พิมพ์หน้านี้ - My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: monrita ที่ 01-06-2019 15:04:22

หัวข้อ: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 01-06-2019 15:04:22
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน




------------------------------------------------------

ลิมเบิร์กคิดว่าตนนั้นช่างเป็นราชาแสนอ่อนแอทั้งยังเป็นบิดาที่ไม่ได้ความ อีกไม่นานอำนาจของตระกูลกำลังจะสั่นคลอน
เพื่อรักษาชีวิตของบุตรชายเพียงคนเดียวที่เป็นโอเมก้าจึงได้ตัดสินใจยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับอัลฟ่าจากดินแดนทางเหนือ

ด้วยเหตุนั้น ขบวนวิวาห์เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าขึ้นทางเหนือ ดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนราวกับดินแดนแห่งความฝัน

ซินเธียไม่มีทางเลือกมากนัก ชีวิตในต่างแดนมันอาจจะน่ากังวลแต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงไม่เท่าชายผู้นั้น

แอชลีย์ คิม


------------------------------------------------------



'แอชลีย์ ?'

'...'

'นี่คุณ คุณน็อทเหรอ!?'

'...โทษทีนะ'

'...'

แอชลีย์ คิม ไหนบอกว่าเราจะต่างคนต่างอยู่ไง แล้วการที่คุณมาสร้างพันธะกับผมแบบนี้หมายความว่ายังไง!!!



หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 01-06-2019 15:06:59




บทนำ
[/b]




สายลมของฤดูร้อนพัดวูบ สี่เท้าของอาชาควบผ่านจนดอกไม้ริมทางลู่ไปตามลม นัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายสดใสจดจ้องไปยังจุดหมายแน่วแน่ ควบทะยานผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี ธารน้ำสีใสเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์น้ำแหวกว่ายรับแสงตะวัน สูดรับกลิ่นแห่งชีวิต



กระโจมหลังโตสีขาวจำนวนมากค่อยๆ ปรากฏเข้าสู่ครรลองสายตาทีละน้อย เช่นเดียวกับความเร็วของอาชาคู่ใจกำลังลดลง จนกระทั่งหนึ่งคนหนึ่งม้าลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ยักษ์อายุมากกว่าร้อยปีสองต้นซึ่งเอนเข้าหากันคล้ายซุ้มประตู ในแต่ละด้านของต้นไม้นั้นมีชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำสองคนยืนเฝ้าอยู่ พวกเขาโค้งตัวลงเพื่อทำความเคารพผู้ที่กำลังควบม้าผ่านทางไป



ตลอดทางนั้นยังมีผู้คนอีกมากมายส่งยิ้มทักทายและผงกหัวให้ตลอดแนวทาง อาชีร่า ม้าเร็วพันธุ์ดี ขนสีขาวงามสง่าเยื่องกายพาผู้เป็นนายเดินผ่านกระโจมแล้วกระโจมเล่าไปอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งสองมือของผู้เป็นนายยื้อบังเหียนขึ้นเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงกระโจมหลังโต ดูโออ่า ที่ด้านหน้าทางเข้านั้นมีชายวัยกลางคนกำลังยืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมผู้ตืดตามอีกสามถึงสี่คน



เด็กหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าคู่ใจ มือข้างหนึ่งรูดผ้าผูกผมออกส่งผลให้เส้นไหมสีจินเจอร์นั้นสยายเต็มแผ่นหลัง สีของมันเป็นประกายยามล้อกับแสงตะวันยามเช้า



“กลับมาแล้วหรือ”



“ท่านพ่อ” เด็กหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้แก่บิดาหลังจากส่งม้าให้กับผู้ดูแล



“สบายใจขึ้นแล้วสินะ”



ลิมเบิร์ก วาเลน ส่งยิ้มอ่อนโยนแต่ก็มีแววอ่อนล้าอยู่ในทีให้กับบุตรชายคนเดียวของตนพลางมองสบคนตรงหน้าด้วยความคิดหลากหลายภายในหัว



แก้วตาดวงใจของเขานั้นชื่นชอบการขี่ม้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ชาวแดนใต้อย่างพวกเรานั้นใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เชี่ยวชาญการขี่ม้าและล่าสัตว์ เด็กคนนี้ก็เป็นดังเช่นคนอื่น เรียกได้ว่าแทบจะจับธนูขึ้นหลังม้าได้ก่อนการหัดวิ่งได้เสียอีก และทุกครั้งเมื่อมีเรื่องใดในใจ การได้ออกไปขี่ม้าลัดเลาะไปตามทิวเขาทำให้เด็กคนนี้ราวกับได้รับการปลอบประโลม เพื่อคลายความรู้สึกกังวลในใจแล้วเจ้าตัวมักจะออกไปขี่ม้าคนเดียวเสมอ



ใบหน้าคมดูงดงามดั่งมารดาผู้ล่วงลับ รูปร่างสูงโปร่งภายใต้เสื้อแขนกุดสีน้ำเงินเข้มผูกโบเส้นเล็กตรงคอปกเสื้อเผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด ปลายขากางเกงสีเข้มถูกเก็บไว้ภายใต้รองเท้าบูทสีเดียวกันยาวขึ้นมาจนถึงหัวเข่ามองดูให้ความรู้สึกทะมัดทะแมงกว่าโอเมก้าทั่วไปตามแบบฉบับชาวแดนใต้ นิ่งพินิจอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปพยักหน้าให้กับผู้ติดตามด้านหลัง ชายคนนั้นเดินไปส่งเสื้อคลุมตัวยาวให้แก่บุตรชาย



ซินเธียรับเสื้อคลุมตัวนั้นมาสวม ยกมือขึ้นลูบเส้นผมยาวถึงบั้นเอวของตัวเองให้เรียบร้อยกว่าเดิมก่อนจะหันไปมองขบวนรถม้าทางขวามือของบิดาซึ่งจอดรอเตรียมพร้อมเดินทางมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นานาเองก็ถูกขนขึ้นไปจนหมด



ตัวรถม้าหลังโตถูกประดับประดางดงามสมเกียรติ ม้าที่ใช้ก็ถูกคัดเลือกตัวที่ดีที่สุด วิ่งเร็วที่สุด และแข็งแรงที่สุดในธอร์น

เสบียงสำหรับการเดินทางถูกตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อจะให้แน่ใจว่าระหว่างการเดินทางตลอดห้าวันนี้ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีและราบรื่น รวมถึงผู้ติดตามขบวนเจ้าสาวในครั้งนี้ก็ถูกคัดเลือกอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกัน



“พร้อมหรือยังลูกรัก”



ลิมเบิร์กลูบหลังมือของบุตรชายโอเมก้าหนึ่งเดียวด้วยความรักใคร่เคล้าอาวรณ์



ปีนี้ซินเธียร์อายุได้ยี่สิบเต็มแล้ว แม้จะเติบโตมาโดยไร้มารดาสั่งสอนแต่ชายแก่ผู้นี้ก็ทุ่มให้ความรักและดูแลให้เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างสง่างามและเข้มแข็ง วันนี้มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะปล่อยให้อีกคนได้บินออกจากใต้ปีกนี้



ซินเธียกอดบิดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละออกมา เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้ายังคงไว้ซึ่งความเรียบเฉยทว่าแววตากับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและเข้มแข็ง



หลังจากวันนี้เป็นต้นไปซินเธียจะต้องเดินทางออกจากบ้านเกิดจากไปยังแดนแสนไกล



ดินแดนที่ได้ชื่อว่าหลับใหลอยู่ใต้เหมันต์ฤดูตลอดกาล ณ สถานที่แห่งนั้นมีอัลฟ่าผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่ากำลังจะเป็นคู่ชีวิตของเขากำลังรอคอยอยู่



ชายผู้มุ่งในอำนาจและมีหัวใจเหน็บหนาวดั่งดินแดนแห่งนั้น



แอชลีย์ คิม แห่งวินเทอร์ฟอล



“ครับ พร้อมแล้ว”







TBC

ฝากติดตามน้องซินเธียและคุณแอชลีย์ไว้ด้วยนะคะ /ไหว้ย่อ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-06-2019 21:50:21
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 02-06-2019 21:12:48

บทที่ 1




รถหรูสีดำขลับเคลื่อนเข้าสู่คฤหาสน์กลางขุนเขา ทันทีเมื่อรถจอดเทียบประตูทางเข้าด้านใน มีพ่อบ้านสูงวัยยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ชายชราค้อมตัวอย่างเคารพเมื่อสองเท้าก้าวลงมาจากฝั่งคนขับ


“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชายคิม” เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองเรียกรอยยิ้มเบาบางจากอัลฟ่าหนุ่มร่างสูงใหญ่


“สวัสดีครับ”


“คุณท่านอยู่ในสวนด้านหลังครับ”


เขาพยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งวางกุญแจรถลงบนฝ่ามือหยาบกระด้างตามช่วงวัยภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาด ชายชราค้อมตัวส่งแขกสูงศักดิ์ของวันนี้แล้วจึงหมุนตัวช่วยนำรถไปจอดเก็บไว้ยังที่เหมาะสมแทน


แอชลีย์ คิม ก้าวเข้าไปยังด้านใน ผ่านโถงรับแขกซึ่งถูกประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่ายังให้กลิ่นอายของความสูงศักดิ์และหรูหราตามแบบฉบับตระกูลใหญ่อันเก่าแก่ผู้เรืองอำนาจ


ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในการมาเยือนทว่าคฤหาสน์มัวร์ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาหาใช่ความเงียบเหงาดั่งกาลก่อน อัลฟ่าหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกแบบนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะใสๆ ที่ดังลอดมาจากสวนด้านหลังก็เป็นได้


สองเท้าก้าวอย่างมั่นคงมาจนถึงสวนด้านหลัง ครรลองสายตาปรากฏเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีและต้นไม้น้อยใหญ่ถูกประดับประดาอย่างมีรสนิยม หากจะหาสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คงเป็นแปลงดอกกุหลาบขาวช่อโตพวกนั้น แม้แต่ผู้ชายแข็งทื่ออย่างแอชลีย์เองก็ยังอดจะทิ้งสายตาไปยังพวกมันไม่ได้


ใกล้กันกับแปลงดอกกุหลาบมีโต๊ะเหล็กดัดสีขาวตั้งอยู่ ที่นั่งฝั่งหนึ่งถูกจับจองไปด้วยอัลฟ่ารูปร่างสูงสวมใส่เชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนกับกางเกงผ้าสบายๆ สำหรับวันพักผ่อนกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ ข้างกันคือโอเมก้าคู่ชีวิตเจ้าของนัยน์ตาสีทับทิมงดงาม สายตาของทั้งคู่กำลังจับจ้องไปยังจุดเดียวกันใบหน้าประดับรอยยิ้มและเต็มไปด้วยความรักใคร่ นั่นก็คือที่มาของเสียงหัวเราะแสนสดใสที่เขาได้ยินนั่นเอง


เด็กชายตัวน้อยกำลังโยนลูกบอลทรงกลมโต้ตอบไปมากับอีกหนึ่งอัลฟ่าที่แอชลีย์คุ้นตาดี เส้นผมสีบลอนด์เป็นประกายยามกระทบกับแสงแดดพลิ้วไสวไปมายามเจ้าตัวน้อยกระโดดโหยงๆ ส่งลูกบอลให้กับชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นคุณอา พออีกฝ่ายพลาดรับไม่ได้ก็ส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ


“ครอบครัวสุขสันต์ดีจริงๆ นะ” เสียงทุ้มเอ่ยทักเมื่อเดินเข้าไปใกล้ผู้ใหญ่ทั้งสองตรงโต๊ะน้ำชา คำพูดคล้ายหยอกเล่นหากแต่ใบหน้านั้นยังคงความเรียบเฉย ราวกับแค่พูดประชดไปแบบนั้น


“มาแล้วเหรอ”


คนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่วางแก้วลงบนจานรอง คาร์ลิน ไล เชื้อเชิญให้แขกคนที่สองของวันนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางหันไปเรียกสาวใช้ให้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ


“ชาหรือกาแฟดีล่ะ”


“น้ำเปล่า” คนเป็นแขกกระตุกยิ้มมุมปาก เรียกการส่ายหน้าอย่างอ่อนใจจากเจ้าบ้าน บอกกล่าวให้สาวใช้เข้าไปนำน้ำเปล่าออกมา


“แล้วนี่จะเดินทางตอนไหน”


“อีกสองชั่วโมง เลยแวะมาลาท่านจ่าฝูงก่อน”


“ไปรอรับขบวนตรงชายแดนใช่ไหม” คนที่มัวเล่นกับหลานเสียเพลินเดินมาทรุดตัวนั่ง ใบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดตามไรผมเล็กน้อย การทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กนี่เผาผลาญพลังงานไปมากพอกับตอนฝึกเลยให้ตาย คุณชายแบล็กวู้ดยกชาขึ้นดื่มไปอึกใหญ่


“คุณแม่~”


คุณชายน้อยวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของมารดา พอถูกยกตัวขึ้นนั่งตักก็ยกมือขึ้นกอดรอบเอวบางหมับซบใบหน้าลงกับแผ่นอกแสนอบอุ่น ส่งเสียงออดอ้อนพึมพำกันอยู่สองคนไม่ได้รบกวนบทสนทนาของผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย


“อืม คิดว่าคงต้องใช้เวลาราวๆ ห้าวันกว่าขบวนจะเดินทางเข้าเขตวินเทอร์ฟอล”


“ไกลเหมือนกันนะ ดินแดนทางใต้น่ะแต่ถึงจะเป็นระยะทางประมาณนั้น ขับรถมาก็ไม่น่าจะเกินสองวันนะ”


 “ที่แห่งนั้นไม่มีรถใช้เหมือนกับพวกเราหรอก การเดินทางเลยอาจจะต้องนานมากหน่อย” คาร์ลินกล่าว “ห้าวันก็นับว่าเร็วมาก ถึงจะใช้ม้าเร็วพันธ์ดี”


“รถม้าเหรอ พึลึกชะมัด” โรเมโอลูบคางอย่างใช้ความคิด ฝ่ายแอชลีย์ผู้กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวเองก็ไม่ได้เอ่ยความเห็นตอบอะไรกลับไป


เจ้าบ่าว...


ใครต่างก็ไม่คาดคิดว่าหลังงานวิวาห์แสนหวานชื่นของหัวหน้าจ่าฝูงกับคุณชายตระกูลมัวร์จบลงไปแล้วผ่านไปไม่กี่ปีจะถึงคราวของที่ปรึกษาอย่างผู้นำตระกูลคิมคนใหม่ผู้นี้


หากจะย้อนไปคงต้องกล่าวไปถึงวันที่ทางวินเทอร์ฟอลได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง มันถูกส่งตรงมาจากผู้ได้รับการขนานนามว่าราชาจากดินแดนทางใต้ ในเนื้อความนั้นกล่าวถึงการก่อกบฏเพื่อแย่งชิงอำนาจระหว่างผู้นำคนปัจจุบันซึ่งบัดนี้กำลังและอำนาจอ่อนแอเกินไปกับหนึ่งในที่ปรึกษาของตนเอง


ดินแดนทางเหนือและใต้นั้นเป็นพันธมิตรกันมานาน แต่กล่าวถึงระยะทางแสนห่างไกลทำให้ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้ไปมาหาสู่หรือติดต่อกันนัก เรื่องราวในแต่ละดินแดนเองก็ไม่มีฝ่ายใดรับรู้ชีวิตการเป็นอยู่ของกันและกัน มีเพียงสัญญาระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่มีให้แก่กันมานานว่าเราจะไม่ล่วงล้ำอาณาเขตกัน


ในจดหมายลับฉบับนั้นยังกล่าวถึงเรื่องการขอความช่วยเหลืออีกว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย


ว่าด้วยเรื่องตระกูลวาเลนอันเป็นผู้นำของแดนใต้นั้นก็เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่ในอดีตเคยเรืองไปด้วยอำนาจไม่แตกต่างจากสี่ตระกูลหลักของทางวินเทอร์ฟอล เพียงแต่บัดนี้ผู้นำคนปัจจุบันอ่อนแอเกินไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามหนึ่งในนั้นว่ากันว่าเป็นเพราะผู้นำหรือที่คนแดนใต้เรียกขานว่าราชาสูญเสียคู่ชีวิตไป และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่พวกเขากำลังจะถูกช่วงชิงอำนาจ และวาเลนจะต้องถึงคราวล่มสลาย


วาเลนซึ่งไร้สิทธิเสียงในดินแดนที่ได้ชื่อว่าบ้านเกิดเมืองนอนของตนจึงคิดว่าการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้นำของวินเทอร์ฟอลจะทำให้การคงอยู่ของตระกูลเป็นไปได้ด้วยดี และการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีที่สุดจะมีอะไรนอกจากงานวิวาห์ระหว่างทั้งสองตระกูลกันล่ะ แน่นอนด้วยความสัมพันธ์อันลึกซึ้งอย่างคู่ชีวิต ทางวินเทอร์ฟอลก็ถือว่ามีอำนาจในแดนใต้เช่นเดียวกัน และทันทีที่พวกเขามีทายาทออกมาแล้วล่ะก็ เด็กคนนั้นมีสิทธิและอำนาจเต็มในแดนใต้อย่างไม่ต้องสงสัย


น่าเสียดาย เมื่อคาร์ลิน ไล หัวหน้าจ่าฝูงคนปัจจุบันนั้นมีคู่ชีวิตอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาปฏิเสธการรับทายาทเพียงคนเดียวของวาเลนมาเป็นคู่ชีวิตคนที่สอง แม้ทางวาเลนจะยื่นข้อเสมอใดมาก็ตาม


ฝ่ายตระกูลที่เหลือนั้นก็มีท่าทางกระอักกระอวนใจไม่น้อย การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นับเป็นเรื่องปกติ หากการแต่งงานที่ว่านั้นเกิดจากตระกูลภายในวินเทอร์ฟอลหรือฝูงอื่นจากเขตใกล้เคียงอย่างเมืองทางตะวันออก พวกเขาต่างไปมาหาสู่และทำการค้าขายกันบ่อยครั้ง แตกต่างจากดินแดนทางใต้ ซึ่งเป็นดินแดนที่แสนห่างไกล มีเพียงเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษในนิทานก่อนนอนเท่านั้นที่กล่าวถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา


ได้ยินมาว่าผู้มาจากดินแดนทางใต้นั้นชอบล่าสัตว์ พวกเขามักจะชอบนอนกลางดินกินกลางทรายมากกว่าการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังโต อากาศที่นั่นทั้งร้อนและเต็มไปด้วยแสงแดดแผดเผา ผู้คนสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเต็มไปด้วยเหงื่อไคล ผมเผ้ารุงรัง นิสัยดุดันและน่ากลัว แม้แต่โอเมก้าหรือหญิงสาวก็ยังมีพละกำลังรุนแรง ร่างกายบึกบึนไม่น่าคบหารากับคนเถื่อน เรื่องเล่าลือเหล่านั้นฝังเป็นภาพจำของชาวแดนเหนือเสียจนชายหนุ่มเจ้าสำราญอย่างโรเมโอ แบล็กวู้ดก็ยังโบกมือปฏิเสธ


คำขอร้องนั้นเกือบจะถูกเมินเฉยไปแล้วทว่าผู้นำของตระกูลคิมคนใหม่อย่างแอชลีย์กลับยื่นมือคว้ามันเอาไว้อย่างไม่ลังเล แม้จะถูกเพื่อนพ้องยับยั้งให้คิดซ้ำอีกกี่ครั้งก็ตาม จนสุดท้ายคาร์ลินก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจและตอบรับจดหมายฉบับนั้นกลับไปจนกำลังจะเกิดเป็นงานวิวาห์ระหว่างสองดินแดนขึ้นในอีกไม่ช้านี้


เป็นอย่างที่รู้กันดีว่าผู้ชายอย่างแอชลีย์ คิมนั้นไม่สนอะไรนอกจากอำนาจ ต่อให้การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการคลุมถุงชนเขากลับยินดีไขว่คว้าข้อเสนอนั้น


ถ้าเพื่ออำนาจแล้ว


ข้อนั้น คนที่เคยเกือบจะแตกหักฆ่ากันให้ตายไปข้างอย่างคาร์ลินรู้ดีเลยล่ะ






ขบวนรถม้าขนาดเล็กเคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตป่าสนในช่วงบ่ายของวัน หลายคนเริ่มมีรอยยิ้มหลังจากเร่งเดินทางกันมากว่าห้าวันสี่คืน ถนนเล็กๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสูงใหญ่ขนาบไปตลอดทางช่วยบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นลงกว่าเดิม


ซินเธียแง้มผ้าม่านมองลอดออกไปยังภายนอกด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันแปลกใหม่ เสียงกระทบจากกำไลเงินเส้นเล็กบนข้อมือทั้งสองข้างดังขึ้นยามเมื่อเจ้าของร่างขยับกาย


“ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เขตของวินเทอฟอลแล้วครับ เจ้าชาย” เสียงจากผู้ติดตามดังขึ้นใกล้ๆ กับหน้าต่างของรถม้า


“อืม”


ซินเธียตอบกลับในลำคอพลางลูบลำแขนทั้งสองข้างของตัวเองไปมา เดาจากอากาศเริ่มเย็นลงแบบนี้ก็พอจะรู้แล้วล่ะ ชายหนุ่มเอนกายพิงกับหมอนอิงใบโตแล้วหลับตาลง ถึงแม้ว่าขบวนเจ้าสาวนี้จะไม่ได้ใหญ่โตเอิกเกริกอะไร สำหรับดินแดนทางใต้อย่างธอร์นแล้วข่าวการวิวาห์ไม่ได้ถูปป่าวประกาศออกไปมากนัก และเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนอะไรหลายๆ อย่างถึงไม่ได้ถูกจัดเตรียมได้อย่างยิ่งใหญ่ รถม้าขนาดพอดีแต่ก็มีความสะดวกสบายเพียบพร้อม การประดับตกแต่งตัวรถรวมถึงม้าพันธุ์ดีนี้ก็ถูกจัดเตรียมมาอย่างสมฐานะ มีผู้ติดตามอารักขาขบวนฝีมือดีไว้ใจได้เพียงไม่กี่คนแค่นั้นก็พอแล้ว


ขบวนเจ้าสาวครั้งนี้ไม่มีผู้ติดตามหรือสาวใช้ พวกเขาแค่ทำหน้าที่อารักขาขบวนเจ้าสาวเมื่อส่งถึงจุดหมายก็จะเดินทางกลับธอร์นทันที เมื่องานวิวาห์ถูกจัดขึ้นซินเธียจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลคิมแห่งวินเธอร์ฟอล ถึงแม้ว่าวาเลนจะล่มสลายลงแต่ซินเธียก็จะยังปลอดภัยภายใต้ปีกของผู้ชายคนนั้น แอชลีย์ คิม


พอคิดถึงตรงนั้นจิตใจที่สงบนิ่งมาตลอดห้าวันนี้ก็เริ่มหวั่นวิตกขึ้นมา โอเมก้าหนุ่มนึกย้อนไปถึงเมื่อหลายวันก่อน ช่วงเวลาก่อนตนจะออกเดินทาง ช่วงเช้ามืดภายในห้องนอนของตัวเอง เขานั่งอยู่หน้ากระจกบานโต ภาพของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งดวงตาสีเงินสะท้อนอยู่ภายในนั้น เส้นผมสีจินเจอร์ยาวระสะโพกกำลังถูกแคลร์สาวใช้คนสนิทช่วยสางให้อย่างถะนุถนอม


“กังวลหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้เป็นนาย บนใบหน้าฉายรอยยิ้มบางเบา แม้คนที่กำลังนั่งให้ตนสางเส้นผมอยู่ตอนนี้จะส่ายหน้าไปมา แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ดีว่าชายหนุ่มกำลังรู้สึกทั้งกังวล และอาวรณ์บ้านเกิดเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้จะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว


เดินทางไปยังดินแดนแสนไกล เพียงลำพัง คิดถึงตรงนี้สองมือมันก็อดจะสั่นไม่ได้ แคลร์เองก็กังวลไม่แพ้กัน สำหรับโอเมก้าที่ทำหน้าที่ดูแลคนตรงหน้ามาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วซินเธียเองก็ไม่แตกต่างจากน้องชายของเธอคนหนึ่ง


“…แคลร์”


“คะ?”


“จะเป็นอย่างไรนะ ที่แห่งนั้นน่ะ” หญิงสาวเก็บซ่อนอารมณ์อ่อนไหวต่างๆ เข้าไว้ส่วนลึกของจิตใจแล้วระบายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา วางแปลงผมลงบนโต๊ะแล้วเดินมาโน้มตัวจัดริบบิ้นเส้นเล็กตรงปกคอเสื้อให้เข้าที่โดยไม่ได้ตอบอะไรในทันที เธอหันไปหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มมาสวมให้เพื่อปกปิดผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดภายใต้เสื้อแขนกุดนั้น วุ่นอยู่กับการจัดนั่นจัดนี้อยู่นานแม้ว่าทุกอย่างมันจะดีอยู่แล้ว


“ดิฉันเคยได้ยินแม่เล่าเมื่อตอนยังเด็ก” หญิงสาวสวมกำไลเงินให้ผู้เป็นนายทีละอันอย่างตั้งใจ “ดินแดนแห่งนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โอบล้อมไปด้วยหุบเขาและป่าสนเขียวขจี”


“หิมะหรือ” นัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายขึ้นชั่วขณะ


สำหรับธอร์นแล้ว คำๆ นั้นช่างดูแปลกใหม่ ในเมื่อบ้านเกิดของเขาไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่ว่าจะช่วงไหนของปีก็ตาม พวกเราเติบโตอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ถูกโอบล้อมไปด้วยสายลมและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล


“ใช่ค่ะ ที่นั่นอากาศเย็นมากๆ เจ้าชายต้องใส่เสื้อตัวหนาๆ หน่อยนะคะ”


“...”


“ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ไปอยู่ที่นู่นคงมีอะไรหลากหลายอย่างไม่เหมือนกับที่นี้ อาหารอาจจะไม่ถูกปากไปบ้างแต่คุณก็ต้องอดทน”


แคลร์มองลึกเข้าไปภายในดวงตาสีเงินคู่นั้นซึ่งทอแววอาวรณ์ออกมาแม้จะบางเบาแต่มันก็ทำให้เธออดจะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของบุคคลผู้เปรียบเสมือนน้องชายคนนี้ไม่ได้


“และหากวันไหนคิดถึงก็ขอให้มั่นใจว่าท่านลิมเบิร์กและท่านเซรีน่าจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”


ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมจี้สีสร้อยคอทรงหยดน้ำแผ่วเบา อความารีนชิ้นนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวจากท่านแม่ที่มอบให้แก่ซินเธีย เขามักจะหยิบมันมาสวมทุกครั้งยามต้องออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ การออกลาดตระเวนหรือใดใดก็ตาม เพียงแต่ไม่มีครั้งไหนที่จะมีระยะทางห่างไกลจากดินแดนบ้านเกิดเท่าครั้งนี้


และคงเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะสามารถกลับมาได้อีกหรือไม่ ชายหนุ่มขยับมือกุมอความารีนในมือแน่นขึ้น


“เราจะดูแลตัวเอง”

 


“เจ้าชาย เรากำลังจะเข้าใกล้จุดนัดพบแล้วครับ”


เสียงเตือนจากผู้ติดตามคนเดิมช่วยดึงสติที่ล่องลอยไปไกลของโอเมก้าหนุ่มให้กลับมา


“ดูเหมือนพวกเขาจะมารออยู่แล้วครับ”


หัวใจของซินเธียเต้นแรงขึ้น เขาบีบมือของตัวเองแน่นเมื่อการเคลื่อนไหวของรถม้าลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดลง


กลิ่นไม่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะจมูกปลุกให้สัญชาตญาณการระแวดระวังของชนเผ่าผู้ล่าอย่างธอร์นถูกปลุกขึ้นมา และซินเธียรู้สึกว่าทั้งร่างของตนนั้นเกร็งขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านนอก ทว่ามันใกล้... ใกล้เสียจนคล้ายกับเจ้าตัวกำลังยืนอยู่หน้าม่านทึบซึ่งเป็นทางออกของรถม้าคันนี้


“ไอ้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนแมวตั้งท่าจะขู่นี่มันอะไรกัน”


เสียงนั้นพึมพำกับตัวเองถึงแม้ว่ามันจะเบาแต่สำหรับคนที่มีเพียงผ้าม่านกั้นเอาไว้ระหว่างกันอย่างซินเธียแล้วกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน สำเนียงทางเหนืออาจจะฟังยากไปบ้างแต่เขาก็เข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทุกอย่าง


แมวขู่? พูดบ้าอะไรของเขากัน


“ออกมาได้แล้ว พวกเรายังมีเรื่องต้องไปจัดการอีกเยอะ”


ซินเธียดึงสติของตัวเองกลับมาอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงจากคนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไปราวกับไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ชายหนุ่มเลิกผ้าม่านขึ้นด้วยหัวใจเต้นระรัว แวบแรกซินเธียแอบช้อนสายตาขึ้นไปมองสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นซึ่งกำลังเหลือบลงมองตนอยู่พอดิบพอดี


ราวกับโลกทั้งใบกำลังหยุดลง


ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้เสื้อโค้ทสีเข้ม ผิวของขาวซีดตัดกับกลุ่มผมสีดำสร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่โอเมก้าน้อยจากต่างแดน หนึ่งในนั้นคือความไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะทั้งบรรยากาศรอบตัวของผู้ชายคนนี้ กลิ่น หรือแม้กระทั่งความวูบไหวอันแปลกประหลาดภายในใจ


หลังพาตัวเองลงมาจากรถม้าได้แล้วอัลฟ่าคนนั้นก็คลุมอะไรบางอย่างลงมาบนร่างให้จนซินเธียสะดุ้งตัวโยน


“รีบเข้าเถอะ อีกไม่นานหิมะจะตกแล้ว”


เขาคนนั้นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ผินไปอีกด้านเพื่อสั่งให้ผู้ติดตามของตนเองไปจัดการบรรดาข้าวของของว่าที่เจ้าสาวให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นซินเธียก้มลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายโยนมาบนร่าง มันคือเสื้อคลุมขนสัตว์ และมันมีขนาดใหญ่มากพอจะสามารถคลุมร่างของเขาได้ทั้งตัว


พอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากขนสัตว์พวกนี้แล้วซินเธียก็ตระหนักได้ว่าเนื้อตัวของเขาก่อนหน้านี้มันเย็นมากจริงๆ อาจเพราะมัวแต่ตื่นเต้นรวมมึงความกังวลต่างๆ นานากำลังกัดกร่อนจิตใจจึงทำให้เขาลืมเลือนแม้กระทั่งว่าร่างกายของตนเองกำลังหนาวสั่น


ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนตัวโตกว่าที่กำลังยืนสั่งการผู้ติดตามของตนเองแวบหนึ่งแล้วกอดกระชับเสื้อคลุมบนร่างให้แน่นขึ้นอีกนิด ชายคนนี้คืออัลฟ่าผู้นำตระกูลคิมคนปัจจุบัน และกำลังจะเป็นคู่ชีวิตของเขาหลังจากนี้อีกไม่นาน

เขาเม้มปากแน่น ในใจคิดถึงชีวิตของตัวเองหลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป

จะเป็นอย่างไรต่อกันนะ


“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว”


เพราะข้าวของของซินเธียมีไม่มากนักการขนย้ายจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินตามชายผู้ชื่อว่าแอชลีย์ คิมไปโดยไม่ปริปากอะไรจนกระทั่งพวกเขาหยุดลงตรงหน้าอะไรบางอย่างซึ่งซินเธียไม่รู้จะบรรยายลักษณะของมันออกมาแบบไหน มันเหมือนเครื่องยนต์อะไรสักอย่างสีดำขลับ และมีสี่ล้อ สำหรับคนที่อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิตอย่างซินเธียแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันช่าง...


“เรา... กำลังจะนั่งเจ้านี่ไปอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก ในใจนึกหวาดระแวงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่น้อย


“ก็ใช่น่ะสิ” แอชลีย์เลิกคิ้วราวกับว่าคำถามของคนข้างตัวช่างโง่งมสิ้นดี “ที่นี่ไม่มีรถม้าหรืออะไรก็ตามอย่างที่พวกเธอใช้กันหรอกนะ เอาล่ะเข้าไปได้แล้ว”


โอเมก้าหนุ่มถูกดันตัวให้เข้าไปด้านในของสิ่งนั้น ซินเธียเข้าไปนั่งบนเบาะด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ร่างกายก็เกร็งไปหมด มันยิ่งกว่าความรู้สึกของการฝึกขี่ม้าครั้งแรกเสียอีก ถึงแม้การขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าครั้งแรกไปจนกระทั่งการฝึกทรงตัวขณะที่พวกมันวิ่งอย่างรวดเร็วจะดูอันตรายมากกว่าการนั่งอยู่ภายในเจ้าสิ่งนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการขี่ม้านั้นดีกว่าเป็นไหนๆ


ซินเธียมองตามคนตัวสูงเดินอ้อมเข้ามานั่งอีกฝั่ง ทันทีเมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นซินเธียร์ก็ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ และมากขึ้นไปอีกเมื่อฝ่ายนั้นขยับตัวโน้มเข้ามาจนใบหน้าแทบจะชิดกัน


“คาดเบลท์ด้วย มันจะอันตรายหากเธอไม่ยอมจัดการกับมัน” ถึงแม้จะเกร็งจนแทบเอนตัวแนบกับพนักพิงแน่นแต่ดวงตาสีเงินก็คอยจับจ้องการกระทำของคนตัวสูงทุกท่วงท่า ตั้งแต่การดึงเจ้าสายสีดำออกมาจากอีกฝั่งแล้วพาดตัวของซินเธียเอาไว้จนกระทั่งส่วนปลายของสายนั้นถูกกดเข้ากับอะไรบางอย่างจนส่งเสียงกริ๊กออกมา


แบบนี้มันออกจะขยับตัวอยากสักหน่อยนะ...


ถึงจะไม่ค่อยชินแล้วก็อึดอัดเล็กน้อยทว่าโอเมก้าหนุ่มก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไรออกไป เขานึกถึงพูดของแคลร์ ไม่ว่าจะให้เจอกับอะไรก็ให้อดทนเอาไว้ มันอาจจะยากแต่ว่าถ้าเขาพยายามปรับตัวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นเอง


“เธอ... ชื่ออะไรนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังปล่อยให้ความเงียบปกคลุมระหว่างเราสองคนมาพักใหญ่ ทิวทัศน์รอบด้านที่เคยเป็นป่าสนขนาบสองข้างทางเริ่มบางตาลงเปลี่ยนเป็นตัวเมือง


“ซินเธีย... ซินเธีย วานเลนเธีย”


“อืม” ฝ่ายนั้นครางรับในลำคอ “ส่วนชื่อของฉันคงจะรู้แล้วสินะ”


“อื้ม คุณคือแอชลีย์สินะครับ”


แอชลีย์พยักหน้า ปล่อยให้ความเงียบคืบคลานมาอีกครั้งจนกระทั่งที่ยานพาหนะนี้พาพวกเราเคลื่อนเข้าสู่เขตป่าสนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม มีอะไรบางอย่างกำลังตกลงมาจากฟากฟ้า


ซินเธียยกสองมือขึ้นทาบกับกระจกรถ ดวงตาสีเงินคู่สวยจับจ้องไปยังเกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์ด้านนอกอย่างสนอกสนใจ


สวยมาก...


สวยมากจริงๆ นี่สินะหิมะที่แคลร์พูดถึง


“หิมะแรกตกแล้วสินะ”


คนทำหน้าที่เป็นสารถีเปรยออกมาเสียงเบา นัยน์ตาสีอำพันจับจ้องไปยังถนนตรงหน้าในขณะที่ความเร็วของรถก็เริ่มลดลง คนที่กำลังจับจ้องสิ่งมหัศจรรย์จากภายนอกผินกลับมามองเสี้ยวหน้าคมคายของคนข้างตัวเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายนั้นกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา


อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาระบายรอยยิ้มเป็นครั้งแรกหลังจากเดินทางออกจากบ้านเกิดมา


“ยังไงก็... ยินดีต้อนรับสู่วินเธอร์ฟอล ซินเธีย วาเลนเธีย”

 

 TBC....


-------------------------------------------
สวัสดีอย่างเป็นทางการนะคะ เราไม่ค่อยถนัดการลงในเว็บนี้สักเท่าไหร่บางทีอาจจะมีการจัดหน้าหรือตั้งหัวข้อแปลกๆไปบ้าง
ต้องขออภัยนะคะ แหะๆ ฝากติดตามเรื่องราวของคุณแอชลีย์และน้องซินเธียด้วยนะคะ

มนริต้า.
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-06-2019 21:52:34
 :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-06-2019 23:14:18
 :L2: :pig4:+1
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-06-2019 00:49:04
น่าติดตามๆ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-06-2019 09:37:23
ชอบบรรยากาศของเรื่องจังเลยค่ะ
ติดตามค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 03-06-2019 12:37:57
บทที่ 2




ในชีวิตนี้ซินเธียไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นสิ่งปลูกสร้างใดโอ่อ่าได้ถึงเพียงนี้ ตรงหน้าของเจ้าชายน้อยจากแดนใต้คือคฤหาสน์หลังโตโอบล้อมด้วยสวนพฤกษชาติกว้างขวาง แม้ตอนนี้เหล่าต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นกำลังถูกเกล็ดน้ำแข็งสีขาวปกคลุมจนบดบังทัศนียภาพไปบางส่วนทว่าก็ยังไม่อาจบดบังความสวยงามของพวกมันให้ลดทอนลงได้ ซินเธียเชื่อว่าเมื่อถึงช่วงที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งพวกมันจะต้องงดงามมากแน่นอน


สติถูกเรียกกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อถูกพาเดินเข้ามายังด้านในของคฤหาสน์หลังโตของตระกูลคิม เด็กหนุ่มอดจะรู้สึกประหม่าและกังวลไม่ได้ โดยสัญชาตญาณเขาขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของคนตัวสูงกว่าเมื่อสังเกตเห็นว่ามีสาวใช้และพ่อบ้านยืนรอต้อนรับอยู่ในโถงรับแขกจำนวนหนึ่ง


ที่นี่... มันแปลกไปหมดสำหรับซินเธีย ทั้งบรรยากาศ ผู้คน หรือแม้แต่ความหนาวเย็นรอบกายตอนนี้ แม้ในใจจะยังไม่ได้รู้สึกไว้วางใจใครแม้กระทั่งคนที่ไปรับกันถึงชายแดน ทว่า อย่างน้อยในตอนนี้แอชลีย์ คิม ก็ยังเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ซินเธียคุ้นเคยมากที่สุด แม้ตอนเดินทางมายังวินเทอร์ฟอลเราจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากก็ตามที


“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านแอลลีย์ ส่วนท่านนั้น...”


เป็นพ่อบ้านวัยชราท่าทางใจดีคนหนึ่งเอ่ยต้อนรับ ขยับรอยยิ้มส่งไปให้คนด้านหลังผู้เป็นนาย โอเมก้ารูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางปราดเปรียว มองดูสง่างามไม่น้อย ในระหว่างที่คนถูกเอ่ยถึงกำลังช่างใจว่าตัวเองควรจะเอ่ยแนะนำตัวไปดีหรือไม่ คนตัวสูงตรงหน้าก็ช่วยแนะนำตัวให้เสียก่อน


“เขาคือซินเธีย วานเลนเธีย”


ไม่ต้องขยายความมากก็พอจะทราบอยู่แล้วว่าเจ้าของชื่อมีฐานะอะไรในคฤหาสน์แห่งนี้ พ่อบ้านัยชราพยักหน้ายิ้มรับ


การแนะนำนั้นเรียกเสียงพรูลมหายใจจากซินเธียไม่น้อย นอกจากความแตกต่างจากปัจจัยอื่นแล้วเรื่องภาษาเองก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งน่าหนักใจ ภาษาที่ใช้สื่อสารไม่ได้แตกต่างกันนักเพียงแต่สำเนียงทางเหนือดูจะนุ่มนวลและเชื่องช้ากว่า ส่วนทางใต้จะติดห้วนและมีความกระด้างในที ซินเธียกังวลจนไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาเลยนอกจากทำตัวเป็นหุ่นนิ่งๆ ฟังเจ้าของคฤหาสน์สั่งการงานกับพ่อบ้าน


“ห้องของคุณซินเธียถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ ผมจะให้เด็กๆ นำสัมภาระไปเก็บเดี๋ยวนี้”


“อย่างไรเสียอีกไม่นานก็จะกลายเป็นคนตระกูลคิมแล้วไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก ปฏิบัติกับเขาอย่างที่สมควรจะทำเสีย”


   เพียงคำกล่าวนั้น ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็เข้าใจความนัยโดยถ่องแท้ และไม่ต้องรอให้ผู้เป็นนายขยายความสัมภาระทั้งหมดของซินเธียถูกนำไปจัดเรียงไว้ในห้องนอนใหญ่อย่างเรียบร้อย และเพราะคำกล่าวนั้นของแอชลีย์ คิมในวันนั้น วันต่อมาทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็พาเรียกขานซินเธียว่า ‘ท่านชาย’ ทันที จำได้ว่าตอนได้ยินคำเรียกนั้นในครั้งเด็กหนุ่มเกือบจะเดินสะดุดบันไดจนหน้าทิ่มอยู่แล้ว


----


   เวลาทั้งบ่ายของซินเธียหมดไปกับการเดินสำรวจรอบคฤหาสน์ ห้องต่างๆ ถูกแนะนำอย่างละเอียดโดยพ่อบ้านวัยชราคนเดิม ทั้งระเบียบกฎเกณฑ์หลากหลายอย่างของชาวแดนเหนือนั้นช่างแตกต่างจากชีวิตความเป็นอยู่ของโอเมก้าน้อยค่อนข้างมาก คุณพ่อบ้านกล่าวว่า มื้อเช้าจะตั้งโต๊ะในเวลาแปดนาฬิกา มื้อกลางวันเวลาเที่ยงตรง บ่ายสามเป็นเวลาน้ำชา และเป็นมื้อเย็นในเวลาสิบแปดนาฬิกา


   นะระหว่างฟังเรื่องราวต่างๆ นี้เขาถูกพามานั่งจิบชายามบ่ายยังห้องนั่งเล่นบริเวณปีกตะวันออก ห้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นโถงโล่งๆ เฟอร์นิเจอร์มีเพียงโซฟาหนึ่งชุด โต๊ะขนาดเล็กจัดวางด้วยชุดชงชา อาหารว่าง และแจกันดอกลิลลี่อย่างประณีต เพดานถูกยกสูงทรงกลมคล้ายโดม ตัวผนังกรุด้วยกระจกใสทั้งหมดทำให้มองเห็นสวนด้านหลังทั้งหมด คุณพ่อบ้านกล่าวว่าขณะนี้มีหิมะทำให้ไม่สามารถออกไปด้านนอกได้ และห้องนี้เองก็ถูกจัดให้เป็นห้องดื่มชา เมื่อก่อนท่านหญิงวิเวียน หรือก็คือมารดาของของแอชลีย์มักจะมานั่งใช้เวลายามบ่ายในห้องนี้ และยังเล่าอีกว่าท่านหญิงชื่นชอบชาดอกไม้มาก คฤหาสน์หลังนี้เลยมีชาดอกไม้หลากหลายรูปแบบ ซินเธียได้ลองชิมแล้วรสชาติดีไม่น้อย


เด็กหนุ่มนั่งสนทนากับพ่อบ้านชราจนถึงช่วงเย็น จวบจนผ่านพ้นมื้อค่ำไปก็ยังไม่เห็นหน้าของคนที่พอพาเขามาส่งยังคฤหาสน์เสร็จก็หายหน้าไปจัดการธุระของตัวเองตั้งแต่บ่าย ซินเธียเดินซับเส้นผมยาวระสะโพกสีจินเจอร์ของตัวเองออกมาจากห้องน้ำแล้วทรุดตัวนั่งบนปลายเตียง ระหว่างนั้นก็สอดสายตาสำรวจไปรอบห้องนอน กลิ่นอัลฟ่าของเจ้าของห้องเจือจางอยู่ในอากาศ ในใจรู้สึกวูบวาบอย่างประหลาดราวกับว่ามีอีกคนคอยเดินวนเวียนอยู่ภายในห้อง


แม้จะเตรียมใจมาไม่น้อยสำหรับการแต่งงานครั้งนี้ ทว่า เมื่อรู้ว่าต้องมานอนร่วมเตียงกันตั้งแต่คืนแรกมันก็อดกระสับกระส่ายไม่ได้


แกร๊ก


นั่งสงบใจอยู่ได้ไม่นานบานประตูไม้สลักก็ถูกผลักเข้ามา ซินเธียเผลอยืดหลังขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าโตเต็มวัยก้าวเข้ามา


กลับมาแล้วหรือครับ”


ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศแปลกๆ ภายในห้อง จึงเอ่ยทักคนอายุมากกว่าออกไป นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมองคนบนเตียงเล็กน้อยแล้วครางอืมตอยบพลางเดินไปหยุดหน้าบานกระจกใกล้ตู้เสื้อผ้า ลงมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกทีละเม็ด ซินเธียมองการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติของคนตัวสูงโดยไม่ละสายตาจนกระทั่งสาบเสื้อสีดำตัวนั้นหลุดพ้นออกไปเผยเรือนกายสมส่วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามอย่างพอดีพลันต้องรีบเบือนหน้าออกไปทันที สองแก้มเนียนขึ้นริ้วสีจาง จู่ๆ รู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ช่างแตกต่างจากอีกคนสิ้นเชิง แม้จะมีซินเธียเข้ามาร่วมห้องแต่ก็ไม่ได้ทำให้อัลฟ่าคนนั้นรู้สึกรู้สาหรือรู้สึกแปลกใหม่อะไรสักนิด


โอเมก้าหนุ่มนั่งตัวเกร็งอยู่บนเตียง พออีกคนก้าวออกห้องน้ำมาแต่งตัวหน้าบานกระจกก็ต้องแสร้งทำเป็นสางผมยาวๆ ของตัวเองไป ทำไมเขาถึงได้ทำตัวสบายอารมณ์ขนาดนั้นกันนะ คำกล่าวนี้ซินเธียได้แต่คิดอยู่ในใจ


และช่วงเวลาที่กระอักกระอวนที่สุดก็เดินทางมาถึง เมื่อแอชลีย์ทรุดตัวลงอีกฝั่งของเตียงนอนหลังกว้าง


“นอนเถอะ เธอเร่งเดินทางมาหลายวันคงจะเหนื่อย”


เสียงทุ้มเอ่ยออกมาราบเรียบ ซินเธียพยักหน้าแล้วสอดตัวเข้าไปในผ้านวมสีเข้ม เมื่อเห็นว่าจัดท่าทางเรียบร้อยพร้อมนอนแล้วแอชลีย์ก็เอื้อมไปปิดโคมไฟแล้วสอดตัวเข้ามาในผ้านวมเช่นเดียวกัน ทุกการกระทำล้วนสร้างความเกร็งให้กับโอเมก้าหนุ่มไม่น้อย นอนตาค้างอยู่พักใหญ่ก็แอบเหลือบตาไปมองคนด้านข้างเห็นเพียงเสี้ยวใบหน้าคมด้านข้างของคนตัวสูง แอชลีย์นอนหงาย วางสองมือไว้บนหน้าท้อง ท่าทางการนอนของเขาเรียบร้อยเอามากๆ


เมื่อแน่ใจว่าฝ่ายนั้นเข้าห้วงนิทราไปแล้วแน่นอนก็ขยับกายพลิกตัวมาพิจารณาใบหน้านั้นเงียบๆ คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากบางได้รูป ผิวของแอชลีย์ขาวมากแม้แสงในห้องนอนจะมืดสลัว มีเพียงแสงเรือนรางลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา แต่ทุกๆ อย่างตรงหน้าสำหรับซินเธียก็ยังคงชัดเจน


จะเป็นอย่างไรกันนะ ชีวิตในดินแดนแห่งนี้ ดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ราวกับสรวงสวรรค์ คืนนั้นซินเธียนอนมองใบหน้าหลับใหลของว่าที่คู่ชีวิตและขบคิดถึงชีวิตในวินเทอร์ฟอลของตัวเองเมื่อเริ่มวันใหม่จนผลอยหลับไป


---


เช้าวันที่สองของวินเทอร์ฟอล ซินเธียถูกพามายังคฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าสน สถานที่แห่งนี้ดูโออ่าและงดงามไม่ต่างไปจากคฤหาสน์ของตระกูลคิมเลยเพียงแต่ว่ามันถูกตั้งอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกล แอชลีย์เล่าในระหว่างทางว่าเคหาสน์สถานแห่งนี้เป็นของตระกูลมัวร์ หนึ่งในตระกูลใหญ่ของวินเทอร์ฟอล อีกทั้งหัวหน้าจ่าฝูงหรือราชาของชาวแดนเหนือเองปัจจุบันก็อาศัยอยู่ที่นี่


เมื่อกล่าวถึงราชาผู้ปกครองดินแดนต่างๆ สำหรับวินเทอร์ฟอลแล้วแม้ผู้นำอย่างคาร์ลินจะถูกเรียกขานว่าราชา แต่ในทางปฏิบัติเขาก็เป็นเพียงผู้นำของดินแดนทางเหนือ มีศักดิ์ฐานะเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์เท่านั้น  แตกต่างจากดินแดนทางใต้ พวกเขาถูกปกครองด้วยกษัตริย์ และสืบทอดอำนาจทางสายเลือดไม่ใช่คัดเลือกผู้นำที่จะเป็นใครก็ได้


เพราะฉะนั้น ซินเธีย วาเลนเธีย จึงเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์คนสำคัญของแดนใต้ แต่การเดินทางมายังวินเทอร์ฟอลครั้งนี้ไม่ใช่มาด้วยฐานะอาคันตุกะทว่าเป็นการแต่งงานเข้าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลคิม ด้วยความแตกต่างของวิถีชีวิตหรือขนบธรรมเนียมของดินแทนทั้งสองแล้วฐานะของซินเธียจึงค่อนข้างคลุมเครือ และสิ่งนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวค่อนข้างมาก


ซินเธียถูกต้อนรับอย่างดีทั้งในฐานะของอาคันตุกะจากแดนไกลและว่าที่ท่านชายของตระกูลคิม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีสมฐานะ ท่ามกลางโถงรับแขกอันแสนวิจิตรกับชาหอมกรุ่นทำให้คลายหนาวลงไม่น้อย สาวใช้แนะนำด้วยรอยยิ้มว่าท่านชายมัวร์โปรดปรานการดื่มชาหวังว่าท่านชายซินเธียจะพึงพอใจกับมัน และแน่นอนว่าชายหนุ่มรู้สึกดีกับรสชาติฝาดอ่อนๆ นี้ไม่น้อย


เดิมทีคนแดนใต้ไม่นิยมดื่มชาเพราะรู้สึกว่าพวกเขานั้นไม่ได้มีความเพียรมากพอจะมานั่งชงชาและจิบมันทีละนิดชมนกชมไม้ไปพลาง การกระทำเหล่านั้นชาวแดนใต้มองว่ามันน่าเบื่อและค่อนข้างไร้สาระ พวกเขามักจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนร่างกาย ออกล่าสัตว์ เรียนรู้การเอาตัวรอดในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ควบขี่ม้าพันธุ์ดีผ่านผืนน้ำและผืนป่า ใบน้ารับแสงแดดร่างกายอาบสายลมเสียจนชินชา


แต่สำหรับตอนนี้เด็กหนุ่มคิดว่าการจิบชาช่วยคลายความตื่นเต้นและความหนาวเย็นของอากาศภายนอกไปไม่น้อยทีเดียว


ซินเธียวางแก้วชาลงบนจานรองด้วยความเบามือ ด้วยความเกร็งของเขาจึงค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับการสร้างเสียงเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเหลือบมองคนข้างกาย แอชลีย์กลับนั่งรออย่างสงบ เขาไม่แตะชาในแก้วด้วยซ้ำ ทำเพียงกอดอกและเอนกายลงกับพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย


ผ่านไปไม่นาน มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในโถงก่อนจะทรุดนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่ตัวตรงข้าม เจ้าตัวกล่าวต้อนรับและแนะนำตัวอย่างนุ่มนวลว่าตนคือเจย์เดน สการ์เล็ต มัวร์ อ่า คนผู้นี้คือคู่ชีวิตของคาร์ลิน ไล ราชาของวินเทอร์ฟอลสินะ ซินเธียลอบพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า เขามีเส้นผมสีบลอนด์อ่อนจนเกือบจะกลืนกับผิวกายและดวงตาสีทับทิมที่งดงามมาก เจย์เดนตัวเล็กกว่าซินเธียราวๆ ครึ่งศีรษะ ดูเหมือนโอเมก้าจากแดนเหนือแตกต่างจากพวกเราชาวใต้มากจริงๆ


“เจ้าชายวาเลนเซีย เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยไม่น้อย มาอยู่แปลกถิ่นแบบนี้ไม่ทราบว่าเมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือเปล่าครับ”


น้ำเสียงนุ่มนวลทว่ากลับแฝงไปด้วยอำนาจชวนให้กริ่งเกรงอยู่ไม่น้อย


“เรียกเราว่าซินเธียก็ได้ ดูเหมือนเราจะอายุน้อยกว่าท่านชายมัวร์นะครับ” ซินเธียกล่าวด้วยรอยยิ้ม


สำหรับชาวแดนใต้แล้วไม่ได้เคร่งเรื่องฐานะบรรดาศักดิ์นัก เมื่อออกมาต่างถิ่นต่างฝูงก็ไม่ต่างจากนธรรมดาทั่วไป หากจะเทียบกันแล้วฐานะของอีกฝ่ายที่เป็นถึงราชินีแห่งวินเทอร์ฟอลก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย


“ถ้าเช่นนั้นก็เรียกเราว่าเจย์เดนเถอะ” อีกคนกล่าวอย่างเอื้ออารี “น่าเสียดาย เช้านี้คาร์ลินมีธุระสำคัญต้องไปจัดการ ออกไปตั้งแต่เช้ามืดไม่อาจอยู่รั้งรอต้อนรับ ต้องขออภัยจริงๆ” ในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความเสียดายและอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ซินเธียมองมือเรียวสวยของท่านชายมัวร์ซึ่งกำลังขยับลูบหน้าท้องของตัวเองแผ่วเบาในขณะเอ่ยถึงคู่ชีวิตอย่างเผลอไผล ก่อนจะลากสายตากลับมาเมื่ออีกฝ่ายลากเข้าประเด็นสำคัญของการมาพบกันในเช้าวันนี้


“การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวินเทอร์ฟอลอาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องปรับตัว แต่ไม่เป็นไรเราจะช่วยให้คำแนะนำกับซินเธียเอง หากวันไหนมีเวลาว่างก็ขอเชิญแวะมาจิบน้ำชาด้วยกันนะครับ”


“รบกวนคุณเจย์เดนด้วยนะครับ”


“ไม่เลย” เจ้าของนัยน์ตาทับทิมส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “อาจจะช้าไปสักนิด แต่ว่ายินดีต้อนรับสู่วินเทอร์ฟอลของเรานะครับ”


เจย์เดนส่งกล่องของขวัญขนาดฝ่ามือมาให้ด้วยมือของตัวเอง เมื่อเปิดดูก็พบว่าสิ่งของในนั้นเป็นเข็มกลัดทำจากทองคำขาว ประดับด้วยอัญมณีสีชาดเช่นเดียวกับดวงตาของผู้ให้


“ถือเป็นของขวัญต้อนรับเล็กๆ น้อยๆ จากเรา หากคุณไม่รังเกียจ”


“ไม่เลย ขอบคุณมากนะครับ มันสวยมาก” ซินเธียรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก ทั้งที่ความจริงแล้วแทบไม่จำเป็นต้องมีสิ่งของใดมาให้ก็ได้แท้ๆ


“คุณแม่~”


ยังไม่ทันจะเอ่ยสิ่งใดต่อเสียงใสดังเจื้อยแจ้วมาอีกฝั่งของโถงรับแขก เจย์เดนส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปรับกอดจากเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหา เส้นผมสีบลอนด์ปลิวไสวไปตามการวิ่งของเจ้าตัวแต่เมื่อเข้าถึงตัวผู้เป็นมารดาก็ลดความเร็วลงด้วยหลากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นก็คือกลัวจะโดนดุที่วิ่งเร็วจนเกินงามอันเป็นเหตุให้ต้องโดนดุอยู่บ่อยครั้ง


ซินเธียมองเด็กน้อยในอ้อมกอดของเจย์เดนอย่างสนใจ นัยน์ตาสีครามกลมโตคู่นั้นดูเปล่งประกายและสดใสจนคนมองอดจะวาดรอยยิ้มตามไม่ได้


“ต้องขอโทษแทนลูกชายของเราจริงๆ เจสเปอร์เป็นพวกพลังล้นเหลือน่ะครับ” คนกล่าวแสดงสีหน้าอ่อนใจ


“เขาน่ารักมากเลยครับ” ซินเธียหัวเราะน้อยๆ เมื่อลองโบกมือให้เป็นการทักทายเจ้าตัวน้อยที่ปีนขึ้นไปซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นมารดาก็กระพริบตาปริบแล้วโบกมือกลับมา “อายุเท่าไหร่หรือครับ”


“พึ่งจะสามขวบเต็มได้เมื่อสัปดาห์ก่อนครับ” ตอบพลางลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างรักใคร่


“เขาจะต้องโตมาเป็นอัลฟ่าที่สง่างามมากแน่นอนเลยในอนาคต” มองแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กน้อยตรงหน้านั้นต้องเป็นอัลฟ่าอย่างแน่นอน เขาเป็นเด็กที่สดใสมากแต่ยามเมื่ออยู่กับผู้เป็นมารดาก็ออดอ้อนอิงแอบเสียจนน่ามันเขี้ยว


“ดูเขาจะติดกลิ่นคุณมากเลยนะครับ”


สังเกตว่าพอถูกอุ้มไปนั่งอยู่บนตักอัลฟ่าน้อยก็ดูสงบเสงี่ยมลง สองแขนกอดเอวของผู้เป็นแม่แน่น พักแก้มย้อยๆ ไว้บนแผ่นอกซบคลอเคลียไม่ยอมห่าง นัยน์ตาสีครามหันมาแอบมองซินเธียซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเป็นระยะ ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู มองไปมองมาก็ชักจะรู้สึกอยากมีเป็นของตัวเองขึ้นมาเล็กๆ


“ครับ ค่อนข้างจะติดกลิ่นพ่อแม่ กับคนแปลกหน้าก็ขี้อาย อาจจะเพราะเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาด้วยเวลาดื้อหรืองอแงขึ้นมาใครก็เข้าหน้าแทบไม่ติดเลยล่ะ ต้องให้พ่อเขาจัดการคนเดียวน่าปวดหัวจริงเชียว”


คนเล่าหัวเราะอย่างอ่อนใจ แล้วก็ราวกับอ่านใจซินเธียออก หันไปหาคนที่เอาแต่นั่งเงียบเป็นรูปปั้นมาตั้งแต่ต้นบทสนทนาหยอกเย้าไปถึงคุณอาที่แวะเวียนมาช่วยกันเลี้ยงหลานเป็นบางครา


“เห็นทีอีกหน่อยแอชลีย์ก็คงต้องปวดหัวแบบนี้เสียล่ะมั้ง บอกเลยว่าฤทธิ์เดชเจ้าตัวแสบที่คุณเห็นมาจากคาร์ลินแทบไม่ได้ครึ่ง”


“ไม่ล่ะ” คนตัวสูงหัวเราะหึๆ ในลำคอ “การมีเด็กไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลยสักนิด”


เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาราวกับไม่แยแสสิ่งใดนั้นทำเอาคนที่กำลังเอื้อมมือไปหยอกเย้าเจ้าตัวเล็กชะงักไปในเสี้ยววินาที เช่นเดียวกับเจ้าของคฤหาสน์ที่หลังได้ฟังคำตอบอันแสนเถรตรงนั้นชะงักค้างไปไม่ต่างกัน ด้วยหนึ่งก็ไม่คาดคิดกับคำตอบของอัลฟ่าตรงหน้า ก่อนหน้านี้เวลาแวะเวียนมาคุยธุระกับคู่ชีวิตตนก็มักจะแวะเล่นกับหลานเป็นประจำ ไมได้แสดงอาการรังเกียจเด็กแต่อย่างใด


ไม่คาดคิดว่าแอชลีย์จะไม่ได้อยากสร้างครอบครัว


แม้คำว่าครอบครัวแค่คนสองคนที่ตกลงปลงใจกันแล้วก็นับเป็นครอบครัว ทว่าสำหรับพวกเขาแล้วย่อมต้องอยากจะมีลูกน่ารักๆ สักคนที่เป็นสายใยคล้องความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง เจย์เดนสบตาเข้ากับซินเธียเงียบๆ อีกฝ่ายเพียงส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนกลับมาให้





TBC
อ่านแล้วชอบอย่าลืมส่งฟีดแบคให้เค้าด้วยน้า
มนริต้า
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 03-06-2019 12:53:57
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: ตายยยยแล้ววววววววววววว   อยากต่อแล้วววว แค่บรรยากาศเรื่องก็เขิลลล :o8: :o8: รออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-06-2019 15:54:25
คุณแอชลีย์เย็นชามาก
วันไหนอยากมีลูกขึ้นมา น้องซินเธียอย่ายอมง่ายๆนะครับ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-06-2019 16:17:00
พระเอกเย็นชามาก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 03-06-2019 19:21:52


บทที่ 3

อยู่สนทนากับเจย์เดนพักใหญ่คนทั้งสองก็ขอตัวกลับเนื่องจากช่วงบ่ายยังมีธุระให้ไปจัดการต่อ ระหว่างทางบังเอิญสวนกับหัวหน้าจ่าฝูงซึ่งพึ่งกลับจากกิจธุระของตนพอดิบพอดี คาร์ลิน ไลหยุดทักทายว่าที่บ่าวสาวอีกทั้งยังอวยพรให้ชีวิตใหม่ของซินเธียในวินเทอร์ฟอลมีแต่ความสุขปิดท้ายด้วยการกล่าวขออภัยที่ไม่สามารถอยู่ต้อนรับกันให้ดีกว่านี้คราวหน้าจะต้องไปเยือนถึงคฤหาสน์คิมอย่างแน่นอน โอเมก้าจากแดนใต้ส่ายหน้าระบายรอยยิ้มด้วยเข้าใจดีว่าภาระงานของคนเป็นผู้นำอย่างท่านชายไลนั้นมีมากหนักหนา ตอนยังอาศัยอยู่ในธอร์นคุณพ่อเองก็มีงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา ภาพเหล่านั้นชินตาไปเสียแล้วในความคิดของเด็กหนุ่ม

นอกจากนี้อัลฟ่าจ่าฝูงยังแสดงน้ำใจของเจ้าบ้านที่ดีด้วยการเดินย้อนกลับมาส่งกันถึงหน้าคฤหาสน์


วินเทอร์ฟอลในเวลานี้ยังคงปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะ ซินเธียเหม่อมองทิวป่าสนเรียงรายสองข้างทางผ่านกระจกรถคันหรู แอชลีย์บอกว่าพวกเรากำลังจะเดินทางเข้าไปในตัวเมือที่นั่นคือศูนย์รวมความเจริญมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งสถานบันเทิงมากมายมีชื่อว่าจัตุรัสไวท์สแควร์ ประชากรส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในนั้นล้วนเป็นเบต้า


ในชีวิตนี้ซินเธียเจอเบต้าน้อยมาก อาจจะเพราะพวกเขามักอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก เป็นสังคมขนาดใหญ่พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและก่อสร้างเป็นเมืองขนาดใหญ่อยู่อาศัยร่วมกัน แตกต่างจากพวกเขาที่มักอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ฝูงของซินเธียเองก็มีจำนวนแค่ไม่กี่ร้อยคน ภายในฝูงแทบจะไม่มีเบต้าเลยสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะธอร์นตั้งอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างสุดขอบทางใต้ ยึดหลักวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไม่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างกลุ่มชนอื่นจึงไม่แปลกเลยหากจะมีข่าวลือเกี่ยวกับชาวแดนใต้ไปในทางแปลกๆ ดุดันบ้างล่ะ ไร้อารยธรรมบ้างล่ะ สกปรกบ้างล่ะ เคยมีถึงขั้นว่าพวกเราจับคนกินเป็นอาหารแล้วยังใช้วิธีการก่อกองไฟจุดคบเพลิงในการปรุงอาหารหรือให้แสงสว่าง


ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพวกเราไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด... เรื่องจุดคบไฟหรือก่อกองไฟนั้นล้วนเป็นความจริงแต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีเตาใช้หรือแม้กระทั่งหลอดไฟ


ยิ่งเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองเท่าไหร่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งมีให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น สองข้างทางเปลี่ยนจากต้นไม้เป็นตึกรามบ้านช่องผู้คนเดินขวักไขว่ รถราสวนกันไปมามองดูช่างครื้นเครงชวนให้ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก


แอชลีย์จอดรถหน้าตึกขนาดสองชั้นแห่งหนึ่ง ป้ายหน้าร้านถูกสลักด้วยตัวอักษรอย่างประณีตว่าที่แห่งนี้คือห้องเสื้อแคทเธอรีน ก่อนจากกันท่านชายเจย์เดนเองก็เคยกล่าวถึงห้องเสื้อแห่งนี้เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะเป็นที่นิยมของเหล่าชนชั้นสูงมากทีเดียว


แม้วันนี้จะไม่มีหิมะตกแล้วแต่อากาศยังคงหนาวเย็น คนที่เคยชินกับแสงแดดและอากาศร้อนอดจะกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์ไม่ได้ ร้องเท้าบูทยาวถึงครึ่งหน้าขาตามแบบฉบับชาวแดนใต้ย่ำลงบนพื้นสีขาวโพลน พยายามสาวเท้าตามหลังคนตัวสูงส่วนดวงตาก็กวาดมองรอบกายเชิงสำรวจไปด้วย บนถนนแห่งนี้คึกคักมากแม้จะมีอากาศหนาวเย็นคิดว่าสำหรับคนแดนเหนือแล้วพวกเขาคงชินชากับสภาพอากาศแบบนี้ถึงได้ออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ผิดกับซินเธียที่ตอนนี้ชักอยากกลับไปนั่งจิบชาซุกตัวอยู่บนโซฟาอุ่นๆเสียแล้วสิ


ชาวเมืองทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสดใส ไม่ว่าจะโค้ทตัวยาว ชุดเฟอร์ขนสัตว์ ยิ่งเป็นสุภาพสตรีก็มักสวมชุดกระโปรงตัวยาวเนื้อผ้าพลิ้วสะบัดไปตามจังหวะการเดิน บ้างก็ใส่หมวกหลากหลายรูปแบบ บ้างก็กางร่ม แม้กระทั่งโอเมก้าชายที่เป็นชนชั้นสูงเองก็มักจะสวมเสื้อผ้าสีอ่อนใส่เครื่องประดับรูหรามองดูงดงามไม่น้อย สิ่งเหล่านี้ก็นับว่าแตกต่างจากฝั่งทางใต้ที่นิยมสวมชุดสีทึบเน้นความกระฉับกระเฉงคล่องตัวมากกว่าเพื่อความสะดวกในการล่าสัตว์หรือต่อสู้


“อ๊ะ!”


ด้วยมัวแต่เหม่อมองนั่นมองนี่ถึงได้เดินไม่ดูทางเหยียบเกล็ดน้ำแข็งลื่นจนเกือบจะล้มหน้าทิ่มอยู่แล้ว หากว่าไม่ได้มือใหญ่กับลำแขนแข็งแรงโอบรับเอาไว้ได้ทัน


“ระวังหน่อยสิ” เสียงทุ้มเอ่ยกระชิบอยู่เหนือใบหูเรียกริ้วแดงจางๆ ขึ้นสองข้างแก้มคนไม่ระวังตัว


“ขอบคุณครับ” เขาอ้อมแอ้มตอบ “เราไม่ชินกับการเดินบนพื้นหิมะเท่าไหร่”


เกล็ดน้ำแข็งพวกนี้มันลื่นมาก


จริงๆ นะ


ซินเธียขยับตัวยืนขึ้นดีๆ แต่มือข้างหนึ่งที่จับแขนเด็กหนุ่มเอาไว้กับอีกข้างที่คอยโอบประคองเอวของตนยังไม่ผละออกไปเสียที เห็นดังนั้นคนในอ้อมแขนจึงได้แต่เหลือบตาขึ้นมองคนอายุมากกว่าเป็นระยะ ปากก็เอาแต่อ้าๆ หุบๆ รู้สึกประดักประเดิดพอสมควร


“คุณ... เอ่อ แอชลีย์”


“หืม?”


ขอล่ะ อย่าได้ทำเสียงทุ้มแบบนั้นใกล้ๆ หูกันเลย


“ต่อไปเราจะระวัง...”


“แน่นอน” อีกคนส่งเสียง หึๆ ในลำคอก่อนจะยอมละมือออกไปโดยดี “เพราะฉันยังต้องการเจ้าสาวมาเดินข้างกันในงานแต่งอยู่” 



ซินเธียเดินเงียบไม่ปริปากตามคนตัวสูงเข้ามาภายในร้าน หญิงย่างเข้าวัยกลางคนเดินเข้ามาต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม ทุกก้าวล้วนขับให้ชายกระโปรงผ้าพลิ้วลายดอกไม้สีอ่อนสะบัดไหวไปตามทุกจังหวะ ใบหน้าใจดีดูอ่อนวัยแม้จะเริ่มมีริ้วรอยเกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์พอให้เห็นอยู่บ้าง ทว่าความงดงามบนใบหน้านั้นของเธอก็ดูไม่เสื่อมคลายลงเลย


“นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็ท่านชายคิมนั่นเอง สวัสดีค่ะ”


รอยยิ้มใจดีถูกเผื่อแผ่มาถึงคนตัวบางด้านหลังซึ่งไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน ทว่าแคทเธอรีนเลือกจะทำเพียงส่งรอยยิ้มให้เป็นฝ่ายรอให้ฝ่ายนั้นแนะนำคนของตัวเองแทน


“นี่คือท่านชายซินเธีย วาเลนเธีย คู่หมั้นของผม”


เด็กหนุ่มเหลืบตามองคนข้างกายในขณะถูกแนะนำตัว ว่ากันตามตรงแล้วการหมั้นหมายของพวกเขาทั้งสองเป็นแค่ลมปาก มีเพียงการตกลงเรื่องงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้เท่านั้น เมื่อทุกอย่างลงตัวซินเธียก็ถูกส่งตัวมายังดินแดนแห่งนี้เพื่อเป็นคู่ชีวิตของแอชลีย์หัวหน้าตระกูลคิมคนปัจจุบัน อีกฝ่ายจะแนะนำเขาแค่ว่าเป็นเพียงคนจากแดนใต้ก็ได้ เพราะการหมั้นหมายอะไรนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ตัวเด็กหนุ่มไม่ต่างอะไรกับสิ่งของบรรณาการ ถูกใส่พานมาถวายแก่อีกฝ่ายถึงที่โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร จะรับเข้าตระกูลเงียบๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่ก็ไม่คิดว่าอีกคนจะให้เกียรติกันถึงเพียงนี้


“ยินดีที่ได้พบกันนะคะ”


“เช่นกันครับ”


ซินเธียยิ้มตอบอีกฝ่ายก่อนถูกเชิญไปนั่งคุยกันตรงมุมรับแขก กลิ่นหอมเจือจางจากชาชั้นดีลอยเข้ามาแตะจมูกหลังผู้ช่วยประจำร้านยกมาเสิร์ฟ


เป็นชาอีกแล้ว ดูเหมือนชาวแดนเหนือจะชื่นชอบการดื่มชาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเช้า สาย บ่าย เย็น พวกเขาล้วนมีพวกมันเป็นส่วนประกอบอยู่บนโต๊ะเสมอ แม้กระทั่งการรับแขกก็เลือกเสิร์ฟชามากกว่าน้ำเปล่าทั่วไป


“ผมพาเขามาเลือกสำหรับวันแต่งงาน”


คนไม่ชอบอ้อมค้อมเอ่ยเปิดประเด็นทันที ฝ่ายเจ้าของห้องเสื้อเลิกคิ้วเชิงประหลาดใจในคราวแรกด้วยคาดไม่ถึงกับข่าวใหม่ที่ได้รับ เธอส่งเสียงโอ้ออกมาเบาๆ ก่อนต่อมาจะเปลี่ยนเป็นระบายรอยยิ้มกว้าง


“เชิญด้านนี้เลยค่ะ”


ซินเธียถูกพามาโซนด้านในของห้องเสื้อ ที่นั่นมีชุดเสื้อผ้ามากมายเรียงรายอยู่โดยส่วนมากจะเน้นไปทางชุดสูทด้วยห้องเสื้อของคุณแคทเธอรีนนั้นเน้นการตัดเย็บชุดของสุภาพบุรุษ


“ไม่ทราบว่าท่านชายวาเลนเธียชอบรูปแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”


คนถูกถามเลิกลั่กไปพักใหญ่ ปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสมาเลือกชุดแบบนี้บ่อยนัก เสื้อผ้าของชาวแดนเหนือนั้นค่อนข้างแตกต่างกับธอร์น ซินเธียไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะสม ปกติในเวลาแบบนี้แล้วเขานึกถึงสาวใช้คนสนิทที่เคยอยู่ข้างกายให้คำปรึกษาทุกเรื่อง ทว่าครั้งเขาเดินทางมายังวินเทอร์ฟอลแต่เพียงผู้เดียว คนที่พอจะคุ้นเคยที่สุดเห็นแต่จะมีแค่ว่าที่คู่ชีวิตคนนั้น


พลันเด็กหนุ่มหันไปขอความช่วยเหลือทางสายตากับอัลฟ่าตามสัญชาติญาณยามต้องการที่พึ่งพิงซึ่งขณะนี้ได้พาตัวเองไปนั่งรอตรงโซฟาด้านหลังเสียแล้ว


“เลือกแบบเรียบๆ มาให้เขาดูสักสามสี่แบบก็ได้”


เสียงทุ้มเอ่ยตอบแทน ได้ยินดังนั้นแคทเธอรีนจึงหยิบเชิ้ตสีขาวแบบเรียบง่ายมาจำนวนหนึ่ง ซินเธียถูกพาเข้าไปยังห้องลองชุดโดยผู้ช่วยเบต้าก่อนจะถูกจับลองชุดนั้นชุดนี้ราวกับตุ๊กตา ในแต่ละครั้งที่ถูกพาเดินออกมาโชว์ตัวให้คนบนโซฟาดูก็อดจะรู้สึกขัดเขินไม่ได้ยามนัยน์ตาสีอันอำพันคู่จ้องมองมานิ่งๆ ซินเธียรู้สึกร้อนวูบราวกับกำลังเปลือยกายต่อหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ปาน


ทั้งที่ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความเรียบเฉยค่อนไปทางเบื่อหน่าย แอชลีย์ทำเพียงนั่งกอดอกจ้องมองมาไม่ปริปากแสดงความเห็นอะไรมากนักมีเพียงคำแนะนำเป็นครั้งคราวราวกับเขาจะไม่พูดหากไม่จำเป็น


ซินเธียถูกจับๆ ถอดๆ หลายครั้งจนเริ่มรู้สึกเหนื่อย เห็นดังนั้นคนที่นั่งทำตัวเป็นหุ่นมานานถึงได้เอ่ยปากบอกให้หยุดแล้วเริ่มวัดตัวสักที ส่วนเสื้อผ้าพวกนั้นถูกคัดออกมาสามตัวเพื่อให้ซินเธียตัดสินใจด้วยตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย เด็กหนุ่มเลือกเชิ้ตขาวแต่งระบายตรงชายแขนมาตัวหนึ่ง ในบรรดาเสื้อมากมายเหล่านั้นเขารู้สึกว่าเสื้อตัวนี้มีรูปแบบใกล้เคียงกับชุดแบบทางการของบ้านเกิดมากที่สุด และมันเป็นเพียงแบบเท่านั้น ชุดจริงจะถูกตัดเย็บขึ้นใหม่โดยมีการปรับแก้ให้เข้ากับบุคลิกของผู้สวมใส่รวมถึงเหมาะสมกับงานพิธีการมากขึ้น


“แล้ว... คุณไม่เลือกดูสักตัวหรือครับ”


ซินเธียเห็นอีกฝ่ายหยัดตัวลุกขึ้นเตรียมไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายก็เอ่ยถามด้วยความฉงน ผ่านมาราวสองชั่วโมงแล้วมีเพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นที่วุ่นวายลองชุดไปมาแต่กลับไม่เห็นอีกฝ่ายพูดถึงชุดของตัวเองเลยสักนิด


“คุณแคทเธอรีนคงมีข้อมูลสัดส่วนของผมแล้ว ส่วนเรื่องชุดแค่ตัดให้เข้าชุดกับเขาก็พอครับ”


ประโยคแรกคล้ายตอบคำถามของเด็กหนุ่มส่วนประโยคหลังหันไปเอ่ยกับเจ้าของห้องเสื้อมือดี


“ครั้งเมื่อได้ตัดเย็บชุดแต่งงานของท่านชายมัวร์ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว ไม่นึกว่าคราวนี้จะได้รับเกียรตินี้อีกครั้งทางห้องเสื้อของเราจะตัดเย็บอย่างสุดความสามารถแน่นอนค่ะ”


คุณแคทเธอรีนให้คำมั่นอย่างหนักแน่น เธอดูกระตือรือร้นอย่างมากกับงานชิ้นใหม่ พอจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกันเรียบร้อยก็รีบขอตัวไปร่างแบบชุดแทบจะทันที


“ไปเถอะ เรายังต้องไปร้านจิวเวอรี่กันต่อ”


“ครับ”



เนื่องจากเป็นย่านการค้า ระยะทางจากห้องเสื้อของคุณแคทเธอรีนไปถึงร้านจิวเวอรี่จึงไม่ไกลจากกันมากสักเท่าใด เนื่องจากวันนี้เป็นวันว่างของชายหนุ่ม แอชลีย์แทบจะใช้เวลาทุกวินาทีของวันนี้ไปโดยไม่ให้ศูนย์เปล่าสักนิด ก่อนจะออกจากคฤหาสน์ก็ได้มีการคุยรายละเอียดเรื่องการส่งเทียบเชิญงานเลี้ยงกับคุณพ่อบ้านอยู่พักใหญ่ ส่วนเรื่องสถานที่จัดงาน อาหาร เครื่องดื่มสำหรับแขก เรื่องจุกจิกพวกนั้นเขาจัดการล่วงหน้าก่อนซินเธียจะเดินทางมาถึงวินเทอร์ฟอลด้วยซ้ำ


เมื่อทั้งคู่เข้ามาในร้านพนักงานเบต้าหญิงจำนวนหนึ่งก็หยุดงานของตัวเองเพื่อหันมากล่าวต้อนรับ หนึ่งในสองของคนที่ยืนบริเวณเคาน์เตอร์คิดเงินเดินเข้ามาโค้งในระดับครึ่งศีรษะ ซินเธียไม่คุ้นกับธรรมเนียมของคนแดนเหนือจึงได้แต่โค้งตอบกลับไปอย่างเก้ๆ กังๆ


ตอนยังอยู่ธอร์นถึงแม้จะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชาย แต่เมื่อออกมาเจอกับคนภายนอกก็คงมีเพียงท่าทีเมินเฉยส่งมาให้ หนักขึ้นหน่อยก็คงเป็นประเภทมองมาด้วยสายตาหวานกลัวระคนรังเกียจ เพราะข่าวลือบ้าๆ พวกนั้น ในสายตาของคนนอกฝูงพวกเราไม่ต่างอะไรกับคนป่าไร้อารยธรรม


ส่วนคนในฝูงด้วยกันเอง ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาย่อมต้องหมายความว่าคนผู้นั้นต้องได้รับความเคารพนับถือทั้งในแง่ของความแข็งแกร่งและความสามารถในการปกครองคน


ทว่าตั้งแต่ท่านแม่เสียไปบิดาของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ภายในเกิดการระส่ำระส่ายเมื่อผู้นำอ่อนแอลง มีตระกูลสายรองจ้องที่จะโค่นบัลลังก์ของราชาอยู่ ซินเธียถึงจะเป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวแต่ก็เป็นเพียงโอเมก้าจึงไม่มีทั้งประโยชน์และและความน่ากลัวอะไรสำหรับคนเหล่านั้น ทางออกของเด็กหนุ่มมีเพียงการถูกกำจัดให้สิ้นซกเท่านั้น


หรือหากไม่ถูกฆ่าทิ้ง แต่ชีวิตหลงจากนั้นของเขาคงเป็นเรื่องที่เกินจะจิตนาการ


แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว...


แม้การถูกส่งตัวมาแต่งงานกับคนแปลกหน้า อาศัยอยู่ต่างบ้านเพียงลำพังจะเป็นเรื่องยากจะยอมรับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับมัน หากยังรักชีวิตของตนเอง


ซินเธียถูกปรนนิบัติอย่างดี ทั้งของว่างรับรอง การพูดจา รอยยิ้มแสนนอบน้อม ขนาดที่ว่าพนักงานสาวเบต้าคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะนั่งเคียงกันด้วยซ้ำ เธอนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพรมจัดวางกล่องบรรจุแหวนมากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ระหว่างนั้นก็คอยพูดแนะนำสินค้ามีราคาเหล่านั้นไปด้วยอย่างละเอียดก่อนจะลุกขึ้นถอยไปยืนรออยู่ด้านข้างโซฟ้าเล็กน้อย


ในระหว่างนั้นมีโอเมก้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เนื่องจากมุมรับรองอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้ารวมถึงโซฟาจุดที่ซินเธียนั่งอยู่นั้นหันหน้าไปทางเคาน์เตอร์และตู้กระจกโชว์สินค้าพอดิบพอดีจึงเลี่ยงที่จะหันไปมองเมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผ่านหน้าตนเองไป


พนักงานคนอื่นทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ มีเพียงผู้ประจำหน้าเคาน์เตอร์เท่านั้นที่เอ่ยต้อนรับด้วยนำเสียงเรียบเฉยเอเห็นว่าโอเมก้าคนนั้นดูธรรมดา เขาแต่งกายด้วยเสื้อสเวตเตอร์เก่าๆ กับกางเกงเข้ารูป


“เอ่อ คือผมอยากจะได้สร้อยเงินเรียบๆ สักเส้นสำหรับเป็นของขวัญสักวงน่ะครับ”


เด็กหนุ่มโอเมก้าคนนั้นดูแล้วคงอายุราวๆ ซินเธียและยังไม่ได้จับคู่ บางทีอาจจะมาเพื่อหาของขวัญสักชิ้นสำหรับคนในครอบครัวหรือไม่ก็คนรัก


“อยากได้รุ่นไหนเป็นพิเศษไหมคะ”


“ผมขอดูรุ่นที่ไม่แพงมาก็ได้ครับ”


เพราะคำตอบประโยคหลังนั้นจากทีแรกท่าทีของพนักงานสาวไม่ได้ยินดียินร้ายกับลูกค้ารายใหม่กลับแปรเปลี่ยนเป็นรำคาญใจขึ้นมาทันที ซินเธียเหม่อมองคนทั้งคู่อย่างใจลอย ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดอาจเป็นเพราะน้ำเสียงแข็งๆ กับระดับความดังกว่าคราแรก ไร้ความนิ่มนวลอย่างที่เคยเอ่ยทักตน


“ในร้านนี้ทุกอย่างก็แพงทั้งหมดนั่นล่ะค่ะ ดิฉันจะลองหาสักชิ้นสองชิ้นที่ถูกที่สุดดูให้นะคะ แต่คงเหลือแต่สินค้าตกรุ่นใกล้นำออกจากช็อป”


“ครับ ไม่เป็นไร ผมจะซื้อมัน”


“กรุณารอสักครู่ค่ะ” พูดจบเธอก็เดินหายเข้าไปด้านหลังร้านทิ้งโอเมก้าคนนั้นให้ยืนรอโดยไม่แม้กระทั่งจะเชิญให้มานั่งยังบริเวณรับรองลูกค้า


สิ่งเหล่านี้ล้วนมีให้เห็นจนชินชาไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด พอลองย้อนกลับไปมองตัวเองแล้วที่ซินเธียได้รับการต้อนรับอย่างดีนั้นคงเพราะคนที่อยู่เคียงข้างนั้นคือ แอชลีย์ คิม ผู้นำหนึ่งในตระกูลใหญ่ของวินเทอร์ฟอล พนักงานเหล่านั้นถึงได้ไว้หน้าเขา หากเข้ามาที่เพียงลำพังด้วยรูปลักษณ์แสนแตกต่าง ผิวสีน้ำผึ้งดูแปลกแยก เส้นผมสีจินเจอร์ สวมใส่เครื่องแต่งกายของคนต่างถิ่น บางทีปฏิกิริยาที่พวกเธอมีต่อซินเธียอาจจะเลวร้ายกว่าโอเมก้าคนนั้นด้วยซ้ำ


ฐานะเจ้าชายแทบไม่มีความหมายเลยเมื่ออยู่ต่างบ้านต่างเมือง


ในโลกนี้ โอเมก้ามีจำนวนน้อยแล้วแต่โอเมก้าที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งมีน้อยกว่า ชาติตระกูลเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนโชคดีในความโชคร้ายก็ไม่ปาน


“อย่ามัวแต่มองเรื่องไร้สาระ”


เสียงทุ้มต่ำจากคนข้างกายช่วยเรียกเด็กหนุ่มให้หลุดจากภวังค์หันกลับมาสนใจบรรดาแหวนหลากหลายรูปแบบตรงหน้า ทั้งการออกแบบและจำนวนอัญมณีที่ถูกประดับบนแหวนเหล่านั้นบ่งบอกว่าพวกมันเป็นสินค้าแสนประณีตราคาสูง


มันเยอะไปหมด


คงเพราะเห็นว่าที่คู่พันธะเงียบไปนานคนที่ไม่อยากเสียเวลาไปโดยสูญเปล่าจึงใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งกวาดสายตามองคนบนโต๊ะเลือกหยิบแหวนขึ้นมาสักวงแล้วผลักตัวกล่องเข้าไปหาคนอายุน้อยกว่า


ซินเธียหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาพิจารณา เป็นแหวนเงินรูปทรงเรียบง่ายประดับเพชรน้ำเม็ดขนาดไม่ใหญ่จนเกินงามตรงกลาง สีของมันใสบริสุทธิ์ยามกระทบแสงไฟก็ส่องประกายแวววาวดูงดงาม ตัวเรือนถูกประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กๆล้อมรอบครึ่งบนของตัวแหวน เมื่อลองสวมลงบนนิ้วแล้วแม้จะดูค่อนข้างตัดกับสีผิวทว่ากับดูเข้ากันราวกับสิ่งนี้สร้างมาเพื่อตัวเด็กหนุ่มเอง


ซินเธียมองมันอย่างหลงใหล ไม่อาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่เลือกไปอย่างส่งๆ เพราะเริ่มหมดความอดทนหรือตั้งใจเลือกให้เพราะเห็นว่ามันเหมาะกับตนก็ตามที แต่เขารู้สึกชอบมันมาก ถึงแอชลีย์จะโยนมันมาให้โดยบังเอิญแต่ก็ไม่มีความรู้สึกน้อยใจหรือใดใดก็ตามเกิดขึ้นภายในใจของเด็กหนุ่มเลยสักนิด


“ชอบวงนี้หรือคะ”


พนักงานสาวที่คอยท่าอยู่นานแล้วระบายรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นคุณชายท่านนี้ไม่ยอมถอดแหวนออกเสียทีจึงรีบเอ่ยแนะนำ


“ตัวเพชรเม็ดกลางนี้มีขนาดหนึ่งกระรัตค่ะ ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปเหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบดีไซน์เรียบง่าย ส่วนตัวเรือนประมาณ 0.26 กระรัต เป็นเพชรน้ำ 100 % เลยนะคะคุณชาย”


“เอาวงนี้ก็ได้ครับ”


ซินเธียเดิมไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้วประจวบเหมาะกับรู้สึกชอบแหวนวงนี้ตั้งแต่แรกเห็นจึงตกลงไปทันที เขาถอดแหวนส่งคืนให้พนักงานสาวเบต้า “แต่มันหลวมไปสักหน่อย”


“ช่วยวัดขนาดนิ้วนางข้างซ้ายของเขาแล้วปรับแก้ให้ทีครับ ส่วนด้านในแหวนสลักเป็นคำว่าวาเลนเธีย”


“ท่านชายคิมจะรับสักวงด้วยไหมคะ”


“เอาแบบที่เหมือนกับเขา”


“ดูเหมือนตระกูลคิมกำลังจะมีข่าวดีนะคะ ใช้เวลาสักครู่ทางเราจะรีบปรับแก้ขนาดแหวนให้ค่ะ”


ในต้นประโยคนั้นเธอส่งรอยยิ้มเลยมาถึงซินเธียที่กำลังนั่งใจระส่ำอยู่ ฝั่งอัลฟ่าผู้นำตระกูลใหญ่เมื่อสั่งการยืดยาวจบก็กอดอกนั่งพิงพนักโซฟารอโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไรอีก


เพราะมัวแต่สนใจแหวนบนมือซินเธียจึงไม่ได้สนใจอีกว่าสรุปแล้วโอเมก้าคนนั้นได้สิ่งที่ตนเองต้องการหรือไม่ เมื่อหันไปดูอีกครั้งบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ก็ว่างเปล่าแล้ว คนทั้งสองนั่งรออยู่ชั่วขณะหนึ่งพนักงานสาวคนเดิมกลับมาพร้อมถุงสีกระดาษหรูหราน้ำเงินเข้ม บนตัวถุงมีตัวอักษรสีเงินตวัดสวยงามเป็นชื่อของร้าน เธอหยิบกล่องกำมะหยี่สีเดียวกันออกมาเปิดให้ทั้งคู่ดูอีกครั้งก่อนชำระเงินเพื่อตรวจสอบเผื่อว่าลูกค้าอยากจะปรับแก้ตรงไหนเพิ่มเติม


แอชลีย์หยิบแหวนที่เล็กกว่าขนาดนิ้วของตัวเองขึ้นมาสร้างความฉงนให้กับคนมองอย่างซินเธีย เด็กหนุ่มนึกว่าอีกคนจะหยิบแหวนของตัวเองมาตรวจสอบเพราะตั้งแต่ต้นเจ้าตัวยังไม่เคยลองสวมเลยสักครั้ง  ส่วนแหวนของแอชลีย์นั้นตัวเพชรมีขนาดใหญ่กว่า รวมถึงรูปทรงของแหวนก็มีความหนากว่า ปรับให้เข้ากับบุคลิกและอัลฟ่าผู้สวมใส่


คนตัวโตยื่นมือมาด้านหน้าไม่บอกไม่กล่าว ครั้งแรกซินเธียไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายจนกระทั่งเห็นนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นเหลือบมองมือตนเองถึงได้ยื่นมืออกไปด้วยความมึนงง มือใหญ่กุมมือของเด็กหนุ่มไว้แล้วดึงเข้าหาตัวเองเล็กน้อยก่อนจะสวมแหวนในมือลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของว่าที่คู่พันธะ


ในวินาทีนั้นคนถูกสวมแหวนเผลอเกร็งตัวไปชั่วขณะ จับจ้องทุกวินาทีที่ตัวแหวนถูกเลื่อนเข้ามาบนนิ้วเชื่องช้า พอเลื่อนสายตาไปมองคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองก็อดจะเม้มปากไม่ได้


แหวนวงนั้นมันพอดีกับนิ้วเรียวสวยสีน้ำผึ้ง


“เหมาะมากเลยค่ะ”


ซินเธียได้แต่ส่งยิ้มเก้อเขินกลับไปให้ รู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ


“แล้วคุณไม่ลองสวมดูหรือครับ”


พอไม่รู้จะทำตัวอย่างไรถึงได้หันไปถามคนที่เอาแต่นั่งมองกันเงียบๆ แต่คำตอบของอีกฝ่ายกลับเป็น...


“ถ้าเขาวัดขนาดไปแล้วอย่างไรเสียมันก็ต้องใส่ได้ ไปได้แล้ว เรายังต้องไปจัดการเรื่องอื่นกันต่ออีก”





TBC..
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-06-2019 19:46:16
แต่ละบทเราตั้งใจอ่านมากค่ะ พยายามให้จบช้าที่สุด อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆเลย
การกระทำของท่านแอชลีย์ชวนให้ใจสั่น แต่ทำไมเปิดปากพูดแต่ละครั้งมันช่าง... น้องซินเธียรู้สึกยังไง เราไม่รู้ แต่คนอ่านอย่างเราเนี่ยหน้าชาไปแล้ว โธ่ จะบอกให้น้องช่วยสวมแหวนให้หน่อยก็ไม่ได้

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-06-2019 21:00:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-06-2019 00:29:25
หยิบแหวนใส่ให้เองเลยเหรออออ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 04-06-2019 02:35:16
ติดตามๆน้องซิน
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 04-06-2019 20:51:35


บทที่ 4




ผันผ่านมาจวนครบสัปดาห์แล้วของการมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน หลังจากหัวหมุนจัดการธุระเรื่องงานแต่งงานในคราวนั้นซินเธียก็ไม่ได้เยื้องกายออกจากคฤหาสน์อีกเลย นั่นก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เขายังรู้สึกแปลกกับการต้องเผชิญหน้ากับชาวแดนเหนือในจำนวนมากๆ ยิ่งต้องไปเดินอยู่ในกลุ่มฝูงชนยิ่งรู้สึกเกร็ง


โอเมก้าหนุ่มคุ้นชินกันการอยู่กับธรรมชาติ ควบม้าไปทั่วทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เพียงลำพัง ขบคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แน่นอนว่างานวิวาห์นี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของเด็กหนุ่มเลยสักนิด


แต่ก็ทั้งรู้และพยายามเข้าใจว่าที่ท่านพ่อส่งตนมายังสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ก็เพื่อรักษาชีวิต


ท่านบอกว่าตนนั้นรู้ดีว่าเวลาของตระกูลวาเลนคงไม่อาจยืนยาวไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดกับตระกูล หากว่า ถ้าหากว่าเขาเกิดมาเป็นอัลฟ่าแล้วล่ะก็คนเหล่านั้นคงไม่อาจทำตัวเหิมเกริมได้ขนาดนี้ ซินเธียจะไม่ยอมให้พวกตระกูลสายรองมาข่มกันได้


เขาในเวลานี้ทำอะไรเพื่อท่านพ่อ เพื่อตระกูลไม่ได้เลย


เด็กหนุ่มนั่งพิงกับกรอบหน้าต่าง ดวงตาทอดยาวออกไปยังความมืดมิดสุดลูกหูลูกตาของทิวป่าสน ขณะนี้ดึกมากแล้วทว่าคนร่วมห้องเคียงเตียงยังไม่กลับมา มันทำให้เขา...


นอนไม่หลับ


ซินเธียจำได้ คืนแรกในวินเทอร์ฟอลเขารู้สึกทั้งเกร็งและกระอักกระอ่วนแค่ไหน ยิ่งการต้องมาร่วมเตียงกับอัลฟ่าครั้งแรกแบบนี้แล้วประสาทสัมผัสการเฝ้าระวังภัยยิ่งตื่นเป็นพิเศษ ทว่าอีกคนไม่ได้ทำสิ่งเกินเลยอะไรไปนอกจากการล้มตัวลงนอนบนพื้นที่ข้างกันเงียบเชียบทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติจนกระทั่งเข้าสู่ห้วงนิทรา ทำราวกับว่าในห้องนี้ไม่ได้มีสมาชิกเพิ่มเข้ามา เป็นแบบนี้มาอยู่หลายวันจนซินเธียเริ่มจะชิน


แอชลีย์ คิม


ผู้ชายคนนั้น ถึงความสัมพันธ์ของเราจะค่อนข้างห่างเหิน ถึงเขาจะเย็นชาแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้ซินเธียต้องลำบากใจ ช่วงกลางวันอีกฝ่ายจะออกไปทำงานตอนเย็นก็จะกลับมาทานข้าวด้วยกันและเข้านอนพร้อมกัน ยามอยู่ข้างนอกก็ไม่เคยทิ้งให้เด็กหนุ่มอยู่ลำพังแม้เพียงสักครั้ง


ยอมรับว่าคืนนี้พอคิดว่าอีกคนจะไม่กลับมานอนด้วยกันใจมันก็หวิวๆ ความรู้สึกกังวล กระสับกระส่ายดังในคืนแรกกลับมาอีกครั้ง ต่อให้เราไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือแตะเนื้อต้องตัวแต่การรับรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของเตียงยังมีร่างสูงของอัลฟ่าหนุ่มนอนหลับสนิทอยู่ไม่ไกลหัวใจมันก็ยากจะปฏิเสธว่ารู้สึกปลอดภัยจนน่าประหลาด


ข่มตานอนไม่หลับจนต้องลุกมานั่งถอนใจทิ้งอยู่ริมหน้าต่าง ไอเย็นจากลมหนาวทะลุผ่านกำแพงเข้ามาต่อให้ในห้องจะมีเตาผิงก็ตาม เด็กหนุ่มกอดตัวเองเอาไว้หลวมๆ สำหรับชาวแดนใต้แล้วอากาศระดับนี้ก็นับว่าหนาวเกินไปอยู่ดี พอจิตใจไม่สงบสมองก็เริ่มคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย


คิดถึงแสงแดดยามเช้าในธอร์น


คิดถึงสายลมอุ่นพัดผ่านทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

คิดถึงอาชีร่าเจ้าม้าแสนรู้ที่พาเขาท่องไปทั่วทุกหนแห่ง

คิดถึงแคลร์ที่คอยรับฟังทุกความกังวลใจ

คิดถึงท่านพ่อ ที่ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

และ...


แอ๊ด...


คนเหม่อลอยสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ ร่างกายตื่นตัวสุดขีดรวมถึงหัวใจที่เต้นระรัว ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบานประตูมันถูกเลื่อนเปิดออกทีละน้อยแต่เมื่อเห็นว่าเบื้องหลังบานไม้สลักลายนั้นคือร่างสูงใหญ่เจ้าของห้องตัวจริงถึงได้พรูลมหายใจออกมาเสียยาวยืด


ฝ่ายแอชลีย์ซึ่งติดประชุมลากยาวตั้งแต่ช่วงเย็นจนกว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จก็เป็นเวลาดึกค่อนข้างมากแล้ว ไม่ทันจะได้แม้แต่ทานมื้อเย็นกัน ทั้งเหนื่อยและหิวจนแยกแยะไม่ออกว่าควรจะพักผ่อนทันทีหรือหาอะไรใส่ท้องสักหน่อย


ในระหว่างทางกลับห้องนอนก็คิดว่าอีกคนที่อยู่ร่วมห้องกันคงจะนอนหลับไปแล้ว ทว่า เมื่อเปิดประตูเข้ามากลับต้องประหลาดใจ เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเจอเจ้าโอเมก้ายังคงนั่งกอดตัวเองท้าลมหนาวอยู่ริมหน้าต่าง


“ดึกป่านนี้ ทำไมยังไม่นอน”


คนถูกถามได้แต่อึกอัก ดวงตากลมโตสีเงินคู่นั้นกลอกไปมาด้วยไม่กล้าตอบว่าพอไม่มีอีกคนอยู่ด้วยก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนไม่สามารถข่มตาลงนอนได้


“เรา... นอนไม่ค่อยหลับ” สุดท้ายก็ได้แต่อ้อมแอ้มตอบไป ก็ดูอีกคนจ้องมาเสียคาดคั้นขนาดนั้นซินเธียรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนดุอย่างไรชอบกล


คนมีชนักติดหลังจึงพยายามหาบทสนทนาอะไรสักอย่างมาเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึมนี้เสีย


“แล้วทานมาอะไรมาหรือยังครับ” อันที่จริงอยากจะถามว่าเหนื่อยหรือเปล่า สังเกตจากใบหน้าอิดโรยนั้นแต่ไม่กล้าเซ้าซี้มาก ดูจากท่าทางคงจะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เย็นซึ่งก็เป็นความจริงเมื่อเจ้าตัวส่ายหน้าเนือยๆ


“อ่า...”


“มีอะไร”


“ในครัวยังพอจะมีซุปเหลืออยู่บ้าง” คนอ่อนกว่าอ้อมแอ้มตอบ ใช้นิ้วชี้เขี่ยปลายคางอย่างคนประหม่าขณะเอ่ยประโยคถัดมา “ถ้าคุณอยากทานเราจะอุ่นให้ อย่างน้อยก็พอช่วยรองท้องได้”


ซินเธียเม้มปากขณะรอคำตอบจากคนตัวโต แอชลีย์เลิกคิ้วสูงคล้ายไม่คาดคิดในคำถามเขาเงียบไปนานมากราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


จู่ๆ ก็รู้สึกใจแป้วขึ้นมา กลัวจะถูกต่อว่าเรื่องจุ้นจ้านมากเกินไป


แต่ที่ถามก็เพราะไม่อยากให้อีกคนปล่อยท้องว่างไปนานๆ อย่างน้อยได้ดื่มซุปสักถ้วยก็จะช่วยให้นอนหลับได้สบายมากกว่านี้


แอชลีย์ส่งเสียงอืมกลับมาคำหนึ่งหลังเงียบไปพักใหญ่ “เอาอย่างนั้นก็ได้”


เพราะชายหนุ่มรู้สึกหิวเกินจะนอนหิ้วท้องต่อไปจนถึงตอนเช้าจริงๆ นั่นแหละ


“เดี๋ยวเราลงไปอุ่นให้” เมื่อได้รับคำอนุญาตก็เผลอยิ้มตาหยีอย่างคนดีใจ รีบเร่งผละออกมาจากบานหน้าต่างมุ่งหน้าลงไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมมื้อดึกให้กับว่าที่คู่พันธะทันที ด้วยทางทางตื่นเต้นนี้ดูแปลกตาไปสักหน่อยกับเจ้าชายผู้เงียบขรึมเฉกเช่นวันแรกในสายตาของคนมองอย่างแอชลีย์


แต่ใครจะรู้ว่าความดี๊ด้าที่ออกจะเกินไปในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากความดีใจที่อีกคนกลับบ้านมาเสียทีต่างหาก



ซินเธียลงมาอุ่นซุปในครัวให้กับคนพึ่งกลับบ้าน จำได้ว่าตอนมื้อเย็นเขาเลือกกินมันน้อยที่สุด เดิมทีอาหารของทางแดนเหนือก็ไม่ค่อยถูกปากอยู่แล้วแต่ก็ยังสามารถกินได้ ซินเธียไม่ใช่คนเรื่องมากแต่กับซุปหม้อนี้เกินทนมากจริงๆ คุณพ่อบ้านพอเห็นว่าท่านชายแทบไม่แตะซุปบนโต๊ะอาหารเลยนำมันไปเก็บไว้


ในระหว่างยกหม้อซุปออกมาอุ่นโอเมก้าหนุ่มลูบคางใช้ความคิด แอชลีย์พึ่งกลับมาท่าทางเหนื่อยอ่อนเดาว่าคงยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยด้วยซ้ำ แค่ซุปหนึ่งชามคงไม่พออีกทั้งซุปในหม้อเวลานี้ทั้งเย็นชืดแล้วก็ไม่ค่อยมีสารอาหารไม่ต่างอะไรกับการดื่มน้ำเปล่า คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มค้นเอาเนื้อสัตว์ออกมาใส่เพิ่มลงไปเคี่ยวจนซุปเริ่มส่งกลิ่นหอมก็ชักหิวตามจึงจัดการใส่เครื่องเทศที่พอจะหาได้ใกล้เคียงกับทางบ้านเกิดใส่เพิ่มลงไปอีก รอจนน้ำเดือดอีกครั้งกลิ่นหอมของเครื่องเทศก็ลอยฟุ้งเรียกน้ำย่อย


ขณะกำลังง่วนอยู่ก็รู้สึกได้ถึงฝีเท้าที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ซินเธียหันไปมองว่าที่คู่พันธะ แอชลีย์ในเวลานี้อยู่ในชุดนอนผ้านิ่มสีเทา เส้นผมสีดำมีความชื้นเล็กน้อยจากการสระผมแล้วถูกเช็ดจนหมาดน้ำ อีกฝ่ายไม่ได้เดินมาตัวเปล่าแต่กลับถืออะไรบางอย่างติดมือมาด้วย


อะไรบางอย่างที่ว่านั่นถูกคลุมลงบนลาดไหล่ทั้งสองข้างของคนที่มัวง่วนอยู่กับการเคี่ยวซุป วินาทีนั้นซินเธียพึ่งนึกออกว่าเขาหนาวมากจริงๆ


“ข้างล่างจะเย็นกว่าข้างบน”


อีกฝ่ายกล่าวเสียงเรียบ ดวงตามีความง่วงงุนอยู่ในที


ข้อนี้ซินเธียไม่เถียง ได้แต่พึมพำกล่าวคำขอบคุณเบาๆ แล้วหันไปตักซุปซึ่งเคี่ยวได้ที่แล้ว บรรยากาศในชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ตอนนี้เงียบสงัดแสงสว่างมีเพียงบริเวณห้องครัวเท่านั้นอากาศจึงยิ่งดูหนาวเย็นขึ้นไปอีก แอชลีย์นั่งลงบนโต๊ะไม้ชุดเล็กในห้องครัวไม่ได้ออกไปกินกันในห้องอาหารอย่างทุกที


ซินเธียตักซุปที่ได้รับการปรุงใหม่ไปวางตรงหน้าของอัลฟ่าสูงศักดิ์ เจ้าตัวขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะกลิ่นเครื่องเทศดูแรงกว่าปกติ อีกทั้งหน้าตายังไม่เหมือนซุปที่ทางห้องครัวทำให้อย่างเคย


“เราใส่เนื้อเพิ่มลงไปกับใส่เครื่องเทศให้มากหน่อย คุณลองทานดูสิครับว่าถูกปากหรือเปล่า”


ซุปหม้อนี้ถูกปรุงใหม่ตามสูตรของชาวแดนใต้ซึ่งอาหารจะเน้นการปรุงด้วยเครื่องเทศกับเนื้อสัตว์เป็นหลัก แม้จะไม่ตรงตามต้นฉบับร้อยเปอร์เซ็นแต่ซินเธียก็พยายามหาวัตถุดิบที่มีความใกล้เคียงกันที่สุดจนได้รสคล้ายคลึงกัน พอได้มองแบบนี้แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมา


แอชลีย์ตักซุปขึ้นชิมไม่ปริปากอะไรอีก เขาจัดการซุปในชามไปเงียบๆ เห็นดังนั้นซินเธียจึงจัดการส่วนของตัวเองบ้าง คำแรกผ่านไป คำที่สอง คำที่สามจนกระทั่งคำสุดท้ายผ่านพ้นไปเมื่อชามสีขาวว่างเปล่าคนตัวสูงก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเอ่ยวิจารณ์อะไรแม้สักครึ่งคำจนคนลุ้นระทึกอย่างซินเธียรู้สึกกระสับกระส่าย


เขาดูนิ่งมาก ใบหน้าคมคร้ามนั้นไม่ปรากฏปฏิกิริยาอะไรเลยจึงไม่อาจเดาได้ว่ารสชาตินั้นถูกปากหรือไม่ จะว่าไม่ชอบ... เด็กหนุ่มเหลือบมองความว่างเปล่าในชามดวงตาฉายแววครุ่นคิด


บางทีท่านชายคิมอาจจะหิวมากก็เป็นได้


“คุณอยากจะเติมไหมครับ”


ซินเธียลองหยั่งเชิง ดูเหมือนในหม้อจะยังเหลืออีกนิดหน่อย...


“พอแล้ว”


แอชลีย์ยกผ้าเช็ดปากแล้วจิบน้ำตาม ทุกท่วงท่าล้วนสง่างามสมกับความเป็นอัลฟ่าจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มอยากจะรับรู้


“เอ่อคือ...”


“อะไร” เจ้าตัวเลิกคิ้วสูง น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกระดับราวกับรู้สึกรำคาญใจเต็มทน


“มัน... ดีไหมครับ” หมายถึงรสชาติ


“อืม”


“…”


“ดี”


หลังจากทำงานอย่างหนักหน่วงจนกลับบ้านดึกดื่น เช้าวันนี้แอชลีย์ตัดสินใจว่าจะพักผ่อนอยู่บ้านไม่ออกไปไหน ชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทางหย่อนอารมณ์อยู่บริเวณห้องเรือนกระจก ถัดมาไม่ไกลมีโอเมก้าจากต่างแดนกำลังศึกษาวัฒนธรรมของชาวแดนเหนืออย่างขะมักเขม้น


ซิยเธียใช้เวลาทั้งเช้าหมดไปกับการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากคุณพ่อบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางตัว มารยาทในงานเลี้ยง วิธีการดื่มชาอย่างถูกต้อง แม้กระทั่งการชงชาเองก็ยังไม่ละเว้น


เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาจดบันทึกตามการบรรยายของคุณพ่อบ้าน ก้มหน้าก้มตามากเสียจนปอยผมสีจินเจอร์ช่อหนึ่งร่วงตกลงมาจากลาดไหล่ก็ไม่นึกสนใจปัดทิ้ง ข้อมูลมหาศาลเสียจนเขาย่อยไม่ทัน เรื่องพื้นฐานบางอย่างซินเธียรู้อยู่แล้ว ตั้งแต่บรรลุนิติภาวะอายุ 18 ปีท่านพ่อก็ให้ออกงานสังคมบ้างเป็นบางครั้ง


ทว่า งานเลี้ยงทางบ้านเกิดเขาน่ะไม่ได้มีเรื่องหยุมหยิมมากมายอย่างที่คุณพ่อบ้านบรรยายออกมา พิธีรีตองหรือก็ไม่ได้ละเอียดยิบย่อยถึงเพียงนี้ ขอแค่มีสุราชั้นดีซึ่งถูกบ่มมาแรมปีกับอาหารเครื่องเคียงรสเลิศ หญิงนักระบำเพื่อสร้างความบันเทิงก็ถือเป็นงานเลี้ยงแสนพิเศษ


ไม่ได้มีเรื่องอย่างการถือแก้วไวน์อย่างไรให้ดูสง่างาม ดื่มไวน์อย่างไรให้ได้รสชาติดีเยี่ยม การใช้มีดกับส้อม รวมไปถึงการยิ้มในเชิงธุรกิจ การสวมเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมยิบย่อยไปหมดจนเด็กหนุ่มรู้สึกปวดหัว เคี่ยวกรำกันอยู่นานจนกระทั่งสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาแจ้งว่ามีแขกมาเยือนคฤหาสน์คิม คุณพ่อบ้านจึงหยุดบรรยายชั่วคราวแล้วขอตัวเดินออกไปต้อนรับด้วยตนเอง


ซินเธียรู้สึกตระหนกขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้แล้วมีแขกมาเยือน ในขณะกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ว่าตนควรจะหลบฉากออกไปหรือว่านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปดี อัลฟ่าและโอเมก้าคู่หนึ่งก็เดินเข้ามาภายในห้องเรือนกระจกแห่งนี้เสียก่อน คนทั้งสองแต่งกายด้วยชุดสูทเรียบหรูโทนเข้มดูเข้าคู่กันท่าทางเหมือนเรียมพร้อมจะไปงานเลี้ยงสักแห่ง


พอมองไปยังแอชลีย์ฝ่ายนั้นก็พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงสั่งให้เด็กหนุ่มเข้าไปนั่งข้างกัน ซินเธียลุกไปหย่อนตัวบนโซฟาตัวนั้นด้วยความรู้สึกประหม่า จะบอกว่าเป็นประเภทตื่นคนแปลกหน้าก็ไม่ค่อยผิดนัก ปกติเขามักถูกสั่งให้อยู่แต่ในที่พักของตัวเองเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ก็ขี่ม้าออกไปหาที่เงียบสงบอยู่กับตัวเองเงียบๆ


“มาถึงนี่มีธุระอะไรล่ะ”


ฝ่ายเจ้าบ้านเปิดปากก็เข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อมหลังจากพ่อบ้านช่วยเสิร์ฟชาให้กับแขกยามสายของวัน


“แค่อยากจะมาเห็นหน้าเจ้าสาวของคุณก็เท่านั้น ว่าเป็นคนแบบไหน” โอเมก้าเรือนผมสีอ่อนเอ่ยขึ้นอย่างหย่อนอารมณ์ มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับ ใจความไม่มีการอ้อมค้อมเช่นเดียวกับเจ้าบ้าน “ไม่คิดจะแนะนำกันสักหน่อยหรือท่านชายคิม”


คนที่จู่ๆ ก็โดนพาดพิงผงะไปเล็กน้อย ด้วยไม่คาดคิดกับคำตอบของโอเมก้าคนนั้น พลันสายตาก็เหลือบไปมองคนข้างกาย แอชลีย์ยังคงท่าทีสงบ ใบหน้าคมคร้ามเรียบนิ่งทว่าดวงตาเจือแววรำคาญใจออกมา


ไม่รู้เพราะฝังใจกับเรื่องในอดีตที่เคยไปประกาศจะช่วงชิงเพื่อนของเจ้าตัวอย่างออกนอกหน้าหรือเปล่า ทุกวันนี้เจอหน้ากันทีไรคุณชายอิลลาเรียนถึงได้จ้องแต่จะกวนประสาทกันทุกที ดูก็รู้ว่าทั้งคู่มาหากันถึงที่ไม่ได้จะต้องการมาเพียงเพื่อจะดูหน้าว่าที่คู่ของตนจริง


“ซินเธีย นี่คือโจชัว ฮิลตันและออร์เวล อิลลาเรียน” ชายหนุ่มผายมือแนะนำตัวแขกผู้มาเยือนตามลำดับ


“สวัสดีครับ”


ซินเธียค้อมหัวให้กับคนทั้งสอง ตั้งแต่มาวินเทอร์ฟอลอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำก็คือเมืองแห่งนี้มีสี่ตระกูลใหญ่คอยปกครองและคานอำนาจ จากความทรงจำนอกจากนั้นยังมีตระกูลสำคัญอีกหลายตระกูลที่คุณพ่อบ้านเคยพูดถึง ฮิลตันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


“คุณดูเด็กกว่าที่ผมคิดมาก” ออร์เวลกล่าวยิ้มๆ หลายวันก่อนเจย์เดนเคยพูดถึงเจ้าชายจากต่างแดนคนนี้ให้ฟังพอสมควร เพื่อนของเขากล่าวว่าคุณชายวาเลนเธียคนนี้เป็นคนที่น่ารักคนหนึ่ง และพอยิ่งได้มาประสบพบเจอกันต่อหน้าก็ยิ่งลบภาพข่าวลือบ้าบอของคนดินแดนทางใต้ออกไปโดยสิ้นเชิง


ก็ไม่เห็นจะดูน่ากลัวป่าเถื่อนอะไร ดูจะเป็นเด็กขี้อายด้วยซ้ำ!


