่คอยให้ความช่วยเหลือและค้ำจุนอัครโภคินตลอดมา...เด็กคนนั้นจะก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า จะไม่ต้องการเขาแล้วหรือเปล่า?

ถึงแม้พะภูจะคอยบอกว่า รักเขาจากใจจริงๆ แต่นั่นก็คือในฐานะของพะภูใช่ไหม...แล้วถ้าในฐานะของ ระวี ล่ะ? คำตอบจะเป็นยังไง จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง คุณชายระวีที่มีทุกอย่างแล้ว

อาจดีกว่าถ้าไม่มีเขาก็ได้.....

ยิ่งไปกว่านั้น คุณย่าคนใหม่ของหมอนั่น...จะยอมรับเขาได้ยังไงกัน...

“ฉันติดต่อทางคุณหญิงไปแล้ว พรุ่งนี้เรามาตรวจ DNA ให้รู้กันไปเถอะ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายของวิทวัส ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไป ทิ้งให้เหล่าเด็กๆ ได้แต่ตีหน้าไม่ถูกใส่กัน ไม่มีใครชวนคุยประเด็นขึ้นมาอีกตลอดจนจบวัน แต่มั่นใจได้เลยว่าในใจของทุกคน ต้องกำลังคิดมากสุดๆ กับผลที่จะตามมาหลังจากความจริงนี้เปิดเผย

‘กลัวการเปลี่ยนแปลง’

นั่นแหละคือปัญหา...

 

“เอ่อ...” คนเพิ่งหายเจ็บยืนอ้ำๆ อึ้งๆ มีพะพายคอยให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งจากโรงพยาบาล ซึ่งระบุชัดเจนว่าเขาเป็นสายเลือดของวรวิโรจน์จริง

“ขอโทษนะที่ปล่อยให้ลำบาก”

หญิงชราในชุดผ้าไหมราคาแพงเอื้อมมือมาลูบหัวพะภูอย่างอ่อนโยน เดือนฉายดูเป็นคนใจดีกว่าที่คาด แต่ขณะเดียวกันก็ดูน่าหวั่นเกรง ถึงขนาดว่าพวกทายาทเศรษฐีทั้งหลายยังไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ กีรติเองก็เช่นกัน...ตั้งแต่เช้า ก็เอาแต่ยืนห่างออกไป ด้วยสายตาที่เขาไม่ค่อยเข้าใจเลย

มันดูเหม่อลอย และส่อแววคิดมาก...มากเกินไป...

“ไม่เป็นไรครับ อดีตมันผ่านไปแล้ว”

“แล้ว...พ่อของเธอล่ะ? รวิชญ์อยู่ที่ไหน?”

“...”

ความเงียบชวนสลดใจตรงเข้าโจมตีทันที วิทวัสที่ยืนอยู่ข้างคุณหญิงได้แต่หลุบตาไม่กล้าพูดอะไร พะภูเองยิ่งแล้วใหญ่ เปิดปากไม่ออกด้วยซ้ำ เดือนฉายถามย้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งพลางหันหน้าไปมาเหมือนจะเค้นเอาคำตอบจากใครสักคนให้ได้ เธอดูวิตกกังวลและเหมือนจะเริ่มเดาได้บ้างแล้ว...

น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูชมเอาซะเลย ต่อให้นี่ไม่ใช่ย่าของพะภู เขาก็ไม่คิดว่าจะทนมองได้ น้ำเสียงสั่นเครือทำเอาทุกคนบริเวณนั้นแทบจะร้องไห้ตามไปด้วย

“รวิชญ์อยู่ไหนเหรอ? บอกฉันมาเถอะนะ...”

“คือ...แบบ...”

“ว่ายังไงฮึ?”

ยิ่งถูกคะยั้นคะยอให้พูด ก็ยิ่งลำบากใจ คนตัวเล็กพยายามเงยหน้าขอความช่วยเหลือจากวิทวัส จนในที่สุดคนมีวุฒิภาวะกว่าจึงยอมยื่นมือเข้าหา เขาค่อยๆ ตรงเข้าประคองร่างผอมบางของเดือนฉายเอาไว้ แล้วกลั้นใจกระซิบเสียงแผ่ว

“คุณหญิงครับ...คุณรวิชญ์กับคุณพิมพ์...”

“...”

“เสียแล้วครับ...”

คำพูดที่ไม่อยากเชื่อ ราวกับเป็นยมทูตที่ตรงเข้าดึงวิญญาณออกจากร่าง แม้อยากจะปฏิเสธอย่างไร แต่ส่วนหนึ่งในใจกลับต้องยอมรับ เดือนฉายแทบทรุดทั้งยืน ขณะสติสัมปชัญะเริ่มเลือนรางลงทุกขณะ

“คุณหญิง!/คุณย่า!”

ร่างบางของหญิงชราทรุดลงในอ้อมแขนของวิทวัส ก่อนที่พะภูจะตามเข้ามาช่วยประคองด้วยอีกแรง พะพายรีบตะโกนเรียกพยาบาลแถวนั้นให้เข้ามาดูแลโดยด่วน จบลงด้วยการพาเข้าห้องพัก โดยมีเหล่าเด็กๆ ยืนหน้าซีดอยู่ข้างนอก

“ตลกดีเนอะ อยู่ดีๆ พะภูก็กลายมาเป็นหลานของคุณหญิงเดือนฉาย” เกมพยายามพูดติดตลกทั้งที่ในใจกลับโหวงๆ ชอบกล และยังรู้ดีอีกว่าต้องมีใครสักคนคิดไม่ตกเรื่องนี้อยู่แน่

เขาไม่รู้หรอกว่าพะภูรักติมากขนาดไหน และจะยังจับมือกันต่อไปแม้ตัวเองได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วไหม แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจมาตลอด และกำลังกลัวก็คือ ธรรมชาติของผู้หญิงชื่อ เดือนฉาย วรวิโรจน์ต่างหาก

ถึงภายนอกจะดูเป็นเศรษฐินีท่าทางใจดีและขี้โรค แต่ความจริงน่ะไม่ใช่เลย ใครๆ ก็รู้ว่าคุณหญิงเคี่ยวมาก ถ้าไม่ถือเรื่องมารยาทล่ะก็ต้องบอกว่าเป็นคน เอาแต่ใจ ทีเดียวเชียวล่ะ แถมเงินทองกับอำนาจที่มีอยู่ ก็ไม่สามารถทำให้ใครกล้าขัดคำสั่งเธอได้ซะด้วยสิ ยิ่งกับครอบครัวของพวกเขารวมทั้งติยิ่งแล้วใหญ่ เรียกว่าอยู่ใต้บารมีของตระกูลนี้ก็น่าจะไม่ผิดนัก แล้วแบบนั้น...การที่รู้ว่าหลานชายของตัวเอง มีคนรักเป็นผู้ชายชื่อกีรติ เธอจะยอมรับได้เหรอไง อยากจะรู้จริงๆ

ไม่สิ...บางทีมันอาจจะแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อผู้หญิงแบบนั้น ที่กล้าตัดเยื่อใยกับลูกชายแท้ๆ มาครั้งหนึ่งแล้ว คงไม่มีวันปล่อยให้คำว่า วรวิโรจน์ ต้องด่างพร้อยลงไปอีก ด้วยการยอมให้ทายาทตัวเองถูกตราหน้าว่าเป็นพวกผิดเพศ

แบบนั้นความรักของกีรติคงแย่แล้ว...

 

“คุณย่าเดินดีๆ นะครับ”

“ขอบใจนะ”

พะภูประคองร่างอ่อนแรงของเดือนฉายเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่จนน่ากลัว ท่ามกลางการอารักขาของคนรับใช้มากหน้าหลายตา แล้วยังไม่นับรวมพวกบอดี้การ์ดชุดดำอีกสิบกว่าคนนะ คือรวยแบบบ้าไปแล้วอะ

“หลังจากนี้ก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เลย”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผม...”

