พิมพ์หน้านี้ - [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: juon ที่ 31-03-2021 13:14:59

หัวข้อ: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 31-03-2021 13:14:59
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่1 (31/3/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 31-03-2021 13:17:41
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่1 คาริกแห่งคีท

ว่ากันว่าโลกนั้นเกิดจากการสร้างสรรค์ของเทพแห่งแสงและเทพีแห่งความมืด เทพแห่งแสงนั้นได้สร้างผืนดิน แผ่นน้ำ และท้องฟ้า ส่วนเทพีแห่งแสงได้ให้กำเนิดสรรพชีวิต โดยมีมังกรเป็นเจ้าเหนือสัตว์ทั้งมวล มังกรจึงได้ครอบครองพลังแห่งธาตุทั้งสี่ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเป็นผู้ปกครองโลกในยุคปฐมกาล มังกรฟ้าครองท้องนภา มังกรไฟครองผืนแผ่นดิน และมังกรน้ำครองห้วงมหาสมุทร จนกระทั่งเทพแห่งแสงดำริจะสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อปกครองโลกแทนมังกร ทำให้เทพีแห่งความมืดไม่พอใจและเกิดเป็นสงครามระหว่างแสงสว่างกับความมืดขึ้น หลังจากมีชัยเหนือเทพีแห่งความมืด เทพแห่งแสงก็สามารถสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกได้สำเร็จ ทว่าด้วยความอ่อนล้าจากการต่อสู้ ทำให้เทพแห่งแสงต้องเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที มนุษย์จึงต้องอาศัยอยู่ในดินแดนกันดาร และพัฒนาเผ่าพันธุ์ต่อมาจนกระทั่งสามารถขับไล่มังกรออกไปยังดินแดนห่างไกลได้สำเร็จ นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคอาณาจักรใหม่ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกแทนที่มังกร

ในปัจจุบัน อาณาจักรมนุษย์แบ่งออกเป็นหกอาณาจักร ได้แก่อาณาจักรอุดร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ อาณาจักรพายัพ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อาณาจักรประจิม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก อาณาจักรหรดี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อาณาจักรบูรพา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก และอาณาจักรอาคเนย์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีนครเวหา ซึ่งเป็นนครรัฐอิสระไม่ขึ้นตรงกับอาณาจักรใดๆ ตั้งอยู่กึ่งกลาง

....................................

คีท เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรหรดี มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยหลังคาเรือน แต่มีผู้คนเดินทางสัญจรเข้าออกหลายหมื่นคนต่อปี เนื่องจากเป็นเมืองที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองท่าสำคัญอย่างนิปเทีย และเมืองท่องเที่ยวอย่างแคนเดนส์ อีกทั้งยังตั้งอยู่ติดกับป่าต้องห้าม ซึ่งเป็นป่าโบราณที่มีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่อาศัยอยู่

แม้ในยุคนี้มังกรจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน ทว่ามนุษย์ยังคงต้องต่อกรกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่ถือกำเนิดขึ้นหลังการระเบิดครั้งใหญ่อันเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามระหว่างมนุษย์กับมังกร เหล่าภูติพราย รวมถึงอมนุษย์ที่ว่ากันว่าถือกำเนิดมาจากความแค้นของผู้ที่ตายในสงคราม พวกคนที่พอมีฝีมือด้านการต่อสู้ จึงทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มกัน กระทั่งต่อมาได้กลายเป็นสมาคมคุ้มกัน แหล่งรวมของบุคคลซึ่งมีความสามารถด้านการต่อสู้หลากหลายแขนง สมาคมคุ้มกันนี้มีสาขากระจายอยู่ตามเมืองสำคัญๆ ทั่วทั้งหกอาณาจักร แน่นอนว่าคีทก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

สมาคมคุ้มกันแห่งคีทนั้นถือเป็นหนึ่งในสมาคมคุ้มกันที่มีการว่าจ้างสูงเป็นอันดับต้นๆ ในอาณาจักรหรดี ทำให้โถงของสมาคมซึ่งเปิดเป็นบาร์ขนาดเล็ก มีคนนั่งอยู่เกือบเต็มตลอดเวลา ทั้งคนที่มารับจ้าง และคนที่ต้องการว่าจ้าง ออกัสทำงานที่นี่มาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว ในฐานะผู้ดูแลสาขา เขาเป็นชายร่างใหญ่ หัวล้าน มีหนวดสีแดง เสียงดังแต่พูดจาสุภาพ กำลังคุยอยู่กับชายหนุ่มอีกคนที่ดูก็รู้ว่าอายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบดี

“ออกัส ขอมื้อเช้าให้ข้าสักชามสิ เป็นข้าวผัดเนื้อที่ค้างอยู่เมื่อคืนก็ได้”

คนถูกทักยักไหล่ก่อนจะหันไปตะโกนสั่งคนครัวแล้วหันมาคุยต่อ “ไง คาริก งานคุ้มกันคราวนี้ทำได้ดีนี่นา”

เด็กหนุ่มที่ชื่อคาริกยักไหล่ “คงต้องขอบคุณพวกก๊อบลินล่ะมั้ง ที่ทำให้ข้ามีโอกาสได้แสดงฝีมือ ว่าแต่ท่านได้ยินเรื่องที่แคนเดนส์บ้างรึเปล่า”

“ถ้าเป็นเรื่องงานบอกเลยนะว่าไม่มี เส้นทางนั้นสงบจะตาย มีทหารเฝ้าอยู่ตลอดทาง เว้นเสียแต่เจ้าอยากจะเปลี่ยนงานไปเป็นพวกลูกหาบ รับรองว่ามีงานไปแคนเดนส์เพียบแน่”

“บ้าเรอะ ข้าไม่ได้อยากจะไปเป็นลูกหาบเสียหน่อย” คาริกว่า “ถึงที่นั่นจะสวยมากก็เถอะ”

“โฮ่ ติดใจบ่อน้ำร้อนที่นั่นล่ะสิ ได้ยินว่าเจ้าได้ขาใหญ่ของที่นั่นช่วยไว้คราวก่อนนี่นา”

“อย่าตอกย้ำน่า” คาริกว่า “แต่ที่ข้าถามไม่ได้หมายถึงเรื่องงานหรอกนะ พอดีตอนเดินทางจากทริโกเนียกลับมานี่ข้าได้ยินว่ามีสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้นที่นั่นน่ะ”

“ถ้าเป็นเรื่องของแมกนิสคอร์นิบัสล่ะก็... ข้าขอบอกเลยว่าเจ้าน่ะตกข่าวมาก พวกทหารที่นั่นฆ่ามันได้ตั้งแต่สองเดือนที่แล้วโน่น”

“เรื่องนั้นข้ารู้น่า” อีกฝ่ายตอบ “แต่คราวนี้เหมือนจะเป็นตัวอะไรที่ร้ายกาจกว่านั้น”

“มันจะมีอะไรร้ายกว่านั้นอีก แถวนี้โหดสุดก็มีแต่แมกนิสคอร์นิบัสนั่นแหละ

“งั้นหรือ... น่าเสียดายแฮะ ข้าคิดว่าจะเป็นตัวอะไรที่ประหลาดกว่านั้นเสียอีก”

ออกัสหรี่ตามองเขา “ไม่ต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้นหรอกน่า ลำพังแค่แมกนิสคอร์นิบัสก็จัดว่าอันตรายในระดับสามแล้ว พวกขั้นหนึ่งอย่างเจ้าน่ะสู้กับก็อบลินไปเถอะ”

เด็กหนุ่มร้องครางประท้วงทันที “โธ่ ก็ท่านไม่ให้งานยากๆ ข้าทำสักทีนี่นา ให้แต่งานคุ้มกันเส้นทางง่ายๆ ข้าได้พิสูจน์ฝีมือกับเขาที่ไหน”

“เฮ้ยๆ เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าไอ้หนู” ชายอีกคนที่มีอายุมากกว่าเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วยกมือวางบนไหล่เด็กหนุ่ม “ที่นี่น่ะเขาไม่ได้รับงานมาให้เจ้าทดสอบฝีมือนะ ถ้าเจ้าอยากจะทำงานที่ยากขึ้น เจ้าก็ต้องไปสอบเลื่อนขั้นก่อน ถ้าไม่มีค่าเดินทางกับค่าสมัคร ข้าออกให้ก่อนก็ได้นะ เห็นแล้วสงสารจริงๆ”

เจ้าหนุ่มคาริกปัดมืออีกฝ่ายออก “เงินน่ะข้ามีหรอกน่า แต่ไม่อยากไปสอบที่อาเปสนี่นา ที่นั่นเป็นเมืองหลวงไม่ใช่หรือไง จะมีแมกนิสคอร์นิบัสให้ล่าหรือ อย่าบอกนะว่าต้องไปสอบข้อเขียนน่ะ”

“อาเปสน่ะเป็นสำนักงานกลาง” ออกัสว่า “เจ้าต้องไปสมัครสอบที่นั่น ส่วนสนามสอบจริงจะไปที่ไหนมันก็แล้วแต่ทางสำนักงานจะกำหนดนั่นล่ะ”

อีกฝ่ายทำหน้าหนักใจ ออกัสเลยพูดต่อ “ทำไมทำหน้าแบบนั้น อย่าบอกนะว่าเจ้าน่ะกลัวการเข้าเมืองหลวง ฮ่าๆ ไม่ต้องอายไปหรอกน่า ถึงจะดูบ้านนอก แต่หน้าตาหล่อๆ อย่างเจ้าเนี่ย ต่อให้เป็นสาวในเมืองหลวงก็ต้องหันมองแน่”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นน่า”

“อ้าว ไม่ใช่ว่ากังวลเรื่องภาพลักษณ์ต่อหน้าสาวหรอกเรอะ” คนที่นั่งข้างๆ ว่า คาริกจึงพูดต่อ

“ข้าไม่อยากไปที่นั่นเพราะไม่อยากเจอจอมเวทต่างหาก”

ทั้งออกัสและอีกคนหนึ่งร้องขึ้นพร้อมกันทันที “หา... เหตุผลอะไรของเจ้าเนี่ย เรื่องไม่อยากไปอาเปสมันไปเกี่ยวกับจอมเวทได้ไง”

“ก็... พวกจอมเวททำงานกับราชสำนักไม่ใช่หรือไง ถ้าข้าไปอาเปส ก็มีโอกาสจะเจอพวกนั้นสิ”

ผู้ชายที่นั่งข้างเขายกมือตบหน้าผาก “โอ๊ย เจ้าคิดว่าอาเปสเล็กขนาดเดินชนไหล่กันได้หรือไง ถึงจะได้ปะใครเข้าได้ง่ายๆ น่ะ อีกอย่างพวกจอมเวทใช่ว่าจะหาตัวเจอง่ายๆ ด้วย ขนาดข้าเองยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ เลย พวกเจ้าล่ะ มีใครเคยเห็นจอมเวทบ้างไหม”

เขาหันไปถามคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะ มีเสียงตอบกลับมา “ก็ต้องถามก่อนนะว่าจอมเวทที่เจ้าพูดถึงน่ะ เป็นจอมเวทแบบไหน ถ้าพวกสวมเสื้อคลุมสีดำขลิบทอง เสกลูกไฟเล็กๆ หรือเล่นมายากลน่ะ ข้าเคยเจอมาหลายอยู่หรอก”

“นั่นเรียกว่าพวกเล่นปาหี่เฟ้ย” คนถามด่า “เอาจริงๆ สิ พวกเจ้ามีใครเคยเห็นจอมเวทจริงๆ รึเปล่า แบบตัวเป็นๆ เลยน่ะ ข้าเคยได้ยินว่าพวกนั้นเหมือนคนแต่ไม่ใช่คน เป็นแบบไหนนะ เหมือนพวกผีดิบรึเปล่า”

มีเสียงหัวเราะตามมา “ได้ยินมาว่าจอมเวทที่ประจำอยู่ที่ราชสำนักของเราน่ะเป็นผู้หญิง สวยมากด้วย พอคิดแล้วข้าก็ชักอยากจะเห็นกับตาสักครั้งน่ะนะ แต่ได้ยินว่าถ้าเจอกันตัวต่อตัวจะอายุสั้น เฮ้ๆ หรือเจ้าหนุ่มน้อยคาริกของเรากลัวว่าจะไปต้องตาต้องใจนางเข้าแล้วอายุสั้นน่ะ อืม... ข้าก็รู้ว่าเจ้าน่ะหน้าตาไม่เลว แต่ไม่คิดว่าจะหลงตัวเองขนาดนี้นะเนี่ย”

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้นสักหน่อย” คาริกพูดก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ก็แค่ไม่อยากเจอเฉยๆ น่ะ”

คนนั่งข้างยักไหล่ “เจ้านี่บทจะงี่เง่าก็งี่เง่าเหลือเชื่อแฮะ คนในราชสำนักน่ะไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านตามท้องถนนหรอก อย่าว่าแต่จอมเวทเลย ถ้าจะกังวลไร้สาระขนาดนั้นก็ทำงานง่ายๆ ต่อไปเถอะ ถ้าไม่สอบเลื่อนระดับไม่มีใครเค้าจ้างเจ้าไปทำงานยากๆ หรอก”

“แล้วพวกนักล่าล่ะ” คาริกถามต่อ “พวกนั้นต้องสอบเลื่อนระดับด้วยรึเปล่า”

คนถูกถามเลิกคิ้ว เขาหันไปสบตากับออกัส “โว้ว คราวนี้หนูน้อยของเราจะเล่นใหญ่เลยแฮะ เจ้าเคยเจอกับพวกนั้นแล้วหรือไง”

“ไม่เชิง” คาริกว่า “ข้าเห็นกระดานข่าวที่ทริโกเนีย ครึ่งนึงเป็นประกาศล่าค่าหัว ในประกาศไม่ได้ระบุว่าต้องสอบผ่านระดับไหนด้วย แค่บอกว่าต้องการล่าใครหรือตัวอะไรเท่านั้นเอง”

“อ้อ... ใช่ ใบประกาศล่าค่าหัวก็มีแค่นั้นล่ะ” อีกฝ่ายตอบ “พวกนักล่าน่ะไม่จำเป็นต้องสอบเลื่อนระดับหรอก แต่ถ้าเป็นงานที่จ้างคนในสมาคมทำได้ ก็คงไม่มีใครไปปิดประกาศหรอก ความหมายของข้าก็คืองานล่าค่าหัวถ้าไม่ใช่งานซับซ้อน ก็คืองานยากชนิดที่ว่าไม่มีสมาคมไหนรับทำ หรือไม่ก็งานกระจอกๆ ที่คนจ้างไม่มีเงินจ่ายให้สมาคมเลยไปปิดประกาศ เผื่อมีใครใจบุญทำให้ สรุปแล้วถ้าไม่ใช่งานกากสุดๆ ก็คืองานที่หินสุดๆ เพราะงั้นนะ ก่อนที่เจ้าจะคิดไปเป็นนักล่าค่าหัว ลองทำเรื่องง่ายกว่านั้นอย่างเช่นการไปเมืองหลวงแล้วสอบเลื่อนระดับดูก่อนเป็นไง”

เด็กหนุ่มแปะปากแสดงอาการว่าไม่เห็นด้วย ออกัสวางชามข้าวผัดขนาดใหญ่ปริมาณขนาดสี่คนกินไว้ตรงหน้าเขา แล้วพูด

“คาริก ดูจากปริมาณการกินของเจ้าเนี่ย ข้าคิดว่าเจ้าควรรีบไปสอบเลื่อนระดับได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงจะต้องคิดค่าบำรุงสมาคมเพิ่มจากเจ้าจริงๆ นะ”

“ใช่” อีกคนสนับสนุนทันที “เจ้ามาอยู่นี่ตั้งสองปีกว่าแล้ว ควรจะสอบเลื่อนขั้นได้แล้ว ขนาดคนที่เพิ่งเข้าใหม่เมื่อปลายปีก่อนยังสอบผ่านแล้วเลย ข้าว่านะ ตอนนี้ก็คงมีแต่เจ้านี่แหละที่ยังอยู่ระดับหนึ่ง อัตราค่าจ้างต่ำเตี้ยเรี่ยดินแต่กินอลังการแบบนี้ต้องพิจารณาตัวเองแล้วนะ”

“ก็ได้ๆ” คาริกพูดด้วยความรำคาญ “ข้าจะหาเวลาไปสอบก็แล้วกัน”

“พรุ่งนี้เลยเป็นไง”

“นี่กะจะไม่ให้เตรียมตัวกันเลยหรือไงหา”

“โธ่ จะต้องเตรียมตัวอะไรอีก พวกเราก็เดินทางกะทันหันบ่อยๆ อยู่แล้ว เจ้านี่เยอะจริงๆ”

ระหว่างที่คุยกันอยู่ ประตูสมาคมก็ถูกผลักเข้ามา ผู้มาเยือนเป็นชายมีอายุแต่งตัวซอมซ่อ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าห่างจากคำว่ายาจกไม่มาก คนที่นั่งข้างหันไปหาคาริกทันที “เฮ้ย งานที่เหมาะกับเจ้ามาแล้ว พนันเลยว่าหมอนี่ต้องอยากได้คนที่ค่าตัวถูกที่สุด”

ออกัสหันไปทักทายทันที “ไง มาร์คัส คิดว่าใครที่ไหนเสียอีก ลมอะไรพัดเจ้ามานี่ล่ะ อยากได้ลูกหาบแบบติดอาวุธหรือไง”

“เออ ใช่ เจ้านี่รู้ใจจริงๆ” คนชื่อมาร์คัสว่า ก่อนจะเดินมาลากเก้าอี้ลงนั่ง คาริกหันไปกระซิบกับคนข้างๆ

“ตาลุงนี่ใครน่ะ คนรู้จักออกัสหรือ”

“คิดว่างั้นล่ะมั้ง พวกเขาก็ดูอายุไล่เลี่ยกันนะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสหายเก่ากันมาก็ได้”

“เอาล่ะๆ ข้าได้ยินนะว่าพวกเจ้าสองคนกระซิบอะไรกัน” ออกัสว่า ก่อนจะพูดต่อ “ขอแนะนำให้รู้จักรุ่นพี่ของพวกเจ้า หมอนี่ชื่อมาร์คัส เคยเป็นสมาชิกสมาคมเรามาก่อน แต่ตอนนี้หันไปทำอาชีพเก็บซากแทนแล้ว เป็นรุ่นพี่ที่โคตรน่าภูมิใจเลย จริงมั้ย”

มาร์คัสหัวเราะชอบใจ “ถึงไม่กินหรูอยู่สบายแบบเจ้า แต่ข้าก็มีอิสระในชีวิตนะเฟ้ย”

“พวกเก็บซากหรือ” คาริกทวนคำ “เป็นอาชีพแบบไหนน่ะ”

“ก็ตามตัวอักษรเลย” มาร์คัสตอบ “ที่ไหนมีซาก ที่นั่นมีค่า ข้าก็แค่เข้าไปตักตวงมูลค่าจากซากพวกนั้นเท่านั้นเอง”

“เอาล่ะ เลิกเล่นมุกคำพ้องเสียงเสียที มันจะทำให้พวกเด็กๆ งงเปล่าๆ” ออกัสตัดบท “สรุปแล้วเจ้าโผล่มาทำอะไรที่นี่กันแน่ บอกเลยนะว่าที่นี่ไม่มีลูกหาบรับจ้างราคาถูกให้เจ้าหรอก”

มาร์คัสจ้องหน้าคนพูด “ถ้าข้าอยากได้ลูกหาบ ข้าไปที่อื่นจ่ายถูกกว่านี้เยอะน่า คราวนี้ข้าอยากได้เพื่อนร่วมทาง พอมีฝีมือเอาตัวรอดได้นิดหน่อย ขอที่ค่าจ้างไม่แพงมาก พวกเด็กเข้าใหม่ก็ได้ ไปแคนเดนส์ ใกล้ๆ นี่เอง”

“อ้อ ข้าว่ามีคนนึงเข้าเงื่อนไขเจ้าเป๊ะเลย” ออกัสว่า ก่อนจะหันไปมองคาริก เจ้าตัวรีบพูด

“ทำไมต้องหันมาหาข้า”

“ก็เจ้าค่าตัวถูกที่สุด” คนนั่งข้างเสริม “และเจ้ากำลังกินอาหารที่คนสี่คนกิน ถ้ายังอยากจะมีอะไรกินอยู่เจ้าก็ไม่ควรเกี่ยงงานนะ”

ออกัสยักไหล่ “ก็อย่างที่เขาว่า อีกอย่างนะ เจ้าอยากไปแคนเดนส์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“เป็นเจ้าก็ดีนะ” มาร์คัสว่า “ท่าทางแรงดี แถมยังเด็ก นี่เป็นโอกาสให้เจ้าออกไปเปิดหูเปิดตาเลยนะ”

“ยังไง” คาริกย้อน “พูดอย่างกับคิดว่าข้าไม่เคยไปแคนเดนส์งั้นแหละ”

“ฮ่าๆ มันไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าเคยหรือไม่เคยไปแคนเดนส์หรอก แต่เป็นเกิดอะไรขึ้นที่นั่นต่างหากเล่า”

“หา เกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรือไง” คราวนี้คนที่เหลือหันมาให้ความสนใจทันที มาร์คัสยักไหล่

“ไม่บอกเฟ้ย ขืนบอกพวกเจ้าปากโป้งไปบอกคนอื่นต่อ ข้าเจอคู่แข่งจะทำไง”

“ชิ”

“เป็นอันว่าตกลงจ้างเจ้าหนูนี่แล้วกัน ไหนเอาหนังสือสัญญามาซิ ข้าจะได้รีบๆ ลงชื่อแล้วรีบไป เวลาเป็นเงินเป็นทองนะ”

.............................................

สุดท้ายคาริกก็ได้เซ็นสัญญาว่าจ้างกับมาร์คัสเป็นระยะสั้นๆ ในตัวเลขเงินตอบแทนขั้นต่ำที่สุด เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มคิดว่าเขาควรจะไปสอบเลื่อนขั้นอย่างจริงๆ จังๆ เสียที

“เฮ้ เจ้าหนุ่ม จะไปไหนน่ะ” มาร์คัสถามเมื่อเห็นคาริกที่เดินตามเขาออกมาจากสมาคมทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง เจ้าตัวเลยตอบ

“ข้าจะไปเอาม้า ม้าของข้าผูกอยู่ด้านหลัง”

“เฮ้ย ไม่ต้อง ไปกับข้าไม่ต้องใช้ม้าหรอก”

“หา... อย่าบอกนะว่าจะเดินเท้าไปน่ะ”

“นี่เจ้าเล่นมุกหรือโง่จริงๆ กันเนี่ยหา” มาร์คัสพูดพลางหัวเราะ “คิดว่างานเก็บซากมันใช้ม้าตัวเดียวขนได้หรือไง”

“อ้อ ท่านใช้เกวียนสินะ นี่ข้าต้องขับเกวียนใช่ไหม”

“ไม่ใช่” มาร์คัสว่า “ข้าไม่บ้าไปจ้างนักดาบมาขับเกวียนหรอก อีกอย่างข้าไม่ได้ใช้เกวียน”

“แล้วท่านใช้อะไร”

“หึๆ ตามข้ามาสิ รับรองว่าเจ้าจะต้องอึ้งแน่นอน”

คาริกเดินตามมาร์คัสไปที่ลานดินกว้างใกล้กับโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากสมาคมมากนัก ที่นั่นเป็นที่พักยานพาหนะของพวกขบวนคารวาน โดยปกติมักจะมีเกวียนและรถลากจอดอยู่เป็นหลัก ทว่าพาหนะของมาร์คัสเป็นอะไรที่ประหลาดเอามากๆ

“ดะ... เดี๋ยวนะ ท่านขับไอ้นี่มาหรือ”

“ฮ่าๆ อึ้งเลยล่ะสิเจ้าหนู”

ที่จอดอยู่ตรงหน้าเป็นตู้เหล็กขนาดใหญ่พอจะใส่ม้าเข้าไปได้ มีหน้าบุกระจกยื่นออกมา ล้อเป็นจานเหล็กพ่วงสายพานที่ทำจากเหล็กต่อกันเป็นแถบยาว

“ข้าเคยเห็นคล้ายๆ แบบนี้ที่ทริโกเนีย” คาริกพูดออกมา ท่าทางบอกชัดว่ากำลังตื่นเต้นมาก “นี่ใช่รถแบบที่เค้าบอกว่าใช้เทคโนโลยีโบราณในการขับเคลื่อนแบบเดียวกับเรือเหาะใช่รึเปล่า”

“พอมีความรู้อยู่บ้างนี่นา” มาร์คัสชม “อย่างที่เจ้าว่า รถนี่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากศิลาธาตุ”

“ศิลาธาตุ” คาริกทวนคำด้วยความสนใจ “ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง เห็นว่าเป็นหินที่ประจุพลังของธาตุทั้งสี่เอาไว้ คิดว่ามีอยู่แต่ในนิทานเรื่องเล่าเสียอีก”

ชายแก่ยักไหล่ “เข้าไปในรถก่อนแล้วเราคุยกันไประหว่างทางดีกว่า ข้าคิดว่าเราคงคุยกันได้ยาวจนถึงแคนเดนส์แน่ๆ”

ด้านนอกว่าพิสดารแล้ว ด้านในยิ่งพิสดารกว่า ห้องโดยสารด้านหน้ามีเก้าอี้ติดตั้งอยู่สองตัว ด้านหน้าเก้าอี้เป็นแผงควบคุมที่คาริกไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มมองดูด้วยความสนอกสนใจ

“แล้วไหนศิลาธาตุล่ะ ข้าขอดูได้ไหม อยากเห็นว่ามันหน้าตายังไง”

มาร์คัสเดินไปที่แท่นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่กลางห้องโดยสาร อันที่จริงต้องบอกว่ามันยื่นออกมาจากพื้นมากกว่า แล้วปลดสลักด้านบนออก แล้วดึงเอาแท่งแก้วแท่งหนึ่งออกมา ด้านในแท่งแก้วเป็นวัตถุรูปทรงเรียวยาวเหมือนเศษหินที่กะเทาะออกมาจากหินก้อนใหญ่ ทว่าแทนที่จะเป็นสีขุ่นๆ แบบก้อนหินธรรมดา หินก้อนนั้นกลับเปล่งแสงสีรุ้งออกมา คาริกเห็นแล้วถึงกับครางออกมา

“สวยมากๆ เหลือเชื่อเลย นี่น่ะหรือศิลาธาตุ”

“ใช่แล้ว เห็นครั้งแรกก็ต้องร้องครางเหมือนเจ้าทุกคนนั่นแหละ”

ชายหนุ่มยังคงจับจ้องศิลาในแท่งแก้วนั้นอย่างไม่วางตา “แต่เม็ดเล็กมากๆ เลยนะเนี่ย ขนาดพอๆ กับปลายนิ้วก้อยข้าเลยล่ะมั้ง”

“ก้อนเท่านี้ก็ใช้ได้เหลือเฟือแล้วล่ะ” พูดจบมาร์คัสก็กดแท่งแก้วนั้นกลับเข้าที่เดิม คาริกมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย

“สวยขนาดนี้ไม่น่าเอาไปซ่อนไว้เลยนะเนี่ย วางไว้ด้านบนสวยๆ ไม่ได้หรือ”

“นี่มันของใช้งานนะไม่ใช่ของตั้งโชว์” มาร์คัสว่า “อีกอย่างไม่เก็บให้ดีเกิดมันระเบิดขึ้นมาจะทำไง”

“หา มันระเบิดได้ด้วยหรือ”

“ได้สิ” อีกฝ่ายตอบ “ไม่เคยได้ยินเรื่องการระเบิดครั้งใหญ่หรือไง”

“เอ่อ... ก็เคยได้ยินมาหรอก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงนี่นา”

มาร์คัสถอนหายใจเฮือก “คิดว่าเป็นแค่นิทานสินะ ตอนอายุเท่าเจ้า ข้าก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน” เขาชี้ให้คาริกนั่งลงที่เบาะนั่งข้างๆ ก่อนจะกดปุ่มติดเครื่องยนต์ รถสะเทือนไปทั้งคันจนต่อให้คาริกไม่คิดจะนั่งก็ต้องรีบนั่ง

“นี่... มันจะปลอดภัยใช่ไหม ข้าหมายถึง มันจะไม่ระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมานะ”

“ไม่ระเบิดง่ายๆ แบบนั้นหรอกน่า” มาร์คัสว่า รถสั่นจากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า ความรู้สึกแตกต่างจากขี่ม้าลิบลับ ชายหนุ่มอึ้งอยู่พัก ก่อนจะพูดอย่างนึกได้

“เดี๋ยวสิ แล้วเดี๋ยวขากลับข้ากลับไง อย่าบอกนะว่าให้ข้าหาม้ากลับเองนะ”

“อย่างี่เง่าน่า” มาคัสเอ็ด “เสร็จงานแล้วข้าจะกลับมาส่งเจ้าที่นี่ ยังไงข้าก็ต้องเอาของไปขายที่ทริโกเนียอยู่แล้ว”

“จริงๆ นะ อย่าทิ้งข้าไว้กลางทางนะ”

“ให้ตายเถอะน่า เจ้าอายุเท่าไหร่กันแน่เนี่ย งอแงเป็นเด็กไปได้”

“ข้าไม่ได้งอแง” คาริกเถียง “ก็แค่ไม่อยากถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ให้หาทางกลับเองน่ะ ท่านก็รู้ว่าค่าจ้างข้าถูก จะให้ซื้อม้ากลับก็คงไม่คุ้มใช่ไหมล่ะ”

“รู้แล้วล่ะน่า ก็บอกแล้วไงว่าขากลับจะแวะมาส่ง”

“สัญญานะ”

“เออๆ” มาร์คัสพยักหน้า “เจ้านี่จริงๆ เลยเชียว เคยถูกทิ้งหรือไงเนี่ย”

คาริกไม่ตอบ เขาถามขึ้นต่อ “เล่าเรื่องการระเบิดครั้งใหญ่ให้ข้าฟังได้ไหม ข้าเคยได้ยินมาว่าเทพแห่งแสงประทานศิลาธาตุมาให้มนุษย์เพื่อที่จะต่อกรกับมังกร และในศึกครั้งสุดท้ายศิลาธาตุก็ได้ระเบิดขึ้น ทำให้มังกรต่อล่าถอยออกไปยังดินแดนห่างไกล มนุษย์จึงเป็นฝ่ายมีชัยในที่สุด”

มาร์คัสมองเขายิ้มๆ “ช่าย นั่นเป็นฉบับยอดนิยมตลอดกาลเลย แต่ข้าได้ยินมาว่าที่จริงแล้วการที่ศิลาธาตุระเบิดเกิดจากความทะเยอทะยานเกินไปของมนุษย์ต่างหาก”

“อา... แสดงว่าท่านมีเรื่องที่ต่างออกไปสินะ”

“นิดหน่อย”

“เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ... อยากจะฟังอะไรที่ต่างออกไปบ้างน่ะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่1 (31/3/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 31-03-2021 13:17:57
อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะเริ่มเล่า “มังกรน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณที่ทรงพลังและมีภูมิปัญญา พวกมันเกิดมาพร้อมความสามารถในการควบคุมธาตุได้ดั่งใจคิด ส่วนมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาพร้อมความสามารถในการประดิษฐ์ แต่ไม่ว่าสิ่งประดิษฐ์แบบใดก็ไม่อาจเอาชนะการควบคุมธาตุของมังกรได้ จนกระทั่งราชาแห่งมนุษย์ได้ค้นพบหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในจุดที่เคยเชื่อว่าเป็นที่ที่เทพแห่งแสงสะกดเทพีแห่งความมืดเอาไว้ ผู้คนในหมู่บ้านนั้นมีความสามารถในการหยิบยืมพลังจากธรรมชาติได้ ที่ใจกลางหมู่บ้านมีรูปสลักเทพีแห่งความมืดแกะจากหินส่องประกายสีรุ้งละลานตา พวกนักประดิษฐ์และนักวิจัยของจักรวรรดิเชื่อว่าหินก้อนนี้แหละที่ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านมีพลังพิเศษต่างจากมนุษย์ทั่วไป จักรวรรดิจึงยื่นข้อเสนอให้กับชาวบ้านบางคนที่มีความทะเยอทะยานเพื่อให้มาทำงานด้วย และนั่นเป็นยุคแรกที่จอมเวทปรากฏตัวขึ้นในประวัติศาสตร์ และมีบทบาทสำคัญจนกระทั่งจักรวรรดิเห็นว่าเป็นภัยต่ออำนาจและลำพังแค่การหยิบยืมพลังของคนจำนวนน้อยนั้นไม่อาจเอาชนะมังกรได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงได้ทำการเข้ายึดหมู่บ้านและตั้งศูนย์วิจัยขึ้นที่นั่นเพื่อดึงเอาพลังจากหินที่พวกเขาเรียกว่าศิลาธาตุออกมาใช้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางอีก สงครามเต็มรูปแบบจึงถือกำเนิดขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจะเอาชนะมังกรได้เสียที กระทั่งราชาแห่งมนุษย์ตัดสินใจสร้างป้อมปืนขนาดใหญ่โดยใช้ศิลาธาตุเป็นแกนกลาง การยิงครั้งแรกได้สังหารราชาแห่งมังกรไฟ และทำให้ราชาแห่งมังกรนภาบาดเจ็บสาหัส ในการยิงครั้งที่สองพวกเขาคาดหวังที่จะสังหารราชาแห่งมังกรน้ำซึ่งว่ากันว่าเป็นมังกรที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพลที่สุด แต่ในการยิงครั้งนั้นเกิดความผิดพลาดขึ้นเนื่องจากพลังจากที่ดึงขึ้นมาเกินกว่าขีดจำกัดของเครื่องจักรจะรับได้ จึงกลายเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ เปลี่ยนผืนโลกเดิมไปอย่างสิ้นเชิง พวกมังกรจึงอพยพไปยังดินแดนห่างไกล ส่วนมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ก่อร่างสร้างตัวกันใหม่ จนมาเป็นอย่างในปัจจุบันนี่แหละ”

“เป็นเรื่องเล่าที่น่าสนใจมาก” คาริกพูดพลางกระพริบตา “ไม่เคยได้ยินแบบนี้มาก่อนเลย ท่านไปฟังมาจากไหนน่ะ”

“ก็มีคนเล่าให้ฟังอีกทีนั่นแหละ” มาร์คัสว่า “แต่ข้าว่าพวกมังกรคงอพยพไปเพราะแผ่นดินมันไม่เหลือเค้าเดิมแล้วมากกว่า”

“ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเหมือนกำลังคิดเรื่องบางอย่าง “ข้าเคยได้ยินเรื่องศิลาธาตุ แต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันเกี่ยพันกับพวกจอมเวทด้วย”

“ด้วยอายุของเจ้ากับงานที่เจ้าทำเนี่ยนะ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้น่ะ แต่เรื่องจอมเวทก็เป็นอะไรที่น่าสนใจเสมอในสายตามนุษย์เรานั่นล่ะ”

“เอ่อ... ในเรื่องที่ท่านเล่าดูเหมือนจอมเวทจะเป็นมนุษย์เผ่าหนึ่ง แต่ที่ข้าได้ยินดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์นะ”

“อ้อ... จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก” มาร์คัสตอบ “ข้าคิดว่าในครั้งอดีตพวกเขาอาจจะเคยเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้คงไม่น่าใช่แล้วล่ะ ถ้าเจ้าได้เจอจอมเวทสักครั้ง เจ้าจะไม่คิดว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นสวยงามได้กว่านั้นอีกเลย”

“งั้นหรือ แต่ถ้าเลือกได้ข้าขอไม่เจอดีกว่า” ”

มาร์คัสหันมามองชายหนุ่มทันที “ประหลาดคนนะเนี่ย มีแต่คนอยากเจอจอมเวททั้งนั้น ไปได้ยินเรื่องไม่ดีอะไรเกี่ยวกับจอมเวทมารึเปล่า หึๆ”

“เปล่าๆ” คาริกรีบปฏิเสธโดยไม่ทันสังเกตน้ำเสียงของอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที “ว้าว รถท่านนี่สูงใช่เล่นเลยนะ ดูสิ ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นคนขี่ม้าจากมุมสูงบนถนนแบบนี้มาก่อนเลย”

มาร์คัสอ้าปากเหมือนทำท่าจะพูดอะไร แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหัวเราะออกมาแทน “ฮ่าๆ บอกแล้วไง ถึงค่าจ้างจะถูก แต่รับรองว่าเจ้าจะไม่ผิดหวังแน่”

“นี่ๆ ท่านซื้อรถคันนี้ที่ไหนน่ะ แพงมากไหม”

“ข้าได้มาจากเพื่อนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ราคาก็เอาเรื่องอยู่”

“งั้นหรือ ถ้าข้าอยากได้แบบนี้สักคันต้องไปติดต่อเพื่อนของท่านสินะ”

มาร์คัสมองดูสีหน้าสนอกสนใจของเด็กหนุ่มแล้วก็พูดขึ้นต่อ “ถ้าเจ้าชอบพวกเทคโนโลยีแบบนี้นะ ลองไปที่นครเวหาสิ ที่นั่นน่ะเป็นแหล่งรวมของพวกนี้เลยล่ะ ทั้งรถทั้งเรือเหาะส่วนตัวมีให้เจ้าเลือกจุใจแน่ แค่มีเงินก็พอ”

“นครเวหาหรือ ข้าเคยได้ยินแต่ชื่อ สงสัยมานานแล้วว่าทำไมถึงได้ชื่อนั้น มันเป็นเมืองลอยฟ้าหรือไง”

“ถูกต้องเลย มันเป็นเมืองลอยฟ้าอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ”

“ว้าว จริงหรือเนี่ย ถ้าไปจากนี่ไกลมากไหม”

มาร์คัสหัวเราะอีก “มันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทะเลกลางล้อมด้วยสี่อาณาจักรใหญ่ ถ้าใช้ม้าจากนี้เจ้าจะต้องทำเอกสารขอผ่านทางอาณาจักรประจิม ใช้เวลาเดินทางรวมแวะพักน่าจะประมาณสามสิบวันเป็นอย่างน้อย ทางที่เร็วกว่าคือไปนั่งเรือเหาะที่ทริโกเนีย ใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน แต่ว่าเจ้าคงต้องเตรียมเงินไว้พอสมควรน่ะนะ ค่าตั๋วเรือเหาะนี่ไม่ถูกเท่าไหร่ น่าจะซื้อม้าดีๆ ได้สักตัวเลยมั้ง”

“ปัญหามันก็อยู่ที่เรื่องเงินนี่แหละ” ชายหนุ่มเกาศีรษะ “สงสัยคงต้องไปสอบเลื่อนระดับจริงๆ ซะล่ะมั้งเนี่ย ไม่งั้นมีหวังต้องรับงานค่าจ้างต่ำๆ ไปตลอดแน่”

คนฟังยื่นมือมาตบไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจ “ปกติพวกคนหนุ่มอายุรุ่นเจ้าร้อนวิชาจะตายไป ข้าเห็นบางคนเพิ่งเข้ามาสังกัดอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนก็รีบไปสอบเลื่อนระดับล่ะ เจ้าอยู่มากี่เดือนแล้ว”

“สองปี” คาริกว่า มาร์คัสเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะรีบถามต่อ

“สองปีเลยหรือ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่เนี่ย”

“สิบแปด มีอะไรหรือ”

อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจกว่าเดิม “เจ้าเข้าสมาคมตอนอายุสิบหกหรือนี่ จัดว่าเป็นเกณฑ์อายุที่ต่ำมากนะ นี่ข้าคิดว่าเจ้าเพิ่งมาอยู่สักเดือนสองเดือนเสียอีก”

คาริกหัวเราะเฝื่อนๆ “ที่จริงถ้านับเวลาที่เป็นเด็กรับใช้ตามคนโน้นคนนี้ก็น่าจะเกือบสี่ปีล่ะนะ แต่ที่คีทนี่ข้ามาอยู่ได้สองปีแล้ว ในฐานะนักดาบรับจ้างน่ะ”

“อืม... ถ้ามาอยู่ตั้งแต่อายุน้อยขนาดนั้นแล้วยังอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ก็แสดงว่าฝีมือเจ้าต้องใช้ได้พอสมควรเลย ไม่อย่างนั้นออกัสคงถีบส่งเจ้าออกไปนานแล้ว”

“ก็คงงั้นแหละ ที่จริงข้าก็คิดว่าตัวเองออกจะเก่งไม่เป็นสองรองใครอยู่นะ”

“งั้นเสร็จจากงานนี้ก็ไปสอบเสียสิ เจ้าสะพายดาบยาวนี่นา หัดมาจากที่ไหนล่ะ”

“คนที่เก็บข้ามาเลี้ยงเป็นคนสอนให้ เขาเป็นครูฝึกดาบ ชื่อมาห์ดิ เคยได้ยินไหม”

มาร์คัสสั่นศีรษะ “ไม่หรอก ฟังจากชื่อคงเป็นคนที่มาจากอาณาจักรบูรพาสินะ เขาเป็นคนตั้งชื่อให้เจ้าด้วยสิ คาริก ใช่ไหม”

“อืม เขาเป็นคนที่มีบุญคุณต่อข้ามาก” คาริกว่า “น่าเสียดายที่มีเรื่องบางอย่างทำให้ข้าต้องแยกตัวออกมาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชะตากรรมเขาเป็นยังไง”

มาร์คัสพยักหน้า “เจ้าอายุยังน้อยแต่ดูท่าจะมีอดีตที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่สินะ เขาพักอยู่แถวไหนล่ะ ถ้าข้าผ่านจะได้แวะเยี่ยมถามข่าวมาให้”

คราวนี้คาริกเป็นฝ่ายมองด้วยความประหลาดใจบ้าง “ท่านไม่รู้จักเขาแต่จะแวะไปเยี่ยมเขาให้ข้าเนี่ยนะ”

มาร์คัสพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าไม่อยากรู้ข่าวของเขาหรือไง”

“เอ่อ... ก็อยากน่ะนะ แต่ข้าประหลาดใจที่ท่านอาสาน่ะ เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนนี่นา”

อีกฝ่ายยิ้มพลางถอนหายใจ “เรื่องแบบนี้มันไม่ต้องรู้จักกันมาก่อนหรอกน่า เจ้าเป็นคนในสมาคมก็ถือว่าเป็นพี่น้องของข้าเหมือนกัน แวะเยี่ยมเยียนถามข่าวครอบครัวพี่น้องจะแปลกอะไร ถึงข้าจะออกมาจากสมาคมแล้วแต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่นะ”

“ท่านนี่ใจดีผิดกับหน้าตานะเนี่ย”

“ตั้งใจจะชมหรือด่ากันฟะ เด็กเวรนี่”

คาริกหัวเราะ “ข้าดีใจนะ ขอบคุณมากเลยที่มองข้าเป็นพี่น้อง เขาอยู่ที่อาณาจักรบูรพา เมืองบาริค เป็นเมืองเล็กๆ ทางทิศตะวันออก ถ้าท่านผ่านไปยังไงก็ลองถามหาสำนักดาบมาห์ดิดูแล้วกัน บอกว่าคาริกยังมีชีวิตอยู่และสบายดี”

“ได้” มาร์คัสพยักหน้า “เจ้ามาจากตะวันออกของอาณาจักรบูรพาเลยหรือ เดินทางมาไกลใช่ย่อยนะเนี่ย”

“เรื่องมันยาวน่ะ” คาริกว่า อีกฝ่ายพูดต่อ

“ให้ข้าเดานะ เจ้าคงแอบขึ้นเรือเหาะแล้วดวงดีมีคนในสมาคมไปเจอเข้า เลยจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่คีทใช่ไหมล่ะ”

อีกฝ่ายร้องทันที “เฮ้ย ไหงเดาแม่นอย่างกับตาเห็นงี้ ท่านเคยได้ยินเรื่องข้ามาก่อนหรือไง”

มาร์คัสหัวเราะชอบใจ “เรื่องเจ้าน่ะไม่เคยได้ยินหรอก แต่ปีๆ นึงมีเด็กแอบขึ้นเรือเหาะไม่น้อยนะ แล้วก็จะมีคนในสมาคมบางคนชอบช่วยเหลือเด็กพวกนี้เสียด้วย ข้าเองเคยจับได้คนนึงเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็เอามาฝากไว้กับออกัสนี่แหละ ป่านนี้โตมีครอบครัวไปแล้วล่ะมั้ง”

“โห ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย”

มาร์คัสยื่นมือมาตบไหล่เขาเบาๆ “งั้นก็รู้ไว้แล้วกัน ไม่ใช่เจ้าหรอกนะที่ต้องเผชิญชะตากรรมลำบากอยู่คนเดียวน่ะ มีคนอีกเยอะแยะบนโลกนี้ที่มีปัญหา บางคนอาจจะซวยกว่าเจ้าด้วยซ้ำ”

คาริกยกมือขึ้นเกาศีรษะ “อืม... ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองโชคร้ายอะไรนะ แค่... ยังไงดีล่ะ เหมือนชีวิตมันติดปมบางอย่างที่แก้ไม่ออกอยู่น่ะ”

“อยากจะเล่าออกมามั้ยล่ะ”

“....”

“เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเราเพิ่งรู้จักกันแค่แป๊บเดียว จะให้เจ้าวางใจเล่าทุกอย่างออกมาก็คงไม่ใช่ แต่เจ้าอายุยังน้อย ข้าไม่รู้หรอกนะว่าปมนั่นเป็นยังไง แต่อย่าให้มันขัดขวางชีวิตของเจ้าไม่ให้เดินหน้าต่อไปล่ะ”

“เฮ้อ...” คาริกถอนหายใจ “จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะเล่าหรอกนะ บางทีข้าก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า แต่พอคิดอีกทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่จริงจังมากๆ ก็ได้ มากขนาดที่ข้าจะต้องหนีออกมาตอนอายุสิบสี่”

“งั้นมันก็คงเป็นเรื่องจริงจังนั่นแหละ” มาร์คัสว่า “ว่าแต่แถบที่เจ้าอยู่คนแถวนั้นตาสีม่วงทุกคนเลยรึเปล่า”

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“เอาจริงๆ นะ ข้าเคยไปอาณาจักรบูรพาอยู่ครั้งสองครั้ง ยังไม่เคยเห็นใครมีตาสีม่วงเหมือนเจ้าเลย เป็นสีที่แปลกอยู่นะ”

“เอ่อ... ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอก แต่คิดว่าสีตานี่คงไม่ค่อยนำโชคให้ข้าเท่าไหร่”

“ไม่เอาน่า” มาร์คัสปลอบ “ที่จริงเจ้าเป็นคนที่หน่วยก้านดีนะ อายุแค่สิบแปดแต่ร่างกายดูแข็งแรงกำยำกว่าคนวัยเดียวกัน แสดงว่าเจ้าคงตั้งใจฝึกปรือฝีมือมาก”

คราวนี้คาริกหัวเราะเขินๆ “ถ้าท่านเห็นข้ากินท่านจะไม่พูดแบบนี้แน่ ออกัสบ่นเรื่องนี้ข้าตลอด ที่หุ่นข้าเป็นแบบนี้คงเพราะข้ากินจุกว่าคนทั่วไปนั่นแหละ”

“เป็นคำถ่อมตัวที่ประหลาดมากนะ” มาร์คัสว่า “ข้าเห็นชามข้าวที่เจ้ากินแล้ว ถ้าไม่ขยันฝึกซ้อมหรือออกกำลังกาย ก็คงไม่มีหุ่นสวยๆ แบบนี้หรอก หน้าตาเจ้าก็ไม่เลว ไม่ลองจีบลูกสาวพ่อค้าสักคนล่ะ อาจจะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารไปเลยก็ได้นะ”

“อย่าดูถูกกันน่า” คาริกว่า “ถึงข้าจะยังไม่มีชื่อเสียง ยังเป็นแค่นักดาบขั้นหนึ่ง แต่ข้าก็มั่นใจฝีมือตัวเองมากกว่าจะใช้ทางลัดแต่งงานกับใครเพื่อให้ได้เงินมานะ”

“ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสัยนะว่าทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปสอบเลื่อนขั้น หรือเงินไม่พอเดินทางไปอาเปส ข้าให้กู้เอาไหม”

“พอเลยๆ” คาริกรีบห้าม “แค่เพิ่มค่าแรงข้าก็พอ ถ้าท่านอยากจะช่วยน่ะ”

มาร์คัสหัวเราะชอบใจ “ต้องดูก่อนล่ะนะว่าซากที่เราจะไปเก็บมันจะขายได้ราคาเท่าไหร่ แต่ข้าว่าต้องไม่น้อยแน่ๆ”

“เออ จริงสิ พอท่านพูดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ เราจะไปเก็บซากตัวอะไรกัน”

“อิกเน่ ลาเชอร์ตา” มาร์คัสตอบ พอเห็นหน้าตาที่มองออกชัดๆ ว่าไม่เข้าใจของคาริก เขาเลยพูดขยายความต่อ “มันเป็นสัตว์ร้ายที่ปกติอาศัยอยู่แถบภูเขาไฟ หน้าตาคล้ายๆ กิ้งก่า แต่มีไฟหุ้มรอบตัว พ่นไฟได้ ถือเป็นสัตว์อันตรายระดับห้าจากทั้งหมดเจ็ดระดับ รับรองว่าเป็นตัวที่เจ้าไม่มีทางได้เจอง่ายๆ แน่”

“หา สัตว์ร้ายระดับห้าเลยงั้นหรือ แล้วมันไปอยู่ที่แคนเดนส์ได้ยังไง”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ ข้าแค่รู้ว่ามันน่าจะกำลังอาละวาดอยู่ที่นั่น”

“ใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับท่านน่ะ”

“นักล่าค่าหัวที่ข้าบังเอิญเจอระหว่างทางน่ะ” มาร์คัสว่า คาริกตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“พวกนักล่างั้นหรือ กับสัตว์ร้ายระดับห้าเนี่ย ข้าอยากเห็นตอนพวกเขาต่อสู้ชะมัด ท่านว่าเราจะไปทันไหม นักล่าพวกนั้นต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเราแล้วแน่ๆ พวกเขาต้องมีม้าดีๆ ขี่ใช่ไหม จะเร็วกว่ารถคันนี้รึเปล่า”

มาร์คัสมองคาริกยิ้มๆ “ม้าที่เขาขี่เป็นม้าขาวพันธุ์ขนยาว ม้าที่วิ่งทนและฝีเท้าเร็วที่สุดในหกอาณาจักร รถกระป๋องคันนี้เทียบความเร็วไม่ติดหรอก”

“ม้าขนยาวหรือ” คาริกทวนคำ “เคยได้ยินพวกคลั่งม้าพูดกันว่ามันมีฝีเท้าที่เบาและเร็วเหมือนเหินบิน แถมยังวิ่งได้ทนมาก วิ่งติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืนได้โดยไม่ต้องพักเลย มีจริงๆ หรือนี่”

“ไอ้มีน่ะมี แต่วิ่งได้ติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืนรึเปล่าเจ้าคงต้องถามเจ้าของเองน่ะนะ”

“พวกเขามีม้าขนยาวขี่กันทุกคนเลยหรือ” คาริกรำพึง “เป็นนักล่าค่าหัวนี่แสดงว่าต้องเงินดีมากแน่ๆ”

“ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นเขาต่างหาก” มาร์คัสว่า “นักล่าที่ไปคราวนี้มีแค่คนเดียว แล้วข้าก็คิดว่าตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นด้วยที่รู้ว่ามีอิกเน่ ลาเชอร์ตาอยู่ที่แคนเดนส์ เพราะงั้นข้าถึงได้รีบไปจ้างคนมาเพิ่มเพื่อจะได้ไปทันก่อนที่ใครจะได้ข่าวแล้วมาแย่งเนื้อชิ้นใหญ่นั่นไง”

“คนเดียวเองหรือ ไม่จริงน่า ปราบสัตว์ร้ายระดับห้าเนี่ยนะ แสดงว่าเขาต้องโคตรเก่งเลยใช่ไหม”

“เก่งที่สุดเท่าที่ชีวิตข้าเคยเห็นมาเลยล่ะ”

“เขามีชื่อไหม ต้องเป็นคนดังแน่ๆ”

“พูดไปก็ใช่ว่าเจ้าจะรู้จักนะ” มาร์คัสว่า อีกฝ่ายเซ้าซี้ต่อ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นใส่ข้าน่า ไม่บอกแล้วจะรู้ได้ไงว่าข้าไม่รู้จัก”

“ประกายสีเงินเดียวดาย เคยได้ยินไหม”

“....”

“นั่นไง เจ้าเคยได้ยินชื่อนักล่ามากี่คนกันแน่หา”

“เอ่อ... จริงๆ ก็ไม่เคยได้ยินหรอก แต่ข้าจะจำชื่อนี้ไว้ ประกายสีเงินเดียวดายใช่ไหม ฟังดูเหมือนฉายามากกว่าชื่อนะ”

“ใช่ นั่นเป็นฉายา เขาชื่อไอดิเอล ประกายสีเงินเดียวดาย ไอดิเอล”

“โห... แค่ชื่อกับฉายาก็รู้สึกว่าต้องเก่งมากๆ ล่ะ อยากเจอตัวจริงเลยนะเนี่ย อยากเห็นตอนเขาสู้กับเจ้าสัตว์ร้ายนั่นด้วย เราจะไปทันใช่ไหม รถท่านก็เร็วอยู่นี่”

“ไอ้ทันหรือไม่ทันน่ะข้ารับประกันไม่ได้หรอก แต่ข้าต้องเร่งให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว เรื่องเก็บซากนี่ใครไวใครได้ ไม่รู้ป่านนี้จะมีคนรู้ข่าวเพิ่มหรือยัง”

คาริกพยักหน้าหงึก “งั้นท่านก็รีบๆ ขับรถไปเลย ข้าอยากเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนั่นกับนักล่าคนนั้นใจจะขาดแล้วล่ะ”

มาร์คัสมองชายหนุ่มด้วยความขบขัน ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เป็นคนหนุ่มนี่ดีนะ กระตือรือร้นดีจริงๆ”

..............................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-04-2021 09:10:53
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่2 ไอดิเอล


แคนเดนส์ เป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศทีมีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ของอาณาจักรหรดี สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองนี้ได้แก่บ่อน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าเทพแห่งแสงได้วางฝ่ามือลงไปบนผืนดินแล้วก่อให้เกิดน้ำพุร้อนขึ้นมา ด้วยความเชื่อนี้เองทำให้ที่นี่มีวิหารบวงสรวงเทพแห่งแสงที่สร้างจากหินสีแดงซึ่งขุดได้จากแหล่งใกล้บ่อน้ำพุร้อน สวยงามวิจิตรตระการตา กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง และผืนดินของแคนแดนซ์ยังมีความอุดมสมบูรณ์ทำให้สามารถทำการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี ดังนั้นไม่ว่าจะฤดูไหน เมืองนี้ก็จะมีท้องนาสีเขียวหรือสีทองเป็นฉากประทับใจเอาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเสมอ

คาริกเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อราวครึ่งปีก่อน ด้วยเรื่องบางอย่างทำให้เขาได้รู้จักกับหัวหน้ากองทหารประจำเมืองที่ชื่อว่าแกเรียน เขามีความทรงจำดีๆ กับเมืองนี้ และจำได้ว่าสองข้างทางก่อนถึงประตูเมืองจะรายล้อมด้วยทุ่งนาซึ่งมักจะเป็นสีเขียวหรือสีทองรอการเก็บเกี่ยว ทว่าสิ่งที่เขามองเห็นผ่านกระจกรถในตอนนี้ คือผืนนาสีดำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นสีเขียวหรือสีทองกลายเป็นเถ้าถ่าน ควันยังคงลอยคลุ้ง กลิ่นเหม็นไหม้โชยเข้ามาในรถ เมื่อมองไปยังทิศที่ตั้งของตัวเมืองก็เห็นกลุ่มควันสีดำปกคลุมท้องฟ้า เจ้าตัวถึงกับครางออกมา

“บ้าชะมัด นี่เรื่องจริงหรือเนี่ย”

พอเหลือบไปเห็นว่าชายหนุ่มลุกจากที่นั่งทำท่าจะเดินไปที่ประตู มาร์คัสเลยรีบร้องห้ามไว้ “เฮ้ จะทำอะไรน่ะ เจ้ายังลงไปตอนนี้ไม่ได้นะ”

“ตะ... แต่...”

“ใจเย็นๆ แล้วกลับมานั่งที่ก่อน” ชายชราว่า “ถึงเจ้าลงไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราต้องเข้าไปในเมือง หาท่านไอดิเอลให้เจอ จะได้รู้ว่าเขาจัดการเจ้าสัตว์ร้ายนั่นเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

“ไม่อยากจะเชื่อ” คาริกคราง แต่ก็ยอมกลับมานั่งโดยดี “นี่มันร้ายแรงมากเลยนะ ทำไมถึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย”

“เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมากน่ะสิ” มาร์คัสว่า “ข้าเองก็คิดว่ามันคงจะเละเทะน่าดู แต่นี่ก็ถือว่าแย่กว่าที่ข้าคิดเอาไว้เยอะ ไม่อยากนึกเลยว่าเจ้าอิกเน่ลาเชอร์ตาที่หลุดมาที่นี่มันจะตัวใหญ่ขนาดไหน”

“ท่านเคยเห็นตัวมันเป็นๆ ไหม”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ข้าเคยเห็นแต่ในหนังสือภาพ กับเศษซากบางส่วนที่มีคนเอามาขาย ไม่เคยรู้หรอกว่ามันจะสร้างความเสียหายได้เยอะขนาดนี้”

สีหน้าของชายชราดูเคร่งเครียดขึ้น คาริกมองไปยังเมืองอย่างกังวล “เมืองนี้เป็นเมืองที่สวยมาก เจ้าตัวบ้าแบบนี้มันโผล่มาได้ยังไง ท่านบอกว่ามันอยู่แถวเขตภูเขาไฟไม่ใช่หรือ แถวนี้ไม่มีภูเขาไฟสักหน่อย”

“แต่ก็มีบ่อน้ำพุร้อน” มาร์คัสว่า “ไม่รู้สิ ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอิกเน่ ลาเชอร์ตาปรากฏตัวในแถบนี้มาก่อนเหมือนกัน ถ้าจะมีใครที่รู้เรื่องนี้ ก็คงต้องเป็นท่านไอดิเอลนั่นแหละ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกท้วงขึ้นมา “แน่ใจหรือว่าท่านไอดิเอลอะไรของท่านคนนั้น จะจัดการเจ้าตัวประหลาดนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเขาถูกฆ่าไปแล้วหรอกนะ”

“ไม่มีทาง” มาร์คัสว่า “ถ้าเป็นคนอื่นข้าอาจจะไม่เถียงเจ้าเรื่องนี้ แต่ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นกับท่านไอดิเอลเด็ดขาด”

“ถึงท่านมั่นใจแต่ข้าว่าเราควรต้องหาวิธีรับมือนะ รถนี่กันไฟไหม มีอะไรที่เราพอจะเอาตัวรอดจากมันได้บ้าง หรือเราต้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไหม”

“เจ้านี่มันเป็นเด็กขี้กังวลจริงๆ ด้วยแฮะ” มาร์คัสว่า “ลองถ้ามันอาละวาดได้อลังการขนาดนี้ ข้าว่าเราจะต้องเห็นมันก่อนที่มันจะเห็นเราแน่ๆ ถึงรถข้าจะไม่เร็วเท่าม้าขาวขนยาว แต่ก็น่าจะไวพอหนีมันได้ล่ะน่า ข้าไม่บ้าเอาชีวิตกับรถไปเสี่ยงกับตัวอันตรายที่สู้ไม่ได้หรอก”

“ฟังแล้วค่อยใจชื้นหน่อย เฮ้อ... ไม่รู้ว่าแกเรียนเป็นไงบ้าง เขาเป็นทหารที่ดี เจอเรื่องแบบนี้ไปต้องสู้ยิบตาแน่ๆ”

“เจ้ามีคนรู้จักเป็นทหารที่นี่สินะ” มาร์คัสว่า “งั้นก็ทำใจไว้หน่อย เขาอาจจะไม่รอดก็ได้ แต่มองในแง่ดี อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ต่อสู้ตามหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว”

“ข้าว่าเราเข้าไปดูให้รู้แน่ก่อนแล้วค่อยตัดสินเรื่องนี้ดีกว่านะ”

มาร์คัสยักไหล่ “ข้าก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เจ้าเองก็อย่าทะลึ่งกระโดดลงจากรถไปก่อนล่ะ”

สภาพภายในตัวเมืองยิ่งน่าใจหาย หลายจุดที่เคยเป็นบ้านเรือนกลายเป็นซากปรักหักพัง หากเพ่งมองดีๆ จะเห็นศพที่หงิกงอดำเป็นตอตะโก คาริกถึงกับทำใจไม่ได้ต้องสำรอกสิ่งที่อยู่ในท้องออกมา มาร์คัสเลยต้องไล่เขาไปเปิดกระจกเพื่อเอาสิ่งปฏิกูลออก พอได้กลิ่นไหม้อาการของชายหนุ่มเลยยิ่งหนักเข้าไปอีก จนไม่ทันได้สังเกตว่ารถหยุดวิ่งแล้ว

“เฮ้ เป็นไงบ้างเนี่ย” มาร์คัสตบไหล่เขาเบาๆ พอคาริกหันมาก็เห็นอีกฝ่ายยื่นถุงน้ำให้

“เอ้า ดื่มน้ำซะหน่อย เดี๋ยวเจ้าจะตายก่อนได้ค่าจ้างนะ”

คาริกหยิบถุงน้ำมาดื่ม ก่อนจะยื่นคืนให้ “ขอบคุณนะ... แล้ว... นี่ถึงแล้วหรือ”

“ใช่ เรามาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าคิดว่าทหารกับชาวเมืองที่เหลือรอดคงจะมาหลบภัยกันอยู่ที่นี่น่ะ เจ้าลุกไหวรึเปล่า”

คาริกพยักหน้า ก่อนจะยุดมือมาร์คัสที่ยื่นมาให้เพื่อลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มรู้สึกละอายเล็กน้อย เขาเดินเซจนต้องใช้แขนค้ำผนังรถไว้ ชายชรามองแล้วสั่นศีรษะ “จะไหวรึเปล่าเนี่ย”

“ไหวน่า” คาริกว่า “ข้าแค่... แค่ต้องการเวลาทำใจนิดหน่อย ข้าไม่เคยเห็นคนตายมาก่อนเลยน่ะ”

อีกฝ่ายตบไหล่เป็นเชิงปลอบ “ยังไงก็ลงจากรถก่อนแล้วกัน ข้าว่าข้างนอกน่าจะกำลังต้องการความช่วยเหลือนะ”

วิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างถวายเทพแห่งแสงมีชื่อว่าวิหารแห่งผู้ภักดี ตัววิหารสร้างจากหินสีแดงเหมือนสีของเปลวเพลิง เป็นทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลมสูงขึ้นไปด้านบน พอทั้งคู่ก้าวลงจากรถ ทหารยามก็รีบวิ่งเข้ามาทันที

“พวกท่านมาจากหน่วยไหน มีอะไรที่เราต้องช่วยขนย้ายรึเปล่า”

“เอ่อ...” มาร์คัสอึ้งไปอึดใจ “พวกเราตามท่านไอดิเอลมาน่ะ”

“หืม... พวกเจ้าเป็นพวกเก็บซากหรือ ตอนนี้ยังไม่มีซากให้เจ้าเก็บหรอก ถ้าไม่อยากจะช่วยเหลืออะไรก็ช่วยอย่าทำตัวเป็นภาระแล้วกัน”

“แกเรียนอยู่ไหน” คาริกถามแทรกขึ้นมา “เขาปลอดภัยรึเปล่า”

ทหารยามนายนั้นหันไปหาคาริก แล้วก็ร้องขึ้น “อ้าว เจ้าหนูคนนั้นเองหรือเนี่ย ท่านนายกองปลอดภัย แต่เรากำลังยุ่งมาก นี่พวกเจ้ามาด้วยกันหรือ”

“ใช่” ชายหนุ่มตอบ “ถ้ามีอะไรที่ข้าพอช่วยได้ ข้ายินดีช่วยนะ คิดว่าเขาเองก็คงยินดีช่วยเหมือนกัน”

“งั้นก็ดีเลย เรากำลังขาดคน พวกเจ้าสองคนเข้ามาด้านในก่อน คงพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้างหรอก”

ถึงจะยังเพลียจากอาการคลื่นไส้ แต่คาริกก็เห็นว่าด้านนอกวิหารนอกจากสิ่งประดิษฐ์ทางการทหารที่พวกทหารกำลังเร่งสร้างกันอยู่แล้ว ยังมีม้าขาวตัวหนึ่งผูกรวมอยู่กับม้าตัวอื่นๆ ลักษณะของมันสวยงามโดดเด่นมากจนกระทั่งเขาลืมเรื่องคลื่นไส้ไปเลย

“มาร์คัส นั่นใช่ม้าขาวขนยาวที่ท่านพูดถึงมั้ย” เขารีบสะกิดถามชายชรา อีกฝ่ายหันไปมองแล้วพยักหน้า

“ใช่ เด่นออกขนาดนั้นไม่มีตัวอื่นแล้วล่ะ”

“สวยชะมัด”

“เจ้านี่ก็จริงๆ เชียว เพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้ก็หันไปชมม้าเสียล่ะ”

“ก็มันสวยนี่นา”

ด้านในวิหารวุ่นวายพอๆ กัน พวกทหารและชายฉกรรจ์ที่พอจะมีแรงทำงานได้เดินกันให้ว่อน ทหารยามคนนั้นนำพวกเขาไปยังห้องเล็กๆ ด้านหลังรูปสลักขนาดใหญ่ของเทพเจ้าแห่งแสง ณ ที่นั่น คาริกเห็นแกเรียนกำลังยืนคุยอยู่กับใครอีกคนซึ่งเขาไม่ทันได้มองเพราะมีเสาหินขนาดใหญ่ขวางอยู่ อารามดีใจชายหนุ่มรีบปรี่เข้าไปทันที

“เทพแห่งแสงโปรด ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าดีใจชะมัด”

ชายวัยกลางคนที่มีศักดิ์เป็นหัวหน้านายกองของที่นี่หันหน้ามาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหนูคาริกนี่นา เจ้ามานี่ได้ไง”

“ข้าบังเอิญถูกจ้างมา” คาริกตอบ “มีอะไรที่ข้าพอช่วยเหลือท่านได้บ้างมั้ย”

มาร์คัสกระแอมไอเป็นเชิงขัดจังหวะ แต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่ได้ยิน แกเรียนพูดต่อ

“ข้ากำลังคุยกับท่านไอดิเอลอยู่ เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน ถามหากัสก็ได้ เขาน่าจะต้องการคนช่วยทำเครื่องยิงหินนะ”

“อ๋อ ได้ๆ โทษทีนะที่ข้าเข้ามาขัดจังหวะ” คาริกเกาศีรษะด้วยความเคอะเขิน ก่อนจะหันไปมองคู่สนทนาของแกเรียน จากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

คนคนนั้นมีเรือนผมสีเงินสว่างเหมือนเส้นไหมที่ทอจากแร่เงิน มีดวงตาสีทองราวกับก้อนอำพันเนื้อดี สวมเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากทองฝังอัญมณีสีรุ้งแบบที่เขาเห็นในรถของมาร์คัส ร่างคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำขลิบทองเป็นลวดลายวิจิตร ในมือถือไม้เท้าสีเทาที่เดาไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุอะไร บนยอดประดับด้วยอัญมณีสีรุ้งก้อนโตขนาดกำปั้น ดวงตาสีทองคู่นั้นกำลังจ้องเขาเขม็ง

“หนีไปเสียคาริก หนีไปให้พ้นจากเมืองนี้ หนีไปให้พ้นจากประเทศนี้ แล้วจำไว้ว่าอย่าเผชิญหน้ากับจอมเวทเป็นอันขาด”

ประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากของอาจารย์สอนดาบที่เป็นคนชุบเลี้ยงเขามาดังลั่นขึ้นในหัว ชายหนุ่มผงะถอยไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกตบไหล่จากด้านหลัง เขาหันไปคว้ามือข้างนั้นทันที

“เฮ้ๆ ข้าไม่ได้จะแทงข้างหลังเจ้านะ” มาร์คัสว่า “ทำไมต้องทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้นด้วย”

“เอ่อ...”

“แค่อยากจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับท่านไอดิเอล นี่ไง ประกายสีเงินเดียวดายที่ข้าพูดถึง”

“มาร์คัส เจ้าไปหาเจ้าเด็กนี่มาจากไหน” ไอดิเอลพูดขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงของเขาห้วน แต่ฟังดูกังวานอย่างน่าประหลาด แน่นอนว่าไม่ใช่น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความพึงพอใจ มาร์คัสถึงกับเลิกคิ้ว

“ข้าจ้างเขามาเป็นผู้ช่วย แค่มาช่วยเก็บของน่ะ”

“งั้นก็ช่วยพาไปไกลๆ เอาไปให้พ้นจากหน้าข้าเดี๋ยวนี้เลย”

“เอ๋... ทำไมท่านพูดแบบนั้นล่ะ ปกติท่านไม่ใช่คนที่จู่ๆ จะไล่ใครออกไปพ้นหน้าโดยไม่มีเหตุผลนี่นา”

“ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลกับเจ้าทุกเรื่องหรอกนะ” ไอดิเอลพูดเสียงห้วน มาร์คัสเลยจำต้องพยักหน้าแล้วลากคาริกออกมา

“ขอโทษทีนะเจ้าหนู ปกติแล้วท่านไอดิเอลไม่เคยออกปากไล่ใครต่อหน้าแบบนี้มาก่อน เขาแทบจะไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้จู่ๆ ทำไมวันนี้ถึงได้...”

“ทำไมท่านไม่บอกข้าก่อนว่าเขาเป็นจอมเวท” คาริกพูดแทรกขึ้นมา สีหน้าบอกชัดว่ายังตกใจไม่หาย อีกฝ่ายทำหน้ายุ่ง

“ข้าก็แค่อยากทำให้เจ้าประหลาดใจ เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าเจ้ากับท่านไอดิเอลเคยมีเรื่องกันมาก่อน”

“ไม่ๆ” อีกฝ่ายรีบโบกมือ “โอ๊ย ข้างงไปหมดแล้ว เขาเป็นจอมเวท... แล้วเขาก็เป็นนักล่าค่าหัวด้วยหรือ เขาทำงานให้กับราชสำนักรึเปล่า”

มาร์คัสเกาศีรษะ “ท่านไอดิเอลเป็นจอมเวท แล้วก็เป็นนักล่าค่าหัว ใช่... แต่เขาทำงานให้กับราชสำนักไหม อันนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ถ้าราชสำนักจ้างเขาก็คงทำล่ะมั้ง ทำไมเจ้าจะต้องกังวลเรื่องจอมเวทกับราชสำนักด้วย”

คาริกทำหน้าปั้นยาก ในที่สุดเขาก็พูดออกมา “ก่อนที่ข้าจะหนีออกจากเมือง มีคนจากราชสำนักบูรพาไปที่บ้านข้า อาจารย์ของข้าเลยบอกให้ข้าหนีออกมา เขาสั่งห้ามข้าไม่ได้พบหน้ากับจอมเวทเด็ดขาด”

“เออ... ประหลาดแฮะ” มาร์คัสว่า “ทำไมมันถึงกลายเป็นการห้ามไม่ให้พบจอมเวทไปได้ล่ะ”

“คิดว่าการที่คนจากราชสำนักไปที่นั่นเป็นเพราะคำสั่งของจอมเวทนาะ”

“อ๋อ” มาร์คัสพยักหน้า แล้วพูดต่อ “แต่ท่านไอดิเอล พอเห็นเจ้าก็อารมณ์เสียเลยนะ ไล่ออกมาซะงั้น อย่างกับว่าเจ้าเป็นตัวอันตรายสำหรับเขางั้นแหละ”

“เพราะงั้นข้าถึงได้รู้สึกสับสนอยู่นี่ไง” คาริกคราง “ข้าเข้าใจมาโดยตลอดว่าจอมเวทอยากหาตัวข้าไปเพื่อจุดประสงค์อะไรสักอย่าง อาจารย์ถึงได้ห้ามข้าไม่ได้พบหน้าพวกเขา แต่พอข้าได้เจอจอมเวทโดยบังเอิญ ก็ดันถูกไล่ออกมา เป็นท่านท่านจะทำไง”

“เอ่อ... ข้าก็คง... งงอยู่สักพักล่ะมั้ง”

“แล้วจากนั้นล่ะ”

“นี่ๆ” มาร์คัสเรียกสติเด็กหนุ่ม “เรื่องทุกอย่างมันต้องมีคำตอบล่ะนะ ในเมื่อเรื่องของเจ้ามันเกี่ยวข้องกับจอมเวท แล้วท่านไอดิเอลก็เป็นจอมเวท จากที่ข้ารู้จักเขา เขาไม่ใช่คนทำอะไรโดยไร้เหตุผล แล้วก็ไม่ใช่คนที่เย็นชาไม่ตอบคำถามอะไรใครด้วย ตอนนี้เขาอาจจะกำลังวุ่นวายเพราะต้องจัดการปัญหาใหญ่ ไว้เรื่องคลี่คลายเราค่อยไปถามเขาน่าจะได้คำตอบนะ”

“อืม... งั้นข้าฝากท่านไปถามแล้วกัน เพื่อความสบายใจ ยังไงข้าก็คิดว่าไม่ควรจะเจอเขาอีก”

“เออ เอาตามที่เจ้าสบายใจก็แล้วกัน แล้วนี่จะไปถามหาคนชื่อกัสอะไรนั่นรึเปล่า ข้าเองก็อยากรู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

กัสเป็นนายทหารคนหนึ่ง อายุมากกว่าคาริกประมาณห้าหกปี คาริกหาเขาพบได้ไม่ยาก เจ้าตัวกำลังง่วนอยู่กับการสร้างเครื่องมือบางอย่างอยู่

“อ้าว คาริก มาได้ไงเนี่ย”

“ไง กัส ดีใจจังที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจอหนักเลยใช่ไหม มีอะไรให้ข้าช่วยรึเปล่า”

“เจ้ามาก็ดีแล้ว ช่วยข้ามัดไอ้นี่ที ข้าดึงจนเจ็บมือหมดแล้วเนี่ย”

คาริกเข้าไปรับไม้ต่อจากกัส เขาออกแรงนิดหน่อยก็ดึงปมเชือกให้มัดไม้ท่อนใหญ่ทั้งสองท่อนเข้าด้วยกันได้ มาร์คัสเห็นแล้วต้องร้องออกมา

“เห... เจ้านี่แรงควายผิดคาดนะเนี่ย ปมนั่นดูแล้วไม่น่าจะดึงกันได้ง่ายๆ นะ”

“สำหรับหมอนี่น่ะง่ายมาก” กัสตอบแทนให้ “เจ้าหนุ่มคาริกนี่เป็นพวกแรงเยอะผิดธรรมดา ไม่รู้ว่าเกิดมาแข็งแรงผิดมนุษย์ หรือว่ามาจากเผ่าที่เราไม่รู้จักกันแน่ ข้าเคยถามเขานะว่าที่หมู่บ้านเขาแรงเยอะแบบนี้เป็นปกติรึเปล่า เขาก็บอกว่าไม่แน่ใจ”

“ก็ข้าจำไม่ได้จริงๆ นา” คาริกตอบ “จริงๆ แล้วข้าเริ่มมามีแรงเยอะผิดมนุษย์มนาตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดนี่เอง ก่อนหน้านั้นข้าก็เหมือนคนปกติทั่วไปนี่แหละ กินข้าวก็คราวละชาม”

“อ้อ ใช่ เจ้าเคยเล่าแล้ว แต่ตอนมาที่นี่เจ้าฟาดไปสี่ กินจนข้ากับคนอื่นๆ งงไปเลย”

“จะบอกว่าจู่ๆ ก็กลายร่างเป็นยอดมนุษย์หรือไง” มาร์คัสว่า คาริกยักไหล่

“ไม่รู้สิ จะว่าดีก็ดี ไม่ดีก็ไม่ดีนะนะ”

“เจ้านี่แปลกแท้ ข้าไปคว้าอะไรมานะเนี่ย”

“ไว้รอถามท่านไอดิเอลของท่านดูแล้วกัน” คาริกว่า เขาหันไปถามกัสต่อ “ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย พวกท่านถูกโจมตีได้ไง”

“มันเกิดขึ้นเร็วมาก” กัสตอบ “เหมือนว่าจู่ๆ เจ้าสัตว์ร้ายนั่นก็โผล่ออกมาจากน้ำพุร้อน แล้วก็อาละวาดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับอิกเน่ ลาเชอร์ตาไหม”

“มีคนเล่าให้ข้าฟังแล้ว” คาริกว่า “มันเหมือนกิ้งก่าพ่นไฟได้ตัวใหญ่ๆ ใช่ไหม”

“ยิ่งกว่านั้นอีก มันคือสัตว์ร้ายที่แท้จริงเลย” กัสว่า ดวงตาสั่นสะท้านด้วยความพรั่นพรึงเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่เขาเพิ่งเผชิญมา “ตัวมันใหญ่มาก ใหญ่เกือบเท่าวิหารนี่เลย มันมีไฟห่อหุ้มรอบตัว ทุกที่ที่มันเดินผ่านจะลุกไหม้กลายเป็นทะเลเพลิง ไม่มีใครเข้าใกล้หรือทำอะไรมันได้เลย ท่านแกเรียนสั่งให้เราอพยพชาวบ้านและนักท่องเที่ยวมาหลบที่วิหารนี่ เพราะคาดว่าศิลาแดงจะป้องกันเปลวเพลิงของมันได้ ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ นะ ไฟของมันทำอะไรที่นี่ไม่ได้ และมันผ่านเข้ามาไม่ได้ด้วย แต่มันไม่ยอมไปไหน เฝ้าพวกเราอยู่ตรงนี้จนท่านแกเรียนต้องส่งสัญญาณฉุกเฉินไปที่ราชสำนัก พวกเขาเลยส่งจอมเวทมาช่วย แต่รู้สึกว่าเขาจะไม่ใช่จอมเวทประจำราชสำนักล่ะมั้ง ข้าได้ยินว่าเขาเป็นนักล่าค่าหัว”

“ท่านไอดิเอลเป็นจอมเวทที่เก่งกาจมาก” มาร์คัสเสริมขึ้นมา “ข้าแน่ใจเลยว่าราชสำนักจะต้องติดต่อเขาทันทีที่ได้รับรายงานเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เร่งมาที่นี่หรอก”

“อ้อ... งั้นหรือ ว่าแต่ท่านเป็นใครกัน ผู้ติดตามของเขาหรือไง”

“เปล่า ก็แค่คนเก็บซากธรรมดา” มาร์คัสว่า “แต่ข้ายืนยันกับเจ้าได้ว่าฝีมือของเขาไม่ธรรมดาแน่”

กัสพยักหน้า “เรื่องนั้นข้าไม่เถียงเลย ตอนที่เขามาถึงเหมือนร่างจำแลงของเทพแห่งแสงมาโปรด ข้าไม่เคยเห็นเวทมนตร์อัศจรรย์อะไรแบบนั้นมาก่อน เขาเสกกำแพงน้ำแข็งขึ้นมา เสกหอกน้ำแข็ง เราคิดว่าเขาจะเอาชนะสัตว์ร้ายตัวนั้นได้ แต่ดูเหมือนมันจะชิงหนีไปเสียก่อน”

“แล้วตอนนี้พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่” มาร์คัสถามต่อ อีกฝ่ายตอบ

“เรากำลังสร้างเครื่องยิงหิน ท่านไอดิเอลบอกว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นจะกลับมาอีก เหมือนว่ามีของบางอย่างที่มันต้องการอยู่ที่นี่ หรืออะไรบางอย่างที่มันจะต้องทำลายให้ได้ เขาว่าเราจะต้องใช้หินยิงใส่มันเพื่อทำให้มันบาดเจ็บ”

“ก็เข้าท่า อย่างน้อยๆ หินก็ไม่ละลายทันทีที่ถูกไฟ”

“เขาปรุงยารักษาบาดแผลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บด้วย น่าอัศจรรย์มาก แค่ใช้ใบไม้ น้ำผึ้ง ผงถ่าน น้ำ แล้วก็เกลือเอามาผสมกัน ด้วยเวทมนตร์ของเขามันกลายเป็นยาวิเศษที่แค่ทาบาดแผลก็จะสมานตัวในทันที”

“ข้าเคยได้ยาแบบนั้นมาขวดหนึ่ง” คาริกว่า “มันมีขายอยู่ในร้านขายยาที่ทริโกเนีย แค่ขวดเล็กๆ ขวดเดียวก็หลายเหรียญแล้ว”

“ใช่ ที่นี่ก็มีเก็บไว้จำนวนหนึ่ง แต่มันไม่พอใช้ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าส่วนผสมมันจะมีง่ายๆ แค่นั้น เวทมนตร์นี่เป็นสิ่งอัศจรรย์จริงๆ เจ้าได้พบเขาหรือยัง ท่านไอดิเอลน่ะ”

“พบแล้ว” คาริกว่า “แต่ดูเหมือนจะเข้าไปไม่ถูกจังหวะเท่าไหร่”

“อืม เขากำลังวางแผนประชุมกับท่านนายกองอยู่ ดูเหมือนกำลังหาวิธีปราบเจ้าสัตว์ร้ายนั่น ข้าว่าลำพังเวทมนตร์ของเขาอาจจะเอาชนะมันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้มันหนีไปแน่ ไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จไหม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีใครมาช่วยเลยน่ะนะ”

คาริกหันไปมองมาร์คัส อีกฝ่ายเลยพูดขึ้น “เชื่อในตัวท่านไอดิเอลเถอะน่า เขาไม่ได้เพิ่งเกิดมายี่สิบสามสิบปีนะ ข้าแน่ใจว่าเขาเคยผ่านสงครามใหญ่มาแล้ว แค่จัดการสัตว์ร้ายแค่นี้คงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาหรอก”

“แต่เขาไม่มีผู้ช่วย” กัสว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าจอมเวทต้องมีผู้ช่วยอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ พวกเขาชำนาญด้านการใช้เวทมนตร์ ซึ่งไม่อาจพบได้ในคนธรรมดา แต่พวกเขาไม่อาจทำการโจมตีทางกายภาพไปพร้อมๆ กันได้ เขาอาจจะได้เวทมนตร์สกัดเจ้าสัตว์ร้ายนั้นได้ แต่เขาใช้เวทมนตร์ฆ่ามันไม่ได้”

“ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องมีแผนรับมือนั่นล่ะน่า เท่าที่ข้ารู้ นอกจากเรื่องเวทมนตร์แล้ว เขาเก่งกาจทางการต่อสู้ประชิดตัวไม่แพ้ใครเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องดาบกับทวน ส่วนธนูข้าไม่เคยเห็นเขายิงหรอกนะ แต่ใครจะไปรู้ เขาอาจจะยิงธนูแม่นก็ได้”

“ฟังดูเหมือนท่านรู้จักเขามานานเลยนะเนี่ย”

“ก็พอดู สักยี่สิบปีได้แล้วล่ะ แต่ข้าไม่ได้เจอเขาบ่อยๆ หรอก เพราะเขาชอบออกเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง”

“เฮ้อ... ยังไงก็เถอะ ขอให้เราผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยไม่สูญเสียมากกว่านี้ก็แล้วกัน”

“นี่ มาร์คัส ท่านอย่าเอาแต่ยืนดูเฉยๆ สิ มาช่วยกันหน่อย” คาริกว่า มาร์คัสยักไหล่

“ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าทำเรื่องนี้ตัวคนเดียวได้สบาย ยังจะต้องให้ข้าช่วยอีกหรือ”

“แสดงน้ำใจหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ใช้คำพูดแบบนี้กับคนที่แก่กว่าเนี่ยนะ”

“....”

“ก็ได้ๆ ข้าจ้างเจ้ามาช่วยงานนะเนี่ย ไหงกลายเป็นข้าต้องมาช่วยเจ้าได้ล่ะเนี่ย”

แต่ยังไม่ทันทีมาร์คัสจะได้ลงมือช่วยอะไร ทหารอีกคนก็วิ่งมาหาเขา “เจ้าชื่อมาร์คัสใช่ไหม ท่านไอดิเอลให้มาตาม”

มาร์คัสหันมามองหน้าคาริกแล้วยักไหล่ “ข้าไปก่อนนะไอ้หนู แล้วจะถามเรื่องที่เจ้าข้องใจมาให้แล้วกัน”

“อืม ท่านไปเถอะ”

พอมาร์คัสคล้อยหลังไปแล้ว กัสจึงหันมาพูดกับเขา “นี่คาริก เจ้าไปรู้จักกับตาลุงคนนั้นได้ไง ดูแล้วเหมือนพวกเก็บซากไม่มีผิด”

“ก็ใช่ เขาเป็นพวกเก็บซาก” คาริกว่า “เขาไปว่าจ้างข้าที่สมาคมเมื่อเช้า ที่จริงแล้วเขาเป็นคนดีนะ ถึงจะดูมอซอไปหน่อยก็เถอะ”

“ข้าว่าเป็นพวกฉวยโอกาสมากกว่า เหมือนพวกแร้งน่ะ พอมีศพก็ต้องรีบรุมเข้าไปทึ้งเลย”

“เอาน่า มันก็เป็นอาชีพที่ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครไม่ได้ใช่หรือไง”

“แต่ก็น่ารังเกียจอยู่ดีนั่นแหละ”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง คาริกคงเห็นด้วยกับกัส แต่เพราะเขาได้พูดคุยกับมาร์คัสมาเกือบครึ่งวัน จึงพอมองเห็นมุมมองที่ต่างออกไป ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่ยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เวลาผ่านไปสักพัก มาร์คัสก็เดินกลับมา

“คาริก ท่านไอดิเอลอยากพบเจ้า มากับข้าด่วนๆ เลย”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินตามชายชราไปแต่โดยดี

ไอดิเอลยังคงอยู่ในห้องด้านหลังแท่นบูชา ถัดจากเขาคือนายกองแกเรียน จอมเวทเหลือบตาสีอำพันมามองชายหนุ่มแว้บหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-04-2021 09:11:23
“ที่จริงแล้วข้าไม่อยากจะลากเจ้ามายุ่งเรื่องนี้ แต่คิดอีกทีก็ดีกว่าให้คนดีๆ อย่างนายกองแกเรียนต้องถูกไฟย่างไหม้เกรียม เพราะงั้น ช่วยถอดเสื้อผ้าออกเดี๋ยวนี้เลย”

“เดี๋ยวๆ” คาริกร้องขึ้น “จู่ๆ ก็มาบอกให้ข้าถอดเสื้อผ้า ท่านคิดว่าตัวเองเป็นจอมเวทจะสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้หรือไง”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นจะกลับมาโจมตีที่นี่เมื่อไหร่” ไอดิเอลตอบ “ข้าต้องหาคนที่แน่ใจว่าสามารถเอาดาบไปปักบนหัวใจของมันได้”

“เอ่อ... คนนั้นไม่ใช่ข้าแน่ๆ” คาริกรีบปฏิเสธ “ก็เห็นๆ อยู่ว่าใครก็เข้าใกล้มันไม่ได้”

“ก็ใช่ แต่ด้วยเวทมนตร์ของข้า เจ้าก็สามารถเข้าใกล้มันได้”

“เรื่องนี้ท่านไม่เห็นจะต้องลากเจ้าหนุ่มนี่มาเลย” แกเรียนท้วงขึ้น “ข้าบอกท่านแล้วว่างานนี้ข้าจะเป็นคนอาสาเอง”

“ถ้าเจ้าอาสามันจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียว” ไอดิเอลว่า “เจ้าอาจจะเอาดาบเข้าไปปักบนหัวใจมันได้ แต่จะไม่รอดกลับมา”

“ก็ไม่เป็นไร ข้ายินดี เขายังเด็กอยู่ เขามีอนาคตมากกว่าข้าเยอะ”

ไอดิเอลถอนหายใจ “ถ้าไม่มีเจ้านี่โผล่มา ข้าจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าเลย แม้จะมีโอกาสที่เจ้าจะเข้าไปไม่ถึงหัวใจของมันก็เถอะ แต่ในเมื่อเจ้าเด็กนี่ก็โผล่มาแล้ว ข้าเห็นว่าเขาอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า”

“เดี๋ยวนะ ท่านจะเลือกอะไรก็ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจด้วย” คาริกขัด “ข้าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแกเรียนตรงไหน”

ไอดิเอลไม่พูดอะไร เขาคว้าไม้ฟืนที่กำลังลุกไหม้อยู่ในกระถางไฟโยนใส่คาริกทันที “เอ้า รับ”

“เฮ้ย ท่านทำบ้าอะไรเนี่ย” คาริกร้องก่อนจะคว้าท่อนไม้ติดไฟนั่นไว้ “เกิดพลาดไปโดนคนอื่นทำไง”

“เจ้าก็รับเอาไว้ได้นี่” ไอดิเอลว่า คาริกมองเขาด้วยความหงุดหงิด

“ท่านนี่ทำอะไรไร้เหตุผลชะมัด” พูดจบเขาก็เอาไม้ฟืนอันนั้นกลับมาใส่กระถางไว้เหมือนเดิม “เล่นอะไรอันตรายด้วย”

“เดี๋ยวนะ” มาร์คัสพูดขึ้นมา “คาริก... ขอดูมือของเจ้าหน่อยซิ”

ไม่รอให้เจ้าตัวตอบอะไร ชายชรารีบเข้ามาดึงมือของชายหนุ่มทันที ฝ่ามือของเขามีเพียงรอยแดงเล็กน้อย มาร์คัสถึงกับต้องขยี้ตา จากนั้นเขาก็เดินไปที่กระถางไฟ แล้วยื่นมือเข้าไป ก่อนจะถูกไอดิเอลเอาไม้เท้าฟาดมือดังโป๊ก

“โอ๊ย ท่านทำอะไร”

“เจ้านั่นแหละจะทำอะไร จะย่างมือตัวเองหรือไง”

“ก็ข้าเห็นเจ้าหนุ่มนี่รับไม้ฟืนติดไฟในนี้ได้ ข้าคิดว่าท่านเล่นตลกอะไรกับกระถางไฟนี่น่ะสิ”

ไอดิเอลทำหน้าเหนื่อยใจ “เจ้านี่บางทีก็ซื่อบื้อผิดคาดแฮะ ข้าไม่ได้เล่นตลกอะไรกับไฟนั่น ข้าแค่จะให้พวกเจ้าเห็นว่าเจ้าหนูนี่ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างพวกเจ้า หมอนี่มีร่างกายที่ทนกว่ามนุษย์ทั่วไป ไม่ใช่แค่ทนไฟอย่างเดียว ถ้าเป็นไปอย่างที่ข้าคิด ก็น่าจะทนต่อเวทมนตร์ทั้งหมดด้วย เพราะงั้นนะ ไอ้หนู ถอดเสื้อผ้าออก ข้าจะได้ทำการทดสอบให้แน่ใจ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกร้องอีก “ท่านจะทดสอบอะไรก็ทดสอบไป มันเกี่ยวอะไรกับเสื้อผ้าของข้าด้วย”

“เพราะข้าแน่ใจว่าเสื้อผ้าของเจ้าจะไม่ทนเหมือนเนื้อหนังของเจ้าน่ะสิ ถ้าไม่อยากวุ่นวายหาเสื้อผ้าใส่ทีหลัง ก็รีบๆ ถอดออกมาเร็วๆ ฝากมาร์คัสไว้ก็ได้”

“ตอนนี้ ต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ”

“เออ นี่ไม่ใช่เวลามาเหนียมอายนะ มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ไม่มีใครเค้าเอาเรื่องเจ้าไปโพนทะนาหรอกนา”

คาริกหันไปมองแกเรียน แล้วหันกลับไปมองมาร์คัส ฝ่ายนั้นเลยพยักหน้า “ก็ทำตามที่เขาว่าเถอะน่า เห็นอยู่ว่าเจ้ารับไม้ฟืนติดไฟได้ด้วยมือเปล่านี่นา”

“นี่ คาริก ถ้าเจ้าลำบากใจไม่ต้องก็ได้นะ” แกเรียนพูดขึ้น “ยังไงข้าก็อาสาทำเรื่องนี้อยู่แล้ว”

คาริกหันไปมองคนพูด แล้วถอนใจ “ถ้าท่านรับไม้ฟืนติดไฟด้วยมือเปล่าไม่ได้ ข้าอาสาทำเรื่องนี้แทนท่านดีกว่า” เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าพลางรำพึง

“เฮ้อ... ทำไมข้าต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะเนี่ย”

ร่างกายของคาริกแข็งแรงสมส่วนหาที่ติไม่เจอจริงๆ กระทั่งผู้ชายสองที่ยืนอยู่ในห้องก็อดจะมองด้วยความชื่นชมไม่ได้

“กล้ามเนื้อเจ้าสวยนะเนี่ย”

“อย่าพูดได้มั้ยเล่า ข้าอายนะเนี่ย” คาริกว่า เขาเหลือบไปมองไอดิเอล ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ได้รู้สึกชื่นชมอะไรกับร่างกายของเขา สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่มากกว่า

“นี่ ท่านใช้ให้ข้าถอดเสื้อแล้วก็ช่วยสนใจข้าหน่อยเถอะ”

ฝ่ายนั้นเลิกคิ้ว “อุตส่าห์ไม่มองคิดว่าเจ้าจะอาย ตกลงอยากให้ข้ามองหรอกหรือ”

“โอ้ ให้ตาย” คาริกนึกอยากเอาหน้ามุดพื้นจริงๆ “ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น... เฮ้อ... ช่างเถอะ แล้วข้าต้องทำอะไรต่อ”

“เอาล่ะ มายืนใกล้ๆ กระถางไฟนี่ ส่วนพวกเจ้าสองคนก็ถอยไปห่างๆ ถ้าไม่อยากถูกคลอกตายไปด้วย”

“เดี๋ยวๆ” ชายหนุ่มร้องอีก “ท่านจะจุดไฟเผาข้าหรือ”

“ใช่”

“ได้ไง เกิดข้าตายไปล่ะ”

“ไม่ตายหรอกน่า”

“บ้าเรอะ แค่ข้ารับไม้ฟืนติดไฟได้ไม่ได้หมายความว่าถ้าจะถูกไฟคลอกได้โดยไม่ตายนะ”

“ไม่ลองก็ไม่รู้น่า” ไอดิเอลว่า ไม่รอให้คาริกโต้ตอบอะไร เขาวาดไม้เท้าบนอากาศ ทันใดนั้นเปลวเพลิงขนาดใหญ่จากกระถางไฟพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มทันที

“โอ๊ย ร้อน จะฆ่าข้าหรือไง”

“ไหนลองอีกทีซิ” ไอดิเอลเสกไฟออกมาอีกครั้ง คราวนี้คาริกเดินมาคว้าไม้เท้าของเขาเอาไว้

“พอที หยุดเผาข้าตามใจชอบได้แล้ว”

ไอดิเอลพยายามดึงไม้เท้าออก เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามันไม่ขยับ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่สับลงไปบนแขนของอีกฝ่าย คราวนี้คาริกร้องโอ๊ยแล้วปล่อยไม้เท้าของเขาทันที

“ร่างกายของเจ้ามีความสามารถต้านทานเวทสูงจริงๆ แต่แค่นี้คงไม่พอสำหรับไฟของอิกเน่ ลาเชอร์ตาแน่ๆ ข้าจะต้องลงอาคมบนตัวเจ้าเพื่อให้ร่างของเจ้าทนไฟกว่านี้”

“นี่ เลิกพูดจาแบบมัดมือชกแล้วถามความสมัครใจของข้าหน่อยเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเห็นหัวข้าบ้าง เรียกชื่อข้าสักคำก็ยังดี”

“คาริก” ฝ่ายนั้นเรียกทันที เล่นเอาชายหนุ่มรู้สึกจุกๆ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าจะไม่ถามความสมัครใจของเจ้า แต่ถ้าเจ้ารับปากทำเรื่องนี้ ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ และข้ารับรองว่าเสร็จจากเรื่องนี้แล้วเราจะไม่พบเจอกันอีก”

“หืม... สิ่งที่ข้าอยากรู้หรือ”

“เกี่ยวกับความเป็นมาของเจ้า เหตุผลว่าทำไมจอมเวทบางคนถึงต้องตามหาเจ้า ไง... อยากรู้ไหม ถ้าอยากรู้ก็รับอาสาทำเรื่องนี้เสีย ข้าเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาอยู่กับเจ้าเท่าไหร่หรอก”

“ก็ได้ ข้ารับปากท่าน” คาริกพยักหน้า “ท่านต้องเล่าออกมาให้หมดเปลือก”

“แน่นอน ข้าไม่ได้อยากจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว” ไอดิเอลตอบ ก่อนจะหันไปหามาร์คัสกับแกเรียน “เป็นอันว่าข้าหาอาสาสมัครที่น่าจะทำงานนี้ได้สำเร็จได้แล้ว แกเรียน เจ้าออกไปสั่งคนให้เหลาเขาของแมกนิส คอร์นิบัสให้เป็นดาบเล่มยาวอย่างที่ข้าวาดผังให้ ส่วนเจ้า มาร์คัส ออกไปก่อน การลงอาคมใส่ตัวอันตรายมาก ถ้าไม่อยากให้มีใครถูกลูกหลงตาย ก็ปิดห้องนี้ไว้อย่าให้ใครโผล่เข้ามาจนกว่าข้าจะกลับออกไป เข้าใจนะ”

“ได้ ข้าจะจัดการให้” มาร์คัสรับปาก ก่อนจะหันมาหาคาริก “โชคดีนะไอ้หนู ข้าจะเก็บเสื้อผ้าไว้รอเจ้าก็แล้วกัน”

“เก็บดีๆ นะ อย่าไปทำเลอะล่ะ” คาริกตะโกนไล่หลัง พอประตูปิดลงแล้วก็เหลือเขากับไอดิเอลสองคน จอมเวทชี้นิ้วสั่งให้เขาไปยืนกลางห้อง

“นี่ ก่อนที่ท่านจะร่ายอาคมหรืออะไรนะ ตอบคำถามข้าก่อนได้ไหม”

“ไม่ได้”

“โอ๊ย ท่านเกลียดอะไรข้านักเนี่ย ข้าเองไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาจากอาคมของท่านมั้ย เล่าให้ข้าฟังก่อนตายไม่ได้หรือไง”

“เจ้าไม่ตายหรอกน่า...” ไอดิเอลว่า ก่อนจะถอนหายใจ “แต่เรื่องมันยาว ถ้าเจ้ารับอาคมของข้าได้ ข้าจะเล่าให้ฟังสักเรื่องแล้วกัน”

“เงื่อนไขเยอะชะมัด แปลว่าข้าต้องรอดมาให้ได้งั้นสิ”

“ก็บอกแล้วไงว่าเจ้าไม่ตายหรอก”

“ท่านแน่ใจแน่นะ”

“เออ”

“ก็ได้ๆ ข้าเชื่อใจท่านนะเนี่ย”

“อืม”

คาริกไปยืนกลางห้อง เขาเห็นไอดิเอลเริ่มร่ายเวทเสียงต่ำ ศิลาธาตุบนไม้เท้าและที่รัดศีรษะเปล่งประกายออกมา ขณะที่ร่างของเจ้าตัวแปรสภาพไปเป็นโปร่งใส แสงสีรุ้งสะท้อนไปมาผ่านร่างของเขาเกิดเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ จากนั้นละอองน้ำแข็งมากมายก็กระจายออกมา ก่อตัวลอยอยู่บนอากาศเป็นรูปร่างของอักขระต่างๆ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างของชายหนุ่ม คาริกรู้สึกเหมือนร่างกายถูกแช่แข็ง ความรู้สึกหนาวเหน็บแผ่ผ่านผิวหนังก่อนจะพุ่งเข้าสู่สมองและหัวใจของเขาอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นชายหนุ่มคิดว่าเขาต้องตายแน่ เขาอ้าปาก รู้สึกเหมือนลิ้นแข็งเป็นหิน รวมถึงร่างกายส่วนอื่นๆ ด้วย ได้ยินเหมือนเสียงของไอดิเอลดังอยู่ไกลๆ

“เฮ้... หายใจสิ”

คาริกพยายามทำตาม แต่ดูเหมือนแม้แต่ปอดของเขาก็อาจจะแข็งตัวไปแล้ว ความตายเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม จากนั้นความรู้สึกอุ่นวาบสายหนึ่งก็ไหลผ่านปากของเขา ชายหนุ่มรีบคว้าไว้ทันที เขาขยับปากรับความร้อนนั้นมาเหมือนกับคนกระหายน้ำ เหมือนทั้งลมหายใจและชีวิตกลับมาพร้อมกับความอบอุ่นสายนั้น

“เพี๊ยะ”

เสียงนั้นน่าจะดังไกลๆ อยู่สักสองสามครั้ง จนครั้งที่สี่คาริกถึงนึกได้ว่ามันดังอยู่บนแขนของเขานี่เอง พอครั้งที่ห้าถึงได้รู้สึกเจ็บ ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นมา แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นว่ามีหน้าของใครอีกคนอยู่ตรงหน้าเขา ในระยะประชิดมากๆ อีกเสียววินาทีต่อมาเขาถึงรู้ตัวว่ากำลังจูบอยู่กับใครคนนั้นโดยที่เขาเป็นฝ่ายจับศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย เจ้าตัวรีบผลักออกทันที

“ให้ตายเถอะ” ไอดิเอลยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปาก สีหน้าบอกชัดว่าหงุดหงิดเต็มที่ “มาร์คัสเอาตัวซวยมาให้ข้าจริงๆ”

“ท่านทำอะไรเนี่ย” คาริกร้อง เขายกมือขึ้นเช็ดปาก ไม่อยากเชื่อว่าตะกี้เพิ่งทำอะไรลงไป ไอดิเอลเหลือบตามองเขา

“ช่วยชีวิตเจ้าน่ะสิ ไม่นึกเลยว่าจะใจเสาะขนาดเกือบหยุดหายใจได้แบบนั้น”

“นี่ท่านเพิ่งแช่แข็งข้าไปนะ” คาริกร้องค้าน “ข้าไม่ตายก็บุญแล้วมั้ย”

ไอดิเอลสั่นศีรษะอย่างระอาใจ เขาโบกไม้เท้าอีกครั้ง ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่คาริก คราวนี้เจ้าตัวไม่ร้องโวยวาย แต่เดินอาดๆ เข้ามาหาเขาแทน

“เอาล่ะ บอกเลยว่าเวทมนตร์ของท่านได้ผล หยุดเอาไฟเผาข้าเสียที”

ไอดิเอลหลบฉากไปอย่างรู้ทัน เขาไม่ยอมให้คาริกคว้าไม้เท้าอีก จอมเวทพูดขึ้นต่อ “งั้นก็ดี ออกไปใส่เสื้อผ้าเสีย เราจะได้ซ้อมแผนขั้นต่อไป”

“ก่อนที่ข้าจะออกไปใส่เสื้อผ้า” คาริกว่า “ท่านจะต้องเล่ามาหนึ่งเรื่องตามที่สัญญาไว้ก่อน”

“....”

“จอมเวทผิดสัญญาได้ด้วยหรือ”

“เอาล่ะ เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร”

“ตกลงแล้วข้าเป็นตัวอะไรกันแน่”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก เขาเดินไปยืนพิงผนัง แล้วชี้ให้คาริกมายืนข้างๆ

“มายืนตรงนี้ เจ้าไม่ใช่ผู้หญิง แก้ผ้ายื่นจ้องหน้าข้าแบบนี้ยิ่งทำให้ข้าอารมณ์เสีย”

“ขอโทษนะที่ข้าไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นคงได้รับความเอ็นดูจากท่านมากกว่านี้แน่ๆ” คาริกพูดกระแนะกระแหน แต่ก็ยอมไปยืนข้างๆ โดยดี ไอดิเอลพูดต่อโดยไม่เหลือบมามอง

“นานมาแล้วมีหมู่บ้านหนึ่ง คนในหมู่บ้านมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์อันเป็นผลมาจากศิลาวิเศษที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ต่อมา หมู่บ้านนี้ถูกลบหายไปจากแผนที่พร้อมกับการระเบิดครั้งใหญ่ บริเวณที่ว่านี้ในยุคปัจจุบันเรียกกันว่าปากปล่องแห่งการสิ้นสูญ เวลาผ่านไปหลายร้อยปี ไม่เคยมีมนุษย์ปรากฏอยู่ที่นั่น กระทั่งมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งอพยพไปจากแผ่นดินใหญ่ และไปตั้งหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ พวกเขามีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่มักจะตายตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนพวกที่รอดชีวิตมาได้จนถึงวัยหนุ่มสาวจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์ทั่วไป และมีความตานทานต่อพลังเวทสูงอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน น่าเสียดายที่พวกนี้แม้จะรอดชีวิตจนถึงวัยเจริญพันธุ์ แต่พอถึงวัยกลางคนก็มักจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อถ้าไม่พิการก็เสียชีวิต จากการคาดเดาของข้า น่าจะเป็นผลมาจากพลังงานของศิลาที่ตกค้างอยู่ในบริเวณนั้น เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พบบนปากปล่องแห่งการสิ้นสูญจะมีลักษณะแบบนี้เกือบทั้งหมด คิดว่าเจ้าเองก็คงจะเป็นมนุษย์ที่เป็นผลพลอยได้จากปากปล่องแห่งการสิ้นสูญนั่นแหละ พวกเขามีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว โดยเฉพาะดวงตาสีม่วงที่ไม่พบในมนุษย์บนแผ่นดินทั่วไป”

คาริกอึ้งไปพักใหญ่ๆ “ท่านรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ไง”

ไอดิเอลเหลือบตามอง “ถ้าเจ้าอยู่มานาน ก็จะมีเวลาว่างพอที่จะรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ไปทั่วนั่นแหละ เอาล่ะ ข้าเล่าให้ฟังตามสัญญาแล้ว เจ้าก็ออกไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว เราจะได้เตรียมแผนขั้นต่อไป”

“เดี๋ยวสิ แล้วจอมเวทมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ข้าหมายถึง ทำไมพวกเขาต้องตามหาตัวข้าด้วย”

“ถ้าเจ้ารอดกลับมาข้าจะเล่าให้ฟัง” ไอดิเอลว่า “ตอนนี้ไปใส่เสื้อผ้า ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีกเยอะ อย่าเป็นตัวถ่วงโดยใช่เหตุ”

.......................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 02-04-2021 11:11:47
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่3 เวทมนตร์


คาริกออกมาจากห้องด้านหลังแทนบูชาก็เจอมาร์คัสยืนรออยู่ พอเห็นชายหนุ่มเจ้าตัวก็ยิ้มด้วยความดีใจ “นั่นไง ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องรอดมาได้”

“ก็คิดว่าเกือบตายเหมือนกันนั่นล่ะ” คาริกรับเสื้อผ้าจากมาร์คัสมาสวม เขารู้สึกเขินเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวที่นั่งพิงผนังอยู่ เลยลากมาร์คัสมาบังไว้

“เจ้านี่ขี้อายนะเนี่ย อย่าบอกนะว่ายังซิงอยู่” อีกฝ่ายแหย่ “เคยนอนกับสาวๆ บ้างหรือยัง”

“อย่าถามเรื่องนั้นน่า” คาริกหน้าแดงไปจนถึงหู มาร์คัสหัวเราะทันที

“แสดงว่ายังแน่ๆ ว้าว ไม่น่าเชื่อ อายุสิบแปดแล้วเจ้ายังไม่ลองนอนกับใครอีกเหรอ”

“หยุดพูดได้ไหม” คาริกรู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนยิ่งกว่าตอนถูกไอดิเอลอัดลูกไฟใส่เสียอีก “ข้าถือเรื่องนี้นะเนี่ย”

“ฮ่าๆ หนุ่มพรหมจรรย์หรือเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่ายุคนี้ยังเหลืออยู่อีก”

“หยุดเลยนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าท่านจริงๆ ด้วย”

“จ้าๆ กลัวแล้วๆ ฮ่าๆ แต่พอนึกแล้วอดขำไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย”

คาริกคว้าดาบมาจากมือของมาร์คัสแล้วหันไปทางอื่น “ไอดิเอลล่ะ”

“หืม เห็นเขาเดินแยกไปทางโน้น ไม่ได้นัดแนะอะไรกันไว้หรือไง”

“ไม่เชิง เขาบอกว่าให้ข้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ซ้อมแผนต่อไป ข้าไปหาเขาดีกว่า”

มาร์คัสรีบเดินตามไปทันที “เฮ้ๆ เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นรึเปล่า เหมือนก่อนหน้านี้เจ้ายังไม่อยากเจอเขาอยู่เลยนี่นา เล่าให้ฟังหน่อยสิ”

“มันก็ไม่มีอะไรหรอกน่า” คาริกว่า “เขาแช่แข็งข้า ข้าเกือบตายแต่รอดมาได้ก็แค่นั้นเอง”

“แค่นั้นหรือ”

“มีอะไรน่าสงสัยกว่านั้นหรือไง”

“ข้าได้ยินมาว่าจอมเวทเวลาถ่ายเทพลังจะต้องใช้การสัมผัสอย่างลึกซึ้ง ท่านไอดิเอลไม่ได้ทำแบบนั้นกับเจ้าหรอกหรือ”

คาริกเกือบสำลักน้ำลาย “วะ... ว่าไงนะ”

มาร์คัสหัวเราะชอบใจ “แสดงว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในห้องนั้นล่ะสิ”

ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “ท่านนี่เกินไปแล้วนะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้นทั้งนั้นแหละ นอกจากเขาแช่แข็งข้า อีกอย่าง เขาเหม็นขี้หน้าข้าจะตาย แต่ถ้าเปลี่ยนข้าเป็นเด็กผู้หญิงเขาจะต้องเอ็นดูข้ามากแน่ๆ”

“อืม... ก็จริงนะ ท่านไอดิเอลเป็นผู้ชายนี่นา”

“เพราะงั้นหยุดคิดอะไรบ้าๆ แบบนั้นทีเถอะ ถึงท่านแก่หน้าด้าน แต่ข้ายังไม่หน้าด้านแบบนั้นนะ”

“ก็ได้ๆ ข้ามันแก่อยู่ตัวคนเดียวมานานนี่นา อยากจะฟังอะไรที่มันตื่นเต้นบ้างก็แค่นั้นเอง อ้อ จริงสิ ท่านไอดิเอลเล่าเรื่องที่เจ้าสงสัยให้ฟังรึเปล่า”

“เล่า เขาเล่าให้ท่านฟังแล้วใช่ไหม”

“เปล่า เขาไม่ได้เล่า ข้าแค่เล่าเรื่องเจ้าให้เขาฟัง เขาเลยบอกว่าถ้าเจ้ามาถามเขาจะเป็นคนบอกเจ้าเอง”

“อ้อ...”

“เพราะงั้น เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ ว่าตกลงแล้วเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ เป็นมนุษย์เหมือนพวกเราใช่ไหม”

คาริกมองมาร์คัสแล้วถอนหายใจ “ข้าเป็นมนุษย์เหมือนท่านนั่นแหละ แต่เป็นเผ่าที่ดูเหมือนจะเกิดผิดที่ผิดทาง เขาว่าคนแบบข้าจะอายุสั้น พอถึงวัยกลายคนจะเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ไม่เป็นอัมพาตก็ต้องตาย”

“เฮ้ย ไม่จริงน่า”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่พิลึกล่ะนะ”

มาร์คัสตบไหล่เป็นเชิงปลอบ “มันอาจจะไม่แย่ขนาดนั้นก็ได้น่า เจ้าอาจจะเป็นพวกที่พิเศษในพิเศษอีกที ใครมันจะเกิดมาถูกกำหนดให้อายุสั้นทุกคนกันล่ะ”

“ขอบคุณนะที่ปลอบใจข้า เอาว่าตอนนี้เรามาตั้งเป้าหมายกำจัดเจ้าอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้นดีกว่า ท่านก็ได้ยินแล้วนี่ว่าเขาจะให้ข้าเป็นคนเอาดาบไปเสียบตรงหัวใจมัน ไม่แน่นะ เรื่องของข้าคราวนี้อาจจะกลายเป็นนิทานให้เล่ากันตามผับตามบาร์ก็ได้”

มาร์คัสฟังเด็กหนุ่มแล้วก็ให้รู้สึกสะทกสะท้อนใจ เขาตบไหล่คาริกอีกครั้ง “รีบไปเจอท่านไอดิเอลเถอะ ยังไงเจ้าก็ต้องไปทริโกเนียกับข้าเพื่อนั่งเรือเหาะไปเที่ยวนครเวหานะ ถ้าอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนี้ใหญ่มาก เผลอๆ เราอาจจะรวยเลยก็ได้”

“แล้วท่านจะจ่ายเงินค่าจ้างเพิ่มให้ข้าใช่ไหม”

“แน่นอน ข้าจะแบ่งส่วนแบ่งที่ได้มาให้เจ้าด้วย ถ้าเจ้าช่วยข้าหั่นมันน่ะนะ”

“ถ้าข้ารอดมาได้นะ”

“ได้สิ ท่านไอดิเอลไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอกน่า เขาเลือกเจ้าเพราะมั่นใจว่าเจ้ามีโอกาสรอดมากกว่าคนอื่นไม่ใช่หรือไง”

ชายหนุ่มนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า “นั่นสินะ... ขอบคุณนะที่ให้กำลังใจข้า”

.........................................

ไอดิเอลอยู่ที่ด้านหน้าวิหาร เขากำลังพิจารณาดาบยาวสีขาวเล่มหนึ่งอยู่ตอนที่ทั้งสองคนไปถึง พอเห็นคาริกเจ้าตัวก็เอ่ยทักทันที

“คาริก เจ้ามานี่ซิ ลองเหวี่ยงดาบเล่มนี้ให้ข้าดูหน่อย”

“ดีใจที่ได้ยินท่านเรียกชื่อข้านะเนี่ย” คาริกว่าก่อนจะเดินเข้าไปรับดาบเล่มนั้น “จบงานนี้ท่านจะเอาเรื่องของข้าไปเล่าให้คนอื่นฟังใช่ไหม”

ไอดิเอลทำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดต่อ “ไหนลองเหวี่ยงดาบให้ข้าดูหน่อย”

คาริกเหวี่ยงดาบให้ฝ่ายนั้นดู แล้วพูดต่อ “ใช้ได้รึเปล่า ว่าแต่ดาบนี่ทำจากอะไรน่ะ ดูแล้วน่าจะเป็นเขาสัตว์”

“เขาของแมกนิสคอร์นิบัส” ไอดิเอลว่า “ดีที่ในวิหารนี่มีอยู่คู่หนึ่ง เป็นของอย่างเดียวที่พอจะทนไฟของอิกเน่ ลาเชอร์ตาได้ เจ้าจะต้องใช้ดาบนี่แทงเข้าไปในหัวใจของมัน เอาล่ะ แผนเป็นแบบนี้นะ”

เขาใช้ไม้เท้าวาดลงบนพื้นทรายที่อยู่แทบเท้า “นี่คืออิกเน่ ลาเชอร์ตา มันเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟห่อหุ้มรอบตัว ความอันตรายระดับห้า และนี่คือส่วนหัว กะโหลกของพวกมันแข็งมาก เพราะเวลามันต่อสู้กันเองจะใช้หัวชนกัน ส่วนที่อ่อนแอคือหน้าอกที่อยู่ใกล้กับท้อง ปกติมันจะคลานสี่ขาให้ลำตัวแนบขนานกับพื้นดินเพื่อปิดจุดอ่อนนี้ ส่วนผิวหนังด้านหลังลำตัวด้านบนหนาเหมือนกับแผ่นอิฐ อย่าได้คิดจะเอาอะไรไปแทงทะลุเด็ดขาด จุดอ่อนเดียวของมันคือบริเวณหน้าอก และหัวใจของมันอยู่ตรงนี้”

“ท่านวาดภาพสวยมาก” คาริกว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่าจะต้องโจมตีที่ส่วนท้องของมันเท่านั้น แต่ท่านบอกว่ามันเดินสี่ขาเอาท้องแนบพื้น แล้วข้าจะแทงดาบใส่ตรงนั้นได้ไง”

“นั่นคือเรื่องที่ข้ากำลังคิด” ไอดิเอลว่า “ข้าคิดว่ามันถูกส่งมาที่นี่เพื่อค้นหาหรือทำลายอะไรบางอย่าง ตอนนี้ข้ากำลังให้แกเรียนไปสืบหาอยู่ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีใครเอาอะไรน่าสงสัยหรือผิดปกติเข้ามาในเมืองบ้างไหม ถ้าเราเจอสิ่งที่มันต้องการ เราจะใช้สิ่งนั้นล่อให้มันเปิดหน้าท้องออกมา”

“แล้วถ้าเกิดไม่เจอล่ะ” ชายหนุ่มถาม “สมมติว่ามันแค่มาอาละวาดเฉยๆ แล้วท่านจะทำยังไง”

“ข้าก็อาจจะเรียกเสาหินมากระแทกให้มันหงายท้อง” ไอดิเอลว่า “แต่ขอให้นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายเถอะ เวทมนตร์ที่เกี่ยวกับพื้นดินใช้พลังงานสูงมาก ไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้พร่ำเพรื่อ”

“แต่ถ้ามันจวนตัวจริงๆ ท่านจะใช้ใช่ไหม” คาริกถามย้ำ อีกฝ่ายพยักหน้า

“แน่นอน เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้มันอาละวาดแค่เพราะไม่อยากใช้มนตร์บทใหญ่หรือไง ฟังนะ หน้าที่ของเจ้าคือพยายามหาช่องว่างที่ข้าเปิดให้เพื่อแทงเข้าไปที่หัวใจของมัน เรื่องอื่นๆ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องเอามาคิด ไว้ใจข้า ข้าไม่เสียพลังลงอาคมบนตัวเจ้าแล้วปล่อยให้เจ้าเข้าไปถูกย่างสดโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาหรอก”

“ฟังแล้วใจชื้นมาก” คาริกว่า “แต่ถ้าให้ดีท่านต้องสัญญานะว่าจะเอาเรื่องของข้าไปเล่าเป็นนิทานสักบท จริงๆ นะ ถ้าข้าจะต้องตายวันนี้ก็อยากจะตายแบบเป็นนิทานหรือตำนานกับเขาบ้าง”

ไอดิเอลใช้ไม้เท้าตีหัวเขาดังโป้ก “ติงต๊องหรือไง ยังไม่ทันสู้ก็วางแผนตายแล้วหรือ อยากเป็นนิทานให้คิดก่อนว่าต้องรอด ใจเสาะแบบนี้ใครจะไปอยากฟังเรื่องเจ้ากัน”

ชายหนุ่มลูบหัวป้อยๆ “เออ ก็จริงของท่านแฮะ”

ไอดิเอลถอนหายใจ “ฟังข้านะเจ้าหนุ่ม ลืมสิ่งที่เจ้าได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับตัวเองไปซะ รู้อย่างเดียวว่าตอนนี้เจ้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะล้มสัตว์ร้ายตัวนั้นได้ มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะทำภารกิจนี้ได้ ข้าและคนอื่นๆ มั่นใจในตัวเจ้า เหมือนกับที่เจ้ามั่นใจในตัวเอง ทุกคนรวมถึงข้าจะช่วยเหลือและทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าเอาชนะมันได้และกลับมาอย่างปลอดภัย ไหนมองตาแล้วบอกข้าซิว่าเจ้ามั่นใจเหมือนอย่างที่ข้ามั่นใจ”

“....”

“ยังมีอะไรติดค้างอยู่อีกหรือไง”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็หน้าแดง อีกฝ่ายเลยถามต่อ “มีอะไรก็พูดมา ถ้าทำได้ข้าจะทำให้ ขอแค่เจ้ารู้สึกว่ามันจะทำให้เจ้ามั่นใจเต็มที่”

คาริกทำท่าอึกๆ อักๆ “เอ่อ... ข้าไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรจะบอกท่านนะ แบบว่ามันอาจจะเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ”

“ถ้าไอ้ความคิดชั่ววูบนั่นทำให้เจ้ารู้สึกมั่นใจได้ก็บอกข้ามาเถอะ”

“คือ... มันไม่ค่อยดีถ้าจะบอกต่อหน้าคนอื่นๆ นะ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วก่อนจะถอนหายใจ “อยากจะบอกข้าแค่สองคนใช่ไหม งั้นตามมา”

เขาเดินนำคาริกเข้าไปในวิหาร กลับไปที่ห้องด้านหลังแท่นบูชา แล้วปิดประตู “ตอนนี้ก็บอกข้ามาได้แล้ว รับรองว่าข้าจะปิดเป็นความลับไม่บอกใครแน่”

“เอ่อ... มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก” คาริกพูดต่อ เขาเหลือบมองหน้าไอดิเอลแล้วยกมือขึ้นเกาศีรษะ “ให้ตายเถอะ ทำไมข้าถึงเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ก็ไม่รู้”

“มันจะเกิดขึ้นมาได้ยังไงไม่สำคัญหรอก ขอแค่เจ้าแน่ใจว่ามันทำให้เจ้ามั่นใจก็พอ เวลามีไม่มากนะ ข้าไม่รู้ว่ามันจะโจมตีเข้ามาเมื่อไหร่ เจ้ารีบๆ คิดรีบๆ พูดออกมาจะดีกว่า”

ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็ยอมพูดออกมา “ท่าน... เอ่อ... คือ... จูบข้าอีกครั้งได้รึเปล่า”

“หา...”

“ขอโทษๆ ข้าคิดแล้วว่ามันต้องทำให้ท่านไม่พอใจ ข้าขอโทษแล้วกัน ถือว่าข้าไม่เคยพูดนะ” ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักพลางโบกไม้โบกมือขอโทษทันที ไอดิเอลก้าวเท้าเข้ามาหาเขา

“เดี๋ยว ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้าจูบ ตอบมาก่อน”

คาริกเงยหน้ามองเขาอึ้งๆ “กะ... ก็แค่รู้สึกว่าตอนที่ท่านจูบข้าในห้องนี้ เหมือนท่านพาข้ากลับมาจากความตาย คิดว่าถ้าท่านจูบข้าอีกทีจะเป็นการย้ำว่าข้าจะรอดกลับมาจริงๆ” ชายหนุ่มโพล่ง รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย เขาได้ยินเสียงไอดิเอลถอนหายใจ

“เข้าใจล่ะ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องร้อนรนขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรสำหรับคนวัยเจ้า”

“นี่ ข้าไม่ได้ตื่นเต้นเพราะว่าถูกจูบหรอกน่ะ” ชายหนุ่มยังพยายามปฏิเสธ ทั้งที่ตอนนี้หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำแล้ว

“เข้าใจแล้วน่า” ไอดิเอลว่า “ข้าสัญญา คาริก ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เจ้าตายในกองไฟนั่น”

“ข้า... ข้าต้องหลับตาไหม”

“ถ้ามันทำให้เจ้าสบายใจก็หลับเถอะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น คือ... ข้าอยากเห็นท่านด้วย เห็นดวงตาของท่านน่ะ ถ้าข้าลืมตา มันจะไม่ทำให้ท่านกระอักกระอวนใช่ไหม”

จู่ๆ ไอดิเอลก็ยิ้มบางๆ บนหน้า ก่อนจะสั่นศีรษะช้าๆ “เด็กเอ๋ยเด็ก”

เขาพูดแล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามา คาริกใจเต้นตุบๆ เขาเห็นดวงตาสีอำพันคู่นั้นกำลังมองมา ก่อนจะหลุบลงเล็กน้อย จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่บางและอุ่น สัมผัสที่ดึงเขากลับมาจากความตายอันน่ากลัว ชายหนุ่มประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณทันที ราวกับถูกดึงดูดให้กอบโกยทุกสัมผัสที่อยู่ในโพรงปากนั้น เขาจูบไอดิเอลเหมือนกับจะกลืนลงไป ให้แน่ใจว่าเจ้าตัวจะอยู่เคียงข้างเขาในทุกช่วงเวลาจริงๆ เหมือนเวลาจะผ่านไปนาน แต่อีกขณะก็เหมือนกับว่าผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ตอนที่ผละริมฝีปากออก นอกจากจะรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าวเหมือนกับไฟแล้ว มือของเขาที่สัมผัสอยู่บนใบหน้าของไอดิเอลยังรู้สึกอุ่นขึ้นอีกด้วย พอมองไปก็เห็นอีกฝ่ายหอบหายใจ

“ท่านเป็นอะไรรึเปล่า”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ ก่อนจะหันมาสบตาเขา “ไหนบอกข้าซิว่าเจ้ามั่นใจแค่ไหนที่จะล้มอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้น”

คาริกยิ้มออกมา “มั่นใจเท่ากับที่ท่านมั่นใจเลยล่ะ ข้าจะฆ่ามันให้ท่านเอง”

รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอดิเอล “ดี งั้นก็ไปกันเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก”

คาริกเดินตามออกไป แว้บหนึ่งเขาคิดว่าตัวเองอาจจะต้องมนตร์บางอย่างเข้าให้แล้ว แต่พอหวนนึกถึงสัมผัสที่เพิ่งผ่านพ้นไป และรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่าย ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่คือเขาจะต้องรอดกลับมาเพื่อสัมผัสริมฝีปากคู่นั้นอีกครั้ง

................................

แกเรียนเดินหน้าตื่นเข้ามาหาไอดิเอลทันทีที่เจ้าตัวเดินออกมาจากห้องด้านหลังแท่นบูชา เขาชูถุงกำมะหยี่สีเขียวใบหนึ่งขึ้น กลิ่นเหมือนหญ้าสดที่เพิ่งถูกตัดฟุ้งออกมาทันที

“ข้าเจอของสิ่งนี้ มีเด็กคนหนึ่งขโมยมาจากของคาราวานเมื่อสองวันก่อน เขาบอกข้าว่ามันเป็นไข่มังกร”

ไอดิเอลยกแขนเสื้อขึ้นโบกไล่กลิ่น “ถ้าไม่ใช่เรื่องเล่นตลก จากกลิ่นนี่ข้าขอเดาว่ามันเป็นไข่ของนูเบสโฟลิอุม” ขณะพูดเขาก็ฉวยถุงใบนั้นมาเปิดแล้วหยิบของข้างในขึ้นมา มันเป็นวัตถุรูปร่างเหมือนไข่ที่มีตะไคร่น้ำสีเขียวหุ้มอยู่

“ให้ตายเถอะ นี่มันไข่ของนูเบสจริงๆ” จอมเวทคราง “เจ้าว่าใครได้มายังไงนะ”

“มีเด็กคนหนึ่งขโมยมาจากกองคาราวานที่ผ่านมาเมื่อสองวันก่อน” แกเรียนพูดย้ำ “เท่าที่ข้ากับพวกทหารไล่สอบถามชาวบ้านที่อยู่ในวิหารนี่ ก็มีแต่ของสิ่งนี้แหละที่ผิดปกติ”

“นอกจากผิดปกติแล้วยังผิดกฎหมายอีกด้วย” ไอดิเอลว่า คาริกที่เดินตามมาถามขึ้น

“ในมือท่านนั่นอะไรน่ะ ไปได้มาจากกอหญ้าในแอ่งน้ำหรือไง”

ไอดิเอลหมุนตัวกลับมา ยื่นไข่ใบนั้นไปที่หน้าของคาริก อีกฝ่ายรีบเบือนหน้าหนีทันที “เหม็นชะมัด อย่างกับกลิ่นหญ้าสดเพิ่งถูกตัด แต่นี่มันฉุนมากๆ”

“มันคือไข่มังกร” ไอดิเอลตอบ ก่อนจะเอาไข่ใบนั้นใส่ถุงไว้เหมือนเดิม คาริกร้องขึ้นทันที

“ไข่มังกรหรือ ไหนว่าพวกมันอพยพไปยังดินแดนห่างไกลตั้งหลายร้อยปีแล้วไง”

“ก็ใช่ พวกมังกรขนาดใหญ่สายพันธุ์ดั้งเดิมอพยพไปอยู่ดินแดนห่างไกลตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ แต่ดูเหมือนบนแผ่นดินใหม่ นอกจากพวกสัตว์ร้ายแล้วก็มีมังกรสายพันธุ์ใหม่ถือกำเนิดขึ้นเหมือนกัน”

“ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาหรือไง” คาริกว่า “ดูเหมือนจะรู้มันไปทุกเรื่องเลย”

“ข้าเขียนหนังสืออนุกรมวิทานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในโลกใหม่ไว้หลายเล่มนะ ไว้มีโอกาสเจ้าก็ไปหาซื้อมาอ่านบ้างสิ จะได้เปิดหูเปิดตา”

“หา พูดจริงดิ”

“ท่านไอดิเอลน่ะเป็นจอมเวทที่มีชื่อเสียงมากนะ” แกเรียนแทรกขึ้นมา “ตำราเกี่ยวกับสัตว์ร้ายและประวัติศาสตร์เกินครึ่งเขาเป็นคนเขียน รวมถึงตำราทางการทหารด้วย”

ไม่รอให้คาริกพูดอะไร ไอดิเอลตบไหล่เขายิ้มๆ “ก็ไปหามาอ่านซะนะ ถ้าอ่านหนังสือไม่ออกก็ให้ใครสอนให้แล้วกัน”

“ข้าอ่านออกน่า” คาริกว่า ก่อนจะรีบพูดต่อ “สรุปว่านี่คือไข่มังกร แล้วมันมาอยู่นี่ได้ไง เกี่ยวอะไรกับเจ้าตัวติดไฟที่อาละวาดอยู่มั้ย”

“อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ได้” อีกฝ่ายตอบ “แต่ไข่นูเบสเป็นสิ่งหวงห้าม เป็นกฎหมายกลางที่ตกลงกันทั้งหกอาณาจักรว่าห้ามไม่ให้ล่าเพื่อขายซากหรือนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง สงสัยข้าจะต้องไปคุยกับเจ้าหนูที่ได้ไข่นี่มาสักหน่อยแล้ว”

พูดจบเขาก็เหน็บถุงไข่ใบนั้นไว้กับสายคาดเอว ก่อนจะสั่งให้แกเรียนนำทางไปพบเด็กคนดังกล่าว คาริกจึงต้องเดินตามไปด้วย

เด็กคนที่ว่าอย่างมากก็อายุไม่เกินสิบสาม ผอมกะหร่อง แต่ท่าทางกะล่อนน่าดู มาร์คัสกำลังนั่งคุยกับเขาอยู่ตอนที่ทั้งสามไปถึง พอเห็นไอดิเอลชายชราก็เอ่ยขึ้นทันที

“ท่านไอดิเอล ท่านเห็นไข่ใบนั้นแล้วสิ ข้าพนันกับท่านนายกองว่ามันเป็นไข่มังกร สรุปแล้วใช่ไหม”

ไอดิเอลเหลือบมองแกเรียนก่อนจะหัวเราะ “ใช่ มันเป็นไข่ของนูเบสโฟลิอุม เป็นมังกรขนาดเล็กที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาสูง กินกระแสพลังในอากาศเป็นอาหาร เจ้าเป็นคนหาไข่ใบนี้เจอสินะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 02-04-2021 11:12:04
“แน่นอน หน้าตาโหดๆ อย่างท่านนายกองน่ะไม่ทำให้เด็กๆ พวกนี้พูดได้หรอก ใครอยากจะไปบอกเรื่องไข่มังกรกับทหารกัน จริงไหม” เขาหันไปหาเด็กคนนั้น เจ้าหนูน้อยเหมือนจะพยักหน้าก็ไม่เชิง สั่นศีรษะก็ไม่ใช่

“เขาสัญญาว่าจะไม่ทำโทษข้า เขาว่าของที่ข้าเอามาทำให้เมืองต้องพินาศ”

“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่หรอก” ไอดิเอลว่า พลางย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กน้อย

“เจ้าชื่ออะไร”

“ริกกี้”

“เอาล่ะ ริกกี้ เจ้าไปได้ไข่นี้มาได้ยังไง ช่วยเล่าให้ข้าฟังให้ละเอียดได้ไหม เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเจ้าเล่าให้ข้าฟัง ข้าจะสอนเวทมนตร์ให้เจ้าหนึ่งอย่าง”

“พูดจริงหรือ”

“อืม จอมเวทไม่ผิดสัญญาหรอก”

ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกาย “ข้าได้ไข่ใบนี้มาจากพวกกองคาราวานที่แวะมาที่เมืองเมื่อสามวันก่อน พวกเขามาที่นี่ทุกสามสัปดาห์ ที่ข้ารู้เพราะพวกเขาชอบเอาของเกี่ยวกับมังกรมาขาย เป็นเขี้ยวมังกรบ้างล่ะ เกล็ดมังกรบ้างล่ะ ข้าชอบไปที่ร้านของพวกเขา ถึงจะแอบรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเขี้ยวหรือเล็บของสัตว์อื่นเอามาหลอกขายก็เถอะ”

“อืม... ข้าเข้าใจ ใครๆ ก็ตื่นเต้นเรื่องมังกรกันทั้งนั้น ใช่ไหมล่ะ” เขาหันไปหาคาริก อีกฝ่ายจึงรีบตอบ

“ก็คงอย่างนั้นแหละ ข้าเองก็อยากเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง”

“ใช่ไหมล่ะ” ริกกี้พยักหน้า “เมื่อต้นสัปดาห์นี้ข้าไปที่ร้านของพวกเขาอีก มีพวกเขาคนหนึ่งหยิบไข่ใบนี้ขึ้นมาอวดให้ข้าดู บอกว่ามันเป็นไข่มังกรของแท้ ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นไข่มังกรจริงๆ หรือเปล่า แต่พอข้ากลับมานอนคิดว่าถ้ามันเป็นไข่มังกรจริงๆ ล่ะ ถ้าข้าฟักมันออกมาข้าจะได้เป็นเจ้าของมังกรตัวนั้น มันต้องน่าตื่นเต้นมากๆ แน่ๆ วันรุ่งขึ้นข้าเลยไปหาพวกเขาแล้วถามว่าเขาขายไข่ใบนั้นเท่าไหร่”

“เจ้าตั้งใจจะซื้อไข่นี่เรอะ” มาร์คัสถามด้วยความประหลาดใจ ริกกี้พยักหน้า

“แน่นอนสิ ถึงท่านนายกองจะไม่ยอมเชื่อข้าก็เถอะ”

“เจ้าเด็กนี่ช่วยงานอยู่ในค่ายทหารของข้านี่เอง” แกเรียนพูดเสริม “สมัยก่อนเขาเป็นพวกเด็กเร่ร่อน ชอบลักเล็กขโมยน้อย จับพวกเขาทำโทษไปก็เท่านั้น ข้าก็เลยเสนอให้พวกเขาเข้ามาทำงานเบ็ดเตล็ด เก็บนั่นกวาดนี่ คิดว่าคงพอทำให้พวกเขาเลิกเป็นขโมยได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล”

“ข้าบอกท่านแล้วไงว่าที่จริงแล้วข้าตั้งใจจะซื้อไข่ใบนั้น” ริกกี้เถียง “แต่พวกนั้นกลับหัวเราะแล้วบอกว่าต่อให้ข้าทำงานให้ตายก็ไม่มีปัญญาซื้อไข่ใบนี้ได้หรอก ต่อให้คนของเราทั้งเมืองขายสมบัติรวมกันก็ซื้อไข่นี่ไม่ได้”

คาริกเลิกคิ้ว “อยากรู้เลยแฮะว่าพวกเขาตั้งใจจะขายมันเท่าไหร่”

“พวกเขาบอกว่าไข่ใบนี้มีคนสั่งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พอข้าจะขอจับพวกเขาก็ไล่ข้าออกมา น่าโมโหมั้ยล่ะ ข้าก็เลยคิดว่า ไหนๆ เจ้าพวกนั้นก็ไม่ยอมขายไข่ใบนั้นให้ข้า แถมยังดูถูกคนในเมืองเราอีก ข้าเลยแก้แค้นพวกมันด้วยการขโมยไข่ใบนั้นมาเสียเลย ให้รู้ว่าบางทีเงินก็รักษาของบางอย่างเอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน”

“บ๊ะ คำพูดนี้ของเจ้าถูกใจข้าแฮะ” มาร์คัสปรบมือ “เป็นมุกเด็ดที่สุดของหัวขโมยที่ข้าเคยได้ยินมาเลย”

แกเรียนทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่ถูกไอดิเอลชิงพูดขึ้นก่อน “แล้วพวกที่กองคาราวานได้บอกเจ้ารึเปล่าว่าใครเป็นคนสั่งให้หาไข่ใบนี้”

ริกกี้สั่นศีรษะ “เขาบอกแค่ว่าไข่ใบนี้ไม่ใช่แค่มีเงินก็ซื้อได้ ที่จริงแล้วข้ารู้สึกว่าพวกเขาอยากจะเก็บมันเอาไว้ขายเอง แต่ก็เหมือนว่าพวกเขากลัวที่จะเก็บมันเอาไว้เหมือนกัน”

“อืม... แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกเขากำลังจะเดินทางต่อไปที่เมืองไหน”

“ไม่รู้สิ ข้ารู้แค่พวกเขามาที่นี่ทุกสามสัปดาห์เท่านั้นเอง แต่พวกเขาจะไปไหนต่อข้าไม่รู้เลย”

ไอดิเอลพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ริกกี้เลยพูดต่อ “ข้าเล่าให้ท่านฟังหมดแล้ว ท่านพอใจรึเปล่า จะสอนเวทมนตร์ให้ข้าไหม”

“อ๋อ แน่นอน ข้าไม่ผิดสัญญาหรอก” ไอดิเอลว่า เขายกมือขึ้นมา คาริกถึงได้ทันสังเกตชัดๆ ว่าบนมือของไอดิเอลสวมแหวนทองคำที่มีหัวเป็นศิลาธาตุ เลยจากนั้นตรงข้อมือยังมีปลอกแขนทองคำที่ประดับอัญมณีสีต่างๆ เอาไว้น่าจะครบทั้งเจ็ดสี เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวตั้งใจจะอวดความร่ำรวยหรือว่าอะไรกันแน่

“ดูนี่นะ” เขาว่า จากนั้นบนปลายนิ้วของเขาก็เริ่มมีแสงเรื่อเรืองเปล่งออกมา “ข้าจะวางแสงนี่ลงบนหน้าผากของเจ้า จากนั้นเจ้าจะใช้มนตร์ได้บทหนึ่ง เจ้าอยากได้เวทมนตร์เกี่ยวกับอะไร”

“อืม... ขอเป็นเวทมนตร์ที่เสกอะไรให้กลายเป็นทองได้รึเปล่า ท่านมีใช่ไหม ท่านสวมแต่เครื่องประดับทองทั้งตัวเลยนี่นา”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม “เจ้าเข้าใจคำว่าเวทมนตร์ผิดไปแล้วล่ะ เวทมนตร์คือการสร้างภาพลวงตา ข้าอาจจะเสกใบไม้ให้กลายเป็นทองได้ก็จริง แต่มันก็แค่ชั่วคราว เมื่อมนตร์เสื่อมลงมันก็จะกลับเป็นใบไม้ดั่งเดิม เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งจีรังหรอก”

“งั้นทองบนตัวท่านก็เป็นแค่ใบไม้หรือ”

“เปล่า ทองนี่ของจริง ข้าใช้ความสามารถหามาได้ โลกนี้ทุกอย่างคือการแลกเปลี่ยน เจ้ามีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี ส่วนคนอื่นก็มีบางอย่างที่เจ้าไม่มี สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่แลกเปลี่ยน หรือก็คือซื้อขาย อย่างที่เจ้าพยายามจะซื้อไข่มังกรใบนั้นแหละ”

“เหมือนที่แกเรียนบอกข้าว่าถ้าเราอยากจะมีเงิน เราก็ต้องขยันทำงานและเก็บเงิน อย่างนั้นใช่ไหม”

“ถูกต้อง”

“อย่างนั้นข้าขอเวทมนตร์ที่ทำให้ตัวเองขยัน”

“พอมนตร์เสื่อมแล้วเจ้าก็จะกลับไปเป็นคนขี้เกียจงั้นสิ”

“อืม... งั้นก็เป็นเวทมนตร์ที่ทำให้ทุกคนชอบข้า ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวท่านต้องบอกว่าพอมนตร์เสื่อมทุกคนก็เกลียดข้าอีก เอ... เอาเวทมนตร์อะไรดีน้า” เขาเหลือบขึ้นไปมองแกเรียนที่กำลังจ้องเขม็งลงมา แล้วก็โพล่งอย่างนึกได้

“รู้แล้ว ขอเป็นเวทมนตร์ที่ทำให้ข้าหายตัวได้ดีกว่า ท่านมีใช่ไหม”

ไอดิเอลพยักหน้า “เจ้าต้องการเวทมนตร์ที่ทำให้หายตัวได้สินะ”

“ใช่ ข้าจะได้หายไปเวลาข้าไม่อยากจะให้ใครเห็น”

“ได้ ข้าจะสอนให้ แต่ก่อนที่จะสอนเจ้า ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าจะต้องรู้”

“อะไรอีกล่ะ ข้ารู้แล้วนะว่ามนตร์มันเสื่อมได้ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะหายตัวไปตลอดหรอก”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ไอดิเอลว่า “การใช้เวทมนตร์มีข้อแลกเปลี่ยน ทุกครั้งที่เจ้าหายตัว ชีวิตเจ้าจะสั้นลงหนึ่งวัน”

“หา ทำไมเป็นงั้น งั้นขอเป็นมนตร์บทอื่นที่ทำให้ข้าอายุไม่สั้นได้ไหม”

“ข้าบอกแล้วไง การใช้เวทมนตร์มีข้อแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเวทมนตร์อะไร เจ้าแลกด้วยเวลาในชีวิตของเจ้า”

“แล้วท่านล่ะ ท่านเป็นจอมเวทไม่ใช่หรือ ท่านใช้เวทมนตร์ได้ตั้งหลายอย่าง ทำไมท่านถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะ”

“เพราะข้าถูกสร้างขึ้นมาให้หยิบยืมพลังจากสิ่งอื่นมาเปลี่ยนเป็นพลังเวทได้น่ะสิ” ไอดิเอลตอบ “แต่เจ้าไม่ได้ การที่เจ้าจะข้ามจากคนธรรมดามาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ เจ้าจะต้องแลกด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้ามี นั่นก็คือพลังชีวิตของเจ้า เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแก้ไขได้”

“งั้น... ข้าไม่เรียนเวทมนตร์แล้วได้ไหม”

“ไม่ได้ เจ้าทำสัญญากับจอมเวทแล้ว ข้าไม่มีวันผิดสัญญา เจ้าเองก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสัญญาที่ทำกับข้าเอาไว้ได้”

เจ้าหนูน้อยริกกี้เงยมองแกเรียนอีกครั้ง นายกองจึงพูดขึ้น “ท่านไอดิเอล ข้าพอเข้าใจเรื่องสัญญาของจอมเวท ว่าแต่ท่านไม่มีข้อยกเว้นบ้างเลยหรือ”

“ใช่ๆ” คาริกเสริมขึ้น “ท่านเป็นคนเสนอขึ้นมาเองนะว่าจะสอนเวทมนตร์ให้เขา แต่ไม่ได้บอกเขาก่อนว่าจะต้องแลกด้วยอะไร แบบนี้ที่สมาคมของข้าถือว่าอธิบายรายละเอียดไม่หมด สัญญาจะถือเป็นโมฆะนะ”

“สัญญาในแบบของข้าถือความตกลงใจเริ่มแรกเป็นสำคัญ” ไอดิเอลตอบ “สัญญาของจอมเวทในบางสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดด้วยซ้ำ ข้ารับรู้ได้ว่าจิตใจของเด็กคนนี้ตกลงตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะฉะนั้นสัญญาได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ว่า...”

เขามองริกกี้ก่อนจะยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่ใช้พร่ำเพรื่อ มนตร์บทนี้อาจจะมีประโยชน์กับเจ้าในอนาคตนะ... ยกเว้นเสียแต่ว่าเจ้านึกอยากจะหายตัวไปขโมยอะไรหรือหนีใครอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเจ้าอยากจะยกเลิกสัญญา ก็ให้ตั้งใจจริงๆ ว่าจะยกเลิก ถ้าข้ารับรู้ข้าก็จะยกเลิกสัญญาที่ทำไว้ ลองคิดดูดีๆ แล้วกัน”

ริกกี้เม้มปาก แกเรียนจึงพูดขึ้น “เจ้ายกเลิกสัญญานี้เถอะ ริกกี้ เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเอาชีวิตของเจ้าไปใช้กับเวทมนตร์ มันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มกันเลย”

“แต่ถ้าวันหนึ่งมันมีประโยชน์กับข้า... กับท่าน กับคนอื่นๆ ล่ะ” เด็กน้อยย้อนถาม “ถ้าข้าไม่ใช้พร่ำเพรื่อ ข้าก็จะไม่อายุสั้นใช่ไหม” เขาพูดพลางมองหน้าไอดิเอล ฝ่ายนั้นพยักหน้า

“ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าเจ้าเกิดมาจะมีอายุไปถึงเท่าไหร่ แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น ที่ข้าควรบอกข้าก็บอกเจ้าแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจก็แล้วกัน”

“งั้นข้าตกลงเรียนเวทมนตร์หายตัวกับท่าน” ริกกี้ว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ว่านี่คือโอกาสที่ข้าควรจะคว้าเอาไว้”

“ดี” ไอดิเอลว่า “มองตาข้า ตั้งใจฟังมนตร์บทนี้ไว้ให้ดีนะ”

“อืม”

“สรรพสิ่งเป็นเพียงมายา โอ้ ตัวข้าพลันหายไป”

“แค่นี้หรือ”

“อืม นี่คือมนตร์เปิด ถ้าเจ้าอยากจะกลับมาปรากฏตัว ก็ให้ใช้บทปิด”

“ว่า...”

“เวทมนตร์เป็นเพียงภาพลวงตา โอ้ ตัวข้ากลับมาปรากฏกาย”

“ข้าต้องพูดออกมาด้วยใช่ไหม”

“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าสร้างตัวอักษรพวกนี้ไว้ในใจของเจ้า มันจะทำงานเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้ายังสร้างไม่ได้ จะใช้การท่องออกมาดังๆ ก็ได้เหมือนกัน”

“ตกลง งั้นข้าจะลองพูดออกมาก่อน”

ไอดิเอลยิ้ม “สำหรับครั้งแรกข้าจะให้เจ้ายืมพลังของข้า พลังชีวิตของเจ้าจะไม่ถูกดึงมาใช้ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”

“จริงหรือ”

“อืม”

“พอข้าแตะนิ้วลงไปบนหน้าผากของเจ้า เจ้าก็เริ่มท่องมนตร์นะ”

“อืม”

ไอดิเอลวางแสงบนนิ้วมือลงบนหน้าผากของเด็กน้อย ขณะที่เจ้าตัวเริ่มท่องคำมนตร์

“สรรพสิ่งเป็นเพียงมายา โอ้ ตัวข้าพลันหายไป”

ร่างของเด็กน้อยพลันหายวับไปทันที แกเรียนอุทาน “ริกกี้”

“ไม่อยากจะเชื่อ” มาร์คัสคราง “รู้จักกันมาตั้งหลายปี ท่านไม่เคยบอกข้าเลยนะว่าเวทมนตร์สอนกันได้ง่ายๆ แบบนี้”

ไอดิเอลหัวเราะ “ก็เจ้าไม่เคยขอร้องให้ข้าสอน”

“เอ่อ... ถ้าข้าหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบสามสิบปีก็อาจจะขอให้ท่านสอนตอนนี้เลยล่ะนะ แต่ข้าอายุปูนนี้แล้ว อย่าดีกว่า”

“อย่างน้อยๆ นั่นก็ทำให้เจ้ามีอายุมาได้ถึงปูนนี้ล่ะนะ” ไอดิเอลว่า แกเรียนพูดขึ้นอย่างร้อนใจ

“ท่านไอดิเอล ริกกี้จะกลับมาไหม ข้าเกิดเขาจำมนตร์ปิดไม่ได้ล่ะ”

“เรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก” ไอดิเอลว่า “หัวใจของเวทมนตร์คือความตั้งใจ ถ้าเขาอยากปรากฏตัวเมื่อไหร่ เขาก็จะปรากฏตัวออกมาเองนั่นแหละ”

“ถึงท่านจะพูดแบบนั้นก็เถอะ... บ้าชะมัด ข้าน่าจะห้ามเขาไม่ให้ทำสัญญากับท่านแต่แรก”

“จริงๆ แล้วท่านก็เป็นห่วงเขาใช่ไหมล่ะ” มาร์คัสว่า “ทำตัวดุไปแบบนั้นเอง ข้าว่านะท่านนายกอง ท่านน่าจะให้ความเชื่อใจเขาหน่อย เขารู้สึกผิดมากนะที่ท่านไม่ยอมเชื่อว่าเขาพยายามซื้อไข่มังกรใบนั้นมาก่อนที่จะตัดสินใจขโมยมัน”

“ข้าแค่ผิดหวัง ให้ตายเถอะ ข้าไม่ได้อยากให้เขาหายไปหรืออะไรแบบนั้น ข้าก็บอกเขาแล้วว่าข้าจะไม่เอาโทษเรื่องที่เขาทำ”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ท่านจะลงโทษเขารึเปล่า” มาร์คัสว่า “ปัญหาอยู่ที่ว่าท่านจะเชื่อใจเขาอีกครั้งรึเปล่าต่างหาก”

“เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องพิสูจน์” แกเรียนว่า “แต่ตอนนี้ช่วยปรากฏตัวออกมาได้ไหมริกกี้ ถ้ายังไม่ออกมาข้าจะถือว่าเจ้าพยายามหนีความผิดไม่สู้หน้าข้านะ”

“ข้าไม่ได้หนี” จู่ๆ เด็กน้อยก็พลันปรากฏตัวขึ้นมาข้างๆ “ข้าแค่อยากได้รับโอกาส”

ท่านนายกองหันไปมองก่อนจะย่อตัวลงนั่ง “เจ้าเด็กโง่ ข้าเคยบอกแล้วไงว่าโอกาสคนเราให้ได้แค่สามครั้ง เจ้าเพิ่งใช้โอกาสครั้งแรกไป ยังเหลืออีกตั้งสองครั้งนะ จำไม่ได้หรือไง”

ริกกี้พยักหน้า “ข้าจำได้ ท่านจะให้โอกาสครั้งที่สองกับข้าใช่ไหม”

“อืม”

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอีก”

“ก็หวังว่างั้นล่ะนะ” ไอดิเอลพูดแทรกขึ้นมา “ข้าเห็นด้วยกับแกเรียนว่าคนเราควรได้รับโอกาสแค่สามครั้ง...” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดต่อ เสียงนกหวีดฉุกเฉินก็ดังขึ้นมา ทั้งสี่คนหันมองหน้ากัน ก่อนที่แกเรียนจะโพล่งขึ้น

“มันมาแล้ว” เขาหันไปหาริกกี้ “ฟังนะ เจ้าจะต้องรักษาตัวให้ดี ช่วยอะไรที่เจ้าพอจะช่วยได้ แต่อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายเด็ดขาด”

“อื้อ ท่านเองก็รักษาตัวด้วยนะ”

ท่านนายกองลุกขึ้นยืน ไอดิเอลมองเขาแล้วพูด “นำไปเลย ศึกนี้เป็นของเจ้าแล้ว”

.......................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-04-2021 09:22:14
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่4 อิกเน่ ลาเชอร์ตา


คาริกไม่เคยอยู่ในสนามรบ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ที่เขาอยู่ห่างไกลจากชายแดน และสงครามก็เป็นเหมือนเรื่องเล่าในนิทานเสียมากกว่า ทว่าตอนนี้ เมื่อเขาก้าวออกมาด้านนอกวิหารพร้อมกับคนอื่นๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือเหล่าบรรดาทหารและชายฉกรรจ์ที่กำลังช่วยกันขนหินไปใส่ในเครื่องยิงหิน เสียงคนตะโกน เสียงรองเท้าและเครื่องมือกระทบกัน เหนืออื่นใด เบื้องหน้าวิหาร จุดแสงสว่างสีแดงเพลิงที่มองเผินๆ เหมือนกับเป็นแสงสีแดงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก่อนลาลับขอบฟ้า แต่ทว่ามันปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก ขณะที่ดวงอาทิตย์จริงๆ กำลังจะลาลับขอบฟ้าที่ด้านหลังของตัววิหาร เงาสีดำของยอดวิหารทอดยาวเหมือนดอกศร ชี้ตรงไปยังจุดสีแดงเพลิงที่กำลังขยับเข้ามาใกล้

“เตรียมตัวให้พร้อม รอฟังคำสั่งจากข้า” แกเรียนตะโกน เขาปีนขึ้นไปบนนั่งร้านที่ถูกต่อขึ้นชั่วคราวเพื่อที่จะได้มองเห็นสถานการณ์ได้ชัดขึ้น คาริกรู้สึกกระเพาะหดตัว ขณะที่ไอดิเอลแตะไหล่เขาเบาๆ

“หายใจลึกๆ ไว้ เจ้าหนู เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้อาจจะร้ายกาจก็จริง แต่ไม่ใช่คู่มือเจ้าหรอก”

ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ ไอดิเอลเหลือบตาสีทองมองเขา แล้วพูดขึ้นต่อ “ยังจำแผนที่ตกลงกันได้ไหม ทวนให้ข้าฟังอีกทีซิ”

“อื้อ จุดอ่อนของมันอยู่ที่หน้าท้อง ท่านจะล่อให้มันเปิดจุดอ่อนขึ้นมา ข้ามีหน้าที่เอาดาบนี่แทงลงไปที่หัวใจของมัน”

“ใช่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่เจ้าจะต้องทำให้สำเร็จคือการฆ่ามันให้ได้”

“อื้อ”

ไอดิเอลตบไหล่เขาอีกที “ไปกันเถอะ”

คาริกรีบก้าวเท้าตามจอมเวทไป เมื่อเห็นแผ่นหลังที่มีผ้าคลุมสีดำขลิบทองคลุมอยู่และเรือนผมสีเงินยวงที่สะท้อนประกายแสงแดดนั้นแล้ว เขาก็พลันนึกถึงฉายาที่มาร์คัสพูดถึง

“ประกายสีเงินเดียวดาย”

ไอดิเอลเบือนหน้ากลับมา ก็เห็นคาริกเร่งฝีเท้าเข้ามาขนาบข้าง

“นั่นคือฉายาของท่านใช่ไหม”

“อืม...”

“ข้าได้ยินว่าจอมเวทต้องมีผู้ช่วยอย่างน้อยหนึ่งคน แต่ท่านไม่มี บอกได้ไหมว่าทำไม”

“ข้ามี” ไอดิเอลว่า “อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็มีเจ้าหนึ่งคน ยังไม่นับพวกทหารที่อยู่ตรงวิหารนั่นอีก”

“ไม่นับสิ อย่างข้ามันเฉพาะกิจไม่ใช่หรือไง พวกทหารพวกนั้นก็เหมือนกัน เพราะท่านทำงานคนเดียวเลยได้ฉายาแบบนั้นมา เคยคิดอยากได้ผู้ช่วยประจำกับเขาไหม ข้าคิดไม่แพงนะ บอกเลย”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าของอีกฝ่าย “ไว้จะลองพิจารณาหลังจากผลงานของเจ้าคราวนี้แล้วกัน”

“พูดจริงนะ รู้สึกว่าถ้าได้ทำงานกับท่าน ข้าจะต้องได้เงินดีกว่าทำงานที่สมาคมแน่ๆ”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ก็ไม่อยากจะพูดตัดกำลังใจเจ้าตอนที่กำลังจะเข้าช่วงวิกฤติหรอกนะ แต่ข้าไม่รับเจ้าเป็นผู้ช่วยหรอก”

“ทำไมล่ะ”

“ข้าไม่เคยมีผู้ช่วย มันไม่คล่องตัว”

“ไปหาเอาดาบหน้ามันคล่องตัวกว่าตรงไหน”

“เจ้าไม่ใช่ข้าจะมารู้ดีไปกว่าข้าได้ไง”

“แปลว่าเสร็จงานนี้ท่านก็จะแยกตัวไปใช่ไหม”

“แน่นอน จำได้ว่าคนที่จ้างเจ้ามาคือมาร์คัสนะ ไม่ใช่ข้า”

“ก็ใช่ แต่ดูท่านน่าจะจ่ายงามกว่าเขานี่นา เครื่องประดับพวกนี้ของท่านน่ะ ดูแล้วซื้อเมืองเล็กๆ ได้สักเมืองเลยมั้งเนี่ย”

“เจ้ารู้ราคาขายเมืองหรือไง”

“ไม่รู้หรอก ก็แค่พูดเปรียบเทียบไปงั้นแหละ”

“งั้นก็หุบปากเถอะ แล้วก็หยุดเท้าด้วย”

“หา” คาริกชะงัก “ทำไมล่ะ”

“เพราะตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในรัศมีวงเวทที่ข้าวางเอาไว้แล้วน่ะสิ” ไอดิเอลตอบ คาริกมองไปรอบตัว

“ไม่เห็นจะมีวงอะไรเลย”

“อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยน่า ข้าไม่ได้วาดเอาไว้ให้เจ้ามองเห็นเสียหน่อย ตั้งสมาธิกับงานหน่อยเถอะ”

“ก็ทำอยู่นี่ไง ข้าประหม่านะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าจะต้องสู้กับสัตว์ร้ายระดับห้า ปกติข้าสู้แค่พวกก็อบลินธรรมดาเอง”

“อืม... ไม่เป็นไร แค่เจ้าฆ่ามันได้ก็พอ”

“ท่านดูจะไม่กังวลอะไรกับความด้อยประสบการณ์ของข้าเลยนะ”

“แน่นอน เรื่องนั้นข้าชดเชยได้ ถึงเจ้าจะเป็นพวกไก่อ่อนแต่ข้าไม่ใช่ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลไป ทำสิ่งที่เจ้าต้องทำ ที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง”

เสียงของไอดิเอลถูกกลบด้วยเสียงร้องคำรามเสียดหูอย่างที่คาริกไม่เคยได้ยินมาก่อน จากนั้นจุดสีแดงเบื้องหน้าก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จริงๆ ต้องบอกว่ามันกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็วจะถูกกว่า พออยู่ในระยะสายตา คาริกถึงตระหนักว่ารูปวาดกับความเป็นจริงนั้นเทียบกันไม่ติดเลย

รูปร่างของมันเหมือนกิ้งก่าสีแดง เปลวไฟที่ห่อหุ้มรอบตัวยิ่งทำให้มันดูน่ากลัวเข้าไปอีก เขาสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่พุ่งเข้ามาปะทะผิวหน้า ดวงตาสีเหลืองน่าเกลียดมองเห็นได้แม้จะมีเปลวไฟห่อหุ้ม มันคำรามเสียงลั่น ก่อนจะหยุดร่างลงห่างจากพวกเขาทั้งสองไปไม่ถึงสิบเมตร

ความเงียบงันเกิดขึ้นอึดใจ ก่อนที่ไอดิเอลจะพูดขึ้น “เจ้ามาเพราะสิ่งนี้ล่ะสิ”

เขาปลดถุงกำมะหยี่สีเขียวที่เอวออกมา เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นคำรามเสียงต่ำ “ส่งไข่นั่นมา... เดี๋ยวนี้”

“หา” คาริกร้องขึ้นทันที เขาหันไปหาไอดิเอล “ท่านได้ยินรึเปล่า นั่นคือมันกำลังพูดใช่ไหม”

“อืม”

“เหลือเชื่อ ข้าไม่รู้มาก่อนว่าสัตว์ร้ายระดับห้าจะพูดได้ด้วย”

ไอดิเอลไม่ตอบ เขาพูดออกไป “บอกข้ามาก่อนสิว่าเจ้านายของเจ้าเป็นใคร คนที่ส่งเจ้ามา ข้ารู้ว่าเขากำลังพูดผ่านเจ้าอยู่”

“ไข่... ส่งไข่นั่นมา”

“พูดไม่รู้เรื่องแฮะ ไว้ฆ่าแล้วค่อยถามทีหลังดีกว่า” ไอดิเอลว่า ก่อนจะหยิบไข่ออกมาจากถุง “อยากได้ก็เข้ามาเอาสิ อยู่นี่แล้วไง”

สัตว์ร้ายตัวนั้นพอเห็นไข่ประหลาดในมือของจอมเวทก็กระโจนเข้ามาทันที เสาน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากพื้นดินเสียบเข้าใส่ร่างที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง มันคำรามลั่น ขณะที่เสาน้ำแข็งเหล่านั้นระเหยเป็นไอไปอย่างรวดเร็ว หินถูกเหวี่ยงมาจากด้านหลัง กระแทกเข้าใส่ร่างของสัตว์ร้ายเหมือนห่าฝน

คาริกตื่นเต้นจนเหงื่อแตก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากอุณหภูมิโดยรอบที่สูงขึ้นด้วย ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกสอนให้เป็นคนกล้าหาญ ต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า ในวัยเด็กก่อนที่จะอายุสิบเจ็ด เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร มีเพียงสีตาที่ผิดแผกไปจากคนอื่นเท่านั้น รู้แค่ว่าตัวเองเป็นเด็กที่ถูกอาจารย์เก็บมาเลี้ยง เขาตั้งใจฝึกดาบ ตั้งใจที่จะอยู่ที่สำนักดาบไปตลอดชีวิต จนกระทั่งวันที่คนจากราชสำนักมาที่เมือง ชีวิตที่เขาคุ้นเคยก็พลันมลายหายไป เขาต้องหนีออกจากเมือง ไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองแข็งแรงกว่าคนทั่วไปแล้ว เขาเพียงแค่คิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะชีวิตที่อยู่อย่างยากลำบาก ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของเขา

ชายหนุ่มเช็ดมือกับกางเกง ก่อนจะดึงดาบออกมาจากด้านหลัง ขยับมือเพื่อกำมันให้กระชับ พลางจับตามองดูสัตว์ร้ายตรงหน้า

ตอนที่ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาเคยสร้างกำลังใจให้กับตัวเองว่าสักวันเขาจะกลายเป็นนักดาบที่ยิ่งใหญ่ สักวันเขาจะกลายเป็นตำนานที่มีคนเอาไปเล่าขาน เป็นนิทานที่เล่ากันตามหัวมุมถนนหรือในห้องอาหาร และตอนนี้ โอกาสก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

แค่เขาเอาดาบนี่ปักเข้าไปที่หัวใจของสัตว์ร้ายนั่น... แล้วเรื่องของเขาก็จะถูกเล่าขานออกไป...

.......................................

อิกเน่ ลาเชอร์ตาพยายามพุ่งเข้าหาไอดิเอล ด้วยขนาดตัวของมัน การที่จะเข้าถึงตัวจอมเวทนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องยาก ทว่าก้อนหินที่ถูกระดมยิงเข้ามา รวมถึงเสาน้ำแข็งที่พุ่งขึ้นทุกครั้งที่มันเหยียบเท้าลงบนพื้น ทำให้สัตว์ร้ายรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน การถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์ครั้งแรกทำให้มันตกใจจนต้องหนีไปหลบที่บ่อน้ำ แม้น้ำแข็งจะหายไปแทบจะในชั่วพริบตาที่สัมผัสกับเปลวไฟ แต่ไอเย็นกลับชำแรกเข้ามาตามเส้นประสาท มันทั้งเกลียดทั้งกลัวความรู้สึกนี้ ถึงอย่างนั้นสุดท้ายมันก็ต้องกลับมาเพื่อหาสิ่งที่มันต้องการ และตอนนี้สิ่งนั้นก็อยู่กับเจ้าจอมเวทนั่น

วงเวทที่ไอดิเอลเขียนไว้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับดักเวทมนตร์ที่พร้อมจะส่งเสาน้ำแข็งออกมาในทุกตารางนิ้วที่ศัตรูเหยียบลงไป ก้อนหินที่ถูกระดมยิงเข้ามาทำให้มันงุ่นง่านและขยับตัวได้ไม่สะดวก การที่เขามีสิ่งที่มันต้องการทำให้เจ้าสัตว์ร้ายนั้นไม่พุ่งความสนใจไปที่อื่น ที่เหลือก็แค่เปิดช่องว่างที่ถึงตายให้เจ้าเด็กหนุ่มนั่นลงมือ

จอมเวทเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มที่ชื่อคาริก แม้จะมีเรื่องตะขิดตะขวงใจหลายอย่าง แต่ความสามารถที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดของเจ้าหนุ่มคนนี้ทำให้เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้สวย เขาเห็นคาริกกำดาบเอาไว้ในมือ ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่น เจ้าตัวขยับตามมาโดยรักษาระยะโจมตีเอาไว้ แสดงว่ามีพื้นฐานทางดาบไม่เลว

ไอดิเอลขยับหลบการโจมตีของอิกเน่ ลาเชอร์ตาเป็นแนวโค้ง เพื่อรักษาระยะให้อยู่ในรัศมีของวงเวท ตามที่เขาคำนวณ ระดับน้ำใต้ดินน่าจะพอสร้างน้ำแข็งได้อีกหนึ่งถึงสองนาที แผนถูกวางเอาไว้แล้ว เหลือแค่รอจังหวะเหมาะๆ

คาริกพยายามขยับตัวมาอยู่ด้านหน้าของอิกเน่ ลาเชอร์ตา แม้จะทำได้ลำบากเพราะต้องคอยหลบเสาน้ำแข็งและก้อนหินที่ถูกเหวี่ยงมา แต่มุมนี้เป็นมุมเดียวที่เขาจะมีโอกาสโจมตีตอนที่มันยกตัวขึ้นจากพื้นได้

ไอดิเอลรอจนคาริกเข้ามาได้ระยะ เขาจึงหยิบไข่ใบนั้นขึ้นมา “เฮ้ นี่ไง สิ่งที่เจ้าต้องการ มาเอาสิ”

เขาโยนไข่ใบนั้นขึ้นไปบนอากาศ อิกเน่ ลาเชอร์ตาพุ่งเข้ามาทันที ด้วยความสูงเพียงแค่นั้นมันไม่จำเป็นจะต้องชะเง้อด้วยซ้ำ แต่แล้วจู่ๆ เสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมา กระแทกไข่ใบนั้นจนลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า มันรีบตะกายตามไปอย่างรวดเร็ว

คาริกไม่ปล่อยโอกาสนั้น เขาโถมเข้าไปโดยใช้กำลังทั้งหมดที่มี ปักดาบสีขาวลงบนหน้าอกของสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เปลวไฟพุ่งผ่านเขาไปโดยทิ้งไว้เพียงความร้อนจางๆ จากนั้นของเหลวที่ร้อนกว่าก็พุ่งออกมาจากแนวผ่าของดาบที่ไหลรูดลงไปตามน้ำหนักตัวของผู้ถือ อิกเน่ ลาเชอร์ตาแผดเสียงร้องลั่น มันพลิกตัวพยายามสลัดสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเหลือคณาบนหน้าอกออก ก่อนจะล้มโครมลงไปบนพื้น

คาริกรีบตะเกียกตะกายออกมา ร่างของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงดำที่กำลังเดือดเป็นไอ เขาเงยมองไข่สีเขียวที่กำลังร่วงหล่นลงมา ตั้งใจว่าจะพุ่งไปรับตัดหน้าไอดิเอลเผื่อว่าอีกฝ่ายจะประทับใจจนเปลี่ยนใจจ้างเขาในระยะยาว

ไอดิเอลโล่งใจที่เห็นว่าแผนของเขาประสบความสำเร็จ ส่วนไข่ของนูเบสโฟลิอุมนั้น ยังมีน้ำใต้ผิวดินเหลืออยู่พอที่เขาจะใช้สร้างตาข่ายเพื่อรับมันเอาไว้อย่างนุ่มนวล จอมเวทหันไปมองนักดาบ เห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องขึ้นไปบนท้องฟ้า วินาทีนั้นอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่น่าจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้วก็ขยับตัวพร้อมกับเหวี่ยงกรงเล็บลงมา

ฉึก

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-04-2021 09:22:30
คาริกรู้สึกงุนงงมากกว่าเจ็บปวด เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมจู่ๆ หน้าถึงคะมำลงบนพื้นดินแทนที่จะเงยขึ้นไปเพื่อเอื้อมมือรับไข่มังกรใบนั้น พอเงยหน้าอีกทีก็เห็นไอดิเอลวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตกใจ เขาอ้าปากจะพูด แต่กลับกลายเป็นสำลักของเหลวรสชาติคาวเฝื่อนที่ทะลักออกมาแทน ไอดิเอลถลันเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า ล้วงเอาเหรียญสีทองที่มีอัญมณีสีแดงเหมือนเลือดฝังอยู่ตรงกลางออกมาจากอกเสื้อ คาริกรู้ตัวทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาถูกโจมตีและกำลังจะตาย ชายหนุ่มยื่นมือไปข้างหน้า ไอดิเอลคว้ามือของเขาเอาไว้ แล้วกำลงบนเหรียญทองเหรียญนั้น

ความรู้สึกแปลบเหมือนถูกเข็มแทงสัมผัสได้ชัดบนฝ่ามือ ก่อนจะพุ่งวาบเข้าสู่กลางหัวใจ ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน คาริกแน่ใจว่าเขาต้องตายแน่แล้ว กระทั่งมีมือข้างหนึ่งฉวยมือของเขาเอาไว้

“กลับมา ข้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย”

เขาได้ยินเสียงตัวเองสูดหายใจเฮือกเหมือนคนเพิ่งโผล่ขึ้นจากการดำน้ำลึก ภาพแรกที่ปรากฏให้เห็นคือดวงตาสีอำพัน ตามด้วยน้ำเสียงถอนหายใจเฮือก

“กลับมาแล้วสินะ... เกือบไปแล้วเชียว”

คาริกยันตัวลุกขึ้น เขามองไปรอบๆ แล้วหันมาหาไอดิเอลอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้น”

“เจ้าถูกกรงเล็บของมันเจาะเข้าที่หน้าอก” ไอดิเอลว่า เขาใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้น ทว่ากลับเซจนเกือบล้ม คาริกรีบลุกขึ้นไปประคองทันที

“ท่านช่วยข้าไว้ใช่ไหม ข้ารู้สึกว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่ท่านดึงข้ากลับมา”

ฝ่ายนั้นพยักหน้า “ก็เกือบไปเหมือนกัน” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ช่วยหลบหน่อย ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้น”

“แต่... ท่านดูแย่มากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ใช้พลังมากไปหน่อย”

“ให้ข้าประคองไปแล้วกัน”

จอมเวทเหลือบตามองเขาแล้วหัวเราะ “เก้ๆ กังๆ เปล่าๆ น่า ข้าใช้ไม้เท้าช่วยไม่ล้มลงไปหรอก ถ้าอยากจะช่วยนะ ช่วยไปดูทีเถอะว่าไข่นูเบสเป็นยังไงบ้าง ข้ารู้ว่าไข่มังกรน่ะแข็งมาก แต่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นอาจจะแตกก็ได้”

“ช่างไข่ใบนั้นเถอะ” คาริกว่า “ท่านจะไปที่ซากของเจ้าสัตว์ร้ายนั่นใช่ไหม ข้าพาไปแล้วกัน”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เขาใช้แขนสอดเข้าไปใต้รักแร้ของอีกฝ่ายแล้วพยุงขึ้นทันที ไอดิเอลถึงกับหัวเราะออกมา

“อย่างนี้ก็ได้ พาข้าไปที”

คาริกประคองไอดิเอลไปที่ซากของอิกเน่ลาเชอร์ตา จอมเวทบอกให้เขามองหาส่วนหัว เมื่อเจอแล้วเขาก็บอกให้คาริกควักลูกตาของสัตว์ร้ายตัวนั้นออก

“ท่านจะเอาตามันไปทำอะไรเนี่ย” ถึงจะรู้สึกขยะแขยง แต่ชายหนุ่มก็ควักลูกตาสีเหลืองนั้นออกมา ไอดิเอลสั่นศีรษะ

“ข้าไม่ได้จะเอาลูกตานี่หรอก” เขาถลันไปที่เบ้าตากลวงโบ๋นั้น ถลกแขนเสื้อ แล้วล้วงมือเข้าไป คาริกเห็นแล้วถึงกับอ้าปากค้าง

“ทะ... ท่านทำอะไรเนี่ย”

“ข้ากำลังตรวจดูความทรงจำ ช่วยเงียบๆ หน่อย”

คาริกรีบหุบปากทันที เขารอจนกระทั่งไอดิเอลดึงมือออกมาจากกะโหลกเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้น แล้วจึงอ้าปากถาม “เอ่อ... ท่านได้อะไรบ้าง”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “แทบไม่เหลือความทรงจำอะไรเอาไว้เลย อาจเพราะพลังของข้าอ่อนแอมากก็ได้”

“ท่านรีบกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ข้าจะประคองท่านไปเอง”

“ไม่ เจ้าต้องพาข้าไปดูไข่นูเบสโฟลิอุมก่อน ข้าจะต้องรู้ว่ามันแตกหรือไม่แตก”

“ก็ได้ๆ” คาริกประคองไอดิเอลไปยังจุดที่เขาคิดว่าไข่น่าจะหล่นลงมา เศษเปลือกไข่ที่กระจัดกระจายทำให้ชายหนุ่มต้องถอนหายใจ

“มันแตกล่ะ...”

“อืม... เห็นแล้ว ข้ากำลังมองหาตัวอ่อนของมันอยู่”

“อาจจะจมอยู่ในดินไหม” คาริกพูดหลังจากมองหาอยู่พักก็ไม่เห็นอะไรนอกจากเศษเปลือกไข่ “มันหล่นลงมาสูงมากนี่นา”

“งั้นก็หาให้ข้าหน่อย”

“อืม ท่านนั่งลงก่อนแล้วกัน ข้าจะลองคุ้ยๆ ดูให้”

ไอดิเอลใช้ไม้เท้าประคองตัวเองนั่งลงกับพื้น ขณะที่คาริกแยกออกไปคุกเข่าควานหาสิ่งที่เขาคิดว่าจะเป็นซากที่หลุดออกมาจากไข่ใบนั้นใต้ผิวดิน

“ตัวอ่อนของมันจะเหมือนกับกองหญ้าเขียวๆ นะ เจ้าหาดูดีๆ อาจจะจมอยู่ใต้ดินสักที่ก็ได้”

“อ๊ะ ถ้าท่านพูดว่างั้นข้าว่าข้าเจอแล้วล่ะ” คาริกร้อง เขาประคองสิ่งที่เหมือนกับกองหญ้าเปียกๆ ขึ้นมาจากผิวดิน

“นี่ไง ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ตายนะ... ข้ารู้สึกเหมือนมันกำลังหายใจอยู่” คาริกคุกเข่าลงแล้วยื่นให้ไอดิเอลดู เจ้าตัวยื่นมือไปแตะมันเบาๆ

“อืม มันยังไม่ตาย โชคดีจริงๆ”

“แล้วเราจะทำยังไงกับมันดี เอามันไปปล่อยคืนถิ่นเดิมไหม”

“อาจจะ” อีกฝ่ายตอบ “คงต้องรอให้ข้าฟื้นตัวก่อนค่อยคิดเรื่องนั้นอีกที”

“นั่นสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหนดี ท่านอุ้มมันไว้ได้ไหม ข้าจะได้ประคองท่านกลับไปที่วิหาร”

“เอามาสิ” ไอดิเอลว่า คาริกเลยส่งเจ้าตัวประหลาดนั้นให้เขา จอมเวทรับมาแล้วก้มลงจูบมันเบาๆ

“เท่านี่ก็น่าจะไม่ตายแล้ว”

“ท่านนี่นะ” คาริกคราง “สภาพแย่จนจะนั่งไม่ไหวแล้ว ยังจะให้พลังกับคนอื่นอีก”

“แค่นี้ข้าไม่ตายหรอกน่า”

“มาๆ ให้ข้าพยุงท่านยืนก่อนแล้วกัน เราจะได้กลับไปที่วิหาร”

คาริกกำลังช่วยประคองไอดิเอลให้ยืนขึ้น เสียงฝีเท้าม้าก็ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของมาร์คัส

“เฮ้ ท่านไอดิเอล คาริก พวกท่านสองคนปลอดภัยใช่ไหม ข้าให้คนเอาแคร่มาแล้วนะ คิดว่าอาจจะต้องหามเจ้าคาริกกลับไป”

ไอดิเอลหันมากระซิบกับชายหนุ่ม “อย่าให้เขาเอาข้าลงไปนอนในแคร่นั่นเด็ดขาดเลยนะ”

คาริกอึ้งไปอึดใจก่อนจะรีบพยักหน้า “เข้าใจล่ะ ข้าจะรักษาหน้าท่านเอาไว้อย่างสุดความสามารถเลย”

มาร์คัสเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคาริกในสภาพแทบดูไม่จืดประคองไอดิเอลเดินเข้ามา เขารีบกระโดดลงจากม้าทันที

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ท่านไอดิเอลบาดเจ็บหรือ”

“นิดหน่อย” ไอดิเอลตอบ ม้าที่มาร์คัสขี่มาเดินเข้ามา คาริกจึงสังเกตเห็นว่ามันเป็นม้าขาวขนยาวที่เขาเห็นก่อนหน้านี้

“ไง อัลบุส” ไอดิเอลทักม้าตัวนั้น ก่อนจะหันไปหามาร์คัส “ข้าอยากจะได้ห้องเงียบๆ สักห้องเพื่อนอนพัก แล้วก็ช่วยพาเจ้าเด็กนี่ไปอาบน้ำ หาเสื้อผ้าใหม่ให้เขาใส่ด้วยนะ”

คาริกเลิกคิ้วแล้วก้มลงดูตัวเอง เขาร้องอุทานเมื่อพบว่าเสื้อผ้าไหม้ไปเกินกว่าครึ่ง พูดให้ถูกคือตอนนี้ที่ห่อหุ้มตัวเขาอยู่น่าจะเป็นเลือดและเนื้อเยื่อของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่ทะลักออกมาตอนที่เขาแทงมันด้วยดาบ

“นี่ เดินให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง” ไอดิเอลว่าเมื่อเห็นเด็กหนุ่มใช้แขนข้างหนึ่งประคองตัวเขาไว้ ส่วนอีกข้างก็เอาไปปิดเป้าตัวเอง คาริกทำหน้าม่อยๆ

“ข้าอายนี่ ขออะไรมานุ่งหน่อยไม่ได้หรือไง”

มาร์คัสหัวเราะ พลอยทำให้พลทหารอีกสองคนที่ตามมาหัวเราะไปด้วย เจอแบบนั้นคาริกยิ่งอยากเอาหน้าซุกแผ่นดิน ไอดิเอลทำหน้าเพลียๆ แล้วพูดขึ้นต่อ

“ข้าให้ยืมผ้าคลุมแล้วกัน”

“หา”

“เอาแขนออกก่อนสิ”

คาริกทำตามอย่างเก้ๆ กังๆ เจ้าตัวปลดตัวตัวล็อกสีทองที่ใช้ตรึงผ้าคลุมเอาไว้ออก แล้วรวบส่งให้ คาริกรับมาแล้วพูดขึ้นทันที

“หนักนะเนี่ย”

“หนักสิ” ไอดิเอลว่า “เอาไปนุ่งแล้วเราจะได้ไปกัน” เขาหันไปหามาร์คัส “เจ้าช่วยพยุงข้าขึ้นอัลบุสหน่อย”

“เอ่อ... ท่าทางท่านบาดเจ็บไม่น้อยนะ” มาร์คัสว่า “นั่งแคร่ไปไม่ดีกว่าหรือ สภาพแบบนี้ท่านอาจจะตกม้าลงมาก็ได้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้เจ้าคาริกนั่งไปด้วย ตัวใหญ่ขนาดนั้นคงใช้แทนพนักพิงได้หรอก”

“แต่...” มาร์คัสเหมือนอยากพูดอะไร เขามองไปที่ซากอิกเน่ ลาเชอร์ตา ไอดิเอลเลยนึกขึ้นได้

“จริงสิ ข้ายืมคนของเจ้ามาใช้นี่นา แต่ว่าข้ามีหลายอย่างจะต้องสะสางกับเด็กนี่ เจ้าให้พวกทหารช่วยไปก่อนได้ไหม ข้าจะบอกนายกองแกเรียนให้เอง”

“อ่า... ถ้าท่านเป็นคนออกปากล่ะก็ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลล่ะ” มาร์คัสว่า ก่อนจะรีบพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าข้างั้นงี้กับท่านนะ เราก็รู้จักกันมานาน ท่านรู้ว่าข้าไม่ใช่คนแล้งน้ำใจอยู่แล้ว”

“รู้แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า “มันเป็นงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเจ้า รีบๆ แล่ก่อนที่พวกสัตว์กินซากจะมาก็แล้วกัน”

“ครับ ข้าจัดการทางนี้เสร็จแล้วจะรีบแวะไปเยี่ยมขอบคุณท่านเลย”

“ไม่เป็นไร แค่ไม่พูดอะไรถึงข้าในทางเสียๆ หายๆ ก็พอแล้ว”

“โธ่ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นนะ”

“อืม” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ ก่อนจะหันไปหาคาริกซึ่งเอาผ้าคลุมพับครึ่งมานุ่งปิดท่อนล่าง แล้วพูด

“เอ้า พาข้าขึ้นม้าหน่อยสิ”

.............................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-04-2021 23:16:00
มาตามด้วยคนนน
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-04-2021 11:13:33
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่5 ความลับของจอมเวท


พวกทหารและชาวบ้านต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีเมื่อเห็นไอดิเอลกับคาริกขี่ม้ากลับมาที่วิหาร นายกองแกเรียนเดินมาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง

“อัศจรรย์มาก เจ้ารอดมาได้จริงๆ ไอ้หนู”

“ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าหนูนี่มีโอกาสรอดมากกว่าเจ้า” ไอดิเอลว่า ก่อนจะชักม้าให้หยุด แล้วหันไปบอกคาริกให้ช่วยพยุงเขาลงจากม้า แกเรียนพูดขึ้นต่อ

“ทั้งหมดนี้เพราะได้ท่านเป็นคนจัดการ ท่านไอดิเอล เอ๊ะ ท่านบาดเจ็บหรือนี่”

“เปล่า ข้าแค่ใช้พลังมากไป” ไอดิเอลตอบ พลางหันไปหานายกองวัยกลางคน “หาห้องพักเงียบๆ ให้ข้าสักห้องสิ ข้าต้องการพักผ่อนสักหน่อย แล้วก็หาเสื้อผ้าให้เจ้าหนูนี่เปลี่ยนด้วย”

“ครับ ได้เลย” เขาหันไปหาคาริกแล้วพูดด้วยความประทับใจ “ทำได้ดีนะเนี่ย เจ้านี่มีของดีซ่อนไว้จริงๆ”

คาริกหัวเราะเขินๆ “เพราะได้เขาช่วยต่างหาก” ชายหนุ่มหันไปทางไอดิเอล “ถ้าไม่ได้เขา ข้าก็คงไม่รอดเหมือนกัน”

“ไว้ไปชมกันเวลาอื่นเถอะ” ไอดิเอลว่า “พาข้าไปที่ห้องพักที ข้าเบื่อจะต้องให้ใครช่วยพยุงเต็มแก่แล้ว”

แกเรียนจึงรีบสั่งให้ทหารไปเตรียมห้องพัก คาริกจึงพยุงไอดิเอลเดินตามไป

ห้องพักอยู่ปีกด้านหนึ่งของวิหาร น่าจะเป็นห้องพักสำหรับนักบวชที่เฝ้าวิหาร พอถึงห้องไอดิเอลก็ล้มตัวลงนอนทันที

“นี่ท่านไม่คิดจะอาบน้ำหรือล้างมือหน่อยหรือ” คาริกว่า “ท่านล้วงมือเข้าไปในหัวสัตว์ประหลาดนั่นเชียวนะ”

“ไว้เจ้าอาบน้ำเสร็จค่อยมาช่วยเช็ดออกให้ข้าแล้วกัน คิดว่าสภาพข้าตอนนี้ไปอาบน้ำได้หรือไง”

“เอ่อ... ก็จริงน่ะนะ”

“รีบๆ ไปได้แล้ว ซักเสื้อคลุมข้าให้สะอาดด้วย อย่าให้ทองหลุดแม้แต่เส้นเดียวเชียวล่ะ”

“หา นี่ขลิบทองจริงๆ หรือ”

“ก็จริงน่ะสิ ไม่งั้นมันจะหนักขนาดนั้นหรือ”

ชายหนุ่มยื่นเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน “เอ่อ... ปกติแล้วใครซักให้ท่านน่ะ ให้คนมีประสบการณ์ซักไม่ดีกว่าหรือ”

“เจ้าเป็นคนทำมันเลอะก็ต้องเป็นคนซักสิ รับผิดชอบเรื่องที่ตัวเองทำบ้าง มันไม่หลุดง่ายขนาดนั้นหรอก แค่ระวังไว้หน่อยก็พอ”

“ก็ได้ๆ”

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็กลับมาหาข้าที่ห้องนี้ด้วย”

“เอ่อ... แล้วผ้าคลุมท่านล่ะ”

“ก็หาที่ตากไป พรุ่งนี้เช้าค่อยไปเก็บ”

“หือ ต่อให้ข้าซักทองไม่หลุดสักเส้น ตากไว้กลางแจ้งก็ต้องมีคนขโมยไปอยู่ดีนั่นแหละ”

“ไม่มีใครกล้าขโมยหรอก ถึงขโมยไปก็ต้องรีบเอามาคืนอยู่ดีนั่นล่ะ”

“ลงอาคมไว้หรือไง”

“ลงคำสาปไว้เลยน่ะ”

“อึ๋ย”

“เพราะงั้น รีบๆ ไปได้แล้ว เจ้ากับข้ายังต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาว”

“ตกลง ข้าจะรีบกลับมาแล้วกัน หวังว่าท่านจะยังตื่นอยู่ตอนนี้ข้ามานะ”

ไอดิเอลไม่ตอบ เพียงแค่แค่นหัวเราะดังหึ

........................................

คาริกไปอาบน้ำล้างตัวที่บ่อน้ำด้านหลัง คราบเลือดและเนื้อเยื่อของอิกเน่ ลาเชอร์ตาหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ เมื่อถูกน้ำ น่าอัศจรรย์ที่ผิวหนังเขาไม่มีรอยอะไรเลยแม้แต่รอยแดง พอลูบดูหน้าอกก็ไม่พบว่ามีบาดแผลอะไร แต่คาริกยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้

เขาต้องถูกเจ้าสัตว์ร้ายนั้นแทงด้วยกรงเล็บแน่ๆ ความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างเจาะทะลุร่างไปยังคงฝังลึกอยู่ด้านในอก แต่... ทำไมเขาถึงไม่เป็นอะไรล่ะ กลับกลายเป็นไอดิเอลที่ดูจะบาดเจ็บหนักแทน ทั้งที่เจ้าตัวแทบจะไม่โดนโจมตีถูกตัวเลยด้วยซ้ำ

เขานึกถึงตอนที่ไอดิลเอลคุกเข่าลงตรงหน้า ยื่นอะไรบางอย่างมาให้เขากำ พอแบฝ่ามือข้างนั้นออกก็เห็นรอยจุดสีแดงขนาดเท่าปลายนิ้วชี้ เหมือนรอยจ้ำเลือด คาริกแน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาไม่มีรอยแบบนี้มาก่อน คงเกี่ยวกับสิ่งที่ไอดิเอลให้เขากำแน่ ความรู้สึกเจ็บแปลบหวนกลับมาให้ห้วงสำนึก แต่พอลูบดูก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ชายหนุ่มรีบก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดร่างกาย คำถามทั้งหมดไอดิเอลคงตั้งใจจะตอบเขาด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงไม่สั่งให้เขากลับไปหาหรอก

ผ้าคลุมสีดำน่าจะทอมาจากขนสัตว์บางชนิดที่คาริกไม่รู้จัก มันเงาและกันน้ำ พอรวมกับน้ำหนักของด้ายทองที่ปักอยู่ที่ชายผ้า ทำให้น้ำหนักของมันมากกว่าเสื้อผ้าธรรมดา คาริกนึกแปลกใจที่สวมผ้าคลุมหนักขนาดนี้ ไอดิเอลยังสามารถขยับตัวได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะผ้าคลุมไม่ค่อยซับน้ำ ทำให้คราบสกปรกก็แค่เกาะอยู่ที่ผิวด้านนอก คาริกเอาน้ำล้างไม่กี่ครั้งคราบก็หลุดออกหมด เขาเลยสะบัดเบาๆ แล้วคิดว่าเอาไปผึ่งไว้ในห้องที่ไอดิเอลอยู่น่าจะดีกว่าตากเอาไว้ข้างนอก แกเรียนสั่งให้คนนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ เป็นเสื้อตัวในของพวกทหาร ถึงจะไม่พอดีเท่าเสื้อผ้าชุดเดิม แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรใส่ พอจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็รีบกลับไปหาไอดิเอลที่ห้องทันที

ฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว แต่ในห้องกลับสว่าง คาริกไม่รู้ว่าไอดิเอลลุกขึ้นมาจุดตะเกียงเองหรือมีใครมาจุดให้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ได้หลับ แค่นอนลืมตาอยู่บนเตียงเท่านั้น พอเห็นเขาเปิดประตูเข้ามาก็ส่งเสียงทัก

“รู้สึกเป็นไงบ้าง”

“ก็ดี ข้าซักเสื้อคลุมให้ท่านแล้วนะ เห็นว่ามันไม่ค่อยเปียกน้ำเลยคิดว่าเอามาผึ่งไว้ในนี้ดีกว่า”

“งั้นก็หาที่ผึ่งที่มันจะไม่ตกลงมาแล้วกัน ข้าไม่อยากให้มีกลิ่นเหม็นอับ”

คาริกนึกเถียงในใจว่าแทบจะไม่เปียกเลยแบบนี้ มันจะเหม็นอับได้อย่างไร แต่เขาก็ทำตามที่จอมเวทสั่ง ตอนแรกคิดจะแขวนเอาไว้กับตะขอแขวนเสื้อคลุม แต่ผ้าคลุมผืนใหญ่และหนักจนแขวนไม่อยู่ หลังจากพยายามหาที่ตากอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็จบที่การเอาเก้าอี้ในห้องสองตัวมาต่อกันแล้ววางผ้าคลุมไว้ด้านบน

“แบบนี้คงใช้ได้นะ”

จอมเวทพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก คาริกตากผ้าคลุมแล้ว ก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดคราบออกจากมือและแขนของไอดิเอล เช็ดจนเสร็จแล้ว ผ้าก็เอาไปซักตากแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ยอมพูดอะไร เขาเลยพูดขึ้นในที่สุด

“นี่... ไม่มีอะไรอยากเล่าให้ข้าฟังหรือไง ดูเหมือนท่านมีเรื่องอยากจะพูดกับข้านะ”

“ไอ้เรื่องน่ะมี แต่คิดแล้วก็รู้สึกว่าบางทีชีวิตนี่มันก็ตลกดี ขนาดข้ามีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว เรื่องบางอย่างคิดจะเลี่ยงสุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้”

“เอ่อ... ข้าคงไม่เข้าใจหรอกนะถ้าท่านไม่เล่ามาให้ละเอียดน่ะ”

ไอดิเอลถอนหายใจอีกครั้ง “ประมาณเกือบเก้าสิบปีก่อน ข้าเดินทางไปที่ปากปล่องแห่งการสิ้นสูญ เพราะได้ข่าวว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น เป็นที่รู้กันว่าปากปล่องแห่งการสิ้นสูญนั้นเกิดขึ้นหลังเหตุระเบิดครั้งใหญ่ ภายหลังการระเบิด สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่หรือถือกำเนิดใหม่ขึ้นมาล้วนมีสภาพพิกลพิการผิดปกติ ถือเป็นที่ที่ไม่มีมนุษย์เผ่าไหนอยากเข้าไปเฉียดกราย เพราะงั้นข้าถึงได้แปลกใจมาก พอไปถึงที่นั่นก็พบว่ามีจริงๆ แต่ควรเรียกว่าค่ายพักคนงานจะถูกกว่า ดูเหมือนมีชาวบ้านจากแถบชายแดนของอาณาจักรบูรพาบางกลุ่มคิดว่าการไปขุดหาแร่มีค่าที่นั่นเป็นวิธีการหารายได้ที่ดีกว่าการหากินในแผ่นดินใหญ่ และเนื่องจากการเดินทางไปกลับต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง พวกเขาจึงลงหลักปักฐานเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่นั่นเลย ตอนที่ข้าไปถึงพวกเขาไปตั้งหมู่บ้านอยู่ได้ราวสิบห้าสิบหกปีแล้ว แน่นอนว่าหลายคนมีสภาพร่างกายที่ผิดปกติ แต่รายได้จากการทำเหมืองแร่ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยอยากไปเสี่ยง”

“ข้าไม่อยากให้มีการลงหลักปักฐานของมนุษย์ที่นั่นเลยไปแจ้งต่อสภากลาง เนื่องจากปากปล่องแห่งการสิ้นสูญไม่ถือว่าเป็นเขตปกครองของอาณาจักรใดเลย การที่มีคนจากอาณาจักรบูรพาไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่นจึงทำให้เกิดข้อกังวลว่าทางอาณาจักรอาจอ้างสิทธิ์เหนือปากปล่องจากเหตุผลนี้ ดังนั้นเพื่อให้เป็นสถานที่ที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เช่นเดิม ทางสภากลางและหกอาณาจักรจึงได้ข้อตกลงร่วมกันว่าต้องอพยพคนออกมาให้หมด และให้แต่ละอาณาจักรจัดกองเรือมาผลัดกันลาดตระเวนเพื่อไม่ให้มีใครเข้าไปอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว ต่อมาหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวว่าเด็กที่เกิดจากชายหรือหญิงที่เคยไปที่ปากปล่องแห่งการสิ้นสูญมีสภาวะผิดปกติ พวกเขาจะเกิดมามีดวงตาสีม่วงซึ่งไม่เคยปรากฏให้เห็นในเผ่าพันธุ์ใดมาก่อน ข้าเลยไปที่อาณาจักรบูรพาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบ พบว่ามีสภาวะผิดปกตินั้นอยู่จริง หนึ่งในสามจะตายก่อนคลอดหรือหลังคลอดทันที ที่เหลือพออายุถึงสิบสองปีจะป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนพวกที่รอดมาได้จนถึงอายุสิบห้าสิบหก จะมีพัฒนาการทางกล้ามเนื้อสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า พวกเขาจะมีพลังกายที่แทบจะไร้ขีดจำกัด รวมถึงสามารถต้านทานพลังจากธาตุทั้งสี่ได้ดี แน่นอนว่าทนต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉบับพลันได้ด้วย แต่พออายุย่างเข้าสามสิบห้า เกือบทั้งหมดจะป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อเจริญผิดปกติ พิการแล้วก็เสียชีวิต เท่าที่ข้าจดบันทึกไว้ ไม่มีใครรอดเกินอายุสี่สิบสักคน”

“เรื่องนี้ท่านเล่าให้ข้าฟังคร่าวๆ แล้วตอนที่เราอยู่ในห้องด้านหลังแท่นบูชา” คาริกว่า “ก็ดีที่ท่านเล่ารายละเอียด แต่ที่ข้าอยากรู้คือเรื่องที่ทำไมข้าถึงยังอยู่ตรงนี้ หมายถึงข้าถูกเจ้าอิกเน่ ลาเชอร์ตานั้นโจมตีรุนแรงมาก ควรจะต้องบาดเจ็บไม่ใช่ไม่มีกระทั่งรอยถลอกแบบนี้สิ แล้วอะไรคือที่ท่านว่าอยากเลี่ยงแต่เลี่ยงไม่ได้”

“ก็กำลังจะเล่าอยู่” ไอดิเอลว่า “เจ้าดูสบายดีกว่าข้าเสียอีก จะทนฟังเรื่องยาวๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”

“ได้ๆ แต่ข้าขอนั่งได้ไหม ดูแล้วท่านน่าจะเล่าอีกยาวแน่เลย”

“อืม ตามสบาย”

คาริกหันซ้ายหันขวา เนื่องจากเก้าอี้สองตัวในห้องพักถูกเขาเอาไปทำที่ตากผ้าคลุมหมดแล้ว พอเห็นเจ้าตัวยืนหันแบบนั้น ไอดิเอลจึงพูดขึ้นต่อ

“มานั่งบนเตียงนี่มา”

“เอ่อ... จะดีหรือ ถ้าข้านั่งขอบเตียงก็เหมือนหันหลังให้ท่านนะ”

“งั้นก็มานอนข้างๆ ข้าเสียเลย ถ้าจะปัญหาเยอะนักน่ะ”

“คือ... ไม่ใช่แบบนั้น” คาริกรีบปฏิเสธ “ข้าขอตัวออกไปดูข้างนอกว่ามีอะไรพอจะเอามานั่งได้บ้าง”

“ไม่ต้องล่ะ” ไอดิเอลเรียกเขาเอาไว้ “ข้าว่า... ก่อนที่เจ้าจะให้ข้าเล่าอะไรหรือฟังอะไรจากข้าเนี่ย เจ้าควรจะช่วยข้าเรื่องการบาดเจ็บนี่ก่อน”

“จริงด้วย ท่านมีอะไรอยากให้ข้าช่วยไหม”

“มี ขึ้นมาบนเตียงก่อนสิ”

“หา”

“มาช่วยข้าถอดพวกเครื่องประดับนี่หน่อย คิดว่าข้าควรจะนอนทั้งแบบนี้หรือไง”

“เอ่อ... ก็จริงของท่านนะ”

คาริกปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างเก้ๆ กังๆ ไอดิเอลนอนอยู่ท่าเดิมตั้งแต่เขาพยุงเข้ามาส่งจริงๆ นอนยาวอยู่บนเตียง ไม่ห่มผ้า แทบจะไม่มีร่องรอยการขยับเลยด้วยซ้ำ นอกจากหันหน้านิดหน่อย กลอกตามามอง แล้วก็พูด

“จะบอกว่าท่านขยับตัวไม่ได้อีกเลยตั้งแต่นอนลงไปหรือ”

“ขยับได้แต่มันกินพลังงานสูงเกินไป” ไอดิเอลว่า “ให้เจ้ามาช่วยง่ายกว่าน่ะ”

“อืม... งั้นข้าคงต้องขอถอดรัดเกล้าท่านออกก่อนล่ะนะ เพราะดูแล้วน่าจะถอดง่ายสุด ถอดได้ใช่ไหม”

“อืม มันมีตัวล็อกอยู่ด้านหลัง กดเบาๆ ก็หลุด ถอดออกแล้ววางไว้ตรงโต๊ะข้างเตียงนั่นแหละ”

คาริกสอดมืออ้อมหลังศีรษะของไอดิเอล เขาพบว่าเส้นผมของฝ่ายนั้นแห้งกร้าน ไม่รู้ว่าเพราะแสงเทียนรึเปล่า แต่ดูเหมือนประกายสีเงินวิบวับเหมือนไหมเงินอย่างที่เขาเห็นตอบพบเจ้าตัวครั้งแรกหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน

“ผมท่านสากนะเนี่ย”

“ถ้าได้ถ่ายพลังเดี๋ยวมันก็ดีนั่นแหละ” ไอดิเอลว่า เขายกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้คาริกถอดรัดเกล้าออก รัดเกล้าทำจากทองคำส่งประกายเปล่งปลั่งในแสงไฟ แต่ที่สะดุดตาคงเป็นอัญมณีสีรุ้งที่ประดับอยู่ตรงกลาง

“รัดเกล้าท่านงามมากนะ ราคาน่าจะหลายอยู่”

“อย่าคิดจะขโมยไปขายเชียวล่ะ” ไอดิเอลว่า “ถึงคำสาปมันจะไม่ถูกเจ้า แต่คนที่รับไปจะต้องโดนแน่ๆ”

“โธ่ ข้ายังไม่ทันคิดไปถึงขั้นนั้นเลย แสดงว่าท่านสาปของทุกชิ้นบนตัวสินะเนี่ย”

“อืม... ขี้เกียจมาคอยปวดหัวว่าใครจะมาขโมยอะไรไปตอนข้าเผลอน่ะ สาปไว้เลยสบายใจกว่า”

“อยากรู้จริงว่าท่านสาปอะไรเอาไว้”

“ใครที่จับต้องของของข้าโดยที่มีเจตนาหวังขโมย มันจะต้องพบกับความวิบัติทันใด” ไอดิเอลว่า “แปลออกมาเป็นภาษาให้เข้าใจง่ายคือใครที่คิดจะขโมยของของข้าก็จะเจอดีจนต้องรีบเอามาคืนนั่นแหละ”

“อ้อ... อย่างนั้นข้าว่าพวกมือไวน่าจะต้องสะดุ้งเฮือกเลยล่ะ” คาริกตอบ ไอดิเอลยกมือข้างหนึ่งให้เข้า เจ้าตัวเลยช่วยปลดปลอกแขนทองคำกับแหวนที่สวมอยู่ออก

“เอาจริงนะ เครื่องประดับที่ท่านใส่อยู่เนี่ย น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ถามจริงเถอะว่าจอมเวทต้องใส่ทองหนักเต็มตัวเดินไปเดินมาทุกคนแบบนี้เลยหรือไง” คาริกถามหลังจากถอดปลอกแขนอีกข้างให้ไอดิเอลแล้ว อีกฝ่ายพยักหน้า

“ใช่ แต่จอมเวทส่วนใหญ่ไม่ออกเดินทางคนเดียวแบบข้าหรอก ก็จะพอมีที่เก็บหรือมีคนคอยช่วยเก็บอยู่น่ะ”

“ทำไมต้องใช้เครื่องประดับทองคำด้วย มีความหมายสำคัญ หรือแค่แสดงอำนาจกันล่ะ”

“ทองคำเป็นสื่อนำพลังเวทที่ดีที่สุด” ไอดิเอลว่า “เหมือนกับนักดาบต้องใช้ดาบที่ดีใช่ไหมล่ะ จอมเวทอย่างข้าก็ต้องใช้ของที่นำพลังได้ดีเหมือนกัน”

“อืม... พอเข้าใจได้แฮะ แต่ข้าคงไม่ใช้ดาบที่ทำจากทองคำแน่”

“ทองคำเป็นโลหะเนื้ออ่อน ไม่เหมาะเอาไปทำอาวุธหรอก” ไอดิเอลว่า คาริกยกมือเกาศีรษะ

“คือข้าไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น หืม...” เขาชะงักเมื่อปลดเอาสร้อยคอของอีกฝ่ายออกมา

“จริงสิ... นี่แหละที่ข้าจะถาม ตอนที่เราต่อสู้กับอิกเน่ ลาเชอร์ตา ตอนที่ข้าคิดว่าจะกระโดดไปคว้าไข่มังกรใบนั้นมาให้ท่าน แล้วข้าก็ล้มไป ท่านให้ข้ากำสร้อยนี่ใช่ไหม”

“เดี๋ยว ตะกี้เจ้าว่าอะไรนะ”

“ข้าว่า ท่านให้ข้ากำสร้อยเส้นนี้ใช่ไหม”

“ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้นน่ะ เจ้าบอกว่าอะไรนะ... จะกระโดดไปคว้าไข่มังกรหรือ”

“เอ่อ... ใช่” คาริกเกาศีรษะด้วยความเคอะเขิน “ข้าแค่คิดว่า ถ้าข้าคว้าไข่มังกรนั่นมาให้ท่านได้ มันจะทำให้ท่านประทับใจจนอาจจะตัดสินใจจ้างข้าเป็นผู้ช่วย”

“ให้ตาย” ไอดิเอลคราง “ถึงเจ้าไม่คิดจะคว้ามันก็จะหล่นลงมาโดยไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ข้าเผื่อตาข่ายน้ำไว้รับมันแล้ว”

“ข้าก็แค่อยากให้ท่านประทับใจ... แค่นั้นเองจริงๆ นะ ท่านต้องรู้ว่าค่าจ้างของข้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ข้าอยากได้งานดีๆ กับเขาบ้าง”

“งานดีๆ มันขึ้นอยู่กับฝีมือ” ไอดิเอลว่า “พวกเผ่ากลายพันธุ์อย่างเจ้าถึงจะอายุไม่มากแต่ส่วนใหญ่เป็นนักรบหรือนักล่าได้สบายๆ เจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนถึงถูกจ้างมาเป็นเด็กช่วยแบกซากกัน”

“ข้าทำงานอยู่ที่สมาคมคุ้มกัน”

“อย่างนั้นก็ควรจะได้งานดีๆ แล้ว ด้วยพลังขนาดเจ้าเนี่ยนะ ถึงโง่ขนาดไหนก็น่าจะสอบผ่านระดับสามได้สบายๆ”

“เอ่อ... ข้าไม่เคยไปสอบหรอก”

“อ่อ... ข้าคงลืมคิดเรื่องนี้สินะ ยังมีคนที่โง่ขนาดไม่ยอมไปสอบด้วยนี่นา... นี่ถ้ามจริงเหอะ อะไรดลใจให้เจ้าโง่ขนาดไม่ยอมไปสอบเลื่อนขั้นเนี่ย”

คาริกร้องขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว “นี่ หยุดด่าข้าว่าโง่ที ไอ้เหตุผลที่ข้าไม่ยอมไปสอบเลื่อนขั้นเนี่ยนะ มันมาจากท่านล้วนๆ เลย”

“เดี๋ยว” ไอดิเอลว่า “มันจะมาจากข้าได้ไง ในเมื่อข้าเพิ่งเจอเจ้าครั้งแรก อย่ามามั่วกันซึ่งๆ หน้านะ”

“ถึงมันไม่มาจากท่านโดยตรงแต่ท่านต้องมีส่วนแน่ๆ” คาริกว่า “ท่านรู้มั้ย ตอนข้าอายุสิบสี่ ข้าต้องหนีออกมาจากเมืองที่ข้าอยู่ คนที่ชุบเลี้ยงข้าสั่งให้ข้าหนีออกมาพร้อมกับสั่งกำชับให้ข้าหลีกเลี่ยงการเจอกับจอมเวทอย่างเด็ดขาด”

“แสดงว่าคนที่สั่งเจ้าเข้าใจความร้ายแรงของเรื่องนี้ดีมาก” ไอดิเอลว่า “ข้าบอกเลยว่านั่นเป็นคำสั่งที่ถูกต้องแล้ว ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าไม่ไปสอบเลื่อนขั้น”

“ก็เพราะข้าต้องไปสอบที่อาเปสไงเล่า” คาริกว่า “อาเปสเป็นเมืองหลวง เมืองหลวงมีจอมเวทประจำราชสำนักอยู่ ข้าไม่อยากเจอจอมเวทข้าเลยไม่ไปอาเปส ข้าก็เลยไม่ได้เลื่อนขั้นไง”

ไอดิเอลนิ่งไปพัก พอคาริกหันไปมองก็เห็นเจ้าตัวทำหน้าแบบที่บอกอยู่โต้งๆ ว่าอยากจะหัวเราะแต่ก็ลังเลว่าควรจะหัวเราะดีไหม

“นี่ท่านกำลังขำใช่ไหมเนี่ย หัวเราะออกมาเลยก็ได้นะ อย่าทำหน้าแบบนั้น เห็นแล้วข้ายิ่งรู้สึกหดหู่ยังไงก็ไม่รู้”

ไอดิเอลหัวเราะออกมาจริงๆ เขาหัวเราะอยู่พักใหญ่จึงพอจะหยุดได้ “โทษทีๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะคิดไปไกลขนาดนั้น อ่า... ถามจริงเถอะ เจ้าคิดว่าจอมเวทประจำราชสำนักจะต้องไปดูการสอบของสมาคมคุ้มกันที่อาเปส หรือเดินสวนกันง่ายๆ ตามถนนหรือไง มีใครเล่าอะไรให้เจ้าฟังรึเปล่าเนี่ย”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-04-2021 11:14:07
“ไม่มีหรอก ข้าคิดของข้าเอง แต่... ให้ตายเถอะ ที่ข้าคิดมันก็มีเหตุผลนะ ตอนที่ข้าหนีออกมาก็เพราะมีคนจากราชสำนักบูรพาไปที่หมู่บ้านของข้า อาจารย์ของข้าบอกว่าพวกเขามาตามคำสั่งของจอมเวทประจำราชสำนัก ท่านจะให้ข้าคิดไง ลองมองในมุมของข้าบ้างสิ”

“หา... จอมเวทประจำราชสำนักบูรพาส่งคนไปหาตัวเจ้าหรือ”

“อือ... ข้าคิดว่าอย่างนั้นนะ ถึงข้าจะเด็กมาก แต่เครื่องแบบของคนจากราชสำนักนี่ข้าจำขึ้นใจเลย”

ไอดิเอลอึ้งไปครู่ใหญ่ๆ คาริกจึงพูดขึ้น “เห็นไหม ข้าไม่ได้โง่หรืองี่เง่า เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอยู่ จริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิดอยากจะไปสอบเลื่อนขั้น ใครมันจะไม่อยากก้าวหน้ากัน”

“เอาล่ะ ตอนนี้ถือว่าข้าเข้าใจเหตุผลของเจ้าแล้ว เฮ้อ... ให้ตายเถอะ มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว เรื่องที่จอมเวทจากราชสำนักบูรพาส่งคนไปหาตัวเจ้าน่ะ”

“รวมแล้วก็น่าจะสี่ปีนะ อืม... สี่ปีนั่นแหละ”

“อืม... สี่ปี” ไอดิเอลทวน ก่อนจะฉวยมือของคาริกเอาไว้ “เจ้าต้องช่วยข้า ตอนนี้เลย”

“ข้าก็ช่วยท่านอยู่นี่ไง” คาริกว่า แล้วชูสร้อยทองในมือขึ้นมา “แต่บอกข้าก่อนว่าท่านให้ข้ากำสร้อยเส้นนี้ทำไม มันเกี่ยวกับที่ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่ด้วยใช่ไหม”

อีกฝ่ายพยักหน้า “เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอก มันก็เกี่ยวกันจริงๆ”

“ยังไง ท่านใช้เวทมนตร์อะไรกับข้าหรือ”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “เรื่องนี้แหละที่ข้าบอกว่าเรื่องบางอย่างถึงอยากเลี่ยงแต่ก็เลี่ยงไม่ได้”

“ช่วยอธิบายแบบที่ข้าเข้าใจด้วยได้ไหม”

จอมเวทถอนหายใจอีกครั้ง “จำที่ข้าสอนเวทได้เจ้าเด็กหัวขโมยนั่นได้ไหม”

“อือ ท่านบอกว่าเขาต้องใช้พลังชีวิตแลกมากับการใช้เวทมนตร์หนึ่งครั้ง”

“ใช่ นั่นคือในกรณีคนธรรมดา แต่ในฐานะจอมเวท ซึ่งมีร่างกายเสมือนภาชนะที่ใช้ถ่ายเทพลัง การใช้เวทแต่ละครั้งจะดึงพลังที่อยู่ในร่างของข้าออกไป ถ้าพลังถูกใช้ออกไปจนหมด ร่างของข้าจะแหลกสลาย จิตของข้าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นความทรมานชนิดที่เจ้าจินตนาการไม่ออกแน่นอน”

อีกฝ่ายร้องด้วยความตกใจ “หรือท่านใช้พลังตอนสู้กันไปจนหมด นี่ท่านกำลังจะตายใช่ไหม”

“บอกแล้วไงว่าข้ายังไม่ตายหรอก” ไอดิเอลว่า “แค่เสียพลังไปมากเท่านั้น”

“แล้ว... ต้องทำไง ท่านต้องนอนพักผ่อนเยอะๆ ใช่ไหม”

“จะทำอย่างนั้นก็ได้ล่ะนะ ถ้าข้านอนอาบแสงตะวันแสงจันทร์สักยี่สิบสามสิบปีคงพอจะได้พลังคืนมาทั้งหมด เฮ้อ... นี่ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟังทุกเรื่องเลยหรือไง เคยได้ยินเรื่องการถ่ายพลังของจอมเวทบ้างไหม”

“อ้อ... เรื่องนั้นเคยได้ยินอยู่นะ” คาริกว่า “เห็นว่าต้องใช้การสัมผัสแบบใกล้ชิด”

ชายหนุ่มพลันหน้าแดง เขาโพล่งขึ้นมาต่อ “เรื่องล้อเล่นใช่ไหม”

“เชื่อเถอะว่าคนที่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องล้อเล่นที่สุดก็คือข้านี่แหละ” ไอดิเอลว่า “ดูข้าสิ เพื่อให้ไม่ต้องถึงกาลแตกดับ ข้าจะต้องถ่ายพลังกับมนุษย์ แล้วต้องเป็นผู้ชายด้วย เรื่องเฮงซวยกว่าคือการที่ข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังแทนที่จะใช้มนตร์สักบทแล้วจบๆ กันไปนี่แหละ”

“มะ... หมายความว่าข้าต้องมีอะไรกับท่านหรือ”

“ใช่”

คาริกอ้าปากค้าง พอเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม จอมเวทก็ถอนหายใจด้วยความท้อแท้ “เอาล่ะ ถ้าเจ้าไม่เต็มใจข้าก็จะไม่บังคับ เพราะดูแล้วมันก็ชวนให้กระอักกระอวนกันทั้งสองฝ่าย ไปตามทหารหนุ่มๆ มาให้ข้าสักสี่คนแล้วกัน”

“สี่คน” คาริกทวนคำ “ท่านจะให้มาทำอะไรตั้งสี่คน”

“มาคนเดียวเดี๋ยวก็ตายสิ” ไอดิเอลว่า “เจ้าคิดว่าแค่เอากันเฉยๆ ก็จบหรือไง ข้าต้องดึงพลังชีวิตของพวกเขามาเป็นพลังของตัวเองนะ แล้วข้าเสียพลังไปขนาดนี้ เจ้าคิดว่าแค่คนเดียวมันจะพอหรือไง”

“โอ๊ย อะไรกันเนี่ย ท่านต้องนอนกับผู้ชายสี่คนเลยหรือ”

“เออ จะทำหน้าเดือดร้อนไปทำไม คนที่นอนน่ะคือข้าไม่ใช่เจ้าสักหน่อย”

“คือไม่ใช่อย่างนั้น... คือทำไมพอเป็นข้าท่านไม่พูดเลยล่ะว่าข้าจะตาย ตอนแรกท่านตั้งใจจะให้ข้าเป็นคนทำไม่ใช่หรือ”

“เจ้าจะตายได้ไง” ไอดิเอลว่า “เจ้าเป็นพวกกลายพันธุ์ที่มีพลังชีวิตเหลือเฟือนะ ถ้าปั๊มลูกทีก็คงติดแฝดสาม อีกอย่าง ตอนที่เจ้าถูกอิกเน่ ลาเชอร์ตาแทงด้วยกรงเล็บ ข้าต้องทำสัญญาเลือดเพื่อย้ายอาการบาดเจ็บมาอยู่ที่ตัวเอง เพราะงั้นตอนนี้เจ้ากับข้าใช้ชีวิตเดียวกันอยู่ มันก็เหมือนการถูแม่เหล็กสองอันเข้าด้วยกัน มันไม่ทำให้อีกอันกลายเป็นเหล็กธรรมดาหรอก”

“เดี๋ยวนะ ท่านบอกว่าท่านทำสัญญาเลือดเพื่อย้ายอาการบาดเจ็บมาอยู่ที่ตัวเองหรือ”

“ใช่ เจ้าคิดว่ารอดมาเพราะข้าเป่ามนตร์ธรรมดาหรือไง”

“งั้นท่านก็บาดเจ็บแทนข้าน่ะสิ”

“ถูกต้อง อยากดูไหมล่ะ บนอกข้าน่ะ”

คาริกเลิกอกเสื้อฝ่ายนั้นออก ก่อนจะอุทาน “เทพแห่งแสงโปรด นี่มัน...”

ช่วงอกของไอดิเอลทั้งหมดกลายเป็นสีดำคล้ำ เหมือนมีหลุมลึกขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนังของเขา คาริกยื่นมือไปแตะเบาๆ “เจ็บมากไหม”

“ไม่เชิง แต่ก็ไม่สบายเท่าไหร่”

ชายหนุ่มหลับตา เม้มริมฝีปาก “บอกข้ามาสิ ข้าต้องทำอะไรบ้าง”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “นี่ข้ายังจะต้องอธิบายอีกหรือ เอาล่ะ เพื่อไม่ให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่ายนะ ข้าจะนอนคว่ำหน้า ส่วนเจ้าก็ยัดไอ้นั่นเข้ามาในก้นข้า เงยหน้ามองเพดานนึกถึงสาวสักคนแล้วก็เอาๆ ให้จบๆ ไป”

“เดี๋ยวๆๆ” คาริกรีบใช้มือยุดร่างของไอดิเอลที่ทำท่าจะพลิกตัวคว่ำหน้าลง “ลวกๆ อย่างนั้นเลยนะ”

“ใช่ ยังจะต้องอธิบายอะไรอีกหรือไง”

“มันจะไม่ส่งเดชไปหน่อยหรือ ท่านบอกทุกคนแบบนี้หมดเลยหรือไง”

“ใช่ที่ไหนเล่า คนอื่นไม่ต้องเปลืองน้ำลายแบบเจ้านี่” ไอดิเอลว่า “แค่ร่ายมนตร์ก็จบแล้วไหม พวกเขามีความสุข ส่วนข้าก็ได้สิ่งที่ข้าต้องการ ส่วนเจ้าเนี่ยนะ... เป็นความซวยของข้าแท้ๆ เลย”

“เอ่อ... ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ข้าหมายถึง มันไม่จำเป็นต้องแย่ขนาดนั้นไหม เราทำกันดีๆ ไม่ได้หรือ”

“เจ้าเคยถูกผู้ชายเอาหรือไง”

“เปล่า”

“งั้นก็หุบปากไปเลย” ไอดิเอลว่า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ข้าพูดจริงๆ นะ เจ้าหลับหูหลับตาทำไปเถอะ ถึงข้าจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่ถ้าไม่มอง ข้าว่าตรงนั้นของข้าก็ไม่แย่หรอกนะ อย่างน้อยๆ มันก็ทำเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถ้ามันแย่จริงๆ คงไม่มีใครถึงหรอก”

“เอ่อ... ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยจริงๆ นะ” คาริกว่า “ข้าแค่ไม่อยากทำอะไรที่มันส่งเดช...” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก “จริงๆ เลยนะ ทำไมท่านถึงพูดเรื่องนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย ข้าว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมานะ”

“ผู้หญิงอ่อนหวานน่ารักที่เจ้าเคยนอนด้วยบอกเจ้าแบบนี้สินะ แต่เสียใจด้วยที่ข้าไม่ใช่ สำหรับข้ามันเป็นอะไรที่ต้องทำให้จบๆ แค่นั้นเอง”

“ให้ตายเถอะ” คาริกคราง “กับผู้หญิงข้าก็ไม่เคยด้วยซ้ำ ท่านจะเป็นครั้งแรกของข้านะ ช่วยสร้างบรรยากาศหน่อยไม่ได้หรือไง”

ไอดิเอลมองหน้าเขาเหมือนเห็นของแปลก “ว่าไงนะ... นี่ครั้งแรกของเจ้าหรือ”

“อือ... นี่... หยุดกลั้นหัวเราะเลยนะ ให้ตายเถอะ มันตลกนักหรือไง”

“เปล่าๆ” ไอดิเอลว่า แต่ก็ยังหลุดหัวเราะออกมา “ก็แค่รู้สึกว่า... ชะตาชีวิตคนเรานี่มันจริงๆ เลยน้า”

อีกฝ่ายส่งเสียงฉุนๆ “งั้นก็เชิญท่านหัวเราะให้พอเลย”

“ไม่เอาน่า... ในเมื่อมันเป็นครั้งแรกของเจ้า ข้าก็จะให้ความเอ็นดูสักหน่อยแล้วกัน”

คาริกยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เอ็นดูพอๆ กับที่ท่านเอ็นดูเด็กสาวๆ รึเปล่า”

จอมเวทหัวเราะอีก “กำลังจะไม่คิดเปรียบเทียบแล้วเชียว”

“นี่... ท่านเคยมีอะไรกับผู้หญิงมั้ย”

“ถ้าข้ามีได้คงไม่ต้องมานอนให้เจ้าเอาอย่างนี้หรอก”

ชายหนุ่มอึ้งไปอึดใจ “ขอโทษนะที่ถามแบบนั้น... ข้าขอจูบท่านได้รึเปล่า”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม “เรื่องแบบนั้นเวลาแบบนี้เขาไม่ถามหรือขอกันหรอก รู้ไหม”

“อืม” คาริกส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากของจอมเวท เขารู้สึกสะท้านใจเมื่อพบว่าริมฝีปากของฝ่ายนั้นแห้งผาก ราวกับว่าพลังที่เคยมอบให้เขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนได้ปลาสนาการไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว หากว่าการสัมผัสใกล้ชิดคือการถ่ายเทพลัง อย่างนั้นถ้าเขาสัมผัสริมฝีปากคู่นี้ซ้ำๆ ล่ะก็...

ไอดิเอลไม่เคยนึกชอบรสสัมผัสของการจูบกับผู้ชาย แม้ว่าในชีวิตหลายร้อยปีที่ผ่านมาของเขาจะมีเหตุให้ต้องจูบกับผู้ชายมากหน้าหลายตา แต่นั้นเป็นเพียงวิธีการร่ายเวทแบบหนึ่ง การสัมผัสใกล้ชิดและการร่วมสังวาส สำหรับเขาเป็นกิจกรรมเพื่อความอยู่รอดมากกว่าความสนุก หรือความพึงพอใจชั่วคราว เรื่องอารมณ์อ่อนไหวซับซ้อนกว่านั้นยิ่งตัดทิ้งไปได้เลย กระนั้นความพยายามของเด็กหนุ่มที่ดูตั้งใจจนน่าสงสาร ทำให้ไอดิเอลอดรู้สึกเวทนาไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจจูบตอบ

เหมือนการวางชิ้นส่วนที่ขาดลงไปบนแผงวงจร ทันทีที่ทำแบบนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็ไหลเข้าท่วมท้นคนทั้งคู่ ไอดิเอลยกมือขึ้นจับศีรษะของชายหนุ่มไว้ ทั้งคู่แลกจูบกับอยู่พักใหญ่ จนต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าการสัมผัสเพียงแค่นั้นยังไม่เพียงพอ เสื้อผ้าถูกถอดออกด้วยความเต็มใจ คาริกขยับร่างทาบทับร่างที่อยู่เบื้องล้าง ขณะที่ไอดิเอลตวัดมือโอบรอบคอของเขา ลูบไล้ลงบนแผ่นหลังกว้าง เสียงหอบหายใจดังอยู่ข้างหู คาริกจูบริมฝีปากของจอมเวทอีกหลายครั้ง ก่อนจะขับไปที่ที่ข้างหู ซอกคอ เขาสอดมือข้างหนึ่งไปโอบเอวของอีกฝ่ายไว้ แล้วใช้มือยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนไหล่ ด้วยท่าทางแบบนั้นทำให้ไอดิเอลต้องใช้มือข้างหนึ่งยันเตียงนอนเอาไว้ เขาผงกศีรษะขึ้นมา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ว่าขนาดของอีกฝ่ายไม่ใช่อย่างที่เขาเคยเจอเลยจริงๆ

“เจ็บหรือ” คาริกพูดเสียงพร่า ไอดิเอลอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยกมือตบหน้าผาก

“ไม่เป็นไร ใส่เข้ามาเถอะ”

แต่พออีกฝ่ายดันเข้ามา จอมเวทถึงกับต้องพลิกหน้าไปกัดปลอกหมอนเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียง ถึงคาริกจะอยากใส่ให้สุด แต่พอเห็นสภาพที่ดูเหมือนทรมานมากของฝ่ายนั้นก็ต้องถามขึ้นอีก

“ท่านไม่เป็นไรแน่นะ”

ไอดิเอลเหลือบตาสีอำพันมองคนถาม ก่อนจะพูดทั้งที่ยังกัดปลอกหมอนอยู่ “ข้าไม่ตายหรอกน่า”

คาริกขบริมฝีปาก แล้วดันเข้ามาจนสุด ไอดิเดลกัดปลอกหมอนแน่น สองมือดึงทึ้งผ้าปูที่นอนจนยับย่น พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป เขาก็ต้องพูดขึ้นมาอีก

“ลังเลอะไรอยู่เล่า รีบๆ ทำให้เสร็จๆ สิ”

คำตอบที่ได้อย่างฉับพลันคือการกระแทกที่รุนแรงจนไอดิเอลต้องคายปลอกหมอนแล้วร้องครางออกมา พลังงานจำนวนมากถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของเขา แต่ดูจะยังห่างไกลจากคำว่าพอ

สัญชาตญาณที่ถูกกระตุ้นเต็มที่ทำให้คาริกคิดอะไรได้ไม่มาก เขาได้ยินเสียงไอดิเอลร้องคราง มือสองข้างกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น ส่วนล่างขยับขึ้นลงรับจังหวะกระแทกของเขา ยิ่งนานยิ่งเหมือนอีกฝ่ายยิ่งทวีความต้องการมากขึ้น ทุกจังหวะขยับยิ่งเพิ่มการบีบรัด ก่อให้เกิดความหฤหรรษ์ที่ยากจะต้านทาน เขาใช้สองมือจับเอวของไอเอลเอาไว้ แล้วประดังประเดความต้องการทั้งหมดที่มีใส่ร่างของอีกฝ่ายแบบไม่ยั้งแรง จุดสุดยอดมาถึงอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ทุกอย่างขาวโพลนไปชั่วขณะ จากนั้นก็เหมือนเขาถูกเหวี่ยงไปอีกโลกหนึ่ง

สถานที่นั้นขาวโพลนด้วยกระดูกที่กองสูงเหมือนภูเขา ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำคล้ำ ผืนดินข้างล่างเจิ่งนองไปด้วยธารเลือดเป็นทางยาว ที่อยู่บนยอดของภูเขาแห่งความตาย คือร่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เรือนผมสีดำ และดวงตาสีเขียวที่ทอประกายเรื่อเรืองก่อให้เกิดความสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาว พอหันมาเห็นเขาก็แสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยวสีเหลืองแวววาวในปาก

“จงมาร่วมกับข้า บุตรผู้เกิดจากศิลาแห่งชีวิต ในฐานะผู้ถือกำเนิดพร้อมกันกับโลกใบนี้ และบุตรแห่งพระมารดา อีกไม่นานข้าจะตื่นขึ้นและนำทัพแห่งความมืดเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เทพแห่งแสงได้สร้างไว้ แสงสว่างจะต้องล่าถอยไป แผ่นดินจะกลับมาสู่ความมืดมิดอีกครั้ง”

ฝ่ายนั้นยื่นมือที่มีกรงเล็บยาวน่ากลัวเข้ามาหา คาริกผงะถอยหลัง แล้วก็รู้สึกเหมือนใครบางคนกระชากเขาออกมา

“เฮือก”

คาริกสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่ามีมือของใครบางคนจับหน้าเขาเอาไว้

“นี่ ตั้งสติไว้”

ชายหนุ่มจับมือคู่นั้นไว้ทันที ก่อนจะเห็นว่าไอดิเอลกำลังมองเขาอยู่ “กะ... เกิดอะไรขึ้น”

“เจ้าเห็นนิมิต” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงต้องบอกว่าเราเห็นนิมิต ข้าเองก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน”

“ทะ... ทำไมล่ะ” ชายหนุ่มรู้สึกสับสน เหมือนเขาเพิ่งขึ้นสวรรค์ไปแว้บหนึ่งแล้วถูกดึงลงนรกทันที ไอดิเอลคลี่ยิ้มแล้วพลิกตัวกดเขาให้นอนลง

“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ออกจะมากเกินไปที่เจ้าจะทำความเข้าใจได้ในคืนเดียว นอนเถอะเจ้าหนู จงเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์แสนสำราญ ที่ที่จะไม่มีสิ่งอันตรายใดกล้ำกรายเจ้า ที่ที่จะไม่มีความกังวลใดผ่านเข้าไป”

“แต่ว่า...”

ไอดิเอลคลี่ยิ้มพลางก้มลงจูบหน้าผากของชายหนุ่ม “เจ้าตื่นมาพรุ่งนี้เช้าข้าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตอนนี้จงหลับให้สบายเถิด ให้ดาวบนท้องฟ้าเป็นเครื่องนำทาง ให้ดวงตาแห่งข้าเป็นเสมือนตะเกียงส่องสว่าง ห้วงนิทรากำลังอ้าแขนรอให้เจ้าเข้าไปแล้ว หลับเสียเถิดหนาคนดี”

คาริกรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาทันที และผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-04-2021 10:19:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 19-04-2021 08:53:48
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่6 ร่องรอย


ไอดิเอลลืมตาตื่นก่อนรุ่งสางเล็กน้อย เขาลุกจากเตียงอย่างระมัดระวังและเดินไปอุ้มนูเบสโฟลิอุ้มที่นอนอยู่บนโต๊ะข้างเดียงอีกด้านไปวางไว้ในผ้าห่มใกล้ๆ กับคาริก จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม เก็บเสื้อผ้าของคาริกไปแขวนไว้ที่ตะขอแขวนเสื้อคลุม ก่อนจะเดินไปหยิบเก้าอี้ที่ใช้ตากเสื้อคลุมออกมาตัวหนึ่ง วางลงตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ นั่งลงแล้วล้วงเอาตลับสีทองชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงข้างเอว แล้วเปิดมันออก ด้านในมีกระจกบานเล็กเหมือนตลับแป้งที่ผู้หญิงพกไปไหนมาไหน แต่ที่ฐานซึ่งควรจะมีแป้งฝุ่น กลับแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ราวสี่ถึงห้าช่อง แต่ละช่องมีหลอดใส่ของเหลวสีแดงวางเรียงอยู่ แต่ละหลอดมีชื่อเขียนกำกับไว้ ตรงกลางฐานมีอัญมณีสีน้ำเงินเม็ดเล็กๆ ประดับอยู่ ไอดิเอลเลือกหยิบหลอดใส่ของเหลวขึ้นมาหลอดหนึ่ง แล้วหยดของเหลวในนั้นลงไปบนอัญมณีสีน้ำเงิน มันซึมหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นครู่ใหญ่ๆ ก็มีภาพปรากฏขึ้นบนกระจก

“ไง เวโรนิกา ข้าปลุกเจ้าใช่ไหม”

ในกระจกเป็นภาพหญิงสาวผมสีชมพูกุหลาบยาวเป็นลอน ดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนท้องฟ้าหน้าหนาว เธอคลี่ยิ้มแล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกังวานเหมือนระฆังแก้ว

“ข้ากำลังรอการติดต่อจากท่านอยู่เลย เมื่อคืนนายกองแกเรียนส่งสารด่วนมาที่นี่ แจ้งว่าภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงสั่งให้ลูกน้องเขียนรายงานอยู่ สักสองสามวันทางนี้น่าจะได้เอกสาร”

“งั้นก็ไม่ต้องให้ข้าเล่าแล้วสิ”

“ไม่เอาน่า ท่านติดต่อมาก็เพราะรู้ว่าข้าต้องการได้รับข่าวในทันทีไม่ใช่หรือไงเล่า” อีกฝ่ายเย้า “อย่าทำหน้าน้อยใจแบบนั้นเลยน่า มันไม่เข้ากับท่านเลยนะ สรุปแล้วอิกเน่ ลาเชอร์ตาอยู่ที่นั่นจริงๆ หรือ”

“ใช่ นายกองเข้าใจไม่ผิดหรอก เป็นมันจริงๆ”

“ไม่อยากจะเชื่อ” อีกฝ่ายคราง “มันไปอยู่ที่นั่นได้ไง มีแค่พวกจอมเวทหรือคนที่มีเครื่องย้ายมวลสารเท่านั้นที่ส่งมันไปที่นั่นได้ ท่านได้ตรวจดูทั่วหรือยัง”

“ยังเลย” ไอดิเอลตอบ “เมื่อวานนี้ข้าเสียพลังไปมาก แต่ข้าก็คิดแบบเดียวกับเจ้า ถ้าไม่ใช่จอมเวทก็ต้องเป็นคนที่มีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร ถ้าพูดให้เจาะจงกว่านั้น ในหมู่พวกเรามีอยู่แค่คนเดียวที่มีแนวโน้มทำเรื่องแบบนี้”

“ท่านหมายถึงซีนอนหรือ เขาจะทำเรื่องแบบนี้ไปทำไมกัน”

“....”

“ไม่ใช่ว่าข้าหาว่าท่านกล่าวหาเขาลอยๆ นะ ข้ารู้ว่าซีนอนน่ะมีประวัติชอบทำอะไรแปลกๆ แต่เรื่องนี้เราไม่มีหลักฐานกล่าวหาเขา ตอนนี้เขาเป็นจอมเวทประจำราชสำนักอยู่ที่อาณาจักรบูรพา ท่านก็รู้นี่นา”

“ให้ตายเถอะ” ไอดิเอลคราง “ข้าไม่สนใจอยากรู้เรื่องเขามานานแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ราชสำนักบูรพาหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเจย์รอนล่ะ”

“เจย์รอนแจ้งความจำนงเข้าสู่วิหารนิทราเมื่อห้าสิบปีก่อน เขาเลยไปประจำการอยู่ที่นั่นแทน แสดงว่าท่านไม่รู้ข่าวเลยสินะ”

“ข้าไม่ได้ไปอาณาจักรบูรพาตั้งแต่เสร็จธุระเรื่องพวกกลายพันธุ์” ไอดิเอลว่า เวโรนิกาพยักหน้า

“ใช่ ข้าจำได้ ท่านพยายามปิดเรื่องนี้ไม่ให้สภารู้ เลยถูกลงโทษอัปเปหิออกไปหลายปี”

“ที่จริงข้าก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากที่นั่นอยู่แล้ว” ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “พวกกลายพันธุ์ไม่ควรมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ”

“ท่านกังวลแทนคนอื่นมากเกินไปนะ” เวโรนิกาว่า “พวกเขามีตัวตน นั่นคือความจริงที่ท่านพิสูจน์และรู้มา ท่านปิดบังความจริงไม่ได้หรอก จริงๆ นะ... เรื่องนี้น่ะ ยังไงก็ถือเป็นชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “อืม ข้าเชื่อเจ้าแล้วว่ามันเลี่ยงไม่ได้”

“หืม... ทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงพูดแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย ปกติท่านเชื่อในความคิดตัวเองจะตายไป”

“เพราะข้าเจอเข้าคนนึงน่ะสิ” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะพูดต่อ “แต่เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ ตอนนี้เรื่องอิกเน่ ลาเชอร์ตาสำคัญมาก พอตะวันขึ้นข้าจะออกไปสำรวจรอบๆ และอาจจะไปที่สภา ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นั่นกับข้าด้วย”

“ไฟยรุซาจะต้องประหลาดใจมากแน่ ที่ท่านจะไปที่นั่น ว่าแต่โทษอัปเปหิของท่านหมดไปแล้วใช่ไหม”

“หมดไปนานแล้ว ข้าแค่ไม่มีธุระจะต้องเข้าไปแค่นั้นเอง”

“งั้น... ขอเหตุผลดีๆ สักข้อสิว่าทำไมข้าถึงต้องไปอยู่ที่นั่นกับท่านด้วย”

“ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเรื่องที่ข้าช่วยจัดการปัญหาที่นี่ให้แล้วกัน”

“เป็นคำตอบที่ห่างเหินมาก ข้าอยากได้ยินคำตอบที่ดูมีน้ำใจจากท่านมากกว่านี้ ให้โอกาสอีกทีแล้วกัน”

ไอดิเอลนิ่งไปพัก

“ข้าอยากเจอเจ้าน่ะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ก็อยากจะเชื่อหรอกนะ แต่ถ้าท่านอยากเจอข้าจริงแวะมาหาข้าที่อาเปสก่อนจะไม่ดีกว่าหรือไง ขอเหตุผลจริงๆ ดีกว่า”

“ก็ได้ ข้าอยากให้มีคนที่ข้าไว้ใจได้อยู่ที่นั่นสักคน อย่างน้อยๆ เจ้าก็ยังเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุดนะ”

“แบบนี้ค่อยน่าเชื่อแถมฟังเข้าหูหน่อย” เวโรนิกายิ้ม “ได้ ข้าจะไปที่นั่นเป็นเพื่อนท่าน ท่านจะเข้าไปเมื่อไหร่ก็บอกข้าแล้วกัน”

“ขอบใจ ข้าจะติดต่อเจ้าอีกที”

“ถ้ามีอะไรเร่งด่วนก็ติดต่อมาเลยนะ สำหรับข้า ท่านยังคงเป็นคนสำคัญเสมอ”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม “ขอบใจ” เขาปิดฝ่าตลับสีทองอันนั้น ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“ตื่นนานแล้วหรือ ข้าทำเสียงดังปลุกเจ้ารึเปล่า”

คาริกสะดุ้งเฮือก พอเห็นไอดิเอลหันหน้ามามอง ก็รู้แน่ว่าคงแกล้งหลับต่อไปไม่ได้ เขาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง

“ก็นานพอจะได้ยินท่านคุยกับใครบางคนล่ะนะ”

“นางชื่อเวโรนิกา” ไอดิเอลว่า “เป็นจอมเวทประจำราชสำนักแห่งอาณาจักรนี้”

“ว้าว” คาริกคราง “พวกท่านติดต่อกันได้ยังไง ทันทีทันใดแบบไม่ต้องรอคนไปส่งข่าว เป็นเวทมนตร์ใช่ไหม”

อีกฝ่ายพยักหน้า “เรียกว่าโทรภาพ มีเงื่อนไขนิดหน่อย ใช้พลังเวทไม่มาก”

“อ๋อ งั้นเรื่องที่ท่านรู้ว่ามีเจ้าตัวประหลาดอย่างอิกเน่ ลาเชอร์ตาอยู่ที่นี่ ก็ด้วยวิธีการสื่อสารแบบนี้สินะ

“อืม... ใช่ นางเป็นคนติดต่อข้าให้มาที่นี่ บอกว่ามีรายงานด่วนเรื่องอิกเน่ ลาเชอร์ตา ขอให้ข้าช่วยแวะมาดูหน่อย”

“มิน่าถึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยนอกจากท่าน พวกท่านมีวิธีติดต่อสื่อสารกันในระยะไกลแบบทันทีทันใดนี่เอง”

“ที่จริงมีเครื่องมือที่ทำแบบนี้ได้ แต่กินพลังงานโขอยู่ เลยส่งข้อความได้แค่สั้นๆ มีติดตั้งไว้ตามเมืองหรือสถานที่สำคัญน่ะ นายกองแกเรียนก็ใช้เครื่องนี้แจ้งข่าวไปที่เมืองหลวงเหมือนกัน”

“อืม... ฟังดูเหมือนเวทมนตร์กับเทคโนโลยีนี่เป็นของคลานตามกันมาเลยแฮะ”

“พูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก” ไอดิเอลว่า “เจ้ามากับมาร์คัส คงเห็นรถของเขาแล้วสิ”

“อื้อ ข้าชอบมากๆ เลยล่ะ เขาว่าของแบบนี้มีเยอะที่นครเวหา”

“อืม... นี่นั่นเป็นตลาดใหญ่เลย มันมีอีกชื่อว่าเมืองแห่งพ่อค้า”

คาริกพยักหน้า “พอได้ยินเรื่องที่มาร์คัสเล่าแล้ว เมืองนั้นก็กลายเป็นสถานที่อันดับหนึ่งที่ข้าจะต้องไปเยือนให้ได้เลย”

“งั้นหรือ แต่ค่าตั๋วเรือเหาะแพงนะ เจ้าคงไม่คิดจะขี่ม้าไปหรอก ใช่ไหม”

“ก็ใช่ เพราะงั้นข้าถึงอยากจะได้งานที่มีค่าแรงสูงขึ้นไง สรุปแล้วท่านตกลงจะว่าจ้างข้ารึเปล่า” คาริกว่า ก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้ “แต่คงต้องคุยกับมาร์คัสก่อนล่ะนะ เขาไปคนที่จ้างข้ามาที่นี่ แล้วดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ทำตามที่เขาจ้างมาให้ทำเลยสักอย่าง”

“เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง” ไอดิเอลพูด แล้วก็ถอนหายใจเฮือก “ในเมื่อเจ้าตื่นแล้วก็ช่วยหยิบเครื่องประดับที่วางอยู่ตรงนั้นมาหน่อย มาช่วยหวีผมให้ข้าด้วย”

“ได้ แต่ข้าขอใส่เสื้อผ้าก่อน” คาริกว่า รู้สึกเขินเมื่อเปิดผ้าห่มมาเห็นตัวเองยังคงแก้ผ้าล่อนจ้อน ไอดิเอลจึงพูดตอบไป

“เสื้อเจ้าแขวนอยู่ที่ตะขอแขวนเสื้อคลุมน่ะ”

“อ้อ เห็นล่ะ”

คาริกรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาสวม แล้วเดินกลับไปหยิบเครื่องประดับให้จอมเวท พอเห็นนูเบสโฟลิอุมนอนหลับอยู่บนเตียงเลยพูดอย่างนึกได้

“เจ้านี่มันมานอนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คงไม่ใช่ตั้งแต่เมื่อคืนใช่ไหม”

“เปล่า ข้าเพิ่งอุ้มมันไปวางตอนที่ตื่น คิดว่าคงจะดีถ้ามันได้นอนอยู่ใกล้ๆ เจ้า”

“ดีที่ข้าไม่คว้ามันมาหนุนเพราะคิดว่าเป็นหมอนนะ” คาริกว่า “ว่าแต่สภาพแบบนี้ใช่มังกรจริงๆ หรือ ดูยังไงก็เหมือนกระรอกสีเขียวชัดๆ”

“ระหว่างกระรอกกับมังกรมันมีเส้นแบ่งชัดเจนอยู่น่า” ไอดิเอลว่า เขาล้วงหวีออกจากถุงข้างเอวแล้วส่งให้ชายหนุ่ม คาริกจึงวางเครื่องประดับลงบนโต๊ะแล้วรับหวีอันนั้นมา

“ผมของท่านนุ่มแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้นทันทีที่สัมผัสเรือนผมของอีกฝ่าย “เมื่อคืนมันยังสากเป็นดังอยู่เลย”

“บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวก็ดี” ไอดิเอลว่า คาริกสางผมให้เขา มันแทบไม่ยุ่งเลย ใช้เวลาไม่นานก็สางเสร็จ เขาส่งหวีคืนก่อนจะพูดขึ้น

“ทีนี่ยังไงต่อ ข้าต้องช่วยท่านสวมรัดเกล้าไหม”

“ไม่ต้อง ที่เหลือข้าจะจัดการเอง เจ้าออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกไป”

“ไล่กันเลยหรือ ไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วยหรือไง”

อีกฝ่ายหัวเราะ “อยากอยู่ก็อยู่สิ เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละว่าทำไมข้าถึงให้เจ้าออกไป”

คาริกเลยนั่งลงบนเตียง ดูไอดิเอลใส่เครื่องประดับ เสียงกรุ๋งกริ๋งดังมาให้ได้ยิน เขามองหลังของฝ่ายนั้นแล้วพานนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“เอ่อ... ข้าขอโทษนะ”

ไอดิเอลส่งเสียงตอบโดยไม่หันหน้ามามอง “เรื่องอะไร”

“เรื่องเมื่อคืน... ดูเหมือนว่าท่านจะทรมานมากนะ”

“คิดมากน่า ยังไงผลลัพธ์ก็ออกมาดีไม่ใช่หรือไง”

“ก็จริงนะ ท่านหายดีแล้วใช่ไหม”

“แน่นอน ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเมื่อเช้าวานเสียอีก เจ้าเองก็ดูสบายดี ไม่เพลียไม่อะไรนี่นา”

“อืม... เมื่อคืนท่านใช้มนตร์กล่อมข้าหรือ ดูเหมือนหลังจากฟังท่านพูดข้าก็หลับไปเลย แต่ไหนว่าเวทมนตร์ใช้กับข้าไม่ได้ผลไง”

ไอดิเอลติดเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายเสร็จเลยหันเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้า “ก็ไม่ถึงกับใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ แค่ต้องใช้พลังมากกว่าปกติเท่านั้นเอง”

“อ้อ...” คาริกส่งเสียงในคอ เขามองหน้าไอดิเอล จากนั้นภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายชัดขึ้นมา ชายหนุ่มพลันหน้าแดง ได้ยินเสียงจอมเวทถอนหายใจ

“นั่นไงข้าถึงบอกให้เจ้าออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก อยู่ในนี้ก็ได้แต่คิดวนเวียนล่ะนะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เชียว”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“งั้นหรือ ไม่ได้คิดถึงหน้าข้าตอนกัดปลอกหมอนหรือไง หรือตอนที่บอกให้เจ้ารีบๆ ทำน่ะ”

คาริกโพล่งออกมาอย่างทนไม่ได้ “ให้ตายเถอะ ทำไมท่านถึงพูดเรื่องนี้ได้หน้าตาเฉยกันนะเนี่ย”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ก็บอกแล้วว่ามันเป็นแค่เรื่องจำเป็นต้องทำ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของข้าด้วย เดี๋ยวสักพักเจ้าก็จะชินไปเองนั่นแหละ”

เพราะไม่อยากกลายเป็นฝ่ายเถียงแพ้ คาริกเลยตอบกลับไป “งั้นที่ท่านทำท่าทางเหมือนทรมานมากเมื่อคืน เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำด้วยหรือไง”

“อ๋อ เปล่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้ต้องบอกว่าข้าเป็นฝ่ายรับเคราะห์นะ” ไอดิเอลตอบหน้าตาเฉย “ถามจริงเถอะ ที่เจ้ายังไม่เคยมีอะไรกับสาวคนไหนเนี่ย เพราะตอนที่พวกนางเห็นของเจ้า พากันวิ่งหนีไปไม่ก็เป็นลมรึเปล่า”

“ท่าน”

“ฮ่าๆ หน้าแบบนั้นแสดงว่าจริงใช่ไหม บอกแล้วไงว่าข้าเป็นฝ่ายรับเคราะห์เรื่องนี้ อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน”

“ข้าจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อย” คาริกพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังคำตอบ

........................................

แสงสีแดงเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว อากาศกำลังเย็นสบาย พอออกมาจากห้องแล้วชายหนุ่มค่อยรู้สึกโล่งขึ้นหน่อย ด้านในวิหารมีผู้คนอยู่บางตากว่าเมื่อวาน คงเพราะชาวบ้านหลายคนที่บ้านเรือนไม่ได้รับความเสียหายมากต่างพากันกลับไปยังที่อยู่อาศัยของตน คาริกค่อยๆ ย่องเพื่อไม่ให้เสียงเดินของเขาปลุกเหล่าผู้คนที่หลับใหลอยู่ตามทางเดินให้ตื่น บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงบ มีเสียงลมและเสียงปะทุของคบไฟดังมาให้ได้ยินแผ่วๆ ชายหนุ่มเดินออกมาด้านนอกวิหาร ทักทายกับทหารยามที่เพิ่งเข้ามาเปลี่ยนกะ ก่อนจะเดินทอดหุ่ยไปยังคอกม้า ม้าหลายตัวยังคงยืนหลับอยู่ตอนที่เขาเข้าไปด้านใน เว้นเสียแต่ม้าขาวขนยาวที่เงยหน้าขึ้นมามองทันทีที่ได้ยินเสียง ขนของมันดูเป็นสีขาวเด่นท่ามกลางแสงสลัวในช่วงรุ่งสาง คาริกค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ด้วยไม่อยากให้ม้ารู้สึกตกใจ มันใช้ดวงตาสีดำสนิทมองเขา เจ้าตัวเลยเอ่ยทักเบาๆ

“เจ้า... ชื่ออัลบุสใช่ไหม”

เจ้าม้าส่งเสียงฟืดเบาๆ แทนคำตอบ ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไป “ขอแตะตัวเจ้าได้รึเปล่า เจ้าเป็นม้าที่สวยงามมากเลยนะ”

พอเห็นว่าม้าไม่ได้แสดงท่าทางตื่นเต้นหรือไม่เป็นมิตร คาริกเลยแตะมือลงไปเบาๆ “เด็กดี ข้าอยากลองขี่เจ้าดูอีกสักครั้งจัง ลือกันว่าเจ้าวิ่งได้ไกลหลายวันโดยไม่ต้องหยุดพัก จริงรึเปล่า”

“จริง”

คาริกสะดุ้งเฮือก เขารีบชักมือกลับทันที พอหันไปดูก็เห็นไอดิเอลยืนอยู่ที่ประตู มือข้างหนึ่งถือไม้เท้า ส่วนอีกข้างเท้าสะเอวอยู่

“ข้าให้เจ้ายืมขี่ได้นะ คิดค่าเช่าไม่แพงหรอก ถ้าเจ้าไม่ผล็อยหลับตกจากหลังมันเสียก่อน ว่าแต่เจ้าจะรีบไปไหนขนาดต้องขี่ม้าข้ามวันข้ามคืน”

“ข้าไม่ได้รีบ ข้าแค่สงสัยเฉยๆ” คาริกตอบ ก่อนจะขมวดคิ้ว “นั่นท่านเอาอะไรใส่มาในเสื้อน่ะ ทำไมมันถึงได้ตุงแบบนั้น”

“นูเบส” ไอดิเอลตอบแล้วเดินเข้ามา “ทิ้งมันเอาไว้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวมันตื่นมาไม่เจอใคร บินหายไปล่ะจะยุ่งเปล่าๆ”

“ถึงจะพูดงั้นก็เถอะ แต่ท่านเอามันใส่ไว้ในอกเสื้อแบบนี้เนี่ยนะ”

“อืม... ก็มันสะดวกที่สุดแล้ว จะให้ข้าถือไม้เท้าข้างหนึ่งอุ้มมังกรข้างหนึ่งก็ไม่น่าเข้าท่านะ”

“แบบนี้ก็ดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่เหมือนกันนะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “งั้นเจ้าก็มาเอามันไปสิ”

“หา”

ไอดิเอลใช้มือข้างที่ว่างดึงอกเสื้อ “มาล้วงเอาไปเลย มันนอนอยู่ตรงนี้แน่ะ”

คาริกทำหน้าแปลกๆ “ถ้าข้าเอามันออกมาแล้วจะเอามันไปไว้ไหน”

“จะไปรู้เจ้าเรอะ ก็เห็นว่าแบบนี้ไม่เข้าท่า เอาไว้บนหัวเจ้าเป็นไง”

“เอ่อ... ข้าขอโทษแล้วกันที่พูดมาก”

“อืม” ไอดิเอลมองเขาด้วยท่าทางกำลังคิดหนัก “ที่จริงไว้บนหัวเจ้าก็ไม่เลวนะ มาๆ ให้ข้าลองซิ”

“เดี๋ยวๆ” คาริกรีบยกมือห้ามเมื่อเห็นไอดิเอลเดินเข้ามาใกล้ “ท่านล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย มันจะมาอยู่บนหัวข้าได้ไง”

“เอาเชือกผูกไว้มันไม่หล่นลงมาหรอกน่า ก็เหมือนกับใส่หมวกไง”

“ไม่เป็นไร ไว้ในอกเสื้อท่านเหมือนเดิมเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”

“แต่ความคิดนี้ไม่เลวนะ ขอข้านึกแป๊บ จริงสิ ไปหาคนทำหมวกแบบตะกร้ามาให้เจ้าสวมแล้วให้เจ้าหนูนี่นอนข้างในดีกว่า”

“พอเถอะข้าขอร้อง” คาริกคราง “ข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ”

อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ “วันหลังก่อนพูดอะไรก็หัดคิดให้เยอะๆ หน่อย”

“ข้าแค่รู้สึกว่ามันทำให้ท่านดูประหลาดก็แค่นั้นเอง”

“นั่นมันมุมมองของเจ้า ข้าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

คาริกยกมือขึ้นเกาศีรษะ “แล้วนี่ท่านตามข้ามาทำไม”

“เปล่า ข้าจะมาเอาม้า แต่ไหนๆ เจ้าก็อยู่ตรงนี้แล้ว งั้นก็ออกไปพร้อมกับข้าแล้วกัน”

“ท่านจะไปไหน”

“ไปตรวจหาร่องรอยที่พอจะบ่งชี้ว่าใครเป็นคนส่งเจ้าอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้นมาที่นี่น่ะสิ”

“อ๋อ”

“ไหนม้าเจ้าล่ะ ไม่ต้องกังวลหรอก ปกติแล้วอัลบุสถ้าไม่เร่งก็มีฝีเท้าเท่ากับม้าปกติ”

“เอ่อ... ข้าไม่ได้เอาม้ามาหรอก”

“อ้าว แล้วเจ้ามาไง”

“ข้านั่งรถมากับมาร์คัส เขาว่าจะแวะส่งข้าขากลับ”

“อืม” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ “ช่วยไม่ได้แฮะ งั้นคงต้องขอยืมม้าไปอีกสักตัว จะให้อัลบุสรับภาระแบกพวกเราสองคนรวมสัมภาระก็ดูจะใจร้ายกับมันเกินไป”

“เมื่อวานตอนให้ข้าพาขึ้นม้าท่านไม่ยักพูดแบบนี้แฮะ”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา “นั่นมันสถานการณ์ไม่ปกติ ตอนนี้ข้าขี่ม้าเองได้ เพราะงั้น... เจ้าเลือกม้าไปสักตัว เดี๋ยวค่อยบอกพวกทหารทีหลังแล้วกัน”

“เอ่อ... จะดีหรือ ขืนเจ้าของเกิดไม่พอใจขึ้นมาล่ะ”

ไอดิเอลถอนใจเฮือก “งั้นเจ้าก็ไปหาเจ้าของม้าที่พอจะอนุญาตให้เจ้าขี่มันได้แล้วกัน ข้าไปก่อนล่ะ เสียเวลามาคืนหนึ่งแล้ว”

พูดจบเขาก็ดันตัวของคาริกออก ชายหนุ่มจึงพูดขึ้น “เดี๋ยวสิ แล้วข้าจะรู้ได้ไงว่าท่านจะไปตรงไหน”

ไอดิเอลหันมายิ้ม “รู้สิ เจ้าจะรู้ได้เองนั่นแหละ จะไปขอยืมใครก็รีบไปเถอะไป๊”

คาริกยืนลังเลอยู่อึดใจ สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วเดินออกไปจากคอกม้า ไอดิเอลเลยจูงม้าของเขาออกมาจากคอก แล้วขี่ออกไป

...................................
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 19-04-2021 08:54:07

แสงตะวันแรกของขอบฟ้าจับเหลี่ยมเขา ทาบทาแสงสีทองเป็นช่องผ่านเงื้อมผามายังบ่อน้ำร้อนที่เต็มไปด้วยตะกอนกำมะถัน ก่อให้เกิดเป็นภาพท้องน้ำสีฟ้าเหลืองที่น่าประทับใจ ถ้าไม่ติดว่าทิวไม้ด้านข้างที่ควรจะเป็นสีเขียวสดใส กลายเป็นตอเถ้าถ่านเพราะถูกไฟเผาจนวอดไปเป็นวงกว้าง ไอดิเอลลงจากหลังม้า ดึงชายเสื้อขึ้นเหน็บไว้กับเข็มขัด แล้วเดินลัดเลาะไปตามแนวขอบของบ่อน้ำร้อน ไอสีขาวที่ผุดขึ้นมาจากตาน้ำใต้พื้นโลกลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวน้ำ เลยไปจากแนวบ่อที่ถูกเสริมด้วยก้อนหินเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวก คือบริเวณของน้ำพุร้อนที่จะมีน้ำอุณหภูมิสูงพุ่งออกมาจากใต้ผิวโลกเป็นระยะๆ เสียงของมันทำให้ตระหนักได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไอดิเอลเดินผ่านบริเวณนี่น่าจะเคยมีแนวกั้นไม่ให้คนเข้าไปยังน้ำพุร้อน กลิ่นกำมะถันฉุนกึก มีร่องรอยของอิกเน่ ลาเชอร์ตา แต่กลับไม่ปรากฏร่องรอยของเวทมนตร์เลย เหมือนกับว่าจู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ขณะที่จอมเวทย่อตัวลงนั่งเพื่อพิจารณาดูร่องรอยที่ยังเหลืออยู่ นูเบส โฟลิอุมที่อยู่ในอกเสื้อของเขาก็เริ่มขยับตัว

เสียงร้องดังลั่นทำให้คาริกที่เพิ่งขี่ม้ามาถึงพร้อมด้วยแกเรียนและมาร์คัสรีบกระโดดจากหลังม้าแล้วกึ่งวิ่งกึ่งกระโจนไปยังที่มาของเสียงทันที ในขณะที่สองคนที่เหลือได้แต่รอ เพราะไอน้ำกระจายตัวเป็นหมอกหนาจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร

“ไอดิเอล เกิดอะไรขึ้น” คาริกตะโกน ด้วยความรีบทำให้เขาลื่นตกลงไปในแอ่งน้ำ เจ้าตัวตะเกียกตะกายขึ้นมา พอเงยหน้าก็เห็นไอดิเอลยืนอยู่ที่ขอบแอ่ง

“เจ้าลงไปทำอะไรตรงนั้น”

“ข้าลื่น ว่าแต่ท่านเป็นอะไรไหม ข้าได้ยินเสียงร้องดังมาก”

“ข้าไม่เป็นอะไร แต่ว่าเจ้าหนูนี่เพิ่งแหกปากร้องแล้วสลบไป” เขาชูนูเบสโฟลิอุมในมือในคาริกดู ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดขึ้นต่อ “สงสัยว่าที่นี่คงร้อนไป ข้าจะออกไปหาที่ที่เย็นกว่านี้หน่อย เจ้าขึ้นมาได้แล้วก็ตามมาแล้วกัน”

“ดะ... เดี๋ยวซี่” คาริกร้อง ก่อนจะรีบตะเกียกตะกายขึ้นจากแอ่งแล้วตามไอดิเอลไป

ทั้งมาร์คัสและแกเรียนมีสีหน้าโล่งใจที่เห็นไอดิเอลเดินออกมาจากแนวหมอก พวกเขาถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไร” ไอดิเอลว่า “เจ้าหนูนี่ตื่นขึ้นมาแล้วคงตกใจเรื่องที่อากาศร้อนมากล่ะมั้ง เลยร้องเสียดังลั่นแล้วก็สลบไปน่ะ พวกเจ้าพอมีน้ำหรืออะไรเย็นๆ บ้างไหม”

นายกองแกเรียนหยิบถุงน้ำที่เอวยื่นให้ จอมเวทรับมาแล้วเทน้ำด้านในใส่เจ้ามังกรที่มีลักษณะเหมือนกระรอกสีเขียวตัวนั้นทันที

“ว้าก” มันร้องลั่นพลางสะบัดตัวไปมา แต่เพราะถูกจับหิ้วอยู่ เลยได้แต่ตวัดขาตะกุยอากาศ “ข้าต้องตายแน่ๆ ข้าจะตายแล้ว จะตายแล้วเจ้าข้า ช่วยด้วย”

คาริกที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึงในสภาพเปียกม่อล่อกม่อแลกส่งเสียงขึ้นทันที “อะไรเนี่ย ไอ้เจ้าตัวนี้มันพูดได้เรอะ”

ทั้งแกเรียนและมาร์คัสมีสีหน้าเหวอไม่แพ้กัน เจ้านูเบสโฟลิอุ้มตัวนั้นกะพริบตาสีแดงปริบๆ “พูด ข้าพูดได้แล้วหรือเนี่ย พูดได้... ไชโย ข้าพูดได้แล้ว”

เสียงของมันดังแหลมแสบแก้วหูจนคนที่เหลือต้องยกมือปิด ไอดิเอลพูดขึ้น “เอาล่ะ เจ้าหนู ตั้งสติหน่อย เจ้ายังไม่ตาย เพราะงั้นช่วยหยุดร้องโวยวายได้แล้ว”

“โอ้... ท่านเป็นไร... อ๊ะ ข้านึกออกล่ะ ข้าจำเสียงท่านได้ ท่านต้องเป็นจอมเวทที่ชื่อไอดิเอลแน่ๆ” เจ้ามังกรตัวนั้นพูดต่อ “ท่านช่วยชีวิตข้าไว้หรือ”

“อืม... ใช่ จะพูดแบบนั้นก็ได้”

“มันน่ากลัวมากเลยนะ” เจ้ามังกรพูดต่อ “ข้ารู้ตัวตัวเองถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็ โป๊ะ ข้าต้องตายแล้วแน่ๆ เหมือนว่าข้ากลับไปหลับเหมือนตอนเพิ่งออกมาเป็นไข่ใหม่ๆ อีกครั้ง แล้วจู่ๆ พอข้ารู้สึกตัวอีกที ทุกอย่างก็มืดมาก ทั้งมืดทั้งร้อน มันต้องเป็นนรกอย่างที่มีใครเคยพูดไว้แน่ๆ เลย”

“เอาล่ะ ใจเย็นๆ นะ” คาริกพูดขึ้นมาบ้าง “เจ้าไม่ได้ตาย ที่เห็นมืดๆ นั่นแค่เพราะเจ้าอยู่ในอกเสื้อของเขา”

“หา” เจ้ามังกรตัวนั้นหันไปหาคาริก ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เจ้าเป็นใคร...”

“ข้าชื่อคาริก” อีกฝ่ายแนะนำตัวเองก่อนจะพูดต่ออย่างหงุดหงิด “ทำไมเจ้าจำเสียงเขาได้แต่จำข้าไม่ได้”

“เพราะเสียงเขามันน่าฟังกว่าเจ้าน่ะสิ” เจ้ามังกรตอบ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าพอนึกออกล่ะ เจ้าน่าจะเป็นคนที่ชอบถามมากๆ ส่วนท่านไอดิเอลก็เป็นคนตอบ อืม... เรื่องที่พวกเจ้าคุยกันน่าสนใจมาก อ่อก”

เสียงของมันขาดไปเพราะถูกไอดิเอลบีบคอ คาริกถึงกับอ้าปากเหวอ ขณะที่เจ้ามังกรไอแค่กๆ “ท่านทำอะไร จะหักคอข้าหรือไง”

“อืม... กำลังจะตรวจดูว่ามีอะไรในคอเจ้าผิดปกติรึเปล่า” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่านูเบสได้ยินเสียงตั้งแต่อยู่ในไข่ ดูจากการพูดที่เหมือนถูกอุดปากมาหลายปี ท่าทางเจ้าจะไม่ได้เพิ่งมาอยู่กับมนุษย์สินะ”

“อ๋อ แน่นอน ตั้งแต่ข้าจำได้นะ ข้าก็ได้ยินเสียงมนุษย์คุยกันแล้ว พวกเขาบอกว่าข้าเป็นมังกรที่หายาก ถ้าเอาไปขายต่อต้องได้ราคางามแน่ๆ สรุปว่าข้าเป็นมังกรใช่ไหม แล้วข้าราคาดีรึเปล่า”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “เจ้าเป็นมังกร แต่เรื่องราคาเจ้าต้องทำความเข้าใจใหม่ ชีวิตของเจ้ามีค่ามากกว่าจะตีเป็นราคาได้ เข้าใจที่ข้าพูดมั้ย เจ้าไม่ใช่สิ่งของหรือสัตว์เลี้ยงที่จะต้องใช้เงินซื้อขาย”

“อืม... งั้นข้าต้องใช้อะไรซื้อขาย ทองหรือ”

“ไม่ใช่... ชีวิตเจ้าก็คือชีวิตของเจ้า จะขายให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น เพราะงั้นนะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่งบ้าน พาเจ้ากลับไปในทีที่เจ้าจากมา ที่ที่มีมังกรแบบเจ้าอยู่เยอะๆ”

“ง่ะ” เจ้ามังกรร้อง “ข้าเพิ่งออกมาจากไข่นะ... ออกมาก็เจอท่านคนแรก ข้าถือท่านเป็นสมาชิกครอบครัวของข้าแล้วนะ จู่ๆ ท่านบอกว่าจะพาข้าไปส่งบ้าน... ไม่เอา ข้ายังไม่อยากไปจากท่านตอนนี้ ถึงข้าจะขายไม่ได้ แต่ก็ให้ข้าอยู่กับท่านเถอะนะ ข้ารับรองจะไม่ทำตัวเป็นภาระ”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “ไม่ได้ เจ้าต้องกลับไปที่บ้านเกิดของเจ้า ข้าให้เจ้าอยู่ด้วยไม่ได้ มันผิดกฎหมาย”

“ได้ไง กฎหมายอะไร” นูเบสตัวนั้นว่า “ตอนแรกท่านบอกว่าชีวิตของข้าก็คือชีวิตของข้า จะขายให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าจะเลือกใช้ชีวิตอยู่กับท่าน แต่ก็ไม่ได้อีก งั้นก็เอาข้าไปขายดีกว่า จะได้มีราคากับเขาบ้าง”

ไอดิเอลทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ ขณะที่คาริกหัวเราะแล้วพูดขึ้นบ้าง “ดูท่าเจ้านี่จะพูดจาเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านกแก้วนกขุนทองนะ ท่านก็อย่าตัดรอนเขาให้มากเลย อย่างน้อยๆ ก็ให้เขาอยู่จนกว่าท่านจะไปถึงบ้านเกิดของเขายังไงล่ะ”

“ใช่ ท่านอย่าตัดรอนข้าให้มากนักเลย” เจ้ามังกรรีบสนับสนุน “ให้ข้าอยู่กับท่าน แล้วถ้าข้าอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ ข้าจะบอกท่านเอง” มันหันกลับไปหาคาริก “แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าเอาข้าไปเทียบกับนกแก้วนกขุนทอง ข้าเป็นมังกร เป็นสัตว์ชั้นสูงที่ทรงภูมิปัญญามากกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ เพราะงั้นข้าฉลาดกว่าเจ้าพวกนั้นเยอะ”

“เอาละๆ” ไอดิเอลพูดขึ้นมาในที่สุด “พักเรื่องพวกนั้นไว้ก่อน ข้าต้องเข้าไปตรวจที่น้ำพุร้อน พวกเจ้าก็รออยู่ที่นี่แล้วกัน”

“ได้ไง ข้าไปด้วยสิ” ทั้งคาริกและเจ้ามังกรพูดขึ้นพร้อมกัน ไอดิเอลหันมามองพวกเขา

“เจ้าน่ะไม่มีปัญหา คาริก แต่เจ้า... เอ่อ... เจ้าหนูนี่น่ะ ทนร้อนไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”

“เปล่านะ ข้าแค่ตกใจเฉยๆ” เจ้ามังกรนั่นว่า “นี่... ให้ข้าไปด้วยเถอะ ข้ารับรองจะไม่ส่งเสียงวุ่นวายอีก อ้อ ข้ามีชื่ออยู่นะ”

“เห... เจ้ามีชื่อตอนไหน” คาริกถามขึ้นมา “ใครตั้งชื่อให้เจ้าล่ะนั่น”

“ไม่ๆ ข้าตั้งของข้าเอง” นูเบสว่า “ข้าคิดไว้นานแล้วว่าถ้าข้าออกมาจากไข่ได้เมื่อไหร่ ข้าจะให้ทุกคนเรียกข้าว่าโอเรน”

ไอดิเอลกะพริบตา “อืม... โอเรน ก็เหมาะกับเจ้าดี ถ้าเจ้าอยากตามมานะโอเรน ห้ามบ่น ห้ามโวยวาย ห้ามส่งเสียงร้องก่อกวน ไม่อย่างนั้นข้าจะสาปเจ้าให้เป็นใบ้สักครึ่งวัน”

“ตกลง ข้าจะหุบปากให้สนิทเลย”

...............................

ไอดิเอลกลับเข้าไปยังตาน้ำพุร้อนอีกครั้ง คราวนี้หมอกจางลงไปมาก กระทั่งพวกมาร์คัสเองสามารถมองเห็นพวกเขาได้จากระยะไกล คาริกเดินตามหลังมาโดยมีโอเร็นเกาะอยู่บนศีรษะ

“นี่ ทำไมเจ้าจะต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวข้าด้วย” คาริกถามขึ้นมา “ทำไมไม่มาเกาะที่ไหล่หรืออะไรเทือกนั้น ดูน่ารักกว่าตั้งเยอะ”

“หือ เกาะไหล่เจ้าแล้วเวลาเจ้าหันมาก็ชนข้าน่ะสิ” โอเรนว่า “อยู่บนหัวเจ้านี่แหละ มองเห็นอะไรชัดดี ไม่มีอะไรมาเกะกะสายตาด้วย”

“นี่หาว่าหน้าข้าเกะกะหรือไง”

ไอดิเอลเดินวนไปรอบๆ น้ำพุถึงสามรอบ สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือก

“ท่านทำไมทำท่าเหมือนหมดแรงแบบนั้น” คาริกถามขึ้น “ไม่เจอสิ่งที่หาหรือไง”

“ใช่ ข้าคิดว่าควรจะมีวงแหวนเวทหรืออะไรบางอย่างที่มีพลังเวทหลงเหลืออยู่ แต่นี่ไม่มีเลย เหมือนกับว่าเจ้าอิกเน่ ลาเชอร์ตานั้นปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยงั้นแหละ”

“หืม ท่านกำลังมองหาจุดที่มีพลังงานแปลกๆ งั้นหรือ” โอเรนว่า “ข้าพอจะหาให้ท่านได้นะ”

“อ้อ... จริงสินะ เจ้าเป็นนูเบสโฟลิอุมนี่นา สัมผัสเจ้าน่าจะดีกว่าข้าเยอะ”

โอเรนทำจมูกฟุดฟิด แล้วพูดขึ้น “คาริก เดินไปข้างหน้าสักสามก้าวสิ”

“หืม ทำไมต้องให้ข้าเดิน เจ้าไปเองไม่ได้หรือไง”

“ข้าไม่อยากลงไปในน้ำร้อนนี่นา เดี๋ยวเกิดสุกขึ้นมาจะทำไง”

“แล้วคิดว่าข้าลงได้หรือไง”

“อ้าว ลงไม่ได้หรือ”

“ลงๆ ไปเถอะน่า” ไอดิเอลว่า “น้ำร้อนแค่นั้นอาจจะลวกไข่สุก แต่ลวกเจ้าไม่สุกหรอก”

คาริกเลยจำต้องเดินลงไปตามที่โอเรนว่า พอดีกับที่น้ำร้อนพุ่งขึ้นมาจากใต้ผิวดิน ห่างจากหน้าเขาไปไม่ถึงศอก คาริกถึงกับผงะถอยหลัง ไอดิเอลเลยเอาไม้เท้ายันหลังเขาไว้ “ระวังหน่อย”

เสียงซ่าดังขึ้นหยดน้ำร้อนๆ พร่างพรูลงมาเหมือนห่าฝน คาริกรีบยกมือขึ้นป้อง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไม่มีน้ำหยดลงมาบนตัวเขาเหมือนที่คิดไว้ พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นม่านน้ำเล็กๆ ทำหน้าที่เหมือนหลังคาคลุมอยู่เหนือศีรษะ

“เอาล่ะ พวกเจ้าตั้งสติแล้วบอกข้าซิว่าตรงนั้นมันมีอะไรผิดปกติ”

“ข้าไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ” คาริกว่า “ก็แค่ตาน้ำพุร้อนที่เกือบจะพุ่งออกมาลวกข้าก็เท่านั้น”

“ไม่ๆ เจ้าก้มลงดูสิ” โอเรนว่า “หินก้อนนั้นที่อยู่ตรงหน้าเจ้าไง ก้อนกลมๆ สีดำตรงนั้นน่ะ”

“หืม ก้อนไหน ก้อนนี้หรือ”

“ไม่ใช่ ถัดไปหน่อย”

“ก้อนนี้”

“ใช่ๆ ก้อนนั้นแหละ”

“ไหน ก้อนหินนั่นมีอะไร” ไอดิเอลที่ยืนอยู่ตรงที่แห้งถึงกับลงทุนเดินลุยน้ำลงมา คาริกหยิบหินก้อนนั้นส่งให้เขา”

“ก็เป็นแค่ก้อนหิน ข้าไม่เห็นมีสัญลักษณ์แปลกๆ อะไรเลย”

ไอดิเอลฉวยหินก้อนนั้นมาพลิกดู ก่อนจะถามต่อ “เจ้าได้หินนี่มาจากตรงไหน ชี้ซิ”

คาริกเลยชี้มือไปให้ไอดิเอลดูตรงจุดที่เขาหยิบหินขึ้นมา ก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินเข้าไป

“อืม... หินก้อนนี้มันแปลกอยู่จริงๆ” ไอดิเอลพูดขึ้นมาหลังหยิบหินก้อนอื่นขึ้นมาดู คาริกเลยถามต่อ

“แปลกยังไง ข้าก็เห็นว่ามันเป็นหินเหมือนๆ กัน”

“มันก็เป็นหินเหมือนๆ กัน แต่ก้อนนี้สะอาดกว่าก้อนอื่นนะ เจ้าดูสิ มันไม่มีรอยจับของตะไคร่น้ำเลย เหมือนมีใครเพิ่งเอามันมาวางลงไป ทั้งๆ ที่จุดนี้ไม่น่ามีใครลงมาได้แท้ๆ”

“พอท่านพูดแบบนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ นั่นแหละ” คาริกว่า “แต่ว่าหินนี่มันเกี่ยวกับการปรากฏตัวของอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้นได้ไง”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน” ไอดิเอลตอบ ก่อนจะเงยขึ้นไปหาโอเรน “เจ้ารู้สึกถึงอย่างอื่นอีกรึเปล่า”

“ไม่มีแล้วล่ะ” โอเรนว่า “ที่ข้าได้กลิ่นมีแต่หินก้อนนี้ เป็นก้อนที่มีกลิ่นแปลกกว่าก้อนอื่น เหมือนมันเพิ่งถูกเอามาวางจากที่อื่นอย่างที่ท่านว่า”

“น่าสนใจ ข้าคิดว่าอาจจะมีทฤษฏีบางอย่างที่เชื่อมโยงหินก้อนนี้กับการปรากฏตัวของเจ้าสัตว์ร้ายนั่นได้ เราไปกันเถอะ แช่น้ำแบบนี้มีแต่จะเปียกเปล่าๆ”

ทั้งหมดเลยขึ้นมาจากแอ่ง ตอนเดินมาถึงที่แห้ง ต่างคนก็ต่างเปียกไปตามๆ กัน ไอดิเอลถอดรองเท้าบูทออกมาเทน้ำออก คาริกเองก็ทำแบบเดียวกัน ส่วนโอเรนสะบัดละอองน้ำออกจากตัว มาร์คัสกับแกเรียนเดินเข้ามาหาพวกเขา

“เป็นไง ได้อะไรมาบ้างครับ”

“อืม ยังไม่ค่อยได้อะไรมาก” ไอดิเอลว่า “นี่เป็นการโจมตีที่ออกจะลึกลับมากจริงๆ ข้าคงให้คำตอบอะไรเจ้าแบบกระจ่างตอนนี้ไม่ได้”

“แล้วมันจะกลับมาอีกไหม” แกเรียนถามต่อ “ข้าหมายถึง หลังจากที่ท่านไปแล้ว จะมีการโจมตีแบบนี้เกิดขึ้นอีกรึเปล่าครับ”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “ข้าคิดว่าไม่หรอกนะ สิ่งที่เจ้าตัวประหลาดนั่นตามหาคือไข่นูเบส ตอนนี้มันฟักเป็นตัวและอยู่กับข้าแล้ว ถ้าจะมีอะไรโผล่มา ก็น่าจะโผล่มาหาข้ามากกว่ามาที่เมืองนี่”

“ได้ยินแบบนี้ข้าค่อยโล่งใจหน่อย” แกเรียนว่า “ข้าจะได้บอกพวกชาวบ้านให้กลับไปซ่อมแซมบ้านเรือน”

“อืม แจ้งพวกเขาได้เลยว่าทุกอย่างเรียบร้อย แต่เพื่อความสบายใจข้าจะกางกำแพงเวทมนตร์ไว้รอบๆ เมือง ถ้ามีตัวอะไรแปลกๆ โผล่มาอย่างน้อยกำแพงนี่ก็จะช่วยขวางมันเอาไว้ได้สักพัก”

.......................

พวกเขากลับมาที่วิหารในตอนสาย ไอดิเอลสั่งให้คนหาดินเหนียวมานวดแล้วแผ่ให้เป็นแผ่น ก่อนจะจารึกอักขระเวทมนตร์ลงไป จากนั้นก็บอกให้เอาไปวางไว้ตรงจุดต่างๆ รอบๆ เมือง พอวางครบเจ้าตัวก็ร่ายเวทกำกับ คาริกเห็นแล้วก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“แค่แผ่นดินเหนียวนี่จะกันพวกสัตว์ร้ายพวกนั้นได้จริงๆ หรือ ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อฝีมือท่านนะ แค่สงสัยน่ะ เห็นปกติท่านร่ายเวทต้องใช้แต่ของมีค่าตลอดเลยนี่นา”

“ดินเป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่มากนะ” ไอดิเอลว่า “เพียงแต่การดึงออกมาใช้ปุบปับมันจะกินพลังงานของข้าเอาเรื่อง การใช้อักขระหรือวงแหวนเวทเป็นการดึงพลังออกมาสะสมเอาไว้โดยอาศัยระยะเวลา วิธีนี้จะกินพลังเวทน้อยกว่า แล้วก็ไม่ต้องใช้สื่อนำอะไรให้สิ้นเปลืองด้วย ก็เหมือนกับดักที่ข้าวางเอาไว้ตอนสู้กับอิกเน่ ลาเชอร์ตานั่นแหละ ข้อดีคือประหยัดพลัง ข้อเสียคือไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลังจากใช้ไปแล้ว ถึงต้องวางแผนใช้ให้ถูกสถานการณ์ไงล่ะ”

“อืม... ฟังดูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกนะ” คาริกว่า “เป็นจอมเวทนี่ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดเยอะเหมือนกันแฮะ”

“เรียกว่าความชำนาญด้านอาชีพดีกว่า” อีกฝ่ายตอบ โอเรนที่นั่งฟังอยู่บนหัวคาริกเลยพูดขึ้นบ้าง

“นี่ ท่านสอนข้าให้ใช้เวทมนตร์ได้ไหม ข้าได้ยินตอนอยู่ในไข่ว่าท่านทำให้คนอื่นกลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้ ข้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นมังกร ในความเข้าใจของข้า ข้าก็น่าจะใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกัน”

“อ้อ... เรื่องนั้นก็ไม่ผิดนักหรอก” ไอดิเอลตอบ “ที่จริงแล้วเจ้าสามารถใช้เวทมนตร์เกี่ยวกับลมได้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย เรียกว่าเป็นทักษะติดตัวเฉพาะเผ่าพันธุ์ก็ได้”

“งั้นหรือ แต่ว่าใช้ยังไงล่ะ สอนข้าหน่อยได้ไหม”

“อืม...” ไอดิเอลส่งเสียงในคออย่างใช้ความคิด “ข้าไม่เคยสอนเวทมนตร์ให้มังกรด้วยสิ เอางี้แล้วกัน เราออกเดินทางกันก่อน ระหว่างทางถ้ามีที่เหมาะๆ ข้าจะลองให้เจ้าใช้พลังดู”

โอเรนร้องด้วยความตื่นเต้น “งั้นหรือ เราออกเดินทางกันเถอะ ข้าอยากลองใช้เวทมนตร์ใจจะขาดแล้ว”

“ท่านจะไปแล้วหรือ” แกเรียนถามขึ้น ไอดิเอลพยักหน้า

“ใช่ สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ทำหมดแล้ว ข้าต้องไปแล้วล่ะ ยังมีหลายเรื่องที่ข้าต้องรีบไปทำ”

“อย่างนั้นก็เชิญเถอะครับ ข้าจะออกไปส่งที่นอกเมือง”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่จัดการที่นี่เถอะ ข้าไปเองได้ ยังไงก็รักษาตัวด้วย”

“เช่นกันครับ ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือ”

“ไม่เป็นไร เป็นงานของข้าอยู่แล้ว”

ไอดิเอลปลีกตัวออกมาโดยมีคาริกเดินตามมาติดๆ “นี่... ท่านจะไปไหนน่ะ ช่วยจัดการเรื่องงานให้ข้าก่อนได้รึเปล่า”

“อ้อ... นั่นแหละที่เป็นเรื่องน่ารำคาญ” ไอดิเอลว่า “ที่จริงข้าต้องตรงไปทริโกเนียเพื่อขึ้นเรือเหาะไปที่นครเวหา แต่เพราะมีเรื่องเจ้า ข้าเลยต้องแวะที่คีทก่อน”

ชายหนุ่มค่อยยิ้มออก “แปลว่าท่านจะจัดการเรื่องงานให้ข้าใช่ไหม แล้วค่าแรงข้าในคราวนี้ใครจะเป็นคนจ่าย ท่านหรือมาร์คัส”

“อืม พูดถึงมาร์คัส เขาหายไปไหนน่ะ ตั้งแต่กลับมาจากบ่อน้ำพุร้อนข้าไม่เห็นเขาเลย”

“คิดว่าเขาคงไปที่รถน่ะ” คาริกว่า “ได้ยินว่าเขาตั้งใจจะออกเดินทางพร้อมกับท่านนะ”

“อ้อ งั้นข้าควรจะแวะไปหาเขาที่รถหน่อย”

.....................................

มาร์คัสอยู่ที่รถจริงๆ อย่างที่คาริกว่า พอเห็นไอดิเอลเขาก็รีบทักทันที “ไง ท่านไอดิเอล ข้าพาอัลบุสขึ้นรถแล้วนะ ใช้เวลาจัดการที่ทางในรถพอสมควรเลย คาริกคงบอกท่านแล้วสิ”

ไอดิเอลเลิกคิ้ว เขาหันไปมองชายหนุ่ม อีกฝ่ายเลยพูดต่อ “ข้าคิดว่าเราน่าจะเดินทางไปด้วยกัน หมายถึงท่านนั่งรถไปกับเรา ก็เลยคุยกับมาร์คัสว่าเราน่าจะเอาม้าของท่านขึ้นรถไปด้วย”

“เพื่ออะไรน่ะ ข้าขี่อัลบุสไปถึงคีทเร็วกว่านั่งรถไหม”

มาร์คัสหัวเราะออกมา “เจ้าหนูนี่กลัวว่าท่านจะเบี้ยวไม่ไปจ่ายค่าจ้างให้เขาที่คีทน่ะ เลยคิดว่าให้ท่านเดินทางร่วมไปกับเราจะดีกว่า”

ไอดิเอลหันไปหรี่ตามองชายชรา “เจ้าเองก็กลัวข้าจะเบี้ยวด้วยใช่ไหมล่ะ”

“โธ่ ใช่ที่ไหนเล่า ข้ารู้จักท่านมาค่อนชีวิตตัวเองแล้ว ไม่เคยเห็นท่านเบี้ยวใครเลยสักคน ก็แค่สงสารเจ้าหนุ่มนี่เท่านั้นเอง”

“น่าๆ” คาริกว่า “ถ้าให้ท่านขี่ม้าไปพวกเราก็ไม่ได้คุยกันสิ ข้ายังมีอะไรหลายอย่างอยากจะถามท่านอีกเยอะเลยนะ อีกอย่างเรื่องนี้โอเรนก็เห็นด้วย”

ไอดิเอลเหลือบไปมองโอเรนที่เกาะอยู่บนหัวคาริก “นี่พวกเจ้าไปตกลงกันตอนไหน”

“ก็ตอนที่ท่านกำลังวุ่นอยู่กับการเขียนอักขระเวทลงบนแผ่นดินเหนียวพวกนั้นไง” โอเรนตอบ “ข้าไม่เคยเห็นรถ ไม่เคยนั่งรถมาก่อน ข้าอยากลองนั่งรถน่ะ”

“ม้าเจ้าก็ไม่เคยขี่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายย้อน เจ้ามังกรเลยตอบ

“แต่ม้าเป็นของท่านนี่นา ข้าติดตามท่านยังไงก็ต้องได้ขี่สักวันอยู่แล้ว รถนี่ของมาร์คัส ถ้าข้าไม่นั่งตอนนี้แล้วจะได้นั่งตอนไหน”

ไอดิเอลยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายหยุด มาร์คัสที่ยืนฟังอยู่หัวเราะออกมา “ท่านต้องยอมแพ้เด็กๆ พวกนี้แล้วล่ะ ข้าคิดว่าต่อไปจากนี้ชีวิตของท่านคงจะมีสีสันน่าดูทีเดียว”

“เจ้ามันเอาความวุ่นวายมาให้ข้าแท้ๆ” ไอดิเอลหันไปว่า “ถ้าข้ารู้ล่วงหน้าว่าเจ้าจะพาความซวยมาให้ข้าแบบนี้นะ...”

“ฮ่าๆ สายไปแล้วล่ะ” ชายชราหัวเราะ “ไม่เอาน่า ท่านอายุตั้งเยอะแล้ว ใช้ชีวิตคนเดียวไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“ถามตัวเจ้าเองเถอะ” ไอดิเอลว่า มาร์คัสยักไหล่

“อย่างน้อยๆ ข้ายังมีบ้านให้กลับล่ะนะ”

“ฮึ่ม...”

“อ๊ะ มาร์คัสมีบ้านหรือ” โอเรนร้องออกมา “บ้านเจ้าอยู่ไหน ข้าไปที่บ้านเจ้าได้ไหม อยากรู้ว่าบ้านมนุษย์เป็นยังไง”

“บ้านข้าอยู่ที่แคนธารัส ไว้ถ้ามีโอกาสจะเชิญพวกเจ้าไปแล้วกัน”

“ถ้าใครจะไปก็เชิญนะ” ไอดิเอลว่า “แต่ข้าจะไปที่คีทจัดการเรื่องของคาริกให้จบๆ แล้วก็จะไปที่นครเวหา”

“นครเวหาหรือ” โอเรนร้องออกมา “เป็นเมืองแบบไหนน่ะ”

“เป็นเมืองลอยฟ้า” คาริกว่า “ข้าอยากจะไปเห็นสักครั้ง”

“งั้นข้าไปด้วย” โอเรนว่า “เราจะไปนครเวหากัน”

ไอดิเอลหันไปมามาร์คัส “เอาอัลบุสลงมาให้ข้าเถอะ ถ้าให้ข้าขึ้นรถไปกับเจ้าพวกนี้จะต้องปวดหัวตายแน่ๆ”

“ข้าอุตส่าห์จัดที่ไว้ให้แล้วนะ ท่านก็ไปกับพวกเราเถอะ ถ้ารำคาญก็สาปให้พวกเขาเป็นใบ้ไปสักครึ่งวันก็ได้นี่นา”

“ข้าสาปเจ้าคนแรกดีไหมนะ”

“น่าๆ รีบๆ ขึ้นรถเถอะ ชักช้าจะไปถึงคีทดึกเอานะ”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเดินขึ้นรถไป มาร์คัสรีบพาเขาไปดูอัสบุสที่อยู่ท้ายรถ “นี่ไง ข้าเปิดประตูหลังไว้ครึ่งหนึ่งเลยนะ รับรองว่าอัลบุสของท่านสบายไม่อึดอัดแน่ๆ”

“ข้าขอนั่งด้านหลังนี่กับมันได้ไหม” ไอดิเอลต่อรอง “อย่างน้อยๆ ถึงเหม็นกลิ่นซากอิกเน่ ลาเชอร์ตา แต่ก็น่าจะสงบกว่านั่งในรถกับเจ้าพวกนั้นแน่”

“ข้าคิดว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะต้องตามมานั่งด้วยกับท่านอยู่ดี”

พูดไม่ทันขาดคำ ทั้งสองคนก็ตามมาจริงๆ “ว้าว รถท่านเปิดด้านหลังแบบนี้ได้ด้วยหรือ”

“ได้สิ ถ้ามีทุนหน่อยข้าจะไปแต่งเครื่องให้มันเหาะได้ด้วย”

“อืม เรื่องนั้นข้าเห็นด้วยนะ” ไอดิเอลว่า “ถ้าเหาะได้ก็ค่อยน่านั่งหน่อย”

“งั้นท่านออกทุนไหม”

“ฝันไปเถอะ”

อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ “ไปข้างในเถอะ ข้าเตรียมที่นั่งไว้ให้ท่านแล้ว เตรียมโต๊ะไว้ให้ท่านเขียนหนังสือด้วยนะ”

ไอดิเอลถอนหายใจพลางพึมพำ “ทำอย่างกับว่าข้าจะได้เขียนงั้นแหละ”

ด้านในรถมีเก้าอี้กับโต๊ะเขียนหนังสือเตรียมไว้จริงๆ คาริกถึงกับพูดด้วยความประหลาดใจ “รถท่านเปลี่ยนไปเยอะนะเนี่ย จำได้ว่าตอนมาตรงนี้ไม่กว้างขนาดนี้นี่นา”

“มันก็ปรับได้เยอะนั่นแหละ ปรับดีๆ ก็เป็นบ้านเคลื่อนที่ได้หลังหนึ่งเลย”

“เดิมๆ มันก็เป็นบ้านเคลื่อนที่นั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “เจ้านี่เอามาปรับจนกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ สกปรกเลอะเทอะไปหมด”

“โธ่ ก็ข้าทำงานเก็บซากนี่นา ท่านเป็นคนแนะนำเองนี่ว่านี่เป็นพาหนะที่เหมาะกับงานของข้าที่สุด”

ไอดิเอลลากเก้าอี้ลงนั่ง ก่อนจะถอนใจอีกเฮือก “เอาล่ะ รีบๆ ขับออกไปได้แล้ว ก่อนข้าจะเปลี่ยนใจเอาอัลบุสลง”

มาร์คัสหัวเราะก่อนจะรีบไปประจำตำแหน่งคนขับทันที จากนั้นรถก็ค่อยเคลื่อนตัวออกไป

................................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่2 (1/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-04-2021 00:39:51
อย่าลืมเปลี่ยนวันที่ ลงตรงห้วข้อกระทู้ด้วยน้า

คนตามจะได้รู้ว่ามาอัพแล้ว
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่6 (14/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-04-2021 09:54:52
อ๊ะ ขอโทษค่ะลืม แก้ไขให้แล้วค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่6 (14/4/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 23-04-2021 04:13:49
สนุกดีครับ อ่านได้ไหลลื่นเลย มาต่อเรื่อยๆนะครับ

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่7 (15/5/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-07-2021 18:53:50
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่7 ออกเดินทาง


พวกคาริกนั่งรถออกมาได้สักพัก ก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหว เลยพูดขึ้นมา “นี่ ไอดิเอล ไม้เท้าของท่านทำมาจากอะไรน่ะ ข้าดูยังไงก็ดูไม่ออก จะเป็นไม้ก็ไม่ใช่ จะเป็นกระดูกก็ไม่เชิง”

ไอดิเอลที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมองเขา “มันทำมาจากเอ็นมังกร”

“หา” ทั้งโอเรนกับคาริกร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดขึ้นบ้าง “เอ็นมังกร ท่านเป็นนักล่ามังกรหรือนี่”

“มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว” ไอดิเอลว่า “ข้าไม่ได้ล่ามังกร มีคนให้ข้ามาอีกที”

“หือ... อยากเห็นคนที่ให้เอ็นมังกรกับท่านเลย” ไอดิเอลว่า “แต่นี่ต้องไม่ใช่มังกรตัวเล็กๆ แบบโอเรนแน่ๆ ดูจากขนาดแล้วต้องเป็นมังกรตัวใหญ่เอาเรื่องมาก ว่าแต่มันเป็นเอ็นมังกรจริงๆ หรือ แบบว่าท่านเห็นกับตาเลยหรือว่าเขาเลาะมันออกมาจากมังกรน่ะ”

“ข้าไม่ได้เห็นกับตาหรอก แต่รู้แล้วกันว่ามันเป็นเอ็นมังกร”

“ว้าว แปลว่าท่านเคยเห็นมังกรใช่ไหม”

“ก็มีอยู่ตัวนึงบนหัวเจ้าไง”

“โธ่ ไม่เอาตัวเล็กๆ แบบนี้สิ”

“เฮ้ ข้าตัวเล็กไม่ดีตรงไหน” โอเรนว่า “ถึงจะตัวไม่ใหญ่ขนาดเอาเอ็นมาทำไม้เท้าได้ แต่ข้าก็มีประโยชน์กับท่านไอดิเอลนะ”

“เรื่องนั้นข้าไม่ปฏิเสธหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “แต่จะดีกว่าถ้าเจ้าได้กลับไปยังแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม”

“ถ้าข้ากลับไปที่นั่นจะไม่มีใครไปตามล่าข้าใช่ไหม” โอเรนถามขึ้นต่อ ไอดิเอลโคลงศีรษะ “ตามกฎหมายระหว่างอาณาจักรแล้ว การค้าไข่หรือตัวอ่อนของนูเบส โฟลิอุมเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง ข้าคิดว่าคงไม่มีใครไปตามล่าพวกเจ้าบ่อยๆ หรอก”

“ทำไมมันถึงเป็นเรื่องร้ายแรงล่ะ” โอเรนถามต่อ “อย่างท่านใช้เอ็นมังกรทำเป็นไม้เท้าไม่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรงหรือ”

“ข้าใช้ไม้เท้านี้มาก่อนที่กฎหมายตัวนี้จะถูกร่าง” ไอดิเอลว่า “อีกอย่างนะ ไม่มีใครเคยเห็นมังกรขนาดใหญ่มาตั้งแต่หลังการระเบิดครั้งใหญ่แล้ว เพราะงั้นไม่จำเป็นจะต้องมีกฎหมายคุ้มครองหรอก”

“งั้นแปลว่าถ้าไม่มีใครเห็นข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครองหรือ”

ไอดิเอลมองโอเรนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “มังกรอย่างพวกเจ้าน่ะถือเป็นมังกรขนาดเล็กที่ยังเหลืออยู่บนแผ่นดินนี้ เป็นมังกรที่มนุษย์สามารถล่าได้ง่าย สายพันธุ์ของเจ้าแทบไม่มีอำนาจต่อกรกับมนุษย์เลย ถ้าไม่ออกเป็นกฎหมายคุ้มครอง พวกเจ้าก็จะถูกล่าออกมาเป็นสัตว์เลี้ยงกันหมด ซึ่งสำหรับข้ามองว่ามันไม่เหมาะที่จะเอามังกรมาเป็นสัตว์เลี้ยง”

“อืม... เป็นสัตว์เลี้ยงไม่ดีสินะ” โอเรนว่า “แล้วอัลบุสล่ะ ไม่ต้องการการคุ้มครองหรือ”

“เจ้ากับอัลบุสไม่เหมือนกันนะ” ไอดิเอลอธิบาย “อย่างสุนัข ม้า แมว วัว ควาย นก พวกนี้เป็นสัตว์ที่อยู่กับมนุษย์มานาน แต่มังกรไม่ใช่ พวกเจ้าเป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจและมีสติปัญญา ทรงคุณค่าเกินกว่าที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงให้กับพวกมนุษย์”

“อ้อ... นี่เป็นการให้เกียรตินี่เอง ข้าเข้าใจถูกไหม”

ไอดิเอลพยักหน้า “เพราะงั้นข้าถึงอยากให้เจ้ากลับไปอยู่กับเผ่าพันธุ์ตัวเอง การที่เจ้ามาตามข้าแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับที่เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าเลย”

“ยังไง” โอเรนว่า “ข้าสมัครใจตามท่านเองนะ สมัครใจตามมาเรียกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงได้ด้วยหรือ อย่างนั้นอะไรที่ตามท่านต้องเป็นสัตว์เลี้ยงท่านหมดหรือไง งั้นคาริกก็ต้องนับด้วยสิ”

“เฮ้ย ข้าไม่ใช่นะ” คาริกว่า “ข้าไมได้สมัครใจตามเขามา แต่ข้าต้องการมีงานทำต่างหาก”

“อ้อ... งั้นเจ้าทำงานอะไรล่ะ”

“รับจ้าง ข้าเป็นนักดาบ” คาริกว่า “ต่อไปนี้จะเลื่อนหน้าที่ไปเป็นผู้ช่วยจอมเวท”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป” ไอดิเอลพูดขัด “ข้ากำลังคิดเรื่องนี้หนักมาก”

“เรื่องอะไร” คาริกกับโอเรนถามขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะรีบพูดต่อ “ท่านไม่ต้องคิดหนัก ข้าแรงของข้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากตอนนี้ ถ้าท่านรับข้าไว้เป็นผู้ช่วย ข้าขอคิดเพิ่มอีกไม่มาก จริงๆ นะ แลกกับที่ข้าได้ตามท่านไปที่ต่างๆ อย่างเช่นที่นครเวหา คือ... ข้าแค่ขอค่าแรงที่ประทังชีวิตได้ แบบว่าพอเหลือเป็นเงินเก็บไว้ใช้ยามแก่อะไรทำนองนั้น”

“ที่จริงข้าไม่อยากจะแทรกหรอกนะ” มาร์คัสพูดขึ้น “แต่ว่าท่านไอดิเอลตั้งใจจะจ้างเจ้าระยะยาวจริงๆ หรือ คาริก เท่าที่ข้ารู้ท่านไอดิเอลปฏิเสธการมีผู้ช่วยมาโดยตลอดนะ ก็ไม่เถียงหรอกว่าเรื่องคราวนี้เจ้าทำได้ดี แต่... เอาจริงๆ นะ อย่าหาว่าข้างั้นงี้เลย ถ้าเป็นผู้ช่วยท่านไอดิเอลจริงๆ เจ้าก็จะมีแต่อายุสั้นนา...”

“ทำไมถึงอายุสั้นล่ะ” โอเรนถามขึ้นมา ไอดิเอลหันไปเอ็ดมาร์คัส

“ช่วยพูดให้ข้าได้ดีมาก เจ้าหุบปากไว้จะดีกว่านะ”

“โธ่ ข้าก็แค่อยากให้เจ้าคาริกมันรู้สถานตัวเองเท่านั้นเองน่า”

“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเขา” ไอดิเอลว่า “หมอนี่เป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการมาแบบพิเศษ ซึ่งเข้าคู่กับจอมเวทแบบข้าได้ดีเหลือเชื่อ รับรองว่าต่อให้อยู่กันแบบนี้อีกร้อยปี หมอนี่ก็ไม่ตายหรอก”

“เฮ้ย พูดจริงเรอะ”

“เออ”

“เดี๋ยวนะ ไหงงั้น” มาร์คัสว่า เขาหันกลับมามองและเกือบจะพลาดชนเอาก้นม้าตัวหนึ่ง ไอดิเอลร้องออกมา

“ถ้าเจ้าจะเสียสมาธิง่ายแบบนั้นก็ช่วยเปิดระบบนำทางแบบที่ไม่ต้องใช้คนขับเถอะ”

“ได้ที่ไหนเล่า ข้าทำพังไปตั้งนานแล้ว ไม่มีเงินจะซ่อมด้วย”

“ให้ตาย...”

“แต่ว่านะ ที่ท่านพูดมาตะกี้น่ะ เรื่องจริงหรือ? เจ้าคาริกอยู่กับท่านนี่... แบบว่าต่อให้ถูกถ่ายพลังแค่ไหนก็ไม่ตายหรือ”

“ใช่”

“โห... งั้นก็ไม่สบายท่านเลยหรือ”

“ไม่เลย”

“ไหงงั้น”

“นี่” ไอดิเอลพูดขึ้นมาอย่างเบื่อๆ “ถ้าข้าอยากได้แบบนี้แต่แรกข้าคงจะออกไปหามาจนเจอแล้ว แต่เพราะข้าไม่อยากได้ไง ข้าชอบการเดินทางคนเดียว มันเป็นอิสระและมีสมาธิกว่า”

“อืม... เรื่องงานเขียนของท่านสินะ” มาร์คัสพยักหน้า “งั้นท่านก็ให้คาริกลงที่คีทแล้วก็จบเรื่องนี้เสียสิ สัญญาจ้างข้าก็เป็นคนตกลง ไม่ใช่ท่านเสียหน่อย”

“เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะซี่” ไอดิเอลว่า “เมื่อวานนี้มันมีเรื่องผิดคาด เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ข้ากับเจ้าหนุ่มนี่ใช้ชีวิตเดียวกันอยู่ แปลว่าข้าตายเขาก็ตาย เขาตายข้าก็ตาย เจ้าเข้าใจไหม”

“เฮ้ย” มาร์คัสร้องออกมา คราวนี้เขาเหยียบเบรกเสียงดังเอี๊ยด จนคนที่นั่งอยู่ด้วยกันแทบจะร่วงจากเก้าอี้

“ให้ตายมาร์คัส ขับรถประสาอะไรของเจ้าเนี่ย” ไอดิเอลบ่น มาร์คัสถอนหายใจซ้ำสองเฮือกแล้วเดินเครื่องรถต่อ

“เกือบชนเข้าจริงๆ แล้ว เรื่องท่านนี่ชวนให้น่าตกใจชะมัด”

“ถ้าเจ้าชนใครเข้าจริงๆ มันจะน่าตกใจกว่าอีก” ไอดิเอลว่า “ช่วยขับดีๆ หน่อย”

“หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรที่น่าตกใจกว่าการที่พวกท่านสองคนใช้ชีวิตเดียวกันอีกแล้วนะ”

ไอดิเอลเงียบไปอึดใจ “ข้าว่านะ เราเปลี่ยนไปคุยกันท้ายรถดีกว่า เดี๋ยวเจ้ามาร์คัสมันจะตกใจชนใครเข้าเป็นเรื่องอีก”

“โธ่ๆ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ... พวกท่านไปคุยกันหลังรถข้าก็ไม่มีสมาธิขับรถอยู่ดีนั่นแหละ”

“งั้นข้าสาปให้เจ้าหูหนวกสักพักแล้วกัน”

“ไม่ต้องๆ ข้าสัญญาล่ะว่าจะตั้งใจขับรถ เพราะงั้นพวกท่านคุยกันต่อเถอะ”

“ว่าแต่พวกท่านสองคนใช้ชีวิตเดียวกันหรือ” โอเรนถามขึ้น “แปลกมาก ทำไมท่านถึงทำแบบนั้นล่ะ”

“ข้าต้องช่วยชีวิตเขา” ไอดิเอลว่า “ข้าผิดสัญญาไม่ได้ ก็เลยซวยแบบนี้ไงล่ะ”

“เดี๋ยวๆ” คาริกรีบแย้ง “มีชีวิตร่วมกันกับข้านี่มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง ฟังที่ท่านพูดแล้วมันก็มีแต่ได้กับได้นะ อย่างน้อยๆ ข้าก็เป็นเครื่องถ่ายพลังให้ท่านได้แบบไม่ต้องกลัวจะตายไปกลางคัน แค่นี้ก็ไม่น่าจะแย่แล้วล่ะ”

ไอดิเอลจ้องฝ่ายนั้น “ขอโทษเถอะ อย่ามาคิดแทนข้าได้ไหม ข้าพูดว่าแย่คือแย่สิ เจ้าเป็นข้าหรือไงถึงได้รู้ไปหมดน่ะ”

“....”

พอเห็นสีหน้าที่ไม่รู้ว่าควรจะไปในทิศทางไหนของคาริก เสียงของไอดิเอลก็อ่อนลงหน่อย “มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นน่า... เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มันไม่น่าเป็นผลดีกับเจ้าในระยะยาว”

“ยังไง”

“ลองคิดดูนะ” อีกฝ่ายอธิบาย “ด้วยพันธะนี้น่ะ ต่อให้ข้าใช้งานเจ้าเป็นทาส เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เกี่ยงงอนอะไรทั้งนั้นนะ ถึงข้าจะใช้งานโดยไม่จ่ายค่าแรง เจ้าก็ไปฟ้องร้องเอากับใครไม่ได้อยู่ดี”

“โห... แต่ดูแล้วท่านไม่น่าจะเป็นคนใจจืดใจดำแบบนั้นนะ”

“เจ้าจะหาอิสระในชีวิตไม่ได้เลยนะ อยากจะไปที่ที่อยากไปก็ไม่ได้ อยากจะมีครอบครัวก็ไม่ได้ นี่ คิดดูดีๆ นะ เจ้าอายุยังน้อย ยังมีอนาคตอีกไกล”

“ข้าก็อยากจะคิดหรอกนะ” คาริกว่า “แต่คิดไปแล้วได้อะไรขึ้นมา ยังไงตอนนี้ข้าก็ใช้ชีวิตเดียวกับท่านแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกหรือไง”

“ที่จริงแล้วมันก็น่าจะมีวิธีอยู่” ไอดิเอลว่า “สัญญาศิลาเลือดใช้เลือดพันธนาการคนสองคนไว้ด้วยกัน ถ้าข้ากับเจ้าตั้งใจว่าจะทำลายพันธะนี้ ก็น่าจะทำลายศิลาลงได้ ถ้าศิลาแตก พันธะก็น่าจะสิ้นสุด”

“แล้วข้าจะตายรึเปล่า” อีกฝ่ายถามต่อ ไอดิเอลสั่นศีรษะ

“ไม่นะ อาการบาดเจ็บของเจ้าข้ารับมา แล้วตอนนี้ข้าก็รักษาตัวเองดีแล้ว มันน่าจะถือว่าหายไปแล้ว ต่อให้ทำลายศิลาก็ไม่น่าจะมีผลอะไร”

“แล้วถ้าเกิดมันมีผลล่ะ ท่านมีศิลาเม็ดที่สองรึไง”

“....”

“นี่... ถามจริงๆ เถอะ ถ้าท่านไม่คิดจะทำพันธะผูกพันแบบนี้กับใคร ทำไมถึงพกของแบบนี้ไว้กับตัวกันล่ะ”

“....” หลังเงียบไปอึดใจ ไอดิเอลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายข้า จอมเวททุกคนมีศิลาเลือดไว้กับตัวคนละเม็ด ไม่มีเม็ดที่สอง ซึ่งจะว่าไปแล้วยังไม่เคยมีใครลองทำลายมันเลย”

“....” คาริกจ้องไอดิเอล “ท่านว่า... มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย... ต้องเป็นส่วนสำคัญใช่ไหม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอำนาจแบ่งชีวิตมาหรอก... สมมติ... ถ้าทำลายได้ ท่านแน่ใจนะว่าพวกเราจะไม่ตายทั้งคู่”

“เจ้าพูดมาก็มีส่วนถูก” ไอดิเอลถอนใจอีก “เพราะงั้นข้าเลยปวดหัวอยู่นี่ไง”

“นี่ ท่านไอดิเอล เท่าที่ฟังมาเนี่ยนะ ถ้าท่านลดทิฐิความอยากอยู่คนเดียวของท่านลงหน่อย มันก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ท่านได้ผู้ช่วยที่เข้ากับท่านได้ดีเป๊ะๆ แถมยังค่าแรงถูก ที่จริงไม่ต้องจ่ายเลยยังได้อย่างที่ท่านว่า ดูแล้วท่านก็มีแต่ได้กับได้นะเนี่ย” มาร์คัสพูดขึ้นมาอีก ไอดิเอลหันไปว่าเขาทันที

“เจ้าไม่ใช่ข้าอย่ามาทำสู่รู้หน่อยเลยน่า”

“ก็ไม่เห็นว่าท่านจะเสียตรงไหนนี่นา... นอกจากเสียความเป็นส่วนตัวไปน่ะ”

“นั่นเรื่องใหญ่สำหรับข้ามากนะ” ไอดิเอลว่า มาร์คัสพูดต่อ

“ท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคอาณาจักรเก่านะ ข้าคิดว่าด้วยอายุขนาดท่านเนี่ย น่าจะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว มีเพื่อนมาเพิ่มอีกคนมันจะแย่สักแค่ไหนกันเชียว นี่ท่านจะยึดติดกับชีวิตตัวคนเดียวของท่านจนคิดจะเรื่องบ้าๆ ที่ตัวเองอาจเสี่ยงตายไปด้วยจริงๆ หรือไง”

ภายในรถเงียบกริบไปทันที คาริกเหลือบตามองไอดิเอลสลับกับมาร์คัส ในขณะที่จอมเวทยกมือขึ้นเท้าคาง ในที่สุดก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก บางทีข้าอาจจะยึดติดเกินไป พอมาคิดดูแล้วมันก็ไม่ได้แย่ ข้าได้ผู้ช่วยมาหนึ่งคน ชีวิตก็น่าจะสะดวกขึ้นเยอะ ส่วนเรื่องค่าจ้าง ในเมื่อยังไงเขาก็หนีจากข้าไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว จะไปกังวลทำไมกัน”

“เดี๋ยวนะ ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ย ท่านกังวลเรื่องค่าจ้างของข้าใช่ไหมเนี่ย”

“มันก็ส่วนหนึ่งน่ะนะ” ไอดิเอลว่า คาริกร้องออกมา

“ท่านที่มีทองใส่ทั้งตัวยังกังวลเรื่องค่าจ้างข้าอีกหรือเนี่ย ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่าท่านงกขนาดนี้”

“นี่ จะว่าข้าให้มันมีมูลหน่อยเถอะ” ไอดิเอลว่า “ที่ข้ากังวลน่ะคือเรื่องตัวเลขต่างหาก ข้านึกไม่ออกว่าควรจะจ่ายเจ้ายังไงถึงจะเหมาะสม สมมติว่าข้าไม่มีงานเลย ข้าจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างเจ้าไหม ถ้าข้าต้องจ่าย เจ้าก็ต้องทำหน้าที่ ว่าแต่เจ้าจะทำหน้าที่อะไร แล้วข้าต้องจ่ายค่าแรงในระดับคนงานแบบไหน พอคิดแล้วก็ปวดหัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ”

“ถ้าเป็นงั้นนะ” โอเรนพูดขึ้นมา “ข้าเสนอว่าไม่ต้องจ่ายก็สิ้นเรื่อง ไหนๆ พวกท่านสองคนก็ใช้ชีวิตเดียวกันอยู่แล้ว จ่ายกับไม่จ่ายก็ไม่น่าจะต่างกันไม่ใช่หรือไง”

“ต่างสิ จะไม่ต่างได้ไง” คาริกแย้งทันที “ข้าจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเงินใช้ ข้าวข้าก็ต้องกิน เสื้อผ้าข้าก็ต้องใส่นะ ของพวกนี้ไม่ใช่ว่าข้าปลูกเอาทอเอาได้นะ”

“ก็ให้ท่านไอดิเอลซื้อให้สิ” โอเร็นว่า “คนถือเงินคือท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือไง เจ้าอยากได้อะไรก็บอกเขา แบบนี้สะดวกกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้องมาคอยคิดด้วยว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่”

“ไม่ได้” ไอดิเอลว่า “เกิดอยากได้มั่วซั่วข้าไม่ปวดหัวตายหรือ”

“ข้าไม่ใช่คนอยากได้มั่วซั่วนะ”

“ใครจะไปรู้”

“ข้ามีวิธีเสนอนะ” มาร์คัสว่า “ท่านก็จ่ายเงินให้เขาเป็นรายเดือนสิ เดือนละเท่าไหร่ก็แล้วแต่ท่านเห็นเหมาะสม แต่ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินจริงๆ ให้ฝากไว้ที่ท่านก่อน แล้วถ้าเขาอยากได้อะไรก็ค่อยมาเบิกเอา”

“อืม... ฟังดูเข้าท่า” ไอดิเอลว่า “เป็นรายเดือนก็ดี ข้าไม่ต้องคิดมาก แต่คงต้องเริ่มจากราคาต่ำสุดก่อน เพราะหมอนี่ไม่มีใบรับรองอะไรเลยสักอย่าง”

“นี่เอาใบรับรองมากดราคากันอีกแล้วหรือ” คาริกว่า “ให้ตายเถอะ เสร็จจากนครเวหาข้าจะไปสอบเลื่อนขั้นที่อาเปส จะได้เสนอราคาสู้เขาได้บ้าง”

“เข้าใจอะไรผิดไปหน่อยมั้ง” ไอดิเอลว่า “ข้าอาจจะใช้ใบรับรองมาคิดราคาเริ่มต้นก็จริงนะ แต่การที่เจ้าไปสอบเลื่อนขั้นผ่านก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเพิ่มเงินเดือนให้ ถ้าผลงานเจ้าไม่เข้าตา สอบเลื่อนขั้นไปก็เท่านั้น...”

“เจ้าก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเถอะน่า” โอเรนว่า “ข้ายังไม่เดือดร้อนอยากได้เงินเดือนจากท่านไอดิเอลเลย”

“ได้ซี่ ก็เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินแบบข้านี่นา ถ้ามีภัตตาคารสำหรับมังกร เจ้าอาจจะอยากใช้เงินขึ้นมาบ้างก็ได้”

“โอ้โห ฟังดูน่าสนใจมากนะ ภัตตาคารสำหรับมังกร ที่นั่นจะมีของอร่อยให้ข้ากินเยอะเลยใช่ไหม”

“อืม” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ คาริกพูดขึ้นมา

“จริงสิ โอเรน เจ้ากินอะไรเป็นอาหารน่ะ”

“ข้าหรือ... ไม่รู้สิ คิดว่าพวกใบไม้เขียวๆ ข้างนอกนั่นน่าจะอร่อยกว่าผมเจ้าน่ะนะ”

“หา” คาริกร้องก่อนจะคว้าตัวโอเรนลงมา “อย่าบอกว่าว่าเจ้ากำลังแทะผมข้าอยู่”

“ที่จริงข้าก็หิวมาสักพักแล้วน่ะนะ” โอเรนว่า “แต่ผมเจ้าน่ะไม่อร่อยเลย แหวะ”

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ เจ้าจะแทะผมข้าแบบนี้ไม่ได้ จอดรถหน่อยมาร์คัส ข้าจะไปเก็บใบไม้ให้เจ้านี่หน่อย บ้าจริง ผมข้าแหว่งไปเยอะมั้ยเนี่ย”

ไอดิเอลพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่เยอะหรอกน่า ข้ารับประกันว่ายังไม่ล้านแน่นอน”

มาร์คัสจอดรถริมถนน คาริกรีบแจ้นลงไปหักกิ่งไม้ที่อยู่ข้างทางลงมา โดยฝากโอเรนไว้ที่ไอดิเอล พอขึ้นมาก็เห็นว่าหายตัวกันไปทั้งคู่ เขาเลยหันไปถามมาร์คัส

“สองคนนั่นไปไหนแล้ว”

“อยู่ท้ายรถมั้ง ดูเหมือนท่านไอดิเอลจะสนใจว่าเจ้ามังกรนั่นกินฟางแบบที่อัลบุสกินได้รึเปล่าน่ะ”

ยังไม่ทันที่คาริกจะพูดอะไรตอบ ไอดิเอลก็เปิดประตูโดยมีโอเรนบินนำหน้ามา

“ว้าว หอมมากเลย คาริก นี่เจ้าไปตัดมาให้ข้าใช่ไหม” เจ้ามังกรน้อยร้องพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายเมื่อเห็นใบไม้จำนวนมากบนกิ่งไม้ที่คาริกตัดมา เจ้าตัวพยักหน้า

“เจ้ากินได้ไหม ข้าหักมาจากหลายต้นเลย ไม่รู้เจ้ากินใบไม้อะไรบ้าง”

“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าจะกินใบอะไรได้บ้าง” โอเรนว่า “แต่ของเจ้าดูน่าอร่อยกว่าของอัลบุสเยอะ ข้าชอบของสีเขียวๆ แบบนี้แหละ ต้องอร่อยมากแน่ๆ”

คาริกเลยวางทั้งหมดลงบนโต๊ะ “งั้นก็ลองให้หมดนี่เลยนะ ถ้าอร่อยไว้ข้าจะไปเก็บมาให้อีก”

ไอดิเอลที่เดินตามมาเลยต้องขยับเก้าอี้ออกไปหน่อยเพราะติดกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา โอเรนถลาลงไปแล้วหยิบใบไม้พวกนั้นขึ้นมาเคี้ยวตุ้ยๆ “อื้อ อร่อย แบบนี้แหละอร่อย”

คาริกยิ้มก่อนจะหันไปหาจอมเวท “ได้ยินว่าท่านพาโอเรนไปกินฟางที่ด้านหลังหรือ ท่านคิดได้ไง ไหนว่าเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไง”

“ข้ารู้ว่านูเบสกินพืช” ไอดิเอลว่า “แค่อยากทดลองดูว่ากินฟางด้วยรึเปล่า”

“ถ้ากินฟางได้ท่านจะเอาเขาไปไว้ที่คอกม้าใช่ไหมเนี่ย”

“ที่จริงก็กำลังคิดอยู่ ว่าจะเอาไปไว้ที่คอกม้ากับอัลบุส หรือว่าเอาฟางใส่จานมาวางไว้บนโต๊ะดี แต่ดูแล้วใบไม้ของเจ้าดูจะเข้าท่าที่สุดล่ะนะ”

คาริกมองหน้าจอมเวท “บอกตรงๆ นะไอดิเอล บางทีข้าก็สงสัยมาตรฐานของท่านเหมือนกันนะ”

โอเรนกินใบไม้อย่างเอร็ดอร่อย ใช้เวลาไม่นานก็กินที่คาริกเก็บมาจนเกลี้ยง แถมยังแทะกิ่งกินต่ออีก คาริกเห็นแล้วก็อดถามออกมาไม่ได้

“ถามจริงเถอะ เจ้านี่จัดเป็นมังกรตรงไหน ดูยังไงก็กระรอกพูดได้ชัดๆ”

“กระรอกไม่ฉลาดขนาดนี้น่า” ไอดิเอลว่า “นูเบสจัดเป็นมังกรเพราะใช้พลังจากธาตุลมได้ แล้วก็มีความเฉลียวฉลาดเทียบเท่าหรือมากกว่ามนุษย์ ต่างจากอิกเน่ ลาเชอร์ตา หรือสัตว์ร้ายชนิดอื่นที่ควบคุมธาตุได้ พวกนั้นใช้พลังจากธาตุได้จริง แต่ไม่ฉลาดเหมือนกับมังกร”

“แต่ตัวที่เราเจอพูดได้นะ” คาริกว่า ถึงจะไม่ชัดแบบโอเรน แต่ข้าคิดว่ามันพูดจารู้เรื่องอยู่นะ

“มันเป็นสัตว์ที่ถูกฝึกมา” ไอดิเอลพูด ก่อนจะถอนหายใจยาว “เรื่องนี้แหละที่ข้ากังวล ใครกันที่ฝึกสัตว์ร้ายอันตรายแบบนั้นจนพูดได้ แถมยังส่งมันไปตามที่ต่างๆ ได้อีก”

“ท่านไม่มีรายชื่ออยู่ในใจหรือไง เหมือนข้าจะได้ยินชื่อสักชื่อหนึ่งตอนที่ท่านคุยกับเพื่อนเมื่อเช้านะ”

“เป็นแค่ข้อสงสัย” ไอดิเอลว่า มาร์คัสพูดขึ้น

“ข้าก็สงสัยอยู่คน ไม่รู้ว่าจะใช่คนเดียวกับที่ท่านคิดรึเปล่า”

“หืม เจ้าสงสัยใคร”

“วัลคอต”

“ใครกัน?”

“อ้าว ท่านไม่รู้จักหรอกหรือ” มาร์คัสพูดด้วยความแปลกใจ “วัลคอตเป็นคนดังในหมู่พวกนักวิจัยเครื่องกลเลยนะ เขาเป็นคนหนุ่ม อายุสามสิบกว่าๆ นี่เอง เป็นพวกอัจฉริยะแต่เพี้ยนจัด เขาชอบประดิษฐ์เครื่องมือแปลกๆ และชอบเลี้ยงสัตว์แปลกๆ ด้วย ตอนเขามีชื่อเสียงมันเริ่มมาจากการระเบิดหมู่บ้านที่ตัวเองอยู่ เห็นว่าเป็นความผิดพลาดจากการทดลอง ดูเหมือนไม่กี่ปีก่อนจะมีข่าวว่าเขาสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารที่มีขนาดเล็กและใช้พลังงานน้อยลงได้สำเร็จด้วยนะ แต่หลายคนบอกว่าเป็นแค่ข่าวปล่อย เพราะถ้าจริงป่านนี้เขาคงจะขายให้ราชสำนักรวยอื้อซ่าไปแล้ว”

“เขาอยู่ที่ไหน”

“ที่ข้าได้ยินข่าวล่าสุดว่าเขาไปตามหาสัตว์ประหลาดที่ภูเขาไฟอเตอร์ อาณาจักรอุดร แต่มันก็หลายปีมาแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะย้ายที่อยู่อีก หมอนี่ไม่ค่อยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งหรอก ตรงไหนมีอะไรน่าสนใจเขาก็มักจะไปอยู่ที่นั่นแหละ”

“อืม... วัลคอตงั้นหรือ ข้าจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาดู” ไอดิเอลว่า คาริกพูดขึ้นต่อ

“เป็นอันว่าตอนนี้มีสองชื่อ ว่าแต่ทำไมท่านต้องวุ่นวายเรื่องนี้ด้วย มันน่าจะเป็นหน้าที่ของราชสำนักกับทางการในการนำสืบไม่ใช่หรือไง หรือว่าท่านได้ค่าจ้าง”

“ตอนนี้ยังไม่ได้ค่าจ้างเรื่องนี้” ไอดิเอลว่า “แต่การมีสัตว์ยักษ์ปรากฏตัวผิดที่ผิดทางจะทำให้เกิดการเพ่งเล็งไปที่คนสองกลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นคือพวกจอมเวท ข้าไม่อยากให้วุ่นวายถึงขั้นกลายเป็นสงคราม”

“คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกมั้ง” มาร์คัสว่า “ข้าว่าพวกจอมเวทอย่างท่านไม่น่าโง่ขนาดทำอะไรที่ส่อไปในทางทำลายตัวเองหรอกนะ”

“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ” อีกฝ่ายตอบ คาริกเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด

“ไอดิเอล มีเรื่องหนึ่งที่ข้าติดใจ”

“อะไร”

“นิมิตที่ข้าเห็นเมื่อคืน... ท่านเองก็เห็นด้วยใช่ไหม”

ไอดิเอลนิ่งไปอึดใจ ขณะที่มาร์คัสกับโอเรนถามขึ้นพร้อมกัน “นิมิตอะไร”

“ข้าเห็นกระดูกกองสูงเป็นภูเขา แล้วก็เห็นตัวประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่บนนั้น มันมีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์”

“แบบท่านไอดิเอลหรือ”

“ไม่ใช่ เจ้านั่นน่าเกลียดน่ากลัวมาก” คาริกว่า “ผมสีดำ ดวงตาสีเขียวที่เรืองแสงได้ ในปากมีเขี้ยวสีเหลืองแหลมยาวเหมือนกับสัตว์ร้าย ข้ารู้สึกเลยว่านี่คือสิ่งที่อันตรายมากๆ”

“ตาสีเขียวเรืองแสงได้งั้นหรือ” มาร์คัสว่า “ฟังดูน่ากลัวแฮะ แต่ทำไมข้ารู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหน”

“เจ้าน่าจะเคยอ่านเจอในหอสมุด” ไอดิเอลว่า “มันเป็นตำนานโบราณที่ไม่มีใครเล่าขานมานานแล้วตั้งแต่ยุคเริ่มอาณาจักรใหม่แล้ว”

“อา... พอท่านพูดแบบนั้น ข้าก็พอนึกได้ลางๆ ล่ะนะ เป็นตำนานเกี่ยวกับการกำเนิดโลกใช่ไหม”

“อืม ตำนานการสร้างโลก มหาสงคราม และการวางมนุษย์ไว้บนผืนแผ่นดิน เรียบเรียงโดยโอเล็กซ์ ภัตราน้ำเงินผู้ทรงภูมิ”

“อ้าว ไม่ใช่ท่านเป็นคนเขียนหรอกหรือ”

“เปล่า หนังสือเล่มนั้นโอเล็กซ์เป็นคนเรียบเรียง” ไอดิเอลว่า “เป็นหนังสือที่รวบรวมเอาตำนานโบราณที่เคยเล่าขานในยุคอาณาจักรเก่า มีบทหนึ่งกล่าวถึงการถือกำเนิดโลก ว่าโลกถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับไข่ประหลาดสองใบ เทพแห่งแสงและเทพีแห่งความมืดจึงแบ่งกันคนละใบ สิ่งที่ถือกำเนิดมาจากไข่ทั้งใบนั้นมีหูยาว มีเขี้ยวเต็มปาก มีกรงเล็บยาวโง้ง ดวงตาและผิวเป็นสีใสเหมือนแก้ว เทพแห่งแสงไม่โปรดเขี้ยวแหลมและหูที่ยาว รวมถึงกรงเล็บที่ดูอันตราย จึงตัดออกทั้งหมดออกเสีย ทั้งคู่ติดตามเทพทั้งสองไปสร้างโลก ฝ่ายที่ติดตามเทพแห่งแสงนานวันผ่านไปร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสีสัน เขารับเอาสีของท้องฟ้ามาเป็นสีผม และรับเอาสีของสายรุ้งมาเป็นสีของดวงตา ถูกเรียกขานในฐานะบุตรแห่งแสง ขณะที่อีกด้านหนึ่งรับเอาสีดำสนิทของกลางคืนมาเป็นสีผม และรับเอาแสงสีเขียวเรื่อเรื่องของพืชมาเป็นสีของดวงตา ถูกเรียกขานในฐานะบุตรแห่งความมืด”

“ไม่น่าเชื่อ” คาริงคราง “นี่ข้านิมิตเห็นสิ่งในตำนานที่ไม่ได้ยินมาก่อนงั้นหรือ”

ไอดิเอลส่งเสียงอืมในคอ ก่อนจะพูดต่อ “นี่เป็นตำนานเก่าแก่มาก ในสมัยยุคอาณาจักรเก่าก็มีเล่ากันอยู่ไม่กี่แห่ง ภายหลังจากที่เทพแห่งแสงได้ผนึกเทพีแห่งความมืดให้หลับใหลอยู่ใต้พื้นโลกและเข้าสู่นิทราโดยทิ้งมนุษย์เอาไว้บนผืนแผ่นดิน บุตรแห่งความมืดได้กรีฑาทัพมังกรและเหล่าสัตว์ร้ายเข้ามาหมายกำจัดมนุษย์ให้สิ้นซาก แต่ถูกบุตรแห่งแสงและผู้รับใช้แห่งแสงหรือที่เรียกกันว่าทวยเทพขวางไว้ ก่อให้เกิดเป็นมหาสงครามระหว่างทวยเทพและมังกร สงครามครั้งนี้สิ้นสุดลงหลังจากบุตรแห่งแสงและเหล่าทวยเทพช่วยกันปิดผนึกและตีตราบุตรแห่งความมืดก่อนจะถ่วงให้จมลงสู่ห้วงน้ำลึก บ้างก็ว่าฝังไว้ใต้ผืนโลกเช่นเดียวกับเทพีแห่งความมืด ผลลัพธ์จากสงครามมนุษย์ไม่ถูกทำลาย และมังกรยังคงอยู่บนโลกอย่างยิ่งใหญ่ แต่เหล่าผู้รับใช้แห่งแสงที่อ่อนแรงต่างพากันค่อยๆ สลายหายไป ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรแห่งแสงหลังจากนั้น บ้างก็ว่าเขาออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อปกป้องมวลมนุษย์ บ้างก็ว่าเขาหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน นี่ไม่ใช่ตำนานที่จะหาฟังได้ในยุคนี้หรอก”

“ข้าถามได้ไหมว่าทำไมมันถึงไม่ถูกเอามาเล่า” คาริกว่า “ทั้งที่ฟังแล้วมันก็เป็นเรื่องที่สนุกเอาเรื่องอยู่นะ”

“เพราะการมีอยู่ของบุตรแห่งแสงและบุตรแห่งความมืดนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะก่อให้เกิดข้อขัดแย้งน่ะ” ไอดิเอลว่า “ตำนานพวกนี้เลยถูกเก็บไว้ที่หอสมุด ไม่ถูกอนุญาตให้นำมาเล่าต่อ”

“การมีอยู่ของบุตรแห่งแสงและบุตรแห่งความมืดจะก่อให้เกิดข้อขัดแย้งยังไง” คาริกยังคงไม่เข้าใจ อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ

“มันก็อาจจะทำให้คนบางกลุ่มคิดว่าการปลุกบุตรแห่งความมืดขึ้นมาจะทำให้เกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์น่ะสิ”

“อืม... ฟังดูก็น่ากลัวอยู่นะ” ชายหนุ่มว่า “แต่ใครมันจะบ้าไปปลุกของพรรค์นั้นขึ้นมา”

“อย่าดูถูกมนุษย์ไปน่า เจ้าหนุ่ม” มาร์คัสว่า “คนบ้าแบบนั้นน่ะมีอยู่ตลอดนั่นแหละ ข้าเห็นบางคนในเมืองหลวงยังไปถือป้ายเย้วๆ หน้าราชวังเลยว่าให้เลิกเอากองทหารไปคุ้มครองหัวเมืองต่างๆ โดยอ้างภัยคุกคามจากสัตว์ร้ายเลย หาว่าทางการสร้างเรื่องขึ้นมาเองบ้างอะไรบ้างล่ะ”

“หา พวกเขาทำแบบนั้นไปทำไมน่ะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่7 (15/5/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-07-2021 18:54:17
มาร์คัสยักไหล่ “จะไปรู้หรือ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่สบายมากจนคิดว่าสัตว์ร้ายไม่มีอยู่จริงก็ได้”

“ข้าคิดถึงชีวิตแบบนั้นไม่ออกเลยแฮะ”

“เพราะเจ้าไม่ได้อยู่จุดนั้นไง” ไอดิเอลว่า “ถ้าเจ้าอยู่ตรงจุดนั้นเจ้าก็คงคิดถึงเรื่องสัตว์ร้ายไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละ”

“อืม.. แสดงว่าชีวิตในเมืองหลวงนี้สุขสบายน่าดูเลยแฮะ ชักอยากเห็นแล้วสิว่าอาเปสเป็นเมืองยังไง”

“ไว้กลับจากนครเวหาจะแวะให้ไปเปิดหูเปิดตาแล้วกัน” ไอดิเอลว่า คาริกพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น

“จริงหรือเนี่ย ขอบคุณนะ รู้สึกว่าการได้พบกับท่านนี่เป็นโชคของข้าจริงๆ เลยแฮะ”

มาร์คัสหัวเราะ “จำได้ว่าเมื่อวานตอนนั่งรถมาด้วยกัน เจ้ายังบอกไม่อยากเจอจอมเวทอยู่เลยนี่นา”

“ก็ตอนนั้นข้าไม่รู้เหตุผลนี่นา”

“มันคงเป็นความซวยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของข้าล่ะนะ” ไอดิเอลว่า “อย่ากับมีใครสาปเอาไว้อะไรแบบนั้น”

“เห... อย่างท่านนี่ถูกสาปได้ด้วยหรือ”

“แค่พูดเปรียบเทียบนะ” จอมเวทตอบก่อนจะถอนหายใจเฮือก “เอาล่ะ ข้าอยากจะนั่งพักเงียบๆ ถ้าพวกเจ้านั่งตรงนี้แล้วหุบปากไม่ได้ ก็ไปนั่งท้ายรถกับอัลบุสโน่นไป”

“ถูกไล่แล้วแฮะ” คาริกว่า โอเรนพูดขึ้นบ้าง

“ไปท้ายรถก็ได้ ข้าอยากลองคุยกับอัลบุส อยากรู้ว่าทำไมมันถึงต้องกินฟาง แทนที่จะเป็นใบไม้เขียวๆ แบบที่ข้ากิน”

“เจ้าคุยกับม้ารู้เรื่องด้วยหรือไง”

“ไม่ลองก็ไม่รู้นะ ทีเจ้ายังคุยกับม้ารู้เรื่องเลยไม่ใช่หรือ”

“ใช่ที่ไหนกันเล่า”

“เอาล่ะ ไปคุยกันให้พ้นๆ หูข้าที” ไอดิเอลไล่ “แล้วก็เอากิ่งไม้พวกนี้ไปด้วยเลย”

พอคาริกกับโอเรนออกไปท้ายรถแล้ว ไอดิเอลก็ถอนหายใจเฮือก “ให้ตาย ปวดหัวชะมัด”

มาร์คัสหัวเราะออกมาอีก “นึกถึงตอนที่ข้าเจอท่านใหม่ๆ เลย ท่านก็ไล่ข้าไปแบบนี้เหมือนกัน”

“ถามมากไปข้าก็ตอบจนเหนื่อยเหมือนกันนะ”

“ก็ท่านรู้ทุกเรื่องนี่นา... ว่าแต่ ทำไมคาริกถึงเห็นนิมิตได้ล่ะ เขาพิเศษขนาดนั้นเลยหรือ”

“อืม หมอนั่นค่อนข้างพิเศษมาก” ไอดิเอลว่า “เป็นพวกกลายพันธุ์แบบหายาก คิดว่าน่าจะมีจอมเวทตามหาอยู่นั่นแหละ”

“เพราะงั้นสินะหมอนั่นถึงได้ไม่อยากเจอจอมเวทจนดูน่าสงสารไปเลย แต่ก็ดีแล้วนี่นาที่เจอกับท่าน ข้าพามาเจอถูกคนนะเนี่ย”

“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าดีใจนะ” ไอดิเอลว่า “เจ้าจ้างเด็กนั่นมาราคาเท่าไหร่”

“ห้าสิบเหรียญเงิน คิดว่าท่านจะไม่ถามเรื่องนี้แล้วเชียว”

“หืม... นั่นราคาค่าจ้างหรือ”

“ฮ่าๆ ใช่ ถูกมากใช่ไหมล่ะสำหรับนักดาบรับจ้างน่ะ ราคานี่น่ะปกติสำหรับพวกมือใหม่เพิ่งเข้ามาสมัครเท่านั้นแหละ”

“อ้อ... แล้วเจ้านั่นเพิ่งมาสมัครหรือไง”

“เปล่า เขาอยู่มาหลายปีแล้ว เขายังไม่ได้เล่าเรื่องให้ท่านฟังหรือ”

“ยัง หมอนั่นเอาแต่ถามๆ เจ้าก็ได้ยินนี่นา”

“นั่นสินะ ท่านมีแต่เรื่องให้ถามนี่ งั้นข้าจะเล่าให้ฟังแล้วกัน”

..................................

สมาคมคุ้มกันแห่งคีทในช่วงหัวค่ำเต็มไปด้วยผู้คน ไหนจะเป็นสมาชิกที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจ หรือพวกลูกค้าที่เข้ามาถามหาคน คาริกเดินเข้าไปด้านในแล้วลากเก้าอี้ตัวเดียวที่ยังว่างอยู่หน้าบาร์ออกนั่งทันที

“ออกัส ขออาหารชุดใหญ่ให้ข้าชุดนึงนะ ข้าหิวมาก ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ออกไปเมื่อวาน”

“อ้าว คาริก กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ แล้วนั่นเจ้าไปเอาชุดกับหมวกใหม่มาจากไหน หมวกน่ารักเชียวนะนั่น”

“หา หมวก” ชายหนุ่มทวน ก่อนจะพูดอย่างนึกได้ “หมายถึงเจ้าตัวเขียวๆ บนหัวข้าใช่ไหม”

“ใช่ อย่างกับเป็นกระรอกสีเขียวเกาะอยู่จริงๆ แน่ะ”

“นี่ คาริก” โอเรนกระซิบ “ท่านไอดิเอลบอกเจ้าแล้วนะว่าห้ามไม่ให้ใครรู้ว่าข้าเป็นตัวอะไร”

“อ้อ...” คาริกร้องในคอ “ใช่ๆ มันเป็นหมวกรูปกระรอก เหมือนจริงเลยใช่ไหมล่ะ มีคนให้ข้ามา”

“น่าสนใจนี่นา ขอลองยืมใส่หน่อยสิ” สมาชิกสมาคมที่เพิ่งเดินเข้ามาพูดแล้วทำท่าจะยื่นมือไปฉวยโอเรนขึ้นมา คาริกเลยรีบใช้มือปัด

“อย่ามาถือวิสาสะน่า ข้ายังไม่อนุญาตสักหน่อย”

“แหม หวงจริง มีสาวที่ไหนให้มาล่ะสิ ว่าแต่เจ้าไปได้เสื้อผ้าพวกนี้มาจากไหน ดูคุ้นๆ เหมือนชุดตัวในของทหาร เสื้อเก่าเอาไปขายแลกเงินหมดแล้วหรือไง”

“นี่ๆ ไม่รู้ก็อย่ามาพูดเลย” ชายหนุ่มย้อน “ข้าเพิ่งผ่านความเป็นความตายมานะ แลกเสื้อไปสักตัวสองตัวจะเป็นไรไป”

ออกัสเลิกคิ้ว “หืม เกิดอะไรขึ้นที่แคนเดนซ์งั้นหรือ แล้วมาร์คัสล่ะ ไม่ได้กลับมากับเจ้าด้วยหรือ”

“มาด้วยกันนั่นแหละ เดี๋ยวอีกสักพักคงถึง ข้าหิวจัดเลยรีบมาที่นี่ก่อน นี่ อาหารได้หรือยังน่ะ”

ออกัสยกถาดอาหารมาวางตรงหน้าเขา เยอะขนาดคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องขยับเก้าอี้หลบ ก่อนจะพูดต่อ “พูดจริงนะคาริก ข้ามาคิดดูแล้ว เจ้าต้องจ่ายค่าบำรุงสมาคมเพิ่มจริงๆ นั่นแหละ อย่างน้อยๆ ก็ค่าอาหารพวกนี้”

“อืม ไว้เดี๋ยวค่อยให้มาร์คัสมาจ่ายแล้วกัน ข้าขอกินก่อนล่ะ หิวจนจะกินม้าได้ทั้งตัวแล้ว”

“ไง ออกัส ท่าทางกิจการดีนี่นา” มาร์คัสที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยทัก เขาเดินไปที่โต๊ะจ่ายเงินซึ่งอยู่ติดกับบาร์ แล้วล้วงเหรียญเงินออกมา

“ห้าสิบเหรียญตามสัญญา” เขาพูดพลางวางเหรียญเงินลงบนโต๊ะพร้อมกับหนังสือสัญญา ออกัสรับไปนับแล้วถาม

“พวกเจ้าไปทำอะไรกันที่แคนเดนซ์กันแน่ ข้าเพิ่งได้ยินข่าวว่ามีสัตว์ร้ายอาละวาดที่นั่น”

“อ้อ ใช่ ข้าก็ตามไปเก็บซากเจ้าสัตว์ตัวที่ว่านั่นแหละ”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” อีกฝ่ายถามต่อ “ไม่ใช่แมกนิสคอร์นิบัสใช่ไหม พวกที่เพิ่งมาจากแคนเดนซ์ทุกคนเล่าตรงกันว่ามันเป็นสัตว์ร้ายที่ไม่มีใครในแถบนี้เคยเห็นมาก่อน เป็นสัตว์ระดับสี่ที่ควบคุมไฟได้”

“อิกเน่ ลาเชอร์ตา” มาร์คัสว่า “ข้าได้ซากมันมาด้วย รอบนี้รับรองกำไรอื้อซ่าแน่ๆ”

“อิกเน่ ลาเชอร์ตา” ออกัสทวนคำ “เป็นไปได้ไง มันไม่ใช่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้ด้วยซ้ำ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันโผล่มาได้ยังไง แต่ทางการคงรับสืบเรื่องนี้แล้วล่ะ พวกเจ้าเองก็อย่าตื่นตระหนกไปเลยน่า”

“ว่าแต่เจ้ารู้ได้ไงว่ามีสัตว์ประหลาดแบบนั้นอยู่ที่แคนเดนซ์”

“ข้าเป็นคนบอกเขาเอง” ไอดิเอลที่เพิ่งเดินมาถึงพูดขึ้น พอเขาพูดทุกคนก็หันมามองเป็นตาเดียวทันที

“เทพแห่งแสงโปรด... บอกข้าที นั่นจอมเวทใช่ไหม”

“จอมเวท... จอมเวทจริงๆ หรือนี่”

ไอดิเอลทำหน้าเหนื่อย “อืม ข้าเป็นจอมเวท ไม่ใช่พวกนักเล่นปาหี่แน่ พวกเจ้าหยุดทำหน้าตื่นเต้นแบบนั้นแล้วกลับไปนั่งที่เดิมได้แล้ว ไม่มีการแสดงอะไรน่าตื่นเต้นให้ดูหรอก”

คนในโถงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หลายคนที่ลุกขึ้นมาทำท่าละล้าละลังว่าควรจะกลับลงไปนั่งหรือเดินออกมาดูดี ไอดิเอลไม่สนใจท่าทีของคนพวกนั้น เขาหันมาพูดกับออกัส

“เจ้าเป็นผู้จัดการสมาคมนี่ใช่ไหม”

“ครับ... ท่าน... เอ่อ...”

“ไอดิเอล”

“อ๋อ ข้าน่าจะนึกออกตั้งแต่เห็นสีผมของท่านแล้ว” ออกัสร้องออกมา “ท่านคือประกายสีเงินเดียวดาย นักล่าค่าหัวที่มีชื่อเสียงคนนั้นนั่นเอง มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือครับ”

“ข้ามาจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ของสมาชิกเจ้าคนหนึ่ง หมอนั่นชื่อคาริก น่าจะเข้ามาก่อนข้าสักพักแล้ว”

“อ๋อ เจ้าคาริกหรือ นั่งกินมื้อเย็นอยู่ตรงนั้นน่ะ หมอนั่นกินจุอย่างกับอะไรดี”

ไอดิเอลหันไปมอง แล้วต้องขมวดคิ้ว “นั่นเขากินคนเดียวหรือ”

“ครับ นั่นเป็นปริมาณแบบปกติของเขา”

“โห นั่นปริมาณขนาดคนตัวใหญ่ๆ สี่คนกินเลยนะ” มาร์คัสว่า “กินแบบนี้มีหวังพาล่มจมแน่ๆ”

“นี่ๆ ถึงข้าไม่ได้ยินก็รู้นะว่ากำลังพูดถึงข้าอยู่” คาริกตะโกนสวนมา เขาเพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากชามซุปและเห็นทั้งสองคนเข้าพอดี ไอดิเอลยักไหล่ เขาหันไปหาออกัสอีกครั้ง

“หมอนั่นติดอยู่เท่าไหร่ ได้ยินว่าสมาชิกสมาคมถ้าจะลาออกจะต้องจ่ายเงินที่ค้างค่าบำรุงสมาคมให้หมดก่อน การลาออกถึงจะมีผลสมบูรณ์ คิดราคามาแล้วเอาใบลาออกมาให้เขาลงชื่อด้วย”

“เห... ท่านจะมาลาออกให้คาริกหรือ ทำไมล่ะครับ”

“ท่านไอดิเอลตกลงว่าจะจ้างเด็กเจ้าเป็นผู้ช่วยประจำน่ะสิ” มาร์คัสช่วยตอบให้ ออกัสมีสีหน้าประหลาดใจค่อนไปทางตกใจ

“พูดจริงหรือครับ”

“จริง แล้วก็ไม่ต้องห่วงหรอกนะว่าเขาจะตาย” ไอดิเอลว่า “แล้วก็ไม่ต้องสงสัยด้วยว่าทำไม เอาว่านี่เป็นความสมัครใจของเจ้าตัวแล้วกัน ว่ามาซิว่าเท่าไหร่”

“โทษทีนะครับ มันค่อนข้างกะทันหัน เดี๋ยวข้าขอดูบัญชีก่อน”

“ตามสบายเถอะ ข้าจะยืนรออยู่ที่นี่แหละ” ไอดิเอลว่า พวกที่เพิ่งเปิดประตูสมาคมเข้ามาพอเห็นผมสีเงินกับไม้เท้ารูปร่างแปลกที่มีอัญมณีสีรุ้งชวนอัศจรรย์ก็พากันหยุดชะงักไปตามๆ กัน

“จอมเวท... จอมเวทอยู่ที่นี่ด้วยหรือ”

“เวลาเห็นปฏิกิริยาของคนที่พบท่านครั้งแรกนี่ ข้าอดอึดอัดแทนไม่ได้จริงๆ นะ” มาร์คัสหันมากระซิบกับไอดิเอล เจ้าตัวยักไหล่

“ลองอยู่มานานแบบข้าแล้วเจ้าก็จะเลิกอึดอัดเองนั่นแหละ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะหันไปหาพวกที่เพิ่งมาถึง

“พวกเจ้ารีบรึเปล่า ข้ากำลังคุยธุระอยู่ ถ้าไม่รีบก็ไปรอที่อื่นก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วข้าจะหลีกทางให้”

“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอก ตามสบายท่านเถอะ”

พวกนั้นพากันเดินไปนั่งที่โต๊ะว่าง พอดีกับที่ออกัสรื้อเจอสมุดบัญชี

“ขอดูก่อนนะ... คาริก... คาริก... อ้อ เจอแล้ว ปีนี้เขาค้างจ่ายเบี้ยบำรุงสมาคมอยู่ห้าร้อยเหรียญเงิน แล้วก็ค่าอาหารอีกประมาณสิบเหรียญทอง”

“ถ้าไม่ได้เห็นหมอนั่นกำลังกินอยู่ ข้าต้องคิดว่าราคาอำกันแน่ๆ” ไอดิเอลว่า เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เขียนอะไรยุกยิกลงไป แล้วฉีกส่งให้ออกัส “จ่ายเป็นตั๋วแลกเงินของธนาคารกลางแห่งนครเวหา ขึ้นเงินได้ทั้งหกอาณาจักร เจ้าไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

ออกัสหยิบกระดาษใบนั้นมาพลิกดู ก่อนจะหันมาพูดตอบ “อย่าว่าข้างั้นงี้เหลยนะท่าน ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้ารับตั๋วเงินของธนาคารกลางแห่งนครเวหา ถ้ายังไง...”

“ข้าพักอยู่โรงแรมข้างๆ นี่เอง” ไอดิเอลว่า “จะรออยู่จนถึงสิบโมงพรุ่งนี้ นานพอที่เจ้าจะลองเอาตั๋วไปขึ้นเงิน”

“อ้อ ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เอ่อ... ที่เขาว่าจอมเวททุกคนมาจากนครเวหา เป็นความจริงหรือครับ”

“เรียกว่าทุกคนมีฐานข้อมูลอยู่ที่นั่นจะถูกกว่า” ไอดิเอลว่า เขามองไปยังคาริกที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างคนหิวจัด “ฝากจัดการเรื่องใบลาออกให้ด้วยแล้วกัน ข้าได้ยินว่าเขาอยู่ที่นี่มาสองสามปีแล้ว คงมีอะไรให้จัดการพอสมควรล่ะมั้ง ยังไงก็บอกเขาว่าไปพบข้าพรุ่งนี้ที่โรงแรมไม่เกินสิบโมง ถ้าสายข้าจะหักเงิน”

“ครับ ได้ครับ”

พอไอดิเอลเดินออกประตูไปแล้ว ห้องโถงก็บังเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ทันที

“ให้ตายเถอะ มาร์คัส” ออกัสว่า “เจ้าต้องอยู่ที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหนนะ ข้าจัดการธุระเสร็จแล้วมีเรื่องจะถามเจ้าเยอะเลย”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ก็ได้ แต่เจ้าต้องเลี้ยงมื้อค่ำข้านะ ถือว่าเป็นค่าเสียเวลา”

“รู้แล้วล่ะน่า จะสั่งอะไรก็สั่งเลย ลงบัญชีข้าไว้แล้วกัน”

“ได้ หวังว่าจะยังเหลืออะไรไว้ให้ข้ากินอยู่นะ” เขาเหลือบไปมองชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะจัดการมื้อใหญ่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว “หมอนั่นกินได้น่ากลัวมาก”

พอท้องอิ่ม คาริกก็ค่อยมีอารมณ์จะสนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวหน่อย เขาเลื่อนถาดอาหารคืนให้บริกร ก่อนจะหันไปมองรอบๆ “อ้าว ไอดิเอลกลับไปแล้วหรือ เขาจ่ายเงินให้ท่านหรือยัง”

ชายหนุ่มตะโกนถามออกัส ฝ่ายนั้นเลยตะโกนตอบ “จ่ายแล้ว คาริก เจ้าต้องอยู่นี่ก่อนนะ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลย”

“แต่ท่านยุ่งอยู่นี่นา ข้าไปเก็บของดีกว่า”

“เออๆ จะไปเก็บของหรืออะไรก็ไปเถอะ เก็บเสร็จแล้วก็ลงมานี่หน่อยแล้วกัน”

“ได้ๆ งั้นเสร็จแล้วข้าจะลงมา”

คาริกลุกจากเคาน์เตอร์เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ซึ่งถูกแบ่งเป็นห้องพักให้เช่าสำหรับสมาชิกในราคาถูก พอพ้นจากสายตาคน โอเรกก็ลุกขึ้นเหยียดตัวทันที

“โอย เมื่อยชะมัด เจ้านี่กินจุน่าดูเลยแฮะ”

“เข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมข้าถึงต้องหาเงิน” คาริกว่า “กินปริมาณขนาดนี้ขอใครเค้าก็ไม่ให้หรอก ถ้าจะกินก็ต้องจ่ายเงินนั่นแหละ”

“อืม... ลำบากเหมือนกันแฮะ ทำไมเจ้าไม่ลองกินใบไม้แบบข้า หรือกินฟางแบบอัลบุสดูล่ะ แบบนั้นอาจจะประหยัดกว่าก็ได้”

“ได้ที่ไหนกันเล่า ข้าเป็นมนุษย์นะ มนุษย์ที่ไหนกินใบไม้กัน”

“เจ้าไม่ลองดูจะไปรู้ได้ไง” โอเรนว่า “แล้วนี่เราจะไปไหนกัน”

“ไปเก็บของที่ห้องน่ะ”

“ห้องหรือ ห้องอะไร”

“ห้องที่ข้าพักอยู่ไง”

“หมายถึงบ้านของเจ้ารึเปล่า”

“เอ่อ... ก็ประมาณนั้น อย่างน้อยๆ มันก็เป็นที่หลักๆ ที่ข้าใช้ซุกหัวนอนมาหลายปีน่ะนะ” คาริกว่า พวกเขาขึ้นมาถึงชั้นสอง พอผลักประตูเข้าไปก็เป็นห้องขนาดยาวที่มีเตียงสองชั้นวางเรียง โดยมีตู้เสื้อผ้าและชั้นวางอาวุธวางไว้ตรงปลาย

“โอ้โห นี่ห้องเจ้าหรือ ของเยอะแยะขนาดนี้ เจ้าจะขนไปยังไง ใส่รถของมาร์คัสไปหรือ”

“ชู่ว์” คาริกทำเสียงให้อีกฝ่ายเงียบ “เบาหน่อยสิ มีคนนอนอยู่นะ เจ้าส่งเสียงดังเดี๋ยวก็ปลุกเขาพอดี”

“อ้าว มีคนอื่นด้วยหรือ”

“อือ นี่ไม่ใช่ห้องข้าคนเดียวนะ มันเป็นห้องรวมน่ะ เตียงข้าอยู่ตรงนี้” เขาเดินตรงไปยังเตียงที่อยู่ริมซ้ายสุด แล้วก็หยุดยืนอยู่อึดใจใหญ่ๆ จนโอเรนกระซิบถาม

“ทำไมเจ้ายืนเฉยๆ ล่ะ หาอะไรอยู่หรือไง”

“อ๋อ เปล่า” อีกฝ่ายตอบ “ก็แค่รู้สึกใจหายนิดหน่อยน่ะ ถึงจะไม่เรียกว่าบ้านอย่างเต็มปาก แต่ข้าก็นอนบนเตียงหลังนี้มาหลายปี มีความทรงจำกับที่นี่ก็ไม่น้อย พอนึกว่าจะต้องย้ายออกไปมันก็นะ...”

“เจ้ากำลังรู้สึกเศร้าสินะ ข้าสัมผัสได้เลย” โอเรนพูดแล้วลูบศีรษะคาริกเบาๆ เจ้าตัวจึงพูดขึ้นยิ้มๆ

“ไม่ต้องปลอบหรอกน่า ข้ากำลังจะได้ออกไปดูโลกกว้างนะ ได้เจออะไรแปลกใหม่ กำลังจะได้ไปนครเวหาด้วย นี่เป็นเรื่องที่ดีในชีวิตข้ามากเลยนะ รีบเก็บของดีกว่า”

ชายหนุ่มตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อมาเปลี่ยน แล้วก็เก็บของใส่กระเป๋าสะพาย ก่อนจะหันกลับไปมองเตียงนอนอีกครั้ง โอเรนพูดขึ้นอีก

“นี่ ถ้าเจ้าจะนอนนี่ ข้ายินดีจะนอนเป็นเพื่อนเจ้านะ”

คาริกนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะพูดออกมา “ไม่เป็นไร ข้าไปนอนที่โรงแรมกับไอดิเอลดีกว่า เตียงที่นั่นน่าจะสบายกว่า นุ่มกว่า น่านอนกว่าที่นี่เยอะเลย ข้าเก็บของเสร็จแล้ว เราลงไปข้างล่างกันเถอะ”

..................................

คนบางตาลงไปเยอะแล้ว ตอนที่คาริกกลับลงไปที่ห้องโถง คงเพราะเวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว มาร์คัสนั่งอยู่ที่บาร์ กำลังคุยกับออกัสอยู่ มีสมาชิกสมาคมสองสามคนนั่งร่วมวงด้วย พอเห็นชายหนุ่มทุกคนก็เอ่ยทักทันที

“อะไรกันเนี่ยไอ้หนู เวลาแค่ชั่วข้ามคืนเปลี่ยนชีวิตเจ้าไปเลยหรือเนี่ย”

“นั่งก่อนสิ” ออกัสว่า “มาร์คัสเล่าให้ข้าฟังแล้ว เรื่องที่แคนเดนซ์น่ะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ธรรมดานะเนี่ย”

คาริกหัวเราะเขินๆ “ต้องถือว่าเป็นโชคดีของข้ามากกว่า”

“นี่ถ้าเจ้าไม่ขี้ป๊อดไปตามหาจอมเวทแต่แรกก็จบแล้ว” สมาชิกอีกคนว่า “ประกายสีเงินไอดิเอลคนนั้นเป็นนักล่าที่มีชื่อเสียงมาก ข้าเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นจอมเวทด้วย ตอนแรกคิดว่าเป็นฉายาที่ได้มาเพราะอาวุธที่ใช้เสียอีก”

“ว่าแต่เจ้าไม่เป็นไรแน่หรือ” ออกัสถามด้วยความเป็นห่วง “เรื่องการถ่ายเทพลังกับจอมเวทน่ะได้ยินว่าอันตรายมากนะ”

“เออ ได้ยินว่าอาจถูกสูบพลังถึงตายเลยนะ”

“อ๋อ เรื่องนั้นไอดิเอลบอกว่าสำหรับข้าไม่เป็นปัญหาน่ะ เขาว่าข้าเป็นพวกพิเศษกว่าชาวบ้าน”

“เชื่อเถอะน่า” มาร์คัสว่า “จอมเวทไม่โกหกหรอก”

“ถึงงั้นก็เถอะ มันก็น่าเป็นห่วงอยู่ดีนั่นแหละนะ” ออกัสว่า สมาชิกอีกคนเลยพูดขึ้นบ้าง

“อย่าขี้ห่วงนักเลยน่า ถึงคาริกมันจะยังเด็ก แต่มันก็เอาตัวรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้นะ”

“อืม... ก็จริงของเจ้านะ”

“อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจกว่านะ” คนเดิมพูดขึ้นต่อ เขาหันมาหาชายหนุ่ม “จอมเวทคนนั้นเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือไง การถ่ายเทพลังหมายถึงทำเรื่องอย่างว่าใช่ไหมล่ะ ไหนบอกซิว่าเจ้าอยู่บนหรืออยู่ล่าง”

คาริกหน้าแดงจนถึงใบหูทันที เขารีบพูดออกตัว “เรื่องนั้นถามทำไมเล่า”

“ฮ่าๆ ก็อยากรู้นี่นา ถึงเจ้าตัวใหญ่แต่ยังเป็นเด็กน้อยแบบนี้ อยากรู้จริงเชียวว่าอยู่ล่างรึเปล่า”

“ทะลึ่งน่า ข้าไม่ได้อยู่ล่างแล้วกัน”

“โห... อยู่บนเลยหรือนั่น ซื่อบื้ออย่างเจ้าเนี่ยนะ”

“หยุดพูดเรื่องนี้เถอะน่า” คาริกว่า “เกิดเขามาได้ยินระวังจะถูกสาปเอานะ”

“ว่าแต่เจ้าคิดเรื่องนี้ดีแล้วหรือ” ออกัสถาม “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากเห็นเจ้าได้ดีนะ เพียงแต่มันออกจะกะทันหันไปหน่อย”

คาริกถอนหายใจ “ก็ใช่ว่าข้าไม่อยากคิดนานนะ แต่สถานการณ์มันบังคับ ยังไงข้าก็ต้องไปกับเขาอยู่ดี ท่านไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าไม่เป็นอะไรแน่ ดีซะอีก ท่านจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินจะพอเหลือให้คนอื่นรึเปล่าไงล่ะ”

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้ากังวลจริงๆ สักหน่อย” ออกัสว่า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “เอาเถอะ สักวันเจ้าก็ต้องไปอยู่ดี” เขาหยิบใบลาออกมายื่นให้ชายหนุ่ม

“จำไว้นะ ถึงเจ้าจะลาออกแล้ว แต่ยังไงเจ้าก็เคยเป็นคนของที่นี่ มีอะไรเดือดร้อนติดต่อมาได้ทุกเมื่อเลยนะ”

“ขอบคุณนะ” คาริกรับใบลาออกมาลงชื่อ จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา

“เฮ้ อย่าขี้แยน่า”

“ข้าเปล่าขี้แยเสียหน่อย” ชายหนุ่มว่า “แค่รู้สึก... ใจหายเท่านั้นเอง”

“เป็นเรื่องปกติธรรมดาล่ะนะ” มาร์คัสว่า “อย่างที่ออกัสบอกเจ้า ยังไงเจ้าก็ยังเป็นพี่น้องของเราเหมือนเดิม ขาดเหลืออะไรก็เขียนจดหมายมาขอเขาแล้วกัน”

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย”

คาริกหัวเราะออกมา “ขอบคุณพวกท่านมากๆ นะ ข้าคงต้องคิดถึงที่นี่มากแน่ๆ”

“งั้นก็ค้างสักคืนสิ”

“ม่ายอาว” ชายหนุ่มบอก “ข้าไปนอนโรงแรมต้องสบายกว่าแน่”

“หน็อย เจ้านี่ทำตัวน่าหมั่นไส้ชะมัด”

ชายหนุ่มหัวเราะอีก “ลาก่อนนะ แล้วจะแวะมาเยี่ยม”

“โชคดี ขอให้แสงสว่างนำทางเจ้านะ เจ้าหนุ่ม”

.............................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่7 (15/5/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-07-2021 23:26:53
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่8 (23/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-07-2021 09:42:23
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่8 หนึ่งเหรียญทอง สิบห้านาที


โรงแรมซึ่งไอดิเอลพักอยู่เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงทั้งหมดจากสามแห่งในเมือง ชื่อว่าโรงแรมหิ่งห้อย อยู่แทบจะติดกันกับสมาคมคุ้มกัน ตอนที่คาริกไปถึง ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับเหลือผู้ดูแลอยู่แค่คนเดียว เขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ตอนที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปเอามือวางบนโต๊ะ

“อะ... จองห้องหรือครับ”

“อ๋อ เปล่า ไอดิเอลพักอยู่ห้องไหน”

“หืม... ใครนะครับ”

“จอมเวทน่ะ ผมสีเงินๆ”

“อ๋อ” พนักงานต้อนรับตาสว่างทันที “ท่านจอมเวทบอกว่าอย่าให้ใครรบกวนครับ”

“เอ่อ... ข้ามากับเขาน่ะ เขาสั่งให้ข้ามาพบ”

“งั้น...”

“บอกเลขห้องมาหน่อย เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการเอง”

พนักงานจึงบอกเลขห้องให้เขา คาริกเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วเคาะประตู เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ประตูจึงเปิดออก

“อ้อ... เจ้าเองหรือ มีธุระอะไร”

ไอดิเอลที่ถอดเครื่องประดับออกหมดแล้ว เหลือแต่เสื้อตัวใน ท่าทางเหมือนเพิ่งถูกปลุกถามขึ้น คาริกอึ้งไปอึดใจ ก่อนจะพูดตอบ

“เอ่อ... ข้ามาปลุกท่านหรือ”

“ไม่เชิง เจ้ามีธุระอะไร”

“ข้าเก็บของเสร็จแล้ว...”

“อ้อ... ลงชื่อในใบลาออกแล้วหรือ”

“อืม”

ไอดิเอลจึงเปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้าไป โอเรนลุกขึ้นบิดขี้เกียจทันที “ฮ้าว... ท่านไอดิเอล ข้าง่วงจังเลย ข้าขอนอนกับท่านได้ไหม”

คาริกอ้าปากกำลังจะพูดอะไร แต่ถูกไอดิเอลชิงพูดขึ้นก่อน “ได้สิ ถ้าเจ้าไม่ขยับตัวยุกยิก ไม่กระดุกกระดิก ไม่ทำเสียงดังรบกวน”

“เดี๋ยวนะ” คาริกพูดขึ้นมา “ไอ้ไม่ทำเสียงดังรบกวนเนี่ยเข้าใจได้ แต่ไม่กระดุกกระดิกนี่ไม่ใช่ล่ะ โอเรนไม่ใช่ตุ๊กตานะ”

ไอดิเอลยิ้ม “เพราะงั้นข้าจะให้เจ้านอนที่เก้าอี้แล้วกัน จะได้ไม่รบกวน”

“ง่า...” โอเรนทำเสียงเสียดาย “แล้วคาริกล่ะ จะให้เขานอนที่เก้าอี้เหมือนข้าด้วยไหม”

“อ้อ... เจ้านั่นตัวใหญ่กว่าเจ้า นอนพื้นไปแล้วกัน”

“เดี๋ยวสิ” ชายหนุ่มร้องทันที “ทำไมข้าต้องนอนพื้นด้วย”

“อ้าว แล้วเจ้าจะนอนที่ไหน ข้าไม่ได้จองห้องเตียงคู่ไว้นะ”

“แล้วทำไมท่านไม่จองเอาไว้เล่า” คาริกว่า เขาเห็นแล้วว่ามีแต่เตียงใหญ่หลังเดียวตั้งอยู่กลางห้อง ไอดิเอลยักไหล่

“ก็ข้าคิดว่าเจ้าจะนอนที่สมาคมแล้วมาเจอกันพรุ่งนี้เช้า นี่ไม่คิดจะอาลัยอาวรณ์ที่นอนเก่าเลยหรือไง”

“เอ่อ... ก็ข้าคิดว่ามานอนที่นี่น่าจะสบายกว่านี่นา”

ไอดิเอลมองชายหนุ่มแล้วยิ้ม “ถ้าเป็นเหตุผลนั้นล่ะพอให้อภัยได้หรอก อยากนอนตรงไหนเลือกเอาเลย”

“หมายความว่าไงเนี่ย” อีกฝ่ายย้อนถาม “ถ้าไม่ใช่เหตุผลนี้จะไม่ให้นอนหรือไง”

“ใช่”

“นี่ข้ายังมีเหตุผลอื่นที่จะมานอนกับท่านได้อีกหรือ...” พูดเองก็หยุดเอง ไอดิเอลมองหน้าเขา

“ว่าไง ยังมีเหตุผลอื่นอีกไหม”

ชายหนุ่มรีบสั่นศีรษะทันที ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถามต่อ “ตรงไหนที่ท่านว่าเนี่ย รวมเตียงนั่นด้วยมั้ย”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ก็ได้ ถ้าเจ้านอนนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก ไม่ส่งเสียงดังรบกวน”

“นี่ ข้าคงนอนไม่กระดุกกระดิกไม่ได้หรอกนะ แต่ข้าไม่ทำเสียงดังรบกวนแน่”

“งั้นก็ตามสบาย หมอนมีอยู่สองใบ เลือกเอาแล้วกัน”

“แล้วท่านล่ะ”

“ข้ายังไม่นอนหรอก” ไอดิเอลว่า ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ โอเรนเลยบินไปหาเขา

“นี่ ท่านไอดิเอล ทำไมท่านให้คาริกนอนบนเตียงได้ แล้วทีข้าทำไมไม่ได้ล่ะ”

“ถ้าเจ้าอยากนอนบนเตียงกับคาริกก็ตามสบาย ข้าไม่ห้ามหรอก”

คาริกถามขึ้นทันที “อ้าว ไหงตะกี้ท่านบอกให้เขานอนบนเก้าอี้ไงล่ะ”

“ก็เขาบอกอยากนอนกับข้าไม่ใช่กับเจ้า ข้าให้เขานอนด้วยไม่ได้หรอก อืม... อันที่จริงแล้วข้าตั้งใจจะเขียนหนังสือถึงพรุ่งนี้เช้า แล้วค่อยออกเดินทางน่ะ”

“หา นี่ท่านไม่คิดจะหลับจะนอนเลยหรือไง” ชายหนุ่มว่า จอมเวทสั่นศีรษะ

“ข้าไม่ได้จำเป็นต้องนอนทุกวันเหมือนมนุษย์หรอกนะ ถ้าไม่ติดพวกเจ้า ข้าคงจะขี่อัลบุสต่อไปจนถึงทริโกเนียแล้วล่ะ”

คาริกอ้าปากค้าง ก่อนจะพูดออกมา “ที่เค้าว่าม้าขาวขนยาววิ่งได้หลายวันไม่ต้องหยุดพักผ่อนก็เป็นเรื่องจริงสินะ”

ไอดิเอลไม่ตอบ เขาพูดขึ้นต่อ “เจ้าจะนอนก็นอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางประมาณสิบโมง แสงตะเกียงอาจจะแยงตาหน่อย หาอะไรบังไว้แล้วกัน”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก ว่าแต่ท่านไม่หลับไม่นอนแบบนี้ไม่เป็นไรหรือ เมื่อคืนที่ผ่านมาดูเหมือนท่านจะนอนนี่นา ตอนที่นั่งรถมาก็เหมือนว่าท่านนั่งหลับนะ”

“นั่นข้าเข้าภวังค์เพราะไม่อยากตอบคำถามพวกเจ้าให้เมื่อยปาก ส่วนเมื่อวานนี้ข้าเสียพลังไปมาก ถึงไม่อยากนอนยังไงก็ต้องนอนอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องกังวลแทนข้าไป”

“อ่อ... งั้น... ข้านอนก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์” ไอดิเอลว่า ก่อนจะหันไปหาโอเรน “เจ้าเองก็ไปนอนกับเขาเถอะ เจ้ายังเด็ก ต้องพักผ่อนให้มากนะ”

“แต่ข้าอยู่ในไข่มาตั้งนานแล้ว” โอเรนพูดพลางหาว “แถมข้ายังนอนมาตั้งเยอะแล้วด้วย ให้ข้านั่งดูท่านเขียนหนังสือได้ไหม”

“ก็ได้ ถ้าเจ้านั่งเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไร”

โอเรนจึงเลยขยับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ส่วนคาริกวางข้าวของแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง ไอดิเอลจึงลากเก้าอี้ลงนั่ง หยิบปากกาขึ้นมาเขียนเรื่องที่เขียนค้างไว้ต่อ

“ท่านเขียนเรื่องอะไรหรือ” โอเรนถามพลางหาวหวอด

“ข้าบอกแล้วไงว่าให้นั่งดูเงียบๆ” ไอดิเอลว่าก่อนจะตอบคำถาม “เขียนบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานน่ะ”

คราวนี้เสียงคาริกดังขึ้น “เขียนเรื่องของข้าด้วยรึเปล่า”

“เขียน เพราะงั้นช่วยเงียบได้แล้ว”

เหมือนชายหนุ่มจะไม่ทันได้ฟังประโยคหลัง เขาพูดต่อ “ท่านเขียนบันทึกด้วยงั้นหรือ งั้นท่านก็บันทึกไว้หลายอย่างสิ ขออ่านได้ไหม”

ไอดิเอลถอนหายใจด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “เจ้าเอาบันทึกส่วนตัวมาแลกกันอ่านกับข้ามั้ยล่ะ... บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ข้าเขียนน่ะมีตีพิมพ์นะ ไว้ไปถึงทริโกเนียจะพาเจ้าไปดูที่ร้านหนังสือแล้วกัน”

“ก็พรุ่งนี้งั้นสินะ ไม่สิ จากนี้ไปทริโกเนียยังต้องเดินทางอีกตั้งเกือบสัปดาห์ แล้วข้าก็ยังไม่มีม้าอีก คงต้องติดรถมาร์คัสไปเหมือนเดิมล่ะมั้ง”

“อะไรนะ เจ้าไม่มีม้าหรือ” ไอดิเอลถามขึ้นทันที คาริกพยักหน้า “อื้อ ก็ม้าที่ข้าขี่เป็นม้าของสมาคม ไม่ใช่ม้าของข้าเองนะ ข้าไม่มีปัญญาซื้อม้าเองหรอก ต่อให้เป็นตัวที่ถูกที่สุดก็เถอะ”

ไอดิเอลถอนใจใจดังเฮือกก่อนจะเงียบไปอึดใจ “มาร์คัสล่ะ?”

“อยู่ที่สมาคมน่ะ คงคุยกับเพื่อนเก่าอยู่ อ้าว นั่นท่านจะไปไหนน่ะ”

ไอดิเอลคว้าเสื้อคลุมมาสวมและถือไม้เท้าเดินออกไปโดยไม่ตอบคำถาม คาริกผงกศีรษะมองแล้วได้แต่รำพึง

“อะไรของเค้านะเนี่ย”

...................................

ตอนที่ไอดิเอลกลับเข้ามา ตะเกียงในห้องถูกดับไปแล้ว แต่พอเขาวางไม้เท้า เสียงคาริกก็ดังมาจากเตียง “ท่านไปไหนมาน่ะ”

“เห็นดับตะเกียงแล้ว ข้าคิดว่าเจ้านอนแล้วเสียอีก”

“ก็อยากจะนอนน่ะนะ แต่ข้ามันพวกหูไว เสียงอะไรก็รู้สึกตัวตื่นแล้วน่ะ ว่าแต่ท่านไปไหนมา”

“ไปคุยกับมาร์คัส ว่าคงจะต้องอาศัยติดรถเขาไปจนถึงทริโกเนีย ข้าคิดแล้วว่าถ้าซื้อม้าให้เจ้าจากที่นี่ คงจะมีฝีเท้าเร็วช้ากว่ารถของเขาไม่มาก สู้ติดรถเขาไปแล้วไปหาซื้อม้าดีๆ ที่โน่นดีกว่า”

“อ้อ... เรื่องแค่นี้ที่จริงท่านใช้ข้าไปบอกมาร์คัสก็ได้นี่นา”

“ข้าไปพูดเองดีกว่า ยังไงตอนนี้เจ้าก็อยู่ในความรับผิดชอบของข้าแล้ว”

“อืม... ฟังเหมือนท่านเป็นผู้ปกครองข้ายังไงพิกล”

“ก็ประมาณนั้นแหละ” ไอดิเอลว่า “ยังไงเจ้าก็เป็นเด็ก ข้าในฐานะผู้ใหญ่ต้องดูแลอยู่แล้วล่ะนะ”

“ข้าก็ไม่เด็กขนาดนั้นน่า” คาริกว่า “ข้าอายุสิบแปดแล้วนะ ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน ถึงจะไม่เท่าท่านก็เถอะ อย่างน้อยๆ ข้าก็มั่นใจว่าข้าช่วยเหลือตัวเองได้”

“ก็ใช่ ถ้าเจ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยข้าคงต้องคิดวิธีทำลายพันธะสัญญานี่อย่างจริงจังแล้วล่ะ”

“ไม่เอาน่า ข้าก็พอรู้ตัวหรอกนะว่าแบบนี้อาจจะเป็นภาระของท่าน แต่ท่านสอนข้าได้นะ ยังไงเราก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ท่านอยากให้ข้าทำอะไรก็บอกกันมาตรงๆ เถอะ ข้าไม่อยากให้ท่านทำท่าอึดอัดรำคาญ หรือต้องเป็นธุระไปเสียทุกอย่างแบบนี้ เรายังจะอยู่กันแบบนี้อีกนานไม่ใช่หรือไง”

ไอดิเอลยิ้มออกมา “ข้าสิควรจะต้องเป็นคนพูดประโยคนั้น... เอาเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่แล้วกัน ข้าจะจุดตะเกียงเขียนหนังสือต่อ”

พอเห็นอีกฝ่ายเดินไปที่โต๊ะ คาริกเลยพูดต่อ “ข้าอุ้มโอเรนมานอนด้วยกันแล้วน่ะ ตอนไปดับตะเกียงเห็นเจ้านั่นหลับปุ๋ยอยู่ กลัวว่าจะหนาวเลยเอามานอนด้วยน่ะ”

“ก็ดีแล้ว ข้าเองก็เห็นว่าเขานอนกับเจ้าดีกว่า แต่อย่าเผลอนอนทับเข้าล่ะ”

“ข้าไม่ชุ่ยแบบนั้นหรอกน่า” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงแล้วมีอีกเรื่องที่ข้าอยากถามนะ”

“ว่ามาสิ” ไอดิเอลพูดพลางใช้ชุดเหล็กไฟจุดตะเกียงขึ้นมาอีกครั้ง แสงสว่างสีเหลืองนวลวาบขึ้นและส่องใบหน้าเขา เหมือนเงาสะท้อนของอัญมณีที่มีชีวิต คาริกอึ้งไปอึดใจ

“ท่านว่า... ไม่จำเป็นต้องนอนทุกวัน แล้วเรื่องถ่ายเทพลังล่ะ ไม่จำเป็นต้องทำทุกวันด้วยรึเปล่า”

“อ้อ... เป็นห่วงเรื่องนั้นสินะ” อีกฝ่ายว่า “มันขึ้นอยู่กับว่าข้าใช้พลังไปแค่ไหน แต่ปกติแล้วถ้ามีโอกาสข้าก็จะทำทุกวันน่ะนะ”

“ละ... แล้ววันนี้ไม่ทำหรือ”

อีกฝ่ายหรี่ตามองเขาอย่างมีเลศนัย “ก่อนหน้านั้นที่ต้องทำทุกวันเพราะที่ที่ข้าไปบางครั้งก็หาชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงไม่ได้ มีโอกาสก็ต้องกักตุนไว้ใช่ไหมล่ะ อีกอย่างกับคนทั่วไป ถ้าทำรวดเดียวอาจถึงตายเลยก็ได้ ถึงข้าจะเป็นจอมเวทแต่ทำแบบนั้นก็มีความผิดตามกฎหมายเหมือนกันนะ เพราะงั้นพอมีโอกาสถึงต้องทำทุกวันยังไงล่ะ ส่วนเจ้าเป็นข้อยกเว้นอย่างที่ข้าเคยบอกไว้ แต่ว่าวันนี้ข้าไม่ได้ใช้พลังอะไร ไม่จำเป็นต้องทำหรอก”

อีกฝ่ายหลุบสายตาลงแล้วพูดตะกุกตะกัก “อ่อ... แล้ว... เอ่อ... เรื่องนิมิตนั่นล่ะ มันเกิดขึ้นเพราะการถ่ายเทพลังด้วยรึเปล่า”

“อืม... เรื่องนั้น” ไอดิเอลนั่งลงบนเก้าอี้แล้วทำหน้าใช้ความคิด “ข้าคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นทุกครั้งนะ อาจจะเพราะนั่นเป็นการถึงจุดสุดยอดครั้งแรกในชีวิตของเจ้า ทำให้พลังจิตรุนแรงกว่าปกติ เลยเห็นนิมิตขึ้นมาน่ะ”

คาริกเถียงทันที “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยถึงจุดสุดยอดหลายครั้งนะ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นเลย”

อีกฝ่ายหลิ่วตามองเขา “ไอ้จุดสุดยอดที่เจ้าว่านั่นหมายถึงตอนที่เจ้าช่วยตัวเองใช่ไหม ข้าคิดว่ามันต่างกันเยอะนะกับครั้งก่อนนะ เจ้าไม่เห็นด้วยหรือไง”

“.....”

เห็นชายหนุ่มหน้าแดง แต่ไม่พูดอะไรตอบ จอมเวทเลยคลี่ยิ้มบางแล้วกล่าวต่อ “หยุดคิดฟุ้งซ่านแล้วนอนเถอะน่า ก้นข้าไม่ใช่ที่ที่มีไว้ให้เจ้าปลดปล่อยความต้องการนะ”

“เรื่องนั้นข้ารู้ล่ะน่า... ฮึ้ย” คาริกเอาหน้าซุกหมอน รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่อาจเถียงกลับได้ เหมือนไอดิเอลแค่มองก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรแล้ว และทั้งที่รู้แบบนั้นยังทำท่าทางยียวนกวนประสาทอีก ชายหนุ่มได้แต่นอนนิ่งๆ ภาวนาให้ตัวเองหลับๆ ไป จะได้เลิกคิดฟุ้งซ่าน แต่เหมือนยิ่งพยายามไม่นึกเท่าไหร่ สมองยิ่งคิดวนเวียนอยู่ในเรื่องเดิมๆ ไม่เลิก ขณะที่คิดว่าควรจะกลับไปนอนที่สมาคมดีมั้ย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาเบาๆ พอลืมตาดูก็เห็นไอดิเอลยืนอยู่

“มาคิดดูอีกทีนะ จากนี้ไปทริโกเนียใช้เวลาอีกหลายวัน ระหว่างนั้นใช่ว่าสถานที่จะสะดวก ถ่ายพลังกับเจ้าสะสมเอาไว้ตอนนี้เผื่อไว้ก่อนดีกว่า”

คาริกลุกขึ้นคว้าเอวฝ่ายนั้นเอาไว้ด้วยความหมั่นไส้ ไอดิเอลขืนตัวไว้ แล้วพูดยิ้มๆ “ตรงนี้ไม่เหมาะน่า อยากปลุกโอเรนขึ้นมาหรือไง”

พอเห็นชายหนุ่มชะงัก จอมเวทเลยถือโอกาสปลดมือของเขาออก “ห้องน้ำดีกว่า ถึงจะแคบแต่ก็พอเบียดกันได้หรอก”

..................................

ห้องน้ำอยู่มุมด้านหลังของห้อง ติดกับระเบียง ไม่แคบไม่กว้าง มีส่วนที่เป็นโถส้วม และก็ส่วนที่เป็นที่อาบน้ำ ไอดิเอลผลักประตูเข้าไปแล้วถอดกางเกงออก ถกเสื้อขึ้นแล้วใช้แขนยันผนังในส่วนที่เป็นที่อาบน้ำไว้

“เอาล่ะ ใส่เข้ามาเลย ข้าพร้อมแล้ว”

คาริกชะงักไปอึดใจก่อนจะร้องออกมา “ไหนท่านว่าก้นท่านไม่ใช่ที่เอาไว้ปลดปล่อยความต้องการไง”

“จริงๆ บางทีก็ใช่นะ ขึ้นอยู่กับว่าข้าพอใจรึเปล่า” อีกฝ่ายตอบก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าใส่เข้ามา เพราะงั้นถ้ายังมีอารมณ์อยู่ก็อย่าเยอะน่า แต่ถ้าไม่ก็กลับไปนอนเลยไป”

คาริกจิ๊ปาก รู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า “บ้าชะมัด อย่างกับมาทำให้มันจบๆ ไปงั้นแหละ”

“ก็ใช่ไง กะว่าจะทำไม่จบหรือ”

“ไม่ได้หมายความว่างั้นสักหน่อย เฮ้อ... ท่านนี่ไม่มีชั้นเชิงเลยหรือไง”

“เหอะ ถ้าหวังให้ข้าเล้าโลมเจ้าก่อนน่ะฝันไปเลย”

อีกฝ่ายคราง “โธ่ ข้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ แค่ให้มันมีลีลาหรือชั้นเชิงหน่อยน่ะ นี่ขนาดข้าช่วยตัวเองยังต้องใช้เวลาเลยนะ ไม่ใช่เอะอะท่านก็จะให้ใส่เข้าไปอย่างเดียว”

อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “อ้าว ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังแข็งอยู่หรอกรึ ข้าเข้าใจผิดหรือนี่”

“โอ้โห... ท่านนี่” คาริกคราง “ตอนแรกข้าก็ตื่นเต้นอยู่หรอก แต่ท่าทีของท่านมัน...”

“ทำไม ข้าว่าท่านี้สะดวกที่สุดล่ะนะ คิดว่าเจ้ามีอารมณ์เพราะนึกถึงก้นข้าซะอีก”

คาริกถอนหายใจเฮือก “ข้ามีอารมณ์เพราะนึกถึงช่วงเวลาที่มีอะไรกับท่านต่างหาก ไม่ใช่เพราะเห็นก้นท่านสักหน่อย”

“อืม... เป็นความรู้สึกที่มาจากความทรงจำสินะ ช่วยไม่ได้แฮะ ข้าไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนี้ด้วย จะร่ายมนตร์ใส่เจ้าหน่อยแล้วกัน”

“เดี๋ยวๆ” คาริกรีบดันตัวฝ่ายนั้นให้กลับไปยันผนังต่อ “คือท่านไม่ต้องเสียพลังร่ายมนตร์ก็ได้ แค่... ขอเวลาข้าสักแป๊บนึง”

“แป๊บนึงของเจ้านี่มันนานแค่ไหนกัน”

“ถ้าท่านหยุดพูดมันจะเร็วขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ”

“....”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่8 (23/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-07-2021 09:43:07
คาริกถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็หันไปมองไอดิเอล แต่เพราะเจ้าตัวหันหน้าเข้าหาผนัง ที่หันไปแล้วเห็นชัดๆ ก็คือสะโพกนั่นแหละ

คาริกไม่เคยเห็นสะโพกผู้หญิงเปลือย ส่วนของผู้ชาย เขาก็ไม่เคยตั้งใจดู ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่มีผู้ชายปกติคนไหนพินิจพิจารณาสะโพกของผู้ชายด้วยกันหรอก เพราะงั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจดูสะโพกเปลือยของใครสักคน และจำเพราะจะต้องเป็นสะโพกของจอมเวทผู้ชายด้วยนี่สิ

สะโพกของไอดิเอลแม้ดูแล้วไม่น่ากลมกลึงเหมือนของผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้ดูแย่ เห็นแล้วก็ให้อดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนไม่ได้

คาริกหน้าแดงอีก ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะมีอารมณ์แค่เพราะมองสะโพกของฝ่ายนั้น ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้นมา

“นี่ จะยืนดูอีกนานไหม ข้าเมื่อยเหมือนกันนะ”

คาริกขบกรามกรอด คว้าเอวของอีกฝ่ายมาแนบตัวทันที “ท่านนี่มันชอบหาเรื่องเจ็บตัวหรือไง”

ไอดิเอลสะดุ้งเฮือก ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดมาตามเส้นประสาท ได้ยินเสียงคาริกพึมพำ

“เจ็บใช่ไหม”

“ก็พอใช้ได้” อีกฝ่ายตอบพลางหอบ “อยากให้เล็กกว่านี้อีกหน่อยแต่ท่าทางคงจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วสินะ”

คาริกก้มลงกัดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ของแบบนั้นมันเปลี่ยนได้ที่ไหนกันเล่า”

“อาจจะมีเวทมนตร์ดีๆ สักบท... อุ้บ”

การขยับตัวของชายหนุ่มทำให้เสียงของจอมเวทหายไปในคำคอ เสียงกล้ามเนื้อกระทบกันและเสียงหอบหายใจดังขึ้นถี่ๆ ที่ข้างหู ทำอยู่ท่านั้นได้สักพัก คาริกก็จับร่างของจอมเวทให้ตะแคงกลับมา แล้วพาดขาข้างหนึ่งไว้บนบ่า ไอดิเอลต้องใช้มืออีกข้างค้ำผนัง ส่วนอีกข้างจับไหล่ของชายหนุ่ม เสียงกระแทกกระทั้นและเสียงหอบหายใจยังคงดังต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่าจะท่านั้นจะยังดีไม่พอ คาริกเลยจับไอดิเอลหันหน้ามาแล้วอุ้มพิงฝา เจ้าตัวเลยใช้มือโอบคอฝ่ายนั้นไว้เสียเลย

“จับดีๆ ล่ะ ข้าหล่นไปจะสาปเจ้า”

อีกฝ่ายจิ๊ปาก ก่อนจะทำต่อจนเสร็จ คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ไม่เห็นนิมิตอะไร แค่รู้สึกเหมือนล่องๆ ลอยๆ อยู่ในความฝันเท่านั้นเอง

“นี่ จะปล่อยข้าลงได้หรือยัง”

คาริกสะดุ้งเฮือก เขาเกือบจะปล่อยมือจริงๆ ดีที่ไอดิเอลโอบตัวเขาไว้เสียแน่นหนา ต่อให้เขาปล่อยมือจริงก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะหล่นลงมาง่ายๆ พอมองไปเห็นดวงตาสีอำพันที่กำลังมองมาด้วยสายตาอ่านยาก แถมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ชายหนุ่มก็มีอันรู้สึกกระอักกระอวนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าอยากจะยืนอยู่แบบนี้ทั้งคืนหรือไง ถึงเจ้ายืนไหวแต่ข้าอยู่ท่านี้เมื่อยมากนะ”

“....” คาริกเลยต้องค่อยๆ คล้ายมือออกแล้วช่วยจอมเวทให้ลงมายืนที่พื้น พอส่วนที่เชื่อมประสานหลุดออกจากกัน ไอดิเอลก็ก้มลงมองทันที

“จริงๆ แล้ว พอดูแบบนี้มันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนะ ขนาดก็น่าจะพอๆ กับของข้า”

คาริกรีบยกมือปิดทันที “ท่านดูอะไรเนี่ย เวลาแบบนี้มีมาดสักหน่อยไม่ได้หรือไง”

“มาดอะไร” อีกฝ่ายย้อนถาม “อยากให้ข้าคลอเลียเอาใจหลังถึงจุดหรือไง ละเมออยู่รึเปล่า”

“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น... เฮ้อ... จริงๆ นะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเงียบๆ กอดข้าหน่อย จูบข้าสักทีอะไรทำนองนี้”

“อ้อ” ไอดิเอลเลยยื่นมือไปจับคางของชายหนุ่ม แต่ถูกปัดออกทันที

“ทำอะไรของท่านเนี่ย”

“ก็จะจูบเจ้าไง อยากให้จูบไม่ใช่หรือ”

คาริกอ้าปากค้าง ก่อนจะถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก “ให้ตายเถอะ ท่านนี่อยู่มานานจนเป็นพวกตายด้านหรือแค่กวนประสาทกันแน่นะเนี่ย

“ข้าก็เข้าใจนะ” ไอดิเอลว่า “อายุเรามันห่างกันเกินไป จะหวังให้เข้าใจอะไรตรงกันคงยากแหละ”

“ข้าว่าทั้งโลกนี้นี่นอกจากพวกจอมเวทด้วยกันแล้ว คงหาใครอายุใกล้เคียงท่านยากแล้วล่ะ ว่าแต่ท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนการระเบิดจริงๆ หรือ อยู่มาได้ไงน่ะ ตั้งเป็นพันปีเลยนะ”

“นั่นเป็นคำถามที่ควรจะเอามาถามหลังเสร็จเรื่องแบบนี้หรือ”

“อย่าเอาประเด็นนี้มาอ้างนะ” คาริกว่า “อย่างท่านถามตอนไหนก็น่าจะไม่ต่างกันไม่ใช่หรือไง”

“ต่างสิ ก็ตอนนี้ข้าไม่อยากตอบ”

“ถามตอนเช้าท่านจะตอบหรือไง”

“ก็อาจจะนะ ไม่แน่เจ้านอนไปแล้วตื่นมาอาจจะลืมก็ได้” พูดจบก็โบกมือไล่ “ไปนอนได้แล้วไป ข้าจะอาบน้ำล้างตัวหน่อย”

“หา”

“งงอะไร ข้าอาบน้ำล้างตัวมีอะไรผิดปกติ”

“ทีเมื่อวานท่านไม่เห็นอยากจะอาบน้ำ”

“เมื่อวานข้าอาบไหวที่ไหนกัน”

“หมายถึงหลังจากเราทำอะไรกันแล้วน่ะ ไม่เห็นท่านบอกว่าจะไปล้างตัวนี่”

“มันใช่เรื่องที่ข้าจะต้องบอกเจ้าทุกอย่างหรือไง” อีกฝ่ายตอบ “ไม่ออกไปจะอยู่ล้างตัวกับข้าก็ได้นะ ถ้าเจ้ายังมีน้ำเหลืออีก ข้าก็ยินดีจะช่วยรีดออกมาให้หมด”

ชายหนุ่มอ้าปากค้าง อีกฝ่ายพูดต่อ “แต่คราวนี้ข้าขอท่าธรรมดานะ รู้แล้วว่าเจ้าแข็งแรง แต่มันผาดโผนไปลำบากข้าน่ะ”

คาริกรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนเห่อมาจนถึงใบหู เขารีบก้มลงเก็บเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำทันที ไอดิเอลมองแล้วได้แต่สั่นศีรษะยิ้มๆ

....................................

คาริกกลับมาที่เตียง โอเรนยังคงหลับสนิท ได้ยินเสียงกรนฟี้เบาๆ เขาจึงสวมเสื้อผ้ากลับแล้วค่อยล้มตัวลงนอน ได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำ ชายหนุ่มหลับตา

เขาเคยคิดหลายครั้งว่าถ้าได้มีอะไรกับผู้หญิงจริงๆ สักที ต่อให้เป็นโสเภณีเขาก็จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อยากให้ฝ่ายนั้นคิดว่าเป็นแค่เครื่องมือระบายอารมณ์ แต่กลายเป็นว่าผู้หญิงคนแรกที่เขาคิดจะมีอะไรด้วย พอเห็นของเขาก็เป็นลม ส่วนพวกโสเภณีก็พากันร้องอุทาน ขนาดโสเภณีที่ราคาถูกที่สุดในเมืองยังขอขึ้นราคาพอเห็นขนาดของเขา ด้วยเหตุผลว่าต้องทำงานหนักกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้เขาเลยไม่ได้มีอะไรกับใครเป็นเรื่องเป็นราวสักที แล้วพอถึงคราวได้ทำจริงๆ คนที่มีอะไรด้วยดันเป็นผู้ชาย แถมเป็นจอมเวท หนักกว่านั้นคือแทนที่จะทำกันแบบค่อยเป็นค่อยไป มีความละเอียดอ่อนในอารมณ์บ้างอย่างที่เขาคาดหวัง กลับกลายเป็นรีบๆ ทำให้จบๆ ไป ถึงเขาจะได้ระบายความใคร่ออกไปแต่ก็ได้อารมณ์หงุดหงิดมาแทน สรุปแล้วมันผิดที่เขา ที่หมอนั่น หรือว่าที่ใครกันแน่นะ

ขณะที่กำลังนอนหงุดหงิดและมีแนวโน้มว่าจะนอนไม่หลับด้วยนั้น เตียงก็ยวบลง คาริกเงยหน้าขึ้นจากหมอนหันไปมองทันที เขาเห็นไอดิเอลปีนขึ้นเตียงมาและคุกเข่าลงข้างๆ

“คราวนี้อะไรอีกล่ะ?”

อีกฝ่ายคลี่ยิ้มในแสงตะเกียงสลัว “ก็แค่อยากบอกราตรีสวัสดิ์เจ้าน่ะ”

“....”

“ทำหน้าหงุดหงิดอะไรแบบนั้นกันเล่า เจ้าเป็นฝ่ายสมผลประโยชน์แท้ๆ”

คาริกถอนหายใจเฮือก “ท่านนี่มันไม่เข้าใจอะไรหรือว่าตายด้านขนาดหนักกันแน่นะเนี่ย”

“ถ้าเรื่องตายด้านก็คงใช่นะ” อีกฝ่ายยอมรับหน้าตาเฉย “ข้าอยู่มาปูนนี้เจอแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถ้ายังมีอารมณ์อยู่อีกสิแปลก”

“....”

“เอาน่า... เดี๋ยวไว้ถึงทริโกเนียแล้วข้าจะให้มาร์คัสพาเจ้าไปที่เด็ดๆ ก็แล้วกัน ยังไงเจ้าก็ยังเป็นวัยรุ่นนี่นา”

“ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นน่า”

“อืม... อยากให้ข้าจูบราตรีสวัสดิ์รีเปล่า”

คาริกดึงคอเสื้อฝ่ายนั้นเอาไว้ สายตาของทั้งคู่ประสานกันชั่วอึดใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะรั้งศีรษะของจอมเวทเข้ามาจูบ

“ราตรีสวัสดิ์” เขาผละออกแล้วกระซิบเบาๆ ไอดิเอลคลี่ยิ้ม

“ฝันดีนะเจ้าหนู”

......................................................

ตอนที่คาริกตื่นมาก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย พอลืมตาขึ้นมาได้ก็พบว่าไอดิเอลนั่งอยู่ที่โต๊ะในสภาพแต่งตัวเรียบร้อย โดยมีโอเรนนั่งอยู่ใกล้ๆ

“กี่โมงแล้ว” ชายหนุ่มถาม ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นมาจากเตียง จอมเวทหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูแล้วตอบ

“เจ็ดโมง ยังเหลือเวลาอีกเยอะ เจ้าจะกินมื้อเช้ารึเปล่า”

“ถ้ามีคนช่วยจ่ายข้าก็อยากกินนะ”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะหักเอาจากค่าแรง เพราะงั้นกินให้เต็มที่เลย จะให้ข้าลงไปสั่งให้ก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าขอล้างหน้าแป๊บนึง” คาริกรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะส่งเสียงออกมา “ว่าแต่ท่านจะจ่ายค่าแรงข้าเท่าไหร่”

“เริ่มที่ห้าสิบเหรียญเงินต่อเดือน”

“งั้นสงสัยคงถูกหักเป็นค่าอาหารหมดล่ะนะ” คาริกว่า เขาวักน้ำลูบหน้ากับบ้วนปาก ใช้ผ้าขนหนูซับแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ โอเรนพูดขึ้น

“ข้าอยากกินกับเจ้าด้วย สั่งอะไรเขียวๆ ให้ข้ากินด้วยสิ”

“แต่ถ้าเจ้ากินกับข้า เรื่องที่ว่าเจ้าไม่ใช่หมวกแต่เป็นมังกรก็จะแตกน่ะสิ” คาริกว่า โอเรนงอแง

“แต่ข้าหิวนี่นา ท่านไอดิเอล ท่านจะให้ข้าปลอมเป็นหมวกแบบนี้ไปตลอดหรือ ข้าต้องเฉาตายแน่ๆ เลย”

ไอดิเอลยกมือลูบคาง “อืม... จะให้ข้าทำไงดีล่ะ ถ้าให้เจ้าพูด ทุกคนก็จะถาม ข้าก็จะต้องตอบว่าเจ้าเป็นมังกร คราวนี้มันก็จะกลายเป็นว่าข้ากลายเป็นคนทำผิดกฎหมายเสียเอง”

“อืม ท่านไม่จำเป็นต้องตอบว่าเขาเป็นมังกรก็ได้นี่นา” คาริกว่า “ตอบว่าเป็นสัตว์ชนิดอื่นไปก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว”

“ข้าโกหกได้ที่ไหนกันเล่า”

“เอ๋ ทำไมล่ะ ท่านไอดิเอลโกหกไม่ได้หรือ” โอเรนว่า “ตอนข้าอยู่ในไข่ได้ยินมนุษย์โกหกบ่อยๆ ไป”

“มนุษย์น่ะได้ แต่ข้าน่ะไม่ได้” ไอดิเอลว่า “ถ้าจอมเวทโกหก พลังจะเสื่อม กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาเสียเวลา ไม่คุ้มกันหรอก”

“อ๋อ มิน่าล่ะ มาร์คัสถึงได้บอกว่าท่านไม่โกหก ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง” คาริกร้องออกมา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “งั้นท่านก็ไม่ต้องตอบพวกเขาสิ”

“คิดว่าการไม่ตอบมันทำง่ายนักหรือไง สองวันที่ผ่านมานี่นอกจากข้าหนีเข้าภวังค์เคยเลี่ยงตอบอะไรพวกเจ้าได้สักอย่างไหม”

“เออ... ก็จริง”

“งั้นเอางี้สิ” โอเรนเสนอขึ้นมา “ถ้าท่านไม่โกหก ก็ให้ข้ากับคาริกโกหกแทน”

“พวกเจ้าจะโกหกกันยังไง บอกว่าเป็นกระรอกพูดได้หรือไง เดี๋ยวเขาก็ถามว่าเจอที่ไหน หามายังไง วุ่นวายจะตายชัก”

“ข้าก็ไม่ตอบสิ” คาริกว่า “บอกว่าเป็นความลับทางธุรกิจ”

โอเรนหัวเราะชอบใจ “ข้าชอบคำนี้จัง ความลับทางธุรกิจ”

“เฮ้อ พอๆ” ไอดิเอลโบกมือ “พวกเจ้านี่พอกันเลย เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง จะลงไปกินมื้อเช้าก็รีบๆ เลย เดี๋ยวสิบโมงข้าจะออกเดินทางล่ะ”

“แปลว่าข้าไม่ต้องปลอมเป็นหมวกแล้วใช่ไหม” โอเรนถามขึ้นอีก จอมเวทพยักหน้า

“อืม... จริงๆ แล้วมันก็เป็นสิทธิของเจ้าที่จะแสดงว่าตัวเองเป็นอะไรน่ะนะ”

“ท่านนี่เปลี่ยนใจไวแฮะ” คาริกว่า “ตะกี้ยังไม่อยากให้โอเรนแสดงตัวอยู่เลย”

ไอดิเอลถอนหายใจ “ไม่เรียกเปลี่ยนใจไว เรียกว่าข้ารู้จักยืดหยุ่นและหาทางออกเร็วต่างหาก ยังไงก็คงให้โอเรนอยู่แบบนี้จนไปถึงที่อยู่ของเขาไม่ได้อยู่แล้ว ข้าเองก็นึกอยู่เหมือนกันว่าคงต้องจัดการอะไรสักอย่าง”

“งั้นท่านก็นึกออกแล้วสิ”

“อืม พวกเจ้าลงไปได้แล้ว ยิ่งคุยกันข้ายิ่งปวดหัว”

สองคนที่เหลือพากันหัวเราะ โอเรนบินไปเกาะศีรษะคาริก เจ้าตัวเลยพูดขึ้น

“เฮ้ เจ้าไม่ต้องปลอมเป็นหมวกแล้ว ไม่ต้องมาเกาะหัวข้าแล้วก็ได้”

“ก็อยู่บนหัวเจ้ามันสบายดีนี่นา” โอเรนว่า “ไปกันเถอะคาริก ไปหาอะไรกินกัน ข้าหิวจะแย่แล้ว”

“จะลงไปก็หิ้วของข้าไปด้วย ทำงานให้น่าขึ้นค่าจ้างหน่อย”

“คร้าบ”

.........................................

คาริกสั่งอาหารสำหรับสี่คนกินเช่นเคย เขารู้สึกงุนงงเมื่อเห็นไอดิเอลไม่สั่งอะไรเพิ่มนอกจากผักสดอีกหนึ่งถาด พอบริกรออกไปแล้ว เขาเลยถามขึ้น “นี่ท่านไม่สั่งอะไรเพิ่มหรือไง บอกก่อนนะว่าที่ข้าสั่งน่ะไม่ได้เผื่อท่านเลยสักอย่างเดียว”

“ไม่บอกก็รู้น่า ข้าไม่กินหรอก”

“หา ท่านไม่กินหรือ”

“ข้าไม่กินอาหารอย่างที่พวกเจ้ากินกัน” ไอดิเอลว่า “เจ้าเห็นข้ากินอะไรบ้างตั้งแต่เราเจอกัน”

“เอ่อ... ก็จริงแฮะ ไม่เห็นท่านกินอะไรเลยนอกจากน้ำ”

“หืม ท่านไอดิเอลไม่กินอาหารหรือ” โอเรนแปลกใจ “ทำไมล่ะ ข้ากับคาริกยังต้องกินเลย”

“ร่างกายข้าไม่ได้ใช้พลังงานจากการกินน่ะ” ไอดิเอลว่า “จริงๆ แล้วคือการกินให้พลังงานกับข้าน้อยมาก น้อยจนข้าไม่จำเป็นต้องกินอาหารแบบที่พวกเจ้ากินกัน”

“กินฟางแบบอัลบุสก็ไม่ได้หรือ”

ไอดิเอลหรี่ตาสีอำพันมองโอเรน “ข้าไม่ใช่ม้าหรือสัตว์กินพืชนะ ถึงได้กินฟางได้น่ะ”

คาริกอยากจะหัวเราะ แต่ใจไม่ด้านพอ ก็เลยได้แต่อมยิ้ม โอเรนถามขึ้นต่อ “แล้วท่านไม่หิวหรือไง”

“อืม ข้าไม่หิวหรอก”

“อย่างนี้นี่เอง ไม่หิวก็ไม่จำเป็นต้องกินสินะ ข้าจะจำไว้” โอเรนพยักหน้า คาริกพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่ท่านไม่กินอาหารแล้วอยู่ได้ยังไง”

ไอดิเอลเลิกคิ้ว “ไม่นึกว่าเจ้าจะถามเรื่องนี้นะเนี่ย”

“อ้าว ทำไมล่ะ มันประหลาดออกจะตาย ต่อให้ไม่ใช่ข้า คนอื่นก็ถามอยู่ดี”

“คนอื่นถามน่ะไม่ประหลาด เจ้าถามน่ะมันประหลาด”

“ยังไง”

“เจ้าเพิ่งถ่ายพลังกับข้าเมื่อคืน ยังมีหน้ามาถามอีกว่าข้าอยู่ยังไง”

คาริกอ้าปากค้าง เขาจ้องไอดิเอลอึ้งๆ อีกฝ่ายเลยยื่นนิ้วมาดีดหน้าผากเขา “ไม่ต้องทำหน้าเหวอ เงื่อนไขการมีชีวิตอยู่ของข้าเป็นแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้ารู้สึกภูมิใจด้วย เพียงแต่ข้าต้องอยู่กับมันก็เท่านั้นเอง”

“อืม... ถ้าข้าเป็นท่านต้องฆ่าตัวตายแน่ ไม่น่าเชื่อว่าท่านอยู่อย่างนี้มาได้เป็นร้อยๆ ปี”

ไอดิเอลยกยิ้มที่มุมปาก “ฆ่าตัวตายมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกน่า ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตายได้ง่ายขนาดไหนด้วย แต่จริงๆ นะ ข้าอยู่มานานขนาดนี้ บอกเจ้าได้เลยว่ามีชีวิตอยู่ดีกว่าตายเยอะ ตายไปแล้วเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีชีวิตอยู่เจ้าอยากทำอะไรก็ยังหาโอกาสทำได้”

“ก็ถูกของท่านนะ อย่างท่านอยู่มานานขนาดนี้คงจะได้ทำทุกอย่างที่อยากทำแล้วสิ”

“ก็เกือบๆ ล่ะ มันก็มีอยู่อีกหลายอย่างนะที่ข้าไม่สามารถทำได้”

“เช่นอะไรล่ะ”

“เยอะแยะไป”

“ยกมาสักอย่างสิ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่8 (23/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-07-2021 09:43:28
ไอดิเอลมองหน้าชายหนุ่ม “มีลูก สร้างครอบครัว”

“.....”

“นั่นคือสิ่งที่ต่อให้ข้ามีชีวิตอยู่อีกพันปีก็ทำไม่ได้”

“.....”

“ส่วนเจ้าที่เผอิญต้องมีชีวิตร่วมกับข้า ถึงเจ้าจะมีครอบครัวได้แต่จะไม่มีอิสระ ตอนนี้เวลาของเจ้าไม่ใช่เวลาของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว มนุษย์มีอายุขัยไม่ยืนยาว เจ้าจะต้องพบการพลัดพราก ช่วงชีวิตในกาลเวลาอันยาวนานจะชิงทุกสิ่งที่เจ้าเคยรักไป คาริก... เจ้าอาจจะดีใจที่รอดตายมาได้ เพราะเจ้าอายุยังน้อย สักวันเจ้าจะรู้ว่าพันธะนี้คือคำสาป เพราะงั้น ก่อนจะถึงวันนั้น ข้าจะพยายามหาวิธีทำลายพันธะนี้ เจ้าจะได้มีชีวิตที่อิสระและอยู่ไปตามสมควรอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น”

“เราอยู่กันเป็นครอบครัวไม่ได้หรือ” โอเรนพูดขึ้นมา “ท่าน ข้าแล้วก็คาริก นี่ข้านับท่านเป็นครอบครัวแล้วนะ ท่านไอดิเอล คาริกเองก็ด้วย ครอบครัวคือคนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน มีอะไรก็แบ่งปันช่วยเหลือกันไม่ใช่หรือไง”

ไอดิเอลมองเจ้ามังกรที่เหมือนกระรอกอย่างเอ็นดู “เจ้าเองก็ยังเด็กมากเช่นกัน สักวันเจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลานั้นเจ้าจะสร้างครอบครัว เจ้าจะเข้าใจเองว่าการอยู่กับข้ามันคือการหยุดอยู่กับที่ สรรพชีวิตในโลกนี้ล้วนต้องก้าวไปข้างหน้า จะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้หรอก”

“แล้วทำไมท่านถึงหยุดอยู่กับที่ล่ะ” โอเรนถามต่อ อีกฝ่ายโคลงศีรษะแล้วตอบ

“เพราะชีวิตของข้าตอนนี้ไม่ใช่ชีวิตที่ถือกำเนิดมาตามธรรมชาติ ชีวิตของข้าคือชีวิตที่ถูกประดิษฐ์และดัดแปลงขึ้นมา กฎเกณฑ์การมีชีวิตของข้าจึงต่างกับมนุษย์ ต่างกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ข้าไม่ต้องกินอาหาร ไม่จำเป็นต้องพักผ่อน และไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ อายุขัยของข้าเกือบเป็นอนันต์ เพราะงั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปยาวนานแค่ไหนก็ไม่มีผลกับข้าเลย”

“เดี๋ยวนะ ท่านมีอายุเกือบเป็นอนันต์เลย” คาริกถามขึ้น “หมายความว่าท่านไม่มีวันตายหรือ”

“ถ้าโลกแตกข้าก็คงตาย” ไอดิเอลว่า “หรือถ้าไม่มีพลังใดๆ หลงเหลือแล้วในโลกนี้ ข้าก็อาจจะตาย หรือถ้าข้าบาดเจ็บรุนแรงจนเสียพลังไปมากก็ตายได้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นการตายตามอายุขัยเหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไปล่ะก็ไม่”

“สรุปว่าท่านไอดิเอลก็เหมือนเป็นอมตะนั่นแหละ” มาร์คัสที่เดินเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ลากเก้าอี้ลงนั่ง ทั้งโต๊ะหันไปมองเขา เจ้าตัวเลยพูดต่อ “ข้ามาทันมื้อเช้ารึเปล่า”

“ทัน” ไอดิเอลว่า “อาหารสำหรับสี่ที่คงใช้เวลาเตรียมนานอยู่”

“อ้อ...”

บริกรยกอาหารเข้ามาพอดี มาร์คัสเลยสั่งเพิ่มไปอีก “นี่นะ คาริก แบ่งส่วนของเจ้ามาก่อนเลย ข้าจะได้ไม่ต้องรอ”

“ท่านอยากกินอะไร แต่ข้าวผัดนี่น่ะข้าขอ”

“เออ ข้าวผัดเจ้าเอาไปเถอะ” มาร์คัสว่า โอเรนได้สลัดผักมาหนึ่งชามใหญ่ เขาเลยกระโดดลงจากศีรษะของคาริกลงไปที่โต๊ะ มาร์คัสเห็นแล้วอดทักไม่ได้

“อ้าว นี่เจ้าไม่ต้องแสดงเป็นหมวกแล้วหรือ”

“อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้า “เราคุยกันแล้ว ท่านไอดิเอลให้ข้าทำตัวตามสบาย”

มาร์คัสหันไปมองจอมเวท “ข้าว่าเดี๋ยวท่านคงต้องตอบคำถามจนเมื่อยปาก”

“เท่าที่ผ่านมาข้าก็เมื่อยพอดูน่ะนะ” ไอดิเอลว่า บริกรยกอาหารที่เหลือมาเพิ่ม แล้วร้องทัก

“อ้าว กระรอกตัวนี้ไม่ใช่หมวกหรอกหรือ” เขาว่า “น่ารักจัง”

“อื้อ ข้าไม่ใช่หมวกหรอกนะ” โอเรนว่า “ข้าเป็นนูเบส โฟลิอุม เป็นมังกร”

“หา”

“อืม อย่างที่เขาว่า” ไอดิเอลพูดแทรกขึ้น “เขาเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หายาก เรากำลังจะนำเขากลับไปยังถิ่นที่อยู่เดิม ข้าไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย เพราะงั้นก็ช่วยเงียบๆ ไว้หน่อยแล้วกัน”

“ว้าว... มังกรหรือ ดูยังไงก็กระรอกชัดๆ ต้องอำกันแน่เลย”

“อำกันน่ะสิ” คาริกว่า “นี่มันตุ๊กตากลรูปกระรอกพูดได้ต่างหาก”

“หา” โอเรนร้องออกมา “ข้าเหมือนตุ๊กตารูปกระรอกตรงไหน”

“เอาล่ะ” ไอดิเอลพูดเสียงดัง “พวกเจ้าหยุดเถียงกันได้แล้ว” เขาหันไปหาบริกร “เจ้าก็ด้วย หยุดสงสัยได้แล้ว ถามมากอีกคำเดียวข้าจะสาปให้เป็นใบ้”

บริกรคนนั้นรีบหุบปากสนิท แล้วเดินออกไปทันที ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ขณะที่มาร์คัสพูดขึ้น “มุกสาปส่งของท่านนี่ได้ผลชะงัดทุกที”

“ยังเป็นมุกหากินที่ใช้ได้ดีอยู่เวลาข้าไม่อยากตอบคำถามอะไร” ไอดิเอลว่า โอเรนพูดขึ้น

“ง่ะ งั้นถ้าข้าถามมากๆ ท่านจะสาปข้าจริงๆ หรือ”

“อืม ถ้าทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดีมากๆ ข้าก็จะสาปเจ้า ระวังไว้ด้วยล่ะ”

“ข้าสงสัยนะ” คาริกว่า “คำสาปนี่กินพลังเวทเยอะรึเปล่า”

“เจ้าไม่ใช่จอมเวท จะสงสัยเรื่องนั้นทำไมกัน”

“โธ่ ถ้าเป็นจอมเวทข้าก็ไม่ต้องสงสัยแล้วสิ” คาริกว่า “เทียบกับการร่ายเวทธรรมดา เปลืองพลังกว่ากันมากรึเปล่า”

“แล้วแต่ประเภทของคำสาป” ไอดิเอลว่า “แต่ปกติไม่ค่อยกินพลังหรอก เพราะงั้นนะ ระหว่างที่ข้ากำลังอารมณ์ดี พวกเจ้าจะกินอะไรก็กินไป อย่าถามวุ่นวาย เดี๋ยวข้าอารมณ์เสียจะสาปเอาจริงๆ”

ทั้งหมดรีบก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนทันที ไอดิเอลยิ้มด้วยความพอใจ เขาหยิบบันทึกที่เขียนค้างไว้มาเขียนต่อ แต่เขียนไปได้ไม่ถึงสองบรรทัด เขาก็ปิดสมุดแล้วพูดขึ้น

“พวกเจ้าไม่มีงานทำกันหรือไง”

พอหันไปมองตามก็เห็นพวกพนักงานโรงแรมยืนแอบดูอยู่ที่ด้านหลังบาร์เครื่องดื่ม หนึ่งในนั้นเป็นบริกรที่ยกอาหารมาให้ พวกเขาทำหน้าเลิกลั่กแล้วรีบพากันแยกย้ายทันที ไอดิเอลพูดขึ้นต่อ

“พวกที่อยู่หน้าประตูนั่นด้วย ถ้าจะมาจองโรงแรมก็เข้ามา แต่ถ้าอยากจะถามอะไรข้า มีค่าเสียเวลาคนละหนึ่งเหรียญทอง เวลาถามสิบห้านาที ถ้าไม่ใช่ทั้งสองอย่างก็รีบๆ ไสหัวออกไป ไม่อย่างนั้นอย่างหาว่าข้าใจร้าย”

“โห เดี๋ยวนะ แค่ถามนี่คิดค่าเสียเวลาคนละหนึ่งเหรียญทองเลยหรือ” คาริกถามขึ้น เขาจัดการอาหารในส่วนของตัวเองหมดไปเกือบครึ่งแล้ว ขณะที่มาร์คัสยังได้ไม่ถึงครึ่งชาม ส่วนโอเรนกินผักในถาดเกลี้ยงไปตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครทันได้สังเกต

“นี่ท่านแกล้งไล่พวกเขาใช่ไหม แพงขนาดนี้ใครจะกล้าจ่าย”

ไม่ต้องเสียเวลารอคำตอบนาน เจ้าของโรงแรมเป็นคนแรกที่รับข้อเสนอ เขาเดินมาหาไอดิเอลที่โต๊ะ ยื่นเหรียญทองสีสุกปลั่งให้จอมเวทหนึ่งเหรียญ แล้วเชิญเขาไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง คาริกถึงกับอ้าปากเหวอ ไม่ใช่แค่เจ้าของโรงแรม คนอื่นๆ ที่แอบอยู่หน้าประตูทยอยเดินเข้ามา บางคนเป็นคนในเมืองที่คาริกรู้จัก หลายคนเป็นพวกพ่อค้าที่ผ่านทางมา ทุกคนยืนเค้าคิวรอพร้อมกับเหรียญทองหนึ่งเหรียญในมือ

“ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย” เขาหันไปหามาร์คัส “หนึ่งเหรียญทองแลกกับการคุยสิบห้านาทีเนี่ยนะ ไอดิเอลร่ายมนตร์ใส่พวกเขาใช่ไหม ข้าทำงานทั้งเดือนยังได้เงินรวมกันไม่ถึงหนึ่งเหรียญทองเลย”

“เจ้านี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว” มาร์คัสพูดยิ้มๆ “หนึ่งเหรียญทองแลกกับการได้คุยกับจอมเวทนี่เป็นราคาที่ถูกมาก ถ้าเจ้าอยู่ไม่ถูกที่ถูกเวลา อย่าว่าแต่หนึ่งเหรียญทองเลย มีสักพันเหรียญทองก็ยังหาจอมเวทมาคุยด้วยไม่ได้”

“ข้าก็รู้หรอกนะว่าจอมเวทไม่ใช่อะไรที่จะเจอกันได้ง่ายๆ” ชายหนุ่มว่า “แต่หนึ่งเหรียญทองมันคุ้มหรือไง แค่คุยเนี่ยนะ”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะคุยเรื่องอะไร” มาร์คัสว่า “จอมเวทน่ะได้ชื่อว่ารอบรู้ทุกสรรพสิ่ง ตั้งแต่อดีต ปันจุบัน รวมถึงอนาคต พวกเขาสามารถทำนายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยดูจากสถานการณ์ปัจจุบันและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้อย่างแม่นยำกว่าพวกหมอดูหรือนักพยากรณ์ เขาจะตอบทุกคำถามที่เจ้าอยากรู้ ถ้ามันไม่ใช่คำถามที่ทำให้เขาอารมณ์เสียน่ะนะ แต่ข้าคิดว่าคนที่ยอมจ่ายหนึ่งเหรียญทองคงไม่ถามคำถามงี่เง่าที่จะทำให้จอมเวทอารมณ์เสียจนต้องสาปส่งเขาหรอก”

“ไม่อยากจะเชื่อ เขาทำนายอนาคตได้จริงๆ หรือ นี่เป็นวิธีหาเงินที่สบายยิ่งกว่าออกไปล่าสัตว์ประหลาดอีกนะเนี่ย ทำไมเขาไม่เปิดสำนักทำนายไปเลย”

“มันคงน่าเบื่อสำหรับเขาน่ะ” อีกฝ่ายตอบ “อีกอย่าง ถ้าเอาแต่อยู่ในสำนักไม่ออกมาเจอโลกภายนอกเลย ก็เท่ากับว่าไม่รู้อะไรเลย แบบนั้นก็ไม่น่าจะทำให้ทำนายแม่นขึ้นหรอกนะ”

“ข้าคิดว่ามันอยู่ที่ญาณวิเศษเสียอีก”

“มันมาจากการสั่งสมประสบการณ์นะ เขาเคยบอกข้าไว้แบบนั้น”

“ดูท่าทางเจ้าสนิทกับท่านไอดิเอลมากเลยนะ” โอเรนว่า “รู้จักกันมานานแล้วหรือ”

“สำหรับข้าก็นานนะ” มาร์คัสว่า “ตั้งแต่ตอนข้ายังหนุ่มโน่นแน่ะ สักอายุยี่สิบกว่าๆ ล่ะมั้ง เจอกันโดยบังเอิญระหว่างเดินทางน่ะ”

“อ้อ แล้วเขาเคยถ่ายพลังกับท่านบ้างรึเปล่า” คาริกถามต่อ อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“ไม่รู้สิ ข้าเคยเห็นเขาชวนคนหนุ่มๆ ไปที่ห้อง แต่พอวันรุ่งขึ้นคนพวกนั้นก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะงั้นข้าตอบเจ้าไม่ได้หรอกว่าเคยหรือไม่เคย”

“อืม...”

........................................

พวกคาริกกินมื้อเช้าเสร็จก็นั่งรอไอดิเอลที่โต๊ะ จนเวลาสิบโมงกว่าๆ ลูกค้าคนสุดท้ายถึงยอมลุกจากเก้าอี้ไป มาร์คัสเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังในร้านแล้วหันไปพูดกับจอมเวทที่เดินกลับมาที่โต๊ะ

“คนสุดท้ายคุยนานนะเนี่ย เกินไปตั้งสิบนาทีแน่ะ ท่านไม่คิดราคาเพิ่มหรือ”

“คิดเพิ่ม แต่ไม่ใช่ตอนนี้” อีกฝ่ายตอบ คาริกถามทันที

“สิบนาทีท่านจะคิดเพิ่มอีกเท่าไหร่เนี่ย เท่าที่ดูท่านก็ได้มาโขแล้วนี่นา”

“ยังไม่ถึงครึ่งของค่าอาหารที่เจ้าติดไว้ที่สมาคมหรอกนะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะหันไปหาชายชรา “นี่ มาร์คัส ข้ามีธุระต้องจัดการอีกนิดหน่อย ถ้าเจ้ารีบก็ออกเดินทางไปก่อนเลย อย่าลืมเอาอัลบุสลงจากหลังรถของเจ้าด้วยล่ะ”

มาร์คัสเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “แสดงว่าในบรรดาคนพวกนั้น นอกจากอยากฟังคำทำนายแล้วยังมีเรื่องอื่นอีกงั้นสิ”

“อืม”

โอเรนถามแทรกขึ้นทันที “มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”

“ยังบอกไม่ได้”

คาริกทำท่าจะอ้าปาก แต่ก็ไม่ทันมาร์คัส “ที่จริงข้าก็อยากจะอยู่ดูด้วยหรอกนะ แต่ถ้ายืดเวลาออกไปเกรงว่าหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตาจะชิงเน่าไปเสียก่อน ดูจากสถานที่แล้วก็ไม่เอื้ออำนวยให้ข้าตากหนังเสียด้วย”

“ข้าเข้าใจ” ไอดิเอลว่า “เพราะงั้นถึงบอกให้เจ้าเดินทางไปก่อนไง”

“แต่ถ้าข้าไปก่อน แล้วท่านกับคาริกล่ะ จะเดินทางกันยังไง”

“ข้าคงหาทางไปได้เองนั่นแหละ เต็มที่ก็ซื้อมาเลวๆ แถวนี้ให้เขาขี่สักตัวหนึ่ง ยังดีกว่าเดินเท้าไป”

“อืม... อย่างนั้นข้าก็ขอลาก่อนแล้วกันนะ ถ้าโชคดีคงได้พบท่านอีก”

“ถ้าเจ้าอายุยืนพอ” ไอดิเอลว่า “ไปเถอะ”

พอมาร์คัสออกไปแล้ว คาริกจึงหันมาถาม “สรุปแล้วท่านมีเรื่องอะไรกันแน่”

“ผู้ชายคนสุดท้ายที่เพิ่งลุกไป มีเรื่องบางอย่างที่อยากให้ข้าไปดูด้วยตาตัวเอง” ไอดิเอลว่า “เขาตั้งค่ายพักแรมอยู่นอกกำแพง”

“พวกคาราวานหรือ” คาริกถามต่อ “ขบวนใหญ่เลยสิ”

“ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ค่าโรงแรมที่นี่น่ะถูกมากเมื่อเทียบกับที่อื่น มีแต่พวกคาราวานขบวนใหญ่มากๆ เท่านั้นแหละที่จะตั้งค่ายพักนอกตัวเมือง เพราะโรงแรมมีห้องไม่พอน่ะ แต่ว่านะ... ตั้งแต่อยู่มา ข้ายังไม่เคยเห็นคาราวานขบวนใหญ่ขนาดนั้นแวะมาที่นี่เลย”

ไอดิเอลยิ้ม “ถ้าอยากรู้ก็คงต้องตามออกไปดูน่ะ”

“งั้น...”

“เจ้าตามมาร์คัสไปจูงอัลบุสกลับมาให้ข้า เราจะได้ไปดูว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

....................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่8 (23/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-07-2021 09:53:59
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่8 (23/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-07-2021 22:11:56
จะมีเรื่องมั้ยน้อออ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่9 (30/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-07-2021 11:11:30
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่9 คำสาป


ตอนที่คาริกจูงอัลบุสกลับมาถึงโรงแรม ก็เห็นไอดิเอลยืนคุยกับชายคนหนึ่ง อายุไม่มาก ไม่น่าเกินสามสิบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าปอนๆ ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร เป็นคนเดียวกับที่คุยกับเขาเป็นคนสุดท้าย และคุยเกินเวลาตั้งสิบนาทีคนนั้นเอง

พอเห็นคาริกเดินเข้ามาในระยะสายตา ไอดิเอลก็หันไปแนะนำ “เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นผู้ช่วยข้า เขาชื่อคาริก และนั่นเป็นม้าของข้าเอง”

“โอ... นี่มันม้าขาวขนยาวที่ว่ากันว่าวิ่งได้ข้ามวันข้ามคืนโดยไม่ต้องหยุดพักนี่นา” ชายคนนั้นตอบ “มิน่าล่ะ เราถึงตามท่านไม่ทัน”

สำเนียงพูดฟังดูแปลกหู คาริกทำงานคุ้มกันให้พวกกองราคาวานมาหลายปี ไม่เคยได้ยินสำเนียงแบบนี้มาก่อน แต่ครั้นจะอ้าปากถามก็ถูกไอดิเอลชิงพูดขึ้นก่อน

“พวกเจ้ามาทันข้าที่นี่ก็ดีแล้ว เร็วกว่านี้ก็ไม่ดี ช้ากว่านี้ก็ไม่ทัน”

“ก็จริงของท่าน” ชายคนนั้นพยักหน้า แล้วพูดต่อ “ถ้าพวกท่านพร้อมแล้วก็เชิญตามข้ามา นายของข้ารออยู่ที่นอกกำแพงไม่ไกลนี่เอง”

โอเรนกระซิบ “คาริก ผู้ชายคนนั้นสำเนียงแปลกนะ ท่าทางก็ดูสุภาพต่างจากเจ้าลิบลับเลย”

“อืม ข้าก็คิดเหมือนกันเรื่องสำเนียงน่ะนะ แต่ท่าทางนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเปรียบเทียบไหม”

โอเรนหัวเราะคิกคัก ไอดิเอลจึงส่งเสียงพูดเรียบๆ “ช่วยเงียบๆ หน่อย ทั้งสองคนนั่นแหละ”

..........................................

ด้านนอกกำแพงเมืองส่วนใหญ่จะมีที่ราบไว้สำหรับให้กองคาราวานหรือพวกทหารตั้งค่ายพักแรม คาริกจินตนาการว่าคาราวานที่มาคราวนี้จะต้องมีขบวนใหญ่โต คงมีจำนวนคนหลักร้อย มีกระโจมเป็นสิบๆ หลัง มีม้าผูกเรียงกันเป็นร้อยตัว นึกภาพว่าพอทุกคนเห็นจอมเวทเดินมาตัวเป็นๆ แล้ว ต้องมีสีหน้าตื่นเต้นและมีท่าทางอยากรู้อยากเห็นแบบพวกที่โรงแรมแน่ แต่พอมาถึงจริงๆ บนที่ราบที่ว่ากลับมีกระโจมตั้งอยู่เพียงหนึ่งหลัง เป็นกระโจมขนาดกลางๆ ไม่ถึงกับใหญ่โตแต่ก็ไม่ถึงกับเล็กไป คาริกถึงกับโพล่งออกมา

“พวกที่เหลือไปไหนกันหมดเนี่ย”

ชายคนที่เดินนำทางหันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านหมายถึงพวกไหน”

“ก็พวกกองคาราวานที่เหลือไง”

คนถูกถามนิ่งไปอึดใจก่อนจะตอบด้วยท่าทางสุภาพ ผิดกับพวกที่ทำงานอยู่ในกองคาราวานทั่วไปลิบลับ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มากับกองคาราวาน ข้ามากับนายข้าแค่สองคน เขาพักอยู่ในกระโจมนี่ โปรดรอที่นี่สักครู่ ให้ข้าไปแจ้งเขาก่อนว่าพวกท่านมาถึงแล้ว”

“ตามสบายเถอะ” ไอดิเอลโบกมือเป็นเชิงอนุญาต พอชายคนนั้นเดินเข้ากระโจมไปแล้ว คาริกที่จูงอัลบุสเดินตามหลังมาก็ถามขึ้นทันที

“อะไรกันเนี่ย ข้าคิดว่าจะเป็นกองคาราวานขนาดใหญ่เสียอีก มากันแค่สองคนเองหรอกหรือ ถึงไม่ได้แต่งตัวดีมาก แต่ลองถือเหรียญทองไปจ่ายค่าคุยกับท่านได้ ก็น่าจะพักโรงแรมได้นี่นา”

ได้ยินเสียงไอดิเอลตอบกลับมา “พวกเขาคงมีเหตุผลนั่นแหละ เจ้าดูม้าที่ผูกอยู่ตรงนั้นสิ”

คาริกหันไปมองตามทิศที่อีกฝ่ายชี้ เห็นม้าสองตัวผูกอยู่กับต้นไม้ เป็นม้าลายด่างสีน้ำตาลขาว ด้านหลังพวกมันเป็นรถม้าที่ทำจากไม้คันใหญ่เอาเรื่องเมื่อเทียบกับกระโจมที่ตั้งอยู่ ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

“นี่มันแปลกมากนะ รถม้าคันนั้นใหญ่พอๆ กับกระโจมเลย ท่าทางจะนั่งสบายมากด้วย ม้าสองตัวนั่นถึงข้าไม่รู้จักว่าเป็นพันธุ์อะไรแน่ แต่ต้องไม่ใช่ม้าเลวแน่นอน พวกเขาไม่ใช่คนยากไร้ ทำไมถึงไม่พักในโรงแรมล่ะ”

“ม้าสองตัวนั่นเป็นม้าด่างจากที่ราบออสซุม เป็นสายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงและความเร็ว ถึงจะไม่ถูกกล่าวขานเป็นตำนานอย่างม้าขาวขนยาว แต่ก็เป็นม้าที่ดีและมีราคามากโขอยู่”

“อย่างนั้นยิ่งแปลกใหญ่เลย” คาริกว่า “พวกเขามีม้าดีขนาดนี้เทียมรถ แสดงว่ามีเงินไม่น้อย แต่เลือกไม่พักในโรงแรมเนี่ยนะ ท่านแน่ใจนะว่าเรื่องนี้ไม่มีลับลมคมในอะไร”

“ก็เป็นเรื่องมีลับลมคมในน่ะสิ ข้าถึงได้ให้มาร์คัสไปก่อน”

“นี่นะ ท่านไอดิเอล” โอเรนพูดขึ้น “ข้าได้กลิ่นไม่ดีโชยออกมาจากกระโจมและเจ้าหนุ่มนั่น เรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่เลย”

ไอดิเอลพยักหน้า “ถ้าเป็นเรื่องดีคงไม่มีใครลงทุนตั้งกระโจมพักอยู่นอกเมืองทั้งที่มีเงินเหลือเฟือจะพักโรงแรมหรอก”

“ก็จริงแฮะ”

ชายคนเดิมเดินออกมาจากกระโจม ค้อมตัวด้วยท่าทางนอบน้อม “นายของข้าบอกว่าต้องการให้ท่านเข้าพบเพียงคนเดียว”

ไอดิเอลยักไหล่ “แล้วพวกนี้ล่ะ จะให้รออยู่ข้างนอกหรือ ไปบอกนายของเจ้าว่าเขาไม่มีสิทธิ์เลือก ถ้าไม่ให้เราเข้าไปทั้งหมด ข้าก็จะกลับ จะเอาทองเป็นภูเขามากองไว้ตรงหน้าก็หยุดข้าไม่ได้หรอกนะ”

ชายคนนั้นผงกศีรษะ “ได้ ข้าจะไปแจ้งเขาตามที่ท่านบอก”

คาริกรีบขยับมากระซิบทันที “นี่ ถ้าเขาเอาทองคำมากองต่อหน้าท่านได้เป็นภูเขาจริงๆ ข้ายอมยืนรอข้างนอกนี่ก็ได้นะ ที่จริงแค่ก้อนเดียวข้าก็พร้อมจะยืนรอข้างนอกแล้ว”

“ไม่เอาหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้าขี้เกียจตอบคำถามพวกเจ้าให้เมื่อยปาก เข้ากันไปทั้งหมดนี่แหละ”

“โห... ความขี้เกียจของท่านนี่ราคาแพงเป็นบ้า”

“ที่จริงพวกเจ้าน่าจะดีใจนะ ที่คำถามของพวกเจ้ามีราคาขนาดนั้นน่ะ”

ชายคนเดิมกลับออกมาจากกระโจมอีกครั้ง “เขาอนุญาตให้พวกท่านเข้าไปทั้งหมด ข้าจะเอาม้าไปผูกไว้ให้”

“ไม่เป็นไร อัลบุสไม่ต้องผูกหรอก” ไอดิเอลว่า ก่อนจะหันไปกระซิบกับม้าคู่ใจ มันผงกศีรษะอย่างรู้งานแล้วเดินออกไปยืนเล็มหญ้าใกล้ๆ กับต้นไม้ที่รถม้าจอดอยู่ โอเรนพูดขึ้นเบาๆ

“ท่านไอดิเอลนี่ก็รู้ภาษาม้าแฮะ”

ไอดิเอลไม่ตอบอะไร เขาหันไปบอกชายคนนั้น “นำไปเถอะ พวกข้าพร้อมแล้ว”

.................................

ภายในกระโจมค่อนข้างมืด ทันทีที่เข้าไป กลิ่นเครื่องหอมปะปนกับกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงก็โชยมา คาริกถึงกับยกมือปิดจมูก

“กลิ่นอะไรกันเนี่ย”

ชายคนที่เดินนำพวกเขาหยุดยืนและค้อมตัวอย่างนอบน้อม “นายท่าน นี่คือท่านไอดิเอล และผู้ติดตามของเขา คาริก”

แสงจากตะเกียงที่แขวนอยู่บนขื่อส่องให้เห็นกระถางกำยานและถุงเครื่องหอมจำนวนมากวางอยู่บนชั้นโดยรอบ ที่กลางกระโจม มีร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตลอดร่างคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำ ด้วยแสงสลัวทำให้มองไม่เห็นแม้แต่หน้าซึ่งซ่อนอยู่ใต้เงาผ้า นอกจากนั้นก็ไม่เห็นใครอื่นอีก คาริกขมวดคิ้ว ขณะที่มีเสียงตอบกลับมา

“ท่านหรือคือประกายสีเงินไอดิเอลคนนั้น ดูต่างจากที่ข้าได้ยินมาพอสมควรเลย” เสียงนั้นดังมาจากร่างที่คลุมผ้าสีดำซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไอดิเอลตอบกลับเขาเรียบๆ

“อ้อ... ท่านได้ยินมาว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

“ได้ยินว่าท่านเดินทางเพียงลำพัง ไม่มีผู้ช่วย”

“เรื่องนั้นเพิ่งเปลี่ยนแปลงวันนี้เอง” ไอดิเอลว่า ชายคนนั้นกล่าวต่อ

“และได้ยินมาว่าท่านเป็นคนผลักดันให้ออกกฎหมายคุ้มครองนูเบส โฟลิอุม ที่มีผลทั่วทั้งหกอาณาจักร แต่ที่อยู่บนศีรษะผู้ช่วยของท่าน ไม่ใช่นูเบส โฟลิอุมหรอกหรือ”

“ใช่ นั่นคือนูเบส โฟลิอุม”

“งั้นก็ประหลาดดี ท่านเป็นคนผลักดันกฎหมายนี้ แต่กลับมีเลี้ยงเอาไว้ตัวหนึ่ง”

“นี่ ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ” โอเรนพูดขึ้นทันที “ข้าพบท่านไอดิเอลโดยบังเอิญ และเขาตกลงจะพาข้ากลับไปยังที่ที่ข้าควรอยู่ ข้าก็เลยตามเขามา เจ้าอย่าเข้าใจผิดเรื่องนี้”

ได้ยินข้าวของเสียงเดิมตอบกลับมา “อ้อ... เป็นอย่างนั้นเอง คำร่ำลือที่ว่านูเบสเป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาดจนได้รับยกย่องให้เป็นมังกรสายพันธุ์หนึ่งดูจะไม่เกินจริงเท่าไหร่”

“ท่านดูเป็นคนมีความรู้ไม่น้อย” ไอดิเอลว่า “รู้เรื่องมากมายขนาดนี้ ยังมีเรื่องอะไรต้องการรบกวนขอความช่วยเหลือจากจอมเวทที่ดูผิดไปจากที่ท่านคาดไว้อย่างข้าอีก”

“อ้อ... คำพูดขอข้าคงทำให้ท่านไม่สบอารมณ์อยู่ ต้องขออภัยด้วย” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ข้าเป็นโรคประหลาดอย่างหนึ่ง เป็นมาได้สามเดือนแล้ว ทั้งตัวมีแต่แผลพุพองเน่าเฟะ แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย พวกหมอยาที่ให้การรักษา ต่างกล่าวตรงกันว่านี่คือโรคที่เกิดจากเวทมนตร์ หรือก็คือโรคที่เกิดจากคำสาป”

“เพราะอย่างนั้นท่านจึงมาหาข้า?”

“อืม ได้ยินว่าท่านเชี่ยวชาญทั้งด้านตัวยาและเวทมนตร์ คงมีความสามารถพอที่จะจัดการเรื่องนี้ได้”

ไอดิเอลนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะถามกลับ “ท่านตามหาข้ามานานหรือยัง”

“ร่วมสามเดือน”

“ก็ตั้งแต่เริ่มเกิดอาการ”

“ใช่”

“ทำไมถึงต้องเป็นข้า”

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

“ในการรับรู้ของคนทั่วไป หากต้องการหาจอมเวทสักคนหนึ่ง ที่แรกที่คิดถึงคือราชสำนัก ที่ที่สองคือนครเวหา การที่ท่านเลือกมาหาข้าจึงเป็นเรื่องแปลก นอกเสียจากว่าท่านถูกจอมเวทในสองสถานที่ที่ว่านี้สาปมา”

“วางใจเถอะ ไม่ใช่เหตุผลนั้นแน่” ชายที่นั่งอยู่ตอบ “ตัวข้าเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกคำสาปได้อย่างไร”

“อย่างนั้นยิ่งประหลาด ถ้าท่านไม่รู้ ทำไมท่านถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก ด้วยสำเนียงและวิธีการพูด รวมถึงกิริยามารยาทคนของท่าน ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่นอน ถึงจะแต่งตัวปอนๆ แต่ทั้งรถม้า ทั้งกระโจม รวมถึงเครื่องหอมและกระถางกำยาน ทั้งหมดล้วนมีราคาไม่น้อย สภาพท่านไม่ใช่คนยากไร้ ยิ่งไม่น่าจะใช่คนที่ไม่มีเส้นสายภายใน ถ้าเข้าพบจอมเวทในวังไม่ได้ ก็ต้องไม่ลำบากที่จะเดินทางไปที่นครเวหา อย่างน้อยๆ ไปที่นั่นอย่างไรก็ต้องง่ายกว่าตามหาตัวข้าแน่นอน”

“เรื่องนั้นที่จริงมีเหตุผลอยู่ แต่ข้าไม่สะดวกจะบอก ขอเพียงท่านตกลงจัดการเรื่องนี้ ไม่ว่าท่านจะเรียกร้องเงินทองสักเท่าไหร่ ข้ายินดีจะจ่ายให้ท่านอย่างงาม”

ไอดิเอลมองเขา “ที่ข้าตกลงตามคนของท่านมา เพราะเห็นว่านี่เป็นเรื่องน่าสนใจ การที่ใครสักคนทุ่มเทความพยายามเพื่อตามหาตัวข้าซึ่งอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ย่อมเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่ถ้าท่านปฏิเสธจะไม่เปิดเผยอะไรเลยเช่นนี้ ข้าก็คงต้องขอลา เงินทองของท่านยังไม่ใช่ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าพอให้ข้าตกลงรับปากช่วยเรื่องที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุหรอก”

“แล้วท่านต้องการสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน”

“ความจริง” ไอดิเอลว่า “มีแต่ความจริงเท่านั้นถึงจะทำให้ข้าพิจารณาตัดสินใจช่วยหรือไม่ช่วยเรื่องนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่ปัญหาของข้าด้วยซ้ำ ข้าจะให้เวลาท่านสิบห้านาทีในการตัดสินใจ ระหว่างนี้เราจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย”

ชายคนที่ยืนอยู่รีบถลันมาขวางหน้าเขาไว้ “ได้โปรดฟังก่อน ท่านไอดิเอล ความจริงแล้วนายข้าตั้งใจจะเปิดเผยความจริงกับท่านแต่แรก เพียงแต่เราไม่คิดว่าท่านจะมีคนอื่นเดินทางร่วมด้วย ถ้าอย่างไรท่านให้ผู้ช่วยออกไปก่อน...”

“ข้าก็บอกแล้วว่าเขาเป็นผู้ช่วยข้า” ไอดิเอลว่า “ถึงเพิ่งจะมาวันนี้ แต่ไม่ได้อยู่เป็นการชั่วคราวแน่ ทั้งนูเบส โฟลิอุมที่เดินทางมาด้วยกันก็จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้”

“ทำไมล่ะ แค่ท่านคนเดียวไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้” ไอดิเอลตอบเสียงเฉียบ “พวกเจ้ามาแล้วก็จากไป แต่พวกนี้ยังจะอยู่กับข้าอีกนาน อาจจะเป็นปี หรือหลายปี ถ้าข้ารับรู้เรื่องนี้คนเดียว ยังไงก็ต้องถูกถาม ลองนึกสภาพการถูกเซ้าซี้ถามตลอดเวลาดูสิ ถ้าเจ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เอาว่าข้าไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นแล้วกัน”

ชายคนนั้นอ้าปากค้าง “เหตุผล... เหตุผลแค่นี้เองหรอกหรือ”

“ใช่ เหตุผลแค่นี้เองของเจ้านี่แหละ” ไอดิเอลว่า “ข้าไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเจ้าหรือเจ้านายของเจ้าเป็นการส่วนตัว เงินทองข้าก็ไม่ได้ขัดสน ทำไมข้าจะรับปากเรื่องที่จะก่อให้เกิดความรำคาญกับข้าด้วย”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ จากนั้นคนบนเก้าอี้ก็พูดขึ้น “แบรนด์ เจ้าไปยกเก้าอี้มาให้ท่านไอดิเอล เรื่องนี้เห็นทียืดเยื้อต่อไปก็มีแต่เราที่เป็นฝ่ายเสีย”

“ถูกต้อง ฝ่ายที่เสียไม่ใช่ฝั่งของข้าแน่นอน” ไอดิเอลพยักหน้า อีกฝ่ายจึงกล่าวต่อ

“เช่นนั้น ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง เพียงแต่อยากขอร้องให้ท่านรับปากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”

“นั่นก็ไม่ได้อีก” จอมเวทตอบทันที “แต่ข้ารับรองได้ว่าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนภายหลังแน่นอน”

ชายคนนั้นเงียบไปอึดใจก็กล่าวออกมา “ได้ยินท่านรับปากแบบนั้นข้าก็สบายใจแล้ว”

เก้าอี้ถูกยกมาให้ ไอดิเอลจึงนั่งลง “เอาล่ะ บอกมาสิ เรื่องนี้มันเป็นมายังไงกันแน่”

“ก่อนจะแนะนำตัวเอง ข้าคงต้องให้ท่านดูร่างกายของข้าก่อน” เขาดึงผ้าที่คลุมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าที่พันไว้ด้วยผ้าลินินสีขาว ซึ่งเปรอะไปด้วยสีดำคล้ำและสีเหลืองหม่นของเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลซึมออกมา กลิ่นเหม็นเน่าร้ายกาจตลบอบอวลไปทั่วทั้งกระโจม ชนิดที่ว่ากระถางกำยานกับถุงเครื่องหอมพวกนั้นเอาไม่อยู่ คาริกถึงกับทนไม่ได้ต้องวิ่งออกไปอาเจียนที่ด้านนอก ได้ยินเสียงเจ้าตัวถอนหายใจ

“นี่คือสภาพที่ข้าเป็นอยู่ ท่านคงนึกสงสัยว่าข้าทนมาได้อย่างไรตั้งสามเดือน”

“อืม ท่านบอกข้าแล้วว่ามันไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่ว่าสภาพร่างกายแบบนี้ คนปกติไม่ทนตั้งสามเดือนแน่ ต้องฆ่าตัวตายไปนานแล้ว”

“ใช่ แต่ข้ามีเหตุผลให้ต้องมีชีวิตอยู่” ฝ่ายนั้นว่า “แม้ข้าจะไม่ปฏิเสธว่ามีหลายครั้งที่ข้าอยากจะฆ่าตัวตายเช่นกัน”

แม้จะมีสภาพร่างกายเช่นนั้น แต่ดวงตาสีเทาของคนผู้นี้กลับเป็นประกายสดใส ไม่เหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิตเลย

“น่าสนใจ เหตุผลการมีชีวิตอยู่ของท่านคงต้องยิ่งใหญ่มาก”

“ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร ข้าแค่มีชีวิตอยู่เพื่อคนอีกคนเท่านั้น”

“นั่นแหละที่ยิ่งใหญ่”

“สรุปแล้วท่านเป็นใครกันแน่” คาริกที่เพิ่งเข้ามาถามขึ้น เขาใช้ผ้าปิดจมูก จึงพูดเสียงอู้อี้ คนที่ยืนอยู่ทำท่าจะพูดอะไร แต่ถูกชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดตัดหน้า

“บัลดริกซ์คือชื่อของข้า รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรหรดี ส่วนนี่คือแบรนดอน คนสนิทของข้าเอง”

“อืม... แบบนี้พอจะฟังเข้าเค้าหน่อย” ไอดิเอลว่า แบรนดอนที่ยืนอยู่ค้อมตัวเล็กน้อย

“ท่านไอดิเอล เรื่องนี้เป็นความลับมาก หากข่าวที่ฝ่าบาทถูกคำสาปเผยแพร่ออกไป จะกลายเป็นผลเสียต่อชื่อเสียงของฝ่าบาทและสั่นคลอนถึงราชวงศ์ ขอให้ท่านโปรดเข้าใจความลำบากใจนี้ของฝ่าบาทด้วย”

“ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย” คาริกว่า ไอดิเอลยกมือขึ้นห้าม

“เจ้าหุบปากก่อนได้ไหม”

คาริกหุบปากทันที แต่ยังอุตสาห์ขยับไปกระซิบที่ข้างหูไอดิเอลเสียงอู้อี้ “อี้อ้านเอื้อเอ๋าอิงๆ อื๋อ”

“เจ้านี่น่ารำคาญจริง” ไอดิเอลว่า “เอาผ้าออกแล้วพูดให้ดีๆ ไม่ได้หรือไง”

“ข้าบอกว่า... นี่ท่านเชื่อเขาจริงๆ หรือ”

“อืม... ต้องมีแต่คนวิกลจริตเท่านั้นแหละที่จะโกหกว่าตัวเองเป็นเจ้าชายรัชทายาท หลังจากพยายามปิดบังตัวเองแทบตายแม้ว่าตัวจะเน่าไปหมดแล้วแบบนี้น่ะ เจ้าดูแล้วเขาเหมือนคนวิกลจริตหรือไง”

“....”

“ท่านไอดิเอล ข้าคิดว่าท่านคงมองเรื่องนี้ออกแต่แรก” เจ้าชายบัลดริกซ์พูดต่อ “ไม่อย่างนั้นไหนเลยท่านจะเดินเข้ามาก็เรียกข้าด้วยสรรพนามท่านทันที ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และข้าก็คิดว่านั่นไม่ใช่สรรพนามปกติที่ท่านจะเรียกคนอื่นทั่วไป”

“ถือว่าข้าให้เกียรติถูกคน” ไอดิเอลตอบยิ้มๆ “ข้าสงสัยตั้งแต่ได้ยินสำเนียงของคนสนิทของท่านแล้ว ยิ่งเห็นรถม้าของท่าน กระโจมของท่าน และวิธีการพูดของท่าน อืม... ถึงข้าไม่ได้เข้าเมืองหลวงบ่อยๆ อย่างจอมเวทคนอื่น แต่ข้าก็รู้หรอกว่าเชื้อสายผู้ปกครองแห่งหรดีล้วนแต่มีดวงตาสีเทาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ถึงท่านไม่ใช่รัชทายาทอันดับหนึ่ง ก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

“คิดจะปิดบังจอมเวท ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ”

“ทำไมท่านถึงไม่ให้เวโรนิกาจัดการเรื่องนี้” ไอดิเอลว่า “ท่านเป็นเจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่ง การเรียกพบนางต้องเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือแน่”

“เพราะนางเป็นจอมเวท” เจ้าชายบัลดริกซ์ตอบ “จอมเวทไม่โกหก หากข้าเรียกนางมาพบหรือไปพบนาง พระบิดาต้องเรียกนางไปถามต่อ นางย่อมไม่อาจโกหกเป็นอย่างอื่น ยิ่งไม่อาจไม่ตอบคำถาม ดังนั้นข้าจึงไม่อาจให้นางช่วยเรื่องนี้ ส่วนการไปที่นครเวหา ที่นั่นเป็นแหล่งพบปะของเหล่าจอมเวทก็จริง แต่ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาไว้ใจได้แค่ไหน ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับคำสาปนี้หรือเปล่า”

“เรื่องเวโรนิกาฟังดูมีเหตุผล” ไอดิเอลว่า “แต่เรื่องนครเวหา... ท่านเชื่อว่าจอมเวทมีส่วนในเรื่องนี้หรือ”

“ข้าเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง” เจ้าชายบัลดริกซ์ว่า “มีคนไม่น้อยที่ไม่ประสงค์ดีกับข้า ยิ่งเป็นเรื่องที่มีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้อง ยังไงก็ต้องสงสัยพวกจอมเวทไว้ก่อน”

“แล้วทำไมท่านถึงเลือกมาหาข้า แน่ใจได้ไงว่าข้าจะไม่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้ด้วย”

“เพราะท่านไม่มีประวัติเกี่ยวโยงกับการเมือง” เจ้าชายตอบ “ในบรรดาจอมเวททั้งสิบหกคนที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบ มีเพียงท่านผู้เดียวที่ไม่เคยรับตำแหน่งในราชสำนักใดๆ ทั้งยังไม่เคยมีตำแหน่งอยู่ในสภากลาง หากจะมีใครมีโอกาสมีเอี่ยวกับเรื่องนี้น้อยที่สุดในหมู่จอมเวท คนคนนั้นก็คือท่านนี่แหละ”

“อืม... ก็ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลดี แต่การตามหาข้าต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่”

“ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ” อีกฝ่ายยอมรับ “เพราะท่านอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง แถมยังเดินทางไปทั่วทั้งหกอาณาจักร ข้าได้เส้นสายทั้งหมดที่มีสืบหาความเคลื่อนไหวของท่าน โดยจับตาดูตามเมืองท่าต่างๆ พอได้ยินว่าท่านอยู่ที่ทริโกเนีย ข้าก็รีบนั่งเรือเหาะมาลงทันที แต่กลายเป็นว่าท่านได้เดินทางออกมาเสียแล้ว สอบถามได้ความว่าท่านเดินทางไปที่แคนเดนซ์ แบรนด์เลยหาม้าด่างเทียมรถม้าเพื่อที่จะไล่ตามท่านมา ตามมาสามวันก็ไม่เห็นวี่แววของท่าน จนมาถึงเมืองนี้ข้าเลยคิดว่าควรจะแวะพักแล้วถามข่าวเอาจากคนในเมืองอีกที แบรนด์บอกข้าว่าท่านใช้ม้าขาวขนยาว นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงตามท่านไม่ทันเสียที”

“มาเจอข้าที่นี่ก็ดีแล้ว” ไอดิเอลว่า “เอาล่ะ ก่อนที่ข้าจะตกลงแก้คำสาปให้ท่าน ข้าต้องถามท่านให้แน่ใจก่อน”

“เชิญท่านว่ามา”

“การมาพบข้าของท่านครั้งนี้ นอกจากพวกท่านสองคน มีใครรู้เห็นอีกหรือไม่”

“อืม... ก็อาจจะมีพวกคนที่ข้าใช้ให้สืบข่าว พวกนั้นรู้ว่าข้ากำลังตามหาท่าน แต่ด้วยเหตุผลอะไรพวกเขาคงไม่รู้หรอก”

“แสดงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน วังก็จะรู้เรื่องที่ท่านตามหาข้าด้วยสินะ”

“อืม ถ้าทำการสืบสวนอย่างจริงจังก็คงจะรู้นั่นล่ะ”

“เรื่องที่ท่านเป็นแบบนี้ ไม่มีใครรู้ระแคะระคายจริงๆ หรือ เวลาตั้งสามเดือน ท่านปิดพวกในวังได้ไง”

“ข้าไม่ได้อยู่ในวังตั้งแต่สามเดือนก่อน” เจ้าชายตอบ “เพราะข้าต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลกับผ้าปูที่นอน ถ้ายังอยู่ต่อต้องมีคนสงสัยแน่ ข้าเลยทูลพระบิดาว่าจะออกไปท่องเที่ยวเดินทางดูบ้านเมือง แล้วไปเช่าบ้านอยู่ที่พัลเลนส์โดยใช้ชื่อปลอม แบรนด์เป็นคนจัดการเรื่องนี้ เขาโตมาพร้อมกันกับข้า เป็นคนที่ไว้ใจได้แน่นอน”

“เจ้าชาย” ไอดิเอลเรียกเขา “คำสาปนี้มีเป้าหมายไม่ได้หวังให้ท่านถึงตาย แค่ทำให้ท่านได้รับความอับอายเหมือนตายทั้งเป็นเท่านั้น แต่การแก้คำสาป หากไม่รู้ต้นเหตุของคำสาป ผลกระทบอาจถึงตาย หากท่านตาย ความผิดทั้งหมดก็จะตกมาถึงข้า ข้อหาสังหารรัชทายาทของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ใช่ข้อหาที่สภากลางอยากยื่นมือเข้ามาสอดด้วยแน่ๆ และไม่ใช่ข้อหาที่ข้าอยากจะเสี่ยงโดนด้วย”

“แปลว่าท่านจะไม่รับปากช่วยเหลือ”

“เว้นแต่ท่านรู้สาเหตุหรือแรงจูงใจของคำสาป” ไอดิเอลว่า “หรือถ้าท่านตัดสินใจจะฆ่าตัวตายเพราะอับอายเรื่องถูกสาป ข้าก็พอจะมีหนทางแนะนำอยู่”

“ท่านนี่แปลกคน” เจ้าชายว่า “ท่านไม่รับปากจะช่วยแก้คำสาปให้ข้า แต่จะแนะนำวิธีฆ่าตัวตายให้ข้า มันต่างกันตรงไหน”

“ต่างกันแน่ การแก้คำสาปมีความเสี่ยง แม้ว่าท่านจะยินดีรับความเสี่ยงที่ว่านี้ แต่หากท่านเกิดเป็นอันตรายขึ้นมา ยังไงข้าก็ถือเป็นผู้ลงมือ เมื่อเกิดการสอบสวน ข้าก็ต้องมีแต่ยอมรับความผิด แต่การแนะนำนั้นต่างไป ไม่ว่าข้าจะแนะนำอะไรไป คนที่ตัดสินใจเป็นท่าน คนที่ลงมือคือท่าน หากเกิดการสอบสวน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ผู้ลงมือแน่นอน”

เจ้าชายบัลดริกซ์ผงกศีรษะ “อืม... มีเหตุผล แต่ข้ายังไม่คิดจะตายตอนนี้หรอก”

“แม้ว่าจะมีสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตท่านก็ไม่คิดจะตายหรือ”

“ไม่รู้สิ ข้ายังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่9 (30/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-07-2021 11:11:58
“งั้นก็เริ่มคิดได้แล้ว” ไอดิเอลว่า “ตายเสียตอนนี้ยังมีเกียรติกว่าที่ผู้คนทั่วไปจะรู้ว่าท่านฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลอะไร ข้ารับรองว่าศพของท่านจะสง่างามไร้ราคี เพราะการถอนคำสาปจากคนตายไม่มีอะไรต้องเสี่ยงอีกแล้ว”

“ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร” แบรนดอนที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ “ฝ่าบาทสู้อุตส่าห์ติดตามเสาะหาท่านด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เปิดเผยความจริงทั้งหมดกับท่าน แต่ท้ายที่สุดท่านกลับแนะนำให้พระองค์ฆ่าตัวตาย ไม่คิดว่านี่เป็นการไร้น้ำใจไปหน่อยหรือไร”

“ข้ามีน้ำใจมากแล้ว” ไอดิเอลว่า “อย่างที่พวกท่านรู้ว่าข้าไม่มีประวัติยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้าไม่มีเรื่องติดค้างน้ำใจกับท่าน ไม่มีเรื่องติดค้างน้ำใจกับอาณาจักรหรดี การพบกันของเราครั้งนี้เป็นความต้องการของท่านล้วนๆ เรื่องเดือดร้อนก็ของท่านล้วนๆ ถามหน่อยว่าข้ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอาคอเข้าไปเสี่ยง ที่จริงแล้วข้าสะบัดหน้าเดินออกไปตอนนี้เลยก็ได้”

เจ้าชายบัลดริกซ์ยกมือขึ้นห้ามคนสนิท “เว้นที่ข้าพอจะหาสาเหตุของคำสาปให้ท่านได้สินะ”

“ถูกต้อง” ไอดิเอลว่า “คำสาปเหมือนกุญแจ ปกติแล้วคนที่จะแก้ได้มีแต่คนที่สาป ในเมื่อข้าไม่ใช่คนที่สาป ข้าก็ต้องรู้ว่าแม่กุญแจนั้นไขด้วยลูกกุญแจอะไรกันแน่ การที่ท่านได้พบข้าที่นี่ทั้งที่กำหนดการเดิมของข้าคือตรงกลับไปที่ทริโกเนียเลย หมายความว่าพลังงานของเรานั้นต้องกันอยู่ ดังนั้น ข้าจะให้แนวทางกับท่านเพื่อนึกทบทวน คำสาปนั้นมีพื้นฐานมาจากอารมณ์สองอย่าง คืออาฆาตแค้นและห่วงหาอาวรณ์ ลองนึกทบทวนดูซิว่าเมื่อสามเดือนที่แล้ว ท่านได้ทำอะไร หรือได้เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คนรอบๆ ตัวท่านมีความรู้สึกแบบนี้บ้าง”

“ถ้าแบบนั้นอย่าว่าแต่สามเดือนก่อนเลย” เจ้าชายตอบ “อาจจะตั้งแต่ข้าเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ”

“จุดเปลี่ยนอยู่ที่สามเดือนก่อน มีบางอย่างทำให้บางคนตัดสินใจสาปท่าน และต้องเป็นคนที่เข้าถึงตัวท่านได้ง่ายด้วย ปกติแล้วคำสาปที่ส่งผลรุนแรงจะต้องอาศัยการสัมผัสถูกตัวนำ ซึ่งก็คือสัญลักษณ์ทางเวทมนตร์ที่มีผลยึดโยงกับคำสาป เท่าที่ข้ารู้ในวังตรวจสอบข้าวของที่ส่งเข้าไปอย่างละเอียด และจอมเวทก็ได้ลงอาคมป้องกันเอาไว้บนตัวของเชื้อพระวงศ์ทุกคน ดังนั้นเรื่องการสาปจากภายนอกจึงตัดทิ้งไปได้” ไอดิเอลหันไปทางแบรนดอน “ในฐานะคนสนิทที่โตมากับเจ้าชาย เจ้าไม่พบใครน่าสงสัยเลยหรือ”

“....”

“เรื่องนี้เกี่ยวกับความเป็นตายของเจ้าชายนะ บอกตรงๆ ว่าข้าสงสัยเจ้าที่สุด”

“เป็นไปไม่ได้” เจ้าชายบัลดริกซ์โพล่งขึ้น “ท่านมีสิทธิ์จะสงสัยใครก็ได้ แต่ไม่ใช่เขาแน่นอน เขาสนิทกับข้า ช่วยเหลือข้าทุกอย่าง ข้ามีสภาพเป็นแบบนี้ เขายอมทนลำบากช่วยข้าตามหาท่าน กระทั่งผ้าพันแผลเขาก็เปลี่ยนให้ข้าทุกวัน เรียกได้ว่าเขาทุกข์ยากลำบากเรื่องนี้ไม่ต่างจากข้าเลย และการที่ข้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้ประโยชน์อะไรด้วย”

“อืม... งั้นก็น่าแปลก” ไอดิเอลว่า “เพราะข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานเหนียวหนืดเหมือนกาวที่ยึดโยงเขากับตัวท่านเอาไว้”

“ข้าหรือ” แบรนดอนโพล่ง โอเรนที่เงียบไปนานจึงพูดขึ้น

“ใช่ เจ้านั่นแหละ พลังงานด้านลบที่ส่งออกมาจากตัวเจ้าเหม็นยิ่งกว่ากลิ่นเน่าบนร่างกายเขาเสียอีก”

“ทำไมข้าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย” คาริกว่า “ที่ข้าเห็นก็คือคนสนิทที่ยอมลำบากลำบนทุกเรื่องเพื่อที่จะช่วยนายของเขา ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด เจ้าชายเป็นแบบนี้ ในฐานะคนสนิทเขามีแต่เสียกับเสียนะ”

“ใครจะรู้” ไอดิเอลว่า “บางทีอาจจะมีคนเสนอตำแหน่งดีกว่านี้ให้เขาก็ได้ หากเจ้าชายเป็นอะไรไป”

“ไม่มีทาง” เจ้าชายพูดขึ้นอีก “ข้าเสนอตำแหน่งอุปราชให้เขาหากว่าข้าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เขายังไม่ยอมรับมันเลย มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”

“เรื่องนี้ก็มีแต่เจ้าที่จะตอบได้นะแบรนดอน” ไอดิเอลว่า “มันเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของเจ้าชาย ถ้าเจ้าไม่ใช่คนสาปก็ต้องเกี่ยวข้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าจะโกหกใครก็ได้ แต่ไม่ใช่กับข้าและตัวเจ้าเองแน่นอน”

“แบรนด์...”

แบรนดอนเม้มริมฝีปาก เขาเงียบไปเป็นนาน ก่อนจะพูดออกมา “หากคำสาปเกิดจากข้าจริง ที่มาของคำสาปนั้นคงเกิดจากความห่วงหาอาวรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย”

“โอ...” ไอดิเอลผิวปากหวือ ขณะที่เจ้าชายร้องออกมา

“หมายความว่าไงกัน”

แบรนดอนหันไปหาเจ้าชาย สีหน้าแสดงความอับจนหนทางอย่างเห็นได้ชัด “เรื่องนี้อย่างไรไม่ใช่ความผิดท่านแน่นอน” เขาหันกลับมาหาไอดิเอล

“ได้โปรดช่วยถอนคำสาปให้เจ้าชายด้วย หากมันคือความอาวรณ์ของข้า ก็ขอให้เขาหลุดพ้นจากมันเสียที”

“เดี๋ยว เจ้าต้องตอบคำถามข้าก่อน ทำไมเจ้าถึงสาปข้า”

แบรนดอนได้แต่สั่นศีรษะ “ข้าตอบไม่ได้ เจ้าชาย ข้าตอบไม่ได้จริงๆ”

“วางใจเถอะ” ไอดิเอลพูดขึ้นมา “หากเขาเป็นคนสาปท่านจริง คำสาปที่ถอนแล้วจะต้องวิ่งกลับเข้าหาเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงตอนนั้นเขาจะยิ่งทรมานกว่าท่านหลายเท่า”

“ไม่ ข้าไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น จนกว่าจะได้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงสาปข้า” เจ้าชายว่า “มันไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเขาเป็นคนสาปข้าแต่แรก ทำไมถึงไม่ถอนคำสาปเอง ทำไมถึงต้องลำบากลำบนขนาดนี้”

“การถอนคำสาปก็เหมือนกับการยกโทษ หากไม่เต็มใจก็ถอนไม่ได้” ไอดิเอลว่า เขาหันไปหาแบรนดอน “เจ้าแน่ใจนะว่าคำสาปนี้เป็นฝีมือของเจ้าจริงๆ”

“ข้ามีสิ่งที่เรียกว่าตราจอมเวทอยู่ เมื่อสามเดือนก่อนข้าเคยให้ฝ่าบาทแตะมันครั้งหนึ่ง หากจะมีสิ่งใดที่เชื่อมโยงระหว่างคำสาป เวทมนตร์และดวงตรา ก็คงเป็นความอาลัยอาวรณ์ของข้านั้นแหละ”

“ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นด้วย” เจ้าชายบัลดริกซ์ถาม น้ำเสียงสั่นไหวสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวใจอย่างเห็นได้ชัด แบรนดอนก้มหน้าลง

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจบอกเหตุผล และกระหม่อมจะไม่ขอให้ทรงอภัย ขอเพียงแต่ทรงทราบว่ากระหมอมเสียใจเหลือเกินที่เรื่องเป็นแบบนี้”

“งั้นเราก็ไม่ต้องคุยกันเรื่องถอนคำสาปอีก” เจ้าชายบัลดริกซ์พูดแล้วผุดลุกขึ้น “ส่งมีดสั้นที่ข้าเคยให้เจ้ามาเดี๋ยวนี้”

“ฝ่าบาท หากจะสังหารกระหม่อม ก็ควรจะทำหลังจากการถอนคำสาปเสร็จสิ้น กระหม่อมรับรองว่า...”

“ข้าสั่งให้ส่งมีดมาให้ข้าไง”

แบรนดอนหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่เอวส่งให้ มันเป็นมีดสั้นที่ทำจากเงิน ประดับพลอยสีสันสวยงาม เจ้าชายรับมาแล้วก็ดึงปลอกออก

“ท่านไอดิเอล ตะกี้ท่านว่าท่านสามารถแนะนำวิธีดีๆ ใจการฆ่าตัวตายให้ข้าได้ใช่ไหม”

“หืม... ท่านนี่ประหลาดคนจริงเชียว” ไอดิเอลว่า “ตอนนี้ข้ากำลังจะแก้คำสาปให้ท่าน ท่านดันมาถามหาวิธีฆ่าตัวตายกับข้า ไหนบอกว่าท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปไงล่ะ”

“หากข้าต้องมีชีวิตอยู่โดยถูกคนที่ไว้ใจที่สุดหักหลัง ก็สู้ตายเสียดีกว่า”

“อย่า” แบรนดอนรีบเข้าไปหมายจะชิงมีดคืนมา แต่ถูกเจ้าชายผลักกระเด็น เห็นได้ชัดว่านอกจากสภาพภายนอกที่ดูเน่าเฟะ ร่างกายของเขายังแข็งแรงดีทุกประการ

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้า เว้นเสียแต่เจ้าจะเล่าเหตุผลทั้งหมดออกมา”

แบรนดอนได้แต่สั่นศีรษะ น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย เจ้าชายค่อยเสียงอ่อนลงหน่อย “เจ้าตอบข้ามาเถอะนะ... การที่เจ้าทำแบบนี้เหมือนยิ่งซ้ำเติมปัญหา ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก”

“กระหม่อม... กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาทเสกสมรส”

“หา...”

ชายหนุ่มร้องไห้ออกมา “กระหม่อมรู้ สักวันฝ่าบาทต้องขึ้นเป็นพระราชาแห่งอาณาจักร ฝ่าบาทต้องเสกสมรสสตรีที่เหมาะสมเพื่อมาเป็นพระราชินี กระหม่อมควรจะยินดี แต่... แต่กระหม่อมไม่อาจยอมรับ... ไม่อาจยอมรับความจริงที่ว่าเมื่อถึงวันนั้นกระหม่อมจะไม่ใช่คนใกล้ชิดที่สุดของฝ่าบาทอีก”

“บ้าจริง” เจ้าชายคราง “เจ้าสาปข้าเพราะได้ยินเรื่องที่ข้าเปรยว่าพระบิดาอยากให้ข้าแต่งกับเจ้าหญิงจากอาณาจักรประจิมหรือ”

แบรนดอนผงกศีรษะ “กระหม่อมได้หลอกล่อฝ่าบาทให้สัมผัสตราจอมเวทที่อยู่ในกล่อง ด้วยหวังว่าจะช่วยทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนใจ กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ฝ่าบาทได้รับสภาพเช่นนี้เลย”

“เจ้าได้ตราจอมเวทนั่นมาจากไหน” ไอดิเอลถามแทรกขึ้น แบรนดอนจึงตอบเขา

“ท่านเวโรนิกาได้กรุณาให้ไว้ สมัยเด็กข้าชอบไปเล่นที่ตำหนักของนาง”

“เวร นั่นเป็นตราของเวโรนิกาหรือ”

“นางบอกว่าสักวันข้าอาจจะต้องใช้มันเพื่อปกป้องคนสำคัญ” เขาร้องไห้อีก “ข้าไม่รู้เลยว่ามันจะส่งผลแบบนี้”

ได้ยินเสียงไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “ข้าล่ะอยากให้นางอยู่นี่ด้วยจริงๆ เชียว”

“ทำไมตราจอมเวทถึงได้กลายเป็นตราแห่งคำสาปได้” เจ้าชายบัลดริกซ์หันมาถาม “หรือว่าเวโรนิกามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย”

“ข้ารับรองกับท่านได้เลยว่านางให้ไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจล้วนๆ” ไอดิเอลว่า “ตราจอมเวทเป็นสัญลักษณ์ทางเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนพลังจิตของคนธรรมดาให้กลายเป็นเวทมนตร์ หรือว่าคำสาปก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนที่ใช้มันในตอนนั้น ข้าเดาว่าตอนที่แบรนดอนให้ท่านสัมผัสตรา จิตของเขาคงเต็มไปด้วยความหึงหวงรุนแรงจนทำให้ดวงตราแปรพลังงานออกมาเป็นคำสาป ทำให้ท่านมีสภาพที่ไม่อาจออกไปพบใครที่ไหนได้”

“ให้ตายเถอะ” เจ้าชายบ่น “ที่ข้าต้องเป็นแบบนี้เพราะความหึงหวงของเจ้าหรือเนี่ย”

“หึงหวงเนี่ยนะ” คาริกร้องออกมา “พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ไม่ใช่หรือ”

ไอดิเอลยักไหล่ “ทำไม เจ้าคิดว่าคำว่าหึงหวงใช้กับผู้ชายสองคนไม่ได้หรือไง”

“เอ่อ...”

“จริงๆ แล้วข้าค่อนข้างแน่ใจว่าแบรนดอนเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้หรอก เขาคงไม่รู้ตัวจริงๆ อีกอย่างเพราะผลจากตราจอมเวท ถึงเขาอยากจะถอนคำสาปก็ใช่ว่าจะถอนได้ง่ายๆ”

“ท่านต้องช่วยฝ่าบาทเรื่องนี้นะ” แบรนดอนพูดทั้งน้ำตา “ในเมื่อท่านรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ได้โปรดช่วยเหลือฝ่าบาทด้วยเถอะ”

“แม้ว่าเจ้าจะต้องได้รับทัณฑ์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอย่างนั้นหรือ” ไอดิเอลย้อน “คำสาปที่ข้าถอนออกมา จะย้อนคืนสู่ตัวเจ้าด้วยความรุนแรงเป็นทวีคูณ ในเมื่อเจ้าไม่ใช่จอมเวทก็ย่อมจะปัดป้องหรือทำลายคำสาปไม่ได้ บอกไว้ก่อนนะว่าคำสาปเมื่อย้อนสู่ตัวเจ้าของแล้ว ไม่มีใครถอนได้ ไม่มีใครแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว”

“ไม่เป็นไร นั่นคือสิ่งที่ข้าสมควรได้รับอยู่แล้ว” แบรนดอนว่า เจ้าชายบัลดริกซ์พูดขึ้นมา

“ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ปล่อยให้ข้าเป็นแบบนี้ต่อไปดีกว่า”

ไอดิเอลเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ขณะที่แบรนดอนละล่ำละลัก “ทำไมล่ะฝ่าบาท”

“ก็ถ้าเจ้าเกิดป่วยแบบข้า ใครจะดูแลเจ้าล่ะ ข้าเป็นแบบนี้ยังมีเจ้าคอยดูแลนี่นา จะให้ข้าดูแลเจ้าก็คงจะทำงานสู้เจ้าไม่ได้ล่ะนะ”

แบรนดอนอึ้งไปพัก ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำตานองหน้า “ฝ่าบาทไม่ทรงเกลียดกระหม่อมหรือ กระหม่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝ่าบาทต้องมีสภาพเช่นนี้นะ”

เจ้าชายบัลดริกซ์ย่อตัวลงนั่งตรงหน้าฝ่ายนั้น แล้วพูดเสียงอ่อนโยน

“ก็เจ้าไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่หรือ อีกอย่าง ข้ามีสภาพแบบนี้ ก็มีแต่เจ้าที่คอยดูแล ข้าจะเกลียดเจ้าลงได้อย่างไร”

“แต่ฝ่าบาท... พระองค์จะอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ได้ พระองค์เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง”

“แล้วอย่างไร ข้าหายไปตอนนี้กับเจ้าเลยก็ได้ ถ้าเจ้ายินดีจะดูแลคนที่เนื้อเน่าไปทั้งตัวอย่างข้า”

อีกฝ่ายอึ้งไปครู่ใหญ่ น้ำตารินไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ไอดิเอลพูดขึ้นมา

“ข้าก็ไม่ได้ขัดจังหวะที่พวกเจ้ากำลังซึ้งหรอกนะ แต่พวกเจ้าจะอยู่กันยังไง เจ้าชายสภาพเป็นแบบนี้ถ้าหายตัวไปยังไงก็ต้องถูกขับออกจากตำแหน่งรัชทายาท ส่วนแบรนดอน เจ้าเองไหนจะต้องดูแลเขา ไหนจะต้องทำมาหากินเลี้ยงเขาอีก ข้าว่าเป็นเจ้าชายน่าจะใช้จ่ายเงินไม่น้อยนะ”

“....”

“คิดให้ดีๆ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วกัน อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

เจ้าชายบัลดริกซ์หันมามองเขา “ท่านไอดิเอล ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากให้แบรนดอนต้องรับผลคำสาปนี้แทน ในเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจ ท่านไม่มีวิธีอื่นจะช่วยเขาเลยหรือ”

“ไอ้มีน่ะมีหรอก” ไอดิเอลว่า ได้ยินเสียงคาริกพึมพำขึ้นมาอย่างหมั่นไส้

“ถ้ามีทำไมท่านไม่รีบพูดออกมาแต่แรกล่ะ”

จอมเวททำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดสืบต่อ “ในเมื่อคำสาปนี้เกิดมาจากจิตใจหึงหวงของแบรนดอน ถึงเขาจะไม่สามารถถอนคำสาปเองได้ แต่หากแบรนดอนเอาชนะความหึงหวงของเขาได้ ถ้าเขามีความตั้งใจอยากจะให้ท่านพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่มากกว่าจะเหนี่ยวรั้งท่านเอาไว้กับตัว เขาอาจจะเอาชนะคำสาปของตัวเองได้เช่นกัน”

เจ้าชายหันไปหาคนสนิททันที “แบรนด์ เจ้าว่าไง”

แบรนดอนสั่นศีรษะ “กระหม่อมไม่มีความมั่นใจเลย”

“เจ้าอยากให้ข้าเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือ”

เขาสั่นศีรษะ “เพราะงั้นท่านปล่อยให้ข้ารับกรรมที่ข้าก่อไว้เถอะ”

“เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมข้าถึงทนอยู่มาได้ตั้งสามเดือนโดยไม่พูดถึงเรื่องฆ่าตัวตายเลย”

“....”

“นั่นเพราะข้าตั้งใจมีชีวิตเพื่อเจ้า แค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น ข้ารู้ว่าถ้าข้าตาย เจ้าต้องตายตามข้าแน่ เพราะอย่างนั้นข้าถึงไม่ยอมตายยังไงล่ะ แบรนด์ เจ้าคือเหตุผลที่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่นะ ข้าให้ความสำคัญกับเจ้าขนาดนี้ เจ้ายังคิดว่าข้าจะให้ความสำคัญกับคนอื่นได้เท่าเจ้าอีกหรือ”

แบรนดอนร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ฝ่าบาท... กระหม่อม... กระหม่อม...”

เจ้าชายใช้สองมือประคองใบหน้าของคนสนิทไว้ “เจ้าไม่ต้องใช้คำสาปให้เสียเวลาเลย ไม่ว่าอย่างไรคนสำคัญที่สุดในใจข้าคือเจ้าตลอดมา และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล”

แบรนดอนผงกศีรษะ น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย เขาจับมือของเจ้าชายไว้ แล้วกล่าวเสียงเครือ “ข้ารู้... ข้ารู้...”

ไอดิเอลส่งเสียงขัดขึ้นมา “ว่าไง เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง ข้ายังมีธุระต้องรีบไปทำอีกนะ ไม่ว่างมาฟังพวกเจ้าพิรี้พิไรกันทั้งวันหรอก”

แบรนดอนยกมือขึ้นปาดน้ำตา เขาผงกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก “ข้าจะสู้กับคำสาปนี้เอง เพื่อฝ่าบาท”

“ดี” ไอดิเอลว่า “งั้นข้าจะอธิบายวิธีการคร่าวๆ ให้ฟัง หลังจากที่ข้าร่ายเวทดึงคำสาปออกมา มันจะพุ่งเข้าหาเจ้า เจ้ามีเวลาเสี้ยววินาทีนั้น ใช้กริชนี่แทงเข้าไปที่หัวใจของมัน”

เขาหยิบกริชอันเล็กๆ ที่ทำจากทองคำยื่นให้ “ถ้าเจ้าทำสำเร็จ คำสาปจะถูกทำลาย แต่ถ้าไม่ คำสาปจะย้อนคืนและไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก เจ้าคิดว่าทำได้มั้ย”

ฝ่ายนั้นพยักหน้า “ได้”

ไอดิเอลมองเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วคลี่ยิ้ม “ดีมาก เอาล่ะ พวกเราออกไปข้างนอกกัน ยังไงก็ต้องมีระยะระหว่างเจ้ากับคำสาปบ้าง”

ทั้งหมดจึงออกมานอกกระโจม พออยู่ในแสงแดด สภาพของเจ้าชายบัลดริกซ์ดูแย่ยิ่งกว่าที่คาริกคิดเอาไว้เสียอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูดีใจที่ได้ออกมาข้างนอก

“อา... แสงแดด ข้าไม่ได้ออกมากลางแจ้งแบบนี้สามเดือนแล้ว”

ไอดิเอลพูดขึ้น “เจ้าชาย ถึงแม้นี่จะเป็นกุญแจถูกดอก แต่ความเจ็บปวดขณะถอนคำสาปต้องเกิดขึ้นแน่ ขอให้ท่านเตรียมตัวเตรียมใจด้วย”

“อืม”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่9 (30/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-07-2021 11:13:03
“คาริก” เขาหันไปหาชายหนุ่ม “เจ้าคอยดูแบรนดอนไว้ ช่วยเขาเท่าที่ทำได้ แต่ห้ามทำอะไรโง่ๆ อย่างเข้าไปขวางระหว่างเขากับคำสาปเด็ดขาด”

“ตกลง” คาริกพยักหน้า “คิดว่าจะไม่มีบทให้ข้าแล้วนะเนี่ย แล้วโอเรนล่ะ”

“ข้าจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง” โอเรนว่า “อย่างน้อยๆ ข้าจะคอยดึงสติเจ้าไว้ไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ อย่างที่ท่านไอดิเอลกังวล”

“ชิ เจ้ากระรอกนี่”

“เอาล่ะ ถอยออกไปไกลๆ อย่าเข้าใกล้ม้า ข้าไม่อยากให้พวกมันถูกลูกหลง”

คาริกเลยพาแบรนดอนเดินออกไปอีกทาง ห่างไปราวๆ สิบเมตร ก่อนจะตะโกนกลับมา “แค่นี้ไกลพอหรือยัง”

“ได้แล้ว อย่าลืมนะ ตั้งสติให้ดีๆ ต้องแทงให้ตรงหัวใจของมันเท่านั้น”

“ว่าแต่หัวใจของคำสาปเป็นยังไงเนี่ย” คาริกตะโกนถามกลับ ไอดิเอลจึงตอบเขา

“เดี๋ยวพวกเจ้าเห็นก็รู้เองนั่นแหละ”

จอมเวทหันไปหาเจ้าชาย “ท่านพร้อมนะ”

“อืม ข้าพร้อมแล้ว”

ไอดิเอลยกไม้เท้าขึ้น ร่ายเวทมนตร์ด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำเป็นกังวาน ไอควันสีดำเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ ร่างกายของเจ้าชายบัลดริกซ์ ราวกับว่าผิวหนังโดยรอบของเขาระเหยออกมา เจ้าชายขบกรามด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกเหมือนถูกถลกหนังออก กลุ่มควันเกาะกลุ่มหนาแน่นขึ้น จนกลายเป็นเงาร่างสีดำทะมึนห่อหุ้มตัวของเจ้าชายเอาไว้ ไอดิเอลยังคงร่ายเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง

“ข้ารู้เจ้าคือความหึงหวง บ่วงพันธนาการของเจ้าหาได้แน่นหนา เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าเป็นเพียงภาพมายา ทิศใดที่เจ้ามาจงกลับไป”

บังเกิดเสียงกรีดร้องดังเสียดแก้วหู กลุ่มควันสีดำลอยพ้นขึ้นมาจากร่างของเจ้าชาย ก่อให้เกิดลมพายุที่หอบเอาเศษใบไม้ขึ้นมาบดบังท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นเงาร่างขนาดใหญ่กระโจนเข้าใส่แบรนดอนทันที เจ้าตัวตระหนกจนหน้าซีดตัวสั่น แต่ยังคงกำกริชทองคำไว้ในมือแน่น

ต้องแทงที่หัวใจ แต่ว่า... ตรงไหนกันล่ะ

“คาริก มันเข้ามาแล้ว” โอเรนตะโกน ได้ยินเสียงชายหนุ่มตอบกลับ

“ข้าเห็นแล้วล่ะน่า แต่ไหนหัวใจของมันล่ะ”

“ตรงนั้นไง ก้อนสีดำที่เต้นอยู่ตรงใจกลาง โอ๊ย แย่แล้ว มันพุ่งมาเร็วมาก แบรนดอน เจ้าเล็งดีๆ นะ”

แบรนดอนแทงกริชออกไปสุดแรง ท่ามกลางพายุที่โหมพัดเข้ามา แต่เขาพลาดตำแหน่งหัวใจไปนิดเดียว คำสาปพุ่งเข้าใส่ร่างเขาทันที

“ไม่อยากจะเชื่อ” ไอดิเอลถึงกับอุทานออกมา คำสาปกำลังจะพุ่งเข้าใส่ร่างแบรนดอนอยู่ชัดๆ แต่กลับถูกหยุดเอาไว้

“ข้าจับเอาไว้ได้แล้ว” คาริกพูด เขาใช้มือข้างหนึ่งคว้าส่วนที่คล้ายกับลำคอของคำสาปเอาไว้ ส่วนที่เป็นหัวใจเต้นตุบๆ อยู่เหนือศีรษะของแบรนดอนไม่กี่นิ้ว ชายหนุ่มรีบใช้กริชแทงซ้ำอีกครั้งทันที และคราวนี้เขาไม่พลาด

เสียงกึกก้องเหมือนพสุธากัมปนาทดังขึ้น แรงปะทะกระแทกทั้งคาริกและแบรนดอนกระเด็นออกไปคนละทาง หมอกสีดำระเบิดออกแล้วจางหายไปในห้วงอากาศ ทิ้งไว้เพียงเศษใบไม้และฝุ่นดินที่ทยอยร่วงลงสู่พื้น

“แค่ก” คาริกตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นดิน เขาถ่มเศษใบไม้ออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นคลำศีรษะ

“ข้ายังอยู่” โอเรนว่า ก่อนจะสะบัดตัวไล่เศษดินที่เกาะอยู่ตามขนออก “เจ้าเป็นไงบ้าง”

“จุก” คาริกพูดก่อนจะส่งเสียงอูย พอมองไปก็เห็นแบรนดอนนอนกองอยู่

“หมอนั่นจะตายไหม”

“ไม่รู้สิ” คาริกตอบ “เราเข้าไปดูกันดีกว่า”

แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้า ใครอีกคนก็วิ่งเข้ามาประคองร่างของเขาขึ้น เจ้าชายบัลดริกซ์นั่นเอง

“แบรนด์ เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ตอบข้าสิ... เจ้าลืมตาสิ”

เจ้าชายเรียกเขาพลางเขย่าอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับมา “ฝ่าบาท... เบาหน่อย... กระหม่อมจุก”

เจ้าชายยิ้มทั้งน้ำตา แบรนดอนยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขา “พระองค์หายเป็นปกติแล้ว”

ฝ่ายนั้นพยักหน้า “ใช่ เพราะเจ้าแท้ๆ เชียว”

แบรนดอนยิ้ม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรตอบ ก็ถูกเจ้าชายดึงเข้าไปจูบ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคาริกและโอเรน ไอดิเอลที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายกระแอมไอขึ้น

“ไม่ได้อยากจะขัดจังหวะดีๆ นี่หรอกนะ แต่ไหนกริชของข้าล่ะ”

สองคนผละออกจากกันทันที แบรนดอนหน้าแดง ขณะที่เจ้าชายบัลดริกซ์เกาศีรษะด้วยความกระอักกระอวน เขาพูดแก้เขิน “ท่านถามถึงกริชหรือ”

“ใช่ กริชนั่นทำจากทองคำลงยาเชียวนะ หามาคืนข้าเร็วเข้า”

คาริกทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่ก็ถูกไอดิเอลหันมาสั่ง “เจ้าก็ด้วย ยืนบื้อหาอะไรอยู่ กริชนั่นไม่ใช่ของถูกๆ นะ ไปหามาเดี๋ยวนี้”

ทั้งสามคนรวมถึงเจ้าชายเลยต้องสาละวนหากริชที่อาจจะกระเด็นไปหล่นที่ไหนสักแห่งท่ามกลางกองดินและเศษใบไม้ ในที่สุดคาริกก็ขุดมันขึ้นมาจากพื้นดิน ห่างจากจุดที่เขากับแบรนดอนอยู่ตอนแรกประมาณห้าหกเมตร

“มันกระเด็นไปฝังดินอยู่ไกลขนาดนั้นได้ไง” เจ้าชายถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “แบรนดอนเป็นคนถือไม่ใช่หรือ”

“กระหม่อมทำหลุดมือตอนถูกกระแทก” อีกฝ่ายตอบ คาริกเลยพูดขึ้นมา

“ที่จริงแล้วข้าหาเจอเพราะโอเรนเป็นคนบอก”

“อือ” เจ้ามังกรพยักหน้า “กลิ่นพลังงานจากกริชนี่รุนแรงมาก เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่หลุดออกมาจากตัวท่านไอดิเอลเลยล่ะ”

“มันมีตราจอมเวท พลังงานย่อมต้องรุนแรงกว่าของปกติอยู่แล้ว” ไอดิเอลว่า คาริกรีบเอามาพลิกดูทันที

“ไหนขอดูตราจอมเวทท่านหน่อย หน้าตายังไงเนี่ย”

“รูปครึ่งวงกลมมีขีดตรงกลางนั่นไง”

“หา... ง่ายๆ แค่นี้เนี่ยนะ”

“ใช่” ไอดิเอลตอบ “ส่งคืนให้ข้าได้แล้ว”

คาริกส่งกริชเล่มนั้นคืนให้ แล้วพูดต่อ “ง่ายขนาดนี้ข้าเขียนเองยังได้เลย”

“เจ้าเขียนเองมันก็เป็นแค่รูปครึ่งวงกลมมีขีดน่ะ” ไอดิเอลว่า เจ้าชายบัลดริกซ์และแบรนดอนเดินเข้ามา

“ท่านไอดิเอล เรื่องทั้งหมดนี้จบลงได้เพราะท่านแท้ๆ ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนตามที่สัญญาไว้ เชิญท่านบอกสิ่งที่ต้องการมาได้เลย”

ไอดิเอลยิ้ม “เรื่องนี้จบลงได้ดีแบบนี้ย่อมไม่ใช่เพราะข้าเพียงคนเดียวแน่ ท่านยังต้องขอบคุณแบรนดอน แม้เขาจะเป็นต้นเหตุของเรื่อง แต่เขาก็ทำทุกอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือท่าน คนที่เอาชนะความหึงหวงของตัวเองได้ข้าคิดว่าคงมีไม่มากนักหรอก”

แบรนดอนหน้าแดง “ที่จริงแล้วข้าควรจะได้รับโทษด้วยซ้ำ”

เจ้าชายผงกศีรษะ “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องเขาไป อย่างไรแบรนดอนก็เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตข้า เรื่องการแต่งงานยังอยู่ในขั้นตอนของผู้ใหญ่ แต่อย่างไรข้าจะต้องปฏิเสธแน่นอน”

“ไม่ได้นะฝ่าบาท” แบรนดอนพูดขึ้น “หากพระองค์ปฏิเสธอาจจะมีผลเสียต่ออาณาจักร”

“แต่ถ้าข้ารับปากก็จะทำร้ายจิตใจของเจ้า ข้าทำไม่ได้หรอก”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ฝ่าบาท ความหึงหวงของกระหม่อมทำให้พระองค์ต้องรับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส กระหม่อมเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่สิ่งดี ที่สำคัญ ตอนนี้กระหม่อมได้ทราบความในใจของพระองค์แล้ว กระหม่อมต้องไม่บังเกิดความหึงหวงอีกแน่นอน”

“ถึงอย่างนั้นการจะรับปากแต่งงานหรือไม่มันก็เป็นดุลยพินิจของข้าอยู่ดี” เจ้าชายว่า เขาหันกลับไปหาไอดิเอลอีกครั้ง

“สิ่งที่ท่านปรารถนาเล่า”

“ที่จริงแล้วข้าอยากได้ม้าด่างของท่าน” ไอดิเอลพูด “มันดูเหมาะกับผู้ช่วยของข้า อย่างน้อยๆ มันก็เป็นม้าที่มีฝีเท้าใกล้เคียงกับอัลบุส แต่ดูท่าตอนนี้คงไม่ได้ล่ะมั้ง”

เจ้าชายเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะ ท่านต้องการแค่ม้าเท่านั้นเองหรือ”

“บอกตามตรง พอแบรนดอนเล่าให้ข้าฟังระหว่างคุยว่าเขาเร่งติดตามข้ามาจากทริโกเนีย ข้าก็เดาได้ว่านอกจากม้าขาวขนยาวแล้วก็มีแค่ม้าด่างจากที่ราบออสซุมเท่านั้นที่มีฝีเท้าไวขนาดนี้ และเมื่อเห็นพลังงานดำมืดที่อยู่ด้านหลัง รวมถึงคำบอกเล่าที่ว่าเจ้านายของเขากำลังป่วยเป็นโรคประหลาด ข้าก็เดาว่าต้นเหตุคงมาจากเขาอย่างไม่ต้องสงสัย โอกาสที่จะเป็นโรคซึ่งเกิดจากคำสาปนั้นมีสูง ถ้าข้าถอนคำสาปสำเร็จ เขาก็ต้องต้าย ถ้าข้าถอนคำสาปไม่สำเร็จ ท่านก็ต้องตาย ไม่ว่าทางไหนต้องมีม้าว่างหนึ่งตัวแน่นอน นั่นคือเหตุผลที่ข้าตกลงตามเขามา”

“ท่านมาเพราะเรื่องม้าแค่นี้หรือเนี่ย” คราวนี้คนที่ออกอาการประหลาดใจคือคาริก อีกฝ่ายพยักหน้า

“ถ้าไม่ใช่เรื่องม้า คิดว่าข้าจะยอมเสียเวลาอยู่นี่หรือ ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้เดือดร้อนเงิน ที่ทำให้ข้าเดือดร้อนจริงๆ ตอนนี้คือการที่เจ้าไม่มีม้าดีๆ นี่แหละ แล้วนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เงินหาซื้อได้ในเมืองเล็กๆ แบบนี้ด้วย”

“....”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ ทั้งคาริก เจ้าชาย และแบรนดอนต่างมองหน้ากันไปมา ในที่สุดเจ้าชายก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น

“ท่านไอดิเอล ถ้าท่านต้องการม้า ท่านก็เลือกเอาเถิด ถึงข้างกับแบรนดอนจะไม่มีใครตายทั้งคู่ แต่ม้าหนึ่งตัว ข้าให้ท่านได้แน่นอน”

“ไม่ได้” ไอดิเอลว่า “ดูรถม้าคันนั้นของท่านสิ ถ้าใช้มาตัวเดียวเทียมไป มันต้องเป็นเรื่องโหดร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยแน่นอน หรือท่านจะทิ้งรถม้าไว้ แล้วนั่งม้าไปกับแบรนดอน ผู้ชายสองคนกับม้าหนึ่งตัว มันก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายไม่เข้าท่าอยู่ดี”

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง คาริกคันปากอยากจะพูดขึ้นมาจริงเชียวว่าตกลงแล้วไอดิเอลจะเอายังไงกันแน่ แต่แล้วเจ้าชายก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญท่านเดินทางไปด้วยกันกับเรา ได้ยินว่าท่านจะไปที่ทริโกเนีย ยังไงข้ากับแบรนดอนก็ต้องเดินทางกลับไปที่นั่นอยู่แล้ว”

“แบบนั้นก็ฟังดูเข้าท่า” ไอดิเอลว่า “เดินทางกับเจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่ง... อย่างน้อยๆ ถึงเจ้าคาริกจะพูดมาก แต่ต้องไม่กล้าถามทุกเรื่องกับท่านอย่างแน่นอน ข้าขี่อัลบุสเกาะขบวนไป แบบนี้ต้องสบายหูไปอย่างน้อยๆ สามวันกว่าจะถึงทริโกเนีย จัดว่าเป็นทางออกที่ดี”

“สรุปแล้วใจความของเรื่องคือท่านรำคาญข้าสินะ” คาริกพูดขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ ไอดิเอลพยักหน้า

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เจ้าไม่ได้รู้อยู่แต่แรกหรือ”

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ไอ้รู้น่ะรู้อยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าท่านลงทุนทำเรื่องอลังการขนาดนี้แค่เพราะอยากตัดรำคาญน่ะสิ”

“เอาละๆ” เจ้าชายพูดตัดบทขึ้นมา “ในเมื่อท่านไอดิเอลไม่ขัดข้อง และข้าก็คิดว่าเดินทางหลายคนต้องสนุกกว่าเดินทางสองคนแน่ๆ พวกเจ้าก็ช่วยแบรนด์เก็บกระโจมเถอะ เราจะได้ออกเดินทางกัน”

........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่9 (30/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-07-2021 20:03:21
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่9 (30/7/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 31-07-2021 21:52:48
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่10 P2) (ุ6/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-08-2021 10:11:18
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่10 ไล่ผี


ทั้งหมดออกเดินทางจากคีท เจ้าชายบัลดริกซ์พอเอาผ้าพันแผลออกหมดแล้วก็พบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ทั้งรูปหน้าที่ได้สัดส่วน ผมสีน้ำตาลหยิกเป็นลอน และดวงตาสีเทาเป็นประกายสดใส รูปร่างของเขาแม้ไม่สูงใหญ่เท่าคาริก แต่ก็ดูแข็งแรงกำยำเหมือนคนที่ฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำ ขณะที่แบรนดอนแม้จะหน้าตาธรรมดา แต่ร่างกายของเขาก็ดูแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้เป็นนาย โอเรนที่มองอยู่นานเลยพูดขึ้น

“นี่ พวกท่านสองคนดูแข็งแรงมากนะ ข้าคิดว่ามีแต่พวกใช้แรงงานอย่างคาริกเสียอีกที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แบบนี้”

“ข้าเป็นนักดาบนะ” คาริกว่า “ไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน”

“อ้อ ข้าฝึกฝนร่างกายอยู่ตลอดน่ะ” เจ้าชายบัลดริกซ์ว่า เขาเป็นคนหนุ่ม อายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ พอๆ กับแบรนดอนคนสนิทของเขา “ส่วนแบรนดอนเป็นคู่ซ้อมให้ข้า เขาก็เลยมีกล้ามเนื้อสวยๆ เหมือนกัน”

“อืม... ผิดคาดของข้าเหมือนกันนะเนี่ย” คาริกว่า “คิดว่าคนในวังจะรูปร่างบอบบางเพราะไม่ออกแรงกันเสียอีก”

“ยังไงพวกเราก็เป็นสายเลือดนักรบนะ” เจ้าชายว่า “บรรพบุรุษของข้าต่อสู้เพื่อสร้างแผ่นดินมา แม้ตอนนี้สถานการณ์โดยรอบจะสงบ แต่เราละเลยการฝึกยุทธ์ไม่ได้หรอก”

“ท่านฝึกอะไร”

“ดาบคู่” เจ้าชายตอบ “ที่จริงข้าก็ชอบดาบยาวเหมือนที่เจ้าใช้นะ แต่พอลองแล้วถนัดดาบคู่มากกว่า”

“อยากลองประดาบกับท่านจริงแฮะ ปกติเวลาว่างๆ ตอนอยู่สมาคม ข้าก็ประลองกับสมาชิกคนอื่นนะ”

“เอาสิ เดี๋ยวตอนเราแวะพักค่อยมาลองกัน ข้าเอาดาบมาด้วยนะ เผื่อว่ามีอะไรระหว่างทางจะได้ป้องกันตัวได้”

“แล้วท่านไอดิเอลล่ะครับ” แบรนดอนถามขึ้น “ท่านเป็นนักล่าค่าหัวนี่นา นอกจากเวทมนตร์แล้วท่านใช้อาวุธอื่นรึเปล่า”

“จริงด้วย” คาริกพูดขึ้นต่อ “มาร์คัสบอกว่าท่านเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว โดยเฉพาะดาบกับทวน จริงรึเปล่า”

“ก็พอได้” ไอดิเอลว่า “คิดว่าพอจะสอนเจ้าได้อยู่ล่ะนะ”

“อยากเห็นฝีมือของท่านเลยแฮะ” เจ้าชายว่า “ปกติแล้วเวลาออกไปล่า ท่านลงมือเองคนเดียวตลอดเลยใช่ไหม”

“เปล่า บางทีข้าก็ไปหาผู้ช่วยเอาหน้างานน่ะ” ไอดิเอลตอบ “ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงออกมานั่งสลอนกันอยู่ตรงนี้”

ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางกันอยู่ ไอดิเอลขี่อัลบุสอยู่ข้างๆ ส่วนแบรนดอนเป็นคนขับรถม้า ทว่าเจ้าชายกับคาริกแทนที่จะอยู่ในรถกลับออกมานั่งกินลมอยู่ด้านหลังคนขับ ดังนั้นตอนนี้เลยไม่มีใครอยู่ในรถม้าสักคน

“ข้านั่งรถม้ามาตลอดทางแล้ว” เจ้าชายตอบ “อยากจะสูดอากาศบ้าง”

“ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะนั่งอยู่ในรถม้าคนเดียวโดยที่ไม่มีเจ้าของรถนั่งอยู่ด้วยหรอกนะ” คาริกว่า “ดูก็รู้ว่ามันไม่มีมารยาท”

“ข้าว่านะ” โอเรนพูดขึ้นมา “อีกไม่นานท่านไอดิเอลจะต้องสาปพวกเราให้เป็นใบ้ไปสักคนแน่ๆ”

เจ้าชายถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านไอดิเอลขี้รำคาญขนาดนั้นเลยหรือ”

ได้ยินเสียงไอดิเอลถอนหายใจ “ถ้าพวกเจ้าคุยกันเองโดยไม่ลากข้าไปเป็นประเด็ดที่สุดท้ายแล้วข้าจะต้องตอบคำถามโดยไม่มีวันจบสิ้นเนี่ย มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฟังพวกเจ้าคุยกันก็เพลินดี”

“อ้อ...”

“แต่เรื่องของท่านมันน่าสนใจนี่นา” เจ้าชายบัลดริกซ์ว่า “เวโรนิกายังชอบเล่าเรื่องให้ฟังเป็นวันๆ เลย เหมือนพวกท่านจะผ่านอะไรมาเยอะมากๆ ชนิดที่เล่ายังไงก็เล่าไม่หมด”

“เออ แต่ใช่ว่าข้าอยากจะเล่าตลอดเวลาสักหน่อย”

“นี่ๆ” โอเรนพูดขึ้นมา “ไหนๆ ตะกี้พวกเขาก็คุยกันเรื่องดาบแล้ว ท่านสอนข้าใช้เวทมนตร์บ้างสิ อย่างข้าคงจะจับดาบอะไรแบบคาริกไม่ได้แน่”

“เรื่องนั้นข้าก็คิดอยู่นะ” ไอดิเอลว่า “สอนเจ้าให้ใช้เวทมนตร์ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก ยังไงมันก็เป็นสิ่งที่สืบทอดมาในสายเลือดอยู่แล้ว”

“จริงสิ พวกท่านเจอกันได้ไง” เจ้าชายถามต่อ “ทั้งคาริก ทั้งโอเรน เป็นคนที่ข้าไม่คิดว่าจะได้พบพร้อมกับท่านเลยนะ”

“คาริก เจ้าเล่าซิ”

“หา ข้าหรือ”

“ใช่ เจ้านั่นแหละ อยู่ตรงนั้นอยู่แล้วก็เล่าสิ”

คาริกเลยเล่าเรื่องที่เขาเจอกับไอดิเอลให้ทั้งคู่ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์ด้วย พอฟังจบเจ้าชายก็อุทานออกมา

“มีเรื่องแย่ๆ แบบนั้นเกิดขึ้นด้วย ไม่ได้การ กลับไปข้าต้องบอกพระบิดาให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ท่านว่า... เรื่องนี้จะมีจอมเวทเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า”

“ข้ามีอยู่สองรายชื่อ” ไอดิเอลว่า “ชื่อหนึ่งเป็นจอมเวท อีกชื่อเป็นคนธรรมดา ข้าจะให้ชื่อคนหลังกับท่าน”

“แล้วจอมเวทล่ะ”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “มันเป็นเรื่องภายใน และนี่เป็นความสงสัยของข้าคนเดียว ท่านรู้ไปก็รังแต่จะทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเปล่าๆ อย่าลืมว่าจอมเวทสิบหกคน หกคนเป็นจอมเวทประจำอยู่ตามอาณาจักรต่างๆ ส่วนที่เหลือก็ล้วนแต่เคยรับตำแหน่งสำคัญระดับสูงทั้งนั้น เรื่องนี้ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด ข้าพูดให้ท่านฟังไม่ได้หรอก”

“อืม... ข้าพอเข้าใจเหตุผลของท่านแล้ว ยังไงเรื่องนี้พวกท่านคงต้องตรวจสอบกันเองก่อนสินะ”

“ใช่ ดังนั้นข้าจะให้ชื่ออีกคนกับท่าน เพราะเขาเป็นคนธรรมดา ท่านน่าจะพอตรวจสอบได้”

“อืม ได้ ท่านบอกมาเถอะ”

“วัลคอต” ไอดิเอลว่า “ข้าได้ยินว่าเขาเป็นนักวิจัยเครื่องกล”

“อืม... ข้าจะให้คนไปสืบดู ท่านบอกเวโรนิกาเรื่องนี้หรือยัง”

“ยัง ข้านัดพบนางที่นครเวหา”

“อ้อ ท่านจะไปที่ทริโกเนียเพื่อต่อเรือเหาะไปที่นครเวหาสินะ อย่างนั้นเอาแบบนี้สิ พอถึงทริโกเนียท่านก็ติดเรือเหาะข้าไปที่อาเปสก่อน เจอเวโรนิกาแล้วค่อยไปที่นครเวหาต่อ ยังไงเสียข้าก็ยังติดหนี้ท่านอยู่เรื่องถอนคำสาป แค่ติดรถม้ายังไม่ถือว่าข้าจ่ายค่าตอบแทนแล้วหรอกนะ”

“ข้าต้องเอาเรื่องอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปแจ้งที่สภากลางก่อน” ไอดิเอลว่า “ส่วนอาเปสข้าอาจจะแวะหลังจากนั้น เพราะเจ้าคาริกไม่เคยเข้าเมืองหลวงมาก่อน ต้องพาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”

“อย่างนั้นท่านก็กลับมาพร้อมเวโรนิกาเลย” เจ้าชายว่า “ให้ข้าได้เลี้ยงอาหารท่านเป็นการตอบแทนสักมื้อ”

“อืม ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องเลี้ยงอาหารแล้วกัน” ไอดิเอลว่า “แต่เรื่องกลับไปพร้อมเวโรนิกาข้าคงต้องขอปฏิเสธ ข้าอาจจะอยู่ที่นครเวหาต่อ ยังมีหลายเรื่องที่ข้าต้องทำที่นั่น”

“อ้อ... งั้นก็ตามแต่ท่านสะดวกเถิด” เจ้าชายพยักหน้า “แต่อย่างไรถ้าท่านมาถึงอาเปส ข้าขอเชิญท่านที่วัง ข้าจะสั่งทหารยามให้เตรียมพร้อมรับการมาของท่าน นอกจากอาหารแล้ว ข้ายังต้องรบกวนให้ท่านคิดราคาค่าใช้จ่ายเรื่องในครั้งนี้ด้วย”

“ราคาคือม้า” ไอดิเอลว่า “พอถึงทริโกเนีย ข้าจะขอม้าด่างของท่านตัวหนึ่งเป็นค่าตอบแทน”

“ท่านต้องการแค่ม้าจริงๆ”

“อืม... บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้เดือดร้อนเงินทอง ที่ข้าต้องการมีแค่ม้าของท่านเท่านั้น”

“ก็ได้ ในเมื่อท่านประสงค์อย่างนั้น ข้าก็จะไม่ขัด” เจ้าชายว่า “พอถึงทริโกเนีย ท่านจะได้ม้าด่างหนึ่งตัวตามที่ขอ พร้อมกับทองคำน้ำหนักเท่าน้ำหนักของม้า ส่วนหลังนี่คือสิ่งที่ข้ากำนัลให้ท่าน ไม่นับเป็นค่าตอบแทน”

“ทองคำเท่าน้ำหนักของม้าข้าคงพาไปด้วยไม่ได้แน่ๆ” ไอดิเอลว่า “ส่งเป็นจำนวนเงินเข้าบัญชีของข้าที่ธนาคารกลางนครเวหาดีกว่า”

“ตกลง”

..................................

ระยะทางระหว่างคีทถึงทริโกเนียนั้นโดยปกติแล้วใช้เวลาเดินทางราวห้าถึงเจ็ดวัน ถึงจะเป็นเส้นทางสัญจรหลักที่มีผู้คนสัญจรไม่น้อยต่อปี แต่ตลอดระยะทางกลับไม่มีเมืองตั้งอยู่อีก ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยป่าต้องห้าม จึงไม่เหมาะสมกับการตั้งเมือง อย่างไรก็ดี ในตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทางการได้ทำการบุกเบิกเส้นทางให้กว้างขวางขึ้น ปูถนนด้วยหินแกรนิต และมีจุดแวะพักที่ปลอดภัยรวมทั้งหมดสี่จุด แต่ละจุดจะมีอาคารขนาดใหญ่ซึ่งสร้างจากหินทรายสีแดง ลงอาคมป้องกันสัตว์ร้ายและภูติพรายต่างๆ

แม้ขบวนเดินทางของไอดิเอลจะออกจากคีทในเวลาค่อนบ่ายเข้าไปแล้ว แต่ก็ถึงจุดพักแรกในช่วงหัวค่ำพอดี ทั้งหมดเพราะพวกเขาได้ม้าฝีเท้าดีอย่างม้าด่างจากที่ราบออสซุมมาเทียมรถ จึงทำให้การเดินทางเร็วขึ้นกว่าขบวนปกติ

คาริกนั้นทำงานคุ้มกันมาหลายปี จึงคุ้นชินกับจุดพักพวกนี้ แต่โอเรนดูจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาร้องขึ้นด้วยความประทับใจ

“โอ้โห... นี่เป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ที่ใหญ่มากเลยนะ แถมยังเต็มไปด้วยพลังงานที่ซับซ้อน พวกเจ้านี่ไม่ธรรมดาเลย ดูน้ำพุกลางลานนั่นสิ”

อาคารที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาทำจากไม้ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ปากประตูทางเข้ากว้างขวาง พอที่จะให้รถม้าคันใหญ่แล่นเข้าไปพร้อมกันได้ถึงสี่คัน ด้านในประกอบด้วยลานกว้างขนาดใหญ่ ปูพื้นด้วยหินทราย ตรงกลางมีน้ำพุที่มีรูปสลักของเทพแห่งแสงตั้งประดิษฐานอยู่ ที่ฐานของน้ำพุมีช่องน้ำไหลไว้สำหรับผู้เดินทางแวะดื่มและกรอกน้ำใส่ภาชนะ น้ำที่ล้นออกมาจะไหลไปตามราง ลงสู่อ่างตรงบริเวณที่พักม้า และส่วนที่เหลือจากนั้นจะไหลไปสู่สวนด้านนอก พื้นที่อีกสามส่วนด้านข้างของลาน ถูกก่อสร้างเป็นห้องพักขนาดสามชั้น แต่ละห้องกว้างขวางพอจะให้คนสิบคนพร้อมสัมภาระเข้าไปนอนโดยไม่เบียด มีคบไฟขนาดใหญ่จุดให้แสงสว่าง ตรงด้านในสุดมีนาฬิกาขนาดใหญ่ใช้ระบบลานแบบตุ้มถ่วง ทุกสองชั่วโมงทหารยามจะผลัดกันมาหมุนรอกเพื่อไขลานให้นาฬิกายังคงเดินตรงเวลาอยู่

“บรรพบุรุษของข้าเลือกสร้างจุดพักพวกนี้ตามตาน้ำที่พวกเขาพบ” เจ้าชายบัลดริกซ์อธิบาย “โดยใช้หินที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้าง ที่นี่มีป้อมปราการเล็กๆ สำหรับให้ทหารที่คอยดูแลรักษาความสงบได้พักด้วย พอข้าได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว ก็ต้องยอมรับเลยนะว่าทหารพวกนี้จากบ้านมาไกลมาก”

แม้คณะเดินทางนี้จะมีขนาดเล็กมาก ประกอบด้วยสมาชิกเพียงสี่คน แต่เมื่อเข้ามาถึงในลานก็สามารถดึงความสนใจของคนทั้งหมดได้ทันที จุดสนใจไม่ใช่ใครอื่น เป็นไอดิเอลนั่นเอง

ทันทีที่เห็นจอมเวทเข้ามา หลายคนถึงกับหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ กระทั่งคนที่กำลังยืนกรอกน้ำยังลืมที่จะดึงถุงหนังที่มีน้ำเต็มแล้วออก เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง จากนั้นก็ดังขึ้นยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาเข้ามาเสียอีก

ยังไม่ทันที่ไอดิเอลจะได้ลงจากหลังม้าดี หญิงชราคนหนึ่งก็ตะลีตะลานเข้ามาหา “โอ ท่านจอมเวท ช่างเป็นโชคดีเหลือเกิน ราวกับเทพแห่งแสงมาโปรด ลูกสาวข้ากำลังท้องแก่ ท่านโปรดให้พรให้นางคลอดง่ายด้วยเถอะ”

“ลูกสาวท่านท้องที่เท่าไหร่แล้ว”

“ท้องแรกค่ะท่าน”

“อืม ท้องแรกย่อมมีความน่ากังวลเป็นธรรมดา ข้าจะไปให้พรนาง”

ยังไม่ทันขาดคำ ชายอีกคนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา “ท่านจอมเวท ลูกชายข้าป่วย โปรดช่วยด้วยเถอะ”

ในเวลาไม่นานก็มีผู้คนมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลังเขา เสียงร้องขอดังสับสนวุ่นวาย เพื่อนร่วมคณะเดินทางอีกสามคนที่เหลือถูกดันให้ต้องถอยออกมา ส่วนโอเรนพอเห็นสภาพดังนั้นก็ตัดสินใจว่าขอปลอมตัวเป็นหมวกแบบนี้ต่อไปจะดีกว่า

“เอาล่ะๆ” ไอดิเอลพูดเสียงดังพลางเคาะไม้เท้าลงบนพื้น ทันใดนั้นเสียงทุกอย่างก็เงียบลงทันที “ข้าจะไปให้พรหญิงท้องแก่ก่อน แล้วก็จะไปดูคนป่วย ส่วนพวกที่อยากฟังคำทำนายไปเตรียมมาคนละหนึ่งเหรียญทอง ข้าเสร็จธุระแล้วจะให้พวกเข้าถามคนละสิบห้านาที”

“อ้าก” เสียงเด็กชายคนหนึ่งร้องดังขึ้น เขาสะบัดงูสีดำที่เกาะอยู่ที่มือออก ฝูงชนแตกฮือทันที ไอดิเอลก้มลงหยิบงูตัวนั้น ขณะที่เด็กชายร้องเสียงลั่น

“มือข้า”

มือของเขาบวมเป่งและเริ่มกลายเป็นสีดำคล้ำน่ากลัว ไอดิเอลเหน็บงูตัวนั้นไว้ที่ผม ทันใดงูก็กลายสภาพเป็นที่ติดผมทองคำ เขาหันไปพูดกับคนโดยรอบ “นี่เป็นตัวอย่างของพวกมือไวที่คิดจะฉกของของคนอื่น คำสาปจะติดตามพวกเขาไปตลอดชีวิต”

“ท่านจอมเวทได้โปรดให้อภัยข้าด้วย” เด็กน้อยร้อง ไอดิเอลหันไปคลี่ยิ้ม

“เจ้ายังเด็ก โอกาสกลับตัวพอจะมี” เขาก้มลงใช้มือลูบมือของเด็กคนนั้น อาการผิดปกติพลันหายไปเหมือนถูกปัด เจ้าตัวพูดขึ้นเสียงเย็นๆ

“แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าลงมือขโมยของจากใครอีก คำสาปจะวกกลับมา ถึงตอนนั้นมือของเจ้าจะเน่า ร่างของเจ้าจะเปื่อย เจ้าจะตายอย่างทรมานแบบที่ใครก็ช่วยไม่ได้”

เจ้าเด็กคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว แล้ววิ่งหนีไปทันที ไอดิเอลหันมามองคนที่ยังอยู่

“เอาล่ะ อย่างที่ข้าบอกเมื่อครู่ พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายได้แล้ว”

“พนันได้เลยว่าต้องมีหลายคนอยากจะให้ของตัวเองมีคำสาปแบบนั้นบ้าง” คาริกพูดออกมา “พวกขโมยต้องกลัวจนหัวหดแน่ๆ”

“คาริก อย่ามัวแต่ยืนพูดอยู่” ไอดิเอลเรียกเขา “จูงอัลบุสไปกินน้ำ แล้วหาฟางหาหญ้าให้เขากินด้วย ทำหน้าที่ให้คุ้มกับค่าจ้างหน่อย”

“คร้าบ”

เขาหันไปหาเจ้าชายกับแบรนดอน “ส่วนพวกท่านสองคนเชิญตามสบาย”

เจ้าชายบัลดริกซ์พูดขึ้น “หากข้าขอตามท่านไปด้วยจะเป็นการรบกวนไหม ข้าอยากเห็นว่าท่านจัดการปัญหาพวกนั้นอย่างไร”

“เชิญ” ไอดิเอลว่า “แค่เชื่อฟังที่ข้าบอกก็พอ”

............................................

คาริกจูงอัลบุสไปกินน้ำ และเอาฟางใส่ไว้ในรางแล้ว ก็พาโอเรนออกไปด้านนอกเพื่อหาใบไม้กิน นอกจากทหารยามแล้ว ยังมีคนงานที่คอยดูแลความสะอาดและควบคุมความเรียบร้อยที่ทำงานประจำอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาคุ้นเคยกับชายหนุ่มเป็นอย่างดี พอเห็นสิ่งแปลกใหม่บนศีรษะต่างก็พากันเอ่ยทัก โอเรนจึงต้องทำตัวนิ่งๆ ให้สมฐานะกับความเป็นหมวก เพราะไม่อยากจะถูกรุมแบบไอดิเอล

แสงตะวันลับขอบฟ้าไปพักใหญ่แล้ว ด้านนอกมืดสนิท คาริกขอยืมคบไฟจากทหารยามโดยบอกเหตุผลว่าเขาอยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย เพราะขี่ม้ามาทั้งวันแล้ว พอพ้นสายตาผู้คน โอเรนก็ร้องครางออกมา

“เฮ้อ... ถ้าข้ามีรูปร่างเหมือนพวกเจ้าคงพูดคุยอะไรได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาสนใจสินะ”

คาริกหัวเราะ “ระวังจะเหมือนไอดิเอลเถอะ ถ้าจะมีรูปร่างแบบมนุษย์ก็ต้องมีลักษณะอื่นเหมือนมนุษย์ทั่วไปด้วยนะ ข้าคิดว่าอย่างเจ้านี่ถ้ามีร่างเป็นมนุษย์น่าจะต้องผมสีเขียวตาสีแดงแน่ๆ แบบนั้นใครๆ ก็ต้องสนใจอยู่ดี”

“ไม่เหมือนคนอื่นนี่ก็ลำบากจริงๆ เลยน้า” โอเรนรำพึง “ดูท่านไอดิเอลสิ ไปไหนก็ต้องรับมือกับผู้คน เขาคงแทบหาเวลาสงบในชีวิตไม่ได้เลยจริงๆ”

“อืม... แต่เขาน่าจะชินแล้วล่ะมั้ง ถ้าเขาเกลียดการเป็นที่สนใจขนาดนี้ก็คงจะไม่ออกเดินทางไปทั่วล่ะนะ”

“ก็จริงนะ อ๊ะ ข้าอยากกินใบไม้ต้นนั้น เจ้าหยุดหน่อยสิ”

“จะให้ข้าตัดลงมาให้ด้วยไหม”

“ไม่ต้อง ข้าบินขึ้นไปกินเองได้ เราไม่ต้องรีบกลับไปไม่ใช่หรือไง”

“อือ ไอดิเอลคงยุ่งกับการดูแลคนป่วยอยู่... ว่าแต่ถ้าข้าไม่ไปดู เขาจะหักเงินเดือนข้ารึเปล่าเนี่ย”

“ยังไงเขาก็ไล่เจ้าออกไม่ได้อยู่แล้วน่า” โอเรนว่า “เจ้าก็ทำหน้าที่ผู้ช่วยเขาแล้วโดยการดูแลข้าไง”

“ฮะๆ หวังว่าข้ออ้างนี้คงฟังขึ้นนะ”

โอเรนบินขึ้นไปแทะใบไม้บนต้นไม้ที่อยู่เหนือศีรษะคาริกขึ้นไปหน่อย ระหว่างรอฝ่ายนั้นคาริกเลยฆ่าเวลาโดยการเดินสำรวจรอบๆ โคนต้นไม้

“นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ” โอเรนทักขึ้นเมื่อเห็นว่าคาริกกำลังหยิบก้อนหินที่หาได้บริเวณนั้นมาซ้อนกัน เจ้าตัวเลยเงยหน้าตอบ

“เรียงหินน่ะ”

“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ากำลังเรียงหิน ที่ข้าสงสัยคือเจ้าทำไปเพื่ออะไร”

“แสดงความเคารพต่อวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขาน่ะ” ชายหนุ่มตอบ “เวลาไปกับพวกกองราคาวาน ถ้าไม่ทันจุดแวะแบบนี้ เราก็ต้องพักกันกลางป่าใช่ไหมล่ะ ในป่าน่ะ พอตกกลางคืนนอกจากสัตว์ร้ายแล้ว พวกวิญาณรวมถึงภูติพรายจะปรากฏตัวออกมาได้ง่าย ไม่เหมือนตอนกลางวัน พวกเขาจะเรียงหินเอาไว้แบบนี้ เพื่อแสดงความเคารพพวกวิญญาณ และขอให้ไม่มารบกวนกันน่ะ”

“อ้อ... วิญญาณก็คือพลังงานที่ยังตกค้างอยู่บนโลกของคนที่ตายไปแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นล่ะข้ามองเห็นเยอะแยะเลย”

“หา เจ้ามองเห็นผีหรือ”

“ข้ามองเห็นพลังงานน่ะ” โอเรนตอบ “ท่านไอดิเอลเองก็คงมองเห็นเหมือนกัน เพียงแต่ข้าอาจจะจมูกดีกว่าเขาหน่อยเลยได้กลิ่นด้วย”

“กลิ่นวิญญาณหรือ เป็นไงล่ะนั่น”

“บอกไม่ถูกหรอก” โอเรนพูดพลางหยิบใบไม้ขึ้นมาเคี้ยว “กลิ่นมันต่างจากสิ่งมีชีวิตอยู่พอสมควรนะ มันไม่ใช่กลิ่นที่เกิดจากลักษณะทางกายภาพ แบบกลิ่นใบไม้ หรือกลิ่นตัว เป็นกลิ่นอีกแบบน่ะ”

“ทั้งมองเห็นทั้งได้กลิ่นเยอะแยะขนาดนั้น เจ้าเองก็คงลำบากน่าดูสินะ”

“หืม ไม่เห็นเป็นไรนี่” โอเรนว่า “อย่างน้อยๆ พวกนี้ก็ไม่แห่มาห้อมล้อมข้าเหมือนอย่างที่พวกเจ้าทำกับท่านไอดิเอลหรอกนะ”

“อื้อหือ ถ้าถูกวิญญาณแห่ล้อมนี่ข้าว่าต้องน่ากลัวว่าถูกคนเป็นๆ แห่ล้อมแน่ๆ”

“รู้ได้ไง เจ้าเคยโดนหรือ”

“ไม่เคยหรอก”

“ที่จริงด้านหลังเจ้าก็มีอยู่สองตัวนะ”

“เฮ้ย” คาริกสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปมองด้านหลังทันที โอเรนพูดขึ้นต่อ

“ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้น เจ้ามองไม่เห็นไม่ใช่หรือ”

“หึย ไม่เห็นนี่แหละน่ากลัวนัก”

“บ้ารึเปล่า เจ้าใช้มือเปล่าจับคำสาปได้นะ กลัวอะไรกับอีแค่พลังงานจางๆ แบบนั้น”

“คำสาปนั่นข้ามองเห็นนี่นา” คาริกว่า “ผีนี่ข้ามองไม่เห็น ขึ้นชื่อว่าผีเชียวนะ ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดีนั่นแหละ”

“มนุษย์นี่แปลกแฮะ”

คาริกเหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง “นี่ ไอ้หินที่ข้าเรียงเนี่ย ช่วยไล่วิญญาณพวกนี้ได้บ้างไหม”

“ตามที่ข้าเห็นก็ไม่ช่วยอะไรนะ แค่มีพลังงานของเจ้าติดอยู่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าพลังงานพวกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าไม่ใช่หรือ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย”

“เอ่อ... แต่พอรู้ว่ามีอยู่มันก็ไม่สบายใจนี่นา”

“มันก็มีอยู่ตลอดทุกที่ที่เราผ่านมานั่นแหละ” โอเรนว่า “ถ้าตรงไหนไม่มีพลังงานอยู่เลยนี่สิเจ้าถึงต้องรู้สึกไม่สบายใจ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แปลว่าตรงนั้นไม่มีอะไรเลยไงล่ะ” โอเรนว่า “โลกนี้น่ะเต็มไปด้วยพลังงานหลากหลายมากนะ เพราะฉะนั้นจุดที่ไม่มีพลังงานเลย มันก็เหมือนกับอะไรล่ะ... จุดดับ จุดบอด จุดแห้งแล้ง อืม... ข้าจะใช้คำว่าอะไรดี เหมือนหัวเจ้าน่ะ ถ้าเกิดมีจุดที่ไม่มีพลังงานอยู่มันก็เหมือนกับจุดที่ไม่มีผมขึ้นนั่นแหละ”

“เจ้านี่เปรียบเทียบอะไรให้พ้นไปจากหัวข้าบ้างได้รึเปล่า” คาริกว่า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “จริงๆ เลยน้า พอเจ้าบอกว่ามีอยู่รอบๆ ข้าก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา”

“คิดไปเองนั่นแหละ” โอเรนพูดอีก “ตอนเจ้าไม่รู้ไม่เห็นจะทำท่าทางแบบนั้นเลยนี่นา”

“ก็จริงนะ” เงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ถามขึ้นต่อ “แล้วพวกวิญญาณร้ายล่ะ พวกที่ชอบทำเสียงดัง ชอบมาหลอกหลอนคนตอนดึกๆ ของแบบนั้นเจ้าไม่กลัวหรือ”

“ไม่รู้สิ ข้ายังไม่เห็นนี่นา” โอเรนตอบ “ที่ข้าเห็นก็แค่พลังงานจางๆ เท่านั้นเอง”

“อืม...”

“นี่ ถามจริงเถอะ เจ้าเดินทางผ่านเส้นทางนี้บ่อยไม่ใช่หรือไง ที่จริงแล้วน่าจะเจอจนเคยชินมากกว่ากลัวสิ”

“จริงๆ ก็ไม่เคยเห็นกับตาหรอกนะ” คาริกตอบตามตรง “แค่ฟังเขามาอีกทีน่ะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่10 P2) (ุ6/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-08-2021 10:12:25
โอเรนแทะใบไม้เสียงแกร๊บๆ ก่อนจะพูดต่อ “อืม... ก้อนหินที่เจ้าเรียงน่ะ ดูมีพลังงานอะไรเพิ่มขึ้นแล้วนะ ดูเหมือนพลังงานของเจ้าที่เหลืออยู่บนหินจะดึงดูดพลังงานอื่นๆ ให้ไปอยู่รวมกัน พวกเขาเลยหยุดเคลื่อนไหวแล้ว”

“อย่างนั้นก็แปลว่าช่วยเรื่องวิญญาณได้สินะ”

“พูดตามมุมมองของข้าก็แค่ทำให้ไปอยู่ในที่เดียวกันน่ะ”

“นี่ เจ้าจะกินเสร็จหรือยัง”

“ยัง ก็เจ้ามัวแต่ชวนข้าคุย ข้าเพิ่งกินไปได้ครึ่งเดียวเอง”

“อืม... ข้าตัดลงมาทั้งกิ่งให้เจ้าไปกินในอาคารดีกว่า”

“ไม่เอาหรอก ขืนข้าเข้าไปกินในนั้น เดี๋ยวก็ได้ถูกรุมถามตายพอดี”

“ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครสงสัยอะไรหรอกน่า ทุกคนจะเข้าใจแค่ว่าเจ้าเป็นกระรอกสีเขียวตัวใหญ่ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”

“ขอข้าแทะตรงนี้อีกหน่อยแล้วกันนะ ใบไม้สดบนต้นมันอร่อยกว่าที่ตัดออกมาแล้วเยอะเลยน่ะ”

คาริกเลยเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นไม้ แสงจากคบไฟทำให้เงาทุกอย่างดูเหมือนขยับอยู่ตลอดเวลา อากาศก็ชักจะหนาวเย็นลงทุกที แต่หน้าผากกับจมูกของเขากลับมีเหงื่อซึมออกมา

จู่ๆ เสียงโอเรนก็ดังขึ้น “คาริก เจ้าเดินลากดาบอยู่รึเปล่า”

ชายหนุ่มสะดุ้ง “หือ... เปล่านี่”

“ข้าได้ยินเสียงเหมือนใครลากดาบครูดพื้น”

“เฮ้ย อย่ามาล้อเล่นแบบนี้น่า ข้ากลัวนะเนี่ย”

“เจ้าฟังสิ” โอเรนว่า ก่อนจะร้องออกมา “อ๊ะ คาริก ด้านหลังเจ้า”

คาริกหันควับไป เขาเห็นอะไรบางอย่างฟันลงมา เจ้าตัวยกคบไฟขึ้นรับด้วยสัญชาตญาณ เงาสั่นไหว คบไฟขาดออกจากกันเป็นสองส่วน ส่วนที่ติดไฟกลิ้นลงไปบนพื้น ถึงอย่างนั้นแสงไฟที่ยังเหลืออยู่ก็สว่างพอจะส่องให้เห็นร่างพิกลพิการในชุดเกระนักรบกำลังเงื้อง่าดาบเหล็กเล่มยาวขึ้นมา

เสียงของคาริกหายเข้าไปในลำคอ เขากลัวจนก้าวขาไม่ออก เจ้าสิ่งประหลาดน่ากลัวนั่นเงื้อดาบขึ้นมาเหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นสายลมรุนแรงเหมือนพายุขนาดเล็กก็พัดผ่านมาจากด้านหลัง พุ่งเข้าใส่สิ่งประหลาดนั้นจนมันกระเด็นไป ได้ยินเสียงโอเรนร้องขึ้น

“เจ้าทำอะไรอยู่คาริก ชักดาบออกมาสู้กับมันเร็ว”

คาริกได้สติ เขารีบชักดาบยาวออกมาจากหลัง โอเรนบินมาเกาะศีรษะเขา

“บอกข้าสิว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด” คาริกว่า “ไม่ใช่ผีสางวิญญาณอะไร”

“มันเป็นพลังงานที่เข้มข้นมาก” โอเรนว่า “ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วย”

“โอย นี่ข้าเจอเข้าให้แล้วสินะ” ชายหนุ่มคราง เขาได้ยินเสียงต๊กๆ เหมือนก้อนหินกระแทกกัน จึงพูดขึ้นเสียงดัง

“โอเรน เสียงอะไรน่ะ”

“เจ้าทำไมต้องทำเสียงดังขนาดนั้น” โอเรนว่า “เสียงหินน่ะสิ เจ้าพลังงานนั่นพยายามรวบรวมก้อนหินมาสร้างเป็นร่างอยู่ ตะกี้ถูกข้าใช้ลมกระแทกไป ก้อนหินเลยกระเด็นหลุดไปหมดล่ะ”

“หา เจ้าใช้ลมกระแทกมันหรือ”

“อือ ก็เห็นอยู่ว่าเจ้ายืนบื้อ ขืนปล่อยไว้ต้องโดนมันฟันขาดสองท่อนแน่ๆ”

“เจ้าใช้เวทมนตร์ได้นี่นา” คาริกร้องขึ้นมา “เจ้าเพิ่งใช้มันไปตะกี้นี่เอง”

“หา...” ถึงคราวโอเรนร้องขึ้นบ้าง “ข้าใช่เวทมนตร์หรือ”

“ใช่ เจ้าสร้างลมพายุเล็กๆ พัดใส่มันตะกี้ไม่ใช่หรือไง”

“เออ จริงด้วย ข้าคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วก็เลยพ่นลมออกไป”

“ยอดเลยโอเรน เดี๋ยวพอมันลุกขึ้นมาเจ้าก็พัดมันอีกรอบสิ”

“แล้วเจ้าล่ะ”

“ข้าก็... เอ่อ... จะยืนคุมเชิงไว้”

“นี่เจ้าไม่คิดจะสู้กับมันเลยหรือไง”

“มันเป็นผีนะ” คาริกว่า “ข้าจะสู้กับผีได้ไง”

“มันก็แค่ก้อนพลังงานที่เข้มข้นมากเท่านั้นเองน่า” โอเรนว่า “เจ้าจะไปกลัวมันทำไม”

“โธ่ ถ้าเป็นสัตว์ประหลาดล่ะก็ ข้ายังพอจะฆ่ามันให้ตายได้นี่นา แต่นี่เป็นผี มันตายอยู่แล้วข้าจะไปสู้มันได้ไง”

“เจ้าก็เอาชนะพลังงานของมันซี่” โอเรนตอบ “เดี๋ยวมันหมดพลังก็แพ้เองนั่นแหละ”

“โธ่ พูดก็ง่ายสิ เคยเห็นผีหมดพลังหรือไง”

“ไม่เคยหรอก แต่คำสาปเจ้ายังเอาชนะได้เลยนี่”

“ไม่ใช่ข้านะ แบรนดอนต่างหาก ที่สำคัญเพราะไอดิเอลบอกวิธีด้วย โธ่ แล้วข้ามีกริชทองคำกับเค้าที่ไหนเล่า โอ๊ย โอเรน มันลุกขึ้นมาแล้ว พัดมันให้ล้มไปเร็วเข้า”

เจ้าผีตัวนั้นใช้ก้อนหินสร้างร่างขึ้นมา และใช้เศษกิ่งไม้ทำเป็นเกราะ เมื่ออยู่ในแสงสลัวของคบเพลิงทำให้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหลือประมาณ มันยกดาบขึ้นชี้มาทางชายหนุ่ม

“มันชี้ดาบมาทางเจ้าทำไมเนี่ย”

“จะไปรู้หรือ”

“เจ้าเป็นนักดาบไม่ใช่หรือไง นี่ไม่ใช่ท่าทางท้าทายกันหรือ”

“เออ” ชายหนุ่มร้องอย่างนึกได้ “จริงด้วย เจ้ารู้ได้ไง”

“ข้าก็เดาเอาน่ะซี่ ถ้ามันอยากฆ่าเจ้า มันก็ต้องฟันดาบใส่เจ้าอีกครั้งแล้ว แต่นี่มันเอาดาบชี้หน้าเจ้า มันก็คือการท้าทายไม่ใช่หรือไงเล่า”

“เออ เจ้านี่ฉลาดแฮะ”

โอเรนถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ คาริกถามต่อ “ว่าแต่มันจะท้าทายข้าทำไม”

“จะไปรู้เรอะ เจ้าทำไมไม่ถามมันดูล่ะ”

“คุยกับผีรู้เรื่องที่ไหนเล่า เฮ้ย” คาริกร้อง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบดาบที่ฟันเข้ามา เจ้าผีรุกไล่โดยไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้หายใจ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นการดวลดาบระหว่างคนกับผีไปจริงๆ

ตั้งแต่เริ่มมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไป คาริกไม่เคยเจอใครทนรับดาบเขาได้มาก่อนเลย แต่กับเจ้าผีตัวนี้ นอกจากจะรับดาบเขาได้แล้ว ยังเหวี่ยงดาบแรงจนทำให้เขาเซได้อีกด้วย ยังไม่พอ พอเห็นเขาเพลี่ยง มันถอนหลังไปหน่อย แล้วกระดิกนิ้วที่สร้างมาจากก้อนหินเป็นเชิงท้าทาย เจอแบบนี้ชายหนุ่มถึงกับโกรธจนหน้ามืด ผีก็ผีเถอะวะ ดูถูกกันขนาดนี้ ต้องแสดงฝีมือให้ดูสักหน่อยล่ะ

คนกับผีสู้กันอีกครั้ง คราวนี้คาริกรุกไล่จนเจ้าผีเป็นฝ่ายเพลี่ยงบ้าง พอฝ่ายนั้นเสียท่า ชายหนุ่มก็กระดิกนิ้วให้เป็นการเอาคืน ทั้งคนทั้งผีสู้กันอยู่นานจนคบไฟมอดก็ยังหาผู้ชนะไม่ได้ แต่พอไม่มีแสงฝ่ายที่เสียเปรียบก็เป็นฝั่งคนทันที

“เวรล่ะ มันหายไปไหนแล้ว” คาริกอุทาน เขาเพิ่งค้นพบว่านี่เป็นคืนเดือนมืด พอปราศจากแสงจากคบไฟแล้ว รอบๆ ตัวก็มืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็นเลยจริงๆ

“ทางซ้าย” โอเรนร้อง พอดีกับเสียงดาบแหวกอากาศดังมาให้ได้ยิน คาริกเลยหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด เขาฟันสวนไปแต่ก็พลาด ทำไงดีล่ะ ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรเลย ชนิดที่ว่าหลับตากับลืมตาคงไม่ต่างกันมาก ได้ยินเสียงกระทบกันของหินดังอยู่ข้างๆ คาริกคิดวิธีได้ทันที เขาตัดสินใจหลับตา เลือกใช้แค่โสตประสาทเป็นตัวระบุตำแหน่ง

เคร้ง

เสียงดาบปะทะกันดังฟังชัด พอเริ่มคุ้นชิน คาริกก็เป็นฝ่ายไล่ต้อนผีอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำให้อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ให้ได้

ไม่รู้ว่าต่อสู้กันแบบนั้นนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดคาริกก็รู้สึกได้ว่าเขาทำให้ดาบหลุดออกไปจากมือคู่ต่อสู้ได้แล้ว ขณะที่ตั้งใจว่าจะฟันซ้ำสับส่งวิญญาณไปเลย อะไรบางอย่างก็กระแทกหน้าผากเขาดังโป้ก คาริกผงะ เขาลืมตาขึ้นแล้วต้องรีบเอามือป้องทันที พอคุ้นชินกับแสงสว่าง ก็เห็นว่าไอดิเอลกำลังถือคบไฟ ใบหน้าในแสงเพลิงบอกชัดว่าไม่ได้กำลังยิ้มอยู่แน่นอน

“ทำอะไรของเจ้าอยู่ตั้งนมนานเนี่ย”

“ท่านมาพอดีเลย” คาริกโพล่ง “ข้ากำลังสู้กับผีอยู่ ท่านต้องไม่เชื่อแน่ มันเป็นผีในชุดเกราะหิน ข้ากำลังจะปราบมันได้แล้วนะเนี่ย อ้าว แล้วนั่นท่านจะไปไหน”

ไอดิเอลเดินอ้อมตัวเขาไปข้างๆ แล้วก้มลงหยิบบางอย่างขึ้นมา เป็นดาบที่คาริกจำได้ว่าเจ้าผีตัวนั้นใช้นั่นเอง

“นั่นไง ดาบนั่นแหละ ตะกี้เจ้าผีนั่นใช้เล่นงานข้า”

ไอดิเอลจับดาบมาพลิกดู แล้วยื่นให้โอเรนดม “มีกลิ่นอะไรอีกไหม”

เจ้ามังกรสั่นศีรษะ จอมเวทจึงหันไปด้านหลัง ตอนนั้นคาริกถึงพบว่ามีคนตามมาอีกสองสามคน ไอดิเอลยื่นดาบให้ชายคนที่อยู่หน้าสุด

“ดาบต้องคำสาปของท่านได้รับการชำระล้างแล้ว”

ชายคนนั้นรับดาบแล้วค้อมตัวให้ “ขอบพระคุณมากครับท่านจอมเวท แล้วก็ผู้ช่วยของท่านด้วย คราวนี้ข้าจะได้ขายมันได้เสียที” เขาหยิบถุงใส่เงินถุงหนึ่งที่แค่เห็นภายนอกก็รู้แล้วว่าต้องมีเหรียญใส่ไว้ไม่น้อย เสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งตอนที่ไอดิเอลยื่นมือไปรับ ชายคนนั้นบอกขอบคุณซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปที่อาคาร เจ้าชายบัลดริกซ์ที่เดินมาด้วยกันจึงพูดขึ้น

“น่าเสียดายที่ข้ามาไม่ทันดูเจ้าสู้กับผีดาบตนนั้น ต้องสนุกมากแน่ๆ”

“ใช้เวลานานกว่าที่ข้าคิดไว้” ไอดิเอลว่า แล้วตบไหล่เขาเบาๆ “ฝีมือยังไม่เข้าขั้นเท่าไหร่นะ”

“เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มขัด “ท่านหมายความว่าไง รู้เรื่องผีดาบนี่อยู่ก่อนหรือ”

“อ้อใช่...” ไอดิเอลพยักหน้า แต่คนที่พูดต่อคือแบรนดอน

“มีคนเอาดาบต้องคำสาปมาให้ท่านไอดิเอลแก้คำสาปให้ พอเขาเห็นแล้วก็บอกว่ามันเป็นดาบที่มีวิญญาณสิงอยู่ แล้วก็เรียกวิญญาณออกมา น่าอัศจรรย์มาก มันเอาก้อนหินมาต่อเรียงกันเป็นรูปร่าง เขาบอกให้มันเดินไปทางทิศตะวันออก จะเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ข้ากับฝ่าบาทอยากตามออกมาดูใจจะขาด แต่ท่านไอดิเอลสั่งห้ามเอาไว้ บอกว่าถึงเวลาเจ้าจะเอาดาบกลับมาเอง พอเห็นว่านานแล้วเจ้ายังไม่กลับไปเสียที พวกเราก็เลยตัดสินใจออกมาตามน่ะ”

“นี่จะบอกว่าท่านส่งผีตัวนั้นมาหาข้าหรือ” คาริกร้องพลางจ้องหน้าจอมเวท อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“ใช่ ก็ผีตัวนั้นเป็นความอาลัยที่สิงอยู่ในดาบ ต้องทำให้มันยอมรับว่ามันไม่สามารถใช้ดาบเล่มนี้ได้อีกแล้ว พลังถึงจะยอมสลายไป แต่ครั้นจะให้ข้าลงมือเองมันก็ใช่ที่ ในเมื่อข้ามีผู้ช่วยแล้ว ให้ผู้ช่วยลงมือดีกว่า”

“แล้วก็ส่งมาแบบไม่บอกไม่กล่าวข้าก่อนเนี่ยนะ เกิดข้าถูกมันฆ่าตายไปจะทำไง”

“ถ้าเจ้าถูกมันเสียบทะลุอกขึ้นมาข้าต้องรู้อยู่แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า “อีกอย่างเจ้าอยู่กับโอเรน ยังไงโอเรนต้องช่วยเจ้าได้บ้างไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว”

“อื้อ” โอเรนส่งเสียง “ข้าช่วยเขาได้เยอะมากเลย ข้าใช้เวทมนตร์ได้แล้วนะท่านไอดิเอล”

พูดจบเขาก็พยายามจะสร้างลมพายุขนาดเล็กอีกรอบ แต่คราวนี้เหมือนทำได้แค่เป่าลมออกมาจากปาก

“หง่ะ ทำไมไม่เห็นออกมาเหมือนตอนที่ช่วยเจ้าคาริกเลยล่ะ”

ไอดิเอลยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและเจตนาเป็นสำคัญ เจ้าค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะใช้ได้คล่องเอง”

โอเรนพยักหน้า คาริกเลยพูดขึ้นมา “สนใจข้าบ้างได้ไหมเนี่ย อย่างน้อยๆ ถึงไม่เพิ่มเงินเดือนให้ข้า ชมข้าสักคำก็ยังดีนะ”

“ที่จริงแล้วเจ้าใช้เวลานานกว่าที่ข้าคิดไว้นะ แต่... เอาเถอะ ก็ถือว่าทำได้ดี อย่างน้อยๆ ก็เอาชนะได้ เอ้า นี่รางวัลของเจ้า” เขาโยนถุงเงินที่เพิ่งรับมาให้ชายหนุ่ม เจ้าตัวยกมือขึ้นรับอย่างงงๆ

“ให้ข้าหมดนี่เลยหรือ”

“ใช่ ใช้อะไรก็ให้ประหยัดหน่อยล่ะ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเรื่องที่แคนเดนซ์ด้วยก็แล้วกัน”

“แหม... เขินเลยนะเนี่ย” คาริกว่า เขาเขย่าถุง “เป็นเสียงที่ได้ยินแล้วชื่นใจชะมัด”

“เรากลับกันเถอะ” ไอดิเอลพูดต่อ “อย่างไรเจ้าชายกับแบรนดอนก็ต้องไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะได้ออกแต่เช้า ข้าอยากให้เราถึงทริโกเนียวันมะรืน เพราะงั้นคืนพรุ่งนี้เราควรจะไปถึงจุดแวะพักที่สามโดยข้ามจุดแวะที่สองไปเลย”

.........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่11 P2) (ุ13/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-08-2021 08:59:26
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่11 ทริโกเนีย


คณะเดินทางอันแปลกประหลาดของไอดิเอลออกเดินทางกันตั้งแต่แสงสีทองเริ่มจับขอบฟ้า เร่งรีบเสียจนคาริกอดถามขึ้นไม่ได้

“นี่ ท่านจะรีบไปไหนกัน ต้องไปรับงานด่วนหรือไง”

“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าวันนี้เราควรจะไปให้ถึงจุดพักที่สาม”

“ข้ารู้แล้ว” อีกฝ่ายตอบ “แต่ที่ข้าสงสัยคือทำไมถึงต้องรีบขนาดนั้น ไม่ทันก็พักจุดแวะที่สองได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“เป็นสิ” ไอดิเอลว่า “ก็เจ้าไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งตอบคำถามล้านแปดแบบข้านี่นา”

“อ่อ... แต่ถ้าตอบคำถามสิบห้านาทีแล้วได้เหรียญทองมาหนึ่งเหรียญ ข้าก็อยากจะตอบนะ”

“เสียดายที่เจ้าทำไม่ได้น่ะนะ” ไอดิเอลว่า “เพราะงั้นพวกเราเลยต้องรีบไปให้ถึงจุดพักที่สามคืนนี้ ข้าจะขี่ม้านำไป เจ้าเองก็เร่งตามให้ทันล่ะ”

เขาหันไปหาแบรนดอน ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ แล้วทั้งคณะก็ออกเดินทาง

..........................................

ป่าต้องห้าม เป็นคำเรียกขานป่าโบราณ ป่าเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ และสัตว์ยักษ์ที่ถือกำเนิดขึ้นหลังการระเบิดครั้งใหญ่ รวมถึงเหล่าภูติพราย วิญญาณของผู้ที่สิ้นชีพลงในสงครามครั้งก่อน ในแต่ละพื้นที่จะมีสัตว์และตำนานเกี่ยวกับป่าต้องห้ามแตกต่างกัน ป่าต้องห้ามทางตอนใต้ของอาณาจักรหรดีมีชื่อเรียกว่าป่าแห่งเสียงแตร เนื่องเพราะป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของแมกนิส คอร์นิบัส ซึ่งเป็นสัตว์ยักษ์ที่ส่งเสียงร้องคล้ายเสียงแตรและสามารถได้ยินจากระยะไกลเป็นร้อยโยชน์

เนื่องเพราะแบรนดอนต้องเร่งม้าตามไอดิเอลซึ่งขี่อัลบุสนำหน้าไป ลมที่ปะทะแรงเสียจนคุยกันไม่สะดวก พวกที่เหลือจึงจำต้องเข้ามานั่งในรถม้า

เจ้าชายบัลดริกซ์เปิดหน้าต่างและประทุนหลังออก ท่าทางของเขาสดชื่นแจ่มใสราวกับเป็นคนละคนกับที่เจอครั้งแรก เขาหันมาชวนคาริกและโอเรนคุย

“เรื่องเมื่อคืนสำหรับข้ามันประทับใจมาก แม้ว่าในราชสำนักของข้าจะมีจอมเวทประจำอยู่แล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นนางออกมาให้พรชาวบ้านหรือรักษาอาการเจ็บป่วยเลย อาจะเพราะนางประจำการอยู่ในราชสำนักก็เป็นได้”

“นางเป็นคนยังไงหรือฝ่าบาท”

“นางหรือ... โอ... นางเป็นสตรีที่งดงามมาก เรือนผมของนางเป็นสีชมพูแซมดำ ดั่งสีของศิลาสีกุหลาบ ดวงตาของนางแดงปลั่งดั่งทับทิมน้ำงาม เรือนร่างของนางเป็นอย่างที่บุรุษทุกคนฝันถึง และสตรีทุกนางต้องการจะมี ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี หากได้เห็นนางในครั้งแรก ต้องตกอยู่ในภวังค์ดั่งถูกมนตร์สะกด ไม่อาจเบือนสายตาออกจากนางได้เลย”

คาริกใจเต้นตึกตัก อดรู้สึกเคลิ้มไปกับคำบรรยายไม่ได้ เจ้าชายบัลดริกซ์เห็นสีหน้าของเขาแล้วก็หัวเราะ “เจ้ากำลังจะได้พบนางในไม่ใช้นี้ ได้ยินท่านไอดิเอลบอกว่าเขานัดนางที่นครเวหา ข้าหวังจริงๆ ว่าเจ้าจะไม่ทำหน้าเช่นนี้ตอนอยู่ต่อหน้านาง แต่ก็นะ... เจ้าเพิ่งอายุสิบแปดเองนี่นา”

คาริกยกมือเกาศีรษะ หน้าแดงด้วยความกระดาก โอเรนเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้น “ความรู้สึกของเจ้าตอนนี้ประหลาดมากคาริก แต่ข้าชอบนะ ให้อารมณ์เหมือนใบไม้เวลาถูกหักออกมาจากต้นใหม่ๆ”

คาริกหน้าหงิกทันที “เปรียบเทียบอะไรของเจ้ากันเนี่ย เสียอารมณ์หมดเลย”

โอเรนพูดต่อโดยไม่สนใจ “ว่าแต่จอมเวทนี่ดึงดูดสายตาแบบท่านไอดิเอลทุกคนเลยหรือ”

เจ้าชายหัวเราะ “ถึงท่านไอดิเอลไม่ใช่สาวงาม แต่ใช้คำว่าดึงดูดสายตาก็ไม่ผิดนักหรอก ข้าคิดว่าจอมเวททุกคนมีลักษณะเฉพาะที่ชวนให้พิศวงอยู่แล้ว พวกเขาเหมือนอัญมณีที่มีชีวิต”

“คงเพราะท่านไอดิเอลสวมมันอยู่เต็มตัวล่ะนะ ข้าว่า”

“ไม่ใช่หรอก ข้าได้ยินมาว่าร่างของจอมเวทหล่อหลอมมาจากเงินและทองคำ ดวงตาทำมาจากอัญมณี เรือนผมถูกทอและอาบด้วยแสงสีจากศิลาธาตุ แต่ว่านั่นก็เป็นแค่ตำนานเรื่องเล่าล่ะนะ บางทีมันอาจจะเป็นแค่คำเปรียบเปรยก็ได้”

“ท่านรู้รึเปล่าว่าจอมเวทถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร”

เจ้าชายบัลดริกซ์สั่นศีรษะ “พวกเขาไม่เคยพูดถึง และไม่มีใครทำบันทึกเรื่องนี้ หรือถึงมีก็ไม่เคยปรากฏให้สาธารณะชนได้รับรู้ มีเพียงเรื่องเล่าขานที่ว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับมังกร บ้างก็ว่าพวกเขาคือผู้นำสารของเทพแห่งแสง บ้างก็ว่าพวกเขาคือผู้ถือวาจาของเทพีแห่งความมืด โดยส่วนตัวข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีโบราณ ข้าไม่คิดว่าจะมีเทคโนโลยีใด นอกเหนือจากหัตถ์ของเทพและเทพี จะสามารถรังสรรค์สิ่งมีชีวิตที่สวยงามและสลับซับซ้อนเช่นนี้ได้”

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะชื่นชมพวกเขามาก”

“อืม” เจ้าชายพยักหน้ารับ “หากเจ้าศึกษาประวัติศาสตร์ เจ้าไม่อาจปฏิเสธเลยว่าที่รากฐานอารยธรรมของเผ่าพันธุ์เราตั้งรกรากได้อย่างแข็งแรงเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะสรรพความรู้ของพวกเขา พวกเขาดำรงมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรเก่า ในสมัยที่มังกรยังเรืองอำนาจ พวกเขาได้เห็นหายนะของโลก จดบันทึกประวัติศาสตร์ และนำเอาความรู้จากบรรพกาลมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เทคโนโลยีการสร้างเรือเหาะ รวมถึงเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ หลายอย่าง ก็เป็นความรู้ที่พวกเขาได้จดบันทึกไว้ กระทั่งในยุคปัจจุบัน จอมเวทย์หลายคนที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในอาณาจักรทั้งหก ก็ยังคงทำการค้นคว้าและจดบันทึกอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคนเตือนข้าว่าพวกเขาเป็นอันตราย แต่ข้าว่าโลกคงจะอยู่ยากขึ้นหากปราศจากพวกเขา”

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าโลกจะอยู่ยากขึ้นหากไม่มีท่านไอดิเอลรึเปล่า” โอเรนว่า “แต่ถ้าไม่มีท่านไอดิเอลข้าคงไม่ได้มานั่งพูดอยู่ที่นี่แน่”

“เขาเป็นคนช่วยชีวิตเจ้านี่นะ” เจ้าชายว่า ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่เจ้าเองก็มาไกลเหมือนกันนะ เท่าที่ข้ารู้ นูเบส โฟลิอุมอาศัยอยู่บนเทือกเขาไฮดรัส ซึ่งเป็นเขตแดนธรรมชาติที่กั้นขวางระหว่างอาณาจักรพายัพกับอาณาจักรประจิม ทางตอนใต้ของที่นั่นเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ส่วนทางตอนเหนือมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว เป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในหกอาณาจักรเชียวล่ะ”

เจ้ามังกรถามต่อด้วยความสนใจ “ท่านเคยไปที่นั่นไหม”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ข้าไม่เคยขึ้นไปหรอก เคยแต่มองมันจากที่พัก เทือกเขาไฮดรัสน่ะสูงมาก บริเวณที่นูเบสอาศัยอยู่น่าจะเป็นจุดที่อยู่สูงที่สุดในเทือกเขาทางตอนใต้เลย ที่นั่นอากาศเบาบาง ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ จะขึ้นไปต้องอาศัยพรานที่ชำนาญทาง และต้องเดินเท้าหลายวันมาก”

“อืม... ฟังดูไปยากลำบากจังแฮะ ท่านไอดิเอลจะพาข้าไปอยู่ในที่ที่ไปยากลำบากแบบนั้นหรือ... ข้าไม่อยากไปเลย”

เจ้าชายพูดต่อ “ไม่ได้หรอก ยังไงเจ้าก็ต้องไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ อย่างน้อยตามกฎหมายก็ต้องเป็นอย่างนั้น”

“ข้ารู้ว่ามันเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อพวกข้า ท่านไอดิเอลเคยอธิบายให้ข้าฟังแล้ว” โอเรนว่า “แต่ไม่มีมังกรอาศัยอยู่กับมนุษย์เลยหรือ แบบว่าอยู่ร่วมกันเหมือนเพื่อน เหมือนกับครอบครัวน่ะ ในเมื่อท่านไอดิเอลเคยบอกว่ามังกรมีความเฉลียวฉลาดเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ มังกรก็น่าจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตัวเองจะเป็นได้เหมือนกันนี่นา”

เจ้าชายกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้นมา “ไม่รู้สิ ข้าตัดสินเรื่องนี้เองไม่ได้เสียด้วย”

......................................

ด้วยความเร่งรีบปานพายุของไอดิเอล ในที่สุดทั้งคณะก็เดินทางมาถึงทริโกเนียในอีกสองวันให้หลัง ท่าทางของจอมเวทย์ดูผ่อนคลายขึ้นมาก เมื่อเจ้าชายบัลดริกซ์และแบรนดอนแยกตัวไปขึ้นเรือเหาะเพื่อกลับเมืองหลวง โดยทิ้งม้าด่างตัวหนึ่งไว้ให้เป็นค่าตอบแทนตามที่ไอดิเอลเรียกร้อง คาริกอดสงสัยไม่ได้ว่าที่พวกตนต้องเร่งรีบขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะไอดิเอลไม่อยากจะแวะตามจุดแวะพักต่างๆ แต่อาจเพราะฝ่ายนั้นไม่อยากใช้เวลาอยู่กับเจ้าชายนานๆ ก็เป็นได้

“ท่านไม่ชอบพวกเขาหรือ”

คาริกถามขึ้นขณะที่เขาและไอดิเอลจูงม้าเดินไปตามถนนที่มีผู้คนสัญจรจอแจ เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองทริโกเนีย เนื่องจากท่าเรือเหาะนั้นตั้งอยู่ภายนอกก่อนถึงกำแพงเมืองชั้นใน

“พวกไหน? หมายถึงพวกเจ้าชายน่ะหรือ?”

“ใช่”

“อ้อ... ไม่เชิงหรอก” อีกฝ่ายตอบ “ข้าแค่ไม่ต้องการจะใช้เวลากับพวกเขามากเกินจำเป็น ข้าไม่ต้องการมีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์ไหนมากเป็นพิเศษ”

“พูดอย่างกับว่าทุกราชวงศ์อยากจะรู้จักกับท่านอย่างนั้นเลยนะ”

ไอดิเอลไม่ตอบ เขาเปลี่ยนเรื่องพูด

“โอเรน เจ้ายังไม่เคยเห็นทริโกเนียสินะ นี่คือเมืองท่าติดทะเลที่ใหญ่และคึกคักที่สุดในหกอาณาจักร”

เบื้องหน้าพวกเขา เหนือขึ้นไปบนถนนที่ปูด้วยหินสีแดงซึ่งมีผู้คนและยวดยานพาหนะสัญจรจอแจ ปรากฏสิ่งก่อสร้างที่เหมือนเสากระโดงเรือขนาดใหญ่สามต้น พุ่งสูงชะลูดขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบน เสากระโดงยักษ์แต่ละต้น ผูกไว้ด้วยสิ่งที่ดูคล้ายกับผืนผ้าใบขนาดใหญ่ ที่ถูกลมทะเลพัดผ่านจนพองตัวคล้ายเรือที่กำลังแล่นอยู่ในนาวา แสงตะวันยามสนธยาสาดส่องย้อมทาเสากระโดงเรือยักษ์ทั้งสามเป็นสีแดงฉาน ทว่าใบเรือทั้งสามกลับทอประกายวิบวับคล้ายริ้วละลอกคลื่นที่ต้องแสงแดด

โอเรนเหม่อมองด้วยความตื่นตะลึง เขาถามออกมา

“นั่นคืออะไรน่ะ”

“ถ้าเจ้าหมายถึงสิ่งที่ดูเหมือนผ้าใบยักษ์ที่ทอแสงวิบวับนั่นล่ะก็... มันคือแผ่นกริดที่ทำจากออราไลท์ แร่ที่มีพลังแห่งลมแฝงอยู่ หุ้มด้วยกระจกสองด้าน แขวนเรียงกันบนเชือกที่ทอจากเงินผสมทองคำ ยามเมื่อต้องแสงตะวันหรือมีลมพัด จะสร้างพลังงาน พลังงานเหล่านี้จะไหลไปตามเชือกที่ร้อยเข้าไปสู่โรงเก็บพลังงานซึ่งอยู่ใต้ฐานของเสากระโดงทั้งสามต้น จากนั้นจึงแปรไปเป็นพลังที่ใช้ในเมืองอีกทีหนึ่ง”

“โอ้โห ท่านรู้ละเอียดมาก” คาริกร้องออกมา “ข้ารู้แค่มันมีหน้าที่สร้างพลังงานเท่านั้นเอง”

“มันคือสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ใช่ไหม” โอเรนว่า “นี่มันยิ่งใหญ่และสวยงามมากเลยนะ เมืองที่คาริกอยู่ไม่เห็นมีของแบบนี้เลย แสดงว่าที่นี่ต้องใหญ่โตมากอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”

“ใช่แล้ว และที่นี่ก็เป็นท่าจอดเรือเหาะที่ใหญ่ที่สุดด้วย ดังนั้นจึงต้องมีพลังงานเตรียมไว้มหาศาลเพื่อให้พอประจุให้เรือเหาะยังไงล่ะ”

“ว่าแต่... นี่เราออกมาจากท่าเรือเหาะแล้วนะ ไหนท่านว่าเราจะเดินทางไปนครเวหาด้วยเรือเหาะไง” คาริกท้วงขึ้น ไอดิเอลจึงหันไปตอบเขา

“ก็ใช่ แต่ยังไม่ใช่วันนี้ ข้ามีธุระต้องทำในทริโกเนีย อย่างน้อยก็หาอะไรให้เจ้ากับโอเรนกินก่อน”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านคิดถึงเรื่องปากท้องของข้านะเนี่ย” ชายหนุ่มว่า โอเรนพูดขึ้นต่อ

“ที่นี่มีภัตตาคารสำหรับมังกรรึเปล่า”

“ไม่มีหรอก” ไอดิเอลว่า “แต่มีผลไม้และใบไม้สดๆ ให้เจ้ากินจนจุใจแน่ มาเถอะ เร่งฝีเท้าหน่อย ข้ารู้จักที่ดีๆ อยู่”

ทริโกเนียแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นที่ตั้งของลานจอดเรือเหาะขนาดใหญ่สี่ลาน ล้อมด้วยกำแพงเตี้ยๆ และมีหอบัญชาการคอยให้สัญญาณความปลอดภัยสำหรับการบินขึ้นลง ล้อมด้วยกำแพงหินเตี้ยๆ ถัดเข้าไปจากลานจอดเรือเหาะ เป็นแนวป่าที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ เรียกว่ากำแพงต้นไม้ มีความกว้างประมาณยี่สิบเส้น (แปดร้อยเมตร) ติดกับแนวป่าเป็นกำแพงสีแดงสูงชะลูด ด้านหลังกำแพงคือตัวเมืองทริโกเนีย ประกอบด้วยอาคารบ้านเรือนทั้งที่สร้างจากไม้และหิน วางเรียงรายกันอยู่สองฟากฝั่งถนน เมืองนี้มีทางเข้าใหญ่สามทาง ถนนหลักแต่ละเส้นตัดตรงไปสุดที่ฐานของเรือหินซึ่งเป็นที่ตั้งของเสากระโดงยักษ์สามเสาเรียกกันว่าทริโกนัม ถัดจากฐานของทริโกนัม คือท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ซึ่งสร้างอยู่บนแหลมทริกา บริเวณนี้นอกจากจะเป็นที่ตั้งของอาคารรักษาการชายฝั่งแล้ว ยังมีหน่วยงานราชการระหว่างอาณาจักร ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคารหรูขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายกันอยู่

แม้คาริกจะเดินทางไปที่นี่บ่อยครั้ง แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้แวะมาใช้บริการในย่านหรูหราเช่นนี้ ปกติแล้วพอถึงที่หมาย เขาก็จะไปเข้าพักที่สมาคมคุ้มกันแห่งทริโกเนียเพื่อรอรับงานในขากลับต่อไป ซึ่งสมาคมคุ้มกันแห่งทริโกเนียนั้นตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของทริโกนัม เป็นฟากที่ถนนทั้งสามเส้นมาบรรจบกัน ที่นั่นแม้จะมีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่ถ้าเป็นความหรูหราล่ะก็... ยังถือว่าห่างไกลจากฝั่งท่าเรือหลายขุม

ที่ดีๆ ที่ไอดิเอลพูดถึง ก็คือ ‘แหลมสุดขอบฟ้า’ โรงแรมและภัตตาคารหรูอันดับหนึ่งของทริโกเนียนี่เอง

แหลมสุดขอบฟ้า เป็นอาคารทรงสามเหลี่ยม สร้างด้วยหิน ยื่นลงไปในทะเลเล็กน้อย อยู่แทบจะติดกันกับท่าเรือ ทุกห้องพักของโรงแรมแห่งนี้จะมองเห็นนาวาอันไพศาลของท้องทะเลสีคราม ซึ่งว่ากันว่าหากล่องเรือจากที่นี่ลงใต้ไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นที่ตั้งของดินแดนห่างไกล ซึ่งเป็นที่ที่เหล่ามังกรอพยพไปหลังเกิดการระเบิดครั้งใหญ่

หินที่ใช้สร้างแหลมสุดขอบฟ้า ไม่ใช่หินทรายสีแดงทั่วๆ ไปอย่างที่เห็นในทริโกเนีย หรือเมืองทางตอนใต้ของอาณาจักรหรดี แต่เป็นหินสีส้มอ่อน ยามสนธยาเมื่อต้องกับแสงตะวันก็กลายเป็นสีทองสุกใส

คาริกไม่เคยนึกฝัน ในชีวิตจะได้มายังสถานที่หรูหราเช่นนี้ เขายืนตื่นตะลึงอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้า จนไอดิเอลต้องส่งเสียงเรียก

“นี่ เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม หรือมีที่อื่นอยากไป ถ้างั้นแยกจากข้าไปตรงนี้เลยก็ได้นะ ไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลาหรอก”

ชายหนุ่มได้สติ รีบสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ ข้าจะไปกับท่านนี่แหละ”

“งั้นก็เดินตามข้ามาเร็วๆ สิ”

พอเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป ก็มีพนักงานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเดินมาช่วยจูงม้าไปเก็บยังคอก โต๊ะต้อนรับตั้งอยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อย มีลักษณะเป็นคอกสี่เหลี่ยมที่เปิดด้านใน มีพนักงานประจำอยู่ด้านละสองคน พอแลเห็นไอดิเอล พวกเขาก็ส่งเสียงทักทายทันที

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านไอดิเอล จะพักกี่คืนคะ”

“คืนเดียว ขอเป็นห้องใหญ่แยกเตียงนะ”

“รับทราบค่ะ”

ชั้นล่างของแหลมสุดขอบฟ้าถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่โปร่งโล่ง มีเสาหินนับร้อยๆ ต้นเรียงรายกันดั่งท้องพระโรงในวังทอง เพดานสูงชะลูด ไอดิเอลพาคาริกกับโอเรนเดินตามเสาพวกนั้นไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเปิดออกไปเห็นมหาสมุทร โอเรนร้องด้วยความตื่นเต้น

“นี่คือมหาสมุทรหรือ? ดูราวกับว่าโลกสิ้นสุดที่ตรงนี้เลย”

“ก็ไม่ผิดไปนักหรอก นี่คือจุดที่โลกของมนุษย์สิ้นสุดลง” เขาตอบแล้วหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่สานจากเถาวัลย์รองด้วยเบาะที่หุ้มผ้าไหมนุ่มนิ่ม

คาริกเดินไปที่ริมระเบียง เพื่อให้โอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของเขาเห็นทิวทัศน์ของมหาสมุทรชัดเจนมากขึ้น จริงอยู่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้เห็นมหาสมุทร แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองห้วงนทีไพศาลผ่านสถานที่หรูหราเช่นนี้

“คาริก เจ้าดูสิ พระอาทิตย์เหมือนกำลังจะตกลงไปในน้ำเลย” โอเรนชี้มือไปยังทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ทางขวามือ คาริกหันตามแล้วผงกศีรษะ เจ้ามังกรน้อยพูดขึ้นต่อ

“หรือเพราะพระอาทิตย์ตกน้ำ แสงของมันก็เลยหายไป เหมือนกับคบไฟที่ถูกจุ่มลงไปในน้ำใช่ไหมล่ะ แล้วพรุ่งนี้ก็จะมีคนจุดมันขึ้นมาใหม่”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ไม่ใช่หรอก ในตำนานบอกว่าเวลากลางวันคือช่วงเวลาที่ดวงเนตรของเทพแห่งแสงลืมขึ้น และพอดวงเนตรของพระองค์หลับลง รัตติกาลดำมืดก็จะมาเยือน แต่บางครั้งพระองค์ก็จะลืมเนตรขึ้นในความมืด จึงเกิดเป็นดวงจันทร์ยังไงล่ะ”

“อย่างนั้นหรือ นั่นคือตำนานสินะ แล้วมหาสมุทรเกิดขึ้นได้ยังไง มันคือน้ำตาของเทพเจ้ารึเปล่า”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็เจ้าบอกว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์หรือดวงตาของเทพเจ้าไม่ใช่หรือ แล้วมหาสมุทรทำไมถึงจะเป็นน้ำตาของเทพเจ้าไม่ได้ล่ะ”

ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้นมา “ที่จริงก็มีตำนานแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะ”

ทั้งสองหันมามองทันที จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจิบน้ำอยู่ จอมเวทพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่พวกเจ้าสองคนไม่หิวหรือไง หรือว่ายืนชมทิวทัศน์จนอิ่มแล้ว”

คาริกรีบลากเท้ามานั่งทันที “หิวสิ ว่าแต่ตะกี้ท่านว่ามีตำนานอะไรนะ”

“เจ้าสั่งอาหารก่อน ระหว่างรอข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”

คาริกจึงรีบสั่งอาหาร เขาไม่ลืมที่จะสั่งผักและผลไม้มาเผื่อโอเรนด้วย พอบริกรออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปหาไอดิเอลอีกครั้ง

“ขอฟังตำนานของท่านหน่อยสิ”

“ไม่ใช่ตำนานของข้า” ไอดิเอลว่า “เป็นตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาอีกทีน่ะ เล่าว่ามหาสมุทรคือน้ำตาของเทพีแห่งความมืดที่หลังออกมาด้วยความปีติในตอนที่โลกถือกำเนิดขึ้น ไหลเอ่อท่วมท้นผืนแผนดินและภูเขา ก่อนจะเหือดแห่งลงกลายเป็นมหาสมุทรห้อมล้อมแผ่นดินไว้”

“ว้าว แสดงว่าเทพีแห่งแสงต้องมีความสุขมากๆ ตอนที่โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมา” โอเรนถามขึ้นต่อ “แล้วท่านอยู่ด้วยรึเปล่า ตอนนั้นน่ะ”

“จะอยู่ได้ยังไงเล่า นั่นเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมานับพันนับหมื่นปีแล้ว ข้าน่ะเพิ่งเกิดมาในช่วงสงครามระหว่างมนุษย์กับมังกรนี่เอง”

คาริกพูดขึ้นมาทันที “สรุปแล้วท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนการระเบิดจริงๆ สินะ”

“อืม”

“ท่านอยู่มาได้ไงนานขนาดนั้นน่ะ?”

“ข้าก็อยู่มาได้ล่ะน่า”

โอเรนถามแทรกขึ้น “ว่าแต่ท่านไอดิเอลอายุเท่าไหร่?”

“ข้าหรือ?” อีกฝ่ายย้อน ก่อนจะตอบ “ไม่รู้สิ เลิกนับไปนานแล้วน่ะ”

“ข้าคิดให้แทนนะ” คาริกว่า “ถ้าเขาอยู่มาก่อนหน้านั้น ข้าหมายถึงยุคก่อนการระเบิด ก็ต้องอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี”

“พันปีแล้วหรือ ไวจังแฮะ” ไอดิเอลทำหน้าประหลาดใจเหมือนไม่รู้มาก่อน ขณะที่คาริกอ้าปากจะพูดอะไร โอเรนก็ส่งเสียงถามขึ้น

“เจ้ารู้ได้ไงว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี”

“อ้าว ก็ปีนี้มันนวศักราช (ศักราชใหม่) ที่หนึ่งพันพอดี ข้าจำได้เพราะต้องลงวันเดือนปีในหนังสือสัญญาจ้างน่ะซี่”

“อย่างนี้นี่เอง” โอเรนผงกศีรษะ ก่อนจะร้องออกมา “ไม่อยากจะเชื่อ ท่านไอดิเอลอายุหนึ่งพันกว่าปีแล้วหรือเนี่ย ตอนข้าอยู่ในไข่ตั้งสามสิบกว่าปียังรู้สึกว่านานเลยนะ”

คาริกร้องขึ้นทันที “หา! อะไรนะ เจ้าอยู่ในไข่มาสามสิบกว่าปีหรือ เป็นไปได้ไง”

“มันก็เป็นไปได้แหละนะ” ไอดิเอลว่า “ปกตินูเบส โฟลิอุมใช้เวลาฟักออกจากไข่ประมาณสิบห้าถึงยี่สิบปีอยู่แล้ว ในสภาวะแวดล้อมปกติ โอเรนเป็นไข่ที่ถูกขโมยมา ถ้าจะฟักตัวช้ากว่าปกติก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร”

“ไม่อยากจะเชื่อ” คาริกคราง “เจ้านี่อยู่ในไข่นานกว่าอายุของข้าเสียอีก”

“เพราะงั้นข้าถึงดีใจมากที่ออกมาจากไข่ได้ไงล่ะ” โอเรนว่า ไอดิเอลพยักหน้า

“ก็เข้าใจได้หรอกนะว่าทำไมเจ้าถึงพูดไม่หยุดแบบนี้”

โอเรนหัวเราะคิกคัก แล้วพูดต่อ “ท่านบอกว่าเกิดมาในช่วงสงครามระหว่างมนุษย์กับมังกร อย่างนั้นท่านก็เคยเห็นมังกรจริงๆ น่ะสิ ข้าหมายถึงมังกรตัวใหญ่ๆ น่ะ”

ไอดิเอลพยักหน้า คาริกถามขึ้นบ้าง “เพราะงั้นท่านเลยมีไม้เท้าที่ทำมาจากเอ็นมังกรสินะ ท่านล่ามังกรด้วยใช่ไหม”

ไอดิเอลหัวเราะออกมา “เจ้าใช้คำว่า ‘ล่า’ กับมังกรไม่ได้หรอก สิ่งมีชีวิตพวกนั้นสูงส่งและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจะล่าได้ มันเป็นการทำสงคราม เป็นการพิชิตและถูกพิชิต แต่ข้าชอบตอนที่ไม่มีสงครามมากกว่า”

“ท่านเล่าเรื่องมังกรให้ฟังหน่อยสิ” คาริกว่า “จริงรึเปล่าที่พวกมันตัวใหญ่มากๆ ใหญ่ชนิดที่ว่าพวกเราจินตนการไม่ออกเลย”

“มันก็แล้วแต่ชนิดน่ะนะ” ไอดิเอลนิ่งนึก “อย่างพวกมังกรไฟน่ะตัวใหญ่กว่าแมกนิส คอร์นิบัสประมาณสามเท่า แถมมีปีกบินได้ ส่วนมังกรฟ้าตัวยาวกว่า ไม่มีปีก อาศัยอยู่บนท้องฟ้า ข้าเคยได้ยินว่าพวกเขาสร้างเมืองอยู่บนก้อนเมฆ แต่ว่าถ้าให้เทียบกับมังกรน้ำแล้ว ทั้งสองจำพวกก็จะกลายเป็นตัวเล็กจ้อยไปเลย”

คาริกร้องขึ้น “ใหญ่กว่าแมกนิส คอร์นิบัสตั้งสามเท่า ยังจะถือว่าตัวเล็กอีกหรือเนี่ย ถ้ามังกรน้ำตัวใหญ่ขนาดนั้น แล้วพวกเราเอาชนะได้ยังไง”

“มนุษย์ไม่เคยเอาชนะมังกรน้ำได้” ไอดิเอลว่า “มนุษย์อาจจะใช้ปืนหรืออาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยใช้พลังงานจากศิลาธาตุเพื่อสังหารมังกรไฟหรือมังกรฟ้าได้ แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับมังกรน้ำได้ ไม่มีอาวุธใดยิงฝ่าลงไปในมหาสมุทรได้ ไม่มีเวทมนตร์บทใดสามารถควบคุมท้องทะเลได้ ราชามังกรน้ำสามารถสร้างคลื่นขนาดยักษ์ที่สูงจรดท้องฟ้า เพื่อกวาดแผ่นดินให้หายลงไปในท้องทะเลได้ หากพระองค์ต้องการ ไม่มีพลังอำนาจได้สามารถต่อกรกับพลังอันยิ่งใหญ่นี้ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมมังกรถึงแพ้ล่ะ” โอเรนถามขึ้น ไอดิเอลยิ้ม

“เพราะมังกรน้ำไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้อย่างเต็มตัวน่ะสิ พวกเขาเพียงรักษาความสงบในท้องทะเลเท่านั้น และที่สำคัญ ที่มังกรอพยพไปดินแดนห่างไกล ไม่ใช่เพราะพวกเขาพ่ายแพ้ในสงคราม แต่เพราะมนุษย์ได้สร้างหายนะบนแผ่นดินแห่งนี้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจจากไป แล้วทิ้งดินแดนหลังการระเบิดไว้ให้มนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ยังไงล่ะ”

“อืม... นี่เป็นเรื่องที่แตกต่างจากตำนานที่ข้าเคยได้ยินได้ฟังมาลิบลับเลยนะ” คาริกว่า “ฟังดูเหมือนท่านเข้าข้างมังกรมากกว่ามนุษย์นะ”

“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ข้าถูกสร้างขึ้นมาให้อยู่ฝ่ายมนุษย์ ความจริงข้อนี้ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก”

โอเรนพูดขึ้น “ท่านไอดิเอล เจ้าชายบัลดริกซ์ชื่นชมท่านมากนะ เขาบอกว่าหากโลกนี้ไม่มีจอมเวทคงอยู่ยาก”

ไอดิเอลมีสีหน้าประหลาดใจ “อย่างนั้นหรือ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ประหลาดอยู่เหมือนกันนะ”

“แล้วเขาก็บอกอีกเหมือนกันว่าพวกท่านอันตราย” คาริกเสริมให้ จอมเวทผงกศีรษะ

“ปกติแล้วพวกราชวงศ์มักระแวงพวกเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“เรื่องอำนาจนั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “จอมเวทมีเวทมนตร์ ไม่แปลกถ้าจะมีคนจำนวนมากนับถือเลื่อมใส เรื่องพวกนี้เป็นปัญหามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในสมัยอาณาจักรเก่า สิ่งที่ทำให้จอมเวทต้องจบชีวิตเป็นจำนวนมากไม่ใช่การทำสงครามกับมังกรหรอก แต่เป็นเพราะถูกระแวงว่าจะแย่งอำนาจจากกษัตริย์มนุษย์ต่างหาก เพราะงั้นพอถึงยุคใหม่ พวกเราถึงต้องตั้งสภากลางขึ้นมา โดยอยู่ภายใต้สายตาของทั้งหกอาณาจักร และยังต้องส่งจอมเวทไปรับใช้อยู่ในอาณาจักรต่างๆ ไงล่ะ”

“เอ่อ... ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองหรอกนะ” คาริกว่า “แต่เพราะแบบนี้รึเปล่า ท่านถึงไม่เคยทำงานให้กับราชสำนักเลย”

“มันก็เป็นเหตุเป็นผลไม่ใช่หรือไง” ไอดิเอลย้อน โอเรนพูดขึ้นต่อ

“แต่ข้าว่าเจ้าชายบัลดริกซ์ไม่น่าใช่คนใจร้ายนะ”

“มนุษย์น่ะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “ข้าถือคติ ไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก เพราะงั้นการที่พวกเขาไปเสียได้ทำให้ข้าโล่งใจมาก”

“แล้วท่านจะไปเยี่ยมเขาที่อาเปสตามคำเชิญรึเปล่า”

“ข้าคงต้องไป” ไอดิเอลตอบ “ถ้าข้าไม่ไปก็จะเป็นการทำลายน้ำใจจนเกินไป ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดี”

คาริกพูดขึ้นต่อ “งั้นข้าก็จะได้กินอาหารในวัง ว้าว มันต้องอร่อยมากแน่”

“หวังว่าเจ้าชายจะเตรียมส่วนของข้าไว้ด้วยนะ” โอเรนว่า “ข้าอยากเจอจอมเวทอีกคนที่นั่นด้วย ได้ยินเจ้าชายบอกว่านางเป็นสตรีที่สวยงามมาก ขนาดคาริกได้ยินแล้วส่งพลังงานแปลกๆ ออกมาเลยล่ะ”

คาริกหน้าแดง เขาพยายามจะยื่นมือไปปิดปากโอเรนซึ่งเกาะอยู่บนศีรษะ แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน ไอดิเอลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะก๊าก

“เวโรนิกาเป็นคนสวยมาก ถ้าไม่ติดว่าเจ้าทำพันธะสัญญากับข้าไปแล้ว ก็อยากจะยกให้นางไปใช้สักคืนหรอกนะ”

“นี่ ท่านอย่ามาพูดเหมือนข้าเป็นสิ่งของได้ไหม” คาริกว่า “ถึงไม่ทำสัญญาข้าก็ไม่ยินดีถ้าท่านจะยกข้าให้ไปนอนกับใครต่อใครหรอกนะ”

“ไม่ใช่ใครต่อใครเสียหน่อย” ไอดิเอลว่า ก่อนจะโบกมือ “เอาเถอะ เจ้ามันเป็นลูกเจี๊ยบเพิ่งออกจากไข่นี่นา อาหารมาแล้วก็รีบๆ กินเข้าล่ะ เสร็จแล้วข้าจะพาไปเปิดหูเปิดตา”

...............................................

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่11 P2) (ุ13/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-08-2021 09:00:09
ฟ้ามืดแล้วตอนที่พวกไอดิเอลเดินออกมาจากโรงแรม แต่ตัวเมืองทริโกเนียกลับสว่างไสวด้วยแสงไฟจากหลอดที่อาศัยพลังงานจากทริโกนัม ผู้คนมากมายแต่งกายหลากหลายเดินกันให้ขวักไขว่ เสียงพูดคุยจอแจดังกลบเสียงคลื่นทะเลที่พัดสาดเข้ามา

“คนที่นี่ไม่ยักจะตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของท่านแฮะ” คาริกกระซิบขณะเดินตามไอดิเอลไปตามทางเดินริมถนน ซ้ายมือของเขาคือร้านค้าที่ขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว ไอดิเอลยักไหล่ตอบ

“ก็ข้าไม่ใช่จอมเวทคนแรกที่โผล่มาที่นี่นี่นา แล้วก็ไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรกด้วย”

“อ้อ... ท่านมาที่นี่บ่อยหรือ”

“ก็พอดู สมาคมล่าค่าหัวที่นี่ใหญ่ กระดานข่าวด้านในใช้เป็นที่ฆ่าเวลาได้ดีเชียวล่ะ”

“อ้อ... ท่านเป็นนักล่าค่าหัวด้วยนี่นะ ข้าเกือบลืมไปเลย”

“ว่าแต่เราจะไปไหนกันหรือ” โอเรนถามขึ้น “ท่านจะพาคาริกไปหาซื้อหนังสือตามที่เคยบอกไว้รึเปล่า อย่าลืมสอนข้าให้หัดอ่านด้วยนะ”

“ตอนนี้ร้านหนังสือทุกร้านน่าจะปิดหมดแล้วล่ะ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยแวะก็แล้วกัน”

“อ้าว แล้วนี่เราจะไปไหนกัน”

จอมเวทขยิบตา “ที่ดีๆ ที่แม้แต่มังกรอย่างเจ้ายังต้องชอบ ข้ารับรอง”

ที่ดีๆ ที่ไอดิเอลว่า เป็นอาคารสูงสามชั้น สร้างจากหินและไม้ ตั้งอยู่ห่างจากโรงแรมไม่มาก ถึงสถาปัตยกรรมที่นี่จะไม่หรูหรายิ่งใหญ่อย่างแหลมสุดขอบฟ้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอาคารที่ชวนมองหลังหนึ่ง

“เดี๋ยว นี้ท่านตั้งใจพาเรามาที่นี่หรือ” คาริกร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าไอดิเอลเดินนำขึ้นบันไดไป ฝ่ายนั้นเหลียวหน้ามามองอย่างแปลกใจ

“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมต้องทำเสียงตกใจขนาดนั้น”

ชายหนุ่มหรี่ตามอง “ต่อให้ที่นี่มันหรูหราขนาดนั้น ก็คือซ่องไม่ใช่หรือไง”

“เสียมารยาทจริง” ไอดิเอลว่า “เขาเรียกสถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรต่างหาก”

“ข้าเคยได้ยินคำว่าซ่อง” โอเรนว่า “เป็นที่ที่มีผู้หญิงอยู่เยอะๆ แล้วผู้ชายจะชอบไปใช่ไหม”

“ถูกแล้ว”

“แต่สถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรนี่ข้าเพิ่งเคยได้ยิน”

“ที่จริงมันก็หมายถึงสถานที่แบบเดียวกันนั่นแหละ” คาริกตอบแทนให้ แต่ถูกไอดิเอลแทรกขึ้น

“มันไม่เหมือนกันน่า ที่นี่ดีกว่าซ่องเยอะ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีบริการอย่างอื่นที่มากกว่าหลับนอนล่ะนะ”

คาริกพูดด้วยความหมั่นไส้ “ท่านมาที่แบบนี้ยังหวังอย่างอื่นมากกว่าเรื่องหลับนอนอีกหรือไง แล้วนี่โอเรนยังเด็กอยู่นะ”

เจ้ามังกรแทรกขึ้นทันที “ข้าอยู่ในไข่ตั้งสามสิบปี ข้าแก่กว่าเจ้าอีกนะ”

“อยู่ในไข่ไม่นับซี่!”

“เอาล่ะ พวกเจ้าหยุดเถียงกันที” ไอดิเอลว่า “ใครอยากมาก็ตามข้ามา ไม่อยากมาก็กลับโรงแรมไปเลย”

โอเรนรีบกระโดดออกจากศีรษะของคาริกไปเกาะที่ไหล่ของไอดิเอลทันที คาริกจึงรีบวิ่งตามไป

“เดี๋ยวสิ รอข้าด้วย”

เมื่อทริโกเนียมีสุดยอดโรงแรมหรูที่ชื่อว่า ‘แหลมสุดขอบฟ้า’ ได้ สถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรที่ไอดิเอลเรียกก็มีชื่อเช่นกัน นอกจากจะเป็นสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองแล้ว ตึกแห่งนี้ยังมีชื่อเรียกว่า ‘หาดสวรรค์’ แม้ว่าเอาเข้าจริงแล้วตัวอาคารจะไม่ได้ตั้งอยู่ติดทะเลหรือติดชายหาดก็ตาม

ชั้นล่างของหาดสวรรค์ไม่ได้ให้ความรู้สึกใหญ่โตโอ่อ่าเช่นแหลมสุดขอบฟ้าเมื่อย่างเท้าเข้าไป เพราะเพดานต่ำกว่า แต่ประดับไฟและกระจกระยิบระยับ มีทั้งเสียงดนตรี เสียงหัวร่อต่อกระซิกลอยมาให้ได้ยิน สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานและความบันเทิงอย่างที่ไอดิเอลว่าจริงๆ

ทันทีที่จอมเวทย่างเท้าเข้าไป ก็มีสาวๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าบางเบา สีสันสวยงาม และเครื่องประดับที่ทอประกายวิบวับจนดูละลานตาปรี่เข้ามาหาทันที

“ยินดีต้อนรับค่ะท่านไอดิเอล คราวนี้กลับมาไวจังเลยนะคะ แสดงว่างานของท่านคราวนี้ต้องง่ายสุดๆ ไปเลย”

ไอดิเอลหัวเราะชอบใจ ยกไม้เท้าให้สาวคนหนึ่งเอาไปถือ แล้วใช้มือสองข้างโอบไหล่สาวๆ อีกสองคนไว้ พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ถึงงานหนักแค่ไหน พอคิดถึงพวกเจ้าทุกคน ข้าก็หายเหนื่อยไปเลย”

คาริกเห็นแล้วนึกหมั่นไส้จนอยากพูดอะไรสักคำ แต่สาวๆ พวกนั้นชิงพูดขึ้นก่อน

“อุ๊ย นี่ตัวอะไรกันคะท่านไอดิเอล สีเขียวๆ หน้าตาเหมือนกระรอกเลย”

“นูเบส โฟลิอุมน่ะ เขาเป็นมังกร”

“ใช่ๆ” โอเรนพูดขึ้น “ข้าติดตามท่านไอดิเอลมาเอง พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าท่านไอดิเอลจะทำผิดกฎหมายหรอก”

“ว้าย พูดได้ด้วย น่ารักจังเลย นี่มังกรหรือคะเนี่ย ขอจับได้ไหม”

“ถ้าพวกเจ้าจะแตะข้าเบาๆ อย่างสุภาพและให้เกียรติล่ะก็ ข้าอนุญาตนะ”

ผู้หญิงในชุดสีส้มที่อยู่ข้างขวาของไอดิเอลจึงยื่นมือไปแตะขาหน้าของโอเรนเบาๆ เจ้ามังกรพูดขึ้น “มือเจ้านิ่มจังแฮะ จะลูบหัวข้าก็ได้นะ”

สุดท้ายโอเรนก็ถูกพวกสาวๆ ผลัดกันอุ้ม ท่าทางเจ้ามังกรจะมีความสุขเสียด้วย หลังถูกสาวคนหนึ่งอุ้มไว้แนบอก เขาก็งึมงำขึ้นเบาๆ “พวกเจ้านี่ตัวนุ่มนิ่มดีจัง ต่างกับท่านไอดิเอลหรือคาริกลิบลับเลย”

สาวๆ พวกนั้นพากันหัวเราะ “ก็พวกเราเป็นผู้หญิงนี่นา แล้วเจ้าล่ะ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“เอ๊ะ ไม่รู้สิ” โอเรนว่า ไอดิเอลจึงพูดขึ้น

“เขาเป็นผู้ชาย”

“ฮะๆ เป็นหนุ่มน้อยสินะเนี่ย เจ้ามีชื่อรึเปล่า”

“ข้าชื่อโอเรน พวกเจ้าล่ะ”

สาวๆ ผลัดกันแนะนำตัว คาริกที่เหมือนถูกลืมสนิทจึงพูดขึ้นในที่สุด

“สรุปแล้วท่านพาข้ามาที่นี่ทำไมเนี่ย”

ไอดิเอลหันมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ข้าลืมแนะนำ นี่ผู้ช่วยของข้า ชื่อคาริก ที่จริงข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะตื่นเต้นที่ได้เห็นเจ้าหนุ่มนี่เสียอีก”

“แหม... เขาก็แค่เด็กผู้ชายไม่ใช่หรือคะ มังกรสิน่าตื่นเต้นกว่าเยอะเลย”

“จริงด้วยค่ะ ว่าแต่ทำไมคราวนี้ท่านไอดิเอลพาผู้ช่วยมาด้วยล่ะคะ หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่ทำงานดีจนท่านอยากเลี้ยงปลอบขวัญกันล่ะคะเนี่ย”

สาวๆ พวกนั้นพูดพลางชม้ายตามองชายหนุ่มอย่างมีเลศนัย ชายหนุ่มหน้าแดง รีบพูดขึ้นต่อทันที “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาพาข้ามาที่นี่ทำไม”

“อ้าว แล้วกัน” ไอดิเอลร้องออกมา “ข้าก็พาเจ้ามาหาสาวๆ พวกนี้น่ะสิ นี่เจ้าไม่สบายรึเปล่า ทำไมถึงไม่ตื่นเต้นดีใจเลยล่ะ”

“แหม... ก็เขาเป็นผู้ชาย เอ๊ย ผู้ช่วยของท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือคะ เขาคงไม่คิดว่าท่านจะพาเขามาที่แบบนี้หรอกค่ะ”

ไอดิเอลถอนหายใจแบบที่คนมีอายุชอบทำกัน “เฮ้อ... เขาเป็นผู้ช่วยของข้าก็จริง แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายนะ เป็นแค่เด็กหนุ่มวัยละอ่อนที่ยังไม่เคยรู้จักผู้หญิงจริงๆ ด้วยซ้ำ พวกเจ้าก็ดีกับเขาหน่อยสิ”

สาวๆ พวกนั้นหัวเราะคิกคัก สองคนเดินมาหาคาริก คว้าแขนเขาเอาไว้คนละข้าง จากนั้นคาริกก็รู้สึกถึงหน้าอกนิ่มๆ บนแขนของเขา

“ไงจ๊ะหนุ่มน้อย เจ้าเป็นผู้ช่วยคนแรกเลยนะที่ท่านไอดิเอลพามาที่นี่”

“แปลว่าก่อนหน้านี้เขามาที่นี่คนเดียวหรือ”

“อ้อ... บางทีเขาก็พาเพื่อนมาน่ะ” สาวนางหนึ่งตอบ “ว่าแต่เจ้าเพิ่งมาใหม่หรือ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าที่นี่เลย”

“ข้ามาจากคีท” คาริกว่า แล้วถามต่อ “ว่าแต่ไอดิเอลมาทำอะไรที่นี่ เขาเคยบอกข้าว่าเขามีอะไรกับผู้หญิงไม่ได้นี่นา”

สองสาวหลุดหัวเราะออกมา “เจ้านี่ก็ใจร้ายกับท่านไอดิเอลจริงเชียว ระวังเขาได้ยินจะโกรธเอานะ”

“ข้าได้ยินน่า” ไอดิเอลว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าที่นี่เป็นสถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจร ในหัวเจ้าคิดว่าผู้หญิงมีไว้นอนด้วยอย่างเดียวหรือไงกัน”

“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น” คาริกเถียง “ข้าแค่สงสัยว่าท่านมาทำอะไรที่นี่กันแน่”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “พวกเจ้าจะพาเขาไปไหนก็พาไปให้ไกลๆ ข้าเลยไป เสียอารมณ์หมด”

ผู้หญิงพวกนั้นหัวเราะคิกคัก “แหม... ท่านไอดิเอลล่ะก็... พวกเราไปที่ห้องกันเถอะค่ะ พ่อหนุ่มคนนี้จะได้หายสงสัยเสียที”

ห้องที่ว่าอยู่ชั้นสอง เป็นห้องขนาดใหญ่ ด้านในประดับประด้วยกระจกและโคมไฟสว่างไสว สะท้อนประกายวิบวับ บนพื้นมีตั่งวางอยู่สองสามตัว บนตั่งปูด้วยฟูกนุ่มหุ้มแพร หน้าตั่งมีโต๊ะขนาดเล็กสำหรับวางเครื่องดื่มวางอยู่อีกสองตัว อีกฟากหนึ่งของห้องเป็นเวทีขนาดเล็กที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นวางอยู่ โคมไฟประดับมุกและกระจกห้อยระย้าอยู่ด้านบน

พวกผู้หญิงที่เดินตามเข้ามา มีบ้างแยกไปหยิบเครื่องดนตรี อีกส่วนไปหยิบเครื่องดื่มมารินให้ ไอดิเอลนั่งลงบนตั่ง โดยมีสองสาวช่วยประคอง สาวอีกนางเอาไม้เท้ามาวางไว้ให้ข้างๆ จอมเวทรับแก้วน้ำมาจิบ ท่าทางอารมณ์ดีที่มีสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง

“ท่านไอดิเอล เล่าเรื่องการผจญภัยของท่านให้พวกเราฟังหน่อยสิคะ สัปดาห์ก่อนที่ท่านผลุนผลันออกไปน่ะ”

สาวๆ พวกนั้นอ้อน ไอดิเอลหัวเราะพลางโบกมือ “ข้าเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ พวกเจ้าก็จะใช้งานเลยหรือ เล่นดนตรีกับร้องเพลงให้ข้าฟังสักสองสามเพลงก่อนสิ ไม่เอาเพลงที่เกี่ยวกับข้านะ ขอเป็นเพลงที่ร้องเล่นกันไม่ต้องมีสาระก็ได้”

พวกผู้หญิงจึงเริ่มเล่นดนตรีและร้องเพลง ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คอยรินน้ำให้บ้าง ใช้มือนวดเฟ้นไปตามที่ต่างๆ บ้าง คาริกดูแล้วก็ให้นึกถึงพวกตาเฒ่าวัยดึกที่หมดน้ำยาแล้วแต่ยังชอบสาวเอ๊าะๆ อยู่ ซึ่งจะว่าไปถ้าไม่นับหน้าตา ไอดิเอลก็เป็นตาเฒ่าอายุพันกว่าปีที่หมดน้ำยาแล้วจริงๆ (?)

โอเรนเองก็ดูจะมีความสุขที่ถูกพวกสาวๆ อุ้มไปอุ้มมา ยังทำท่าจะมุดเข้าไปในหน้าอกคนนั้นคนนี้จนสาวๆ ร้องว้ายให้วุ่นวายไปหมด

“นี่ ท่านคาริก ทำไมทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้นล่ะ พวกเราไม่สวยพอหรือ” สาวๆ ที่นั่งขนาบข้างอยู่พูดขึ้น คาริกรู้สึกเขินที่ถูกเรียกว่าท่าน เลยรีบพูดตอบ

“เปล่าๆ พวกเจ้าสวยมาก ข้าแค่... เอ่อ... ยังไงดีล่ะ ไม่ชินล่ะมั้ง”

สาวๆ พวกนั้นหัวเราะคิกคัก “หมายความว่าท่านชินกับท่านไอดิเอล แต่ไม่ชินกับพวกเราอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ๆ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “ข้าจะชินกับเขาได้ยังไง ข้าเพิ่งเจอเขาได้ประมาณสัปดาห์นี่เอง”

“แสดงว่าท่านเป็นผู้ช่วยคนล่าสุดของเขา และท่านต้องพิเศษมากแน่ๆ เพราะก่อนหน้านี้ท่านไอดิเอลไม่เคยพาผู้ช่วยมาที่นี่เลย อย่างกับว่าเขาจ้างท่านระยะยาวอย่างนั้นแหละ”

“เขาก็จ้างข้าในระยะยาวน่ะนะ”

“จริงหรือ งั้นท่านก็พิเศษจริงๆ ชักอยากรู้จักให้ละเอียดกว่านี้แล้วสิ”

พูดพลางยกมือลูบอกชายหนุ่ม เล่นเอาคาริกร้อนวูบวาบ หน้าแดงขึ้นมาอีก จนต้องรีบพูดขึ้น “พวกเจ้าทำอะไร ข้าไม่ใช่โอเรนนะ”

สาวๆ พวกนั้นหัวเราะคิกคัก หยิกแก้มเขาเบาๆ “ท่านเป็นหนุ่มละอ่อนน้อยจริงๆ ด้วย สมาคมคุ้มกันยังมีหนุ่มใสซื่อแบบท่านอยู่อีกหรือนี่ หรือว่าท่านไอดิเอลแอบไปขโมยจากที่ไหนมา”

ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น “พวกเจ้าน้อยๆ หน่อย อย่างข้าต้องไปขโมยอะไรจากใครด้วยหรือไง”

“แหม... ก็ดูสิคะ ผู้ช่วยท่านเขินแรงหน้าแดงขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นคนจากสมาคมคุ้มกัน หรือว่าท่านได้มาจากที่อื่นคะ”

“ก็ได้มาจากสมาคมคุ้มกันนั่นแหละ” ไอดิเอลพูดพลางหัวเราะอีก “ข้าพาของหายากมาให้พวกเจ้านะ ดูแลกันดีๆ หน่อยสิ”

“นี่ ข้าไม่ใช่ของหายากนะ” คาริกเถียงขาดใจ “โอเรนต่างหากของหายาก”

โอเรนส่งเสียงขึ้นมา “ผู้หญิงนี่ดีจริงๆ เลยน้า ทำไมข้าไม่ตื่นขึ้นมาบนหน้าอกพวกนางเนี่ย”

คราวนี้คาริกหัวเราะก๊ากทันที “พอคิดว่าเจ้าตื่นขึ้นมาในอกเสื้อของไอดิเอลแล้วข้าก็อดสงสารไม่ได้จริงๆ นะ ฮ่าๆ”

“พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจไป” ไอดิเอลว่า “มีจอมเวทหญิงอยู่ไม่เยอะนักหรอก แล้วก็ไม่มีใครออกเดินทางรอนแรมแบบข้าด้วย”

“ถ้ามีจอมเวทหญิงอยู่เยอะๆ พวกข้าต้องแย่แน่ๆ” สาวคนหนึ่งพูด พลางทำหน้าออดอ้อน “ได้ยินว่าจอมเวทหญิงสวยมาก จริงรึเปล่าคะ”

“จริง” ไอดิเอลว่า “แต่สู้พวกเจ้าไม่ได้หรอก ข้าชอบพวกเจ้ามากกว่า พวกเจ้าน่ารักทุกคนเลย”

พูดจบเขาก็ล้วงเหรียญทองออกมาแจกพวกสาวๆ ก่อนจะหันมาหาคาริก “ส่วนเจ้า คาริก ก็ให้พวกนางพาไปที่ห้องซะ นั่งอยู่ตรงนี้รำคาญสายตาข้าเหลือทน”

“เดี๋ยวๆ” คาริกร้องออกมา “ข้านั่งเฉยๆ ของข้าตรงนี้ มันไปทำให้ท่านรำคาญได้ยังไง”

“มันน่ารำคาญตรงที่เจ้าเอาแต่หน้าแดงแล้วก็อ้ำๆ อึ้งๆ นั่นแหละ นี่ พวกเจ้าพาเขาไปเลยนะ ไปสอนให้รู้จักบริการชั้นหนึ่งของหาดสวรรค์แบบที่ข้าซื้อไม่ได้หน่อยซิ”

ทั้งสองสาวหัวเราะ “ในเมื่อท่านไอดิเอลออกปากถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”

พูดจบก็กึ่งดึงกึ่งฉุดชายหนุ่มออกไป โอเรนถามขึ้น “ข้าไปด้วยได้รึเปล่า”

“ไม่ได้ๆ” ไอดิเอลพูดขึ้นมา “มันเป็นเรื่องระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิง มังกรอย่างเจ้าและจอมเวทอย่างข้าไม่เกี่ยว”

“หือ อยากรู้เลยแฮะว่ามันเป็นเรื่องแบบไหน” โอเรนว่า สาวๆ ที่อยู่ข้างเขาเลยพูดขึ้น

“ท่านโอเรนล่ะก็... อยู่ที่นี่กับพวกเราไม่สนุกหรือไงคะ หรือว่าท่านฟังท่านไอดิเอลเล่าเรื่องจนเบื่อแล้ว”

“ไม่เลย” โอเรนพูดขึ้น “อยู่กับพวกเจ้าสนุกมาก แล้วข้าเองก็อยากฟังท่านไอดิเอลเล่าเรื่องด้วย ปกติแล้วท่านไอดิเอลไม่ค่อยยอมเล่าเท่าไหร่”

“ข้าก็เล่าไปเยอะมากแล้วนะ” ไอดิเอลว่า “จะเล่าเรื่องสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ที่ปากปล่องภูเขาไฟให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน”

..............................................

คาริกเพิ่งรู้นี่เองว่าร่างกายของผู้หญิงนุ่มนิ่มกว่าของผู้ชายเยอะ แถมยังให้สัมผัสที่ชวนหลงใหลเพ้อฝัน ทั้งหมดเกิดขึ้นดั่งความฝันและไม่จีรังเช่นเวทมนตร์ พอถึงเวลาก็จางหายไป ตอนที่เขาออกมาจากหาดสวรรค์ เวลาก็ล่วงไปค่อนคืนแล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้แขกพักค้าง ดังนั้นคาริกจึงต้องเดินกลับไปที่โรงแรม

แสงไฟในเมืองบางตาลง บรรยากาศเงียบเหงา ได้ยินเพียงเสียงคลื่นที่ดังแว่วมา คาริกรู้สึกเหงาพิกล แม้เขาจะเพิ่งผ่านความสุขอย่างที่ผู้ชายทุกคนต้องการ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มเดินมาถึงโรงแรม เขาเงยหน้าขึ้นมอง พลางนึกสงสัยว่าไอดิเอลหลับไปแล้วหรือกำลังเขียนหนังสืออยู่

ภายในห้องพักค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ คาริกปิดประตูห้อง แล้วจึงพบว่าห้องพักนี้มีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของห้องพักรวมที่เขาเคยพักในคีท มีชุดรับแขกชุดใหญ่วางอยู่ และมีประตูอยู่อีกสามบาน สองบานเปิดแง้มอยู่ ส่วนอีกบานหนึ่งปิดสนิท คาริกเดินไปสำรวจบานที่เปิด พบว่าหลังบานหนึ่งเป็นห้องน้ำ ส่วนอีกบานเป็นห้องนอน มีเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียววางอยู่หลังหนึ่ง และมีโต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้ชุดหนึ่ง เขาเดินไปที่ประตูที่ปิดสนิท พลางมองไปที่ช่องว่างเล็กๆ ด้านล่าง

ไม่มีแสงสว่างลอดออกมา แสดงว่าคืนนี้ไอดิเอลไม่ได้เขียนหนังสือ

คาริกไม่ได้เคาะประตู เขาเดินกลับมาที่ห้อง พลางนั่งลงบนเตียง จึงเห็นว่าโอเรนนอนซุกอยู่กับหมอน จึงยื่นมือลูบศีรษะฝ่ายนั้นเบาๆ ดูเหมือนเจ้ามังกรจะหลับสนิท จึงไม่ได้ขยับตัวหรือสะดุ้งเลย ชายหนุ่มถอนหายใจ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้นอนในที่พักหรูหราขนาดนี้ ทุกอย่างดีเยี่ยมไม่มีที่ติ สถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรที่ไอดิเอลเรียกอย่างหาดสวรรค์ ก็เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจ คาริกคิดว่าตัวเองน่าจะเพิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยนึกฝันเอาไว้ แต่น่าประหลาดที่เขากลับไม่รู้สึกยินดีอย่างที่ควรจะเป็นเลย

ชายหนุ่มหวนนึกถึงห้องนอนรวมที่สมาคม นึกถึงพวกที่สมาคมคุ้มกัน นึกถึงออกัส และอาหารของที่นั่น

จริงอยู่ที่นั่นไม่สะดวกสบาย ไม่มีสิ่งให้ความบันเทิงใดๆ มากนัก ไม่มีสาวๆ สวยๆ แต่ก็เป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคย และผู้คนที่นั่นก็เป็นคนที่เขาสนิทสนมและคุ้นเคยกันมานาน

คาริกนึกสงสัยว่าเขาด่วนตัดสินใจเกินไปรึเปล่าที่ตามไอดิเอลมา แต่คิดอีกที เขาไม่มีทางเลือก ต่อให้เขาไม่เต็มใจก็แก้ไขอะไรเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเจ้าตัวจึงค่อยๆ อุ้มโอเรนออกจากหมอน ล้มตัวลงนอน แล้วอุ้มเจ้ามังกรมาซุกไว้กับตัว พลางคิดถึงสิ่งที่เขาควรจะทำเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

.......................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่11 P2) (ุ13/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-08-2021 15:39:51
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่11 P2) (ุ13/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-08-2021 21:47:06
หูยยย หวั่นไวละอ่อ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่12 (P2) (ุ20/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-08-2021 11:26:09
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่12 ซื้อของ


เช้าวันรุ่งขึ้น คาริกลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าโอเรนไม่ได้อยู่ในห้อง ชายหนุ่มจึงรีบเดินออกมาตามหาที่ห้องรับแขกทันที แต่ก็ไม่พบวี่แวว เห็นว่าประตูห้องของไอดิเอลเปิดแง้มอยู่ เลยคิดจะเยี่ยมหน้าเข้าไปสอบถาม แต่พอยกมือเคาะประตูไปครั้งหนึ่ง เสียงของโอเรนก็ดังขึ้น

“คาริกหรือ เจ้าเข้ามาฟังอะไรนี่สิ”

คาริกเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง เห็นโอเรนกำลังนั่งอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เจ้าตัวถามขึ้นทันที

“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ข้ากำลังฟังท่านไอดิเอลร้องเพลง เจ้ามาฟังใกล้ๆ สิ”

คาริกอยากจะบอกหรอกว่ายืนฟังคนอื่นหน้าห้องน้ำแบบนี้มันเสียมารยาท แต่พอได้ยินว่าไอดิเอลร้องเพลง เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปฟังดูใกล้ๆ

“ร้องเพลงอะไรของเขาเนี่ย” ชายหนุ่มพึมพำออกมาหลังเงี่ยหูฟังไปได้พักหนึ่ง “ฟังดูไม่เหมือนภาษาที่ข้าเข้าใจได้เลย”

“อาจจะเป็นภาษาของพวกจอมเวทก็ได้มั้ง” โอเรนตั้งข้อสังเกต อีกฝ่ายจึงถามต่อ

“เจ้าฟังออกหรือไง?”

“ฟังไม่ออกหรอก ข้าก็ไม่ได้เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ข้าพอจะจับได้จากน้ำเสียงและกระแสพลังนะว่ามันน่าจะเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักหรือความสุขอะไรทำนองนั้น ท่าทางวันนี้ท่านไอดิเอลจะอารมณ์ดีมากนะ”

“อ้อ... ข้าก็ไม่แปลกใจหรอกนะ” คาริกว่า “ดูจากท่าทางระรื่นของเขาเมื่อวานนี้แล้วน่ะ”

“ท่านไอดิเอลบอกข้าว่าเจ้าต้องนึกขอบคุณเขาที่พาไปที่นั่นเมื่อคืน แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นะ สาวๆ พวกนั้นทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าหรือ?”

“เปล่าๆ” คาริกรีบปฏิเสธทันที “พวกนางดีกับข้ามาก แต่ข้าไม่ใช่เฒ่าหัวงูอย่างไอดิเอลนะ ถึงจะได้รู้สึกระริกระรี้ขนาดนั้นน่ะ”

“เจ้าว่าใครเป็นเฒ่าหัวงูกันฮึ!” ไอดิเอลที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาส่งเสียงถาม ทั้งคาริกและโอเรนพากันสะดุ้งเฮือก พอหันไปก็เห็นไอดิเอลยืนอยู่ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว อีกข้างหนึ่งยกผ้าขนหนูขึ้นเช็ดผม คาริกอ้าปากค้างไปอึดใจ ก่อนจะเค้นคำพูดออกมา

“นี่ท่านไม่คิดจะนุ่งอะไรก่อนเปิดประตูออกมาเลยหรือไง?!”

“นั่นคือคำพูดของคนที่เสียมารยาทมายืนฟังคนอื่นอาบน้ำงั้นหรือ” ไอดิเอลว่า

คาริกอ้าปากเหมือนอยากเถียง แต่พอมองสิ่งที่แกว่งอยู่ตรงหว่างขาฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ตัดสินใจหันไปทางอื่นเสีย ยังจับโอเรนปิดตาอีกด้วย

“เฮ้ คาริก เจ้าปิดตาข้าทำไม”

“ก็ไม่ให้เจ้าเห็นอะไรน่าอายน่ะสิ”

“หา? อะไรน่าอาย เจ้าหมายถึงร่างกายของท่านไอดิเอลหรือ” โอเรนร้อง พลางดิ้นหนีออกมา “นั่นมันน่าอายตรงไหนกัน?”

“ใช่ ร่างกายของข้ามันน่าอายตรงไหนกัน” ไอดิเอลว่า เขาเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เรียกได้ว่า ‘เปลือยเปล่า’ คาริกร้องขึ้นทันที

“มันน่าอายตอนที่ท่านแก้ผ้าโทงๆ เดินออกมานี่แหละ ถามจริงเถอะ ไม่อายกับเค้าบ้างหรือไง”

“ทำไมข้าจะต้องอายด้วย” อีกฝ่ายย้อนถาม “ที่นี่เป็นห้องของข้านะ ข้าไม่ได้เดินแก้ผ้าอยู่กลางถนนสักหน่อย พวกเจ้านั่นแหละ เสียมารยาทมายืนฟังคนอื่นอาบน้ำแล้วยังจะปากดีอีก”

“เอ่อ... ข้าอาจจะเสียมารยาทก็จริงนะ แต่ท่านก็ควรจะอายข้าหรือไม่ก็โอเรนบ้าง ถึงจะไม่ได้อยู่กลางถนนก็เถอะ”

“อายพวกเจ้าเนี่ยนะ?” อีกฝ่ายทำหน้าแปลก “ข้าช่วยชีวิตเจ้า จ่ายเงินจ้างเจ้า แล้วนี่ข้ายังต้องอายเจ้าเวลาออกจากห้องน้ำอีกหรือ ไร้สาระน่า ข้าไม่เคยเอาเสื้อผ้าเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำ มันไม่สะดวก ทำไมพอมีเจ้าโผล่มาแล้วข้าจะต้องทำเรื่องน่ารำคาญแบบนั้นด้วย”

“....”

“ส่วนโอเรน เขาก็ไม่เคยสวมเสื้อผ้าอยู่แต่แรกแล้ว จะไปอายทำไม”

“ก็จริงของท่านไอดิเอลนะ ข้าไม่เห็นว่าจะต้องอายเลย ผมท่านไอดิเอลก็สวยดีออก” โอเรนพยักหน้าเห็นด้วย คาริกไม่ได้พวก แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“นี่มันเอกสิทธิ์ความหน้าด้านเฉพาะคนมีอายุแบบท่านหรือไงนะ”

ไอดิเอลใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือผ้าเช็ดตัวเกี่ยวคางคาริกให้หันมา “งั้นครั้งหน้าข้าอนุญาตให้เจ้าแก้ผ้าเดินออกมาจากห้องน้ำได้ จะได้เลิกบ่นเสียที”

“ข้าไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนั้นน่า”

“งั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะดึงมือออก “ในเมื่อเจ้าอยู่นี่แล้วก็ช่วยข้าเช็ดผมหน่อยแล้วกัน มีผ้าอีกผืนวางอยู่ตรงนั้น ไปหยิบมาสิ”

ไอดิเอลชี้มือไปยังผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนราว คาริกจึงจำต้องเดินไปหยิบมาอย่างเสียไม่ได้ ผมของไอดิเอลยาวมาก เส้นผมเล็กบาง เป็นประกายเงางามเหมือนเส้นด้ายที่ทอจากแร่เงิน ทั้งยังนุ่มลื่น เวลาลูบให้ความรู้สึกดีกว่าผ้าไหมที่ใช้ปูที่นอนในโรงแรมเสียอีก คาริกใช้ผ้าเช็ดผมฝ่ายนั้นไปสักพัก ก็ถามขึ้น

“ทำไมท่านอาบน้ำบ่อยนักล่ะ ข้าคิดว่าเนื้อตัวท่านแทบจะไม่สกปรกเลยนะ กลิ่นตัวท่านก็ไม่มี”

“ต้องรอให้สกปรกก่อนหรือไงถึงค่อยอาบน่ะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ข้าชอบทำความสะอาดร่างกายตัวเอง ถึงมันจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าก็เถอะ คงเหมือนคนที่ชอบทำความสะอาดโต๊ะเขียนหนังสือ หรือนักดาบที่ชอบเช็ดดาบของตัวเองนั่นล่ะ”

“ท่านเปรียบเทียบอย่างกับว่าร่างกายของท่านเป็นสิ่งของงั้นแหละ”

“มันก็ไม่ต่างกันนักหรอกน่า”

“ว่าแต่เมื่อครู่ท่านร้องเพลงอะไรน่ะ ข้าไม่เคยได้ยินภาษาแบบนั้นมาก่อนเลย โอเรนบอกว่ามันอาจจะเป็นภาษาของพวกจอมเวท”

“อ้อ... ใช่ มันเป็นภาษาโบราณที่ข้าเคยใช้เมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้แทบจำไม่ได้แล้วล่ะ จำได้แต่เพลงง่ายๆ ที่เคยร้องสมัยยังเป็นหนุ่มวัยละอ่อนแบบเจ้านั่นแหละ”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านเคยมีวัยแบบนั้นกับเค้าด้วยแฮะ” คาริกว่า “การไปที่หาดสวรรค์นั่นทำให้ท่านรู้สึกหนุ่มขึ้นมาเยอะเลยงั้นสิ”

ไอดิเอลหัวเราะ “แน่นอน เจ้าก็เห็นนี่ว่าตลอดทางที่ผ่านมาข้าต้องเจออะไรบ้าง ข้าชอบที่แบบหาดสวรรค์เพราะพวกผู้หญิงให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า แค่ได้เห็นพวกนางก็รู้สึกสดชื่นแล้ว แต่ถ้าเจ้าเห็นว่าการได้เห็นหนวดหรือกล้ามของผู้ชายให้ความรู้สึกผ่อนคลายกว่า ข้าก็จะไม่พาเจ้าไปที่แบบนั้นอีก”

“ใครมันจะไปเห็นของแบบนั้นแล้วรู้สึกผ่อนคลายกันเล่า” คาริกร้องขึ้นทันที “ข้าไม่ได้วิปริตนะ”

“ข้าก็ยังไม่ได้พูดสักคำ” ไอดิเอลว่า “แต่ข้าประหลาดใจอยู่นะ คิดว่าเจ้าจะอารมณ์ดีกว่านี้ตอนตื่นมาเสียอีก พวกนางบริการไม่ดีหรือไง”

“ดีสิ” ชายหนุ่มตอบทันควัน “ดีจนข้าอยากจะอยู่แบบนั้นทั้งคืนเลยล่ะ”

“อ้าว แล้วไหงท่าทางเจ้าไม่ค่อยมีความสุขเลยล่ะ อย่าบอกนะว่าเพราะเห็นข้าเดินแก้ผ้าออกมาจากห้องน้ำน่ะ”

คาริกจ้องหน้าฝ่ายนั้น “ถ้าข้าบอกว่าใช่ ท่านจะเลิกเดินแก้ผ้าออกมาหรือไง”

“ไม่ ข้าจะได้ให้เจ้าไปพักอีกห้องหนึ่ง”

คาริกถอนหายใจเฮือก “ที่ข้าอารมณ์ไม่ดี คงเป็นเพราะข้ารู้สึกเหงาน่ะ”

“หืม?”

“ก็ท่านเล่นทิ้งให้ข้าเดินกลับมาคนเดียวนี่นา พอมาถึงก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว สำหรับข้ามันเหงามากนะ เหมือนว่าไม่มีใครรอข้าอยู่เลย”

“อ๋อ ที่แท้เพราะเจ้าเหงานี่เอง” โอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของเขาพูดออกมา “พอเจ้าพูดออกมาแล้วข้าก็รู้สึกว่าพลังงานของเจ้าตอนนี้มันคล้ายตอนที่เจ้าไปเก็บของที่ห้องอยู่เหมือนกันนะ”

ไอดิเอลหันมาหาเขา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าเหงาเพราะข้าให้เจ้าเดินกลับมาคนเดียวงั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าต้องการเวลาส่วนตัวเสียอีก”

พูดจบก็ดึงชายหนุ่มเข้าไปกอด แล้วลูบศีรษะเหมือนปลอบเด็ก “โอ๋ๆ เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวผ่านไปสักพักก็ชินเองนั่นแหละ”

คาริกรีบผลักอีกฝ่ายออก “ไอ้การปลอบใจของท่านแบบนี้นี่ ไม่ต้องทำเลยข้าจะรู้สึกว่าท่านจริงใจกว่านะ”

“แหม... ทำเป็นรังเกียจไป” ไอดิเอลว่า “เพราะข้าไม่ได้มีหน้าอกนิ่มๆ แบบสาวๆ พวกนั้น เจ้าก็เลยไม่รู้สึกเหมือนถูกปลอบใจสินะ”

“อย่าเอาข้าไปเทียบกับเฒ่าหัวงูแบบท่านนะ” คาริกพูดพลางถอนหายใจ “เฮ้อ... ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้คิดจะกระโดดไปรับไข่มังกรนั่นให้ท่านกันนะ”

“ประเด็นนั้นข้าว่าจะไม่พูดถึงอยู่แล้วนา...” ไอดิเอลพูดออกมา “ก็บอกแล้วว่าพันธะสัญญานี้มันไม่มีผลดีกับเจ้า ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ ถึงนครเวหาจะเป็นสถานที่นี่มีแต่คนน่ารำคาญอยู่เต็มไปหมด แต่ห้องสมุดของที่นั่นรวบรวมคำตอบของทุกปัญหาบนโลก ข้าเชื่อว่าจะต้องมีวิธีจัดการบางอย่างกับพันธะสัญญานี่”

“ข้ายังไม่ได้คิดถึงเรื่องพันธะสัญญานั่นเลย” คาริกว่า ก่อนจะถอนหายใจอีก “แต่ช่างเถอะ มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอกนะ อย่างน้อยๆ ท่านก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้นี่นา”

ไอดิเอลมองหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะยิ้มพลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะเขาเบาๆ “นานๆ เจ้าก็พูดอะไรเข้าหูข้าเหมือนกันนะเนี่ย”

“ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงตามที่มันเป็นอยู่น่ะ” อีกฝ่ายตอบ ไอดิเอลลูบศีรษะเขาอยู่พักก็พูดขึ้น

“เจ้าไปจัดการตัวเองเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้โอเรนช่วยแต่งตัว”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไร... ให้ข้าทำเถอะ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์กับท่านบ้าง ไม่ใช่แค่ของที่บังเอิญได้มาโดยไม่ต้องการน่ะ”

“.....”

ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดไอดิเอลก็เป็นฝ่ายพยักหน้า “นั่นสินะ... ข้ารับปากจ้างเจ้าแล้วนี่นา”

โอเรนร้องขึ้นทันที “ให้ข้าช่วยด้วยสิ ข้าก็อยากมีประโยชน์กับท่านไอดิเอลเหมือนกันนะ”

“งั้นเจ้าไปหยิบเสื้อผ้าที่พาดอยู่ตรงนั้นมาให้ข้า ส่วนคาริก เจ้าก็ช่วยหวีผมแล้วกัน”

ผมของไอดิเอลหวีง่ายแทบไม่พันกัน แต่ถ้าสางเองจนถึงปลายก็คงจะใช้เวลาพอสมควร คาริกหวีไปก็ถามขึ้นมา

“ท่านไว้ผมยาวขนาดนี้ ไม่รำคาญหรือ”

“รำคาญสิ”

“งั้นทำไมไม่ตัดเสียล่ะ”

“มันไม่มีกรรไกรของช่างคนไหนตัดได้น่ะสิ ข้าคิดว่าถ้าใช้ดาบที่ดีที่สุดฟันลงไปมันอาจจะขาดก็ได้ แต่ผมคงไม่เป็นทรง และดาบน่าจะเสียคมอยู่นะ”

“ผมท่านนี่มันเป็นผมหรือว่าอะไรกันล่ะนี่”

“มันก็เป็นผมนั่นแหละ เพียงแต่มันไม่ใช่ผมแบบของมนุษย์หรือสัตว์ก็เท่านั้นเอง”

“ฟังแล้วข้าก็สงสัยนะ สรุปแล้วพวกท่านถือกำเนิดขึ้นมาแบบไหน เจ้าชายบัลดริกซ์บอกว่าพวกท่านไม่เคยเล่าเรื่องตัวเอง”

“ใช่ รู้แบบนี้แล้วเจ้ายังจะถามทำไมอีก”

“ก็เผื่อท่านจะเล่า”

ได้ยินเสียงเหมือนไอดิเอลถอนหายใจ “ถ้าเราอยู่ด้วยกันนานพอ บางทีสักวันข้าอาจจะเล่าให้เจ้าฟัง แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากเล่า”

“ต้องเป็นผู้หญิงสวยๆ ก่อนหรือท่านถึงจะยอมเล่า เมื่อวานท่านเล่าเรื่องให้พวกนางฟังเยอะแยะเลยนี่นา” โอเรนถามขึ้นมา เขาใช้ขาหน้าอุ้มเสื้อตัวในมาส่งให้ไอดิเอล จอมเวทยื่นมือไปรับแล้วตอบ

“ข้าอาจจะเล่าเรื่องประหลาดพิสดารเป็นร้อยเป็นพันเรื่องให้พวกนางฟังได้ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่ พวกเจ้าไม่ต้องน้อยใจไปที่ตัวเองไม่ใช่สาวสวย ไม่มีจอมเวทคนไหนอยากเล่าถึงเรื่องนี้หรอก รวมถึงข้าด้วย เพราะงั้นหยุดถามได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะอารมณ์เสียจริงๆ”

“....”

โอเรนรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “งั้นข้าไปหยิบเสื้อตัวนอกมาให้ท่านนะ”

เสื้อผ้าที่ไอดิเอลสวมเป็นสีดำทั้งหมด ชุดตัวในที่ทอจากผ้าฝ้ายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตัวนอกรวมถึงผ้าคลุมที่ทอจากขนสัตว์กันน้ำปักดิ้นทองนี่น้ำหนักเอาเรื่องอยู่ คาริกเห็นโอเรนพยายามถูลู่ถูกังลากขึ้นมาแล้วอดสงสารไม่ได้

“นี่ โอเรน เจ้าวางไว้เถอะ เดี๋ยวข้าไปหยิบให้เอง”

“ไม่เป็นไร ข้ายกไหว ฮึบ!”

ในที่สุด หลังจากใช้ความพยายามอยู่พัก เขาก็ลากเสื้อตัวนอกมาให้ไอดิเอลได้สำเร็จ

“เสื้อผ้าท่านนี่หนักจังแฮะ ข้าไม่คิดเลยว่าจะหนักขนาดนี้”

“มันทอด้วยดิ้นทองก็ต้องหนักล่ะนะ” คาริกว่า แล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุม ขณะที่ไอดิเอลสวมเสื้อตัวนอกทับเสื้อชั้นใน

“พวกเจ้าจงดีใจเถอะที่ไม่ต้องสวมเสื้อผ้าหนักขนาดนี้น่ะ”

“ว่าแต่จอมเวททุกคนต้องใส่เสื้อผ้าสีดำหรือ” คาริกถามขึ้นต่อ ไอดิเอลตวัดเสื้อคลุมขึ้นสวมแล้วตอบ

“เปล่านี่... เวโรนิกาชอบใส่สีขาวกับสีชมพู ฟัยรุซาชอบสีทองกับสีแดง แต่ที่พวกเจ้าเข้าใจแบบนั้น คงเพราะจอมเวทที่ออกเดินทางส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แล้วเสื้อคลุมที่ทอจากขนนากทะเลก็มีแต่สีน้ำตาลเข้มกับสีดำ เลยทำให้รู้สึกว่าจอมเวทจะต้องสวมเสื้อผ้าสีดำล่ะมั้ง อ้อ... ดูเหมือนเครื่องแบบของพวกนักเวทฝึกหัดก็เป็นสีดำหรือสีน้ำตาลด้วยนี่นะ... ข้าไม่รู้ว่าใครออกกฎ แต่คงเป็นไปเพื่อความสะดวกล่ะมั้ง”

“งั้นแสดงว่าท่านชอบสีดำน่ะสิ” โอเรนว่า “ก็ท่านเล่นใส่สีดำทั้งตัวเลยนี่นา”

“อาจจะใช่นะ ข้าว่าสีดำมันเคร่งขรึม แล้วก็สะดวกกับการรักษาดี ไม่ต้องระวังเลอะ ซักก็ง่าย ถ้าเป็นสีอ่อนเลอะนิดหน่อยก็มองเห็นแล้ว”

“จริงของท่านนะ” คาริกว่า “แต่เสื้อที่ย้อมสีเข้มๆ แบบนี้น่ะราคาแพงเอาเรื่องมาก ข้าขอใส่สีมอๆ แบบนี้ต่อไปดีกว่า”

“เจ้ายังเด็ก ใส่สีดำไปก็ดูอมทุกข์เปล่าๆ น่า” ไอดิเอลว่า “จริงสิ เดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่”

“แต่งตัวแบบนี้เดินไปกับท่านมันน่าอายหรือไง”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา “ไอ้คนที่อายน่ะมันเจ้าหรือข้ากันแน่ แค่เห็นข้าเดินไม่ใส่เสื้อออกมาจากห้องน้ำ เจ้ายังบ่นเสียหน้าดำหน้าแดง ข้าอยู่มาปูนนี้เลิกสนใจเรื่องเสื้อผ้าไปนานแล้ว ขอให้มีใส่ไม่ขัดตาเป็นใช้ได้ แต่เจ้ายังเด็กแบบนี้ แต่งตัวให้ดีดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียความมั่นใจเอา เชื่อข้าเถอะน่า”

“....”

“ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ต้องกังวล ข้าจะซื้อให้เจ้าเป็นของขวัญ ถือว่าปลอบใจที่ทิ้งเจ้าให้เดินกลับคนเดียวเมื่อคืนนี้แล้วกัน ว่าไง... ข้าว่าข้าเป็นนายจ้างที่ใจดีและใจกว้างมากแล้วนะเนี่ย”

คาริกนึกอยากจะกระโดดกัดไอดิเอลสักคำ “ก็ได้ ในเมื่อท่านออกปากเอง ข้าปฏิเสธไปก็ใช่ที่นี่นา แต่ข้าขอแวะร้านหนังสือด้วยนะ อยากรู้ว่าท่านเขียนตำราขายจริงๆ รึเปล่า”

ไอดิเอลหัวเราะอีก “ได้ ข้าก็ตั้งใจจะพาเจ้าไปอยู่แล้ว”

..........................................

หลังมื้อเช้า ไอดิเอลพาคาริกไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของทริโกนัม เป็นร้านขายเสื้อผ้าสำหรับนักเดินทางโดยเฉพาะ เจ้าของร้านเป็นสาวสวยตัดผมสั้น ท่าทางทะมัดทะแมง นางดูประหลาดใจที่เห็นจอมเวทก้าวเข้ามาในร้าน แต่ก็รีบเดินมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านจอมเวทสนใจเสื้อผ้าแบบไหนหรือคะ ร้านเรามีเสื้อตัวในที่ทอจากลินินอย่างดี ทนทานในทุกสภาวะอากาศ หรือจะเป็นเสื้อผ้าฝ้ายอย่างหนา เราก็มีจำหน่ายนะคะ มีบริการแก้ทรงให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยค่ะ”

ไอดิเอลยิ้มตอบนาง “ข้าไม่ได้มาซื้อเสื้อผ้าใส่เองหรอก ของเจ้าหนุ่มนี่น่ะ” เขาบุ้ยหน้าไปทางไอดิเอล สาวเจ้าของร้านดูมีสีหน้าโล่งขึ้น คงเพราะการขายเสื้อผ้าให้พ่อหนุ่มคนนี้ น่าจะง่ายกว่าการขายให้จอมเวท ที่เฉพาะเสื้อคลุมตัวเดียวก็ดูจะมีมูลค่ามากกว่าเสื้อในร้านของนางทั้งราวเสียอีก

นางหันไปหาคาริก ยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วพูดขึ้นต่อ “ท่านคงเป็นนักดาบสินะ ข้ามีชุดที่ทอจากผ้าลินินผสมขนแมกนิส คอร์นิบัส แข็งแรง ทนทาน มีหูสำหรับสอดสายสะพายดาบ เหมาะกับท่านมากๆ”

“มีชุดทนไฟบ้างไหม” ไอดิเอลแทรกขึ้น “แบบที่ทอจากขนของรูบี้ ครินิตัสก็ได้”

“พวกท่านจะเดินทางไปที่ภูเขาอินิกเทียม ลูซิสกันหรือ? ข้ามีของที่เด็ดยิ่งกว่าเสื้อที่ทอจากขนของรูบี้ ครินิตัสเสียอีก รอสักครู่นะคะ” นางเดินหายไปที่ด้านหลังร้าน สักพักก็กลับมาพร้อมกล่องกระดาษขนาดใหญ่กล่องหนึ่ง

“นี่คือชุดที่ตัดเย็บจากหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตา เพิ่งมาใหม่สดๆ ร้อนๆ ยังไม่ทันเอาขึ้นหุ่นแสดงเลยค่ะ มีครบชุดทั้งเสื้อ กางเกง ถุงมือ รองเท้าบูท แถมสายสารพัดประโยชน์ไว้สำหรับคาดอาวุธด้วย หายากมากนะคะท่าน ที่เราจะได้หนังสมบูรณ์มาขึ้นชุดได้ทั้งตัวแบบนี้”

นางพูดพลางเปิดกล่องกระดาษออก หยิบชุดด้านในออกมา ส่งให้คาริก

“ลองดูสิคะ”

ชายหนุ่มมองชุดในมือ แล้วหันไปหาไอดิเอล เห็นฝ่ายนั้นพยักหน้า

“ชุดนี้เข้าท่านะ ลองสิ ข้าอยากรู้ว่าเป็นไง”

คาริกจึงรับชุดนั้นมาแล้วเข้าไปในห้องลองเสื้อ หนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่ฟอกแล้วเป็นสีแดงก่ำเหมือนเลือดแห้ง ดูเงาระยับคล้ายกับมีเปลวไฟซุกซ่อนอยู่ ตัวเสื้อตัดเย็บแบบคอแบะ มีกระดุมด้านหน้าและสายปรับความพอดีด้านหลัง ชายยาวลงไปถึงหัวเข่า เจาะกระเป๋าตรงโคนขา กางเกงเป็นแบบมีสายปรับด้านข้าง พร้อมกระเป๋าคาด คาริกรู้สึกตื่นเต้น เมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่เขาเพิ่งสังหารไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่อยากเชื่อเลยว่าพอเอามาฟอกและตัดเย็บแล้วจะดูดีขนาดนี้

เขาสวมเสื้อผ้าชุดนั้นแล้วเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ มีเด็กรับใช้ในร้านมาช่วยปรับสายด้านหลังให้ หญิงสาวเจ้าของร้านหิ้วรองเท้าบูทคู่หนึ่งมา มองดูเขาแล้วยิ้ม

“ท่านสวมแล้วดูดีมากเชียวค่ะ ลองรองเท้าบูทดูสิคะ เราตัดมาได้สามคู่ คิดว่าคู่นี้น่าจะขนาดพอดีกับเท้าของท่าน”

เด็กรับใช้มาช่วยเขาสวมรองเท้า ขนาดพอดีอย่างที่หญิงสาวว่า ชายหนุ่มหันไปหาจอมเวท

“เป็นไง”

“ดูดีเชียวล่ะ” ไอดิเอลว่า โอเรนที่เกาะอยู่บนไหล่รีบพยักหน้า พลางยกขาหน้าทำนองว่า ‘ยอดไปเลย’ จอมเวทพูดขึ้นต่อ

“ชอบรึเปล่า”

“อือ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่12 (P2) (ุ20/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-08-2021 11:28:05
“อย่างนั้นตกลงซื้อชุดนี้ ทั้งชุดเลย” เขาหันไปหาหญิงสาว “เจ้าช่วยเขาเลือกชุดลำลองอีกสักตัวสิ เอาที่ใส่สบายหน่อย ไม่หนักมาก สีสว่างๆ เหมาะกับวัยรุ่นแบบเขาน่ะ”

คาริกมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านจะให้ข้าซื้ออีกชุดหรือ”

“ใช่ ไม่ต้องทำหน้าตกใจ ข้าจะเป็นคนจ่ายทั้งหมดนี่เอง”

คาริกเลือกได้ชุดผ้าลินินสีฟ้ากับกางเกงสีกรมท่าอีกชุดหนึ่ง ไอดิเอลให้เขาเปลี่ยนไปสวมชุดที่ตัดเย็บจากหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตา ส่วนชุดเก่ากับชุดสีฟ้าที่เพิ่งซื้อใหม่พับเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นจึงไปที่คอกเพื่อจ่ายเงินค่าเสื้อผ้า

“ทั้งหมดแปดร้อยห้าสิบสามเหรียญทองค่ะ”

คาริกได้ยินถึงกับอ้าปากค้าง ขณะที่ไอดิเอลหยิบสมุดตั๋วแลกเงินขึ้นมา หยิบปากกาเขียนตัวเลขลงไป แล้วฉีกออกมาใบหนึ่ง หญิงสาวรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณซ้ำหลายครั้ง ก่อนจะหยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งขึ้นมา

“นี่เป็นปลอกคอ เราแถมให้ค่ะ คิดว่าน่าจะเหมาะกับสัตว์เลี้ยงของท่าน”

ไอดิเอลเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “สัตว์เลี้ยง?”

“ค่ะ ก็กระรอกน้อยสีเขียวที่ไหล่ท่านไงคะ”

จอมเวทกะพริบตาซ้ำครั้งสองครั้ง ก่อนจะพูดออกมา “เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เขาเป็นสหายของข้า”

“ตายจริง” หญิงสาวมีสีหน้าตกใจ “ทางเราไม่มีเจตนาจะเสียมารยาท ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ”

“ไม่เป็นไร” ไอดิเอลว่า “เก็บปลอกคอของเจ้าไว้เถอะ ถ้าเปลี่ยนเป็นกระเป๋าสัมภาระสักใบแทนคำขอโทษจะดีมาก”

หญิงสาวรีบกุลีกุจอไปหากระเป๋ามาแถมให้ทันที พอออกจากร้านมาแล้ว คาริกจึงถามขึ้น

“ไม่น่าเชื่อว่านางจะแถมกระเป๋าอีกใบให้ท่านแฮะ ที่จริงแล้วมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเองนี่นา”

“ไม่มีใครอยากทำให้จอมเวทโกรธหรอก” ไอดิเอลว่า “อีกอย่างข้าซื้อของไปตั้งเยอะ แถมกระเป๋าใบนึงก็ไม่ขาดทุนหรอก”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านจะงกของแถมนะเนี่ย” คาริกว่า ไอดิเอลชายตามองเขาเป็นเชิงตำหนิ ขณะที่โอเรนส่งเสียงขึ้น

“แต่ข้าอยากได้ปลอกคอนะ” เจ้ามังกรว่า “ไม่ได้หมายถึงข้าอยากเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน แต่ว่าท่านซื้อเสื้อผ้าให้คาริกแล้ว ข้าก็อยากได้บ้างนี่นา”

ไอดิเอลหัวเราะ “ของที่เหมาะกับเจ้ามากกว่าปลอกคอยังมีอีกเยอะน่า”

จากนั้นไอดิเอลก็เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายเสื้อผ้านัก คราวนี้เจ้าของร้านเป็นผู้ชายไว้หนวด ท่าทางภูมิฐาน ที่หน้าร้านมีตู้กระจกวาววับ ด้านในมีอัญมณีวางอยู่ ดูละลานตาท่ามกลางแสงไฟที่ติดตั้งเพื่อเพิ่มความสว่างด้านใน

“โอ้ ท่านไอดิเอล วันนี้มีอะไรมาขายหรือครับ”

“วันนี้ข้าไม่มีอะไรมาขายหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้าอยากได้สร้อยมรกตสักเส้นหนึ่งน่ะ”

ชายคนนั้นเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านจะไม่ใช้ศิลาธาตุแล้วหรือครับ”

“ไม่ใช่ของข้า ของสหายตัวเล็กนี่น่ะ” เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางโอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของคาริก

“อ่า...” เจ้าของร้านอัญมณีส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับโอเรนอีก เขารีบวกไปพูดเรื่องการค้าต่อทันที

“อ้อ มีสิครับ ชอบเป็นมรกตเม็ดใหญ่คล้องสร้อยทอง หรือจะเป็นมรกตเม็ดเล็กลงหน่อย เข้าเรือนทองเรียงต่อกันเป็นสายสร้อยดีครับ”

“โอเรน เจ้าชอบแบบไหน”

“ท่านจะซื้อมรกตให้ข้าหรือ” โอเรนย้อนถาม “หน้าตามันเป็นยังไงน่ะ”

ชายคนนั้นรีบหยิบสร้อยคอมรกตที่อยู่ในตู้ขึ้นมาอวดทันที “แบบนี้ครับ นี่เป็นมรกตเนื้อดีมาก เขียวและใสสะอาด แทบไม่มีรอยร้าวในเนื้อปรากฏให้เห็นเลย”

โอเรนชะโงกไปดู ก่อนจะพูดออกมา “ก็สวยนะ แต่ข้าอยากได้ของที่เหมือนกับดวงตาของท่านไอดิเอลน่ะ”

คาริกกระซิบขึ้นมา “นี่ เขาจะซื้อให้ เจ้ายังจะเรื่องมากอีกหรือ”

“ก็ท่านไอดิเอลถามว่าข้าชอบแบบไหนนี่นา”

คนขายปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดต่อ “ถ้าพูดถึงดวงตาของท่านไอดิเอล ข้าว่าไม่มีอะไรจะเทียบได้เท่าบุษราคัมอีกแล้วล่ะ”

เขารีบเดินไปหยิบสร้อยข้อมือที่ทำจากบุษราคัมเข้าเรือนทองร้อยด้วยห่วงทองคำวงเล็กๆ ขึ้นมา

“นี่ไงครับ สีเหลืองใสสว่างวาว ทอประกายงดงามใกล้เคียงกับดวงตาของท่านไอดิเอลเลย”

ดวงตาสีแดงของโอเรนเป็นประกาย เขามองสร้อยบุษราคัมเส้นนั้น สลับกับมองหน้าไอดิเอล จากนั้นก็ผงกศีรษะหงึกๆ

“ใช้ได้ ข้าชอบเส้นนี้”

“งั้นก็ลองดูสิว่าสวมพอดีรึเปล่า”

เจ้าของร้านรีบหยิบผ้ากำมะหยี่มาปูให้บนตู้ แล้วหยิบกระจกมาวาง “เชิญครับ เดี๋ยวผมจะลองสวมให้”

โอเรนกระโดดลงไปนั่งที่ผ้ากำมะหยี่ ชายคนนั้นจึงลองสวมสร้อยที่คอของเขา สร้อยแทบจะจมหายไปในขนของโอเรน เขาพูดด้วยความประหลาดใจ

“คอท่านเล็กนะครับเนี่ย ผมคิดว่าจะใส่ไม่ได้เสียอีก”

“ไหนๆ ขอข้าดูหน่อย” โอเรนว่า เขาขยับไปที่กระจก แล้วยกขาหน้าขึ้นขยับสร้อยคอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาไอดิเอล

“สวยสุดๆ ไปเลย ท่านว่าสวยรึเปล่า”

“เจ้าบอกว่าสวยก็ต้องสวยอยู่แล้วสิ” ไอดิเอลตอบพลางยิ้ม โอเรนหันไปมองคาริก

“เจ้าล่ะ เห็นว่าไง”

“สวยแล้ว” คาริกว่า “แต่แน่ใจนะว่ามันจะไม่หลุดน่ะ”

เจ้าของร้านอัญมณีรีบพูดทันที “ตัวล็อกของร้านเราออกแบบพิเศษ ถ้าไม่รู้วิธีถอดไม่มีทางแกะออกหรอกครับ”

“โอ้โห ดีจังเลย” โอเรนว่า “งั้นสอนข้าหน่อยสิ เผื่อข้าอยากถอดออกมาทำความสะอาดน่ะ”

“ได้สิครับ” ฝ่ายนั้นสมเป็นมืออาชีพ ไม่ถามสักคำว่าโอเรนจะใช้ขาหน้าสั้นๆ ถอดสร้อยเส้นนั้นได้อย่างไร เขาปลดสร้อยออกมา สาธิตวิธีการใส่และปลดตัวล็อกให้โอเรนดู อีกฝ่ายลองทำตาม ปรากฏว่าทำได้เสียด้วย ไอดิเอลจึงขอดูสร้อยเส้นนั้น แล้วพูดขึ้นต่อ

“ข้าตกลงซื้อสร้อยเส้นนี้ แล้วก็จี้ศิลาจันทราเส้นนั้นด้วย ที่เป็นรูปดอกไม้น่ะ”

คนขายยิ้มพลางรีบหยิบสร้อยเส้นที่ว่าขึ้นมา “ท่านนี่ตาถึงอีกแล้ว เส้นนี้งานดีมากนะครับ เป็นทองคำชุบทองคำขาว ศิลาจันทราเนื้องามสดใส ทอประกายเล่นแสงตลอดเวลา จะแพ้ก็แต่ศิลาธาตุที่ท่านสวมอยู่เท่านั้น”

“ข้าชอบที่มันล้อมเพชร” ไอดิเอลว่า “คิดราคาเลย เส้นนี้ใส่กล่องสวยๆ หน่อยนะ ข้าจะเอาไปฝากเพื่อน”

“อ๋อ ได้สิครับ แล้วอีกเส้นจะให้ใส่กล่องด้วยไหมครับ”

โอเรนสั่นศีรษะ “ไม่ๆ เส้นนี้ข้าจะสวมไปเลย ไม่ต้องเอากล่องมาให้เกะกะหรอก”

สรุปแล้วไอดิเอลจ่ายค่าสร้อยไปสองเส้นรวมหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบเหรียญทอง คาริกเห็นราคาแล้วก็อดถามไม่ได้

“ขนาดทองหยิบทองหยองเส้นเล็กๆ ยังราคาขนาดนี้ แล้วเครื่องประดับบนตัวท่านนี่จะราคาขนาดไหนกัน”

ไอดิเอลหันมายิ้ม “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกน่า เพราะข้าเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน”

“....”

“ข้าไม่เห็นอัญมณีแบบที่ท่านไอดิเอลสวมขายอยู่ในร้านนั้นเลย” โอเรนว่า “แล้วที่วางขายอยู่ทั้งหมดก็ไม่มีชิ้นไหนมีพลังเทียบเท่าที่ท่านสวมอยู่ด้วย”

“ที่ข้าสวมอยู่เรียกว่าศิลาธาตุ” ไอดิเอลอธิบาย “หลังการระเบิดครั้งใหญ่ มันเลยกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งหกอาณาจักร ชิ้นใหญ่ๆ น่ะหายากมาก แหล่งที่หาได้เยอะที่สุดคือบริเวณปากปล่องแห่งการสิ้นสูญ ซึ่งตอนนี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปทำเหมืองแล้ว ศิลาธาตุน่ะไม่มีขายตามร้านขายเครื่องประดับธรรมดาหรอก ที่เดียวที่เจ้าจะสามารถซื้อศิลาธาตุได้อย่างถูกกฎหมาย คือที่นครเวหา”

โอเรนตาโต “เรากำลังจะไปที่นั่นกันใช่ไหม”

“ใช่แล้ว แต่ก่อนจะไปขึ้นเรือเหาะ ข้าต้องแวะร้านหนังสือตามที่สัญญากับคาริกเอาไว้ก่อน”

ร้านหนังสือที่ไอดิเอลเลือกเข้า เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในทริโกเนีย เป็นอาคารที่ก่อจากหิน ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนตรงข้ามกับทริโกนัม สูงสามชั้น เจ้าของร้านเป็นชายชราสวมแว่นตาหนาเตอะ เขาดูดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นไอดิเอลแวะเข้าไปที่ร้าน

“โอ้ ท่านไอดิเอล ท่านได้หนังสือที่ข้าตามหาแล้วหรือ”

ไอดิเอลหัวเราะ “หนังสือเล่มนั้นอยู่ในหอสมุดของนครเวหา ข้าอาจจะทำสำเนามาให้เจ้าได้ แต่ไม่ใช่วันนี้แน่อัลเบิร์ต ข้าพาผู้ช่วยมาซื้อหนังสือ”

“หืม?” ตาเฒ่าอัลเบิร์ตขยับแว่นพลางเขม้นมองคาริกที่ยืนอยู่ข้างๆ “โอ้... นี่มันนูเบส โฟลิอุมนี่นา เดี๋ยวนี้ท่านรับผู้ช่วยเป็นมังกรแล้วหรือ”

คาริกขมวดคิ้วพลางถลึงตามองชายชรา ขณะที่โอเรนพูดขึ้น “ข้าไม่ใช่ผู้ช่วยท่านไอดิเอล ถึงแม้ว่าข้าจะอยากเป็นมากก็เถอะ เจ้าคนที่ข้าเกาะอยู่นี่ต่างหาก เขาชื่อคาริก”

ชายชราขยับแว่นอีกที แล้วทำสีหน้าเหมือนเพิ่งเห็นว่าคาริกอยู่ตรงนั้นก็ปาน “อ้อ... เจ้าหนูนี่เองรึ”

เขาหันไปหาไอดิเอล “ผู้ช่วยของท่านยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลยนี่นา ท่าทางทะมัดทะแมงทีเดียว ไหงถึงพามาที่นี่ล่ะ ถ้างานที่ท่านรับคราวนี้ต้องการหนอนหนังสือล่ะก็... ท่านจ้างข้าก็ได้นะ”

ไอดิเอลหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “ถ้าเป็นงานแบบนั้นข้าต้องคิดถึงเจ้าเป็นคนแรกอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่หรอก... เรากำลังจะเดินทางไปที่นครเวหา ข้าคิดว่าเขาควรจะมีหนังสืออ่านฆ่าเวลา”

“อ้อ... อย่างนี้นี่เอง” อัลเบิร์ตพยักหน้า ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกชื่อใครสักคน “น็อกซ์ มานี่หน่อยซิ มาพาท่านนักดาบคนนี้ไปเลือกหนังสือหน่อย”

น็อกซ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา เขาเป็นเด็กชายวัยรุ่น คงจะเด็กกว่าคาริกสักสองสามปี หน้าตาตกกระ ผมสีแดงอมเหลือง ท่าทางกระตือรือร้นจนเหมือนแตกตื่น เขาเอ่ยถามทันที

“ตะกี้ท่านว่าอะไรหรือ”

ตาเฒ่าอัลเบิร์ตถอนหายใจเฮือก “ข้าบอกว่าช่วยพาท่านนักดาบคนนี้ไปเลือกหนังสือหน่อย เจ้าคงอ่านหนังสือเพลินจนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วล่ะสิ”

เด็กหนุ่มหัวเราะเฝื่อนๆ เขาหันไปและเห็นไอดิเอล “อ้าว ท่านไอดิเอล มาเมื่อไหร่กันครับ นี่รีบรึเปล่า ผมน่ะมีเรื่องอยากจะถามเยอะแยะเลย”

“รีบ” ไอดิเอลตอบทันที เขาหันไปทางคาริกและแนะนำ “นี่ผู้ช่วยของข้า ชื่อคาริก พวกเรากำลังจะนั่งเรือเหาะไปที่นครเวหา อยากให้เจ้าช่วยพาเขาไปหาหนังสือหน่อย ข้าให้เวลาถึงสิบโมงนะ”

นอกซ์มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็รีบผงกศีรษะ แล้วหันไปหาคาริก “เชิญทางนี้เลยครับ”

พอทั้งสามคนออกไปแล้ว ตาเฒ่าอัลเบิร์ตจึงเดินออกมาจากคอก เขาเดินไปกระซิบกับไอดิเอล

“มีเรื่องอะไรที่นครเวหาหรือไง ไหงคราวนี้ท่านถึงคิดจะพาผู้ช่วยไปด้วยล่ะ”

ไอดิเอลยิ้มอ่อนก่อนพูดตอบไป “ถ้าว่างก็หาน้ำแร่มาเลี้ยงข้าสักเหยือกสิ แล้วจะเล่าให้ฟัง”

........................................

ร้านหนังสือของตาเฒ่าอัลเบิร์ตเหมือนโรงเก็บหนังสือขนาดใหญ่ มีทั้งหนังสือสำหรับจำหน่าย และหนังสือสำหรับยืมอ่าน ส่วนหนังสือสำหรับยืมอ่านอยู่บนชั้นสอง มีชั้นหนังสือวางอยู่สี่ด้าน และมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งอ่านวางเรียงอยู่ตรงกลาง ส่วนชั้นสามเป็นที่อยู่อาศัยของตะแกกับหลาน ไม่อยากเชื่อว่าอายุปูนนี้แล้วแกยังเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นสามไหวอีก

คาริกไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่เท่าไหร่ เพราะงานของเขาคือคุ้มกันขบวนสินค้า พอเดินทางถึงที่หมายก็ต้องไปลงทะเบียน เผื่อจะได้มีคนเรียกใช้บริการตอนขากลับ และที่สมาคมก็มีหนังสือให้อ่านฆ่าเวลาอยู่แล้ว ล่าสุดที่เขามาที่นี่ก็น่าจะเป็นเมื่อสามสี่เดือนก่อนล่ะมั้ง ตอนนั้นน่าจะแวะเพราะคนที่สมาคมฝากซื้อหนังสือเกี่ยวกับอาวุธนั่นแหละ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเดินสำรวจร้านหนังสืออย่างจริงจัง

โอเรนดูตื่นเต้นกว่ามาก เขาไม่เคยเห็นหนังสือจริงๆ มาก่อน นอกจากได้ยินคนพูดถึงกันเท่านั้น พอได้มาเห็นของจริงจำนวนมหาศาลขนาดนี้ เจ้าตัวก็ครางด้วยความประทับใจ

“นี่หรือหนังสือ... น่าสนใจมาก ด้านในคือสิ่งที่เรียกว่าตัวหนังสือใช่ไหม ได้ยินว่านี่คือสิ่งที่บรรจุสรรพความรู้เอาไว้ เจ้าต้องสอนข้าอ่านนะคาริก มันต้องยอดมากแน่ๆ”

แต่คนที่ดูตื่นเต้นที่สุดน่าจะเป็นนอกซ์ เขามองโอเรนด้วยความพิศวง แล้วร้องออกมา

“ข้าจำได้แล้ว ท่านต้องเป็นนูเบส โฟลิอุมแน่ๆ ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับมังกร”

“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ข้าเป็นนูเบส โฟลิอุม ข้าชื่อโอเรน”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่12 (P2) (ุ20/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-08-2021 11:28:39
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” เด็กหนุ่มถามต่อ “นูเบส โฟลิอุมมีถิ่นอาศัยอยู่บนเทือกเขาไฮดรัสไม่ใช่หรือ ท่านไอดิเอลไปได้ตัวท่านมาจากไหน เขาเป็นคนผลักดันกฎหมายเรื่องนูเบส โฟลิอุมเองนี่นา”

“เรื่องมันยาวอยู่น่ะ” โอเรนว่า “เอาว่าข้าสมัครใจมากับเขาเอง และเขากำลังจะพาข้ากลับไปที่ที่เรียกว่าบ้านของข้า”

“อ๋อ ท่านคงถูกพวกโจรลักพาตัวออกมาสินะ” นอกซ์ว่า “ข้าได้ยินว่าพวกท่านเฉลียวฉลาดมาก แถมยังมีรูปร่างน่ารักน่าเอ็นดู พวกคนมีเงินมักอยากได้พวกท่านไปเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ท่านไอดิเอลบอกว่าพวกท่านไม่ใช่สัตว์เลี้ยง และไม่สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงได้ เขาเคยเล่าว่ามีอยู่รายหนึ่ง เลี้ยงนูเบส โฟลิอุมไว้ในบ้าน โดยล่ามโซ่เอาไว้เพื่อไม่ให้บินหนี มังกรเลยแก้แค้นพวกเขาโดยการเปลี่ยนอากาศให้กลายเป็นพิษ จนคนในบ้านวิกลจริตและฆ่ากันตายจนหมด”

“หึย น่ากลัวแฮะ” คาริกพูดด้วยความสยอง “ข้าคิดว่าพวกนี้แค่สร้างลมหมุนขึ้นมาได้อย่างเดียวเสียอีก”

“ท่านไอดิเอลบอกว่านูเบสควบคุมธาตุลมได้ ทั้งยังรู้การไหลของกระแสพลัง และยังมองเห็นสภาพจิตใจของมนุษย์อีกด้วย ด้วยความสามารถขนาดนี้ จึงไม่ใช่และไม่สมควรเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างเด็ดขาด”

โอเรนผงกศีรษะ “เขาพูดถูกแล้ว ท่านไอดิเอลนี่ยอดจริงๆ โชคดีจังที่ข้าได้พบกับเขา”

“อื้อ” นอกซ์ผงกศีรษะ “ท่านไอดิเอลน่ะเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก น่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยแวะมาที่นี่ ข้ามีเรื่องมากมายอยากถามเขา บางทีถ้าอารมณ์ดีเขาก็จะเล่า แต่ส่วนใหญ่เขาดูไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”

เขาหันไปหาคาริกแล้วพูดต่อ “ท่านโชคดีนะที่เจอเขา ได้ยินว่าเขาจ้างผู้ช่วยเป็นครั้งคราว ข้าแนะนำว่าท่านควรอาศัยเวลานี้ถามเขาทุกเรื่องที่ท่านอยากรู้ เขาต้องตอบท่านโดยไม่ปิดบังแน่นอน”

คาริกฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วพูดตอบ “ได้ยินว่าเขาเขียนหนังสือไว้เยอะ ขอข้าดูหน่อยได้รึเปล่า”

“อ้อ ได้สิ เรามีชั้นที่มีหนังสือของท่านไอดิเอลโดยเฉพาะเลย ทางนี้ ตามข้ามา”

ชั้นหนังสือที่ว่าตั้งอยู่ถัดจากชั้นวางหนังสือออกใหม่ บนชั้นทั้งหมดเป็นหนังสือจำพวกสัตววิทยา มีทั้งที่เป็นสารานุกรมเล่มใหญ่ๆ ไปจนถึงปทานุกรมฉบับพกพา นอกซ์พูดขึ้นต่อ

“นี่คือฉบับที่ยังมีพิมพ์จำหน่ายอยู่ ถ้าท่านอยากดูมากกว่านี้ เรามีอีกเยอะที่ชั้นสาม แต่ว่าหนังสือในนั้นเป็นแบบยืมอ่าน ไม่ได้จำหน่าย ไม่ได้นำออกจากร้านด้วย”

“ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีเวลาเยอะขนาดนั้น” เขาหยิบหนังสือบนชั้นมาพลิกดู สุดท้ายก็หยิบ ‘ปทานุกรมสัตว์ยักษ์แห่งอาณาจักรหรดีฉบับพกพา’ ‘ประมวลสัตว์มีพิษ เล่มสี่ ว่าด้วยสัตว์มีพิษในป่าต้องห้ามในอาณาจักรหรดี’ และ ‘มังกร ตำนานแห่งสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกาลเวลา’

โอเรนแสดงอาการแปลกใจเมื่อเห็นว่าคาริกหยิบหนังสือออกมาเพียงสามเล่ม ทั้งที่ยืนเลือกอยู่นานมาก

“นี่เจ้าจะซื้อแค่นี้หรือ”

“อืม... ข้าไม่อยากให้สัมภาระหนักจนเกินไป”

“อ้อ...”

“ท่านจะไปชำระเงินเลยไหมครับ” นอกซ์ถาม คาริกหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู ก่อนจะพูดออกมา

“ยังพอมีเวลาเหลือ ข้าอยากจะดูหนังสือเพิ่มอีก”

“อ้อ ได้สิครับ หนังสือร้านเรามีเยอะมาก จัดไว้เป็นหมวดหมู่ ท่านสนใจจะดูหนังสือเกี่ยวกับอะไร ข้าจะได้นำไป”

คาริกเงียบไปพัก “เป็นหนังสือเกี่ยวกับ... เอ่อ... เจ้าเอาหูมาใกล้ๆ หน่อยสิ”

นอกซ์เอียงหูไปหา จากนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา “หนังสือแบบนั้นเรามีนะครับ ข้าจะพาท่านไปเลือก”

.............................................

คาริกเดินมาที่คอกคิดเงินก่อนสิบโมงเล็กน้อย ได้หนังสือมาสี่เล่ม เขาใช้เงินในถุงที่ได้จากไอดิเอลจ่ายค่าหนังสือ ตาเฒ่าอัลเบิร์ตดูเสียดายที่รั้งจอมเวทไว้ต่อไม่ได้ เขาคิดเงินค่าหนังสือ ซึ่งก็มีราคารวมเพียงหนึ่งเหรียญทองกับอีกยี่สิบสองเหรียญเงินเท่านั้น คาริกเอาหนังสือใส่กระเป๋าสัมภาระ แล้วเดินตามไอดิเอลออกมา

พวกเขามาถึงท่าเรือเหาะตอนสิบเอ็ดโมง เรือที่จะบินไปยังนครเวหาเป็นเรือลำใหญ่ คาริกเคยมีประสบการณ์ขึ้นเรือเหาะมาก่อน มันเป็นพาหนะที่ใช้เทคโนโลยีจากสมัยอาณาจักรเก่า ขับเคลื่อนด้วยการประจุพลังงานเข้าไปในแกนเครื่องยนต์ นอกจากจะมีความเร็วอย่างที่ม้าหรือรถเทียบไม่ติดแล้ว การที่มันลอยอยู่ในอากาศ ยังทำให้ย่นระยะทางระหว่างสถานที่ให้สั้นลงได้อีกด้วย

เรือเหาะที่จะเดินทางไปนครเวหาเป็นเรือเหาะขนาดใหญ่ แบ่งเป็นห้าชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่เก็บสินค้าและสัมภาระ รวมถึงสัตว์ที่เป็นพาหนะ เหนือขึ้นไปเป็นที่นั่งแบบชั้นสาม ซึ่งเป็นที่นั่งรวมสามแถว มีเก้าอี้แถวละสามตัว ชั้นนี้จุผู้โดยสารได้เยอะที่สุด และค่าโดยสารก็ราคาต่ำที่สุด ถัดขึ้นไปเป็นที่นั่งชั้นสอง เป็นที่นั่งรวมเช่นกัน แต่เบาะปรับเอนนอนได้ และมีฉากกั้น มีทั้งหมดสองแถว แต่ละแถวมีเก้าอี้สามตัว ส่วนที่นั่งชั้นหนึ่ง อยู่ก่อนถึงชั้นบนสุด แบ่งเป็นห้อง มีทางเดินตรงกลาง ชั้นนี้จุผู้โดยสารได้ไม่มาก เน้นความสะดวกสบาย ด้านบนสุดเป็นภัตตาคารลอยฟ้าหลังคากระจก ไว้สำหรับนักเดินทางใช้รับประทานอาหารและพักผ่อนหย่อนใจ ชั้นโดยสารแต่ละชั้นแยกจากกันเด็ดขาด จากประตูทางเข้าจะมีลิฟต์แยก การเดินทางใช้ระยะเวลาราวหกชั่วโมง

คาริกรู้สึกตื่นเต้น แม้นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขึ้นเรือเหาะ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นอย่างถูกต้อง และตั๋วโดยสารที่ไอดิเอลซื้อ ก็เป็นตั๋วแบบชั้นหนึ่งเสียด้วย

ห้องโดยสารชั้นหนึ่งกำหนดให้มีผู้โดยสารได้ไม่เกินห้องละสองคน ส่วนสัมภาระ สัตว์เลี้ยง และสัตว์พาหนะต้องไปอยู่ชั้นล่างสุด แต่เนื่องจากโอเรนเป็นมังกร หลังจากไอดิเอลเจรจากับผู้ดูแลเรือเหาะอยู่พักหนึ่ง พวกเขาทั้งสามก็ได้รับอนุญาตให้โดยสารในห้องเดียวกัน

“นี่ถ้าข้ามีร่างมนุษย์แบบเดียวกับท่านไอดิเอลคงจะสะดวกกว่านี้ล่ะนะ” โอเรนพูดขึ้นเมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้ว คาริกทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวบุนวมภายในห้อง พลางเอื้อมมือไปดึงผ้าม่านออก

“ตะกี้ตอนอยู่ในร้านหนังสือ ข้าเปิดอ่านเรื่องมังกรไปได้หน่อย เห็นว่าพวกเจ้าแปลงร่างแบบมนุษย์ได้นะ”

“พูดจริงหรือ?” โอเรนร้องด้วยความตื่นเต้น คาริกผงกศีรษะ ก่อนจะหันไปมองไอดิเอล

“ถามเขาสิ ก็เขาเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนั้นนี่นา”

โอเรนหันไปมองไอดิเอล จอมเวทที่เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้จึงพูดขึ้น

“จริง แต่ไม่ใช่มังกรทุกตัวจะแปลงร่างได้หรอกนะ”

“ทำไมล่ะ? มีเงื่อนไขอะไรงั้นหรือ”

ไอดิเอลมองโอเรนอยู่พัก ก็พูดขึ้นต่อ “มังกรที่จะแปลงร่างได้ ต้องมีอายุถึงระดับหนึ่งก่อน ที่สำคัญ มีแต่มังกรระดับเชื้อพระวงศ์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะแปลงร่างได้”

“ยังไงนะ หมายถึงข้าต้องเป็นเจ้าชายงั้นหรือ” โอเรนถามต่อ ไอดิเอลพยักหน้า

“ก็ประมาณนั้นแหละ สังคมของมังกรน่ะมีการแบ่งการปกครองเหมือนของมนุษย์ ก็คือมีมังกรที่เป็นมังกรสามัญธรรมดา และมังกรเจ้าหรือมังกรระดับเชื้อพระวงศ์ ซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง มังกรพวกนี้จะมีพลังอำนาจมากกว่ามังกรธรรมดา และสามารถเปลี่ยนร่างในลักษณะใกล้เคียงกับรูปร่างของมนุษย์ พวกเขาเรียกร่างนี้ว่าร่างกลาง ข้าคิดว่ามันมีไว้เพื่อการเข้าสมาคมในพื้นที่จำกัด เช่นปราสาทหรือราชวัง”

“อย่างนั้นถ้าข้าเป็นเจ้าชาย ข้าก็จะแปลงร่างได้ใช่ไหม”

“บอกยาก” ไอดิเอลว่า “เท่าที่ข้าศึกษา นูเบส โฟลิอุมเป็นมังกรที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่หลังการระเบิด และเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กมาก ด้วยขนาดของพวกเจ้า ไม่น่าจะต้องใช้ร่างมนุษย์ในการติดต่อสื่อสาร และเท่าที่ข้ารู้มา แม้พวกเจ้าจะตั้งถิ่นฐานอยู่บนเทือกเขาไฮดรัส แต่มันไม่ได้ใหญ่ขนาดเมือง ถ้าให้เทียบกับมนุษย์ ก็ประมาณหมู่บ้านล่ะมั้ง โดยความเห็นส่วนตัวข้าไม่คิดว่าสายพันธุ์ของเจ้าจะแปลงร่างได้นะ”

โอเรนหูตก หน้าเซ็งสนิท “อย่างนี้เวลาไปไหนมาไหนกับท่านไอดิเอล ข้าก็ลำบากแย่สิ”

ไอดิเอลหัวเราะ “ไม่ลำบากกหรอกน่า อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว เห็นไหม”

“นั่นสินะ” โอเรนมีท่าทีสดชื่นขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านแปลงร่างเป็นอย่างอื่นได้รึเปล่า?”

“ก็ไม่เชิง” ไอดิเอลว่า “ข้าสามารถใช้เวทมนต์ ทำให้คนอื่นมองแล้วเห็นเป็นอย่างอื่นได้”

“อ้อ... ที่เรียกว่าภาพลวงตาสินะ”

“ถูกต้องแล้ว”

“งั้นคาริกล่ะ เจ้าแปลงร่างได้รึเปล่า”

“ข้าจะไปแปลงร่างได้ไง” คาริกว่า “ข้าเป็นมนุษย์นะ”

“งั้นก็แปลว่าพวกเราเสมอภาค” โอเรนพูดออกมาพลางหัวเราะ “ไม่มีใครแปลงร่างได้ก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ”

“ทุกเผ่าพันธุ์ต่างมีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ” ไอดิเอลว่า “ข้าเรียกมันว่าความแตกต่างที่เท่าเทียม”

โอเรนผงกศีรษะ แล้วถามต่อ “ว่าแต่ท่านไอดิเอลเขียนหนังสือเยอะมากนะ ท่านจะช่วยสอนข้าอ่านหนังสือได้ไหม ข้าจะได้อ่านหนังสือของท่านได้”

ไอดิเอลหัวเราะ “ทำไมไม่ให้คาริกสอนให้ล่ะ”

คนถูกพาดพิงรีบออกตัวทันที “ความรู้ข้างูๆ ปลาๆ น่า ในเมื่อโอเรนออกปากแล้ว ท่านก็สอนให้เขาเถอะนะ”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา แล้วถามต่อ “งั้นเจ้าจะมาเรียนด้วยกันไหม เผื่อความรู้จะได้พัฒนาขึ้น”

ชายหนุ่มรีบสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ ข้าพอจะอ่านออกอยู่แล้ว ท่านสอนโอเรนไปเถอะ ข้ามีหนังสือที่ต้องอ่านอีก”

โอเรนกระโดดจากศีรษะของคาริก มาเกาะไหล่ของไอดิเอล แล้วกระซิบ

“ท่านไอดิเอล ตะกี้นอกจากของท่าน คาริกยังซื้อหนังสืออย่างอื่นมาด้วยนะ”

“ข้าเห็นแล้วน่ะ”

คาริกหันควับมาทันที “ท่านเห็นอะไร”

“ไม่มีอะไร” ไอดิเอลพูดยิ้มๆ “เจ้าจะอ่านหนังสือก็อ่านไปเถอะ ยังอีกตั้งหกชั่วโมงกว่าจะถึงนครเวหา ข้าจะสอนโอเรนอ่านหนังสือ ถ้าเจ้ารู้สึกรำคาญก็หาอะไรมาอุดหูไว้แล้วกัน”

คาริกเหลือบมองไอดิเอลแวบหนึ่ง “ข้าว่า ข้าไปหาที่นั่งอ่านที่อื่นดีกว่า”

“ห้องอาหารชั้นบนก็นั่งได้นะ” ไอดิเอลเสนอ “เจ้าซื้ออะไรมากินสักที่ แค่นี้ก็ไม่น่าเกลียดแล้วล่ะ”

“งั้น เอ่อ... ข้าขึ้นไปข้างบนนะ”

“ตามสบายเลย” ไอดิเอลว่า แล้วหยิบตั๋วเรือเหาะของตนยื่นให้คาริก “เอาตั๋วข้าไปด้วย รู้สึกว่าเขาจะแถมอาหารเที่ยงนะ เจ้าจัดการให้หมดเลย จะได้คุ้มค่าตั๋วหน่อย แล้วอย่าทำตั๋วหายล่ะ เดี๋ยวจะกลับมาไม่ถูก”

“รู้แล้วล่ะน่า”

..........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่12 (P2) (ุ20/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-08-2021 23:31:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่11 P2) (ุ13/8/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-08-2021 23:50:32
รอออออ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่13 (P2) (ุ10/9/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-09-2021 09:56:26
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่13 เวทมนตร์และเทคโนโลยีเป็นของที่คลานตามกันมา


เนื่องจากเป็นช่วงบ่าย ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า หลังคากระจกด้านบนของภัตตาคารลอยฟ้าบนเรือเหาะจึงเปิดบังแสงเพียงเล็กน้อย พอให้มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามา คาริกเลือกนั่งตรงที่นั่งติดกระจก ตั๋วแลกอาหารได้สองที่ เขาจึงสั่งเพิ่มมาอีกที่หนึ่ง ตอนที่ยกอาหารมาที่โต๊ะ บริกรดูประหลาดใจจนต้องอดไม่ได้ต้องถามออกมา

“อีกคนยังไม่มาหรือครับ ให้ยกกลับไปก่อนไหม”

“ไม่ต้องๆ” คาริกรีบบอก “วางไว้นั่นแหละ ข้ากินคนเดียว”

บริกรมีสีหน้าประหลาดใจกว่าเก่า แต่คงถูกอบรมมาดี จึงแค่วางถาดอาหารเอาไว้แล้วเดินจากไป คาริกเลยจัดการอาหารทั้งสามสำรับจนเกลี้ยง และนั่งอ่านหนังสือต่ออย่างสบายอารมณ์

เรือเหาะเดินทางถึงนครเวหาประมาณห้าโมงเย็น คาริกพบว่าท่าจอดเรือเหาะแห่งนี้เป็นลานขนาดใหญ่ พื้นปูด้วยสิ่งที่ดูคล้ายโลหะดุนลายขรุขระสีน้ำตาลทอง แต่ละช่องเทียบเรือมีเพนียดเทียบเพื่อให้ผู้โดยสารเดินเข้าสู่ตัวอาคารที่ใช้สำหรับรอสัมภาระและตรวจเอกสารประจำตัว เลยออกไป คือท้องฟ้าอันไพศาลไร้สิ่งใดขวางกั้นอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เรือเหาะหลายลำลอยลำอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าและก้อนเมฆถูกแสงตะวันยามเย็นอาบทาจนกลายเป็นสีทองอมชมพูเรื่อเรือง ส่วนตัวอาคารสร้างจากสิ่งที่ดูคล้ายโลหะขัดเงาวาวสะท้อนแสงเป็นประกาย กรุกระจกรอบด้าน ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกชัดตา

ด้านในตัวอาคารมีผู้คนหนาตา มีซุ้มประตูโค้งทำจากโลหะหลายซุ้ม แต่ละซุ้มมีป้ายขนาดใหญ่เขียนกำกับไว้ด้านบน อาทิเช่น ซุ้มตรวจเอกสารสำหรับผู้เดินทางมาจากอาณาจักรอุดร ซุ้มตรวจเอกสารสำหรับผู้เดินทางมาจากอาณาจักรบูรพาเป็นต้น

ขณะที่คาริกกำลังตื่นตะลึงอยู่กับความใหญ่โตและคึกคักของด่านตรวจคนเข้าเมือง ไอดิเอลก็ส่งเสียงเรียกเขา

“ทางนี้”

คาริกรีบสาวเท้าตามจอมเวทไปทันที พวกเขาเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่หลายซุ้ม แต่ละซุ้มมีผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เสียงพูดคุยดังจอแจ ผู้คนมากหน้าหลายตาแต่งตัวหลากหลาย บ้างสะพายอาวุธแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไอดิเอลพาเขาเดินมาที่ซุ้มซึ่งมีป้ายเขียนว่า ‘บริการรับฝากพาหนะ’ ซุ้มนี้มีคนต่อคิวบางตา จอมเวทหันมาพูดกับชายหนุ่ม พลางชี้มือไปทางด้านขวา

“ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำพาหนะเข้าไป ข้าต้องทำเรื่องฝากอัลบุสกับม้าด่างของเจ้าก่อน เจ้าไปรับสัมภาระที่สายพานหมายเลขยี่สิบที่อยู่ตรงนั้น เอาหางตั๋วไปด้วย ดูให้แน่ว่าหยิบมาครบและถูกใบ แล้วมาเจอข้าที่ตรงนี้นะ”

“ได้” คาริกผงกศีรษะก่อนจะเดินเบียดฝูงชนออกไป เขาใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงสายพานหมายเลขยี่สิบ หยิบกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดแล้วกลับมาเจอไอดิเอลที่ซุ้มรับฝากพาหนะ

“เราต้องเดินกลับไปใช่ไหม” โอเรนพูดขึ้น “ตะกี้ข้าเห็นป้ายเขียนว่าซุ้มตรวจเอกสารของอาณาจักรหรดี ตรงที่เราผ่านมาก่อนหน้านี้สองซุ้มน่ะ”

“ไม่ต้อง เราจะไปอีกช่องหนึ่ง” ไอดิเอลว่า คาริกรีบหิวสัมภาระเดินตามออกไป ก่อนจะร้องอย่างนึกขึ้นได้

“หา! โอเรน เจ้าอ่านหนังสือออกแล้วหรือ”

“ใช่” โอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของเขาส่งเสียง “ที่จริงแล้วมันก็ไม่ยากเลยนะ ท่านไอดิเอลให้ข้าลองอ่านต้นฉบับหนังสือที่เขียนค้างอยู่ด้วย”

“เดี๋ยวๆ ทำไมเจ้าเรียนรู้ไวจัง เพิ่งเรียนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่”

“ท่านไอดิเอลบอกว่าพวกข้าฉลาด เรียนไม่นานก็รู้เรื่องแล้ว แสดงว่าข้าฉลาดจริงๆ สิเนี่ย”

“เหลือเชื่อ” คาริกคราง โอเรนถามขึ้นต่อ

“ว่าแต่ท่านไอดิเอลจะพาเราไปไหนเนี่ย”

ไอดิเอลพาทั้งคู่เดินผ่านฝูงชน ไปยังช่องเล็กๆ ที่เขียนว่า ‘เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง’ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ด้านในมีคอกเหล็กที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ประมาณสองสามคน พอได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้ามา ก็พูดขึ้นทันที

“ขอโทษครับ ที่นี่เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง”

“เออ ข้ารู้ ข้าอ่านออก” ไอดิเอลว่า “ไหนบอกข้าหน่อยซิว่าข้าจะขึ้นไปที่สภากลางได้ยังไง”

คนพวกนั้นเงยหน้าขึ้นทันที “เทพแห่งแสงโปรด! ท่านคือ...”

“ไอดิเอล”

คนหนึ่งอุทานขึ้นมา ก่อนจะรีบลุกขึ้น “ต้องขออภัยด้วยครับท่านไอดิเอล คือพวกเราไม่เคยเห็นท่านเลย”

“ก็น่าอยู่หรอก” ไอดิเอลว่า “ครั้งสุดท้ายที่ข้ากลับมาที่นี่ก็น่าจะเกือบแปดเก้าสิบปีแล้วมั้ง ตาทวดของพวกเจ้าอาจจะเกิดทันนะ สรุปแล้วฟัยรุซาย้ายทางขึ้นไปไว้ที่ไหน ข้าจำได้ว่ามันเคยอยู่ตรงนี้”

“อ้อ... ท่านต้องขึ้นลิฟต์พิเศษไปน่ะครับ เดี๋ยวข้าจะพาไป”

ชายคนนั้นรีบกุลีกุจอเดินนำพวกเขาออกจากห้องไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ถัดออกไปเล็กน้อยทันที

“นี่ครับ ต้องใช้ลิฟต์หมายเลขสาม ท่านทาบฝ่ามือลงบนแท่นนี้ ลิฟต์จะพาท่านขึ้นไปยังบนหอคอย”

“แบบนี้รึ” ไอดิเอลพูดพลางวางฝ่ามือลงบนแท่น มีแสงไฟสีขาวนวลปรากฏขึ้นที่เหนือประตูลิฟต์ จากนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้น

“ยืนยันตัว สมาชิกสภาลำดับสอง คานุส ไอดิเอล สถานะได้รับอนุญาตถูกต้อง ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ท่านไอดิเอล”

ประตูลิฟต์เปิดออก ด้านในเป็นห้องโลหะทรงกระบอกสีทอง มีสัญลักษณ์รูปศิลาห้าแฉกทอประกายสีรุ้งฉุลเด่นอยู่ด้านใน ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป

“พาข้าไปที่สภากลาง”

พอหันไปเห็นพวกคาริกยังยืนเก้ๆ กังๆ จอมเวทเลยพูดขึ้นต่อ

“เข้ามาสิ”

คาริกรีบก้าวเท้าตามเข้าไปในลิฟต์ ชายที่เดินมาส่งจึงโค้งให้ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง คาริกหันไปถามไอดิเอลทันที

“ตะกี้อะไรน่ะ ทำไมถึงมีเสียงพูดออกมาด้วยล่ะ?”

“มันเป็นเทคโนโลยีโบราณ เรียกกันว่าสมองกลน่ะ” ไอดิเอลตอบ ทั้งคาริกและโอเรนมีสีหน้าประหลาดใจ จอมเวทจึงอธิบายต่อ

“เพราะจอมเวทมีอายุขัยเกือบเป็นอนันต์ และมีจำนวนไม่มาก การจัดการในสภาส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยสมองกลเป็นหลัก มันเป็นเทคโนโลยีในช่วงสุดท้ายของยุคอาณาจักรเก่าที่พวกเรานำกลับมาดัดแปลงใหม่ เป็นปัญญาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจัดการความเป็นไปต่างๆ แทนมนุษย์ที่มีอายุขัยจำกัด”

“เอ่อ... ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ” คาริกว่า “แต่สรุปแล้วนั่นไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม”

ไอดิเอลผงกศีรษะ “สมองกลไม่ใช่มนุษย์ พวกนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์เท่านั้น”

“สิ่งประดิษฐ์ก็พูดได้หรือ” โอเรนถามขึ้น “อย่างนั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาเหมือนกันน่ะสิ ตอนที่เราเรียนหนังสือกัน ท่านบอกข้าว่ามีแต่เผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาเท่านั้นที่มีสามารถพูดและประดิษฐ์ตัวอักษรได้”

“ไม่ พวกมันถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้คิดและพูดตามวงจรที่ถูกวางไว้เท่านั้น สมองกลและปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถคิดเองได้ อย่างที่ข้าบอก มันเป็นแค่สิ่งประดิษฐ์”

ลิฟต์ปิดแต่หยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็มีเสียงพูดขึ้นอีก

“ท่านไอดิเอลคะ สถานะอัปเปหิของท่านสิ้นสุดระยะเวลาแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าทุกเขตของหอคอยโลหะได้โดยสถานะถาวรของท่าน แต่ข้าตรวจพบสิ่งมีชีวิตอีกสองชนิดโดยสารมากับท่านด้วย หนึ่งเป็นนูเบส โฟลิอุม สิ่งมีชีวิตซึ่งมีกฎหมายระหว่างอาณาจักรคุ้มครอง อีกหนึ่งเป็นมนุษย์ที่ข้าไม่อาจจำแนกเผ่าพันธุ์ ทั้งคู่อยู่เหนือขอบข่ายอำนาจการอนุญาตของข้า หากท่านประสงค์จะนำทั้งสองไปด้วย ข้าจะส่งท่านไปที่ห้องรูปไข่ เพื่อให้ท่านทีมัวร์ทำการตรวจสอบ ท่านตกลงไปพบท่านทีมัวร์หรือไม่คะ”

“อืม ตกลง พาข้าไปพบเขาเลย”

“รับทราบค่ะ”

คาริกรู้สึกว่าลิฟต์กำลังเคลื่อนขึ้น เขาหันไปถามไอดิเอลอีกครั้ง “ทีมัวร์นี่ใครน่ะ”

“เพื่อนข้า” ไอดิเอลว่า “เขาเป็นคนที่ดูแลควบคุมเจ้าสมองกลนี่”

“เขาเป็นจอมเวทเหมือนท่านใช่ไหม”

“อืม... ใช่ เขาเป็นจอมเวท แต่ดูไม่ค่อยเหมือนจอมเวทหรอก เดี๋ยวเจ้าเจอเขาก็จะรู้เอง”

ใช้เวลาอึดใจลิฟต์ก็หยุดลง จากนั้นประตูก็เปิดออก เบื้องหลังประตู คือห้องโถงทรงรีเหมือนไข่ที่สร้างจากโลหะสีทองรมดำ ทั้งลึกและกว้างจนมองรายละเอียดไม่ออก ตรงกลางห้องโถงมีจานรูปวงกลมสีทองที่มีแท่นทรงครึ่งวงกลมวางหงายอยู่ ที่ฐานจานรองด้วยเสาขนาดใหญ่ที่ยาวลงไปถึงก้นของห้องทรงกลม ไอดิเอลก้าวเท้าลงไปบนทางเดินสีทองที่ดูเหมือนสะพานซึ่งทอดตัวไปยังแท่นทรงกลมนั้น คาริกจึงเดินตามไป พอเดินเข้าไปใกล้พอ เขาจึงค้นพบว่าแท่นสีทองนั่นใหญ่และกว้างพอๆ กับบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งเลยทีเดียว

คาริกยืนอึ้งได้ไม่นานก็ถูกดึงความสนใจจากเสียงทักทาย

“ว้าวๆ ดูซิว่าใครมา” ร่างหนึ่งเดินออกมาจากแท่นทรงกลม เขาสวมกางเกงขายาวสีน้ำตาล เสื้อพับแขนสีเดียวกัน บนศีรษะสวมอุปกรณ์ประหลาดลักษณะเหมือนแว่นขยายซ้อนกันหลายชั้น เสียงของเขาแม้ไม่กังวาลเช่นระฆังดั่งเสียงของไอดิเอล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนให้คนฟังรู้สึกกระตือรือร้น

“หน้าท่านดูดีขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่เราพบกันนะเนี่ย ไอดิเอล” ฝ่ายนั้นเอ่ยทัก ก่อนจะยื่นมือมาคว้าเอาอากาศ ไอดิเอลจึงส่งเสียงขึ้น

“อะไรมันจะง่ายขึ้นนะ ถ้าเจ้าถอดไอ้แว่นพิสดารนั่นออกเสียก่อนน่ะ ทีมัวร์”

“อ้อ จริงด้วย ข้าลืมไปสนิทเลย” ทีมัวร์ถอดแว่นออกแล้วเดินตรงเข้ามา คาริกจึงเห็นว่าเขามีดวงตาสีเทาใสเหลือบน้ำเงิน และมีผมสีน้ำตาลครีมซึ่งถูกรวบเอาไว้ด้วยตัวหนีบสารพัดทรงที่ด้านหลังศีรษะ คราวนี้เจ้าตัวยื่นมือคว้าไหล่ไอดิเอลถึงเสียที

“ไง ลมอะไรพัดท่านมาเนี่ย สเตลลาบอกว่าท่านพาคนอื่นที่ระบุตัวไม่ได้มาด้วย” เขามองเลยมายังคาริกกับโอเรน แล้วก็อุทานขึ้น

“โอ้โห เดี๋ยวนะ” เขายกแว่นประหลาดอันเดิมลงมาสวม “นี่มันพวกกลายพันธุ์ที่ท่านเคยปกป้องจนต้องโทษอัปเปหิไม่ใช่หรือไง ตาสีม่วงสวยเลยนี่”

คาริกเห็นทีมัวร์ยื่นมือคว้าอากาศอีก เจ้าตัวจิ๊ปากแล้วถอดแว่นออก จากนั้นก็เดินมาหาเขา

“ไหนขอข้าดูชัดๆ หน่อยซิ”

เขายื่นมือขึ้นมาหมายจับใบหน้าของชายหนุ่ม อีกฝ่ายยกมือขึ้นปัดโดยสัญชาตญาณ เจ้าตัวเลิกคิ้วแล้วพึมพำ

“ดุเหมือนกันแฮะ”

คาริกโพล่งขึ้นทันที “ข้าขอโทษ แต่ว่าท่านยื่นมือมาไม่บอกไม่กล่าวนี่นา”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “นั่นสินะ ข้าเสียมารยาทก่อนนี่นา ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”

“คาริก”

“อืม... มาจากอาณาจักรบูรพาหรือ?”

“เปล่า แต่ข้าเกิดที่นั่น”

“อ้อ ใช่ พวกกลายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดจากที่นั่นหมดแหละ อย่างที่ท่านไอดิเอลเคยทำรายงานไว้ ว่าแต่... ถ้าเจ้าไม่ได้มาจากอาณาจักรบูรพา เจ้ามาจากไหน แล้วมากับเขาได้ยังไง”

คาริกหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้นบ้าง “ตอบเขาไปเถอะ เขามีหน้าที่ยืนยันตัวตนของเจ้าต่อสภา”

“หืม” ทีมัวร์หันไปหาไอดิเอล “ท่านจะพาเขาไปที่สภาหรือ?”

“ใช่ ถ้าข้าไม่คิดจะพาเขาไปด้วย จะให้เขามาเจอเจ้าทำไม”

“เออ ก็จริง ข้าลืมคิดได้ไงเนี่ย คาริก เจ้าตอบคำถามข้ามาเร็ว ข้าชักอยากรู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่”

คาริกจึงเล่าเรื่องตั้งแต่มาร์คัสไปจ้างเขาจนกระทั่งถึงตอนที่ไอดิเอลทำสัญญาช่วยเขา พอฟังจบ ทีมัวร์ก็หัวเราะท้องคัดทองแข็ง

“โอย... เดี๋ยวนะ... นี่เรื่องจริงหรือเนี่ย”

ไอดิเอลหรี่ตามอง “คิดว่าถ้าเป็นเรื่องโกหกข้าจะให้เขาเล่าจนจบหรือไง”

ทีมัวร์กลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก เขายื่นมือไปตบไหล่ไอดิเอลเสียงดังปัก “แล้วนี่มีใครรู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ยัง มีเจ้าคนแรก”

“ฮ่าๆ อยากรู้จริงว่าตอนที่ท่านฟัยรุซารู้เรื่องนี้ท่านจะทำหน้ายังไง”

“ก็ทำหน้าแบบที่ทำอยู่ตอนนี้แหละ”

ทีมัวร์หันไปมองหน้าไอดิเอล และหยุดหัวเราะในที่สุด “ให้ตายเถอะ ท่านนี่ไม่ตลกเลยแฮะ ทำหน้าให้มันลำบากใจกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้”

“ถ้าทำเพื่อให้เจ้าขำล่ะก็... ข้ายังมองไม่เห็นประโยชน์อะไรจากเรื่องนั้นเลย”

“เฮ้อ...” อีกฝ่ายถอนหายใจ “ท่านนี่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาบ้างหรือไง”

“ก็รู้สึก แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องทำหน้าลำบากใจมาถึงตอนนี้นี่นา”

“อืม... ก็จริงนะ” เขาว่า ก่อนจะเงยไปมองโอเรนที่อยู่บนศีรษะของคาริก “งั้นนี่ก็คงเป็นนูเบส โฟลิอุมที่คาริกเล่าถึงตะกี้น่ะสิ”

“ใช่แล้ว” โอเรนส่งเสียงตอบ “ข้าชื่อโอเรน และข้าสมัครใจติดตามท่านไอดิเอลมาเอง เพราะงั้นไม่ต้องไปหาว่าเขาทำผิดกฎหมายหรอก”

ทีมัวร์หัวเราะ “โอเรนหรือ... เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ตอนนี้ยังไม่มีใครออกหมายจับเขาข้อหาทำผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละ และถึงมี ก็ต้องส่งเรื่องเข้าสภากลางก่อนอยู่ดี มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ลงโทษจอมเวทโดยพละการหรอก”

เขาเว้นจังหวะไปเล็กน้อย ก็พูดต่อ “แต่ว่าถ้าพวกเจ้าจะไปที่สภา ก็ต้องยืนยันตัวเสียก่อน ข้อมูลของพวกเจ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ส่วนสูง สีผม สีตา ลักษณะเด่น สารพันธุกรรม เรียกว่าทุกอย่างจะต้องถูกทำบันทึก มันจะเป็นการบันทึกที่ละเอียดยิ่งกว่าบันทึกยืนยันตัวตนของอาณาจักรไหนๆ พวกเจ้าแน่ใจนะว่ายินดีทำเรื่องแบบนี้น่ะ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าชั้นล่างที่เป็นตลาดของพวกพ่อค้าน่ะ มีอะไรสนุกๆ ให้พวกเจ้าทำมากกว่าข้างบนเยอะ”

“เอ่อ... ใช่ว่าข้าไม่อยากไปที่ที่ท่านพูดถึงหรอกนะ” คาริกตอบ “แต่ไอดิเอลต้องการให้พวกเราไปด้วยนี่นา”

“ข้าต้องพาเขาไป พวกเขาถือเป็นพยานของเรื่องนี้”

“อ้อ... ข้าเจ้าใจแล้ว” ทีมัวร์ว่า แล้วเดินนำพวกเขาไปยังแท่นทรงครึ่งวงกลมนั้น ด้านในมีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดมากมายติดตั้งอยู่ หลายอย่างส่งเสียงแปลกๆ อย่างเสียงคลิกๆ หรือเสียงหึ่งๆ ทีมัวร์ชี้ไปที่ตู้กระจกทรงกลมหลังหนึ่ง

“คาริก เจ้าเข้าไปในนั้น ส่วนโอเรน เจ้าออกมาก่อน มานั่งรอตรงนี้”

เขายกมือขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีโต๊ะเหล็กที่ทั้งสูงทั้งแคบตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหยุดที่ข้างตัวพอดี โอเรนร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“โอ้โห นี่คือเวทมนตร์ของท่านงั้นหรือ ยอดไปเลย ข้ายังไม่เคยเห็นท่านไอดิเอลทำแบบนี้เลยนะ”

ทีมัวร์หัวเราะแหะๆ “จอมเวทคนไหนๆ ก็ทำแบบนี้ได้ทั้งนั้นแหละ” เขาเหลือบไปมองไอดิเอลเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นต่อ “แต่ที่ท่านไอดิเอลไม่ใช้เพราะเขาคงไม่อยากเปลืองพลังโดยใช่เหตุน่ะ ส่วนข้าแทบไม่ได้ใช้พลังอะไรอยู่แล้ว ทำแบบนี้มันสะดวกกว่า”

“เรียกว่าขี้เกียจนั่นแหละ” ไอดิเอลช่วยเสริมให้ ทีมัวร์ได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ โอเรนจึงกระโดดลงไป เขาหันไปมองคาริกที่เดินเข้าไปในตู้ แล้วถามขึ้น

“ตู้นั่นไว้ทำอะไรหรือ”

“นี่เรียกว่าเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์น่ะ” ทีมัวร์ว่า “มันจะตรวจสอบทุกอย่างของสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของที่อยู่ด้านใน ไม่มีอันตรายอะไรหรอก แค่เก็บข้อมูลเฉยๆ”

ประตูตู้ปิดลง จากนั้นคาริกมองเห็นแสงสีรุ้งวูบวาบอยู่รอบตัว ที่ว่างที่ข้างตู้มีตัวหนังสือสีทองส่องสว่างปรากฏขึ้นมา โอเรนถามขึ้นต่อทันที

“นั่นอะไรน่ะ เวทมนตร์ของท่านเหมือนกันหรือ”

ทีมัวร์สั่นศีรษะ “เปล่าๆ นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ทั่วไปอย่างของจอมเวทหรอก มันคือเทคโนโลยี ที่เจ้าเห็นเป็นการฉายภาพด้วยกล้องที่มีหลอดแสงสว่างติดตั้งอยู่ แสงจากกล้องจะถูกฉายขึ้นไปทำมุมกับไอน้ำบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดภาพขึ้นมาน่ะ”

สีหน้าของโอเรนบ่งบอกโต้งๆ ว่าไม่เข้าใจ ทีมัวร์ยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อ

“ข้ารู้ว่าสำหรับเจ้ามันคงจะชวนงงมาก รู้แค่มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ก็นำไปใช้ได้ก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องมีพลังเวทมนตร์ด้วย แค่ต้องใช้พลังงานในการเดินเครื่องเท่านั้นเอง”

คราวนี้เจ้ามังกรผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไอดิเอลบอกว่าท่านไม่เหมือนจอมเวท ที่แท้ท่านเป็นนักประดิษฐ์นี่เอง แต่ว่าทำไมท่านถึงเลือกจะสร้างเครื่องมือพวกนี้แทนที่จะใช้เวทมนตร์ล่ะ สำหรับท่านที่เป็นจอมเวท ใช้เวทมนตร์มันไม่สะดวกกว่าหรือ”

“มองว่าสะดวกมันก็สะดวกนะ แต่ถ้ามองว่าไม่สะดวกมันก็ไม่สะดวก ถ้าข้าใช้พลังเวท ข้าก็ต้องถ่ายเทพลังอยู่บ่อยๆ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็สุดจะไม่สะดวกแล้ว อีกอย่าง ข้าคิดว่าการที่มนุษย์มีเครื่องมือที่ใช้งานได้เหมือนกับการใช้เวทมนตร์ จะทำให้พวกเขาระแวงพวกเราน้อยลง เป็นมิตรกับพวกเรามากขึ้น แต่เอาจริงๆ แล้วข้าก็แค่ชอบประดิษฐ์โน่นนั่นนี่ไปเรื่อยเท่านั้นแหละ พออยู่ไปนานๆ การทำอะไรที่มีประโยชน์กับคนอื่นมันทำให้ชีวิตดูมีค่าและน่าสนใจขึ้นมาน่ะ”

“ทีมัวร์เป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องนี้สูงมาก” ไอดิเอลพูดเสริมต่อ “เทคโนโลยีหลายอย่างตอนนี้เขาเป็นคนคิดค้นขึ้น เอาง่ายๆ ก็อย่างเรือเหาะที่พวกเรานั่งมาที่นี่ คนที่ออกแบบพวกมันก็คือเขานี่แหละ”

“ว้าว สุดยอดไปเลยนะเนี่ย”

“ข้าก็ทำแค่ลำแรกๆ ล่ะน่า” อีกฝ่ายพูดเขินๆ ได้ยินเสียงคาริกพูดขึ้น

“เรื่องนั้นฟังดูก็น่าตื่นเต้นนะ แต่ข้าจะต้องอยู่ในนี้อีกนานรึเปล่า”

“โอ้ จริงสิ เกือบลืมไปเลย” จอมเวทร้องขึ้นก่อนจะไล่อ่านตัวอักษรพวกนั้น “ไหน ขอข้าดูข้อมูลของเจ้าหน่อย เพศชาย อายุร่างกายประมาณสิบแปดปี สูงสามศอกกับอีกคืบครึ่ง หนักร้อยสามชั่ง หัวใจเต้นห้าสิบเก้าครั้งต่อนาที อัตราการหายใจนาทีละสี่ครั้ง โอ้โห ดูกล้ามเนื้อนี่สิ อย่างกับถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุที่ดีที่สุดตามแบบแปลนที่สมบูรณ์แบบที่สุด เจ้าแข็งแรงมากนะเนี่ย ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้ออยู่ในระดับยอดเยี่ยม ไหนลองเอาฝ่ามือทาบลงบนแท่นที่อยู่ด้านข้างซิ ทาบลงไปทั้งสองข้างนั่นแหละ”

คาริกวางมือลงไปบนแท่นโลหะที่ลอยขึ้นมาจากพื้น เขารู้สึกเจ็บจีดที่ฝ่ามือเล็กน้อย ขณะที่ทีมัวร์พูดขึ้นต่อ “ไม่มีประวัติการถูกจับกุม ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีโรคติดต่อ ปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงกว่าเกณฑ์ทั่วไปสิบห้าเท่า รหัสพันธุกรรมไม่ตรงกับมนุษย์เผ่าไหนที่อยู่ในฐานข้อมูลเลย” เขาหันไปหาไอดิเอล

“จะให้ข้าใส่ข้อมูลว่าเป็นเผ่าลูบิดตามที่ท่านเคยเขียนรายงานเอาไว้ไหม”

“อืม ใส่ไปตามนั้นแหละ”

ทีมัวร์ไล่มือลงไปบนแป้นพิมพ์ที่ปรากฏอยู่ข้างๆ แล้วพูดต่อ “ช่วยบอกชื่อ วันเดือนปีเกิด กับที่อยู่ปัจจุบันหน่อยสิ”

“ข้าชื่อคาริก เกิดปีเก้าร้อยแปดสิบสอง วันกับเดือนข้าไม่รู้ ที่อยู่ปัจจุบัน... ไม่รู้สิ ตอนนี้ข้าต้องตามไอดิเอลน่ะ แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็สมาคมคุ้มกันแห่งคีท อาณาจักรหรดี”

“ไม่มีปัญหา ข้อมูลเท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว เอาล่ะ คาริก แห่งคีท อายุ ณ เวลาบันทึกคือสิบแปดปี เกิดปีเก้าร้อยแปดสิบสอง สถานะผู้ใช้ชีวิตเดียวกับคานุส ไอดิเอล สมาชิกสภาลำดับที่สอง ข้าจะให้สิทธิ์ในการผ่านเข้าออกที่นี่กับเขา ท่านเห็นว่าไง”

“เจ้าให้สิทธิ์เขาใช้ห้องพักของข้าด้วย” ไอดิเอลว่า “ยังไงเขาต้องพักที่นี่อย่างน้อยก็วันสองวัน และข้าคงไม่มีเวลาจะพาเขาเข้าๆ ออกๆ หรอก”

“ตกลง ตามที่ท่านต้องการเลย” ทีมัวร์ว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว เจ้าออกมาได้เลย”

คาริกเดินออกมาจากเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์ ทีมัวร์หันไปหาโอเรน

“ต่อไปตาเจ้าแล้ว”

โอเรนหันไปมองเขา “ข้าต้องเข้าไปในนั้นคนเดียวหรือ มีอะไรให้ข้าเกาะรึเปล่า ข้าไม่เคยยืนบนพื้น รู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องยืนด้วย”

“เจ้าต้องหาอะไรให้เขาเกาะ” ไอดิเอลพูดแทรกขึ้น “มันเป็นสัญชาตญาณของนูเบส โฟลิอุม พวกเขาไม่ชอบอยู่ในที่ต่ำ”

“อ้อ... อย่างนั้นเอาโต๊ะนี่เข้าไปด้วยก็ได้” พูดจบเขาก็ยกมือผลักโต๊ะเบาๆ โต๊ะเคลื่อนเข้าไปในตู้ทันที โอเรนจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะ จากนั้นประกายแสงสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นโดยรอบ

“มาดูข้อมูลของโอเรนกันเถอะ” ทีมัวร์ว่า “สิ่งมีชีวิตประเภทมังกร สายพันธุ์นูเบส โฟลิอุม หนักสองชั่ง อายุโครงสร้างภายใน ประมาณสามสิบปี อายุผิวหนังภายนอกหลังสัมผัสอากาศ ประมาณแปดถึงสิบวัน โอ้โห... แปลว่าเจ้าเพิ่งออกจากไข่มาได้ไม่ถึงสองสัปดาห์หรือเนี่ย สองสัปดาห์เจ้าก็พูดได้เยอะขนาดนี้แล้วหรือ เทียบกับมนุษย์แล้วคนละเรื่องกันเลยนะ”

“เขายังอ่านหนังสือทั่วไปออกแล้วด้วยนะ” คาริกว่า “ไอดิเอลเพิ่งสอนเขาอ่านตอนที่นั่งเรือเหาะมาที่นี่นี่เอง”

“ว้าว! ขนาดนั้นเลยหรือ ข้ารู้หรอกนะว่านูเบส โฟลิอุมเป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดมากจนถูกจัดให้อยู่ในประเภทมังกร แต่ไม่คิดว่าจะฉลาดขนาดนี้ นี่... เจ้าสนใจจะมาอยู่ที่นี่กับข้าไหม ข้าอยากได้สิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดและอายุยืนกว่ามนุษย์มาอยู่เป็นเพื่อนนานแล้ว นูเบส โฟลิอุมอายุขัยเฉลี่ยร้อยห้าสิบปี คงพอช่วยแก้เหงาได้สักพักหรอก”

ไอดิเอลกระแอมไอ “ทีมัวร์ เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่13 (P2) (ุ10/9/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-09-2021 09:56:49
“แหม... ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงสักหน่อย” อีกฝ่ายรีบแก้ตัว โอเรนพูดขึ้น

“ที่จริงแล้วข้าอยากอยู่กับท่านไอดิเอลนะ แต่เขาบอกว่าข้าต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ข้าควรอยู่”

“อ่า... ก็ใช่ เขาเป็นคนผลักดันร่างกฎหมายนี้เอง จะให้เขาพาเจ้าไปไหนมาไหนด้วยมันก็ออกจะยังไงๆ อยู่นะ” ทีมัวร์ว่า ก่อนจะหัวเราะ “น่าเสียดายๆ เอาล่ะ ข้าจะบันทึกข้อมูลของเจ้าไว้แล้วนะ โอเรน นูเบส โฟลิอุมรายแรกที่มายังสภากลางแห่งนี้ เรื่องนี้น่ะเป็นประวัติศาสตร์เลยนะ เจ้าจะได้เล่าให้เพื่อนๆ ของเจ้าฟัง หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ออกมาได้แล้วล่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

โอเรนกระโดดออกมาจากครอบแก้ว ขึ้นไปเกาะอยู่บนศีรษะของคาริก แล้วพูดขึ้นต่อ “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าจะมีเพื่อนที่นั่นรึเปล่า ข้าเกิดมาก็รู้จักแค่คาริกกับท่านไอดิเอลเท่านั้นเอง”

“เอาน่า นั่นเป็นบ้านของเจ้านี่นา ข้าว่าช่างพูดอย่างเจ้าคงหาเพื่อนได้ไม่ยากหรอก” คาริกให้กำลังใจ ไอดิเอลผงกศีรษะเห็นด้วย ทีมัวร์หันไปมองเขาแล้วพูดขึ้นต่อ

“ที่จริงถ้าท่านไม่รีบไปธุระที่ไหน พวกเราก็น่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวเมืองพ่อค้าด้านล่างนะ”

“ไม่ ข้าไม่ว่างขนาดนั้นหรอก” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่ออย่างนึกได้

“ว่าแต่เจ้าเคยประดิษฐ์เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารบ้างรึเปล่า”

“เคยสิ ข้ามีใช้อยู่สองสามเครื่อง” อีกฝ่ายตอบ “แต่ใช้เคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตไม่ได้หรอกนะ ถ้าท่านสงสัยว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องการโจมตีที่แคนเดนซ์น่ะ ท่านต้องเข้าใจการทำงานของมันก่อน เครื่องพวกนี้อาศัยหลักการจดจำโครงสร้างองค์ประกอบ สมมติว่าท่านต้องการส่งน็อตตัวนึงจากที่นี่ ไปที่อาณาจักรหรดี โดยวิธีเคลื่อนย้ายมวลสาร ท่านจะต้องเอาน็อตใส่ลงไปในเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร และอีกฝั่งที่ท่านต้องการส่ง ก็จะต้องมีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารที่จูนช่องมิติให้ตรงกันด้วย พอเริ่มต้นกระบวนการ น็อตจะถูกจดจำองค์ประกอบทางโครงสร้าง และถูกแยกส่วนจนเล็กในระดับโมเลกุล จากนั้นก็ส่งผ่านช่องมิติไปยังเครื่องรับ เครื่องรับจะมีหน้าที่อ่านองค์ประกอบเดิมของน็อต และประกอบโมเลกุลของพวกมันให้กลับไปเป็นตัวน็อตเหมือนเดิม ซึ่งกระบวนการนี้จะกินพลังงานตามรายละเอียดและขนาดของสิ่งของที่ส่ง ยิ่งเป็นของชิ้นใหญ่และประกอบด้วยวัสดุหลายอย่างจะยิ่งกินพลังงานสูง เครื่องที่ข้าใช้งานอยู่ตอนนี้จึงเป็นแค่เครื่องขนาดเล็กที่ใช้ส่งพวกอุปกรณ์ประกอบชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการส่งสิ่งมีชีวิต ข้าเคยทดลองแล้ว ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็ส่งได้นะ แต่ถ้าซับซ้อนกว่านั้นพอเข้าเครื่องส่งแล้วทางโน้นจะได้ศพไปแทน เครื่องจักรที่สามารถจดจำ แยกแยะ และรวมจิตวิญญาณได้น่ะ ตอนนี้ข้ายังออกแบบไม่ได้หรอกนะ”

คาริกได้แต่อ้าปากค้างเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ขณะที่โอเรนก็ออกอาการเดียวกัน แต่ไอดิเอลกลับผงกศีรษะ

“อืม... แล้วคนที่ชื่อวัลคอตล่ะ เจ้ารู้จักรึเปล่า ข้าได้ยินว่าหมอนั่นเป็นนักประดิษฐ์สติเฟื่องเหมือนกัน”

“อ๋อ รู้จักสิ เขาเป็นคนที่น่าสนใจนะ เคยมาเรียนกับข้าอยู่ช่วงหนึ่งด้วย ท่านถามถึงเขาทำไมน่ะ คิดว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือ”

“ข้าได้ยินว่าเขาเคยระเบิดหมู่บ้านตัวเอง”

“อ้อ ใช่แล้ว มันเป็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้า ท่านก็รู้ว่าเวลาเราทดลองอะไร มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นง่ายมาก เขาเลยมาอาศัยอยู่ที่นี่พักหนึ่ง เป็นลูกมือที่ดีของข้าเลยล่ะ หลังจากนั้นไม่นานมีพ่อค้าจากอาณาจักรอุดรสนใจความสามารถของเขา เลยขอตัวไป ข้าก็คิดว่าเขาน่าจะไปได้ดีนะ จนกระทั่งประมาณสองสามปีก่อน มีข่าวว่าเขาประดิษฐ์เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารได้สำเร็จ ข้าเลยเขียนจดหมายไปหาเขาเพื่อสอบถามรายละเอียดว่าเขาประดิษฐ์ออกมาในลักษณะไหนและมันปลอดภัยพอรึเปล่า แต่ข้าไม่ได้รับการติดต่อกลับเลย บางทีเขาอาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ในที่อยู่เดิมที่เขาเคยให้ไว้กับข้าก็ได้ แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วข้าก็ไม่ได้ข่าวอะไรจากเขาอีกเลย”

“เป็นไปได้ไหมว่าเขาสามารถสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารที่ย้ายสิ่งมีชีวิตได้สำเร็จ”

“ถ้าเขาทำได้มันต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก” ทีมัวร์ว่า “และถ้ามันปลอดภัยพอ เขาน่าจะนำมันออกมาเผยแพร่แล้ว หรืออย่างน้อยๆ คนที่ให้ทุนเขาก็ควรจะรีบนำมันออกมาเผยแพร่”

“ข้ารู้ว่าเทคโนโลยีคือสิ่งประดิษฐ์ที่วิ่งไล่ตามเวทมนต์” ไอดิเอลว่า “ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ใช้เวทและเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี ข้าขอถามความเห็นของเจ้าอีกครั้งนะ เจ้าคิดว่ามีโอกาสที่มนุษย์จะใช้หรือสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตได้มั้ย”

ทีมัวร์ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “ที่จริงแล้วมีทฤษฎีหนึ่งที่ข้าคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่ข้าไม่เคยทดลองด้วยตัวเองหรอก เพราะคิดว่ามันไม่คุ้มกัน”

“ไหนลองว่าทฤษฎีของเจ้ามาซิ”

“ตะกี้ข้าบอกท่านว่าข้ายังไม่สามารถประดิษฐ์เครื่องจักรที่จดจำ แยกแยะและสามารถรวมจิตวิญญาณเข้าด้วยกันได้ แต่ในการใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติ พวกเราทำทั้งหมดนี้ได้โดยการอาศัยพลังจิตของตัวเอง ซึ่งถ้าข้าเชื่อมตัวเองเข้ากับเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร ข้าอาจจะทำการเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตได้ แต่... แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันไม่คุ้ม ถ้าข้าต้องใช้พลังของตัวเองแล้วข้าจะสร้างเครื่องมือไปทำไม ใช่ไหมล่ะ”

“หมายความว่าถ้าเชื่อมต่อกับจอมเวท ก็จะสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตได้สินะ”

“ที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นจอมเวทก็ได้” ทีมัวร์ว่า “ในความคิดข้าถ้าเป็นมนุษย์ที่มีพลังจิตสูงพอก็น่าจะทำได้เหมือนกัน เพราะพลังจิตของมนุษย์มีความสามารถพอจะแยกแยะและจดจำข้อมูลมหาศาลพวกนั้นได้ แต่สมองของพวกเขาจะทนรับความเสียหายจากกระบวนการนี้ได้รึเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ข้าไม่ต้องการเสี่ยง ถ้าต้องมีมนุษย์ตายเพราะการทดลองนี้สักคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นการเต็มใจ แต่พวกเราจะต้องถูกเพ่งเล็งแน่นอน ข้าไม่อยากเป็นคนที่ทำให้มนุษย์หันกลับมาเล่นงานเราแค่เพราะอยากสร้างเทคโนโลยีที่สะดวกให้กับพวกเขาหรอกนะ”

“อืม...” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ “ถ้าอ้างอิงจากทฤษฎีของเจ้า มนุษย์เองก็อาจจะประดิษฐ์เครื่องย้ายมวลสารได้เหมือนกัน ถ้าพวกเขามีความรู้มากพอ แล้ววัลคอตคนนั้น รู้วิธีประดิษฐ์เครื่องย้ายมวลสารแบบที่เจ้าใช้อยู่ตอนนี้รึเปล่า”

“รู้สิ... ไม่ใช่แค่เขาหรอกนะ ลูกมือของข้าที่ด้านล่างหลายคนก็รู้ มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่พวกเขาสนใจมากเวลามาเรียนรู้ที่นี่ แทบจะไม่มีใครไม่ถามถึงการทำงานของมันเลย”

“อย่างนั้นข้าอยากจะให้เจ้าทำการทดลองพ่วงเครื่องนี้เข้ากับสมองของมนุษย์ ดูว่าจะเป็นไปได้ตามทฤษฎีไหม”

“เอ่อ... ตะกี้ข้าเพิ่งบอกท่านไปนะว่าข้าไม่อยากทำให้เราถูกเพ่งเล็ง”

“ข้าไม่ได้ให้เจ้าทดลองกับมนุษย์ทั่วๆ ไปเสียหน่อย ทดลองกับเจ้าหนูนั่นสิ คาริกน่ะ”

“หา!” คาริกร้องออกมาทันที “ท่านจะให้ข้าเป็นหนูทดลองหรือ”

“ใช่” ไอดิเอลว่า “เจ้าใช้ชีวิตเดียวกับข้าอยู่แล้ว ถึงการทดลองจะผิดพลาดก็ไม่ตายแน่นอน ยังไงก็ต้องพิสูจน์ทฤษฎีนี้ให้รู้แน่ชัดก่อนที่เรื่องจะแพร่ออกไป ฟัยรุซาจะได้แก้ตัวได้ถูก หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถซื้อเวลาให้ข้าสืบเรื่องนี้ได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ทีมัวร์พยักหน้า “ท่านวางใจเถอะ ข้าคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานนักหรอก ก่อนหน้านี้ข้าเคยทดลองกับสมองของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ คิดว่าน่าจะยังเก็บอุปกรณ์ไว้อยู่นะ”

“ดี ข้าจะให้คาริกอยู่กับเจ้าที่นี่ แล้วก็ช่วยติดต่อเวโรนิกาให้ข้าด้วย บอกนางว่าให้มาที่นี่พรุ่งนี้ตอนสิบโมง”

“ได้ แล้วท่านจะให้ข้านัดเวลาท่านฟัยรุซาเลยไหม หรือจะให้ข้าตามใครมาอีก”

“ยังไม่ต้องนัดฟัยรุซา และก็ยังไม่ต้องตามคนอื่น ข้าต้องรอผลการทดลองของเจ้าก่อนจะเอาเรื่องเข้าสภา”

“ตกลง” ทีมัวร์พยักหน้า คาริกเห็นไอดิเอลถือไม้เท้า ทำท่าจะเดินไปขึ้นลิฟต์ เลยร้องออกมา

“แล้วนั่นท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปที่หอสมุด มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องไปค้นหาข้อมูลที่นั่น”

“หา! แล้วท่านจะทิ้งพวกข้าไว้ที่นี่เนี่ยนะ”

“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น” ไอดิเอลว่า “ข้าไม่ได้ทิ้งพวกเจ้าไว้ในสถานที่อันตรายสักหน่อย อยู่ที่นี่ช่วยทีมัวร์ทำการทดลองไป ถ้าเวลาเหลือจะให้เขาพาเที่ยวเมืองพ่อค้าด้านล่างก็ได้ ข้าว่าเขาน่าจะเต็มใจอยู่นะ หรือถ้าพวกเจ้าอยากพักผ่อน ก็ใช้ห้องพักของข้า ซึ่งเท่าที่จำได้มันน่าจะสบายกว่าแหลมสุดขอบฟ้าเสียอีก เพราะงั้นหยุดทำหน้าเหมือนเด็กถูกทิ้งได้แล้ว”

คาริกอ้าปากพะงาบลมอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนใจแรง “เฮ้อ... ท่านเนี่ยนะ สั่งให้ข้าเป็นหนูทดลองนี่ถามความสมัครใจของข้ารึยัง...”

“ถ้าเจ้าไม่สมัครใจก็ลองหาคนอื่นที่สมัครใจและเกือบจะเป็นอมตะเหมือนเจ้ามาแทนสิ” จอมเวทว่า ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะคาริก ถ้าเจ้าอยากจะทำตัวมีประโยชน์ เจ้าก็ควรจะทำเรื่องนี้ เชื่อข้าเถอะว่าเจ้าไม่ตายหรอก”

“....”

“ถ้างั้นข้าไปกับท่านนะ” โอเรนว่า “ข้าไม่ได้เกือบเป็นอมตะเหมือนคาริก อยู่ที่นี่ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

ไอดิเอลเหลือบตาขึ้นมองเขา “ไม่ได้ ข้าไปหอสมุดต้องใช้สมาธิ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคาริกที่นี่แหละ เขาจะได้ไม่เหงา เดี๋ยวจะหาว่าข้าทิ้งไว้คนเดียวอีก”

“งื้อ...”

ไอดิเอลขึ้นลิฟต์จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก คาริกถอนหายใจอีกครั้ง “นี่ข้าคาดหวังอะไรจากคนไร้หัวใจแบบเขากันเนี่ย เฮ้อ...”

“บางทีข้าก็รู้สึกว่าท่านไอดิเอลนี่เย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งซะอีกน้า...” โอเรนคราง ทีมัวร์เดินเข้ามาตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ

“เอาน่า เขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เดี๋ยวพวกเจ้าก็ชินไปเองนั่นแหละ”

คาริกได้แต่พยักหน้าอย่างยอมรับสภาพ โอเรนถามขึ้นต่อ “ว่าแต่เดี๋ยวท่านจะทดลองเรื่องเครื่องย้ายมวลสารกับคาริกใช่ไหม อย่าเอาข้าไปทดลองด้วยนะ ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตเดียวกับท่านไอดิเอล กลัวว่าจะกลายเป็นศพไปก่อนน่ะ”

“อ้อ... ข้าไม่ใช้เจ้าเป็นตัวอย่างทดลองหรอก” ทีมัวร์ว่า ข้าคิดว่าด้านล่างน่าจะพอหาหนูหรือสัตว์เล็กๆ ให้เราได้สักตัวสองตัวเพื่อทำการทดลองนี้ จริงสิ ขอข้าหาก่อนนะว่าเก็บอุปกรณ์พวกนั้นไว้ตรงไหน”

“นี่ ข้าขอถามท่านหน่อยได้ไหม” คาริกพูดขึ้นมา “ตะกี้ที่ท่านบอกว่าเคยทดลองกับสมองของมนุษย์ที่เพิ่งตายใหม่ๆ น่ะ ผลเป็นยังไงหรือ”

“อืม... ก็ไม่มีอะไรมากหรอก จำได้ว่าศพแรกน่ะสมองระเหยเป็นไอไปเลย ข้าเลยพยายามปรับให้เครื่องกรองพลังงานออกอีก ศพที่สองศพที่สามค่อยดีขึ้นหน่อยนะ แต่สมองก็ยังสุกอยู่ดี ข้าเลยคิดว่ามันคงไม่ปลอดภัยถ้าจะใช้งานกับมนุษย์น่ะ”

“สมองสุก!” คาริกร้องออกมา “แล้วท่านจะให้ข้าลองเนี่ยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ทีมัวร์ว่า “เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเสียหน่อย อีกอย่างสมองคนตายน่ะไม่มีพลังงานเหลืออยู่แล้ว มันก็ต่างจากสมองคนเป็นอยู่พอสมควรน่ะนะ”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ขณะที่ทีมัวร์พูดต่อ “แต่เพื่อความสบายใจ เดี๋ยวข้าทดลองกับตัวเองก่อนก็ได้”

คาริกรีบผงกศีรษะเห็นด้วยทันที “ถ้างั้นล่ะก็ข้าค่อยเบาใจหน่อย ขอบคุณท่านมาก”

“ไม่เป็นไรหรอก ขอข้าหาก่อนนะว่าเก็บอุปกรณ์พวกนั้นไว้ตรงไหน”

“นี่ ท่านทีมัวร์” โอเรนพูดขัดขึ้น “ท่านใช้เวลาหาของที่ว่านานรึเปล่า ข้าหิวน่ะ ตั้งแต่ขึ้นเรือเหาะมาข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”

“จริงด้วย ข้าลืมเรื่องกินของเจ้าเสียสนิทเลย” คาริกว่า เขาหันไปหาทีมัวร์ “ท่านพอจะหาใบไม้หรือผักสดมาให้เขาได้รึเปล่า”

“อืม... พวกเจ้าต้องกินอาหารนี่นะ ข้าคิดว่าผักน่าจะพอหาได้ แต่ใบไม้อาจจะหายากหน่อย ที่นี่ไม่มีการปลูกพืชหรอก”

“ผักก็ได้”

“แล้วเจ้าล่ะ อยากกินอะไรรึเปล่า”

“เอ่อ... ท่านจะสั่งอาหารเผื่อข้าด้วยหรือ แต่ข้ากินจุมากนะ”

ทีมัวร์ยักไหล่ “จากสภาพร่างกายของเจ้า ถ้าจะกินจุกว่ามนุษย์ปกติก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ อยากจะกินอะไรล่ะ”

“อืม... ข้าวผัดเนื้อใส่ผักชามใหญ่สักสี่คนกิน กับซุบสักหม้อก็ได้ ข้าไม่รบกวนมากหรอก แล้วก็ขอสลัดผักสักสองอ่างให้โอเรนด้วย”

ทีมัวร์ผงกศีรษะ “สเตลลา ขอข้าวผัดเนื้อใส่ผักสำหรับสี่คนหนึ่งที่ ซุบหนึ่งหม้อ แล้วก็สลัดผักสองอ่างนะ สั่งจากภัตตคารเปลือกหอยก็ได้ จ่ายในชื่อข้านี่แหละ แล้วก็ให้พวกข้างล่างหานกหรือจิ้งจกหรือหนูสักตัว ใส่กรงหรือกล่องส่งขึ้นมาด้วย ข้าจะเอามาทดลองเครื่องย้ายมวลสารน่ะ”

“รับทราบค่ะ”

“ว่าแต่สเตลลาของท่านไม่ใช่มนุษย์ไม่ใช่หรือ” โอเรนถามขึ้นต่อ “นางจะหาของพวกนั้นมาได้ยังไงน่ะ”

“นางสามารถนำคำสั่งไปบอกคนที่จัดการเรื่องนี้ได้ เดี๋ยวก็จะมีคนเอาของพวกนั้นขึ้นมาเอง”

“อ๋อ”

“สเตลลา” ทีมัวร์ส่งเสียงเรียกปัญญาประดิษฐ์ของเขาอีก “เจ้าจำได้รึเปล่าว่าข้าเก็บอุปกรณ์ต่อพ่วงเครื่องย้ายมวลสารไว้ที่ไหน แบบที่ใช้ต่อเข้ากับสมองของมนุษย์น่ะ”

“ท่านไม่ได้ลงบันทึกไว้ค่ะ”

“เวรล่ะ งั้นอาจจะอยู่ในตู้ขยะ” ทีมัวร์ครางพลางยกนิ้วเกาศีรษะ แล้วหันมาหาพวกคาริก “พวกเจ้ารอนี่ก่อนนะ ถ้ามีของขึ้นมาฝากช่วยจัดการด้วย ข้าขอตัวไปหาของก่อน”

พูดจบเขาก็เดินไปที่มุมหนึ่งของห้องทรงครึ่งวงกลม คุกเข่าลง จากนั้นก็ผลุบหายไป ได้ยินเสียงร้องเหวอ พร้อมกับเสียงเหล็กกระแทกดังโป้งเป๊งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เหมือนสะท้อนมาจากท่อใหญ่ๆ

“สเตลลา ช่วยเปิดช่องทิ้งขยะนี่ให้ข้าที ขาข้าติดนะ”

โอเรนพูดขึ้นมา “ท่านทีมัวร์นี่เป็นคนประหลาดแฮะ”

“นั่นสิ” คาริกพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าไม่นับเรื่องที่ใช้เวทมนตร์ได้ ข้าว่าเขาเหมือนตาแก่สติเฟื่องมากกว่านะ”

จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสเตลลา “หนูที่ท่านสั่ง ได้มาแล้วค่ะ”

“หา? ไหนล่ะ” โอเรนถามขึ้น “ข้าไม่เห็นว่ามีหนูหรืออะไรโผล่มาเลย”

“ที่ขวามือของท่าน ห่างไปประมาณสามก้าว ทำมุมสี่สิบห้าองศา จะมีช่องลิฟต์ขนาดเล็กติดตั้งอยู่ กรงใส่หนูอยู่ที่นั่นค่ะ”

“อ่า...” คาริกครางออกมา “เจ้าคุยกับพวกเราได้ด้วยหรือ”

“ได้ค่ะ ข้าถูกตั้งค่าให้สามารถตอบโต้ได้ในสถานการณ์ต่อเนื่อง และจะเลิกการตอบโต้เมื่อไม่มีการสนทานานเกินกว่าห้าวินาที หากท่านต้องการติดต่อข้าอีกครั้งสามารถเรียกชื่อข้าเพื่อเริ่มการสนทนาได้ค่ะ”

คาริกเดินไปตามที่สเตลลาบอก เขาพบว่ามีลิฟต์ขนาดเล็กตัวหนึ่งติดตั้งอยู่จริง และในนั้นก็มีกรงดักหนูวางอยู่ จึงยื่นมือไปหยิบขึ้นมา

“เจ้าหนูนี่กับข้า ไม่รู้ว่าใครจะโชคร้ายกว่ากันนะเนี่ย” ชายหนุ่มรำพึงพลางวางกรงหนูลงบนพื้น โอเรนพูดขึ้น

“ข้าว่าเจ้าน่าจะโชคดีกว่าหนูนี่นะ อย่างน้อยๆ เจ้าก็ใช้ชีวิตเดียวกับท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือ แต่เจ้าหนูตัวนี้ถ้าตายก็หมายถึงตายจริงๆ เลยนะ”

“อืม... ก็ถูกของเจ้าน่ะนะ”

จากนั้นไม่นาน อาหารของพวกเขาก็ถูกส่งมาด้วยกรรมวิธีเดียวกัน คาริกหยิบจานอาหารออกมาจากช่องลิฟต์ จากนั้นยืนหันอยู่ครู่หนึ่ง

“เอ่อ... สเตลลา พอจะหาโต๊ะว่างๆ ให้เราได้สักตัวรึเปล่า ข้ากับโอเรนต้องใช้โต๊ะเพื่อกินอาหารพวกนี้น่ะ”

“สักครู่นะคะ”

แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งเลื่อนออกมาจากโต๊ะที่อยู่ใกล้กัน ก่อนที่ขาตั้งซึ่งซ่อนอยู่ด้านล่างจะดีดลงไปบนพื้นเสียงดังกริ๊ก โอเรนร้องออกมา

“ว้าว เจ้าก็ใช้เวทมนตร์ได้ด้วยหรือ”

“ไม่ใช่เวทมนตร์หรอกค่ะ” สเตลลาตอบ “ข้าใช้การบังคับควบคุมสนามแม่เหล็กที่ท่านทีมัวร์วางระบบไว้ จึงสามารถควบคุมสิ่งของทุกอย่างที่เป็นโลหะได้ค่ะ”

“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกนะ” เจ้ามังกรว่า “แต่เท่านี้ข้าก็ได้โต๊ะสำหรับกินอาหารแล้ว”

เขากระโดดลงไปบนโต๊ะ คาริกจึงวางอาหารทั้งหมดลงไป โอเรนกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ขณะที่คาริกกำลังจะอ้าปากพูด เก้าอี้ตัวหนึ่งก็เลื่อนมาหาเขา

“อ๊ะ ขอบใจนะสเตลลา”

“ท่านพูดว่าขอบใจหรือคะ?”

ชายหนุ่มนั่งลงแล้วพูดตอบ “ใช่ ทำไมหรือ”

“ข้าคิดว่าแปลกน่ะค่ะ ปกติแล้วไม่มีมนุษย์พูดขอบใจกับข้าหรอกค่ะ”

“อ้อ ข้าคงเคยชินนะ แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่มีความเห็นเรื่องนั้นหรอกค่ะ”

“....”

ทั้งคนทั้งมังกรต่างก้มหน้าก้มตากินอาหาร โดยมีเสียงครางหึ่งๆ ของเครื่องมือที่อยู่รอบตัวประกอบ และเสียงเคร้างคร้างที่เหมือนดังมาจากในท่อลอยมาบ้างในบางครั้ง หลังกินอาหารเสร็จและยังไม่เห็นวี่แววของทีมัวร์ คาริกจึงพูดขึ้น

“สเตลลา ข้ามีเรื่องอยากถามน่ะ”

“เชิญท่านถามได้เลยค่ะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่13 (P2) (ุ10/9/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-09-2021 09:57:20
“ไอดิเอลเป็นสมาชิกสภาลำดับที่สองใช่ไหม ข้าได้ยินว่าจอมเวทมีทั้งหมดสิบหกคน พวกเขามีลำดับเหมือนไอดิเอลรึเปล่า”

“มีค่ะ ลำดับนี้เรียงจากความอาวุโส ท่านฟัยรุซาอยู่ลำดับที่หนึ่ง ส่วนท่านทีมัวร์อยู่ลำดับที่แปด หากท่านสนใจลำดับของจอมเวทคนอื่นข้าสามารถเรียงรายชื่อให้ท่านได้”

“ไม่เป็นไร ถึงเจ้าบอกมาข้าก็ไม่รู้จักพวกเขาอยู่ดี แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าจอมเวทเกิดขึ้นมาได้ยังไง”

“ข้าไม่พบเรื่องนี้ในฐานข้อมูลค่ะ”

“อ้อ... งั้นหรือ...” ขณะที่คาริกกำลังคิดว่าควรจะถามเรื่องอะไรต่อไปดี ทีมัวร์ก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากช่องที่เขามุดลงไป พร้อมด้วยเครื่องมือโลหะหน้าตาเหมือนหมวกอันหนึ่ง

“ให้มังกรโฉบหัวเลย!” เขาบ่น “วันหลังข้าคงต้องทำรายการขยะพวกนี้แล้วล่ะ”

“ที่จริงข้าว่าแค่มันยังอยู่ให้ท่านหาจนเจอก็ดีแล้วนะ” คาริกว่า “ท่านคงไม่ต้องทำรายการขยะที่ท่านทิ้งไปหรอก”

“ไอ้ของพวกนี้มันยังไม่ใช่ขยะที่จะต้องถูกทิ้งจริงๆ หรอก” ทีมัวร์ว่า “มันเป็นของจำพวกเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ผลหรือไม่สมบูรณ์ ข้ามักจะโยนทิ้งๆ เอาไว้ เผื่อบางทีจะเอาอะไหล่มาเสริมกับอย่างอื่นน่ะ”

“....”

“แต่ก็ดีแล้วล่ะนะที่หาเจอ” เขาพูดพลางใช้มือข้างที่ว่างปัดขากางเกง แล้วเดินไปยังตู้เหล็กใบใหญ่ที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง แหวกของที่กองระเกะระกะอยู่ด้านหน้าของมันออก

“เอาล่ะ... ข้าคิดว่ามันน่าจะอยู่ตรงนี้นะ” เขาใช้มืองัดฝาเหล็กที่อยู่ข้างตู้ออก จากนั้นก็เสียบสายที่ใช้เชื่อมต่อเข้าไป “ไหนดูซิว่าไฟเดินรึเปล่า”

เขายกอุปกรณ์รูปร่างเหมือนหมวกครอบลงบนศีรษะ แต่ก็ติดแว่นตาและกิ๊บติดผม ได้ยินเสียงเจ้าตัวบ่นเบาๆ คาริกเห็นดังนั้นก็ถามขึ้น

“มันใช้งานได้แล้วหรือ”

“อ้อ... เปล่าหรอก ข้าแค่จะดูว่าไฟเข้ารึเปล่าน่ะ หมวกนี่ตั้งแต่ทดลองคราวก่อนข้าก็ทิ้งลงถังไปเลย เฮ้อ เจ้าแว่นนี่บางทีก็เกะกะชะมัด”

เขาถอดแว่นหน้าตาประหลาดออก จากนั้นก็ครอบหมวกโลหะใบนั้นลงไป แล้วเอื้อมมือไปดันคันโยกเล็กๆ ซึ่งอยู่บนแผงหลังฝาโลหะที่เขาเพิ่งดึงออกมา ได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังลั่น พร้อมด้วยเสียงร้องเอ๊ะของเจ้าตัว

“ไฟเข้า แต่ดูเหมือนแผงวงจรจะมีปัญหานิดหน่อยแฮะ” ทีมัวร์พูดพลางถอดหมวกประหลาดใบนั้นออก วางมันลงบนโต๊ะ แล้วล้วงมือไปหยิบไขควงออกมาจากกระเป๋ากางเกง หยิบแว่นขึ้นมาสวม จากนั้นก็เริ่มแกะชิ้นส่วนของหมวกออก

พวกคาริกเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

“เป็นไงบ้าง”

ทีมัวร์เงยหน้าขึ้นแล้วยกนิ้ว “ไม่ต้องเป็นห่วง ระดับข้าแล้ว รับรองใช้ได้แน่นอน”

“เอ่อ... ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น” ชายหนุ่มตอบ “ถ้าไม่สำเร็จบอกไอดิเอลไปตรงๆ ก็ได้ เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก... มั้ง”

“สำเร็จซี่ เจ้าไม่เชื่อมือข้าหรือไง” ทีมัวร์ว่า “คิดว่าเพราะข้าโยนทิ้งไป แผงวงจรด้านในบางส่วนมันเลยกะเทาะออกน่ะ แต่เชื่อมกลับเข้าไปใหม่แล้วล่ะ”

เขาไขน็อตกลับคืนที่เดิม ก่อนจะยกหมวกใบนั้นขึ้นมา “ไหนเอาหัวเจ้ามาซิ”

“หา! จะให้ข้าลองหรือ”

“ใช่ ก็แค่ดูว่าไฟเข้าไหมเท่านั้นเอง”

คาริกพยายามบ่ายเบี่ยง “ท่านลองเถอะ ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าไฟเข้าหรือไม่เข้า”

“แหม เจ้านี่ขี้กังวลจริงเชียว ข้าลองเองก็ได้”

พูดจบเขาก็ถอดแว่นออกแล้วสวมหมวกใบนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์

“ไฟเข้าแล้ว ใช้ได้ล่ะ” เขาว่า ก่อนจะส่งเสียงขึ้นต่อ “สเตลลา ตรวจความถี่ของเครื่องย้ายมวลสารนี่ให้ข้าหน่อย ดูซิว่าสองช่องนี้ตรงกันรึเปล่า ข้าจะทดลองย้ายจากช่องหนึ่งไปช่องสองน่ะ”

“จะให้ตัดการเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นด้วยไหมคะ”

“เออ ตัดไปก่อน เดี๋ยวค่อยต่อใหม่ ตั้งความถี่ที่สี่ร้อยห้าสิบหกก็ได้”

“เรียบร้อยค่ะ”

“คาริก เจ้าลองหยิบอะไรแถวนั้นใส่ลงไปในช่องทางซ้ายมือหน่อยสิ ที่มีป้ายเขียนไว้ด้านบนว่าหมายเลขหนึ่งน่ะ ไม่ๆ เอางี้ดีกว่า เอาหนูใส่เข้าไปเลย ข้าขี้เกียจจะเปลืองพลังงานทดลองหลายรอบ”

“เอางั้นหรือ แล้วถ้าสมมติว่าไม่ได้ผลล่ะ”

“ไม่ได้ผลก็ค่อยหาตัวใหม่ หนูมีเยอะแยะไปน่า”

คาริกจึงเดินไปหยิบกรงหนูมาวางที่ช่องหมายเลขหนึ่ง ทีมัวร์ส่งเสียงถาม

“เรียบร้อยหรือยัง”

“ข้าวางลงไปแล้ว ต้องทำอะไรอีกรึเปล่า”

“มีคันโยกสีเงินอยู่ที่แผงควบคุมด้านขวามือของเจ้าน่ะ มันน่าจะสับลงอยู่ สับขึ้นได้เลย”

“อันนี้น่ะหรือ” คาริกดันคันควบคุมที่สับลงอยู่ขึ้น แผ่นกระจกหนาค่อยๆ เลื่อนลงมาปิดช่องที่ใส่หนูเอาไว้อยู่ จากนั้นก็มีแสงสว่างวาบจนเขาต้องยกมือขึ้นป้อง แล้วก็มีเสียงติงเหมือนเสียงกริ่งตามมา ได้ยินเสียงทีมัวร์ร้องออกมา

“นี่มันไร้สาระจริงๆ”

คาริกยกมือที่ป้องหน้าออก เขาเห็นช่องหมายเลขหนึ่งว่างเปล่า แต่ในช่องหมายเลขสองกลับปรากฏกรงหนู ชายหนุ่มรีบถลันเข้าไปดู ขณะที่โอเรนร้องขึ้น

“ไม่น่าเชื่อ ข้ามองเห็นพลังงานอันมหาศาลที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไป เครื่องนี่สามารถเคลื่อนย้ายมวลสารได้จริงๆ ด้วย”

“และมันก็คงเป็นเรื่องงี่เง่ามากถ้าจะมีจอมเวทคนไหนใช้เครื่องนี่ในการเคลื่อนย้ายมวลสาร” ทีมัวร์บ่น เขาถอดหมวกออกแล้ว และกำลังยกมือนวดขมับ สีหน้าเหมือนปวดศีรษะอย่างหนัก

“ไหนดูซิว่าเจ้าหนูตัวนั้นยังอยู่ปกติดีรึเปล่า”

เขาเดินยักแย่ยักยันมาเปิดครอบแก้วออก แล้วเขย่ากรงหนูอย่างไม่เกรงใจ หนูตัวนั้นเลยร้องจี๊ดเสียงลั่น สีหน้าของทีมัวร์เหมือนปวดศีรษะกว่าเก่า

“เห็นไหม มันก็ยังเป็นหนูตัวเดิม ข้าเสียพลังงานทำเรื่องไร้สาระแท้ๆ”

“แต่ว่าท่านเคลื่อนย้ายมันได้สำเร็จน่ะ ถึงจะระยะใกล้ๆ ก็เถอะ” คาริกว่า ทีมัวร์ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม

“ข้าไม่ต้องใช้ไอ้เครื่องนี่ก็ทำได้เหมือนกัน ท่านไอดิเอลก็ทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ แถมพอใช้เครื่องแล้วเปลืองพลังงานยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนเครื่องจักรพวกนี้สูบพลังงานของข้าไปอีกที ข้าขอย้ำว่าไม่มีจอมเวทคนไหนโง่พอจะทำเรื่องแบบนี้แน่นอน”

พูดจบเจ้าตัวก็เอนตัวพิงเข้ากับเครื่องย้ายมวลสาร ท่าทางเหมือนเหนื่อยมาก คาริกมองสภาพฝ่ายนั้นแล้วพูดขึ้นต่อ “ท่านไม่เป็นไรนะ”

ทีมัวร์เหลือบตาขึ้นมองเขา นิ่งไปอึดใจ “ก็อยากจะบอกว่าเป็นแล้วขอถ่ายเทพลังกับเจ้าหรอกนะ”

คาริกสะดุ้ง หน้าแดงขึ้นมาทันที ทีมัวร์ถอนหายใจเฮือก “แต่เพราะเจ้าทำสัญญากับท่านไอดิเอลแล้ว ขืนข้าใช้เจ้า เขาได้ฆ่าข้าแน่”

ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ นึกถึงตอนที่ไอดิเอลทิ้งเขาไว้ที่หาดสวรรค์ “เอ่อ...ข้าไม่คิดว่าเขาจะหวงข้าขนาดนั้นหรอกนะ”

ทีมัวร์เลิกคิ้ว แล้วพูดขึ้นต่อ “อืม... ถ้าหมายถึงตัวเจ้าล่ะก็ข้าคิดว่าคงไม่หรอก แต่ถ้าข้านอนกับเจ้ามันจะกลายเป็นการดูดพลังของเขาด้วย รับรองว่าเขาเล่นข้าหนักแน่นอน และโดยมารยาทก็ไม่ควรทำด้วย”

“เห... ทำไมนอนกับคาริกแล้วจะกลายเป็นการดูดพลังของท่านไอดิเอลล่ะ ข้านอนกับเขาทุกคืนยังไม่เห็นท่านไอดิเอลว่าอะไรเลย” โอเรนถามขึ้นด้วยความสงสัย คาริกได้แต่อ้าปากพะงาบ ขณะที่ทีมัวร์เลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม

“เจ้ายังเด็กอยู่นี่นะ... ไม่มีอะไรหรอก แค่ข้าเหนื่อยเฉยๆ น่ะ”

“งั้นท่านก็พักสิ”

“ข้าพักแน่ แต่ต้องทำการทดลองให้เสร็จก่อน” ทีมัวร์ว่า ก่อนจะถอนหายใจ “สเตลลา ติดต่อไปที่หอไข่มุกนะ บอกพวกเขาให้เตรียมผู้ชายแข็งแรงๆ ไว้ให้ข้าสักสี่คน ให้แน่ใจว่าแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัวนะ เกิดตายขึ้นมาล่ะก็วุ่นวายตายชัก”

“รับทราบค่ะ”

คาริกฟังแล้วก็ให้รู้สึกผิดขึ้นมา “เอ่อ... ข้าขอโทษนะ”

ทีมัวร์เลิกคิ้วมองเขา “เจ้าจะขอโทษทำไม”

“ก็... เอ่อ เพราะข้าขอให้ท่านทดลองให้ดูก่อน ท่านก็เลยเสียพลังไป... ที่จริงแล้ว...”

ทีมัวร์โบกมือเป็นเชิงไม่ต้องใส่ใจ “เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วไปเถอะ อีกอย่างเจ้าอายุแค่สิบแปด ถ้ากล้าทำเรื่องนี้โดยไม่กลัวเลย ข้าคงต้องเป็นห่วงท่านไอดิเอลแล้วล่ะ”

คาริกเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะ ที่จริงถ้าข้ากล้าลองโดยไม่อิดออด มันก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ”

ทีมัวร์สั่นศีรษะ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนที่กล้าเกินไปโดยไม่รู้จักกลัวอะไรเลยน่ะ เป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งหรือมีความสัมพันธ์ด้วยหรอกนะ เพราะพวกเขาจะพาตัวเองเข้าไปหาอันตรายโดยไม่ไตร่ตรอง การที่เจ้ากลัวที่จะทดสอบเครื่องนี้ด้วยตัวเองน่ะเป็นเรื่องปกติ เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากหรอก”

“เอ่อ... อย่างนั้นหรือ... รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้ ข้ายังแอบรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาดไปเลย”

“งั้นก็ช่วยสวมนี่เถอะ ข้าจะได้ทดลองให้จบๆ แล้วไปจัดการตัวเองเสียที”

คาริกยื่นมือไปรับหมวกโลหะใบนั้น โอเรนจึงกระโดดลงจากศีรษะของเขา ชายหนุ่มถามขึ้นต่อ

“ข้าต้องทำไงบ้าง แค่สวมไว้อย่างนี้หรือ”

“อืม... เจ้าไม่เคยใช้เวทมนตร์อาจจะรู้สึกประหลาดหน่อย ข้าแนะนำว่าให้ตั้งสมาธิให้ดี พยายามจดจ่อกับสิ่งที่เจ้าต้องการทำ ในที่นี้ก็คือการเคลื่อนย้ายหนูตัวนี้พร้อมกับกรง ซึ่งในความคิดข้าก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก เพราะมีเครื่องคอยช่วยประมวลผลอยู่แล้ว”

“ตกลง แล้วเครื่องนี้จะสูบพลังงานข้ารึเปล่า”

“อืม... ข้าก็ไม่แน่ใจนะ แต่ยังไงคนรับเรื่องนี้ไปก็คือท่านไอดิเอล ไม่ใช่เจ้าหรอก”

“อ่า...”

“ตั้งสมาธิให้ดีแล้วกัน พร้อมแล้วบอกข้านะ”

คาริกสวมหมวกใบนั้นลงไปบนศีรษะ มันหนักพอสมควร พอสวมลงไปแล้วก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร จากที่เห็นทีมัวร์ทำมันก็กินเวลาแค่กะพริบตาเท่านั้น

“เอาล่ะ ข้าพร้อมแล้ว”

ทีมัวร์สับสวิตช์ขึ้น คาริกรู้สึกเหมือนมีแสงแว้บเข้านัยน์ตา จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียก

‘มาหาข้าเถิดบุตรแห่งศิลา ในย่ำรุ่งอันไร้ซึ่งแสงอุษา ทัพแห่งตรีดาราจะกรีฑาย่ำปฐพี’

คาริกสะดุ้งเฮือก เขาได้ยินเสียงโอเรนตะโกน “ไชโย คาริก เจ้าทำได้!”

ชายหนุ่มถอดหมวกออก พอมองไปก็เห็นทีมัวร์หยิบกรงหนูออกมาจากช่อง ฝ่ายนั้นหันมามองเขา ทำท่าจะพูดอะไร แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจแทน “ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้น บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

คาริกสั่นศีรษะ เขามองจอมเวท แล้วถาม “ตะกี้ท่านได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า”

“ถ้าเจ้าหมายถึงเสียงหึ่งๆ หรือเปรี๊ยะๆ ล่ะก็ ข้าบอกเลยนะว่ามันเป็นเสียงของพลังงานที่กำลังวิ่งชนกัน ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นปกติอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่เสียงแบบนั้นหรอก”

“หืม?”

ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะรีบสั่นศีรษะ “เปล่า ไม่มีอะไร สงสัยข้าจะหูแว่ว”

“สีหน้าเจ้าดูตกใจมากนะ” โอเรนว่า “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“ไม่มีอะไร” คาริกพูดซ้ำ แล้วถอนหายใจ “สรุปแล้วสำเร็จไหม”

“สำเร็จสิ” ทีมัวร์ว่า แล้วเขย่ากรงหนูให้เขาดู “มันยังมีชีวิตอยู่ เจ้าเห็นมั้ย”

คาริกรู้สึกสงสารหนูตัวนั้นขึ้นมาถนัด ขณะที่ทีมัวร์พูดขึ้นต่อ “เป็นอันว่าการทดลองนี้จบแล้ว เดี๋ยวข้าจะเขียนรายงานให้ท่านไอดิเอล เจ้าสองคนก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าให้สเตลลาเตรียมห้องไว้แล้ว”

.........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่13 (P2) (ุ10/9/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-09-2021 11:46:21
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่13 (P2) (ุ10/9/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-09-2021 17:45:38
หืมมมม
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่14 (P2) (ุ1/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-10-2021 10:13:06
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่14 ความทรงจำ


คาริกกับโอเรนเดินกลับมาขึ้นลิฟต์ตัวเดิมโดยปราศจากไอดิเอล เขารู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อย ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ก่อนจะพูดออกเสียง

“สเตลลา พาพวกเราไปที่ห้องพักหน่อย”

“รับทราบค่ะ”

ลิฟต์ค่อยๆ ยกตัวขึ้น โอเรนส่งเสียงออกมา “ว้าว ลิฟต์เคลื่อนแล้ว เจ้าคุยกับนางได้จริงๆ ด้วย”

เวลาผ่านไปอึดใจ ประตูลิฟต์จึงเปิดออก ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือโถงทรงโค้ง ผนังสองด้านสร้างจากโลหะสีทองรมดำ มีเส้นแสงเดินวูบไหว สุดทางเป็นประตูคู่สองบาน แต่ละบานมีเส้นแสงรูปครึ่งวงกลมขีดกลางซึ่งเป็นตราจอมเวทของไอดิเอลประดับอยู่ ได้ยินเสียงสเตลลาดังขึ้น

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องพักค่ะ ท่านคาริก เชิญพักผ่อนตามสบายนะคะ”

“เอ่อ...” คาริกส่งเสียงอย่างไร้ความหมาย เขารีบหยิบสัมภาระที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาหิ้ว แล้วเดินออกมาจากลิฟต์ เขาเหลียวหลังไปมองประตูลิฟต์ที่ปิดลง แล้วโพล่งออกมา

“สเตลลา”

“มีอะไรหรือคะ”

คาริกถอนหายใจอย่างโล่งตก “ไม่มีอะไร ข้าคิดว่าพอลิฟต์ปิดจะติดต่อกับเจ้าไม่ได้เสียอีก”

“ท่านสามารถติดต่อกับข้าได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ท่านยังอยู่ในหอคอยโลหะนี้ค่ะ”

“หา! หอคอยโลหะ?”

“ค่ะ หอคอยโลหะเป็นชื่อเรียกของสถานที่แห่งนี้”

“อ้าว ข้าคิดว่าที่นี่คือนครเวหาเสียอีก”

“ที่นี่คือนครเวหา ท่านเข้าใจถูกแล้วค่ะ” สเตลลาตอบ “นครเวหาแบ่งออกเป็นสองส่วน เรียกว่าส่วนล่างและส่วนบน ส่วนบนคือหอคอยโลหะ มีทั้งหมดสิบหกชั้น ส่วนล่างคือชั้นใต้หอคอย มีทั้งหมดสามชั้น ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารและด่านตรวจคนเข้าเมือง ลานจอดเรือเหาะ และชั้นล่างสุดคือตลาดพ่อค้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีอาณาบริเวณกว้างที่สุดของนครเวหาค่ะ”

“แล้วเราจะไปที่นั่นได้ยังไง ข้าหมายถึงตลาดพ่อค้าน่ะ”

“ท่านสามารถเดินขึ้นลิฟต์แล้วแจ้งความประสงค์ได้เลยค่ะ ข้าจะนำท่านลงไปชั้นล่าง ที่นั่นมีรถสำหรับนั่งไปยังตลาดในตัวเมืองค่ะ”

“เรายังจะไปที่อื่นกันอีกหรือ” โอเรนว่า “ข้าง่วงแล้วนะ”

“อ๋อ เปล่าๆ ข้าแค่ถามเอาไว้น่ะ” คาริกว่า ก่อนจะหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดไปที่ห้องพัก ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเท้าถึง บานประตูก็เปิดออกโดยที่เขาไม่ต้องใช้มือผลักด้วยซ้ำ

ที่ปรากฏต่อสายตาคือห้องนั่งเล่นที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่ จันทร์เพ็ญลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิทเหมือนอัญมณีเม็ดงามที่วางอยู่บนผ้ากำมะหยี่เนื้อดี สาดแสงสีเงินยวงเข้ามาภายในห้อง ทาบทาเก้าอี้นวมตัวยาวที่วางอยู่ใต้บานหน้าต่าง แสงไฟค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างนุ่มนวล เผยให้เห็นชั้นหนังสือจำนวนมากภายในห้อง โอเรนครางออกมา

“โอ้โห... นี่มันห้องพักหรือร้านขายหนังสือกันล่ะเนี่ย”

คาริกถึงกับต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ดูสิ สันหนังสือพวกนี้ถูกเขียนด้วยลายมือ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นต้นฉบับงานเขียนของไอดิเอลนะ ที่นี่เป็นห้องพักของเขานี่นา”

โอเรนชะโงกมองตาม “อา... จริงด้วย ข้าจำลายมือท่านไอดิเอลได้ เขาเขียนหนังสือเยอะมากนะเนี่ย”

“เยอะกว่าที่ข้าจินตนาการไว้โขเลยล่ะ ดูเหมือนหลักๆ จะเป็นหนังสือเกี่ยวกันสัตววิทยานะ อืม... จะมีเรื่องเกี่ยวกับมังกรในยุคโบราณบ้างรึเปล่าเนี่ย”

ชายหนุ่มพูดพลางชะเง้ออ่านสันหนังสือที่วางเรียงกันอยู่ โอเรนจึงพูดขึ้น

“เจ้าก็ซื้อมาเล่มนึงแล้วไม่ใช่หรือไง อ่านเล่มนั้นให้จบก่อนเถอะน่า แล้วนี่เราจะนอนกันตรงไหน ข้าไม่เห็นว่ามีเตียงเลยนะ”

“ข้าคิดว่าน่าจะมีห้องแยกไปนะ เหมือนโรงแรมที่เรานอนเมื่อคืนไง” คาริกตอบ ละสายตาจากหนังสือพวกนั้นแล้วมองสำรวจรอบๆ เห็นเส้นแสงสีจางวิ่งตามพื้นไปจนถึงประตูที่อยู่บนผนังด้านขวามือ ชายหนุ่มจึงหิ้วสัมภาระเดินตรงไปยังประตูบานนั้นทันที

“ประตูเปิดเองอีกแล้ว ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนข้าคงคิดว่าเจ้าเองก็มีเวทมนตร์นะเนี่ย” โอเรนว่า คาริกหัวเราะพลางสาวเท้าเข้าไปด้านใน

“ข้าคิดว่าเป็นฝีมือของสเตลลาน่ะ เหมือนอย่างที่นางหาโต๊ะให้ตอนเราอยู่ที่ห้องรูปไข่ตะกี้ไง”

“อืม ข้ามองเห็นพลังงานกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่เลยล่ะ ถ้านางเป็นคนควบคุมทั้งหมดนี่ นางก็มีพลังมหาศาลอยู่เหมือนกันนะ”

“ไอดิเอลบอกว่านางคือสมองกลที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีโบราณ ในเมื่อนางถือกำเนิดมาจากเทคโนโลยีที่สามารถเอาชนะมังกรได้ นางก็คงจะยิ่งใหญ่นั่นแหละ”

“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้วข้าก็นึกกลัวขึ้นมาเลยแฮะ” เจ้ามังกรว่า “สเตลลาจะไล่ล่าข้ารึเปล่า”

“เจ้าคิดมากไปแล้วน่า ข้าแค่เปรียบเทียบว่าเทคโนโลยีที่สร้างนางยิ่งใหญ่มากเท่านั้นเอง นางถูกสร้างมาเพื่อดูแลจัดการสถานที่ ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อล่ามังกรเสียหน่อย นางไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

“งั้นหรือ... ข้าจะเชื่อเจ้าแล้วกัน”

ห้องที่พวกเขาเดินเข้ามาเล็กกว่าห้องด้านนอกพอสมควร แต่ยังใหญ่กว่าห้องที่โรงแรม ด้านในมีเตียงฉลุลายสวยงามหลังใหญ่หนึ่งหลัง โต๊ะข้างเตียงพร้อมโคมไฟ ผนังด้านหนึ่งมีโต๊ะเขียนหนังสือที่มีนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนหนึ่งวางอยู่ ติดกันคือชั้นวางหนังสือที่สูงจรดเพดาน ในชั้นว่างเปล่า ไม่มีหนังสืออยู่เลยสักเล่ม ส่วนอีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่และกระจกเต็มตัวหนึ่งบาน ระหว่างตู้เสื้อผ้าและเตียงมีฉากพับอยู่ ทั้งหมดประกอบด้วยโลหะเป็นหลัก กระทั่งชายผ้าปูเตียงเองยังมีตุ้มโลหะเล็กๆ ห้อยอยู่ ที่ผนังข้างโต๊ะเขียนหนังสือ เจาะหน้าต่างขนาดครึ่งตัว มองเห็นดวงจันทร์กลมโตที่ลอยกระจ่างอยู่ด้านนอก สายลมยามดึกพัดผ้าม่านปักลายสีน้ำตาลทองพลิ้วไสว คาริกวางสัมภาระลง พลางมองสำรวจรอบๆ ขณะที่โอเรนกระโดดไปบนเตียงนอน

“นี่ คาริก เจ้าคิดว่าท่านไอดิเอลจะมานอนกับเรารึเปล่า” เจ้ามังกรถาม และพยายามดึงผ้าคลุมเตียงออก ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปช่วย

“ข้าคิดว่าไม่น่าจะมานะ เท่าที่เห็น ห้องนี้น่าจะไม่มีใครใช้งาน หรือถ้ามีก็คงจะนานมากๆ แล้ว เพราะไม่มีข้าวของส่วนตัวอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ห้องนอนของเขาจะน่าแยกไปอีกห้องน่ะ”

“งั้นนี่ก็เป็นห้องของเจ้าน่ะสิ” โอเรนว่า แล้วมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม “ข้าว่าเตียงนอนที่นี่นอนสบายกว่าที่โรงแรมอีกนะ ถึงมันจะแคบกว่าห้องของเจ้าที่คีทก็เถอะ”

“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่านั่นมันเป็นห้องรวม” คาริกว่า แล้วลากเก้าอี้ข้างเตียงลงนั่ง “แต่ข้าชอบห้องส่วนตัวแบบนี้มากกว่านะ ถึงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีก็เถอะ”

“ท่านไอดิเอลก็ใจดีนะ เตรียมห้องส่วนตัวไว้ให้เจ้าด้วย แต่ข้าว่าเขาดูเย็นชาตั้งแต่มาถึงที่นี่น่ะ”

“ข้าว่าเขาเย็นชาเป็นปกติอยู่แล้ว” คาริกตอบ “เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเอ็นดูเจ้ามากกว่าข้าล่ะมั้ง”

“งั้นหรือ แต่พลังที่ท่านไอดิเอลแผ่ออกมาน่ะอ่อนโยนมากนะ ข้าชอบเวลาที่อยู่ใกล้ๆ เขา พลังของเขาทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นและมั่นคงน่ะ

“อืม...”

“เจ้าก็ด้วยนะ”

“หืม?”

“ถ้าเจ้ามานอนให้ข้าซุกล่ะก็ข้าคงจะรู้สึกอบอุ่นมากเลยล่ะ ข้าว่าอากาศที่นี่หนาวอยู่นะ”

“นี่เจ้าเห็นความสำคัญของข้าแค่นั้นหรือเนี่ย” ถึงจะพูดงั้น แต่ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “ข้าก็รู้สึกอยู่ว่าอากาศที่นี่หนาว อาจเพราะมันอยู่สูงมากแล้วหน้าต่างเปิดอยู่ก็ได้ เดี๋ยวข้าไปปิดหน้าต่างให้นะ”

“แล้วเจ้าจะมานอนกับข้าด้วยใช่ไหม” อีกฝ่ายถาม “ท่านไอดิเอลจะโกรธรึเปล่า ท่านทีมัวร์บอกว่าถ้าเขานอนกับเจ้า ท่านไอดิเอลจะโกรธนี่นา”

“อา... ข้าคิดว่าเขาคงไม่โกรธหรอกนะ เจ้านอนกับข้ามาตั้งหลายคืนแล้ว เขาเป็นคนพาเจ้ามานอนกับข้าด้วยซ้ำ”

“อย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเป็นท่านทีมัวร์แล้วเขาถึงจะโกรธล่ะ”

“เอ่อ...” คาริกพยายามนึกหาคำตอบที่ฟังดูเข้าท่าและเหมาะสมกับวัยของโอเรน “เขานอนกับข้ากับเจ้านอนกับข้า ความหมายมันไม่เหมือนกันน่ะ”

“ยังไงล่ะ เขานอนกินที่มากกว่าข้างั้นหรือ”

ชายหนุ่มรีบพยักหน้าทันที “อ่า ใช่ๆ เขาตัวใหญ่กว่าเจ้า ก็ต้องกินที่มากกว่าเจ้าอยู่แล้ว ถ้านอนด้วยกันเตียงก็จะแคบไปเลยน่ะ”

“อ๋อ... ท่านไอดิเอลกลัวเจ้านอนไม่สบายนี่เอง เขาก็เห็นความสำคัญของเจ้าเหมือนกันนะ”

คาริกยิ้มแห้งๆ เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองหาบานปิด แต่ไม่เห็นอะไรที่ใกล้เคียงเลยสักอย่าง ได้ยินเสียงโอเรนงัวเงียถามขึ้นมา

“คาริก เจ้ายังปิดหน้าต่างไม่ได้อีกหรือ”

“ข้าหาบานปิดไม่เจอน่ะ”

“เจ้าลองถามสเตลลาดูสิ”

“เออ จริงด้วย” ชายหนุ่มร้อง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เอ่อ... สเตลลา หน้าต่างนี่ปิดยังไงหรือ”

“ท่านต้องการปิดหน้าต่างหรือคะ”

คาริกพยักหน้า ก่อนจะนึกได้ว่าสเตลลาไม่มีตัวตน เลยส่งเสียงขึ้น “ใช่ ข้าต้องการปิดหน้าต่างน่ะ”

“รับทราบค่ะ”

คาริกได้ยินเสียงอื้อเบาๆ จากนั้นกระจกใสบานหนึ่งก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาจากด้านบน เพียงอึดใจเดียว หน้าต่างที่เคยโล่งก็กลายเป็นหน้าต่างกระจกใส ชายหนุ่มมองเห็นเงาตัวเองสะท้อนแสงไฟท่ามกลางท้องฟ้าสีดำลางๆ ที่อยู่หลังกระจก เขาอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะโพล่งออกมา

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ หากท่านสงสัยหรือต้องการอะไร สามารถแจ้งข้าได้ตลอดเวลาค่ะ”

คาริกผงกศีรษะอีก แม้จะรู้สึกแปลกๆ เหมือนพูดอยู่คนเดียว แต่สเตลลาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์จริงๆ นั่นล่ะ

ชายหนุ่มเดินกลับไปที่เตียง และพบว่าโอเรนผล็อยหลับไปแล้ว เจ้าตัวยืนละล้าละลังอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องไป

“สเตลลา ห้องนอนของไอดิเอลอยู่ตรงไหนหรือ”

“ประตูฝั่งตรงข้ามห้องของท่านค่ะ”

คาริกมองตรงไปก็เห็นประตูบานหนึ่งอยู่ระหว่างชั้นวางหนังสือ เขาจึงเดินตรงไป ทว่าประตูไม่ยอมเปิด และไม่มีลูกบิดให้จับด้วย

“เปิดประตูบานนี้ให้ข้าหน่อยสิ”

“ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนี้ค่ะ”

“....”

ชายหนุ่มรู้สึกเสียหน้านิดๆ ดีที่ว่าสิ่งที่เขาคุยอยู่ด้วยไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามแก้เก้อออกไป

“ทำไมล่ะ”

“นี่เป็นห้องส่วนตัวของท่านไอดิเอลค่ะ ท่านไอดิเอลอนุญาตให้ท่านเข้าถึงได้เฉพาะห้องพักของท่านและห้องรับแขกเท่านั้นค่ะ”

“เฮ้อ... เขากลัวข้าย่องไปลักหลับหรือไงนะ” คาริกรำพึงขึ้นมา แล้วถามต่อ “เขายังไม่กลับมาหรือ”

“ท่านไอดิเอลยังอยู่ที่หอสมุดค่ะ”

“แล้วเขาจะกลับมากี่โมง”

“ไม่ทราบค่ะ ท่านจะให้ข้าแจ้งตอนที่เขากลับมาไหมคะ”

“อ่า ได้ๆ ถ้าเขากลับมาก็บอกข้าด้วยแล้วกัน ข้าอยากพบเขาน่ะ”

“รับทราบค่ะ”

“แล้ว เอ่อ... ห้องที่ข้าพักน่ะ ก่อนหน้านี้เป็นห้องของใครหรือ”

“เป็นห้องเก็บของค่ะ”

“หา?!” ชายหนุ่มร้องออกมา “ห้องเก็บของ?! แต่ตอนข้าเข้าไปดูยังไงมันก็เป็นห้องพักชัดๆ นี่นา”

“ข้าเพิ่งเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนเข้ามาใหม่ตอนที่ท่านไอดิเอลแจ้งว่าท่านจะใช้ห้องพักร่วมน่ะค่ะ” สเตลลาตอบ คาริกถามขึ้นต่อทันที

“เจ้าย้ายของพวกนั้นมาได้ยังไง เจ้าไม่มีร่างไม่ใช่หรือ?”

“ข้าสามารถเคลื่อนย้ายโลหะทุกชนิดที่อยู่บนสนามแม่เหล็กของข้าได้ค่ะ” สเตลลาตอบ คาริกนึกไปถึงตุ้มโลหะที่ห้อยอยู่บนผ้าม่านและผ้าคลุมเตียง เขาค่อยเข้าใจความสำคัญของมันขึ้นมาหน่อยแล้ว

“งั้นแสดงว่าก่อนหน้านี้ไอดิเอลพักอยู่ห้องนี้คนเดียวมาตลอดสินะ เขาไม่เคยมีใครมาพักร่วมด้วยเลยใช่ไหม”

“ค่ะ ท่านไอดิเอลใช้ห้องพักนี้คนเดียว เขาไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นเข้าพักมาก่อนค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “แล้วของที่เคยเก็บอยู่ในห้องนั้นล่ะ”

“ย้ายไปเก็บในห้องของท่านไอดิเอลแล้วค่ะ”

“เอ่อ... งี้ห้องเขาไม่กลายเป็นห้องเก็บของไปแล้วหรือ”

“ยังถือเป็นห้องส่วนตัวของท่านไอดิเอลค่ะ”

“....” คาริกรู้สึกว่าการพูดคุยกับสเตลลาไม่เหมือนการพูดคุยกับมนุษย์ ดูเหมือนการถามตอบตามรูปประโยคเสียมากกว่า แต่เพราะนางดูเป็นของแปลกใหม่อย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ชายหนุ่มอยากจะคุยกับนางต่อ จึงเดินไปที่เก้าอี้นวมแล้วถามขึ้นอีก

“เก้าอี้นวมตัวนี้ก็เป็นของเขาสินะ แล้วปกติแล้วเขากลับมาที่นี่บ่อยรึเปล่า”

“ของในห้องนี้ทั้งหมดเป็นสิทธิ์ของท่านไอดิเอลค่ะ” สเตลลาตอบ “ท่านไอดิเอลไม่ได้เข้ามาที่นี่แปดสิบเจ็ดปี สี่เดือน กับอีกเจ็ดวันค่ะ”

“เอ่อ... มันก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แล้วหนังสือพวกนี้ล่ะ เวลากลับมาทีเขาก็ขนมาทีอย่างนั้นหรือ ข้าว่ามันเยอะมากอยู่นะ”

“เปล่าค่ะ ท่านไอดิเอลใช้วิธีส่งผ่านระบบขนส่งเข้ามาน่ะค่ะ” อีกฝ่ายตอบ “หนังสือและสิ่งของที่ถูกส่งเข้ามาจะถูกตีตราโลหะ ทำให้ข้าสามารถเคลื่อนที่พวกมันเพื่อนำไปจัดเก็บได้ ถ้าท่านมีความประสงค์จะส่งสิ่งของกลับมาที่นี่ ท่านสามารถส่งผ่านระบบขนส่งที่รองรับการขนส่งมายังนครเวหา โดยประทับลายนิ้วมือของท่านมาด้วย ข้าจะทำการจัดเก็บให้ค่ะ”

“เอ่อ... ข้าคงต้องศึกษาวิธีเอากับเขาน่ะนะ” คาริกว่า เขากวาดตามองชั้นหนังสือพวกนั้น แล้วถามอีก “แล้วในบรรดาหนังสือพวกนี้ มีบันทึกส่วนตัวของไอดิเอลบ้างไหม”

“บันทึกส่วนตัวของท่านไอดิเอลถูกเก็บไว้ในห้องค่ะ ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงค่ะ”

คาริกจิ๊ปาก “งั้นข้าเข้าถึงอะไรได้บ้างเนี่ย”

“ท่านสามารถอ่านหนังสือในห้องนี้ได้ทุกเล่ม และใช้เครื่องใช้ทุกอย่างในห้องนี้รวมถึงห้องพักของท่านได้ค่ะ หากต้องการสั่งอาหาร ท่านสามารถแจ้งข้าได้ทันที ส่วนน้ำดื่มอยู่ในเหยือกสีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะค่ะ ในห้องของท่านจะอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือค่ะ”

คาริกรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เขาจึงแก้เก้อด้วยการไล่อ่านรายชื่อหนังสือที่สันซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือ ก่อนจะพบว่าลายมือของจอมเวทอ่านยากกว่าตัวพิมพ์เป็นไหนๆ ชายหนุ่มหาวหวอด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง โอเรนยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาบอกสเตลลาให้เปิดไฟตรงโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วรื้อหนังสือในกระเป๋าออกมานั่งอ่าน พลางเงี่ยหูฟังเผื่อว่าไอดิเอลจะมาที่ห้อง แต่กระทั่งเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของเจ้าตัว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บหนังสือใส่กระเป๋า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ เจ้ามังกรที่หลับอุตุอยู่

....................................

ในชีวิตของคาริก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย เขาอาจจะเกิดมาโดยไม่รู้จักหน้าพ่อแม่ของตัวเอง แต่โชคดีที่มาห์ดิเก็บเขามาเลี้ยง และยังสอนวิชาดาบให้ แม้ว่าตอนอายุสิบสี่เขาจะต้องหนีออกมาอย่างฉุกละหุก เดินทางอย่างยากลำบากอยู่หลายวันจนถึงท่าเรือเหาะ เขาลักลอบขึ้นไปบนเรือเหาะ และถูกจับได้ แต่ก็เป็นโชคดีอีกเช่นกันที่คนที่จับเขาได้นั้นรู้สึกเอ็นดูเขา เจ้าตัวเรี่ยไรเงินจากเพื่อนฝูงที่มาด้วยกัน จ่ายค่าตั๋วเรือเหาะชั้นที่ถูกที่สุดให้เขา และพาเขาไปฝากไว้ที่สมาคมคุ้มกัน คาริกได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น เขามีเพื่อนมากมาย มีชีวิตอยู่อย่างปกติ แม้จะไม่สะดวกสบายและสวยหรูอย่างที่คนทั่วไปคิดฝัน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลย กระทั่งเขาได้พบกับไอดิเอล

จอมเวท... สิ่งที่เขาถูกเตือนให้ต้องระวังที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาต้องหนีออกมา

การได้พบกับไอดิเอลเปลี่ยนชีวิตของเขาไปในชั่วข้ามคืน ที่จริงไม่ว่าจะมองมุมไหน มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เขาได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในสถานที่ที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ไป ทั้งยังได้เสื้อผ้าชุดใหม่ ได้กินอาหารดีๆ นี่ควรจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกได้ว่าโชคดีอย่างเต็มปาก ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกอึดอัดกับความโชคดีนี้

คงเป็นเพราะไอดิเอลมักจะแสดงท่าทีว่ารำคาญเขาอยู่เสมอ คาริกไม่รู้ว่าเขากลายเป็นพวกขี้น้อยใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้คนที่สมาคมหลายคนก็แสดงท่าทีว่ารำคาญเขา แต่เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ทำไมพอเป็นไอดิเอลแล้วเขาถึงได้รู้สึกมากนัก

จูบที่ไอดิเอลให้กับเขาในวันนั้น เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและอบอุ่นที่สุดในชีวิตที่คาริกเคยสัมผัส แต่การแสดงออกกลับเย็นชาจนเหมือนกับคนไร้หัวใจ

หรือว่านั่นไม่ใช่จูบ แต่เป็นเพียงเวทมนตร์ของเจ้าตัวเท่านั้น

คาริกไม่เข้าใจไอดิเอล และที่แย่ยิ่งกว่า เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับไอดิเอลกันแน่

เขารู้ว่าสำหรับไอดิเอลแล้ว เขาไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งนั้น เป็นเพียงของเกินจำเป็นที่ต้องหยิบติดมาด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น

เขาก็แค่อยากให้ไอดิเอลมองเขาอย่างคนที่มีความผูกพันกันคนหนึ่ง ไม่ใช่มองเขาเหมือนส่วนเกินอย่างที่เป็นอยู่

“เจ้าต้องการเขาหรือ?”

คาริกสะดุ้ง เขาหันมองหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิดรอบตัว เสียงนั้นดังขึ้นต่อ

“ข้าสามารถทำให้เขาเป็นของเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายินยอมร่วมมือกับข้าเท่านั้น”

“เจ้าเป็นใคร?!” คาริกตะโกนในความมืด รู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบเขา

“ข้าคือบุตรแห่งรัตติกาล คำเรียกขานข้านั้นมีมากมาย และข้ากำลังจะตื่นขึ้นจากนินทราอันยาวนาน ด้วยพลังของข้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งอย่างที่เจ้าปรารถนา เพียงแต่เจ้ายินยอมเท่านั้น”

“....”

“เจ้าไม่ต้องการข้าหรือ?” เสียงนั้นดังขึ้นต่อ คาริกมองเห็นใครบางคนเดินเข้ามา

“ไอดิเอล!”

ดวงตาของฝ่ายนั้นเป็นสีทองสุกสว่าง เรือนผมสีเงินยวงราวกับจะเปล่งแสงออกมาได้ในความมืด ไอดิเอลยกมือขึ้นจับใบหน้าของเขาเบาๆ

“ทั้งดวงตานี้ ร่างกายนี้จะเป็นของเจ้า เพียงแต่เจ้ายินยอมเท่านั้น”

สัมผัสของฝ่ายนั้นช่างอ่อนโยน น้ำเสียงก็ช่างชวนให้ฝันถึง จนคาริกเกือบจะเผลอตอบตกลง แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้

“ไม่... ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้ ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านเป็นของข้า ข้าแค่อยากให้ท่านเห็นความสำคัญของข้าเท่านั้น... เห็นความสำคัญของข้าจริงๆ ไม่ใช่เพราะพลังของใคร”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม แล้วขยับมากระซิบข้างหูเขา “ตอบได้ดี จำคำนี้ของเจ้าเอาไว้นะคาริก เพราะชีวิตของข้าอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว”

“?!”

คาริกลืมตาโพลงขึ้นมา ก่อนจะรีบหรี่ลงเพราะแสงสว่าง ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหม?”

ชายหนุ่มพลันรู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นใบหน้าของไอดิเอลโน้มอยู่เหนือศีรษะ ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนเห่อยิ่งกว่าเดิม

“ทะ... ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?!”

“ก็สักพักล่ะนะ” ฝ่ายนั้นตอบ แล้วขยับตัวออก “โอเรนบอกว่ามีพลังงานแปลกๆ ออกมาจากตัวเจ้า ข้าก็เลยถือวิสาสะเข้าไปในห้วงจิตของเจ้าน่ะ”

คาริกอ้าปากค้าง รีบผุดลุกขึ้นมาทันที “ดะ... เดี๋ยวนะ ตะกี้ท่านเข้ามาในฝันข้างั้นหรือ?!”

“อืม... ดูเหมือนข้าจะเข้าไปทันเวลาพอดีล่ะนะ”

“เจ้าเป็นไงบ้าง” โอเรนที่เกาะอยู่บนไหล่ของไอดิเอลถามขึ้น คาริกมองเขาแล้วแทบจะครางออกมา

“เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ”

“ข้าต้องอยู่ด้วยสิ” อีกฝ่ายตอบด้วยท่าทางประหลาดใจ “เมื่อคืนข้านอนกับเจ้านะ จำไม่ได้หรือไง”

“เอ่อ... ก็จำได้นะ แต่ว่า... เมื่อตะกี้นี้เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ โอย... นี่ข้าละเมออะไรแปลกๆ ออกไปรึเปล่า?”

“ไม่มีหรอก” อีกฝ่ายตอบ “ข้ารู้สึกตัวเพราะพลังงานน่ากลัวที่ออกมาจากตัวเจ้าน่ะ โชคดีที่ท่านไอดิเอลกลับมาพอดี เขาบอกว่าเจ้าคงฝันร้าย แล้วก็เอามือแตะหัวเจ้าไว้นะ”

คาริกหันไปมองจอมเวทเป็นเชิงถาม ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้น “ข้าเข้าถึงความคิดของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ได้โดยการสัมผัสกับศีรษะโดยตรงน่ะ เหมือนตอนที่ข้าพยายามจะอ่านความคิดในสมองของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่เจ้าฆ่าไปนั่นแหละ”

ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ แล้วครางออกมา “งี้ท่านก็ได้ยินหมดแล้วล่ะสิ”

เขารู้สึกอายจนแทบจะมุดผ้าห่มหนีให้รู้แล้วรู้รอด ไอดิเอลมองเขาพลางยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติของเด็กวัยเจ้า ข้าไม่ถือหรอก”

“....”

คาริกกะพริบตาปริบๆ เขานึกสงสัยว่าไอดิเอลเข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่ แต่บางทีฝ่ายนั้นอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ ชายหนุ่มถอนใจอย่างคนปลงตก จอมเวทพูดขึ้นต่อ

“ถ้าตื่นดีแล้วก็ไปจัดการตัวเองเถอะ เวโรนิกาจะมาถึงที่นี่ตอนสิบโมง เราจะเริ่มประชุมกันทันที ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับพวกเจ้าก่อน”

“แล้วนี่กี่โมงแล้ว” คาริกโพล่งออกมาพลางหันหานาฬิกาที่หัวเตียง ไอดิเอลจึงตอบให้

“หกโมงสี่สิบ ข้าแนะนำให้เจ้ากินมื้อเช้าเลย เพราะการประชุมอาจจะยาวไปจนถึงเย็นก็ได้”

“อื้อ ว่าแต่ที่นี่มีอะไรให้ข้ากินบ้าง?”

“มีทุกอย่าง เจ้าก็สั่งเอากับสเตลลาแล้วกัน ข้าจะไปรอข้างนอก”

พูดจบจอมเวทก็ผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป โอเรนจึงกระโดดไปเกาะบนศีรษะของชายหนุ่ม คาริกจึงถามขึ้น

“เจ้าไม่ออกไปกับเขาหรือไง”

“ข้ากลัวเจ้าจะเหงานะ” อีกฝ่ายว่า “ให้ข้าช่วยอาบน้ำไหม?”

“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มตอบทันที “ข้าคงแค่ล้างหน้า เจ้าจะกินอะไร สลัดผักเหมือนเดิมรึเปล่า”

“อื้อ ที่จริงข้าอยากจะออกไปหาใบไม้กินนะ เพราะอาหารของมนุษย์ดูจะมีผักไม่กี่อย่าง ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เห็นต้นไม้ใหญ่สักต้นเลย มีแต่ต้นเล็กๆ ปลูกเอาไว้ในกระถางน่ะ”

“ที่เมืองพ่อค้าด้านล่างอาจจะมีนะ” คาริกว่า “ไว้ตอนที่เราไปเที่ยวกันค่อยแวะก็ได้”

โอเรนพยักหน้าหงึก “น่าสนใจนะ เมืองลอยฟ้าแบบนี้จะมีต้นไม้แบบไหน ชักอยากจะไปเที่ยวที่นั่นเร็วๆ แล้วสิ”

“เราคงต้องผ่านการประชุมตอนบ่ายไปก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดพลางเหยียดมือบิดขี้เกียจ “ว่าแต่เจ้าตื่นนานแล้วหรือ แล้วพลังงานน่ากลัวที่เจ้าว่ามันเป็นแบบไหนน่ะ ตอนนี้เจ้ายังมองเห็นอยู่อีกรึเปล่า”

“ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นแล้วล่ะ” โอเรนว่า “แต่มันเป็นพลังงานที่แปลกมาก เหมือนกับน้ำที่ค่อยๆ เอ่อท่วมขึ้นมาน่ะ ข้าจะอธิบายยังไงดี เอาว่ามันน่ากลัวมากสำหรับข้าก็แล้วกัน”

“งั้นหรือ” คาริกพยักหน้าก่อนจะเงียบไปอย่างใช้ความคิด “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ข้าได้ยินเสียงของมันชัดเจนมาก แต่ข้าไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ของมันเลย เหมือนกับว่ามันพูดผ่านมาจากอีกโลกหนึ่ง อืม... คืนนี้เจ้าไปนอนกับไอดิเอลเถอะนะ จะได้สบายใจ”

“พูดอะไรแบบนั้นเล่า” โอเรนว่า “ถ้าข้าไปนอนกับท่านไอดิเอล เกิดเจ้าฝันร้ายใครจะช่วยล่ะ ข้าจะนอนกับเจ้านี่แหละคาริก ยกเว้นเจ้าจะนอนไม่หลับถ้ามีข้าอยู่ แต่บอกเลยนะว่าถ้าเป็นแบบนั้นน่ะข้าจะเสียใจมาก”

“เอ่อ... ไม่หรอก ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าลำบากต้องเจอเรื่องน่ากลัวน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวข้าจะขอให้ท่านไอดิเอลสอนเวทมนตร์ให้ แบบที่สามารถขับไล่ฝันร้ายของเจ้าได้ เอ๊ะ หรือว่าพวกเราให้เขามานอนด้วยดี แบบนี้ทั้งข้าทั้งเจ้าต้องหลับสบายหายห่วงแน่นอน”

คาริกยิ้มละเหี่ย “ข้าว่าเขาคงไม่มาหรอกนะ เจ้าก็เห็นอยู่ว่าเขาขี้รำคาญจะตาย”

“อย่างนั้นหรือ แต่ข้าว่าท่านไอดิเอลออกจะเป็นห่วงเจ้านะ ถ้าเจ้าขอเขาอาจจะมาก็ได้”

“ให้เขาอยู่ของเขาไปเถอะ” คาริกว่า แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “พวกเราสั่งอาหารกันก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”

“นั่นสินะ”

......................................

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่14 (P2) (ุ1/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-10-2021 10:13:45
คาริกต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าในห้องนั่งเล่นที่เขาจำได้ว่าเมื่อคืนมีแค่เก้าอี้นวมตัวยาววางอยู่ใต้หน้าต่างเพียงตัวเดียว ตอนนี้กลับมีโต๊ะอาหารขนาดสี่คนนั่งปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีถาดอาหารที่มีฝาครอบโลหะวางอยู่ แต่ที่สะดุดตากว่าโต๊ะอาหารที่จู่ๆ ก็โผล่มาตัวนั้น ก็คือคนที่นอนเอนตัวอยู่บนเก้าอี้นวมนั่นแหละ

ไอดิเอลนอนหลับตา บอกยากว่าหลับไปจริงๆ หรือแค่หลับตาลงเฉยๆ กันแน่ แสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา กระทบลงบนร่างของเขาพอดี เขาสวมเสื้อตัวยาวสีเทาอ่อนขลิบทองแต่ไม่ได้สวมผ้าคลุม เครื่องประดับก็สวมอยู่ครบถ้วน ทีแรกคาริกคิดว่าประกายระยิบระยับที่เขาเห็นมาจากศิลาธาตุที่อยู่บนเครื่องประดับพวกนั้น แต่พอเพ่งดูอีกทีถึงเห็นว่าที่ทอประกายออกมาคือร่างของจอมเวทต่างหาก โอเรนกระซิบอยู่เหนือศีรษะของเขา

“ข้าว่าท่านไอดิเอลกำลังดูดซับพลังงานจากแสงอาทิตย์อยู่ ข้าเห็นพลังงานกำลังไหลเวียนอยู่ในตัวเขาอย่างช้าๆ น่ะ”

“อา...”

ยังไม่ทันที่คาริกจะได้พูดอะไรต่อ ดวงตาสีอำพันของไอดิเอลก็ลืมขึ้น จอมเวทเลิกคิ้วแล้วอ้าปากพูด

“พวกเจ้ามีอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าเหมือนคนเพิ่งเคยเห็นกันแบบนั้นล่ะ”

“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก” คาริกรีบตอบ “แค่สงสัยว่าท่านหรือศิลาธาตุพวกนั้นกันแน่ที่สะท้อนแสงน่ะ”

“หืม?”

พอเห็นสีหน้าสงสัยของจอมเวท คาริกเลยต้องอธิบายต่อ “ข้าเห็นประกายระยิบระยับออกมาจากตัวท่านน่ะ”

“อย่างนั้นหรือ” ไอดิเอลพูดพลางยื่นแขนออกมาดู คาริกจึงเห็นว่าที่สะท้อนแสงเป็นแขนของไอดิเอลไม่ใช่เครื่องประดับที่เจ้าตัวสวมอยู่ ฝ่ายนั้นผงกศีรษะแล้วพูดขึ้นต่อ

“มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ ปกติแล้วร่างกายของข้ามีไว้เพื่อสะท้อนพลังงานอยู่แล้ว ถ้าพวกเจ้ารู้สึกแปลกๆ ก็นั่งหันหลังไปแล้วกัน ข้าจะอาบแดดสักหน่อย ระหว่างรอพวกเจ้ากินมื้อเช้าน่ะนะ”

“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอก มันร่างกายของท่านนี่นา... ที่จริงข้าว่าสวยดีนะ”

เหมือนเห็นริมฝีปากของไอดิเอลกระตุกขึ้นเล็กน้อย คาริกนึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรที่ทำให้เขาพูดต่อไม่ออก เลยชิงเปลี่ยนเรื่อง “งั้นข้ากินก่อนล่ะนะ”

ไอดิเอลยกมือขึ้นโบก “เชิญตามสบายเลย”

ชายหนุ่มจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าไปหาหน้าต่าง แล้วเปิดฝาครอบถาดอาหารออก โอเรนส่งเสียงขึ้นมาทันที

“ว้าว น่ากินมากเลยนะเนี่ย ดูดีกว่าที่พวกเรากินเมื่อวานนี้อีก”

คาริกนึกเห็นด้วยกับคำพูดของโอเรน แต่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ “นี่... ค่าอาหารพวกนี้ข้าต้องจ่ายเองรึเปล่า ท่าทางไม่น่าจะราคาถูกๆ นะ”

ไอดิเอลที่นอนหลับตาอยู่หัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นล่ะก็... ช่วยคิดก่อนจะสั่งเถอะ”

“....”

“แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ตอนนี้เจ้าถือเป็นแขกของสภา ค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางสภาจะเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนหลังจากนี้...”

“ท่านไอดิเอลจะออกให้ใช่ไหม” โอเรนพูดแทรกขึ้น “แล้วก็หักเอาจากค่าแรงของคาริกอย่างที่เคยคุยกันไว้วันก่อนแบบนั้นสินะ”

คาริกนิ่วหน้า ขณะที่ไอดิเอลหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “แบบนั้นก็ไม่เลวหรอกนะ แต่ที่จริงแล้วข้ากำลังจะบอกว่า เดี๋ยวเสร็จธุระแล้ว ตอนเราไปที่เมืองพ่อค้า ข้าจะพาเจ้าไปเปิดบัญชีที่ธนาคารกลาง จะได้สะดวกเวลาจ่ายหรือรับเงินหน่อย แต่เจ้าจะพกเหรียญทองถุงนั้นติดตัวไว้ก็ได้นะ ข้าเห็นว่าเจ้ามีเงินสดติดตัวอยู่ก็ดีเหมือนกัน”

“ข้าไม่เคยใช้บริการของธนาคารหรอกนะ ข้าชอบเงินสดมากกว่า”

“เปิดไว้เถอะ” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่ได้อยู่กับข้าแค่วันสองวันนะ เราจะยังอยู่ด้วยกันอีกนาน และการพกเงินสดไปไหนมาไหนมันลำบากมาก เชื่อข้าเถอะ”

“....”

“แต่ถ้าไม่เต็มใจจริงๆ จะทำแบบที่โอเรนว่าก็ได้ ทำงานหักค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ ก็คงจะเข้าท่าอยู่เหมือนกันล่ะนะ”

“งั้นข้าไปเปิดบัญชีกับท่านดีกว่า” คาริกว่า “ไม่อยากทำงานใช้หนี้ไปตลอดชีวิตน่ะ”

จอมเวทหัวเราะชอบใจ ก่อนจะโบกมือ “เอาล่ะๆ พักเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไว้ก่อน รีบๆ กินเถอะ นี่ข้ารอพวกเจ้าอยู่นะ”

“ว่าแต่ท่านมีธุระอะไรหรือ” เจ้ามังกรถามขึ้นขณะกระโดดลงไปนั่งที่หน้าอ่างใส่ผักสลัด อีกฝ่ายส่งเสียงตอบ

“กินให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะบอก”

ทั้งคู่จึงก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าที่โต๊ะ บรรยากาศในยามเช้าดูอบอุ่นเพราะแสงแดดอ่อนๆ และลมเย็นๆ ที่พัดโชยเข้ามา ถึงอย่างนั้นคาริกก็ยังรู้สึกแปลกๆ คงเพราะปกติแล้วยามเช้าแบบนี้ เขาจะต้องได้ยินเสียงนกร้อง และเสียงของผู้คนที่พากันออกมาทำกิจการงานต่างๆ ทว่าบนนี้กลับเงียบสนิท แม้แต่เสียงนกร้องก็ไม่มีแว่วมาให้ได้ยิน เงียบกระทั่งได้ยินเสียงโอเรนแทะผักดังกร๊อบแกร๊บ

เพิ่งรู้ว่าความเงียบก็ทำให้รู้สึกอึดอัดได้เหมือนกัน

เหมือนถูกความเงียบเร่งเร้า ทั้งคาริกและโอเรนกินมื้อเช้าหมดอย่างรวดเร็ว พอชายหนุ่มวางช้อนส้อมลงบนจาน ไอดิเอลก็ลืมตาขึ้นมาทันที

“พวกเจ้าเสร็จกันแล้วสินะ”

“อื้อ” ทั้งคนทั้งมังกรพากันพยักหน้า ไอดิเอลยันตัวลุกขึ้น เขาส่งเสียงสั่งให้สเตลลาเก็บโต๊ะ คาริกจึงได้เห็นภาชนะใส่อาหารพวกนั้นพากันเคลื่อนย้ายตัวเองลงไปในรถเข็นอาหารที่จอดอยู่ข้างโต๊ะ เขาถึงกับต้องพูดออกมา

“สเตลลาเนี่ยเหมือนกับมีเวทมนตร์เลยนะ”

“นางเป็นจักรกลระดับสูงน่ะ” ไอดิเอลว่า “นางทำให้อะไรๆ สะดวกขึ้นเยอะในหอคอยโลหะแห่งนี้ รวมถึงที่เมืองด้านล่างด้วย จริงสิ... เดี๋ยวเสร็จจากธุระนี่แล้ว ข้าจะให้ทีมัวร์พาพวกเจ้าไปเที่ยวเมืองพ่อค้าแล้วกัน”

“แล้วท่านล่ะ” โอเรนถามขึ้น “จะไม่ไปด้วยกันหรือ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “อยากให้ข้าไปด้วยหรือ แต่ทีมัวร์รู้เรื่องของที่นั่นดีกว่าข้านะ”

“ถ้าท่านสะดวก พวกเราก็อยากให้ท่านไปด้วยนะ” คาริกพูดขึ้นบ้าง ไอดิเอลมองเขาแล้วผงกศีรษะ

“ถ้าเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะก็... ไม่ต้องกังวลหรอกนะ เจ้าจะซื้ออะไรลงบัญชีชื่อข้าไว้ก็ได้ ข้ารับรองว่าคิดดอกเบี้ยไม่แพงแน่นอน แต่จะซื้ออะไรก็คิดหน่อยล่ะ อย่าให้มันเกินตัวมาก อย่างรถยนต์อะไรนี่ไม่ต้องซื้อหรอกนะ ข้าชอบขี่ม้ามากกว่า”

“นี่ ข้าดูเป็นคนเห็นแก่เงินขนาดนั้นเลยหรือไง” ชายหนุ่มสวนทันที “พวกเราแค่อยากให้ท่านไปด้วย ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นหรอก เมื่อคืนท่านมาถึงก็ทิ้งพวกเราเอาไว้ จะไปเที่ยวท่านยังจะทิ้งพวกเราอีกหรือ”

“ใช่แล้ว” โอเรนรีบสนับสนุนทันที “ไปด้วยกันเถอะนะท่านไอดิเอล ไม่มีท่านแล้วมันเหงาๆ ยังไงไม่รู้ ข้าสัญญาว่าถ้าสงสัยอะไรจะถามแต่ท่านทีมัวร์คนเดียว ไม่ก่อกวนท่านเด็ดขาด ท่านก็ไปกับพวกเราเถอะนะ”

ไอดิเอลหัวเราะชอบใจ “ก็ได้ ข้าจะไปด้วย อยากรู้จริงเชียวว่าเจ้ากับทีมัวร์ ใครจะพูดมากกว่า”

“จริงสิ พูดถึงท่านทีมัวร์ ท่านพบกับเขาหรือยัง เมื่อวานเขาดูเสียพลังไปมากเลยนะ” คาริกพูดอย่างนึกขึ้นได้ อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“เขาเอารายงานไปให้ข้าที่หอสมุดเมื่อคืน ท่าทางสดชื่นอยู่นะ ข้าว่าเขาคงจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วล่ะ ยังดีที่เขาไม่ขอนอนกับเจ้าด้วย ข้ายังคิดอยู่เชียวว่าเขาจะนึกพิเรนทร์ทำอะไรแบบนั้นรึเปล่า”

คาริกขยับปากทำท่าจะพูดอะไร แต่ถูกโอเรนชิงพูดขึ้นก่อน “เขาบอกว่าท่านจะโกรธน่ะ”

“อ้อ... แสดงว่าเขาคิดจะทำจริงๆ สินะ”

คาริกถอนหายใจเฮือก “เขาแค่คิด ไม่ได้ทำจริงๆ หรอก แล้วท่านนี่ก็คุยเรื่องนี้กับโอเรนหน้าตาเฉยเลยนะ”

ไอดิเอลหลิ่วตามองเขา “เจ้านี่ก็ขี้กังวลจริงเชียว ข้าคุยกับเขามันมีเนื้อหาล่อแหลมตรงไหน”

“นั่นสิ เจ้าเป็นอะไรน่ะคาริก ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแปลกเลย”

ชายหนุ่มเหลือบตามองบน “เออ... ข้าคงประดิษฐ์ประโยคไม่เก่งเองแหละ” เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

“ว่าแต่ท่านรอคุยเรื่องอะไรกับพวกเราน่ะ”

“ข้ามีธุระกับพวกเจ้าทั้งสองคน แต่คงต้องเริ่มจากโอเรนก่อน”

“ท่านมีอะไรอยากให้ข้าช่วยหรือ?” โอเรนถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นทันที ไอดิเอลมองเขาแล้วยิ้ม

“ข้าอยากขอดูความทรงจำของเจ้า ตั้งแต่พวกเราพบกัน ข้ายังไม่ได้ตรวจสอบเลยว่าเจ้ามาจากที่ไหนกันแน่”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาจากที่ไหน” โอเรนว่า “แล้วมันจะเจ็บรึเปล่า”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “ไม่เจ็บหรอก แต่เจ้าอาจจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย”

“งั้นท่านดูเลย” เจ้ามังกรว่า คาริกแทรกขึ้นทันที

“นี่... ในเมื่อโอเรนไม่รู้ ท่านดูความทรงจำของเขาจะรู้ได้ยังไง”

“ข้าอาจจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวที่เขาเคยได้ยินได้ฟังได้ จะให้เขาเล่าเรื่องที่ได้ยินมาตลอดสามสิบปีออกมาในเวลาสั้นๆ คงไม่ได้หรอกนะ”

“ก็จริงของท่านนะ”

“แล้ว... ข้าต้องทำไงบ้าง” เจ้ามังกรถามต่อ “ต้องหลับตาแบบคาริกไหม”

“ไม่ต้อง มองตาข้าสิ”

โอเรนมองดูดวงตาสีอำพันของจอมเวท อึดใจเดียวเขาก็ผล็อยหลับไปทันที คาริกมองด้วยความอึ้ง ขณะที่ไอดิเอลยื่นมือไปแตะศีรษะของเจ้ามังกร

“เจ้าอย่าส่งเสียงนะ ข้าต้องใช้สมาธิ”

ชายหนุ่มผงกศีรษะ เขาเห็นแสงสีทองอ่อนจางแผ่ออกจากมือของจอมเวท ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าโอเรนจะรู้สึกยังไงที่มีคนอื่นเข้าไปดูความทรงจำของตัวเอง แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าอยู่ในไข่มาสามสิบปี และก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วมากก็เถอะ แต่ในสายตาของคาริก โอเรนก็ยังดูเป็นเด็กอยู่ดี เขาคิดว่าการถูกคนอื่นเข้าไปในห้วงจิตไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก แม้จะเข้าไปด้วยจุดประสงค์จำเป็นก็ตาม เหมือนอย่างที่ไอดิเอลเข้าไปในความฝันของเขาเมื่อเช้าไงล่ะ

นี่มันคือการละเมิดความเป็นส่วนตัวชัดๆ

คาริกคิดว่าต่อไปเขาต้องระวังมือของไอดิเอลให้ดี โดยเฉพาะตอนที่มันเข้ามาใกล้ๆ ศีรษะของเขา

ไอดิเอลลืมตาโพลง ทว่าสายตากลับจับจ้องไปในจุดที่ไม่อาจระบุได้ คาริกได้แต่นั่งมองทั้งคู่เงียบๆ เขาเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่วางอยู่ติดกับชั้นหนังสือ

หนึ่งนาที... สองนาที... สามนาที...

ในที่สุดไอดิเอลก็ขยับตัว คาริกได้ยินเสียงฝ่ายนั้นถอนหายใจ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของโอเรนเบาๆ

“ตื่นได้แล้ว”

โอเรนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา เขางึมงำพูดขึ้น “เสร็จแล้วหรือ ข้ากำลังหลับสบายเชียว”

“เจ้าจะนอนต่อก็ได้นะ” ไอดิเอลพูดแล้วขยับตัวออก อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“ท่านได้ยินอะไรบ้าง แล้วรู้รึเปล่าว่าข้ามาจากไหน”

คนถูกถามนิ่งไปอึดใจ “ข้าคิดว่าเจ้าเคยอยู่ที่อาณาจักรอุดร น่าจะอยู่ในสถานที่ที่มีการคุ้มกันสูงมาก ฟังจากสำเนียงการพูดที่เจ้าเคยได้ยินนะ แต่คงไม่ใช่ในเขตของราชสำนัก เพราะสำเนียงต่างออกไป และในสถานที่ที่เจ้าอยู่ยังมีสำเนียงการพูดของคนจากอีกหลายอาณาจักร อาจจะเป็นองค์กรหรือขบวนการอะไรสักอย่างที่ลักลอบค้าสัตว์ผิดกฎหมาย... ต้องเป็นองค์กรใหญ่มากทีเดียวเชียวล่ะ ชื่อที่เจ้าได้ยินบ่อยที่สุดคือราอูล แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นระดับผู้มีอำนาจ คิดว่าเป็นแค่คนเฝ้ายามสถานที่มากกว่า”

“อ่า... ใช่ ข้าจำชื่อราอูลได้ เขามักจะชอบพูดกับข้าอยู่บ่อยๆ” โอเรนว่า “ว่าเขาเคยเป็นนักล่าที่มีชื่อเสียงบ้างล่ะ เคยเป็นนายพรานมือฉมังบ้างล่ะ แต่เพราะบาดเจ็บอะไรสักอย่าง ก็เลยต้องไปจับเจ่าอยู่ที่นั่น”

“อืม... ข้าคิดว่านี่น่าสนใจทีเดียว” ไอดิเอลว่า “ทีมัวร์บอกว่าล่าสุดวัลคอตอยู่ที่อาณาจักรอุดร ข้าน่าจะไปลองถามเกี่ยวกับอดีตนักล่าที่ชื่อราอูล อาจจะพอหาเบาะแสได้”

“นี่ท่านตกลงรับทำงานนี้แล้วหรือ” คาริกถามออกมา “มีใครจ้างท่านหรือยัง?”

“ยัง ข้าไม่คิดว่านี่เป็นงานรับจ้างหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “มีคนเก็บไข่ของนูเบส โฟลิอุมไว้หลายปี แปลว่าน่าจะมีของผิดกฎหมายอื่นด้วย ข้าจะสืบเรื่องนี้ ส่วนเรื่องงานจ้างหาไม่ยากหรอก ไว้ไปถึงอาณาจักรอุดรแล้วเราค่อยเข้าไปดูที่กระดานในเมืองก็ได้”

“ท่านนี่ทำงานตามใจตัวเองจริงๆ” คาริกว่า “งั้นแปลว่าเราจะไปอาณาจักรอุดรกันใช่ไหม” ชายหนุ่มถามต่อ เขาเคยได้ยินว่าที่นั่นมีแต่หิมะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะไปเหยียบมาก่อน ไอดิเอลผงกศีรษะ

“ข้าคิดว่าจะไปอาณาจักรอุดร แต่ไม่ใช่หลังจากนี้หรอก เวโรนิกาน่าจะเชิญข้าไปให้การที่อาณาจักรหรดีต่อ และเราก็ยังต้องไปกินอาหารที่วังตามคำเชิญของเจ้าชายบัลดริกซ์ด้วย”

“แปลว่าเราจะได้ไปที่วังก่อนสินะ” โอเรนว่า “ข้าจะบอกเจ้าชายว่าขอใบไม้เยอะๆ”

ไอดิเอลยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าชายคงจะหามาให้เจ้าได้ทั้งอุทยานเลยล่ะ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกขัดขึ้น “ถ้าท่านต้องไปให้การที่อาณาจักรหรดี ก็แปลว่าเสร็จจากประชุมแล้วเราต้องออกเดินทางเลยน่ะสิ”

“ข้าไม่รีบขนาดนั้นหรอกน่า อยู่พาพวกเจ้าเที่ยวก่อนสักวันสองวันจะเป็นไรไป”

“แต่ท่านเวโรนิกาคนนั้นเป็นจอมเวทประจำราชสำนักไม่ใช่หรือไง” คาริกแย้งขึ้น “นางจะยอมให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อเพื่อพาพวกเราเที่ยวหรือ?”

“นางเป็นจอมเวทประจำราชสำนักหรดีก็จริง แต่ข้าไม่ใช่นี่” ไอดิเอลว่า “ข้าเห็นสมควรว่าจะไปที่นั่นเมื่อไหร่ ข้าก็จะไปของข้าเอง ยกเว้นว่าเจ้าไม่อยากจะอยู่เที่ยวแล้วน่ะนะ”

“ข้าอยากนะ” คาริกรีบตอบ “เพียงแต่กลัวว่าจะทำให้มีปัญหาเท่านั้นเอง”

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า” ไอดิเอลว่า “ข้าเคยพูดเรื่องที่ทำไม่ได้ด้วยหรือไง”

“เอ่อ... ก็จริงของท่านนะ” จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา ไอดิเอลเลือกที่จะพาเขาไปเที่ยว แทนที่จะเร่งไปตามคำเชิญ แปลว่าเจ้าตัวเห็นเขาสำคัญกว่าสินะ

“นี่... จะยิ้มก็ยิ้มออกมาเถอะน่า” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้นะว่าเจ้าดีใจที่จะได้ไปเที่ยวน่ะ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้าไม่ซื้อรถให้เจ้าแน่นอน”

คาริกยกมือลูบปาก ก่อนจะพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินที่พุ่งขึ้นมาอยู่บนหน้า “ข้าไม่ขอให้ท่านซื้อรถให้หรอกน่า ข้าไม่อยากทำงานใช้หนี้ไปทั้งชาติน่ะ”

“แต่ข้าว่ามีรถก็ดีนะ” โอเรนพูดขึ้น “อัลบุสจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไงล่ะ”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา “กับเจ้าข้าก็ไม่ซื้อให้เหมือนกัน ไม่ต้องพยายามหาเหตุผลหรอก”

“ง่ะ”

คาริกหัวเราะออกมา ไอดิเอลเหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้นต่อ “ยังพอมีเวลาเหลือ คาริก เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ซิ ขอข้าดูความทรงจำเจ้าหน่อย”

“เดี๋ยวๆ” ชายหนุ่มร้องขึ้นทันที แทบจะเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน “ทำไมจู่ๆ ท่านถึงอยากจะดูความทรงจำข้าล่ะ ไม่เชื่อว่าข้ามาจากอาณาจักรบูรพาหรือไง”

“ข้าจะหาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้ากับนูบิลุสน่ะ”

“หา?! นูบิลุส ใครกันน่ะ”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่14 (P2) (ุ1/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-10-2021 10:15:07
“เป็นชื่อของเจ้าตัวที่คุยกับเจ้าในฝันเมื่อเช้านี้ไง” ไอดิเอลว่า “เจ้าของพลังน่ากลัวที่โอเรนพูดถึงน่ะ”

“หา! ท่านรู้ได้ยังไง ข้ายังไม่เห็นตัวมันเลยด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้วก็มีแต่ท่านล่ะนะที่โผล่เข้ามาน่ะ”

“ข้าเข้าไปช่วยเจ้าให้พ้นจากคำลวงของมันนะ พูดเสียอย่างกับว่าข้าไปทำร้ายเจ้างั้นแหละ” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่าเป็นมันแน่ เพราะข้าสัมผัสได้ถึงพลังแบบเดียวกันกับที่เห็นในนิมิตคืนนั้นน่ะ”

“เดี๋ยว! นี่ท่านกำลังพูดถึงเจ้าตัวน่ากลัวนั่นด้วยหรือ มันคือตัวเดียวกันหรือเนี่ย” ชายหนุ่มร้องออกมา “ข้าไม่เห็นว่าเสียงมันจะเหมือนกันเลยนะ”

ไอดิเอลทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “เจ้านี่ทำไมถึงได้ทึ่มนัก ถ้าไม่เห็นข้าคงไม่เชื่อหรอกนะว่าเจ้าจะจับคำสาปได้ด้วยมือเปล่าน่ะ จำที่เราคุยกันบนรถของมาร์คัสได้ไหม ที่เจ้าเห็นคือบุตรแห่งความมืด สิ่งมีชีวิตในตำนานโบราณที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับโลกใบนี้ กะอีแค่เปลี่ยนเสียงคงไม่ใช่เรื่องที่มันจะทำไม่ได้หรอกนะ แล้วเรื่องเปลี่ยนรูปร่างก็ด้วย ถ้าข้าไม่เข้าไปก่อน ที่เจ้าเห็นก็จะเป็นร่างแปลงของมันนั่นแหละ”

“สรุปแล้วที่ข้าเห็นในฝันน่ะ เป็นท่านหรือเจ้าตัวน่ากลัวนั่นกันแน่”

“เสียงที่เจ้าได้ยินน่ะเป็นเสียงของมัน รวมถึงภาพที่เจ้าเห็นตอนแรกด้วย แต่คนที่กระซิบข้างหูเจ้าคือข้านี่แหละ”

“....” คาริกอึ้งไปอึดใจก็พูดขึ้นมา “ก็แปลว่าท่านแข็งแกร่งถึงขนาดเข้าไปแทนที่เจ้านั่นได้เลยไม่ใช่หรือไง แบบนั้นก็ไม่น่าจะต้องห่วงอะไรแล้วนี่”

“ใช่ที่ไหนกัน ข้าก็แค่เข้าไปแทรกในจิตสำนึกของเจ้าเท่านั้น” ไอดิเอลว่า “มันก็แปลกนะ ตอนแรกข้าคิดว่ามันอยู่ในตัวเจ้า แต่พอข้าแทรกเข้าไปเมื่อเช้า ดูเหมือนว่าพลังของมันจะมาจากอีกแหล่ง ข้าไม่ทันจะตรวจดูให้รู้แน่มันก็หายวับไปแล้ว อย่างกับไม่เคยมีอยู่มาก่อนงั้นแหละ”

“ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับความทรงจำของข้าล่ะ” คาริกว่า “ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้าไม่เคยหรือได้ยินเสียงของมันมาก่อน จนนอนกับท่านคืนนั้นนั่นแหละ”

“หืม เจ้านอนกับท่านไอดิเอลเลยเห็นนิมิตน่ากลัวแบบนั้นหรือ” โอเรนถามออกมา คาริกรู้ตัวว่าพลังปาก เลยรีบพูดแก้

“ก็ใช่... แต่ว่าไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ”

“เอ๋... ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดยังไงน่ะ เจ้าไม่ได้นอนกับท่านไอดิเอลแบบที่นอนกับข้าหรือ”

“เอ่อ...”

ไอดิเอลหัวเราะออกมา “เจ้าจะลนลานแก้ตัวไปทำไมน่ะคาริก นอนกับข้าน่าอายตรงไหน”

“นั่นสิ น่าอายตรงไหน” โอเรนว่า “ข้าก็อยากนอนกับท่านไอดิเอลนะ เขายังไม่ยอมให้ข้านอนด้วยเลย”

“ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้านอนกับเขาแน่!” คาริกโพล่ง ก่อนจะครางออกมา “โอย... ให้ตายเถอะ ทำไมเรื่องมันต้องมาวนเวียนอยู่ตรงนี้ด้วยนะ”

“เจ้านี่หน้าบางไม่สมกับเป็นพวกสมาคมคุ้มกันเลยแฮะ” ไอดิเอลพูดยิ้มๆ คาริกถลึงตาใส่เขา

“ข้าไม่ได้หน้าหนาเท่ากับท่านต่างหาก อย่าเอามาตรฐานของตัวเองมาเปรียบเทียบคนอื่นสิ”

“เจ้าว่าท่านไอดิเอลทำไมน่ะ” โอเรนแทรกขึ้นอีก “ท่านไอดิเอลหน้าหนาตรงไหน ข้าว่าหน้าเขาออกจะสวยนะ”

“เอ่อ... เรื่องนั้นข้าไม่เถียงหรอก แต่... โอ๊ย นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้าจะต้องมารับรู้นะ”

“หา ทำไมข้ารับรู้ไม่ได้ล่ะ ข้าแก่กว่าเจ้าอีกนะ อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในไข่มาก่อนเจ้าจะลืมตาดูโลกล่ะ”

ไอดิเอลหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “เอาล่ะ ข้าว่าเจ้าหยุดพูดก่อนดีกว่านะคาริก พูดต่อก็มีแต่เจ้าที่จะลำบากเอาน่ะนะ”

“งั้นท่านก็ช่วยพูดอะไรสักอย่างสิ” ชายหนุ่มหันไปเค้นเสียงใส่ “แบบที่มันฟังแล้วสมกับวัยของเขาน่ะ”

“ข้าไม่ใช่เด็กอายุสิบแปดแบบเจ้าหรอกน่า ไม่ต้องกังวลไป” ไอดิเอลตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันไปหาโอเรน

“การที่คาริกนอนกับข้าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่จะทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้น่ะ เพราะงั้นมันเลยไม่เหมือนที่เจ้านอนกับเขาหรอก เพราะเจ้าไม่ได้เป็นจอมเวทแบบข้า”

“งั้นหรือ ถ้างั้นให้ข้านอนกับท่านด้วยได้รึเปล่า ข้าเองก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เหมือนกันนะ”

“ไม่ได้หรอก” ไอดิเอลตอบเขาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “พิธีกรรมนี้น่ะอันตรายถึงตายเชียวนะ ให้คนอื่นมาทำแทนคาริกไม่ได้หรอก”

“ขนาดนั้นเลยหรือ แล้วทำไมคาริกถึงไม่ตายล่ะ”

“ก็เพราะคาริกใช้ชีวิตเดียวกับข้าไงล่ะ”

โอเรนกะพริบตาครั้งสองครั้ง ในที่สุดก็พยักหน้า “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องดีนี่นา แล้วทำไมคาริกถึงได้ทำเหมือนมันเป็นเรื่องแย่มากล่ะ”

“ไม่รู้สิ เขาคงไม่ชอบล่ะมั้ง”

“ไม่ใช่ข้าไม่ชอบ!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ก่อนจะครางอีก “โอย... ทำไมท่านถึงพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยกันนะเนี่ย”

“คงเพราะข้าแก่กว่าเจ้าเยอะล่ะมั้งนะ” ไอดิเอลว่า โอเรนทำท่าเหมือนนึกอะไรได้เลยพูดขึ้นต่อ

“เมื่อวานท่านทีมัวร์ก็บอกว่าอยากจะนอนกับคาริกเหมือนกันนะ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไม”

“หืม? ทีมัวร์พูดแบบนั้นหรือ”

เจ้ามังกรพยักหน้า ดูจะยังไม่เอะใจอะไรสักอย่าง “ใช่ เมื่อวานท่านทีมัวร์เสียพลังไปตอนใช้เครื่องย้ายมวลสารน่ะ เขาบอกว่าอยากจะนอนกับคาริก แต่กลัวท่านโกรธ”

“ข้าต้องโกรธแน่” ไอดิเอลว่า โอเรนถามด้วยความสงสัย

“ทำไมล่ะ ก็ท่านบอกว่าการที่คาริกนอนกับท่านเป็นการทำให้ท่านมีชีวิตต่อไปได้ไม่ใช่หรือ ท่านทีมัวร์ก็เป็นจอมเวทเหมือนกัน เขาก็น่าจะนอนกับคาริกได้สิ”

“เขาก็นอนได้” ไอดิเอลว่า “แต่เพราะคาริกใช้ชีวิตเดียวกับข้า ถ้าทีมัวร์นอนกับเขา มันจะเป็นการถ่ายพลังชีวิตของข้าไปแทนน่ะ”

“อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง แต่ข้านอนกับคาริกไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ใช่แล้วล่ะ นอกจากจอมเวท เขาจะนอนกับใครก็ได้ ข้าไม่ไปก้าวก่ายหรอก”

คาริกหน้าหงิก เขาเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วเชียวว่า ‘ช่วยก้าวก่ายหน่อยก็ได้นะ’ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเดี๋ยวเรื่องคงยาวไม่จบ ดังนั้นเลยเปลี่ยนเรื่องพูดแทน

“ข้ารู้สึกประทับใจอยู่หรอกนะที่ท่านอธิบายกับโอเรนอย่างใจเย็นได้ขนาดนี้น่ะ แต่ว่าเรากลับมาเรื่องเดิมดีกว่าไหม สรุปแล้วท่านจะเข้าไปดูความทรงจำของข้าทำไม”

“เพื่อที่จะได้หาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้ากับมัน” ไอดิเอลตอบ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อถือคำพูดของเจ้า แต่บางอย่างเจ้าอาจจะลืมไป ยังไงข้าก็อยากตรวจสอบให้แน่ใจน่ะ”

“มันไม่มีวิธีตรวจสอบอื่นแล้วหรือไง” อีกฝ่ายว่า “ข้าไม่อยากให้ท่านเข้าไปดูความทรงจำนี่ มันก็เหมือนกับที่ท่านไม่ยอมเอาบันทึกประจำวันให้ข้าอ่านนั่นแหละ”

ไอดิเอลมองชายหนุ่ม แล้วยิ้ม “งั้นข้าจะให้เจ้าอ่านบันทึกของข้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน อยากจะอ่านสักกี่เล่มล่ะ”

“....”

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็น แต่เรื่องนี้สำคัญมากนะ เพราะมันเกี่ยวข้องทั้งกับเจ้าและข้า ถ้านูบิลุสอยากจะครอบงำเจ้า ข้าก็ต้องรู้ว่าเพราะอะไร แล้วมันมาจากไหน ใช่แฝงอยู่ในร่างของเจ้าหรือว่ามาจากที่อื่น เจ้าเป็นคนที่ใช้ชีวิตเดียวกับข้านะ ให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ”

คาริกนิ่งไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็พูดออกมา “ในเมื่อท่านพูดถึงขนาดนี้ล่ะก็... ข้าให้ความร่วมมือก็ได้ แต่ว่าเรื่องบันทึกน่ะ ข้าเอาจริงนะ”

“ข้าก็ไม่ได้พูดเล่นสักหน่อย” อีกฝ่ายว่า แล้วชี้มือไปที่เก้าอี้ข้างตัว “มานั่งนี่สิ”

คาริกเดินไปนั่งประจันหน้ากับจอมเวท แล้วถามขึ้นต่อ “ท่านจะทำให้ข้าหลับก่อนไหม แต่ถ้าหลับไปทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แบบนี้ข้าอาจจะล้มฟาดท่านก็ได้นะ”

“เจ้าอยากจะหลับแบบโอเรนหรือ” ไอดิเอลถามขึ้น “อย่างนั้นก็เปลี่ยนไปทำที่เก้าอี้ยาวแล้วกัน”

“เอ่อ... นั่งทำที่นี่ก็ได้ ถ้าข้าไม่ต้องหลับแบบโอเรน มันจะมีผลอะไรรึเปล่า”

“ก็อาจจะแค่รู้สึกอึดอัดที่นั่งจ้องตากับข้าน่ะนะ” ไอดิเอลว่า “แต่ข้าตั้งใจใช้เวทที่จะทำให้เจ้ารู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่แล้ว คงไม่ถึงกับล้มพับมาหาข้าหรอก”

“ไม่เป็นไร ใช้เวลาไม่นานใช่ไหมล่ะ ท่านไม่ต้องใช้เวทกับข้าก็ได้ จะเปลืองพลังของท่านเปล่าๆ น่ะ”

“แน่ใจนะ”

“อืม”

“งั้นก็จ้องตาข้าให้ดี อย่าส่งเสียง ข้าต้องใช้สมาธิกับเรื่องนี้มาก โอเรน เจ้าก็ห้ามส่งเสียงนะ”

“อื้อ ข้าจะหุบปากให้สนิทเลย”

ไอดิเอลยกมือขึ้นแตะขมับของชายหนุ่ม คาริกรู้สึกถึงปลายนิ้วเย็นๆ เขาเห็นดวงตาสีอำพันของจอมเวทกำลังมองมา นึกสงสัยว่าดวงตาคู่นี้ของไอดิเอล ประกอบด้วยเลือดเนื้อหรือทำมาจากอัญมณีกันแน่

ดวงตาคู่นั้นไม่เหมือนกับดวงตาของแมวหรือสัตว์อื่น มันเป็นสีเหลืองสว่างสุกใส มีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง คาริกมองเห็นภาพบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น เขาเพ่งมอง ตอนแรกคิดว่าเป็นเงาของตัวเอง แต่อีกอึดใจต่อมา เขาก็รู้ว่าเข้าใจผิดไปไกล

เงานั้นเป็นภาพของหญิงสาวที่มีเรือนผมสีอ่อนเป็นลอนสวย ใบหน้าของนางงดงามจับใจ นางกำลังคลี่ยิ้มมาให้เขาอย่างอ่อนหวาน ทรวงอกของนางอวบอิ่มเต่งตึง และท้องของนางยังนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด คาริกสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลื้มปีติที่เอ่อท้นขึ้นมา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกที่ประหลาด ราวกับว่าเขาเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในครรภ์ของหญิงสาวผู้นั้น

จากนั้นภาพที่เขาเห็นก็เปลี่ยนไป จากหญิงสาวที่มีใบหน้างดงาม กลับกลายเป็นสตรีวิกลจริต ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ดวงตาเลื่อนลอย นางสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น สองมือยกประคองผ้าเก่าๆ สกปรกผืนหนึ่ง หน้าท้องของนางแบนราบ ที่ข้อมือและข้อเท้าของนางถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน เสียงของมันดังเสียดเข้าไปในความรู้สึกของเขา พร้อมๆ กับความรู้สึกเจ็บปวดจนจิตใจแทบจะแหลกสลาย

แล้วเขาก็เห็นสัตว์ร้ายที่เขาไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน มันมีลำตัวมหึมาปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงก่ำ ปีกขนาดมหึมาที่พอกางออกก็แทบจะท้องฟ้าไว้หมดสิ้น มันส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมยาว แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัส เขาได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนอย่างสิ้นหวัง ขณะที่เปลวเพลิงโหมสูงอยู่เหนือศีรษะ ความสลดหดหู่ถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นซัด คาริกรู้เหมือนสติของเขาใกล้ขาดอยู่รอมร่อ ตอนนั้นเองใครบางคนก็เรียกชื่อเขา

“คาริก!”

คาริกสูดหายใจดังเฮือกเหมือนคนเพิ่งขึ้นจากน้ำ เขาคว้าไหล่คนตรงหน้า โพล่งออกมา “หนีเร็ว!”

ไอดิเอลนิ่วหน้า เขาพูดขึ้นมา “เจ้าเป็นอะไรไป”

“ข้าเห็นมัน” ชายหนุ่มละล่ำละลัก “สัตว์ร้ายสีแดงเพลิงที่มีปีกปกคลุมท้องฟ้า มันฆ่าทุกคนเลย”

“หืม... เจ้าตั้งสติก่อน หายใจลึกๆ ช้าๆ ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว”

ชายหนุ่มทำตาม เสียงของไอดิเอลทำให้เขารู้สึกสงบลง เขาพูดขึ้นต่อ “ท่านต้องฟังข้านะ ข้าเห็นจริงๆ ข้าเห็นผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่ง นางสวยมาก ข้ารู้สึกเหมือนเด็กในท้องของนางเป็นลูกของข้า แล้วข้าก็เห็นนางถูกล่าม นางอุ้มผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่ง ข้ารู้สึกเจ็บที่ใจเหมือนถูกฉีกเลย”

“อา...” ไอดิเอลส่งเสียงครางออกมา เขายกมือขึ้นลูบที่ดวงตาของชายหนุ่ม

“เจ้าไม่ต้องตกใจนะ นั่นเป็นความทรงจำของข้าเอง”

“หา!?”

จอมเวทใช้สองมือประคองใบหน้าของเขา ประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากเบาๆ “มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าจริงๆ ปล่อยมันให้ออกมาจากจิตใจของเจ้าเถอะ”

คาริกรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตา ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานค่อยๆ เลือนหายไป ชายหนุ่มกะพริบตา รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านฝันร้ายมาหมาดๆ เขาผงกศีรษะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“ข้าไม่เป็นไรแล้วล่ะ ว่าแต่ตะกี้มันคืออะไรน่ะ”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม เขาลูบศีรษะคาริกเบาๆ แล้วตอบคำถาม

“ที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เป็นความทรงจำของข้าเอง” ไอดิเอลว่า “อาจเพราะพวกเราใช้ชีวิตเดียวกัน พอข้าเปิดจิตเพื่อเข้าไปดูความทรงจำของเจ้า จิตของเจ้าอาจจะหลุดเข้ามาในจิตของข้า ที่เจ้าเห็นเป็นบางส่วนของความทรงจำของข้าน่ะ”

“แต่ข้ารู้สึกเหมือนมันเกิดขึ้นกับข้าจริงๆ เลยนะ”

ไอดิเอลผงกศีรษะ “การเข้าไปดูความทรงจำของคนอื่นไม่เหมือนกับการดูภาพหรือฟังเสียงหรอกนะ มันคือการเข้าไปอยู่ในความทรงจำนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจิตใจไม่นิ่ง และไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจจะเสียสติได้ง่ายๆ เลยล่ะ โชคดีที่เจ้าอยู่ในนั้นไม่นาน ไม่อย่างนั้นก็คงเรียกสติกลับมาลำบากอยู่นะ”

“....”

“แต่ท่านไอดิเอลนี่ก็สุดยอดไปเลยนะ” โอเรนว่า “ตะกี้ข้าเห็นว่าพลังงานของคาริกน่ะปั่นป่วนมาก แต่ท่านแค่ก้มลงจูบหน้าผากเขา ทุกอย่างก็สงบลงทันทีเลย”

“มันเป็นการถ่ายเทพลังรูปแบบหนึ่ง ความรู้สึกนั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เพราะงั้นข้าถึงสามารถใช้พลังขับมันออกมาได้น่ะ”

โอเรนพยักหน้า “แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ท่านก็ไล่ออกมาไม่ได้สินะ”

“ใช่แล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับมันได้หรอก นอกจากจะจัดการตัวเองเท่านั้นแหละ”

คาริกรู้สึกเขินที่นึกได้ว่าถูกไอดิเอลจูบหน้าผากปลอบเป็นเด็กๆ ต่อหน้าโอเรน เลยเฉไปพูดเรื่องอื่น “แล้วท่านได้อะไรจากความทรงจำข้าบ้าง”

“ถ้าเกี่ยวกับนูบิลุสล่ะก็... ข้าแทบไม่พบความเชื่อมโยงอะไรเลย”

“งั้นก็แปลว่าเสียเวลาเปล่าน่ะสิ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ” อีกฝ่ายมองเขาแล้วพูดต่อ “อย่างน้อยๆ ข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนจริงจัง และมองโลกในแง่ดี การที่ข้าทำสัญญากับเจ้า อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่มากก็ได้”

“นี่ท่านยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแย่อยู่อีกหรือ” ชายหนุ่มคราง “ถึงข้าจะไม่ใช่นักดาบอันดับหนึ่งของยุค แล้วก็ไม่ใช่สาวสวย แต่ข้าก็ไม่คิดจะทำตัวเป็นภาระท่านหรอกนะ”

“ข้ารู้แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า “แต่เจ้าต้องเข้าใจนะว่าข้าทำสัญญานี้กับเจ้าโดยไม่ได้ผ่านการเลือกเฟ้นให้ดีก่อน ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเราจะเข้ากันได้ไหม ทั้งเจ้ากับข้า เราจะทนกันและกันไหวรึเปล่า ถ้าพวกเราเข้ากันไม่ได้มันจะเป็นเรื่องวุ่นวายมาก เพราะเราใช้ชีวิตเดียวกัน และข่าวร้ายคือข้ายังไม่เจอวิธียกเลิกพันธะสัญญานี้ แม้จะค้นบันทึกที่เกี่ยวข้องไปเกือบทั้งหอสมุดแล้วก็เถอะ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกร้องขึ้นอีก “อย่าบอกนะว่าที่ท่านหายไปทั้งคืนเพื่อไปหาเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ”

“ก็ใช่น่ะสิ ข้าเป็นคนบอกเจ้าเองว่ามันอาจจะมีทางแก้ไข ที่จริงแล้วมันอาจจะมีทางแก้ก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังหาไม่เจอ”

คาริกนิ่งไปอึดใจ ก็พูดขึ้นต่อ “ถ้ามันไม่มีทางแก้แล้ว ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่คิดว่าการได้มาใช้ชีวิตเดียวกับท่านเป็นเรื่องแย่ แล้วก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เพราะงั้น... ท่านไม่ต้องพยายามเสียเวลาไปหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้หรอกนะ พวกเรามามองไปข้างหน้าว่าจะอยู่ด้วยกันยังไงดีกว่า”

ไอดิเอลขมวดคิ้วมองเขา “เจ้าแน่ใจนะ? ไอ้ข้าน่ะอยู่มาจนถึงปูนนี้แล้ว ไม่เดือดร้อนอะไรมากหรอก เต็มที่ก็แค่รำคาญ แต่เจ้าน่ะยังเด็กมาก อายุพวกเราห่างกันขนาดนี้ ที่จะอึดอัดมากกว่าคือเจ้านั่นล่ะนะ”

คาริกถอนหายใจ “ข้าคิดว่าการมองไปข้างหน้ามันดีกว่าการพยายามแก้ไขเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ถึงข้าจะรู้สึกอึดอัดจริงๆ อย่างที่ท่านว่าก็เถอะ แต่ถ้าเราพยายามมันก็น่าจะไปกันได้นะ”

จอมเวทกะพริบตาครั้งสองครั้งก่อนจะถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้านี่พูดเหมือนกับนางเลย”

“นาง? ใครน่ะ”

“อดีตภรรยาข้าเอง”

........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่14 (P2) (ุ1/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-10-2021 18:19:10
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่14 (P2) (ุ1/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-10-2021 11:14:18
อดีตภรรยาไปอีกกก
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่15 (P2) (ุ22/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-10-2021 10:24:11
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่15 ประชุมสภา

คาริกอึ้งไปอึดใจ ก่อนจะโพล่งออกมา “หมายถึงผู้หญิงที่ข้าเห็นในความทรงจำของท่านเมื่อครู่นี้หรือ?”

คนถูกถามผงกศีรษะ โอเรนที่นั่งฟังอยู่นานอดไม่ได้ต้องถามขึ้น

“ภรรยาคืออะไรน่ะ”

“คือคำเรียกผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายน่ะ”

“เอ๋ แล้วแต่งงานคืออะไรหรือ”

“แต่งงานก็คือการที่คนสองคนตกลงจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันน่ะ”

“อ๋อ” เจ้ามังกรพยักหน้าทันที “เหมือนท่านกับคาริกใช่ไหมล่ะ”

คาริกเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ขณะที่ไอดิเอลอธิบายต่อ “มันก็ไม่เชิงแบบนั้นเสียทีเดียวหรอกนะ การแต่งงานมักใช้กับผู้ชายและผู้หญิงที่ต้องการสร้างครอบครัว คือใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันและมีลูกสืบเผ่าพันธุ์น่ะ ส่วนข้ากับคาริกเรียกว่ามีชีวิตร่วมกันเฉยๆ สร้างครอบครัวหรือสืบเผ่าพันธุ์ไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะ ท่านกับคาริกมีลูกไม่ได้หรือ”

“ข้าน่ะมีลูกไม่ได้อยู่แล้ว” ไอดิเอลว่า “ส่วนคาริกถ้าอยากจะมีลูก ก็ต้องมีกับผู้หญิง แต่เพราะเขาใช้ชีวิตเดียวกับข้า ทั้งลูกและภรรยาของเขาจะตายจากเขาไป ในขณะที่เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แล้วข้าคงไม่สะดวกที่จะให้เขาไปใช้ชีวิตดูแลครอบครัวด้วย ยังไงข้าก็ต้องให้เขาเป็นผู้ช่วยน่ะ”

คาริกนึกดีใจที่ไอดิเอลดูจะเห็นความสำคัญของเขาขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดถามไม่ได้อยู่ดี

“ท่านบอกว่ามีลูกไม่ได้ แล้วในท้องของผู้หญิงคนนั้นล่ะ ไม่ใช่ลูกท่านหรือ?”

“อ่า... ใช่ นั่นเป็นลูกข้า” ไอดิเอลว่า “แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะกลายเป็นจอมเวทน่ะ”

คาริกขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ พอเป็นจอมเวทแล้วท่านเลยมีลูกไม่ได้งั้นหรือ ข้าคิดว่าพวกท่านเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วเสียอีก”

“ไม่ใช่หรอก” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “จำเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังตอนที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหม”

“หืม?”

“เรื่องหมู่บ้านที่เคยตั้งอยู่บนสถานที่ที่เรียกกันว่าปากปล่องแห่งการสิ้นสูญน่ะ”

คาริกนิ่งนึกไปอึดใจ ก็ผงกศีรษะ “พอจะนึกออกล่ะ ท่านบอกว่าคนในหมู่บ้านมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ หรือว่าท่าน...”

“ใช่ ข้าเป็นคนในหมู่บ้านนั้น” ไอดิเอลพยักหน้า “ศิลาวิเศษที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านก็คือศิลาธาตุ เราเรียกมันว่าศิลาแห่งบรรพกาล สิ่งนั้นทำให้ทุกคนมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์มาแต่กำเนิด พวกเราอาศัยอยู่ในหุบเขาลึก แทบจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอก เรามีภาษาและอารยะธรรมของตัวเอง ตอนอายุยี่สิบ ข้าแต่งงานกับสตรีที่งามที่สุดในหมู่บ้าน เจ้าคงเห็นแล้วว่านางงามหาผู้ใดเปรียบ แล้วนางก็ตั้งท้อง ความรู้สึกยินดีของข้าตอนนั้นเจ้าคงสัมผัสแล้ว ข้าเฝ้ารอวันที่ลูกของเราจะลืมตาดูโลก ซึ่งมันก็ควรจะเป็นฤดูร้อนในปีถัดไป แต่แล้วพอถึงต้นปี ก็มีตัวแทนจากจักรวรรดิเข้ามาที่หมู่บ้าน ข้าไม่รู้ว่าจักรวรรดิรู้เรื่องศิลาได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาทำสงครามอยู่กับมังกร ในความคิดข้าตอนนั้น มังกรคือตัวแทนแห่งความรอบรู้และพลัง พวกเขาเหมือนกับเทพเจ้ามากกว่าสัตว์ร้าย”

“ตอนแรกจักรวรรดิมาอย่างเป็นมิตร เขานำเครื่องจักรกลที่พวกเราไม่เคยเห็นมาที่หมู่บ้าน สอนให้พวกเราใช้เครื่องจักรกลพวกนั้นแทนการใช้เวทมนตร์ เท่าที่ข้าจำได้ มันค่อนข้างเป็นเรื่องน่าประทับใจอยู่นะ ทั้งเครื่องที่ใช้ในการนวดข้าว หรือเครื่องที่ใช้ในการเกี่ยวข้าว และยังมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกอื่นๆ อีก พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านไม่ค่อยพอใจ พวกเขาเชื่อคำทำนายโบราณที่ว่าการนำพาอารยะธรรมอื่นเข้ามาจะทำให้หมู่บ้านของพวกเราพบกับหายนะ แต่สำหรับข้าและคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ พวกเราตื่นเต้นกันมาก และคิดว่าอารยะธรรมของจักรวรรดิจะทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น ดังนั้นพวกเราจึงเปิดรับทุกอย่างที่จักรวรรดินำมาให้ กระทั่งปล่อยให้พวกเขานำทหารเข้ามาเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ กว่าที่จะรู้ตัวว่าทั้งหมดไม่ใช่การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน ทั้งหมู่บ้านก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิไปแล้ว”

“จักรวรรดิแยกผู้หญิงและเด็กออกไปเป็นตัวประกัน และให้ผู้ชายทุกคนเข้ารับการทดลองเพื่อเพิ่มพลังเวทให้สูงโดยเครื่องจักรที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้น มีหลายคนลุกขึ้นต่อต้าน แต่จักรวรรดิเตรียมการรับมือพวกเรามาเป็นอย่างดี คนที่ต่อต้านถ้าไม่ยอมจำนนก็ถูกฆ่า ตอนนั้นข้าไม่อยากตาย จึงสมัครใจเข้ารับการทดลอง เพื่อที่จะได้พบหน้าภรรยากับลูกอีกครั้ง การทดลองในครั้งนั้นเปลี่ยนหัวใจข้าให้กลายเป็นศิลา เปลี่ยนเลือดข้าให้กลายเป็นปรอท ระบบสืบพันธุ์ของข้าถูกทำลาย ร่างกายข้ากลายเป็นภาชนะและสื่อนำพลังงาน ข้าไม่จำเป็นต้องกินอาหารอย่างที่ผ่านมาอีก ข้าถูกเปลี่ยนให้เป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็นในทุกวันนี้”

“ข้าผ่านกระบวนการพวกนั้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย เพื่อที่จะได้พบหน้าภรรยาที่ใกล้คลอด แต่แล้วข้าก็ได้รู้ข่าวร้าย ว่านางเองก็ถูกทดลองและเสียลูกไปในระหว่างนั้น ความรู้สึกของข้าเจ้าคงรู้แล้ว ข้าจึงก่อกบฏกับจักรวรรดิ แต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ข้าถูกจองจำ และยื่นเงื่อนไขว่าหากข้าไม่ทำตามคำสั่งของจักรวรรดิ ภรรยาของข้าที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกกำจัด เพราะนางวิกลจริต ไม่มีค่าพอที่จักรวรรดิจะเก็บเอาไว้อีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงเข้าร่วมในสงคราม แม้ข้าจะเข้าร่วมเพราะต้องการรักษาชีวิตของภรรยา แต่เจ้าคงเห็นแล้วในความทรงจำ ว่ามังกรนั้นทรงอานุภาพและเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะเอาชนะ ข้าได้เห็นคนจำนวนมากล้มตาย ในที่สุดข้าก็สู้เพื่อคนที่ต่อสู้อยู่รอบข้างข้าพวกนั้น แม้ว่าพวกเขาจะทำงานรับใช้จักรวรรดิที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของข้าก็ตาม เพราะพวกเขาก็เป็นดั่งเช่นที่ข้าเคยเป็น มีชีวิตที่เรียบง่าย มีครอบครัวที่น่ารัก และนั่นคือรายละเอียดของสิ่งที่เจ้าเห็น มันเป็นความทรงจำช่วงต้นในชีวิตของข้า เลยค่อนข้างแจ่มชัดและเข้าถึงง่ายสำหรับเจ้าที่เผอิญหลงไปน่ะนะ”

คาริกอึ้งไปครู่ใหญ่ เขายังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี ราวกับมันเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง แม้จะไม่ได้รู้สึกรุนแรงเหมือนตอนแรกก็เถอะ เขามองไอดิเอลด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ อีกฝ่ายยิ้มแล้วพูดต่อ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นน่า ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังเพราะอยากให้เจ้ารู้สึกแย่นะ ก็แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆ น่ะ”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า โอเรนจึงกระโดดขึ้นไปบนศีรษะของเขาแล้วลูบเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกนะคาริก ถึงท่านไอดิเอลจะสูญเสียครอบครัวไป แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้วใช่ไหมล่ะ ตอนนี้แม้เจ้าจะมีลูกให้เขาไม่ได้ แต่เจ้าก็อยู่กับเขานี่นา เจ้าใช้ชีวิตเดียวกับเขา เพราะงั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะตายจากเขาไป แค่นี้ข้าว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้วนะ"

“นั่นสินะ” สีหน้าของคาริกค่อยดีขึ้นหน่อย แต่ไอดิเอลกลับพูดขึ้น

“กังวลไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้าเจ้าเกิดทะเล่อทะล่าไปทำอะไรแล้วบาดเจ็บหนักขึ้นมา อย่าลืมล่ะว่าอาการบาดเจ็บนั้นมันจะมาลงที่ข้าไม่ใช่เจ้า”

“อืม...” คาริกส่งเสียงในคอ ก่อนจะโพล่งอย่างนึกขึ้นได้ “ถ้าท่านคิดงั้นแล้วท่านทำไมชอบผลักเรื่องอันตรายมาให้ข้าทุกทีเลยล่ะ ทั้งผีดาบเอย เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเอย การกระทำของท่านมันขัดกับคำพูดอยู่นะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “เจ้าเป็นผู้ช่วยข้านะ เรื่องอันตรายเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ใจคอคิดจะทำแต่เรื่องง่ายๆ หรือไง ที่ข้าต้องการบอกคือเจ้าต้องระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นเวลารับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันพวกนั้นต่างหากเล่า อย่างน้อยๆ ก่อนจะหันหลังให้ศัตรูก็ควรจะตรวจดูว่ามันตายสนิทแล้วหรือยัง”

“อา...”

พอเห็นสีหน้ารู้สึกผิดเต็มที่ของคาริก เสียงของไอดิเอลก็ค่อยอ่อนลงหน่อย เขาพูดขึ้นต่อ “ที่จริงแล้วที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี ทีมัวร์เล่าเรื่องเจ้าให้ข้าฟังแล้ว ข้าเห็นด้วยกับเขาว่าการที่คนเรามีความกลัวหรือระแวงสิ่งที่ไม่รู้มันทำมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น แต่ที่ต้องย้ำอีกเพราะกลัวว่าถ้าชมอย่างเดียว เดี๋ยวเจ้าจะได้ใจเกินไปน่ะ”

พูดจบก็ยื่นมือไปตบแก้มชายหนุ่มเบาๆ “ลุกได้แล้วล่ะ จะสิบโมงแล้ว พวกเราต้องไปที่สภากัน”

คาริกรีบปัดมือของเขาออก สองแก้มกลายเป็นสีชมพู “พอเถอะน่า ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”

ได้ยินเสียงโอเรนหัวเราะออกมา ขณะที่ไอดิเอลยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

........................................

แม้จะเป็นช่วงสายแล้ว แต่ภายในลิฟต์และโถงทางเดินกลับยังคงใช้แสงจากเส้นแสงเรืองรองที่วิ่งอยู่ตามพื้นและผนังในการส่องนำทาง เพราะไม่มีช่องให้แสงสว่างจากภายนอกผ่านเข้ามา ทั้งสามคนเดินออกจากห้องไปยังลิฟต์ที่อยู่สุดทางเดิน ไอดิเอลแต่งตัวเต็มยศ ห่มทั้งผ้าคลุมและถือไม้เท้า ขณะที่คาริกสวมชุดสีแดงที่ตัดเย็บจากหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตา และสะพายดาบเขาแมกนิสคอร์นิบัสเล่มยาวไว้ที่ด้านหลัง คนที่ดูจะสบายและเบาตัวที่สุดคงหนีไม่พ้นโอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของคาริกนั่นเอง

แม้ว่าทั้งคู่จะมีทั้งไม้เท้าและดาบ แต่ตัวลิฟต์ยังคงเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก คาริกที่สังเกตเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวานจึงพูดขึ้น

“ลิฟต์ที่นี่กว้างมากเลยนะ กว้างกว่าลิฟต์บนเรือเหาะอีก ข้าว่าน่าจะจุคนพร้อมสัมภาระได้สักสิบคนเลยนะเนี่ย พวกท่านอยู่กันบนนี้เยอะหรือ?”

“ไม่เยอะหรอก” ไอดิเอลตอบ “แต่ที่ต้องกว้างขนาดนี้เพราะใช้ขนของด้วยน่ะ”

“อ้อ...”

“ว่าแต่เดี๋ยวพวกเราจะไปประชุมใช่ไหม” โอเรนถามขึ้นต่อ “ในที่ประชุมพวกท่านต้องสู้กับตัวอะไรด้วยรึเปล่า?”

ไอดิเอลเลิกคิ้ว “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“ก็เห็นท่านให้คาริกพกดาบมาด้วยนี่นา”

“อ๋อ ข้าให้เขาพกมาให้กราวิสช่วยดูให้น่ะ หมอนั่นเชี่ยวชาญเรื่องอาวุธกว่าข้า เผื่อว่าเขาจะมีคำแนะนำดีๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับสภาหรอก”

“กราวิสนี่ใครน่ะ” คาริกถามชึ้นด้วยความสงสัย ไอดิเอลจึงอธิบายต่อ

“กราวิสเป็นผู้ช่วยของเวโรนิกาน่ะ เขาเคยเป็นทหารมาก่อน อ้อ... เขามีดวงตาสีม่วงเหมือนเจ้าด้วย แต่ไม่ใช่พวกลูบิดแบบเจ้าหรอกนะ”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”

“ตอนระเบิดครั้งใหญ่ ร่างกายของเขาคงได้รับผลจากการระเบิดน่ะ ดวงตาเลยเปลี่ยนเป็นสีม่วง ข้าคิดว่ามันเป็นผลมาจากการรับพลังจากศิลาธาตุมากเกินไป”

“หา นี่เขาอยู่ในเหตุการณ์นั่นด้วยหรือ?”

“ใช่ เขาเป็นคนที่เกิดในยุคอาณาจักรเก่า เวโรนิกาทำสัญญาศิลาแดงกับเขาน่ะ แต่กรณีของเขานางได้เลือกดีแล้ว ไม่ใช่การทำสัญญาแบบฉุกละหุกอย่างที่ข้าทำกับเจ้าหรอก”

“พูดแล้วข้าก็สงสัยนะ” คาริกว่า “ถ้าสัญญานั่นมันมีผลผูกมัดท่านขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นถึงไม่ปล่อยให้ข้าตายไปเลยล่ะ การผิดสัญญามันทำให้ท่านถึงตายด้วยหรือไง”

“ไม่ถึงตายหรอก” จอมเวทตอบ “แค่สูญสิ้นพลังไปชั่วคราวน่ะ”

“มันก็ไม่ได้ร้ายแรงมากไม่ใช่หรือ”

“ร้ายแรงสิ” ไอดิเอลว่า “ถ้าตายไปเลยข้าว่าจอมเวทหลายคนคงเต็มใจทำผิดสัญญานะ การสูญสิ้นพลังที่ข้าว่า คือการถูกขังอยู่ในร่างที่ขยับไม่ได้ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือจอมเวทที่ผิดสัญญาจะกลายเป็นอัญมณีที่มีความรู้สึก อยู่อย่างสิ่งของที่ไม่มีวันแตกสลายแต่ยังสามารถรับรู้สิ่งรอบกาย มันคือคุกขังวิญญาณนั่นแหละ”

“แล้ว... ท่านเคยผิดสัญญารึเปล่า”

“เคย”

“หา! แล้วท่านผ่านมาได้ไงเนี่ย?”

“ข้าก็กลายเป็นรูปปั้นตากแดดตากฝนอยู่ในป่าสักสิบยี่สิบปีล่ะมั้ง จากนั้นก็มีพวกมนุษย์มาสร้างวิหารให้ อยู่ในวิหารได้สักห้าสิบปีก็ถูกขโมยออกไปเจียรไน แต่เจียไม่สำเร็จเลยถูกขายไปตั้งเป็นของประดับอยู่ในคฤหาสน์ของพวกมีอันจะกิน รู้สึกจะขยับได้ตอนครบร้อยปีน่ะนะ พวกนั้นตกใจกันใหญ่ คงไม่คิดว่ารูปสลักจะมีชีวิตขึ้นมาล่ะมั้งนะ”

“ใครๆ ก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ” คาริกว่า โอเรนพยักหน้าเห็นด้วย ขณะกำลังพากันจินตนาการว่าชีวิตร้อยปีที่กลายเป็นรูปสลักแบบนั้นจะเป็นอย่างไร ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ไอดิเอลจึงก้าวเท้านำออกไป แล้วทั้งสองก็ต้องพบกับความน่าตื่นตะลึงอีกครั้ง

ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือห้องโถงผนังโค้งที่มีเพดานสูงจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่ด้านซ้ายและขวามีรูปหล่อโลหะขนาดมหึมาเรียงกันอยู่ แต่ละตัวนั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างนักรบ และสวมมงกุฎอย่างกษัตริย์ มีบ้างเป็นบุรุษ บ้างเป็นสตรี เมื่อประกอบกับเพดานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้นแล้ว ก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ราวกับคนที่ก้าวออกมาจากลิฟต์เป็นแค่มดแมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น

“ว้าว...” โอเรนครางออกมา “รูปปั้นพวกนี้ใหญ่มาก มันเป็นรูปของใครหรือ”

“มันเรียกว่ารูปหล่อน่ะ เพราะหล่อมาจากโลหะ” ไอดิเอลช่วยแก้ให้ “ทั้งหมดคือรูปปฐมกษัตริย์ของทั้งหกอาณาจักร”

“หืม ปฐมกษัตริย์ของทั้งหกอาณาจักรหรือ?” คาริกทวนคำ “แล้วทำไมถึงมีเจ็ดตัวล่ะ”

“ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรประจิมขึ้นครองราชย์พร้อมกันน่ะ” จอมเวทพูดพลางพาทั้งคู่เดินเข้าไประหว่างรูปปั้นทั้งเจ็ดตัวที่ตั้งขนาบสองฝั่งผนัง “ขวามือนั่น เจ้าจะเห็นว่าทั้งสองพระองค์นั่งอยู่บนบัลลังก์เดียวกัน ทรงเป็นพี่น้องกันน่ะ”

คาริกผงกศีรษะ “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่ามีการครองราชย์พร้อมกันได้ด้วย”

“ก็เฉพาะรัชสมัยของทั้งสองพระองค์น่ะนะ ทรงเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ฝ่าฟันตั้งอาณาจักรมาด้วยกันน่ะ”

“ท่านอยู่ด้วยสินะ”

“ก็พอได้ข่าวอยู่ ช่วงนั้นข้าเดินทางไปเรื่อยน่ะ”

“แล้วผู้หญิงล่ะ” โอเรนว่า “มีกษัตริย์ที่เป็นผู้หญิงด้วยหรือ?”

“มี ราชินีจูเวนิสที่หนึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพายัพ อาณาจักรนี้มีกษัตริย์เป็นสตรีอยู่หลายคนนะ เป็นอาณาจักรที่ผู้หญิงแข็งแกร่งมาก”

“ท่านนี่รู้ทุกเรื่องจริงๆ” โอเรนชม คาริกถามขึ้นต่อ

“ว่าแต่ทำไมรูปหล่อของกษัตริย์ทั้งหกอาณาจักรถึงมาตั้งอยู่ที่นี่ล่ะ ข้าเข้าใจว่าที่นี่เป็นที่ของจอมเวทอย่างพวกท่านเสียอีก”

“ข้ากับฟัยรุซาตกลงให้ใส่ไว้เองแหละ เพื่อเน้นย้ำให้มนุษย์เห็นว่าพวกเรายกย่องและมีความนอบน้อมต่อพวกเขาน่ะ”

คาริกเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านเป็นคนเสนอหรือ? ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจกษัตริย์มนุษย์เสียอีก ขนาดเจ้าชายท่านยังไล่กลับไปเลยนี่นา”

“มันเป็นเรื่องการสร้างความไว้วางใจน่ะ” ไอดิเอลว่า “ช่วงปลายของอาณาจักรเก่า จักรวรรดิมนุษย์พัฒนาจักรกลที่ผสานกับเวทมนตร์ได้สำเร็จ จอมเวทจึงไม่จำเป็นต่อการทำสงครามกับมังกรอีก จักรวรรดิเลยกวาดล้างพวกเราไปพร้อมกับมังกรน่ะ ดีที่เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นเสียก่อน แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น พวกเราเหลือกันมาแค่สิบหกคน ไม่นับกราวิสน่ะนะ เพราะเขาไม่ใช่จอมเวท พอมนุษย์เริ่มสร้างอาณาจักรใหม่ก็เกิดระแวงพวกเราขึ้นมา เพราะเวทมนตร์ของจอมเวทถือเป็นปาฏิหาริย์ของมนุษย์ มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะมีมนุษย์ให้การนับถือพวกเรา ดังนั้นเพื่อไม่ให้ถูกกวาดล้างอีก พวกเราจึงสร้างที่นี่ขึ้นโดยให้ทั้งหกอาณาจักรมีส่วนร่วม และสร้างรูปหล่อของพวกเขาเอาไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายอมอยู่ใต้อำนาจน่ะ”

“อา...” คาริกส่งเสียงครางในลำคออย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ โอเรนจึงพูดขึ้น

“อาณาจักรมนุษย์นี่น่ากลัวจังเลยแฮะ เจ้าชายบัลดริกซ์จะเป็นคนร้ายกาจแบบนี้ด้วยรึเปล่า แต่ข้าไม่รู้สึกว่าเขาจะเป็นคนเลวร้ายอย่างนั้นเลยนะ”

ยังไม่ทันทีคาริกหรือไอดิเอลจะตอบอะไร เสียงกังวานสดใสของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง

“พวกเจ้ารู้จักเจ้าชายบัลดริกซ์ด้วยหรือ?”

พอหันไปก็เห็นสตรีนางหนึ่ง ผมลอนสีชมพูแซมดำสลวย ดวงตาสีเขียวอ่อนเหมือนเพริดอท สวมเสื้อผ่าหน้ารัดรูปสีขาว ขับเน้นให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของอิสตรี คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีขาวที่บางราวปีกจักจั่น สวมรัดเกล้าที่ทำจากทองคำประดับศิลาธาตุ และถือไม้เท้าสีขาวที่ประดิษฐ์อย่างวิจิตร คาริกถึงกับอึ้งไปในบัดดล ขณะที่โอเรนครางออกมา

“ว้าว... สวยจังเลย สวยกว่าพวกสาวๆ ที่หาดสวรรค์อีก ท่านเป็นใครกันหรือ?”

สตรีนางนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับดอกไม้ในยามแรกแย้ม “เจ้าคงเป็นนูเบส โฟลิอุมที่นายกองแกเรียนเขียนมาในรายงานสินะ ข้าชื่อเวโรนิกา เป็นเพื่อนกับท่านไอดิเอล”

คาริกถึงกับโพล่งออกมา “เพื่อน? ท่านไม่ใช่ภรรยาของไอดิเอลหรือ?”

“หืม?” เวโรนิกาหันไปมองเขา ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจกว่าเดิม “อา... นี่มันพวกลูบิดนี่นา” นางหันไปหาไอดิเอล “เขามากับท่านได้ไง?”

“ข้าคิดว่าในรายงานของนายกองแกเรียนน่าจะเขียนไว้แล้วนะ” ไอดิเอลว่า “อรุณสวัสดิ์เวโรนิกา เขาคือคนที่สังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้นน่ะ”

เวโรนิกาอ้าปากค้าง นางหันกลับมามองคาริกอีกรอบ แล้วก็หันกลับไปมองไอดิเอล “อรุณสวัสดิ์... โอ้ ให้ตายเถอะ ข้าเห็นในรายงานแล้วว่าคนที่ช่วยท่านเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากสมาคมคุ้มกัน ข้ายังประหลาดใจเลยที่เขารอดมาได้ ทำไมท่านไม่บอกข้าสักคำว่าเขาเป็นพวกลูบิด”

คาริกอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ช้ากว่าไอดิเอลอยู่ดี

“ตอนนั้นข้าไม่พร้อมจะอธิบายหรอกนะ” ไอดิเอลว่า เวโรนิกาถอนหายใจเฮือก

“แล้วนี่ท่านพาเขามาที่นี่ทำไม อย่าบอกนะว่าเอามาเป็นตัวอย่างต่อจากเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” ไอดิเอลตอบ “นี่เราไปคุยเรื่องนี้กันในสภาได้ไหม ข้าไม่อยากจะอธิบายซ้ำหลายรอบ”

อีกฝ่ายไม่เห็นคล้อยด้วย นางยังคงถามต่อ “ถ้าไม่ใช่เรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน แล้วท่านพาเขามาที่นี่ทำไม... โอ ไอดิเอล ข้ามาที่นี่เพราะท่านนะ ใจคอจะทำเหมือนข้าเป็นคนอื่นไกลแบบนี้อีกแล้วหรือ ขนาดหนุ่มคนนี้ยังรู้เลยว่าข้าเคยเป็นภรรยาของท่านมาก่อน เอ๊ะ เดี๋ยวสิ แล้วเขารู้ได้ไง ท่านเล่าให้เขาฟังหรือ?”

คาริกคิดว่าเขาควรจะพูดอะไรบ้าง แต่ก็อ้าปากไม่ทันเช่นเคย

“ท่านเล่าเรื่องในอดีตของเราให้คนอื่นฟังได้ แต่พอข้าถามแล้วไม่ยอมตอบเนี่ยนะ ถ้าท่านไม่อธิบายมาตอนนี้ล่ะก็... ข้าจะโกรธท่านจริงๆ ด้วย”

“ข้าไม่ได้เล่า” ไอดิเอลพูดขึ้นมาในที่สุด แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ เวโรนิกาก็สวนทันที

“ถ้าท่านไม่ได้เล่า แล้วเขารู้ได้ไงกัน”

คาริกคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะกลายเป็นคนนอกวงไปเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนจอมเวทหญิงนางนี้จะไม่ยอมให้อดีตสามีบ่ายเบี่ยงไม่ตอบง่ายๆ

“เรื่องมันยาวมาก ถ้าข้าเล่า เจ้าก็ต้องถามต่ออยู่ดี”

“งั้นข้าก็จะถามอยู่นี่แหละ” เวโรนิกาว่า “มันอะไรท่านถึงจะต้องไปเล่าในสภาท่าเดียว นี่คุยกันนอกรอบไม่เป็นแล้วหรือไง”

“ก็ได้ๆ งั้นข้าจะเล่าคร่าวๆ แล้วกัน” ไอดิเอลรีบพูดขึ้น “เจ้าเด็กนี่ชื่อคาริก ข้าทำสัญญาศิลาแดงกับเขาเพราะอุบัติเหตุระหว่างต่อสู้กับอิกเน่ ลาเชอร์ตา เพราะงั้นตอนนี้เขาใช้ชีวิตเดียวกับข้า ส่วนเรื่องเจ้า เมื่อเช้าข้าเข้าไปตรวจดูบางอย่างในห้วงจิตของเขา เผอิญเขาพลัดหลงเข้ามาในห้วงจิตของข้า เห็นความทรงจำเกี่ยวกับเจ้า เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ”

“เดี๋ยวๆ” คราวนี้เวโรนิกายกมือห้ามบ้าง นางมองไอดิเอลสลับกับคาริกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่ท่านทำสัญญากับพวกลูบิดหรือ?”

“ใช่ ถึงได้ต้องพาเขามาที่นี่ด้วยไงล่ะ ถ้าอยากจะหัวเราะล่ะก็ เชิญตามสบายเลยนะ” ไอดิเอลว่า “เมื่อวานทีมัวร์ก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปคนหนึ่งแล้ว”

“ข้าไม่ขำกับเรื่องนี้หรอกนะ” เวโรนิกาทำหน้ายุ่ง แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรต่อ เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้น

“พวกเจ้ามายืนคุยอะไรกันตรงนี้ สรุปแล้วจะประชุมนอกรอบ หรือจะให้มีการบันทึกกันล่ะ หืม? ไอดิเอล”

ที่เดินเข้ามาเป็นสตรีผมทองสว่าง ดวงตาสีน้ำเงินใสดั่งไพลิน รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดยาวเข้ารูปสีน้ำเงินเคร่งขรึม น้ำเสียงของนางไม่แว่วหวานดั่งเวโรนิกา ฟังดูอ่อนโยน แต่ก็ทรงพลังไปในเวลาเดียวกัน เหมือนน้ำเสียงของมารดาที่มีกับบุตร ทั้งไอดิเอลและเวโรนิกาหันไปมองนางทันที ฝ่ายแรกทักขึ้นก่อน

“อรุณสวัสดิ์ ฟัยรุซา ที่จริงข้าก็อยากจะคุยนอกรอบนะ แต่คิดว่าเจ้าคงอยากให้สเตลลาบันทึกไว้น่ะ”

“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าล่ะก็... คุยนอกรอบให้เสร็จก่อนก็ได้นะ”

“ท่านพี่คะ มันไม่เชิงเป็นเรื่องส่วนตัวหรอกค่ะ” เวโรนิกาว่า คาริกถึงกับอ้าปากเหวอแล้วโพล่งออกมา

“นี่พวกท่านเป็นพี่น้องกันหรือ?”

“ใช่” ฟัยรุซาผงกศีรษะ นางมองมายังคาริกแล้วพูดต่อ “เจ้าคือพวกลูบิดที่ไอดิเอลพาเข้ามาสินะ ข้าได้รายงานแล้วว่าเจ้ากับเขาใช้ชีวิตเดียวกัน บอกตรงๆ ว่านี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปมาก”

นางเบนสายตาไปมองไอดิเอล เจ้าตัวถอนหายใจเฮือก “ถ้าผิดหวังก็พูดออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าการกระทำของข้ามันเหมือนคนกลืนน้ำลายตัวเอง”

“เปล่า ข้าไม่ได้รู้สึกผิดหวัง สมเพชหรืออะไรเจ้าหรอกนะ” ฟัยรุซาว่า “ข้ากลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่ากังวล ไอดิเอล ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยเชื่อคำทำนาย ไม่เชื่อเรื่องชะตากรรม เจ้าเลือกและลิขิตชีวิตของเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าการพบกันของเจ้ากับเด็กคนนี้จะนำมาซึ่งเรื่องราวสำคัญบางอย่าง อย่าลืมสิว่าเขาเองก็ถือกำเนิดมาจากรากเหง้าเดียวกับกับเรา เวลาล่วงเลยไปกว่าพันปี เพิ่งมีเจ้าคนแรกที่ทำสัญญาใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้ที่กำเนิดเนื่องมาจากศิลานะ”

“อา...” เวโรนิกาครางออกมา “เพราะอย่างนี้หรือ ตอนที่เราคุยกันวันนั้นท่านถึงพูดประโยคแปลกๆ นั่นออกมา เขาคือชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ของท่านสินะ”

ไอดิเอลได้แต่ผงกศีรษะ “ข้าก็ชักเริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงข้าจะไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตาที่ว่านี้หรอกนะ”

“ท่านคงไม่ได้คิดไปถึงการทำลายศิลาแดงหรอกใช่ไหม” เวโรนิกาพูดขึ้นต่อ “ศิลานั่นเคยเป็นหัวใจของท่านมาก่อน สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นคือพลังชีวิตทั้งหมดของท่าน หากท่านทำลายมัน ทั้งชีวิตของท่านและเด็กคนนี้ก็จะดับสูญลงไปนะ”

“ที่จริงตอนแรกข้าก็คิดอยู่แว้บนึงน่ะนะ” ไอดิเอลว่า เวโรนิกามีสีหน้าขัดใจ ขณะที่ฟัยรุซาพูดขึ้น

“เอาล่ะ ข้าเห็นว่าพวกเจ้าน่าจะพูดกันอีกยาวนะ ถ้าเราไม่เข้าไปในสภาก็ไปหาที่นั่งคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะดีไหม”

“ไปคุยกันในสภาเถอะ” ไอดิเอลว่า “อย่างน้อยๆ เรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์ก็สมควรจะมีการบันทึกเอาไว้”

..................................

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่15 (P2) (ุ22/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-10-2021 10:28:36
ทางเขาสภาอยู่สุดทางเดิน ตลอดสองข้างทางนอกจากรูปหล่อขนาดมหึมาที่วางขนาบผนังแล้ว บนพื้นยังจัดวางไปด้วยโต๊ะยาวอย่างที่ใช้ในงานพบปะสังสรรค์ แต่ละโต๊ะจะถูกคั่นไว้ด้วยฉากที่ประดิษฐ์จากโลหะฉลุลายอย่างวิจิตร คาริกหันไปกระซิบถามไอดิเอลที่เดินอยู่ข้างๆ

“นี่ โต๊ะพวกนี้มีไว้ทำอะไรหรือ ข้าว่าเยอะพอจะให้คนนั่งได้เป็นร้อยเลยนะ”

“มีไว้สำหรับใช้จัดเลี้ยงมนุษย์ที่มาประชุมสภาน่ะ” ไอดิเอลว่า “แล้วก็ไว้รับรองผู้ติดตามด้วย”

“โห... แสดงว่าต้องมีคนมาเยอะมากน่ะสิ ทำไงดีล่ะ ข้าไม่เคยยืนพูดต่อคนเยอะแยะมาก่อนด้วย ว่าแต่เดี๋ยวข้าต้องขึ้นพูดรึเปล่า”

ไอดิเอลหัวเราะ “ฟัยรุซากับเวโรนิกาน่าจะสอบถามเรื่องกับเจ้า แต่ไม่ต้องกังวลหรอก การประชุมคราวนี้มีแค่พวกเราเท่านั้น”

“ใช่แล้วล่ะ” เวโรนิกาที่อยู่ถัดไปพูดขึ้นมา “ส่วนจะมีประชุมใหญ่รึเปล่า คงต้องดูว่าไอดิเอลสืบได้อะไรบ้าง”

“อ้อ...”

ประตูทางเข้าสภาเป็นประตูทรงโค้ง บานประตูมีแนวแสงไฟสีเรืองพาดเลื้อยเป็นลายเถา เหนือขึ้นไปมีตราจอมเวทเรียงกันอยู่สิบหกตรา แต่ละตราส่องแสงสีทองเรืองรองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ด้านหลังประตูคือโถงประชุมทรงครึ่งวงกลม สองข้างคือที่นั่งเรียงเป็นชั้นสูงขึ้นไป ตรงกลางมีคอกพอดีคนสี่คนนั่ง เลยจากคอกตรงกลางคือเก้าอี้แบบบัลลังก์จำนวนสิบหกตัว แต่ละตัวมีตราจอมเวทประดับอยู่ ด้านหลังคือรูปหล่อเทพแห่งแสงและเทพีแห่งความมืดที่สูงตระหง่านง้ำขึ้นไปบนเพดานที่มองดูคล้ายท้องฟ้าในยามราตรี คาริกถึงกับรำพึงออกมา

“นี่มันกลางวันหรือกลางคืนกันแน่เนี่ย”

“กลางวันสิ” ไอดิเอลว่า “แต่ท้องฟ้าที่เจ้าเห็นเป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี เหมือนกับห้องโถงรับรองข้างนอกนั่นแหละ ปกติถ้าเป็นการประชุมใหญ่ เราจะใช้ท้องฟ้าช่วงกลางวัน แต่นี่พวกเราประชุมกันเอง เลยเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนน่ะ”

“ทำไมถึงต้องเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนล่ะ?”

“เพราะมันหมายถึงเทพีแห่งความมืด มารดาผู้ประทานเวทมนตร์ให้กับพวกเราน่ะสิ”

คนตอบไม่ใช่ไอดิเอล แต่เป็นทีมัวร์ เขานั่งอยู่บนนั่งร้านเล็กๆ ตรงมุมห้องด้านขวา ไอดิเอลถามขึ้นทันที

“เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น?”

“อ๋อ ข้ารอพวกท่านอยู่นานแล้ว ยังไม่เห็นเข้ากันมาสักที เลยขึ้นมาดูแผงวงจรตรงนี้ เผื่อว่าจะปรับแก้อะไรน่ะ”

“เจ้ายังจะปรับแก้อะไรอีก” ฟัยรุซาว่า อีกฝ่ายตอบทันที

“ก็กำลังคิดอยู่นะ”

“งั้นเจ้าก็ลงมาเถอะ” นางว่า “ไม่ต้องปรับแก้อะไรทั้งนั้นแหละ”

“ก็ได้ๆ” ทีมัวร์ว่า แล้วไต่กระย่องกระแย่งลงมาจากนั่งร้าน ด้วยเสื้อและผ้าคลุมที่เขาสวม รวมถึงไม้เท้าที่ถือติดมือมาด้วย ทำให้ดูทุลักทุเลจนเหมือนจะร่วงมากกว่าจะลง

“เหวอ!”

คาริกขยับตัวตามสัญชาตญาณ แต่ยังช้ากว่าใครอีกคน ร่างนั้นพุ่งผ่านเขาไปเหมือนสายลม พริบตาที่ร่างของทีมัวร์กำลังจะหล่นลงพื้น ใครคนหนึ่งก็รับเขาไว้ได้ทัน

“ขอบใจ กราวิส” จอมเวทกล่าวพลางเหยียดตัวลงยืน แล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ คนที่รับเขาเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบห้าปี มีผมสีขาวแซมเทา ผิวสีแทน สวมชุดยาวสีขาว ด้านหลังสะพายดาบคู่ เขาค้อมตัวให้ทีมัวร์เป็นเชิงทำความเคารพ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ไอดิเอลก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“เจ้าไปรับเขาทำไม นั่งร้านแค่นี้เอง ไม่ตายหรอก”

ทีมัวร์หันมาถลึงตาใส่ทันที “นี่ ใจคอท่านจะปล่อยให้ข้าตกลงมาจริงๆ หรือไง”

“ถ้าเจ้าสะเพร่ากับเลินเล่อขนาดนี้ ข้าเห็นว่าปล่อยให้ตกลงมาน่าจะเป็นบทเรียนที่เข้าท่านะ”

“ของมันพลาดกันได้น่า” ทีมัวร์ยังคงแก้ตัวต่อ “ข้าไม่ค่อยได้ใส่ชุดเต็มยศแบบนี้ ขยับได้ง่ายๆ เสียทีไหน”

“ถ้าเจ้ารู้แบบนั้นก็ไม่ควรจะปีนขึ้นไปบนนั่งร้านนั่นแต่แรก” เวโรนิกาว่า “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ทำไม”

“ทำไมท่านพูดจาไร้เยื่อใยแบบนั้น” อีกฝ่ายโอดครวญ “ข้ามาในฐานะพยานฝ่ายพวกเรานะ ท่านไอดิเอลได้ให้ข้าทำการทดลองเกี่ยวกับเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเมื่อคืนนี้ ว่ามนุษย์สามารถใช้มันเพื่อส่งสิ่งมีชีวิตได้ไหม อ่า... ข้าทำสำเนารายงานมาให้ท่านด้วยนะ”

พูดจบเขาก็เดินรี่เข้ามา คาริกจึงเห็นว่าเจ้าตัวสวมชุดยาวสีน้ำตาลเข้ม สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลขลิบทอง ทั้งยังสวมเครื่องประดับอย่างจอมเวท และถือไม้เท้าที่ทำจากโลหะอีกอันหนึ่ง ได้ยินเสียงโอเรนทักขึ้นทันที

“ว้าว วันนี้ท่านแต่งตัวเหมือนจอมเวทเลย”

คนถูกทักชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะขวยๆ “ปกติข้าก็เป็นจอมเวทอยู่แล้วนะ”

เขาล้วงซองเอกสารจากในอกเสื้อ ยื่นให้เวโรนิกา ตอนนี้คาริกถึงเพิ่งได้มองคนที่เดินตามมาด้านหลัง พลางนึกประหลาดใจว่าทำไมถึงไม่ทันได้สังเกตทั้งที่ฝ่ายนั้นก็ออกจะมีร่างกายสูงใหญ่ และมีลักษณะโดดเด่นเสียขนาดนี้ เหมือนกราวิสจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ จึงหันมายิ้มให้

“ไง เรื่องที่แคนเดนส์น่ะ ขอบใจนะ ถ้าไม่มีเจ้า นายกองแกเรียนอาจจะเหลือแต่ชื่อก็ได้”

“อา... ท่านรู้จักกับเขาหรือ?”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “เขาเคยเป็นนักเรียนของข้า เป็นเด็กที่มีน้ำใจและกล้าหาญทีเดียว”

คาริกรู้สึกแปลกๆ กับคำว่าเด็กของฝ่ายนั้น ขณะที่ไอดิเอลหันมามองพวกเขา

“พวกเจ้ารู้จักกันแล้วรึ?”

“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการหรอกครับ” ฝ่ายที่ตอบคือกราวิส “ข้ายืนฟังพวกท่านคุยกันเมื่อตะกี้น่ะ”

“อ้อ นั่นสินะ ข้าเองก็ลืมไปเสียสนิท” ไอดิเอลว่า แล้วบุ้ยหน้าไปยังชายหนุ่มและมังกรที่เกาะอยู่บนศีรษะ “เจ้าเด็กนี่ชื่อคาริก อายุสิบแปด เขารู้จักกับนายกองแกเรียน ข้าคิดว่านะ... ส่วนที่อยู่บนศีรษะของเขาคือนูเบส โฟลิอุม เขามีชื่อว่าโอเรน ข้าแนะนำเจ้าให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แล้ว... เออ ดาบนี่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสน่ะ ช่วยดูให้หน่อยสิว่าพอจะใช้ได้ไหม ถ้าต้องหาใหม่ก็ช่วยแนะนำหน่อยแล้วกัน ข้าน่ะไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องอาวุธใหม่ๆ มานานแล้ว”

กราวิสผงกศีรษะ “ได้ครับ ข้าจะดูให้ อาจจะเป็นช่วงหลังจากประชุมเสร็จแล้ว”

“ใช่แล้วล่ะ” ฟัยรุซาพูดขึ้นมา “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยๆ ก่อนจะคุยกันเรื่องอื่น เจ้าควรจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน”

“ก็ได้ๆ” ไอดิเอลยกมือขึ้นโบก เขาหันไปหาคาริก “งั้นเจ้าไปนั่งกับกราวิส เขาจะได้อธิบายอะไรๆ ให้เจ้าฟัง ระหว่างที่ข้าเสนอรายงานต่อสภาอันศักดิ์สิทธิ์นี่”

คาริกมีสีหน้าเลิกลั่กเล็กน้อย ขณะที่เวโรนิกาพูดขึ้น “จะมีการสอบถามพวกเจ้าในฐานะพยาน ในเมื่อไอดิเอลมีภาระ ก็ให้กราวิสช่วยพวกเจ้าเถอะ”

คาริกพยักหน้า กราวิสจึงเดินนำเขาไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ด้านขวามือ ส่วนไอดิเอลเดินไปยืนในคอกตรงกลาง เวโรนิกา ทีมัวร์ ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประจำตัว ฟัยรุซานั่งบัลลังก์ตัวหน้าสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานน่าเกรงขาม

“เปิดการประชุมย่อยสภากลาง ครั้งที่สิบเจ็ดของปี ฉ.ศ. หนึ่งพัน (ฉศักราช=ปีแห่งหก จำนวนปีตั้งแต่ก่อตั้งหกอาณาจักร) เดือนหก วันที่สิบสี่ ข้า ครีซุส ฟัยรุซา เป็นประธานการประชุม สมาชิกผู้เข้าประชุมโปรดขานชื่อตามลำดับ”

กราวิสหันมากระซิบกับคาริก “พวกเจ้าขานชื่อต่อจากข้านะ เจ้าขานก่อนคาริก ให้แจ้งต่อสภาว่าเจ้าคือคาริก ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับคานุส ไอดิเอล และเป็นพยานในหัวข้อการประชุม ส่วนเจ้านะ มังกรน้อย ให้ขานชื่อของเจ้าตามด้วยเผ่าพันธุ์ แล้วตามด้วยพยานให้หัวข้อการประชุมเหมือนกัน เข้าใจนะ”

ทั้งสองคนพยักหน้า ขณะที่ไอดิเอลซึ่งยืนอยู่ในคอกขานชื่อเป็นคนแรก

“ข้า คานุส ไอดิเอล สมาชิกสภาลำดับสอง เป็นผู้เสนอหัวข้อการประชุม”

“ข้า โรเซอุส เวโรนิกา สมาชิกสภาลำดับห้า จอมเวทประจำราชสำนักหรดี ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อการประชุม”

“ข้า อัมบรินุส ทีมัวร์ สมาชิกสภาลำดับแปด ทำหน้าที่เลขานุการสภา และเป็นผู้เกี่ยวข้องกับหัวข้อของการประชุม”

“ข้า กราวิส ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับโรเซอุส เวโรนิกา มาในฐานะผู้ติดตามและผู้เกี่ยวข้องรองกับหัวข้อการประชุม”

คาริกรู้สึกเกร็งเล็กน้อย เขากลั้นใจพูดออกไป “ข้า คาริก ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับ เอ่อ... คานุส ไอดิเอล แล้วก็... อ้อ เป็นพยานในหัวข้อการประชุมน่ะ”

“ส่วนข้าชื่อโอเรน นูเบส โฟลิอุมรายแรกที่มาที่นี่ ข้าเป็นพยานในหัวข้อการประชุมเหมือนกัน”

โอเรนพูดคล่องปร๋อจนคาริกที่รู้สึกว่าตัวเองตะกุกตะกักจนน่าอายยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ เขาหันไปกระซิบกับเจ้ามังกร

“นี่เจ้าพูดคล่องจังนะ”

“อ๋อ แน่นอนสิ พูดสั้นๆ เอง” อีกฝ่ายว่า “ข้ายังพูดได้ยาวกว่านี้อีกนะ”

ไอดิเอลส่งเสียงขึ้นต่อ “หัวข้อที่ข้าจะยกขึ้นมาประชุม คือการโจมตีที่เกิดขึ้นที่เมืองแคนเดนส์ อาณาจักรหรดี” เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อ “เหตุเกิดวันที่สามเดือนหก ฉ.ศ. หนึ่งพัน ข้าได้รับแจ้งจากโรเซอุส เวโรนิกาภายในวันเดียวกัน ใช้เวลาเดินทางจากทริโกเนียไปถึงที่เกิดเหตุวันที่ห้าเดือนหก พบ...”

บันทึกที่ไอดิเอลรายงานต่อสภานั้นละเอียดเสียจนคาริกยังทึ่ง บรรยายกระทั่งสภาพบ้านเมือง ถนน จำนวนประชาชนและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ มาตรการที่ใช้ และยังกล่าวถึงเขาไว้อย่างโดดเด่นจนชายหนุ่มรู้สึกเขิน หลังจากรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงรายละเอียดที่ได้จากการอ่านความทรงจำของโอเรน เวโรนิกาก็เรียกตัวเขาและโอเรนเพื่อซักถามรายละเอียดปลีกย่อย ก่อนจะหันไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องการทดลองกับทีมัวร์

“ที่จริงแล้วในความเห็นของข้านะ มนุษย์น่ะทำเรื่องนี้ได้ไม่ยากหรอก” นางพูดขึ้นหลังจากสอบถามจนเป็นที่พอใจแล้ว “เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข้าเพิ่งทดลองให้นักเรียนเวทในโรงเรียนของอาณาจักร ทดลงใช้วงแหวนเวทย้ายมิติ เคลื่อนย้ายม้าสามตัวไปยังโรงเรียนสาขาที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเส้น แล้วก็ให้ทางนั้นส่งกลับมา ผลคือพวกเขาสามารถส่งม้าไปและกลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งสามตัว ในการส่งม้าแต่ละตัวใช้นักเรียนเวทประมาณห้าคนต่อครั้ง รวมแล้วใช้นักเรียนเวทประมาณสามสิบคน เพราะงั้นถ้าคิดจะส่งอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปที่แคนเดนส์ล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารก็ทำได้เช่นกัน”

“นี่เจ้าสอนมนุษย์ให้ใช้เวทเคลื่อนย้ายมวลสารแล้วหรือ” ไอดิเอลถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “อาณาจักรอื่นรู้แล้วหรือยัง?”

“เรื่องนี้ผ่านการประชุมของสภากลางตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” เวโรนิกาว่า “ข้าเป็นคนเสนอเอง เพราะฝ่าบาทเห็นว่าต้องมีมาตรการรับมือกับการแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรประจิม ที่จริงแล้วแต่ละอาณาจักรก็มีความต้องการจะทำเรื่องนี้กันอยู่แล้ว ส่วนการพัฒนาความสามารถอาจจะต้องดูถึงศักยภาพและจำนวนนักเวทที่อาณาจักรนั้นๆ มีน่ะ”

“ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”

“ก็ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุม” เวโรนิกาว่า “ข้าแนะนำว่าครั้งหน้าท่านควรเข้าร่วมประชุมตามคำเชิญบ้าง”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ฟัยรุซาจึงพูดตัดบท

“สรุปคือคนที่ทำเรื่องในคราวนี้อาจเป็นได้ทั้งจอมเวทและมนุษย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์อย่างแน่นอน พวกเราคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ ข้าจะแจ้งให้จอมเวทที่ประจำอยู่ที่อาณาจักรต่างๆ ส่งรายงานเกี่ยวกับสถานะของกลุ่มผู้ใช้เวทและผู้เกี่ยวข้องเข้ามาที่สภากลาง จะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบ มีใครมีคำถามหรือเรื่องอะไรจะเสนออีกไหม?”

“เรื่องนี้จะต้องรายงานให้อาณาจักรอื่นรับทราบอย่างเป็นทางการด้วยรึเปล่า” ไอดิเอลถามขึ้น เวโรนิการีบพูดตอบ

“ข้าเห็นว่ายังไม่จำเป็น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรหรดี มันควรจะเป็นเรื่องภายในมากกว่า”

“ข้าเห็นด้วยตามนั้น” ฟัยรุซาว่า นางถามขึ้นอีก

“ยังมีใครมีความเห็นอะไรอีกไหม”

“....”

“ในเมื่อไม่มีใครมีคำถามหรือข้อเสนออะไรแล้ว ข้าขอปิดการประชุม”

นางยกค้อนไม้ทุบลงบนแท่น เป็นสัญญาณเลิกการประชุม ไอดิเอลพูดขึ้นต่อหลังจากนั้น

“ข้าติดใจเรื่องมนุษย์ที่ชื่อวัลคอตอยู่นะ คิดว่าคงจะเดินทางขึ้นเหนือไปที่อาณาจักรอุดร หลังเสร็จธุระเรื่องโอเรนแล้ว โอเบรอนยังประจำอยู่ที่นั่นใช่ไหม”

“อืม” ฟัยรุซาพยักหน้า “เขายังอยู่ที่นั่น เจ้าไปอาณาจักรอุดรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก่อนหรือหลังไปสืบเรื่องพวกลูบิ”

“หลังสิ” ไอดิเอลว่า “นอกจากอาณาจักรบูรพา ที่อื่นเขายังยินดีต้อนรับข้าอยู่นะ ข้าไปครั้งล่าสุดเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน ไปล่าปิศาจหิมะน่ะ”

“ว้าว ปิศาจหิมะ” ทีมัวร์ร้องขึ้นมา “มันมีจริงๆ หรือ?”

“ไม่มีหรอก” ไอดิเอลว่า “มันคือสัตว์ระดับห้าที่มีความสามารถในการควบคุมน้ำแข็งน่ะ แต่ตัวมันเล็กเลยสร้างภาพลวงตามาเพื่อขู่เหยื่อกับศัตรู มนุษย์ไปเจอก็เลยกลายเป็นเรื่องผีๆ สางๆ ไป ข้าส่งบันทึกเรื่องของเจ้าตัวนี่ไปให้โอเบรอนแล้ว รู้สึกตอนนี้น่าจะถูกบรรจุเป็นสัตว์ประจำถิ่นของอาณาจักรอุดรไปเรียบร้อยแล้วนะ”

ทีมัวร์มีสีหน้าผิดหวัง “อย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าปิศาจมีอยู่จริงเสียอีก”

“มันอาจจะมีอยู่จริงก็ได้” ไอดิเอลพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขานิ่งไปอึดใจจึงพูดขึ้นต่อ “จำเรื่องนูบิลุสได้ไหม?”

“ที่เคยมีจารึกไว้ในวิหารสินะ” เวโรนิกาว่า “ทำไมท่านถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ปกติท่านไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนี่นา”

“ข้าคิดว่าข้าเห็นมันน่ะ”

“หา ท่านเห็นสิ่งมีชีวิตในตำนานนั่นหรือ” ทีมัวร์ร้องขึ้น “ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมท่านถึงไม่เล่าให้ข้าฟังเมื่อวานเนี่ย นี่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการที่มีอิกเน่ ลาเชอร์ตาหลุดไปเพ่นพ่านที่อาณาจักรหรดีอีกนะ”

“ทีมัวร์” ฟัยรุซาส่งเสียงเป็นเชิงปราม “นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ”

คนถูกปรามทำหน้าหงอยไปเล็กน้อย ฟัยรุซาหันไปหาไอดิเอล “เจ้าเห็นมันที่ไหน?”

“ในนิมิต” ไอดิเอลตอบ “ตอนข้านอนกับคาริกครั้งแรก ข้าเห็นมันในนิมิตของเขา”

“ในนิมิตของพวกลูบิดงั้นหรือ” เวโรนิกาคราง “ท่านแน่ใจนะว่าเป็นมันน่ะ”

“ข้าแน่ใจ พลังงานของมันเป็นรูปแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งมันยังแสดงรูปร่างตรงกับที่มีการบันทึกเอาไว้ และมันยังกล่าวถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีพด้วย” เขาพลิกหน้าสมุดบันทึกในมือ ก่อนจะอ่านข้อความในนั้น

“จงมาร่วมกับข้า บุตรผู้เกิดจากศิลาแห่งชีวิต ในฐานะผู้ถือกำเนิดพร้อมกันกับโลกใบนี้ และบุตรแห่งพระมารดา อีกไม่นานข้าจะตื่นขึ้นและนำทัพแห่งความมืดเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เทพแห่งแสงได้สร้างไว้ แสงสว่างจะต้องล่าถอยไป แผ่นดินจะกลับมาสู่ความมืดมิดอีกครั้ง...”

“เมื่อสายเลือดแห่งศิลาไหลมาบรรจบ ทำนบที่กักขังบุตรแห่งความมืดจักพังทลาย ราชาแห่งหายนะจะหวนคืนสู่แผ่นดินอีกครา ในย่ำรุ่งอันไร้ซึ่งแสงอุษา ทัพแห่งตรีดาราจักกรีฑาย่ำปฐพี”

ถ้อยคำที่เวโรนิกากล่าวออกมาทำให้คาริกขนลุกซู่ เขาได้ยินนางกล่าวขึ้นต่อ “นี่คือคำทำนายส่วนหนึ่งที่จารึกในวิหาร... โอ ไอดิเอล พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ถือกำเนิดจากศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล ส่วนเขาคือมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังแห่งศิลาในอีกพันกว่าปีให้หลัง หากการที่เขาได้มาใช้ชีวิตเดียวกับท่านคือปฐมบทของคำทำนายล่ะก็...”

“อา... นี่เองสินะคือสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล” ฟัยรุซาว่า

“มันคือคำทำนายเกี่ยวกับอะไรน่ะ” คาริกหันไปกระซิบถามกราวิส อีกฝ่ายสั่นศีรษะ คนที่ตอบคำถามของเขาคือฟัยรุซา

“มันคือคำทำนายวันสิ้นสูญแห่งมวลมนุษยชาติ เป็นคำทำนายที่เคยจารึกเอาไว้ในวิหารแห่งรัตติกาลเมื่อราวพันกว่าปีก่อน ที่เจ้าได้ยินไปเป็นคำทำนายส่วนแรกเท่านั้น”

“ยังมีต่ออีกหรือ”

“ใช่แล้ว” อีกฝ่ายผงกศีรษะ “คำทำนายส่วนที่สองกล่าวว่า... แผ่นดินจักเกิดวิปริต อากาศจักเป็นพิษ โรคระบาดจะแพร่กระจาย ทุกหนแห่งที่แสงตะวันไม่อาจสาดถึงจะกลายเป็นแหล่งรวมความหายนะ”

“อา...”

“แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ในท่อนนี้หรอก” นางกล่าวต่อ “เมื่อครบราตรีที่เจ็ด โลกจักร้างจากมนุษย์ ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล ในวันที่แปด แสงอุษาแรกจักสาดส่องพื้นปฐพี ราตรีจักกลับคืนสู่ปกติวิสัย สรรพสิ่งจักหวนคืนสู่จุดเดิมที่เริ่มมา”

“....”

“ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล” ไอดิเอลทวนคำ “นี่สินะประเด็นสำคัญ”

“อืม” ฟัยรุซาผงกศีรษะ แล้วทวนประโยคนั้นอีกครั้ง “ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล”

“เอ่อ... ขอข้าแทรกหน่อยนะ” คาริกว่า “พวกท่านทวนวรรคนี้ซ้ำกัน มันหมายความว่ายังไงน่ะ ยังมีเจ้าตัวที่น่ากลัวยิ่งกว่าที่ข้าเห็นในฝันนั้นถูกขังอยู่อีกหรือ หากมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาจะปล่อยพวกนั้นออกมาใช่ไหม?”

“ที่จริงแล้วข้าก็เข้าใจอย่างนั้นมาโดยตลอดนะ” ทีมัวร์ว่า “จนกระทั่งท่านไอดิเอลเล่าเรื่องนิมิตนี่แหละ”

“ทำไมล่ะ?”

คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ เขาหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้นต่อ “ข้าคิดว่าผู้ที่ถูกคุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล ไม่ใช่ปิศาจหรือสัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนหรอก น่าจะหมายถึงพวกเราเหล่าจอมเวทนี่แหละ”

“หา!?”

“ใช่แล้วล่ะ” ฟัยรุซาว่า “พวกเราคือผู้ถือกำเนิดจากศิลาแห่งบรรพกาล มีชีวิตอยู่ในร่างอันมีอายุขัยเกือบเป็นอนันต์ โดยโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจรักษารากฐานแห่งมารดรเอาไว้ได้ หากจะกล่าวว่าร่างนี้คือที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์ ข้าคิดว่าคงไม่ผิดไปนักหรอก”

“ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล” คาริกทวนประโยคนั้นอีกครั้ง ก่อนจะโพล่งออกมา “หมายความว่าพวกท่านจะเข้าร่วมกับกองทัพตรีดารานั่นเพื่อทำลายล้างมนุษย์งั้นหรือ!?”

“เพื่อที่จะได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาลต่างหาก” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่เข้าใจความหมายหรือไง”

“แล้วมันไม่ได้หมายถึงการทำลายล้างมนุษย์ตรงไหนล่ะ” อีกฝ่ายยังคงเถียง ไอดิเอลสั่นศีรษะพลางถอนหายใจ

“ฟังข้าให้ดีนะ หากบุตรแห่งความมืดตื่นขึ้นมา มนุษย์จะต้องถูกทำลายล้างอยู่ดี ไม่ว่าพวกเราจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ตาม”

“แต่ท่านจะไม่เข้าร่วมใช่ไหม? ข้าหมายถึง พวกเราจะไม่เข้าร่วม... มันต้องมีวิธีที่จะหยุดการคืนชีพนี้สิ” คาริกว่า “มันเป็นแค่คำทำนายเท่านั้น บางทีมันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้”

แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจของชายหนุ่มกลับสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง เขาพูดขึ้นต่อโดยไม่อาจระงับ

“ข้าไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อมองดูเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถูกทำลายล้างไปหรอกนะ”

“นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามีชีวิตอันเป็นนิรันดร์” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการสูญเสีย ทุกสิ่งที่เจ้ารัก ทุกคนที่เจ้ารู้จัก จะต้องถูกความตายพรากจากไป”

“นั่นข้ารู้” ชายหนุ่มว่า “แต่ไม่ใช่แบบนี้สิ ไม่ใช่เพราะข้าเป็นต้นเหตุ ในฐานะที่ข้าใช้ชีวิตเดียวกับท่านนะ ข้าขอประกาศเลยว่าข้าจะไม่เข้าร่วม ถ้าข้าเป็นคนปลุกมันขึ้นมา ข้าก็จะขอสู้กับมันจนตัวตาย”

เวโรนิกากับฟัยรุซาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ทีมัวร์หัวเราะออกมา “ดูท่าทางท่านจะลำบากซะล่ะนะ ท่านไอดิเอล”

คนถูกกล่าวถึงยักไหล่ ขณะที่ฟัยรุซาพูดขึ้นมา “อย่างนี้เองสินะ... นูบิลุสจึงปรากฏในนิมิตของเจ้าหนุ่มนั่น น่าสนใจทีเดียว”

“แบบนี้ชะตากรรมของมนุษย์อาจจะไม่สิ้นสุดเสียทีเดียวก็ได้” เวโรนิกาว่า “ข้าคิดว่าเราควรจะปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่างน้อยๆ ก็เพื่อไม่ให้ทั้งหกอาณาจักรพุ่งเป้าหมายมาที่พวกเขาทั้งสองคน”

“ข้าเห็นด้วยนะ” ทีมัวร์ว่า “ถึงข้าไม่ใช่โอเลกซ์ แต่ก็พอจะเห็นอยู่หรอกว่าเวลาที่มนุษย์พยายามต่อต้านคำทำนาย มักจะทำให้ผลปรากฏเป็นจริงทุกที”

“เพื่อให้เป็นผลดีต่อพวกเราทั้งหมด” ฟัยรุซาว่า “ข้าเห็นด้วยที่ควรจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เราไม่รู้ว่าคำทำนายมีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน แต่กันไว้อย่างที่เวโรนิกาว่าจะดีกว่า”

“แล้วถ้าบุตรแห่งความมืดคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ล่ะ” ทีมัวร์ว่า “พวกเราควรจะอยู่ฝั่งไหน แต่ข้าไม่อยากเห็นมนุษย์ถูกทำลายล้างเลยนะ อย่างน้อยๆ ก็พวกมนุษย์ที่กำลังฝึกงานอยู่กับข้าตอนนี้น่ะ

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก

“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่าตัวเองจะเลือกอยู่ฝั่งไหน แต่ที่แน่ๆ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สงครามใหญ่เกิดขึ้นอีก นั่นคือสิ่งเดียวที่ข้ายืนยันกับพวกเจ้าได้”

“แปลว่าท่านเลือกที่จะขัดขืนชะตากรรมอย่างนั้นสินะ” เวโรนิกาว่า ไอดิเอลผงกศีรษะ

“ใช่ ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าข้าจะไม่งอมืองอเท้ารับชะตากรรมนี้เด็ดขาด”

“พวกมนุษย์ควรซาบซึ้งกับความตั้งใจของเจ้า” ฟัยรุซาว่า “แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงเจตนาอันดีนี้ของเจ้าได้ เหมือนกับเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน และเรื่องที่ผ่านๆ มา”

“ข้ารู้ ข้าไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเขาซาบซึ้งหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้าแค่ไม่ต้องการสงครามเท่านั้น หากบุตรแห่งความมืดจะคืนชีพขึ้นมาแล้วทำให้มนุษย์หายไปโดยไม่ต้องมีสงคราม ข้าจะไม่ขัดขวางอะไรเลย”

“ท่านช่วยขัดขวางหน่อยก็ดีนะ” คาริกร้องออกมา “อย่างน้อยข้าก็ไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นแน่”

“เอาล่ะๆ” ฟัยรุซายกมือตัดบท “ไม่ว่าพวกเจ้าจะตกลงกันยังไง อย่าให้เรื่องนี้ล่วงไปถึงหูพวกมนุษย์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเจ้านั่นแหละที่จะกลายเป็นศัตรูของพวกเขา”

“ข้ารู้น่า” ไอดิเอลพยักหน้า ก่อนที่คาริกจะพูดขึ้น

“แปลว่าพวกท่านจะไม่เข้าร่วมกับบุตรแห่งความมืดใช่ไหม?”

“นั่นขึ้นอยู่กับเจ้าและไอดิเอลแล้ว” ฟัยรุซาว่า “ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนจอมเวททุกคนได้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ แต่คนที่สามารถยับยั้งการคืนชีพของบุตรแห่งความมืดได้มีแต่พวกเจ้าสองคนเท่านั้น”

..............................................
(จบตอน)
 
:pig4: กราบสวยๆ สำหรับคนที่ยังตามอ่านเรื่องนี้อยู่ ฮ่าๆ เพราะมันโคตรนอกกระแส แถมพล็อตที่จริงๆ ควรจะ Pornมาก ดันกลายเป็นเรื่องหนักๆ ซะงั้น (ก็มีความสามารถทำอะไรแบบนี้ออกมาเนอะ :o8:) เรื่องนี้จะพยายามลงต่อเนื่องรายสัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงก็เหมือนจะเป็นนิยายรายเดือนไปแล้ว :mew5: เพราะเวิร์ลเรื่องนี้มันใหญ่โตอลังการจริงๆ (ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำให้มันเยอะแยะเบอร์นี้) ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามนะคะ จะพยายามลงต่อเนื่องให้ได้ทุกสัปดาห์ค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่15 (P2) (ุ22/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-10-2021 13:15:01
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่15 (P2) (ุ22/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-10-2021 09:58:42
รองราวมันซับซ้อนขนาดไหนน้อออ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่16 (P2) (ุ29/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-10-2021 09:38:23
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่16 คนเย็นชาไร้อารมณ์


“ข้าไม่คิดเลยน้าว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้น่ะ” โอเรนพูดออกมาขณะที่ทั้งหมดทยอยเดินออกจากห้องประชุม คาริกผงกศีรษะเห็นด้วย

“คำทำนายนั่นน่ากลัวมาก ถ้ามันเกิดเป็นจริงขึ้นมาล่ะก็...”

“แต่ว่ามนุษย์เองก็ร้ายกาจน่าดูเหมือนกันนะ” เจ้ามังกรว่า “ที่จริงแล้วตะกี้ข้าก็แอบคิดว่าดีเหมือนกันถ้าพวกเขาจะหายไป”

“โธ่ เจ้าเกลียดมนุษย์ตั้งแต่ตอนไหนน่ะ ข้าก็เป็นมนุษย์นะ มาร์คัสก็ใช่ เจ้าชายบัลดริกซ์กับแบรนดอนก็ใช่นะ”

“เดี๋ยวนะ” เวโรนิกาที่อยู่ใกล้พอจะได้ยินพูดขึ้น “พวกเจ้ารู้จักเจ้าชายกับแบรนดอนได้ยังไง ข้าสงสัยมาตั้งแต่ตอนมาถึงที่นี่แล้ว ท่าทางพวกเจ้าเหมือนจะสนิทสนมกับพระองค์มากนะ”

“อ่า...” คาริกคราง เขาหันไปมองไอดิเอล เวโรนิกาจึงหันมองตาม แล้วพูดขึ้น

“เรื่องนี้เกี่ยวกับท่านสินะ”

ไอดิเอลจ้องนาง “ข้าบอกเจ้าก่อนนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าชาย เขาขอร้องให้ข้าเก็บเป็นความลับ”

“อ้อ... เจ้าชายพบท่านอย่างนั้นหรือ...” จอมเวทหญิงผงกศีรษะ “ถ้าเจ้าชายขอร้องท่าน ข้าก็จะไม่ถามอะไร ข้าแค่แปลกใจที่พวกเขารู้จักกับเจ้าชายเท่านั้น”

“คราวนี้ท่านเลิกราง่ายจังแฮะ” โอเรนพูดขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ท่านยังไล่จี้ถามท่านไอดิเอลเรื่องคาริกอยู่เลย”

เวโรนิกาหันมายิ้ม “ถ้าเจ้าไม่ใช่มังกรที่เพิ่งออกจากไข่ได้ไม่กี่วัน ข้าคิดว่าพวกเราต้องมีเรื่องกันแน่ๆ”

“หง่ะ...”

ทีมัวร์หัวเราะชอบใจ “เจ้าไม่ต้องแปลกใจหรอกน่า เรื่องท่านไอดิเอลกับคาริกน่ะ เป็นใครก็ต้องอยากรู้ทั้งนั้นแหละ เขาเป็นคนที่ปฏิเสธการใช้ชีวิตร่วมกับใครมาโดยตลอด จู่ๆ ดันมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นมาอยู่ด้วย คนที่ไม่อยากรู้สิแปลก”

“อย่างนั้นเองหรือ แล้วทำไมท่านไอดิเอลถึงปฏิเสธการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นล่ะ เขากับท่านเวโรนิกาก็เคยเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือ ท่านไอดิเอลบอกข้าว่าสามีภรรยาคือคู่ชายหญิงที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันน่ะ”

ทีมัวร์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “นี่ท่านไอดิเอลเล่าให้พวกเจ้าฟังขนาดนั้นเลยหรือ ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย”

“มันมีความจำเป็นจะต้องเล่าน่ะ” ไอดิเอลว่า เวโรนิกาพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่ท่านมีธุระอะไรอีกไหม ฝ่าบาททรงอยากพบท่านเพื่อตรัสถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และพระองค์ยังต้องการพระราชทานรางวัลให้กับคนที่จัดการปัญหานี้อีกด้วย ข้าเห็นว่าเหมาะสมมากที่ท่านกับคาริก รวมถึงโอเรนจะเดินทางไปอาเปสพร้อมกันกับพวกเราเลย”

“ยังก่อน” ไอดิเอลรีบปฏิเสธทันที “ข้ามีธุระต้องทำอีก สักสองสามวันจะไปเยี่ยมเจ้าและเข้าพบกับพระราชาที่อาเปสแล้วกัน”

“อ้อ...” นางไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจนัก “งั้นข้าจะทูลฝ่าบาทว่าท่านตกลงรับคำเชิญ แต่ยังไม่ระบุวัน ถ้าท่านจะไปเมื่อไหร่ก็บอกข้าล่วงหน้าแล้วกัน”

“ได้ ว่าแต่นี่เจ้าจะไปแล้วหรือ”

คนถูกถามพยักหน้า “ข้ายังมีงานต้องทำอีก อยู่นานไม่ได้หรอก ท่านมีอะไรรึเปล่า?”

“ข้าอยากให้กราวิสช่วยดูอาวุธให้คาริกหน่อยน่ะ”

“แค่นี้หรือ?”

ไอดิเอลยกมือเกาท้ายทอยอย่างที่ไม่คิดว่าจะเห็นคนแบบเขาทำ “ก็อยากจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวด้วย ถ้ากราวิสไม่ว่าอะไรน่ะนะ”

“ข้าไม่ว่าอะไรหรอกครับ” คนถูกพาดพิงรีบออกตัว ก่อนจะหันไปหาคาริก “พวกเราไปนั่งคุยกันที่โต๊ะเถอะ ข้าจะได้ดูดาบของเจ้าสะดวกหน่อย”

คาริกหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ อยากรู้อะไรเรื่องอาวุธก็ถามเขาแล้วกัน กราวิสน่ะเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก”

“อื้อ”

“งั้นข้าอยู่กับท่านไอดิเอลแล้วกันนะ” โอเรนพูดขึ้นมาและทำท่าจะกระโดดออกจากศีรษะของคาริก แต่ถูกชายหนุ่มใช้มือคว้าไว้

“ไม่ๆ เจ้าก็มากับข้านี่แหละ”

“ทำไมล่ะ ข้าไม่รู้เรื่องอาวุธสักหน่อย ไม่ต้องใช้ด้วย”

“ข้าบอกให้มาก็มาเถอะน่า” พูดจบเขาก็พาตัวโอเรนออกไป เลยเหลือจอมเวทยืนอยู่ด้วยกันสี่คน ฟัยรุซาส่งเสียงขึ้นก่อน

“ในเมื่อเสร็จธุระแล้ว ข้าก็ขอตัวล่ะนะ พวกเจ้าเองก็อย่ามีเรื่องกันอีกล่ะ”

“แหม... ท่านพี่คะ ข้าน่ะไม่ได้พบเขาตัวเป็นๆ มาเกือบร้อยปีแล้วนะคะ คงไม่มีเรื่องกันหรอกค่ะ”

ฟัยรุซาเลิกคิ้ว นางหันไปมองไอดิเอล อีกฝ่ายจึงรีบตอบ “ข้าเดินทางตลอด กับคนอื่นก็ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกันล่ะน่า”

ได้ยินเสียงฟัยรุซาถอนหายใจ นางโบกมือเป็นเชิงไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินออกไป ทีมัวร์พูดขึ้นต่อ

“ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เจอกันเกือบจะร้อยปีแล้ว ข้าก็ไม่ขออยู่เป็นก้างขวางคอล่ะนะ”

พูดจบเขาก็เดินออกไปอีกคน ไอดิเอลหันมามองเวโรนิกา “พวกเราไปที่ระเบียงกันเถอะ”

......................................

ระเบียงด้านนอกห้องรับรองทอดตัวเป็นแนวโค้งเกาะกำแพงหอคอยที่สูงจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากหมู่เมฆที่ถูกแสงยามสนธยาย้อมทาจนกลายเป็นสีแดงฉาน ไอดิเอลทอดตามองดูร่างของอดีตภรรยาที่เดินนำหน้าไป รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าดีใจที่ได้พบเจ้านะ”

เวโรนิกาหันกลับมา คลี่ยิ้มท่ามกลางแสงสนธยา “เป็นคำทักทายที่ดีที่สุดที่ข้าอยากได้ยินจากปากท่านเลย คิดว่าท่านจะรำคาญที่ต้องตอบคำถามโน่นนี่ของข้าเสียอีก”

“ข้ารู้ว่าจะเจ้าจะต้องถาม เพียงแต่ข้าไม่อยากจะอธิบายซ้ำหลายรอบเท่านั้นเอง” ไอดิเอลว่า ก่อนจะรีบล้วงบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ “ข้ามีของมาฝากเจ้า ไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรนักหรอก”

“ท่านนี่ทำไมชอบพูดเหมือนคนอื่นคนไกลทุกที” นางว่า “ต่อให้สิ่งที่ท่านเอามาเป็นก้อนหินข้างทาง สำหรับข้าแล้วนั่นคือสิ่งที่มีค่านะ เพราะมันมาจากมือและความจริงใจของท่าน”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม พลางแกะกล่องออก “ข้ารับรองว่านี่ดีกว่าก้อนหินข้างทางแน่นอน ดูซิว่าเข้ากับเจ้ารึเปล่า”

เวโรนิกามองดูสร้อยคอศิลาจันทร์ในมือของเขา รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างกว่าเดิม “ข้าชอบนะ จะชอบมากถ้าท่านเป็นคนสวมให้ด้วย”

“ข้าก็ตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะปลดตัวล็อกสร้อยออก แล้วสวมเข้าที่คอของนาง เวโรนิกาช้อนดวงตาสีเขียวอ่อนของนางมองอดีตสามี รู้สึกเหมือนได้เห็นภาพของชายคนรักในอดีตอีกครั้ง

“หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ท่านเป็นไงบ้าง ไม่ต้องเล่าเรื่องสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ท่านไปท่องเที่ยวสำรวจนะ เพราะข้าอ่านหนังสือพวกนั้นหมดแล้ว ข้าอยากรู้เรื่องชีวิตของท่านน่ะ”

นางยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขาเบาๆ ไอดิเอลคลี่ยิ้ม ใช้เวลาอึดใจจึงพูดตอบได้

“ข้าก็ใช้ชีวิตพเนจรไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

เวโรนิกาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ นางพูดขึ้นต่อ “ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการผูกสัมพันธ์กับใครอีก แต่ชะตากรรมชักนำท่านให้ต้องทำสัญญารวมชีวิตกับเด็กคนนั้น ท่านอาจจะหมางเมินข้า หมางเมินใครก็ได้ แต่ท่านต้องไม่หมางเมินเขาอย่างเด็ดขาด ด้วยวัยแค่นั้น ท่านจะมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของเขามาก ข้าไม่อยากให้เขากลายเป็นซีนอนไปอีกคน”

“จริงสิ พูดถึงซีนอน เจ้ารู้รึเปล่า ทำไมเจย์รอนถึงเข้าวิหารนิทราแล้วส่งเขาไปแทน”

เวโรนิกาถอนใจเฮือก นางลดมือลงจากใบหน้าของเขา ขยับออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “ท่านตั้งใจฟังที่ข้าพูดบ้างไหมเนี่ย”

“ข้าก็ฟังอยู่น่า” ไอดิเอลว่า “ข้าอาจจะเคยมีอิทธิพลต่อซีนอนก็จริง แต่ที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะวิธีคิดของเขามันสุดโต่ง บางทีข้าก็ยังคิดนะว่าการที่ข้าไม่ส่งเขาเข้าวิหารนิทราเป็นเรื่องผิดพลาดรึเปล่า”

“เอาล่ะ พอๆ” เวโรนิการีบยกมือห้าม “ท่านนี่จริงๆ เลยเชียว ทั้งที่สมัยก่อนเคยเป็นคนใจดีกว่านี้แท้ๆ เฮ้อ...”

ไอดิเอลยิ้มอีก “ข้าคงกลับไปเป็นคนแบบนั้นไม่ได้แล้วน่ะนะ ที่ข้าทำได้ ก็คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี่ล่ะ”

“ข้ารู้แล้วล่ะน่า... แต่ข้าพูดจริงๆ นะ เรื่องคาริกน่ะ ถ้าท่านอยากจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดล่ะก็... เอาใจใส่เขาให้มากแล้วกัน”

“ข้าก็พยายามเอาใจใส่เขาอยู่น่ะนะ แต่ดูเหมือนอายุของพวกเราจะห่างกันมากเกินไป อะไรที่ข้าคิดว่ามันดีกับเขา เขาก็ดันไม่พอใจเสียอย่างนั้น”

“ท่านไปทำอะไรให้เขากันล่ะ?”

“ข้าพาเขาไปเปิดหูเปิดตาที่หาดสวรรค์ เจ้าเชื่อไหมว่าเขายังไม่เคยนอนกับผู้หญิงเลย แต่ดันต้องมานอนกับข้าเสียได้ ข้าก็เลยพาเขาไปที่นั่น เพื่อที่เขาจะได้มีประสบการณ์กับผู้หญิงน่ะ”

“เอ... ก็ฟังดูดีนี่นา ทำไมเขาถึงไม่พอใจล่ะ”

“ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยากมีช่วงเวลาส่วนตัวก็เลยกลับมาก่อนน่ะ กลายเป็นว่าเขาน้อยใจที่ข้าปล่อยให้กลับคนเดียวเสียอย่างนั้น”

“อา...”

“เห็นไหมล่ะ ที่คิดว่าดีก็กลายเป็นไม่ดีไป ข้าก็ทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะคิดออกแล้ว แต่ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นไงข้าคาดการณ์ไม่ได้หรอกนะ”

“ข้าว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุหรอกนะ” นางว่า “ปกติเด็กผู้ชายไม่น่าจะน้อยใจอะไรง่ายๆ นี่นา เขาชอบท่านรึเปล่า ข้าหมายถึงเขารู้สึกพิเศษกับท่าน ตกหลุมรักอะไรทำนองนี้น่ะ”

“อืม... ข้าคิดว่าเขาคงรู้สึกอย่างนั้นแหละ”

“แล้วกัน! ท่านรู้แล้วก็ยังให้เขาไปนอนกับคนอื่นอีกงั้นหรือ?”

“ก็ข้าคิดว่าเขาควรจะมีประสบการณ์กับผู้หญิงบ้าง เขาอายุสิบแปดเองนะ ต้องหวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

เวโรนิกาหรี่ตามองเขา “มันก็ใช่นะ ถ้าเขาไม่เผอิญใช้ชีวิตเดียวกับท่านน่ะ ลองคิดดูนะ ตอนนี้เขากำลังมีความรู้สึกพิเศษกับท่าน คนที่เขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยไปอีกแทบจะตลอดกาลนิรันดร์ แต่ท่านกลับทำเหมือนความรู้สึกนั่นมันไม่มีความหมายอะไร ข้าว่านี่แหละปัญหาใหญ่เลยล่ะ”

“ข้าไม่ได้ทำเหมือนความรู้สึกนั่นไม่มีความหมายนะ ข้าแค่บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกแบบนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนวัยเขาอยู่แล้ว”

เวโรนิกาถอนหายใจเฮือก “ให้ตายเถอะ ท่านนี่นะ... ถึงจะไม่เหลือความอ่อนไหวอยู่ในใจอีกแล้ว แต่ถ้ายังจำช่วงเวลาที่ท่านเคยมีความรักได้ล่ะก็ ช่วยแสดงอะไรให้เขารู้สึกว่าท่านเห็นความสำคัญกับความรู้สึกของเขาหน่อยเถอะ”

“....”

“ไอดิเอล... เขาคือชีวิตของท่านนะ ท่านจะมีใจให้เขาไม่ได้เชียวหรือ...”

“.....”

พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไป เวโรนิกายกมือลูบใบหน้าของเขา “ถึงแม้นี่จะเป็นการชักนำของชะตากรรมที่ท่านไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ถ้าเขามีความรู้สึกที่ดีกับท่าน ข้าคิดว่านั่นคือสิ่งที่ท่านควรรักษาเอาไว้นะ หากท่านคิดจะเอาชนะชะตากรรมของตัวเอง ท่านควรเริ่มจากการเอาชนะหัวใจของตัวเองก่อน และท่านกับเขาควรมีความรู้สึกที่ร่วมกันด้วย ฟังข้าสักครั้งเถอะนะ ขอร้องล่ะ”

“ก็ได้ ข้าจะพยายามแล้วกัน” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่เจย์รอนเข้าวิหารนิทราทำไมกัน”

*้เนื้อหาแก้ไข วันที่3/12/2564

เวโรนิกาถอนหายใจอีก แต่คราวนี้นางยอมตอบคำถามของเขา “เขาลาออกจากตำแหน่งจอมเวทประจำราชสำนักบูรพา และขอเข้าวิหารนิทราเองเพื่อความสบายใจของอาณาจักรบูรพาว่าเรื่องภายในจะเป็นควาบลับ อย่างน้อยๆ ก็ในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีตามที่เขาแจ้งไว้ ทั้งหมดนี่ก็มาเรื่องพวกลูบิดเมื่อเก่าสิบปีก่อน อาณาจักรบูรพามีปัญหาภายในมาโดยตลอด ดูเหมือนการที่ท่านปกปิดข้อมูลนั่นจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเจย์รอนที่มีต่อพวกมนุษย์ลดลงอย่างมาก”

   “อืม... ข้าก็ได้ยินแว่วๆ อยู่หรอกว่าที่นั่นมีสงครามภายใน” ไอดิเอลว่า “แต่เวลามันผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ทำไมเจย์รอนถึงเพิ่งมาลาออกตอนนี้ แล้วทำไมต้องส่งซีนอนไปแทนด้วย”

   “เรื่องของเจย์รอนน่ะ ท่านถามเอาจากโอเลกซ์เถอะ ทีมัวร์บอกข้าว่าเจย์รอนเรียกพบเขาและพูดคุยเป็นการส่วนตัวก่อนจะเข้าสู่วิหารนิทรา ท่านไม่ใช่จอมเวทที่มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ถ้าเจย์รอนเล่าเรื่องภายในอาณาจักรให้เขาฟัง เขาก็น่าจะเล่าให้ท่านฟังได้”

   “อืม...”

   “ส่วนเรื่องซีนอน เขาเสนอตัวไปแทนเอง ฟัยรุซาเห็นว่าเหมาะสมแล้วและอาณาจักรบูรพาก็เห็นชอบด้วย ที่จริงแล้วข้าก็ไม่เห็นว่าเขาไม่มีความเหมาะสมตรงไหน”

   “ก็ใช่... ข้าไม่เถียงหรอกว่าเขาเป็นคนเก่ง” ไอดิเอลพูดพลางถอนหายใจเฮือก “โอเลกซ์ยังกลับมาที่นี่ทุกคืนวันเพ็ญเหมือนเมื่อก่อนรึเปล่า ข้าไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาผ่านโทรภาพ”

   เวโรนิกาผงกศีรษะ “เขาไม่เคยเปลี่ยนกำหนดการหรอก ท่านไม่ได้ปฏิเสธไปอาเปสพร้อมข้าเพราะรอเจอเขาหรอกรึ?”

“อ๋อ เปล่าหรอก ข้าแค่ต้องพาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวก่อนน่ะ”

เวโรนิกาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยิ้ม “หมายถึงคาริกกับโอเรนสินะ ดีแล้วล่ะ ท่านทำธุระให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปที่อาเปสก็ได้ ข้าไม่รีบหรอก คิดว่าพระราชาคงพอพระทัยเมื่อได้สดับรายงานที่ข้ากับกราวิสกำลังจะนำกลับไปทูล”

“ถ้าเจ้าคาริกมาได้ยินคงเหวอน่าดู” ไอดิเอลว่า “หมอนั่นคิดว่าเจ้าจะไม่ยอมให้ข้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อเพื่อพาเขาเที่ยวน่ะ”

“ฮะๆ อย่างนั้นหรือ ท่าทางเขาดูจะเข้าใจอะไรๆ อยู่บ้างนะนั่น ท่านเองก็อย่าแล้งน้ำใจกับเขานักล่ะ”

“รู้แล้วล่ะน่า”

......................................

ที่ห้องโถงรับรองซึ่งห้อมล้อมไปด้วยรูปปั้นบรรพกษัตริย์แห่งหกอาณาจักร มีโต๊ะยาววางเรียงรายกันอยู่ แต่ละโต๊ะมีฉากโลหะกั้นไว้เป็นสัดส่วน กราวิสเลือกนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ก่อนจะชี้ให้คาริกนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“เจ้ายังเด็กขนาดนี้ การที่ต้องร่วมทางกับท่านไอดิเอลคงทำให้รู้สึกลำบากใจไม่น้อยเลยนะ”

“จริงๆ แล้วก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ” คาริกว่า แล้วปลดดาบออกจากสายสะพาย ก่อนจะนั่งลง “ข้ารู้สึกว่าคนที่ลำบากน่าจะเป็นเขามากกว่า อย่างน้อยๆ เขาก็ดูรำคาญข้าล่ะนะ”

“ไม่หรอกน่า” อีกฝ่ายปลอบ แล้วบอกให้เขาวางดาบยาวลงบนโต๊ะ “ท่านไอดิเอลน่ะมีชีวิตอยู่มานานมาก มันก็มีบ้างที่เขาจะแสดงท่าทีเหมือนรำคาญ แต่ข้ารับรองได้ว่าด้วยประสบการณ์ของเขา เจ้าไม่ใช่ปัญหาหรอก”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ “จริงสิ ไอดิเอลบอกข้าว่าท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคอาณาจักรเก่า แปลว่าพวกท่านรู้จักกันมานานมากใช่ไหม เขาเป็นคนยังไงหรือ เป็นพวกเย็นชาไร้อารมณ์แบบนี้มาแต่แรกรึเปล่า”

“อืม... ข้าไม่ได้รู้จักท่านไอดิเอลในตอนก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นจอมเวทหรอกนะ ตอนที่ข้ารู้จักเขาครั้งแรก เขาก็เป็นแม่ทัพแล้วน่ะ ตอนนั้นเขาเป็นคนที่เข้มงวดมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไร้น้ำใจ กองทัพที่มีเขาเป็นผู้นำมีอัตราการรบชนะสูงมาก และคนที่ร่วมรบกับเขาก็มีโอกาสรอดมากด้วย ไม่ว่าใครก็อยากจะเข้าร่วมกับเขาทั้งนั้น เขาเป็นคนที่เก่งมาก ทั้งด้านเวทมนตร์และการวางแผนการรบ ข้าคิดว่าเขาคือต้นแบบและอุดมคติของคำว่าจอมเวท ยังไม่เคยเห็นเก่งเท่าเขามาก่อนเลย เพราะงั้นตอนที่ท่านเวโรนิกาติดต่อเขาได้และรู้ว่าเขาอยู่ใกล้แคนเดนส์ พวกเราก็โล่งใจว่าเรื่องคงไม่บานปลาย”

คาริกผงกศีรษะ “ข้อนั้นข้าไม่เถียงท่านเลย เรื่องที่แคนเดนส์เขาจัดการได้ดีมากจริงๆ เหมือนไม่มีเรื่องอะไรที่เขาจัดการไม่ได้เลย จริงสิ เขากับท่านเวโรนิกาเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วล่ะ ข้าว่าไอดิเอลออกจะบ้าผู้หญิงอยู่นะ แม้เขาจะบอกข้าว่าเขามีอะไรกับผู้หญิงไม่ได้ก็เถอะ”

“อ่า... เจ้าใช้คำว่าบ้าผู้หญิงกับท่านไอดิเอลหรือเนี่ย” สีหน้าของกราวิสออกไปทางตกใจมากกว่าประหลาดใจ “นั่นมันเสียมารยาทมากนะ”

“เอ่อ... ก็ข้าไม่รู้จะให้คำจำกัดความว่ายังไงนี่นา...” คาริกหน้าม่อย “เขาพาข้าไปที่หาดสวรรค์ ทำท่าทางเหมือนตาแก่เสื่อมสมรรถภาพที่อยากกอดสาวๆ น่ะ”

กราวิสกะพริบตาปริบๆ “ท่านไอดิเอลน่ะนะ?”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “ท่านไม่รู้มาก่อนหรือ?”

กราวิสทำหน้าปั้นยาก “ไม่รู้หรอก จริงๆ แล้วนี่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขานะ”

“ข้าก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว เพียงแต่ข้าสงสัยน่ะ ว่าในเมื่อเขาเคยมีภรรยาที่สวยขนาดท่านเวโรนิกา แล้วเขาก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับนางล่ะ ท่านพอรู้เหตุผลรึเปล่า”

“จริงๆ แล้วเจ้าควรถามเรื่องนี้กับท่านไอดิเอลโดยตรงนะ”

“ข้ากลัวว่าเขาจะไม่ยอมตอบน่ะสิ” คาริกว่า “ปกติแล้วเขาไม่ค่อยตอบอะไรมากนักหรอก เหมือนว่าเขารำคาญทุกอย่างที่ข้าถามน่ะ”

“อ่า... เรื่องนั้นข้าก็พอจะเข้าใจอยู่นะ” กราวิสว่า “ท่านไอดิเอลไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตัวเองหรอก ข้าเพิ่งรู้ว่าเขากับท่านเวโรนิกาเคยเป็นสามีภรรยากันก็หลังจากที่ทำสัญญากับท่านเวโรนิกาไปหลายปีแล้ว เรื่องนี้ท่านเวโรนิกาเป็นคนเล่าให้ข้าฟังเอง รวมถึงเรื่องที่เขาถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมในสงครามด้วย ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาสองคนผ่านเรื่องเลวร้ายแบบนั้นมา โดยเฉพาะท่านไอดิเอล เขาไม่เคยแสดงออกเลยว่าเขาจำใจมาเข้าร่วมสงคราม”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่16 (P2) (ุ29/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-10-2021 09:39:51
“เขาบอกข้าว่าสุดท้ายเขาก็เลือกสู้เพื่อมนุษย์ที่ร่วมรบอยู่กับเขาน่ะ” คาริกว่า “ข้ามีโอกาสได้เห็นความทรงจำส่วนนั้นของเขา มันน่ากลัวมากจริงๆ พวกท่านผ่านสงครามแบบนั้นกันมาได้ยังไง”

“อ่า... อย่างนั้นหรือ ข้าจำเรื่องราวในตอนนั้นได้ ถ้าเจ้าเคยผ่านเรื่องราวแบบนั้นมา เจ้าจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ในตลอดพันปีที่หกอาณาจักรก่อตั้งขึ้น เขาเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไประงับข้อพิพาทเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม ทั้งทางตรงและทางลับมาโดยตลอดนะ เพราะงั้นเรื่องคำทำนายน่ะ หากการคืนชีพของบุตรแห่งความมืดจะก่อให้เกิดสงครามล่ะก็... ข้าคิดว่าท่านไอดิเอลคงไม่ยอมหรอก”

“คาริกเองก็คงไม่ยอมเหมือนกันนะ” โอเรนว่า “ว่าแต่ท่านไอดิเอลบอกข้าว่าสามีภรรยาคือชายหญิงที่ตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ”

กราวิสกะพริบตาปริบๆ เขานิ่งไปพักก็ตัดสินใจพูดตอบ “เพราะท่านไอดิเอลไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสามีได้อีกแล้วน่ะ”

“หา?! ทำไมล่ะ”

คนถูกถามถอนหายใจเฮือก ขณะที่คาริกพูดออกมา “มันเป็นเรื่องที่เด็กอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอกน่า”

“อ้าว ถ้าไม่มีใครอธิบายแล้วข้าจะเข้าใจได้ไงล่ะ เจ้าเข้าใจหรือไง”

“ข้าเข้าใจสิ”

“เอาล่ะๆ” กราวิสยกมือขึ้นตัดบท “ข้าพอมองเห็นความปวดหัวของท่านไอดิเอลแล้ว เอาเถอะ ข้าจะอธิบายให้ฟังแทนแล้วกัน ท่านไอดิเอลพอกลายเป็นจอมเวท ก็ไม่อาจทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ได้อีก ยิ่งไม่สามารถทำหน้าที่ถ่ายเทพลังให้ท่านเวโรนิกาได้ เพราะอย่างนั้นท่านไอดิเอลจึงเป็นฝ่ายขอแยกทางเองน่ะ”

“อ๋อ เพราะไม่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องทำได้ ก็เลยไม่ได้เป็นสามีภรรยากันต่อไปสินะ” โอเรนว่า กราวิสพยักหน้า

“ใช่แล้วล่ะ”

คาริกนิ่งอึ้งไป “เขาคงจะเจ็บปวดมากสินะ”

“อืม... แต่เขาไม่เคยพูดอะไรหรอก พอท่านเวโรนิกาทำสัญญากับข้า เขาก็ออกจะเกรงอกเกรงใจข้าด้วยซ้ำ ในความเห็นข้าเขาไม่ใช่พวกเย็นชาไร้อารมณ์หรอกนะ เพียงแต่เขาเป็นคนไม่แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง ท่านเวโรนิกาเคยบอกข้าว่า ในอดีตเขาเคยเป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนมาก นางเลยตัดสินใจตกลงแต่งงานกับเขาน่ะ”

“อา...”

“ข้าถึงได้บอกว่าเจ้าอาจจะรู้สึกลำบากไม่น้อยล่ะนะ คาริก ท่านไอดิเอลน่ะมีชีวิตมาพันกว่าปีแล้ว เขาผ่านเรื่องราวมาเยอะมากจริงๆ และเขาก็เป็นคนที่ไม่แสดงความรู้สึกหรือเล่าเรื่องส่วนตัวด้วย ด้วยอายุของเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าเขาเย็นชา ไร้อารมณ์ มันคงทำให้เจ้าอึดอัด แต่ในสายตาท่านไอดิเอล เจ้าคือเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารที่ต้องจับพลัดจับผลูมาใช้ชีวิตร่วมกับเขา สิ่งที่เขาทำให้เจ้า คือสิ่งที่เขาคิดว่าดีกับเจ้าที่สุด ตอนนี้เจ้าอาจจะไม่เข้าใจมุมมองของเขาหรอกนะ แต่พอเจ้าโตขึ้น เจ้าก็จะเข้าใจเอง”

“....”

“ไหนขอข้าดูดาบเจ้าหน่อยสิ” กราวิสตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะคิดมากของคาริก “ฝ่าบาทน่ะชื่นชมความกล้าหาญของเจ้ามากนะ หลังจากที่พระองค์ทอดพระเนตรรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วน่ะ”

“ท่านหมายถึงพระราชาหรือ” คนที่ถามคือโอเรน กราวิสพยักหน้า

“ใช่แล้วล่ะ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะภูมิใจกับเรื่องนี้นะ”

คาริกเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เขาเกาศีรษะอย่างเขินๆ “งั้นหรือ... ที่จริงแล้วข้าถูกไอดิเอลกึ่งขอความร่วมมือกึ่งบังคับน่ะนะ พอเขารู้ว่าข้ารับไม้ฟืนติดไฟด้วยมือเปล่าได้ เขาก็แทบจะมัดมือชกข้าให้รับหน้าที่นี้เลยน่ะ ข้าไม่ได้อาสาเองแต่แรกหรอก”

“อ้าว เป็นงั้นหรอกรึ ข้าคิดว่าเจ้าอาสาเองเสียอีก” โอเรนว่า “ว่าแต่คนทั่วไปรับไม้ฟืนติดไฟด้วยมือเปล่าไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย มังกรอย่างเจ้าก็อย่าได้ลองจะดีกว่า” กราวิสว่า เขาหันไปหาคาริก

“ฟังจากที่เจ้าเรียกท่านไอดิเอลห้วนๆ แล้ว การพบกันครั้งแรกระหว่างเจ้ากับเขาคงไม่น่าประทับใจสินะ”

“ก็ใช่” คาริกว่า รู้สึกละอายขึ้นมา “ข้าควรเรียกเขาให้สุภาพกว่านี้สินะ”

“ถ้าเขาไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไรหรอก” กราวิสว่า “ท่านไอดิเอลไม่ใช่คนถือเรื่องนี้อยู่แล้ว อา... นี่เป็นดาบที่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสสินะ”

เขายกดาบเล่มนั้นขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนเพื่อหาสมดุล “ไม่เลวทีเดียว ความหนาบางค่อนข้างได้สมดุลดีเมื่อคิดว่าดาบเล่มนี้ถูกเหลาขึ้นอย่างฉุกละหุก ปกติแล้วดาบที่ทำจากเขาหรือกระดูกสัตว์มักไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าดาบที่ทำจากโลหะ เพราะมันทื่อง่าย แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาข้าเห็นว่ามันก็เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางตลอดเวลาอย่างเจ้าอยู่นะ”

“ข้าว่ามันพอดีมือกว่าดาบเล่มเก่าของข้าอีกน่ะ” คาริกว่า “จริงๆ แล้วเล่มเก่าเป็นเล่มที่ข้ายืมสมาคมมา ข้าไม่มีเงินซื้อดาบใหม่เองหรอก”

“งั้นเจ้าก็โชคดีแล้วล่ะ” กราวิสว่า “เท่าที่ข้าดู ดาบเล่มนี้น่าจะถูกทำขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับเจ้าโดยเฉพาะ ให้เดานะ ท่านไอดิเอลเป็นคนเขียนรายละเอียดการเหลาให้ล่ะสิ”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “เขายังเขียนแบบแปลนเครื่องยิงหินให้พวกทหารเอาไปสร้างอีกด้วยนะ พอคิดดูแล้วเขาคงจะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จริงๆ คนที่พาข้าไปเจอเขาบอกว่าเขาเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวด้วย จริงรึเปล่า?”

“อืม ข้าเคยเห็นเขาใช้ดาบสู้กับมังกรตัวต่อตัวด้วย รู้สึกเขาจะเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะการใช้ดาบและอาวุธประชิดตัว แต่ข้าไม่แน่ใจว่ายังมีที่เป็นรูปเล่มเหลืออยู่อีกรึเปล่า เพราะมันก็ผ่านมานานหลายร้อยปีแล้ว ช่วงหลังๆ นี้เขาหันไปให้ความสนใจกับการศึกษาสัตว์ชนิดต่างๆ แทนน่ะ”

“ท่านไอดิเอลเคยสู้กับมังกรตัวต่อตัวด้วยหรือ” โอเรนว่า “สรุปแล้วเขาเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกับมังกรน่ะ”

“ตอนนั้นเขาทำไปด้วยความจำเป็นน่ะ” กราวิสว่า “แต่ตอนนี้ข้ายืนยันได้ว่าเขาเป็นมิตรกับมังกร โดยเฉพาะมังกรอย่างเจ้า เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าสายพันธุ์ของเจ้าต้องได้รับการคุ้มครองน่ะ”

“อื้อ แต่ข้าจะยังไม่กลับไปที่ที่เขาบอกว่าข้าควรจะไปอยู่หรอกนะ อย่างน้อยข้าก็ต้องได้ไปเที่ยวเมืองพ่อค้า ไปเยี่ยมเจ้าชายบัลดริกซ์ที่อาเปสก่อน แล้วนี่ข้าจะได้เข้าเฝ้าพระราชาด้วยใช่ไหม?”

กราวิสยิ้มบางๆ อย่างเอ็นดู “ใช่แล้ว ฝ่าบาทต้องทรงประทับใจเจ้าแน่นอน ว่าแต่พวกเจ้าตั้งใจจะไปเมืองพ่อค้ากันใช่ไหม ข้าจะเขียนรายละเอียดให้ว่าควรจะต้องแก้ไขปรับปรุงดาบเล่มนี้ตรงไหนบ้าง”

พูดจบเขาก็สมุดบันทึกออกมาจากอกเสื้อ เขียนอะไรยุกยิกลงไปบนนั้นก่อนจะฉีกส่งให้คาริก “เอานี่ไปให้ประภากิจที่ร้านอาวุธคมรุ่งเรืองจัดการให้ก็แล้วกัน ร้านเขาหาไม่ยากหรอก เขาเป็นนักประดิษฐ์อาวุธที่ขึ้นชื่อมาก คิดว่าเป็นมือดีที่สุดของยุคนี้เลยล่ะ ข้าเคยทาบทามเขาไปเป็นช่างอาวุธที่อาณาจักร แต่ดูเหมือนเขาจะชอบการเปิดร้านส่วนตัวมากกว่า”

คาริกรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วผงกศีรษะ “ว่าแต่ปกติท่านทำหน้าที่อะไรหรือ? ข้าหมายถึง นอกจากเป็นผู้ช่วยท่านเวโรนิกาแล้ว ท่านยังมีหน้าที่อื่นอีกรึเปล่า”

“ข้าเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทางการทหารของอาณาจักรหรดีน่ะ” กราวิสตอบ “ที่จริงข้าตั้งใจเชิญเจ้าไปเข้าร่วมกองทัพ น่าเสียดายที่เจ้าทำสัญญากับท่านไอดิเอลไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงได้เจอกันอีกยาวเลย”

คาริกเกาศีรษะอย่างเขินๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ไอดิเอลและเวโรนิกาก็เดินเข้ามา

“พวกเจ้าคุยกันเสร็จหรือยัง” จอมเวทหญิงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน กราวิสกับคาริกพากันลุกขึ้นยืนทันที

“เรียบร้อยแล้วครับ ท่านเวโรนิกาจะกลับเลยรึเปล่า”

“อื้อ” อีกฝ่ายผงกศีรษะ ก่อนจะหันไปหาคาริก “เจ้าชื่อคาริกสินะ มานี่หน่อยสิ”

คาริกเดินเข้าไปหานางอย่างเกร็งๆ “ท่านมีอะไรหรือ”

นางใช้ดวงตาสีเขียวเพริดอทจ้องเขา แล้วยกมือขึ้นแตะใบหน้า ชายหนุ่มสะดุ้ง อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องตกใจไป ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ลักษณะโครงหน้าเจ้าไม่เลว พลังงานของเจ้าก็น่าสนใจ... อืม... ข้าจะบอกความลับของไอดิเอลให้เจ้าฟังสักเรื่องแล้วกัน เอียงหูมาสิ”

นางไม่รอคำตอบ ขยับไปกระซิบข้างหูของคาริก “เขามีจุดอ่อนอยู่ที่หู ถ้ามีโอกาสก็ลองดูนะ”

คาริกรู้สึกร้อนเห่อไปถึงใบหู เขาเห็นเวโรนิกาขยิบตาให้ข้างหนึ่ง ก่อนที่นางจะผละออกไป

“ข้าไปล่ะ ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนะ แล้วพบกันที่อาเปส”

นางยื่นมือไปให้กราวิสจับ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปยังลานที่อยู่ตรงปากทางเข้า คาริกเห็นแสงสว่างเรืองรองออกมาจากตัวของนางและพื้นโดยรอบ จากนั้นร่างของทั้งคู่ก็หายวับไป

“ว้าว พวกเขาหายไปแล้ว นั่นคือเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมวลสารหรือ” โอเรนร้องขึ้นมา ไอดิเอลพยักหน้า

“ใช่แล้ว ที่นี่มีวงแหวนเวทที่เชื่อมต่อกับตำหนักจอมเวทของทั้งหกอาณาจักร ทำให้จอมเวทสามารถใช้เวทเคลื่อนย้ายเดินทางไปมาได้โดยไม่เสียพลังงานมากน่ะ”

“แบบนี้ถ้าเราอยากจะไปที่อาณาจักรไหนก็ไปจากทางนี้ได้เลยน่ะสิ”

“ไม่ได้หรอก จอมเวทแต่ละคนกำหนดทางออกด้วยวงแหวนเวทเฉพาะ ถ้าไม่ใช่คนที่ได้รับอนุญาตจะผ่านเข้าไปไม่ได้เลย แม้แต่ข้าก็เถอะ”

“แล้วท่านใช้เวทเคลื่อนย้ายมวลสารได้ไหม” โอเรนถามต่อ ไอดิเอลพยักหน้า

“งั้นท่านจะไปไหนก็ได้น่ะสิ”

“ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ เวทมนตร์แต่ละอย่างมันมีเงื่อนไขเฉพาะตัวอยู่น่ะ” จอมเวทอธิบาย “ในกรณีของเวทเคลื่อนย้ายมวลสาร ต้องอาศัยเขียนวงแหวนเวทเพื่อยืมพลังจากพื้นดิน จุดหมายปลายทางต้องถูกกำหนดอย่างชัดเจน กล่าวคือต้องเป็นสถานที่ที่เคยไปมาแล้วและจดจำรายละเอียดเด่นๆ ได้ ไม่อย่างนั้นเวทมนตร์จะไม่ได้ผล หรือบางทีอาจจะไปโผล่ในที่ที่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ เพราะงั้นไม่ใช่นึกอยากจะไปโผล่ที่ไหนก็ได้หรอกนะ”

“อืม... เวทมนตร์นี่ก็มีเงื่อนไขซับซ้อนเหมือนกันนะ” เจ้ามังกรว่า “ท่านกราวิสบอกว่าท่านเป็นจอมเวทที่เก่งกาจที่สุด อ๊ะ จริงสิ ท่านเวโรนิกาบอกว่าจุดอ่อนของท่านอยู่ที่หู ถ้าถูกทำร้ายที่หูท่านจะบาดเจ็บหนักหรือ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะหัวเราะออกมา “เวโรนิกากระซิบกับคาริกว่างั้นหรือ ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเขาเอาแต่เงียบแล้วจ้องหน้าข้าแบบนั้น กำลังดูว่าควรจะทำยังไงกับหูข้าสินะ”

คนถูกกล่าวถึงหน้าแดงกว่าเดิม รีบออกปากปฏิเสธทันที “ไม่ใช่นะ ข้ากำลังตั้งใจฟังท่านอธิบายอยู่ต่างหากเล่า”

“นี่ ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักหน่อย ไม่ต้องรีบแก้ตัวขนาดนั้นหรอกน่า นางก็จริงๆ เลยนะ... ข้าน่ะชอบให้ผู้หญิงมากระซิบกระซาบข้างหูก็จริง แต่กับผู้ชายนี่ไม่เคยลองมาก่อนหรอกนะ”

“เอ๋? ท่านชอบหรอกหรือ ไหนท่านเวโรนิกาว่าเป็นจุดอ่อนไงล่ะ” โอเรนยังคงสงสัยไม่หาย อีกฝ่ายตอบเขา

“มันก็เป็นจุดอ่อนที่พอพวกนางมากระซิบข้างหูข้าทีไร ข้าก็พลอยมือไม้อ่อนยอมตามใจพวกนางทุกทีน่ะ”

“จุดอ่อนแบบนี้ก็มีหรือ” โอเรนว่า คาริกจึงพูดออกมาด้วยความหมั่นไส้

“ท่านนี่ยังไงก็ได้ขอให้เป็นผู้หญิงสินะ”

“ก็ผู้หญิงนุ่มนิ่มน่ารักนี่นา” อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบ “เจ้าไม่เห็นด้วยหรือไง เวลาพวกนางมากระซิบข้างหูมันจั๊กจี๋ดีจะตายไป”

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ขณะที่โอเรนพูดขึ้นต่อ “แปลว่าจุดอ่อนนี้ใช้ได้แค่ผู้หญิงงั้นหรือ”

“ก็อาจจะน่ะนะ เจ้าอยากลองดูไหมล่ะ?”

“อ๊ะ เอาสิ”

คาริกยื่นมือออกไป หมายจะคว้าตัวโอเรนไว้ แต่ดูจะไม่ทัน เจ้ามังกรกระโดดไปเกาะอยู่บนไหล่ของจอมเวทเรียบร้อย จากนั้นก็ขยับไปกระซิบกระซาบที่ข้างหู คาริกเห็นไอดิเอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะคิกคัก

“ไม่ได้ๆ ข้ายอมให้เจ้าไม่ได้หรอก ฮะๆ ไม่ๆ ถึงเจ้าขยับไปทางซ้ายกว่านี้อีกนิด ข้าก็ไม่ยอมหรอกนะ”

“นี่ๆ” คาริกพูดออกมาในที่สุด “ข้าว่าเจ้าหยุดเถอะโอเรน มันคงไม่ใช่จุดอ่อนอย่างที่เจ้าจะขออะไรก็ได้หรอกนะ ข้าว่าเขาบ้าจี้ตรงนั้นน่ะ ยิ่งเจ้าเอาขนไปถูใกล้ๆ เขาคงจะได้หัวเราะตายก่อน”

“ข้าไม่ตายเพราะหัวเราะหรอกน่า” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดต่อ “ขยับไปทางซ้ายอีกสิ แบบนั้นแหละ ฮะๆๆ”

คาริกที่ยืนดูอยู่พักทนไม่ไหว ต้องไปดึงตัวโอเรนออกมา “เขาไม่ใช่ไม้ปั่นหูของท่านนะ”

“อา... เจ้านี่ทำไมชอบขัดจังหวะอยู่เรื่อย ข้ากำลังรู้สึกดีเชียว”

คาริกหน้าหงิก ขณะที่โอเรนซึ่งอยู่ในมือเขาพูดขึ้นมา “ท่านรู้สึกดีหรือ งั้นข้าทำอีกก็ได้นะ แต่ท่านต้องยอมให้ข้าอยู่ด้วยก่อน”

“ไม่ได้ๆ” ไอดิเอลรีบยกมือห้าม “ก็บอกแล้วไงว่าเจ้าต้องกลับไปที่เทือกเขาไฮดรัส แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกนะ เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องรบเร้าให้เสียเวลา แล้วนี่ไม่หิวกันหรือไง”

จอมเวทตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งดูจะได้ผล โอเรนรีบตอบทันที “หิวสิ ท่านจะพาพวกเราไปหาอะไรกินใช่ไหม นี่ก็ค่ำแล้วนี่นา”

“เอ๋ ค่ำแล้วหรือ” คาริกว่า เขาหันไปมองรอบๆ “ข้าคิดว่าที่นี่มืดอยู่แบบนี้แต่แรกแล้วเสียอีก”

“เจ้าไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่างหรือไง” โอเรนว่า “ท้องฟ้ามืดตั้งแต่ตะกี้แล้ว”

“อ่า... ข้าก็คิดว่ามันเป็นเวทมนตร์เสียอีก เหมือนอย่างในห้องประชุมไง”

“นั่นไม่ใช่เวทมนตร์หรอก” ไอดิเอลว่า “ด้านนอกน่ะเป็นท้องฟ้าจริงๆ โอเรนคงเห็นได้จากพลังงานน่ะ... มาเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาอะไรกินที่เมืองด้านล่าง รับรองว่าดีกว่าอุดอู้อยู่บนนี้เยอะ”

คาริกตาโต “แล้วท่านจะพาเราเดินเที่ยวใช่ไหม”

“อืม... เดินหลังอาหารน่าจะเหมาะกับพวกเจ้าล่ะนะ”

“ยอดไปเลย” โอเรนว่าพลางเงยมองชายหนุ่ม “พวกเราจะได้ไปเที่ยวกับท่านไอดิเอลแล้ว เจ้าก็หยุดจับข้าไว้แบบนี้ทีเถอะ มันอึดอัดนะ”

คาริกจึงปล่อยมือออก เจ้ามังกรกระโดดขึ้นไปบนศีรษะเขาทันที ไอดิเอลยิ้มพลางยื่นมือมา

“ไปกันเถอะ จะให้ข้าจูงมือกันหลงไหม”

“ไม่ต้อง” คาริกว่า รู้สึกฉุนเล็กๆ “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วน่า”

อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะลดมือลงแล้วเดินนำหน้าไป ชายหนุ่มแอบรู้สึกเสียดายเล็กๆ

หรือบางทีเขาควรจะจับเอาไว้นะ...

.........................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่15 (P2) (ุ22/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-10-2021 13:39:52
จะยังไงต่อนะ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่16 (P2) (ุ29/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-11-2021 10:09:09
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่17 ความตั้งใจ


เมืองพ่อค้าตั้งอยู่ที่ชั้นล่างสุดของนครเวหา อยู่ใต้ฐานจอดเรือเหาะอีกที ชั้นนี้แต่เดิมใช้เป็นฐานซ่อมบำรุงเรือเหาะ ทำให้เกิดการตั้งตลาดแลกเปลี่ยนเล็กๆ ขึ้น พอเวลาผ่านไปก็เริ่มมีคนสนใจนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหกอาณาจักร ดังนั้นจากตลาดแลกเปลี่ยนเล็กๆ จึงขยายตัวกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่จนเรียกว่า ‘เมือง’ อย่างในปัจจุบัน

ไอดิเอลพาคาริกและโอเรนลงลิฟต์มาจนถึงชั้นที่เป็นส่วนซ่อมบำรุงเรือเหาะ ประตูลิฟต์เชื่อมต่อกับอุโมงค์ที่มีเส้นแสงวิ่งเป็นแนว พอออกมาได้จอมเวทก็ส่งเสียงขึ้น

“สเตลลา ขอรถให้คันสิ ข้าจะเข้าไปในเมืองพ่อค้า ขอแบบนั่งได้สองคนนะ”

“รับทราบค่ะ”

ยังไม่ทันที่คาริกและโอเรนจะพูดอะไร พาหนะรูปร่างแปลกตาก็แล่นออกมาจากปลายอีกด้านของอุโมงค์ ลักษณะของมันเหมือนลูกบอลที่ถูกเฉือนด้านหน้าออก เส้นแสงสีขาวเจือทองไหววาบอยู่โดยรอบ ด้านในมีที่นั่งสองที่ ได้ยินเสียงจอมเวทพูดขึ้นต่อ

“เอ้า พวกเจ้า ขึ้นไปนั่งสิ”

“หา?”

ไม่พูดเปล่ายังเอาไม้เท้าดันหลังอีกด้วย คาริกจึงจำต้องกระโดดขึ้นไปนั่งบนพาหนะรูปร่างแปลกตาคันนั้น พอเข้ามาแล้วถึงพบว่าห้องโดยสารด้านในกว้างเอาเรื่องอยู่ ไอดิเอลยื่นไม้เท้าให้เขาถือ ก่อนจะปีนขึ้นมานั่งตาม เสียงของสเตลลาดังขึ้น

“กรุณารัดเข็มขัดด้วยค่ะ”

“หา?” คาริกร้องขึ้นอีก เขาหันไปหาไอดิเอล “นี่ข้าต้องหาเข็มขัดมารัดเพิ่มอีกหรือ?”

“อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า” อีกฝ่ายว่า “ตรงขวามือเจ้าใกล้ๆ ที่นั่งจะมีปุ่มสีทองใหญ่ๆ อยู่ นั่งนิ่งๆ แล้วกดปุ่มนั่นไป”

“หืม” คาริกหันมองด้านขวาและกดปุ่มที่ว่า มีเสียงดังคลิ๊กๆ จากนั้นก็ปรากฏแถบวัสดุบางอย่างเลื่อนออกมาจากข้างปุ่ม อ้อมสะโพกเขาไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ขยับ สิ่งนั่นก็ล็อกตัวเขาไว้กับที่นั่งเรียบร้อยแล้ว

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

“ก็เข็มขัดนิรภัยยังไงล่ะ” ไอดิเอลว่า “ฟังนะ ถนนที่นี่ไม่ใช่ถนนอย่างที่เจ้าเคยเจอหรอก แล้วรถนี่ก็ไม่เหมือนรถของมาร์คัสด้วย มันเคลื่อนที่ด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งทำความเร็วได้สูงมาก แม้ว่าสเตลลาจะควบคุมทั้งหมด แต่อุบัติเหตุก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะงั้นถึงต้องล็อกตัวเจ้าไว้กับที่นั่งยังไงล่ะ”

“โธ่ ล็อกไว้แบบนี้เกิดอะไรขึ้นมาข้าก็แย่สิ” คาริกว่า “จะหนีได้ยังไงล่ะ”

“นี่ไม่ได้รัดไว้เพื่อไม่ให้เจ้าหนีหรอกนะ แต่ไม่ให้เจ้ากระเด็นออกไปจากรถนี่ต่างหาก”

ขณะที่จอมเวทพูดอยู่ เหนือศีรษะของพวกเขาก็มีเสียงดังหึ่งๆ ครอบแก้วขนาดใหญ่เคลื่อนจากด้านหลังมาครอบปิดด้านหน้า เท่ากับว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในพาหนะที่มีทรงกลมเกือบจะสมบูรณ์แบบ โอเรนถึงกับร้องออกมา

“เหมือนพวกเราอยู่ในลูกบอลเลย แล้วนี่ข้าไม่ต้องรัดเข็มขัดหรือ”

“ที่นี่ไม่เคยมีนูเบส โฟลิอุมาเยือนมาก่อน เพราะงั้นข้าคิดว่าทีมัวร์คงไม่ได้ออกแบบเข็มขัดสำหรับเจ้าไว้หรอก เจ้ามุดเข้าไปอยู่ในอกเสื้อของคาริกก่อนก็แล้วกัน น่าจะปลอดภัยอยู่นะ”

โอเรนขยับไปชะโงกมองลงจากศีรษะของคาริก ตอนที่ทำแบบนั้น ขาของเขาก็แปะเข้าไปบนดวงตาของชายหนุ่มเต็มๆ

“เจ้าปิดตาข้าทำไมเนี่ย!”

โอเรนทำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดขึ้นต่อ “ข้ามองไม่เห็นช่องว่างพอจะแทรกตัวเข้าไปได้เลยนะ ถ้าให้ข้าเข้าไปจริงๆ ต้องถูกรัดตายแน่ ข้าอยากตายบนอกสาวๆ มากกว่า”

คาริกหน้าหงิก ขณะที่ไอดิเอลหัวเราะชอบใจ “งั้นเจ้ามาอยู่ในอกเสื้อข้าก็แล้วกัน น่าจะพอมีที่ว่างอยู่หรอก”

“อ่า... ข้าตื่นมาในอกเสื้อท่านสินะ... มันจะร้อนไหม”

“ถ้าเจ้าจะเรื่องมากขนาดนั้นล่ะก็... ลงไปนั่งที่วางเท้าไหมล่ะ” คาริกพูดขึ้นมา “ข้าว่ามันก็น่าจะเหมาะกับเจ้าอยู่นะ”

“หง่ะ ไม่เอานะ ข้าไม่นั่งที่พื้นหรอก” โอเรนว่า ก่อนจะกระโดดออกจากศีรษะของคาริก ชายหนุ่มเลยลืมตาได้เสียที พอหันไปก็เห็นโอเรนอยู่ในอกเสื้อของไอดิเอลแล้ว เจ้าตัวโผล่แต่ศีรษะออกมา ดูแล้วเหมือนตุ๊กตากระรอกอย่างไรอย่างนั้น

“น่าจะใช้ได้ล่ะนะ” จอมเวทว่า “สเตลลา เจ้าพาเราวนรอบถนนวงแหวนชมเมืองสักรอบ แล้วค่อยไปที่ภัตตาคารเปลือกหอยนะ”

“รับทราบค่ะ”

คาริกรู้สึกเหมือนหลังติดพนักที่นั่ง ตอนที่รถเคลื่อนตัว ผนังมืดทะมืนผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นภาพตัวเมืองอันประหลาดตาก็ปรากฏต่อสายตาพวกเขาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน อาคารสูงชะลูดเหมือนหอคอยจำนวนมากถูกปลูกล้อมแกนกลางที่เชื่อมต่อกับฐานชั้นบน แต่ละหลังมีแสงส่องสว่างออกมาจากด้านใน ที่อยู่เหนืออาคารพวกนั้นคือฐานจอดเรือเหาะ มองจากจุดที่พวกเขาอยู่มันเหมือนกับแผ่นโลหะสีดำสนิทที่มีเส้นแสงสีทองเรืองรองวิ่งวนไหวเป็นรูปลายคดเคี้ยวสลับกัน

“โห ตึกที่นี่สูงยิ่งกว่าที่ทริโกเนียอีกนะเนี่ย” คาริกว่า “ตอนที่ท่านบอกว่ามันเป็นตลาด ข้าก็คิดไปว่ามันจะเป็นลานกว้างๆ เต็มไปด้วยกระโจมของพวกคาราวานสินค้าเสียอีก”

“สมัยก่อนมันก็เคยเป็นแบบนั้นน่ะนะ” จอมเวทตอบ “แต่พอเวลาผ่านไป คนมากขึ้น ของมากขึ้น แต่พื้นที่มีจำกัด เลยมีการสร้างอาคารสูงๆ พวกนั้นขึ้นมาแทนน่ะ”

“อ๋อ”

ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่บนพาหนะทรงกลมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว บนถนนที่ดูเหมือนแผ่นโลหะสีดำสนิทเรียงต่อกันโดยมีเส้นแสงสีน้ำตาลทองวิ่งนำเป็นระยะ นอกจากรถของพวกเขาแล้ว บนถนนยังปรากฏยานพาหนะอีกหลายคัน มีบ้างเป็นทรงกลม มีบ้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เหมือนกล่อง ไอดิเอลอธิบายว่ารถคันใหญ่ๆ พวกนั้นคือรถขนสินค้าที่ลำเลียงผ่านสายพานลงมาจากชั้นจอดเรือเหาะอีกที คาริกอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าบนตึกสูงๆ ที่เห็นอยู่ไกล พวกนั้นจะมีร้านค้าแบบไหน และขายอะไรบ้าง

“อ่า... จริงสิ ท่านกราวิสบอกข้าว่าต้องเอาดาบไปให้ร้านช่วยดูน่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะค้นกระเป๋าเสื้อหยิบกระดาษยับๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมาคลี่อ่าน

“ชื่อร้านคมรุ่งเรือง ท่านรู้จักไหม?”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “พวกร้านอาวุธตั้งอยู่ใกล้กับกำแพง ข้าไม่ค่อยได้แวะไปแถวนั้นหรอก แต่สเตลลาคงรู้จัก ไว้พวกเจ้ากินมื้อเย็นเสร็จแล้วค่อยให้นางนำทางไปแล้วกัน”

“จริงสิ ที่นี่ไม่มีต้นไม้หรือ” โอเรนถามขึ้นมา “ตั้งแต่มาถึงนี่ข้ายังไม่เห็นต้นไม้สักต้นนึงเลยนะ หมายถึงต้นไม้ต้นใหญ่ๆ แบบที่ขึ้นอยู่ในป่าที่พวกเราเดินทางผ่านมาน่ะ”

“ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใหญ่แบบนั้นหรอก” ไอดิเอลตอบ “เพราะที่นี่ไม่มีพื้นดินน่ะ แถมที่เมืองด้านล่างนี่ยังไม่ถูกแสงอาทิตย์โดยตรงอีกด้วย ถ้าจะมีต้นไม้ ก็คงมีแต่ต้นเล็กๆ ที่ไม่ต้องการแสงมากนั่นล่ะ”

“ง่า... เพราะไม่มีพื้นดินเลยไม่มีต้นไม้ขึ้นหรือ”

“ใช่แล้วล่ะ ต้นไม้ใหญ่น่ะจะขึ้นบนพื้นดินเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าที่ภัตตาคารเปลือกหอยน่าจะมีผักหลายอย่างให้เจ้าเลือกนะ”

“ว่าแต่ท่านไม่มาที่นี่ตั้งเกือบร้อยปีแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมั่นใจล่ะว่าภัตตาคารที่ว่ายังอยู่น่ะ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วมองคาริก ก่อนจะหัวเราะ “อ๋อ เจ้าคงเข้าใจคลาดเคลื่อนน่ะ ข้าไม่ได้ขึ้นไปที่หอคอยโลหะเกือบร้อยปีก็จริง แต่ที่นี่น่ะข้าเพิ่งมาเมื่อสองสามเดือนก่อนนี่เอง”

“สรุปแล้วคือท่านไม่ขึ้นไปข้างบน แต่ลงมาข้างล่างสินะ”

“ใช่แล้ว”

ถนนที่นี่ไม่เหมือนถนนที่ไหนอย่างที่คาริกเคยเห็นจริงๆ นอกจากรถทุกคันจะแล่นด้วยความเร็วสูงแล้ว ยังไม่ปรากฏสัตว์พาหนะใดๆ เลยแม้แต่ม้า คงเพราะที่นี่ไม่สามารถปลูกพืชได้ ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าพวกม้าที่ฝากไว้จะใช้ชีวิตอยู่ยังไงในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ระหว่างนั้นโอเรนก็ส่งเสียงขึ้น

“ท่านไอดิเอล ข้ามีเรื่องสงสัยนะ เมื่อวานตอนท่านพาพวกเราขึ้นไปข้างบน สเตลลาพูดถึงสถานะอัปเปหิ มันหมายความว่าอะไรหรือ”

“อ้อ... อัปเปหิหมายถึงถูกขับไล่น่ะ ครั้งล่าสุดที่ข้าขึ้นไปบนหอคอยโลหะคือไปถูกพิจารณาโทษนี่แหละ”

“ง่า... ที่ท่านไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นตั้งหลายปี รวมถึงไม่ได้กลับไปที่ห้องของท่าน ก็เพราะท่านถูกลงโทษหรือนี่”

“จะว่าใช่มันก็ใช่นะ แต่จริงๆ แล้วโดยปกติข้าก็ไม่ค่อยขึ้นไปที่นั่นบ่อยหรอก”

คาริกหันไปมองคนพูด แล้วก็ก็อดถามออกมาไม่ได้ “ทำไมท่านถึงไม่ค่อยขึ้นไปที่นั่นล่ะ ห้องพักของท่านน่ะสะดวกสบายออกนะ หรือว่ามีคนที่ท่านไม่ชอบอยู่ที่นั่น”

“เปล่า ข้าแค่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไร้ชีวิต นี่พวกเจ้าไม่รู้สึกกันเลยหรือ?”

“เอ่อ... พอท่านพูดแบบนั้นแล้วข้าก็รู้สึกเห็นด้วยน่ะนะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะถามขึ้นต่อ

“แต่ว่าท่านไปทำเรื่องอะไรถึงกับถูกขับไล่เลยน่ะ เกี่ยวกับพวกกลายพันธุ์อย่างข้าด้วยใช่ไหม เหมือนข้าจะได้ยินท่านทีมัวร์พูดทำนองนั้นนะ”

“เกี่ยวเต็มๆ เลยล่ะ” ไอดิเอลว่า เขาถอนหายใจเฮือก แล้วจึงเล่าเรื่องต่อ “ประมาณเก้าสิบปีก่อนข้าถูกเจย์รอนขอร้องให้ไปสำรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มหนึ่งที่อพยพกลับมาจากปากปล่องแห่งการสิ้นสูญ ข้าค้นพบว่าการกลายพันธุ์นั้นให้คุณให้โทษกับจอมเวท อย่างที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง ว่าพวกกลายพันธุ์อย่างเจ้ามีความสามารถในการต้านทานเวทที่สูง เวทมนตร์ธรรมดาแทบจะไม่มีผลอะไร และด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่ามนุษย์ปกติ ทำให้สามารถถ่ายเทพลังกับจอมเวทได้โดยไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าคิดว่าหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อพวกกลายพันธุ์ เพราะพวกเขาจะถูกเพ่งเล็งทั้งจากเหล่าจอมเวทและอาณาจักรมนุษย์ ในฐานะเครื่องมือที่สามารถให้ทั้งคุณและโทษกับผู้ใช้เวทมนตร์ได้ ข้าเลยส่งรายงานที่ไม่สมบูรณ์ให้กับเจย์รอนและทางอาณาจักรบูรพา โดยไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นดูเหมือนจะมีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกกลายพันธุ์ จนทำให้เรื่องที่ข้าปิดไว้แดงออกมา ทำให้อาณาจักรบูรพาและอาณาจักมนุษย์แห่งอื่นเกิดหวาดระแวงว่าข้าคิดวางแผนการใหญ่ อาจก่อกบฏกับมนุษย์ สุดท้ายฟัยรุซาจึงเปิดสภา เรียกจอมเวททั้งสิบหกคนเข้าร่วม และเชิญตัวแทนจากทั้งหกอาณาจักร เพื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ข้าทำลงไป นางได้เล็งเห็นแล้วว่าควรจะดับไฟเสียแต่ต้นลม จึงสั่งอัปเปหิข้าออกจากสภาและเพิกถอนสิทธิ์ในการเสนอร่างกฎหมาย รวมถึงสิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกสภากลางเป็นระยะเวลาแปดสิบปี เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ”

คาริกกะพริบตาปริบๆ พยายามทำความเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า “อ่า... สรุปแล้วท่านถูกลงโทษเพราะพยามปกป้องพวกกลายพันธุ์แบบข้าสินะ...”

“เปล่า” ไอดิเอลว่า “ข้าไม่ได้ถูกลงโทษเพราะปกป้องพวกเจ้าหรอก ข้าถูกลงโทษเพราะฟัยรุซาไม่อยากให้มนุษย์เกิดความหวาดระแวงต่อจอมเวททั้งหมด เลยคาดโทษข้าไว้แปดสิบปี นางคงคิดว่าน่าจะนานพอที่พวกมนุษย์จะลืมๆ เรื่องที่เกิดขึ้นไปได้นะ พูดง่ายๆ คือพวกที่อยู่ในตอนนั้นตายหมดแล้วนั่นแหละ”

“....”

“ข้าเองก็คิดว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้ เรื่องมันควรจะจบๆ ลงไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ล่ะนะ ฟังจากการที่เจ้าบอกว่าถูกคนจากราชสำนักไปตามหาตัวจนต้องหนีออกมาเมื่อสี่ปีก่อน แล้วยังมีเรื่องที่เจย์รอนลาออกจาการเป็นจอมเวทประจำอาณาจักรบูรพาแล้วเข้าสู่วิหารนิทราอีก... บางทีข้าคงต้องหาวิธีไปสืบเรื่องที่นั่นดู”

“งั้นหลังจากท่านเสร็จธุระที่อาเปสกับอาณาจักรอุดรแล้ว พวกเราก็ไปที่นั่นกันสิ” คาริกว่า “ข้าเองก็อยากจะกลับไปเยี่ยมท่านครูมาดิห์อยู่เหมือนกัน เขาเป็นคนเก็บข้ามาเลี้ยงน่ะ”

“ข้าไปด้วยสิ” โอเรนรีบแทรกแบบกลัวจะตกรถทันที “ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของคาริกนี่นา ให้ข้าไปด้วยเถอะนะ น้า... ถ้าท่านยอมให้ข้าไปด้วย ข้าจะยอมกลับไปที่เทือกเขาไฮดรัสอะไรนั่นโดยไม่งอแงเลย”

“นั่นสิ พาโอเรนไปด้วยเถอะนะ” คาริกรีบเสริมทันที “ไหนๆ เขาก็เดินทางมากับเราขนาดนี้แล้ว ให้เขาได้ไปเห็นโลกกว้างก่อนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่นา... ส่วนค่าเรือเหาะ ข้าขอยืมท่านก่อนแล้วค่อยทำงานใช้ให้ก็ได้”

ไอดิเอลคลี่ยิ้มพลางถอนหายใจอีก “เอาล่ะๆ พวกเจ้าหยุดวางแผนกันเองก่อน... ก็ใช่ว่าข้าอยากจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังหรอกนะ แต่ข้าถูกอาณาจักรบูรพาใส่ชื่อเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าอาณาจักรตั้งแต่เมื่อเก้าสิบปีก่อน จนตอนนี้สถานะนั้นก็ยังอยู่ ให้ไปอย่างถูกกฎหมายคงไม่ได้หรอก แค่ซื้อตั๋วเรือเหาะไปที่นั่นเขายังไม่ขายให้ข้าเลย ถึงได้บอกว่าคงต้องหาวิธีไปน่ะ”

โอเรนมีสีหน้าผิดหวัง หูตกตาหรี่ทันที คาริกนิ่งไปอึดใจ แล้วโพล่งขึ้นอย่างนึกได้ “งั้นท่านก็ลองแอบขึ้นเรือเหาะสิ ตอนข้าหนีออกมาก็ใช้วิธีแบบนั้นนะ!”

ไอดิเอลเลิกคิ้ว เจ้ามังกรที่ตะกี้ยังทำท่าหงอยอยู่แหม็บๆ มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“หา เจ้าเคยแอบขึ้นเรือเหาะด้วยหรือ? เป็นไงบ้าง โดนจับได้รึเปล่า”

คาริกหัวเราะเขินๆ “โดนจับได้สิ แต่โชคดีที่คนที่จับข้าได้เขาสงสาร เลยเรี่ยไรเพื่อนๆ ช่วยออกค่าตั๋วให้ แล้วพาข้าไปฝากทำงานที่สมาคมคุ้มกันตอนไปถึงอาณาจักรหรดีแล้วน่ะ”

“ว้าว” โอเรนร้อง ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น

“เจ้านี่ก็ไม่ถึงกับอับโชคเสียทีเดียวนะ”

“อื้อ... ที่จริงแล้วข้าก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายเลยนะ แม้กระทั่งตอนได้พบท่านก็เถอะ” เขาหันไปมองไอดิเอล “ท่านเองก็อย่าคิดว่าโชคร้ายที่ได้พบข้าเลยนะ”

อีกฝ่ายหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “นั่นก็ต้องดูล่ะนะว่าเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกแบบนั้นรึเปล่า”

“....”

“ว่าแต่ท่านไอดิเอลนี่เป็นคนดีจริงๆ น้า” โอเรนว่า “ดูที่พวกมนุษย์ทำกับท่านแต่ละอย่างสิ แล้วท่านก็ยังจะช่วยพวกเขาอีก ถ้าเป็นข้าต้องไม่ทำแบบท่านแน่”

จอมเวทยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะของโอเรนด้วยความเอ็นดู “เพราะเจ้ายังเด็กอยู่น่ะ คนเราพอโตขึ้น ก็จะเริ่มคิดถึงคนอื่นมากขึ้น แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ต่อให้อายุมากขนาดไหนก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองเหมือนเด็กๆ อยู่ ข้าเรียกว่าเป็นพวกสมองไม่รู้จักโตน่ะ”

“ถ้าอยากโตเป็นผู้ใหญ่ต้องหัดคิดถึงคนอื่นสินะ” โอเรนพยักหน้า แล้วหันไปหาคาริก “คาริก เจ้าฟังไว้นะ”

“เจ้าบอกตัวเองเถอะน่า” ชายหนุ่มว่า ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ รถก็เลี้ยวเข้าสู่ตัวเมือง สองข้างทางเริ่มปรากฏตึกรามรูปร่างแปลกตา สูงบ้างต่ำบ้าง ชั้นล่างมีทั้งที่เป็นตัวร้านเปิดโล่ง และร้านที่กรุกระจก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีออกเทาดำ ปักไหมเลื่อมสีเงินสีทอง โดยมากเป็นชุดคลุมยาว คาริกเห็นแล้วอดถามขึ้นมาอีกไม่ได้

“ทำไมที่นี่แต่งตัวกันแปลกมาก ข้าไม่เคยเห็นคนแต่งตัวแบบนี้ที่ทริโกเนียเลย คนที่อยู่บนนี้มีพลังเวทแบบท่านหมดเลยหรือ”

“ใช่ที่ไหนเล่า” ไอดิเอลว่า “การแต่งตัวของคนที่นี่อาจจะให้ความรู้สึกคล้ายกับข้าหรือจอมเวทบางคนล่ะนะ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการแต่งตัวเพื่อให้สามารถทนกับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้น่ะ เพราะที่นี่อยู่สูงมาก อากาศเลยหนาวและแห้งกว่าปกติ อีกอย่างไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงโดยตรงด้วย คนปกติเลยต้องสวมเสื้อผ้าแบบพิเศษที่ออกแบบมาให้ดูดซับแสงและเก็บกักความร้อนและความชื้นเอาไว้ในตัว เพื่อที่จะไม่หนาวหรือขาดน้ำตายยังไงล่ะ สีที่เหมาะก็คือพวกโทนสีออกดำๆ เทาๆ แบบที่เจ้าเห็นนี่ล่ะ ส่วนเรื่องปักเลื่อม ข้าคิดว่ามันคงจะทำให้เสื้อผ้าดูโดดเด่นขึ้นมาน่ะ ไม่อย่างนั้นมองไปทางไหนเจ้าก็จะเห็นแต่คนใส่ชุดคลุมสีทึมๆ เดินอยู่ให้ว่อนไป”

“ก็จริงนะ สีพวกนี้ชวนให้รู้สึกหดหู่พิลึก” คาริกว่า โอเรนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถามขึ้นบ้าง

“แล้วข้าต้องสวมเสื้อผ้าแบบที่ว่านี้ด้วยไหม ข้าก็กลัวจะหนาวกับแห้งตายเหมือนกันนะ”

“ข้าว่าไม่จำเป็นหรอกนะ เพราะถิ่นกำเนิดของเจ้าอยู่บนเทือกเขาสูง เรื่องความกดอากาศกับความหนาวเย็นน่ะ ร่างกายของเจ้าถูกสร้างมาเพื่อให้รองรับได้อยู่แล้ว และขนที่ขึ้นปกคลุมเต็มตัวของเจ้าก็ช่วยไม่ให้ร่างกายของเจ้าสูญเสียน้ำทางผิวหนัง เมื่อคืนเจ้าพักอยู่ที่ห้องของข้าได้ อากาศที่นี่น่ะอุ่นกว่าบนนั้นเยอะเลยล่ะ”

“งั้นให้ข้ามุดอยู่ในอกเสื้อท่านแบบนี้นะ ข้าจะได้แน่ใจว่าไม่หนาวตาย”

“ตามใจเจ้าเถอะ”

คาริกมองเจ้ามังกรด้วยความหมั่นไส้ “จำได้ว่าตะกี้เจ้ายังบ่นว่าในนั้นน่าจะร้อนอยู่เลยไม่ใช่หรือไง”

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้ข้ายอมร้อนดีกว่าหนาวตายนะ” อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบ รถค่อยๆ ชะลอความเร็วลง และหยุดจอดหน้าอาคารสีเทาขาว รูปทรงคล้ายเปลือกหอยเรียงซ้อนกัน สูงชะลูดขึ้นไปด้านบน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คงจะเป็นภัตตาคารเปลือกหอยที่ไอดิเอลพูดถึง พอทั้งสามลงจากรถก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที พนักงานที่ยืนอยู่ด้านหน้าของร้านรีบเดินออกมาต้อนรับ

“สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านไอดิเอล ผู้ติดตามคราวนี้แต่งตัวเก๋นะครับ”

ไอดิเอลยิ้ม “พวกเจ้าไม่เคยเห็นล่ะสิ เขาเป็นพวกพิเศษน่ะ ยังมีโต๊ะว่างไหม”

“มีครับมี เชิญด้านในเลยครับ”

ด้านในภัตตาคารตกแต่งด้วยไฟสีขาวสว่างตา ผนังสองข้างเป็นกระจกขุ่นกึ่งโปรงแสง มองเห็นเงาปลาไหววูบไปมา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ใต้น้ำ ไอดิเอลอธิบายว่าเงาพวกนั้นเกิดจากลูกเล่นของเครื่องกำเนิดแสง ไม่ใช่เงาของตัวปลาจริงๆ เขาเป็นคนให้ความคิดในการออกแบบภัตตาคารแห่งนี้

“ทะเลคือที่กำเนิดของชีวิต” เขาว่า “ในความเห็นข้าคิดว่าการทำให้สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศของทะเลจะทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งชีวิตในสถานที่ที่ไร้ชีวิตแบบนี้น่ะ”

แม้คาริกกับโอเรนจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่พวกเขาก็ตื่นตาตื่นใจกับการออกแบบนี้จนลืมเรื่องท้องหิวไปชั่วขณะ กระทั่งได้กลิ่นของอาหารโชยมานั่นแหละ

ไอดิเอลสั่งสลัดผักแปดชนิดให้โอเรน ส่วนคาริกสั่งอาหารชุดสำหรับสี่คนกิน พวกเขานั่งที่โต๊ะซึ่งมีฉากกั้นแยกออกไป ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ในภัตตาคารอยู่ดี

“คนที่นี่แปลกแฮะ” โอเรนพูดขึ้นระหว่างที่กำลังเคี้ยวผักอยู่ “ตอนที่เราเดินทางกันมา ข้าเห็นทุกคนสนใจแต่ท่านไอดิเอล แต่พอเรามาถึงที่นี่ ดูเหมือนทุกคนจะสนใจมองคาริกมากกว่าท่านแฮะ”

“งั้นหรือ แต่ข้าว่าเจ้ากับไอดิเอลน่ะน่าสนใจมากกว่าอีก จอมเวทที่มีตุ๊กตารูปกระรอกนั่งอยู่ในอกเสื้อเนี่ย ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ที่ไม่มีใครทักเรื่องนี้เลย”

ไอดิเอลหัวเราะ “เพราะพวกเขามีมารยาทน่ะ หรือบางทีอาจจะไม่อยากถูกสาป ถามสิ่งที่จอมเวทไม่อยากตอบนี่อาจถูกสาปเอาได้นะ”

คาริกมองอีกฝ่ายอย่างแหยงๆ “ท่านนี่นะ...”

“ว่าแต่ข้าพูดจริงๆ นะ” โอเรนพูดขึ้นต่อ “เรื่องคาริกน่ะ ตะกี้พนักงานต้อนรับที่อยู่หน้าร้านยังทักเขาเลย ข้าว่าเขาสนใจคาริกมากนะ”

“อ้อ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “ที่นี่น่ะมีจอมเวทเดินทางมาบ่อยๆ แต่พวกลูบิดแบบคาริกน่ะข้าว่าน่าจะยังไม่มีใครเคยเห็นเลยล่ะ”

“หืม ข้าดูต่างจากคนทั่วไปขนาดนั้นเลยหรือ” คนถูกพูดถึงมีสีหน้าแปลกใจ “ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้สึกเลยล่ะ”

“ที่จริงแล้วเจ้าก็ดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปหรอก” ไอดิเอลว่า “เว้นแต่ว่าเจ้าสวมเสื้อผ้าปกติแบบที่คนบนพื้นล่างใส่กันเดินเล่นอยู่บนนี้ได้โดยที่ไม่เป็นอะไรน่ะนะ เพราะงั้นทุกคนถึงได้สนใจเจ้ายังไงล่ะ”

“อ่า... งั้นหรือ ข้ารู้สึกเขินนะเนี่ย” คาริกพูดพลางยกมือลูบใบหู “มันทำให้ข้าดูประหลาดใช่ไหม?”

“ก็ใช่ แต่ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีนี่”

“ก็จริงของท่านแฮะ”

“ว่าแต่มนุษย์แบบคาริกหายากมากเลยหรือ” โอเรนถามขึ้นต่อ “ข้าว่าจอมเวทแบบท่านน่าจะหายากกว่านะ”

“การกลายพันธุ์เท่าที่ข้ารู้ พบเฉพาะในอาณาจักรบูรพาน่ะ หลังจากเกิดเรื่องข้าไม่แน่ใจว่าทางอาณาจักรจัดการกับคนพวกนั้นยังไง แต่ข้าไม่เคยเจอพวกลูบิดนอกอาณาจักรบูรพาเลย เพิ่งมาเจอเจ้าคาริกคนแรกนี่แหละ ขนาดว่าข้าเดินทางตลอดนะ ส่วนจอมเวทอาจจะเป็นของหายากที่อื่น แต่พวกเรามักจะมาหาซื้อของที่นี่บ่อยๆ น่ะ เคยบอกพวกเจ้าหรือยังว่าที่นี่เป็นที่เดียวที่สามารถซื้อขายศิลาธาตุอย่างถูกกฎหมายได้”

“ยังหรอก แต่เหมือนมาร์คัสจะเคยเล่าให้ฟังแล้วน่ะ” คาริกว่า แล้วพูดขึ้นอย่างนึกได้ “จริงสิ ที่นี่มีขายรถด้วยใช่ไหม ข้าขอไปดูได้รึเปล่า อยากจะเห็นน่ะว่ามีรถกี่แบบ”

จอมเวทยิ้มออกมา “มีสิ เจ้ากินให้เสร็จแล้วเอาดาบไปจัดการที่ร้านอาวุธก่อน เราค่อยไปเดินตลาดรถกัน ถ้าวันนี้ไม่ทันก็ยังมีพรุ่งนี้อีก ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก”

“เออ... นั่นสินะ” คาริกเกาใบหูอย่างเขินๆ แล้วจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารที่สั่งมาต่อ

...............................................

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่16 (P2) (ุ29/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-11-2021 10:09:38
หลังเสร็จจากกินมื้อเย็นที่ภัตตาคารเปลือกหอยแล้ว พวกไอดิเอลก็เดินทางไปยังร้านอาวุธคมรุ่งเรือง ซึ่งเป็นตึกแถวสูงสามชั้นขนาดห้าคูหา ตั้งอยู่บริเวณด้านนอกตัวเมืองใกล้กับกำแพงกั้นตะวันซึ่งเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกไหลเข้ามาภายในตัวเมือง ทำให้สามารถปรับความดันและอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ตัวอาคารสร้างจากโลหะและไม้ ต่อเติมจนเป็นรูปทรงประหลาดตา ไอดิเอลเล่าว่าอาคารที่อยู่ในละแวกนี้ทั้งหมดประกอบกิจการที่ต้องใช้เชื้อเพลิงและความร้อนสูง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ คาริกก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่าวที่แผ่ออกมาจากตัวตึกหน้าตาประหลาดหลังนั้น

ป้ายร้านคมรุ่งเรืองแขวนโดดเด่นอยู่ด้านหน้าอาคาร สาดส่องด้วยไฟสีขาวสว่างจ้า ด้านในร้านจัดแสดงอาวุธหลากหลายชนิด ทั้งดาบคู่ดาบยาว ดาบสั้น มีดพก มีดซัด ขวาน หอก โล่ แต่ละชิ้นดูแข็งแรงและประณีตอย่างที่เขาไม่เคยเห็นในร้านที่ทริโกเนีย ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปเหมือนถูกพลังไร้สภาพบางอย่างดึงดูด สายตาจดจ้องอยู่ที่ดาบยาวเล่มหนึ่งซึ่งใบดาบทอประกายสีน้ำเงินวาววับ

พนักงานหน้าร้านเห็นดังนั้นก็รีบออกจากคอกกั้นมาต้อนรับลูกค้าทันที

“สายัณห์สวัสดิ์ครับ สนใจดาบยาวที่แขวนอยู่เล่มนั้นใช่ไหม มันเป็นดาบเหล็กน้ำพี้แท้ๆ เชียวนะครับ หายากมากๆ”

คาริกสะดุ้ง เขาหันมามองพนักงานต้อนรับ เป็นเด็กผู้ชาย น่าจะเด็กกว่าเขาสักปีสองปี ฝ่ายนั้นมองเขาแล้วพูดต่อ

“ท่านแต่งตัวเก๋นะเนี่ย เป็นชุดที่เพิ่งออกแบบมาใหม่หรือครับ”

“ไม่ใช่หรอก” คนที่ตอบเป็นไอดิเอล เขาเดินเข้ามาในร้าน เหมือนพนักงานต้อนรับเพิ่งจะสังเกตเห็นจอมเวท เจ้าตัวรีบพูดขึ้นทันที

“ขออภัยครับที่ข้าไม่ได้ทัก อ๊ะ! ท่านคือประกายสีเงินเดียวดายไอดิเอลคนนั้นใช่ไหม? ข้าเคยได้ยินว่าท่านมีผมสีเงินเหมือนแร่เงิน และมีดวงตาสีทองเหมือนอำพัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้ท่านจะแวะมาที่ร้านเรา ลูกพี่รู้ต้องดีใจมากแน่ๆ”

“ข้าแวะมาเพราะผู้ช่วยข้ามีธุระน่ะ” ไอดิเอลว่า “มีคนแนะนำเขาให้เอาอาวุธมาปรับแก้กับที่นี่”

“อ๋อ” ชายหนุ่มที่เป็นพนักงานหน้าร้านหันไปมองคาริกด้วยสีหน้าประทับใจ

“ท่านต้องเป็นนักดาบที่กำลังมีชื่อเสียงทั้งที่ยังวัยรุ่นแน่ๆ คงได้อาคมดีจากท่านไอดิเอลสินะครับ เลยสวมเสื้อผ้าแบบนี้ที่นี่ได้ ดีจังเลยน้า”

“นี่ไม่ใช่อาคมหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “เขาเป็นคนที่เกิดมาพิเศษกว่าคนอื่นน่ะ สภาพแวดล้อมที่นี่ทำอะไรร่างกายของเขาไม่ได้ แต่ถ้าให้อยู่นานๆ ข้าว่าแทนที่เขาจะเอาดาบเล่มเดิมมาแก้ คงจะซื้อดาบเล่มใหม่กลับไปมากกว่า”

เด็กหนุ่มหัวเราะ ขณะที่คาริกเกาหลังหูอย่างเขินๆ เขาล้วงหยิบกระดาษที่อยู่ในอกเสื้อออกมา “ท่านกราวิสจากอาณาจักรหรดีแนะนำให้ข้ามาที่นี่ เขาเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับดาบเล่มนี้มาให้ด้วย บอกให้ถามหาคนชื่อประภากิจน่ะ”

“อ๋อๆ ท่านกราวิส ข้าจำได้แล้ว” เจ้าหนุ่มน้อยว่า “ลูกพี่อยู่ด้านหลังร้าน ข้าขอตัวไปตามเขาสักครู่นะครับ อ้อ ถ้าท่านสนใจมีดพกที่ทำจากเหล็กน้ำพี้ล่ะก็... ที่ตู้ตรงนี้มีให้ดูหลายเล่มเลยนะ”

“เจ้าเข้าไปตามเขาได้แล้ว” ไอดิเอลโบกมือไล่ เด็กหนุ่มจึงรีบเดินหายเข้าไปหลังร้านทันที โอเรนที่ทำตัวเงียบๆ เหมือนตุ๊กตาอยู่นานจึงพูดขึ้น

“เจ้านี่พอเห็นของพวกนี้ก็เหมือนคนไร้สติเลยน้า...”

“แหม... ก็ข้าไม่เคยเห็นร้านอาวุธใหญ่ขนาดนี้นี่นา” คาริกว่า “เจ้าเคยเห็นหรือไง?”

“ไม่เคยเห็นหรอก มันก็สวยดีนะ แต่ข้าใช้ไม่เป็นนี่ มันเป็นของที่เอาไว้ประหัตประหารกันใช่ไหมล่ะ?”

“หือ...” ชายหนุ่มส่งเสียงอย่างประหลาดใจ “เจ้าไปหัดคำยากๆ พวกนั้นมาจากไหน?”

“ข้าอ่านในบันทึกของท่านไอดิเอลตอนที่นั่งเรือเหาะมาที่นี่น่ะ” เจ้ามังกรตอบ ไอดิเอลจึงพูดขึ้นบ้าง

“ที่จริงที่นี่ก็มีดาบดีๆ หลายเล่มอยู่นะ แต่ฝีมืออย่างเจ้าใช้ดาบที่ทำจากเขาแมกนิส คอร์นิบัสไปก่อนเถอะ ไว้เก่งขึ้นเมื่อไหร่ค่อยคิดถึงเรื่องเปลี่ยนดาบอีกที”

“ใช่แล้วล่ะ” เจ้ามังกรส่งเสียงสนับสนุนทันที “อย่างเจ้าน่ะให้เก่งกว่านี้ก่อน แล้วค่อยลำบากสร้างหนี้เถอะ”

“เออ...” คาริกลากเสียง มองโอเรนด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าไอดิเอล “ว่าแต่ข้าเดินดูอาวุธพวกนี้ได้ใช่ไหม ท่านคงไม่ไล่ข้าออกไปยืนรอข้างนอกนะ”

“เจ้าจะดูก็ดูไปเถอะ แค่อย่าลืมว่ามาทำอะไรก็พอ”

เด็กหนุ่มพนักงานต้อนรับกลับออกมาจากด้านหลังร้านอีกครั้ง พร้อมด้วยชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดคนหนึ่ง เขามีผิวสีดำแดง และดวงตาสีดำสนิท ไว้หนวดแบบเขี้ยวและตัดผมสั้น พอเดินพ้นออกมาจากเคาน์เตอร์ เจ้าตัวก็ส่งเสียงครางออกมาทันที

“โอ... ท่านคือท่านไอดิเอลหรือเนี่ย งั้นนี่ต้องเป็นไม้เท้าที่ทำจากเอ็นมังกรแน่ๆ” ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่ไม้เท้าของไอดิเอลเหมือนถูกสะกด ไอดิเอลจึงส่งเสียงขึ้น

“ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าเด็กนั่นไปตามเจ้าออกมาเพื่อให้เจ้าดูไม้เท้าหรอกนะ”

“อ๊ะ!” ชายหนวดเขี้ยวคนนั้นเหมือนเพิ่งได้สติ เขารีบขอโทษขอโพยทันที

“ขออภัยครับ ไอ้ข้าก็ตื่นเต้นเพราะได้ยินมาว่าท่านมีไม้เท้าที่ทำจากเอ็นมังกร ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นของจริง เลยออกอาการมากไปหน่อย”

“อืม... สำหรับเจ้ามันคงเป็นเหมือนวัสดุที่มีอยู่แต่ในตำนานสินะ”

“ใช่แล้วล่ะครับ” เขาว่า สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ไม้เท้าของไอดิเอลไม่วางตา จอมเวทจึงพูดขึ้นต่อ

“เอาล่ะ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าคงสนใจไม้เท้านี่มากจริงๆ แต่ช่วยดูดาบให้ผู้ช่วยข้าก่อนจะได้ไหม แล้วข้าจะพิจารณาดูว่าจะให้เจ้าได้จับไม้เท้าด้ามนี้ดีรึเปล่า”

“อ่า... ได้หรือครับ... โอ้ ตายล่ะ เจ้าอ่ำบอกว่าท่านกราวิสแนะนำพวกท่านมา ข้านี่ก็จริงๆ เลยเชียว” ชายคนนั้นยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเองเบาๆ แล้วแนะนำตัว “ข้าชื่อประภากิจ อาวุธแบบไหนหรือครับที่ท่านอยากจะให้ช่วยแก้ไข”

“เอ่อ... เป็นดาบที่อยู่ข้างหลังข้าน่ะ” คาริกพูดขึ้น เขาคิดว่าช่างตีอาวุธจะเป็นพวกผู้ชายรูปร่างกำยำล่ำสันเสียอีก แต่ประภากิจคนนี้กลับเป็นคนรูปร่างสัดทัด ตัวก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ กระนั้นพอเห็นเจ้าตัวยื่นมือออกมา คาริกก็รู้ว่าคนคนนี้แข็งแรงมากกว่าที่เขามองเห็นจากภายนอก ชายหนุ่มรีบยื่นกระดาษในมือออกไปทันที

“นี่คือรายละเอียดที่เขาเขียนน่ะ เขาบอกให้ข้าเอามาให้ท่าน”

ประภากิจรับกระดาษใบนั้นมา กวาดตาอ่านอยู่อึดใจ ก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแล้วพูดขึ้นต่อ

“ท่านนี่ดูท่าต้องเป็นนักดาบฝีมือดีตั้งแต่อายุยังน้อยแน่ๆ ทำไมถึงเลือกใช้ดาบที่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสล่ะ”

“ทำไมล่ะ? มันไม่ดีหรือ?”

“อ๋อ เปล่าครับ ข้าแค่คิดว่ามีเหตุผลพิเศษน่ะ นักดาบที่มีพรสวรรค์แบบพวกท่านมักมีมุมมองเกี่ยวกับอาวุธที่น่าสนใจ ข้ารู้สึกแบบนั้นนะ”

คาริกรู้สึกละอายขึ้นมา ไม่กล้าพูดเลยว่าเขาเพิ่งใช้ดาบเล่มนี้เพียงครั้งเดียว แถมเป็นดาบที่เหลาขึ้นอย่างฉุกละหุกอีกต่างหาก แล้วเขาน่ะอย่าว่าแต่ชื่อเสียงเลย กระทั่งใบสอบเลื่อนระดับยังไม่มีกับเขาด้วยซ้ำ

“มันเป็นดาบที่ใช้สังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตามาแล้ว” ไอดิเอลพูดขึ้น แล้วหันไปหาคาริก “เจ้าก็เอาให้เขาดูสิ”

คาริกรีบปลดดาบจากสายแล้วยื่นส่งให้ประภากิจ นักตีอาวุธรับมาแล้วผงกศีรษะ

“อย่างนี้นี่เอง ถ้าจะสังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาล่ะก็ คงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าดาบที่ทำมาจากเขาสัตว์ทนไฟอย่างแมกนิส คอร์นิบัสอีกแล้วล่ะ อืม... แต่ว่าดาบนี่เหมือนเหลาขึ้นแบบรีบๆ นะเนี่ย แม้ว่าน้ำหนักและรูปทรงจะตรงตามหลักก็เถอะ ใครทำให้ท่านหรือ”

“เอ่อ... พวกช่างทหารน่ะ” คาริกว่า ก่อนจะหันไปหาไอดิเอล “แต่เขาเป็นคนเขียนแบบ”

“โอ...” ประภากิจหันไปมองไอดิเอลด้วยความประทับใจ “ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านล่าสัตว์ร้ายที่ไม่มีใครกล้าล่ามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าท่านมีความรู้เรื่องอาวุธดีถึงขนาดนี้”

“หนังสือที่ข้าเคยเขียนมันคงผุไปหมดแล้วน่ะนะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดต่อ “เอาล่ะ ถึงข้าเคยมีความรู้ด้านนี้ดีขนาดไหน ตอนนี้คงไม่ดีไปกว่ากราวิสและเจ้าหรอก เพราะงั้นช่วยดูและเมินเวลาให้หน่อยได้รึเปล่า ข้าไม่ได้รีบมากหรอกนะ แต่ถ้าเสร็จไวเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

“ท่านกราวิสเขียนรายละเอียดมาเสียขนาดนี้ คงใช้เวลาไม่นานหรอกครับ” ประภากิจว่า “อย่างช้าก็พรุ่งนี้ช่วงเย็น ประมาณสี่โมง ทันรึเปล่าครับ”

“ได้อยู่ เขียนใบนัดมาเลย ใส่ชื่อเขา... คาริกแห่งคีท เข้าใจนะ?”

“อ้อ ครับ คาริกแห่งคีท” ประภากิจหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาจด ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเอาดาบไปไว้ด้านหลังร้าน ส่วนตัวเองเดินไปเขียนใบนัดที่เคาน์เตอร์

“นี่ครับ” เขายื่นใบนัดให้กับจอมเวท ฝ่ายนั้นรับมาดูก่อนจะผงกศีรษะ

“ราคานี่แน่นอนแล้วใช่ไหม?”

“ครับ ราคานี่รวมทุกอย่างแล้ว รับรองว่าตอนท่านเห็นผลงานจะไม่ตำหนิว่าแพงแน่นอน”

“อืม... ถ้าผลงานไม่ดีสมราคาคุยล่ะก็... ไม่จบแค่เรื่องเงินหรอกนะ ข้าอาจจะสาปร้านเจ้าด้วยก็ได้”

“เรื่องดาบนี่ข้าเอาหัวเป็นประกันได้เลยครับ”

“ดี...”

“....” ช่างตีอาวุธมองไม้เท้าในมือของจอมเวท พอไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไร เจ้าตัวจึงจำต้องเอ่ยปากขึ้นก่อน “ท่านจะ... เอ่อ... อนุญาตให้ข้าดูไม้เท้าของท่านสักครู่จะได้ไหมครับ”

“อ้อ... เอาสิ” ไอดิเอลยื่นไม้เท้าให้ฝ่ายนั้น ประภากิจรับมา คาริกเห็นว่ามือเขาสั่นเล็กน้อย เจ้าตัวจับแล้วก็ยกมือขึ้นลูบๆ คลำๆ

“นี่คือเอ็นมังกรจริงๆ หรือครับเนี่ย มันดูยืดหยุ่นและเหนียวมาก แข็งแรงแต่ก็น้ำหนักเบาด้วย”

“ใช่ มันเป็นเอ็นของมังกรน้ำ” ไอดิเอลว่า “มีคนให้ข้ามาน่ะ”

“เอ่อ... แล้วท่านยังพอมีเหลืออีกไหมครับ พอจะแบ่งมาขายข้าได้ไหม”

“ไม่มีแล้วล่ะ เขาให้ข้ามาแค่นี้แหละ”

“อ่า...”

“นี่ขอข้าจับบ้างได้ไหมครับ” เจ้าอ่ำที่ยืนฟังอยู่นานพูดขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าไม้เท้าของท่านทำมาจากเอ็นมังกร เป็นมังกรตัวใหญ่ๆ แบบที่บรรยายไว้ในหนังสือใช่รึเปล่า?”

“ใช่แล้วล่ะ เจ้าจะลองจับดูก็ได้”

เด็กหนุ่มเดินเข้ามาลูบๆ คลำๆ ไม้เท้าบ้าง “หูย... มันให้สัมผัสประหลาดมากเลยนะ... ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ ดีมาก ไม่เคยจับอะไรแบบนี้มาก่อนเลย โชคดีจังที่ข้ามาทำงานวันนี้”

คาริกนึกสงสัยว่าถ้าสองคนนี้ได้เห็นไอดิเอลยกไม้เท้าเอ็นมังกรให้สาวๆ ที่หาดสวรรค์ไปถือเล่นจะรู้สึกยังไง จอมเวทปล่อยให้ทั้งคู่ลูบๆ คลำๆ ไม้เท้าอยู่พักใหญ่จึงพูดขึ้น

“เอาล่ะ พอได้แล้ว ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อยืนรอให้พวกเจ้าชื่นชมไม้เท้าหรอกนะ”

ประภากิจรีบส่งไม้เท้าคืนให้จอมเวททันที แม้เจ้าตัวจะมีสีหน้าเสียดายมากก็ตาม ไอดิเอลคว้าไม้เท้ามาถือไว้แล้วพูดขึ้นต่อ

“เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะเข้ามาสักสี่ห้าโมง หวังว่าดาบเล่มนั้นจะพร้อมให้ลองนะ”

“แน่นอนครับ”

ทั้งสามกลับออกมาขึ้นรถที่จอดไว้หน้าร้าน คาริกพูดขึ้นระหว่างนั้น

“ท่านนี่ดูท่าจะชอบวางก้ามขู่ผู้ชายด้วยกันนะเนี่ย ทีกับผู้หญิงล่ะมือไม้อ่อนเชียว”

ไอดิเอลหัวเราะ “เด็กผู้ชายถ้าไม่ขู่บ้างก็จะเหลิงน่ะ ส่วนเด็กผู้หญิง ถ้าข้ายังขู่พวกนางอีกนี่ข้าคงจะเป็นผู้ชายที่แย่มากแล้วล่ะ”

คาริกถอนหายใจพลางสั่นศีรษะ โอเรนจึงส่งเสียงขึ้นมา

“ว่าแต่นี่พวกเราจะไปไหนกันอีกรึเปล่า ข้าชักง่วงแล้วน่ะ”

“อ้อ... จริงสินะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงของที่นี่จะเปิดขายเกือบตลอดทั้งคืน แต่ข้าว่าพวกเราค่อยมาเดินดูตอนกลางวันดีกว่า เจ้าว่าไง?”

คาริกผงกศีรษะเห็นด้วย “ก็ได้นะ ในเมื่อท่านไม่รีบ พวกเราค่อยมาเดินดูพรุ่งนี้ก็ได้ ข้าน่ะคงไม่ซื้ออะไรอยู่แล้วล่ะ แค่อยากดูเท่านั้นเอง”

“ดี งั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ”

.................................

โอเรนผล็อยหลับไปในอกเสื้อของไอดิเองตั้งแต่ยังอยู่ในรถ กระทั่งขึ้นมาถึงบนห้องก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ไอดิเอลจึงอุ้มเขาไปวางไว้บนเตียงในห้อง แล้วห่มผ้าให้อย่างทะนุถนอม คาริกมองอย่างหมั่นไส้

“ทำไมท่านไม่พาเขาไปนอนที่ห้องด้วยเลยล่ะ ห้องท่านท่าทางจะน่าสบายอยู่นะ”

จอมเวทหันมามองเจ้าตัวยิ้มๆ “เจ้าอิจฉาเขาหรือไง? ไม่หรอก ห้องข้าหนาวมาก ให้เขานอนห้องนี้แหละดีแล้ว” พูดจบก็ส่งเสียงสั่งสเตลลา

“สเตลลา เจ้าช่วยปรับอุณหภูมิในห้องนี้ให้อุ่นขึ้นหน่อยสิ เอาพอๆ กับห้องโถงรับรองข้างล่างก็ได้”

“ทราบแล้วค่ะ”

“หืม ที่นี่ปรับอุณหภูมิได้ด้วยหรือ? ทำไมท่านไม่บอกพวกเราตั้งแต่เมื่อคืนนี้ล่ะ”

“ข้าก็ลืมคิดไปน่ะ” ไอดิเอลว่า “แต่อย่างที่ข้าบอก นูเบส โฟลิอุมมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเทือกเขาสูง ทนต่อสภาพความกดอากาศต่ำอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อคืนเจ้าอยู่ด้วย เขาคงไม่หนาวตายหรอก”

“นี่ท่านเห็นข้าเป็นเตาผิงของเขาหรือไง” คาริกถลึงตามองฝ่ายตรงข้าม จอมเวทผงกศีรษะ พูดด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าหมั่นไส้

“ก็ดีไม่ใช่หรือ? ข้าไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนไม่ดีเลย”

คาริกถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ... ท่านนี่จริงๆ เลย เป็นห่วงพวกเราบ้างไหมเนี่ย”

“ห่วงสิ แต่ความเป็นห่วงของข้ามันคงไม่ตรงตามความคิดของเจ้าน่ะนะ”

“ช่างเถอะๆ ข้าคงต้องทำใจว่าท่านก็เป็นของท่านแบบนี้แหละ”

“ถ้าเจ้าคิดได้แบบนั้นก็ดีล่ะนะ กลัวแต่เจ้าจะคิดไม่ได้อย่างที่พูดนี่สิ” อีกฝ่ายว่า “แล้วนี่จะอาบน้ำรึเปล่า หรือจะเข้านอนทั้งแบบนี้เลย ที่ห้องข้ามีอ่างอาบน้ำกว้างอยู่นะ”

“หา?!” ชายหนุ่มหันควับไปหาจอมเวทอีกครั้งทันที “ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าไงน่ะ จะชวนข้าไปอาบน้ำที่ห้องท่านหรือ?”

“จะไม่ไปก็ได้นะ” ไอดิเอลว่า “ข้าเห็นว่าวันก่อนเจ้าซื้อหนังสือกามสูตรมา อุตส่าห์เอาไปอ่านอย่างตั้งใจบนเรือเหาะ ก็คิดว่าอยากจะลองเสียอีก”

หน้าของคาริกรวมถึงหูทั้งสองข้างของเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดทันที เขาโพล่งออกมา “ท่านนี่!”

ไอดิเอลยักไหล่ ไม่รอให้ชายหนุ่มโวยวายอะไรอีก “จะเอายังไงก็ตามใจเจ้าเถอะนะ แต่ถ้าจะไปที่ห้องข้าก็อาบน้ำให้เรียบร้อยล่ะ”

“ฮึ้ย...” ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามอย่างขัดใจในคอ ก่อนจะพูดออกมา “ข้าไปอาบที่ห้องท่านนั่นล่ะ อยากรู้จริงเชียวว่าอ่างอาบน้ำของท่านกว้างสักแค่ไหน”

จอมเวทหัวเราะอีก ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

.............................................

คาริกยอมรับว่าในความคิดของเขา ห้องของไอดิเอลต้องไม่รกน้อยไปกว่าร้านหนังสือที่ทริโกเนียอย่างเด็ดขาด เพราะได้ยินว่าเจ้าตัวย้ายบันทึกทั้งหมดจากห้องที่ยกให้เขาไปไว้ในห้อง แต่พอได้เข้ามาจริงๆ เขาจึงพบว่าความเป็นจริงต่างจากสิ่งที่คิดอย่างลิบลับ

ห้องของไอดิเอลเป็นห้องกว้าง เพดานสูงกว่าห้องของเขา ด้านบนมีโคมระย้า ผนังสองด้านเป็นชั้นหนังสือ ที่มุมด้านหนึ่งมีบันใดวนเชื่อมขึ้นไปบนเพดาน มีโต๊ะเขียนหนังสือฉลุลายอย่างวิจิตรวางอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง และเตียงนอนหลังใหญ่วางอยู่อีกด้านหนึ่ง ด้านหลังเตียงเป็นหน้าต่างแคบสูงที่เปิดออกเห็นทิวทัศน์ด้านนอก เครื่องเรือนทุกอย่างทั้งเก้าอี้และตั่งหน้าเตียงตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ ดูหรูหราและห่างจากคำว่ารกไปไกลโข

ประตูที่ข้างเตียงเปิดออกไปเป็นห้องน้ำ ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่อยู่ในร่มกับส่วนที่อยู่กลางแจ้ง ส่วนที่อยู่กลางแจ้งเป็นอ่างอาบน้ำที่ไอดิเอลพูดถึง มันตั้งอยู่บริเวณที่ควรจะเรียกได้ว่าเป็นระเบียง ไม่มีราวกั้นใดๆ มีเพียงอ่างอาบน้ำที่มีบันใดขั้นเตี้ยๆ ให้ปีนขึ้นไปเท่านั้น

เสียงน้ำล้นดังแว่วมาให้ได้ยิน พร้อมกับไอน้ำที่กรุ่นขึ้นมาจากผิวน้ำภายในอ่าง คาริกมองภาพตรงหน้าอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่รู้ว่าควรจะตื่นเต้น ดีใจ หรือว่าประหลาดใจดี เขาหันไปหาไอดิเอลที่ยืนมองอยู่ แล้วพูดขึ้น

“ห้องท่านสวยนะ... อ่างอาบน้ำท่านก็สวย... แต่ท่านอาบน้ำอุ่นด้วยหรือ ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจอุณหภูมิของอะไรพวกนี้เสียอีก”

“ข้าก็ไม่ได้สนใจหรอก ไอดิเอลว่า “แต่คิดว่าเจ้าน่าจะไม่สบายเท่าไหร่ถ้าต้องอาบน้ำเย็นน่ะ”

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก เขาเห็นไอดิเอลเปลื้องเสื้อคลุมตัวนอกออกแขวนไว้ จึงพูดขึ้นต่อ

“ท่าน เอ่อ... เต็มใจรึเปล่า?”

ไอดิเอลชะงักมือที่กำลังปลดกระดุมเสื้อ แล้วหัวเราะอีก “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ถ้ามีโอกาสข้าก็จะทำทุกวันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของความอยู่รอด ไม่เกี่ยวกับเต็มใจไม่เต็มใจหรอก อย่าถามจุกจิกน่ารำคาญเลยน่า... ว่าแต่เจ้าเถอะ เต็มใจรึเปล่า?”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่16 (P2) (ุ29/10/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-11-2021 10:09:55
“ถ้าไม่เต็มใจข้าจะตามท่านมาที่นี่หรือ...” คาริกว่า ก่อนจะเดินไปกอดไอดิเอลจากทางด้านหลัง ได้ยินเสียงจอมเวทพูดขึ้นทันที

“ข้าบอกแล้วไง ให้อาบน้ำก่อน”

“รู้แล้วล่ะน่า ข้าแค่อยากกอดท่านเฉยๆ ไม่ได้รึไง?”

“....”

“ให้ข้าช่วยท่านถอดเสื้อผ้าเถอะ” พูดจบเขาก็ผละออก ไอดิเอลจึงหันหน้ากลับมา ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินยวงที่ส่องลอดเข้ามา คาริกรู้สึกว่าร่างของไอดิเอลราวกับจะเปล่งประกายได้ เขาค่อยๆ ปลดเครื่องประดับที่อยู่บนร่างกายของฝ่ายนั้นออกวางไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วจึงปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด เสื้อของไอดิเอลทั้งหนาและหนัก ดังนั้นกระดุมเสื้อของเขาจึงเป็นแบบที่ต้องผูกอีกที เวลาแกะก็จะต้องใช้เวลาหน่อย คาริกค่อยๆ ดึงสายผูกกระดุมพวกนั้นออกอย่างตั้งใจ เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะเริ่มทำเรื่องอย่างนี้ในแบบที่มันควรจะเป็น หรืออย่างน้อยก็แบบที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็น

“จะให้ข้าถอดให้เจ้าด้วยไหม?” ไอดิเอลพูดตอนที่เสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายหลุดลงไปกองอยู่กับพื้น คาริกรีบโพล่งขึ้นทันที

“ไม่ต้องหรอก ข้าถอดเองได้”

ชายหนุ่มรีบปลดสายเข็มขัดออก ท่าทางของเขางุ่มง่ามขึ้นมาทันตาเห็น ไอดิเอลหัวเราะขึ้นอีก “เจ้านี่จริงๆ เชียว ตะกี้ยังทำได้ดีแท้ๆ ไม่ต้องลนลานขนาดนั้นน่า ให้ข้าถอดให้ดีกว่า”

จอมเวทยื่นมือไปจับมือของชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะช่วยฝ่ายนั้นถอดเสื้อผ้าออก หัวใจของคาริกเต้นอื้ออึงอยู่ในอก ตอนแรกเขาคิดจะชักมือออกเพราะรู้สึกเสียหน้า แต่มือของไอดิเอลนั้นให้ความรู้สึกทั้งอ่อนโยนและมั่นคง จนเขาไม่อาจหักใจขยับหนีได้

ท่ามกลางแสงจันทร์ ผมและผิวของไอดิเอลทอประกายสีเงินสว่าง ดวงตาของเขาก็เหมือนดั่งจะทอประกายเรืองรองออกมา ทันทีที่เสื้อผ้าถูกเปลื้องออกจนหมด คาริกก็ยื่นมือไปจับใบหน้าของฝ่ายนั้นเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจระงับได้ เขารู้สึกว่าการมีอยู่ของคนตรงหน้าช่างเป็นสิ่งอัศจรรย์เสียเหลือเกิน ร่างกายนี้ ใบหน้านี้ ดวงตาคู่นี้ ผ่านสิ่งเลวร้ายอย่างที่เขาไม่อาจจินตนาการหรือเข้าใจได้มาตลอดเวลาหนึ่งพันกว่าปี

“ท่านทำได้ยังไง” ชายหนุ่มกระซิบ “ท่านทนมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน”

ดวงตาสีอำพันของไอดิเอลเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มบางบนหน้า “ความอดทนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เจ้าไม่มีทางใช้ชีวิตอันยาวนานนี้อย่างผาสุกได้ หากเจ้าคิดแต่จะทนเรื่อยไป... ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้โดยอาศัยเพียงความอดทนหรอก ข้าอยู่เพื่อทำสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ข้าเคยทำในอดีต นั่นแหละคือเหตุผลการดำรงอยู่ของข้า”

คาริกเม้มริมฝีปาก เขาแนบหน้าผากเข้ากับหน้าผากของอีกฝ่าย “ข้าคงเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเหตุผลของท่านได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเคยผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมา ข้าขอสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านรู้สึกแบบนั้นอีก ข้าอยากให้ท่านมีความสุข ให้ท่านไม่เสียใจที่ได้อยู่กับข้า”

ไอดิเอลรู้สึกหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นมาชั่วขณะ เขามองดวงตาสีม่วงของเด็กหนุ่มตรงหน้า ดวงตาคู่นี้เพิ่งเห็นโลกมาเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น... ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวที่จะได้พบกับจอมเวทโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ ทอดทิ้งโอกาสทุกสิ่งเพียงเพราะคำสั่งเดียวกับที่เขาเคยสั่งกับพวกที่กลายพันธุ์พวกนั้นเมื่อเก้าสิบปีก่อน ตอนนี้เจ้าตัวกำลังมีความรู้สึกพิเศษกับเขา ไอดิเอลรู้ว่าด้วยวัยของคาริก ย่อมรู้สึกหวั่นไหวกับเขาเป็นธรรมดา แม้จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาไม่คิดอยากเหนี่ยวรั้งหัวใจของชายหนุ่มที่กำลังรู้สึกหวั่นไหวไว้ เนื่องเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้จิตใจของเขาเย็นชาเกินกว่าที่จะแสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมาได้อีก หัวใจของเขาชืดชาเกินกว่าจะเป็นคนรักของใครได้อีกแล้ว

ทว่า... คำพูดเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดคนนี้ กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมา บางทีอาจเพราะความจริงใจไร้เดียงสาที่ถ่ายทอดออกมาจากดวงตาคู่นั้น

‘เขาคือชีวิตของท่านนะ ท่านจะมีใจให้เขาไม่ได้เชียวหรือ’

ไอดิเอลไม่แน่ใจว่าเขาจะมีใจให้คาริกอย่างที่เวโรนิกาพยายามเกลี้ยกล่อมได้หรือไม่ แต่ที่เขารู้แน่ หากเขาปฏิเสธความจริงใจที่ไร้เดียงสานี้ คาริกจะต้องเจ็บปวด และนั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากให้เกิดกับเด็กหนุ่ม ดังนั้นจอมเวทจึงเอ่ยคำพูดออกไป

“ขอบใจนะ...”

คาริกมองใบหน้าที่งดงามเหมือนภาพฝันนั้น เขาไม่รู้ว่าไอดิเอลคิดอะไรกันแน่ ไม่รู้ด้วยว่าคำพูดที่เจ้าตัวพูดออกมานั้น มาจากความรู้สึกที่ลึกซึ้ง หรือแค่พูดตามความเหมาะสมเท่านั้น แม้หัวใจเขาจะรู้สึกปวดแปลบอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขาก็บอกกับตัวเอง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นผ่านเรื่องเลวร้ายมาเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะชืดชาต่อทุกสิ่ง สักวันหนึ่ง... สักวันหนึ่งเขาจะทำให้ไอดิเอลสัมผัสได้ถึงความจริงใจและตั้งใจของเขา ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกดีที่มีเขาอยู่ข้างๆ ให้รู้ว่าการที่ได้พบเขาไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวัง

สองมือของชายหนุ่มค่อยๆ ประคองใบหน้างดงามนั้นขึ้น แนบริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา

ริมฝีปากคู่นี้... ที่ให้ไออุ่นเขา... ให้ชีวิตกับเขา

ไม่ใช่สัญญาหรอก ที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากคนคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสวยงามภายนอกหรอก ที่ทำให้เขาหวนคำนึงถึงอยู่ทุกลมหายใจ

แต่เพราะจูบในครั้งนั้น... จูบอ่อนโยนที่เขาไม่เคยสัมผัสจากใครมาก่อนต่างหาก ที่ทำให้เขาไม่อาจถอนตัวได้อีก

.................................

ริมฝีปากของไอดิเอลนั้นอบอุ่นและอ่อนโยนมากจริงๆ คาริกเบียดริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของจอมเวทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับไม่มีวันพอ จนกระทั่งไอดิเอลต้องฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก ยกมือดันอกชายหนุ่มไว้ แล้วพูดขึ้น

“นี่ข้าชวนเจ้ามาอาบน้ำนะ พวกเราไปที่อ่างน้ำกันเถอะ”

คาริกขบริมฝีปาก จากนั้นก็ใช้สองมือช้อนตัวของไอดิเอลขึ้นจากพื้น จอมเวทตวัดแขนโอบลำคอของเขาไว้ แล้วหัวเราะ “นี่... ข้าไม่ใช่เด็กนะ”

“ข้ารู้” คาริกพูด “ข้าแค่ไม่อยากจะปล่อยมือจากท่านน่ะ”

“ให้ข้าจูงมือไปก็ได้น่า...”

“ข้าไม่ใช่เด็กนะ” เขาย้อนจอมเวทด้วยคำพูดของฝ่ายนั้น ก่อนจะเดินไปที่อ่าง ไอน้ำยังคงลอยอ้อยอิ่ง ดวงจันทร์สีเงินยวงสะท้อนบนผิวน้ำเป็นเงาคล้ายภาพในจินตนาการ พอชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไป ม่านหมอกก็พลันกระจายออก เขาย่อตัวลง ดันร่างจอมเวทไปที่ขอบอ่าง เสียงน้ำล้นดูห่างไกล ขณะที่ชายหนุ่มเบียดริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่เขาคะนึงหาอยู่ตลอดทุกลมหายใจนั้นอีกครั้ง

ไอดิเอลพอรู้ว่าคาริกชอบจูบริมฝีปากเขา แต่เจ้าตัวเอาแต่จูบเอาๆ แบบนี้ เขาก็ชักจะเหนื่อยอยู่เหมือนกัน พอได้จังหวะ จอมเวทก็พูดขึ้นอีก

“ข้ารู้หรอกนะว่าเจ้าชอบจูบข้า แต่ถ้าอยากจะให้ข้ารู้สึกดีด้วย ก็ช่วยทำอย่างอื่นบ้างเถอะ”

คาริกเบิ่งตาสีม่วงของเขาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขบริมฝีปาก “ท่านไม่ชอบจูบหรือ?”

“ข้าไม่ได้ไม่ชอบ แต่มันเหนื่อยนะ...” ไอดิเอลพยายามอธิบาย “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกดี แต่ข้าไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวกับเรื่องนี้หรอก... ถ้าทำให้เจ้าผิดหวังก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”

“อ่า...” ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอ ใช้เวลาอึดใจทำความเข้าใจคำพูดดังกล่าว เขากะพริบตาอยู่ครั้งสองครั้ง ก่อนจะสะบัดศีรษะแรงๆ แล้วโพล่งออกมา “แย่จริง! ข้านี่ไม่ไหวเลย”

“นี่ๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้าขนาดนั้นน่า ก็แค่บอกน่ะ” ไอดิเอลรีบปลอบ พลางนึกสงสัยว่าเขาทำอะไรพลาดไปรึเปล่า ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นต่อ

“ไม่ๆ ท่านทำถูกแล้วล่ะ” เขาขยับออกมาเล็กน้อย แล้วถอนหายใจ “ข้านี่ไม่รู้เป็นอะไรจริงๆ นะ พอได้จูบท่านแล้วเหมือนลืมทุกอย่างไปเลย”

อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “เจ้าคงชอบน่ะ...”

คาริกยกมือลูบริมฝีปาก หน้าแดงอีก “ข้าคง... เอ่อ... คงจะ..... นั่นแหละ” เสียงของเขาเบาจนไอดิเอลฟังไม่ถนัด ขณะจะถามว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่ เจ้าตัวก็โพล่งออกมาเสียก่อน

“แต่ว่าข้าอยากให้ท่านรู้สึกดีด้วย! เฮ้อ... จริงๆ เลยน้า... ท่านอาบน้ำดีกว่า ข้าขัดหลังให้ไหม?”

ไอดิเอลมองชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน พลางกะพริบตาปริบๆ บ้าง “นี่ข้าทำเจ้าหมดอารมณ์รึเปล่า?”

“ไม่ๆ” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “ท่านทำให้ข้ามีอารมณ์มากเกินไปต่างหาก เราอาบน้ำกันดีกว่านะ... ท่านหันหลังสิ ข้าจะได้ขัดหลังให้”

ไอดิเอลมองเขาอึดใจก็ยอมจะหันหน้าไป ผมของจอมเวทยาวจนระอยู่ในน้ำ คาริกจึงต้องใช้มือรวบขึ้นเพื่อที่จะได้ขัดหลังของอีกฝ่ายได้ถนัด ร่างกายของไอดิเอลเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ไม่ใช่กล้ามเนื้อลูกโตๆ แต่เป็นกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แข็งแรงได้สัดส่วน แผ่นหลังของเขากว้าง ชายหนุ่มตัดสินใจปัดผมของอีกฝ่ายไปไว้ด้านหน้า แล้วใช้นิ้วถูไปตามแนวกล้ามเนื้อของเจ้าตัว

“อา... ดี ตรงนั้นแหละ กดแรงๆ เลย” จอมเวทส่งเสียง ตอนแรกก็นั่งอยู่ในอ่างดีๆ ต่อมาก็ขยับไปเอาแขนพาดขอบอ่าง ให้ชายหนุ่มนวดหลังอย่างสบายอุรา

“นี่ท่านปวดเมื่อยกับเขาเหมือนกันหรือเนี่ย” คาริกพูดขึ้นที่ด้านหลัง ขณะกดนิ้วตามที่อีกฝ่ายบอก ไอดิเอลพยักหน้า

“ข้าอยู่มานานปูนนี้ ต้องปวดเมื่อยเป็นธรรมดาล่ะนะ... ทางซ้าย ตรงนั้นแหละ แรงๆ เลย”

คาริกหัวเราะ “ท่านนี่อย่างกับตาแก่แน่ะ ออกัสเองก็ชอบให้นวดหลังแบบนี้เหมือนกัน แต่ข้าไม่ได้นวดให้เขาในอ่างอาบน้ำเหมือนท่านหรอกนะ”

“ข้ารู้น่า ดูจากอาการหน้าบางของเจ้าแล้ว คงเคยลงอ่างกับผู้ชายครั้งแรกสิ”

“กับผู้หญิงข้าก็ไม่เคยเหมือนกันล่ะน่า” คาริกว่า พลางมองใบหูของไอดิเอลที่โผล่พ้นเรือนผมออกมา ตอนนี้เจ้าตัวกำลังหันหลัง พาดผมไปที่ไหล่ด้านหนึ่ง เลยทำให้เห็นใบหูได้ชัด เขานึกถึงคำพูดของเวโรนิกาขึ้นมา เลยขยับเข้าไปใกล้ แล้วจูบเบาๆ

“อ๊ะ!”

ไอดิเอลหันหน้ากลับมาทันที ดีที่คาริกหลบทัน ไม่งั้นจมูกของเขาคงโดนกระแทกไปเต็มๆ ชายหนุ่มถามขึ้น

“ท่านตกใจหรือ?”

“อะ... อืม” จอมเวทยกมือขึ้นลูบใบหู สีหน้าเหมือนจะตกใจจริงๆ คาริกเห็นแล้วก็ให้ยิ้มออกมา

“ดูท่าตรงนี้จะเป็นจุดอ่อนของท่านจริงๆ ด้วยสินะ”

“หา! เดี๋ยว อ๊ะ!” ไอดิเอลไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องส่งเสียงร้องสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง เมื่อคาริกรวบตัวเขาเข้าไปกอดแล้วอ้าปากขบใบหูของเขาเบาๆ จอมเวทจิกนิ้วลงบนหัวไหล่ของชายหนุ่มทันที

“อืม... อา...”

ปลายเล็บจิกแน่น แต่ร่างในอ้อมกอดกลับอ่อนระทวยลงเรื่อยๆ คาริกไม่เคยได้ยินไอดิเอลส่งเสียงแบบนี้มาก่อน สัญชาตญาณบอกเขาว่าเดินมาถูกทางแล้ว ชายหนุ่มทั้งขบทั้งใช้ปลายลิ้นไล้ลงไปบนใบหูของฝ่ายนั้นอีกหลายครั้ง จอมเวทหอบหายใจ พลางส่งเสียงครางกระเส่าอย่างไม่อาจระงับตัวเองได้

หัวใจของคาริกเต้นระรัว ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น เขาลากปลายลิ้นผ่านติ่งหูของไอดิเอล ต่ำลงมาจนถึงซอกคอ กัดเบาๆ ตรงไหปราร้า ก่อนจะไปหยุดที่ปลายถัน แล้วขยี้เบาๆ ร่างในอ้อมกอดแอ่นตัวขึ้นทันที

“แรงอีก”

ไอดิเอลไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเขาจะมีอารมณ์เวลาทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันได้ อาจเพราะทุกครั้งที่ผ่านมา มันคือสิ่งที่ต้องดำเนินไปเพื่อให้เสร็จสิ้น ไม่มีความตั้งใจหรือเต็มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ว่าครั้งนี้... ดูจะต่างออกไปแล้ว

คาริกรู้สึกหัวใจเต้นแรงจนหูอื้อ ปฏิกิริยาตอบสนองของไอดิเอลเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก ฝ่ายนั้นส่งเสียงคราง แอ่นร่างเสนอยอดถันชูชันให้เขากัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือทั้งจิกทั้งข่วนแผ่นหลังและหัวไหล่ของเขาจนแสบ ทว่ากลับยิ่งทำให้ท่อนล่างของชายหนุ่มที่อยู่ใต้ผิวน้ำคัดรุมจนแทบระเบิด ชายหนุ่มคว้าสองมือลงบนสะโพกของจอมเวท บังคับช่องทางเล็กแคบให้บดเบียดลงไปบนแก่นกายที่แข็งขึงของตน

ไอดิเอลรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกฉีก ความโอฬารอย่างที่เขาไม่เคยคุ้นชินเบียดแทรกเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ กระนั้นด้วยความเคยชินของร่างกาย ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธการกระทำนี้ได้ จอมเวทจึงต้องกัดนิ้วเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องบ่งบอกความเจ็บปวดออกไป ในตอนที่ชายหนุ่มใส่เข้ามาจนสุดความยาว

ความต้องการของคาริกถูกเร่งเร้าถึงขีดสุดจนสมองของเจ้าตัวแทบไม่รับรู้อะไรอีก ยิ่งเมื่อช่องทางเล็กแคบของฝ่ายตรงข้ามตอดรัดเขาเหมือนกับจะเค้นเอาสิ่งที่คัดอยู่ภายในออกมา เจ้าตัวก็ตอบสนองด้วยการกระแทกสะโพกขึ้นลงอย่างรุนแรง พลางส่งเสียงครางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

น้ำกระเซ็นออกจากขอบอ่างตามแรงกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า ไอดิเอลแหงนใบหน้าขึ้นสูง เขาต้องยอมที่จะส่งเสียงครางออกมา แล้วใช้มือจับไหล่ของชายหนุ่มไว้ เพื่อที่จะประคองตัวไม่ให้เสียหลัก ขณะรองรับการกระแทกรุนแรงนั้น

เพราะถูกกระตุ้นจนแทบระเบิด คาริกถึงจุดสุดยอดในเวลาไม่นาน พลังงานจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้าสู่ร่างของไอดิเอล ขณะที่ชายหนุ่มรู้สึกกะปลกกะเปลี้ยจนเกือบจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ เขาได้ยินเสียงใครบางคนเรียกมาจากที่ไกลๆ

“นี่... นี่...”

ที่แก้มเจ็บแปลบๆ ทว่าสติของชายหนุ่มกลับยิ่งลอยละล่อง กระทั่งปลายลิ้นอุ่นๆ สอดเข้ามาในปากของเขานั้นแหละ ตอนที่เขาได้สติ ก็พบว่าตัวเองกำลังจูบกับไอดิเอลอยู่ ถึงจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังอ้อยอิ่งแลกลิ้นอยู่กับฝ่ายนั้นพักใหญ่ จึงยอมถอนริมฝีปากออก

“เจ้านี่ไม่ไหวเลย เอะอะก็จะหมดสติอยู่เรื่อย” ไอดิเอลว่า เขายังคงนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม มองจากมุมนี้เจ้าตัวยิ่งดูเปล่งปลั่งท่ามกลางแสงจันทร์ คาริกยิ้มเล็กน้อย พูดตอบไปด้วยเสียงแหบแห้ง

“ข้าพอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมมีอะไรกับท่านอาจถึงตายได้”

ไอดิเอลตบแก้มเขาเบาๆ “อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ ไม่มีใครเคยถึงกับข้าอย่างที่เจ้าถึงตะกี้หรอก”

คาริกใช้สองมือโอบเอวของจอมเวทไว้ ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกของฝ่ายนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าถามขึ้นอย่างนึกได้

“ว่าแต่ตะกี้ท่านเป็นไงบ้าง? ข้ารุนแรงไปรึเปล่า?”

“เจ้ารุนแรงมาก” ไอดิเอลว่า “แต่ก็ไม่ได้แย่นักหรอก ตอนแรกๆ ข้ารู้สึกดีมาก แต่ตอนหลังเหมือนเจ้าจะคุมสติไม่อยู่นะ”

คาริกหน้าแดงด้วยความละอาย อีกฝ่ายจึงพูดขึ้นต่อ “ไว้แก้ตัวใหม่คราวหน้าแล้วกัน ดูท่าหนังสือเล่มนั้นคงสอนอะไรดีๆ เจ้าเยอะอยู่”

พูดจบเจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้น คาริกรีบยื่นมือไปคว้าไว้ แต่ก็ถูกฉุดให้ลุกขึ้นตาม

“ลุกได้แล้ว ใจคอเจ้าคิดจะนอนในอ่างน้ำนี่หรือไง”

“เปล่า” ชายหนุ่มหน้าแดงอีก แต่คราวนี้เขาจับมือไอดิเอลไว้แน่น “คืนนี้น่ะ... ท่านก็นอนกับข้าเถอะนะ”

“อ้อ... เจ้ายังมีแรงอีกหรือ ข้าน่ะได้ตลอดล่ะนะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น โธ่...” ชายหนุ่มครางออกมา “ข้าหมายถึงนอน นอนจริงๆ น่ะ ท่านนอนข้างๆ ข้าคืนนี้ได้ไหม อย่านั่งเขียนหนังสือทั้งคืนเลยนะ”

“ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าจะเขียนหนังสือคืนนี้นี่”

“งั้น... ท่านจะนอนกับข้าใช่ไหม”

“หยุดพิรี้พิไรแล้วไปใส่เสื้อผ้าเถอะ” อีกฝ่ายตัดบท “ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้านอนในอ่างนี่แหละ”

พูดพลางก้าวออกจากอ่างน้ำ คาริกจึงต้องรีบตามออกไป

.....................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่17 (P2) (ุ12/11/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-11-2021 12:29:10
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่17 (P2) (ุ12/11/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-11-2021 10:02:27
อุ้ต้ะ มีพัฒนาการนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่18 (P2) (ุ3/12/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-12-2021 12:39:13
**แก้เนื้อหาตอน16 บางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับตอนนี้ค่ะ<< ถ้างงให้กลับไปอ่านใหม่นั่นเอง^^"""
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่18 “ข้าไม่ได้ทำลงไปเพราะคิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่หรอกนะ”


ตอนที่หัวถึงหมอน คาริกก็แทบจะหลับไปในทันที มารู้สึกตัวก็ตอนที่รอบตัวเริ่มมีแสงสว่างรำไรนั่นแหละ ชายหนุ่มควานมือไปข้างๆ หวังจะดึงตัวจอมเวทมากอดให้ชื่นใจ แต่ที่คลำเจอดันเป็นก้อนขนอุ่นๆ นุ่มๆ พอลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นว่าโอเรนนอนขดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นทันที

“หืม เป็นไร ฝันร้ายหรือ?” ไอดิเอลที่นอนอยู่ข้างกันถามขึ้น เขาสวมเสื้อยาวตัวในเพียงตัวเดียว ไม่ได้สวมเครื่องประดับ ท่าทางเหมือนนอนอยู่ตรงนั้นมาทั้งคืน คาริกจ้องฝ่ายนั้นเขม็ง ก่อนจะเลื่อนสายตามามองเจ้าก้อนขนสีเขียวที่นอนขดอยู่ แล้วถามขึ้น

“โอเรนมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ”

“อ้อ... ข้าไปอุ้มเขามาเองแหละ คิดว่าถ้าปล่อยให้นอนคนเดียวเดี๋ยวตื่นมาไม่เจอใครจะตกใจเอาน่ะ”

คาริกถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แล้วท่านได้หลับได้นอนกับเขาบ้างไหมเนี่ย”

อีกฝ่ายยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “บอกแล้วไงว่าข้าไม่จำเป็นต้องนอนหลับอย่างมนุษย์หรอก แต่นอนให้เจ้ากอดทั้งคืนก็ไม่ค่อยสบายน่ะนะ เจ้านี่ดูท่าทางขาดความอบอุ่นนะเนี่ย”

“ก็ข้าไม่ได้โตมาด้วยการถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่เหมือนคนอื่นนี่นา” คาริกว่า รู้สึกใจเต้นตึกตักเมื่อคิดว่าไอดิเอลนอนให้เขากอดทั้งคืน ว่าแต่แล้วเจ้าตัวไปอุ้มโอเรนมาจากห้องตอนไหนกัน

“อืม... เจ้ากับโอเรนที่จริงแล้วก็คล้ายกันตรงนี้ล่ะนะ ข้าถึงอยากจะให้เขากลับไปที่เทือกเขาไฮดรัสน่ะ” ไอดิเอลว่า คาริกมองหน้าเขาแล้วพูดต่อ

“ถ้าท่านคิดงั้นนะ อย่าเพิ่งส่งโอเรนกลับไปเลย ตอนข้าเด็กๆ ข้าก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร แต่พอข้าโตขึ้นหน่อยข้าก็รู้สึกว่าข้าอยากอยู่กับคนที่เลี้ยงข้ามามากกว่า ตอนที่ข้าต้องหนีจากมาข้าเศร้ามากนะ คิดว่าโอเรนก็คงจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ยังไงเขาก็อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ออกจากไข่ เขาดูจะติดท่านมากด้วยนะ”

“หืม นี่เจ้าเองก็ถูกขโมยออกมาตอนเป็นไข่เหมือนกันหรือ” โอเรนที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นพูด คาริกร้องขึ้นทันที

“นี่เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?! ข้าคิดว่าหลับอยู่เสียอีก!”

“ข้าก็ตื่นสักพักแล้วน่ะนะ” เจ้ามังกรตอบ “แต่นอนตรงนี้อุ่นดีเลยไม่อยากลุกน่ะ”

“โอย... วันหลังตื่นแล้วก็หัดให้สุ้มให้เสียงบ้างเถอะ” ชายหนุ่มคราง แต่โอเรนทำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่ตอนถูกเก็บได้เจ้าออกจากไข่หรือยัง แล้วเจ้าตื่นมาในอกเสื้อแบบข้ารึเปล่า?”

“เอาล่ะๆ” ไอดิเอลตัดบท เขายันตัวลุกขึ้นมานั่ง ทำท่าเหมือนครูสอนหนังสือ แล้วหันไปพูดกับโอเรน

“ข้ายืนยันได้ว่าคาริกไม่ได้ฟักจากไข่ เขาเป็นมนุษย์ มนุษย์น่ะออกลูกเป็นตัว ไม่ได้ออกมาเป็นไข่เหมือนมังกรอย่างเจ้าหรอกน่ะ”

“นี่ท่านช่วยใช้ศัพท์ให้มันต่างจากสัตว์หน่อยได้ไหม” คาริกร้องออกมา “ใครเขาใช้คำว่าออกลูกเป็นตัวกับมนุษย์กัน”

“ข้านี่แหละ” จอมเวทว่า ก่อนจะหันไปพูดกับโอเรนต่อ “มันเป็นศัพท์ทางวิชาการน่ะ แต่ถ้าเจ้าพูดกับมนุษย์ เจ้าจะต้องพูดว่า มนุษย์คลอดลูก และพวกเขาไม่ได้คลอดออกมาเป็นไข่ แต่เป็นเด็กทารกตัวเล็กๆ ที่จะโตขึ้นเป็นมนุษย์ตัวใหญ่ๆ แบบคาริกนี่แหละ”

“อ๋อ ข้าจำได้แล้ว” เจ้ามังกรร้อง “ตอนที่เราไปพักที่จุดพักแรม ก็มีคนมาขอให้ท่านไปให้พรลูกสาวที่กำลังจะคลอดใช่ไหม มันหมายถึงแบบนี้นี่เอง แต่ว่าถ้าคาริกคลอดออกมาแบบท่านว่า แล้วพ่อแม่เขาไปไหนล่ะ หรือทารกมนุษย์พอคลอดออกมาแล้วก็เดินไปไหนมาไหนได้เลย เหมือนข้ารึเปล่า?”

“ก็ไม่เหมือนอีกนั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “มนุษย์ตอนแรกเกิดอ่อนแอมาก ต้องอาศัยการเลี้ยงดูจากแม่เป็นหลัก ถ้าไม่ได้ดื่มอาหารเหลวอย่างนมหรืออย่างอื่นที่มีสารอาหารครบถ้วนล่ะก็ ยากมากที่จะรอดจนโตได้”

“งั้นคาริกก็ต้องมีแม่ใช่ไหม แล้วแม่ของเขาไปไหนล่ะ?” โอเรนถามต่อด้วยท่าทางจริงจัง “นี่ ท่านไอดิเอล ในเมื่อเราจะเดินทางไปอาณาจักรบูรพา พวกเราก็ไปตามหาแม่ของคาริกกันเถอะ”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ตั้งแต่ออกจากอาณาจักรบูรพามา เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องการตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองเลย อันที่จริงเขาแทบลืมความคิดนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ เหมือนช่วงเวลาที่เขานึกอยากเจอหน้าพ่อแม่ของตัวเองนั้นมันผ่านมานานมากแล้ว ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น

“มันก็ดีนะที่เจ้าคิดอยากจะช่วยเขาตามหาแม่ แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ข้าควรต้องคิดหาวิธีเดินทางไปที่นั่นให้ได้ก่อน ซึ่งตอนนี้ข้ายังนึกไม่ออกหรอก”

“ที่จริงแล้วไม่ต้องก็ได้!” คาริกโพล่งออกมา ทั้งไอดิเอลและโอเรนหันมามองเขา เจ้าตัวจึงรีบพูดต่อ “ข้าหมายถึงไม่ต้องไปตามหาพ่อแม่ของข้าก็ได้”

“ทำไมล่ะ เจ้าไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ตัวเองหรือ” โอเรนถามด้วยความประหลาดใจ คาริกเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดต่อ

“ยังไงดีล่ะ ตอนที่ข้ายังเด็กมากๆ ข้าก็เคยนึกอยากเจอพวกเขาน่ะนะ แต่ตอนนี้ข้าไม่คิดแบบนั้นแล้ว ถ้าพวกเขาต้องการข้าก็คงไม่ทิ้งข้าเอาไว้ใช่ไหมล่ะ อีกอย่างข้าก็ไม่รู้จักกับพวกเขาด้วย เจอกันไปก็มีแต่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจกันเปล่าๆ”

“ง่า...”

“ข้าคิดว่าข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้านะ” ไอดิเอลว่า “แต่เชื่อข้าเถอะว่าแทบจะไม่มีพ่อแม่คู่ไหนทิ้งลูกของตัวเองโดยไม่มีเหตุผลจำเป็นหรอก มองในแง่ร้ายบางทีพวกเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

ถึงคาริกจะไม่คิดอยากเจอหน้าพ่อแม่ตัวเอง แต่พอได้ยินว่าทั้งคู่อาจจะตายไปแล้ว เจ้าตัวก็นึกเสียใจแว้บขึ้นมา ขณะที่โอเรนถามขึ้นต่อ “ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

“มันมีสาเหตุอยู่ไม่กี่อย่างหรอกนะที่ทำให้พ่อแม่ต้องทิ้งลูกของตัวเองน่ะ” ไอดิเอลว่า “แต่ที่ข้าพูดไปมันก็เป็นแค่การคาดเดาล่ะนะ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือเราต้องไปที่นั่นแล้วสืบดู”

“ท่านตั้งใจจะไปที่นั่นจริงๆ หรือ?” คาริกถามขึ้นต่อ นึกสงสัยว่าไอดิเอลจะยอมลำบากไปอาณาจักรบูรพาเพื่อสืบเรื่องพ่อแม่เขาจริงๆ หรือ? อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“ที่จริงแล้วใจข้าอยากจะไปดูให้เห็นกับตาน่ะนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะไปตอนนี้เลยหรือทอดเวลาออกไปดี ข้าคงจะต้องคุยกับโอเลกซ์เกี่ยวกับเรื่องที่เจย์รอนเล่าให้เขาฟังก่อน”

“หืม?” ทั้งคาริกและโอเรนส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน “คุยกับใครนะ”

“โอเลกซ์” ไอดิเอลตอบ “เขาเป็นจอมเวทเหมือนข้า เป็นคนที่เจย์รอนพบคนสุดท้ายก่อนที่เขาจะเข้าสู่วิหารนิทรา เขามาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้ และข้ากำลังจะไปหาเขาที่ห้อง ถ้าพวกเจ้าอยากจะไปด้วยก็รีบลุกไปจัดการตัวเองได้แล้ว”

.....................................

ในที่สุดคาริกับโอเรนก็มาอยู่ในลิฟต์กับไอดิเอลอย่างงงๆ พลางสงสัยว่าวันนี้พวกเขาจะได้ไปเที่ยวที่เมืองพ่อค้า หรือต้องติดแหง็กกับธุระของไอดิเอลทั้งวันกันแน่ ทางเข้าห้องของโอเลกซ์นั้นเหมือนกับทางเข้าห้องของไอดิเอลแทบทุกอย่าง ยกเว้นตราจอมเวทที่ประดับอยู่บนประตู ไอดิเอลเดินไปถึงก็ใช้ไม้เท้าเคาะที่ประตูเบาๆ

“อรุณสวัสดิ์ครับท่านไอดิเอล ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอท่านอีก” คนที่ออกมาต้อนรับและเอ่ยคำพูดนั้นเป็นชายวัยราวๆ ยี่สิบเศษ ถ้าคะเนจากหน้าตาก็คงจะมีอายุไม่ห่างจากไอดิเอลมากนัก เจ้าตัวมีผมสีขาวเหมือนปุยเมฆ มีดวงตาสีน้ำเงินเหมือนไพลิน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนสายลมอ่อนๆ ในตอนเที่ยงวัน เขาสวมเสื้อยาวสีกรมท่า สวมเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มแบบที่ใครเห็นก็ต้องรู้สึกสบายใจ เขาจับแขนของไอดิเอลยกขึ้นราวกับผู้น้อยที่ได้พบกับผู้ใหญ่ที่นับถือ ก่อนจะหันไปมองคาริกและโอเรน

“พวกเจ้าทั้งสองคงเป็นคาริกกับโอเรนสินะ ทีมัวร์เล่าเรื่องให้ข้าฟังแล้ว มาๆ เข้ามาก่อนเถอะ”

ภายในห้องพักของโอเลกซ์นั้นแตกต่างจากห้องพักของไอดิเอลอย่างสิ้นเชิง หากว่าห้องรับแขกของไอดิเอลคือห้องรับแขกของจอมเวทในอุดมคติ ที่มีชั้นหนังสือล้อมรอบและชุดรับแขกพร้อมกับเก้าอี้นวมตัวยาวดูหรูหราแล้วล่ะก็ ห้องรับแขกของโอเลกซ์ก็เหมือนห้องคัดแยกเอกสารดีๆ นี่เอง ภายในห้องมีโต๊ะวางอยู่สี่ห้าตัว แต่ละตัวมีกองเอกสารปึกใหญ่วางอยู่จนมองไม่เห็นเก้าอี้ที่วางอยู่ด้านหลัง โดยรอบมีกองกระดาษมากมาย ชั้นวางหนังสือที่สูงจรดเพดานก็แออัดไปด้วยหนังสือ ทุกตารางนิ้วภายในห้องแทบจะถูกยึดครองโดยกระดาษหรือหนังสือแทบทั้งหมด เสียงแกร๊กๆ เหมือนเสียงปากกาขูดกระดาษดังถี่ยิบตอนที่ทั้งสามเดินไปที่เก้าอี้รับแขก ซึ่งก็ดูเหมือนเพิ่งถูกแหวกให้พ้นจากกองเอกสารพวกนั้นมาหมาดๆ

“โทษทีนะ ข้าไม่ค่อยได้รับแขกหรอก” ผู้เป็นเจ้าของห้องพูดแล้วแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อไคลแอนเนอุส โอเลกซ์ เป็นจอมเวทลำดับหก พวกเจ้าเรียกข้าว่าโอเลกซ์ก็ได้”

คาริกผงกศีรษะ แล้วแนะนำตัวเองตามมารยาท “ข้าชื่อคาริก ส่วนนี่โอเรน”

โอเรนรีบพูดขึ้นต่อทันที “ข้านึกออกล่ะ ท่านไอดิเอลเคยบอกว่าท่านเป็นนักบันทึกประวัติศาสตร์ เอกสารในห้องพวกนี้ก็เป็นท่านเขียนขึ้นสินะ”

“อ่า... ท่านไอดิเอลเคยพูดถึงข้าให้พวกเจ้าฟังด้วยหรือ” อีกฝ่ายมีสีหน้าภูมิใจเหมือนเด็กๆ คนถูกกล่าวถึงจึงพูดขึ้น

“โอเลกซ์ ข้ารู้ว่าเจ้ายุ่งกับเอกสารพวกนี้มาก ข้าดีใจที่เจ้าไม่ปฏิเสธการมาของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อมาคุยเรื่องของเจย์รอน ได้ยินมาว่าเขาพบเจ้าคนสุดท้ายก่อนเข้าสู่วิหารนิทรา”

โอเลกซ์หันไปมองเขา แล้วผงกศีรษะ “ท่านมาเพราะเรื่องท่านเจย์รอนสินะ ท่านเจย์รอนบอกข้าแล้ว หากท่านถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องเขาหรือเรื่องอาณาจักรบูรพา ให้เล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง”

ไอดิเอลมีสีหน้าประหลาดใจ “เขารู้ว่าข้าจะถามหรือ?”

“อืม... เขาว่าสักวันท่านจะถามถึงเรื่องของอาณาจักรบูรพา เขาฝากขอโทษท่านด้วยที่ทำให้ต้องวุ่นวายกับเรื่องพวกลูบิด”

“อา... จริงๆ แล้วข้าก็รู้สึกผิดอยู่สักหน่อยล่ะนะที่ไม่ได้บอกข้อมูลที่ครบถ้วนให้เขาไปแต่แรก เพราะรู้ว่าเขาโกหกไม่ได้ ถ้าเจ้าเหนือหัวถาม เขาจะต้องตอบ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เหมือนข้านำความหายนะไปสู่พวกลูบิดเร็วขึ้น”

“เพราะงั้นท่านเจย์รอนถึงได้บอกว่าเขาเป็นฝ่ายที่ทำให้ท่านวุ่นวายสินะ...” โอเลกซ์ผงกศีรษะ “แต่เรื่องที่ท่านไม่ได้ส่งรายงานฉบับเต็มให้เขานะ เขาไม่ถือโทษโกรธอะไรท่านหรอก เขาว่าถ้าท่านส่งรายงานทั้งหมดให้เขาสิถึงจะไม่สมเป็นท่าน ที่เขาให้ท่านไปตรวจสอบเรื่องนี้เพราะเชื่อว่าท่านจะทำให้เรื่องมันจบได้ดีที่สุด”

“แต่ดูท่าเรื่องจะจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ล่ะนะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องเข้าวิหารนิทราหรอก” ไอดิเอลพูดพลางถอนหายใจ โอเลกซ์ผงกศีรษะ

“ข้ารู้ว่าท่านทำไปด้วยความหวังดี แต่เรื่องที่ท่านเจย์รอนเล่าให้ฟังค่อนข้างทำให้ข้ารู้สึกสะเทือนใจ ทั้งกับท่านและคนพวกนั้น”

“เจย์รอนเล่าเรื่องอะไรให้เจ้าฟังบ้าง” ไอดิเอลว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเขาหลังการประชุมนั่น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกลูบิดบ้าง”

“เรื่องมันค่อนข้างจะยาวอยู่” โอเลกซ์ว่า “หลังจากเรื่องวันนั้น ท่านเจย์รอนทูลแนะนำให้กษัตริย์ราชิดที่สามก่อตั้งหมู่บ้านสำหรับพวกลูบิดขึ้น แทนที่จะออกคำสั่งรุนแรงเช่นการกำจัดออกจากอาณาจักร เพราะอย่างไรเสียพวกลูบิดก็เป็นเพียงราษฎรที่มีอาการผิดปกติเท่านั้น กษัตริย์ราชิดที่สามทรงเห็นชอบกับท่านเจย์รอน จึงได้มีราชโองการให้ตั้งหมู่บ้านสำหรับพวกลูบิดขึ้น โดยเสนอสิทธิพิเศษเช่นการจ่ายค่าเช่าที่ทำกินเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นการดึงดูดให้ผู้คนที่มีความผิดปกติดังกล่าวย้ายเข้ามา เพื่อที่จะได้ควบคุมและจำกัดจำนวนพวกลูบิดได้ ประชาชนให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก กระทั่งมีบางส่วนพยายามปลอมตัวเองเป็นพวกลูบิดด้วยซ้ำ ทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ พอย่างเข้าปีที่สอง หมู่บ้านลูบิดก็มีประชากรที่ผ่านการตรวจสอบแล้วถึงหนึ่งพันกว่าคน เป็นจำนวนที่เยอะจนน่าตกใจ พวกขุนนางและเสนาบดีเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับพละกำลังและความสามารถของคนพวกนี้ และงบประมาณที่ใช้เลี้ยงดู ท่านเจย์รอนจึงเสนอว่าให้นำมาฝึกเป็นทหารรักษาพระองค์ เพื่อที่จะได้แน่ใจว่าคนพวกนี้จะมีความจงรักภักดี แต่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์บางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับท่านเจย์รอนและพวกลูบิด กษัตริย์ราชิดที่สามฟังความเห็นจากทั้งสองฝ่าย ทรงสรุปให้มีการตั้งกองกำลังทหารรักษาพระองค์ที่ประกอบด้วยพวกลูบิดดั่งที่ท่านเจย์รอนเสนอ และมีราชโองการสั่งไม่ให้พวกลูบิดทั้งหมดพบกับจอมเวทโดยเด็ดขาด ผู้ใดตั้งใจก็ดี พลาดพลั้งก็ดี จะต้องอาญาตัดศีรษะโดยไม่มีข้อยกเว้น รับสั่งให้ท่านเจย์รอนแสดงความบริสุทธิ์ใจเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าขุนนาง ท่านเจย์รอนนึงได้ลงคำสาปบนร่างตัวเอง หากมีลูบิดผู้ใดมองเห็น ขอให้ดวงตามืดบอด พวกลูบิดพอทราบเรื่องนี้ ก็มีความกริ่งเกรงจอมเวทเป็นอย่างมาก ถึงกับไม่กล้าโผล่หน้าออกมาจากบ้านตอนที่ทหารหลวงไปถึง เพราะกลัวจะพบกับท่านเจย์รอน ตาบอดและต้องอาญาตัดศีรษะ ทางอาณาจักรบูรพาก็เริ่มมีการเกณฑ์พวกลูบิดไปเป็นทหารรักษาพระองค์ และบางส่วนไปเป็นแรงงานหลวง จ่ายค่าแรงตามสมควร ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่าหลังจากมีการจัดตั้งกองกำลังนี้เพียงหนึ่งปี กษัตริย์ราชิดที่สามก็สวรรคต ตรงนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ท่านเจย์รอนไม่อาจควบคุมได้”

“....”

“ก่อนสวรรคต กษัตริย์ราชิดที่สามทรงตั้งเจ้าชายอัฟฟานพระโอรสองค์รองเป็นรัชทายาท เนื่องจากทรงมองว่าเจ้าชายอัฟซานพระโอรสองค์โตมีพระทัยโหดเหี้ยมเกินไป หากให้ปกครองแผ่นดินราษฎรจะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทรงให้ท่านเจย์รอนทำสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักรบูรพามีกษัตริย์ที่ชอบธรรมนั่งบนบัลลังก์ หลังพระองค์สวรรคต เจ้าชายอัฟซานที่ไม่พอใจกับคำสั่งแต่งตั้งของพระราชบิดา จึงไปรวมกำลังกับเจ้าชายฮามิดโอรสที่เกิดแต่เจ้าชายฟารุคซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลา ยกกำลังทหารเข้ามายังนครหลวงฮาเนียยา เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์แทนเจ้าชายอัฟฟาน ท่านเจย์รอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีศึกชิงบัลลังก์เกิดขึ้นในอาณาจักรบูรพา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านเจย์รอนไม่อาจคุมกองทหารหลวงทั้งหมดไว้ในมือได้ ทหารบางส่วนเข้าด้วยกับเจ้าชายอัฟซาน เพราะไม่พอใจท่านเจย์รอนเรื่องพวกลูบิด ทำให้ศึกยืดเยื้อนานหลายเดือน มีทหารและประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก ท้ายที่สุดเจ้าชายอัฟฟานประกาศยอมแพ้ เนื่องจากไม่ต้องการเห็นการนองเลือดดำเนินสืบไป ทรงดำริจะพบกับพระเชษฐาเพื่อมอบตำแหน่งให้ ท่านเจย์รอนทูลว่าเจ้าชายทรงประกาศยอมแพ้เพื่อยุติการนองเลือด เขาไม่ขัดข้อง แต่เจ้าชายจะมอบตำแหน่งให้พระเชษฐา เห็นจะยอมให้กระทำมิได้ เนื่องเพราะนี่เป็นพระประสงค์ของพระราชบิดา และท่านเจย์รอนได้ให้สัญญาไว้แล้ว เจ้าชายตรัสถามว่าอย่างนั้นจะให้พระองค์ทำเช่นไร ท่านเจย์รอนจึงทูลว่านับแต่วันนี้อาณาจักรบูรพาจะไม่เป็นเช่นที่ผ่านมาอีก จะวุ่นวายหาความสงบไม่ได้ สิ่งที่เจ้าชายต้องทำคือมีชีวิตอยู่สืบไป เพื่อที่วันหนึ่งตัวเจ้าชายเอง หรือทายาท จะกลับมายังพระราชวังแห่งนี้อีกครั้ง ทวงสิทธิ์อันชอบธรรมและคืนความสงบสุขให้กับอาณาราษฎร เจ้าชายทรงสัญญาว่าจะทำอย่างที่ท่านเจย์รอนแนะนำ ท่านเจย์รอนจึงได้ใช้วงแหวนเวทส่งตัวเจ้าชายอัฟฟานและพระชายาออกจากพระราชวัง จากนั้นก็ลงคำสาปไว้บนราชบัลลังก์แห่งบูรพา ว่ามีแต่ผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมเท่านั้น ที่จะนั่งบนบัลลังก์นี้ได้ เมื่อเจ้าชายอัฟซานเสด็จมาถึงพระราชวัง ได้สั่งให้ท่านเจย์รอนถอนคำสาป แต่ท่านเจย์รอนปฏิเสธ ด้วยความพิโรธเจ้าชายจึงสั่งยึดไม้เท้าและกักบริเวณท่านเจย์รอนไว้ในสุสานหลวงใต้ดินเพื่อเป็นการลงโทษ ท่านเจย์รอนก็ยินยอม จากนั้นเจ้าชายอัฟซานก็ปราบดาภิเษกตัวเองเป็นกษัตริย์ราชิดที่สี่”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “นี่ข้าทำให้เจย์รอนต้องลำบากจริงๆ สินะ... ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับพวกลูบิดหลังจากนั้น พวกเขาเป็นทหารรักษาพระองค์ไม่ใช่หรือ? ตอนที่รบกัน พวกเขาต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจย์รอนรึเปล่า?”

“อ้อ... พวกเขาอยู่แนวหน้า ไม่ได้ร่วมสู้กับท่านเจย์รอนหรอก” โอเลกซ์ว่า “ข้าก็ถามเขาเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าที่ศึกยืดเยื้อเพราะมีกองกำลังของพวกลูบิดนี่แหละ แต่หลังจากกษัตริย์ราชิดที่สี่ขึ้นครองราชย์ ก็สั่งประหารทั้งหมด และมีคำสั่งให้พวกลูบิดเป็นผู้มีลักษณะอันตรายของอาณาจักร หากมีใครพบเห็นให้รีบแจ้ง ผู้ที่ให้การหลบซ่อน หากมีการตรวจพบจะถูกลงโทษสถานหนัก ส่วนพวกลูบิดที่ถูกจับได้จะถูกฆ่าในทันที ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือแม้แต่เด็กทารก”

คาริกที่นั่งฟังอยู่ด้วยเม้มริมฝีปากด้วยความสะเทือนใจ ขณะที่โอเรนส่งเสียงครางออกมา

“ทำไมต้องโหดร้ายขนาดนั้นด้วย... พวกเขาทำอะไรผิดหรือ”

“ก็ทำนองว่าทำให้อาณาจักรมีภัยนั่นล่ะ” โอเลกซ์หันมาตอบ “ข้าเคยเข้าไปบันทึกเรื่องราวในช่วงเวลาหลังจากนั้นสักพัก แต่ไม่เคยเจอพวกเขาตัวเป็นๆ หรอก เพราะต่างคนต่างหนี แล้วพวกเขาก็กลัวจอมเวทมากด้วย จากคำบอกเล่าที่ข้าได้รับ ใครที่อยากรอดต้องควักลูกตาออก เพราะสีตาของพวกลูบิดเป็นสีม่วง ซึ่งตรวจสอบได้ง่ายมาก คิดแล้วก็น่าสงสารอยู่นะ พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ แถมโอกาสรอดจนโตก็มีต่ำ แล้วยังต้องมาควักลูกตาเพื่อให้รอดชีวิตจากการถูกตามล่าของทางการอีก บางทีข้าก็คิดนะ ว่าสิ่งที่ท่านไอดิเอลทำลงไปเพื่อพวกเขาเมื่อคราวนั้นมันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เมื่อเทียบกับผลที่ท่านกับท่านเจย์รอนได้รับ”

“ข้าไม่ได้ทำลงไปเพราะคิดว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “เพราะข้ารู้ว่าต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับพวกลูบิด ข้าจึงเลือกที่จะทำแบบนั้น ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว พวกเขาควรมีโอกาสที่จะได้มีชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไป ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจย์รอน ข้าคงปฏิเสธความรู้สึกผิดไม่ได้ แต่ก็น่าผิดหวังอยู่บ้างสำหรับมนุษย์ที่เขาให้การอุปถัมภ์มาตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร ข้าคงประเมินพวกเขาในเรื่องนี้สูงไปหน่อย ว่าแต่เจย์รอนที่ยอมถูกกักบริเวณไม่ยอมออกจากอาณาจักรตั้งแต่เกิดเรื่อง ทำไมถึงตัดสินใจออกจากอาณาจักรเสียล่ะ”

“ท่านเจย์รอนบอกว่า ถึงเวลาที่จะต้องให้อาณาจักรบูรพาสะสางเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเขาแล้วน่ะ” โอเลกซ์ตอบ ก่อนจะพูดต่อ “นับตั้งแต่กษัตริย์ราชิดที่สี่ขึ้นครองราชย์เมื่อ ฉ.ศ. เก้าร้อยสิบเจ็ด ท่านเจย์รอนก็ถูกสั่งกักบริเวณมาโดยตลอด หลังจากที่พระองค์สวรรคตในปี ฉ.ศ. เก้าร้อยยี่สิบเก้า ท่านเจย์รอนปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพระโอสรทั้งสองของพระองค์ในการทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อเจ้าชายฟาดิลชนะสงครามสถาปณาตัวเองเป็นกษัตริย์ฟาดิลที่สอง จึงสั่งกักบริเวณท่านเจย์รอนต่ออย่างไม่มีกำหนด พอพระโอรสคือกษัตริย์ฟาดิลที่สามขึ้นครองราชย์ ก็ยังยืนคำสั่งเดิม กระทั่งเจ้าชายบาซิลทายาทของเจ้าชายฟารุคนำกองทัพของหัวเมืองทางเหนือยกเข้ามาตีเมืองหลวงนาฟิซาจนแตก ท่านเจย์รอนจึงได้รับการปลดปล่อยจากการกักบริเวณ ประมาณช่วงปี ฉ.ศ. เก้าร้อยเจ็ดสิบห้านี้เอง”

“อ้อ... เจย์รอนไม่ช่วยอดีตกษัตริย์ที่ปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นมา แต่ช่วยกองทัพของทายาทเจ้าชายที่เคยช่วยกันก่อกบฏในตอนแรกสินะ”

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ” โอเลกซ์ตอบ “ท่านเจย์รอนปฏิเสธการช่วยเหลือทางการทหาร แต่ได้ติดตามเจ้าชายบาซิลไปตามที่ต่างๆ แล้วก็ทำให้ฝนตก ข้ายังไม่ได้บอกสินะ ว่าหลังจากท่านเจย์รอนถูกกักบริเวณ อาณาจักรบูรพาเกิดภัยแล้งบ่อยมาก จนประชาชนเชื่อว่าเป็นคำสาปของจอมเวท แต่ขนาดประชาชนเชื่อกันแบบนั้น ทางราชสำนักยังไม่ยอมปล่อยตัวท่านเจย์รอนเลย”

“หืม จอมเวททำให้ฝนแล้งได้ด้วยหรือ?” คาริกถามด้วยความประหลาดใจ “พวกท่านมีพลังขนาดสามารถกำหนดฤดูกาลได้เลยหรือ?”

“ไม่มีจอมเวทคนไหนควบคุมความเป็นไปของโลกได้หรอก” ไอดิเอลตอบเขา “โดยภูมิประเทศของอาณาจักรบูรพาน่ะ เกิดภัยแล้งได้ง่ายอยู่แล้ว ที่พวกเราทำเป็นการใช้พลังรวบรวมไอน้ำที่มีอยู่ทำให้เกิดเป็นเมฆฝนน่ะ อาจจะมีการดึงน้ำจากใต้ดินมาช่วยด้วย จะบอกว่าเป็นการเร่งปฏิกิริยาก็คงได้ เหมือนอย่างที่ข้าเรียกน้ำแข็งออกมาตอนสู้กับอิกเน่ ลาเชอร์ตายังไงล่ะ”

“เอ่อ... ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ แต่ดูเหมือนการมีจอมเวทจะดีกว่าไม่มีสินะ” คาริกว่า ไอดิเอลพยักหน้า แล้วจึงพูดขึ้นต่อ

“เจ้าคาริกพูดมาก็มีเหตุผล อาณาจักรบูรพากักบริเวณเจย์รอนไว้ตั้งหลายปี เท่ากับพวกเขาขาดจอมเวทประจำราชสำนัก แล้วพวกเขาทำยังไงกับเรื่องกองทัพ ข้าว่าอาณาจักรที่ปราศจากจอมเวทน่าจะอ่อนแอมากอยู่นะ”

“สมัยกษัตริย์ราชิดที่สี่ ได้มีการประดิษฐ์อาวุธที่ใช้ทดแทนพลังเวทขึ้นมาน่ะ” โอเลกซ์ว่า พอเห็นไอดิเอลทำท่าจะขยับปาก เขาเลยพูดขึ้นต่อ “ข้ารู้ว่ามันผิดสนธิสัญญาระหว่างอาณาจักร ทางอาณาจักรบูรพาทำการทดลองนี้อย่างลับๆ เช่นเดียวกับที่พวกเขาปิดเรื่องกักบริเวณท่านเจย์รอนเอาไว้ เรื่องมันมาแดงตอนที่กษัตริย์ฟาดิลที่สองนำอาวุธที่ว่าไปปราบกบฏหัวเมืองฝ่ายเหนือที่นำโดยเจ้าชายบาซิลนี่แหละ ทางอาณาจักรอุดรที่ให้การสนับสนุนเจ้าชายบาซิลรู้เรื่องเข้า จึงนำไปแจ้งต่อสภา ท่านพลาดเรื่องนี้เพราะต้องโทษอัปเปหิ ท่านฟัยรุซาเรียกประชุมจอมเวททั้งหมด และเรียกประชุมตัวแทนจากทั้งหกอาณาจักร ตอนนั้นกษัตริย์ฟาดิลที่สองทรงปล่อยตัวท่านเจย์รอนชั่วคราวเพื่อให้มาเข้าร่วมประชุม ท่านเจย์รอนปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถาม ตอนนั้นข้าก็สงสัยอยู่ว่ามันคงมีเรื่องภายใน แต่สุดท้ายทางอาณาจักรบูรพาก็ยอมลงนามในสนธิสัญญายกเลิกและทำลายอาวุธพวกนั้น หลังจากเรื่องนั้นทุกอาณาจักรดูเหมือนจะตื่นตัวเรื่องการเฟ้นหาผู้มีพลังด้านเวทมนตร์มาเสริมความแข็งแกร่งของอาณาจักร จนมีการตั้งโรงเรียนสอนนักเวทขึ้นทั่วทั้งหกอาณาจักรเลยล่ะ ส่วนอาณาจักรบูรพาที่มีคำสั่งกักบริเวณท่านเจย์รอนอย่างเป็นความลับ ก็ได้เชิญซีนอนไปเป็นคนจัดการเรื่องนี้ การที่เขาเข้าไปเป็นจอมเวทประจำราชสำนักบูรพาหลังจากท่านเจย์รอนขอลาออกจึงไม่ใช่เรื่องใหม่หรอกนะ”

“ทำไมพวกเขาถึงเลือกซีนอนล่ะ” ไอดิเอลถามต่อ “อย่างกาลัน แดกมาร์ ฮาดาร์ก็น่าจะยังไม่ขึ้นกับอาณาจักรไหนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

“ท่านเจย์รอนเป็นคนแนะนำเองแหละ” โอเลกซ์ตอบ “ตอนนั้นกษัตริย์ฟาดิลที่สองให้คนมาสอบถามว่าในบรรดาจอมเวททั้งหมด มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของท่านเรื่องพวกลูบิดบ้าง ท่านเจย์รอนตอบไปว่าซีนอน พวกเขาเลยเชิญซีนอนไปน่ะ”

ได้ยินเสียงไอดิเอลจิ๊ปากเป็นเชิงไม่พอใจ “ชิ... เจ้าพวกมนุษย์นี่”

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่18 (P2) (ุ3/12/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-12-2021 12:51:01
โอเลกซ์หัวเราะออกมา “ท่านอย่าหงุดหงิดไปเลยน่า คราวนั้นที่ซีนอนไม่พอใจ ก็เพราะท่านเอาตัวเองไปแลกกับพวกลูบิด เขานับถือท่านมากนะ ข้าว่าเขาคงโมโหพวกลูบิดมากกว่าท่านน่ะ ท่านเจย์รอนบอกว่าเป็นซีนอนก็ดี ด้วยนิสัยแบบเขาคงพอจะรับมือปัญหาภายในของอาณาจักรบูรพาได้หรอก”

“ถ้าเขาไม่ก่อปัญหาขึ้นมาก็ดีหรอก” ไอดิเอลว่า พลางถอนหายใจเฮือก “ข้าล่ะสงสัยจริงๆ นะว่าเจย์รอนเห็นดีเห็นงามอะไรในตัวเด็กนั่น”

“ท่านอคติกับเขาเองมากกว่า” โอเลกซ์พูดยิ้มๆ “แต่ข้าก็เข้าใจนะ เพราะซีนอนน่ะเจาะจงหาเรื่องกับท่านทุกที เขาคงอยากให้ท่านสนใจเขาน่ะ”

“เจ้านั่นไม่ใช่เด็กอายุสิบห้าสิบหกแล้วไหม” ไอดิเอลว่า “อายุปาไปเป็นร้อยเป็นพันปีแล้วยังจะทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่ได้”

“ก็เฉพาะกับท่านนั่นล่ะนะ... ว่าแต่ท่านพบเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ?”

“น่าจะเป็นตอนที่เจ้านั่นก่อเรื่องวุ่นจนข้าคิดอยากจะส่งเขาเข้าวิหารนิทราไปเลย... เรื่องอะไรแล้วนะ... เรียกดาวหางล่ะมั้ง... ให้ตายเถอะ แค่คิดว่าเขาเคยทำเรื่องแบบนั้นข้าก็ยังรู้สึกผิดเลยที่ไม่ส่งเขาเข้าวิหารนิทราไปเสียแต่ตอนนั้นน่ะ”

“ที่จริงแล้วเรื่องเรียกดาวหางนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ น่ะนะ” โอเลกซ์ว่า “มาคิดดูแล้วถ้าเป็นคนอื่นข้าคงสนับสนุนให้ส่งเข้าวิหารนิทรานั่นแหละ แต่เพราะเป็นซีนอน ข้าว่าเขาทำเพราะอยากให้ท่านไปห้ามน่ะ ยังไงก็คงไม่คิดจะทำลงไปจริงๆ อยู่แล้ว”

ไอดิเอลรีบยกมือห้าม “ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นก็ควรจะสนับสนุนให้ข้าส่งเขาเข้าวิหารนิทราไปเสียเลย ทำไมข้าจะต้องมาวุ่นวายกับเรื่องเรียกร้องความสนใจไร้สาระแบบนั้นด้วย”

“ใจเย็นๆ เถอะครับ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งห้าร้อยกว่าปีแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องวุ่นวายจนเดือดร้อนท่านไม่ใช่หรือ? ข้าว่าถ้าท่านไปเยี่ยมเขาที่อาณาจักรบูรพา เขาต้องดีใจมากแน่”

“เหอะ... ถ้าอยากให้ข้าไปเยี่ยมจริงก็ควรจะให้ทางอาณาจักรบูรพายกเลิกคำสั่งห้ามเข้าเมืองของข้าก่อนไหม”

“ท่านน่าจะลองติดต่อไปหาเขานะ” โอเลกซ์ยังคงพูดต่อ “ยังมีสสารเลือดของเขาอยู่รึเปล่าครับ ข้าพอจะแบ่งให้ได้นะ”

“ไม่ต้อง... ข้ามี” ไอดิเอลตอบอย่างเสียไม่ได้ “แต่ข้าไม่ติดต่อหาเจ้าเด็กนั่นหรอก คุยกันทีไรมีแต่เรื่องชวนปวดหัว”

“อย่างนั้นข้าจะให้ซีนอนติดต่อท่าน เขาคงดีใจที่ท่านเริ่มถามถึงเขาแล้ว”

“ไม่ต้องเหมือนกัน” อีกฝ่ายรีบบอก “ไม่ต้องบอกอะไรเขา เจ้าต้องรู้นะว่าข้าคุยกับเจ้านั่นทีไรมีแต่เรื่องทุกที”

“แต่ถ้าท่านต้องการเดินทางไปที่อาณาจักรบูรพา ท่านควรติดต่อเขานะ...”

“....”

“หรือว่าข้าเข้าใจผิดครับ? ข้าคิดว่าท่านตั้งใจจะเดินทางไปที่อาณาจักรบูรพานะเนี่ย อย่างน้อยๆ ก็ไปเพื่อสอบถามเรื่องของพ่อหนุ่มลูบิดคนนี้น่ะ เขาเป็นลูบิดคนแรกที่ถูกพบนอกอาณาจักรบูรพาเลยนะ และยังถูกพบหลังจากไม่มีการพบผู้ที่มีลักษณะแบบลูบิดมาหลายสิบปีแล้วด้วย ตั้งแต่ทางอาณาจักรบูรพามีคำสั่งให้กวาดล้างน่ะ ขนาดข้าเองยังสนใจอยากไปตามรอยเลยนะ ว่าเขามาจากไหน รอดมาจนถึงนี่ได้ยังไง บางทีอาจจะมีอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการกลายพันธุ์นี่ที่ท่านยังศึกษาไม่หมดก็ได้”

“เอาล่ะ ไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมข้า” ไอดิเอลตัดบท “ข้าคงหาทางไปที่อาณาจักรบูรพาสักวัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องติดต่อซีนอน ไม่ต้องบอกอะไรเขาทั้งนั้น ข้าไม่คิดว่าการที่เขารู้ว่าข้ามีความคิดว่าจะไปที่นั่นจะทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นหรอกนะ เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกไหม”

“ครับ” โอเลกซ์ผงกศีรษะ ไอดิเอลจึงพูดขึ้นต่อ

“เอาล่ะ กลับไปที่เรื่องเดิมของเราดีกว่า สรุปแล้วเจย์รอนติดตามเจ้าชายบาซิลไปแล้วทำให้ฝนตก ข้าก็ว่าสมเป็นเขาแล้ว แต่มันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้เขาตัดสินใจออกมาแล้วเข้าสู่วิหารนิทรา”

“อ๋อ เพราะท่านเจย์รอนต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับกษัตริย์ราชิดที่สาม จึงไม่ได้คลายคำสาปที่ลงไว้บนราชบัลลังก์แห่งบูรพา เจ้าชายแจบบาร์โอรสของเจ้าชายบาซิลที่ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาที่เสด็จสวรรคตระหว่างรวบรวมแผ่นดิน ก็ไม่เคยได้นั่งบนบัลลังก์แห่งนั้น แม้ว่าพระองค์จะปกครองอาณาจักรอย่างเป็นธรรมมากก็ตาม พอพระโอรสของพระองค์ ซึ่งก็คือเจ้าชายการิมขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์บาซิลที่สอง ก็ยื่นคำขาดให้ท่านเจย์รอนถอนคำสาป หรือไม่ก็ออกไปเสีย ท่านเจย์รอนเลือกรักษาสัญญาจึงขอลาออกแต่ไม่ยอมถอนคำสาป เขาไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นที่หวาดระแวงจึงได้เข้าสู่วิหารนิทราเป็นเวลาร้อยปี เขาว่าถ้าท่านรู้เรื่องนี้ต้องสงสัยแน่ แต่เขาไม่อยากพบท่านก่อนเข้าวิหาร เพราะกลัวว่าท่านจะทำให้เขาเปลี่ยนใจ จึงเรียกข้าไปพบเพื่อเล่าเรื่องให้ฟังแทน เผื่อว่าวันหนึ่งท่านถามถึง จะได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

ฟังจบไอดิเอลก็ถอนหายใจเฮือก “เจย์รอนเอ๋ยเจย์รอน ความเถรตรงของเจ้าช่างน่านับถือ แต่นี่คงจะเป็นปัญหาสำหรับอาณาจักรบูรพาแน่ๆ กษัตริย์ที่ไม่อาจนั่งบนบัลลังก์ย่อมไม่อาจนับว่าเป็นกษัตริย์โดยแท้จริงได้ พวกเขาคงคิดจะให้ซีนอนไปแก้คำสาปนั่นสินะ”

“ข้าคิดว่าด้วยพลังของท่านเจย์รอน ต่อให้เป็นซีนอนก็คงไม่อาจถอนคำสาปได้ทั้งหมด” โอเลกซ์ว่า “หนทางที่พอจะเป็นไปได้คือค้นหาเชื้อสายผู้สืบทอดของเจ้าชายอัฟฟาน หากผู้มีเชื้อสายทายาทอันชอบธรรมได้นั่งลงบนราชบัลลังก์ ก็น่าจะถอนคำสาปที่ท่านเจย์ร่อนลงไว้ได้”

“ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครค้นพบสินะ...”

โอเลกซ์มองเขาแล้วยิ้ม “ไม่รู้สิครับ ข้าเองก็ไม่ได้เข้าไปที่นั่นหลายปีแล้วด้วย ทำไมท่านถึงไม่ไปดูด้วยตัวเองล่ะ”

ไอดิเอลจ้องหน้าเขาอึดใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางจมูก “เจ้าพอจะเขียนอธิบายความเปลี่ยนแปลงในอาณาจักรบูรพาให้ข้าดูคร่าวๆ ได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเก้าสิบปีที่ข้าไม่ได้เข้าไปที่นั่น”

“อ้อ ได้สิครับ” อีกฝ่ายตอบ แล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษชุดหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ “เมื่อวานตอนสเตลลาบอกข้าว่าท่านอยากพบ ข้าก็เลยตัดสินใจเขียนผังนี้ให้ท่าน คิดว่าน่าจะละเอียดและเข้าใจได้ง่ายกว่าการบอกเล่าปากเปล่า ถ้าท่านอยากได้ฉบับเต็ม ข้ามีเขียนเป็นจดหมายเหตุเอาไว้ แต่ต้องรอคัดลอก เร็วสุดน่าจะอีกสองสามวัน เพราะมันค่อนข้างมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะอยู่น่ะครับ”

ไอดิเอลผงกศีรษะ ก่อนจะรับกระดาษชุดนั้นมา “ข้าขอดูผังก่อนแล้วกัน”

“ตามสบายเลยครับ” โอเลกซ์ว่า “ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอสัมภาษณ์คาริกกับโอเรนได้ไหม เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์น่ะ”

“เอาสิ” ไอดิเอลว่า “เขาอยากจะมีชื่ออยู่ในนิทานสักเรื่อง ข้าว่าเรื่องที่แคนเดนส์ก็เหมาะอยู่น่ะนะ เขาปราบสัตว์ยักษ์ ช่วยเหลือมังกรที่ถูกลักตัวออกมา ไม่ต้องใส่เรื่องข้าลงไปหรอก เดี๋ยวจะแย่งบทเด่นไปหมด”

โอเลกซ์หัวเราะ “ข้าบันทึกประวัติศาสตร์นะท่านไอดิเอล เรื่องนิทานเดี๋ยวมันก็ตามมาเองแหละครับ ข้าขอสัมภาษณ์พวกเขาสองคนก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์ท่านอีกที”

ไอดิเอลขยับปากทำท่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็พยักหน้า โอเลกซ์จึงหันไปหาคาริกกับโอเรนแล้วยิ้มให้ทั้งคู่

“พวกเจ้าไม่ต้องเกร็งไปนะ ข้าแค่จะถามเพื่อบันทึกเป็นจดหมายเหตุนะ” เขาหันไปที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยกระดาษเอกสาร แล้วส่งเสียงเรียก

“ทัล เจ้ามานี่หน่อยสิ ข้าอยากให้เจ้าจดบันทึกเรื่องของสองท่านนี้น่ะ”

อะไรบางอย่างกระโดดออกมาจากด้านหลังกองกระดาษ พอคาริกก้มลงไปมองบนโต๊ะ ก็เห็นสิ่งที่ดูเหมือนคนหลังงุ้มสวมเสื้อผ้าปักเลื่อมสีน้ำเงิน ตัวโตกว่าฝ่ามือของเขาเล็กน้อย เจ้าตัวถึงกับร้องขึ้น

“นี่มันตัวอะไรเนี่ย?!”

“เสียมารยาทจริงๆ มาเรียกข้าว่าตัวอะไรด้วยเสียงแบบนั้นได้ไง” เจ้าสิ่งที่อยู่บนโต๊ะส่งเสียงแหลมเล็กพลางเงยหน้าขึ้นมามอง ใช้ดวงตาสีเหลืองเหมือนแมวจ้องคาริกเขม็ง ชายหนุ่มจึงสังเกตเห็นว่าเจ้า ‘สิ่งนั้น’ สวมหมวกแบบปีกกว้างด้วย ได้ยินเสียงเดิมพูดต่อ

“ข้าคืออะก็อก ชื่อว่าทัล... ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่เคยเจออะก็อกแบบข้าแน่ ท่านโอเลกซ์บอกว่าปกติแล้วมนุษย์ไม่ค่อยจะพบพวกเราหรอก ดังนั้นจงภูมิใจซะเถอะที่เจ้าได้รับเกียรตินี้ ข้านะ...”

“เขาเป็นภูติชนิดหนึ่งน่ะ” ไอดิเอลส่งเสียงแทรกขึ้นมา ได้ยินเสียงคาริกร้องออกมา

“ภูติเรอะ!”

“ก็ภูติน่ะสิ” ทัลว่า แม้ว่าเขาจะตัวเล็ก แต่หน้าตากลับดูเหมือนคนแก่มากกว่ามาร์คัสเสียอีก ทั้งยังมีจมูกยาวงุ้มออกมาอีกด้วย โอเรนส่งเสียงขึ้นด้วยความสนใจ

“ว้าว ภูติเหรอ ข้าก็ว่าพลังงานของเจ้าต่างจากของคาริกกับท่านไอดิเอลและท่านโอเลกซ์อยู่นะ ข้าชื่อโอเรน ท่านไอดิเอลบอกว่าข้าเป็นมังกร พวกเราน่าจะเป็นของหายากสำหรับมนุษย์พอๆ กันเลย ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าเจ้าไม่ใช่นูเบส โฟลิอุมตนแรกที่ข้าเคยพบ” ทัลว่า “แต่นูเบส โฟลิอุมก็ไม่ใช่อะไรที่จะพบเจอได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะงั้น ยินดีที่ได้รู้จักนะ ข้าชื่อทัล”

“เจ้าแนะนำตัวเองสองรอบแล้ว” ไอดิเอลส่งเสียงขึ้นมาอีก “ขอร้องล่ะ ช่วยหุบปากแล้วปล่อยให้โอเลกซ์ถามไปได้ไหม ได้ยินเสียงพวกเจ้าทีไรข้าปวดหัวทุกที”

“ท่านคือท่านไอดิเอลสินะ” ทัลยังคงส่งเสียงที่ทั้งแหลมเล็กและแห้งเสียดหูของเขาต่อ “ทูทูลที่ทำงานมาก่อนข้าบอกว่าท่านขี้บ่นมาก เขาว่าเพราะท่านอยู่มานานไม่ค่อยมีใครพูดด้วยเลยเป็นคนขี้รำคาญ”

“ข้าแน่ใจว่ามีคนอยากพูดกับข้ามากกว่าเจ้าแน่” ไอดิเอลส่งเสียงอย่างอดทน “ถ้าเจ้ายังไม่หุบปากล่ะก็... อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ”

“ทำไม? ท่านจะสาปพวกเราหรือ พวกเราเป็นภูติอยู่แล้ว ไม่กลัวท่านหรอก อีกอย่างพวกเรามีท่านโอเลกซ์อยู่ด้วย ท่านสาปพวกเราไม่ได้แน่”

“เอ่อ...” โอเลกซ์ส่งเสียงขึ้นมา “ข้าเตือนว่าอย่าทำให้ท่านไอดิเอลโกรธจะดีกว่านะ ถึงมีข้าอยู่ก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้หรอก เป็นภูติเขาก็สาปให้เจ้าขี้เกียจและเป็นใบ้ได้เหมือนกัน”

“หา! จริงหรือ ข้าคิดว่าคำสาปของจอมเวทใช้กับภูติไม่ได้ผลเสียอีก”

“ในเมื่อพวกเจ้าทำสัญญากับโอเลกซ์ได้ แล้วคำสาปมันจะไม่มีผลกับพวกเจ้าได้ไง” ไอดิเอลว่า “อยากจะลองดูไหมล่ะ?”

“จอมเวทสาปพวกเราได้จริงๆ หรือ?!” เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ตามมาจากทั้งห้อง จนคาริกต้องเอามือปิดหู เห็นพวกอะก็อกที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสี แต่ส่วนใหญ่เน้นสีน้ำเงินปักเลื่อมพากันโผล่ออกมาจากกองกระดาษต่างๆ ที่วางอยู่ทั่วห้อง โอเลกซ์พยายามส่งเสียงและทำสัญญาณมือบอกให้พวกเขาหยุด แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถเอาชนะความแตกตื่นตกใจและความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาได้ กระทั่งไอดิเอลกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นเสียงดังปึกแล้วตวาดออกมา

“ในนามแห่งข้า ใครที่กล้าส่งเสียงอีกคำขอให้ไม่มีปาก”

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที คาริกอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าปากของทัลหายไป แต่เขายังไม่ทันจะได้ส่งเสียงก็ได้ยินเสียงโอเรนดังขึ้นก่อน

“อ๊ะ!”

จากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกเจ้าตัวเอาขาเคาะศีรษะรัวๆ จนต้องใช้มือจับออกมา

“หา?!” ชายหนุ่มร้องเมื่อเห็นว่าปากของโอเรนหายไป โอเลกซ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอามือปิดปากตัวเอง แล้วยื่นมือมาดึงแขนเขาเป็นเชิงเตือนสติ แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปหน่อย คาริกหันไปมองไอดิเอล

“นี่ท่านสาปทุกคนเลยหรือไง?!”

ไอดิเอลขมวดคิ้วมองคาริก แล้วถอนใจเฮือก “ยังเหลือเจ้าที่ยังพูดได้สินะ... คำสาปธรรมดาไม่มีผลกับเจ้าจริงๆ ด้วย”

“นี่ๆ ไม่ต้องคิดร่ายคำสาปอะไรให้ข้าเป็นใบ้เลยนะ” อีกฝ่ายรีบดักคอ “ถึงท่านขี้รำคาญแต่ก็อย่าสาปมั่วแบบนี้ได้ไหม ช่วยถอนคำสาปพวกเขาทีเถอะ”

“ข้าไม่ได้สาปมั่ว” อีกฝ่ายว่า พอเห็นชายหนุ่มยังเอาแต่จ้องอยู่ เจ้าตัวก็ถอนหายใจอีก “ก็ได้ๆ เจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ”

พูดจบเขาก็เคาะไม้เท้าอีกที “ผลใดที่เกิดขึ้นเพราะคำข้า ขอให้คืนกลับดังเดิม”

สิ้นคำ ปากของทุกคนก็กลับมาอยู่บนใบหน้าเหมือนไม่เคยหายไปมาก่อน ได้ยินเสียงโอเรนถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ... ข้าคิดว่าจะต้องกลายเป็นมังกรไม่มีปากไปแล้ว”

โอเลกซ์พลอยถอนหายใจออกมาด้วย “ข้าบอกแล้วอย่าทำให้ท่านไอดิเอลโกรธ... เอ๊ะ นั่นท่านจะไปไหนครับ?”

“กลับห้อง” ไอดิเอลว่า เขาลุกขึ้นทั้งที่ยังถือกระดาษชุดนั้นในมือ “อยู่นี่ต่อคงไม่มีสมาธิน่ะ”

“อ้อครับ...”

“อยากถามอะไรก็ขึ้นไปหาข้าที่ห้องแล้วกัน ข้าอยากอ่านเอกสารพวกนี้ให้จบ จะได้รู้ว่าต้องให้เจ้าคัดลอกฉบับเต็มมั้ย”

โอเลกซ์พยักหน้า ไอดิเอลมองเขาก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของทุกฝ่าย ทัลพูดขึ้นทันทีที่ประตูปิดลง

“เขาเป็นคนน่ากลัวจริงๆ แฮะ จู่ๆ ก็สาปมาได้ ว่าแต่ทำไมเจ้าหนุ่มนี่ถึงไม่โดนคำสาปไปด้วยล่ะ”

“เขาเป็นมนุษย์ที่มีความพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปน่ะ เรียกว่าพิเศษสำหรับจอมเวทอย่างพวกข้าก็ว่าได้ พวกเขามีความต้านทานเวทที่สูงมาก คำสาปหรือเวทมนตร์ธรรมดาไม่มีผลกับพวกเขาหรอก” โอเลกซ์อธิบาย “ข้าเองก็เพิ่งเห็นกับตาเป็นครั้งแรกนี่แหละ นอกจากท่านไอดิเอลกับท่านเจย์รอนแล้ว ในหมู่จอมเวทไม่มีใครเคยเห็นพวกลูบิดหรอก หืม... คาริก เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

“อ๊ะ... เปล่า ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบปฏิเสธออกมา พอหันไปก็เห็นทั้งโอเลกซ์และโอเรนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ รวมถึงทัลกำลังมองเขาอยู่

“นี่มองอะไรกันเนี่ย”

“กำลังสงสัยน่ะ” ทัลว่า โอเรนพยักหน้าแล้วพูดต่อ

“ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำหน้าจริงจังขนาดนั้น”

“....”

“ถ้ากังวลว่าท่านไอดิเอลจะโกรธล่ะก็... ข้ารับรองได้นะว่าเขาไม่ได้โกรธหรอก” โอเลกซ์พูดต่อพลางยิ้ม “เขาแค่อยากจะอ่านเอกสารพวกนั้นเงียบๆ เท่านั้น ข้าเองก็เห็นด้วยนะว่าเขาควรจะกลับไปอ่านที่ห้อง อยู่นี่ไปก็มีแต่เสียงหนวกหูน่ารำคาญ”

คาริกโพล่งออกมาทันที “นี่ท่านก็อยากไล่เขาออกไปเหมือนกันใช่ไหมเนี่ย”

“โอ... ข้าไม่ได้อยากจะไล่เขาหรอก” โอเลกซ์ว่า “ข้าแค่โล่งใจกับรู้สึกสมเพชตัวเองนิดหน่อยที่อบรมเพื่อนร่วมงานได้ไม่ดีเลยน่ะ”

“หืม? ท่านหมายถึงพวกเราหรือ?” ทัลพูดสวนขึ้นมา โอเลกซ์พยักหน้า

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าชอบซักชอบถาม มันเป็นข้อเด่นและเป็นข้อดีที่ทำให้ข้าชอบร่วมงานกับพวกอะก็อก แต่พวกเจ้าต้องรักษามารยาทหน่อยนะ ถึงท่านไอดิเอลจะไม่ใช่มนุษย์ที่มีอำนาจทางการเมือง อย่างเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์ แต่เขาก็เป็นจอมเวทที่มีพลังมาก คราวหลังถ้าเจอจอมเวทคนอื่นก็อย่าทำแบบนี้อีกล่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะลงให้กับคำขอร้องง่ายๆ หรอกนะ”

“งั้นแปลว่าพวกเราโชคดีสินะที่คราวนี้มีเจ้าหนุ่มนี่ขอร้องให้” ทัลว่า แล้วหันไปมองคาริก “ข้าชักจะสนใจเจ้าจริงๆ จังๆ แล้วสิ” เขาคว้ากระดาษกับดินสอสำหรับจดขึ้นมา “เล่าเรื่องของเจ้ามาเลย ข้าพร้อมจะบันทึกแล้ว”

“ดูท่าเจ้าจะเป็นที่สนใจแล้วนะ” โอเรนว่า “ขอบใจที่ช่วยขอร้องท่านไอดิเอลให้ถอนคำสาปนะ ข้าไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะสาปทุกคนแบบนี้จริงๆ ฮือๆ บางทีเขาก็ใจร้ายเหมือนกันนะเนี่ย”

“อย่าไปว่าเขาแบบนั้นเลยน่า...” คาริกว่า “พวกเจ้าก็พูดมากเกินไปเหมือนกันนั่นแหละ”

โอเรนทำท่าเหมือนไม่ได้ยิน เขากระโดดกลับไปเกาะศีรษะคาริกตามเดิม “ท่านไอดิเอลฟังเจ้าขนาดนี้ เจ้าก็อย่าขี้น้อยใจเขาให้มากเลยน่า”

“ข้าขี้น้อยใจตรงไหนกัน!”

“เอาล่ะๆ พวกเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ” โอเลกซ์ตัดบท “ข้าจะถามรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์กับพวกเจ้าทั้งสองคน ขอให้ตอบมาตามตรงก็แล้วกัน เรื่องของพวกเจ้าจะถูกจดบันทึกเป็นจดหมายเหตุ อาจจะถูกตีพิมพ์หรือไม่ถูกตีพิมพ์ก็ได้ แต่ทั้งหมดจะถูกเก็บเอาไว้ในหอสมุดของที่นี่ ซึ่งเป็นที่ที่รวมรวมข้อมูลเรื่องแทบทุกอย่างบนโลก เพราะฉะนั้น ข้าอยากให้ตอบตามความเป็นจริง และมีรายละเอียดมากที่สุด เข้าใจนะ”

“อืม”

ถึงจะมีจอมเวทอีกคนอยู่ตรงหน้าเขา แต่สมองของคาริกกลับนึกไปถึงคนที่เพิ่งเดินออกไปประตูไปเมื่อครู่

เขาแค่ขอให้ถอนคำสาปเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากให้ไอดิเอลออกไปจากห้องนี้เสียหน่อย...

ใจคอจะออกไปจริงๆ ไม่กลับมาเลยหรือไงเนี่ย?!!

......................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่18 (P2) (ุ3/12/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-12-2021 19:55:13
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่18 (P2) (ุ3/12/2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-12-2021 00:15:04
ติดเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่19 (P3) (ุ28/1/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 28-01-2022 11:07:11
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่19 เพื่อนเก่า


“ไอดิเอล เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ เรื่องที่เราจะกลับไปอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์อีก?”

ไอดิเอลเบือนหน้าไปมองคนพูด เรือนผมสีดำสนิทของฝ่ายนั้นพลิ้วลู่ไปตามแรงลมที่หอบเอาไอน้ำเค็มขึ้นมา เขามองเข้าไปในดวงตาสีเงินเรืองรองคู่นั้น แล้วถอนหายใจ

“ข้ารู้ว่าพวกมนุษย์ทำเรื่องร้ายกาจกับพวกเราเอาไว้มาก แต่การกลับไปอยู่ร่วมกับพวกเขาเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเรามีชีวิตต่อไปอย่างมีจุดมุ่งหมายได้”

“....”

“เจย์รอน... ชีวิตของพวกเราที่ผ่านมา มีแต่เรื่องสงคราม พวกเราทำศึก นำทหารต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ พวกเด็กๆ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตของพวกเขาเองจริงๆ ด้วยซ้ำ พอพวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ดีพอ ก็ถูกส่งไปเข้าร่วมสงครามแล้ว”

“....”

“ข้าเลือกที่จะกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์ เพราะเห็นว่าตอนนี้พวกเขากำลังเริ่มต้นใหม่ เขาจะให้ความสำคัญกับพวกเรามากกว่าในครั้งอดีต ทุกสิ่งบนแผ่นดินเดิมตอนนี้ถูกทำลายจนสิ้น สำหรับพวกเขาแล้ว การไปถึงของพวกเราคือแสงสว่าง พวกเด็กๆ จะสามารถเลือกทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าสมควรได้ มนุษย์จะไม่ใช่ฝ่ายที่ชี้มือสั่งเราถ่ายเดียวอีก การไปอยู่กับพวกมนุษย์ในยุคเริ่มต้นนี่แหละ จะส่งผลดีกับพวกเราที่สุด”

คนฟังถอนหายใจ “ที่จริงที่นี่ก็สงบสุขดี พวกเด็กๆ เองก็ชอบที่นี่มากนะ”

“ข้าเห็นอยู่ว่าทุกคนอยู่ที่นี่ก็เงียบสงบดี แต่พวกเรามีกันแค่สิบหกคนเท่านั้น และไม่มีใครในหมู่พวกเราสามารถสืบเผ่าพันธุ์ได้เลย แม้พวกเราจะไม่ได้เป็นที่รังเกียจของที่นี่ แต่นี่ที่ก็ไม่มีใครต้องการความสามารถของพวกเราเช่นกัน ชีวิตสงบเช่นนี้อาจทำให้พวกเราที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน มีความสุขในระยะเวลาหนึ่ง แต่เจ้าคิดดูสิ พวกเราจะมีชีวิตแบบนี้ไปอีกร้อยปี พันปีอย่างนั้นหรือ ชีวิตที่ได้แต่มองท้องฟ้า มองทะเล มองหน้ากันเองไปวันๆ แบบนี้น่ะ”

เจย์รอนหัวเราะออกมา เขาพูดขึ้น “ที่จริงเรื่องที่เจ้าพูดมันก็ไม่ผิดหรอกนะ จะให้มองฟ้า มองทะเล มองหน้ากันไปวันๆ แบบนี้เป็นร้อยเป็นพันปี เห็นทีจะไม่ไหวหรอก แต่การจะกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์ทำให้ข้าอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้”

ไอดิเอลผงกศีรษะให้เพื่อน “ข้ารู้ ยังไงพวกเขาก็ไม่มองเราเป็นพวกเดียวกันหรอก วันนี้เขาอาจจะเทิดทูนเรา วันหน้าเขาอาจจะตามล่าเราก็ได้ เพราะอย่างนั้นเราต้องวางแผนให้ดี เราต้องทำให้พวกเขาเชื่อ หรือมีหลักประกันที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเราจะไม่หักหลังพวกเขา”

“เจ้าเคยคิดอยากให้พวกเขาหายไปจากโลกบ้างไหม?” จู่ๆ เจย์รอนก็ถามขึ้นมา ไอดิเอลหัวเราะคำหนึ่ง

“ไม่น่าถาม... ใจข้าคิดแบบนั้นไม่รู้กี่รอบ จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังคิดอยู่”

“อ้อ...”

“แต่ด้วยเหตุผลข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก ถ้าข้าใช้อารมณ์และอคติตัดสินทุกอย่าง ก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจนั่น”

เจย์รอนผงกศีรษะบ้าง เขามองไอดิเอลอยู่อึดใจ ก็พูดขึ้นต่อ “เจ้านำพวกเรามาถึงที่นี่ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพวกเราเสมอ แต่ที่ข้าถาม เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ไอดิเอล เจ้าแบกภาระที่หนักหนาสาหัสนี้มานานมากแล้ว ถ้ากลับไปอยู่ร่วมกันพวกมนุษย์แล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นคนที่รับภาระหนักคนเดียวอีก ในเมื่อเจ้าคิดดีแล้ว ข้าก็ขอร้องให้เจ้าจงแบ่งภาระให้กับพวกเราทุกคน โดยไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ พวกนั้น พวกเขาโตแล้วไอดิเอล พวกเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรแทนพวกเขาอีกแล้ว”

“อืม... นั่นสินะ... ข้าก็คิดว่าทุกคนก็น่าจะโตๆ กันแล้ว...”

ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้น “ท่านไอดิเอล ท่านเจย์รอน พวกท่านอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาแทบแย่”

พอหันไปมองก็เห็นชายอายุราวยี่สิบเศษคนหนึ่ง ผมสีม่วงทอประกายแปลกตาภายใต้แสงตะวัน ดูตัดกับแนวป่าด้านหลังคล้ายภาพวาดที่แปลกประหลาด เขาใช้ดวงตาสีดำที่มีประกายสีทองจ้ามองทั้งคู่แล้วพูดขึ้นทั้งที่ยังหอบ

“ได้ยินว่าท่าน... จะให้พวกเรากลับไปอยู่กับพวกมนุษย์หรือ?”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “เจ้าวิ่งหน้าตื่นมาเพราะจะถามข้าเรื่องนี้เนี่ยนะ?”

“ใช่” อีกฝ่ายพยักหน้า เขาค่อยสืบเท้าเดินเข้ามา จ้องไอดิเอลด้วยสายตากึ่งวิงวอน “ทำไมล่ะ พวกเขาทำเลวร้ายกับท่านขนาดนั้น ท่านก็ยังจะกลับไปหาพวกเขาอีกหรือ?”

“ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่ทำเลวร้ายกับข้า ซีนอน” ไอดิเอลว่า “มีแค่บางคนเท่านั้น...”

“แต่พวกเขาเคยตามล่าเรานะ” อีกฝ่ายแย้ง “พวกเขาใช้พวกเราเป็นเครื่องมือ ทำไมท่านถึงจะยังกลับไปหาพวกเขาอีก”

“เพราะข้ารู้ว่าพวกเราไม่อาจอยู่อย่างนี้กันไปตราบชั่วกาลนานน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ?” อีกฝ่ายยังคงถามต่อ “ท่านไม่ชอบที่นี่ หรือว่าไม่ชอบข้ากันแน่”

ไอดิเอลจิ๊ปาก “ทำไมถึงคิดว่าข้าไม่ชอบเจ้าล่ะ?”

“ก็ข้าเอาแต่กวนท่าน อัลริกบอกว่าท่านต้องรำคาญข้ามาก จึงคิดจะออกจากเกาะนี้”

“นี่พวกเจ้าอายุสิบห้าสิบหกกันหรือไง” ไอดิเอลพูดพลางถอนหายใจ “เท่าที่ข้าจำได้ พวกเจ้าอย่างน้อยๆ อายุต้องไม่ต่ำว่าคนละแปดสิบเก้าสิบแล้ว ยังจะมางอแงงี่เง่าเป็นเด็กๆ ไปได้”

“ข้าไม่ได้งอแงงี่เง่า” ซีนอนว่า “ข้ามานี่เพราะเป็นห่วงท่าน ข้าเป็นห่วงท่านมันงอแงงี่เง่าตรงไหน”

“มันงอแงงี่เง่าตรงที่เจ้าคิดว่าข้าไม่ชอบเจ้านี่แหละ นี่มันแสดงความเป็นห่วงข้าตรงไหนกัน”

“ก็ตอนแรกที่ข้าบอกท่านไง” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ “ข้าบอกท่านว่าพวกเขาเคยทำไม่ดีกับท่าน ทำไมท่านยังกลับไปอีก”

“นั่นข้าได้ยินแล้ว” ไอดิเอลว่า “แต่มันไปเกี่ยวกับเรื่องข้าไม่ชอบเจ้าได้ยังไง?”

“ก็ข้าคิดว่าท่านรำคาญข้า ถึงกับต้องยอมไปอยู่กับพวกมนุษย์เพื่อที่จะไม่ให้ข้าวุ่นวายกับท่านอีก... ข้าจะบอกท่านว่า ถ้าท่านจะทำแบบนั้น ข้าจะไม่กวนท่านแล้ว”

ไอดิเอลมองเขาครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจแรง “เจ้าอายุสิบหกหรือไง ถึงข้ารำคาญเจ้าก็ไม่เอาเหตุผลงี่เง่าแบบนั้นไปตัดสินว่าพวกเราควรจะย้ายกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์หรือไม่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พาพวกเจ้ารอดมาถึงที่นี่แน่”

“แปลว่าท่านไม่ได้เกลียดข้า?”

“เออ แต่ตอนนี้ข้าชักเริ่มรำคาญเจ้าแล้วล่ะ หยุดทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กแบบนี้จะได้ไหม ถึงข้าจะชอบหรือไม่ชอบเจ้า มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเจ้าสักหน่อย”

“มีสิ!” อีกฝ่ายรีบตอบ “ท่านเป็นคนที่ข้าชื่นชมมากนะ ถูกท่านเกลียดนี่ต้องเป็นตราบาปในใจข้าไปตลอดชีวิตแน่”

เจย์รอนหัวเราะออกมา ขณะที่ไอดิเอลมองเขาด้วยสีหน้าเพลียๆ “ข้าไม่เกลียดเจ้าแน่ เพราะงั้นหยุดทำตัวงี่เง่าสักทีเถอะ”

ดวงตาสีดำประกายทองคู่นั้นเป็นประกาย “อย่างนั้นท่านช่วยสอนวิชาดาบให้ข้าต่อได้ไหม ข้าอยากเก่งแบบท่าน ทั้งเรื่องเวทมนตร์และเรื่องต่อสู้ คราวก่อนท่านยังสอนค้างอยู่เลย”

“เอาล่ะ... ข้าจะสอนเจ้าและคนอื่นๆ ที่สนใจ” ไอดิเอลว่า “แต่ตอนนี้เจ้าช่วยหุบปากแล้วออกไปก่อนได้ไหม เห็นรึเปล่าว่าข้ากับเจย์รอนกำลังคุยธุระกันอยู่”

“ครับๆ” อีกฝ่ายผงกศีรษะ แต่ก็ไม่วายพูดต่ออีก “ท่านไอดิเอล ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับพวกมนุษย์ ท่านจะกรุณาช่วยสอนทุกอย่างที่ท่านรู้ให้ข้าได้ไหม ข้าอยากจะเก่งเหมือนท่านน่ะ จริงๆ นะ”

“ข้าไม่ว่างขนาดนั้นหรอก” ไอดิเอลว่า “ถ้าเจ้าอยากจะเก่งล่ะก็ อันดับแรกต้องหยุดงี่เง่า หัดใช้สมอง แล้วก็ขยันฝึกบ่อยๆ เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ อนาคตอาจจเก่งกว่าข้าก็ได้”

ซีนอนทำตาโต “ท่านพูดจริงๆ หรือ?”

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขยันฝึก วันหนึ่งเมื่อข้าเก่งแล้ว ท่านต้องมาประลองกับข้านะ จะได้รู้ว่าข้าจะเก่งกว่าท่านจริงๆ ไหม”

“เออ เจ้ารีบๆ ไสหัวไปได้แล้ว”

“ครับๆ”

พอซีนอนคล้อยหลังไปแล้ว เจย์รอนก็หันมาหัวเราะ

“เด็กนั่นติดเจ้าแจ... เขาติดเจ้ายิ่งกว่าลูกแหง่ติดแม่อีกแน่ะ”

ไอดิเอลทำหน้าเหนื่อยกว่าเดิม “เด็กนั่นเป็นคนมีพรสวรรค์นะ แต่เลอะๆ เทอะๆ ยังไงไม่รู้ ถ้าข้าจะเป็นห่วงใครที่สุดในหมู่พวกเรา ก็คงเป็นเจ้าเด็กนี่แหละ”

“ฮ่าๆ งั้นเจ้าต้องให้ความสำคัญกับเขาหน่อยนะ เขาอายุตั้งเกือบร้อยแล้วยังวิ่งตามเจ้าเป็นเด็กๆ อยู่เลย เขาคงจะชอบเจ้ามากนั่นล่ะ อีกอย่างเขาเพิ่งได้พบเจ้าตัวเป็นๆ ไม่กี่ปีนี้เอง แล้วช่วงนั้นพวกเราก็วุ่นวายอยู่กับการหลบหนีด้วย การที่เราเพิ่งมาอยู่ที่นี่แค่ปีสองปีแล้วจะออกไปอีก คงทำให้เขาคิดว่ามีเวลากับเจ้าไม่พอล่ะนะ”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “ข้าไม่ถนัดรับมืออะไรแบบนี้ด้วยสิ ให้ข้าไปสู้กับมังกรยังง่ายกว่า”

“เจ้าก็พูดเกินไป... เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเรื่องที่ผ่านมาทำให้เจ้าเปลี่ยนไปมาก แต่ยังไงคราวนี้เจ้าก็ห้ามแบกทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียวอีกล่ะ ถ้ามีเรื่องไหนที่เจ้ากังวลมากล่ะก็... ให้บอกข้า ข้าจะจัดการเรื่องนั้นแทนเจ้าเอง ข้าว่าข้าก็มีความสามารถอยู่พอตัวนะ”

ไอดิเอลหัวเราะออกมา “ข้าไม่กังขาความสามารถของเจ้าเลย... ขอบใจนะเจย์รอน”

“ขอบใจอะไรกันเล่า เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ข้าจะต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นเพื่อนกันทำไมจริงไหม?”

ไอดิเอลยกมือตบไหล่เพื่อนรักของเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ขณะที่ลมทะเลพัดหอบเอาไอน้ำเค็มเข้ามาอีกระลอก

............................................

เจย์รอน...

ไอดิเอลลืมตาโพลงอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้อง มือยังคงถือเอกสารที่โอเลกซ์ให้มา แต่ดวงตาจับจ้องไปยังที่ไกลแสนไกล

เจย์รอนเพื่อนยาก...

คนที่เขาพูดคำนี้ออกมาได้อย่างเต็มปากทุกครั้งที่พบกัน เจย์รอนเป็นคนรับผิดชอบ มีความน่าเชื่อถือสูง สิ่งใดที่เขาตั้งใจทำ เขาจะทำมันไปจนถึงที่สุด

เจย์รอนผู้เถรตรง ผู้ที่ยอมหักไม่ยอมงอ

ไอดิเอลรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจย์รอนเป็นเพื่อนสนิท คนที่เขาสามารถวางใจได้ทุกเรื่อง เกือบจะไม่มีเรื่องไหนเลยที่เจย์รอนจัดการไม่ได้ เขาคิดมาโดยตลอดว่า ด้วยบุคลิกที่เถรตรงเที่ยงธรรมอย่างเจย์รอน คงจะสามารถยึดโยงอาณาจักรบูรพาที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีความกระหายสงครามเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งเกิดเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน...

ไอดิเอลไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกทำลงไป แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกผิดที่มีต่อเพื่อนสนิทได้เช่นกัน ยิ่งได้อ่านเอกสารของโอเลกซ์แล้ว ทำให้เขารู้ว่าการที่เจย์รอนเลือกออกจากอาณาจักรบูรพาแล้วเข้าสู่วิหารนิทรานั้น เป็นเพียงทางออกเดียวสำหรับสถานการณ์ที่เจ้าตัวเผชิญอยู่

จอมเวทผุดลุกขึ้น เดินออกจากห้องพักไปยังลิฟต์ แล้วออกคำสั่ง “สเตลลา ไปวิหารนิทรา ข้าต้องการไปเยี่ยมเจย์รอน”

“รับทราบค่ะ”

วิหารนิทราตั้งอยู่ชั้นบนสุดของหอคอยโลหะ เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เมื่อออกจากลิฟต์ไปจะพบกับลานกว้างสุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบด้วยเสาโลหะสำหรับล่อฟ้าสิบหกต้น ที่ฐานของเสาแต่ละต้นมีช่องที่กรุด้วยกระจกแบบพิเศษ โดยแต่ละช่องจะมีจารึกนามของจอมเวทและสัญลักษณ์ประจำตัว ภายในช่องมีอุปกรณ์สำหรับหยุดการทำงานของสมองติดตั้งอยู่

โดยเดิมวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่กักขังจอมเวทที่กระทำผิดร้ายแรง ทว่าตั้งแต่สร้างมายังไม่เคยมีใครต้องโทษนี้เลยแม้แต่ผู้เดียว ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่ามันเป็นวิธีลงโทษที่ร้ายแรงเกินไปสำหรับพวกเดียวกัน ไอดิเอลและจอมเวทบางคนเคยมีความคิดอยากใช้ที่นี่เป็นที่หยุดพักจากความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครได้ทำจริงๆ เสียที กระทั่งได้ยินจากเวโรนิกาว่าเจย์รอนเลือกเข้าสู่วิหารนิทรานี่แหละ

ในช่องที่ฐานเสาบริเวณขวามือบรรจุร่างที่เขาเคยคุ้นตามาเป็นเวลานาน ไอดิเอลจำเสานั่นได้ ตอนที่เริ่มสร้างที่แห่งนี้ จอมเวทแต่ละคนจะเป็นผู้ออกแบบเสาของตัวเอง เสาของเขาและเสาของเจย์รอนนั้นอยู่ติดกันตามความตั้งใจของทั้งคู่

“เผื่อว่าข้ากับเจ้าต้องถูกลงโทษพร้อมกัน” ฝ่ายนั้นพูดกับเขายิ้มๆ ตอนที่เลือกเสา “ถ้าอยู่ใกล้กันพวกเราก็คงไม่เหงาเนอะ ส่วนเสาอีกด้านของเจ้าก็ให้เวโรนิกาจองไว้สิ อย่างน้อยๆ นางจะได้ไม่ต้องเสียเวลามองหาเวลามาเยี่ยมเจ้ายังไงล่ะ”

ไอดิเอลยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ขณะสืบเท้าไปด้านหน้า คำพูดของเจย์รอนดังก้องในหัวเขา เหมือนเจ้าตัวมายืนอยู่ใกล้ๆ

แม้จะมีแสงแดดแผดจ้า แต่อากาศบนนี้กลับหนาวยะเยือก ไอน้ำที่มีอยู่เพียงเบาบางจับตัวกันเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีขาว เกาะอยู่ตามมุมมืดที่แสงไม่อาจส่องถึง

ร่างของเจย์รอนอยู่ด้านหลังหน้าต่างกระจก ถูกผนึกอยู่ในของเหลวกึ่งแข็งตัว เจ้าตัวดูเหมือนเมื่อครั้งพบกันคราวก่อน เพียงแต่เขาไม่อาจมองเห็นแววตาสีเงินเรืองรองคู่นั้นอีกแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะรู้ถึงการมาของเขาหรือไม่

ไอดิเอลยกมือขึ้นปัดเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนกระจกออก พลางถอนหายใจ

“เจย์รอนเอ๋ยเจย์รอน เจ้าไม่เรียกหาข้า แต่กลับเล่าเรื่องให้โอเลกซ์ฟัง หรือเจ้าละอายที่การติดต่อของเราครั้งก่อนส่งผลให้ข้าต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องภายในของหกอาณาจักรซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลเช่นข้าไม่ควรไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงอย่างนั้นเจ้าก็คงคาดหวังว่าข้าอาจจะยื่นมือเข้าไปสะสางหากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังเอง”

“แปลว่าเจ้าตัดสินใจจะไปที่อาณาจักรบูรพาสินะ”

ไอดิเอลหันหน้ากลับไป เขาเห็นจอมเวทหญิงที่มีผมสีทองสะท้อนประกายแสงตะวันสว่างไสวเดินเข้ามา

“เจ้าเองหรือ ฟัยรุซา ข้าน่าเดาได้แต่แรก”

อีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้าเขา สายลมพัดปอยผมสีทองของนางเกลี่ยใบหน้า นางใช้ดวงตาสีน้ำเงินของนางจับจ้องเขาด้วยแววตาอ่านยาก “นานแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวเลย”

ไอดิเอลพยักหน้า “อืม... เจ้าคงไม่ได้ขึ้นมาหาข้าที่นี่เพราะอยากจะคุยเรื่องเจย์รอนหรอกใช่ไหม”

“ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ?”

“เพราะถ้าเจ้าอยากคุยกับข้าเรื่องนี้ ก็คงจะติดต่อข้าตั้งแต่เจย์รอนแสดงเจตนารมณ์เข้าสู่วิหารนิทราแล้ว”

คนฟังหัวเราะ “ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยเรื่องเจย์รอนหรอก ข้าแค่ต้องการคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวโดยไม่เป็นที่สังเกตเท่านั้นเอง”

“มีเรื่องอะไร?”

“สงครามกำลังจะเกิดขึ้น” นางว่า “ตอนที่เราทำสัญญากับพวกมนุษย์และสร้างหอคอยโลหะขึ้น หน้าที่ของเราคือเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเรื่องราวกระทบกระทั่งกันระหว่างหกอาณาจักร ในยุคเริ่มต้นพวกเขาเชื่อฟังเรา แต่ตอนนี้เวลาผ่านมาหนึ่งพันปีแล้ว... พวกเรายังคงดำรงอยู่ เปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำและภูมิปัญญา แต่มนุษย์ตายจากและเปลี่ยนหน้าไป พวกเขาไม่เชื่อฟังเราเช่นกาลก่อนอีกแล้ว เมื่ออาณาจักรหนึ่งสามารถสร้างเครื่องจักรที่ผสานกับเวทมนตร์ขึ้นมาได้ อาณาจักรอื่นก็ย่อมรู้สึกหวาดระแวงและต้องการครอบครองเครื่องมือเช่นนั้นเพื่อป้องกันตัวเองเช่นกัน ข้าไม่ได้ตำหนิว่าเป็นความผิดของเจ้ากับเจย์รอน พวกเราต่างรู้ดีว่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ มีสัญชาตญาณพื้นฐานเช่นสัตว์ แต่มีสติปัญญาในการประดิษฐ์สูงล้ำ เผ่าพันธุ์ที่เทพแห่งแสงสร้างขึ้นมาเพื่อนำหายนะมาสู่โลกใบนี้อย่างช้าๆ ไม่ว่าพวกเราจะพยายามอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะก่อสงคราม ไม่ช้าก็เร็ว”

“....”

“เจ้าคือคนที่พาพวกเราให้รอดผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ไอดิเอล แต่ข้าคิดว่าระยะเวลาหนึ่งพันปีคงนานพอที่พวกเราแต่ละคนจะตัดสินใจเลือกทางของตัวเองได้แล้ว ข้าจะไม่ห้ามเจ้าไม่ให้ขัดขวางการเป็นไปของคำทำนาย แต่หากนูบิลุสฟื้นคืนชีพ หากคำทำนายเป็นความจริง ข้าแน่ใจว่าจะมีพวกเราบางคนที่เข้าร่วม และมีพวกเราบางคนที่ไม่เข้าร่วม หากถึงเวลานั้น พวกเราอาจจะต้องห้ำหั่นกันเอง ข้าอยากให้เจ้าทำใจยอมรับเมื่อมันเกิดขึ้น”

“ข้ารู้ว่าพวกเราหลายคนเหนื่อยล้าเต็มที” อีกฝ่ายตอบ “วางใจเถอะ แม้ข้าจะตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เกิดสงครามอย่างเด็ดขาด แต่หากต้องมีสงครามเกิดขึ้นจริง มันจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของพวกเรา”

อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะ “เจ้าตัดสินใจเรื่องนี้ได้แล้วสินะ... แล้วเด็กนั่นล่ะ ข้าคิดว่าเจ้ากังวลเรื่องเขาเสียอีก”

“ข้าไม่กังวลเรื่องเขาหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้ามีทางออกเรื่องของเขาแล้ว”

“อ้อ...” นางส่งเสียงในคอ “เจ้าเคยพบนูบิลุสอีกบ้างไหม หลังจากเหตุการณ์ในนิมิตนั่น”

“เคย...”

“เจ้าเคยคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวไหม”

“....”

ฟัยรุซาถอนหายใจแล้วผงกศีรษะอีก “ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าข้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องเจ้าสินะ”

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องคำทำนายหรอก หากมันเกิดขึ้นจริง พวกเราจะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ที่เจ้าควรจะกังวลคือจะทำอย่างไรถ้าคำทำนายไม่เป็นจริงมากกว่า”

นางหัวเราะออกมา “นั่นสินะ... เจ้าพูดถูก”

ไอดิเอลใช้ดวงตาสีอำพันของเขามองนาง “ข้ารู้ว่าพันปีมานี้เจ้าเองก็เหนื่อยมาก ถ้าเจ้าอยากจะพักล่ะก็...”

“นี่คือภาระของข้า” ฟัยรุซาว่า “ข้าเป็นคนเลือกหน้าที่นี้เองแต่แรก วางใจเถอะไอดิเอล ข้ายังไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเจย์รอน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในสถานะที่ทำหน้าที่นี้ได้ ข้าก็จะทำหน้าที่นี้ต่อไป จนกว่าคำทำนายจะบังเกิดผล หรือจนกว่าเจ้าจะถอดใจ”

“ขอบใจนะ”

“ไม่ต้องขอบใจหรอก... เจ้าเพิ่งทำให้ข้านึกได้ว่าข้าเลือกทำหน้าที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งข้าเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว” นางถอนหายใจอีกครั้ง “เรื่องที่ข้าอยากพูด ข้าก็ได้พูดแล้ว เรื่องที่ข้าอยากฟัง ข้าก็ได้ฟังแล้ว ข้าไปล่ะ”

“ไปด้วยกันสิ” ไอดิเอลว่า “ข้ายังต้องพาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวที่เมืองพ่อค้าด้านล่างอีกวัน”

“จะให้ข้าลงไปที่นั่นด้วยหรือ?”

“ใช่ หากว่าการที่เจ้าจะละวางจากสิ่งที่เจ้าทำลงไปข้างล่างกับข้าจะทำให้มนุษย์ก่อสงครามกันล่ะก็... ก็ให้พวกเขาก่อสงครามเถอะ”

ฟัยรุซาหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “เจ้าก็รู้ว่ามันไม่เป็นแบบนั้นหรอก เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าออกปากขนาดนี้ ถ้าข้าบ่ายเบี่ยงอีกก็ดูจะให้ค่ามิตรภาพของเราต่ำเกินไปล่ะนะ”

.............................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่19 (P3) (ุ28/1/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-01-2022 16:19:41
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่19 (P3) (ุ28/1/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-01-2022 00:00:40
จะวุ่นวายขนาดไหนน้อ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่20 (P3) (ุ4/2/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 04-02-2022 09:52:29
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่20 การพูดคุยของเหล่าจอมเวท


คาริกรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าฟัยรุซาจะลงไปที่เมืองพ่อค้ากับพวกเขาด้วย โอเลกซ์กับทีมัวร์เมื่อรู้เรื่องก็ขอตามมา ฟัยรุซาจึงออกปากจะเลี้ยงมื้อเที่ยงเขาและโอเรน ในที่สุดทั้งคู่จึงได้มานั่งอยู่ในวงสนทนาของจอมเวทสี่คน ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ฟังเรื่องหนักๆ แกล้มอาหารเที่ยง แต่กลับกลายเป็นว่าต่างคนต่างเอาแต่จิบน้ำและแทบไม่พูดอะไรกันเลย ในที่สุดคาริกก็ทนไม่ไหวเลยพูดขึ้นมา

“ข้าสงสัยนะ พวกท่านอุตส่าห์มานั่งด้วยกันที่นี่ แต่ทำไมถึงไม่ยอมคุยอะไรกันเลย ข้าคิดว่าพวกท่านน่าจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะเสียอีก”

“ข้ากับไอดิเอลคุยกันจบไปแล้ว” ฟัยรุซาตอบ พลางยกน้ำขึ้นจิบ ขณะที่ทีมัวร์พูดขึ้น

“ที่จริงข้ามีเรื่องอยากพูดเยอะนะ แต่คิดว่าพูดออกไปก็ไม่น่าจะมีใครพูดด้วย”

“ข้าแน่ใจว่าเจ้ากำลังจะพูดถึงเรื่องเครื่องจักร” โอเลกซ์ว่า “ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะไม่มีใครพูดด้วย”

“นี่พวกท่านสองคนไม่ถูกกันหรือ?”

“เปล่า” ทั้งโอเลกซ์และทีมัวร์พูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดต่อ

“พวกเราเจอกันบ่อยน่ะ เขาจะพูดอะไรข้ารู้หมดแหละ”

“ส่วนเรื่องที่เขาไปจดบันทึกอะไรมาข้าไม่ได้อ่านทั้งหมดหรอกนะ” ทีมัวร์ว่า “แต่ก็รู้ว่าเขาไปไหนมา”

“ในเมื่อพวกท่านสี่คนไม่มีอะไรจะคุยกัน แล้วพวกท่านมาด้วยกันทำไม?”

“ข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศตามคำชวนของเพื่อนเก่า” ฟัยรุซาว่า

“ส่วนข้ามาเพราะอยากรู้ว่าท่านฟัยรุซากับท่านไอดิเอลจะมาทำอะไรที่เมืองพ่อค้านี่” โอเลกซ์ว่า ทีมัวร์พยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าก็ตามมาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน”

“สรุปคือพวกท่านมาเพราะอยากรู้เรื่องชาวบ้านสินะ” โอเรนที่นั่งเงียบอยู่นานสรุปขึ้น ทั้งคู่ผงกศีรษะรับเหมือนภูมิใจ เจ้ามังกรจึงพูดขึ้นต่อ

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านนะ แต่ว่านั่งเงียบๆ แบบนี้มันสนุกตรงไหน”

“มันไม่สนุกหรอก” ทีมัวร์ว่า “แต่อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้พวกเราไม่ถูกท่านไอดิเอลไล่ตะเพิดน่ะ”

“....”

คาริกทำหน้าเพลีย ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “งั้นข้าขอถามแล้วกัน เกี่ยวกับจอมเวทที่ชื่อซีนอนน่ะ เขาเป็นคนยังไงหรือ?”

เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ ก่อนที่ฟัยรุซาจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ใครพูดชื่อนี้ให้เจ้าได้ยิน? ข้าว่าไม่น่าจะเป็นไอดิเอลนะ”

“ข้าได้ยินเขาคุยกับท่านโอเลกซ์เมื่อเช้า” คาริกว่า เขารีบพูดขึ้นต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ไอดิเอลได้พูดแทรก “ข้ารู้ว่าถ้าถามเขาตรงๆ เขาคงเลี่ยงไม่ตอบอยู่ดี”

“เจ้าเด็กนี่เรียนรู้นิสัยเจ้าได้ไวนะ” ฟัยรุซาหันไปหาไอดิเอล ฝ่ายนั้นทำหน้ายุ่ง

“ข้าไม่นิยมตอบคำถามไร้สาระ”

“อืม... เท่าที่ข้ารู้ เขาหนีมาจากอาณาจักรบูรพาตอนที่ซีนอนไปประจำการพอดีไม่ใช่หรือ ข้าว่าเล่าเรื่องซีนอนให้เขาน่าจะดีกว่านะ”

“....”

“แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากเล่าเอง... ซึ่งข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ค่อยลงรอยกับซีนอนเท่าไหร่ เพราะงั้นข้าจะเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน”

คาริกกับโอเรนหันไปมองฟัยรุซาด้วยความสนใจ นางจิบน้ำอึกหนึ่งแล้วพูดขึ้นต่อ “ซีนอนเป็นจอมเวทที่อายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเรา เขาไม่ได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเช่นคนอื่นๆ แต่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลอง อืม... ไอดิเอลเล่าเรื่องที่พวกเราถูกทดลองให้เจ้าฟังแล้วหรือยัง?”

คาริกผงกศีรษะ นางจึงพูดต่อ “อ้อ... ก็ดี ถือว่าเขาก็เล่าอะไรให้เจ้าฟังไม่น้อยล่ะนะ ซีนอนน่ะเป็นเด็กที่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองด้วยสารพันธุกรรมของจอมเวทที่ทรงพลังที่สุดในสายตาของจักรวรรดิมนุษย์ในตอนนั้น ซึ่งก็คือไอดิเอลนั่นแหละ เพราะงั้นหากจะว่ากันตามตรงแล้ว เขาก็คือลูกของไอดิเอลนี่เอง”

คนที่มีสีหน้าตกใจที่สุดคือทีมัวร์ เขาร้องออกมา “หา! สรุปแล้วเขาเป็นลูกของท่านไอดิเอลจริงๆ หรือ ข้าคิดว่าเขาปลื้มท่านไอดิเอลจนตู่เรื่องนี้เอาเองเสียอีก”

“ข้าเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเขาเอง” ฟัยรุซาว่า “ข้าคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาควรรู้ แต่ข้าไม่ได้ไปป่าวประกาศบอกคนอื่นๆ หรอก เพราะข้ามองว่าคนที่จะรู้สึกไม่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือไอดิเอล ตอนที่ซีนอนเกิด เขาก็รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในแนวหน้าแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสารพันธุกรรมของตัวเองถูกเอาไปทดลองสร้างเด็กจนสำเร็จ คนที่เลี้ยงดูซีนอนตอนที่เขายังเป็นทารกคือเวโรนิกา ตอนนั้นนางเสียใจกับการเสียลูกจนคลุ้มคลั่ง ไอดิเอลช่วยให้นางไม่ถูกจักรวรรดิกำจัดทิ้งด้วยการทำสัญญาแลกกับการออกรบอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่เจ้าลองนึกสภาพผู้หญิงที่เสียลูกและไม่มีสามีอยู่เคียงข้างสิ พอข้ารู้ว่าทางจักรวรรดิสร้างเด็กจากการทดลองได้สำเร็จ จึงพูดจาหว่านล้อมพวกเขาจนเขายอมให้เวโรนิกาเลี้ยงเด็กคนนั้น นางจึงค่อยกลับมามีสติอย่างที่พวกเจ้าเห็นอยู่ทุกวันนี้ หลังจากซีนอนโตพอที่จะรับการฝึก ทางจักรวรรดิก็นำตัวเขาไป ดูเหมือนทางจักรวรรดิจะหวังกับเขาเอาไว้มาก ข้าไม่รู้ว่าทางนั้นสอนอะไรเขาบ้าง แต่พอมีเหตุการณ์กวาดล้าง เขาก็กระโดดมาร่วมกับพวกเราทันที”

“เขาเคยเล่าให้ข้าฟังนะ” โอเลกซ์พูดขึ้นมาบ้าง “ตอนที่เขาอยู่ในช่วงการฝึก จักรวรรดิเอาผลงานทุกอย่างของท่านไอดิเอลมาให้เขาดู และพยายามฝึกเขาให้ทำให้ได้แบบนั้น ในความรู้สึกของเขาตอนนั้น ท่านไอดิเอลเป็นเหมือนภูเขาสูงที่เขาต้องปีนให้ผ่าน พอได้เจอท่านไอดิเอลจริงๆ เขาเลยทั้งชื่นชม ทั้งอยากจะต่อสู้ด้วย แต่ท่านไอดิเอลเอาแต่เดินหนีและปฏิเสธเขาทุกครั้งไป ข้าว่าตอนที่เขารู้ว่าเขามีสารพันธุกรรมของท่านไอดิเอล คงยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องเอาชนะท่านไอดิเอลเพื่อออกจากเงื้อมเงานั้นให้ได้ล่ะมั้ง”

“ข้าถึงได้บอกไงล่ะว่าระหว่างเขากับข้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น” ไอดิเอลว่า ฟัยรุซาหันไปมองเขา

“ถ้าเจ้าอ่อนโยนกับเขาหน่อย ข้าก็ว่าน่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นน่ะนะ”

“การที่ข้าไม่ฟาดเขาให้ตายคาไม้เท้าก็ถือว่าข้าอ่อนโยนกับเขามากล่ะนะ” ไอดิเอลว่า คาริกถามขึ้นต่อ

“แล้วนิสัยเขาเป็นแบบไหน เป็นคนโหดร้ายรึเปล่า?”

“ข้าไม่คิดว่าเขาเป็นคนโหดร้ายนะ” โอเลกซ์ว่า “แต่เขาก็ไม่ใช่คนอ่อนโยนเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าเขาถูกฝึกฝนมาเพื่อให้ทำสงคราม เขาเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย แต่ไม่ใช่คนที่นึกจะฆ่าใครก็ใคร นึกจะทรมานใครก็ทรมานแน่ๆ เอาจริงๆ แล้วข้าว่าเขาค่อนข้างจะไร้เดียงสาในบางเรื่องอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ”

“ข้าเห็นด้วยกับโอเลกซ์นะ” ทีมัวร์ว่า “เขาอาจจะดูแข็งแกร่งมากเวลาอยู่ในสนามรบ แต่พอเป็นเรื่องอื่นๆ เขาจะดูโง่ไปถนัด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับท่านไอดิเอล เหมือนเขาจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากไป”

“ยังไงน่ะ”

“เหมือนที่โอเลกซ์เล่าว่าเขาพยายามจะเอาชนะท่านไอดิเอลนั่นแหละ พอท่านไอดิเอลไม่ยอมต่อสู้ด้วย เขาก็พยายามจะหาวิธีเรียกร้องความสนใจ เริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่สุดอย่างเช่นการเรียกดาวตก บอกตรงๆ เลยนะว่าตอนที่ข้ารู้ข้าก็อึ้งไปเหมือนกัน ใจนึงอยากจะหัวเราะว่าทำไมเขาถึงได้บ้าขนาดนี้ อีกใจก็อยากจะร้องไห้แทนท่านไอดิเอลว่าทำไมจะต้องเจอเรื่องไร้สาระที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วย แต่สุดท้ายข้าก็เลือกที่จะขำน่ะนะ”

“พูดถึงเรื่องเรียกดาวตก นั่นเป็นครั้งเดียวที่ข้าคิดว่าควรจะขังเขาเอาไว้ที่วิหารนิทราน่ะนะ”

ไอดิเอลหันไปมองนางทันที “ถ้าเจ้าคิดงั้นแล้วทำไมถึงห้ามข้าล่ะ? ข้าว่ามันสมควรแล้วที่เขาจะโดนลงโทษแบบนั้น”

“เพราะพอเห็นสภาพเขาที่ถูกเจ้าฟาดจนแทบเดินไม่ได้ ข้าก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไปที่จะส่งเขาเข้าวิหารนิทราหลังจากเขาถูกคนที่ควรจะเป็นพ่อของเขาฟาดจนน่วมน่ะสิ”

“....”

“ข้าว่านั่นน่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเลยนะที่ท่านไอดิเอลลงมือกับซีนอนน่ะ” ทีมัวร์ว่า “และหลังจากนั้นเขาก็ดูสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ แปลว่าฝีมือเขาสู้ท่านไอดิเอลไม่ได้จริงๆ สินะ”

“ข้าไม่คิดว่าเขาจะสู้ท่านไอดิเอลได้แต่แรกล่ะนะ” โอเลกซ์ว่า “แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาประมือกับท่านไอดิเอลแค่ครั้งเดียวก็สงบลงได้แบบเหลือเชื่อ เพราะเขาได้เติมเต็มความฝันที่จะได้ต่อสู้กับท่านไอดิเอล หรือถูกท่านไอดิเอลเล่นงานจนฝังใจกันแน่นะ”

“ถ้าพวกเจ้าจะถามความเห็นข้า” ไอดิเอลว่า “ซึ่งก็ดูแล้วคงไม่น่าจะมีใครถาม เพราะพวกเจ้าดูจะเข้าข้างซีนอนกันหมด ข้าว่าเด็กนั่นแค่ถอยไปตั้งหลัก และหาทางทำเรื่องอะไรวุ่นวายให้ข้าปวดหัวอีก บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามองหาพวกลูบิดเพื่อเอามาเสริมพลังก็ได้”

“เจ้าควรไปถามเรื่องนี้กับเขาเองโดยตรง” ฟัยรุซาแนะ “และในความเป็นจริงตอนนี้ คนที่ได้พวกลูบิดมาเสริมพลังเป็นเจ้าไม่ใช่เขา ไม่ว่าเขาจะวางแผนอะไรไว้ก็คงจะถูกเจ้าขัดจนพังไม่เป็นท่าเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะงั้นข้ายังยืนยันว่าเจ้าควรจะไปเยี่ยมเขาที่อาณาจักรบูรพา ถือโอกาสนี้สะสางเรื่องของเจย์รอนด้วยเลย ส่วนเรื่องที่อาณาจักรอุดรก็ให้โอเบรอนจัดการไป”

“แปลว่าเราจะไม่ไปอาณาจักรอุดรกันแล้วหรือ” โอเรนถามขึ้น ไอดิเอลถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

“จะไปหรือไม่ไปที่ไหนข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนพวกเจ้า ถ้ายังพูดไม่หยุดอีก ก็ไปเดินเที่ยวกันเองแล้วกัน”

“อ้าว หงุดหงิดแล้วแฮะ” ฟัยรุซาว่า “งั้นพวกเราก็เลิกกวนใจเขาเถอะ เดี๋ยวพวกเด็กๆ จะกินข้าวไม่อร่อยเสียเปล่าๆ”

.........................................

คาริกคิดว่าการเดินเที่ยวในวันนี้คงกร่อย ทว่าทีมัวร์นั้นรู้แทบทุกเรื่องในตลาด และชวนพวกเขาคุยอย่างสนุกสนาน จนลืมบรรยากาศอึมครึมบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ไปเลย ส่วนไอดิเอลดูอารมณ์ดีขึ้นมากหลังจากที่ไม่มีใครถามอะไรซอกแซ่กกวนใจเขาอีก หลังจากไปรับอาวุธที่ร้านคมรุ่งเรืองแล้ว ทั้งหมดก็พากันแยกย้าย

“ท่านทีมัวร์นี่คุยสนุกมากเลยเนอะ ดูจะสนิทกับท่านโอเลกซ์ด้วย” โอเรนพูดขณะที่ทั้งสามอยู่บนลิฟต์ที่กำลังเลื่อนขึ้นไปยังห้องพัก ไอดิเอลผงกศีรษะ

“สองคนนั่นปกติก็ค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว ข้าดีใจที่พวกเจ้าดูสนุกในวันนี้นะ”

“ตอนแรกก็คิดว่าจะกร่อยเหมือนกันนั่นล่ะ” คาริกว่า “แต่ดาบนี่พอเอาไปแต่งแล้วสวยเหลือเชื่อเลยเนอะ ข้าล่ะอยากจะลองใช้จริงๆ แล้วสิ”

ไอดิเอลยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “คิดว่าเจ้าคงได้ใช้เร็วๆ นี้นั่นล่ะ ข้าให้สเตลล่าสอบถามกำหนดการสอบเลื่อนขั้นของสมาคมคุ้มกันแล้ว ถ้าพวกเราบินคืนนี้ก็น่าจะไปทันสมัครพอดี”

คาริกมีสีหน้าตื่นเต้น “งั้นเราต้องรีบไปซื้อตั๋วใช่ไหม? ตอนนี้ยังทันรึเปล่า?”

“ข้าให้สเตลล่าซื้อไว้ให้แล้วล่ะ พวกเจ้ารีบไปเก็บของเถอะ”

ชายหนุ่มรีบกระวีกระวาดเข้าไปเก็บของทันทีที่ถึงห้อง จนโอเรนอดถามไม่ได้

“ข้าคิดว่าเจ้าจะผิดหวังที่ต้องรีบเดินทางเสียอีก”

“ทำไมข้าต้องรู้สึกผิดหวังด้วยล่ะ?”

“ก็ที่นี่ออกจะอยู่สบายอยู่นะ อีกอย่างมันเป็นบ้านของท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้สึกว่ามันเป็นบ้านด้วย เลยรู้สึกแปลกใจที่เจ้าดูจะไม่อาลัยอาวรณ์ที่นี่เลยน่ะ”

คาริกหัวเราะออกมา “ข้าเคยทำงานอยู่สมาคมคุ้มกันนะ การต้องออกเดินทางกะทันหันน่ะเป็นเรื่องปกติมาก แต่ดูท่าเจ้าคงชอบที่นี่สินะ”

“ข้าก็แค่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของท่านไอดิเอล เราก็น่าจะอยู่กันนานสักหน่อยน่ะ”

“เจ้าก็น่าจะได้ยินตอนที่มาถึงแล้วนี่นา ว่าเขาไม่ค่อยอยู่ที่นี่นานนักหรอก เอาน่ะ เดี๋ยวสักพักเจ้าก็จะชินกับการออกเดินทางบ่อยๆ เองนั่นแหละ”

“นั่นสิน้า ข้าเป็นคนออกปากเองว่าข้าอยากจะเดินทางไปกับเจ้าและท่านไอดิเอลนี่นา”

คาริกใช้เวลาไม่นานก็เก็บของเสร็จ พวกเขาบินออกจากนครเวหาช่วงประมาณหนึ่งทุ่ม ตามกำหนดน่าจะถึงอาเปสราวๆ เที่ยงคืน ไอดิเอลหยิบหนังสือเล่มโตที่เขียนหัวเรื่องบนหน้าปกว่า ‘เทือกเขาไฮดรัส : ภูมิศาสตร์และสัตว์ประจำถิ่น’ มาให้โอเรนอ่าน คาริกเห็นดังนั้นจึงหยิบหนังสือเกี่ยวกับมังกรที่เขาซื้อมาอ่านบ้าง หากเทียบกับการสนทนาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไอดิเอลจะยินดีและสนุกกับการตอบคำถามเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ในหนังสือมากกว่าเรื่องอื่นที่เขาถูกถามเป็นไหนๆ คาริกนึกสงสัยว่าเจ้าตัวชอบสัตว์จริงๆ หรือแค่ไม่อยากตอบคำถามอื่นกันแน่

สักประมาณสี่ทุ่ม โอเรนก็สัปหงก ไอดิเอลจึงอุ้มเขามานอนบนที่นั่งข้างตัว ก่อนจะเก็บหนังสือใส่กระเป๋า คาริกเห็นดังนั้นจึงถือโอกาสถามขึ้น

“ข้าถามท่านเกี่ยวกับเรื่องมังกรได้ไหม?”

“ถ้าเป็นเนื้อหาที่เจ้าสงสัยและไม่ได้อยู่ในหนังสือ ข้าก็ยินดีตอบ” อีกฝ่ายว่า ชายหนุ่มจึงถามต่อ

“ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้โดยให้ความเคารพกับมังกรมาก สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนแบบข้ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่มากนะ มังกรในอุดมคติของข้าคือสิ่งมีชีวิตโหดร้ายที่แข็งแกร่งและยากจะเอาชนะ แต่ท่านเขียนบรรยายว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มีอารยธรรม ภาษาและตัวอักษรเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะมังกรน้ำ ท่านบรรยายลักษณะและภาษาที่พวกเขาใช้ไว้อย่างละเอียดมาก เหมือนกับว่าท่านเคยไปอยู่ในโลกของพวกเขา เท่าที่ข้ารู้คือท่านทำสงครามกับมังกรมาตลอดไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าก็อ่านไปไวเหมือนกันนะ” อีกฝ่ายว่า “หนังสือเล่มนี้ถูกตำหนิจากนักอ่านว่าภาษาอ่านยาก และเนื้อหาก็ไม่สอดคล้องกับทัศนคติของคนทั่วไป ที่ยังพอขายได้อยู่คงเป็นเพราะมีชื่อข้าอยู่บนปกล่ะมั้ง”

“ที่จริงแล้วข้าอาศัยดูรูปเอามากกว่าน่ะ” คาริกสารภาพ “ท่านใช้ภาษายากมาก ไม่เหมือนหนังสือทั่วไปที่ข้าเคยอ่าน ข้าอดคิดไม่ได้นะว่าท่านตั้งใจทำให้มันอ่านยาก หรือว่าข้าด้อยความรู้เอง”

“ข้าตั้งใจทำให้มันยากเอง” ไอดิเอลว่า “ต้องเป็นคนที่มีความรู้ทางภาษาและอักษรโบราณระดับสูงจึงจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้”

“ทำไมต้องทำให้มันยากถึงขนาดนั้นล่ะ เพราะเป็นหนังสือเกี่ยวกับมังกรงั้นหรือ?”

“ใช่แล้วล่ะ แต่ไม่ใช่เพราะมันเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับมังกรแล้วถึงใช้ภาษายากหรอกนะ แต่เพราะเนื้อหาที่ข้าเขียนค่อนข้างขัดต่อภาพลักษณ์ของมังกรในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เพื่อไม่ให้มีปัญหากับหกอาณาจักร ข้าเลยตั้งใจใช้ภาษาที่อ่านยากและทำความเข้าใจยากเป็นพิเศษ ทำให้แน่ใจว่าแม้มันจะถูกวางขายทั่วไป แต่เนื้อหาภายในก็จะไม่ได้รับความนิยมและไม่ไปเปลี่ยนแปลงค่านิยมเดิม มีแค่คนที่ตั้งใจศึกษา มีความรู้และวุฒิภาวะระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ที่จริงถ้าไม่รู้จักท่านมาก่อน ข้าก็คงจะโยนหนังสือเล่มนี้ทิ้งไปแล้วเหมือนกัน แต่ว่ารายละเอียดทั้งหมดที่ท่านเขียนนี่ มาจากการเผชิญหน้าในสนามรบทั้งหมดเลยหรือ?”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม “ที่จริงแล้วข้ามีสิทธิ์จะไม่ตอบคำถามนี้ เพราะข้าไม่อาจโกหกได้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนถาม ข้าก็จะตอบตามความจริง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ข้าพาจอมเวททั้งสิบหกคนหนีไปอาศัยอยู่กับมังกร”

“หา! จริงหรือ? ท่านไปอาศัยอยู่กับมังกร? ทั้งที่ท่านทำสงครามกับพวกเขามาตลอดเนี่ยนะ เป็นไปได้ไงเนี่ย”

“เป็นไปได้แล้วกัน” ไอดิเอลว่า “แต่เดิมพวกข้าก็นับถือมังกรเป็นตัวแทนแห่งทวยเทพอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เราถูกจักรวรรดิมนุษย์ควบคุม และถูกทำให้กลายเป็นจอมเวท พวกเราทั้งหมดเหลือทางเลือกแค่สองทาง คือตายด้วยน้ำมือของจักรวรรดิ หรือไม่ก็เข้าร่วมกองทัพทำสงครามกับมังกร แล้วเอาชีวิตรอดในสนามรบ ข้าพูดได้เต็มปากว่ามังกรไม่ใช่ศัตรูของจอมเวท เพียงแต่จอมเวทต้องทำสงครามกับมังกรเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ศัตรูของมังกรคือมนุษย์ จอมเวทเพียงแต่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น”

“ถึงงั้นก็เถอะ... ข้าก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าสุดท้ายท่านไปอาศัยอยู่กับมังกรได้ไง ไม่ใช่ว่าพวกมังกรอพยพไปอยู่ในดินแดนห่างไกลตั้งแต่หลังการระเบิดครั้งใหญ่แล้วหรือ?”

“พวกเขาย้ายไปก่อนหน้านั้น” ไอดิเอลว่า “ราชามังกรน้ำเป็นคนแรกที่เสนอให้มังกรทั้งหมดอพยพ ที่จริงแล้วด้วยอำนาจในการควบคุมมหาสมุทรของพระองค์อาจทำให้มังกรชนะสงครามได้ไม่ยาก แต่พระองค์มองว่ามันจะก่อให้เกิดการคร่าชีวิตจำนวนมาก และทรงไม่มีพระประสงค์เช่นนั้น ทรงดำริว่าเมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพด้านเครื่องจักรถึงขนาดรีดเร้นเอาพลังงานจากโลกมาเป็นเครื่องมือในการต่อกรกับมังกร มนุษย์ก็จะพบกับหายนะที่ตนเป็นฝ่ายก่อไม่ช้าก็เร็ว มังกรไม่จำเป็นจะต้องทำสงครามเพื่อรักษาผืนแผ่นดินที่กำลังจะถูกทำลาย ดังนั้นจึงเสนอให้มังกรทั้งหมดอพยพไปยังดินแดนห่างไกล ข้าที่ช่วงนั้นพาคนอื่นๆ หนีการตามล่าของจักรวรรดิ เผอิญได้พบกับพระองค์ จึงได้ขออาศัยติดขบวนไปด้วย”

“แล้วมังกรก็อนุญาตให้พวกท่านไปด้วยงั้นหรือ?” คาริกร้อง “เหลือเชื่อ พวกเขาไม่โกรธเคืองเรื่องสงครามหรือไง?”

“พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงสติปัญญาและมีอารยธรรมสูง อีกอย่างราชามังกรน้ำทรงมีพระเมตตามาก ทรงทราบว่าพวกเราทั้งหมดจำใจเข้าร่วมสงคราม และจอมเวทไม่ใช่มนุษย์ จอมเวทไม่โป้ปด ดังนั้นจึงอนุญาตให้พวกเราเดินทางไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกข้าทั้งสิบหกคนถึงรอดจากการระเบิดครั้งใหญ่มาได้”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย” อีกฝ่ายคราง “ท่านที่เคยต่อสู้กับมังกรตัวต่อตัว ได้เดินทางหนีไปกับคณะของมังกร พวกเขาคงใจกว้างมากจริงๆ ขนาดท่านถือไม้เท้าที่ทำจากเอ็นของพวกเขาก็ยังไม่โกรธท่านเนี่ย”

“ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเอ็นมังกรนี้มีคนให้ข้ามา... ราชามังกรน้ำทรงประทานให้ข้าด้วยพระองค์เอง”

คาริกอ้าปากค้าง รู้สึกขึ้นมาในวินาทีนั้นเองว่าชีวิตของไอดิเอลนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ และจะว่าไปแล้ว นี่มันอย่างกับชีวิตของวีรบุรุษในนิทานเลยนี่นา นี่เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าวีรบุรุษที่ยังมีชีวิตสินะ

“เป็นไร? คิดว่าข้าโกหกหรือไง?”

“เปล่าๆ ข้ารู้ว่าท่านไม่โกหกแน่” คาริกว่า “เพียงแต่ข้ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา... แบบว่าเหมือนข้าเพิ่งค้นพบว่าตัวเองกำลังนั่งคุยอยู่กับวีรบุรุษในนิทานที่เล่าๆ ต่อกันมาน่ะ”

ไอดิเอลนิ่งไปพักก่อนจะหัวเราะออกมา “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกน่า ข้าไม่ชอบฟังนิทานเกี่ยวกับตัวเองหรอก และไม่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองด้วย แต่เรื่องของเจ้าน่ะน่าสนใจสำหรับข้าอยู่นะ ไม่แน่ตอนเราไปที่อาเปส อาจมีนิทานเรื่องที่เจ้าเอาชนะอิกเน่ ลาเชอร์ตาแล้วก็ได้”

“แหม... ท่านก็พูดไป ข้าเขินนะเนี่ย ข้าว่าข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“อย่างน้อยๆ เจ้าก็สมัครใจจะทำหน้าที่นี้เองแทนที่จะให้นายกองแกเรียนเป็นคนทำ ข้าว่านี่ก็ใช้ได้แล้วล่ะนะสำหรับวีรบุรุษ”

คาริกยกมือเกาศีรษะแกร่ก ไอดิเอลส่งเสียงเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “จริงสิ สร้อยที่คอเจ้าน่ะ ได้มาจากไหนหรือ?”

“หืม ท่านหมายถึงสร้อยนี่น่ะหรือ?” คาริกพูดพลางชี้สร้อยที่คอ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ครูมาดิห์ที่เก็บข้ามาเลี้ยงบอกว่ามันติดตัวข้ามาอย่างนี้แต่แรกอยู่แล้ว”

“ขอข้าดูได้ไหม” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่าพวกเครื่องรางมักมีเวทมนตร์ป้องกันอยู่แล้ว สร้อยเส้นนี้เลยไม่ถูกไฟเผา แต่ข้าสงสัยว่ามันทำมาจากวัสดุอะไร”

“ได้สิ” คาริกว่า ก่อนจะหัวเราะเขินๆ “ที่จริงพวกเราก็เห็นหน้ากันมาหลายวันแล้ว นี่เหมือนเป็นครั้งแรกนะที่ท่านดูสนใจสิ่งที่อยู่บนตัวข้าน่ะ”

“....”

คาริกคลำๆ สร้อยเส้นนั้นดูพัก ก็ไม่มีวี่แววว่าจะถอดออกมา สักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจอมเวท “คือ... ท่านจะหาว่าข้าโง่ก็ได้นะ แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสร้อยนี่ถอดยังไง คือข้าไม่เคยถอดมันมาก่อน คลำหาไม่เจอด้วยว่าห่วงคล้องหรือปมมันอยู่ตรงไหน”

“งั้นขอข้าดูหน่อยแล้วกัน” ไอดิเอลว่า ก่อนจะยื่นมือไปแตะสร้อยที่บริเวณลำคอของชายหนุ่ม คาริกรู้สึกใจเต้นตึกๆ พวกเขามีความสัมพันธ์แบบนั้นกันมาหลายครั้งแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไอดิเอลแสดงความสนใจในตัวเขา

?!

ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสโดน ไอดิเอลก็รีบหดมือกลับทันที ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้น

“ท่านก็เป็นด้วยหรือ?”

จอมเวทขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”

“เอ่อ... ข้าคิดว่าท่านเป็นจอมเวท จะไม่มีเป็นอะไรเสียอีก คือก่อนหน้านี้มีหลายคนเคยลองจับมันนะ แต่ทุกคนต้องรีบชักมือออกอย่างท่านนี่แหละ พวกนั้นบอกว่าพอแตะแล้วเหมือนถูกไฟดูดไงงั้น ข้าคิดว่ามันคงเป็นเครื่องรางป้องกันภัยที่ครอบครัวข้าทิ้งไว้ให้ล่ะมั้ง”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “ดูท่าข้าคงไม่ใช่จอมเวทคนแรกที่เกี่ยวข้องกับเจ้านะ”

“หา?”

อีกฝ่ายนิ่งไปพักก่อนจะพูดขึ้นต่อ “บนโลกนี้มีเพียงพลังของจอมเวทด้วยกันเท่านั้นที่ต่อต้านจอมเวทด้วยกันได้ เหมือนอย่างที่ข้าไม่อาจย้ายมวลสารไปยังประตูที่จอมเวทคนอื่นทำเครื่องหมายไว้นั่นแหละ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกร้องออกมา “ท่านจะบอกว่า สร้อยที่คอข้าเป็นเครื่องรางของจอมเวทงั้นหรือ แต่ข้าเป็นพวกลูบิดนะ จอมเวทกับลูบิดน่ะไม่ยุ่งเกี่ยวกันไม่ใช่หรือ มันจะเป็นไปได้ยังไงน่ะ”

“นั่นแหละปัญหายุ่งยากล่ะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะถอนหายใจอีก “ข้าตัดสินใจแล้ว เราจะเดินทางไปที่อาณาจักรบูรพาหลังจากที่เจ้าสอบเลื่อนขั้นเสร็จ เพราะข้าเป็นบุคคลต้องห้ามของที่นั่น ถ้าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น เจ้าคงต้องมีใบอนุญาตระดับห้า ข้าคงจะต้องไปดูว่าจะให้เจ้าข้ามไปสอบระดับห้าเลยได้ไหม”

“ขนาดระดับหนึ่งข้ายังไม่เคยสอบ จู่ๆ ท่านจะให้ข้าไปสอบระดับห้าเนี่ยนะ!”

“กลัวอะไรเล่า ขนาดอิกเน่ ลาเชอร์ตาเจ้ายังฆ่ามาแล้วเลยนะ”

“นั่นเพราะมีท่านช่วยไม่ใช่หรือไง ตอนสอบเขาอนุญาตให้มีจอมเวทเข้าไปช่วยด้วยหรือ?”

“ไม่อนุญาตหรอก”

คาริกจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง แต่ดูเหมือนจอมเวทจะทำเป็นไม่รับรู้ “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ยังไงเจ้าก็ไม่ตายอยู่แล้ว เสี่ยงสอบไปไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่”

“....”

“เอาเถอะ... ยังไม่แน่ว่าเขาจะอนุญาตให้เจ้าสอบข้ามระดับได้ ข้าคงจะต้องหาวิธีก่อน”

“แทนที่จะหาวิธีให้ข้าสอบข้ามระดับ ท่านหาวิธีทำให้ตัวเองไม่กลายเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ง่ายกว่าหรือไง อย่างเช่นติดต่อจอมเวทที่ชื่อซีนอนคนนั้นน่ะ ดูเขาจะชอบท่านมากนะ ท่านออกปากคำเดียวเขาน่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ท่านได้อยู่แล้ว”

“นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่ข้าจะใช้...” ไอดิเอลว่า “ยังมีวิธีอีกร้อยแปดที่จะไปที่นั่นโดยไม่ต้องติดต่อเจ้าเด็กนั่น เจ้าไม่ต้องพูดมาก เชื่อที่ข้าบอกก็พอ”

............................................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่20 (P3) (ุ4/2/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-02-2022 23:35:50
การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่21 (P3) (ุ18/2/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-02-2022 20:59:26
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่21 สมัครสอบ


เรือเหาะถึงอาเปสประมาณเที่ยงคืนตามกำหนด ไอดิเอลเลือกพักโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ติดกับท่าเรือเหาะ พอถึงรุ่งเช้าเขาก็ปลุกคาริกกับโอเรนให้เตรียมออกเดินทาง

“นี่ยังเช้าอยู่เลย ทำไมท่านรีบจัง” โอเรนพูดพลางหาวหวอด “พระราชาเรียกพบพวกเราแต่เช้าเลยหรือ?”

“ไม่ใช่หรอก ข้าต้องพาคาริกไปสมัครสอบเลื่อนขั้นน่ะ วันนี้วันสุดท้ายแล้ว คิวคงจะยาวเหยียดน่าดู”

“คนเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้ไง ข้าไม่คิดว่าท่านจะว่างมานั่งดูแถวสอบสมาคมคุ้มกันทุกปีนะ”

“ข้ารู้ก็แล้วกัน”

“ท่านไอดิเอลนี่ก็แปลกนะ เหมือนจะไม่สนใจอะไร แต่ก็รู้ไปทุกเรื่องเลย” โอเรนที่นั่งอยู่บนศีรษะของคาริกอีกทีตั้งข้อสังเกต “หรือเพราะเป็นจอมเวทเลยรู้ทุกอย่าง?”

“ไม่ใช่หรอก” ไอดิเอลว่า “เพราะข้าอยู่มานาน ถ้าไม่สมองทื่อจนเกินไป เรื่องพื้นๆ ก็ต้องรู้ทั้งนั้นแหละ”

“เรื่องสอบของคาริกก็เป็นเรื่องพื้นๆ หรือ?”

“ใช่แล้วล่ะ”

“งี้นี่เอง แล้วท่านไอดิเอลต้องสอบด้วยไหม? ข้าหมายถึงท่านเคยสอบแบบที่คาริกกำลังจะไปสอบรึเปล่า?”

“เขาไม่ต้องสอบหรอกน่า” คาริกรีบตอบแทนให้ “เขาเก่งขนาดนี้แล้วยังต้องสอบอะไรอีกเล่า”

“อ๋อ เพราะท่านไอดิเอลเก่งแล้วเลยไม่ต้องไปสอบ ส่วนเจ้ายังไม่เก่งเลยต้องไปสอบสินะ”

“...ก็ประมาณนั้นแหละ”

“แต่ถ้าไม่เก่งไปสอบแล้วจะเก่งขึ้นหรือ อย่างท่านไอดิเอลเก่งแล้วก็ไม่ต้องสอบนี่ สรุปแล้วการสอบทำให้เก่งขึ้นจริงๆ รึเปล่า?”

“....”

“ข้าอยู่มาก่อนที่จะมีการสอบน่ะ” ในที่สุดไอดิเอลก็พูดขึ้นต่อ “สมัยก่อนตอนที่สมาคมคุ้มกันเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ ก็ไม่มีการสอบหรอก แค่มีคนมาทำงานนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ต่อมาพอประชากรเยอะขึ้น ก็มีคนหันมาสนใจทำอาชีพนี้มากขึ้น ทางสมาคมก็เลยจัดการสอบขึ้นมาเพื่อวัดคุณภาพของสมาชิกว่าใครมีฝีมืออยู่ในระดับไหนและควรจะรับงานแบบไหนได้บ้าง มันสะดวกทั้งคนจ้างและคนถูกจ้างน่ะ เพราะงั้นคนที่เก่งก็จะสอบผ่านแต่ละระดับได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ไม่เก่งถ้ากลับไปฝึกฝนตัวเองดีๆ เพื่อให้ผ่านการสอบ ก็จะกลายเป็นคนเก่งได้เหมือนกัน”

คราวนี้เจ้ามังกรพยักหน้าหงึก “งั้นถ้าคาริกสอบไม่ผ่านเขาก็ต้องไปฝึกแล้วกลับมาสอบใหม่สินะ”

“ใช่แล้วล่ะ แต่ถ้าไปสมัครไม่ทันก็อย่าคิดเลยว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะงั้นเร่งม้าตามข้ามาเร็วๆ”

.......................................

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าอาเปสนั้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหรดี ท่าเรือเหาะนั้นตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร ขนาดเล็กกว่าที่ทริโกเนีย (ยิ่งไม่ต้องเทียบกับที่นครเวหา) มีโรงแรมขนาดเล็กหลายสิบแห่งตั้งอยู่รอบๆ ท่าจอดเรือเหาะ แม้จะไม่ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ท่าเรือเหาะของที่นี่มีถนนตัดตรงที่ปูด้วยหินสีแดง ขนาดกว้างพอให้รถหรือเกวียนขนาดใหญ่วิ่งเรียงหน้ากระดานกันได้ถึงสี่คัน พื้นถนนราบเสมอ สองข้างทางขนาบไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และเสาไฟส่องสว่างที่ก่อจากหินสีขาว ยามต้องแสงตะวันเป็นสีทองสว่างสุกใส ยามกลางคืนหากมีแสงไฟก็คงสวยงามไม่แพ้กัน สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกนำพาหนะขึ้นเรือเหาะมา ที่นี่ยังมีรถม้าเช่า ทั้งที่เป็นรถแบบนั่งได้ตั้งแต่สองคน ไปจนถึงรถม้าคันใหญ่แบบรถม้าประจำทางที่เทียมม้าด่างลากรถถึงหกตัวและบรรทุกผู้โดยสารรวมสัมภาระได้ถึงยี่สิบห้าคน ซึ่งเป็นสิ่งที่คาริกไม่เคยเห็นมาก่อน กำแพงเมืองของอาเปสนั้นสร้างจากหินสีแดง สูงเสียยิ่งกว่ากำแพงกันเสียงที่ทริโกเนีย ซุ้มประตูทางเข้าเมืองก่อด้วยหินสีขาว สองข้างประตูมีรูปสลักที่ดูเหมือนอัศวินยืนขนาบอยู่ พอพ้นกำแพงเมืองชั้นนอกไป จะเห็นบ้านเรือนที่สร้างจากหินสีแดงและไม้เรียงรายกันหนาแน่น แต่ละหลังถ้าไม่สูงชะลูดก็ใหญ่โตโอ่อ่า ถนนในเมืองกว้างขวาง มีที่จอดรถสาธารณะเป็นจุดๆ ตลอดสองข้างทางรายล้อมไปด้วยไม้ประดับ และสวนหย่อม มีนกตัวเล็กๆ และผีเสื้อสีสันสดใสบินฉวัดเฉวียนส่งเสียงร้องรับยามเช้า ผู้คนต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อบาง สีสันสวยงาม เดินยืดเส้นยืดสายบ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้าง อากาศก็ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป เรียกว่าสบายและมีบรรยากาศสดใสราวกับเมืองสวรรค์

“โอ้โห ที่นี่ต่างจากนครเวหาลิบลับเลย ข้าชอบที่นี่จัง มีต้นไม้สีเขียวอยู่ทุกที่เลย” โอเรนพูด คาริกพยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าไม่คิดเลยว่าอาเปสจะเป็นเมืองที่สวยงามน่าอยู่ขนาดนี้”

“นั่นสิ รู้สึกสงสารเจ้าชายเลยเนอะที่ต้องไปลำบากตั้งกระโจมนอนทั้งที่เคยอยู่ในเมืองที่น่าอยู่ขนาดนี้น่ะ”

“อาณาจักรหรดีมีชื่อเสียงในด้านการก่อสร้างอาคารที่ทำจากหินน่ะ” ไอดิเอลอธิบาย “พวกเจ้าจำที่พักรายทางที่เราผ่านตอนเดินทางไปทริโกเนียได้ไหม ที่นั่นสร้างจากหินสีแดงที่มีแหล่งหินอยู่ทางใต้ เป็นแหล่งหินขึ้นชื่อของอาณาจักรนี้เลย ในอาเปสมีการสร้างอาคารโดยใช้หินสีแดงนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนหินสีขาวมาจากแหล่งหินทางตอนเหนือ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจากอาณาจักรอื่นจึงมักขนานนามเมืองนี้ว่านครหลวงแห่งตะวันและจันทรา ซึ่งมาจากสีแดงและสีขาวของหินนี่แหละ”

“ท่านเวโรนิกาก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม” โอเรนพูดขึ้นต่อ “พวกเราจะได้พบนางรึเปล่า?”

“ข้าคิดว่าเราคงจะได้พบนาง” ไอดิเอลตอบ “แต่จุดประสงค์หลักของเราตอนนี้คือมองหาอาคารที่น่าจะเป็นที่ตั้งสมาคมคุ้มกันของอาเปส ข้าว่าน่าจะหาไม่ยากหรอกนะ”

สมาคมคุ้มกันประจำนครหลวงอาเปสตั้งอยู่ไม่ห่างจากเขตกำแพงเมืองชั้นนอกมากนัก ตัวตึกชั้นล่างสร้างจากหินสีแดง ส่วนชั้นสองและชั้นสามสร้างจากไม้ ทาสีขาวนวลตา ด้านหน้าเป็นสวนดอกไม้ดูร่มรื่น แม้จะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ตอนนี้ทางเดินซึ่งปูด้วยหินด้านหน้าถูกจับจองด้วยแถวของผู้คนที่ยาวราวกับหางว่าว

“นี่คือคนที่จะมาสอบเหมือนคาริกหรือ?” โอเรนถามขึ้นมา “แถวยาวมากนะเนี่ย เหมือนที่ท่านไอดิเอลพูดไว้เลย”

“ใช่แล้วล่ะ วันสุดท้ายก็จะคนเยอะแบบนี้แหละ” ไอดิเอลว่า คาริกถามขึ้นต่อ

“ว่าแต่คนเยอะขนาดนี้ แล้วทุกคนจะต้องต่อสู้กับสัตว์ยักษ์ในระดับที่จะสอบหรือ คงใช้พื้นที่เยอะน่าดูนะข้าว่า”

“คิดอะไรบ๊องตื้น” ไอดิเอลว่า “ทุกคนต้องผ่านการสอบพื้นฐานก่อน”

“หา สอบพื้นฐาน? คืออะไรน่ะ?”

“เดี๋ยวเจ้ากรอกใบสมัครแล้วเขาจะให้คู่มือมา ตอนนี้เจ้ารีบลงไปต่อแถวก่อนเถอะ ชักช้าเดี๋ยวจะต้องยืนจนถึงเย็น ข้าไม่รู้ด้วยนะ”

ทั้งคู่รีบบังคับม้าไปที่คอกม้า เจ้าหน้าที่พอเห็นไอดิเอลก็ออกอาการตื่นเต้นทันที

“อ่า... ท่านประกายสีเงินให้เกียรติมาเยือนสมาคมของเราหรือครับ แต่ว่าวันนี้เป็นวันสมัครสอบวันสุดท้าย ข้าเกรงว่าด้านในจะวุ่นวายอยู่พอสมควร”

“ข้าพาผู้ช่วยมาสมัครสอบ” ไอดิเอลพูดพลางกระโดดลงจากหลังม้า เจ้าหน้าที่คนนั้นทำหน้าเหมือนได้ยินอะไรผิด

“สมัครสอบ? ผู้ช่วย? ผู้ช่วยของท่านยังต้องสมัครสอบอีกหรือครับเนี่ย ล้อเล่นแน่ๆ”

“เจ้าเห็นข้าเป็นคนชอบล้อเล่นหรือไง?”

“....”

จอมเวทถอนหายใจ “ผู้ช่วยคนนี้ไม่ใช่คนที่ข้าจ้างมาเป็นการชั่วคราว เขาคือผู้ช่วยถาวรของข้า จะดีมากถ้าเขาสามารถต่อคิวเข้ารับการสมัครในวันนี้ได้ทัน”

แม้จะมีสีหน้าสงสัยว่าทำไมจู่ๆ คนที่ได้ชื่อว่าออกเดินทางคนเดียวจนได้ฉายาประกายสีเงินเดียวดาย จะมีผู้ช่วยถาวรที่ยังต้องมาสอบเลื่อนระดับ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นจอมเวทและดูท่าจะไม่ใช่คนที่จะคุยเล่นด้วยได้ เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบบอกรายละเอียด

“อย่างนั้นท่านกรุณาฝากม้าไว้ที่นี่ แล้วไปต่อคิวตรงนั้นได้เลยครับ”

คาริกพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองไอดิเอล “แล้วท่านล่ะ?”

“ข้าจะเข้าไปคุยธุระที่สมาคม ถ้าข้าคุยธุระเสร็จแล้ว เจ้ายังต่อแถวอยู่ล่ะก็ ข้ากับโอเรนจะไปรออยู่ที่สวนประกายแสง ที่นั่นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของนครแห่งนี้ เจ้าถามทางเอาเดี๋ยวก็เจอ หาไม่ยากหรอก ส่วนโอเรนก็มากับข้าแล้วกัน”

คาริกผงกศีรษะ แล้วพูดกับโอเรน “เจ้าก็ไปกับท่านไอดิเอลเถอะ ไม่ต้องมาต่อแถวกับข้าหรอก”

“เจ้าดูแลตัวเองได้นะ”

“นี่ ข้าแก่กว่าเจ้าอีกนะ ไม่ต้องถามเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ ได้ไหม” คาริกโวย เจ้ามังกรจึงกระโดดจากศีรษะของเขาไปเกาะอยู่บนไหล่ของจอมเวท เจ้าหน้าที่ประจำคอกม้าจึงอดโพล่งออกมาไม่ได้

“อ๋า! ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นกระรอกพูดได้นะเนี่ย พวกท่านไปหามาจากไหนหรือ?”

“เสียมารยาท ข้าเป็นมังกรนะ” โอเรนร้อง ไอดิเอลจึงอธิบายต่อ

“เขาคือนูเบส โฟลิอุม เป็นมังกร เขาเป็นแขกของราชสำนัก เจ้าเองก็อย่าเสียมารยาทล่ะ”

“หา... มังกร ตัวเล็กจิ๋วแบบนี้เนี่ยนะ”

“ข้าบอกว่าเป็นมังกรก็คือมังกร” ไอดิเอลว่า “ถ้ามีเวลาว่างจากม้าพวกนี้ล่ะก็ ลองไปหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่านดูสักเล่มสิ จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

“อ่า...”

“ดูแลม้าของข้าให้ดี อัลบุสต้องการน้ำสะอาด อากาศที่ถ่ายเท ถ้าข้าเสร็จธุระกลับมาแล้วเกิดอะไรขึ้นกับม้าของข้าล่ะก็... เจ้าคงไม่อยากจินตนาการหรอกนะว่าข้าจะสาปอะไรเจ้าบ้าง”

“ครับๆ วางใจได้เลยครับ ข้าจะดูแลม้าของท่านเป็นอย่างดี”

“ท่านนี่ชอบขู่จริงๆ แฮะ” คาริกพูดขึ้นมา ไอดิเอลหันไปจ้องเขา

“ยังไม่รีบไปอีก ชักช้าข้าจะสาปเจ้าด้วย”

“ก็ได้ๆ ข้าไปล่ะ”

รอจนคาริกเดินไปเข้าแถวแล้ว ไอดิเอลก็หันมาถามคนเฝ้าคอกม้าต่อ “ประธานสมาคมอยู่ที่นี่วันนี้ไหม เขาสะดวกให้ข้าเข้าพบรึเปล่า”

“ท่านจาคอปอยู่ที่สามาคมครับ ข้าแน่ใจว่าเขาจะยินดีพบท่านแน่นอน”

..........................................

จาคอปเป็นประธานสมาคมคุ้มกันของอาเปส เขามีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสาขาในอาณาจักรหรดีทั้งหมด และแน่นอนว่าในวันที่มีการสมัครสอบ เขาจะอยู่ที่สมาคม คอยดูว่าในแถวของผู้สมัครนั้นมีใครที่ดูมีแววบ้าง ยิ่งคนในสมาคมคุ้มกันมีฝีมือมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้สมาคมคุ้มกันมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น ปีที่แล้วเขาได้สมาชิกสมาคมที่สอบผ่านระดับห้ามาถึงสิบคน นับว่ามากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเทียบกับสมาคมคุ้มกันของอาณาจักรอื่นก็ถือว่าน้อย อาจเป็นเพราะอาณาจักรหรดีค่อนข้างสงบและไม่ได้มีสัตว์ร้ายอาละวาดบ่อย สมาชิกส่วนใหญ่จึงมีทักษะรับมือกับศัตรูระดับพื้นๆ เท่านั้น จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่จะว่าอีกทีมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีในฐานะประธานสมาคมเช่นกัน

“ท่านประธานครับ ท่านประกายสีเงินเดียวดายมารอขอพบครับ” เลขาหน้าห้องที่เปิดประตูเข้ามาดึงความสนใจของเขาไปจากหน้าต่าง จาคอปหันไปมองทันที

“ข้าบอกแล้วไงว่าถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆ วันนี้ข้าไม่รับแขก”

“แต่... เอ่อ... ท่านประกายสีเงินเดียวดายมานะครับ... นักล่าที่มีชื่อเสียงและเป็นจอมเวทคนนั้นน่ะครับ ที่เพิ่งสังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน”

“หา! โอ้! เทพแห่งแสงโปรด เขามาที่นี่หรือ เร็วเข้า รีบเชิญเขาเข้ามา”

หลังจากนั้นอึดใจ ไอดิเอลก็เข้ามายืนอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งนอกจากโต๊ะทำงานไม้ที่เต็มไปด้วยเอกสารกองโตแล้ว ผนังด้านข้างก็ประดับไปด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ของสัตว์ยักษ์ ที่มีทั้งที่ดูเก่าแก่มาก ไปจนถึงที่เหมือนเพิ่งถูกทำความสะอาดมาใหม่ๆ คงเป็นของที่ประธานสมาคมแต่ละรุ่นนำมาวางไว้เป็นที่ระลึกและประกาศความยิ่งใหญ่ของสมาคม จาคอปรีบเชิญจอมเวทให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าทันที

“อ่า อรุณสวัสดิ์ครับท่านไอดิเอล ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบท่านในวันนี้”

“ข้าเองก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกัน” ไอดิเอลว่า “เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ ข้ามาที่นี่เพื่อถามว่าเจ้าพอจะอนุโลมให้มีการสอบข้ามระดับไหม สำหรับคนที่ไม่เคยสอบวัดระดับเลยจะสามารถเข้าสอบระดับสูงสุดได้เลยหรือเปล่า?”

“ถ้าเป็นท่านล่ะก็ ข้าสามารถออกไปรับรองพิเศษให้ได้เลยครับ”

“ไม่ใช่ข้า” ไอดิเอลว่า “เป็นผู้ช่วยของข้า... ข้ารู้ว่าคนที่มีใบรับรองระดับห้าจะถูกยอมรับในวงกว้าง สามารถขอเอกสารเดินทางข้ามอาณาจักรได้สะดวกกว่าคนที่มีใบรับรองในระดับต่ำกว่าหรือว่าไม่มีเลย ตอนนี้ข้ามีผู้ช่วยคนนึง ซึ่งไม่เคยเข้าสอบมาก่อน เจ้าไม่ต้องถามหรอกนะว่าทำไมข้าถึงรับผู้ช่วยที่ไม่มีใบรับรอง เอาเป็นว่าข้ามีเหตุผลของข้า เขาก็เป็นคนที่สังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่แคนเดนส์ เจ้าคงจะได้ยินข่าวแล้ว ข้าต้องการให้เขามีใบรับรองระดับห้าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง”

“เอ่อ... ที่จริงแล้วใช่ว่าข้าอยากจะปฏิเสธหรือไม่เชื่อถือท่านหรอกนะครับ แต่ว่าการสังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่แคนเดนซ์เป็นฝีมือของท่านไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยๆ ที่คนส่วนใหญ่พูดถึงก็เป็นแบบนั้น หากผู้ช่วยของท่านมีฝีมือที่จะสามารถสังหารสัตว์ร้ายระดับนั้นได้ด้วยตัวคนเดียวข้าคงจะออกใบรับรองให้ได้ไม่ยาก แต่...”

“อ้อ... ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าออกใบรับรองให้เขาเลยหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “ข้าแค่ถามว่าเจ้าพอจะอนุโลมให้เขาเข้าสอบในระดับห้าเลยได้ไหมก็แค่นั้นเอง ส่วนเขาจะผ่านหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเขานั่นล่ะ”

จาคอปมองเขาอึดใจก่อนจะพยักหน้า “ปกติแล้วการสอบเลื่อนระดับต้องทำเป็นขั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าสอบจะมีศักยภาพพอที่จะสอบในระดับต่อไปได้ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าสอบเอง การจะให้ข้ามไปสอบระดับห้าเลย โดยทางทฤษฏีก็ทำได้หรอกนะครับ แต่ในด้านความปลอดภัยข้าเกรงว่า...”

“ก็ไม่เป็นไร ความปลอดภัยของเขาเป็นปัญหาของข้า ที่ข้าอยากรู้คือเจ้าอนุโลมให้เขาเข้าสอบในระดับห้าเลยได้ไหม มันจะส่งผลอะไรกับสมาคมของเจ้ารึเปล่า จะทำให้เจ้าเสียชื่อเสียงไหม?”

“หากท่านและผู้ช่วยของท่านจะลงนามในหนังสือยินยอมไม่เอาเรื่องราวหากเกิดเหตุไม่คาดฝันในระหว่างการสอบที่ทำให้ถึงกับชีวิต ทางข้าและสมาคมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ อย่างที่ข้าได้แจ้งไปแล้วว่าโดยหลักการก็เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง”

“ก็ได้ เอาหนังสือมาสิ ข้าขอดูรายละเอียดสัญญาก่อนว่ามันมีข้อผูกพันอะไรและมีอะไรที่ข้าให้สัญญาไม่ได้บ้าง”

“ครับ ขอเวลาข้าร่างหนังสือสักครู่นะครับ”

“ว่าแต่คาริกจะไหวหรือ?” โอเรนที่เกาะอยู่บนไหล่ของจอมเวทกระซิบขึ้น “ขนาดสู้กับผีดาบที่ท่านส่งมาก่อนหน้านี้เขายังจะแย่เอาเลยนะ ท่านจะให้เขาไปสู้กับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ๆ มันจะดีหรือ?”

“มันก็ต้องลองดูน่ะนะ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายนี่นา คนที่บาดเจ็บยังไงก็เป็นข้าอยู่แล้วไม่ใช่เขาสักหน่อย”

“ไม่เข้าใจการเรียงลำดับความสำคัญของท่านจริงๆ นะเนี่ย” โอเรนพูดพลางสั่นศีรษะ

ในที่สุดจาคอปก็ร่างเอกสารเสร็จ ไอดิเอลรับมาอ่านอยู่พักก็พยักหน้า เขาเอ่ยปากขอซองจดหมายกับเจ้าตัว

“เดี๋ยวข้าให้ผู้ช่วยเซ็นแล้วจะให้เขาเอามาให้เจ้าด้วยตัวเองแล้วกัน ขอบใจนะ”

“ครับ แต่รบกวนท่านบอกหน่อยได้ไหมครับว่าผู้ช่วยของท่านชื่ออะไร”

“คาริก... คาริกแห่งคีท”

.....................................

กว่าที่คาริกจะได้กรอกใบสมัคร ดวงตะวันก็คล้อยต่ำจากศีรษะไปเยอะแล้ว ถึงเขาจะเคยเดินทางติดกันหลายวัน แต่ยืนต่อแถวนานขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรก หลายคนที่มีประสบการณ์พกเอาอาหารติดตัวมา ส่วนเขาเพราะรีบออกจากที่พักตั้งแต่เช้า และไม่มีเสบียงอะไรติดตัวเลยนอกจากน้ำดื่ม เลยได้แต่ต้องเอาน้ำลูบท้องประทังความหิว ถ้าเทียบแล้วก็คงจะดีกว่าตอนหนีออกมาจากอาณาจักรบูรพานิดหน่อย ตรงที่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ แต่ยืนตากแดดต่อแถวเกือบหนึ่งวันก็สูบพลังงานไม่น้อยเช่นกัน

คู่มือการสอบนั้นไม่ได้เป็นหนังสือเล่ม แต่เป็นกระดาษแผ่นใหญ่ที่พับทบๆ กัน พอคลี่ออกด้านในก็มีรายละเอียดในการเข้าสอบ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจอ่าน พอกรอกใบสมัครและรับเอกสารแล้ว เขาก็รีบมาที่คอกม้าทันที คาริกรู้ด้วยความรู้สึกว่าไอดิเอลไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว เขาจึงถามทางเอากับเจ้าหน้าที่หน้าคอกม้า และขับม้าไปยังสวนประกายแสงทันที

สวนประกายแสงหาไม่ยากอย่างที่ไอดิเอลว่า แค่ขี่ม้าตรงไปตามทางเดินผ่านกำแพงเมืองชั้นสองซึ่งเตี้ยกว่าชั้นแรกและมีความวิจิตรตะการตากว่า ก็จะเห็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีรูปสลักของเทพแห่งแสงตั้งตระหง่านอยู่ แสงอาทิตย์ยามอัสดงทาบทารูปสลักจนกลายเป็นสีทองอมแดงคล้ายดั่งมีอำนาจของเทพแห่งแสงมาสถิตอยู่จริงๆ แต่คาริกหิวจนไม่มีกะใจจะชื่นชมความงาม เขาชะเง้อมองหาไอดิเอล และพบว่าเจ้าตัวยืนรออยู่ที่ฐานของรูปสลักนั่นเอง

“เจ้ามาได้เวลาพอดี” จอมเวทพูดขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเขา “ข้าจองโต๊ะที่หอแดงเอาไว้ สายนิดหน่อยเขาคงยังไม่ยกเลิกหรอก”

“หอแดง?” คาริกทวนคำ “บอกข้าให้ชื่นใจหน่อยสิว่ามันคือร้านอาหาร ไม่ใช่แหล่งบันเทิงครบวงจรอะไรของท่านน่ะ”

“มันคือภัตตาคารที่ขึ้นชื่อของที่นี่” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงหิวจนแทบจะกินแมกนิส คอร์นิบัสได้ทั้งตัว เพราะงั้นเลยสั่งอาหารชุดใหญ่เตรียมไว้ให้แล้ว”

คาริกเกาศีรษะอย่างเขินๆ ขณะขี่ม้าตามไอดิเอลออกไป “ไม่คิดว่าท่านจะคิดถึงปากท้องข้าขนาดนี้นะเนี่ย”

“ข้าเคยปล่อยให้เจ้าอดสักมื้อหรือไง”

“ก็ไม่เคยนะ... เอ่อ... ข้าหมายถึง ไม่คิดว่าท่านจะจองภัตตาคารเพื่อเลี้ยงอาหารข้าเลยน่ะ นี่คงไม่ได้หักจากเงินเดือนของข้าหรอกนะ”

“เงินเดือนเจ้าสามเดือนยังไม่พอจ่ายค่าอาหารมื้อเดียวของที่นี่เลย” ไอดิเอลว่า “ข้ายังไม่หักจากเงินเดือนเจ้าหรอก ข้ามีเหตุผลของข้าที่จองที่นี่น่ะ”

“คงไม่ใช่เพราะสาวๆ หรอกนะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “นั่นเป็นเหตุผลหลักของผู้ชายส่วนใหญ่เลยนะ เจ้าพูดอย่างกับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายงั้นแหละ”

“...สรุปแล้วมันเป็นภัตตาคารจริงๆ ใช่ไหม?”

“เจ้าวางใจเถอะ” โอเรนพูดแทรกขึ้นมา “ที่นั่นเป็นภัตตาคารจริงๆ ข้ากับท่านไอดิเอลไปมาแล้ว ท่านไอดิเอลเลือกที่นั่นเพราะมีน้ำแร่ที่ดีน่ะ แล้วก็มีห้องอาหารส่วนตัวที่ไม่มีใครคอยมานั่งจ้องด้วย”

คาริกหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั่นยักไหล่อีก “ถึงข้าจะดื่มแค่น้ำเปล่า แต่ข้าก็เลือกน้ำที่ดื่มเหมือนกัน มีอะไรแปลกหรือไง”

“นั่นสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงยิ้มออกมา ไอดิเอลชายตามองหน่อยหนึ่ง แล้วชักม้านำหน้าไป

............................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-03-2022 10:27:33
13/3/2565 แก้ไขชื่อสถานที่ไม่ตรงกับบทก่อนหน้า

A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่22 ความผิดบาปที่ไม่มีวันชดใช้ได้หมด


ถนนในตัวเมืองชั้นในปูด้วยหินสีแดงเหมือนตัวเมืองชั้นนอก แต่มีความเล็กและเรียบกว่ามาก มีรถม้าที่ทำจากไม้บ้างเหล็กบ้าง วิ่งกันประปราย แต่ละคันตกแต่งอย่างสวยงาม แตกต่างจากรถม้าที่ใช้ขนของของกองคาราวานที่คาริกเคยเห็นลิบลับ และแทบไม่เห็นคนขี่ม้าบนถนนเลย

ภัตตาคารที่ว่าอยู่ห่างจากสวนประกายแสงไม่มากนัก ตอนที่ไอดิเอลยกมือให้หยุดม้า คาริกรู้สึกแปลกใจพอสมควร เขาคิดว่าภัตตาคารที่จอมเวทเลือก จะเป็นอาคารใหญ่โตที่ประดับตกแห่งอย่างหรูหรา แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขากลับเป็นตึกสูงสองชั้น ชั้นล่างสร้างด้วยหินสีแดง ชั้นบนสร้างด้วยไม้ ขนาดราวสองคูหา ลักษณะการตกแต่งดูเหมือนที่อยู่อาศัยของคนพอมีอันจะกินในคีทหรือแคนเดนส์มากกว่าจะเป็นภัตตาคารหรูเสียอีก ด้านหน้ามีป้ายเล็กๆ แขวนไว้ เขียนตัวอักษรอ่านได้ว่า

‘หอแดง’

ด้านหน้าอาคารมีคอกม้าเล็กๆ สร้างจากไม้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา จุม้าได้ราวๆ สี่ตัว ไอดิเอลกระโดดลงจากหลังม้า แล้วจูงอัลบุสไปผูกไว้ในคอก คาริกเลยจำต้องทำตาม ด้านในคอกสะอาดสะอ้าน มีรางน้ำสำหรับม้าและหญ้าสดใส่ไว้จนเต็ม ดูเหมือนเพิ่งเตรียม และยังไม่มีร่องรอยการใช้งานเลย

“บ้านหลังเล็กๆ ที่ต้องเอาม้ามาผูกเองแบบนี้เป็นภัตตาคารได้ด้วยหรือ?” คาริกถามด้วยความสงสัยหลังก้าวออกมาจากคอกม้าแล้ว “ฟังจากชื่อข้าคิดว่าเป็นอาคารสูงๆ ที่มีคนต้อนรับเสียอีก”

“ปกติแล้วข้าไม่ชอบสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านหรอกนะ” ไอดิเอลตอบเขา ขณะใช้ไม้เท้าเคาะประตูเป็นเสียงดังก๊อกๆ สามครั้ง ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นต่อ

“ถ้าไม่เห็นป้ายกับไม่บอกก่อน ข้าคิดว่าท่านมาบ้านเพื่อนนะเนี่ย”

“ในอดีตเมื่อนานมาแล้วก็เคยเป็นบ้านของเพื่อนข้าล่ะนะ” ไอดิเอลตอบ จังหวะนั้นประตูก็เปิดอ้าออก หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ หน้าตาเกลี้ยงๆ ไม่ได้ตกแต่งเครื่องประทินโฉม สวมเสื้อผ้าสีพื้นๆ โผล่หน้าออกมา ก่อนจะรีบเชื้อเชิญให้ทั้งหมดเข้าไปด้านใน

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านไอดิเอล อาหารกับน้ำเตรียมไว้พร้อมแล้ว เชิญที่ชั้นสองเลยค่ะ” นางพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ก่อนจะนำทั้งสองเดินผ่านห้องโถงเล็กๆ ที่มีโต๊ะอาหารวางอยู่สองตัว บันไดวนทำจากไม้เนื้อแข็งสีออกน้ำตาล ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นมาถึงชั้นสองที่สร้างจากไม้ แสงที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เป็นบานเกล็ดซึ่งสร้างจากไม้ และโคมไฟแก้วสีเขียวที่ทำขึ้นอย่างประณีตสะท้อนให้เห็นการตกแต่งอย่างเรียบง่ายภายใน นอกจากตู้ไม้ที่ใช้วางของประดับที่ส่วนใหญ่เป็นชุดเครื่องเคลือบและอุปกรณ์ทำอาหารแล้ว ตรงกลางก็มีโต๊ะอาหารที่ทำจากไม้โต๊ะใหญ่วางอยู่ มีเก้าอี้ล้อมหกตัว ไอดิเอลเลือกนั่งหันหลังให้กับบันได คาริกจึงนั่งลงฝั่งตรงข้าม หญิงสาวคนนั้นนำเหยือกน้ำและแก้วสามใบมาตั้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะขอตัวกลับลงไปที่ชั้นล่าง พอนางคล้อยหลังออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นต่อ

“นี่สินะ น้ำแร่ที่ท่านพูดถึง”

“ใช่แล้วล่ะ” ไอดิเอลพูดพลางรินน้ำลงในแก้ว ก่อนจะเลื่อนส่งให้คาริก “พวกเจ้าชิมดูสิ”

โอเรนกระโดดลงมานั่งบนโต๊ะแล้วก้มลงเลียน้ำในแก้ว ขณะที่คาริกยกขึ้นดื่ม

“อืม... ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ก็น้ำธรรมดานี่นา”

“เหรอ แต่ข้าว่ามันเป็นน้ำที่มีพลังงานหมุนเวียนอยู่มากกว่าน้ำที่เคยดื่มมานะ” โอเรนออกความเห็นหลังเงยหน้าขึ้นจากแก้วแล้ว คาริกเลิกคิ้ว แล้วขอเหยือกน้ำจากไอดิเอลมาเติมเพื่อดื่มอีก พอเห็นเจ้าตัวทำหน้าเหมือนว่า ‘ก็ไม่เห็นจะต่างตรงไหน’ ไอดิเอลจึงพูดขึ้นมา

“ท่าทางเจ้าคงไม่มีสัมผัสในเรื่องพวกนี้สินะ อาจเป็นเพราะร่างกายเจ้ามีพลังงานไหลเวียนอยู่สูงมาก ขนาดทำสัญญากับจอมเวทอย่างข้าแล้ว เจ้าก็ยังสัมผัสถึงความต่างของพลังงานไม่ได้เลย”

“หรือไม่เขาก็อาจจะทึ่มเกินไป” โอเรนว่า คาริกหันไปเอ็ดทันที

“น้อยๆ หน่อยเถอะ การที่ข้าดื่มน้ำนี่แล้วแยกไม่ออกมันทำให้ข้าดูทึ่มตรงไหนกัน!”

“ที่จริงแล้วไม่นับเรื่องนี้เจ้าก็ดูทึ่มๆ อยู่แล้วน่ะนะ”

“เอาล่ะๆ” ไอดิเอลพูดแทรกเพื่อยุติสงครามน้ำลายที่มีท่าทีว่าอาจจะปะทุขึ้นเร็วๆ นี้ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าสมัครเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เขาให้เอกสารเตรียมสอบมารึเปล่า? ได้เปิดอ่านหรือยัง?”

“เอกสารน่ะได้มาอยู่หรอก” คาริกว่า “แต่ยังไม่ได้เปิดอ่านเลย บอกท่านตรงๆ นะว่าข้าหิวมาก ไม่มีอารมณ์จะอ่านอะไรหรอก”

“อ๋อ หรือเพราะว่าเจ้าหิวมาก ถึงได้ดื่มน้ำอึกๆ แล้วไม่รู้สึกอะไรเลย”

“เงียบเถอะน่า” คาริกว่าก่อนจะล้วงเอกสารที่ได้รับแจกยื่นส่งให้ไอดิเอล จอมเวทรับมา จังหวะเดียวกันนั้นหญิงสาวคนเดิมก็เดินขึ้นมาพร้อมกับถาดใส่อาหาร กลิ่นของมันหอมเสียจนคาริกเกือบจะเผลอน้ำลายไหล เธอวางถาดอาหารตรงหน้าเขา ก่อนจะขอตัวลงไปชั้นล่าง พอเปิดออกมาก็เห็นข้าวผัดชามใหญ่ขนาดสี่คนกินอยู่ด้านใน ตกแต่งอย่างประณีตสวยงามต่างจากข้าวผัดที่คาริกเคยกินลิบลับ พอใช้ช้อนตักขึ้นมากินก็แทบน้ำตาไหลด้วยความอร่อย กินไปได้สองคำ แกงชามใหญ่และถาดเนื้อย่างก็ถูกนำขึ้นมาวาง ทุกอย่างมีปริมาณมาก และตกแต่งอย่างสวยงาม ยังมีควันกรุ่นและส่งกลิ่นชวนหิวแตะจมูก ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่อาหารง่ายๆ พวกนี้ช่างประณีตและรสชาติดีเสียยิ่งกว่าอาหารที่เขากินที่ทริโกเนียและบนหอคอยโลหะเสียอีก

ขณะที่คาริกก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไอดิเอลก็ก้มลงอ่านเอกสารในมือ โอเรนที่กินใบ้ไม้จนอิ่มก่อนหน้านี้แล้วจึงกระโดดมานั่งบนไหล่ของเขา

“เป็นแผ่นกระดาษหรือ ข้าคิดว่าคู่มือสอบจะเป็นหนังสือเล่มเสียอีก”

“มันเป็นของที่ต้องทำแจกจำนวนมากทุกปี ทำเป็นแผ่นๆ แบบนี้จะประหยัดต้นทุนมากกว่าทำเป็นเล่มน่ะ”

“แบบนี้นี่เอง ว่าแต่คาริกต้องทำอะไรบ้าง เขาต้องไปสู้กับสัตว์ประหลาดแบบไหนเพื่อให้ได้ใบรับรองระดับห้ากันล่ะ ข้ายินดีที่จะช่วยนะ”

“ข้าคิดว่าเขาคงไม่อนุญาตให้คนนอกที่ไม่ได้สมัครเข้าไปช่วยหรอกนะ” ไอดิเอลว่าพลางพลิกดูเอกสาร “ก่อนที่เขาจะไปสู้กับตัวอะไร ก็คงต้องผ่านการสอบพื้นฐานไปก่อนนั่นแหละ เพราะนี่เป็นการสอบครั้งแรกของเขา ถ้าจะละเลยการสอบพื้นฐานไปเลยก็คงจะเสียมาตรฐานของสมาคมไปน่ะนะ”

“สอบพื้นฐานนี่ยังไงหรือ?” เจ้ามังกรถามต่อ “ต้องสู้กับตัวอะไรรึเปล่า?”

“ไม่ต้องหรอก แค่ตอบคำถามประมาณยี่สิบสามสิบข้อ เกี่ยวกับกฎของสมาคม ข้อห้ามต่างๆ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสมาคมน่ะ”

“อ๋อ มันเป็นสิ่งที่คาริกรู้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”

“มันเป็นสิ่งที่เขา ‘ควร’ จะรู้น่ะนะ แต่คงต้องถามเขาเองว่ารู้รึเปล่า”

โอเรนหันไปหาชายหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตากวาดข้าวผัดและแกงใส่ปากเหมือนกลัวจะมีใครแย่งทันที

“นี่ คาริก เจ้าตอบคำถามพวกนี้ได้รึเปล่า?”

คาริกเงยหน้าขึ้นมาแบบคนเพิ่งนึกได้ว่ามีคนอื่นร่วมโต๊ะอยู่ด้วย “หา เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

“นี่เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้ากับท่านไอดิเอลคุยกันเลยหรือไง”

“ข้ากินอยู่นะ จะไปได้ยินเรื่องที่พวกเจ้าคุยกันได้ไง”

“เจ้าใช้หูกินข้าวหรือไงเนี่ย!?”

“เขาตั้งใจกินมากคงไม่ได้ยินหรอก” ไอดิเอลว่า “รอเขากินเสร็จก่อนค่อยถามก็ได้ ข้าไม่ได้รีบอะไร”

“นี่ท่านมีคำถามที่ต้องให้ข้าเท่านั้นเป็นคนตอบหรือ?” คาริกพูดขึ้นต่อ ไอดิเอลพยักหน้า ชายหนุ่มจึงรีบกลืนอาหารลงคอทันที

“งั้นถามมาเลย อยากรู้จริงว่าท่านจะถามข้าเรื่องอะไร”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าเจ้าตอบคำถามในเอกสารพวกนี้ได้รึเปล่าน่ะ”

“หา!” ชายหนุ่มร้อง ทำสีหน้าผิดหวังเต็มที่ “ท่านกำลังพูดถึงเอกสารสมัครสอบนั่นอยู่หรอกหรือ งั้นรอข้ากินเสร็จก่อนแล้วกัน” พูดจบเขาก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าต่อ โอเรนพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรของเขาเนี่ย ตะกี้ยังทำท่ากระตือรือร้นจะตอบอยู่เลย พอบอกว่าเป็นคำถามในเอกสารก็ทำเสียงเหมือนผิดหวังซะงั้นอ่ะ อยากให้ท่านไอดิเอลถามอะไรกันแน่เนี่ย”

“คงอยากให้ถามว่ามีคนรักหรือยังล่ะมั้ง”

คาริกเกือบสำลักข้าวที่กินอยู่ เขารีบหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอักๆ ทันที

“ใครอยากให้ท่านถามเรื่องนั้นกันเล่า!”

“อ้อ ข้าเดาผิดหรือนี่ ช่างเถอะ ถ้าเจ้าตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้ คงต้องมีบทเรียนเตรียมสอบให้เจ้าล่ะนะ”

“ขอข้ากินให้เสร็จก่อนค่อยพูดกันเรื่องนี้ไม่ได้หรือไง”

“ก็ได้ๆ”

คาริกใช้เวลาหลังจากนั้นไม่นานก็จัดการอาหารตรงหน้าหมด ขณะที่ไอดิเอลนั่งนิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไร โอเรนเลยต้องพลอยนั่งเงียบไปด้วย พอดื่มน้ำล้างคอเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ค่อยพูดขึ้นมา

“เอาล่ะ ข้าอิ่มแล้ว บอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้ายังไม่มีคนรักหรอก”

“ข้ารู้แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ในการสอบวัดระดับทุกครั้ง เจ้าจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับกฎของสมาคม และกฎเกณฑ์ต่างๆ เดี๋ยวข้าจะลองอ่านทำถามให้เจ้าฟังนะ ดูว่าเจ้าจะตอบถูกมั้ย?”

“ถามมาสิ”

“ข้อแรก หากการจ้างกินเวลานานกว่าที่กำหนด ผู้จ้างหรือผู้ถูกจ้างจะต้องเป็นฝ่ายชำระมูลค่าที่เกิดขึ้น”

“ถามแปลก ก็ต้องผู้จ้างสิ”

“ผิด”

“หา!” คาริกร้องขึ้นมา “ท่านรู้ได้ไงว่าผิด ตามกฎก็บอกอยู่ว่าถ้าการจ้างงานเกินเวลาที่กำหนด ผู้จ้างจะเป็นผู้จ่ายค่าแรงล่วงเวลา”

“นั่นมันข้อแรกบรรทัดที่หนึ่ง” ไอดิเอลว่า “ตามกฎแล้วผู้จ้างเป็นผู้จ่ายต่อเมื่อการเกินระยะเวลาเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากผู้จ้างเอง กรณีที่การเกินเวลาเกิดจากผู้ถูกจ้าง ผู้จ้างสามารถร้องเรียนกับทางหน่วยงานกำกับด้านกฎหมายของพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าเกิดจากผู้ถูกจ้างจริง ผู้ถูกจ้างอาจไม่ได้รับค่าจ้างเกินเวลา และอาจจะถูกปรับค่าเสียหายอีกด้วย”

“เดี๋ยวๆ นี่ท่านรู้ได้ไง อย่าบอกนะว่าท่านพกหนังสือกฎของสมาคมติดตัวมาด้วย”

“ข้าไม่มีหรอก แต่คิดว่าเจ้าน่าจะมีนะ ทำไมไม่หยิบออกมาเปิดดูล่ะ”

คาริกรีบก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมารื้อทันที สักพักก็ดึงเอาสมุดยับๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดู หลังผ่านไปอึดใจ เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดตอบ

“เป็นอย่างที่ท่านว่า ท่านรู้ได้ไงเนี่ย เคยอ่านกฎพวกนี้ด้วยหรือ?”

“ข้าเป็นคนช่วยเขียนและปรับปรุงเอง จะไม่รู้ได้ไง” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ คาริกล่ะอยากจะเอาหนังสือกฎเคาะหัวตัวเองสักที

“ในเมื่อท่านพูดแบบนี้นะ เรื่องข้อสอบนี้ข้าก็ขอให้ท่านช่วยสอนให้ก็แล้วกัน”

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงข้าจะขอให้จาคอปอนุญาตให้เจ้าสอบข้ามไปที่ระดับห้าได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ผ่านข้อสอบพื้นฐานพวกนี้ ก็คงจะเสียชื่อข้าน่าดูล่ะนะ”

“เดี๋ยวนะ ไอ้เรื่องที่ท่านควรจะกังวลจริงๆ มันคือเรื่องที่ข้าจะสอบระดับห้าไหวไหมไม่ใช่หรือไง แล้วสรุปท่านขอให้เขาให้ข้าสอบข้ามระดับได้จริงๆ หรือเนี่ย?!"

“แน่นอนสิ แค่เจ้าต้องลงชื่อในหนังสือยินยอมเท่านั้นเอง” พูดพลางล้วงซองจดหมายออกมาจากอกเสื้อ คาริกขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าไอดิเอลใส่ทุกอย่างลงไปในนั้นหมดเลยหรือไง ชายหนุ่มรีบฉวยมาเปิดอ่านทันที

“นี่มันอันตรายขนาดถึงตายเลยนะเนี่ย ท่านจะให้ข้าลงชื่อเนี่ยนะ?!”

“โวยวายอะไรเล่า ข้าอ่านแล้วไม่เห็นว่ามีข้อผูกมัดอะไรวุ่นวาย อีกอย่างเจ้าก็ไม่ตายหรอก”

คาริกหรี่ตามองเขา “ถ้าข้าตายท่านก็ตายด้วยไม่ใช่หรือไง อย่าบอกนะว่าสมมติข้าถูกแทงทะลุอกอีกแล้วท่านจะช่วยข้าได้เหมือนครั้งก่อนน่ะ”

ไอดิเอลลอยหน้าลอยตาตอบเขา “ยากอะไรเล่า ระหว่างที่เจ้าไปสอบ ข้าก็ไปหาผู้ชายแข็งแรงมาเตรียมไว้สักสี่ห้าคน แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”

“หา! มันเกี่ยวอะไรกับผู้ชายแข็งแรงสี่ห้าคนล่ะ?” โอเรนถามขึ้นด้วยความอยากรู้ แต่ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบ คาริกก็พูดสวนขึ้นมา

“ข้าเข้าใจแล้ว! ยังไงท่านก็จะให้ข้าสอบให้ได้ใช่ไหม ข้าจะเอาตัวรอดไม่ให้บาดเจ็บหนักก่อนแล้วกัน ไอ้สอบผ่านหรือไม่ผ่านค่อยว่ากันอีกที”

“เจ้าต้องสอบให้ผ่าน” ไอดิเอลว่า “ไม่งั้นสิ่งที่ข้าทำลงไปจะเสียแรงเปล่า”

ขณะที่คาริกสงสัยว่าไอดิเอลออกแรงทำอะไรถึงขั้นที่ต้องบอกว่าเสียแรงเปล่า จอมเวทก็พูดขึ้นต่อ “ไม่ต้องกังวลไป นอกจากข้อสอบพื้นฐานแล้ว เรื่องการต่อสู้ข้าก็จะสอนให้เจ้า กำหนดสอบพื้นฐานคือพรุ่งนี้ เขาจะสุ่มออกคำถามที่อยู่ในเอกสารนี่ประมาณสิบถึงยี่สิบข้อ ถ้าเจ้าตอบถูกหมดก็จะผ่านการทดสอบ ส่วนกำหนดสอบปฏิบัติ คิดว่าพรุ่งนี้จาคอปน่าจะส่งคนมาบอกเจ้าอีกที คืนนี้ข้าจะเคี่ยวเข็ญสอนเจ้าเกี่ยวกับคำตอบในเอกสารนี่ จนแน่ใจว่าเจ้าจำได้ครบทุกข้อ เพราะงั้นเจ้าวางใจได้เลย”

เถียงไปคงป่วยการเปล่า เพราะลองถ้าไอดิเอลอยากให้เขาทำอะไร ก็คงต้องให้ทำให้ได้นั่นแหละ คาริกจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูด

“งั้นก็แล้วแต่ท่านเถอะ ว่าแต่คืนนี้เราจะพักกันที่ไหน?”

“นอกเมือง” ไอดิเอลว่า “เจ้ามีถุงนอนใช่ไหม ข้าต้องการพื้นที่สำหรับฝึกทักษะการต่อสู้ของเจ้า ข้าดูทำเลไว้แล้ว ถ้าเจ้าอิ่มแล้วเราจะได้ออกเดินทางกันเลย”

..............................

คำว่านอกเมืองของไอดิเอลนั้นไกลกว่าที่คาริกคิดไว้มาก พวกเขาขี่ม้าออกนอกกำแพงเมือง ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจอมเวทจึงหยุดม้า คำนวณจากความเร็วของม้าทั้งคู่ นี่น่าจะห่างจากเมืองมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะข้ามเมืองแล้ว สถานที่ที่พวกเขาหยุดม้า ดูเหมือนเป็นซากปรักหักพังของวิหารหรืออะไรสักอย่าง มีต้นไม้ขึ้นบ้าง แม้คาริกจะไม่มีสัมผัสเกี่ยวกับพลังงานเหมือนโอเรนหรือไอดิเอล แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่น่ามีเรื่องดีเกิดขึ้นมาก่อน

“ท่านตั้งใจพักแถวนี้หรือ? บอกตรงๆ นะ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย ซากพวกนี้เคยเป็นอะไรมาก่อนน่ะ”

“เคยเป็นวิหารที่ใช้สะกดพลังของอสูรที่มีชื่อว่าเอเวิร์ส เป็นอสูรที่ถือกำเนิดขึ้นจากความเคียดแค้นของดวงวิญาณที่ตายในระหว่างการระเบิดครั้งใหญ่น่ะ”

“อ่า... ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่” คาริกว่า “เล่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว แผ่นดินนี้มีอสูรนามว่าเอเวิร์สครอบครองอยู่ ราชวงศ์คานิเทียที่รวบรวมมนุษย์ที่เหลือรอดจากการระเบิดครั้งใหญ่ ตั้งใจจะสร้างอาณาจักรบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ จึงได้สู้รบกับจอมอสูรเอเวิร์สซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากรากเหง้าความชั่วของโลก จนโค่นมันลงได้และสามารถตั้งอาณาจักรขึ้นมาได้ในที่สุด ข้าไม่คิดว่าอสูรจะมีจริงๆ นะเนี่ย คิดว่าเป็นแค่สัตว์ร้ายที่อันตรายมากๆ เท่านั้นเอง”

“ผืนดินของแต่ละอาณาจักรเคยมีอสูรครอบครองอยู่” ไอดิเอลว่า “พวกมนุษต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งผืนดินสำหรับอยู่อาศัยอีกครั้ง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกนะ”

“เพราะงี้ที่นี่จึงมีแต่พลังงานไม่ดีเต็มไปหมดสินะ” โอเรนว่า “ขนาดบื้อๆ อย่างคาริกยังรู้สึกได้เลย”

“ใช่แล้วล่ะ ‘รากเหง้าความชั่วของโลก’ ที่คาริกพูดถึงเมื่อตะกี้ ที่จริงแล้วมันคือความคั่งแค้นของดวงวิญญาณของผู้คนและสรรพสัตว์ ที่ถูกพรากชีวิตไปในการระเบิดครั้งใหญ่ รวมถึงในสงครามก่อนหน้า ข้าคิดว่าคงเพราะพลังจากศิลาแห่งมารดร จึงทำให้อสูรพวกนี้ถือกำเนิดขึ้นมา เหมือนๆ กับพวกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกยุคเก่า การระเบิดทำให้พลังแห่งศิลากระจายไปทั่ว และรวมตัวกับพลังงานที่มีอยู่เดิม ถือกำเนิดสิ่งใหม่ขึ้นมาน่ะ”

“รวมถึงข้าด้วยสินะ” โอเรนว่า “ท่านบอกว่าข้าเป็นมังกรที่ถือกำเนิดหลังจากการระเบิดใช่ไหม?”

“ใช่แล้วล่ะ คาริกด้วย เขาเองก็เป็นมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างผิดปกติเพราะพลังของศิลาเหมือนกัน”

“อย่างนั้นก็แปลว่าทั้งข้า คาริก และอสูรที่ท่านพูดถึง มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันน่ะสิ”

“อืม... เรียกว่าการกลายพันธุ์มีจุดร่วมกันน่าจะถูกกว่าล่ะนะ”

“ท่านให้ศัพท์ยากอีกแล้ว” โอเรนว่า “ว่าแต่ถ้าคาริกเกิดมาจากพลังงานของศิลา แล้วทำไมเขาถึงสัมผัสกับพลังงานอะไรไม่ได้เลยล่ะ”

“คงเพราะเขาเป็นมนุษย์ล่ะมั้ง มนุษย์แต่เดิมไม่ได้ถูกสร้างหรือวิวัฒนาการมาให้รองรับกับพลังงานพิเศษพวกนี้ น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเดียวที่ไม่มีสัมผัสด้านนี้เลยล่ะ กราวิสเองก็สัมผัสกับพลังงานโดยตรงไม่ได้หรอกนะ เท่าที่ข้าจำได้ เพียงแต่เขาผ่านการต่อสู้มาเยอะมาก เลยรู้ได้จากประสบการณ์น่ะ”

“แล้วท่านล่ะ?” โอเรนถามต่อ “ท่านมีลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์มาก แค่สีผมและสีตารวมถึงสีผิวแปลกไปเท่านั้นเอง ท่านเคยบอกว่ามันเกิดมาจากการทดลองใช่ไหม จริงๆ แล้วท่านเป็นมนุษย์มาก่อนหรือเปล่า?”

“อืม...” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ “ถ้าอ้างอิงจากตำนานที่ข้าพอจะจำได้ เกี่ยวกับหมู่บ้านที่ข้าอยู่ล่ะก็นะ... พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเทวีแห่งความมืดสร้างขึ้นเพื่อรักษาศิลาให้ปราศจากมลทิน ข้าไม่แน่ใจว่าใช่คำนี้รึเปล่า ถ้าถามเวโรนิกาหรือฟัยรุซาอาจจะได้คำตอบที่ชัดเจนก็ได้ ในตำนานของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของเทพแห่งแสง หากดูจากตำนานประจำเผ่า และโครงสร้างภายในรวมถึงความสามารถแล้ว ข้าไม่คิดว่า ‘พวกเรา’ จะเป็นมนุษย์ในความหมายของมนุษย์หรอกนะ อีกอย่างพวกเขาไม่เคยเห็นเราเป็น ‘มนุษย์’ แต่แรก เพียงแค่พยายามสร้างเรื่องให้พวกเราเชื่อว่าตัวเองเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะได้ต่อสู้เพื่อมนุษย์เท่านั้นเอง สรุปแล้วข้าไม่คิดว่าตัวเองเคยเป็นมนุษย์ในความหมายทั่วไปมาก่อนหรอก”

“แต่ท่านก็ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากับพวกมนุษย์ตลอดนะ” โอเรนว่า “บางทีข้าก็ประหลาดใจกับการตัดสินใจของท่านมากๆ เลยล่ะ”

“มันเป็นเรื่องของความอยู่รอดน่ะ” ไอดิเอลว่า “ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของข้าดำรงอยู่ แต่หากวันหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่ของข้าจะต้องถึงจุดสิ้นสุด ข้าก็คงจะต้องยอมรับนั่นล่ะ”

“ท่านหมายถึงคำทำนายสินะ” คาริกว่า “ท่านเชื่อในคำทำนายนั่นจริงๆ หรือ?”

ไอดิเอลมองเขา แล้วคลี่ยิ้มที่สังเกตยาก “เจ้าไม่อาจสั่งห้ามความเชื่อของใครได้หรอกนะ แม้แต่ข้าเองก็ด้วย จอมเวทแต่ละคนมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานมาก การมีชีวิตยาวนานโดยไม่อาจสืบเผ่าพันธุ์ ไม่อาจสร้างครอบครัว มีชีวิตอยู่เพื่อดูการเกิดและการตายของคนที่รัก ทำให้จอมเวทหลายคนชืดชากับความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนนี้ และข้าบอกได้เลยว่า ‘เป้าหมาย’ ที่ข้าเคยมอบให้พวกเขาเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้น บางทีตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่ทำให้พวกเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ข้าไม่อาจเดาใจผู้อื่นได้ แต่คิดว่าคงไม่จอมเวทไม่น้อยที่หากได้ทราบเกี่ยวกับคำทำนาย จะยินดีเข้าร่วมเพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากคุกอันเป็นนิรันดร์นี้ หากคำทำนายเกิดขึ้นจริง สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ นี่ไม่ใช่ความผิดของเหล่าจอมเวท ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกทางไหน ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลย หากจะหาใครที่เป็นฝ่ายผิด เจ้าสามารถโทษข้าได้เต็มที่”

“ทำไมล่ะ?” โอเรนร้องขึ้นมา “ท่านทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์และจอมเวทคนอื่นๆ มามากมายขนาดนี้ ท่านจะเป็นคนผิดในเรื่องนี้ได้ยังไง”

ไอดิเอลถอนหายใจ “ศิลาแห่งมารดรจะไม่ตกไปอยู่ในมือของมนุษย์โดยง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของบรรพชน ความเขลาและความอ่อนต่อโลกของข้า ทำให้เกิดหายนะต่อเผ่าพันธุ์ของข้าและโลกนี้ หากจะมีใครเป็นคนเปิดประตูแห่งความหายนะเมื่อครั้งอดีต คนคนนั้นก็คือข้าเอง”

“แต่เพราะท่านถูกล่อลวงไม่ใช่หรือไง ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์นะ”

“เจ้าไม่อาจใช้ข้ออ้างของความเขลามาแก้ต่างให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้หรอก ในเมื่อบรรพชนได้เขียนจารึกที่คอยเตือนสติเจ้าอยู่ตลอดเวลา” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ “นี่คือความผิดบาปแห่งความเขลาของข้า บาปที่ข้าชดใช้เช่นไรก็ไม่มีวันจบสิ้น”

จู่ๆ คาริกก็ดึงร่างของจอมเวทเข้าไปกอดจากด้านหลัง โอเรนถึงกับอ้าปากเหวอด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีทาง ข้าจะไม่มีวันโทษท่านแน่” ชายหนุ่มพูด “ท่านช่วยชีวิตข้านะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่มีทางโทษท่านแน่นอน”

“แม้ว่าสุดท้ายมนุษย์จะถูกกวาดล้างไปทั้งหมด โดยที่ข้านิ่งดูดายไม่ทำอะไรงั้นหรือ?”

“แต่ท่านเคยบอกว่าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม... ท่านไม่พูดโกหกไม่ใช่หรือ?”

“ใช่แล้ว ข้าไม่พูดโกหกหรอก แต่การสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจไม่ได้มาจากสงครามก็ได้”

“หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็... ข้าจะไม่โทษท่านเลย”

“....” ไอดิเอลนิ่งไปอึดใจ ก็คลี่ยิ้มออกมา “เจ้าน่ะเป็นคนอ่อนโยนมากนะ ทั้งที่เจ้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแท้ๆ แต่ความอ่อนโยนของเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือยับยั้งหายนะได้หรอก เช่นเดียวกับความเขลาและไร้เดียงสาที่ข้าเคยมี”

“ไม่เป็นไร ให้ท่านรู้ไว้ว่าข้าจะไม่มีวันโทษท่านก็พอ”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากฟังจากปากเจ้าเลย... แต่ก็ไม่ได้เหนือคาดหมายเท่าไหร่หรอก เฮ้อ...”

“....”

“เจ้าจะรัดข้าแบบนี้อีกนานไหม ถึงข้าจะหยุดหายใจได้เป็นร้อยปี แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะรู้สึกสบายถ้าต้องถูกรัดไว้แบบนี้หรอกนะ”

นั่นแหละ คาริกถึงคลายแขนออก เขาทำหน้าแบบคนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี ไอดิเอลเลยใช้นิ้วดีดหน้าผากเขาเบาๆ

“ทำหน้าทุกข์ใจอะไรแบบนั้นเล่า นี่เรายังไม่เริ่มการเรียนการสอนกันเลยนะ ไว้เจ้าจำที่ข้าอธิบายไม่ได้ แล้วค่อยทำหน้าแบบนั้นเถอะ”

คาริกฉวยมือของจอมเวทเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ท่านนี่น้า... เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย ให้ตายสิ”

..............................................
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-03-2022 00:04:29
จะสอบยังไงน้อออ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 07-05-2022 16:13:45
อยากอ่านต่อแล้ว สนุกมาก