ฝ่ายซินเธียได้แต่ยิ้มตอบกลับไปอย่างเก้อเขิน ปกติก็ไม่ใช่คนพูดมากอะไรยิ่งมาเจอคนที่ดูจะอัธยาศัยดีอย่างคุณชายอิลลาเรียนแล้วก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก


“ผมพึ่งเคยมาคฤหาสน์คิมเป็นครั้งแรก ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็อยากจะเดินดูรอบๆสักครั้ง”


อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมาขนาดนั้นซินเธียก็เข้าใจความนัยได้เป็นอย่างดีจึงตอบตกลงลุกขึ้นเดินนำอีกฝ่ายออกมายังสวนด้านหลัง เช่นเดียวกับคุณพ่อบ้านเองก็รู้หน้าที่จัดการเตรียมชุดน้ำชาไว้ให้พร้อมแล้ว


ลับหลังโอเมก้าทั้งสองโจชัวที่นั่งเงียบมานานก็เปิดปากขึ้น “จนวันนี้ฉันก็ยังประหลาดใจที่นายยอมรับข้อเสนอของลิมเบิร์ก วาเลน”


“ตัวคนก็มาถึงที่แล้วยังต้องสงสัยอะไรอีกล่ะ” แอชลีย์ยกกาแฟขึ้นจิบ ท่าทางไม่แยแสอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว “สรุปมาถึงนี่คงไม่ได้มาเพื่อถามคำถามไร้สาระเหมือนคู่ของนายหรอกนะ”


“แน่นอนว่าไม่” โจชัวขมวดคิ้ว เรื่องพูดจายั่วยุให้รู้สึกโมโหก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มไม่อยากเสวนากับอีกฝ่ายนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมเข้าเรื่องสักที ยังคงเอ่ยถึงโอเมก้าจากต่างแดนต่อไป “ฉันไม่คิดว่านายจะได้ประโยชน์อะไรจากการแต่งงานกับเด็กคนนั้นหรอกนะ” เขาหรี่ตา


“ลิมเบิร์กยื่นข้อเสนออะไรให้นายกันแน่”


โจชัวพูดถูก พูดกันตามทฤษฎีแล้วงานวิวาห์ครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการแต่งงานการเมืองโดยมีคำว่าเชื่อมสัมพันธ์บังหน้า ลิมเบิร์กต้องการปกป้องลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นโอเมก้าของตนในตอนที่เขาเห็นว่าตัวเองไม่อาจพยุงอำนาจของตระกูลสายหลักได้อีกต่อไป การส่งซินเธียมายังยังวินเทอร์ฟอลจะทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนของตระกูลคิม คนจากแดนใต้จะไม่กล้าแตะต้องซินเธียอีก


ในขณะเดียวกันเมื่อคนทั้งสองแต่งงานและจับคู่กันแอชลีย์เองก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลวาเลน เดิมดินแดนแห่งนั้นก็ส่งต่ออำนาจทางสายเลือดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นชายหนุ่มเองก็จะมีอำนาจส่วนหนึ่งในธอร์นหรือดินแดนทางใต้เช่นกัน ยิ่งเมื่อซินเธียให้กำเนิดอัลฟ่าออกมาเด็กคนนั้นก็จะได้ขึ้นเป็นผู้นำของแดนใต้ นั่นคือสิ่งที่หลายคนรับรู้


ซึ่งหากคิดไตร่ตรองให้ดีมันเป็นการค้าที่ขาดทุนชัดๆ


ดินแดนทางใต้นั้นช่างแสนห่างไกล ปลีกวิเวกไม่ได้ติดต่อกับเมืองอื่นๆ และเมืองพันธมิตรเหล่านั้นก็ไม่คิดจะเยื้องกรายเข้าไปในสถานที่สุดขอบแดนแห่งนั้นแน่นอน ต่อให้เป็นคนที่หลงใหลในอำนาจและทะเยอทะยานอย่างแอชลีย์ คิม ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นประโยชน์อะไรกับตัวเอง ตระกูลคิม หรือแม้กระทั่งวินเทอร์ฟอล


ต่อให้มีอำนาจหรือสิทธิการปกครองแดนใต้แล้วอย่างไร


สองดินแดนอยู่ห่างกันจนแทบเหมือนคนละโลก ตัดขาดไม่เคยคิดยุ่งเกี่ยวกันมาก่อนมีเพียงสัญญาไม่รุกรานกันจากผู้นำของแต่ละฝ่ายเมื่อร้อยปีก่อนเท่านั้น ต่อให้เป็นโจชัวเองฝ่ายนั้นมาเชิญไปเป็นราชาถึงที่ตีให้ตายก็ไม่ไปหรอก


แอชลีย์เหลือบมองโอเมก้าตัวน้อยซึ่งกำลังนั่งสนทนากับคุณชายอิลลาเรียนอยู่ในสวนผ่านบานกระจกใส ภายในห้องเรือนกระจกแห่งนี้สามารถมองบรรยากาศของสวนด้านหลังคฤหาสน์ได้ชัดเจนแทบจะทุกมุม มองอยู่นานโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมานอกจากเสียงหัวเราะในลำคอ




TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-06-2019 21:10:43
น้องซินเธียน่าเอ็นดูอีกแล้ว
คุณแอชลีย์ตั้งใจจะทำอะไรนะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-06-2019 23:09:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-06-2019 00:35:40
แสดงว่าคิดแล้วว่าข้อเสนอไม่ขาดทุน รึเปล่า
 :ling2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 05-06-2019 11:37:13
ติดตามเรื่องนี้จ้าา ชอบมากกกกก  :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 05-06-2019 12:26:23
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 05-06-2019 21:07:10


บทที่ 5




ออร์เวลนั่งเท้าคางอมยิ้มมองโอเมก้าสีผมแปลกตาตรงหน้า เวลานี้ไม่มีใครยอมปริปากอะไร ฝ่ายคนเป็นแขกคล้ายกับกำลังนั่งสำรวจโอเมก้าจากต่างแดนคนนี้ แววตาคู่นั้นราวกับกำลังมองทะลุเข้าไปให้ลึกสุดถึงภายใน ฝ่ายเจ้าบ้านก็ได้แต่นั่งมือทั้งสองบนหน้าตักบีบเข้าหากันด้วยความประหม่ารอคอยให้คุณชายอิลลาเรียนพูดอะไรสักอย่างออกมาเสียที


เพราะหากเจ้าให้ตนชวนคุย ก็ไม่รู้จะคุยอะไร


นานทีเดียวกว่าออร์เวลจะยอมเลิกแกล้งเด็กหนุ่มตรงหน้า เริ่มชวนคุยด้วยประโยคง่ายๆ อย่างการถามสารทุกข์สุขดิบ


“มาอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ทำให้รู้สึกลำบากใจหรือเปล่า”


เป็นเวลาราวหนึ่งสัปดาห์แล้วกับชีวิตในวินเทอร์ฟอล เมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลนและความหนาวเย็นแห่งนี้ ซินเธียหลุบสายตาลงต่ำ


“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีครับ” ปลายนิ้วโป้งเลื่อนลงไปลูบแหวนเพชรน้ำงามบนนิ้วนางข้างซ้ายแผ่วเบาก่อนจะระบายรอยยิ้มจางๆ ออกมา “เสียแต่ผมไม่ค่อยชินกับอากาศของที่นี่สักเท่าไหร่”


“วินเทอร์ฟอลมักจะเต็มไปด้วยความหนาวเย็นเสมอ”


ออร์เวลยกชาขึ้นจิบ โครงศีรษะไปมาริมฝีปากยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “ถึงทุกคนจะชินชากับความหนาวเย็นเหล่านี้แต่ก็ยังเฝ้ารอฤดูกาลแห่งชีวิตอยู่ดี”


“ฤดูกาลแห่งชีวิต?”


“ครับ มันคือฤดูใบไม้ผลิน่ะ เพื่อนของผม... หมายถึงเจย์เดน เมื่อตอนพวกเรายังเด็กกว่านี้เขามักชอบหนีเข้าไปวิ่งเล่นในป่าเสมอ ครั้งสุดท้ายที่เคยหนีไปเขาเจอกับอะไรรู้ไหม”


ซินเธียส่ายหน้า ไม่ปริปากเอ่ยแทรกอะไรเนื่องจากรู้ว่าอีกฝ่ายถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ


“เขาบอกผมว่าเจอหมาป่าตัวหนึ่ง มันตัวใหญ่และน่ากลัวมากเจย์เดนเกือบจะถูกมันขย้ำอยู่แล้ว” ออร์เวลหัวเราะออกมาด้วยท่าทางผ่อนคลายก่อนจะเล่าต่อ


“ไม่รู้เรียกว่าโชคชะตาหรือว่าอะไร มีหมาป่าตัวหนึ่งกระโจนเข้ามากัดหมาป่าดุร้ายตัวนั้นสู้จนกระทั่งมันหนีไป เจย์เดนทั้งตกใจและหวาดกลัวขยับตัวแทบไม่ได้ แต่แปลก หมาป่าตัวนั้นกลับทำแค่ยืนจ้องเขาเฉยๆ ดวงตาของมันเป็นสีครามงดงามราวกับท้องทะเลก็ไม่ปาน มันดึงดูดอย่างน่าประหลาด”


ออร์เวลไล้ปลายนิ้วไปตามขอบแก้วชาเชื่องช้าปากก็ยังขยับขานเรื่องราวต่อไป ซินเธียไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังทำไม บางทีอาจจะเพราะพูดถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วบังเอิญนึกถึงเรื่องราวของเพื่อนสนิทขึ้นมา


“วันนั้นที่เขามาเล่าให้ฟังฉันยังนึกขำ หยอกเขาไปว่าบางทีอาจจะเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองก็ได้แถมยังโดนด่าว่าไร้สาระอยู่เลย ใครจะรู้ว่าต่อมาเขาจะได้เจอเจ้าของดวงตาสีครามแสตราตรึงคู่นั้นจริงๆ”


“คุณหมายถึง...”


ใบหน้าของคาร์ลิน ไล วาบเข้ามาในความคิด เขามีดวงตาสีครามราวกับท้องทะเลจริงๆ การพบกันครั้งนั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาเร่งรีบแต่ซินเธียก็จำดวงตาคู่นั้นได้ขึ้นใจ


คู่แห่งโชคชะตาอย่างนั้นหรือ


“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องโรแมนติกมากเลยนะ น่าเสียดายที่โจชัวไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของผม” เจ้าตัวว่าพลางกลั้วหัวเราะ “ถึงเราจะไม่ใช่คู่ที่โชคชะตาลิขิตมาแต่ผมก็รักเขาเหมือนเดิม แต่ก็อิจฉาเจย์เดนมากจริงๆ”


“ลูกชายของท่านชายมัวร์น่ารักมากเลยครับ” ซินธียนึกไปถึงวันที่ได้ไปเยือนคฤหาสน์มัวร์ “ดวงตาเขาเหมือนคุณพ่อของเขามากจริงๆ”


นี่เป็นสาเหตุที่เด็กหนุ่มสามารถจดจำดวงตาสีท้องทะเลแสนงดงามนั้นได้ขึ้นใจแม้จะได้พบอัลฟ่าจ่าฝูงเพียงระยะเวลาสั้นๆ


“อื้ม เจ้าตัวน้อยน่ารักมาก พูดถึงก็อดมันเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ หากว่าผมไม่มีเจมี่คิดว่าคงเทียวไปฟัดลูกชายเพื่อนถึงคฤหาสน์ทุกวัน”


“อ้อ ผมหมายถึงลูกชายของผมน่ะครับ” รีบพูดเสริมเมื่อเห็นแววตาฉงนมาจากคู่สนทนา


“เราเองก็อยากเจอเจมี่สักครั้งเหมือนกันนะครับ”


“น่าเสียดายตอนบ่ายพวกเราต้องไปงานเลี้ยงวันนี้เลยไม่ได้พาเขาออกมาด้วย” ในน้ำเสียงนั้นมีความเสียดายด้วยใจจริง “แต่ปกติผมมักจะพาเขาไปเล่นกับเจสเปอร์ที่คฤหาสน์มัวร์บ่อยครั้ง ถ้ามีเวลาท่านชายก็แวะมาจิบชายามบ่ายกับพวกเราสิครับ ผมเชื่อว่าเจย์เดนเองก็จะดีใจเช่นกัน”


“ถ้ามีเวลาว่างเราจะต้องไปแน่นอน” ซินเธียรับปากอย่างไม่ลังเล ถึงครั้งแรกที่พบกันจะรู้สึกเกร็งและประหม่าไปบ้าง แต่พอได้นั่งคุยกัน ฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยบรรยากาศสบายๆ กำแพงในใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มลดลง ยิ่งออร์เวลเป็นโอเมก้าเหมือนกันแล้วความสนิทใจต่ออีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


ไม่บ่อยเลยกับการจะได้เจอคนที่เป็นโอเมก้าเหมือนกัน ส่วนท่านชายเจย์เดนคนนั้นหากมีเวลาได้สนทนากันอีกสักหลายประโยคเชื่อว่าความประหม่าในคราแรกจะต้องสลายไปอย่างแน่นอน


และเพราะกลัวอีกฝ่ายจะคิดว่าคำตอบของตนเป็นไปตามมารยาทจึงรีบเสริมไปอีกคำ


“เราอยากเจอเด็กๆ อีก ถ้าพวกเขาอยู่ด้วยกันบรรยากาศคงสดใสไม่น้อย”


ซินเธียเอ่ยพร้อมยิ้ม เขาค่อนข้างชอบเด็ก ยิ่งเด็กตัวน้อยๆ ยิ่งดูน่ารัก นึกถึงสมัยยังอยู่ธอร์นถึงจะชอบขี่ม้าออกนอกเมืองบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่ควบม้าผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ตามชายแดนเขามักจะแวะเล่นกับเหล่าเด็กน้อยแถวนั้นเป็นประจำ


เพราะเด็กน้อยเหล่านั้นไม่มีพิษภัยอะไรมีเพียงความใสซื่อบริสุทธิ์


“คุณเองพอแต่งงานแล้วก็รีบมีสักคนสิครับ จะได้ทันมาวิ่งเล่นด้วยกัน” ออร์เวลเย้าแหย่อีกฝ่ายไปอย่างไม่คิดอะไร นอกจากการได้คู่ชีวิตที่ดีแล้ว เขาเชื่อว่าอีกสิ่งหนึ่งที่โอเมก้าหลายคนต้องการก็คือลูกน่ารักๆ สักคน เพราะไม่อย่างนั้นการอยู่บ้านคนเดียวคงเงียบเหงาน่าดู


นับดูแล้วหากว่าซินเธียให้กำเนิดเด็กออกมาสักคนในช่วงเวลานี้ อายุก็ยังไม่ถือว่าห่างจากลูกของออร์เวลและเพื่อนสนิทมากเกินไป นึกภาพเด็กๆ วิ่งเล่นด้วยกันในสวนเสียงดังครึกครื้นแล้วคงปวดหัวไม่น้อยทีเดียว


คุณชายอิลลาเรียนมัวแต่จมอยู่กับความคิดตัวเองเลยไม่ทันสังเกตว่าหลังจบประโยคนั้นของตน สีหน้าของคนฟังหม่นหมองลงไปถึงหลายส่วน


และเมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ซินเธียทำได้เพียงส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนกลับไป ในหัวนึกไปถึงคำพูดของอัลฟ่าว่าที่คู่ชีวิตเมื่อตอนอยู่ในคฤหาสน์มัวร์หลายวันก่อน


“อ่า ดูเหมือนผมจะต้องไปแล้ว”


ออร์เวลหันไปมองทางประตูด้านหลังของคฤหาสน์เห็นคนรักของตนยืนอยู่ตรงนั้น ดูท่าอัลฟ่าทั้งสองคงจะคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเลื่อนสายตาไปยังห้องเรือนกระจกพบว่าแอชลีย์ คิม ยังคงพักผ่อนอยู่ตรงนั้นราวกับว่าวันนี้เจ้าตัวไม่คิดจะออกไปไหนอีก


คุณชายอิลาเรียนหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงเช่นเดียวกับซินเธีย ฝ่ายคนเป็นแขกค้อมหัวให้เล็กน้อยถือเป็นกิริยาที่ให้เกียรติทั้งฐานะเดิมของซินเธีย และในฐานะท่านชายของตระกูลคิม เนื่องจากตระกูลอิลลาเรียนนั้นแม้จัดเป็นตระกูลชั้นสูงแต่เมื่อเทียบกับสี่ตระกูลมหาอำนาจแล้วก็ยังห่างชั้นกันอยู่หลายขั้น


“ยินดีที่ได้พบกันนะครับ ท่านชายวาเลนเธีย”


“เรียกเราว่าซินเธียก็ได้” คนอ่อนกว่ายิ้มไม่ถือสา “ยินดีที่ได้พบเช่นกันนะครับคุณชายอิลลาเรียน”


“ครับ แล้วพบกันใหม่”


ซินเธียมองส่งแขกยามส่ายของคฤหาสน์ในวันนี้ ออร์เวลเดินเจ้าไปหาคู่ชีวิตที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้วพากันเดินออกไปโดยมีพ่อบ้านตามไปส่งด้วยตัวเองเช่นเดิม โดยก่อนจะไปก็ไม่ลืมเตือนผู้เป็นเจ้านายอีกท่านหนึ่งถึงคำสั่งของคุณท่านเสียก่อน


“อากาศด้านนอกหนาวเย็นไม่ควรนั่งอยู่ในสวนนานเกินไป ท่านแอชลีย์บอกให้ท่านชายรีบกลับเข้าไปในคฤหาสน์ครับ”


“...ครับ”


----


เมื่อซินเธียกลับเข้ามาในห้องเรือนกกระจกก็ใกล้ถึงเวลาตั้งโต๊ะมื้อเที่ยงแล้ว เขากลับมานั่งจัดการบรรดาโน้ตต่างๆ ที่จดบันทึกค้างเอาไว้จนกระทั่งหญิงรับใช้มาตามให้ไปห้องอาหาร


คุณพ่อบ้านยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อวานหลังสังเกตว่าท่านชายไม่แตะซุปในชามเลยเที่ยงวันนี้จึงไม่มีชามซุปอยู่บริเวณโต๊ะฝั่งซ้ายเลย การรับประทานอาหารยังคงเป็นไปอย่างเรียบง่ายไร้เสียงพูดคุยดังปกติ


“ซุปวันนี้จืดไปหรือเปล่า”


ถ้าไม่ติดว่า จู่ๆ เจ้าของตำแหน่งประธานหัวโต๊ะรำพันขึ้นมาในระหว่างมื้ออาหาร พ่อบ้านวัยชราที่ยืนคอยรับใช้อยู่ไม่ไกลรีบขยับเข้ามาหาผู้เป็นนายทันที


“เรียนคุณท่าน ซุปวันนี้ผมชิมดูแล้วปรุงด้วยวัตถุดิบในปริมาณเท่าเดิม รสชาติยังคงเป็นมาตรฐานปกติอย่างที่เคยเสิร์ฟครับ”


ทุกครั้งในห้องครัวก่อนอาหารจะถูกนำขึ้นโต๊ะมักจะต้องผ่านการชิมจากพ่อบ้านทุกครั้ง เนื่องจากเจ้านายแต่ละคนนั้นมีรสชาติที่ชื่นชอบแตกต่างกัน เพื่อให้มั่นใจว่าบนโต๊ะอาหารทุกอย่างจะถูกปากผู้เป็นนายแล้วจึงต้องมีการทดสอบทุกครั้ง แม้ปัจจุบันจะเหลือแอชลีย์เพียงคนเดียวในคฤหาสน์ธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งมีท่านชายวาเลนเธียจากแดนใต้เพิ่มเข้ามา อาหารบนโต๊ะยิ่งต้องถูกตระเตรียมอย่างเอาใจใส่เป็นพิเศษ


ส่วนคนเป็นนายพอได้ฟังคำตอบนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว นิ่งเงียบไป ในใจสับสนอยู่ไม่น้อยพลางคิดว่าคงเป็นจริงดังพ่อบ้านว่า ปกติซุปแบบนี้มักจะถูกเสิร์ฟมาเคียงอาหารบนโต๊ะอย่างน้อยวันละหนึ่งมื้อ


 แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ดันรู้สึกว่ามันจืดเกินจนไม่ค่อยถูกปากขึ้นมาเสียอย่างนั้น ตอนมื้อเช้าจะเป็นขนมปังกับแฮมเสิร์ฟคู่กาแฟเลยไม่มีปัญหาอะไร


แต่ตอนนี้น่ะสิ


โอเมก้าหนุ่มกระพริบตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลองให้คำแนะนำแก่คุณพ่อบ้าน


“ลองใส่เครื่องเทศเพิ่มอีกสักหน่อยไหมครับ” เขาเอ่ยชื่อเครื่องเทศในความทรงจำไปสองสามอย่าง คุณพ่อบ้านจดจำเอาไว้ในใจก่อนจะผละเข้าไปในห้องครัวแล้วกลับมาพร้อมซุปชามใหม่


คราวนี้คุณอัลฟ่าสามารถดื่มซุปเข้าไปโดยไม่ปริปากวิจารณ์อะไรอีก ใบหน้าฉายแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแคลงใจอยู่ไม่น้อยทว่าด้วยความรู้ว่าไม่ควรยุ่งเรื่องเจ้านายมากเกินไปพ่อบ้านวัยชราจึงได้เพียงเก็บสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้เอาไว้ในใจพลางคิดว่าคราวหลังคงต้องปรับเปลี่ยนส่วนผสมของอาหารเสียหน่อยแล้ว


ช่วงบ่ายแก่หลังเวลาน้ำชาคนทั้งสองย้ายมาใช้เวลาว่างในห้องนั่งเล่นแยกกันอยู่คนละมุม หิมะเริ่มตกลงมาอีกครั้งส่งผลให้อุณหภูมิต่ำลง ซินเธียนั่งรับไออุ่นอยู่หน้าเตาผิงบนตัวถูกคลุมด้วยผ้าคลุมขนแกะนุ่มฟู แสงสีส้มสะท้อนในดวงตาสีเงินคู่งาม สมองคิดไปถึงตอนออกไปล่าสัตว์ในป่า ท่านพ่อจับกวางตัวโตได้มาตัวหนึ่งพวกเรานำมันมาย่างไฟระหว่างรอเนื้อสุกก็พูดคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย เป็นช่วงเวลาที่มีทั้งความสุขและอิสระ


“ท่านชายครับ”


เสียงจากพ่อบ้านชราเรียกให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ ใบหน้าหวานผินมองเจ้าของเสียงซึ่งยืนอยู่ข้างกายในมือถือสมุดบันทึกประจำตัวเอาไว้


“มีอะไรหรือ”


“ผมมีเรื่องอยากจะสอบถามท่านชายสักเล็กน้อย” คนฟังเลิกคิ้วขึ้นขยับกายเล็กน้อยเพื่อจะได้ฟังอีกฝ่ายสะดวกมากขึ้น


“ครับ”


“ไม่ทราบว่าที่ผ่านมาท่านชายจัดการกับอาการฮีทอย่างไรครับ ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทถามเรื่องนี้แต่ผมจำเป็นต้องรับรู้เพื่อจะได้จัดการเรื่องยาถูก”


เนื่องจากโอเมก้าในตระกูลชั้นสูงจะมีการฉีดยาระงับฮีทเป็นประจำ ตัวยามีมูลค่าสูงมากแต่ได้ประสิทธิภาพดีเยี่ยมกว่าตัวยาเม็ดที่ขายทั่วไป ยาพวกนั้นก็จำแนกออกเป็นหลากหลายชนิดและต้องจัดให้ตามสภาพร่างกายแต่ละคน บางคนอาจแพ้ยาตนเลยต้องถามให้ละเอียด ด้วยความไม่แน่ใจว่าทางแดนใต้นั้นมีวิธีรับมือกับอาการฮีทของโอเมก้าอย่างไร หากมียาก็จะได้จัดกายาแบบที่เด็กหนุ่มใช้มาให้


จากเรื่องเล่าเกี่ยวกับแดนใต้มักจะบอกว่าด้วยความด้อยของวิทยาการทางเทคโนโลยีแม้แต่ยาหรือเครื่องป้องกันการกัดของอัลฟ่าก็ไม่มี พวกเขาก็แค่ปล่อยผ่าน หากฮีทขึ้นมาก็คงไปหาอัลฟ่าสักคนเพื่อบรรเทากำหนัดหรือไม่ก็ถูกข่มเหงอย่างทารุณ


ทว่า เรื่องเล่าก็เป็นเพียงเรื่องเล่า ชายชราไม่อยากตัดสินโดยที่ตนยังไม่ได้หาคำตอบด้วยตนเอง ส่วนซินเธียเมื่อได้ยินประโยคแรกก็เกิดอาการอึ้งไปไม่น้อย


“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ” เขาเข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายถามเพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกถามออกมาตรงๆ แบบนี้ “ในธอร์นจะมีสมุนไพรชนิดหนึ่งพวกเรานำมันมาสกัดเม็ดพกติดตัวไว้ ฤทธิ์ของมันช่วยบรรเทาอาการฮีทได้แต่อาจจะไม่ได้ผลชะงัด”


เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วอธิบายต่อ “ผลลัพธ์อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นแต่อย่างน้อยกลิ่นฟีโรโมนก็จะเบาบางลงมากขอแค่อยู่ในที่ปลอดอัลฟ่าก็ไม่มีปัญหาครับ”


ฟีโรโมนจางลงแต่ความทรมานภายในกลับไม่ค่อยบรรเทาเท่าไหร่ ตอนอายุยังน้อยกว่านี้ไม่ค่อยรู้สึกแต่จนเมื่อปีที่แล้วซินเธียรู้สึกว่าถึงจะกินยาระงับแต่ความร้อนในกายไม่ค่อยทุเลา ซ้ำช่วงเวลาฮีทยังนานกว่าเมื่อก่อน


“ยานั้นแม้จะใช้ป้องกันได้แต่ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานานมากเกินไปนะครับ มันอาจส่งผลต่อร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น”


อาการฮีทเป็นกลไกธรรมชาติ ยาก็เป็นเพียงการป้องกันชั่วคราว หากใช้ในระยะเวลายาวนานจะส่งผลเสียต่อร่างกายแทน เป็นการฝืนธรรมชาติ สำรับโอเมก้าช่วงอายุ 15 – 18 ปี ถือเป็นช่วงวัยเจริญพันธ์ โดยเฉพาะช่วง 18 ปี นับเป็นช่วงเหมาะสมที่สุดสำหรับการจับคู่หรือสร้างครอบครัว และโอเมก้าที่ทำการจับคู่แล้วยาระงับก็หมดความจำเป็นจึงไม่ส่งผลกับร่างกายในระยะยาว


กลับกัน โอเมก้าที่อายุเกิน 18 ปีแล้วแต่ยังไม่มีการจับคู่และใช้ยาระงับต่อเนื่องมีความเสี่ยงต่อร่างกายในอนาคตเพราะตัวยาสะสมในร่างกายมากเกินไป ยิ่งร่างกายได้รับยาเป็นเวลานานเท่าใดฤทธิ์ของยาก็ยิ่งอ่อนลง หรือเรียกอีกอย่างว่า อาการดื้อยา ผลค้างเคียงระดับเลวร้ายที่สุดก็คือจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป


พ่อบ้านชราอธิบายข้อมูลเหล่านี้ให้เด็กหนุ่มฟังโดยละเอียด


“มิน่าล่ะ เราถึงรู้สึกว่ายามันไม่ค่อยได้ผล” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว


ปีนี้เขาอายุ 20 ปีแล้ว...


“หลังจากนี้เมื่อท่านชายฮีทควรจะให้คุณท่านช่วยนะครับ พวกคุณกำลังจะจับคู่กันอีกไม่นานแล้วไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาระงับอีก” คุณพ่อบ้านอธิบายด้วยใบหน้าจริงจัง


“ส่วนเรื่องยาผมจะจัดเตรียมไว้ให้เผื่อในกรณีฉุกเฉินหรือตอนที่คุณท่านไม่อยู่ให้ครับ”


ฟังถึงตรงนี้ซินเธียได้แต่เม้มปากแน่น ก้มหน้าซ่อนสีระเรื่อบนดวงแก้มเนียนทั้งสองข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาชุดเล็กริมหน้าต่าง


ให้เขาช่วย... อย่างนั้นเหรอ






TBC


หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-06-2019 22:27:35
ติดใจรสมือเขาซะแล้วววววว
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-06-2019 01:15:56
แทรกซึม​ทีละนิดละน้อยเดี๋ยวก็จะขาดไม่ได้เอง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 06-06-2019 01:44:50
ฮีทเร็วๆนะอยากรู้ว่าพระเอกจะทำยังไง :hao6:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-06-2019 07:58:00
รอตอนฮีทค่ะ อยากรู้ว่าแอชลีย์จะยังเย็นชาอยู่อีกได้ไหม
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 06-06-2019 17:28:55
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 06-06-2019 17:59:36
เอ๋..คุณพ่อบ้านแอบชงเนียนๆรึเปล่าคะ
ถึงเวลาน้องฮีทจริงๆแล้ว ท่านแอชลีย์จะทำยังไงน้า

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 06-06-2019 23:12:05


บทที่ 6




   งานวิวาห์ใกล้เข้ามาแล้ว คฤหาสน์ตระกูลคิมที่เคยเงียบสงบขณะนี้ในสวนกำลังพลุกพล่านไปด้วยเหล่าคนงานที่เข้ามาจัดเตรียมสถานที่ ซินเธียนั่งมองพวกเขาเหล่านั้นผ่านเรือนกระจกสองมือประคองแก้วชาเอาไว้เพื่อคลายความหนาวเย็น ไอความร้อนลอยกรุ่นผสมผสานกับกลิ่นหอมจากชาดอกจัสมินชั้นดี


   ชาจัสมินนี้เป็นของขวัญจากท่านชายมัวร์ โดยมีพ่อบ้านของทางนั้นนำมาส่งด้วยตนเอง ชาพวกนี้ถูกส่งมาจำนวนไม่น้อยบรรจุลงในกล่องไม้สลักลายอย่างงดงาม ครั้งแรกที่เห็นพ่อบ้านยกเข้ามาซินเธียรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากพร้อมฝากคำขอบคุณถึงท่านชายมัวร์ผ่านพ่อบ้านประจำคฤหาสน์มัวร์กลับไปไม่น้อย ทางนั้นยังบอกมาอีกว่าของขวัญชิ้นนี้ถือเป็นคำขออภัยล่วงหน้าสำหรับท่านชายที่จะไม่สามารถมาร่วมงานแต่งงานครั้งนี้ได้ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ


   ได้ยินดังนั้นซินเธียจึงฝากคำอวยพรเพื่อให้สุขภาพของท่านชายมัวร์ดีขึ้นในเร็ววัน การพักผ่อนนั้นสำคัญงานแต่งงานก็ถือเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์งานหนึ่ง การดูแลสุขภาพนั้นสำคัญกว่า ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังรู้ความว่าสถานะของเจย์เดน สการ์เล็ต มัวร์ นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองเป็นเพียงโอเมก้ามาจากต่างแดนเท่านั้น ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่มางานแต่งของเขาด้วยเหตุผลเล็กน้อยกว่านี้ก็ไม่นึกโกรธเคือง


   นอกจากชาจัสมินแล้วภายกล่องไม้ใบนั้นยังมีชาชนิดอื่นอีกมากมาย แต่ซินเธียรู้สึกถูกปากกับจัสมินเป็นพิเศษ รสชาติอ่อนนุ่มลิ้น ยิ่งเติมนมลงไปตามแบบฉบับชาวแดนเหนือก็ยิ่งกลมกล่อม ส่วนกลิ่นของชาชนิดนี้ก็หอมเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าตนเองนั้นชักจะเริ่มคุ้นชินกับวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวแดนเหนือเข้าไปทุกทีเสียแล้ว เด็กหนุ่มไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้วสายตาทอดมองความวุ่นวายนอกบานกระจก


   ระยะนี้หิมะหยุดตกแล้วแต่บริเวณสวนด้านหลังถูกงดใช้ชั่วคราวเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยง พุ่มไม้ถูกตัดแต่งใหม่ทั้งหมดแถมยังมีดอกไม้บางชนิดถูกนำมาปลูกเพิ่ม


เหลืออีกเพียงสามวันเท่านั้น


งานวิวาห์ครั้งนี้ถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วอันมีผลมาจากหลากหลายสาเหตุ หนึ่งนั้นในนั้นคือการที่อัลฟ่าและโอเมก้ายังไม่จับคู่มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมันค่อนข้างมีความเสี่ยง โดยเฉพาะหากทั้งสองเป็นคู่แห่งโชคชะตาฟีโรโมนของทั้งคู่จะทำปฏิกิริยากันค่อนข้างรุนแรงเป็นสัญชาตญาณของการจับคู่


นับว่าโชคดี พวกเขาไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน


สำหรับคนทั้งสอง หากไม่ใช่ช่วงฮีทที่โอเมก้าจะปล่อยฟีโรโมนออกมารุนแรงเป็นพิเศษอันเป็นกลไกลของร่างกายเพื่อดึงดูดอัลฟ่าให้มาร่วมสัมพันธ์กันและเป็นช่วงที่ร่างกายของโอเมก้าพร้อมจะตั้งครรภ์ การอยู่ใกล้ชิดอัลฟ่าของซินเธียจึงไม่มีผลพิเศษหรืออันตรายอะไรมาก ฟีโรโมนในช่วงปกติสำหรับโอเมก้าแล้วก็จะเป็นเพียงกลิ่นอ่อนๆ กระจายอยู่รอบตัว ซึ่งกลิ่นของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันไป


ซินเธียไม่รู้ว่ากลิ่นของตัวเองเป็นแบบไหนเนื่องจากในชีวิตนี้นอกจากท่านพ่อแล้วคงมีเพียงแอชลีย์ที่เด็กหนุ่มใกล้ชิดมากที่สุด แน่นอนเจ้าตัวคงไม่คิดสนใจ


ฟีโรโมนของโอเมก้าจะส่งผลเฉพาะอัลฟ่าเป็นพิเศษ ส่วนเบต้ากับโอเมก้าด้วยกันเองจะได้ผลกระทบเฉพาะช่วงฮีท ท่านพ่อเคยบอกว่ากลิ่นของซินเธียคล้ายดอกไม้บางชนิดแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร


ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุของการเร่งเตรียมงานนั้นก็คือวินเทอร์ฟอลกำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงที่หนาวที่สุดของปีในเดือนหน้า และมันคงยาวไปจนถึงช่วงสิ้นปีไม่เหมาะกับการจัดงานเลี้ยง พ่อบ้านอธิบายมาแบบนั้น ใจของซินเธียรู้สึกสั่นสะท้าน สำหรับคนเคยชินกับสภาพอากาศร้อนชื้นมาตลอดชีวิต ความหนาวระดับปัจจุบันก็มากเกินพอแล้ว


เขาชอบหิมะนะ มันทั้งสวยงามและดูบริสุทธิ์ ยามเมื่อทั้งเมืองถูกหิมะขาวโพลนปกคลุมทำให้วินเทอร์ฟอลไม่ต่างอะไรกับดินแดนในความฝัน


โอเมก้าต่างแดนดื่มด่ำกับการพักผ่อนจนกระทั่งถึงช่วงบ่ายแก่แอชลีย์ก็กลับมาจากการทำงาน ชายหนุ่มส่งเสื้อโค้ทให้แม่บ้านคนหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาด้านในห้องเรือนกระจก


“กลับมาแล้วหรือครับ”


เอ่ยทักทายคนพึ่งกลับมาจากข้างนอก อัลฟ่าหนุ่มตอบอืมมาคำหนึ่งระหว่างทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวมือขวาก็ยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อลงสองสามเม็ด ซินเธียเห็นชายหนุ่มดูเหนื่อยอ่อนอีกทั้งคุณพ่อบ้านก็ยังมัวยุ่งอยู่กับการจัดการตกแต่งสวนจึงตัดสินใจเดินเข้าครัวเพื่อจัดเตรียมน้ำชากับของว่างให้ด้วยตนเอง


อย่างไรเสียมันก็เป็นหน้าที่ของซินเธียอยู่แล้วในการดูแลอีกฝ่ายจะในอนาคตหรือปัจจุบันก็ต้องทำ ตอนนี้ก็แค่ทำเร็วขึ้นมาอีกสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร


เด็กหนุ่มเลือกชงชามะลิให้อีกคน ความรู้จากคุณพ่อบ้านที่เคยได้เรียนเมื่อหลายวันก่อนยังพอจะจำได้บ้าง เขาแอบชิมไปเล็กน้อยแล้วก็พบว่ารสชาติไม่น่าเกลียดนัก


ปกติแอชลีย์ไม่ชอบดื่มชา ชายหนุ่มมักจะรับเป็นกาแฟเสียมากกว่าแต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วไม่เหมาะต่อการรับคาเฟอีนอีก ตอนเช้าก็ดื่มเป็นประจำหนึ่งแก้ว ระหว่างทำงานก็ไม่รู้จะดื่มไปอีกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการดื่มชาคงจะดีต่อร่างกายมากกว่า


หลังจัดการชาเสร็จเขาก็หยิบผลไม้ที่ถูกปอกเตรียมไว้ในตู้เย็นออกมาสองสามอย่างก่อนจะยกไปเสิร์ฟอีกคนแต่กลับพบว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว


แอชลีย์นั่งพิงโซฟา เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงซ่อนดวงตาสีอำพันคู่สวยเอาไว้ข้างใต้


ดูท่าคงจะเพลียมากสินะ


เด็กหนุ่มวางถาดน้ำชากับของวางเอาไว้บนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาแล้วย่อตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าคนอายุมากกว่า สายตาจับจ้องไปทั่วใบหน้าคมคร้ามนั้นอยู่นาน เป็นครั้งแรกกับการใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ ใกล้จนได้กลิ่นบางอย่างแผ่ออกมาอันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของอัลฟ่าผู้แข็งแกร่ง และใกล้... จนสามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างเต็มตาเพราะหากเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงไม่มีความกล้าขนาดนี้


ชายผู้นี้อาจจะดูเย็นชาไปบ้าง


บางครั้งก็เข้าใจยาก


แต่ก็ไม่รู้ทำไม


ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในดินแดนต่างถิ่นแสนห่างไกลเช่นนี้ การมีอยู่ของแอชลีย์ คิมกลับทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด


‘หลังจากนี้เมื่อท่านชายฮีทควรจะให้คุณท่านช่วยนะครับ’

‘พวกคุณกำลังจะจับคู่กันอีกไม่นานแล้วไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาระงับอีก’


คำพูดของคุณพ่อบ้านวาบเข้ามาในความทรงจำ อีกครั้งพลันเด็กหนุ่มก็รู้สึกกระดากอายยามมองหน้าคนในบทสนทนาขึ้นมาเสียอย่างนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ดวงตาสีอำพันลืมขึ้น


แอชลีย์กระพริบตาแล้วจ้องเขม็งลงมาราวกับสงสัยว่าเจ้าโอเมก้าคนนี้มานั่งบื้ออะไรอยู่ตรงหน้าตัวเอง คนถูกจับได้ว่ามองสะดุ้งก่อนจะกระแอมแก้เก้อ เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาดีๆ พลางเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม


“น้ำชาครับ เอ่อ... เมื่อเช้าคุณชายมัวร์ให้คนนำมามอบให้”


“เป็นอะไร”


“ครับ?


คำถามไม่มีที่มาที่ไปทำเอาเด็กหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะ


“หน้าแดง”


“อะ อากาศมันหนาว” เขาตอบตะกุกตะกักมือเกือบเผลอยกขึ้นจับแก้มตัวเองโดยอัตโนมัติแล้วดียังยั้งเอาไว้ทัน แอบขยับให้ตัวเองนั่งห่างจากอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยเพราะเกิดประหม่าขึ้นมากะทันหัน


“เหรอ” เสียงทุ้มรับคำคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อ ดวงตาหลุบลงมองถ้วยชาตรงหน้าไม่มีท่าทีจะยกมันขึ้นมาเลยสักนิด เห็นดังนั้นซินเธียก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบใจถึงได้รีบเอ่ยปาก


“เรารู้ว่าคุณไม่ชอบดื่มชา แต่ดื่มกาแฟมากไปก็ไม่ดีนะครับนี่ก็ใกล้จะเวลาอาหารเย็นแล้ว”


คนฟังเลิกคิ้วขึ้น “รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ชอบ”


“ปกติเราเห็นคุณไม่ดื่ม...”


“การที่ฉันไม่สั่งชาไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบเสียหน่อย”


“ก็... ก็...” คนถูกต้อนอึกอัก ดวงตากลมกลอกไปมาอย่างพยายามคิดหาคำโต้ตอบ สุดท้ายก็ได้แต่เม้มปากแล้วเงียบไป เพราะสิ่งที่เจ้าตัวพูดมานั้นก็มีเหตุผล


เขาพึ่งเข้ามาอาศัยที่นี่ไม่นาน ยังไม่เห็นชีวิตประจำวันของอีกฝ่ายทั้งหมดแค่เห็นว่าชอบดื่มแต่กาแฟและการที่เจ้าตัวไม่สั่งน้ำชาไม่ได้แปลว่าจะไม่ชอบสิ่งนั้นเสียหน่อย บางทีอาจจะแค่ยังไม่อยากดื่มในเวลานั้นก็เท่านั้นเอง พอคิดได้แบบนั้นไหล่ของเด็กหนุ่มก็ลู่ลงเล็กน้อย


“หึๆ”


ในระหว่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ด้วยความที่นั่งใกล้กันจึงทำให้ซินธียได้ยินเสียงทุ้มๆ นั้นชัดเจน แอชลีย์หัวเราะในลำคอแล้วยื่นมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ท่าทางหย่อนอารมณ์เสียเต็มประดา


ซินเธียแอบถลึงตาใส่อีกฝ่าย


หัวเราะอะไรน่ะ


มีอะไรน่าขันกัน!

   
-------

   
   ก็ไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหหรอก


   อัลฟ่าหนุ่มละเลียดจิบชาด้วยความผ่อนคลายดวงตาเหลือบมองคนอ่อนกว่าซึ่งตอนนี้ลุกไปนั่งอ่านหนังสืออีกมุมของห้องเสียแล้ว


ยอมรับว่าพอได้เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของอีกคนนิสัยเก่ามันก็กดเอาไว้ไม่อยู่เผลอแกล้งออกไปไม่รู้ตัว ยิ่งพอได้มองเห็นดวงตากลมโตสีเงินคู่นั้นกรอกไปมาเพราะอับจนกับคำถามก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกน่าแกล้งเข้าไปใหญ่


แล้วก็...


รู้สึกทึ่งกับความใส่ใจของโอเมก้าต่างแดนคนนี้ เป็นความจริงที่ว่าชายหนุ่มไม่ชอบดื่มชา


ทั้งพ่อบ้านรวมถึงสาวใช้ทุกคนภายในคฤหาสน์แห่งนี้จะทราบดีไม่ว่าจะตัวชายหนุ่มเองก็ดีหรือคุณพ่อเองก็ดี ในคฤหาสน์คิมแห่งนี้เห็นทีคงจะมีก็แต่คุณแม่เท่านั้นชื่นชอบการดื่มชา พอพวกท่านวางมือจากหน้าที่ทั้งหมดแล้วออกไปใช้ชีวิตกันสองคนภายในสถานที่แห่งนี้ก็แทบจะไม่มีกลิ่นของใบชาให้รับรู้อีกเลย จนกระทั่งมีผู้อาศัยคนใหม่เข้ามา


ซินเธียเองก็คงจะสังเกตได้เลยจดจำพฤติกรรมการกินของเขาเอาไว้


พูดถึงโอเมก้าคนนี้แล้ว ครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่พบหน้าแอชลีย์ก็เตรียมใจเอาไว้เรียบร้อยว่าเจ้าชายจากแดนใต้คนนี้คงจะมีนิสัยอย่างเชื้อพระวงศ์ถูกเอาใจพะเน้าพะนอทั้งวันคงจะปวดหัวไม่น้อย ช่างน่าประหลาดใจ เด็กหนุ่มสงบเสงี่ยมกว่าที่คิดทั้งยังสามารถปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ว่าวิถีชีวิตของทั้งสองดินแดนจะต่างกันราวฟ้ากับเหว


ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นท่านชายซินเธีย วาเลนเธียปริปากบ่นอะไรแม้แต่ครึ่งคำ นั่นทำให้มุมมองและความรู้สึกที่แอชลีย์มีต่อเจ้าชายคนนี้เปลี่ยนไปพอสมควรและมันก็เริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ


ตั้งแต่อายุยังน้อยกว่านี้อัลฟ่าหนุ่มก็วางแผนอนาคตของตัวเองเอาไว้แล้วว่าในชีวิตนี้คู่ของเขาคงเป็นคุณหนูอัลฟ่าจากตระกูลสูงศักดิ์สักคน สำหรับคู่ที่เป็นโอเมก้านั้นเป็นทางเลือกอันดับท้ายสุด


เพราะโอเมก้าน่ะค่อนข้างเป็นปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฮีทของพวกเขาเหล่านั้น ยิ่งไม่ได้ทำการจับคู่ทำพันธะปัญหาใหญ่ก็อาจจะตามตัวมาทีหลัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากว่าเหล่าโอเมก้าที่โชคดีได้เกิดในตระกูลที่มีฐานะทางสังคมมากหน่อยมักจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในคฤหาสน์หรูหรา นั่งอยู่บนหอคอยสูงส่งรอคอยโอกาสเหมาะสมเพื่อจับคู่กับอัลฟ่าที่มีฐานะทัดเทียมกันสักคน



ในโลกนี้ โอเมก้าหนึ่งเดียวที่แอชลีย์คิดอยากจะจับคู่ด้วยก็คงมีเพียงเจย์เดน สการ์เล็ต มัวร์ เจ้าของดวงตาสีทับทิมคู่นั้น


ทั้งสูงส่งและสง่างาม สายเลือดมัวร์ผู้เรืองอำนาจ แม้สี่ตระกูลหลักแห่งวินเทอร์ฟอลอย่างตระกูลคิม ตระกูลไล ตระกูลแสตนลีย์ หากเทียบกันแล้วตระกูลมัวร์นั้นน่าจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากที่สุด


วันต่อมาแอชลีย์นำเทียบเชิญไปแจกจ่ายกับโจชัวถึงฮิลตันด้วยตนเอง รถยนต์สีดำขลับจอดเทียบหน้าตึกอำนวยการ เมื่อประตูถูกเปิดออกปรากฏร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าจากสี่ตระกูลใหญ่ นัยน์ตาสีอำพันกวาดมองบรรยากาศรอบกายใช้เวลาระยะสั้นรำลึกว่าครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตตนก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในสถาบันแห่งนี้


ตระกูลฮิลตันแม้จะไม่ใช่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แต่ก็นับเป็นหนึ่งในตระกูลผู้มีความสำคัญต่อวินเทอร์ฟอล ผู้นำคนปัจจุบันก็คือ โจชัว ฮิลตัน ต้นตระกูลของอัลฟ่าหนุ่มผู้นี้ได้ก่อตั้งสถานศึกษาขึ้นมาบนใจกลางเมืองวินเทอร์ฟอล สถานที่แห่งนี้จะรับเด็กที่มีอายุสิบห้าปีทุกคนในวินเทอร์ฟอลเข้ามาเรียนและอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดการศึกษา บทเรียนของฮิลตันจะมีทั้งการต่อสู้ กีฬา และวิชาการเท่าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันรวมถึงวิชาการแพทย์ โดยหลักสูตรมักจะขึ้นอยู่กับสายการเรียนที่เลือก อย่างการต่อสู้จะใช้เวลาราวสามปีทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของผู้เรียนด้วย


รุ่นของแอชลีย์นับเป็นรุ่นที่จบการศึกษาออกมาเร็วเพราะพวกเขาต่างก็ประสงค์เข้าร่วมการคัดเลือกจ่าฝูง หลังจากการประลองจบลงต่างคนก็ต่างกลับไปสืบทอดตระกูลของตัวเอง


หลังเข้ามาภายในตัวตึกและติดต่อกับผู้ช่วยของโจชัวก็พบว่าผู้อำนวยการฮิลตันไม่อยู่ที่นี่ เมื่อสอบถามจนได้ความว่าเจ้าตัวไปที่ไหนชายหนุ่มก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปทันที


ระหว่างทาง แอชลีย์เดินผ่านสนามกลางอันเคยเป็นที่ฝึกซ้อมของตนสมัยก่อนได้กลับมาเห็นอีกครั้งก็รู้สึกว่าสำหรับฮิลตันแล้วไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเสมอ


เดินเลียบตัวตึกมาเรื่อยจนกระทั่งถึงทางเข้าสวนแห่งหนึ่งอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้นไม้สูงใหญ่อายุมากกว่าร้อยปีเรียงรายตลอดทางเดิน ขนาดของมันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ไปจนหมดสิ้นส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น รวงไม้สีม่วงมากมายตัดกับสีเขียวขจีของใบหญ้าบนพื้นดินยิ่งทำให้มันดูงดงามและแปลกตาจนไม่สามารถจะละสายตาไปไหนได้


ยามเมื่อสายลมพัดวูบกลีบดอกสีม่วงก็ปลิวไสวงดงามราวกับดินแดนแห่งความฝัน แม้ว่าตอนนี้รวงไม้เหล่านั้นจะเริ่มเหลือน้อยเต็มทีตามฤดูกาล คาดว่าอีกไม่ถึงเดือนพวกมันก็คงโรยราจนเหลือแต่กิ่งก้านสีน้ำตาล


ฟึบ!


เมื่อเดินเข้ามาจนถึงส่วนด้านในเสียงของแหลมพุ่งแหวกอากาศก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ภาพด้านหน้าปรากฏเป็นอาคารไม้มีอัลฟ่าวัยเยาว์หลายคนกำลังซ้อมยิงธนูกันอยู่ในลานฝึกซ้อม ห่างออกมาเล็กน้อยก็จะเป็นม้านั่งเอาไว้สำหรับนั่งพักผ่อนหรือใครที่ชอบมาดูการฝึกซ้อม


แน่นอนว่าแอชลีย์ไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีมากพอจะมาชมดูการฝึกซ้อมของรุ่นน้องแต่เลือกจะมุ่งหน้าไปทางที่มีอัลฟ่ากลุ่มหนึ่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ ไม่ต้องเพ่งสายตาก็พอรู้ว่าบริเวณแห่งนั้นมีใครบ้าง คนคุ้นเคยทั้งนั้น ดีเลยล่ะเขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแวะนำเทียบเชิญไปให้ตามคฤหาสน์ของแต่ละคน


“เฮ้ ดูสิว่าใครมา”


อัลฟ่าตัวสูงชะลูดเจ้าของผมบลอนด์ทองเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อรู้สึกถึงฝีเท้าย่างเข้ามาใกล้ เจ้าตัวเลิกคิ้วแล้วเอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดีตามนิสัย


คนผู้นี้ก็คือคุณชายแบล็ควู้ด โรเมโอ แบล็ควู้ด


“แปลกนะที่เห็นนายปรากฏตัวที่นี่” โจชัวเลิกคิ้ว ในแววตามีความประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง


แน่ล่ะ


แอชลีย์ค่อนข้างรักสันโดษ สมัยยังอยู่ที่ฮัลตันก็ไม่ได้ร่วมจับกลุ่มสนิทสนมกับคุณชายคนไหนเป็นพิเศษแม้แต่อัลฟ่าทั้งสามคนตรงหน้านี้ก็ตาม พวกเขารู้จักกันเพียงเพราะความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ในตระกูลก็เท่านั้น พอเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปก็ยิ่งต้องคบค้ากันให้มากหน่อยเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ อีกทั้งสามตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้ตำแหน่งหัวหน้าจ่าฝูงในปีนั้นก็จะได้ตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้นำฝูงโดยอัตโนมัติทั้งนี้เพื่อเป็นการคานอำนาจกัน


“แค่มาส่งเทียบเชิญ โชคดีที่ตามกลิ่นพวกนายได้มาจนถึงที่นี่เลยไม่ต้องเปลืองแรงไปเวียนแจกตามบ้าน” เจ้าของเทียบเชิญกระตุกยิ้มมุมปาก เลือกส่งเทียบเชิญให้คาร์ลิน ไล ผู้นำวินเทอร์ฟอลคนปัจจุบันเป็นลำดับแรก


“ไม่พาท่านชายมาด้วยหรือ” คาร์ลินรับเทียบเชิญสีน้ำเงินเข้มมาเปิดดู บนกระดาษเนื้อดีสลักตัวอักษรสีเงินตวัดอย่างสวยงามปากก็เอ่ยถามถึงหนึ่งในคนสำคัญของงานที่ควรจะตามว่าที่คู่ชีวิตมาด้วย


ตามหลักแล้วเทียบเชิญจะถูกแจกไปยังตระกูลผู้เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของงาน ส่วนแขกหรือตระกูลที่มีระดับความสำคัญค่อนข้างสูงเจ้าของเทียบเชิญจะต้องมาแจกด้วยตนเองเป็นมารยาทและแสดงถึงความเคารพ


“นั่นสิ ฉันล่ะอยากจะเห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวของคนอย่างนายเต็มทน ไม่นำมาโชว์ให้คนอื่นดูบ้างล่ะ” โรเมโอเอ่ยอย่างอารมณ์ดี


“ท่านชายซินเธียน่ะหรือ ก็สง่างามสมกับความเป็นเชื้อพระวงศ์” โจชัวสมทบส่วนสายตาก็กวดมองรายละเอียดของงาน “มีแค่งานเลี้ยงช่วงเย็นเองนี่”


“หา! นายเคยเห็นเจ้าสาวของเจ้าบ้านี่แล้วเรอะ นายล่ะคาร์ลิน”


“อืม ได้เจอช่วงเวลาสั้นๆ น่ะ เขามาหาเจย์ที่คฤหาสน์” ผู้นำฝูงเอ่ยเสียบเรียบ นึกเสียดายเหมือนกันที่ยังไม่มีโอกาสได้ต้อนรับท่านชายวาเลนเธียดีๆ เสียที เพราะงานของเขาช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งเป็นพิเศษ ยังดีที่เจย์เดนช่วยจัดการรับแขกแทนไม่นับว่าเสียมารยาทต่อฝั่งนั้นมาก


“ทำไมมีแค่ฉันคนเดียวที่ยังไม่ได้เจอ” โรเมโอโวยวายตามนิสัยคนที่ชื่นชอบเรื่องซุบซิบเป็นพิเศษ


“คู่ของฉันเป็นของแปลกหรือไงถึงต้องเอามาโชว์ไปทั่ว” แอชลีย์เอ่ยไม่ค่อยสบอารมณ์


ทำไมเขาจะต้องเอาเด็กคนนั้นมาให้ไอ้หมอนี่ดูด้วยกัน ไร้สาระสิ้นดี เดาได้เลยว่าต่อให้ชวนอีกคนก็คงไม่อยากมายิ่งเป็นพวกตื่นคนแปลกหน้าอยู่ด้วย ให้มาเจอคนประหลาดอย่างโรเมโอมีหวังคงได้วิ่งหนีมาหลบหลังเขาเป็นแน่


พอคิดถึงท่าทางที่อีกคนแสดงออกมาในวันแรกที่ตนพากลับคฤหาสน์แล้วก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ ไอ้อาการที่พอเจอเหล่าคนรับใช้ของคฤหาสน์ออกมายืนต้อนรับก็แตกตื่นจนต้องขยับกายไปหลบด้านหลังเขาทีละน้อยแบบนั้นน่ะมันไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตื่นคนเลยสักนิด


“อยู่ๆ ก็หัวเราะเป็นบ้าอะไร” โรเมโอซึ่งโดนกีดกันเริ่มอารมณ์บูดตามบ้างแล้ว


“เหอะ!”


แอชลีย์ปลายหางตามองอัลฟ่าผมบลอนด์ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอออกมาแล้วสะบัดเสื้อคลุมหมุนตัวเดินจากไป


“หมอนี่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังทำตัวไม่น่าคบเหมือนเดิม” คุณชายแบล็ควู้ดได้แต่บ่นตามหลังอย่างทำอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าคนเจ้าปัญหาน่ะเพียงชั่วเวลาเดียวก็เดินลิ่วราวกับหายตัวไปในกลีบเมฆเสียแล้ว


“เอาน่า” คาร์ลินปรามให้เพื่อนใจเย็นลง


“นายคิดถึงตอนที่เขาจะมาแย่งเจย์เดนไปสิ ซัดกันเกือบตายวันนั้น กวนประสาทเป็นบ้า”


“เรื่องมันจบไปแล้วนายจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกทำไม” กลับกลายเป็นเจ้าของประเด็นอย่างคาร์ลินเสียเองที่ใจเย็น


อย่างไรเสียอดีตก็เป็นเพียงอดีต แอชลีย์ถึงจะชอบพูดจายั่วประสาทแต่ก็มีศักดิ์ศรีในตัวเองเมื่อแพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี หลังจบเรื่องก็ไม่ได้มีความบาดหมางอะไรต่อกัน


และถึงต่อให้แอชลีย์ คิมยังไม่ยอมจบสุดท้ายก็ไม่สามารถช่วงชิงเจย์เดนไปจากเขาได้อยู่ดี เพราะคนตัวเล็กน่ะเขาชิงจับคู่ตัดหน้าไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนหน้าวันคัดเลือกจ่าฝูง


“นายก็อย่าตั้งแง่กับเขานักเลย” เป็นโจชัวที่ออกปากบ้าง “โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว”


“พวกนายก็เห็นว่าฉันพยายามพูดดีๆ ด้วยแต่ไอ้บ้านั่นต่างหากที่กวนประสาทกลับมา”


“ก็นายไปยั่วโมโหเขาก่อน” คาร์ลินส่ายหน้า รู้สึกระอาเต็มแก่กับเพื่อนสนิทที่มีความบกพร่องทางด้านการอ่านสถานการณ์


“ยั่วโมโห? ฉันไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”






TBC...

Talk คุยกันหน่อยน้า



ตอนนี้ #วิวาห์ในแดนฝัน ใกล้จะอัพถึงตอนล่าสุดที่เขียนเอาไว้แล้ว หลังตอนที่8ไปริต้าอาจจะไม่ได้มาอัพทุกวันแบบนี้แล้วนะคะ และ ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นภาคต่อจาก Scarlett #โชคชะตาสีชาด เป็นเรื่องราวของคาร์ลินกับเจย์เดนซึ่งอัพจบแล้ว เผื่อใครอยากอ่านสามารถไปเสิร์ชกูเกิ้ลอ่านกันได้นะคะ อันที่จริงก็เคยลงในเล้าด้วยแหละแต่ริต้าไม่ได้ใช้ไอดีนั้นแล้วเลยคิดว่าอาจจะเอามารีอัพในนี้หากมีคนสนใจอ่านกันมากก็จะเอามาลงให้อ่านนะคะ ใครชอบอ่านในเว็บนี้มากกว่าและอยากให้นำมาอัพก็บอกน้า ปล.ฝากติดตามคุณแอชกับซินเธียด้วยนะจ๊ะ

มนริต้า

หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 07-06-2019 00:28:58
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-06-2019 00:43:21
เคยชอบคนเดียวกับเพื่อนด้วย
แต่น้องช่างสังเกตดีจัง แต่ก้ยังไปแหย่น้องอีก
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 07-06-2019 10:31:31
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 07-06-2019 14:38:26





พอคิดถึงท่าทางที่อีกคนแสดงออกมาในวันแรกที่ตนพากลับคฤหาสน์แล้วก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ ไอ้อาการที่พอเจอเหล่าคนรับใช้ของคฤหาสน์ออกมายืนต้อนรับก็แตกตื่นจนต้องขยับกายไปหลบด้านหลังเขาทีละน้อยแบบนั้นน่ะมันไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตื่นคนเลยสักนิด




นอกจากอดหัวเราะไม่ได้ก็ยังอดเอ็นดูน้องไม่ได้ด้วยใช่ไหมคะท่านแอชลีย์ แหม เปรียบน้องเป็นลูกแมวน้อยน่ารักเชียว

ท่านแอชลีย์แอบทึ่งที่น้องช่างสังเกต จะชมน้องสักหน่อยก็ไม่ได้ ต่อไปมีใครมาชมน้องตัดหน้าจะสมน้ำหน้าให้

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6 [P.2] --- 06/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-06-2019 08:19:24
เอ็นดูน้องก็แสดงออกหน่อย ไม่งั้นน้องไม่รู้หรอกนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 6 [P.2] --- 06/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-06-2019 09:49:09
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 7 [P.2] --- 08/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 08-06-2019 21:59:51


บทที่ 7




   เช้าวันนี้ซินเธียตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรูปกติ ในระหว่างนั่งรอให้สาวใช้คนหนึ่งช่วยสางผมก็รู้ว่าวันนี้ร่างกายของตัวเองไม่ค่อยปกติ แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบแล้วหายไปฉะนั้นจึงไม่ได้นึกเก็บมาใส่ใจอีก


   “ผมของท่านชายทั้งยาวสลวยแล้วก็นุ่มมากเลยนะคะ”


   หญิงสาวเบต้าเอ่ยขึ้นหลังจัดการสางผมยาวระบั้นเอวของผู้เป็นนาย เมื่อผมกลับมาตรงสลวยดังเดิมก็จัดการถักเปียให้อย่างตั้งใจ


   “นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นโอเมก้ามีผมยาวขนาดนี้” ไม่สิต้องพูดว่าเป็นคนแรกมากว่า ในวินเทอร์ฟอลต่อให้เป็นหญิงสาวทั่วไปก็ยังไม่เคยพบเจอใครไว้ผมยาวระดับนี้


   “ขอบคุณนะ” ซินเธียตอบรับ นัยน์ตาทอดมองเส้นผมสีจินเจอร์ของตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจก “ในธอร์นพวกเราทุกคนจะไว้ผมยาวเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่ง ยิ่งมีผมยาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นผ่านประสบการณ์มากมาย” ริมฝีปากสีอ่อนยกยิ้มยามเมื่อพูดถึงดินแดนบ้านเกิด


   แมรี่คือหญิงราวอายุราว 16 17 เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้เก่าแก่ภายในคฤหาสน์ พอรู้ความก็ได้มาทำงานอยู่ด้วยกันกับผู้เป็นมารดา ตั้งแต่ซินธียมาที่นี่ก็คอยได้เธอช่วยเหลือให้ความสะดวกในหลายเรื่อง แม้อาจจะไม่ถึงขั้นใกล้ชิดจนสนิทใจกันเหมือนแคลร์ แต่อย่างน้อยเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ซินเธียสามารถพูดคุยได้โดยไม่รู้สึกเกร็งแล้ว


   ด้วยความเป็นสาวแรกรุ่นไม่ค่อยประสา ความอยากรู้อยากเห็นจึงมีมากจนกล้าเอ่ยปากถามนู่นถามนี่มากเป็นพิเศษ ซินเธียเองก็ไม่ได้ถือสาตนเองอยู่แต่ในคฤหาสน์อุดอู้ วันๆ ไม่ได้พบเจอใครพอมีคนเริ่มชวนคุยก็พอทำให้คลายความเหงาในต่างแดนออกไปบ้าง


   “แสดงว่าที่นั่นทุกคนก็ไว้ผมยาวเหมือนกันหมดเลยหรือคะ”


   “ทั้งหมด การมีเส้นผมยาวนั้นเหมือนเป็นความภาคภูมิของพวกเรา หากใครที่แพ้การต่อสู้จะถูกคู่ต่อสู้ตัดเส้นผมทิ้ง”


   “อ่า...”


   การถูกตัดเส้นผมนั้นไมต่างจากการถูกฆ่าให้ตายหลังพ่ายแพ้ หรือบางคนอาจจะทั้งถูกฆ่าและตัดเส้นทิ้ง ทว่าซินเธียไม่กล้าพูดประโยคนั้นออกไปเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหญิงสาวจืดเจื่อนลง


   ในสายตาของคนภายนอกแล้วแดนใต้ก็ยังคงเป็นดินแดนของกลุ่มคนหน้ากลัว บ้าคลั่งและโหดร้าย ซินเธียไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หญิงสาวหวาดกลัวเลยสักนิด


   เกิดความกระอักกระอวนขึ้นหลังจากนั้น โอเมก้าหนุ่มจึงไม่ปริปากเล่าเรื่องใดอีก หลังจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงลงมารับประทานมื้อเช้าตามปกติ ที่นั่งหัวโต๊ะถูกจับจองด้วยเจ้าบ้านคนเดิม


แอชลีย์ คิมกำลังนั่งดื่มกาแฟไปพร้อมอ่านเอกสารบางอย่าง คนตัวสูงพึ่งลงมาก่อนหน้าเขาไม่นาน เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ร่วมโต๊ะลงมาครบแล้วพ่อบ้านจึงเริ่มสั่งให้คนนำอาหารมาเสิร์ฟ ส่วนแอชลีย์ก็วางมือจากเอกสารแล้วเริ่มรับประทานมื้อเช้า


“คืนนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้นำตระกูลแสตนลีย์ เธออยากจะไปด้วยหรือเปล่า”


คนตัวสูงเปรยขึ้น น้ำเสียงยังคงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ซินเธียซึ่งมัวแต่ง่วนกับการก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารในจานเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย วันนี้เขามีความรู้สึกว่ากลิ่นของอัลฟ่าตรงหน้าแปลกไปจากปกติ ยิ่งพอได้สบกับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นมือที่ถือส้อมอยู่ก็เผลอกำแน่นขึ้นมา


“เราไปได้เหรอ”


“มีตรงไหนไม่สมควรล่ะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว จริงอยู่ว่าท่านชายวาเลนเธียมาอยู่วินเทอร์ฟอลได้พักใหญ่แล้ว นอกเหนือจากพาไปห้องเสื้อแคทเธอรีนกับร้านจิวเวอรี่ครั้งนั้นอีกคนก็ไม่เคยถูกพาไปไหนอีก


ไม่ใช่ว่าไม่อยากพาไปไหนหรอก แต่แค่ยังไม่มีโอกาสเหมาะๆ จะพาออกไปเปิดหูเปิดตาก็เท่านั้น แอชลีย์รู้ว่าอีกคนค่อนข้างตื่นคนแปลกหน้าอีกทั้งยังไม่คุ้นเคยกับดินแดนทางเหนือขืนปล่อยให้ออกไปคนเดียวคงได้เกิดปัญหา แต่พอวันก่อนโรเมโอทักขึ้นมาก็เริ่มกลับมาคิดว่าอีกคนอุดอู้อยู่แต่ในคฤหาสน์ วันๆ ไม่ได้ทำอะไรคงเบื่อหน่ายน่าดู


ประจวบเหมาะกับทางตระกูลแสตนลีย์มีงานพอดี


“ถ้าอยากไป ก็จะพาไป”


คนอายุน้อยกว่าเม้มริมฝีปากทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ท่าทางคล้ายอยากไปแต่ก็ไม่อยากไปในที แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลงในที่สุด


“อื้ม ถ้าคุณอนุญาตเราก็อยากไป”


“อย่างนั้นตอนเย็นฉันจะเข้ามารับ ส่วนเรื่องชุดให้อีริคจัดการให้” ประโยคหลังเอ่ยถึงพ่อบ้าน ชายชรารับคำสั่งแล้วหายไปจัดการให้ในทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นนายเอ่ยปากสั่งงานซ้ำ


แอชลีย์เช็ดปากแล้วยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้าย ลุกขึ้นหันไปรับเสื้อโค้ทสีเข้มจากสาวใช้ก่อนจะหมุนตัวไปก็สังเกตท่าทีของว่าที่คู่ชีวิตชั่วขณะหนึ่งในแววตามีความสงสัยเจือจางก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร


หลังจบมื้อเช้าซินเธียก็พาตัวเองมาขลุกอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหน้าคฤหาสน์เนื่องจากสวนด้านหลังถูกงดใช้ชั่วคราว เขานั่งสูดอากาศอยู่บริเวณนั้นทั้งครึ่งเช้า ก่อนหน้านี้อยู่ในห้องอาการแล้วรู้สึกตาลายจากกลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศซึ่งปกติมักจะเจือจาง ทว่าวันนี้ออกจะดูรุนแรงเป็นพิเศษ


พอได้ออกมาอยู่ด้านนอก กลิ่นของดอกไม้รอบกายทำให้เด็กหนุ่มหายใจคล่องคอขึ้นบ้าง ในสมองครุ่นคิดคำนวณอะไรบางอย่างที่คิดไม่ตกมาตั้งแต่เช้า


คงไม่ใช่หรอกมั้ง...


ปกติมันไม่ใช่ช่วงนี้นี่นา


คิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่เกือบชั่วโมงซินเธียก็ถูกคุณพ่อบ้านตามกลับเข้าไปในคฤหาสน์เนื่องจากอากาศหนาวเย็นไม่ควรเอาตัวมาให้โดนไอหนาวนานนัก หลังจากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือบ้าง เรียนรู้วัฒนธรรมของชาวแดนเหนือต่อบ้างทั้งบ่ายจนหลงลืมสิ่งที่คิดไปจนหมดสิ้น อาการแปลกๆ ที่ว่าก็หายไปตามระยะเวลา เขาคิดว่าตัวเองคงจะคิดมากไปจนกระทั่ง...


ตกเย็น


แอชลีย์ลับมาก่อนเวลาค่อนข้างมาก ตะวันยังไม่ทันตกดินเสียด้วยซ้ำเดาว่าเจ้าตัวคงอยากพักผ่อนสักเล็กน้อยก่อนออกไปงานเลี้ยง พอเห็นร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องเรือนกระจกอย่างทุกที ซินเธียซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วก็รีบไปยกน้ำชากับของว่างมาให้อีกคนรองท้องก่อนมื้อเย็นทันที


ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังวางถาดลงบนโต๊ะกระจก กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าราวกับถูกสาดซัดเข้าใส่ร่างส่งผลให้ร่างกายสั่นเทิ้มไปพลัน หัวใจเต้นระรัวทั้งถี่และแรงโดยอัตโนมัติ


แต่มันคงไม่เท่าความรุนแรงของฟีโรโมนโอเมก้าจากร่างกายตนเองซึ่งกำลังแผ่กระจายออกไปจนเหล่าคนรับใช้ที่เป็นเบต้าไม่กล้าเข้ามาในรัศมีห้องเรือนกระจก แม้กระทั่งพ่อบ้านอย่างอีริคยังต้องพาคนให้ถอยห่างออกไปจากบริเวณนั้นทันที


ไม่ต้องพูดถึงคนที่ได้ผลกระทบมากสุดอย่างแอชลีย์ คิม อัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้วขณะมองคนที่นั่งหอบหายใจอยู่บนพื้นตรงหน้าของตัวเอง


ซินเธียพยายามกลั้นความรุ่มร้อนที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วร่าง กัดปากจนเริ่มได้กลิ่นคาวเลือด จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นหวังจะรีบออกไปจากบริเวณนี้ ทว่ากลับโดนมือหนาของคนอายุมากกว่าคว้าเอาไว้ได้ทัน


“จะทำอะไร” ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม ดวงตาจ้องใบหน้านวลเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อจนเห็นเด่นชัด แขนที่กำลังจับอยู่ก็ร้อนจัดไม่ต่างอะไรไปจากร่างกายของตนในตอนนี้


“เรา... เรา...” ซินเธียพยายามดึงสติสัมปชัญญะของตัวเองให้คงอยู่มากที่สุด “จะไปเอายา”


พอได้ฟังคำตอบนั้นปมคิ้วที่ขมวดก็ยิ่งผูกกันยุ่งเข้าไปใหญ่ แอชลีย์มองอาการของคนตรงหน้าก็เข้าใจตั้งแต่แวบแรก “มันเริ่มเป็นตั้งเมื่อเช้าแล้วใช่ไหม”


คนถูกถามพยักหน้ารับหลายครั้ง เมื่อเช้าบนโต๊ะอาหารรู้สึกได้ถึงฟีโรโมนของคนเป็นโอเมก้าว่ามันดูแรงกว่าปกติก็พอจะฉุกใจขึ้นแล้ว แต่ยังเห็นท่าทางสงบนิ่งของอีกคนก็เลยไม่ได้ใส่ใจมาก ใครจะคิด


ว่าซินเธียจะฮีทขึ้นมาจริงๆ


“ขอโทษที่ทำให้คุณได้รับผลกระทบไปด้วย อึก... เรา เราจะรีบไปกินยาระงับเดี๋ยวนี้”


ซินเธียพูดด้วยเสียงแหบพร่า ตาของเขากำลังเลือนรางตามสติไปทุกที เกรงว่าหากยังไม่รีบออกไปจากตรงนี้จะต้องแย่แน่


แต่กลายเป็นว่ายิ่งพยายามสลัดข้อมือให้หลุดมากแค่ไหน มือร้อนของอีกคนก็ยิ่งกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ


ซินเธียเงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ต้องนิ่งไปเมื่อถูกตรึงด้วยดวงตาคมกริบสีอำพันคู่นั้น


“มีฉันอยู่ตรงนี้แล้วยังจะไปกินยาอีกทำไม”


เพราะอับจนต่อคำกล่าวซินเธียจึงได้แต่เดินตามแรงจูงขึ้นบันไดไปด้วยสติพร่าเลือน สองข้างทางมันเบลอไปหมดสติใกล้จะหายไปทีละน้อย จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูและร่างกายถูกเหวี่ยงลงบนฟูกนุ่มที่มีกลิ่นคุ้นเคยลอยอบอวล


กลิ่นของแอชลีย์กับตัวเขาเอง


ปรือตามองคนที่ยืนอยู่เหนือร่าง ริมฝีปากอ้าหอบหวังระบายความรุ่มร้อนที่กำลังกัดกินภายใน


ดวงตาสองคู่สอดประสานมันค่อนข้างยาวนานในความรู้ทว่าเสี้ยวนาทีในความเป็นจริง


"คุณไม่ต้องทำเพื่อเราขนาดนี้ก็ได้" เสียงของซินเธียแหบพร่าเนื้อความผลักไส ตกตะกอนให้ใช้ความตระหนัก แต่ในความเป็นจริงกลับฟังราวคำเชิญชวน


แอชลีย์รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วแน่ๆ กับความคิดแบบนั้น หรืออันที่จริงมันเป็นเพียงพิษร้ายจากฟีโรโมนหอมหวานซึ่งกำลังฟุ้งกระจายอยู่ตอนนี้เพื่อมอมเมาตน


"แล้วอย่างไร"


แอชลีย์ขบกรามแน่นเสียงทุ้มต่ำกว่าช่วงเวลาปกติ เขาเองก็กำลังต่อสู้กับตัวเองไม่น้อยเพื่อไม่ให้หน้ามืดตามัวหลงกระทำอีกคนอย่างดิบเถื่อน


"ปล่อยให้เธอกินยาระงับ ส่วนฉันก็จัดการตัวเองสินะ"


เมื่อความเป็นเหตุเป็นผลถูกยกมาซินเธียก็เถียงไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันทั้งอีกไม่นานก็จะกลายเป็นสามีภรรยากันแล้วถึงจะดื้อดึงใช้ยาแต่ก่อนหน้านั้นก็คงสร้างความลำบากให้กับอีกคนพอสมควร


ท้ายสุดก็ได้แต่หลับตารับสัมผัสร้อนแรงที่โหมเข้ามาจนเกือบตั้งตัวไม่ทัน


เขาได้ยินเสียง ‘หึ’ ดังลอดมาจากลำคอยามคนตัวโตโถมร่างกายเข้ามาครอบครองริมฝีปากกัน กักขังร่างกายน้อยๆ นี้เอาไว้ใต้อาณัติจนหมดหนทางหนีรอด


ความร้อนแผดเผาแนบแน่นบนริมฝีปากกระจับดูดดึงจนไร้ช่องว่างราวกับจะช่วงชิงลมให้ใจกันให้ได้


ซินเธียรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกายยามมือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วผิวเนื้อเนียน ฟ้อนเฟ้นอย่างเอาแต่ใจจนอดจะส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอไม่ได้


   สองมือจิกแน่นลงไปบนกล้ามเนื้อแขนหนั่นแน่นเพื่อบอกให้รู้ว่าลมหายใจของตนนั่นใกล้จะถูกคนใจร้ายช่วงชิงไปจนหมดแล้ว นับว่าดีที่อีกคนยังฟังกัน ในชั่วขณะริมฝีปากเป็นอิสระ เด็กหนุ่มหอบหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างคนหิวกระหาย ใบหน้าเนียนจากที่ขึ้นสีระเรื่อก็กลายเป็นแดงจัด


พักหายใจยังไม่ทันครึ่งนาทีจุมพิตหวานล้ำก็เข้ามามอมเมากันอีกครั้งอย่างคนไม่รู้จักพอสร้างเสียงน่าอายดังไปทั่วห้อง หยาดน้ำหวานไหลย้อนจากมุมปากทว่าคนตัวโตกลับไม่ยอมปล่อยให้มันเล็ดลอดแม้เพียงสักนิด ตามเก็บเลาะเล็มไปจนถึงมุมปากก่อนลากยาวลงมาจนถึงช่วงลำคอระหง ซินเธียเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้อีกคนได้ซุกไซ้ถนัดขึ้น


เมื่อสัญชาตญาณอยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดกว่าจะรู้ตัวว่าบนร่างไร้อาภรณ์ปกคลุมอวดผิวเนื้อเนียนสีน้ำผึ้งที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครเชยชมมาก่อนก็ตอนริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นลากผ่านจากช่วงลำคอมาจนถึงไหปลาร้ายาวลงมายังแผ่นอก


ระ เร็วเกินไปแล้ว


ซินเธียเม้มริมฝีปากแน่น กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างก็กลับกลายเป็นส่งเสียงออกมาแผ่วเบาแทนเมื่อถูกจับพลิกตัวหันหลัง แทบจะในชั่ววินาทีก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนแทรกเข้ามาในกายไร้ความปราณี ต่างคนก็ต่างครางเสียงต่ำจากลำคออดกลั้นต่อความร้อนระอุและคับแน่น เพียงแค่จังหวะแรกก็สร้างความรู้สึกยากจะบรรยาย


   ไม่ทันตั้งตัว ไม่แม้แต่จะได้เตรียมใจ


   ซินเธียคิดว่าตัวเขานั้นผ่านการต่อสู้มามากมาย ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด แต่กลับไม่มีการสู้ครั้งไหนจะรู้สึกเสียเปรียบได้ขนาดนี้


เพียงแค่เริ่มต้นก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ยอมจำนนแด่ชายผู้อยู่เบื้องหน้าคนนี้อย่างหมดท่า


   เด็กหนุ่มถูกกดใบหน้าด้านหนึ่งลงกับหมอนใบโต สองมือจิกกำผ้าปูเอาไว้แน่นจนรู้สึกได้ถึงคมเล็บของตัวเองทะลุออกมา รับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ที่กำลังโหมกระพือไม่ต่างจากพายุหิมะโถมพัดบ้าคลั่ง ราวเกล็ดน้ำค้างหลอมละลายลงบนกลีบดอกไม้ในทุ่งกว้าง มีแต่ยิ่งมาก ยิ่งมากขึ้นทุกวินาที


ทั้งสาดซัด แทรกซึมลึก


ทั้งเจ็บปวด เสียวซ่าน


มึนงงและสับสน ความรู้สึกสารพัดปนเปจนได้แต่ระบายออกมาทางริมฝีปาก ยิ่งมาก ยิ่งดัง ยิ่งดัง ยิ่งมาก ตอบสนองทุกสัมผัส ทุกความบ้าคลั่งอย่างลืมอาย ใบหน้าแดงก่ำเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วทุกสรรพางค์กาย ดีดทะยานจนไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้


จวบจนกระทั่งทุกอย่างจบลงก็ได้แต่ทรุดตัวลงบนผืนฟูกอย่างหมดแรง


แอชลีย์เสยเส้นผมชื้นที่ปรกหน้าของตัวเองขึ้นลวกๆ ริมฝีปากยังคงเผยอหอบเล็กน้อยจากการพึ่งปลดปล่อยทุกความรู้สึกไปเมื่อครู่ นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองคนที่นอนทอดกายอยู่เบื้องหน้าในสภาพไม่ต่างกันนัก เส้นผมสีจินเจอร์แผ่สยายไปตามแนวส่วนเว้าโค้งของร่างกายบดบังผิวเนื้อนวลวับแวมมองดูเย้ายวน


นอกจากริมฝีปากบวมเจ่อเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้แตะต้องสร้างรอยด่างพร้อยอะไรให้กับคนตรงหน้าอีก


แค่ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้


   เขาลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมสีเข้มมาสวมก่อนจะเดินมาช่วยคลุมผ้าห่มบดบังร่างกายเปลือยเปล่านั้นเสีย กลิ่นฟีโรโมนรุนแรงเมื่อตอนแรกจางลงมากแล้ว แต่เกรงว่าหากยังปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ก็มีโอกาสจะต้องซ้ำรอยอีกครั้ง


   “พักผ่อนสักหน่อย แล้วค่อยไปงานเลี้ยง”


   ตอนนี้ยังพอมีเวลาอัลฟ่าหนุ่มจึงปล่อยให้อีกคนได้พักผ่อนสักนิด ส่วนงานเลี้ยงในคืนนี้หากจะไปสายเล็กน้อยก็คงไม่เป็นอะไร


คนฟังพยักหน้ารับกับหมอน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าไปสบตาอีกคน นอนนิ่งสักพักจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนเขาก็ค่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา


----


ซินเธียถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งทั่วทั้งห้องก็มีเพียงแสงจากโคมไฟสลัว หญิงรับใช้พอเห็นผู้เป็นนายตื่นก็พูดอะไรบางอย่างสองสามคำแล้วจากไปแต่คนที่กำลังสะลึมสะลือกลับจับใจความไม่ได้ ได้ยินแค่ได้เวลาเตรียมตัวแล้วอะไรสักอย่างเท่านั้น


เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงมือข้างหนึ่งยกขึ้นนวดขมับ ยามเมื่อผ้าห่มไหลเคลื่อนลงจากกายปรากฏผิวเนื้อเปลือยเปล่าสติที่กำลังกระจัดกระจายราวกับถูกดึงกระชากกลับมาทันที


อ่า...


มือที่กำลังนวดขมับเปลี่ยนมาเป็นปิดใบหน้าเอาไว้ทันที


โอเมก้ายามเมื่อฮีทสติจะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่น่าแปลก ในช่วงเวลานั้น


ทุกสัมผัส


ทุกความรู้สึก


กลับจดจำได้ขึ้นใจ


นั่งรวบรวมสติกับตัวเองอยู่พักใหญ่ซินเธียก็พยุงกายขึ้นไปชำระร่างกาย บนปลายเตียงมีชุดสำหรับออกงานหนึ่งชุดถูกวางเตรียมเอาไว้พร้อมเครื่องประดับอีกเล็กน้อย


หลังจัดการตัวเองเสร็จเขาก็หยิบชุดที่ว่านั่นขึ้นมาสวม เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายแขนทรงบอลลูนคู่กับกางเกงสแล็กสีดำ ระหว่างปกเสื้อกลัดด้วยอัญมณีอำพัน


ซินเธียสวมใส่ทุกอย่างด้วยความเก้กัง ส่วนผมยุ่งเหยิงของตัวเองก็จัดการหวีให้เรียบแล้วรวบเอาไว้หลวมๆ


ปกติแล้วไม่ว่าจะที่บ้านเกิดหรือวินเทอร์ฟอลแห่งนี้มักจะมีคนช่วยเด็กหนุ่มแต่งตัวเสมอ ยิ่งเป็นการสวมใส่เสื้อผ้าของชาวแดนเหนือแล้วเขายิ่งไม่คุ้นชิน อาจจะใช้เวลามากไปสักนิดแต่สุดท้ายทุกอย่างก็ออกมามาเรียบร้อยดี


เขาคิดว่าแอชลีย์คงจะสั่งไม่ให้ใครเข้ามาในห้องนี้สักพักจนกว่าช่วงฮีทจะหมดลง หากจะมีก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่นาน


เมื่อลงมาด้านล่างก็พบว่าใครอีกคนนั่งรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว แอชลีย์ คิมในคืนนี้ก็ไม่แตกต่างจากเวลาปกตินัก สูทกึ่งทางการสีดำ บนปกเสื้อประดับด้วยเข็มกลัดอำพันแบบเดียวกันเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า ส่วนสิ่งที่ดูแปลกตาไปเห็นจะมีก็แต่เส้นผมสีดำเหล่านั้นถูกเสยขึ้นโชว์รูปหน้าหล่อเหล่าสมกับความเป็นอัลฟ่า


ยอมรับว่ายังคงไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายนัก จากที่ปกติก็ไม่ได้มีความกล้ามากมายอยู่แล้ว


“เวลาฮีทของเธอนานเท่าไหร่” นั่นเป็นประโยคแรกจากคนตัวสูง ซินเธียเม้มปากแล้วครุ่นคิดถึงคำตอบนั้น


“ราวๆ 3 – 4 วันครับ”


รอบฮีทของโอเม้าในหนึ่งเดือนนั้นจะอยู่ในช่วง 7 วันไม่เกินนี้ในกรณีที่ไม่ได้รับการฉีดยาระงับคุณภาพดีหรือยาชนิดเม็ดขนาดรุนแรง ทั้งนี้จำนวนระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละคนด้วย อย่างเช่นโอเมก้าในตระกูลมีฐานะของวินเทอร์ฟอลนั้นพวกเขามักจะได้รับการฉีดยาระงับเป็นประจำ ทำให้อาการฮีทในแต่ละรอบเดือนไม่ส่งผลกับชีวิตประจำวัน และก็เป็นดังที่คุณพ่อบ้านเคยกล่าวเอาไว้ว่ายาจำพวกนั้นไม่ควรรับเข้าสู่ร่างกายในระยะเวลานานมากเกินไป


ในส่วนของอัลฟ่ากับโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันแล้วอาการฮีทก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แต่คู่แห่งโชคชะตานั้นโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลยคิดว่ามันเป็นเพียงตำนานหรือนิทานสนุกๆ ในเวลาน้ำชายามบ่ายเท่านั้น น้อยคนจะเชื่อ


“อืม” แอชลีย์ตอบมาคำหนึ่ง สำหรับรอบฮีทของซินเธียถือว่าปกติดีและไม่นานจนเกินไป


“อันที่จริงถ้าเธอไม่ไหวจะนอนพักต่อก็ได้นะ งานเลี้ยงนั่นไม่ได้สำคัญอะไรมาก” ทั้งที่เจ้าตัวก็เปรยออกมาเสียงเรียบไม่แสดงท่าทีอะไรแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังอย่างซินเธียถึงรู้สึกอยู่ไม่สุขก็ไม่รู้


“เรา... ไม่เป็นไร”


กับครั้งแรกมันอาจจะเจ็บไปบ้างแต่สำหรับโอเมก้าอย่างพวกเขาธรรมชาติสร้างสรีระขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมต่อสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร


และอาจจะเพราะเป็นแอชลีย์ คิม


 “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาแล้วเป็นฝ่ายเดินนำออกไป


เพราะเป็นผู้ชายคนนี้ก็ได้ที่ทำให้ร่างกายของซินเธียไม่นึกต่อต้าน



TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 7 [P.2] --- 08/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-06-2019 22:48:10
รู้สึกเมากลิ่นน้องซินเธียไปด้วยเลยค่ะ  :o8:
ตอนน้องนอนคว่ำผมแผ่สยายปิดวับๆแวม มันอื้อหือมากเลย รู้สึกเหมือนจะไม่ไหว ฮรือ  :m25:
ท่านแอชลีย์เย็นชาเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ทำไปเพราะหน้าที่อย่างเดียวจริงๆเหรอคะ  :m17:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 7 [P.2] --- 08/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-06-2019 22:59:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 7 [P.2] --- 08/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-06-2019 23:01:22
 :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 7 [P.2] --- 08/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 09-06-2019 00:10:25
แค่ทำตามหน้าทีงั้นคุณชายอย่าหวั่นไหวกับน้องนะ :hao7:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 7 [P.2] --- 08/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-06-2019 01:24:41
เย็นชามากนายคนนี้  :ling2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 09-06-2019 20:42:53


บทที่ 8





   คนทั้งสองมาถึงงานเลี้ยงช่วงประมาณสองทุ่ม เลทจากเวลาเริ่มงานเลี้ยงไปประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่แอชลีย์ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ซินเธียไม่คุ้นชินกับรูปแบบงานเลี้ยงของชาวแดนเหนือเลยไม่รู้ว่าการมาสายแบบนี้มันเสียมารยาทหรือเปล่า หรือนึกจะมาตอนไหนก็ได้ ซึ่งคิดว่าอย่างหลังนั่นเป็นนิสัยของแอชลีย์ คิม


เขามักทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ


วันนี้แอชลีย์ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเองเหมือนปกติ ชายหนุ่มนั่งเบาะหลังคู่กับซินเธียและให้คนขับรถของทางคฤหาสน์พามาส่ง


เมื่อรถคันหรูจอดเทียบหน้าคฤหาสน์หลังโตพนักงานต้อนรับคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาช่วยเปิดประตูรถใหญ่อย่างรู้หน้าที่ คนตัวสูงเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อนแล้วก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด ซินเธียเงยหน้ามองมือใหญ่ยื่นเข้ามาหาจึงชะงักไปชั่ววินาทีหนึ่งก่อนจะวางมือลงไปบนมือแสนอบอุ่นข้างนั้นปล่อยให้อีกคนช่วยพาเขาออกมาจากรถอย่างใจเย็น


พ่อบ้านตระกูลสแตนลีย์ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว กล่าวคำทักทายตามธรรมเนียมแล้วผายมือเชิญให้เข้าไปด้านใน ซินเธียเดินเคียงคู่ไปกับว่าที่คู่ชีวิตดวงตาก็คอยสังเกตการตกแต่งภายในไปด้วยความชื่นชม


เมื่อเทียบกับบรรดาคฤหาสน์ที่เคยเห็นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นของตระกูลมัวร์ก็ดี ตระกูลคิมก็ดี ทางตระกูลสแตนลีย์นับว่ามีการตกแต่งที่นำสมัยกว่าค่อนข้างมาก บรรยากาศของตัวคฤหาสน์มีความสดใส ให้กลิ่นอายสดชื่นอยู่ตลอดเวลา


โดยเฉพาะแชนเดอเลียร์คริสตัลขนาดใหญ่ตรงโถงทางเข้านั้นมันเด่นสะดุดตาแล้วก็งดงามมากจนซินเธียหยุดเดินแล้วยืนจ้องมันอย่างลืมตัว คริสตัลทรงหยดน้ำมากมายห้อยระย้าลงมายามกระทบแสงไฟก็ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับชวนให้หลงใหล


“ชอบหรือ”


เสียงทุ้มดังขึ้นข้างใบหู ซินเธียละสายตาจากแชนเดอเลียร์ตรงหน้าแล้วเงยขึ้นไปมองคนข้างกายแทน


“ครับ มันสวยมาก”


แอชลีย์ครางรับมาคำหนึ่งแล้วใช้มือแตะสะโพกเด็กหนุ่มเป็นเชิงให้เดินต่อ ไม่รู้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ ซินเธียเลยไม่ได้ออกปากอะไรเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนั้นอีก สองมือกระชับกล่องของขวัญสำหรับอวยพรวันเกิดให้แก่เจ้าภาพเอาไว้แน่นขึ้นอีกนิดเมื่อพวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาถึงห้องจัดงานเลี้ยงทางปีกตะวันตกของตัวคฤหาสน์


ตระกูลสแตนลีย์เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ผู้เรืองอำนาจของวินเทอร์ฟอล การจัดงานเลี้ยงฉลองของผู้นำตระกูลก็ใหญ่โตหรูหราสมฐานะ ทั้งอาหารเครื่องดื่มถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แขกอย่างใจกว้าง ภายในงานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอัลฟ่าจากตระกูลชั้นสูงมากมาย น้อยมากจะเจอโอเมก้าติดตามคู่ของตัวเองมาด้วยในคืนนี้


เมื่อต้องเข้ามาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่เหนือกว่าซินเธียก็เกิดอาการหวั่นวิตกขึ้นมาในใจ เขาขยับตัวเข้าไปชิดแอชลีย์ตามสัญชาตญาณซึ่งอีกคนก็คงทราบสาเหตุดีถึงได้เอื้อมมือมาโอบเอวว่าที่คู่ชีวิตเอาไว้


ตอนนี้ซินเธียกำลังอยู่ในช่วงฮีทจิตใจจะอ่อนไหวเป็นพิเศษพอๆ กับร่างกายที่ดึงดูดอัลฟ่าได้ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในบรรดาโอเมก้าในงานเลี้ยงคืนนี้เด็กหนุ่มดูแตกต่าง


ทั้งรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนกับเส้นผมยาวสลวยสีแปลกตา ช่างให้ความรู้สึกงดงามแบบแปลกๆ


ท่ามกลางกลุ่มคนผมบลอนด์ผมดำผิวขาวแบบนี้ นับว่าโดดเด่นจนดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพราะหลายคนเห็นว่าโอเมก้าคนนี้มีเจ้าของแล้วถึงได้มีใครกล้าเข้ามายุ่ง


“ผมนึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว แอชลีย์ คิม”


แดเนียล สแตนลีย์เดินแหวกฝูงชนเข้ามาต้อนรับแขกคนสุดท้ายของงานพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม งานเลี้ยงเริ่มตอนหนึ่งทุ่มตรงตามปกติแล้วแขกในงานมักจะมาสายกันไม่มากไปจากเวลาในเทียบเชิญนัก ชายหนุ่มจึงคิดว่าบางทีท่านผู้นำแห่งตระกูลคิมผู้ชื่นชอบทำอะไรตามใจตัวเองคงจะไม่มาร่วมงานเสียแล้ว


“มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย” คนตัวสูงว่า “นี่คือซินเธีย วาเลนเธีย คู่หมั้นของผม”


“สวัสดีครับ” ซินเธียขยับตัวออกมาจากด้านหลังของคนข้างกายเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้อัลฟ่าผมสีบลอนด์หน้าตาใจดีตรงหน้า เขามีส่วนสูงน้อยกว่าแอชลีย์เล็กน้อย เวลายิ้มดวงตาทั้งสองข้างก็จะกลายเป็นเส้นโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยวดูเป็นมิตรน่าเข้าหา


“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”


“เช่นกันครับ ส่วนนี่ของขวัญของคุณขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ”


ซินเธียประคองกล่องของขวัญกำมะหยี่ขนาดไม่ใหญ่มากส่งให้กับอัลฟ่าเจ้าของงานพร้อมเอ่ยคำอวยพรอย่างประหม่าทำตัวไม่ค่อยถูก ในเมื่อก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทางมาจู่ๆ แอชลีย์ก็ส่งกล่องของขวัญนี้มาให้แถมยังบอกอีกว่าหน้าที่นี้เขาควรจะเป็นคนทำ สุดท้ายเลยกลายเป็นทำให้เด็กหนุ่มนั่งกอดกล่องของขวัญเกร็งมาตลอดทางด้วยไม่รู้ควรจะมอบของขวัญให้เจ้าของงานอย่างไรดีถึงจะไม่ดูเหมาะสม


“โอ้ ขอบคุณมากครับ” แดเนียลรับไป เขาอมยิ้มเล็กๆ มองสำรวจโอเมก้าจากต่างแดนชั่วขณะแล้วพูดต่อ “ได้ยินมาว่าคุณมากจากดินแดนทางใต้แต่สำเนียงของคุณคล้ายคนแดนเหนือมากเลยนะครับ”


ซินเธียไม่ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าทางนั้นชมเพราะมารยาทหรือว่าเป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง


ระยะนี้หากมีเวลาซินเธียก็จะพยายามเรียนรู้สำเนียงของชาวแดนเหนือจากการฟังแอชลีย์พูด ไม่ว่าจะพูดกับตนเองหรือสั่งงานพวกคนงานในคฤหาสน์ ช่วงแรกอาจจะยังไม่ค่อยกล้าพูดกับใครนัก แต่พอได้คุยกับคุณชายอิลลาเรียนคราวนั้นเขาก็อยากจะพัฒนาตัวเองเพื่อที่เจอกันครั้งหน้าพวกเราจะได้สามารถพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนานมากกว่านั่งฟัง


 “น่าเสียดายวันนี้ท่านชายมัวร์ไม่ค่อยสะดวกเลยไม่ได้ตามท่านคาร์ลินมาด้วย อดเจอหลานเลย” ประโยคแรกนี้แดเนียลคล้ายพูดกับซินเธียมากกว่า อีกฝ่ายคงจะเข้าใจว่ามันคงดีกว่าหากมีเพื่อนโอเมก้าด้วยกันให้คุยแก้เบื่ออีกทั้งการต้องมาอยู่ท่ามกลางอัลฟ่าจำนวนมากแบบนี้เด็กหนุ่มคงไม่สบายใจสักเท่าไหร่


“’งานเลี้ยงกลางคืนแบบนี้คงไม่เหมาะกับเด็กสักเท่าไหร่” แอชลีย์เอ่ยเสียงเรียบ


“ก็ส่วนหนึ่ง แต่เห็นว่าสุขภาพช่วงนี้ไม่ค่อยดีน่ะ จริงสิ คาร์ลินกำลังถามถึงคุณอยู่พอดี มาทางนี้สิ”


แดเนียลที่ยืนคุยกับแอชลีย์อยู่พูดเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ อัลฟ่าหนุ่มผายมือไปทางมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงเป็นมุมที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านและค่อนข้างเป็นส่วนตัว


“ถ้ากังวลก็จับแขนฉันเอาไว้” ในระหว่างเดินไปคนข้างกายโน้มลงมากระซิบเสียงเบา


“อะ อื้ม”


ใบหน้าอีกฝ่ายยังคงไม่บ่งบอกอารมณ์ดังปกติแต่ซินเธียก็รับรู้ได้ถึงความใส่ใจเล็กน้อยนั้น พอได้รับคำอนุญาตกลายๆ จึงรีบยื่นมือขึ้นไปจับแขนของชายหนุ่มทันที


หลังเข้ามาทักทายผู้นำของวินเทอร์ฟอลเรียบร้อยซินเธียก็ได้แต่นั่งฟังเหล่าอัลฟ่าคุยกันใจความส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องงานมากกว่า เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ไม่นานก็ต้องหันกลับมาเมื่อบทสนทนาเริ่มเอนเอียงมาทางตัวเอง


“งานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้างครับท่านชายวาเลนเธีย” คำถามนี้แดเนียลเป็นคนเอ่ย


“ดีครับ อาหารก็อร่อยมาก”


ในระหว่างนั่งคุยแอชลีย์ให้คนไปตักอาหารมาให้ซินเธียจำนวนหนึ่ง มีทั้งขนมหวานและของทานเล่นส่วนเครื่องดื่มก็เป็นน้ำผลไม้รสชาติอ่อน เขาเลือกชิมไปสองสามอย่างก็รู้สึกว่าอร่อยดี โดยเฉพาะแซนวิซทูน่าราดด้วยน้ำสลัดถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กพอดีคำตกแต่งด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่ลูกเล็กด้านบน


ผลไม้ชนิดนี้โตได้ดีในสถานที่มีอากาศเย็นซินเธียจึงไม่เคยกินมาก่อนเมื่อได้ลองแล้วก็ติดใจทันที


“ถ้าชอบก็ทานให้มากหน่อย” คนข้างกายพูดเสียงเบา มือก็ผลักจานแซนวิซจานที่สองมาให้ เป็นเพราะเมื่อตอนเย็นหลังซินเธียฮีท พอทำเรื่องอย่างนั้นกันเสร็จก็ผล็อยหลับไปจนกระทั่งถูกปลุกขึ้นมาร่วมงานเลี้ยงลืมกินแม้กระทั่งมื้อเย็น


“ว่าแต่งานเลี้ยงของวินเอทร์ฟอลกับดินแดนของคุณเหมือนกันไหมครับ” เจ้าภาพผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลาเอ่ยถามต่อหลังรอให้โอเมก้าหนึ่งเดียวในตอนนี้กินจนพอใจ


เรื่องราวของดินแดนทางใต้นั้นค่อนข้างน่าสนใจในสายตาคนนอกไม่น้อยเหมือนกัน เพราะคนจากเมืองอื่นๆ ไม่มีใครเคยติดต่อหรือเดินทางไปเส้นทางแถบนั้น ทั้งเรื่องระยะทางก็ดี ทั้งข่าวลือที่เล่าต่อกันมาก็ดี


“ค่อนข้างแตกต่างครับ”


ซินเธียตอบหลังจากจัดการมะเขือเทศเชอร์รี่จำนวนหนึ่งซึ่งเขาเก็บไว้กินเป็นอย่างสุดท้ายจนหมด เป็นอีกหนึ่งนิสัยแบบเด็กๆ ที่แก้อย่างไรก็ไม่เคยหายอย่างการชอบเก็บของที่ชอบไว้กินเป็นอันดับสุดท้าย ท่านพ่อเองก็เคยเตือนเขาถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน


ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่ต่อหน้าคนมากมายเขาก็คงหยิบเจ้ามะเขือเทศจิ๋วเหล่านี้ยัดใส่ปากทีละหลายๆ ลูกไปแล้ว


ฝ่ายแอชลีย์ก็ได้แต่มองคนข้างกายอย่างอ่อนใจ ตอนอยู่บนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์เขาก็พอสังเกตพฤติกรรมนี้ได้อยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ตาม แต่สำหรับคนที่ต้องร่วมมื้ออาหารด้วยกันมาตลอดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสังเกตเห็น ชายหนุ่มยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วโป้งช่วยเช็ดคราบน้ำสีแดงเล็กๆ ตรงมุมปากให้คนที่มัวแต่เคี้ยวจนไม่ทันระวังอย่างเอร็ดอร่อย


มะเขือเทศน่ะเป็นผลไม้จำพวกที่มีน้ำอยู่มาก พอต้องรีบเคี้ยวให้หมดปากก่อนตอบคำถามของท่านชายสแตนลีย์จึงไม่ทันระวังเผลอกินเลอะเอาจนได้


“งานเลี้ยงของพวกเราจะมีนางระบำกับนักดนตรีมาคอยให้ความบันเทิง อาหารก็จะเน้นไปทางพวกเนื้อสัตว์กับสุราหมักครับ” นอกจากนี้ดนตรีที่ใช้บรรเลงก็จะเป็นดนตรีพื้นเมือง เหล่านางระบำจะสวมใส่เสื้อผ้าโปร่งพลิ้วเพื่ออวดเรือนร่างและผิวกาย


“หืม? ฟังดูน่าสนใจมากเลยครับ”


ซินเธียยิ้มไม่ตอบอะไร เกือบจะพลั้งปากเอ่ยชวนไปแล้วว่าหากมีเวลาก็ไปเยี่ยมเยือนแดนใต้ได้ แต่ก็คิดได้เสียก่อนว่าคงไม่มีใครอยากไปที่นั่น การเดินทางก็แสนจะลำบากเต็มไปด้วยป่าทึบกับถนนสายแคบพอให้ม้าวิ่งเท่านั้น


“จริงสิ เมื่อสักครู่เหมือนผมจะเห็นคุณชายอิลราเรียนอยู่แถวนี้นะ ไม่รู้โจชัวพาเดินไปไหน”


เมื่อบทสนทนาเดินทางมาถึงทางตันแดเนียลทำท่ามองหาคนทั้งสองแต่เนื่องจากแขกเหรื่อในงานมีค่อนข้างมากเลยทำให้สังเกตคนได้ยาก


“ปล่อยให้ทานชายมานั่งฟังพวกเราพูดคุยเรื่องปวดหัวคงน่าเบื่อแย่”


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราคิดว่าจะออกไปสูดอากาศในสวนสักหน่อย” กลิ่นของอัลฟ่ามันตีกันเยอะแยะเต็มไปหมดซินเธียไม่ค่อยอยากอยู่ในบรรยากาศแบบนี้นานนัก


“เดี๋ยวฉันพาไป” ได้ยินดังนั้นแอชลีย์หันมามองทันทีแต่ซินเธียกลับส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงปฏิเสธ


“คุณคุยเรื่องงานต่อเถอะ เราออกไปไม่นาน”


อีกคนทำหน้าไม่ค่อยวางใจแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าในที่สุด ก่อนซินเธียจะลุกออกไปก็ไม่ลืมกำชับว่าอีกไม่นานจะเดินตามไปแล้วพากลับบ้าน เขารู้ว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ชอบอยู่ในงานสังคมแบบนี้นานๆ เหมือนกันจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินออกมายังสวนด้านนอก


อากาศข้างนอกค่อนข้างปลอดโปร่งกว่าด้านในอย่างเห็นได้ชัด ซินเธียสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เหล่านั้นพลางแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน สองสามวันมานี้หิมะไม่ค่อยตกเลยส่งผลให้ผืนฟ้าในคืนนี้เปิดกว้างไร้เมฆครึ้มบดบัง ดวงดาวทอประกายระยิบระยับแต่งแต้มไปทั่วราวกับคริสตัลเม็ดงามปักดิ้นบนผ้ากำมะหยี่สีดำ


เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นลูบแขนของตัวเองในระหว่างเดินทอดน่องอยู่ในสวน เสื้อผ้าสำหรับใส่มางานเลี้ยงบางเกินไปเมื่อต้องออกมาปะทะลมหนาวด้านนอก


สวนของคฤหาสน์ตระกูลสแตนลีย์ค่อนข้างกว้างและมีไม้ยืนต้นปลูกเอาไว้มาก สองข้างทางมีไฟประดับสลัวพอให้มองเห็นทาง แต่เดินต่อมาได้ไม่เท่าไหร่หูก็พลันได้ยินเสียงประหลาดพร้อมกับเงาตะคุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซินเธียชะงักไปเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น


“อืม... ว๊าย!”


หญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำอยู่กับรสชาติอันหอมหวานในอ้อมกอดของชายคนหนึ่งลืมตาขึ้นมามองเห็นเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ตกตะลึงจนเผลอผลักชายหนุ่มออกไป เป็นเพราะเธอยืนหันหลังให้กับต้นไม้จึงทำให้เมื่อลืมตาขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาของซินเธียพอดิบพอดี


ด้วยความไม่ได้ตั้งใจฝั่งซินเธียเองก็ตกใจไม่น้อย เขากระแอมก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงเบากำลังจะขอตัวออกมาแต่กลับโดนเรียกไว้เสียก่อน


“เฮ้”


เป็นชายหนุ่มอัลฟ่าคนนั้นนั่นเอง เขายกหลังมือขึ้นเช็ดคราบลิปสติกบนปากออกก่อนจะเอ่ยเรียกคนแปลกหน้าเอาไว้ คนทั้งคู่เดินออกมาจากเงาใต้ร่มไม้เพื่อจะได้มองหน้าคนขัดจังหวะได้ชัดขึ้น ฝ่ายหญิงหรี่ตามองเมื่อเห็นลักษณะของโอเมก้าตรงหน้าดูแตกต่างจากตัวเองก็แค่นเสียงหึในลำคอทันที


“โอ้ ดูโอเมก้าตรงหน้าสิรูปลักษณ์แบบนั้นมันคืออะไรกันน่ะ” เธอหัวเราะก่อนจะชี้มายังซินเธียที่ยืนตีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ไม่ไกล “นี่คือคนจากแดนใต้อย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า”


“คนจากแดนใต้?” อัลฟ่าคนนั้นทำหน้าฉงนแล้วหันมามองซินเธีย เป็นเพราะไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องซุบซิบในวงสังคมเท่าไหร่จึงไม่ค่อยรู้เรื่องภายนอกมากนัก


“คุณไม่รู้เรื่องที่คนตระกูลคิมกำลังจะรับโอเมก้าจากแดนใต้เข้าตระกูลหรือ เห็นว่างานแต่งงานจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”


“อ้อ งานของท่านแอชลีย์” เรื่องงานวิวาห์ก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้าง แต่เพราะงานนี้เป็นงานภายในที่เชิญเฉพาะแขกสำคัญเท่านั้นตระกูลของชายหนุ่มถึงจะมีหน้ามีตาอยู่บ้างในสังคมชนชั้นสูงแต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะสามารถรับเทียบเชิญจากสี่ตระกูลใหญ่


“ไม่รู้ว่าท่านแอชลีย์คิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมแต่งงานกับพวกคนป่าไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้”


เธอพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจ เดิมทีเรื่องเล่าจากดินแดนห่างไกลแห่งนั้นก็นับเป็นละครสนุกๆ ที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยกันในเวลาน้ำชายามบ่ายอยู่แล้วยิ่งพอโดนมาขัดจังหวะในช่วงเวลาแบบนี้หญิงสาวทั้งรู้สึกอายและหงุดหงิดไปในเวลาเดียวกัน


อันที่จริงเธอเองก็เป็นโอเมก้าเช่นเดียวกัน แต่ตระกูลของเธอนั้นไม่ได้มีฐานะดีมากอะไรซึ่งกว่าเธอจะยั่วยวนอัลฟ่าจากตระกูลร่ำรวยให้พาตัวเองมาร่วมงานเลี้ยงนี้ได้ก็ยากมากพอแล้ว ตอนนี้พอสบโอกาสสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นก็ดันเจอคนต่างถิ่นไม่รู้เรื่องรู้ราวเดินมาเจออีก ระดับความโมโหจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว


“ที่เขาว่าคนจากป่าดงดิบเหล่านั้นไร้อารยธรรมเห็นจะเป็นเรื่องจริงมาแอบดูคนอื่นแบบนี้ช่างไร้มารยาทสิ้นดี”


“เราแค่บังเอิญเดินผ่านมา”


ซินเธียขมวดคิ้วมุ่น รู้ดีว่าในสายตาคนภายนอกภาพลักษณ์ของชาวธอร์นคงไม่ค่อยน่าดูชมเสียเท่าไหร่ ไม่มีใครนึกใส่ใจในเมื่อพวกเขาก็ไม่ได้คิดไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกเพียงอาศัยอยู่ในดินแดนของตัวเองอย่างสงบสุข


ในใจนึกบริภาษหญิงสาวตรงหน้าไปไม่น้อยแต่ด้วยไม่เห็นความจำเป็นต้องแสดงกริยาแบบเดียวกับอีกฝ่ายโต้ตอบกลับไปจึงตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกมา


“ขออภัยที่มารบกวน”


เขาคิดว่าตนเองควรจะกลับไปหาแอชลีย์ได้แล้ว


“เดี๋ยวครับ” แต่กลับเป็นอัลฟ่าคนนั้นที่เรียกเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่หญิงสาวต่อว่าโอเมก้าตรงหน้าแม้แต่นิด กลับกันเขาดันรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ดูมีเสน่ห์แตกต่างจากชาววินเทอร์ฟอลแบบแปลกๆ


ผิวสีน้ำผึ้งนวลนั้นไม่ได้ดูน่ารังเกียจเลยสักนิด อีกทั้งดวงตาสีเงินคู่นั้นกลับดูมีพลังและอำนาจบางอย่างชวนให้รู้สึกหลงใหล มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเติบโตมาในตระกูลที่ไม่ธรรมดา


ยิ่งแตกต่างก็ยิ่งดึงดูด


ซินเธียหยุดเดินแต่ไม่ได้หันกลับไปทำเพียงผินใบหน้าไปด้านหลังเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งแต่นัยน์ตาสีเงินยามต้องแสงไฟสะท้อนเป็นประกายงดงามราวคริสตัลจนคนมองตาพร่าไปชั่วขณะ


“มีอะไรหรือครับ”


ยิ่งได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยกับน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบนั้นก็ยิ่งกระตุ้นอะไรบางอย่างเข้าอีกทั้งสิ่งที่ทำให้อัลฟ่าหนุ่มสนใจคนตรงหน้านี้ก็คือกลิ่นฟีโรโมนหอมยั่วยวนของเจ้าตัวถึงจะไม่รุนแรงมากแต่ก็ทำให้รู้ได้ทันที


“ดูเหมือนคุณกำลังอยู่ในช่วงฮีทสินะ”


“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”


คำตอบกับท่าทีชะงักของอีกฝ่ายช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม เจ้าตัวยิ้มแฝงเลศนัยก่อนจะเดินเข้าไปคว้าข้อมือนุ่มนั้นมาจับ


“เฮ้ ไม่เอาน่า ผมช่วยคุณได้นะ”


ชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร่าเมื่อเห็นอีกคนขืนข้อมือกลับไปก็เปลี่ยนเป็นกระชากซินเธียเข้าหาตัวเองหวังจะสูดมกลิ่นอันหอมหวนตรงซอกคอทว่าเด็กหนุ่มเองก็รวดเร็วพอกัน ทันทีที่ร่างกายโดนกระชากเข้าหาก็หมุนตัวรวดเร็วใช้เวลาชั่ววินาทีแทงข้อศอกอีกข้างกระแทกใส่ปลายคางทันทีทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวเซถอยหลังไป ฝั่งนั้นเมื่อโดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวก็เกิดโทสะขึ้นหวังจะกระโจนเข้าใส่ทว่ากลับถูกเด็กหนุ่มใช้ขาถีบกลับไปจนลำตัวเซไปชนต้นไม้เข้า


“อั่ก! บ้าเอ๊ย” อัลฟ่าหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย ใบหน้าดำคล้ำเต็มไปด้วยโทสะคุกรุ่น


สำหรับซินเธียที่เติบโตมาในดินแดนแห่งการเอาตัวรอดและฝึกศิลปะการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก คนตรงหน้าเมื่อเทียบกับอัลฟ่าที่คลั่งการต่อสู้ในธอร์นแล้วแทบไม่นับเป็นตัวอะไร  คนเหล่านั้นมีทั้งพละกำลังมหาศาลและขาดความปราณีต่อคู่ต่อสู้เป็นที่สุดสู้กันแต่ละครั้งหวังมุ่งจะเอาชีวิต แตกต่างจากชาววินเทอร์ฟอลที่รักในความสุขสบายมากกว่าจะหาเรื่องฆ่าฟันกันเพื่ออวดความแข็งแกร่ง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากคุณชายตรงหน้าเอาจริงเขาก็อาจจะสู้ไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถต่อกรได้เลย


 “คุณชาย!” หญิงสาวเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าไม่น้อยเธอรีบเข้าไปประคองชายหนุ่มแล้วหันมาตวาดใส่ซินเธียทันที


“แก! ไอ้คนน่ารังเกียจ คนแบบพวกแกมันดีแต่ใช้กำลังกันจริงสินะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนไร้อารยะธรรมที่แกจะมาแสดงคามป่าเถื่อนแบบนี้ได้”


“เราทำได้มากกว่านี้ถ้าพวกคุณยังกล้าเข้ามาแตะต้องเราอีก” ซินเธียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทุกอย่างก็ล้วนทำไปเพื่อการป้องกันตัวเท่านั้น ต่อให้ต้องถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนต่างถิ่น เขาเสียใจแต่ก็ไม่นึกโต้ตอบหากอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีคุกคามใส่


“จะหวงตัวอะไรนักหนา ที่เธอมาที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะเสนอตัวให้พวกตระกูลใหญ่เองไม่ใช่หรือไง” ชายหนุ่มเย้ยหยันในดวงตาประกายกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบปลายคางอย่างนึกเจ็บใจ แรงดีใช่ย่อย


“เหอะ ตอนแรกหรือก็เสนอตัวให้ท่านคาร์ลินแต่เขาไม่เอา แน่ล่ะสิคู่ของเขาก็ดีถึงเพียงนั้นทำไมยังต้องมาสนใจโอเมก้าจากต่างถิ่นแบบแกอีก สุดท้ายก็ต้องวิ่งไปยัดเยียดตัวเองให้กับท่านแอชลีย์เสียแทน”


ซินเธียหน้าเสียไปทันทีหลังโดนความจริงกระแทกใส่หน้า เด็กหนุ่มกำมือแน่นพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อจะไม่โต้ตอบกลับไป


สิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลย งานวิวาห์ในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็จริงแต่มองให้ชัดเจนแล้วไม่ใช่ทางฝั่งเขาหรือที่ยื่นข้อเสมอไป ไม่ต่างอะไรกับการเสนอตัวเองเพื่อแลกกับผลประโยชน์เลยสักนิด


 “ทำเป็นถือตัว คุณชายอุตส่าห์เมตตาแต่กล้าดียังไงถึงมาทำร้ายคุณชายอเล็กซ์ แกรู้ไหมว่าตระกูลของเขาเป็นใคร!!”


“แล้วเป็นใครกันล่ะ”


คนทั้งสามชะงักไปทันทีเมื่อเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นจากทางด้านหลัง ซินเธียรู้สึกได้ถึงเสื้อนอกถูกคลุมลงบนลาดไหล่ทั้งสองข้างกลบไอหนาวจากรอบกายไปจนหมดสิ้น


....รวมถึงความหนาวเหน็บภายในใจ


ต่อให้ไม่ต้องหันไปมองเขาก็จำกลิ่นของผู้มาใหม่ได้แม่นยำ


แอชลีย์ คิม


เด็กหนุ่มเม้มปาก มือที่กำเอาไว้แน่นค่อยๆ คลายออกเปลี่ยนมาเป็นกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัวเองแทน


เกิดความเงียบรอบตัวอยู่นานพร้อมกับบรรยากาศลึกลับบางอย่างเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมโดยรอบ ชายหญิงทั้งสองตกตะลึงจนตาค้างก่อนต่อมาจะกลายเป็นหวาดหวั่นเพราะถูกรังสีอัลฟ่าของผู้มาใหม่ตรึงเอาไว้


“ทะ ท่านแอชลีย์...” เป็นนานกว่าคนทั้งสองจะตั้งสติได้ ยามเมื่อหันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นก็อดจะพรั่นพรึงไม่ได้ รู้สึกราวกับตัวเองได้ไปทำความผิดใหญ่หลวงอะไรสักอย่างเอาไว้จนเส้นชะตาชีวิตเริ่มริบหรี่


แอชลีย์มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร นึกไม่ออกและไม่อยากจะนึกด้วย


“ขนาดตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมคู่ของผมต้องเสียเวลาไปใส่ใจเรื่องของคุณด้วย” เสียงทุ้มกล่าวเนิบนาบคล้ายไม่ใส่ใจอะไร “หึๆ น่าขำสิ้นดี”


เสียงหัวเราะเมื่อครู่สำหรับคนฟังแล้วกลับรู้สึกได้ถึงหายนะครั้งใหญ่ ราวกับดวงตาคมคู่นั้นจะแทงทะลุไปทั้งร่าง เหงื่อแตกซกไปทั้งตัวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะเกรงว่าจะไปทำให้ท่านแอชลีย์ผู้ยิ่งใหญ่หงุดหงิดเข้าแล้วมากระทืบตัวเองระบายอารมณ์เอา


คนจากสี่ตระกูลใหญ่อำนาจในมือมีมากมายทำหน้าที่ปกครองวินเทอร์ฟอลมาไม่รู้กี่ร้อยปี คนเหล่านี้ต่อให้เป็นโอเมก้าแต่ก็เป็นโอเมก้าชนชั้นสูง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ค่อยมีใครกล้าไปล่วงเกิน ยิ่งเหล่าอัลฟ่าแทบไม่ต้องพูดถึง


ครั้งนี้ถือว่าซวยมากแล้วจริงๆ


หลังยืนนิ่งทำสงครามประสาทครู่ใหญ่ คิดเอาไว้ว่าจะรอฟังดูเสียหน่อยว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ทางนั้นก็ไม่ปริปากอะไรออกมา


ไร้สาระเสียจริง


แอชลีย์ปลายตามองสองคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโอบไหล่ว่าที่คู่ชีวิตเดินกลับออกมาจากสวนมุ่งหน้าเดินทางกลับคฤหาสน์


“ไปเถอะ ตากลมอยู่ข้างนอกนานๆ จะป่วยเอาได้”


“อื้ม”








TBC




เอาล่ะตอนนี้เดินทางมาถึงสต็อคที่ตุนไว้แล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้คงไม่ได้มาทุกวัน :hao5:
ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นรวมถึงทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ อยากให้อัพไวๆอีกก็ฝากส่งฟีดแบคหน่อยน้า

 :impress2: :impress2:

มนริต้า.
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 09-06-2019 21:39:36
น้องซินเธียเท่มาก ท่านแอชลีย์ทันเห็นจังหวะหมุนตัวกระแทกศอกของน้องไหม รู้สึกทึ่งในตัวน้องขึ้นไปอีกเลยใช่ไหมคะ
บทนี้ท่านแอชลีย์ทำตัวดี คอยโอบน้องดูแลน้องตลอด ฮรือ เป็นท่านชายขรึมๆที่อ่อนโยนกับน้องขนาดนี้ แล้วน้องจะไปไหนรอด

คุณนักเขียนสู้ๆนะคะ รออ่านทุกวันเลย เข้ามาดูตอนใหม่บ่อยมาก แล้วก็อ่านตอนเก่าวนไป

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-06-2019 22:13:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-06-2019 00:38:19
น้องเก่งมาก เราว่าน้องเอาตัวรอดได้แน่ ๆ แต่จะดีมาก ๆ ที่แอชลีย์เข้ามาช่วยแบบนี้
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-06-2019 01:19:00
ปากเปราะมาก  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 10-06-2019 02:48:51
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 8 [P.2] --- 09/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-06-2019 22:39:02
 o13 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 13-06-2019 23:02:51

บทที่ 9






   หลังกลับจากงานเลี้ยงในคืนวันนั้น ชีวิตของซินเธียสองสามวันมานี้เรียกได้ว่าแทบจะใช้ชีวิตบนเตียงเสียส่วนใหญ่


   “อึก.. อื้อ”


   เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนต้นแขนหนึ่งในสองข้างที่กำลังตั้งศอกอยู่บนฟูก ร่างกายสั่นสะท้านไปตามแรงส่งจากด้านหลัง อารมณ์ดีดทะยานขึ้นสูงครั้งแล้วครั้งเล่า เนื้อตัวแดงก่ำรุ่มร้อนไปหมดทั้งตัว


   กลิ่นฟีโรโมนของคนสองคนคละคลุ้งไปทั่วห้องซึ่งบัดนี้นับเป็นสถานที่ต้องห้ามของคนทั้งคฤหาสน์นอกเหนือจากเจ้าของแล้วหากไม่มีธุระสำคัญไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สมควรแม้แต่จะย่างกายเฉียดผ่าน


   สองมือแข็งแรงที่เคยยึดสะโพกคนใต้ร่างเอาไว้เปลี่ยนมาดึงสองมือของเด็กหนุ่มที่กำกันเอาไว้แน่นออกเพื่อสอดประสานนิ้วลงไปแทน ซินเธียดวงตาพร่าเลือนสมองขาวโพลนไปหมด ผมเผ้ายุ่งเหยิงปอยผมส่วนหนึ่งไหลตกลงมาบดบังหน้าตาแต่ผู้เป็นเจ้าของกลับไม่มีเวลามากพอจะปัดมันออก เด็กหนุ่มเอียงใบหน้าด้านหนึ่งจดจ้องไปยังเพชรน้ำงามบนนิ้วนางข้างซ้าย


   วงหนึ่งมันอยู่บนนิ้วของเขาเอง ส่วนอีกวง...


เขาขยับนิ้วแล้วบีบมือใหญ่ของอีกคนเอาไว้ปลายนิ้วลูบไปบนวงแหวนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับของตัวเองในขณะเดียวกันก็ต้องนิ่วหน้าหอบเอาลมหายใจหนักหน่วงออกมาจากจังหวะย้ำๆ ปานจะขาดใจ


   แรงเสือกสนจากคนด้านหลังนั้นถูกส่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่าไม่มีความเหน็ดเหนื่อย และมันก็ยิ่งสร้างความเสียวซ่านมากขึ้นไปอีกจนต้องกัดริมฝีปากจนห้อเลือดยามเมื่อรู้สึกได้ถึงคมเขี้ยวมาคอยป้วนเปี้ยนแถวต้นคอ ซินเธียขนลุกไปทั้งกายยามแนวฟันนั้นขูดกับผิวเนื้อแผ่วเบา


เขาใจเต้นระส่ำลุ้นระทึกกับการกระทำของอีกคนไม่น้อย ในช่วงเวลาฮีทหลายวันมานี้ยามเมื่อพวกเขากระทำร่วมกันมีหลายครั้งทีเดียวที่แอชลีย์มักจะเข้ามากัดๆ เล็มๆ แถวหลังคอราวกับหมั่นเขี้ยวแต่สุดท้ายก็จะผละออกไปแล้วเปลี่ยนไปฝังคมเขี้ยวลงบนหัวไหล่แทน


บริเวณลำคอ โดยเฉพาะด้านหลังนับเป็นจุดอ่อนไหวสำหรับโอเมก้า เป็นพื้นที่หวงห้าม ทันทีที่มันถูกล่วงล้ำนั่นหมายความว่าโอกาสจะถูกกัดเพื่อสร้างพันธะย่อมมีสูงตามไปด้วย


ในห้วงเวลาอันลึกซึ้งเป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การสร้างพันธะเพื่อจับคู่ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ดี ความลุ่มหลง มัวเมาและกลิ่นฟีโรโมนจะทำให้เหล่าอัลฟ่าหน้ามืดขาดสติ สมองจะสั่งให้ฝังคมเคี้ยวอัตโนมัติโดยไม่ต้องคิดหรือไตร่ตรอง สำหรับอัลฟ่าที่ถูกฝึกสอนในเรื่องการควบคุมตนเองมาอย่างดีมักจะยับยั้งใจตัวเองได้ เพื่อไม่ให้ไปสร้างสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของกับใครมั่วซั่ว


แอชลีย์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม


ชายหนุ่มส่งเสียงครางต่ำเร้าอารมณ์ยามเมื่อปลดเปลื้องความคับคั่งในอกออกไปจนหมดสิ้นพลางทิ้งตัวลงนอนอีกด้านหนึ่งของเตียงนอน
ซินเธียยังคงหอบจากกิจกรรมใช้แรงกายเมื่อครู่ ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นแนบชิดจากด้านหลังคาดว่าอีกคนก็คงจะเหนื่อยไม่ต่างกัน
เสียงหอบหายใจผะแผ่วดังเคล้ากลิ่นยั่วยวนกำจายไปทั่วห้อง


ช่วงนี้แอชลีย์ไม่ค่อยออกไปไหน ชายหนุ่มอยู่เป็นเพื่อนกันทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ ถึงจะไม่ได้ออกไปไหนแต่จำนวนงานก็ไม่ได้ลดน้อยลงหรือหยุดพักผ่อนสบายๆ อยู่ในคฤหาสน์


ทำงานก็เหนื่อยพอแล้ว...


ยังจะต้องมาคอยช่วยเขาอีก


ซินเธียทั้งกระดากอายและเกรงใจไปในเวลาเดียวกัน พอพูดเสนอความหวังดีอะไรออกไปคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงใบหน้าเรียบเฉย ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตกลง ไม่อะไรเลยสักอย่าง


เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน กว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว ความอบอุ่นที่เคยทาบอยู่ตรงแผ่นหลังก็หายไปเช่นกัน เขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นใช้ผ้านวมคลุมร่างเอาไว้แล้วก็เหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


พรุ่งนี้แล้วสินะ


วันแต่งงาน


แกร็ก!


เสียงเปิดประตูดึงซินเธียให้ออกจากภวังค์ พอได้เห็นร่างสูงปรากฏตัวเข้ามาแล้วดวงตามันก็เสกลับมาอัตโนมัติ
ต่อให้ผ่านเรื่องแบบนั้นกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถทำตัวให้ชินได้เลย ทุกครั้งหลังจากทุกอย่างจบลงซินเธียไม่อาจทำใจสบตากับชายหนุ่มได้ตรงๆ


ต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักอาการในอกมันถึงจะพอทุเลาลงบ้าง
ตอนทำน่ะสติมันไม่ค่อยจะมีหรอกเลยไม่นึกกระดากอายมาก ดีว่าส่วนใหญ่หลังซินเธียตื่นขึ้นมาอีกคนก็หายไปจัดการงานของตัวเองแล้วเจอกันอีกทีก็อาจจะเป็นช่วงเวลาอาหารมื้อถัดไป


   “หิวหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เขาแอบเหลือบมองร่างสูงสง่าเดินเอื่อยเฉื่อยมาหยุดตรงหน้าบานกระจกข้างเตียง แสงอาทิตย์ยามอัสดงสะท้อนเป็นสีแดงก่ำสาดทับลงบนใบหน้าด้านหนึ่งของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น


“ไม่เท่าไหร่ครับ”


ปกติซินเธียไม่ใช่คนกินมากอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้พึ่งใช้แรงไปก็เลยค่อนข้างหิว... นิดหน่อย เด็กหนุ่มกระชับผ้านวมบนร่างขึ้นซึ่งเริ่มไหลไปกองอยู่บนข้อศอก


“อืม” แอชลีย์ตอบรับในลำคอ “คนกำลังตั้งโต๊ะ อีกสักพักคงเสร็จ”


“ไม่เป็นไรเรารอได้...”


“เรื่องการแต่งงานในวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มเกริ่นขึ้นมาหลังเงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง ซินเธียเลยขยับกายยืดหลังตรงเพื่อตั้งใจฟังอีกฝ่ายพูด
ไม่บ่อยเลยที่จะได้ยินเขาพูดอะไรยืดยาวเกินจำเป็น และถ้าเขาเริ่มแสดงว่าใจความหลังจากนี้เป็นเรื่องสำคัญ


“หลังพิธีทุกอย่างสิ้นสุดลง เราจะยังคงใช้ชีวิตกันเหมือนเดิม ฉันหมายถึงก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไรหลังจากนั้นก็จะยังไม่เปลี่ยนแปลง”


อ่า...


 “ฉันจะไม่บังคับ” เขาเว้นไปจังหวะหนึ่งแล้วขยายความต่อ “เธอก็ใช้ชีวิตของเธอไป ฉันให้อิสระทุกอย่างแต่หากจะออกไปข้างนอกก็ควรบอกพ่อบ้านเอาไว้บ้าง”


ซินเธียคิดว่าตนเองเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะสื่อ


อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกขอบคุณคนตรงหน้าก็คือการที่อีกฝ่ายไม่บังคับฝืนใจหรือฉวยโอกาสสร้างพันธะในช่วงฮีท คิดถึงตรงนี้ก็อดจะยกมือขึ้นลูบผิวเนื้อเรียบเนียนไร้รอยตำหนิบนหลังคอของตัวเองไม่ได้


“เราเข้าใจแล้ว”


.
.
.


แต่ความจริงแล้ว หากเป็นชายผู้นี้เขาก็ไม่นึกรังเกียจหรอก



----



ในที่สุดวันสำคัญก็เดินทางมันถึง
ซินเธียเหม่อมมองเงาร่างที่มีหน้าตาเหมือนกับตนเองทุกประการสะท้อนอยู่บนเงากระจก ถัดลงมาบนโต๊ะเครื่องแป้งมีกล่องกำมะหยี่สีดำสองกล่องวางเคียงกัน


เป็นแหวนแต่งงานของพวกเราทั้งสอง


หนึ่งในนั้นคือวงที่ซินเธียใส่ติดตัวเป็นประจำตั้งแต่ได้มา ไม่เคยคิดถอดออกเลยสักครั้ง


ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาเริ่มแล้ว งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในช่วงเย็น เป็นงานเลี้ยงแบบเรียบง่ายภายในสวนด้านหลังของคฤหาสน์คิม แขกภายในงานก็จะมีแค่เฉพาะคนสำคัญที่รู้จักกับทางตระกูลคิมมานานรวมถึงอีกสามตระกูลใหญ่ด้วย


แม้งานเลี้ยงแต่งงานของเขาจะไม่ได้ถูกจัดอย่างหรูหรา มีการเลี้ยงฉลองใหญ่โตสมฐานะ ซินเธียก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือคิดว่ามีตรงไหนไม่สมควรเลยสักนิด กลับกันมันดีแล้วล่ะ


ไม่อยากจะอยู่ในกลุ่มคนมากมายหรือทำอะไรให้มันเอิกเกริก แขกเหรื่อที่เชิญมาต่อให้มากมายแต่เขาก็ไม่ใช่ประเภทที่ชอบไปปั้นหน้ายิ้มทางธุรกิจ


ซินเธียนั่งเตรียมตัวอยู่ในห้องตั้งแต่ช่วงบ่าย เอาเข้าจริงมันก็อดตื่นเต้นเล็กๆ ไม่ได้ หลังจากวันนี้แล้วตัวเขากับแอชลีย์ก็จะกลายเป็นคู่ชีวิตกันอย่างแท้จริง


“ท่านชายคะ มีจดหมายส่งมาถึงท่านค่ะ”


ซินเธียรับจดหมายจากสาวใช้นำมาเปิดอ่านปล่อยให้แม่รี่คอยจัดการเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองต่อไป เด็กหนุ่มพินิจซองจดหมายในมือ เนื้อกระดาษสีครีมยามคลีออกมาส่งกลิ่นหอมแสนคุ้นเคย เช่นเดียวกับตราประทับด้านล่า


จดหมายจากท่านพ่อ


เด็กหนุ่มนั่งอ่านทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจ เนื้อความมากมายเริ่มต้นด้วยการถามสารทุกสุขดิบ เพียงแค่ประโยคแรกก็สัมผัสได้ถึงกระแสความคิดถึงอย่างสุดหัวใจ


‘ซินเธียลูกรัก’


‘ลูกสบายดีไหม กว่าจดหมายฉบับนี้จะไปถึงมือมันก็คงจะเป็นวันสำคัญของลูกแล้ว หรือไม่ อาจจะนานกว่านั้น พ่อเสียใจที่ไม่อาจเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของลูกได้ พ่ออยากจะยืนอยู่ตรงนั้นเหลือเกิน ยืนมองลูกของพ่อก้าวเดินไปบนเส้นทางดอกไม้พร้อมกับคู่ชีวิต และพ่อก็เสียใจที่ไม่สามรถปกป้องลูกด้วยสองมือของตัวเอง พ่อเข้าใจหากลูกจะนึกโกรธ เกลียด ไม่เป็นไรหากหนทางนั้นจะสามารถปกป้องอัญมณีแสนล้ำค่าของพ่อได้ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด’


ไม่เลย ซินเธียไม่เคยนึกโกรธเคืองท่านพ่อเลยสักนิด เขาเม้มปาก พยายามกระพริบตาหลายครั้งเพื่อบังคับไม่ให้ธารน้ำไหลซึมออกมาขณะอ่านบรรทัดต่อไป


‘วินเทอร์ฟอลสวยหรือเปล่า’


สวย ดินแดนแห่งนี้สวยงามราวกับความฝันเลยล่ะ


‘พ่อได้ยินว่าดินแดนแห่งนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปีแตกต่างจากบ้านของเราหวังว่าลูกของพ่อจะไม่เจ็บป่วย ผู้นำตระกูลคิมคนนั้นเขาดูแลลูกดีหรือเปล่า เขาดีต่อลูกหรือไม่’


ดี เขาดีต่อลูกมากเลย คนผู้นั้น


‘การไปวินเทอร์ฟอลครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่มีเพียงการก้าวไปข้างหน้า มันอาจจะมีหลากหลายเรื่องราวให้รู้สึกลำบาก ชีวิตในโลกภายนอกแม้ไม่สวยงามเหมือนดังช่วงเวลาที่อยู่ในวังแต่พ่อหวังว่าลูกจะอดทน รู้จักปรับตัวเพื่อก้าวต่อไป พ่อรู้ ลูกของพ่อเข้มแข็งเสมอต่อให้ต้องเจอกับอะไร’


‘ซินเธีย วาเลนเธีย ชื่อของลูก พ่ออาจจะไม่เคยบอก ตัวอักษรเธียท้ายชื่อของลูกนั้นมาจากชื่อของคนที่พ่อรักอย่างสุดหัวใจ อลิเธีย แม่ของลูก เพื่อให้เราสามารถระลึกถึงเธอได้ตราบชั่วชีวิต แน่นอนมันหมายถึงชื่อของลูกด้วย ทุกอย่างหลอมรวมขึ้นมาเป็นโอเมก้าตัวน้อยๆ ที่พวกเรารักและทะนุถนอม เด็กน้อยแสนงดงาม ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นแบบไหน มันก็คือความรัก เช่นเดียวกับชื่อของลูก ซินเธีย’


‘สุดท้ายแม้พ่อจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ส่งลูกด้วยมือของตัวเองแต่พ่ออยากให้ลูกจำเอาไว้เสมอ พวกเรารักลูกมากนะ อากาศหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ทานให้มากและนอนหลับฝันดี’


‘มายวาเลนเธีย’


‘ลิมเบิร์ก’


หลังอ่านจบ ซินเธียพับกระดาษจดหมายลงเก็บไว้ในซองดังเดิมด้วยความทะนุถนอม ทุกตัวอักษร ทุกประโยค ทุกเนื้อความถูกจดจำเอาไว้ในใจ


ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด เหลือไว้เพียงถ้อยคำนับพันนับหมื่นอยู่ภายในใจทว่าไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำได้


ปลายนิ้วลูบไล้ตราประทับครั่งสัญลักษณ์ประจำตระกูลบนซองจดหมายอย่างเหม่อลอย นานจนไม่รู้ว่าผ่านไปเมื่อไหร่


สาวใช้คนหนึ่งเดินมาเคาะประตูห้องพร้อมกล่าวว่าได้ว่าเวลาแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ดอกยิปโซช่อสุดท้ายถูกประดับลงบนผม แม่รี่ตรวจเช็คความเรียบร้อยของผู้เป็นนายครั้งสุดท้ายแล้วถอยไปยืนรอหน้าประตู ซินเธียละสายตาจากของในมือ เขาพยักหน้ารับพลางวางมันไว้ใกล้กับกล่องเก็บสร้อยอความารีน


สมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ท่านแม่มอบให้


“ท่านแอชลีย์รออยู่ด้านล่างแล้วค่ะ”


“อือ”


ซินเธียสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติให้พร้อมก่อนจะจ้องมองตัวเองภายในกระจกบานโตเป็นครั้งสุดท้าย


“เราจะไปเดี๋ยวนี้”






หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 13-06-2019 23:03:21


ภายในสวนมีแขกเหรื่อเดินทางมาถึงประปรายแล้ว ซินเธียถูกพาไปยังซุ้มทางเข้างานเพื่อยืนต้อนรับแขก ในครรลองสายตามองเห็นชายผู้หนึ่งยืนอย่างสงบนิ่งตรงนั้น ใครอีกคนที่วันนี้ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้พบหน้ากันเลย


ทันทีเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็หันหน้ามามองกัน


แอชลีย์ คิม ในวันนี้ก็ยังคงหล่อเหลาและสง่างามเช่นเคย เส้นผมสีดำสนิทถูกเซ็ตขึ้นเปิดโชว์เครื่องหน้าแสนเพอร์เฟ็ค รอบกายเต็มไปกลิ่นอายของอัลฟ่าผู้แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ทว่ากลับดูอ่อนโยนอยู่ในที ยิ่งอยู่ในชุดสูทสีกรมก็ยิ่งขับผิวขาวซีดของอีกคนให้ดูเปล่งประกาย


ในส่วนของซินเธียนั้นสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกรอมคอกลัดด้วยโชคเกอร์ประดับอความารีนทรงรี ช่วงอกแต่งระบายเล็กๆ เช่นเดียวกับตัวแขนเสื้อ ผมยาวสลวยถูกถักเป็นเปียหลวมๆ ประดับแซมด้วยดอกไม้ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์และนุ่มนวล บนข้อมือทั้งสองข้างประดับด้วยกำไลดอกไม้สดต่างชนิดถึงสามอย่าง


 เป็นธรรมเนียมการแต่งงานของชาวแดนใต้ว่าเจ้าสาวจะต้องสวมกำไลทำจากดอกไม้ป่านำโชคสามชนิดเพื่อเป็นการอวยพรแด่ชีวิตของคู่บ่าวสาวหลังจากนี้ ส่วนทางเจ้าบ่าวจะกลัดดอกไม้แบบเดียวกันบนอกเสื้อ ด้วยเวลาจำกัดการจะไปหาดอกไม้ป่าประกอบพิธีให้ตรงตามต้นฉบับเป็นไปได้ยากแอชลีย์จึงได้นำสิ่งเหล่านั้นมาดัดแปลงเปลี่ยนเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่ให้ความหมายเกี่ยวกับรักอันยั่งยืนมาใช้สร้างกำไลแทน นับว่าท่านชายคิมใส่ใจรายละเอียดในงานวิวาห์ครั้งนี้ไม่น้อยแม้จะมีเวลาเตรียมตัวไม่นาน


เมื่อตอนสาวใช้นำกำไลดอกไม้เหล่านี้มาสวมซินเธียนึกประหลาดใจพอสมควร แต่เด็กหนุ่มคงไม่อาจทราบว่าหลังจากนี้จะยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตนประหลาดใจได้มากกว่านี้


ภายในสวนของคฤหาสน์คิมเวลานี้อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้นานาชนิดเคล้าเสียงบรรเลงเปียโนจากนักดนตรีมืออาชีพช่วยบรรเลงขับกล่อมให้งานวิวาห์ในสวนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรัก


“ยินดีด้วยนะครับ”


นั่นเป็นคำทักทายจากคาร์ลิน ไล ผู้นำวินเทอร์ฟอลคนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งชายหนุ่มก็ยังคงสงวนท่าทีสุภาพเรียบร้อยแผ่รอยยิ้มอบอุ่นตามแบบฉบับผู้ชายรักครอบครัว วันนี้ราชาอัลฟ่าแห่งแดนเหนือไม่ได้ควงคู่ชีวิตมางานเลี้ยงด้วยกันแต่จับจูงเด็กชายตัวน้อยผู้มีใบหน้าถอดแบบตัวเองมาร่วมยินดีแทน ซินเธียโบกมือทักทายท่านชายไลฉบับย่อส่วน เจ้าตัวน้อยยังคงสดใสเช่นเคยโบกมือเล็กๆ กลับมาให้อย่างน่ารัก


คุณชายน้อยเจสเปอร์ยามเมื่อยู่กับบิดาดูจะเรียบร้อยสงบเสงี่ยมผิดปกติ แต่ก็ยังแผ่ความสดใสสมวัยออกมาไม่เสื่อมคลาย


คาร์ลินพูดคุยกับแอชลีย์อีกสองสามประโยคแล้วอวยพรให้แก่ชีวิตคู่ของพวกเขาก่อนจะโน้มตัวลงยื่นกล่องของขวัญในมือให้คนเป็นลูกชายมีส่วนร่วมเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเอง คุณชายน้อยดูตื่นเต้นมากเจ้าตัวยิ้มกว้างจนน่าเอ็นดู ซินเธียเป็นฝ่ายย่อตัวลงไปรับด้วยตนเอง


“ขอบคุณนะครับ” เขายิ้มอย่างเอ็นดู


“ของขวัญชิ้นนี้คุณแม่ห่อเองกับมือ เจสก็ช่วยห่อด้วยล่ะ อ๊ะๆ แต่คุณพ่อก็ช่วยด้วยนะๆ คุณพ่อเป็นคนจ่ายเงิน!” หนุ่มน้อยบอกเล่าเจื้อยแจ้วน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต กระตือรือร้น


“แม้เจย์จะไม่ค่อยสะดวกมาร่วมแต่ก็ฝากคำยินดีมาให้ท่านชายด้วยนะครับ” คาร์ลินลูบหัวลูกชายดวงตาทอประกายรักใคร่


“ไม่เป็นอะไรเลย ฝากขอบคุณเรื่องชาอีกครั้งนะครับ เราชอบมาก” ซินเธียฝากข้อความไปถึงคนที่ไม่ได้มาในวันนี้ แม้จะเคยฝากคำขอบคุณไปกับคุณพ่อบ้านแล้วแต่ลึกๆ ก็ยังอยากขอบคุณด้วยตนเองอีก ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อเสียงร่าเริงของผู้มาใหม่อีกคนก็ลอยเข้ามายังวงสนทนาเสียก่อน


“นี่ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม”


เป็นอัลฟ่าผมบลอนด์ทองที่ซินเธียไม่คุ้นหน้า บุคลิกดูเป็นคนยิ้มแย้มอารมณ์ดีคล้ายแดเนียล สแตนลีย์แต่ให้ความรู้สึกคนละแบบ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะสนิทกับแอชลีย์พอสมควรแต่แปลกที่ยังไม่เคยพบเจอ


“ความจริงนายส่งมาแค่ของขวัญก็ได้” แอชลีย์ปรายสายตามองอีกฝ่ายเปล่งวาจาน้ำเสียงเรียบเรื่อย หากเป็นคนอื่นนับว่าเป็นการเสียมารยาทพอสมควรแต่ดูจากสีหน้าคนฟังแล้วไม่ได้ดูทุกข์ร้อนราวกับชินชา หรือบางทีอาจจะไม่ได้สนใจคำพูดของฝ่ายเจ้าของงานด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ต้นสายตาของชายหนุ่มก็จับจ้องอยู่บริเวณโอเมก้าผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างสูงเพรียวไม่วางตา มุมปากกระตุกยิ้มขณะพิจารณาคู่วิวาห์ของท่านชายคิมไม่อาจเดาความคิดในหัวได้เลย


“ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับท่านชายมานานแต่ไม่มีโอกาสได้พบกันเสียที” ประโยคหลังนี้คนพูดหันไปมองคนตัวสูงข้างๆ ซินเธียแวบหนึ่งแล้วหันกลับมาฉีกยิ้มใส่เขาดังเดิม


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคือโรเมโอ แบล็ควู้ด”


เมื่ออีกฝ่ายแสดงความเป็นมิตรด้วยการยื่นมือมาหวังจะจับทักทายฉบับชาวแดนเหนือ ซินเธียก็ไม่คิดจะเสียมารยาทกำลังจะยื่นมือไปจับตอบทว่ากลับถูกใครอีกคนชิงตัดหน้าไปเสียก่อน


โรเมโอหุบยิ้มทันทีเมื่อจู่ๆ แอชลีย์ที่ยืนทำตัวเป็นตอไม้มานานยื่นมาจับมือเขาตอบมิหนำซ้ำยังแอบบีบจนกระดูกเขาลั่นดังกร็อบด้วยใบหน้าเฉยชา


ไอ้หมอนี่!


“ยินดีที่ได้รู้จัก พิธีกำลังจะเริ่มแล้วเชิญที่โต๊ะด้านใน”


“แก ไอ้บ้า เจ็บนะโว้ย” ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเอ่ยเสียงลอดไรฟัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงการเลิกคิ้วส่งมาให้ ช่างเป็นกิริยาชวนโมโหเสียจริง อะไรของมัน ตอนนั้นเขาบอกให้พามาแนะนำก็ทำเมินเฉย เขาล่ะอยากจะเห็นเสียให้เต็มตาอยากรู้ใจจะขาดกว่าคนแบบไหนถึงได้โชคร้ายมาจับคู่กับคนแบบนี้ พอวันนี้สบโอกาสได้พบเจอก็เลยอยากจะทักทายตามประสาคนอัธยาศัยดี แต่ดูสิ่งที่ได้รับสิ!


“หวงก้างจริง ได้เขาแล้วหรืออย่างไร ฉี่รดทำเครื่องหมายไว้แล้วเรอะ” ผู้มาใหม่ใบหน้าบูดบึ้ง


“เรื่องส่วนตัว”


แอชลีย์ตอบเสียงเรียบ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดเหมือนปกติ เขาดึงมือกลับมาวางแนบลำตัวไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนอะไรราวกับกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่คนฟังที่มีส่วนเอี่ยวในบทสนทนาสุดๆ อย่างซินเธียนั้นแทบจะอยากแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นอยากจะเดินหนีก็ทำไม่ได้ รู้สึกเห่อร้อนไปทั้งหน้า ที่สำคัญในวงสนทนานี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาสามคนเสียหน่อย ยังมีอีกหนึ่งอัลฟ่าอีกหนึ่งเด็กน้อย ครั้นพอเหลือบไปมองสองพ่อลูกก็เห็นคาร์ลินกลั้นยิ้มสุดกำลังสองมือยกขึ้นปิดหูลูกชายแล้วพาเดินหลบฉากเข้างานไปอย่างแนบเนียน


“ทำเป็นพูดดีไป กลิ่นของนายเนี่ยมันฟุ้งเต็มตัวท่านชายไปหมด ได้กลิ่แล้วมันคัดจมูกเสียจริง เหอะ”


ฝ่ายคนถูกกวนประสาทไม่ยอมตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์นาน พอพูดจนพอใจแล้วก็ยัดของขวัญใส่มือเจ้าภาพแล้วสะบัดหน้าเดินเข้างานไป ทิ้งระเบิดลูกโตเอาไว้ไม่สนใจใครอีกคนที่ได้แต่ยืนหน้าบางอยู่ที่เดิม


พอจะรู้มาบ้างว่าอัลฟ่ากับโอเมก้าหลังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันกลิ่นของอีกฝ่ายมักจะติดมาด้วยแต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะจางลง คล้ายกับโอเมก้าที่ถูกกัดกลิ่นของฟีโรโมนเดิมจะเปลี่ยนไป มีกลิ่นของคู่ตนเองผสมเจือจางเป็นเครื่องหมายให้อัลฟ่าคนอื่นรู้ไว้ว่าโอเมก้าคนนี้มีเจ้าของแล้วแตกต่างกันแค่การจับคู่กลิ่นของอัลฟ่าคู่ชีวิตเจือจางแต่ไม่มีวันหายไป


ซินเธียเองก็พึ่งจะผ่านช่วงฮีทมาก่อนหน้างานไม่นาน แต่เพราะปกติเจ้าของร่างกายมักจะไม่ได้กลิ่นของตัวเองอยู่แล้วเด็กหนุ่มเลยไม่ได้สนใจกับรายละเอียดตรงนี้


หากถามเขาก็ขอไม่รับรู้เอาเสียดีกว่า... จะชอบคุณมากหากคุณชายแบล็ควู้ดคนนั้นจะเพียงเก็บเรื่องราวนี้เอาไว้ในใจ


“เหนื่อยหรือยัง” คนข้างกายก้มลงมากระซิบถามหลังจากพวกเขาพึ่งให้การต้อนรับหนึ่งในคู่ค้าคนสำคัญของตระกูลคิมไป


“ไม่เลย”


ซินเธียยิ้มคำตอบไม่ได้เกินจริง งานวิวาห์ของพวกเขาจัดอย่างเรียบง่ายไม่ใหญ่โต จำนวนแขกจึงค่อนข้างน้อยการต้องมาคอยยืนต้อนรับจึงไม่ได้รู้สึกว่าหนักหนาอะไร ให้พูดตามตรงแล้วตั้งแต่มายืนอยู่ตรงนี้เขาเพียงแค่คอยยืนยิ้มเงียบๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ต้อนรับพูดคุยกับแขกอะไร เป็นอีกคนเสียอีกที่ควรจะเหนื่อย ทั้งต้องคอยพูดคุย ตอบคำถาม ปั้นหน้ายิ้มให้ใครต่อใคร ถึงนิสัยส่วนตัวจะเป็นคนไม่ยินดียินร้ายกับโลกภายนอก ทว่าในวันสำคัญแบบนี้แล้วแอชลีย์ คิม กลับแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดี เป็นผู้นำตระกูลที่น่านับถือ ทุกอย่างล้วนไม่มีสิ่งไหนขาดตกบกพร่อง


...รวมถึงการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ซึ่งนับต่อแต่นี้พวกเรากำลังจะร่วมกันสร้างขึ้นมา ชายผู้นี้เป็นจำพวกไม่พูดมาก แต่ทุกอย่างในชีวิตล้วนถูกวางแผนและจัดการเอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ตัวเองเผื่อแผ่มาถึงว่าที่คู่ชีวิตเฉกเช่นเขา ภายใต้หน้ากากของความเฉยชานั้นกลับเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนใส่ใจ


ทั้งหมดทั้งมวลหล่อเลี้ยงจนก่อเกิดเป็นความผูกพันทีละนิด ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาภายในโลกอันแสนอ้างว้างใบนี้


ซินเธียมองเห็นและอดไม่ได้ที่จะแอบวาดภาพอนาคต


ต่อให้จุดเริ่มต้นของเราทั้งสองจะไม่ได้สวยงามดั่งคู่วิวาห์ใครอื่น ต่อให้หลังจากวันนี้ชีวิตของพวกเขาในสถานะครอบครัวจะไม่ได้หอมหวานดั่งคู่ชื่นใครๆ แค่ให้มันเป็นแบบที่ผ่านมา


ก็พอใจมากแล้ว


ช่วงเวลาของงานวิวาห์เดินทางมาถึงพิธีสำคัญอย่างการกล่าวคำสาบานและแลกแหวนแต่งงาน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น บ่าวสาวให้คำสัตย์ซึ่งกันและกัน ผลัดกันสวมแหวนสัญลักษณ์ตีตราว่าหลังจากนี้ไปคนทั้งสองจะต่างเป็นของกันและกัน เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง จะรักและดูแล ปกป้องหวงแหนตราบชั่วชีวิต


ซินเธียมองแหวนเพชรน้ำงามค่อยๆ ถูกเลื่อนขึ้นมาตามข้อนิ้วนางข้างซ้าย ความรู้สึกในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันแรกที่เขาได้รับมันมา


ในวันนั้นหัวใจมันเพียงรู้สึกระส่ำ ทว่าวันนี้กลับอัดแน่นไปด้วยหลากหลายถ้อยคำยากจะบรรยาย ยามประกายของอัญมณีล้ำค่ากระทบกับดวงตาสีเดียวกัน ข้างในนี้มันช่างเต็มตื้น เด็กหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองก่อนจะหยิบแหวนอีกวงที่มีลักษณะเข้าคู่กันขึ้นมาสวมให้คู่ชีวิตตรงหน้า ค่อยๆ เลื่อนมันขึ้นไปจนสุดโคนนิ้วข้างเดียวกัน


มือของแอชลีย์นั้นใหญ่กว่าซินเธียมาก ทั้งแข็งแรงและดูมีพลังสมกับความเป็นอัลฟ่าโตเต็มวัย น่าแปลกที่ถึงมันจะใหญ่แต่ชายหนุ่มกลับมีข้อนิ้วเรียวสวยในแบบฉบับของบุรุษ บางครั้งก็เผลอไผลแอบมองไม่รู้ตัวหลายหน เขามักจะสวมแหวนอำพันซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลบ่งบอกถึงตำแหน่งความเป็นผู้นำไว้เสมอ และตอนนี้ก็มีแหวนแต่งงานของสองเราสวมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวงยิ่งขับให้เรียวนิ้วนั้นน่ามองไปอีกเท่าตัว


เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้นเมื่อสิ้นสุดพิธีสำคัญ ทว่ายังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซินเธียใบหน้าซับสีระเรื่อกระดากอายพอตัวเมื่อได้ยินเสียงตะโกนให้คู่วิวาห์รีบทำขั้นตอนสุดท้ายของพิธีมาจากแขกผู้ร่วมงานในวัยไล่เลี่ยกัน เขาแอบเหลือบมองไปทางที่นั่งแขกเร็วๆ ไม่กล้าสบตาใคร


ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกลิ้มลองเชยชม มากยิ่งกว่านั้นก็เคยมาแล้ว ทว่านั้นเป็นเรื่องภายในห้องนอนระหว่างคนสองคน ซึ่งเวลานี้ต้องให้มาทำต่อหน้าผู้คนมากมายเขาทำตัวไม่ถูก ระดับความอายมันเทียบกันไม่ติด


ถึงขนาดว่าราชาอย่างคาร์ลิน ไลผู้นั้นก็ยังกระโจนเข้ามาร่วมวงกระทำเรื่องสนุกสนานกับคนอื่น เป็นหนึ่งในเสียงโห่ตะโกนให้รีบจบขั้นตอนสุดท้ายของพิธีอย่างสวยงาม


“ไร้สาระจริง”


แอชลีย์พึมพำแต่ระดับความดังก็มากพอให้คนเหล่านั้นได้ยิน ชายหนุ่มหันไปเปิดกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งในมือของพ่อบ้านที่ไม่รู้เดินเข้ามาตอนไหน กล่องนั้นมีลักษณะเดียวกับกล่องแหวนของพวกเขาแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากเรียกสายตนสนอกสนใจจากผู้คนไม่น้อยรวมถึงซินเธียด้วย เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจคิดว่าตัวเองคงรอดพ้นจากสถานการณ์ชวนกระดากนี้แล้ว


จากความกระอักกระอวนแปรเปลี่ยนมาเป็นตกตะลึงเมื่อมองเห็นสิ่งของในมือของคู่ชีวิต จดจ้องสิ่งนั้นด้วยความรู้สึกท่วมท้น ยิ่งตอนที่มันถูกวมลงมาบนศีรษะแผ่วเบาช่างเป็นอะไรที่ยากเกินจะบรรยาย


บ่งบอกถึงการให้เกียรติ เครื่องหมายอันแสดงถึงฐานะของผู้สวมใส่ไม่ว่าจะตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกนี้จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็จะยังคงติดตัวเขาไปชั่วชีวิต


ซินเธียจับจ้องมันไม่วางตาตั้งแต่ของสิ่งนั้นปรากฏสู่สายตา จนถึงวินาทีที่มันถูกมอบให้ มงกุฎดอกไม้วาววับ มันไม่ใช่ดอกไม้จริงแต่เป็นสิ่งที่หลอมขึ้นมาจากอัญมณีมากค่า ตัวมงกุฎเกี่ยวพันคดเคี้ยวดั่งกิ่งไม้เลื้อย ตัวดอกประดับสลักมาจากมุกและคริสตัล


ซินเธียเงยหน้ามองคนที่พึ่งสวมสิ่งนั้นให้ด้วยสองมือของตนเอง


ครั้งแรกกับการได้มองนัยน์ตาอำพันคู่นั้นฉายแววยิ้มออกมา


“แด่คู่ชีวิตของผม”


เป็นประกายงดงาม


 “แด่คุณ”


สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ


“My Prince”


ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี ซินเธียไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความโล่งใจที่เขาพึ่งรู้สึกไปเมื่อสักครู่น่ะมันผิดถนัดไปเลยเมื่อจบคำกล่าวนั้น ดวงตาที่เขากำลังจดจ้องมันเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมกับมือใหญ่เลื่อนขึ้นมากอบกุมใบหน้าด้านหนึ่งเพื่อบังคับทิศทางให้แหงนรับสัมผัสหวานล้ำไม่ทันให้ได้เตรียมใจสร้างความตื่นตะลึงยิ่งกว่าตอนมงกุฎถูกสวมลงมาบนศีรษะเสียอีก


เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจคนชอบแกล้งเมื่อริมฝีปากบางที่ประทับแนบลงมานั้นขยับเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนเป็นขมเม้มแล้วดูดดึงริมฝีปากล่าง ซินเธียเบิกตากว้างหัวสมองขาวโพลนไปหมดกับสัมผัสวาบหวามแสนกะทันหัน เสียงโห่ตะโกนชอบใจของแขกเหรื่อด้านล่างแท่นพิธีกลายเป็นเสียงอื้ออึงอยู่ภายในหู สองมืออ่อนเปลี้ยจนแทบจะเผลอปล่อยช่อดอกไม้ในมือร่วงหล่น โชคดียังพอยั้งเอาไว้ได้ทันจนกลายเป็นต้องกำมันเอาไว้แน่นต่างหลักยึด


จุมพิตหวานซึ้งในงานวิวาห์ เนิ่นนานจนหัวใจที่เต้นระรัวจนกลัวว่าจะทะลุออกมาจากอกเริ่มสงบลงเฉกเช่นเดียวกับดวงตาของเด็กหนุ่มเลื่อนปิดลงอย่างจำยอมพร้อมใจ


หากถามความรู้สึกของซินเธียในตอนนี้ มันค่อนข้างยากหากจะต้องเรียบเรียงออกมา


ดินแดนแห่งนี้


วันแรกที่ได้ก้าวเท้าเข้ามาอย่างโดดเดี่ยว ไร้ผู้ซึ่งติดตาม ไร้ซึ่งคนผู้ไว้วางใจ เป็นความโดดเดียวที่เกาะกุมอยู่ทั้งใจ ความกังวลมากมายต่างๆ นานากัดกินเด็กหนุ่มมาตลอดการเดินทาง


ซินเธียไม่ต่างอะไรกับปลาเลี้ยงถูกปล่อยลงสู่ท้องทะเล


ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูแปลกใหม่ไปหมด โลกใบเดิมดูกว้างใหญ่ไปถนัดตาเมื่อเขายืนอยู่เพียงลำพัง มันแตกต่าง ไม่เหมือนการควบอาชาคู่ใจท่องไปบนทุ่งหญ้าโล่งกว้างเพราะเมื่อเขาเหนื่อยก็แค่หันหลังกลับ ยังมีแคลร์ ยังมีท่านพ่อ แต่กับวินเทอร์ฟอลมันไม่ใช่ เขาไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว


จนกระทั่งมือใหญ่ข้างนั้นยื่นเข้ามา วันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้พบกัน อากาศรอบกายมันเหน็บหนาวทั้งกายและใจ ซินเธียนั่งอยู่ในรถม้าระหว่างเราทั้งสองมีเพียงผ้าม่านผืนบางกั้นเอาไว้ ชายหนุ่มยื่นมือเข้ามา กล่าววาจาเร่งเร้าให้รีบออกมาเสียที


เขาจำได้ดี


อัลฟ่าคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาของเขาเป็นสีอำพันงดงามแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันราวกับดวงตาของหมาป่า


ยามเมื่อซินเธียยื่นมือออกไปและเขากุมมันเอาไว้กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด


ชายผู้แสนเย็นชาคนนั้น เขามักแสดงท่าทางไม่ยินดียินร้ายไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาไหนก็ตาม นัยน์ตาคมยังคงดุดัน ใบหน้าเรียบเฉยชวนให้เกรงขาม เขามีพลังบางอย่างที่ทำให้ทุกคนต้องยอมศิโรราบ จำนนยอมเมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้


น่าแปลก


เขากลับรู้สึกปลอดภัย


มือคู่นั้นคอยกอบกุมมือของซินเธียเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะหันไปแห่งหนใดก็มักจะมองเห็นใบหน้าเฉยชานั้นอยู่ในครรลองสายตาไม่เคยทิ้งห่าง


กว่าจะรู้ตัว สายสัมพันธ์อันเปราะบางค่อยๆ ถูกร้อยเรียงถักทอภายในโลกใบเล็กแต่แสนกว้างใหญ่ใบนี้ของซินเธีย


โลกที่ไม่ได้มีเพียงแต่ตนเพียงผู้เดียวอีกต่อไป


มันชื่อว่า แอชลีย์ คิม



TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-06-2019 23:45:46
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-06-2019 23:50:47
 :impress2: :impress2: :กอด1: :กอด1: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-06-2019 00:34:00
เป็นห่วงซินเธียยังไงไม่รุ้  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 14-06-2019 01:05:19
อยากรู้ความคิดของแอชลีย์ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-06-2019 01:08:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 14-06-2019 03:18:13
แอบมีหวงท่านชายนะ แอชลีย์ คิม

 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 9 [P.2] --- 13/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-06-2019 11:53:39
จริง ๆ อยากรู้ว่าแอชลีย์คิดยังไงถึงรับข้อเสนอของพ่อวาเลนเธียนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 10 [P.2] --- 16/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 16-06-2019 11:23:12


บทที่ 10




กว่าจะดำเนินการส่งแขก จัดระเบียบความเรียบร้อยหลังงานวิวาห์จบลงก็เป็นเวลาเกือบจะล่วงเข้าวันใหม่แล้ว  อัลฟ่าหนุ่มผู้นำตระกูลเดินกลับขึ้นมาบนห้องนอน ในตอนที่มือผลักบานประตูสลักลายเข้าไปภาพแรกที่ได้เห็นนับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ชายหนุ่ม


เวลานี้หนึ่งในเจ้าของห้องกำลังนั่งก้มหน้าราวกับจดจ้องบางสิ่งบางอย่างบริเวณปลายเตียงด้านในอันเป็นตำแหน่งหลับนอนประจำ


ท่านชายผู้นี้ ปกติแล้วยามเขากลับมาร่วมใช้ห้องนอนด้วยอีกคนมักจะอาบน้ำจัดการตัวเองจนเรียบร้อยพร้อมเข้านอนจะต่างก็เพียงกิจกรรมก่อนนอนในแต่ละวันเพื่อรอเขากลับมาและเข้านอนพร้อมกันเสมอ บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็นั่งทอดสายตาชมบรรยากาศยามวิกาล


แต่วันนี้อีกคนยังอยู่ในชุดคลุมหลังอาบน้ำเสร็จ


เด็กหนุ่มกำลังนั่งหันหลังให้ประตูห้องไม่ทันได้รู้ตัวว่าตนเองไม่ได้อยู่ลำพังอีกต่อไป บัดนี้กำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องไม่วางตาอยู่


ชุดคลุมก็เป็นเพียงชุดคลุม เนื้อผ้าเรียบลื่นสีอ่อนปักดิ้นทองไร้ซึ่งคุณสมบัติบดบังร่างกาย เส้นผมเปียกชื้นถูกรวบไว้บนลาดไหล่ข้างหนึ่งอวดผิวเนื้อต้นคออันเป็นจุดอ่อนไหวสู่สายตาผู้ถ้ำมอง แสงสว่างในห้องมีเพียงโคมไฟสีนวลอมส้มบนโต๊ะข้างเตียง ยามแสงเหล่านั้นตกกระทบบนเรือนร่างก่อเกิดเป็นภาพอันเย้ายวนโดยไม่รู้ตัว


มันประหลาด


ทั้งที่ร่วมเตียงชิดใกล้กันมากกว่าหนึ่งครั้ง เตียงก็เป็นเตียงหลังเดิม ห้องห้องเดิม คนคนเดิม แต่วันนี้บรรยากาศกลับต่างออกไป


หรือเพราะสถานะของพวกเขามันแปรเปลี่ยนเป็นคู่ชีวิตโดยสมบูรณ์


แอชลีย์ไม่แน่ใจ


สองเท้าก้าวเดินตรงเข้าไปใกล้ใครอีกคนอย่างมั่นคง

เสียงปิดประตูทำให้เด็กหนุ่มบนเตียงจำต้องละออกจากทัศนียภาพตรงหน้า ซินเธียกำลังเฝ้ามองมงกุฎดอกไม้หนึ่งในของขวัญแต่งงานที่คู่ชีวิตหมาดๆ มอบให้ เพราะชอบมองถึงได้เอาแต่จดจ้องไม่รู้จักเบื่อหน่ายเผอเรอจนลืมเวลา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พึ่งอาบน้ำเสร็จเตรียมแต่งตัวเพื่อทำกิจวัตเหมือนปกติ พอเดินออกจากห้องน้ำมาสายตาดันเคลื่อนไปตกยังของล้ำค่าชิ้นนั้นเนิ่นนานจนขนาดคนงานยุ่งกลับเข้ามาก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว กว่าจะตั้งสติได้ก็เป็นตอนถูกแสงเงาสูงใหญ่คืบคลานเข้ามากลืนกิน


“มัวทำอะไรอยู่ไม่ยอมแต่งตัวให้เรียบร้อย”


คนอ่อนกว่าสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำมากระซิบข้างหู เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนขี้แกล้งได้


“เรา เรา... จะรีบไปแต่งตัว” คนตอบเลิ่กลั่กรีบผุดลุกขึ้น


กว่าจะระลึกได้ว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเปิดเผยเนื้อหนังเกินควรมันก็สายไปเสียแล้ว เสื้อคลุมผืนบางตัวนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่แล้ว เป็นแค่ชุดสำหรับสวมทับชุดนอนตัวเนื้อผ้าเลยค่อนข้างบางเบา ถึงจะไม่ได้บางมากขนาดมองทะลุถึงผิวเนื้อแต่พอมันโดนแสงไฟกระทบแล้วสิ่งที่บางกลับยิ่งดูบางไปกว่าเดิม


พอสติมา ความอายมันก็ตามมาด้วย


“ไม่ต้องแล้ว”


แน่นอนว่าคนมาใหม่ย่อมไม่อาจปล่อยให้แมวน้อยขี้ตื่นตระหนกตัวนี้หนีรอดไปได้ รีบคว้าข้อมือบางเอาไว้ก่อนอีกคนจะทันได้วิ่งแจ้นหลบฉากออกไป


เดิมทัศนคติที่ชายหนุ่มมีต่อโอเมก้าต่างแดนผู้นี้ไม่ได้เข้าขั้นเชิงลบและก็ไม่ได้อยู่ในเชิงบวกถึงระดับพึงพอใจตั้งแต่แรกเห็น ถึงอย่างนั้นก็ไม่นึกรังเกียจหากความสัมพันธ์มันจะพัฒนา ชายหนุ่มไม่ได้คิดปิดกั้นตนหรือสร้างกำแพงกับใคร เพียงแต่เรื่องราวทุกอย่างต้องเป็นไปตามกลไกของมันเอง


อดีต ช่วงชีวิตของแอชลีย์ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำ ในฐานะอัลฟ่าคนหนึ่งย่อมมีภาวะผู้นำโดยสัญชาตญาณ ต้องการแสวงหาอำนาจและขึ้นอยู่เหนือใครอื่น


ในฐานะตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูล ทายาทเพียงคนเดียวซึ่งถูกเลี้ยงดูปลูกฝังให้เติบโตมาด้วยความเป็นผู้นำ ต้องปกครองตระกูล เครือธุรกิจสานต่อสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างมาไม่ใช่เพียงแค่รักษาให้คงเดิมแต่ต้องขยายให้มันเติบโตไปยิ่งขึ้น


ชายหนุ่มไม่ใช่นักรักและไม่คิดแสวงหาความรัก ปัจจุบัน ในความคิดของแอชลีย์มีเพียงการสร้างความมั่นคงให้กับตนเองและตระกูล ครอบครัวจึงเป็นสิ่งไกลตัวในความคิดอัลฟ่าหนุ่ม เขาคิดเพียงว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมค่อยหาใครสักคนมาเป็นคู่ก็พอแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าในอนาคตอันใกล้นี้จึงไม่มีเรื่องของการสร้างครอบครัวอยู่ในแผนชีวิต


แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธเมื่อได้รับมอบโอกาสมา แถมยังเป็นโอกาสชิ้นใหญ่เสียด้วย มีหรือจะไม่ไขว่คว้าเอาไว้


การใช้ชีวิตร่วมกันตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เราต่างก็คุ้นเคยกับตัวตนของกันและกันเกิดเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว แอชลีย์ไม่ใช่คนเสแสร้งแกล้งทำ รู้สึกแบบไหนก็แสดงออกแบบนั้น นึกคิดอะไรก็พูดออกไปตามตรง เช่นเดียวกับซินเธีย วาเลนเธีย เด็กหนุ่มนิสัยเรียบง่าย เชื่อฟังแต่ไม่หัวอ่อน รู้สึกนึกคิดใดใดล้วนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน เขินอายกับเรื่องเล็กน้อย เป็นความไม่ประสาในแบบของคนประสบการณ์ชีวิตน้อย


ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นสร้างความพึงใจกับเขาไม่น้อย การได้มองเห็นท่าทีเขินอายของอีกฝ่ายนับเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง


แน่นอน แอชลีย์เป็นจำพวกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สุด ไม่ว่าอะไรก็ตามในเมื่อมันเป็นของเขา มันก็คือของของเขา การรักษาผลประโยชน์ส่วนตนจึงไม่ใช่เรื่องผิดแผกอะไร


และเขามันเป็นพวกใจแคบไม่ชอบแบ่งปันสมบัติกับใครเสียด้วย แม้แค่เชยชมก็ไม่คิดปัน พอนึกถึงอัลฟ่าผมบลอนด์ผู้มีชื่อเสียงในด้านคารมเป็นพิเศษคนนั้นความขุ่นหมองที่ตกตะกอนอยู่ในใจราวกับถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง


แอชลีย์ไล้สายตาขึ้นไปตามรูปหน้ามนสวย พินิจพิจารณาคู่ชีวิตหมาดๆ ของตนไร้ซึ่งถ้อยคำใด กลิ่นหอมประจำตัวคละเคล้าไปกับกลิ่นครีมอาบน้ำผสมปนเปชวนให้มัวเมาไม่ยาก


แล้วเขาก็ดันไปเมามันเข้าจริงเสียด้วย


“เอ่อ...”


คนในอ้อมแขนเกิดอาการทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเมื่อจู่ๆ เจ้าของวงแขนก็โน้มใบหน้าลงมาซุกไซ้ต้นคอ เด็กหนุ่มเม้มปากกลั้นหายในในตอนที่รู้สึกถึงแรงดูดเม้ม


ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็เข้าใจเจตนาทันที นัยน์ตาอำพันนั้นมันแสดงออกมาทุกสิ่งอย่างไม่คิดปิดบังหรือถนอมใจกันเสียบ้างเลย อัญมณีคู่นั้นประกายพราวระยับ สัมผัสเปียกชิ้นไล้ขึ้นมาตามช่วงลำคอระหง หยุดประทับข้างมุมปากต่างจุดแวะพักแล้วถึงค่อยขยับไปประทับแนบชิดลงมาบนอวัยวะเดียวกัน มอมเมาด้วยรสหอมหวานปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิงสติความนึกคิดไปด้วยความเต็มใจ เคลิบเคลิ้มเสียจนไม่ทันรู้สึกว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกำลังค่อยๆ ลากผ่านจากแผ่นหลัง เคลื่อนตามแนวสันหลังและส่วนเว้าแบบฉบับสรีระของโอเมก้าไล่ระดับต่ำลงไปเรื่อยจนถึงสะโพกผาย อันเป็นส่วนที่ขยายออกมาตามกลไกธรรมชาติซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตเล็กๆ


แอชลีย์โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อย่อตัวก่อนจะรวบแขนใต้สะโพกหนั่นช้อนคนตัวเบาขึ้นมา


 “!?”


เผลออุทาน ลืมตาโพลงเมื่อจู่ๆร่างกายก็ถูกยกขึ้น ทว่าอีกคนกลับไม่ปล่อยให้ได้ตั้งสติ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ร่างกายลอยวืดปะทะลงกับฟูกนุ่มบนเตียงกว้างเสียแล้ว


ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหวต่อในทันทีกลับทำเพียงพักสายตาเอาไว้กับร่างที่กำลังนอนทอดกายอยู่ใต้อาณัติอันมีสองแขนแข็งแรงต่างกรงขัง


ที่ผ่านมาไม่เคยพินิจพิจารณาสักครั้ง พอวันนี้ได้ลองดันถอนสายตากลับออกมาไม่ได้


ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกในสายตาผู้จับจ้อง


เส้นผมยาวแผ่สยายไปตามผืนผ้า ใบหน้ากระจ่างขึ้นสีระเรื่อจากการถูกช่วงชิงลมหายใจเป็นเวลานาน ริมฝีปากอิ่มยังคงเปิดเผยอหอบกอบโกยเอาอากาศกลับคืน


คล้ายกุหลาบแรกแย้มดอกหนึ่ง


เบ่งบานอวดสีสัน กำจายกลิ่นหอมรัญจวนเชิญชวนให้เข้าหา


มันทั้งดูบริสุทธิ์ชวนเฝ้าถนอม และ ยั่วยวนชวนให้อยากขยี้จนกลีบดอกช้ำคามือ


ชุดคลุมที่เหมือนไม่ได้ใช้คลุม สาบเสื้อแหวกออกจนเผยเนินเนื้อบนแผ่นอกจุดอ่อนไหวสองข้างวับแวมชวนให้หวามไหว ชายเสื้อด้านล่างแหวกออกตามแรงเหวี่ยงอวดเรียวขายาวสวยข้างหนึ่งซึ่งตั้งชันขึ้นมาเล็กน้อยจนทำให้รู้ว่า...


ภายใต้ผ้าแพรผืนนี้ว่างเปล่าไร้อาภรณ์อื่นใด


เพราะทนสายตาคู่นั้นไม่ไหว คนใต้อาณัติได้แต่กลอกตาไปมา ไม่รู้วันนี้แอชลีย์เป็นอะไรเอาแต่จดจ้องมองไปทั่วจนเจ้าของร่างกายอย่างซินเธียชักทนไม่ไหว


ปติก็ไม่เห็นจะมองอะไร ถึงเวลาก็แค่จัดการไปตามท้องเรื่อง สุดท้ายก็เลยขยับเปลี่ยนท่าทางเป็นหันหลังดันตัวขึ้นเล็กน้อยใช้สองแขนและสองเข่าชันกับฟูกนอน ท่านี้มันน่าอายมากแต่เด็กหนุ่มคิดว่าการถูกสายตาวาววับคู่นั้นจับจ้องเฉยๆ มันน่าอายมากกว่า เห็นอีกคนไม่ทำอะไรเสียทีเขาก็เลยจัดการอำนวยความสะดวกให้เสียเลย


“ทำอะไร” แอชลีย์ขมวดคิ้ว เปล่งเสียงทุ้มเอ่ยถามหลังปล่อยให้ทั้งห้องเงียบมานานกว่าครึ่งค่อนวัน


“เอ่อ... ก็...” พูดไม่ออก จะให้บอกออกไปได้อย่างไรกัน ซินเธียหน้าร้อนจนแทบไหม้


“ก็อะไร” ส่วนทางนี้ก็ต้อนกันไม่เลิก ชวนให้รู้สึกว่าไม่น่าพลาดทำตัวอวดรู้แบบนี้เลย


“ก็...คุณ...”


“...”


แล้วก็กลายเป็นต่างคนต่างเงียบ มันนานมากในความรู้สึก ตอนนี้ซินเธียรู้แล้วว่าคนด้านบนกำลังรอคำตอบของตนอยู่แน่นอน แล้วก็คงจะไม่ดำเนินการใดทั้งสิ้นจนกว่าจะได้คำตอบที่เขาพึงใจ


เด็กหนุ่มเม้มปากสลับคลายทำอย่างนั้นวนอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ค่อยๆ ขยับกายเปลี่ยนเป็นนั่งทับลงบนขาของตัวเองแทน


“คุณ...” เด็กหนุ่มถอนหายใจ ยกมือรวบผมมาพาดไว้บนหัวไหล่ด้านหนึ่ง “อยากทำไม่ใช่หรือครับ”


“ใช่” สุ้มเสียงทุ้มกระซิบชิดใบหู ใกล้จนคนฟังขนลุกชันไปทั้งกายมือเผลอกำปอยผมในมือแน่น “หันหน้ามาสิ”



“ปกติคุณไม่ได้ให้หันหน้า” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบ อันที่จริงคือไม่กล้าหันไปอีกแล้ว


“วันนี้อยากให้หัน” เป็นถ้อยคำเลื่อนลอย ไม่ต้องการคำตอบราวกับแค่อยากบอกให้รู้ มือใหญ่เลื่อนเข้ามาเชยปลายคางคนอ่อนกว่าบังคับให้ขยับเอียงใบหน้าหันมารับจุมพิตแสนเอาแต่ใจที่ครั้งนี้ดูร้อนแรงทบทวี


แรกเริ่มมันเนิบช้าคล้ายหลอกล่อให้ตายใจ ปลายลิ้นกวาดต้อนสำรวจทุกซอกมุม เลาะเล็มตักตวงทุกหยาดหยด ค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักในการย้ำบนกลีบปากทีละขั้น ทีละขั้น ไม่ทันต้องตั้งตัว


ซินเธียตัวอ่อนจนแทบเหลว ร่างกายไหวเอนไปตามแรงชักจูงถูกกดตรึงเอาไว้จนร่างกายแทบจะจมหายไปในฟูกนุ่ม


มือใหญ่กระตุกปมเชือกคลายออก แหวกสาบเสื้อเชยชมผิวเนื้อเนียนให้กระจ่างชัดเต็มสายตา โลมไล้ทั้งสายตาทั้งสองมือ ฟอนเฟ้นผิวกายนุ่มนิ่มทิ้งรอยนิ้วแดงไปทั่วทั้งกาย แอชลีย์มองผิวสีน้ำผึ้งนวลนั้นอย่างหลงใหล


ผิวของซินเธียสวยมาก นุ่มละเอียดไม่ว่าจะแตะต้องตรงส่วนไหนก็ลื่นมือไปเสียหมด ถึงจะแตกต่างแต่ก็เป็นเสน่ห์ในแบบที่ทั่วทั้งวินเทอร์ฟอลมีเพียงหนึ่งเดียว พลันถ้อยคำสัตย์สาบานในพิธีแลกแหวนช่วงพลบค่ำดังขึ้นในหัวช่วยตอกย้ำความคิดในขณะนี้ของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี


เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง


กลิ่นหอมจากฟีโรโมนคละคุ้งกำจายไปทั่วห้องตามแรงอารมณ์ แอชลีย์ดอมดมดอกไม้ตรงหน้าจนพอใจถึงค่อยเคลื่อนมือไล้ต่ำลงมาจนถึงปลายยอดเกสร คนถูกสัมผัสสะดุ้งเฮือกรีบยกมือปิดปากระงับเสียงหน้าอายจากการถูกหยอกเย้าไม่เลิกรา อีกคนดูสนุกสนานกับการเชยชมมันเสียเหลือเกิน ปลายนิ้วหัวแม่มือคลึงส่วนยอด เพียงแค่สัมผัสเล็กๆ กลับสร้างกระแสไฟฟ้าพาลสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย


“ฮื่อ”


จนกระทั่งคนถูกแหย่ทนไม่ไหวเผลอหลุดเสียงอื้ออึงออกมาสร้างความพอใจแก่อัลฟ่าหนุ่มเป็นอย่างมากมือถึงค่อยขยับรูดลงเป็นจังหวะ มอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับดอกไม้แรกแย้มของตนเรียกเสียงครางกระเส่าจากคนถูกกระทำเสียจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย สะโพกหนั่นเผลอกระทั้นกายขึ้นรับกับจังหวะหวามไหวไม่รู้ตัว ในหัวสบสนมึงงง ทั้งกระดาก ทั้งพลุ่งพล่าน ปะปนคละเคล้ากันไปเสียหมดจวบจนเกสรระเรื่อช่อนั้นคายน้ำหวานออกมาเปราะเปื้อนทั่วเนินท้องน้อย


เด็กหนุ่มหอบตัวโยน ดวงตาปรือฉ่ำน้ำเหม่อลอยได้เพียงครู่เดียวก็ต้องรีบหันหนีเมื่อเห็นคนตรงหน้าแลบลิ้นเลียปลายนิ้วของตัวเองดังภมรชิมน้ำดอกไม้


อาย อายจนไม่รู้จะนำใบหน้าของตัวเองไปซุกซ่อนไว้ตรงไหนแล้ว เด็กหนุ่มตะโกนในใจ เขายอมให้อีกฝ่ายกระทำจากด้านหลังพอเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วผละจากไปอย่างเช่นที่ผ่านมาเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนรับรู้เรื่องราวอะไรแบบนี้


“หลบตาทำไม”


ยังต้องถามกันอีกหรือ!


คนถูกถามรู้สึกว่าสองแก้มตัวเองมันใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ สุดท้ายก็ต้องลากสายกลับมาเมื่ออีกคนกลับมาใช้มาตรการเดิมอีกแล้ว


นั่นก็คือการหยุดชะงักทุกสิ่งอย่าง จะไม่ทำอะไรจนกว่าเขาจะได้รับสิ่งที่ต้องการ


นี่คือด้านที่ดื้อดึงของแอชลีย์ คิม เด็กหนุ่มค้นพบแล้วในวันนี้


ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอแววตาทอประกายความพอใจไม่น้อย มือที่ชะงักไปก็กลับมาเคลื่อนไหวรังแกคนใต้ร่างอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเล่นจนพอใจก็เปลี่ยนจุดหมายใหม่เคลื่อนมาด้านบน


ซอกคอศูนย์รวมกลิ่นฟีโรโมนชั้นยอด แอชลีย์ซุกไซ้ สูดดมมันราวกับต้องการให้กลิ่นเหล่านี้มอมเมาตนเองอีกครั้ง เผยออ้าใช้ฟันลากขูดไปบนผิวเนื้อนวลเบาๆ ยิ่งพอเห็นท่าทางอยู่ไม่สุขของคนใต้ร่างก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกคนอ่อนไหวกับบริเวณนี้แค่ไหน ด้วยความหมั่นเขี้ยวเลยงับลงน้ำหนักลงบนลาดไหล่ทำเอาเด็กหนุ่มตัวเกร็งเผลอจิกเล็บลงไปบนท่อนแขนกำยำ


“อื้อ! อย่ากัด”


เหมือนจะได้ผลแค่ทำให้หยุดกัดตรงจุดหนึ่งแต่ก็ย้ายลงมาอีกจุดหนึ่งแทน ริมฝีปากร้อนจูบลากลงมาจนถึงเนินเนื้อหน้าอกข้างหนึ่งดื่มด่ำกับยอดอกราวคนหิวกระหายส่วนมือซ้ายก็ทำหน้าที่ปลุกเร้าอีกข้างไม่ให้น้อยหน้ากัน ซินเธียถูกเร้าดูดดึงจุดอ่อนไหวสลับไปมาทั้งสองข้างจนไม่รู้ตัวว่ายามนี้ส่วนเร้นลับของตนกำลังถูกรุกล้ำไปทีละน้อย


“อ๊า...!”


คราวนี้เสียงครางขรมหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอย่างกลั้นไม่อยู่เช่นเดียวกับชายหนุ่มเองที่ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเมื่อสามารถแนบกายเข้าไปจนชิดไร้ช่องว่างแม้แต่อากาศก็ไม่อาจล่วงล้ำ ไม่ว่าจะกี่ครั้งสิ่งที่กำลังโอบตัวตนของเขาเอาไว้ก็ยังรัดรึงจนสติแทบแตกกระเจิง แอชลีย์ขบกรามแน่นแช่กายจนรู้สึกว่าทุกอย่างผ่อนคลายลงแล้วถึงได้เริ่มขับเคลื่อนเป็นจังหวะบดกลีบดอกไม้หวังให้ช้ำคามือตามความตั้งใจแรกเริ่ม


เด็กหนุ่มหวีดร้องจนลืมอายกับความเสียวกระสันที่อีกคนมอบให้ ยิ่งบทรักในครั้งนี้ต่างคนต่างก็ได้เห็นกันและกันชัดเจนอารมณ์ที่ควรพุ่งก็ยิ่งพุ่งจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป สองมือปัดป่ายหาหลักยึดจับ ศีรษะโยกคลอนตามจังหวะที่โหมกระหน่ำเข้ามาราวพายุคลั่งพัดพาเอามวลไม้เอนไหวไปตามแรงลมไม่จบสิ้น เหงื่อกาฬไหลซึมแม้อากาศในค่ำคืนจะหนาวเย็น ทว่าอากาศรอบกายตอนนี้มันระอุคละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของกามารมณ์ก่อเกิดแรงปรารถนาจุดกระพือไม่จบสิ้น


“อะ อื้อ...”


เป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากถูกช่วงชิงดูดเอาเสียงร่ำร้องหายลงไปในลำคอ ได้แต่จิกเล็บครูดไปตามแผ่นหลังกว้างอุดมกล้ามเนื้อของคนกระทำต่างระบายความเสียวซ่าน บทรักในครั้งนี้มันช่างแตกต่างจากที่ผ่านมาเหลือแสน เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก เป็นครั้งแรกกับการได้พินิจใบหน้าคมคร้ามใกล้ถึงเพียงนี้ แต่มันก็ทำได้ไม่นานเนื่องจากไม่อาจต้านทานดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของคนตัวสูง สุดท้ายก็ได้แต่เบี่ยงใบหน้าฝังลงกับหมอน รู้สึกปั่นป่วนมวลอยู่ในท้องสุดจะบรรยายยามเมื่อทุกห้วงอารมณ์ดีดทะยานสู่จุดสูงสุด อีกคนส่งแรงกระแทกเข้ามาย้ำๆ อีกสองสามครั้งแล้วนิ่งไป


เป็นช่วงสามวินาทีที่ซินเธียรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ


เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง


“โอ๊ย!”


จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดพุ่งขึ้นสู่แกนสมองสั่งให้ร่างขยับขืนตัวออกโดยอัตโนมัติซึ่งนอกจากจะขยับออกไม่ได้แล้วความเจ็บกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ต่อมาร่างกายรู้สึกได้ถึงธารสายอุ่นกำลังหลั่งไหลอยู่ภายในจำนวนมาก เด็กหนุ่มนิ่วหน้าทั้งเจ็บทั้งสับสนเขาเงยหน้าขึ้นมองคนด้านบนก็เห็นว่าทางแอชลีย์เองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


ซินเธียกลืนน้ำลาย สบตาคนด้านบนเอ่ยถามน้ำเสียงติดแหบคล้ายไม่แน่ใจทั้งที่ในใจก็มีคำตอบนั้นอยู่แล้ว ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้คนทั้งสองยังคงอยู่ในท่วงท่าน่าอาย


“แอชลีย์”


“…” ชายหนุ่มกระพริบตา มองกลับมาหน้าซื่อ


“นี่คุณ คุณน็อทเหรอ!?”


“โทษทีนะ”


ชายหนุ่มตอบใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เป็นสถานการณ์ชวนกระอักกระอวนเอามาก เขาไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว หรือกระทั่งควรต้องแสดงสีหน้าแบบไหน


ตั้งแต่มีสัมพันธ์กันมาตลอดช่วงฮีท นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดการน็อทขึ้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบากใจไม่ว่าจะฝ่ายไหน เพราะมันสร้างความเจ็บให้แก่ทั้งสองฝ่ายดูจากสีหน้าอดกลั้นของเจ้าตัวแล้วก็พอเดาได้


ไหนว่าจะต่างคนต่างอยู่ไง แต่นี่มัน...


เป็นนานที่ความเงียบกลืนกินบรรยากาศรอบกาย เขาเห็นแอชลีย์หลับตาลงขบกรามแน่นจนเห็นเป็นรอยนูนออกมาก่อนวินาทีถัดไปชายหนุ่มจะรวบตัวเขาไว้แล้วพลิกสลับให้ตัวเองเป็นฝ่ายอยู่ด้านล่างแทนส่วนซินเธียนอนทับอยู่บนกายของเจ้าตัว


การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำเอาใบหน้าของซินเธียเหยเกไม่น้อย


“อยู่แบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน” แอชลีย์กล่าวพักมือข้างหนึ่งไว้บนเนินสะโพกกลมขยับปลายนิ้วม้วนเส้นผมสีจินเจอร์เล่นฆ่าเวลา


“คนแดนใต้เป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่า” คำถามนี้คงจะหมายถึงสีผม เดาจากความเพลิดเพลินในการม้วนเล่นไปมา


“ส่วนใหญ่ครับ อาจจะมีสีน้ำตาลหรือดำบ้าง”


เชื่อว่าสำหรับกลุ่มคนแถบเขตทางเหนือการมีสีผมโทนแดงแบบนี้คงดูแปลกประหลาดไม่น้อยกลับกันหากมีพวกหัวขาวหัวทองหลุดเข้าไปในธอร์นมันก็คงน่าประหลาดเช่นเดียวกัน


“ว่าแต่พวกเราต้อง... เอ่อ อยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่หรือครับ”


ในระหว่างนี้ก็ซบใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างหลบเลี่ยงการสบสายตาสุดฤทธิ์


การสลับตำแหน่งแบบนี้ซินเธียรู้สึกสบายตัวกว่าตอนแรก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะอยู่ในท่วงท่าน่าอับอายแบบนี้นานๆ


“อีกสักพักใหญ่ๆ”


เด็กหนุ่มเงียบไป อีกคนเองก็ไม่ได้คิดยื้อบทสนทนาให้ยืดยาว ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้หากเขาจะหยุดใช้มือของตนเองป้วนเปี้ยนบริเวณสะโพกนั่นเสียที


ซินเธียลอบถอนหายใจ สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เขานึกกังวลใจในบางเรื่อง


ถ้าหาก ถ้าหากว่า...


“นี่... แอชลีย์” เอ่ยเรียกอีกคนเสียงค่อย


“หืม?”


“คุณ” เขาเว้นจังหวะ เม้มริมฝีปากครุ่นคิดให้ละเอียดอีกนิดก่อนเอ่ยคำถาม ทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้เกรงกลัวต่อคำตอบ “คุณคิดอย่างไรกับคำว่าครอบครัวหรือครับ”


“หมายถึงตระกูลคิมน่ะเหรอ”


“เปล่า” ซินเธียส่ายศีรษะบนแผ่นอกของอีกคน “หมายถึงคุณ แค่ของคุณ”


คนถูกถามเงียบไปคล้ายกำลังขบคิดถึงคำตอบ


“ไม่ได้แสวงหา แต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยง”


หมายความว่าเขาไม่ได้รังเกียจสินะ


“เมื่อถึงเวลาที่ต้องมี มันก็ต้องมี”


“แล้วตอนนี้เราล่ะ เป็นครอบครัวของคุณหรือเปล่า”


ไม่รู้ว่าจู่ๆ ความกล้ามาจากไหนมากมาย แต่อยากจะรู้มากจริงๆ อยากจะรู้ว่าสำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งใดในสายตาของชายผู้แสนเย็นชาคนนี้ หัวใจเต้นระรัวยามเฝ้ารอคำตอบ เนิ่นนานในความคิดทว่าในความเป็นจริงแล้วมันเป็นระยะเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้นกับคำตอบของคำถาม


และเป็นคำตอบที่ทำให้เด็กหนุ่มปล่อยวางความหนักอึ้งภายในใจลง


“เป็นสิ”


“อื้ม”


ดวงตาสองคู่เลื่อนปิดลงอย่างเหนื่อยล้าให้แหวนบนนิ้วมือที่วางแนบอยู่ใกล้ใบหน้าเป็นจุดสุดท้ายของสายตา คลายความกดเกร็งวางร่างกายลงบนร่างสูงใหญ่ปล่อยให้สติค่อยๆ ดับลงทีละน้อย


วิ่งวุ่นเตรียมตัวกันมาตั้งแต่เช้าเพื่องานวิวาห์จนตอนนี้ก็ผ่านมาค่อนคืนจนล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว


วันนี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ




TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 10 [P.2] --- 16/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-06-2019 11:55:38
ว้าย ว้าย ท่านแอชลีย์ถึงกับน็อทนี่แปลว่าคุมตัวเองไม่อยู่ซินะ อยากให้รักกันเร็ว ๆ จัง
ตอนนี้แบบว่าเหมือนจะหวานแต่มันจะหวานมากกว่านี้ถ้าพวกเขารักกันจริง ๆ ซะที
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 10 [P.2] --- 16/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-06-2019 22:41:17
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 10 [P.2] --- 16/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-06-2019 23:15:02
 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 10 [P.2] --- 16/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 17-06-2019 01:51:29
หวังว่าจะไปกันได้ด้วยดี :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 18-06-2019 23:05:22



บทที่ 11
[/b]




ซินเธียรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืด มันไม่ใช่ช่วงเวลาตื่นนอนตอนปกติ ยังเหลืออีกราวสองสามชั่วโมงแต่ว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ เมื่อคืนหลังเกิดเรื่องแบบนั้นก็เคลิ้มหลับไปทั้งอย่างนั้นจนมารู้สึกตัวอีกทีก็รุ่งสาง เด็กหนุ่มขยับพลิกตัวออกไปทางฝั่งหน้าต่างบานโตมองจากรอยแยกยังเห็นว่าฟ้ามืดอยู่


หลังจากวันนี้ไปซินเธียจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวินเทอร์ฟอลโดยแท้จริง ดำเนินชีวิตในฐานะคนของตระกูลคิม เป็นโอเมก้าของแอชลีย์ คิม อัลฟ่าหนึ่งในผู้นำสี่ตระกูลใหญ่ งานวิวาห์ในดินแดนแห่งความฝันได้จบลงแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยแท้จริง


จะเป็นอย่างไรกันนะ ชีวิตต่อจากนี้ไป


ด้วยการขยับตัวเมื่อครู่ส่งผลให้คนด้านหลังขยับตามไปด้วย ท่อนแขนแข็งแรงที่เคยกอดรัดเอาไว้คลายออกเล็กน้อยแล้วเลื่อนลงไปพักอยู่บริเวณท้องน้อยของคนในอ้อมกอด อากาศช่วงเช้ามืดหนาวเย็นไม่ต่างจากช่วงกลางคืนแต่ไออุ่นจากร่างกายสูงใหญ่ของคนด้านหลังกลับแผ่กระจายโอบรั้งอยู่ภายใต้ผ้านวมสร้างความอบอุ่นทั้งจากภายในและภายนอก


ซินเธียก้มลงมอง ไม่บ่อยเลยกับการลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนใครอีกคน ซ้ำยังนอนกันอย่างแนบชิดแบบนี้ เขาพิจารณาสิ่งที่วาดพาดบนช่วงเอวไล่ลงมาจนถึงมือใหญ่ซึ่งวางแนบอยู่บนผิวหน้าท้องเปลือยเปล่าของตนเอง เหม่อมองอยู่นานปล่อยให้เวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไปด้วยหัวใจเป็นสุข


แขนของแอชลีย์มีรอยเส้นเลือดนูนขึ้นมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามรอยนูนนั้นอย่างหลงใหล มันไม่ได้ดูน่ากลัว กลับกัน มันทำให้ชายหนุ่มดูเซ็กซี่ เป็นเสน่ห์ที่ให้กลิ่นอายของบุรุษเพศชัดเจน ยิ่งยามท่อนแขนนี้กำลังเกร็งเพื่อออกแรงทำบางสิ่งบางอย่างรอยเส้นเลือดเหล่านั้นก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


มันช่าง...


จู่ๆ ซินเธียก็รู้สึกอุ่นบนสองแก้มโดยไม่ทราบสาเหตุ นึกบริภาษให้กับความคิดบ้าบอของตัวเองจนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าเจ้าของท่อนแขนที่ตัวเองกำลังแอบกระทำบางอย่างอยู่อย่างสุขสำราญนั้นได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว และดวงตาอำพันคู่นั้นก็กำลังจับจ้องตัวเองอยู่


“ทำอะไร”


เสียงทุ้มติดแหบกระซิบชิดใบหูเล่นเอาคนเหม่อสะดุ้งตัวโยนด้วยไม่คาดว่าการลักลอบลูบไล้แขนคนอื่นอยู่นั้นจะทำให้คนอื่นที่ว่ารู้สึกตัวขึ้นมา


“คือ...”


คนถูกจับได้คาหนังคาเขากลอกตาหลุกหลิกหัวสมองพยายามคิดหาถ้อยคำมาแก้ต่างชำระความ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเจ้าของน้ำเสียงได้แต่นอนตัวเกร็งอยู่ในอ้อมแขนที่พอคนรู้สึกตัวก็รวบกระชับโอบรัดแน่นขึ้นไม่คิดปล่อยให้จำเลยหลุดรอดหนีพ้นไป


“ยังต้องการอีกหรือ”


“เปล่านะ!” คราวนี้นับว่าตระหนกของจริง ซินเธียรีบโพล่งออกมาเสียงดังทำเอาคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ดูพึงพอใจกับการได้แกล้งคนยามรุ่งสางเป็นอย่างมาก


แอชลีย์หลุบตาลงมองคนที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมหันมาสบตากัน เอื้อมปัดปอยผมยาวซึ่งไหลไปกองรวมกันอยู่ด้านหน้าปิดอำพรางเนินเนื้อสีน้ำผึ้งบริเวณแผ่นอกรวมถึงช่วงลำคอระหงออกไปทางด้านหลัง พอผิวเนื้อเปลือยเปล่าไร้สิ่งบดบังก็ค่อยรู้สึกสบายตาขึ้นมาหน่อย


มองนิ่งไร้วาจาไปช่วงหนึ่งก่อนจะลูบกลุ่มผมสีแปลกตาไปตามแนวความยาวทำเอาเจ้าของเคลิ้มแทบเข้าห้วงนิทราไปอีกรอบ ชายหนุ่มจับปอยผมขึ้นมาพินิจช่อหนึ่ง ผมของซินเธียยาวมากแต่กลับนุ่มสลวยราวเส้นไหม เป็นผมเส้นเล็กแต่มีน้ำหนักดูสุขภาพดีบ่งบอกว่าเจ้าของเส้นผมเหล่านี้คงดูแลพวกมันอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งได้สัมผัสใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นหอมจนอกจะยกขึ้นมาดอมดมไม่ได้


เป็นกลิ่นคล้ายดอกไม้บางชนิด กลิ่นที่เหมือกับฟีโรโมนของอีกคน


ชื่นชมจนพอใจแล้วชายหนุ่มวางผมช่อนั้นลงดังเดิมอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวเสียงเนือย


“ฟ้ายังไม่สว่าง นอนอีกสักหน่อยเถอะ”


“อื้ม”


ทางด้านคนอ่อนกว่านึกโล่งใจที่ไม่ถูกสืบสาวเอาความ เป็นอย่างที่อีกคนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาตื่นนอนแต่เป็นเพราะการเผลอหลับปล่อยให้สติดับวูบไปทั้งที่.... เอ่อ ยังเป็นแบบนั้นกันทั้งคู่อยู่ คิดถึงตรงนี้แล้วยิ่งกระดากอาย เขาเหนื่อยมากจริงๆ นะ


การร่วมรักเมื่อคืนมันแตกต่างจากที่ผ่านมาทั้งระยะเวลาและอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ก็ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แอชลีย์ คิมเป็นดังเช่นเมื่อคืนมันดีมากจริงๆ


ดีมากเสียจนความรู้สึกข้างในมันอัดอั้นจนแทบจะทะลักออกมา สิ่งที่กำลังเติบโตอยู่ภายในใจนั้นไม่อาจฉุดรั้งได้อีกต่อไป


ได้แต่ปล่อยให้มันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ


เด็กหนุ่มกำลังจะผล็อยหลับไปอีกรอบ นึกโล่งอกที่อีกคนไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนหรือการกระทำแสนอุกอาจของตนเองเมื่อครู่พลันก็ได้ยินเสียงทุ้มกระซิบส่งท้าย เป็นประโยคเต็มของคำพูดก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยออกมาจนจบ ทั้งยังจงใจเว้นระยะเพื่อให้เขาตายใจราวกับจะแกล้งกันให้ต้องอายจนถึงขีดสุด


“เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็กินทั้งเวลาทั้งกำลังกายไปมากแล้ว เธอควรจะพักผ่อน วันนี้ลงไปทานมื้อเช้าสายหน่อยคุณพ่อกับคุณแม่ท่านคงเข้าใจ”


เราจะขอบคุณมากหากคุณไม่ขยายความ!


เด็กหนุ่มหวีดร้องอยู่ในใจ


---


   สองสามีภรรยาหมาดๆ เดินลงมาชั้นล่างในช่วงสายของวัน แอชลีย์เป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปยังห้องอาหารก่อน ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือถัดจากหัวโต๊ะส่วนซินเธียก็นั่งลงข้างคนตัวสูงอีกทอดหนึ่ง ตำแหน่งประธานในวันนี้ไม่ใช่อัลฟ่าหนุ่มเหมือนทุกทีแต่ถูกจับจองด้วยอัลฟ่าวัยกลางคนแผ่กลิ่นอายเคร่งขรึมน่าเกรงขาม บนใบหน้ามีความละม้ายคล้ายแอชลีย์หลายส่วน ส่วนตำแหน่งที่นั่งฝั่งขวาเป็นของอัลฟ่าหญิงผู้มีใบหน้าใจดีส่งยิ้มมาให้


คฤหาสน์คิมวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าบ้านสองคนดังปกติ บนโต๊ะอาหารมีผู้ร่วมรับประทานเพิ่มขึ้นมาอีกสองซึ่งก็คือคุณพ่อคุณแม่ของแอชลีย์แลดูครึกครื้นกว่าทุกวัน เนื่องจากการเดินทางมาร่วมงานวิวาห์ของผู้เป็นลูกชาย ในวันนี้อัลฟ่าทั้งสองท่านจึงยังคงอยู่พักในคฤหาสน์คิมต่ออีกหนึ่งคืน


“เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมคะ” ท่านหญิงคิมเอ่ยทักทายใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และเพราะความเป็นมิตรของอีกฝ่ายจึงทำให้ซินเธียไม่รู้สึกเกร็งนักถึงเมื่อวานจะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างตนเองกับพ่อแม่ของฝ่ายคู่ชีวิต


“ครับ สบายมากเลยครับ” เด็กหนุ่มส่งยิ้มแห้ง หางตาแอบเหลือบมองคนข้างกายซึ่งนั่งจิบกาแฟด้วยท่าทางสบายอารมณ์


ดี ดีมากเลยจริง!


“ดีค่ะ แม่กับพ่อทานมื้อเช้าเสร็จไปสักพักแล้วแต่ก็ยังอยากอยู่คุยกับพวกลูกๆ ก่อน” เธอยิ้มแล้วหันไปเรียกพ่อบ้านที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนประโยคหลังนั้นหันมาเอ่ยกับซินเธีย


“อีริคเอาอาหารขึ้นโต๊ะเลยจ้ะ”


“ครับท่านหญิง อาหารพึ่งอุ่นเสร็จเมื่อสักครู่พอดีผมจะรีบให้เด็กๆ รีบนำมาขึ้นโต๊ะ” คุณพ่อบ้านโค้งตัวแล้วรีบเดินไปจัดการตามสิ่งที่เจ้าตัวพูดไว้


“ซินเธียก็ทานเยอะๆ นะคะ ดูสิตัวเล็กนิดเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าแอชเค้าขี้เหนียวหรืออย่างไรไม่ดูแลน้องให้ดีเลย”


ประโยคหลังไม่วายหันไปตำหนิลูกชายเพียงคนเดียวแบบไม่จริงจัง


“ปกติก็กินน้อยแบบนี้แหละครับ อาจจะยังไม่ชินกับอาหารของทางเหนือ”


“จริงเหรอลูก” เธอทำสีหน้าตกใจ “แม่ก็ลืมไปเลยค่ะสงสัยคราวหลังต้องบอกให้อีริคเตรียมอาหารพื้นเมืองของทางใต้บ้างแล้ว”


“ไม่เป็นไรเลยครับ อาหารของที่นี่ก็อร่อยมากอยู่แล้วผมกินได้”


เขาต้องรีบท้วงเพราะดูเหมือนว่าคุณแม่ของแอชลีย์ท่านจะสั่งการเรื่องนี้กับคุณพ่อบ้านจริงๆ ซินเธียไม่ใช่คนเลือกกิน จริงอยู่ว่ารสชาติของอาหารทางเหนือจะค่อนข้างจืดและติดเลี่ยนมากกว่าอาหารพื้นเมืองของบ้านเกิดอันจะเน้นการปรุงด้วยเครื่องเทศ มีรสชาติจัดกว่าหลายส่วน


เดิมก็เป็นประเภทกินน้อยอยู่แล้ว ถึงจะมีรูปร่างสูงโปร่งกว่าโอเมก้าในดินแดนอื่นแต่ก็ติดจะผอมกว่าหลายส่วน ร่างกายส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อไม่ค่อยมีส่วนเนื้อหนังมากนั่นเป็นผลมาจากวิถีชีวิตอันแตกต่างระหว่างคนทั้งสองดินแดน


ในดินแดนของซินเธียถึงแม้โอเมก้าจะค่อนข้างเก็บตัวแต่พื้นฐานชีวิตก็ยังคงใกล้เคียงกัน ออกล่าสัตว์ ต่อสู้ ในแต่ละวันมีเรื่องมากมายให้ต้องทำ ค่อนข้างแตกต่างจากวิถีชีวิตของคนทางเหนือซึ่งตั้งแต่มาอยู่วินเทอร์ฟอลชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องของกำลังกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีสาวใช้คอยอำนวยความสะดวกในทุกเรื่อง ตื่นเช้าลงมากินข้าว จากนั้นก็อ่านหนังสือบ้างเรียนบ้าง ยามบ่ายจิบน้ำชารอมื้อเย็น นับว่าไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากกินๆ นอนๆ ใช้ชีวิตสงบเรียบง่าย สุขสำราญเกินไปจนซินเธียรู้สึกว่าตัวเองน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากตอนเดินทางมาวันแรกเสียด้วยซ้ำ


อาหารที่ถูกนำไปอุ่นใหม่ถูกจัดเรียงขึ้นโต๊ะทีละอย่าง แก้วกาแฟของคนข้างกายถูกเก็บไปแล้วแทนที่ด้วยน้ำเปล่า ส่วนของซินเธียเป็นน้ำเปล่ากับน้ำผลไม้ อาหารจานหลักเป็นประเภทซุปเคียงด้วยขนมปังกับซอสและสลัด สิ่งแหล่านี้เป็นมื้อเช้าที่เห็นเป็นปกติ เพียงแต่ว่าในแต่ละวันมักจะเสิร์ฟวันละสองอย่างคู่กับเครื่องดื่ม แต่วันนี้จำนวนและชนิดอาหารดูละลานตาเป็นพิเศษ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ได้เลยว่าคงเป็นฝีมือของอัลฟ่าหญิงวัยกลางคนตรงหน้า


เธอส่งยิ้มใจดีพร้อมเชื้อเชิญให้รีบจัดการมื้อเช้าเสียที เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาสายมากจนเลยเวลาอาหารปกติมาแล้วขืนช้ากว่านี้คงไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ


ในระหว่างมื้ออาหารไม่ค่อยมีเสียงพูดคุยมากนัก หากจะมีก็มีเพียงแค่น้ำเสียงนุ่มหูของสตรีเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะอาหาร คุณแม่ของแอชลีย์เป็นอัลฟ่าสาวท่าทางใจดีและชอบพูดคุย เธอคอยเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ชีวิตประจำวันที่ผ่านมาไปจนถึงเรื่องในวัยเด็กของผู้เป็นลูกชายเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดจนเกินไป เพราะอัลฟ่าสองพ่อลูกต่างคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาทำกิจกรรมของตนเองด้วยท่าทางราวกับถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยน ใบหน้าเรียบเฉย ดูไม่แยแส นิ่งเงียบแต่มองออกว่าคอยรับฟังสิ่งที่ผู้เป็นภรรยาและมารดาเล่าทุกประโยค


เป็นภาพที่ดูอบอุ่นอย่างประหลาดจนดูเหมือนเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของครอบครัวนี้


“เจ้าแอชน่ะนะ ตอนเด็กซนมาก แถมยังเป็นเด็กขี้แกล้งมากเลยค่ะ พาไปเล่นกับบ้านไหนก็ทำลูกบ้านนั้นโยเยทุกที”


ท่านหญิงคิมชี้ไม้ชี้มือขณะเล่าวีรกรรมของลูกชายอย่างออกรส พอได้ยินแบบนั้นก็อดจะเหลือบไปมองคนข้างกายอีกครั้งไม่ได้ พิจารณาจากท่าทีเย็นชาไม่แยแสสิ่งใดแล้วเขาดูไม่ใช่คนกระตือรือร้นแบบนั้นเลยนะ แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็เริ่มรู้สึกว่ามีเค้าลางมาบ้างนิดหน่อยแล้ว


“แต่พอยิ่งโตก็ยิ่งดูขรึมลงทุกวัน ส่วนหนึ่งคงเพราะโดนพ่อเขาขัดเกลาด้วยกระมัง”


   ด้วยความเป็นทายาทเพียงคนเดียวความคาดหวังในตัวลูกชายคนนี้จึงยิ่งสูงขึ้น ทางด้านบิดาเป็นคนจริงจัง การฝึกฝนเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มขัดเกลาให้ลูกของเธอคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นอัลฟ่าผู้เพียบพร้อมทว่าก็ต้องแลกกับความสดใสในวัยเยาว์ที่ค่อยๆ จางหายไป


พื้นเพเดิมก็ไม่ใช่คนชอบสังคมมากอยู่แล้วพอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขาหลีกหนีจากสังคมมากขึ้น ไม่สนเพื่อนพ้องไม่เที่ยวเล่นสนุกเพราะรู้สึกเสียเวลา ตั้งใจฝึกฝนเรียนรู้การทำงานมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าจนในความคิดมีแต่เพียงเรื่องของผลประโยชน์และการค้ำชูวงศ์ตระกูล


อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยความเคร่งครัดมากมายอะไร เทียบกับตระกูลใหญ่อื่นๆ แล้วเรื่องกฎระเบียบข้อบังคับแทบจะไม่มีให้ระคายใจ แต่มันคงเป็นสายเลือดที่สืบทอดจากพ่อสู่ลูกเขานั่นล่ะถึงหล่อหลอมให้แอชลีย์เติบโตมาแบบนั้น


“แม่ยังคิดกังวลอยู่เลยว่าทั้งชีวิตนี้จะมีใครมาดูแลคอยอยู่เคียงข้างลูกของแม่หรือเปล่า” เธอเอ่ยทอดอารมณ์ ในแววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยของบุพการี


“คุณแม่ก็พูดเกินไปครับ อย่างไรเสียเมื่อถึงเวลาเหมาะสมอะไรที่สมควรมีก็ต้องมีอยู่แล้ว”


“ดูพูดเข้า ไม่ใช่ว่าจะหาใครมาก็ได้นะคะ” เธอตำหนิ แต่มือก็ช่วยตักอาหารจานโปรดของลูกชายส่งไปถึงจาน


“ใช่ว่าทุกคนจะดีเสมอไป การเลือกคู่ชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องใช้ใจให้มากๆ เพราะคนคนนั้นจะอยู่กับลูกไปชั่วชีวิต” เธอหันมามองคนอายุน้อยสุดบนโต๊ะอาหาร เล่นเอาคนที่กำลังพยายามทำตัวเป็นอากาศก้มหน้าก้มตาจัดการมื้อสายอย่างเอาเป็นเอาตายสะดุ้งเบาๆ


“ไม่ใช่ชาติตระกูลดีแล้วจะเป็นคนที่เหมาะสมเสมอไป แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้ไปคว้าใครก็ไม่รู้มา พอเห็นเป็นหนูซินเธียแม่ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ” เธอระบายรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่จริงใจในสายตาของซินเธีย


เด็กคนนี้ถึงจะเป็นคนต่างถิ่นต่างแดน แต่ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร ถึงจะพึ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อคืนในงานวิวาห์ ได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยคคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างมากมายก็ดูออกได้ทันทีว่าคู่ชีวิตของลูกชายคนนี้จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง


ได้ยินว่าเป็นถึงเจ้าชายจากดินแดนทางใต้แต่กลับไม่มีความถือตัวอวดตน รู้จักพูดรู้จักวางตัว ดีงามทั้งรูปกายวาจา สุภาพอ่อนโยนดูก็รู้ว่าได้รับการอบรมบ่มกิริยามาอย่างดีสมกับเป็นโอเมก้าจากตระกูลชั้นสูง


ส่วนเบื้องหลังการจัดงานาวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนี้เธอเองก็รู้เป็นอย่างดี ยังนึกกังวลอยู่เลยว่ามันคงน่าเสียดายและค่อนข้างเศร้าใจ อุตส่าห์เจอลูกสะใภ้คุณสมบัติเพียบพร้อมถูกอกถูกใจแบบนี้แต่เพราะทั้งสองเริ่มความสัมพันธ์กันในรูปแบบที่ไม่ค่อยดีนักถึงได้กังวลใจแทน ยิ่งมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองตัวคนเดียวแบบนี้คงลำบากน่าดู แต่พอได้เห็นท่าทีที่ลูกชายของตัวเองปฏิบัติต่อคู่ชีวิตแล้วความหวังของคนเป็นพ่อเป็นเป็นแม่อย่างเธอก็เริ่มส่องประกายอีกครั้ง


คุณหญิงคิมอมยิ้มดูกรุ้มกริ่ม แววตามีประกายบางอย่างวาบออกมาในเสี้ยววินาที


“อย่างน้อยก่อนจะตายไปแม่ก็อยากจะอุ้มหลานสักครั้งนะคะ”


ประโยคนั้นเล่นเอาคนตัวเล็กแทบสำลัก ยังดีที่กลืนอาหารทันไปก่อน ฝ่ายตัวหลักในบทสนทนาก็ทำเพียงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง สีหน้ายังคงราบเรียบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากก่อนจิบน้ำเปล่าตาม


“อย่าพูดเรื่องไม่ดีแบบนั้นสิครับ” คนเป็นลูกส่ายหน้าอ่อนใจ ต่อให้จิตใจด้านชาแค่ไหนก็คงไม่มีใครอยากได้ยินคนสำคัญในชีวิตพูดเรื่องเป็นตาย “อีกอย่าง ผมยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น”


“พูดอะไรอย่างนั้น ถามน้องด้วยสิน้องอาจจะอยากมีก็ได้”


“เอ่อ คุณแม่ครับ...” ซินเธียรีบปรามใบหน้าดูจืดเจื่อน อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าบทสนทนาเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมา โชคยังดีที่ได้เสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของประมุขใหญ่ผู้นั่งครองตำแหน่งประธานหัวโต๊ะดึงทิศทางของบทสนทนาให้เบนไปด้านอื่นอย่างแนบเนียน


“จริงสิ ได้ยินว่าจะทำการขยายเขตการค้าหรือ”


“ครับคุณพ่อ ผมกำลังจะไปเจรจาเรื่องขอเช่าท่าเรือกับทางนายท่าแลมเบิร์ต”   


“อืม นั่นเป็นตระกูลผู้ถือครองสิทธิ์การค้าทางเรือที่ใหญ่ที่สุดเลยนะ เป็นตระกูลมากอำนาจในอีสเทิร์นพอร์ต เดิมความสัมพันธ์ของเรากับทางนั้นนับว่ายังผิวเผิน หากทำให้มันมั่นคงได้จะเป็นผลดีมาก”


ซินเธียนึกโล่งอกที่บทสนทนาในตอนนี้เอนเอียงไปไกล กลายเป็นเรื่องธุรกิจที่ฟังไม่เข้าใจไปเสียแล้ว


“ครับ”


“ฮิลล์ แลมเบิร์ต จัดเป็นพวกหน้าเลือดคนหนึ่งแต่เขาเป็นประเภทถึงขูดเลือดแต่ก็ใหญ่ ยิ่งเราให้เขามากเท่าไหร่สิ่งที่เขาจะให้กลับคืนมาก็ยิ่งทวีคูณ สิ่งสำคัญเลยคือคามจริงใจ มันไม่คุ้มหากคิดละโมบตลบหลังแล้วโดนทางนั้นเอาคืน แกไปถึงก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ทำให้เขาพอใจให้ได้”


“ผมจะจดจำไว้”แอชลีย์พยักหน้ารับบันทึกทุกคำพูดของบิดาไว้ในใจ


“แล้วจะเดินทางไปเมื่อไหร่”


“ตามกำหนดการก็เป็นบ่ายนี้ครับ”


มันค่อนข้างฉุกละหุกไปหน่อย แต่แผนงานนี้แอชลีย์วางไว้มานานแล้วก่อนหน้าจะมีเรื่องงานวิวาห์เข้ามาเสียด้วยซ้ำ พูดตามตรง ฮิลล์ แลมเบิร์ตนั้นมีนิสัยคล้ายคลึงกับแอชลีย์ไม่น้อย คิดหาแต่ผลประโยชน์ที่ดีกับตนเอง เขาสนใจเงินและใช้ชีวิตอยู่เพื่อการหามันมาให้ได้มากๆ แน่นอนว่านั่นทำให้เวลาทุกวินาทีของเขาเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง การจะนัดพบเพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจกับชายคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา


นี่เป็นโอกาสที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป ขณะเดียวกันแอชลีย์ก็ไม่สามารถดึงงานวิวาห์ให้เร็วขึ้นหรือล่าช้าไปมากกว่านี้อีกเช่นกันด้วยเหตุผลหลายประการ การเดินทางครั้งนี้จึงสร้างความลำบากใจให้แก่อัลฟ่าหนุ่มไม่น้อย


อีสเทิร์นพอร์ตเป็นเมืองท่าทางตะวันออก ระยะทางจากวินเทอร์ฟอลนับว่าไม่ไกลนัก เดินทางช่วงบ่ายไปถึงช่วงหัวค่ำ คุยงานในตอนเช้าแล้วค่อยรีบกลับมาก็ถือว่าไม่แย่มากนัก เหตุผลในการเร่งรีบเดินทางครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพราะนึกเป็นห่วงโอเมก้าในปกครอง ซินเธียคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่คู่ของตนเองจะหายหน้าไปต่างเมืองทันทีในเช้าหลังแต่งงาน


“นั่นมันฉุกละหุกมากเลยนะ” ท่านหญิงคิมเอยด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจแม้แต่ผู้เป็นสามีเองก็ยังขมวดคิ้วเนื่องด้วยไม่คิดว่าจะต้องรีบเดินทางหลังงานแต่งงานพึ่งจะจบลงแบบนี้ ขนาดคนนอกยังคิดได้มีหรือผู้เกี่ยวข้องเต็มประตูอย่างซินเธียจะไม่รู้สึก


เด็กหนุ่มมีท่าทางซึมลงหลังได้ยินประโยคนั้นจากอัลฟ่าคู่ชีวิต ถึงจะพอเข้าใจเหตุผลโดยไม่ต้องรอให้อีกคนเอื้อนเอ่ยออกมาแต่จากที่ฟังก็พอรู้เรื่องพอสมความว่าการเดินทางครั้งนี้สำคัญมากแค่ไหน


“เรื่องนี้มันเลี่ยงไม่ได้น่ะครับ” ทางฝั่งแอชลีย์แม้จะยังคงรักษาความสุขุมเรียบเฉยเอาไว้ได้แต่ภายในใจก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่เช่นกัน


“แม่ว่าเอาอย่างนี้ดีไหมคะ พาน้องไปด้วยจะได้เป็นการเปิดหูเปิดตา ไปสักหลายวันหน่อยถือเป็นการฮันนีมูนไปด้วยเลย”


“พ่อว่าแบบนั้นก็ดีนะ เดี๋ยวพวกเราจะอยู่ดูแลทางคฤหาสน์ให้เอง”


ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่งหลังได้ยินข้อเสนอของบุพการีทั้งสอง เขาหันไปมองคนข้างกายแล้วเอ่ยถามความเห็น


“อยากไปไหม”


แวบหนึ่งมองเห็นประกายในดวงตากลมคู่นั้นฉายออกมาในเสี้ยววินาที ท่าทางเซื่องซึมก่อนหน้านี้นั้นได้หายไปเรียบร้อยแล้ว ดูก็รู้ว่าดีใจที่จะได้ไปเที่ยวมากแค่ไหน


“หากจะไม่ทำให้ไปเกะกะตอนคุณทำงานเราก็อยากไป แต่ความจริงเราอรอยู่ที่บ้านก็ได้” ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการได้ดีเอ่ยตอบมาด้วยท่าทางเกรงใจ ซินเธียคิดอย่างที่พูดออกไปจริงๆ เพราะอีกคนไปทำงานซ้ำยังเป็นงานสำคัญเกรงว่าไปแล้วจะเป็นภาระมากกว่า


แค่อีกคนหันมาเอ่ยชวนกันก็ดีใจมากพอแล้ว


“พูดอะไรอย่างนั้น” แอชลีย์ขมวดคิ้ว ไม่ได้มองเด็กหนุ่มเป็นภาระเลยสักนิด


“นั่นสิคะ เกะกะอะไรกัน อย่าคิดมากเลยลูก วันๆ เอาแต่อุดอู้อยู่ในคฤหาสน์เหงาแย่ แม่ว่าออกไปเปิดหูเปิดตากับพี่เขาน่ะดีแล้วค่ะ”


ท่านหญิงคิมรีบสนับสนุนอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าการชักจูงในครั้งนี้มีเหตุผล สองคนพึ่งแต่งงานเป็นสามีภรรยากันหมาดๆ ต้องได้ใช้เวลาร่วมกันให้มากหน่อย ยิ่งได้เปลี่ยนบรรยากาศไปอยู่ในสถานที่อากาศดีๆ มีปัจจัยส่งเสริม เผื่ออะไรที่เธอหวังจะได้เป็นจริงขึ้นมาเร็วหน่อย


ยิ่งคิดหัวอกคนเป็นแม่ก็ยิ่งเบิกบานใจ


“นี่ก็สายมากแล้ว อย่ามัวช้ากันอยู่เลยค่ะ แอชลูกรีบพาน้องไปเก็บของเร็วเข้า!”





TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-06-2019 23:17:01
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-06-2019 23:29:40
เขาน้อตกันแล้ววววววววว
หวังว่าจะได้ฮันนีมูนเหมือนที่คุณแม่ตั้งใจ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-06-2019 23:46:19
 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 19-06-2019 00:36:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-06-2019 14:36:54
ฮันนีมูนแรกของการแต่งงาน :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 19-06-2019 19:24:59
ซินเธียน่ารักมากเลย แอชนี่ดูเป็นผู้ชายซึนๆ นะ แต่เค้าบอกว่าผู้ชายชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบ เนี่ย แอชชช เทอแกล้งซินเธียบ่อยเลย 555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 11 [P.3] --- 18/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 20-06-2019 10:28:16
 :jul1: :jul1: น่ารักกก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 23-06-2019 22:06:25



บทที่ 12





 เป็นครั้งแรกกับการเดินทางไกลไปต่างเมืองหากไม่นับตอนขบวนวิวาห์เมื่อเดือนก่อน จุดหมายครั้งนี้ใช้ระยะเวลาราว 5 วันทั้งทำงานและพักผ่อนไปในตัว พวกเขาใช้เวลาเก็บของไม่นานก่อนเริ่มออกเดินทาง ด้านแอชลีย์นั้นเจ้าตัวได้จัดเตรียมมันเอาไว้ล่วงหน้าแล้วส่วนซินเธียเดิมสัมภาระที่เขานำมาก็มีไม่มาก เป็นเสื้อผ้าจำนวนไม่กี่ชุดที่หลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้วยิ่งไม่ต้องใช้เวลามากในการจัดกระเป๋า


เมื่อต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนเหนือ นอกจากปรับตัวเรื่องอาหารการกิน ชีวิตประจำวัน เครื่องแต่งกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง มันคงดูประหลาดน่าดูหากเขาจะใส่ชุดหนังสัตว์สีโทนเข้มเดินร่อนไปร่อนมาในวินเทอร์ฟอล อีกทั้งเสื้อผ้าของธอร์นไม่เหมาะสมสำหรับดินแดนแห่งนี้ มันบางมากเกินไป


การเดินทางครั้งนี้แอชลีย์ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเอง คนขับรถประจำตระกูลถูกเรียกใช้งานอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือน ปกติแล้วชายหนุ่มชื่นชอบเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตนเองมากกว่าทั้งสะดวกและเป็นส่วนตัว ยกเว้นว่าต้องเดินทางไปทำงานสำคัญที่มีระยะทางไกลไม่สามารถสูญเสียพลังงานไปกับการขับรถได้


เดินทางกันอยู่ครึ่งค่อนวันโดยไม่หยุดพัก รถยนต์คันหรูเคลื่อนเข้าสู่เขตตัวเมืองของอีสเทิร์นพอร์ตเป็นเวลาในช่วงหัวค่ำพอดิบพอดี สถานที่พักในตลอดทริปฮันนีมูนควบคู่การทำงานครั้งนี้เป็นโรงแรมมีชื่อในย่านการค้าใกล้กับท่าเรือเพื่อง่ายและสะดวกในการเดินทาง


เมื่อถึงที่พักและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยคนทั้งสองดำเนินมื้อค่ำกันอย่างเรียบง่าย ด้วยความเป็นโรงแรมใหญ่จึงสามารถเลือกทานอาหารในรสชาติที่คุ้นเคยได้ตามสะดวก หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้านอนสิ้นสุดกิจกรรมวันแรกในฐานะคู่ชีวิตลงด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง


ซินเธียลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันถัดมาด้วยนาฬิกาปลุกธรรมชาติอย่างแสงแดดอ่อนๆ ลอดมาตามรอยแยกของผ้าม่าน เด็กหนุ่มปิดปากหาววอดพลางขยับกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อสลัดความง่วงงุน ตั้งสติชั่วครู่ถึงค่อยหยัดกายขึ้นเดินไปรูดม่านออกจนสุดรับเอาแสงรุ่งอรุณอาบไล้ผิวกายสีน้ำผึ้งภายใต้ชุดนอนผ้าแพรตัวบาง


นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นแสงแดดแบบนี้


ซินเธียเลื่อนบานประตูกระจกใสเดินออกไปนอกระเบียงเพื่อสูดรับกลิ่นอายธรรมชาติและปล่อยให้ร่างกายได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่


ตั้งแต่มาวินเทอร์ฟอลเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าแล้วที่เด็กหนุ่มไม่เห็นแสงแดด มีเพียงหิมะหรือบรรยากาศหนาวเย็นให้เห็นจนเริ่มชินตา แม้จะเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแต่วินเทอร์ฟอลก็ยังไม่มีแสงแดดให้ได้พบเห็น คุณพ่อบ้านกล่าวว่าอาจต้องรอให้ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิคงจะมีแดดให้เชยชมบ้าง


อากาศของเมืองนี้ไม่หนาวเย็นเท่าวินเทอร์ฟอลทว่าก็ไม่ร้อนเท่าธอร์น


“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวจะได้ลงไปทานมื้อเช้า”


เสียงทุ้มจากคนในห้องเรียกสายตาของเด็กหนุ่มให้หันกลับไป แอชลีย์กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำบนเรือนกายสูงใหญ่ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมผูกปมเชือกเอาไว้หลวมๆ เผยแผ่นอกกว้างพราวไปด้วยหยาดน้ำเกาะตามผิวกาย เจ้าตัวเดินมาหยุดบริเวณกรอบประตูมือข้างหนึ่งใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเส้นผมไปมาขณะเอื้อนเอ่ยประโยคแรกของวัน


ภาพนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย ดวงตากลมโตอดจะเลื่อนมองหยดน้ำที่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงจากแผ่นอกสู่หน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยไม่ได้ กระทั่งผลุบหายไปในผิวเนื้อภายใต้ปมเชือกบริเวณช่วงเอว


“เป็นอะไร หน้าแดง”


“หา! ปะ เปล่า” คนถ้ำมองอ่อนหัดสะดุ้งโหยง ผิวแก้มจากเป็นเพียงริ้วจางๆ กลับยิ่งแดงเถือกเมื่อโดนทัก รีบเอ่ยตอบตะกุกตะกักจับใจความเกือบไม่ได้เรียกรอยขมวดตรงหัวคิ้วเข้มจากคนพึ่งโดนลวนลามทางสายตาโดยไม่ตั้งใจและยังไม่รู้ตัว


“ระ เราจะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”


ว่าไว้แค่นั้นแล้วรีบจ้ำอ้าวเข้าห้อง ผลุบหายไปในห้องน้ำ




มื้อเช้าง่ายๆ อย่างขนมปัง ชาและกาแฟถูกนำมาเสิร์ฟหลังจัดการธุระส่วนตัวยามเช้าแล้ว สองสามีภรรยาหมาดๆ เดินเข้ามารับประทานอาหารยังห้องอาหารของทางโรงแรม ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เลือกสรรตามใจชอบ เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด แบ่งประเภทออกไปตามรสชาติท้องถิ่นของแต่ละเมือง รอบบริเวณมีพนักงานคอยอยู่รับรองตามจุดต่างๆ แต่ก็ยังให้บรรยากาศที่ดูเป็นส่วนตัวไม่รู้สึกอึดอัด


“ทำงานเสร็จแล้วจะพาไปดูรอบๆ เมืองก็แล้วกัน”


อัลฟ่าหนุ่มกล่าวขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ใบหน้าแสดงความพึงพอใจกับกลิ่นหอมจากเมล็ดกาแฟคุณภาพดี


ทางด้านคนฟังหลังได้ยินดังนั้นก็ตาโตไม่น้อย ในใจนึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางมาถึงแล้วคนที่เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้า ออกล่าในทุ่งกว้างพอได้ออกเดินทางมาเยือนต่างเมืองต่างถิ่นแบบนี้ล้วนต้องอดจะตื่นตาตื่นใจไม่ได้


เมืองนี้ค่อนข้างแตกต่างจากวินเทอร์ฟอล ทั้งสภาพแวดล้อม อากาศ หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิต การตกแต่งของตัวโรงแรมหรือบ้านเมืองล้วนแสดงถึงเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าถึงจะตื่นเต้นมากแค่ไหนเด็กหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการรักษากิริยาท่าทีเอาไว้ได้เป็นอย่างดีตามสิ่งที่ได้รับการขัดเกลามาตั้งแต่เยาว์วัย


“ต่อจากนี้เราต้องไปที่ไหนหรือครับ”


ซินเธียเอ่ยถามถึงจุดหมายแรกของวัน เขาตามมาโดยไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก รู้แค่ว่าต้องมาเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าคนสำคัญ ทางด้านคุณแม่ก็บอกให้ถือว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการฮันนีมูนไปในตัวด้วย



ชีวิตคู่

ฮันนีมูน

กับแอชลีย์ คิม อย่างนั้นหรือ จะเป็นอย่างไรกันนะ


“ท่าเรือนาวีเจี้ยน” คนตัวสูงว่า “เราจะไปพบฮิลล์ที่นั่น”


อีสเทิร์นพอร์ตคือเมืองท่าทางด้านตะวันออก มีภูมิศาสตร์ติดกับทะเลกว้างใหญ่ อาชีพหลักของคนท้องถิ่นคือการค้าขายโดยเน้นไปที่การค้าทางเรือ เมืองท่าแห่งนี้ในแต่ละวันจะมีเรือสินค้าจากต่างแดนมากมายเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและเงินทอง มันจึงเต็มไปด้วยกลุ่มคนหลากหลายซึ่งเดินทางมาจากดินแดนอีกฟากหนึ่งของผืนสมุทร


ผังเมืองของที่นี่ค่อนข้างแปลกตา บ้านเรือนต่างเป็นตึกโทนสีอิฐอ่อนบ้างเข้มบ้างเรียงรายคละเคล้ากันไปอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางเป็นถนนสองเลน ฝั่งขวาเป็นตึกรามบ้านช่อง ฝั่งซ้ายเป็นคูน้ำทอดยาวไปจนสุดสายมีทางเท้าสำหรับสัญจรคึกคักไปด้วยผู้คนทั้งคนท้องถิ่นและพ่อค้าต่างสวมใส่อาภรณ์ด้วยผ้าเนื้อบางเน้นความคล่องตัวเหมาะสมต่อสภาพอากาศแบบร้อนชื้น


เมืองท่าแห่งนี้มีฝนตกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในฤดูหนาวอุณหภูมิไม่ได้ต่ำเท่าวินเทอร์ฟอล


ซินเธียรู้สึกสดชื่นกับความคึกคักของเหล่าผู้คนในเมืองนี้เป็นอย่างมาก ทั้งแสงแดด เสียงพูดคุยจอแจตลอดทาง เขาแอบเห็นคนตั้งแผงเครื่องเทศหลากหลายชนิดอยู่ข้างทางด้วย หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าก่อนกลับจะต้องได้แวะเวียนนำติดมือไปด้วยสักอย่างสองอย่าง


จากตัวเมืองเดินทางไปถึงท่าเรือนาวีเจี้ยนใช้เวลาไม่นานนัก แหล่งที่อยู่อาศัยเริ่มบางตาลงมองเห็นแต่เพียงผืนทะเลสีครามกว้างสุดลูกหูลูกตา ยามเปิดประตูออกมาจากรถสายลมโชยเอากลิ่นอายของทะเลพัดมาปะทะจมูก


แอชลีย์เล่าว่านาวีเจี้ยนแห่งนี้มีตระกูลอัลฟ่าเก่าแก่ตระกูลหนึ่งคอยควบคุมดูแลอยู่ นั่นก็คือตระกูลแลมเบิร์ต พวกเขามีอำนาจมากอีกทั้งยังสืบทอดสายเลือดกันด้วยเหล่าอัลฟ่าโดยแท้ ไม่มีสายเลือดอื่นใดปน


นับเป็นเจ้าของท่ารายใหญ่ ถือสิทธิ์ครอบครองจนแทบจะเรียกว่าผูกขาดการค้าทางเรือ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือเล็กท่าเรือน้อยอยู่ในการควบคุมดูแลอีกไม่น้อย อำนาจล้นมือจนแม้แต่แอชลีย์ยังต้องเกรงใจ


ผู้นำคนปัจจุบันคือ ฮิลล์ แลมเบิร์ต อัลฟ่าในรุ่นเดียวกับแอชลีย์แต่เรื่องกิตติศัพท์นั้นนับว่าทิ้งห่างกันไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น ทั้งหน้าเลือด หยิ่งผยอง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่ในมุมมองของความเป็นผู้นำแล้วฮิลล์นับว่าเป็นผู้นำตระกูลอายุน้อยแต่เขาสามารถพัฒนานาวีเจี้ยนให้พุ่งทะยานเกินเป้าหมาย ขยายเขตการค้าออกไปอย่างมากมาย ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็สามารถทำให้ตระกูลแลมเบิร์ตเกือบจะผูกขาดการค้าทางเรือในอีสเทิร์นพอร์ตเอาไว้แล้ว


และเพราะเหตุนั้นในวงธุรกิจหากใครสามารถทำการค้ากับแลมเบิร์ตได้ก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล ถึงแม้ค่าเช่าท่าเรือจะแพงมากจนแทบเรียกได้ว่าขูดเนื้อแต่ผลตอบรับนั้นย่อมต้องดีแน่นอน


แน่นอน ใช่ว่าใครก็สามารถทำการค้ากับอัลฟ่าคนนี้ได้ มันไม่ง่ายเหมือนสิ่งที่วาดภาพฝันเอาไว้เลย คนผู้นี้มีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง เขาจะทำแค่สิ่งที่เขาพอใจ คบหากับคนที่เขารู้สึกว่าน่าคบหา


ซึ่งคนที่จะทำให้ฮิลล์สนใจได้จะต้องเป็นบุคคลที่ประเมินแล้วว่าสามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้ในระดับเกินจุดคุ้มทุน


และข้อเสนอของทางตระกูลคิมนับว่าน่าสนใจไม่น้อย การนัดหมายสำคัญนี้จึงเกิดขึ้นด้วยความยินดีจากคนทั้งสองฝ่าย


“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านชายคิม ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะได้พบคุณวันนี้”


อัลฟ่ารูปร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกันกล่าวทักทายอย่างยินดีขณะเชิญอาคันตุกะทั้งสองเข้ามานั่งในห้องรับรอง ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ใครๆ ก็ต่างขนานนามว่านั่นเป็นรอยยิ้มของปีศาจ


“สวัสดีครับ” แอชลีย์ยื่นมือไปจับทักทายตามมารยาท “ส่วนนี่คือซินเธีย วาเลนเธียเขาเป็นคู่ของผม”


“โอ้ ยินดีที่ได้พบคุณ” แววตาของชายหนุ่มส่องประกายเพียงชั่ววินาทีในตอนที่หันไปมองโอเมก้าเจ้าของเรือนกายสีน้ำผึ้ง


ทางด้านผู้มาเยือนกระแอมครั้งหนึ่งเหลือบสายตามองต่ำก่อนจะเป็นฝ่ายทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของสถานที่อนุญาตเมื่อสังเกตเห็นว่าฝ่ายนั้นทำท่าจะยื่นมือมาขอจับทักทายใครอีกคน


ฮิลล์หัวเราะเบาๆ ไม่นึกถือสา ยกมือข้างหนึ่งปลดกระดุมสองเม็ดแรกบนเชิ้ตสีดำด้วยท่วงท่าหย่อนอารมณ์ ชายหนุ่มเป็นอัลฟ่าที่ยังไม่แต่งงานและยังไม่คิดวางแผนจะจับคู่กับใครในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากยังมีเป้าหมายอีกมากมายรอดำเนินการ


“วันนี้พวกเราจะไม่พูดอ้อมค้อมก็แล้วกัน  ได้ยินว่าไม่นานมานี้ทางตระกูลคิมพึ่งได้กรรมสิทธิ์เหมืองแร่บริสุทธิ์จากทางใต้มาไว้ในครอบครอง ผมพูดถูกไหม”


ชั่ววินาทีหนึ่งตอนเอ่ยประโยคหลังฮิลล์ปรายสายตาไปยังโอเมก้าที่นั่งอย่างสงบอยู่ข้างกายคู่ชีวิต


ใบหน้าเรียบเฉย แผ่นหลังยืดตรงรับฟังแต่ไม่แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็น ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างามสมคำเล่าลือ


“ตามที่คุณได้ยินมา” แอชลีย์ยังคงท่าทีสงบ ได้ยินคำตอบนั้นทำเอานายท่าแลมเบิร์ตถึงกับตาวาว


เหมืองที่ว่าตั้งอยู่บริเวณดินแดนทางใต้ มันก็เหมือนสมบัติล้ำค่าที่ยังไม่ถูกค้นพบซุกซ่อนเอาไว้ลึกสุดขั้วต่อให้มีลายแทงอยู่ในมือก็ยังยากจะค้นหาได้ ตัวเหมืองมีขนาดใหญ่อุดมไปด้วยเหล่าอัญมณีมากมายโดยเฉพาะเพชรบริสุทธิ์ มูลค่าของมันมิอาจประเมินได้


เชื่อว่าเมื่อได้พวกมันไว้ในครอบครองตระกูลคิมคงจะนอนบนกองเงินกองทองไปอีกไม่รู้กี่ร้อยปี พื้นที่บริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์มาก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฮิลล์สนใจ ไม่ได้คิดจะไปแก่งแย่งสมบัติของผู้อื่น สิ่งที่อัลฟ่าหนุ่มสนใจคือส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการรับซื้ออัญมณีในราคาต่ำกว่าตลาดต่างหาก


เพชรพลอยพวกนั้นเมื่อนำมาเจียระไน รู้จักแปรรูปให้ดีมูลค่าย่อมพุ่งทะยาน ราคาขายต่อของพวกมันต่างหากที่น่าสนใจ ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาจะกอบโกยกำไรได้มากแค่ไหนจากการแทะเล็มผลประโยชน์เหล่านี้


“ส่วนเรื่องภาษีน่ะเราตกลงกันได้จริงไหม”


ชายหนุ่มเอนกายพิงพนัก ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มของปีศาจแสดงท่าทางหย่อนอารมณ์อย่างถึงที่สุดหลังเลื่อนแฟ้มสัญญาและข้อตกลงในการขอเช่าท่าเรือไปให้คู่ค้าตรงหน้า


“อ้อ แล้วก็ขอแนะนำ แอนนา” ผายมือไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่ซึ่งกำลังยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ


“เธอเป็นผู้ช่วยของผมเอง ทำงานเยี่ยมมากเลยล่ะ”


“สวัสดีค่ะ”


หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขณะโน้มตัววางแก้วกาแฟให้แขกทั้งสอง เมื่อยืดตัวขึ้นเต็มความสูงถึงได้พึ่งสังเกตรูปร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงเข้ารูปให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีบลอนด์ตามแบบฉบับประชากรส่วนใหญ่ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอัลฟ่า


“คงจะเป็นจริงอย่างที่คนเขาว่า ตระกูลแลมเบิร์ตเป็นอัลฟ่าสายเลือดบริสุทธิ์ ขนาดคนข้างกายก็ยังเป็นอัลฟ่า”


แอชลีย์กล่าวขณะเลื่อนสายอ่านรายละเอียดสัญญาในแฟ้ม คำพูดนั้นออกไปทางแฝงแนวจิกกัด แต่คนฟังกลับไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะชอบใจ ไหวไหล่ยอมรับความจริงอย่างภาคภูมิ


ก็ในเมื่อสิ่งที่อาคันตุกะจากแดนเหนือผู้นี้กล่าวออกมาไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยนเลยแม้แต่ครึ่งคำ เป็นจริงว่าคนของฮิลล์ทุกคนล้วนคัดสรรมาแต่อัลฟ่า มีทั้งสมองอันชาญฉลาดและพละกำลังที่มากกว่าคนปกติทั่วไป


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงสามารถก้าวขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้ภายในเวลาไม่กี่ปี และคงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมตระกูลแลมเบิร์ตถึงได้มีทั้งอำนาจและเงินทองอยู่เต็มสองกำมือ


ในสัญญาระบุการเช่าท่าเรือเป็นเวลา 8 ปี ซึ่งตามปกติแล้วการกำหนดเวลามักจะอยู่ในช่วงราวๆ 5 - 10 ปีอยู่แล้วแทนการทำสัญญาถาวรหรือในระยะยาวอันเสี่ยงจะนำปัญหายุ่งยากตามมาในอนาคต เมื่อถึงเวลาทั้งสองฝ่ายค่อยกลับมาคุยกันว่าสนใจจะทำธุรกิจกันต่อหรือไม่ นับว่าแนวคิดนี้ของฮิลล์ค่อนข้างดี


ส่วนค่าเช่าแทบไม่ต้องพูดถึง ราคาสมน้ำสมเนื้อกับฉายาปีศาจหน้าเลือด หากเป็นคนอื่นคงต้องใช้เวลาพิจารณาข้อเสนอที่ขูดเลือดเนื้อกันแบบนี้พอสมควร แอชลีย์อ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดสมองก็ประมวลผลรวดเร็ววิเคราะห์ผลได้ผลเสีย สัญญาฉบับนี้ข้อเสียเปรียบเดียวคงจะเป็นราคาเช่าที่สูงลิบลิ่ว ทางด้านภาษีเรือสินค้าก็หนักหนาเอาการแต่เรื่องนั้นอีกฝ่ายบอกว่ายังคุยกันได้ก็พอรับได้ไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนั้นยังขอซื้ออัญมณีจากตระกูลคิมในราคาต่ำกว่าตลาดเกือบสองเท่าเรียกว่าฝ่ายนั้นได้เปรียบไปเต็มๆ


ก็พูดไปอย่างนั้น อันที่จริงก็ตัดสินใจมาตั้งแต่บ้านแล้ว เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหาสักนิดในเมื่อผลตอบแทนหลังจากนี้ที่ทางเขาจะได้รับมันก็มากมายพอกัน


ขอแค่ได้ประโยชน์พึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายเรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว


ชายหนุ่มปิดแฟ้มพร้อมเลื่อนมันส่งคืนแก่เจ้าของ ทางนั้นเองก็อ่านสัญญาจากทางฝ่ายตระกูลคิมจบพอดี


“เป็นอย่างไรครับ”


“เราอาจต้องตกลงกันเรื่องภาษีอีกสักครั้ง”


“ไม่มีปัญหา” เอ่ยพร้อมยิ้มอารมณ์ดี ไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายดูจากท่าทีกับสีหน้าของฝ่ายนั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าต่างฝ่ายก็ต่างพึงพอใจในสัญญา


“บอกตามตรงว่าผมถูกชะตากับคุณมาก” เขาชอบคนที่พูดจากันง่ายๆ “แต่ถึงจะชอบมากก็ไม่มีลดค่าเช่าให้นะ เรือผมเป็นเรืออย่างดีให้ไปเลยสองลำฟรีๆ กับจุดจอดรับส่งสินค้าที่ดีที่สุด”


แน่นอนราคามันถึงได้สูงขนาดนี้ยังไงล่ะ


“ผมไม่เกี่ยง”


“คุยกันง่ายๆ แบบนี้สิถึงน่าคบหา” คราวนี้รอยยิ้มของอัลฟ่าหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ว่าเขาพึงพอใจในความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงๆ


เหมือนอย่างที่คุณพ่อพูดไว้ คนคนนี้ถึงจะหน้าเลือดแต่ก็ใจใหญ่ หากทำให้เขาพอใจสิ่งที่จะได้รับกลับมามันจะพิเศษสุดๆ ไปเลยล่ะ เพราะหลายคนกลัวตัวเองจะเสียประโยชน์ ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนในราคาสูงถึงได้พลาดโอกาสทองแบบนี้ไปอย่างไรล่ะ


ยอมเสียมากในวันนี้หน่อยจะเป็นไรไป


“ว่าแต่ ท่านชายท่านนี้ผมเห็นคุณจิบกาแฟไปอึกเดียว ไม่อร่อยหรือครับ” ฝ่ายคนที่นั่งทำตัวเป็นอากาศมานานค่อยตื่นจากภวังค์ยามได้ยินเสียงทัก ก่อนหน้านี้ก็มัวฟังคู่ค้าทั้งสองคุยกันเสียเพลินรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนกาแฟเขาจิบชิมไปเพียงนิดเดียวเนื่องด้วยกลัวจะเสียน้ำใจ คนอุตส่าห์นำมาบริการจะปล่อยทิ้งไว้ก็กระไรอยู่ทั้งที่ตัวเองไม่ชอบรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนี้เสียเท่าไหร่


จะให้พูดก็คือสมัยยังอยู่ในธอร์นพวกเขาไม่นิยมดื่มอะไรแบบนี้กัน สุราหมักนับเป็นเครื่องดื่มหลักรองลงมาจากน้ำเปล่า ตอนอยู่คฤหาสน์คิมเคยลองจิบไปครั้งหนึ่งรสขมปร่าแล่นไปทั่วลิ้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย


“ภรรยาของผมเขาไม่ชอบดื่ม” ขณะกำลังอึกอักไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรไม่ให้เสียน้ำใจทั้งคนฟังและคนชง คนข้างกายก็เป็นฝ่ายช่วยตอบแทนไปเสียแล้วแถมยังเป็นคำตอบที่ตรงแสนจะตรง ซินเธียถึงได้แต่ส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนกลับไปให้ทางนั้นแทน


“โอ้ ผมไม่ทราบมาก่อนต้องขออภัย คราวหลังจะให้แอนนาจัดเครื่องดื่มชนิดอื่นให้แทนนะครับ รับเป็นอะไรดี ชาดีไหม ผมได้ยินว่าคนทางเหนือชอบจิบชาเป็นกิจวัต”


“อย่างนั้นก็ได้ครับ” ซินเธียเลือกจะกลืนคำว่าตนมาจากดินแดนทางใต้ลงคอไป อย่างไรเสียตลอดเวลาเดือนกว่าๆ ในวินเทอร์ฟอลเขาก็เริ่มชินกับวิถีชีวิตเอ้อระเหยของคนดินแดนนี้แล้วล่ะ


“ผมอยากจะดูรอบๆ ท่าเรือของคุณสักหน่อย” แอชลีย์เอ่ยแทรก


“ย่อมได้” ฮิลล์ไหวไหล่ หยัดตัวขึ้นเต็มความสูง “ผมจะพาคุณชมความยิ่งใหญ่ของนาวีเจี้ยนสักหนึ่งรอบแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องสัญญากันต่อ”


คนทั้งสี่เดินออกมาจากอาคารสำนักงานใหญ่ ฮิลล์ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดของสถานที่ไปตลอดทางด้วยตัวเอง ในส่วนของท่าเรือมีคนงานมากมายกำลังขนสินค้าหลากหลายชนิดขึ้นเรือขนส่งขนาดใหญ่


ซินเธียกวาดตามองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ ตลอดแนวชายฝั่งมีเรือลำมหึมาจอดเทียบท่าเรียงราย ด้านล่างเรือบนฝั่งเป็นจุดตรวจคัดสินค้าครั้งสุดท้าย เขามองเห็นเหล่ามนุษย์งานอัลฟ่าจำนวนมากแบกสินค้ามาวางเรียงรายเตรียมขนย้ายขึ้นเรือ มีทั้งเครื่องใช้ ของประดับจำพวกโถ แจกันหายาก เครื่องเทศ แม้แต่สัตว์ตัวเป็นๆ ก็ยังมีให้ได้พบเห็น


จากการนั่งฟังก่อนหน้านี้ ซินเธียพึ่งทราบว่าตระกูลคิมทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่ ส่งออกอัญมณีที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปหรือเจียระไน ที่ผ่านมาเป็นการขายสู่ตลาดภายในหรือฝากขายไปกับเรือสินค้า ส่วนตอนนี้กำลังจะขยายขอบเขต ทำการส่งออกด้วยตนเอง อีกทั้งยังวางแผนจะเริ่มเจียระไนอัญมณีเองอีกด้วย


พอช่วงสายแดดเริ่มแรงขึ้น ซินเธียยกมือขึ้นบังดวงตาขณะเดินตามอัลฟ่าทั้งสองสำรวจท่าเรือเนื่องจากเริ่มสู้แสงไม่ค่อยไหว พอร่างกายมันเจอแต่อากาศหนาวเย็นมาตลอดจนเริ่มชินวันนี้โดนแดดเข้าหน่อยเลยรู้สึกมึนอยู่ไม่น้อย อีกทั้งกลิ่นเกลือจากทะเลโชยมาตามลมให้ความรู้สึกเหนียวตัว เดินเอียงไปเอียงมาจนเกือบจะชนคนงานแถวนั้นเข้าเสียแล้ว


ทางด้านคนที่พอเป็นเรื่องงานสมาธิก็จดจ่อแน่วแน่ ชั่วขณะหนึ่งพอหันมาเจอคนตัวเล็กก็เปลี่ยนไปพูดอะไรบางอย่างกับผู้ช่วยแอนนาสองสามคำก่อนเธอจะรับคำแล้วหายไปทางอาคารสำนักงาน


ตอนแรกเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจกระทั่งเธอเดินกลับมาพร้อมหมวกสานในมือ แอชลีย์กล่าวคำขอบคุณเสียงเบาแล้วรับมันนำมาสวมให้กับคนตัวบาง ปีกหมวกกว้างจนสามารถบดบังแสงได้เกือบทั้งหมดค่อยรู้สึกสบายตาขึ้นมาหน่อย


“เดินระวังด้วยสิ” ดูเหมือนการเอ่ยตักเตือนจะยังไม่พอถึงได้ดึงภรรยาตัวน้อยเข้าไปใกล้จนสามารถโอบไหล่ได้ถนัดบังคับให้คนไม่ระวังเดินเคียงกันไป


ฮิลล์หยุดอธิบายคุณสมบัติของเรือรุ่นท็อปในคลังหันมาออกปากแซวคู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างสนุกปากแทน


“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างท่านแอชลีย์ คิมจะดูแลเอาใจใส่คู่ชีวิตได้ดีขนาดนี้ ผมนับถือคุณมากจริงๆ”


คนที่ตกเป็นประเด็นมีหรือจะสนใจยังคงตีหน้าตาย แผ่รังสีเคร่งขรึมไม่หยุดหย่อนขณะเดินโอบคู่ชีวิตในอ้อมแขนพากันเดินไปยังจุดถัดไป เลือกเมินคำเย้าแหย่แทรกด้วยคำถามเกี่ยวกับการขนส่ง จริงจังเสียจนดูขัดกับท่าทางที่แสดงออกมาในขณะนี้เสียจริง


ฮิลล์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะรีบเดินตามไปอธิบายทุกประเด็นที่คู่ค้าคนสำคัญซักถามอย่างไม่มีปิดบัง



TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 23-06-2019 23:37:13
รอตอนต่อไปจ้า o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-06-2019 00:31:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-06-2019 01:07:45
หวงเหรอออ  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-06-2019 02:17:57
 :mew1: :mew1: o13 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 24-06-2019 02:42:06
แอชโคตรซึนอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-06-2019 14:00:44
ห่วงละซิ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-06-2019 14:54:03
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-06-2019 20:44:24
ยังไงๆน้องซินเธียก็อยู่กับแดด ขี่ม้า ล่าสัตว์มาเกือบทั้งชีวิต เจอแดดแล้วรู้สึกจะไม่ไหวแบบนี้เพราะกำลังท้องกำลังไส้อยู่หรือเปล่าน้า..  :m17:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 12 [P.3] --- 23/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 24-06-2019 22:16:14
โอยยย อิชั้นชอบความซึนของพระเอก เขินนนน  :z3:  :ling1:  :o8:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 26-06-2019 20:17:44


บทที่ 13





เมื่อวานหลังตกลงทำสัญญากันทั้งสองฝ่ายผ่านไปอย่างราบรื่น แอชลีย์รั้งอยู่คุยเรื่องการขยายเขตการค้า ศึกษาจากประสบการณ์ของนายท่าแลมเบิร์ตจนใกล้ค่ำทางฝั่งนั้นเองเรื่องไหนพูดได้ก็พูดไปหมดไม่มีปิดบัง ไม่นึกหวงความรู้อยู่แล้วด้วยทราบดีว่าคนอย่างแอชลีย์คิมเองก็มีแนวทางของตัวเอง


คนสองคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์จนหลงลืมเวลา จบหนึ่งวันลงด้วยเรื่องงานอย่างเต็มคราบ


พอกลับห้องพักมาก็คิดว่าคงจะใช้เวลาพักผ่อน มันเป็นจริงดังคาดทว่าการพักผ่อนของท่านแอชลีย์ออกจะกินแรงคนอื่นไปเสียหน่อย ซินเธียไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงได้ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ลำคอตนนัก สังเกตมาหลายครั้งจากการร่วมรักกันลำคอของเด็กหนุ่มเป็นส่วนที่อีกคนชอบมากที่สุด ซุกไซ้ งับเบาๆ เหมือนลูกสุนัขคันฟัน


ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น


จากหยอกเย้าก็กลายเป็นจริงจัง โรมรันพันตูกันอยู่ค่อนคืนสาแก่ใจคนตัวโตแล้วถึงได้ปล่อยให้ภรรยาตัวบางได้พักผ่อนบ้าง


เช้าวันที่สองในอีสเทิร์นพอร์ตดูเหมือนอุณหภูมิจะอุ่นกว่าเมื่อวาน แผนการวันนี้ถูกจัดเตรียมโดยนายท่าแลมเบิร์ตแห่งนาวีเจี้ยน หลังพูดคุยกันจนถูกอกถูกคออัลฟ่าหนุ่มอาสาเป็นเจ้าบ้านที่ดีพาเยี่ยมชมรอบตัวเมืองด้วยตนเองและขอจบวันด้วยดินเนอร์หรูจากคฤหาสน์แลนเบิร์ต ถือเป็นงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ให้กับอาคันตุกะทั้งสอง


กำหนดการวันนี้ไม่ได้รีบเร่งเท่าเรื่องงานเหมือนเมื่อวาน ฝ่ายเจ้าบ้านอยากให้คู่แต่งงานใหม่ใช้ช่วงเวลายามเช้าด้วยกันอย่างเต็มที่ ตอนชายหนุ่มกล่าวประโยคนั้นพร้อมขยิบตาซินเธียยังไม่เข้าใจ แต่จากเหตุการณ์เมื่อคืนถึงได้เริ่มรู้ซึ้งขึ้นมาบ้าง


เด็กหนุ่มนอนคู้ตัวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ชีวิต กลิ่นอายความแข็งแกร่งเฉกเช่นอัลฟ่าโตเต็มวัยทำให้รู้สึกปลอดภัย จมลึกอยู่ในห้วงนิทราไร้ซึ่งความกังวล


อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้วแต่ก็ยังอยากซึมซับเอาช่วงเวลาแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก เหม่อมองแสงแดดลอดผ่านรอยแยกของม่าน ไอร้อนจากฝ่ามือใหญ่ที่วางทาบอยู่บนท้องน้อยชวนให้รู้สึกหวิวในอก สัมผัสได้ถึงจังหวะหายใจสงบนิ่งเป่ารดอยู่เหนือใบหูบ่งบอกว่าอีกคนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงนิทรา ซินเธียปล่อยให้เวลาเดินไปอย่างช้าๆ กอบโกยความสุขสงบท่ามกลางบรรยากาศห้องพักที่มีแต่กลิ่นฟีโรโมนของกันและกันผสมผสาน จนกระทั่งเผลองีบไปอีกหนึ่งตื่น


นึกหลงใหลในช่วงเวลาแบบนี้เป็นที่สุด


---


ช่วงสายกายสูงใหญ่ที่เคยกกกอดก็ผละจากไป ซินเธียรู้สึกตัวขึ้นมาเป็นครั้งที่สองของวันจากเสียงสายน้ำกระทบพื้น ยังไม่ทันจะลุกเสียงน้ำก็หยุดลงแล้วพร้อมกับประตูถูกเปิดออกปรากฏร่างสูงสมส่วนของอัลฟ่าหนุ่มคู่ชีวิตด้วยสภาพที่คล้ายกับเมื่อวาน


ครั้งนี้ซินเธียบังคับสายตาไม่ให้มองต่ำกว่าใบหน้าของชายหนุ่ม ถึงแม้การต้องเงยหน้าเพื่อสบตากับแอชลีย์จะทำให้รู้สึกปวดคอไปบ้างก็ตาม


“ตื่นแล้วเหรอ”


“อื้ม” ตอบขณะประคองกายลุกขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับเสื้อถูกคลุมลงบนลาดไหล่ทั้งสองโดยฝีมือใครอีกคน เหมาะเจาะเสียจนไม่ต้องเปลือยผิวกายท้าแดดท้าลม


ซินเธียใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานก็เรียบร้อยแล้วถึงค่อยพากันลงไปทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม สองคนรักษาเวลาเป็นอย่างดีถือโอกาสใช้เวลาที่เหลืออีกเล็กน้อยก่อนถึงเวลานัดเดินชมบรรยากาศยามสายของอีสเทิร์นพอร์ตบริเวณที่พัก


“เราซื้อเครื่องเทศกลับไปได้หรือเปล่า” คนอ่อนกว่าเงยหน้าถามเจ้าของกระเป๋าเงินด้วยท่าทางเกรงใจ แต่ในดวงตาสีเงินคู่นั้นกลับทอประกายแววออดอ้อนออกมาไม่รู้ตัว


ตอนเดินออกจากโรงแรมเลียบมาบนถนนเส้นเดิมทำให้ผ่านแผงเครื่องเทศร้านเมื่อวาน ซินเธียอยากได้พวกมันมากๆ แต่ตัวเขานั้นไม่ได้มีเงินติดตัวสักเหรียญจึงได้แต่ต้องอาศัยคนตัวสูงแล้ว


แอชลีย์เลิกคิ้ว ใบหน้ายังคงราบเรียบเหมือนทุกวัน ชายหนุ่มหันกลับไปมองแผงเครื่องเทศดังกล่าวชั่วขณะหนึ่งแล้วพยักหน้ารับเบาๆ


“ค่อยไปดูที่ตลาด คุณภาพจะดีกว่านี้”


หนึ่งในแผนเที่ยวชมวันนี้ ฮิลล์ แลมเบิร์ตกล่าวถึงตลาดพื้นเมืองด้วย ได้ยินว่าเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่มีสินค้าให้เลือกชมมากมาย พอคิดแบบนั้นเด็กหนุ่มเลยพยักหน้าเห็นด้วยเลิกสนใจเรื่องเครื่องเทศแล้วเปลี่ยนมาชื่นชมบรรยากาศอันแสนครึกครื้นของเมืองท่าแห่งนี้แทน


เนื่องจากเมื่อวานต้องรีบจัดการเรื่องงานก่อน ตอนเดินทางเลยไม่ได้สนใจรอบด้านนัก วันนี้พอได้โอกาสเดินชมอย่างเต็มที่ซินเธียจึงซึมซับกักเก็บทุกรายละเอียดที่ได้พบเห็นตามรายทาง เป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างที่สุด


คนทั้งสองเดินมาจนถึงสะพานหินใช้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลตัดผ่านกลางเมือง ข้ามมาจนกระทั่งถึงจุดกึ่งกลางแล้วก็รีบปล่อยมือใหญ่ที่เจ้าของบอกให้จับเอาไว้ด้วยเหตุผลกลัวจะพลัดหลง ก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปเกาะขอบสะพานทอดสายตาไปตามลำน้ำไกลสุดลูกหูลูกตา


สะพานนี้ค่อนข้างสูงเพื่อจะสามารถให้เรือเล็กลอดผ่านไปได้ นอกจากแผงขายข้างทางแล้ว การค้าบนเรือเล็กเหล่านี้ก็คึกคักมากเช่นกัน ริมแม่น้ำจะมีชาวเมืองบางคนตะโกนทักทายคนบนเรือถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไม่ก็ยืนจับจ่ายซื้อขาย สินค้าส่วนใหญ่มักเป็นพวกผลไม้ อาหารและเครื่องดื่ม


“เมืองนี้คึกคักมากเลยนะครับ”


“อืม” แอชลีย์เดินมายืนเคียงคนเด็กกว่า สองมือล้วงกระเป๋าส่วนดวงตาก็ทอดมองไปยังจุดเดียวกับซินเธีย “คงเพราะเป็นเมืองท่า”


เทียบกับวินเทอร์ฟอลแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ที่นั่นทั้งสงบ เงียบงัน ประชากรค่อนข้างน้อยผู้คนนิยมอาศัยอยู่ในที่พักของตัวเองมากกว่าจะออกมาเดินเตร็ดเตร่ภายนอกด้วยเพราะอากาศหนาวเย็น และต่อให้เป็นตัวเมืองอย่างจัตุรัสไวท์สแควร์ดูแล้วก็ยังไม่คึกครื้นเท่าเมืองท่าแห่งนี้อยู่ดี


“คุณเคยมาที่นี่ไหม”


“เคยแต่มาทำงาน”


ซินเธียพยักหน้ารับ ดูจากนิสัยของแอชลีย์แล้วก็คงเป็นพวกทำแต่งานคงไม่มีอารมณ์อยากจะมาเดินเล่นชมรอบเมืองแบบตอนนี้


“คุณดูนั่นสิ มีดอกไม้ป่าด้วย” เด็กหนุ่มชี้ไม้ชี้มือไปทางเรือลำหนึ่งที่พึ่งลอดผ่านสะพานไป บนเรือลำเล็กเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดแต่ทุกดอกล้วนเป็นดอกไม้ป่าสายพันธุ์ที่หาได้เฉพาะทางใต้เท่านั้น พอได้เห็นอะไรเกี่ยวกับบ้านเกิดของตนเองมันก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้


เชื่อแล้วว่าเมืองท่าแห่งนี้เป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าที่ใหญ่มากจริงๆ สิ่งของของทุกอย่างจากทุกดินแดนล้วนมารวมอยู่ภายในอีสเทิร์นพอร์ตแห่งนี้


ทว่า ดูเหมือนใครอีกคนจะไม่นึกตื่นเต้นด้วย


“ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวได้ตกลงไปหรอก” คนตัวสูงส่งเสียงดุ ขมวดคิ้วขยับเข้าไปประชิดคนไม่ระวังตัวแล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบลาดไหล่มนเอาไว้ส่วนอีกข้างช่วยกันด้านหน้าไม่ให้เผลอทะเล่อทะล่าตกลงไป


“ขอโทษครับ...”


คนโดนดุซึมลงไปถนัดตา เดินถอยออกมาให้ห่างจากขอบสะพานตามแรงชักจูงของอัลฟ่าหนุ่ม พอออกมาในระยะปลอดภัยแล้วก็รีบช้อนตาขึ้นเอ่ยคำขอโทษทันที


ซินเธียยังไม่เคยโดนแอชลีย์ดุ ไม่รู้หรอกว่าเวลาแบบนั้นเจ้าตัวจะน่ากลัวแค่ไหน แล้วก็รู้ด้วยว่าครั้งนี้เป็นเพียงคำเตือนเพราะห่วงความปลอดภัยเฉยๆ แต่ไม่รู้ทำไมแค่สายตานิ่งๆ กับน้ำเสียงทุ้มต่ำแบบนั้นของอีกคนถึงได้ทำเอาเด็กหนุ่มต้องรีบทำตัวสงบเสงี่ยมยอมอยู่ในโอวาทโดยอัตโนมัติ


“โอ๊ะ!”


นั่นไม่ใช่เสียงอุทานของซินเธียหรือแม้แต่คนตัวโต แต่ก็ทำให้คนทั้งสองละสายตาออกจากกันเพื่อหันไปมองได้ในทันที อีกด้านหนึ่งของสะพานมีเด็กน้อยอายุราว 5 – 6 ปี กำลังวิ่งเข้ามาทางนี้ เมื่อก้มลงมองสิ่งที่กลิ้งมากระทบรองเท้าเมื่อครู่ก็พบเข้ากับลูกบอลหนังขนาดหนึ่งฝ่ามือ มันกำลังจะเริ่มกลิ้งไปทางอื่นอีกครั้งเพราะซินเธียขยับเท้าหมุนตัวกลับมามองเมื่อครู่เขาเลยรีบเดินไปหยิบขึ้นมาก่อนมันจะกลิ้งลงไปจากสะพานตามแรงโน้มถ่วง


“ขอบคุณครับ” เด็กน้อยเอ่ยขอบคุณเมื่อซินเธียย่อตัวลงไปช่วยส่งลูกบอลคืนให้ ดวงตากลมโตใสแจ๋วกระพริบปริบๆ อย่างน่ารัก


“คราวหลังอย่าทำหลุดมืออีกล่ะ”


“อื้ม แน่นอนอยู่แล้ว!”


เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าจนผมพลิ้วสะบัดไปตามแรงขยับก่อนจะวิ่งกลับไปอีกด้านของสะพานที่มีครอบครัวของเจ้าตัวรออยู่


พอวิ่งไปแล้วก็เหมือนจะถูกคุณแม่ดุนิดหน่อยเดาจากท่าทางจ๋อยๆ แต่ก็สลดได้ไม่นานหันมาออดอ้อนผู้เป็นมารดาเสียจนเธอหลุดหัวเราะทั้งเอ็นดูและรักใคร่ สามคนพ่อแม่ลูกหันมาขอบคุณน้ำใจของซินเธียอีกครั้งก่อนจะจูงมือกันเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความสุขสันต์โดยมีเด็กชายตัวน้อยอยู่ตรงกลาง สองแขนถูกคุณพ่อคุณแม่จับจูงคนละข้างกระโดดโหยงเหยงไปมา ส่วนลูกบอลนั้นโดนคนพ่อยึดไปถือไว้แทนแล้ว


“บ๊ายบาย”


เดินห่างออกไปขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์หันมาโบกมือลาส่งท้าย ซินเธียเลยโบกมือกลับไปทั้งรอยยิ้ม เด็กหนุ่มยังคงย่อตัวนั่งอยู่ท่าเดิมขณะมองภาพครอบครัวตรงหน้าแล้วมันก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่น่ารักเป็นพิเศษ


จนอดคิดไม่ได้ว่า... หากเขามีลูกน่ารักๆ แบบนั้นสักคนจะเป็นอย่างไรนะ


จะหน้าเหมือนตัวเองหรือใครอีกคน


ระหว่างนั้นก็ลอบมองเสี้ยวหน้าคนที่ยืนปั้นหน้านิ่งอยู่ข้างกายเงียบๆ


แต่คงจะแสบน่าดู



คิดบ้าอะไรอยู่กันเรา


หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 26-06-2019 20:20:12



ใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่กันอีกพักใหญ่จนถึงเวลานัดหมายฮิลล์ก็พาสองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันนั่งรถชมรอบตัวเมือง ระหว่างทางก็คอยอธิบายเรื่องราวภายในอีสเทิร์นพอร์ตไปด้วย


เมืองนี้ยึดทำอาชีพค้าขายกับการประมงเป็นหลัก อาหารขึ้นชื่อเป็นจำพวกของทะเลซึ่งมีความสดเป็นพิเศษ ตัวซินเธียตั้งแต่มาถึงที่นี่เขายังไม่เคยมีโอกาสได้ลองอาหารขึ้นชื่อเลยสักครั้ง ทานกันแต่พวกอาหารในโรงแรมพอได้ฟังอัลฟ่าหนุ่มสาธยายเหล่าเมนูน่าลิ้มลองออกมาไม่ขาดปากท้องมันก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกแล้ว


ประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นเบต้าไม่ต่างไปจากตัวเมืองหลักของดินแดนต่างๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือจำนวนของอัลฟ่ามีอัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ ฮิลล์เป็นอัลฟ่าอายุน้อยที่มีอำนาจในมือมากจนเรียกว่าแทบจะปิดแผ่นดินด้วยมือข้างเดียว ทว่า มันเป็นแค่เรื่องทางการค้าขาย ชายหนุ่มไม่ใช่อัลฟ่าจ่าฝูง หรือผู้นำของดินแดนแห่งนี้


เจ้าตัวเล่าว่าฝูงของพวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองที่มีชื่อว่าคริสตัลสตรีม ห่างจากตัวอีสเทิร์นพอร์ตไปราว 2 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ และครึ่งวันสำหรับเดินเรือเนื่องจากเส้นทางน้ำต้องอ้อมผ่านนาวีเจี้ยนไปทางทิศตะวันออกระยะทางจึงไกลกว่า


เทียบจำนวนประชากรอัลฟ่ากับโอเมก้ารวมกันแล้วยังไม่ถึงครึ่งของจำนวนเบต้า ในอีสเทิร์นพอร์ตไม่ได้มีเพียงคนท้องถิ่นดั้งเดิมแต่ยังมีคนจากดินแดนอื่นหรืออีกฟากฝั่งหนึ่งของทะเลมาตั้งถิ่นฐานอาศัยปะปนกัน อัลฟ่าที่เห็นในเมืองส่วนมากก็มักจากมาจากที่อื่น


ส่วนตระกูลแลมเบิร์ตเดิมก็อาศัยอยู่ในคริสตัลสตรีม แต่เพราะพวกเขาเป็นตระกูลคหบดีเลยออกมาสร้างคฤหาสน์อยู่ในนาวีเจี้ยนเพื่อสะดวกต่อการทำงาน นานครั้งถึงจะกลับไปบ้านเดิม


“นี่คือตลาดพื้นเมือง เป็นศูนย์รวมแลกเปลี่ยนบนดินที่ใหญ่ที่สุดในอีสเทิร์นพอร์ต”


ฮิลล์แนะนำอย่างเจ้าบ้านที่ดีถึงหนึ่งในสถานที่มีชื่อเสียงของอีสเทิร์นพอร์ต ซินเธียก้าวออกมาจากรถตามหลังผู้เป็นสามี สองตาก็กวาดมองไปรอบๆ เชิงสำรวจ


ช่วงเวลาบ่ายแก่เป็นช่วงคึกคักที่สุดสำหรับตลาดพื้นเมืองแห่งนี้เนื่องจากช่วงเช้าจะเป็นเวลาขนส่งสินค้าทางเรือ นาวีเจี้ยนหรือแม้กระทั่งท่าเรือน้อยใหญ่แห่งอื่นจะวุ่นวายเป็นพิเศษ พวกพ่อค้าที่เดินทางมาจากต่างแดนจะนำสินค้าของตนเองมาขายที่ตลาดแห่งนี้ช่วงบ่าย พักกันอยู่สองถึงสามวันหรือนานที่สุดก็คือหนึ่งอาทิตย์รอจนกว่าสินค้าที่นำมาจะขายออกจนหมดแล้วค่อยซื้อของจากที่นี่กลับไปขายต่อในดินแดนของตน


ตัวตลาดค่อนข้างใหญ่ บรรยากาศคึกคักแออัดไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ตลอดทางเดินจะเต็มไปด้วยแผงสินค้ามากมายมีทั้งร้านค้าประจำของเจ้าถิ่นหรือแผงชั่วคราวสำหรับพ่อค้าขาจร
ไม่ต้องรอให้ใครบอกซินเธียก็เกาะแขนคนตัวสูงแน่นระหว่างเดินเข้าไปในตลาด รอบกายเต็มไปด้วยเสียงตะโกนพูดคุยกัน เสียงตะโกนเรียกลูกค้า เบียดเสียดวุ่นวายจนกลัวว่าหากไม่พยายามอยู่ใกล้อัลฟ่าของตัวเองเข้าไว้จะต้องพัดหลงกันเป็นแน่


“บรรยากาศอาจจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่รับรองว่าของทุกอย่างที่คุณต้องการสามารถหาได้จากที่นี่ในราคาย่อมเยา”


ฮิลล์อธิบาย เขาเดินนำทางด้วยท่าทีผ่อนคลายและคุ้นชินเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็คงไม่แปลกสำหรับคนเป็นพ่อค้า ดูท่าแล้วคงจะมาที่นี่เป็นร้อยๆ ครั้ง


“อ้อ คุณบอกว่าอยากได้เครื่องเทศใช่ไหม ผมมีร้านดีๆ อยู่ร้านหนึ่ง” นายท่าแลมเบิร์ตทำท่านึกขึ้นได้ ก่อนมาถึงตลาดแอชลีย์เคยเอ่ยปากถึงแหล่งซื้อเครื่องเทศอยู่


“อืม”


“ทางนี้ครับ”


ร้านดังกล่าวอยู่ค่อนข้างลึกเข้าไปในตัวตลาด ใช้เวลาเดินราวสิบนาทีก็มาถึง ยังไม่ต้องเห็นของแต่กลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ก็ลอยมาแตะจมูก ซินเธียตาวาวทันที ร้านนี้ดูแล้วคงเป็นรายใหญ่ ตั้งขายอยู่ในอาคารคูหาคู่ ด้านหน้ามีถุงกระสอบบรรจุเครื่องเทศแต่ละชนิดตั้งเรียงรายให้เลือกสรรอย่างอิสระ


“สนใจอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”


เจ้าของร้านร่างสูงใหญ่เป็นเอกลักษณ์สวมเสื้อแขนกุดกับกางเกงเข้ารูปอวดผิวสีแทนออกมาต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม มองแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคนผู้นี้...


เป็นคนจากแดนใต้


“โอ้ดูเหมือนคุณจะมาจากดินแดนทางใต้เหมือนกันสินะ” พ่อค้าเครื่องเทศคนนั้นเมื่อมองซินเธียดีๆ ก็ทักออกมาบ้าง


“ครับ” เด็กหนุ่มเลยยิ้มตอบ


“ไม่ง่ายเลยนะกับการจะเจอคนจากธอร์น” พ่อค้าผิวแทนกล่าว แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดมาล้วนไม่มีตรงไหนผิด ชาวธอร์นเร้นกายอยู่ในป่าลึกสุดของดินแดนทางใต้ ใช้ชีวิตบนหลังม้ากับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับคนภายนอกดินแดนของตัวเองนัก แต่กับคนนอกคอกอย่างชายหนุ่มไม่ใช่


“ผมเองก็ออกมาค้าขายตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้เกือบ 20 ปีแล้ว วันหนึ่งพบเจอคนมากมายสนุกกับการค้าขายจนเกือบจะหลงลืมความเป็นธอร์นเสียแล้ว”


นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมอีกฝ่ายถึงจำซินเธียไม่ได้ และเด็กหนุ่มเองก็ไม่คิดจะแนะนำตัว ถึงอย่างไรตอนนี้เขากลายเป็นคนของวินเทอร์ฟอลแล้ว อาจจะมีความรู้สึกคะนึงหาเป็นบางคราแต่ชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปบ้านเกิดอีกหรือไม่


ไม่ได้คิดหลงลืมดินแดนบ้านเกิดของตัวเอง แต่เขาแค่กำลังพยายามที่จะก้าวไปข้างหน้าก็เท่านั้น


หลังจบบทสนนาก่อนหน้าคนทั้งสองก็ไม่ได้พูดลำลึกความหลังอะไรกันอีก ซินเธียเลือกเครื่องเทศที่ตัวเองชื่นชอบมาหลายอย่าง เนื่องจากคุณพ่อค้าเสนอจะลดราคาให้เป็นพิเศษด้วยความเป็นคนบ้านเดียวกันเขาเลยได้ขนเจ้าพวกนั้นกลับวินเทอร์ฟอลไปหลายกระสอบใหญ่


“ร้านของคุณมีบริการขนส่งไหม” แอชลีย์ถามในระหว่างกวาดตามองบรรดากระสอบเครื่องเทศมากมายตรงหน้า ซื้อว่าเยอะแล้วของแถมยิ่งเยอะกว่าทำเอาอัลฟ่าหนุ่มรู้สึกหนักใจไม่น้อย ต่อให้ไม่มีนัดมื้อเย็นกับฮิลล์ต่อก็ยังคิดว่าการขนสิ่งเหล่านี้กลับโรงแรมด้วยตัวเองเป็นเรื่องยากอยู่ดี


“ต้องขออภัยนะครับท่านชาย วันนี้คนงานของผมลาหยุด ผมเองก็ไม่สะดวกจะไปส่งด้วยตัวเองถึงแม้จะยินดีทำแบบนั้นก็ตาม” เจ้าของร้านถอนหายใจ แสดงสีหน้าขออภัยอย่างจริงจัง ช่วงบ่ายการค้าขายกำลังคึกคักถ้าไม่มีคนช่วยเฝ้าร้านเขาก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวให้คนของผมช่วยขนไปก็ได้ ตระกูลแลมเบิร์ตเองก็มีร้านค้าตั้งอยู่ที่นี่เหมือนกัน”


ฮิลล์เสนอความเห็นและก็ได้รับความเห็นด้วยจากคนที่มีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน


“ต้องรบกวนคุณแล้ว”


ยังไม่ทันจะพูดคุยอะไรกับต่อคนทั้งสามกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนร้องโวยวายดังมาจากทางทิศใต้ เมื่อหันไปมองกลับพบชายร่างท้วมคนหนึ่งกำลังด่าทอร่วมทุบตีก้อนอะไรสักอย่างบนพื้น พวกเขามองเห็นไม่ชัดนักเนื่องจากเบื้องหน้าของชายร่างท่วมมีชายฉกรรจ์อีกสองสามคนกำลังรุมทุบตีสิ่งที่อยู่บนพื้นดินแดง


เสียงของคนกลุ่มดังกล่าวดังมากจนเรียกความสนใจคนในบริเวณโดยรอบ ทว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปไปทำกิจกรรมของตนเองต่อราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญคล้ายลมฟ้าอากาศ


แต่ไม่ใช่สำหรับคนต่างถิ่นอย่างแอชลีย์กับซินเธีย เด็กหนุ่มหรี่ตาพยายามเพ่งมองก้อนผ้าคลุกฝุ่นบนพื้น พอภาพตรงหน้าชัดขึ้นเขาก็เบิกตากว้างเผลอขยับเข้าชิดคนตัวสูงข้างกายโดยอัตโนมัติ


มัน... โหดร้ายเกินไปแล้ว


ใจกลางวงล้อมชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นคือร่างของเด็กชายอายุราว 14 – 15 ปี กำลังนอนคู้ตัวอยู่บนพื้นรับแรงกระแทกทั้งเตะทั้งทุบตีจากคนอายุมากกว่า เสื้อผ้าขาดวิ่นเปรอะเปื้อนฝุ่นจนกลายเป็นสีแดงของดินแทบไม่เห็นเค้าโครงเดิมโดยเฉพาะใบหน้า เนื่องจากเด็กคนนั้นมุดหน้าเข้ากับอกของตัวเองใช้สองแขนกอดศีรษะเอาไว้เพื่อปกป้องไม่ให้บาดเจ็บ


“แกมันก็แค่เศษสวะ” ชายร่างท่วมชี้มือด่าทอถ้อยคำหยาบคายออกมาอีกหลายประโยค “เป็นแค่ขยะอย่ามาทำตัวกร่างให้มากนัก!!”


“เอ้า! สั่งสอนมันอีก คราวหลังจะได้ไม่กล้าอวดเก่งอีก!”


“อ๊ากก!!!”


ซินเธียเบือนหน้าหนีเมื่อชายกลุ่มนั้นเริ่มทุบตีเด็กบนพื้นอีกครั้ง


“นั่นคือทางเข้าตลาดมืด” ฮิลล์เอ่ยขึ้นหลังจากยืนมองภาพสะเทือนใจตรงหน้ามาพักใหญ่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขาชี้บริเวณจุดเกิดเรื่องพลางอธิบายเสริมเมื่อเห็นท่าทีสนใจจากอัลฟ่าคู่ค้าต่างแดน


“คุณเห็นทางเข้าตรงนั้นไหม เดินผ่านประตูนั่นไปมันอยู่ใต้ดิน พวกคหบดีหรือคนจากตระกูลชั้นสูงมักจะชอบไปแลกเปลี่ยนกันที่นั่น แน่นอนว่าราคาสินค้าย่อมสูงกว่าบนดินเกือบสิบเท่า”


“มีอะไรอยู่ข้างใต้นั่น” แอชลีย์ถาม ดวงตายังไม่ละจากภาพความวุ่นวายกับเสียงด่าทอทุบตีตรงหน้า แต่หากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าสายตาของอัลฟ่าหนุ่มมองเลยไปด้านหลังคนกลุ่มนั้นจับจ้องอยู่กับบานประตูทางเข้าของตลาดมืดที่ว่า


“หลายอย่าง” ฝ่ายเจ้าถิ่นไหวไหลด้วยท่าทางสบายๆ “พวกของหายาก แต่ถ้าสิ่งที่ขายดีที่สุดก็...”


“…”


“มนุษย์” เติมประโยคส่วนท้ายด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


วูบหนึ่งซินเธียรู้สึกโหวงตรงหัวใจ สองมือเย็นเยียบขยับกอดแขนคนข้างกายแน่นขึ้นอีกระดับ ค้ามนุษย์อย่างนั้นหรือ ช่างโหดร้ายอะไรถึงเพียงนี้


ขึ้นชื่อว่าตลาดมืด ในโลกใต้ดินนั้นไม่แปลกหากจะเต็มไปด้วยสิ่งผิดบาป ไร้มนุษยธรรม เพียงแค่จิตนาการว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใต้นั่นบ้างเด็กหนุ่มก็รู้สึกหวาดกลัวจับใจ ต่อให้ผ่านเรื่องต่อสู้มามากมายแค่ไหนแต่ซินเธียก็ยังไม่เคยเห็นคนตายต่อหน้าตัวเองสักครั้งหรือแม้กระทั่งการทารุณเด็กที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุนิติภาวะแบบนั้น


ถึงคนในแดนใต้จะชอบต่อสู้เพื่ออวดเบ่งอำนาจหรือแสวงหาความแข็งแกร่ง ทว่า พวกเขามักจะเลือกสู้กับคนที่มีพละกำลังใกล้เคียงกัน สู้กันอย่างเสมอภาค เท่าเทียม ไม่ใช่รุมทำร้ายคนไร้ทางสู้อย่างโหดร้าย


“สิ่งที่คุณเห็นนับว่าเป็นเรื่องปกติมากของที่นี่เลยล่ะ” ฮิลล์เอ่ยอย่างเย็นชา “เด็กคนนั้นคงจะถูกซื้อตัวมาแล้วพยายามหนีก็เลยถูกนายหน้าทุบตี สั่งสอนให้หลาบจำ...”


“มีคหบดีหลายคนเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อหาซื้อคนไปเป็นทาส บ้างก็หาคนไปบำเรอ มีปะปนกันทั้งโอเมก้า เบต้า โดยเฉพาะอัลฟ่าจะราคาสูงเป็นพิเศษ ยิ่งเด็กยิ่งราคาดี เพราะมันง่ายต่อการขัดเกลา ผมหมายถึงในกรณีของอัลฟ่าน่ะนะ เพราะถ้าเป็นโอเมก้าจะต้องเลือกพวกที่ใช้งานได้หน่อย”


“คุณรู้ไหมว่าทำไมอัลฟ่าถึงราคาสูง” ผู้ฟังทั้งสองไม่ได้ตอบอะไรแต่ฮิลล์ก็รู้ดีว่าย่อมมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นในใจ ด้วยความเป็นคนช่างเจรจาจึงเอ่ยเล่าต่อโดยไม่อิดออด


“เพราะอัลฟ่าเหล่านั้นหายากมากยังไงล่ะ ชนชั้นที่สูงส่ง โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และพละกำลังแถมยังมากปัญญา ตระกูลไหนล้วนยินดีหากทายาทของพวกเขาเกิดมาเป็นอัลฟ่า พวกเขาเหมือนสมบัติล้ำค่าน่าหวงแหน คุณว่าอย่างนั้นไหมครับท่านชายวาเลนเธีย”


“อะ อื้ม”


ซินเธียทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มประหลาดมาให้คล้ายต้องการจะหยอกเย้าเลยได้แต่พยักหน้ารับไป


ไม่แปลกหรอก ถ้าเกิดเด็กหนุ่มคลอดเด็กสักคนออกมาย่อมต้องดูแลปกป้องสายเลือดของตัวเองด้วยความหวงแหน ไม่ใช่แค่อัลฟ่า ไม่ว่าลูกของเขาจะเกิดมาเป็นอะไรก็จะรักและปกป้องพวกเขาทั้งนั้น


“แล้ว...” เด็กหนุ่มลังเลที่จะถาม แต่สุดท้ายก็เอ่ยมันออกไป “คนพวกนั้นมาจากไหนหรือครับ”


“มีหลายครอบครัวครับที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตัวเองได้ โดยเฉพาะโอเมก้า พวกเขาถึงเลือกจะนำเด็กเหล่านั้นมาขายแลกเงิน แต่สำหรับอัลฟ่าอย่างที่พูดไปน้อยครั้งจะถูกครอบครัวตัวเองนำมาขายหากไม่จำเป็นจริงๆ โดยมากเด็กพวกนั้นมักจะถูกจับตัวมา...” อัลฟ่าหนุ่มเว้นไปจังหวะหนึ่ง


“คุณรู้อะไรไหม ราคาขายว่าสูงแล้วราคาซื้อยิ่งสูงกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนายหน้าคนนั้นถึงไม่ยอมปล่อยเด็กนั่นไป” ฮิลล์หันไปมองยังจุดเดิมที่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงเมื่อครู่ แต่ว่าขณะนี้พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่าไปแล้ว “แต่ก็มีกรณีที่คนบางคนเดินเข้ามาขายตัวเองด้วยความเต็มใจเหมือนกัน”


“ทำไม...”


“เพื่อเงินไงล่ะครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจางๆ “บางครั้งชีวิตคนเรามันก็ไม่ง่ายเลย ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เบต้าบางคนยอมขายตัวเป็นทาสเพื่อหาเงิน อัลฟ่าบางคนก็ไม่ได้เกิดในครอบครัวร่ำรวยเสมอไป หรือแม้กระทั่งโอเมก้า พวกเขาไม่สามารถไปใช้แรงงานได้ จะไปทำงานอื่นๆ ยิ่งยาก บางครั้งการพลีกายเพื่อรับใช้เศรษฐีสักคนก็อาจจะทำให้พวกเขาไม่ต้องทนใช้ชีวิตแย่ๆ”


“มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเลวร้ายเสมอไปหรอกครับ บ้างครั้งก็มีพวกตระกูลร่ำรวยแต่ไร้ทายาทมาที่นี่เพื่อซื้อเด็กสักคนไปชุบเลี้ยง ความหวังเล็กๆ เหล่านั้นอาจจะเกิดไม่มากนักแต่นั่นก็เป็นเรื่องของชะตาลิขิตแล้ว”


พูดมาเสียยืดยาวก็ชักเหนื่อย ฮิลล์หันไปหาคู่ค้าคนสำคัญซึ่งยืนปั้นหน้านิ่ง รับฟังเงียบๆ มาตั้งแต่ต้น


“ถ้าคุณแอชลีย์สนใจสักคนสองคนบอกผมได้นะครับ จะช่วยติดต่อให้รับรองว่าราคาไม่แพงคับคุณภาพหากผ่านมือผม”


คำพูดนั้นไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมก็รู้ได้เลยว่าคนที่ว่าน่ะเป็นคนประเภทไหน


แอชลีย์ขมวดคิ้ว ใบหน้าเฉยชาหันไปสบตาคู่ค้าตรงหน้า


“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”



งานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ สำหรับอาคันตุกะแดนเหนือถูกจัดขึ้นในสวนด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลแลมเบิร์ตหลังเหน็ดเหนื่อยกับการท่องเที่ยวมาทั้งวัน


คฤหาสน์ดังกล่าวตั้งอยู่บนเนินสูงริมชายฝั่งทะเลให้บรรยากาศสดชื่อไม่น้อย ตัวสวนด้านหลังถูกล้อมด้วยรั้วไม้สีขาวไม่สูงนักสามารถมองเห็นผืนทะเลใสสีครามได้อย่างชัดเจน


ฮิลล์แนะนำอาหารขึ้นชื่อของฮาวีเจี้ยนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทุกอย่างบนโต๊ะล้วนเป็นของทะเลสดใหม่ถูกปรุงด้วยเครื่องเทศส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ทุกอย่างถูกจัดตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ทานคู่กับไวน์รสเลิศกลมกล่อมเสียจนคนไม่ค่อยแตะของมึนเมาอย่างซินเธียยังพยักหน้ารับพอใจ อาหารทะเลเหล่านี้เด็กหนุ่มไม่เคยลิ้มลองมาก่อน เพราะเป็นครั้งแรกเลยลองตักชิมไปอย่างละนิดละหน่อย รสชาติดีสมคำอวดอ้างทีเดียว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเลือกม้วนพาสต้าครีมซอสเห็ดเข้าปากมากกว่าอยู่ดี


นอกจากของคาวก็ยังมีของหวานให้ได้ล้างปาก ผลไม้เขตร้อนหาทานได้ยากในวินเทอร์ฟอลถูกเสิร์ฟบนโต๊ะตัดแต่งเป็นชิ้นพอดีคำทำเอาทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านรื่นเริงสำราญใจไปตามๆ กัน


ระหว่างรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก็ได้ยินเสียงคลื่นกระทบชายฝั่งจากด้านล่างเป็นระยะ สายลมยามอาทิตย์อัสดงพัดผ่านมาช่วยเพิ่มให้บรรยากาศรอบกายดูผ่อนคลายจนลืมเลือนเรื่องเมื่อตอนบ่ายไปจนหมดสิ้น


เมื่อเวลาล่วงผ่านไป อาหารบนโต๊ะเริ่มพร่องลงขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นจู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกมวนท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ฝ่ายคนนั่งข้างกันก็จับความผิดปกติของคู่ชีวิตได้ถึงได้หันไปมองคนที่วางช้อนส้อมในมือลงยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง


“เป็นอะไร” แอชลีย์ขมวดคิ้ว ใบหน้าเริ่มแสดงอาการเคร่งเครียดโอบคนตัวบางเข้ามาแนบอกเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าหวานซีดเซียว เม็ดเหงื่อเย็นผุดเต็มสองข้างขมับกับหน้าผาก


“เรา... อึก! ไม่รู้” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบกระท่อนกระแท่น รู้สึกคลื่นไส้คล้ายว่าของที่พึ่งกินไปทั้งหมดกำลังจะตีตื้นขึ้นมาในลำคอ ทั้งเวียนหัว ทั้งมวนท้องจนหน้ามืดโลกหมุนเคว้งไปหมด


“เกิดอะไรขึ้นครับ” ทางด้านฮิลล์เองก็ผุดลุขึ้นจากเก้าอี้เดินอ้อมหัวโต๊ะเข้ามาดูท่านชายโอเมก้าใกล้ๆ ด้วยความกังวลใจไม่ต่างกัน หนึ่งคือเป็นห่วงและสองคือเหตุการณ์นี้ดันเกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหารในคฤหาสน์แลมเบิร์ต ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น


“ซินเธีย ซินเธีย!”


แอชลีย์ไม่ได้สนใจคำถามของฮิลล์ ใบหน้าเขาเครียดขึงขณะพยายามประคองร่างอ่อนยวบของภรรยาในอ้อมอกซึ่งตอนนี้อาเจียนเอาของที่พึ่งกินเข้าไปออกมาจนหมด หน้าจากที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดไปกันใหญ่


เด็กหนุ่มได้ยินทุกคำพูดของคนที่พยายามโอบประคองตนไว้ ยังพอมีสติรับรู้แต่มันยากจะโต้ตอบกลับไปได้ เขาอยากจะหายใจให้สุดปอดยังทำไม่ได้ ขนาดอาเจียนออกมาแล้วยังไม่รู้สึกโล่งคอเลย อึดอัดไปเสียหมด


“โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนครับ” กับอัลฟ่าผู้ซึ่งไม่แยแสสิ่งใดคนนี้น้อยครั้งจะได้เห็นท่านชายคิมแสดงท่าทางร้อนใจออกมา แม้ว่าใบหน้าเย็นชานั้นจะไม่ได้ต่างไปจากปกตินักแต่ฮิลล์ก็สัมผัสได้


“ผมจะให้คนออกรถเดี๋ยวนี้” นายท่าแลมเบิร์ตเอ่ยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนรีบหายไปจัดการตามคำกล่าว


แอชลีย์หันกลับมามองคนในอ้อมแขนที่มีอาการไม่สู้ดีนัก สบถกับตัวเองคำหนึ่งแล้วรีบช้อนร่างของภรรยาขึ้น กระชับอ้อมแขนให้มั่นรีบพาคนป่วยไปขึ้นรถด้านหน้าคฤหาสน์ทันที




TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-06-2019 22:00:15
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 26-06-2019 23:02:25
ท้องเหรอ :katai2-1: :katai1: :katai4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-06-2019 23:02:52
แพ้อาหาร​อะไร​หรือ​เปล่า​
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-06-2019 00:55:55
แพ้หรือโดนอะไรรึเปล่า  :hao5:
แต่ตลาดมืดจะมีเบื้องหลังอะไรอีกมั้ย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-06-2019 02:49:21
ท้องแล้วใช่ไหม!?
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-06-2019 02:55:00
 :hao7: :hao7: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 27-06-2019 03:05:26
ท้องเถอะนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 27-06-2019 18:10:49
แพ้อาหารหรือท้องอ่ะ ถ้าท้องแอชต้องเป็นคุณพ่อสายซึนแน่เลย 555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 28-06-2019 19:28:11
รอเบบี๋
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 28-06-2019 20:25:54
 :katai1: :katai1: :katai1: ไม่น่าท้องนะ5555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 29-06-2019 08:01:01
น้องท้องหรอออ ยังไงๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-07-2019 14:14:34
คิดถึงแล้วอ่ะ มาอัพเถอะอยากอ่านแล้ว
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 13 [P.3] --- 26/06/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 09-07-2019 21:32:07
รอนะ :m15:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 09-07-2019 23:15:29


บทที่ 14




ท่านชายวาเลนเธียถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของนายท่าแห่งฮาวีเจี้ยน ถึงจะเป็นโรงพยาบาลในท้องถิ่นแต่ก็นับว่ามีชื่อเสียงพอควร ทั้งสถานที่ อุปกรณ์ครบครัน คณะแพทย์มากฝีมือได้รับการันตีจากฝ่ายเจ้าถิ่น


แอชลีย์ถอนหายใจหนักๆ ขณะยืนมองคู่ชีวิตถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินปล่อยให้หมอกับพยาบาลทำงานกันอย่างเต็มที่เลือกจะนั่งรออยู่ด้านนอกไม่ขอเข้าไปรบกวนจะดีกว่า สิ่งที่ควรพูดก็พูดอธิบายให้หมอฟังไปหมดแล้วหลังจากนี้คงได้แต่ฝากความหวังเอาไว้กับการรักษา


ชายหนุ่มนวดหัวคิ้วพลางทรุดตัวลงบนม้านั่งแถวนั้นสมองก็พลันคิดไปว่าสถานการณ์ทำนองนี้มันคุ้นอย่างไรชอบกล คล้ายว่าเคยประสบมาก่อนแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรงนัก


ผ่านไปราวสิบกว่านาทีดวงตาสีอำพันลืมขึ้นยามได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เป็นนายแพทย์คนหนึ่งที่รับผิดชอบเคสของภรรยาเขานั่นเอง


“ไม่ทราบว่าญาติของคนไข้เป็นใครครับ” ตรงหน้าของนายแพทย์หนุ่มคืออัลฟ่าสองคน คนหนึ่งเป็นที่รู้จักชื่อกันดีแม้จะไม่เคยสนทนาด้วย ส่วนอีกคนเดาว่าน่าจะเป็นคนต่างถิ่นสังเกตจากลักษณะการแต่งกาย


“ผมครับ” แอชลีย์หยัดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะถูกเชิญเข้าไปด้านในห้องฉุกเฉินระหว่างนั้นก็ได้รับคำอธิบายถึงอาการและสาเหตุที่เกิดขึ้นกับใครอีกคนคร่าวๆ รวมถึงวิธีที่ใช้ในการรักษาไปเบื้องต้น


ด้านในสุดของห้อง รอบเตียงถูกกั้นด้วยม่านเพื่อความเป็นส่วนตัว บนเตียงนั้นมีร่างอ่อนแรงของซินเธียนอนอยู่ ตามผิวเนียนปรากฏผื่นแดงเป็นบางแห่ง ผื่นพวกนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนระหว่างเดินทางมาโรงพยาบาลแล้วส่วนตอนนี้ก็เริ่มจางลงเดาว่าคงเพราะได้รับยา


“สรุปแล้วภรรยาของผมเป็นอะไรครับ” ละสายตาจากใบหน้าซีดเซียวมาเพื่อขอความกระจ่าง ดูจากอาการก็พอจะเดาเรื่องราวได้แต่ก็อยากจะมั่นใจถึงสาเหตุแท้จริงเพื่อหาวิธีป้องกันในอนาคตซึ่งคำตอบที่ได้รับจึงไม่เกินกว่าความคาดหมายนัก


“ก่อนหน้านี้คนไข้ได้ทานอะไรนอกจากอาหารทะเลไหมครับ”


“อาหารทุกมื้อที่เขาทานล้วนเป็นสิ่งที่เขาทานปกติในชีวิตประจำวัน มีเพียงอาหารทะเลที่เขาพึ่งเคยทานเป็นครั้งแรกเมื่อสามสิบนาทีที่แล้ว”


ได้ความดังนั้น นายแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับแล้วสรุปผล


“คนไข้แพ้อาหารทะเลครับ อาการแพ้นั้นมีหลายระดับบางคนอาจมีเพียงหายใจติดขัดผื่นขึ้นตามผิวหนัง บ้างก็คลื่นไส้ ท้องเสียไปจนถึงระดับรุนแรงเสี่ยงถึงชีวิต สำหรับคุณซินเธียแล้วไม่ถือว่ารุนแรงมาก แต่เรายังไม่สามารถสรุปได้ว่าเขาแพ้ทุกอย่างที่เป็นของทะเลหรือแพ้แค่สัตว์บางชนิด”


เป็นจริงอย่างคุณหมอว่าเนื่องจากบนโต๊ะอาหารมีของทะเลหลายชนิด ตัวซินเธียก็ตักชิมจนครบแทบทุกอย่างแต่เป็นจำนวนที่ไม่มาก ดูก็รู้ว่าคงลองตามมารยาทไม่ค่อยถูกปากเสียเท่าไหร่


ก็นับว่าเป็นเรื่องดี นายแพทย์หนุ่มยังอธิบายเสริมว่าปริมาณสารที่มีผลต่อร่างกายจนก่อให้เกิดอาการแพ้ก็มีผลกับผลลัพธ์ที่แสดงออกมา ยิ่งรับเข้าไปมาก อันตรายก็ยิ่งมาก


“แล้วสามารถตรวจได้หรือเปล่าครับว่าเขาแพ้อะไรกันแน่”


ถึงวินเทอร์ฟอลจะไม่นิยมนำอาหารทะเลมาขึ้นโต๊ะอันเนื่องมาจากไม่ได้มีอาณาเขตติดทะเล แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเจอ อาหารบางประเภทก็มีส่วนผสมของสัตว์ทะเลบางชนิด การตรวจหาสาเหตุที่แน่นอนย่อมดีกว่าเพื่อเป็นการป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ การตรวจหาสารที่แพ้มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบจากผิวหนังหรือการเจาะเลือดแต่หมอแนะนำว่ารอให้อาการคนไข้คงที่กว่านี้ค่อยทำจะดีกว่า”


“ครับ”


“ดูเหมือนพวกคุณจะไม่ใช่คนที่นี่ คงไม่เป็นอะไรนะครับหากหมอจะขอเสียมารยาทถาม” แพทย์หนุ่มอมยิ้มชวนคุยไปตามประสาคนอัธยาศัยดี อีกข้อสรุปหนึ่งก็คือคนในอีสเทิร์นพอร์ตเติบโตมากับวิถีชีวิตชายฝั่ง อาหารท้องถิ่นส่วนใหญ่ย่อมมาจากทะเล ร่างกายทั้งภายในภายนอกล้วนคุ้นเคย น้อยมากจะพบผู้ป่วยที่มีอาการแพ้


ทางฝั่งคนต่างถิ่นเองก็ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจอะไร แต่ก็ยังคงตอบคำถามด้วยใบหน้าและน้ำเสียงทุ้มดูสุขุม เต็มไปด้วยความนุ่มลึก


“พวกเรามาจากวินเทอร์ฟอลครับ ปกติไม่นิยมทานอาหารจำพวกนี้อยู่แล้ว”


“ดีแล้วล่ะครับ” นายแพทย์หนุ่มผงกหัวรับ “ที่อาการแพ้ไม่รุนแรงมากอาจเพราะทานไปไม่เยอะ ทางที่ดีคือควรเลี่ยงไปเลยจะดีที่สุด”


อัลฟ่าหนุ่มเองก็เห็นดีด้วยกับความคิดนั้น ดูเหมือนว่ากลับวินเทอร์ฟอลไปแล้วคงต้องกำชับห้องครัวไม่ให้นำวัตถุดิบอะไรก็ตามที่มีส่วนผสมของทะเลมาประกอบอาหารโดยเด็ดขาด


อาหารทางเหนือเน้นรสชาติอ่อน ไม่ปรุงแต่งมาก ส่วนใหญ่เน้นไปทางขนมปัง ชีส ผักกับเนื้อสัตว์บางชนิด เดิมก็ไม่เป็นปัญหาอะไรแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ ต่อไปนี้อาหารทุกอย่างที่จะถูกนำมาขึ้นโต๊ะคงต้องตรวจสอบโดยละเอียดและเข้มงวดกว่าที่เป็น


หลังการพูดคุยจบลงแพทย์หนุ่มแนะนำให้นอนพักเพื่อดูอาการอีกสักหนึ่งคืน หากไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรวันพรุ่งนี้ก็สามารถกลับบ้านไปพักผ่อนใช้ชีวิตปกติได้ การแพ้อาหารนั้นหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็ไม่นับว่าอันตรายอะไร อีกอย่างก่อนกลับแอชลีย์ก็คิดว่าจะให้อีกคนได้ลองเทสหาสารที่แพ้ดูสักครั้งจะได้รู้กันไปเลย


ไม่รู้เพราะเหนื่อยจากการเที่ยวเล่นทั้งวันแถมไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังอาเจียนออกมาเยอะขนาดนั้นประกอบกับได้รับยาแก้แพ้หรือเปล่าคนป่วยถึงได้นอนหลับสบายใจอยู่บนเตียงเสียยาวหลังถูกย้ายมาห้องพักฟื้น


ซินเธียตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นช้าๆ ผลข้างเคียงจากอาการแพ้ยังพอมีให้รู้สึกแต่ก็ทุเลาลงไปมากแล้ว อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกคลื่นไส้อีก


นอนเหม่อมองเพดานอยู่ครู่ใหญ่เพื่อรวบรวมเศษความจำอันกระจัดกระจายรำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำทั้งหมดเวลาก็ผ่านไปครู่ใหญ่ บรรยากาศรอบกายมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวจากหัวเตียงพอให้มองเห็นทั้งห้องเลือนราง


เด็กหนุ่มไล่สายตาจากเพดานห้องลงมาทีละนิดจนพบเข้ากับเงาร่างของใครบางคนข้างกายกำลังจับจองเก้าอี้สำหรับญาติเฝ้าคนป่วยอยู่ข้างเตียง


เป็นแอชลีย์ คิม


คนตัวโตนั่งกอดอกแผ่นหลังเอนพิงกับพนักของเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ถึงความมืดจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจนทว่าเสี้ยวใบหน้าด้านหนึ่งซึ่งถูกแสงกระทบพอให้เห็นเป็นภาพรางๆ นั้นมันกลับเป็นภาพอันแสนงดงามจนน่าประหลาดพาลให้เผลอจดจ้องกันอยู่นานราวกับเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้


สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำถึงจะสร้างความทรมานให้กับซินเธียอย่างมากแต่เขาก็มีสติรับรู้ครบถ้วนเพียงแค่ไม่มีแรงมากพอจะไปจดจ่อกับสิ่งไหนเป็นพิเศษ


แต่ก็ยังได้เห็นความห่วงใยเดือดเนื้อร้อนใจของอีกคนที่มีให้กัน แค่นั้นมันก็อุ่นซ่านไปทั้งหัวใจแล้ว ทั้งพามาโรงพยาบาล เป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ให้แถมยังมานั่งเฝ้ากันอยู่ค่อนคืนไม่ยอมไปนอนพักผ่อนดีๆ อีก ไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องทำให้กันถึงขนาดนี้แท้ๆ คงจะเหนื่อยไม่น้อยเลยสิท่า


จนถึงตอนนี้แอชลีย์ก็ยังอยู่ในชุดเดิมจะแตกต่างจากเมื่อช่วงหัวค่ำก็คงเป็นกระดุมของเชิ้ตสีเข้มนั้นถูกปลดออกสองเม็ดคลายความอึดอัด แขนเสื้อทั้งสองข้างก็ถูกพับขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนล้าเดาแล้วคงพึ่งนอนไปก่อนเขาจะตื่นขึ้นมาไม่นานนี้แน่นอน ก็ขนาดเส้นผมที่ถูกจัดทรงมาอย่างดีขณะนี้ก็ตกลงมาระตามกรอบหน้าหมดแล้ว


หมดคราบของท่านแอชลีย์ผู้สุขุมแม้ความน่าเกรงขามจะไม่ได้ลดลงตาม


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกพองฟูอยู่ในใจ ซินเธียกำลังลอบยิ้มกับตัวเองภายใต้เงามืดและมันคงจะเป็นแบบนั้นไปอีกนานหากไม่ได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นมาท่ามกลางห้องมืดและเงียบงันแห่งนี้


“มองผมพอหรือยัง”


คนถูกจับได้สะดุ้งโหยง เพราะคาดว่าใครอีกคนเข้าห้วงนิทราไปแล้วถึงได้กล้าแอบมองกันอย่างเหิมเกริมเช่นนี้


“คุณไม่ได้... หลับอยู่หรือครับ” เลิ่กลั่กเสียจนเกือบจะบังคับตัวเองให้เสียงไม่สั่นไม่ได้แล้ว


“แค่พักสายตา”


“อ่า” เขาไม่รู้จะตอบอะไรแล้ว ในเมื่อถูกจับได้เสียขนาดนี้ยังจะต้องหาข้อแก้ตัวอะไรอีกล่ะ เพราะแบบนั้นคนอ่อนกว่าถึงได้เลือกจะเงียบ รอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อหรือไม่


“เป็นยังไงบ้าง ยังปวดตรงไหนหรือรู้สึกคลื่นไส้อยู่อีกหรือเปล่า”


เสียงทุ้มถูกเอ่ยด้วยระดับน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าประโยคแรก อีกคนไม่ได้ไล่ต้อนให้ต้องรู้สึกกระอักกระอวนไปมากกว่านี้ แน่ล่ะนั่นไม่ใช่วิสัยของเขาอยู่แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่จะได้สัมผัสบ่อยๆ เช่นกัน ซินเธียเลยทำตัวไม่ค่อยถูก


ไม่ได้อ่อนแค่ร่างกายแม้แต่ใจตอนนี้ก็แทบจะเหลวเป็นน้ำ กับแค่ความเป็นห่วงเล็กน้อยค่อนไปทางคำถามธรรมดาสามัญแต่ก็ไม่รู้ทำไม


ถึงได้รู้สึกอุ่นไปทั้งหัวใจก็ไม่รู้


“อื้ม แค่มึนๆ แต่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”


“อืม”


“…”


“พักผ่อนอีกสักหน่อยเถอะ ถ้าอาการเธอดีขึ้นพรุ่งนี้เราจะได้กลับโรงแรมกัน”


ถึงจะไม่ได้พูดออกมาแต่ซินเธียก็รู้ ว่าชายผู้นี้จะคอยนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ห่างหายไปไหน เพราะแบบนั้นถึงได้หลับตาลง ปล่อยตัวและวางใจให้จมดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกครั้งไร้ซึ่งความกังวลใดให้ต้องกริ่งเกรง


----



วัดถัดมาโชคดีว่าอาการป่วยของท่านชายวาเลนเธียไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเลยไม่ต้องนอนเบื่อหน่ายอยู่ในโรงพยาบาลอีก ก่อนกลับก็ไม่ลืมเข้ารับการตรวจหาสาเหตุอาการแพ้ให้ละเอียดอีกครั้งโดยผลออกมามาพบว่าสิ่งที่โอเมก้าหนุ่มแพ้นั้นแท้จริงแล้วก็คือกุ้งกับหอยบางชนิด ส่วนอาหารทะเลชนิดอื่นจำพวกปลานั้นไม่มีผล


หลังจัดการค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเสร็จสิ้นซินเธียก็ถูกพามาพักผ่อนต่อในโรงแรมวันทั้งวันแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนหายใจทิ้งไปวันๆ เมื่อถึงเวลารุ่งขึ้นของอีกหนึ่งวันถัดมาก็ต้องเตรียมตัวกลับวินเทอร์ฟอลเสียแล้ว


แอชลีย์เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกายในรถขณะเดินทางกลับซึ่งมีอาการซึมลงกว่าตอนขามาอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรเลยนอกเสียจากว่าท่านชายเขายังไม่ได้เที่ยวหนำใจนักก็ดันมาป่วยเสียก่อน


แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันอยู่เหนือความคาดหมายและแอชลีย์เองก็ไม่ได้อยากจะให้มันเกิดขึ้น ก่อนจะพากันขึ้นรถออกเดินทางถึงได้พาไปเดินเลือกซื้อของฝากตามแต่ที่ใจอีกคนต้องการ คนเกิดอาการนอยถึงได้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง เลือกซื้อนู่นซื้อนี้ติดไม้ติดมือมาจนเต็มคันรถ ฝั่งคนจ่ายเงินเองก็ไม่ได้คิดจะห้ามแต่อย่างใด ก็ให้เขาหน่อย


“เป็นอะไร” เสียงถอนหายเบาๆ แต่ก็ดังพอสำหรับคนข้างเคียงกันในห้องโดยสารแคบ แอชลีย์เลิกคิ้วหันไปถามไถ่ภรรยาซึ่งนั่งห่อไหล่อยู่ด้านข้าง


“เราเสียดาย... อุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที”


จะรู้สึกมากหน่อยก็ไม่แปลก คนที่เคยมีอิสระในการใช้ชีวิตมาตลอดพอแต่งเข้าตระกูลอื่นก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของดินแดนใหม่ที่แตกต่างจากบ้านเกิดตนค่อนข้างมาก วันๆ ได้อุดอู้อยู่แต่ภายในคฤหาสน์จะรู้สึกอึดอัดไปบ้างก็ไม่แปลก ครั้งนี้มีโอกาสได้ติดตามคู่ออกมาต่างเมืองจึงตื่นเต้นไม่น้อยวาดฝันว่าจะได้เดินเที่ยวใช้เวลา4-5วันนี้ให้คุ้มกับที่ได้ออกมา ทว่าตัวเองดันมาป่วยพึ่งจะเดินเที่ยวได้แค่วันเดียวแท้ๆ วันนี้ต้องกลับแล้ว


ก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกมาอีกเมื่อไหร่


แม้แอชลีย์จะมอบอิสระให้กับซินเธียอย่างเต็มที่ ไม่ได้กักขังให้อยู่แต่ในคฤหาสน์แต่เด็กหนุ่มก็ไม่รู้จะออกไปที่ไหนในเมื่ออีกคนก็ไปทำงานไม่ได้มีเวลาให้กันเหมือนช่วงเวลาแบบนี้


อันที่จริงแล้วซินเธียไม่กล้าชวนอีกคนไปเที่ยวต่อให้ทางนั้นจะไม่ว่าอะไรก็ตาม


รู้ว่าบางครั้งแอชลีย์ออกจะตามใจตนเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็...


“เที่ยวน่ะจะมาเมื่อไหร่ก็ได้” คนอายุมากกว่าอธิบายอย่างใจเย็นซึ่งทางคนฟังเองก็พยักหน้าเข้าใจ ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “สิ่งสำคัญคือการรักษาสุขภาพ รู้ใช่ไหม”


“อื้ม เราเข้าใจแล้ว”


ก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ สุดท้ายคนที่มีอะไรมากมายในใจก็ต้องยอมรับความจริงแต่โดยดีราวกับเด็กน้อยที่กำลังถูกผู้ใหญ่สั่งสอน แต่ก็เป็นคำสอนที่ค่อนข้างใจเย็นเต็มไปด้วยความประนีประนอม


ระยะเวลาตอนขากลับคล้ายจะสั้นกว่าขาไปเนื่องจากซินเธียนอนหลับมาตลอดทาง ไม่ได้ตื่นเต้นอย่างตอนแรก ทันทีเมื่อรถคันหรูเลี้ยวเข้าอาณาเขตของคฤหาสน์ตระกูลคิม สภาพแวดล้อมคุ้นตาปรากฏเข้าสู่ครรลองสายตา


แอชลีย์ปลุกคนที่ยืมไหล่กว้างๆ ของตัวเองต่างหมอนให้ตื่นจากนิทรา ก็ไม่คิดว่าอีกคนจะนอนหลับได้ยาวขนาดนี้ทั้งที่ก่อนเดินทางก็ตรวจเช็คเพื่อความมั่นใจอีกรอบแล้วว่าร่างกายของโอเมก้าคู่ชีวิตนั้นปกติดี ไม่ได้มีอาการแทรกซ้อนอะไรอันเป็นผลข้างเคียงจากการแพ้อาหารวันก่อน


แรกเริ่มเมื่อดวงตากลมเปิดขึ้น คนที่นอนหลับมาตลอดทางยังคงมีอาการมึนงง นั่งดึงสติกันอยู่ร่วมนาทีถึงได้เปิดประตูรถออกไป บริเวณหน้าโถงทางเข้ามีท่านหญิงคิมยืนรออยู่ก่อนแล้ว


“เป็นอย่างไรบ้างคะ เที่ยวกันสนุกไหม”


“ครับ สนุกมากเลย” ซินเธียยิ้มรับสองมือกระชับเสื้อคลุมบนกาย วินเทอร์ฟอลก็ยังคงเต็มไปด้วยอากาศหนาวเย็นเหมือนทุกวัน “เสียดายที่ยังไม่ได้เที่ยวมากเท่าไหร่”


“อ้าว ทำไมล่ะคะ” ท่านหญิงทำท่าประหลาดใจ


“ช่วงวันที่ 3 ซินเธียเกิดแพ้อาหารทะเลเข้าน่ะครับ เลยตองนอนพักที่โรงพยาบาล” เห็นคนตัวบางมีสีหน้าจืดเจื่อนคนที่คอยอยู่ด้วยกันมาตลอดทริปจึงช่วยอธิบายไขความกระจ่างให้กับผู้เป็นมารดา


“ตายจริงแล้วเป็นหนักไหมคะ ทำไมไม่ดูแลน้องดีๆ ล่ะแอช”


“เพราะไม่เคยทานมาก่อนน่ะครับ ผมเองก็พึ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าไม่ถูกกับของทะเล” พอเห็นอีกคนโดนดุเลยต้องรีบเอ่ยแก้ความเข้าใจผิด เรื่องนี้หากจะหาคนผิดเกรงว่าคงจะยาก ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความไม่รู้ทั้งนั้น จะกล่าวว่าตัวเองประมาทก็ค่อนข้างก้ำกึ่ง


“โถ่ คงหมดสนุกเลยสิแบบนี้” อุตส่าห์ได้ออกไปเที่ยวทั้งทีดันเกิดเรื่องได้ ช่างน่าสงสารเสียจริงลูกสะใภ้ของท่านหญิงคิม


“ไปค่ะข้างนอกอากาศหนาว เข้าไปจิบชาอุ่นๆ ข้างในกันดีกว่าแล้วเล่าให้แม่ฟังหน่อยว่าไปทำอะไรกันมาบ้าง” อัลฟ่าหญิงหนึ่งเดียวเข้ามาประคองแขนลูกสะใภ้พากันเดินผ่านโถงรับรองเข้าไปด้านในห้องเรือนกระจกซึ่งมีชุดน้ำชายามบ่ายเตรียมรอเอาไว้ก่อนแล้ว


ระหว่างเดินผ่านประตูเข้ามาจนถึงกลางโถง ซินเธียเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างช่างสะดุดตาเหลือเกิน แสงระยิบระยับของคริสตัลยามหยอกเย้ากับแสงไฟดูคุ้นตาชอบกล


“คนพึ่งเอามาติดเมื่อเช้าเองค่ะ สวยไหม แม่ชอบมากๆ เลยค่ะ” ท่านหญิงเอ่ยตอบข้อสงสัยขณะเดียวกันก็หันไปยิ้มกริ่มใส่คนเป็นลูกชายที่เดินตามหลังกันมาวางท่าขรึมไม่พูดไม่จา “เห็นว่าสั่งทำเป็นพิเศษเลยล่ะ”


สิ่งที่อยู่ในสายตาของทุกคนขณะนี้คือแชนเดอเลียร์คริสตัล ของประดับชิ้นใหม่ของคฤหาสน์คิม มันถูกติดตั้งเอาไว้บริเวณกลางโถงทางเข้า เรียกได้กว่าเมื่อเดินเข้ามาภายในตัวคฤหาสน์สิ่งแรกที่ทุกคนจะเห็นก็คงจะเป็นเจ้าแชนเดอเลียร์อันนี้อย่างแน่นอน ต่อให้ไม่ตั้งใจมองอย่างไรเสียความระยิบระยับก็ยังโฉบเฉี่ยวเข้าหางตาอยู่ดี


ซินเธียกระพริบตา เขานึกออกแล้วว่าเคยเห็นมันที่ไหน ในงานเลี้ยงคฤหาสน์สแตนลีย์คราวก่อนนั่นเอง ถึงจะบอกว่าคล้ายแต่แชนเดอเลียร์นี้มันออกจะใหญ่กว่าของทางนั้นเสียด้วยซ้ำ ใหญ่ขนาดว่าขอเพียงก้าวผ่านประตูเข้ามาสิ่งแรกที่จะปรากฏเป็นสิ่งแรกของสายตาก็คงเป็นโคมระย้านี้นั่นแหละ นอกจากความมโหฬารของมันแล้วรูปทรงก็มีความประณีต คริสตัลทรงหยดน้ำห้อยระย้าสูงต่ำสลับกันเป็นชั้นๆ ให้ความรู้สึกหรูหรา โออ่ายากจะบรรยาย


อื้ม


แต่ยิ่งมองแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าแชนเดอเลียร์แบบนี้มันสวยจริงๆ นั่นแหละ




TBC


หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-07-2019 00:17:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-07-2019 01:15:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 10-07-2019 08:32:18
ยังลุ้นให้ซินเธียมีน้องอยู่นะคะ 555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 10-07-2019 09:09:02
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: นึกว่าจะไม่มาต่อซะละ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-07-2019 10:46:27
นึกว่าท้องดันแพ้อาหารซะได้ รอลุ้นต่อไปว่าจะท้องเมื่อไหร่
แต่เอ๊ะ!! เมื่อน้องเคยพูดว่าโคมไฟเชนเดอเรียสวยหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 10-07-2019 14:09:36
รอลุ้นให้ท้องอยู่นะ :impress2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-07-2019 14:17:05
ไม่ท้องอ่าาาาาาาาาาาาาาา  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 14 [P.4] --- 09/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-07-2019 14:22:11
จากนี้ไปก็ระวังนะน้องงงงงงงง
แต่แบบนะเขาชอบแชนเดอเลียร์บ้านนู้นก้หามาติดให้เลยเด้อ  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 11-07-2019 23:58:52


บทที่ 15





นับวันกลับจากทริปอีสเทิร์นพอร์ตก็ผ่านมาร่วมครึ่งเดือนแล้ว ซินเธียังคงใช้ชีวิตตามปกติ ความคุ้นชินกับวิถีชีวิตมีมากขึ้นและตอนนี้เด็กหนุ่มก็เริ่มชินกับสภาพอากาศหนาวเย็นในดินแดนแห่งนี้แล้ว


ท้องฟ้าครึ้มที่ไร้แสงแดดกลายเป็นภาพคุ้นตาเช่นเดียวกับสีขาวซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ในแต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่าย ซินเธียเขียนจดหมายไปหาท่านพ่อบอกเล่าเรื่องราวที่ตนได้ไปท่องเที่ยวมารวมถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เขามักจะทำมันอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้งในรอบเดือน วันนี้เองก็เช่นกัน


ท่านชายวาเลนเธียสอดจดหมายที่บรรจงเขียนลงไปในซองพร้อมประทับตราของตระกูลคิมลงไปบนหมึกสีแดงเพื่อปิดผนึกจดหมายแล้วส่งให้คุณพ่อบ้านช่วยจัดการ


“วันนี้คุณแอชลีย์จะกลับมาทานมื้อกลางวันไหมครับ”


“คุณท่านจะกลับมาตอนเย็นครับ เห็นว่าช่วงบ่ายมีประชุมสำคัญ”


ซินเธียพยักหน้าเข้าใจ พักหลังมานี้ใครอีกคนมักจะแวะเวียนเข้ามาทานมื้อเที่ยงด้วยกันหากไม่ติดธุระสำคัญที่ไหน ที่ต้องถามก่อนเพราะเขาจะได้อยู่คอยต้อนรับ จัดเตรียมของว่างรองท้องให้ก่อนตามความเคยชิน แม้จะไม่ใช่หน้าที่จำเป็นต้องเปลืองแรงทำด้วยตนเองแต่ซินเธียคิดว่าในฐานะคู่ชีวิตแล้วการดูแลอีกฝ่ายเป็นเรื่องเหมาะสม แต่ถ้าอีกคนจะไม่กลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งเรื่องการขยายการค้าที่ได้ไปเจรจากันเมื่อคราวก่อน


“ท่านชายครับ”


“หืม?”


“ของพวกนี้จะให้นำไปเก็บไว้ในห้องเก็บของหรือนำไปวางเอาไว้ตามห้องต่างๆ ดีครับ”


“อ่า... จริงสิ” ลืมไปเลย


สิ่งที่คุณพ่อบ้านกำลังพูดถึงก็คือของที่ซื้อติดมือตอนไปอีสเทิร์นพอร์ตคราวก่อน ซินเธียเดินเข้าไปใกล้บรรดากล่องกระดาษสี่เหลี่ยมหลากหลายซึ่งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ เมื่อเปิดออกจะพบกับบรรดาเทียนหอมกลิ่นต่างๆ ของพวกนี้ตอนวันกลับนายท่าแลมเบิร์ตพาไปเลือกซื้อถึงท่าเรือใหญ่ เป็นสินค้าคุณภาพดีที่ไม่ได้หาซื้อได้ตามแผงข้างทางหรือร้านค้าทั่วไปได้ง่ายๆ อีกทั้งยังถูกนำเข้ามาจากดินแดนอีกฟากหนึ่งของทะเล


เขาหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาพิจารณา แค่หยิบขึ้นมาใกล้ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาแล้ว ซินเธียรู้สึกชอบมันมากตั้งแต่แรกเห็นเลยขนกลับมาเสียเยอะ


ตั้งแต่กลับมาก็มั่วทำนู่นทำนี้เสียจนลืมพวกไปไปสนิท ของฝากที่เป็นจำพวกวัตถุดิบกับอาหารก็แจกจ่ายคนในคฤหาสน์รวมกับคุณพ่อคุณแม่ไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ของใช้แบบนี้


เทียนหอมเหล่านี้เน้นให้ความผ่อนคลาย หรือจะนำไปจุดเพิ่มบรรยากาศก็น่าสนใจ เขาเลือกมาแต่กลิ่นที่ไม่แรงมากส่วนใหญ่จะเน้นไปทางดอกไม้


“เดี๋ยวช่วยเอาไปวางไว้ในห้องทำงานคุณแอชลีย์อันนึงนะครับ” เอ่ยขณะสายตาก็คอยกวาดมองบรรดาเทียนหอมตรงหน้า ซินเธียหยิบพวกมันขึ้นมาดมทีละกลิ่นเพื่อตัดสินใจหาชิ้นที่เหมาะสม หยิบอันนู้นทีอันนี้ทีขมวดคิ้วท่าทางเป็นจริงเป็นจังเอามาก


เห็นเวลาทำงานล่ะทำหน้าเครียดเชียว ในห้องก็อุดอู้ไม่ค่อยมีอะไรให้ผ่อนคลายเพราะเจ้าของห้องเป็นคนเรียบง่ายไม่ชอบให้มีของตกแต่งในห้องเยอะๆ จนดูรกตา เมื่อก่อนใบไม้สักใบยังไม่มีจนซินเธียต้องคอยจัดหาดอกไม้ใส่แจกันไปวางไว้ในห้องทำงานของคนตัวโตทุกวันจะได้มีสีสันอะไรให้มองตอนพักสายตาบ้าง ไม่งั้นล่ะเครียดตายเลย


นี่ก็คิดว่าจะจุดเทียนหอมให้นานๆ ครั้ง คงจะดีไม่น้อย


“เขาไม่ชอบพวกกลิ่นที่ฉุนๆ มากเกินไป เอาจากกล่องนี้ก็ได้”


เทียนหอมจากกล่องสีขาวถูกหยิบส่งไปให้ อีริครับมันมาถือไว้ ชายชราระบายรอยยิ้มจางๆ ขณะมองเจ้านายเยาว์วัยอีกคนหนึ่งตรงหน้า


“ถึงแม้ท่านชายจะพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแต่คุณก็เข้าใจคุณท่านเป็นอย่างดีเลยนะครับ”


พอถูกเย้าไปแบบนั้นคนฟังก็เผลอเม้มปาก สองแก้มซับสีเรื่อจางๆ แสร้งทำเป็นง่วนกับการเลือกของบนโต๊ะไม่เงยหน้ามาสบตาคล้ายไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่จากพ่อบ้าน


“ตั้งแต่มีท่านชายเข้ามาคุณแอชลีย์ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะรับความเอาใจใส่จากท่านแท้ๆ”
เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงหรือเพื่อจะเอาใจใครเลย ท่านชายคิมผู้นั้นน่ะตั้งแต่เติบโตจนเข้ามารับตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว จากคุณชายน้อยในครานั้น มาถึงตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรไปที่ไหนก็มักจะแผ่กลิ่นอายของพลังอำนาจอยู่เสมอ ให้ความรู้สึกทั้งเคร่งขรึมและเย็นชาชวนให้กริ่งเกรงสมกับความเป็นอัลฟ่า วันทั้งวันสีหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด


แต่ตอนนี้ ถึงจะไม่นับว่าเปลี่ยนแปลงไปจากปกติมากแต่สำหรับอีริคที่ทำงานรับใช้ตระกูลคิมมานานย่อมดูออกว่าคุณชายน้อยของตนในวันวานเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง


ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะท่านชายจากต่างแดนผู้นี้


 “ส่วนกล่องนี้เอาไปวางไว้ในห้องเรือนกระจกกับห้องรับแขกนะครับ แล้วก็แบ่งไปวางในห้องน้ำด้วยสักสองสามชิ้น” ฝั่งคนที่เริ่มจะเก็บความสั่นไหวในใจเอาไว้ไม่อยู่น่ะหรือก็ยังคงตีหน้าตายทำเมินเฉยต่อไป แต่ใบหูสองข้างน่ะแดงแจ๋ไปหมดแล้ว


ก็ดูเอาแล้วกันว่าแสร้งเมินใส่ขนาดนี้คุณพ่อบ้านยังจะพูดต่อไปอีกไหม ซึ่งนับว่าดีที่ทางนั้นยอมรามือไปแต่โดยดี


“รับทราบครับ” ชายชราหัวเราะแบบไม่ออกเสียง นึกเอ็นดูเจ้านายอายุน้อยคนนี้มากจริงๆ


“ซื้อมาเยอะเหมือนกันนะ” พอจัดสรรเรื่องในบ้านเสร็จก็ยังเห็นว่าสิ่งของที่ซื้อมามีมากพอจะให้คฤหาสน์คิมจุดแบบสุรุ่ยสุร่ายไปอีกทั้งปีเลยเริ่มคิดหาวิธีกระจายออกไปนอกบ้านบ้าง


“เราเอาไปฝากท่านชายมัวร์สักกล่องดีไหม เขาจะชอบหรือเปล่า”


เพราะยังมีอีกหลายกล่องยังไม่ได้แกะซินเธียเลยคิดว่าบางทีนำไปเป็นของฝากแสดงน้ำใจกับเจย์เดนคงจะดี ทางนั้นเคยเชื้อเชิญไปนั่งคุยเล่นกันที่คฤหาสน์ ทว่า ตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลคิมมาซินเธียยังไม่เคยสบโอกาสไปเยี่ยมเยียนทางนั้นเลยสักครั้ง ไม่รู้ตอนนี้ปัญหาสุขภาพของท่านชายมัวร์จะดีขึ้นหรือยัง ครั้นจะไปมือเปล่าก็ดูเสียมารยาทการนำเจ้าเทียนหอมพวกนี้ติดมือไปด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว


“นับว่าเหมาะสมครับ ท่านชายมัวร์ชอบดอกกุหลาบมาก ผมว่านำกล่องนั้นไปก็ไม่เลวทีเดียว” คุณพ่อบ้านผายมือไปทางกล่องสีขาวนวล บนตัวกล่องปั้มลายนูนตัวอักษรต่างแดนเขียนด้วยตัวตวัดดูสวยงาม ส่วนด้านในเป็นเทียนหอมกลิ่นกุหลาบ สกัดมาแบบเจือจางทำให้เวลาจุดจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนจมูก


“อื้ม” พยักหน้าเห็นด้วย “อีกสักครู่เราจะไปคฤหาสน์มัวร์สักหน่อยคุณพ่อบ้านช่วยเตรียมการทีนะครับ”


เมื่อตกลงได้แล้วซินเธียจึงขึ้นไปเปลี่ยนชุดให้เหมาะสมสำหรับการออกไปด้านอก ช่วงนี้เป็นช่วงที่วินเทอร์ฟอลกำลังเข้าสู่ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดของปี การออกไปข้างนอกจึงต้องพิถีพิถันมากกว่าเดิม ผมยาวสลวยที่เคยปล่อยสยายก็ถูกถักเปียเอาไว้หลวมๆ ดูเรียบร้อยเหมาะสมกับการไปเป็นแขกบ้านอื่นมากขึ้น


ทางฝั่งคุณพ่อบ้านก็หมุนตัวไปจัดเตรียมรถสำหรับออกไปเยือนตระกูลมัวร์แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ลืมแจ้งข่าวไปยังเจ้านายอีกคนซึ่งกำชับเอาไว้แล้วว่าให้คอยรายงานเวลาคนในบ้านจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยแล้วถึงค่อยไปจัดการเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายต่อ



จากวันแรกจนถึงขณะนี้นับดูแล้วซินเธียก็ใช้ชีวิตอยู่ในวินเทอร์ฟอลมาร่วมสองเดือนแต่กลับไม่เคยออกมาเดินชมตัวเมืองเลยสักครั้ง


สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาทางเหนือ ประชากรอาศัยอยู่รวมกันจำนวนไม่มาก สภาพแวดล้อมส่วนใหญ่รายล้อมไปด้วยป่าสนมองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวของต้นไม้กับสีขาวของหิมะ ใจกลางเมืองคือสถานศึกษาที่ถูกเรียกว่าฮิลตัน บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นถูกปลูกเรียงรายไม่ไกลจากกันคนส่วนใหญ่จึงมักจะเดินไปมาหาสู่กันมากกว่าใช้รถ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ระหว่างการเดินทางจะเจอผู้คนเดินสวนทางมา ซินเธียมองกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป บ้างก็เจอคนยืนคุยกันอยู่ใต้ร่มไม้ เพราะเป็นเขตชุมชนความเร็วในการเคลื่อนของรถจึงไม่เร็วมาก


เทียบกับคฤหาสน์ของอีกสามตระกูลใหญ่ คฤหาสน์มัวร์นั้นตั้งอยู่บนเนินเขาลึกเข้าไปในป่าสนค่อนข้างปลีกวิเวิกแตกต่างจากตระกูลอื่น


ได้ยินมาว่าแต่ไหนแต่ไรตระกูลมัวร์นั้นรักสงบไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาจึงมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาถึงขณะนี้อีกทั้งยังมากไปด้วยอำนาจไร้ซึ่งปัญหาและความขัดแย้ง


เมื่อตัวรถแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู คนของทางฝั่งนั้นก็มารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว


“สวัสดียามบายค่ะท่านชายวาเลนเธีย” หญิงชราผู้นี้หากจำไม่ผิดเธอก็คือไมล่าผู้ดูแลประจำคฤหาสน์ที่รับใช้ตระกูลมัวร์มายาวนาน


“สวัสดีครับ” เขายิ้มทักทาย


“ถืออะไรมาด้วยคะนั่นให้ไมล่าช่วยนะคะ”


“ไม่เป็นไร เราตั้งใจนำมามอบให้ท่านชายไม่ได้ลำบากมากอะไรครับ” เอ่ยปฏิเสธเพราะอยากจะมอบให้เจ้าบ้านด้วยตนเองมากกว่า


“ท่านชายพึ่งจะตื่นพอดีค่ะ กำลังรออยู่ด้านใน”


คงเพราะเผลอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกไปชัดเจนหญิงชราถึงได้หัวเราะน้อยๆ แล้วอธิบายเพิ่มว่าท่านชายของเธอนั้นไม่ได้ตื่นสายแต่อย่างใด


“เธอแค่พักสายตาระหว่างวันน่ะค่ะ ระยะนี้จะใช้เวลาพักผ่อนมากเป็นพิเศษเสียหน่อย”


ซินเธียเดินตามหญิงชราเข้าไปด้านใน ที่ห้องรับแขกเจย์เดนกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าเป็นใครเดินเข้ามาก็ระบายรอยยิ้มกว้างอย่างน่ารักส่งมาให้


“ซินเธีย”


“อ๊ะ! ไม่ต้องลุกก็ได้เราไม่ได้ถืออะไร”


รีบเอ่ยห้ามคนที่กำลังจะลุกมาต้อนรับกันเป็นพัลวัน วันนี้พอได้เห็นเจย์เดนแล้วเขาก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น มิน่าเล่าระยะหลังถึงไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายเลย ไม่ใช่ว่ากำลังมีปัญหาสุขภาพแต่กลับเป็นเรื่องน่ายินดีแทนต่างหาก และเพราะข่าวดีนี้จึงทำให้เจ้าตัวไม่สะดวกจะออกไปไหนมาไหน


ซินเธียนั่งลงบนโซฟาบุนวมสีเบอร์กันดี ฝั่งตรงข้ามคือเจย์เดนที่กำลังเอนกายพิงหมอนอิงอยู่ ท่านชายมัวร์ในวันนี้ดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่พบกันมาก หน้าท้องแบนราบก็เริ่มนูนขึ้นจนเห็นเด่นชัดแม้จะถูกอำพรางอยู่ใต้ชุดผ้าแพรตัวหลวม


เจย์เดนเมื่อเห็นสีหน้าของอาคันตุกะในวันนี้ก็อมยิ้ม “ระยะหลังมานี้เราไม่ค่อยสะดวกออกไปไหน ก่อนหน้านี้ก็แพ้ท้องเสียหนักต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปร่วมยินดีกับท่านชายจริงๆ” ปากพูดไปมือก็ลูบหน้าท้องไปด้วยอย่างรักใคร่


“ไม่เป็นไรเลย เราเข้าใจ แต่ก็ยินดีด้วยนะครับ”


“ขอบคุณ” ว่าที่คุณแม่ลูกสองยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม สำหรับเจย์เดนแล้วซินเธียเป็นเด็กน่ารัก ถึงจะอายุห่างกันไม่กี่ปีซ้ำทางนั้นยังมีฐานะสูงกว่าในทางพฤตินัยแต่เจ้าตัวก็ยังคงความสุภาพอ่อนน้อมเสมอ เพราะแบบนั้นต่อให้ไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนักแต่ก็สามารถให้ใจสนิทสนมกันไม่ยาก


“แล้ว...กี่เดือนแล้วหรือครับ เราถามได้ไหม”


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ท่านชายมัวร์หัวเราะ “ราวๆ 5 เดือนได้ แถมคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงด้วยนะ”


แสดงว่าท่านชายเขาตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนซินเธียจะมาอยู่ที่นี่แล้วสินะ มิน่าเล่าครั้งก่อนถึงได้แอบสังเกตเห็นอีกฝ่ายลูบหน้าท้องของตัวเองบ่อยๆ แถมพอได้ยินว่าในท้องของท่านชายนั้นคือคุณหนูตัวน้อยๆ ดวงตาของซินเธียก็เกิดประกายวิบวับ จิตนาการไม่ออกเลยว่าหากคลอดออกมาเด็กน้อยจะหน้าตาน่ารักขนาดไหน


“ยังไงก็ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ ว่าแต่คุณชายน้อยไปไหนเสียแล้ว” รายนั้นน่ะติดแม่จะตาย เจอกันทีไรไม่เคยเห็นยอมห่างเลย แต่แปลกที่วันนี้แม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้ยิน


“ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่เลย” คนเป็นแม่หัวเราะเมื่อนึกถึงลูกชาย “ก่อนหน้านี้เขาเห็นเรานอนเลยมาอ้อนขอนอนด้วยแต่กลายเป็นว่าหลับสนิทเสียจนไม่ยอมตื่น”


“น่าเสียดาย อดเจอเสียแล้ว” คุณชายน้อยน่ะน่ารักจะตาย ซินเธียยังไม่มีโอกาสได้เล่นกับเขาเลยสักครั้ง วันนี้คิดเอาไว้ว่ามาทั้งทีจะขอลองฟัดแก้มเจ้าตัวน้อยเสียหน่อย ที่ไหนได้หนีกันไปนอนกลางวันเสียอย่างนั้น


“คงจะเหนื่อยด้วย เมื่อเช้าตามคุณพ่อเขาไปข้างนอกเสียนาน ไม่รู้ไปซนที่ไหนกัน”


“เด็กวัยนี้กำลังสดใส แต่เจสเปอร์ก็ดูเป็นเด็กที่ร่าเริงมากๆ เลยนะครับ”


“เรียกว่าร่าเริงเกินวัยเสียมากกว่า อยู่นิ่งๆ ไม่ได้นานหรอกครับ”


    พอได้เปิดประเด็นคุณแม่ก็ได้ทีเผาลูกชายตัวเองไปหลายประโยค ราวกับรู้ตัว ไม่นานเสียงใสๆ ของเด็กน้อยก็ดังมาก่อนตัวเสียอีก เจสเปอร์วิ่งแจ้นมาจากห้องข้างๆ แต่พอถึงตัวจากที่ทำท่าจะกระโดดโถมเข้าใส่ก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรเลยชะงักเท้าเสียจนเกือบหน้าทิ่ม ดีที่ได้คนเป็นแม่ช่วยประคองตัวเอาไว้ได้ทัน


“ระวังหน่อยสิครับ เจสสวัสดีคุณน้าซินเธียหรือยัง จำได้ไหมครับ”


“จำได้ๆ คุณน้าผมยาวเจสชอบผมคุณน้ามากเลย!” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงคึกคักก่อนจะหันมาโค้งอย่างน่ารักให้ซินเธีย “สวัสดีครับ คุณน้าซินเธีย”


“สวัสดีครับ” ซินเธียยิ้มกว้างรับการเคารพจากหลานตัวน้อย ยิ่งมองก็ยิ่งเอ็นดู


“คุณแม่” เจ้าตัวน้อยลากเสียงยาวหันกลับไปหาคุณแม่ด้วยท่าทีออดอ้อน “เจสหิว”


“เด็กคนนี้ ตื่นมาก็บ่นหิวเลยกินเก่งได้ใครกัน”


“เจสเปอร์ครับ คุณน้ามีขนมมาด้วยนะ อยากทานไหมครับ” ซินเธียชูถุงกระดาษในมือ เป็นทาร์ตผลไม้รวมสำหรับเด็กที่เขาแวะซื้อระหว่างทางมาฝากเจ้าตัวโดยเฉพาะ แน่นอนว่าพอเห็นของกินดวงตากลมโตสีครามก็ยิ่งโตขึ้นกว่าเดิม เจสเปอร์ทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาแต่ก็ยังมีความลังเลแอบเหลือบมองผู้เป็นมารดาก่อนราวกับว่าถ้าไม่อนุญาตก็จะไม่เข้ามาเอาขนม


“ไปนั่งทานกับคุณน้าสิครับ อย่าลืมขอบคุณก่อนด้วยนะ”


พอได้รับคำอนุญาตเจ้าตัวเล็กก็รับกระโดดโหยงมาหากันทันที สองมือเกาะบนหน้าขาของซินเธียส่วนดวงตากลมโตก็จ้องมองแป๋วมาอย่างน่ารัก รอคอยระหว่างที่เขาแกะถุงหยิบขนมให้


“ขอบคุณครับ!”


“อร่อยไหมครับ” เขาถามแต่ดูจากสีหน้ามีความสุขของเจ้าตัวแล้วก็ไม่ต้องรอคำตอบก็พอรู้ล่ะนะ


“เกือบลืมเลย คราวก่อนเราไปอีสเทิร์นพอร์ตมามีสินค้าน่าสนใจเยอะแยะเลยเลือกมาฝากเจย์เดนด้วยนะ” เขาเลื่อนกล่องสีขาวส่งไปให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เจย์เดนหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างสนใจ พอเห็นว่าของข้างในเป็นอะไรก็ยิ้มกว้างทันที


“กลิ่นหอมมากเลย ขอบคุณนะ”


“เอาไว้ช่วยผ่อนคลายน่ะครับถ้าอารมณ์แจ่มใสก็จะดีกับตัวน้อยในท้องด้วย เราเลือกกลิ่นที่ไม่แรงมาหวังว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบกับอาการแพ้ท้อง”


“ไม่น่าจะมีปัญหานะ คนนี้น่ะไม่ค่อยกวนเราเหมือนตอนเจสเปอร์”คุณแม่ลูกสองหัวเราะยามได้เอ่ยถึงลูกๆ “รายนั้นน่ะกินอะไรแทบไม่ได้เลยเหม็นนู่นเหม็นนี่ไปหมด”


“แพ้นานไหมครับ อาการแบบนี้”


“อาเจียนจนเหนื่อยเลย ของที่เคยชอบก็กลายเป็นเกลียด ของแปลกๆ ก็ดันอร่อยเสียอย่างนั้น” เจย์เดนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “อืม... ความจริงมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะ เพราะขนาดตอนเจสเปอร์กับเด็กคนนี้ก็ไม่เหมือนกัน คนนี้น่ะยังพอทานอาหารได้หลายอย่าง ท่าทางว่าง่าย” เล่าไปก็ขำไป ทางคนโตเนี่ยแสบตั้งแต่อยู่ในท้อง


“แต่ก็จะอยู่ราวๆ 2-3 เดือนน่ะครับ”


ซินเธียครางรับเสียงเบา ไม่ได้พูดแสดงความเห็นอะไร จากเท่าที่ฟังแล้วคงลำบากน่าดู ไม่แปลกใจเลยว่าช่วงก่อนหน้านี้ทำไมเจย์เดนถึงอยู่แต่ในบ้าน


“แต่คุณหมอท่านก็บอกว่าแล้วแต่คนนะ บางคนอาจจะแพ้ไปจนช่วงใกล้คลอดเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ค่อยมีให้เห็นหรอก ส่วนใหญ่ก็ราวๆ นั้น”


“มีนานถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”


คนฟังเริ่มหวั่นใจแต่มาคิดดูอีกทีช่วงเวลาลำบากนับว่าไม่นานเลยเมื่อเทียบกับความสุขที่จะได้รับในตอนหลัง เขาก้มลงไปมองเจ้าตัวเล็กที่เปลี่ยนมานั่งบนตักพลางใช้นิ้วปัดเศษขนมบริเวณมุมปากกับแก้มพองๆ ที่เคี้ยวหยุบหยับไม่ต่างอะไรไปกับกระต่ายตัวน้อย น่าเอ็นดูเสียจริง


“ชอบไหมครับ”


“อื้อ! อร่อยมาก แต่เจสก็ชอบขนมที่คุณแม่ทำให้ทานมากที่สุด” ดูสิน่าเอ็นดูขนาดไหน รู้ว่าชอบเจ้าทาร์ตนี้มากแต่ก็ยังไม่วายอวดขนมของคุณแม่คงเพราะกลัวว่าชมขนมคนอื่นแล้วกลัวแม่จะเสียใจล่ะมั้งนั่น


“คุณแม่ทำอร่อยมากเลยเหรอครับ คุณหน้าขอชิมบ้างได้มั้ย” ก้มลงไปฟัดแก้มพองๆ นั้นหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยวแล้วเอ่ยถาม เจ้าตัวน้อยทำท่าครุ่นคิดหนักราวกับกำลังช่างใจว่าควรจะแบ่งของอร่อยนี้ให้ดีไหม


ถามว่าจริงจังขนาดไหนก็ให้ดูหัวคิ้วบนใบหน้าน่ารักนั่นดูเถอะ ผูกกันจนจะเป็นโบแล้ว


“จริงๆ เจสอยากกินคนเดียวให้หมดเลยเพราะมันอร่อยมาก แต่ แต่คุณแม่บอกว่าเราจะเป็นพี่ชายแล้วต้องรู้จักแบ่งปัน อย่างนั้นจะแบ่งให้คุณน้าก็ได้แล้วก็เก็บเอาไว้ให้น้องด้วย!”


“น่ารักจริงเชียวเด็กคนนี้” ฟังคำตอบแล้วมันก็อดจะก้มลงไปฟัดแก้มนุ่มนิ่มนั่นซ้ำอีกครั้งไม่ได้ แถมคราวนี้บวกเพิ่มเป็นสองข้างเลย


“น้องยังกินไม่ได้หรอกครับ เจสแบ่งให้คุณน้าก็พอ” เจย์เดนอธิบายให้ลูกฟังก่อนจะหันมาคุยกับคุณน้าต่อ


“เราอบคุ้กกี้เอาไว้ ตอนกลับเดี๋ยวจะให้ไมล่าจัดใส่กล่องไว้ให้นะ”


“ไม่ต้องก็ได้ครับ ให้เจสเปอร์กินเถอะแกดูชอบมาก”


“รายนั้นน่ะกินจนพุงกางแล้ว เราอบไว้เยอะเลยยังไงเดี๋ยวจะแบ่งเอาไปให้นะ ทานคู่กับน้ำชาจะอร่อยมากเลยครับ”


“จริงสิครับ น้ำชาที่คุณฝากมาให้รสชาติดีมากๆ เลย คุณแอชลีย์เองก็ชอบ  ขอบคุณนะครับให้มาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณด้วยตัวเองเลยสักครั้ง”


“ครับ ว่าแต่คุณแอชลีย์เขาดื่มชาด้วยเหรอ เราไม่รู้มาก่อนไม่อย่างนั้นคงฝากไปให้นานแล้ว” เอ่ยอย่างสงสัยเนื่องจากฝ่ายนั้นมาบ้านนี้ทีไรนอกจากน้ำเปล่ากับกาแฟแล้วก็ไม่เคยเห็นรับอย่างอื่นเลย


“เราชงให้ดื่มเขาก็ดูไม่ว่าอะไรนะ” ซินเธียครุ่นคิด “น่าจะดื่มอยู่นะครับแต่ก็ไม่บ่อยมาก”


คนฟังเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงอมยิ้มแล้วเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องทั่วไปอื่นๆ แทน ซินเธียก็เพลิดเพลินกับการเล่นกับเจสเปอร์จนหลงลืมเวลา เขาชอบเด็กมากจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะเย็นมากแล้ว ในขณะที่กำลังจะเตรียมกล่าวลากลับไมล่าก็เข้ามาแจ้งเสียก่อน


“ท่านชายคิมมาค่ะ”


“หืม?” สองโอเมก้าแสดงสีหน้าประหลาดใจ โดยเฉพาะซินเธียที่ไม่คิดว่าอีกคนจะมาเนื่องด้วยเห็นว่ามีงานให้ต้องจัดการกว่าจะกลับบ้านก็เป็นช่วงเย็น แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากคนตัวสูงก็เดินเข้ามาในห้องน้องเล่นเสียก่อน


“คุณแอชลีย์ สวัสดีครับ” เจย์เดนเอ่ยต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านเหมือนทุกที ส่วนทางนั้นก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้


“ผมมารับซินเธียครับ”


“อ๋อ...” เจ้าบ้านลากเสียงแล้วเงียบไปก่อนเหลือบสายตาไปทางแขกอีกคนของบ้านแทน


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะ” ซินเธียเอ่ยลา ถึงจะรู้สึกมึนงงไปบ้าง “คุณน้าไปก่อนนะครับ แล้ววันหลังจะซื้อขนมมาฝากอีกดีไหม” ส่วนประโยคหลังก็ให้คำสัญญากับเจ้าตัวน้อย


เจสเปอร์พยักหน้ารับหงึกหงักจนผมที่ปรกหน้าผากสะบัดตาม “เจสเปอร์จะรอคุณน้า!”


“รอกินขนมน่ะสิเรา” คนเป็นแม่พูดเย้า


“เปล่าน้า”


“ถ้าอย่างนั้นบ๊ายบายนะครับเจสเปอร์” เขาลูบหัวหลานตัวน้อยแล้วหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงซึ่งเจ้าตัวที่วิ่งกลับไปหาคุณแม่แล้วก็หันมาโบกมือคืน


“บ๊ายบาย”


“ไปกันครับ” เดินไปจับแขนคนตัวโตแล้วเดินตามเจ้าตัวออกไปขึ้นรถ ครั้งแรกซินเธียแอบใจเต้นตึกตักเพราะตื่นเต้นว่าปฏิกิริยาของแอชลีย์จะเป็นอย่างไร แต่พอเห็นว่าทางนั้นเองก็ไม่ได้คิดจะสะบัดแขนหนีกันมุมปากมันก็ขยับยิ้มไปเอง


“อืม”


ตอนแรกก็ไม่กล้าทำอะไรแบบนี้หรอก แต่พอได้ยินว่าอีกคนมารับกันกลับบ้านร่างกายมันก็ขยับไปเองแล้ว


“สนุกไหม”


“ครับ?” จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย


“ที่ออกมาน่ะ”


“อ๋อ ครับ เจสเปอร์น่ารักมากเราอยู่เล่นกับเขาทั้งบ่ายเลย” คนที่พึ่งผ่านความสนุกสนานมาพอมีช่องให้ก็ลืมตัวเอ่ยปากเล่าออกมายาวเหยียด เล่าไปยิ้มไปดูก็รู้ว่ามีความสุขขนาดไหน แถมยังบอกอีกว่าอยากจะแวะมาเล่นด้วยบ่อยๆ


“สนุกก็ดีแล้ว”


“แล้ว...” ซินเธียนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะถามออกไปดีไหม “คุณรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่”


“อีริคบอก...”


“อย่างนั้นนั่นเอง” เขาเงียบ อีกคนก็เงียบ มีเพียงเสียงเปียโนจากเครื่องเสียงในรถยนต์เปิดคลอไปตลอดทาง ซินเธียพยายามคิดหาเหตุผลของการมาที่นี่ของแอชลีย์แล้วแต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี หรือว่าตั้งใจจะมาหาคาร์ลิน? ก็ไม่น่าใช่


“คุณมาทำธุระแถวนี้หรือครับ”


คนที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่เลิกคิ้วขึ้น “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”


“ก็... เปล่า เราแค่แปลกใจ”


“...”


“…”


ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกไปอีกแล้วล่ะ


เป็นนานกว่าที่เสียงทุ้มนั้นจะถูกเปล่งออกมาจากลำคอ แอชลีย์หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตของคฤหาสน์ตระกูลคิม


ซึ่งก็เป็นคำตอบที่....


“ไม่มีธุระอะไรทั้งนั้น”


“...”


“ก็ตั้งใจมารับกลับบ้านนั่นแหละ”


ไม่ค่อยดีกับหัวใจเอาเสียเลย






TBC





หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 12-07-2019 00:57:01
เป็นเขินไปเลยจ้าท่านชายย 555 ซินเธียเขินไหม แต่ทางนี้เราเขินมากกก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-07-2019 01:15:05
 :impress2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-07-2019 01:42:08
 :mew1: :mew1: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 12-07-2019 05:34:23
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-07-2019 10:04:38
โอ๊ยยยยยยยย เขินค่าาาาาาาาา :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-07-2019 10:36:42
เขิน T___T
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 12-07-2019 13:28:27
เราชอบพระเอกแบบนี้มากๆ อยากให้ทั้งคู่มีลูกน้อยเร็วๆ อร้ายยยย~  :-[
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-07-2019 17:32:58
 :-[ :-[ :-[ เราเขิลลลลลลลล
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 13-07-2019 08:19:23
ชอบเนื้อเรื่องมากเลยคะ เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 15 [P.4] --- 12/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 13-07-2019 22:29:25
ละมุนมากแม่!!
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 16 [P.4] --- 13/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 13-07-2019 22:53:51



บทที่ 16




ชีวิตของซินเธียในวินเทอร์ฟอลนับว่าผ่านทุกวันไปอย่างปกติสุขโดยแท้จริง เด็กหนุ่มเริ่มจะทำตัวกลมกลืนไปกับชาวแดนเหนือมากขึ้นอีกทั้งสำเนียงทางเหนือก็ดีขึ้นมาก วันก่อนออกไปเดินเล่นในเมืองกับคุณพ่อบ้านแวะซื้อวัตถุดิบทั้งของแห้งของสดกลับมายังสามารถพูดคุยกับเจ้าของร้านได้อย่างไม่ขัดเขินอีกแล้ว ซึ่งถ้าหากเป็นเมื่อก่อนคงไม่กล้า


กับแอชลีย์ก็ดี ถึงภายนอกชายหนุ่มจะดูเป็นประเภทที่ชอบแผ่รังสีห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้แต่เนื้อแท้ก็เป็นคนเอาใจใส่ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย... ก็มีบ้างตามประสาสามีภรรยา


ความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่เคยรู้สึกในช่วงแรกดูจะเลือนหายไปมาก ทุกวันนี้ซินเธียไม่ค่อยเอาแต่นั่งเหม่อคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกแล้ว ชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มมีเรื่องเข้ามาให้จัดการมากมาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องภายในบ้าน


ปกติแล้วเวลาจะทำอะไรสักอย่างคุณพ่อบ้านมักจะรอปรึกษาแอชลีย์เจ้าของบ้านตัวจริง แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอให้ถึงมืออีกคนแล้วเพราะซินเธียเองก็มีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องทั่วไปเช่นกัน ยกเว้นว่าสิ่งนั้นจะเป็นปัญหาใหญ่ยุ่งยากต้องรอปรึกษากับคนตัวโตอีกที


เย็นวันหนึ่งในขณะคนทั้งสองรับประทานมื้อเย็นร่วมกัน จู่ๆ แอชลีย์ที่ทานจนอิ่มก่อนแล้วหยิบผ้าขึ้นเช็ดปาก เอ่ยถามคำถามประหลาดจนคนฟังเกือบสำลักซุป


“ฮีทครั้งต่อไปของเธอใกล้มาหรือยัง”


“ครับ?”


อันที่จริงแอชลีย์ต้องการทราบระยะเวลาแน่ชัดเพื่อที่จะได้เตรียมรับมือ ยาเขาไม่ได้ให้อีกคนทานมานานแล้วเนื่องจากยาจำพวกนี้ไม่เหมาะจะใช้ในระยะยาว นานวันเข้าจะยิ่งสะสมในร่างกายแล้วส่งผลเสียต่อสุขภาพภายในของโอเมก้า เพราะอะไรที่มันฝืนธรรมชาติย่อมก่อให้เกิดปัญหาไม่เป็นผลดี


ทางด้านซินเธียก็ตกใจ แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่สมควรหรือประเด็นอ่อนไหวอะไรหรอกสำหรับคู่สามีภรรยา แต่เขาตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกถามเรื่องแบบนี้ออกมาตรงๆ มากกว่าเลยทำตัวไม่ค่อยถูก


“ฮีทเหรอ”


“อืม ปกติจะมาตรงกันทุกครั้งไหม”


ซินเธียเงียบไปแล้วใช้ความคิด ไม่แน่ใจว่า ครั้งสุดท้ายที่ตนฮีทมันตั้งแต่เมื่อไหร่ พักหลังมานี้มีเรื่องให้ทำมากมายจนหลงลืมวันเวลาไปก็เลยไม่ได้คิดเลยว่ามันใกล้ถึงเวลาหรือยัง หรือมันผ่านพ้นไปแล้วกัน?


ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่แฮะ


แต่โอกาสที่รอบฮีทในแต่ละครั้งจะมาไม่ตรงกันนั้นก็เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ตัวซินเธียเองก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเสียด้วยสิ  อาจจะยังมั้ง


เนื่องด้วยคำตอบของซินเธียเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจประกอบกับเจ้าของคำถามเพียงแค่ไถ่ถามไปอย่างนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบเป็นจริงเป็นจังอะไร ประเด็นนั้นจึงถูกปัดตกไปแทนที่ด้วยคำขอบางอย่างซึ่งเด็กหนุ่มนั่งทบทวนมันมาหลายวันแล้ว


แถมยังมีการแอบฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกด้วย พอถึงเวลาจริงจะได้ไม่ประหม่า


“แอชลีย์”


“มีอะไรหรือเปล่า”


“สุดสัปดาห์นี้คุณว่างหรือเปล่าครับ เรามีบางอย่างอยากจะรบกวน”


“ลองว่ามาสิ” เขากล่าว วางแก้วชาในมือลงส่งสายตาแสดงท่าทางว่าต้องการอะไรให้พูดทุกอย่างออกมาเสีย อย่าได้มัวพิรี้พิไร


“คือว่า...”




ด้วยเหตุนั้นในวันหยุดสุดสัปดาห์คนทั้งสองจึงได้มายังสถานที่แห่งหนึ่งนอกตัวเมือง ซินเธียกวาดตามองความเขียวขจีของทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ในดวงตาสีเงินทอประกายตื่นเต้น ดีใจจนแทบจะรักษากิริยาเอาไว้ไม่อยู่ในระหว่างเดินตามคนตัวสูงเข้าไปด้านในสนาม


สถานที่แห่งนี้ก็คือสนามขี่ม้านั่นเอง


ยอมรับว่าถึงจะทำตัวให้ชินกับชีวิตใหม่ ทว่า หากมีโอกาสก็ไม่รอจะไขว่คว้า เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อหลายวันก่อน ซินเธียเอ่ยถึงชีวิตเดิมๆ ของตนรวมถึงความชื่นชอบในการขี่ม้าระหว่างเวลาน้ำชายามบ่าย คุณพ่อบ้านบอกว่าในวินเทอร์ฟอลเองก็มีสนามสำหรับขี่ม้าเหมือนกันแต่มันไม่ค่อยเป็นที่นิยมเสียเท่าไหร่ ถ้าสนใจก็ลองปรึกษาคุณท่านเขาดู


เดินกันมาจนถึงส่วนสำหรับเตรียมตัว ผู้ดูแลสนามจูงม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ พอได้รับสายตาอนุญาตจากคนตัวสูงแล้วซินเธียจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปทักทายเจ้าม้าหนุ่มตรงหน้า ยกมือลูบมันเบาๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย ขนของมันนุ่มมากแววตาก็ดูสดใสเดาได้ไม่ยากเลยว่าคงเป็นม้าพันธุ์ดีที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม


“เดี๋ยว” ต้นแขนถูกรั้งเอาไว้เบาๆ ตอนกำลังจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนอานม้า อีกคนไม่พูดอะไรแต่หันไปรับหมวกมาสวมให้รวมถึงสนับข้อศอก สนับเข่า ลงมือทำให้ทุกอย่างโดยไม่ปริปากอะไร


กับอีกคนที่มักดูแลกันเป็นประจำน่ะไม่ค่อยมีอาการแล้ว แต่เขาเขินสายตาของผู้ดูแลมากกว่า เลยก้มลงไปกระซิบคนที่กำลังนั่งคุกเข่าบรรจงสวมสนับเข่าให้อย่างตั้งใจ


“คุณ ความจริงไม่ต้องใส่ก็ได้ เราคุ้นเคยกับการขี่ม้ามาตั้งแต่เด็กแล้วไม่มีปัญหาหรอกครับ”


“เคยแล้วก็ต้องใส่ ม้าตัวนี้มันไม่ได้คุ้นเคยกับเธอด้วยเสียหน่อยต่อให้มันเชื่องใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป” นอกจากจะไม่ฟังกันแล้วยังเอ่ยเหตุผลมาแย้งกันหน้าตาย แถมยังเป็นเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย


พอใส่ข้างขวาเสร็จก็ขยับมาใส่ข้างซ้ายต่อ ซินเธียได้แต่เม้มปากยืนรออีกคนแต่งตัวให้เพราะเถียงไม่ได้ เถียงมากกลัวจะโดนดุเอา


คนนี้เขามุมใจดีก็มี แต่มุมใจร้ายเนี่ยเยอะ


“ยื่นมือมา”


“อันนี้ไม่จำเป็น... ก็ได้” กำลังจะอ้าปากเถียงพอเจอสายตาคมกริบจ้องมาทีเป็นอันต้องหุบปากฉับ ส่งมือทั้งสองข้างไปให้คนเอาแต่ใจสวมถุงมือหนาๆ ห่อหุ้มส่วนที่บอบบางจากทั้งอากาศทั้งกันการเสียดสีระหว่างจับบังเหียนแต่โดยดี


การขี่ม้าสำหรับคนแดนใต้นั้นก็เหมือนกับการนั่งรถสักคัน เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันถึงขนาดว่าต่อให้หลับตาก็ยังบังคับพวกมันได้ดีแตกต่างจากคนทางนี้ซึ่งมีการขี่ม้าเป็นงานอดิเรกและต้องอยู่แค่ในอาณาเขตของสนามแห่งนี้เท่านั้น การแต่งกายก็มีเครื่องแบบที่ต้องสวมเป็นกิจจะลักษณะรวมถึงสวมอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยให้ครบถ้วนด้วย


เรื่องชุดนั้นคุณพ่อบ้านได้ช่วยจัดการหามาให้ตั้งแต่เตรียมจะออกเดินทางแล้ว วันนี้ท่านชายซินเธียเลยดูแปลกตาไปจากปกติ ผมยาวสลวยถูกรวบสูงให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง เสื้อคอปกสีขาวสวมทับด้วยเสื้อคลุมเข้ารูปสีกรม นอกจากจะดูแปลกตาแล้วยังให้กลิ่นอายของความสง่างามแบบฉบับเชื้อพระวงศ์


ยิ่งทางฝั่งคุณแอชลีย์เขาไม่ต้องพูดถึง ตอนเดินเข้าสนามมาก็มีแต่คนมองจนรู้สึกคันยุบยิบตรงหัวใจ ถึงชุดที่ใส่จะคล้ายกันจนเหมือนสั่งมาเข้าคู่ แต่พออยู่บนเรือนกายใหญ่โตสมส่วนก็ยิ่งขับให้อีกคนดูมีเสน่ห์ไปอีกรูปแบบหนึ่ง


พอใส่นู่นใส่นี้จนพอใจแล้วถึงได้ยอมพยักหน้าให้ไปได้ ซินเธียแอบมุ่ยปากไวๆ ตอนอีกคนหันไปสำรวจม้าของเจ้าตัวก่อนจะเดินไปทางเจ้าม้าสีขาวของตัวเองบ้าง


เด็กหนุ่มจับบังเหียนก่อนยกเท้าซ้ายเหยียบโกลนที่ติดอยู่กับอานแล้วยันตัวขึ้นไปบนหลังม้าวาดขาเรียวยาวคร่อมด้วยความคล่องแคล่ว ใช้ปลีน่องตบเบาๆ เป็นเชิงสั่งให้มันเดินเข้าสู่สนามโดยมีคนสูงควบม้าตามหลังมาห่างกันไม่มาก


หลังวนไปวนมาซึมซับบรรยากาศจนพอใจแล้วถึงได้เพิ่มความเร็วเปลี่ยนเป็นบังคับให้มันวิ่งไปรอบๆ ด้วยความเร็วที่คงมีแต่ระดับผู้ชำนาญเท่านั้นถึงจะทำได้ หัวใจเต้นระรัวเลือดลมฉีดพล่านไปทั้งกาย เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้พบพานมานานเสียจนซินเธียรู้สึกสนุกสนานกับการพุ่งทะยานไปบนทุ่งหญ้าไร้จุดหมาย


เจ้าม้าแสนรู้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายของมันกำลังสนุกสนานก็ยิ่งคึกคักก้าวทะยานไปข้างหน้าโดยไม่คิดอิดออด


ทางด้านแอชลีย์ทำเพียงบังคับม้าเดินวนไปมาอยู่ไม่ไกลจากจุดออกตัว นัยน์ตาคมกริบสีอำพันจับจ้องไปยังคนที่กำลังสนุกสนานไปกับความเร็วโดยไม่คิดห้ามปราม


เส้นผมสีแดงแกมส้มปลิวไสวไปตามลมดุจเส้นไหม ยิ่งถูกรวบขึ้นสูงก็ยิ่งเผยให้เห็นต้นขอขาวกระจ่าง สองมือกำบังเหียนแผ่นหลังเหยียดตรงมองดูสง่างามบัดนี้โน้มไปด้านหน้าเล็กน้อยยามความเร็วถูกเพิ่มขึ้น ใบหน้านวลเคร่งขรึมทว่าแววตากลับทอประกายสดใส อาจจะมากกว่าวันไหนๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายจากดินแดนบ้านเกิดมายังวินเทอร์ฟอลด้วยซ้ำ


การขี่ม้าคงเปรียบเสมือนอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเด็กหนุ่ม ข้อนี้เห็นจะเป็นความจริง


ถึงแม้จะรู้สึกว่าการขี่ม้าเร็วๆ นั้นค่อนข้างอันตราย แต่ทางนั้นเขาชำนาญนี่นะ ไม่ได้คิดจะกังขากับความสามารถของภรรยาตัวน้อยเลยทำได้เพียงคอยดูแลความปลอดภัยให้อยู่ห่างๆ ปล่อยให้เจ้าตัวทำสิ่งที่ใจรักตามสบาย


อายุยี่สิบไม่นับว่าเด็กแล้ว แต่สิ่งที่น้อยกลับเป็นประสบการณ์ชีวิต แอชลีย์ไม่แน่ใจว่าคนทางนั้นใช้ชีวิตกันแบบไหนหรือซินเธียจะได้ทำอะไรมาบ้างในช่วงก่อนจะเดินทางมาเป็นคู่วิวาห์กันเฉกเช่นปัจจุบัน แต่เขาไม่นับการออกล่าสัตว์หรือผจญภัยในทุ่งกว้างของอีกฝ่ายว่าเป็นการผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชนหรอกนะ


ซึ่งอีกหลายข้อที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แอชลีย์เชื่อว่าโอเมก้าที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์อีกทั้งยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลคงไม่ถูกปล่อยให้ไปดื้อซี้ซั้วที่ไหน รอบกายมีแต่คนรัก แสดงความหวังดี คนใกล้ชิดทุกคนล้วนถูกคัดกรองมาอย่างดีเพื่อความปลอดภัย


ด้านกำลังกายอาจจะเรียกได้ว่าไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ทักษะการต่อสู่ก็ถือเป็นหนึ่งสิ่งอันพึงมีอยู่แล้วสำหรับคนแดนใต้ ข้อนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ


ทุกๆ อย่างที่หล่อหลอมท่านชายอย่างซินเธียมันยังมีไม่มากพอ ชีวิตในวัยผู้ใหญ่กับการเติบโต เรียนรู้ว่าในชีวิตนั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่ความสุข


บางครั้งความน่ากลัวของสัตว์ป่าอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าได้กับใจของคน ชายหนุ่มคิดว่าซินเธียยังไม่ตระหนักถึงข้อนี้ดี


“พอแล้วหรือ”


ผ่านไปพักใหญ่คนที่เคยควบม้าวิ่งเล่นไปทั่วสนามก็บังคับม้าเดินกลับเข้ามาด้วยใบหน้าเนือยๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเห็นกระตือรือร้นยู่ ดูเหมือนพลังของซุปเนื้อชามโตเมื่อเช้าจะถูกย่อยไปหมดแล้วมั้ง


“อันที่จริงก็ยังอยากไปต่อ ตรงฝั่งนู้นเรายังไม่ได้ไปสำรวจดูเลย เห็นมีลำธารอยู่ด้วย” ซินเธียชี้ไปทางอีกฝั่งซึ่งไกลออกไปทางทิศเหนือ สนามขี่ม้าแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองมีอาณาเขตกว้างขวาง ลักษณะเป็นสนามแบบเปิด มีทั้งต้นไม้ลำธารอยู่บริเวณโดยรอบ แต่ก็ไม่ได้กว้างมากจนต้องใช้เวลาทั้งเช้าในการวิ่งไปรอบๆ จนทั่ว


“แต่เราเหนื่อยแล้ว” ดูท่าแล้วเห็นจะหมดแรงจริงสังเกตจากใบหน้านวลซีดลงเล็กน้อย


ซินเธียก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ปกติตอนอยู่ธอร์นเวลาออกไปล่าสัตว์ต้องใช้กำลังและมีระยะในการเดินทางมากกว่านี้หลายเท่านอกจากไม่เหนื่อยแล้วยังมีแต่ความตื่นเต้น ประสาทสัมผัสทั้งร่างกายตื่นตัวพร้อมรบมาก


คงเพราะตั้งแต่มาอยู่คฤหาสน์คิมวันทั้งวันก็ใช้เวลาไปกับการกินๆ นอนๆ แทบไม่ได้ขยับตัวทำอะไรกล้ามเนื้อทั้งตัวถึงได้ลีบแบนไปหมด พอจะกลับมาออกแรงอีกทีอะไรๆ มันก็เลยไม่ได้ดั่งใจเหมือนแต่ก่อน


ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองอายุมากขึ้นพิกล ขี่ม้าแค่นี้เหนื่อยเสียอย่างนั้น นี่เขายังไปได้ไม่ถึงสองในสามเลยด้วยซ้ำ คงห่างหายจากการออกกำลังกายไปนานมากจริงๆ


“มานี่มา” คนตัวโตขยับมือเรียก ซินเธียเลยควบม้าเข้าไปหา “มาใกล้ๆ”


อะไรของเขา นึกขัดใจว่าที่เป็นอยู่มันก็ใกล้มากพอแล้วยังจะต้องใกล้ไปมากกว่านี้อีกหรือ จู่ๆ ก็รู้สึกขัดตากับใบหน้าเรียบนิ่งประหนึ่งกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ตายสนิทไปแล้วของอีกคนว่ามันมองแล้วหงุดหงิดประหลาด ซินเธียพาตัวเองเข้าไปใกล้จนเรียกได้ว่าห่างกันเพียงลมหายใจรดผ่านใบหน้า แล้วก็ต้องร้องเหวอออกมาเสียงดังเมื่อถูกมือและลำแขนอันแข็งแรงเอื้อมมาตวัดคว้าเอวกัน พริบตาเดียวก็รู้สึกว่าร่างลอยหวือปลิวไปกระแทกแผ่นอกกว้างจมอยู่ในอ้อมกอดแบบไม่ทันตั้งตัว


“คุณ! ตกใจหมด”


“นั่งดีๆ เดี๋ยวตก”


ซินเธียซึ่งถูกหิ้วมาให้นั่งด้วยกันเลยอยู่ในลักษณะนั่งพาดกับอานม้า เขารู้สึกกระอักกระอวนกับท่าทางของตนเองในตอนนี้มาก แต่เพราะดวงตาสีอำพันคมกริบคู่นั้นจ้องเขม็งมาโดยไม่ลดละ ถึงได้กระแอมหนึ่งทีแล้วขยับสะโพกจัดท่าทางของตัวเองให้มั่นคง


แล้วก็กลายเป็นว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องพลัดตกลงไประหว่างทางถึงต้องใช้สะโพกกับแผ่นหลังพิงกับคนตัวโตด้านหลังอย่างช่วยไม่ได้


แอชลีย์เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมแขนจัดท่าทางตัวเองเรียบร้อยดีแล้วถึงได้ใช้น่องกระทุ้งลำตัวม้าสั่งให้มันวิ่งเหยาะๆ ไปทางลำธาร ยามสองแขนแข็งแรงกำบังเหียนควบคุมทิศทางราวกับว่าทั้งร่างของซินเธียจมหายไปในอ้อมอกอบอุ่นนั้นเสียแล้ว


ถึงท่าทางมันจะน่าประดักประเดิดไปหน่อยแต่อดยอมรับไม่ได้เลยว่านั่งเฉยๆ แบบนี้มันก็สบายดีแฮะ ซินเธียโยนเรื่องน่าอายทิ้งไปแล้วหันมาดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบกายแทน วันนี้หิมะไม่ตกแถมท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งอารมณ์ที่เคยขุ่นก็กลับมารื่นเริงอีกครั้ง


ม้าก็ไม่ต้องขี่เองแถมยังมีพนักพิงส่วนตัวให้ได้เอนหลังขณะชื่นชมธรรมชาติไปพลางแบบนี้มันดีที่สุดเลย ใครจะไม่ชอบบ้างล่ะถูกไหม


คนทั้งสองมาจนถึงริมธาร แอชลีย์ก็กระโดดลงไปก่อนหันมายกซินเธียตามลงมา พอเดินเข้าไปใกล้มองเห็นน้ำใสเสียจนมองทะลุลงไปข้างใต้ได้ เพราะไม่มีหิมะตกมาหลายวันแล้วน้ำแข็งก็เริ่มละลายกลายเป็นสายน้ำไหลเอื่อยไปตามคลองธาร ระดับความลึกคงจะไม่เกินหน้าขา เป็นธารเล็กๆ ที่ไม่รู้มาจากทางไหน


“น้ำพวกนี้มาจากไหนหรือครับ” เขาถามข้อสงสัยในใจ


“มากจากบนเขา” ชายหนุ่มเบนสายตาไปทางหุบเขาห่างจากจุดที่ยืนอยู่ราวสองถึงสามไมล์ “น้ำที่นี่กินได้ มันคือน้ำแร่แต่ช่วงนี้ไม่เหมาะจะดื่ม”


เรื่องนี้ซินเธียพอจะเดาได้ วินเทอร์ฟอลกำลังอยู่ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นมากที่สุดของปี ถึงดื่มได้แต่ความเย็นของมันคงจะแล่นขึ้นสู่แกนสมองจนหน้าเบี้ยวเป็นแน่


แต่มีโอกาสได้มาดูแล้วก็ขอสัมผัสสักหน่อย เด็กหนุ่มถอดถุงมือออกข้างหนึ่งก่อนจะย่อตัวลงใช้นิ้วเปลือยๆ กวักน้ำเล่นซึ่งทำได้ไม่นานก็ต้องรีบชักมือกลับ มันเย็นมากจนมือขึ้นสีแดงเรื่อ เย็นแค่ไหนก็ระดับที่ขนาดปลายังไม่มีให้เห็นสักตัว


“อยากกลับหรือยัง” คนตัวสูงเอ่ยหลังปล่อยให้ภรรยาตัวน้อยเดินเล่นจนพอใจ ก้มมองนาฬิกาก็ผ่านมานานสมควรแก่เวลากับแล้ว


“อื้ม” ซินเธียพยักหน้าน้อยๆ “เราหิวแล้ว กลับกันเถอะ”


“ได้”


ขามาเป็นเช่นไร ขากลับก็เป็นเช่นนั้น ต่างกันแค่ครั้งนี้ซินเธียมีโอกาสได้ตั้งตัว เขายืนรออีกคนไปจูงม้ามาแล้วรีบปีนขึ้นไปนั่งรอด้านบนอย่างว่าง่าย จัดการตัวเองเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางเสียจนคนมองส่ายหน้าอย่างระอา


คืนนั้นหลังกลับคฤหาสน์ซินเธียหลับสนิทตั้งแต่หัวค่ำ รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ออกไปใช้พลังกายแบบนี้มานานมากแล้ว ขอแค่หัวถึงหมอนดวงตาก็ปิดสนิท



เช้าวันต่อมาอีริคเดินกลับเข้ามาด้านในคฤหาสน์หลังออกไปสั่งการคนสวนที่มักจะเข้ามาดูแลตัดแต่งพุ่มไม้ให้ทุกสองสัปดาห์ ชายชราเลิกคิ้วยามเห็นท่านชายของบ้านกำลังยืนอยู่กลางโถงทางเดิน ท่าทางคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่


“ท่านชายครับ” ฝ่ายนั้นพอหันมาเจอว่าเป็นใครก็เดินเข้ามาหา


“คุณอีริค”


“ต้องการอะไรหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมจะไปจัดการให้”


ซินเธียเงียบไปวินาทีหนึ่งทำหน้าคล้ายอยากพูดแต่ก็ไม่อยากพูด “คือ...” เด็กหนุ่มลูบปลายผมที่พาดอยู่บนไหล่ด้านหนึ่งของตัวเองไปหลายที


“คุณพอจะมีเบาะนุ่มๆ ไหมครับ”


“เบาะหรือครับ?” คุณพ่อบ้านประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้ารับ ถึงในคฤหาสน์จะไม่มีของแบบนั้นเขาก็ต้องไปหามาให้อีกคนให้ได้อยู่แล้ว ขอแค่เอ่ยมาคำเดียวเท่านั้น “ไม่ทราบว่าท่านชายอยากได้ขนาดประมาณไหนครับ”


“ใหญ่ๆ อยากได้อันที่ใหญ่ๆ เลย” อธิบายด้วยคำพูดคงไม่พอเลยทำไม้ทำมืออ้าออกประกอบ


“ผมจะรีบจัดการให้ครับ”


ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านชายจะหาของแบบนั้นไปทำไมแต่อีริคก็ไม่คิดปากมากไปวุ่นวายเรื่องของเจ้านาย เขารีบไปตามหาของที่ว่านั่นให้ ส่วนคนที่พอจัดการปัญหากวนใจได้แล้วก็ยิ้มอารมณ์ดีเดินไปนอนเล่นในห้องเรือนกระจก




TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 16 [P.4] --- 13/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-07-2019 00:14:26
มีคนไม่หวังดีกับซินเธียเหรอ?
แต่ไปทำอะไรมาน้อถึงอยากได้เบาะ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 16 [P.4] --- 13/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-07-2019 01:50:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 16 [P.4] --- 13/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-07-2019 03:42:35
จะมีข่าวดีหรือเปล่าหนอ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 16 [P.4] --- 13/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-07-2019 10:39:00
ซินเธียน้องหาเบาะสร้างรังเหรอค่ะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 16 [P.4] --- 13/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-07-2019 11:55:00
 :hao3: :hao3: :hao3: ท้องแล้วววววววว ใช่มะ???????
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 --
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 15-07-2019 22:46:01

บทที่ 17




   วันนี้แอชลีย์กลับมาบ้านตั้งแต่ช่วงบ่าย วางแผนเอาไว้ว่าจะไม่ออกไปจัดการงานที่ไหนอีกแล้วไม่ว่าจะงานของตัวเองหรืองานในฐานะที่ปรึกษา คาร์ลินควรจัดการปัญหายิบย่อยด้วยตนเองบ้างไม่ใช่โยนมาให้เขาทั้งหมดแล้วเอาเวลาไปใส่ใจภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ของตัวเอง


   เจ้าอัลฟ่าจ่าฝูงผู้นี้เรียกได้ว่าเห่อลูกจนน่ารำคาญ ประสบการณ์ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีตื่นเต้นยังกับพึ่งเคยมีลูกคนแรกไปได้


   ชายหนุ่มส่งเสื้อโค้ทให้กับพ่อบ้านซึ่งมายืนคอยต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว เขาเดินผ่านโถงเข้าไปด้านในก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นว่าห้องเรือนกระจกที่มักจะมีใครอีกคนชอบมานั่งๆ นอนๆ อยู่ในนั้นวันนี้กลับว่างเปล่า


“ซินเธียล่ะ” เขาถามมือก็สาละวนอยู่กับการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต พับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นจนถึงศอกสลัดภาพลักษณ์เคร่งขรึมออกเหลือไว้เพียงความผ่อนคลายบ่งบอกว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนอีกแล้ว


“ท่านชายนอนอยู่ข้างบนค่ะ” แม่บ้านคนหนึ่งที่คอยช่วยดูแลซินเธียเป็นประจำเดินเข้ามาตอบ


“นอน?”


“ค่ะ วันนี้ท่านชายยังไม่ได้ลงมาเลย มื้อเช้าตั้งโต๊ะเตรียมไว้แล้วแต่เธอบอกว่ายังไม่อยากทาน”


แอชลีย์ขมวดคิ้ว แสดงสีหน้างงงวยออกมาโดยไม่ปิดบัง เขาก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว มันค่อนข้างผิดวิสัยคนตื่นเช้าแบบท่านชายวาเลนเธีย


“จะให้ปลุกไหมคะ” หญิงแม่บ้านถามเนื่องด้วยส่วนตัวก็รู้สึกเป็นห่วง ตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้ามาแล้วจนกระทั่งได้เวลามื้อเที่ยง แต่จนถึงตอนนี้ท่านชายยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด หรือจะไม่สบายกันนะ ครั้นจะให้ไปก้าวก่ายเกินหน้าที่ก็ไม่เหมาะสมยิ่งไม่กล้าจะถือวิสาสะเข้าไปสัมผัสกายผู้เป็นนายเลยได้แต่รอให้นายใหญ่ของบ้านเป็นผู้จัดการ โชคดีที่วันนี้ท่านแอชลีย์กลับมาเร็ว


“ช่างเถอะ ปล่อยให้เขานอนอีกหน่อย” แอชลีย์บอกปัดคล้ายไม่ใส่ใจ


เมื่อคืนก็กวนอีกฝ่ายนานไปหน่อยเล่นเอาหมดแรงจนใกล้ฟ้าสาง บางทีเจ้าตัวอาจจะเพลียถือว่าให้พักผ่อนก็แล้วกัน


“อีกราวสิบห้านาทีจะตั้งโต๊ะ คุณแอชลีย์จะรับน้ำชาก่อนเลยไหมคะ” เธอถามออกไปโดยบังคับไม่เสียงของตัวเองสั่น มือที่ประสานกันอยู่ด้านหน้าต้องคอยบีบเอาไว้เพื่อระงับความประหม่า


ปกติหน้าที่นี้มักจะเป็นท่านชายของบ้านคอยจัดเตรียมให้คุณเขาเป็นประจำ หากเป็นเมื่อก่อนคุณท่านมักจะรับแต่กาแฟ มีก็พักหลังมานี้เริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำชากับผลไม้แทน


แม่รี่เป็นแม่บ้านที่พึ่งเข้ามาใหม่ อายุงานไม่กี่ปียังไม่เคยเข้ามารับใช้ดูแลประมุขของคฤหาสน์อย่างแอชลีย์ใกล้ชิดแบบนี้เลยสักครั้งเวลาถามตอบอะไรจึงเกิดความรู้สึกประหม่าไปกับกลิ่นอายความเป็นอัลฟ่าของชายหนุ่มไม่น้อย ตลอดมางานของเธอทำเพียงปัดกวดเช็ดถู ช่วยงานคุณพ่อบ้านเล็กๆ น้อยๆ จัดเตรียมอาหารของว่างอยู่ในครัวเท่านั้น จะมีก็ตอนซินเธียเข้ามาเลยได้รับหน้าที่ดูแลท่านชายเขา สาเหตุหนึ่งคงเพราะมีอายุไม่ห่างกันมากน่าจะคุยกันเข้าใจง่ายกว่า


   แต่ตอนนี้คนทำหน้าที่ดันไม่อยู่เสียนี่ คนที่บังเอิญยืนอยู่ใกล้พอดีอย่างเธอเลยต้องทำใจกล้าเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ระหว่างรอคุณพ่อบ้านนำของของคุณเขาไปเก็บ


   แอชลีย์นิ่งไปครู่หนึ่งกับคำถามก่อนหน้าเรื่องน้ำชา ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธไป


“เอาน้ำเปล่ามาก็พอ” ไหนๆ ก็จะถึงเวลาอาหารแล้วก็รอทานมันทีเดียวนั่นแหละ


พอถึงเวลาตั้งโต๊ะแอชลีย์นั่งรับประทานมื้อเที่ยงคนเดียวอยู่ในห้องอาหารจากตอนแรกที่ตั้งใจจะกลับมาทานร่วมกันกับใครอีกคน จัดการจนอิ่มท้องก็ยกน้ำเปล่าขึ้นจิบพร้อมกับเช็ดปากเป็นการแสดงท่าทีว่าอิ่มแล้ว ตอนจะลุกออกไม่ก็ยังไม่ลืมสั่งกำชับให้เตรียมอุ่นอาหารเอาไว้รอคนขี้เซาด้วย


ขณะกำลังจะออกไปเดินย่อยอาหารในสวนด้านหลังคล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้เลยหันไปหาพ่อบ้านวัยชราที่เดินตามหลังมา


“อีริค คุณเห็นสูทสีครีมตัวที่ผมใส่เมื่อวันก่อนหรือเปล่า” สูทของเขามีอยู่ไม่กี่สีซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นสีดำหรือกรม โทนสว่างนั้นนับว่ามีน้อยแล้ววันนี้ดันจำเป็นต้องใช้พอดีดันหาไม่เจอเสียอย่างนั้น


“ตัวนั้นหรือครับ” อีริคทำหน้าประหลาดใจ “ผมรับมาจากห้องซักรีดนำมาเตรียมเอาไว้ให้แล้วตั้งแต่เมื่อวานเพราะเห็นว่าคุณท่านจะใส่วันนี้ไม่ใช่หรือครับ”


ได้ยินดังนั้น อัลฟ่าหนุ่มตีหน้ายุ่ง “ไม่มี ผมหาแล้ว”


มิน่าเล่า เห็นคนเป็นนายกำชับเอาไว้ดิบดีว่าจะใส่ในวันนี้ถึงได้นำมาเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ช่วงบ่ายกันหลงลืมแต่พอตอนเช้าดันเห็นสวมอีกตัวเสียอย่างนั้น ชายชรายังนึกแปลกใจตอนออกไปส่งแอชลีย์ขึ้นรถ


“เอ แปลกนะครับ” เขาว่าเขาจัดการทุกอย่างเอาไว้แล้วนะ


“ช่างเถอะ ผมจะไปอ่านหนังสือในห้อง” แอชลีย์ถอนหายใจเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องหนังสือแทนสวนด้านหลัง ไม่ได้หยิบยกประเด็นนั้นมาพูดให้รู้สึกกวนใจอีก ปกติพ่อบ้านคนนี้ทำงานไม่เคยผิดพลาด ไม่ว่าจะสั่งการอะไรไปเพียงครั้งเดียวก็จำขึ้นใจลงมือจัดการโดยไม่ต้องพูดให้มากความ เลยไม่อยากจะติดใจเอาความอะไรมาก


นั่นนับเป็นครั้งแรกของความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นภายในคฤหาสน์คิม




แอชลีย์ย้ายตัวเองมานั่งอ่านหนังสือในห้องจนใกล้บ่าย เหลือบมองนาฬิกาแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว จนป่านนี้ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของภรรยาสักครึ่งคำ แม้ยามปกติเจ้าตัวจะไม่ใช่คนช่างพูดแต่อย่างไรก็ต้องมีความเคลื่อนไหวให้ได้รับรู้บ้าง ขนาดกลิ่นเขายังสัมผัสไม่ได้เลยบ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่ลงมาข้างล่างจนถึงตอนนี้


จากไม่ใส่ใจก็เริ่มต้องใส่ใจแล้ว ชายหนุ่มปิดหนังสือในมือวางเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะตัดสินใจขึ้นไปดูบนห้องนอน


แล้วก็เป็นดังคาด


บนเตียงกว้างที่คนทั้งสองใช้หลับนอนร่วมกันหรือใช้มากกว่านอนในบางครั้งขณะนี้มีร่างของคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันตั้งแต่เช้านอนขดตัวซ่อนทั้งร่างของตัวเองเอาไว้ภายใต้ผ้านวมผืนใหญ่ มีเพียงปอยผมสีจินเจอร์โผล่พ้นตัวผ้าขึ้นมาเล็กน้อย


“ซินเธีย”


เขานั่งลงบนเตียงแล้วเอ่ยเรียกส่วนมือก็ดึงผ้านวมออกด้วยกลัวว่านอนแบบนี้ต่อไปนานๆ จะหายใจไม่ออกเอา อากาศในห้องไม่นับว่าหนาวยะเยือกหากเทียบกับด้านนอก เตาผิงยังคงถูกจุดเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแต่คนที่เอาแต่นอนหลับอุตุดูสบายอกสบายเสียเหลือเกิน


ฝั่งคนถูกกวนส่งเสียงงึมงำเงียบหายไปครู่ใหญ่กว่าจะพาตัวเองลุกขึ้นมานั่งได้


“ตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้วครับ


“จะบ่ายแล้ว ไม่หิวหรือไง”


“...หิว” ตอบเสียงงัวเงียเล่นเอาคนฟังต้องถอนหายใจไปอีกเฮือกใหญ่ว่านี่ใช่ท่านชายวาเลนเธียของเขาตัวจริงหรือไม่


“ไปอาบน้ำเถอะ ฉันให้คนเตรียมน้ำในอ่างเอาไว้แล้ว”


ซินเธียนั่งมึนงงอยู่บนเตียงหลายนาทีกว่าจะตั้งสติลุกเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำได้ แอชลีย์นั่งจับเวลาอยู่ด้านนอกคิดเอาไว้ว่าถ้าหายไปนานเกินยี่สิบนาทีจะต้องมีการเข้าไปช่วยกันอาบเสียแล้ว



และวันต่อมารวมถึงอีกหลายๆ วันหลังจากนั้น แอชลีย์ยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าตัวเอง เริ่มคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าตัวเองเริ่มหายไปทีละตัวสองตัว วันแรกยังไม่ใคร่ใส่ใจแต่พอมันเริ่มเกิดติดต่อกัน บางครั้งก็ทิ้งห่างไปสองวันบ้าง สามวันบ้าง แล้วก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ โดยที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวที่ชอบใส่บ่อยครั้ง


พอไปถามทั้งพ่อบ้านรวมถึงสาวใช้คนอื่นกลับไม่มีใครทราบ


อัลฟ่าหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก นัยน์ตาสีอำพันเพ่งพินิจบรรดาเสื้อผ้าในตู้ของตัวเองด้วยใบหน้าครุ่นคิด




หารู้ไม่ว่าบรรดาเสื้อผ้าเหล่านั้นไม่ได้หายสาบสูญไปไหน แต่พวกมันกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งในกองผ้านุ่มนิ่มมากมาย ซินเธียพลิกตัวอย่างเกียจคร้านในอ้อมกอดมีหมอนใบโตที่พึ่งไปหยิบมาจากบนเตียงนอน เด็กหนุ่มฝังใบหน้าลงบนสิ่งที่กอดอยู่จนใบหน้าจมหายลงไปบนเนื้อผ้าเกินครึ่ง นอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างสบายอกสบายใจหลังทานมื้อกลางวันพร้อมของหวานไปจานโต


กลิ่นฟีโรโมนจากอัลฟ่ากำลังโอบล้อมเขาเอาไว้ทั้งร่างอบอวลไปทั่วรังน้อยๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์นี้ ทั้งอบอุ่น ปลอดภัย รู้สึกสุขสำราญใจเป็นที่สุด


ใช่ มันยังไม่สมบูรณ์เลย


ซินเธียหมกตัวอยู่ในรังของตัวเองอยู่ครึ่งค่อนวัน แม้จะยังรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่แต่ก็จำเป็นต้องฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากบรรดากองทัพของนุ่มๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใครบางคนที่เป็นเจ้าของเครื่องนุ่งห่มเหล่านี้เพราะยังมีสิ่งที่ต้องทำ


ขยับออกมาจากกองผ้ารกๆ แล้วเริ่มจัดระเบียบพวกมันให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนหน้านี้พอขนมาแล้วก็ได้แต่โยนทิ้งส่งๆ เพราะอดใจไม่ไหวอยากจะซุกตัวนอนเดี๋ยวนั้น ก็กว่าจะขนพวกมันมาได้น่ะกินแรงไปเยอะอยู่นะ เขาต้องนอนเพื่อสะสมพลังงานที่ใช้ไปกลับมาก่อนแล้วถึงค่อยเริ่มทำงานต่อได้


เด็กหนุ่มหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกองรกๆ สามถึงสี่ตัวเลือกแต่ผืนที่กลิ่นจางลงแล้วหอบเอามันไปใส่คืนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าเหมือนเดิม บางตัวก็แอบไปหย่อนไว้ในตะกร้าสำหรับซัก ของพวกนี้เขา ’ยืม’ มาใช้หลายวันแล้วถึงเวลานำไปคืนพร้อมกับฉกเอาตัวใหม่มาตัวหนึ่งกับเนกไทอีกหนึ่งเส้น ไม่กล้าหยิบมาเยอะเดี๋ยวจะดูผิดสังเกต


ใบหน้าหมดจดเต็มไปด้วยความขะมักเขม้นรื้อบรรดาหมอนผ้าห่มออกมาวางด้านนอก  เมื่อกวาดทุกอย่างออกจนหมดแล้วก็เริ่มจัดเรียงใหม่ เบาะขนาดใหญ่จนดูคล้ายฟูกนอนแต่มีขนาดความนิ่มกว่าปูทับด้วยผ้าขนแกะสีขาวให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มเวลาทิ้งตัวลงไปไม่ต่างจากปุยเมฆ


เบาะนี้คุณพ่อบ้านช่วยหามาให้เมื่อหลายวันก่อน ความกว้างความยาวของมันคล้ายฟูกสำหรับนอนมีพื้นที่มากพอให้เด็กหนุ่มนอนขดตัวสบายๆ อยู่ในนั้น พอจัดการขั้นแรกเสร็จก็เริ่มหยิบบรรดาหมอนอิงมาวางเรียงรอบๆ โดยเน้นวางส่วนบนสำหรับหนุนเป็นพิเศษ จากนั้นก็เริ่มนำบรรดาเสื้อผ้ากรุ่นไปด้วยกลิ่นของใครอีกคนที่พับอย่างเรียบร้อยบรรจงจัดวางเอาไว้ให้ทั่วปิดท้ายด้วยเครื่องนอนที่ขนมาจากเตียงโดยเว้นช่องว่างตรงกลางเอาไว้สำหรับให้ตัวเองสามารถสอดตัวไป


พอเสร็จแล้วก็ขยับออกมาพิจารณา หัวคิ้วพันกันยุ่งขณะกำลังครุ่นคิด ซินเธียคิดว่ามันยังเล็กเกินไปแม้ว่าภายในรังตอนนี้จะสามารถนอนได้สบาย ต่อให้เป็นคนสองคนนอนเบียดกันก็ยังนอนได้แบบอบอุ่นไม่อึดอัด แต่เขาก็คิดว่ามันยังไม่พอ ไม่รู้ทำไมแต่ในใจก็รู้สึกว่ามันต้องใหญ่กว่านี้


เขาจดจำสิ่งของที่ต้องการเพิ่มลงในใจ คิดเอาไว้ว่าจะหาโอกาสไปไหว้วานคุณพ่อบ้านให้ช่วยจัดการหาของจำเป็นในการขยับขยายรังของตัวเองอีกครั้ง แต่คงไม่ใช่ตอนนี้


ยังมีเวลาอีกมากไม่จำเป็นต้องรีบร้อน


พอจัดการตรงนี้เสร็จเด็กหนุ่มก็กลับเข้าไปในห้องนอน บนเตียงกว้างว่างเปล่าเหลือไว้เพียงผ้าปูผืนเดียว อันที่จริงวันนี้เป็นเวลาผลัดเปลี่ยนเครื่องนอนใหม่แล้วแต่ซินเธียยังไม่ส่งซัก เขานำพวกมันไปโยนทิ้งไว้ในรังเรียบร้อย ส่วนตอนนี้ก็ต้องไปเรียกให้แม่รี่มาจัดการใส่เครื่องนอนชุดใหม่ลงไป


ตอนแรกหญิงรับใช้ตั้งคำถามถึงบรรดาเครื่องนอนที่หายไปไม่เหลือแม้แต่หมอน แต่ด้วยความซื่อของเด็กสาวประสบการณ์ทำงานยังน้อยเลยไม่กล้าคิดซักไซ้อะไรมากความ ตั้งคำถามได้ไม่นานพอโดนเบี่ยงเบนความสนใจก็ลืมไปจนหมดสิ้นแล้วได้แต่ไปนำหมอนใบใหม่มาช่วยเปลี่ยนให้


พอเก็บหลักฐานหมดเรียบร้อยก็พาตัวเองลงมาชั้นล่างเพราะเริ่มรู้สึกหิว ซินเธียให้แม่รี่ไปจัดเตรียมของว่างของตัวเองเป็นเวลาเดียวกับที่แอชลีย์กลับมาถึงพอดี


“กลับมาแล้วหรือครับ” เขาเดินไปรับ คนตัวสูงพยักหน้ารับท่าทางดูเหนื่อยอ่อน


แอชลีย์เดินไปทรุดตัวนั่งบนโซฟา วันนี้มีประชุมทั้งวันเขาปวดหัวไปหมดแถมยังต้องแบ่งเวลาไปช่วยจัดการงานแทนคาร์ลินอีกด้วย


   ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองในวินเทอร์ฟอลก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ช่วยมือทอง ในวันคัดเลือกผู้นำ แอชลีย์กับคาร์ลินเป็นสองคนสุดท้ายในงานประลอง พวกเขาทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งอารมณ์ส่วนตัว ทั้งความอยากเอาชนะ ความทะเยอทะยาน เหตุการณ์ในวันนั้นก็เป็นอีกหนึ่งวันในชีวิตที่ชายหนุ่มจะไม่มีวันลืม


คาร์ลินเป็นผู้ชนะ ส่วนแอชลีย์เป็นรอง ถึงจะเสียดายกับความพ่ายแพ้ครั้งนั้นแต่ก็ไม่ได้เสียใจหรือแค้นเคืองอะไร เขายอมรับผลการตัดสินและนับถือพลังรวมถึงความสามารถของอีกฝ่ายจากใจ


ส่วนตอนนี้ก็ไม่ได้โกรธหรือโมโหฝ่ายนั้นเรื่องงานหรอกแต่มันรู้สึกรำคาญความขี้เห่อของเจ้าพ่อลูกสองคนนี้ก็เท่านั้น แอชลีย์แค่ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงอารมณ์แบบนั้นของอีกฝ่ายนั่นแหละ การเป็นพ่อคนอะไรนี่ช่างเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเขาเหลือเกิน


คาร์ลิน ไล เป็นอัลฟ่าคนหนึ่งที่มากไปด้วยพลังและความสามารถ ชายหนุ่มมีนิสัยสุภาพเรียบร้อยตามแบบฉบับคุณชายรองจากตระกูลใหญ่ พวกเขาทั้งคู่ดูผิวเผินแล้วแทบจะเรียกว่าเป็นเส้นขนาน ทั้งรสนิยม ความชอบ นิสัยส่วนตัวล้วนแตกต่าง แต่ลึกๆ แล้วก็มีบางอย่างคล้ายคลึงบางอย่างที่พวกเขาเหมือนกัน มันเลยกลายเป็นความสัมพันธ์แปลกประหลาด ก้ำกึ่ง ไม่ใช่มิตรสหายและก็ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น


แน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่เราสองคนไปด้วยกันได้ก็คือความไม่ชอบพูดมากความ นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทุกวันนี้แอชลีย์สามารถพูดคุยกับท่านชายไลได้โดยไม่รู้สึกอะไร แตกต่างจากเพื่อนๆ ของเจ้าตัว โดยเฉพาะเจ้าอัลฟ่าจากตระกูลแบล็ควู้ดคนนั้น หมอนั่นพูดมากจนน่ารำคาญแถมยังกวนประสาทไม่เลิกรา


พอคิดมาถึงเรื่องที่พึ่งโดนฝ่ายนั้นกวนประสาทในห้องประชุมมาก็อดจะยกมือขึ้นนวดขมับไม่ได้ หันไปมองภรรยาตัวบางที่วันนี้พึ่งจะได้พบหน้ากันเดินมาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนมา ปกติก็เห็นชอบมานั่งรออยู่ในห้องนี้ตลอด


ระหว่างนั้นบังเอิญนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เกี่ยวกับเสื้อผ้าที่หายไปอย่างน่าประหลาดของตัวเอง นอกจากพ่อบ้านเขาก็ถามแม่บ้านทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานซักรีดหรือคนเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนรวมถึงในห้องเสื้อผ้าเป็นประจำแล้วแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ จะมีก็แต่ภรรยาของเขาคนนี้นี่แหละที่ยังไม่ได้ถาม ถึงซินเธียจะไม่ได้จับงานบ้านแต่ก็นับเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด


ความจริงจะบอกว่าหายไปก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เสื้อผ้าเหล่านั้นหายไปแต่ไม่กี่วันต่อมามันก็จะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมของมันราวกับว่าเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น วนซ้ำอยู่แบบนั้นไปทั้งอาทิตย์ นั่นต่างหากที่ดูประหลาด หากคฤหาสน์หลังนี้มีขโมยจริง เจ้าหัวขโมยคนนั้นก็คงเป็นขโมยที่ใจดีเสียเหลือเกิน ขโมยไปแล้วก็ยังอุตส่าห์เอามาคืน ของมันเคยอยู่ตรงไหนก็กลับมาอยู่ตรงนั้นไม่มีคลาดเคลื่อน ช่างเอาใจใส่กันเสียจริง


“ซินเธีย”


“ครับ” เจ้าของเสียงนุ่มหันมาสบกันตาแป๋ว ในปากยังเคี้ยวพายราสเบอรี่อยู่เต็มแก้ม เขาเอื้อมมือไปใช้นิ้วช่วยปัดเศษพายชิ้นเล็กชิ้นน้อยบริเวณมุมปากให้อย่างอ่อนใจระหว่างมองคนที่หมู่นี้เห็นทีไรปากไม่เคยว่าง


“มีเรื่องอยากจะถาม” เขาเว้นวรรคไปจังหวะหนึ่ง “เธอเห็นเสื้อเชิ้ตของฉันบ้างไหม”


“แค่ก...”


อีกคนสำลักขนม ไม่รู้รีบกินเกินไปหรืออะไร แอชลีย์หยิบน้ำผลไม้ที่วางอยู่ข้างจานพายส่งให้


“ระวังหน่อยสิ กินยังไงให้ติดคอ” ตำหนิแบบไม่จริงจังนัก


เด็กหนุ่มไอจนหน้าขึ้นสีหลังดื่มน้ำไปอึกใหญ่ก็ค่อยรู้สึกโล่งคอขึ้นมาบ้าง อาจจะเพราะอาการสำลักเมื่อครู่ตอนพูดออกมาถึงได้ดูติดๆ ขัดๆ


“สะ เสื้อตัวไหนหรือครับ”


“สีดำ อันที่จริงก็หายไปหลายตัว ถามคนในบ้านแล้วก็ไม่มีใครเห็นเลยสงสัยว่ามันหายไปอยู่ที่ไหน หรือมีใครแอบหยิบไปหรือเปล่า” ประโยคนี้แอชลีย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามนิสัย ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเคยไม่ได้ดูผิดปกติอะไร


แต่คนที่ไม่ปกตินี่สิเห็นจะเป็นซินเธีย หัวใจมันตุ้มๆ ต่อมๆ ตัวก็เริ่มนั่งไม่ติดโซฟาตามประสาคนเกิดมาชีวิตนี้ยังไม่เคยทำผิดอะไรสักครั้ง ยิ่งเรื่องโกหกไม่ต้องพูดถึง เคยเสียที่ไหน


“อะ อาจจะอยู่ในห้องเสื้อแต่คุณหาไม่เจอเองหรือเปล่า” พูดไปก็เหงื่อแตกพลั่กๆ


แอชลีย์หรี่ตามองคนตัวเล็กตรงหน้า ดวงตากลมเลิ่กลั่กไปมาคล้ายมีอะไรในใจ “เหรอ”


“อื้อ! ดะ เดี๋ยวเราไปเตรียมน้ำชากับของว่างให้นะ พึ่งกลับมาเหนื่อยๆ คุณคงหิวแย่” พูดเร็วปรื๋อม้วนเดียวจบก็วิ่งแจ้นไปทางห้องครัวทันที ทิ้งความสงสัยให้ตกตะกอนภายในใจของอัลฟ่าหนุ่มกับท่าทีประหลาดนั้น แอชลีย์วางศอกเท้ากับที่วางแขนของโซฟาเคาะนิ้วบนปลายคางของตัวเองขณะครุ่นคิด สายตาจับจ้องไปยังทางที่เด็กหนุ่มพึ่งเดินหายไปเงียบๆ





TBC


หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 15-07-2019 23:12:17
ซินเธียสร้างรังแล้ว
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 15-07-2019 23:18:56
สร้างรังแล้ว เบบี๋มาแล้ว  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 16-07-2019 00:57:58
แอชลีย์ต้องสงสัยน้องได้แล้วนะ พิรุธเกิ๊น :laugh:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-07-2019 01:02:25
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 16-07-2019 07:00:02
เอ็นดูน้อง 555 เป็นขโมยฝึกหัดแอบขโมยแล้วรีบเอาไปคืนด้วย กำลังสร้างรังต้องมีเบบี๋แน่เลย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-07-2019 08:41:54
 :mc4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-07-2019 15:19:08
ท้องแล้ว สร้างรังอย่างขยันขันแข็งเชียว
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-07-2019 15:31:10
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 17-07-2019 08:34:22
น่าเอ็นดูเชียว5555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 17-07-2019 11:48:47
 :L2:   :L2:    รังใหญ่ขนาดนั้นแต่น้องคิดว่ามันไม่พอ   อย่าบอกว่าท้องแฝดนะลูก   :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-07-2019 12:44:09
สร้างรังแล้วจ้าาาาาาาาาาา :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 17 [P.5] --- 15/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 18-07-2019 20:35:48
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนปัจจุบัน
เนื้อเรื่องสนุก อบอุ่น  น่าติดตาม สำนวนแบบนิยายแปลที่คุ้นเคย เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 18-07-2019 21:42:46



บทที่ 18



   ตอนแรกก็พยายามไม่ใส่ใจ แต่หลังๆ มานี้แอชลีย์ก็เริ่มรู้สึกว่ามันแปลกจริง วันนี้อัลฟ่าหนุ่มสวมสเวตเตอร์ไหมพรมสีครีมดูแปลกตาไปจากปกติรวมกับกางเกงขายาวสีขาวและผมที่ไม่ได้เซ็ตปล่อยตามธรรมชาติขับความเคร่งขรึมดังเช่นทุกวันให้ดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเก่า


ไม่บ่อยนักกับการแต่งตัวที่ให้บรรยากาศผ่อนคลายแบบนี้ในวันไปทำงาน แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะตัวที่จะใส่หายไปไหนก็ไม่รู้ วันนี้เลยต้องเลือกหยิบชุดที่ไม่ค่อยได้ใส่ออกมาแทน


เขาเก็บความประหลาดใจสับสนทั้งหลายเอาไว้มาหลายวันพกมาทำงานด้วยและตอนนี้มันก็ใกล้ปะทุเต็มที


คาร์ลินเลิกคิ้วจ้องมองไปยังที่ปรึกษาซึ่งเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดการประชุมประจำสัปดาห์ ตอนแรกเขากำลังจะเดินออกจากห้องไปตามคนอื่นๆ แล้วแต่พอหันกลับมายังอัลฟ่าที่มีตำแหน่งนั่งเยื้องกันออกไปทางขวาคนนี้เลยอดไม่ได้จะต้องนั่งกลับลงบนเก้าอี้ประธานดังเดิม


“วันนี้นายดูแปลกตาไปนะ” เริ่มทักด้วยประโยคทั่วไป ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มสุภาพตามแบบฉบับของเจ้าตัว


“เหรอ” คนโดนทักทำเพียงเหลือบตามามองเพียงสามวินาที


“อืม ดูผ่อนคลาย” เขาเสริมไปอีกนิด “ใส่สีสดใสก็เป็นนี่”


“ปกติก็ใส่แค่ตอนอยู่บ้าน พักผ่อน”


“แล้ววันนี้?”


คาร์ลินเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้รับเสียงถอนหายใจตอบกลับมาแทน ดูเหมือนคนอย่างแอชลีย์คิมก็มีวันนี้เหมือนกันนะ วันที่มีเรื่องอึดอัดใจหรือประสบกับปัญหายุ่งยาก ดูจากท่าทางก็รู้ว่าพร้อมจะเล่าทุกเมื่อแค่รอให้มีคนเปิดประเด็นก็เท่านั้น


“ไม่ยักรู้ว่านายก็มีวันนี้กับเขาเหมือนกัน” ราชาแห่งวินเทอร์ฟอลกลั้นขำขณะมองไปยังอัลฟ่าผู้มีใบหน้าเย็นชาเขม่นใส่ ตานี่ขวางเชียว


“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในบ้านมาสักพักแล้ว” แอชลีย์นิ่งไปคล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูด เนื่องจากสิ่งที่กำลังจะเอ่ยต่อไปนี้มันดูงี่เง่าสิ้นดี ใครจะเชื่อล่ะถ้าเขาบอกไปว่าคฤหาสน์คิม หนึ่งในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจถูกโจรบุกเข้ามาปล้น ใครได้ยินก็คงหัวร่อจนขาดอากาศหายใจตาย


แถมของที่โดนปล้นไปก็ยัง...


หากเป็นคนอื่นคงหมดความอดทนแล้วเดินจากไปแล้วกับความยื้อเวลาเช่นนี้โดยเฉพาะตัวแอชลีย์เอง แต่มันคงไม่ใช่กับผู้ฟังอย่างคนตรงหน้า คาร์ลิน ไล ชายผู้แสนใจเย็น สุภาพบุรุษเป็นที่หนึ่ง ต่อให้คู่สนทนาจะเป็นแบบไหนแต่เขาก็ยังคอยให้เกียรติฟังจนจบเรื่องเสมอ น้ำอดน้ำทนของอีกฝ่ายมีสูงมากกว่าแอชลีย์หลายสิบเท่า


“ฉันคิดว่าอาจมีขโมยในคฤหาสน์”


คาร์ลินแสดงแววตาประหลาดใจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “อะไรทำให้คิดแบบนั้น”


“หลายวันมานี้เสื้อผ้าในตู้ของฉันหายไป”


“แค่เสื้อผ้าเหรอ มันฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเลยนะ”


แน่ล่ะสิ ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะพูดออกมานักหรอก โจรบ้าที่ไหนจงใจบุกเข้ามาถึงคฤหาสน์ของตระกูลระดับสูงขนาดนี้ แถมของมีค่าอะไรไม่มีหายไปสักอย่างมันเจาะจงเอาแต่เสื้อผ้าของเขาไป แถมยังอุตส่าห์ใจดีเอากลับมาคืนอีกด้วย ถ้าเป็นคนอื่นที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้แอชลีย์ฟังสาบานเลยว่าคนคนนั้นต้องโดนเขาไล่ตะเพิดออกไปแน่นอนเพราะมันฟังดูไร้สาระสิ้นดี


โจรอะไรจะติ๊งต๊องขนาดนี้


“อืม แค่เสื้อผ้า เลือกเอาเฉพาะตัวที่ใส่บ่อยๆ ด้วย หายไปทีละชิ้นสองชิ้นบางครั้งก็เสื้อ บางครั้งก็เนคไท” เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “ผ้าเช็ดตัวก็มี”


คาร์ลินลูบคางอย่างใช้ความคิด แวบหนึ่งเขารู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่างแต่ก็ขอรอฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเพื่อนคนนี้ก่อน


“ใช่โจรจริงหรือเปล่าเนี่ย พฤติกรรมประหลาด”


“ก็ใช่น่ะสิ มีที่ไหนขโมยไปแล้วยังอุตส่าห์เอากลับมาคืนด้วย ฉันล่ะซึ้งใจแทบตาย” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ต้องโมโหหรืออะไรดีกับเหตุการณ์แบบนี้ แอชลีย์รู้สึกว่าจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร่ำไห้ก็ไม่ออก


“เดี๋ยวนะ แน่ใจจริงๆ น่ะหรือว่าเป็นขโมย ถ้าเอามาคืนก็ไม่เรียกขโมยแล้ว” ทางคนฟังเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน


“แล้วมันจะหายไปไหนล่ะ ถามคนในบ้านแล้วก็ไม่มีใครเห็น”


“คู่ของนายล่ะ”


“ถามแล้ว เขาบอกว่าไม่รู้” แอชลีย์นึกไปถึงเมื่อวานที่ได้ลองสอบถามคนตัวเล็กดู “จะว่าไปก็ดูแปลกๆ นะตอนโดนถาม” เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจ


เป็นคาร์ลินที่เงียบไปบ้าง ชายหนุ่มกอดอกขณะครุ่นคิดความเป็นไปได้บางอย่าง


“พักนี้ท่านชายวาเลนเธียเป็นอย่างไรบ้าง”


“ถามทำไม” คราวนี้แอชลีย์ตวัดสายตามามองเขม็ง น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ


“เห็นเจย์เล่าให้ฟังว่าคุยกันถูกคอ นิสัยใจคอน่ารักน่าคบหา ฉันเองก็ไม่ค่อยได้พบท่านชายเลยคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะสนทนากันสักครั้งในฐานะเจ้าบ้าน”


“ไม่จำเป็น” ตอบเสียงห้วน


“ทีเมื่อก่อนนายมาวุ่นวายกับเจย์ฉันยังไม่เห็นจะห้ามสักคำ”


แอชลีย์มุมปากกระตุก เขาเอนตัวลงกับเก้าอี้แล้วหมุนตัวไปสบตาคู่สนทนาตรงๆ “ไม่ห้ามแต่ต่อยกันยับ อีกอย่างตอนนี้ซินเธียเป็นคนของตระกูลคิมแล้ว ยังจะมาเจ้าบ้านอะไรอีก ตอนนี้เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของวินเทอร์ฟอลเหมือนกัน”


ไม่บ่อยนักกับการจะได้เห็นท่านชายคิมคนนี้พูดยืดยาวในหนึ่งประโยค คาร์ลินเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับอีกฝ่ายเหมือนกันแต่วันนี้เขาดันรู้สึกสนุกสนานในการสนทนากับที่ปรึกษาคนนี้เป็นพิเศษ


“นั่นมันสมควรแล้วกับสิ่งที่นายมายั่วโมโหฉัน ทำอะไรไม่เข้าท่า” ดวงตาสีครามหลุบลงมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย “เอาล่ะ อีกเดี๋ยวฉันต้องรีบกลับแล้ว พูดเรื่องของนายมาเสียที สรุปช่วงนี้คู่ของนายเป็นยังไงบ้าง”


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ชายรักครอบครัวแบบคาร์ลินจะรีบกลับบ้านไปทำอะไร ถึงจะไม่พอใจกับคำถามอีกฝ่ายแต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเจ้าตัวถึงยอมเล่าออกไปแต่โดยดี อัลฟ่าตรงหน้านี้น่ะปกติไม่ใช่คนไร้สาระอยู่แล้ว ทุกประโยคที่หลุดออกมาจากคนคนนี้ย่อมเป็นเหตุเป็นผลเสมอ


“ก็สบายดี เจริญอาหาร ช่วงนี้ติดจะนอนเยอะเป็นพิเศษ” แวบหนึ่งมองเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของราชาอัลฟ่า


“เขาดูไม่ใช่คนเกียจคร้านเลยนะ”


“ปกติก็ไม่ใช่ แต่ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไร กลับบ้านไปก็ไม่ค่อยเจอเห็นคนบอกว่านอนอยู่ในห้องทั้งวัน” กล่าวถึงตรงนี้แอชลีย์ก็เริ่มฉุกใจ “หรือจะไม่สบาย”


“คิดว่าไม่หรอก”


“นอนมากไปแบบนั้นจะดีหรือ เกิน 10 ชั่วโมงแล้วมั้งมันดูผิดปกตินะ”


“ไม่หรอก ปกติ” คาร์ลินยิ้มเล็กๆ ในดวงตาคล้ายคนมีอะไรในใจ


“ฉันว่าคฤหาสน์คิมไม่ได้มีขโมยหรอก”


แอชลีย์ขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง”


“นายเคยได้ยินเกี่ยวกับการสร้างรังไหม” ยิ่งพูดคู่สนทนาก็ยิ่งทำหน้างุนงง เป็นครั้งแรกที่คาร์ลินอยากจะลองทำตัวยียวนดูสักครั้งแต่ก็รู้ว่าอัลฟ่าตรงหน้าเป็นประเภทขีดจำกัดทางอารมณ์ต่ำเลยล้มเลิกความคิดนั้นไป เอาเท่าที่คุยกันมาวันนี้ก็ได้เห็นอะไรแปลกใหม่มาเยอะแล้ว


“ไอ้เรื่องที่นายเล่ามาน่ะฉันก็เคยประสบอยู่นะ แต่ไม่ใช่ว่ามีขโมยที่ไหนหรอก บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่าง”


“สัญญาณอะไร” แอชลีย์นับถือใจตัวเองที่ยังคงนั่งฟังอีกฝ่ายพูดมาจนถึงประโยคนี้ เขาไม่เคยอดทนถามหนึ่งประโยคตอบหนึ่งประโยคแบบนี้มาก่อน เสียงของชายหนุ่มเริ่มต่ำลงทุกวินาทีบ่งบอกว่าขีดจำกัดความอดทนนั้นใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว


“เรื่องนี้อัลฟ่าทั่วไปจะไม่รู้ก็ไม่ผิดแต่คนที่มีคู่เป็นโอเมก้าจะเข้าใจดี พวกเขามีพฤติกรรมอย่างหนึ่งเรียกว่าการสร้างรัง”


แอชลีย์เงียบฟังปล่อยให้ทางนั้นอธิบายมารวดเดียวไม่คิดขัดอีก


“ที่น่าขำก็คือในรังนั่นมีแต่พวกของนุ่มนิ่มกับเสื้อผ้าของฉันเต็มไปหมด” มาถึงตรงนี้คนเล่าก็หลุดขำออกมา นัยน์ตาสีครามเต็มไปด้วยความสุขและเอ็นดูยามนึกถึงคนรัก


“บางทีท่านชายอาจจะกำลังสร้างรังอยู่ก็ได้ เสื้อผ้าของนายคงอยู่ในนั้นนั่นล่ะไม่ได้หายไปไหนหรอก”


“ไอ้รังนั่นมันคืออะไรกันแน่” นี่คือคำถามที่แอชลีย์ต้องการรู้มากที่สุดหลังจากอดทนฟังคนตรงหน้าพล่ามมานาน


“เหมือนเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยน่ะ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจกระบวนความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่การสร้างรังของโอเมก้ามีหลายปัจจัย พวกเขาทำมันตามสัญชาตญาณบางทีก็ขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ เจย์เดนเองก็เคยสร้างรังเหมือนกันแต่เขาทำมันไม่บ่อยหรอก เขาจะทำเฉพาะตอนที่ฉันไม่ว่างอยู่กับเขาหรือหายจากบ้านไปนานๆ ซึ่งวันแบบนั้นก็ไม่ค่อยมีหรอก” ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่ไอ้สีหน้าราวกับกำลังอวดอยู่นั่นคืออะไร


   คาร์ลินจิบน้ำด้วยท่าทางแบบสุภาพชน วันนี้เองก็เป็นวันที่เขาพูดเรื่องไร้สาระนอกเหนือจากงานยืดยาวจนน่าประหลาดใจตัวเองไม่ต่างจากคู่สนทนา


   “แต่เท่าที่สังเกตเจย์ชอบสร้างรังบนเตียงไม่ก็ตู้เสื้อผ้านายไม่เห็นบ้างเหรอ เหมือนพวกเขาจะชอบสถานที่ที่เป็นส่วนตัวหรือเงียบๆ แต่คุ้นชิน ถ้าตอนนี้ท่านชายเริ่มสร้างรังมันก็น่าจะอยู่ในห้องนอนนะ”


   แน่นอนว่าคนโดนถามส่ายหน้าเป็นคำตอบ พอฟังแล้วนำทุกอย่างมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้เรื่องสถานที่ก็คงไม่พ้นห้องนอน เพราะวันๆ เจ้าโอเมก้าของเขาก็ใช้ชีวิตอยู่แค่ไม่กี่แห่ง ห้องหนังสือ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ถ้าจะสร้างรังจริงๆ มันก็ควรอยู่แถวนั้นสิ แต่ทุกวันนี้เขายังไม่พบความผิดปกติอะไรเลยถึงไม่นึกเอะใจสักนิด


   “ถ้าอย่างนั้นนายต้องรีบตามหารังของท่านชายแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าคงจะหมดตู้เข้าสักวัน”


   แอชลีย์นั่งนิ่งไม่คิดสนใจน้ำเสียงเจือแววขบขับกับสีหน้าท่าทางหยอกล้อจากคาร์ลิน ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเงียบเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


-----


   ช่วงบ่ายแอชลีย์กลับมาถึงคฤหาสน์แล้วก็พบกับบรรยากาศเดิมๆ คือไม่เห็นภรรยาตัวแสบนั่งคอยอยู่ในห้องเรือนกระจกเช่นเคย


   ไม่รู้ไปแอบอยู่ตรงไหน


   ที่ผ่านมาแอชลีย์ไม่ได้นึกใส่ใจอะไรแต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใส่ใจไม่ได้เสียแล้ว


   ชายหนุ่มเดินผ่านห้องเรือนกระจกทะลุไปถึงห้องนั่งเล่นด้านใน สวนด้านหลัง ห้องครัว ห้องอาหาร ห้องหนังสือวนจนครบแล้วก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นสอง สองเท้าก้าวไปตามโถงทางเดินเชื่องช้า ไม่นึกรีบร้อน นัยน์ตาสีอำพันสอดส่องทุกห้องที่เดินผ่านตั้งแต่ปีกตะวันตกที่นอกจากคุณพ่อกับคุณแม่เคยใช้พักอาศัยจนวนกลับมาสู่ปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง ไร้ซึ่งร่องรอยของเป้าหมาย


   จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนของตัวเอง


   เดิมทีแอชลีย์ไม่คิดคาดหวังจะได้เจอภรรยาของตัวเองไปป้วนเปี้ยนบริเวณฝั่งปีกตะวันตกอยู่แล้ว ส่วนนั้นเดิมเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคุณพ่อกับคุณแม่ มีแค่ห้องนอนกับห้องทำงานเก่ารวมถึงห้องว่างที่เอาไว้เก็บของใช้ส่วนตัว ตอนนี้พวกท่านย้ายออกไปแล้วนอกจากแม่บ้านที่ต้องเข้าไปทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้งก็คงไม่มีใครไปอีก ตัวซินเธียเองก็ไม่มีเหตุผลต้องไป


ส่วนฟากปีกตะวันออก ถึงจะมีห้องว่างมากมายรวมห้องรับรองแต่เนื่องด้วยแอชลีย์เป็นบุตรเพียงคนเดียวของตระกูลคิมในรุ่นปัจจุบัน บริเวณนี้เลยมีเขาอาศัยอยู่คนเดียวซึ่งขณะนี้ก็มีใครอีกคนมาอยู่ร่วมด้วย


เอื้อมมือไปจับประตูขยับเลื่อนเพื่อเปิดมันออกอย่างช้าๆ ภาพความว่างเปล่าของห้องนอนปรากฏในครรลองสายตา ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปก็ได้กลิ่นฟีโรโมนของพวกเขาทั้งสองลอยอบอวลอยู่ในอากาศผสมปนเปกันไปจางๆ


‘แต่เท่าที่สังเกตเจย์ชอบสร้างรังบนเตียงไม่ก็ตู้เสื้อผ้านายไม่เห็นบ้างเหรอ เหมือนพวกเขาจะชอบสถานที่ที่เป็นส่วนตัวหรือเงียบๆ แต่คุ้นชิน ถ้าตอนนี้ท่านชายเริ่มสร้างรังมันก็น่าจะอยู่ในห้องนอนนะ’


รอบทั้งบ้านแอชลีย์ไปสำรวจมาทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดแล้ว นอกจากห้องนอนยังจะมีที่ไหนอีก ชายหนุ่มเดินดูรอบๆ ภายในห้องนอนแต่ก็ดูไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร


แมวตัวนี้ซ่อนเก่งเสียจริง


เขาเดินมาทรุดตัวนั่งลงบนปลายเตียงตาก็เลื่อนมองสอดส่องหาบางสิ่งบางอย่างพลางครุ่นคิด ไม่ว่าจะตู้หรือบนเตียงตอนเช้าจากมาเป็นอย่างไรตอนนี้กลับมาก็เป็นอย่างนั้น เมื่อครู่ลองเข้าไปดูในห้องเสื้อแล้วก็ดูปกติจะมีก็แต่ราวข้างหนึ่งในตู้ที่ดูโหวงไปนิดหน่อย มันไม่ได้ดูผิดสังเกตอะไรเลยเพราะจำนวนเสื้อที่หายไปไม่ได้มากขนาดครึ่งตู้แต่สำหรับแอชลีย์ที่กลับมาพร้อมโหมดตรวจตรา สังเกตทุกรายละเอียดย่อมมองเห็นความไม่ปกติในความปกตินั้น


แล้วสายตาก็ต้องไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง


อะไรบางอย่างที่แพลมออกมาใต้ช่องของประตูด้านในสุดของห้องนอน แอชลีย์ไม่รอช้าที่จะเดินไปหยิบมันขึ้นมาดู ด้วยความที่ประตูกำลังปิดสนิทอยู่ทำให้ไม่สามารถหยิบมันขึ้นมาได้ทั้งหมด แต่เอาแค่ส่วนที่แพลมออกมาก็รู้แล้ววามันคือเนคไทของเขาไม่ผิดแน่


และจะเป็นของใครไปได้อีกในเมื่อซินเธียเองก็ไม่ได้ใช้มันในการแต่งตัวเลย


ปกติห้องนี้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอยิ่งการจะมีเสื้อผ้าเรี่ยราดอยู่บนพื้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเขามีห้องสำหรับแต่งตัวแยกเอาไว้ จะยกเว้นเสียก็ตอนทำกิจกรรมตามประสาสามีภรรยา แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลอยู่ดี เพราะทุกวันจะมีคนคอยเข้ามาทำความสะอาดตามเก็บกวาดทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางเสมอ


อัลฟ่าหนุ่มหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงขณะจ้องบานประตูไม้เนื้อดีตรงหน้า ประตูบานนี้เป็นทางเชื่อมไปสู่อีกห้องหนึ่งซึ่งแอชลีย์เคยใช้เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก มีทางเข้าสองทางคือด้านนอกซึ่งเป็นทางปกติและเข้าจากห้องนี้เพื่อความสะดวกเวลาคุณแม่แวะมาดูแลเขาตอนดึกๆ แอชลีย์ใช้ห้องนี้ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งอายุครบ 10 ปีถึงได้ย้ายออกมาอยู่ห้องนี้แทนส่วนบุพการีทั้งสองก็ย้ายไปอยู่ปีกตะวันตก


ตั้งแต่โตขึ้นห้องนี้ก็ไม่เคยถูกใช้อีกเลย จนบางครั้งเจ้าของห้องอย่างแอชลีย์ก็ยังหลงลืมไปเนื่องจากประตูถูกซ่อนเอาไว้มุมในสุดของตัวห้อง บริเวณทางเข้ามีฉากกั้นบังเอาไว้อยู่อีกทอดหนึ่ง


และมันก็คงเป็นห้องสุดท้ายที่ยังไม่ถูกสำรวจ


ประตูถูกเลื่อนเปิดแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่แสนคุ้นเคย


จะไม่คุ้นได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นกลิ่นของคนที่เขานอนกอดอยู่ทุกคืน


อัลฟ่าหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในเชื่องช้าภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้สร้างความประหลาดใจเสียเท่าไหร่ เขาคงคาดไม่ถึงหากว่าไม่ได้ฟังคำบอกเล่าจากคาร์ลินมาก่อน แต่ก็นับว่าสิ่งที่เห็นก็ทำเอาต้องแอบชะงักฝีเท้าอยู่เหมือนกัน


พอเข้าใจเรื่องรังมาคร่าวๆ เพียงแต่รังที่ว่าแอชลีย์ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้


ตรงมุมในสุดมีบางสิ่งบางอย่างตั้งอยู่ มันค่อนข้างมองยากเนื่องจากอาณาเขตโดยรอบของสิ่งที่คาดว่าจะเป็นรังของใครอีกคนถูกปกคลุมด้วยมุ้งโปร่งสีอ่อนราวกับปราการชั้นนอก แต่ก็พอมองออกว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยสารพัดข้าวของของเขา


เห็นแบบนี้แล้วความค้างคาใจ ความหงุดหงิดตลอดหลายวันมานี้ก็กระจัดกระจายหายไปไหนไม่รู้ นึกจะโกรธก็โกรธไม่ลง อ่อนอกอ่อนใจไปหมด ไม่รู้ต้องจัดการคนตรงหน้านี้อย่างไรดี


แอชลีย์ขยับเข้าไปใกล้ ยกแขนขึ้นกอดอกขณะทอดมองคนที่กำลังขดตัวนอนซุกหมอนกองโตอย่างสุขสำราญสบายกายสบายใจในนั้น


โดยไม่อาจรู้ตัวเลยว่ากำลังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่


มุมปากหยักขยับเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์





TBC


หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-07-2019 21:53:23
 :hao7: ว่าที่​คุณ​พ่อ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 18-07-2019 22:19:58
เอ็นดูท่านชาย 555 ถ้าแอชยังไม่รู้เสื้อผ้าคงหมดตู้แล้วจริงๆ แน่
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-07-2019 22:33:35
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 19-07-2019 01:00:44
แล้วแอชลีย์รู้ยังว่าการที่น้องสร้างรังหมายถึงอะไรรรรรรร :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-07-2019 01:28:31
เอ็นดู  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 19-07-2019 09:19:26
 :o8: :o8: :o8: น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-07-2019 09:41:45
เอ็นดูน้องงงงงงงง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-07-2019 10:36:17
โอ้ยยยย น่าเอ็นดูววววววววววววววววววววววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 18 [P.5] --- 18/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 20-07-2019 09:31:18
น้อง55555โดนจับได้ซะแล้ว555555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 20-07-2019 23:29:35



บทที่ 19



   ซินเธียลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงบ่ายแก่แล้ว เด็กหนุ่มยืดตัวอย่างเกียจคร้านสลัดความง่วงงุนออกจากร่างกาย นั่งเหม่ออยู่อีกพักใหญ่สติสัมปชัญญะถึงจะกลับมาทั้งหมดแล้วพาตัวเองลงไปชั้นล่าง


เวลานี้แอชลีย์น่าจะกลับมาแล้ว


เป็นจริงดังคิดเมื่อเดินมาถึงห้องเรือนกกระจก สาวใช้คนหนึ่งเดินมาถามเรื่องของว่างซินเธียที่พอตื่นมาน้ำย่อยก็เริ่มทำงานสั่งของทานเล่นไปหลายอย่างจากนั้นค่อยเดินเข้าไปหาแอชลีย์อย่างชื่นบาน ใบหน้าหวานยังคงไว้ซึ่งความปกติทุกอย่าง ทว่า ภายในใจนั้นกลับชื่นบานยินดีอย่างยิ่งพอเห็นว่าคนตัวโตกลับมาแล้ว


“กลับมาแล้วหรือครับ” เอ่ยทักเหมือนทุกวันขณะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน


“อืม”


แอชลีย์ตอบมาคำหนึ่ง ดวงตายังคงจดจ่อกับหนังสือในมือเห็นดังนั้นเลยแอบขยับตัวเข้าไปชิดคนข้างๆ อีกนิดย่นระยะห่างให้เหลือเพียงครึ่งฝ่ามือ ช่วงนี้ซินเธียรู้สึกอยากออดอ้อนอีกฝ่ายเป็นพิเศษ เวลาเห็นเขากลับมาเร็วหน่อยก็จะรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก


“มีคนหาของว่างมาให้หรือยังครับ ดื่มชาไหม”


“บอกคนให้ยกมาพร้อมกับของเธอแล้ว”


แอชลีย์ละสายตาจากหนังสือหันมามองเล็กน้อย ฝ่ายคนถูกมองได้แต่กระพริบตาปริบ เดี๋ยวนี้เริ่มมีภูมิต้านทานเวลาสบตากันขึ้นมาหน่อยแล้วเลยจ้องกลับได้ แต่ก็เห็นอีกคนไม่พูดอะไรเอาแต่มองกันนิ่งๆ สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


อะไรของเขา


“มานี่สิ” ผ่านไปพักใหญ่ในที่สุดก็แอชลีย์ก็เลิกเล่นเกมจ้องตาสักที เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาแล้วอ้าแขนข้างหนึ่งออกขยับเรียกให้เข้ามาหากันใกล้ๆ


ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมแต่ก็ยอมเข้าไปหา สองแขนแข็งแรงโอบรัดทั้งร่างของเด็กหนุ่มเข้าสู่อ้อมกอด ซินเธียหลับตาปี๋ตอนปลายจมูกโด่งของคนตัวโตแนบลงบนขมับสูดดมเอากลิ่นเฉพาะกายเข้าไปฟอดใหญ่จนเกิดเสียงชวนให้ใจสะท้าน


ทั้งเขินทั้งรู้สึกดีจนเคลิ้มไปหมด เขากอดตอบอีกคนอย่างอดใจไม่ไหว รู้สึกต้องการการสัมผัส อยากได้รับความอบอุ่นจากอีกฝ่ายอย่างไร้จุดสิ้นสุด


“บอกฉันหน่อย ทุกวันนี้เธอทำอะไรบ้างเวลาอยู่ที่บ้าน” เสียงทุ้มดังอยู่เหนือศีรษะ ซินเธียไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปสบตาเอาแต่ฝังใบหน้าในอ้อมกอด พักแก้มนิ่มๆ ไว้บนแผ่นอกกว้าง เด็กหนุ่มเงียบไปชั่วขณะหนึ่งเพื่อนึกไปถึงสิ่งที่เขาทำในแต่ละวันช่วงที่คนอายุมากกว่าไปทำงาน


แต่ดูเหมือนยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พบอะไร


“ก็... นอน”


“ทำอะไรอีก”


“กิน”


“อะไรอีก”


“...นอน” เขาอ้อมแอ้มตอบ


“...”


ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ นะ พอมาคิดดูให้ดีแล้วระยะนี้ซินเธียแทบไม่ได้ทำอะไรเลย อ้อ มีจัดระเบียบรังด้วย แถมยังกำลังวางแผนจะขยับขยายมันเพิ่มเร็วๆ นี้ แต่เขาไม่ได้พูดสิ่งที่กำลังคิดให้อีกคนฟังหรอก


“เหรอ” แอชลีย์เงียบไป “นอนที่ไหนล่ะ”


“กะ ต้องเป็นที่ห้องนอนสิครับ” สิ้นคำตอบ คนในอ้อมกอดก็เกิดอาการขยับยุกยิกเล็กน้อย


นี่ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าสายตาของคนตัวสูงดูแปลกๆ ซินเธียเม้มปากแล้วสลัดความรู้สึกชั่ววูบนั้นออกไป เพราะใบหน้าคมคายนั้นก็ยังคงความเรียบนิ่ง เคร่งขรึมดังปกติ บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองตามประสาคนมีชนักติดหลัง


เด็กหนุ่มเลิกสนใจเรื่องนั้นเมื่อสาวใช้ยกของว่างมาเสิร์ฟ มีทั้งพายที่พึ่งอบใหม่จากเตา ผลไม้จำพวกกีวี่ แอปเปิลเขียว เบอร์รี่ต่างๆ แล้วก็น้ำชา ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนให้เข้าไปลิ้มลองจนน้ำลายแทบหก


โดยไม่รู้เลยว่าในดวงตาอำพันคู่นั้นมีอะไรซ่อนอยู่


แอชลีย์ละแขนข้างหนึ่งจากสะโพกคนในอ้อมกอดเปลี่ยนไปวางพาดขนพนักโซฟาแทน มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเจือจางจนแทบสังเกตไม่เห็น จับจ้องคนที่พอได้ทานของที่อยากแล้วทุกข้อกังขาในใจก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น


เรื่องที่ไปเจอมาวันนี้เขาจะยังไม่รีบร้อนกระโตกกระตากให้เหยื่อตื่นตูม แต่จะรอจัดการทีเดียวชนิดที่ว่าคาหนังคาเขา เพียบพร้อมทั้งพยาน หลักฐาน


ดูซิว่าแมวน้อยตัวนี้จะทำสีหน้าแบบไหน


---


เพื่อการนั้นแล้วแอชลีย์อดทนรอจนถึงช่วงเวลาเหมาะสม สถานการณ์เอื้ออำนวย ชายหนุ่มออกไปทำงานตามปกติ แต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงท่านั้น


วันนี้ไม่ได้มีงานอะไรมากหรอก อันที่จริงไม่ต้องออกไปเลยก็ได้แต่เพื่อรอจำเลยคลายความระวังก็เลยจะยอมอดทนออกไปเจอหน้าคาร์ลินสักสองสามชั่วโมง


คุยเรื่องงานด้วยความผ่อนคลาย วันนี้แอชลีย์อารมณ์ดีเป็นพิเศษจนท่านผู้นำฝูงอย่างคาร์ลินยังอดทักไม่ได้ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็มีเพียงรอยยิ้มลึกลับกลับไปเท่านั้น


เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ก็ได้รับแจ้งจากพ่อบ้านว่าเด็กหนุ่มตื่นมาสักพักแล้ว ลงมาทานมื้อเช้าครู่หนึ่งก็กลับขึ้นไปบนห้องอีก เขาพยักหน้ารับโบกมือให้ฝ่ายนั้นไปทำงานต่อ ส่วนตัวเองก็ก้าวขึ้นบันไดมุ่งหน้าสู่ชั้นสองอย่างไม่รีบร้อน สองมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกงท่วงท่าหย่อนอารมณ์


ภายในห้องนอนเงียบสงบไร้เงาของคนที่ตามหา แต่เสียงกุกกักที่ดังมาจากห้องด้านในสุดก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป้าหมายอยู่ที่ไหน แอชลีย์เดินหลบเข้าไปในมุมหนึ่งของห้องสำหรับผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังได้ยินเสียงเปิดประตูบานในสุด


จากนั้นไม่ถึงนาทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากแมวขโมยตัวน้อย


แอชลีย์หัวเราะในใจขณะมองอีกฝ่ายเปิดตู้เสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน รื้อๆ ค้นๆ อยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่ได้อะไร


แน่ล่ะ จะมีอะไรให้ค้นล่ะ ในเมื่อเช้านี้ก่อนออกไปแอชลีย์ได้ทำการซ่อนเสื้อผ้าของตัวเองครึ่งหนึ่งในตู้เอาไปไว้อีกตู้หนึ่งซึ่งเป็นตู้สำหรับชุดในฤดูใบไม้ผลินานครั้งจะได้ใส่ ส่วนที่เหลือในตู้นั้นก็เป็นพวกสูทตัดใหม่ พึ่งรับมาจากห้องเสื้อยังไม่เคยหยิบมาสวมสักครั้ง


“หาอะไร” เขาส่งเสียงถาม


“สเวตเตอร์ของคุณที่ใส่วันก่อน...” อีกคนตอบคล้ายไม่ใส่ใจนัก สองมือก็ยังลงมือปฏิบัติการรื้อถอนตู้ไม่หยุดหย่อน


“ตัวนี้น่ะหรือ” เขายื่นสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังหาไปให้ ซินเธียหันมามองก่อนจะรีบพยักหน้าดีใจ


“ใช่ๆๆๆ ตัวนี้....” เจ้าตัวเงียบไปก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมอง คำพูดในประโยคหลังขาดหายไปคล้ายถูกสับสวิตซ์


“รับไปสิ” เขายื่นเสื้อไปให้คนที่ยืนแข็งค้างอยู่กับที่


“ขะ ขอบคุณ” ซินเธียคล้ายตัวหดลีบลงไปจนเหลือแค่สองนิ้ว เอื้อมมือไปรับเสื้อตัวนั้นมากอดไว้ เหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั้งตัว ดวงตากลมโตกลอกไปมาขณะสมองพยายามประมวลผลหาหนทางเอาตัวรอดอย่างรวดเร็วแต่เมื่อเผลอเงยขึ้นไปพบกับใบหน้าเรียบสนิทของคนตัวสูงก็คล้ายคนสมองหายไปเสียดื้อๆ


แอชลีย์นิ่งมากจนเดาอารมณ์ไม่ถูกเลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่


“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ” พอไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอะไรก็ชิงเบี่ยงประเด็นกันซึ่งๆ หน้า ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้ว บางทีอีกคนอาจจะแค่บังเอิญเดินเข้ามาเจอเขากำลังหาของอยู่ก็ได้ ในเมื่อยังไม่พูดอะไรออกมา ซินเธียก็ยังจะขอตีหน้าซื่อไปให้ถึงที่สุด


“ก็นานอยู่นะ นานพอที่จะได้เห็นแมวขโมยเข้ามาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ในนี้” ความจริงแอชลีย์ไม่ได้ซ่อนตัวหรืออะไรเลย เขาก็แค่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งซึ่งหากซินเธียสักเกตสักนิดก็จะมองเห็นไม่ยาก แต่เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับการลักลอบมาแอบฉกของเลยไม่ทันเห็นว่าในห้องยังมีใครอีกคนยืนอยู่


“ขโมย! ขโมยที่ไหน!” ซินเธียสะดุ้ง ยืดตัวตวัดสายตาขึ้นมองขณะเอ่ยเสียงสูง “เปล่านะ”


“เห็นคาตาเลย ใจคอคิดจะเอาเสื้อฉันไปหมกไว้จนหมดตู้เลยหรือไง หืม?” ประโยคนี้เขาทำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยแต่ใบหน้ายังคงตีขรึม ก้าวเข้าไปประชิดเจ้าแมวขโมยตัวแสบตรงหน้า บอกเล่าถึงกองเสื้อผ้าในห้องข้างๆ


“คุณรู้” เจ้าตัวตาโต ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงรังที่แอบสร้างไว้


อันที่จริงก็ไม่เรียกว่าแอบแค่ยังไม่มีจังหวะได้บอกเฉยๆ


“แต่ก็ไม่หมดเสียหน่อย” จำเลยยังจะเถียงตาใสทั้งที่หลักฐานเต็มมือ “เราแค่ยืมไป... ไปแป็บเดียวเอง เอามาคืนแล้วด้วย”


“ยืมไปแต่เจ้าของไม่รับรู้ไม่ถือว่ายืม” แอชลีย์กอดอก กลับมาทำเสียงเข้มดังเดิม “ของที่เอาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าขโมย ต่อให้แอบเอามาคืนแล้วก็ยังผิดอยู่ดี”


ตรงนี้ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิจริงจัง แต่แอชลีย์แค่อยากให้อีกฝ่ายมาขอกันตรงๆ เสื้อผ้าพวกนี้เขาไม่ได้หวงเลยสักนิด อยากจะขนไปทั้งตู้ก็เอาไปเถอะ


“เราขอโทษ” เจ้าตัวห่อไหล่ ท่าทางหางลู่หูตกมันเขี้ยวจนนึกอยากจับมาตีก้นแรงๆ สักที


“เด็กไม่ดีจะต้องถูกลงโทษ รู้ใช่ไหม”


“ละ ลงโทษอะไร” ซินเธียเหล่ตามองด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ


“หลังจากคืนนี้ไปฉันจะไม่กอดเธอตอนนอน ห้ามแอบมากอดฉันด้วย”


“ไม่เอา!” เถียงกลับมาแทบจะทันทีที่เอ่ยจบ รู้สึกร้อนรนขึ้นมาพอคิดว่าจะไม่ได้รับอ้อมกอดอุ่นๆ ตอนนอนแต่พอเจอสายตาดุๆ จ้องกลับมาถึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะจะต่อรองอะไรได้




แอชลีย์ คิม เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ทันทีเมื่อถึงเวลาเข้านอนเจ้าตัวก็ดับไฟ ล้มตัวนอนอย่างสงบ ซินเธียได้แต่กระพริบตาปริบมองความเคลื่อนไหวของคนข้างกายผ่านความมืด สำหรับชาวแดนใต้แล้วดวงตาสามารถมองเห็นได้ดีในที่มืดเป็นพิเศษ ดวงมณีสีเงินฉายชัดอยู่ในเงามือไม่ต่างอะไรไปจากดวงตาของแมว


คนตัวสูงนอนตัวตรงสองมือวางประกบบนหน้าท้อง ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะผ่อนคลายดูอย่างไรก็เหมือนคนที่นอนหลับไปแล้วจริง


เด็กหนุ่มเม้มปาก ไม่รู้ต้องทำอย่างไร และทำอะไรไม่ได้ด้วย สุดท้ายเลยได้แต่เลื่อนตัวลงนอนในฝั่งของตัวเองโดยดุษณี แต่นอนไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกกระสับกระส่าย หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่รู้สึกว่าขาดอะไรมาก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่


ช่วงแรกคนทั้งสองก็ต่างคนต่างนอนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ซินเธียมักจะเป็นฝ่ายล่วงหน้าเข้าห้วงนิทราไปก่อนเสียด้วยซ้ำ จะมีก็ช่วงระยะหลังมานี้ ตั้งแต่มีสัมพันธ์กันจากการนอนอย่างเหินห่างก็เริ่มแปรเปลี่ยนมาแนบชิดกันมากขึ้น ยิ่งช่วงนี้ซินเธียรู้สึกว่าตัวเองต้องการอ้อมกอดจากคนตัวสูงเป็นพิเศษ ฟีโรโมนของเขาทำให้หลับสบาย แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ความอบอุ่นจากผิวกาย และกลิ่นอายความเป็นบุรุษเพศทำให้รู้สึกว่าตนนั้นจะปลอดภัยไปตลอดทั้งคืนตราบใดที่ยังคงถูกโอบล้อมไว้ด้วยความเป็นแอชลีย์ คิม


วินเทอร์ฟอลที่เหน็บหนาวก็ยิ่งหนาวเข้าไปจับใจในคืนนี้ ซินเธียพลิกตัวกลับมามองคนที่นอนอย่างสบายอกสบายใจอยู่ข้างกัน จดจ้องอยู่แบบนั้นเป็นนานพยายามข่มตาตนให้นอนหลับ


ตอนนี้นอกจากนอนไม่ได้แล้วยังเริ่มหิวเข้าไปอีก ช่างเป็นบทลงโทษที่ทรมานไปทั้งร่ายกายและจิตใจเสียจริงๆ ซินเธียได้แต่ร้องโอดโอยอยู่ในใจ


หากจะถามว่าง่วงไหมแน่นอนว่าต้องง่วงมากเป็นแน่แท้ ทว่า ช่างเป็นความง่วงแสนแปลกประหลาด ราวกับว่าร่างกายต้องการการพักผ่อนแต่ดวงตาทั้งสองยังแข็งค้างไม่อาจปิดลงได้เสียที


ไม่รู้เพราะเขานอนจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละสายตาหรือเปล่า แอชลีย์ที่นอนสงบนิ่งมาตลอดเป็นชั่วโมงถึงได้พลิกกายหันไปอีกด้านเหลือไว้เพียงแผ่นหลังกว้างให้ได้เฉยชม ซินเธียยังเอาแต่จ้องชายหนุ่มอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ค่อนคืน


จนสุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวแอบขยับเข้าไปชิดคนตัวโต ขดตัวซุกเข้ากับแผ่นหลังกว้างพอให้ได้รับไออุ่นจากกายนั้นเผื่อแผ่มาทางตนบ้าง ไม่ได้ล่วงเกินนอกเหนือคำสั่งหรือละเมิดบทลงโทษแต่อย่างใด ทำแค่อิงแอบอยู่แบบนั้นเงียบๆ


จู่ๆ ก็รู้สึกน้อยอกน้อยใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไรนักหนา ซินเธียก็แค่อยากได้ของพวกนั้นเพราะต้องการอยู่ในที่ที่มีแต่กลิ่นของแอชลีย์ อยู่ในที่ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีอีกคนคอยวนเวียนอยู่ข้างกาย ใครใช้ให้เขาออกไปทำงานทุกวันกันล่ะ ใครใช้ให้อีกฝ่ายทิ้งเขาให้เหงาอยู่บ้านคนเดียวกัน


ก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ คู่ของตัวเองก็เท่านั้น ไม่ต้องกอด ไม่ต้องคุยกันก็ได้


ทั้งที่ซินเธียคิดว่าตนนั้นปกติไม่ใช่คนจะเก็บเรื่องหยุมหยิมมาใส่ใจคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้แท้ๆ  ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากงานวิวาห์นี้อยู่แล้ว ต่อให้อีกคนหมางเมินกัน ทอดทิ้งกัน ไม่ใช่ดูแลเอาใจใส่ให้เกียรติกันอย่างทุกวันนี้ ต่อให้ไม่เป็นแบบนั้นก็ไม่นึกโกรธเคืองหรือเอาความอะไรด้วยเข้าใจว่าจุดเริ่มต้นระหว่างเรามันไม่ใช่ความรักตั้งแต่แรก


แต่อัลฟ่าผู้นี้กลับปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มได้ดีเยี่ยมทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะทางด้านใด มองตัวเขาเป็นคู่ชีวิต เป็นภรรยาที่ตกลงปลงใจว่าจะใช้เวลาร่วมกันไปตราบชั่วชีวิต หาใช่แค่คนที่จำต้องมาร่วมหอลงโลงกันไปตามหน้าที่


เป็นหนึ่งไม่มีสอง คำสัตย์สาบานในวันแต่งงานยังคงสลักลึกอยู่ในใจ


นั่นล่ะ แล้วจะมาเกิดผิดหวังอะไรขึ้นมาอีก คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกสับสนในอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของตัวเอง สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปทั้งที่จิตใจยังว้าวุ่น ไม่กระจ่างชัดสักทาง



แอชลีย์ตื่นขึ้นมากลางดึกครั้นกำลังจะพลิกตัวกลับไปก็คล้ายบางสิ่งบางอย่างกำลังขวางทางเอาไว้ เมื่อเอี้ยวตัวไปมองถึงได้รู้ว่ามีคนแอบมาซุกกันอยู่ข้างหลังนานต่อนาน เขาส่ายหน้าน้อยๆ พยายามขยับตัวออกไปให้เบาที่สุดด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของใครเข้า


พอบอกไม่ให้กอดก็ไม่ได้มากอดกันจริงๆ นั่นล่ะ แอชลีย์รู้ดีว่าแมวน้อยของตนตัวนี้ต่อให้ไม่ห้ามแต่เจ้าตัวก็ไม่มีทางกล้าเป็นฝ่ายมากอดเขาก่อนอยู่แล้ว


กับเรื่องอื่นน่ะกล้าได้กล้าทำ


แต่พอเป็นเรื่องที่ต้องใกล้ชิดกันทีไรมักจะแสดงท่าทางเขินอายออกมาอยู่ร่ำไป ต่อให้เราจะมีสัมพันธ์ลึกซึ่งกันไปถึงไหนต่อไหน แต่ความใสซื่อก็ยังคงมีให้เห็นไม่ผันแปร


เขาจดจ้องภรรยาตัวน้อยผ่านความมืด พอไม่มีไออุ่นให้อิงแอบร่างนั้นก็ยิ่งขดตัวเข้าหากันมากขึ้น


เทียบกับโอเมก้าคนอื่นที่พบเห็นได้ทั่วไปแล้วซินเธียค่อนข้างแตกต่าง ผิวสีน้ำผึ้งหากแต่นวลละเอียดลื่นมือ ไม่ได้บอบบางจนดูอ่อนแอ ไม่ได้ตัวเล็กจนน่าถนอม เขามีรูปร่างสูงโปร่งดูปราดเปรียว ร่างกายพอมีกล้ามเนื้อประปรายจะจับจะแตะตรงไหนก็เต็มไม้เต็มมือ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลักษณะอันโดดเด่นของคนจากดินแดนทางใต้


ภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งดูน่าหวาดกลัวในสายตาคนนอกนั้น คนเราจะพูดอะไรก็พูดได้ใส่สีตีไข่กันจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม แต่กับแอชลีย์ที่มีโอกาสได้สัมผัสโดยตรงกลับมองเห็นอีกด้านหนึ่งของเรื่องเล่าในเวลาน้ำชานั้น


ได้เห็นว่าภรรยาของเขานั้นช่างไร้เดียงสากว่าที่คิด


เป็นความบริสุทธิ์อันน่าหลงใหล ไม่มากแล้วก็ไม่น้อยจนเกินไป เขาอาจจะเขินอายในการเริ่มต้นแต่ก็โอนอ่อนเป็นผู้ตามที่ดีในภายหลัง ประกายดื้อรั้นฉายชัดในดวงตายามเขารู้สึกขัดใจกับบางสิ่งบางอย่างแต่ด้วยถูกหล่อหลอมกิริยามาอย่างดีถึงได้วางตัวไร้ที่ติ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นฉมวกที่ตรึงติดแอชลีย์เอาไว้กับอีกฝ่ายไม่อาจหนีหายไปที่ใดได้


แล้วมันก็คงไม่มีวันนั้นเช่นกัน


แอชลีย์ขยับรั้งกายกรุ่นกลิ่นหอมอันเฉพาะตัวเข้ามาแนบชิด แผ่กระจายความอบอุ่นให้กับคนในอ้อมแขนอย่างที่มักทำเป็นประจำ ใบหน้าหวานซุกซบลงกับแผ่นอกกว้างทันทีอย่างคุ้นชินตามสัญชาตญาณ เขากอดเด็กหนุ่มเอาไว้แบบนั้นไปตลอดคืนจนกระทั่งรุ่งสางถึงค่อยผละจากไปแยกกันนอนดังเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 20-07-2019 23:51:25
แอชลีย์แกล้งน้องงงงง น้อยน้อยใจแล้วนะนั้น :hao5:
น่าเอ็นดูสุดๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-07-2019 23:58:30
ตื่นเช้ามาน้อยใจแย่โดนแกล้งขนาดนี้
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 21-07-2019 01:20:58
น้องโดนจับได้คาหนังคาเขาเลย 5555 หลักฐานแจ่มชัดด !!  แอชแกล้งน้อง เอ็นดูซินเธียท้องแล้วแน่ๆเลย มีแอบคิดเล็กคิดน้อยด้วย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 21-07-2019 03:48:30
 น้องงอนหนักแล้วจะแย่นะแอชลีย์
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 21-07-2019 07:56:42
คนขี้แกล้งงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 21-07-2019 08:54:48
อิพี่มันร้ายยยยยแกล้งน้องได้ลงคอ55555
สงสาร  :-[  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-07-2019 09:28:59
แอชแกล้งน้องทำไมมมมม
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-07-2019 09:58:09
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-07-2019 16:46:57
คนขี้แกล้ง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-07-2019 22:31:50
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 19 [P.5] --- 20/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 22-07-2019 21:59:04
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 23-07-2019 21:52:16



บทที่ 20


   ซินเธียพลิกตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด พอหันหลับไปมองอีกด้านหนึ่งของเตียงก็พบเข้ากับแอชลีย์ที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่ เมื่อคืนกว่าจะนอนหลับไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอนกระสับกระส่ายอยู่เป็นนานจนสุดท้ายร่างกายมันคงถึงขีดจำกัดแล้วหลับลงไปเอง


   รู้ว่าอีกคนนั้นเป็นคนเด็ดขาด ทุกถ้อยคำทุกวาจาที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาล้วนถูกกลั่นกรองออกมาแล้วและเขาหมายความแบบนั้นทุกประโยค และยังเข้าใจเหตุผลของการลงโทษครั้งนี้ เรื่องอะไรแบบนี้น่ะหากท่านพ่อรู้คงโดนตีจนตายไม่ต่างกัน ทั้งการแอบ ‘ยืม’ เสื้อผ้าคนอื่นโดยไม่บอกกล่าวมันไม่ใช่นิสัยของคนอย่างท่านชายวาเลนเธียเลยสักนิด แต่ช่วงนี้ตัวมันดันไปก่อนสมองไตร่ตรอง ซินเธียเองก็ควบคุมความต้องการจะ ‘ยืม’ เสื้อผ้าของคุณสามีไม่ได้จริงๆ


เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะตลบผ้าห่มลุกออกจากเตียง ถึงจะเข้าใจแต่ก็น้อยใจอยู่ดีสับสนในตัวเองจนรู้สึกหงุดหงิด สุดท้ายเลยได้แต่ลากเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องในสุด คิดเอาไว้ว่าจะขอนอนในรังต่ออีกสักพัก


คล้อยหลังซินเธีย แอชลีย์ก็ลืมตาด้วยเวลาไม่ห่างกันมาก สัมผัสพื้นเตียงว่างเปล่าข้างกายแล้วได้รับไอเย็นเล็กน้อยบ่งบอกว่าเจ้าของพื้นที่ตรงนี้คงลุกไปสักพักแล้วเห็นดังนั้นเลยลุกขึ้นบ้าง เดินไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำก่อนจะมุ่งหน้าไปทางห้องแต่งตัว


ตู้เสื้อผ้าวันนี้มีสิ่งที่ต้องการอู่ครบถ้วย ไม่ขาดไม่หายอีกแล้ว เขากระตุกมุมปากก่อนจะหยิบเชิ้ตสีครามออกมาสวม



คนที่คิดว่าตื่นแล้วคงมาอยู่ชั้นล่างกลับไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา แอชลีย์สงสัยเล็กน้อยพอเจอแม่บ้านคนหนึ่งเดินผ่านมาเลยเรียกไว้ สอบถามได้ความภรรยาแมวน้อยของเขายังไม่ลงมาเลยเช้านี้ คำตอบนั้นทำเอาต้องเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่พอนึกดูดีๆ หากในห้องนอนไม่มี ชั้นล่างไม่มีก็คงมีอยู่ที่เดียวแล้วล่ะที่เด็กคนนั้นจะไป


ปล่อยไว้แบบนั้นก่อนก็แล้วกัน แอชลีย์เดินไปยังห้องอาหารนั่งจิบกาแฟไปพลางฟังพ่อบ้านรายงานเรื่องราวภายในบ้านช่วงสัปดาห์ที่ผ่านนี้ไปพลาง ช่วงนี้อุณหภูมิลดลงต่ำอย่างต่อเนื่องและคาดว่ามันคงยังไม่ถึงจุดต่ำสุดในเร็ววันนี้ พวกคนงานที่จ้างประจำอย่างคนดูแลสวน คนทำความสะอาดมาขอลาหยุดเพื่อเก็บตัวรักษาร่างกายให้อุ่นอยู่ในบ้าน แอชลีย์พยักหน้ารับอย่างตั้งใจ เอ่ยอนุญาตพร้อมสั่งให้อีริคมอบเงินพิเศษให้พวกเขาไปใช้ชีวิตในช่วงสิ้นปีคนละก้อนเล็กๆ เหตุการณ์แบบนี้นับเป็นเรื่องปกติที่ทำเป็นประจำทุกปี


“วันนี้คุณท่านจะออกไปไหนหรือไม่ครับ” คนเป็นนายส่ายหน้า


“พักสักวันก็แล้วกัน”


ช่วงท้ายปีอากาศจะหนาวมากเป็นพิเศษ หิมะก็ตกหนักขึ้นมากสุดก็คือตกทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันหลายวัน ถนนหนทางเต็มไปด้วยกองเกล็ดน้ำแข็งจนไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เหล่าคนงานมักขอลาหยุดพักผ่อนเป็นเรื่องปกติแม้แต่ขนาดคนระดับชนชั้นสูงยังไม่นึกอยากขยับตัวไปไหน แอชลีย์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยากจะลาพักผ่อน เพราะแบบนั้น ไม่ใช่แค่คนงานที่จ้างประจำแต่คนในคฤหาสน์ใครประสงค์อยากลากลับบ้านก็ล้วนได้รับอนุญาตหมด หลังจากวันนี้ไปนอกจากอีริคที่เป็นพ่อบ้านพักอาศัยอยู่รับใช้ตระกูลคิมมานานนับสิบปีก็คงมีแม่บ้านอีกสองสามคนที่เหลืออยู่ที่นี่


สั่งงานจนครบทุกอย่างแล้วพ่อบ้านก็ขอตัวไปเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คนจากห้องครัวเดินเข้ามา


“อาหารพร้อมแล้วค่ะ จะให้ไปตามท่านชายมาเลยไหมคะ”


“เดี๋ยวฉันจัดการเอง ตั้งโต๊ะเลย”


“ค่ะ”


แอชลีย์ลุกขึ้นปล่อยให้คนมาเก็บกวาดโต๊ะอาหารเตรียมตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเช้า ส่วนตัวเองก็มุ่งหน้าสู่ชั้นสองเพื่อไปจัดการกับคนขี้เซาที่นอนอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในรัง


หมู่นี้เขาสั่งเกตว่าซินเธียนอนมากเป็นพิเศษ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะยังไม่ชินกับอากาศหนาวๆ หรือเปล่านะเลยส่งผลให้เกิดอาการอยากซุกตัวนอนบนเตียงตลอดทั้งวัน แต่ดูไปดูมาเริ่มคิดว่าไม่ใช่แล้ว การนอนกมากไปก็อาจก่อให้เกิดผลเสียได้ นี่ก็ไม่รู้แอบมานอนตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน แถมดูท่าแล้วว่าห้องเก่าของชายหนุ่มจะถูกคุณภรรยายึดเข้าให้เรียบร้อย บรรยากาศภายในห้องแค่เปิดประตูเดินเข้ามากลิ่นของเจ้าตัวก็ฟุ้งไปทั่ว


   แอชลีย์ย่อตัวลงนั่งลงข้างสถานที่อันเรียกว่ารังของคนตรงหน้าไม่กล้าเข้าไปโดยพลการเนื่องจากจดจำคำที่คาร์ลินเคยย้ำเอาไว้ว่ารังของโอเมก้าถือเป็นเขตหวงห้าม


   เขาจ้องมองใบหน้าหวานยามหลับใหลเงียบๆ ช่างเป็นภาพที่ดูไร้เดียงสา เส้นผมยาวแผ่กระจายไปทั่วหมอนดูยุ่งเหยิงเป็นผลมาจากการนอนไปมุดไปของเจ้าตัว นอนขนาดนี้มีอยู่สองกรณีแล้วหากไม่ป่วยก็คือขี้เกียจดีๆ นี่เอง แต่พอยื่นมือเข้าไปแตะตามเนื้อตัวเริ่มตั้งแต่หน้าผากมน ปรางแก้มนิ่มทั้งสองไล่ลงมาถึงซอกคอแต่ก็ไม่พบอุณหภูมิผิดปกติอะไรถึงได้วางใจ


นั่งนิ่งๆ ปล่อยให้คนขี้เซาเขาได้นอนต่ออีกสักพักถึงได้ตัดสินใจปลุก ซินเธียรู้สึกตัวตั้งแต่สัมผัสแล้วแต่เพราะยังงัวเงียเลยนอนแช่ต่ออีกเป็นนาน


“ลงไปทานข้าวได้แล้ว”


พอได้ยินคำว่าอาหารสมองก็เหมือนได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาโดยอัตโนมัติ จากท่าทีงัวเงียอืดอาดก็พลันเปลี่ยนเป็นสดใสฉับพลัน กระตือรือร้นที่จะลุกออกจากรังลงไปชั้นล่างทันที



จบมื้อเช้าลงแอชลีย์พาซินเธียมาเดินย่อยอาหารในสวนด้านหลัง เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบกาย ตอนนี้ต้นไม้ผลัดใบจนร้างไปหมดทั้งต้นแล้วเหลือแต่กิ่งโล้นๆ มองไปทางไหนก็ดูแห้งแล้ง คนที่มีภูมิต้านทานกับอากาศหนาวน้อยหน่อยกระชับผ้าคลุมบนลาดไหล่ทั้งสองข้าง เดินไปเดินมาไม่ค่อยมีอะไรให้มองก็เริ่มเบื่อ


“แอชลีย์” หยุดเดินก่อนจะหันไปประจันหน้ากับคนข้างกาย เจ้าของชื่อหลุบตาลงมองนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมจะรับฟัง


“เราไปสนามม้าครั้งก่อนอีกได้หรือไม่”


แอชลีย์ก้มลงมองมือบางที่ตนกุมเอาไว้มันขึ้นสีแดงระเรื่อจากการโดนอากาศเย็นนานเกินไป พอเลื่อนขึ้นจนถึงใบหน้าหวานปรางแก้มทั้งสองเองก็ขึ้นสีไม่ต่างกัน ทุกลมหายใจออกมักจะมีควันสีขาวลอยออกมาด้วยเบาบาง เขาจ้องเข้าไปในดวงตาเปล่งประกายราวกับคริสตัลของคนตรงหน้าเงียบๆ ท้ายที่สุดก็พยักหน้าตกลง


“รออากาศอุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อยค่อยไปแล้วกัน”



รอจนช่วงบ่ายในที่สุดซินเธียก็ได้กลับมายังสนามขี่ม้าแห่งนี้อีกครั้ง นับเป็นครั้งที่สองในการมาเยือนทว่ากลับมีความรู้สึกราวได้กลับมายังสถานที่อันคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เด็กหนุ่มสูดกลิ่นอายของทุ่งหญ้าเข้าจนสุดปอดพลันความมืดครึ้มในใจราวถูกปัดเป่ารู้สึกร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา


“ดูสิวันนี้ผมเจอใคร” เสียงทักร่าเริงมาพร้อมเสียงหัวเราะ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร


แอชลีย์ยังคงจดจ่อสมาธิตั้งอกตั้งใจแต่งตัวให้ภรรยาโดยไม่คิดสนใจเจ้าของน้ำเสียงกวนประสาทนั้น ต่อให้โรเมโอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็ไม่คิดหันไปมอง แม้แต่คำทักทายสักครึ่งคำยังไม่มีหลุดให้ได้ยินทำเอาคนมาใหม่หมดสนุกทันที


“เฮ้ เสียมารยาทชะมัด” คุณชายแบล็ควู้ดหน้าบึ้งตึง


“ถึงไม่มีหิมะแต่เมื่อคืนน้ำค้างก็ลงมากค่อยๆ ขี่ไประวังลื่นล่ะ” เขากำชับเด็กหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย สองมือก็คอยจัดนั่นแต่งนี่ตรวจสอบความเรียบร้อยจนพอใจแล้วถึงค่อยปล่อยให้คนเด็กกว่าไปขี่ม้าเล่นโดยก่อนไปซินเธียก็ไม่ลืมเอ่ยทักทายโรเมโออีกสองสามคำ


“นายมาทำอะไรที่นี่” แอชลีย์เปิดปากหลังเล่นสงครามประสาทมาร่วมนาที ใบหน้าเบื่อหน่าย


“ที่นี่สนามของผมนะครับ ผมจะมาเดินหายใจเล่นทิ้งตามอำเภอใจก็ย่อมได้ต้องขออนุญาตใครด้วยหรือ” โรเมโอวาดมือไปทางสนามอันกว้างใหญ่ของตนเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจวางท่าใหญ่โต


“งั้นก็เชิญนายเดินหายใจทิ้งต่อไปก็แล้ววัน”


แอชลีย์ตอบด้วยท่าทีไม่แยแสแล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางฝั่งที่จัดเตรียมเอาไว้ให้สำหรับนั่งพักผ่อนร้อนจนคุณชายผู้ป่าวประกาศว่าจะเดินเล่นเล่นตามอำเภอใจต้องสับเท้าเดินตาม


กับความสัมพันธ์สำหรับคนทั้งสองแล้วจะว่ามิตรก็ไม่เชิงจะว่าศัตรูก็ไม่ใช่ เป็นความก้ำกึ่งที่ไม่คิดจะมีฝ่ายไหนขยับขยายมันเลยสักนิด แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็พอใจกับระยะห่างประมาณนี้


“ได้ยินว่าหลายวันก่อนนายก็มาที่นี่”


“พาแมวมาวิ่งเล่น”


“ไหนแมว” คนฟังขมวดคิ้ว ประโยคนี้ไม่ต้องตีความมากมายก็พอจะเดาได้ ดูจากสายตาแล้วก็รู้ทันทีว่าแมวตัวที่ว่าคงจะเป็นแมวขนสีส้มที่กำลังควบม้าเล่นอยู่กลางสนามอย่างสนุกสนาน แต่ถึงแบบนั้นคุณชายแบล็ควู้ดก็ยังคงแสร้งทำไม่รู้ความจี้ถามอย่างรื่นเริง แต่พอเห็นใบหน้าราวรูปหินสลักพันปีนั่นแล้วความสนุกก็หมดลง


“เมื่อเช้าคาร์ลินถามถึงนาย”


แอชลีย์เหลือบตามอง “อากาศหนาวขนาดนี้เขายังต้องการอะไรจากฉันอีก”


“คนหนาวที่ไหนยังพาแมวออกมาเดินเล่นแบบนี้กัน” คุณชายเจ้าสำราญอย่างโรเมโอพอมีช่องก็ไม่สามารถพลั้งปากหยอกล้อได้


“แมวฉันจะพามาเดินหายใจเล่นทิ้งตามอำเภอใจตอนไหนก็ย่อมได้” เขาเลียนแบบคำพูดอีกฝ่าย มุมปากกระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะทำเอาโรเมโอพูดแทบไม่ออกสุดท้ายก็ล้มเลิกความพยายามก่อกวนแล้วนั่งสงบปากสงบคำ


   
ซินเธียขี่ม้าเล่นอยู่เป็นชั่วโมงก็รู้สึกพอใจ ตามลำคอและขมับมีเหงื่อผุดซึมขึ้นมาจากการได้ออกแรงเป็นเวลานาน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับความชื้นทั้งหมดออกรู้สึกว่าผิวพรรณเปล่งประกายขึ้นมาทันตาเห็น พอได้กลับมาทำในสิ่งที่ชื่นชอบหลังห่างหายไปนานพลันในใจรู้สึกสดชื่น


เหงื่อออกช่วงหน้าหนาวนี่มันดีจริงๆ ต่อให้ใช้แรงไปมากแค่ไหนเหงื่อก็ยังแค่ซึมตามผิวหนังเล็กน้อยเท่านั้น


แดนใต้น่ะอากาศร้อนและมีแดดแรง ขี่ม้าออกไปเที่ยวเล่นกลับวังมาแต่ละทีเหงื่อโซมกายพาลให้เหนียวเหนอะหนะตามตัวไปหมด แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่เคยสร้างความรำคาญ ซินเธียคิดว่าช่วงเวลาที่ได้แช่น้ำเย็นๆ หลังเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตแล้ว


บางทีหลังกลับคฤหาสน์แล้วเขาควรจะไปแช่น้ำพร้อมกับจุดเทียนหอมเสียหน่อย ตั้งแต่ได้มาก็ยังไม่เคยใช้เลยสักครั้ง


เมื่อวางแผนกิจกรรมในหัวเสร็จเด็กหนุ่มก็ควบม้ากลับไปหาคนตัวสูงซึ่งนั่งรออยู่ด้านข้างของสนาม แอชลีย์ตอนนี้กำลังนั่งอยู่เพียงลำพัง


“คุณโรเมโอกลับแล้วหรือครับ” ทักอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ยังเห็นนั่งคุยกันท่าทางสนุกสนานอยู่เลย


“เขาปวดท้องน่ะรีบไปเข้าห้องน้ำ” แอชลีย์ตอบคล้ายไม่ใส่ใจ เดินเข้าไปหาภรรยาแมวน้อยซึ่งกำลังพยายามปีนลงมาจากหลังม้า


เดิมซินเธียคิดจะกระโดดลงมาเฉกเช่นที่เคยทำเสมอมาแต่วันนี้ความคล่องแคล่วในอดีตกลับไม่รู้กระเด็นหายไปไหน แข้งขามันพาลอ่อนล้าสมองขาวโพลนไปชั่วขณะจนไม่สามารถสั่งการได้ดังเดิมจนพลัดตกลงมา


“ระวัง!” แอชลีย์รีบโผเข้าไปรับร่างของเด็กหนุ่มทันที แม้ใบหน้าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่ข้างในหัวใจมันแกว่งนำไปแล้ว “เป็นอะไร” ก่อนหน้านี้ที่ไม่เข้าไปช่วยเพราะวางใจในความชำนาญของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนหลังจากนี้ไปเขาต้องทบทวนความคิดของตัวเองใหม่เสียแล้ว


“อ่า...” ด้านคนหน้ามืดกะทันหันยังคงมึนงงอยู่เลยเผลอซบใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างของเจ้าของอ้อมกอดนี้ สิ่งที่เกิดเมื่อครู่มันรวดเร็วมากจนไม่ทันแม้แต่จะตกใจหรือประมวลผลอะไรเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มแค่จะกระโดดลงมาเหมือนเช่นปกติที่ทำมาตลอดชีวิต 20 ปี ทว่าจังหวะนั้นโลกมันเหมือนทะลายลงคล้ายหลุมดำมืดดูดเอาร่างเขาลงไปข้างใต้นั่น


ไม่รู้จะพูดอะไรเลย


   เด็กหนุ่มพักอยู่ในอ้อมกอดของแอชลีย์ร่วมสิบนาทีพอรู้สึกดีขึ้นถึงได้ค่อยๆ พยุงร่างอ่อนเปลี้ยของตัวเองขึ้นมายืนเต็มความสูงดังเดิม


“เรา... ไม่เป็นอะไรแล้ว” ว่าไปอย่างนั้นทั้งที่ใบหน้าซีดเซียวสวนทางกับคำกล่าว


แอชลีย์จ้องเขม็งมองคนในอ้อมแขน ทบทวนถึงสาเหตุแล้วแต่คิดเท่าไหร่ก็ยังหาไม่พบ จะว่าป่วยก็ไม่ใช่ร่างกายดูปกติดี จะว่าเหนื่อยเกินไม่ก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่ไหนแต่ไรซินเธียเป็นคนร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วไม่น่าจะมาล้มเอากับเรื่องง่ายๆ อย่างการขี่ม้าจนเหนื่อย


ยิ่งเรื่องพักผ่อนน้อยหรือตัดไปได้เลย ทุกวันนี้นอนจนคล้ายจำศีลเข้าไปทุกที พฤติกรรมเหมือนแมวน้อยแสนขี้เกียจไม่มีผิด


ตอนนี้ไม่สามารถสรุปอะไรได้ประเด็นนี้จึงถูกปัดตกลงไปชั่วคราว เมื่อพิจารณาสภาพการโดยรวมจนแน่ใจแล้วว่าอีกคนดีขึ้นแล้วจริงถึงได้พยักหน้ารับหากแต่สองแขนยังโอบประคองคนเด็กกว่าไม่ห่างจนกระทั่งขึ้นรถกลับมาถึงคฤหาสน์


กลับมาถึงนั่งพักต่ออีกสักหน่อยอาการก็ดีขึ้นมา ใบหน้าไร้เลือดฝาดก็เริ่มกลับมาดูเปล่งประกาย ซินเธียจึงเริ่มเรียกร้องถึงแผนการที่วางไว้ทันที


“เราอยากไปแช่น้ำสักหน่อย” ประโยคนี้ไม่มีความจำเป็นต้องบอกกล่าวกันหากไม่ติดว่าเจ้าของอ้อมแขนที่เอาแต่รัดตนเหมือนงูนี้ยอมผละจากไปเสียที


“อากาศหนาวขนาดนี้จะไปแช่ทำไม” แน่นอน แอชลีย์ขมวดคิ้วหน้าเข้มทันทีหลังได้ยินคำกล่าวนั้น


“เมื่อก่อน...” เขาเกริ่น “หลังกลับจากการล่าหรือขี่ม้าเที่ยวเล่นเรามักจะกลับมาแช่น้ำเสมอ อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยผ่อนคลายขจัดความเมื่อยล้าได้ดี”


พอเห็นใบหน้าเรียบเฉยของคนจ้องเขม็งมาแล้วก็เกิดอาการเลิกลั่ก รีบสำทับไปอีกประโยคคล้ายว่ากลัวจะไม่ได้รับคำอนุญาต “เอ่อ... เราอยากลองจุดเทียนหอมที่ซื้อมาจากอีสเทิร์นพอร์ตคราวนั้นด้วย”


“…”


“ก็ได้”


ครู่ใหญ่เขาก็ตอบตกลงในที่สุด ซินเธียเกือบจะแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาแล้วหากว่าไม่ได้ยินประโยคถัดมาซึ่งชวนให้ร่ายกายแข็งค้างเข้าเสียก่อน


“แต่ฉันจะเข้าไปด้วย”


“มะ ไม่ต้องก็ได้” รีบโบกมือทันที


“เธอพึ่งฟื้นตัวเกิดเข้าไปแล้วหน้ามืดซ้ำขึ้นมาอีกจะทำยังไง ฉันไม่วางใจ”


“เราดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องรบกวน...” เขายังพยายามปฏิเสธความหวังดีนั้นอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าต่อให้ชักแม่น้ำมาทั้งคลองก็ไม่เกิดผล ซ้ำยังจะหาเรื่องเข้าตัวเพิ่มอีก


“ไปจุดเทียนสิ”


“...”




ต่อให้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไปถึงไหนต่อไหนทำกันไปเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ทว่า ทำก็ส่วนทำ เรื่องบนเตียงบางครั้งสติมันก็หลุดลอยไปบ้างตามแรงอารมณ์ ไม่เหมือนกับการต้องมาเปลือยกายในห้องน้ำแบบนี้ สติครบถ้วนแจ่มแจ้ง


ซินเธียนั่งตัวแข็งอยู่ในอ้อมแขนของแอชลีย์ ไม่กล้าจะขยับตัวมากนักด้วยกลัวจะพาเอาสะโพกของตัวเองไปทิ่มโดนส่วนที่ไม่ควรโดนเข้า


ภาพนั้นทำเอาคนที่อยู่ด้านหลังกระตุกยิ้มมุมปาก ด้วยมุมมองนี้เขาสามารถมองเห็นลักษณะท่าทางของเจ้าแมวน้อยตัวนี้ได้อย่างชัดเจน ผิวนวลสีน้ำผึ้งเปล่งปลั่งดูอิ่มน้ำขึ้นสีระเรื่อไม่อาจทราบว่าเป็นผลมาจากอุณหภูมิของน้ำในอ่างหรือเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังรู้สึกกระดากอายอย่างถึงที่สุด แถมระยะนี้ตัวของซินเธียไม่ว่าจะจับไปตรงไหนก็เต็มไม้เต็มมือชวนให้เพลิดเพลินไปหมด


เหมือนว่าภรรยาของเขาคนนี้... จะดูอวบขึ้นหรือเปล่า?


“ไหนว่าการแช่น้ำทำให้รู้สึกผ่อนคลาย” หยอกไปหนึ่งคำ


“อะ อื้ม เรารู้สึกดีมากเลย... อ๊ะ!”


คนผ่อนคลายที่ไหนเกร็งได้ขนาดนี้ อัลฟ่าหนุ่มลอบขันในใจขณะใช้มือข้างหนึ่งกระชับรอบเอวบางดึงให้เอนซบลงมาบนแผ่นอกกว้าง กายแนบสนิทไปทุกสัดส่วนรับรู้ได้ถึงความขึงขังโอฬารภายใต้ผืนน้ำชัดเจน


ซินเธียได้แต่หลับตาลงอย่างไม่อาจทนมองตัวเองได้ เขาลูบปอยผมชื้นน้ำส่วนหนึ่งที่ร่วงลงมาจากการรวบมวยขึ้นแก้ความประหม่า แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น คนด้านหลังเองก็ไม่ได้คิดจะมายุ่มย่ามอะไรกันอีกเพราะแบบนั้นเด็กหนุ่มถึงได้ปล่อยวางแล้วหันมาดื่มด่ำกับน้ำอุ่นๆ ในอ่าง รู้สึกสบายทั้งกายทั้งใจ


อีกทั้งเทียนหอมกลิ่นนี้ยังช่วยพาให้บรรยากาศภายในห้องน้ำแห่งนี้ดูนุ่มนวลขึ้นอีกด้วยนับว่าไม่เลวจริงๆ คุ้มแล้วกับเงินที่เสียไปไม่น้อย


หากให้พูดกันตามตรง เทียนหอมที่กำลังจุดอยู่นี้มีราคาสูงมาก ซินเธียเกือบจะถอดใจจากพวกมันแล้วหลังเจรจาต่อรองกับพ่อค้าต่างแดนอยู่นาน สุดท้ายเจ้าคนหน้าเลือดนั่นก็ยังไม่ยอมลดให้แม้แต่สักเหรียญเดียว ไม่รู้ว่าแอชลีย์เริ่มหมดความอดทนหรืออย่างไร วันนั้นอากาศค่อนข้างร้อนแค่ยืนอยู่ในท่าเรือไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกเหนียวไปทั้งตัวแล้ว สุดท้ายก็กวาดเทียนหอมพวกนั้นมาเกือบสิบกล่อง


“คุณชอบกลิ่นมันไหมครับ เราเอาไปวางไว้ที่ห้องทำงานด้วย” เขาเอี้ยวตัวไปถามคนที่นอนหลับตาพิงขอบอ่างด้วยท่วงท่าหย่อนอารมณ์เป็นที่สุด


“อืม” ฝ่ายนั้นครางรับมาหนึ่งคำ


“ถ้าอย่างนั้นเราจะจุดให้…”


“หอม”


“อ่า...”


ไอ้หอมน่ะไม่ทราบว่าหมายถึงคนหรือเทียนเนื่องจากคนที่ตอนแรกยังนอนสบายอารมณ์อยู่จู่ๆ ก็เบียดกายเข้ามาซุกไซ้กันเสียอย่างนั้น ซินเธียได้ยินเจ้าตัวบ่นงึมงำอะไรสักอย่างอยู่กับต้นคอของตัวเองจนจั๊กจี้ไปหมด


“ฮีทเธอกำลังจะมาหรือเปล่า”


“เราว่าน่าจะยังนะ” กว่าจะตอบประโยคนี้ได้ไม่ง่ายเลย ส่วนหนึ่งเพราะต้องพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น ความวาบหวามที่ได้รับทำเอาเกือบจะเผลอครางออกมาหลายครั้งในตอนที่คนตัวโตยังเอาแต่วุ่นวายอยู่กับซอกคอของซินเธียไม่ห่าง


และเพราะมัวพะวงกับด้านบน หารู้ไม่ว่าส่วนล่างนั้นคืบคลานไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


“อื้ม...”


เขาพยายามอดกลั้นอย่างถึงที่สุดแล้วแต่ใครใช้ให้คนบ้าคนนี้แทรกกายเข้ามาอย่างเอาแต่ใจกัน!


“เหรอ แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ” แอชลีย์กระซิบเสียงพร่าขณะแช่ค้างส่วนนั้นเอาไว้ในกายของซินเธีย ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกคนปล่อยฟีโรโมนออกมาระยะหนึ่งแล้ว มันยังไม่รุนแรงถึงระดับเดียวกับตอนฮีทแต่มันก็ไม่ใช่กลิ่นเหมือนปกติ


“กลิ่นเธอช่วงนี้มันหอมเป็นพิเศษ รู้ตัวหรือเปล่า”


“มะ ไม่รู้ อื้อ!” ซินเธียรู้สึกหูอื้อตาลายไปหมดยามฝ่ายหลังเริ่มโถมกระทั้นกายขึ้นมา คล้ายมีกระแสไฟฟ้าแล่นวาบขึ้นสู่สมอง ปัดป่ายมือสั่นระริกไปคว้าขอบอ่างแล้วกำมันเอาไว้แน่นราวกับต้องการระบายความเสียวซ่านที่พุ่งพล่านไปทั้งร่างกาย


แอชลีย์คำรามเสียงทุ้มผสมผสานไปกับเสียงหอบกระเส่ายามรู้สึกได้ถึงแรงโอบอุ้มของผนังอุ่นร้อนรัดรึงตัวตนเอาไว้แน่น กลิ่นอายบุรุษเพศผสมปนเปกับความหอมเย้ายวนตลบอบอวนไปทั่วห้องน้ำ กลิ่นเทียนหอมดั่งเชื้อเพลิงช่วยนำพาอารมณ์ให้พุ่งทะยานอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ซินเธียสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หวีดผวาอารามตกใจเมื่อถูกผลักให้ถลาไปยังปลายอ่าง สะโพกถูกยกโด่งขึ้นสมองมือใหญ่ฟอนแฟ้นลงบนก้อนเนื้อหนั่นแน่นจนสร้างรอยแกงไว้ทั่วเนื้อเนียน


คนที่พอถูกยกตัวขึ้นมาจากผิวน้ำก็เริ่มรับรู้ได้ถึงไอเย็นจากภายนอกทว่าเด็กหนุ่มไม่มีเวลามากพอจะมาสนใจกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น คนด้านบนยังคงถาโถมเข้ามาไม่รู้จบ เขากำขอบอ่างเอาไว้แน่นหนึ่งเพื่อพยุงตัวและสองเพื่อกันไม่ให้ตัวเองต้องลื่นถลาลงไปในอ่าง


“ลึกไป อื้อ... แล้ว”


กับสถานที่แบบนี้มันค่อนข้างเปลืองแรงกว่าบนเตียงปกติเอามาก ซินเธียหอบหายใจถี่กระชั้นมวยผมหลุดลุ่ย ไม่รู้ผ่านมานาน รู้แต่ว่าตอนนี้ตัวร้องจนแสบคอเสียงแทบจะไม่มีให้เปล่งออกมาอยู่แล้ว



วันถัดมาทั่วทั้งวินเทอร์ฟอลหิมะตกอย่างนักลากยาวมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน บนพื้นถนนมีแต่หิมะปกคลุมไปทั่วสูงขึ้นมาเกือบถึงหน้าขา อุณหภูมิกลายเป็นติดลบหลายองศา


ซินเธียที่พึ่งตื่นมาได้สักพักนั่งเกาะหน้าต่างเฝ้ามองเกล็ดน้ำแข็งสีขาวสะอาดตาโปรยปรายลงมาจากฟ้า ต้นไม้ในสวนถูกหิมะพวกนั้นปกคลุมจนกลายเป็นสีเงิน สภาพอากาศข้างนอกมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความขาวโพลนดูบริสุทธิ์ แทบไม่สามารถเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดได้เลยน้องจากต้นไม้ที่เหลือแต่กิ่งแห้งๆ จากปกติที่ในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ตระกูลคิมก็ไม่ค่อยมีพวกดอกไม้มากมายอยู่แล้วหากเทียบกับบ้านอื่น เมื่อกลายเป็นแบบนี้เลยดูยิ่งแห้งแล้งไปใหญ่


“พออากาศเป็นแบบนี้แล้วในสวนก็ไม่มีดอกไม้ให้มองเลย” เด็กหนุ่มพึมพำแต่เสียงนั้นมันดันลอยไปเข้าหูคนที่พึ่งเดินเข้าห้องมาพอดี


“ที่ฮิลตันมีสวนวิสทีเรียอยู่” ผู้มาใหม่ยื่นแก้วน้ำขิงอุ่นๆ มาให้


“ขอบคุณครับ” ซินเธียรับมันมากุมไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายก่อนถึงค่อยยกขึ้นจิบ “สวนวิสทีเรียหรือครับ”


“อืม ถ้าเธอต้องการ” เขาเว้นจังหวะ “แต่คงต้องรอสักช่วงต้นปีตอนฤดูใบไม้ผลิ”


“เราจะรอนะ” แมวน้อยยิ้มกว้างจนตาหยี ผละออกมาจากบานหน้าต่างแล้วปีนขึ้นไปซุกตัวนอนบนเตียงกอบโกยเอาความอบอุ่น จดจำเอาคำสัญญานั้นไว้ในใจขณะที่ดวงตาเริ่มปรือลงเรื่อยๆ


“จะนอนอีกแล้วหรือ” เหมือนจะเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ คนขี้เซาเพียงงึมงำฟังไม่ได้ความกลับมา


อยากให้ถึงฤดูใบไม้ผลิเร็วๆ จังนะ





TBC


หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-07-2019 22:20:13
 :hao7:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-07-2019 22:45:07
อยากรู้ว่าจะรู้กันตอนไหน 5555555555555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 23-07-2019 22:48:16
 :z1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-07-2019 23:07:56
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 23-07-2019 23:54:20
 :hao4: ทำไม2 คนนี้รู้ตัวช้าจังนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-07-2019 00:01:47
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 24-07-2019 00:30:21
จะรู้ว่าท้องกันตอนไหนนนน ตื่นเต้นนนน :katai1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-07-2019 11:52:22
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 20 [P.6] --- 23/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-07-2019 13:55:28
ลุ้นอยู่อย่างเดียวว่าจะรู้กันตอนไหนเนี่ยช้าจริงเลยทั้งคู่ แต่จะว่าก็ไม่ได้ไม่มีประสบการณ์กันทั้งคู่นี่ 555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 24-07-2019 15:20:53

บทที่ 21




   ไม่นึกว่าอาการเล็กน้อยที่มองข้ามไปนานวันจะยิ่งทวีมากขึ้น ตั้งแต่เช้าแล้วที่ซินเธียตื่นขึ้นมาแล้วเอาแต่อาเจียนไม่หยุด บ้วนปากแล้วเดินกลับไปนั่งพักปลายเตียงหายใจหายคอยังไม่ทันคล่องดีไอ้ความพะอืดพะอมมันก็ตีรวนขึ้นลำคอมาอีกครั้ง วนซ้ำไปซ้ำมาอยู่จนช่วงสายถึงค่อยทุเลาลง


เป็นแบบนี้มาสองวันแล้วและมักจะเป็นแค่ช่วงเช้า


แต่วันนี้ดูน่าจะหนักกว่าเมื่อวาน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตนอาเจียนออกมาเริ่มมีแต่ลมแล้ว โหวงไปทั้งท้องจนตาลายสุดท้ายก็ต้องทรุดตัวลงนั่งพิงกับผนังห้องน้ำระคนหมดแรง ใบหน้าหวานซีดเซียวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดซึม


เมื่อรู้สึกว่าเรี่ยวแรงของตัวเองเริ่มกลับมาแล้วถึงค่อยเดินลากเท้าพาร่างอันอ่อนเปลี้ยของตัวเองออกจากห้องน้ำ โดยไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบร่างสูงใหญ่ของสามียืนมองอยู่ด้านหน้า


“คุณ...” เขาชะงักไป เอ่ยถามเสียงแหบแห้งจนคล้ายกระซิบ “ยังไม่ไปทำงานหรือครับ”


เวลาจนป่านนี้แล้วอีกคนควรจะออกไปทำงานหลังรับประทานมื้อเช้าเสร็จตามปกติ ไม่คิดว่าจะยังมัวมาเอ้อระเหยอยู่แถวนี้


“มานั่งก่อนเถอะ” นอกจากไม่ยอมตอบคำถามแล้วยังเข้ามาประคองซินเธียให้เดินไปนั่งตรงโซฟาชุดเล็กริมระเบียง ใบหน้าเครียดขรึมฉายแววกังวลผ่านดวงตา ชายหนุ่มเองก็คอยสังเกตอาการอีกคนเช่นกัน ข้าวแทบไม่ตกถึงท้องไม่รู้เอาอะไรมาออกนักหนา


“เห็นเธอไม่ลงไปทานข้าวสักที” เขาเริ่มเปิดปาก


“เดี๋ยวเราจะลงไป ขอพักอีกหน่อย” เอ่ยตอบเสียงอ่อน ใบหน้าหวานซบลงบนแผ่นอกกว้างกำยำคล้ายคนหมดแรง กลิ่นของอีกฝ่ายที่โอบล้อมตนเอาไว้ทั้งร่างช่วยบรรเทาให้ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นน้อยลง


“ไม่ต้อง ฉันให้คนยกอาหารขึ้นมาแล้ว”


เจ้าตัวพูดมาถึงขนาดนี้แล้วซินเธียก็ไม่คิดปฏิเสธอะไรอีก ดีเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาหมดแรงจะเดินไปไหนแล้ว ท้องก็แสบไปหมด หน้ามืดตาลายจนไม่อยากขยับตัวไปไหน ประโยคก่อนหน้าที่ตอบอีกคนไปก็เพื่อความสบายใจของคนตัวสูง คิดว่าพอเขาออกไปทำงานแล้วจะรั้งนอนอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน


คล้อยหลังคำกล่าวนั้นของแอชลีย์ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะเป็นคำอนุญาตก่อนประตูจะถูกเปิดเข้ามาพร้อมคุณพ่อบ้านเดินถือถาดอาหารเข้ามาสองสามอย่าง


“เอาวางไว้บนโต๊ะนั่น”


ซินเธียเหลือบตามองทุกความเคลื่อนไหวภายในห้อง รอจนคุณพ่อบ้านขอตัวกลับออกไปแล้วถึงค่อยพยุงตัวลุกขึ้นมองสำรวจบรรดาอาหารบนโต๊ะ ทว่า แม้จะหิวมากแค่ไหนแต่เพียงแค่ชิมไปคำเดียวก็ต้องวางส้อมลง ใบหน้าซีดเซียวดูย่ำแย่กว่าเดิม


“เป็นอะไร”


แอชลีย์รู้สึกกังวลเมื่อเห็นคนในอ้อมแขนทำท่าคล้ายอยากอาเจียนอีกครั้ง ในสมองเริ่มประมวลความเป็นไปได้ คงไม่ใช่ว่าเกิดแพ้อาหารอะไรขึ้นมาอีกหรอกนะ เนื่องจากอาการของเด็กหนุ่มคล้ายคลึงกับเหตุการณ์เมื่อครั้งอยู่ในคฤหาสน์แลมเบิร์ตแต่ยังไม่ดูรุนแรงเหมือนตอนนั้น เขาตรวจสอบตามร่างกายแล้วการหายใจปกติดีอีกทั้งตามผิวก็ไม่มีผื่นแดงขึ้น


ไม่น่าจะแพ้อาหาร


ถ้าอย่างนั้นเป็นอะไรกันล่ะ


“ให้หมอมาตรวจดูดีไหม” ป้องกันไว้ก่อนก็คงจะดี ทว่าคนในอ้อมแขนก็ส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียว ปากพึมพำแต่คำว่าไม่เป็นไรจนนึกอ่อนใจ


“อย่างนั้นฉันจะให้อีริคเอาอาหารมาเปลี่ยน”


แต่ไม่ว่าจะลองเปลี่ยนเมนูไปสักกี่ครั้งอาการของท่านชายก็ยังคงดังเดิม ซินเธียไม่ได้ถึงขั้นทานอะไรเข้าไปแล้วอาเจียนออกไปหมด แต่เด็กหนุ่มรู้สึกพะอืดพะอม รู้สึกว่าอาหารทุกอย่างตรงหน้ามันเลี่ยนไปหมดหากฝืนกล้ำกลืนทานเข้าไปอีกหน่อยจะต้องได้ล้วงเอาทุกอย่างในลำคอออกมาหมดแน่


ตอนนี้ซินเธียรู้สึกหิวมาก หิวจนแสบไปหมดทั้งท้อง ทั้งลำคอ แต่ทำไมเขาไม่รู้สึกอยากทานอาหารจานไหนเลย ความรู้สึกเหล่านี้พาลทำให้รู้สึกหงุดหงิด จากความหงุดหงิดกลายเป็นความโกรธ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไร อาหารพวกนี้ก็ทานกันอยู่ทุกวันทำไมวันนี้เขาถึงจัดการมันไม่ได้ ทุกความคิดพรั่งพรูอยู่เต็มสมองรู้ตัวอีกทีก็กลั่นความรู้สึกทั้งหมดออกมาเป็นหยาดน้ำหยดแหมะลงบนหลังมือของแอชลีย์ซึ่งกำลังกุมมือตนเอาไว้ออยู่


อัลฟ่าหนุ่มชะงักไปหลังได้รับสัมผัสเปียกชื้นบนผิวหนังรีบตวัดสายตามองคนเด็กกว่าในอ้อมแขนทันที น้ำตาของภรรยาทำเอาหัวใจของเขาปวดร้าว


“เป็นอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติหลายส่วน ด้วยกลัวว่าเผลอจะไปทำอะไรกระตุ้นต่อมน้ำตาอีกคนอีกเพราะเขาไม่รู้สาเหตุของน้ำตาหยดนี้ทั้งยังค้นสาเหตุที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่พบด้วย


“ไม่รู้” แมวน้อยสูดน้ำมูก ส่ายหน้าจนปอยผมสั่นไปตามแรงขยับ “ไม่รู้ แต่เราหิวมาก เราอยากทานพวกมันแต่ทำไมทานไม่ได้ก็ไม่รู้”


“เข้าใจแล้วๆ” แล้วท่านชายคิมจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากกระชับคนตัวบางในอ้อมแขนให้ร่างกายแนบสนิทกันมากขึ้นหวังแต่ว่ากลิ่นของตนที่อีกคนชื่นชอบจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น มือข้างหนึ่งก็คอยลูบศีรษะคนเป็นภรรยาเป็นการปลอบประโลม เขาส่งสายตาเชิงขอความเห็นจากพ่อบ้านที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างๆ เพราะเขาก็ไม่รู้จะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรดี ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกกับการได้เห็นน้ำตาของใครสักคน ทั้งบุคคลนั้นยังเป็นภรรยาของตนอีกด้วย


เขารู้ว่าซินเธีย วาเลนเธียเป็นประเภทแข็งนอกอ่อนใน ภายนอกดูเข้มแข็งปราดเปลี่ยวแตกต่างจากโอเมก้าทั่วไป แต่ภายในก็เป็นแค่เด็กหนุ่มไร้เดียงสาคนหนึ่งเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ


ต่อให้ต้องห่างบ้านเมือง เข้างานวิวาห์กับคนแปลกหน้า พบเจอกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามแค่ไหน ซินเธียก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเลยสักนิด


แล้วครั้งนี้ท่านชายกลับกำลังนั่งน้ำตาหยดแหมะๆ เพราะ... หิวข้าว?


ฝ่ายอีริคก็รู้สึกไม่สบายใจไม่แพ้กัน เขาเลยลองเสมอความเห็นหลังนิ่งเงียบมานาน


“อย่างนี้ดีหรือไม่ครับ ตอนนี้ท่านชายอยากทานสิ่งไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับผมจะลองไปจัดหามาให้”


คนถูกถามสูดน้ำมูกไปอีกฟืดหนึ่งแล้วนิ่งไปคล้ายกำลังครุ่นคิด หมดสิ้นซึ่งความสง่างามอย่างที่เคยเป็นมาตลอดกลายเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งนั่งตัวลีบอยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นสามี


“เราอยากทานสิ่งนั้น ผลเล็กๆ สีแดงๆ” เงียบไปเพื่อคิดอีกครู่หนึ่ง “เคยลองทานครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงของคุณชายแสตนลีย์ อร่อยมาก”


แม้เวลาจะผ่านมาร่วมเดือนแล้วแต่รสชาติเปรี้ยวอมหวานยังจดจำได้ดีเพียงแค่นึกถึงก็ราวกับได้สัมผัสเนื้อแน่นฉ่ำน้ำอบอวลอยู่เต็มปาก ซินเธียไม่แน่ใจว่าเจ้าผลเล็กฉ่ำน้ำนั้นคืออะไร ในดินแดนทางใต้ไม่เคยมีพืชชนิดนี้แต่ลิ้มลองไปเพียงครั้งเดียวก็นึกติดใจอยู่มาก


“มันคืออะไร” แอชลีย์ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าสิ่งที่คนตัวบางอธิบายออกมาเลย ในชีวิตนี้ไม่ใช่คนจะมาสนใจเรื่องหยุมหยิม ยิ่งเรื่องในครัวยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่อให้อธิบายออกมาละเอียดยิบก็นึกไม่ออกอยู่ดี


“ท่านชายคงจะหมายถึงมะเขือเทศเชอร์รี่หรือเปล่าครับ” แต่รายละเอียดอันน้อยนิดนี้คงไม่อาจหลุดพ้นสายตาอันเฉียบคมของคุณพ่อบ้านผู้รอบรู้และสารพัดประโยชน์คนนี้ไปได้


“อะไรก็เถอะ ลองไปหามาให้เขาลองทานดู” แน่นอนว่าต่อให้พูดชื่อมาแอชลีย์ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีเลยได้แต่โบกมือให้อีกคนรีบไปจัดการ


“ครับ ผมจะรีบไปจัดการ”


แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์ดูแลตระกูลคิมที่สั่งสมมานานหลายสิบปีอีริคย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง ผ่านไปแค่ไม่นานชายชราก็ถือจานที่เต็มไปด้วยผลมะเขือเทศเชอร์รี่เข้ามา


เมื่อของถูกนำมาแน่นอนว่าคนที่นอนหน้าซีดเซียวตัวอ่อนอยู่ครึ่งค่อนวันก็เริ่มกลับมาสดใส หยิบเจ้าผลไม้ลูกเล็กนั้นทานไม่ขาดจนริมฝีปากอิ่มชุ่มไปด้วยน้ำวาววับแดงระเรื่อกลายเป็นภาพเย้ายวนคนมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แอชลีย์เบือนหน้าออกจากสิ่งนั้นก่อนจะกระแอมหนึ่งครั้ง ยิ่งช่วงนี้เจ้าตัวชอบปล่อยฟีโรโมนแปลกๆ ออกมาเดิมสภาพจิตใจของชายหนุ่มก็ไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว


“ทานมากแบบนี้จะดีหรือ” เขาถามเหมารวมทั้งคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทานเต็มปากและคนที่ยืนอยู่ข้างกายด้วย


“ถ้าคุมปริมาณให้ดีก็ไม่เป็นปัญหาครับ มะเขือเทศชนิดนี้ให้ประโยชน์มากมายอีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย” แต่คุณพ่อบ้านก็ช่วยตอบคำถามอย่างรู้งาน


   ถึงจะเห็นคนทานอะไรได้บ้างแล้วแต่แค่นี้มันคงยังไม่เพียงพอ พลังงานที่จำเป็นก็ยังขาดอีกมากดูก็รู้แล้วว่าคงอยู่ท้องไม่นาน ซินเธียที่เดิมก็ทานอาหารไม่ต่างกับแมวดมช่วงหลังแม้ดูเจริญอาหารมากขึ้นแต่ก็เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้นอกจากจะกลับมาทานน้อยแล้วมิหนำซ้ำยังน้อยกว่าเดิมเพราะเห็นอะไรขึ้นโต๊ะก็พะอืดพะอมไปเสียหมด


   “ลองให้หมอมาตรวจดูดีไหม” ชายหนุ่มเสมออีกครั้งหลังซินเธียทานจนสบายท้องแล้วส่วนตอนนี้ก็ตั้งใจจะไปล้มตัวนอนในรังเสียหน่อย อาเจียนมาทั้งวันรู้สึกเพลียไปหมดทั้งร่าง


   “ตอนนี้เรารู้สึกดีขึ้นแล้ว ได้ทานอาหารกับพักผ่อนมากหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะครับ”


   คนดื้อเขาว่าอย่างนั้น


แต่พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เจ้าตัวอุปทานไปเองว่าดีขึ้นอาการเดิมก็ถาโถมลงมาอีกครั้ง แถมดูท่าจะหนักกว่าเดิมด้วยเป็นแบบนั้นอยู่หลายวันสุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวก็เป็นแอชลีย์เสียเอง เขายื่นคำขาดให้เด็กหนุ่ม ครั้งนี้ไม่ใช่คำถามที่เป็นเพียงความเห็น แต่เป็นคำประกาศิต


“คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปกติแล้ว เธอต้องได้รับการตรวจ”


ซินเธียซึ่งนั่งเกาะโถชักโครกอยู่หอบหายใจรวยรินจนต้องยกมือขึ้นมากุมแผ่นอกเอาไว้ได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ฉับพลัน ก็ดันนึกถึงคำถามเรื่องฮีทที่แอชลีย์มักพร่ำถามเสมอในช่วงนี้ขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ดวงตากลมโตกรอกไปมาอย่างคนใช้ความคิด มันนานแค่ไหนแล้ว ปกติมันควรจะมาแล้วสิ วูบหนึ่งที่ความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นมาจนเขาใจสั่น


คงไม่หรอกมั้ง...


“พรุ่งนี้ฉันจะเชิญหมอเข้ามา ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องตรวจแล้ว” แอชลีย์ยื่นคำขาด ชายหนุ่มทนมองอีกคนเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


“อะ อื้ม...”


เมื่อไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้อีกซินเธียได้แต่ครางรับแล้วนิ่งไป สติดูเลื่อนลอย มือข้างที่ทาบอยู่บนแผ่นอกเผลอขยุ้มเนื้อผ้าแน่น



นายแพทย์เดินทางจากจัตุรัสไวท์สแควร์มาถึงคฤหาสน์ตระกูลคิมในช่วงสายคลาดกับแอชลีย์ซึ่งต้องรีบไปทำงานหลังเอ้อระเหยมัวพะวกพะวงกับซินเธียมาหลายวันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเนื่องด้วยเช้าวันนี้มีหิมะตกลงมาถึงจะไม่หนักมากแต่มันก็เป็นปัญหากับคนที่ต้องเดินทางไกลพอสมควร


พ่อบ้านอีริคเดินนำคนเข้ามายังโถงรับรองแขกซึ่งมีท่านชายวาเลนเธียนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ซินเธียวันนี้หน้าตาดูสดชื่นกว่าเมื่อวานส่งยิ้มอ่อนให้กับนายแพทย์ประจำตระกูลคิมผ่านการแนะนำจากคุณพ่อบ้าน


“สวัสดีตอนสายครับท่านชาย” แพทย์คนนี้เป็นอัลฟ่าวัยกลางคน รูปร่างสูงสมส่วนตามมาตรฐานอัลฟ่าทั่วไป สวมแว่นกรอบสายตาขับภาพลักษณ์ให้ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ ครอบครัวของชายผู้นี้ประกอบอาชีพเป็นศัลยแพทย์มาหลายต่อหลายรุ่นอีกทั้งยังคอยดูแลตระกูลคิมมานาน เห็นเหล่าสะใภ้ตระกูลคิมมาก็มากมีทั้งคนธรรมดาไปจนถึงคุณหญิงคุณชายจากตระกูลมีชื่อ


แต่เชื่อได้เลยว่าตลอดชีวิตการทำงานรับใช้ตระกูลคิมของเจอร์ราร์ดไม่มีใครสง่างามได้เท่าท่านชายวาเลนเธียผู้นี้แล้ว


ผิวสีน้ำผึ้งกับนัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายราวกับคริสตัลคู่นั้นเป็นเสน่ห์อันหาพบได้ยากยิ่ง และทั่วทั้งแดนเหนือนี้คงไม่มีผู้ใดเทียบเคียง


“ได้ยินเรื่องราวของท่านชายมานาน วันนี้มีโอกาสได้พบช่างเป็นเรื่องน่ายินดี” นายแพทย์วาดแขนค้อมศีรษะให้เป็นการแสดงความเคารพ


“คุณหมอเกรงใจกันเกินไปแล้วครับ” เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับทักทายตามมารยาท


“เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ขออนุญาตนะครับ” เพื่อไม่ให้เสียเวลานายแพทย์เจอร์ราร์ดขออนุญาตก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เพื่อวัดค่าความดัน ฟังเสียงหัวใจและวัดไข้ตรวจอาการเบื้องต้น ระหว่างนั้นก็ให้ท่านชายบอกเล่าอาการของตัวเองไปด้วย


ซินเธียเล่าไปว่าหมู่นี้ตัวเองมักจะชอบอาเจียนตอนเช้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่แน่ใจว่าตนนั้นเป็นอะไร ก่อนหน้านี้เคยมีประวัติแพ้อาหารทะเลเพียงแต่ว่าถึงอาการจะใกล้เคียงกันแต่ดูแล้วก็มีข้อแตกต่างอยู่ ตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ ไม่มีผื่นขึ้น เดินเหินได้ปกติติดจะแต่ชอบหน้ามืดเวลาต้องออกแรงมากหน่อย แถมยังรู้สึกเบื่ออาหารเห็นอะไรก็พาลพะอืดพะอมไปเสียหมด


เจอร์ราร์ดรับฟังด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง สมองก็คอยประเมินอาการเบื้องต้นออกมาทั้งหมด มีหลายสาเหตุที่เขาคิดได้ เพียงแต่ว่าเห็นจะมีอยู่อาการหนึ่งดูเด่นชัดเป็นพิเศษ ฉะนั้นนายแพทย์จึงสอบถามเพิ่มเติมอีกหน่อยเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง


“นอกเหนือจากนี้ท่านชายมีอาการอะไรที่คิดว่าแปลกอีกไหมครับ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”


ซินเธียทำท่านึก “ระยะนี้เรานอนมากเป็นพิเศษ รู้สึกกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะส่งผลเสียหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับการที่เหนื่อยง่ายด้วยหรือเปล่าถึงได้อยากนอน”


“ที่ว่าเหนื่อยง่ายนี้เป็นมานานหรือยังครับ หรือพึ่งจะเป็น”


“ไม่เลย เมื่อก่อนเราใช้แรงมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร แต่ช่วงสองสามสัปดาห์มานี้แค่จัดการเรื่องเล็กน้อยในบ้านก็แทบหมดแรง หน้ามืดแล้ว”


เด็กหนุ่มมองนายแพทย์ก้มลงจดอะไรบางอย่างลงในสมุดพก ใบหน้าใจดีระบายรอยยิ้มจางๆ ที่เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ทำไมแต่ตอนนี้ซินเธียเริ่มใจไม่ค่อยดีแล้ว


 “เท่าที่ฟังท่านชายเล่ามารวมถึงการตรวจร่างกายเบื้องต้นผมก็พอจะวินิจฉัยได้คราวๆ แต่เพื่อความแม่นยำคงจะต้องไปตรวจโรงพยาบาลอีกครั้งนะครับ”


“คุณหมอว่า...” เขาลากเสียง ค่อยๆ เอ่ยทีละประโยคราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่ หัวใจเต้นแรงเสียจนต้องบีบมือเอาไว้


“ครับ ตอนนี้ท่านชายกำลังตั้งครรภ์ น่าจะอยู่ในช่วง 9 – 10 สัปดาห์ครับ”


ซินเธียเผลอกลั้นหายใจในขณะที่ได้ยินคำตอบนั้นออกมาจากปากของนายแพทย์ตรงหน้า เขาเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วก็หลับตาลงช้าๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายกำลังรวบรวมสติ ยามเมื่อนัยน์ตาสีเงินถูกเปิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นตอนที่ริมฝีปากอิ่มขยับเปล่งออกมาคำหนึ่งเสียงแผ่ว


“ตั้งครรภ์... หรือครับ”


“ครับ ยินดีด้วยนะครับ” คุณหมอระบายรอยยิ้มกว้าง พูดเน้นย้ำชัดทุกถ้อยคำ


มัน เกิดขึ้นจริงสินะ


เด็กหนุ่มเหลือบมองคุณพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างโซฟา ชายชราเองก็แสดงสีหน้ายินดีออกมาไม่ต่างกันกับข่าวดีของตระกูล จะนับว่าเป็นข่าวใหญ่ในรอบหลายเดือนเลยก็ว่าได้ หลังงานวิวาห์จบลง


ก่อนจะกลับนายแพทย์เจอร์ราร์ดยังคงกำชับให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อความแม่นยำ หลังจากนั้นก็จะได้ดำเนินการเรื่องฝากครรภ์ต่อไป โดยก่อนหน้าก็ได้มอบยาลดอาการแพ้รวมถึงให้คำแนะนำการดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับว่าที่คุณแม่มือใหม่ ไม่ว่าจะอาหารการกิน สิ่งไหนที่ควร สิ่งไหนที่ต้องเลี่ยง ทั้งยังกำชับอีกว่าช่วงไตรมาสแรกนี้ทารกในครรภ์อาจจะยังไม่พัฒนาจนเป็นรูปร่างดีนักแต่พัฒนาการจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน เด็กจะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอควบคู่ไปกับการพักผ่อนของว่าที่คุณแม่เพื่อเป็นการเสริมสร้างพัฒนาที่ดี กิจกรรมอะไรที่ต้องออกแรงมากหรือสุ่มเสี่ยงต้องงดเป็นการชั่วคราว โดยเฉพาะการขี่ม้า การเดินทางไกล


ระยะแรกของการตั้งครรภ์นี้ถือเป็นช่วงอันตรายที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเมื่อร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนมากเข้านั่นหมายถึงว่ามีสิทธิจะเป็นอันตรายถึงชีวิตของเด็กในครรภ์


ซินเธียพยักหน้ารับ หนึ่งในข้อห้ามคือน้ำชาซึ่งมีคาเฟอีนทางที่ดีควรงดดื่มเป็นการชั่วคราวจะดีที่สุด แต่ในกรณีที่ว่าร่างกายเคยชินกับการดื่มก็สามารถค่อยๆ ลดปริมาณลงจนเหลือวันละไม่เกินสองแก้วได้ ด้วยเข้าใจดีว่าชาววินเทอร์ฟอลนั้นชื่นชอบการดื่มชาจนต้องมีเครื่องดื่มชนิดนี้ร่วมด้วยทุกมื้ออาหาร อีกทั้งเครื่องดื่มชนิดนี้ยังเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมอันสำคัญของชาวแดนเหนือหากจะสั่งห้ามไปเลยคงเป็นเรื่องยากแต่เราสามารถลดจำนวนมันลงได้ หากร่างกายได้รับในปริมาณปกติก็จะไม่ส่งผลเสียอะไร


ประเด็นนี้ซินเธียไม่ค่อยมีปัญหากับมันนัก แม้ว่าจะเคยชินกับวัฒนธรรมดื่มชาของชาวแดนเหนือแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ติดมันจนขาดไม่ได้ หากจะงดไปเลยก็ไม่มีปัญหา


เด็กหนุ่มเดินมาส่งนายแพทย์ประจำตัวด้วยตัวเองหน้าประตูโถงทางเข้า อันที่จริงก็เพราะมีจุดประสงค์


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ รบกวนให้ท่านชายต้องเดินมาส่งช่างเสียมารยาทจริงๆ”


“ไม่หรอกครับ” เขาส่ายหน้าน้อยๆ “เอ่อ... คุณหมอครับ”


“ครับ?”


“เรื่องในวันนี้...” ซินเธียบีบมือของตัวเองแน่น รู้สึกว่ามันยากที่จะเอ่ยออกไปจริงๆ “เรื่องในวันนี้รบกวนคุณหมออย่าพึ่งรายงานคุณแอชลีย์ได้หรือเปล่า”


คนฟังพอได้ยินประโยคนั้นรอยยิ้มก็จางลงทันที ใบหน้าซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามวัยแสดงความฉงนออกมาโดยไม่ปิดบัง


“ทำไมล่ะครับ ผมคิดว่าคุณท่านคงจะดีใจมากหากรู้ว่าท่านชายกำลังตั้งครรภ์”


“คือเราอยากจะบอกเขาด้วยเองน่ะ” คำตอบนี้จริงเท็จแค่ครึ่งเดียว


เจอร์ราร์ดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะระบายยิ้มออกมา “เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านชายคงอยากจะเซอร์ไพรส์คุณแอชลีย์สินะครับ ผมเข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วให้คำมั่นว่าจะไม่มีทางหลุดปากบอกออกไปก่อนแน่นอนแล้วขอตัวกลับไป


ซินเธียยืนมองจนกระทั่งรถสีดำของนายแพทย์เคลื่อนออกรั้วคฤหาสน์ไปแล้วถึงได้หันกลับมากำชับคนที่ยืนสงบนิ่งรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลัง


“เรื่องนี้เราฝากคุณอีริคกำชับทุกคนในคฤหาสน์ด้วยนะครับ”


ชายชราค้อมศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการรับคำสั่ง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วยแต่เพราะผู้เป็นนายยืนยันมาแบบนั้นตนเองที่เป็นแค่พ่อบ้านก็ไม่อาจออกหน้าอะไรมากได้จนเกินขอบเขต




หลังจัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้น ซินเธียพาร่างอันอ่อนแรงของตัวเองเข้ามานั่งในรัง ดวงตาเหม่อลอยเต็มไปด้วยความคิดมากมายภายในหัว สองมืออันสั่นเทายกขึ้นลูบหน้าท้องของตัวเองแผ่วเบา เมื่อครู่หลังได้ยินคำยืนยันจากคุณหมอ ซินเธียทั้งดีใจและยินดีมาก เป็นความยินดีที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ


หลายต่อหลายครั้งที่เขาวาดฝันถึงเรื่องการสร้างครอบครัวและลูกของเรา คิดว่าตัวเองคงมีความสุขมากยามได้เลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งที่เหมือนพ่อของเขา สั่งสอนแต่สิ่งดีๆ ให้เด็กคนนั้นเติบใหญ่มาอย่างสง่างาม เช่นเดียวกับพ่อของเขา


วาดฝันเอาไว้มากมาย คิดไปหลายต่อหลายครั้ง


แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันกับข่าวดีครั้งนี้ ข่าวดีสำหรับตนเอง ข่าวดีสำหรับใครหลายๆ คน แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สุดอย่างเขาคนนั้นหรือเปล่า


ยังไม่พร้อมที่จะบอกใครอีกคนว่าขณะนี้ภายในท้องของตนกำลังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเราทั้งสองอยู่ สิ่งมีชีวิตน้อยๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน


เพราะซินเธียกลัว


กลัวว่าหลังเขาได้รับรู้เรื่องนี้แล้วจะไม่แสดงความยินดีออกมา กลัวการต้องมองใบหน้าเย็นชากับดวงตาเรียบเฉยของเขา ทุกคำพูดทุกประโยคจากวันแรกจนถึงปัจจุบันซินเธียจดจำมันได้ขึ้นใจทั้งยังเกาะกุมอยู่ภายในมาจนถึงตอนนี้ มากกว่าคำพูดคือท่าทางเมินเฉย


เพราะเมื่อเป็นแบบนั้นซินเธียคงรับไม่ไหว


หลากกลายความรู้สึกตีรวนอยู่ในภวังค์ความคิด ทั้งสุข ทั้งยินดี ทั้งกังวลและหวาดกลัว มากมายเสียจนรู้สึกสับสน


เด็กหนุ่มก้มลงมองสิ่งที่สองแขนของตนกำลังโอบประคองอยู่แล้วกอดมันเอาไว้พลางคิดว่าเขาจะเป็นแม่ที่ดีได้หรือเปล่านะ จะเลี้ยงเขาได้ดีพอหรือเปล่าและมันต้องทำอย่างไร จะดูแลเขาในขณะที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ข้างในนี้ได้อย่างไร


จู่ๆ ก็คิดถึงท่านแม่ขึ้นมา


ไม่รู้หากว่าเป็นท่านในตอนนี้จะสามารถจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร บางที บางทีหากท่านแม่ยังอยู่ท่านคงจะสามารถให้คำแนะนำและปลอบประโลมตนได้ มันน่าแปลกเพราะเดิมซินเธียไม่ได้มีความผูกพันใดกับตัวมารดาเลยเนื่องจากท่านจากไปตั้งแต่เขายังเด็กมาก เด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆ นานา ยิ่งความคิดถึงโหยหายิ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้น


แต่น่าแปลก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ซินเธียรู้สึกคิดถึงท่านแม่และนึกอยากให้ท่านอยู่ด้วยกันในตอนนี้


คล้ายก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอและซินเธียกำลังพยายามกลืนมันลงไป เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วปาดเอาหยาดน้ำตรงปลายหากตาออกแล้วล้มตัวนอนลงเงียบๆ


ขอเวลาอีกนิดก็แล้วกัน


ซินเธียรู้ดี ถึงอย่างไรแอชลีย์ก็ต้องรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผลลัพธ์จะออกมาเช่นไรก็ต้องบอกออกไปสักวัน เรื่องแบบนี้ไม่มีทางปิดบังเอาไว้ได้และแอชลีย์ คิมก็ไม่ใช่คนโง่ ชายคนนั้นไม่ได้มีความอดทนมากพอ ต่อให้ปิดบังดีแค่ไหนก็ไม่มีทางจะตบตาฝ่ายนั้นได้ เดิมทีชายหนุ่มก็เริ่มระแคะระคายเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาแค่อาจจะยังไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นสาเหตุของอะไร แต่อีกไม่นานแน่ๆ


คนปิดบังได้ ทว่าอาการอันเป็นรูปธรรมเหล่านี้ปิดบังไม่ได้ ต่อให้เจอร์ราดไม่พูด อีริคไม่พูด สุดท้ายเขาก็จะต้องมีวิธีไปค้นหาคำตอบมาได้อยู่ดี


แน่นอน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรู้และสมควรได้รู้ทั้งในฐานะสามี และในฐานะของคนเป็นพ่อ


แต่ขอเวลาอีกหน่อยก็แล้วกัน ขอเวลาให้เขาได้เตรียมใจ


แค่วันเดียวก็ยังดี


ซินเธียนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางเครื่องใช้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของใครอีกคนซึ่งทำให้จิตใจของตนสงบ คิดทบทวนเรื่องราวมากมายอยู่เป็นนานกว่าสติจะค่อยๆ เลือนหายเข้าสู่ห้วงนิทราไป




หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-07-2019 15:55:34
นั่นไง ไม่กล้าบอกเพราะแอชลีย์เคยพูดอยู่  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 24-07-2019 16:01:24
เอ็นดูซินเธีย แอชต้องเลิกซึนได้แล้ว 5555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 24-07-2019 21:55:50
น้อนนนนนนนนนนนนนนน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-07-2019 22:05:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-07-2019 22:25:51
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-07-2019 22:46:18
โธ่ บอกไปเถอะเวลานี้มันไม่เหมือนกับตอนนั้นแล้วอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้วนะซินเธีย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 21 [P.6] --- 24/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 24-07-2019 23:33:11
ว่าแล้ววววน้องไม่กล้าบอก :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 25-07-2019 00:47:31


บทที่ 22



   เมื่อวานเพราะไม่สามารถหยุดงานได้ แถมยังมีเรื่องต้องให้ตามไปจัดการอีกมากแอชลีย์เลยไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่แพทย์ประจำตระกูลเข้ามา แต่หลังจากติดต่อไปถามข่าวคราวกับเจอร์ราร์ดแล้วทางนั้นบอกว่าภรรยาของตนร่างกายแข็งแรงปกติดี ยาก็จัดให้มาแล้ว รายงานจากอีริคก็ปกติดีชายหนุ่มเลยไม่ได้ติดใจอะไร


   แต่ทำไมซินเธียยังมีอาการเหมือนเดิมไร้ความเปลี่ยนแปลง ยาที่กินไปนั้นเหมือนจะช่วยแต่ก็ไม่ช่วยอะไร สุดท้ายก็ยังคอยวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำเป็นว่าเล่นอยู่ดี พอถามอีกคนก็ทำท่าอึกอักเลี่ยงไปอยู่หลายครั้ง ถึงใบหน้าจะดูปกติดี ทว่า ภายในดวงตาสีเงินคู่นั้นคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่


   ไม่ได้การแล้ว


แอชลีย์คิดว่าตนเองคงไม่มีสมาธิทำงานหากยังไม่จัดการอะไรให้มันเด็ดขาดไปเสียที กินก็ไม่ได้นอนก็ไม่ค่อยสบายตัว หน้าซีดหน้าเซียวอยู่ได้ทั้งวัน ร่างนุ่มนิ่มที่เคยกอดอยู่ทุกวันแค่มีความเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดก็สัมผัสได้แล้วว่าภรรยาของตนนั้นผอมลง


ในส่วนของฝีมือคุณหมอเจอร์ราร์ดนั้นไม่นึกกังขา นายแพทย์คนนี้เป็นแพทย์ประจำตระกูลมานาน ครอบครัวของเจ้าตัวเองก็รับใช้ตระกูลคิมมาหลายต่อหลายรุ่น ชายหนุ่มรู้ว่าทุกอย่างที่เจอร์ราร์ดพูดออกมานั้นถูกต้องไม่มีบิดพลิ้ว เพียงแต่ว่ายังพูดออกมาไม่หมดเสียก็เท่านั้น



ทางด้านคนที่นอนอ่อนแรงอยู่ในรังไม่อาจรู้ได้เลยว่าด้านล่างเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กหนุ่มลูบหน้าท้องของตัวเองแผ่วเบาพึมพำพูดกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งกำลังเติบโตอยู่ภายในนั้นทั้งที่รู้ว่าพูดไปตอนนี้ลูกก็คงยังไม่ได้ยิน ฟังไม่รู้ความแต่ซินเธียกับรู้สึกชอบการสื่อสารกับลูกอยู่ดี


“อย่าดื้อกับแม่นักเลย” พูดไปพลางถอนหายใจไปพลาง “ลูกดื้อจนแม่เวียนหัวไปหมด ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปคุณพ่อต้องดุแน่เลย” ไม่ใช่ดุลูกนะ ดุคนแม่นี่แหละ


แต่มาคิดดูแล้ว มันก็อดมีความสุขไม่ได้จริงๆ กับข่าวคราวที่พึ่งได้รับมาเมื่อวันก่อน ลึกๆ ในใจแล้วซินเธียแอบอิจฉาคุณชายมัวร์อยู่ไม่น้อย มีลูกชายน่ารักวัยกำลังซน วันทั้งวันไม่ต้องทำอะไรแค่มองเด็กคนนั้นวิ่งเล่นไปมาก็สุขใจมากแล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้กำลังจะมีสมาชิกเพิ่มเข้าตระกูลมาอีกคน ทั้งคุณคาร์ลิน ทั้งเจย์เดนคงมีความสุขไม่น้อย


ชีวิตของซินเธียในตอนนี้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้มีครอบครัวเล็กๆ เป็นของตัวเอง และความปรารถนานั้นกำลังจะเป็นจริง ยิ่งคิดก็ยิ่งหุบรอยยิ้มไม่ลง


ดูท่าแล้วแล้วสิ่งที่คุณหมอเจอร์ราร์ดพูดจะไม่ผิดเพี้ยนไปเลย อารมณ์ของว่าที่คุณแม่ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยสมดุลนักมีขึ้นบ้างลงบ้าง อาการในตอนนี้คงแสดงออกมาได้ชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากความกังวลแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกมีความสุขด้วยในช่วงเวลาเดียวกัน


ขณะกำลังหัวร่อต่อกระซิกตามประสาแม่ลูกเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆ สามครั้งเป็นสัญญาณให้รับรู้ ซินเธียพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งในช่วงเวลาเดียวกับที่บานประตูถูกเปิดเข้ามาพอดิบพอดี


ร่างสูงใหญ่ของแอชลีย์เดินเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าเรียบนิ่ง รอบกายแผ่กลิ่นอายของบุรุษเพศให้ความรู้สึกความแข็งแกร่งอันเป็นลักษณะเฉพาะของอัลฟ่าช่างเป็นภาพที่ขัดกับการถือบางสิ่งบางอย่างในมือยิ่งนัก


ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไม่คิดล่วงล้ำเข้ามาภายในอาณาเขตของว่าที่คุณแม่เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด เขายื่นจานเล็กๆ มาให้ ซินเธียตาวาวทันทีเมื่อมองเห็นสีแดงของมะเขือเทศเชอร์รี่ซึ่งช่วงนี้โหยหา มีความรู้สึกอยากทานอยู่ตลอดเวลาหากแต่โดนคุณสามีจำกัดปริมาณให้ทานวันละไม่เกินสองจานเล็ก


เพียงแค่กัดเข้าไปผลแรกรสชาติเปรี้ยวอมหวานของเจ้าผลไม้สีแดงสดก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งโพรงปาก เนื้อแน่นๆ กับความกรอบเป็นสิ่งการันตีว่าเจ้ามะเขือเทศเหล่านี้ทั้งสดทั้งสะอาดราวกับพึ่งถูกปลิดขั้วมาใหม่ๆ จากต้น


“รู้สึกอย่างไรบ้าง”


คำถามนี้ไม่ได้หมายถึงรสชาติ แม้จะไม่เข้าใจก็ตามว่าเจ้าผลสีแดงโง่ๆ นี่มันอร่อยยังไง เห็นทานเสียเอร็ดอร่อย ตอนไปงานเลี้ยงคฤหาสน์แสตนลีย์คราวนั้นเห็นแล้วว่าคงจะถูกใจรสอยู่ไม่น้อย ทว่า กลับมาก็ไม่เคยเห็นพูดถึงอีกซ้ำเวลาก็ผ่านมาร่วมเดือนแล้วไม่คิดว่าจู่ๆ ตอนนี้จะดันมานึกอยากกิน ถึงจะพยายามคิดตามแต่แอชลีย์ก็เข้าไม่ถึงอยู่ดีเลยได้แต่ปล่อยให้เจ้าตัวทานไป ส่วนตัวเองก็ยื่นมือไปวัดอุณหภูมิทั้งหน้าผาก ทั้งซอกคอ จนมาถึงแก้มเนียนซึ่งกำลังเคี้ยวกรวมๆ ไม่หยุดปาก ฝ่ายคนถูกรบกวนยามเมื่อถูกมือใหญ่ทาบลงมาบนผิวแก้มก็หรี่ตาลงโดยอัตโนมัติใบหน้าเอียงไปด้านข้างเล็กน้อยตามแรงกดของน้ำหนักมือ


อันที่จริงอีกคนก็ไม่ได้กินมูมมามจนเสียกิริยาอะไร ยังคงบรรจงหยิบใส่ปากค่อยๆ เคี้ยวไปทีละลูกอย่างตั้งใจขยับริมฝีปากโดยไร้เสียงทุกจังหวะของการขยับแทบไม่ยอมเปิดให้เห็นฟันขาวเรียงตัวสวยเลยสักครั้ง แผ่นหลังเหยียดตรงสง่างามไม่สร่างซา


พอวัดจนมั่นใจแล้วก็ดึงมืองกลับมารอจนกระทั่งซินเธียกินจนพอใจแล้วถึงได้เก็บจานคืนมา


“เดี๋ยวได้ทานยาอีกสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วครับ” อีกคนตอบหลังเคี้ยวจนหมดปากแล้ว


“ฉันจะให้หมอมาตรวจอีกสักรอบ” คราวนี้แอชลีย์เอ่ยถึงจุดประสงค์แท้จริงของการเข้ามาหาภรรยาถึงในห้องอันเป็นสถานที่ส่วนบุคคลแห่งนี้ พอมันถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างรังของอีกฝ่ายแล้วแอชลีย์ก็สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามาด้านในอีกโดยเฉพาะอัลฟ่าอย่างคุณหมอเจอร์ราร์ดหรือกระทั่งพ่อบ้าน


“ไม่ต้องรบกวนคุณหมอหรอกครับ” ซินเธียรีบปราม ในใจเริ่มร้อนรนขึ้นมา มือเข้าหนึ่งเผลอกำหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว “เราดีขึ้นมาแล้วจริงๆ”


แอชลีย์เหลือบสายตาลงมองตามมือบางข้างนั้น พอเห็นว่าถูกจับจ้องว่าที่คุณแม่ก็รับขยับแขนออกอย่างแนบเนียน


“ดีขึ้นตรงไหน ก็ยังเห็นเหมือนเดิม” เพราะรู้ว่าคนอย่างซินเธียภายนอกดูเป็นพวกว่าง่ายแต่แท้จริงแล้วก็แอบซ่อนนิสัยดื้อรั้นเอาไว้ บางครั้งไม้อ่อนก็ไม่ได้ผลเขาเลยกำชับไปอีกคำเสียงเข้ม “ตรวจซ้ำให้มันแน่นอน”


“แต่....”


”หมอรออยู่ด้านล่างแล้ว”


“…”



บรรยากาศเดิมกลับมาอีกครั้งติดแต่ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมรับชมมากมายเป็นพิเศษ ซินเธียเดินกุมมือตัวเองมานั่งอย่างสงบเสงี่ยมบนโซฟาตัวยาวพร้อมทั้งพยักหน้าน้อยๆ ให้กับคุณหมอซึ่งนั่งอยู่เยื้องกัน ฝ่ายคนตัวโตน่ะหรือยืนกอดอกอยู่ข้างกันนี่อย่างไรล่ะ พอเห็นใบหน้าเคร่งขรึมนั้นแล้วทำเอาซินเธียดื้อด้านไม่ออกอีกต่อไปเลยทีเดียว


“ตรวจเขาเลย” ประมุขของบ้านกล่าวเสียงเรียบ ผายมือเชิญให้คุณหมอลงมือทำงานของตนเอง เจอร์ราร์ดส่งยิ้มให้กับท่านชาย ภายนอกคล้ายรอยยิ้มปกติธรรมดาทั่วไป ทว่า ในสายตาของซินเธียมันคือรอยยิ้มให้กำลังใจ


เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วหลับตาลงปล่อยให้นายแพทย์ประจำตระกูลตรวจร่างกายของตัวเอง กิจกรรมทุกอย่างดำเนินไปเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน ไล่ตั้งแต่วัดไข้ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อด้วยการฟังเสียงหัวใจ การวัดความดัน สุดท้ายคือการสอบถามอาการประจำวัน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นครบกระบวนการแล้งเจอร์ราร์ดก็ขยับตัวออกมานั่งโซฟาตัวเล็กดังเดิม มือเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าหนังสำหรับใส่เครื่องมือทางการแพทย์ขนาดพกพา


“เป็นอย่างไรบ้าง”


“ท่านชายไม่มีไข้ครับ ความดันก็ปกติดี โดยรวมถือว่าสุขภาพแข็งแรงปกติ”


“ผมไม่เข้าใจ” แอชลีย์ขมวดคิ้วทันทีหลังได้ยิน “เขาอาเจียนทุกเช้า ทานอาหารก็ไม่ค่อยได้ผ่านมาเกือบจะเป็นสัปดาห์แล้วแต่อาการไม่ทุเลาลงเลยมีแต่จะมาขึ้นด้วยซ้ำ ตรงไหนที่เรียกว่าปกติกันครับคุณหมอ”


ไม่ว่าจะฟังตรงไหนก็ยังมองไม่เห็นถึงความสมเหตุสมผล เขาเดินอ้อมมาทรุดตัวลงนั่งอีกฝั่งข้างผู้เป็นภรรยาแล้วส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ทำเอาอัลฟ่าอย่างเจอร์ราร์ดถึงขั้นลืมวิธีการหายใจไปวินาทีหนึ่ง


เหตุที่ก่อนหน้านี้แอชลีย์ยังยอมปล่อยเพราะประเมินดูแล้วสถานการณ์มันไม่ได้ฉุกเฉินเหมือนครั้งไปเยือนอีสเทิร์นพอร์ต ซินเธียมักจะมีอาการแบบนี้แค่ช่วงเช้าเท่านั้นจากการสอบถามคนในบ้านมาและเท่าที่ตาตนเองเห็น พอได้นอนพักผ่อนสักหน่อยอาการมันก็ทุเลาลงเขาหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ซินเธียเองก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ความแล้ว ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่าตนเองไหวเขาก็เคารพการตัดสินใจลองดูอาการปล่อยให้จัดการกันเอง ทว่า ผ่านมาวันแล้ววันเล่าจนถึงขณะนี้ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ดูเหมือนว่าแอชลีย์คงจะต้องใส่ใจภรรยาของตนให้มากกว่านี้ สุดท้ายก็ต้องใช้ไม้แข็งบังคับกันบ้าง เผื่อว่าเป็นอะไรจะได้รีบรักษาทันการณ์


   “สำหรับท่านชายวาเลนเธียขณะนี้นับว่าร่างกายแข็งแรงปกติจริงครับ อาการที่ท่านเป็นก็นับว่าเป็นเรื่องปกติเช่นกัน...” ยิ่งฟังก็ดูเหมือนใบหน้าคมคร้ามนั้นจะมืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ เจอร์ราร์ดจึงต้องรีบสรุปความโดยเร็วที่สุด ไม่อาจทราบสาเหตุของความมาคุนี้เช่นกันว่าทำไมได้อีกทั้งยังรู้สึกงงงวยกับท่าทางของแอชลีย์อีกด้วย


   คล้ายกับว่ายังไม่รู้อย่างไรอย่างนั้น


   เจอร์ราดสลัดความกังขาในใจของตนเองออกไปด้วยไม่อยากเสียเวลามากรีบกล่าวอธิบายด้วยข้อความที่คล้ายกับเมื่อวาน


“โดยทั่วไปแล้วคุณแม่มักจะมีอาการแพ้ท้องในช่วงแรกของการตั้งครรภ์และอาการจะเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุครรภ์โดยปกติมักจะสิ้นสุดที่ช่วง 12 สัปดาห์โดยประมาณ ทั้งนี้ก็แล้วแต่บุคคลด้วยครับ บางคนอาจเป็นบ้างช่วงไตรมาสแรกบางคนอาจแพ้ท้องไปจนช่วงคลอด...”


“ คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องจะสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมน SCG ซึ่งผลิตจากรกโดยเจ้าสิ่งนี้คือฮอร์โมนที่บ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ เพราะทันทีที่เนื้อรกฝังตัวเข้ากับมดลูก เซลล์รกเพิ่มจำนวนขึ้นก็จะเกิดฮอร์โมน SCG ขึ้นทันทีสำหรับเด็กคนหนึ่งจะทำการเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุก 2-3 วัน...”


“อาการแพ้ท้องของคุณแม่อาจจะดูทรมานนะครับแต่ว่าก็นับเป็นข้อดีเช่นกัน เพราะยิ่งท่านชายมีอาการแพ้มากเท่ากับว่าฮอร์โมน SCG ถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก เป็นตัวบ่งชี้ถึงรกในครรภ์ว่าแข็งแรงดีและสามารถสร้างอาหารไปเลี้ยงตัวอ่อนได้มากมาย ฉะนั้นสบายใจได้เลยครับว่าเด็กแข็งแรงดี” นายแพทย์ระบายรอยยิ้มพลางยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบดับกระหายหลังพูดอธิบายมายืดยาวแล้วกล่าวเสริม


“แต่ว่าบางครั้งอาการแพ้ท้องที่มากเกินไปก็ไม่ใช่ผลดีเสมอไป ทางที่ดีท่านชายควรหมั่นสังเกตอาการตัวเองนะครับ เช่นน้ำหนักลดลงมากจนผิดปกติ หรือแพ้จนไม่สามารถทานอะไรได้แม้กระทั่งน้ำเปล่าแบบนั้นเริ่มผิดปกติแล้วครับ ซึ่งจากที่ผมสอบถามอาการท่านชายเมื่อวานยังพอทานอะไรได้บ้างก็นับว่าดีครับ ต้องทานอาหารให้เพียงพอเพื่อจะไปเลี้ยงเด็กในครรภ์”


แอชลีย์ซึ่งได้รับข้อมูลจำนวนมหาศาลในคราวเดียวเกิดอาการมึนงงเนื่องจากย่อยข้อมูลไม่ทัน เขากระพริบตาหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยออกไปอย่างไม่แน่ใจ


“คือยังไงนะครับ?”


ทางด้านเจอร์ราร์ดหลังฟังประโยคนั้นจบเองก็เงียบไปเพราะเกิดความสับสนเช่นกัน ชายวัยกลางคนมองสองสามีภรรยาสลับกันไปมา ท่านชายซินเธียนั่งเงียบไม่พูดอะไรส่วนคุณแอชลีย์เองก็เงียบไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อบ้านอย่างอีริคซึ่งเลือกจะเบือนหน้าออกไปอีกทางไม่ขอมีส่วนร่วมใดใดทั้งสิ้น


พลันทั้งห้องก็เกิดบรรยากาศอันแปลกประหลาดคล้ายเมฆครึ้มฝนกำลังก่อตัวทีละน้อย


“นี่หรือว่า... ท่านชายยังไม่ได้บอกคุณแอชลีย์หรือครับ” นับว่าคำถามนี้ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก ดูจากสีหน้าของอัลฟ่าตรงหน้าก็ราวกับมีกระดาษถูกเขียนเอาไว้บนหน้าชัดเจนว่าชายผู้นี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย


ซินเธียเม้มปากก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ท่าทางกล้ำกลืนเหลือทน


“บอกอะไร” เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มเข้มเต็มไปด้วยพลังอำนาจ


“ท่านชายวาเลนเธียตั้งครรภ์ครับ น่าจะราว 9 – 10 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำต้องไปทำการตรวจด้วยเครื่องมือที่โรงพยาบาลอีกครั้ง”


ประโยคหลังเป็นอะไรฟังไม่ได้ความแล้ว แอชลีย์นิ่งไปทันทีหลังจบประโยคแรกคล้ายคนหูดับแม้แต่ตาก็ยังลืมกระพริบ ซินเธียเหลือบมองคนข้างกาย ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมาอย่างไรดี ชายหนุ่มนิ่งมาก สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงจนนึกสงสัยว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ หรือไม่ได้คิดอะไร เป็นเพียงถ้อยคำบอกเล่าธรรมดาที่ลอยผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น ภาพตรงหน้าไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทำเอาหัวใจคนมองวูบโหวง


ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไหร่ จนกระทั่งนายแพทย์เจอร์ราร์ดกล่าวบางอย่างอีกสองสามคำทิ้งท้ายแล้วขอตัวกลับเนื่องด้วยคิดว่าคงหมดเรื่องของตนแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวตนไม่สะดวกใจจะอยู่หารือร่วมด้วย


“...ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอแสดงความยินดีกับท่านชายทั้งสองคนอีกครั้ง” เขาระบายยิ้มพลางหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง ค้อมศีรษะให้เล็กน้อย


“ผมจะไปส่ง” แอชลีย์พูดออกมาในที่สุด ลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายเดินนำออกไปส่งแขกด้วยตนเอง หายไปอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งกลับเข้ามาในห้องรับแขกแล้วก็ยังเห็นว่าซินเธียยังคงนั่งอยู่จุดเดิมไม่ขยับไปไหน เขาเลยเดินเข้าไปนั่งข้างๆ


สองคนนั่งเงียบกันอยู่นานสุดท้ายคนอายุมากกว่าก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน


“ทำไมเธอไม่บอกฉัน”


ซินเธียเงยหน้ามองคนตัวสูงข้างกาย พยายามค้นหาสิ่งที่อยู่ในดวงตาอำพันคู่นั้น ทว่าก็ไม่พบอะไรอยู่ดี เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแล้วก้มหน้าลงเปลี่ยนไปจ้องสองมือบนหน้าตักของตัวเองทน


“คุณเคยบอก...” พูดไปก็บีบมือไป “ว่าการมีลูกไม่เคยอยู่ในความคิด... คุณไม่ได้คิดถึงเรื่องแบบนั้น เราก็เลย... ก็เลย” แล้วก็เงียบไป


“ก็เลยอะไร”


“...กลัวคุณจะไม่พอใจ”


ชายหนุ่มถอนหายใจ ไม่รู้ควรจะต้องรู้สึกอย่างไรกับคำตอบเหล่านั้นดีเลยได้แต่รั้งกายคนข้างตัวเข้ามาแนบอกกอดกระชับเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ ซินเธียหลับตาลงซึมซับทุกอณูของตัวชายผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี


“คิดมาก” เขาลูบศีรษะคนเด็กกว่าแผ่วเบาหวังบอกกลายๆ ว่าไม่อยากให้คิดแบบนั้น “การที่ฉันบอกว่าไม่คิด ไม่ได้แปลว่าจะไม่ยินดีเมื่อมีเขา


“จริงหรือครับ” คนในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นทันทีหลังได้ฟังประโยคนั้น ในดวงตากลมโตรื้นไปด้วยกระแสของความหวังแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นธารใสเปียกชื้นแพขนตา แล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำยินยันอันหนักแน่น


“แน่นอนสิ เห็นว่าฉันใจร้ายขนาดนั้นเลยหรือไงที่ขนาดลูกของตัวเองก็ไม่ยินดี”


แน่นอนอยู่แล้วสิ


ประโยคนั้นซินเธียได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกมาให้ได้ยินด้วยกลัวว่าจะไปสะกิดอารมณ์ร้ายของคุณสามีให้ต้องผละตนออกจากอ้อมกอด


สองแขนค่อยๆ เลื่อนไปโอบกระชับรอบเอวสอบด้วยความขลาดอาย พอได้รับคำยืนยันแบบนั้นแล้วก็ปิดตาอย่างเป็นสุข ตัวเบาโหวงหลังปลดระวางเรื่องราวกังวลใจออกจนหมดสิ้น


“ขอบคุณนะ”




หลังส่งว่าที่คุณแม่ขึ้นไปพักผ่อนยามบ่ายแล้วฝ่ายที่พึ่งรู้ว่ากำลังจะได้เป็นพ่อคนก็เดินลงบันไดมายังชั้นล่าง เรียกหาพ่อบ้านทันทีเมื่อสองเท้าเหยียบพื้น ด้านอีริคเองก็รีบมาทันทีเหมือนรออยู่ราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นที่ต้องการของผู้เป็นนายแน่นอน


“พรุ่งนี้ฉันจะพาซินเธียไปโรงพยาบาล เตรียมรถด้วยนะ”


“เรื่องนั้นผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วครับ ของที่ต้องจัดเตรียมก็เตรียมเอาไว้เรียบร้อยเช่นกัน” ผู้เป็นนายพยักหน้ารับพึงพอใจ พ่อบ้านคนนี้รู้ใจเขาเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องการสิ่งไหน ไม่ต้องเอ่ยปากให้เปลืองแรงอีริคก็พร้อมจะจัดการและจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อยล่วงหน้าเสมอ


“ให้คนนำจดหมายแจ้งข่าวคนในตระกูลเสีย ตอนเย็นหลังกลับจากโรงพยาบาลก็ตั้งโต๊ะเตรียมรับรอง”


เดิมทีคฤหาสน์หลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้นำตระกูลคิมสายหลัก ส่วนเครือญาติคนอื่นๆ ในตระกูลรวมถึงคุณพ่อคุณแม่จะแยกกันอยู่กระจายออกไป ไม่ค่อยชอบอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่นัก


“เรื่องนั้นผมจะรีบจัดการให้ทันทีเลยครับ” พ่อบ้านวัยชราจดจำคำพูดของผู้เป็นนายเอาไว้ทุกถ้อยคำ ในหัวก็คอยจัดเรียงรายการอาหารสำหรับรับรองแขกคนสำคัญมากมาย สิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร ประเภทของคาวหวาน เครื่องดื่มหลากชนิดล้วนถูกจัดสรรในเวลาอันรวดเร็ว อาหารมื้อนี้ไม่ใช่อาหารเย็นธรรมดาหากแต่เป็นมื้อสำคัญเพื่อแจ้งข่าวแก่คนในตระกูล เมื่อเรียบเรียงทุกอย่างเรียบร้อยแล้วอีริคก็เตรียมจะไปร่างเทียบเชิญต่อ แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมแสดงความยินดีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่คิดเลยว่าคุณชายน้อยที่ตนดูแลในวันนั้น ขณะนี้จะโตพอที่จะสามารถสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว


“แล้วก็ ยินดีกับคุณท่านด้วยนะครับ”


คำพูดนั้นทำเอาคนฟังชะงักอยู่ไม่น้อย เขากระแอมหนึ่งทีก่อนจะตอบกลับ


“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”







หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-07-2019 01:06:31
ขี้เก๊กที่สุดอ่ะคุณชายยยยยยย  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 25-07-2019 01:29:30
ขำความสามีอารมณ์ร้าย 555 แอชลีย์โคตรซึนเลยพ่อ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-07-2019 01:41:51
ตีหน้านิ่ง หน้ามึน ทำเอาน้องใจเสีย :hao4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-07-2019 08:40:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-07-2019 13:14:42
ขี้เก็กไม่มีใครเกินแอชลีย์เลย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-07-2019 17:00:14
แหม่ๆ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 25-07-2019 17:40:00
แอชลีย์ต้องแสดงออกมากกว่านี้ น้องน้อยใจไปหมดนะ อย่าขี้เก๊ก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-07-2019 18:55:06
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 25-07-2019 21:03:04
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-07-2019 08:53:22
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-07-2019 14:01:09
เข้ามาอ่านทันถึงตอนล่าสุดแล้วค่ะ
สนุกมากๆเลย รอตอนต่อไปนะคะ อยากเห็นคุณพ่อมือใหม่เห่อลูกแล้ว

หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 28-07-2019 14:51:17
มาติดตามค่ะ น้องน่ารักน่าเอ็นดู สงสารตอนไม่กล้าบอกแอชลีย์ที่ตัวเองท้อง  :hao5: :hao4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 22 [P.6] --- 25/07/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 29-07-2019 22:18:54
มารอคุณพ่อมือใหม่ค่ะ :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 01-08-2019 19:29:23


บทที่ 23




   วันนี้ซินเธียตื่นเช้ากว่าปกติเนื่องจากมีนัดสำคัญกับโรงพยาบาล เด็กหนุ่มใช้แปรงสางเส้นผมยาวระบั้นเอวของตัวเองอย่างพิถีพิถัน เริ่มตั้งแต่ค่อยๆ แปรงจากปลายผมไล่ขึ้นมาทีละน้อย การทำแบบนี้อาจจะใช้เวลานานมากหน่อยขนาดที่ว่าคนตัวโตเข้าไปชำระกายในห้องน้ำจนแล้วเสร็จ ซินเธียพึ่งจะเริ่มสางผมฝั่งซ้ายของตัวเอง



   ปกติแล้วมีคนช่วยชัดการให้ตลอดตั้งแต่สมัยอยู่ในแดนใต้ แคลร์คนสนิทที่ช่วยดูแลซินเธียมาตั้งแต่เด็กช่วยจัดการเรื่องส่วนตัวให้ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมไปจนถึงงานจิปาถะ อาหารการกิน อำนวยความสะดวกทุกอย่าง พอมาคิดดูแล้วซินเธียค่อนข้างคิดถึงเด็กคนนั้นเหมือนกัน มันน่าเสียดายที่ไม่สามารถนำเธอติดตามมายังวินเทอร์ฟอลได้ ส่วนแมรี่หญิงรับใช้ของคฤหาสน์คิมที่แอชลีย์หามาให้ช่วยดูแลซินเธียเธอได้รับอนุญาตให้ลาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเดิมในช่วงสิ้นปีแบบนี้ ฉะนั้นนอกจากพ่อบ้านกับแม่ครัวแล้วคงเหลือคนเก่าแก่อีกไม่กี่คน


แคลร์สำหรับซินเธียแล้วเป็นมากกว่าหญิงรับใช้ข้างกาย เธอเปรียบเสมือนพี่น้อง เราโตมาด้วยกันแม้ว่าเจ้าตัวจะมีอายุน้อยกว่าซินเธียสองปีก็ตาม


แคลร์เป็นลูกของหนึ่งในหญิงรับใช้ในวังกับทหารคนหนึ่ง หลังจากคลอดออกมาก็ถูกเลี้ยงดูในวังไปพร้อมกับการทำงานรับใช้เชื้อพระวงศ์ ด้วยความที่เด็กสาวคนนั้นเป็นโอเมก้าจึงถูกรับเลือกให้เป็นหนึ่งในคนข้างกายของซินเธีย อาจเพราะเราเหมือนกันเลยสามารถเข้าใจกันได้มากกว่าสาวใช้คนอื่นซึ่งเป็นเบต้าเสียส่วนใหญ่ ซินเธียสามารถพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้กับอีกฝ่ายทันที บางครั้งไม่ต้องพูดออกมาแคลร์ก็จะเข้าใจและช่วยเตรียมวิธีรับมือให้ โดยเฉพาะในวันนั้น วันที่ซินเธียฮีทครั้งแรกก็ได้เด็กสาวคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ไม่ห่าง


หลังจากนี้เราคงได้พบกัน แดนใต้มีธรรมเนียมอันเคร่งครัดเกี่ยวกับการกลับไปคลอดบุตรบ้านเดิมของภรรยา เรื่องนี้ซินเธียยังไม่ได้ปรึกษาคนเป็นสามี ทว่า ถึงอย่างไรหลังคลอดแล้วก็คงต้องพาเด็กคนนี้ไปพบท่านตาของเขาสักครั้ง ไม่รู้ขณะนี้คนที่นั่นจะเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลคิมมาก็ไม่ได้รับข่าวสารจากธอร์นอีกเลย แต่เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าบางทีท่านพ่ออาจจะยุ่งมากอีกทั้งการติดต่อระหว่างทั้งสองดินแดนค่อนข้างลำบากและใช้เวลาหลายวันกว่าจดหมายจะเดินทางไปถึง อย่างไรเสียหนึ่งในเหตุผลของงานวิวาห์ครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกันซินเธียให้ออกห่างจากเรื่องราวในธอร์นอยู่แล้วเขาพอใจกับการเขียนจดหมายไปเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เล่าถึงสิ่งแปลกใหม่ที่ได้พบใจในดินแดนแห่งนี้ไม่คิดมากว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับหรือไม่ ไว้เราค่อยพูดคุยกันตอนกลับไปเยี่ยมก็ได้ ถึงเวลานั้นซินเธียจะนำเทียนหอมกับน้ำชาไปฝากท่านพ่อกับแคลร์ พวกเขาจะต้องชื่นชอบมากแน่นอน


สำหรับคนทั่วไปแล้วใบชาถือเป็นสินค้าราคาสูง ยิ่งใช้กระบวนการในการผลิตพิถีพิถันมากเท่าใดราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น แม้ว่าชาวแดนเหนือจะชื่นชอบดื่มชากันจนกลายเป็นวัฒนธรรม สำหรับครอบครัวที่มีฐานะไม่เลวก็จะมีกำลังในการซื้อใบชาคุณภาพดี แต่กับครอบครัวที่ฐานะปานกลางไปจนถึงยากจนมักจะเลือกซื้อชาในราคาต่ำซึ่งรสชาติกับคุณภาพก็จะแตกต่างกันพอสมควร


ท่านชายเหลือบมองคนตัวโตผ่านเงาสะท้อนบนกระจกซึ่งขณะนี้กำลังยืนกลัดกระดุมอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ทำตัวเป็นคนถ้ำมองอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องรีบหันกลับมาจัดการกับตัวเองเพราะกลัวถูกจับได้ หลังตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่างจนมั่นใจแล้วถึงค่อยออกมานั่งรอบริเวณปลายเตียงหลังโต


วันนี้คนทั้งสองจะเดินทางเข้าเมืองจัตุรัสไวท์สแควร์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเดินทางราวครึ่งชั่วโมง สำหรับกำหนดการก็คือไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติสำหรับโอเมก้าเพื่อตรวจร่างกายและทำการฝากครรภ์


ซินเธียทั้งตื่นเต้นและกังวลไม่น้อยวันนี้เลยสามารถตื่นแต่เช้าโดยไม่ต้องเป็นธุระให้คุณสามีต้องปลุก ตอนนี้ก็แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางมานั่งรออีกคนตาแป๋ว


ฝ่ายแอชลีย์ซึ่งรู้สึกถึงสายตาจับจ้องตามทุกการเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ เขาอดทนผูกเนคไทให้เสร็จแล้วถึงได้เดินเข้ามาหาคุณแมวน้อย ในแววตาสีเงินคู่นั้นเต็มไปด้วยความหลากหลายหนึ่งในนั้นคือความกังวล แต่ไม่แน่ใจว่ากังวลเรื่องอะไร


“เป็นอะไร” เอ่ยถามพลางทรุดตัวลงนั่งข้างกัน


ซินเธียหันมามองคนข้างกาย ดวงตาสอดประสานจับจ้องเข้าไปราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้น


“คุณแอชลีย์”


“หืม?”


“คุณ...” เอ่ยถึงตรงนี้แล้วเบนสายตาลงเล็กน้อยด้วยไม่กล้าจับจ้องอำพันคู่นั้น มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นกอบกุมบริเวณท้องน้อยเอาไว้ราวกับกำลังปกป้องบางสิ่งบางอย่าง “คุณยินดีกับเด็กคนนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ”


ถึงเมื่อวานอีกฝ่ายจะให้คำตอบออกมาแล้วแต่ซินเธียก็ยังรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในห้วงฝัน กลัวว่าสิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อวานนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเอง พอลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันถัดไปสิ่งนั้นมันก็จะจางหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่จริง ราวกับหมอกควัน


เลยอยากจะย้ำ


ให้ตัวเองตระหนักอย่างแท้จริง ว่านี่มิใช่ความฝัน


“...”


“แต่ต่อให้คุณไม่ยินดี เราไม่ถือสา”


จบประโยคนี้ซินเธียถึงสามารถลากสายตากลับไปได้อีกครั้ง เนิ่นนานกับการสอดประสานกันโดยไร้ซึ่งคำตอบใดใด จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากคนข้างกาย


“ขยับมาใกล้ๆ สิ”


ช่างเป็นคำตอบที่ทำเอาคนเฝ้ารอไปไม่เป็น แต่เพราะนัยน์ตาอำพันคู่นั้นซึ่งกำลังจับจ้องมาอย่างไม่วางตาเด็กหนุ่มถึงได้จำใจขยับกายเข้าไปอีกนิด แต่ระยะห่างนั้นก็คงยังไม่อาจทำให้อีกฝ่ายพอใจได้เขาถึงได้พูดซ้ำอีกหนึ่งครั้ง ผิดวิสัยคนไม่ชอบพูดซ้ำซาก


“มาใกล้ๆ”


แล้วพอขยับเข้าไปจนไหล่แทบจะชนกันอยู่แล้วซินเธียถึงได้รู้ว่าคนตัวโตเรียกเข้าไปหาด้วยจุดประสงค์ต้องการโอบกอดร่างตนเข้าสู่อ้อมแขน ใบหน้าด้านหนึ่งของเด็กหนุ่มซบอยู่บนซอกคออุ่นๆ เต็มไปด้วยกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าเฉพาะตัวพาให้รู้สึกจิตใจสงบขึ้นหลายเท่าตัว


“คุณ...”


“ลองถามอีกรอบสิ”


“ครับ?” คราวนี้เงยหน้าขึ้นมองด้วยความฉงน แต่เพราะระยะอันชิดใกล้จนเรียกว่าแนบสนิทไปทั้งตัวนั้นทำให้ภาพตรงหน้าไม่สามารถมองได้ชัดเจน เห็นเพียงปลายคางของอีกฝ่ายเท่านั้น


แต่ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไรซินเธียก็รีบเอ่ยคำถามแรกซ้ำอีกครั้งด้วยทราบดีว่าอัลฟ่าผู้นี้ไม่ได้มีความอดทนมากพอจะรอให้เขามัวแต่อมพะนำ


“คุณยินดีกับเด็กคนนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ”


“ยินดีสิ” เสียงทุ้มชวนให้ใจระส่ำ พอได้ฟังในระยะประชิดแบบนี้อัตราความรุนแรงต่อหัวใจก็ยิ่งมีมากขึ้น “เขาเป็นลูกของเรานี่ ทำไมจะไม่ยินดีล่ะ” เอื้อนเอ่ยประโยคเรียบง่ายทว่าหนักแน่น


ลูกของเรา คำคำนี้ช่างเป็นคำที่ไพเราะที่สุด


ซินเธียหลับตาลงเพื่อใช้หัวใจในการรับฟัง และบันทึกทุกถ้อยคำเมื่อครู่จดจำเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ


ไม่ต้องใช้คำพูดสวยหรูมากมายมาบรรยาย ไม่ได้อยากเห็นท่าทางแสดงยินดีจนออกหน้า แค่คำคำเดียวเท่านั้น แค่นี้หัวใจของเขาก็เป็นสุขมากจนแทบเอ่อล้นแล้ว


“อย่าได้คิดถามแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่า” แอชลีย์ผละออกไปเล็กน้อยให้เราสามารถมองหน้ากันได้ถนัด มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้เส้นผมของคนในอ้อมแขนเล่น ท่าทางเพลิดเพลิน


แอชลีย์ดูพอใจกับเส้นผมยาวๆ ของซินเธียมาก เด็กหนุ่มสังเกตมาสักพักแล้ว เขามักจะจับมันทุกครั้งยามเมื่อมีโอกาสชิดใกล้กัน


 “ซินเธีย”


“ครับ”


“จำสิ่งที่ฉันเคยพูดเอาไว้ในงานแต่งงานของเราได้ไหม” คำถามนี้ซินเธียไม่ได้ตอบออกไป เขารู้ว่ามันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำกล่าวที่ต้องการเพียงเกริ่นเรื่องราวเท่านั้น เขาจึงเงียบเพื่อรอฟังว่าใจความสำคัญแท้จริงแล้วคือสิ่งใด


 “เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง”


“จะรักและดูแล ปกป้องหวงแหนตราบชั่วชีวิต”


คำกล่าวนี้ หนึ่งคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่า หนักแน่นจริงใจ อีกหนึ่งเอ่ยทวนในใจราวกับต้องการสลักย้ำมิให้ลบเลือน


แอชลีย์โน้มตัวลงมาใกล้ ปลายจมูกโด่งจรดลงบนช่อผมสีจินเจอร์ในมือหนา สูดดมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับริมฝีปากประทับลงบนจุดเดียวกัน ยามเมื่อนัยน์ตาสีอำพันเหลือบขึ้นมาสอดประสานกันด้วยแววตาล้ำลึกกักขังถ้อยคำมากมายบีบอัดอยู่ด้านในนั้น เป็นวินาทีเดียวกับที่เส้นผมบนมือค่อยๆ ไล้ผ่านตามแนวแปลายนิ้วถูกปล่อยทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง


ช่วงเวลานั้นเอง ซินเธียเชื่ออย่างหมดใจว่าชายคนนี้จะทำตามคำสัตย์สาบานดังที่เคยกล่าวเอาไว้ไร้ซึ่งคำบิดพลิ้ว


เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นโดยไม่ละสายตาออกจากเจ้าของอ้อมแขน จรดจุมพิตตรงมุมปาก ผะแผ่ว บางเบาดังกลีบบุปผาร่วงลงแตะผืนน้ำ ลอยเคว้งอยู่ในธารากว้างใหญ่ไม่ต่างไปจากความรู้สึกของคนทั้งสองในขณะนี้

การกระทำดังกล่าวนับว่าต้องใช้ความกล้าและแรงใจมหาศาลเลยทีเดียว ไม่บ่อยนักกับการจะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปผ่านทางภาษากายสำหรับซินเธีย หัวใจของเขาเต้นระรัวราวกับกลองหนังก้องสะท้านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย แต่ไหนเลยใครจะรู้ว่าแรงผลักดันในครั้งนี้ล้วนมาจากความเอ่อล้นภายในใจซึ่งอีกคนเป็นผู้มอบให้ จุดประกายความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่กระทำการดังสามีภรรยาหรือคนรักทั่วไปพึงมีต่อกันในยามปกติ


เมื่อผละออกมาแล้วนอกจากการกระทำของตัวเองก็เห็นจะมีสายตาร้อนแรงของคนตรงหน้าที่ส่งผ่านมาถึงกันราวกับจะแผดเผาให้หลอมละลายอยู่ในอ้อมกอด สองปรางแก้มแดงระเรื่อร้อนฉ่าจำเป็นต้องเบนสายตาออกมาแล้วพึมพำตอบคำถามก่อนหน้านั้นเสียงเบา


“อื้ม เราจะไม่ถามแบบนั้นอีก”



ด้วยเพราะการจัดการที่ดีของคุณพ่อบ้าน นัดหมายแบบส่วนตัวของคุณหมอซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นแพทย์ผู้ดูแลประจำตัวในระยะเวลาตลอดการตั้งครรภ์ของซินเธียดำเนินไปอย่างราบรื่น เมื่อเดินทางมาถึงก็สามารถเข้าพบเพื่อตรวจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลารอ


“สวัสดีค่ะ”


เมื่อเข้ามาภายในห้องตรวจก็พบกับแพทย์หญิงหน้าตานุ่มนวลผู้หนึ่งอายุดูแล้วไม่เกิน 35 ปีกล่าวทักทายยิ้มแย้ม เธอเป็นอัลฟ่าผู้มากความสามารถและมากความสามารถจนได้กลายมาเป็นแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่อายุยังน้อย


การตรวจช่วงแรกคือการสอบถามอาการทั่วไปและตรวจร่างกายเบื้องต้นอย่างที่คุณหมอเจอร์ราร์ดเคยทำ และผลก็ออกมาตามที่เขาเคยประมาณเอาไว้คือครรภ์นี้มีอายุได้ 10 สัปดาห์แล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่มการตรวจผลเลือกรวมถึงปัสสาวะเข้ามาด้วย ซินเธียบอกเล่าอาการและความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในตลอดช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างหนัก หน้ามืดอ่อนเพลียง่าย และการนอนเยอะจนผิดปกติของตัวเอง


“เวลาการนอนของเขาเดี๋ยวนี้ราวๆ 10 -12 ชั่วโมงเลยครับ” แอชลีย์ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะอาการบางอย่างตัวคุณแม่เองคงจะสังเกตไม่เห็น “ช่วงก่อนทานมากกว่าปกติ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นทานน้อยลงเพราะมีหลายอย่างที่ไม่ค่อยถูกปาก”


“ไม่เชิงไม่ถูกปาก แต่เรารู้สึกว่าทานแล้วมันเลี่ยนจนอยากคลื่นไส้” ข้อนี้ซินเธียเถียงผู้เป็นสามี “อาหารบางอย่างก็มีกลิ่นเหม็น”


อาการเหม็นอาหารนับเป็นเรื่องปกติแต่โชคดีที่ซินเธียไม่ค่อยประสบในด้านนี้นัก ส่วนใหญ่จะเป็นอาการเลี่ยนมากกว่าทานเลี่ยนจนทานต่อไม่ไหว


“เรื่องการนอนมากสำหรับคุณแม่นับเป็นเรื่องปกติค่ะ ช่วงเวลาประมาณนี้นับว่าดีมากแล้ว ช่วงนี้ต้องพักผ่อนให้มากหน่อยนะคะ ลดกิจกรรมที่ใช้แรงหรือสุ่มเสี่ยงกรกระทบกระเทือนเข้าไว้” คุณหมอเธอว่าแบบนั้น


“เรื่องอาการเป็นเรื่องสุดวิสัยค่ะ มันอาจจะลำบากไปสักหน่อยแต่หมอแนะนำให้คุณแม่พยายามทานมากๆ นะคะช่วงนี้เขากำลังต้องการสารอาหารจำนวนมากเพื่อเจริญเติบโต” ตรงประโยคเธอกำหลังหมายถึงเด็กน้อยในครรภ์ของคนไข้ “ระวังอย่าให้ท้องว่าง หมอแนะนำว่าให้กินทีละน้อยแต่กินเรื่อยๆ ก็ได้ค่ะ”


หลังจากนั้นเธอก็เอ่ยแนะนำอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและคุณแม่ออกมาอีกหลายอย่าง อะไรที่ควร อะไรที่ไม่ควรล้วนถูกกล่าวออกมาหมด ซินเธียไม่ได้ฟังเพื่อปล่อยผ่านหูไปเรื่อยแต่เด็กหนุ่มเตรียมตัวสำหรับวันนี้มาอย่างดีโดยการพกสมุดประจำตัวที่ใช้บันทึกอยู่บ่อยๆ นำมาจดข้อมูลและข้อแนะนำต่างๆ ตามที่คุณหมอบอกกล่าวมาด้วยโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว


“คร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะคะ ผลเลือดก็ปกติดี ร่างกายท่านชายแข็งแรงไม่มีปัญหาค่ะ เอาล่ะเรามาดูเจ้าตัวน้อยกันดีกว่า”


ซินเธียถูกเชิญให้ไปนอนบนเตียงสำหรับตรวจ ข้างๆ มีเครื่องมือหน้าตาประหลาดตั้งอยู่สร้างทั้งความตื่นเต้นทั้งความกังวลให้กับว่าที่คุณแม่ไม่น้อยจนมือเย็นไปหมด หลังเอนตัวนอนราบลงไปคุณหมอก็กำลังจัดเตรียมเครื่องมือเพื่อทำการอัลตร้าซาวด์ เด็กหนุ่มหันไปหาคนตัวสูงซึ่งตามมายืนอยู่ข้างเตียงไม่ห่างพอได้เห็นแบบนั้นแล้วความกังวลก็ลดลงหลายส่วน


“ขออนุญาตนะคะ” พยาบาลผู้ช่วยกล่าวขออนุญาตด้วยความเกรงใจกับสายตาเคร่งขรึมของอัลฟ่าอีกคนซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงก่อนจะเลิกชายเสื้อของท่านชายขึ้นจนโชว์ผิวเนื้อเนียนสีน้ำผึ้งที่ขณะนี้หน้าท้องเริ่มนูนขึ้นแล้ว


“พอเปิดแบบนี้เห็นค่อนข้างชัดเลยนะคะเนี่ย” พยาบาลกล่าวขณะทาเจลลงไปบนหน้าท้อง ขนาดประมาณนี้นับว่าใหญ่กว่าอายุครรภ์จริงประมาณหนึ่ง


สัมผัสแรกของความเย็นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอชินแล้วก็กลับมาเป็นปกติ คุณหมอใช้เครื่องมือวนรอบผิวหน้าท้องสายตาจับจ้องไปบนเจอเล็กตรงหน้า พอมองตามแล้วทั้งสองสามีภรรยาก็รู้สึกสับสนเนื่องจากมองภาพเหล่านั้นไม่ออกเลยสักนิด เห็นเพียงแต่สีดำๆ เทาๆ เต็มไปหมด


“โอ้...” คุณหมอส่งเสียงออกมาคำหนึ่งแล้วพิจารณาภาพในจอเพื่อความแน่ใจก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “ดูเหมือนจะมีสองคนนะคะเนี่ย” แล้วรอยยิ้มก็กว้างมากขึ้นขณะชี้ภาพเพื่ออธิบายส่วนต่างๆ ของทารกในครรภ์


“เห็นไหมคะ ตรงนี้มีหนึ่งคนส่วนตรงนี้ก็มีอีกหนึ่งคนกำลังนอนกลับหัวอยู่...”


“ตรงนี้เป็นถุงน้ำคร่ำค่ะ ลองดูตรงสีขาวตรงนี้นะคะ คือตัวของเด็กๆ จุดกระพริบๆ ตรงนี้คือหัวใจ”


เธออธิบายอีกหลายอย่างแต่คำพูดเหล่านั้นแทบไม่เข้าหัวของซินเธียอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนสมองของเด็กหนุ่มจะเริ่มหยุดทำงานไปตั้งแต่ตอนได้ยินคุณหมอบอกว่ามีเด็กตัวเล็กๆ สองคนอาศัยอยู่ในตัวของตน


“ลูกๆ ตัวเล็กมากเลย” ซินเธียกำมือเอาไว้ตรงปากขณะดวงตาจังจ้องไปยังจอภาพเบื้อหน้า ถึงจะดูไม่ค่อยออกแต่แค่นี้ก็รู้สึกว่าหัวใจพองโตมากพอแล้ว


เด็กๆ ตอนนี้อาจเทียบได้กับองุ่นแดงลูกโตสองผลคุณหมอพูดเรื่องขนาดตัวทั้งสองคนว่ามีขนาดกี่เซนติเมตร และก็อีกหลายๆ อย่าง แต่ซินเธียคิดว่าตัวเองไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้วจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงหัวใจของเด็กทั้งสองคนเป็นครั้งแรก


เสียงหัวใจเต้นระรัวมากแยกไม่ค่อยออกเลยว่านี่คือเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอย่างรุนแรง หรือเสียงหัวใจของลูกกันแน่ ยิ่งได้ฟังหยาดน้ำจากดวงตาทั้งสองข้างก็ยิ่งหลั่งริน


ไพเราะอะไรเช่นนี้


“เด็กๆ แข็งแรงดีนะคะ หัวใจของคนแรกเต้นประมาณ 171 ครั้ง/นาที ส่วนอีกคน 173 ถือว่าปกติดีทั้งคู่ค่ะสำหรับ 10 สัปดาห์”


“เสียงหัวใจพวกเขาเต้นแรงมากเลยนะครับ”


“สำหรับอายุครรภ์ประมาณนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ยจะอยู่ที่ 175”


“อ่า... ” ซินเธียยังคงจับจ้องหน้าจอไม่ยอมละห่างแม้จะกำลังคุยกับคุณหมออยู่ก็ตาม น่าแปลกทั้งที่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เราได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขาแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นความรู้สึกรัก ผูกพันกลับก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


เป็นความรู้สึกไร้ซึ่งคำอธิบาย ไร้ซึ่งเหตุผล


“สำหรับครรภ์แฝดการดูแลอาจต้องละเอียดอ่อนกว่าครรภ์ปกติหน่อยนะคะ อาหารที่ทานก็ต้องเพิ่มปริมาณคุณแม่ต้องพยายามทานให้มากๆ เพื่อให้เพียงพอสำหรับเด็กสองคน” แพทย์หญิงอธิบาย


“เพราะแบบนี้หรือเปล่า เราถึงได้แพ้ท้องมาก” ซินเธียเอ่ยถึงข้อสงสัยออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ช่วงที่ผ่านมาเด็กหนุ่มลำบากมากจริงๆ กับอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง


“มีส่วนค่ะ อาการแพ้ท้องมีสาเหตุมาจากที่ ฮอร์โมน HCG ซึ่งมีค่อนข้างสูงอยู่แล้วพอยิ่งเป็นแฝดปริมาณก็จะยิ่งมากขึ้นส่งผลต่ออาการแพ้ค่ะ”


“แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้วครับ”


เขาพยักหน้ารับและฟังคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการดูแลตัวในครรภ์แฝดนี้ในระหว่างนั้นก็รอให้คุณหมอเช็ดทำความสะอาดเจลบนผิวท้องไปด้วย


“ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ คุณพ่อคุณแม่ทั้งสอง” หญิงสาวระบายรอยยิ้มยินดีจากใจจริงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มจากซินเธียกลับคืนไป เขากำลังจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง อีกเดี๋ยวต้องออกไปรับยาบำรุงหลังจากตรวจเสร็จ ทว่าก็ต้องชะงักเพราะคนตัวสูงที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน


“แอชลีย์?”


ซินเธียเอ่ยเรียกสามีเบาๆ แสดงสีหน้าประหลาดใจแต่ก็เหมือนอีกคนไม่ได้ยินกันเสียอย่างนั้นเขาเลยเอื้อมมือไปจับแขนอีกคนเพื่อสะกิดเรียก


“คุณแอชลีย์”


“หื้ม” คนที่คล้ายพึ่งได้สติรีบก้มลงมองตามทิศทางของเสียงหัวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม ใบหน้ายังคงมีแววสับสนอยู่หลายส่วนก่อนหันไปมองสลับระหว่างจอภาพที คุณหมอที และสุดท้ายก็ภรรยาตัวน้อยที่นั่งจับต้นแขนตัวเองอยู่


“เสร็จแล้วครับ เราไปรับยากันเถอะ”


“อ้อ... อืม ไปสิ” ชายหนุ่มช่วยประคองคนบนเตียงให้ค่อยๆ ขยับลงมายืนกับพื้นจนกระทั่งตอนหันไปลากับคุณหมอสองแขนที่ช่วยโอบประคองกันก็ยังไม่ยอมผละจากไปทำเอาคนมองอย่างซินเธียแอบขำกับภาพนั้นไม่น้อย


ก็ตอนที่เรียกน่ะ คุณพ่อเขาเอาแต่จ้องภาพบนจอไม่แม้แต่กระพริบตาเลยน่ะสิ





TBC

หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 01-08-2019 19:48:54
น่ารักจังเลยยย อยากเจอน้องแฝดแล้ว
อยากเห็นอาการคุณพ่อมือใหม่ด้วย

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-08-2019 20:14:59
 :man1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-08-2019 21:40:51
ถึงกับเหม่อเลย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 01-08-2019 23:05:26
คุณพ่อลูกสองง 555 น่าเอ็นดูจังเลยค่ะคุณแอช
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-08-2019 23:29:03
 :katai2-1: มาทีเดียว2 คนเลย คุ้มมากแอชลีย์
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-08-2019 01:39:30
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-08-2019 08:32:36
 :pig4:
 :katai2-1:
ได้ลูกแฝดเลย
 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-08-2019 09:08:21
ได้แฝดซะด้วย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-08-2019 11:13:53
เป็นแฝดด้วย เก่งจริงๆเล้ย
ดูแลตัวเองดีๆนะซินเธีย  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 02-08-2019 11:19:33
ได้แฝดเลยนะคะคุณพ่อ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 02-08-2019 14:32:07
 :impress2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-08-2019 23:53:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 23 [P.7] --- 01/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 03-08-2019 18:43:17
ชอบเรื่องนี้มากกก อ่านวันเดียวถึงตอนล่าสุดแล้วววววววววววววว
รออยู่นะคะ ชอบพระเอกซึนๆแบบนี้ เห่อลูกแน่ๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 03-08-2019 22:48:33



บทที่ 24





เดินพ้นห้องตรวจออกมาได้ไม่ทันไรคนที่ช่วยประคองกันเดินออกมาก็ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้เลยพาซินเธียมานั่งตรงจุดนั่งรอตรวจโดยเลือกเก้าอี้ตัวที่ห่างไกลจากผู้ใช้บริการคนอื่นมากหน่อย บอกกำชับให้นั่งรออย่าลุกเดินเพ่นพ่านไปไหนเด็ดขาดให้รอจนกว่าอีกคนจะกลับมาแล้วเดี๋ยวเราค่อยไปรับยากัน



แอชลีย์หายเข้าไปในห้องตรวจอยู่พักใหญ่ ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มเข้าไปคุยอะไรกับแพทย์สาวคนนั้น ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้นึกอยากจะคุยอะไรเห็นยืนเงียบอยู่เป็นนาน ก็ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่อึ้งอยู่หรืออย่างไรว่าที่คุณพ่อของน้องแฝดถึงได้เกิดอาการใบ้กินไปชั่วขณะ


ซินเธียลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนของตัวเองอย่างรักใคร่หากไม่เปิดหน้าท้องดูมองจากภายนอกก็ยังดูไม่ออกนักว่าร่างกายได้มีความเปลี่ยนแปลง ซินเธียไม่แน่ใจแต่เหมือนเคยได้ยินแอชลีย์พึมพำครั้งหนึ่งตอนที่เรากอดกันว่ากลิ่นของตนเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่คิดว่าจะเกิดจากการมีสมาชิกใหม่กำลังเพิ่มเข้ามา


ตอนได้ยินว่าภายในท้องของตนไม่ได้มีเจ้าตัวน้อยเพียงคนเดียวหัวใจมันก็เต้นระรัวจนแทบระเบิด ทั้งดีใจ ตกใจ ซาบซึ้ง  หลากหลายความรู้สึกอัดแน่นกันเต็มไปหมดจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา


เด็กหนุ่มหยิบสมุดบันทึกซึ่งนำติดตัวมาด้วยเปิดอ่านทวนข้อมูลและข้อแนะนำอ่านอย่างตื่นเต้น อาหารอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย แต่พวกผลไม้ก็เป็นจำพวกของที่ตนได้ทานเป็นประจำอยู่แล้ว อย่างน้ำชาก็ต้องลดปริมาณลงเพราะทานมากไม่ค่อยดี


เดี๋ยวก่อนกลับบอกให้แอชลีย์แวะร้านใบชาเสียหน่อยดีกว่า จู่ๆ ว่าที่คุณแม่น้องแฝดก็เกิดอาการอยากลองดื่มชาประเภทอื่นนอกเหนือจากที่เคยมีในบ้าน มันไม่ได้มีความรู้สึกอยากลองอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นความอยากที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน


อืม มีอะไรอีกนะ


ต้องนอนให้มากหน่อย พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามอย่าให้ตัวเองเครียด ตอนกล่าวประโยคนี้คุณหมอเธอดูจะเน้นพูดให้ฝ่ายคุณสามีฟังมากกว่า เพื่อสุขภาพจิตของคุณแม่ที่ดีและลูกในครรภ์อารมณ์ของคุณแม่ต้องแจ่มใสเป็นพิเศษ แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีปัญหานักเพราะที่ผ่านมาอีกคนก็ไม่เคยทำให้ตนต้องรู้สึกทุกข์ใจอะไร กลับกัน เขาได้รับความดูแลเอาใจใส่อย่างดีด้วยซ้ำ


ในสายตาของคนอื่นไม่แน่ใจว่าแอชลีย์ คิมเป็นแบบไหน ไม่แน่ใจว่าในฐานะของสามีเขาได้ปฏิบัติอย่างดีแล้วหรือเปล่า สำหรับซินเธียชายคนนั้นแม้อาจจะดูเย็นชาในบางครั้ง พูดจาอาจจะทั้งสั้นทั้งห้วนไปหน่อย แต่ แอชลีย์ คิม คือคนที่อยู่คอยดูแล คอยเคียงข้าง ไม่เคยทอดทิ้งให้ต้องโดดเดี่ยวกลางดินแดนอ้างว้างแห่งนี้


“ไปกันเถอะ”


นั่งคิดอะไรกับตนเองไปเรื่อยเปื่อยเสียงทุ้มก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ มือหนาถูกส่งมาเอให้เขาจับแล้วประคองตัวเองขึ้นยืนเต็มความสูง ณ ขณะนี้ใบหน้าหล่อก็ยังคงเคร่งขรึม เย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง ทว่า ด้วยใบหน้าเดียวกันนั้นกลับทำให้รู้สึกสั่นสะท้านดวงใจอยู่บ่อยครั้ง


“คุณลืมอะไรไว้หรือเปล่าครับ”


“เปล่า” เขาตอบระหว่างพาเดินไปทางห้องจ่ายยา “แค่ถามอะไรนิดหน่อย”


“ถามอะไรครับ” ยังมีอะไรต้องถามอีกอย่างนั้นหรือ เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ข้อมูลทุกอย่างครบถ้วนไม่น่ามีสิ่งไหนให้ต้องสงสัยอีกซินเธียนึกอยู่ในใจแต่พออีกคนตอบกลับมาเสียงเรียบคล้ายพูดเรื่องลมฟ้าอากาศคนถามนึกอยากจะถอนคำพูดตัวเองเมื่อครู่คืนให้หมดเสียเดี๋ยวนั้น


“ถามว่าเธอท้องแบบนี้แล้วยังจะทำเรื่องแบบนั้นได้อีกหรือเปล่า”


เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องถามด้วยหรืออย่างไร!


ซินเธียหน้าม้านไปทันทีหลังได้ยินคำตอบบ้าๆ นั่น เขาเม้มปากแน่นเรียกเสียงหัวเราะในลำคอของของคนตัวสูง เจ้าตัวขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดแล้วก้มลงกระซิบชิดใบหูด้วยน้ำเสียงแสนเจ้าเล่ห์


“หมอบอกว่าได้หมดทุกท่านั่นแหละ ขอแค่อย่ารุนแรงเกินไปก็พอ”


อยากจะยกมือขึ้นมาปิดหูจริงๆ เรื่องดีไม่คิดเคยเห็นจะพูดเกินสองประโยคทีแบบนี้ละทำไมถึงได้พูดออกมาอย่างน่าไม่อายดีนัก เด็กหนุ่มอายจนรู้สึกโมโหแต่ก็ยังคงเก็บอาการเอาไว้ขยับตัวเดินนำอีกคนไปตามป้ายบอกทางไปห้องรับยาโดยไม่คิดรั้งรอคนตัวสูงซึ่งดูอารมณ์ดีจนหน้าหมั่นไส้ ไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงได้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ เขายอมให้อีกคนกลับไปปั้นหน้าเย็นชาพูดจาสงวนคำพูดดังเดิมเสียดีกว่า


“อย่าเดินเร็วนักสิ”


ด้วยช่วงขาที่มีความห่างชั้นกันถึงสองระดับ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ก้าวแอชลีย์ก็เดินมาทันว่าที่คุณแม่ซึ่งดูอารมณ์เสียไปถนัดตา แม้อีกคนจะยังคงควบคุมกิริยาท่าทางของตัวเองไม่ให้หลุดกรอบแต่คนใกล้ชิดกันย่อมดูออก ซึ่งเจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวว่าถึงใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่ดวงตาคริสตัลคู่นั้นได้บ่งบอกทุกอารมณ์ออกมาหมดแล้ว


“ฉันมีบางอย่างให้เธอดู”


ชายหนุ่มล้วงบางสิ่งบางอย่างขนาดเท่าฝ่ามือออกมาส่งให้ ซินเธียรับมันมาพิจารณา เป็นภาพถ่ายขาวดำรูปร่างหน้าตาคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในจอภาพของเครื่องอัลตร้าซาวด์ก่อนหน้านี้ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันทีก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองคนที่มอบมันมาให้


“นี่คือ...”


“ภาพของลูกๆ ฉันให้เธอช่วยพิมพ์ออกมา” เอ่ยถึงแพทย์หญิง แน่นอนว่าสำหรับรูปถ่ายทารกในครรภ์แบบนี้ไม่ได้มีมอบให้กับคนไข้ทุกคน ด้วยเพราะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางที่มีราคาสูงในขณะนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับรูปหนึ่งใบเลยมีตัวเลขค่อนข้างมาก เขาคิดว่าอีกคนน่าจะอยากเก็บไว้ดูเลยถือโอกาสขอมาด้วยระหว่างเข้าไปสอบถามข้อมูล ‘สำคัญ’ เพิ่มเติมเมื่อครู่


“พวกเขาน่ารักมากเลยจริงๆ” ซินเธียยิ้มกว้างจนตาหยี ตาจ้องรูปถ่ายในมือไม่กระพริบ สองมือประคองภาพถ่ายใบเล็กเอาไว้อย่างทะนุถนอมราวกับสิ่งล้ำค่า ความขุ่นมัวในใจเมื่อครู่หายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น


แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏในรูปถ่ายจะเป็นภาพขาวดำมองไม่ค่อยชัดจนดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่จุดสองจุดสีขาวในรูปก็พอบอกได้ว่าพวกเขาคือลูกๆ ของเรา ช่างเป็นรูปที่สวยงามที่สุดแล้วในสายตาของซินเธีย แค่นี้หัวใจของเด็กหนุ่มก็มีความสุขมากแล้ว


“เราเห็นคุณเงียบมากตอนมองลูกๆ ในจอ ตอนนั้นคิดอะไรอยู่หรือครับ” หลังจ้องจนพอใจแล้วก็หันมาถามอีกหนึ่งสิ่งค้างคาใจตอนอยู่ในห้องตรวจ


แอชลีย์เลิกคิ้วแล้วเงียบไป นานจนซินเธียนึกถอดใจแล้วเพราะสำหรับชายหนุ่มเขาจะพูดแค่สิ่งที่เขาอยากพูดเท่านั้น การคาดคั้นไม่ใช่สิ่งสมควรและไม่ใช่นิสัยของตนด้วยเลยเลิกสนใจแล้วสอดรูปถ่ายของลูกๆ เก็บในสมุดบันทึกกอดเอาไว้แนบอกเริ่มออกเดินไปทางห้องจ่ายยาอีกครั้ง


หากแต่คนที่เดินตามมากลับพูดขึ้นมาลอยๆ เสียงเบา จนคนที่ล้มเลิกความสนใจไปแล้วเกือบจะจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าชายหนุ่มหมายถึงสิ่งใด จนกระทั่งถึงประโยคหลังนั่นแหละ


“ตอนแรกที่รู้ก็คิดชื่อเอาไว้มากมาย”


“…”


“ก็ไม่คิดว่าจะมีสองคน ตอนนั้นก็เลยรีบกลับมาคิดทบทวนดูว่ามีชื่อไหนที่สามารถตั้งให้คล้องจองสำหรับเด็กสองคนได้บ้าง”


ซินเธียหลุดยิ้ม “แล้วได้หรือยังครับ”


“อืม”


“ชื่อว่าอะไรบ้างครับ”


“รอรู้เพศก่อนแล้วฉันค่อยตัดสินใจอีกทีแล้วกัน”


เรื่องเตรียมการรวดเร็ว หากคุณแอชลีย์ คิมเป็นที่สองแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งแล้วล่ะ




หลังรับยาทั้งสองก็มุ่งหน้าออกจากโรงพยาบาลโดยก่อนกลับเด็กหนุ่มได้ขอให้ช่วยแวะร้านใบชาก่อนสักครู่ เพียงแค่เดินเข้าร้านมากลิ่นของใบชาก็ลอยฟุ้งอยู่รอบตัว เป็นกลิ่นอ่อนๆ แต่ชวนเวียนหัวสำหรับซินเธียในตอนนี้มากขอเพียงแค่ใบหน้ามีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยคนข้างกายก็รับรู้ได้ทันทีรีบเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง มือใหญ่แตะลงบนสะโพกแผ่วเบา


“คลื่นไส้อีกแล้วหรือ”


ซินเธียส่ายหน้าเป็นคำตอบ ยกปลายนิ้วขึ้นบังปลายจมูกแล้วเดินเข้าไปเลือกชาชนิดต่างๆ ตามคำแนะนำของผู้ดูแลร้าน ที่นี่มีชาให้เลือกเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นของนำเข้า ส่วนชาต้นตำหรับของวินเทอร์ฟอลที่มักถูกส่งไปยังตระกูลชั้นสูงต่างๆ นั้นจะมีร้านขายแยกโดยเฉพาะ ซึ่งเด็กหนุ่มไม่ค่อยสนใจมันเสียเท่าไหร่ เวลานี้เขานึกอยากลองดื่มชาแปลกๆ ที่ยังไม่เคยลิ้มลองดูบ้าง


“คุณชายท่านนี้ ลองดื่มดูหน่อยดีไหมครับ ชาพวกนี้ทางร้านพึ่งได้รับมาใหม่เมื่อเช้าเลย”


ผู้ช่วยเบต้าคนหนึ่งถือถาดที่มีแก้วชาขนาดเล็กวางเรียงกันสามถึงสี่แก้วมาให้ลองชิมดู ชาเหล่านั้นนอกจากกลิ่นแล้วยังมีสีที่แตกต่างกันอีกด้วย ซินเธียมองอย่างสนใจแล้วเลือกหยิบชาสีแดงจากทางขวาสุดขึ้นมาจิบ


แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งแต่ภายในนั้นแทบอยากจะคายทิ้ง ชาชนิดนี้รสค่อนข้างแรงดื่มแล้ววียนหัวคงไม่เหมาะกับตนตอนนี้สักเท่าไหร่ แต่ด้วยต้องการรักษาน้ำใจเขาเลยรีบกลืนแล้ววาแก้วชาลงอย่างเป็นธรรมชาติ สอบถามถึงที่มาที่ไปก่อนแสร้งเดินไปดูมุมอื่นบ้าง


รสมันติดลิ้นเสียจนเด็กหนุ่มไม่ยากดื่มแก้วอื่นให้มันตีกันในปาก เพราะขืนเป็นแบบนั้นตนคงได้อาเจียนออกมาจริงแน่นอน


ใช้เวลาอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงประจวบกับฟังผู้ดูแลร้านเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของชาในแต่ละท้องถิ่นก็แทบจะกินเวลาไปเกินครึ่ง สุดท้ายเลยได้ชาแปลกๆ จากต่างแดนติดมือกลับมาด้วยหลายถุง


เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ซินเธียก็ถูกคนตัวโตไล่ขึ้นไปพักผ่อน ครึ่งวันนี้เดินทางร่วมชั่วโมงร่างกายของว่าที่คุณแม่ก็อ่อนเพลียไม่น้อย พอโดนบอกแบบนั้นเขาก็พยักหน้ารับเปลี่ยนเป็นชุดที่สบายขึ้นหน่อยก่อนจะไปซุกตัวหาความอบอุ่นภายในรังจนถึงช่วงเย็น


มื้ออาหารสำหรับค่ำวันนี้พิเศษกว่าปกติ เนื่องจากถือเป็นมื้อแรกในรอบหลายปีสำหรับคนของตระกูลคิมที่มาร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า และยิ่งพิเศษมากกว่ากับการประกาศข่าวสำคัญของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน อันเป็นธรรมเนียมยึดถือปฏิบัติมาช้านาน


เมื่อผู้นำตระกูลมีทายาทจะต้องทำการประกาศให้คนในตระกูลรับทราบและถือเป็นการยืนยันว่าเด็กที่กำลังจะเกิดมานั้นถือเป็นผู้สืบเชื้อสายอย่างถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของทุกคนในตระกูล


หกนาฬิกาตรง อาหารทุกอย่างถูกจัดเตรียมตั้งโต๊ะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แขกคนสำคัญมากันครบพร้อมหน้าพร้อมตา คุณพ่อคุณแม่ของแอชลีย์เป็นสองคนแรกที่เดินทางมาถึงก่อน ทันทีที่ได้พบหน้าลูกสะใภ้ท่านหญิงคิมก็รีบปรี่เข้าไปกอดเด็กหนุ่มก่อนลูกชายที่คลอดมาด้วยตัวเองเสียอีก


“เป็นอย่างไรบ้างคะลูก ไม่ได้พบหน้าเสียนานสบายดีไหม”


“สบายดีครับ คุณแม่ล่ะ”


“ดีมากเลยค่ะ” เธอหัวเราะเสียงนุ่มฟังดูรื่นหูชวนให้คนรอบข้างพลอยยิ้มตามไปด้วย พบกันคราวนี้ลูกสะใภ้ของเธอดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าครั้งก่อน ผิวพรรณหรือก็เปล่งปลั่งจับตรงไหนก็ให้ความรู้สึกนุ่มฟูไปหมด เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ดูขนาดว่าเจ้าเนื้ออะไรแบบนั้นแต่ก็ดีกว่าผอมแห้งเหมือนครั้งแต่งเข้าตระกูลใหม่ๆ ดูท่าคราวก่อนที่ดุลูกชายไปจะพอช่วยอะไรได้บ้างเจ้านั่นถึงได้ดูแลสะใภ้ของเธอได้ดีขนาดนี้ ยิ่งคิดอารมณ์แจ่มใสของท่านหญิงคิมก็ดีเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน


“อาหารพร้อมแล้วครับ” คุณพ่อบ้านเดินมาเชิญให้ไปห้องอาหารท่านหญิงยิ้มรับก่อนจะควงแขนคนเป็นลูกสะใภ้ชวนคุยกันเจื้อยแจ้วไปโดยแทบจะลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้กอดลูกชายคนเดียวของตนเองเลยทำเอานายท่านคิมอดจะเยาะเย้ยคนเป็นลูกชายไม่ได้


“เป็นไงล่ะเรา ถูกเมินเสียแล้ว” คำกล่าวนั้นทำเอาคนลูกกระตุกยิ้ม “เมื่อก่อนฉันก็เป็นแบบนี้แหละ ตั้งแต่มีแกแม่เขาก็ไม่ค่อยสนใจพ่อแล้ว คราวนี้ล่ะถึงตาแกบ้าง”


คล้ายว่าคำพูดหยอกเย้านั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อคนเป็นลูกเสียเท่าไหร่ แต่ไหนแต่ไรมาแอชลีย์ก็ไม่ใช่ลูกแหง่ติดพ่อแม่อยู่แล้ว ทุกครั้งตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันมาถึงจะไม่ได้รำคาญกับการแสดงความรักของผู้เป็นมารดาทว่าก็ไม่ได้รู้สึกชอบหรือติดสัมผัสอะไร


“อีกไม่นานคุณแม่จะเป็นยิ่งกว่าเมินพวกเราแน่นอน” ทิ้งประโยคปริศนาเอาไว้แก่บิดาก่อนจะเดินนำเข้าไปทางห้องอาหาร ทิ้งให้ชายวัยล่วงเข้าเลขหกหน้านิ่วคิ้วขมวด


บนโต๊ะอาหารตัวยาววันนี้ถูกเติมเต็มครบทุกที่นั่ง เริ่มจากตำแหน่งประธานกลางหัวโต๊ะคือนายท่านใหญ่ ชายชราผู้มีศักดิ์เป็นคุณปู่ของแอชลีย์ ฝั่งขวาคือผู้เป็นบิดาและมารดา ส่วนฝั่งซ้ายเป็นแอชลีย์กับซินเธีย และลำดับถัดไปก็เป็นอารอง อาหญิงกับครอบครัวของเธอไล่ระดับตามความอาวุโส


บรรยากาศเริ่มแรกค่อนข้างเงียบสงบแม้แต่เสียงของมีดส้อมหรือจานยังแทบไม่มีให้ได้ยิน ไม่ใช่เพราะทั้งหมดต่างอึดอัดต่อกันแต่เป็นบรรยากาศปกติสำหรับมารยาทบนโต๊ะอาหาร รอจนกระทั่งหลายคนเริ่มอิ่มแล้วเสียงพูดคุยอย่างรื่นเริงจึงเริ่มดังขึ้นเป็นระยะ


ทางด้านคุณปู่นั้นค่อนข้างเคร่งขรึม เจ้าระเบียบให้ความรู้สึกน่าหวั่นเกรงเสียยิ่งกว่าสองพ่อลูกรวมกัน หากไม่ทำเรื่องอะไรให้ท่านหมองใจหรือพูดจาไม่ระวังปากก็นับเป็นคนสูงวัยที่น่าชื่นชมมากประสบการณ์คนหนึ่ง ทางด้านคุณอาทั้งสองของแอชลีย์ อารองครองตัวเป็นโสด ได้ยินว่าเขาเคยมีคู่เป็นอัลฟ่าหญิงคนหนึ่งแต่เธอเสียชีวิตไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อหลายสิบปีก่อน ถึงจะยังหนุ่มแต่ก็ไม่คิดแต่งงานเป็นครั้งที่สอง ส่วนอาหญิงนั้นแต่งเข้าตระกูลชั้นสูงตระกูลหนึ่งที่มาจากเมืองข้างเคียง ปัจจุบันเปิดธุรกิจร้านอาหารมีชื่ออยู่ในจัตุรัสไวท์แสคว์ นานครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่วินเทอร์บ้างตามช่วงเทศกาล


นอกจากคุณแม่แล้วซินเธียไม่ค่อยสนิทกับเครือญาติคนอื่นทางฝั่งสามีมากนักด้วยไม่ค่อยได้พบเจอกัน มีเพียงคำถามไถ่ตามมารยาทบ้างเพื่อไม่ให้บทสนทนาระหว่างครอบครัวกระอักกระอ่วน หากให้ประเมินแล้วจัดว่าเป็นความสัมพันธ์ในระดับไมเลว ยิ้มหัวเราะกันไปตามเรื่องราว


“จริงสิ แอชเรียกทุกคนมาในวันนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมาบอกพวกเราด้วยหรือเปล่าคะลูก” พูดคุยกันจนหอมปากหอมคอแล้วท่านหญิงคิมจึงเอ่ยปากพาทุกคนเข้าประเด็น ช่วงเวลาสำหรับครอบครัวก็ส่วนหนึ่ง เวลาของสามีภรรยาก็อีกส่วนหนึ่ง พวกเธอคงไม่ขออยู่รบกวนเจ้าบ้านนานจนดึกดื่นนัก เมื่อจบมื้ออาหารลงแล้วก็ถึงเวลาเข้าเรื่องสำคัญเสียที


“ครับ” แอชลีย์ตอบกลับไปคำหนึ่งก่อนล้วงเอาบางอย่างออกมาจากเสื้อสูท เลือกส่งให้คุณปู่ก่อนเป็นลำดับแรก ชายชรารับรูปนั้นมาพิจารณา คิ้วสีดอกเลาเลิกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับแล้วส่งต่อของในมือให้ลูกชายต่ออีกทอดหนึ่ง


สองสามีรับมาพิจารณา สิ่งของในมือเพียงมองแวบแรกคนที่มีครอบครัวแล้วอย่างไรย่อมดูออกได้ทันทีจะมีก็เพียงอารองซึ่งไม่ค่อยเข้าใจนัก


“เซอร์ไพรส์มากเลยค่ะ” ท่านหญิงคิมรับรูปใบเดิมกลับมาจากน้องเขยเพื่อมองซ้ำอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบแก้มของตัวเองไว้ในแววตาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น


“โอ้ นี่คือหลานของแม่หรือคะเนี่ย”


“คุณแม่ต้องพูดว่าหลานๆ ต่างหากล่ะครับ” แอชลีย์แก้คำ


ทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารส่งความฉงนมาทางสายตาโดยมิได้นัดหมาย โดยเฉพาะท่านหญิงคิมซึ่งดูจะมีปฏิกิริยาตอบลับมากเป็นพิเศษ เธอมองคนเป็นลูกชายที่บัดนี้นั่งตัวตรง สีหน้าท่าทางยังคงปกติทุกอย่างแต่ดูเหมือนในความปกตินั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป คล้ายคนที่กำลังบอกเรื่องราวบางอย่างด้วยความภาคภูมิใจ สิ่งเหล่านั้นทำเอาคนกำลังจะเป็นย่าเบิกตากว้างรีบหันกลับไปพิจารณารูปถ่ายในมือตัวเองให้ดีอีกครั้ง


“โอ้ นี่มัน...” เธอหันไปมองคนเป็นสามีสลับกับลูกชายลูกสะใภ้ หัวใจคนกำลังจะเป็นย่าขณะนี้พองฟูอย่างเป็นสุข “สองคนเลยหรือนี่”


“แน่มากเจ้าหลานชาย” แม้แต่นายท่านใหญ่คิมยังเข้าร่วมวงยินดี เขายกมือขึ้นตบบ่าหลานชายคนเดียว สองคนสบตากันก็เข้าใจว่าต่างคนต่างก็ภาคภูมิใจไม่แพ้กัน จะต่างกันก็แค่จุดประสงค์ของความภาคภูมิใจนั้น


“ยินดีด้วยนะคะ น้องซินเธีย วันหลังอาจะให้คนที่ร้านส่งอาหารบำรุงมาให้เยอะๆ เลย ช่วงนี้เรากำลังคิดค้นเมนูเพื่สุขภาพใหม่ๆ กันเยอะแยะ” อาหญิงกล่าวอย่างใจดี ร้านอาหารของเธอนั้นมีชื่อทั้งยังเน้นไปที่การบำรุงสุขภาพของลูกค้าเป็นหลัก ข้อมูลเหล่านี้ซินเธียเคยแต่ได้ฟังผ่านคำบอกเล่าของเจ้าตัวเองแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปลิ้มลองเลยสักครั้ง พอคนพูดมาแบบนี้ก็นึกเกรงใจมาก


“ขอบคุณนะครับ อาหญิง”


“เกรงใจกันไปแล้ว”


“แล้วนี่คิดชื่อไว้บ้างหรือยัง” นายท่านคิม


“คุณนี่ก็ หลานพึ่งจะเท่าไหร่เองเชียว รีบไปไหน” ท่านหญิงคิม


“คิดไว้แล้วครับคุณพ่อ” แอชลีย์


ท่านหญิงคิม “...”


“มันต้องแบบนี้แหละ หลานชาย” นายท่านใหญ่พยักหน้า


“ดีเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องดีแล้ว” คุณพ่อกอดอกแสดงสีหน้าเห็นด้วยอย่างถึงที่สุด


ซินเธียได้แต่ยิ้มเจื่อน ให้กับบรรดาคุณอาทั้งสองรวมถึงคุณแม่ ไร้ซึ่งคำพูดโต้ตอบขอทำตัวเป็นคนหูหนวกตาบอดชั่วขณะ



TBC



ติดตามข่าวสารนิยายได้ที่

Twiter @Monrita_novel

Fanpage Monrita

#วิวาห์ในแดนฝัน
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-08-2019 00:17:48
พ่อลูกเหมือนกันนี่เอง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-08-2019 00:42:51
ไม่ค่อยเห่อเล้ยยยย คิดชื่อไว้ไวมาก
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-08-2019 01:17:19
ไม้เห่อค่ะไม่เห่อ แต่แค่คิดชื่อไว้แล้วเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-08-2019 01:34:04
 :laugh: ผู้ชายบ้านนี้เป็นเหมือนกันหมดสิ้นะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-08-2019 01:36:29
 o13 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-08-2019 01:55:24
 :pigha2: ทำไม​ถึง​ดู​น่ารัก​อย่างนี้​
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 04-08-2019 01:59:51
ถอดแบบกันมาทั้งตระกูลเลยนะคะ นายท่านคิมกับแอชเหมือนกันเลย 555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-08-2019 09:57:07
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Taohoo ที่ 04-08-2019 10:44:29
รู้สึกเหมือนกำลังอ่านแนวจีนๆเลยค่ะ เหมือนบรรยายแบบนั้น :L2: จริงๆนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 04-08-2019 16:41:53
น่ารักกกก เห่อกว่าใครเพื่อนเลยคิดชื่อไว้แล้วด้วย 5555
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: กวังกีเมย์บี ที่ 04-08-2019 19:53:16
โอยยย น่าร๊ากกกกก เราชอบบรรยากาศในเรื่องนี้มาก
ชอยเรื่องนี้มาก ซินเธีนน่ารัก แอชลีย์ก็น่าหมั้นไส้
เรื่องนี้ของยาวๆนะคะ อย่าพึ่งรีบจบแบบเจย์เดน์น้าาาาา
ขอยาวๆ 40-50 ตอนไปเลยยยยยย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 04-08-2019 20:18:16
 o13 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-08-2019 20:54:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 24 [P.7] --- 03/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-08-2019 22:56:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 06-08-2019 21:36:00


บทที่ 25




   เวลาผ่านไปรวดเร็วพอกับการเติบโตของเด็กๆ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายระหว่างซินเธีย ไม่ว่าจะเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ความอยากอาหาร อาการแพ้ท้องก็ทุเลาลงมากจนแทบจะเรียกว่าหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากสุดคงจะเป็นรูปร่างของคุณแม่ลูกแฝด โดยเฉพาะผิวท้องที่ดูนูนมากขึ้นกว่าปกติเกือบเท่าตัว


   ในช่วงเวลาหนึ่งตอนรุ่งสางจู่ๆ เด็กหนุ่มก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดเพราะความรู้สึกบางอย่างและแรงสะดุ้งนั้นทำเอาคนที่นอนกกกอดกันอยู่ด้านหลังลืมตาตื่นขึ้นตาม


   ซินเธียคล้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างวูบวาบอยู่ภายในร่างกาย มือข้างหนึ่งรีบเลื่อนขึ้นมาทาบจับบนหน้าท้องนูนของตัวเองโดยอัตโนมัติ ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับคนตัวโตด้านหลัง


“เกิดอะไรขึ้น” แอชลีย์ที่ช่วงนี้ก็พลอยรู้สึกอ่อนไหวตามคุณแม่ไปด้วยรีบถามเมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของภรรยาผ่านความมืดอันเลือนรางในห้องนอน รีบยืดตัวไปเปิดโคมไฟจากหัวเตียงเพื่อเพิ่มความสว่าง


ตอนนี้เป็นเวลาราวๆ ตีห้า ไม่ใช่เวลาตื่นนอนตามปกติของคนทั้งสอง สำหรับซินเธียยิ่งแล้วใหญ่ คุณแม่เขาเดี๋ยวนี้ใช้เวลานอนมากถึงสิบชั่วโมง กว่าจะตื่นขึ้นมาเองก็ใกล้มื้อสายแล้ว


เด็กหนุ่มส่ายหน้าเนื่องจากตนก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน จู่ๆ ก็สะดุ้งตื่นเหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุก พอลองตั้งสติแล้วลูบฝ่ามือไปรอบหน้าท้องของตัวเองอยู่ชั่วครู่ ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงแรงดิ้นจากภายใน


ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นบ้างแล้ว เด็กหนุ่มพลิกตัวเปลี่ยนเป็นนอนหงายพลางขยับตัวขึ้นพิงหัวเตียง แสงสลัวสีนวลพอให้เห็นใบหน้าคมคร้ามของชายผู้เป็นสามี เขาสบลึกเข้าไปในดวงตาอำพันคู่นั้นขณะเอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกไป


“ดูเหมือนลูกจะดิ้นนะครับ”


พอรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์นอกจากฟังคำแนะนำจากคุณหมอแล้วตัวเองก็อ่านหนังสือศึกษาเพิ่มเติมมาอยู่ไม่น้อย ตามจริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะศึกษาอะไรมากมายเพียงแต่เผอิญเจอพวกตำราคู่มือสำหรับคุณแม่มือใหม่อยู่ในห้องหนังสือหลายต่อหลายเล่ม แถมยังมีมาใหม่เรื่อยๆ เป็นระยะ ก็ไม่รู้ใครที่ไหนสั่งซื้อมา เอาเป็นว่าเขาจะไม่สืบหาตัวการก็แล้วกัน


ในหนังสือพวกนั้นพูดถึงพัฒนาการของเด็กๆ เอาไว้มากมายในแต่ละเดือน ซินเธียเลยพอมีความรู้อยู่บ้างสำหรับมือใหม่แบบตนเอง ช่วงหลายสัปดาห์ก่อนก็พอมีอาการให้สังเกตเป็นระยะแต่เพราะเด็กๆ คงยังตัวเล็กเกินไปบวกกับอาการดิ้นเหล่านั้นยังไม่ชัดเจนซินเธียเลยยังไม่ค่อยรู้สึกแน่ชัดว่าลูกดิ้นแล้ว หรือบางครั้งก็เพียงคิดไปว่าตัวเองน่าจะท้องอืด แต่สำหรับวันนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่าพวกเขากำลังส่งสัญญาณบอกคุณพ่อคุณแม่ของเจ้าตัวแล้วล่ะ


“อ๊ะ ดิ้นอีกแล้ว” คราวนี้เป็นฝั่งทางซ้าย “ดิ้นทั้งสองคนเลย”


คนฟังได้แต่ขมวดคิ้ว พลิกตัวขึ้นมาลองทาบมือใหญ่ไปบนผิวท้องนูนบ้าง จับทางขวาทีหนึ่งก่อนจะไล้ไปทางซ้ายแล้วก็นิ่งไป


“ไม่เห็นรู้สึกอะไร” แล้วก็ชักมือกลับ


“แต่เมื่อครู่เราจับลูกก็ยังดิ้นอยู่เลยนะครับ อ๊ะๆ นี่ไง ดิ้นอีกแล้วคราวนี้แรงเชียวสงสัยจะตื่นเต็มตาแล้วล่ะ”


พอสัมผัสได้ถึงแรงดิ้นของลูกๆ ที่ชัดเจนขึ้นกว่าครั้งแรกอีกระดับเด็กหนุ่มก็รีบจับมือคนเป็นสามีมาวางทาบเอาไว้บนหน้าท้องทันที ทว่า ผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม คนตัวโตก็เลยเลิกสนใจแล้วบอกให้นอนต่ออีกหน่อย


รอจนกระทั่งทั้งสองตื่นมาทานมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อย ว่าที่คุณแม่ก็นั่งลูบหน้าท้องของตัวเองอย่างเป็นสุข พอได้เห็นพัฒนาการของเด็กๆ สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาเป็นครั้งแรกจากฝ่ามือของตัวเองแบบนี้แล้วอารมณ์วันนี้จึงแจ่มใสมากเป็นพิเศษ ทานอะไรก็อร่อยไปหมด แม้แต่ของหวานก็ยังจัดการจนเกลี้ยง ส่งเสียงเล็กเสียงน้อยกระซิบพูดคุยกับลูกๆ อย่างชื่นบาน


“สงสัยลูกจะชอบพายผลไม้ ดีใจกันใหญ่เลย”


ซินเธียลูบๆ จับๆ หน้าท้องเมื่อรู้สึกว่าเด็กๆ กำลังคึกคักหลังจัดการพายผลไม้รวมไปถึงสองชิ้น


“จริงหรือคะ พรุ่งนี้แมรี่จะรีบตื่นแต่เช้ามาอบพายให้คุณชาย... เอ่อ หรือคุณหนู” เด็กสาวเกาหัวแกรกด้วยไม่แน่ใจว่าเจ้านายตัวน้อยเหล่านั้นแท้จริงแล้วเป็นคุณชายผู้น่ารักหรือคุณหนูผู้งดงามกันแน่ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนไปกระตือรือร้นกับความมุ่งมั่นในการอบพายชิ้นใหม่สำหรับครั้งต่อไปแทน


“หรือมื้อค่ำท่านชายจะรับอีกดีคะ”


สาเหตุที่เธอดีใจมากมายขนาดนี้เป็นเพราะเด็กสาวพึ่งจะได้รับอนุญาตให้ไปฝึกทำงานในครัวได้ไม่นานและตอนนี้ก็กำลังเริ่มทำพวกของหวานไว้เสิร์ฟเคียงหลังมื้ออาหารด้วยตนเองบ้างแล้ว พอได้ยินว่าฝีมือของตัวเองซึ่งคอยเคี่ยวกรำกันมานานเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าเจ้านายก็นึกตื่นเต้นดีใจจนลืมเก็บอาการ พอเห็นสายตาเป็นเชิงเตือนของคุณพ่อบ้านถึงได้สงบเสงี่ยมลงแล้วถอยไปยืนด้านหลังอีกนิด


“ทานมากไปเดี๋ยวก็ปวดท้องเอาหรอก”


แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเบิกบานใจในเช้าวันนี้สักเท่าไหร่ ชายหนุ่มผู้ครอบครองตำแหน่งเก้าอี้ประธานหัวโต๊ะตีหน้าเคร่งขรึม เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบอยู่แล้วสร้างความหวั่นเกรงให้กับเหล่าสาวใช้ไม่น้อย


จะมีก็แต่เจ้าของเก้าอี้ฝั่งขวานั่นแหละที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกอ่อนใจเพราะทราบดีว่าต้นเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวเหล่านี้มาจากไหน


ก็คุณพ่อเขาน่ะ พอได้ยินว่าลูกดิ้นแล้วก็อยากจะลองสัมผัสลูกบ้างแต่ไม่ว่าจะลองจับกี่ครั้งก็ยังไม่รู้สึกถึงแรงดิ้นเสียที ตอนตื่นขึ้นมารอบที่สองก็ลองให้จับไปหนึ่งรอบ หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ให้มาลองจับอีกหนึ่งรอบผลก็ยังคงเดิม


เรื่องแบบนี้มันไม่แน่นอนนัก ซินเธียเป็นคนอุ้มท้องเลยรู้สึกได้ถึงลูกแทบจะตลอดเวลาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ส่วนคุณแอชลีย์เขาก็เดาว่าคงเข้ามาจับไม่ถูกจังหวะนั่นแหละ เด็กๆ พึ่งแสดงตัววันนี้ชัดเจนวันแรกแถมในแต่ละครั้งก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ซินเธียจึงยังบอกไม่ได้ว่าลูกจะชอบดิ้นเวลาไหนบ้าง คงต้องคอยนับกันไปเรื่อยๆ ก่อน เขาเลยบอกอีกคนว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้รอเวลาสักหน่อยก็แล้วกัน


“คุณดูสิ ตอนนี้ลูกกำลังดิ้นใหญ่เลย” เรียกให้คนแอบน้อยใจแต่ทำเป็นแสดงท่าทางขึงขังให้เอื้อมมือเข้ามาใกล้กันอีกครั้ง


ชายหนุ่มพอได้ยินคำว่ากำลังดิ้นใหญ่ก็รีบลุกจากเก้าอี้ลงมาย่อตัวลงให้ใบหน้าเสมอกับหน้าท้องนูนของภรรยาซึ่งกำลังยิ้มหวานส่งมาให้ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสผิวท้องผ่านเนื้อผ้าโปร่งสีฟ้าอ่อนของคุณแม่แช่ค้างไว้แบบนั้นอยู่พักใหญ่ จากด้านขวาเคลื่อนไปทางซ้ายจนกระทั่งลูบวนหน้าท้องก็แล้ว


“ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย” ว่าแล้วก็หน้าบูดกลับไปนั่งที่เดิม




ช่วงบ่ายคุณชายอิลลาเรียนซึ่งไม่ได้พบหน้ากันมานานก็แวะมาจิบน้ำชายามบ่ายด้วยกัน เจ้าตัวบ่นเรื่องหิมะที่ตกลงมาเกาะตามเสื้อผ้าระหว่างเดินทางมาเล็กน้อยขณะคลายผ้าพันคอผืนหนาออก


“อีกไม่นานก็ใกล้เข้าสู่ฤดูกาลแห่งชีวิตแล้ว ทำไมอากาศไม่อุ่นขึ้นเลยนะ” คุณชายเจ้าของผมบลอนด์บ่นเล็กน้อยเนื่องจากตนเป็นคนขี้หนาว ยิ่งหิมะตกก็เดินทางลำบาก


“ชาขิงครับ”


อีริคนำน้ำชามาเสิร์ฟให้แก่ผู้เป็นนายและแขกคนสำคัญ กลิ่นชาหอมอ่อนๆ ผสมกับไอร้อนฟุ้งกระจายยามน้ำชาถูกรินออกจากกา ด้านข้างเป็นคุกกี้ธัญญาพืชอบใหม่กับสกอนสอดไส้แยมสตรอว์เบอร์รี่วางเคียงกัน


 บทสนทนาระหว่างจิบชาวันนี้ส่วนใหญ่คือเรื่องเกี่ยวงานงานเลี้ยงวันคริสต์มาสในวันอาทิตย์หน้า และมันดูเป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับชาวแดนเหนือมาก ออร์เวลพูดถึงของตกแต่งมากมายรวมถึงการจัดต้นคริสต์มาสด้วยตนเองกับลูกชาย


“เมื่อวานพึ่งพาเจมี่ไปเลือกของมา ปกติเราจะใช้พวกของที่มีอยู่แล้วเดิมๆ อย่างทุกปี แต่ปีนี้พิเศษหน่อย พอเด็กเริ่มรู้ความก็มักจะตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่” เขาพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงความป่วนระหว่างซื้อของเมื่อวาน เรียกว่าอยากได้นู่นได้นี่เต็มไปหมด


“เราก็เตรียมของขวัญไว้ให้เจเรมี่กับเจสเปอร์ด้วยนะ ตอนแรกว่าจะฝากผ่านแอชลีย์ไป” ตามจริงแล้วก็อยากนำของขวัญไปมอบให้หลานๆ ด้วยตนเองเพราะมันคงมีความสุขมากเวลาเห็นพวกเขายิ้มแย้มดีใจตอนได้รับของ และตื่นเต้นขณะแกะห่อของขวัญตรงนั้น ติดก็เสียว่าตอนนี้ให้ไปเองคงเดินทางไม่สะดวก


“ไม่เป็นอะไรเลยครับ แค่คุณซินเธียนึกถึงเด็กๆ ผมก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณนะ”


“อื้ม เดี๋ยวตอนกลับเราเอาให้นะ”


สำหรับซินเธีย เทศกาลคริสต์มาสคืออะไรก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เท่าที่ได้ฟังได้ศึกษามาตามความเข้าใจของเขาก็คงเป็นวันพิเศษสำหรับครอบครัว จัดงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อทานอาหารร่วมกัน ปีนี้นับเป็นคริสต์มาสปีแรกสำหรับเด็กหนุ่ม ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็อดตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้ พอรู้แล้วก็รีบไปเลือกซื้อของเล่นมาให้กับหลานๆ เลยทีเดียว


“เดี๋ยวพอถึงตาหนูน้อยคนนี้บ้างรับรองจะจัดการให้เป็นพิเศษแน่นอน” คุณชายอิลลาเรียนกล่าวอย่างชอบอกชอบใจ เลื่อนสายตาลงมองหน้าท้องซึ่งเริ่มนูนจนเห็นชัดเจนของท่านชายวาเลนเธีย


“ว่าแต่ ตอนนี้กี่เดือนแล้วหรือ”


“ก็ประมาณ 5 เดือนครับ” ซินเธียว่ามือก็ลูบหน้าท้องอย่างรักใคร่


“โอ้ 5 เดือนเอง แต่ท้องดูใหญ่มากเลยนะ” ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวและการมองเห็นคนรอบตัว ตามหลักแล้วท้องแรกมักจะไม่โตมากอยู่แล้ว หรือจะเป็นท้องปกติทั่วไปสำหรับ 5 เดือนก็นับว่ามองเห็นได้ชัดเจนแต่สำหรับท่านชายซินเธียนั้นจะดูใหญ่คล้ายคนอายุครรภ์ราวๆ 6-7 เดือนมากกว่านั่นเลยทำให้ออร์เวลอดจะแปลกใจไม่ได้


ฟังประโยคนั้นทำเอาคุณแม่ลูกแฝดหัวเราะออกมาเสียงเบา “ความจริงแล้วมีสองคนน่ะครับ”


“สองคน!” คุณชายอิลลาเรียนตาโต “พระเจ้า นั่นมันยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย” มีทั้งทีก็ได้มาถึงสองคนนี่ไม่นับว่าเป็นโชคสองชั้นเลยหรือ ถึงจะเหนื่อยจนแทบจินตนาการความวุ่นวายในอนาคตออกคร่าวๆ แต่ก็คงเป็นความวุ่นวายที่มีความสุขที่สุดในโลก


สำหรับออร์เวลมีลูกแค่หนึ่งคนก็มีความสุขจนไม่อาจหาถ้อยคำใดมาอธิบายแล้ว คงไม่ต้องถามเลยว่าท่านชายวาเลนเธียได้มาถึงสอง เป็นครอบครัวไม่เล็กไม่ใหญ่จะยิ่งมีความสุขมากกว่าขนาดไหน


ซินเธียยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร


“แล้วตอนนี้รู้เพศเด็กๆ หรือยังครับ”


“วันมะรืนคุณหมอนัดตรวจ คงได้รู้เพศวันนั้นแล้วครับ”


“เหรอครับ” คนถามยิ้มอย่างคนยินดี “แล้ว... ซินเธียอยากได้ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ”


คำถามนี้คงเป็นคำถามพื้นฐานสำหรับว่าที่คุณแม่ทุกคน แม้แต่คุณหมอยังอยากรู้ ซึ่งซินเธียก็ตอบออกมาทันทีแทบไม่ต้องคิด


“เป็นเด็กผู้ชายครับก็ดีครับ”


“หืม ทำไมล่ะ” ถามอย่างสนใจพลางยกแก้วชาขึ้นจิบ ความจริงสำหรับคนรักเด็กอย่างท่านชายคนนี้ไม่ว่าจะลูกสาวหรือลูกชายดูแล้วเจ้าตัวก็คงยินดีหมด แต่พอได้ยินคำตอบซึ่งค่อนข้างเฉพาะเจาะจงเลยนึกสนใจถึงเหตุผลขึ้นมา


“ก็...” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไป เอนกายพิงกับหมอนอิงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งก็คอยลูบหน้าท้องนูนไปมาคล้ายกำลังพูดคุยกับเด็กน้อยในครรภ์เสียมากกว่า “เราอยากพวกเขาโตขึ้นมาเป็นคนที่แข็งแกร่งดังเช่นคุณพ่อของเขา”


สง่าผ่าเผย เคร่งขรึมเจือไปด้วยกลิ่นอายดุดัน แต่ก็มีมุมน่ารักในแบบของเจ้าตัว ขอเพียงมีคนผู้นี้อยู่เคียงข้างก็รู้สึกอุ่นใจไม่ว่าว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ไหน


พอได้ฟังคำตอบนั้นแล้วก็เรียกรอยยิ้มจากคนฟัง เป็นเหตุผลที่ดีสมกับความเป็นซินเธีย


“ขอให้สมหวังนะครับ” เขาอวยพร “แล้วแบบนี้คุณแอชลีย์เขาว่าอย่างไรล่ะครับนั่น”


“คนนั้นเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอกครับ” พูดถึงตรงนี้ก็อดจะหลุดขำออกมาไม่ได้ “ถึงถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไร”


ออร์เวลลเลยบอก “นึกภาพคุณแอชลีย์เป็นพ่อคนไม่ออกเลยนะเนี่ย”


แล้วบทสนทนาก็จบลงตรงนั้นแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ จากโอเมก้าทั้งสองคน เชื่อว่าคำถามนี้แม้แต่คุณพ่อบ้านอีริคเองซึ่งแอบยิ้มอยู่มุมหนึ่งของห้องรับแขกก็คงจะเคยคิดเช่นเดียวกันไม่มียกเว้น



   หลังส่งแขกซินเธียขึ้นไปพักผ่อนจนถึงช่วงมื้อเย็น วันนี้คนตัวโตบอกกันตั้งแต่เช้าแล้วว่าคงกลับมาไม่ทันมื้อเย็น ยังมีงานเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจของตระกูลให้จัดการอยู่ไม่น้อย กว่าจะกลับก็คงเลยเวลาไปแล้ว เด็กหนุ่มทานอาหารตามปกติแล้วขึ้นชั้นสองไปชำระกายตามปกติ


   เหลือบมองเวลาก็ยังพอเหลือเวลาก่อนเข้านอนอีกหน่อยทั้งแอชลีย์ก็ยังไม่กลับเลยตัดสินใจเขียนจดหมายหาท่านพ่อสักฉบับ ระยะหลังมานี้เด็กหนุ่มยังไม่ได้เล่าเรื่องหลานๆ ให้ท่านพ่อฟังเลยสักครั้ง


   เนื้อความในจดหมายเริ่มต้นด้วยการถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนทางแดนใต้ ก่อนจะเกริ่นเล่าเรื่องราวในแต่ละวันของตัวเอง และตบท้ายด้วยการแจ้งข่าวสำคัญว่าท่านพ่อกำลังจะมีหลานตัวน้อยๆ แล้ว หวังว่าท่านพ่อคงจะดีใจมาก ฝ่ายคุณสามีเองถึงจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายแต่ก็สัมผัสได้ว่าเขายินดีกับของขวัญล้ำค่านี้จากใจจริง


   เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็บรรจงประทับตราของตระกูลคิมปิดผนึกจดหมาย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกระดาษเนื้อดีพลอยทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นสุข ในจดหมายฉบับนั้นเขาแจ้งความจริงไปเพียงครึ่งเดียว แต่ไม่ได้บอกว่าหลานที่ว่าของท่านพ่อน่ะ มีถึงสองคนเชียว เขาคิดเอาไว้ว่าหลังกลับไปแดนใต้ตามธรรมเนียม ถึงเวลานั้นท่านพ่อจะต้องตกใจมากแน่ๆ เพียงแค่คิดก็รู้สึกสนุกสนาน


   เสียงเปิดประตูห้องนอนดึงความสนใจจากเด็กหนุ่มที่นั่งเขียนจดหมายอยู่ริมกระจก คนตัวสูงเดินเลยเข้าไปทางห้องแต่งตัวเพื่อจัดการธุระของตัวเองในห้องน้ำเห็นดังนั้นซินเธียเลยวางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วเก็บกวาดพวกอุปกรณ์นำกลับไปวางไว้ในจุดเดิมของมันก่อนจะขึ้นไปนั่งรออีกคนบนเตียงรอเข้านอนพร้อมกัน


แอชลีย์ใช้เวลาอาบน้ำเพียงไม่นาน พอกลับเข้ามาเห็นภรรยาตัวน้อยนั่งจ้องตัวเองอยู่ก็เลิกคิ้วสงสัย


“มีอะไรหรือเปล่า”


“คุณลองมาตรงนี้สิครับ” ไม่ตอบ แต่กวักมือเรียกให้เข้ามาหาแทน


เพียงประโยคนั้นก็พอจะเดาจุดประสงค์ของคนอ่อนกว่าได้แล้ว ชายหนุ่มแสดงใบหน้าเรียบเฉยทว่าก็สอดตัวขยับเข้าไปชิดภรรยาใต้ผ้านวมเดียวกัน


“ลองจับดูอีกครั้งนะ เราพอจะเดาได้แล้วว่าลูกจะชอบดิ้นทุกๆ สิบนาทีถ้าเขาตื่นอยู่”


“พวกเขาตื่นอยู่หรือตอนนี้” แอชลีย์เอ่ยถามเสียงเนิบ ไม่ได้คิดคาดหวังอะไรกับคำบอกเล่านี้อีกแล้ว วันนี้เขาพยายามจะสัมผัสลูกมาทั้งวันแต่ก็ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรเลย คิดว่าตอนนี้ต่อให้อีกคนยืนยันก็คงเหมือนเดิม


“อื้ม เมื่อครู่ก็ยังคึกคักกันอยู่เลย ลองจับดูสิครับ”


“ก็เหมือนเดิม” ชายหนุ่มว่าหลังลองลูบไปบนเนินท้องนูนนั้น


“เพราะคุณไม่ค่อยพูด ลูกเลยไม่รู้ว่าใคร คุณลองพูดกับพวกเขาดูสิครับ” คุณหมอบอกว่าช่วงนี้เด็กๆ จะได้ยินเสียงของพ่อกับแม่แล้ว แล้วหากหมั่นพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์บ่อยๆ พวกเขาก็จะสามารถจดจำได้ว่าน้ำเสียงของคุณพ่อเป็นแบบไหน คุณแม่เป็นแบบไหน


สำหรับซินเธียไม่มีอะไรต้องห่วง เขาน่ะพูดคุยกับลูกทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ได้อยู่กับเด็กๆ ตลอดเวลา แต่คุณพ่อเขาน่ะสิ ปกติก็ทั้งเงียบทั้งขรึมเกรงว่าลูกจะจำไม่ได้เอา หากจะโดนเมินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แล้ว เลยต้องกระตุ้นเสียหน่อย


“ให้พูดอะไร” แอชลีย์ขมวดคิ้ว ไม่รู้จริงๆ


“อะไรก็ได้ครับ”


ไอ้อะไรก็ได้น่ะมันยากยิ่งกว่ายาก พอลองพยายามคิดถึงบทสนทนาแล้วคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แล้วปกติต้องพูดอะไรกับลูกล่ะ ยิ่งคิดหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดกันจนแทบจะเป็นปม ไม่รู้คนอื่นได้ประสบปัญหาเดียวกับตนบ้างหรือเปล่า


“จำเป็นต้องพูดด้วยเหรอ”


“จำเป็นสิครับ อย่างนั้นลูกก็จำไม่ได้สิว่าคุณพ่อเขาเสียงเป็นแบบไหน”


แล้วสรุปต้องพูดอะไรล่ะ กับคนปกติทั่วไปน่ะมันไม่น่าคิดมากแบบนี้หรอกเพราะเมื่อจะสนทนากับใครสักคนแน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์ของการพูดคุยนั้น พูดไปก็มีคำตอบกลับมา แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน จะให้เขาพูดกับ... หน้าท้องของภรรยาน่ะหรือ มันไมคล้ายกับการพูดคนเดียวหรือย่างไง แล้วแบบนั้นใครมันจะไปทำได้กัน เหมือนคนบ้าชัดๆ


สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเอนตัวลงเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับหน้าท้องของอีกคนสองมือยกขึ้นประคองหน้าท้องนูนแผ่วเบาแล้วยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ คิดอยู่นานสุดท้ายก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง


“สวัสดี”


ซินเธียยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาบังริมฝีปากซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ นึกอ่อนอกอ่อนใจอย่างไรชอบกลให้คนที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกับหน้าท้องตัวเองอยู่ข้างๆ


แต่ก็เอาเถอะ ได้ประมาณนี้ก็ดีแล้ว





TBC

หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 06-08-2019 21:43:53
เอ็นดูคุณพ่อมือใหม่นะคะ ไม่ค่อยพูดเน้นทำก็งี้แหละ
น่ารักๆ อยากให้ลูกดิ้นก็ต้องคุยกับลูกบ่อยๆนาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-08-2019 22:09:33
55555​ ทำไมน่ารัก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 06-08-2019 22:14:45
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-08-2019 22:16:58
เอ็นดูคุณพ่อแอชเขานะคะ555555555
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 06-08-2019 22:42:33
สงสารคุณพ่อมือใหม่ :laugh:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-08-2019 23:00:10
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 07-08-2019 09:10:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-08-2019 09:52:29
คุณพ่อสู้ๆค่า 555555555555
พูดบ่อยๆเดี๋ยวก็คล่อง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 07-08-2019 09:52:48
 o13
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-08-2019 11:08:05
สงสารคุณพ่อมือใหม่ไม่ได้จับตอนลูกดิ้นซะที
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 07-08-2019 21:38:36
คุณพ่อน่ารักมากๆเลย 5555 ความขรึมของคุณแอชช ทำไมน่ารักขนาดนี้
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 08-08-2019 11:00:39
ขุ่นพ่อออออออออออออออออ :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 25 [P.8] --- 06/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 09-08-2019 01:06:29
เอ็นดูในความน้อยใจที่ลูกไม่ดิ้นตอนตัวเองจับ 55555 :laugh:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 10-08-2019 18:24:51


บทที่ 26



   ซินเธียตื่นเต้นมากกับการไปโรงพยาบาลวันนี้ พวกเขาจะได้รู้กันแล้วว่า เด็กๆ ที่ซนอยู่ด้านในท้องของตนเหล่านี้จะเป็นคุณชายน้อยหรือคุณหนูน้อยกันแน่


อันที่จริงก็นึกตื่นเต้นทุกครายามถึงนัดประจำเดือน ซินเธียมักมีความสุขกับการไปตรวจมากเขาชอบที่จะได้ฟังคุณหมอเล่าว่าตอนนี้ลูกๆ มีพัฒนาการเป็นแบบไหน น้ำหนักตัวเท่าไหร่ โตขึ้นมากเท่าใดแล้ว


ทันทีเมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องตรวจคุณหมอสาวสวยก็ส่งยิ้มอ่อนหวานให้อย่างทุกครั้ง


“สวัสดีค่ะ คุณแม่สบายดีไหมคะ”


“สบายดีครับ เด็กๆ ก็ดูสดใสคึกคักมาก” ตอบในขณะลูบหน้าท้องนูนของตัวเอง พวกเขาดิ้นกันเก่งมาก ยิ่งเวลาได้ยินเสียงพูดคุยของคุณแม่ก็ยิ่งคึกคักเช่นเดียวกับตอนได้ทานขนมอร่อยๆ


เราเริ่มต้นด้วยการทักทายอย่างผ่อนคลาย สอบถามอาการเบื้องต้น ซินเธียเล่าให้เธอฟังว่าตลอดหนึ่งเดือนมานี้มีความเปลี่ยนแปลงใดบ้าง อาการแพ้ท้องหมดไปแล้วจากที่ทานมากก็ยิ่งมีความอยากอาหารบ่อยครั้งเพิ่มขึ้น แลกเปลี่ยนสอบถามกันในระหว่างตรวจร่างกายเบื้องต้น


“ผลเลือดปกตินะคะ ความดัน หัวใจก็ดีค่ะ” เธอจดข้อมูลลงในบันทึกประจำตัวของคนไข้คนสำคัญ ริมฝีปากอิ่มก็ขยับอธิบายโดยไม่ติดขัด “คุณแม่ทานได้มากขึ้น อืม เป็นเรื่องดีนะคะแต่ต้องระวังเรื่องน้ำหนักเล็กน้อย”


พอได้ยินแบบนั้นคนที่ระยะหลังมานี้มีความสุขกับการทานอาหารก็มีสีหน้าเจื่อนลง


“น้ำหนักตอนนี้นับว่ายังไม่เกินเกณฑ์มากค่ะ แต่หมอแนะนำว่าไม่ควรให้เพิ่มขึ้นเกินเดือนละ 2 กิโลกรัม เรื่องนี้จะส่งผลต่อเด็กๆ ด้วย หากพวกเขามีน้ำหนักมากและตัวใหญ่เกินไปจะมีปัญหาตอนคลอดได้”


วิธีการคลอดด้วยธรรมชาติย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณแม่ที่สุขภาพแข็งแรงและอายุยังน้อย การฟื้นตัวหลังคลอดรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน คุณแม่บางรายคลอดคืนนี้ เช้ามาก็สามารถเดินได้คล่องรอบโรงพยาบาลแล้ว ยิ่งเป็นท้องแรกการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติจะยิ่งดีสำหรับครอบครัวที่คิดจะมีทายาทคนต่อไป


การผ่าคลอดย่อมมีข้อดีแต่ข้อเสียก็มีไม่น้อย แผลจากการผ่าตัดต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ต้องดูแลตัวเองอย่างระมัดระวัง เช่น การออกแรงมากหรือยกของหนัก ไม่อย่างนั้นจะเสี่ยงต่อแผลผ่าตัดปริแตก อีกทั้งในครรภ์ต่อไปก็ต้องระวังมากขึ้น การดูแลก็จะต้องรัดกุมกว่าเดิมเนื่องจากมดลูกเคยได้รับการผ่าตัดมาแล้วโอกาสจะเกิดอาการแทรกซ้อนก็ย่อมมีมากกว่าวิธีธรรมชาติ และมันยากหากเคยผ่าตัดมาแล้วและในครั้งที่สองต้องการเลือกการคลอดด้วยตนเอง


ซินเธียรับฟังคำอธิบายเหล่านั้นด้วยความตั้งใจ จดบันทึกสั้นๆ ลงสมุดบันทึกประจำตัวลงไปด้วยโดยไม่ให้ตกหล่นถ้อยคำสำคัญแม้แต่คำเดียว ด้วยไม่ต้องพะวงเรื่องคำถามฝั่งตัวเองเนื่องจากผู้เป็นสามีได้ทำหน้าที่นั้นแทนเรียบร้อย เรื่องที่ควรถามก็ถามแล้ว เรื่องที่ควรรู้ก็ไขความกระจ่างสิ้น ฉะนั้นซินเธียเลยมีเวลาเต็มที่ในการจดบันทึก


“พักหลังมานี้เขาชอบทานพวกขนมหวานหลังอาหารทุกมื้อ ยังไม่รวมกับของว่างระหว่างเวลาน้ำชาอีก” แอชลีย์จัดการสาธยายตัวการที่ทำให้คุณแม่ตัวเล็กน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเกินเส้นแดงที่ขีดเอาไว้แล้ว


ที่ผ่านมาตนไม่คิดห้าม เห็นเจ้าตัวมีความสุขกับการทานอาหารของว่างมากมายก็มีความสุขตาม ก็เมื่อก่อนท่านชายวาเลนเธียเป็นคนทานน้อย ถึงร่างกายจะพอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างแต่ก็ยังดูผอมบางอยู่ดี คราวนี้นิสัยการกินเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ทานมากขึ้น อยากอาหารมากขึ้น การได้กินอิ่มนอนหลับสบายไม่นับว่าเป็นเรื่องดีหรอกหรือ ประเด็นนี้ชายหนุ่มมักถูกคุณแม่เน้นย้ำตลอดเวลายามได้พบหน้ากัน ท่านหญิงคิมจะแสดงความเกรี้ยวกราดแน่นอนหากพบว่าลูกชายคนนี้ไม่ดูแลลูกสะใภ้สุดรักให้อิ่มหนำสำราญใจ


แต่ใครจะคิดว่าการทานมากไปก็ชักเริ่มไม่ใช่เรื่องดี สงสัยคราวนี้กลับไปต้องบอกให้อีริคจัดการดูแลเรื่องอาหารของท่านชายใหม่เสียแล้ว พวกขนมหวานของว่างก็ควรลดลงตามที่หมอแนะนำมา


“แบบนั้นจะเสี่ยงเรื่องเบาหวานได้นะคะ” ประโยคนี้ยังกล่าวไม่จบแต่สีหน้าของท่านชายเสียนำไปก่อนแล้วพอได้ยินว่าการทานขนมหวานมากไปไม่ใช่เรื่องดี หญิงสาวเลยรีบเอ่ยต่อพร้อมรอยยิ้มใจดี


“ไม่ได้แปลว่าต้องงดเด็ดขาด แต่หมอแนะนำว่าควรลดจำนวนลงดีกว่าค่ะ อย่างพวกเค้ก ของที่มีครีมน้ำตาลมาก ลดลงเหลือวันละชิ้นจะดีที่สุด อาจจะเป็นมื้อบ่าย ส่วนมื้อเช้ากับเย็นลองเปลี่ยนเป็นผลไม้ดีไหมคะ”


“ทาร์ตผลไม้ได้ไหม”


“นั่นก็ของหวาน” คนตัวสูงหันมามองพลางขมวดคิ้ว “ต่างจากเค้กตรงไหน”


“แต่มันมีผลไม้นี่” คนที่นั่งตัวลีบบนเก้าอี้กล่าวอ้อมแอ้ม ทาร์ตผลไม้รวมที่แมรี่สาวใช้ในบ้านทำอร่อยมากจนจัดการไปหลายชิ้น ไม่ใช่ว่าตัวเองตะกละตะกรามขึ้นแต่ตอนนี้เขาต้องเลี้ยงเด็กถึงสองคนเลยนะ ปริมาณอาหารก็ต้องมากขึ้นสิ


มองแค่ตาก็พอจะดูออกแล้วว่าภรรยาตัวน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ ก็คงยกเรื่องลูกมาอ้างนั่นแหละ แอชลีย์ส่ายหน้าอ่อนใจ เห็นชัดว่าตัวเองอยากทานเสียส่วนใหญ่ ลูกตัวแค่นั้นจะไปรู้ความอะไร ท่านชายวาเลนเธียถึงจะกิริยางามพร้อมวางตัวดีฐานะสูงส่งมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งในสายตาของแอชลีย์อยู่ดี พออยู่ด้วยกันนานมากเข้าจนคุ้นเคย บ่อยครั้งเจ้าตัวมักจะเผลอแสดงด้านเด็กน้อยออกมาโดยไม่รู้ตัว


อัลฟ่าสาวได้แต่ยิ้มกับภาพตรงหน้า กว่าจะจบประเด็นเรื่องของว่างไปก็ใช้เวลาพอดูก่อนจะเปลี่ยนไปอีกหนึ่งประเด็นสำคัญเมื่อซินเธียนึกบางสิ่งขึ้นได้


“ปกติเราอยู่กับลูกตลอดเวลาเลยสัมผัสได้เวลาพวกเขาดิ้น แต่เวลาคุณพ่อเขาจะจับไม่ค่อยดิ้นเลยคุณหมอว่าแปลกไหมครับ”


“อืม ก็ไม่นับว่าแปลกเท่าไหร่นะคะ” คุณหมอวางปากกาในมือเปลี่ยนมาเป็นประสานกันเอาไว้หลวมๆ แทน “การพูดคุยกับทารกในครรภ์เป็นอีกวิธีในการเสริมสร้างพัฒนาการของพวกเขาค่ะ ในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ทารกจะได้ยินเสียงชัดมากขึ้น การตอบสนองก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุครรภ์”


“เขาไม่รู้จะคุยอะไรนี่สิครับ” ซินเธียเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงของผู้เป็นสามี “เลยพูดได้แค่สวัสดี” นึกขำในใจกับเหตุการณ์ในคืนก่อน ตั้งแต่ชายหนุ่มกล่าวประโยคแสนน่ารักอย่างการสวัสดีออกมาจนตอนนี้ความสัมพันธ์ของสามพ่อลูกก็ยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่


“ระยะนี้หมั่นพูดคุยกับพวกเขาให้มากเด็กจะจดจำเสียงของคุณพ่อกับคุณแม่ได้นะคะ เวลาคุยเค้าก็จะแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง”


แพทย์สาวอมยิ้มส่งไปทางคุณพ่อผู้มีมาดเคร่งขรึม “คุณแอชลีย์ไม่ต้องเขินนะคะ ครั้งแรกมันก็ต้องมีติดขัดกันบ้างตอนนี้พวกเขาอาจจะยังไม่ค่อยตอบสนองแต่อย่าพึ่งหมดกำลังใจไป ลองเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันก็ได้ค่ะ อย่างวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง มื้อเย็นเป็นอะไร หรือจะเล่านิทานก็ได้ ระหว่างนั้นก็ลองใช้วิธีสัมผัส ลูบท้องขณะเล่าไปด้วยจะดีมากเลยค่ะ”


สำหรับอัลฟ่าหรือโอเมก้า กลิ่นของพ่อและแม่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เด็กทารกสามารถจดจำและคุ้นเคยได้ว่าพวกเขาเป็นใคร สำหรับสายเลือดเดียวกันกลิ่นมักจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้การเริ่มกระชับสัมพันธ์ตั้งแต่อยู่ในท้องจะเป็นเรื่องดีที่สุด เป็นการสร้างความผูกผันระหว่างพ่อกับลูก


“เป็นเด็กแฝดแบบนี้คุณแม่ดูแลคนเดียวคงไม่ไหวนะคะ” เธอหัวเราะพลางเย้าคุณพ่อมือใหม่ “เอาล่ะเรามาลองดูเด็กๆ กันดีกว่าค่ะ”


แพทย์สาวผายมือเชิญคุณแม่ให้เดินไปทางเตียงแสนคุ้นเคยเพื่อเริ่มการอัลตร้าซาวด์ เจลเย็นๆ ถูกทาทั่วหน้าท้องนูนก่อนเครื่องมือจะถูกวางทาบลงบนผิวท้องแผ่วเบา ค่อยๆ ลากวนไปทีละจุด จากนั้นก็เริ่มวัดขนาดตัว น้ำหนัก รวมถึงคลื่นเสียงหัวใจของทารกทีละคน


“เหมือนคนซ้ายจะตัวใหญ่กว่านิดหน่อยนะคะเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่บนจอเช่นเดียวกับคู่สามีภรรยาทั้งสอง “โตตามเกณฑ์ดี... อืม น้ำหนักก็พอดีค่ะ โดยรวมไม่มีปัญหา”


ลำดับถัดมาเป็นการตรวจเพศของทารกในครรภ์ ตรงนี้ค่อนข้างขลุกขลักเนื่องจากเด็กน้อยทั้งสองไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก เริ่มแรกก็นอนหนีบขาเสียมิด อีกคนก็หันไปอีกทางมองแทบไม่ออก ซินเธียต้องทำการกระตุ้นให้เด็กๆ เปลี่ยนท่าทางอยู่นานกว่าจะสามารถมองเห็นได้


“ซนกันจริงๆ อ๊ะ เห็นแล้วค่ะ” แพทย์สาวว่า กดขยายเฉพาะส่วนให้คุณพ่อคุณแม่ได้มองเห็นชัดเจนขึ้น “เป็นเด็กผู้ชายทั้งสองคนเลย ยินดีด้วยนะคะ”


“ตรงนั้นคือ...” ซินเธียรีบกระตุกแขนของคนตัวโตที่ชี้มือไปตรงส่วนแหลมเล็กซึ่งชี้ออกมาจากกลางลำตัวของเด็กน้อยในจอภาพเชิงห้ามก่อนอีกคนจะเอ่ยคำพูดน่าเกลียดออกมา แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือยังจะถามซ้ำให้ได้อะไรขึ้นมาอีก


แอชลีย์กระแอม จ้องมองสิ่งนั้นของลูกต่ออีกนิดคล้ายพิจารณาอะไรบางอย่าง “ไม่เลว” กล่าวออกมาสองพยางค์แล้วก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมาอยู่คนเดียว ไม่อาจทราบได้ว่าในหัวของอัลฟ่าหนุ่มตอนนี้นั้นกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่


---


   
นัดประจำเดือนจบลงด้วยดี ทั้งสองเดินทางกลับคฤหาสน์ในเวลาต่อมา ตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะเข้าเมืองไปเลือกซื้อสมุดนิทานตามคำแนะนำของคุณหมอ ส่วนวันนี้ก็กลับมาพักผ่อนก่อนดีกว่า ถึงการเดินทางไปจัตุรัสไวท์สแควร์หลายครั้งจะเสียเวลาแต่ยามนี้ซินเธียเริ่มขยับร่างกายไม่ค่อยถนัดนัก เดินมากก็ปวดขา นั่งรถนานก็ปวดหลังแถมยังเพลียง่ายกว่าปกติ แอชลีย์เลยตัดสินใจว่าค่อยกลับไปอีกทีวันรุ่งขึ้นดีกว่า เผื่ออีกคนจะอยากซื้อของเพิ่มเติมจะได้เดินเล่นอย่างสดชื่น


   กิจวัตรก่อนเข้านอนพักนี้มีอีกหนึ่งกิจกรรมเพิ่มขึ้นมาคือการทาครีมบนหน้าท้องเพื่อป้องกันรอยแตกของคุณแม่ แอชลีย์ซึ่งพึ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้าห้องนอนมาได้จังหวะพอดี ดวงตาคมเหลือบมองแก้วนมอุ่นบนโต๊ะข้างเตียงครู่หนึ่งแล้วเดินมาทรุดตัวนั่งข้างเด็กหนุ่มที่กำลังหยิบกระปุกครีมออกมาเปิดเตรียมทา


“ทำไมไม่ดื่มนม” การดื่มนมก่อนนอนก็เป็นอีกเรื่องที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน เพื่อบำรุงให้ลูกๆ แข็งแรง


“เดี๋ยวเราขอทาครีมเสร็จก่อน” คนตัวเล็กว่า ก้มหน้าก้มตาตั้งใจหมุนฝากระปุกแต่เหมือนมันจะปิดแน่นเกินไป หมุนจนมือแดงแล้วดันขยับแค่มิลเดียว


“มันจะชืดหมดน่ะสิ” แอชลีย์ว่า ยื่นมือไปคว้ากระปุกครีมนั้นมาถือไว้ในมือเสียเอง ออกแรงหมุนเพียงหนึ่งในสี่ก็สามารถเปิดออกมาได้อย่างง่ายดาย “เธอรีบดื่มนมเสีย” กล่าวเพียงประโยคเดียวแต่ใจความมีถึงสอง ซินเธียเข้าใจจุดประสงค์ของคนตัวสูงในทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนดื่มนม ส่วนเรื่องครีมตนจะเป็นคนทำเอง


เด็กหนุ่มไม่ทำตัวเรื่องมาก หันไปหยิบแก้วนมมายกดื่ม ดวงตาก็เหลือบมองสามีตั้งอกตั้งใจปาดเนื้อครีมบำรุงลงบนหน้าท้องนูนแล้วบรรจงลูบไล้ให้ทั่วอย่างเบามือ พอได้สัมผัสกับฝ่ามือใหญ่แสนอบอุ่นของคนตัวสูงแล้วพานให้รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ทั้งในใจก็มีความสุขอย่างมากกับการได้รับสัมผัสจากคู่ชีวิต


ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเอาใจด้วยการช่วยทาครีม บางวันซินเธียก็รู้สึกเพลียมากจนอยากนอนเสียเดี๋ยวนั้น เกียจคร้านขนาดว่าแม้แต่ทาครีมก็ยังเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ขาดไปวันสองวันคงไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก ตัวเองไม่เดือดร้อน ดันไปเดือดร้อนสามีแทน แอชลีย์ไม่คิดปลุกแต่กลับเดินไปหยิบกระปุกครีมออกมาเปิดแล้วทาให้เขาเงียบๆ


เริ่มแรกก็จั๊กจี๋บ้าง แต่พอถูกปรนนิบัติหลายครั้งเข้าก็เริ่มชิน


คิดอะไรเสียเพลินไม่ทันรู้ตัว คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาลูบไล้ฝ่ามือบนผิวท้องนูนไม่พูดจา ทาจนใต้ฝ่ามือไม่มีเนื้อครีมแล้วแต่ก็ยังไม่หยุดลูบซ้ำยังผลุบหายเข้าไปใต้เนื้อผ้านุ่มลากขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนกระปุกครีมก่อนหน้าไม่รู้ปลิวหายไปอยู่ไหน


“อื้ม…”


ซินเธียส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเมื่อมือใหญ่ไต่ขึ้นมาจนถึงแผ่นอกก่อนจะบีบขยำเนินเนื้ออิ่มเรียกเสียงกระเส่าดังอยู่ข้างใบหู เป็นตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มพึ่งสังเกตว่าร่างกายของคนตัวโตได้บดเบียดเข้ามาจนชิดใกล้แล้ว


“ดะ เดี๋ยว อื้อ!” ริมฝีปากชื้นซุกไซ้ลำคอขาวสูดกลิ่นหอมเย้ายวนแบบไม่ตั้งใจของคุณแม่ ออกแรงดูดเม้มจนขึ้นรอยจางๆ


ร่างกายของคุณแม่ลูกแฝดในขณะนี้มีน้ำมีนนวลขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด จะจับไปตรงไหนก็เต็มไม้เต็มมือไปเสียหมด ไหนจะกลิ่นฟีโรโมนที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยนั่นอีก มันดูเย้ายวนใจอย่างน่าประหลาด


และเพื่อลูกๆ ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาในอนาคต ยอดอกสีหวานค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นไปตามวันเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายช่วงตั้งครรภ์ แอชลีย์ประทับริมฝีปากไปทั่วลำคอระหงส่วนสองมือก็บีบเฟ้นเนินเนื้ออิ่มอย่างมันมือทำเอาคนในอ้อมกอดแขนขาอ่อนเปลี้ยแทบหมดแรง


ดอมดมจนพอใจแล้วถึงค่อยเปลี่ยนไปวุ่นวายกับริมฝีปากอิ่ม เลาะเล็มเก็บหยาดน้ำนมบริเวณมุมปากจนหมดสิ้น ทั้งที่เป็นนมสดรสจืดจนฝืดคอในยามปกติ แต่ไม่รู้ทำไมได้มาลิ้มรสจากปากของภรรยาแล้วมันถึงได้หอมหวานชวนให้อยากฉกชิมมากขึ้น และมากขึ้น


เด็กหนุ่มเอนตัวลงตามแรงดันจากคนด้านบนถูกกักขังเอาไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงด้วยความยิ่งกว่าเต็มใจ เปลือกตาสีอ่อนเลื่อนปิดลงโอบสองแขนรอบลำคอ กกกอดให้ร่างกายของพวกเขาแนบชิดกันมากขึ้นสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากผิวกายผ่านเนื้อผ้าบาง น้อมรับทุกความกระหายปล่อยให้อีกฝ่ายฉกชิมไปทั่วโพรงปากจนกว่าจะสาแก่ใจ


กลิ่นของฟีโรโมนฟุ้งกำจายอยู่ทั่วห้องผสมปนเปกับกลิ่นอายบุรุษเพศแสนดุดันของคนที่กำลังป้อนความเร่าร้อนให้ขณะนี้ บรรยากาศหอมหวานราวกับเราสองต่างตกอยู่ในห้วงของราคะ ดูดกลืนลมหายใจของกันและกัน สลับกันมอบสลับกันรับโดยไม่นึกตระหนี่


ดำเนินจวบจนอีกคนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วนั่นแหละถึงได้ผละออกมาอย่างนึกเสียดาย ดวงตาของเด็กหนุ่มฉ่ำเยิ้มไปด้วยแรงอารมณ์เหลือบมองแอชลีย์ซึ่งกำลังลากริมฝีปากผ่านผิวเนื้อไล่ลงจนถึงแผ่นอก กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปตอนไหนไม่อาจทราบ ริมฝีปากที่พึ่งป้อนจูบกันไปเมื่อครู่ครอบลงไปบนยอดอกสีหวาน ดูดดึงสลับไล้เลียชำนิชำนาญทำเอาคนไต้ร่างอยู่ไม่เป็นสุข สองเท้าจิกเกร็งกับผืนเตียงต่างระบายความเสียวซ่าน ริมฝีปากเผยออ้าสูดอากาศเข้าปอดอดกลั้นไม่อยากส่งเสียงน่าอายออกไป


ดื่มด่ำจนพอควรแล้วคนตัวโตก็ผละจากสองเนินอิ่มอย่างตัดใจ เขารู้ว่าช่วงนี้ซินเธียจะรู้สึกคัดหน้าอกเป็นพิเศษจากการที่ขนาดของมันเริ่มขยายขึ้น สัมผัสบริเวณนั้นจึงค่อนข้างอ่อนไหวมากกว่าปกติ วุ่นวายกับมันนานเข้าจากความเสียวกระสันน่าจะกลายเป็นเจ็บปวดแล้ว จึงเปลี่ยนเส้นทางเป็นไปชิมส่วนอื่นของร่างกายอันน่าหลงใหลนี้แทน


“อ๊ะ!”


สติของซินเธียใกล้จะกระเจิดกระเจิงไปตามแรงอารมณ์แล้ว ทว่า จู่ๆ ก็รู้สึกคล้ายแรงกระตุกจากผิวหน้าท้อง คนด้านบนเองก็สะดุ้งไปเช่นเดียวกัน เนื่องจากเจ้าตัวกำลังจูบซับไปบนผิวท้องนูนของภรรยาอยู่พอดี


เด็กหนุ่มนิ่วหน้าประคองตัวเองค่อยๆ ลุกขึ้นไปเอนพิงกับหัวเตียง มือก็ลูบผิวท้องไปมาแผ่วเบาคล้ายปลอบประโลมให้ความวุ่นวายด้านในสงบลง ทางด้านแอชลีย์ยังคงสติกลับมาไม่ครบถ้วนใบหน้าหล่อเหลามีความมึนงงอยู่หลายส่วน


“อะไรน่ะ” ความรู้สึกเมื่อครู่มันคล้ายมีอะไรบางอย่างมาดันตรงปากเขาพอดี


“ดูเหมือนลูกจะดิ้นนะครับ”


“ฮะ?” แอชลีย์เอ่ยออกมาแค่นั้นแล้วเงียบไป อะไรๆ ที่มันเคยลุกโชนขึ้นมาก็พลอยมอดดับลงไปภายในเสี้ยววินาที


“ดิ้นใหญ่เลย คุณลองจับดูสิครับ”


อีกคนว่ามาถึงขนาดนั้น อัลฟ่าหนุ่มซึ่งคิดจะล้มเลิกความพยายามในการสื่อสารกับลูกชั่วคราวเลยต้องลองทาบฝ่ามือลงไปบนหน้าท้องของภรรยาเป็นครั้งที่เท่าใดก็คร้านจะนับ ทว่าคราวนี้ไม่ได้มีแต่ความเงียบงันอย่างที่เคยเป็น แรงกระทุ้งน้อยๆ จากใต้ผิวท้องสะท้อนมายังฝ่ามือของตนนั้นทำเอาชายหนุ่มแข็งค้างไปเลยทีเดียว


“เป็นอย่างไรบ้างครับ” ซินเธียอมยิ้มพอเห็นคุณพ่อเขานิ่งไปหลังได้สัมผัสรับรู้การมีอยู่ของลูกเป็นครั้งแรก เจ้าตัวลองลากฝ่ามือไปทางซ้ายทีก็ตามมาถีบที ลากไปทางขวาทีก็ตามมาถีบอีกทีเป็นอยู่แบบนั้นหลายครั้งจนมั่นใจว่า นี่แหละ ไม่ผิดแน่ ลูกกำลังดิ้นอยู่จริงๆ


แอชลีย์ยืดตัวกลับมานั่งตัวตรง เขายกกำปั้นขึ้นบังริมฝีปากไม่พูดจานัยน์ตาอำพันจับจ้องไม่กะพริบ ถึงจะไม่เห็นว่าใต้มือข้างนั้นกำลังซ่อนสิ่งใดอยู่ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ซินเธียเห็นอย่างชัดเจนก็คือใบหูทั้งสองของคุณพ่อลูกแฝดซึ่งขณะนี้กำลังแดงแจ๋เลยล่ะ


ความรู้สึกแปลกใหม่ตีรวนอยู่ภายในอก นี่สินะสิ่งที่อัลฟ่าหนุ่มโหยหามาตลอดหลายวัน ตอนนี้เขาแยกแยะอารมณ์ของตัวเองไม่ค่อยถูกว่าควรจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี พยายามมาตั้งหลายวันไม่เห็นจะมีอะไรจากคนลูก พอวันนี้จะมีอะไรๆ กับคนแม่บ้างสักหน่อยดันแย่งกันแสดงตัวกันวุ่นวาย


นึกจะโมโห ก็ดันเป็นเรื่องที่มันไม่สามารถนำมาโมโหได้เสียนี่





ย่านการค้าของจัตุรัสไวท์สแควร์แวะมากี่คราก็ยังคงความครึกครื้นสม่ำเสมอ ยิ่งช่วงเทศกาลทั่วทั้งถนนถูกประดับไปด้วยของตกแต่งสีแดงสลับเขียว ทั้งป้าย ธง ไฟประดับพอรวมเข้ากับกองหิมะบนพื้นถนนแล้วก็ยิ่งให้บรรยากาศสดชื่น


ซินเธียกระชับผ้าพันคอสีแดงเบอร์กันดีเข้าคู่กับโค้ตตัวโตของคนข้างกาย ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยเป่าไล่ความหนาวเย็นจนเกิดเป็นไอจางลอยอยู่ในอากาศ ด้านบนศีรษะสวมเบเรต์สีเดียวกันปกป้องเกล็ดหิมะ


จุดหมายแรกของวันนี้คือร้านจิวเวอร์รี่มีชื่อเจ้าเดียวกับที่พวกเขาเคยมาเมื่อครั้งเลือกแหวนแต่งงาน การต้อนรับจากพนักงานยังคงเต็มไปด้วยความสุภาพนอบน้อม ซินเธียคงรู้สึกประทับใจกับการบริการคุณภาพยอดเยี่ยมมากกว่านี้หากเมื่อหลายเดือนก่อนเขาไม่บังเอิญเจอเหตุการณ์ชวนหมองใจเข้า


สองสามีภรรยาถูกเชิญไปนั่งยังส่วนรับรองสำหรับลูกค้าคนสำคัญเหมือนครั้งแรกที่เคยมา ผู้ดูแลร้านกำลังจะยกชามาเสิร์ฟตามปกติติดตรงถูกคนตัวสูงข้างกายเอ่ยปากปฏิเสธไปเสียก่อนแล้วขอเพียงน้ำเปล่ามาหนึ่งแก้ว เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรตอนบ่ายซินเธียก็ต้องกลับไปดื่มชาคู่ของว่าง เพื่อการปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งคัด น้ำชาวันละหนึ่งแก้วก็จะยังคงเป็นวันละหนึ่งแก้วไม่มียกเว้น


รอไม่นานของที่สั่งก็ถูกนำมาให้ ซินเธียรับกล่องกำมะหยี่ขนาดเท่าฝ่ามือสองกล่องมาถือไว้ ค่อยๆ บรรจงเปิดดูทีละกล่องด้วยความทะนุถนอม เป็นกำไลทองคำขาวขนาดเล็กสองวงฝังอควอมารีน เดิมอัญมณีชิ้นนี้เป็นสร้อยของท่านแม่ซึ่งเหลือทิ้งไว้เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายสำหรับเด็กหนุ่ม เขานำมันติดตัวมาด้วยตอนเดินทางมาวินเทอร์ฟอล เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีจนตอนนี้ได้นำมาเจียระไนใหม่เพื่อฝังในกำไลข้อมือสำหรับลูกๆ ทั้งสองคน


ขนาดของกำไลสองวงนี้พอดีสำหรับข้อเท้าของเด็กทารก เนื้อสัมผัสเบาไม่ก่อความระคายเคืองต่อผิว อีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้สามารถปรับขยายขนาดได้ตามการเจริญเติบโตของพวกเขา ซินเธียตั้งใจทำออกมาเพื่อให้เป็นของขวัญต้อนรับลูกชายที่รักทั้งสองคน สำหรับอควอมารีน คนแดนใต้เชื่อว่ามันคืออัญมณีแห่งการอวยพร การปกป้อง อีกทั้งยังเป็นเครื่องรางให้ผู้สวมใส่พบเจอแต่ความสุขสงบ ด้านในตัวกำไลเมื่อพลิกดูแล้วจะพบตัวอักษรสลักเอาไว้ บ่งบอกผู้เป็นเจ้าของชัดเจน

Francis K.

และ

Faylyn K.

“สวยไหมครับ” เขาส่งกำไลเล็กๆ ทั้งสองให้คนข้างกายดู


แอชลีย์พยักหน้ารับ ใบหน้าฉายแววพึงใจออกมาไม่น้อย เรื่องนี้ซินเธียไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีทั้งหมด เด็กหนุ่มเพียงเป็นฝ่ายเสนอความคิดเรื่องนำสร้อยของท่านแม่มาเจียระไนใหม่และออกความคิดเห็นอีกเล็กน้อย ส่วนการออกแบบดำเนินการจัดทำทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของชายหนุ่ม


เนื่องจากมีกรรมวิธีค่อนข้างซับซ้อนและใช้ความละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะข้อควรระวังว่าวัสดุที่ใช้ผลิตเหล่านี้จะไม่ทำอันตรายต่อผิวของเด็กทารกแอชลีย์เลยต้องเดินทางมาตรวจสอบด้วยตนเองบ่อยครั้ง กว่าจะออกมาเป็นของขวัญชิ้นนี้ได้ก็ใช้เวลาร่วมเดือนอยู่เหมือนกัน ส่วนมูลค่าไม่ต้องพูดให้มากแล้วเมื่อประเมินกับความรู้สึกทางใจก็นับว่าไม่อาจนำมาเทียบกันได้


“เธอลองสวมดูก่อนว่าชอบไหม” ไม่ถูกใจก็จะได้สั่งแก้มันเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าเพียงอย่างเดียวแต่ช่วยกดตัวล็อคขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้ตัวกำไลเพื่อขยายขนาดให้พอดีกับข้อมือบางของผู้เป็นภรรยาแล้วจะสวมให้


สีเงินของทองคำขาววาววับอยู่บนข้อมือสีน้ำผึ้งให้ความรู้สึกสวยงามไปอีกแบบ ไม่ต่างไปจากแหวนแต่งงานบนนิ้วนาง ซินเธียพลิกข้อมือพิจารณาทุกด้านแล้วก็พยักหน้ารับ พึงพอใจกล่าวสรุปความไม่ต้องปรับเปลี่ยนสิ่งใดอีกแล้ว


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ตกลงชำระเงิน ซินเธียเดินกอดถุงกระดาษสีเข้มของร้านออกมาอย่างเบิกบานใจ มุ่งหน้าสู่จุดหมายที่สองของวัน


ร้านค้าสำหรับเด็กอ่อน ร้านนี้ได้รับคำแนะนำมาจากคุณแม่มือโปรอย่างคุณชายอิลลาเรียนและท่านชายมัวร์มาว่าของทุกอย่างล้วนคุณภาพดี มีครบครันตามต้องการทุกอย่างไม่ต้องไปเดินหาหลายร้านให้เหนื่อย


คำกล่าวนั้นฟังครั้งแรกอาจจะเกินจริงไปบ้างแต่เมื่อเข้ามาด้านในก็เป็นจริง แม้แต่หนังสือนิทานก็ยังมีให้เลือกหลากหลายประเภท เด็กหนุ่มเปิดดูเล่มนู้นเล่มนี้อย่างตื่นตาตื่นใจอยากได้ไปเสียทุกเล่ม


“เล่มนี้ดีไหมครับ” หยิบสมุดที่หน้าปกเป็นลูกแมวสามตัวแสนน่ารักขึ้นมาชูให้คนเป็นสามีดู ตัวเล่มมีสีสันสดใสดึงดูดสายตาของทั้งคุณพ่อคุณแม่ คิดว่าพวกเด็กๆ เองก็น่าจะชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน


คนตัวสูงไม่พูดออกความเห็นแต่ไม่ว่าจะเล่มไหนขอเพียงซินเธียเอ่ยปากชมแม้ไม่ตั้งใจหรือแค่ต้องการดูเฉยๆ ก็ถูกอีกคนคว้าไปถือไว้หมดโดยไม่ปริปากบ่น หันไปเจออีกทีก็ตอนจะเดินออกจากโซนหนังสือสำหรับเด็กนั่นแหละ ทำเอาคุณแม่ต้องเลือกออกไปวางคืนเสียหลายเล่ม


“เอาแค่นี้ก่อนก็ได้ครับ” เขาว่า เหลือหนังสือในมือของคนตัวโตแค่สามสี่เล่ม


“ทำไม” เล่มหนึ่งบางเสียจนอ่านไม่ถึงห้านาทีก็คงจบ ซื้อไปแค่นี้จะไปพออะไร แอชลีย์ขมวดคิ้วไม่ค่อยเข้าใจกับความคิดของภรรยานัก จะว่าอีกคนมัธยัสถ์หรือนึกเกรงใจก็ไม่น่าจะใช่ ถึงอย่างไรหนังสือเล่มไม่กี่เหรียญตระกูลคิมไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว


“เราค่อยๆ ทยอยซื้อก็ได้ อ่านสลับกันไปแบบนี้ดีกว่านะครับพวกลูกๆ ยังไม่รู้ความหรอก” เขายิ้ม “อีกอย่างคุณต้องเป็นคนอ่านนะครับ”


“ไม่” เอ่ยปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด เห็นแบบนั้นซินเธียเลยขยับเข้าไปใกล้คนเป็นสามีอีกนิด กอดแขนแข็งแรงเอาไว้หลวมๆ เป็นเชิงออดอ้อน


“ก็คุณไม่รู้วิธีคุยกับลูก เราว่าอ่านนิทานถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ”


เจ้าตัวยืนเงียบเม้มริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายใช้ความคิด คำพูดของคุณหมอเมื่อวานหลั่งไหลเข้ามาพอให้ระลึกถึงว่าตัวของผู้เป็นบิดาเองควรจะหมั่นสร้างสายสัมพันธ์กับลูกเพื่อความคุ้นเคย สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา


จะเห็นแก่ที่ภรรยาแสดงท่าทางออดอ้อนซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะได้เห็นบ่อยครั้ง เขาจะลองทบทวนเรื่องนี้ดูอีกครั้งก็แล้วกัน




อีกด้านหนึ่งจากดินแดนแสนห่างไกล


“ท่านครับ”


ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีเข้มกระชับรูปร่างดูคล่องตัวเคาะประตูไม้สลักบานใหญ่สามครั้งก่อนเอ่ยเสียงเบา และเมื่อได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของห้องจึงเปิดเข้าไปด้านในพร้อมยื่นจดหมายประทับตาฉบับหนึ่งส่งให้


นัยน์ตาสีเงินเหลือบมองสิ่งนั้นเพียงชั่วครู่ เปิดผนึกหยิบกระดาษแผ่นบางออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้านกวาดสายตาอ่านเนื้อความด้านในเพียงไม่นานก็เอนตัวพิงกับเก้าอี้บุนวม ปลายนิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนโต๊ะทำงานไม้สีเข้มเนื้อดีคล้ายกำลังใช้ความคิด


“จัดการซะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเพียงสามพยางค์สั้นๆ แต่ได้ใจความ คนฟังเข้าใจความหมายทั้งหมดทันทีโดยไม่ต้องถามซ้ำให้รำคาญใจ


ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ไม่ได้นึกเกรงกลัวสิ่งใดทั้งนั้นเพียงแต่เขาก็ไม่อยากให้มันมีมารหัวขนที่ไหนมายุ่งวุ่นวายเหมือนกัน เรื่องในอนาคตจะเป็นเช่นไร เดินไปทิศทางไหนไม่อาจมีใครคาดคิดแต่สำหรับชายผู้นี้แล้วเขามีความคิดเดียวคือการกรุยทางให้ไร้ขวากหนาม แม้แต่ต้นวัชพืชเล็กๆ ก็ต้องถางออกให้หมด ปัญหาเล็กน้อยในวันนี้ก็อาจนำมาซึ่งความยุ่งยากในวันหน้าได้


ชายผู้รับคำสั่งถึงจะเข้าใจความนัยดี หากแต่ใบหน้าคมเข้มนั้นกลับมีแววกังวลใจอยู่หลายส่วน


เขาเอ่ยน้ำเสียงเกรงใจด้วยพยายามไม่ให้ผู้เป็นนายโกรธเคือง “บางทีเด็กนั่นอาจจะเป็นโอเมก้าก็ได้นะครับ ยังไงเรา...”


“หุบปาก” เสียงตบโต๊ะดังลั่นทำเอาคนฟังชะงัก ปิดปากสนิทตามคำสั่ง “มันจะเป็นตัวอะไรก็ตามฉันไม่สน จัดการตามนั้นก็พอ”


สำหรับคู่ที่เป็นอัลฟ่าและโอเมก้าแล้วโอกาสในการที่เด็กจะออกมาเป็นอัลฟ่านั้นมีสูง แต่ถึงจะไม่ใช่แล้วอย่างไร การป้องกันไว้ตั้งแต่ต้นย่อมดีกว่าอยู่แล้ว


“เข้าใจแล้วครับ”




TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2019 19:38:14
กำลัง​เพลินๆกับมาดคุณ​พ่อก็มาสะดุด​ กึก!!
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-08-2019 20:18:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-08-2019 23:29:02
แงงงงง คุณพ่อเจ้าแฝดไม่อนุญาต 555555555555
แต่อยากอ่านพาร์ทแอชลีย์บ้างว่าคิดอะไรอยู่ตอนไปหาหมอ
พ่อของซินเธียเหรอ? จะทำอะไรเจ้าแฝด  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 10-08-2019 23:58:48
กบฎยึดครองเมืองแล้วเหรอ พ่อซินเธียยังอยู่ไหมเนี่ย จดหมายนี่ใครเป็นครเปิดอ่าน เจ้าแฝดจะโดนอะไรหรือเปล่าเนี่ยย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 11-08-2019 00:41:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-08-2019 00:44:28
ตัวร้ายออกมาแล้ววว

คุณพ่อแอชดูแลลูกกับเมียดีๆนะจ๊ะ

 :mew1: :mew1:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 11-08-2019 08:26:55
เด่วๆ จะจัดการอะไร ไม่นะ!!!!! :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-08-2019 10:58:14
นั่นพวกที่คิดจะแย่งตำแหน่งกับพ่อของซินเธียใช่ไหม และนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้พ่อของซินเธียเลือกที่จะให้ซินเธียแต่งออกมาเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับซินเธียใช่ไหมค่ะ แล้วตอนนี้พ่อของซินเธียเป็นยังไงบ้างแล้วเนี่ย ทำไมพวกนั้นถึงแย่งจม.ไปได้กันคงไม่ใช่เกิดอันตรายกับพ่อซินเธียนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 11-08-2019 13:28:35
เอาใจช่วยคุณแม่และคุณพ่อมือใหม่ให้ผ่านเรื่องร้ายๆไปด้วยดี จัดการคนที่คิดไม่ดีกับเจ้าแฝดให้เข็ดไปเลยย

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 26 [P.8] --- 10/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 11-08-2019 17:56:51
แงงงตัวร้ายมาทำไมม เป็นห่วงพ่อน้องซินเธียกับเด็กแฝดดด
แอชลีย์ดูแลลูกเมียดีๆนะะะะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 12-08-2019 22:00:11
บทที่ 27




   เพราะเป็นครรภ์แฝดการดูแลเลยต้องพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ นอกจากอาหารการกินแล้ว การออกกำลังกายเบาก็เป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันของซินเธีย ยิ่งนับเวลาที่จะได้พบหน้าสองแฝดใกล้มามากเท่าใดการเตรียมพร้อมก็ยิ่งต้องมีมากขึ้น


   เช้าวันนี้หลังจัดการอาหารมื้อใหญ่จบลงก็ใช้เวลาย่อยอีกราวครึ่งชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติสำหรับโอเมก้าได้เดินทางมาเปิดคลาสเรียนเล็กๆ สำหรับคุณแม่ลูกแฝดถึงคฤหาสน์คิม


   เจน คือผู้เชี่ยวชาญทางด้านโอเมก้าซึ่งแอชลีย์จ้างมาเป็นพิเศษผ่านแพทย์ประจำตัวของซินเธียอีกทอดหนึ่ง เธอจะมาที่นี่สัปดาห์ละหนึ่งครั้งเพื่อให้คำแนะนำสำหรับเตรียมตัวคลอด อย่างระยะนี้ซินเธียกำลังฝึกเรื่องการหายใจสำหรับคลอดด้วยตนเองอยู่


สำหรับเด็กแฝดแล้ว โอกาสในการคลอดก่อนกำหนดจะสูงกว่าครรภ์ปกติที่มีเด็กเพียงคนเดียว ตอนนี้เหลือเวลาอีกราวหนึ่งเดือนครึ่งก็จะได้พบหน้าลูกแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็อดตื่นเต้นนับวันรอไม่ได้


ฝ่ายแอชลีย์ คิม ก็ดูท่าจะเตรียมตัวไม่น้อย เพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาของเขา พออายุครรภ์มากขึ้นขนาดหน้าท้องก็ยิ่งขยายใหญ่จนแม้แต่การนั่งอยู่เฉยๆ ยังอึดอัด จะลุกจะเดินทำอะไรดูลำบากไปเสียหมด จะปล่อยให้อยู่คนเดียวก็ไม่วางใจ พักหลังมานี้ชายหนุ่มเลยหยุดงานค่อนข้างบ่อย บางสัปดาห์แทบจะขลุกตัวอยู่ในคฤหาสน์เสียด้วยซ้ำ


ขนาดตอนนั้นได้ยินว่าทางครอบครัวตระกูลไลได้ให้กำเนิดคุณหนูตัวน้อยออกมาแล้ว เจ้าตัวยังไม่คิดจะไปเยี่ยมตามมารยาทเลย ได้แต่บอกว่าเรื่องเยี่ยมนั้นค่อยไปครั้งหน้าก็ยังไม่สาย วินเทอร์ฟอลหรือก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร แถมยังมีการบ่นว่าสำหรับลูกคนที่สองน่ะ มีอะไรน่าตื่นเต้นมากกัน ประโยคนี้ชายหนุ่มรำพึงคล้ายไม่ใส่ใจแต่กลับดูสวนทางกับพฤติกรรมของตนเองอยู่เนืองๆ 


สัปดาห์หน้าคุณผู้นำตระกูลคนเก่งจำเป็นจะต้องเดินทางไปยังอีสเทิร์นพอร์ตอีกครั้งเพื่อตรวจสอบเรื่องของการขนส่ง หลังทำการตกลงเรื่องเช่าท่าเรือจากทางตระกูลแลมเบิร์ตธุรกิจอัญมณีของชายหนุ่มก็กำลังไปได้สวย เงินเข้ามากว่าเงินออก เติบโตไปตามเป้าหมายสร้างความพอใจกันทั้งสองฝ่าย แต่จะปล่อยให้งานดำเนินไปโดยที่นายใหญ่ไม่ไปดูแลสักครั้งก็ไม่ถูกต้องนักต่อให้มีคนดูแลแทนอยู่ก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องเดินทางไปตรวจสอบเพื่อรับทราบความเคลื่อนไหวถึงหน้างานอย่างน้อยสามเดือนครั้ง


แอชลีย์กำลังคิดหนักว่าควรจะเลื่อนการเดินทางไปตรวจสอบออกไปก่อนดีหรือไม่ จะให้ไปคนเดียวโดยทิ้งภรรยาท้องแก่เอาไว้ลำพังดูไม่ใช่เรื่องดี จะพาติดตามไปด้วยก็ต้องคิดให้รอบคอบ เรื่องนี้จึงกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาอย่างหนัก และชายหนุ่มก็ยังคิดไม่ตก


อันที่จริงซินเธียไม่คิดมากว่าตนจะต้องไปด้วยหรือต้องรออยู่ที่นี่คนเดียว แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็แอบวูบโหวงอยู่ในใจเช่นกัน พูดตามตรงตั้งแต่เดินทางมายังแดนเหนือแห่งนี้มันก็เกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่เคยห่างกันข้ามวันข้ามคืนเลยสักครั้ง ต่อให้อยู่ในช่วงงานยุ่งมากแค่ไหนแอชลีย์ก็มักจะกลับมานอนที่คฤหาสน์ทุกครั้งไม่ว่าดึกแค่ไหนชายหนุ่มไม่เคยค้างคืนที่อื่นเลยสักครั้ง


ซินเธียยกมือขึ้นลูบหน้าท้องนูนใหญ่ของตัวเองพลางประคองไปด้วยขณะเดินไปยังสวนด้านหลังของตัวคฤหาสน์ ตอนนี้วินเทอร์ฟอลเข้าสู่ช่วงฤดูกาลแห่งชีวิตแล้ว สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า สีสันสดใสของดอกไม้บานสะพรั่งเต็มสวนด้านหลังกลายเป็นภาพแปลกตา หิมะเลือนหายไปแทนที่ด้วยความสดชื่น กลิ่นหอมและเหล่าผีเสื้อโบยบิน


เมื่อมองไปมุมหนึ่งของสวนจะพบเรือนเพาะชำเล็กๆ มันพึ่งถูกสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ ด้านในปลูกต้นมะเขือเทศเชอร์รี่เอาไว้มากมาย พอคิดถึงตรงนี้ซินเธียอดจะยิ้มน้อยๆ ให้กับเจ้าของความคิดไม่ได้


‘ปลูกในเรือนเพาะชำ จะได้ทานตลอดทั้งปี’


เจ้าตัวเขาว่าเอาไว้อย่างนั้น แต่ให้มองในด้านเหตุผลก็น่าเชื่อถือ วินเทอร์ฟอลมีสภาพอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี ยิ่งช่วงครึ่งปีหลังจะอากาศหนาวมากเป็นพิเศษ นอกจากหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วแล้วทั้งต้นไม้ใบหญ้าก็แทบจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้คล้ายถูกแช่แข็งเอาไว้ใต้ผืนเกล็ดน้ำแข็ง ส่วนเจ้าต้นมะเขือเทศเหล่านี้เองก็คงจะแข็งตายก่อนได้เก็บเกี่ยว


“มองอะไรอยู่”


เหม่อมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยคนที่กำลังอยู่ในความคิดก็เดินเข้ามาหา ร่างกายสูงใหญ่ขยับมาชิดกันด้านหลัง สองแขนแข็งแรงโอบประคองหน้าท้องนูนซ้อนทับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้อีกทอดหนึ่ง จรดปลายจมูกลงบนขมับสูดรับกลิ่นหอมจากกายบาง


“เปล่าครับ” เขาตอบทั้งที่สายตายังคงทอดมองออกไปแสนไกลไร้จุดพัก


“ไปเดินเล่นกัน” เอ่ยชิดใบหู สองมือเริ่มขยับเปลี่ยนมาลูบไล้เนินหน้าท้องอย่างเพลิดเพลิน คนฟังเลยชักไม่แน่ใจว่าประโยคนี้เจ้าตัวเขาตั้งใจเอ่ยกับใครกันแน่


“บอกใครครับ”


“ทั้งสามคนนั่นแหละ”


ที่ถามน่ะเพราะต้องการหยอกเย้าส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเพราะสงสัยจริง ก็คุณพ่อเขาเดี๋ยวนี้เริ่มพูดคุยกับลูกเก่งขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ถึงบางครั้งจะเหมือนคุยกับซินเธียมากกว่า แต่เขารู้ว่าคนตัวโตที่กำลังกอดกันอยู่นี้ตั้งใจเล่าให้เด็กๆ ฟังต่างหากล่ะ


จากเรื่องงานที่ปกติไม่นำมาคุยกันก็เริ่มเล่ามากขึ้น วันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง พรุ่งนี้จะออกไปไหน ทำอะไร เป็นเรื่องราวธรรมดา ง่ายๆ แต่ก็ค่อนข้างได้ผลดี เดี๋ยวนี้ทั้งฟรานซิสกับเฟย์ลินน์ก็คุ้นเคยกับคุณพ่อเขามากขึ้น แค่ได้ยินเสียงดังอยู่ใกล้ถ้ายังตื่นอยู่เด็กๆ ก็มักจะแสดงปฏิกิริยาออกมาแล้ว


ส่วนเรื่องหนังสือนิทานนั้น... ลืมไปชั่วคราวก่อนเถอะ เอาไว้ลูกรู้ความกว่านี้ค่อยลองให้แอชลีย์พยายามอีกครั้ง ถึงตอนนั้นทักษะการเล่านิทานของคุณพ่อคงจะพัฒนาขึ้นบ้าง


บางครั้งซินเธียก็เล่าเรื่องในดินแดนทางใต้เหมือนกัน เล่าให้พวกเขารู้ว่าที่ทางใต้น่ะ มีท่านตาอยู่ ท่านใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก นอกจากนั้นก็ยังมีท่านลุงอีกหนึ่งคน ถึงตอนอยู่ในธอร์นความสัมพันธ์ระหว่างซินเธียกับท่านอาจะไม่นับว่าดีอะไรมาก เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยอยากจะมายุ่งเกี่ยวกับหลานที่เป็นโอเมก้าอย่างเขาเสียเท่าไหร่ แต่ว่าท่านก็ไม่เคยพูดจาว่าร้ายหรือทำตัวแย่อะไร เราเหมือนต่างคนต่างอยู่กันมากกว่า


ตอนบ่ายของวสันต์ฤดู สายลมโชยอ่อนพัดพากลีบดอกไม้สีม่วงให้ปลิวไสวไปตามแนวระเบียงทางเดิน ซินเธียเงยหน้าขึ้นมาเหล่ามวลไม้สีสดนั้นด้วยดวงตาประกายระยิบระยับ


สถานที่ที่ชายหนุ่มพาเขามาในวันนี้คือฮิลตัน แอชลีย์เล่าว่าเด็กๆ ในวินเทอร์ฟอลจะถูกพามาศึกษาร่วมกันในสถานที่แห่งนี้ มีผู้ดูแลคือตระกูลฮิลตันซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ด้านบทเรียนมีให้เลือกศึกษามากมายไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การต่อสู้ หรือความรู้แขนงต่างๆ ตามความสนใจของผู้ศึกษา


บรรยากาศของที่นี่ดีมาก ตัวอาคารถูกตั้งอยู่ในระยะห่างที่สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก ไม่ได้กว้างใหญ่จนดูเว่อวังแต่ก็ไม่ได้คับแคบจนอึดอัด มีต้นไม้ร่มรื่นและสวนสำหรับพักผ่อนขนาดเล็ก นอกจากตึกเรียกกับสนามฝึกซ้อมอันกว้างขวางแล้วก็ยังมีหอพักสำหรับทุกคนด้วย


“ในอนาคตฟรานกับเฟรย์ก็ต้องเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่หรือครับ” เขาเงยหน้าถามคนข้างกาย พอคิดว่าลูกๆ จะต้องห่างจากบ้านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบห้ามันก็อดจะวูบโหวงไม่ได้เช่นกัน พวกเขายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ


“สามารถกลับมานอนที่บ้านได้” แอชลีย์อธิบาย “อันที่จริงก็ไม่ได้บังคับหรอก แต่คนส่วนใหญ่หากไม่ได้มาจากตระกูลชั้นสูงการมาพักอาศัยอยู่ในฮิลตันย่อมสะดวกสบายกว่า บางครั้งคนจากจัตุรัสไวท์สแควร์ก็เดินทางมาร่วมเรียนด้วยเช่นกัน”


ตอนแอชลีย์ยังอยู่ในฮิลตัน ชายหนุ่มเองก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์สัปดาห์ละครั้งสองครั้งเช่นกัน คนหลายคนอยู่ในช่วงวัยที่ต้องการอิสระและการสร้างความสัมพันธ์ หาเพื่อน หาคนรัก พอได้มาอยู่ในรั้วแห่งนี้แล้วเรื่องที่บ้านก็กลายเป็นสิ่งน่าเบื่อเพราะในฮิลตัลมีกิจกรรมให้ทำมากมายนอกเหนือจากตารางเรียนปกติ


ต่อให้เป็นคนอย่างคุณชายคาร์ลิน ไล ก็ยังลอบแอบไปขลุกอยู่ในป่าด้านหลังฮิลตันบ่อยครั้ง เขาก็ไม่รู้หรอกว่าสถานที่แห่งนั้นมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่หรือไม่ มันก็เป็นแค่ป่า ทะเลสาบ ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกพิกซี่ สำหรับเขาแล้วไม่นับว่าน่าสนใจอะไร โดยเฉพาะเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านั้น เพียงแค่เดินเข้าไปใกล้อาณาเขตของพวกมันก็พากันแตกกระเจิงหนีหายไปหมด แอชลีย์ยังไม่เคยเจอในระยะประชิดเลยสักครั้ง


“คงสนุกน่าดู” ซินเธียลองจินตนาการภาพตามคำบอกเล่าของสามี ในแดนใต้น่ะไม่มีอะไรแบบนี้หรอก “แล้วที่เรากำลังจะไปกันคือที่ไหนหรือครับ”


“ใกล้แล้วล่ะ” คนตัวสูงว่า สองแขนก็คอยประคองร่างเจ้าเนื้อของคนเป็นภรรยาไปตามระเบียงทางเดินอย่างไม่รีบร้อน


จุดหมายของพวกเขาคล้ายเป็นสวนอะไรสักอย่าง พอเดินเข้าไปแล้วรอบกายเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุหลายร้อยปี คาดว่าหนึ่งต้นคงต้องใช้คนจำนวนสองถึงสามคนถึงจะสามารถโอบได้มิด


แต่ทั้งอายุหรือขนาดของมันก็ไม่ได้ทำให้ซินเธียตื่นตาตื่นใจเท่ารวงไม้สีม่วงเหล่านั้นเลยสักนิด วิสทีเรียเหล่านี้ขนาดของมันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ยามบ่ายไปจนหมดสิ้น ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น รวงไม้สีม่วงทั้งหนาทั้งยาวเรียงร้อยกันเป็นช่อมากมายยิ่งทำให้มันดูงดงามและแปลกตาจนไม่สามารถจะละสายตาไปไหนได้


ปลายผมปลิวตามสายลมเอื่อยที่ยังคงพัดวูบเป็นระยะ กลีบดอกไม้ลอยละลิ่วอยู่บนอากาศโชยเอากลิ่นหอมแตะปลายจมูกเบาบาง มือใหญ่เอื้อมขึ้นมาช่วยปัดกลีบดอกที่ปลิวมาติดเส้นผมออกให้ก่อนจะทัดปอยผมไปยังหลังใบหู การกระทำแสนอ่อนโยนเหล่านี้ไม่ว่าจะเมื่อไหร่จิตใจของเด็กหนุ่มก็ไม่เคยชินชาเลยสักครั้ง


“ที่เคยบอกเอาไว้ ชอบหรือไม่”


มันก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วจนแม้แต่ซินเธียเองก็ยังหลงลืมไปในบางครา ทว่าชายหนุ่มกลับจดจำและทำตามคำกล่าวนั้นโดยไม่บิดพลิ้ว เคยบอกว่าจะพามา ก็พามาจริง


เหมือนวันนั้นจะเป็นวันที่หิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วทั้งวินเทอร์ฟอล ซินเธียแค่บ่นออกมาเรื่อยเปื่อยว่าต้นไม้ในคฤหาสน์นั้นแห้งเหี่ยวไปจนสิ้นไม่มีสิ่งไหนให้ชื่นชม อีกคนเลยกล่าวว่าจะพามายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คงหมายถึงสวนวิสทีเรียแห่งนี้


ถ้อยคำนั้นจะบอกว่าเป็นคำสัญญายังพูดไม่ได้เต็มปากเลยด้วยซ้ำ ก็แค่บทสนทนาไร้ที่มาที่ไปของเราทั้งสอง ไม่ยึดถือเป็นเรื่องจริงจังอะไร ต่อให้แอชลีย์ทำเป็นลืมเลือนก็ไม่ใช่เรื่องน่าโกรธเคืองอันใด


ซินเธียนั่งลงบริเวณม้านั่งแถวนั้น สูดลมหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด นานครั้งได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน เขารู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยทั้งร่างกายและจิตใจ


“ถึงมันอาจจะเหงาไปบ้าง แต่ถ้าลูกๆ ได้มาอยู่ในสถานที่ดีๆ แบบนี้เราก็วางใจ” เด็กหนุ่มกล่าวเลื่อนลอยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สายตาทอดมองรวงไม้สีม่วงด้วยท่าทางหย่อนอารมณ์ ได้ยินเสียงคนข้างกายตอบรับมาคำหนึ่ง


“อืม”


สองคนพูดเรื่องราวไร้สาระไปเรื่อย ถึงแม้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นซินเธียเสียมากกว่า บทสนทนาส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวในอนาคตของลูกๆ ต่อให้มันจะเป็นอนาคตอันยาวไกล แต่ก็รู้สึกมีความสุขยามได้เอ่ยถึง


ชีวิตอันแสนเรียบง่าย หากเป็นแบบนี้ตลอดไปคงดีไม่น้อย


 
วันถัดมาซินเธียได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ ครั้งแรกที่คุณพ่อบ้านนำมาแจ้งเด็กหนุ่มยังแสดงสีหน้างุนงง ทว่า เมื่อพลิกดูตราประทับของตระกูลแล้วริมฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มทันที เขาให้คุณพ่อบ้านช่วยนำชาและของว่างมาให้ส่วนตัวเองก็เดินออกไปทรุดตัวนั่งตรงโต๊ะเหล็กดัดสีขาวในสวน


บ่ายวันนี้อากาศดีมาก ไม่หนาวเย็นจนเกินไป ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นเดียวกับอารมณ์ของเด็กหนุ่มในวันนี้


มือเรียวสวยบรรจงเปิดซองจดหมายออกแผ่วเบา ในบรรดาจดหมายหลายสิบฉบับที่เขาเขียนไปนับว่านี่เป็นจดหมายตอบกลับฉบับแรกจากท่านพ่อหากไม่นับวันแต่งงานครั้งนั้น


ในเนื้อความไม่ได้เขียนอะไรยืดยาว เริ่มต้นด้วยการทักทายตามปกติแต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานก็ค่อยๆ จางลงทีละน้อย


‘ซินเธีย ขอโทษที่พ่อไม่ค่อยได้เขียนจดหมายตอบกลับมา ด้วยปัญหาสุขภาพในขณะนี้ซึ่งมันแย่ลง จากตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพียงโรควัยชราธรรมดาทั่วไป ตอนนี้พ่อคิดว่าตัวเองคงไม่ค่อยไหวเท่าไหร่นัก ได้แต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ทั้งเหนื่อยและอ่อนล้า...’


‘พอได้ยินว่าลูกกำลังมีข่าวดี หัวใจคนชราคนนี้ก็เริ่มมีกำลังขึ้น พ่ออยากเจอลูกกับหลานนะ ความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากให้ลูกต้องลำบากเดินทางไกลในช่วงเวลาแบบนี้ มันคงยุ่งยากน่าดู แต่อย่างน้อยก็อยากเห็นหน้าทั้งสองคนเผื่อว่าวันข้างหน้าอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกัน’


ท่านพ่อกำลังป่วยหรือ


เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ใบหน้าปรากฏแววกังวลใจออกมาเด่นชัด เดิมสุขภาพของท่านก็ไม่นับว่าแข็งแรงนัก หรือจะพูดให้ถูก สุขภาพกายก็เป็นผลกระทบมาจากสภาพทางใจ เพราะสูญเสียท่านแม่ไปทำให้ราชาแห่งธอร์นคนปัจจุบันไม่อาจปกครองดินแดนทางใต้ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป


หรือว่าช่วงหลายเดือนมานี้อาการของท่านจะทรุดลงกันนะ


ขณะกำลังครุ่นคิดกับตัวเองระหว่างตั้งใจพับจดหมายกลับลงไปในซองดังเดิมซินเธียก็พบว่าในซองจดหมายไม่ได้มีกระดาษเพียงแผ่นเดียว แต่ด้วยความตื่นเต้นเต็มไปด้วยความคิดถึงผู้เป็นบิดาและกระดาษทั้งสองแผ่นนั้นบางมากจนแทบจะติดกันเป็นเนื้อเดียวทำให้ครั้งแรกไม่ได้สังเกตว่ากระดาษในมือตนนั้นแท้จริงแล้วมันซ้อนกันมาสองแผ่น


เมื่อคลี่กระดาษแผ่นที่สองออกมา หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดยิ่งขึ้น ในจดหมายไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนหรือเกริ่นข้อความใดมาก เป็นข้อความสั้นๆ ไม่กี่บรรทัด ใจความโดยรวมพูดถึงเบื้องหลังการแต่งงานครั้งนี้ว่าแท้จริงแล้วทางฝั่งคนแดนเหนือได้ประโยชน์ใดจากทางแดนใต้บ้าง


‘แอชลีย์ คิม เพียงต้องการครอบครองเหมืองแร่บริสุทธิ์อันเป็นสมบัติตกทอดของทางตระกูลวาเลนเท่านั้น’

น้ำหนักของหมึกยามจรดปลายปากกาเพื่อเขียนข้อความเหล่านี้ดูเข้มเป็นพิเศษคล้ายว่าต้องการเน้นย้ำให้เป็นใจความสำคัญ


เหมืองแร่ของตระกูลวาเลนเป็นเหมืองที่มีอัญมณีล้ำค่าอยู่มากทั้งยังไม่ได้รับการขุดเจาะ มูลค่าของมันไม่อาจประเมินออกมาได้ หากผู้ใดได้ครอบครองก็คงอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิตเผื่อแผ่ไปถึงลูกหลานหลายต่อหลายรุ่น


เรื่องสมบัติตระกูลซินเธียรับทราบ หากแต่ข้อแลกเปลี่ยนในส่วนนี้เด็กหนุ่มไม่ได้รับรู้ด้วย นัยน์ตาสีเงินกวาดอ่านทุกตัวอักษรอย่างเงียบงัน ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึก


นอกเหนือจากข้อแลกเปลี่ยนนั้น ในจดหมายยังบอกเล่าไปในเชิงว่าร้าย ชักนำให้เกลียดชังผู้นำตระกูลคิมถึงความกระหายอำนาจ ความเห็นแก่ตัว และอีกหลายถ้อยคำ โดยรวมแล้วสรุปได้ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ นอกจากทางตระกูลคิมจะได้อำนาจครึ่งหนึ่งของทางแดนใต้ และอำนาจนั้นคงมีมากขึ้นเมื่อซินเธียคลอดอัลฟ่าชายออกมาให้พวกเขาสักคน นอกจากนั้น เหมืองแร่...


นับเป็นการแต่งงานที่มีแต่ได้ไม่มีเสีย คนที่เสียเปรียบกลับกลายเป็นซินเธียเสียเองที่มองดูแล้วเขาได้อะไรจากการแต่งงานครั้งนี้บ้าง?


นั่นสินะ


เด็กหนุ่มพับจดหมายทั้งสองฉบับกลับลงซองดังเดิมก่อนจะยกแก้วชาขึ้นมาจิบ ดวงตาสีเงินส่องประกายราวคริสตัลทอดมองไปยังผืนฟ้าแสนกว้างไกลไร้จุดพัก มือข้างหนึ่งก็คอยลูบหน้าท้องนูนใหญ่ของตัวเองไปด้วยในตอนที่กำลังใช้ความคิด


ถามว่าเขาได้ประโยชน์ใดจากการแต่งงานครั้งนี้ ก็คงจะไม่มีจริง ถูกต้องแล้ว


แต่ทุกวันนี้ชีวิตของเด็กหนุ่มมีความสุขดี ไม่มีสิ่งใดขาดเหลือ ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังโต ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามี และล่าสุด พวกเขากำลังจะมีทายาทอันเกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเราทั้งสองคน


สิ่งเหล่านี้ซินเธียไม่นับว่ามันคือประโยชน์ที่ตนเองควรได้รับ แต่มันมากกว่าคำว่าผลประโยชน์ หากเป็นสิ่งที่มากกว่านั้น มีค่ามากยิ่งกว่านั้น


ส่วนเรื่องที่ว่าแอชลีย์ คิม ได้อะไรจากทางวาเลนไปบ้าง เรื่องจำพวกนี้ซินเธียทำใจยอมรับมานานแล้ว ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้มันก็มาจากคำว่าผลประโยชน์ตั้งแต่ต้น ทันทีที่เขาตกปากรับคำกับท่านพ่อ ยอมพาตัวเองขึ้นรถม้าเดินทางไกลมาถึงแดนเหนือนั่นหมายถึงว่าเขาได้คิดไตร่ตรองและยอมรับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และจะไม่เสียใจภายหลัง


เพราะแบบนั้นจึงไม่ได้คิดคาดหวังสิ่งใดตั้งแต่แรก แม้แต่ความรักจากชายหนุ่ม


อำนาจทางแดนใต้คงไม่ใช่สิ่งมีค่าอะไรในสายตาคนแดนเหนืออย่างแอชลีย์อยู่แล้ว ถึงซินเธียจะไม่ค่อยเข้าใจความคิดของชายหนุ่ม ทั้งไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายตกลงยอมแต่งงานกับตนเองและรับเข้าตระกูลมาอาศัยอยู่ร่วมกันในตอนแรก


ตอนนี้เขากระจ่างแล้วจากความจริงในจดหมาย อืม ข้อเสนอนี้ก็นับว่าใครปฏิเสธไปก็คงโง่งมเต็มที เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่านะ แอชลีย์ถึงสามารถขยายเขตการค้าของตัวเองและตกลงทำสัญญากับฮิลล์ แลมเบิร์ต โดยไม่เกรงกลัวว่าคู่ค้าในครั้งนี้จะได้สมญานามว่าเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเพียงใด


ทว่า เรื่องไหนก็ไม่สำคัญเท่าอาการป่วยของท่านพ่ออีกแล้ว ซินเธียกังวลใจเรื่องนี้มากกว่า เขาอยากจะรีบกลับไปดูท่านให้เร็วที่สุด จากเนื้อความในจดหมายทำเอาเขาร้อนใจไม่น้อย อาการของท่านน่าเป็นห่วงมาก ดูแล้วกำหนดการกลับไปยังทางใต้คงจะต้องเลื่อนจากเดือนหน้ามาเป็นภายในสัปดาห์นี้แทน


 ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี


ตกลงกับตัวเองได้แล้วก็รอจนกระทั่งคนเป็นสามีกลับมา ซินเธียนำเรื่องราวที่ได้รับรู้ผ่านจดหมายฉบับแรกไปถ่ายทอดให้อีกคนฟังรวมถึงแผนการเดินทางของตัวเองด้วย


แอชลีย์ขมวดคิ้วหน้าตึงไปทันทีหลังได้ยินคำกล่าวนั้น “จะไปเลยหรือ”


เรื่องการกลับไปคลอดยังบ้านเกิดหรือบ้านเดิมภรรยาของคนแดนใต้นั้นชายหนุ่มก็พอทราบมาบ้าง จะไปน่ะไปได้ ถึงอย่างไรก็คิดตามไปด้วยอยู่แล้ว เข้าใจว่าธรรมเนียมการปฏิบัติของแต่ละดินแดนย่อมมีความแตกต่างกัน จะให้ตนทำตัวเป็นคนใจแคบสั่งให้อีกคนต้องขัดหลักปฏิบัติที่ยึดถือกันมาช้านานมันก็ไม่ใช่เรื่อง แต่ช่วงเวลานี้เขาเองก็ต้องไปจัดการธุระสำคัญที่อีสเทิร์นพอร์ต จะเลื่อนก็ไม่ได้ ซ้ำจะปล่อยอีกคนไปลำพังก็นึกกังวล


จะให้ยืดเวลาออกไป ซินเธียคงไม่ยอมแน่ จากที่ฟังดูเหมือนปัญหาสุขภาพของลิมเบิร์ก วาเลนจะหนักมากจริง ช่างเป็นการตัดสินใจแสนยากเย็น


“ครับ อย่างน้อยก็อยากรีบกลับไปดูแลท่านสักหน่อย” ซินเธียกล่าว


“ถ้าอย่างนั้นเธอล่วงหน้าไปก่อน แล้วฉันจะรีบตามไปก็แล้วกัน”


การเดินทางจากวินเทอร์ฟอลไปยังธอร์น คำนวณจากตอนส่งตัวเจ้าสาวคราวนั้นใช้เวลา 5 วัน แต่ครั้งนี้ถึงจะเป็นธุระเร่งด่วนแต่การเดินทางจะเร่งรีบมากไม่ได้ รถม้าไม่เหมือนรถยนต์ หากใช้ความเร็วมากเกินไปซินเธียคงนั่งไม่สบายตัวนัก


หลังจากใช้ความคิดอยู่นานจนความเคร่งเครียดปรากฏออกมาให้เห็นทางสีหน้า แอชลีย์ก็ถอนหายใจ ยอมรับออกมาในที่สุด


วันมะรืนเขาจะขับรถไปส่งซินเธียจนถึงเขตชายแดนด้วยตนเองก่อน พยายามย่นระยะเวลาในการเดินทางให้มากที่สุดจนถึงเส้นทางที่ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้จริงๆ ค่อยให้อีกคนขึ้นรถม้าต่อไป เดินทางอีกราว 3 – 4 วัน ส่วนตัวเองก็รีบไปสะสางธุระให้เสร็จแล้วค่อยตามไปทีหลัง ตอนนั้นอีกคนคงใกล้จะเข้าอาณาเขตของธอร์นพอดี


“อย่ากังวลเลยนะครับ” เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นจรดกลีบปากลงบนมุมปากของคนตัวสูงแผ่วเบา มือก็ช่วยนวดหัวคิ้วคลายความเครียดขึงจากการใช้ความคิดให้ “เราจะดูแลตัวเองให้ดี คุณเสร็จจากทางนั้นแล้วค่อยตามมานะ”


อัลฟ่าหนุ่มพรูลมหายใจ ภรรยาเขาพูดออกมาขนาดนี้แล้วยังจะต้องทำอะไรได้อีก สุดท้ายก็ได้แต่รวบร่างนุ่มนิ่มนั้นเข้ามาในวงแขน แนบผิวแก้มลงกับศีรษะของเด็กหนุ่มพร้อมปิดดวงตาลง


“เอาตามที่เธอว่าก็แล้วกัน”



TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-08-2019 22:48:18
 :ling3:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 12-08-2019 23:03:33
ใครมายุแยงนายเอก-พระเอกของเรากัน
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-08-2019 23:26:05
 :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-08-2019 23:34:08
ลุงหรือเปล่าที่เป็นตัวร้าย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 13-08-2019 00:37:59
โอ๊ยยยยยย เริ่มแล้ว
ขอให้ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งแฝดนะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 13-08-2019 08:59:36
 :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-08-2019 13:12:02
หวังว่าพ่อของซินเธียจะไม่เป็นอะไรนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 13-08-2019 14:56:35
เขารักกันจ้าาาา ใส่ร้ายยังไง :katai2-1:เขาก็ไม่โกรธกัน
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-08-2019 21:06:11
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 14-08-2019 04:35:31
กำลังหวานเลย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 14-08-2019 09:02:33
 :ling2:สนุกมาค่ะ มาอัพบ่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 14-08-2019 14:11:26
อย่าเป็นอะไรนะซินเธียและแฝด
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: bnmshhhhhhh ที่ 17-08-2019 13:00:21
อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมาก :L1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 17-08-2019 19:03:12
มันเป็นกลลวง น้องงงง อย่าไปปปปป
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 27 [P.9] --- 12/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 17-08-2019 19:25:55
ต้องมีเรื่องร้ายแน่ๆเลย แงงง ขอให้เด็กๆกับซินเธียปลอดภัยด้วยเถอะ เพี้ยง!!! :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 19-08-2019 21:50:57

บทที่ 28





คืนนั้นซินเธียเข้านอนไวกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อการพักผ่อนอย่างเพียงพอ รุ่งเช้าก็นั่งทานอาหารอย่างสบายใจ กลับแดนใต้ครั้งนี้เด็กหนุ่มได้ขอให้แม่ครัวทำขนมหลายอย่างที่สามารถเก็บไว้ได้นานหน่อยเพื่อนำไปฝากท่านพ่อกับแคลร์ ทั้งสองคนจะต้องดีใจมากแน่ๆ ระหว่างคิดใบหน้าหวานก็ผุดรอยยิ้มสดใส สองมือบรรจงจัดขนมแพ็คใส่กล่องด้วยตนเองทุกอย่าง


มีทั้งคุกกี้ธัญพืชสูตรเพื่อสุขภาพ ใบชาขึ้นชื่อของวินเทอร์ฟอลอีกจำนวนหนึ่ง สองอย่างนี้นำมาทานคู่กันยามบ่ายคงสุขใจไม่น้อย... ไม่สิ ช่วงบ่ายอากาศร้อนเกินไปคงไม่เหมาะกับการจิบชาอีกทั้งชาวแดนใต้ส่วนใหญ่จะยังคงออกไปล่าสัตว์หากินนอกบ้าน เอาเป็น เปลี่ยนไปทานช่วงเช้าเป็นของรองท้องก่อนอาหารจานหลักก็นับว่าไม่เลว เด็กหนุ่มพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ มือก็จัดแจงวางคุกกี้ลงในกล่องพลาสติกอย่างดี


นอกจากพวกของว่างแล้วยังมีผลไม้อบแห้งอีกหลายอย่าง มะเขือเทศเชอรี่อีกตะกร้าใหญ่ คิดไปคิดมาก็เหมือนว่าการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครานี้จะมีข้าวของมากมายกว่าสมัยที่ซินเธียย้ายเข้าเสียอีก


“ขนอะไรไปเยอะแยะ” เจ้าบ้านตัวสูงเดินเข้ามาในครัว มองภรรยาจัดแจงขนมหลายต่อหลายกล่อง ก็พอจะรู้มาบ้างว่าอาหารการกินของทางใต้ไม่เหมือนกัน ยิ่งพวกของว่างยามบ่ายยิ่งคล้ายเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนเหล่านั้น การนำกลับไปเป็นของฝากคงเป็นอะไรที่แปลกตาสำหรับคนที่นั่นพอควร


แต่นี่...มันก็ดูออกจะเยอะไปเสียหน่อย


“เราอยากให้ท่านพ่อลองชิม” เด็กหนุ่มเล่าด้วยใบหน้าอารมณ์ดี “ท่านเป็นคนชอบตื่นเช้ามาก และชอบไปนั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นแถวเนินเขาหลังหมูบ้านทุกวัน มันคงจะดีหากท่านมีของว่างพกติดตัวไปด้วย”


พอเห็นอีกคนแสดงความห่วงใยต่อบิดาปานนั้นก็ไม่คิดขัดอะไร แอชลีย์ยืนมองอีกคนจัดการอะไรต่อไปเงียบๆ จนกระทั่งแล้วเสร็จทุกอย่างแล้วถึงได้สั่งให้คนขนไปขึ้นรถ


แอชลีย์ตั้งใจจะไปส่งอีกคนถึงเขตชายแดนวินเทอร์ฟอลแล้วขับต่อไปอีกหน่อยจนสิ้นสุดเส้นทางที่เป็นถนน เพื่อจะร่นระยะเวลาในการเดินทางให้สั้นลง ถึงจะไม่มากแต่อย่างน้อยการได้นั่งรถยนต์แบบนี้ย่อมสบายกว่ารถม้าเป็นไหนๆ คนทั้งสองขับด้วยรถส่วนตัวคันประจำของแอชลีย์ ส่วนข้าวของจำเป็นอื่นๆ รวมเสื้อผ้าอีกเล็กน้อยของซินเธียได้ถูกสั่งให้ล่วงหน้าไปรอยังจุดนัดพบก่อนแล้ว


เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงจุดสิ้นสุดของถนน รถม้าก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง ซินเธียเดินออกมาจากรถด้วยความช่วยเหลือของคนตัวสูงประคองลงมา ดวงตากลมโตมองเข้าไปยังเส้นทางเบื้องหน้าซึ่งเป็นป่าลึก อากาศบริเวณนี้อบอุ่นกว่าวินเทอร์ฟอลมาก เขาถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ส่งให้แอชลีย์เหลือเพียงเสื้อผ้าเนื้อเบาสบายเหมาะสมกับการเดินทางไกลในป่า รองเท้าก็เปลี่ยนเป็นบูตยาวครึ่งหน้าขา พอได้กลับมาสวมชุดแบบฉบับคนแดนใต้แบบนี้แล้วมันค่อนข้างแปลกไปเหมือนกัน แม้ชุดที่สวมจะไม่ได้ดูทะมัดทะแมงพอดีตัวอย่างเมื่อก่อนหากแต่เป็นเสื้อแขนกุดตัวในขนาดสบายตัวสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าชิฟฟอนสีน้ำเงินเข้มช่วยพรางหน้าท้องนูน


ดูเหมือนซินเธียจะคุ้นชินกับชีวิตในแดนเหนือมากเกินไปเสียแล้ว


นอกจากคนคุ้มกันขบวนเดินทางจำนวนหนึ่งแล้วแมรี่ก็ได้รับมอบหมายให้ติดตามมาดูแลซินเธียอีกด้วย ซึ่งขณะนี้เด็กสาวกำลังตั้งหน้าตั้งตาปูเบาะหนานุ่มอยู่ภายในตัวรถม้า โดยสารด้วยม้าไม่เหมือนเครื่องยนต์ยิ่งเป็นป่าลึกที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนด้านในจึงมีการปูเบาะซ้อนกันหลายชั้น นอกจากนี้ยังมีน้ำชากับของว่างรองท้องอีก กล่องปฐมพยาบาล หมอนอิง ทุกอย่างล้วนจัดเตรียมเอาไว้อย่างเพียบพร้อม


“คงส่งได้แค่นี้” ชายหนุ่มหันหน้ามาหาแล้วเอ่ยเสียงเบา ซินเธียมองสบเข้าไปในดวงตาอำพันคู่นั้นมันเจือไปด้วยความเป็นห่วง กังวล และอาวรณ์ ต่อให้ไม่ต้องพูดคำใดออกมาเขาก็เข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายได้ดี


ตั้งแต่ได้พบกันครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ซินเธียกับแอชลีย์จะต้องแยกห่าง ลึกๆ แล้วหัวใจมันก็แอบวูบโหวงไม่น้อยที่อีกหลายวันต่อไปนี้คงไม่มีร่างกายอุ่นๆ ของอีกคนคอยโอบกอดยามหลับนอน


ยังไม่ทันจะเดินทางเขาก็คิดถึงอีกคนเสียแล้วสิ ไม่รู้เป็นเพราะอยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือเปล่าพอต้องห่างคู่ของตัวเองมันถึงได้รู้สึกโหยหา ไม่สบายใจมากเป็นพิเศษ


ซินเธียสวมกอดคนตัวสูง ปิดดวงตาลงซึมซับกลิ่นหอมและความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนต้องห่างกัน ซึ่งอีกฝ่ายเองก็กระชับอ้อมกอดแน่นไม่ต่าง เขาแนบแก้มลงบนศีรษะคนในอ้อมแขนใช้เวลาครู่ใหญ่ถึงได้คลายลงเปลี่ยนเป็นเลื่อนลงไปกุมสองมือบางเอาไว้แทน


อัลฟ่าหนุ่มจับจ้องดวงหน้านวลกระจ่างโดยไม่พูดสิ่งใด ทว่า หลากหลายถ้อยคำอัดแน่นในดวงตานั้น ยกมือขึ้นช่วยเกลี่ยปอยผมยาวขึ้นไปเหน็บไว้ข้างใบหู มืออีกข้างซ้ายที่จับกันไว้ก็กระชับแน่น กล่าวถ้อยคำเสียงทุ้ม


“ดูแลตัวเองนะ”


“อื้อ”


และเลื่อนมือไปลูบหน้าท้องนูนที่ถูกซ่อนอยู่ในผ้าเนื้อโปร่งแผ่วเบาคล้ายบอกลาเด็กๆ ไม่ต่างจากคนแม่ ลูบจนพอใจแล้วถึงได้พาอีกคนขึ้นไปนั่งบนรถม้า ยืนมองเจ้าตัวจัดท่าทางจนได้นั่งสบายแล้วก็กวาดสายตาเพื่อตรวจความเรียบร้อยจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดขาดเหลือก็ไม่ลืมกล่าวกำชับอีกเป็นครั้งท้ายสุด ก่อนที่จะปิดประตูรถ


เวลานี้ทุกคนก็ต่างมีสิ่งที่ตัวเองจำเป็นต้องทำ ละทิ้งไม่ได้ สิ่งเดียวที่สมควรในยามนี้ที่สุดก็คงจะเป็นรีบกลับไปจัดการงานของตัวเองให้เรียบร้อยโดยเร็วเพื่อจะได้ตามไปสมทบภายหลัง


“แล้วฉันจะรีบตามไป”


ซินเธียได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


“เราจะรอนะ”





คณะเดินทางไม่ได้เร่งรีบจนข้ามวันข้ามคืนแต่ก็ไม่ได้เอื่อยเฉื่อยมาก มีหยุดพักวันละ 2 เวลาคือช่วงบ่ายเพื่อรับประทานอาหารและให้ท่านชายได้ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง การต้องนั่งๆ นอนๆ ท่าเดิมอยู่ในรถคับแคบครึ่งวันสำหรับคนทั่วไปก็นับว่าน่าอึดอัดปวดเมื่อยพอแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนท้องแก่แบบซินเธีย บางครั้งระหว่างทางเขายังต้องไหว้วานให้แมรี่ช่วยบีบนวดขาคลายเหน็บชาเป็นระยะ


อีกช่วงคือตอนเย็นเพื่อค้างแรม คนของแอชลีย์ที่ตามมาดูแลนั้นมีทักษะในการเดินป่าสูง พวกเขาทำงานได้อย่างไม่ติดขัดแถมยังรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาหยุดพักคนเหล่านั้นจะรีบแยกย้ายกันไปทำงานของตนโดยไม่ต้องเอ่ยปากซ้ำให้เหนื่อย คนกลุ่มหนึ่งไปตั้งกระโจมสำหรับใช้นอนพักผ่อน อีกกลุ่มหนึ่งก่อกองไฟ อีกกลุ่มหนึ่งเตรียมอาหาร


ในเรื่องอาหารการกินแน่นอนว่ามันคงไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนอยู่ในคฤหาสน์ แม้จะมีเสบียงติดมาให้เพียงพอสำหรับเดินทางตลอด 5 วันก็นำติดมาได้แค่อาหารแห้งกับพวกเนื้อจำนวนหนึ่ง สองวันแรกยังสามารถนำเนื้อมาปรุงอาหารได้ แต่หลังจากนั้นเก็บไว้นานจะเน่าเสียเอาได้เนื่องด้วยพอพ้นอาณาเขตของแดนเหนือมาแล้วอากาศก็ไม่ได้หนาวเย็นอีกต่อไป ก็คงเหลือเพียงอาหารสำเร็จรูปเท่านั้น หากวันไหนล่าสัตว์เล็กอย่างนกหรือกระต่ายได้ก็ถือว่าโชคดีไป วันไหนได้ตั้งกระโจมใกล้แหล่งน้ำก็พอจะจับปลามาย่างได้


การใช้ชีวิตกลางป่าคาดเดาอะไรไม่ได้ หากเป็นคุณชายตระกูลอื่นคงน้ำตานองหน้าไปแล้ว แค่เรื่องอาหารก็ย่ำแย่พอทนยังไม่นับพื้นที่หลับนอนให้ได้มากสุดแค่ใช้ผ้าปูกับพื้นกับอาศัยเบาะรอง หมอนอิงจำนวนหนึ่ง ทว่า ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้มันก็ยากที่จะป้องกันไม่ให้ตื่นมาพร้อมกับอาหารปวดเมื่อยเนื้อตัวอยู่ดี


เรื่องข้าวของทุ่นแรงลืมไปได้เลย การเดินทางไกลกลางป่านั้นไม่สามารถนำข้าวของอะไรมาได้มาก พยายามนำมาแต่สิ่งจำเป็นเท่านั้นก็เพียงพอ หนึ่งเพื่อลดภาระในการขนย้าย ลดความล่าช้าในการเดินทาง ยิ่งของติดตัวน้อยเท่าใด ขบวนเดินทางเล็กเท่าใด ระยะเวลาในการเดินทางก็จะยิ่งรวดเร็วมากขึ้น เวลาเกิดเรื่องไม่คาดฝันก็ไม่ต้องมาคอยพะวงห่วงของมีค่า


ซินเธียนั้นไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร เขาชินกับวิถีชีวิตแบบนี้อยู่แล้ว คนแดนใต้นอนกลางดินกินกลางทรายเป็นเรื่องปกติ ลำบากกว่านี้ก็สัมผัสมานับพัน โดยเฉพาะการออกล่าสัตว์ในแต่ละครั้งกินเวลาหนึ่งถึงสองวัน นานสุดเป็นสัปดาห์ก็ยังมี ทุกครั้งพวกเราจะนำติดตัวไปเพียงกระบอกน้ำ อาวุธประจำตัวแล้วแต่ถนัด ไม่ว่าจะเป็นดาบ มีดพก ธนู หรือแม้แต่หอก อาหารก็อาศัยไปหาเอาดาบหน้า โชคดีล่าสัตว์ได้สักตัวก็นำมาย่าง วันไหนจับไม่ได้ก็ต้องใช้ผลไม้ป่าประทังชีวิต นอกจากเก็บไว้เป็นเสบียงในช่วงหน้าแล้งแล้วสัตว์บางชนิดสามารถนำมาทำเครื่องนุ่งห่มได้


พวกเราใช้ชีวิตกันแบบนั้น


การเดินทางราบรื่นดี ซินเธียเดินทางมาถึงแดนใต้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หากเร่งเดินทางต่อกันแต่เช้าโดยไม่หยุดพักคาดว่าวันพรุ่งนี้คงเข้าสู่อาณาเขตของธอร์นไม่เกินช่วงเย็น ป่าเขารอบๆ จะหนาทึบเป็นพิเศษ ยิ่งใกล้ทางเข้าธอร์นเท่าไหร่ความหนาแน่นของต้นไม้จะยิ่งมากขึ้น ทางเข้าจะเป็นหุบเขาสองลูกติดกัน ตรงกลางมีช่องแคบขนาดพอให้ขบวนรถม้าผ่านเข้าไป เมื่อทะลุผ่านออกมาได้จะเจอกับทุ่งหญ้าราบกว้างสุดลูกหูลูกตาอันเป็นสถานที่อาศัยของชาวธอร์น


ขณะนี้ตะวันใกล้ตกดินแล้วคณะเดินทางจึงหยุดพักตั้งกระโจมกันชั่วคราว เป็นโชคดีว่าสถานค้างแรมคืนนี้อยู่ติดลำน้ำ ซินเธียเดินออกมายืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยขบหลังนั่งมาครึ่งค่อนวันระหว่างรอคนของตระกูลคิมช่วยกันสร้างกระโจม ทิศตะวันออกแว่วเสียงน้ำดังมาคาดว่าเดินเท้าต่อไปอีกประมาณสองสามร้อยเมตรคงเจอน้ำตก


ดีหน่อยวันนี้จะได้อาบน้ำชำระกาย


เด็กหนุ่มหมายมาดไว้ดังนั้น เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็พาตัวเองไปจัดการธุระตรงริมธารทันที ด้วยความไม่สะดวกในหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะด้านสรีระทำให้ต้องใช้ความรวดเร็วในการจัดการตัวเองมิอาจทำตัวสบายอารมณ์นอนแช่น้ำเล่นดังวัยเยาว์ได้ เมื่อขจัดความเหนอะออกไปจากร่างกายแล้วท่านชายก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา เดินกลับไปยังบริเวณกระโจมเพื่อรับประทานอาหารมื้อเย็น


ตะวันคล้อยลงแทนด้วยดวงจันทร์กระจ่าง รอบกายมืดมิด มีเพียงแสงรำไรจากดวงจันทร์และกองไฟ ซินเธียนั่งทอดอารมณ์ดวงตากลมสีเงินสะท้อนประกายไฟวาววับไม่ได้จับจ้องตรงไหนเป็นพิเศษ แม้จะเริ่มดึกแล้วหากทว่าเด็กหนุ่มยังไม่ค่อยอยากนอน เขานั่งพิงกับต้นไม้ต้นหนึ่งสองบ่ามีผ้าผืนบางคลุมเอาไว้ ดินแดนทางใต้แม้จะมีอากาศอบอุ่นแต่กลางคืนก็เย็นพอสมควร นั่งตากไอน้ำค้างนานเข้าก็ทำให้ป่วยได้เช่นกัน คิดอะไรไปเรื่อยอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงล้วงห่อผ้ากำมะหยี่ออกมาจากเสื้อตัวนอก


ห่างออกไปไม่ไกลนัก เด็กสาวสังเกตว่าท่านชายกำลังนั่งมองของบางอย่างในมือก็นึกสนใจเลยเอ่ยปากถามออกไป


“สิ่งนั้นคือ...”


ซินเธียหันตามเสียง พอได้ยินคำถามนั้นก็หันกลับไปมองสิ่งที่อยู่ในมือของตนพลางระบายรอยยิ้ม “กำไลสองวงนี้เราเตรียมเอาไว้ฟรานกับเฟรย์” กล่าวไปพร้อมใช้ปลายนิ้วไล้สิ่งที่ว่าไปด้วยความทะนุถนอม


“มันสวยมากเลยค่ะ ต้องเหมาะกับคุณชายทั้งสองมากแน่ๆ” เด็กสาวจดจ้องดวงตาไม่กะพริบ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของดีมีค่า โดยเฉพาะอัญมณีสีฟ้าใสที่ประดับอยู่บนนั้น


ซินเธียไม่ได้ตอบสิ่งใด ทำเพียงระบายรอยยิ้มนำกำไลทั้งสองวงออกมาสวมลงบนข้อมือของตน สิ่งนี้นอกจากสามารถขยับขยายได้ตามขนาดข้อมือแล้วยังมีกลไกพิเศษอยู่อีกหนึ่งคือมันมีขนาดพอดีกับข้อมือผู้อื่นจะไม่สามารถแย่งชิงไปได้หากไม่รู้วิธีปลดล็อกที่ถูกต้อง วิธีการไม่ได้ซับซ้อนถ้ารู้จุดหากเป็นเจ้าของก็สามารถถอดออกได้ง่ายดาย แต่หากใครคิดแย่งชิงฉุดดึงออกไปดึงให้ตายก็ดึงไม่ออก


“วันพรุ่งนี้เราก็จะได้พบกับท่านตาแล้วนะ” เขาลูบหน้าท้องขณะคุยเล่นกับเด็กๆ “ท่านเป็นคนใจดีมากๆ หากพวกลูกโตขึ้นอีกหน่อย เขาจะต้องพาไปสอนล่าสัตว์แน่นอน”


“ครั้งแรกมันทั้งตื่นเต้นและน่ากลัว เราจะเริ่มจากสัตว์ง่ายๆ อย่างกระต่ายป่าหรือกวางก่อนฝึกความคุ้นชิน พอลูกโตขึ้นอีกนิดเราก็จะเปลี่ยนไปเริ่มมองหาสัตว์ประเภทนักล่า นิสัยดุร้ายขึ้น...”


“ตอนนั้นแม่จำได้ว่าติดตามท่านตาออกไปล่าครั้งแรกตอนอายุ 15” นั่นเพราะตัวเขาเป็นโอเมก้าเลยได้ออกไปสำรวจทุ่งกว้างช้ากว่าเด็กคนอื่นในรุ่นเดียวกัน หากเป็นอัลฟ่าพวกเขาจะได้เริ่มฝึกใช้ชีวิตในป่าตั้งแต่ช่วง 10 ขวบ


ซินเธียเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่ออีกราวสิบนาทีการเคลื่อนไหวในท้องก็หยุดลงคล้ายว่าได้เวลาพักผ่อนสำหรับสองแฝดแล้วเขาถึงได้หยุดคุยแล้วเปลี่ยนมาฮัมเพลงลูบเนินท้องนูนราวกับกำลังขับกล่อมให้ทั้งสองคนนอนหลับฝันดีแทน จมอยู่กับตัวเองครู่ใหญ่ก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตนเลยหันไปมอง


แมรี่นั่งกอดเข่าจับจ้องหน้าท้องของท่านชายอย่างเอาเป็นเอาตาย พอได้สติก็สะดุ้งน้อยๆ เพราะว่าตนเผลอแสดงท่าทีโจ่งแจ้งจนซินเธียจับได้


“มีอะไรหรือเปล่า” บางทีเด็กสาวอาจมีบางอย่างอยากจะกล่าวถึงได้มองมาแบบนั้น


“เอ่อ คือว่า...” เธออ้อมแอ้มกล่าวความต้องการของตัวเองเสียงเบา “แมรี่ขอลองจับคุณชายทั้งสองได้ไหมคะ” พอเห็นซินเธียเลิกคิ้วฉงนก็รีบโบกไม้โบกมือว่าคำพูดของตนช่างไร้สาระนัก หากมันทำให้ท่านชายรู้สึกแย่ก็ต้องขออภัย ด้วยความกลัวถูกตำหนิกับพฤติกรรมหาญกล้าทั้งยังเสียมารยาทของตน เธอเลยขยับตัวออกห่างผู้เป็นนายอีกนิดเป็นการลงโทษตัวเอง ทว่า คำขอนั้นไม่ได้ทำให้ซินเธียรู้สึกโกรธเคืองอะไร กลับกัน ท่านชายส่งยิ้มน้อยๆ มาให้แล้วเรียกให้เธอเข้ามาใกล้ๆ


“จับได้”


“จริงหรือคะ!” เธอกระตือรือร้นขยับข้ามา “ขอบคุณค่ะท่านชาย”


ได้ลองสัมผัสคุณชายน้อยทั้งสองเป็นครั้งแรก หัวใจของเด็กสาวตื้นตันเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาเธอเฝ้าแอบมองดูพัฒนาการของคุณชายแฝดคู่นี้มาตั้งแต่รู้ข่าวดีใหม่ๆ ระหว่างนั้นก็คอยจัดเตรียมหาอาหาร ของบำรุงดีๆ มาให้ท่านชายอวยพรให้คุณชายน้อยทั้งสองแข็งแรงเสมอ ยามได้มองเห็นเจ้านายทั้งสองให้ความรักพวกเขา แมรี่ก็นึกอิจฉาอยากลองสัมผัสบ้าง ทว่า ตอนอยู่คฤหาสน์เธอไม่ใจกล้าพอจะเอ่ยคำขอนี้ออกไป คุณพ่อบ้านก็เข้มงวดมากแล้ว ยิ่งคุณแอชลีย์ไม่ต้องพูดถึง เพียงถูกสายตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองมาขาทั้งสองข้างของเธอก็สั่นไปหมด ขืนพูดเรื่องขวัญกล้าแบบนี้ออกไปมิวายถูกไล่ตะเพิดเป็นแน่ ตอนนี้มีโอกาสได้อยู่กับท่านชายสองคนไร้สายตาสอดส่องดูแลจากคุณพ่อบ้านจึงสามารถรวบรวมความกล้าได้อีกครั้ง


ด้านซินเธียก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไร แมรี่เป็นเด็กดีเขาเองก็นึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย เธอช่วยดูแลในหลายเรื่องตลอดเวลาก็มีแต่ความจริงใจ ใสซื่อตามแบบฉบับเด็กสาวไร้ประสบการณ์ชีวิต อาจจะเป็นระยะเวลาไม่นานที่เราได้พบกันแต่สำหรับซินเธียแล้วแมรี่ถือเป็นคนข้างตัวที่เขาให้ความสนิทสนมมากสุดในบรรดาสาวใช้คนอื่นในคฤหาสน์ เธอช่วยดูแลให้ตั้งแต่เรื่องทั่วไปจนกระทั่งเรื่องส่วนตัวอย่างการหวีผม จัดเตรียมเสื้อผ้ายาม


ในความคิดของซินเธีย แมรี่เป็นเด็กวัย 16 ปี นิสัยร่าเริง สดใสสมวัย บางครั้งอาจดูโผงผางไปบ้างแต่ก็รู้กาลเทศะ อ่านสถานการณ์เป็น สิ่งไหนควร สิ่งไหนมิควรไม่ต้องรอให้เอ่ยปากมากอีกทั้งยังเรียนรู้ไว ทำงานเป็น มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยกับการจะทำให้ซินเธียรู้สึกเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษ


แมรี่รู้ว่าท่านชายเป็นคนใจกว้าง ได้ลองจับๆ ลูบๆ ครู่เดียวก็หดมือกลับออกมานั่งดังเดิมอย่างรู้หน้าที่ หลังส่งน้ำขิงให้ผู้เป็นนายดื่มก่อนนอนแล้วทั้งสองสนทนากันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน


รุ่งเช้าทั้งคณะเตรียมออกเดินทางกันต่อแต่เช้าเพื่อจะได้ไม่ถึงจุดหมายหลังตะวันตกดิน ซินเธียเอนกายพิงหมอนอิงอย่างผ่อนคลาย จิตใจวันนี้แจ่มใสเป็นพิเศษ นับดูแล้วมันก็เกือบจะครบหนึ่งปีแล้วหลังจากบ้านเกิดมาเพียงลำพัง ไม่รู้ตอนนี้จะมีสิ่งไหนเปลี่ยนแปลงไปบ้าง


แต่ก็คงไม่กระมัง ชาวธอร์นนิสัยเรียบง่ายไม่นิยมความเปลี่ยนแปลงอดีตเคยใช้ชีวิตเช่นไร ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น ขณะกำลังนั่งลูบหน้าท้องพูดคุยเล่นกับแมรี่ไปด้วยระหว่างทาง บทสนทนาเกี่ยวกับอาหารการกินของทางแดนใต้ว่าเป็นแบบไหนรถม้าก็หยุดกะทันหัน และเพราะการบังคับหยุดแบบนั้นทำเอาม้าเองก็ตั้งตัวไม่ทัน ได้ยินเสียงมันร้องคล้ายกำลังยกขาหน้าขึ้นส่งผลให้ภายในตัวรถม้าสั่นสะเทือนเล็กน้อย


เด็กหนุ่มหาหลักจับยึดได้ กำลังจะเปิดหน้าต่างออกไปสอบถามเป็นอันต้องชะงักเมื่อหนึ่งในผู้ติดตามที่ยืนอยู่ใกล้ประตูหน้าต่างกล่าวจริงจังในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตึงเครียด


“ท่านชายอย่าพึ่งออกมาครับ”


“เกิดอะไรขึ้น” เขารู้สึกถึงลางอันตรายบางอย่าง สองมือยกขึ้นกุมหน้าท้องตามสัญชาตญาณ ทว่า ก็ไม่กล้าทำตัวตื่นตระหนก


“ดูเหมือนเรากำลังถูกล้อมครับ”






(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 19-08-2019 21:51:29
ล้อม?


หมายความว่าอย่างไร

เรื่องโจรดักปล้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ทว่า ต้องไม่ใช่กับบริเวณทางเข้าธอร์นแบบนี้ ตามปกติแล้วหากไม่ใช่คนในเมืองก็ไม่น่าจะมีคนต่างถิ่นมาเพ่นพ่าน ยิ่งเป็นคนในยิ่งไม่ใช่ ชาวธอร์นถึงจะชอบความรุนแรงนิสัยเลือดร้อนไปบางแต่สภาพความเป็นอยู่ในเมืองหรือตามหมูบ้านแถบเชิงเขาแม้ไม่ได้หรูหราเหมือนเมืองอื่นแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่จนต้องปล้นสะดม ทุกครัวล้วนสามารถล่าสัตว์ หาของป่ามาดำรงชีพได้ไร้ซึ่งความเดือดร้อนเรื่องเงินทอง


แล้วคนกลุ่มนี้เป็นใครกัน


เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น เกิดความตึงเครียด พ้นแนวป่าตรงนี้ไปอีกไม่ไกลก็จะถึงหุบเขาอันเป็นทางเข้าแหล่งที่ตั้งของธอร์นแล้ว


ขณะกำลังพยายามครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้เสียงต่อสู้โรมรันจากภายนอกก็ดังขึ้น แม้แอชลีย์จะส่งผู้ติดตามมาคอยดูแลซินเธียด้วยระหว่างเดินทาง ทั้งคนเหล่านั้นยังเป็นผู้มีฝีมือซึ่งคัดเลือกมาอย่างดีแล้วแต่วัดกันที่จำนวนมันอย่างไรก็เสียเปรียบ ฟังจากเสียงแล้วกลุ่มคนปริศนาเหล่านั้นมาพร้อมอาวุธประเภทดาบ!


“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้นทำเอาคนในห้องโดยสารสะดุ้ง โดยเฉพาะเด็กสาวอย่างแมรี่ที่ไม่คุ้นชินกับการต่อสู้


“ทะ ท่านชาย เกิดอะไรขึ้นกันคะ ละ แล้วนั่น...” เธอเอ่ยไม่เป็นคำเนื้อตัวสั่นเทา ซินเธียได้แต่เม้มริมฝีปากได้แต่บีบมือของแมรี่เอาไว้แน่น เสียงต่อสู้ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ดีว่าฝ่ายศัตรูยังพอถูกคนของตระกูลคิมสกัดกั้นเอาไว้ไม่ให้เข้าถึงตัวได้อยู่แต่ก็ไม่รู้จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ เขาทำได้เพียงรอดูสถานการณ์ ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้จะให้ไปรนหาที่ตายจะดูเป็นเรื่องโง่งม


นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่


“ท่านชาย ผมจะต้านทางนี้ให้ครับคุณรีบหนีไป” ผู้ติดตามคนเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด พูดไปเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกนัด สถานการณ์ตอนนี้ทางซินเธียกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต่อให้มีอาวุธแต่ทางนั้นก็มีอาวุธซ้ำยังมีครบมือกว่าทั้งจำนวนคนและอุปกรณ์ราวกับเตรียมการมาเป็นอย่างดี กระสุนปืนยังพอสกัดกั้นพวกเขาไม่ให้เข้ามาใกล้มากได้บ้าง แต่คงต้านเอาได้อีกไม่นาน สิ่งสำคัญในตอนนี้แม้จะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนักสำหรับท่าชายวาเลนเธีย แต่ทางเลือกมีไม่มาก ในฐานะหัวหน้าผู้คุ้มกันเขาจะให้คนหนึ่งหลบหนีล่วงหน้าไปแจ้งข่าวกับท่านแอชลีย์ ส่วนตัวเองจะคุ้มกันพาท่านชายหนีเข้าไปไปอีกทาง


“ระหว่างนี้พวกเราจะหลอกล่อพวกมันให้” ผู้ติดตามอีกคนตะโกนมา น้ำเสียงมีความเหนื่อยหอบ


“มาครับ”


ซินเธียเปิดประตูออกทางด้านหลังรถม้าด้วยความทุลักทุเล ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเหลือบมองไปยังกลุ่มที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่ด้านหน้าขบวน ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อสังเกตเห็นชุดของโจรกลุ่มนั้น ชุดหนังสัตว์สีเข้มเข้ารูปพร้อมดาบคู่ใจ ชายฉกรรจ์นับสิบมัดผมยาวผิวสีคล้ำเข้ม ลักษณะเด่นชัดบอกได้ทันที


ไม่ ไม่สิ พวกเขาไม่ใช่โจร


นั่นมันคนจากธอร์น!


เขากัดฟันวิ่งหลบออกไปอีกทางมุ่งไปทางป่าทิศตะวันออก ในใจรู้สึกปั่นป่วนกลั่นกรองออกมาเป็นความรู้สึกนึกคิดแทบไม่ได้ ทั้งสับสน ทั้งไม่เข้าใจ เหตุใดคนกลุ่มนั้น...


“หยุดนะ! คิดจะหนีเรอะ” วิ่งห่างออกมาได้สักพัก เสียงกัมปนาทดังไล่หลังมาประมาณ 3-4 คน ทั่วทั้งร่างกายของซินเธียเกร็งเขม็ง สัญชาตญาณตื่นตัววิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิตโดยมีแมรี่คอยช่วยประคอง


“ยะ แย่แล้ว พวกมันตามมาแล้วค่ะ” แมรี่ร้องอย่างร้อนรน ทางข้างหน้าก็มีแต่ป่ารก นอกจากจะต้องวิ่งอย่างไม่มีเวลาคิดเรื่องเหนื่อยแล้วยังต้องคอยประคองท่านชายระวังไม่ให้ไปสะดุดหรือชนต้นไม้ต้นไหนเข้า มืออีกข้างก็คอยช่วยกันปัดเถาวัลย์ไม้เลื้อยต่างๆ ออกไปด้วย


“ท่านชายรีบหนีไปหาที่ปลอดภัยหลบซ่อนก่อนครับ ผมให้คนแยกไปแจ้งข่าวท่านแอชลีย์แล้ว” หัวหน้าผู้ติดตามคนนั้นกล่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียดเส้นเลือดใต้ขมับเต้นตุบๆ กับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน “ผมจะถ่วงเวลามันให้เอง”


พวกตนถูกฝึกมาเป็นอย่างดีขอเพียงไม่บาดเจ็บหนักก็สามารถวิ่งระยะไกลด้วยความรวดเร็วโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ขอเพียงวิ่งออกไปให้พ้นเขตนี้ก็จะสามารถหาช่องทางสื่อสารกับผู้เป็นนายใหญ่ได้ แต่กว่าจะถึงเวลานั้นจนกระทั่งแอชลีย์ คิมตามมาสมทบคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็พ้นคืนนี้ไป เขาทำสิ่งใดไม่ได้มากไปกว่าการต้องทุ่มเทสกัดกั้นพวกมันให้ถึงที่สุด อย่างน้อยขอเพียงท่านชายหาที่ซ่อนตัวได้นับว่าดีแล้ว


อัลฟ่าคนนี้ย่อมต้องมีฝีมือมากอย่างแน่นอน แต่คนจากแดนใต้เองก็มีพละกำลังน่ากลัวพอกัน ยิ่งมากันหลายคนแบบนี้อย่างไรก็เสียเปรียบ แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก หากเป็นซินเธียในยามปกติคงหันหน้าเข้าสู้แบบไม่เกรงกลัว ทว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ จึงได้กัดฟันพาตัวเองวิ่งไปอีกด้านอย่างจำใจ


ไม่รู้วิ่งกันออกมาได้เท่าไหร่แล้ว เสียงต่อสู้ยังดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เป็นระยะ ใบหน้านวลเริ่มซีดเผือดเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าหวาน มือที่คอประคองหน้าท้องเองไว้กำจิดลงไปบนเนื้อผ้าจนกลายเป็นขยำ เพราะออกแรงวิ่งมาเป็นเวลานานความปวดหนึบเริ่มแล่นขึ้นมาเล่นงานเข้าแล้ว


“อดทนอีกนิดก่อนนะคะท่านชาย” แมรี่เองก็อ่อนล้าพอกัน เธอเป็นแค่เด็กสาวรับใช้คนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ เรี่ยวแรงทั้งหมดของชีวิตก็ถูกรีดเค้นออกมาใช้กับการวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ตามชายกระโปรงขาดรุ่งริ่งจากการถูกทั้งหนามทั้งกิ่งไม้เกี่ยวเอาระหว่างทาง ตามเนื้อตัวของคนทั้งสองก็เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนไม่น้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิงกันทั้งนายและบ่าวมีสภาพอิดโรยไม่ต่างกัน


พวกเขาวิ่งหนีกันออกมาอย่างไร้ทิศทาง มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยป่ารกร้างเขียวขจีคล้ายกันไปหมดจนตาลาย ขณะนี้แสงจากดวงตะวันเองก็เริ่มเลือนรางแล้วบ่งบอกว่าอีกไม่นานมันกำลังจะตกดิน


“ไหวไหมคะ” ตัวเองก็คล้ายคนสิ้นใจเข้าไปทุกที แต่คนเป็นนายนั้นกลับยิ่งน่าเป็นห่วงอยู่ หากเป็นคุณชายทั่วไปรับรองว่าคงหมดแรงไปนานแล้วแต่ร่างกายของซินเธียนั้นแตกต่างจากโอเมก้าปกติ เขาฝึกฝนการต่อสู้มาตั้งแต่วัยเยาว์ ร่างกายแข็งแรง ผ่านการฝึกเอาตัวรอดมาแล้วหลากหลายรูปแบบในป่า แม้ความไม่สะดวกทางร่างกายตอนนี้จะทำเอาพลังกายของเด็กหนุ่มอ่อนแอลงไปมาก ที่กัดฟันทนวิ่งมาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะแรงฮึดต้องการเอาชีวิตรอดล้วนๆ ไม่รู้เหตุผลของคนกลุ่มนั้น ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตามมาหมายเอาชีวิตกันแบบนี้


ในความคิดของซินเธียตอนนี้มีเพียงเรายังไม่อยากตาย ยิ่งลูกๆ ก็ยิ่งไม่อยากเสียไป เขาจึงต้องอดทน อดทนให้ถึงที่สุดแม้ตอนนี้จะฝืนขีดจำกัดร่างกายมาพอสมควร ภาพด้านหน้าเริ่มพร่าเลือนจนต้องสะบัดศีรษะเรียกสติอยู่หลายครั้ง


“เรา... ปวดท้อง”


ซินเธียเค้นเสียงออกมาจนฟังดูแหบพร่า นอกจากจะเหนื่อยจนแทบขาดใจแล้วทั้งคอยังแห้งจนพูดออกมาไม่เป็นคำ ริมฝีปากอิ่มแห้งและซีดเผือดสองมือกำทั้งเสื้อของเด็กสาวและของตัวเองแน่นจนยับยู่ยี่


แมรี่เริ่มกระวนกระวาย เมื่อได้ยินเสียงครางอย่างเจ็บปวดของท่านชายดังมาเป็นระยะ เธอรีบสอดส่องหาที่หลบซ่อน ไม่อาจฝืนให้ซินเธียวิ่งต่อไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งตอนนี้แสงกำลังหมดลงไปทุกที ไม่เกินชั่วโมงพระอาทิตย์จะต้องตกดินเป็นแน่


“นั่น!” เด็กสาวร้องออกมาดีใจเมื่อสายตามองฝ่าความมืดเจอกับก้อนหินขนาดใหญ่คล้ายปากทางเข้าถ้ำ


นอกจากพวกโจรใจโฉดเหล่านั้นแล้วก็ยังมีสัตว์ป่าที่ต้องระวังอีก ยิ่งมืด ก็ยิ่งน่ากลัว ตอนนี้พอเจอสถานที่พอให้ซ่อนตัวเด็กสาวก็ดีใจจนน้ำตาแทบนองหน้า แรงที่แห้งเหือดไปก็ถูกรวบรวมฮึดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อพยุงซินเธียเข้าไปหลบชั่วคราว


หน้าทางเข้าถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยรกรุงรัง ต้นไม้บริเวณโดยรอบก็หนาทึบหากไม่สังเกตดีๆ อาจมองผ่านไปได้โดยง่าย


ซินเธียถูกความเจ็บปวดเล่นงานจนสติเริ่มเลือนหาย ดวงตาทั้งสองปิดสนิทอย่างพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดพอถูกประคองให้นั่งลงก็เอนตัวลงพิงกับผนังถ้ำทันที


ด้านในนี้ทั้งมืด ทั้งอับชื้นมองเข้าไปแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด แมรี่ไม่กล้าพาซินเธียเข้าไปลึกมากจึงเลือกเดินเข้ามาประมาณร้อยเมตรด้วยกลัวว่าจะเจอสัตว์ไม่พึงประสงค์ภายในแต่จะให้หลบกันอยู่บริเวณปากถ้ำก็กลัวจะถูกเจอ


“เป็นอย่างไรบ้างคะ” เธอใช้แขนเสื้อซับเหงื่อตามกรอบหน้า เห็นผู้เป็นนายหลับตาส่ายหน้าเบาๆ ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร สองมือขยำชายเสื้อของตัวเองแน่นท่าทางทรมานอย่างถึงที่สุดทำเอาเด็กสาวรู้สึกกระวนกระวาย กวาดสายตาสำรวจไปทั่วตามตัว


“นี่มัน!” เธอตะลึงค้างเมื่อสังเกตเห็นว่ามีน้ำสีใสเริ่มซึมออกมาจากส่วนล่างจำนวนหนึ่ง มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า


“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี” เธอลุกลี้ลุกลนนั่งแทบไม่ติดราวกับหนูติดจั่น ประสบการณ์ทางด้านคลอดแทบไม่มีทั้งเป็นผู้คลอดและผู้ทำคลอด อาการของท่านชายตอนนี้ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นแบบไหน จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็อันตราย


“...ใน..” ซินเธียพูดเสียงแผ่ว อาการปวดหน่วงนี้มาเป็นระยะ ระดับความรุนแรงก็ไม่เท่ากัน แต่ที่แน่นอนคือยังไม่มีแววว่าจะหยุดลง เขาหอบหายใจ รอจนกระทั่งความปวดหายไปชั่วคราวแล้วถึงได้เค้นเสียงออกมาประโยคหนึ่งอย่างยากลำบาก


“วิ่งออกไป...”


เด็กสาวเงี่ยหูฟัง “วิ่งออกไปไป ไปไหนคะ”


“ออกไป... น่าจะ... มีหมู่บ้าน” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ไป ตามคนมา”


บริเวณนี้อยู่ในอาณาเขตของธอร์นแล้ว ตามชายแดนมักจะมีหมู่บ้านเล็กบ้านน้อยปลูกอยู่กระจายกันออกไป พวกเขาเป็นคนในดินแดนใต้แต่ไม่ใช่ชาวเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ฐานะค่อนข้างข้นแค้น อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งแน่นอน อาศัยเก็บของป่าเข้าไปขายในตัวเมืองแลกข้าวหรือเนื้อดีๆ บางครอบครัวก็ทำอาชีพนายพรานเป็นหลัก เพราะถึงจะบอกว่าคนในดินแดนนี้ชอบล่าสัตว์กันเป็นวิสัยแต่ก็ไม่ได้ออกไปล่าทุกวัน ยิ่งจากตระกูลที่มีฐานะหน่อยมักจะทำเป็นกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานมากกว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องหาอาหารด้วยตนเองเสมอไป มีเงินมากก็จับจ่ายซื้อขายได้


“แต่ว่า” บอกตามตรงว่าเธอไม่กล้าทิ้งเขาเอาไว้ลำพังเลย


“ไป” ซินเธียพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นอีกระดับ เพราะตนเองก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างการต้องคลอดก่อนกำหนดเขาคงไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ความหวังในตอนนี้คือขอให้เจอหญิงชาวบ้านสักคน แมรี่แม้จะเป็นเพียงเด็กสาวแต่ก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว อาศัยความมืดในตอนนี้น่าจะพอหลบซ่อนตัวได้บ้าง


หวังว่ากลุ่มคนที่ตามล่ามาจะหยุดชั่วคราว หรือไม่ก็ยังตามมาไม่เจอถึงบริเวณนี้ เขาภาวนาในเรื่องที่แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้


แมรี่เม้มริมฝีปากใช้ความคิดอย่างหนัก อาการของท่านชายน่าเป็นห่วงมากจริงๆ เธอมองผู้เป็นนายอีกสองสามครั้งในที่สุดก็ตัดสินใจวิ่งออกไปต่อให้หวาดกลัวแค่ไหนก็ตาม


“แข็งใจไว้ก่อนนะคะ แมรี่จะรีบกลับมา”



TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 19-08-2019 21:58:05
ขอให้เดินทางปลอดภัย :hao5:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 19-08-2019 22:22:45
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :ling1: :ling1: :ling1:
เจ้าแฝดกับซินเธียต้องปลอดภัยนะะะะะะะะ
แอชลีย์รีบมาช่วยเร็ววววววววววว
อย่ามาม่าน้าเค้าอยากเห็นทั้งสองคนเลี้ยงลูกอยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-08-2019 22:22:56
 :call:  ทุกอย่างขอให้ปลอดภัย​นะ​
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 19-08-2019 23:32:58
สู้ๆนะเจ้าแฝด อดทนไว้ก่อนนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 20-08-2019 00:25:06
แฝดใจเย้นก่อนนะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-08-2019 00:43:42
ยังไม่ทันถึงบ้านเลย  :ling2:
ขอให้ปลอดภัย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 20-08-2019 08:50:54
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-08-2019 09:55:01
 :katai1: :katai1: :katai1:

ขอให้คุณแม่และเจ้าแฝดปลอดภัย

คุณพ่อแอชรีบมาช่วยน้องเร็วๆ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-08-2019 20:16:50
แล้วถ้าพวกที่ตามล่ามาตอนอยู่คนเดียวจะทำยังไง.  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 20-08-2019 20:41:16
โอ้ยลุ้นๆๆ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: NCJung ที่ 22-08-2019 07:15:15
ท่านแอชจะมาช่วยทันไหม
ข้างหน้าจะมีหมู่บ้านหรือเปล่า
พวกกบฎจะตามมาทันไหม
ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ไหม
คนสั่งปารเป็นใคร

ตอนนี้มีคำถามเต็มไปหมด​
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 22-08-2019 17:17:49
 :serius2:ได้อ่านแล้ววางไม่ลงเลยค่ะสนุกมากกกกกก
ขอให้เด็กแฝดปลอดภัคุณแม่ก็ต้องปลอดภัยด้วยนะ
ท่านตาจะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่าเป็นห่วงทุกคนเลย
รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Keawmikami ที่ 22-08-2019 22:43:09
โอ้ยบีบหัวใจ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่ 28 [P.9] --- 19/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 22-08-2019 22:46:33
ขอให้ซินเธียกับเด็กๆปลอดภัย เพี้ยงงง!!! :call:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 26-08-2019 21:15:31

บทที่ 29





ซินเธียนอนหายใจรวยรินกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับผนังถ้ำ ดวงตาทั้งสองปิดสนิทอดกลั้นต่อความเจ็บปวด สันกรามเกร็งจากการต้องขบฟันเพื่อต่อสู้กับความทรมานเหล่านั้น มันไม่ได้ต่อเนื่อง ทว่า มาเป็นระยะ ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยรู้สึกประมาณนี้มาบ้างแล้ว แต่ระดับความรุนแรงไม่มากเท่า ซ้ำยังไม่ถี่ขนาดนี้ เกิดชั่วครั้งชั่วคราวก็หายไป คุณหมอเจ้าของไข้กล่าวว่ามันเป็นเพียงสัญญาณเตือนของกลไกร่างกายยังไม่อันตรายอะไรเว้นเสียแต่ว่าความเจ็บนั้นจะดูผิดปกติ


ดังเช่นตอนนี้


ไม่รู้ผ่านมานานเท่าใดแล้ว เขารู้สึกเพียงแต่ว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกวินาทีราวชั่วกัปชั่วกัลป์ นอกจากความเจ็บปวดแล้วจิตใจยังเต็มไปด้วยความกังวลปนหวาดระแวง ได้แต่หวังว่าแมรี่จะกลับมาอย่างปลอดภัย


เพราะสติไม่เต็มร้อยสัญชาตญาณการระวังตัวจึงถดถอยไปมาก กระทั่งมีคนเข้ามาใกล้ยังไม่ทันรู้ตัว ซินเธียสะดุ้งเฮือกสะบัดแขนที่ถูกจับทิ้งแล้วขยับตัวถอยห่างออกมาจากจุดที่นั่งอยู่ด้วยความตระหนก นัยน์ตาเงินลืมโพรงสะท้อนวูบอยู่ท่ามกลางความมืด


“แมรี่เองค่ะ” หญิงสาวกระซิบ เห็นท่าทางของท่านชายแล้วเธอเองก็ตกใจเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันก็พอจะเข้าใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเลยรีบอธิบายเสริมไปว่า “คุณยายคนนี้คือหมอตำแยจากหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ค่ะ”


ซินเธียลากสายตาไปทางด้านหลังของแมรี่ เห็นเป็นเงาตะคุ่มเลือนรางซึ่งฝั่งนั้นก็คงรู้ตัวถึงได้ขยับออกมาอีกนิดพอให้แสงจันทร์จากปากถ้ำตกกระทบบนใบหน้าของตัวเอง  เป็นหญิงชราท่าทางแข็งแรงคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อผ้าเก่าๆ สองมือหอบเอาถุงผ้าขนาดใหญ่ติดมือมาด้วย


พอเห็นท่าทีสงบลง แมรี่รีบเล่าที่มาที่ไปให้กับผู้เป็นนายฟังว่าเมื่อเกือบชั่วโมงก่อนเธอวิ่งลัดเลาะไปตามทิศทางที่ท่านชายบอก สองข้างทางมือมากแถมยังมีสัตว์ป่าออกมาเดินเพ่นพ่าน โชคดีไม่ใช่สัตว์ดุร้ายแต่สำหรับเด็กสาวที่ไม่คุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดความหวาดกลัวอยู่ดี เธอจึงอดทนซ่อนตัวอยู่บริเวณพุ่มไม้เพื่อรอให้มันไปก่อนแล้วจึงค่อยเร่งรีบเดินทางต่อ


นอกจากสัตว์แล้วยังไม่พบร่องรอยกลุ่มคนที่ไล่ตามมาแต่ก็คนของทางเราเองก็ไม่พบเช่นกัน รอบกายมันเงียบมาก แมรี่กัดฟันวิ่งมาจนนถึงช่วงเนินเขาเห็นแสงไฟริบหรี่จากกระท่อมหลังหนึ่งก็ใจชื้นขึ้นมาจนรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ไม่นึกว่ากระท่อมผุพังหลังนั้นจะเป็นที่อยู่อาศัยของหญิงชราคนนี้ เห็นว่าเป็นหมอตำแยประจำหมู่บ้าน หากเดินเท้าขึ้นเนินเขาต่อไปอีกนิดจะพบกับหมู่บ้านเล็กๆ


ในความเป็นจริงแมรี่รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจหญิงชราหม้ายคนนี้เท่าไหร่ เธออาศัยอยู่คนเดียวไร้คู่ชีวิตไร้ลูกหลานแม้จะดูร่างกายแข็งแรงแต่อย่างไรก็เป็นคนแปลกหน้าแถมคำว่าหมอตำแยนั้นไม่ใช่อาชีพแต่เป็นแค่คนหนึ่งที่มีประสบการณ์ทำคลอดมาหลายครั้งก็เท่านั้น เนื่องจากหมู่บ้านเล็กๆ นี้อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เร้นอยู่ตามเชิงเขาเวลามีหญิงตั้งครรภ์ในหมู่บ้าน เป็นอะไรขึ้นมากว่าจะเดินทางข้ามหุบเขาเข้าเขตธอร์นก็ใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมงซึ่งมันคงไม่ทันการณ์ พวกเขามีแค่เกวียนกับวัวแก่ๆ หนึ่งตัวเท่านั้น เธอที่พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้างก็คอยให้ความดูแลช่วยเหลือตลอดจนช่วยทำคลอด นานวันเข้าก็เป็นประสบการณ์สั่งสม


แต่ตอนนี้เด็กสาวไม่มีทางเลือกมาก คงได้แต่อ้อนวอนต่อพระเจ้าขอให้ท่านชายกับเหล่าคุณชายน้อยปลอดภัยแล้ว


“ดูเหมือนต้องคลอดแล้ว” หญิงชราพูดขึ้นหลังจากตรวจสอบสภาพร่างกายของซินเธีย ใบหน้าที่ดูโรยราไปตามช่วงวัยว์เครียดขึง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น “ท้องแฝดหรือ?”


ดูจากความใหญ่ของท้องเลยเดาได้ไม่ยากว่าเด็กทารกข้างในนั้นอย่างน้อยต้องมีมากกว่าหนึ่งคน
ซินเธียพยักหน้ารับทั้งที่มีเหงื่อโซมกาย


“ยากนะ” การทำคลอดเด็กหนึ่งคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดสำหรับสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่เมื่อเด็กมีมากกว่าหนึ่ง ความยากและความเสี่ยงจึงมีมากกว่าเท่าตัว


หญิงชราหม้ายคนนี้มีประสบการณ์ไม่น้อยตามคำบอกเล่า ทันทีที่ประเมินสถานการณ์แล้วก็รีบเปิดหอผ้าขนาดใหญ่หยิบข้าวของอุปกรณ์ออกมาอย่างคล่องแคล่ว


“จุดไฟเป็นหรือไม่” แมรี่ส่ายหน้าระรัว ตอนอยู่คฤหาสน์อุปกรณ์ทำครัวครบครัน ไม่เคยต้องก่อกองไฟสักครั้ง


คำตอบจากเด็กสาวไม่ได้ทำให้หญิงชราเหนือความคาดหมายเท่าใด เธอจึงสั่งให้เด็กสาวไปรวบรวมกิ่งไม้ท่อนไม้จากบริเวณโดยรอบมา ส่วนตัวเองก็ทำการจุดไฟ เตรียมสถานที่ทำคลอดฉุกเฉิน ปูผ้าสะอาด สิ่งไหนจำเป็นต้องใช้ก็ถูกนำมาวางเรียงกันจนหมด กว่าแมรี่จะกลับมาทุกอย่างก็พร้อมสรรพแล้ว เด็กสาวต้องวิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบเพราะไม่สามารถขนบรรดาเชื้อเพลิงทั้งหลายมาได้ภายในครั้งเดียว พอกลับมาก็ถูกใช้ให้ไปต้มน้ำร้อนต่อ ไม่ว่าหญิงชราจะสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามด้วยความแข็งขันไม่ปริปากบ่น


แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วจะสามารถดำเนินการณ์ได้ทันที ขณะนี้แมรี่ย้ายมานั่งอยู่เหนือศีรษะของซินเธีย ใช้ตัวให้ท่านชายพิงเอาไว้ ส่วนหญิงชรานั่งอยู่ตรงหน้าสองขาที่ถูกจัดวางในท่าตั้งชัน เธอนั่งมองอยู่แบบนั้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจาอยู่นานจนจะเข้าชั่วโมงที่สอง มีเสียงครางแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวดของซินเธียดังมาเป็นระยะ ด้วยระดับความปวดหน่วงนั้นรุนแรงขึ้นกว่าชั่วโมงที่แล้ว บางครั้งเลยมาสามารถทนอดกลั้นได้


“ท่านชายจะไม่ไหวแล้วนะคะ คุณกำลังรออะไรอยู่” สุดท้ายก็เป็นเด็กสาวที่ทนไม่ไหว ยิ่งมองผู้เป็นนายหัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บปวดตาม


 “รออีกนิด” หญิงชรายังคงสงบนิ่งสมาธิจดจ่อ เธอเงียบไปพักใหญ่เมื่อคิดว่าได้จังหวะแล้วก็เอ่ยให้ซินเธียทำการเริ่มเบ่งทันที


“หายใจลึกๆ นะคะท่านชาย” จิตใจของแมรี่ร้อนรนเป็นอย่างมาก เธอช่วยซับเม็ดเหงื่อบนใบหน้านวลนั้นเป็นระยะ คอยช่วยลุ้น ช่วยเชียร์เป็นระยะ


ยังดีว่าระหว่างนั้นหญิงชราก็คอยสอนวิธีการเบ่งให้เป็นจังหวะ พอได้สัญญาณก็ให้เบ่งออกมาแรงๆ ส่วนเรื่องที่ว่าเธอทำอะไรกับช่วงล่างของตนบ้างซินเธียไม่มีเวลามาสนใจ เขารับรู้ได้แต่เพียงความเจ็บปวดทรมานยากสุดจะบรรยาย อยากกรีดร้องออกมาให้ดังจนสุดปอดแต่ก็กลัวว่าเสียงของตัวเองจะดังเล็ดลอดออกไปภายนอกจึงต้องพยายามกัดฟันข่มกลั้นไว้จนหน้าดำหน้าแดง กัดจนได้ยินเสียงบดกระทบของเนื้อฟัน


“ใกล้แล้วๆ เห็นหัวเด็กแล้ว เบ่งอีกครั้ง!”


“ออกแรงอีกนิดค่ะท่านชาย ใกล้แล้ว!!”


ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บปวด เขาคิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่ นึกอยากให้ช่วงเวลาสุดแสนยากลำบากนี้จบลงไปโดยเร็วเสียที แต่เวลานี้ภาพปรากฏชัดแจ้งสุดในห้วงความคิดของเด็กหนุ่มคือใบหน้าเคร่งขรึมของอัลฟ่าคู่ชีวิต เขาอยากให้แอชลีย์อยู่ตรงนี้เหลือเกิน อยากได้กลิ่นของอีกฝ่ายให้จิตใจสงบลง


ซินเธียสูดหายใจเข้าลึก หน้ามืดตาลายไปหมดแต่ก็พยายามพยุงสติของตัวเองเอาไว้ เด็กหนุ่มขยับแขนอันอ่อนแรงของตัวเองเข้ามาใกล้แล้วใช้ฟันกัดชายแขนเสื้อเอาไว้แน่นพลางออกแรงสุดกำลังจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว


“อีกนิดค่ะท่านชาย แข็งใจไว้ อีกนิดค่ะ!”



“มาแล้ว!!”


หญิงชรานำเด็กคนแรกออกมาได้ก็รีบห่อด้วยผ้าสะอาดเอาไว้ หลังจัดการบรรดาคราบต่างๆ ที่อาจจะอุดกั้นการหายใจจนหมดก็ทำการกระตุ้นเพื่อให้เด็กร้องออกมา


แค่คนแรกก็แทบจะสูบเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดของคนแม่หายไปจนหมดสิ้น ซินเธียทรุดลงกับแผ่นอกของแมรี่อย่างคนหมดแรง ใบหน้าซีดเซียวจนคล้ายกระดาษไปทุกที เขานอนนิ่งไม่ขยับอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง ความปวดหน่วงตรงหน้าท้องยังไม่จางหายไปทั้งหมด ทว่า พอได้ยินเสียงเล็กๆ ร้องจ้าขึ้นมา ดวงตากลมสีเงินจึงค่อยๆ เลื่อนขึ้นตามหาต้นเสียงเชื่องช้า ภาพใบหน้ายังคงพร่าเลือน


“เรารีบนำคนที่สองออกมาก่อนดีกว่า” หญิงชรายังไม่มีเวลาจะมาให้คนเป็นแม่ชื่นชม เธอวางเด็กคนแรกไว้ตรงกองผ้าใกล้กองไฟก่อนจะหันมาตั้งใจกับอีกคนที่ยังเหลืออยู่


พอคนแรกออกไปได้คนที่สองก็ไม่ยากนัก แต่เวลาก็ล่วงไปจนค่อนคืนแล้ว ซินเธียพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดให้กลับมาอีกครั้งเพื่อเริ่มเบ่งคนที่สองออกมา คราวนี้คุณแม่แฝดสองสิ้นแรงจนลุกไม่ขึ้น ทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อยก็ทรุดลงนอนทันทีจนแมรี่ต้องรีบพยุงผู้เป็นนายให้นอนได้สบายขึ้น


เด็กน้อยทั้งสองสลับกันร้องไห้อยู่ระยะหนึ่ง พอล้างตัวทำความสะอาดเบื้องต้นเสร็จก็ถูกจับห่อในผ้าสะอาด หญิงชราอุ้มทั้งสองคนมาวางเอาไว้ข้างตัวซินเธียที่นอนอ่อนแรงอยู่


“คนเล็กดูไม่ค่อยแข็งแรง เขามีปัญหากับการหายใจ” หญิงชรากล่าวอย่างเป็นกังวล ถึงตอนคลอดจะไม่ยากเย็นมากแต่กว่าจะออกมาก็ห่างกับคนแรกเกือบ 5 นาที ซ้ำขนาดตัวก็ยังเล็กมากจนน่าเป็นห่วง


“พวกคุณควรรีบออกจากที่นี่แล้วพาเขาไปโรงพยาบาลดีกว่า”


เธอกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้นไม่อาจรั้งรออยู่ได้นานเช่นกัน พอจัดการเรื่องที่ควรทำในส่วนของตัวเองจนเสร็จสิ้นก็เก็บของเตรียมกลับทันที แมรี่ถึงอยากไปส่งเธอแค่ไหนก็ไม่อาจทิ้งท่านชายเอาไว้ลำพังแบบนี้ได้ซึ่งหญิงชราก็เข้าใจในส่วนนั้นดีเลยแค่รับคำขอบคุณจากทั้งสองคนแล้วจากไป


ซินเธียขยับกายเล็กน้อยเพื่อให้สามารถมองดูลูกๆ ในอ้อมแขนทั้งสองคนได้ถนัดซึ่งพอสงบลงแล้วก็พากันนอนหลับอยู่ในห่อผ้า


“แมรี่ช่วยเราถอดเสื้อคลุมหน่อยได้ไหม” เขาร้องขอ หญิงสาวรีบเดินเข้ามาช่วยพยุงผู้เป็นนายลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกทันที


“ท่านชายไม่หนาวหรือคะ” ในถ้ำอากาศค่อนข้างเย็น ยิ่งเป็นช่วงกลางดึก


“เรายังพอทนได้ ฉีกมันออกเป็นสองส่วนที”


“ค่ะ” เธอรีบทำตามโดยไม่อิดออดแม้จะสงสัย ดีว่าเสื้อคลุมนี้ค่อนข้างบางใช้หินปลายแหลมช่วยตัดหน่อยก็พอได้ แต่ต่อมาก็ได้รับความกระจ่างเมื่อซินเธียรับเสื้อคลุมของตัวเองทั้งสองมาแล้วบรรจงห่อตัวเด็กทั้งสองคนทับอีกชั้นหนึ่ง เนื่องจากผ้าสะอาดที่หญิงชรานำติดตัวมีไม่มาก ใครจะคิดว่าคนที่เธอต้องมาทำคลอดจะเป็นครรภ์แฝด ตอนนี้ก็เลยต้องแบ่งให้สามารถใช้ห่อตัวเด็กสองคนอาจจะบางไปหน่อยแต่ก็พอแก้ขัด


ซินเธียเอนตัวลงนอนดังเดิมโดยหันหน้าตะแคงจ้องมองสองดวงใจที่กำลังหลับใหลอยู่เบื้องหน้า พวกเขาตัวเล็กมาก โดยเฉพาะเฟย์ลินน์ลูกคนเล็ก ท่าทางหายใจติดๆ ขัดๆ ในบางเวลาทำเอาคนเป็นแม่รู้สึกปวดใจ แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดไปได้มากกว่านี้ เขาจดจ้องอยู่อีกพักใหญ่ก่อนใช้ปลายนิ้วเขี่ยบนพวงแก้มนิ่มก่อนย้ายลงมาแตะปลายริมฝีปากกระจับเล็กน่ารักแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าทำรุนแรงแล้วจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเด็กน้อย


“คุณชายน้อยทั้งสองน่ารักมากเลยนะคะ” แมรี่นั่งมองอยู่ข้างๆ ใบหน้ายิ้มแย้มรู้ยินดีกับผู้เป็นนายจากใจจริง


“อื้ม”


ซินเธียเองก็ยิ้มละไมไม่ต่าง พอได้เห็นหน้าลูกทั้งสองคนแล้วความเจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยก่อนหน้านี้พลันหายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สายตาจับจ้องใบหน้าเล็กๆ ทั้งสองไม่ยอมละสายตา


ทั้งปาก จมูก ดวงตา ไหนจะเส้นผมดกดำเหล่านั้นราวกับถอดแบบจากผู้เป็นบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว เขาโน้มลงใช้ปลายจมูกหอมฟรานซิสกับเฟย์ลินน์คนละทีพลางขยับกายเข้าโอบทั้งสองเข้าแนบอกเต็มไปด้วยความทะนุถนอมรักใคร่ ท่ามกลางเรื่องเลวร้ายในวันนี้อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ดี หัวใจของซินเธียมีความสุขเป็นอย่างมาก นึกอยากให้เจ้าตัวได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง


ว่าลูกๆ ของพวกเราน่ารักมากขนาดไหน




หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 26-08-2019 21:24:10
รุ่งสางกำลังย่างเข้ามาอีกไม่นาน ซินเธียสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าใด ต่อให้เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถนอนหลับลงได้อย่างสบายใจ ส่งผลให้หลับๆ ตื่นๆ อยู่แบบนั้นค่อนคืน ทางฟังสาวรับใช้ก็ไมต่างเธอแทบจะไม่หลับตาลงด้วยซ้ำ ต้องพยายามฝืนลืมตาเอาไว้เพื่อระวังภัย


“ตื่นแล้วหรือคะ รู้สึกอย่างไรบ้าง”


ซินเธียกะพริบตา สายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบก่อนเอี้ยวตัวลงมองสองแฝดข้างกาย อาจเพราะคลอดก่อนกำหนดเป็นเดือนร่างกายของเด็กๆ เลยไม่ค่อยดีนักโดยเฉพาะเฟย์ลินน์จังหวะการหายใจของเขาไม่ค่อยมั่นคง ตอนนี้ยังไม่ร้ายแรงมากแต่ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้นานเข้าก็ไม่แน่ใจว่าลูกจะทนไหวหรือเปล่า


แถมพวกเราทุกคนในตอนนี้ยังไม่มีใครได้อาหารตกถึงท้องเลยสักคน เด็กหนุ่มรู้สึกผิดต่อลูกมากต่อให้ร้องไห้แค่ไหนซินเธียก็ไม่สามารถให้นมได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการเด็กทั้งสอง ร่างกายของเขาไม่มีสารอาหารมากพอ


“เราคงอยู่ที่นี่นานไม่ได้” ซินเธียเปรย


ไม่มีสิ่งไหนรับประกันว่าคนเหล่านั้นจะรามือ เมื่อวานอาจจะหนีรอดมาได้ วันนี้ก็ไม่แน่จะพ้นหรือไม่ พวกเขาไม่ควรรั้งอยู่จุดเดิมนานเกินไปอีกทั้งเสียงร้องของเด็กก็ยังเป็นปัญหา


“แมรี่จะออกไปดูลาดเลาให้นะคะ” เด็กสาวทำท่าจะผุดลุกทันทีหลังกล่าววาจากล้าหาญจนซินเธียต้องฉุดเธอเอาไว้ บนใบหน้าหวานเจือแววกังวล


“จะให้เราปล่อยแมรี่ออกไปเสี่ยงคนเดียวได้อย่างไร”


แค่เมื่อวานก็แย่มากพอ เขาไม่อยากเอาเปรียบเด็กสาวอีกแล้วทั้งที่เธอก็อายุแค่ 16 17 คน ทักษะการต่อสู้อะไรก็ไม่มี แล้วแบบนี้จะกล้าเอาเธอมาเป็นโล่กำบังซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างได้ ซินเธียรับรู้ได้ถึงความจริงใจของอีก่าย รู้ได้ถึงความซื่อสัตว์ ความเอาใจใส่ของเธอ เพราะแบบนั้นถึงได้ใช้เธอไม่ลง


“เราออกไปด้วยกัน” กล่าวอย่างมุ่งมั่น นัยน์ตาสีเงินฉายแววเด็ดเดี่ยวว่าคำกล่าวนี้ได้รับการไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว


“แต่ท่านชายคะ...” แมรี่เหลือบสายตาไปยังคุณชายน้อยทั้งสอง สถานการณ์แบบนี้แค่พวกเธอก็น่าเป็นห่วงมากพอแล้ว การต้องคอยอุ้มเด็กอ่อนออกไปด้วยมันเสี่ยงมาก โดยเฉพาะเด็กที่ว่ามีถึงสองคน แน่นอนว่าเธอไม่อยากให้ท่านชายต้องเป็นอะไรไป ยิ่งคุณชายน้อยที่พึ่งลืมตาดูโลกได้ยังไม่ครบวัน ก็ยิ่งไม่อยากให้พวกเขาต้องรับอันตราย


ซินเธียมองลูกทั้งสอง ฟรานซิสอาจจะพอไหวแต่เฟย์ลินน์เขาจะทนได้หรือไม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เด็กหนุ่มเม้มปากอย่างใช้ความคิด หนทางสุดท้ายนี้มันก็บ้ามาก แต่...


จัดการถอดกำไลทั้งสองวงออกก่อนจะจัดการสวมมันเข้าไปยังข้อเท้าของสองแฝดจัดแจงรวบเศษผ้าบนชุดของตัวเองออกมาเพื่อห่อตัวเด็กน้อยจนหนาแน่นเหลือเพียงใบหน้าพอให้หายใจสะดวก


เขาไม่ได้อยากพาลูกคนใดคนหนึ่งออกไปเสี่ยง และก็ไม่อยากปล่อยลูกคนใดคนหนึ่งไว้ลำพัง ซ้ำจะเลือกทางใดทางหนึ่งให้เด็ดขาดไปเลยก็ไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป


ดวงตากลมโตสะท้อนแวววูบไหวแดงก่ำ สูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจเรื่องที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต อุ้มลูกคนเล็กวิ่งเข้าไปด้านในถ้ำให้ลึกอีกหน่อยแล้วซ่อนเขาเอาไว้ในซอกหินขนาดใหญ่แล้วกลับมาอุ้มอีกคนวิ่งออกมาจากถ้ำแห่งนั้นให้ไวที่สุด


“ไป!”



คนทั้งสองมุ่งหน้าให้ออกจากตัวถ้ำพยายามออกห่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่เรี่ยวแรง ณ ขณะนั้นจะไหว


พระอาทิตย์ขึ้นมาทีละน้อยแล้ว หนทางไม่ยากลำบากเท่าเมื่อคืน ซินเธียคิดว่าจะหนีไปทางทิศเหนือ อย่างน้อยให้ออกเขตจากธอร์นไปก็ยังดี ไม่รู้ว่าผู้ติดตามคนที่ไปขอความช่วยเหลือเมื่อคืนจะทำสำเร็จหรือไม่ หากมันสำเร็จก็ดีไป แต่กว่าจะตามมาอย่างไรก็ต้องใช้เวลาสู้เขาวิ่งกลับไปทางเหนือเผื่อเราจะเจอกันเร็วขึ้น


ผ่านมาครู่ใหญ่ฟรานซิสก็เริ่มส่งเสียงร้องอีกแล้ว ซินเธียได้แต่กอดลูกเอาไว้แน่นๆ เขารู้ว่าลูกอาจจะหิวแต่พวกเราไม่มีทางเลือก ซ้ำยังไม่มีอาหาร


“อดทนไว้ก่อนนะลูก”


เขาทำได้เพียงแค่กอดปลอดประโลม ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นเรื่องดีหรืออะไรเพราะเป็นเด็กแรกเกิดยังไม่รู้ความ หากยังไม่หิวจนขีดสุดหรือเกิดสิ่งผิดปกติกับร่างกายเขาก็จะไม่ร้องไห้ อย่างน้อยน้ำนมอันน้อยนิดที่ลูกพยายามฝืนดูดเพื่อเค้นน้ำนมออกมาพอประทังให้สงบไปอีกพักใหญ่


เสียงความเคลื่อนไหวดังแว่วมาจากที่ไกลๆ สัญชาตญาณของเด็กหนุ่มตื่นตัวจนถึงขีดสุดรีบพากันไปซ่อนยังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง


“รีบหาเร็วเข้า! เป็นแค่โอเมก้ากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นมันไปไหนไม่ได้ไกลหรอก”


ยิ่งเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เท่ามด หัวใจของเด็กหนุ่มก็บีบรัดมากขึ้นเท่านั้น ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหายใจ สองมือกดเด็กน้อยเอาไว้แนบอกแน่น


“พวกมันไปกันแล้วค่ะ” แมรี่กระซิบ งะเง้อมองชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินห่างไปอีกทาง มีราวๆ 4-5 คนได้


“ไม่แน่ใจว่ามีกี่กลุ่มที่กำลังตามล่า เรารีบไปกันเถอะ”


ตรวจจนแน่ใจอีกครั้งแล้วจึงออกวิ่งต่อ โชคร้าย ยังไม่ทันได้ไปไหนไกลกลับต้องหยุดชะงักเพราะมาเจอเข้ากับกลุ่มที่สองจริง!


“!?”


“อรุณสวัสดิ์ครับ เจ้าชาย”


เสียงเย็นทว่าใบหน้ากับเหยียดยิ้ม ซินเธียคิดว่ามันทั้งน่ารังเกลียดและน่าหวาดผวาในคราวเดียวกัน แต่ก็คงสร้างความตกใจเท่าว่า ชายคนนี้เป็นผู้ใด


“คุณ... แฟรงค์!!”


ใบหน้านี้ต่อให้พบกันไม่บ่อยแต่ก็จดจำได้ดี เขาคือผู้ติดตามคนสนิทของท่านอา แต่ทำไม... เด็กหนุ่มสับสนเป็นอย่างมาก ขยับเท้าถอยหลังกำลังจะหนี แต่ไม่คิดว่าชายผู้นี้ไม่ได้ยืนอยู่เพียงคนเดียว กว่าจะรู้ตัวเหล่าชายฉกรรจ์ก่อนหน้าก็กลับมาล้อมพวกเขาเอาไว้หมดแล้ว


“ไม่เอาน่า ท่านคิดจะหนีไปไหนล่ะอยู่คุยกันก่อนสิ” แฟรงค์กล่าวด้วยท่าทีหย่อนอารมณ์


“หมายความว่าอย่างไร”


“หมายถึงอะไรล่ะ” เจ้าตัวไหวไหล่


“คุณอย่ามาเล่นลิ้น ปล่อยเราออกไปเดี๋ยวนี้” ไม่บ่อยกับการต้องใช้น้ำเสียงเชิงคำสั่ง แต่เดิมซินเธียไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวเรื่องในตระกูลมากอยู่แล้ว ยิ่งกับพวกญาติคนอื่นก็แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกันทำให้มั่นใจว่าตนไม่เคยไปสร้างความหมองใจกับใคร


“ผมปล่อยแน่ครับ” ชายหนุ่มแสยะยิ้มร้าย “โอ้ นั่นคือเจ้าชายน้อยใช่หรือไม่”


ซินเธียกระชับอ้อมแขนเบี่ยงตัวพาเด็กน้อยในอ้อมแขนหลบจากสายตาของอัลฟ่าตรงหน้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้


“ถอยออกไป”


“ไม่เอาน่า ผมแค่อยากจะดูเจ้าชายน้อยใกล้ๆ เท่านั้น” คำพูดช่างสวนกับการกระทำ มันพยักเพยิดหน้าไปทางด้านหลังสั่งการให้ลูกน้องจับตัวของซินเธียไว้แล้วเข้ามายื้อแย่งออกไป เด็กหนุ่มกอดลูกเอาไว้จนสุดกำลัง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง แต่เรี่ยวแรงของตนตอนนี้หรือจะสู้อัลฟ่าพวกนั้นได้ สุดท้ายก็ได้แต่กรีดร้อง ดึงดันจะเข้าไปนำเด็กกลับมา


“ปล่อยเรา! ส่งลูกคืนมานะ อึก!!”


แฟรงค์ถีบร่างของโอเมก้าตรงหน้าให้พ้นทางก่อนจะกระชากเด็กออกมา เพราะความรุนแรงนั้นทำให้ทารกส่งเสียงร้องไห้ดังลั่นทำเอาหัวใจของผู้เป็นมารดาแทบจะแตกสลาย


“ท่านชายคะ!” แม่รี่รีบเข้าไปรับร่างของผู้เป็นนายเอาไว้ ตวัดสายตาจดจ้องคนชั่วช้าเขม็ง


“ท่าทางจะเป็นอัลฟ่านะ” มันพรายยิ้ม “จัดการที่เหลือด้วย”


“หยุดนะ จะเอาลูกเราไปไหน!”


ซินเธียพยายามจะวิ่งเข้าไปแต่กลับถูกอัลฟ่าเมื่อครู่สกัดเอาไว้


“เจ้าชาย”


มันจิกผมของซินเธียขึ้นอย่างแรงบังคับให้แหงนหน้าไปสบตา เด็กหนุ่มจดจ้องเขม็งส่งผ่านความเกลียดชังไปอย่างไม่ปิดบัง


“โอ้ ดูสายตานั่นสิ” มันหัวเราะ น้ำเสียงเย้ยหยัน “ทำไม อยากตามไปเอาลูกคืนเหรอ”


“พวกคุณจะเอาลูกของเราไปที่ไหน!”


เด็กหนุ่มตะคอกแม้ทั่วทั้งร่างจะชาไปหมดไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า แต่ความเจ็บปวดทางกายเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกภายในใจ ลูกของเขา ถูกพวกมันช่วงชิงไปต่อหน้าต่อตา


“เอาไปไหนหรือ” มันเลิกคิ้วกระชากให้ศีรษะของเด็กหนุ่มแหงนกว่าเดิมแล้วบังคับให้หันไปอีกทางที่มีร่างไร้วิญญาณของแมรี่นอนอยู่ “ส่งไปอยู่กับพี่เลี้ยงมันเป็นไง แกจะได้ไม่ต้องลำบากจริงไหม”


หัวใจของซินเธียพลันกระตุก ความคับแค้นแล่นทะลุจนแทบจะกระอักออกมา


“ให้มันตายไปซะ เด็กนั่นมันไม่สมควรเกิดมาเป็นมารให้นายท่านต้องระคายใจ” ดุจเสียงปีศาจกระซิบข้างใบหู วินาทีนั้นสมองของเขามันอื้ออึงไปหมด เนื้อตัวสั่นเทิ้มเต็มไปด้วยโทสะ เขากรีดร้องออกมาราวกับเสียสติมือชักดาบสั้นตรงข้างเอวมันออกมาตัดฉับกับเส้นผมของตัวเองโดยไม่แม้แต่จะยั้งคิด


มันเบิกตากว้างไม่คาดคิดกับการกระทำของโอเมก้าตรงหน้า เศษเส้นผมสีจินเจอร์ปลิวฟุ้งไปในอากาศตัดขาดพันธนาการจากคนทั้งสอง ร่างของซินเธียกลิ้งไปอีกทางตามแรงเหวียง มันก้มมองเส้นผมยาวในกำมือก่อนจะสะบัดทิ้ง


“แก!!”


สำหรับชาวแดนใต้แล้วเส้นผมก็เหมือนชีวิตและศักดิ์ศรีทั้งหมด ราวกับสมบัติล้ำค่า ยิ่งยาวก็ยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งและประสบการณ์ ใครจะคิดว่าเจ้าชายจะกล้าตัดผมตัวเองทิ้งเพื่อให้หลุดจากเงื้อมือของคนตรงหน้า


แต่กว่าที่มันจะตั้งสติกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า ซินเธียก็มีเวลามากพอจะคว้าดาบในมือของทหารคนหนึ่งที่นอนตายอยู่ข้างๆ มือขวาถือดาบสั้น อีกมือถือดาบยาว ดวงตาสีเงินฉายแววเด็ดเดี่ยวจ้องเขม็งไปยังคนที่ไม่สามารถให้อภัยได้ชั่วชีวิต


“อ๊ากก!”


ไวราวกับภาพลวงตา ร่างบอบช้ำทุ่มพลังทั้งหมดพุ่งเข้าตวัดดาบฟาดลงบนกลางลำตัวของคู่ต่อสู้ นัยน์ตาไร้ชีวิตสูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปจนหมดสิ้น ภายในสมองของเด็กหนุ่มตรงหน้ามีแต่การแก้แค้น


คนที่มันกล้าจะเอาชีวิตลูกชายของเขาไป


ลูกชายที่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาบนโลกได้เพียงวันเดียวกลับต้องถูกมันทั้งหลายช่วงชิงไป


ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ไม่มีวัน!


คนทั้งสองพุ่งเข้าโรมรันตวัดดาบอย่างไม่มีใครยอมใคร การถูกฟันเมื่อครู่สร้างโทสะให้กับอัลฟ่าน่ารังเกียจตรงหน้าไม่น้อยมันแทงดาบในมือเข้ามาหวังปลิดชีวิตตอหนามยอกอกตรงหน้าแต่ก็ถูกดาบสั้นในมือตั้งรับเอาไว้ ซินเธียหมุนข้อมือแทงดาบอีกด้ามแทงทะลุทรวงอกของมันทันทีไร้ซึ่งความปราณี


ยังเหลืออีกสองคน หนึ่งในนั้นพุ่งเข้ามาหวังปลิดชีพเด็กหนุ่มด้วยความเดือดดาลหลังเห็นเพื่อนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตา ซินเธียไขว้แขนทั้งสองใช้คมดาบและมีดสั้นตั้งรับด้วยความทุลักทุเล ขบกรามแน่นนามต้องเกร็งทั้งลำตัวเพื่อต้านรับอาวุธตรงหน้า ชั่วขณะหนึ่ง นัยน์ตาสีเงินส่องประกายวาบเลือดเย็น ตวัดมองร่างของชายฉกรรจ์อีกหนึ่งที่พุ่งตัวมาจากด้านข้าง เขาย่อตัวลงในเสี้ยววินาทีสร้างความเสียศูนย์ให้กับชายคนแรก พลิกข้อมือหมุนแล้ววาดคมดายเฉือนผิวเนื้อของอัลฟ่าทั้งสองเป็นแนวครึ่งวงกลม


“อ๊ากกกกก!”


การกระทำนั้นสร้างโทสะจากพวกมันจนถึงขีดสุด พอตั้งสติได้ก็เหวี่ยงดาบหวังแทงลงบนลำตัวของเด็กหนุ่มทันที แต่ซินเธียไหวตัวทันรีบกลิ้งตัวหลบปลายแหลมนั้นได้อย่างฉิวเฉียด เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่รัว ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและเม็ดดิน ผมสีจินเจอร์บัดนี้เหลือเพียงช่วงบ่ากระเซอะกระเซิงจากการต่อสู้


แรงดาบเมื่อครู่สร้างความเสียหายให้กับพวกมันพอสมควร แต่นั่นก็เป็นเรี่ยวแรงจากการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของชีวิตแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ทันได้ฟื้นตัวดีดวงตาทั้งสองเริ่มพร่าเลือน สองขาสั่นระริกไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึก เขากำอาวุธในมือทั้งสองแน่นขณะมองคนชั่วช้าพวกนั้นเล็งปลายดาบเข้าหา


หลบ ไม่ไหวแล้ว...


เขาหลับตาลง


ปัง! ปัง!


   ไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียง ร่างกำยำของชายฉกรรจ์ล้มตึงลงแทบเท้าของเด็กหนุ่มคร่าชีวิตของพวกมันก่อปลายดาบจะทันได้แต่ผิวกายเพียงเสี้ยววินาที


ซินเธียลืมตาโพรง ปล่อยอาวุธในมือหล่นลงพื้นด้วยหัวใจเต้นระรัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกขณะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่


อัลฟ่าร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเรียบขรึมแสนคุ้นเคยทว่าวันนี้มันดูน่ากลัวกว่าปติ ทั่วทั้งร่างแผ่รังสีอันตรายออกมารุนแรง โดยเฉพาะนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นซึ่งเต็มไปด้วยจิตสังหารจนแม้แต่ซินเธียเองก็ยังควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านไม่ได้


“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”


แอชลีย์สืบเท้าเข้ามาใกล้รีบย่อตัวลงสำรวจร่างบอบช้ำตรงหน้า อีกฝ่ายส่ายศีรษะแรงๆ นัยน์ตาคู่งามแดงก่ำแต่กลับไม่มีน้ำแม้สักหยดไหลซึมออกมา


“ขอโทษ ขอโทษที่มาช้า”


ร่างกายถูกคว้าเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรงที่โหยหา เด็กหนุ่มเอาส่ายหน้าอยู่ในอ้อมแขน ซุกซบใบหน้าหาความอบอุ่น ไม่นึกโกรธเคืองหรือโทษชายหนุ่มเลยแม้แต่สักนิด ตอนนี้แค่ได้พบกันความกลัว ความกังวลทั้งหมดทั้งมวลที่ถ่วงรั้งเอาไว้ก็สลายหายไปจนสิ้นแล้ว


“ลูกล่ะ?”


แอชลีย์ลูบหลังคอคู่ชีวิตของตนเบาๆ เป็นการปลอบประโลม รอจนอีกฝ่ายสงบลงแล้วจึงได้ถามถึงลูกๆ หลังสังเกตว่าหน้าท้องที่เคยนูนใหญ่ของเจ้าตัวขณะนี้มันไม่เป็นดั่งเคย


“ลูก... ลูก” ซินเธียพึมพำคล้ายเหม่อลอย ดวงตากลอกไปมาก่อนจะกำชายเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้แน่น “เฟย์ลินน์อยู่ในถ้ำ เราซ่อนเขาเอาไว้เพราะลูกร่างกายอ่อนแอมาก” เขาร้อนลน “แต่ว่า แต่ว่า! พวกมันเอาไป พวกมันเอาฟรานซิสไป แอชลีย์ คุณต้องช่วยพาเขากลับมา”


ซินเธียพูดระรัวด้วยดวงตาแดงกำ สองมือที่กำขายเสื้อเอาไว้ก็บีบเข้าหากันแน่นจนขึ้นข้อขาว ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มราวกับกำลังจะสูญเสียสติไปอีกครั้ง


“ช่วยพาเขากลับมาที ลูกของเรา ได้โปรด แอชลีย์ พาเขากลับมา”


สภาพของภรรยาที่ไม่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วันทำให้หัวใจของแอชลีย์ปวดหนึบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะยามได้เห็นเส้นผมที่เคยยาวสลวยระบั้นเอวแต่ตอนนี้กลับถูกหั่นจนเหลือเพียงประบ่า


ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นได้แต่พูดคำว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงทุกอย่างจะเรียบร้อย ทว่า ภายในใจขณะนี้ไม่ต่างไปจากภูเขาซึ่งข้างใต้เต็มไปด้วยเพลิงร้อนระอุกำลังเดือดพล่านรอวันเวลาปะทุในอีกไม่ช้า นิ้วมือทั้งห้าซึ่งก่อนหน้านี้ได้ถูกใช้ลูบแผ่นหลังบางค่อยๆ ขยับเข้าหากันเชื่องช้า บีบแน่นจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูกข้อนิ้ว ชวนให้คนที่ได้ยินหวาดผวาเป็นอย่างมาก


เขาจูบซับขมับของเด็กหนุ่มกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่าตนจะรีบไปตามลูกกลับมาแก่อีกฝ่ายซึ่งกำลังอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ นัยน์ตาอำพันคมกริบตวัดไปด้านหลังส่งผ่านคำพูด ทางด้านฮิลล์ที่ตามมาด้วยก็พยักหน้าเข้าใจโดยไม่ต้องรอให้เอ่ยออกมา นายท่าแลมเบิร์ตรีบเข้ามารับช่วงต่อดูแลท่านชายให้ สั่งการคนของตัวเองออกค้นหาพวกสวะที่เหลือ ส่วนแอชลีย์นำคนแยกไปตามทางที่เด็กหนุ่มบอกจุดซ่อนตัวของลูกชายคนเล็กเอาไว้


เขาจะไม่ปล่อยพวกหมาลอบกัดเอาไว้แน่


แม้แต่ชีวิตโง่ๆ ของมันตอนนี้ก็ร้องขอไม่ทันแล้ว




หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: monrita ที่ 26-08-2019 21:27:03

บทที่ 30


   ในวันนั้น แอชลีย์นำคนกลุ่มหนึ่งแยกออกมาตามหาลูกคนเล็กตามทิศที่ซินเธียบอก การค้นหาเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็พบทารกคนหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้ในซอกของโขกหินขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในตัวถ้ำ เนื่องจากได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาเป็นตัวนำทาง


อัลฟ่าหนุ่มไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกครั้งแรกยามได้เห็นหน้าลูกชายของตนออกมาเช่นไร เขาไม่รู้ว่าสำหรับพ่อคนอื่นแล้วพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรยามได้พบลูกชายเป็นครั้งแรก ได้สัมผัสตัวพวกเขาเป็นครั้งแรก อาจจะกู่ร้อง ดีใจ ร้องไห้ หรือนิ่งอึ้ง


แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ยามได้อุ้มทารกตัวน้อยขึ้นมาในอ้อมอกหัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปวดหนึบ


ตอนแรกแอชลีย์มีท่าทีกังวลเล็กน้อยเนื่องด้วยตนไม่รู้วิธีอุ้มเด็กทารก ยิ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าก่อนจะพบกันเขาได้เผชิญกับสถานการณ์ใดมาบ้าง รีบร้อยไปก็กลัวจะยิ่งเป็นการทำร้ายร่างอันแสนบอบบางนี้ไป โชคดีว่าหนึ่งในคนที่ติดตามมามีคนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วจึงมีประสบการณ์มาบ้างเลยช่วยให้คำแนะนำในการอุ้มเด็กแรกเกิดให้กับผู้เป็นนาย


เฟย์ลินน์ตัวเล็กมาก ยิ่งถูกกระชับเข้ามาในอ้อมแขนของอัลฟ่าหนุ่มก็ราวกับจะจมหายลงไปในอก เขาร้องไห้เสียงดังแต่เป็นเสียงแหบแห้งแสนอ่อนแรง ใบหน้าแดงก่ำ แอชลีย์ไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร เขาเลยลองพูดเป็นเชิงปลอบประโลมโดยใช้น้ำเสียงแบบเดียวที่พูดกับคนแม่เมื่อครู่ดูพร้อมทั้งโยกตัวเล็กน้อยตามคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์ข้างกาย


“พ่ออยู่ตรงนี้”


พอถูกรับเข้าสู้อ้อมกอดแม้เด็กน้อยจะยังไม่หยุดร้องแต่เขาดูสงบกว่าตอนเข้ามาพบครั้งแรก คล้ายได้กลิ่นและน้ำเสียงแสนคุ้นเคย


“ทำไมเขาไม่หยุดร้องเลยล่ะ” แอชลีย์พยายามปลอบลูกตามคำแนะนำของผู้ติดตามด้วยท่าทีเก้กัง แขนทั้งสองข้างแข็งไปหมดจนเริ่มชาเนื่องด้วยไม่กล้าขยับเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน โดยเฉพาะส่วนคอของทารกทั้งบอบบางและอ่อน ไหนจะผิวเนื้ออุ่นรุมๆ นี่อีก ร้อนจนคุณพ่อมือใหม่ต้องให้คนช่วยถอดเสื้อสูทออกให้แล้วนำมาห่อตัวเฟย์ลินน์อีกชั้นหนึ่ง ในถ้ำนี้อากาศเย็นสำหรับเด็กมากเกินไปจริงๆ


“คุณชายน้อยอาจจะหิวหรือเปล่าครับ” หนึ่งในผู้ติดตามคาดคะเน


“ถ้าอย่างนั้นรีบออกไปจากที่นี่”


อัลฟ่าหนุ่มสั่งการโดยไม่ลังเล ตอนนี้พวกเขาต้องรีบออกเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด น่าเป็นห่วงอาการทั้งคนแม่คนลูกประเมินไม่ได้เลยว่าใครย่ำแย่กว่ากัน




ซินเธียลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนอนหลับไปนาน เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าตัวเองหมดสติไปตอนไหน อาจจะเป็นตั้งแต่ที่อัลฟ่าหนุ่มหันหลังวิ่งไปยังทิศทางของถ้ำเพื่อตามหาลูกๆ พอได้พบใบหน้าอันคุ้นเคยเขาก็ปล่อยวางทุกอย่างให้ความเหนื่อยล้าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมาเล่นงานอย่างง่ายดาย มันเกินขีดจำกัดของร่างกายเขามามากพอแล้ว


เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาได้ชั่ววินาทีก็ต้องหลับลงไปอีกครั้ง ใช้เวลาปรับตัวกับแสงสว่างอยู่พักใหญ่ถึงได้มองเห็นบรรยากาศรอบกายชัดขึ้น


สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวสะอาดและกลิ่นยาอบอวลไปทั่ว ไอน้ำจากเครื่องฟอกอากาศ เมื่อขยับศีรษะไปอีกด้านพบชุดโซฟาว่างเปล่าและกระเช้าผลไม้บนโต๊ะกระจกต่างจากกระเช้าของเยี่ยมอื่นบนโต๊ะอาหารขนาดสองที่นั่งตรงมุมห้องอีกด้านราวกับว่ามันพึ่งถูกนำเข้ามายังไม่ได้รับการจัดเรียงให้เข้าที่


“อา...”


ครางออกมาแผ่วเบารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันช่างแสนจะหนักอึ้ง ซินเธียกะพริบตาอีกสองสามครั้งพลางสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามจะดันกายลุกขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูส่วนในถูกเปิดเข้ามาแผ่วเบา ปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าผู้นำตระกูลคิม ใบหน้าคมคร้ามยังคงสงบนิ่งดังปกติ ทว่า นัยน์ตาอำพันคู่นั้นมีแววยินดีหลังจากเห็นว่าคนที่นอนหลับมาถึงสองวันเต็มตื่นขึ้นมาแล้ว


“ค่อยๆ”


แอชลีย์สาวเท้าเข้ามาใกล้โอบประคองร่างของภรรยาให้นั่งพิงหมอนได้สะดวก มือใหญ่ไล้ไปตามกรอบหน้าเรียวได้รูปซึ่งบัดนี้ดูซีดเซียวไปมาก พอแน่ใจว่าอุณหภูมิของร่างกายปกติดีก็วางใจ กำลังจะย้ายมือไปลูบกลุ่มผมจินเจอร์ตามความเคยชินกลับต้องชะงักไปเพราะลูบลงมาได้ถึงช่วงลำคอก็ต้องพบแต่อากาศว่างเปล่า


ชายหนุ่มกำมือเข้าหากันก่อนจะชักกลับมาวางข้างตัวอย่างแนบเนียน เอ่ยปากถามไถ่อาการอย่างนึกเป็นห่วง


“รู้สึกอย่างไรบ้าง”


“ลูกๆ ล่ะครับ” น้ำเสียงแหบแห้งสวนขึ้นด้วยคำถาม วูบหนึ่งมองเห็นแวววูบไหวในดวงตาอำพันครู่นั้น แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีหากไม่สังเกตก็คงไม่พบความผิดปกติ


“พวกเขาอยู่ที่ไหน” ถามย้ำด้วยความร้อนรนเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบไป ดวงตาทั้งสองเริ่มแดงก่ำ


แอชลีย์ทรุดตัวนั่งข้างเตียงก่อนจะดึงกายบางเข้ามาสวมกอดยามเอ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่อีกคนนอนหลับอยู่


“เฟย์ลินน์ตอนนี้อยู่ในห้องสำหรับเด็กอ่อน เพราะเขาคลอดก่อนกำหนดทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงตอนนี้จำเป็นต้องอยู่ในตู้อบสักระยะเพื่อจะได้ง่ายสำหรับดูแล” เขาเลี่ยงจะใช้คำว่าติดตามอาการอย่างใกล้ชิดอย่างที่หมอเคยพูดเอาไว้ เพราะสภาพจิตใจของซินเธียตอนนี้เขาจะยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม


เพราะว่า...


“ทำไมคุณพูดถึงแต่เฟรย์ล่ะ แล้วฟรานอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือครับ” ซินเธียขืนตัวออกมาจากอ้อมกอด จับต้นแขนทั้งสองของผู้เป็นสามีแน่นเค้นเอาคำตอบกับคนที่เงียบไปหลังเอ่ยประโยคแรกจบทั้งยังไม่มีวี่แววจะพูดอะไรต่อ


หมดแล้วหรือ มีเพียงเท่านี้น่ะหรือ?


“ผมจะรีบตามหาเขาให้พบ”


เพียงเท่านั้นน้ำตาที่รื้นอยู่ก็หลั่งไหลออกมาเป็นสายราวกับว่ามันถูกกักเก็บไว้นานจนเกินไปพอถึงเวลาปะทุออกมาถึงได้มีมากมายมหาศาล ไม่อาจหยุดยั้งได้ สองมือสั่นเทิ้มที่จับต้นแขนแข็งแรงเอาไว้เปลี่ยนเป็นขยำเนื้อผ้าแน่น


“เขา... เขา” ซินเธียกลอกตาไปมาอย่างคนเหม่อลอย สมองสับสนอันแน่นไปด้วยความคิดมากมาย


แอชลีย์กระชับร่างสั่นระริกเข้าสู่อ้อมแขนแน่น เขาวางใบหน้าด้านหนึ่งไว้บนกลุ่มผมสีจินเจอร์ มืออีกข้างก็คอยลูบแผ่นหลังคอยปลอบประโลมไม่หยุด


หัวใจรู้สึกเจ็บปวดกับทุกๆ เรื่อง


ทุกเรื่องจริงๆ มันมากมายไปเสียหมด


“ขอโทษ”


“เขาพึ่งลืมตาได้ไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ไม่ถึงหนึ่งวัน ฮึก... แม้แต่น้ำนมสักหยดก็ยังไม่มีโอกาสได้ดื่มกินดีๆ...” ซินเธียสะอื้น ตั้งแต่เกิดมาเป็นครั้งแรกที่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายธารขนาดนี้


อดทนฝ่าฟันมาได้ทั้งคืน ตอนนี้เพียงได้ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งเขาก็ยอมปล่อยให้ความอ่อนแอทั้งหมดออกมา พรั่งพรูความในใจแสนอัดอั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“เพราะเราให้เขามากอย่างที่ต้องการไม่ได้ เราพยายามแล้ว” แต่ร่างกายของตนก็ไม่มีสารอาหารมากพอจะกลั่นเป็นน้ำนมให้กับลูกๆ ได้ในตอนนั้น “คนพวกนั้นต้องการอะไร ทำไมเขาต้องเอาฟรานไปด้วย เขาก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ทันจะได้ลืมตาด้วยซ้ำ”


“ฉันส่งคนไปค้นหาเพิ่มแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพาลูกกลับมา”


ต่อให้ต้องเผาทั้งป่าบ้าๆ นั่น เขาก็จะทำให้มันมอดไหม้จนใช้มุดหัวไม่ได้


แอชลีย์ขบกรามแน่นพลางกระชับอ้อมแขนแน่น


วันนั้นหลังจากพาตัวเฟย์ลินน์กลับมาได้ คนจากฝั่งที่ไปค้นหาฟรานซิสยังไม่กลับมา แอชลีย์ไม่ต้องการทิ้งคนใดคนหนึ่งไว้แต่อาการของซินเธียกับลูกคนเล็กก็น่าเป็นห่วงไม่อาจรั้งรอได้นานกว่านี้แล้ว ยิ่งกว่าพวกเขาจะเดินทางออกจากเขตของแดนใต้ออกไปยิ่งใช้เวลา ขามากับขาไปนั้นสภาพการเดินทางย่อมต้องแตกต่าง ต่อให้รีบแค่ไหนตอนนี้ก็มีคนเจ็บและเด็กอ่อนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ


แอชลีย์ตัดสินอย่างเด็ดขาด เขารีบพาตัวภรรยาและลูกคนเล็กมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน ส่วนฮิลล์รั้งรอพาคนของตัวเองค้นหาต่อ ตอนนี้แอชลีย์ได้พาคนของทางตระกูลคิมออกไปค้นหาสมทบแล้วคิดว่าอีกไม่นานก็คงจับตัวพวกมันมาได้


ครั้งแรกหลังได้รับข่าวเรื่องการลอบโจมตีนั้นอัลฟ่าหนุ่มทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น โชคดีว่าอีสเทิร์นพอร์ตนั้นเมื่อเทียบระยะทางแล้วอยู่ใกล้กว่า และที่นั่นมีฮิลล์ แลมเบิร์ต นายท่าแห่งนาวีเจี้ยนผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง และการจัดการอย่างเด็ดขาดของฮิลล์ เขาสามารถนำคนออกมาช่วยเหลือได้ทันเวลา


แน่นอนว่าความช่วยเหลืออันยอดเยี่ยมเหล่านี้ต้องแลกกับอะไรไปไม่น้อย แอชลีย์ไม่ลังเลเลยที่จะทำการค้ากับฮิลล์อีกครั้ง แม้ระดับความเสียเปรียบจะมีมากกว่าการเจรจาธุรกิจทั่วไปเกือบสองเท่าตัว ความเด็ดเดี่ยวไม่ลังเลของอัลฟ่าหนุ่มข้อนี้ไม่เคยทำให้นายท่าแห่งนาวีเจี้ยนผิดหวัง เขายิ้มกว้างพร้อมมอบกำลังคนให้อย่างใจกว้าง


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ขณะประคองร่างของภรรยาลงนอนดังเดิม ซินเธียร้องไห้จนเหนื่อยแล้วนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เขาลูบปลายผมสั้นระลำคอของคนหลับเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ พอได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ผละออกมาโดยไม่ลืมช่วยจัดผ้าห่มให้ ตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีตรงไหนน่าห่วงแล้วก็เดินออกไปคุยธุระกับผู้ติดตามคนหนึ่งที่มาแจ้งข่าวสาร


ตอนค่ำเด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพที่ดีกว่าตอนแรกเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวเริ่มมีริ้วสีของเลือดฝาด พอได้ทานอาหารอ่อนๆ ร่างกายก็ฟื้นตัวมากขึ้น ด้วยความที่คลอดเองระดับการฟื้นตัวจึงใช้เวลาไม่นาน นอนพักสักคืนหลังคลอดก็สามารถเดินเหินได้คล่องแล้วหากไม่ติดว่าตลอดช่วงเวลาเมื่อสองวันก่อนซินเธียต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวสุดระทึกมา ร่างกายขาดทั้งน้ำขาดทั้งอาหาร ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายจึงอ่อนเพลียมากส่งผลให้พอถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลก็นอนหลับไปถึงสองวัน ตอนนี้ก็เริ่มขยับร่างกายได้ดังเดิมแล้วเพียงแค่อาจจะไม่คล่องแคล่วนัก


เรื่องของแมรี่ก็ทำให้ซินเธียรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยร่างของเธอถูกนำกลับมาด้วย แอชลีย์เล่าว่าได้จัดการเรื่องฝังศพและทำพิธีโดยครอบครัวของเธอเรียบร้อย ทางตระกูลคิมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และไม่ลืมแสดงความเสียใจกับขอโทษทางครอบครัวเธอจากใจจริง ชายหนุ่มยังกล่าวอีกว่าเมื่อร่างกายของซินเธียดีขึ้นมากกว่านี้หากต้องการเขาจะพาไปเยี่ยมเด็กสาว


“เราอยากเจอเฟรย์” ซินเธียเอ่ยหลังทานมื้อเย็นเสร็จ ภายในใจของเด็กหนุ่มยังคงร้อนรน เขาจะไม่วางใจหากไม่ได้เห็นหน้าลูกด้วยตนเองว่าเขาปลอดภัยดี


“ได้สิ” แอชลีย์ใช้ผ้าช่วยซับปากให้เด็กหนุ่มก่อนยื่นยากับน้ำเปล่าให้ “ทานยาก่อนนะแล้วฉันจะพาไป”


แน่นอนว่าคุณแม่ตัวเล็กยอมทำตามโดยไม่อิดออด หลังนั่งรอให้อาหารย่อยสักพักคุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการ เธอกล่าวว่าร่างกายของเด็กหนุ่มฟื้นตัวได้เร็วเพราะแข็งแรงอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาอะไรขอเพียงได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอและทานยาบำรุงที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ บาดแผลจากการคลอดเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วง รออีกสักวันแล้วก็สามารถออกโรงพยาบาลได้ แต่สำหรับเด็กนั้นต้องอยู่ในตู้อบเพื่อเฝ้าดูอาการอีกระยะ


“ปอดของเขาไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ อาจจะเป็นเพราะตอนคลอดออกมาช้าเกินไป” สำหรับเด็กแฝดส่วนใหญ่แล้วคนที่สองจะออกมาห่างจากคนแรกไม่เกินหนึ่งนาที อาจจะด้วยความไม่สะดวกและสภาพแวดล้อมในขณะนั้นรวมกับการคลอดก่อนกำหนดเลยทำให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความไม่ราบรื่น


“แล้วจะมีผลเมื่อเขาโตขึ้นไหมครับ” ซินเธียถามอย่างกังวลใจ


“ถ้าดูแลดีๆ ก็จะไม่เป็นปัญหาค่ะ ช่วงนี้ก็ต้องดูกันไปก่อนหากไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรเข้ามาทุกอย่างก็จะราบรื่น” แพทย์สาวส่งยิ้มให้กำลังใจ “โดยรวมแล้วหัวใจของเขาปกติดี ส่วนปอดตอนนี้แม้จะไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ไม่ถึงขั้นอันตรายค่ะ หมอจะให้เขาอยู่ในตู้อบสักระยะ ประมาณสัปดาห์หน้าก็น่าจะกลับได้แล้ว”


อยู่คุยกันเรื่องอาการโดยรวมต่อไม่นานคุณหมอก็ขอตัวกลับไป แอชลีย์เลยพาเด็กหนุ่มไปยังชั้นสำหรับเด็กอ่อน สำหรับวันนี้ยังไม่สามารถเข้าไปด้านในได้คนทั้งสองเลยได้แต่มองลูกผ่านกระจกกั้นบานใหญ่


ซินเธียเดินเข้าไปแนบฝ่ามือเข้ากับบานกระจกใส ริมฝีปากสีซีดระบายรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเฟย์ลินน์กำลังนอนหลับอยู่ในนั้น ลูกดูสบายดี การหายใจก็ไม่ดูทรมานเท่าคืนแรกแล้ว พอได้เห็นแบบนั้นหัวใจอันหนักอึ้งก็เริ่มเบาขึ้นส่วนหนึ่ง


“เขาเหมือนคุณมากเลยนะครับ”


ซินเธียเงยหน้าขึ้นเอ่ยทั้งรอยยิ้มให้กับคนตัวสูงที่ขยับเข้ามาชิดพลางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวกันแผ่วเบา


“ผมก็ทั้งดกทั้งเข้ม รูปปาก จมูก ดวงตา” หัวเราะคิกคักออกมา ขณะขยับมือวาดไปตามตำแหน่งต่างๆ ที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ “ฟรานก็เหมือนกัน พวกเขาทั้งสองเหมือนกันมาก แต่เพราะตอนนั้นเฟรย์ออกมาทั้งตัวเล็กแถมยังดูอ่อนแรง เราเลยแยกเขาออก”


ท้ายประโยคนี้น้ำเสียงของท่านชายคล้ายจะหม่นลง แต่ด้วยความไม่อยากทำตัวปล่อยพลังงานด้านลบต่อหน้าลูกซินเธียถึงได้พยายามฝืนยิ้มอีกครั้งขณะบรรยายความคล้ายคลึงซึ่งถอดแบบผู้เป็นบิดาของลูกทั้งสองคนออกมา


“สีตาของเขาก็เป็นอำพัน สวยมากเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูผ่อนคลาย ในเนื้อความนั้นแฝงแววยินดีเอาไว้ไม่น้อย “ตอนอุ้มครั้งแรก เขาตัวเล็กมากจริงๆ นั่นแหละ”


“จริงหรือครับ” ซินเธียแสดงสีหน้าสนใจ


“อืม”


ในช่วงระหว่างที่ซินเธียยังไม่ได้สติ ชายหนุ่มคอยวนเวียนมาเฝ้าลูกเป็นระยะ บางครั้งก็นั่งมองเงียบๆ อยู่เกือบครึ่งวันไม่นึกเบื่อ เฟย์ลินน์พออยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วอาการทรงตัวขึ้นมาก คุณพ่อมือใหม่จึงมีโอกาสได้สังเกตอากัปกิริยาต่างๆ ของลูกได้มากมาย มีบางครั้งเขาก็ลืมตาขึ้นมามองบ้าง นัยน์ตาของเด็กน้อยเป็นสีอำพันงดงามราวกับอัญมณี บางครั้งพอยื่นมือเข้าไปใกล้ นิ้วทั้งห้าเล็กๆ นั่นก็กำนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มเอาไว้แน่น ต่อให้นอนหลับไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย จะแกะออกก็ไม่กล้า เพราะแบบนั้นจึงมีบางช่วงเวลาที่แอชลีย์ต้องนั่งอยู่ในท่าเดิมหลายชั่วโมง และบางครั้งเจ้าตัวน้อยก็ยิ้มออกมาโดยไร้เหตุผล ตาของเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถทำงานได้ดี บางครั้งพวกเขาก็ทำเพียงมองเหม่อไปเรื่อยไร้จุดหมาย ถึงรู้แบบนั้นแอชลีย์ก็ยังเผลอส่งยิ้มคืนไปให้ลูกอยู่ดี ต่อให้จะคิดไปเองคนเดียวว่าลูกยิ้มให้ก็ตาม


“เวลายิ้ม เขาก็เหมือนเธอมากนะ” คิดมาถึงเรื่องนี้เขาเลยเอ่ยออกไป


“จริงเหรอ” คนแม่พอได้ฟังแบบนั้นก็สุขใจเป็นอย่างมาก ละสายตากลับไปจ้องเจ้าตัวน้อยในตู้อบที่ขณะนี้เริ่มขยับแขนขายุกยิกแล้ว


“ว่าแต่ช่วงที่เราหลับไป เขาได้ทานอะไรบ้างไหมครับ”


“ต้องใช้น้ำนมของคนอื่นชั่วคราวน่ะ แต่ตอนนี้เธอฟื้นแล้วหมอบอกว่าต้องปั๊มนมให้ไปก่อนยังไม่สามารถอุ้มออกมาข้างนอกได้”


“อ่า...” เด็กหนุ่มครางรับ ทั้งที่ในใจอยากจะให้ลูกได้ดื่มนมจากอกตนมากกว่า “แล้วใครเป็นคนป้อนเขา คุณหรือครับ”


“ใช่”


คนตัวโตตอบออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย เห็นแบบนั้นแล้วคุณแม่ก็นึกตลกขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่รู้ว่าตอนป้อนนมลูกอีกคนจะทำหน้าอย่างไรกันนะ นั่งป้อนด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างนี้น่ะหรือ กับผู้ชายตัวโตๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าเกรงขามช่างเป็นภาพที่นึกไม่ออกเลยจริงๆ มันคงทั้งแปลกประหลาดและน่ารักไม่น้อย


“แล้วคุณได้คุยกับลูกบ้างไหม”

อัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้ว “คุยบ้าง...”


“พูดอะไรไปบ้างครับ”


แอชลีย์กระแอม เบือนหน้ากลับไปมองลูกเสียอย่างนั้น ทำเอาเจ้าของคำถามส่ายหน้าไปมา มุมปากกระตุกรอยยิ้มเจือจาง ไม่คิดคาดคั้นสิ่งใดอีก



ซินเธียพักฟื้นต่ออีกหนึ่งวันร่างกายก็กลับมาแข็งแรงดังเดิมอย่างที่คุณหมอกล่าวไว้ เด็กหนุ่มได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ในอีกหนึ่งวันถัดมา ทว่า ด้วยความที่เฟย์ลินน์นั้นยังคงต้องได้รับการดูแลในห้องสำหรับเด็กอ่อนอย่างต่อเนื่อง คนทั้งสองเลยตัดสินใจว่าจะยังพักผ่อนอยู่ในโรงพยาบาลต่อ เนื่องด้วยซินเธียไม่อยากออกห่างจากลูก จะให้กลับไปนอนโรงแรมต่อเขาคงนอนไม่หลับ สู้อยู่ต่ออีกระยะยังสามารถไปอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา


ทางด้านแอชลีย์นั้นไม่ได้ขัดข้องอะไร ห้องระดับวีไอพีภายใต้การจัดการของนายท่านาวีเจี้ยนทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้สุขสบายไม่ต่างจากโรงแรมระดับห้าดาว เอาไว้เฟย์ลินน์ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยเดินทางกลับวินเทอร์ฟอลทีเดียวเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมให้วุ่นวายแล้ว


ในระหว่างนั้นนอกจากดูแลคุณแม้แล้วอัลฟ่าหนุ่มก็ยังแวะเวียนมาอยู่เป็นเพื่อนลูกชายคนเล็กอย่างสม่ำเสมอ เรื่องการตามหาฟรานซิสเองก็ยังดำเนินต่อเนื่อง


ขณะนี้เป็นวันที่สี่หลังจากเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล คนของฮิลล์ทำงานได้รวดเร็วและยอดเยี่ยมแต่ด้วยฐานะของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างคนทั่วไป การไปเชิญอีกฝ่ายมาพบนั้นเลยต้องใช้เวลานานกว่าปกติเล็กน้อย


กลางดึก หลังจากส่งซินเธียเข้านอนเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินเอื่อยมาจนถึงห้องเด็กอ่อนตามความเคยชิน นัยน์ตาอำพันจับจ้องทารกน้อยซึ่งกำลังนอนหลับใหลอย่างสงบอยู่ในตู้ เขายืนล้วงกระเป๋ามองอยู่แบบนั้นเงียบๆ หน้ากระจกพักใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้แผ่วเบา


แอชลีย์ไม่ได้หันกลับไปมองแม้ผู้มาใหม่จะยืนอยู่ด้านหลังแล้ว ยังคงเอาแต่จับจ้องด้วยท่าทางดังเดิม แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงดูสงบ เคร่งขรึม

“ได้ตัวมาแล้วครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น


“อยู่ที่ไหน”


“ท่าเรือนาวีเจี้ยนครับ คุณฮิลล์กำลังรับรองอยู่”


หลังจบคำรายงานนั้น นัยน์ตาอำพันส่องประกายวูบหนึ่งก่อนริมฝีปากบางจะเหยียดขึ้นเล็กน้อย


“ดี ฉันจะไปพบแขกสักหน่อย”


กล่าวจบกายสูงใหญ่ก็หันหลังย่ำเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไร้ความรีบร้อนไปตามโถงทางเดินเงียบสงัดท่ามกลางความมืด




TBC
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 26-08-2019 22:11:47
โอ้ยยยย สงสารฟราน
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 26-08-2019 22:20:01
 :o12: สงสารซินเธีย แมรี่ด้วย
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-08-2019 22:27:07
ใจกระตุ้กเลยสงสารแฝด​
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 26-08-2019 22:53:34
รอจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-08-2019 22:59:44
ขอให้เอาคืนมาได้  :hao5:
เหนื่อยน่าดูเลยคุณแม่ลูกก็เพิ่งคลอดยังต้องมารับศึก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-08-2019 23:12:13
คนเรานะบ้าอำนาจกันจริง
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-08-2019 23:47:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 26-08-2019 23:54:40
สงสารแฝด :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Keawmikami ที่ 26-08-2019 23:59:25
พาน้องกลับมานะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 27-08-2019 00:15:20
สงสารแฝดต้องบู๊ตั้งแต่เป็นเบบี๋เลยลู้กก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 27-08-2019 01:03:06
ขอให้ฟรานปลอดภัย :monkeysad:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 27-08-2019 08:26:20
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 27-08-2019 11:54:39
ตามทันแล้วว อ่านสนุกมากค่ะ เป็นแนวฟิลกู๊ด ความรักน่าเอ็นดูของซินเธีย มุมขี้เก็กๆที่ดูน่าขำของ คุณคิมผู้เคร่งขรึม เห็นหน้านิ่งๆแต่เวลาอยู่บนเตียงหื่นกระหาย มันย้อนแย้งและกร๊าวววใจ  :-[

ตอนเผชิญความเป็นความตาย ร้องไห้สงสารเด็กๆมาก ฟราน หนูต้องปลอดภัยกลับมานะลูก คุณพ่อหนูเท่มาก!
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-09-2019 20:44:24
เป็นห่วงตาหนูฟราน :ling2:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 01-09-2019 21:15:28
สงสารน้องง ป่านนี้เป็นไงบ้างนะะ
อยากเห็นคุณพ่อแอชลีย์เลี้ยงลูกอีกจัง น่ารักมากก
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-09-2019 03:06:28
เป็นห่วงเจ้าหนูฟรานมากเลย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีรึป่าว
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: bnmshhhhhhh ที่ 08-09-2019 15:06:09
สงสารฟราน :mew4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 09-09-2019 03:58:20
รอนะคะ สนุกกกกกก กำลังลุ้นเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 10-09-2019 18:43:15
ลุ้นหนักมาก ๆๆๆๆๆๆๆ    :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 28-09-2019 03:52:56
เจ้าฟรานนนน
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: johnsonti ที่ 28-09-2019 09:49:21
ตามหาเจ้าฟรานไปเดือนกว่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 29-09-2019 08:49:14
 o13  สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-10-2019 00:11:42
โอ๊ยยย ลุ้นมากเลยค่ะ น่ารัก และสนุกมาก
ซินเธียเป็นคนชิลมาก ถึงจะมีคิดอะไรบ้าง บางเวลา
แต่ก็เตรียมตัวมาดีเลย วางตัวได้ดี นุ่มนวล

แอชลีย์เหมือนจะร้ายแต่ก็ไม่ได้ร้ายจนรับไม่ได้
ต้องรอดูตอนนี้ว่า พอเจอตัวคนผิดแล้วจะร้ายสมใจไหม

ขอให้เจอฟรานไวๆ นะคะ ให้แม่ลูกได้เจอกัน
เฟย์ลินปลอดภัย เป็นเรื่องดีมากค่ะ

รอตอนต่อไปนะคะ กำลังน่าติดตามเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: Keawmikami ที่ 19-10-2019 15:32:08
มาต่อนะคะคิดถึงแฝด
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-05-2020 23:44:13
 :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 05-09-2021 08:25:03
ไม่ต่อแล้วหรือคะ เพิ่งอ่าน