“ไม่เป็นไรไม่ได้ เธอเป็นหลานฉัน เป็นวรวิโรจน์ ก็ต้องอยู่ที่นี่”

น้ำเสียงเด็ดขาดทำเอาพะภูไม่กล้าเถียงต่อ สายตาอึดอัดทอดไปยังพะพายซึ่งเดินตามเข้ามาทีหลังพร้อมกับพ่อของเธอ พะพายเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเรื่องของเธอเองก็ยังเอาไม่รอด เมื่อวิทวัสยังเอาแต่ขอให้เธอกลับไปอยู่บ้านใหญ่เช่นเดียวกัน กลายเป็นว่าพี่น้องจำเป็นจะต้องถึงคราวแยกย้ายคืนถิ่นอย่างประจวบเหมาะซะงั้น

หลังจากที่เดือนฉายรู้เรื่อง รวิชญ์กับพิมพ์ผกา เธอก็สลบไปเลย ต้องใช้เวลาอยู่พอตัวกว่าจะทำใจได้ หลังจากนั้นก็ผ่านมาราวอาทิตย์หนึ่งแล้ว พะภูต้องเทียวดูแลคุณย่าที่พลัดพรากมานาน จนแทบไม่มีเวลาได้คุยกับติสักคำ

“ไว้ฉันจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับระวีนะ วิทวัส เธอก็มาช่วยหน่อยละกัน”

“ยินดีครับ ผมเองก็ว่าจะถือโอกาสเปิดตัวยัยพะพายเหมือนกัน”

“ดีแล้วล่ะ”

ผู้ใหญ่สองคนเริ่มปรึกษาหารือกันแบบไม่สนใจเด็กที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ดูเหมือนจะมีงานเลี้ยงต้อนรับการคืนถิ่นของลูกนกจากวรวิโรจน์กับนฤบดินทร์ ซึ่งให้เดาก็คงเป็นงานหรูหรา ที่เต็มไปด้วยเศรษฐีไฮโซกับพวกดาราล่ะมั้ง แค่คิดก็ชวนอึดอัดจะแย่แล้ว

“ไม่ต้องจัดก็ได้มั้งครับ”

“ได้ยังไงล่ะ ต้องจัดสิถึงจะถูก ให้คนเขารู้ว่าเธอคือวรวิโรจน์ ถือว่าให้ฉันได้ตอบแทนช่วงเวลาที่ไม่ได้ดูแลเธอเถอะนะ”

มาตกม้าตายเอาประโยคสุดท้ายนี่แหละ...ลองมานั่งฟังผู้หญิงสูงวัยท่าทางไม่แข็งแรง เอ่ยปากแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เป็นใครจะยอมขัดได้

“อ...ครับ ก็ได้ครับ แต่ไม่ต้องยิ่งใหญ่มากก็ได้นะครับ”

“ต้องชวนพวกเพื่อนๆ เธอด้วยสินะ”

“ครับ?”

“ก็นายภูผา ศรศิลป์ กรฤต อะไรพวกนั้นไง”

ไล่ชื่อมาแบบเป๊ะๆ ท่าทางพวกนั้นคงโด่งดังในหมู่คนมีเงินพอตัว อืม...ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วอะเนอะ ทั้งทายาทนักธุรกิจรายใหญ่ ตำรวจยศสูง นักการเมือง เจ้าของร้านทอง แล้วก็อะไรต่อมิอะไรที่ดูสูงค่าทั้งหลายแหล่

“จริงสิ ระวีรู้จักกับลูกชายตระกูล นิธิภูวดล ด้วยใช่ไหม พอดีอาเห็นเขาส่งของเยี่ยมไข้มาให้”

“นิธิภูวดล?” คนถูกถามตีหน้างุนงง แล้วทวนนามสกุลไม่คุ้นหู ทำให้พะพายต้องรีบช่วยตอบแทนเพราะรู้ว่าน้องคนนี้น่ะไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับชาวบ้านเขาเลย

“ธรไง ธัญธร นิธิภูวดล”

“อ้าวเหรอ ครับ รู้จักครับ” พะภูยกมือขึ้นเกาหัว ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าธรนามสกุลนี้ แถมยังฟังดูโอ่อ่าชอบกล

“ตายจริง รู้จักคนเยอะเหมือนกันนี่เรา ดีแล้ว อนาคตต้องมาช่วยคุณลุงเขาทำงาน จะได้คล่องตัวหน่อย”

เดือนฉายดูจะจัดแจงวางแผนชีวิตให้หลานชายเสร็จสรรพ ลามไปถึงอนาคตอีกตั้งไกล ซึ่งไม่แคล้วต้องมาช่วยธุรกิจแสนล้านของคุณย่า กับคุณลุง นั่นคงหมายถึงคุณชายระฟ้า พี่ชายของพ่อรวิชญ์

“อ้อ จริงสิ...เกือบลืมเพื่อนสนิทของเราอีกคน”

“ค..ครับ?” สายตาจับผิดบางอย่างเพ่งมองมาทางเขา ทำเอาคนตัวเล็กแอบขนลุกเบาๆ ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเบื้องหลังแววตานั้น คือความคิดแบบไหนในหัวของผู้หญิงทรงอำนาจอย่างคุณหญิงแห่งวรวิโรจน์

“กีรติ อัครโภคิน”

“อ่า...”

ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ ตอนเดือนฉายพูดถึงติกันนะ

 

“งานใหญ่ดีนะ” ผาเอ่ยทักเจ้าของงานเลี้ยงสุดหรูหรา ภายในโรงแรมระดับท็อปคลาสใจกลางเมืองหลวง พะภูในชุดสูทสีครามดูแปลกตาแต่ก็ยังมองดูน่ารักเหมือนเคย

“อึดอัดจะแย่แล้วครับ”

“ฮ่าๆ ก็นะ ฉันยังอึดอัดเลย”

พูดไม่ทันขาดคำ ลูกชายเจ้าของร้านทองขนาดใหญ่ก็ถูกชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน เข้ามาสะกิดให้หันไปคุยด้วย แต่ละคนดูยุ่งๆ กับการพบปะพูดคุยกันในหมู่ไฮโซ ทางด้านโน้นก็เห็นสองพี่น้อง กัสกับเกม กำลังถูกฉุดกระชากให้ไปเต้นรำเป็นเพื่อนลูกสาวทนายชื่อดัง ศิลป์เองก็พยายามยืนคุมนิวไม่ห่าง ขณะทักทายดาราแถวหน้า เกต์คงเป็นคนเดียวในหมู่พวกเขาที่ไม่ได้รังเกียจงานประเภทนี้มากมายนัก เพราะเอาแต่โปรยยิ้มมาได้ตั้งนาน ไม่รู้ชอบจริงหรือกำลังใส่หน้ากากบ้าๆ อยู่กันแน่

ขนาดผอ.โรงเรียนพวกเขาก็มาเหมือนกัน พร้อมกับลูกชายอย่าง ชา ม.5 รวมไปถึงประธานนักเรียนธารวิทยาที่ควงคู่มากับ ติว ม.5 ลูกชายคนเล็กเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่เว้นแม้กระทั่ง วิน กรรมการนักเรียนจากวิไลวิทย์ หนึ่งในเพื่อนของธร รวมๆ แล้ววันนี้ท่าจะเป็นงานรวมตัวของพวกลูกผู้ดีทั้งหลาย มากกว่าจะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับตัวเขาซะอีก

อ้อ...ส่วนสองคนสำคัญอย่างธรกับติ บอกเลยว่ายังไม่เห็นหัวตั้งแต่เริ่มงานจนบัดนี้ ได้ข่าวว่ามาทั้งคู่ แต่ไหงไม่ออกมาปรากฏตัวเลยก็ไม่รู้ โดยเฉพาะกีรติ...ทำไมช่วงนี้ดูหลบหน้าหลบตายังไงไม่รู้ เป็นแบบนี้เขารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย

ทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากจะคุยด้วย แล้วทำไมถึง...

“คุณระวี”

“...”

“คุณระวีครับ”

“อะ...ครับๆ” คนตัวเล็กหันกลับไปตามเสียงเรียกของบอดี้การ์ดคุณย่า พยายามสะบัดหัวไล่ความคิดอื่นออกไปก่อน

“เชิญด้านหน้าหน่อยครับ คุณหญิงถามหา”

พะภูพยักหน้าแล้วค่อยๆ แทรกตัวผ่านผู้คนละลานตาในงานไปจนถึงเวทียกด้านหน้า มีเดือนฉาย วิทวัส กับพะพายยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ระวี มานี่” คนเป็นย่ากวักมือเรียก อีกมือรับไมโครโฟนจากพนักงานโรงแรมมาถือไว้

ระวี กลับมาเป็นชื่อที่หลายต่อหลายคนใช้เรียกเขา แม้จะอยู่กับชื่อนั้นมามากกว่าสิบปี แต่แค่ช่วงสองปีนี้กับชื่อใหม่ ก็ทำให้เขารู้สึกยึดติดไปกับคำว่า พะภู เรียบร้อยแล้ว อยู่ดีๆ ให้กลับมาใช้ชื่อเก่าแบบปุบปับ มันเลยยังไม่ค่อยชินอยู่นิดหน่อยแฮะ

ยืนฟังเดือนฉายร่ายยาวถึงเหตุการณ์การกลับคืนของเขา รวมทั้งขอบคุณแขกเหรื่อในงานอยู่นาน ในที่สุดก็มาถึงช่วงสำคัญ หญิงชราสูดหายใจเข้าสุดปอด ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่

“ในโอกาสที่เราได้สองทายาทตระกูลใหญ่กลับคืนมาพร้อมกัน...”

พะภูกับพะพายถูกเรียกให้ขึ้นไปยืนขนาบข้างคนพูด สีหน้างุนงงส่อออกมาให้เห็นไม่แพ้กันทั้งคู่ แต่ขึ้นมายืนบนนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะอึดอัดเพราะโดนจับจ้อง แต่จากมุมนี้ทำให้เขาเห็นแขกเป็นวงกว้าง จึงเจอตัวไอ้คนที่ตามหาอยู่สักที

กีรติที่สองนาฬิกา ใกล้กับประตูทางออกพอดี

“ฉันกับวิทวัสได้ตกลงกันแล้วว่า จะให้ระวีกับพะพาย...”

“...”

“หมั้นกัน”

“ห๊ะ/อะไรนะคะ!” เด็กทั้งสองหันขวับกลับมาทางผู้ใหญ่ตรงกลาง กริยาที่คงดูไม่สมควรทำให้ถูกปรามด้วยสายตาตำหนิ

เดือนฉายปิดไมค์แล้วปล่อยให้แขกสนใจงานเลี้ยงต่อ รีบลากอีกสามชีวิตลงมาคุยกันข้างเวทีเงียบๆ พะพายดูร้อนใจมาก รีบโวยวายใส่คนเป็นพ่อซึ่งเธอเองก็ยังไม่ได้ยอมรับ 100%

“ทำไมถึงประกาศแบบนั้น พวกหนูไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”

“ก็รู้แล้วนี่ไง”

“ไม่ตลกนะคะ หนูกับพะภูเป็นเหมือนพี่น้องกัน เราจะไม่หมั้นกันค่ะ”

ขอโทษที่พะพายไม่ใช่กุลสตรีซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูที่ไหน เธอไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะเป็นคุณหญิงเดือนฉายหรือใคร ถ้าเธอจะเถียง ก็จะเถียง และครั้งนี้ดูท่าว่าวิทวัสจะทำให้เธอโกรธเข้าจริงๆ แน่นอนว่าพะภูต้องไม่กล้าพูด เห็นเอาแต่ยืนตีหน้าซีดเป็นไก่ต้มตั้งแต่บนเวที สายตาดูล่อกแล่กจนชักเป็นห่วง

“เธอไม่เข้าใจ ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน การที่ฉันอยากเป็นหลานตัวเองเป็นฝั่งเป็นฝา มันผิดด้วยเหรอ?” เดือนฉายพยายามงัดมุกคนแก่น่าสงสารขึ้นมาเรียกคะแนนอีกครั้ง และถึงจะพูดกับพะพาย สายตาเธอกลับจ้องไปคาดคั้นเอากับหลานชายที่ว่า

พะภูดูลำบากใจมากขึ้นอีกสิบเท่า และไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำไหนออกมา เขาไม่เห็นด้วยกับการหมั้นบ้าๆ บอๆ นี้ แต่คำพูดของเดือนฉายก็ทำให้เขาไม่กล้าเถียง...อย่างน้อยถ้าเขาไม่ใช่คนใจอ่อนแบบนี้ก็คงจะดี...

“เดี๋ยวผมกลับมาคุยด้วยนะครับ” คนตัวเล็กรีบก้มหัวแล้วแยกตัวออกไปทางประตูบานใหญ่ สักครู่นี้เขาเห็นกีรติเดินออกจากงานไปหลังจากเดือนฉายประกาศจบ นี่แหละ เหตุผลที่ทำเอาอยู่ไม่นิ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“พี่ติ!”

เท้าเล็กๆ รีบก้าวลงบันไดหลายขั้น แล้วมาหยุดลงตรงหน้าผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้ม ผมสีดำที่เคยปรกหน้าถูกเซตเสยขึ้นไปด้านหลังยิ่งทำให้กีรติดูหล่อเหลามากขึ้นอีกเท่าตัว เลียบถนนหน้าโรงแรมมีรถสีขาวคันหรูแล่นเข้ามาจอดรอรับคุณชายบ้านอัครโภคิน

“ทำไมช่วงนี้หลบหน้าผม?” พะภูดึงแขนติไว้ พร้อมถามเสียงแข็ง คนตัวใหญ่หลบตาเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กตรงหน้าไปที

มากกว่าความอบอุ่นที่รู้สึกได้ นั่นคือความคิดถึงและโหยหา...

ถ้าทำได้ เขาอยากคว้าตัวพะภูเข้ามากอดเสียเดี๋ยวนี้เลย

“เปล่านี่ เห็นนายยุ่งๆ”

“แต่ผมโทรหาก็ไม่รับ...” คนเด็กกว่าว่าเสียงอ่อย พร้อมทำปากยื่นอย่างกระเง้ากระงอด ติเห็นแบบนั้นไอ้ความอดทนที่พยายามเก๊กไว้ก็แทบแตกสลายไปเลย รีบดึงมืออีกฝ่ายไปกุมไว้แน่นแล้วย่อตัวลง จนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน

“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวไว้จะโทรหานะ โอเคเปล่า”

“งื้ออ”

พะภูเงยหน้าขึ้นสบตากับติเนิ่นนาน ทั้งคู่ดูเหมือนมีอะไรมากมายอัดอั้นอยู่ในใจ แต่ทว่ากลับไม่มีฝ่ายไหนกล้าพูดมันออกมาสักคำ...ทั้งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งที่กุมมืออยู่อย่างนี้ แต่ทำไมนะ กลับรู้สึกห่างไกลเหลือเกิน...ช่องว่างที่กำลังขยายตัวออกอย่างช้าๆ นี้มันคืออะไร

“พี่ติ เรื่องที่คุณย่าพูดเมื่อกี้ ผมไม่รู้เรื่องเลยนะครับ” รีบออกตัวไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายน่ะคิดมากหรือโกรธหรือเปล่า แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นแค่อาการส่ายหน้า

“อืม แต่ก็ดีนะ”

“??”

ดี...อะไร? ดียังไง?

“ตอนนี้นายเป็นคุณชายระวีแล้ว มีเงินทองมีอำนาจ มีครอบครัวของตัวเองจริงๆ...”

“...”

“บางที ถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเด็กผู้ชายธรรมดาได้ ก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรอ”

“พี่ติพูดแบบนี้หมายความว่าไงครับ?” จงใจกระชากเสียงให้ติรู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ได้ยิน และไม่คิดว่าจะได้ยินด้วย

กีรติพูดเหมือนกำลังผลักไสไล่ส่งเขายังไงยังงั้น แล้วมือที่เคยกอบกุมไว้ ทำไมตอนนี้ถูกดึงกลับไปซะแล้วล่ะ? กีรติ...ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่ จะทิ้งเขาแล้ว...หรือไง?

“ก็แค่...นายสามารถมีความสุขได้ โดยไม่ต้องมีฉันนะ”

“พี่ติ! อย่าพูดแบบนี้นะ ที่ผมมีความสุขเพราะมีพี่ต่างหาก”

กำปั้นเล็กๆ ตรงเข้าทุบอกกว้างอย่างไม่เกรงกลัว แล้วดูท่าว่าติก็พร้อมรับทุกการกระทำอยู่แล้ว เขาไม่ได้ต่อว่าหรือหลีกหนี กลับยิ่งแสดงสีหน้าเจ็บปวดเหมือนคนรู้สึกผิดเต็มที ไม่สมเป็นกีรติเลย เรื่องนี้มันกลายเป็นบ้าอะไรไปอีกแล้ว ทั้งที่แววตาของติเต็มไปด้วยคำว่า ขอโทษ แต่คำพูดที่หลุดลอดออกมากลับทำร้ายเขาได้อย่างรวดร้าว

ไม่ตลกเลยนะ

“ระวี! กลับเข้างานได้แล้ว” เสียงเด็ดขาดของเดือนฉายดังขึ้นจากด้านหลัง

ตามมาด้วยฝีเท้าของเหล่าบอดี้การ์ดสองสามคน ซึ่งรุดเข้ามาขนาบข้างพะภูเอาไว้ ท่ามกลางความงุนงงตกใจ จึงเปิดโอกาสให้ติอ้อมไปขึ้นรถสีขาวและขับออกไปจนพ้นสายตา ไม่ทันให้เขาได้รั้งอะไรสักคำ

ทำไมล่ะ? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเป็นแบบนี้...

 

พี่ติ...

ผมก็นึกว่าเรื่องของเราจะจบลงอย่างมีความสุขแล้วซะอีก.....
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-12-2015 13:32:28
บทที่ 43 (บทจบ)




หยาดน้ำค้างในยามเช้า กับลมหนาวจับใจ
สายลมโชยอ่อน พัดพาความรักฉันไป ส่งถึงใจเธอที

เธอ..เธอยังคิดถึงฉันไหม
เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน
รู้..บ้างไหม คนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา

 

เพลงเธอ ของ Cocktail ยังคงเล่นผ่านโทรศัพท์มือถือเครื่องบางในกระเป๋าเสื้อคลุม ลูกชายเศรษฐีตระกูลอัครโภคินมายืนทำอะไรแถวท่าน้ำ จังหวัดตราดในช่วงฤดูหนาวแบบนี้กัน...

แรงสะกิดน้อยๆ จากด้านหลัง ทำให้คนตัวสูงต้องหันกลับไปมองพร้อมถอดสายหูฟังออก เด็กผู้ชายผิวคล้ำดูผอมแห้งกำลังเงยหน้าจ้องเขาด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง ในมือมีถาดพลาสติกซึ่งเต็มไปด้วยสร้อยข้อมือหินหลากหลายรูปแบบ

“อันละร้อยครับ”

เอิ่ม.....

เอาไงล่ะ เขาไม่ใช้พวกชอบใส่สร้อยข้อมืออยู่แล้ว แถมยังสีสันไม่ใช่แนวสุดๆ แต่ดูสายตาเด็กตรงหน้าแล้วรู้สึกปล่อยไปไม่ได้อีกเหมือนกัน หรือจะให้เงินไปเลยดี ดูถูกไปเปล่าหว่า

“อืม...” ระหว่างกำลังใช้ความคิด ก็ลองทำเป็นค้นสร้อยในถาดดูๆ มีหินสีโอรสลายขาวแซมด้วยของตกแต่งรูปทรงมงกุฏสีเงินสะดุดตายิ่งกว่าอันอื่น

สวยดี...

ถ้าหมอนั่นใส่ คงเหมาะดี...

“งั้นเอาอันนี้อันนึง” ติควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมายื่นแบงค์สีเทาให้ เด็กตัวน้อยตาโตรีบก้มลงมองกระปุกใบจิ๋วของตัวเอง ไม่คิดว่าจะมีเงินทอนพอให้พี่ชายคนนี้

“ไม่ต้องทอนนะ”

มือใหญ่ลูบหัวเจ้าของใบหน้าตื่นๆ ก่อนจะเสียบหูฟังกลับที่เดิมและหันหลังให้ทันที เด็กที่ไม่รู้ว่าควรทำไงเลยได้แต่ยืนยกมือไหว้ ก้มหัวจนแทบติดพื้น ก่อนวิ่งโร่กลับไปหาคนเป็นพ่อซึ่งยืนรออยู่ไม่ไกล

เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นจากหินสีสวยในมือ วันนี้เขากลับมาที่นี่โดยปราศจากคนเคียงข้างอย่างวันนั้น...คิดแล้วก็เศร้า แต่แบบนี้อาจจะดีกว่า....หรือเปล่านะ

ตั้งแต่วันที่รู้ว่าพะภู คือคุณชายระวี ทายาทคนสุดท้องของตระกูลยิ่งใหญ่อย่างวรวิโรจน์ เขายอมรับว่าช็อกและเครียดมาก เขาทั้งกลัวว่าพะภูจะเปลี่ยนไปกับฐานะที่เปลี่ยนแปลง แต่นั่นไม่เท่ากับความกลัวต่อผู้หญิงชื่อ เดือนฉาย ย่าของหมอนั่น

ครอบครัวอัครโภคินยิ่งใหญ่ขนาดไหน วรวิโรจน์นั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก คอยค้ำจุนและให้ความช่วยเหลือพ่อกับแม่ รวมทั้งธุรกิจทางบ้านเขามาตลอด ไอ้เรื่องจะไปขัดใจท่านน่ะอย่าแม้แต่จะคิดเลย แล้วนี่จะเอาหน้าที่ไหนไปขอลูกชายเขากันล่ะ แล้วความกลัวของเขาก็กลับกลายเป็นเรื่องจริง รวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทันซะด้วย.....

 

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนเขาถูกคุณหญิงเดือนฉายเรียกพบ ในฐานะตัวแทนของพ่อกับแม่ซึ่งอยู่ต่างประเทศ คิดว่าคงคุยเรื่องงานทั่วไปเหมือนทุกที แต่ไม่ใช่...

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะ” คนแก่กว่ารับไหว้ พร้อมผายมือให้ตินั่งลงบนเก้าอี้เยื้องกัน บ้านขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยคนรับใช้ ไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไรเลย

“พ่อกับแม่สบายดีนะ?”

“ครับ ท่านก็ติดต่อมาบ่อยๆ”

“แล้วติล่ะ เป็นไงบ้าง ตอนเจอกันที่โรงพยาบาลก็ไม่ทันได้คุย” คงได้คุยกันหรอก เล่นยุ่งๆ วุ่นวายกับเรื่องหลานชายที่หายไป เอาจริง วินาทีนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปทักแกด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันดูสับสนจนไม่ทันได้พูดเรื่องอื่นเลย

“ก็เรื่อยๆ ครับ”

“เห็นว่าได้มหาลัยแล้ว ยินดีด้วยนะ ต่อไปก็ตั้งใจเรียนล่ะ”

“ครับ”

ตอบรับหน้าเจื่อนกับคำอวยพรที่เหมือนจะสั่งสอนหน่อยๆ คงเพราะแกรู้ว่าเขาเองไม่ใช่คนตั้งใจเรียนขนาดนั้น แถมยังชอบหาเรื่องต่อยตีชาวบ้านอีก ชื่อเสียเนี่ยเยอะกว่าด้านดีอยู่แล้ว แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยครอบครัวกับเพื่อนเขาก็เข้าใจว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นยังไง นั่นมันมากพอแล้ว

“ระวีไม่อยู่หรอก”

“ค..ครับ?”

“ออกไปซื้อของกับพะพายน่ะ”

กีรติยิ้มแห้งตอบกลับ ทั้งที่เขาไม่ได้ปริปากถามอะไรสักคำ คุณหญิงกลับเป็นฝ่ายพูดแบบนั้นออกมาเอง คงเดาสายตาวอกแวกของเขาได้ละมั้ง น่ากลัวแฮะผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนจะรู้ไส้รู้พุงกันไปซะหมด ไอ้สายตาที่ไม่ได้พร่ามัวไปตามอายุขัยเลยเนี่ย ดูออกหมดทุกอย่างเลยหรือเปล่า

แล้วความรู้สึกของเขาที่มีต่อหลานชายของเธอน่ะ ดูออกด้วยหรือเปล่า?

“ความจริงที่เรียกติมาวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ เห็นว่าไม่ได้คุยกันนานแล้ว”

“ครับ”

“เรื่องเครื่องน้ำมันที่พ่อเรากำลังหาคนซื้อน่ะ ฉันก็ดูๆ ให้อยู่ เหมือนทางเทศบาลเขาก็สนใจเหมือนกัน อาจจะขอให้พาไปดูระบบหน่อยนะ”

“อ๋อ ได้ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ”

เครื่องผลิตน้ำมันจากเกาหลีใต้ พ่อเขาพลาดซื้อมาในราคาสิบล้านโดยคิดว่าจะทำกำไรได้ แต่สุดท้ายกลับแป้วเพราะดันมีปัญหาเรื่องมาตรฐานผลผลิตจนอะไรๆ มันก็วุ่นวาย เลยนึกจะขายต่อซะเลย แต่จะครบปีแล้วยังหาลูกค้าไม่ได้ แต่แค่ใช้บารมีคุณหญิงเดือนฉาย แค่เดือนเดียวก็มีคนสนใจแล้ว

“แล้วที่ว่ารถขนของไม่พอ ฉันก็ติดต่อบริษัทโลจิสติกของคุณเกรียงไกรไว้ให้แล้ว แกเป็นกันเอง คุยง่าย”

“ขอบคุณมากครับ” ไม่รู้ต้องพูดคำนี้อีกกี่รอบ แล้วนี่เขาก้มหัวจนหมดคราบนักเลงวิไลวิทย์ไปไม่รู้กี่ครั้ง ผู้หญิงคนนี้มีบุญคุณท่วมหัวจนน่ากลัวเกินไป...

“เห็นว่าลูกสาวแกสนใจติอยู่เหมือนกันนะ สนใจไหมล่ะ” เดือนฉายแกล้งแซวทีเล่นทีจริง ทำเอาคนถูกถามรีบปฏิเสธทั้งที่ตีหน้าไม่ถูก

“มะ...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”

เดือนฉายหัวเราะขำอยู่สักพักก่อนจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม นิ่งจนเขาต้องเบือนสายตาหนีอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกเลยว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ อึดอัดชะมัด อยากออกไปจากตรงนี้แล้ว

“ติ...เป็นอะไรกับระวีเหรอ?”

แววตาหนักใจแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ กีรติค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้ากับเดือนฉายอีกครั้งพร้อมหัวใจที่เต้นรัว ด้วยความกลัวบางอย่าง...สายตาของผู้หญิงตรงหน้าไม่หลงเหลือความใจดีอยู่เลย เธอกำลังข่มขู่เขา

“หมายความว่าไงครับ?”

“เธอกับระวีคบกันเหรอ?”

น้ำเสียงกึ่งโมโหแทรกตัวอยู่ภายในคำถามต่อมา และเมื่อเขาไม่ตอบอะไรกลับไป เธอก็ยิ่งดูเกรี้ยวกราด เพราะแน่ใจแล้วว่าข้อมูลที่ไปสืบมาได้คงเป็นเรื่องจริง ที่ว่าหลานชายของเธอกำลังคบหาอยู่กับกีรติ อัครโภคิน...ในฐานะคนรัก!

“พวกเธอบ้าไปแล้วเหรอ ทั้งเธอและระวีเป็นผู้ชายนะ แล้วยังมีชื่อเสียงกับหน้าตาของวงศ์ตระกูลที่ต้องแบกรับ เธอทำแบบนี้ได้ยังไง”

“...”

“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ระวีควรมีชีวิตที่ดี เขาเจ็บปวดมามากแล้ว ฉันอยากให้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเด็กผู้ชายปกติธรรมดา อย่างที่เขาสมควรจะเป็น”

อย่างที่พะภูสมควรจะเป็นงั้นเหรอ...

นั่นสิ

ลองย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวบ้าๆ นี่...ถ้าพะภูไม่อับจนสิ้นคิดเพราะความเคียดแค้นในใจ ก็คงไม่ต้องบากหน้ามายุ่งวุ่นวายกับเขา ไม่ต้องมาพัวพัน...และผูกพัน

ไม่ต้องมารักกัน...

เขาเองก็ด้วย เราต่างฝ่ายต่างสมควรดำเนินชีวิตเฉกเช่นคนปกติธรรมดา เป็นแค่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ถ้าการกลายมาเป็นคุณชายระวี หมายถึงการกำเนิดใหม่ของเด็กนั่นอีกครั้ง เขาก็อยากทำให้เรื่องราวมันกลับไปถูกต้องเหมือนกัน...อยากให้พะภูได้มีชีวิตใหม่

“ระวี วรวิโรจน์ ควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ผูกติดอยู่กับผู้ชายด้วยกันนะ”

“...”

“ติ...ถือว่าฉันขอร้องเถอะ เลิกยุ่งกับระวีได้ไหม”

“...ผ...ผม...”

“หรือจะให้ฉันบังคับ”

เดือนฉายลุกขึ้นยืนช้าๆ สายตาน่ากลัวมองลงมายังเขาอย่างกดขี่ ให้ตายเถอะ สาบานว่ามีไม่กี่คนบนโลกที่กล้าทำกริยาแบบนี้ แล้วยังมีผลมากด้วยอีกต่างหาก!

“กีรติ เลิกยุ่งกับระวีซะ”

 

เรื่องราวจบลงตรงที่เขาต้องฝืนหนีหน้าจากพะภู ไม่คุย ไม่เจอ จนสุดท้ายทนไม่ไหว ย้ายตัวเองมาต่างจังหวัดซะเลย อย่างน้อยก็จะได้สงบอารมณ์บ้าง ส่วนธุรกิจทางบ้านเขาน่ะเป็นไปได้ดีเกินคาด เครื่องน้ำมันก็ขายออกไปไวเหมือนโกหก ทุกอย่างดี๊ดีจนเขาไม่กล้าหืออืออะไรเลย

เดือนฉาย วรวิโรจน์ ทำไมโหดร้ายอำมหิตขนาดนี้!

“เฮ้อ...”

จึก จึก

แรงสะกิดจากด้านหลังทำให้ติต้องถอดสายหูฟังออกอีกครั้ง กะว่าจะควักกระเป๋าตังค์ออกมาเลยเพราะคงเป็นเด็กเร่ขายของแถวนี้ แต่เมื่อหันหน้าไป เขากลับต้องชะงัก หัวใจที่เต้นเอื่อยเชื่อยตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน ณ ตอนนี้กลับเต้นแรงจนแทบเด้งกระดอนออกมา

พะภูในชุดนักเรียนของโรงเรียนผู้ดีอย่างธารวิทยา มายืนทำอะไรอยู่ต่อหน้าเขา ในจังหวัดห่างไกลเมืองหลวงแบบนี้กัน!

“พี่ติ...” เสียงใสที่คุ้นเคยทำให้เขาแทบเป็นบ้า พะภูยื่นช็อกโกแลตบาร์ยี่ห้อโปรดของเขาออกมาแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง

“ช่วยคบกับผมด้วยครับ”

“...”

เขาคงต้องเป็นบ้า เพราะเด็กตรงหน้าจริงๆ....

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ กีรติรีบตรงเข้าสวมกอดพะภูทันทีด้วยความคิดถึง อะไรที่พยายามฝืนมาตลอด ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเพียงวินาทีเดียวที่เห็นหน้า ฉากนั้น คำพูดนั้น มันคือวันแรกที่เขากับพะภูได้เจอกัน ก่อนจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“พี่ติ กอดแน่นไปแล้วนะ” พะภูว่าเสียงอ่อยแต่ก็ไม่ได้ผลักเขาออกไปไหน

ติไม่สนใจว่าจุดที่พวกเขายืน จะเป็นปลายท่าน้ำที่มีชาวบ้านสี่ห้ารายเดินเพ่นพ่านอยู่ เขาค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเพียงเล็กน้อย แล้วตรงเข้าจูบเด็กตรงหน้าซึ่งตั้งท่าจะพูดอะไรออกมาอีก

คำพูดทุกคำถูกกลืนลงคอ พร้อมกับความร้อนที่พุ่งขึ้นมาบแก้มทั้งสองด้าน พะภูพยายามดันไหล่ติออกด้วยความเขินอาย แต่อีกใจกลับตื่นเต้นและมีความสุข นี่มันนานขนาดไหนแล้วที่พวกเขาไม่ได้จูบกันแบบนี้

คิดถึงจัง...

“อืมม...พ..พอก่อนครับ” ทันทีที่ริมฝีปากเคลื่อนตัวออกจากกัน พะภูต้องรีบยกมือขึ้นบังไม่ให้ติจู่โจมอีกเป็นครั้งที่สอง ก็เพราะไม่ใช่แค่ชาวบ้านแถวนี้สิที่เห็น

ย่าเขาก็ยืนอยู่ข้างหลังโน่นด้วยไง!!

“คุณหญิง...”

กีรติที่เพิ่งได้ฤกษ์เงยหน้ามองทัศนวิสัยรอบๆ อาณาบริเวณ หน้าซีดลงจนอดหัวเราะไม่ได้ เดือนฉายกับบอดี้การ์ดยืนสงบนิ่งอยู่ข้างรถเก๋งขันหรู ซึ่งจอดห่างออกไปจากท่าน้ำ แต่ยังคงอยู่ในระยะสายตาที่เห็นกันค่อนข้างชัดเจน สาบานได้ว่าถ้าเธอมีปืนตอนนี้ ต้องยิงเขาไส้ทะลักไปแล้วแน่

“นี่มันยังไงเนี่ย มาได้ไง แล้ว...”

“พี่ติ ใจเย็นก่อนครับ” พะภูพยายามกลั้นขำกับท่าทีลนลานของคนข้างตัว ก่อนจะดึงแขนติให้ก้มลงมามองหน้ากัน

“ผมรู้เรื่องหมดแล้ว”

มือเล็กเลื่อนลงกอบกุมมือหนาเอาไว้แน่น หวังส่งผ่านความรู้สึกมากมายไปให้ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน กีรติหายไปจากชีวิตเขาเลย หลังจากจบงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายระวีของคุณย่า เขาไม่สามารถติดต่อติได้อีก โทรหาเพื่อนคนอื่นก็ไม่มีใครรู้ พอจะออกจากบ้าน ก็โดนเดือนฉายรั้งไว้ด้วยเหตุผลมากมายจนชักน่าสงสัย ในที่สุดก็ลองถามออกไปตรงๆ ถึงรู้ว่าเดือนฉายเป็นคนบอกให้ติเลิกยุ่งกับเขา

ยอมรับว่าใช้เวลาอยู่นานมากกว่าจะทำให้คุณย่าจอมเจ้ากี้เจ้าการคนนี้เข้าใจ แม้ว่าครอบครัวที่ได้คืนมาจะสำคัญมาก แต่ติก็คือส่วนสำคัญสำหรับเขาไม่แพ้กัน เขาจะไม่ยอมเสียใครไป ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

“ผมบอกคุณย่าว่า ผมไม่ใช่ระวี...ผมจึงทำตามที่คุณย่าต้องการไม่ได้”

“...”

“ผมคือพะภูนะ ยังเป็นพะภู...คนที่รักพี่ติสุดหัวใจเลย”

ค่อยๆ ละจากมือที่กุมไว้แล้วเปลี่ยนเป็นกอดร่างใหญ่ด้วยความโหยหา หัวเล็กๆ ซุกลงกับแผงอกกว้างอย่างที่เคย ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มกอดตอบแนบแน่น กีรติกดริมฝีปากลงกับกลุ่มผมนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีหยดน้ำเอ่อคลอขึ้นมาจากดวงตาสองข้าง ทั้งที่ไม่สมกับเป็นเขาเลย แต่มันช่วยไม่ได้...

ความรัก ความอบอุ่นจากเด็กในอ้อมกอดนี้ ทำให้เขาซาบซึ้งจนควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ ราวกับว่าเรื่องที่กังวลทั้งหมดมลายหายไปเสียเฉยๆ เหมือนว่าการที่เขาเอาแต่กลัวนั้นเป็นแค่เรื่องไร้สาระและน่าโมโห ทั้งที่ควรจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงพะภูก็คือพะภู

เรื่องราวตลอดปีที่ผ่านมายังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอ ว่าต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น

รักของเราก็จะยังอยู่ตรงนี้...

“ขอโทษ...” ติพูดเสียงแผ่วพลางกระชับอ้อมแขนขึ้นอีก

“อื้อ แต่อย่าหายไปอีกนะครับ ไหนว่าจะอยู่ด้วยกันไง”

“ไม่ไปแล้ว อยู่ด้วยกันนะ”

ติเลื่อนหน้าลงมาประทับรอยจูบอ่อนโยนบนหน้าผากมน แล้วกลับไปสวมกอดกันเหมือนเดิม ราวกับไม่ต้องการแยกจากไปไหนอีก เขามันบ้าเอง บ้าที่คิดมากไปเอง

หลังจากนี้รู้แล้วว่า ต่อให้อะไรจะเกิด ต่อให้มีปัญหาแบบไหนผ่านเข้ามา เขาทั้งสองคนก็จะจับมือให้แน่น แล้วผ่านมันไปด้วยกัน

“แล้วสรุปพี่ติจะคบกับผมเปล่า?” พะภูถามติดตลก ก็เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดว่า ‘พี่ติ ช่วยคบกับผมด้วยครับ’ ไปนี่

คนตัวใหญ่อมยิ้มเหมือนมีความคิดพิเรนท์ในหัว กีรติไม่ตอบอะไร แต่กลับจูงมือพะภูไปหาคุณหญิงเดือนฉายซึ่งยืนรออยู่อย่างไม่สบอารมณ์นัก ในเมื่อพะภูยังไม่กลัว...เขาก็จะไม่กลัวอะไรอีกแล้วเหมือนกัน

“คุณหญิง...”

“ว่ายังไง?”

พะภูช่วยบีบมือให้กำลังใจคนข้างๆ สายตาเหลือบมองคุณย่าที่ใบหน้ายังดูบูดบึ้ง แต่ก็เชื่อใจนะ เพราะเขาเคลียร์กับท่านเรียบร้อยแล้ว (แม้จะยากลำบากไปหน่อยก็ตาม) แล้วถ้ายังกีดกัดขนาดนั้น ก็คงไม่ยอมพาเขามาถึงที่นี่หรอก

“อนุญาตให้ผมคบกับหลานชายคุณหญิงด้วยครับ”

น้ำเสียงจริงจังเปล่งออกมาเสียงดังฟังชัด เดือนฉายดูจะตกใจไม่น้อยที่กีรติกล้าพูดแบบนี้กับเธอตรงๆ ส่วนพะภูก็ได้แต่ยืนกลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตก หลังจากความเงียบพัดผ่านมาได้ครู่หนึ่งจนคนตัวใหญ่เริ่มใจเสียเล็กน้อย เดือนฉายจึงยอมเปิดปากออกก่อนจะหนีเข้าไปนั่งในรถ

“ฮึ...ตามใจ แต่อย่าทำหลานฉันร้องไห้ก็ละกัน”

รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นมาบนใบหน้าของกีรติและพะภูแทบจะพร้อมกัน ทั้งคู่หันมากอดกันกลม โดยไม่ได้สนใจสายตาคมกริบจากบนรถ หรือสายตาตกใจของคนละแวกนั้นแม้แต่นิดเดียว รู้แค่ว่าตอนนี้มีความสุข รู้แค่ว่าจะไม่ปล่อยมือจากกันไปไหนอีก

ก็รู้แค่นั้นแหละ :)

 

ถ้าพะพายคือนางฟ้า ที่ดึงเขาขึ้นมาจากนรก

แล้วกีรติคืออะไร?

นั่นเคยเป็นคำถามตลอดมา...

แต่ตอนนี้รู้แล้ว...

รู้ว่าเป็น ‘โลกทั้งใบของเขา’

โลกที่จะหายไปไม่ได้…

 

- THE END -
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: superjune ที่ 17-12-2015 00:43:34
จะบอกว่า...เราเห็นเรื่องนี้วันนี้ตอนบ่าย
เริ่มอ่านเรื่องนี้ทั้งๆที่ตอนแรกๆของเรื่องยังทำให้งงๆอยู่บ้าง
ตอนแรกที่อ่านคือไม่ได้มองเลยว่าเรื่องเริ่มลงตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
พออ่านมาได้ซักพักแล้วaonairบอกว่าหายไปห้าเดือน(ป้ะ?) ถึงเพิ่งได้สังเกตวันที่ลง
ตอนอ่านจนมาถึงตอน30+คือเริ่มกลัวแล้วว่าเรื่องจะหยุดอัพก่อนรึเปล่า อ่านไปแล้วจะค้างมั้ย
เอาตรงๆคือติดแล้วไง เริ่มกลัวความค้าง 5555

เนื้อเรื่องดำเนินได้ดีถึงแม้ว่าคนแต่งจะบอกอยู่บ่อยๆว่าเรื่องไม่ซับซ้อน เนื้อเรื่องพื้นๆ
แต่มันแสดงออกให้เห็นถึงความรักที่เริ่มขึ้นจากศูนย์ของทั้งคู่จริงๆ
ฝ่ายนึงไม่ชอบ อีกฝ่ายก็ออกแนวรังเกียจแต่ต้องการผลประโยนช์
ตอนที่น้องบอกจุดประสงค์ที่เข้าหาติบนเกาะนี่น้ำตาไหลเลย สงสารติของเค้า .///.
เนื้อเรื่องที่ว่าพื้นๆมันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของทั้งคู่ได้จนเราเชื่อจริงๆ เค้าผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะนาจา
สนุกมากๆค่ะ หลังๆมานี่เห็นบ่นว่าคนอ่านหายเราก็สังเกตนะว่าเออมันก็จริง อาจจะเพราะเรื่องหยุดไปนานด้วยล่ะมั้ง
แต่เราดีใจนะได้เจอเรื่องนี้อ่ะ มันสนุก สนุกมากจริงๆ เป็นเรื่องที่มีปมเยอะมากๆ5555
พออ่านมาถึงตอนจบแล้วรู้สึกดีมากอ่า ขอบคุณสำหรับเนื้อเรื่องดีๆนะค้า : )

ร่ายเม้นยาวมากๆ เพราะยอมรับว่าอ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เม้นเดียวจริงๆ
จะติดตามผลงานต่อไปนะเคิ้บ สัญญา

#ถึงใครจะเกลียดพี่ติยังไงแต่เราหลงรักเค้าตั้งแต่แชปแรกเลยนาจา เขิน >/////<
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-03-2016 18:18:45
 :pig4: :pig4:

เพิ่งเห็นว่ามาลงต่อแล้ว   เห็นหัวเรื่องค้างอยู่ที่ตอน 34 

พอดีแว๊บบบบ เข้ามาส่องนิยายเก่าที่ไม่ได้มาต่อนาน ๆ   เลยเห็นว่าย้ายไปห้องจบ แล้ว   :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 12-03-2016 16:52:49
เราชอบเรื่องนี้นะ อ่านสนุกมากจนต้องมาเม้นท์
เราพลาดเรื่องนี้ได้ไง ชอบทุกตัวละคร ดราม่าไม่เยอะเราโอเคมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เราหลงรักคู่ภูกับติจริงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 13-03-2016 11:58:31
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง 555 แอบอยากให้จบตอนที่ตกลงเป็นแฟนกัน ก่อนที่พี่ธรกับชุนจะมาบอกเรื่องเสี่ยจวง จะได้เป็นนิยายรักใสๆ ฟรุ้งฟริ้ง  :L2:  แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ ได้ช่วยน้องๆออกมาเนอะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 01-04-2016 17:47:34
จะบอกว่า...เราเห็นเรื่องนี้วันนี้ตอนบ่าย
เริ่มอ่านเรื่องนี้ทั้งๆที่ตอนแรกๆของเรื่องยังทำให้งงๆอยู่บ้าง
ตอนแรกที่อ่านคือไม่ได้มองเลยว่าเรื่องเริ่มลงตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
พออ่านมาได้ซักพักแล้วaonairบอกว่าหายไปห้าเดือน(ป้ะ?) ถึงเพิ่งได้สังเกตวันที่ลง
ตอนอ่านจนมาถึงตอน30+คือเริ่มกลัวแล้วว่าเรื่องจะหยุดอัพก่อนรึเปล่า อ่านไปแล้วจะค้างมั้ย
เอาตรงๆคือติดแล้วไง เริ่มกลัวความค้าง 5555

เนื้อเรื่องดำเนินได้ดีถึงแม้ว่าคนแต่งจะบอกอยู่บ่อยๆว่าเรื่องไม่ซับซ้อน เนื้อเรื่องพื้นๆ
แต่มันแสดงออกให้เห็นถึงความรักที่เริ่มขึ้นจากศูนย์ของทั้งคู่จริงๆ
ฝ่ายนึงไม่ชอบ อีกฝ่ายก็ออกแนวรังเกียจแต่ต้องการผลประโยนช์
ตอนที่น้องบอกจุดประสงค์ที่เข้าหาติบนเกาะนี่น้ำตาไหลเลย สงสารติของเค้า .///.
เนื้อเรื่องที่ว่าพื้นๆมันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของทั้งคู่ได้จนเราเชื่อจริงๆ เค้าผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะนาจา
สนุกมากๆค่ะ หลังๆมานี่เห็นบ่นว่าคนอ่านหายเราก็สังเกตนะว่าเออมันก็จริง อาจจะเพราะเรื่องหยุดไปนานด้วยล่ะมั้ง
แต่เราดีใจนะได้เจอเรื่องนี้อ่ะ มันสนุก สนุกมากจริงๆ เป็นเรื่องที่มีปมเยอะมากๆ5555
พออ่านมาถึงตอนจบแล้วรู้สึกดีมากอ่า ขอบคุณสำหรับเนื้อเรื่องดีๆนะค้า : )

ร่ายเม้นยาวมากๆ เพราะยอมรับว่าอ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เม้นเดียวจริงๆ
จะติดตามผลงานต่อไปนะเคิ้บ สัญญา

#ถึงใครจะเกลียดพี่ติยังไงแต่เราหลงรักเค้าตั้งแต่แชปแรกเลยนาจา เขิน >/////<

ขอบคุณมากกกกกกก เลยค่ะ ฮรืออ
แอร์ก็มาต่อจนจบไว้ แล้วหายไปเลย 5555555
ไม่ได้กลับเข้ามาอีก นึกว่าคงไม่มีคนอ่านแล้ว แค่มาต่อให้จบๆ ไป ฮรึก
ดีใจมากที่ได้อ่านคอมเม้นยาวๆ แบบนี้
เอาจริงๆ ไม่ได้เว่อร์นะ อ่านคอมเม้นตะเองแล้วแอร์น้ำตาคลอเลย 5555
ปกติไม่ค่อยได้รับคอมเม้นแบบจริงจังขนาดนี้มากนัก ดีใจมากเลยค่ะ
ดีใจมากที่ชอบ ดีใจมากที่บอกว่าสนุก TTT
ขอบคุณมากๆ เลย แอร์จะพยายามให้มากขึ้นในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
 :hao5:

:pig4: :pig4:

เพิ่งเห็นว่ามาลงต่อแล้ว   เห็นหัวเรื่องค้างอยู่ที่ตอน 34 

พอดีแว๊บบบบ เข้ามาส่องนิยายเก่าที่ไม่ได้มาต่อนาน ๆ   เลยเห็นว่าย้ายไปห้องจบ แล้ว   :pig4: :3123: :3123:

แอร์แก้ชื่อกระทู้ไม่ได้อ่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม 55555
เลยไม่ได้แก้ว่ามาต่อจนจบแล้ว ;w;
คือหายไปนานจริงๆ ไปซุ่มแต่งมาจนจบจนได้
ดีใจที่ยังกลับเข้ามาส่องกันอีกครั้งนะคะ
 :monkeysad:

เราชอบเรื่องนี้นะ อ่านสนุกมากจนต้องมาเม้นท์
เราพลาดเรื่องนี้ได้ไง ชอบทุกตัวละคร ดราม่าไม่เยอะเราโอเคมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เราหลงรักคู่ภูกับติจริงๆ

ฮรืออ ขอบคุณมากนะคะ ดีใจที่ชอบค่ะ
แอร์ก็ชอบทุกตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะอยู่กับมันนานมาก (เพราะดอง 5555)
ถ้ามีโอกาสในอนาคต ก็ยังแอบจับตัวละครเรื่องนี้ไปแต่งอีกเลยค่ะ
รักมาก แล้วเราชอบชื่อตัวละคร 55555555555555
 :hao7:

เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง 555 แอบอยากให้จบตอนที่ตกลงเป็นแฟนกัน ก่อนที่พี่ธรกับชุนจะมาบอกเรื่องเสี่ยจวง จะได้เป็นนิยายรักใสๆ ฟรุ้งฟริ้ง  :L2:  แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ ได้ช่วยน้องๆออกมาเนอะ

ต้องคลายปมให้หมดค่ะ 5555
จริงๆ แล้วเป็นโรคจิต แต่งฟรุ้งฟริ้ง 100% ไม่ได้
 :laugh:
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่ติดตามอ่านจนจบ <3
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 07-04-2016 00:32:13
ตอนแรกกลัวภูมาหลอกพี่ติ ตอนนี้เรื่องนี้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 07-04-2016 10:21:46
โอ้เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านเบยยย :z3: :z3: พลาดมากกก :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: palette_burgundy ที่ 07-04-2016 12:42:50
สนุกมาก คลายเครียดดีเลย ชอบครับคุณคนเขียน
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 07-04-2016 22:51:41
ตามอ่านจนจบแล้ววววว
เรื่องนี้สนุกดีค่ะ
แต่สำหรับเรายังไม่สุดอะ 555
อาจจะเป็นเพราะเราเป็นพวกมาโซหรือเปล่า 55555
แบบอยากให้ขยี้อารมณ์เวลาน้องภูกับพี่ติทะเลาะกันมาก
ยิ่งตอนรู้ว่าน้องภูหลอกใช้นะ
โอ้โห ติมันต้องเจ็บแค่ไหนคะ
หรืออาจจะเป็นเพราะเราอ่านแบบตีความว่าน้องภูเข้าหาติแบบไม่ซื่อช่วงแรก
นี่เป็นแม่ยกพี่ตินะ 55555
คือนี่สงสารน้องภูเวลาโดนติทำร้ายจริง แต่เพราะรู้ว่าคนที่รักก่อนคือพี่ติอะ น้องภูนี่หลอกใช้กันชัดๆ เข้าใจหัวอกพี่ติค่ะ
แถมน้องยังปล่อยให้พี่ธร พี่สนิทคิดไม่ซื่อมายุ่มย่ามอีก
นี่เป็นพี่ติจะไม่ด่าอย่างเดียวแล้วไล่ออกจากบ้านหรอก ต้องตบจูบก่อน 55555
แต่ก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ แก้ปมได้เร็ว ไม่ต้องทรมานใจเวลาอ่าน
เป็นกำลังใจให้งานเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 08-04-2016 16:33:51
ขอบคุณครับ ^ ^ เมนท์ไม่ออกเลย ตอนแรกที่เข้ามาไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ เพราะมันดีมากๆ ขอบคุณคนเขียนสำหรับผลงานที่ดีขนาดนี้ _/\_
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: AllStaRK ที่ 08-04-2016 21:19:39
 :z2: แง่ววววววว
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair」| UP!! บทที่ 34 (หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 10-04-2016 15:32:56
ตอนแรกกลัวภูมาหลอกพี่ติ ตอนนี้เรื่องนี้น่ารักมาก

ก็หลอกจริงๆนะคะ 5555 แต่ก็จบแบบเข้าใจกันได้ในที่สุด >w<


โอ้เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านเบยยย :z3: :z3: พลาดมากกก :o12: :o12:

หูยยย อ่านแล้วชื่นใจเลยค่ะ TT หวังว่าจะชอบน้า


สนุกมาก คลายเครียดดีเลย ชอบครับคุณคนเขียน

ขอบคุณมากเลยค่า จะพยายามแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆน้า


ตามอ่านจนจบแล้ววววว
เรื่องนี้สนุกดีค่ะ
แต่สำหรับเรายังไม่สุดอะ 555
อาจจะเป็นเพราะเราเป็นพวกมาโซหรือเปล่า 55555
แบบอยากให้ขยี้อารมณ์เวลาน้องภูกับพี่ติทะเลาะกันมาก
ยิ่งตอนรู้ว่าน้องภูหลอกใช้นะ
โอ้โห ติมันต้องเจ็บแค่ไหนคะ
หรืออาจจะเป็นเพราะเราอ่านแบบตีความว่าน้องภูเข้าหาติแบบไม่ซื่อช่วงแรก
นี่เป็นแม่ยกพี่ตินะ 55555
คือนี่สงสารน้องภูเวลาโดนติทำร้ายจริง แต่เพราะรู้ว่าคนที่รักก่อนคือพี่ติอะ น้องภูนี่หลอกใช้กันชัดๆ เข้าใจหัวอกพี่ติค่ะ
แถมน้องยังปล่อยให้พี่ธร พี่สนิทคิดไม่ซื่อมายุ่มย่ามอีก
นี่เป็นพี่ติจะไม่ด่าอย่างเดียวแล้วไล่ออกจากบ้านหรอก ต้องตบจูบก่อน 55555
แต่ก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ แก้ปมได้เร็ว ไม่ต้องทรมานใจเวลาอ่าน
เป็นกำลังใจให้งานเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ

แม่ยกพี่ติ ต้องมาเจอแม่ยกพะภูค่ะ 5555555
จริงๆ ตอนแรกก็อยากให้โหดกว่านี้ แต่นี่ทีมน้องภู ถถถ
สงสารรร เลยแบบ อะอะ ยอมง่ายเลย 55555
ยังไงต้องขอบคุณมากๆเลยนะคะ ที่ตามอ่านจนจบ TT
อาจจะยังไม่ดีเท่าไร จะพยายามให้มากขึ้นในเรื่องต่อๆ ไปน้า
 :กอด1:

ขอบคุณครับ ^ ^ เมนท์ไม่ออกเลย ตอนแรกที่เข้ามาไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ เพราะมันดีมากๆ ขอบคุณคนเขียนสำหรับผลงานที่ดีขนาดนี้ _/\_

ฮืออ ขอบคุณมากเลยค่ะ เห็นแบบนี้แล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ตอนนี้ฮึดแล้ว!  :katai4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:48:12
เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษเพิ่มเติมในรวมเล่มด้วยนะคะ
หวังว่าจะมีคนรอกันน้า ^^ อย่างช้าน่าจะได้ออกปีหน้าเลยอ่ะค่ะ
เพราะสนพ.ยุ่งมาก และเรายังแต่งไม่เสร็จ ถถถถถ
แต่ก็อยากให้ติดตามกันนะ เพราะจะได้เห็นพี่ติกับพะภูในอีกมุมมองนึงเลยค่ะ ><


(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13051486_949496755169970_2728164198765700857_n.jpg?oh=dcc1ddef960fa933b20c69608d649f0f&oe=57E68CB3)
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 10-06-2016 11:13:06
เราว่าเรื่องมันหนักเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องของเด็ก ม.ปลาย น่ะ แล้วอีกนะ น้องของแม่เรียกว่า "น้า" ไม่ใช่ "อา"

 :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 10-06-2016 22:04:04
 :serius2: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 21-06-2016 17:34:22
เราว่าเรื่องมันหนักเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องของเด็ก ม.ปลาย น่ะ แล้วอีกนะ น้องของแม่เรียกว่า "น้า" ไม่ใช่ "อา"

 :m7: :m7: :m7:

โอ้ ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่สะกิดเรื่องคำเรียก พอดีที่บ้านคนจีนเลยไม่รู้จริงๆ ผิดเองที่ไม่ได้ศึกษาให้ดีก่อน เราได้แก้ต้นฉบับใหม่แล้ว ให้ตัวละครจิว เป็นพี่ชายของแม่นะคะ และเรียกว่าลุง น่าจะถูกแล้วเนาะ ส่วนเรื่องเนื้อหาที่หนักเกินกว่าช่วงอายุของตัวละคร เราจะพยายามนำไปปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ ขอบคุณค่า >/\<
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 03-04-2017 08:51:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 03-04-2017 16:44:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 05-04-2017 21:28:19
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 05-10-2017 20:24:25
 o13
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 06-10-2017 12:56:40
อ่านรอบสองแล้ว สนุกมาก ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 01-11-2017 07:01:01
                      :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
               :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 02-11-2017 15:01:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 14-01-2018 15:50:27
ขอบคุณคร๊าบบบบบบ

สนุกมากเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 14-01-2018 22:54:52
หลงมาอ่านจนจบอีกรอบก็ยังรู้สึกดีเหมือนเดิมเลย เพิ่งเห็นที่คนเขียนตอบด้วย ขอบคุณมากๆเลยนะ ^^
หัวข้อ: Re: เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก by「aonair ( จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 09-02-2018 19:30:38
ชอบเรื่องนะ...แต่ติ :z6: กรอกคามองบนแพพ  :เฮ้อ:

ตอนจบอ่านแล้วเหมือนรีบจบ  :a5:

จบแบบตัดฉับเลย อ่านแล้วห้วน ๆ ไปหน่อย  o22

ก็โอเค  o13 :pig4: :pig4: :pig4: