พิมพ์หน้านี้ - (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Ice_Iris ที่ 10-07-2018 12:54:55

หัวข้อ: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 10-07-2018 12:54:55
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท

          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้าล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์


..................................................................................................


ขอฝากตัวด้วยขอรับ

.
.
.
.
.
#ด้วยใจภักดิ์

...นำเรื่อง...


คนเราจะรักกันนั้น อะไรคือตัวกำหนด เชื้อชาติหรือ ฐานันดรหรือ ชั้นวรรณะหรือ ฐานะหรือ ม่านประเพณีหรือ ขนบธรรมเนียมหรือ ใครเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ คนเราจะรักกันนั้นไม่ใช่ใช้ใจที่บริสุทธิ์รักกันหรอกหรือ แล้วอะไรที่บอกว่า คนสองคนไม่มีสิทธิ์จะรักกัน มันผิดหรือที่เลือกเกิดไม่ได้ มันผิดอะไรที่เกิดไม่เท่าเทียมกัน มันผิดด้วยหรือที่เป็นแค่คนต่ำต้อย แล้วผิดอะไรที่ไม่ใช่คนที่ถูกหมายหมั้นไว้แต่แรก ก็ในเมื่อ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ความรักมันห้ามกันได้ด้วยหรือ ห้ามมิให้คนสองคนรักกัน บังคับให้คนที่มิได้กันกันมารักกัน แล้วมันผิดไหมที่จะรักกัน ทั้งที่ทุกสิ่งรอบตัวบอกว่า...........

..........ความรักครั้งนี้มันผิด……….


...........มันไม่สมควรเกิด……….

.........................แล้วเรายังจะรักกันได้อีกไหม...............................


.....‘ คุณหลวงมิควรลงมาที่นี่ขอรับ ’…..

…..‘ อันใดเล่าพ่อที่ว่ามิควร ’…..



…..‘ เหตุใดพ่อจึงมินอนเคียงหมอนกับพี่เล่า ’…..

…..‘ กระผมเป็นเพียงบ่าวเท่านั้นขอรับ’…..



…..‘ ลูกยังมิอยากมีคู่หมายขอรับ ’…..

…..‘ แต่ลูกถึงวัยที่สมควรจะมีคู่ครองแล้ว ’.....



…..‘ กายแลใจของกระผม มีเพียงคุณหลวงเท่านั้น ’.....

…..‘ ใจพี่ก็มีเพียงเจ้าคนเดียว ’……



…..‘ มิว่าใครจะพูดว่าเยี่ยงไร แต่พี่ให้เจ้ารู้ว่า พี่รักเจ้าเสมอ ’.....
.....‘ แต่ความรักของเรามันมิควรจะเกิด ’…..


…..‘ เขาเป็นคนของลูก ไยมิให้ลูกลงโทษเขาเอง ’…..

…..‘ มันก็แค่ขี้ข้า ใครจะลงโทษก็เหมือนกัน ’…..



…..‘ บ่าวขออภัย บ่าวนั้นบุญน้อยเกินไป ’…..

…..‘ หากแม้นมิได้เคียงข้างเจ้า พี่จะมิรักใครอีก ’.....



…..‘ รอพี่นะคนดี ’.....

…..‘ กระผมรอคุณหลวงอยู่เสมอ ’.....


ความรักที่ต้องก้าวผ่านหลากปัญหา

ความรักที่ถูกขัดขวาง




..........แล้วรักครั้งนี้จะเป็นเช่นไร..........



..........ด้วยใจภักดิ์……….




..........แล้วพบกันขอรับ..........


หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 10-07-2018 13:42:10
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 10-07-2018 15:35:44

 ขอบคุณขอรับ @winndy


หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 10-07-2018 23:14:01
รอ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-07-2018 08:17:32


ขอบคุณขอรับ @แมวดำ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-07-2018 09:31:03
รอติดตามต่อคราบบบ เอา +1 ไปก่อนเรยยย :a2:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-07-2018 12:01:34


ขอบคุณขอรับ @กาแฟมั้ยฮะจ้าว

บวก +1 เช่นกันขอรับ (ไม่โกงน้า)
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 1 (19/7/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 19-07-2018 14:19:18

#ด้วยใจภักดิ์

ตอนที่ 1
ทิวาสวัสดิ์ขอรับ นำตอนแรกมาส่งขอรับ รบกวนติ ชมด้วยขอรับ
.....สู่การเป็นทาส.....
ก่อนเข้าเรื่อง ฟิคเรื่องนี้มิได้มีเจตนาดูหมิ่นใดๆ แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยขอรับ
รศ. 100 ( พ.ศ. 2424 ) สยามประเทศ ในตอนนี้นับว่าเป็นปีที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การกสิกรรม ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน อยู่อย่างสงบ สยามประเทศเปิดการค้าขายกับนานาประเทศ จากแรกเริ่มที่มีเพียงเพื่อนบ้านใกล้เคียง เมื่อเปิดการค้าก็มีสำเภาใหญ่น้อย ขนสินค้าเข้ามาแลกเปลี่ยน อีกสิ่งที่เข้ามาพร้อมการค้านั่นก็คือ พ่อค้า วานิช กุลีแบกหาม ที่ติดเรือสำเภาเข้ามาทำงานหาเลียงชีพ
สำเภาจีนเป็นเรือสินค้าที่เข้ามาทำการแลกเปลี่ยน ซื้อ ขาย กับสยามมาช้านาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชุมชนชาวจีนจะมีมากในสยามประเทศ แม้ว่าชาวจีนจะเข้ามาทำการค้ากับสยามประเทศ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เข้ามาเพื่อตั้งรกราก ประกอบอาชีพ มิได้มาเพื่อค้าขายแต่เพียงอย่างเดียว
ในเพิงพักหลังเล็กเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบ้าน แต่กลับมีผู้อยู่อาศัยเกือบสิบคน ทั้งเด็กเล็กๆที่ยังแบเบาะ เด็กเล็กที่โตขึ้นมาอีกนิดหน่อย เด็กที่พอเดินได้เตาะแตะ เด็กโตที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เด็กโตที่พอจะอุ้มน้องน้อยได้ เด็กโตที่พอจะช่วยเหลืองานบ้านได้ และที่โตสุดน่าจะไม่ 14 ปี
“ อาตี๋ใหญ่ อั๊วอยากให้ลื้อช่วยอั๊วกับแม่ลื้อจะได้ไหม ”
เสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาในเพิงพักหลังเล็ก เอ่ยปากกับเด็กน้อยที่ดูโตสุดในบรรดาเด็กๆที่อยู่ในเพิงพัก
“ อาปามีอะไรให้กระผมช่วยหรือขอรับ ”
เด็กน้อยตัวผอม ผิวขาว แต่คล้ำแดด วางผ้าห่มผืนเล็กบนตัวน้องน้อย ที่ตนเห่กล่อมจนหลับ ก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นบิดา
“ ตี๋ใหญ่ ลื้อรู้ใช่ไหมว่า อีกไม่นานอาพลู แม่ลื้อก็จะคลอดน้องลื้อที่อยู่ในท้องอี อีกคน ”
ผู้เป็นบิดาเริ่มเกริ่นเรื่อง เด็กน้อยที่นั่งฟังก็พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่บิดากำลังพูดถึง ว่าครอบครัวของตนกำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตที่จะลืมตาดูโลกในไม่ช้า ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยต่อ
“ อั๊วก็ไม่อยากจะทำแบบนี้ แม่ลื้อเองก็ค้าน แต่ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ว่า บ้านเรามีอัฐไม่พอที่จะเลี้ยงลูกๆ ได้ทุกคน เฮ้อ.......”
ผู้เป็นพ่อพูดความในใจ ก่อนจะถอนหายใจยาว เหมือนต้องใช้ความพยายาม ข่มความลำบากใจอย่างมากในการพูดในครั้งนี้ แต่คนเป็นลูกก็อดทนรอพ่อพูดต่อ
“ อั๊วอยากจะขอให้ลื้อขายตัว อั๊วก็ไม่อยากจะทำแต่....... ”
“ กระผมเข้าใจขอรับอาปา อาปาไม่ต้องกังวลใจ อย่างน้อยถ้าอาปาพากระผมไปขายตัว บ้านเราก็น่าจะพอมีอัฐเพิ่มอีกสักนิด ”
เด็กชายเอ่ยขัดบิดา เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของผู้เป็นพ่อ เขาเข้าใจฐานะของบ้านตนเองดี ตัวเขาเองนั้นยังมิได้โตมากพอจะหาอัฐได้ ถึงแม้อายุจะพอจะทำงานได้แล้วก็ตาม แต่ด้วยร่างกายของเขานั้นเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่มาก เนื่องจากการกินอยู่ไม่ได้สมบูรณ์มากนัก เมื่อออกไปขอทำงานแลกเบี้ย อัฐ ก็ไม่มีนายเงินอยากจะเรียกใช้ เขาจึงทำได้เพียงช่วยแม่เลี้ยงน้องๆ และปลูกข้าว ปลูกผัก หาปลา ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ก็เท่านั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยขอออกไปช่วยพ่อ ซึ่งเป็นกุลีอยู่ที่เรือสำเภา แต่เมื่อนายเงินมาเห็นเข้า ก็ไล่ออกมา เพราะเห็นว่าตัวเขาเล็ก ไม่คุ้มกับเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ ทำให้เบี้ยที่หาได้มาจากบิดาเพียงคนเดียว ซึ่งมันก็ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดู 9 ชีวิต และ อีกไม่กี่เพลา น้องเล็กในท้องแม่ก็คงจะคลอดออกมาอีก 1 คน
“ อั๊วไม่อยากทำเลยอาตี๋ อั๊วคงเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ ”
“ กระผมมิเป็นใดดอกขอรับอาปา ”
เด็กชายเอ่ยปลอบใจบิดา ที่สีหน้าเศร้าหมอง และลำบากใจกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจในครานี้ แต่ถ้าการที่ตนเองต้องขายตัวออกไปแล้วนั้น ทำให้อาปา แม่ และน้องๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้เพียงสักนิดตนเองก็พอใจแล้ว
“ อาปาจะพากระผมไปที่เรือนใดฤาขอรับ ”
เด็กชายถามพ่อของตน ตนเองเผื่อใจไว้แล้ว และก็คิดเอาไว้บ้างเช่นกันว่า หากตนเองสามารถหาเบี้ย อัฐได้ ไม่ว่าทางใด ตนเองก็อยากจะทำ และในครั้งนี้ ที่พ่อเอ่ยปากขอตนนั้น ไม่ได้เหนือจากที่ตนเองเคยคิดเอาไว้มากเท่าใดนัก เพราะเขาคิดเอาไว้ว่า หากแม่คลอดน้อง เขาก็จะช่วยแม่ดูแลน้องอีกสักระยะ ซึ่งตอนนั้นตนเองก็น่าจะพอขายตนได้ ตนก็อยากจะขายตัวเพื่อนำเงินมาให้อาปากับแม่
“ ลื้อไม่โกรธอั๊วนะอาตี๋ใหญ่ ”
ผู้เป็นพ่อยังไม่คลายใจ แม้ว่าลูกชายจะมิได้โวยวาย หรือต่อต้าน คนเป็นพ่อ แม่ หากเลือกได้ก็มิอยากจะขายลูกตนเองหรอก
“ กระผมจะโกรธอาปาทำไมกัน นี่มันก็เป็นสิ่งที่กระผมคิดไว้บ้างเหมือนกันว่า เมื่อแม่คลอดน้องสักระยะ กระผมก็จะขอให้อาปาพาไปหานายเงินขอรับ ”
เด็กชายบอกให้พ่อตนคลายใจ ว่ามิได้บังคับขืนใจตนเองแต่อย่างใด ตนเองนั้นเต็มใจที่จะทำจริงๆ
“ อั๊วบอกลื้อไว้ก่อน เดี๋ยวอาพลูมาอีก็ร้องไห้อีก อั๊วก็ไม่อยากจะคุยตอนอีอยู่ด้วย ลื้อเข้าใจใช่ไหม ”
พ่อเด็กชายว่า ตนมาคุยกับลูกชายคนโตเพียงลำพัง ไม่ได้บอกภรรยา แม้ว่าจะรู้กันอยู่ก่อนแล้ว แต่หากต้องคุยกันต่อหน้าคนเป็นแม่ มันก็ยากที่แม่จะอยากให้ลูกไป แม้จะเข้าใจก็ตาม
“ อั๊วจะพาลื้อไปเรือนพระยาทิพยโอสถ ท่านพระยาแลเป็นคนดี มีเมตตา ชาวบ้านเขาคุยกันว่า ท่านช่วยเหลือคนยาก ใครเจ็บป่วยท่านก็ให้เบี้ย ให้ยา ท่านน่าจะช่วยเหลือ ”
“ แล้วอาปาจะไปเมื่อใดขอรับ ”
เด็กชายเอ่ยถาม เมื่อผู้เป็นพ่อพูดจบ เขาไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้มากนัก เพราะวันๆหนึ่งก็อยู่แค่ทุ่งนา ริมหนอง หาผัก หาปลา มิได้รู้ว่าบ้านไหน เรือนใด ดีหรือร้าย
“ คงเป็นวันรุ่งนั่นล่ะ แต่ก็ต้องหลังจากอาพลูอีออกไปนาเสียก่อน อั๊วไม่อยากให้อีรู้ตอนนี้ ถึงอีจะรู้บ้าง แต่ก็ใช่จะเห็นด้วย ลื้อก็เอาน้องเข้านอนแล้ว ออกมาเจออั๊วที่ชายทุ่งแล้วกัน ”
“ กระผมเข้าใจแล้วขอรับ ”
เด็กชายตอบรับ แม้จะเผื่อใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ นี่เขาจะไม่ได้ช่วยแม่เลี้ยงเจ้าตัวน้อยๆ พวกนั้นอีกแล้ว อีกทั้งเจ้าตัวที่อยู่ในครรภ์ของแม่ เขาคงไม่ได้เห็นว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย แต่เขาก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมาย อย่างน้อยๆ พรุ่งนี้อาปาก็จะได้เบี้ย อัฐ น้องๆก็จะได้กินอิ่มมากกกว่าเดิม
เรือนไทยหลังงามที่อยู่เบื้องหน้า เป็นที่น่าตื่นตาสำหรับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเจ้าตัวมิเคยได้ไปไหน ที่เคยไปก็มีแค่ริมทุ่ง ท้องนา ลำคลอง หรืออย่างมากก็ท่าเรือที่ไปช่วยงานผู้เป็นพ่อเท่านั้น มิได้เคยเข้ามากลางเมืองเลยสักครั้ง ทุกสิ่งอย่างที่ผ่านตาล้วนแล้วแต่เป็นของแปลกตาสำหรับตนเองเป็นอย่างมาก
ชายชาวจีนพาลูกชายคนโตเดินมาจนถึงเขตเรือนใหญ่เบื้องหน้า ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่หน้าบานประตูรั้วจึงเอ่ยถามความตามหน้าที่
“ เจ้าสองคนจะไปไหนกัน ”
“ อั๊ว เอ่อ กระผมมาพบท่านพระยาขอรับ ”
ชายจีนกล่าวตอบตามความเคยชิน ก่อนจะรีบเปลี่ยนคำให้ดูสุภาพกว่าเดิม
“ มีการอันใดต้องพบท่านพระยา ท่านพระยากำลังพักผ่อนอยู่ มิควรจะกวนใจ ”
ชายร่างใหญ่ผู้ดูแลประตูบอกเป็นกลายๆ ว่าไม่อนุญาตให้เข้ามาในเขตเรือนหลังงามด้านหลังที่ตนเองยืนยามอยู่
“ อ่า...กระผมจะพาลูกชายมาฝากตัวขอรับ ช่วยเมตตาพวกเราเถิดขอรับ ”
ชายชายจีน และเด็กชายยกมือไหว้ชายหนุ่มเบื้องหน้า อย่างไงเสียวันนี้เขามาแล้วจะให้เสียทีมิได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้พบใครบ้าง
“ เอาเถิดๆ ไม่ต้องไหว้ข้าดอก ข้าก็เป็นขี้ข้าเขาเหมือนกัน ข้าจะไปเรียนท่านให้ แต่ความว่าอย่างไร ก็แล้วแต่บุญ กรรมของเอ็งแล้ว ”
“ ขอบคุณขอรับพี่ชาย ”
เด็กชายยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้งก่อนที่ชายหนุ่มร่างใหญ่เดินหายเข้าไปในรั้วเรือนหลังงาม เด็กชายมองตามหลังไปอย่างมีความหวัง
ผ่านไปพักใหญ่ จนคนที่คอยเกือบจะท้อ ชายหนุ่มคนเดิมที่เดินไปแจ้งความก็กลับออกมา พร้อมบอกให้เพื่อนของคนที่ยืนขวางประตูเปิดทางให้ทั้งคู่เข้ามา เด็กชายและบิดาเดินตามชายคนเดิมมาจนถึงศาลาขนาดย่อม ข้างเรือนใหญ่ เด็กชายเหลียวมองรอบตัวอย่างสนใจ
“ กราบท่านพระยากับคุณหญิงท่านเสียพวกเอ็ง ”
ชายหนุ่มที่นำทางบอกกับสองพ่อลูก ที่ดูเหมือนจะยังมิรู้ความการเข้าหาผู้ใหญ่ เด็กชายตัวเล็กนั่นมิเท่าใด ออกจะเรียบร้อยอยู่มาก แต่ชายกลางคนดูจะไม่คุ้นชินมากนัก
“ มิเป็นใดดอกไอ้ผิน ข้ามิถือความ แล้วมาหาข้านี่มีอะไรรึ”
ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเอ่ยขึ้น ชายกลางคนท่าทางมีสง่านั่งอยู่ฟูก ด้านหน้ามีตั่งตัวเล็กวางพานหมากพลู ข้างขวาเป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุ แต่น้อยกว่าเจ้าของเรือน นุ่งโจงห่มสไบสีเหลืองไข่ ดวงหน้างดงาม แม้จะดูมีอายุแล้วก็ตาม ส่วนด้านซ้ายเป็นหญิงสาวที่อายุพอสมควร แต่งเติมหน้าด้วยชาดสีแดง นุ่งโจง ห่มสไบสีแดงเลือดนก แม้จะดูงาม แต่ก็มิเท่าคนแรก
“ อั๊ว....เอ่อ กระผมเอาลูกชายมาฝากตัวขอรับท่าน ”
พ่อของเด็กชายแจ้งความต้องการ พร้อมกับเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ที่ตนกำลังสนทนาด้วยเห็นบุตรชายที่พูดถึง
“ อย่างนั้นรึ อายุเท่าใดกัน ดูยังเล็กนัก ”
“ ย่าง 14 แล้วขอรับ อาตี๋ใหญ่อีเก่งนะขอรับ เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้ แต่ทำทำงานได้หลายอย่าง จะทำนา หาปลา หรือเก็บผัก หุงหาอาหาร อีก็พอทำได้ขอรับ อีไม่เกี่ยงงาน ไม่เกียจคร้านดอกขอรับ ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านพระยาเอ่ยถาม ด้วยความที่กลัวว่าท่านจะมิรับบุตรชายของตน ชาวชายจีนจึงรีบบอกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้
ท่านพระยาที่ได้ฟังยิ่งสิ่งที่ชายตรงหน้าพูด ก็มิได้ว่ากระไร เพียงแค่เอ่ยถามต่อถึงสิ่งที่คนทั้งคู่เบื้องหน้ายังมิได้บอกแก่ตน อาจเป็นเพราะกลัว หรือจะเกรง ก็มิทราบได้
“ ไม่ต้องรีบพูดไปดอก ข้ายังมิว่ากระไร ข้าแค่อยากรู้อายุ เห็นตัวเล็กนัก ว่าแต่เจ้ากับลูกเจ้าชื่อว่ากระไรกัน ยังมิบอกชื่อข้า แต่จะยกเขาให้ข้า เช่นนี้คงไม่งามกระมัง ”
คนเป็นพ่อเมื่อฟังคำของท่านพระยาจบก็สะดุ้งตกใจ เพราะจริงอย่างท่านว่า ตนกับบุตรชายยังมิได้บอกชื่อเรียกขาน เช่นนี้ใครเขาจะเอา มาถึงก็จะขอความช่วยเหลือ แต่มิบอกว่าตนเป็นใคร
“ อั๊ว...เอ่อ กระผมชื่อเล้งขอรับ เป็นกุลีจีนอยู่ที่ท่าน้ำในตลาด ส่วนอาตี๋นี่เป็นลุกชายของกระผมขอรับ กระผมเรียกอีว่าอาตี๋ใหญ่ขอรับ ”
ท่านพระยาพยักหน้ารับคำ ไม่ถือสากับท่าทางลุกลี้ ลุกลน ของชายจีน แต่เมื่อมองไปยังลุกชายที่ชายจีนพูดถึง เด็กชายแม้จะตัวเล็ก แต่นั่งอย่างสงบ ไม่ได้มีอาการตื่นตระหนก คงเพราะได้รับการสั่งสอนเรื่องกิริยามารยาทมาบ้าง
“ เอ็งจะเอาลูกมาขายก็พูดออกมาให้สิ้นความ ไยต้องอ้อมค้อม แหมเอาลูกมาฝากตัว เรือนท่านพระยามิใช่โรงทาน... ”
“ แม่แย้ม พูดกระไรเยี่ยงนี้ ”
หญิงสาวด้านซ้ายมือของท่านพระยาว่าขึ้น แววตาที่มองคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ฉายแววเหยียดเย้ย ทั้งคำพูดก็ถากถางมิแพ้กัน แต่ก่อนจะได้กล่าวไปมากกว่านี้ หญิงสาวอีกคนก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ พี่หญิงก็เห็นอยู่ว่ามันจะลูกมาขายให้คุณพี่ เหตุใดต้องมากความ ”
หญิงสาวด้านซ้ายว่าขึ้นอย่างไม่พอใจนักที่โดนตำหนิ แต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไรมากไปกว่าเดิม ท่านพระยาก็ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ อายุย่าง 14 แล้วรึ เอาเถอะๆ อาเล้ง ข้าตกลงจะรับไว้..... ”
“ คุณพี่เรือนเรามีบ่าวไพร่ตั้งมากมาย จะรับมาให้เปลืองข้าว เปลืองอัฐอีกทำไมเจ้าคะ ”
“ เอาน่าแม่แย้ม เรือนเรามีบ่าวมากก็จริงอยู่ จะเพิ่มมาอีกสักคน คงเปลืองขึ้นเท่าใดดอก อีกอย่างดูหน่วยก้านแล้ว ข้าเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับเราได้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร่เล่าแม่พิม ”
ท่านพระยาคุยกับนายเล้ง คุณหญิงแย้มดูจะไม่ชอบใจนักจึงขัดขึ้น แต่ท่านพระยาก็ตกลงใจจะรับไว้แล้ว แต่ท่านก็ยังหันมาถามคุณหญิงด้านขวาด้วยเช่นกัน
“ น้องคิดว่า รับไว้ก็เหมาะเจ้าค่ะ ดูท่าทางจะเรียบร้อย ว่านอน สอนง่ายอยู่ อีกอย่าง น้องคิดว่ารับมาเป็นบ่าวรับใช้ของพ่อเต้ก็คงดี เพราะบ่าวในเรือนเราก็มีแต่อายุห่างกับพ่อเต้จนเกินไป มิสะดวกนัก เด็กน้อยนี่อายุก็ไม่ห่างมากนัก น้องเห็นด้วยกับคุณพี่เจ้าค่ะ แม่แย้มเล่า คราก่อนยังบ่นอยู่มิใช่รึว่าอยากให้พ่อเต้มีบ่าวรับใช้ส่วนตัว ”
คุณหญิงพิมตอบท่านพระยา เธอเองเห็นด้วยกับผู้เป็นสามี ที่จะรับเด็กน้อยแววตาซื่อๆ คนนี้ไว้ เพราะดูจากกิริยาท่าทางแล้ว คงจะมิได้กระโดก กระเดกเยี่ยงเด็กวัยเดียวกัน ให้หัวหน้าบ่าวในเรือนสอนเพิ่มอีกสักหน่อยก็คงจะเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัวของบุตรชายของท่านพระยาได้ แต่คุณหญิงเองก็ยังให้เกียรติคุณหญิงแย้ม ผู้ซึ่งเป็นมารดาของบุตรชายอยู่
“ ถ้าคุณพี่เห็นว่าสมควร น้องก็มิมีอันใดจะขัดเจ้าค่ะ ”
คุณหญิงแย้มกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็มีส่วนในการตัดสินใจครั้งนี้ และเธอก็ต้องการหาบ่าวส่วนตัวให้บุตรชายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะอย่างนั้นก็ใช่จะเสียเรื่องไปทั้งหมด
“ อย่างนั้นก็ดี ข้าตกลงรับเจ้าตี๋นี่ไว้ เรียกว่าตี๋ได้ใช่ไหม ไอ้ขำ เอ็งไปดูสิว่าพ่อเต้อยู่ที่ใด หากพบแล้วก็บอกพ่อเต้ว่าข้าเรียกหา ส่วนเอ็งนายเล้ง เอ็งตามไอ้มั่นไป เรื่องค่าตัวทาสข้าให้มันเป็นคนจัดการ ”
ท่านพระยาพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่าจบเรื่อง ก่อนจะสั่งบ่าวที่นั่งอยู่คนหนึ่งไปตามบุตรชาย และสั่งให้นายมั่นซึ่งเป็นหัวหน้าทาสชาย ซึ่งตนเองเป็นคนให้จัดการเรื่อง เบี้ย อัฐ ค่าตัวของทาสที่รับเข้ามาใหม่
“ ขอบคุณขอรับท่านพระยา ขอบคุณขอรับ อาตี๋ใหญ่ อยู่บ้านท่านก็ทำตัวให้ท่านเอ็นดู อย่าเกียจคร้าน หากมีอัฐเมื่อใด อั๊วจะมาไถ่ตัวลื้อ ”
นายเล้งสั่งสอนลูกชายอีกครั้ง เด็กชายกอดผู้เป็นพ่อ น้ำตาหยดใสๆ ไหลรินเงียบๆ เป็นภาพที่สะเทือนใจคนมองไม่น้อย แต่เมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับ
“ กระผมจะตั้งใจทำงานมิให้ท่านลำบากใจขอรับอาปา กระผมฝากแม่กับน้องๆด้วยนะขอรับ ”
เด็กชายเอ่ยฝากน้องๆ และมารดากับพ่ออีกครั้ง ก่อนที่นายมั่นจะพานายเล้งเดินออกไป ซึ่งเด็กชายก็มองตามหลังบิดาจนลับสายตา
“ เจ้าคุณพ่อเรียกหาลูกหรือขอรับ ”
ผู้เดินเข้ามาในศาลาเป็นเด็กหนุ่ม นุ่งโจง สวมเสื้อแขนกระบอก เอ่ยถามผู้เป็นพ่อหลังจากเข้ามานั่งในศาลาเรียบร้อยแล้ว
“ ใช่แล้วพ่อเต้ พ่อเห็นว่าเจ้าจักเข้ารับราชการ ก็น่าจะมีบ่าวรับใช้ส่วนตัว คราก่อนเจ้าบอกพ่อว่า บ่าวที่มีอยู่อายุห่างกับลูกเกิน พอเหมาะ พอดีว่าวันนี้มีกุลีจีนพาลูกมาฝาก พ่อเห็นว่าอายุมันไม่ห่างลูกมากนัก จึงอยากมันคอยรับใช้ลูก ลูกเห็นเป็นประการใด ”
ท่านพระยาเอ่ยถามบุตรชายคนโต ซึ่งคราหนึ่งตนเคยให้บ่าวชายคอยช่วยงานบุตรชาย ที่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้งาน แต่บุตรของตนนั้นไม่ขอรับจากเหตุผลที่ว่า บ่าวที่ให้ไปติดตามรับใช้นั้นอายุห่างจากตนเองเกินไป
“ หากเจ้าคุณพ่อเห็นว่าเหมาะ ลูกก็ไม่ขัดข้องขอรับ ลูกจะรับไว้ตามที่เจ้าคุณพ่อเห็นสมควร หากแต่เมื่อใดที่ลูกรู้สึกว่ามันไม่สามารถช่วยงานลูกได้ ลูกก็ขอคืนบ่าวผผู้นั้นกลับไปนะขอรับ ”
คุณเต้เหลือบมองบ่าวที่เจ้าคุณพ่อพูดถึง เด็กชายตัวเล็ก ผิวคล้ำแดด นุ่งเตี่ยวสีซีดผืนเดียว นั่งก้มหมอบอยู่กับพื้น ก่อนตอบรับความหวังดีของเจ้าคุณพ่อ แม้ว่าตัวเองนั้นมิได้ต้องการจะมีบ่าวรับใช้ส่วนตัว เพราะมิอยากให้ใครมาวุ่นวาย ด้วยนิสัยรักความเป็นส่วนตัว แต่ก็มิอาจจะขัดความหวังดีของเจ้าคุณพ่อ แลรวมไปถึงคุณหญิงแม่ที่เคยเปรยๆ เรื่องนี้มาก่อนหน้า จึงแบ่งรับ แบ่งสู้ไปก่อน ให้ผ่านไปสักพักค่อยขอคืนตัวบ่าวคนนี้กลับไปให้เรือนใหญ่
“ เอาเถิดพ่อเต้ หากต่อไปลูกคิดว่า ไอ้บ่าวคนนี้มันไม่ดี ลูกจะคืนเรือนใหญ่พ่อก็มิขัด แค่พ่อ แม่โหญ่ แลแม่เล็ก ก็อยากให้ลูกมีบ่าวรับใช้ คอยช่วยงานบ้าง ”
ท่านพระยาทราบดีว่า บุตรชายมิได้ชอบให้มีบ่าวรับใช้ใกล้ชิด เพราะรักความเป็นส่วนตัว แต่เพราะคุณหญิงแย้มเอ่ยขอ อีกครั้งคุณญิงพิมก็เห็นด้วย ที่บุตรชายคนโต ซึ่งเริ่มเรียนรู้งานในกรม ควรจะมีบ่าวไว้รับใช้
“ แล้วมันชื่อกระไรรึ เจ้าคุณพ่อ เจ้าเองก็เช่นกันนั่งก้มหน้า ก้มตา ข้าจะเห็นได้อย่างไร ”
คุณเต้ถามชื่อของบ่าวคนใหม่ที่เจ้าคุณพ่อยกให้ ก่อนจะหันมาดุเด็กชาที่นั่งหมอบก้มหน้า ไม่กล้าสู้สายตาอยู่ที่พื้น ทำให้เด็กชายสะดุ้ง รีบเงยหน้าขึ้นตอบคำถามนั้นอย่างตกใจ
“ กระผมชื่อตี๋ใหญ่ขอรับ........ ”
******************************************

พี่เต้ และน้องตี๋ได้เจอกันแล้วนะขอรับ แม้ว่าจะยังมิได้คุยกันตรงๆ ยังไม่ได้มองหน้ากันเต็มตา เนื่องจากน้องตี๋นั่งก้มหน้า ไม่กล้าสู้สายตาพี่เต้ แต่ตอนต่อไป คงได้ใกล้ชิดกันแล้ว คงได้มองกันแบบ ตามองตา แล้วพี่เต้จะหาทางส่งน้องคืนเรือนใหญ่ หรือจะเก็บน้องไว้ข้างตัวกันแน่ รบกวนติดตามตอนต่อไปขอรับ
********************************************
อธิบายเพิ่มหลังฉาก
ตัวละครในตอน
1. นายเล้ง กุลีจีน ชายชาวจีนที่อพยพมาพึ่งพระเมตตาในสยามประเทศ แต่งงานกับหญิงไทย มีบุตร – ธิดา 8 คน รวมคนที่ยังอยู่ในครรภ์
2. นางพลู (มาแต่ชื่อ) หญิงไทยที่แต่งงานกับนายเล้ง เป็นแม่บ้าน แม่เรือนเฉกเช่นหญิงไหย แม้ไม่อยากจะให้สามีเอาลูกชายไปขาย แต่ก็มิอาจขัดได้
3. พระยาทิพยโอสถ นายเงินที่นายเล้งนำบุตรชายมาขาย ขุนนางดูแลเรื่องยา มีความรู้ด้านยาสมุนไพร รวมด้านการรักษาพยาบาล เนื่องด้วยสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มีภรรยาหลายคน แต่ก็รักและเกรงใจคุณหญิงพิมอยู่มาก
4. คุณหญิงพิม ภรรยาหลวง เป็นคนใจดี มีเมตตาต่อบ่าวไพร่ มีคุณธรรม แม้มิได้อยากให้สามีมีภรรยาน้อย แต่ก็มิอาจจะขัดได้ เนื่องจากตนเองไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก เคยตั้งครรภ์ แต่แท้งเสียก่อน เนื่องจาก อาการเจ็บป่วย จนไม่สามารถมีบุตรได้อีก จึงรักบุตร – ธิดา ของสามีหุกคนเหมือนเช่นบุตรของตน โดยเฉพาะบุตรชายตนโตของท่านพระยา
5. คุณหญิงแย้ม ภรรยาคนที่สองของพระยาทิพยโอสถ บุตรสาวคหบดีที่ถูกผู้เป็นบิดายกให้ตกแต่งเข้าเรือนพระยาทิพยโอสถ เพื่อยกระดับตนเอง และขยายพื้นที่ค้าขาย คุณหญิงแย้มเป็นมารดาของบุตรชายตนโตของท่านพระยา และเป็นอีกคนที่มีอำนาจรองจากคุณหญิงแย้ม เป็นคนที่เหยียดคนที่ด้อยกว่า แม้ว่าภรรยาคนอื่นๆ จะมิชอบใจคุณหญิงแย้ม แต่ก็มิอาจสู้อำนาจของคุณหญิงแย้มได้
6. อาตี๋ใหญ่ หรือตี๋ บุตรชายคนโตของนายเล้ง ถูกพ่อนำมาขายตัวเป็นทาส แม้จะมิได้ขัดขืน และยอมรับต่อสิ่งที่เป็น เพราะอยากให้แม่และน้องๆ ได้กินอิ่ม เด็กน้อยเรียบร้อย เนื่องจากจากอยู่กับผู้เป็นแม่ และเลี้ยงน้องๆ ใจเย็น อ่อนโอน แต่ก็เข้มแข็ง
7. คุณเต้ บุตรชายคนโตของท่านพระยาทิพยโอสถ และคุณหญิงแย้ม รักสันโดด ตวามเป็นส่วนตัว แต่ดูโตเกินอายุ เนื่องจากเป็นพี่ชายคนโต เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานด้านการแพทย์ และพยาบาล เป็นคนสุขุม มีเหตุผล เป็นที่รักของบ่าวไพร่ นิสัยนั้นต่างจากผู้เป็นมารดาเป็นอย่างมาก หากไม่มีใครรู้มาก่อน คงคิดว่าคุณเต้เป็นบุตรชายของคุณหญิงพิม กับท่านพระยามากกว่าจะเป็นคุณหญิงแย้ม
************************************************
ตัวอย่างตอน แรกพบ สบตา
‘ เหตุใดคุณเต้ต้องจ้องมองบ่าวขนาดนั้นขอรับ ’
‘ หากข้าไม่ดูใกล้ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เอ็งกำลังทำนั้น ถูกใจข้าฤาไม่ ’
‘ ตี๋ ข้าอยากไปเดินเล่น เอ็งไปเดินเล่นเพื่อนข้าได้ฤาไม่ ’
‘ ตี๋เอ็งเห็นพระจันทร์นั่นไหม จันทร์ว่างาม แต่คนที่อยู่ข้างข้าก็งามไม่แพ้จันทร์ ’
.....................ด้วยใจภักดิ์.......................
…..Mariner_IX….
ปัจฉิมลิขิต
ดูเหมือนคุณเต้จะไม่อยากได้น้องตี๋ มีแอบคิดในใจหาวิธีไล่กลับ แต่ต้องรอดูต่อไปขอรับ
รบกวนเข้ามาชมด้วยขอรับ

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 2 (28/9/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 28-09-2018 17:44:56
..........แรกพบ สบตา..........

 (ตอนที่ 2)

   คุณเต้ บุตรชายคนโตของท่านพระยาทิพยโอสถ กับคุณหญิงแย้ม อายุย่าง 18 ปี กำลังศึกษางานด้านการแพทย์ กับหมอชาวต่างชาติ ตัวเขาเองชอบความสันโดษ จึงขอเจ้าคุณพ่อย้ายออกมาอยู่ที่เรือนริมน้ำ ซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กแยกออกจากเรือนใหญ่ แต่ถึงแม้ว่าเจ้าคุณพ่อ แม่ใหญ่ แม่เล็ก จะยอมให้เขาย้ายออกมาคนเดียว แต่ก็อยากให้เขามีบ่าวไว้เรียกใช้ แต่ด้วยความที่ต้องการจะอยู่คนเดียว จึงมิยอมรับใครมาเป็นบ่าวประจำเรือน

   หลายครั้งที่คุณหญิงแย้ม พยายามจะส่งบ่าวของตนเองมาให้บุตรชาย แต่ก็โดนคุณเต้ส่งคืนเสียทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป สุดท้ายคุณหญิงแย้มต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณหญิงพิม แม้ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกชายลำบากที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีบ่าวไว้เรียกใช้ คุณหญิงพิมก็เห็นดีด้วยว่าอย่างน้อย คุณเต้ก็น่าจะมีบ่าวไว้เรียกใช้บ้าง สุดท้ายก็มาจบที่ท่านพระยา แต่ก็โดนคุณเต้ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า บ่าวที่ส่งมานั้นอายุห่างจากตนมากเกินไป

   “ กระผมชื่อตี๋ใหญ่ขอรับ หรือจะเรียกว่าตี๋ก็ได้ขอรับ ”

   เด็กชายลูกครึ่งจีนบอกชื่อของตนกับนายคนใหม่ ที่ตนจะต้องไปรับใช้ เท่าที่ฟังเมื่อครู่ คุณเต้ผู้ซึ่งจะเป็นนายของตนนั้น ดูจะไม่อยากรับบ่าวรับใช้เท่าใดนัก แต่ตนก็จะทำหน้าที่ของตนให้ดี ให้สมกับที่ได้รับความไว้ใจ

   “ มันชื่อตี๋ พ่อเรียกลูกมาบอกไว้ก่อน แต่ก่อนที่มันจะไปรับใช้ลูก พ่อจะให้ไอ้มั่นมันดูแล สั่งสอนสักเพลาหนึ่งก่อน มันจะได้ไม่ไปทำอะไรให้ขัดตาลูก ”

   “ ท่านพ่อเห็นว่ากระไรลูกก็มิขัดดอกขอรับ ให้เจ้ามั่นบอกเรื่องที่ควร หรือไม่ควร ลูกไม่อยากให้มันไม่รู้ความ ว่าลูกไม่ชอบสิ่งใด เย็นนี้ก็ให้นายมั่นพามันไปที่เรือนริมน้ำแล้วกันขอรับท่านพ่อ ”

   คุณเต้ตอบบิดา เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อย เมื่อได้สบตา แววตาซื่อๆ ยอมรับในชะตาที่ถูกขาย แต่ก็แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น กริยาที่นั่งอย่างสงบผิดกับลูกเจ็ก ลูกจีนที่เขาเคยเห็น ดวงตากลมใส ไร้แววอยากได้อยากมี ทะเยอทะยาน ต่างจากคนที่คุณหญิงแย้มส่งมา แววตาของคนที่ยอมรับพร้อมจะเชื่อฟัง ดูคล้ายจะอ่อนแอ แต่ก็แลดูเข้มแข็งในแบบของตัวเอง

   “ หากท่านพ่อไม่มีอะไรแล้วลูกขอตัวก่อนขอรับ เมื่อครู่อ่านตำราฝรั่งค้างไว้ ”

   “ เอาเถอะ ไม่มีกระไรแล้วล่ะ แต่ลูกจะให้ไอ้ตี๋ไปรับใช้ลูกวันนี้เลยรึ มันจะรู้ความได้เท่าใดเชียว แต่ก็เอาเถิดพ่อจะกำชับไอ้มั่นให้มันสอนให้ถี่ถ้วน จะได้ไม่กวนใจลูก ลูกจะกลับไปอ่านตำราฝรั่งต่อก็ไปเถอะ ”

   แม้ท่านพระยาจะไม่เห็นด้วยนักที่จะให้ทาสใหม่ไปรับใช้บุตรชายที่รักสันโดษในวันแรกที่รับเข้ามา เพราะมันยังไม่รู้กฎ ระเบียบ หรือความชอบ ไม่ชอบ ของเจ้านาย ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นเรื่องกวนใจไปแทน แต่ด้วยรู้นิสัยของลูกอยู่พอควร แม้ว่าบุตรชายจะยอมรับบ่าวไว้ก็จริง แต่ก็มักจะหาทางส่งคืนมาอย่างนิ่มนวล ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน แต่จะว่าอย่างไรได้ ก็ต้องปล่อยไป แม้เขาจะเข้าใจว่า บุตรชายต้องการจะศึกษาตำราฝรั่งเงียบๆ แต่คนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกลำบาก จะเรียกใช้บ่าวไพร่สักทีก็ต้องเดินมาเรือนใหญ่ ก็คงต้องกำชับไอ้มั่นให้บอกสอนเจ้าทาสใหม่นี่ให้ถี่ถ้วนอย่างที่บอกบุตรชายไป


*************************


   เรือนริมน้ำ เรือนหลังย่อมปลูกยกพื้นอยู่ริมน้ำสมชื่อ มีชานบ้านส่วนยื่นออกไปในน้ำ จะเรียกว่าเรือนแพก็มิได้ เพราะปลูกเรือนตั้งเสาบนพื้นดิน มีแค่บางส่วนที่อยู่ในน้ำ นอกจากจะมีชานยื่นไปในน้ำแล้ว ยังมีศาลาริมน้ำอีกเช่นกัน

   ตี๋ยืนมองเรือนริมน้ำด้านหน้าตนเองอย่างพิจารณา ก่อนจะเข้ามายังเรือนหลังนี้ นายมั่นหัวหน้าทาสชายเรียกตนไปสั่งสอน บอกถึงกฎ ระเบียบ สิ่งใดควร สิ่งใดมิควร บอกถึงนิสัยของเจ้าของเรือน ว่ามิใคร่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ดังนั้นสิ่งที่ควรกระทำคือ หากต้องทำความสะอาดเรือน  ก็ควรเข้ามาทำตอนคุณเต้ออกมาด้านนอกแล้ว หากคุณเต้มิได้เรียกหา ก็ไม่ควรเข้ามาวุ่นวาย เพราะคุณเต้ชอบที่จักอ่านตำราเงียบๆ ไม่ชอบให้ใครเข้าไปรบกวน คนเก่าที่เคยมาอยู่ก่อนหน้า เป็นคนของคุณหญิงแย้ม เข้ามาวุ่นวายกับคุณเต้จนเกินไป เพราะเป็นคำสั่งของคุณหญิงแย้ม จึงไม่มีใครอยู่ได้นาน

   เด็กหนุ่มที่กึ่งนั่ง กึ่งนอน อ่านตำราอยู่บนเตียงที่กลางศาลาริมน้ำ ดวงหน้าที่ตั้งใจกับสิ่งที่กำลังทำ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ดูมีสมาธิกับสิ่งที่อ่านเป็นอย่างมาก นี่กระมังที่พี่มั่นย้ำนักหนาว่า ห้ามส่งเสียงดัง หรือรบกวนคุณเต้

   ตี๋เดินเข้ามาด้านหน้าศาลา และนั่งลงเงียบๆด้านนอก มิได้เข้ามาในศาลาที่คุณเต้อยู่แต่อย่างไร ตอนนี้ยังมิถึงเพลาอาหารเย็น ยังสามารถรอให้คุณเต้อ่านตำราต่อไปได้อีกพอควร เขาไม่กล้าเข้าไปในเรือนริมน้ำเพียงลำพัง เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้าของเรือน ที่ทำได้ตอนนี้คือ นั่งรอคุณเต้เท่านั้น

   เต้แบนสายตาจากตำราเล็กน้อย เพื่อดูคนที่เดินเข้ามา แต่ก็มิได้ส่งเสียงอะไร บ่าวคนใหม่ของเขาเลือกที่จะนั่งรอเงียบๆ อยู่นอกศาลาริมน้ำ มิได้เข้ามากวนเขาแต่อย่างไร ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจในตัวทาสคนใหม่ แต่ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะนั่งเงียบไปได้แค่ไหน เพราะบ่าวที่คุณหญิงแม่ส่งมาให้เขานั้น ไม่มีใครที่จะนั่งรอเงียบๆ ได้นาน มักจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขามากจนเกินไป ตามคำสั่งของคุณหญิงแย้ม

   เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ จากบ่ายคล้อยจนใกล้ค่ำ คุณเต้ก็ยังมิลุกไปไหน บ่าวคนใหม่เริ่มกระวน กระวายใจ แต่ก็ยังรักษาความสงบเอาไว้ได้ ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยถาม แต่อีกใจหนึ่งก็มิกล้า คนเป็นบ่าวถอนหายใจเบา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากศาลาเรือนริมน้ำ

   คล้อยหลังของคนที่ลุกไป คนที่นั่งอ่านตำราก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาสังเกตบ่าวคนใหม่อยู่เป็นระยะๆ แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ เพราะมัวแต่นั่งก้มหน้า ไม่มีการรบกวนเขาแต่อย่างไร นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขานึกพอใจในตัวทาสคนใหม่ ไม่ยุ่มย่าม ไม่สอดรู้ ซื่อๆ แต่ก็คงต้องรอดูต่อว่าจะดีได้สักกี่เพลา

   ด้านตี๋ที่เดินออกจากศาลาริมน้ำเนื่องจากใกล้ถึงเพลาอาหารเย็นแล้ว แต่นายคนใหม่ของตนยังมิลุกไปไหน เท่าที่นายมั่นบอกไว้ก่อนมา เจ้านายทุกคนจะรับประทานอาหารพร้อมกันบนเรือนใหญ่  แต่ส่วนมากคุณเต้จะแยกมาทานคนเดียวที่เรือนริมน้ำ นอกเสียจากท่านพระยาจะเรียกหา จึงจะมาทานพร้อมทุกคนบนเรือนใหญ่ เนื่องจากคุญเต้มิใคร่จะชอบภรรยาคนอื่นของท่านพระยาเท่าไหร่นัก

   ตี๋เดินมาถึงโรงครัวที่นายมั่นพามารู้จักไว้ก่อนหน้า เขาเดินเข้ามาหาหัวหน้าคนครัว เพื่อขอให้ช่วยจัดสำรับสำหรับคุณเต้ ซึ่งเพียงเอ่ยแจ้งความจำนง สำรับอาหารหน้าตาสวยงามก็พร้อมสรรพ เสมือนคนครัวจะรู้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่รอให้ใครมายกไป



   ร่างเงาที่เดินอยู่กลางทางชัดขึ้นเมื่อคนเดินใกล้เข้ามา คราแรกนั้นเขานึกว่าบ่าวคนใหม่คงจะถอดใจ แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขาเห็นสิ่งอยู่ในมือของบ่าวคนนี้ เขาวางตำราฝรั่งในมือลง มองคนที่ถือสำรับอาหารอยู่ด้านนอกศาลา คอยให้เขาเอ่ยปากอนุญาตเจ้าตัวจึงเดินเข่าเอาสำรับมาวางที่ตั่งตัวเล็ก

   “ คุณเต้รับอาหารเย็นเลยรึไม่ขอรับ ”

   “ เอ็งวางไว้หน้าข้าเยี่ยงนี้ มิใช่บังคับให้ข้ากินเลยดอกรึ ”

   “ หาใช่ไม่ขอรับ บ่าวเพียงแต่..... ”

   “ มิต้องมากความดอก อีกประเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง เอ็งจะไปไหนก็ไป ”

   เต้เอ่ยตัดความ เขารู้สึกชอบใจที่ได้เห็นหน้าตาตื่นตระหนกของตี๋ จึงอดไม่ได้ที่จะหยอกไปบ้าง และก็เป็นอย่างที่คิด หน้าที่ว่าตระหนกอยู่แล้วยิ่งดูตื่นตกใจไปกว่าเดิม ปากเล็กๆ นั้นอ้าๆ หุบๆ คล้ายคนนึกคำพูดไม่ออก ดวงตาซื่อๆที่เขาชอบเบิกกว้างกว่าเดิม ทั้งที่ปกติก็กลมโตอยู่แล้ว เห็นแล้วก็อยากจะแกล้งคนตรงหน้าอีก แต่ก็ต้องอดใจไว้

   “ เหตุใดเอ็งจึงยังมิไปอีก ”

   เต้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่ตนออกปากไล่ให้ออกไป ยังมิไปไหน คนตัวเล็กเพียงแค่ถอยออกไปนั่งรอที่นอกศาลาเช่นที่รอเมื่อตอนบ่าย 

   “ บ่าวรอคุณเต้ทานอาหารก่อนขอรับ เผื่อคุณเต้จักเรียกใช้บ่าวขอรับ ”

   “ ข้าบอกให้เอ็งไป มิใช่ให้มานั่งเฝ้าข้า ”

   ตี๋ตอบคำถาม แม้จะโดนไล่ให้ไปอีกรอบ แต่เจ้าตัวก็ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ทำให้คนที่ออกปากไล่ถึงสองรอบต้องลุกออกมาจากที่นั่ง

   “ หากเอ็งยังพูดมิรู้ความเยี่ยงนี้ เราคงจักอยู่ร่วมกันมิได้ ”

   “ บ่าวต้องขออภัยขอรับ แต่หน้าที่ของบ่าวคือรอรับใช้คุณเต้ขอรับ ”

   “ แต่ข้าสั่งให้เอ็งออกไป มิได้ยินรึ ”

   ช่างเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เสียเหลือเกินในความคิดของเต้ เขาไม่อยากให้คนตรงหน้ามานั่งรอเขา มองเขากิน เขามิใคร่จะชอบนัก แต่คนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่เข้าใจ

   “ ไปเสีย เพลานี้เป็นมื้อเย็นของพวกบ่าวไพร่แล้ว หากเอ็งไปช้า จะมิเหลือสิ่งใดให้กิน ยิ่งเอ็งเพิ่งมาใหม่ คงมิมีใครแบ่งสำรับไว้ให้ดอก อีกอย่างข้ามิชอบให้ใครมานั่งมองข้ากิน ”

   “ มิเป็นไรดอกขอรับ อย่างน้อยก็มีข้าวเหลือ บ่าวกินกับอะไรก็ได้ขอรับ บ่าวจักไม่มองตอนคุณเต้ทานดอกขอรับ ”

   นี่เขาพูดขนาดนี้แล้วคนตรงหน้ายังมิเข้าใจอีกหรือว่า เขาอยากให้เจ้าตัวไปกินข้าว กินปลาเสียก่อน ตัวก็เล็กแค่นี้ หากไม่ไปตอนมื้ออาหาร เห็นทีจะเหลือแต่ข้าวเปล่าอย่างที่เจ้าตัวเล็กนี่ว่านั่นล่ะ แล้วเพลาใดจักตัวโตกัน แต่พูดไปก็คงเหมือนลมผ่านเข้าหูซ้าย ออกหูขวาเสียกระมัง เมื่อคนที่เหมือนจะหัวอ่อน กับดื้อด้านมิยอมฟัง ตั้งมั่นในหน้าที่เสียมากปานนี้

   “ เจ้าตี๋ เอ็งกลับที่โรงครัว บอกคนครัวให้จัดสำรับให้ข้าอีกสำรับ ”

   เมื่อไล่เยี่ยงใดก็คงไม่ไป ก็คงต้องทำเยี่ยงนี้ อย่างน้อยคนตัวเล็กก็รับคำโดยมิได้ข้องใจอันใจว่า เหตุใดเขาจึงต้องการสำรับอาหารเพิ่ม

   ตี๋รับคำคุณเต้ คิดในใจไปพลางว่า เหตุใดคุณเต้จึงต้องการสำรับเพิ่มทั้งๆที่ยังมิได้แตะต้องสำรับเดิมแม้แต่น้อย แต่ก็อีกนั่นล่ะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด ก็ใช่เรื่องที่ตนต้องมาพะวงสงสัยในเรื่องของนาย ตนมีหน้าที่รับฟัง และทำตามสิ่งที่นายสั่ง


   เวลาผ่านไปชั่วเคี้ยวหมากจืด(1) ตนตัวเล็กเดินกลับมาพร้อมสำรับอาหารปรุงใหม่ ในถ้วยเบญจรงค์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เต้วางช้อนอาหาร ตี๋เดินเข่านำสำรับอาหารชุดใหม่มาวางแทนชุดเดิมที่เต้เพิ่งวางช้อนไป
   “ ข้าอิ่มแล้ว เก็บสำรับไปเถิด ”
   “ แต่..... ”
   “ ส่วนสำรับนั้นเอ็งยกขึ้นไปบนเรือนให้ข้าแล้วกัน ”

   ยังมิทันได้พูดอะไร คุณเต้ก็สั่งความเสียก่อน แม้ตี๋จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จักไม่ถามต่อ และทำตามคำสั่งโดยดี เต้ลอบยิ้มพอใจเมื่อเห็นตี๋ทำตามสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่ถามสิ่งใดต่อให้มากความ

   อากาศยามใกล้ค่ำเย็นลงมากกว่าเดิม ยิ่งอยู่ริมน้ำยิ่งเย็นกว่าเรือนด้านในที่อยู่ถัดไป โดยรอบเรือนถัดออกไปนั้นจุดคบไฟส่องทางไว้ตลอดแนวทางเดิน แต่รอบเรือนริมยังมิมีใครมาจุดคบไฟ หากเป็นเพลาก่อนหน้านี้ บ่าวคนอื่นจักมากจุดคบไฟโดยรอบเรือน ส่วนตะเกียงที่อยู่บนเรือนนั้น คุณเต้จักเป็นคนจุดเอง เพราะไม่ต้องใครใครขึ้นมายุ่มย่ามบนเรือนของตน แต่เพลานี้ไม่มีบ่าวผู้ใดเลยที่มาจุดคบไฟรอบเรือนเช่นเพลาก่อน เหตุเนื่องมาจาก เพลานี้เรือนริมน้ำมีทาสใหม่เข้ามาดูแลแล้ว

   “ คุณเต้รอประเดี๋ยวนะขอรับ บ่าวจุดไต้รอบเรือนประเดี๋ยวเดียว ”

   ตี๋ว่า และมิรอให้คุณเต้ตอบรับหรือปฏิเสธ เจ้าตัวก็วางสำรับที่ถืออยู่ ก่อนจักหันไปหยิบคบไฟใกล้มือกึ่งเดิน กึ่งวิ่งออกไปจุดไฟต่อจากอันที่อยู่ห่างออกไป และถือคบไฟกลับมาต่อไฟกับอันที่ปักไว้ตามแนวทางเดิน และรอบเรือน ก่อนจักปักคบลงบนพื้น หยิบตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่ที่โคนบันไดต่อไฟ และถือกลับมาหานายของตน

   “ เอ็งถือตะเกียงเช่นนี้แล้ว จักถือสำรับอาหารไปให้ข้าได้เยี่ยงไรกัน ”

   เต้เอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นว่าบ่าวคนใหม่ของคนเดินกลับมา มือหนึ่งถือตะเกียงเจ้าพายุอันใหญ่ไว้ในมือ ตี๋มองสิ่งที่อยู่ในมือตน สลับกับสำรับอาหารที่ตนเองวางไว้ก่อนหน้า ก็เห็นจักจริงเช่นที่คุณเต้ว่า เขาจักถือทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้เช่นไร

   ตี๋ได้แต่ส่งสายลุแก่โทษไปให้เจ้านายใหม่ของคน เพราะตนผิดเองที่ละเลยต่อหน้าที่ ไม่ได้จุดคบไฟไว้ก่อน ลืมนึกถึงว่าต้องทำสิ่งใดก่อนหลัง

   “ เอาเถิดมิต้องกังวลไป ข้ามิลงโทษเอ็งด้วยเรื่องเท่านี้ดอก เอ็งวางสำรับไว้ที่ศาลานี้ก่อน แล้วขึ้นไปจุดตะเกียงบนเรือนเสีย เพลานี้ก็ยังมิได้มืดจนมองไม่เห็น ”

   คุณเต้ยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาลุแก่โทษของตนตัวเล็ก ก่อนจะก้าวนำทาสคนใหม่ไปเรือนริมน้ำ เพลานี้เป็นช่วงโพล้เพล้ ก็ยังมิได้มืดจนมองมิเห็น อย่างที่ตนว่าไว้ แต่ดูเหมือนทาสคนใหม่จะตื่นตระหนกเสียจนแลดูน่ารังแกให้ตระหนกยิ่งกว่าเดิม แต่เขาก็เลือกจะไม่ทำ เพราะถึงจักดูน่ารังแกแค่ไหน แต่ก็น่าสงสารด้วยเช่นกัน

   บนเรือนนั้นเป็นเรือนเดี่ยว(2) มีเรือนนอน ระเบียง ชานเรือน มีเรือนครัวแต่มิได้ใหญ่โตมากนัก คงเป็นเพราะมีโรงครัวแยกออกไปอยู่แล้ว ตี๋วางตะเกียงในมือลงก่อนจะหยิบไต้ที่วางไว้ไม่ไกลจากตะเกียงอันเล็กต่อไฟไปจุดตะเกียงอันอื่น

   เต้มองคนที่เดินจุดตะเกียงตามจุดที่วางไว้ ทำให้บนเรือนสว่างขึ้นมาก ดวงหน้าของตนตัวเล็กล้อแสงจากเปลวไฟแลดูละมุนกว่าเดิม

   “ คุณเต้จักอาบน้ำเลยรึไม่ขอรับ บ่าวจักได้ต้มน้ำ”

   หลังจากจุดไฟตะเกียงจนสว่างทั้งเรือนแล้ว ตี๋จึงคลานเข่าเข้ามาหาเต้ซึ่งนั่งรออยู่เบาะผืนเล็ก ซึ่งปูไว้คู่กับตั่งขนาดย่อมที่ชานเรือน

   “ ยังมิอาบดอก แล้วก็ไม่ต้องต้มน้ำ เพราะข้าชอบอาบน้ำเย็นมากกว่า อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ได้หนาวกระไรมากนัก อ้อ แล้วสำรับอาหาร เอ็งเก็บมาแล้วรึ ”

   เต้ตอบคำถามทาสคนใหม่ ก่อนจะถามกลับไปถึงเรื่องก่อนหน้าที่เจ้าตัวเล็กคล้ายจะลืมไปชั่วขณะ นั่นก็พอจะทำให้เขาได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของตี๋ได้

   “ ขออภัยขอรับคุณเต้ บ่าวลืมเสียสนิท ประเดี๋ยวบ่าวจักลงไปยกขึ้นมาขอรับ ”

   เต้ส่ายหน้าด้วยความขบขัน ระคนเอ็นดู แม้ตี๋จักพยายามทำตนให้เหมือนผู้ใหญ่สักเท่าใด แต่กระนั้นแล้วความจริงที่ว่า เจ้าตัวเป็นเด็กชายอายุยังไม่เต็ม 14 ปี ที่เพิ่งผ่านการโกนจุก(3) ก้าวย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น

   “ คุณเต้จักรับอาหารเพิ่มเลยรึไม่ขอรับ ”

   เต้เงยหน้าจากตำราเล่มเล็กในมือ มองคนที่นั่งถือสำรับอาหารอยู่ตรงหน้าตนเอง พลางถอนหายใจเบาๆ เขามองตี๋ที่วิ่งลงไปเก็บสำรับที่เขาทานไปแล้วก่อนหน้ามาวางไว้ที่หน้าเรือน และยกสำรับที่เขาสั่งให้ไปยกมาเพิ่มขึ้นมาให้เขาอีกครั้ง

   “ ตี๋ เอ็งยังจำได้รึไม่ ข้าบอกว่าข้าอิ่มแล้ว เอ็งจะให้ข้ากินหมดทั้งสองสำรับเลยรึ ”
   
   “ แต่คุณเต้..... ”

   “ ข้ากระไรรึ ข้ามิได้ท้องยุ้งพุงกระสอบ(4) เพียงแค่สำหรับเดียวข้าก็อิ่มมากแล้ว ”

   เต้มองคนตัวเล็กที่ทำสงสัยเหลือประมาณ เขาอดที่จะแย้มยิ้มมิได้ สีหน้าทาสคนใหม่ของเขาช่างน่าขันยิ่งนัก แววตาซื่อๆ นั้นตรึงใจเขามากทีเดียว

   “ ข้าให้เอ็งยกมาก็จริง แต่มิใช่ว่าข้าจักกินเอง สำรับอาหารนี้ข้ายกให้เอ็ง ”

   เต้บอกสิ่งที่เขาต้องการ เขาให้คนตัวเล็กนี้ไปยกสำรับอาหารมาเพิ่มก็เพราะคิดว่า หากบ่าวคนนี้ของเขายืนยันที่จักอยู่รอรับใช้เขาระหว่างมื้ออาหาร ข้าวปลาที่เตรียมไว้สำหรับบ่าวไพร่คงหมดเสียก่อน แม้แต่ข้าวเปล่าก็คงมิเหลือถึงทาสที่เข้ามาใหม่เป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้เมื่อใดเจ้าตัวเล็กจะมีเนื้อหนังขึ้นมา

   “ แต่มันมิควรขอรับ สำรับนี้เป็นของคุณเต้ หากยกให้บ่าว มีหวังเหากินหัว(5)บ่าวเป็นแน่ขอรับ ”

   “ เอ็งกล้าขัดข้ารึ ”

   “ มิได้ขอรับ หากแต่มันมิเหมาะขอรับ หากใครรู้เข้ามันมิดีขอรับ ”

   “ ก็เพราะข้าคิดไว้แล้ว ข้าจึงให้เอ็งยกสำรับขึ้นมาบนเรือน เพราะบนเรือนนี้ข้ามิให้ใครมายุ่มย่าม เอ็งก็กินข้าวเสีย หากเอ็งคิดว่าจักกลับไปกินที่โรงครัว ป่านคงเหลือแต่หม้อเปล่าเสียแล้วกระมัง ”

   เต้ว่า พร้อมใช้สายตากึ่งบังคับให้ตี๋ทำตามสิ่งที่ตนสั่ง ส่วนคนที่โดนบังคับอย่างตี๋ก็มีสีหน้ากระอัก กระอ่วนใจที่ต้องทำตามสิ่งที่คนเป็นนายสั่ง

   “ แต่คุณเต้ขอรับ.... ”

   “ หากเอ็งยังขัดข้า เราคงอยู่ร่วมกันมิได้ แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้เอ็งยังขัดข้า หากเรื่องใหญ่กว่านี้เอ็งจะทำตามที่ข้าต้องการรึ ”

   ตี๋พยายามจะบ่ายเบี่ยง ด้วยมิกล้าจะกินอาหารสำรับเดียวกับเจ้านาย แต่เต้ก็หายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาพูดขัดขึ้นก่อนที่ตี๋จะพูดจบ

“ ว่าอย่างไร เอ็งจักกินข้าวในสำรับนั้น หรือจักให้ข้าส่งตัวเอ็งกลับไป แลเรียกอัฐคืนจากพ่อเอ็ง ”

   เต้ทำเสียงดุ พร้อมกับขู่คนตัวเล็ก เพราะต้องการให้คนตัวเล็กกินข้าวเย็นเสียที เขาทราบอยู่แล้วในสิ่งที่ตี๋พยายามบ่ายเบี่ยง เหตุใดเขาจักไม่ทราบ ถ้าเขาให้ตี๋กินอาหารในสำรับที่เตรียมให้เขา หากบ่าวไพร่คนอื่นมาเห็นคงจักเอาไปพูดกันสนุกปาก แล้วคนที่จักเดือดร้อนคงหนีไม่พ้นทาสคนนี้ ที่เขาพึงใจอยู่มาก
   “ เอาเถิดตี๋ กินข้าวเสีย ข้ามิได้อยากบังคับเอ็ง หากแต่ข้าห่วงเอ็ง ตัวก็เล็กเท่านี้ หากมิได้กินข้าว กินปลาเพลาใดจักตัวโตกันเล่า เอ็งมาใหม่เยี่ยงนี้ มิมีใครจักเว้นมื้อเย็นไว้ให้ดอก กินเสีย วันพรุ่งหากเอ็งอยากจะรอรับใช้ข้าระหว่างมื้ออาหารอีก เอ็งก็เตรียมสำรับของเอ็งมาพร้อมกับสำรับของข้าเสีย มิเช่นนั้นข้าจะให้เอ็งกินจากสำรับของข้าดังเช่นวันนี้ ”

   เต้มิอาจจะทำสีหน้าดุตี๋ได้นาน ด้วยเห็นหน้าที่จวนเจียนจักร้องไห้ แต่ก็อดกลั้นเอาไว้แล้วก็พาให้สงสาร เขาจึงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนนุ่ม พูดโน้มน้าว แต่ก็มิวายขู่ไปอีกสักนิดอยู่ดี

   “ ขอรับคุณเต้ วันรุ่งบ่าวจักมิให้เป็นเช่นวันนี้ขอรับ ”

   ตี๋รับคำด้วยนัยน์แดงเรื่อ พร้อมกับยกสำรับที่ปรุงขึ้นสำหรับเจ้านาย สำรับที่เขาคิดว่าชาตินี้คงได้แต่มอง มิเคยคิดว่าจะได้ลิ้มรส แต่คุณเต้เจ้านายที่เขาเพิ่งจักรับใช้ได้ไม่ถึงวัน กลับยกให้เขาด้วยความเป็นห่วง เขาตั้งปณิธานในใจอย่างเงียบๆว่า เขาจักรับใช้คุณเต้ด้วยความภักดี

   เต้มองทาสใหม่ของตนค่อยๆละเลียดชิมอาหารที่ละน้อย ด้วยสายตาที่ตนมิคิดว่าจักมองใครเช่นนี้ มันเป็นสายตาของผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็ก แต่มันแฝงไปด้วยความพึงพอใจที่ตนก็มิอาจจักอธิบายได้




**********************************




เชิงอรรถ

(1)   ชั่วเคี้ยวหมากจืด  เป็นสำนวนที่ใช้บอกเวลา โดยเทียบกับระยะเวลาในการเคี้ยวหมาก ๑ คำ คือตั้งแต่เริ่มเคี้ยวหมากจนหมากจืดหมดคำ การเคี้ยวหมากของคนแต่ก่อนเรียกว่า กินหมาก แต่ไม่ได้กินจริง ส่วนมากจะนำหมาก ใบพลูที่บ้ายปูนแล้ว เคี้ยวรวมไปกับเกล็ดพิมเสน กานพลู สีเสียด ใบเนียม และเครื่องหอมอื่นๆ เคี้ยวไปพอหมากพลูผสมกับน้ำลายกลายเป็นน้ำหมากสีแดงก็บ้วนทิ้งเสียครั้งหนึ่งแล้วเคี้ยวต่อไป พอมีน้ำหมากก็บ้วนน้ำหมากทิ้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมากหมดรส เรียกว่า หมากจืด จึงคายชานหมากทิ้ง คนโบราณกะระยะเวลาที่เคี้ยวหมากคำหนึ่ง ๆ จนจืด ซึ่งเป็นเวลาประมาณ ๒๐-๓๐ นาที มาใช้อธิบายช่วงเวลาหนึ่ง เช่น เรารออยู่นานชั่วเคี้ยวหมากจืดเห็นจะได้ กว่าเขาจะพาเราเข้าไปพบท่านเจ้าคุณ จากที่นี่ถ้าเดินไปบ้านกำนัน ก็ไกลชั่วเคี้ยวหมากจืดนั่นแหละ  ในสมัยโบราณยังไม่มีนาฬิกาบอกเวลา จึงมักคำนวณเวลาด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ สำนวน ชั่วเคี้ยวหมากจืด ปัจจุบันคนที่ไม่เข้าใจจึงใช้แผลงว่า *ชั่วเคี้ยวหมากแหลก ซึ่งไม่ถูก

(2)   เรือนเดี่ยว เป็นเรือนสำหรับครอบครัวเดี่ยว สร้างขึ้นโดยมีประโยชน์ใช้สอยที่เพียงพอกับครอบครัวเล็ก ๆอาจ เป็นเรือนเครื่องผูก เรือนเครื่องสับ หรือผสมผสานกันก็เป็นได้แล้วแต่ฐานะ ประกอบด้วย เรือนนอน 1 หลัง เรือนครัว 1 หลัง ระเบียงยาว ตลอดเป็นตัวเชื่อมระหว่างห้องนอนกับชาน
เรือนเครื่องผูก
-   เป็นเรือนที่ก่อสร้างแบบง่าย ๆ ในลักษณะอาคารชั่วคราว หรือกึ่งถาวร
-   วัสดุที่ใช้มักจะเป็นไม้ไผ่ การผูกรัดส่วนต่าง ๆ ของอาคารเข้าด้วยกันจะใช้ตอกและหวาย
-   หลังคามุงด้วย จาก แฝก ใบตองตึง หรือหญ้าคา ตามแต่วัสดุในแต่ละพื้นที่
-   ฝามักจะเป็นฝาขัดแตะ ในภาคใต้มักนิยมสานแบบเสื่อลำแพน
-   พื้นมีทั้งไม้ฟาก (ไม้ไผ่ผ่าครึ่งแล้วทุบให้แบน) และไม้จริง
-   เสาเรือนมีทั้งไม้ไผ่และไม้จริง ตามแต่ขนาดและการใช้งานของเรือน

เรือนเครื่องสับ
-  ฐานราก มีการก่อสร้างโดย 2 วิธีคือ ใช้เป็นงัว คือมีไม้ 3 หรือ 4 ท่อน วางเรียงซ้อนกันและตั้งเสาลงข้างบน อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้แระ คือการตัดไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือกลม รองไปบนก้อนหลุม ฐานรากจะรับน้ำหนักเสา ซึ่งเสาจะอยู่บนแระ ส่วนที่ฐานรากจะเป็นงัว จะมีไม้กงพัดวางลงไป
-  เสา
- พื้น
- ฝา หมายถึง สิ่งที่กั้นระหว่างภายในและภายนอกของเรือน ฝาเรือนในเรือนเครื่องสับมีหลายประเภท ซึ่งถูกนำมาใช้ต่างกันตามประโยชน์ใช้สอย ที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่ในเรือนนอนคือ ฝาประกนและฝาสายบัว และฝาไหลในเรือนครัว
•   ฝาประกน หมายถึง ฝาเรือนไม้จริงที่ประกอบกันด้วยการเข้าลิ้น โดยลูกนอนหรือไม้แนวนอน จะถูกบรรจุในโครงไม้แนวตั้งเป็นแนวสลับกัน คล้ายแนวการก่ออิฐ และบรรจุด้วยลูกฟักไม้จริงในระหว่างช่องสี่เหลี่ยม โดยลูกฟักมักถูกประดับตกแต่งให้สวยงาม
•   ฝาสายบัว หมายถึง ฝาเรือนที่มีลักษณะคล้ายฝาประกนที่ไม่มีลูกนอน โดยโครงไม้แนวตั้งคล้ายฝาประกน ส่วนช่องว่างระหว่างโครงไม้นั้นถูกบรรจุด้วยไม้ เมื่อมองรูปด้านของฝาจะเห็นไม้แนวตั้งเป็นหลัก ทำให้มีลักษณะเหมือนสายบัว
•   ฝาไหล หมายถึง ฝาเรือนสองชั้น สามารถเลื่อนในแนวนอนเพื่อให้ช่องว่างของไม้แนวตั้งที่ตีสลับกัน ซ้อนทับกันเพื่อเกิดช่องเปิดเพื่อระบายอากาศ นิยมใช้กับเรือนครัว
-   หลังคา

(3)   การโกนจุก ตามประเพณีโบราณ เมื่อเด็กมีอายุพอควร ก็ไว้ผมเกล้าจุกให้มิได้ตัด พอเด็กย่างเข้าขีดรู้ เจริญวัย คือ เด็กชายอายุย่างเข้า ๑๓ ปี อย่างมากไม่เกิน ๑๕ ปี เด็กหญิงอายุย่างเข้า ๙ ปีอย่างมากก็เพียง ๑๑ ปี บิดามารดาก็จะจัดการทำพิธีตัดจุกให้ ซึ่งเรียกว่า “ พิธีมงคลโกนจุก ” เมื่อผ่านพิธีการโกนจุกแล้ว จะถือเสมือนว่า เข้าสู้วัยการเป็นผู้ใหญ่ เด็กหญิงจักต้องรักนวล สงวนตัว เป็นต้น


(4)   ท้องยุ้งพุงกระสอบ เป็นสำนวน หมายถึง คนที่มีความสามารถในการกินได้มากผิดผกติ คนที่กินจุ

(5)   เหากินหัว , เหาจะขึ้นหัว เป็นสำนวน หมายถึง ทำตัวอาจเอื้อมหรือเอาอย่างเจ้านาย หรือผู้สูงศักดิ์ ถือว่าเป็นอัปมงคล เช่น ทำตัวเทียมเจ้าระวังเหาจะขึ้นหัวนะ



**************************

   คุยกันท้ายบท

   สวัสดีขอรับ ข้าเจ้าขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มาช้า (มาก) มิขอแก้ตัวอันใดขอรับ มีเพียงคำขอโทษ ข้าเจ้าขออภัยอย่างมากขอรับ และที่สำคัญ ตอนนี้ข้าเจ้ายังเขียนมิถึงตัวอย่างที่ให้ไว้ในบทที่แล้ว

   นี่ก็เป็นอีกเรื่องขอรับ ข้าเจ้าคำนวณผิดพลาดไปอย่างมาก ถึงเนื้อหาที่จะลงในแต่ละบท ข้าเจ้ามิกล้าสัญญา แต่ข้าเจ้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดขอรับ

   ในบทนี้นั้นไม่มีใครอื่นเลยขอรับ เขาอยู่กันสองต่อสอง คุณเต้ปากแข็งแต่ก็แอบห่วงน้องตี๋ ส่วนน้องตี๋ ก็มุ่งมั่นกับหน้าที่ของตนเอง จนไม่รู้ว่าพี่ห่วง

   ในบทต่อไปเขาทั้งคู่คงจะหวานกันกว่านี้ แต่น้องตี๋ก็ยังเจียมเนื้อ เจียมตัวอยู่เช่นเคย ส่วนพี่เต้ก็ยังจะหาเรื่องหยอกน้องไปเรื่อย รบกวนติดตามตอนต่อไปขอรับ

   ขออนุญาตใช้บทตัวอย่างเดิมขอรับ

‘ เหตุใดคุณเต้ต้องจ้องมองบ่าวขนาดนั้นขอรับ ’
   ‘ หากข้าไม่ดูใกล้ๆ จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าสิ่งที่เอ็งกำลังทำนั้น ถูกใจข้ารึไม่ ’


   ‘ ตี๋ ข้าอยากไปเดินเล่น เอ็งไปเดินเล่นเพื่อนข้าได้รึไม่ ’
   ‘ ตี๋เอ็งเห็นพระจันทร์นั่นไหม จันทร์ว่างาม แต่คนที่อยู่ข้างข้าก็งามไม่แพ้จันทร์ ’

   ‘ ตี๋เอ็งว่าความรักเป็นเช่นไรกัน ’
   ‘ บ่าวมิรู้ขอรับ ’

.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป




…..Mariner_IX….


   

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 3 (01/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 01-10-2018 17:32:19
……….สายสัมพันธ์..........

ตอนที่ 3



   นับจากคราแรกจนถึงเพลานี้ ตี๋เข้ามาอยู่ที่เรือนริมน้ำเกือบสามเดือนแล้ว งานของเขาส่วนใหญ่หมดไปกับการดูแลเรือน ดายหญ้า ตัดไม้ หากเมื่องานที่เรือนริมน้ำแล้ว(1) เขาจักไปช่วยงานอื่นๆ เช่นบ่าวทั่วไป ตอนนี้เขารู้จักบ่าวในเรือนมากขึ้นจากวันแรก


   หากแม้ในคราแรกมิใคร่จะมีใครอยากจะคุยกับตี๋เท่าใดนัก เหตุเนื่องมาจาก เขาเป็นบ่าวที่เข้ามาใหม่ กอรปกับเหมือนทุกคนจะมิใคร่ชอบใจนักเมื่อเขาได้ไปรับใช้เรือนริมน้ำ โดยข้ามหน้าของบ่าวไพร่ในเรือนอีกมากที่อยู่มาก่อน แต่ก็มิมีใครจักพูดกระไรได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งของท่านพระยา


   แต่เมื่อเพลาผ่านไป ตี๋ก็ค่อยๆปรับตัวเข้าหาบ่าวไพร่อื่นได้ ด้วยความที่เป็นคนอ่อนน้อม หนักเอา เบาสู้ มิได้เกียจคร้านงาน เขามาช่วยงานอื่นๆ ในเรือนใหญ่ มิได้ทำแค่ส่วนของเรือนริมน้ำ ดังเช่นบ่าวคนก่อนๆ ที่เคยรับใช้เรือนริมน้ำ เมื่อเสร็จงานที่เรือนริมน้ำก็มิใคร่จะมาช่วยงานที่เรือนใหญ่ อาจเพราะถือว่าตนเป็นบ่าวของเรือนริมน้ำ มีหน้าที่ดูแลเรือนริมน้ำ เรือนใหญ่มิใช่การของตน


   ตี๋ช่วยงานอื่นทั่วไป มิได้จำเพาะว่าต้องทำแค่เรือนที่ตอนเองรับใช้ คราแรกๆ บ่าวไพร่คนอื่นก็กลั่นแกล้งเขาบ้าง ใช้ให้ทำในส่วนของตนบ้าง แต่ตี๋ก็มิได้ปริปากพูดกระไร เขาทำตามโดยดี แม้จะรู้ว่ามิมีใครพอใจตนเท่าใดนักก็ตาม แต่เมื่อหลายเพลาเข้า บ่าวที่กลั่นแกล้งกลับกลายเป็นเกลอกันเสียได้ แม้อายุจักห่างกันก็ตามที


   “ ไอ้ตี๋ วันนี้คุณเต้ท่านจักกลับเรือนเพลาใด ”


   “ ท่านมิได้สั่งความไว้ดอก พี่สุกมีอันใดรึ ”

   “ มิมีอันใดดอก แค่จะชวนเอ็งไปจับปลาที่หนอง เห็นว่าช่วงนี้ชุมนัก ”
   

   “ แล้วพี่สุกจะไปเมื่อใด หากไม่บ่ายมากฉันคงไปด้วยได้ แต่หากบ่ายคล้อยจนเกินไปเกรงจะกลับมามิทันคุณเต้ท่าน ”


   “ มิบ่ายมากดอก งานตรงนี้แล้วเมื่อใดข้ากับไอ้ผล แลพี่มั่นก็จักไปกันแล้ว หากได้มากก็จักได้นำให้พวกป้าม้วนแกไปปรุงมื้อเย็น ”


   “ กระนั้นฉันคงไปด้วยได้ แต่หากบ่ายมากฉันต้องขอกลับก่อน ประเดี๋ยวจักมิทันคุณเต้กลับเรือน ”


   “ เออๆ เช่นนั้นก็แล้วแต่เอ็ง ข้ามิได้บังคับ ”


   “ ขอบใจพี่สุกมาก ประเดี๋ยวฉันขอไปแจ้งพี่มั่นเสียก่อน ”


   “ เอ็งจักไปแจ้งพี่มั่นเรื่องกระไรรึ พี่มั่นก็จักไปด้วยอยู่แล้ว ”


   “ อย่างน้อยก็แจ้งพี่เขาไว้ก่อน ฉันเพิ่งมาใหม่หาย อยู่ๆจักหายไปไม่บอกใครมันคงมิใคร่ดีนัก ”


   “ เออๆ แล้วแต่เอ็งเถิด แจ้งพี่มั่นไว้ก่อนดี ประเดี๋ยวไอ้พวกปากเบามันจักไปฟ้องนายได้ว่า เอ็งหนีงาน ข้าก็ลืมนึกไป ”


   “ ถ้าอย่างนั้นฉันไปแจ้งพี่มั่นก่อนนะพี่สุก ”


   บทสนทนาจบลงเมื่อตี๋ละมืองานที่ทำอยู่ เดินออกไปหานายมั่นซึ่งเป็นหัวหน้าทาส แม้ในเพลานี้เขาจักมีเพื่อนอยู่บ้าง แต่ใช่ว่าทั้งหมดจักชอบพอในตัวทาสใหม่ ถึงจักมีคนชอบ หากก็มีคนที่ไม่ชอบด้วยเช่นกัน การที่ตนเองซึ่งเป็นทาสที่รับมาใหม่ จักไปไหนคงต้องแจ้งหัวหน้าทาสให้รับรู้ เพราะหากมีเรื่องกระไรเกิดขึ้น อย่างน้อยเขาก็ได้แจ้งหัวหน้าทาสให้รับรู้ไว้ก่อนแล้ว มิได้ไหนโดยมิได้บอกกล่าว



******************************



   เพลาบ่ายคล้อยหากแต่ยังมิใช่เพลาที่คุณเต้จักกลับเรือน ตี๋ นายสุก นายผล แลหัวหน้าทาสอย่างนายมั่น เดินกลับเรือนพระยาทิพยโอสถ ในมือมีปลาช่อนตัวเขื่อง 4 - 5 ตัว ปลาสังกะวาด(2) แลปลาตัวโตๆในข้องใบใหญ่(3) อีกจำนวนหนึ่ง
   

   “ มื้อนี้คงได้กินห่อหมกปลาช่อนเสียกระมังพี่มั่น คราก่อนป้าม้วนแกบ่นอยู่ว่าคุณหญิงท่านอยากกินอยู่ แต่ยังมิมีปลา เห็นทีวันนี้ป้าม้วนคงได้ลงครัวเองเป็นแน่ ”


   “ นั่นสิไอ้สุก มิได้กินรสมือป้าแกมาหลายเพลาแล้ว ”


   “ เอ็งก็พูดเสียดัง ประเดี๋ยวนางปริกมาได้ยินมิอดกันหมดรึ ”


   นายสุก นายผลผลเดินคุยกันระหว่างทางกลับเรือน โดยมีนายมั่น แลทาสใหม่อย่างตี๋เดินรั้งท้าย ป้าม้วนที่นายสุก นายผลเอ่ยถึงนั้นคือ หัวหน้าคนครัว มีหน้าที่จัดการดูแลอาหารภายในเรือนทั้งหมด มิว่าจะเป็นบนเรือนใหญ่ เรือนเล็กของอนุภรรยาของท่านพระยา รวมมาจนถึงเรือนริมน้ำ


   นางม้วนเป็นหัวหน้าคนครัวมีหน้าที่จัดเตรียมสำรับสำหรับเจ้านาย ซึ่งนางจักเป็นคนปรุงเอง ต่างจากอาหารที่เลี้ยงบ่าวไพร่ในเรือน จักมีคนครัวคนอื่นๆ ช่วยกันปรุง แต่หากเมื่อมีเครื่องปรุง หรือของสด อื่นๆ มากนางก็จักปรุงเสียทีเดียวกัน แต่แยกหม้อสำหรับเจ้านายเป็นสัดส่วนต่างหากออกไป


   “ เห็นจะจริงอย่างเอ็งว่านั่นล่ะไอ้สุก แลปลาสังกะวาดนี่ก็เช่นกัน ท่านพระยาเองก็เคยเปรยกับข้าอยู่ว่ามิได้กินแกงเหงาหงอด(4) มาหลายเพลา วันนี้ไปมิเสียเที่ยวจริงเทียว ”


   นายมั่นเอ่ยขึ้นถึงสิ่งท่านพระยาเคยเปรยกับตนไว้ ตนนั้นจะไปตลาดหาซื้ออยู่ นับว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวที่ได้ปลามาวันนี้


   “ พี่มั่นฉันขอกลับเรือนริมน้ำก่อนนะจ๊ะ เมื่อครู่ได้ยินเสียงตีฆ้อง 4 ครั้งแล้ว(5) ”

   ตี๋แจ้งแก่นายมั่นเมื่อช่วยกันนำปลาที่จับได้มายังโรงครัว เขาต้องกลับไปที่เรือนริมน้ำ เพราะใกล้เพลาที่คุณเต้จักกลับเรือนแล้ว ซึ่งปกติคุณเต้จักออกจากกรม แลกลับถึงเรือนหลังทางการย่ำฆ้อง 5 ครั้ง



******************************



   ยามเย็นเลยเพลาที่คุณเต้ แลพระยาทิพยโอสถจักกลับเรือนมาพอสมควร คุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม อนุภรรยา และบุตร ธิดาของท่านพระยาจึงมานั่งรอท่านที่ศาลาด้านล่าง


   พระยาทิพโอสถ แลคุณเต้บุตรชายคนโต ก้าวขึ้นจากเรือเมื่อเทียบท่าน้ำหน้าเรือน โดยมีบ่าวชายช่วยจับกราบมิให้เรือโคลง แต่วันนี้นอกจากคุณเต้ แลท่านพระยาแล้วยังมีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง หน้าตานั้นดูอย่างไรก็คงมิใช่คนไทยแท้ๆ คาดคะเนด้วยสายตาแล้วอายุคงประมาณคุณเต้ มิมาก น้อย ไปกว่ากันนัก


   “ สวัสดีขอรับคุณหญิงแม่ ”


   “ ไหว้พระเถิดพ่อ หายไปเสียนานเลยนะพ่อคิม เที่ยวเมืองอีหรอบ(6) จนลืมแม่เสียกระมัง ”


   เด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับท่านพระยา แลคุณเต้สวัสดีทักทายคุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม ด้วยความสนิทสนม


   “ กลับกันมาเหนื่อยๆ รับน้ำก่อนดีกว่าเจ้าค่ะคุณพี่ ”


   คุณหญิงแย้มรับขันเงินในน้ำลอยดอกมะลิจากบ่าวส่งให้ท่านพระยา ซึ่งท่านพระยาก็รับน้ำใจของคุณหญิงไว้


   “ ขึ้นเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจักถึงมื้อเย็นแล้ว แม่ม้วนแจ้งนายมั่น แลพวกบ่าวชายไปจับปลามาได้เยอะเชียว วันนี้มีแกงเหงาหวอดที่คุณพี่เปรยว่าอยากทานเมื่อวันก่อนด้วยนะเจ้าคะ ”


   “ งั้นรึ เห็นทีวันนี้คงจักเจริญอาหารอีกเป็นแน่ ลูกเต้ วันนี้มากินเสียด้วยกันบนเรือนนะ พ่อคิมก็ด้วยวันนี้ถือเป็นโอกาสดี รู้รึไม่คุณหญิง วันนี้ลูกชายเราได้รับยศใหม่แล้วนะ ”


   ท่านพระยารับคำของคุณหญิงพิม แลหันมาสั่งความบุตรชายให้ขึ้นมารับประทานบนเรือนพร้อมกับเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกัน ก่อนจะหันกลับมาคุยกับคุณหญิงของตนถึงเรื่องดีๆ ในวันนี้


   “ กระนั้นรึเจ้าคะคุณพี่ แล้วเพลาลูกเต้ได้รับยศขั้นใดแล้วเจ้าคะ ”


   “ เพลานี้ท่านเจ้ากรมประทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นท่านหมื่น(7)แล้ว แลให้ศักดินา(7) 500 ไร่ อีกมินานก็คงก้าวขึ้นไปอีก เห็นท่านว่ารอให้พ่อเต้อายุมากว่านี้อีกสักหน่อย จักทูลขอพระราชทานยศให้เพิ่ม ”


   ท่านพระยาว่าด้วยน้ำเสียงยินดี แลไปถึงผู้ที่ได้รับฟังก็ร่วมยินดีไปด้วย โดยเฉพาะคุณหญิงแย้ม ซึ่งเป็นมารดาของคุณเต้ แต่ก็ยังมีอนุภรรยาของท่านพระยาที่มิใคร่จะดีใจไปด้วย


   “ ดีจริงเชียว เพลาหน้าแม่จักต้องเรียกลูกว่าพ่อหมื่นเสียแล้วกระมัง ”


   “ แม่ใหญ่ก็หยอกลูกเกินไปขอรับ ”


   คุณเต้ว่า เมื่อได้ฟังคุณหญิงพิมกระเซ้า ส่วนคุณหญิงแย้มก็ยิ้มรับ


   “ เจ้าคุณพ่อ แม่ใหญ่ แม่เล็ก ลูกขอกลับเรือนไปผลัดเปลี่ยนผ้าสักประเดี๋ยวนะขอรับ แล้วเกลอเล่า จักขึ้นเรือนใหญ่พร้อมเจ้าคุณพ่อ รึจักไปที่เรือนของฉันก่อน ”


   คุณเต้แจ้งความจำนงกับท่านพระยาว่า ตนจักขอกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนของตนก่อน แลหันมาถามเกลอของตนที่พาพร้อมกัน
   

   “ ฉันไปเรือนเจ้าก่อนดีกว่า เจ้าคุณพ่อขอรับ กระผมขอไปที่เรือนเจ้าเต้ก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวจักมาที่เรือนใหญ่พร้อมเจ้าเต้ ”

   “ เอาเถิด ไปผลัดผ้าเสียก่อนก็ดี พ่อเองก็จักไปผลัดผ้าเช่นกัน ”


   ท่านพระยารับคำ ก่อนที่ทุกคนจักแยกย้ายกันไปตามที่แจ้งกันไว้ ท่านพระยา คุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม อนุภรรยา แลบุตร ธิดา เดินขึ้นเรือนใหญ่ ส่วนคุณเต้แลเกลอที่มาด้วยเดินกลับเรือนริมน้ำ



   ระหว่างทางเดินกลับเรือนริมน้ำ ในยามใกล้ค่ำ ตี๋ถือตะเกียงเจ้าพายุส่องทาง แม้จักจุดไต้ตามแนวทางเดินไว้แล้วก็ตามที


   เต้มองตามหลังของคนที่ถือตะเกียงส่องทาง แลย้อนกลับมายังเกลอของตนที่เดินมาพร้อมกัน สายตาของเกลอนั้นมองบ่าวของตนด้วยสายตาที่ตนมิใคร่จักชอบใจนั้น


   “ เต้ เจ้าได้บ่าวคนใหม่แล้วรึ หน่วยก้านดีที่เดียวเชียว ”


   “ คิมม่อน ”


   คุณเต้ปรามด้วยน้ำเสียง เมื่อเห็นถึงสายตา แลน้ำเสียงของคิมม่อนที่มองบ่าวคนใหม่ของตนอย่างถูกใจ ทั้งที่ก่อนหน้าเขามิเคยปรามเกลอคนนี้ของตนมาก่อน


   “ กระไรรึ เมื่อก่อนมิเห็นเคยปรามฉัน ”


   “ ตี๋ยังเล็กนัก ฉันมิอยาก..... ”

   “ เอาเถิด ฉันมิได้ว่ากระไร เอาเป็นว่าฉันรับรู้ไว้แล้ว ”


   “ แต่จักว่าไปดูท่าท่างซื่อๆ ดีนะ ”
   
   “ คิมม่อน ”


   แม้คิมม่อนออกปากว่าเข้าใจในสิ่งที่เกลอของตนต้องการ แต่ก็อดจะกระเซ้าเพื่อนหน้าตายของตนมิได้ นั่นทำให้เต้ต้องเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียกึ่งฉิว กึ่งระอา แต่ก็ทราบแล้วว่าเพื่อนตนแค่จักหยอกเล่น




*******************************

(ต่อโพสต์ด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 3 (01/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 01-10-2018 17:33:24
……….สายสัมพันธ์..........

ตอนที่ 3 (ต่อจากด้านบน)



   เสียงหัวเราะบนเรือนใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ หลังมื้ออาหารผ่านไป แลเสียงที่พูดคุยเล่าเรื่องต่างๆ นั้นก็เป็นเสียงของแขกอย่างคิมม่อน ที่สรรหาเรื่องมาเล่าอย่างออกรส


   ยามเมื่อน้ำค้างเริ่มลงหนักขึ้น แขกผู้มาเยือนเรือนพระยาทิพยโอสถ ก็ขอลากลับเรือน โดยมีบ่าวในเรือนพายเรือไปส่ง


   เมื่อคิมม่อนลากลับ คุณเต้จึงลาเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงพิม แลคุณหญิงแย้มกลับเรือนตนเช่นกัน ตี๋เดินถือตะเกียงเจ้าพายุส่องทางให้นายของตน ทั้งที่แนวทางเดินนั้นจุดคบไฟไว้แล้ว



   คุณเต้มองบ่าวของตนอย่างไม่ใคร่จักพอใจนัก เมื่อบ่าวของตนนุ่งผ้าเตี่ยว(8)ผืนเดียว ผิวขาวอย่างลูกเจ็ก ลูกจีน แต่คล้ำแดด หากก็ยังละออตา ยิ่งเมื่ออยู่กับแสงไฟเช่นนี้


   ไม่มีคำสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างทางเดิน คุณเต้เก็บความมิใคร่จักชอบใจนั้นไว้ด้วยคิดจักมาชำระความที่เรือนตน มิอยากให้บ่าวไพร่อื่นที่ชอบสอดรู้นำเรื่องของเรือนตนไปนินทา


   “ ตี๋ เหตุใดเจ้าจึงนุ่งผ้าเตี่ยวยาวแค่คืบเพียงนี้ เสื้อก็มิสวม ”


   เต้ว่าขึ้นหลังจากขึ้นมาบนเรือน นั่งลงที่ชานเรือนเรียบร้อยแล้ว เขาดุด้วยสายตา แลน้ำเสียง ให้อีกคนรู้ถึงอารมณ์ที่มิใคร่พอใจของตน


   “ บ่าวมิมีผ้าโจงผืนใหญ่ดอกขอรับ มีเพียงผ้าเตี่ยวเท่านั้นขอรับ ”


   ตี๋ตอบตามความจริง ทำให้เต้ที่ได้ฟังคิดตามในบางสิ่งที่ตนหลงลืมไป บ่าวชายนั้นก็มิได้สวมเสื้อ ทั้งยังนุ่งผ้าถกเขมร(9) เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ซึ่งเขาก็มิเคยสนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน ด้วยเห็นจนชินตา แต่เมื่อมาเป็นคนตัวเล็กที่นั่งหมอบอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว ตนมิใคร่จักอยากให้ถอดเสื้อ แลนุ่งผ้าเตี่ยวสั้นแค่คืบ หรือแม้กระทั่งจักนุ่งโจงถกเขมร


   สิ่งที่เต้รู้สึกกับตี๋ มันมิเหมือนนายที่ห่วงบ่าว แต่มันคล้ายจักมากกว่านั้น ซึ่งตัวเขาเองก็ยังมิแน่ใจตนเองมากนัก ณ เพลานี้ตนรู้เพียงมิชอบให้บ่าวของตนแต่งกายเยี่ยงนี้


   แต่หากจักให้ตี๋นุ่งโจง แลสวมเสื้ออย่างตน ก็เกรงว่าตี๋จักมีภัย เนื่องด้วยคงมีบ่าวที่มิพอใจตี๋เป็น แลบ่าวพวกนั้นคงจักหาเรื่องกลั่นแกล้งเป็นแน่


   “ เอาเกิด ข้าเองก็ลืมนึกไป ประเดี๋ยวเจ้าตามข้าไปในห้องด้วยแล้วกัน ”


   “ ขอรับคุณเต้ ”


   ตี๋รับคำผู้เป็นนายโดยมิได้ไตร่ถามกระไรต่อ ก้าวเท้าตามนายของตนเข้าไปในเรือนนอนด้านหลังชานเรือน มองคุณเต้ที่เดินไปหยิบผ้าโจงผืนงามจากหีบส่งให้ตน


   “ รับไปสิ ข้าให้เจ้าเป็นรางวัล ที่เจ้าทำงานถูกใจข้า ”


   คุณเต้ยื่นผ้าโจงของตน 5 ผืน ให้ตี๋ แต่คนตัวเล็กเบื้องหน้ายังมิยอมรับ จนเขาต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


   “ กระไรรึ รึเจ้ามิอยากรับรางวัลจากข้า ”


   “ มิได้ขอรับ ผ้าโจงของคุณเต้งามนัก คงมิเหมาะกับบ่าว บ่าวมิกล้ารับดอกขอรับ ”


   “ ข้าให้เจ้ามิเกี่ยวว่าเหมาะรึไม่ รับไปเสีย แลใช้แทนผ้าเตี่ยวของเจ้า หากใครถามก็บอกมันผู้นั้นไปว่าข้าให้เป็นรางวัลที่เจ้าทำงานถูกใจข้า เข้าใจรึไม่ ”


   เต้ตัดบทเพราะไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธของตี๋อีก เพราะคนตัวเล็กนี้ช่างหาข้ออ้างเก่งยิ่งนัก ยิ่งเถียงกัน จักยิ่งมากความ เขามิอยากให้ใครมองบ่าวของเขา เหมือนสายตาที่คิมม่อนมองวันนี้ แต่หากว่าคิมม่อมมิมองตี๋ในวันนี้ เขาก็ยังมิได้คิดกระไร


   อีกเรื่องที่เขาอยากให้ทำ คือเรื่องเสื้อ เขาก็มิใคร่ชอบใจนักที่จักให้บ่าวคนนี้ของเขามิสวมเสื้อเยี่ยงนี้ แต่หากให้สวมเสื้ออยู่กับเรือนก็จักเป็นข้อสงสัย แลไปถึงคำนินทา ว่าเหตุใดบ่าวตัวเล็กของเขาจึงแต่งกายเยี่ยงเจ้านาย นั่นก็จักนำภัยมาสู่คนของเขาได้




******************************




   นับจากวันที่ได้รับยศแลศักดินาใหม่ เต้ก็มีการงานในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ณ ตอนนี้เขาเข้าทำงานด้านการแพทย์กับเจ้ากรมอย่างเต็มตัว แต่เขาก็ยังมิหยุดที่จักศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม


   “ น้ำขอรับคุณเต้ ”


   ตี๋ส่งขันน้ำให้คุณเต้ ก่อนจักรับสัมภาระมาจากคนเรือมาถือไว้ หนังสือ แลตำราก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมากนัก หลังจากที่คุณเต้ได้รับยศเพิ่ม


   “ ขอบใจ เจ้าถืองานตามข้ามาที่เรือนเลยนะ วันนี้ยังมีงานค้างอีกหลายเรื่องนัก ”


   เต้สั่งงานบ่าวของตน วันนี้เขานำหนังสือ แลงานอื่นๆ กลับมาทำที่เรือน เนื่องด้วยเขาไม่สามารถทำให้แล้วที่กรมได้หมด


   “ คุณเต้จักอาบน้ำเลยรึไม่ขอรับ บ่าวจักไปเตรียมน้ำ ”


   “ ยังมิต้อง ข้าจักทำงานวันนี้ให้แล้วเสียก่อน ”


   “ ขอรับ ”


   ตี๋รับคำ เขาวางหนังสือของคุณเต้ไว้บนตั่งตัวเล็ก แลถอยออกมานั่งรอนอกชานเรือน เมื่อคุณเต้ก้าวเข้าไปในเรือนนอน เพื่อผลัดผ้า


   เต้เดินออกจากเรือนนอนเหลือบมองบ่าวของตนเสียทีหนึ่ง ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพึงใจ เมื่อเห็นว่าบ่าวของนั่งรอเงียบๆ แลนุ่งโจงที่เขาเคยให้ไว้


   สองบ่าวนั่งอยู่บนเรือนเงียบๆ มิมีใครพูดคุย ตี๋เหลือบมองนายของตนเป็นระยะ เช่นกันกับที่เต้ก็ส่งสายตามองบ่าวของตนเช่นกัน


   เมื่อใกล้ถึงมื้ออาหาร ตี๋จึงคลานเข่าออกไป เดินไปโรงครัวเพื่อนำสำรับอาหารมาให้นาย นอกจากนั้น เขายังหิ้วห่อข้าวที่ปริกคนครัวช่วยจัดใส่ห่อไว้ให้ ซึ่งเกือบทุกเขาต้องขอให้พี่ปริกเตรียมห่อข้าวเช่นนี้ไว้ให้ เพราะเขามักจักกลับมามิทันมื้ออาหาร เนื่องด้วยคุณเต้มิใคร่จักรับมื้อเย็นทันทีที่เขายกสำรับไปให้


   คราหลังจากที่คุณเต้ยกสำรับของตนให้เขาแล้ว คุณเต้มักจักบังคับให้เขากินข้าวพร้อมกันกับตน แลคุณเต้ยังเอื้อเฟื้อตักอาหารในสำรับให้เขาอีกด้วย


   เต้มองตามหลังคนที่เพิ่งก้าวลงเรือนไป เขาถูกใจตี๋มากอย่างที่ตนก็นึกตกใจตัวเอง มันคงเป็นความเอ็นดู หรือมากกว่านั้นเขายังมิกล้ายอมรับ


   “ คุณเต้จักรับมื้อเย็นเลยหรือไม่ขอรับ ”


   “ วางไว้ก่อน อีกประเดี๋ยวหนึ่ง งานตรงนี้ใกล้แล้ว แล้ว ”


   ตี๋ถามเมื่อยกสำรับกลับมาถึงเรือน แลเห็นคุณเต้กำลังมองมาที่ตน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาว่า คุณเต้ต้องปฏิเสธ ซึ่งครานี้ก็เป็นเช่นนั้น


   “ ตี๋ เจ้าอ่าน เขียนได้บ้างรึไม่ แลอยากเรียนเขียนอ่านบ้างรึไม่ ”


   เต้ถามขึ้น ส่วนคนที่โดนถามกลับสะดุ้งตกใจในสิ่งที่ได้ยินเสียอย่างนั้น เพราะไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่นายเงินจักถามทาสเรื่องการเรียนอ่านเขียน


   “ ตกใจกระไรรึ ข้าถามก็ตอบ มิใช่นั่งตกใจ ”


   “ บ่าวพออ่าน เขียนได้บ้างขอรับ หลวงตาที่วัดท่านเมตตาสั่งสอนขอรับ ”


   “ อืม แล้วเจ้าอยากจักเรียนเพิ่มรึไม่ ”


   “ ได้รึขอรับ บ่าวอยากเรียนขอรับ แต่...... ”


   ตี๋ตอบด้วยน้ำเสียดีใจ เมื่อคุณเต้ถามว่าอยากจักเรียนรู้หนังสือรึไม่ แต่ปลายเสียงนั้นแผ่วลงเมื่อตนเองนึกถึงฐานะของตนได้


   “ อยากเรียนก็คืออยากเรียน มิต้องมีแต่ แลเจ้าบอกว่าพอรู้มาบ้างแล้ว คงมิยากเกินจักสั่งสอนกระมัง ”


   เต้ว่าพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบ่าวของตนดีใจกับสิ่งที่ตนถาม แต่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าดีใจนั้นจึงม่อยลง


   “ หากเจ้าอยากเรียน ข้าจักสอนให้ แลเมื่อเจ้ารู้หนังสือมากขึ้นจักได้ช่วยงานข้าได้มากขึ้นเช่นกัน ”


   เต้กล่าว พร้อมมองสีหน้า แลแววตาดีใจของตนตรงหน้าไปด้วย เขาเพิ่งนึกได้เมื่อเห็นงานที่มากล้นของตน หากว่ามีคนมาช่วยก็คงจักแล้วได้ไวกว่าเดิม ซึ่งหากคนที่จักเข้ามาช่วยเขานั้นเป็นคนตัวเล็กนี้ ตี๋ก็จักต้องตามเขาเข้ากรมไปด้วยกัน หากเมื่อต้องเข้ากรม ตี๋ก็จักต้องแต่งกายให้มิดชิด สวมเสื้อแลนุ่งโจง มิต้องเปลือยอกเช่นตอนอยู่เรือน



******************************



   หลังจากที่เต้เริ่มสอนเรื่องเรียนเขียนอ่านกับตี๋ในครานั้น บัดนี้ตี๋นั้นเริ่มเขียนอ่านคล่องขึ้นจากเดิมมากนัก ทำให้ครูอย่างเต้พอใจเป็นอย่างมาก แลความรู้สึกของเต้เองที่เคยติดค้างในใจตนในคราแรกนั้น ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจใจตัวเองมากขึ้น



   ส่วนหนึ่งเขาต้องขอบคุณเกลออย่างคิมม่อน ที่แนะนำเขา เมื่อเขานำเรื่องที่เขาเป็นไปปรึกษา คิมม่อนเป็นเกลอที่มีความคิดต่างไปจากคนในพระนคร อาจเนื่องมาจากเจ้าตัวมีบิดาเป็นฝรั่ง แลเดินทางไปบ้านเกิดบิดาบ่อยครั้ง ความคิดจึงมิเหมือนใคร


   คิมม่อนชี้แจงจนเขาแจ้งใจว่า เขาชอบบ่าวของตนแบบใด แลคิมม่อนยังกล่าวอีกว่า ตนเองก็เป็นเช่นกัน คิมม่อนเองก็มีคนที่ใจหมายปอง คิมม่อนว่าพวกเขามิใช่พวกแรกในพระนครที่คิดเล่นสวาท(10) หากแต่ก่อนหน้าก็มีเกิดขึ้นมามิใช่น้อย แต่นั่นมิใช่เรื่องที่เปิดเผยได้


   หลังจากเต้ปรึกษาคิมม่อน ความรู้สึกเขาก็ชัดเจนขึ้นว่า เขารู้สึกเยี่ยงไรกับตี๋ แต่ความรู้สึกนี้เขามิอาจจักบอกใครได้ ลำพังตัวเขานั้นมิเป็นไร แต่กับบ่าวอย่างตี๋ อย่างเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตี๋คงจักต้องโดนลงโทษเป็นแน่ นั่นเป็นเรื่องที่เขาจักต้องระวังให้มาก



**********************************



   “ เหตุใดคุณเต้ต้องจ้องมองบ่าวเยี่ยงนี้ขอรับ ”


   “หากข้ามิได้ดูใกล้ๆ จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่า สิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้น ถูกใจข้ารึไม่ ”


   ตี๋เอ่ยถามนายของตน เมื่อเห็นว่าคุณเต้นั่งมองสิ่งที่ตนเองกำลังทำเสียใกล้ จนศีรษะเกือบจักชนกัน ส่วนคุณเต้นั้นก็ตอบ แต่ก็มิได้ถอยห่างออกไปแต่อย่างไร


   ลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะหน้านั้นทำให้คนที่โดนมองวูบไหวในอกแปลกๆ โดยที่ตนเองก็มิอาจบอกได้ว่ามันเป็นกระไรกันแน่

   เต้พิศมองคนที่นั่งหน้าขึ้นสีเรื่อๆ อย่างพึงใจ แก้มนวลนั้นเจือสีแดงจาง ยิ่งมองยิ่งหลงไปให้เสน่ห์ ทั้งที่คนทำคงจักมิรู้ตัว


   “ คุณเต้ถอยออกไปสักนิดได้รึไม่ขอรับ บ่าวเขียนมิถนัด ”


   ตี๋บอกคนที่นั่งข้างตนให้ช่วยถอยออกไป โดยความจริงแล้วนั้นมิใช่ว่าเขียนมิถนัด หากแต่ยิ่งคุณเต้นั่งใกล้เขาเท่าใด ใจเขาก็เต้นเร็วเท่านั้น


   “ วันนี้พอแค่นี้ก่อน คืนนี้พระจันทร์งามนัก ข้าอยากจะไปเดินเล่น ตี๋เจ้าจักไปกับข้าได้รึไม่ ”


   เต้เอ่ยขึ้น พลางแหงนมองจันทร์ดวงโตบนฟ้า ส่วนบ่าวอย่างตี๋ เมื่อนายบอก แม้มิได้สั่ง แต่เขารึจักกล้าปฏิเสธ


   “ ขอรับคุณเต้ รอประเดี๋ยวนะขอรับ บ่าวขอเก็บตำราตรงนี้ก่อน ”


   น้ำค้างยามค่ำลงแรงขึ้นแล้ว หากคนสองคนที่เดินอยู่นั้นมิใคร่ใส่ใจ เต้เดินนำตี๋ไปตามทางเดินจากเรือนสู่ศาลาริมน้ำ เพลานี้ดึกพอสมควรแล้ว บ่าวไพร่ที่เคยเดินให้เห็นก็มิมีแล้ว จักมีก็เพียงแต่ บ่าวชายที่ยืนยามในคืนนี้เท่านั้น


   เพลามิถึงชั่วอึดใจทั้งคู่ก็ถึงศาลาริมน้ำ คุณเต้ออกไปยืนรับลมที่นอกศาลา ติดกับท่าจอดเรือ พลางแหงนมองจันทร์บนฟ้า ก่อนจักเอ่ยประโยคที่ทำให้คนมาด้วยหน้าร้อนผ่าวขึ้นอย่างมิทันตั้งตัว



   “ ตี๋เจ้าเห็นพระจันทร์นั่นไหม จันทร์ว่างามแล้ว แต่คนที่อยู่ข้างข้าก็งามไม่แพ้จันทร์ ”


   มิเพียงแต่คำพูด คุณเต้ยังหันมายิ้มให้ ส่งให้ใจที่เต้นแรงเมื่อแรกได้ยินประโยคนั้น กลับยิ่งแรงเต้นขึ้นไปอีก ใจดวงนั้นเต้นแรงเสียจนตนเกรงว่า คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าจักได้ยิน


   แต่ตี๋มิได้ตอบกระไรกลับไป เพราะตัวเองทำได้เพียงนั่งใจเต้นไม่เป็นส่ำ แลรู้สึกว่าใบหน้าของตนนั้นร้อนผ่าวขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ


   เต้มองตนตัวเล็กที่นั่งมองตนเอง หากก็มิมีคำใดหลุดออกจากปากเล็กๆนั่น มีเพียงใบหน้า แลใบหูขึ้นสีระเรื่อ แม้ว่าเป็นเพลาค่ำก็มองเห็นได้


   “ ตี๋ เจ้าว่าความรักนั้นเป็นเช่นไรกัน แลคนรักกันนั้นเป็นเยี่ยงใด ”




***********************************










เชิงอรรถ


(1)   แล้ว เป็นคำวิเศษ หมายถึง ลักษณะอาการกระทําใดๆ เสร็จ สิ้น จบ ล่วงไป หรือสุดสิ้นลง เช่น กินแล้ว ทำแล้ว นอนแล้ว หรือต่อแต่นั้นเริ่มใหม่อีกระยะหนึ่ง (จะเป็นการกระทําอย่างเดียวกัน หรือต่างกันแล้วแต่กรณี) เช่น กินแล้วนอน ขึ้นรถแล้วลงเรือ
เป็นคำกิริยา หมายถึง จบ สิ้น เสร็จ เช่น งานแล้วหรือยัง



(2)   ปลาสังกะวาด หรือ ปลายอน เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด โดยพบแล้วประมาณ 26 ชนิด มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวลื่นไม่มีเกล็ด หัวโต ตามีขนาดเล็ก ปากกว้าง รูจมูกคู่หลังอยู่ใกล้รูจมูกคู่หน้ามากกว่านัยน์ตา และอยู่เหนือระดับขอบบนของลูกนัยน์ตา มีหนวด 2 คู่สั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิด (ริมปากบน 1 คู่ และคาง 1 คู่) มีฟันที่กระดูกเพดานปากชิ้นกลางและชิ้นข้าง แต่ในบางชนิดอาจหดหายไปเมื่อปลามีอายุมากขึ้น รูปร่างอ้วนป้อม ครีบทั้งหมดโดยเฉพาะครีบหลังและครีบอกตั้งชี้ตรง และมีก้านแข็ง นัยน์ตาอยู่เหนือระดับมุมปากเล็กน้อย ท้องไม่เป็นสันคม ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 6 ก้าน มีขนาดรูปร่างที่แตกต่างออกไปตั้งแต่ 1 ฟุต ไปจนถึงเกือบ 3 เมตร แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 1-1.5 เมตร



(3)   ข้อง เป็นคำนาม หมายถึง เป็นเครื่องจักสานชนิดหนึ่ง สานด้วยผิวไม้ไผ่ ปากแคบอย่างคอหม้อ มีฝาปิดเปิดได้ เรียกว่า ฝาข้อง ฝาข้องมีชนิดที่ทำด้วยกะลามะพร้าว และใช้ไม้ไผ่สานเป็นรูปกรวย ปลายกรวยแหลมปล่อยเป็นซี่ไม้ไว้เรียกว่า งาแซง ข้องใช้สำหรับใส่ ปลาปู กุ้ง หอย กบ เขียด หรือตะข้องก็เรียก



(4)   แกงเหงาหงอด เป็นตัวแทนของอาหารสมัยอยุธยา ที่มีหลักฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจาก “ซุป” ของโปรตุเกส ยุคนี้มีพริก หอม กระเทียม เป็นวัตถุดิบในการปรุงแล้ว มีลักษณะคล้ายกับแกงส้ม ปรุงแบบพริกแกงส้ม มีพริกชี้ฟ้าสดสีเหลือง พริกชี้ฟ้าแดงแห้ง หอม กระเทียม วัตถุดิบจากโปรตุเกส มาผสมกับกะปิบ้านเรา ผสมกันเป็นแกงชนิดใหม่


(5)   ย่ำฆ้อง เป็นการบอกเวลาในอดีต เมื่อครั้งนาฬิกายังไม่แพร่หลาย ขณะนั้นจะมีเฉพาะสถานที่สำคัญอย่างศาลาว่าการ หรือวัดเท่านั้นที่จะมีนาฬิกาใช้ ฉะนั้นจึงต้องมีการส่งสัญญาณ เพื่อบอกเวลาให้คนทั่วไปทราบ จะได้กะประมาณการดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้อย่างถูกต้อง การส่งสัญญาณดังกล่าวจะใช้เครื่องมือที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัน  กลายเป็นที่มาของหน่วยนับเวลาที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง


   ในตอนกลางวันจะบอกเวลาโดยอาศัยการตีฆ้อง  ซึ่งจะให้เสียงดัง “โหม่ง”  โดยชั่วโมงแรกของวันตามทัศนะคนไทยคือ ๗ นาฬิกา ( เพราะนับจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ ๖ นาฬิกา  ไม่ได้ถือตามฝรั่งที่เอาเวลา ๑ นาฬิกาเป็นชั่วโมงแรกของวัน ) ทางการก็จะตีฆ้อง ๑ ครั้ง กลายเป็น ๑ โหม่ง หรือ ๑ โมงเช้า เวลา ๘ นาฬิกาก็จะตี ๒ ครั้ง เป็น ๒ โมงเช้า เวลา ๙ นาฬิกาก็จะ ๓ ครั้งเป็น ๓ โมงเช้า เรื่อยไปจนถึงเวลา ๑๑ นาฬิกาหรือ ๕ โมงเช้า บางครั้งก็จะเรียกว่า “เวลาเพล”  ตามเวลาที่พระฉันเพล  ส่วนเวลา ๑๒ นาฬิกาจะเรียกว่า  “เที่ยงวัน”



   ชั่วโมงแรกหลังจากเที่ยงวันก็จะกลับมาตีฆ้อง ๑ ครั้งอีกที  เวลา ๑๓ นาฬิกาจึงเรียกว่า ๑ โมงบ่าย หรือบ่าย ๑ โมง เวลา ๑๔ นาฬิกาก็จะตี ๒ ครั้ง เป็นบ่าย ๒ โมง เรื่อยไปจนถึงเวลา ๑๖ และ ๑๗ นาฬิกา อาจเรียกว่าบ่าย ๔ โมง บ่าย ๕ โมง  (ตามลำดับ) หรือจะเรียกว่า ๔ โมงเย็น ๕ โมงเย็น (ตามลำดับ) ก็ได้ แต่วิธีเรียกอย่างหลังจะเป็นที่นิยมมากกว่าในปัจจุบัน ส่วนเวลา ๑๘ นาฬิกานั้นจะเรียก ๖ โมงเย็นก็ได้ แต่ในอดีตจะใช้คำว่า “ย่ำค่ำ”  เพราะเป็นเวลาคาบเกี่ยวระหว่างกลางวันกับกลางคืน  พระก็มักตีกลองรัวในเวลานี้ก็อาจเรียกว่า ย่ำกลอง ได้เช่นกัน



   คำว่า “ย่ำ” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ก. เหยียบหนัก ๆ ซ้ำ ๆ ถ้าเหยียบในลักษณะเช่นนั้นอยู่กับที่ เรียกว่า ย่ำเท้า เดินในลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้น ตีกลอง หรือฆ้องถี่ ๆ หลายครั้งเพื่อบอกเวลาสำหรับเปลี่ยนยาม เรียกว่า ย่ำกลอง ย่ำฆ้อง, ย่ำยาม ก็เรียก, ถ้ากระทำในเวลาเช้า เรียกว่า ย่ำรุ่ง (ราว ๖ นาฬิกา), ถ้าทำในเวลาค่ำ เรียกว่า ย่ำค่ำ (ราว ๑๘ นาฬิกา)


   เวลา ๑๘ นาฬิกานี้ พระมักจะ ย่ำกลอง ย่ำฆ้อง หรือ ย่ำระฆัง เพื่อบอกเวลาสิ้นสุดวันให้ชาวบ้านในชนบทได้รับรู้  ครั้นความเจริญมีมากขึ้นจนทุกบ้านต่างมีนาฬิกาใช้  บทบาทของการย่ำกลองจึงหมดไป



(6)   เมืองอีหรอบ คำโบราณ เป็นคำนาม แปลว่า ยุโรป หมายความว่า ฝรั่ง เช่น ดินอีหรอบเข้าอีหรอบ หมายความว่า ทําตามแบบฝรั่ง


(7)   หมื่น เป็นระดับยศ หรือ บรรดาศักดิ์ คือ ระดับชั้นของข้าราชการไทยในสมัยโบราณ แบ่งออกได้เป็น 8 ระดับ

-   เจ้าพระยา
-   พระยา
-   พระ หรือ จมื่น
-   หลวง
-   ขุน
-   หมื่น
-   พัน
-   นาย หรือ หมู่
-   หมายเหตุ สมเด็จเจ้าพระยา เป็นบรรดาศักดิ์พิเศษที่ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นในบางรัชกาล

•   ศักดินา คือ ตัววัดในการปรับไหม และ พินัย ในกรณีขึ้นศาล คนที่ถือศักดินาสูง เมื่อทำผิดจะถูกลงโทษหนักกว่าผู้มีศักดินาต่ำ การปรับในศาลหลวง ค่าปรับนั้นก็เอาศักดินาเป็นบรรทัดฐานการกำหนดระบบศักดินาขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน หน่วยที่ใช้ในการกำหนดศักดินา ใช้จำนวนไร่เป็นเกณฑ์ แต่มิได้หมายความว่าศักดินาจะเป็นข้อกำหนดตายตัวเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน


•   ศักดินา ไม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นวิธีการลำดับ"ศักดิ์"ของบุคคลตั้งแต่ พระมหาอุปราช ขุนนาง ข้าราชการ ลงไปจนถึงไพร่และทาส โดยกำหนดจำนวนที่นามากน้อยตามศักดิ์ของคนนั้น พระมหาอุปราชมีศักดินา 100,000 ไร่ และสูงสุดของขุนนางคือ ชั้นเจ้าพระยามีศักดินา 10,000 ไร่ คนธรรมดาสามัญมีศักดินา 25 ไร่ ทาสมีศักดินา 5 ไร่ เป็นต้น


(8)   ผ้าเตี่ยว เป็นคำนาม หมายถึง ผ้าคาดปากหม้อกันไม่ให้ไอระเหยออกมา ผ้าขัดหนอกซับระดู ผ้าผืนเล็กเฉพาะปิดของลับ ใบตองชิ้นยาวคาดกลัดห่อขนม (ภาษาถิ่นภาคเหนือ) กางเกง ตัวอย่างเช่น ชาวบ้านบางคนก็ยังมั่นคงอยู่กับจารีตเก่าด้วยการนุ่งผ้าเตี่ยวหรือโสร่งคาดผ้าขะม้า ในที่นี้ผู้แต่งขอความถึง ผ้านุ่งผืนเล็กนุ่งอย่างโจงกระเบน


(9)   ถกเขมร เป็นคำกิริยา คือ การนุ่งผ้าโจงกระเบนดึงชายให้สูงร่นขึ้นไปเหนือเข่า ขัดเขมร ก็ว่า



(10)    เล่นสวาท เป็นคำกิริยา แปลว่า เลี้ยงเด็กชายเป็นลูกสวาท หรือกิจกรรมทางเพศระหว่างชายกับชาย ในที่นี้ผู้แต่งขอแปลความว่า การที่ผู้ชายมีคู่รักเป็นผู้ชายด้วยกัน




************************************




ตัวละครเพิ่มเติม


1 นายสุก , นายผล บ่าวชายในเรือนพระยาทิพยโอสถ ที่เคยแกล้งตี๋ แต่เพลานี้กลับนับถือกันเป็นพี่น้อง


2 ป้าม้วน หัวหน้าแม่ครัว


3 พี่ปริก คนครัว


4 คิมม่อน (ขาดไม่ได้เลย) สหายของคุณเต้ เป็นลูกครึ่ง มิใช่ชาวสยามโดยแท้ มีมารดาเป็นแม่หญิงไทย แต่บิดาเป็นชาวอีหรอบ



   ซึ่งเท่าที่ผู้เขียนหาข้อมูลมานั้น เริ่มมีตั้งแต่ในสมัยอยุธยา เนื่องจากมีการเข้ามาค้าขาย เผยแผ่ศาสนาของชาวยุโรป และมีเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์



   และเมื่อเมืองสยามทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ใน พ.ศ. 2389 นั้น เป็นการเปิดการค้าเสรีมากขึ้น ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาในไทย ทั้งทำการค้า เผยแพร่วัฒนธรรม ศาสนา อารยะธรรมด้านสถาปัตยกรรม และอื่นๆ ซึ่งทำให้มีลูกครึ่งเพิ่มขึ้นการเดิม



************************************



คุยกับคนแต่ง



   ก่อนอื่นข้าเจ้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ข้าเจ้าช่างล้าช้ายิ่งนัก มิขอแก้ตัวขอรับ แต่ข้าเจ้าจักพยายามปรับปรุง และในบทนี้นั้น ท่านอาจมิชอบใจกับเชิงอรรถท้ายบท ที่มีเสียมากมาย


   แต่ข้าเจ้าขอนำเรียนว่า ข้าเจ้าเพียงต้องการนำเสนอเกร็ดความรู้ไปพร้อมกับเนื้อเรื่อง หากเป็นการรบกวน ทำให้ท่านเสียอรรถรสในการอ่าน ข้าเจ้าก็จักต้องอภัยขอรับ


   และเรื่องนี้สอนให้ข้าเจ้ารู้ว่า เรามิควรหลับในชั่วโมงประวัติศาสตร์ เพราะข้าเจ้าพบเจอปัญหาเมื่อตอนเขียนบทนี้ เนื่องด้วยข้าเจ้าพยายามนึกถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบ ซึ่งมันช่างยากนักแล และนั่นก็ทำให้ข้าเจ้าบ่นๆ กับพี่ท่านหนึ่งว่า ‘หนูอยากเปลี่ยนแนวแล้ว’ แต่คุณพี่ท่านนั้นก็บอกว่า ไม่ทันแล้วน้องเอ๋ย เพราะฉะนั้น ข้าเจ้าจึงพยายามจักหาข้อมูลให้ใกล้เคียงความเป็นจริงในสมัยต่อไป (ร้องไห้)


   ขอกล่าวถึงตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาอย่างคิมม่อน ซึ่งคิมม่อนเป็นตัวแปรที่ทำให้คุณเต้ออกอาการหวงน้อง เท่านั้นยังมิพอ คิมม่อนยังเป็นที่ปรึกษาด้านหัวใจให้อีกด้วย


   แลในบทนี้นั้น หลังจากคุณเต้ที่ยอมรับหัวใจ แลความรู้สึกของตัวเองแล้ว คุณเต้ก็เริ่มเกี้ยวน้องให้ได้เขินกันไป ส่วนน้องก็ยังเด็กน้องนัก แต่ก็เขินไปกับพี่เช่นกัน


   สุดท้ายข้าเจ้าคงต้องบอกว่า รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ แล้วพบกันขอรับ




.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป




…..Mariner_IX….




หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 3 (01/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 01-10-2018 20:23:32
 :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 3 (01/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-10-2018 14:27:53
   สีหราช : ขอบคุณขอรับ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 4 (05/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-10-2018 14:36:29
ตอนที่ 4/1

...............ใจผูกใจ...............



   หลังจากที่ผ่านคืนที่เต้ออกมาชมจันทร์ ความสัมพันธ์ระหว่างนายแลบ่าวก็เหมือนจักชัดเจนขึ้น เต้ชัดเจนในความรู้สึกของของตน แลยอมรับสิ่งที่ตนรู้สึกอย่างมิมีข้อแม้

   คิมม่อนที่ทราบเรื่องของเต้เป็นอย่างดี ก็มักจักมาเยือนเรือนพระยาทิพยโอสถบ่อยขึ้น ด้วยนานาสาเหตุ ไม่ว่าจักเป็น นำเครื่องหอมจากเมืองฝรั่ง มาให้คุณหญิงทั้งสอง นำผ้าแพร แลเครื่องประดับมาให้เลือก แต่สาเหตุหลักของการมาเรือนพระยาทิพโอสถนั้น คนที่ทราบดีกว่าใครคือเจ้าของเรือนริมน้ำ ว่าคิมม่อนมาเรื่อนพระยาทิพยโอสถด้วยการใด

   เพราะทุกครั้งที่มาเรือนพระยาทิพยโอสถ สิ่งที่คิมม่อนต้องกระทำนั่นคือ การมายั่วยุเต้ที่เรือนริมน้ำ ด้วยการนั่งมองทาสเรือนริมน้ำ พร้อมกับถ้อยคำที่คิมม่อนหยอกเย้าทาสรับใช้ของเรือนให้ได้ประหม่าไม่เว้นวัน แลคิมม่อนนั้นพึงใจเป็นอย่างมากเช่นกันที่เห็นเต้ ออกอาการมิใคร่จักชอบใจนัก ที่เห็นตนเย้าแย่ทาสของเรือน แต่คิมม่อนก็มิใคร่ใส่ใจนัก ยังคงหาหาเรื่องมาที่เรือนมิได้ขาด จนเต้อยากจักให้บิดาของเจ้าตัวส่งกลับอยู่ที่เมืองฝรั่งเสียเหลือเกิน

   “ เอาน่าเต้ ฉันเห็นว่าบ่าวของเจ้าซื่อดีนัก แลฉันก็เอ็นดูอยู่มาก จึงอยากจักหยอกเล่นบ้าง มิเห็นเจ้าต้องเคืองฉันเลย ”

   “ แต่ฉันมิชอบ เจ้าเองก็รู้มิใช่รึ เหตุใดจึงชอบยั่วยุฉันนัก ”

   “ เต้ ฉันบอกแล้วว่าฉันมีคนที่สมัครใจปองแล้ว เจ้ามิต้องกังวล แลฉันก็มิใคร่ชอบที่จักแย่งของเพื่อน เจ้าสบายใจเถิด ฉันก็แค่หยอก เพราะฉันอยากเห็นเจ้าหวงนั่นล่ะ ”

   “ แต่ฉันมิสนุกด้วยเลยนะคิมม่อน ”

   “ เพราะเจ้าหวง แลหึงทาสของเจ้ามากนั่นประไร ฉันก็แค่ทำให้เจ้ารู้ใจตัวเองมากขึ้น ”

   “ ขอบใจเพื่อนเกลอ เจ้าเองก็ว่าฉันชอบพอบ่าวคนนี้อยู่มาก มากเสียจนฉันเองก็ยังตกใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน แต่เจ้าเองก็รู้มิใช่รึว่า เรื่องของฉันมันเป็นเรื่องที่พึงระวังเป็นอย่างมาก ”

   “ ฉันเข้าใจนะ เอาเป็นว่า ฉันมิหยอกเจ้าแลบ่าวของเจ้าแล้ว แต่สิ่งที่เจ้าพึงระวังมากกว่านี้ก็คือ สิ่งที่เจ้าแจ้งแก่ใจดี กับฉันที่รู้เรื่องนี้ดี เจ้าจักแสดงอาการหึง แลหวง เท่าใดก็ย่อมได้ แต่นอกเรือนนั่น มันมิใช่ แลฉันอยากจักเตือนอีกเรื่อง กำแพงมีหู ประตูมีช่อง(1) ถึงเจ้าจักมั่นใจว่า บนเรือนนี้มิมีผู้ใดขึ้นมา แต่เจ้าก็อย่าได้นอนใจนัก พวกสอดรู้ก็มีมากเช่นกัน แล้วยิ่งเจ้าใส่ใจบ่าวของเจ้าเท่าใด นั่นจักยิ่งทำให้พวกสอดรู้ ริษยามากขึ้นเท่านั้น ”

   คิมม่อนเอ่ยขึ้นยาวๆ ทั้งคู่นั่งอยู่บนชานเรือน ที่ต่อเติมเพิ่มให้ยื่นออกไปริมน้ำ โดยมีบ่าวประจำเรือนเช็ดถูเรือนอยู่ห่างออกไป

   เต้ทอดสายตามองแผ่นหลังเล็กของคนที่ตนพึงใจ แล้วคิดตามคำพูดของเกลอ วันนี้เขามิได้เข้ากรมด้วยเป็นวันพักของตน เขาแลคิมม่อนที่มาเยี่ยมเยือน จึงมานั่งสนทนากันบนเรือนริมน้ำ ด้วยมิอยากเห็นสายตาสอดรู้ของบ่าวไพร่

   สิ่งที่คิมม่อนว่ามานั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เขาทราบอยู่ก่อนแล้ว แม้เขาจักมิได้อยู่เรือนมากนัก แต่สายตาที่เห็นบ่าวคนอื่นมองบ่าวรับใช้ของตน เขาก็แจ้งใจได้

   แลยิ่งมากขึ้นเมื่อเขายกผ้าโจงให้เป็นรางวัลเมื่อคราก่อน ใช่ว่าเขาจักไม่ถามไถ่คนของตน ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นรึไม่ แต่ตี๋กับมิยอมบอกเขา แต่ก็ใช่เขาจักดูมิออก

   เมื่อผ้าโจงผืนยาวที่เขาให้ผืนหนึ่ง บัดนี้กลายเป็นผืนสั้น แลมีรอยปะ ชุน(2) ยามเมื่อเขาถาม เจ้าตัวก็บอกว่าตนเองทำงานมิทันระวัง ทำให้ผ้าขาด จนต้องแบ่งผ้าออกเป็นแบ่ง 2 ผืน แลตี๋ก็มิเคยนุ่งผ้าผืนอื่นอีก นอกจากผืนนั้น

   หากเมื่อเขาถาม ตี๋ก็จักบ่ายเบี่ยง หลบตา แลตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า มิอยากให้ผ้าผืนอื่นเลอะ แลเสียดายผ้าผืนงามที่ต้องสกปรกเพราะตน

   “ ขอบใจเจ้ามากนะคิมม่อน ฉันจักระวังให้มากกว่านี้ ”

   “ มิเป็นใดดอก ฉันก็อยากให้เพื่อนสมหวัง ”

   “ อยากให้ฉันสมหวัง แล้วเมื่อใดเกลอจักพาคนที่หมายปองมาให้ฉันรู้จักบ้าง รึกลัวฉันจักหยอกเล่นเช่นที่เจ้าทำกับฉัน จึงมิกล้าแนะนำให้ได้รู้กัน ”

   เต้ว่า พร้อมกับหยอกคิมม่อนกลับ เรื่องที่คิมม่อนมิยอมพาคนที่ตนเองต้องตามาให้รู้จัก แม้ตนจักทราบมาบ้างว่า คนที่คิมม่อนหมายใจไว้นั้น มิใช่คนไทย หากแต่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเช่นเดียวกับตัวคิมม่อนเอง แต่เต้มิเคยได้พบหน้าเลยสักครั้ง

   “ เอาเถิด มิต้องหยอกฉันนัก เอาไว้เจ้าตัวเขายินยอมกับฉันเมื่อใด ฉันจักมามาให้เพื่อนเกลอเช่นเจ้ารู้จักเป็นแน่ ”

   คิมม่อนว่า เขานั้นหมายใจคนที่ตนชอบพอ แต่คนที่ตนชอบนั้นยังมิได้ตอบรับไมตรี เขาจึงมิกล้าจักแนะนำให้เพื่อนรู้จัก

   “ เอาเป็นวันนี้ฉันกลับก่อนจะดีกว่า นี่ก็ใกล้ค่ำ ประเดี๋ยวจักเข้าไปลาคุณหญิงแม่ แลเจ้าคุณพ่อเสียทีเดียว ”

   “ มิอยู่รับมื้อเย็นด้วยกันก่อนรึ ”
   
   “ วันนี้เห็นทีคงจักต้องขอตัว เอาไว้คราหน้าดีกว่า ”

   คิมม่อนว่า ก่อนทั้งคู่จักเดินลงจากเรือนริมน้ำ เพื่อไปลาเจ้าของเรือน เต้หันมองบ่าวของตนอีกครั้ง ก่อนจักก้าวเท้าตามเพื่อนลงจากเรือนไป





******************************




   “ นี่ไอ้สุก เอ็งว่าบ่าวเรือนคุณหญิงแย้มมองพวกเราแปลกๆ รึไม่วะ ”

   “ นั่นสิไอ้ผล ข้าก็นึกว่าข้าคิดไปคนเดียว เห็นทีต้องระวังตัวกันแล้วล่ะ โดยเฉพาะเอ็ง ไอ้ตี๋ ”

   นายผล เอ่ยถามนายสุกขณะที่เจ้าตัวกำลังตัดกิ่งไม้ให้เป็นพุ่มสวย ส่วนนายสุกซึ่งนั่งดายหญ้าอยู่ไม่ห่างกันนัก ตี๋เองก็เก็บกิ่งไม้ที่นายสุกตัด รวมเป็นกอง เพื่อนำไปทิ้ง

   “ ทำไมรึพี่สุก เหตุกระไรฉันจึงต้องระวังตัว ฉันมิได้ทำสิ่งใดนี่จ๊ะ ”

   “ เอ็งมิได้ทำ แต่คนมันมิชอบหน้าเอ็ง มันก็หาเรื่องผิดมาให้จนได้นั่นล่ะ รึไม่ไอ้พวกนั้นอาจจักหาความเอ็ง เหมือนที่เอ็งโดนตัดผ้าโจงนั่นล่ะ ”

   “ เออ อย่างที่ไอ้สุกมันว่านั่นล่ะ บ่าวอย่างพวกเราถึงจะเป็นขี้ข้าท่านเจ้าคุณเหมือนกัน แต่ไอ้พวกนั้นมันถือว่า หญิงแย้มถือหางมันอยู่ มันถึงเหิมเกริม มิเกรงใคร ”

   “ ส่วนเอ็งไอ้ตี๋ เหตุใดเอ็งก็มิบอกคุณเต้ท่าน ยิ่งเอ็งทำเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวพวกมันจักได้ใจ ยิ่งหาความเอ็งมากขึ้นไปอีก ”

   “ เอ็งพูดเยี่ยงนี้ก็มิถูกเสียทีเดียวไอ้สุก หากไอ้ตี๋มันแจ้งความแก่คุณเต้ท่าน เอ็งคิดรึว่าไอ้อีพวกนั้นจักมิยิ่งแค้นเคืองหนักกว่าเดิม ”

   “ เออ เห็นจะจริงอย่างเอ็งว่าไอ้ผล ข้าเองก็มิทันได้นึก เอาเป็นเอ็งจักต้องระวังไว้ให้มาก ข้ามิอยากเห็นเอ็งโดนรังแก ”

   “ จ้าพี่ผล พี่สุก ฉันจักระวังตัวให้มาก ”

   ทั้งสามคนว่าถึงเรื่องที่ตี๋โดนรังแก เมื่อคราที่ได้รับรางวัลเป็นผ้านุ่งผืนงามจากนายเรือนริมน้ำ สิ่งนั้นยังความมิพอใจให้บ่าวในเรือนอีกหลายคน เนื่องด้วยคุณเต้มิเคยให้รางวัลผู้ใดมากก่อน แต่นั่นเป็นเพราะเรือนริมน้ำมิเคยมีทาสรับใช้ที่ถูกใจเจ้าของเรือนนั่นเอง

   “ เออไอ้ผล งานภูเขาทองปีนี้เอ็งจักไปกับข้ารึไม่ ”

   “ งานภูเขาทองรึ ที่พระนครเขาห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์(3) แล้วรึ ข้ามิทันดู ”

   “ เอ็งจักทันดูกระไร วันๆหากแล้วจากงาน เอ็งก็เดินตามนางมา มิได้ห่าง คงอีกไม่กี่เพลากระมัง ข้าจักได้ไปงานมงคลของเอ็งเป็นแน่ ”

   นายสุกถามเรื่องงานภูเขา ซึ่งกำลังจักมีขึ้น แลหยอกนายผลเรื่องที่นางผลกำลังเกี้ยวบ่าวหญิงในเรือน ซึ่งนางมาที่นายสุกพูดถึงนั้นก็ดูจักชอบพอนายผลอยู่ไม่น้อย

   “ งานนี้ข้ามีรึจะพลาด เอ็งก็ถามไป ข้าจักพาแม่มาไปเที่ยวชมงาน เผื่อจับเหมาะเคราะห์ดี แม่มาใจอ่อนตกลงปลงใจกับข้าเสียในคราเดียวกัน ”

   นายผลตอบ แลบอกต่ออีกว่าจักพานางมาไปเที่ยวชมงานด้วย

   “ แล้วเอ็งเล่าไอ้ตี๋ จักไปกับพวกข้ารึไม่ ”

   “ ฉันไปได้รึขอรับพี่สุก ”

   “ ได้สิวะ เหตุใดจักมิได้กัน ท่านพระยาอนุญาตให้พวกบ่าวไพร่ไปเที่ยวงานได้ทุกปี แลให้อัฐกับทุกคนด้วย แต่นั่นจักต้องมิได้หนีเวรยามไปนะ ”

   นายสุกว่า ทุกปีที่มีงานภูเขาทอง ท่านพระยาจักแจกอัฐแก่บ่าวไพร่ เพื่อนำไปทำบุญนมัสการองค์พระเจดีย์ แลเที่ยวชมงาน

   “ กระนั้นรึพี่สุก ฉันเองก็อยากไปจ้า เพราะฉันยังมิเคยได้ไปสักครา ได้แต่มองอยู่ไกล แต่ฉันยังมิกล้าบอกพี่ตอนนี้ดอก ฉันจักต้องถามคุณเต้ท่านเสียก่อน หากคุณเต้ท่านอนุญาต ฉันก็จักไป ”

   ตี๋ตามนายสุกไปตามที่คิด เพราะตนเองก็ยังมิแน่ใจนักว่า คุณเต้จักเรียกใช้ตนรึไม่ หากจะให้นายสุก แลคนอื่นคอยตนเองเพียงก็ดูจักมิควรนัก

   “ เอาเถิด เอ็งก็ไปขออนุญาตคุณเต้ท่านเสีย ท่านใจดีอยู่ดอกกระมัง คงมิห้ามดอก ”

   “ จ้าพี่สุก ฉันจักลองไปขอคุณเต้ท่าน ”

   ตี๋ตอบด้วยรอยยิ้ม เนื่องด้วยว่าตนนั้นอยากไปเที่ยวงานภูเขาทอง แต่ตั้งแต่เล็กมิเคยได้ไป ตอนเมื่ออยู่กับแม่ แลอาปา ก็มิได้ไป เนื่องด้วยตนทราบดีว่า แม่ แลอาปามิได้มีอัฐมากมายเพียงนั้น หากครานี้มีโอกาส ตนก็อยากจักไปเที่ยวงานสักครา

   แลเป็นดังเช่นนายสุก แลนายผลบอกไว้ เมื่อท่านพระยากับมาจากกรม ท่านเรียกรวมบ่าวไพร่ แจกอัฐให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม มิมีใครได้น้อยมากไปกว่ากัน




**************************************



   เสียงจิ้งหรีดเรไร ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว สายลมอ่อนๆ พัดพลิ้ว ยามค่ำเย็นชื้นด้วยไอน้ำค้าง หากแต่ว่าเรือนริมน้ำนั้นเย็นกว่า ด้วยเย็นจากสายน้ำด้านล่างเรือนด้วย แต่ที่เย็นกว่าน้ำค้าง แลพื้นน้ำก็คือมือของบ่าวเรือนริมน้ำนี่กระมัง

   “ ตี๋ เจ้าเป็นกระไร รึว่ากับข้าวมิถูกปาก ”

   “ มิได้ขอรับ กับข้าวมื้อนี้อร่อยมากขอรับ ”

   “ แล้วเหตุใดเจ้ามิยอมกินเสียที ”

   “ บ่าว....เอ่อ..... ”

   “ รึเจ้ากินมิถนัด ข้าจักป้อนให้ ”

   เต้ใช้ช้อนเงินคันงามตักอาหารจากสำรับของตนส่งให้ถึงปากเล็ก แต่อีกคนก็มิยอมรับเสียอย่างนั้น แต่เต้เองก็มิละความพยายาม เพราะเจ้าตัวใช้สายตากึงบังคับให้ตี๋กินอาหารที่ตนป้อน

   “ หากเจ้ามิยอมกินเอง ข้าก็จักป้อนเจ้า แต่หากเจ้ายังมิยอมกินอีก ข้าก็จักมิกินเช่นกัน ”

   เมื่อเห็นว่าตี๋มิยอมกินอาหารที่ตนป้อน เต้จึงดึงมือกลับมา วางช้อนลงบนจานของตน เอ่ยบอกอีกคนว่า หากอีกฝ่ายมิยอมกิน เขาก็จักยอมอดด้วย

   “ คุณเต้ขอรับ มันมิควรดอกขอรับ จักให้บ่าวกินข้าวร่วมวงกับนาย ”

   ตี๋ว่า พลางส่ายหน้าอย่างมิอาจยอมรับสิ่งที่นายของตนต้องการได้

   “ ตี๋ ข้านึกว่าเจ้ากับข้าจักรู้สึกเช่นเดียวกัน วันนั้นข้ายังบอกเจ้ามิชัดเจนอีกรึ ”

   เต้ว่าเสียงเรียบ พาให้คนที่ได้ยินใจเต้นไม่เป็นส่ำ พลางนึกกลับไปวันที่คุณเต้เดินชมจันทร์



   ‘ ตี๋ เจ้าว่าความรักนั้นเป็นเช่นไรกัน แลคนรักกันนั้นเป็นเยี่ยงใด ’

   ตอนนั้นตี๋มิทันตั้งตัว แลมิได้ตอบว่ากระไร คุณเต้ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

   ‘ ข้าเองก็มิรู้ดอกว่า ความรักเป็นเช่นใด แลตัวข้าเองก็มิเคยมี หากเห็นมาบ้างเท่านั้น แต่เจ้ารู้รึไม่ว่า ความรักที่ข้าเห็นนั้น กับความรักที่กำลังเกิดกับตัวข้านั้น ช่างต่างกันมากเสียจริง ’

   เต้ระบายความในใจ ซึ่งตี๋เองก็ทำได้เพียงรับฟังเงียบๆ ด้วยมิรู้จักพูดกระไรดี

   ‘ ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้ากำลังเป็นนั้น มันผิดจากจารีต ประเพณี แลมิมีใครจักยอมรับได้ แต่เจ้าเคยได้ยินรึไม่ว่า ความรักมันห้ามกันมิได้ ’

   เต้ยังคงพูดต่อ

   ‘ คราแรกนั้นข้ามิอาจจักยอมรับที่ตนเป็นได้ดอก แต่ยิ่งนาน ข้ายิ่งแจ้งแก่ใจตน ว่าข้านั้นรู้สึกเช่นไร ’

   ‘ ข้าชอบเจ้านะตี๋ เจ้าคงคิดว่ามันเร็ว แต่ข้าเองอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า ว่าข้าชอบเจ้ามากจริงๆ ’

   สิ้นคำของเต้ ตี่ที่นั่งฟังมาโดยตลอดจึงชะงักงัน กว่าที่จักเอ่ยคำพูดใดได้ก็หลายอึดใจทีเดียว

   ‘ แต่มันมิถูกขอรับ บ่าวเป็นชาย แลคุณเต้ก็เป็นชาย เช่นนี้แล้วจักรักกันได้เยี่ยงไร ฟ้ามิผ่ารึขอรับ ’

   แต่ตี๋ก็คือตี๋ เด็กน้อยซื่อๆ คนเดิม ตี๋มิได้บอกว่าไม่ชอบเต้ หากแต่เจ้าตัวกลับบอกว่ามันมิควรแทน  ซึ่งนั่นพอเป็นความหวังให้กับเต้ได้

   ‘ ตี๋เจ้าคิดเยี่ยงไรกับข้าบ้างรึไม่ ’

   เต้ถามต่อ

   ‘ บ่าว.....บ่าวมิรู้ขอรับ ”

   ‘ มิรู้กระไร เจ้าเป็นเช่นข้ารึไม่ ข้าเข้าใกล้เจ้าคราใด ใจข้าช่างปั่นป่วนนัก ประเดี๋ยวก็เต้นเร็วเสียจนข้าเจ็บในอก ประเดี๋ยวก็เจ็บแปลบยามเห็นใครมองเจ้า แลมิอยากให้ใครได้สัมผัสตัวเจ้า มิอยากให้ใครมองเจ้า เจ้าเป็นเช่นนี้บ้างรึไม่ ’

   เต้บอกสิ่งที่ตนเป็น เขามิใคร่ให้ใครมองตี๋ แลมิอยากให้ตี๋มองใคร มิต้องการให้ผู้ใดสัมผัสผิวของคนตรงหน้า ยิ่งมิอยากให้คนตรงหน้าไปสัมผัสใครนอกจากตนเอง

   ‘ บ่าว...คือ บ่าว... ’

   ‘ เจ้ากระไร บอกให้ข้าได้ฟังได้รึไม่ ’

   เต้หว่านล้อมตนตัวเล็กตรงหน้าเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโอน เขาอยากจักรู้แม้เพียงสักน้อยว่า คนตรงหน้านี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

   ‘ บ่าวโง่ขอรับ บ่าวมิรู้จริงๆ ขอรับ ’

   ‘ แค่สิ่งที่ตนเป็น เอ็งยังมิรู้อีกรึ อย่ามาปดข้าเลย ตอบให้ข้าชื่นใจหน่อยเถิด ’

   เต้พยายามถามความจากตี๋ต่อ เขาเชื่อว่าตี๋นั้นต้องรู้สึกเช่นที่เขารู้สึกบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะหากเจ้าตัวไม่รู้สึกกระไร เหตุใดจึงต้องเขินอายทุกครั้งที่เข้าใกล้เขา

   ‘ บ่าวมิรู้จริงๆขอรับ บ่าว...... บ่าวไม่รู้ว่ามันคือกระไรดอกขอรับ แต่บ่าวใจเต้นแรงทุกครั้งที่คุณเต้เข้าใกล้ แลไม่รู้ว่ามันคือกระไร ยามเมื่อเห็นคุณเต้ยิ้มให้ บ่าวรู้สึกร้อนไปทั้งร่าง ’

   เมื่อได้ฟังสิ่งที่ตี๋ว่า เขาอยากจักคว้าตัวคนตรงหน้ามากอด หากก็ต้องยั้งใจไว้ ด้วยมิได้อยู่แต่เพียงลำพัง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว  อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่า เขามิได้ชอบตี่อยู่ฝ่ายเดียว



   เต้นั่งมองคนที่คล้ายจักตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง หากเขาเดามิผิด คนตัวเล็กนี้คงจักคิดถึงเรื่องเมื่อคราเดินชมจันทร์แน่ ก็สีหน้าของเจ้าตัวฟ้องเสียหมด ประเดี๋ยวซีด ประเดี๋ยวแดงระเรื่อ

   “ ที่นี้เจ้าจักร่วมวง กินข้าวกับข้าได้รึยัง ”

   “ เอ่อ... คุณเต้ขอรับ ”

   “ มิต้องขัด หากเจ้ามิกินเอง ข้าก็จักป้อน เลือกมา ”

   เมื่อเห็นว่าตี๋มิยอมโดยง่าย เต้จึงตัดบทเสียเอง

   “ เป็นเยี่ยงไรบ้าง อร่อยรึไม่ ”

   “ ขอรับ คุณเต้หนาวรึขอรับ หากหนาวรอประเดี่ยวนะขอรับ บ่าวจักไปหยิบผ้าคลุมให้ขอรับ ”

   ตี๋ตอบ แลถามกลับ เพราะเต้นั้นนั่งชิดกับตนเสียเกิน อาจเป็นด้วยอากาศยามค่ำนั้นค่อนข้างเย็น เพราะหากเป็นที่บ้านหลังเล็กของตน เมื่ออากาศเย็น ทุกคนจักมานั่งใกล้กัน เพื่อให้อบอุ่น

   “ ข้ามิได้หนาว อย่าได้ตระหนกไป ข้าเพียงแค่อยากนั่งใกล้เจ้า ได้รึไม่เล่า ”

   เต้คว้าข้อมือของตนที่ผุดลุกขึ้น แลจักวิ่งไปหยิบผ้าคลุมดังเช่นที่ตนเองว่า แต่เมื่อตนตัวเล็กได้ฟังคำของที่คุณเต้ว่าแล้ว ใบหน้าเล็กนั้นจึงขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง

   เต้ยิ้มขำเมื่อเห็นอาการประดักประเดิด(4) ของตี๋ ด้วยไม่รู้ว่าจักทำสิ่งใดดี แต่ต้องหลุดขำออกมาอย่างมิอาจกลั้นได้เมื่อ ตี๋คล้ายจักลืมตัว หันมาส่งตาค้อนให้ตน หากเมื่อนึกบางอย่างได้ก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลนเสียแทน

   “ เจ้าเป็นกระไรกันแน่ ประเดี๋ยวจักค้อน ประเดี๋ยวก็ตกใจ พี่ตามอารมณ์เจ้ามิทันแล้ว ”

   คำสรรพนามที่เปลี่ยนไปของเต้ ยิ่งทำให้ตี๋ตระหนกขึ้นไปอีก เมื่อเต้เปลี่ยนมาแทนตนเองว่าพี่เสียอย่างนั้น หากแม้นจักตระหนกเพียงใด ใจของตี๋นั้นเต้นรัวยิ่งกว่า

   “ เมื่อครู่คุณเต้ว่ากระไรนะขอรับ บ่าวได้ยินมิถนัด ”

   ตี๋ถามอีกครั้ง เพื่อจักยืนยันว่าตนนั้นหูแว่ว คิดไปเองรึไม่

   “ ก็ถามว่าเจ้าเป็นกระไร ประเดี๋ยวหน้าแดง ประเดี๋ยวก็หันมาค้อน แล้วยังทำหน้าตกใจเสียอีก ”

   เต้ตอบ โดยละคำพูดของตนไว้เป็นบางคำ ซึ่งเมื่อตี๋ได้ฟังในครานี้ก็พนักหน้ากับตัวเองเบาๆว่า เมื่อครู่ตนคงหูแว่วไปเองว่า คุณเต้แทนตนเองว่า ‘ พี่ ’

    “แล้วเมื่อใดเจ้าจักนั่งลง แลกินข้าวเสียที พี่หิวแขวนท้องรอพ่อจนแสบท้องไปหมดแล้ว ”

   ชัดเจน ครานี้ชัดเจนยิ่งนัก คุณเต้แทนตนเองว่าพี่ แลเรียกเขาว่าพ่อ มือที่ว่าเย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นเยียบขึ้นไปอีก มิรู้ว่าคุณเต้จักหยอกเขาเล่นไปถึงไหน

   “ พี่มิได้หยอกพ่อเล่นดอก พี่พูดจริง แลรู้สึกจริงดังคำพูด เมื่อใดเล่าพ่อจักเข้าใจพี่ ”

   ยังมิพอ คุณเต้คล้ายจักมีญาณวิเศษ ล่วงรู้สิ่งที่เขาคิดในใจ แล้วนี่เขาจักทำเช่นไรดีเล่า อย่างนี้มิเท่ากับว่า คุณเต้รู้ทุกอย่างที่เขาคิด แลรู้สึกแล้วรึ ตี๋คิดในใจตนเอง

   “ ฮ่าๆๆๆ ”

   เต้ที่นั่งมองตี๋อยู่ตลอดอดมิได้จนขำออกมาเสียดัง จากที่พยายามกลั้นเอาไว้ ด้วยมิอยากให้ตี๋เขินอายไปกว่าเดิม

   เขามิได้อ่านใจได้ดังเช่นที่ตี๋กังวล แต่ที่เขาพอจักรู้ว่าตี๋ นึก หรือคิดกระไร นั้นก็เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่คิด รึนึกกระไร ก็แสดงออกทางสีหน้าเสียหมด แลเขาเองก็ชอบที่จักมองใบหน้าเล็กๆนั้นแสดงความรู้สึกต่างๆออกมา

   “ เอาเถิดๆ มากินข้าวกันดีกว่า กับข้าวเย็นหมดแล้วกระมัง วันนี้พี่ไปขอโรงครัวให้เพิ่มข้าวแลกับข้าวเชียวนะ ”

   เต้ว่า วันนี้เขาไปโรงครัว เพื่อขอในคนครัวเพิ่มอาหารในสำรับของเขาให้มากขึ้น ด้วยเหตุที่เขาเหนื่อยงาน จึงต้องการทานอาหารให้มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว เขาต้องการจักกินข้าวกับคนตรงหน้านี่ต่างหาก เพราะหากเขาขอสำรับอีกชุด เกรงว่าจักเป็นที่สงสัยเกินไป

   “ คุณเต้มิพูด แลเรียกบ่าวเยี่ยงนี้ได้รึไม่ขอรับ ”

   ตี๋ยอมนั่งลงข้างกายของเต้ ด้วยคิดว่ากระไรเสียก็คงขัดคุณเต้มิได้ แต่ก็มิอาจปล่อยให้คุณเต้เรียกตนเช่นนั้นได้

   “ แล้วพ่อคิดว่า พ่อขัดพี่ได้รึไม่เล่า ”

   เต้ตอบ พลางยิ้มในใบหน้า แต่ก็ต้องหลุดขันอีกครา เมื่อตี๋งั้นยู่หน้า แลถอนหายใจ ซึ่งในสายตาของเต้นั้น เขาเห็นว่ามันเป็นกิริยาที่น่าเอ็นดู

   “ บ่าวจักขัดกระไรคุณเต้ได้เล่าขอรับ ”

   ว่าจบก็หันหน้าหนี เมื่ออีกคนก้มหน้าลงมาหา ยังให้พวงแก้มเนียนขึ้นสีอีกครั้ง แลใจดวงน้อยเต้นระรัวจนเจ็บอก ทั้งที่เพิ่งจักกลับมาเต้นปกติไปได้ครู่เดียว

   “ ข้าวของเจ้าทำไมจึงจืดซีดนัก มิมีรสชาติอันใดเลย ข้าวรึก็ไม่หอม แลแข็งกระด้าง ”

   เต้ฉวยโอกาสตอนที่ตี๋กำลังขัดเขิน ตักข้าวในถ้วยเล็กของตี๋ขึ้นชิม แต่สิ่งที่เขารับรู้ได้นั้น มันช่างแย่เสียจริง มันต่างจากข้าว แลกับข้าวในสำรับเขามากนัก

   ซึ่งสิ่งที่เต้รับรู้ได้นั้นก็มิได้ผิดเสียทีเดียว ข้าวแลกับข้าวที่ปรุงขึ้นเพื่อเลี้ยงบ่าวไพร่นั้น มิได้แย่ เพียงแต่มันมิได้นุ่ม แลหอมดอกมะลิเช่นของเจ้านาย กับข้าวก็เช่นกัน เนื่องจากจำนวนบ่าวไพร่มีมาก รสอาหารจึงเจือจางไปบ้าง มิได้เข้มข้นดั่งเช่นที่ปรุงให้ผู้เป็นนาย

   “ พ่อมิต้องกินแล้ว กินสำรับเดียวกับพี่ดีกว่า ”

   “ มันมิควรขอรับ แค่นี้คุณเต้ก็เมตตาบ่าวมากแล้ว อีกอย่างประเดี๋ยวคุณเต้มิอิ่มท้องนะขอรับ ”

   เต้ส่ายหน้าเมื่อได้ฟังสิ่งที่ตี๋แย้ง ตี๋ก็ยังคงเป็นตี๋ ที่นึกถึงผู้อื่นก่อนตนเอง เจียมตัว แลมิมีความทะเยอทะยาน ดังเช่นทาสคนอื่น

   “ มัวแต่เถียงกัน เพลาใดจักได้กินข้าวกัน มิต้องเถียงแล้ว ข้าวของพ่อ พี่จักกินด้วย แลข้าวของพี่ พ่อก็จักต้องกินกับพี่ด้วย เช่นนี้ถือว่าเป็นธรรมรึไม่ ”

   เต้มิปล่อยให้ตี๋สรรหาข้ออ้างมาใช้กับตนอีก เขาจึงตัดความแลตักข้าวในถ้วยของตี๋เข้าปากอีกครา แม้นรสชาติจักมิได้ดีนัก แต่เมื่อตี๋กินได้ เขาก็กินได้เช่นกัน

   “ มาพี่ป้อนจักดีกว่า หากพ่อกินเอง พ่อก็จักกินแค่ในถ้วยของพ่อเสียกระมัง พี่ป้อนนั่นล่ะดีแล้ว ”

   เต้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตี๋ยังมิยอมตักอาหารเสียที พลางตักอาหารในสำรับของตนส่งให้อีกฝ่ายด้วย แลเมื่อตี๋มิยอมกิน เขาจึงส่งสายตาดุไปให้ เจ้าตัวจึงยอม

   “ คุณเต้ทำเช่นนี้ เหากินหัวบ่ายเป็นแน่ ”

   “ เหาจักกินหัวพ่อได้เยี่ยงไรกัน ให้เมื่อพี่อยากจักป้อนข้าวคนที่พี่พึงใจ ”

   เต้ว่า เมื่อเห็นว่าตี๋แม้จักยอมให้ตนป้อน แต่ก็ยังมิวายที่จักบ่นไปตามเรื่อง เขาตักข้าวกินเองบ้าง ป้อนคนข้างๆ บ้าง เพราะตี๋มิยอมจักอาหารในถ้วยอื่น นอกจากอาหารในถ้วยของตน

   “ พ่อนี่เด็กเสียจริง ดูสิ กินเยี่ยงไรกัน ข้าวจึงติดปากเช่นนี้ ”

   เต้ว่า พลางหยิบเม็ดข้าวที่ติดข้างปากของตี๋ออก แต่แทนที่จักทิ้งไป เต้กับเอาข้าวเม็ดใส่ปากตนเองเสียแทน ยังให้ตี๋หน้าแดงออย่างมิทันตั้งตัวอีกครา

   กว่ามื้ออาหารจักหมดลง ตี๋รู้สึกว่าตนเองตัวคล้ายจักเป็นไข้เสียให้ได้ ด้วยประเดี๋ยวก็ร้อนซู่ ประเดี๋ยวก็หนาว ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุก็มิใช่คนอื่นไกล เจ้าของเรือนริมน้ำอย่างคุณเต้นั่นปะไร



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 4 (05/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-10-2018 14:38:11
(ต่อจากด้านบน)

ตอนที่ 4/2
.....ใจผูกใจ.....



   เมื่อสิ้นมื้ออาหาร คุณเต้ก็ชักชวนมานั่งชมจันทร์ที่ชานเรือน ติดฝั่งน้ำ พระจันทร์ดวงโต แลน้ำก็ปริ่มตลิ่ง ด้วยใกล้วันเพ็ญเดือนสิบสองแล้วนั่นเอง

   “ ตี๋ พ่ออยากจักไปเที่ยวงานภูเขาทองรึไม่ ”

   เต้ถามขึ้นเมื่อตี๋เดินมานั่งที่ชานเรือน ตนเองจึงถือโอกาสเอนศีรษะหนุนตักคนที่นั่งอยู่เสีย มิเพียงแค่นั้น เต้ยังฉวยเอามามือของคนตัวเล็กกว่ามากุมไว้อีกด้วย ยังให้คนเป็นบ่าวสะบัดร้อน สะบัดหนาว(5)อีกครา

   “ บ่าวไปได้รึขอรับ ”

   “ แล้วเหตุใดจักมิได้เล่า เจ้าคุณพ่ออนุญาต แลให้อัฐกับบ่าวทุกคน หากใครมิได้เป็นเวรยามก็ไปได้ แต่หากเป็นเวรยามก็สลับกันไป งานมิได้จัดแค่วันเดียว ”

   “ บ่าวอยากไปขอรับ พี่สุก แลพี่ผลก็ชักชวนอยู่ขอรับ แต่บ่าวยังมิกล้าตอบ ด้วยอยากจักถามคุณเต้ก่อน หากคุณเต้จักเรียกใช้ บ่าวจักได้บอกให้พี่สุก พี่ผลมิต้องรอบ่าว ”

   ตี๋ว่า หากเต้เรียกใช้เขาจริง เขาก็คงมิกล้าจัด แลเขาก็มิอาจให้พี่สุก พี่ผลรอเขาได้เช่นกัน ด้วยเกรงใจทั้งคู่เกินไป แต่จักให้เขาไปเองคนเดียวเขาก็ไปมิถูก ด้วยมิเคยไปคนเดียวเลยสักครา

   “ พ่ออยากไปกระนั้นรึ งั้นก็เอาสิ พี่จักพาไป แลบอกนายสุก นายผลด้วย ไปเสียด้วยกัน วันรุ่งพี่จักบอกนายมั่นให้เตรียมเรือไว้ แลจักให้นายสุก นายผลเป็นคนพายไป แต่พี่จักพาพ่อไปวันมะรืนแล้วกันนะ ไปวันที่เขาลอยประทีปกันนั่นล่ะ แลจักได้ลอยกระทงเสียทีเดียว ”

   เต้ว่ายาวโดยมิปล่อยให้ตี๋ขัด จักเรียกว่า มัดมือชกก็มิผิด เขามิอยากให้ตี๋ขัดเขานั่นล่ะ หากปล่อยให้ไปเอง คงมิพ้นจักต้องเดินไป ระยะทางก็มิใช่จักใกล้ แลไปทางเรือจักสะดวกกว่านัก เพราะสามารถจอดเรือที่หน้าวัดได้นั่นเอง

   เขาทั้งคู่นั่งอยู่ที่ชานเรือนจนน้ำค้างลงหนักขึ้น เต้จึงชักชวนตี๋กลับเข้าเรือนนอน ตี๋เองนั้นกำลังจักหยิบเสื่อที่หน้าห้องเช่นทุกเคยด้วยความเคยชิน แต่มือของใครบางคนกลับฉุดรั้งให้ต้องก้าวเท้าตาม

   เรื่องนี้ก็เช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคราชมจันทร์ครั้งนั้น เต้ก็มิเคยปล่อยให้ตี๋นอนหน้าห้องเช่นเดิมอีก แม้จักเสี่ยงที่มีจักพวกสอดรู้มาเห็น แต่เขาก็มีเหตุผลเอาไว้แล้ว

   แต่ถึงกระนั้น แม้ตี๋จักยอมเข้ามานอนในเรือนนอนพร้อมกัน ด้วยเหตุผลที่เขาบอกเจ้าตัวไว้ แต่ตี๋ก็ยังมิยอมที่จักมานอนร่วมเตียงกับเขา แม้เต้จักพยายามอุ้มเจ้าตัวตอนหลับ แต่ตี๋นั้นเป็นคนที่รู้ตัวไว พอจักอุ้มคราใด เจ้าตัวก็รู้สึกตัวเสียทุกที เต้จึงได้แต่รอเวลา

   ตี๋เดินเข้ามาจัดเตียงให้คุณเต้อีกครั้ง เพื่อดูว่าเรียบดีแล้วรึไม่เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงมาจัดที่นอนของตนเองบ้าง เสื่อผืนเล็กปูบนพื้นเรือน หมอน แลผ้าห่ม เครื่องนอนของบ่าวไพร่มิได้มีกระไรมากไปมากนี้นัก

   เมื่อเห็นว่าคุณเต้ขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้ว ตี๋จึงปลดมุ้งลง จัดเก็บปลายทับเข้ากับฟูกนอน กันมิให้ยุง รึแมลงเข้าไป จากนั้นเขาจึงเป่าตะเกียงให้ดับ แล้วล้มตัวนอนบนที่นอนของตน

   แสงจันทร์ข้างขึ้นบนท้องฟ้า ส่องผ่านหน้าต่างซึ่งเปิดรับลม ทำให้เห็นคนที่หลับอยู่ที่พื้นได้อย่างค่อนข้างจักชัด เต้ค่อยๆจรดฝีเท้าให้เงียบเท่าที่จักทำได้ เพราะมิต้องการให้คนที่หลับอยู่ตื่น

   “ คุณเต้ ”

   ตี๋อุทานขึ้นอย่างตระหนก เมื่อรู้สึกถึงใครอีกคนที่เข้ามานอนบนเสื่อผืนเดียวกับตน นี่มิใช่คืนแรกที่คุณเต้ลงมานอนกับตนบนพื้น หากเป็นมาตั้งแต่คราวันชมจันทร์ครั้งนั้น คุณเต้พยายามจักให้ตนขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน แต่เขาก็ปฏิเสธ เมื่อคุณมิสามารถให้เขาขึ้นไปนอนบนเตียงกับท่านได้ คุณเต้จึงลงมานอนกับเขาที่พื้นเสียแทน

   “ คุณเต้มิควรลงมานอนเยี่ยงนี้นะขอรับ แลรุ่งเช้าคุณเต้จักปวดหลัง ปวดไหล่อีก ”

   “ อันใดเล่าที่พ่อว่ามิควร แลหากพ่อเกรงว่าพี่จักปวดหลัง ไหล่ เหตุใดจึงมิยอมนอนบนฟูกกับพี่เล่า หากพ่อยังมิยอมนอนกับพี่ พี่ก็จักลงมานอนกับพ่อเยี่ยงนี้ พ่อจักไม่สงสาร แลเห็นใจพี่บ้างเชียวรึ ที่พี่จักต้องปวดหลัง ปวดไหล่ เข้ากรมอยู่ทุกวัน ”

   เต้กล่าวขึ้น เขารู้ว่าตี๋เป็นคนขี้สงสาร แลเห็นใจผู้อื่น ห่วงผู้อื่น เขาจึงใช้เหตุนี้มาให้ตี๋เห็นใจเขา แลยอมขึ้นไปนอนกับเขาเสียที ที่พื้นนี่ทั้งแข็ง ทั้งเย็น แลแมลงเล็กน้อยก็กวนใจ มิรู้ว่าคนตัวเล็กนอนหลับได้เยี่ยงไร

   แต่จักถึงอย่างไรตี๋ก็ยังมิยอมจักขึ้นไปนอนกับเต้  ด้วยตี๋คิดว่า อีกไม่กี่เพลา คุณเต้ก็จักทนที่จักต้องนอนบนพื้นมิได้ แลกลับขึ้นไปนอนบนเตียงเช่นเดิม

   เมื่อตี๋มิได้ตอบกระไรอีก เต้จึงถือวิสาสะพาดแขนของตนบนเอวคนข้างตัว แลหลับไปพร้อมกันทั้งอย่างนั้น  แม้ว่าจักปวดเมื่อยไปบ้าง แต่เมื่อลงมานอนเรื่อยๆเขาก็เริ่มชิน จนอาการปวดเมื่อยนั้นคลายลงมาก หากเทียบกับได้นอนกอดคนที่ตนพึงใจ




******************************




   จันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่ขอบฟ้า วันนี้เป็นคืนเพ็ญเดือนสิบสอง พระจันทร์ขึ้นขึ้นเร็ว แลคล้ายจักดวงโตขึ้นอีกด้วย น้ำในลำคลองนั้นก็ขึ้นปริ่มตลิ่ง

   ท่าน้ำหน้าเรือนริมน้ำ นายมั่นเตรียมเรือมาดเก๋ง(6) ไว้ที่ท่าน้ำหน้าเรือน ท่านพระยา คุณหญิง อนุภรรยา แลบุตร ธิดา คนอื่นนั้นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เนื่องด้วยคุณเต้นั้นขอว่าจักไปเอง

   “ ไอ้สุก ไอ้ผล เอ็งพายเรือให้ดี ส่วนเอ็งไอ้ตี๋ คอยรับใช้คุณเต้ท่านด้วย อย่าได้เที่ยวเพลินจนลืมหน้าที่ตัวเองเสียล่ะ เอ็งทั้งคู่ก็ด้วย ไอ้สุก ไอ้ผล แลนางมา เอ็งก็ช่วยไอ้ตี๋มันก็แล้วกัน ”

   นายมั่นสั่งความบ่าวที่ตนดูแล นางมานั้นได้ติดตามมาด้วย คราแรกนางมาเองก็มิกล้าจักนั่งเรือไปพร้อมคุณเต้ แลจักนัดพบนายผลที่หน้าองค์พระเจดีย์ แต่คุณเต้เห็นว่าจักต้องไปที่เดียวกันอยู่แล้ว จึงให้นั่งเรือไปพร้อมกันเสียทีเดียว

   “ จ้าพี่มั่น พี่มั่นมิต้องกังวล ”

   นายสุกตอบรับคำสั่งความของนายมั่น ซึ่งนายมั่นเองก็พยักหน้ารับ แลเมื่อทุกคนขึ้นเรือ แลคุณเต้เข้าไปนั่งในเก๋งเรือแล้ว นายมั่นจึงผลักหัวเรือออกจากท่า ให้นายสุก นายผลช่วยกันพายต่อเพื่อไปงานภูเขาทอง




******************************




   เสียงอึกทึกดังแผ่วมาตามลม แสงไฟจากโคมตะเกียงหลากสีสัน เสียงปะทัด ดอกไม้เพลิงสีสวยก็มิยิ่งหย่อนกัน แลยิ่งได้ยินชัดขึ้นเมื่อเรือเข้าใกล้ท่าเรือหน้าวัด

   นายผล นายสุกจอดเรือบริเวณท่าน้ำหน้าวัด เพื่อให้เจ้านายลงก่อน แลตนเองจึงค่อยหาที่ผูกเรือ เพราะโดยรอบท่าน้ำนั้นมิให้ผูกเรือ จักต้องออกไปผูกเรือไกลขึ้นสักหน่อย

   “ คุณเต้ขอรับ ประเดี๋ยวกระผม แลไอ้ผลจักไปหาที่ผูกเรือตรงกระโน้นนะขอรับ ”

   นายสุกแจ้งแก่คุณเต้ ว่าตนแลนายผลจักต้องเอาเรือไปผูกอีกที่หนึ่ง

   “ กระนั้นก็ได้ เอาเยี่ยงนี้แล้วกัน ข้าจักแยกไปตรงนี้ แลมาพบกันอีกทีตอน 2 ยาม(7) ”

   เต้แจ้งแก่บ่าวว่าตนจักแยกไป แลนัดแนะให้ทุกคนกลับมาพบกันที่ท่าน้ำนี้ตอน 2 ยาม

   “ ขอรับ/เจ้าค่ะ คุณเต้ ”

   นายสุก นายผล แลนางมา รับคำ คุณเต้จึงพยักหน้ารับคำนั้น แลส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ของตนเดินไปกลับตนเองด้วย เมื่อแต่ละคนแยกกันออกไปแล้ว เต้จึงพาตี๋มาไหว้องค์พระ แลพระบรมสารีริกธาตุ

   เพลานี้อยู่นอกเรือน ผู้คนมากมายนัก จักทำกระไรเยี่ยงอยู่ที่เรือนริมน้ำมิได้ มิเช่นนั้น คนตัวเล็กของเขาจักมีภัย

   “ ตี๋ พ่อเดินข้างพี่นะ ประเดี๋ยวจักหลง คนเยอะเยี่ยงนี้ แลพ่อยังมิเคยมา จักยิ่งลำบาก ”

   เต้ว่า ใจเขาอยากจักคว้ามือเล็กๆนั้นมากุมไว้ แลเดินไปด้วยกัน แต่หากทำเยี่ยงนั้นจักเป็นจุดสนใจของผู้คนเสียเปล่าๆ

   “ ขอรับคุณเต้ ”

   ตี๋ในวันนี้นุ่งผ้าโจงผืนสวยที่คุณเต้มอบให้เมื่อคราก่อน แลสวมเสื้อคอกลม ติดกระดุม 5 เม็ด เรียบๆ มิได้ฉูดฉาด

   ทั้งคู่เดินชมงานไปด้วยกัน แวะชิมขนมตามร้านที่ตั้งขาย ตี๋มองทุกอย่างด้วยความสนใจ แม้บางครั้งจักหยุดเดินบ้าง แต่เต้ก็มิได้รำคาญแต่อย่างใด

   เต้มองคนตัวเล็กที่หยุดมองการแสดงด้วยความสนใจไปเสียทุกอย่าง ปากเล็กๆ ดวงตาซื่อๆ ที่ตนชอบมองอยู่เสมอนั้นสนใจทุกอย่างรอบตัว เมื่อเห็นกระไรก็จักหยุดดู แลชี้ชวนให้เขาดูไปด้วย

   “ คุณเต้ขอรับ อันนี้เรียกว่ากระไรขอรับ แลเขามิบาดเจ็บดอกรึ”

   “ อันนั้นรึ เขาเรียกนอนดาบ(8) มันเป็นการแสดงว่าเขาอยู่ยงคงกระพัน ”

   แลอีกมากมายหลายคำถามที่คนตัวเล็กที่ตื่นตากับการละเล่นหันมาถามคุณเต้ อย่างเมื่อผ่านการเล่น โตฬ่อแก้ว(9) เจ้าตัวก็หยุดดูแลซักถามเช่นเดิม

   การละเล่นในงานภูเขาทองนั้นมีหลายอย่างละลานตา ตี๋นั้นเดินชมไปทุกที จนลืมไปว่าตนเองเป็นใคร แลคนที่เดินตามนั้นเป็นใคร แต่เต้ก็มิได้ว่ากระไรเลย เขาพอใจที่จักเห็นตี๋มีความสุข

   แสงสว่างแลสีสันสันจากดอกไม้เพลิงทำให้คนตัวเล็กแหงนมอง แลยิ้มอย่างชอบใจ โรงมวยที่แวะเข้าไปดูก็สนุกยิ่งนัก แต่ตนเองก็มิได้อยู่นาน ด้วยเกรงจักเที่ยวชมได้มิครบที่

   ออกจากโรงมวย ตี๋จึงชักชวนคุณเดินต่อไปที่การละเล่นที่อยู่ข้างกัน เขามิรู้จักว่าเรียกว่ากระไร เห็นแต่ว่าคนเล่นนั้นถือหางนกยูงในมือข้างละกำ แลทรงตัวร่ายรำอยู่บนราวลวด คุณเต้บอกว่านั่นคือการ รำแพน(10)

   เต้พาตี๋เดินออกจากวงรำแพน ไปชมหุ่นละครโรงเล็ก ดูเชิดหุ่นกระบอก แวะซื้อขนมบุหลันดั้นเมฆ(11) ขนมตะลุ่ม(12) แลขนมเกสรชมพู(13) ที่ขายอยู่ข้างโรงหุ่นละคอน

   เมื่อออกจากโรงหุ่นละครเล็ก เต้พาตี๋เดินชมโรงลำตัด(14) ยี่เก(15) งิ้วจีน(16) ญวนหก(17) โขนกลางแปลง(18) แลการละเล่นอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อผ่านร้านขนมใดน่ากินก็จักซื้อให้คนตัวเล็กได้ลิ้มลอง

   สองบ่าวนายเดินชมงานไปเรื่อยๆ แลหันมายิ้มให้กันเป็นระยะ จนมาถึงร้านรวงริมฝั่งน้ำ บนพื้นน้ำมีการเล่นเพลงเรือ(19) แลลอยเรือประทีปอยู่กลางน้ำ

   “เราลอยกระทงกันเถิดพ่อ อีกมินานจักถึงเพลาที่แจ้งไว้กับนายสุก นายผลแล้ว ”
   
   เต้ว่าพลางชักชวนตี๋ไปลอยกระทงริมฝั่งน้ำ เขามิได้นำกระทงมา จึงขอแบ่งดอกไม้ ธูป เทียนจากชาวบ้านที่ออกร้านขายของ แลนั่งทำกระทงของตนไปด้วย หากคุณเต้ก็ให้อัฐตอบแทน แม้แม่ค้านั้นมิอยากยอมก็ตามที

   เมื่อได้กระทงดอกไม้ง่ายๆ ทั้งคู่จึงมาลอยที่ริมฝั่งน้ำ แสงเทียนมากมายส่องสว่างกลางผืนน้ำ กระทงน้อยใหญ่ลอยตามสายน้ำ นำพาสิ่งที่ผู้คนอธิษฐานให้ลอยตามน้ำ

   เต้ ตี๋ นั่งอธิษฐานในใจเงียบๆ แลปล่อยกระทงให้ลอยไปตามน้ำเยี่ยงของคนอื่น เมื่อลอยกระทงออกไปแล้ว เต้จึงหันมาถามคนข้างกาย

   “ เมื่อครู่พ่ออธิษฐานว่ากระไรบ้าง ”

   “ บ่าวก็ขอขมา ลาโทษ แม่คงคา ดังเช่นที่เคยนั่นล่ะขอรับ ”

   ตี๋ว่า พลางหลบสายตาของเต้ที่มองอย่างจับผิด ตนเองมิกล้าจักเอ่ยออกไปดอกว่า ตนนั้นขอให้ตัวเองมีบุญ แลวาสนาที่จักได้อยู่ข้างอีกฝ่ายไปตราบนานเท่านาน

   เต้เห็นอาการหลบสายตาของตี๋จึงยกยิ้ม ด้วยรู้อยู่แล้วว่าตี๋มิได้บอกความจริงแก่ตนเสียทั้งหมด ตี๋เป็นคนที่โกหกมิเป็น หากเมื่อเจ้าตัวมิพูดความจริง ก็มักจักหลบตาเยี่ยงครานี้

   “ เอาเถิด พ่อจักอธิษฐานกระไรพี่ก็มิได้ว่า แค่พี่อยากจักบอกว่า พี่อธิษฐานขอให้เราได้สมหวังกับรักในครานี้ แลให้แม่คงคาเป็นพยานว่า พี่นั้นสมัครใจรักพ่อจริงๆ ”

   เพียงเท่านี้ที่เต้ว่า แต่คนฟังเยี่ยงตี๋นั้นใจเต้นระรัว เหมือนจักหลุดออกมานอกอก เขานั้นดีใจ แลปลื้มใจนักที่คุณเต้ให้ความสำคัญกับบ่าวอย่างเขาเช่นนี้
 


   นอกจากการออกร้านของคนสยามแล้ว ยังมีการออกร้านของชาวต่างชาติอีกด้วย เต้พาตี๋เดินชมของที่ชาวต่างชาตินำมาวางให้คนสยามชม ตี๋นั้นตื่นตากับทุกสิ่งที่เห็น ยิ่งทำให้เต้ยินดีไปด้วย ที่ได้พาเด็กน้อยของตนมาเที่ยวชมงานเยี่ยงนี้

   “ อันนี้เรียกว่ากระไรรึขอรับ ”

   ตี๋ถามด้วยคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ แต่เต้ก็มิรำคาญเลยที่จักต้องตอบ

   “ นาฬิกาพกของชาวฝรั่ง พ่ออยากได้รึไม่ ”

   สิ้นคำถาม ตี๋ก็ส่ายหน้าเสียผมปลิว เต้ยกยิ้มอย่างขันๆ แล้วจึงหันไปคุยกับคนขายนาฬิกาด้วยภาษาที่ตี๋ฟังมิออก

   “ ช่างเขาบอกว่า นาฬิกานี้สามารถสลักชื่อลงไปได้ พี่จึงให้เขาสลักชื่อพี่ แลชื่อพ่อ ลงไปทั้งสองเรือน ”

   เต้หันมาบอกเมื่อเห็นว่าตี๋นั้นมีสีหน้าสงสัย

   “ คุณเต้จักซื้อให้บ่าวรึขอรับ บ่าวมิกล้ารับดอกขอรับ มันคงจักหลายอัฐนัก ”

   “ พี่มิได้ซื้อให้พ่อ แต่พี่ซื้อให้คนที่พี่รัก ”

   ตี๋นั้นเกือบจักดีใจอยู่แล้ว เมื่อคุณเต้บอกว่า มิได้ซื้อนาฬิกาเรือนงามนั้นให้ตน แต่ต้องตระหนกไปยิ่งกว่าเดิม เมื่อคุณเต้แจ้งว่าซื้อให้คนรัก แลรับนาฬิกาการชาวฝรั่งที่ส่งให้หลังจากสลักชื่อไว้แล้วใส่มือของตน ก่อนจักหันไปพูดบางอย่าง ให้อัฐกับพ่อค้าชาวฝรั่ง

   “ พี่จักเก็บไว้เรือนหนึ่ง แลให้พ่อเก็บไว้อีกเรือน พี่อยากจักให้นาฬิกาของเราเดินไปพร้อมกัน ”

   เต้พูดขึ้นอีกครั้งหลังเดินร้านขายนาฬิกา สิ่งที่เต้พูดนั้นช่างมีผลกับใจดวงน้อยของตี๋ยิ่งนัก ดวงหน้างามซับสีเลือด มือน้อยยกนาฬิกาเรือนใหม่ขึ้นมองท่ามกลางแสงจันทร์ ชื่อของตน แลชื่อของคนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นเด่นชัดอยู่บนฝาครอบตัวเรือน แลมันก็เด่นชัดในใจของเขาทั้งคู่เช่นกัน




*****************************




เชิงอรรถ
(1)   กำแพงมีหู ประตูมีช่อง (สำนวน) การที่จะพูดหรือทำอะไรให้ระมัดระวัง แม้จะเป็นความลับเพียงไรก็อาจมีคนล่วงรู้ได้

(2)   ชุน (คำกิริยา) ซ่อมผ้าหรือแหเป็นต้นที่ขาดทะลุเป็นรูให้เป็นเนื้อเดียวกัน ด้วยการถักหรือด้วยวิธีอื่น ๆ (คำนาม) เครื่องมือสําหรับถัก

(3)   ห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ งานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) จะเริ่มด้วยการห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ก่อนวันงาน ๓ วัน เพื่อเป็นเครื่องหมายประกาศให้รู้ว่างานจะเริ่มขึ้นแล้ว การห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ เป็นวิธีการประชาสัมพันธ์อันชาญฉลาด เนื่องจากในสมัยก่อนไม่มีการประชาสัมพันธ์อันรวดเร็วเช่นปัจจุบัน การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้จัดพิธีห่มผ้าแดงขึ้น จึงเป็นสัญลักษณ์ให้ชาวพระนครได้มองเห็นแต่ไกล และทราบว่างานภูเขาทองที่ทุกคนรอคอยกำลังจะมาถึงอีกวาระหนึ่ง

(4)   ประดักประเดิด (คำวิเศษ)  รีๆ รอๆ ที่ทําให้รู้สึกลําบาก ยุ่งยากกาย หรือใจ ขัดๆ ไม่ คล่อง

(5)   สะบัดร้อน สะบัดหนาว  (คำกิริยา) ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการคล้ายจะเป็นไข้เพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว โดยปริยายหมายความว่า มีความเร่าร้อนใจกลัวว่าจะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิเป็นต้น เช่น ผู้ที่ทำความผิดไว้ พอเห็นผู้บังคับบัญชามาก็รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว ร้อน ๆ หนาว ๆ หรือ หนาว ๆ ร้อน ๆ ก็ว่า

(6)   เรือมาด , เรือมาดเก๋ง เป็นเรือเก่าแก่ชนิดหนึ่งของไทย ขุดจากซุงไม้สัก ตะเคียน ขนาดต่างๆกันตามประเภทของเรือ โดยทั่วไปมีขนาด 3.5-4.5 เมตร เมื่อขุดภายในและโกลน (เกลาไว้ , ทำเป็นรูปเลาๆ) เป็นรูปมาด (ถ้าเพียงแต่ขุดไว้ แต่ยังไม่ได้เบิก เรียกว่ามาดเรือโกลน) ใช้ไฟลนให้เนื้อไม้ร้อนแล้วหงายใช้ปากกา ( เครื่องสำหรับหนีบของใช้ทำด้วยไม้หรือเหล็กก็มี) จับปากเรือผายออกให้ได้วงสวยงามเป็นเรือท้องกลม หัวท้ายรีรูปร่างคล้ายเรือพายม้า แต่หัวท้ายเรือแบนกว้างกว่า ไม่เสริมกราบ แต่มีขอบทาบปากเรือภายนอก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปากเรือ กลางลำกว้างเสริมกง เป็นระยะ หัวท้ายเรือมีแอกสั้นๆ ไม่ยื่นมากไว้ผูกโยงเรือ และแอกเหยียบขึ้นลงเรือ มีหลายขนาด ขนาดเล็กใช้พาย ขนาดใหญ่นิยมแจวมากกว่าพาย ใช้บรรทุกของหนัก ถ้าเดินทางไกลก็มีประทุนปูพื้นกลางลำเรือ จะเรียกว่าเรือมาดประทุน หากมีเก๋งกลางลำเรือจะเรียกเรือมาดเก๋ง สามารถทำประทุน และปูพื้นใช้อยู่อาศัยแทนบ้านเรือนได้

(7)   ยาม เป็นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ และพบในการพากย์ภาพยนตร์จีนที่เรียกว่า ชั่วยาม โดยในจีนแบ่ง 1 วันเป็น 12 ชั่วยามตามที่บอกไว้ในธงชาติสาธารณรัฐจีน ขณะที่หนึ่งยามของไทยมีค่าประมาณ 3 ชั่วโมง หลักการนับยามตามบาลี

คำว่า “ยาม” ที่เรานับกันตามแบบไทย ๆ กับ “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏในบาลีนั้นแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะคืนหนึ่งเราแบ่งเป็น 4 ยาม ยามละ 3 ชั่วโมง

•   ตั้งแต่ย่ำค่ำ คือ 18 นาฬิกา ถึง 3 ทุ่ม (21 นาฬิกา) เป็นยามที่ 1
•   หลังจาก 21 นาฬิกา หรือ 3 ทุ่ม ไปถึง 24 นาฬิกา หรือ เที่ยงคืน เราเรียกว่า ยาม 2 หรือ 2 ยาม
•   หลัง 24 นาฬิกา ไปถึงตี 3 (3 นาฬิกา) เราเรียกว่า ยาม 3
•   และหลังจากตี 3 ไปจนย่ำรุ่ง หรือ 6 นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม 4 ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของคืน

8 นอนดาบ (คำนาม)  การเล่นทำนองแสดงกล หรือแสดงความอยู่ยงคงกระพัน คือ ตั้งปลายหอกหรือหงายคมดาบเรียงกันเป็นแถว ผู้เล่นนอนลงบนนั้น บางครั้งทำเป็นขั้นบันได หงายคมดาบวางเป็นขั้นๆ แล้วเหยียบไต่ขึ้นไป

9 โตฬ่อแก้ว (คำนาม) การเล่นสิงโตแบบญวน ที่มีตัวประกอบ ๖ คน ผูกเป็นเรื่องสั้น ๆ มีคนล่อแก้ว , ญวนหก ก็เรียก

10 รำแพน  (คำนาม) การเล่นอย่างโบราณชนิดหนึ่งในการพระราชพิธี ผู้เล่นนุ่งผ้าหยักรั้งสวมเสื้อคอกลม มือทั้ง ๒ ถือหางนกยูงข้างละกำ รำออกท่าต่าง ๆ เลี้ยงตัวอยู่บนราวลวด ในที่นี้ผู้แต่งขอใช้เป็นคำนาม
      (คำกิริยา) แผ่หางกระดกขึ้นหรือแผ่ปีกแล้วเดินกรีดกรายไปมา (ใช้แก่นกยูง นกหว้า และนกแว่น)

11 ขนมบุหลันดั้นเมฆ ลักษณะของขนมจะคล้ายขนมน้ำดอกไม้ เป็นขนมชาววังคิดประดิษฐ์ขึ้นให้มีสีสันอุปมาอุปไมยเลียนแบบเพลงไทย ‘บุหลันลอยเลื่อน’ ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 มี 2 ส่วน คือ ส่วนตัวขนม ทำจากแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำดอกอัญชัน น้ำตาลทราย หยอดลงบนถ้วยตะไล เมื่อนำไปนึ่งตรงกลางจะบุ๋มลงไป ส่วนตัวหน้าขนม ประกอบด้วย ไข่ กะทิ น้ำตาลมะพร้าว และนำไปนึ่งต่อจนสุก

12  ขนมตะลุ่ม หรือขนมหน้าสังขยา เป็นขนมไทยโบราณ ๆ คล้ายๆ กับขนมถ้วย ที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ หรือเคยได้ยินชื่อ แต่ยังไม่เคยเห็นวิธีการทำหรือไม่เคยเห็นตัวขนมจริง ๆ ขนมชนิดนี้ เป็นขนมไทยโบราณที่มีมาไม่ต่ำกว่าร้อยปี และไม่พบประวัติว่าใครเป็นคนค้นคิด หรือว่าทำขนมนี้ขึ้นในเทศกาลหรือโอกาศใดๆขนมตะลุ่ม มี สองส่วน คือส่วนตัวขนม ทำแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม แป้งมันสำปะหลัง น้ำปูนใส และหางกะทิ นำไปนึ่งจนสุก ส่วนของตัวหน้า ได้แก่ หัวกะทิ ไข่ และน้ำตาล ใส่แป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย แล้วเทลงบนตัวที่สุกแล้ว นำไปนึ่ง เวลาเสิร์ฟตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำหรือลักษณะตามชอบ เวลาจะรับประทานควรรับประทานพร้อมกันเพราะให้รสชาติที่หวาน มัน และมีกลิ่นหอมของกะทิยามรับประทานในคำเดียวกัน


13 ขนมเกสรชมพู  เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ลักษณะจะคล้ายๆ ข้าวเหนียวแก้ว แต่ต่างกันตรงที่ส่วนประกอบหลักเป็นมะพร้าวทึนทึก แต่มีความหวาน และวาวคล้ายๆ กัน เกสรชมพู่ต่างกับเกสรลำเจียกตรงที่รูปลักษณะ และส่วนผสมบางอย่างคือ เกสรชมพู่ทำเป็นคำๆ คล้ายกับเกสรชมพู่จริงๆ เกสรลำเจียก จะปั้นเป็นลักษณะรียาว หรือคล้ายๆ กระเปาะ และไม่ใส่ผงวุ้นในการทำนั้นเอง

14 ลำตัด เป็นเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองชนิดหนึ่งของไทย ซึ่ง นิยมร้องกันในเขตภาคกลาง ทั้งนี้ มีต้นตอมาจาก “ ลิเกบันตน”ของชาวมลายู ในต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยลิเกบันตนดังกล่าว มีรูปแบบของการแสดงแยกออกเป็น 2 สาขา สาขาหนึ่ง เรียกว่า” ฮันดาเลาะ” และ “ ลากูเยา” และลิเกบันตนลากูเยา มีลักษณะของการแสดงว่ากลอนสดแก้กัน โดยมีลูกคู่คอยรับ เมื่อต้นบทร้องจบ ต่อมาเมื่อมีการดัดแปลงกลายเป็นภาษาไทยทั้งหมด จึงเรียกกันว่า” ลิเกลำตัด” ในระยะแรก และเรียกสั้น ๆ ในเวลาต่อมาว่า “ ลำตัด” ซึ่งมีลักษณะของเพลง และทำนองเพลงที่นำมาให้ลูกคู่รับ โดยมากก็มักตัดมาจากเพลงร้องหรือเพลงดนตรีอีกชั้นหนึ่ง

15 ยี่เก (คำนาม) ลิเก , การเล่นคล้ายละครรำ ดัดแปลงมาจากละครมลายู

16 งิ้วจีน หรือ อุปรากรจีน เป็นการแสดงที่ผสมผสานการขับร้องและการเจรจาประกอบกับลีลาท่าทางของนักแสดงให้ออกเป็นเรื่องราว โดยสมัยนั้นได้นำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในพงศาวดารและประวัติศาสตร์มาดัดแปลงเป็นบทแสดง รวมทั้งยังมีการนำเอาความเชื่อทางประเพณีและศาสนาเข้าไปผสมผสานกับการแสดงงิ้วด้วย เดิมประเทศจีนมีงิ้วราว 300 กว่าประเภท ส่วนใหญ่จะเป็นงิ้วท้องถิ่น ส่วนงิ้วระดับประเทศ เช่น งิ้วปักกิ่ง, งิ้วเส้าซิง, งิ้วเหอหนัน และงิ้วกวางตุ้ง โดยงิ้วปักกิ่งเป็นงิ้วที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยปัจจุบันถือเป็นตัวแทนงิ้วประจำชาติจีน

17 ญวนหก การแสดงกายกรรมของชาวญวนที่ขึ้นไปหกคะเมนตีลังกาอยู่บนปลายไม้ ทางราชการไทยตื่นเต้นกับการแสดงนี้มากถึงกับตั้ง "กรมญวนหก" ฝึกหัดกันเป็นเรื่องเป็นราว

18 โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนแสดงกลางแจ้ง บนพื้นดิน หรือกลางสนามหญ้า สันนิษฐานว่าเป็นการแสดงโขนประเภทแรก จัดแสดงตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่ทราบต้นกำเนิดแน่ชัด

19 เพลงเรือ เป็นเพลงพื้นบ้านที่เล่นกันในฤดูน้ำหลาก เป็นเพลงปฏิพากย์ชนิดเดียวที่ร้องเล่นกลางลำน้ำโดยพ่อเพลงและแม่เพลงอยู่คนละลำ จังหวัดที่เล่นเพลงเรือ ได้แก่ จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำในภาคกลาง เช่น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี และพิษณุโลก เพลงเรือส่วนใหญ่จะถนัดร้องบทชิงชู้




******************************





   สวัสดีขอรับ ข้าเจ้าโผล่หน้ามารายงานตัวแล้วขอรับ พร้อมกับเอาตอนต่อไปมาส่งแก่ทุกท่าน

   ในตอนนี้นั้นมิได้มีกระไรมากนัก ส่วนใหญ่จักเป็นคุณเต้ที่ชอบแกล้งน้องตี๋

   ข้าเจ้าต้องขออภัยอีกครา หากอธิบายท้ายบทนั้นเยอะเกินไป ข้าเจ้าเพียงต้องการจักนำเสนอเกร็ดสาระประกอบกันไป หากท่านใดมิต้องการจักทัศนา ก็เลื่อนผ่านเลยขอรับ

   ข้าเจ้ามิทราบเลยว่าตอนนี้จักเป็นที่พึงใจของมุกท่านรึไม่ แต่ข้าเจ้าพยายามที่จักทำออกให้ให้ดีที่สุด

   เชิงอรรถตอนท้าย หากมีข้อมูลใดผอดพลาด ข้าเจ้าจักต้องกราบขออภัยด้วยขอรับ ด้วยข้าเจ้าเองนั้นศึกษามาเพียงพื้นฐาน

   ส่วนเรื่องงานภูเขาทอง หรืองานมนัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระบรมบรรพต ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารนั้น หากมีสิ่งใดผิดพลาดไป ข้าเจ้าขอน้อมรับขอรับ เนื่องด้วยข้าเจ้ายังมิเคยไปเที่ยวงานภูเขาทองเลยสักครา ที่แต่งออกมานั้นได้จากมโน แต่ตัวอักษรจากหน้าเว็บเท่านั้น

   สุดท้ายข้าเจ้าคงต้องบอกว่า รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ แล้วพบกันขอรับ




.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป




…..Mariner_IX….

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 4 (05/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 05-10-2018 17:51:46
เขินแทนตี๋ :-[
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 4 (05/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-10-2018 23:22:49
 Cyclopbee : ขอบคุณขอรับ

เขินๆกันไป
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 4 (05/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 08-10-2018 09:17:43
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 4 (05/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-10-2018 13:42:19

กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณขอรับ

+เป็ด
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 5 (08/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-10-2018 13:43:29
ตอนที่ 5


..............ความที่มิได้ก่อ...............



   งานภูเขาทองในครานั้นผ่านมาหลายเพลา นายผล นางมา ออกเรือนไปเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่นายผลเฝ้าเกี้ยวพาราสีอยู่นานที นางมาก็ยินยอมพร้อมใจที่จักออกเรือนด้วย

   ท่านพระทิพยโอสถเมตตาเป็นผู้ใหญ่สู่ขอนางมาให้นายผล แลยังช่วยจัดงานให้ภายในเรือนอีกด้วย ก่อนจักมอบอัฐ ให้เป็นขวัญถุงแก่ทั้งคู่ กระนั้น นางมา แลนายผลก็ยังคงเป็นบ่าวอยู่ที่เรือนพระยาทิพยโอสถ เพราะยังมิมีเบี้ย อัฐ มาไถ่ถอนตัว

   ส่วนเต้นั้นก็มีงานมากขึ้น ด้วยได้รับยศใหม่ แลราชทินนาม(1) เป็นหลวงอภิบาลบริรักษ์ ดูแลด้านการแพทย์สมัยใหม่ร่วมกับหมอชาวต่างชาติ

   คราที่ได้รับยศนั้น คุณหญิงแย้มยินดีเป็นอย่างมา มอบของขวัญให้บุตรชายมาหลายอย่างนัก เช่นเดียวกับท่านพระยาทิพยโอสถ แลคุณหญิงพิม

   ครานั้นคุณหญิงแย้มให้บ่าวไพร่จัดเตรียมเรือน แลอาหารทั้งคาว หวานเสียยกใหญ่ เพื่อร่วมยินดีกับบุตรชายของตน

   คิมม่อนเองก็มาร่วมยินดีด้วย หลังจากมิได้มาเยือนเรือนพระยาทิพยโอสถเสียนาน ส่วนคุณหลวงที่เพิ่งจักได้รับยศมานั้นก็มิได้ยินดีนัก ที่คุณหญิงแย้มจักจัดงานเยี่ยงนี้ แต่ก็มิอาจขัดกระไรมากได้

   


********************************************


   มือเล็กหยิบนาฬิกาพกที่ได้รับมาจากคนที่ตนรัก แลเคารพ ออกจากชายพก(2) ขึ้นดู ตี๋มิได้สนใจเข็มบนตัวเรือน หากดวงตากลมโตนั้นมองชื่อที่สลักอยู่บนฝาครอบตัวเรือน รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าสวย ก่อนที่จักเก็บนาฬิกาแสนรักไว้ในที่ ที่ตนรู้เพียงผู้เดียว ทั้งที่ปกติแล้วตี๋จักพกนาฬิกาเรือนนี้ติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ตั้งแต่ที่ได้รับมา

   หลังจากที่แล้วจากงานที่เรือนริมน้ำ ตี๋จึงไปช่วยบ่าวไพร่คนอื่น เช่นที่เคยเป็น

   “ ไอ้ตี๋ เอ็งมาช่วยข้ายกไม้ตรงนี้ประเดี๋ยว ”

   “ จ้ะ พี่สุก ”

   “ ไอ้สุก ตรงนั้นใกล้แล้วรึไม่ ”

   “ เออๆ ตรงนี้ยกไม้ไปวางก็แล้ว แล้ว เอ็งมีกระไรรึ ”

   “ มาช่วยข้าตรงนี้ประเดี๋ยว ข้ายังเหลือกล้าไม้อีกหลายต้นนักเชียว หากแล้วมิทันใจท่าน ประเดี๋ยวจักโดนใส่ความอีก ”

   “ เออๆ เอ็งก็อย่าพูดดังไป ประเดี๋ยวพวกสอพอมันจักหาเรื่องไปฟ้องนายมัน แลเราจักหลังลาย ”

   ตี๋ไปช่วยงานนายสุก นายผล ที่กำลังปลูกต้นไม้ตามความต้องการของคุณหญิงแย้ม อยู่หลังเรือน ซึ่งเรื่องที่นายสุกว่านั้น เกิดขึ้นคราที่ไปเที่ยวงานภูเขาทอง

   บ่าวเรือนคุณหญิงแย้มที่ ไม่ใคร่ชอบหน้าพวกตนนัก นำความไปแจ้งแก่คุณหญิงแย้มว่า นายสุก นายผล แลนางมา ร่วมถึงตัวของบ่าวรับใช้ของเต้อย่างตี๋ ว่าตีตนเสมอท่าน

   หากครานั้นคุณเต้มิได้กลับเรือนก่อนเพลาปกติ คงจักโดนลงหวายกันเป็นแน่ แลความในครั้งนั้น ยิ่งทำให้บ่าวเรือนคุณหญิงแย้ม มิชอบหน้าพวกตนมากยิ่งไปกว่าเดิม

   “ ว่าก็ว่า วันนี้ข้าใจมิใคร่ดีนัก ตาขวารึก็เขม่นไม่หยุด ”

   “ แล้วเอ็งจักเอ่ยขึ้นมาเพื่อกระไรกัน ”

   “ เอ้า ก็ข้าใจมิดีจริงๆ วันนี้นอกจากท่านพระยา แลคุณหลวงเข้ากรมแล้ว คุณหญิงพิมนั้นก็มิอยู่เรือน เห็นนางมาว่าท่านให้ป้าม้วนจัดสำรับอาหาร จักไปถวายเพลพระคุณเจ้า ”

   “ เออ ยิ่งฟังเอ็งว่า ข้าก็ใจมิดีไปด้วย ”

   “ ใจมิดีเรื่องกระไรกันพี่สุก พี่ผล ”

   นายผล นายสุกคุยกันระหว่างที่กำลังขุดดิน เพื่อปลูกต้นไม้ ตี๋ที่ช่วยอยู่ข้างกันฟังมาหลายเพลาจึงอดที่จักสงสัยมิได้

   “ นี่ยังยังมิรู้ดอกรึว่า วันที่มิมีใครอยู่เรือนเยี่ยงนี้ เป็นวันที่ทาสไร้นายคุ้มกะลาหัวอย่างข้า หรือทาสที่นายมิอยู่เยี่ยงเอ็งนั้น จักมีภัยโดยง่าย ”

   “ เหตุใดเล่าพี่สุก เหตุใดจึงจักมีภัย ”

    “ เออ เอ็งเพิ่งมาอยู่มินานนัก คงจักมิรู้ความมาก่อน ข้าจักบอกให้เอ็งได้ระวังตัว บ่าวเรือนคุณหญิงแย้มนั้นปากเบายิ่งนัก แลยังชอบใส่ความคนอื่นไปทั่ว คุณหญิงแย้มเองก็เป็นที่หวาดกลัวของบ่าวไพร่ หากท่านมิพอใจใคร ท่านก็จักสั่งลงหวายได้โดยง่าย ”

   “ ถูกเยี่ยงไอ้ผลมันว่า แลวันนี้มิมีใครอยู่เรือน หากคุณหญิงพิมท่านอยู่เรือน คุณหญิงแย้มก็จักมิอาจลงโทษบ่าวไพร่ตามใจตนได้มากนัก ด้วยคุณหญิงพิมท่านคอยปรามอยู่ แต่วันนี้ข้าว่า ขี้ข้าเยี่ยงเราคงจักต้องประหวั่นใจเป็นแน่ ”

   นายสุกกระซิบตอบ พร้อมแลซ้ายขวา เมื่อเห็นว่ามิมีใครอยู่แถวนั้นจึงว่าต่อ

   “ ยิ่งเมื่อคราก่อน พวกเรารอดตัวมาด้วยคุณหลวงท่านช่วยไว้ ไอ้ อีปากเปราะพวกนั้น คงผูกใจเจ็บมิเลิกดอก วันนี้ข้าเสียวหลังตัวเองมิน้อยเชียว ”

   “ เออ รู้ก็รู้กันอยู่ อย่ามาพูดมากให้เสียการ เร่งมือเข้า จักได้แล้วเสียที ”

   นายสุกว่า ก่อนที่ทั้งสามจักช่วยกันขุดหลุม ปลูกต้นไม้ ตามที่ได้รับงานมา เร่งมือเพื่อให้งานนั้นแล้วโดยไว


   เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนมากลางศีรษะ ต้นไม้ที่ลงหลุมปลูกไปนั้นได้เกินกึ่งหนึ่ง ทั้งสามจึงวางมือ แลเดินไปกินข้าวที่โรงครัว เมื่อผ่านมื้ออาหารไปจึงกลับมาขุดหลุม ลงกล้าไม้ต่อ

   เพลาผ่านไปจนงานที่ทำอยู่ใกล้แล้ว นายผลนั้นเงยหน้าจากหลุมดินที่ตนกำลังกลบอยู่ จึงเห็นว่ามีบ่าวคนหนึ่งเดินมาทางพวกตน

   “ ไอ้ตี๋ เอ็งว่างอยู่รึไม่ ”

   “ อ้าว อีหยิบ เอ็งมิตามองรึไร ก็เห็นว่าไอ้ตี๋มันลงต้นไม้ให้คุณท่านกับพวกข้าอยู่ ”

   “ กูมิได้ถามมึงไอ้สุก อย่าสอด หากมิอยากหลังลาย ”

   นางทาสที่เดินมาเอ่ยถามขึ้น แต่มิทันที่ตี๋จักได้ตอบ นายสุกนั้นชิงตอบไปเสียก่อน จนนางหยิบที่นายสุกเรียกนั้นมิชอบใจ

   “ อ้าวอีนี่ ข้ายังได้ทำกระไรผิด เหตุใดจักมาลงหวายข้าได้  ”

   “ หากมึงยังมิหยุดพูดมาก อย่าหาว่ากูมิเตือน หุบปากของมึงเสียจะดีกว่าไอ้ขี้ข้า ”

   “ อ้าวอีหยิบ เอ็งแลข้ามันก็ขี้ข้าเขาเหมือนกัน.... ”

   “ พี่หยิบมีกระไรรึ ”

   นายสุกมิชอบใจนักที่นางหยิบจิกหัวเรียกตนเยี่ยงนั้น ตี๋เห็นว่าหากปล่อยไว้เรื่องคงมิจบ แลจักเป็นผลเสียต่อพวกตนเสียมากกว่า จึงชิงถามความนางหยิบเสียก่อน

   “ คุณหญิงแย้มเรียกหามึง จักให้ไปช่วยงานบนเรือน ”

   “ แล้วบ่าวที่เรือนคุณหญิงมีตั้งมาก เหตุใดจึงมาเรียกไอ้ตี๋กันเล่า ”

   “ แล้วเป็นเยี่ยงไร เหตุใดจักเรียกใช้มิได้ รึมึงริอาจทำตัวเกียจคร้านการงาน ท่านเรียกหาจึงมิอยากไป ”

   “ มันคร้านการงานที่ใดกัน ก็เห็นอยู่ว่า มันก็ทำอยู่ คงมีแต่.... ”

   “ หามิได้ดอกพี่หยิบ ฉันจักไปหาท่านประเดี๋ยวนี้ พี่สุก พี่ผล ฉันฝากต้นไม้ที่เหลือด้วยนะจ๊ะ ”

   เมื่อเห็นว่าเรื่องชักจักใหญ่ตัวโตขึ้น ด้วยนายสุกเองก็มิชอบใจที่บ่าวเรือนคุณหญิงแย้มมาเรียกใช้ผู้อื่น ทั้งที่งานเหล่านั้นเป็นงานของตน แลเป็นเช่นอยู่เนื่องๆ หากคุณหญิงเจ้าของเรือนเองมิห้ามปรามบ่าวของตน ทำให้บ่าวพวกนั้นได้ใจ ยิ่งเรียกใช้ผู้อื่นไปทั่ว โดยที่ตนไปหลบพักอย่างสุขใจ

   “ เอ็งระวังตัวไว้ให้มากนะไอ้ตี๋ ข้ามิใคร่ไว้ใจเลย ”

   นายสุกกระซิบบอก ก่อนตี๋จักเดินตามนางหยิบไปด้านหน้าเรือน เพื่อไปพบคุณหญิงแย้มตามคำสั่งที่ได้รับมา

   “ คุณหญิงเจ้าคะ บ่าวพาไอ้ตี๋มาแล้วเจ้าค่ะ ”

   คุณหญิงแย้มนั่งชมเครื่องทองอยู่บนชานเรือน แลมีบ่าวไพร่นั่งพัดอยู่มิห่าง

   “ สวัสดีขอรับคุณหญิง คุณหญิงมีกระไรจักเรียกใช้บ่าวรึขอรับ ”

   ตี๋เอ่ยถามเมื่อนั่งลง แลกราบคุณหญิงแล้ว

   “ ข้าเห็นว่าเอ็งว่างอยู่ แลงานบนเรือนยังมีอีกมาก บ่าวข้าก็ยังทำงานมิแล้ว เอ็งขัดกระไรรึไม่ หากข้าจักให้เอ็งมาช่วยสักประเดี๋ยว ”

   “ มิได้ขอรับ คุณหญิงมีกระไรให้บ่าวรับใช้ขอรับ ”

   “ มิมีกระไรนักดอก ข้าเอาเครื่องทองออกมาดู ว่าจักสวมไปงานบุญสงกรานต์ แต่คงจักมิได้สวมมานาน เครื่องทองพวกนี้จึงหมองนัก แลข้าจักใช้อีพวกนี้ก็เห็นว่ามันมือหนักนัก ประเดี๋ยวเครื่องทองข้าจักเสียหาย เสียมากกว่า ”

   คุณหญิงแย้มว่า

   “ ขอรับคุณหญิง บ่าวจักเบามือให้มากขอรับ ”

   “ ดี ข้าจักเอนหลังสักประเดี๋ยว ”

   คุณหญิงตอบรับ พลางส่งสายตาบางอย่างกับบ่าวของตน โดยที่ตี๋มิได้สังเกต

   ตี๋นั่งเช็ดทำความสะอาดเครื่องทองของคุณหญิงแย้มอยู่เงียบๆ ที่หน้าชานเรือน ใบหน้าเล็กๆ แลสายตามิได้มองไปรอบตัว เนื่องด้วยสนใจเพียงเครื่องทองในมือตนเท่านั้น


**************************************


   “ ไอ้สุก เร่งมือเข้า อย่าช้าที ข้าเป็นห่วงไอ้ตี๋นัก ข้ามิไว้ใจบ่าวเรือนคุณหญิงแย้ม มิรู้ว่าจะรังแกไอ้ตี๋อีกรึไม่ ”

   “ เออ ข้าก็เร่งอยู่ แต่หากไอ้ตี๋โดนรังแกจริง แล้วเอ็งกับข้าจะทำเยี่ยงใดได้ แค่หน้าเรือนยังมิรู้ว่าจักได้เข้าไปรึไม่ ”

   “ ข้าก็มิรู้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีทางบ้างกระมัง ”



**************************************


   เพลาเดินไปเรื่อยๆ กว่าตี๋จักทำความสะอาดเครื่องทองชิ้นชุดท้ายแล้ว ก็ได้ยินเสียงย่ำฆ้องเสีย 2 ครั้งแล้ว

   เมื่องานแล้ว ตี๋จึงวางเครื่องทองชิ้นสุดท้ายใส่คืนที่ แต่ยังมิทันที่จักยกไปคืนคุณหญิง เสียงแหลมๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน

   “ ไอ้ตี๋ ไอ้ขี้ข้านั่นเอ็งคิดจักทำกระไร ”

   “ กระไรรึพี่หยิบ ฉันจักเอาเครื่องทองไปคืนคุณหญิงท่านขอรับ ”

   “ แต่ที่ข้าเห็นมิเป็นเยี่ยงนั้น ”

   “ กระไรอีหยิบ เอะอะกระไรกัน ”

   “ ไอ้ขี้ข้านี่ มันจักขโมยเครื่องทองของคุณหญิงเจ้าค่ะ ”

   “ มึงว่ากระไรนะอีหยิบ ”

   “ ไอ้ตี๋มันจะขโมยเครื่องทองเจ้าค่ะ คุณหญิง ”

   “ มิใช่นะขอรับ บ่าวมิได้...... ”

   “หุบปาก ข้ายังมิได้ถามเอ็ง อย่าสอด ”

   “ เอ็งเห็นจริงรึไม่อีหยิบ ”

   “ บ่าวเห็นจริงๆ เจ้าค่ะ ”

   มิทันที่ตี๋จักได้แก้ไขความเข้าใจผิดของนางหยิบ หากนางหยิบนั้นโวยวายเสียจนคุณหญิงแย้มผู้เป็นเจ้าของเรือน ออกมาถามความ

   แล้วก็เช่นกัน ตี๋มิทันได้ชี้แจงความว่ากระไร ก็โดนนางหยิบใส่ไคล้เสียก่อน แลคุณหญิงเองก็มิยอมฟังความจากตี๋

   “ บ่าวมิได้ทำเยี่ยงพี่หยิบว่านะขอรับ บ่าวเพียงจักนำเครื่องทองมาคืนคุณหญิงขอรับ ”

   “ มันโกหกเจ้าค่ะ คุณหญิง บ่าวเห็นมันจักขโมยจริงๆ เจ้าค่ะ แลกูไม่มีน้องเยี่ยงมึง มึงมิต้องมานับญาติกับกู ”

   ตี๋พยายามแก้ต่างให้ตนเอง แต่นางหยิบนั้นมิยอม นางยังยืนว่า นางเห็นตี๋จักขโมยจริงอย่างที่ตนว่า พลางส่งสายตาไปให้นายของตน ซึ่งคุณหญิงเองก็มีสีหน้าพึงใจเช่นกัน

   “ มึงจักแก้ตัวว่ากระไร ไอ้ตี๋ หลักฐานยังคามือมันอยู่เลยเจ้าค่ะ ”

   นางหยิบว่า พลางชี้มือมาที่ตี๋ ซึ่งยังถือถาดใส่เครื่องทองอยู่

   “ เห็นจักจริงเยี่ยงมึงว่า มึงไปค้นตัวมันสิว่า มันแอบเอาเครื่องทองข้าซุกไว้ที่ใดบ้าง ”

   “ เจ้าค่ะ คุณหญิง ”

   คุณหญิงว่า พลางให้บ่าวของตนไปค้นตัวตี๋ ว่าได้ซุกซ่อนเครื่องทองของตนไว้หรือไม่

   นางหยิบฉวยเอาถาดเครื่องทองจากมือตี๋ส่งให้บ่าวอีกคน แลเริ่มค้นตัวตี๋ตามที่ได้รับคำสั่งความจากคุณหญิงแย้ม

   “ นี่เจ้าค่ะคุณหญิง ”

   นางหยิบค้นตัวตี๋ แลหยิบเอาสร้อยทองเส้นหนึ่งออกมา

   “ มึงจักแก้ตัวเยี่ยงไร หลักฐานมัดแน่นเยี่ยงนี้แล้ว อีหยอด มึงไปเรียกไอ้คอนมาหากู กูจักสั่งสอนไอ้ขี้ข้านี่ ”

   “ บ่าวมิได้ทำขอรับ แลทองเส้นนั้นบ่าวก็ได้อยู่ในชุดเครื่องทองที่คุณหญิงให้บ่าวทำความสะอาด ”

   ตี๋แย้งความ ด้วยตนจำได้ว่า ทองเส้นที่นางหยิบพบนั้น ตนมิได้เห็นในชุดเครื่องทองที่นั่งทำความสะอาดอยู่เมื่อหลายเพลาก่อน

   “ จักมิใช่ได้เยี่ยงไร บ่าวอย่างมึงคงมิมีปัญญาจักมีได้ดอกกระมัง ทองเส้นนี้หลายอัฐนัก ”

   นางหยิบว่า พลางหันมามองนายของตน ซึ่งคุณหญิงแย้มเองนั้นยืนยิ้มอย่างสมใจ เมื่อเห็นว่าเรื่องเป็นไปตามที่ตนต้องการ

   “ ไอ้คอนมาแล้วเจ้าค่ะคุณหญิง ”

   นางหยอด บ่าวเรือนคุณหญิงแย้ม ซึ่งรับคำสั่งความให้ไปตามนายคอน กลับมาถึงพร้อมกับบ่าวชาย รูปร่างกำยำ

   “ ดี ไอ้คอน มึงเอาไอ้ขี้ข้านี่ไปโยงที่เสาเรือน แลลงหวายให้หนัก ให้มันหลาบจำ มันริอาจจักขโมยของ  ของข้า ”

   “ คุณหญิงขอรับ บ่าวมิได้ทำจริงๆขอรับ ”

   ตี๋พยายามขืนตัวจากนายคอน ที่เข้ามาฉุด ดึง แลลากร่างเล็กจากพื้นเรือน แต่คุณหญิงหาได้ฟังความนั้นแต่อย่างไร นายคอนจึงกึ่งดึง กึ่งลาก ตี๋ไปลงหวายตามที่คุณหญิงสั่ง


************************************


    ด้านล่างเรือน พุ่มไม้ที่มิไกลมากนัก มีร่างของใครหลบอยู่ นายผล นายสุก รีบทำงานของตน มาแอบดูอยู่ข้างเรือน แลได้ยินเรื่องทั้งหมด แม้จักไม่สามารถเห็นความบนเรือนได้ แต่ทั้งคู่ก็มั่นใจได้ว่า ตี๋นั้นคงจักโดนใส่ความอยู่เป็นแน่

   “ ไอ้สุก เอ็งคิดออกรึยังว่าจักช่วยไอ้ตี๋ได้เยี่ยงไร ”

   “ เราก็ขึ้นไปช่วยตอนนี้เลยสิวะ ”

   นายผลถามนายสุก นายสุกก็ตอบความ แลจักเดินขึ้นเรือนไปดังคำที่ตนว่าไว้ แต่ติดที่โดนนายผลดึงแขนไว้เสียก่อน

   “ ไอ้โง่เอ๊ย หากเอ็งแลข้า ผลีผลามขึ้นไปบนเรือนคุณหญิงท่านตอนนี้ ก็หลังลายกันหมดนี่ล่ะ มิได้ช่วยไอ้ตี๋แล้วยังจักเจ็บตัวด้วยนั่นประไร ”

   “ เออ จริงอย่างเอ็งว่าข้าก็ลืมตัวไป ด้วยอยากช่วยไอ้ตี๋ เยี่ยงนั้นเราจักทำกระไรดีเล่า ”

   “ เอ็งก็อย่าเร่งข้านัก ข้าก็กำลังคิดอยู่ ”

   “ รึเราจักรอให้คุณเต้ท่านกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยแจ้งแก่ท่าน ให้ท่านมาช่วยไอ้ตี๋ ”

   “ รอคุณเต้กลับเรือน ไอ้ตี๋มิตายคาหวายดอกรึ ไอ้คอนนั้นมิเคยเบามืออยู่แล้ว มันชอบนักที่ได้ลงหวายบ่าวคนอื่น แลเพลานี้เพิ่งจักย่ำฆ้องเพียง 2 ครั้ง กว่าคุณเต้จักกลับ....... ”

   นายผลว่า ด้วยหากรอเต้กลับเรือน นั่นก็คงจักช้าเกิน เพราะตามปกติแล้ว เต้มักกลับเรือนหลังย่ำฆ้องไปแล้ว 5 ครั้ง ซึ่งกว่าจักถึงเพลานั้น ตี๋คงจักโดนลงหวายไปนักหนาแล้ว

   แต่แล้วคล้ายว่านายผลจักนึกกระไรได้ เมื่ออยู่เจ้าตัวก็หยุดพูดไปเสียอย่างนั้น

   “ กระไรไอ้ผล เอ็งนึกกระไรได้ใช่รึไม่ ”

   “ เออ ข้าพอจักนึกออกแล้วว่าใครพอจักช่วยไอ้ตี๋ได้ ”

   “ ใครเล่า เอ็งก็ว่ามาเสียที มัวแต่อมพะนำอยู่ได้ ”

   “ เออๆ ก็คุณเต้ไงเล่า ”

   “ คุณเต้ เข้ากรมตั้งแต่เมื่อเช้า แลยังมิกลับเรือน หากเอ็งจักลืมไป ”

   “ เออ ข้าจำได้ ว่าคุณเต้เข้ากรม แต่ที่เอ็งกับข้าต้องทำคือ ไปตามคุณเต้ให้กลับเรือน บัดเดี่ยวนี้ ”

   “ ไปตามคุณเต้ เอ็งก็พูดไป จากเรือนกว่าจักเดินลัดทุ่งจนถึงพระนคร แลจักวิ่งก็ตามที ไอ้ตี๋ก็ขาดใจเสียก่อนกระมัง ตัวก็เล็กเท่านั้น ”

   “ โอ๊ย ไอ้โง่ใครจักเดินไปกัน ข้าหมายความว่า เราจักเอาเรือไป ”

   “ เอาเรือไป ก็ต้องขโมยนั่นประไร เอ็งหาเรื่องเพิ่มแล้วไหมเล่า ”

   “ มิมีใครรู้ดอก พี่มั่นพายเรือให้คุณหญิงพิม แลกว่าจักกลับเรือนคงเพลาเย็นโน่น อีกอย่างเพลานี้บ่าวช่างสอดของเรือนคุณหญิงแย้มก็มิมีใครใคร่สนใจกระไรดอก เพราะพวกมันมีเรื่องให้ดูอยู่บนเรือนโน่น แลทางสะดวก เอ็งกับข้ารีบไปเสียแต่ตอนนี้ หากช้าจักไม่ทันการ ”

   นายผลร่ายยาว พลางลากนายสุกไปทางโรงเก็บเรือ เพื่อจักไปตามนายของเรือนริมน้ำ เพื่อมาช่วยคนที่พวกตนรักเยี่ยงน้องชายให้ทันโทษครั้งนี้

   “ อีกอย่างหนึ่งนะไอ้สุก ข้าเชื่อว่าคุณเต้ท่านต้องช่วยมิให้เราโดนลงโทษหนักดอก แม้เอ็งกับข้าจักขโมยเรือไปก็ตามที ”

   นายผลเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่กึ่งเดิน กึ่งวิ่งไปที่โรงเก็บเรือ เพื่อมิให้บ่าวคนอื่นสนใจตนทั้งคู่เกินไป นายผลแน่ใจเป็นหนักหนาว่า อย่างน้อยๆ หากเต้ได้ฟังความ ก็คงจักช่วยผ่อนโทษของตนกับนายสุกในครั้งนี้ได้



*********************************************


   “ ไอ้ผลเอ็งพายให้มันเร็วกว่านี้หน่อยมิได้รึ ”
   
   “ ไอ้สุก ข้าก็พายสุดกำลังแล้วนะโว๊ย อย่าบ่นนักเลย ท่าเรือจักถึงอยู่นั่นแล้ว ”

   นายผล นายสุก ที่แอบเข้าโรงเก็บเรือที่เรือนของพระยาทิพยโอสถได้ คว้าเอาเรือบด(3) เพื่อมิให้เป็นจุดสังเกตจนเกินไป แลทั้งคู่ก็ช่วยกันพายเข้าพระนคร

   “ สวัสดีจ้าพี่ชาย กระผมชื่อผลขอรับ แลด้านหลังนั่นชื่อไอ้สุกขอรับ พวกเราเป็นบ่าวเรือนพระยาทิพยโอสถขอรับ เรามีความด่วนจักต้องรีบแก่คุณเต้ เอ้ย คุณหลวง.... หลวงกระไรนะไอ้สุก ”

   เมื่อพายเรือมาถึงนายผล นายสุกก็หาที่ผูกเรือ แลวิ่งตามทางจนถึงประตูเมือง ซึ่งมีทหารยามยืนเวรประจำอยู่

   นายผลแจ้งชื่อของตน แลชื่อของนายสุก บอกความว่าเป็นบ่าวเรือนใด แลมาเพื่อพบใคร หากแต่เจ้าตัวกับตกประหม่าอยู่พอดู อีกทั้งเมื่ออยู่เรือนนายเงิน พวกตนมิได้เรียกราชทินนามของเต้บ่อยนัก จึงจำมิค่อยมั่นนัก จึงหันมากระซิบถามนายสุกที่อยู่ด้านข้างเสียทีหนึ่ง

   “ คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ขอรับพี่ชาย ”

   นายสุกที่นึกได้ จึงรีบแจ้งออกไป

   “ ใช่ๆ ขอรับ หลวงอภิบาลบริรักษ์ ขอรับ ”

   นายผลสำทับคำของนายสุกอีกคราหนึ่ง

   “ แล้วเอ็งมีความใดจักแจ้ง ก็บอกข้ามา ข้าจักนำความไปแจ้งแก่คุณหลวงท่านให้ ”

   ทหารยามตอบรับคำขอของนายผล เมื่อเห็นท่าที แลอาการของคนที่มองดูก็รู้ได้ว่า มีเรื่องร้อนใจมากจริงๆ ทั้งที่ปกติแล้ว ตั้งแต่ตนรับหน้าที่ยืนยามประตูมาหลายเพลา บ่าวเรือนพระยาทิพยโอสถ มิเคยมีความใดมาแจ้งต่อนายเลยสักครา หากครานี้คงเป็นความที่สำคัญมากกระมัง

   “ ข้าทั้งคู่ขอพบคุณหลวง เพื่อแจ้งความเองได้รึไม่ขอรับ ”

   “ บ๊ะ ไอ้นี่ เอ็งมิไว้ใจข้ากระนั้นรึ ข้ารับปากว่าจักไปแจ้งให้ ก็คือจักไปแจ้งให้ แลพวกเอ็งจักมากความไปเยี่ยงไร ”

   “ มิใช่เยี่ยงนั้นขอรับพี่ชายกระผมเพียงแค่.... ”

   “ ขอรับพี่ชาย ไอ้สุกมันคงเกรงจักโดนคุณหญิงท่าน ลงโทษน่ะขอรับ เพราะคุณหญิงท่านสั่งความว่าให้แจ้งแก่คุณเต้ เอ้ย คุณหลวงท่าน  กระผมต้องขอโทษพี่ชายด้วยนะขอรับ ”

   นายผลรีบขัด เมื่อเห็นว่านายประตูนั้นมิใคร่จักพอใจนักที่พวกตนมิยอมบอกความไปแจ้งแก่นายด้านใน แลดึงดันจักเข้าไปเอง

   “ เยี่ยงนั้นก็แล้วไป ว่าความพวกเอ็งมาเสีย ข้าจักนำความไปแจ้งแก่คุณหลวงท่านให้ หากปล่อยให้เอ็งเขาไปเอง ข้าจักมีโทษได้ ขอให้เข้าใจข้าด้วยเช่นกัน ”

   “ ขอรับพี่ชาย แลต้องฝากพี่ชายช่วยเรียนคุณหลวงท่านว่า ที่เรือนมีเรื่องใหญ่ขอรับ จักขอให้คุณหลวงกลับเรือนในเพลานี้นี้ขอรับ แลเรียนท่านว่า กระผมไอ้ผล แลไอ้สุก นำความมาแจ้งขอรับ ”

   นายประตูรับคำของทั้งคู่ แลรับปากว่าจักแจ้งความให้ครบถ้วน ก่อนจักฝากฝังเวรยามของตนไว้ที่เพื่อนที่ยืนยามด้วยกัน ก่อนจักเดินเข้ามา ด้านใน

   นายผล นายสุก เดินวนไปมา ด้วยความร้อนใจ เนื่องด้วยนายประตูที่เข้าไปแจ้งความกับนายของคนนั้นยังมิออกมา นับความได้ก็เลย ชั่วเวลาเคี้ยวหมากจืดได้สัก 2 คำ แล้วกระมัง

   เงาของคนที่เดินมุ่งหน้ามาทางประตูที่นายสุก นายผล ยืนรออยู่ขัดเจนขึ้นในคลองสายตา คุณหลวงหนุ่มเดินมุ่งหน้ามาที่ประตูหน้าพระนคร

   หลังจากที่เต้ได้รับความแจ้งจากนายทวารเฝ้าประตูว่า มีบ่าวจากเรือนพระยาทิพยโอสถมาขอเข้าพบตน แต่ตามกฎแล้วนายทหารยามมิอาจจักอนุญาตให้บ่าวไพร่นั้นเข้ามาด้านในได้ ยามประตูจึงเป็นผู้นำความมาแจ้งแก่ตน

   ในคราแรกที่ทราบว่ามีบ่าวจากเรือนมาขอพบนั้น เขาก็ใจมิใคร่จักดีนัก แลเมื่อได้ฟังความจนสิ้น ใจเขานั้นก็ยิ่งร้อนลนไปกว่าเดิม

   ด้วยคนที่มาแจ้งความนั้นแก่ตนนั้น เป็นบ่าวที่สนิทกับตี๋ของตนมากที่สุด แลเรื่องที่มาแจ้งความแก่ตนคงมิแพ้เรื่องของตี๋เป็นแน่ ใจนั้นไปก่อนตัว ใจเขานั้นแล่นกลับไปที่เรือนเสียตั้งแต่ได้ฟังความ หากด้วยภาระ แลหน้าที่รับผิดชอบก็มิอาจทำให้ตนกลับเรือนได้ดังใจนึก

   กว่าจักจัดการงานที่รับผิดชอบ แลขอลากับท่านเจ้ากรม ก็เสียเวลาไปมากโข หากมิติดที่ว่า เขามิอาจจักวิ่งในกรมได้ เขาวิ่งไปเสียนานแล้ว มิมาเดินอยู่เยี่ยงนี้

   “ คุณเต้ขอรับ... ”

   “ มิต้องกล่าวอันใด ”

   เต้เอ่ยขัดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตู แลนายสุกก็เอ่ยขึ้น

   “ ฉันให้เป็นสินน้ำใจ ”

   เต้ส่งอัฐให้นายประตูทั้งคู่ เดินนำบ่าวทั้งสองของเรือนพระยาทิพยโอสถออกไป แลเมื่อห่างออกมาจนแน่ใจว่า จักมิใครได้ยินความ จึงเอ่ยถามนายสุก นายผล

   “ พวกเอ็งมีกระไรรึ ”

   ถามออกไป ขาก็ก้าวไปตามทาง ใจก็หวังว่าเรื่องที่บ่าวทั้งคู่ที่ตนถามความนั้น จักแจ้งความในเรื่องที่มิใช่เรื่องที่ตนกังวล

   “ คุณเต้รีบเถิดขอรับ กระผม แลไอ้สุกจักเล่าบนเรือขอรับ เรืออยู่ทางนี้ขอรับ ”

   สิ่งที่ที่นายผลตอบแม้จักมิได้ความกระไรมาก เพียงแค่ให้ตนรีบ แต่เพียงเห็นสีหน้ากังวลของบ่าวทั้งสองแล้ว เขาก็มิคิดจักชักช้าเช่นกัน

   มือหยาบของคนเป็นบ่าวปลดเชือกหัวเรือบดลำเล็ก ทันที่ ที่มาถึง แลเมื่อเต้ก้าวขึ้นเรือ ทั้งก็คู่ก็เร่งฝีพายโดยรู้จักเหน็ดเหนื่อย

   “ ไอ้ตี๋โดนลงหวายขอรับ ”
   ความเพียงประโยคเดียวของบ่าว ที่แจ้งแก่เต้มีเพียงประโยคสั้นๆ หากแต่ทำให้ใจเขาร้อนยิ่งกว่าไฟลน เขาอยากให้เรือเคลื่อนให้ไวกว่านี้ ให้ไวเท่าที่ใจเขาต้องการ แลหากมีไม้พายเพิ่ม เขาจักไม่รีรอเลยที่จักช่วย เพื่อให้เรือลำเล็กนี้ถึงเรือนเร็วขึ้น แม้เพียงสักน้อยก็ยังดี



*******************************************



เชิงอรรถ


(1)   ราชทินนาม คือ นาม หรือชื่อที่ได้รับพระราชทานซึ่งแสดงถึงตำแหน่ง หน้าที่ของขุนนางด้วย โดยราชทินนามนั้นจะอยู่ต่อท้าย บรรดาศักดิ์ไทย นอกจากนี้ ราชทินนามยังใช้สำหรับประกอบสมณศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานมาให้


(2)   ชายพก (คำนาม) ริมผ้านุ่งที่ดึงรวบขึ้นมาไขว้ไว้ที่บริเวณสะดือแล้วดึงชายข้างใดข้างหนึ่งให้มีลักษณะคล้ายถุงเล็ก ๆ เหน็บไว้ที่เอวใส่เงินหรือหมากเป็นต้นได้



(3)   เรือบด เป็นชื่อเรือต่อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มี 2 แบบคือ


-    แบบเรียว หัวท้ายเรียว มีแผ่นไม้ตัดเป็นรูปโค้งปีกกาปิดส่วนหนึ่งของด้านบนหัว และท้ายเรือ ทำให้เคลื่อนที่ได้โดยใช้พาย บางครั้งใช้พาย 2 ใบ เพราะเรือขนาดเล็ก หัว และท้ายเรือเหมือนกัน สามารถกลับหัวเป็นท้ายเรือได้ทันที ต่อขึ้นจากไม้สักหรือไม้อื่นๆ คงมีกำเนิดจากรูปแบบเรือบดของตะวันตก ที่เรียกว่า เรือคะยัก ใช้เป็นเรือฉุกเฉินติดมากับเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เรือบดแบบไทยนี้นิยมใช้ประจำบ้านเพื่อการเดินทางไปมาในลำน้ำที่ไม่ไหลเชี่ยว และมีระยะทางไม่ไกลมากนัก หรือใช้สำหรับข้ามฟาก ลำคลอง พื้นที่พบเห็นมากคือในแถบภาคกลางของประเทศไทยเกือบทุกจังหวัด

-   แบบหัวเรือเรียวท้ายตัดอย่างเรือทหาร เรือแบบนี้เป็นเรือแบบตะวันตก บางครั้งเรียกว่าเรือกรรเชียง เพราะใช้กรรเชียงแทนพาย ต่อขึ้นจากไม้หรือเหล็ก ใช้ประโยชน์ในการโดยสารหรือกรรเชียงเพื่อความเพลิดเพลิน (เช่น ตกปลา ชมวิว ออกกำลังกาย) เรือแบบนี้พบเห็นไม่มากนัก




*************************************



สวัสดียามดึกขอรับ

ข้าเจ้ามารายงานตัวพร้อมตอนใหม่ (ของนิยายรายอาทิตย์)

ขออภัยทุกท่านยิ่งนักที่ปล่อยให้รอเสียหลายเพลา

แลตอนใหม่นี้ก็มิไคร่มีเนื้อความกระไรมาก(น้ำเยอะมาก)

หากท่านชมแล้วรู้สึกว่าอารมณ์มันยังมิสุด ข้าเจ้าจักต้องกราบขออภัย

ข้าเจ้ายอมรับโดยดุษฎีว่า ข้าเจ้าตัดจบเอาไว้เพียงแค่นี้

ทั้งที่ความตั้งใจเดิม ความจักยาวกว่านี้นัก

แต่ข้าเจ้าขอยกยอดให้ไปบทต่อไปขอรับ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมขอรับ

แลข้าเจ้าคงจักต้องเอ่ยประโยคเดิมซ้ำอีกครา

สุดท้ายข้าเจ้าคงต้องบอกว่า รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ แล้วพบกันขอรับ




.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป



…..‘ เขาเป็นคนของลูก ไยมิให้ลูกลงโทษเขาเอง ’…..

…..‘ มันก็แค่ขี้ข้า ใครจะลงโทษก็มิต่างกัน ’…..




…..Mariner_IX….
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 5 (08/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-10-2018 14:33:06
 :sad11:

เศร้า

ขอบคุณสำหรับเกร้ดความรู้ด้วยนะ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 5 (08/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-10-2018 18:19:11


Billie : ขอบคุณขอรับ

+เป็ดน้า 
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 6 (11/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-10-2018 16:18:46
ตอนที่ 6

………………..ดวงใจพี่………………..




นับจากวันแรกที่ตี๋ก้าวเขามาเป็นทาสเรือนพระยาทิพยโอสถ แม้จักบอกว่าตนเองเต็มใจ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หากว่าลึกๆ ลงไปแล้วเขาก็อดจักน้อยใจในชะตาของตนเองมิได้

เขาเกิดในครอบครัวของไพร่ มิใช่ลูกของคุณพระ หรือพระยาที่ไหน แต่ครอบครัวของเขานั้นรักใคร่กันดี ถึงมิได้เป็นเจ้านาย แต่ก็เป็นไท มิใช่ทาส

แต่เมื่อครอบครัวเริ่มใหญ่ขึ้น เขามีน้องเล็กๆ อีกหลายคน จึงเป็นเหตุให้เบี้ยอัฐที่พอมีนั้นเริ่มขัดสน มิเพียงพออีกต่อไป

เขาเป็นพี่คนโต ที่ถูกปลูกฝังให้รัก แลดูแลน้องๆ เขาจึงมิอาจทนเฉยอยู่ได้ เขามิอาจปล่อยให้น้องๆ หิวได้ แลมิอาจปล่อยให้น้องๆ ต้องนอนหนาวได้

เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยขอ เขาจึงมิขัด เขาใคร่ครวญเอาไว้แล้วว่า สักวันที่เขาโตพอ เขาจะต้องช่วยหาอัฐให้ได้บ้าง




***************************************




บ่าวไพร่หญิงชายแอบชะเง้อแลดูเรื่องบนเรือนคุณหญิงแย้ม ด้วยพอจักทราบความมาว่า คุณหญิงเจ้าของเรือนเรียกหานายคอน ซึ่งทุกครั้งที่เรียกหานั้น เหตุก็คงมิพ้นเรื่องลงหวายใครสักคนเป็นแน่

แต่ถึงกระนั้น ก็มิมีบ่าวไพร่คนใดกล้าพอที่จักไปแอบดูให้ใกล้เรือน ได้แต่ชะเง้อ ชะแง้กันอยู่ห่างๆ ด้วยเกรงจักโดนลงหวายไปด้วย เพราะความขึ้นชื่อของนายเรือน เป็นที่หวั่นเกรงของเหล่าทาสทั้งหลาย

เสียงหวายกระทบเนื้ออ่อนดังขึ้นอยู่เนื่องๆ แผ่นหลังเล็กแตกยับ แลย้อมด้วยสีแดง หากคนสั่งนั้นยังมิพอใจ

ร่างเล็กๆ ที่โดนผูกโยงอยู่กับเสาเรือน สะท้านเฮือกทุกครั้งที่หวายกระทบแผ่นหลัง ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำตา ฟันเล็กกัดฝีปากของตนจนซ้ำ แลมีเลือดซึม

ตี๋พยายามที่จักแจ้งแก่คุณหญิงแย้มว่า ตนมิได้หยิบฉวยทองเส้นนั้น แลสร้อยทองนั้นก็มิได้อยู่ในชุดเครื่องทองแต่แรก หากคุณหญิงก็มิยินดีจักรับฟัง

เขาพยายามแจ้งแก่คุณหญิงจนเสียงแห้ง หากท่านก็มิรับฟัง หากความที่ได้ฟังจากปากของเจ้าของเรือน ทำให้เขาก้มหน้ารับบทลงโทษ โดยมิได้อุทธรณ์ใดๆ อีก เขาพยายามที่จักเก็บเสียงร้องของตนไว้ให้มากที่สุด

‘ กูรู้ว่ามึงมิได้ทำ แต่กูพอใจที่จักลงหวายมึง กูมิพอใจมึงอยู่มากนัก แลเพลานี้ช่างเหมาะนักแลมึงจักได้จำใส่กะโหลกของมึงไว้ว่า มิควรทำให้กูมิพอใจ ’

สิ่งที่คุณหญิงแจ้งแก่เขา มันช่างเป็นเรื่องที่ตี๋มิได้คาดคิด แค่เพียงมิพอใจก็สั่งลงหวาย เพียงเพื่อความพอใจของตน แต่กระนั้นแล้ว เขาเป็นเพียงทาส ก็คงทำได้เพียงก้มหน้ารับโทษที่ตนมิได้ก่อ


***************************************


“ คุณเต้ขอรับ เย็นใจลงสักประเดี๋ยวเถิดขอรับ ”

“ เอ็งจักให้ข้าเย็นใจได้เยี่ยงไร เพลานี้มิรู้ว่าแม่เล็กลงหวายตี๋ไปเพียงใดแล้ว เอ็งสองคนเร่งมืออีกมิได้รึ ”

“ บ่าวแลไอ้ผลเร่งมือเต็มแรงแล้วขอรับ แลโค้งน้ำหน้าก็จักถึงเรือนแล้วขอรับ ”

นายสุกเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณหลวงหนุ่มกระวน กระวายใจมิน้อย เร่งตน แลเพื่อนให้เร่งมือตั้งแต่ออกจากพระนครมา

คุณเต้แม้จักยังคงรักษาท่าทีนิ่ง สงบ สมกับเป็นเจ้านายไว้ได้ หากน้ำเสียงติดกังวล ที่เอ่ยเร่งพวกตนแทบจักทุกอึดใจ ก็ทำให้เขาทั้งคู่แจ้งใจได้มิน้อยว่า คุณเต้เป็นห่วงเจ้าตี๋มากเพียงใด

ทันที่ที่เรือเข้าเทียบท่า ทั้งที่ยังมิได้จอดดี เต้ก้าวเท้าออกจากเรือ โดยมิรอให้นายสุก นายผลจอดเรือเทียบท่าให้ดีเสียก่อน

ใจเขานั้นแทบจักมิอยู่กับตัว ด้วยเป็นห่วงคนในดวงใจของตนยิ่งนัก เขาพอจักทราบมามิน้อยว่า คุณหญิงแย้ม ผู้เป็นมารดาของตนนั้น มิใคร่จักพอใจทาสของตนอยู่มาก เพราะตี๋มิใช่คนขี้ประจบ แลมิเคยสอดรู้เรื่องของนาย แม่เล็กจึงไม่ได้ความใดจากปากของตี๋ ดังเช่นทาสคนก่อนๆ ที่ท่านส่งมาคอยสอดส่องตน

หากมิติดสายตาของบ่าวไพร่ในเรือนที่มองมาอย่างใคร่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงกลับเรือนในเพลานี้ ทั้งที่ปกติ เขาจักกลับเรือนช้ากว่านี้มากนัก เขาคงจักกระโจนไปให้ถึงเรือนคุณหญิงแย้มโดยไว

นายสุก นายผล เกือบจักร้องตะโกนออกมาด้วยความตะหนก เมื่อคุณเต้ก้าวออกจากเรือ ทั้งที่เรือยังมิเทียบท่าสนิทดี ก่อนจะผลุนผลันเดินออกจาท่าน้ำไป หากกลับมารักษาท่าทางให้สงบ เมื่อเห็นสายตาใคร่รู้ได้ทันท่วงที

เมื่อนำเรือเข้าโรงเก็บ นายสุก นายผล แทบจักกระโจนตามหลังคุณเต้ไป ด้วยเห็นหลังคุณเต้ไวๆ แม้นจักเดินด้วยอาการสงบมิให้เป็นที่ผิดสังเกตของบ่าวไพร่ หากคุณเต้ก็ช่างก้าวเท้าไวนัก

“ คุณเต้รอบ่าวด้วยขอรับ ”

บ่าว ไพร่ที่มาแอบชะเง้อ ชะแง้อยู่หน้าเรือนคุณหญิงแย้ม พากันแยกย้ายเมื่อเย็นสายตามิใคร่พอใจของคุณหลวงหนุ่ม ทั้งที่เพลาปกติ คุณหลวงมิเคยใช้สายตาเยี่ยงนี้กับผู้ใดมาก่อน

เมื่อบ่าว ไพร่ แยกย้ายไปทำการ งานของตนแล้ว เต้ก็มิรอช้าที่จักสาวเท้าขึ้นเรือนของผู้เป็นมารดา ใจนั้นยังหวังว่า คนที่ตนเป็นห่วงจักมิเป็นกระไรมาก

“ อีหยอด มึงไปเอาน้ำมามาสาดมัน กูยังมิสาใจ ”

“ เอาน้ำเกลือเลยดีรึไม่เจ้าคะคุณหญิง ”

“ อีนี่ กว่ามึงจักได้น้ำเกลือตามปากมึงว่า คุณหญิงพี่มิกลับมาแล้วรึ เหตุใดมึงมิคิดไว้ก่อน แลเพิ่งจักมาถาม มันน่าลงหวายมึงก่อนนัก ”

“ เจ้าค่ะ บ่าวจักไปประเดี๋ยวนี้ ”

เสียงพูดคุยที่ได้ยินตั้งแต่ยังมิทันไดก้าวขึ้นเรือน ทำให้ใจของเต้เต้นมิเป็นส่ำ ด้วยมิคิดว่ามารดาของตนโหดร้ายถึงเพียงนี้ ขายาวเร่งก้าวขึ้นเรือน หวังจักไปหาดวงใจของตนให้ไวขึ้น แม้เพียงสักนิด

ภาพเบื้องหน้าที่เห็นในคลองสายตาทันทีที่ก้าวพ้นบันไดขั้นบนสุด ทำให้เต้แทบจักหลังน้ำตา ร่างเล็กของคนที่เป็นดังลมหายใจของตน สิ้นสติมิได้รับรู้การมาของตนเลย ริมฝีปากมีหยดเลือดไหลซึม แลซ้ำเป็นรอยฟัน แผ่นหลังเล็กๆที่ตนโอบกอดอยู่ทุกคืน มีรอยหวายเสียเต็มจนแทบจักมิมีที่ว่าง เลือดสีแดงสดไหลอาบหลังบาง แลหยดลงบนพื้นที่เจ้าตัวยืนอยู่ เส้นผม แลผ้านุ่งที่สวมอยู่นั้นเปื้อนเลือดจากบาดแผลบนแผ่นหลัง แลเปียกชื้นจากหยาดน้ำ นี่คงมิใช่ครั้งแรกเสียแล้วกระมังที่ คนตัวเล็กสิ้นสติ

ซ่า!!!

สายน้ำสาดมาใส่ร่างของคนที่ยืนอยู่ มิใช่ร่างเล็กด้านหลัง มิมีใครทันสังเกตว่าเต้เดินขึ้นเรือนมาเมื่อใด หากเต้นั้นเข้ามาในเพลาที่ทาสหญิงจักสาดน้ำใส่ร่างของตี๋พอดิบ พอดี

“ ว๊าย!!! ตาเถร ยายชี ”

“ พ่อเต้!!! ”

เสียงอุทานดังขึ้นเกือบพร้อมกันเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นใคร เต้มิได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ลูบน้ำออกจากหน้า แลปรายตาขึ้นมองคนทำ

“ นี่มันกระไรกันขอรับแม่เล็ก ”

เต้เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบทั้งที่ในใจนั้นร้อนลุ่ม ด้วยอยากจักเข้าไปดูคนตัวเล็กด้านหลัง หากก็มิอาจจักทำได้ในทันที

“ ตายแล้วพ่อเต้ เหตุใดลูกมิให้สุ่มเสียงก่อน อีหยิบมึงไปหาผ้ามาในลูกกูเช็ดหน้า เช็ดตัวประเดี๋ยวนี้ ”

คุณหญิงหันไปสั่งบ่าว แลจับจูงมือบุตรชายให้มานั่งที่ชานเรือน

“ คุณแม่ยังมิตอบลูกเลยว่านี่มันเรื่องกระไรกัน ”

“ มิมีกระไรดอกพ่อเต้ แม่เพียงลงหวายบ่าวไพร่ให้มันหลาบจำ แลมิทำผิดอีก ”

“ มันมิหนักเกินไปรึขอรับ นั่นมันก็มิมีสติแล้ว เหตุจึงต้องสาดน้ำใส่เยี่ยงนี้อีก ”

เต้เอ่ยถาม อย่างข่มอารมณ์ แสร้งทำเป็นมิรู้ความมาก่อน แลมิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนผิด ทั้งที่ในใจนั้นอยากจักเอ่ยถามมารดาของตนเสียนักหนาว่า เหตุใดจึงทำการเยี่ยงนี้กับคนของตน

“ มิหนักดอกลูก มันทำผิด แลปากแข็งนัก มิยอมรับว่าตนเป็นคนทำ หากหาความว่า แม่เป็นผู้ใส่ความมัน เช็ดหน้า เช็ดตาเสียก่อนพ่อเต้ ”

คุณหญิงแย้มว่า พลางหยิบผ้าที่บ่าวนำมาให้ส่งให้บุตรขาย ก่อนจักหันไปมองคนที่ถูกลงหวาย แลเมื่อเห็นว่านายคอนนั้นยืนบังร่างนั้นจนมิเห็นว่าผู้ใด จึงยกยิ้มพอใจ ที่บ่าวของตนช่างรู้งาน

“ แลบ่าวผู้นั้นเป็นใครรึขอรับ แลมันทำกระไรผิดขอรับ ”

เต้เช็ดน้ำออกจากหน้า แลเหลือบมองตามสายตาของมารดา ร่างเล็กๆ นั้นถูกบ่าวร่างใหญ่บังจนมิอาจมองเห็นได้ จึงแสร้งถามความออกไป

“ มันริอ่านเป็นขโมย แลมันจักขโมยเครื่องทองของแม่ หากว่าอีหยิบนั้นเห็นก่อน มิเช่นนั้นมันคงหยิบฉวยกลับไป แม่ก็นึกเอ็นดูว่าขยันขันแข็ง มิคิดว่าก่อนว่าจักมือไวเยี่ยงนี้ ”

คุณหญิงว่า พลางหันมามองทางบ่าวที่ตนเอ่ยถึง แลนางทาสก็พยักหน้ารับคำ ว่าเห็นความเป็นจริงเช่นที่นายของตนว่า

“ กระนั้นรึขอรับ มันเป็นใครกัน ความว่ามันเป็นผู้ทำจริงรึขอรับ ”

“ ช่างเถิดพ่อ มันจักเป็นใครก็ช่าง แม่ลงโทษมันไปแล้ว แลมันจักมิได้ขโมยได้เยี่ยงไร ในเมื่ออีหยิบค้นตัวมัน แลพบสร้อยทองของแม่จริง ”

คุณหญิงแย้มว่า พลางฉวยข้อมือบุตรชายที่กำลังจักลุกขึ้น ให้นั่งลงตามเดิม

“ พ่อเต้กลับเรือนเร็วเยี่ยงนี้ มีกระไรด่วนกระนั้นรึ ”

คุณหญิงแย้มเปลี่ยนเรื่อง พยายามหันเหความสนใจของบุตรชาย ที่มองไปยังร่างของบ่าวที่ถูกโยงอยู่กับเสาเรือน

“ มิมีการใดด่วนดอกขอรับ ลูกเพียงรู้สึกมิใคร่สบายตัวนัก จึงขอลาท่านเจ้ากรมกลับมาก่อน แลทราบความจากบ่าวว่า คุณหญิงแม่อยู่เรือน จึงเข้ามาหาขอรับ ”

เต้ว่าพลางลุกขึ้น เพราะเขามิอาจจักทำใจเย็นต่อได้ เขาห่วงคนที่ถูกทำโทษยิ่งนัก แต่ก็มิอาจผลีผลามจนเกินงาม

เต้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้านายคอน โดยที่คุณหญิงห้ามมิทัน หากว่านายคอนเองมิยอมจักหลบทาง แลนั่งลงเมื่อเจ้านายเดินมาตรงเยี่ยงบ่าวคนอื่น

“ เหตุใดเอ็งจึงมิหลบข้า ”

เต้ว่า เมื่อเห็นว่าบ่าวชายผู้นี้มิยอมหลบตน มิเพียงไม่หลบ ซ้ำยังยืนขวาง นายคอนเหลือบตามองคุณหญิงแย้ม เมื่อเห็นว่าท่านส่งสายตาบางอย่างให้ ซึ่งตนเข้าใจดี

เมื่อเห็นว่าบ่าวผู้นี้มิยอมถอยเป็นแน่ เต้จึงเดินอ้อมไปเสีย ภาพที่เห็นต่อหน้านั้น ช่างเจ็บในใจเสียยิ่งกว่าเมื่อคราแรกที่มอง

คนตัวเล็กของตนนั้นบอบซ้ำยิ่งนัก มิเพียงรอยหวายบนแผ่นหลัง ใบหน้าเล็กๆ ที่ตนเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเพลานั้น ซ้ำไปด้วยรอยมือของใครสักคนที่ยังเด่นชัด ดวงตากลมที่ดึงดูดใจตั้งแต่คราแรกที่เห็น ปิดสนิท หากยังมีคราบน้ำตาเกาะ นี่คนตัวเล็กของเขาต้องเจ็บแค่ไหนกัน กว่าเขายังกลับมาในเพลานี้

“ เขาเป็นคนของลูก ไยมิให้ลูกลงโทษเขาเอง ”

เต้หันมาถามความกับมารดา หลังจากเห็นคนที่โดนลงหวายเต็มตา ว่ามันที่ผู้เป็นมารดาหาความนั้นคือใคร

“ มันก็แค่ขี้ข้า ใครจะลงโทษก็มิต่างกัน เหตุใดลูกจักต้องมิพอใจแม่เยี่ยงนี้ ”

คุณหญิงแย้มเชิดหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าความที่ตนพยายามปกปิด มิต้องการให้บุตรชายทราบ นั้น มิอาจทำได้ แลนึกคาดโทษบ่าวไพร่ที่ริอ่านนำความไปแจ้งแก่บุตรชายของตนอยู่ใจ ด้วยความที่ว่า ตนมิใคร่เชื่อว่า บุตรชายหาจักแวะมาเยือนตนที่เรือนหากมิมีเหตุอันควร รึมิมีใครไปแจ้งความเป็นแน่ พลางปรายมองมองบ่าวสองคนที่นั่งอยู่ที่หน้าบันไดเรือน

นายสุก นายผล สะดุ้งเฮือกในทันที เมื่อเห็นสายตามาดร้ายจากคุณหญิงแย้ม เขาสองคนหลบตาแทบมิทัน

“ ไอ้บ่าวสองตัวนี้มันไปแจ้งความกระไรแก่พ่อกัน เรื่องของตนก็มิใช่ ช่างสอดรู้นัก มันน่าลงหวายเสียให้หมด ”

“ มิมีผู้ใดไปแจ้งความแก่ลูกดอกขอรับ แม่เล็กอย่าได้หาความกับผู้อื่น ”

เต้ว่า พลางส่งสายตามายังนายผล นายสุก พร้อมพยักหน้าเบาๆ แต่นายผล นายสุก นั้นเข้าใจสิ่งที่คุณหลวงหนุ่มต้องการแจ้งแก่พวกตนเป็นอย่างดี ด้วยตนทั้งคู่ก็รอเพลานี้อยู่เช่นกัน

นายผล นายสุก คลานเข่าผ่านคุณหญิงแย้ม โดยมิกล้าจักเงยหน้าขึ้นมอง หากเมื่อมาใกล้ถึงคนตัวเล็กที่พวกตนห่วงเสมอน้องชาย นายคอนที่นั่งลงตั้งแต่เมื่อคุณหญิงเดินมา ขยับร่างมาบัง มิให้ทั้งคู่ผ่าน หากมันก็มิได้มีกระไร เมื่อเขาเงยหน้ามองคุณเต้ ก็ได้รับการพยักหน้าเบาๆให้ ทั้งคู่จึงค่อยหลบนายคอนไป แลไปช่วยปลดเชือกออกจากข้อมือของคนที่มิมีสติ

เต้มองตามบ่าวชายอีกสองคนที่เป็นคนไปแจ้งความแก่ตน นายสุก นายผล เบามืออยู่พอควรทำให้เขาเบาใจไปได้บ้างว่า ตี๋ของตนจักไม่บอบซ้ำไปกว่าเดิม

หากสายตาคมก็ยังแลเห็นรอยซ้ำรอบข้อมือเล็ก มีเลือดไหลซึม ยิ่งเห็นเขายิ่งเจ็บในอก หากเลือกได้ เขาจักเลือกที่จักเป็นคนเจ็บเสียเอง

“ หากมิมีกระไรแล้ว ลูกขอตัวคนของลูกคืนนะขอรับ ”

เต้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระด้าง หากในน้ำเสียงนั้นก็ยังให้ความเคารพในตัวมารดาของตนอยู่

“ พ่อเต้ จักทำเยี่ยงนี้มิได้ ”

“ เหตุใดจักมิได้กันรึขอรับ ของที่ว่าบ่าวของลูกคิดจักขโมยนั้นรึก็ได้คืนแล้ว แลคุณแม่เล็กเองก็ลงโทษบ่าวของเรือนลูกไปแล้ว ยังมีเหตุกระไรอีกรึขอรับ ”

คุณหญิงแย้มนั้นยังมิยอมให้บุตรชายนำตัวทาสของตนกลับเรือน  หากเต้เองก็มิยอมเช่นกัน แม้คำพูดนั้นจักเคารพมารดา หากความกระด้างในน้ำเสียงก็ทำให้คนเป็นแม่จับความรู้สึกนั้นได้

“ เอาเถิดพ่อเต้ หากพ่อคิดว่าเยี่ยงนั้นถูก แลดีแล้ว แม่ก็มิขัดกระไรพ่ออีก ”

คุณหญิงแย้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แลสีหน้าเศร้าสร้อย เช่นทุกครั้งที่ต้องการให้ทุกคนเห็นใจตน หากเต้นั้นกับมองข้ามยิ่งที่มารดาทำ

“ กระนั้นแล้ว ลูกขอลากลับเรือนเลยนะขอรับ ”

เต้กราบลามารดา พร้อมกลับส่งสายตาให้นายสุก นายผล พยุงคนตัวเล็กกลับเรือนไปพร้อมกัน แม้เต้จักเห็นสีหน้ามิใคร่พอใจของมารดา แต่เขาเลือกที่จักทำเป็นมองไม่เห็นไปเสีย

ขายาวก้าวเดินลงจากเรือนพร้อมบ่าวชายทั้งสองคน ในอ้อมแขนของนายสุกมีร่างเล็กของตี๋อยู่ หากเป็นไปได้แล้ว เต้นั้นอยากจักเป็นคนอุ้มเจ้าดวงใจเสียเอง แต่หากทำเช่นนั้น ตี๋จักยิ่งมิปลอดภัยกว่าเดิม เขาจึงทำได้เพียงก้าวยาวๆ ให้ถึงเรือนโดยไว



***************************************



ต่อด้านล่าง



หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 5 (08/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-10-2018 16:19:46

ตอนที่ 6 (ต่อจากด้านบน)



“ วางตรงนี้ก่อน นายสุก เอ็งไปขอน้ำร้อนที่โรงครัว บอกว่าข้าสั่ง แลเอ็งนายผล เอาอ่างใส่น้ำฝนมาให้ข้า ”

เมื่อถึงเรือนริมน้ำ เต้จึงสั่งความให้บ่าวทั้งคู่ไปเตรียมในสิ่งที่ตนต้องการ เขาให้นายสุกวางตี๋บนฟูกที่ปูไว้ที่ชานเรือน ก่อนที่ตนเองจักเดินเข้าเรือนนอนด้านหลัง เพื่อจัดเตรียมยา

นายสุกกลับมาพร้อมกาต้มน้ำใบย่อม แลมิต้องรอให้คุณหลวงสั่งความ เขาเทน้ำในกาใส่อ่างทองเหลือง ซึ่งนายผลใส่น้ำเตรียมไว้แล้ว

“ ขอบใจเอ็งสองคนมาก เอ็งกลับไปพักก่อนเถิด ต่อจากนี้ข้าจักทำเอง ”

เต้เอ่ยขึ้นหลังจากเตรียมยาพร้อมแล้ว แลเมื่อเห็นว่าบ่าวชายนั้นเตรียมน้ำไว้เสมือนรู้ใจตนว่าตนต้องการกระไร

เพลาผ่านไปชั่วประเดี๋ยว เต้เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าบ่าวที่ตนบอกให้กลับไปก่อนนั้น ยังมิลุกไปไหน

“ เอ็งสองคนมีกระไรอีกรึ ”

“ คือกระผม...... ”

เต้ถามขึ้น เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ยังมิยอมไปตามที่ตนต้องการ แต่บ่าวชายนั้นคู่นั้นกับอึกอัก มิกล้าตอบ แลคล้ายจักพยายามให้อีกคนเป็นคนเอ่ยบอก

“ คือกระผมสองคนยังมิกล้าไปตอนนี้ขอรับ ”

“ ทำไมรึ เอ็งมีการใดกัน อ้อ..... ”

ท้ายที่สุดแล้วนายผลนั้นเป็นคนเอ่ยตอบคุณหลวง เนื่องจากเพื่อนตนมิยอมจักช่วยตอบ แลเมื่อเต้เห็นอาการหวั่นใจ แลตื่นกลัว ของทั้งสองคนก็พลันจักเข้าใจเหตุผลของทั้งคู่ขึ้นมาลางๆ

“ เอ็งความความผิดใช่รึไม่ ”

“ ขอรับคุณเต้ กระผมสองคนขโมยเรือ แลออกจากเรือนโดยมิได้แจ้งผู้ใด เพียงเท่านี้ก็มิอยากจักนึกนึกโทษของตนเองแล้วขอรับ ซ้ำยังทำให้คุณหญิงแย้มท่านมิพอใจเสียมากโขอีก อุ้ย!!! ”

นายผลตอบตามตรง ด้วยตนแลเพื่อนนั้นหวั่นเกรงหวายจักลงหลังมิใช่น้อย แลยังจำแรงหวายจากมือของหัวหน้าทาสอย่างนายมั่น เมื่อครั้งแอบหนีไปเที่ยวเมื่อคราก่อนหน้านั้นได้ แต่ก็ต้องสะดุ้งจากศอกของนายสุก เมื่อตนพูดถึงความมิพอใจของคุณหญิงแย้ม

“ มิเป็นใดหรอกนายสุก ข้ามิถือโทษ แลคุณแม่เล็กเองก็ทำเกินไปจริงๆ ”

เต้ว่า หากสายตามิได้ละออกจากร่างเล็กตรงหน้า เขาเช็ดตัวตี๋อย่างเบามือที่สุด เท่าที่จักทำได้ ด้วยมิอยากให้อีกคนเจ็บไปกว่าเดิม

นายผล นายสุก นั้นเห็นทุกอย่าง แต่ก็มิได้เอ่ยกระไรออกไป เนื่องด้วยเป็นเรื่องของเจ้านาย บ่าวอย่างตนคงมิอาจจักสอดได้

“ ข้าเชื่อใจพวกเอ็งได้รึไม่ ”

“ ขอรับ บ่าวจักมิแพร่งพรายเรื่องบนเรือนนี้เป็นเด็ดขาด ”

เต้ถาม แลนายผล นายสุกนั้นดูจักเข้าใจคำตอบของคุณหลวงเต้เป็นอย่างดี ว่าคุณหลวงนั้นต้องการสิ่งใด

แม้ตนเอง แลนายผลจักมิใคร่เข้าใจเรื่องเยี่ยงนี้นัก แต่ก็มิคิดขัดขวาง หากนั่นเป็นความสุขของคนที่ตนรักเยี่ยงน้องชาย แต่ก็อดหวั่นใจอีกมิได้ว่า น้องชายของตนจักต้องเจอเรื่องร้ายแรงอีกเป็นแน่

“ เอ็งสองไปรอข้าหน้าเรือน แลปิดประตูเรือนให้ข้าเสียด้วย ข้ามิอยากจักให้ใครมาสอดรู้เรื่องเรือนข้า ประเดี๋ยวข้าจักไปคุยกับเจ้าคุณพ่อให้ แลเอ็งก็มิต้องกังวลเรื่องนางมา ข้าจักจัดการเสียทีเดียว”

เต้ว่า ทำให้นายผล ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แลยิ้มเต็มหน้าด้วยความยินดี เมื่อคนเป็นนายใส่ใจบ่าวไพร่เยี่ยงตน ด้วยตนนั้นอดกังวลอยู่มิน้อยว่า หากคุณเต้ช่วยตนกับนายสุกไว้ได้ คนที่จักรับเคราะห์โดยมิรู้อิโหน่ยอิเหน่ไปด้วยคงมิพ้นนางมา ซึ่งเป็นภรรยาของตน หากเมื่อคุณเต้รับปากเยี่ยงนี้แล้ว ตนนั้นก็เบาใจไปมากโข

นายสุกตบบ่าเพื่อนเบาๆ ก่อนจักก้มกราบแลคลานเข่าออกจากชานเรือน ปิดประตูลั่นดาลตามคำสั่งความ หากก่อนปิดนั้นส่งสายตาไล่มองพวกสอดรู้ที่เดินมาเมียงมองด้วยความใคร่รู้ ก่อนทั้งคู่จักนั่งหันหลังให้คุณหลวงแลบ่าวตัวเล็กของคุณหลวง

เมื่อนายสุก นายผล รับปาก ว่าจักมิแพร่งพรายเรื่องบนเรือนริมน้ำ เต้นั้นเบาใจขึ้นมากนัก  ด้วยอย่างน้อยตี๋จักมีคนช่วยดูแลยามเขามิอยู่เรือน เขาเชื่อแววตาของบ่าวชายทั้งคู่นั้นว่า ทั้งสองคนหวังดีกับตี๋น้อยของเขาอย่างแน่นอน

มือใหญ่หากการกระทำนุ่มนวล แผ่วเบาเฉกเช่นคนเป็นแพทย์หลวงพึงมี เช็ดคราบเลือด แลคราบสกปรกบนร่างของผู้เป็นดวงใจ

น้ำในอ่างทองเหลืองเปลี่ยนเป็นสีแดงจางเมื่อเขาชุบผ้าลงในอ่าง แลบิดพอหมาด แล้วกลับมาเช็ดตัวคนรักของตนต่อ

ตี๋ครางเบาๆ ทุกคราที่ผ้าสะอาดสัมผัสผิว หากก็ยังมิรู้สึกตัว แต่ใจของคนที่เช็ดทำความสะอาดรอยแผลบนร่างของคนรักนั้นแทบขาด เมื่อได้ยินเสียงครางนั้น

ตี๋จักเจ็บเพียงไหนกัน ริมฝีบางบางที่เขาเฝ้ามองซ้ำเป็นรอยฟัน เจ้าตัวเล็กคงจักเจ็บมิน้อยเลยที่ต้องกัดลงกลั้นเสียง

มุมปากเล็กๆนั้นก็มีรอยซ้ำมิแพ้บนใบหน้า เขามิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือทำร้ายคนตัวเล็กของเขา หากให้เดา คงมิผิดไปจากบ่าวหญิงของคุณแม่เล็กเป็นแน่ เขาเก็บความคุกรุ่นไว้ในใจ หากเมื่อใดสบโอกาส เขาจักมิยอมให้ตี๋ต้องเจ็บตัวแบบนี้อีก

เมื่อเช็ดทำความสะอาดจนทั่ว เต้จึงลงมือใส่ยา มือหนาแตะยาจากตลับยากลิ่นหอม เนื้อละเอียด ซึ่งทาสทั่วไปคงมิมีโอกาสจักได้ใช้ แต่เขามิคิดเสียดาย เพราะตี๋มิใช่ทาส หากแต่เป็นคนรัก

ตี๋สะดุ้งเมื่อเนื้อยาเย็นแตะลงบนผิว แม้จักมิได้แสบเช่นยาสมานแผลทั่วไป แต่ก็ยังแสบอยู่มิน้อยกับแผลสดแลฝังลึกบนแผ่นหลัง

เต้เบามืออย่างสุดกำลัง เพราะทุกครั้งที่ตี๋สะดุ้ง แลส่งเสียงคราง ใจเขาแทบจักขาดตามไปด้วย หากเจ็บแทนได้เขาจักทำ หากแบ่งความเจ็บปวดมาได้ เขาจักแบ่งมาเสียทั้งหมด

หยาดน้ำอุ่นที่หยดลงใบหน้า ทำให้เปลือกตาของคนที่สิ้นสติค่อยขยับกระพริบ ภาพเลือนรางเบื้องหน้านั้น ทำให้ตี๋ต้องกระพริบตาอีกครั้งเพื่อมองให้ชัดขึ้น

“ คุณเต้ โอ๊ย!!! ”

“ เจ็บมากรึไม่ พ่อนอนลงก่อนเถิด ”

เมื่อภาพที่เห็นชัดขึ้น ตี๋นั้นรีบลุกขึ้น ด้วยความเคยชิน โดยลืมตัวไปเสียว่าตนนั้นบาดเจ็บอยู่ นายสุก นายผลนั้นได้ยินเสียงก็แทบจักถลามาหา หากคุณหลวงส่งสายตาห้ามไว้เสียก่อน ทั้งคู่จึงนั่งลงที่เดิม

“ คุณเต้ร้องไห้รึขอรับ คุณเต้เจ็บตรงไหนกัน บ่าวจักช่วยกระไรคุณเต้ได้บ้างขอรับ ”

ตี่ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แลตื่นตระหนก เมื่อลืมตาตื่นแลเห็นคุณเต้ของตนกำลังหลั่งน้ำตา โดยมิสนใจตัวว่าจักเจ็บรึไม่

“ พี่มิเป็นไรดอก พ่อนั่นล่ะที่เป็น ใจพี่จักขาดเสียให้ได้ ”

ตี๋ยกมือสั่นๆของตนขึ้น ด้วยหมายจักเช็ดคราบน้ำตาบนในหน้าคม หากยังมิทันถึง มืออุ่นของอีกคนก็คว้ามากุมไว้เสียก่อน

“ พ่อนอนพักเสีย พี่จักไปจัดการงานสักประเดี๋ยว แลจักกลับหา ”

“ คุณเต้ขอรับ บ่าวมิได้ทำเช่นคุณหญิงท่านว่านะขอรับ ”

ตี๋ผวาขึ้นคว้ามือของเต้ เมื่อเห็นว่าอีกคนผละออกไป ก่อนจักพยายามแจ้งความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ตนมิได้ทำ

“ พี่รู้ว่าพ่อมิได้ทำ พี่เชื่อใจคนที่พี่รักเสมอ พ่อมิต้องกังวลสิ่งใด นอนพักเสีย ประเดี๋ยวพี่จักกลับมา ”

“ ขอบคุณขอรับ ดีจริงที่วันนี้บ่าวมิได้พกนาฬิกาของคุณเต้ไปด้วย มิเช่นนั้นคงจักโดนริบเป็นแน่แท้ ”

ตี๋เอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ตนดีใจที่วันนี้มิได้นำนาฬิกาพกเรือนสวยนั้นติดตัวไปด้วย หากโดนพบ เรื่องคงมิจบเช่นนี้แน่

“ เห็นพ่อยังยิ้มได้ พี่ก็คลายใจ หากพี่อยากจักบอกพ่อว่า สิ่งใดก็มิสำคัญกับพี่ไปกว่าตัวพ่อปลอดภัยดอก ”

เต้ประคองให้ตี่นอนพัก ลงที่ชานเรือน ใจจริงแล้ว เขาอยากจักอุ้มเจ้าตัวเล็กนี่เข้ามาพักในเรือนนอนเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยนิสัยของตี๋แล้ว เจ้าตัวคงจักต้องลงมานอนที่เสื่อด้านล่างแทนที่จักเป็นฟูกบนเตียงของเขาเป็นแน่

ดวงตาคู่สวยหรี่ปรือลงจากพิษบาดแผล ความอ่อนเพลียทำให้ตี๋หลับไปอีกครั้ง เต้แนบฝีปากของตนบนหน้าผากของคนหลับ ดึงผ้าแพรผืนงามเนื้อลื่น ขึ้นห่มร่างเล็กอย่างเบามือ ด้วยมิอยากให้โดนรอยแผลบนหลัง ก่อนจักก้าวออกจากเรือน พร้อมนายสุก นายผล ที่นั่งรออยู่แต่แรก หากมิลืมคล้องประแจหน้าเรือน ด้วยมิต้องการให้ใครเข้ามาในเรือนของตนได้




******************************************



กว่าที่คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์จักออกจากเรือนก็เป็นเพลาย่ำค่ำเสียแล้ว หากคุณหลวงนั้นมิได้สนใจแต่อย่างใด สองเท้าก้าวเดินไปเรือนพระยาทิพยโอสถ ด้วยต้องการจักจัดการความเสียให้แล้วโดยไว

“ อ้าวพ่อเต้ มาหาพ่อถึงเรือนมีกระไร แลมิมาให้ไวกว่านี้ จักได้ร่วมสำรับกัน ”

“ ลูกขออภัยขอรับเจ้าคุณพ่อ ที่มิได้แจ้งไว้ก่อนว่าจักมา ”

“ พ่อเต้ก็พูดเสียดูห่างเหินจริงเชียว พ่อ ลูก อยากจักพบหน้ากันต้องแจ้งความกันล่วงหน้าเชียวรึ ”

เต้มาถึงเรือนของเจ้าคุณทิพยโอสถเมื่อเลยมื้ออาหารไปแล้ว นัยน์ตาคมกวาดมองเสียรอบหนึ่ง หลังจากกราบผู้เป็นบิดา แลคุณหญิงพิมแล้ว แต่มิพบคุณหญิงแย้ม คุณหญิงพิมนั้นเอ่ยหรอกบุตรชายเสียคราหนึ่ง

“ เอาเถิด แม่ลูกหยอกกันพอหอมปากหอมคอ พ่อเต้มีกระไรรึ ”

“ ลูกอยากจักขอคำปรึกษาเจ้าคุณพ่อขอรับ ”

“ เรื่องกระไรเล่า หากพ่อช่วยได้พ่อจักช่วยเต็มกำลัง ”

“ มิมีอันใดหนักหนาดอกขอรับ ลูกต้องการจักไถ่ตัวทาสจากเจ้าคุณพ่อขอรับ ลูกนั้นอยากจักได้ทาสไปช่วยงานที่เรือนเพิ่ม ด้วยลูกต้องการให้เจ้าตี๋มาช่วยจัดตำรา แลหนังสือ กระนั้นลูกต้องการบ่าวช่วยพายเรือ ด้วยงานของลูกบางคราต้องอยู่ถึงย่ำค่ำ แลมิอยากให้เจ้าคุณพ่อต้องรอนาน หากจักต้องรอลูกกลับเรือนพร้อมกัน ”

“ อิฉันเห็นด้วยกับพ่อเต้เจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่ พ่อเต้เป็นถึงคุณหลวง ก็สมควรจักมีบ่าวไพร่ไว้คู่เรือนให้สมฐานะ ”

เต้เอ่ยถึงความต้องการของตนโดยมิคิดอ้อมค้อม ซึ่งคุณหญิงพิมเองก็เห็นควรไปด้วย เพราะเต้นั้นมียศแลราชทินนาม ขั้นหลวงแล้ว ก็ควรจักมีบ่าวไว้ช่วยงานให้สมควรแก่ฐานะ

“ เห็นจักจริงเช่นแม่พิมว่า พ่อเองก็มิทันนึก แล้วลูกต้องการบ่าวคนไหนบ้างรึ พ่อจักให้ไอ้มั่นมั่นส่งตัวไปที่เรือนของลูก แลลูกมิต้องไถ่ตัวพวกมันดอก พ่อจักยกให้ลูกเป็นของกำนัล ให้สมกับยศแลราชทินนาม ”

“ หรือหากลูกมิพึงใจบ่าวในเรือน รึถูกใจมันผู้ใด แม่จักให้ไอ้มั่นช่วยเป็นธุระจัดการหามาให้ ”

“ ลูกกราบขอบพระคุณเจ้าคุณพ่อ แลแม่ใหญ่มากขอรับ ลูกยังมิต้องการทาสนอกเรือนเพิ่ม ลูกพึงใจทาสอยู่สามคน แลอยากจักขอทั้งสามนี้ ขอรับ ”

“ ไอ้มั่นเอ็งจัดไอ้อี ที่ลูกกูต้องการ แลสั่งสอนเสียก่อนจักส่งไปเรือนริมน้ำ ”

“ ขอรับ ท่านเจ้าคุณ กระผมจักจัดตามที่คุณเต้ท่านต้องการขอรับ ”

เต้ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเรื่องที่ตนต้องการเป็นไปตามหมายมั่นไว้ แลเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงพิม มิได้เอ่ยถามความที่เกิดในวันนี้ นั่นเขาพอจักเดาไว้บ้างว่า คงมิมีใครกล้าเรียนให้ทั้งคู่ทราบเป็นแน่

“ ลูกกราบลาเจ้าคุณพ่อ คุณแม่ใหญ่ขอรับ ”

เมื่อเห็นว่าสิ่งทีตนเองต้องการนั้นสำเร็จลุล่วง เต้จึงขอลากลับเรือน โดยที่ใจเขานั้นมิได้อยู่ที่ตัว หากแต่อยู่กับคนที่นอนเจ็บอยู่ที่เรือนริมน้ำเสียแต่แรกแล้ว



******************************************



หลังจากผ่านเหตุการณ์ครานั้นมาเกือบเดือน เต้ดูแลตี๋อย่างใกล้ชิด โดยมิยอมให้ตี๋ลุกออกจากเรือนนอนแม้แต่น้อย

“ คุณเต้ขอรับ บ่าวมิได้เจ็บหนักเช่นวันแรกแล้วขอรับ เหตุจึงมิยอมให้บ่าวออกไปช่วยงานพวกพี่ๆ เขาเสียทีขอรับ บ่าวเกรงใจพี่เขายิ่งนัก ที่ตนเอาแต่นอนอยู่เยี่ยงนี้ ”

ตี๋เอ่ยถามขึ้น ขณะที่เต้นั้นกำลังแตะยาทาบนแผ่นหลังอย่างเบามือ รอยหวายเต็มแผ่นหลังเล็กเมื่อคราก่อน บัดนี้ทุเลาลงมาก จนเห็นเป็นรอยแดงจางๆ ด้วยได้ยาชั้นดีที่ผู้เป็นนายทาให้อย่างใส่ใจ แลมิยอมให้ตนทำการ ทำงานกระไรทั้งสิ้น

ในวันแรกๆ นั้น ตี๋มิสบายด้วยพิษบาดแผล จนทำให้คุณหลวงต้องเฝ้าเช็ดตัว ป้อนยาเสียทั้งคืน โดยมิยอมปล่อยให้ใครช่วย ทั้งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ทายา จนเมื่อบาดแผลฉกรรจ์นั้นดีขึ้นมาก จนตกสะเก็ด แต่เต้ก็ยังมิยอมให้ตี๋ลุกจากเตียง

แม้ในช่วงกลางวันที่เจ้าตัวต้องเข้ากรม เต้นั้นฝากฝังไว้ตี๋กับนางมา บ่าวที่ตนขอมาจากเรือนเจ้าคุณพ่อ ช่วยดูแลเรื่องกับข้าว กับปลา ยูกยามิให้ขาด

นางมานั้นทราบความจากนายผลก็มิได้รังเกียจ หากยังช่วยดูแลตี๋ตามคำสั่งของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์อย่างเคร่งครัด

“ รอจนกว่าแผลจักหายนั่นล่ะพ่อ ”

“ แผลบ่าวหายดีแล้วขอรับ..... โอ๊ย!!! ”

“ หากหายดีแล้วไยพ่อต้องร้องเสียงดังด้วยเล่า ”

“ บ่าวตกใจขอรับ อยู่ๆคุณเต้ก็เพิ่มแรงมือเยี่ยงนั้น ”

“ มิต้องเถียง พี่ว่ายังมิหายก็คือยังมิหาย ไยพ่อจักต้องเคืองพี่ด้วยเล่า พี่ห่วงพ่อมากมิรู้ดอกรึ แลพ่ออยากเห็นขาดใจเสียตรงนี้ ”

ตี๋พยามยามจักบอกว่าตนเองหายดีแล้ว หากมือที่กำลังทายาอยู่นั้นก็เพิ่มแรงกดเสียจนตนเองต้องหลุดร้องออกมา

เต้วางตลับยาลงข้างเตียงที่มีคนตัวเล็กนอนคว่ำหน้าอยู่ แลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย จนคนที่ได้ฟังนั้นรู้สึกผิดที่ทำให้อีกคนรู้สึกเยี่ยงนั้น

“ บ่าวขอโทษขอรับ บ่าวเพียงแค่มิอยากเอาเปรียบพี่ๆ เขา ”

ตี๋ว่าเสียงอ่อย ทำให้เต้ที่นึกอยากจักโกรธที่ตี๋มิคิดห่วงตนเองเช่นที่เขาเป็นห่วงอีกคนเสียมากมาย หากก็โกรธอีกคนไม่ลง

“ พ่อมิต้องกังวล พ่อหายดีเมื่อใด พี่มีการ แลงานให้พ่อช่วยอีกมากนัก แต่เพลานี้ พ่อควรจักพักผ่อนเสียมากๆ ”

เต้ว่า พลางหยิบตลับยาขึ้นมาทาต่อ ยานี้เป็นตำรับยาหลวง ให้ผลดีนักแล หากตัวยากที่ใช้เป็นส่วนประสมนั้นค่อนข้างหายาก จึงมีราคาหลายอัฐนัก แต่เขามิคิดจักเสียดาย หากยาตลับนี้ทำให้คนรักของเขาหายดีเช่นเดิม เขามิต้องการให้ผิวเนื้อเนียนบนหลังเล็กนี้จักต้องเป็นรอย แม้มันจักยากเต็มทีก็ตาม

“ พ่อง่วงแล้วรึไม่ ”

เต้เอ่ยถามหลังจากทายาเสร็จ แลนอนกอดคนตัวเล็กบนเตียงของตน ตั้งแต่ตี๋เจ็บหนัก เขาก็มิยินยอมให้อีกคนต้องทนนอนบนพื้นเรือนได้อีก

“ คุณเต้ต้องการกระไรรึขอรับ บ่าวจักออกไปหยิบให้ ”

“ สิ่งที่พี่ต้องการ พ่อมิจำเป็นต้องลุกไปหยิบดอก เพราะสิ่งนั้นอยู่ตรงหน้าพี่แล้ว ”

เต้ตอบตี๋ว่าตนมิได้ต้องการสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจาก คนที่อยู่ตรงหน้าตน ตาคมมองหน้าคนที่อยู่ให้อ้อมแขน แสงจากจันทร์ข้างขึ้นนั้นส่งให้ดวงหน้าของตี๋ตรึงตาคนมองยิ่งนัก

“ หากพี่ขอสิ่งที่พี่ต้องการ พ่อจักให้พี่ได้รึไม่ ”

แววตาแวววาวที่ตี๋ได้สบผ่านแสงจันทร์นั้น สะท้อนความวาบหวาม ส่งให้ร่างกายร้อนวูบอย่างมิรู้สาเหตุ ใบหน้าร้อนแดงเรื่ออย่างมิตั้งใจ

“ เยี่ยงไรเล่าพ่อ หากพี่ขอ พ่อจักให้พี่รึไม่ ”

เต้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แลแนบริมฝีปากบนดวงตากลมโตที่แสนซื่อ ตี๋นั้นแม้นจักมิเคยกับเรื่องที่คุณเต้ต้องการจักสื่อ หากก็มิใช่ว่าจักมิรู้ความนัยที่ซ่อนมา

ใบหน้าน้อยเอียงหลบอย่างเขินอาย ส่งให้เต้พึงใจ สิ่งที่เขาถามไปนั้น เขามิได้ต้องการคำตอบแต่อย่างไร เขาพอใจที่จักได้นอนกอดคนตัวเล็กเช่นนี้เรื่อยไป โดยมิต้องการให้มีกระไรลึกซึ้งเกินไปกว่านี้ หากน้ำคำที่ได้ยินจากตี๋ทำให้เขาต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครา

“ หากคุณเต้ต้องการ บ่าวก็มิขัดขอรับ ”

“ พ่อว่ากระไรนะ พี่ได้ยินมิถนัด ”

แม้จักได้ยิน แต่เต้ก็อยากจักฟังซ้ำว่าตนมิได้ฟังผิด แลดวงหน้าที่แดงเรื่อลามไปทั้งตัวของคนในอ้อมกอดก็ทำให้เขากระจ่างใจได้มิรอให้อีกฝ่ายเอ่ยซ้ำแต่อย่างไร

“ พ่อแน่ใจแล้วรึ ”

“ หากเป็นคุณเต้ บ่าวก็มิมีสิ่งใดให้กลัวขอรับ ”

ชัดยิ่งกว่าชัด แม้เสียงที่ตี๋ตอบนั้นมิได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ แต่เต้นั้นได้ยินเสียเต็มดวงใจ เขามิเคยคิดหักหาญน้ำใจของคนรัก เขาอยากรอให้ตี๋พร้อมที่จักให้เขาอย่างเต็มใจ

ม่านพัดพลิ้วตามแรงลม เสียงเรไรเร่าร้องส่งสาร แสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่าง ร่างของใครสักคนค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าหาอีกคนอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ สายลม แลเสียงจิ้งหรีด เรไร เป็นพยานในค่ำคืนแสนหวานอันยาวไกลคืนนี้




******************************************




สวัสดีขอรับ หาย(หัว)ไปนาน ข้าเจ้ากลับมาแล้วขอรับ

ขอจบตอนที่ฉากเข้าพระ เข้านายของคุณหลวง กับบ่าวน้อยของคุณหลวง

ให้แสงจันทร์ สายลม จิ้งหรีด เรไร เป็นคนบรรยายต่อขอรับ ข้าเจ้ามิอาจบรรยายได้ดีนักขอรับ

ในตอนนี้มิมีเชิงอรรถแทรกขอรับ ด้วยมิมีคำที่ต้องขยายความเพิ่มนั่นเอง

แต่หากมีคำใดที่ท่านอ่านแล้วมิเข้าใจ สอบถามได้เลยขอรับ

ข้าเจ้าขอบคุณทุกการติดตาม ทุกความคิดเห็น ทุกความรู้สึก

แลข้าเจ้าขอเอ่ยประโยคเดิมๆ เก่าๆ

รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ





ด้วยใจภักดิ์





MARINER_IX



…..‘ เหตุใดพ่อจึงมินอนเคียงหมอนกับพี่เล่า ’…..
…..‘ กระผมเป็นเพียงบ่าวเท่านั้นขอรับ’…..

…..
……..
………..
………….
……………

…..‘ ลูกยังมิอยากมีคู่หมายขอรับ ’…..
…..‘ แต่ลูกถึงวัยที่ควรจะมีคู่ครองแล้ว ’.....

…..
……..
………..
………….
……………
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 6 (11/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-10-2018 06:03:15
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 6 (11/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-10-2018 09:17:39

 ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณขอรับ

+เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 6 (11/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-10-2018 10:03:34
 :L2: :pig4:

เหมือนจะหวาน ..แต่กลิ่นมาม่าก็โชยมาเนืองๆ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 6 (11/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-10-2018 17:30:16

 Billie : ขอบคุณขอรับ

 ไม่ดราม่าเท่าไหร่(มั้ง)ขอรับ พอน้ำตาซึมๆเองขอรับ

+เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 7 (15/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 15-10-2018 17:03:17
ตอนที่ 7 (7/1)

...........จำต้องยอม...........


   แสงทองสาดส่อง ไก่โต้งตัวโตส่งเสียงขัน นกน้อยโผบินออกจากรังนอน น้ำค้างบนยอดหญ้า ค่อยๆ ระเหยไป เมื่อเพลาเช้ามาเยือนอีกครา

   ทุกชีวิตยังคงดำเนินไปตามหน้าที่ของตน มิได้ว่างเว้น ใครมีการใครก็รับผิดชอบการนั้นเสียให้แล้ว หากแต่มีบางคนที่มิยอมจักอยู่นิ่ง ทั้งที่โดนห้ามปราม

   วันนี้ตี๋มิได้ตามคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์เข้ากรม เนื่องว่าคุณหลวงนั้นต้องติดตามเจ้ากรมไปตรวจรักษาที่นอกเมือง แลไม่อยากให้คนรักของตนต้องเหนื่อยไปด้วย คุณหลวงจึงให้ตี๋อยู่เสียที่เรือน แลกำชับให้บ่าวที่เหลือดูแลเป็นอย่างดี

   “ ไอ้ตี๋ ข้าบอกว่า มิให้เอ็งทำ นี่เอ็งหูหนักนักเชียว พูดกระไรก็มิฟัง ”

   นายสุกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ด้วยตน รวมถึง นายผล นางมา พยายามจักห้ามมิให้ตี๋มาช่วยงานพวกตน แต่มิเคยสำเร็จ

   “ โถ่ พี่สุก ฉันก็เป็นบ่าวเช่นเดียวกับพี่ๆ เหตุใดจักทำงานกระไรมิได้เล่า ”

   “ แต่เอ็งเป็นเมียคุณเต้ท่าน ท่านสั่งมิให้เอ็งทำมิใช่รึ ”

   “ พี่มิได้รังเกียจฉันใช่ไหม ”

   ตี๋ว่าเสียงแผ่ว ด้วยเรื่องที่ตนเป็นอยู่นั้น มิมีใครรู้ นอกจากคนที่เรือนริมน้ำ ที่รู้ว่าตนแลคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์นั้นมีความสัมพันธ์เช่นไร

   “ ไอ้ตี๋ หากข้ารังเกียจเอ็ง ข้าเอาเรื่องเอ็งไปโพนทะนาถึงไหนๆ แล้ว มิต้องมาคอยระแวด ระวังแบบนี้ดอก คุณเต้ท่านดีต่อข้ามาก แลไอ้ผล กับนางมาก็เช่นกัน มิมีใครรังเกียจเอ็งดอก หากรังเกียจเอ็งจริง ข้ามิปล่อยให้เอ็งกับคุณเต้ทำเรื่องบัดสีเช่นที่คนอื่นเขาว่ากันดอก ”

   นายสุกบอกคนที่ตนรักเหมือนน้องชาย ซึ่งที่ตนว่ามานั้น ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดแม้แต่น้อย เขา นายผล นางมา หากว่ามิได้รักตี๋เช่นน้องชาย แลเคารพคุณเต้ยิ่งนักแล้ว เขาคงมิปล่อยให้ทั้งคู่ทำเรื่องบัดสีเยี่ยงนี้ แต่หากสิ่งที่คุณเต้กระทำให้พวกตนเห็นแก่ตา รู้ด้วยใจแล้ว สิ่งที่คุณเต้กับตี๋เป็นนั้น พวกตนยินดีที่จักช่วยอย่างเต็มกำลัง

   “ ตี๋ไหนๆ ก็ไหนแล้ว เอ็งพอจักบอกข้าได้บ้างรึไม่ว่า เอ็งกับคุณเต้รักกันแล้วเป็นเยี่ยงไรบ้าง ”

   “ พี่สุก ถามกระไรเยี่ยงนี้เล่า บัดสีนัก ”

   ตี๋ว่า ด้วยน้ำเสียงขัดเขิน พลางรู้สึกถึงเลือดในร่างนั้นไหลพลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหัน ใจก็อดประหวัดไปนึกถึงค่ำคืนนั้นเสียมิได้



************************************************************



   ‘ หากเป็นคุณเต้ บ่าวก็มิขัดขอรับ ’

   ตี๋จำคำของตนได้แม่นยิ่งนัก หากว่าหลังจากนั้น ตนก็คล้ายจักไม่มีสติขึ้นมาครามครัน ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

   หากมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเพลาเช้ามาเยือน จำได้ว่า ตอนนั้นคุณเต้กำลังป้อนยาน้ำรสขมปร่าให้ตนเองอยู่ หากว่าวิธีป้อนยาของคุณเต้นั้น นึกถึงคราใด ก็ให้ขัดเขินยิ่งนัก

   เต้ยกถ้วยยาขึ้นเป่าให้คลายความร้อน คนตัวเล็กที่เหมือนจักหายไข้ดีแล้ว กลับป่วยขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อผ่านค่ำคืนอันแสนหวานของเขาทั้งคู่ เมื่อยาอุ่นกำลังดี เต้จึงยกถ้วยยาขึ้นจรดริมฝีปาก เขาดื่มยาในถ้วยเสียเต็มอึก ก่อนจักประคองคนตัวเล็กที่ยังนอนไม่ได้สติขึ้น

   น้ำยาอุ่นกำลังดีส่งผ่านจากริมฝีปากของคนตัวโต สู่ปากบางของคนตัวเล็กที่ยังหลับมิได้สติ หากว่ายาในถ้วยนั้นยังมิหมด เต้จึงทำเช่นเดิมอีกครา และอีกครา จนยาอึกสุดท้ายในถ้วยหมดลง หากว่าเต้นั้นก็ยังมิยอมจักละริมฝีปากออกจากปากเล็กของอีกคน

   ตี๋นั้นเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลียที่ถูกเต้รังแกด้วยความวาบหวาม แลพิษไข้ที่กลับมาเยือนอีกครา รู้สึกตัวตื่นเมื่อลมหายใจของตนคล้ายจักถูกแย่งชิง มือเล็กจึงยกขึ้นปัดไป่ สะเปะสะปะ ทั้งที่ยังไม่ตื่นดีนัก

   เต้รวมมือของน้องน้อย ที่พยายามจักปัดใบหน้าของตน ก่อนจักละใบหน้าตนจากริมฝีปากของน้อง มาพรมจูบนิ้วมือเล็กๆ นั้นแทน

   “ คุณเต้ ทำกระไรรึขอรับ ”

   ตี๋ถามขึ้นน้ำเสียงงัวเงีย เนื่องด้วยเพิ่งรู้สึกตัว แลยังรู้สึกมิใคร่สบายตัวนัก

   “ พ่อก็เห็นมิใช่รึ เหตุใดจึงถามพี่อีกเล่า รึจักต้องให้พี่เล่าเสียให้กระจ่างอีกครา แต่พี่นั้นเกรงว่าพ่อจักขัดเขินเสียกว่าเก่า ”

   เต้ว่า พลางส่งสายตาพราวระยับกลับไป ส่วนตี๋ที่ได้ฟังคำนั้นก็ขัดเขินเช่นคำกล่าวอ้าง หากจักขืนตัวออก แต่อีกคนก็มิยินยอม จงทำได้เพียงซุกหน้าแดงๆ ด้วยความขัดเขินกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย

   “ คุณเต้ กล่าวกระไร บัดสีนัก ”

   “ บัดสีเยี่ยงไรกัน ผัวเมียจักแสดงความรักกัน เช่นนี้ก็บัดสีรึ ”

   “ คุณเต้ ”

   ตี๋ว่าด้วยเสียงอ่อน ด้วยมิรู้จักทำเช่นไรดี คุณเต้ก็ช่างหน้าทนนัก หากมิได้พูดเปล่า มือนั้นยังรังแกร่างกายของตนให้รู้สึกวาบหวามไปด้วย

   “ เหตุใดคุณเต้จักต้องป้อนยาบ่าวเยี่ยงนี้ด้วยเล่าขอรับ ”

   “ เยี่ยงใดกันที่พ่อว่า.....อ้อ ”

   เต้ยังมิวายหยอกล้อกับตี๋ ยิ่งเห็นใบหน้าเล็กๆ นั้นแดงระเรื่องด้วยความขัดเขิน เขาก็ยิ่งอยากจักแกล้งเสียอีกครา

   “ พ่อจักว่าพี่ ที่พี่ป้อนยาเจ้าด้วยปากกระนั้นรึ แล้วพ่อจักให้พี่ป้อนเจ้าเยี่ยงไรได้เล่า ป้อนด้วยช้อน พ่อก็มิรู้สึกตัว แลยานั้นหกเสียหมด ต้องลำบากนางมาไปเคี่ยวให้อีก ”

   “ แล้วเหตุใดคุณเต้มิปลุกบ่าวเล่าขอรับ ”

   “ ปลุกพ่อรึ พี่มิเห็นเหตุอันใดต้องปลุกพ่อ พ่อมิสบาย ไยต้องปลุกด้วยเล่า ป้อนแบบนี้นั้นดีเสียอีก ยาที่ว่าขมนัก แต่พี่นั้นเห็นว่ามันช่างหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเสียอีก ”

   สิ้นคำของเต้ หน้าเล็กๆที่แดงระเรื่ออยู่แล้ว ยิ่งซับสีเลือดมากขึ้นมากเดิม เต้เห็นแล้วก็เกรงว่าเจ้าตัวเล็กนั้นจักเลือดออกจากผิวเสียก่อน จึงจำต้องอดใจไว้เพียงเท่านี้

   “ เมื่อคราพ่อเจ็บหนัก พี่ก็ป้อนยาเช่นนี้ทุกมื้อ มิเห็นพ่อจักขัดเขินพี่เลย ”

   แต่แล้วเต้ก็อดที่จักหยอกน้องเสียอีกครา ท้ายแล้วคนช่างหยอกก็ได้ค้อนวงโตกลับมา หากว่าเจ้าตัวกลับชอบใจเสียอีกที่เห็นน้องทำเช่นนั้น

   “ บ่าวมิคุยกับคุณเต้แล้ว ”

   ตี๋ที่มิอาจจักสู้ชนะคนช่างหยอกได้ จึงสะบัดหน้าหนี แลดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมหน้า เต้เมื่อเห็นว่าน้องขัดเขินเกินทน จนต้องหนีหน้า จึงเลิกที่หยอกน้อง แลค่อยๆ ประคองน้องนอนบนเตียงอย่างทะนุถนอม แลดึงผืนผ้าขึ้นห่มให้อย่างดี



************************************************************


   “ เอ็งมิต้องทำหน้าตาเยี่ยงนี้ได้รึไม่เล่า ข้าเห็นแล้วชวนให้ใจข้าเตลิด ”

   นายสุกว่าเมื่อเห็นว่าตี๋ที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของตน ทำหน้าแดงระเรื่อขึ้น เขาก็เดาได้มิยากดอกว่า เรื่องกระไรกันที่ทำให้น้องชายตนหน้าแดงขึ้นได้ เรื่องนั้นก็คงมิแพ้เรื่องของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ดอกกระมัง

   “พี่สุก อย่าหยอกฉันเลย แค่นี้ฉันก็มิรู้ว่าจักทำเยี่ยงไรแล้ว ”

   ตี๋ว่าพลางส่งสายตากึ่งขอร้อง แลให้เห็นใจตน

   “ เออ ข้าก็หยอกเล่นดอก เห็นเอ็งมีความสุขดี ข้าก็ดีใจด้วย แลวันนี้คุณเต้ท่านจักกลับเรือนเพลาใดกัน ออกนอกพระนครเยี่ยงนี้ ”

   “ ฉันก็มิรู้ดอก คุณเต้ท่านมิได้แจ้งไว้ เห็นทีว่าวันนี้คงกลับค่ำเป็นแน่ ”

   เสียงพุดคุยของบ่าวเรือนริมน้ำ ยังคงดังอยู่เป็นระยะ หากก็ไม่ได้ดังเกินกว่าพวกสอดรู้จักได้ยิน แลเมื่อนายผล นางมากลับมาเสียงหยอกเสียงอย่างเป็นกันเองก็มากขึ้น ยังผลให้พวกสอดรู้อิจฉาอยู่มาก หากก็มิอาจทำการใดได้ ด้วยบ่าวทั้งสี่ของเรือนริมน้ำนั้น เป็นของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ แลคุณหลวงมิยินยอมให้ผู้ใดมาใช้ ไหว้วานบ่าวเรือนตน จึงทำให้บ่าวไพร่ขี้อิจฉาทั้งมิชอบใจนัก




************************************************************




   เย็นค่ำ เรือของพระยาทิพยโอสถเข้าเทียบท่า คุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม พร้อมหน้าด้วยเมียเล็กๆ ของท่านพระยา ออกมาต้อนรับผู้เป็นสามีที่ท่าเรือเช่นเดิม

   วันนี้พระยาทิพยโอสถ แลคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ นั้นต้องติดตามท่านเจ้ากรมออกไปดูแลชาวเมืองนอกพระนครด้วยกัน จึงกลับเรือนมาพร้อมกัน

   “ พ่อเต้ วันนี้ขึ้นเรือนใหญ่รับมื้อค่ำด้วยกัน แม่มีเรื่องอยากจักสนทนาด้วย ”

   “ ขอรับคุณแม่เล็ก ”

   คุณหญิงแย้มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามี แลบุตรชายดื่มน้ำดับกระหาย แลเช็ดหน้า เช็ดตาแล้ว

   “ นายสุก เอ็งเอาหีบยากลับเรือนไปก่อน ข้าจักไปเรือนเจ้าคุณพ่อ ”

   “ ขอรับคุณเต้ ”

   เต้หันมาสั่งความนายสุก ให้รับหีบยาไปเก็บที่เรือน แลตนเองนั้นยังมิได้กลับเรือน จักต้องขึ้นเรือนใหญ่ตามความประสงค์ของผู้เป็นมารดา ซึ่งนายสุกนั้นรับคำ ด้วยรู้ว่าตนต้องทำการใดต่อ โดยมิต้องรอให้คุณเต้สั่งความให้มากมาย

   เมื่อเต้เห็นว่านายสุกรับคำ แลคล้ายจักเข้าใจความที่ต้องการ ก็เบาใจลงมาก ด้วยตนมิอาจจักพูดกระไรได้มาก เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณหญิงแย้ม

   เมื่ออาหารผ่านไปด้วยเสียงสนทนาเบาๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคุณหญิงแย้มที่ถามไถ่บุตรชายเสียมากกว่า ส่วนคุณหลวงหนุ่มก็ตอบเท่าที่จำเป็น

   “ คุณพี่เจ้าคะ อิฉันเห็นว่าปีนี้พ่อเต้ก็ย่าง 20 แล้ว แลยศถาบรรดาศักดิ์รึก็มิใช่ด้อย อิฉันเห็นว่าเพลานี้เหมาะนักที่พ่อเต้สมควรจักมีคู่หมาย คุณพี่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ ”

   คุณหญิงแย้มเอ่ยขึ้นหลังผ่านมื้ออาหารไป แลบรรดาเมียเล็กๆ ของท่านพระยากลับไปยังที่ของคนแล้ว บนเรือนใหญ่เหลือเพียงท่านพระยา คุณหญิงพิม คุณหลวง ตัวคุณหญิงแย้มเอง แลบ่าวไพร่ที่นั่งรอเรียกใช้อยู่ห่างอีกไม่กี่คน

   “ ลูกมิเห็นด้วยขอรับ ”

   “ กระไรกันพ่อเต้ แม่มิได้ถามลูก ขัดผู้ใหญ่เยี่ยงนี้มิเหมาะนะพ่อ ”

   เต้ขัดขึ้นเมื่อได้ฟังความประสงค์ของคุณหญิงแย้ม ที่เรียกตนให้ขึ้นมารับมื้อค่ำบนเรือนใหญ่ หากก็โดนตำหนิ เมื่อตนขัดขึ้น เต้จึงทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ เพื่อระงับอารมณ์ของตน โดยคุณหญิงพิมนั้นแตะมือเบาๆ เพื่อให้ตนเย็นใจลง

   “ พ่อก็เห็นด้วยกับแม่แย้มอยู่หลายส่วน ลูกเองก็ถึงวัยที่จักออกเรือนได้ มิอายใคร ลูกมิเห็นเช่นนั้นรึ ”

   “ ลูกยังมิได้บวชเรียน แลลูกยังต้องการจักศึกษาด้านการแพทย์ให้มากกว่านี้ขอรับ หากให้ลูกมีคู่หมายเสียตอนนี้ ลูกเกรงว่าจักมิอาจดูแลคู่หมายของตนได้ดีนักขอรับ ”

   เต้บอกถึงเหตุผลที่ตนยังมิต้องการจักมีคู่หมาย ซึ่งเหตุผลที่ว่านั้นเป็นเพียงบางส่วน หากในความจริงแล้ว เขามิต้องการจักมีคู่หมายเลยเสียมากกว่า ด้วยเขามีคนที่เขาสมัครใจรักไปแล้ว

   “ เรื่องบวชเรียนนั้น พ่อก็พอจักเข้าใจ แลอีกไม่กี่เพลาลูกก็ครบเกณฑ์ หากเรื่องศึกษาตำรานั้น พ่อว่าก็หมั้นหมายไว้ก่อน แลค่อยศึกษานิสัยกันไป แม่พิมเห็นว่ากระไรเล่า ”

   “ อิฉันว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน(1) จักมิดีกว่ารึเจ้าคะ ”

   “ คุณพี่พิม หากว่าเป็นเช่นคุณพี่ว่า แม่หญิงดีพร้อม มิถูกผู้อื่นหมั้นหมายไปหมดแล้วหรือเจ้าคะ ”

   “ มิกระนั้นดอกแม่แย้ม ลูกยังมิพร้อม เหตุใดจักต้องบังคับกันเล่า ”

   ท่านเจ้าคุณทิพยโอสถหันมาถามความกับคุณหญิงพิม หากสิ่งที่คุณหญิงพิมว่านั้น มิใคร่จักถูกใจคุณหญิงแย้มนัก

   “ มิได้ดอกเจ้าค่ะ อิฉันแค่นำความมาปรึกษา หากคุณพี่มิเห็นด้วยก็มิเป็นไร อิฉันถูกใจแม่พริ้ง ธิดาของท่านพระยาไชยปราการนัก แม่พริ้งเองรึก็มีบุตรขุนนางอีกเพียรมาเกี้ยวพาราสี หากมิรีบทาบทามไว้ก่อน คงมิทันการ ”

   คุณหญิงแย้มสรุปความเสียเอง ทั้งที่แต่แรกนั้นต้องการถามความเห็นของผู้เป็นสามี หากคุณหญิงพิมซึ่งเป็นภรรยาหลวงมิเห็นด้วย แลท่านพระยาเองนั้นก็เกรงใจคุณหญิงพิมมิน้อย คุณหญิงแย้มเห็นว่าการนั้นจักมิได้ตามต้องการ จึงถือโอกาสรวบรัดตัดตอนเสียในคราเดียว

   “ ลูกยังมิอยากมีคู่หมายขอรับ ”

   “ แต่ลูกถึงวัยที่ควรจะมีคู่ครองแล้ว ”

   “ แต่ลูกมิต้องการ.... ”

   “ เอาเถิด พ่อเต้ แม่แย้ม จักเถียงกันไปให้อายบ่าวไพร่มัน เอาเป็นว่า เรื่องคู่หมั้น คู่หมายนั้น รอให้พ่อเต้บวชเรียนเสียก่อนจักดีกว่า ถึงเพลานั้น หากแม่พริ้งยังผูกใจสมัคร ก็ค่อยว่ากันที่ครา รึคุณพี่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ ”

   “ แม่พริ้งจักต้องมีใจมั่นในพ่อเต้อยู่แล้วเจ้าค่ะ เรือนรึก็มิได้ห่างกันมาก แลพ่อเต้กับแม่พริ้งเองก็รู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ”

   คุณหญิงพิมเห็นว่า เต้นั้นคงมิยอมจักหมั้นหมายเพลานี้เป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ คุณหญิงแย้มก็คงมิยอมเช่นกัน ทางเดียวที่พอจักแก้ไขความเฉพาะหน้านี้ได้ ก็คงจักมีแค่ประวิงเพลาออกไปอีกสักพัก

   “ เอาเช่นที่แม่พิมว่าเห็นจักดี รอให้พ่อเต้บวชเรียนเสียก่อน อีกไม่กี่เพลาพ่อเต้ก็จักครบเกณฑ์แล้ว ”

   “ เช่นนั้นอิฉันจักไปทาบทามแม่พริ้งไว้เสียแต่เนิ่นๆ หากช้าประเดี๋ยวท่านเจ้าคุณไชยปราการจักยกให้ผู้อื่นไปเสีย ”

   เมื่อเห็นว่าความเป็นไปตามที่ต้องหมายใจ คุณหญิงแย้มจึงขอลากลับเรือนตน ด้วยหมายมาดเรื่องนี้ไว้ว่าจักต้องลุล่วงด้วยดี

   เมื่อตัวต้นเรื่องกลับเรือน เต้จึงขอลากลับเรือนตนเช่นกัน เขามิรู้ว่าคนที่เรือนนั้นยังรอเขามารับมื้อเย็นด้วยรึไม่ แม้เขาจักสั่งความไปกับนายสุกแล้วก็ตามที หากว่าตี๋น้อยนั้นช่างดื้อเสียนี่กระไร



************************************************************

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 7 (15/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 15-10-2018 17:04:24
(ต่อจากด้านบน 7/2)


   ความเรื่องคุณหลวงหนุ่มจักหมั้นหมายลามไวเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง(2) ไม่รู้ว่าเริ่มต้นที่ผู้ใด หากความที่ว่าต่อๆ กันไปภายในเรือนท่านพระยานั้น ล้วนแต่ถูกปรุงแต่งให้เกินจริงยิ่งนัก

   เต้นำความมิสบายใจเรื่องนี้มาปรึกษาเกลอรักอย่างคิมม่อนในเพลาต่อมา หากคำที่ได้ฟังนั้น แม้จักมิถูกหู แลถูกใจ แต่เขาก็ปฏิเสธกับความจริงที่คิมม่อนว่ามิได้

   “ ฉันเห็นด้วยนะ เกลอควรจักมีคู่หมั้นหมายได้แล้ว ”

   “ คิมม่อน ฉันนำความมาปรึกษา มิใช่ให้พ่อมายุแยงกัน ”

   “ ฉันมิได้ยุแยง หากฉันมองที่ความเป็นจริง เจ้าลองตรองดูเถิดว่า มันจริงเช่นที่ฉันว่ารึไม่ ”

   “ เยี่ยงใดกัน ”

   “ เต้ หากว่าเจ้ายอมหมั้นหมายกับแม่หญิงที่คุณหญิงแม่เลือกมาให้ คนที่จักปลอดภัยก็เป็นคนรักของเจ้าเอง หากเจ้ามีคู่หมายหมั้นไว้แล้ว คุณหญิงแม่ก็คงมิใคร่สนใจคนรักของเจ้าเยี่ยงกาลก่อน ด้วยมิต้องคอยจับผิดว่าเจ้ายังไปอุ้มชูใครขึ้นมา ”

   เต้คิดตามสิ่งที่คิมม่อนว่า หากเมื่อตรองดูแล้วก็เห็นเป็นจริงอยู่มาก หากตนมีคู่หมั้นหมายแล้ว คุณหญิงแม่คงมิเข้ามาสอดส่องเรื่องในเรือนริมน้ำให้ต้องระวังกันทุกฝีก้าว

   “ เห็นจักจริงเช่นเจ้าว่า ขอบใจมากเพื่อนเกลอ ”

   “ มิเป็นไรดอก ฉันเองนั้นก็รอดตัวไปที่คุณพ่อมิใช่ชาวสยาม แลคุณแม่นั้นก็มิคิดคลุมถุงชน(3) กัน ”

   คิมม่อนว่าขึ้นอย่างขำขัน ด้วยตนเองนั้นมีบิดาเป็นชาวต่างชาติ ที่มิได้กะเกณฑ์เรื่องคู่ครองของตนนัก แลมารดาก็มิได้ก้าวก่ายเรื่องคู่ครองเช่นกัน

   “ เช่นนั้นฉันต้องขอลากลับเสีย รบกวนมาหลายเพลานัก ”

   “ เกรงใจฉัน รึว่าห่วงคนที่เรือนกันแน่เล่า ”

   คิมม่อนอดที่จักหยอกเพื่อนอีกครั้งก่อนที่จักแยกย้ายกันกลับเรือน เต้นั้นหวั่นใจกับเรื่องนี้อยู่มิน้อย ความที่เขาจักหมั้นนั้นรู้กันทั่วเรือน

   เขามิจะได้กังวลกับความนั้นเลย หากความนั้นมิทำให้ตี๋น้อยของเขาเศร้าลง แม้ว่าตี๋จักมิพูด รึถามความกระไร หากแววตาที่เศร้าหมอง มิสดใสเช่นเดิม ก็ทำให้เขาประจักษ์ใจได้มิยาก




************************************************************




   ยามค่ำมาเยือนอีกครา ร่างของคนสองคนโอบกอดด้วยใจเสน่หา เช่นคืนก่อน หากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งหลังผ่านค่ำคืนอันแสนหวานคือบทสนทนาเดิมๆ ซ้ำๆ

   “ เหตุใดพ่อจึงมินอนเคียงหมอนกับพี่เล่า ”

   “ บ่าวเป็นเพียง บ่าวเท่านั้นขอรับ ”

   “ พ่อมิเคยเป็นบ่าวในสายตาพี่ ในสายตาพี่ พ่อคือเมียรัก ที่พี่รัก แลมิอาจจักมีใครมาเทียบเคียง ”

   “ แต่อีกมินาน คุณเต้ก็จักต้องหมั้นหมาย เมื่อถึงเพลานั้น บ่าวก็คงจักต้องเจียมตัวให้มากกว่าเดิม ”

   “ คนดี ฟังพี่นะ พี่มิได้ต้องการจักหมั้นหมายเช่นที่บ่าวไพร่เขาว่ากัน หากพี่มิอาจขัดคุณหญิงแม่ได้ แต่เหตุผลที่สำคัญนั้น เมื่อพี่หมั้นหมายสมใจคุณหญิงแม่ท่าน ท่านคงจักมิมาหาความรังแกทูนหัวของพี่อีก พี่จำต้องยอมทำเพื่อพ่อถึงเพียงนี้ ไยพ่อมิเชื่อใจพี่เล่า ”

   “ บ่าวขอโทษขอรับ แต่บ่าวนั้นก็อดน้อยใจในวาสนาของตนมิได้ ”

   “ คนดีจักน้อยใจไปไย มิว่าพี่จักต้องหมั้นหมาย หรือความร้ายจนต้องออกเรือน แต่ใจพี่นั้น พี่ให้เจ้าเพียงผู้เดียว ”

   เต้พยายามจักบอกเล่าความจำเป็นที่ตนจำต้องทำตามสิ่งที่ผู้เป็นมารดาต้องการ เขาคิดไว้แล้วว่าตี๋นั้นต้องน้อยใจ หากก็มิยอมจักพูดบอก

   “ พ่อมิเชื่อใจพี่กระนั้นรึ ”

   “ มิได้ขอรับ บ่าวเชื่อคุณเต้ขอรับ ”

   “ เช่นนั้น พ่อจักเรียกชื่อพี่สักหวานๆ สักครา แลแทนตัวเองว่าน้องได้รึไม่เล่า ”

   “ แต่มันมิควรดอกขอรับ ”

   “ การใดเล่าที่มิควร พ่อเป็นเมีย เรียกพี่ว่าพี่นั้นก็ถูกต้องยิ่งนัก มีกระไรมิควรกัน ”

   “ แต่บ่าว...... อื้อ ”

   “ เช่นนั้นก็เอาเถิด หากพ่อมิยอมเรียกพี่ว่าพี่ พี่ลงโทษพ่อเยี่ยงนี้แล ”

   วิธีลงโทษที่คุณหลวงหนุ่มว่านั้น ช่างเป็นการลงโทษที่เป็นประโยชน์แก่ตนเสียยิ่งนัก เมื่อวิธีของคุณหลวงนั้นคือ แนบริมผีมือของตนกับคนช่างเถียงตรงหน้า

   “ ว่าอย่างไรเล่า จักยอมเรียกพี่ได้แล้วรึไม่ ”

   “ ขอรับคุณ อื้อ ”

   “ ว่ากระไรคนดี ”

   ยังมิทันจักเอ่ยจบ ริมฝีมากของคนตัวโตก็ประกบลงมาเสียก่อน คำเรียกขานด้วยความเคยชินจึงต้องกลืนลงคอไป

   “ ขอรับพี่เต้ ”

   “ กระไรนะ พี่ได้ยินมิถนัด ”
   
   “ พี่เต้ ”

   เมื่อตี๋ยอมเรียกตนว่าพี่ หัวใจในอกนั้นช่างพองโตเสียจนคับแน่น ความรู้สึกเต็มตื้น ด้วยความที่พยายามมาหลายครา แต่ก็มิเคยสำเร็จ หากรู้ว่าวิธีนี้ได้ผล เขานั้นคงใช้ไปเสียนานแล้ว



*********************************************



   เรือนพระยาทิพยโอสถมีงานบุญครั้งใหญ่ เมื่อบุตรชายคนโต คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ถึงเกณฑ์ที่จักเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ งานฉลองจัดขึ้นที่เรือนใหญ่ บ่าวไพร่จัดเตรียมงานกันเป็นระวิง

   คนที่แย้มยิ้ม ยินดีคงจักเป็นใครไปเสียไม่ได้ นอกเสียจาก บิดา มารดาของผู้ที่กำลังจักก้าวเข้าครองไตรจีวร เข้าสู่ร่มพระพุทธศาสนา

   กำหนดการบวชเรียนของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ คือหนึ่งพรรษา แลผู้ที่คอยดูแลตลอดพรรษานั้นคือ บ่าวเรือนริมน้ำอย่างนายสุก

   เดิมทีนั้นคุณหลวงอยากจักให้คนรักของตนเป็นผู้รับงานดูแลพระใหม่เช่นตน แต่เมื่อได้ฟังคำของน้องน้อยเมื่อคราที่เขาขอนั้น เขาก็แจ้งใจ แลมิคิดบังคับน้อง

   “ มิใช่ว่าน้องมิอยากดูแลรับใช้คุณพี่นะขอรับ แต่เป็นเพราะว่า น้องมิอยากรบกวนสมาธิในการศึกษาพระธรรมของคุณพี่ ”

   “ น้องจักรบกวนพี่ได้เยี่ยงใดกัน พี่มิเห็นจักเป็นเช่นนั้นสักครา ”

   “ ให้พี่สุกเป็นโยมอุปัฏฐาก(4) จักดีกว่าขอรับ คนที่เรือนจักเอาไปพูดมิได้ว่า น้องไปรบกวนพระสงฆ์ ”

   “ เอาเถิด หากน้องพึงใจเช่นนี้พี่ก็มิขัด แลไปเยี่ยมเยือนพี่บ้าง ”

   “ ขอบพระคุณ คุณพี่มากขอรับที่เข้าใจ ”

   หากว่าอยู่กันเพียงสองคน คำเรียกหานั้นจักเป็นไปอย่างอ่อนหวานฉันท์คนรัก แต่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้คน สถานะของทั้งคู่ก็จักเป็นนาย บ่าวดังเดิม

   แม้ว่ามิชอบใจ แต่ก็มิอาจจักขัดต่อม่านประเพณีได้ สิ่งที่เขาทั้งคู่เป็นอยู่ นับเป็นเรื่องบัดสีของคนหมู่มาก การทำสิ่งใดจึงต้องพึงระวังเสียมากกว่าเดิม

   หลังจากพ้นพรรษา หลวงอภิบาลบริรักษ์จึงลาสิกขาบท กลับมาอยู่เรือน แลเข้ากรมเช่นเดิม หากสิ่งที่พยายามจักประวิงเวลาไว้เมื่อคราก่อนนั้น คล้ายจักใกล้เข้ามา

   เมื่อเย็นค่ำของวัน หลังจากที่ทุกคนรับมื้อเย็นบนเรือนใหญ่ คุณหญิงแย้มจริงแจ้งความว่าตนนั้นได้ทาบทาม สู่ขอแม่พริ้ง บุตรีท่านพระยาไชยปราการให้คุณหลวงผู้เป็นบุตรชาย

   แม้ว่าการกระทำนั้นจักดูข้ามหน้า ข้ามตาของท่านพระยา ผู้เป็นสามี แลคุณหญิงพิม ซึ่งเป็นภรรยาเอก แต่คุณหญิงแย้มก็มิใคร่ใส่ใจ

   มิเท่านั้น การนั้นยังความมิพอใจให้กับคุณหลวงอยู่มิน้อย หากก็มิสามารถผ่อนผันกระไรได้อีก เนื่องจากก่อนหน้านั้น ตนขอว่าจักบวชเรียนเสียก่อน ครานี้จึงมิอาจบิดพลิ้วได้

   “ แต่ลูกยังต้องการศึกษาความรู้ด้านการแพทย์เสียให้กระจ่าง เกรงว่าจักมิมีเพลา แลสามารถดูแลแม่พริ้งได้ดีนัก ”

   “ ก็มิเป็นไรดอก แม่สนทนากับท่านพระไชยปราการ แลคุณหญิงเพ็ญแล้ว ท่านมิขัดกระไร หากพ่อจักศึกษาเพิ่มเติม แม่พริ้งเองก็เองก็เห็นงามด้วย ”

   “ เอาเถิดพ่อเต้ เรื่องก็มีถึงขั้นนี้ แม่แย้มเองก็ตระเตรียมการไว้เสียมาก หากลูกมิยินยอม เห็นทีฝ่ายนั้นคงจักมาถอนหงอก(5)เรือนเราเสียกระมัง ”

   คุณหญิงพิมตัดสินความเมื่อเห็นว่าคุณหญิงแย้มตระเตรียมการเสียเสร็จสรรพ หากจักปฏิเสธไปก็คงจักมิงามนัก จักเสียผู้ใหญ่กันเสียหมด

   ท่านพระยาทิพยโอสถนั้นมิได้ร่วมออกความคิดเห็น เนื่องด้วยตนให้เรื่องการออกเรือนของบุตร ธิดา เป็นสิทธิ์ของผู้เป็นภรรยา

   งานหมั้นหมายของหลวงอภิบาลบริรักษ์จัดขึ้นอย่างสมฐานะของทั้งสองเรือน คุณหลวงนั้นแม้มิอยากจักเข้าพิธี แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ จำต้องฝืนใจตน แม้ว่าแม่พริ้งที่เป็นคู่หมาย จักเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ด้วยรูปโฉม แลกิริยามารยาท แต่ตนนั้นก็มินึกอยากจักรักใคร่ฉันชู้สาว หากจักนึกรัก ก็คงเป็นได้เพียง น้องสาวเท่านั้น

   งานหมั้นหมายผ่านพ้นไปด้วยดี หากสิ่งที่ตามมานั้นคือ แม่พริ้งที่มักจักมาเยือนเรือนท่านพระยาอยู่บ่อยครั้ง ด้วยคุณหญิงแย้มนั้นชักชวน แลต้องการให้บุตรชายผูกใจรักหญิงสาวที่ตนเลือกให้

   ถึงจักมาเยือนที่เรือนบ่อยครั้ง แต่แม่พริ้งมิได้ไปเยือนเรือนริมน้ำของคู่หมั้นบ่อยนัก ด้วยติดที่ว่ามันจักมิงาม ด้วยตนเป็นหญิงจักเข้าหาอีกฝ่ายมากจนเกินงาม ก็มิควร เกรงจักเป็นขี้ปากผู้คนได้แม้ว่าใจหญิงนั้นอยากจักสานสัมพันธ์กับคู่หมั้นเสียให้มากกว่านี้

   “ คนดี น้องมิสบายตรงไหนรึไม่ พี่รุนแรงกับน้องเกินไปรึไม่ ”

   “ น้องมิเป็นใดขอรับ ”

   “ มิเป็นไรได้เยี่ยงไรกัน หากมิเป็นไร ไยน้องน้อยของพี่จึงมีสีหน้าคล้ายจักร้องไห้เยี่ยงนี้เล่า ”

   “ น้องมิเป็นไรจริงๆ ขอรับ คุณพี่อ่อนโอนกับน้องมาก มากเสียจนน้องกลัว ”

   “ ทูนหัวของพี่เกรงสิ่งใดกัน ”

   “ น้องกลัวสิ่งที่มีในเพลานี้จักกลายเป็นเพียงความฝัน ที่เมื่อลืมตาตื่น ทุกอย่างจักสลายหายไป น้องกลัวว่าเมื่อใดที่คุณพี่จักต้องออกเรือน ความอ่อนโอนที่คุณพี่มีให้น้อง จักต้องเป็นของผู้อื่น น้องรู้ว่าสิ่งที่น้องหวั่นนั้นมันมิควร น้องเป็นเพียงบ่าวในเรือน แต่น้องกับหวังสิ่งที่เกินตัว...... ”

   “ มิมีสิ่งใดที่พ่อหวังเกินตัวดอก ยอดรักของพี่ พี่ดีใจยิ่งนักที่ได้ฟังคำเจ้าเยี่ยงนี้ แลน้องของพี่มิต้องกังวลสิ่งใด พี่มิอาจจักขัดความต้องการของผู้ใหญ่ท่านได้ แต่สิ่งที่ทำได้นั้นคือ พี่รักพ่อ ยอดดวงใจของพี่ ”

   ทั้งคู่ยังคงนอนกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ตี๋นั้นหวั่นเกรงว่าสิ่งที่มีในตอนนั้นจักเป็นเพียงความฝัน เพราะคู่หมั้นหมายของคุณเต้นั้นช่างเหมาะสมกันอย่างที่ทุกคนว่า ตนนั้นเป็นเพียงแค่บ่าว ซ้ำยังเป็นชาย ไหนเลยจักมีสิ่งใดไปสู้แม่หญิงผู้เพียบพร้อม

   “ ทูนหัว พี่ขอให้น้องจำให้แม่นมั่น แม้ว่าพี่จักต้องออกเรือนไปกับผู้ใด แต่ใจของพี่นั้นอยู่กับน้องมิเสื่อมคลาย เมื่อพี่รัก พี่จักรักจนหมดใจ มิเหลือแบ่งให้ใครได้อีก ”

   “ แต่น้อง.... ”

   “ มิมีแต่ดอก ไม่ว่าเยี่ยงไร หรือจักเกิดกระไรขึ้นต่อจากเพลานี้ พี่ขอให้น้องมั่นในรักของพี่ แลพี่นั้นก็จักมั่นให้ตัวน้องเช่นกัน เราจักข้ามผ่านมันไปด้วยกัน ”

   คุณหลวงว่า พลางกระชับคนให้อ้อมแขนให้แน่นขึ้น ริมฝีปากแนบชิดหน้าผาก ดวงตา แก้มนวล แลสุดท้ายที่ปากบาง รวมกับต้องการปลอบประโลม ขับกล่อม ให้น้องน้อยฝันดี

   ตี๋พริ้มตารับสัมผัสจากคุณหลวงหนุ่ม ก่อนจักขยับตัวเข้าซุกซบอกอุ่นเช่นทุกคืน แม้ว่าจักมิได้นอนเคียงหมอน เช่นที่คุณหลวงออกปากถาม แต่วงแขนแข็งแรงนั้นกับเป็นหมอนใบนุ่มเสียแทน

   เต้มองคนเจียมตนที่ขยับกายเข้าหา แม้จักมิยอมนอนร่วมหมอนใบเดียวกัน เพราะน้องน้อยนั้นถือว่าตนต่ำศักดิ์ แลเจียมนื้อ เจียมตัว หากก็ซุกซบอยู่ในวงแขน นั้นก็เป็นสิ่งที่คุณหลวงพึงใจไม่แพ้กัน

   เต้แนบจุมพิตบนกลุ่มผมนุ่มของคนที่อิงแอบ กระชับวงแขนโอบกอด ดึงผ้าแพรผืนงามขึ้นคลุมกายตนแลน้องน้อย ก่อนจักปิดเปลือกตาเข้าสู่นิทราไปด้วยกัน




************************************************************




เชิงอรรถ

(1)   ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน (สํานวน , สุภาษิต) หมายถึงการจะทำใดให้ผู้อื่นนั้น ก็ต้องถามความต้องการของผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง อย่าเอาความคิดของผู้ทำเป็นตัวตัดสินใจหลัก

(2)   ไฟลามทุ่ง (สำนวน) หมายถึง กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

(3)   คลุมถุงชน (สำนวน , คำนาม) หมายถึง ลักษณะการแต่งงานที่ผู้ใหญ่จัดการให้ทั้งสองฝ่าย โดยที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่ได้รู้จัก หรือคุ้นเคยกันมาก่อน

(4)   โยมอุปัฏฐาก (คำนาม) หมายถึง ผู้บำรุง , ผู้ดูแล , ผู้รับใช้ , (มักใช้สำหรับพระสงฆ์) เรียกเป็นสามัญว่า โยมอุปัฏฐาก ถ้าเป็นหญิงใช้ว่า อุปัฏฐายิกา (ในที่นี้ขอให้ความหมายตามความเข้าใจว่า เด็กวัด ผู้คอยรับใช้พระภิกษุ)

(5)   ถอนหงอก (คำกริยา , สำนวน ) หมายถึง ไม่นับถือความเป็นผู้ใหญ่ พูดว่าให้เสียผู้ใหญ่ เช่น การที่ผู้ใหญ่โดนเด็กหรือผู้น้อยว่ากล่าวทำให้เสียหาย ไม่มีความเคารพนับถือผู้ใหญ่




************************************************************


แนะนำตัวละครเพิ่มเติม

แม่พริ้ง บุตรีท่านพระยาไชยปราการ คู่หมั้นหมายของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์



********************************************


สนทนาหลังฉาก


ทิวาสวัสดิ์ขอรับ กลับมาพบกันอีกครา กับฟิครายอาทิตย์ (คุณพี่ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้)

ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยขอรับ

รบกวนทุกท่านช่วยจับผิดด้วยนะขอรับ ข้าเจ้าพยายามตรวจทานแล้ว

แต่มิแน่ใจว่าจักมีคำผิดหลงเหลืออีกมากน้อย

หากพบเจอรบกวนกระซิบแจ้งข้าเจ้าด้วยขอรับ

ขอบพระคุณขอรับ

ขอบคุณทุกข้อความ ทุกความรู้สึกเช่นเคยขอรับ

พบกันใหม่ตอนหน้าขอรับ

รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ



...........ด้วยใจภักดิ์..........

MARINER_IX
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 7 (15/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-10-2018 08:42:20
 :sad11:

ขมๆหวานๆ สงสารทั้งคู่
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 7 (15/10/61) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 16-10-2018 11:29:48
   Billie : ขอบคุณขอรับ  หวานบ้าง ขมบ้าง ปนๆกันไปขอรับ
ปล. +1 จ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 8 (19/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 19-10-2018 09:50:17
ตอนที่ 8

...........จำใจจาก...........

หลังจากที่ขอเชิงบังคับบุตรชายหมั้นหมายกับแม่หญิงที่ตนเลือก คุณหญิงแย้มก็พยายามจักเป็นแม่สื่อ โดยการชักชวนให้คุณหนูพริ้ง คู่หมั้นหมายของบุตรชายมาที่เรือนอยู่เป็นเนื่องๆ ด้วยหวังว่าบุตรชายจักเห็นความน่ารัก เพียบพร้อมของคู่หมั้น
แต่สิ่งที่คุณหญิงมิคาดคิดก็คือ คุณหลวงหนุ่มมิเคยจักอยู่เรือนให้พบหน้า ด้วยหน้าที่การงานในความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณหลวงนั้นต้องเดินทางออกนอกพระนครมิใคร่ได้อยู่ในกรม แลมิได้กลับเรือนแต่วันเหมือนอย่างเดิม
หากจะให้คุณหนูพริ้งรั้งรออยู่ที่เรือน ก็เกรงจักค่ำเสียเกินไป แม้นว่าจักหมั้นหมายกันแล้ว แต่การที่แม่หญิงจักมาอยู่เรือนชายจนเย็นย่ำ ก็มิงามนัก
“ ลูกกราบลาคุณหญิงแม่เจ้าค่ะ เพลาหน้าหากมีโอกาสลูกจักมาเยี่ยมเยือนอีกครา ”
“ พ่อเต้ก็ก็กระไรนัก มิเคยจักอยู่ติดเรือน น้องมาเรือนก็มิเคยพบหน้า ”
“ คุณหญิงแม่อย่าโกรธเคืองพี่เต้เลยเจ้าค่ะ การที่พี่เต้รับผิดชอบนั้นมิอาจจักละทิ้งได้ พริ้งเองยังอดเห็นใจพี่เต้มิได้ ”
“ ถึงกระนั้นก็เถิด พ่อเต้ก็มิควรปล่อยให้แม่พริ้งมานั่งรอเยี่ยงนี้ ”
คุณหญิงแย้มสนทนากับแม่พริ้ง ก่อนที่แม่พริ้งจักกราบลากลับเรือน คุณหญิงพิมที่นั่งอยู่ด้วยนั้นก็มิได้เอ่ยขัดกระไร เมื่อคู่หมั้นหมายของคุณหลวงหนุ่มเข้ามากราบลา
“ เจ้าคุณพี่ แลพี่หญิงพิมเองก็ให้ท้ายพ่อเต้ยิ่งนัก มิห้ามปราบพ่อเต้เสียบ้างเล่าเจ้าคะ ”
คุณหญิงแย้มหันกลับมาหาความกับคุณหญิงพิมเสียแทน หลังจากที่ส่งคุณหนูพริ้ง ลงเรือกลับเรือนตนไปแล้ว
“ แม่แย้มจักให้ฉันปรามกระไรพ่อเต้เล่า พ่อเต้ก็บอกแม่แย้มไว้ก่อนแล้วมิใช่รึว่า ยังมิพร้อมที่จะมีคู่หมั้นหมาย ด้วยเกรงว่าจักมิสามารถดูแลได้ ”
“ คุณพี่หญิง ”
คุณหญิงพิมย้อนความคราเมื่อคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ มิยินดีจักหมั้นหมาย ด้วยภาระการงานที่เพิ่มขึ้น แลยังมิอาจจักวางมือได้
“ น้องมิคุยกับคุณพี่หญิงแล้ว ช่างให้ท้ายพ่อเต้เสียจนลูกมิยอมฟังน้องเลย กราบลาเจ้าค่ะ ”
ว่าจบคุณหญิงแย้มก็สะบัดหน้าหนี เดินลงจากเรือน กลับเรือนของตน คุณหญิงพิมจึงส่ายหน้าอย่างระอาเสียแทน
ย่ำค่ำเรือมาดเข้าเทียบท่าน้ำหน้าเรือน คุณหลวงหนุ่มก้าวขึ้นจากเรือ ขันเงินใส่น้ำลอยดอกมะลิหอมเย็น ส่งให้ถึงมือ ตามด้วยผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเหยาะน้ำอบ กลิ่นหอมอ่อนๆ
เต้มองคนที่ส่งให้ตนด้วยแววตารักใคร่มิปิดบัง ด้วยที่ตรงนี้มิมีใครอื่นนอกจากบ่าวที่ไว้ใจได้ของเรือนริมน้ำ
ตี๋ก้มหลบสายตาพราวระยับ ดวงหน้าขึ้นสีระเรื่อ จักให้ผ่านมานานเท่าใด เขาก็มิเคยชินเสียที กับสายตาหยอกเย้าของคุณหลวงหนุ่ม
“ วันนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ”
“ หนักเอาการเชียว ชาวเมืองด้านนอกนั้นมิค่อยรู้เรื่องการแพทย์เท่าใดนัก แลพี่ก็ยังด้อยประสบการณ์ คงจักต้องศึกษาให้มาก ”
“ กระนั้นรึขอรับ เช่นนั้นน้องจักเตรียมเครื่องเขียนเพิ่มให้นะขอรับ ”
“ ขอบใจน้องนัก แต่ถึงจักเหนื่อยเพียงใด แค่เห็นหน้าน้อง พี่ก็มีแรงแล้ว ”
เต้ก็ยังเป็นเต้ เป็นคุณหลวงช่างแกล้งให้คนรักขัดเขิน ด้วยชอบมองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของอีกคน
คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ยังคงต้องออกไปนอกเมืองอยู่ทุกวัน แลกลับเรือนเสียเย็นค่ำ บางครา ก็มิได้กลับเรือน แม้ว่าจักเป็นห่วงคนที่เรือน แต่ก็มิอาจจักละทิ้งหน้าที่ได้
เมื่อมิอาจเลี่ยงได้ ด้วยหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ หลวงอภิบาลบริรักษ์จึงได้แต่สั่งความบ่าวอีกสามคนให้ช่วยดูแลคนตัวเล็ก แลสั่งความน้องให้อยู่แต่ในเรือน
แต่ถึงจะอย่างนั้น เมื่อเกิดมาเป็นบ่าว ก็มิอาจจะเลี่ยงนายได้ เมื่อคุณหญิงแย้ม พร้อมด้วยคุณหนูพริ้ง คู่หมั้นหมายของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์มาเยือนเรือนริมน้ำ
คุณหญิงแย้มดึงดันที่จะขึ้นเรือน ทั้งที่นายสุก นายผล แจ้งความว่า คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์มิให้ผู้อื่นขึ้นเรือน แต่คุณหญิงนั้นใช้ความเป็นมารดา ทำให้ไม่สามารถที่จะรั้งได้
ตี๋นั่งจัดตำราอยู่ที่ชานบ้าน นางมานั้นกำลังปัดกวาดเรือน คราแรกที่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือน ตี๋เองก็พอจะเดาได้ว่า อย่างไรเสียก็คงมิอาจจักหลบเลี่ยงได้อีก
“ กราบคุณหญิงแย้ม คุณหนูพริ้ง ขอรับ ”
“ สบายกันเสียจริงบ่าวเรือนนี้ พ่อเต้นี่ก็กระไร ปล่อยให้เคยตัวเยี่ยงนี้ แม่พริ้งคงจักต้องเหนื่อยมากเสียแล้วกระมัง ”
“มิขนาดนั้นดอกเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ ”
บ่าวบนเรือนกราบคุณหญิงแย้ม แลคุณหนูพริ้ง แต่คล้ายกับว่าคุณหญิงจักมิสนใจบ่าวนัก เพราะเจ้าตัวหันมาสนทนากับคุณหนูพริ้งที่มาด้วยกันแทน
เมื่อขึ้นมาบนเรือนริมน้ำ คุณหญิงแย้มก็พาคุณหนูพริ้งชมเรือนริมน้ำเสียทั่ว พร้อมคำกล่าวที่ทำให้ใจของบ่าวตัวน้อยเรือนริมน้ำต้องสั่นไหว
“ แม่พริ้งเห็นว่าเรือนริมน้ำเป็นเยี่ยงไรบ้าง ถูกใจรึไม่ อีกไม่กี่เพลา แม่พริ้งจักต้องมาเป็นนายเรือนนี้แล้ว ”
เพียงไม่กี่ประโยคแต่มันช่างเหมือนคมมีดที่กรีดบนใจคนฟัง มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนโดนลงหวาย ครานั้นเพียงเจ็บตัว ไม่กี่เพลาก็หาย แต่ครานี้ เขาคงหนีความจริงมิพ้น
หลายเพลาผ่านพ้นไป คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์แล้วจากการออกตรวจชาวเมืองจึงกลับเรือนหลังจากที่มิได้กลับมาหลายเพลา
หากการกลับเรือนในครานี้ คล้ายจักมีบางอย่างรบกวนใจอยู่บางๆ แต่คุณหลวงเองพยายามจักไม่ใส่ใจ แต่คุณหลวงหนุ่มนั้นกังวลกับคนที่เรือนริมน้ำเสียแทน ยิ่งทราบความจากนายผล ว่าคุณหญิงแย้ม แลคุณหนูพริ้งมาที่เรือนริมน้ำ
“ ตี๋ น้องมีเรื่องกระไรในใจกระนั้นรึ ”
“ มิมีกระไรดอกขอรับ พี่เต้กลับมาเหนื่อย พักผ่อนเถิดขอรับ ”
“ พ่ออย่าปดพี่เลย นายผลเล่าความที่คุณหญิงแม่มาที่เรือนให้พี่ฟังแล้ว ”
“ มิมีกระไรจริงๆขอรับ ”
“ คนดี มิว่าคุณหญิงจักพูดว่ากระไร พ่อมิต้องฟังดอก เรือนนี้พี่จักมิให้ใคร เพราะเรือนนี้เป็นเรือนรักของเรา ของเราเท่านั้น คนดีของพี่ ”
“ พี่เต้ น้องกลัว หากวันใดที่พี่ต้องออกเรือน แลเรือนแห่งจักต้องกลายเรือนหอของพี่แลคุณหนูพริ้ง น้องคง.... ”
“ จักมิเป็นเช่นนั้น พี่สัญญา มิต้องกังวล พี่รักพ่อคนเดียว แลจักมิมีใครอื่นมาแทนที่คนดีของพี่ได้ ”
เมื่อคุณหลวงหนุ่มอยู่เรือน ความกังวลต่างๆก็คล้ายจักได้รับการปัดเป่า หากบางอย่างที่ตี๋รับรู้ได้นั่นคือ คุณหลวงมีบางเรื่องที่มิยอมบอก
“ พี่เต้มีเรื่องกระไรมิยอมบอกน้องรึไมขอรับ ”
“ เหตุใดน้องจึงว่าเยี่ยงนั้นเล่า ”
“ แม้พี่เต้มิบอก แต่น้องก็รู้สึกได้ขอรับ พี่เต้บอกน้องได้รึไม่ขอรับ ให้น้องช่วยแบ่งเบาความไม่สบายใจของพี่บ้าง ได้รึไม่ขอรับ ”
“ มิมีกระไรมากดอกพ่อ... ”
“ พี่เต้... ”
คุณหลวงหนุ่มมิยอมจักบอกความสบายใจ แลพยายามบ่ายเบี่ยง หากว่าอีกคนมิยอม แลเมื่อถามด้วยน้ำเสียงนุ่มๆมิได้ผล น้ำเสียงของคนตัวเล็กจึงแข็งจึงโดยมิรู้ตัว
“ เอาเถิดพ่อ พี่ยอมแล้ว มิต้องดุพี่ดอก ”
แม้จักว่าเยี่ยงนั้น แต่สายตาพราวระยับนั้นก็ทำให้อีกคนขัดเขินได้เช่นเคย
“ ที่พี่มิบอก เพราะมิอยากให้พ่อมาพะวงไปกับพี่ด้วย ”
“ แต่น้องอยากช่วยพี่ได้บ้าง รึคุณพี่เห็นว่า น้องมิมีความสามารถพอกันขอรับ จึงมิยอมแจ้งแก่น้อง ”
“ มิใช่เยี่ยงนั้น พี่ทราบแจ้งแก่ใจดีว่าน้องเป็นห่วงพี่ แลน้องต้องการช่วยพี่ แต่พี่ขอเพลาอีกประเดี๋ยวได้รึไม่ หากพี่พร้อมกว่านี้พี่จักแจ้งแก่คนดีมิปิดบัง ”
ท้ายที่สุดแล้วคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ก็มิยอมจักบอกความกังวลในใจ แม้ว่าตี๋จักทั้งพยายามทั้งขอร้อง ทั้งกึ่งขู่ แต่ก็มิสำเร็จ
แต่ว่ากันว่า ความลับมิมีในโลก คำนี้เห็นจะเป็นความจริง เมื่อเย็นวันหนึ่ง ตี๋มารับคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ที่ท่าเรือเช่นเคย ความที่ได้ยินโดยบังเอิญนั้นมิใช่เรื่องเล็กๆเลย
“ เหตุใดพี่เต้จึงมิตอบรับเล่าขอรับ ”
“ ตอบรับเรื่องกระไรรึพ่อ ”
“ อย่ามาเฉไฉขอรับ น้องรูว่าคุณพี่ทราบดีว่า น้องหมายความถึงเรื่องใด ”
เมื่อกลับถึงเรือน ตี๋ก็มิยอมให้ติดค้างในใจ เขาเอ่ยความที่ได้ฟังเมื่อครู่ทันที
“ แลเรื่องนี้ด้วยรึไม่ ที่ติดอยู่ในใจพี่ตลอดเพลา หลังจากกลับจากออกตรวจไข้เมื่อคราก่อน ”
“ เฮ้อ... ก็เพราะเป็นเยี่ยงนี้ พี่จึงมิอยากบอกพ่อ พี่มิอยากให้พ่อทราบความนี้เลยจริงๆ ”
“ พี่เต้เห็นน้องเป็นเยี่ยงไรเล่าขอรับ ความสำคัญเยี่ยงนี้จึงมิยอมแจ้ง รึเกรงว่าน้องจักขัดขวาง... ”
“ ตี๋มิเคยคิดเยี่ยงนั้น แต่ที่พี่มิยอมบอกพ่อนั้น พี่มีเหตุผล ”
“ เหตุผลใดเล่าขอรับ รึเหตุผลที่ว่าน้องเป็นเพียงบ่าว มิควรจักรู้เรื่องของนายกัน ”
“ มิเอา มิกล่าวเยี่ยงนี้ พี่ขอโทษ ที่พี่มิยอมบอกพ่อ เอาเถิด เพลานี้พี่จักเล่าความทุกอย่างแก่พ่อ มิต้องร้องดอก ”
เมื่อเห็นน้ำตาของน้องน้อย คุณหลวงก็มิอาจจะใจแข็งอยู่ได้ แลเขาอยากจักแก้ไขความเข้าของน้องน้อยไปพร้อมกัน
“ ที่พี่มิบอกแก่พ่อนั้น เพราะพี่มิคิดจักตอบรับ แต่เจ้าคุณพ่อนั้น ชิงตอบท่านเจ้ากรมไปเสียก่อน พี่นั้นประวิงเวลาท่าน ด้วยจักมาปรึกษาพ่อ แต่พี่ก็มิอาจจักตัดใจปรึกษาได้ แลวันรุ่ง พี่จักไปแจ้งกับท่านเจ้ากรมเสียใหม่ ว่าพี่มิต้องการ ”
“ ทำไมเล่าขอรับ หากคุณพี่ไปศึกษาเพิ่มเติมเช่นที่ท่านพระยาว่า คุณพี่จักได้ความรู้ แลจักก้าวหน้ากว่าเดิมยิ่งนัก ”
“ ความรู้พี่ศึกษาจากตำราที่สยามเราก็ได้ แลความก้าวหน้า พี่ก็มิได้หวังกระไรมาก พี่ศึกษาการแพทย์ เพราะพี่ต้องการจักรักษาผู้คน มิได้ต้องการสิ่งอื่นใด ”
“ แต่... ”
“ มิมีแต่ดอก วันรุ่งพี่จักไปชี้แจงต่อท่านเจ้ากรม ว่าพี่นั้นมิอาจรับประสงค์ แลความหวังดีของท่านได้ ”
“ ทำไมเล่าขอรับ ทั้งที่คุณพี่พยายามศึกษาตำรามากมาย แต่เมื่อมีโอกาสเพิ่มเหตุใดจึงปฏิเสธเล่าขอรับ ”
“ พี่เป็นห่วงพ่อ แลอย่างที่พี่บอก พี่ศึกษาตำราที่สยามเราก็ได้ มิต้องไปไกลถึงเมืองวิลาส(1)ดอก ”
“ เพราน้องเองหรือขอรับ ที่คุณพี่มิยอมตอบรับ ”
“ มิใช่ดอก พี่เป็นห่วงพ่อส่วนหนึ่ง แลพี่นั้นต้องการศึกษาภาษาเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง... ”
“ น้องอยากให้คุณพี่ไปขอรับ ”
“ พ่อว่ากระไรนะ ”
คุณหลวงพยายามจักอธิบายความ ว่าเหตุใดตนจึงมิอยากไปศึกษาตำราที่เมืองวิลาศ ซึ่งหากเป็นก่อนหน้าที่ยังมิเจอน้อง เขานั้นวางแผนไว้ว่า เมื่อถึงเพลาที่เหมาะสม จักขอเจ้าคุณพ่อไปศึกษาเพิ่มเติม
แต่ในครานี้ มันมิเป็นเยี่ยงนั้นแล้ว ด้วยตนมีคนที่ต้องการจักดูแล ด้วยมิอาจไว้ใจบ่าวในเรือนคุณหญิงแย้ม แลที่สำคัญ ตัวคุณหญิงแย้มเองก็มิอาจจักวางใจได้
มิเท่านั้น ตอนนี้ตนนั้นยังมีคู่หมั้นหมาย ทั้งคุณหญิงแย้มถือข้างคุณหนูพริ้งเสียมาก แลตนเองนั้นยังมิรู้นิสัยคุณหนูพริ้ง หากก็มิอาจวางใจกระไรได้
แล้วคนตรงหน้านี้ จักรู้ความกังวลของเขาบ้างรึไม่ เหตุใดจึงพูดให้เขาไปเยี่ยงนี้ มิห่วงตนเองบ้างรึไร
“ น้องบอกว่า น้องอยากให้คุณพี่ได้ไปศึกษาที่เมืองวิลาศขอรับ ”
“ เหตุใดพ่อจึงว่าเยี่ยงนี้ มิรู้รึว่าพี่ห่วงพ่อยิ่งนัก ”
“ คุณพี่ห่วงน้องนั้น น้องกราบขอบพระคุณ คุณพี่นัก แต่น้องมิอาจปล่อยให้คุณพี่จักต้องเสียโอกาสดีๆเยี่ยงนี้ ”
“ มิเป็นไรดอก มิไปตอนนี้ ก็มิเป็นไร พี่เองก็มิได้ต้องการนัก ”
“ คุณพี่อย่าปดน้องเลยขอรับ แม้นน้องจักมิได้ร่ำเรียนกระไรมาก แต่น้องว่าน้องทราบความในใจของพี่ได้ ”
ตี๋ว่า เขาพอจักดูออกว่า คุณหลวงนั้นต้องการจักไปศึกษาด้านการแพทย์เพิ่มเติม เพียงแต่ยังมิมีโอกาส แต่เมื่อมีโอกาสแล้ว เหตุใดเล่าจึงมิยอมไป
หากเหตุนั้นเป็นเพราะตัวเอง ตนนั้นก็มิยินยอม ตนมิต้องการให้คุณหลวงต้องมากังวลจนต้องเสียการ แลอยากให้คุณหลวงได้ทำความสิ่งที่ทุ่มเทมาแต่แรก
“ พี่มิอยากไปแล้ว พี่ต้องการอยู่ดูแลพ่อ แลศึกษาที่สยาม ”
“ พี่เต้ขอรับ น้องมิต้องการเยี่ยงนี่เลยขอรับ หากเป็นเพราะที่ทำให้พี่เต้ตัดสินสินเยี่ยงนี้ น้องยิ่งรู้สึกมิดียิ่งนัก ”
“ พี่ห่วงพ่อยิ่งนัก พี่มิต้องการจักจากพ่อไปไกลเยี่ยงนั้น ”
เต้ว่าเมื่อได้ฟังคำของน้องน้อยแล้ว น้องนั้นรู้ว่าเขาทุ่มเทศึกษาตำรามากมาย แลมีเคยมีความคิดว่าจักต้องไปศึกษาเพิ่ม แต่ตอนนี้เขามิอาจตัดใจไปได้
“ น้องกราบขอบพระคุณขอรับ แต่น้องมิอยากเป็นคนที่เหนี่ยวรั้งพี่เต้ไว้ น้องขอได้รึไม่ขอรับ น้องขอให้พี่เต้ทำความต้องการแต่แรกได้รึไม่ ”
“ ตี๋ หากพี่ไป มันมิใช่เพียงแค่ประเดี๋ยว ประด๋าว มิใช่เหมือนเมื่อคราพี่ต้องออกนอกเมือง หากพี่ไปเมืองวิลาศ พี่ก็มิรู้ว่าจักต้องไกลน้องไปนานเพียงไหน ”
คุณหลวงว่าความยาว พร้อมทั้งถอนหายใจอย่างอัดอั้น เรื่องครานี้เขาเก็บไว้กับตัวเสียนานแล้ว เขาเคยคิดจักบอก แลถามไถ่น้องน้อย แต่ก็เกรงว่าความจักออกมาเป็นเช่นตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จักนิ่งไว้เสีย
“ น้องมิเป็นใดดอกขอรับ น้องกราบ คุณพี่อย่าปฏิเสธท่านเจ้ากรมเลยนะขอรับ ”
“ พ่อมิอยากให้พี่อยู่ด้วยดอกรึ เหตุใดจึงอยากไล่พี่ไปไกลนัก ”
“ น้องมิอยากให้คุณพี่ไป แต่น้องก็มิอาจจักเห็นแก่ตัวได้ พี่มิเข้าใจน้องกระนั้นรึขอรับ ”
ตี๋ตอบด้วยคำของคุณหลวงด้วยน้ำตา ตนมิได้ต้องการให้พี่ไป แต่ก็มิอาจจักเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งพี่เขาไว้ได้ เขาต้องการจักเห็นพี่เต้ก้าวไปสู่สิ่งที่ทุ่มเทมาตลอด
ใครจะรู้ว่าใจเขานั้นมันเจ็บเพียงใด เขาไม่รู้เลยว่า หากต้องห่างกันเขาจักทนได้เพียงใด เจ็บตัวนั้นไม่นานก็คงหาย หากใจเขานั้นมันเจ็บกว่า
“ พี่เข้าใจพ่อ แต่พี่นั้นห่วงพ่อนัก หากพี่ไปไกลห่าง พ่อจักเป็นเยี่ยงไร เพียงพี่ออกไปนอกเมืองมิกี่เพลา พ่อยังซ้ำไปทั้งตัว หากพี่มิอยู่แล้วใครจักดูแลพ่อเล่า ”
คุณหลวงว่า พลางกอดกระชับอ้อม บรรจงแนบจูบบนกลุ่มผมนุ่ม แม้ว่าจะมิใครบอกตน แต่ร่องรอยเขียวซ้ำบนตัวน้องน้อย ก็ทำให้เขาแจ้งใจได้
“ น้องมิเป็นไรขอรับ เจ็บกายเพียงเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็หายขอรับ แต่น้องมิอยากให้คุณพี่ต้องพะวงกับน้อง น้องจักดูแลรักษาตัวให้ดี น้องจักรอคุณพี่ขอรับ ”
“ คนดี พี่... ”
“ นะขอรับ น้องขอ น้องอยากเห็นแพทย์หลวงจากเมืองวิลาศ ว่าจักเก่งกาจปานใด แต่หากเป็นคุณพี่แล้ว คงจักเก่งกว่าหมอฝรั่งเป็นแน่ ”
“ หากน้องว่าเยี่ยงนั้น พี่จักเร่งศึกษา แลกลับมาหาพ่อ พี่มิกล้าคิดเลย หากพี่ไปไกล คุณหญิงแม่จักรังแกเจ้ารึไม่ พี่จักฝากพ่อไว้กับคุณแม่ใหญ่ อย่างน้อยๆ คุณแม่เล็กคงมิอาจจักทำกระไรมาก ”
“ น้องกราบขอบพระคุณขอรับ ”
หยดน้ำตาของน้อง ทำให้ใจเขาเจ็บนัก เขารู้ว่าน้องมิต้องการเยี่ยงนี้ แต่ก็มิอาจจักทำความต้องการของตนได้ น้องเจียมตนเสมอ มิเคยเรียกร้องสิ่งใด มิเคยต้องการสิ่งของมีค่า
หากเขามิไป มิว่าจักด้วยเหตุผลใด แต่คนที่จักต้องรับน้ำคำของคน คงเป็นคนที่เรือนริมน้ำนี่เป็นแน่ แล้วน้องน้อยของเขาจักต้องเจ็บซ้ำน้ำใจอีกเพียงใดเล่า
หากเขาเลือกได้ เขาก็มิอยากจักเกิดเป็นนาย เขาอยากเกิดเป็นเพียงชายคนหนึ่ง ที่สามารถทำการใดได้ตามใจตน มิใช่ต้องคอยหลบเลี่ยงเยี่ยงทุกวันนี้
***************************************
เมื่อตอบรับว่าจักไปศึกษาด้านการแพทย์ หมายกำหนดการนั้นก็แสนจักเร็วนัก คุณหลวงหนุ่มเหลือเพลาอีกไม่กี่ราตรีเท่านั้น ก็จักต้องออกเดินทาง
เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณหลวงจึงมิยอมปล่อยคนรักให้ห่างกาย หากต้องเข้ากรม ก็พาไปด้วย อยู่เรือนก็ตระกรองกอด
คำรักที่พร่ำบอกทุกค่ำคืน โอบกอดแนบเนื้อนวล เก็บเกี่ยวทุกราตรี จนถึงราตรีสุดท้าย เมื่อรุ่งเช้า ตนจักต้องขึ้นเรือออกจากสยาม
คุณหลวงเอ่ยฝากบ่าวเรือนริมน้ำกับคุณหญิงพิม โดยแจ้งว่า ระหว่างที่ตนมิอยู่เรือน ตนขอให้คุณหญิงพิมเป็นผู้ดูแลเรือนริมน้ำ บ่าวทั้งสี่ของเรือนนั้น ตนยกให้คุณหญิงพิมผู้ดูแล เรียกใช้ แลตักเตือน สั่งสอน เหตุนี่ยังความมิพอใจให้คุณหญิงแย้มพอดู เนื่องตนต้องการจักจัดการกับบ่าวเรือนริมน้ำ แต่เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ก็คงทำกระไรมิได้มากเช่นเคย
วันเดินทาง ตี๋มิได้ไปส่งคุณหลวงที่ท่าเรือใหญ่ หากเพียงส่งคุณเต้แค่หน้าเรือน เขามิอยากจักร้องไห้ให้คุณเต้เห็น แลเป็นห่วงจนมิอาจตัดใจไป จนเสียการ
ตนเองอยากจะส่งรอยยิ้มให้ มิใช่คราบน้ำตา แลคุณเต้นั้นจักเข้าใจดี เพราะมิได้เรียกร้องให้ตนต้องไปส่งที่ท่าเรือแต่อย่างไร
“ เดินทางปลอดภัยนะลูก แลอย่าลืมส่งจดหมายมาหาแม่บ้าง ”
คุณหญิงพิมกำชับคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์อีกครา ก่อนที่คุณหลวงจักกราบลา ขึ้นเรือที่กำลังถอยออกจากท่าไป
นับตั้งแต่วันนั้น คุณหลวงส่งจดหมายเขียนเล่าเรื่องราวเมื่อยามศึกษาอยู่ต่างเมือง มาหาท่านเจ้าคุณ คุณหญิงพิม แลคุณหญิงแย้มอยู่เนื่องๆ หากคนที่มิเคยได้ข้อความในจดหมายเลยนั่นก็คือคุณหนูพริ้งผู้เป็นคู่หมาย ยังความมิพอใจแก่คุณหญิงแย้ม เมื่อบุตรชายมิไถ่ถามเรื่องราวของคู่หมั้นสักครา
ตี๋นั้นได้จดหมายจากคุณหลวงเช่นกัน หากแต่มิได้รับจากท่านพระยา เช่นคนที่เรือน แต่ได้รับจากสหายของคุณหลวงที่ทราบความระหว่างตนแลคุณหลวงดี
คิมม่อนมาเยี่ยมเรือนพระยาทิพยโอสถทุกคราที่ได้รับจดหมาจากเพื่อน แลรับจดหมายจากบ่าวตัวน้อยเพื่อส่งคืนให้คนไกลเช่นกัน
คุณหญิงพิมรับตี๋ขึ้นมาช่วยงานบนเรือนใหญ่ ด้วยความที่คุณหลวงสอนหนังสือให้ ตี๋จึงรู้หนังสือ แลช่วยอ่านให้คุณหญิงพิมฟัง
คุณหญิงมิเคยให้บ่าวที่คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ห่างสายตา ด้วยคุณหลวงนั้นกำชับเสียหนักหนาว่า ให้ตนช่วยดูแล สั่งสอน แลช่วยปกป้องจากคุณหญิงแย้ม
ตนนั้นพอจักมองออกว่า คุณหลวงหนุ่มนั้นมีใจสมัครกับบ่าวของตนอยู่มิน้อย หากตนก็มิได้เอ่ยกระไรออกไป ตนเองเฝ้าดูตี๋อยู่ หากว่าตี๋นั้นมิเคยกระทำการใดให้ขัดเคือง มิเคยนำความมิสบายใจให้คุณหลวง ตนจึงนิ่งเสีย แลเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
หากเมื่อตนได้อยู่ใกล้ชิดบ่าวของเรือนริมน้ำคนนี้ของบุตรชาย จึงรู้ว่าเหตุใดบุตรชายจึงเอ็นดูนัก ตี๋เป็นเด็กเรียนรู้ไว รู้จักกาลเทศะ เจียมตน แลนอบน้อม เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ตนเองจึงให้ความเอ็นดูบ่าวคนนี้เช่นกัน
ด้านคุณหญิงแย้มนั้นก็พาคุณหนูพริ้งมาเยือนเรือนมิได้ขาด ซึ่งความก่อนหน้านั้น คุณหญิงแย้มต้องการจักให้คุณหลวงออกเรือนเสียก่อน แล้วจึงเดินทางไปต่างแดน พร้อมกับคุณหนูพริ้ง แต่คุณหลวงมิยินยอม แลด้วยเพลาที่ท่านเจ้ากรมแจ้งมานั้น ก็กระชั้นเกินกว่าจะกระทำได้ คุณหญิงแย้มจึงต้องยอม หากก็สั่งความไว้ว่า เมื่อไหร่คุณหลวงกลับเมือง จักต้องจัดขันหมากไปสู่ขอคุณหนูพริ้งมาประเพณี
ส่วนตี๋นั้นแม้ว่าจักโดนกลั่นแกล้ง รังแก แต่ก็ได้คุณหญิงพิมช่วยไว้เสียทุกครา แลเมื่อคุณหญิงพิมออกปาก จึงไม่ใคร่มีกล้ามากนัก จะมีบ้างเพลาที่คุณหญิงมิทราบ
เมื่อกาลหนุนเวียนเปลี่ยนผ่าน จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนเป็นปี แลหลายปี จดหมายจากคุณหลวงส่งถึงเรือน ความแจ้งว่าตนนั้นได้ศึกษาจบแล้ว แลกำลังเดินทางกลับเมือง
คุณหญิงแย้มเมื่อคราทราบความ ก็จัดเตรียมงานเพื่อต้อนรับ หากก็มิทัน เพราะคุณหลวงนั้นกลับมาพร้อมกับเรือที่นำจดหมายมา ด้วยมิต้องการความวุ่นวาย ถึงกระนั้น ที่เรือนใหญ่ก็มีงานฉลองเล็กๆอยู่ดี
หลังจากค่ำคืนนั้น คุณหลวงก็เข้ารายงานตัวกับท่านเจ้ากรม แลได้รับยศใหม่เป็น พระอภิบาลบริรักษ์ ดูแลด้านการแพทย์สมัยใหม่
“ พ่อคิดถึงพี่รึไม่ พี่คิดถึงพ่ออยู่ทุกเพลา ”
“ น้องก็คิดถึงคุณพี่ แลกลัวไปเสียทุกอย่าง ”
หลังจากผ่านช่วงเวลาอันแสนหวาน ที่คุณพระเรียกร้องทดแทนที่มิได้เจอเสียนาน ถ้อยคำเอ่ยความคิดจึงเริ่มขึ้น
“ มิต้องเกรงกระไรแล้ว พี่อยู่ตรงหน้าพ่อแล้ว คนดีของพี่ ”
คุณพระปลอบประโลมร่างน้อยในวงแขน จูบซับน้ำตาให้น้องน้อย เขารู้ว่าน้องต้องอดทนมากมายนัก เขานับถือน้ำใจน้อง ความในจดหมายมิเคยเล่าถึงความเป็นอยู่ของตน มีเพียงความถามไถ่ความเป็นอยู่ของเขาเท่านั้น
แต่เขานั้นพอได้ทราบความจากคิมม่อนอยู่บ้าง สหายคนนี้ช่วยเขาไว้มาก หากมิมีคิมม่อน เขาก็มิรู้จักติดต่อกับตี๋ได้เยี่ยงไร คิมม่อนบอกเล่าเรื่องในเรือนที่ได้รับฟังจากนายผล นายสุก นางมา บ่าวที่ซื่อสัตย์ แจ้งว่าคนรักของเขานั้นต้องเผชิญอะไรบ้าง ยามที่เขามิอยู่ แต่อย่างน้อย เขานั้นเบาใจไปได้ว่า คุณแม่ใหญ่เอ็นดูตี๋มากพอดู
หากเมื่อกลับเรือน ผ่านไปได้มิเท่าใด เรื่องร้อนใจก็เข้ามา คุณหญิงแย้มนั้นต้องการให้เขาออกเรือน ด้วยปล่อยปละละเลยคู่หมั้นของตนมาหลายเพลา แลจักให้เขาใช้เรือนริมน้ำเป็นเรือนหอ แต่เขามิเห็นด้วย เขาจึงคัดค้าน โดยมีคุณหญิงพิมช่วยออกหน้าให้
กำหนดการออกเรือนของเขากับคุณหนูพริ้งจึงเลื่อนออกไปจนกว่าเรือนหอจักสร้างเสร็จ แม้ว่ามันมิได้นาน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเพลาอยู่ตามลำพังกับคนรัก
“ อีกมิกี่เพลา คุณพี่จักต้องออกเรือนแล้ว ”
ตี๋เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียสั่นเครือในคืนหนึ่ง โดยมีผู้เป็นสามีตระกรองกอดอยู่ด้านหลัง
“ เหตุใดพ่อจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เล่า ใจพี่มิดีเลย ”
“ มิมีกระไรดอกขอรับ น้องเพียงแค่อยากจักร่วมยินดีกับคุณพี่ แต่น้องเกรงว่า น้องคงมิอาจพูดว่ายินดีได้เต็มปาก น้องต้องขออภัยขอรับ ”
แม้พยายามจักไม่ร้องไห้ แต่น้ำตานั้นกับมิยอมเชื่อฟัง หากเจ้าตัวนั้นก็พยายามกลั้นสะอื้น เอ่ยจนจบประโยค
“ น้องมิต้องยินดี เพราะพี่เองมิได้ยินดีกระไรเลย พี่มิใคร่จักมีคู่แต่แรกแล้ว หากมิใช่ว่า ต้องรักษาหน้าคุณหญิงแม่ แลเจ้าคุณพ่อ พี่นั้นคงถอนหมั้นไปเสียนานแล้ว พี่มิมีใจให้คุณหนูพริ้ง แม้เพียงน้อย ด้วยใจพี่นั้นให้พ่อจนสิ้นแล้ว ”
คุณพระปลอบน้องน้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของน้อง ด้วยนิสัยของน้องแล้ว คงจักโทษตนเองอยู่เสียกระมังว่า เพราะตนมิคู่ควร มิมีสิทธิ์ใดๆในตัวเขา น้องจึงกล่าวเยี่ยงนี้
“ ตัวแลใจของพี่ เป็นของน้อง แลมันจะมิมีวันเปลี่ยนเป็นอื่น พี่สัญญากับพ่อ ”
“ คุณพี่ น้องหวงคุณพี่ได้ใช่รึไม่ขอรับ ”
เมื่อรักมาก ก็อยากจักหวงเอาไว้เพียงคนเดียว แต่เพราะตนเป็นเพียงทาส ทั้งยังเป็นชาย จึงมิมีความคู่ควรใดๆเลย แต่เพราะรัก จึงมิอาจจักตัดใจได้ จึงต้องอดทน แม้ว่าจักมาก่อน แต่ก็เป็นแค่เพียงคนในเงา มิอาจจักออกสู่แสงสว่างได้
“ ทุกอย่างของพี่เป็นของพ่อ พ่อจักหวงเท่าใดพี่มิว่า พี่ยินดียิ่งนัก หากพี่มิอาจจักพาคนดีมายืนเคียงข้างได้เช่นผู้อื่น แต่พ่อมิต้องกลัว เมื่อมาอยู่เคียงข้างพี่มิได้ พี่จักถอยหลังไปเคียงพ่อเอง ”
มันมิใช่คำรักอ่อนหวาน แต่มันเต็มไม่ด้วยความหนั่นแน่นที่คุณพระอภิบาลบริรักษ์ให้คำมั่น เขามิสามารถจักให้น้องน้อยมายืนเคียงข้างอยู่เบื้องหน้าได้เช่นแม่หญิงที่คุณหญิงจัดหา ก็มิเป็นไร เมื่ออยู่เคียงข้างมิได้ เข้าก็พร้อมจักถอยหลังเพื่ออยู่กับคนที่ตนรัก
แม้ว่าเขาจักต้องออกเรือนไป เขามิคิดจักทิ้งที่รักไว้ด้านหลัง เขาจะจับมือน้องน้อยไปด้วย หากจะว่าเขาเลวร้าย เขาก็ยอม แต่เขาจะมิยอมปล่อยมือคู่นี้เป็นอันขาด
************************************************
เชิงอรรถ
(1) วิลาศ (คำวิเศษ) หมายถึง ที่เป็นของยุโรป (เป็นคําที่ชาวอินเดียในสมัยก่อนเรียกชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวอังกฤษ) เช่น สาคูวิลาด เหล็กวิลาดผ้าวิลาศ
******************************************
มารายงานตัวขอรับ
บทนี้ไม่มีอะไรมาก(ไม่มีจริงๆ) คือใจความหลักของบทมันมีนิดเดียวขอรับ
สุดท้ายมันได้แค่นี้จริงๆ ต้องขออภัยพี่ทั้งสองท่านด้วยขอรับ (กราบ)
และต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน หากมันมิลื่นไหล แลวกวนไปบ้าง
คุณเต้จักต้องออกเรือนแล้วขอรับ
แลมิรู้ว่านายหญิงคนใหม่นั้นจักเป็นเช่นไร
จักมาดี รึจักมาร้าย
รบกวนติดตามด้วยนะขอรับ
แลขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกความรู้สึก ขอบพระคุณขอรับ
ปัจฉิมลิขิต
ลองเปิดเพลงนี้ฟังไปด้วยก็ได้ขอรับ
คืนสุดท้าย https://www.youtube.com/watch?v=YDPI4YGYPTo
..........ด้วยใจรัก.........
Mariner _IX

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 9 (1) (21/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 21-10-2018 16:33:29
ตอนที่ 9 (1)


.........จำจากลา..........


เพลาหลายเดือนต่อมา เรือนหอที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่ เพื่อสมฐานะของผู้ครองเรือนก็แล้วเสร็จ กำหนดการออกเรือนจึงกระชั้นเข้ามา

งานมงคลที่ถูกกำหนดขึ้น ทำให้ใจของคนต่างความรู้สึกกันออกไป เต้นั้นอยากจักเลื่อนเพลาให้ไกลออกไป เขาพยายามทำทุกทางที่จักให้เพลาไกลออกไป

แต่สุดท้าย มิว่าจักพยายามประวงเพลาสักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถยังหลบหลีกได้ งานมงคลสองของเรือนใหญ่ ถูกจัดขึ้นอย่างสมฐานะของทั้งสองเรือน

ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ร่วมหลั่งน้ำอวยพร ให้ชีวิตคู่ราบรื่น มีลูกหลานสืบสุกล แต่ใครจะรู้บ้างว่า ใจของเจ้าบ่าวมิได้ยินดี แลยินยอมจักมานั่งบนตั่งสั่งน้ำสังข์ หากก็จำต้องยอม

สายตาคมมองไปรอบๆงาน หาคนที่เป็นดั่งดวงใจ แลกลับต้องผิดหวังอีกครา เพราะตั้งแต่พิธีช่วงเช้า ล่วงมาจนถึงถวายเพล หลั่งน้ำสังข์ เต้ยังไม่เห็นน้องน้อยแม้แต่นิด

ทั้งที่คืนก่อนงาน เจ้าตัวเล็กยังนอนหลับอยู่กับตน หากเมื่อถึงกำหนดงาน น้องน้อยก็หายหน้าไป มิรู้ว่าจักไปร้องไห้เสียที่ใด สิ่งที่เขากลัว คือเขาไม่สามารถจักปลอบน้องได้

งานมงคลผ่านพ้นจนถึงพิธีส่งตัว เรือนนอนหลังใหม่ เตียงและฟูกหลังใหม่ ไม่ทำเต้รู้สึกอยากหลับนอนแม้แต่นิด ในใจของเขาตอนนี้ คิดคำนึงถึงเตียงหลังเล็กที่เรือนริมน้ำเสียมากกว่า

เมื่อส่งตัวเข้าหอแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจึงปล่อยให้คู่บ่าว สาว อยู่กันตามลำพัง แต่ใจของเจ้าบ่าวนั้นมิใคร่อยากจะอยู่แม้แต่น้อย

“ คุณพี่จักอาบน้ำก่อนรึไม่เจ้าคะ น้องจักไปเตรียมให้ ”

“ มิเป็นไรดอก แม่พริ้ง เธอเองก็เหนื่อยมามิน้อย เธอไปอาบก่อนเถิด ”

ภรรยาแต่งของคุณพระเอ่ยถาม เมื่อทั้งคู่อยู่กันตามลำพังในเรือนนอน แต่คำกล่าวที่ตอบกลับมานั้น ห่างเหินจนคนฟังสัมผัสได้

คุณพระกลับเข้ามาในเรือนนอนอีกครั้ง หลังจากอาบน้ำ ชำระล้างความเหนื่อยล้าทั้งกาย ใจมาทั้งวัน

คุณหนูพริ้งรั้งรอสามีอยู่บนเตียงหลังใหญ่ คุณพระปรายตามองภรรยา หากก็มิได้พูดกระไร เจ้าตัวเดินอ้อมมาอีกด้านของตียง แล้วล้มตัวลงนอน

“ คุณพี่เมื่อยรึไม่เจ้าคะ น้องจักนวดให้ ”

“ แม่พริ้งเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน พักผ่อนเถิด ”

คุณพระมิใส่ใจกับท่าทางเชิญชวนของภรรยาสาว หากกลับนอนหันหลัง แลยกผ้าขึ้นคลุมกาย ปิดตา เลี่ยงหลีกการสนทนา

เต้อยากจักให้คืนนี้ผ่านไปโดยไว ตนนั้นอยากกลับไปเรือนริมน้ำยิ่งนัก แต่ติดที่ว่า มิอาจทำได้ เพราะคนของคุณหญิงแย้ม แลคนของเรือนพระยาไชยปราการ นั้นถูกส่งมาเป็นบ่าวรับใช้ อยู่กันเต็มเรือนจึงมิอาจขยับกายไปได้ จำต้องทนนอนร่วมหอกับภรรยาตามประเพณี




************************************




หลังจากออกเรือนคุณพระอภิบาลบริรักษ์ นอนค้างที่เรือนหอเพียงคืนแรก แลออกจากเรือนเสียตั้งแต่ไก่ยังมิโห่ ยังความขัดเคืองในนายหญิงของเรือนมิน้อย หากว่าคุณพระก็มิใคร่ใส่ใจ

ตี๋น้อยยังคงรับใช้ที่เรือนริมน้ำ แลตามเข้าไปรับใช้คุณพระในกรมเช่นเดิม หากเมื่อคุณพระจักต้องออกนอกเมือง ก็จักฝากฝังน้องน้อยไว้กับคุณหญิงพิม

แม่พริ้งนั้นเมื่อออกเรือนกับคุณพระแล้ว มักจักมาเยี่ยมเยือนคุณหญิงแย้มอยู่เป็นนิจ ทำให้เป็นคนโปรดยิ่งไปกว่าเดิม แลก็นำความเรื่องคุณพระมิใคร่กลับเรือนมาปรึกษา

“ คุณหญิงแม่เจ้าคะ ลูกมิอยากจักน้อยใจ แต่คุณพี่ก็มิยอมจักกลับเรือนบ้างเลย ลูกถามก็อ้างว่ามิใคร่สะดวก ”

“ มิเป็นไรดอก ประเดี๋ยวแม่จักคุยกับพ่อเต้เอง แม่พริ้งมิต้องน้อยอก น้อยใจไป ”

“ ลูกกราบขอบพระคุณ คุณหญิงแม่เจ้าค่ะ ”

คุณพริ้งก้มกราบคุณหญิงแย้ม หากก็ซ่อนแววตา แลสีหน้าพึงใจ ไว้ใต้ดวงหน้าที่ใครเห็นนั้นจักต้องสงสาร เมื่อผู้เป็นสามีมิยอมกลับเรือน

เย็นในวันเดียวกัน คุณหญิงแย้มมารอพบคุณพระที่ท่าน้ำ แลบังคับให้คุณพระกลับไปนอนที่เรือนหอเสียบ้าง

คุณพระเองก็มิอยากจักขัดใจ ด้วยเกรงว่าคุณหญิงแย้มจักรังแกคนของตน เพราะสายตาของผู้เป็นมารดานั้น มิใคร่น่าวางใจ

แม้ว่าคุณพระจักยอมมานอนที่เรือนหอจริงตามความต้องการ แต่คุณพระก็มิทำกระไรเลย นอกจากมาเพื่อพักผ่อน เมื่อเข้าห้อง คุณพระก็เลี่ยงที่จักพูดคุย แลแสร้งหลับหนีเสียทุกครั้ง

คุณพริ้งเก็บความมิพอใจเอาไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี ท่านพระยา แลคุณหญิงทั้งสอง เจ้าตัวจักเป็นแม่หญิงเรียบร้อย อ่อนหวาน โอนอ่อนตามเสียทุกอย่าง หากเมื่ออยู่ลำพัง เจ้าตัวก็พร้อมจักทำลายทุกอย่างที่ขวางทางตน

เรือนริมน้ำจำต้องต้อนรับภรรยาแต่งของคุณพระ เมื่อคุณพริ้งมาเยือนที่เรือน เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เฉกเช่นคนเป็นนายควรกระทำ

แต่ในความเป็นจริง เจ้าตัวเพียงมาดูหน้าบ่าว ที่เป็นต้องใจของผู้เป็นสามีเสียให้ชัด คราก่อนที่เจอนั้น ตนมิได้ใส่ใจ

“ เป็นขี้ข้าก็เจียมตัวไว้บ้าง อย่าเผยอหน้าให้มากนัก ”

เมื่อได้ความตามใจหมาย คุณพริ้งจึงลงจากเรือน กลับเรือนของตน แต่ก็ทิ้งความให้คนที่เรือนได้สะท้านในใจ

“ ตี๋น้องมีอะไรมิสบายใจรึ นายผลว่าวันนี้แม่พริ้งมาที่เรือน มีกระไรรึไม่เล่า ”

“ มิมีกระไรขอรับ คุณพริ้งเธอมาถามไถ่สารทุกข์ สุกดิบ ทั่วๆไปขอรับ ”

“ จริงรึ พ่อปดคนมิเก่ง รู้ตัวรึไม่ ”

“ มิมีจริงๆขอรับ ”

“ เอาเถิด พ่อว่าไม่ พี่ก็จักเชื่อเช่นนั้น ”

คุณพระสอบถามน้อง เพราะตนได้ความมาจากนายผลว่า วันนี้ภรรยาแต่งของตนมาที่เรือนริมน้ำ แต่ก็มิมีใครทราบว่า เจ้าตัวคุยกระไรกับคนตัวเล็กของเขารึไม่

“ พี่เต้ขอรับ น้องมิอยากให้พี่เต้มาที่เรือนริมน้ำทุกคืนเยี่ยงนี้ ”

“ น้องว่ากระไรนะ ”

ความที่ออกจากปากน้อง ทำให้คุณพระตื่นตระหนกมิน้อย แลสอบถามอีกคราว่า ตนได้ยินมิผิดความไป

“ น้องว่า น้องมิอยากให้คุณพี่มาที่เรือนริมน้ำทุกคืน ”

เมื่อได้ฟังอีกครา แลความนั้นก็ชัดแจ้ง คุณพระยิ่งร้อนในอก ด้วยต้องการจักทราบความว่า เหตุใดน้องน้อยจึงกล่าวเยี่ยงนี้

“ มีเหตุกระไรกัน เหตุใดน้องจึงกล่าวเยี่ยงนี้ ”

“ น้องมิอยากทำผิดไปมากกว่านี้ขอรับ น้องเหมือนเห็นแก่ตัว ที่เก็บคุณพี่ไว้คนเดียว ”

“ คนดี น้องมิได้เห็นแก่ตัว แต่พี่มิยินยอมจักไป อย่าไล่พี่เยี่ยงนี้ น้ำคำของน้องมันทรมานใจพี่นัก ”

“ น้องขอโทษขอรับ แต่น้องก็รู้ตัวดีว่า น้องเป็นเพียงทาสคนหนึ่ง แลคุณพริ้งเธอเพิ่งออกเรือนมา เธอก็คงต้องการให้คุณพี่ใส่ใจเธอบ้าง... ”

“ ตี๋ พี่บอกไปแล้วว่า พี่มิเคยเข้าหอกับแม่พริ้ง พี่มิเคยเกินเลย พี่ไปนอนที่เรือนโน้น ก็เพียงมิอยากขัดใจ พี่ไปแต่ตัว แต่ใจพี่มิเคยออกห่างพ่อแม้เพียงน้อย ”

“ แต่อีกมินาน พี่เต้จักต้องมีคุณหนูตัวเล็กๆ ”

“ พี่มิคิดจักมีบุตร เจ้าคุณพ่อมีลูกตั้งมาก แลอีกมินานก็จักออกเรือได้ คร้านจะเลี้ยงกันมิหวาด มิไหว ”

คุณพระปลอบน้อง ด้วยไม่รู้ว่าน้องนักคิดมากไปเพียงใด เขามิต้องการจักมีบุตร เขามิต้องการให้แม่หญิงใดต้องมาติดอยู่กับเขา เขาเคยบอกแม่พริ้งไปแล้ว แต่แม่พริ้งนั้นมิยินยอม ดึงดันจักออกเรือนกับเขาเสียให้ได้ เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เขาก็มิอาจจะเปลี่ยนกระไรได้อีก

“ นอนเถิด เหนื่อยมานักแล้วคนดีของพี่ พี่รักพ่อนัก แลพี่มิคิดจักรักใครอีก พ่ออย่าผลักไสพี่อีกเลย พี่กับแม่พริ้ง คงมีวาสนากันแค่นี้เท่านั้น ”

เต้ลูบหลัง ขับกล่อมน้องน้อยเช่นทุกคืน เขาจะทำมันให้ดีที่สุด หากใครจักว่าเขาเลว เขาก็น้อมรับ แต่เขามิอาจจักทิ้งคนรักไปที่ใดอีกได้

เมื่อนานวันแม่หญิงเรียบร้อยเมื่อวันวานนั้นก็แปรเปลี่ยน แม่พริ้งนั้นเก็บความแค้นไว้ และเริ่มชำระความกับทุกคนที่นำความนั้นมาให้ตน โดยมิคิดย้อมกลับมาดูว่า ตนเองนั้นก้าวเข้าสู่วังวนนี้ด้วยตนเอง

คุณหญิงพิมนั้นเห็นแววความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าที่อ่อนน้อม ก็ให้อเนจอนาถใจนัก แลนึกเห็นใจคุณหญิงแย้มอยู่บ้าง

คุณหญิงแย้มผู้เป็นต้นเรื่องนั้น ก็พูดกระไรมิได้ แม้ว่าจักโดนเด็กรุ่นลูกว่ากล่าว เพราะคนเป็นผู้ชักชวนแม่พริ้งมาเอง

“ คุณหญิงช่วยกระไรอิฉันมิได้เลย ”

เสียงที่ดังขึ้นในเรือนคุณหญิงแย้ม เกี้ยวกราดไม่มีความเคารพใดๆหลงเหลือ มีแต่ความอยากเอาชนะเท่านั้น

“ แม่พริ้ง เบาเสียงลงหน่อยเถิด อายบ่าวไพร่มันบ้าง ”

“ มีกระไรต้องอายเจ้าคะ หากพวกมันปากมาก ก็ทำให้มันพูดมิได้เสียก็สิ้นเรื่อง ”

ความในคำกล่าวนั้นยังผลให้บ่าวในเรือนสะดุ้งเฮือก แลความโหดร้ายของแม่หญิงพริ้งที่พอได้ทราบความมา ก็มากเสียจนมิมีใครกล้าสบตา

“ แล้วแม่พริ้งจักให้แม่ทำเยี่ยงไรเล่า พ่อเต้รึไปที่เรือนอยู่มิได้ขาด ”

“ ไปนอนแล้วก็กลับกระนั้นรึเจ้าคะ เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ของอิฉันท่านรึอยากอุ้มหลาน ”

“ เอาเถิดแม่พริ้ง เรื่องของผัว เมีย จักให้แม่ทำกระไรได้มากเล่า พ่อเต้นั้นรึออกเรือนไปแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แม่ก็มิอาจจักบังคับกระไรได้มากเช่นกาลก่อน เรื่องในเรือนของแม่พริ้ง แม่พริ้งคงจักต้องแก้เอง แม่ยุ่งยากมาก คงมิงามนัก ”

คุณหญิงแย้มว่า ด้วยบุตรชายนั้นออกเรือนแล้ว ถือว่าโตเต็มตัว เรื่องในเรือนก็ถือว่าเป็นเรื่องของผัว เมีย ตนเป็นเพียงคนนอก คงจะทำกระไรมากมิได้

“ เหตุใดคุณหญิงกล่าวเยี่ยงนี้เล่าเจ้าคะ เมื่อคราก่อนบอกว่า จักอิฉันทุกเรื่อง ”

“ แม่ก็ช่วยให้แม่พริ้งได้ตกแต่ง ออกเรือนไปกับพ่อเต้สมใจหมายของเราแล้ว แลเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในมุ้ง ในเรือน แม่คงช่วยกระไรมิได้ดอก ”

“ คุณหญิงแม่!!  ได้เจ้าค่ะ เมื่อคุณหญิงแม่ว่าเยี่ยงนี้ อิฉันจักถือว่า อิฉันเป็นเมียแต่ง เป็นนายของเรือน หากว่าทำกระไรไป ก็อย่าว่าอิฉันไม่เห็นหัวผู้ใหญ่นะเจ้าคะ ”

ว่าจบคุณพริ้ง กับบ่าวของตนจึงสะบัดหน้ากลับเรือนตน หลังจากนั้น คุณพริ้งก็มิมาเยือนเรือนคุณหญิงอีก ทั้งเรือนใหญ่ก็มิไป

ความร้ายกาจของคุณพริ้งนั้นมีให้เห็นอยู่เนื่องๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องนอกเรือนตน คุณหญิงพิมก็มิสามารถจักเข้าไปยุ่งได้

“ พ่อเต้ แม่ขอคุยสักประเดี๋ยวได้รึไม่ ”

“ ขอรับคุณแม่ใหญ่ ”

คุณหญิงพิมมารอพบบุตรชายของท่านพระยาที่ท่าน้ำ เพื่อจักพูดคุย แลแจ้งความให้ระวังตน ด้วยเห็นว่าสะใภ้ใหญ่นั้นซ่อนความร้ายไว้มาก

“ คุณแม่ใหญ่มีกระไรรึขอรับ ไปคุยกันที่เรือนดีกว่า ”

คุณเต้เชิญคุณหญิงพิมให้มาคุยที่เรือนริมน้ำ เพราะมิอาจจักคุยที่ท่าน้ำได้ ด้วยมีบ่าวของคุณพริ้งอยู่มาก

“ น้ำขอรับคุณหญิง ”

“ ขอบใจ ”

เมื่อถึงเรือน แลนั่งพักเรียบร้อย ตี๋ก็ส่งขันเงินใส่น้ำลอยดอกมะลิให้คุณหญิงพิม

“ แม่อยากจักเตือนพ่อเต้เรื่องแม่พริ้ง แม่พริ้งนั้นร้ายลึกนัก แม่เกรงว่าลูกจักมิทันมารยาหญิง ”

“ ลูกกราบขอบพระคุณ คุณแม่ใหญ่ขอรับ ลำพังตัวลูก ลูกมิได้เกรงกระไร แต่ลูกห่วงคนที่ลูกรักเสียมากกว่า ”

คุณเต้ตอบ แลหันมาทางคนรักที่นั่งอยู่ด้านข้าง คุณหญิงพิมมองตามสายตาของบุตรชายนอกสายเลือด แลให้ต้องทอดถอนใจ

“ แม่เข้าใจพ่อเต้  หากคนที่ลูกผูกใจสมัคร เป็นเช่นผู้อื่น แม้เป็นทาส แม่ก็จักส่งเสริมให้ได้ออกเรือน แต่คนที่ลูกรักนั้น แม่มิอาจจักช่วยให้ออกเรือนได้ ”

“ มิเป็นไรขอรับ เพียงคุณแม่ใหญ่เมตตาลูก แลคนที่ลูกรัก เพียงเท่านี้ลูกก็มิรู้จักกล่าวเยี่ยงไรได้แล้วขอรับ ”

“ ตี๋เอ็งก็เช่นกัน ระวังตัวไว้ให้หนัก แม่พริ้งร้ายกว่าแม่แย้มนัก แม่แย้มน่ะเปิดเผย ร้ายก็ร้ายเสียให้เห็น แต่แม่พริ้งหาเป็นเช่นนั้นไม่ ”

“ บ่าวกราบขอบพระคุณ คุณหญิงขอรับ ที่เมตตาบ่าว บ่าวจักระวังตนให้มากขอรับ ”

“ พ่อเต้ แม่มิไว้ใจแม่พริ้ง วันนี้ได้สนทนากับพระคุณเจ้า ท่านจึงให้เครื่องรางแม่มา แม่จึงนำมาให้พ่อเก็บไว้กับตัว ”

“ ขอบคุณขอรับ ความจริงแม่ใหญ่มิต้องลำบากเยี่ยงนี้เลย ”

“ ว่าไม่ได้ดอกพ่อ ประเดี๋ยวแม่พริ้งคิดทำการมิควร ทำเสน่ห์ยาแฝกพ่อเล่า พ่อจักทำยี่ยงไร ”

“ เอ่อ... แม่พริ้งคงมิกล้าเยี่ยงนั้นดอกขอรับ มันบาปนัก ”

“ พ่อเต้ ลูกเป็นชายมีรึจักทันมารยาหญิง แม่สู้ไปขอท่านหลวงพ่อที่วัด เพื่อให้ลูกเอาไว้คุ้มกาย หากมิคิดถึงตน ก็คิดถึงคนที่อยู่ข้างลูก ยามใดหากลูกต้องเสน่ห์จริง คนข้างลูกจักเป็นเยี่ยงไร ”

คุณหญิงพิมยืนยันจักให้คุณพระเก็บเครื่องรางไว้กับตัว เพื่อคุ้มกายหากมีใครคิดร้าย จักได้มิเป็นภัย

“ ลูกขอบพระคุณแม่ใหญ่มากขอรับ ที่ช่วยเตือนสติ ลูกจักเก็บไว้กับตัว แลดูแลคนของลูกให้สุดกำลัง ”




*******************************




“ อีกปริกไหนมึงบอกว่าไอ้อาจารย์นั่นเก่งนักหนา เหตุใดพี่เต้จึงมิยอมมาหากู ”

เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นบนเรือนของคุณพริ้ง บ่าวไพร่ที่ได้ยินต่างสะดุ้งเฮือก แม้ว่าชื่อที่ออกมานั้นจักมิใช่ตนก็ตาม

“ บ่าวมิรู้เจ้าค่ะ บ่าวจักไปเค้นความมาให้นะเจ้าคะ คุณพริ้งเย็นใจลงสักนิดเถิด ทูนหัวของบ่าว ”

“ อีกปริก หากมึงมิใช่บ่าวที่กูถูกใจ แลทำงานมิให้กูมิเคยพลาด กูคงมิเก็บมึงไว้ดอก ”

หลังจากครานั้น บ่าวคนสนิทของคุณพริ้งจึงต้องไปหาความว่าเหตุใดคุณพระอภิบาลบริรักษ์จึงมิต้องมนต์เสน่ห์

“ อีไพร่ มึงมีกระไร ”

“ พ่อหมอเจ้าคะ นายของอิฉันให้มาเรียนถามว่า เหตุใดเสน่ห์ของพ่อหมอจึงมิได้ผล ”

“ กระไรนะ กูทำเสน่ห์มามากนัก ยังมิเคยพลาด อีไพร่ มึงเอากระไรมาพูด ”

“ จริงเจ้าค่ะ คุณพระมิได้ต้องเสน่ห์ แลมิได้หลงใหลนายของอิฉันแม้เพียงน้อย ”

“ มันเป็นใคร กูจักเพ่งดู ”

ว่าจบหมอเสน่ห์ก็บริกรรมคาถา ด้วยภาษาที่ฟังมิออก ส่องดูในขันน้ำที่อยู่ตรงหน้า บ่าวหญิงนั้นพลางชะโงกดูตามไปด้วย

“ หึๆ เยี่ยงนี้เองรึ เป็นพระมิอยู่ส่วนพระ มาวุ่นวายกับเรื่องทางโลก มึงกลับไปบอกนายมึง กูรู้ความแล้ว ประเดี๋ยวกูจักจัดการให้ ”

“ เจ้าค่ะพ่อหมอ แลนายของอิฉันอยากจะทราบว่า พ่อหมอมียาสั่ง(1)รึไม่เจ้าคะ ”

“ ยาสั่ง นายมึงจะเอาไปทำกระไร ”

“ นายอิฉันมิพอใจบ่าวอยู่คนเจ้าค่ะ แต่ยังทำกระไรมิได้ จึงอยากได้ยาสั่งเจ้าค่ะ ”

“ ไอ้มีมันก็มี แต่มันหลายอัฐนัก นายเอ็งจะเอารึ ”

“ อัฐในถุงนี้พอรึไม่เจ้าคะ ”

ว่าแล้วก็วางถุงใส่อัฐที่หน้าพ่อหมอ หมอทำเสน่ห์หยิบถุงนั้นขึ้นถือ แลคำนวณน้ำหนักของอัฐที่อยู่ในถุง

“ ก็พอได้อยู่ นายมึงรึก็แปลกนัก แค่ทาสคนเดียวต้องใช้ยาสั่ง ฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นความ ”

หมอเสน่ห์ว่าพลางหยิบของที่อีกฝ่ายต้องการส่งให้ แลบอกว่าทาสคนเดียว มิต้องใช้ยาสั่ง หากฆ่าทิ้งเสียก็มิใช่เรื่องยาก

“ อย่างไรก็เรื่องของนายอิฉัน พ่อหมอได้อัฐแล้วก็เงียบไว้เสีย อิฉันลาล่ะเจ้าค่ะ ”

แล้วนางทาสก็ลากลับ เพื่อนำความที่ได้จากหมอเสน่ห์กับไปแจ้งต่อนายตน แลนำยาที่ได้ไปให้นายของตนด้วย

“ ไอ้หมอเสน่ห์มันว่าเยี่ยงนั้นรึ หึครานี้ถือเสียว่ากูมิมีดวง แลของที่กูสั่งความไป ได้มารึไม่ ”

“ ได้เจ้าค่ะ คุณพริ้งจักให้บ่าวทำเยี่ยงใดเจ้าคะ ”

“ เอากรอกปากมึงกระมังอีโง่ เอาไปให้ไอ้ขี้ข้าเรือนริมน้ำมันกินสิ ”

“ ทั้งเรือนเลยรึเจ้าคะ ”

“ กระไร มึงทำมิได้ กระนั้นรึ ”

“ ได้เจ้าค่ะ บ่าวจักทำตามที่คุณพริ้งต้องการเจ้าค่ะ ”

พริ้งสั่งความให้บ่าวคนสนิทนำยาที่ได้มาไปใช้กับบ่าวเรือนริมน้ำเสียทั้งหมด เพราะตนไม่นั้นมิชอบใจบ่าวเรือนริมน้ำทั้งหมด

นางปริกบ่าวคนสนิทของพริ้ง เนื่องจากเป็นบ่าวเติบโตมาพร้อมกับคุณพริ้ง แลเป็นพี่เลี้ยง นางปริกนั้นทำได้ทุกอย่างตามที่คุณพริ้งสั่ง มิเลือกว่าความนั้นจักผิดรึถูก จึงทำให้เจ้าตัวเป็นที่ไว้ใจของคุณพริ้งยิ่งนัก

นางปริกถือโหลใส่ขนมหวานเดินมาเรือนริมน้ำ นางมา นายผลที่วันนี้เป็นหน้าที่ของนายสุกที่ต้องพายเรือให้คุณพระ จึงอยู่เรือน

“ ข้าเราขนมมาให้ คุณพริ้งเธอเมตตา เห็นว่าเหนื่อยกันนัก กินเสียสิ ”

นางมา มองหน้านายผล ด้วยต้องการความคิดเห็น นายผลนั้นมิใคร่ไว้ใจบ่าวของคุณพริ้งนัก แต่ก็ไม่สามารถขัดได้ เมื่อคุณพริ้งเดินเข้ามาเสียแทน

“ ทำไม ก่ะ...ฉันอยากให้ม่ะ... เอ็งสองช่วยชิมรสเสียหน่อย พวกเอ็งอยู่เรือนนี้ น่าจักรู้ว่าคุณพระชอบรสใด ”

ท้ายที่สุดแล้ว นางมา กับนายผลก็มิอาจเลี่ยงได้ จำต้องชิมขนมจากเรือนคุณพริ้ง เสียคนละชิ้น แต่นั่นก็ยังความพอใจให้คุณพริ้งยิ่งนัก

หากว่าก็มิมีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้น ทำให้ทั้งคู่คลายใจไปได้บ้าง ว่านี่คงมิใช่เล่ห์เหลี่ยมอะไรจากเรือนคุณพริ้ง

หากครานั้นมิใช่ครั้งแรกที่นางปริกจะนำขนมมาให้บ่าวเรือนริมน้ำได้ชิม แต่เวียนมาให้ลองลิ้มรสกันทั่วทุกคน แลบางคราคุณพริ้งก็มาด้วยตัวเอง

“ วันนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างอีกปริก ”

“ พวกมันกินยากันครบทุกคนแล้วเจ้าค่ะ ”

“ ดี มึงทำได้ดี ถูกใจกูนัก ”

“ คุณพริ้งจักสั่งเลยรึไมเจ้าคะ ”

“ ยังก่อนอีปริก กูจักค่อยให้มันตายช้าๆ ตายเร็วมันง่ายไป ”

“ แต่คุณพริ้งเจ้าคะ คุณพระเป็นแพทย์หลวงนะเจ้าคะ หากยื้อเพลามากกว่านี้ บ่าวเกรงว่าคุณพระจักทราบเสียก่อน ”

“ ที่มึงว่ามาก็มีเหตุผล แต่กูยังอยากทรมานพวกมันอีกสักประเดี๋ยว คุณพระเองก็มิอยู่เรือน กว่าจักกลับก็คงอีกหลายเพลา ”

คุณพริ้งยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อความที่ตนต้องการนั้น ใกล้จักลุล่วง ไอ้อีที่เรือนริมน้ำจักต้องได้รับการสั่งสอน ที่พวกมันกล้ากระด้าง กระเดื่องกลับตน



ขอแบ่งเป็นตอนย่อย 2 ตอนขอรับ เนื่องจากไม่สามารถลงหมดได้ในโพสต์เดียว

รบกวนติดตามต่อที่

ตอนที่ 9 (2)

ขอบคุณขอรับ



หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 9(2) (21/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 21-10-2018 16:34:15
ต่อจากตอนที่ 9 (1)
.
.
.
.
ตอนที่ 9 (2)
.
.
.........จำจากลา..........

.
.
.
.
บ่าวเรือนริมน้ำเริ่มเจ็บออดๆ แอดๆ โดยมิรู้สาเหตุ แลคนที่จักช่วยรักษา เช่นคุณพระอภิบาลบริรักษ์ก็มิอยู่เรือน คนในเรือนจึงหาหยูกยากันตามประดามี(2)

ฝากคุณพระอภิบาลบริรักษ์นั้น ด้วยหน้าที่รับผิดชอบ จึงมิอาจหลบเลี่ยงได้ จำต้องเดินทางออกนอกพระนคร เพื่อตรวจรักษาชาวเมือง

แต่ใจของคุณพระก็มิสู้ดี ด้วยรู้สึกคล้ายมีบางอย่างกวนใจ แลเป็นห่วงคนที่เรือนอย่างบอกมิถูก หากก็มิอาจจักทิ้งไป คุณพระจึงเร่งมือตรวจรักษาชาวเมือง เพื่อให้แล้วการโดยไว เพราะใจของคนพระร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็น

การออกตรวจรักษาชาวเมืองในครานี้ หลายเพลานัก เนื่องจากมีเด็กเล็ก แลคนแก่ที่ป่วยง่ายอยู่มาก

เมื่อชาวเมืองคนสุดท้ายจากไป คุณพระก็กราบลาท่านพระยาที่ออกตรวจด้วยกัน กลับเรือนในทันที มิรั้งรออยู่ โดยแจ้งความแก่ท่านเจ้ากรมว่า ตนนั้นรู้สึกมิใคร่ดี ร้อนรุ่มในใจ เกรงกว่าที่เรือนจักเกิดความร้าย

ท่านพระยาเมื่อได้ฟังความจากคุณพระอภิบาลบริรักษ์ ก็มิคิดจักขัดกระไร เพียงแต่อำนวยพรให้ว่า เดินทางแคล้วคลาด แลมิมีความอันใดที่เรือนอย่างที่คุณพระเป็นกังวล

พระอภิบาลบริรักษ์ออกเดินทางทันทีที่ได้รับอนุญาต โดยมิรั้งรอ ทั้งที่อีกมิกี่เพลาก็จักย่ำค่ำแล้ว แต่ใจที่ร้อนเกินทน คุณพระหนุ่มจึงออกเดินทางทันที

ด้วยระยะทางที่มิได้ใกล้ แม้ว่าจักเร่งฝีพายมิได้ได้หยุด แต่กว่าจักเดินทางผ่านหัวเมืองเข้าสู่พระนคร ก็กินเพลามิใช่น้อย

ฝีพายผลัดเปลี่ยนกันอีกครา อีกมิไกลก็จักเข้าพระนครแล้ว เหลืออีกไม่กี่โค้งน้ำ คุณพระก็จักกลับถึงเรือนที่จากไปเสียหลายนาน

“ คุณพริ้งเจ้าคะ ทูนหัวของบ่าวเจ้าคะ อยู่แถวนี้ริไม่เจ้าคะ ”

“ มึงมีอะไรอีปริก โหวกเหวก โวยวาย ห่างหวายเสียนานกระมัง ”

“ คุณพริ้งจักลงหวายบ่าวก็ได้เจ้าค่ะ แต่ให้บ่าวแจ้งความให้แล้วเสียก่อน ”

นางปริกวิ่งขึ้นเรือน เรียกหานายของคน ยังความให้คุณพริ้งที่กำลังพักอยู่ในเรือนต้องออกมาดูหน้าบ่าวที่ขัดเพลาพักของตน

“ กระไรของมึง หากความมิสำคัญ กูจักลงหวายเสียให้หนัก ”

“ เจ้าค่ะๆ สำคัญมากเจ้าค่ะ ”

นางปริกเล่าความกระไรมิได้มาก ด้วยยังหอบหายใจไม่หยุด

“ ว่ามาอย่าช้าที ก่อนที่กูจักหมดความอดทน ”

“ คุณพระเจ้าค่ะ คุณพระกำลังจักกลับเรือนแล้ว ”

“ มึงว่ากระไรนะ คุณพี่นะรึจักกลับเรือน ยังเหลือเพลาอีกหลายวันนัก เหตุใดคุณพี่จักกลับมาก่อน รึว่าเลี่ยงการที่นอกพระนคร แล้วมึงแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าเป็นคุณพี่ ”

“ ไอ้พวงเจ้าค่ะ ไอ้พวงมันเห็นเจ้าค่ะ มันจักพายเรือไปหาปลา แต่มันเห็นคุณที่ท่าน้ำหน้าพระนครเจ้าค่ะ ”

“ กระไรกัน เหตุใดคุณพี่จึงเร่งรัดกลับเรือน ”

“ มิใช่เพลามาหาเหตุเจ้าค่ะ คุณพริ้งจักต้องจัดการขี้ข้าเรือนริมน้ำ ก่อนที่คุณพระจักกลับถึงเรือนเจ้าค่ะ ”

“ เอาเถิด แม้ว่ากูจักทรมานพวกมันยังไม่หนำใจ แต่กูจักปล่อยมันไป กูจักมิฆ่ามันเสียพร้อมกันดอก แต่กูจักค่อยๆฆ่าที่ละคนอย่างช้าๆ มิเช่นนั้น คุณพระอาจจักสงสัยกูได้ ”

“ เจ้าค่ะ ทูนหัวของบ่าวช่างปราดเปรื่องนัก เราไปที่เรือนริมน้ำกันเถิดเจ้าค่ะ ”

แล้วสองนายบ่าวก็ลงจากเรือนของตน เพื่อไปเรือนริมน้ำ เรือนอันเป็นที่รักของคุณพระอภิบาลบริรักษ์

“ เป็นเยี่ยงไรเล่าพวกมึง เห็นว่าเจ็บป่วย คุณพริ้งเธอเมตตามาเยี่ยมเยือน สำนึกใส่หัวไว้เสียให้มาก ”

นางปริกว่า เห็นอาการของคนที่เรือนริมน้ำ โดยแต่ละคนนั้นมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ตามความต้องการของนายตน แต่ก็มีอีกคนที่อาการมิสู้ดีนัก

“ มึงไอ้ตี๋ เป็นเยี่ยงไรเล่า ใกล้ตายแล้วรึไม่ ”

“ พี่ปริก เหตุใดพี่จึงว่าเยี่ยงนี้ พูดจามิเป็นมงคล ”

นางมาว่าขึ้น เมื่อนางปริกถามถึงอาการของน้องชายของทุกคน

“ ฉันดีขึ้นมาแล้วพี่ปริก ขอบพระคุณคุณพริ้งด้วยที่เมตตา ”

ตี๋ตอบนางปริกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มิมีแรง ดวงหน้าที่เคยสดใสก็หมองคล้ำอย่างคนมิได้พัก เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หดหาย แม้แต่จักหายใจ ยังต้องใช้ความพยายามเสียมาก

“ เออกูจักบอกคุณพริ้งให้ ”

ว่าแล้วนางปริกก็ออกจากเรือนพักของบ่าวเรือนริมน้ำ นำความที่ได้เห็นไปบอกนายคนที่รั้งรออยู่ด้านนอก

“ ดีนัก กูยังไม่ให้มันตายตอนนี้ดอก แต่ก็คงมิเกินวันรุ่ง อีปริกมึงไปหาไอ้หมอเสน่ห์นั่น แลบอกให้มันทำตามประสงค์ของกู กูจักให้รางวัลมันอย่างงาม ”

เมื่อสั่งความบ่าวคนสนิทคุณพริ้งจึงกลับเรือน ปล่อยให้นางปริกไปทำตามที่สั่ง อีกประเดี๋ยวคุณพระคงกลับเรือน ตนเองมิควรจักอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวจักเสียการใหญ่

คุณพระกลับถึงเรือนก็ได้รับความแจ้งจากนายสุก ที่มารอรับอยู่ที่ท่าน้ำ ความที่ได้ฟังนั้นแทบจักทำให้ร่างกายสิ้นเรี่ยวแรง แต่ใจก็สั่งให้สองเท้าก้าวออกไป

ร่างเล็กของผู้เป็นดวงใจนอนหลับอยู่บนเสื่อในที่พักของบ่าวด้านล่าง น้องผ่ายผอมลงเสียมาก ทั้งที่ก่อนที่ตนจักออกไปตรวจชาวเมือง น้องดูแข็งแรง แลมีน้ำมีนวล เพลาผ่านมาเพียงไม่นานนัก เหตุใดจึงทรุดลงถึงเพียงนี้

“ พี่ขอโทษ พี่เป็นแพทย์หลวง แต่กับมิได้ดูแลพ่อ ”

เต้กระซิบข้างหูคนหลับ ก่อนจักประคองน้องขึ้นแอบบอก แล้วอุ้มขึ้นเรือนของตน โดยมีบ่าวผู้ซื่อสัตย์เดินตามอย่างเป็นห่วง

“ เหตุใดตี๋จึงป่วยหนักเยี่ยงนี้ ”

คุณพระเอ่ยถามความกับบ่าว หลังจากที่วางน้องน้อยบนเตียงของตนแล้ว น้องยังหลับ แต่บางคราก็ส่งเสียงครางเบาๆ คล้ายจักเจ็บปวด แต่ก็มิได้ตื่น

“ บ่าวไม่ทราบขอรับ ก่อนหน้านี้ พวกบ่าวแข็งแรงดี แต่เมื่อหลายเพลาก่อน ทุกคนก็เริ่มเจ็บป่วย บ่าวมิได้ใส่ใจ ด้วยคิดว่าเพราะเปลี่ยนฤดู จึงเป็นไข้หัวลม(3) จึงได้หายากันตามประดามี แล้วอาการก็ดีขึ้น แต่เจ้าตี๋ ทั้งที่ช่วงที่พวกบ่าวป่วยนั้น มิได้มีทีท่าว่าจักเจ็บป่วย ซ้ำยังเป็นคนหาหยูกยาให้เสียด้วยซ้ำ ”

นายสุกเล่าความ ตามสิ่งที่ประสบมา คุณพระนิ่งฟัง มิได้แทรกความแต่อย่างไร เพราะต้องการจักรู้สาเหตุทั้งหมด

“ แต่แล้วเมื่อไม่กี่เพลาก่อนหน้าคุณพระจักกลับ ตี๋ก็ล้มเจ็บ คุณหญิงพิมท่านเชิญหมอในพระนครมาดูอาการ แต่หมอท่านก็มิอาจทราบสาเหตุ ”

“ กระนั้นรึ ฉันขอบใจพวกเอ็งมาก ที่คอยดูแลตี๋ให้ ประเดี๋ยวฉันจักตรวจดูอีกครา ”

เมื่อได้ฟังจนสิ้นความ เต้จึงเริ่มตรวจไข้คนรักอีกครา ซึ่งแม้จักตรวจดูก็มิมีกระไรผิดปกติ แต่น้องน้อยนั้นหายใจแผ่วเบาเสียจนแทบจับไม่ได้

“ คุณพระขอรับ ”

“ กระไรรึนายผล ”

“ คือตี๋นั้นบอกพวกบ่าวว่า หายใจแล้วเจ็บในอก แลหายใจมิใคร่สะดวก บางครานั้นก็ตัวร้อนเสียแทบไหม้ บางคราก็ตัวเย็นเยียบจนน่าตกใจ ท่านหมอที่คุณหญิงพิมเชิญมา จึงเจียดยา(4)รักษาไข้ไว้ขอรับ คุณพระจักดูรึไม่ขอรับ ”

“ เช่นนั้นรึ คงต้องรบกวนนายผลไปหยิบยาที่หมอเจียดมาให้ฉันดูเสียแล้ว ”

นายผลนั้นไปหยิบยาสมุนไพรมาให้คุณพระ ซึ่งคนที่รับหน้าที่ต้มยานั้นคือนางมา ผู้เป็นภรรยาของตนเอง

“ อิฉันเคี่ยวยาตามที่หมอท่านแจ้งไว้ทุกอย่างเจ้าค่ะ ”

นางมาว่า เมื่อเห็นคุณพระดูส่วนประกอบของสมุนไพรในห่อยา นางเป็นคนต้มยาจึงแจ้งความไปตามจริง

“ ขอบใจทุกคนมาก ไปพักกันเถิด ฉันจักดูแลตี๋เอง แลขอบใจทุกคนนัก ”

“ พวกเราหลับมิลงดอกขอรับคุณพระ ยิ่งเมื่อย่ำค่ำ ตี๋นั้นไอออกมาเป็นเลือดสีคล้ำนัก แลน้องก็บอกพวกบ่าวว่าเหนื่อย บ่าวใจคอมิดีเลยขอรับ ”

“ จริงขอรับ แต่ดีนักเชียวที่คุณพระกลับเรือน อย่างน้อยตี๋จักได้มีแรงต่อสู้ ”

บ่าวทั้งสามเห็นพร้องต้องกันว่า คืนนี้พวกตนคงนอนมิหลับ ด้วยใจพะวง เป็นห่วงน้อง ตี๋นั้นอาการมิสู้ดีนัก แลเมื่อย่ำค่ำก็ไอเป็นเลือดเสียมาก

“ ไอเป็นเลือดกระนั้นรึ มากรึไม่ ”

“ พอดูเชียวขอรับ พอไอแล้วตี๋ก็สิ้นสติเลยขอรับ ”

เมื่อได้ฟังความเพิ่มจากบ่าวทั้งสาม สีหน้าของคุณพระอภิบาลบริรักษ์นั้นก็ให้กังวลยิ่งกว่าเดิม ด้วยตนเป็นหมอ แต่กลับไม่สามารถช่วยกระไรคนรักได้ แม้จักตรวจดูอย่างละเอียดตามตำราที่ได้ศึกษามา ตี๋นั้นก็มีได้มีกระไรผิดปกติ

มิมีอาการใดที่จักเป็นสาเหตุในการเจ็บป่วยครานี้ ลมหายใจแม้จักแผ่วเบาแต่ก็สม่ำเสมอ มิได้กระชั้นถี่ หรือขาดห้วง ยิ่งตรวจดู คุณพระยิ่งอับจน

เพลานั้นเดินไปเรื่อยๆ จากยามดึกล่วงเข้าสู่ใกล้สว่าง ตี๋ที่นอนหลับบนเตียงเริ่มกระสับกระส่าย เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมขึ้นตัวร่าง เนื้อตัวนั้นประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวเย็น เต้นั่งเฝ้าน้องมิได้ละสายตาแม้เพียงน้อยมือคู่เดิมที่คอยโอบประคอง ซับเหงื่อ ลูบหลัง หวังให้น้องคลายเจ็บ

แค่กๆๆ

เสียงไอถี่ๆ พร้อมกับหยดน้ำสีคล้ำส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง แต่คนที่นั่งซ้อนหลังคนเจ็บก็มิได้รังเกลียด เต้ซับเลือดจากมุมปากน้อง ใจคนเป็นพี่นั้นแทบขาดเสียทุกครั้งที่น้องไอ

“ พี่เต้ กลับมารึขอรับ น้องขออภัยที่มิได้ออกไปรับ ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายคนมิมีแรงเอ่ยขึ้น แต่ก็ดังพอให้คนที่เฝ้ามองอยู่ตลอดรับรู้ได้

“ มิเป็นไร น้องเจ็บถึงเพียงนี้ไยจึงต้องห่วงเรื่องเล็กน้อย ”

“ น้องมิเป็นกระไรมากดอกขอรับ อีกประเดี๋ยวก็หาย พี่เต้กลับเรือนแล้ว น้องดีใจนัก ”

“ พี่ก็ดีใจที่ได้กลับเรือนมาเจอพ่อ คนดีของจักต้องหาย ”

“ ขอรับ ”

ตี๋รับคำของเต้ ก่อนจักหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้ว่าตนเองคงมิอาจฝืนร่างกายไปได้มากกว่านี้แล้ว

ตี๋รู้ว่าเพลาของตนนั้นใกล้หมดลงทุกที ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้านั้น ช่างเหมือนคมมีดกรีดลงไปในเนื้อ มันเสียดทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจออก คล้ายกับมีคนเอาเข็มมาทิ่มแทงเสียตัวร่าง

“ พี่เต้ขอรับ น้องหนาว กอดน้องแน่นกว่านี้อีกนิดได้รึไม่ ”

“ ได้สิ กระไรจักไม่ได้เล่า ”

เมื่อรู้ว่านี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จักได้อยู่กับคนที่ตนรัก ตี๋จึงอ้อน วอนขออย่างมิคิดจักเขินอายเช่นเคย คุณพระนั้นคล้ายจักรับรู้ได้

“ พี่รักน้องนัก เหตุใดพี่จักทำให้น้องมิได้ ”

หยดน้ำใสๆกลิ้งลงบนใบหน้าของน้องน้อย เขามิได้อยากอ่อนแอ มิได้อยากร้องไห้ แต่เขาก็มิสามารถจักห้ามมันได้จริงๆ

มิไกลนัก บ่าวอีกสามคนก็จำต้องหลั่งน้ำตาให้กับคนทั้งคู่เช่นกัน ก่อนที่นายสุกจักเรียกให้อีกสองคนขยับถอยห่างออกมา ด้วยอยากให้คุณพระแลน้องชายของตนได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ พี่เต้ น้องเหนื่อยนัก แลอยากพักเสียเหลือเกิน ”

“ อยู่กับพี่อีกประเดี๋ยวได้รึไม่ ”

เมื่อได้ฟังคำของน้อง เต้นั้นยิ่งหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจมากขึ้น เขาอยากเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งน้องไว้ รู้ทั้งรู้ว่าน้องเจ็บ แต่เขาก็มิอาจตัดใจได้

“ พี่เต้อย่าร้องเลยขอรับ ยิ้มให้น้องเห็นอีกสักคราได้รึไม่ น้องชอบรอยยิ้มของพี่นัก ”

ตี๋ยกมืออันสั่นเทาของตนเองขึ้น ก่อนที่มือใหญ่ที่แข็งแรงกว่าจักรวบฝ่ามือเล็กนั้นขึ้นแนบแก้ม แล้วก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของน้อง

“ ได้สิ พี่จักยิ้มให้งามที่สุด ”

“ งามจริงๆขอรับ น้องสุขใจยิ่งนัก ”

เต้ยิ้มให้น้องทั้งน้ำตา เขาพยายามยิ้มให้น้อง หากน้องชอบสิ่งใด เขาจักทำให้ แลตี๋นั้นก็เห็นว่ารอยยิ้มของพี่นั้น เป็นรอยยิ้มที่งดงาม ตนเองจักจดจำรอยยิ้มนี้ไปจนลมหายใจสุดท้าย

“ พี่เต้ น้องขออภัยนัก น้องคงทำบุญมาเพียงแค่นี้ ”

น้ำเสียงนั้นแผ่วลงจนแทบมิได้ยิน เต้กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เขาอยากจักจำจดทุกสัมผัสที่มีกับน้องน้อย

“ รอพี่นะคนดี ”

“ น้องจักรอพี่เต้เสมอขอรับ ”

เต้กระซิบบอกน้อง แลก็ได้รับคำมั่นกลับมากัน มืออันสั่นเทาของน้องน้อยพยายามหาบางอย่างที่ชายพกของตนเอง

“ เวลาของน้องคงมิอาจจักเดินไปพร้อมพี่เต้ได้แล้ว น้องขอฝากเวลาของน้อง ให้พี่ช่วยใช้แทนน้องด้วยนะขอรับ ”

ตี๋ส่งนาฬิกาพก ที่ตนเก็บไว้กับตัวมาตลอด คืนให้กับคนที่ให้มา หลังจากนี้ ตนคงมิอาจจักดูเวลาที่เดินไปพร้อมกันได้เสียแล้ว เพราะอีกมิกี่อึดใจ เวลาของตนคงจักหยุดลง

“ หลับเถิดคนดี พี่ขอโทษที่เหนี่ยวรั้งน้องไว้ หากแม้นมิได้เคียงข้างพ่อ พี่จักมิรักใครอีก พักเสียนะคนดี พี่จักอยู่ข้างพ่อตรงนี้ แลพ่อจักอยู่ในใจพี่ตลอดไป ”

คุณพระอภิบาลบริรักษ์กระซิบบอกน้องน้อย พลางโยนตัวเบาๆ คล้ายจักขับกล่อมให้น้องฝันดี มิต้องทนทุกข์ใดๆอีก

รอยยิ้มเล็กๆแต้มบนใบหน้าของน้องน้อย ตี๋หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข มือที่กอบกุมอยู่กับชายที่ตนรักค่อยๆล่วงลงแนบข้างลำตัว พร้อมๆกับหยาดน้ำตามากมายของคุณพระหนุ่ม

เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นในยามใกล้รุ่งบาดหัวใจของผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก นางมายกผ้าขึ้นซับน้ำตาที่มิอาจกลั้นได้ นายผลกอดประคองกอดคนรักของตน นายสุกปล่อยให้หยดน้ำใสๆไหลอาบหน้า โดยมิมีแรงจักยกมือขึ้นเช็ด

เรือนริมน้ำคงจักเงียบเหงา เมื่อน้องน้อยผู้ครองใจเจ้าของเรือนจากลาไกล ความหวานชื่นที่เคยมีคงจักกลายเป็นภาพจำ

ไกลออกไป ไม่มากนัก รอยยิ้มสมใจแต่งแต้มบนใบหน้างดงาม หากแอบซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใน..........
.
.
.
.
.
.
.

จบ..........
.
.
.
.
.
.
******************************************
.
.
.
.
.
.
.
เชิงอรรถ

(1)   ยาสั่ง (คำนาม) ยาพิษจําพวกหนึ่งที่เชื่อกันว่า ถ้าผู้ใดกินเข้าไปแล้วจะต้องตาย เมื่อไปกินอาหารที่กําหนด หรือตามเวลาที่กําหนดไว้

(2)   ประดามี (ภาษาพูด , คำวิเศษ) ทั้งหมด , บรรดามี , ทั้งหมดที่มี , เท่าที่มี

(3)   ไข้หัวลม (คำนาม) ไข้ที่มักเกิดเพราะถูกอากาศเย็นต้นฤดูหนาว

(4)   เจียดยา (คำกิริยา) ซื้อยาแผนโบราณ ในที่นี้หมายถึง หมอสั่งยาให้ไปหาซื้อ

.
.
.
.
.
.
******************************************
.
.
.
.


หากข้าเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ ข้าเจ้าจักมีชีวิตรอดรึไม่ขอรับ

แต่มันเป็นความจริงขอรับ

มันจบแล้วขอรับ

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม

ทุกท่านที่สละเวลาเข้ามารับชม

ตอนนี้มันจบแค่นี้ขอรับ (แอ้ก!!....เหมือนจะโดนใครถีบ)

ตอนนี้จบแค่นี้จริงๆขอรับ (ยังมันยังไม่เลิก)

ขอบคุณทุกท่าน

ขอบคุณทุกความคิดเห็น

ขอบคุณทุกความรู้สึก

ขอบคุณทุกกำลังใจ

ขอบคุณขอรับ
.
.
.
.
.
.
รบกวนติดตามตอนต่อไป......

ปัจฉิมลิขิต

ฝากเพลง(ประกอบฟิค)ไว้ด้วยขอรับ เปิดคลอไป เพื่ออรรถรสในการอ่านขอรับ

      เพลง... รักเธอนิรันดร์ (รอยรักรอยอดีต)
.
.
      - ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=d-AvXHMv2G8
.
.
.
.
.
.
..........ด้วยใจภักดิ์........

Maruner_IX






 
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ (21/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-10-2018 17:02:29
 :m15:

ทำไมถึงใจร้าย
เศร้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ (21/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 26-10-2018 10:01:34
ร้องไห้หนักมากเลย สงสารทั้งคู่อ่ะ

ขอให้อีพริ้งรูตันไปจนตายนะ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ (21/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 26-10-2018 10:58:39

Billie : ขอบคุณขอรับ ต่อไปก้ไม่เศร้าเท่าไหร่ขอรับ

snowboxs : ขอบคุณขอรับ อย่าเพิ่งใจร้อนน้า พริ้งยังอยู่อีกนานขอรับ นางจะตามไปราวีต่อ

+1 นะจ๊ะ

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 10 (26/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 26-10-2018 16:48:12

ตอนที่ 10

.
.
.
.
เมื่อเวลาหมุนเวียน

.
.
.
.
ม่านบนเวทีรูดปิดอย่างช้าๆ เสียงเพลงประกอบดังคลอเบาๆ เสียงพูดคุยถึงเรื่องที่เพิ่งจะดูจบ เสียงคนเดินออกจากจุดที่นั่งอยู่ ไม่สามารถทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัวแต่อย่างไร
.
“ หมอเต้...ชายเต้....ไอ้คุณเต้!!! ”
.
“ ครับ ว่าอย่างไร ทำไมเรียกซะดังเลย ”
.
“ ครับเพื่อนครับ กระผมเรียกคุณชายตั้งแต่คนอื่นเริ่มลุก จนตอนนี้คนออกไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่เขาจะปิดประตูขังอยู่แล้ว คุณเพื่อนก็ไม่ได้ยิน แล้วจะให้กระผมทำอย่างไรครับ บุญแค่ไหนแล้วครับ ที่กระผมไม่ตบหน้าเรียกสติคุณเพื่อนน่ะครับ ”
.
จริงอย่างที่คนพูดว่า ผู้ชมทยอยออกจากโรงละครจนหมดแล้ว ในโรงละครตอนนี้จึงแค่เต้ กับเพื่อนเท่านั้น อาจเป็นเพราะเต้ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนแต่แรก ทำให้เจ้าของเสียงต้องเรียกดังขึ้นนั่นเอง
.
“ โทษที ฉันคงเหม่อไปจริงๆ ”
.
“ ไม่ได้เหม่อ แต่แกอ่ะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวเลย ทำอย่างกับเป็นนักแสดงเสียเอง ”
.
เพื่อนที่มาด้วยกันว่า พร้อมกับเอ่ยแซวไปด้วย
.
“ เต้ ฉันถามแกจริงๆ เหอะ ทำไมแกชอบดูอะไรแบบนี้วะ ดูคนเดียวไม่เท่าไหร่ ชวนฉันมาด้วยทำไม ละครพีเรียด มันไม่เข้ากับหน้าฉันอย่างมาก พูดเลย ”
.
“ มีตรงไหนไม่เข้า นายก็ไม่ได้ดูอินเตอร์นักหรอกคิมม่อน ”
.
เต้ว่าเพื่อนที่มาด้วยกัน วันนี้ทั้งคู่มาดูละครเวที โดยเต้นั้นชวนคิมม่อนมาด้วย ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันทั้งแต่สมัยเด็กเลยทีเดียว
.
ละครเวทีที่ทั้งคู่เข้ามาชมวันนี้ นำเสนอความรักในมุมมองที่ไม่เป็นที่ยอมรับนัก อาจจะเรียกได้ว่า เป็นความรัก ในความลับเลยทีเดียว
.
เรื่องราวนั้นย้อนกลับไปในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ความรักของนายเงิน กับบ่าวชาย โดยทั้งคู่รักกันมาก แต่ก็ไม่อาจจะสมหวังดังปรารถนา
.
เพราะทั้งคู่ไม่อาจฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีไปได้ ความรักที่ตั้งอยู่บนความไม่ถูกต้องในสมัยนั้น แต่กลับเป็นรักที่บริสุทธิ์ ไม่ต่างจากคู่อื่น
.
แต่สุดท้าย ทั้งคู่นั้นกลับต้องแยกจากกันตลอดกาล เมื่ออีกคนถูกลอบทำร้ายจนไม่อาจจะมีชีวิตต่อไปได้
.
“ อะไร ฉันออกจะหน้าอินเทรนด์ขนาดนี้ แกมั่วแล้วไอ้คุณชาย ”
.
คิมม่อนไม่ยอมรับ เมื่อเพื่อนของตนบอกว่า หน้าของเขานั้นไม่อินเตอร์ ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้น
.
“ นี่ชายเต้ แกยังไม่ตอบฉันเลยนะเว้ย ว่าทำไมชอบดูอะไรแบบนี้ ”
.
“ มันไม่สนุกหรือไงคิมม่อน ”
.
“ บอกไม่ถูกว่ะ ไม่ใช่มันไม่สนุก คือจะพูดอย่างไรดีวะ คือนักแสดงเขาเล่นได้ดีมาก จนทำให้คนรู้สึกตามไปด้วย แต่ฉันไม่ชอบอะไรที่มันเศร้าแบบนี้ อะไรวะ รักกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ”
.
คิมม่อนนึกถึงเรื่องที่ตน และเพื่อนเพิ่งจะชมไป ไม่ใช่ตนเองไม่ชอบละครแนวย้อนยุค ตนเองนั้นดูได้ทุกแนว แต่ที่ตินั่นคือ เรื่องเมื่อครู่มันจบแบบเศร้าเกินไป
.
“ ก็นั่นมันสมัยนั้นความรักแบบนั้นเป็นเรื่องผิดมาก ไม่เหมือนตอนนี้ที่สังคมเปิดกว้าง ”
.
“ แต่ไม่เห็นต้องถึงขนาดวางยากันนี่หว่า ”
.
“ มันเป็นเรื่องความริษยา ของคน ไหนว่าไม่ชอบไง ”
.
“ ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ แต่ถ้ามีอย่างนี้ในชีวิตจริงนะ ฉันขอหนีคนหนึ่งล่ะ ผู้หญิงอะไรน่ากลัวชะมัด ”
.
คิมม่อนว่า พลางเอามือลูบแขนตัวเอง บอกให้รู้ว่า กลัวจริง เพราะถ้าเจอแบบนี้ เขาคงไม่กล้ายุ่งหรอก ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะสวยแค่ไหน
.
“ แสดงว่า ถ้าไม่ร้ายนายก็ขอร่วมได้ใช่ไหม ”
.
เต้ถามด้วยน้ำเสียงกึ่งแซว ด้วยรู้ว่าเพื่อนตนเองเป็นชายเจ้าสำราญ แต่ตอนนี้ มีคนที่กำลังเดินหน้าสานสัมพันธ์อยู่
.
“ บ้าเหรอ ฉันหยุดแล้วเว้ย แกอย่ามาหาเรื่อง ”
.
“ ให้มันจริง เสืออย่างแกจะยอมหยุดได้เหรอ ”
.
“ เออคอยดูได้เลย ว่าที่พี่เขย ฉันจะจีบน้องเตอร์ ให้ได้ คอยดู ”
.
“ ฉันจะคอยดู ”
.
คิมม่อนกำลังสานสัมพันธ์กับคอปเตอร์ หรือน้องเตอร์ ที่เจ้าตัวว่า คอปเตอร์เป็นน้องชายบุญธรรมของเต้ ซึ่งมีคนนำคอปเตอร์มาวางทิ้งไว้ที่หน้าวังท่านพ่อของคุณชายเต้
.
“ ว่าแต่คุณชายจะไปไหนต่อขอรับ กระผมจะเป็นสารถีให้ ”
.
คิมม่อนถามขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงที่ลานจอดรถ
.
“ แล้วแต่นายเลย ฉันหิวแล้ว ถ้านายจะใจดีเลี้ยงข้าวกันจะดีมาก ”
.
“ เอ๊า แล้วไมแกไม่กลับไปกินที่วังวะ ”
.
“ ฉันไม่อยากไปรบกวน นี่ก็ดึกแล้ว ”
.
“ เออๆ แล้วคืนนี้นอนไหนครับคุณชาย กระผมจะได้เลือกเส้นทางถูก ”
.
“ กลับเรือนดีกว่า พรุ่งนี้ไม่มีงานอะไร ”
.
“ ตามนั้น ”
.
คิมม่อนว่าก่อนจะออกตัว พาตนและเพื่อนกลับที่พัก เต้นั้นมีที่พักหลายแห่ง หากว่าต้องทำงานในวันรุ่งขึ้น จะพักที่บ้านพักของโรงพยาบาล ที่ตนเองทำงานอยู่ บางครั้งก็กลับวังของท่านพ่อ แต่บางครา เขาก็จะมานอนที่เรือนไทย ซึ่งเป็นบ้านเดิมของแม่
.
“ นี่ชายเต้ ฉันอยากรู้มานานล่ะ ว่าทำไมท่านชายถึงมาใช้ราชกุลของบ้านแม่นายวะ ”
.
คิมม่อนเอ่ยถามขึ้น ขณะที่ขับรถหาร้านอาหารริมทาง เพื่อฝากท้องในยามดึก
.
“ เรื่องนี้หรือ ต้องเท้าความกลับไปสมัยเสด็จปู่เลย ท่านพ่อเล่าให้ฟังว่า ที่วังของท่านกับที่เรือนฝั่งแม่ฉันน่ะ ผูกสมัครกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกได้ว่า เกี่ยวดองกันมาตั้งแต่สมัยท่านเทียดเลย พอมาถึงสมัยที่ต้องตั้งสกุลมาเรียกใช้ ท่านก็เลยขอใช้ราชทินนามของท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ และเห็นว่าสกุลนี้ก็เข้ากับงานด้านการแพทย์ และยังเป็นการรำลึกถึงท่านเทียด ที่ท่านทำคุณงามความดีไว้ ”
.
คุณชายเต้เล่าถึงเรื่องอดีต ว่าเหตุใดบ้านตนจึงใช้สกุลฝั่งมารดา แทนที่จะใช้ราชทินนามฝั่งบิดามาตั้งเป็นนามสกุล
.
“ อ้อ คิดแล้วก็แปลกใจนะ บ้านฉันกับแกนี่นอกจากจะเป็นเพื่อนกันตอนนี้แล้ว สมัยปู่ทวดยังเป็นเพื่อนกันอีก ”
.
คิมม่อนว่า พลางหักรถเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง เมื่อเจอร้านอาหารที่ตนหมายตา โดยบ้านของเขากับคุณชายเต้นั้น เป็นเพื่อน เป็นเกลอเก่ากันตั้งแต่สมัยปู่ทวด หรือท่านเทียดเลยทีเดียว
.
ในตอนแรกนั้น คิมม่อนเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ด้วยหลักฐานรูปภาพ และจดหมายที่เขียนถึงกัน ก็ทำให้เขายอมเชื่อ
.
เท่านั้นยังไม่พอ เขายังได้ชื่อตามบรรพบุรุษของตัวเอง นั่นคือท่านเทียดคิมม่อน ยังไม่น่าตกใจเท่าเรื่องที่ว่า หากนำรูปถ่ายสมัยนั้นของท่านเทียดมาเทียบกับหน้าของตนเองตอนนี้ใครเห็นก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือคนๆเดียวกัน
.
เช่นเดียวกับคุณชายเต้ ที่เขาเรียกว่าคุณชายนั้นก็เพราะว่า เพื่อนของเขาคนนี้ เป็นบุตรของท่านชาย ซึ่งชายเต้นั้นก็เป็นเพื่อนกับตนมาตั้งแต่สมัยเด็กเลยทีเดียว
.
คุณชายเต้เองนั้นก็ได้ชื่อตามท่านตาทวด หรือท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ชื่อเดิมของท่านคือ คุณเต้ และไม่เพียงเหมือนแต่ชื่อ เพื่อนของเขาคนนี้ก็มีใบหน้าละม้ายคล้ายท่านเจ้าพระเจ้าเสียแทบจะเป็นคนเดียวกัน
.
พ่อ แม่ และ ญาติ หลายๆคนเคยบอกว่า ตนเองกับเต้นั้น คือคุณเทียดกลับชาติมาเกิด ซึ่งคิมม่อนก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่า มันจะจริงหรือ
.
แต่ถ้าจะให้มองความเป็นไปได้ เขาว่าชายเต้นี่มีความเป็นไปได้จริงๆ เพราะท่านเทียดเต้ กับคุณชายเต้ เป็นหมอเหมือนกัน
.
“ คิดอะไรของนาย ฉันถามว่าจะกินอะไรก็ไม่ตอบ จนฉันสั่งไปหมดแล้วเนี่ยะ ”
.
เต้ที่เห็นเพื่อนตัวเองนั่งเงียบไป ตนถามว่าจะกินอะไรก็ไม่ตอบ ตนเองจึงสั่งอาหารที่เพื่อนชอบไปแทน เพราะเกรงใจคนยืนรอรับรายการอาหาร
.
“ เออ อะไรก็กินได้น่า ฉันไม่เรื่องมาก ฉันกำลังคิดถึงเรื่องของเราไง ”
.
“ เรื่องของเรา เรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้ ”
.
ชายเต้ว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนใจเล็กน้อย เพราะเพื่อนของตนเองชอบหาเรื่องปวดหัวมาให้บ่อยๆ ด้วยความที่เป็นคนช่างสงสัย คิมม่อนจึงมีแต่เรื่องอยากรู้เต็มไปหมด
.
“ ไม่มีอะไรมาก ก็คิดเรื่องที่พ่อ กับแม่ชอบพูดบ่อยๆ ไงว่า เราเป็นท่านเทียดมาเกิด คิดแล้วก็ขำ ”
.
“ แล้วยังไง ”
.
“ เอ๊า นี่คุณชาย ไม่ใช่แค่ฉัน แกก็เป็นเหมือนกัน แกคิดว่ามันไม่น่าแปลกหรือไง ”
.
“ มันก็ใช่ แต่ฉันคิดว่าตัวเองไม่ใช่คุณเทียด ”
.
“ ก็ใช่ไง สมัยนี้แล้ว จะเชื่อมันต้องพิสูจน์ได้ ”
.
“ ขอบคุณครับ กินข้าวกันเถอะ จะได้กลับเรือนไม่ดึกมากว่านี้ ”
.
“ เออๆ อยากกลับเรือนจริงๆ นะแกเนี่ยะ ”
.
เต้ขอบคุณพนักงานเมื่อได้รับอาหารที่สั่งไป ก่อนจะบอกให้คิมม่อนเลิกสงสัย เลิกหาคำตอบแล้วกินข้าว เพื่อจะได้กลับที่พัก
.
.
.
.
“ นายจะไม่พักที่นี่จริงๆ เหรอ นี่ก็ดึกแล้วนะคิมม่อน ”
.
“ไม่ล่ะ ฉันว่าจะกลับไปนอนที่เรือนคุณปู่ ไปให้ท่านเห็นหน้าบ้าง เดี๋ยวเกิดน้อยใจ ตัดฉันออกจากกองมรดกจะยุ่ง แล้วอีกอย่าง พูดเหมือนเรือนนี้ กับเรือนคุณปู่ฉันห่างกันเนอะ ไม่เกินสิบนาทีก็ถึงเปล่าวะ ”
.
“ ตามใจนะ ฉันก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ขับรถคนเดียว ”
.
“ เออๆ ขอบคุณครับคุณเพื่อน ถ้าแกบ่นมากมากนี้ก็เป็นพ่อฉันได้เลยนะ ไปแล้ว เดี๋ยวถึงจะไลน์มาบอกนะครับคุณชายเต้ ”
.
ว่าแล้วคิมม่อนก็โบกมือลาคุณชายเต้ ขึ้นรถขับกลับไปที่พักของตนเอง เต้ยืนส่ายหัวให้กับท่าทางของเพื่อน เมื่อคิมม่อนขับรถออกไปจนลับสายตาเจ้าตัวจึงปิดประตูรั้ว
.
เต้ไม่ได้รบกวนในใครมาเปิดประตู และเลือกที่จะเดินเข้ามา เพราะเห็นว่าดึกแล้ว และตนเองก็มีกุญแจรั้ว ไม่อยากปลุกใคร
.
เรือนแห่งนี้ยังคงความเป็นเรือนไทยโบราณในสมัยรัตนโกสินทร์ แม้ว่าจะแปลงเปลี่ยนไปบ้างเนื่องจากกาลเวลา ทำให้ต้องบูรณะใหม่ และเพิ่มโครงสร้างให้แข็งแรง แต่ยังเก็บรายละเอียดดังเดิมไว้ทั้งหมด
.
แสงไปจากหลอดไฟส่องสว่างทางเดินให้แสงเหลืองนวล เต้ก้าวเท้าอย่างไม่เร่งรีบ เขาโทรมาแจ้งคุณยายไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จะเข้ามาพัก แต่บอกให้คุณยายนอนก่อนไม่ต้องรอ
.
ความคุ้นเคยเกิดขึ้นทุกครั้งที่เต้มาเยือนเรือนคุณยาย มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จริงอยู่ว่าตนเองไม่ได้เชื่อว่า ตนนั้นจะเป็นคุณเทียดมาเกิด อย่างที่ผู้ใหญ่ว่ากัน แต่ความรู้สึกบางอย่างนั้น เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้
.
เมื่อคราวก่อนที่แม่จะตั้งครรภ์เขานั้น คุณแม่เล่าว่า ท่านฝันถึงท่านเทียด ท่านมาหา แล้วบอกว่าฝากให้สานต่อด้วย ฝากให้ช่วยคนที่ท่านรักด้วย
.
หลังจากนั้น คุณแม่ก็ตั้งครรภ์ และเมื่อรู้ว่าทารกในครรภ์เป็นผู้ชาย หลายคนก็เริ่มจะเชื่อว่า เขาต้องเป็นท่านเทียดแน่ๆ
.
เมื่อเขาคลอด แม่จึงตั้งชื่อเขาตามนามเดิมของท่านเทียด และเมื่อนานวันเข้า เขาเจริญเติบโต เค้าโครงหน้าตายิ่งให้คล้ายท่านเทียดไปเสียทุกอย่าง ทุกคนจึงได้ลงความเห็นว่า เขาต้องเป็นท่านเทียดแน่ๆ
.
“ กลับมาแล้วครับท่านเทียด ”
.
เต้เอ่ยขึ้นเมื่อไขกุญแจประตูหน้าเรือน เรือนนี้เป็นเรือนเดิมของท่านเทียด เป็นเรือนที่ท่านเทียดเต้รักมาก ท่านไม่ยอมให้ใครขึ้นมาวุ่นวายเลย แม้แต่คุณหญิงพริ้ง ซึ่งเป็นภรรยา ท่านอยู่ที่นี่จนลมหายใจสุดท้าย ตามที่ได้ฟังมาจากคุณยาย ซึ่งก็เล่ากันต่อมา
.
ท่านเทียดสิ้นที่เรือนหลังนี้ หลังจากที่ท่านสิ้น เรือนหลังนี้ก็ปิดตายตามคำสั่งเสียของเจ้าของเรือนนับแต่นั้นมา แม้ว่ามีคนพยายามจะเปิดหลายครา แต่ก็ไม่สำเร็จ ด้วยคล้ายมีอะไรบางประการคอยขัดขวาง จนมาถึงสมัยของคุณทวด ท่านเอ่ยขอด้วยว่าต้องการจะซ่อมแซมเรือน ที่กำลังทรุดโทรม โดยให้คำมั่นว่า จะไม่เคลื่อนย้ายอะไรโดยไม่จำเป็น และจะเก็บเรื่องภายในเรือนไว้เป็นความลับดั่งเช่นความตั้งใจของเจ้าของเรือน
.
เมื่อคุณทวดแจ้งความประสงค์ และรับปากว่าจะรักษาความในเรือนเอาไว้ ให้สมกับที่ท่านเจ้าของเรือนต้องการ แล้วประตูที่เคยปิดตาย ก็เปิดออกเสียง่ายๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าใครจะพยายามเท่าใด ก็ไม่สามารถเปิดได้
.
หลังจากที่ประตูเรือนเปิดออก คุณทวดจึงก้าวขึ้นบนเรือนกับคนสนิท เดินผ่านชานเรือนเข้าสู่เรือนนอนด้านใน โดยไม่สนใจสภาพทรุดโทรมภายนอก ก่อนจะมองหาบางอย่าง และเมื่อพบ จึงให้คนสนิทนั้นหยิบยกออกมา แต่ก็ไม่สามารถยกขึ้น คุณทวดจึงเอ่ยบอกเจ้าของเรือน
.
‘ หลานจะดูแลให้นะเจ้าคะ ท่านลุงไม่ต้องกังวล หลานจะไม่นำความไปบอกใคร แลของในกำปั่นนี้ เมื่อหลานซ่อมแซมเรือนจนแล้วเพลาใด หลานจะนำมาคืน ’
.
เมื่อสิ้นคำ กำปั่นที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้นั้น กลับยกขึ้นได้โดยง่าย เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ คุณทวดจึงออกจากเรือนริมน้ำ แล้วนำกำปั่นที่ได้มาเก็บรักษาไว้อย่างดี จนกระทั่ง งานซ่อมแซม และปรับปรุงเรือนริมน้ำแล้วเสร็จ ท่านจึงยกกำปั่นนั้นกลับคืนสู่เรือนริมน้ำ
.
คุณชายเต้นั้น ได้รับกุญแจเรือนริมน้ำซึ่งเป็นเรือนเก่าของท่านเทียด เมื่ออายุครบ 18 ปี ตามคำสั่งเสียของคุณทวด
.
เต้นั้นชอบเรือนริมน้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยได้ขึ้นเรือนสักครั้ง เพราะคนที่ถือกุญแจเรือนมีแค่คุณยาย และคุณยายจะเปิดให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแค่เดือนละ 2 ครั้ง ตามคำสั่งที่ได้รับจากท่านทวด และทุกครั้ง คุณยายจะอยู่จนกว่าจะทำความสะอาดเสร็จ และจะเป็นคนปิดประตูเรือนเองทุกครั้ง
.
ครั้งแรกที่ได้กุญแจเรือนริมน้ำ เต้นั้นรู้สึกว่าเหมือนได้กลับบ้านอย่างแท้จริง มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ว่าสุขหรือเศร้า
.
เมื่อได้เป็นเจ้าของเรือนคนใหม่ เต้ไม่รอช้าที่จะย้ายตัวเองมาพัก คืนแรกที่นอนเรือนริมน้ำ เขาฝันถึงท่านเทียด ท่านมาบอกให้เขาช่วยคนที่ท่านรัก
.
ท่านเทียดที่เขาเห็นนั้นดูเศร้าหมอง เต้ถามว่าจะช่วยได้อย่างไร ท่านไม่ตอบความเพียงแต่ส่ายหน้าให้เขา พร้อมกับยื่นกุญแจดอกเล็กๆให้ แล้วท่านก็หายไป พร้อมกับที่ตนเองรู้สึกตัวตื่น
.
เมื่อตื่นลืมตา เรื่องที่ไม่สาสารถพิสูจน์ได้ก็ปรากฏ เต้ไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องลี้ลับ เพราะตนเองนั้นอยู่กับวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่คิดลบหลู่ กุญแจดอกเล็กในฝันนั้น มาอยู่ในมือของตนเองเสียแล้ว
.
ในฝันท่านบอกว่า กุญแจดอกนี้ใช้ไขกำปั่นที่อยู่ในหีบใต้เตียง เขาจึงก้าวลงจากเตียง ดึงหีบที่วางอยู่ใต้เตียงออกมา เมื่อเปิดฝาหีบออก จึงเห็นกำปั่นเหล็กขนาดเล็กกว่าหีบเล็กน้อยอยู่ด้านใน
.
เต้เปิดกำปั่นด้วยกุญแจที่ได้มา ของที่อยู่ในกำปั่นนั้นเป็นภาพถ่ายเก่า สมุด กล่องใส่จดหมาย ถุงผ้าปักลายอ่อนช้อย แม้ว่าสีจะซีดไปตามกาลเวลา ด้านในมีนาฬิกาพกเรือนเล็ก ตัวฝาเรือนสลักชื่อผู้เป็นเจ้าของ
.
เมื่อเต้เห็นทุกอย่างที่อยู่ในกำปั่น ทุกอย่างที่เก็บรักษาไว้อย่างดี แม้ว่าจะผ่านเวลามาเป็นร้อยปี แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ทันทีที่เปิดนั่นคือ ความสุข ความเศร้า ความเหงา ความรัก ความผิดหวัง ที่ปะปนคละเคล้ากันอยู่ และนั่นทำให้เต้ หลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่า เขาร้องไห้ทำไม เหตุใดน้ำตาของเขาจึงไหลออกมา เพียงแค่เปิดกำปั่นโบราณใบนี้
.
.
.
.
.
.
********************************************
.
.
.
.
.
ผู้ปรากฏนาม
.
.
เต้ , หมอเต้ , คุณชายเต้
.
....> นายแพทย์หม่อมราชวงศ์ เตชณัฐ อภิบาลบริรักษ์
.
..... เตชณัฐ (เต – ชะ – นัด) = นักปราชญ์ผู้มีอำนาจมาก
.
.
คิมม่อน
.
....> คมฐิพัฒน์ พณิชศาสตร์
.
.....คมฐิพัฒน์ (คะ-มะ-ถิ-พัด) = การมาถึงของความเจริญที่มั่นคง
.
.
คอปเตอร์
.
คิรากร อภิบาลบริรักษ์
.
......คิรากร (คิ-รา-กอน) = กระทำซึ่งถ้อยคำ
.
.
.
.
.
.
***************************************************
.
.
.
.
.
.
สวัสดีขอรับ ตอนนี้อาจจะสั้นๆหน่อย
.
ตอนนี้หลายท่านคงพอเดาได้ว่าจะต้องออกมาประมาณนี้
.
หากว่าเมื่ออ่านไปแล้วรู้สึกว่า ไม่ลื่นไหล สะดุดอารมณ์ ข้าเจ้าต้องขออภัยอย่างยิ่งขอรับ
.
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามา ขอบคุณทุกความรู้สึก ขอบคุณทุกข้อความ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่
.
รบกวนติดตามต่อไปด้วยนะขอรับ
.
.
ปัจฉิมลิขิต ด้านล่างนี้ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมด้านอายุ สามารถข้ามได้เลยขอรับ แต่หากท่านใดต้องการทัศนา ข้าเจ้าก็ขอเชิญชวนขอรับ
.
.
.
.
.
บรรยายเพิ่ม
.
.
.
ว่าด้วยข้อมูลอายุ
.
.
รัชสมัย ร.5
.
2411 - 2453 = 42
.
ตี๋เกิด = 2396 (เจอคุณเต้ ปี พ.ศ. 2410 ตอนนั้นตี๋ อายุ 14)
.
คุณเต้เกิด = 2396 - 4 = 2392 (คุณเต้อายุมากกว่าตี๋ 4 ปี)
.
อายุตี๋ เมื่อ พ.ศ. 2410 = 14
.
อายุคุณ เมื่อ พ.ศ. 2410 = 18
.
2410 = 14,18 เจอกัน
.
2412 = 16,20 คบกัน
.
2416 = 20,24 คุณเต้ไปเรียน
.
2418 = 22,26 กลับมาอยู่อีก 2 ปีสุดท้าย
.
คุณเต้อยู่คนเดียว
.
2453 - 2418 = 35 ปี
.
26 + 35 = 61 ปี (อายุ ณ ตอนนั้น)
.
รัชสมัย ร. 6
.
2453 - 2468 = 15
.
61 + 15 = 76 (อายุคุณเต้)
.
รัชสมัย ร.7
.
2468 + 2477 = 9
.
อายุสุดท้าย = 78
.
ฉะนั้น คุณเต้เสียชีวิตในปี 2470 ( 2468 + 2 )
.
ร. 8
.
2477 + 2489 = 12
.
.
.
กทม. ปี 2560
.
อายุรวมของคุณเต้ 2560 - 2392 = 168
.
เต้อดีต = ปู่ทวด(เทียด)
.
น้องสาวเต้อายุน้อยกว่าเต้ 24 ปี
.
เกิด = 2416
.
แต่งงาน อายุ 18 ปี 2434
.
มีทวด ปี 2455
.
ทวด เกิด 2455 (เต้อายุ 63 เป็นลุง)
.
ทวดแต่งงาน อายุ 18 = 2473
.
มียายตอน ปี 2497
.
ทวดอายุ 85 = 2535
.
ยายเกิด 2492 (เต้อายุ 100 เป็นปู่)
.
แต่งงาน 20 ปี 2512
.
มีแม่เต้ ปี 2512 (เต้อายุ 120 เป็นทวด)
.
แม่เต้แต่งงาน อายุ 2533
.
มีเต้(ปัจจุบัน) ปี 2534 (เต้อายุ 142 เป็นเทียด)
.
ปัจจุบัน ปี 2560 เต้อายุ 2534-2560 = 26
เทียดเต้อายุ 168 ปี
.
.
.
..........ด้วยใจภักดิ์..........
.
.
.
Mariner_IX
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 10 (26/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-10-2018 00:56:42
หวังอย่างยิ่งว่าชาตินี้ชายเต้จะไม่ต้องโดดเดี่ยวไปจนสิ้นลมนะ

นับถือคุณคนเขียนมากมาย ทำการบ้านดีมาก
จะติดตามต่อไปแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 10 (26/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-10-2018 18:30:41
 :hao4: เศร้าเนาะที่ต้องอยู่โดยไม่มีคนที่รัก

อยากรู้ความสัมพันธ์กับพริ้งว่าเป็นอย่างไร

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 10 (26/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 29-10-2018 04:56:03
ตี๋น่าสงสารมาก  :sad4:
คุณเต้น่าสงสารกว่า ต้องอยู่อย่างทรมาณจิตใจอีกหลายสิบปี กว่าจะหมดกรรม  :o12:
ไหนบอกว่าไม่เศร้าไง  :ling3:
คุณหลอกดาว!!! :ling1:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 10 (26/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 29-10-2018 15:14:35

snowboxs : ขอบคุณขอรับ ชาตินี้ได้เจอกันขอรับ ไม่เศร้ามากขอรับ

Billie : ขอบคุณขอรับ เรื่องความสัมพันธ์ของ พริ้งกับ พี่เต้ในอดีต จะค่อยเฉลยขอรับ

iamtsubame : ขอบคุณขอรับ พี่เต้เข้มแข็งขอรับ ข้าเจ้าไม่ได้หลอกน้า ไม่เศร้ามากขอรับ

+1 ทุกท่านขอรับ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 11 (29/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 29-10-2018 15:17:00
ตอนที่ 11

.
.
.
....ประสบ พบหน้า.....

.
.
.
หลังจากที่เปิดกำปั่นโบราณของคุณเทียด เรื่องราวที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในนั้น ทำให้เต้ได้รู้เรื่องราวเมื่อคราหลังมากขึ้น
.
คุณเทียดเขียนบันทึกเรื่องราวของตนเองไว้ในสมุด มันไม่ได้มีแค่เล่ม หรือสองเล่ม แต่มีมากกว่านั้นนัก
.
เรื่องราวมากมายที่เล่าผ่านตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านการแพทย์ หรือในเรื่องชีวิตประจำวัน หากว่าทุกเรื่องจะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้เห็นถึงความมีระเบียบของคนเขียน
.
คุณชายเตชณัฐ มิได้สนใจจะหยิบตำราทางการแพทย์ ทั้งที่มันเป็นความรู้ที่ตนเองควรจะได้ศึกษา แต่กลับเลือกหยิบบันทึกอีกเล่มแทน
.
บันทึกเล่มนี้นั้น เป็นเรื่องราวเมื่อคราที่ท่านเทียดยังเป็นเพียงหมอฝึกหัด กำลังเรียนรู้งานด้านการแพทย์กับหมอชาวต่างชาติ
.
กระดาษสีเหลืองกรอบไปตามกาลเวลา ทำให้ต้องเปิดอย่างระมัดระวัง เรื่องราวชีวิตเมื่อครั้งวัยหนุ่ม ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษร
.
ความรักครั้งแรกกับทาสในเรือน ที่ท่านเทียดเก็บเป็นความลับ มีเพียงแค่คนสนิทที่ไว้ใจได้ไม่กี่คนที่ล่วงรู้
.
คุณชายเต้อ่านบันทึกเล่มนั้นด้วยน้ำตา ที่ไหลออกมาโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว ความรัก ความเศร้าที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ ที่แม้จะเก่าไปตามกาลเวลา แต่ไม่ได้ทำให้กลิ่นไอที่ซ่อนอยู่ลดลงไปแม้แต่น้อย
.
เมื่อรัก แต่ต้องหลบซ่อน เมื่อรัก แต่ต้องปิดบัง เมื่อรัก แต่มิอาจอยู่ร่วมกัน ทุกตัวอักษรที่ร้อยเรียง ส่งให้คนที่ได้อ่านซึมซาบไปกับความรักมั่นของคนเขียน
.
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณชายเตชณัฐได้รับรู้จากบันทึกนั่นก็คือ ท่านเทียดมิได้รักใคร่ ชอบพอคุณหญิงพริ้งผูเป็นภรรยาแต่งแม้แต่น้อย
.
ท่านมีคนรักอยู่แล้ว หากแต่เป็นเพียงทาสในเรือน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากสิ่งที่ทำให้รักในครานั้นของท่านไม่อาจสมหวังนั่นก็คือ คนรักของท่านเป็นชาย เรื่องราวของทั้งคู่จึงจบลงด้วยความผิดหวัง
.
คุณเทียดจำต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่มารดาหามาให้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าภรรยาในนามเท่านั้น
.
เท่าที่ได้ฟังมาก่อนหน้า ทุกคนมักพูดกันว่า ท่านเทียดเป็นคนที่รักมั่น จึงมีเพียงคุณหญิงเป็นภรรยาเอกเพียงผู้เดียว
.
แต่เมื่อได้อ่านความผ่านตัวอักษรนี้แล้ว ทำให้คุณชายต้องเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ โดยสิ้นเชิง เป็นความจริงที่คนเก่าแก่ว่ากันมา คุณเทียดรักมั่น จึงไม่มีภรรยาคนอื่นอีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านเทียดไม่ได้รักมั่นกับคุณเทียดพริ้ง ผู้เป็นคู่ชีวิต ตามที่ทุกคนกล่าวไว้ แต่คุณเทียดนั้นมั่นในรักที่มีต่อบ่าวชายคนนั้น
.
เมื่อได้รู้ความให้ครั้งแรก คุณชายเต้ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตนเองคิดมาตลอดว่า คุณเทียดรักคุณเทียดพริ้งมาก จึงไม่มีใครอื่นอีก
.
หลังจากได้อ่านเรื่องราวของคุณเทียดผ่านทุกตัวอักษร คุณชายเต้ได้เห็นความรักมั่นที่ท่านเทียดมีต่อชายคนรัก
.
ทุกเรื่องราวถูกบันทึกไว้ในสมุดหลายเล่ม จดหมายที่เขียนถึงกันเมื่อครั้งต้องห่างไกล ความกังวล ความอึดอัด ที่ต้องหลบซ่อน ถูกถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ให้คนที่เป็นลื่อ(1)อย่างคุณชายเต้ได้รับรู้
.
ความคับแค้นใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรัก แต่อาจทำอะไรได้ ด้วยไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง ทำได้เพียงเก็บคับแค้นไว้ในใจ และระบายผ่านตัวหนังสือเสียแทน
.
เรื่องราวในบันทึก ทำให้คนรุ่นหลังอย่างคุณชายเต้ได้ทราบถึงความขัดแย้งของบุคคลในครอบครัว ครอบครัวของเขานั้นไม่ใช่ครอบครัวที่น่าอิจฉาอย่างที่คนภายนอกคิดแม้แต่น้อย
.
คุณเทียดพริ้งไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว แต่คุณเทียดเต้ก็ไม่คิดแต่งงานใหม่ คนเก่าแก่เล่ากันต่อมาว่าคุณเทียดเต้รักคุณเทียดพริ้ง จนไม่คิดจะมีภรรยารอง นี่คงไม่ใช่ความจริง ที่คุณเทียดพริ้งไม่มีทายาทไม่ใช่เพราะร่างกายไม่แข็งแรง แต่เป็นเพราะคุณเทียดเต้ไม่คิดจะเกินเลยเสียมากกว่า
.
คุณเทียดเต้เก็บทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ความสงบ ใช้ชีวิตร่วมภรรยาแต่งตลอดจนวาระสุดท้าย แต่ที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย คุณเทียดเต้ไม่เคยแสดงความรักใดๆกับคุณหญิงพริ้งผู้เป็นภรรยา แม้จะอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา แต่คุณเทียดเต้นั้นไม่เคยค้างบนเรือนของคุณหญิงแม้แต่คืนเดียว
.
นี่คือความจริงที่อาจไม่มีใครเคยรู้ เพราะคนที่รู้เรื่องนั้นไม่คิดจะบอกอะไรออกไป ความคับแค้นใจถูกระบายผ่านตัวอักษรตัวแล้วตัวเล่า ผ่านสายตาของคนรุ่นหลัง
.
ในบันทึกนั้นกล่าวถึงคุณพริ้งเอาไว้พอควร ด้วยเจ้าของบันทึกทราบดีว่า คุณหญิงผู้เป็นภรรยานั้นมีความคับแค้นต่อตนอยู่มาก เท่านั้นยังไม่พอ คุณหญิงพริ้งมีจิตใจอาฆาตมาดร้ายอยู่มากมายนัก
.
ในความที่เขียนไว้นั้น ส่วนหนึ่งบอกว่า เป็นความผิดของตนเองที่มิอาจจะให้ความรักในแบบที่ผู้เป็นภรรยาแต่งต้องการได้ เพราะตนนั้นรักมั่นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของดวงใจเพียงผู้เดียว
.
หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใคร ความผิดนั้นก็คงจะมีเท่าๆกัน แต่สิ่งที่เจ้าของบันทึกไม่อาจยอมรับได้นั่นคือ เหตุใดหญิงสาวผู้เพียบพร้อมจึงมีจิตใจมืดดำ
.
เมื่อคุณชายเต้อ่านเรื่องราวที่บันทึกไว้ผ่านไปพอควร พบเรื่องให้ชวนสงสัยมากมาย ทั้งเรื่องที่กล่าวถึงคนรัก และกล่าวหาตนเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้
.
เรื่องราวบางอย่างที่คุณหญิงพริ้งผู้เป็นภรรยาแต่งกระทำต่อคนรักของตน แต่ตนไม่อาจช่วยคนรักได้ แม้จะพยายามทำดีต่อคุณหญิงพริ้ง พยายามถามความให้รู้แจ้ง แต่คุณหญิงเธอก็ไม่ยอมเชื่อ และไม่ยอมบอกอะไร
.
ความในบันทึกของท่านเทียด กล่าวไว้ว่า คนที่ตนรักถูกจองจำ ท่านได้ความนี้จากปากของคุณหญิงพริ้ง แต่ที่ท่านไม่ทราบนั่นคือ ท่านไม่รู้ว่าคุณหญิงพริ้งได้กระทำการใดไปบ้าง และจองจำคนที่ท่านรักไว้ที่ใด
.
นี่คงเป็นสาเหตุที่ท่านมาบอกตนเองในฝันกระมัง ที่ว่าให้ช่วยคนที่ท่านรัก แต่เมื่อถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ท่านจึงส่ายหน้า เพราะตัวท่านเมื่อครานั้นก็ไม่ทราบความเช่นกัน
.
หลังจากอ่านบันทึกไปบางส่วน เรื่องราวความรัก ความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในเรือนริมน้ำนี้จึงทำให้คุณชายเต้ประจักษ์แก่ใจได้โดยไม่ต้องมีใครบอก
.
คุณชายเต้จำได้ว่า หลังจากได้เปิดกำปั่น และทราบความบางส่วนไปบ้างแล้ว เขาเชื่อว่า คนที่อยู่ในเหตุครานั้นอย่างคุณทวดต้องทราบเรื่องราวเมื่อครั้งหลังเป็นแน่
.
และเรื่องราวเหล่านั้น คงจะต้องถูกสั่งความผ่านมา และคนที่รับเรื่องครานั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคุณยายของตน
.
คุณชายเต้สอบถามเรื่องราวจากคุณยาย แต่ท่านไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าสิ่งที่คุณชายเต้ได้รับรู้จากบันทึก ท่านเพียงกล่าวว่า
.
‘ หลานเปิดกำปั่นของท่านตาแล้วใช่ไหม ยายเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก ยายเองก็เกิดไม่ทันช่วงที่ท่านมีชีวิต แต่เท่าที่ได้ฟังจากคุณทวดของหลาน ท่านเทียดเต้ของหลานน่ะ ท่านต้องเสียคนรักไป เพียงเพราะความริษยา ’
.
คุณยายเล่าความที่ได้รับฟังต่อมาจากผู้เป็นมารดาของตน หรือคุณทวด แม้ว่าท่านจะเกิดไม่ทันช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง แต่ท่านทวดก็ได้รู้เรื่องราวแสนเศร้า ด้วยความที่ท่านติดท่านลุง ซึ่งเป็นพี่ชายของแม่มาก ท่านทวดจึงทราบความจากปากลุงไม่น้อย
.
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ยังให้ความไว้ใจหลานคนนี้มากมายนัก ถึงขนาดฝากฝังเรือนริมน้ำให้ช่วยดูแลต่อ หากตนไม่อยู่ และยังฝากความให้หาทางช่วยเหลือคนที่ท่านรักอีกด้วย
.
คุณทวดพยายามที่จะทำตามความต้องการของท่านลุง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ ด้วยทุกครั้งจะต้องมีบางอย่างเข้ามาขัดขวางเสมอ เมื่อท่านยายโตจนรู้ความ ท่านทวดจึงฝากฝังภาระหน้าที่นี้ต่อให้กับบุตรสาวของตน
.
จนมาถึงคราคุณแม่ของคุณชายเต้เอง เมื่อคุณแม่เล่าความฝันที่ตนฝันถึงท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ผู้เป็นคุณทวด ก่อนที่จะตั้งครรภ์ ท่านฝากให้สานต่อทีสิ่งท่านไม่อาจทำได้ และเมื่อรู้ว่าเด็กน้อยในครรภ์เป็นชาย คุณยายท่านจึงฝากความหวังไว้ที่เด็กน้อย
.
และเมื่อคุณชายเต้เติบโต เค้าโครงหน้าหน้านั้น ยิ่งคล้ายกับท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์เมื่อครั้งยังหนุ่มมากทีเดียว ยิ่งโตก็ยิ่งคล้าย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือแม้กระทั่งนิสัย จนท่านชายตะวันผู้เป็นบิดายังต้องยอมรับ
.
Rrrrrrr.....
.
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ปลุกให้คนที่นั่งอ่านสมุดเล่มเก่าในมือ ให้เงยหน้าขึ้นมอง รายชื่อที่แสดงบนหน้าจอทำให้คุณชายเต้วางสมุดลงอย่างเบามือ
.
“ สวัสดีครับอาจารย์ มีเคสด่วนหรือครับ ”
.
“ ขอโทษทีหมอเต้ ผมโทรมารบกวนเสียดึก ไม่มีเคสด่วนหรอก แต่ผมเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด แล้วนึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้คุณหยุด ”
.
ปลายสายเอ่ยขอโทษ ก่อนจะเริ่มบอกถึงสาเหตุที่ตนโทรมาเสียดึกดื่น แต่คุณชายเต้ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกไป ด้วยทราบดีถึงความจำเป็นในงานที่ตนเลือก
.
“ ไม่เป็นอะไรหรอกครับอาจารย์ ผมเองก็ยังไม่เข้านอน ว่าแต่พรุ่งนี้มีอะไรด่วนหรือครับ ”
.
“ มันก็ไม่เชิงว่าด่วนอะไรหรอกนะ แต่ผมอยากจะรบกวนให้หมอเต้ช่วย คือพรุ่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ เข้ามาฝึกงานที่โรงพยาบาล ผมอยากจะขอให้หมอเต้ช่วยเป็นพี่เลี้ยง คู่กับหมอพริ้ง คุณจะสะดวกไหม ”
.
“ อ้อ พรุ่งนี้หรือครับ ผมจะเข้าไปดูคอปเตอร์เหมือนกันครับ รายนั้นก็ไปฝึกงานเหมือนกัน ”
.
“ อ้อจริงสิ หนูเตอร์ก็เริ่มปีนี้เหมือนกัน ผมนี่คงแก่แล้ว เริ่มหลงลืม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวคงได้เจอเพื่อนๆจากที่อื่น ว่าแต่หมอเต้จะเข้ามากี่โมงล่ะ ”
.
“ โธ่อาจารย์ยังไม่แก่ขนาดนั้นหรอกครับ ”
.
คุณชายเต้หยอกอาจารย์หมอ ซึ่งเป็นแพทย์ที่ปรึกษาของตน เพราะตนเองนั้นกำลังศึกษาเวชเฉพาะทาง จึงขอเรียนรู้จากอาจารย์แพทย์ท่านนี้
.
“ พรุ่งนี้ผมคงเข้าไปสายๆหน่อย ปล่อยให้เจ้าเตอร์ได้เรียนรู้จากพี่ๆท่านอื่นไปก่อน ตอนแรกผมคิดว่าจะแค่เข้าไปให้กำลังใจ ”
.
“ คุณสะดวกหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมส่งให้หมอท่านอื่นก็ได้ ”
.
“ ไม่เป็นไรครับ ผมสะดวก ถือว่าให้น้องๆเขาช่วยรื้อฟื้นความหลังสมัยผมต้องออกฝึกงาน ”
.
“ ถ้าคุณไม่ขัดข้องผมก็ดีใจ ได้ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลมาเป็นพี่เลี้ยงแบบนี้ ”
.
“ โธ่อาจารย์ครับ อย่าล้อเล่นแบบนี้เลย ผมก็แพทย์คนหนึ่งนั่นล่ะครับ ”
.
“ คุณก็ถ่อมตัวตลอด เอาเถอะๆ ผมฝากด้วยนะ เดี๋ยวผมไปฝากเรื่องไว้กับพนักงานก่อน เขาแจ้งผมมาตั้งแต่วันก่อน ผมก็ลืม มัวแต่วิ่งวุ่นเรื่องอื่นอยู่ ”
.
“ ครับอาจารย์ เดี๋ยวสายๆ สักประมาณ 10.00 น. ผมเข้าไปครับ ”
.
คุณชายเต้คุยกับปลายสายอีก 4 – 5 ประโยค ก่อนจะตัดสายไป ปีนี้เป็นปีที่คอปเตอร์ น้องชายบุญธรรมของตนจะเข้าศึกษางานที่โรงพยาบาล เป็นหนึ่งในวิชาที่นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนรู้การทำงานจริงในโรงพยาบาล
.
คุณชายเต้คิดว่าไหนๆก็เป็นวันหยุด จึงจะเข้าไปให้กำลังน้องชาย แต่เมื่อมีงานเข้ามา ตนก็ไม่ได้ขัดข้อง เป็นแพทย์พี่เลี้ยงก็คงดีเหมือนกัน
.
เมื่อคิดได้เช่นนั้น คุณชายจึงเก็บสมุดบันทึกเล่มเก่าใส่กำปั่น ดังเดิม กดล็อคกุญแจที่คล้องอยู่ ของสิ่งเดียวในกำปั่นที่คุณชายเต้พกติดตัวตลอดเวลาคือ นาฬิกาพกเรือนเล็ก
.
ด้วยความรู้สึกลึกๆบอกว่า สักวันหนึ่ง นาฬิกาเรือนนี้ จะพาตนเองไปหาเจ้าของชื่ออีกคนที่สลักไว้ในตัวเรือน
.
.
.
**************************************
.
.
.
เช้าวันใหม่ ที่แสนวุ่นวายสำหรับใครหลายคน คอปเตอร์ในชุดนักศึกษาแพทย์ชั้นปีสุดท้าย พร้อมที่จะออกหาประสบการณ์จริงในโรงพยาบาล
.
“ วันนี้ลูกชายแม่ดูดีนะเนี่ยะ ”
.
หม่อมเนตรดาวผู้เป็นมารดาบุญธรรมทักลูกชายที่กำลังจะออกไปหาประสบการณ์จริง ที่โรงพยาบาลในเครือ
.
“ คุณแม่ ผมก็แต่งตัวแบบนี้ทุกวัน ไม่เห็นมีอะไรแปลกไปสักหน่อย ”
.
“ จ้า ไม่แปลก แล้วลูกจะไปพร้อมแม่เลยไหม ”
.
“ ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า เดี๋ยวใครเขาจะว่าผมเป็นเด็กเส้น ”
.
“ จ้าพ่อคุณ ท่านชายดูสิคะ ดูลูกชายคนนี้ว่า ”
.
“ เอาน่าคุณเนตร ลูกอยากไปเองก็ปล่อยเขาเถอะ เตอร์เองออกเดินทางได้แล้ว เดี๋ยวสายนะลูก หรือรอใครมารับ ”
.
“ ท่านพ่อ ไม่มีใครมารับหรอกครับ ผมไปเอง ”
.
“ อย่างนั้นรึ พ่อนึกว่าลูกจะมีสารถีมารับ เห็นแวะมาขายขนมจีบแถวนี้เสียจนพ่อเบื่อหน้าแล้ว ”
.
“ ท่านพ่อ!!! ”
.
ท่านชายตะวันแหย่ลูกชายบุญธรรม ส่วนคนที่โดนแกล้งนั้นก็ไม่นึกว่าจะโดนท่านพ่อหยอกเล่นอย่างนี้ แม้ปกติแล้วท่านชายตะวันจะเป็นคนสนุกสนาน ไม่ถือยศใดๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะล้อเล่นแบบนี้
.
“ เอาเถอะ ไม่ต้องมาทำหน้าแดงใส่พ่อ พ่อกับแม่ไปทำงานก่อนดีกว่า ไม่อยากเห็นคนหน้าแดง ปากก็ว่าไม่ชอบ พอโดนล้อหน่อยก็หน้าแดง ”
.
“ ท่านพ่อ!!! ”
.
“ หึ หึ ”
.
แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากล้อ แต่ท้ายที่สุดแล้วท่านชายก็หยอกเย้าลูกชายอีกครั้ง ก่อนจะควงแขนหม่อมของตนขึ้นรถไปทำงานตามที่บอกไว้ ปล่อยให้บุตรชายบุญธรรมยืนหน้าแดงอยู่กับเหล่าแม่บ้าน ที่ปิดปากกลั้นยิ้มไปตามๆกัน
.
ส่วนคอปเตอร์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้อีกจึงขอให้คนขับรถช่วยขับรถมาส่งที่ป้ายรถโดยสาร เพื่อเรียกรถไปโรงพยาบาลที่ต้องเข้าฝึกงาน
.
.
.
*****************************
.
.
.
สวัสดีน้องน้องนักศึกษาแพทย์ทุกคนนะคะ พี่ชื่อกิ่ง เป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่ ตอนนี้รับหน้าที่อธิบายโครงสร้างของโรงพยาบาลให้น้องๆทุกคนฟัง แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น พี่ขอทราบชื่อน้องๆก่อนนะคะ จะได้เรียกหากันถูก ”
.
เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายให้แนะนำเบื้องต้นกับศึกษาแพทย์กล่าวต้อนรับ และสอบถามชื่อของแต่ละคน
.
“ สวัสดีครับ ผมก็อต กวีทัศน์ มาจาก...... ครับ”
.
นักศึกษาแพทย์คนแรกแนะนำตัว โดยเจ้าตัวเป็นที่รูปร่างสูง แต่ไม่ได้เก้งก้าง เรียกว่าสูงแต่สมส่วน
.
“ สวัสดีครับ คอปเตอร์ คิรากร จาก... ”
.
“ ครับ ผมสุธีร์ มาจาก.... ”
.
“ ครับผม ตี๋ ตีรณ ครับ มาจากที่เดียวกับก็อตครับ ฝากตัวด้วยครับ ”
.
คนสุดท้ายบอกชื่อตัวเอง พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ทุกคน ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน
.
“ อ้าว มาที่เดียวกับหมอก็อต แล้วทำไมไปนั่งเสียห่างเลยล่ะคะ ”
.
“ เห็นหน้ากันมาหลายปี เรียนคลาสเดียวกันตลอด แถมยังต้องฝึกงานที่เดียวกันอีก เลยขอนั่งห่างๆกันบ้างนะครับ ”
.
ก็อตตอบคำถามพร้อมกับส่งสายตาเล็กๆน้อยให้กับเจ้าหน้าที่คนเดิม
.
“ แหม มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ นึกว่าจะเป็นพวกคร่ำเคร่งกับตำราอย่างเดียว ”
.
“ โธ่พวกผมก็คนธรรมดานะครับ จะให้อยู่แต่กับตำรา มันก็ไม่ไหวหรอกครับ ชีวิตต้องมีสีสันกันบ้าง ใช่ไหมครับหมอเตอร์ ผมเรียกอย่างนี้ได้ใช่ไหมครับ ”
.
ก็อตว่า แถมยังส่งสายตาเจ้าชู้ให้กับคนที่นั่งข้างๆตนเองอีกด้วย ส่วคอปเตอร์ได้แต่พยักหน้ารับว่าสามารถเรียกได้ตามที่อีกฝ่ายขอ
.
“ พอค่ะ พอ อย่าเพิ่งจีบกันให้เก้งอย่างดิฉันอิจฉา เรามาฟังสาระกันก่อนนะคะ เดี๋ยวจบจากนี้ค่อยจีบกันต่อนะคะ ”
.
กิ่งเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแซวว่าที่คุณหมอ โดยเฉพาะก็อต ที่มีท่าทีจะจีบคอปเตอร์ตั้งแต่แรก
.
“ ตามที่ทราบนะคะ น้องนักศึกษาแพทย์มีกันแค่สี่คน เพราะทางเรารับแค่จำนวนจำกัด น้องๆทุกคนจะมีแพทย์พี่เลี้ยง โดยพี่จะให้น้องจับกลุ่มกันนะคะ ว่าใครจะอยู่ใคร พี่ไม่บังคับนะคะ ”
.
เมื่อกิ่งอธิบายจบ ก็อตเลือกที่จะคู่กับคอปเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างกัน โดยให้เหตุผลว่า อยากแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะตนเองและตี๋นั้นมาจากที่เดียวกันอยู่แล้ว ทำให้ตี๋ และสุธีร์ ซึ่งมาจากที่เดียวกับคอปเตอร์ได้คู่กัน
.
เมื่อจับคู่กันเสร็จ กิ่งจึงอธิบายเรื่องที่ควรทราบต่างๆให้ว่าที่แพทย์ทั้งสี่ฟัง โดยใช้วีดิทัศน์ แต่ไม่ได้พาไปชมสถานที่จริง เพราะอยากให้นักศึกษาแพทย์ได้พยายามด้วยตัวเอง
.
“ เอาล่ะค่ะ ตอนนี้พี่จะแจ้งชื่อของพี่เลี้ยงของน้องๆแพทย์ฝึกหัดทั้งสองกลุ่มนะคะ กลุ่ม น้องหมอเตอร์ กับน้องหมอก็อต ส่งตัวแทนออกมาจับฉลากค่ะ เช่นกันจ้า กลุ่มน้องหมอตี๋ กับน้องหมอสุธีร์ ส่งตัวแทนมาเลยจ้า ”
.
ก็อตเป็นผู้ออกมาจับฉลาก ส่วนอีกกลุ่ม สุธีร์เป็นคนออกมา
.
“ เปิดเลยจ้า ใครได้หมอคนไหนเป็นพี่เลี้ยง ”
.
“ ของผมพญ. สุภัทร วิจิตธาร ครับ ”
.
ก็อตอ่านชื่อในฉลากที่ตนเองจับได้
.
“ ของกลุ่มผม นพ.มรว. เตชณัฐ อภิบาลบริรักษ์ ครับ ”
.
สุธีร์อ่านชื่อที่ตนจับได้
.
“ กลุ่มน้องหมอก็อต กับน้องหมอเตอร์ ได้หมอพริ้งเป็นพี่เลี้ยง ส่วนกลุ่มของน้องหมอสุธีร์ กับน้องหมอตี๋ ได้คุณชายหมอเต้นะคะ อีกเดี๋ยวคุณหมอทั้งสองท่านจะเข้ามาแนะนำตัวให้รู้จักนะคะ ใครมีอะไรสงสัย อยากถามถามได้เลยนะคะ คุณหมอทั้งสองท่านนี้จะเป็นพี่เลี้ยงให้จนน้องแพทย์ฝึกหัด ฝึกงานจบเลย ”
.
ตี๋นิ่งไปตั้งแต่ได้ยินชื่อที่เพื่อนใหม่อย่างสุธีร์อ่าน เขาไมรู้ว่าตนเองเป็นอะไร แต่ใจนั้นเต้นแรงจนเจ็บ ความรู้สึกโหยหา ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ไม่เคยพบ หรือรู้จักเจ้าของชื่อมาก่อน
.
เสียงของเจ้าหน้าที่ดังผ่านหูไป โดยที่ตนเองไม่อาจจับใจความใดๆได้ แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่บานประตู ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกำลังรอคอยสิ่งสำคัญ จนไม่อาจจะละสายไปได้
.
เสียงเปิดประตูเพียงแผ่วเบา พร้อมกับคนที่ก้าวเข้ามา คนแรกเป็นหญิงสาวใบหน้างดงาม แต่ก็ไม่ดึงดูดความสนใจของคนที่ตกอยู่ในภวังค์ไปได้
.
แต่สำนึกลึกๆในใจบอกว่าให้หนี แต่สองเท้ากลับก้าวไม่ออก จนกระทั่งหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง ร่างกายที่เริ่มเครียดเกร็งกลับสั่นน้อยๆ แต่ยังไม่ทันให้ใครได้สังเกตเห็น ก็มีสิ่งดึงดูดสายตาไปเสียก่อน
.
คุณชายเต้เปิดประตูตามหลังคุณหมอสุภัทร เพื่อนร่วมวิชาชีพ ก่อนจะเดินมาหน้าห้องประชุมเล็กที่ใช้ต้อนรับนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด
.
ก่อนที่จะเข้ามานั้น นาฬิกาเรือนเล็กที่พกติดตัวคล้ายจะสั่นไหวอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ทั้งที่ก่อนหน้า ไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจของตนก็เช่นกัน
.
ใจที่เคยนิ่งสงบ กลับเต้นระรัวขึ้น ราวกลับกำลังตื่นเต้นดีใจ เขาก็ไม่รู้สาเหตุที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองเช่นกัน
.
จนกระทั่งวินาทีที่เปิดประตูให้หมอสุภัทร แล้วก้าวเดินตามเข้ามาให้ห้อง ใจที่เต้นระรัวอยู่ก่อนหน้า ก็ยิ่งเต้นแรงกว่าเดิมจนรู้สึกเจ็บ แต่สิ่งที่ได้เห็นหลังจากก้าวมาอยู่หน้าห้อง ก็เป็นสิ่งที่ตอบทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
.
ใบหน้าของใครบางคนที่ส่วนลึกในใจยังคงจำได้ แม้ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ เป็นความรู้สึกของตนเอง หรือความรู้สึกของท่านเทียด แต่มันคือความยินดีจนไม่อาจบรรยายได้
.
ตี๋มองหน้าของคนที่ก้าวตามหลังคุณหมอสาว ใจที่เคยหวาดกลัวหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาก่อนหน้านั้น ค่อยๆผ่อนคลายลง
.
“ พี่เต้ ”
.
ประโยคสุดท้ายที่ออกจากปาก ก่อนที่เจ้าของเสียงจะทรุดฮวบลงไป พร้อมกับหยดน้ำใสที่ไหลออกมา
.
“ ตี๋!!! ”
.
แม้จะเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก แต่ชื่อที่ออกจากจิตสำนักภายในก็ทำให้คุณชายเต้ร้องเรียกอีกคนออกมา พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาคว้าร่างเล็กของอีกคนไว้ทันก่อนจะล้มลง
.
อ้อมกอดอุ่นที่คุ้นเคย ทำให้ตี๋ปรือตาขึ้นมอง รอยยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้า ก่อนที่สติสุดท้ายจะหลุดลอยออกไป
.
.
.
.
.
*******************************************
.
.
.
.
.
อธิบายเพิ่ม
.
(1) ลื่อ = ลูกของเหลน
.
.
(ขอใส่ผังลำดับญาติไว้เพื่อให้ไม่งงกันนะขอรับ)
.
.
.
.
นักแสดงเพิ่มเติม
.
.
ก็อต กวีทัศน์ (กะ – วี – ทัด) = มีความคิดเห็นฉลาด
.
ตี๋ ตีรณ (ตี – รน) = ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ
.
สุธีร์ (สุ – ที) = คนมีปัญญา , นักปราชญ์
.
สุภัทร (สุ – พัด) = ดีงาม , ประเสริฐ
.
ตะวัน (ตะ – วัน ) = ดวงอาทิตย์ , พระอาทิตย์
.
เนตรดาว (เนด – ดาว) = ผู้มีดวงตางดงามดุจดวงดาว
.
.
.
********************************
.
.
.
สวัสดีขอรับ กลับมารายงานตัวอีกครั้ง
.
สำหรับตอนนี้ พี่เต้ กับ น้องตี๋ได้เจอกันแล้ว (แม้จะแป๊ปเดียว)
.
ข้าเจ้าต้องขออภัยในเรื่องการออกฝึกงานของนักศึกษาแพทย์ หากว่ามันผิดไปจากความเป็นจริง ข้าเจ้าน้อมรับขอรับ เนื่องด้วยข้าเจ้าไม่ทราบจริงๆว่า นักศึกษาแพทย์ที่ออกฝึกงานนั้น เขามีแพทย์พี่เลี้ยงหรือไม่
.
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม
.
ขอบคุณทุกกำลังที่ส่งมา
.
ขออภัยหากมีคำผิด รบกวนแจ้งได้ทันที ข้าเจ้าจะรีบไปแก้ให้ไว
.
รบกวนติดตามตอนต่อไป
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์................
.
.
Mariner_IX
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 11 (29/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-10-2018 18:21:21
 o13

ได้เจอกันแล้ว ดีใจ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 11 (29/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-10-2018 22:28:58
ได้เจอกันสักทีนะ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 11 (29/10/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 30-10-2018 15:30:05
   Billie : ขอบคุณจ้า

        snowboxs : ขอบคุณจ้า

 +1 จ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 12 (4/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 04-11-2018 17:00:08
ตอนที่ 12

.
.
.
.
ความหนหลัง

.
.
.
.
เพดานสีเขียวอ่อนสบายตา คือสิ่งแรกที่เห็นเมื่อดวงตาเปิดเพื่อรับภาพ ตี๋กระพริบตาเพื่อปรับแสงอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้น
.
“ เป็นอย่างไรบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง ”
.
“ ดีแล้วครับ ผมเป็นอะไรครับ ”
.
“ แกเป็นลมไงเพื่อนตี๋ บอกแล้วว่าให้มาก่อนล่วงหน้า จะได้พักชิวๆ ”
.
ตี๋ถามคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง แม้เหมือนจะคุ้นหน้า เหมือนเคยรู้จัก แต่ก็ยังไม่รู้จัก แต่คนที่ตอบคำถามกลับเป็นก็อต เพื่อนของตี๋ที่อยู่เฝ้าเพื่อน เป็นคนตอบแทน
.
“ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วนี่นา ”
.
“ แล้วไงล่ะ เป็นไง ทีนี้เชื่อหรือยัง ว่าควรมาก่อน”
.
ก็อตว่า เพราะคบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็อตจึงรู้จักเพื่อนดี และรู้ว่าตี๋มักจะขี้ลืม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คือทั้งคู่เดินทางมาเข้าพักที่ห้องพัก เพื่อเตรียมตัวเข้าฝึกหัดการเป็นแพทย์
.
แต่ตี๋นั้นลืมหยิบหนังสือส่งตัวมาส่งโรงพยาบาล และไม่ใช่ว่ารู้ตอนกลางวัน คือมารู้ว่าลืมก็ตอนเตรียมเอกสารที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น ทำให้ต้องกลับไปเอา
.
แถมระหว่างทางเจออุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถผ่านทางได้ กว่าจะไป กว่าจะกลับ แม้ว่าระยะทางไม่ห่างกันมาก แต่เมื่อเจอเหตุขวางถนน กว่าจะได้กลับห้องพักก็เกือบเช้า
.
พอกลับมาถึงทั้งก็อต และตี๋ต้องเตรียมตัวมาโรงพยาบาล ตัวก็อตนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะได้หลับมาในรถบ้าง บอกให้ผลัดกันขับ ตี๋เองก็ไม่ยอม เพราะเกรงใจเพื่อน ที่มาด้วยแล้วยังต้องช่วยขับรถให้ ทั้งที่เป็นความสะเพร่าของตัวเอง สุดท้าย ตี๋จึงเป็นคนขับเองทั้งไปและกลับ
.
“ จ้าคุณเพื่อน คราวหลังจะไม่เถียงแล้ว ”
.
ตี๋ทำเสียงล้อเลียนเพื่อนตัวเอง และรับสมอ้างตามที่เพื่อนว่า ตนวูบไปเพราะไม่ได้นอนเมื่อคืน ตนเองไม่อยากจะให้เพื่อนกังวล จึงไม่คิดแก้ความเข้าใจผิดนั้นว่า จริงๆแล้วตนเองนั้นไม่ได้หมดสติเพราะไม่ได้นอน แต่ที่สิ้นสติไปก็เพราะความรู้สึกกลัวที่มันบีบคั้นอยู่ภายใน
.
คุณชายเต้มองก็อต และตี๋หยอกล้อกันด้วยความสนิทสนม โดยไม่ได้แทรกอะไร ทั้งที่ในใจนั้นสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเป็นความกลัว ว่าจะสูญเสียของรักไป
.
“ ขอบคุณ คุณชายหมอมากนะครับ ที่ช่วยพาเพื่อนผมมา ”
.
“ ไม่เป็นไรครับ แล้วก็เรียกชื่อผมอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องเรียกเสียเต็มยศขนาดนั้น ปล่อยให้คุณกิ่งแกเรียกไปคนเดียวเถอะ เพราะคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน สนิทกันไว้จะดีกว่า ”
.
ก็อตขอบคุณ คุณชายเต้ ที่พาเพื่อนของตนมานอนพักในห้องตรวจของคุณหมอเอง ส่วนคุณชายเต้ก็ไม่อยากให้ใครเรียกตนเองยาวๆ แบบกิ่ง เพราะกิ่งนั้นเป็นเพื่อนกับตนเองมาก่อน แล้วเพื่อนคนนี้ก็ชอบอะไรที่มันไม่เหมือนคนอื่น
.
“ เดี๋ยวรอให้น้ำเกลือหมดก่อนค่อยกลับนะครับ ตอนนี้เพื่อนคนอื่นกลับไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเรียนรู้งาน ”
.
“ ขอบคุณครับ ”
.
ก็อตและตี๋ขอบคุณ คุณหมอเจ้าของห้อง ส่วนคุณชายเต้ก็รับไหว้ขอบคุณของนิสิตแพทย์ทั้งคู่ แล้วจึงตัดใจเดินออกมานั่งที่โต๊ะตรวจแทน
.
ก็อตนั้นปล่อยให้เพื่อนนอนพักไป ไม่ได้กวนอะไร แต่เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเริ่มออกอาการอยู่ไม่สุข
.
“ เป็นอะไรของแกวะไอ้ก็อต เดี๋ยวมองนาฬิกา เดี๋ยวมองขวดน้ำเกลือ ”
.
“ ไอ้ตี๋ ถ้ากูจะเร่งน้ำเกลือ มึงจะโอเคไหม ”
.
“ อ้าวไอ้นี่หาเรื่องกูล่ะ จะบ้าหรือไง กูช็อกขึ้นมาทำไง ”
.
ตี๋ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าก็อตออกอาการอยู่ไม่สุข เดี๋ยวมองขวดน้ำเกลือ เดี๋ยวก้มดูเวลา และเมื่ออยู่กันเฉพาะเพื่อน สรรพนามที่ใช้เรียกกันก็เปลี่ยนไป
.
“ เพราะกูรู้ไง กูถึงไม่ทำ ไม่งั้นทำไปนานแล้วล่ะ มันจะได้หมดเร็วๆ ”
.
“ มึงจะรีบไปไหนวะ ถ้ารีบอ่ะมึงไปก่อนได้เลยเว้ย เพราะตอนนี้น้ำเกลือเหลืออีกค่อนขวด หยดขนาดนี้ กว่าจะหมด เกือบค่ำล่ะมึง ”
.
ตี๋บอกก็อต เพราะน้ำเกลือในขวดเหลืออีกมาก และกว่าจะหมดก็ต้องใช้เวลา เพราะถ้าเร่งน้ำเกลือมากไปอาจทำให้ช็อกได้
.
“ กูเห็นแล้ว มึงจะย้ำทำแมวอะไร เดี๋ยวกูถอดเข็มออกไปเททิ้งก่อน แล้วมาเจาะให้มึงใหม่เลยนี่ ”
.
“ เอ๊าไอ้คุณเพื่อน มึงจะทำกูได้เหรอ กูเป็นคนป่วยนะโว้ย ว่าแต่มึงดูเวลานี่ มึงมีนัดอีกแล้วใช่ไหม ”
.
“ เอออ่ะดิ กูเพิ่งนึกได้ตอนอ่านไลน์เมื่อกี้ ”
.
“ เอ๊า งั้นมึงก็ไปดิ เคยพลาดด้วยมึงอ่ะ เด็กมาหาขนาดนี้ ”
.
“ ไอ้นี่พูดซะกูเสียหาย น้องเขาเสนอ กูก็แค่สนองเปล่าวะ แล้วมึงจะให้กูทิ้งมึงไปหาสาว ทั้งที่เพื่อกูนอนแดกน้ำเกลือเนี่ยะนะ ”
.
ก็อตกับตี๋เถียงกันอยู่ในห้อง ส่วนคุณชายเต้ก็นั่งฟังเงียบๆ ไม่คิดจะเอาไปแทรก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของเพื่อน และถึงจะบอกว่าเถียงกัน แต่ก็ใช้เสียงเบาๆ หากเป็นตนเองนั้นได้ยินเสียเอง
.
“ มึงไปเหอะ นี่โรงพยาบาลนะโว้ย แล้วกูก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่วูบเอง นี่ดีขึ้นมาแล้ว อีกอย่างห้องพักก็อยู่แค่นี้เอง เดินไปก็ถึง มึงไปเหอะ กูไม่อยากขัดความสุขที่ต้องระบายของเพื่อน ”
.
“ ไอ้นี่ พูดจาให้เข้ากับหน้าตาหน่อยดิวะ หน้าตาก็ดี แต่ปากนี่ฟาร์มหมาชัด ”
.
ก็อตว่าเพื่อน ตี๋เป็นคนที่หน้าตาดี แม้ว่าจะมีเชื้อจีนมาจากต้นตระกูล แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตาตี่เป็นอาตี๋ โครงหน้าละมุนด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างพ่อ และแม่ ดูไม่แข็งกระด้างอย่างผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้ดูอ่อนหวานเหมือนผู้หญิง แต่อยู่ที่ตรงกลางของความพอดี
.
“ กูเป็นห่วงมึงนะ กลัวไม่ได้ฟันหญิง มึงไปเหอะ คุณชายหมอก็อยู่ เกิดเป็นอะไรไป เขาคงไม่ปล่อยให้กูตายหรอก ”
.
“ มึงไม่เป็นไรแน่นะ ”
.
“ เออไม่เหอะ กูไม่เป็นไร ได้น้ำเกลือช่วยขนาดนี้ กูสดชื่นมาก ”
.
“ เออๆ ดูแลตัวเองนะมึง เดี๋ยวกูฝากมึงไว้กับคุณชายหมอ มึงก็อย่าทำหมาในปากหลุดให้เขาเห็นนะ ”
.
“ ไอ้ก็อต!!! ”
.
แม้ก็อตจะไม่อยากไปเท่าไหร่ เพราะห่วงเพื่อน แต่เมื่อเห็นว่าตี๋ไม่ได้เป็นอะไรมาก และเห็นว่าเพื่อนอยู่กับคุณหมอ ก็คลายใจไปบ้าง เขาจึงตัดสินใจรับคำชวนของคนในโทรศัพท์ แต่ก็แอบว่าเพื่อนก่อนไป
.
“ คุณชายหมอครับ ผมขอรบกวนฝากเพื่อนด้วยนะครับ พอดีผมมีธุระครับ ”
.
“ เรียกแค่ชื่อดีกว่าครับ เอาเถอะครับ มีธุระก็ไปทำก่อน เพื่อนเราก็ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวน้ำก็หมดแล้ว ไม่ได้รบกวนอะไร ”
.
“ ขอบคุณครับ ตี๋ฉันไปก่อนนะ ผมขอตัวก่อนครับ ”
.
ก็อตขอบคุณ คุณชายเต้ที่รับปากจะดูแลเพื่อนต่อให้ ก่อนจะตะโกนบอกลาเพื่อน แล้วจึงขอตัวกลับไปธุระตามที่บอกไว้
.
เมื่อก็อตเดินออกไป คุณชายเต้จึงเดินเข้ามาดูคนที่นอนอยู่บนเตียง ตาคมมองดูหยดน้ำเกลือ เมื่อเห็นว่ายังหยดตามปกติ จึงหันมามองคนบนเตียงตรวจแทน
.
วงหน้าที่อยู่ในความทรงจำ ความรู้สึกเบื้องลึกนั้นช่างรุนแรงจนตัวเองยังแปลกใจ เพราะมันใจว่าไม่เคยเจอ หรือรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน แต่ความรู้สึกนั้นกับโหยหา แต่เมื่อได้ฟังคำสนทนาที่แสดงความสนิทสนมของเพื่อน ยิ่งทำให้ใจเจ็บ
.
“ ตี๋... ”
.
เสียงเรียกแผ่วเบานั้นทำให้คนที่แกล้งหลับลืมตาขึ้นมอง ใจดวงน้อยเจ็บปลาบเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่เหมือนตัดพ้อของคนเรียก
.
“ พี่เต้... ”
.
เพียงคำเดียวที่ออกจากปาก ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกรวบกอดจากคนที่ยืนอยู่ อ้อมกอดที่คุ้นเคย กลิ่นไอที่คุ้นชิน ทำให้ตี๋ยกมือขึ้นกอดตอบ แทนที่จะผลักไสคนที่เพิ่งเจอหน้า แต่กลับมารวบกอดตนเอง
.
“ พี่ขอโทษ พี่ดูแลเจ้ามิดี ”
.
คำที่พูดมานั้นคุณชายเต้ไม่แน่ใจว่าเขาขอโทษทำไม ทั้งที่ตนเองเพิ่งได้พบหน้า แต่ทำไมต้องขอโทษ และบอกว่าดูแลไม่ดีด้วย
.
“ มิใช่ความผิดของคุณพี่ หากว่าน้องนั้นบุญน้อยเอง ”
.
เมื่อได้ฟังคำขอโทษ ตี๋เองก็ตอบรับกลับไป ซึ่งตนเองก็ยังแปลกใจ เขาไม่แน่ใจว่าตนเองพูดอะไรออกไป สิ่งที่พูดนั้น มันเหมือนออกมาจากความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้
.
ไม่เพียงแค่คำพูด แต่น้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย มันเป็นความโหยหา ความเศร้า อาดูร ที่ออกมาจากเบื้องลึกของความรู้สึก
.
.
.
.
.
******************************
.
.
.
.
.
ร่างงามก้าวขึ้นเรือนริมน้ำที่เคยหมายมาดมาหลายครา แต่มิเคยได้ขึ้น มาหนนี้ หน้าเรือนมิได้มีอ้ายอีตัวใดคอยเฝ้าเช่นเคย
.
เสียงสะอื้นไห้ที่ดังแว่วผ่านมา ทำให้มุมปากสีชาดยกยิ้มพอใจ เจ้าของร่างกรีดกรายเข้ามาจนถึงหน้าเรือนนอน
.
“ คุณพริ้งขึ้นมาแต่เมื่อใดขอรับ ”
.
เสียงของบ่าวในเรือนทำให้คุณพระหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้าใหม่ ภรรยาแต่งของตนยืนยกยิ้มสมใจ โดยมีบ่าวคนสนิทอยู่ด้านหลัง พระอภิบาลบริรักษ์บรรจงวางร่างเย็นซีดลงอย่างแผ่วเบา ก่อนเอ่ยถามความผู้มาใหม่
.
“ เธอมาที่เรือนนี้ด้วยความใดแม่พริ้ง ”
.
“ ทำไมรึเจ้าคะ เรือนของผัว มันก็เหมือนเรือนของเมีย อิฉันเป็นเมียคุณพี่ เหตุใดจักมาผัวมิได้เล่า ”
.
“ แต่ที่นี่มิต้อนรับเธอ กลับไปเสีย ”
.
“ กระไรหรือเจ้าคะ อิฉันเห็นว่าเรือนเงียบไป จึงเป็นห่วงแวะมาถามความ เหตุใดคุณพี่จึงตัดรอนน้องเยี่ยงนี้เล่า ”
.
แม่พริ้งว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจักร้องไห้ เมื่อโดนคุณพระหนุ่มตัดรอน อย่างมิคิดจักไว้หน้า พร้อมกลับพาตนเองก้าวมายืนข้างสามีในนามของตน
.
“ แม่พริ้งเธอ.... ”
.
คุณพระเอ่ยได้เพียงนั้น ก็เหมือนจะพูดกระไรต่อมิได้ เหมือนคนที่กำลังเจ็บ และต่อสู้อะไรบางอย่าง ส่วนแม่พริ้งเธอยิ้มอย่างยินดี เมื่อเห็นอาการของคุณพระผู้เป็นสามี
.
“ เจ็บรึไม่เจ้าคะ ถ้าเจ็บอย่าฝืนสิเจ้าคะคุณพี่ ยิ่งคุณพี่ฝืน จะยิ่งเจ็บนะเจ้าคะ ”
.
แม่พริ้งว่าเมื่อเห็นอาการเจ็บปวดที่แสดงออกทางสีหน้าของคุณพระ เมื่อคุณพระมิยินยอมตามที่เธอต้องการ
.
“ คุณพริ้งทำกระไรคุณพระขอรับ ”
.
“ มิใช่ความของพวกมึง อย่าสอดหากยังไม่อยากตาย แต่จะว่าไป อีกมินานพวกมึงก็จักเป็นต้องเหมือนมัน ”
.
นายผลที่เห็นว่าคุณพระมีอาการมิใคร่ดี จึงถามความจากคุณพริ้ง ว่าเธอทำกระไรนายเรือนริมน้ำ แต่สิ่งที่คุณพริ้งตอบ ทำให้บ่าวเรือนริมน้ำขนลุกทั้งร่าง
.
“ เธอหมายความว่าเยี่ยงไรแม่พริ้ง ”
.
“ ก็หมายความตามที่อิฉันว่าไปนั่นล่ะเจ้าค่ะ มีความใดไม่แจ้งรึเจ้าคะ ”
.
คุณพระถามเมื่อได้ฟังคำของภรยาแต่งด้วยความไม่เข้าใจ แต่แม่พริ้งเองก็ตอบเช่นเดิม มิยอมให้ความกระจ่างแต่อย่างใด
.
“ เธอทำกระไรตี๋กระนั้นรึแม่พริ้ง ”
.
“ เหมือนจะเข้าใจความนี้แล้วนี่เจ้าคะ ใช่เจ้าคะ คุณพี่เข้าใจมิผิด แต่จักโทษอิฉันก็มิควรดอกเจ้าค่ะ คงต้องโทษตัวคุณพี่เอง หากคุณพี่มิทำเยี่ยงนี้กับอิฉัน อิฉันก็คงไม่ทำดอกเจ้าค่ะ ”
.
คุณพริ้งเธอว่า แต่ยังมิยอมปล่อยมือจากคุณพระผู้เป็นสามี แม้คุณพระจักพยายามฝืนตัวออก แต่ก็มิอาจสู้แรงได้
.
“ เพราะคุณพี่มิไยดีอิฉัน แลยังทำบัดสี กับบ่าวชาย อิฉันมิงามตรงใดเจ้าคะ คุณพี่จึงมิยอมร่วมหอกับอิฉัน แลบ่าวสาวในเรือนมีมากมาย หากคุณพี่จักชอบพอ อิฉันก็ไม่ได้ขัดข้อง แต่คุณพี่กลับเลือกไอ้ขี้ข้านี่ คุณพี่จักให้อิฉันเอาหน้าไปไว้ที่ใดเจ้าคะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ”
.
คุณพริ้งระบายความในอก ที่เก็บเข้าในใจมาหลายเพลา ด้วยน้ำเสียงที่แค้นเคือง ที่มิอาจทำให้สามีหันมามองตนเองได้
.
“ ฉันบอกเธอแต่แรกแล้วมิใช่รึ ว่าฉันมิได้ชอบพอเธอ แลฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้ว แต่เธอก็ดึงดันจักแต่ง ทั้งที่เธอจักปฏิเสธเสียก็ได้ ”
.
“ กระไรรึเจ้าคะ อิฉันรักคุณพี่ เหตุใดอิฉันจักมิเลือกคุณพี่เล่า ”
.
“ เยี่ยงนี้เธอจักโทษใครได้เล่า ในเมื่อเธอเลือกเยี่ยงนี้เอง แลเธอก็มิได้รักฉันดอก เธอเพียงต้องการเอาชนะฉันก็เท่านั้น ”
.
คุณพระฝืนพูด แม้ว่าจะเจ็บในกายเพียงใด แต่ก็มิยินยอมจักตกอยู่ภายใต้อำนาจที่โดนบังคับทำ คุณพระพยายามจักตั้งจิตให้นิ่ง ตามที่เคยเล่าเรียนเมื่อคราบวชเป็นพระ เพื่อมิให้ตนเองต้องตกเป็นอยู่ใต้อำนาจที่โดนกระทำ
.
“ คุณพี่จักพูดกระไรก็พูดเถิดเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวคุณพี่ก็จักต้องรักอิฉัน ”
.
คุณพริ้งว่า เพราะแม้คุณพระจักพยายามต่อต้านอำนาจคุณไสยที่เธอทำ แต่สุดท้ายอีกมินาน ก็จักต้องตกอยู่ให้อำนาจของเธอ
.
“ แล้วอีกอย่างนะเจ้าคะ ถึงมันจะตายไปแล้ว อิฉันก็มิยอมให้มันไปดีดอกเจ้าค่ะ มันจักต้องทรมานมากกว่าที่อิฉันเป็น มันจักมิได้ไปผุดไปเกิด แลอ้ายอีที่เรือนนี้ จักต้องตายตกไปตามกัน ”
.
คุณพริ้งว่าพลางชี้หน้าบ่าวทุกคนบนเรือน พร้อมกับเรื่องที่เธออาฆาตไว้ว่า แม้ว่าคนที่สิ้นใจไปแล้ว เธอก็จักมิยอมปล่อย
.
“ ทำไมใจเธอจึงโหดร้ายเยี่ยงนี้แม่พริ้ง ”
.
คุณพระที่พยายามครองสติเอาไว้ให้มั่น แต่ก็มิอาจจะทำได้นาน เพราะความเจ็บปวดที่รุมเร้า จนแทบจักมิอาจจะประคองสติไว้ได้อีก เมื่อความเจ็บนั้นกำลังจะดึงให้ตนสิ้นสติ
.
“ พอเสียทีเถิดแม่พริ้ง ”
.
เสียงที่ดังขึ้นหน้าเรือน ทำให้ทุกคนหันมามองผู้ที่มาใหม่เสียพร้อมกัน คุณหญิงพิมเดินขึ้นเรือนมาพร้อมบุตรสาวคนรองของท่านพระยาผู้เป็นสามี
.
“ นี่มิใช่การใดของคุณแม่นะเจ้าคะ ความนี้เป็นเรื่องของผัวเมีย มิใช่เรื่องความคุณหญิงแม่แม้แต่น้อย ”
.
“ หากเป็นเพียงเรื่องผัวเมียเช่นที่แม่พริ้งว่า แม่ก็จักมิยุ่ง แต่เห็นที่เรื่องที่แม่พริ้งกระทำอยู่ตอนนี้ แม่คงมิยุ่งมิได้ แม่พริ้งกำลังก่อกรรมมิรู้ตัวดอกรึ เลิกเสียเถิด อย่าได้ก่อกรรมเยี่ยงนี้อีกเลย ”
.
คุณหญิงพิมเอ่ยขอกับคุณพริ้ง ขอให้เลิกในสิ่งที่ทำเสีย เพื่อมิให้เป็นการก่อเวร สร้างกรรมให้กับตนเองอีก
.
“ นี่หรือเจ้าคะที่ว่าไม่ยุ่ง คุณหญิงแม่กำลังก้าวก่ายเรื่องในเรือนของอิฉันกับคุณพี่ มิรู้ตัวเลยเจ้าคะ ”
.
คุณพริ้งเธอว่า เพราะการที่คุณหญิงยื่นมาเข้ามาขัดขวางการที่เธอต้องการนั้น ก็เป็นเหมือนก้าวก่ายเรื่องในเรือนของเธอ
.
“ หากเธอมิหลงผิด แม่คงมิก้าวก่ายเรื่องในเรือนแม่ดอก ไอ้ผล เอ็งน้ำมนต์นี่ไปให้พ่อเต้ ”
.
“ อีปริก ”
.
คุณหญิงพิมว่า พร้อมกับส่งขันน้ำมนต์ให้กับบ่าวของบุตรชาย แต่คุณพริ้งก็เรียกให้บ่าวของคนเข้าขัดขวาง ด้วยสังหรณ์ว่าน้ำมนต์นั้นจักช่วยล้างคุณไสยของเธอได้
.
“ เอาสิ หากมึงเข้ามากูจักขอลองตบผู้หญิงเสียครานี้ ”
.
นายสุกปราดเข้ามาขวางมิให้นางบ่าวเข้าถึงขันน้ำมนต์ที่คุณพิมยื่นให้เพื่อนบ่าว แต่นางปริกนั้นก็มิฟัง จะพยายามเข้าไปแย่งเสียให้ได้
.
คุณพริ้งเองเมื่อเห็นว่าบ่าวมิอาจทำตามใจได้ เธอจึงพยายามแย่งเสียเอง แต่นางมานั้นก็มิยอมให้เธอผ่านเข้ามาแย่งได้เช่นกัน
.
“ พวกมึงอยากตายกันเสียพร้อมกันกระนั้นรึ เยี่ยงนั้นก็ตายเสียพร้อมกันในเพลานี้ รักกันนักมิใช่รึ ”
.
เมื่อเห็นว่ามิอาจสู้ได้ คุณพริ้งเธอจึงใช้คุณไสยที่เธอทำไว้ก่อนหน้า สั่งให้คุณคนที่ขวางหน้าเธอตายตกไปตามกัน
.
เพียงสิ้นคำสั่งให้ตาย นายสุกนั้นก็ปล่อยมือจากผมของนางปริก นางมาทรุดตัวลงไปที่พื้นเรือน นายผลที่กำลังประคองขันน้ำมนต์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อจักส่งขันน้ำมนต์ให้นายของตน ก่อนจะสิ้นลมต่อหน้าของคุณพระที่รับขันน้ำมนต์ขึ้นดื่ม
.
กรี๊ด.....
.
คุณพริ้งกรีดร้องเมื่อคุณพระดื่มน้ำมนต์ในขันนั้นแล้ว บุตรสาวคนรองที่มาพร้อมคุณหญิงพิมเข้าประคอง เมื่อเห็นว่าคุณหญิงพิมตระหนกกับเสียงของคุณพริ้ง
.
“ แก่ก็มิอยู่ส่วนแก่ คุณหญิงทำเยี่ยงนี้อย่าหาว่าอิฉันร้ายนะเจ้าคะ อีปริกกลับ ”
.
คุณพริ้งว่า พร้อมกับเรียกบ่าวของตนกลับเรือน ทิ้งให้ความเศร้า และความสูญเสียมาเยือนเรือนริมน้ำ เมื่อมิใช่แค่คนเดียวที่ต้องจักต้องจากไปเพราะความเคืองแค้น แต่เป็นบ่าวเรือนริมน้ำที่จงรักภักดีต่อนายของตนเสียทั้งหมด
.
“ พ่อเต้เป็นเยี่ยงไรบ้าง แม่กลิ่นช่วยแม่ที ”
.
คุณหญิงพิมเข้ามาประคองบุตรชาย ที่มีสติมากขึ้น
.
“ ขอบคุณคุณแม่ใหญ่ขอรับ หากมิได้คุณแม่ช่วย ลูกคงตกอยู่ใต้อำนาจคุณไสยเป็นแน่ ”
.
“ แม่พริ้งเธอร้ายนัก แม่มิคิดว่าเธอจะใจคอโหดร้ายเยี่ยงนี้ ฆ่าคนโดยมิรู้สึกรู้สากระไร แม้แต่เด็กน้อยในท้องก็มิคิดละเว้น ”
.
คุณหญิงพิมว่า พร้อมกับมองร่างบ่าวผู้ซื่อสัตย์ ที่ยอมปกป้องนายจนตนเองต้องสิ้นลมหายใจ แลที่น่าอนาถใจคงเป็นบ่าวหญิงเพียงคนเดียวที่กำลังตั้งครรภ์
.
“ พวกเขาซื่อสัตย์ต่อลูกมากเหลือเกินขอรับ ลูกมิรู้จักตอบแทนพวกได้เยี่ยงไร ”
.
คุณเต้เอ่ยกับมารดา พร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจ คราแรกนั้นต้องเสียคนที่เป็นดั่งดวงใจ แล้วยังต้องมาสูญเสียบ่าวผู้ซื่อสัตย์ จนแม้แต่ชีวิตก็ให้ได้เยี่ยงนี้
.
“ จัดงานให้สมเกียรติที่เขาเสียสละตนเองเพื่อลูก แลช่วยเหลือครอบครัวที่เหลือของเขาตามสมควร หรือลูกเห็นควรประการใด ก็กระทำตามนั้นเถิดพ่อ ”
.
“ ลูกคงจักต้องรบกวนคุณแม่ใหญ่แล้วขอรับ ”
.
คุณเต้ว่าพร้อมกับมองร่างไร้ลมหายใจของบ่าวบนเรือน มือหมาโอบประคองร่างน้องน้อย ไว้แนบอก เหมือนครั้งที่น้องยังอยู่ด้วย
.
“ ฉันขอบใจทุกคนมาก ที่ซื่อสัตย์และเสียสละให้ฉันถึงเพียงนี้ หากเรามีบุญต่อกัน ก็ขอให้ฉันได้ตอบแทนทุกคนบ้าง ”
.
คุณเต้เอ่ยลาบ่าวของตน เมื่อบ่าวจากเรือนใหญ่มาช่วยตามจัดการตามที่ตนเอ่ยขอกับคุณหญิงพิมผู้เป็นมารดา
.
เหลือเพียงร่างของน้องน้อย ที่นอนหลับอยู่บนเตียงในเรือนนอนเท่านั้น ที่เขาขอเป็นผู้จัดการทุกอย่างเอง โดยมิให้ผู้ใดช่วย
.
คุณพระทำพิธีกรรมทางศาสนาในน้องน้อย เขาไม่รู้ว่าน้องน้อยจักถูกกักขังเยี่ยงที่แม่พริ้งกล่าวไว้หรือไม่ แต่เขาหวังว่า น้อยน้องจักต้องหลุดพ้น แม้จักยากเย็นเพียงใด เขาจะต้องหาหนทางช่วยน้องน้อยจากแม่พริ้งให้จงได้
.
หลังจากประกอบพิธีทางศาสนา คุณพระได้นำเถ้ากระดูก คืนให้กับครอบครัวของน้อง แลมอบทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อไว้ตั้งตัว
.
“ ฉันฝากนาฬิกาเรือนนี้ไว้ให้เจ้าของด้วย ฉันเชื่อว่า อีกมินาน ตี๋จักต้องได้รับ ”
.
คุณเต้จูบลานาฬิกาพกที่เป็นสื่อใจของตนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจักมอบคืนให้ครอบครัวของน้องเก็บรักษา โดยหวังว่าวันหนึ่งน้องจักต้องได้รับคืนไป
.
.
.
.
.
***************************
.
.
.
.
.
กรี๊ด..........
.
อีกด้านหนึ่ง เสียงกรีดร้องแหลมสูง ดังขึ้นภายในเรือนไม้หลังเก่า ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเรือนริมน้ำมากนัก
.
“ อีปริก เหตุใดมันจึงเป็นเยี่ยงนี้ได้ ครานั้นมึงบอกว่ามันมิอาจไม่เกิดได้เยี่ยงไรเล่า ”
.
“ ทูนหัวของบ่าว เย็นใจลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ”
.
“ มึงยังจักให้กูเย็นใจอีกรึ เมื่อคราคุณพี่กูยังมิได้ชำระความกับมึง มาครานี้อีก แล้วเหตุใดกูจึงไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นครั้งของคุณพี่อีก มึงไปหาความมาแจ้งแก่กูประเดี๋ยวนี้ ”
.
หญิงในภาพถ่ายใบเก่า ซึ่งติดไว้บนผนังเรือนเกี้ยวกราดใส่วิญญาณที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า ถึงเหตุที่ตนเองมิอาจทราบได้ ทั้งที่มั่นใจเป็นหนักหนา แต่ก็ไม่เป็นตามที่ตั้งใจ ทั้งยังสั่งความให้วิญญาณตนนั้นไปหาความมาแจ้งแก่ตน คล้อยหลัง เมื่อดวงวิญญาณที่นั่งอยู่หายออกไป จึงมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
.
“ เพราะใจเธอมันอำมหิต แลพระก็มิเข้าข้างคนผิดเช่นไรเล่า ”
.
“ คุณพี่จักเอ่ยกระไรก็ตามแต่ใจคุณเถิดเจ้าค่ะ แม้คุณพี่จะช่วยให้เศษเสี้ยวของมันหลุดไปได้ แต่วิญญาณดวงใหญ่ของมันก็จักต้องอยู่กับอิฉันเรื่อยไป มิต่างจากคุณพี่เอง ”
.
“ เธอนั้นคงมิอาจจะเห็นทางธรรมได้เสียแล้วแม่พริ้ง ใจเธอมืดบอดไปเสียหมด ”
.
“ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ อิฉันจะเป็นเยี่ยงไรก็ช่างเถิด อย่างน้อยคุณพี่และมันก็จักต้องติดอยู่กับอิฉันไปตลอดกาล ”
.
“ ฉันเชื่อว่า สักวันพ่อเต้จักต้องช่วยน้องได้ แลเธอจักต้องได้รับผลกรรมที่ก่อ ”
.
“ มันจักมิมีวันนั้นดอกเจ้าค่ะ คุณพี่กับมันจักมิมีทางหลุดพ้นไปได้ ”
.
ร่างเงาในรูปภาพมิยอมรับกับสิ่งที่ได้ยิน และหมายมั่นว่าวิญญาณที่เธอกักขังจะไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
.
.
.
.
.
**********************************
.
.
.
.
.
สวัสดีขอรับ นำตอนที่ 12 มาส่งขอรับ
.
บทนี้อาจจะอ่านแล้วดูแปลกๆไปบ้าง เนื่องจากข้าเจ้าสับสนในตัวเอง เพราะภาษานั้นสลับกันระหว่างยุคปัจจุบัน กับในอดีต
.
หากอ่านแล้วสะดุดต้องขออภัยด้วยนะขอรับ
.
พาแม่พริ้งกลับมาส่ง พร้อมบ่าวคนสนิท รบกวนเอ็นดูนางด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณทุกความรู้สึก ทุกความคิดเห็น
.
รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยขอรับ
.
.
.
.
.
..........ด้วยใจภักดิ์..........
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 12 (4/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-11-2018 20:24:33
 :เฮ้อ:

พริ้งคือคนที่รักแต่ตัวเองจริงๆ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 12 (4/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 05-11-2018 08:55:48
จองจำกันยาวนานมาก
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 12 (4/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-11-2018 09:49:38

   Billie : ขอบคุณขอรับ พริ้งเป็นคนที่ดดนความแค้นครอบงำจ้า

       snowboxs : ขอบคุณขอรับ แล้วเวลาจะพามาพบกันขอรับ

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 13 (7/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 07-11-2018 10:58:52
ตอนที่ 13

.
.
.
.
เมื่อเข็มนาฬิกาหมุน

.
.
.
.
สองร่างที่กอดกันเงยหน้ามองกันอีกครั้ง เมื่อครู่นั้นทั้งคู่เหมือนถูกดึงกลับให้ได้รับรู้เรื่องราวในอดีต
.
“ คุณชาย ”
.
“ เรียกพี่เหมือนเช่นเดิมได้รึไม่พ่อ ”
.
“ แต่ผมไม่ใช้ตี๋คนนั้น และคุณชายเองก็ไม่ใช่ด้วยเหมือนกัน ผมเข้าใจถูกไหม ”
.
“ ใช่ พี่ไม่ใช่ท่านเทียดเต้ แต่พี่ก็อยากให้เราเรียกพี่เหมือนเมื่อคราก่อนนั้น ไม่ได้รึ ”
.
“ โอ๊ยฟังแล้วจั๊กจี้หูมากคุณชาย เอาความจริง ผมกับคุณชายเราเพิ่งได้คุยกันจริงๆคือตอนนี้ ทำไมคุณชายต้องให้ผมเรียกคุณชายแบบสนิทสนมด้วยล่ะ ”
.
“ ตี๋ ”
.
คุณชายเตชณัฐเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ เมื่ออีกคนทำเขาใจหาย ที่ทำเหมือนไม่สนใจกัน แต่เมื่อมองอีกทีจึงรู้ว่าโดนแกล้งเสียแล้ว
.
“ โอ๋ๆ นะครับ อย่างที่บอกแหละครับ ถึงแม้ว่าผมจะได้รับรู้ความสมัยก่อนโน้น แต่ก็ใช่ว่าเราต้องกลับไปเหมือนเดิมนี่นา ”
.
“ ตี๋ ”
.
“ โถ่ พี่เต้ ไม่เอาไม่ทำหน้าแบบนี้ ผมแค่อยากให้ผ่อนคลายบ้างอะไรบ้าง ทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ไม่เหนื่อยหรือไง ”
.
ตี๋ยังเล่นไม่เลิก แต่เมื่อเห็นว่าคุณชายเตชณัฐไม่สนุกด้วยจึงเลิก แล้วเข้าเรื่องแทน
.
“ พี่เต้จะให้ผมทำยังไง ผมกับพี่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ เศษเสี้ยววิญญาณที่หลุดออก เศษเสี้ยวความรักของพี่เต้ กับตัวผม ที่ถูกเก็บไว้ในนาฬิกาเรือนนี้ ”
.
ตี๋หยิบนาฬิกาพกเรือนเก่าขึ้น ซึ่งเขาได้มันมาจากคุณย่า พร้อมกับจดหมายเก่าๆฉบับหนึ่ง ที่ถูกปิดผลึกไว้อย่างดี
.
ครอบครัวของตี๋สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ช่วงกลางของกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวจีนที่โล้สำเภามาจากแผ่นดินใหญ่ มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเมืองสยาม
.
แต่ด้วยความที่มีลูกมาก และไม่อาจจะเลี้ยงดูได้ จึงจำต้องพาลูกชายคนโตมาขายตัวเป็นทาส แล้วเรื่องราวก็พลิกผัน เมื่อได้รับอัฐจำนวนมากไปตั้งตัว จากนายเงินของบุตรชาย
.
แต่ข่าวร้ายที่ได้รับรู้คือ ครอบครัวของตนได้สูญเสียบุตรชายคนโตไปตลอดกาล ทั้งนี้ นายเงินได้ฝากของไว้ให้รักษา เพื่อรอเจ้าของกลับคืนมา
.
แม้ผ่านเวลามาเป็นร้อยปี หลังจากวันนั้น วันที่ต้นตระกูลของตี๋รับของนั้นไว้ และเก็บรักษาไว้ตามที่คนฝากต้องการ แม้ไม่รู้ว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของสิ่งรับฝากไว้
.
จนของสิ่งนั้น ส่งมาถึงมือตี๋เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เข็มนาฬิกาเรือนเก่าที่เคยนิ่งสนิท ไม่เดินมาตลอด แม้จะพยายามไขลานเท่าไหร่ กลับมาเดินได้อีกครั้ง ทั้งที่อยู่ในมือของเด็กน้อยไม่ประสา ทุกคนในบ้านจึงลงความเห็นว่า ตี๋น้อยคือเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้
.
“ พี่รู้ แต่เราก็รู้สึกตรงกันไม่ใช่หรือไง ความรู้สึกโหยหาน่ะ ”
.
“ อันนี้ไม่เถียง ผมเจ็บทุกทีที่นึกถึงเรื่องให้อดีต มันคงเป็นความรู้สึกของเสี้ยววิญญาณของท่านเทียดตี๋ของผม เหมือนที่ผมรู้สึกกลัวคุณหมอพริ้งตั้งแต่แรกเห็นหน้า ”
.
“ พี่เข้าใจ ครั้งแรกที่พี่เจอพริ้ง พี่ก็เกลียดเธอมาก อย่างที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่พี่ก็ค่อยๆลดลงมานะ เพราะพริ้งเองก็ไม่ใช่คุณพริ้ง ไม่มีแม้แต่เสี้ยววิญญาณเหมือนเราสองคน ”
.
“ อ้าว!!! แล้วทำไม.... ”
.
“ หมอพริ้งถึงคล้ายคุณพริ้งใช่ไหม ”
.
“ รู้แล้วยังจะถาม ท่านเต้ไม่กวนแบบนี้ซะหน่อย ”
.
ตี๋งึมงำ แต่เต้ก็ได้ยิน เพราะเขานั่งกอดน้องอยู่นั่นเอง
.
“ ก็พี่ไม่ใช่ท่านไง ทีเราเองก็ไม่เหมือนน้องน้อยเลย เพราะน้องน้อยน่ะขี้อาย ไม่กล้าต่อคำหรอก ”
.
เต้ว่า แล้วก็อดจะขำกับท่าทางของตี๋ในตอนนี้ไม่ได้ ตี๋ในตอนนี้ช่างกล้าต่อล้อต่อเถียง ไม่มีเค้าความเจียมตนเหมือนก่อน
.
“ ก็แล้วไงเล่า ผมไม่น่ารักแบบท่านแล้วจะทำไม ”
.
“ ไม่ทำไมหรอก พี่แค่จะบอกว่า ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตอนไหน พี่ก็ยังรักน้องของพี่อยู่เสมอ แล้วตี๋ล่ะ รู้สึกเหมือนพี่บ้างไหม ”
.
“ ช่างกล้าพูดนะ ถ้าไม่เหมือนจะยอมให้กอดไหมล่ะ ไม่น่าถาม ”
.
“ หึ หึ... ”
.
“ หยุดขำเลยนะ ไม่งั้นโกรธ ”
.
คุณชายเต้ขำคำพูดของตี๋ แม้จะพยายามไม่ขำให้ได้ยินแล้วแต่ก็อดไม่ได้จริงๆ แต่นอกเหนือจากความขำขันแล้ว ความรู้สึกเต็มตื้นนั้นก็ช่างรุนแรง เหมือนได้ของรักกลับคืน เป็นยิ่งกว่าความยินดี ที่อีกคนก็ใจตรงกัน
.
“ ช่างเป็นคำขู่ที่น่ากลัวจริงๆ ”
.
“ พี่เต้!!! ”
.
“ จ้าๆ พี่ยอมแพ้ ”
.
“ ฮึ้ย!!! ”
.
“ พี่ไม่แกล้งแล้ว หันหน้ามาคุยกันดีๆ ดีกว่านะ เราอย่าปล่อยเวลาให้เสียไปอีกเลย เพราะกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง มันช่างนานเหลือเกิน พี่ไม่อยากจะรออีกแล้ว ”
.
คุณชายว่า เพราะตนไม่อาจปล่อยเวลาให้ผ่านไปได้
.
“ พี่เต้จะทำยังไงล่ะ เราไม่รู้อะไรเลยนะ ที่รู้ก็มีแค่นิดเดียว ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านเทียดตี๋มากนัก รู้แค่ว่าท่านเป็นใคร แล้วตัวเองต้องทำอะไร จากในจดหมายที่พี่ทิ้งไว้ให้นั่นแหละ ”
.
“ ตี๋ ไม่เอาแบบนี้ครับ อย่าล้อพี่นักเลย ”
.
ตี๋บอกในสิ่งที่ตนเองรับรู้ ว่าตนก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพราะความในจดหมายที่ได้รับมา บอกแต่ให้ตนเองช่วยคนรักของเจ้าของจดหมาย หรือก็คือคนที่อยู่ข้างตัวในตอนนี้
.
“ พี่เองก็ไม่ได้ทราบอะไรมากเหมือนกัน เพราะท่านเทียดเต้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คุณพริ้งขังวิญญาณของน้องน้อยไว้ที่ไหน ”
.
“ โอ๊ย แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ หรือว่าจะไปถามคุณหมอพริ้งคนนั้น ”
.
“ พี่เพิ่งบอกไปเองว่า หมอพริ้งไม่ใช่คุณพริ้งไง ขี้ลืมจริง ”
.
“ ก็เพราะใครชวนเปลี่ยนเรื่องล่ะ ”
.
“ จ้าพี่ผิด พอใจหรือยังครับ ที่หมอพริ้งคล้ายคุณพริ้งมากก็เพราะ ต้นตระกูลหมอพริ้งก็คือน้องชายของคุณพริ้งน่ะ ”
.
“ หมายความว่า คุณหมอพริ้งเป็นลูก เป็นหลาน ของคุณพริ้ง ”
.
“ ก็คงจะแบบนั้น เหมือนที่เราก็เป็นลูก เป็นของท่านเทียดไง ”
.
“ แล้วทำไมคุณหมอพริ้งถึงไม่มีเสี้ยววิญญาณเหมือนเราล่ะครับ ”
.
“ อันนี้พี่ก็ไม่ทราบนะครับ ท่านเทียดเต้เองก็คงไม่ทราบ ”
.
“ แล้วเราจะเริ่มจากจุดไหนครับ เราไม่รู้อะไรเลย แล้วผมว่านะ ท่านท่านเองก็น่าจะโดนขังเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นพี่เต้คงไม่มีแค่เสี้ยววิญญาณเหมือนผมหรอก ”
.
“ พี่ก็คิดอย่างนั้น เอาเป็นว่าวันนี้เรากลับไปพักก่อน เดี๋ยวค่อยๆคิดกันอีกทีว่า เราจะทำอะไรต่อ แล้วต้องเริ่มที่ตรงไหน ”
.
“ ก็ได้ครับ แต่ผมจะทำยังไง พอเจอคุณหมอพริ้ง ร่างกายมันเหมือนไม่ยอมฟัง มันกลัวไปเอง ”
.
“ ตี๋ต้องตั้งสติให้มั่น พี่เองก็เองก็เคยเป็น เมื่อตอนเจอกันครั้งแรก เป็นมากกว่าน้องนัก ”
.
“ พี่เต้ ”
.
“ พี่...เดี๋ยวนะครับพี่ขอตั้งสติก่อน ”
.
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของคุณหมอพริ้ง แม้ว่าคุณชายเต้จะควบคุมตัวเองได้ดีแล้ว แต่เมื่อเห็นน้องกลัว ความโกรธของท่านเทียด ก็คล้ายจะพลุ่งพล่านกว่าเดิม
.
“ พี่เองกว่าจะคุมตัวเองได้ ก็นานเหมือนกัน แต่ดีที่ท่านเทียดเต้แต่เดิมนั้น ไม่ใช่คนใจร้อน และท่านก็มีสติอยู่เสมอ แต่เมื่อท่านโกรธ ก็อารมณ์รุนแรงเหมือนกัน ดูอย่างเมื่อครู่สิ ”
.
คุณชายเต้อธิบายให้น้องเข้าใจ
.
“ ผมจะพยายามครับ แต่เหมือนท่านตี๋ของผมนี่ จะกลัวมากจริงๆ ”
.
ตี๋บอกความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจให้พี่ฟัง
.
“ ครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ”
.
คุณชายเต้ปลอบน้องเหมือนอย่างที่เคยทำ เมื่อครั้งอดีต
.
“ วันนี้กลับไปที่เรือนกับพี่นะครับ ”
.
“ แล้วเพื่อนผมล่ะครับ ”
.
“ นิสิตแพทย์กวีทัศน์น่ะนะ ป่านนี้อยู่กับสาวที่ไหนแล้วมั้ง มีธุระกับคนในไลน์นี่ ”
.
“ พี่เต้ ทำไมปากร้ายแบบนี้เนี่ยะ ”
.
“ หรือพี่พูดผิดล่ะ ”
.
“ เออๆ ไม่เถียง ก็จริงนั่นแหละ แต่จะให้ผมไปกับพี่ ทั้งๆที่เพิ่งเจอหน้ากันเนี่ยะนะ เกินไปไหม ”
.
ตี๋ว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายหมอผู้ดูสุขุม ในสายตาทุกคนออกอาการปากร้ายไม่แพ้ใคร
.
“ แต่พี่อยากอยู่กับพ่อนะคนดี ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกโหยหาภายใน
.
“ แต่น้อง... ”
.
“ พี่สัญญา ว่าจักมิทำกระไรน้อง นะคนดี พี่เพียงต้องการอยู่กับพ่อเท่านั้น ”
.
“ หากพี่สัญญาเยี่ยงนี้ น้องก็จักไปด้วย ”
.
แม้ว่าจะเพิ่งพบหน้า ความรักที่มีต่อกัน ก็ทำให้ตี๋ตกลงที่จะไปตามคำชวนของคุณชายเต้ ด้วยความรู้สึกที่โหยหาไม่ต่างกัน
.
.
.
“ มึงว่ากระไรนะอีปริก มันจะมาที่เรือนกระนั้นรึ ”
.
“ เจ้าค่ะ คุณเต้ ท่านจักพามันมาที่เรือนริมน้ำเจ้าค่ะ ”
.
“ ดีเหลือเกิน กูจักได้จัดการมันเสียครานี้ ”
.
เสียงมาดร้ายของวิญญาณที่ไม่ยอมปล่อยวาง สั่งการวิญญาณบ่าวของคน
.
“ มึงไปจับตาดูมันเสีย แล้วนำความมาบอกกู ”
.
“ เจ้าค่ะคุณพริ้ง ”
.
ร่างเงาที่เดิมนั้น นั่งพับเพียบอยู่หน้ารูปติดผนัง รับคำก่อนจะค่อยๆสลายหายไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
.
.
.
.
.
************************************
.
.
.
.
.
.
สวัสดีขอรับ มิตรรัก นักอ่านทุกท่าน
.
ข้าเจ้าพาคุณชายเต้ และน้องตี๋มาส่งขอรับ
.
คำพูดอาจจะงงๆอยู่บ้าง เพราะข้าเจ้าอยากจะปล่อยให้ความรู้สึกของท่านเทียดเต้ออกมา สลับความคิดของคุณชายเต้ คำอาจจะสลับๆกันบ้าง
.
ขอบคุณทุกท่านที่ส่งแรงใจ
.
หากพบคำผิด หรืออ่านไม่ได้ความ สะกิดได้เต็มที่ขอรับ
.
ทุกแรงใจ คือแรงผลักดัน
.
คุณพริ้งเธอต้องการทำอะไร
.
แล้วตี๋น้อยจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่
.
.
.
รบกวนติดตามต่อด้วยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
Mariner_IX
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 13 (7/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-11-2018 12:25:53
 :fire:

ง่าาาาตายแล้วยังไม่หยุดอิ๊ก ทำไมเป็นผีไม่น่ารักแบบนี้

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 13 (7/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 07-11-2018 15:37:04

Billie  : ขอบคุณขอรับ คุณพริ้งเธอแค้นมากขอรับ
ปล. +1 จ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 13 (7/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 08-11-2018 14:14:49
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 13 (7/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-11-2018 21:30:57
หมอพริ้งไม่มีเศษเสี้ยวของแม่พริ้งจริงเหรอ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 13 (7/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 14-11-2018 10:22:02
กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณจ้า

snowboxs : ไม่มีจ้า

ปล. +1 จ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 14 (14/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 14-11-2018 10:23:20



ตอนที่ 14

.
.
.
.
.
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเอาด้วยกล

.
.
.
.
.
หลังจากที่ตี๋ ตกลงใจกลับเรือนริมน้ำพร้อมคุณชายเตชณัฐ คุณชายก็ไม่ได้ล่วงเกินตี๋แม้แต่น้อยตามที่รับปากไว้ คุณชายทำเพียงแค่นอนกอด แล้วหลับไปด้วยกัน
.
เช้าวันรุ่งขึ้น ตี๋มาโรงพยาบาลพร้อมคุณชายเตชณัฐ ส่วนกวีทัศ หรือหมอก็อต กลับห้องพักแล้วไม่เจอเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะตี๋ส่งข้อความไปบอกไว้ก่อนแล้ว
.
วันนี้กวีทัศน์จึงตั้งใจมาล้อเพื่อนโดยเฉพาะ แต่เหมือนฟ้ามีตา เพราะมีบางอย่างเบี่ยงเบนความสนใจของเขาเอาไว้ก่อน เมื่อเจ้าตัวเห็นคอปเตอร์ ที่กำลังก้าวลงจากรถคันหรู โดยมีสารถีหน้าหล่อ ปิดประตูเดินตามหลังมาติดๆ
.
“ ไอ้ตี๋ หมอเตอร์มากับใครวะ มึงรู้เปล่า ”
.
กวีทัศน์ขยับเข้ามาถามเพื่อน ซึ่งเดินมาพร้อมคุณชายเตชณัฐ โดยลืมเรื่องที่ตั้งใจมาจะมาแซวไปชั่วขณะ
.
“ กูไม่รู้ กูก็เห็นเหมือนมึงแหละ ”
.
“ เออๆ กูค่อยไปถามหมอเตอร์เองก็ได้ เพราะกูคู่กับหมอเตอร์ ยังไงก็ได้อยู่ด้วยกัน ตลอดช่วงนี้อยู่แล้ว ”
.
กวีทัศน์เลิกสนใจเพื่อนอย่างตี๋ แล้วเดินไปหาคอปเตอร์ เพื่อชวนกันเข้าไปด้านใน ปล่อยให้ตี๋ยืนงงกับอารมณ์ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเพื่อนตัวเอง
.
“ ไปข้างในกันเถอะครับหมอเตอร์ เดี๋ยวจะสายเอานะครับ ”
.
“ เอ่อ...ครับ ”
.
แล้วกวีทัศน์ก็จูงมือหมอเตอร์ที่ยังงงๆอยู่ ให้เข้าไปด้านใน ท่ามกลางสายตาแปลกใจ และไม่ค่อยพอใจ ของคุณชายเตชณัฐ และคิมม่อน
.
“ หมอนั่นเป็นใครวะ ไอ้คุณชาย มาจับมือน้องเตอร์ของฉันได้ไง ”
.
“ นิสิตแพทย์กวีทัศน์น่ะหรือ ”
.
“ ถ้าหมายถึงไอ้คนหน้าด้าน ที่กล้าจับมือน้องเตอร์น่ะ ก็คงใช่ล่ะ ”
.
“ อ้อ นิสิตแพทย์กวีทัศน์ หรือหมอก็อต เขาจับคู่กับเตอร์ตลอดช่วงนี้ แล้วอีกอย่างเตอร์ไม่ใช่ของนายนะคิม ถ้าฉันจำไม่ผิด ”
.
“ อ้าว ไอ้คุณชาย แกไม่เข้าข้างเพื่อนอย่างฉันเลยรึไง ”
.
“ เรื่องหัวใจ ใครก็บังคับกันไม่ได้คิมม่อน นายน่าจะรู้ ”
.
“ เออๆ ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้ ไอ้คนที่เพิ่งเจอน้องเตอร์หรอกโว้ย ”
.
คิมม่อนว่าอย่างหมายมาด เพราะตนเองไม่มีทางยอมแพ้ใครง่ายๆ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้คนที่เพิ่งเจอน้องเตอร์ อย่างไอ้หมอฝึกหัด ยังไงก็แล้วแต่ เขาต้องได้ใจของคนที่ตัวเองชอบแน่ๆ
.
“ นายเคยได้ยินไหม ไอ้คุณชาย ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเอาด้วยกล นายคิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆรึไง ไม่มีทางเสียล่ะ ”
.
“ ก็แล้วแต่นาย แต่คอปเตอร์ ไม่ใช่สิ่งของ นายเข้าใจนะ ”
.
“ ฉันไม่เคยเห็นน้องเตอร์เป็นอย่างที่นายว่า เชื่อใจกันบ้างดิ แล้วขอไว้เลยบอกว่า แกต้องได้ฉันเป็นน้องเขยแน่ๆ ไอ้คุณชายหมอ ”
.
คิมม่อนไม่ยอมแพ้ เพราะตนรู้จักกับคอปเตอร์มาก่อน และรู้จักกับครอบครัวของอีกฝ่ายดี แม้แต่ท่านชายเต ตะวัน กับหม่อมเนตรดาว ตนเองก็รู้จัก ไม่มีทางที่จะแพ้ คนที่เพิ่งเจออย่างหมอก็อตอะไรนั่น ง่ายๆ อย่างแน่นอน
.
“ ว่าแต่แกพาลูกใครเขาด้วยมาวะ หน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็น ”
.
“ น้องตี๋ ”
.
“ อ๋อ...น้องตี๋นี่เอง ห๊ะ!!! อะไรนะ ”
.
คิมม่อนพยักหน้าเข้าใจ ตามสิ่งที่คุณชายเตชณัฐว่า ก่อนจะอุทานออกมา เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างได้
.
“ ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม ไอ้คุณชาย แกกำลังจะบอกว่า น้องตี๋คนนั้น ตอนนี้ ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ”
.
“ ก็ไม่เชิง ตี๋ก็เป็นเหมือนฉันแหละ เราไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราคือส่วนหนึ่ง ของท่านเทียด ”
.
“ โอ๊ย!!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ นี่ยังมีอะไรที่ฉันไม่รู้อีกไหมวะ นอกจากแก น้องตี๋ แล้วก็หมอพริ้ง ที่เคาะพิมพ์บรรพบุรุษออกมาขนาดนี้เนี่ย ”
.
“ นายลืมนับตัวเองไปคนหนึ่ง คิมม่อน ”
.
คุณชายเตชณัฐว่า ก่อนจะเลิกสนใจอีกฝ่าย โดยปล่อยให้คิมม่อน ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ส่วนเจ้าตัวก็ชักชวนน้อง ให้เดินเข้ามาด้านในเสียแทน
.
“ คิมม่อน เป็นเพื่อนของพี่เอง น้องคงพอจะจำได้ใช่ไหม ”
.
คุณชายถามน้อง เมื่อเดินเข้ามาด้านในของโรงพยาบาลแล้ว
.
“ พอได้ครับ แต่ผมไม่คิดว่า จะได้เจอคุณคิมม่อนด้วย ”
.
ตี๋ตอบคำถามของพี่ เมื่อหลายคนที่เคยอยู่ในอดีต กลับมามีชีวิตในปัจจุบันอีกครั้ง ตนเองจึงไม่คิดจะแปลกใจอะไร เพราะมันคงเป็นบุญ วาสนา ที่มีต่อกัน
.
“ แต่น้องดูไม่แปลกใจอะไรเลยนะ ”
.
“ ผมเลิกแปลกใจแล้วครับ คิดมากก็ปวดหัว สู้เอาเวลาไปเรียนรู้งานในวอร์ดดีกว่า ”
.
“ จ้า ว่าแต่พร้อมหรือยังครับ ”
.
“ พร้อมตั้งแต่มาแล้วเหอะ ไอ้ก็อตพาหมอเตอร์ไปรอในห้องเป็นชาติแล้ว ส่วนสุธีร์ก็น่าจะมาแล้วมั้ง มีแต่ผมเนี่ยแหละมั้ง ที่มัวแต่ปล่อยให้พี่เต๊าะ ถึงยังไม่ได้ไปรวมกับคนอื่นสักที ”
.
“ ครับๆ เดี๋ยวพี่ไปส่ง แล้วถ้าสงสัยอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้ เพราะว่ายังไง พี่ก็เป็นพี่เลี้ยงของเราอยู่แล้ว ”
.
“ ครับพ่อ... ”
.
“ ไม่อยากเป็นพ่อ แต่อยากเป็น.... ”
.
“ พอเลย ไม่คุยด้วยแล้ว ผมเข้าห้องไปรอฟังการแบ่งงานดีกว่า ”
.
เมื่อเห็นว่ายิ่งคุย ตนเองยิ่งเสียทีคุณชายหน้านิ่ง แต่แอบเจ้าเล่ห์ ตี๋จึงหาทางเลี่ยง เพราะไม่อยากให้ตนเองเสียทีคนเจ้าเล่ห์ไปกว่านี้
.
คุณชายเองก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก เพราะไม่อยากให้น้องสาย หากมัวแต่แกล้งน้อง เดี๋ยวน้องจะสายตั้งแต่วันแรกๆ ซึ่งคงไม่ดีนัก
.
.
.
.
****************************************************
.
.
.
.
.
เมื่อลั่นวาจากับเพื่อนไว้ว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล คิมม่อนจึงเริ่มวางแผนในใจเงียบๆ และมองหาผู้ร่วมแผนการของตน
.
“ บาส น้องบาสครับ น้องบาสสุดที่รักของพี่คิมม่อน ”
.
คิมม่อนส่งเสียงเรียกใครบางคน ทันทีที่เจ้าตัวเดินเข้ามาในบ้านของตัวเอง
.
“ อย่าไอ้พี่คิม อย่ามาเรียกกันด้วยน้ำเสียงชวนสยองแบบนี้ ”
.
เด็กหนุ่มร่างเล็ก ซึ่งหากมองด้วยสายตา ก็คงสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร เดินออกมาจากด้านในตัวบ้าน เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย เรียกชื่อของตนเอง ด้วยน้ำเสียงหวานหู จนน่าขนลุก
.
“ โธ่น้องบาสครับ พี่เรียกน้องอย่างนี้ ไม่ดีตรงไหนกัน ”
.
“ ก็ตรงที่มันชวนสยองไง แล้วบอกมาเลยดีกว่า ว่ามีเรื่องอะไรมาให้ช่วยอีก แค่อ้าปากก็เห็นยันรูก้นแล้ว ไม่ต้องมาลีลา ”
.
“ เออๆ รู้ดีจริงๆ แล้วนี่พี่นะโว้ย พูดกับพี่ กับเชื้อให้มันเพราะๆ หน่อยไม่ได้รึไง ”
.
“ อย่า ขอร้อง พี่คิม แค่คิดก็ขนลุกแล้ว มีอะไรก็ว่ามา เร็วๆ ”
.
บาส บรรณวิชญ์ น้องชายของคิมม่อน ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันด้วยคำหวาน เพราะสนิทกันเกินกว่า จะเรียกหากันด้วยถ้อยคำหวานหู
.
ส่วนตัวของบาสเอง แม้ว่าจะห่างจากคิมม่อนหลายปี เพราะตอนนี้ เจ้าตัวกำลังศึกษาอยู่ชั้น ปี 1 แต่กับคิมม่อนแล้ว ทั้งคู่จะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แบบเพื่อนมากกว่าพี่น้อง แต่ตัวบาสเองนั้น ให้ความเคารพคิมม่อน ในฐานะที่เป็นพี่ชายเสมอ
.
“ คือพี่มีเรื่องมาให้แกช่วย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ”
.
แล้วคิมม่อนก็เล่าเรื่องราวที่เจอมาให้น้องชายฟัง พร้อมกับบอกถึงแผนการของตัวเอง และเรื่องที่ต้องการให้คนน้องช่วยเหลือ
.
“ สรุปคือ ตอนนี้ ม.ค.ป.ด. พี่เตอร์ไปแล้ว พี่คิมก็เลยอยากให้ผมไปแยกไอ้หมอฝึกหัดนั่น ออกจากพี่เตอร์ ใช่ป่ะ ”
.
บาสสรุปรวบยอด หลังจากที่ฟังพี่เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด
.
“ เออ อย่างนั้นแหละ เข้าใจถูกต้องไอ้น้องรัก แล้วอะไรคือ ม.ค.ป.ด. วะ ”
.
“ โอ๊ย!!! ม.ค.ป.ด. ก็หมอคาบไปแด..ก ไง แก่แล้วก็งี้แหละ ไม่ทันมุกเลย ว่าแต่ถ้าผมช่วยพี่แล้วผมจะได้อะไรไม่ทราบ ”
.
บาสไม่ยอมรับปากช่วยโดยง่าย อย่างว่า ครอบครัวของบาส และคิมม่อน เป็นนักธุรกิจ การจะทำอะไรสักอย่าง จะต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน
.
“ ไอ้น้องขี้งกเอ๊ย อยากได้อะไรวะรอบนี้ ”
.
คิมม่อนนั้นรู้นิสัยน้องดี ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เจ้าตัวจึงไม่ออกอาการอะไรมาก เพราะอย่างไรเสีย ก็ถือว่า ให้น้องไป แถมยังเมินคำจิกกัดไปด้วย เพราะถ้ายิ่งต่อความ ก็ยิ่งยาว
.
“ พูดกันง่ายๆแบบนี้ค่อยดีหน่อย ผมอยากได้รถสักคัน เอาไว้ขับไปเรียน คงไม่มากไปใช่ไหมครับ ”
.
เมื่อเห็นว่า พี่ไม่ต่อความกับตนเองต่อ บาสจึงบอกถึงข้อแลกเปลี่ยน ว่าตนเองต้องการอะไร หากทำตามที่พี่ชายต้องการสำเร็จ
.
“ จะเอารุ่นไหน สีอะไร ถ้าแยกไอ้หมอกิ๊กก๊อก ออกจากน้องเตอร์ได้ เดี๋ยวพาไปซื้อเลย แถมแกยังได้พี่สะใภ้น่ารักๆอีกคนด้วย ”
.
“ พูดแล้วไม่คืนคำนะครับพี่ชาย ”
.
“ เออ ทำให้ได้อย่างที่พูดก่อนเหอะ ”
.
“ คอยดูความสำเร็จได้เลย มือชั้นนี้แล้ว เออขอรายละเอียดด้วยล่ะ จะได้รู้จักเป้าหมายไว้ก่อน ”
.
บาสบอกให้พี่ชายหารายละเอียด ของคนที่ให้ตนไปตีสนิท แล้วแยกออกจากคอปเตอร์ ว่าที่พี่สะใภ้ ซึ่งบาสนั้นถือคติว่า จะทำอะไร ก็ต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายไว้ก่อน
.
“ ได้ เดี๋ยวจัดการให้ ”
.
“ งั้นก็ดีล ตามนี้เลย ”
.
“ จัดไปน้องรัก ”
.
เมื่อตกลงกันได้ สองพี่น้อง จึงมีจุดหมายที่ต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน คนน้องนั้นกำลังคิดว่า ตนเองจะจัดการอย่างไรกับหมอฝึกหัด ผู้เป็นคู่แข่งของพี่ชาย
.
ส่วนคิมม่อนเอง ก็มองถึงแผนการขั้นต่อไป ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ไอ้หมอกิ๊กก๊อก ที่ตนเองแอบว่าในใจ อยู่กับคอปเตอร์ตามลำพัง
.
สองพี่น้องมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กัน เมื่อคิดว่า สิ่งที่วางแผนไว้ในใจ ต้องเป็นไปตามที่ต้องการอย่างแน่นอน
.
.
.
.
.
**********************************************
.
.
.
.
.
ตัวละครเพิ่มเติม
.
.
บาส บรรณวิชญ์ น้องชายของคิมม่อน
.
( บรรณวิชญ์ = บัน – นะ – วิด แปลว่า ผู้ฉลาดในเรื่องหนังสือ )
.
.
.
.
คิมม่อนวางแผนการอะไร
.
แล้วจะสามารถแยกหมอ(กิ๊กก๊อก)ก็อต ออกจากว่าที่หวานใจของตัวเองได้หรือไม่
.
ส่วนน้องบาสจะมีแผนการอะไร มาพิชิตใจหมอก็อต
.
มาเอาใจช่วยให้พี่คิมม่อน กับน้องบาสกันด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณแรงใจที่ส่งให้กัน
.
หากพบคำผิด หรืออ่านแล้วไม่ได้ใจความ รบกวนสะกิดด้วยนะขอรับ
.
ต้องรบกวนติดตามต่อด้วยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 14 (14/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-11-2018 11:30:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 14 (14/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-11-2018 13:32:14
รอลุ้น แผนการณ์สองพี่น้อง
แล้วก็ลุ้นคุณพริ้งว่าจะทะกระไร
หลังจากที่เห็นตี๋ไปนอนบ้านริมน้ำกับหมอเต้
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 14 (14/11/61) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 16-11-2018 18:57:19

Billie : :L2: :pig4:  (ขอบคุณขอรับ)

snowboxs :
รอลุ้น แผนการณ์สองพี่น้อง
แล้วก็ลุ้นคุณพริ้งว่าจะทะกระไร
หลังจากที่เห็นตี๋ไปนอนบ้านริมน้ำกับหมอเต้

( ขอบคุณขอรับ คุณพริ้งเธอมีแผนการมากมาย ส่วนสองพี่น้องนั้น ก็แอบเจ้าเล่ห์)

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 15 (16/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 16-11-2018 18:58:13
ตอนที่ 15
.
.
.
ดวงตาที่เฝ้ามอง

.
.
.
.
.
เมื่อสองพี่น้องวางแผนร่วมกัน ทั้งคิมม่อน และบาส ก็เริ่มดำเนินตามแผนการที่ตนเองวางไว้ เริ่มจากที่ คิมม่อน ตามรับ ตามส่งคอปเตอร์ทุกวัน
.
บาสเองก็ตามพี่ชายมาด้วย ทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อมาหาวิธีตีสนิทกับหมอก็อต ซึ่งก็ใช้เวลาไม่มากนัก เพราะหมอก็อตเองก็ชอบคนน่ารักเป็นทุน
.
บาสนั้นเข้าข่ายคนน่ารักที่หมอก็อตชอบ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่บาสจะดำเนินตามแผนการของตนเอง และพี่ชายได้
.
หมอก็อตเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่า บาสเข้าหาตนเองเพราะอะไร แต่เมื่อผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้ เจ้าตัวจึงไม่คิดจะพูดอะไร เพียงแต่เล่นไปตามเกมของอีกคน
.
แต่เรื่องของหัวใจ มักไม่ใช่ของเล่น นับจากวันแรกที่บาสเข้าตีสนิทกับหมอก็อต และหมอก็อตยอมเล่นตามเกม จนถึงวันนี้ เหมือนทั้งคู่จะตกหลุมของกันและกัน
.
บาสนั้นบอกว่าตัวเองแค่ทำตามแผน เพื่อพี่ชาย และสิ่งที่ตนเองต้องการ ส่วนหมอก็อต ก็คิดว่าตัวเองแค่เล่นสนุกๆ กับคนน่ารักๆ ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว
.
แต่สุดท้าย ทั้งคู่กับหลงรักกันจริงๆ หมอก็อตเอง จากที่คิดว่าเล่นๆ ก็เริ่มหึงหวงบาส ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็น
.
ตัวบาสเองก็ออกอาการน้อยใจทุกครั้ง ที่หมอก็อตโปรยเสน่ห์ให้คนอื่น ทั้งคู่แสดงออกว่าหวงกันและกันแบบไม่รู้ตัว
.
ส่วนคิมม่อนเอง ก็ออกอาการหวงน้องชายเช่นกัน ทั้งที่ตอนแรก คิดว่าน้องชายไม่มีทางตกหลุมของตัวเอง แต่เมื่อเห็นสิ่งที่น้องเป็น ก็ออกอาการหวงน้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
.
คอปเตอร์จึงกลายเป็นตัวกลาง ระหว่างทั้งสามคน คอยแก้ปัญหาที่สองพี่น้อง และคู่บัดดี้ของตนเองอย่างหมอก็อต
.
ดูทั้งสามเหมือนจะทะเลาะกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่ คิมม่อน แค่หวงน้อง เพราะเห็นว่าก็อตออกจะเจ้าชู้ กลัวน้องตัวเองจะโดนหลอก
.
แต่หมอก็อตเองก็พยายามที่จะทำให้คิมม่อนเห็นว่า ตนเองรักน้องบาสจริง ส่วนบาสนั้น ก็พยายามปรับปรุงตัวเอง เพื่อปรับตัวเข้าหาหมอก็อตเช่นกัน
.
ด้านคอปเตอร์ ก็โดนคิมม่อนรุกคืบเข้ามาในใจเรื่อยๆ โดยทั้งหมดของการกระทำ ของคิมม่อน อยู่ในสายตาของท่านชาย เต ตะวัน หม่อมเนตรดาว และคุณชายเตชณัฐ
.
คิมม่อนนั้น เดิมก็เป็นเพื่อนสนิทกับคุณชายเต้อยู่แล้ว การจะเข้าออกบ้านเพื่อนสนิทของตนเอง จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เจ้าตัวก็ออกตัวว่า ตนเองนั้นชอบพอน้องชายของคุณชายเตชณัฐ อย่างคอปเตอร์อยู่แล้ว
.
ซึ่งเรื่องนี้ ทั้งวังอภิบาลบริรักษ์ ก็รับทราบกันดี และตัวคอปเตอร์เองนั้น ก็ดูจะมีใจเอนเอียงให้เพื่อนพี่ชายอย่างคิมม่อนอยู่มาก จึงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของคิมม่อน ที่จะเปิดตัว ตนเองว่าชอบบุตรชายคนเล็กของท่านชาย และหม่อม ผู้เป็นเจ้าของวัง
.
ด้านคุณชายเตชณัฐ หลังจากที่พาน้องกลับเรือนได้ในครั้งแรก ครั้งต่อๆไปจึงมีตามมา และทุกครั้งที่กลับเรือนริมน้ำ ความรู้สึกที่มีอยู่ มันก็เอ่อล้นเสียทุกครั้ง
.
“ น้องตี๋ครับ เย็นนี้กลับเรือนพร้อมพี่นะครับ ”
.
คุณชายเตชณัฐเอ่ยบอกน้อง หลังจากคล้อยหลังสุธีร์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ นิสิตแพทย์จึงต้องรายงานผลการทำงาน กับแพทย์พี่เลี้ยง
.
ตี๋จึงเข้ามารายงานการทำงาน ในรอบสัปดาห์ พร้อมกับบัดดี้ของตนเอง อย่างสุธีร์ และเมื่อรายงานเสร็จสิ้น สุธีร์จึงขอตัวกลับก่อน เนื่องจากต้องไปทำธุระต่อ ในห้องจึงเหลือเพียงคุณชายเต้ และตี๋เท่านั้น
.
“ หรือว่าน้องมีธุระต้องไปทำก่อน ”
.
“ ผมไม่ได้มีธุระอะไรแล้วครับ ตอนแรกว่าจะกลับบ้าน แต่คงไม่สะดวกแล้วล่ะครับ เพราะผมนัดสุธีร์มาทำงานวิจัยเล็กกันวันมะรืน ”
.
ตี๋บอกถึงแผนงานที่ตน และเพื่อนนิสิตแพทย์อย่างสุธีร์ นัดกันไว้ เพราะหากว่าวันหยุดที่สามารถกลับบ้านได้ ตี๋ก็มักจะกลับไปหาป๊า กับม๊า ของตนเองที่ต่างจังหวัด
.
“ ถ้าอย่างนั้น ก็กลับเรือนกับพี่ได้ใช่ไหมครับ ”
.
ตี๋ไม่ได้ตอบรับด้วยคำพูด หากแต่พยักหน้ารับคำชวนอย่างขัดเขิน เพราะตนเองไม่เคยชินเลยสักครั้ง ที่จะตอบรับคำชวน ให้กลับเรือนริมน้ำพร้อมคุณชายเต้
.
“ ตกลงตามนี้นะครับ แต่เดี๋ยวเราแวะที่บ้านของท่านพ่อก่อนนะครับ ท่านบ่นถึงอยู่ แล้วเราค่อยไปเรือนริมน้ำกันต่อ ”
.
เมื่อน้องตกลงรับคำชวน คุณชายเตชณัฐจึงบอกแผนการเพิ่มเติม ว่าตนเองต้องการพาน้องไปที่วังของท่านชายตะวันเสียก่อน
.
คุณชายเตชณัฐ ไม่ชอบที่จะเรียกบ้านของท่านพ่อตนเองว่าวัง อย่างที่คนอื่นทั่วไปเรียกกัน แต่จะเรียกว่าบ้านเสียมากกว่า เพราะรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ซึ่งท่านชายตะวันเอง ก็ชอบที่จะให้ทุกคนเรียกบ้านเช่นกัน
.
“ จะดีหรือครับ เกรงใจท่านชายกับหม่อม ”
.
ตี๋บอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ แม้ว่าคุณชายเต้จะพาตนเองไปกราบบิดา และมารดาของคุณชายแล้ว และท่านทั้งสองก็เอ็นดูตนเองไม่น้อย แต่ตี๋ก็ประหม่าเสียทุกครั้ง
.
“ เกรงใจอะไรกันครับ ท่านพ่อ กับหม่อมแม่บ่นคิดถึงเราให้พี่ฟัง แถมยังต่อว่าพี่ว่า ไม่ยอมพาน้องไปกราบท่านบ้าง ”
.
คุณชายเต้ตอบน้อง ตนเองนั้นพาตี๋ไปกราบบิดา และมารดาตั้งแต่แรก พร้อมกับเล่าเรื่องทุกอย่าง ให้ท่านทั้งคู่ฟัง ซึ่งเมื่อมารดาของตน เมื่อเห็นหน้าตี๋ครั้งแรก ก็ยังตกใจอยู่พอควร เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอ คนที่เคยเป็นคนรักของท่านเทียดเต้ เมื่อสมัยอดีต
.
เรื่องความเป็นมาของท่านเทียดเต้ และคนรักของท่านเทียดนั้น ท่านชายตะวัน และหม่อมเนตรดาว รับรู้มาบ้างแล้ว จากคุณยายของคุณชายเตชณัฐ หรือว่าแม่ของของคุณเนตรดาวนั่นเอง
.
ท่านชายตะวัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวในคราแรก ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนักว่า บุตรชายของตน จะเป็นบรรพบุรุษมาเกิดใหม่ ตามที่ได้รับฟัง
.
แต่เมื่อคุณชายเตชณัฐยิ่งโต ก็ยิ่งคล้าย รวมถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง ที่เกิดขึ้น ทำให้ท่านชายตะวัน เชื่อตามอย่างไม่สงสัยอะไรอีก
.
แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่ยึดติดกับยศ หรือหน้าตาทางสังคม ที่เป็นเพียงเปลือกนอกใดๆ ท่านชายจึงไม่เคยกีดกัน หรือกะเกณฑ์ให้บุตรเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
.
“ ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ พี่เต้โอเวอร์เองมากกว่า ”
.
“ น้อยไปสิ ถ้าไม่เชื่อพี่ ไปถามหมอเตอร์ก็ได้นะ ”
.
“ คงอยู่ให้ถามหรอกครับ ป่านนี้โดนคุณคิมม่อนพาไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง ”
.
คุณชายโยนให้ตี๋ไปถามคอปเตอร์ ว่าเรื่องที่ตนพูดนั้นจริงหรือไม่ แต่ตี๋ก็ตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า หมอเตอร์น้องชายของคุณชายเต้นั้น คงโดนคิมม่อนพาไปไกลแล้วมากกว่า
.
“ ช่างคู่นั้นเขาเถอะ หากเตอร์เขาจะรัก เขาจะชอบ พี่ก็ไม่ขัด คิมม่อนก็เพื่อนพี่ รู้จักกันมานาน ว่าแต่เพื่อนเราเถอะ จะหลอกน้องบาสหรือเปล่า ”
.
คุณชายเตชณัฐไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ตี๋แซว เพราะเชื่อว่าคิมม่อนรักชอบน้องชายของตนจริง และคอปเตอร์เองก็มีใจให้คิมม่อนด้วย
.
แต่คุณชายเตชณัฐก็ยังแอบกังวลเรื่องของหมอก็อต กับน้องชายของคิมม่อนอย่างบาส เพราะหมอก็อตนั้น เจ้าชู้ไม่หยอก
.
“ อย่าห่วงคู่นั้นเลยครับพี่เต้ ไอ้ก็อตน่ะ เห็นเจ้าชู้ไม่ฟันไปทั่ว แต่ถ้ามันรักใคร ก็รักจริงแหละครับ ผมกับมันรู้จักกันตั้งแต่สมัยหัวยังเกรียน จีบสาวยังไม่เป็นด้วยซ้ำ ”
.
ตี๋ช่วยยืนยันว่าหมอก็อต เพื่อนของตนไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนพวกเจ้าชู้ แต่ก็เหมือนแค่เจ้าตัว ยังไม่เจอคนที่ใช่ แต่ถ้าเจอ ก็พร้อมจะหยุดกับคนที่ตนรักเช่นกัน
.
“ ได้ยินเรายืนยันพี่ก็เบาใจ เพราะคู่นี้เริ่มด้วยการเล่นกับความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ แต่จะว่าใครผิด ก็คงต้องไปเอาเรื่องเพื่อนพี่แล้วล่ะ มีอย่างที่ไหน ส่งน้องชายตัวเองมาแยกคนที่ตัวชอบ ออกจากศัตรูหัวใจ ”
.
คุณชายเต้บ่นไปถึงคิมม่อน ที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ก็เบาใจที่ตี๋ช่วยยืนยันว่า หมอก็อตไม่ได้คิดหลอกบาส
.
“ เชื่อเถอะครับ ไอ้ก็อตมันหยุดที่น้องบาสจริงๆ ผมยังอยากขอบคุณน้องบาสเลยนะครับ ที่ทำให้เพื่อผมเจอรักที่มันตามหาเสียที ”
.
ตี๋ว่า ขณะที่เดินตามคุณชายเตชณัฐมาที่ลานจอดรถ ก็อตเพื่อนของตนเองนั้น เป็นคนที่ไม่เชื่อในความรัก เพราะเคยโดนหักอกมาก่อน เจ้าตัวจึงกลายเป็นเพลย์บอยอย่างปัจจุบัน
.
“ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาไปแล้วกัน เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า ”
.
คุณชายเต้หันมากส่งสายตาเจ้าเล่ห์ ให้คนที่เดินเคียงข้างตนเอง ซึ่งก็เพียงพอให้ตี๋หน้าขึ้นสีได้อย่างไม่ต้องสงสัย
.
นี่คงเป็นสิ่งที่ตี๋ คล้ายกับตัวตนของคนรักท่านเทียดเต้ในอดีต เพราะตี๋คนนั้น มักจะเขินอายเสียทุกครั้ง ที่โดนหยอกเอิน
.
“ พอเลยพี่เต้ อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ผมนะ ไม่งั้นผมจะบอกหม่อมแม่ว่า พี่เต้รังแกผม ”
.
“ อ้าว!!! ไหนว่าเกรงใจท่าน แต่ไหงจะฟ้องท่านเรื่องพี่ซะแล้วล่ะ ”
.
“ พอเลยพี่เต้ หยุดล้อกันเลยนะ ขึ้นรถไปเลยไป ”
.
ตี๋เห็นว่าตนเอง ไม่สามารถสู้สายตาพราวระยับของคุณชายเต้ได้ จึงพยายามจะหาตัวช่วย แต่เหมือนยิ่งพูด ก็เหมือนจะยิ่งเข้าตัวมากกว่าเดิม เจ้าตัวจะแก้เขินด้วยการไล่ให้คุณชายเตชณัฐ ไปทำหน้าที่สารถีของตนเองแทน
.
“ จ้าๆ พี่ไม่ล้อแล้วก็ได้ ตกลงเราไปหาท่านพ่อ กับหม่อมแม่กันก่อนนะครับ ”
.
“ เดินมาด้วยขนาดนี้ คงไม่ไปมั้ง ยังจะถามเพื่อ ”
.
ตี๋งุบงิบ พูดอุบอิบในคอ แต่คุณชายเต้ก็ยังหูดีพอที่จะจับใจความได้ ริมฝีปากสวยจึงยกยิ้มพึงใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เพราะแค่นี้ตี๋หน้าหน้าแดงไปถึงหูแล้ว
.
เมื่อตี๋คาดเข็มขัดเสร็จ คุณชายเตชณัฐจึงค่อยๆเลื่อนรถออกจากซอง แล้วขับมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่คุยกันไว้ก่อนหน้า โดยไม่ทันเห็นสายตาคู่หนึ่งที่มองมาอย่างหมายมาด
.
.
.
.
.
*******************************************************
.
.
.
.
.
ใครแอบมองอยู่
.
แล้วต้องการอะไรกันแน่.....
.
ขออภัยที่หาย(หัว)ไปนาน
.
.

ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
หากพบคำผิด สะกิดได้เลยขอรับ
.
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 16 (20/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 20-11-2018 09:00:52

ตอนที่ 16
.
.
.
แรงอาฆาตที่ไม่ปล่อยวาง

.
.
.
เรือนไม้หลังใหญ่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาไม้ แม้จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ส่งให้บรรยากาศโดยรอบเงียบและ วังเวง
.
แม้ว่าตัวเรือน จะอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับ เรือนไทยหลังใหญ่ด้านหน้า แต่เรือนหลังนี้กับไม่มีใครกล้าเฉียดกายเข้าใกล้นัก แม้เวลาจำเป็นต้องทำความสะอาด ก็มักจะเป็นเวลาที่เจ้าของเรือนใหญ่อยู่ด้วยเสมอ
.
ความเงียบ และวังเวงของเรือนไม้หลังนี้ คล้ายจะเป็นเรื่องเล่า ที่ถ่ายทอดกันปากต่อปาก ของบรรดาแม่บ้าน และคนสวน
.
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน เหล่าแม่บ้าน ก็ไม่คิดจะเข้าใกล้ หากไม่จำเป็น ไม่ต้องพูดถึงเวลากลางคืน ที่มักจะมีเสียงหวีดหวิว คล้ายเสียงคนกรีดร้อง ดังผ่านเงาไม้ให้ได้ขนลุกกันทั่วหน้า
.
กรี๊ด......
.
เสียงกรีดร้องด้วยความคับแค้นในใจ ดังขึ้นจากภาพเจ้าของเรือนคนเก่า ที่แขวนไว้ประดับผนังเรือน เมื่อได้รับฟังเรื่องราวจากวิญญาณบ่าวของตน
.
“ มึงว่ากระไรนะอีปริก มึงบอกว่ามันอยู่ด้วยกันแล้วกระนั้นรึ ”
.
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมกับอารมณ์ที่พวยพุ่ง ส่งให้เกิดลมหมุนวนขึ้นในเรือน ตามแรงอารมณ์ที่ขัดเคือง
.
“ เจ้าค่ะ คุณเต้กำลังจะพามันมาที่เรือนริมน้ำ ”
.
วิญญาณบ่าว ที่นั่งพับเพียบเบื้องหน้ารูปนั้น รายงานความเป็นไป ที่ตนเองได้เฝ้ามองดู แก่นายของตน
.
“ มันช่างหยามหน้ากูนัก มันเป็นแค่เศษเสี้ยวดวงจิต แต่ก็ยังคอยเป็นหนามยอกอก ให้กูปวดใจ ”
.
แรงอาฆาตที่ส่งออกมา ทำให้วิญญาณบ่าวถึงกับสะท้าน แต่ก็มิอาจจะเลี่ยงหนีไปไหนได้ ทำได้เพียงนั่งรอให้แรงอารมณ์นั้นบรรเทาลง
.
“ เมื่อไหร่เธอจักเลิกอาฆาตแค้นเสียทีเล่า แม่พริ้ง ”
.
เสียงทุ้มนุ่มของชาย ผู้ที่อยู่ในภาพเดียวกันเอ่ยขึ้น ขัดอารมณ์ที่กำลังคลุ้มคลั่งของหญิงสาว ผู้ได้ชื่อว่า เป็นภรรยาแต่งของตน
.
“ คุณพี่จักพูดกระไรได้ก็นี่เจ้าคะ เพราะเจ้าคุณพี่กำลังเสพสุขอยู่กับมัน ”
.
น้ำเสียงที่แสดงอารมณ์ขัดเคืองอย่างชัดเจน ไม่ได้ทำให้บุรุษในภาพหวั่นไหว หรือกริ่งเกรง เพราะน้ำเสียงที่กล่าวต่อนั้น ยังคงเรียบรื่น ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
.
“ มิมีใครมีความสุขดอกแม่พริ้ง ฉันเองก็มิได้สุขเช่นที่เธอว่า ”
.
“ คุณพี่จักมิได้มีความสุขได้เยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ ”
.
“ แม่พริ้ง เมื่อใดเธอจักปล่อยวางเสียทีเล่า เพลาก็ผ่านมามิใช่น้อย ไยเธอจึงเก็บไฟแค้น แล้วให้มาสุมทรวงอยู่เยี่ยงนี้เล่า ”
.
ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ กล่าวกับภรรยาในนามของตน
.
“ คุณพี่จักมาเข้าใจหัวอกอิฉันได้เยี่ยงไรเล่า ทั้งตอนอยู่ คุณพี่ก็มิเคยสนใจไยดีอิฉัน แม้กระทั่งตอนนี้ ที่คุณพี่เป็นเพียงแค่วิญญาณ คุณพี่ก็ยังห่วงมัน ”
.
แม่พริ้งระบายความคับแค้นในอก ต่อว่าวิญญาณของผู้ที่เป็นสามี เมื่อคราที่มีชีวิต อีกฝ่ายนั้นไม่เคยจะสนใจในตัวเธอ แม้กระทั่งเพลานี้ สามีก็มิเคยเห็นเธอในสายตา
.
“ แม่พริ้ง เธอลองตรองดูอีกคราเถิดว่า ฉันเคยแจ้งความเรื่องนี้ ต่อเธอรึไม่ ”
.
วิญญาณท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ยังคงใจเย็น ที่จักพูดคุยกับอีกฝ่าย เพราะต้องการให้ดวงวิญญาณดวงนี้ หลุดพ้นจากความอาฆาตแค้นเสียที
.
.
.
.
.
******************************************************
.
.
.
.
.
ศาลาริมน้ำเรือนพระยาไชยปราการ กำลังต้อนรับแขกจากเรือนพระยาทิพยโอสถ คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ติดตามมารดามายังเรือนท่านพระยาไชยปราการ
.
“ ดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ คุณหลวง ”
.
มือเรียวสวยของธิดาเจ้าของเรือน รับขันน้ำลอยดอกมะลิจากบ่าว ส่งต่อให้คุณหลวงหนุ่ม ซึ่งคุณหลวงก็รับน้ำใจนั้นไว้
.
“ ขอบใจแม่พริ้ง ต้องขอภัยที่ฉันมารบกวนเยี่ยงนี้ ”
.
คุณหลวงยกขันน้ำขึ้นแตะริมฝีปาก ก่อนจักส่งคืนให้หญิงสาวตรงหน้า
.
“ มิเป็นใดดอกเจ้าค่ะ มิได้รบกวนอันใดเลย ”
.
คุณหลวงหนุ่ม พิศมองหญิงสาวตรงหน้า ผู้ที่มารดาต้องการจักได้ไปเป็นสะใภ้ แต่ตนเองนั้นมิได้มีใจสมัคร ที่จักออกเรือนไปกับคนตรงหน้า
.
แม่พริ้ง ธิดาคนโตของท่านพระยาไชยปราการ งามพร้อมด้วยกิริยา และรูปโฉม ดังเช่นคำที่เล่าลือ กันปากต่อปาก หากยังไม่มีใครรู้ถึงนิสัยใจคอลึกๆภายใน
.
แต่คุณหลวงนั้น มิได้ต้องตา หรือต้องใจ กับความสวยงาม เย้ายวนตรงหน้า เพราะทั้งใจกายของตน ยกให้กับผู้เป็นที่รักเสียสิ้นแล้ว
.
“ แม่พริ้ง รู้ใช่รึไม่ว่า คุณแม่ของฉัน มาที่เรือนท่านพระยาไชยปราการด้วยการใด ”
.
คุณหลวงมิปล่อยเวลาเสียไป เมื่อเจ้าตัวเอ่ยถามความกับแม่หญิงตรงหน้า ซึ่งก็ได้รับคำตอบด้วยการพยักหน้าอย่างเอียงอาย
.
บ่าวคนสนิทของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยนั้น ลูบเท้าผู้เป็นนาย ด้วยต้องการปลอบว่ายังมีตนที่นั่งอยู่ด้วย
.
“ อิฉันพอจักทราบมาบ้างเจ้าค่ะ ”
.
“ เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว แต่ความที่ฉันจักแจ้งต่อแม่นั้น เป็นความสัจจริง ฉันมิต้องการจักปิดบังกระไรแม่ ”
.
คุณหลวงว่า แลรอดูปฏิกิริยาของคนที่นั่งฟังไปด้วย
.
“ ความที่ฉันแจ้งกับแม่พริ้งคือ ฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้ว แลฉันก็มิต้องการจักมีใครอื่นอีก ฉันอยากจักขอร้องแม่พริ้ง แม่พริ้งช่วยปฏิเสธให้ฉันได้รึไม่ ”
.
คุณหลวงแจ้งความจำนงของตน ว่าต้องการให้หญิงสาวตรงหน้า ปฏิเสธการทาบทามสู่ขอของคุณหญิงแย้ม ทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไป
.
“ เหตุใดเล่าเจ้าค่ะ เหตุใดคุณหลวงจึงกล่าวเยี่ยงนี้ กับนายของอิฉัน ”
.
บ่าวคนสนิทของหญิงสาว เอ่ยขึ้นมาแทนนายของตน ที่นั่งเงียบเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของคุณหลวงหนุ่ม
.
“ ฉันแจ้งต่อแม่พริ้ง เพราะฉันมิอยากให้แม่พริ้ง ต้องแต่งกับคนที่ไม่มีทางรักแม่ไปมากว่าน้องสาวได้ ”
.
“ อิฉันมิได้ใจแคบ หากคุณหลวงจะมีอนุ แต่เหตุใดคุณหลวงจึงตัดรอนอิฉันเยี่ยงนี้เล่า ”
.
เมื่อได้สติ พริ้งจึงถามความ ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงตัดรอนตนเอง เพียงเพราะมีคนรักอยู่แล้ว แม้ว่าตนจักมิได้ใจกว้าง ยอมให้สามีมีเมียเล็ก เมียน้อย อย่างปากว่า แต่ก็ไม่คิดว่า อีกฝ่ายจะตัดรอนตนเองเยี่ยงนี้
.
“ ฉันมิได้ต้องการมีอนุ ฉันจึงมาขอร้องแม่พริ้งเยี่ยงนี้ แม่พริ้งเองรึก็งดงาม จนเป็นที่เล่าลือ ฉันมิอยากให้แม่ต้องมาช้ำใจกับฉัน ”
.
คุณหลวงให้เหตุผล กับหญิงสาว แต่เหมือนกับแม่พริ้งนั้น มิใคร่จักพอใจเท่าใดนัก
.
“ หากอิฉันงดงามเช่นที่คุณหลวงว่า เหตุใดคุณหลวงจึงตัดรอนอิฉันเช่นนี้เล่า ”
.
“ แม่พริ้ง ฉันมีคนที่ฉันรักแล้ว ฉันให้สัญญากับตนเอง แลคนรักของฉันว่า ฉันจักมิรักใครอื่นอีก ขอให้แม่เข้าใจฉันด้วยเถิด ”
.
คุณหลวงขอร้องอีกครา ด้วยคุณหลวงมิต้องการให้หญิงสาวตรงหน้า เข้ามามีบ่วงกรรมไปกับตน เพราะตนเองนั้น ไม่อาจจะรักใครอื่นได้อีก จึงไม่อยากดึงให้หญิงสาวผู้นี้ ให้ต้องก้าวเข้ามา โดยที่ตนเองไม่สามารถให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้
.
“ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ คุณหลวงมีคนรักแล้ว เหตุใดจักแต่งกับอิฉันไม่ได้ ”
.
แม่พริ้งยังคงดึงดัน ไม่ยอมจักทำตามคำขอร้องของคุณหลวงหนุ่ม เธอมั่นใจว่า ตนเองนั้นงาม และความงามของตน จักต้องมัดใจคุณหลวงหนุ่มตรงหน้าได้
.
“ แม่พริ้ง ฉันขอเถิด ”
.
“ หากคุณหลวงมิต้องการออกเรือนไปกับอิฉัน เหตุใดไม่บอกคุณแม่ของคุณหลวงเองเล่าเจ้าคะ มาแจ้งแก่อิฉันเพื่อการใด ”
.
เมื่อได้ฟังคำของหญิงสาวตรงหน้า คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์จึงได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อคนตรงหน้าดื้อดึง แลไม่ฟังคำขอร้องของตน
.
“ เอาเถิดแม่พริ้ง ฉันจักถือว่า ฉันได้แจ้งแก่แม่แล้ว แลให้แม่นั้นตัดสินใจเอาเองเถิด แลหากความใดต่อจากนี้ไป ฉันก็จักถือว่า วันนี้ฉันได้บอกทุกเรื่องแก่แม่แล้วเช่นกัน ”
.
คุณหลวงเห็นว่า การที่ตนเองติดตามมารดามาเพื่อขอร้องคนตรงหน้า ไม่ประสบผลตามที่คิด จึงได้แต่ปลงกับชะตา แลปล่อยให้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป
.
“ เจ้าค่ะ อิฉันรับรู้ความที่คุณหลวงแจ้งแล้ว อีปริก กลับเรือน ”
.
เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มตรงหน้ามิได้มีท่าทีเช่นคนอื่น ที่มาแวะเวียนมา แม่พริ้งจึงรู้สึกขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
.
เพราะชายหนุ่มที่เข้ามาเรือนของบิดา ทุกคนต้องการจักได้ตนไปเป็นแม่ศรีเรือนทั้งสิ้น คงมีแต่คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์เสียกระมัง ที่ปฏิเสธตนเองอย่างไม่ไว้หน้า
.
แลเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนก็ไม่มีทางที่จักยอมได้ ไม่มีทางที่คุณหลวงหนุ่ม จักไม่มีใจให้แก่ตน คนที่อยู่ร่วมเรือน ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน เหตุใดจักไม่รักกัน
.
.
.
.
.
*****************************************************
.
.
.
.
.
เมื่อเห็นว่าวิญญาณของภรรยาแต่ง กำลังครุ่นคิดถึงความในอดีต เจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
.
“ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ ”
.
วิญญาณของแม่พริ้งส่งเสียงขึ้นอีกครา หลังจากนึกย้อนความ ตามสิ่งที่อีกฝ่ายได้บอกแก่ตนเองเมื่อครั้งอดีต
.
“ ปล่อยวางเสียเถิดแม่ อย่าเอาทิฐิมาเป็นบ่วงรัดตัวเลย ”
.
“ ปล่อยวางรึเจ้าคะ แล้วให้คุณพี่ไปเสพสม เสพสุขกับมัน อย่าได้ฝันไปเลยเจ้าค่ะ ถ้าอิฉันไม่ได้ ไอ้ อีหน้า ไหนก็ไม่มีทางได้ ”
.
“ แม่พริ้ง ใจเธอช่างเต็มไปด้วยแรงทิฐิ แลมิยอมจักยอมรับความเป็นจริง เห็นทีฉันคงมิอาจจักเปลี่ยนใจเธอได้จริงๆ ”
.
วิญญาณของท่านเจ้าพระยา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ด้วยว่าไม่ว่าจะตอนเป็น หรือตอนตาย หญิงสาวตรงหน้าก็ทิฐิแรง แลมิยอมรับความจริงใดๆ
.
“ ไม่มีทางดอกเจ้าค่ะคุณพี่ อิฉันไม่มีทางให้คุณพี่กับมัน ได้มีความสุขกันแน่ แม้มันว่าจักเป็นแค่เศษเสี้ยวดวงจิตของคุณพี่ กับมันก็ตาม อิฉันจักตามทำลายเสียให้สิ้น ”
.
“ ใจเธอช่างร้ายนัก เมื่อใดเธอจักหยุดก่อกรรม ”
.
“ เมื่อเห็นมันกับคุณพี่ ต้องทนทุกข์เยี่ยงที่อิฉันเคยเป็นไงเจ้าคะ ”
.
วิญญาณของแม่พริ้งกล่าวด้วยจิตอาฆาต จนทำให้อากาศด้านนอกปั่นป่วนอีกครา แต่ท่านเจ้าพระยาก็มิได้หวั่นเกรง
.
“ เอาเถิด หากเธอจักยึดมั่น ถือมั่น ไฟนั้นก็จักเผาตัวเธอเอง ”
.
สิ้นคำ ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ก็หันหลัง เดินกลับไปด้านในรูปภาพ ที่จองจำตนเองเอาไว้ ใจก็ได้แต่ภาวนาให้เสี้ยวดวงจิตของตนเอง และคนที่รักปลอดภัย
.
“ คุณพริ้งจักให้บ่าวทำเยี่ยงไรต่อเจ้าคะ ”
.
เมื่อเห็นว่า ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ เดินกลับไปด้านในภาพแล้ว วิญญาณบ่าวรับใช้จึงเอ่ยถามนายของตนอีกครา
.
“ ในเมื่อมันอยากมาที่นี่ กูก็จักให้มันมา ”
.
วิญญาณแม่พริ้งกล่าวรอดไรฟัน
.
“ เจ้าค่ะ คุณพริ้ง ”
.
“ อีปริก อีคนที่มึงว่าหน้าคล้ายกูนั้น มันอยู่ที่ใด ”
.
วิญญาณแม่พริ้งถามบ่าวของตน ถึงหมอพริ้ง คนที่หน้าตาคล้ายตนเอง
.
“ เธอก็เป็นหมอ เช่นเดียวกับเสี้ยวดวงจิตของท่านเจ้าพระยาเจ้าค่ะ แลยังอยู่ในโรงหมอที่เดียวกับมันด้วยเจ้าค่ะ ”
.
นางปริกตอบนายของตน แลขยายความเพิ่ม ตามที่ตนคิดว่านายของตนต้องการรู้อีกด้วย
.
“ ดีนัก กูจักได้มิต้องเปลืองแรงมาก ”
.
“ แม่พริ้งในภาพว่าขึ้น เมื่อได้ฟังความจากบ่าวของตน แววตาสมใจเมื่อนึกแผนการบางอย่างได้
.
“ อีปริก มึงไปพามันมาหากู ”
.
“ เจ้าค่ะคุณพริ้ง บ่าวจักรีบไปทำตามที่คุณพริ้งต้องการประเดี๋ยวนี้ ”
.
แล้ววิญญาณของบ่าว ที่คอยภักดีต่อแม่พริ้งนายของตน ก็สลายร่างโปรงแสงกลายเป็นควันสีดำพุ่งผ่านช่องว่างของประตูออกไป
.
รอยยิ้มร้ายแต่งแต้มบนใบหน้าที่ยังคงงดงาม แม้มิได้มีกายเนื้อเช่นกาลก่อน มันรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว เมื่อรอยยิ้มนั้น เต็มไปด้วยแรงอาฆาต ที่ไม่เคยปล่อยวาง ไม่ว่าจะเป็น หรือตาย
.
.
.
.
.
*******************************************************
.
.
.
.
.
วิญญาณของคุณพริ้งคิดจะทำอะไร
.
แล้วทำไมต้องพาหมอพริ้งมาหาตนเอง
.
คุณพริ้งต้องทำอะไรกันแน่
.
แล้วหมอพริ้งจะกลายเป็นเหยื่อ
.
หรือจะกลายเป็นผู้ล่า
.
ท่านที่หลงเข้ามา ท่านมิได้ตาฝาด
.
ข้าเจ้าลงตอนต่อไปแล้วจริงๆ
.
ช่วยส่งแรงใจให้คุณชายเต้ กับน้องตี๋ ให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณทุกแรงใจ ที่มีให้กันขอรับ
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 16 (20/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-11-2018 17:09:10
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 16 (20/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 22-11-2018 20:21:44
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 17 (23/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-11-2018 11:34:24
.
.
ตอนที่ 17
.
.
.
ครอบครัว

.
.
.
.
.
รถยนต์คันงามเลี้ยวเข้าประตูรั้วอัลลอย ผ่านซุ้มไม้ประดู่ เข้าสู้ตัวบ้านด้านใน วังอภิบาลบริรักษ์ยังคงความสง่างาม ตัวอาคารไม่ได้ใหญ่โต ด้วยท่านชายเต ตะวัน ผู้เป็นเจ้าของ ไม่โปรด ท่านชายต้องการบ้านที่พักอาศัย มิได้ต้องการสิ่งปลูกสร้างอวดความร่ำรวย
.
เมื่อรถยนต์คุ้นตาแล่นเข้ามา แม่บ้านจึงตระเตรียมน้ำเย็น และของว่างมาต้อนรับ อีกคนก็ไปเรียนหม่อม ว่าคุณชายเตชณัฐมาถึงแล้ว
.
“ มาพอดีเลยค่ะคุณชาย หม่อมท่านเพิ่งจะมาถามเลยเชียวว่า คุณชายมาหรือยัง วันนี้หม่อมลงครัวเองเลยนะคะ ”
.
“ ขอบคุณครับ แล้วนี่เจ้าเตอร์กลับมาหรือยังครับ ”
.
“ มาแล้วค่ะ ก่อนหน้าคุณชายครู่เดียว คุณคิมม่อนเธอมาส่ง หม่อมท่านเลยชวนให้ทานมื้อเย็นด้วยกัน ”
.
แม่บ้านวัยกลางคนเข้ามาทักคุณชายเตชณัฐ พร้อมยังรายงานเรื่องที่หม่อมเนตรดาวสอบถามให้คุณชายทราบ รวมถึงบอกอีกด้วยว่า หม่อมเนตรดาวเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง
.
“ ครับ แล้วท่านพ่อล่ะครับ ”
.
“ ท่านชายกลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ เห็นหม่อมท่านว่าไปทานข้าวกับเพื่อนๆมา ตอนนี้อยู่ในห้องหนังสือค่ะ ส่วนหม่อม ป้าให้เด็กไปเรียนแล้วค่ะว่า คุณชายกลับมาแล้ว ”
.
แม่บ้านคนเดิม รายงานตามสิ่งที่คุณชายเตชณัฐต้องการทราบ และเพิ่มเติมตามที่คิดว่าคุณชายเตชณัจต้องการทราบเพิ่ม
.
“ ขอบคุณครับ รู้ใจผมจริงๆนะครับ ไม่ต้องถามก็ตอบแล้ว ”
.
“ ไม่ต้องมาแหย่ป้าค่ะ เอาใจคนแก่เก่งจริงๆเชียว พาคุณตี๋ไปกราบท่านชาย กับหม่อมด้านในเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าขอไปบอกพวกเด็กๆจัดโต๊ะก่อน ”
.
ว่าจบจึงแยกย้ายกัน คุณชายเตชณัฐ พาคนรักอย่างตี๋เข้าไปกราบท่านพ่อ และหม่อมเนตรดาว ผู้เป็นมารดา ส่วนหน้าแม่บ้านแยกไปทำหน้าที่ของตนต่อ
.
.
.
มื้อเย็นวันนี้ ของวังอภิบาลบริรักษ์ มีแขกหน้าเดิมสองคน คนแรกคือคิมม่อน ที่แวะเวียนมาทานมื้อเย็นกับเจ้าของวัง บ่อยกว่าบุตรชายของท่านชายตะวัน อย่างคุณชายเตชณัฐเสียอีก
.
คิมม่อนนั้น มาฝากตัวเป็นลูกชายอีกคนของวังอภิบาลบริรักษ์ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งความจริงแล้ว คิมม่อนไม่จำเป็นต้องมาฝากเนื้อ ฝากตัวอะไรอีก เพราะเจ้าตัว เข้าออกวังมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว
.
แต่ที่มาฝากตัวใหม่นั้น เจ้าตัวเอ่ยปากบอกความรู้สึกของตน ที่มีต่อบุตรชายบุญธรรมของท่านชายตะวัน อย่างคอปเตอร์ และขออนุญาตที่จะคบหากับคอปเตอร์
.
ท่านชายตะวัน ผู้มีความคิดเปิดกว้าง และไม่คิดจะกะเกณฑ์ ตีกรอบกับลูกอยู่แล้ว จึงไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะคิมม่อนเองนั้น ท่านชายก็เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย
.
นิสัยใจคออย่างไร ก็รับรู้มาตลอด และคอปเตอร์เอง ก็ดูมีใจให้คิมม่อนด้วยเช่นกัน ท่านชายจึงอนุญาตให้คิมม่อม คบหากับคอปเตอร์ได้ โดยมีผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่าย
.
หลังจากจบมื้อเย็น ท่านชายและหม่อมจึงขอตัวขึ้นไปเอนหลัง ปล่อยให้หนุ่มๆอยู่กันตามลำพัง
.
“ ไงคิม นายมาทุกวันเชียวนะ กลัวเตอร์เปลี่ยนใจหรือไง ”
.
คุณชายเตชณัฐ แหย่เพื่อนสนิท หลังจากท่านพ่อ และหม่อมแม่ คล้อยหลังออกไปไม่นาน
.
“ แล้วไง แกจะว่ายังไงก็ช่าง คิดว่าฉันสะทกสะท้านเหรอ ไม่มีเสียล่ะ ”
.
คิมม่อนเองก็ใช่ว่าจะยอม เพราะเจ้าตัวนั้น ไม่มีท่าทีอย่างที่ปากว่าจริงๆ
.
“ ว่าแต่ฉัน แกเองก็ตามน้องตี๋แบบไม่คลาดสายตาเหมือนกันแหละวะ ”
.
คิมม่อนว่ากลับ
.
แต่คุณชายเตชณัฐ ไม่ได้ตอบโต้เพื่อนสนิทด้วยคำพูด แต่เป็นการกระทำแทน เพราะเจ้าตัวก้มหอมแก้มน้องแทนคำตอบ
.
ส่วนคนที่โดนหอมแก้มแบบไม่ทันตั้งตัว ก็ได้แต่นั่งหน้าแดง ด้วยความเขิน และไม่คิดว่าคุณชายจะกล้าทำอะไรแบบนี้
.
“ อะไรวะ ทีฉันแกให้มองแต่ตา แล้วทำไมแกเอาเปรียบฉันแบบนี้ล่ะ อีกอย่างน้องตี๋เขาเป็นลูกมีพ่อ มีแม่เปล่าวะ แกทำแบบนี้ ทางนู้นเขารู้ยัง ”
.
คิมม่อมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะระหว่างตนเองกับคอปเตอร์นั้น คุณชายเตชณัฐไม่อนุญาตให้ล่วงเกินคอปเตอร์ไปมากกว่าจับมือ
.
“ อย่ามาเยอะคิม เรื่องน้องตี๋ ฉันไปขอที่บ้านน้องมาแล้ว ป๊า กับม๊า กับพี่น้องที่บ้าน ก็เข้าใจ ”
.
คุณชายตอบคำถามของเพื่อนสนิท ว่าตนเองเข้าตามตรอก ออกตามประตูแล้ว ไม่ทำอะไรให้คนที่ตนเองรัก ต้องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน
.
“ เฮ้ย!!! จริงดิ แกไปบ้านน้องมาตอนไหนวะ ไม่บอกกันบ้างเลยนะ นี่ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันจะรู้ไหมวะ ”
.
คิมม่อนตัดพ้อเพื่อน ที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้ตนเองฟังบ้าง
.
“ ใช่สิ ตอนนี้ฉันมันหมดประโยชน์แล้วนิ ใครจะมาสนใจ ใช่ไหมครับน้องเตอร์ ”
.
คิมม่อนแหน็บแนมเพื่อนตนเอง แล้วก็หันไปเรียกร้องความสนใจจากคอปเตอร์ ให้มาเป็นพวกของตนเอง
.
“ เกินไปไหมคิม แกนี่มันสร้างโอกาส หาเรื่องแหย่เตอร์ให้เขินได้ตลอดนะ ”
.
“ แน่นอนครับผม ว่าแต่แกไปบ้านน้องตี๋มา แล้วเป็นไงบ้าง เล่ามาซะดีๆ ไม่งั้นฉันจะถามน้องตี๋ของแกแทน ”
.
คิมม่อนรับสมอ้างตามที่คุณชายว่า ก่อนจะวกกลับมาเรื่องที่ตนเองสงสัยไว้ก่อนหน้านี้
.
“ก็ดีนะ บ้านน้องต้อนรับดีเลยล่ะ ”
.
คุณชายตอบ พลางนึกย้อนกลับไปในครั้งแรก ที่ตนเองขอให้น้องพาไปกราบพ่อ แม่ ของน้อง แม้ตี๋จะบ่ายเบี่ยง แต่คุณชายเต้ก็สามารถหว่านล้อม จนน้องคล้อยตามได้ในที่สุด
.
.
.
.
.
***************************************
.
.
.
.
.
ในเสี้ยวหนึ่งของท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ทำให้คุณชายเตชณัฐได้รับรู้ผ่านความทรงจำเหล่านั้น
.
ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ได้มอบเครื่องทอง เครื่องประดับ เพชร พลอย น้ำงาม แลเบี้ยอัฐ ให้กับครอบครัวของคนรัก
.
เพราะอยากดูแล และไม่ต้องการให้บุตรคนอื่น ในครอบครัวของคนรัก ต้องกลายเป็นทาสเหมือนน้องน้อยของตน
.
คุณชายเตชณัฐขับรถพาตี๋กลับบ้าน โดยตี๋บอกทางเป็นระยะ จากเมืองหลวงขับเข้าสู่ชานเมือง จังหวัดที่ไม่ไกลกรุงเทพมากนัก
.
รถยนต์ขนาดกลาง แล่นมาจอดหน้าชานบ้านเรือนไทย ที่ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและจีน ได้อย่างลงตัว
.
เรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง โดยมีเรือนหลังเล็กลงมา ปลูกสร้างอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน ซึ่งตี๋บอกกับคุณชายเตชณัฐว่า เป็นบ้านของพี่ๆ ที่ออกเรือนไปแล้ว แต่มารดาของตนไม่อยากให้ลูกต้องอยู่ห่างกัน จึงให้ลูกปลูกบ้านเสียในรั้วเดียวกัน
.
เมื่อมาถึง ทุกคนต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะตี๋ได้เล่าเรื่องของตนเอง ให้ครอบครัวได้รับรู้ทุกเรื่อง ไม่ได้ปิดปังอะไร
.
ตอนที่ได้เห็นหน้าคุณชายเตชณัฐครั้งแรก บิดา และมารดาของตี๋ ดูจะตกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่า ตนเองจะได้เจอคนที่เป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวในอดีต
.
ป๊าของตี๋ พูดถึงเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา จากรุ่นพ่อ แม่ว่า คุณเต้เมื่อครานั้น ได้นำของมีค่ามาให้ และบอกให้นำไปตั้งตัว
.
ซึ่งนายเล้งผู้เป็นบิดาของน้องน้อย ก็พาครอบครัวมาบุกเบิกที่ดิน ซึ่งเป็นของครอบครัวในตอนนี้ ลงทุนทำนา และค้าข้าว ติดต่อค้าขายกับสำเภาจีน รับสินค้าจากชาวต่างชาติมาขาย
.
ก่อนกิจการจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น และพัฒนาขึ้นตามยุคสมัย อย่างเช่นในตอนนี้ ครอบครัวของตี๋ มีที่นาให้เช่า ค้าข้าว กิจการโรงสี และยังนำเข้าสินค้าอีกมากมาย
.
แต่ทั้งบ้าน ก็ไม่มีใครที่ฟุ้งเฟ้อ ด้วยถูกสั่งสอนให้รู้ค่าของเงิน หลังจากที่ทานอาหารมื้อใหญ่ กับบ้านของตี๋ คุณชายเต้ได้เห็นมุมมองที่เกี่ยวกับคนรักมากขึ้น
.
เมื่อบรรดาพี่ๆ และหลานๆ แยกย้ายกลับบ้านของคน ตี๋จึงชวนคุณชายไปนั่งเล่นที่ศาลาริมแม่น้ำ
.
“ บ้านตี๋น่ารักดีนะครับ ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้น เมื่อทั้งคู่เข้ามานั่งในศาลาแล้ว
.
“ เวียนหัวดีไหมครับ โดยเฉพาะเจ้าแสบทั้งหลาย ”
.
ตี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อพูดถึงครอบครัวของตนเอง
.
“ น่ารักดี คุณแม่ของตี๋ท่านมองการณ์ไกล ที่ให้ปลูกบ้านในรั้วเดียวกัน เพราะเวลาปู่ ย่า แก่ตัว อย่างน้อยก็ยังมีหลานมาวิ่งเล่นให้คลายเหงา ”
.
“ ใช่ครับ คุณแม่ท่านก็ว่าอย่างนี้ ท่านว่า พื้นที่บ้านเรามีตั้งมากมาย จะย้ายออกไปสร้างบ้านให้ไกลทำไม ”
ตี๋เห็นด้วยกับความคิดของคุณชายเตชณัฐ
.
“ ป๊า กับคุณแม่ ดูไม่แปลกใจอะไรเลย ที่พี่กับตี๋คบกัน ”
.
“ อ้าว แล้วจะให้ท่านแปลกใจอะไรเหรอครับ ”
.
คุณชายเต้เอ่ยถึงเรื่องที่บิดา และมารดาของตี๋ ดูไม่แปลกใจที่บุตรชายของตน รักชอบกับผู้ชายด้วยกัน เพราะตามที่คุณชายเคยได้รับฟังมา คนจีนมักอยากให้ลูกชายมีหลานสืบสกุล
.
“ เห็นป๊าพูดไทยคำ จีนคำ แบบนั้น แต่ความคิดนี่อย่างวัยรุ่นนะครับ บางวันป๊ายังชวนหลานๆ เข้ากลุ่มตีบอสในเกมส์ออนไลน์ด้วยซ้ำ ”
.
ตี๋ว่าขำๆ เมื่อนึกถึงความเป็นวัยรุ่น ไม่ตกยุคของบิดาตนเอง
.
“ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ”
.
“ ขนาดนี้ล่ะครับ อย่างที่เห็น เจ้าแสบหลานๆผมน่ะ ติดท่านทั้งนั้น ”
.
คุณชายทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ เพราะภาพที่เห็นคือ ป๊าของตี๋ดูเป็นคนเหมือนจะหัวเก่าไม่น้อย จากการแต่งตัว และคำพูด
.
“ โดนป๊าหลอกแล้วครับพี่เต้ ไม่เชื่อเดี๋ยวรอดูพรุ่งนี้ ”
.
แม้ในตอนที่ได้ฟังครั้งแรก คุณชายเต้ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยภาพ เมื่อป๊าที่เป็นคนยุคเก่า แต่งตัวด้วยเสื้อกล้าม กางเกงบอล เป็นหัวหน้าแก้งค์พาหลายๆออกกำลัง ด้วยการปั่นจักรยานตอนเช้า
.
และสิ่งที่ได้ฟังจากปากของบิดาของตี๋อีกครั้ง ก็ทำให้คุณชายเต้หมดกังวล กับเรื่องที่ตนรักกับบุตรชายคนเล็กของบ้านนี้
.
“ อาเต้ ป๊าฝากอาตี๋อีด้วย ป๊าไม่อยากให้เกิดเรื่องเศร้าเหมือนรุ่นปู่ ย่า สมัยกระนู้น รักกัน ก็ดูแลกันและกัน ป๊าขอแค่นี้ อาเต้จะรับป๊ากับม๊าได้ไหม ”
.
“ ได้ครับ ผมจะดูแลน้องให้ดี เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ผมเองไม่ต้องการให้เรื่องเมื่อครั้งนั้น เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ”
.
ป๊าของตี๋เอ่ยฝากฝัง ให้คุณชายเต้ช่วยดูแลบุตรชายของตน ซึ่งคุณชายเองก็รับปาก และสัญญากับใจว่าจะต้องทำให้ได้
.
“ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก อาเต้อย่าคิดมากไป ป๊าขอบใจ บ้านของเราก็ได้ท่านช่วยไว้มาก ไม่อย่างนั้น คงไม่มีอย่างทุกวันนี้ ”
.
ป๊าขอบใจที่คุณชายเต้รับปากตนเอง พลางนึกถึงเรื่องที่ท่านเจ้าพระยา ได้ให้ทรัพย์สินจนมาตั้งตัวได้ และครอบครัวก็มีความสุขเช่นทุกวันนี้
.
คุณชายอยู่ทานอาหารเช้าที่บ้าน ซึ่งมีเพียงป๊า ม๊า และตี๋เท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ตี๋บอกว่าจะมาพร้อมหน้ากันตอนมื้อเย็นเท่านั้น
.
หลังจากรับมื้อเช้าเสร็จ คุณชายก็กราบลาเจ้าของบ้าน เพราะตนเองกับบุตรชายคนเล็กอย่างตี๋ คุยกันไว้ว่า จะแวะไปไหว้พระ ทำบุญที่วัดในตัวเมือง และแวะเที่ยวระหว่างทางกลับกรุงเทพด้วย
.
“ เสียดายจัง มาคราวนี้ไม่เจอหลวงปู่ ”
.
ตี๋เอ่ยขึ้น เมื่อคุณชายขับรถออกมาได้สักพัก
.
“ หลวงปู่ ใครหรือครับ ”
.
คุณชายถามขึ้นด้วยความสงสัย
.
“ พูดไปพี่เต้อาจจะไม่เชื่อ ”
.
“ ทำไมล่ะครับ ทำไมคิดว่าพี่จะไม่เชื่อ พี่เจอเรื่องเหลือเชื่อมาขนาดนี้แล้ว ”
.
“ นั่นสิครับ ผมก็ลืมนึกไป ”
.
ตี๋ยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบของคุณชาย
.
“ พี่เต้จำพี่สุก เมื่อครั้งนั้นได้ไหมครับ ”
.
“ จำได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ”
.
“ นั่นล่ะครับหลวงปู่ที่ผมพูดถึง ”
.
ตี๋ว่าด้วยรอยยิ้ม และยิ่งยิ้มกว้างขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าตกใจ ปนแปลกใจของคุณชาย
.
“ นายสุกคนนั้นน่ะเหรอ พี่ก็อยากจะขอบคุณ แล้วก็ขอโทษเขาเหมือนกัน ”
.
คุณชายเต้กล่าวตอบน้อง ด้วยน้ำเสียงเศร้า ระคนเสียใจ ที่ตนเองในอดีต เป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายต้องจากไป
.
“ หลวงปู่ท่านไม่ได้โกรธพี่เต้หรอกครับ เชื่อสิ ”
.
ตี๋ปลอบใจพี่
.
“ แล้วทำไมน้องถึงบอกว่า มาคราวนี้ไม่ได้เจอท่านล่ะ เราไปหาท่านไม่ได้เหรอ ”
.
คุณชายเต้ถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดก่อนหน้าของน้อง
.
“ ท่านออกธุดงค์น่ะครับ แต่อีกไม่นานคงกลับ ท่านยังฝากผมไว้เลยนะว่า ให้ผมพาพี่ไปพบท่านด้วย ”
.
ตี๋ตอบคำถามของพี่ ว่าทำไมไม่สามารถไปหาหลวงปู่ได้ในตอนนี้
.
“ ตอนแรกที่ท่านบอก ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะได้เจอพี่เต้ แต่ท่านว่า เราสองคนมีชะตาต้องกัน ยังไงก็ต้องได้เจอ ”
.
“ อย่างนั้นหรือครับ ดีเลย พี่จะได้กราบท่าน แล้วท่านไม่ได้บอกอะไรน้องมากกว่านี้หรือครับ ”
.
“ ไม่ได้บอกอะไรเลยครับ หลวงปู่บอกแค่นี้เอง ผมก็ถามนะ แต่ท่านไม่ยอมบอก ท่านว่าไม่ใช่เรื่องที่ผมควรรู้ในตอนนั้น ”
.
ตี๋บอกเล่าเรื่องที่ได้รับฟังมาจากหลวงปู่ให้พี่ฟัง ซึ่งคุณชายเต้นั้นก็พยักหน้ารับรู้
.
“ แล้วท่านจะกลับมาจำวัดอีกเมื่อไหร่ครับ ท่านบอกไว้หรือเปล่า ”
.
คุณชายเต้ถามเรื่องที่ตนสงสัย
.
“ ไม่ได้บอกหรอกครับ แต่คิดว่าเร็วๆนี้ เพราะท่านไปธุดงค์อย่างนี้ทุกปี และจะกลับมาจำวัด ตามเวลาเดิมเหมือนทุกที ”
.
“ ถ้าอย่างนั้น เราค่อยกลับมากราบท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะบอกอะไร พี่เองก็มีเรื่องอยากรบกวนท่านอยู่เหมือนกัน ”
.
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากน้อง คุณชายจึงคลายสงสัย แต่ก็มีเรื่องอื่นให้สงสัยแทน ด้วยไม่รู้ว่าหลวงปู่ที่เคยเป็นบ่าวเรือนริมน้ำเมื่อกาลก่อน ต้องการจะบอกอะไรกับตนเอง
.
แต่ยิ่งคิด ก็ยิ่งกังวลไปเอง ตอนนี้คุณชายเตชณัฐ อยากจะใช้เวลากับน้องให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่า เรื่องราวในวันต่อไปจะเป็นเช่นไร
.
.
.
.
.
***************************************
.
.
.
.
.
หลวงปู่มีอะไรจะบอกคุณชายกันแน่
.
แล้วเรื่องอะไรที่คุณชายเป็นกังวล
.
ช่วยให้กำลังใจคุณชายกับน้องด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
พบเจอคำผิด สะกิดได้เลยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 16 (20/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-11-2018 11:35:46

Billie : ขอบคุณจ้า

สีหราช : ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 16 (20/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-11-2018 16:58:45
 :L2: :pig4:

ลืมเปลี่ยนหัวตอนนะ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 16 (20/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-11-2018 21:16:55

Billie : ขอบคุณขอรับ ตามไปแก้บัดเดี๋ยวนี้จ้า

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 18 (27/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 27-11-2018 10:13:48
ตอนที่ 18
.
.
.
ห้องสุดท้าย

.
.
.
.
.
เมื่อวัน และคืนเดินทาง ความสัมพันธ์ของผู้คนจึงก้าวตามไป นิสิตแพทย์กวีทัศน์ หรือหมอก็อต สานสัมพันธ์กับบรรณวิชญ์ หรือน้องบาสที่เจ้าตัวชอบเรียก จากที่คิดว่าจะคบกันเล่นๆ กลับกลายเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาอีกคู่
.
เพราะกวีทัศน์แม้จะมีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องฝึกงานที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน หากว่ามีเวลาว่าง เจ้าตัวก็จะชักชวนบรรณวิชญ์ไปเที่ยว
.
เช่นเดียวกับบรรณวิชญ์เอง หากว่างก็จะมาหา เพราะรู้ว่างานแพทย์นั้นไม่มีเวลาว่างมากอย่างคนอื่นๆ
.
ส่วนคิมม่อน หลังจากทำตัวเป็นพี่หวงน้องอยู่พักใหญ่ ก็ปลงตกว่า นั่นคือสิ่งที่น้องเลือก ตนเองคงได้แต่มองอยู่ห่างๆ และคอยประคองเมื่อยามน้องพลาด
.
ด้านความรักระหว่างเจ้าตัวกับคอปเตอร์ ก็ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปเหมือนเดิม แต่แน่นเฟ้น อาจไม่ได้หวือหวา หรือหวานหยด แต่ก็ละมุน ละไม
.
ด้านสุธีร์ แม้ว่าจะไม่ได้มีคนรักเป็นตัวเป็นตน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รีบอะไร เพราะคิดว่าลองมองอะไรไปเรื่อยๆ หากเจอสิ่งที่ใช่ก็พร้อมจะหยุด
.
ฝั่งของคุณชายเตชณัฐ กับน้องตี๋ ตีรณ หากจะบอกว่า เพราะความหนหลังทำให้ทั้งคู่ผูกพันกันมา แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
.
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะคุณชายเตชณัฐคิดว่า แม้ไม่มีเสี้ยววิญญาณของคุณเทียด ตนเองก็พร้อมจะทำให้น้องรักได้
.
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะตี๋เอง แม้จะมีความทรงจำแต่หนหลัง หากมันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ และจำตัวเองก็รู้ว่า ตนเองนั้น ต่างจากน้องน้อยเมื่อครั้งอดีตมากมาย จนเกือบไม่มีอะไรที่เหมือนกัน นอกจากหน้าตา
.
“ ช่วงนี้ต้องเจอหมอพริ้งตลอด ตี๋ไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็พักนะ พี่เป็นห่วง ”
.
คุณชายเตชณัฐสั่งความคนรักของตน เมื่อเดินมาส่งอีกคนหน้าแผนก ที่ตี๋ต้องเรียนรู้ก่อนจะจบการฝึกงาน
.
“ ครับ ผมจะดูแลตัวเองอย่างดี อีกอย่างหมอพริ้งก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อครานั้น ”
.
ตี๋บอกกับคนรักให้สบายใจ ทั้งที่ในใจนั้น อดจะหวั่นๆไม่ได้ มีบางอย่างที่เจ้าตัวรู้สึกได้ว่า หมอพริ้งเปลี่ยนไปจากเดิม
.
ในวันแรกที่เจอหมอพริ้ง เธอดูใจดี และไม่มีทีท่าเหมือนคุณพริ้งเลย ตลอดการฝึกงานในวิชาแพทย์ ต้องเจอกับหมอพริ้งอยู่บ้าง เธอก็น่ารัก ยิ้มแย้ม ทั้งสีหน้า และแววตา
.
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ที่เพิ่งเจอเมื่อตอนที่สรุปงานประจำสัปดาห์ ตี๋ได้เจอกับหมอพริ้ง ครั้งนี้หมอพริ้งดูแปลกไปจากเดิม บางครั้งแววตาหมอพริ้งที่มองมาที่ตนนั้นดูน่ากลัว มันเป็นแววตาที่เห็นแล้วทำให้ขนลุก พาให้ตัวสั่นสะท้าน แม้จะเพียงแว่บเดียว ก่อนจะกลับไปเป็นแววตาเดิม
.
นั่นก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนที่มีความกลัวฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก แม้จะเพียรพยายามบอกกับตนเองสักเพียงไหนก็ตามว่า หมอพริ้งคนนี้ ไม่ใช่คุณพริ้งคนนั้น แต่ส่วนหนึ่งในกายก็คอยเตือนอยู่เสมอว่า คนนี้อันตราย อย่าเผลอตัวไปนัก
.
อย่างไรก็ตาม ตี๋ไม่ได้พูดความกังวลในใจของตนออกไปให้คนรักรู้ เพราะไม่อยากให้คุณชายเตชณัฐ ต้องมาคอยเป็นห่วงตนเองอยู่ตลอด
.
“ ครับๆ พี่เชื่อ เพราะพี่เชื่อคนที่พี่รักเสมอ แต่ถ้าไม่ไหวจริงอย่าฝืนนะครับ พี่เป็นห่วง น้องก็รู้ใช่ไหม ”
.
คุณชายเตชณัฐรับคำคนรักของตน แต่ก็ไม่วายกำชับน้อง เพราะไม่อยากให้อีกคนต้องฝืนตัวเองจนเกินไป
.
ไม่ใช่ว่าตนเองจะดูไม่ออกว่า ตี๋คนรักของตนนั้น มีเรื่องปิดบังอยู่ แต่คุณชายเตชณัฐก็เลือกที่จะไม่ถามเอาความต่อ เพราะเชื่อว่า เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายพร้อม ก็คงจะพูดออกมาเอง และตนนั้นก็เชื่อใจคนรักอย่างที่เอ่ยบอกไปจริงๆ
.
“ งั้นผมไปก่อนนะครับ ”
.
“ ครับ เดี๋ยวตอนพักพี่ไปหานะ อย่าแอบหนีไปคนเดียวอีกล่ะ ”
.
คุณชายเตชณัฐกำชับอีกครั้ง เพราะหลายวันก่อน เจ้าตัวดีของตนแอบหนีไปนั่งกินข้าวคนเดียว ไม่ยอมบอกใคร ทำเอาใจหายใจคว่ำไม่น้อย
.
“ คร้าบบบบ ไม่รู้ว่าผมมีแฟน หรือมีป๊าคนที่สองกันแน่ สั่งจังเลย ไปแล้ว ตั้งใจทำงานนะครับคุณหมอเต้ ”
.
ตี๋ลากเสียงยาว และยังล้อเลียนว่าคุณชายเป็นเหมือนป๊าคนที่สอง ก่อนจะหลบฉากออกไปเมื่อเห็นว่าคุณชายเตรียมจะว่าอีกครั้ง
.
คุณชายเตชณัฐได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ กับสิ่งที่น้องทำ แต่ก็ดีใจที่เห็นคนรักยิ้มได้ ร่าเริง ไม่เหมือนอดีต ที่น้องน้อยจะเจียมตนอยู่เสมอ
.
แต่หากถามว่าตัวเขาในตอนนี้ รักน้องในแบบไหนมากกว่ากัน คุณชายก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะความรักของตนนั้น รักก็คือรัก ไม่ว่าคนที่คนรักจะเป็นแบบไหน
.
หลังจากแยกกับคุณชายเตชณัฐแล้ว ตี๋จึงเริ่มงานในส่วนของตนเอง พร้อมกับสุธีร์ คู่วิจัยของตน
.
เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว นิสิตแพทย์ก็จะจบการฝึกประสบการณ์ในโรงพยาบาล งานวิจัยของตี๋และสุธีร์นั้นเกือบสมบูรณ์แล้ว เพราะได้แพทย์พี่เลี้ยงช่วยเหลือทุกอย่าง เหลือเพียงนำเสนองาน ก็ถือว่าสมบูรณ์
.
“ ตี๋ นายวันนี้หมอพริ้งดูแปลกๆไหม หรือผมคิดไปเอง ”
.
สุธีร์เอ่ยถามคู่วิจัยของตน หลังจากออกตรวจคนไข้กับหมอพริ้งมาจนครบ และกำลังเดินกลับเข้าห้องพักแพทย์ เพื่อสรุปงาน
.
“ ไม่มั้ง ”
.
“ ยังจะมามั้งอีก นายก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงคู่เราจะไม่ได้คุยกับหมอพริ้งบ่อยเหมือนคู่คอปเตอร์ กับก็อต แต่ผมว่า ปกติหมอพริ้งไม่ใช่แบบนี้นะ ”
.
สุธีร์ออกความคิดเห็น ถึงหมอพริ้งจะไม่ใช่แพทย์พี่เลี้ยงของกลุ่มตน เหมือนคุณชายเตชณัฐ แต่ก็ได้เจอกันเป็นประจำ ทำให้ได้พูดคุยกับหมอพริ้งมาพอสมควร
.
“ แล้วนายว่าหมอพริ้งแปลกยังไง ”
.
ตี๋เองก็รู้สึกได้เช่นกันว่า วันนี้หมอพริ้งดูแปลกไปจริงๆ อย่างที่สุธีร์ว่า ความกลัวที่อยู่ในกายนั้นมันฟ้อง มือที่จับปากกาเขียนอาการของคนไข้ สั่นจนแทบอ่านข้อความไม่ได้ แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ใครรู้
.
“ ไม่รู้สิ แต่แววตาหมอพริ้งแปลกไป มองแล้วสยองๆยังไงไม่รู้ แถมบางทีนะ แกหันมองนายแบบ... ยังไงดีล่ะ เหมือนแค้นมานานอะไรแบบนี้ ”
.
“ คิดมากน่า หมอพริ้งจะมาแค้นอะไรผม ”
.
สิ่งที่สุธีร์บอกนั้น ตี๋เองก็รับรู้ได้ แต่เลือกที่จะเฉไฉแทน
.
“ อ้าวใครจะรู้ อาจเพราะนายแย่งคุณชายหมอมาก็ได้ ใครๆเขาก็พูดกันนี่ ”
.
สุธีร์ว่า ความที่คนในโรงพยาบาลพูดกันไว้หนาหู ก่อนที่ตี๋จะเข้ามาฝึกประสบการณ์ เสียงเล่าลือว่า หมอพริ้งนั้นชอบพอคุณชายหมอ และทั้งคู่เคยเรียนด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงเล่าลือนั้นมากขึ้นไปอีก
.
จริงอย่างที่สุธีร์ว่า แต่คุณชายเตชณัฐก็ยืนยันว่า ตนเองกับหมอพริ้งไม่เคยคิดอะไรกันไปมากกว่าเพื่อนร่วมชั้น จนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงาน
.
“ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ มาสรุปเคสวันนี้กันดีกว่า เดี๋ยวไม่เสร็จ ไม่รู้ด้วยนะ วันนี้มีนัดไม่ใช่รึไง ”
.
“ เออๆ ไม่ต้องมาทำหน้ารู้ทันเลย เขียนรายงานไปเลย ”
.
ตีรณเปลี่ยนเรื่อง มาแซวสุธีร์เพราะวันนี้เจ้าตัวมีนัด ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะสุธีร์เองก็ไม่อยากโดนเพื่อนแซวเช่นกัน
.
หลังจากสรุปงานเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาพักพอดี คุณชายเตชณัฐที่เพิ่งเสร็จจากงานของตน ก็มาหาคนรักที่ห้องพักแพทย์ ก่อนทั้งคู่จะไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน
.
แม้จะมีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องกลับขึ้นไปตรวจคนไข้ตอนบ่าย แต่คุณชายเตชณัฐก็พยายามจะใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าที่สุด
.
“ ตอนเย็นพี่รอที่เดิมนะครับ ”
.
เมื่อผ่านมื้อกลางวันไป ทั้งคู่แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ โดยคุณชายเตชณัฐไม่ลืมที่จะกำชับคนรักอีกครั้ง
.
“ ครับๆ ผมไม่ลืมหรอกน่า ทำอย่างกับว่าตัวเองจะไม่เข้าฟังสรุปงานตอนเย็นอย่างนั้นแหละ หรือวันนี้พี่เต้ไม่เข้าฟังครับ ”
.
ตี๋แหย่คนรัก ก่อนจะถามขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ เพราะสัปดาห์นี้เป็นเวรของหมอพริ้ง ที่จะเข้าฟังสรุปงานประจำวัน แต่หากมีเวลาว่าง ไม่ได้ขึ้นตรวจ คุณชายเตชณัฐก็จะเข้าฟังด้วยเสมอ แม้จะไม่ใช่เวรของตนเองก็ตาม เช่นเดียวกับหมอพริ้ง เธอเองก็เข้าฟังทุกครั้งที่สามารถทำได้
.
“ พี่ไม่แน่ใจครับ เพราะช่วงบ่ายพี่มีเคสผ่าตัด ไม่รู้ว่าจะเสร็จทันเราหรือเปล่า เอาเป็นว่า ถ้าเราเสร็จก่อน ก็รอพี่ก่อนนะครับ ”
.
“ รับทราบขอรับ ”
.
คุณชายเตชณัฐบอกน้อง ซึ่งคนน้องก็รับทราบพี่ ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไปทำหน้าที่ของตนเอง
.
.
.
.
.
*****************************************************
.
.
.
.
.
“ มีใครสงสัย จะสอบถามอะไรเพิ่มไหมคะ ”
.
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องประชุมเล็ก หลังจากจบการสรุปงาน ซักถาม และตอบข้อสงสัย เสร็จสิ้นลง
.
“ ถ้าไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้ว วันนี้ก็ปิดเคสได้ค่ะ ”
.
“ขอบคุณครับ ”
.
เมื่อไม่มีใครซักถามอะไรอีก ผู้ใหญ่สุดในห้องจึงกล่าวจบงานในวันนี้ เสียงขอบคุณของทุกคนกล่าวขอบคุณ ก่อนคนที่มีนัดจะขอแยกตัวออกไป
.
“ หมอตี๋ คุณว่างหรือเปล่าคะ ”
.
“ ครับ คุณหมอพริ้งมีอะไรหรือเปล่าครับ ”
.
“ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จะขอแรงให้ช่วยถือเอกสารไปส่งที่ห้องน่ะค่ะ ”
.
“ ครับ ”
.
หมอพริ้งว่า พร้อมกับหันไปมองแฟ้มงานของทุกคนที่เพิ่งสรุปกันไป แม้ว่าตี๋จะสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงขอให้ตนเองช่วย ทั้งที่แฟ้มงานก็ไม่ได้มากมายจนถือได้ไม่หมด
.
“ ให้ผมช่วยไหมครับ ”
.
“ ขอบคุณค่ะหมอเตอร์ แต่ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีหมออยากคุยกับหมอตี๋ด้วย ได้ไหมคะหมอตี๋ ”
.
คอปเตอร์เองก็แปลกใจเช่นกันว่า ทำไมหมอพริ้งจึงเรียกไม่ไหว้วานตน เพราะตนเองเป็นนิสิตแพทย์ในความดูแลของหมอพริ้งโดยตรง แต่เมื่อได้ฟังเหตุผล ก็พอจะเข้าใจ
.
เมื่อไม่มีใครสงสัยอะไร หมอพริ้งจึงออกเดินนำออกไป ตี๋หันมาสบตาคอปเตอร์อีกครั้ง ก่อนจะก้าวเท้าตามหมอพริ้งออกไป
.
หมอพริ้งเดินไปตามทางในตึก ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพียงแต่ทางเดินนี้ทำให้ตี๋แปลกใจ จนต้องเอ่ยถามออกไป
.
“ คุณหมอพริ้งจะไปไหนก่อนหรือครับ ”
.
“ เดินตามมา อย่าพูดมาก ”
.
“ ครับ คุณหมอพริ้งว่าอะไรนะครับ ”
.
เสียงที่ได้ยินนั้นแหบพร่า จนไม่สามารถจับใจความได้ ตี๋จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
.
“ ไม่มีอะไรหรอก หมอลืมงานไว้น่ะ เพิ่งนึกได้ ก็เลยว่าจะไปเอาก่อน ”
.
หมอพริ้งตอบ แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา เสียงที่ได้ยินนั้น ทำให้ตี๋แปลกใจ และสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ มันไม่เหมือนเสียงหมอพริ้งเสียทีเดียว มันเหมือนมีเสียงของใครอีกคนแทรกอยู่
.
เดินทางที่ก้าวตามคนด้านหน้าไปนั้น สุดทางอยู่ที่ห้องสุดท้าย ตี๋แปลกใจไม่น้อยว่า หมอพริ้งลืมอะไรไว้ เพราะหมอพริ้งไม่น่าจะมีหน้าที่ในห้องนี้
.
“ หมอพริ้งลืมอะไรไว้ที่นี่หรือครับ ”
.
ตี๋เลือกที่จะถามออกไป
.
“ ไม่ต้องถามมาก เดินเข้าไป ”
.
ไม่เพียงไม่ตอบ แต่หมอพริ้งกับเปิดประตูแล้วดันอีกคนเข้าไป ด้วยแรงที่เกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆจะทำได้
.
“ คุณหมอพริ้งจะทำอะไรครับ ”
.
“ กูมิใช่มัน ”
.
“ หมายความยังไง คุณหมอหมายถึงอะไร ”
.
ตี๋ตกใจ และงง แต่มากไปกว่านั้นคือความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ถึงจะพยายามปลุกปลอบตัวเองแค่ไหน มันก็ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
.
“ กูมิใช่มัน มึงจำกูริได้เชียวรึ ”
.
“ พี่ปริก ”
.
“ เออกูเอง แลมึงมิตัวมายกตัวเสมอกู กูมิเคยมีน้อง ”
.
ใบหน้าของคนในอดีตที่ซ้อนทับขึ้นมา ทำให้ตี๋หมดแรงกะทันหัน แม้อยากจะสู้ แต่ร่างกายนั้นไม่ยอมรับฟัง
.
“ มึงนี่เกิดมาเพื่อเป็นมารความรักของนายกูจริงเชียว เมื่อครานั้นกูจับมึงขัง มึงยังจะออกมาได้อีก แต่ครานี้ กูจักมิยอมให้มึงไปเป็นมารของนายกูได้อีก ”
.
เสียงของนางปริกในร่างหมอพริ้งเอ่ยขึ้นอย่างเครียดแค้น พร้อมกับเดินหน้าเข้าร่างที่สั่นเทาด้วยความกลัว
.
“ คุณหมอพริ้ง ได้สติเสียทีเถอะครับ ”
.
“ มึงไม่ต้องเรียกมันดอก ป่านนี้มันอยู่กับนายกูนู่น ช่างเป็นคนดีเสียเหลือเกิน วันนี้จักเป็นวันตายของมึง ครานั้นกูมิได้ฆ่ามึงกับมือ แต่ครานี้ มึงจักต้องตายด้วยมือกู ”
.
นางปริกสาวเท้าเข้าหา พร้อมกับหยิบกรรไกรสำหรับตกแต่งบาดแผล ออกจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ ย่างสามขุมเข้าหา
.
“ ครานั้นมึงเป็นเยี่ยงไรเล่า ทรมานรึไม่ ครานี้มึงมิต้องกลัว กูจักปราณีมึงให้มาก ”
.
ตี๋นั้นพยายามจะควบคุมความกลัวของตนเอง แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ เมื่อใจถึงไปถึงความเจ็บปวดเมื่อคราก่อน
.
“ หยุดก่อกรรมเสียทีเถิดพี่ปริก ”
.
“ มึงมิต้องมาพูดดีกับกู อย่างไรเสีย วันนี้จักต้องเป็นวันตายของมึง ”
.
“ โอ๊ะ!!! ”
.
ตี๋อุทานขึ้นเมื่อด้านหลังชนเตียงกลางห้อง แล้วล้มลงบนนั้น เป็นจังหวะเดียวกับนางปริกก้าวเท้ามาถึงพอดี
.
“ ปล่อยผม ”
.
ตี๋ว่าเมื่อโดนอีกฝ่ายคว้าข้อเท้าไว้ ทั้งยังพยายามจะขืนตัวออกจากการเกาะกุม
.
“ โอ๊ย!!! ”
.
ตี๋ยกขาอีกข้างที่ว่างอยู่ ยันอีกคนออกไป ถึงตอนนี้ตี๋ไม่สนใจแล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นหญิง หรือชาย ใต้จิตสำนึกรู้เพียงแต่ ตนเองจะต้องหนีออกไปให้ได้
.
“ มึงกล้าถีบกูกระนั้นรึ ”
.
เสียงแค้นเคืองที่อีกคนว่า ทำให้คนที่กลัวอยู่แล้ว ยิ่งกลัวหนักกว่าเดิม
.
“ มึงรู้รึไม่ว่า เหตุใดกูจึงพามึงมาที่นี่ อีนังหมอคนนี้มันขัดขืนกูนัก กว่ากูจะครองร่างมันได้เยี่ยงนี้ นายกูก็ต้องเหนื่อยไปด้วย ”
.
นางปริกว่า พลางเดินเข้าหาตี๋ไปด้วย ตี๋ถอยหลังหนีไปเรื่อย ใจนั้นอยากจะออกไปห้องสุดท้ายนี้เต็มทน แต่ติดที่ว่า ทางออกเพียงทางเดียวนั้น ต้องเดินผ่านอีกฝ่ายออกไป
.
“ มึงมิต้องคิดหนีดอก เยี่ยงไรมึงก็หนีกูมิพ้น ”
.
“ โอ๊ย!!! ”
.
สิ้นเสียงนางปริกก็กระโจนเข้ามา พร้อมกับเงื้อกรรไกรในมือ ปักลงบนไหล่ของตี๋ ที่ช่องเก็บร่างสุดท้าย ชิดผนัง
.
“ มึงมิควรเกิดมาแต่แรก หากมิมีมึง คุณเต้จักต้องรักนายกู แลนายกูมิต้องเป็นเยี่ยงนี้ ”
.
“ อ๊า!!! ปล่อยผมไปเถิด ”
.
“ มึงมิต้องไหว้กู มึงมิเคยหลาบจำ แลมิเคยจำใส่กบาลหัวแม้แต่น้อย มึงไหว้กูมากี่ครา แล้วกูเคยปล่อยมึงไปรึไม่ ”
.
ตี๋ร้องอย่างตระหนก ปนเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายถอนกรรไกรออกจากไหล่ แล้วปักลงหน้าขาของตน ก่อนจะยกมือไหว้ขอร้องอีกคน
.
นางปริกมิได้ไยดีคำร้องขอแม้แต่น้อย นางดึงเลื่อนช่องเก็บร่างที่อยู่ตรงหน้าออก แล้วออกแรงผลักคนที่กำลังตระหนกเข้าไป
.
ตี๋ที่บาดเจ็บอยู่แล้ว เมื่อโดนผลักจึงเสียหลักล้มลงในช่องเก็บร่างตามแรงของคนผลัก ภายในช่องนั้น มีร่างของใครคนหนึ่งนอนทอดกายอยู่ก่อนแล้ว
.
“ อย่างน้อยมึงควรจักดีใจ ที่กูยังใจดี ไม่ปล่อยให้มึงต้องตายเพียงลำพัง ”
.
ว่าแล้วนางปริกก็เลื่อนช่องเก็บร่างกลับเข้าที่เดิม แล้วล็อคสลักด้านนอก ไม่สนใจเสียงทุบประตูจากด้านใน เสียงทุบประตูเบาลงเรื่อยๆ พร้อมกับร่างของหมอพริ้ง เช็ดคราบเลือดบนพื้นเสร็จ
.
ช่องเก็บร่างนั้นอยู่ด้านในของห้องสุดท้าย ด้านหน้าเป็นห้องอาบน้ำ ทำความสะอาด แต่งตัว มีเตียงกว้างหลังสุดท้ายของร่างไร้ลมหายใจ
.
ภายในห้องมีอุปกรณ์ทำความสะอาดคราบเลือด และมีภาชนะจัดเก็บ จึงไม่เป็นที่สงสัยนักหากในห้องนี้จะมีผ้าเปื้อนเลือดสักผืน
.
ร่างนั้นยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเสียงทุบประตูนั้นเบาลงเรื่อยๆ จนเงียบไปในที่สุด ขาเรียวสวยก้าวออกจากห้อง พร้อมกับกดล็อคซ้ำอีกครั้ง แล้วเดินออกไป โดยไม่แม้จะหันกลับมามองด้านหลังอีก
.
.
.
.
.
***************************************************
.
.
.
.
.
ฝากน้องตี๋ไว้ในช่องเก็บร่างก่อนนะขอรับ
.
.
ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
พบเจอคำผิด สะกิดได้เลยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 18 (27/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-11-2018 08:07:11
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 18 (27/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-11-2018 13:18:17
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 19 (29/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 29-11-2018 16:49:21
ตอนที่ 19
.
.
.
พบเจอ

.
.
.
.
.
ว่ากันว่า คนเราเมื่อวิญญาณออกจากร่าง จะไปตามทางของผลแห่งกรรมที่ตนเองเคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต
.
ตี๋ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตนเองจะได้มาสัมผัสกับคำกล่าวเหล่านี้ด้วยตนเอง ในเวลาที่รวดเร็วจนเกินกว่าจะตั้งตัวทัน
.
ความเย็นรอบตัวทำให้เรี่ยวแรงที่มีเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ พอๆกับสติ ที่ไม่อาจจะประคองเอาไว้ได้
.
เมื่อเริ่มทำใจได้ว่า คนที่ทำร้ายตน คงไม่มีทางปล่อยตนให้รอดออกไป มือที่พยายามทุบประตูจนเจ็บจึงทิ้งลงข้างตัว แล้วปล่อยร่างที่ไม่อาจฝืนให้นอนราบตามแรงโน้มถ่วง
.
ตี๋ได้แต่พึมพำกล่าวขอโทษร่างแข็งเย็นซีด ที่ตนเองนอนทับอยู่ และขออโหสิกรรมไปพร้อมกัน เพราะตนเองมาสร้างความลำบากให้เจ้าของร่าง แม้ว่าร่างจะหมดลมหายใจไปแล้ว
.
อนุสติสุดท้าย ยังคงคิดถึงคนที่เป็นที่รัก ไม่รู้ว่าป่านนี้อีกคนจะรู้ไหมว่าตนเองหายไป จะตามหาตนเจอหรือเปล่า หรืออาจจะรอตนอยู่ที่ห้องเดิมนั้น
.
“ พี่เต้......”
.
น้ำเสียงแผ่วเบาที่เอ่ยเรียกชื่อคนรัก ก่อนสติรับรู้จะปิดลงโดยสิ้นเชิง
.
.
.
.
.**************************************************************
.
.
.
.
.
“ พี่เต้...... ”
.
คุณชายเต้เหลือบมองตามเสียงที่ได้ยิน เพราะน้ำเสียงนั้น ตนเองจำได้ดีว่า เป็นเสียงของคนรัก แต่ก็ไม่เจอใคร
.
สองเท้าก้าวยาวๆ เมื่อความร้อนรุ่มในใจเพิ่มขึ้นโดยไม่มีที่มา ทั้งที่เมื่อตอนเที่ยงยังไม่อาการเหล่านี้แม้แต่น้อย
.
แต่จู่ๆตนเองก็รู้สึกกระวนกระวาย เป็นห่วงคนรักอย่างบอกไม่ถูก แต่ด้วยภาระหน้าที่ จำต้องพยายามปรับอารมณ์ให้สงบ แล้วไปทำหน้าที่แพทย์ของตนเอง
.
“ หมอพริ้ง!!! ”
.
“ค...คะ ”
.
คุณชายเต้เอ่ยเรียกเพื่อนร่วมวิชาชีพ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าพอดี และแม้จะรู้สึกถึงอะไรบ้างอย่างที่แปลกไป แต่ด้วยใจที่ร้อนรนจึงทำให้คุณชายเลือกที่จะถามสิ่งที่ตนอยากรู้แทน
.
“หมอพริ้งประชุมงานวันนี้เสร็จแล้วหรือครับ ”
.
“ ค่ะ ”
.
คุณชายเต้ยกข้อมือเพื่อดูเวลา พบว่ามันเร็วกว่าปกติมากทีเดียว
.
“ ครับ แล้ว....”
.
“ คืออิ....พริ้งรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ก็จะกลับแล้ว ขอตัวนะคะ ”
.
ไม่ทันที่คุณชายเต้จะพูดจบ หมอพริ้งก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน ท่าทางนั้นเหมือนไม่เป็นตัวเอง จนคุณชายเต้ยังแปลกใจ แต่เพราะมีเรื่องที่กังวล เจ้าตัวจึงไม่ต่อความกับคนที่เพิ่งเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
.
“ อ้าว!!! เตอร์ จะกลับแล้วเหรอ ”
.
คุณชายเต้ทักน้องชายของตน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดประชุมห้องประชุมออกมาพอดี
.
“ ครับพี่เต้ พี่คิมน่าจะใกล้ถึงแล้ว แล้วตี๋ยังคุยงานกับหมอพริ้งไม่เสร็จหรือครับ ”
.
คอปเตอร์ตอบพี่ชาย พลางถามพี่ชายถึงอีกคนที่น่าจะเดินกลับมาพร้อมพี่ชายของตน เพราะพี่ชายคงไม่ทิ้งอีกคน มาคนเดียวแน่ๆ
.
“ ครับ ตี๋ทำไมหรือครับ ”
.
คุณชายสงสัยในคำถามของน้องชาย จึงเอ่ยถาม เพื่อให้น้องอธิบายใหม่
.
“ ก็หมอพริ้งให้ตี๋ช่วยถือแฟ้มงานวันนี้ไปส่ง ผมเสนอตัวช่วย แต่หมอพริ้งบอกว่า มีเรื่องอยากคุยกับตี๋ นี่หายกันไปตั้งนานแล้ว พี่เต้ไม่เจอตี๋หรือครับ หรือว่าว่าพี่เต้ไม่ได้แวะห้องพัก ”
.
“ พี่เพิ่งเจอหมอพริ้ง เธอบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายเลยประชุมเร็วขึ้น แต่พี่ไม่เห็นตี๋ในห้องนะ ”
.
“ อ้าว!!! แล้วตี๋ไปไหนแล้วครับนี่ คุยเสร็จก็น่าจะกลับมา ก็นัดกับพี่เต้ไว้ไม่ใช่หรือครับ ”
.
เมื่อได้รับฟังสิ่งที่คอปเตอร์ ความกังวลใจในก็ยิ่งเพิ่มพูน ตี๋ไม่ใช่คนที่ไม่รักษาเวลา และหากจะไปไหน ก็มักจะบอกตนก่อนทุกครั้ง
.
“ พี่ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ เมื่อครู่พี่คุยกับหมอพริ้ง ดูเธอแปลกๆไป เหมือนไม่ใช่หมอพริ้ง ตอนแรกพี่ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้ว พี่ว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง ”
.
“ แล้วเราจะเอายังไงต่อครับ ”
.
“ เดี๋ยวเราโทรบอกคิมม่อนก่อนแล้วกัน พี่จะไปขอดูกล้องก่อน ”
.
“ ครับ เดี๋ยวผมกับพี่คิมตามไปนะครับ ”
.
แม้จะอยู่ในอาการร้อนรนเพียงใด แต่คุณชายเต้ก็ยังมีสติ คอปเตอร์เองนั้นก็บอกทราบเรื่องราวของพี่ชายกับตี๋มาบ้าง ก็พลอยจะตกใจไปด้วย แต่ก็รับคำของพี่ชาย
.
ขายาวก้าวเร็วๆจนเกือบจะเป็นวิ่ง แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อใจนั้นไปก่อนตัวเสียมากมาย คุณชายเต้ได้แต่ปลุกปลอบตนเองว่า น้องคงไม่เป็นอะไร หรือคงแค่ไปทำธุระส่วนตัวเท่านั้น และใจก็หวังให้มันเป็นเช่นที่คิด ไม่อยากให้เกิดอะไรไปเกินกว่านี้เลย
.
.
.
.
.
***********************************************************
.
.
.
.
.
ท่ามกลางเมฆหมอกสีขาวที่มองไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้วตนเอง ตี๋ได้แต่นั่งกอดเข่าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน
.
“ หนาวรึ ”
.
เสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้ตี๋เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้น น้ำเสียงที่ฟังอ่อนละมุน ฟังแล้วรู้สึกคุ้นเคย
.
“ เฮ้ย!!! ”
.
ตี๋อุทานเสียงหลง เมื่อใบหน้าที่เห็นนั้น เหมือนกับตนเองอย่างกับส่องกระจก ทั้งที่ก่อนหน้านั้น มีแต่หมอกทึบมองไม่เห็นอะไร แต่ทำไมตนเองถึงเห็นคนตรงหน้าได้ชัดนัก
.
“ มิต้องตกใจไปดอก ”
.
“ คุณเทียดอย่างนั้นเหรอ ”
.
เสียงที่กล่าวมานั้นคล้ายจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า แต่กระนั้น อีกคนก็ยังส่งยิ้มอ่อนๆใน คล้ายจะยอมรับเป็นนัยๆ
.
“ คุณเทียดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ”
.
เมื่อพอมีสติขึ้นมาบ้าง ตี๋จึงเอ่ยถามอีกคน
.
“ คนที่ควรถามมิใช่ฉันรึ ฉันควรถามพ่อเสียมากกว่ากระมังว่า เหตุใดพ่อจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ”
.
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของคุณเทียดตนเอง และเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วมาเจอคุณเทียด ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอเช่นนี้
.
“ ฉันอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว แม้ฉันจักมิยินดีก็ตาม ”
.
น้ำเสียงนั้นแฝงรอยเศร้าสร้อย จนคนฟังพลอยเศร้าไปด้วย
.
“ คุณเทียดเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ”
.
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของตนเองในอดีตยิ่งทำให้ตี๋นั้นอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหนหลังมากขึ้นกว่าเดิม
.
“ พ่ออยากฟังกระนั้นรึ ”
.
“ ครับ แม้ว่าผมจะรับรู้เรื่องราวมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้ และอยากรู้ ”
.
“ พ่ออยากจะรู้เรื่องใดก่อนกันเล่า ”
.
“ เรื่องแรกเลยคือ ตอนนี้คุณเทียดอยู่ที่ไหนครับ ผมทราบแค่ว่าคุณเทียดโดนคุณหญิงพริ้งกักขังวิญญาณเอาไว้ เรื่องที่สอง หากคุณเทียดโดนกักขัง ทำไมผมจึงมีเสี้ยวของวิญญาณคุณเทียดได้ แล้ว.... ”
.
“ ทีละเรื่องมิได้รึพ่อ ”
.
เมื่อมีโอกาสได้ถาม ตี๋จึงไม่ลังเลที่เอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้มานาน แต่โดนอีกฝ่ายปรามไว้เสียก่อน
.
“ ฉันรู้ว่าพ่อสงสัยนัก แต่ฉันจักค่อยเล่าไปทีละเรื่อง.... ”
.
เรื่องเมื่อครานั้นเกิดขึ้นเพราะคุณเต้มิได้รักใคร่เจ้าสาวของตน แต่จำต้องแต่งงานตามความต้องการของมารดา แม้จะพยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอด สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
.
ฝ่ายของเจ้าสาวเองนั้น แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า ว่าที่เจ้าบ่าวไม่ได้ต้องการตนเองมาเป็นภรรยา แต่ก็ยังดึงดัน ด้วยเชื่อมั่นในตนเองว่าสักวันอีกฝ่ายต้องรักใคร่ชอบพอตน
.
แต่เมื่อความมิได้เป็นเช่นที่ต้องการ หญิงสาวผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปลักษณ์ จึงคั่งแค้นในอก เก็บกักความริษยารอวันเอาคืน
.
เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องได้ด้วยกล หากไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องใช้มนต์คาถา แต่มิว่าจะพยายามเท่าไหร่ ผู้เป็นสามีก็มิได้ตกอยู่ในอาณัติอย่างที่เฝ้าฝัน ความคิดอยากเอาชนะจึงกลายเป็นความอาฆาตแค้น ที่พร้อมจะฟาดฟันทุกอย่างที่ขวางหน้า
.
แล้วความอาฆาตแค้นของผู้หญิงก็เป็นฝ่ายชนะ เมื่อเจ้าตัวสามารถกำจัดคนที่ขวางทางออกไปได้ แล้วกักขังศัตรูของตนเอาไว้ แม้ยามที่ไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม
.
“ แล้วคุณเทียดรู้ไหมครับว่าคุณพริ้งขังคุณเทียดไว้ที่ไหน
.
ตี๋เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบฟังมานาน
.
“ รูปถ่ายของฉัน แต่ฉันมิรู้ดอกว่า รูปใบนั้นอยู่ที่ใด ฉันรู้เพียงแค่คุณพริ้งเธอเก็บไว้ใกล้ตัวเท่านั้นเอง ”
.
“ ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมผมจึงมีเสี้ยววิญญาณของคุณเทียดได้ล่ะครับ ”
.
ตี๋ถามต่อในเรื่องที่ตนอยากรู้
.
“ คงเป็นเพราะนาฬิกาเรือนนั้นที่พี่เต้ให้ไว้กระมัง นาฬิกานั้นเปรียบเหมือนความรักของเราสองคน ฉันผูกพันกับมันยิ่งนัก ฉันจำได้ว่าได้ฝากเวลาของตนเองไว้ให้พี่เต้ก่อนที่จักสิ้นใจ เสี้ยววิญญาณของเราคงจักอยู่กับนาฬิกาโดยที่ไม่รู้ตัวกระมัง ฉันก็มิแน่ใจนักดอก ”
.
“ ถ้าเป็นอย่างนี้ ที่พี่เต้มีความทรงจำของท่านพระยาอภิบาลบริรักษ์ ก็น่าจะเป็นเหมือน ๆ กันมั้ง ”
.
ตี๋พึมพำกับตนเอง แต่เมื่อทุกอย่างรอบตัวนั้นเงียบสนิท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิญญาณอีกดวงจะได้ยิน
.
“ พี่เต้ไปเกิดแล้วกระนั้นรึ ดีจริง ”
.
น้ำเสียงยินดีจากใจจริงของอีกฝ่าย ทำให้ตี๋ไม่อยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น แต่ไม่อาจทำได้ เพราะตนเองอยากรู้วิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งสองดวง
.
“ ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอกครับ ”
.
“ พ่อพูดกระไร ฉันมิเข้าใจ ”
.
“ ที่ผมจะบอกคือ พี่เต้ของคุณเทียดก็โดนคุณพริ้งเธอกักขังไว้เหมือนกัน แต่ที่มาเกิดใหม่ก็คงเหมือนผมที่มีเสี้ยววิญญาณของคุณเทียดนั่นแหละ ”
.
“ โธ่!!! พี่เต้ ”
.
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากเสี้ยวหนึ่งของตนเอง จึงทำได้เพียงถอดถอนใจให้กับชะตาของตน และคนที่รัก
.
“ คุณพริ้งเธอดื้อรั้นนัก ”
.
“ อย่าเรียกว่าดื้อรั้นเลยครับ เขาเรียกว่าทิฐิเยอะ ไม่ยอมมองความเป็นจริงมากกว่า คนอะไรตายแล้วยังอาฆาตไม่เลิก แล้วคุณเทียดพอจะรู้วิธีที่จะปลดปล่อยทุกคนไหมครับ ”
.
ตี๋ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะถามอีกเรื่องที่สงสัยแทน
.
“ ฉันเองก็มิรู้กระไรนักดอก ”
.
“ หรือครับ คุณเทียดลองนึกดีๆ คุณพริ้งหรือบ่าวของเธอเคยพูดอะไรเกี่ยวเรื่องนี้บ้าง ”
.
วิญญาณของผู้ที่เป็นเทียดนิ่งคิดตามคำของผู้เป็นส่วนหนึ่งของตน
.
“ ฉันก็มิใคร่แน่ใจนัก หากก็พอมีบ้างที่ได้ฟังพี่ปริกบอกเล่าบางเรื่องกับคุณพริ้ง ”
.
“ เขาพูดว่าอะไรครับ ”
.
“ ที่ได้ฟังก็เพียงส่วนหนึ่ง พ่อแน่ใจรึว่ามันจักสำเร็จ ”
.
“ ไม่รู้หรอกครับ แค่อยากลองพยายามดูนะครับ ”
.
“ กระนั้นรึ สิ่งที่ฉันได้ยินนั้นก็มิใคร่ชัดนัก คุณพริ้งเธอเอ่ยถามแม่ปริก หลังจากรับรูปที่จองจำฉันไว้ เมื่อครั้งกลับมาจากบ้านหมอมนต์ดำ ที่ไปทำพิธีมา ”
.
“ นั่นล่ะ เขาว่าอะไรบ้าง ”
.
ตี๋เร่ง เมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มจะเข้าเค้ามากขึ้น
.
“ ฉันมิได้ยินดอกว่าพี่ปริกพูดว่ากระไร เพราะตอนนั้นฉันยังมิใคร่มีสตินัก แต่เสียงของคุณพริ้งที่ฉันได้พอจักได้ยิน เธอพูดว่า ‘ มันจักมิมีทางออกมาได้ดอก ก็ในมันเมื่อตายไปแล้ว ร่างรึก็เผาจนสิ้น มันจักมีเลือดมาจากที่ใดได้ ’ ”
.
เมื่อได้ฟังคำบอกของเจ้าของเสี้ยววิญญาณในร่างของตน ตี๋ก็มีพอความหวังขึ้นมาบ้าง รอยยิ้มจึงแต่งแต้มบนใบหน้า ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงบางเรื่องได้
.
“ พ่อเป็นกระไรไป ประเดี๋ยวก็ยิ้ม ประเดี๋ยวก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้เยี่ยงนี้ ”
.
“ ผมยิ้มเพราะผมคิดว่าผมพอจะมีวิธีปลดปล่อยคุณเทียด กับท่านพระยาได้ แต่ที่ผมเศร้าก็เพราะผมคงไม่มีโอกาสได้ทำตามที่คิดอีกแล้ว ”
.
“ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ”
.
“ ผมโดนผีบ่าวของคุณพริ้งทำร้าย แล้วขังไว้ในช่องเก็บร่าง จนวิญญาณของผมมาเจอคุณเทียดนี่ไงครับ ผมถึงบอกว่า ผมไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว ”
.
“ ตายจริง!!! ฉันนี่แย่จริงเชียว ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นอะไร แล้วพ่อออกมานานเยี่ยงนี้ไม่ดีแน่ ไปเถิด ฉันจะพาพ่อกลับไปส่งที่ทางเดิมที่พ่อมา ”
.
แล้ววิญญาณของตี๋ จึงจับจูงมือวิญญาณหลงทางของคนที่เป็นส่วนหนึ่งของตนเอง นำพากลับไปทางเดิม
.
“ คุณเทียดครับ ผมคงตายแล้วล่ะครับ ”
.
ตี๋เอ่ยขึ้นหลังจากเดินตามหลังอีกฝ่ายมาชั่วครู่
.
“ ยังดอก พ่อยังมิสิ้นดอก แต่หากยังมิรีบ แลอยู่นานไปกว่านี้ พ่อคงจักสิ้นลมหายใจเป็น เร่งเท้าอีกนิด ใกล้จักถึงแล้ว พ่อเห็นลำแสงลิบๆนั่นรึไม่ ”
.
“ เห็นครับ อย่างนั้นคุณเทียดก็ออกไปพร้อมผมได้สิ ”
.
ตี๋มองตามมือของอีกฝ่าย และเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆอย่างที่อีกฝ่ายจริงๆ
.
“ หากออกไปได้ ฉันคงออกไปเสียนานแล้ว ”
.
“ ทำไมล่ะครับ ถ้าผมไปได้ คุณเทียดก็ต้องไปได้สิ ”
.
ตี๋ยังคงสงสัย หากว่าตนเองออกได้ แล้วทำไมคุณเทียดของตนจึงออกไปไม่ได้
.
“ ฉันถูกสะกดเอาไว้อย่างที่พ่อรู้ ฉันมิสามารถออกไปไหนหากมิได้คลายมนต์นั้น ”
.
“ แต่.... ”
.
“ เย็นใจก่อนพ่อ ฟังฉันเสียให้จบ ที่พ่อได้เจอกับฉันครานี้ พ่อยังมิได้สิ้นใจตามที่พ่อคิด ที่ฉันรู้ได้ก็เพราะวิญญาณที่สิ้นใจไปแล้ว จักมิมีไอชีวิตดอก แต่พ่อยังมีอยู่ แม้นจักเต้นแผ่วเบาเสียแทบไม่รู้สึกก็ตามที รีบไปเสีย ก่อนที่พ่อจักมิมีโอกาสอีก ”
.
วิญญาณของผู้เป็นเทียดพาทายาทของตนมาส่งจนถึงปากทาง ตี๋เองก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเดินมาจนถึงจุดแสงสว่างเล็กๆ ที่มองเห็นไกลก่อนหน้านั้นแล้ว
.
“ ไปเถิด พ่อยังมีคนที่รอพ่ออยู่ กลับไปทำสิ่งที่พ่อคิด ฉันจักอวยพรให้ เรื่องของฉันคงจักต้องฝากให้พ่อช่วยเป็นธุระให้เสียแล้ว ”
.
“ คุณเทียดกลับไปด้วยกันไม่ได้เหรอครับ ”
.
“ มิได้ดอก แค่มาส่งพ่อตรงนี้ฉันก็จักมิไหวอยู่แล้ว พ่อไปเถิด อย่าชักช้าอีกเลย ”
.
ตี๋ไม่เข้าใจสิ่งที่วิญญาณของคุณเทียดตนเองบอกนัก แต่ร่างตรงหน้าที่ค่อยๆเลือนราง จนไม่อาจมองเห็นได้ก็ทำให้ตกใจไม่น้อย
.
“ คุณเทียด คุณเทียดอยู่ไหนครับ ”
.
“ ฉันมิเป็นไรดอก แต่พ่อรีบไปเสีย ฉันยินดีนักที่ได้เจอพ่อในครานี้ แม้จักเจอในที่ๆไม่ควรเจอก็ตามที พ่อรีบไปเถิด ประเดี๋ยวจักไม่ทันการ ”
.
“ คุณเทียด คุณเทียด ”
.
และไม่ว่าตี๋จะพยายามเรียกอย่างไร ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆตอบกลับมาอีก แสงสว่างด้านหน้าตนเองนั้นก็ลดขนาดลงไปเรื่อยๆ ตนเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะกลับไปยังร่างของตนได้ จะถามใครก็ไม่ได้
.
“ พี่เต้ ช่วยน้องด้วย ”
.
สุดท้ายคนที่ตนเองนึกถึงเมื่อยามคับขัน ก็ยังเป็นคนเดิมเช่นทุกที ตี๋รวบรวมความคิด สติที่กระจาย ให้กลับมารวมอยู่คนรักของตน เพื่อหวังให้เขาคนนั้นมาช่วยตนเองออกจากที่แห่งนี้เสียที
.
.
.
.
.
**************************************************
.
.
.
.
พาน้องตี๋มาส่งขอรับ เอาใจช่วยน้องด้วยนะขอรับ
.
พบ เห็น คำผิดสะกิดบอกได้เลย
.
ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 18 (27/11/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 29-11-2018 16:51:27

กาแฟมั้ยฮะจ้าว  : ขอบคุณขอรับ
   
Billie : ขอบคุณขอรับ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 20 (3/12/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-12-2018 17:48:16
ตอนที่ 20
.
.
.
คอยเคียงข้าง

.
.
.
.
.
สองเท้าก้าวเร็วตามใจ พาให้ร่างสูงสมส่วนของคุณชายเต้วิ่งไปตามทางที่นำสู่ห้องเก็บร่าง กว่าจะได้ความว่า ตี๋กับหมอพริ้งหายไปทางไหนกัน ก็เสียเวลาไปพอควร
.
ใจของคุณชายเตชณัฐนั้นไปถึงเสียก่อนตัว ด้วยความเป็นห่วงกังวลสารพัด ห้องเก็บร่างนั้นไม่ใช่ห้องเล็กๆ ที่มีช่องเก็บไม่กี่ตู้
.
คุณชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าคนรักของคนอยู่ที่ไหน ในห้องที่เงียบเชียบไร้ลมหายใจเช่นนี้
.
“ ตี๋ ครับ ตี๋อยู่ไหน ตอบพี่หน่อย ”
.
ปากก็เรียก มือก็ไล่ปลดสลักประตู เลื่อนหาคนรักที่คาดว่าจะถูกคนใจร้ายขังเอาไหว้ในช่องใด ช่องหนึ่ง
.
“ พี่เต้ ใจเย็นนะครับ ”
.
“ จะให้พี่ใจเย็นยังไงไหว ”
.
คอปเตอร์ที่สิ่งตามมาพร้อมคิมม่อนเอ่ยปลอบพี่ชาย ทั้งที่ปกติแล้วพี่ชายมักจะควบคุมสติได้เป็นอย่างดี
.
“ ใจเย็นๆ ถ้าแกเปิดหาทุกช่องขนาดนี้ มันจะยิ่งเสียเวลา แล้วก็รบกวนพวกเขาด้วย สงบสติ แล้วค่อยพิจารณาความผิดปกติ ”
.
“ จะให้ฉันเย็นใจกระนั้นรึ น้องจักเป็นเยี่ยงก็มิรู้ ปล่อยให้น้องสิ้นใจต่อหน้าฉันอีก ฉันทนมิไหวดอก ”
.
เมื่อความร้อนรนในอกมีมากกว่าสติ คุณชายจึงหลุดตัวตนของใครบางตนออกมาโดยไม่รู้ตัว
.
“ เต้ ใจเย็น ค่อยๆหายใจลึก ฉันรู้ว่าแกห่วงน้อง เชื่อฉัน นะตั้งสติก่อน ”
.
“ ขอบใจนายมาคิมม่อน ”
.
คุณชายเตชณัฐพยายามคุมอารมณ์ของตน ตามที่เพื่อนบอก และพบว่าท่านเทียดเต้เข้ามาซ้อนทับชั่วขณะ
.
“ พี่เต้ พี่คิมม่อน มาดูตรงนี้หน่อยเร็ว ใช่รอยเลือดไหมครับ ”
.
คอปเตอร์ร้องเรียกอีกสองคน เพราะระหว่างที่คิมม่อนพยายามเรียกสติให้พี่ชาย ตนเองนั้นพยายามสังเกตความผิดปกติในห้องไปด้วย
.
“ คิดว่าใช่ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากช่องฝั่งนี้ พี่ว่าถ้าตี๋บาดเจ็บก็คงถอยหนีได้ไม่ไกล ”
.
เมื่อมีสติ คุณชายเต้จึงมีความสุขุม รอบคอบอีกครั้ง เพราะหากใจร้อน ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างช้าลง ตามที่คิมม่อนเตือนสติ
.
“ เฮ้ย ไอ้คุณชายดูรอยนี่หน่อย ใช่คราบเลือดไหม ”
.
คิมม่อนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคราบสีจางๆบนประตูช่องเก็บร่าง ซึ่งต่างจากช่องอื่นๆ ที่ไม่มีรอยคราบอะไรเลย
.
“ ไหนครับ คิดว่าน่าจะเป็นรอยน้ำยาเช็ดคราบเลือด ”
.
“ เฮ้ย!!! ”
.
คอปเตอร์ที่อยู่ใกล้กว่าหันมาดูตามที่คิมม่อนบอก แล้วบอกสิ่งที่คิดว่าใช่ออกมา แต่คุณชายเตชณัฐกับดึงสลักล็อกประตูแล้วเปิดออก
.
“ ตี๋!!! ”
.
และก็เป็นอย่างที่กังวล ตี๋ถูกขังเอาไว้ในช่องเก็บร่างช่องนี้จริงๆ
.
“ ตี๋ ตี๋ ตื่นสิครับ ลืมตามองพี่หน่อย ไม่เอาแบบนี้นะครับ ”
.
คุณชายค่อยๆบรรจงอุ้มน้องออกจากช่องเก็บ ร่างเย็นเฉียบ บาดแผลตัวคนรัก รับรอยเลือดที่แข็งตัวเพราะอุณหภูมิที่เย็นจัด ยิ่งทำให้ใจของคุณชายเจ็บยิ่งกว่าโดนมีดกรีด
.
“ ตื่นมองพี่สิคนดี พี่มิยอมให้น้องทิ้งพี่ไปเยี่ยงนี้ดอก พี่พาจักน้องกลับมา ”
.
ภาพของพี่ชายที่พยายามยื้อชีวิตคนรักไว้อย่างสุดความสามารถ ทำให้คอปเตอร์ได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำใสไหลริน
.
ทำไมตนเองจะดูไม่ออกว่า ตี๋นั้นไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ที่ยืนนิ่งก็เพราะทำใจกับภาพตรงหน้าไม่ได้เสียมากกว่า
.
“ พี่เต้ครับ ตี๋..... ”
.
“ ไม่ตี๋ยังอยู่ ตี๋รอพี่มาช่วย พี่ต้องทำได้ ”
.
คอปเตอร์พยายามจะบอกพี่ชาย แต่คุณชายเต้เองนั้นไม่ยอมรับว่า คนรักของตนจะจากไปแบบนี้
.
‘พี่เต้ ช่วยน้องด้วย ’
.
น้ำเสียงแผ่วเบาอันแสนคุ้นเคย
.
.
.
ติ๊ด...ติ๊ด...
.
เสียงสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะ บ่งบอกอัตราการหายใจของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ภายนอกนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็จริง แต่คนที่หลับก็ยังไม่ลืมตาตื่นเสียที
.
“ อาเต้ ไปพักบ้างเถอะ อาตี๋อีไม่เป็นอะไรแล้ว ”
.
ป๊าของตี๋ว่าขึ้น หลังจากเห็นคุณชายเตชณัฐนั่งเฝ้าข้างเตียงคนรักไม่ห่าง ตั้งแต่วันแรกที่พวกตนทราบข่าว ในตอนนั้น ลูกชายของตนดูภายนอกเหมือนไม่เป็นอะไรมาก แต่จากที่ได้รับฟังมานั้น บุตรชายของตนหยุดหายใจไปแล้ว แต่ก็ได้ความไม่ยอมแพ้ของคุณชายเตชณัฐ ที่ทำให้ตี๋กลับมาหายใจอีกครั้ง
.
“ ผมไม่เป็นไรครับ ”
.
คุณชายตอบคนที่สูงวัยกว่าด้วยรอยยิ้มอ่อนแรง อีกทั้งยังกุมมือคนบนเตียงไว้ไม่ปล่อยเช่นเคย
.
“ โยมมิต้องกังวลไปดอก อย่างไรเสียโยมตี๋ก็ปลอดภัยแล้ว อาตมาเองก็มีส่วนผิด ที่ไม่เตือนโยมให้เร็วกว่านี้”
.
“ ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกครับ ”
.
พระภิกษุรูปเดียวในห้องเอ่ยขึ้น เมื่อตนทราบข่าวหลังจากกลับจากธุดงค์ ก็เดินทางมาเยี่ยมในทันที แม้ว่าจะละทางโลก หันไปศึกษาทางธรรม แต่ใจนั้นก็ยังห่วงคนที่ตนเองเคยให้ความเอ็นดูเหมือนน้องชาย
.
“ ก่อเวรกันไม่จบสิ้น อาตมาได้แต่หวังว่า เวรกรรมที่จองจำกันมา จะถึงคราสิ้นสุดเสียที ”
.
“ ผมเองก็หวังอย่างนั้นครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะช่วยท่านเทียดกับคนรักของท่านได้ยังไง ”
.
“ อาตมาเองก็จนใจ ด้วยอาตมาก็ไม่รู้ที่กักขังวิญญาณ ทำได้เพียงแผ่เมตตา อุทิศกุศลให้จิตอาฆาตนั้นได้รับบุญ ทุเลาความพยาบาทลง ”
.
เมื่อไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่ารอ และอุทิศบุญให้จิตของวิญญาณพยาบาทลดความอาฆาต มาดร้ายลง
.
ตี๋ยังคงนอนไม่ได้สติแม้ว่าภายนอกจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว บาดแผลภายนอกก็สมานตัวดี ไม่มีอะไรน่ากังวล เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่ยอมตื่นเท่านั้น
.
ด้านคุณหมอพริ้งเอง ก็หายตัวไปตั้งแต่วันเกิดเรื่อง ไม่มาทำงาน และไม่มีใครทราบว่าเจ้าตัวหายไปไหน และไม่มีใครสามารถติดต่อเจ้าตัวได้เลย
.
เกือบสัปดาห์ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยจึงเริ่มมีอาการตอบสนอง และคนที่สามารถรับรู้ได้เป็นคนแรกคือคนที่นั่งฝั่งอยู่ข้างเตียงไม่เคยห่าง
.
“ ตี๋ เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้า ได้ยินพี่รึไม่ ”
.
เมื่อร่างบนเตียงเริ่มขยับตอบสนอง คุณชายเต้จึงเอ่ยเรียกน้องเบาๆ พลางสังเกตอาการของคนบนเตียงไปด้วย
.
ลูกตาใต้เปลือกตา ขยับ ขะยุก ขยิก ก่อนจะปรือขึ้นช้าๆ แล้วหลับลงอีกครั้ง กระพริบ เพื่อปรับแสงสว่าง อย่างคนที่ไม่ชินแสง
.
“ พี่เต้ ”
.
น้ำเสียงอ่อนแรง แหบพร่า เอ่ยเรียกหาบุรุษที่อยู่ในคลองสายตา และเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
.
“ ตี๋ พี่ดีใจยิ่งนัก พี่นึกว่าจักเสียเจ้าไปเช่นครานั้นเสียแล้ว ขอบน้ำใจเจ้าที่ยังสู้เพื่อพี่ ”
.
คุณชายเต้รวบร่างอ่อนแรงของคนรักขึ้นกอดแนบอก พรมจูบทั่วใบหน้า น้ำเสียงนั้นสั่นพร่าเจือสะอื้น
.
“ ตี๋อยู่นี่แล้วขอรับ พี่เต้อย่าได้หวั่นใจอีกเลย ”
.
ตี๋ยกมือที่อ่อนแรงของตนกอดตอบคุณชายเตชณัฐ ไม่ว่าอย่างไร ในครานี้เขาจักไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้เช่นคราก่อน
.
“ ตายจริง พี่นี่แย่จริงเชียว เจ้าเพิ่งฟื้น กลับมิยอมดูแล มัวแต่รำพึง รำพัน ให้เราต้องระคายใจ รอประเดี๋ยวหนาเจ้า พี่ขอตรวจอาการสักประเดี๋ยว ”
.
คล้ายจะรู้ตัวว่าตนเองมิได้ตรวจอาการน้องน้อย เพราะมัวแต่ดีใจ จนลืมหน้าที่ของแพทย์
.
“ ไม่เป็นไรครับ พี่เต้อย่าว่าตัวเองเลย ”
.
ตี๋ส่งยิ้มอ่อนในคนรัก เพราะคุณชายเตชณัฐเป็นคนที่มักจะโทษตนเองว่าดูแลตนเองไม่ดีเสมอ
.
“ อาการน้องไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ดื่มน้ำก่อน เดี๋ยวพี่จะโทรบอกทุกคนว่าน้องตื่นแล้ว ”
.
เมื่อเห็นว่าอาการของน้องทุกอย่างไม่อะไรน่ากังวลอีก คุณชายเตชณัฐจึงกลับมาสุขุมเยือกเย็นเช่นเดิมอีกครั้ง
.
“ ผมหลับไปนานไหมครับ ”
ตี๋เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณชายเตชณัฐจดบันทึกอาการลงในพอร์ทเรียบร้อยแล้ว
.
“ ถ้ารวมวันนี้ด้วยก็ครบสัปดาห์พอดี เราทำพี่ใจหายมากรู้ไหม ”
.
“ ครับๆ ผมขอโทษ ”
.
“ พี่ดีใจ ที่เจ้ายังอยู่ตรงนี้ ใจพี่จักขาดเสียให้ได้ เมื่อเห็นเจ้านอนนิ่ง จนจับลมหายใจไม่ได้ ”
.
“ พี่เต้ครับ ไม่เอาครับ ผมตอนนี้ไม่ใช่น้องน้อยของคุณเต้แล้วครับ พี่เต้ก็เหมือนกัน ตอนนี้พี่เต้คือพี่เต้ ใช่ไหมครับ ”
.
ตี๋ว่าขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณชายเตชณัฐยัง ติดอยู่ในความทรงจำของคุณเต้เมื่อคราก่อน
.
“ พี่รู้ครับว่าตี๋ไม่ใช่น้องน้อยของคุณเต้ แต่บางทีพี่ก็คุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งเห็นเราในสภาพนั้น พอนึกถึงทีไร มันก็พาลนึกไปไกลถึงคราวก่อนนู้น ”
.
คุณชายเต้ว่า ตนเองรู้ว่าตอนนี้ตี๋คือตี๋ แต่ในจิตใต้สำนึก ก็อดกังวลไม่ได้ ยิ่งเห็นน้องเจ็บโดยที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ ความเป็นคุณเต้เมื่อคราอดีตก็ย้อนขึ้นมา
.
“ ตี๋ หลวงปู่ท่านมาเยี่ยมตี๋ด้วยนะ ”
.
“ หรือครับ แล้วท่านสบายดีไหม ”
.
“ ท่านสบายดีตามอัตภาพ ท่านว่าท่านเตือนเราช้าไป ไม่คิดว่าทางนู้นจะเร่งลงมือพี่เองก็ดูแลตี๋ไม่ดี ทำให้เราต้องเจ็บตัวซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ”
.
“ ไม่ใช่ความผิดใครหรอกครับ อ้อ พี่เต้ครับ แล้วผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ครับ ”
.
“ คงอีกสอง สามวันนะ พี่อยากให้แผลสมานตัวอีกนิด แข็งแรงขึ้นอีกหน่อย แม้ว่าภายนอกในตอนนี้เราเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่รู้ไหมเราหยุดหายใจไปตั้งนาน จนพี่แทบขาดใจตามเชียวนะ ”
.
คุณชายเต้ตอบน้อง
.
“ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ได้นอนชาร์จพลังเต็มที่แล้ว ออกวันพรุ่งเลยได้ไหมครับ ”
.
“ ไม่ได้!!! ”
.
คำปฏิเสธที่ไม่ได้มีแค่เสียงเดียว แต่เสียงนั้นรวมไปถึงคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา แต่ทันได้ยินบทสนทนานี้พอดี
.
“ ลื้อพักไปยาวๆเลยอาตี๋น้อย ”
.
“ สวัสดีครับคุณป๊า คุณม๊า ”
.
“ ซาหวาดลีอาคุงหมอ อย่าเพิ่งตามใจอีนะ ให้อีนอนพักไปก่อน อีชอบดื้อ ”
.
คุณป๊า คุณม๊าของตี๋รับไหว้คุณชายเตชณัฐ ก่อนที่คนเป็นป๊าจะพูดตัดความหวังของบุตรชายที่อยากออกจากโรงพยาบาลเสียวันนี้
.
“ โธ่ป๊า ผมไม่เป็นอะไรแล้ว นี่ก็ตื่นแล้ว หลับเอาแรงไปตั้งหลายวันแล้ว ตอนนี้แข็งแรงมาก ”
.
“ ลื้ออย่ามาพูดดีอาตี๋ หัวใจอั๊วจะหลุดตามลื้อไปแล้ว ซนให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ เห็นแก่ม๊านะ นอนพักอีกหน่อยเถอะลูก ”.
.
“ อาตมาเห็นด้วยนะ โยมควรจะพักให้หายดีเสียก่อน เรื่องอะไรในใจ คงพอมีเวลา หากรีบเกินไปนัก ก็มิใช่จะดี ”
.
“ นมัสการครับหลวงปู่ ”
.
พระภิกษุเอ่ยขึ้น หลังจากที่นิ่งฟังอยู่ และคล้ายจะรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของคนป่วยที่เพิ่งฟื้น
.
“ หลวงปู่ทราบแล้วหรือครับ ”
.
“ อาตมาไม่รู้หรอกโยม แต่สีหน้าของโยม เหมือนคนที่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ อาตมาก็คิดว่า คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโยมทั้งคู่ ”
.
“ ตี๋ เรื่องอะไรบอกพี่ได้ไหม ”
.
“ นั่นสิ เรื่องอะไร บอกม๊ากับป๊าได้ไหม ”
.
เมื่อทุกคนถาม คราแรกตี๋เองไม่อยากบอกให้ทุกรู้ เพราะกลัวทุกคนจะเป็นห่วง แต่เห็นทีว่าจะไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกเสียแล้ว
.
“ บอกพี่เถอะตี๋ ให้พี่ได้รู้ พี่เป็นห่วงเรารู้ไหม ทุกคนเป็นห่วงเรา อย่าทำอะไรเกินตัว พี่ขอร้องเถอะ ”
.
เมื่อถูกร้องขอด้วยน้ำเสียง แววตา จากคนที่รักตนเอง ทั้งคุณชายเตชณัฐ คุณป๊า คุณม๊า ตี๋จึงจำเป็นต้องยอมเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ
.
“ ผมรู้แล้วว่า น้องน้อยถูกขังอยู่ที่ไหน แต่ผมไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน ”
.
ตี๋บอกเรื่องที่คนรับรู้มาให้ทุกคนได้ฟัง
.
“ เดี๋ยวอาตี๋ สรุปว่าลื้อรู้ รึไม่รู้กันแน่ หม่าม๊างงแล้วนะ ”
.
“ โยมรู้ว่าดวงจิตของโยมตี๋ เมื่อครั้งก่อนถูกขังที่ใด แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ขังนั้นตอนนี้นี้ถูกเก็บไว้ที่ไหน ใช่ไหม ”
.
เมื่อคนพูดไม่ได้ขยายความเพิ่ม หลวงปู่ผู้ยังห่วงน้องในอดีตจึงช่วยขยายความ ตามที่ตนเข้าใจ
.
“ ครับหลวงปู่ ผมรู้ว่าคุณเทียดตี๋ถูกกักขังไว้ในไหน แต่ไม่รู้ว่าของนั้นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าให้ผมเดา เท่าที่ได้รู้มา ของสิ่งนั้นต้องเก็บอยู่ไม่ไกลตัวคุณพริ้ง ”
.
ตี๋บอกความคิดของตน ว่าตนคาดเดาอะไรไว้ แต่ก็ไม่ได้บอกออกไปทั้งหมด
.
“ เอาเถอะครับ เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคิดต่อ เอาไว้ให้เราดีขึ้นกว่านี้ก่อน ตอนนี้ต้องพักแล้ว เพิ่งฟื้นก็ไม่ควรหักโหมร่างกาย ”
.
“ จริงอย่างอาคุงหมอว่า อาตี๋ ลื้อต้องพักอีกหน่อย อย่าดื้อรู้ไหม ม๊า กับ ป๊า เป็นห่วงนะรู้ไหม ”
.
“ ครับม๊า ผมจะพักให้หายดีเลยครับ ”
.
แม้ว่าไม่อยากจะพักอย่างที่ปากว่า แต่ตี๋ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่อยากให้คนที่รักเป็นห่วง โดยเฉพาะคุณชายเตชณัฐที่มองตนด้วยสายตารู้ทัน
.
“ ทุกคนวางใจเถอะครับ ผมจะดูแลน้องอย่างดี มีอะไรจะรีบแจ้งให้ทราบทันที ”
.
“ เอางั้นนั้นล่ะ อาคุณหมอก็อย่าไปตามใจอีมากล่ะ ม๊าฝากอีด้วยนะ ”
.
“ ป๊าฝากดูอาตี๋ด้วยนะคุงหมอ ”
.
“ ครับ คุณป๊า คุณม๊า ”
.
“ เอาเถอะ เยี่ยมกันแต่พอดี ปล่อยให้โยมตี๋ได้พัก เรากลับกันได้แล้ว ”
.
“ กราบลาครับหลวงปู่ ”
.
คุณชายเตชณัฐ เดินไปส่งทุกคนที่หน้าประตู เมื่อทุกคนกลับออกไปแล้วจึงหันกลับมาหาคนที่นอนอยู่อีกครั้ง
.
“ ไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ อย่าทำให้พี่ใจจะขาดแบบนี้อีกนะครับ อย่าทำอะไรโดยไม่บอกพี่นะครับ อะไรที่คิดไว้ในใจตอนนี้ บอกพี่ได้ไหมครับ ”
.
“ พี่เต้ ”
.
ตี๋เรียกอีกคนเสียงอ่อน เพราะรู้ว่าพี่เต้ของตนคิดมาก และคอยแต่โทษตัวเอง
.
“ ครับ ผมสัญญาครับ ”
.
ตี๋สัญญากับคนรัก เต้พยักหน้ารับ เพราะรู้ว่าเมื่อสัญญาแล้ว ตี๋จะรักษาสัญญานั้นเสมอ หากทำไม่ได้ เจ้าตัวจะขอยกเลิกเอง
.
“ ครั้งนี้เราจะสู้ไปด้วยกันนะครับ พี่จะไม่ปล่อยให้เราต้องสู้คนเดียวอีก ”
.
ตี๋รับคำ แม้ไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่ตนก็พร้อมจะสู้ และอยากให้เรื่องความอาฆาต ริษยา จบลงเสียคราวนี้ ไม่อยากจะให้ผูกเวรกันต่อไป
.
.
.
.
.*****************************************
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 20 (3/12/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-12-2018 18:24:54
 :ling1: :serius2:

ยายคุณพริ้ง ทำไมต้องใจราย แล้วยังยึดติดอีกนะ
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนที่ 20 (3/12/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-12-2018 19:01:34

   Billie : ขอบคุณขอรับ คุณพริ้งเธออาฆาตไม่เลิกขอรับ
หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (1/2) (9/12/61) หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 09-12-2018 13:40:18
ตอนจบ
.
.
.
ด้วยใจภักดิ์

.
.
.
.
หลายวันผ่านไป ตี๋แข็งแรงขึ้นมาก อาการบาดเจ็บดีขึ้นจนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณชายเตชณัฐจึงยอมให้คนรักออกจากโรงพยาบาลได้ตามความต้องการ
.
“ ออกจากโรงบาลได้ก็จริง แต่พี่ไม่ยอมให้เราไปทำอะไรเสี่ยงๆหรอกนะ หยุดคิดไปเลย ”
.
คุณชายเต้ว่าขึ้นราวกับจะรู้ว่าคนรักของคนต้องการจะทำอะไรต่อ หลังจากได้ออกจากโรงพยาบาลวันแรก
.
“ โธ่ พี่เต้ อย่าห้ามผมเลย ผมรู้ว่าพี่เองก็อยากจะช่วยท่านเทียดทั้งคู่เหมือนกันแหละ ”
.
“ พี่ไม่เถียงว่าพี่อยากช่วย แต่การช่วยก็ไม่ได้หมายความพี่จะต้องให้เราไปทำอะไรเสี่ยงๆนะ และพี่เองก็เชื่อว่าท่านทั้งสองก็เข้าใจ ”
.
คุณชายเต้ว่า แม้ว่าตนเองอยากช่วยบรรพบุรุษของตนให้หลุดจากบ่วงนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากให้ตี๋ในตอนนี้ต้องไปเสี่ยงอะไรอีกแล้ว
.
.
.
“ ไอ้คุณชาย หมอพริ้งกลับมาทำงานหรือยัง ”
.
เสียงคิมม่อนถามเพื่อนของตน เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะถามแล้ว คิมม่อนและคอปเตอร์เลือกที่จะรอคนป่วยที่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านในวันนี้ อยู่ที่เรือนแทน
.
“ ไม่เลย หายไปตั้งแต่วันนั้นแหละ ”
.
ทุกคนนั่งคุยกันที่เรือนริมน้ำ ตี๋เองก็อยากรู้ข่าวของคุณหมอพริ้งเช่นกัน
.
“ ผมรู้สึกว่า หมอพริ้งโดนบังคับ ”
.
“ นายเข้าข้างคนที่ทำร้ายตัวเองเหรอ ”
.
คอปเตอร์ออกอาการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนว่า
.
“ นั่นสิ นายใจอ่อนเหมือนเคยเลย ”
.
คิมม่อนที่เห็นด้วยกับคอปเตอร์ พูดเสริมขึ้น
.
“ ไม่ได้ใจอ่อน แต่พูดตามที่ได้ฟังมา พี่เต้เชื่อผมนะครับ หมอพริ้งเธอโดนบังคับ ผมได้ยินวิญญาณของแม่ปริกพูดครับ ”
.
ตี๋แก้ต่างให้ตัวเอง พร้อมกับโน้มน้าวให้คุณชายเต้เชื่อในสิ่งที่ตนว่าด้วย
.
“ อย่าเพิ่งเถียงกันเลยครับ วันนี้ตี๋พักผ่อนให้เต็มที่ครับ พรุ่งนี้เราต้องเจออะไรอีกมากแน่ ๆ ”
.
คุณชายเต้ ไม่อยากให้ทุกคนกังวลไปมากจนเกินไป จึงกล่าวตัดบท แล้วไล่ให้คนรักไปพัก เพราะทุกคนตกลงกันไว้ว่า จะเริ่มตามหาที่กักขังวิญญาณของท่านเทียดทั้งสองในวันรุ่งขึ้น
.
หลังจากที่คุย และตกลงกันมาก่อนหน้า ในช่วงที่ตี๋ยังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ตี๋บอกเล่าเรื่องราวที่ได้ฟังมาจากคุณเทียดของตน บวกกับความคิดเห็นของตน จึงได้ข้อสรุปว่า
.
วิญญาณของทุกคนน่าจะอยู่ที่เรือนของคุณพริ้งเมื่อหลังอดีต และวิญญาณของคุณเทียดตี๋ และคุณเทียดเต้ ก็น่าจะถูกขังอยู่ในภาพที่ประดับอยู่บนเรือน
.
ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ คุณชายเต้เองก็เห็นด้วย เพราะตนจำภาพประดับของคุณพริ้งที่เคยเห็นที่เรือนหลังนั้นได้ แต่ที่ไม่เคยเห็นเลยก็คือ ภาพของคุณเทียดตี๋
.
ส่วนวิธีที่ปลดปล่อยทุกคนออกมา ตี๋ออกความคิด ตามที่ได้ฟังคุณเทียดของตนเล่า ก็คือ น่าจะใช้เลือดของเจ้าของร่างที่โดนจองจำ แต่เมื่อคุณเทียดตี๋สิ้นไปนานมากแล้ว คงไม่มีเลือดมาปลดปล่อยตัวเองได้
.
ตี๋จึงคิดว่า เมื่อตนหรือส่วนหนึ่งของคุณเทียด ก็น่าจะใช้เลือดของตนเองได้ ซึ่งคุณชายเต้เองก็ไม่ค้าน
.
แต่ปัญหาของทุกคนคือ จะเข้าไปในเรือนปิดตายของคุณพริ้งได้ยังไง เรื่องนี้จึงต้องขอความช่วยเหลือหลวงปู่
.
แม้ว่าจะไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ทุกคนก็มองไม่เห็นทางอื่นใด นอกจากขอพึ่งบารมีพระพุทธคุณ ด้วยคิดว่า อย่างน้อย ผลบุญของทุกคนจะนำพาให้วิญญาณของคุณพริ้งพบทางสว่างได้
.
เมื่อได้ข้อตกลงอันเป็นที่พอใจของทุกคนแล้ว ทุกคนจึงทำตามข้อตกลงนั้นอย่างเต็มใจ รุ่งเช้าของวันถัดมา คิมม่อน และคอปเตอร์ รับหน้าที่ไปนิมนต์หลวงปู่มาที่เรือน
.
ส่วนป๊า กับม๊าของตี๋นั้น เจ้าตัวขอไว้ว่า ให้รอฟังข่าวอยู่ที่วังท่านชายเต เพราะไม่อยากห่วงหน้า พะวงหลัง
.
ทั้ง 4 คน รวมทั้งพระภิกษุอีก 1 รูป มายืนพร้อมกันที่หน้าเรือนไทยหลังเก่า ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
.
เสียงลมหวีดหวิว คล้ายขู่มิให้ใครย่างก้าวเข้าสู่บันไดเรือน ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส ก็ค่อยแปรปรวน เหมือนจะข่มขวัญผู้มาเยือน ว่าเจ้าของเรือนมิยินยอมให้ใครรุกล้ำพื้นที่ของตน
.
“ มันมากันแล้ว อีปริก มึงลงไปไล่มันไปเสียให้พ้นหน้ากู ”
.
เสียงสั่งการจากภาพของคุณพริ้งที่ผนังเรือน เกรี้ยวกราดอย่างเคย เมื่อสิ่งที่หวังไว้ไม่เป็นอย่างหวัง
.
“ มึงช่างดิ้นรนมาหาที่ตายนัก ครานั้นมึงรอดมาได้ แต่อย่าหวังว่ามึงมาถึงเรือนกูวันนี้ จะรอดกลับออกไป ”
.
“ พอเสียเถิดแม่พริ้ง เธอควรจักปล่อยวางเสียบ้าง ”
.
“ ปล่อยวางรึเจ้าคะ ปล่อยให้คุณพี่มันได้เสพสุขกันเยี่ยงนั้นรึเจ้าคะ อย่าได้หวังเลย เมื่ออิฉันมิมีความสุข แลคุณพี่กับมันก็อย่าได้มีความสุขกันเลย ”
.
“ เมื่อไหร่เธอจะหลุดพ้นกันแม่พริ้ง ”
.
“ อิฉันยอมเป็นอยู่เยี่ยงนี้ แต่อิฉันจักมิมีวันยอมให้คุณพี่กับมันได้สมหวัง ”
.
“ จนป่านนี้ เธอก็ยังยึดมั่น ถือมั่น ฉันก็จนใจกับเธอแล้วจริง ๆ แม่พริ้ง ”
.
แม่พริ้งสั่งให้บ่าวของตนลงไปขัดขวางคนที่มาเยือนเรือนตน โดยที่ตนไม่ต้องการ หากวิญญาณคุณเต้นั้น พยายามจะโน้มน้าวใจของภรรยาในนามของตนอีกครา แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นทุกครั้ง คุณเต้จึงจำยอม แล้วเลี่ยงออกไปอย่างเคย
.
“ ดี อยู่เงียบ ๆ ไปเช่นเคยนะเจ้าคะ อย่ามาสอดการของอิฉันอีก เพราะเยี่ยงไร คุณพี่ก็ทำอะไรอิฉันมิได้ ”
.
เมื่อเห็นว่าคุณเต้มิไยดีการที่ตนจะทำอีก คุณพริ้งจึงกล่าวเยาะเย้ยตามหลังชายคนที่เธอต้องการเอาชนะ แม้ว่าวันที่ไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม
.
“ นังพริ้ง มึงไปจัดการพวกมันเสีย อย่าให้มันขึ้นมาบนเรือนกูได้ ”
.
หมอพริ้งที่นอนนิ่งอยู่ ลืมตาขึ้นทันที่ที่ได้ยินเสียงสั่งจากวิญญาณในภาพ แม้ว่าตัวเองจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจฝืนได้ จำต้องลุกขึ้นไปทำตามที่โดนสั่ง
.
“ พวกมึงรนหาที่กันยิ่งนัก นายกูอยู่เงียบๆแล้ว เหตุใดพวกมึงจึงมาวุ่นวายมิยอมเลิก แลมึง ไอ้สุก อย่านึกว่าเป็นพระแล้วกูจักต้องไหว้สา ”
.
เมื่อทุกคนก้าวเท้าเหยียบบันไดขั้นแรก วิญญาณของบ่าวอย่างแม่ปริก ก็ปรากฏร่างขึ้นขวาง ตามคำสั่งของนายตน
.
“ โยมปริก เมื่อใดโยมจักเห็นทางสว่าง ปล่อยวางเสียเถิด สิ่งที่โยมพริ้งทำ มันไม่ถูก โยมมิรู้หรอกรึ ”
.
“ แล้วอย่างไร มันก็มิใช่เรื่องของมึงเช่นกัน เมื่อครั้นก่อนยังมิเข็ดอีกรึ หรืออยากตายด้วยมือกูอีกรอบ เป็นพระแลมิอยู่ส่วนพระ ”
.
อร๊าย!!!!!
.
ร่างโปร่งแสงของวิญญาณพุ่งตรงเข้ามาพระภิกษุ แต่ก็ไม่อาจเข้ามาทำอะไรได้ ซ้ำยังกระเด็นออกไปคล้ายกับชนอะไรบางอย่าง
.
“ มึงทำอะไรกูไอ้สุก อย่าคิดว่ากูจะยอม ”
.
ว่าจบก็พุ่งเข้าหาหลวงปู่อีกรอบ และก็เป็นเช่นเดิม แต่คล้ายว่าครั้งนี้จะได้รับบาดเจ็บมากกว่าเดิม
.
“ ปล่อยวางเสียเถิดโยม โยมจักมิต้องเจ็บอีก อาตมามิได้ทำอะไรโยมเลย อาตมาเพียงแผ่เมตตาให้โยม แต่เป็นจิตอาฆาตของโยมต่างหาก ที่ทำร้ายตัวโยมเอง ”
.
“ มึงอย่าทำมาเป็นพูดดี กูเห็นว่าร่ายบทสวดมนต์ดำใส่กู ”
.
“ มิใช่มนต์ดำอะไร ที่อาตมาสวดเป็นเป็นบทแผ่เมตตา แลบทพุทธคุณ ไม่มีมนต์ใดยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธคุณดอกโยม แลพระพุทธคุณก็มิได้ทำร้ายผู้ใด ”
.
“ มึงอย่าปดกู เยี่ยงไรกูก็ไม่เชื่อ แลวันนี้กูจักจัดการพวกมึงให้นายกู ”
.
กรี๊ด.....
.
เสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณ ร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อพยายามเข้ามาขวาง แต่ก็ต้องถอยกลับไป คล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นผลักไส
.
คุณชายเต้ ตี๋ คิมม่อน และคอปเตอร์ ทุกคนพร้อมใจกันตั้งใจแผ่เมตตาให้กับวิญญาณหลงผิดอย่างแม่ปริก แต่เมื่อเจ้าตัวมิยินดีรับ จึงกลายเป็นโดนสะท้อนกลับไปเสียแทน
.
เมื่อเดินขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย หน้าบานประที่ลั่นดาลจากด้านใน คุณชายเต้จึงก้าวนำทุกคนมาด้านหน้าเสียเอง
.
บานประตูที่เคยปิดตายมานาน ค่อยๆเปิดออก พร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่พุ่งเข้าหา พร้อมอาวุธในมือ
.
คุณชายเต้คล้ายจะรับรู้อยู่แล้วจึงยกมือขึ้นจับข้อมือของผู้ที่เข้ามาทำร้ายตน พร้อมกับออกแรงผลักร่างเล็กกว่าให้ถอยกลับไป เบี่ยงตัวให้ทุกคนขึ้นมาบนเรือน
.
กรี๊ด...............
.
เสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณในภาพ เมื่อเห็นว่า คนของตนไม่อาจขัดขวางการมาเยือนของคนที่ตนไม่ประสงค์ได้
.
“ อีพริ้ง อีปริก พวกมึงมิได้ความ จัดการมันเสีย ”
.
เสียงร้องสั่ง พร้อมกับวิญญาณบ่าวของคุณพริ้งที่พุ่งเข้าหาอีกรอบ แต่ก็เป็นเช่นเดิม เมื่อมาแรงเท่าไหร่ ก็โดนผลกระทบกลับไปเท่านั้น
.
หมอพริ้งที่เมื่อครู่โดนคุณชายเต้ผลักจนล้ม กลับลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นสั่งการ แววตาไหววูบอยู่เพียงครู่ ก่อนจะกลับมาเป็นดวงตาแข็งก้าว
.
มีดเล่มยาวในมือพุ่งเข้าหาคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทันที คิมม่อนที่มองอยู่แต่แรก เบี่ยงตัวหลบ ทำให้ร่างเล็กของหมอพริ้งถลาไปด้านหน้า ก่อนจะตั้งหลักแล้วหันกลับมาอีกครั้ง
.
“ ชายเต้ ไปจัดการตรงนู้น หมอพริ้งนี่ฉันจัดการเอง ”
.
“ เธอโดนสะกดแน่ๆเลย เป็นอย่างที่ตี๋สงสัยจริง ๆ ด้วย พี่คิมม่อนระวังตัวนะ พี่เต้ กับตี๋ไม่ต้องห่วงผมกับพี่คิมม่อน พวกเราจัดการได้”
.
คอปเตอร์ร้องบอกพี่ชายของตน เมื่อเห็นว่าคุณชายเต้พะวงกับพวกตน
.
“ ดูแลตัวเองด้วยนะ คิมม่อน ฉันฝากน้องด้วย ”
.
เมื่อเอ่ยปากฝากฝังน้องชายตนเอง กับเพื่อนสนิท และได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา คุณชายเต้จึงจับมือคนรัก เดินเข้าไปด้านใน
.
“ มีความสุขกันเสียจริงนะเจ้าคะ ถึงขนาดพากันมาเย้ยอิฉันถึงเรือน คุณพี่ยังใจร้ายไม่เปลี่ยน ”
.
เสียงจากภาพที่ยังคงงดงาม แม้ว่าจะผ่านเวลามานับร้อยปี แต่ภาพนั้นยังดูสวยสด ราวกับกาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้
.
“ คุณพริ้ง ปล่อยวางเถอะครับ ”
.
“ มึงเป็นใคร จึงมาสั่งกู เห็นว่าคุณพี่รัก จึงไม่เห็นหัวผู้ใด วันนี้มึงอย่าคิดว่าจะออกไปจากเรือนกูได้ ”
.
“ ผมไม่ได้สั่ง ผมขอร้อง และผมก็ไม่ใช่ท่านเทียดด้วย ผมคือผม ”
.
ตี๋เอ่ยขอให้วิญญาณหญิงสาวปล่อยวาง แต่ก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่วิญญาณของเธอไม่คิดจะฟังใคร
.
“ ผมขอร้อง เลิกแล้วต่อกันเถอะครับ ที่ผ่านมา ผมขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ”
.
“ คุณพี่ไม่เคยรักอิฉันเลยรึเจ้าคะ ”
.
“ แม่พริ้ง ฉันรักเธอนะ รักเธออย่างพี่ชายพึงรักน้องสาว ฉันมิได้รักใคร่เธอฉันชู้สาว ”
.
“ แล้วคุณพี่มาแต่งงานกับอิฉันทำไมเจ้าคะ มาให้ความหวังอิฉันทำไม ”
.
“ แม่พริ้ง ฉันเคยขอร้องเธอแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้น ตัวแม่เองมิใช่รึ ที่ดึงดันมิยินยอม ฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันก็ยอมอยู่กับเธอมาตลอด ในครานั้นฉันไม่โทษใคร หากจะมีคนผิด ก็คงเป็นฉันเอง ฉันขอโทษ ”
.
คุณชายเต้กล่าวกับวิญญาณในภาพ
.
“ มันมิสายไปรึเจ้าคะ คุณพี่บอกว่ายอมอยู่กับอิฉัน แต่คุณพี่ก็มิได้ลืมมัน คุณพี่มิเคยมีอิฉันในใจเลย ”
.
ลมหมุนพัดแรงขึ้น เมื่อสิ้นเสียงแห่งความไม่พอใจของคุณพริ้ง
.
“ แม่พริ้ง ปล่อยทุกคนไปเถิด ฉันขอร้อง ”
.
“ ไม่เกี่ยวกับคุณพี่ อยู่ในที่ของคุณพี่เถอะ ”
.
วิญญาณของคุณพริ้งตวาดคุณเต้ที่อยู่ในภาพเดียวกับตน
.
“ คุณพี่ห่วงมันนัก อิฉันยิ่งอยากจักทำให้มันตายต่อหน้าคุณพี่อีกครา ”
.
สิ้นเสียงคุณพริ้ง ลมรอบเรือนก็กระโชกอีกครั้ง หมอพริ้งที่เดิมนั้นสู้อยู่กับคิมม่อน ก็ผละออก แล้วเดินเข้าหาตี๋แทน
.
“ อีปริก มึงอย่าให้มันรอดออกจากเรือนกูไปได้ ”
.
“ เจ้าค่ะคุณพริ้ง ”
.
หมอพริ้งตอบ แต่น้ำเสียงนั้นแข็งทื่อ ไม่ต่างจากแววตา หากว่ามองในชั่วพริบตาหนึ่ง จะเห็นหยดน้ำใสที่หางตาของเจ้าตัว
.
“ ตี๋ระวัง!!! ”
.
แต่เหมือนเสียงของคุณชายเต้จะช้ากว่ามือของเจ้าตัว ที่ดึงตัวคนรักหลบได้ทัน แต่ก็ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บแทน
.
“ เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดก่อกรรมกับผู้อื่นเสียทีแม่พริ้ง ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ต่างจากเดิม จนตี๋ที่ประคองอยู่ต้องลูบแขนให้อีกคนใจเย็นลง
.
“ ทำไมเจ้าคะ แล้วที่คุณพี่ทำกับอิฉันเล่า มิเป็นไรเยี่ยงนั้นรึ อิฉันไม่เจ็บกระนั้นรึ ”
.
“ ฉันไม่รู้จักว่ากระไรกับเธอดีแม่พริ้ง ตาเธอนั้นมืดบอด เพราะความริษยา แลใจเธอนั้นก็ดำเสียยิ่งกว่าขนกา เธอเที่ยวโทษคนนั้น คนนี้ แลมิเคยมองตัวเองบ้างเล่า ว่าทำเยี่ยงใดไว้บ้าง ”
.
“ แล้วมันใช่คุณพี่รึเจ้าคะ ที่ทำให้อิฉันต้องเป็นเยี่ยงนี้ ”
.
“ ถึงเพลานี้ เธอก็ยังมิวายกล่าวโทษคนอื่น ฉันผิด ฉันยอมรับ แต่เธอเองเล่า เหตุใดจึงดื้อดึงนัก ”
.
“ พี่เต้ ใจเย็นก่อนครับ ”
.
“ มึงมิต้องแสร้งเป็นคนดี ไอ้ขี้ข้า เพราะมึงเพียงคนเดียว คุณพี่จึงไม่เห็นหัวกู ”
.
ตี๋พยายามปลอบให้คุณชายเต้อารมณ์เย็นลง แต่เหมือนจะไม่เป็นผลนัก เพราะคล้ายกับว่า เจ้าตัวอยู่ใกล้กับท่านเต้ และรับรู้ถึงอารมณ์เกรี้ยวกราด ของท่านได้มากขึ้น
.
ตี๋เองก็ไม่ใช่ไม่รับรู้ความกลัวของท่านเทียดตนเอง แต่ก็ยังพยายามปลอบใจตนเองว่า ตนคือตีรณ ไม่ใช่ตี๋เมื่อครั้งอดีต ตนไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้ง่าย ๆ อีก
.
“ เมื่อพวกมึงมิเคยเห็นกู แลมาหาเรื่องกูถึงเรือน เมื่อเข้ามาแล้วก็อย่าหวังจักได้ออกไป ไม่เว้นแม้แต่มึงไอ้สุก อย่าคิดว่าเป็นพระแล้วกูจักไม่กล้า อีปริก เผาเสียอย่างให้เหลือ ให้พวกมันเป็นผีเฝ้าเรือนอยู่กับกูกันให้หมดนี่ล่ะ ”
.
“ เจ้าค่ะ ”
.
สิ้นเสียง วิญญาณของปริกในร่างของหมอพริ้ง ก็จุดไฟที่ผ้าคลุมโต๊ะที่อยู่ในเรือน เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ด้วยเชื้อเพลิงเป็นไม้ และจากลมที่โหมเข้าใส่
.
“ ฮ่าๆๆๆ ตายเป็นผีเฝ้าเรือนกูเสียให้หมด อย่าแส่มาหาเรื่องกูถึงที่ดีนัก ”
.
เสียงหัวเราะอย่างได้ใจของวิญญาณในภาพ ทำให้คนที่ได้ยินเสียขวัญไปไม่น้อย บวกกับเปลวไฟที่โหมอยู่รอบตัว ก็ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นตระหนกมากขึ้น
.
“ โยมเต้ ไปปลดภาพบนผนังนั่นเสีย แล้วก็ปลดปล่อยวิญญาณของท่านเต้ กับตี๋ เสียก่อน ”
.
“ ไอ้สุก มึงนี่มันแส่ไม่เข้าเรื่อง ”
.
คุณพริ้งในภาพตวาดลั่นเรือน เมื่อหลวงปู่ให้คุณชายเต้ปลดภาพบนผนัง แรงลมโหมไฟเข้าขวางไม่ให้คุณชายเต้เข้าถึงภาพบนผนังได้
.
แต่คุณชายเต้ก็ไม่ยอมแพ้กับเปลวไฟนั้น เมื่อเจ้าตัวกระโจนข้ามไปอย่างไม่กลัวความร้อนของไฟที่ลุกโชน
.
“ อย่ามายุ่งกับอิฉันนะเจ้าคะ ”
.
เสียงในภาพร้องขัด เมื่อเห็นว่าคุณชายเต้พยายามปลดภาพของตนออกจากผนัง
.
“ เลิกเคียดแค้นจองเวรกันเสียทีเถิดแม่พริ้ง ฉันขอล่ะ ”
.
เจ้าคุณอภิบาลบริรักษ์ เอ่ยขอกับคุณพริ้ง พร้อมพยายามห้ามไม่ให้คุณพริ้งทำอะไรได้สะดวก เพื่อเปิดทางให้ลูก หลานของตน ทำสิ่งที่ตนเองไม่อาจทำได้ให้สำเร็จ
.
ทันทีที่มือเปื้อนหยดเลือดของคุณชายเต้ สัมผัสกับรูปบนผนัง กลุ่มควันสีขาวก็ค่อย ๆ ลอยออกมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเคียดแค้น ของวิญญาณคุณพริ้งที่อยู่ในภาพ
.
“ ไม่ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ”
.
วิญญาณคุณพริ้ง กล่าวออกคล้ายกับเพ้อ เมื่อกลุ่มควันนั้นรวมตัวเป็นรูปร่างของชายที่ตนหมายปอง
.
“ สมมุติฐานของตี๋เป็นจริง ”
.
คิมม่อนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นโครงร่างของดวงวิญญาณตรงหน้า ส่วนตนเองนั้น ก็กอดคอปเตอร์ไว้ไม่ปล่อย พยายามให้อีกคนบาดเจ็บน้อยที่สุด
.
“ ขอบคุณทุกคนมาก ”
.
“ ออกไปได้แล้วอย่างไร หึ คุณพี่คิดว่าจะช่วยพวกมันออกจากเรือนนี้ได้กระนั้นรึ ฝันไปเถอะ ”
.
เมื่อเห็นว่าดวงวิญญาณของคนที่ตนกักขังไว้ หลุดออกมา วิญญาณของคุณพริ้งจึงพุ่งตามออกมาด้วยเช่นกัน
.
“ คุณพี่ไม่สามารถออกจากเรือนนี้ไปได้ดอกเจ้าค่ะ หากอิฉันไม่ยินยอม รวมถึงพวกมันด้วย แลคุณพี่คงมิลืมใช่ไหมเจ้าคะว่า คนที่คุณพี่รักหนักหนายังอยู่ในกำมืออิฉัน ”
.
วิญญาณคุณพริ้งพูดขึ้นอย่างอาฆาต
.
“ เลิกจองเวรกันเถิดโยม อาตมาขอบิณฑบาต ”
.
“ อย่ามาปากดีไอ้ขี้ข้า มึงเป็นพระแล้วอย่างไร วันนี้กูจะทำให้มึงขาดจากศีลเอง ”
.
ไม่มีใครคาดคิดว่า วิญญาณของคุณพริ้งจะเข้าสิงร่างหมอพริ้งแทนบ่าวของตน แล้วพุ่งเข้าหาพระภิกษุรูปเดียวบนเรือน
.
“ กรี๊ด!!!!.....”
.
แต่ร่างของหมอพริ้งที่โดนควบคุมกลับกระเด็นออกมา ทั้งที่ยังไม่ทันถึงตัวของหลวงปู่ พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
.
“ จิตที่อาฆาต ไม่ว่าอย่างไรก็แพ้ให้พุทธคุณ แม้ว่าโดยจักใช้ร่างผู้อื่นก็ตาม หยุดก่อเวรเสียเถิด อย่าให้หมอคนนี้ ต้องร่วมก่อกรรมไปกับโยมอีกเลย เห็นแก่ลูก หลานของโยมเถอะ ”
.
“ ไม่กูไม่ยอม ”
.
คุณพริ้งในร่างของหมอพริ้งพุ่งเข้าหาหลวงปู่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ คิมม่อนเข้าขวางไว้เสียก่อน
.
“ หมอพริ้ง ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำแบบนี้ ต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายนี้ให้ได้ ”
.
คิมม่อนจับตัวของหมอพริ้งไว้ พยายามเรียกสติของเจ้าตัวให้กลับมา
.
“ มึงปล่อยกู มึงเองก็ร้ายนัก ทำตัวเป็นพ่อสื่อ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ ”
.
คุณพริ้งตะคอกใส่คิมม่อนที่จับร่างของหมอพริ้ง ทั้งคู่ยื้อยุดใส่กัน ส่วนคอปเตอร์นั้นวิ่งไปหาพี่ชายตนเองพร้อมกับตี๋
.
“ พี่เต้ เป็นอย่างไรบ้างครับ ”
.
ตี๋ที่เห็นรอยแผลไฟลวกบนกายของคนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
.
“ ไม่เป็นไรครับ แค่ภายนอก ตอนนี้เราต้องหารูปของคุณเทียดตี๋ก่อน ”
.
“ ผมว่าต้องอยู่ในรูปนี้นั่นล่ะครับ เท่าที่ฟังตี๋เล่า คุณพริ้งเธอต้องเก็บไว้ใกล้ตัว ซึ่งก็ไม่น่ามีที่อื่นแล้ว ”
.
คอปเตอร์เสนอความคิด เมื่อคุณชายเต้บอกให้ช่วยหาที่ซ่อนของรูปท่านเทียดตี๋
.
ทั้งสามช่วยกันพลิกหาที่ซ่อน แต่ก็ยังไม่เจอ ตี๋ที่จึงคิดว่า ในกรอบรูปนี้ต้องมีกลไก อะไรซ่อนอยู่ เจ้าตัวจึงยกกรอบรูปไม้โบราณขึ้นฟาดกับเสาเรือน เพื่อทำลายกลไกนั้นทิ้ง
.
.
.
(ต่อด้านล่าง)
.
.
.

หัวข้อ: Re: #ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (2/2) (9/12/61) หน้า 3 จบแล้วจ้า รบกวนย้ายได้เลยจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 09-12-2018 13:42:30
.
.

(ต่อจากด้านบน)
.
.
.

.
“ อย่า!!!! มึงอย่ายุ่งกับของกู ”
.
เสียงวิญญาณของคุณพริ้งร้องขึ้นทันที ที่เห็นว่าตี๋กำลังทำอะไร พร้อมกับพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการยื้อยุดของคิมม่อน

.
คุณชายเต้เห็นดังนั้นจึงคิดว่า รูปของท่านเทียดตี๋ต้องซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน แต่คงต้องต้องทำลายกรอบรูปนี้ให้ได้เสียก่อน
.
“ เฮ้ย!!! ”
.
คอปเตอร์อุทานขึ้นอย่างตกใจ เมื่อมีกลุ่มควันสีดำพุ่งเข้าใส่พวกตน ที่หาวิธีทำลายกรอบรูปของคุณพริ้ง
.
เมื่อเห็นว่าไม่อาจหลุดจากแรงของคิมม่อนได้ คุณพริ้งจึงทิ้งร่างของหมอพริ้ง แล้วพุ่งเข้าใส่คนที่กำลังท้าทายตนเองแทน
.
“ อีปริก มึงออยู่ไหน ออกมาช่วยกูเดี๋ยวนี้ ”
.
เมื่อเห็นว่าตนไม่สามารถสู้ได้คนเดียว คุณพริ้งจึงเรียกหาวิญญาณผู้ภักดีแทน
.
“ คุณพริ้ง ช่วยอิฉันด้วยเจ้าค่ะ อิฉันร้อนเหลือเกิน ”
.
“ ไอ้สุก มึงทำกระไรอีกปริก ”
.
คุณพริ้งหันตามเสียงเรียกของบ่าว จึงเห็นว่าวิญญาณของบ่าวตนเองอยู่ในวงล้อมสีทองอร่าม แม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถแตะต้องได้
.
“ ไม่มีใครทำร้ายนางปริกดอก มีเพียงตัวมัน ใจมันเท่านั้น ที่ทำร้ายตัวเอง พระท่านเพียงแผ่เมตตาให้ แต่จิตใจใฝ่ร้ายของมัน จึงทำให้มันเจ็บปวด เมื่อใดที่มันเลิกอาฆาต มันก็จักเป็นสุข เธอเองก็เช่นกันแม่พริ้ง ”
.
ท่านเต้ขวางหน้าคุณพริ้ง พร้อมกับเอ่ยบอกสิ่งที่นางปริกกำลังเผชิญอยู่
.
“ คุณพี่คิดจักขวางอิฉันกระนั้นรึเจ้าคะ ”
.
“ เจอแล้ว!!! นี่ไง ”
.
“ พวกมึง!!! ”
.
เสียงร้องอย่างดีใจหันเหความสนใจของคุณพริ้งไป เมื่อหาสิ่งที่ต้องการเจอ ภาพถ่ายใบเก่า ซ่อนตัวอยู่ในกระดาษด้านในกรอบรูป
.
คุณพริ้งตะโกนขึ้นอย่างโมโห เมื่อเห็นสิ่งที่ตนเองพยายามซ่อน ในมือของศัตรูความรัก อย่างตี๋
.
“ เอาเลยตี๋ เร็วเข้า เดี๋ยวท่านเต้ขวางไว้ไม่ได้ ”
.
คอปเตอร์เร่งให้ตี๋ปลดปล่อยคนในภาพใบเก่า รอยยิ้มที่คล้ายกับตี๋ในตอนนี้ แต่คนในภาพนั้น มีแววตาที่เศร้ากว่า
.
กลุ่มควันสีขาวโปร่งแสงค่อย ๆ ลอยออกจากภาพ ทันทีที่หยดเลือดของตี๋สัมผัสภาพ เสียงกรีดร้องอย่างขัดใจของคุณพริ้ง ที่พยายามจะเข้าขวาง แต่ก็โดนท่านเต้ฉุดรั้งไว้ จนกระทั่งกลุ่มควันรวมตัวเป็นร่างเงาเลือนรางของใครคนหนึ่ง
.
“ ขอบใจเจ้ามาก ”
.
วิญญาณของตี๋ที่ถูกปลดปล่อย หลังจากถูกกักขังมานับร้อยปี เอ่ยขอบใจทายาทของตน แล้วจึงลอยตัวไปยืนเคียงข้างวิญญาณของท่านเต้
.
“ พวกมึง อย่าคิดว่ากูจักยอม พวกมึงต้องตายกันอยู่ที่นี่ อย่าหวังจักได้ออกไป ทั้งผีทั้งคน มึงคิดรึว่า ออกมาจากรูปได้ แล้วมึงจักได้เสพสมกัน ”
.
วิญญาณคุณพริ้งว่า พร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ล้อมรอบทางหนีไว้ทั้งหมด
.
ฮ่าๆๆๆๆ......
.
“ อยากอยู่ด้วยกันนัก ก็ตายไปพร้อมกันเสียที่นี่ล่ะ แส่หาเรื่องกับกูกันนัก ”
.
วิญญาณคุณพริ้งหัวเราะอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสามารถออกจากเรือนนี้ได้ เพราะไม่เพียงแค่รูปติดผนัง ที่เธอสั่งให้บ่าวอย่างนางปริกทำ แต่รวมถึงเรือนหลังนี้ด้วยเช่นกัน หากเธอไม่ยินยอม หรือไม่มีใครถอนมนต์นั้นได้ เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่สามารถออกไปได้เช่นกัน
.
“ โยมพริ้ง มิได้ทำมนต์แค่เพียงในรูป แต่เธอลงมนต์ที่เรือนหลังนี้ด้วย ”
.
“ กว่าจะรู้ ก็สายไปแล้ว เยี่ยงไรพวกมึงก็ต้องเป็นผีเฝ้าเรือนกู ทั้งพระที่ชอบแส่ ทั้งคนที่ชอบสอด อย่าหวังจะได้ออกไปเลย ฮ่าๆๆๆ....”
.
ข้อสันนิษฐานของหลวงปู่ ได้รับการยืนยันจากคุณพริ้ง ว่าเป็นเรื่องจริง
.
“ แม่พริ้ง เธอช่างร้ายนัก ฉันชังเธอนัก ”
.
“ แล้วอย่างไรเจ้าคะ คุณพี่ก็มิคิดจักรักอิฉันอยู่แล้ว อยู่กันไปเยี่ยงนี้ สาแก่ใจอิฉันนัก ”
.
ท่านเต้ที่ตระกรองกอดน้องน้อยของตนเอ่ยขึ้น แต่คุณพริ้งมิได้รู้สึกอะไรอีก นอกจากความสาใจที่ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในบ่วงของตนเองได้
.
“ หมอพริ้ง หมอพริ้งครับ เป็นยังไงบ้างครับ ”
.
ตี๋ที่คล้ายจะนึกอะไรได้ เขย่าตัวพยายามปลุกหมอพริ้ง ที่นอนหมดหมดสติอยู่ให้ตื่นขึ้นมา
.
“ นั่นมึงจักทำอะไรไอ้ขี้ข้า ”
.
คุณพริ้งโวยวายขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่ตี๋พยายามทำ แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวตี๋ได้ เนื่องจากท่านเต้ขวางเอาไว้
.
คุณชายเต้คล้ายจะเข้าใจสิ่งที่คนรักของตนต้องการ จึงช่วยเรียกเพื่อนของตนอีกแรง
.
“ คุณชายเต้ หมอตี๋ พริ้ง...พริ้ง ”
.
เมื่อได้สติ หมอพริ้งก็ร่ำไห้ โผกอดคุณชายเต้
.
“ พริ้งขอโทษ พริ้งควบคุมตัวเองไม่ได้ พริ้งรู้ตัว แต่พริ้งทำอะไรไม่ได้เลย ”
.
“ ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ”
.
หมอพริ้งละล่ำ ละลักบอกแทบไม่เป็นคำ ตี๋กับคุณชายเต้จึงลูบหลังปลอบ ให้เธอคลายกังวล
.
“ หมอพริ้งอยากช่วยพวกเราไหมครับ ผมถามจากใจ และผมก็ขอคำตอบจากใจ ไม่ใช่คำถามที่ฝืนใจนะครับ ”
.
“ ค่ะ พริ้งอยากช่วย ถึงพริ้งจะไม่รู้อะไรในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ถ้าพริ้งช่วยได้ พริ้งก็จะทำค่ะ ”
.
คุณชายเต้ถามหมอพริ้ง และก็ได้คำตอบกลับมาในทันที ทุกคนยิ้มให้หมอพริ้ง เมื่อเห็นว่าหมอพริ้งไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้
.
“ ผมอยากจะขอให้หมอพริ้งช่วยถอนมนต์ ที่สาปแช่งเรือนหลังนี้ พร้อมกับทุกคนในเรือน ได้ไหมครับ ”
.
“ พริ้งยินดีค่ะ พริ้งต้องทำอะไรบ้างคะ ”
.
หมอพริ้งยิ้มตอบคุณชายเต้ แม้ว่ารอยยิ้มนั้นดูอ่อนแรง แต่เธอก็พยายามจะทำตามคำขอของคุณชายเต้ให้ดีที่สุด
.
คุณชายเต้รับรู้ได้ว่า ไม่ใช่แค่พวกตนที่เข้ามาในเรือนวันนี้ แต่เรือนหลังนี้ยังกักขังบ่าวไพร่ ที่ไม่ยินยอมไว้อีกมาก ตนเองจึงขอร้องหมอพริ้งไปเช่นนั้น
.
“ ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช่ไหมนะครับ แต่ก็อยากให้หมอพริ้งลองดู ”
.
“ ค่ะ พริ้งจะลองทำตามที่คุณชายเต้บอก ”
.
เสียงตะโกนของคุณพริ้งดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถเข้ามาขัดขวางสิ่งที่คุณชายเต้ขอให้หมอพริ้งทำได้ เนื่องจากท่านเต้ คอยขัดขวางอยู่ และหลวงปู่เองก็สวดบทแผ่เมตตาให้ ทำให้วิญญาณคุณพริ้งอ่อนแรงลงกว่าเดิม
.
“ ทำใจให้สงบนะครับ ผมขอให้หมอพริ้งตั้งใจ ออกปากปลดปล่อยทุกสิ่งบนเรือนหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน หรือดวงวิญญาณ แล้วก็ขอให้หมอพริ้ง หยดเลือดของตนเองลงไปที่พื้นเรือน ”
.
คุณชายเต้บอกสิ่งที่ตนคิด หมอพริ้งนั้นก็ทำตามสิ่งที่คุณชายเต้บอก ตี๋ คิมม่อน และคอปเตอร์มองด้วยความหวังว่า จะสำเร็จ
.
ทันทีที่หมอพริ้งอธิษฐานตามที่คุณชายเต้บอก พร้อมกับหยดเลือดของตนลงที่พื้นเรือน วิญญาณคุณพริ้งก็กรีดร้อง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
.
กลุ่มควันจำนวนมาก  พวยพุ่งออกจากทุกทางของเรือน บ่าวไพร่เมื่อครั้งอดีต ที่ถูกกักขังอย่างไม่เต็มใจ ได้รับการปลดปล่อย
.
“ขอบคุณท่านเจ้าคุณขอรับ/เจ้าค่ะ ”
.
เสียงขอบคุณจากดวงวิญญาณ กลบเสียงกรีดร้องด้วยความไม่พอใจของคุณพริ้ง
.
“ คุณเต้รีบออกไปเถิดขอรับ อีกประเดี๋ยวเรือนหลังนี้คงไหม้หมดทั้งหลัง ”
.
“ ใช่เจ้าค่ะ พวกบ่าวจักเปิดทางให้คุณเต้เองเจ้าค่ะ ”
.
วิญญาณบ่าวไพร่ชายหญิงเอ่ยกับคุณชายเต้
.
“ ขอบคุณทุกคนมากครับ ”
.
ดวงวิญญาณของบ่าวไพร่ ช่วยกันเปิดทางให้กลุ่มของคุณชายเต้ ออกจากเรือนที่กำลังจะล้ม เสียงกรีดร้องของคุณพริ้งดังอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
.
“ จบสิ้นกันเสียที ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้นหลังจากออกจากเรือนได้ ทุกคนได้แต่ยืนมองเรือนไม้โบราณ ที่ถูกไฟไหม้จนเหลือเพียงซากสีดำ กับเสียงกรีดร้องของเจ้าของเรือน ที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และยังหลงยึดติดอยู่ในวังวนของตน
.
“ เราขอบใจพวกเจ้านัก ”
.
น้ำเสียงทุ้มเย็น ของเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์กล่าวขอบคุณทุกคน
.
“ ฉันขอขอบคุณทุกคนนะ ”
.
น้องน้อยของท่านพระยากล่าวขอบคุณเช่นกัน
.
“ เราขอให้เจ้าทั้งคู่สมหวังในชีวิตรักครั้งนี้ ขอให้ความดีที่เจ้าทั้งคู่กระทำ คอยเป็นเกราะคุ้มครองเจ้าทั้งคู่ ให้ปลอดภัยจากสิ่งทั้งปวง ”
.
ท่านเต้อวยพรให้คุณชายเต้ และคนรัก
.
“ ตี๋ ฉันขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ พี่คิมม่อน ฉันขอบน้ำใจพี่มาก พี่คอยช่วยฉันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งก่อน จนมาครั้งนี้ ขอบน้ำใจขอรับ ”
.
“ ไปกันเถอะ ถึงเวลาของพวกเราแล้ว ”
.
ท่านเต้ และน้องน้อยเอ่ยขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยสลายเป็นละอองใส ๆ หายไปกับท้องฟ้าเบื้องบน
.
“ แล้วเราจะทำยังไงกับรูปสองใบนี้ดี ”
.
คิมม่อนถามขึ้น เมื่อทุกคนกลับมาที่เรือนริมน้ำ ปฐมพยาบาล อาการบาดเจ็บกันเรียบร้อยแล้ว คุณชายเต้ให้คนของตนไปส่งคุณหมอพริ้งที่โรงพยาบาล แม้ว่าหมอพริ้งจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้บาดเจ็บอะไรก็ตาม
.
เหตุการณ์ไฟไหม้เรือนไม้ด้านหลัง เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ คล้ายกับเรือนหลังนั้น โดนบังตาจากคนภายนอกอยู่แล้ว ซึ่งคุณชายเต้เอง ก็ไม่อยากให้ใครมาสืบเรื่อง หาความอะไรอีก
.
“ นั่นสิ เอาไงดี ”
.
คอปเตอร์เองก็อยากรู้เช่นกัน จึงเอ่ยปากถามด้วยอีกคน
.
“ หลวงปู่คิดว่าควรทำอย่างไรดีครับ ”
.
คุณชายเต้หันมาถามพระภิกษุที่นั่งอยู่ด้วย
.
“ แล้วแต่โยมเห็นสมควรเถิด อาตมาไม่มีความเห็นใด ๆ ”
.
“ ถ้าอย่างนั้น ผมเห็นว่าในเมื่อไม่อะไรที่ผูกมัดกันแล้ว ผมก็อยากจะให้ท่านทั้งสองจากไป อย่างไม่เหลือสิ่งผูกมัดอะไรอีก ผมจะขอเผารูปทั้งสองใบนี้ ”
.
คุณชายเต้บอกสิ่งที่ตนคิด ซึ่งได้รับการพยักหน้ารับจากทุกคน
.
“ แต่ ยังมีอีกสิ่งที่ผมอยากทำ ก่อนที่จะทำลายภาพสองใบนี้ ”
.
คุณชายเต้บอกสิ่งที่ต้องเองคิดไว้อีกย่าง
.
“ แกอยากทำไรอีกวะ แต่งงานกับหมอตี๋ก่อนรึไง ”
.
คิมม่อนถามขึ้นอย่างติดตลก ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้ดี
.
“ ตลกแล้วคิมม่อน ผมอยากบวชครับ ขอความกรุณาหลวงปู่ด้วยนะครับ ผมอยากจะอุทิศบุญให้กับคุณพริ้ง ผมอยากให้เธอพบทางสว่างของเธอ ไม่อยากให้เธอหลงในวังวนไม่จบสิ้น ”
.
คุณชายบอกความในใจของตน
.
“ ตี๋ไม่โกรธพี่นะครับ พี่ขอบวชให้คุณพริ้งเธอ อย่างน้อย ก็ช่วยให้พี่จิตใจสงบขึ้น พี่ขอทำให้สิ่งที่ท่านเทียดอยากทำ แต่ไม่อาจทำได้ เมื่อครั้งนั้น ”
.
“ ผมจะโกรธพี่เต้ทำไมครับ ผมเองก็อยากบวชให้ทุกคนเหมือนกัน แต่คงต้องหลังจากฝึกงานจบ ตอนนี้ก็ได้แต่ร่วมอนุโมทนากับพี่เต้ด้วยนั่นล่ะครับ ”
.
“ เออ ๆ เห็นด้วย ฉันร่วมอนุโมทนาด้วย ”
.
“ ผมด้วยครับ ”
.
“ อย่างนั้นก็ตามใจโยม อาตมาร่วมอนุโมทนาเช่นกัน พร้อมเมื่อใดก็ไปหาอาตมาที่วัดได้ตลอด อาตมาจักแจ้งท่านพระครูเจ้าอาวาสไว้ให้ก่อน ”
.
เมื่อทุกคนเห็นพร้อมต้องกัน คุณชายเต้จึงยิ้มออกมาด้วยความยินดี และเมื่อนำความต้องการไปบอกกับท่านพ่อ และหม่อมแม่ ทั้งสองก็ยินดีเป็นอย่างมาก
.
งานบวชของคุณชายเต้ ไม่ได้จัดงานอะไรมากมาย มีเพียงพ่อแม่ ญาติ และเพื่อนที่สนิทสนมเท่านั้นที่มาร่วมงาน
.
.
.
“ นมัสการครับหลวงพี่ ”
.
ตี๋ก้มกราบพระเต้ หลังจากที่ประเคนอาหารเพลให้พระเต้ วันนี้ เรือนริมน้ำทำบุญ เลี้ยงพระ เบื่ออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณทุกดวง ที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้
.
“ เจริญพรโยม วันนี้ฝึกงานวันสุดท้ายแล้ว อาตมายินดีด้วยนะ ”
.
“ ขอบคุณครับ ต้องขอบคุณหลวงพี่ ที่ช่วยสอนผมทุกเรื่อง ”
.
ตี๋สนทนาอีกหลายประโยค ก่อนจะถอยออกมาให้พระท่านได้ฉันเพล ร่วมกับพระรูปอื่น เมื่อพระท่านฉันเพลเสร็จ ท่านก็ให้ ศีล ให้พร
.
คิมม่อนนิมนต์ให้พระท่านช่วยประพรมน้ำมนต์ จนทั่วเรือน เพื่อเป็นสิริมงคล จวบจนพระท่านเจริญพระพุทธมนต์จนจบ
.
เสียงอนุโมทนา สาธุดังขึ้นรอบเรือน แม้ว่าจะเป็นเสียงแผ่วเบา แต่ตี๋ และพระเต้ ผู้เคยเป็นเจ้าของเรือน และยังเป็นมาจนถึงปัจจุบันนั้น รับรู้ถึงเสียงนั้นได้
.
เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ เจ้าภาพอย่างตี๋ ที่รับหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านแทนพระ จึงเชิญชวนแขกไปรับประทานอาหารเที่ยงด้านล่าง
.
เวลาเคลื่อนคล้อย จนแขกคนสุดท้ายขอตัวกลับ ในเรือนจึงเหลือเพียง ตี๋และพระเต้ เพราะเพื่อนสนิทของพระอย่างคิมม่อน และคอปเตอร์เดินไปส่งท่านชายกับหม่อม
.
“ โยมพร้อมแล้วใช่ไหม ”
.
พระเต้ถามขึ้น เมื่อเดินมาถึงศาลาริมน้ำ แล้วนั่งลงบนตั่งตัวเล็ก ที่ที่ครั้งหนึ่งท่านเทียดทั้งสอง เจอกันเป็นคราแรก
.
“ ครับ ขอให้ผมได้ส่งท่านทั้งคู่ พร้อมหลวงพี่อีกครั้งนะครับ ”
.
แม้จะรูปว่าท่านเทียดทั้งสอง ได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงที่เหนี่ยวรั้งทั้งคู่ไว้ แต่พระเต้ และตี๋ก็อยากจะร่วมทำบุญ แผ่ส่วนกุศลให้ทั้งทั้งคู่อีกครั้ง รวมถึงทุกดวงวิญญาณ ที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมา
.
“ เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ ”
.
ถาดสังกะสีใบย่อม ใส่รูปใบเก่า เปื้อนคราบสีน้ำตาลจากหยดเลือดของพระเต้ เมื่อครั้งก่อน ตี๋จุดไฟลนกระดาษของภาพใบนั้น
.
เปลวไฟสีส้มแดงค่อยลามไปจนทั่ว พร้อมกับที่พระเต้เจริญพุทธมนต์ พร้อมทั้งแผ่เมตตาให้เจ้าของภาพใบนี้
.
“ ไม่กูไม่ไป กูไม่ยอม.....ปล่อยกู.... ”
.
เสียงที่แว่วตามสายลม ถึงความยึดมั่น ถือมั่นของคุณพริ้ง แม้ว่าดวงวิญญาณของตนนั้น จักต้องไปชดใช้กรรมของตนแล้วก็ตาม
.
“ ช่างเป็นดวงวิญญาณที่แรงแค้นน่ากลัวนัก ”
.
พระเต้เอ่ยขึ้นหลังจากที่จบบทสวดแผ่นส่วนกุศล พร้อมกับภาพถ่ายใบเก่าถูกไฟเผาจนเหลือเพียงเถ้าสีดำ
.
“ ที่นี้ก็ท่านเทียดทั้งสอง โยมเองก็ตั้งใจ ตั้งจิตให้เป็นกุศลนะโยมตี๋ ”
.
“ครับ ”
.
พระเต้เอ่ยบอก ตี๋รับคำ พร้อมกับตั้งจิตให้เป็นกุศล แล้วจุดไฟที่ปลายขอบกระดาษ ภาพถ่ายใบเก่า รูปคู่ของท่านเทียดทั้งสอง ที่ยังคงส่งยิ้มให้กัน
.
เปลวไฟค่อยลุกไหมภาพใบเก่า พร้อมกับข้อความคำสัญญา คำฝากรักของคนทั้งคู่ด้านหลัง
.
.
.
.
“ ขอบน้ำใจเจ้าทั้งคู่นัก..... ความดีที่เจ้ามี จักคุ้มครองเจ้า เราขออวยพร ”
.
เสียงอวยพร พร้อมร่างโปร่งแสงคู่หนึ่ง ที่จับมือกันอยู่ตลอด ส่งรอยยิ้มสุดท้ายให้ ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป พร้อมกับรอยน้ำตาของตี๋ ที่หลั่งออกมาโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว พระเต้ส่งยิ้มอ่อนให้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว กับความรักของทั้งคู่
.
ความแค้น ความอาฆาต การพลัดพราก บ่วงเวรที่ผูกดวงวิญญาณที่ภักดีต่อกัน จบสิ้นลงเสียที
.
ต่อจากนี้ คงเป็นวันที่เปี่ยมสุข วิญญาณรัก ที่ผูกสัญญาสมัครของท่านเต้ และคนรักอย่างน้องน้อย หรือตี๋ เมื่อครานั้น ไม่ต้องเศร้าหมอง ตรอมตรม เพราะการจากลา ดังเช่นกาลก่อน......”
.
.
.
.
.
.....ด้วย.....ชะตา ชักนำมา มาบรรจบ
.
.
ใจ.....ประสบ พบรักแท้ แน่วแน่หมาย
.
.
ภักดิ์....จิตปอง ครองเคียงคู่ มิเคลื่อนคลาย
.
.
สองใจกาย ร่วมพันผูก ตราบสิ้นกาล.....
.
.
.
.
.
.
.....ด้วยใจภักดิ์.....
.
.
.
.
จบบริบูรณ์.......
.
.
.
.
.

.
.
.
.
#ขอบคุณทุกการติดตาม
.
#ขอบคุณทุกความคิดเห็น
.
#ขอบคุณขอรับ
.
.
.
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-12-2018 17:29:58
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2018 23:57:21
 :L2: :L1: :pig4:

ยายคุณพริ้ง  :เฮ้อ:  ปลงไม่ได้ปล่อยไม่ได้ก็เจ็บต่อไป
ขอบคุณที่แบ่งปั่น 
หัวข้อ: Re: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-12-2018 01:55:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:09:14
 :pig4: