พิมพ์หน้านี้ - [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NooDangzz ที่ 08-05-2017 20:45:47

หัวข้อ: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 08-05-2017 20:45:47
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


*************************************************************************

-Intro-
         
คุณเคยผิดหวังจากการจีบใครแล้วไม่สำเร็จไหม

          ผมเป็นหนึ่งคนที่ประสบกับเหตุการณ์นั้น ถึงจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ตัดใจให้ขาดไม่ได้สักที เพราะเหตุนี้ ความติสท์เลยบังเกิด ฝากกิจการลานนมให้พี่กับน้องชายดูแล ส่วนตัวเองก็แพ็กกระเป๋า นั่งรถมุ่งหน้าสู่ประเทศลาว หลบไปเลียแผลใจระยะหนึ่ง

          หากแต่การมาใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันไม่ง่ายเลย ถึงจะภาษาใกล้เคียงกันแต่ก็ใช่ว่าผมจะคุ้นชินถนนหนทางกับสังคมของที่นี่ ดังนั้นงานจ้างไกด์นำเที่ยวตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่จึงต้องมา

       ไกด์ของผมชื่อ ‘ปั้นรัก’

          ชื่อน่ารักอย่างนี้ ตัวจริงต้องน่ารักแน่ๆ

          แต่พอเห็นสภาพแล้ว... นี่มันกุ๊ยชัดๆ!

            เคยตัดผม โกนหนวดโกนเคราบ้างไหม แล้วกางเกงขาเดฟกับเสื้อลายสก็อตนี่มันอะไร จะมานำเที่ยวหรือพาไปตัดอ้อย?

          “เบิ่งหยัง บ่เคยพ้อคนหล่อบ่? แล้วจ่างไกด์ผู้ชายนิคิดหยังอยู่ เป็นเกย์บ่นิ ถ้าเป็นนิบอกก่อนเด้อว่าบ่ฮับงานนอก นอนนำได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับดากเด้อ”

          มารดามึงเถอะ! สภาพน่ายุ่งกับดากมาก เดี๋ยวก็ยอกหน้าแหกหรอก

          มั่นหน้าจริงๆ ไอ้นี่...

*************************************************************************

-Talk-
         
เรื่องนี้เป็นเรื่องแยกของจอมดื้อ ค่ะ โผล่มาเป็นตัวประกอบใน #ช่างใจรัก เป็นคนที่เคยจีบแสงเหนือ นายเอกเรื่องโน้นนน ไม่ต้องไปอ่านช่างใจรักก็อ่านเรื่องนี้ได้เพราะเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเซ็ท #พี่น้องสามจอม ประกอบไปด้วย
- คุณพ่อจอมแสบ
- สะบายดีจอมดื้อ
- เจ้าจอมแก่น
ฝากติดตามด้วยนะคะ

*************************************************************************

สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3631332#msg3631332)
สะบายดี ครั้งที่ 1: ไกด์ผี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3632787#msg3632787)
สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3642244#msg3642244)
สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3642245#msg3642245)
สะบายดี ครั้งที่ 3: เมาหลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3644056#msg3644056)
สะบายดี ครั้งที่ 4: ริซซี่...ดวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3645052#msg3645052)
สะบายดี ครั้งที่ 5: รักนะ...แจ๊ะๆ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3649929#msg3649929)
สะบายดี ครั้งที่ 5: รักนะ...แจ๊ะๆ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3649930#msg3649930)
สะบายดี ครั้งที่ 6: ไหนลองเรียก ‘อ้าย’ ซิ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3650763#msg3650763)
สะบายดี ครั้งที่ 7: อย่ายุ่งกับดากเด้อ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3668705#msg3668705)
สะบายดี ครั้งที่ 8: จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3669750#msg3669750)
สะบายดี ครั้งที่ 9: ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3670787#msg3670787)
สะบายดี ครั้งที่ 10: Shut up and… (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3671761#msg3671761)
สะบายดี ครั้งที่ 11: ปั้น (น่า) รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3673501#msg3673501)
สะบายดี ครั้งที่ 12: ศึกชนช้าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3674194#msg3674194)
สะบายดี ครั้งที่ 13: I love you too (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3675309#msg3675309)
สะบายดี ครั้งที่ 14: โลกหยุดหมุน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3688781#msg3688781)
สะบายดี ครั้งที่ 15: คนนิสัยไม่ดี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3690139#msg3690139)
สะบายดี ครั้งที่ 16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3690484#msg3690484)
สะบายดี ครั้งที่ 17: สะบายดีจอมดื้อ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3691102#msg3691102)
สะบายดี ครั้งที่ 17: สะบายดีจอมดื้อ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3691103#msg3691103)
สะบายดี ครั้งสุดท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59821.msg3691345#msg3691345)
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 08-05-2017 20:48:51
สะบายดีจอมดื้อ: หนูแดงตัวน้อย

บทนำ

มีใครเคยบอกว่า ‘ถ้าอกหักก็ต้องไปพักใจ’

เพราะวลีนี้ ผมเลยมาโผล่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ชายแดนระหว่างประเทศไทย-ลาวในช่วงบ่ายของวันใหม่หลังจากที่ใช้เวลาอยู่บนรถบัสจากทางภาคเหนือมายังภาคอีสานตลอดทั้งคืน การกระทำของผมค่อนข้างจะวู่วามและดูงี่เง่าไปสักหน่อย เพราะจู่ๆ ผมก็ออกจากบ้านมาแบบไม่บอกกล่าวใคร ไม่บอกทั้งไอ้จอมแสบ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายอายุมากกว่ากันสามปี และไอ้จอมแก่น น้องชายอายุน้อยกว่ากันเจ็ดปี ซ้ำยังทิ้งร้านนมซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวของตัวเองในจังหวัดพิษณุโลกมาโดยไม่สนใจอะไรอีกด้วย

ความสิ้นคิดของผมในการกระทำนี้มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น...

ผมอกหัก...อกหักจากผู้ชายคนนึงที่ผมเคยตามจีบอยู่

ใช่ครับ... ผู้ชาย ยืดอกยอมรับแมนๆ เลยว่าผมเป็นเกย์ และคนที่ผมจีบก็เป็นเกย์เช่นกัน แต่บังเอิญว่าการเป็นเกย์กันทั้งคู่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะจีบเขาติด ในเมื่อเขาคบหาอยู่กับคนอื่น ผมก็ไม่อยากจะเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี เขาไม่รักก็ตื๊อไม่เลิกอะไรเทือกนั้นเลยต้องกลับมาดูแลตัวเอง

ช่วงแรกๆ ที่ผมพยายามตัดใจ ผมก็คิดนะว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องยากเพราะผมเพิ่งจะรู้จักเขาไม่นานเท่าไหร่ ทว่าเอาเข้าจริง ความรู้สึกของผมที่มีให้เขาคนนั้นมันมากเกินกว่าการจีบเล่นๆ กว่าจะรู้ตัวว่าผมชอบเขาจริงๆ ก็เจ็บปวดรวดร้าวจนทนเห็นหน้ากันไม่ไหวแล้ว

ก็นะ เวลาเห็นคนที่ผมชอบอยู่กับคนที่เขารักมันปวดใจนี่ ถึงเราจะยังมีมิตรภาพดีๆ ให้แก่กัน แต่มันก็ทนดูไม่ได้ มาอยู่ห่างๆ น่ะดีแล้ว ห่างกันให้มากที่สุด...

ห่างแค่ในจังหวัดคงไม่พอ เลยต้องห่างกันข้ามประเทศ ทว่าจะให้ไปไหนไกลๆ ผมก็ไม่มีอารมณ์เท่าไหร่นัก สุดท้ายเลยมาจบที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เดินทางง่าย ค่าเงินไม่ต่างกันมาก แถมภาษาก็ใกล้เคียง มาคนเดียว ยังไงคนไม่เก่งภาษาอังกฤษอย่างผมก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

ผมลงจากรถทัวร์ที่มาส่งยังท่ารถซึ่งจะต้องขึ้นต่อเพื่อข้ามไปยังลาวในตอนบ่าย จัดการซื้อตั๋วอะไรเสร็จก็เปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ปิดเอาไว้ตั้งแต่ออกจากบ้านขึ้นมาเช็กว่ามีใครติดต่อมาไหม พอหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นเท่านั้น ข้อความแจ้งเตือนมิสคอลมากมายก็ปรากฏให้เห็น คนที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้แสบกับไอ้แก่น พี่กับน้องของผมนั่นเอง โทรมากันเป็นร้อยๆ สาย มีสายของพ่อกับแม่ที่ทำสวนผลไม้อยู่ที่เชียงใหม่โทรเข้ามาด้วย ดูท่าพวกมันคงจะโทรบอกพ่อกับแม่ว่าผมหายตัวออกจากบ้านโดยไม่รู้สาเหตุเป็นที่เรียบร้อย ผมเลยโทรกลับหาพวกมันด้วยกลัวว่ามันจะเป็นห่วงจนถึงขั้นไปแจ้งความคนหาย

ผมเลือกที่จะโทรหาไอ้แสบ เพราะถ้าโทรหาไอ้แก่น รับรองเลยว่าไอ้เด็กนั่นมันจะต้องโวยวายที่ผมหายหัวไปแน่ ก็ผมทิ้งงานไว้ให้มันขนาดนั้นน่ะ ไอ้แสบมันมีร้านเหล้าที่ต้องดูแล มันอาจจะไม่ได้มาดูแลประจำสักเท่าไหร่โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ดังนั้นหน้าที่ที่เหลือจึงตกเป็นของไอ้แก่นแทน

รอสายได้ไม่นานก็มีเสียงตอบรับ ก่อนผมต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูเมื่ออีกฝ่ายแผดเสียงใส่ลั่น

[อยู่ไหนของมึงเนี่ยไอ้ดื้อ! กูกับไอ้แก่นโทรหามึงจนมือจะหงิกแล้ว มึงหายหัวไปอยู่ไหนมา!]

ดูเหมือนจะคิดผิดเหมือนกันที่โทรหาไอ้แสบเพราะคิดว่ามันจะไม่โวยวาย ความจริงแล้วมันก็โวยวายไม่แพ้กับไอ้แก่นเลย
“มึงใจเย็นๆ กูก็แค่ออกมาเที่ยว”

ผมรีบบอกพี่ชาย ทว่าไอ้แสบไม่ได้คิดว่า ‘ก็แค่’ เหมือนกับผมแม้แต่น้อย พอมันได้ยินเหตุผลของผม มันก็สบถหยาบคายออกมาทันที

[ก็แค่เที่ยวบ้านมึงเถอะ กูนึกว่ามึงโดนใครดักทุบหัวไปฆ่าหมกพงหญ้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไอ้เวรเอ๊ย ไปไหนมาไหนทำไมไม่บอกก่อน]

คำบ่นด่าของมันทำเอาผมหัวเราะออก ก่อนมันจะถามขึ้นมาใหม่

[แล้วนี่ตกลงมึงอยู่ไหน]
“กูอยู่หนองคาย” ผมว่า

ไอ้แสบร้องดังหืมขึ้นมาให้ได้ยินนิดนึงประหนึ่งสงสัย
[ไปหนองคายทำไมวะ]

“กูกำลังจะข้ามฝั่งไปลาว”

[อะไรนะ นี่มึงผีบ้าอะไรเข้าสิงเนี่ย ไปลาวทำบ้าอะไร!]

โวยวายมาอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่แค่ไอ้แสบด้วยที่โวยวาย เหมือนจะได้ยินเสียงไอ้แก่นดังมาให้ได้ยินแว่วๆ ว่าถามไอ้แสบว่า ‘นั่นพี่ดื้อเหรอ’ ก่อนจะตามมาด้วยการโวยวายด้วยอีกคนเมื่อได้ยินไอ้แสบบอกว่าผมกำลังจะข้ามฝั่งไปลาว ผมเลยต้องรีบตอบคำถามพี่ชายก่อน ไม่งั้นล่ะก็ไอ้แก่นต้องเข้ามาแย่งโทรศัพท์แล้วเป็นตัวแทนแม่ บ่นผมยาวแน่

น้องชายคนเล็กของผมน่ะมันบ่นเก่งจะตาย ปกติเห็นมันเงียบๆ ไม่ค่อยหือค่อยอือกับใคร แต่เวลามันเอ่ยปากอะไรขึ้นมาทีนี่ บอกเลยว่าหูชา ไม่ใช่ว่าผมกลัวมันหรอกนะ แต่รำคาญมากกว่า เป็นน้องเล็กสุดแต่ดันขี้บ่นกว่าใครเพื่อนเพราะดันมีหน้าที่จัดการงานบ้านงานช่องให้พวกพี่ชายที่เป็นหนุ่มโสดทั้งคู่ พอเห็นมันเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่ค่อยอยากคุยกับมันเท่าไหร่ด้วยไม่ต้องการมีแม่คนที่สอง

และเพราะได้ยินพวกมันโวยวายโหวกเหวกมาอย่างนั้น ผมเลยรีบว่าเร็วๆ
“กูก็จะไปเที่ยวน่ะสิ อกหัก ขอไปพักใจหน่อย”

ไอ้แสบที่โวยวายค้างอยู่ก็หันไปบอกไอ้แก่นให้เงียบก่อน จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ดูท่าจะปลีกตัวมาคุยกับผมอีกที่ พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงมันดังขึ้นมา

[เอาจริงดิ มึงช้ำใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ]
“อืม”
[มึงนี่น้า แล้วจะไปกี่วัน]
“น่าจะสักเดือนนึง” ผมว่า

ไอ้แสบบ่นนิดหน่อยที่เห็นว่าผมไปนานกว่าที่มันคาดคิด แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ด้วยมันรู้ดีว่าผมต้องการเวลาส่วนตัวในเวลาที่เจอความผิดหวัง

ก็ทุกครั้งที่ผมอกหักหรือเลิกกับแฟน ผมก็ทำแบบนี้ทุกที หนีไปที่อื่นโดยไม่บอกใครอะไรแบบนี้ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นก็กลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม เพียงแต่ครั้งนี้มาไกลกว่าเดิมหน่อยก็เท่านั้น

[เออ พักใจก็พักใจ ไว้สบายใจก่อนแล้วค่อยกลับ ว่าแต่ร้านนมมึงนี่เอาไง ให้ปิดไปก่อนไหม]
“ปิดแล้วกูจะเอาที่ไหนกินวะ ฝากดูหน่อย”
[ภาระกูอีกละ กลับมาแล้วแบ่งกำไรให้กูด้วย]

ทำเป็นว่าผมไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็รับปากว่าจะดูแลให้เพราะครั้งก่อนๆ มันก็เป็นแบบนี้
ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะบอก
“เออ ไม่ต้องห่วง ไว้กูกลับไปจะแบ่งกำไรให้”
[ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน อย่าไปโดนหนุ่มลาวหลอกแล้วช้ำใจกลับมาไทยล่ะ]

ไอ้แสบทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ที่เหลือก็เป็นคราวผมที่กำชับพี่ชายให้บอกพ่อกับแม่ว่าผมปลอดภัยดีและกำลังจะไปที่ไหน เหตุผลที่ผมไม่โทรบอกเองเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนบ่นยาวโทษฐานทำให้เป็นห่วงน่ะ

พูดคุยตกลงกันเสร็จ ผมก็ตัดสายทิ้ง เตรียมตัวไปขึ้นรถข้ามฝั่งไปลาวเพราะใกล้เวลาที่รถจะออกแล้ว ทว่าในจังหวะที่ผมยกกระเป๋าเป้ใบเขื่องขึ้นสะพายหลัง จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมาด้านหลังผมพอดี ทำให้กระเป๋าเป้ที่ผมเหวี่ยงขึ้นสะพายไปฟาดโดนคนคนนั้นอย่างจังจนเซถลา ผมไม่เห็นแต่รู้สึกได้เลยรีบวางเป้ลง หันไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าใครคนนั้นกระเด็นไปชนกับเก้าอี้ที่ตั้งไว้สำหรับนั่งรอรถบัสเข้าอย่างจัง

“ขอโทษครับ”

ผมรีบร้องบอกไปโดยเร็ว แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความสูงในระดับสายตาผม ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากไม่เห็นว่าไอ้หมอนี่ใส่แจ็คเก็ตหนังตัวหนาทับเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ มีสายโซ่ห้อยระโยงระยาง อารมณ์เหมือนชาวร็อกอะไรเทือกนั้น ใบหน้าก็สวมแว่นตาดำ ซ้ำยังมีหมวกแก๊ปสวมที่หัว แต่พอดูผมเผ้าที่ยาวปรกบ่าและหนวดเคราเฟิ้มบนใบหน้าแล้ว ผมว่าไม่น่าจะใช่ร็อก คล้ายพวกเพื่อชีวิตมากกว่า ทว่ามีสิ่งที่ไม่เข้าพวกปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนึง นั่นก็คือกระเป๋าที่หมอนี่ถือ...

กระเป๋าพลาสติกสายรุ้ง...

หรือที่เรียกว่าถุงกระสอบนั่นแหละ หิ้วมาด้วยซะใบเบ้อเริ่ม ดูท่าจะเอาใส่เสื้อผ้ามา

ผมเผลอย่นคิ้วใส่อย่างเสียมารยาทด้วยไม่เข้าใจกับการแต่งตัวของอีกฝ่าย

ไม่ร้อนหรือไงวะ แล้วกระเป๋าที่หาความแมตช์กับเสื้อผ้าที่ใส่ไม่เจอมันคืออะไร

อีกฝ่ายเองก็ย่นคิ้วใส่ผม บอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่พอใจที่ผมเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนเข้า ผมได้สติก็เลยขอโทษไปอีกทีด้วยไม่อยากมีปัญหา

“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมไม่ทันเห็นเลยไม่ทันระวัง”

อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ยังทำหน้าไม่พอใจอยู่ ยืนจังก้าจ้องผมอยู่นั่นแหละ ผมเลยคิดเอาเองว่าอาจจะไม่ใช่คนไทย แล้วคงไม่ใช่คนลาวด้วย ก็แถวนี้นอกจากคนไทยกับคนลาวแล้ว ยังมีคนต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อยู่อีกเพียบ ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไทยออกไปแทน

“แอมโซซอรี่ (ขอโทษครับ)”
คราวนี้เหมือนฝั่งนั้นจะเข้าใจ พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะพึมพำ
“Asshole (ไอ้งี่เง่า)”

แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมมองอย่างงุนงงด้วยฟังไม่ทันว่าคนเมื่อครู่พูดว่าอะไร

ก็ผมเก่งภาษาอังกฤษเสียที่ไหน แล้วดูมันพูดอย่างไว ฟังได้คร่าวๆ ว่าอะไรโฮลๆ สักอย่าง
ยืนคิดทบทวนไปครู่ ก่อนจะค่อยๆ แปลคำศัพท์เมื่อกี้ทีละคำ

แอส... แปลว่าก้น

โฮล... แปลว่ารู

รวมกันเป็นรู...

เดี๋ยว! แม่งด่ากูนี่หว่า!

จากที่ไม่อยากมีปัญหา ตอนนี้มองหาไอ้เวรนั่นโดยไว จะเข้าไปถามมันสักหน่อยว่ามาด่าเรื่องอะไร ทั้งที่ผมก็ขอโทษไปแล้ว ทว่าก็ไม่เห็นมันแม้แต่เงา เดินหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเลยได้แต่สบถหัวเสียอยู่คนเดียว ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นอีกครั้ง แล้วตรงไปขึ้นรถด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่

หงุดหงิดชะมัด ทำไมต้องมาเจอคนบ้าด่าเอาฤกษ์เอายามตั้งแต่ยังไม่ข้ามฝั่งไปลาวด้วยวะ
----------------------------------
ในที่สุดก็ถึงคิวเขียนแล้ว ดองไปซะจะเป็นปี 555
ไปแก้เนื้อหามานิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวดึกๆ คืนนี้จะอัปตอนแรกให้ มาเกาะรอกันไว้ก่อนเน้อ
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-05-2017 03:03:56
ตามมาอ่านพี่ดื้อค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 10-05-2017 09:36:56
ว้าวววว พี่ดื้อ
#ชอบมากจ้า ติดตามๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-05-2017 21:53:23
สะบายดี ครั้งที่ 1: ไกด์ผี

การข้ามชายแดนจากไทยมาประเทศลาวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมสักเท่าไหร่นัก แค่มีพาสปอร์ตก็ผ่านเข้ามาได้ฉลุยแล้ว ไม่นานนัก รถบัสที่ผมนั่งข้ามผ่านมายังลาวก็พาไปส่งที่ตลาดเช้าซึ่งเป็นท่ารถในนครหลวงเวียงจันทน์ ลงจากรถได้เท่านั้น ผมก็ถูกบรรดาสามล้อรับจ้างรุมทึ้งทันที พร้อมกับเรียกค่าจ้างเป็นเงินไทยประมาณห้าสิบบาทเพื่อไปส่งยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ดีที่ผมหาข้อมูลมาก่อนเลยปฏิเสธสามล้อพวกนั้นไปหมดและตั้งใจว่าจะเดินไปยังเกสต์เฮ้าส์ตามแผนที่ GPS ในโทรศัพท์
ทว่าพอผมเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ สายตาก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด

ใช่...ผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับที่ผมเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนก่อนหน้านี้

อุตส่าห์แยกกันไปแล้วยังจะวกกลับมาเจอกันอีก!

รู้เลยว่าโลกใบนี้โคตรจะกลม ผมมองไอ้บ้านั่นก้าวเดินฉับๆ อยู่ตรงหน้า มือข้างหนึ่งถือกระเป๋ากระสอบสายรุ้งสะพายบ่า มองจากทางด้านหลังแล้ว ผมก็สงสัยนะว่ามันกล้าแต่งตัวอย่างนี้เดินตามท้องถนนได้ยังไง เรื่องอากาศร้อนอะไรมันไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องแต่งตัวไม่เข้ากับบรรยากาศบ้านเมืองนี่มันทำให้มันดูเหมือนคนบ้า

ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องของผม ชะลอฝีเท้า ทิ้งระยะห่างสักหน่อยก่อนเดินตามไปเงียบๆ

ต้องใช้คำว่าเดินตามจริงๆ เพราะตอนแรกที่ผมเห็นมันเดินนำหน้าก็แค่คิดว่าคงจะไปทางเดียวกันแล้วไปแยกย้ายกันอีกทีตามตรอกซอกซอย หากแต่ไม่ใช่เลย ผมเดินตามหลังมันต้อยๆ ตามมายันเกสต์เฮ้าส์ที่ผมจองเอาไว้

เดี๋ยวนะ...มึงก็พักที่นี่เหรอ!?

พักที่นี่อย่างแน่นอน มันมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเกสต์เฮ้าส์ที่ชื่อว่า ‘สะบายดีเวียงจันทน์’ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองป้ายเกสต์เฮ้าส์ราวกับว่าไม่แน่ใจนักว่ามันคือที่หมายที่มันต้องการมาไหม อะไรไม่ว่า มายืนขวางทางเข้าอยู่นานสองนาน ทำเอาผมที่แบกกระเป๋าเป้ใบบักเอ้กชักทนไม่ไหว ต้องเดินมาบอกมันอย่างไม่มีทางเลือกแม้ว่าจะไม่อยากเสวนาด้วยเลยก็ตาม

“ขอโทษนะครับ ขอผมเข้าไปหน่อย” ผมพูดออกมาเป็นภาษาไทย
ผู้ชายคนนั้นหันมามองผม สีหน้าดูงุนงง ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าอาจจะไม่ใช่คนลาวเพราะก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะด่าผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไท้ไทยใส่ไป
“เอ็กซ์คิ้วมี แคนยูพลีส...” หลบหน่อย... แม่งพูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไงวะ ใช้ภาษามือเลยแล้วกัน

โบกมือปัดหย็อยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าให้มันหลีกทางให้ อีกฝ่ายมองผมแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะในลำคอดังหึขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน ปล่อยให้ผมยืนมองอย่างงุนงง

ไอ้ที่หัวเราะหึเมื่อกี้มันคืออะไร ทำไมรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเรื่องพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลยวะ

ขุ่นใจขึ้นมาอีกระลอกทั้งที่ไม่อยากจะอารมณ์เสียเลย แต่พอมองตามหลังผู้ชายคนนั้นที่ไปติดต่อยังล็อบบี้และหายขึ้นไปยังชั้นบน ผมก็ถอนหายใจออกมา

ช่างมันเถอะ คนต่างชาติ ต่างภาษาก็ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่แปลกถ้าเขาจะมารยาทไม่ดี

เพราะปลงเรื่องนี้ได้ ผมเลยไปติดต่อพนักงานที่ล็อบบี้เพื่อขอกุญแจเข้าห้องพักบ้าง โชคดีที่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับผู้ชายคนนั้นเพราะผมอยู่เกสต์เฮ้าส์แบบแชร์ห้อง เพื่อนร่วมห้องผมเป็นเด็กนักศึกษาจากไทยอีกสามคนที่มาเที่ยวกันวันสุดท้ายก่อนจะกลับไทยพรุ่งนี้ วันนี้ผมก็เลยมีเด็กๆ พวกนั้นช่วยนำเที่ยวในเวียงจันทน์

ไปกับเด็กพวกนั้น ทุกอย่างมันก็ดูง่ายไปหมดเพราะเด็กๆ วางแผนเที่ยวกันมาดี ข้อมูลแน่น แถมยังอยู่ที่นี่มาเป็นอาทิตย์แล้วด้วย ผมที่แทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยได้พึ่งใบบุญตะลอนทัวร์ไปด้วยแต่ก็เป็นแค่การเที่ยวในละแวกเกสต์เฮ้าส์เท่านั้น

เด็กๆ บอกว่าเที่ยวเวียงจันทน์ไม่ยากหรอก ไปตามแผนที่ GPS ในโทรศัพท์แค่นั้นเอง มันก็ไม่ยากสักเท่าไหร่หรอก วันใหม่มาถึง ผมก็ไปตะลอนเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆ ตามลำพัง

ไอ้ไปเที่ยวตามที่พวกนั้นน่ะไม่ยากเลย ที่ยากก็คือทำยังไงให้ไม่ถูกพวกมิจฉาชีพในคราบพ่อค้าแม่ค้าโกงเงินต่างหาก!

กลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ได้ ผมก็ออกอาการหัวเสียเมื่อคิดทบทวนว่าวันนี้ถูกหลอกเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์และโดนโก่งราคาค่ารถ ค่าอาหารไปมากแค่ไหน ยิ่งมาอ่านพวกรีวิวบนเว็บไซต์เรื่องกลโกงของคนพวกนี้ ผมยิ่งแค้นใจเข้าไปใหญ่

เสียไปไม่ใช่น้อยเลยนะวันนี้ อย่างน้อยก็แบงก์เทาใบนึงล่ะวะ

เป็นการเสียเงินที่ไม่ควรจะเสียเลยแม้แต่น้อย เอาเงินนั่นไปจ้างไกด์นำเที่ยวยังจะดีกว่าเสียไปเปล่าๆ ให้พวกขี้โกงนั่นอีก แค่ในเวียงจันทน์ยังขนาดนี้ แล้วออกไปจังหวัดอื่น ผมจะต้องถูกโกงเพราะตามไม่ทันคนพวกนี้อีกขนาดไหน

คิดแล้วก็น่ากังวลนัก ผมเลยตัดสินใจลงไปติดต่อกับพนักงานที่ล็อบบี้ว่าจะขอให้เขาช่วยหาไกด์ให้สักคนเพราะอีกไม่กี่วัน ผมก็จะเดินทางไปเที่ยวยังหลวงพระบางและต่อด้วยวังเวียง หากแต่ก็ต้องผิดหวังด้วยพนักงานล็อบบี้แจ้งว่าไกด์ผู้ชายติดงานกันหมด จะเหลือก็แต่ไกด์ผู้หญิง

ความจริงจะจ้างไกด์ผู้หญิงมันก็ไม่มีปัญหาแหละ เคยดูหนังเรื่องสบายดีหลวงพระบางที่ อนันดา เอเวอร์ริงแฮม แสดงนำ เรื่องนั้นก็ยังจ้างไกด์ที่เป็นผู้หญิงเลย แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว ไกด์ผู้หญิงคงจะนำเที่ยวแบบสมบุกสมบันไม่ได้ ผมเป็นพวกง่ายๆ อยากเที่ยวสไตล์ลุยๆ มากกว่าเลยตัดสินใจพูดออกไป

“แล้วพอจะหาไกด์ที่เป็นผู้ชายที่ไม่ใช่คนของเกสต์เฮ้าต์ให้ได้บ้างไหมครับ”
คำตอบคือไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่รับงานกันข้ามเกสต์เฮ้าส์หรือโรงแรม แต่เป็นเพราะไม่มีคนจริงๆ ผมก็เกือบจะตัดใจอยู่แล้วถ้าเกิดว่าไม่มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาถามผมขณะที่ผมยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
ภาษาไทยสำเนียงเหน่อนิดๆ ดังออกมาจากปากของผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้ผม

มองปราดเดียวผมก็จำเธอได้ว่าคือคุณแอน เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ที่นี่ เมื่อวานเจอไปทีนึงแล้วแต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แค่ทักทายกันนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น และผมก็ไม่แปลกใจด้วยว่าทำไมเธอถึงพูดไทยได้คล่องปร๋อขนาดนี้แม้ว่าสำเนียงจะแปร่งๆ ไปบ้างก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะคนลาวดูรายการโทรทัศน์จากไทยและต้องทำเข้าสินค้าจากไทยเกือบทั้งหมด ทำให้คนลาวกว่าแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้

ส่วนผม พอเห็นเจ้าของกิจการมา ผมก็เลยรีบบอกความต้องการของตัวเองออกไป
“อ๋อ ผมอยากจะได้ไกด์น่ะครับ ก็เลยมาถาม”
“ไกด์เหรอ ตอนนี้เหมือนจะเหลือแค่ผู้หญิงนะคะ”
“นั่นแหละครับปัญหา” ผมยิ้มให้กับคุณแอนเล็กน้อย
ไม่ต้องพูด คุณแอนก็พอจะเข้าใจว่าผมต้องการอะไรเลยพูดขึ้นมาอีก
“คุณเป็นผู้ชายนี่เนอะ จะให้ไปค้างอ้างแรมกับไกด์ผู้หญิงก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ เอ เอาไงดี” จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดไป

ผมเกือบจะบอกคุณแอนไปอยู่แล้วว่าไม่เป็นไร ในเมื่อไม่มี ผมก็ไปตายเอาดาบหน้าก็ได้ ทว่าเธอก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“จริงๆ แล้วก็พอจะมีคนอยู่นะคะ แต่เขาเพิ่งจะมาทำงานวันนี้เป็นวันแรกเอง ถ้าคุณดื้อไม่ถือสาอะไรก็ให้เขาพานำเที่ยวก็ได้ค่ะ”
“เขาเป็นคนลาวหรือเปล่าครับ”
“จะว่างั้นก็ไม่เชิง ลูกครึ่งไทย-ลาวน่ะค่ะ” คุณแอนยิ้ม
“เชี่ยวชาญเส้นทางในลาวหรือเปล่าครับ”
“อาจจะต้องให้เขาปรับตัวนิดนึง พอดีเขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกาน่ะค่ะ ไม่ได้อยู่ลาวซะหลายปี”

พอได้ยินอย่างนี้ ผมเลยพยักหน้ารับเร็วๆ

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ แค่ขอให้เขารู้ทันกลโกงนักท่องเที่ยว ไม่ทำผมถูกโก่งราคา เท่านี้ก็พอแล้ว”
ตกปากรับคำไปเสียอย่างนั้น ในใจคิดว่าแค่ขอให้เป็นไกด์ผู้ชาย แล้วก็ทำให้ผมไม่ต้องถูกโกงอีก แค่นี้ก็พอแล้ว คุณแอนก็เลยบอกผมมาสั้นๆ

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นๆ จะติดต่อไปอีกทีแล้วกันนะคะ ขอเวลาให้ได้บรีฟงานเขาสักหน่อย”

ผมพยักหน้ารับ ดูท่าแล้วน่าจะเสียเวลาเที่ยวไปวันนึง แต่ยังไงแพลนเที่ยวของผมก็เปลี่ยนได้ตลอด นอนพักผ่อนเล่นๆ อยู่ที่ห้องสักวันก็คงจะไม่เป็นไร




 
ระหว่างที่ผมรอให้คุณแอนไปคุยกับไกด์ให้เรียบร้อยแล้วค่อยเริ่มวางแพลนเที่ยวอย่างจริงจัง ผมก็ใช้เวลาทั้งวันในการนอนเล่นอยู่ในห้องอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อวาน ตกเย็นถึงได้ลงมานั่งเล่น กินดื่มที่บริเวณบาร์หน้าเกสต์เฮ้าส์ แขกเหรื่อที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็มานั่งผ่อนคลายที่นี่เช่นกัน บ้างก็รู้จักกันมาก่อน บ้างก็เพิ่งมารู้จักกัน

เห็นเขาพูดคุยกันสนุกสนาน ผมก็อยากจะไปร่วมวงนะ แต่ดันพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง...

อย่าเรียกว่าไม่คล่องเลย แทบจะไม่ได้เลยจะดีกว่า แบบงูๆ ปลาๆ มากๆ เรียนจบมาพักนึงแล้วด้วย แทบจำไม่ได้แล้วว่าต้องเรียงประโยคยังไง ผมเลยได้แต่นั่งจิบเบียร์แกร่วอยู่คนเดียว

ฉับพลันก็คิดว่าดีแล้วล่ะที่ตัดสินใจนั่งแกร่วอยู่คนเดียว เพราะไม่ทันไร กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติพวกนั้นก็มีเพื่อนใหม่มาแนะนำตัวทำความรู้จักและร่วมวงดื่มกินหน้าตาเฉย

เพื่อนใหม่คนนั้น...ไอ้บ้ากระเป๋ากระสอบสายรุ้งเมื่อวานนี้

ผมเลี่ยงที่จะไม่มองหน้ามันเลย ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดเหม็นขี้หน้ามันขึ้นมาแปลกๆ ยิ่งเห็นมันพูดคุยกับพวกนักท่องเที่ยวหัวทองอย่างออกรส ผมก็เกิดหมั่นไส้มันขึ้นมา

พูดอังกฤษปร๋อเลยนะมึง พูดมั่วใช่ไหม กูรู้หรอก สารรูปมึงไม่น่ามีการศึกษา...

อคติสุดๆ ทั้งที่ผมไม่เคยที่จะดูถูกคนไม่รู้จักอย่างนี้มาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต ก่อนที่นิสัยเสียของผมจะถูกระงับเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคุณแอนเดินเข้ามาหา

“คุยกับไกด์ให้แล้วนะคะคุณดื้อ”
“อ้อ ครับ” ผมรีบปรับท่าทางให้สุภาพขณะตอบรับ
คุณแอนยิ้มให้ผม ก่อนที่จะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขียนเบอร์โทรกับอีเมลของใครบางคนมาให้ ผมมองแล้วก็ย่นคิ้วเล็กๆ
“อะไรเหรอครับ”
“เบอร์ติดต่อกับเมลของไกด์ค่ะ ฉันให้เบอร์ติดต่อของคุณกับไกด์ไปแล้ว เดี๋ยวเขาคงจะโทรไปหา”

ผมร้องอ๋อตอบรับก่อนจะยื่นมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาดู ถึงจะเขียนเป็นภาษาลาว แต่ผมก็พอจะอ่านออก

ปั้นรัก...

ไกด์ของผมชื่อปั้นรัก

ชื่อน่ารักอย่างนี้ ตัวจริงต้องน่ารักแน่ๆ

คิดถึงหนุ่มน้อยท่าทางสำอางหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ถ้าได้ไกด์แบบนั้น ทริปของผมก็คงจะมีบรรยากาศดีไม่ใช่น้อยเลย

ทว่าความคิดมโนของผมก็ต้องมลายหายไปเมื่อจู่ๆ คุณแอนก็พูดขึ้น
“เอ้า ปั้นรักอยู่ที่นี่พอดีเลย เดี๋ยวฉันให้เขามาคุยกับคุณดื้อเลยก็แล้วกันค่ะ”

พูดมาอย่างนั้น ผมก็มองตามทางที่คุณแอนมองไปทันที ก่อนจะต้องชะงักกึกเมื่อเห็นว่าคุณแอนมองไปยังโต๊ะคนต่างชาติพวกนั้น ทำเอาผมเอะใจขึ้นมา

“เดี๋ยวนะครับ ไกด์ที่บอกว่าเป็นลูกครึ่งไทย-ลาว เพิ่งกลับมาจากอเมริกา หมายถึงฝรั่งเหรอ”
เดาไปโน่นเพราะเห็นฝรั่งนั่งกันเต็มโต๊ะ แต่คุณแอนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
“ต้องเป็นคนเอเชียสิคะ คนนั้นต่างหากล่ะ หัวดำที่นั่งอยู่ตรงนั้น”

ชี้นิ้วไปแล้วด้วย ผมมองแล้วก็นิ่งอึ้งไปมากกว่าเดิม

นั่นมัน...ไอ้เวรกระเป๋าสีรุ้ง!

“อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนั้นคือ...ปั้นรัก?”

ถามออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา คุณแอนพยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่ค่ะ คนนั้นแหละ”

อ้าปากค้างตามมาด้วยได้ ผมก็จะทำแล้ว

พีคกว่านั้นคือพอคุณแอนบอกผมว่าไกด์ของผมคือคนไหน เธอก็ตะโกนบอกไอ้บ้านั่นแล้ว

“ปั้น! คุณดื้อคือคนนี้นะ เดี๋ยวมาแนะนำตัวด้วย”

พีคไปอีกตรงที่ไอ้เวรนั่นลุกขึ้นยืนมาชะโงกมองผม ตอนนี้เองที่ผมได้เห็นสภาพมันชัดๆ

โอ้โห สภาพมึงนี่มันกุ๊ยชัดๆ เลย เคยตัดผม โกนหนวดโกนเคราบ้างไหม แล้วกางเกงขาเดฟกับเสื้อลายสก๊อตมึงนี่มันอะไร จะมานำเที่ยวหรือพาไปตัดอ้อย!?

ความอคติกลับมาอีกแล้ว อคติหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นมันเบ้ปากใส่ผมเล็กน้อยทันทีที่เห็นหน้าผมชัดๆ เช่นกัน

หมดกันไกด์หนุ่มหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม กลายเป็นไอ้บ้าผมเผ้าฟู หนวดเหนิดไม่โกน แถมแต่งตัวไม่มีความแมทช์กันอย่างนี้เสียงั้นอะ อะไรไม่ว่า มันไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผมด้วย แค่มองตามที่คุณแอนบอกเท่านั้น มันก็นั่งลงไป พูดคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต่อโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ตอนนี้นี่เองที่ผมรู้สึกว่ามันไม่โอเคเลยรีบร้องบอกคุณแอนที่ตั้งท่าจะขอตัวไปทำธุระอื่นอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวครับคุณแอน อย่าเพิ่งไป ผมมีเรื่องอยากจะคุยหน่อย”
“ว่าไงคะ” คุณแอนเลิกคิ้วใส่ทันที

ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีหรือไม่ว่าอยากเปลี่ยนไกด์ มันจะทำให้ผมดูเป็นลูกค้าเรื่องมากไปเลยนะ แต่ไม่ถูกชะตากับไอ้หมอนั่นจริงๆ ถ้าต้องไปใช้ชีวิตด้วยกันหลายๆ วัน ผมว่าทริปพักใจของผมคงได้กลายเป็นทริปหนักใจและลำบากใจอย่างแน่นอน ผมเลยตัดสินใจที่จะพูดออกไป

“ผมขอเปลี่ยนไกด์ได้ไหมครับ”
พอพูดไปอย่างนั้น สีหน้าของคุณแอนก็ดูลำบากใจไปทันที ผมก็เข้าใจแหละว่าการขอเปลี่ยนไกด์แบบกะทันหันมันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งผมรีเควสว่าขอไกด์ผู้ชายด้วยแล้ว ยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่ ก่อนผมจะต้องพูดเสริมเมื่อเห็นว่าคุณแอนไม่พูดอะไรสักที
“คือผมมีปัญหากับเขานิดหน่อย”
หลุดปากออกไปแล้ว สีหน้าคุณแอนดูลำบากใจมากกว่าเดิมอีก
“มีปัญหาอะไรเหรอคะ”

ผมชำเลืองมองไปยังผู้ชายคนนั้นเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรจะลงรายละเอียดดีไหมว่าที่ไม่อยากจะไปกับมัน นอกจากรูปร่างหน้าตาจะไม่เจริญหูเจริญตาแล้ว เมื่อวันก่อนมันยังด่าผมว่าไอ้รูก้น แต่พอคุณแอนถามออกมาอีกครั้ง

“ว่าไงคะคุณดื้อ มีปัญหาอะไรเอ่ย”
ผมก็ว่าออกมาตามตรงด้วยน้ำเสียงอันเบาด้วยเกรงว่ามันจะได้ยิน
“คือเมื่อวันก่อนน่ะครับ ผมถูกเขาต่อว่านิดหน่อย”

สีหน้าลำบากใจของคุณแอนแปรเปลี่ยนไปเป็นสงสัยทันควัน
“ต่อว่าอะไรคะ”
“แบบว่า... เขาด่าผมน่ะครับ ผมบังเอิญเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนเขาตอนอยู่ที่ท่ารถน่ะ” พูดไปตามตรงอีกครั้ง

ทว่าแทนที่คุณแอนจะพยักหน้ารับแล้วจัดการตามที่ผมขอให้ ดันถามเจาะลึกลงกว่าเดิม
“ด่าว่าอะไรคะ” ถามไป คิ้วก็ย่นยู่ไป

ถึงจะไม่อยากบอกเพราะกลัวว่าผมจะทำให้ไกด์คนนั้นลำบาก แต่ก็เพื่อตัดความรำคาญแล้วจะได้เปลี่ยนไกด์  ผมเลยต้องให้เหตุผล สุดท้ายเลยโพล่งไป

“ด่าเป็นภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า...รู...เอ่อ...รูก้นน่ะครับ”

ไม่อยากจะพูดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ด้วยเกรงใจคุณแอนเพราะมันเป็นคำหยาบ แต่การพูดภาษาไทยซึ่งเป็นคำแปลอย่างนั้นก็ทำให้คุณแอนเข้าใจได้

เท่านั้น สีหน้าใจดีของคุณแอนก็พลันเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร้องเรียกไอ้บ้านั่นเสียงดังลั่น
“ปั้น! มานี่!”

คนถูกเรียกสะดุ้ง หยุดปากที่กำลังเม้าท์มอยหอยสังข์ทันที ดูขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมลุกออกจากโต๊ะนั้นมาหาคุณแอน
“What?” ถามด้วยภาษาอังกฤษด้วยเอาซี่

คุณแอนเลยตีเข้าที่ไหล่ไม่แรงนักไปทีนึง
“ยังจะมาถามอีกว่าอะไร วันก่อนแกไปว่าอะไรแขก”

ปั้นรักทำหน้างุนงง มองหน้าผมสลับกับหน้าคุณแอนแล้วก็ว่าเสียงสูง
“I don’t know! (ผมไม่รู้!)”

มึงจะมาด็อนท์โนวอะไร กูได้ยินชัดๆ เต็มๆ สองหูว่าด่ากูว่ารูอะไรนั่นน่ะ!

คุณแอนสูดหายใจเข้าเต็มปอดกับท่าทางไม่ยี่หระของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกมา
“ไปด่าเขาว่ารูอะไรนะ”
ปั้นรักยังทำหน้างงอยู่ คุณแอนก็เลยหันมาถามผมแทน
“พูดมาเลยค่ะคุณดื้อ เขาว่าคุณว่าอะไรนะคะ”
“รูก้นครับ” ผมว่างุบงิบ รู้สึกอุบาทว์ตัวเองมากที่ต้องพูดคำว่ารูนี่ซ้ำไปซ้ำมา

แต่มันก็ทำให้ปั้นรักนึกขึ้นมาได้ พลันมันก็ร้องอ๋อออกมาพร้อมกับรัวภาษาลาวใส่อย่างรวดเร็ว
“เว้าว่า Asshole แปลว่างี่เง่า บ่แม่นฮูดากฮูขี่ (พูดว่า Asshole แปลว่างี่เง่า ไม่ใช่รูก้น)”

คุณแอนชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายยอมรับ แต่ไอ้ปั้นรักมันไม่ได้สำนึกเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังทำเจ้านายตัวเองลำบาก ว่าออกมาหน้าตาเฉยใส่ผมอีก

“ฮูดากฮูขี่หยัง ไผสิพ้าแปลตรงๆ แบบนั้น โง่แท้โง่หลาย (รูก้นอะไร ใครเค้าแปลกันตรงๆ แบบนั้น โง่จริงโง่จัง)”

อะ...ไอ้…!

กำมือแน่นมาก ระงับใจสุดชีวิตให้ไปพุ่งไปต่อยมันขณะที่ในใจนี่ร้อนระอุขึ้นมาแล้ว

แม่งเอ๊ย กูจะรู้ไหมว่ามันแปลว่างี่เง่าอะไรของมึงน่ะ ภาษาอังกฤษกูแข็งแรงซะที่ไหน รู้ศัพท์ก็ดีแล้ว ass แปลว่าก้น hole แปลว่ารู เอามารวมกันเป็นรูก้น แปลผิดตรงไหนล่ะวะ!

ที่สำคัญ...กู-เป็น-แขก และกำลังจะว่าจ้างมึงมาเป็นไกด์ด้วย มาพูดอย่างนี้ได้ยังไง!

เออ โมโห ยอมรับเลย แต่ผมมีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา จะมีก็แต่คุณแอนนี่แหละที่ร้องเรียกมันเสียงดัง

“บักปั้น!”
ตามมาด้วยดึงปลายหูอีกฝ่ายทันควันพร้อมกับพ่นภาษาลาวออกมา
“เว้าจังซี่กับแขกได้ไง (พูดอย่างนี้กับแขกได้ไง)”

ปั้นรักร้องโอดโอยทันควัน ผมมองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ครู่เดียวคุณแอนก็รู้สึกตัว รีบหันมาบอกผมด้วยภาษาไทย
“ขอโทษนะคะที่ลูกชายฉันทำมารยาทไม่ดีใส่คุณดื้อ”

เอ้า นี่เป็นแม่ลูกกันเหรอ

ผมมองทั้งคู่อย่างตกใจ ขณะที่คุณแอนพูดขึ้นมาอีก มือก็ดึงหูปั้นรักให้มันร้องครวญครางไปเรื่อยๆ
“แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนไกด์ตอนนี้มันไม่มีแล้วจริงๆ ค่ะ ถ้าคุณดื้อไม่ถือสาอะไรกับปากมัน เด็กนี่ก็พร้อมจะดูแลคุณนะคะ”
ดูจากสภาพมันแล้ว มันไม่น่าจะพร้อมดูแลผมสักนิดเลยนะครับคุณแอน ขนาดสารรูปมัน มันยังไม่ดูแลเลยเนี่ย

ผมก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก ทว่าพอเห็นผมจะพูด คุณแอนก็สวนมา
“ถ้าคุณไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะให้คุณอยู่ฟรีอาทิตย์นึงเลยค่ะ ถือว่าเป็นการชดเชยที่คนของเกสต์เฮ้าส์ทำมารยาทไม่ดีใส่ด้วย เงินที่จ่ายมาแล้ว เดี๋ยวคืนให้นะคะ แล้วเรื่องไกด์จะให้นำเที่ยวให้ฟรีๆ ด้วยค่ะ”

ต่อรองมาอย่างนี้ ผมก็เลยนิ่งไปครู่

อยู่ฟรีอาทิตย์นึงกับได้ไกด์ฟรีเหรอ... น่าสนใจแฮะ

ถึงไอ้ปั้นรักอะไรนั่นจะดูไม่ค่อยสมประกอบสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความโลภ ผมเลยตัดสินใจตกปากรับคำไป
“ก็ได้ครับ”

เท่านั้นคุณแอนก็ยิ้มออกมา
“งั้นรบกวนอีกเรื่องนึงค่ะ คุณปั้นอย่าไปรีวิวในเว็บว่าเกสต์เฮ้าส์ของฉันในทางลบนะคะ ช่วงนี้พวกที่พักแย่งนักท่องเที่ยวกันน่ะค่ะ คะแนนรีวิวในเว็บค่อนข้างจะมีผลพอสมควรเลย”

อ๋อ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงจะให้ผมอยู่ฟรีๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะอย่างนี้น่ะเอง

ผมก็ได้แค่รับปากไปพลางยิ้มฝืนๆ ให้ สายตาปราดมองไปยังปั้นรักที่โดนแม่ดึงหูจนต้องแหกปากออกมาด้วยทนไม่ได้
“Ouch! Mom! Let me go! (โอ๊ย! แม่! ปล่อยได้แล้ว!)”

เท่านั้นคุณแอนก็ปล่อยมือ แต่ก็ไม่วายตีเข้าไปที่ไหล่อีกฝ่ายอีกทีพร้อมส่งเสียงดุ
“ยังไม่ไหว้ขอโทษแขกอีก!” ประโยคนี้ตั้งใจพูดภาษาไทย คงเพราะต้องการให้ผมเข้าใจด้วย

ปั้นรักทำท่าขัดใจ ไม่ยอมยกมือไหว้ผมแต่โดยดีเลยถูกคุณแอนยกมือขู่จะตีอีกครั้ง มันถึงรีบยกมือไหว้
“ขอโทษ”

คำว่าขอโทษในภาษาไทยกับภาษาลาวพูดเหมือนกัน แต่การขอโทษของมันนี่เป็นการขอโทษแบบขอไปทีมาก ผมก็ไม่ได้อยากจะถือสาหาความอะไรมากนักหรอกเลยพยักหน้ารับไป

“ทีหลังอย่าให้มีอีก ดูแลคุณดื้อดีๆ ด้วย” คุณแอนดุตบท้ายด้วยภาษาบ้านเกิดผม
จากนั้นก็ขอตัวไปทำธุระต่อ พอหันหลังเดินจากไป เหลือเพียงปั้นรักกับผม มันก็ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะบ่นแม่ ก่อนจะหันมาทางผมที่จ้องหน้ามันนิ่ง

“เบิ่งหยัง บ่เคยพ้อคนหล่อบ่ (มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง)”

จู่ๆ รัวภาษาลาวมา ผมก็ตั้งรับไม่ทันเลยทำหน้างงใส่มัน

“ฮะ?”

หากแต่มันไม่คิดจะแปลอะไรใดๆ ให้ผมเลย นอกจากปรายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดออกมาอีก

“แล้วจ่างไกด์ผู้ชายนี่คิดหยังอยู่ เป็นเกย์บ่นิ ถ้าเป็นนิบอกก่อนเด้อว่าบ่ฮับงานนอก นอนนำได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับดากเด้อ (แล้วจ้างไกด์ผู้ชายนี่คิดอะไรอยู่ เป็นเกย์ปะเนี่ย ถ้าเป็นนี่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่รับงานนอก นอนด้วยได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับก้นนะ)”

พ่นมาอย่างเร็ว ผมต้องใช้เวลาในการประมวลผลสักครู่เลย พักนึงถึงจะเข้าใจว่ามันพูดว่าอะไร

มารดามึงเถอะ! สภาพน่ายุ่งกับดากมาก เดี๋ยวก็ยอกหน้าแหก

มั่นหน้าจริงๆ ไอ้นี่...

ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร มันก็ถูกนักท่องเที่ยวโต๊ะอื่นโบกไม้โบกมือเรียกไปดื่มด้วยแล้ว มันเลยไม่รอช้า ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ผมมองมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

ได้ไกด์ผีมาแท้ๆ เลยกู... ไกด์ผีบ้า
----------------------------
อัปเต็มตอนแล้วค่ะ กว่าจะมา นิยายที่ดองข้ามปี 555
เรื่องนี้ช่วงแรกๆ จะมาช้านิดนึงนะคะเพราะต้องเสียเวลาแปลภาษาลาวหน่อย หนูแดงไม่ค่อยรู้ว่าประโยคไหน ภาษาลาวแบบทับศัพท์พูดว่ายังไงเลยต้องขอให้นักอ่านช่วยแปล รอกันหน่อยเน้อ
ฝากกำลังใจไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้พรุ่งนี้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jarqqq ที่ 12-05-2017 13:47:24
เรานึกว่าคนเขียนหยุดเขียนพี่ดื้อซะแล้ว555
คิดถึงมากๆ
มาต่อเร็วๆนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่1: ไกด์ผี[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 18-05-2017 18:56:09
เป็นเรื่องที่น่าฮักอีหลีม่วนหลายถูกใจข่อยคัก
รอตอนต่อไป
คนเขียนสู้ๆเด้อออ :mew1:

หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่1: ไกด์ผี[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-05-2017 19:05:53
ยินดีต้อนรับผีบ้าตัวใหม่ 5555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่1: ไกด์ผี[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmildss ที่ 18-05-2017 20:44:55
สนุกดีค่ะ แปลกดี ชอบ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่1: ไกด์ผี[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 20-05-2017 18:24:24
มีผีบ้ามากอีกแล้ว :m20:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่1: ไกด์ผี[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-05-2017 01:58:59
สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[1]

ยังทำใจเรื่องได้ไกด์ไม่สมประกอบมาไม่ได้ วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจยังไม่ไปเที่ยว แต่คุณแอนก็ดันคะยั้นคะยอให้ผมไปเที่ยวกับลูกชายตัวเองอยู่นั่น

ใช่ครับ พูดไม่ผิด เขาคะยั้นคะยอผมแกมขอร้องให้ไปเที่ยวกับปั้นรักเพราะเธอไม่อยากให้มันมานั่งๆ นอนๆ เดินหัวฟูเคราเฟิ้มร่อนไปร่อนมาอยู่ในเกสต์เฮ้าส์ให้เป็นที่รำคาญสายตาของแขก

อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ คุณแอนเป็นคนพูดเองเลยเถอะ ตอนผมลงมากินข้าวเช้าก็พอเข้าใจว่าเพราะอะไร เธอถึงไม่อยากให้มันอยู่ ก็ดูสภาพมันสิ โอ้โห หัวฟู เคราเฟิ้มไม่พอ นี่แม่งใส่เสื้อกล้าม นุ่งผ้าขาวม้าเดินโทงๆ ไปมาในเกสต์เฮ้าส์แม่ตัวเองชนิดไม่เกรงใจแขก เห็นสภาพมันอย่างนั้น ผมก็ว่าสะอิดสะเอียนแล้วนะ น้ำท่าก็ไม่อาบ ฟันฟางแปรงหรือยังก็ไม่รู้ เที่ยวทักแขกไปทั่ว อะไรไม่ว่า แม่งมานั่งตรงโต๊ะถัดไปจากผม หันหน้าเข้าหา จิบกาแฟกับอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรกฟาสต์ อ่านอะไรไม่รู้ในโทรศัพท์ไปด้วย ถ้ามันนั่งอ่านดีๆ ผมจะไม่ว่าเลย จู่ๆ ยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ข้างนึง จังหวะเดียวกับที่ผมเหลือบตาไปมองทันที

ไข่แล่บ!

โอ้โหไอ้ปั้นรัก! กูจะอ้วก มึงให้เกียรติไข่ดาวในจานกูหน่อยเถอะ!

โยนช้อนส้อมทิ้งทันที ไม่กงไม่กินต่อมันละ ความจริงมันก็ไม่ได้เห็นอะไรอย่างที่ผมอุทานหรอก มันใส่กางเกงบ็อกเซอร์ไว้ข้างใน แต่คือเข้าใจไหม คนกำลังกินข้าวอะ แล้วมาเห็นอะไรแบบนี้ตอนกำลังจะตักไข่ดาวเข้าปาก คิดว่าผมจะกินต่อลงเหรอ
รีบขึ้นห้องมาล้างหน้าล้างตาเพื่อลบภาพอุบาทว์ของมันแทบไม่ทัน

ทำไมต้องมาเห็นอะไรแบบนี้แต่เช้าด้วยวะ ถึงจะเป็นเกย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโอเคกับการได้เห็นอะไรแบบนี้นะเว้ย ผมก็เลือกดูเหมือนกัน

ปวดหัวหนึบกว่าเดิมด้วยหลังจากที่ผมตัดใจทิ้งอาหารเช้าของเกสต์เฮ้าส์ คุณแอนก็ขึ้นมาคุย แล้วเนื้อหาก็เป็นอย่างที่ผมบอกในตอนแรก

แล้วทำไมกูต้องไปกับมันวะ คนตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไปคือลูกค้าไม่ใช่เหรอ?

“นะคะคุณดื้อ ฉันไม่อยากให้ปั้นนั่งว่างๆ เฉยๆ น่ะค่ะ”
“ผมก็เห็นเขาต้อนรับแขกดีนี่” ผมพยายามจะบอกปัด
คุณแอนยู่หน้า “แต่ต้อนรับในสภาพแบบนั้น ฉันว่ามันไม่โอเคน่ะค่ะ”

ไม่โอเคก็ไปบอกลูกตัวเองโน่น มาบอกผมทำไมก็ไม่รู้ ผมก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่พอคุณแอนเล่นบทดาวพระศุกร์ มีความดราม่าในชีวิตปุ๊บ...

“คุณเป็นคนแรกและคนเดียวเลยนะคะที่ลูกชายฉันจะได้ลองงานด้วย ถ้าไม่ได้คุณดื้อก็คงไม่มีแขกคนอื่นอยากได้ไปเป็นไกด์แล้วล่ะค่ะ เจ้าปั้นมันก็ดื้อขนาดนี้ ส่งไปอยู่เมืองนอกกับพ่อ เรียนจบแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กลับมาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก ฉันล่ะกลุ้มใจ เป็นลูกคนเดียวแท้ๆ”

เนี่ย... ผมก็เลยรู้สึกผิดทันที เหมือนเป็นคนบาปที่ทำให้ชีวิตเด็กจบใหม่พังพินาศยังไงก็ไม่รู้

“ได้ครับ ผมไปก็ได้” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องตกปากรับคำไป

คุณแอนมีสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที “งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกปั้นให้เตรียมพร้อมนะคะ อยากไปที่ไหนก็บอกปั้นนะ”
จากนั้นก็ทำท่าจะลงไปชั้นล่าง ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เลยรีบร้องเรียกไว้ก่อน
“เอ้อ คุณแอนครับ ผมอยากจะขออะไรเรื่องนึง”
“คะ?”
“บอกมัน...ผมหมายถึงปั้นรักน่ะครับ บอกให้โกนหนวดโกนเคราที ผมไม่ค่อยชอบน่ะ มันดู...”
“สกปรก” อันนี้คุณแอนเสริมให้อย่างรู้ทัน

ผมไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยพยักหน้าไป

“งั้นเดี๋ยวจะบอกให้ตัดผมด้วยแล้วกันนะคะ”

ออกปากเองอย่างนี้ ผมก็พยักหน้ารับไปสิ พอผมพยักหน้าปุ๊บ คุณแอนก็บ่นพึมพำ
“"บักลูกคนนี่ บอกให้ตัดผมตัดเผ้ากะบ่ฮู้ตัด เบิ่งดู เครากะไว้จนฮกไปเบิ่ด ให้ลูกค้าเพิ่นมาจ่ม" (ไอ้ลูกคนนี้ บอกให้ตัดผมตัดเผ้าก็ไม่ยอมตัด ดูซิ เคราก็ไว้ซะรกไปหมด ต้องให้ลูกค้ามาบ่น)”

ผมก็ฟังไม่ทันหรอกว่าเธอบ่นอะไร แต่พอจะจับใจความได้ว่าเป็นเรื่องที่ผมบอกเมื่อกี้ ปั้นรักคงจะหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียวถ้ารู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องโดนแม่ตัวเองบ่น แต่ช่างเถอะ ผมไม่อยากจะไปเที่ยวกับไกด์ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากคนป่าหรอกนะ

และพอผมรีเควสไปอย่างนั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง คุณแอนก็ให้เด็กมาตามผมที่ห้องเพื่อไปรอปั้นรัก ผมเลยเตรียมตัวลงไปที่ล็อบบี้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่นั้น จู่ๆ สายตาก็สะดุดเข้าให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประเมินจากสายตาแล้วน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่สายตาผมจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่หยุด

โคตร...น่ารัก

เออ ไม่ได้น่ารักแบบหน่อมแน้มตัวเล็กอะไรแบบนั้น พูดตรงๆ ก็คือเขาหล่อ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสองสีเรียบเนียน แต่งตัวทันสมัยเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร ยิ่งเอาแว่นตาดำมาคาดผมหน้าให้เสยขึ้นอย่างนั้นนะ โคตรมีเสน่ห์เลย เล่นเอาผมมองไม่วางตาเลยล่ะ

มองสักพักก็เหมือนผู้ชายคนนั้นจะรู้ตัว มองผมกลับบ้าง ผมเลยส่งยิ้มให้ แต่เขาไม่ยิ้มตอบ เดินเข้ามาหาแทน เดินมาอย่างเดียวไม่พอ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ทำเอาผมถึงกับชะงัก

อย่าบอกนะว่าที่ส่งสายตาให้เมื่อกี้นี้จะทำให้รู้ตัวแล้วว่าผมเป็นเกย์?

หรือว่าเขาก็เป็นเกย์เหมือนกัน?

ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าเรดาห์ดีมากเลยนะ ผมไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาให้เห็นเลยสักนิด

หากแต่ผมคิดผิดเมื่อพอผมหันไปมอง ตั้งท่าจะทักเฮลโหลสักคำ เผื่อว่าจะเป็นคนชาติอื่นที่ไม่ใช่ไทยหรือลาว อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

“แนมอีหยัง (มองอะไร)”
เอ๊ะ ภาษาลาว

“แนมจั๋งซี่คึดหยังอยู่ สายตาหื่นคัก (มองอย่างนี้คิดอะไรอยู่ สายตานี่หื่นซะ)”
ต่ออีกประโยค...

สำนวนอย่างนี้มันคุ้นๆ แฮะ

“เอ้าๆ ยังสิแนมอยู่อีก เดี๋ยวกะจิ๋มตาบอด สิไปหลิ้นบ่องได๋กะพ่าวบอกมา รำรี้รำไรเป็นตาซัง (เอ้าๆ ยังจะมองอยู่อีก เดี๋ยวจิ้มตาบอด จะไปเที่ยวไหนก็รีบบอกมา พิรี้พิไรน่ารำคาญ)”

ไอ้นี่มัน...ปั้นรักนี่หว่า!

ไม่ต้องแนะนำตัว ไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ต้องให้ใครบอก ผมก็รู้ได้เองเลยจากสำนวนการพูดของมันเนี่ย

มึงนี่มันเงาะถอดรูปชัดๆ เลย!

ผมเผลออ้าปากมองมันตาค้าง มันดูหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ก่อนจะเอานิ้วมาแหย่ปากผมหน้าตาเฉย
“แมงหวี่บินเข้าชะแว้บ”
“เฮ้ย ทำไรเนี่ย” รู้สึกตัวปุ๊บ ผมก็ปัดมือมันทิ้ง

ปั้นรักเอามือที่แหย่ปากผมเมื่อกี้ขึ้นมาดู น่าจะมีน้ำลายผมติดอยู่นิดหน่อย มันก็เลยเอามาเช็ดกับกางเกง...ผม

มึงนี่มัน...

เห็นแล้วเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุ้บๆ เลย ขณะที่มันเช็ดเสร็จก็พูดหน้าตาเฉย
“เห็นอ้าปากหวอ ซัง เลยลองจกเบิ่งจักเทือ (เห็นอ้าปากหวอ หมั่นไส้เลยจกสักที)”

แต่มึงจะมาเอานิ้วจกเข้าปากลูกค้าไม่ได้นะเว้ย!

ผมไม่อยากจะอะไรนักหรอก เห็นคุณแอนบอกว่ามันไปอยู่เมืองนอกมา การวางตัวในสังคมตะวันตกคงจะแตกต่างจากสังคมในประเทศละแวกนี้ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจนัก ว่าออกมานิ่งๆ

“โกนหนวดโกนเคราออกแล้วดูดีขึ้นนะ ทรงผมก็ด้วย” ชมมันไปหน่อย หวังจะผูกสัมพันธ์อันดีงาม

หากแต่ปั้นรักไม่ได้ขอบคุณหรือยิ้มรับเลยแม้แต่น้อย ผมชมเสร็จปุ๊บ มันก็จ้องหน้าผมแล้วเบ้ปาก

“เทือจะของไว้หนวดไว้เคราได๋ ซามคนอื่นละหาว่าสกปรก คึดว่าจะของเป็นอนันดาบ้อ (ทีตัวเองไว้หนวดเคราได้ ทีคนอื่นล่ะหาว่าสกปรก คิดว่าตัวเองเป็นอนันดาหรือไง)” มันค่อนแคะ “อนันดาบ้าบอกคอแตกอีหยัง เล็บขบอนันดากะว่าไปอย่าง (อนันดาบ้าบอคอแตกอะไร เล็บขบอนันดาก็ว่าไปอย่าง)”

มันพูดเร็วเป็นไฟเลย แต่ผมว่าผมฟังมันออกนะ

ฟังออกชัดเจนด้วยว่ามึงว่ากูเป็นเล็บขบอนันดาเนี่ย! ต่อยปากสักทีดีไหม!

คิดภาพ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม พระเอกที่ผมโตมากับหนังของเขาขึ้นมาทันที ก่อนจะตัดภาพไปที่เล็บขบหัวแม่โป้งเท้า
ทำไมมันถึงได้เปรียบเทียบอะไรได้อุบาทว์ขนาดนี้

ผมถึงกับยกมือขึ้นลูบเคราอ่อนๆ ที่ปลายคางตัวเอง ก่อนที่ปั้นรักซึ่งมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“แล้วนี่ อยากไปหลิ้นไส (แล้วนี่อยากไปเที่ยวไหน)”

ผมนิ่งคิดไปแป๊บ

“ที่ไหนก็ได้”

กะตามใจมันไง บอกตรงๆ ว่าไม่อยากทะเลาะกับคนบ้าอย่างมันเลย หากแต่ปั้นรักไม่พอใจ ผมตอบไปอย่างนั้นมันก็พึมพำ
“โอ้ย แล้วสิไปฮู้ได๋จั๋งได๋ว่าอยากไปไส (โอ๊ย แล้วจะไปรู้ไหมว่าจะไปไหน)”

มึงเป็นไกด์ มึงยังไม่รู้เลยว่าจะพาลูกค้าไปเที่ยวไหน แล้วกูจะไปรู้ไหม แถวนี้กูก็ไปมาหมดแล้วเนี่ย!

“แม่น้อแม่ จักให้มาเฮ็ดเวียกหยัง (แม่นะแม่ ให้มารับงานอะไรวะเนี่ย)” มันยังคงบ่นอยู่ ตอนนี้บ่นลามไปยังคุณแอนแล้วด้วย
ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ นับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้ใจเย็น ก่อนจะว่าออกมา

“เอางี้ ถ้าไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป ผมขึ้นไปนอนบนห้องก็ได้”
พูดจบก็ทำท่าจะลุก กะตัดปัญหาไปเลยให้สิ้นเรื่อง ไม่ไปมันละ จะไม่จ้างมันด้วย

ทว่าพอลุกปุ๊บ ปั้นรักก็คว้าข้อมือผมปั๊บ
“ถ้าบ่ไป แม่กะบ่ให้เงินเฮาใช้ติ (ถ้าไม่ไป แม่ก็ไม่ให้เงินผมน่ะสิ)”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ” ผมย้อนถาม

ปั้นรักชักสีหน้า “เว้าแปลกๆ เจ้านายกะต้องให้เงินลูกจ้างตอนเฮ็ดเวียกติ เจ้าบ่ไป แล้วเฮาสิได้ค่าจ้างได้จั๋งได๋ (พูดแปลกๆ นายจ้างก็ต้องให้เงินลูกจ้างตอนที่ทำงานสิ คุณไม่ไป แล้วผมจะได้ค่าจ้างยังไง)”

ผมนิ่งไปครู่เพื่อแปลภาษา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้ง

โอเค เข้าใจแล้ว ที่มันยอมมาทำหน้าที่ไกด์ให้ผมวันนี้ก็เพราะว่ามันอยากได้เงินจากแม่มันล่ะสินะ เห็นแก่ความลงทุนของมันที่อุตส่าห์ไปตัดผม โกนหนวดเคราะตามคำขอของผม ผมจะยอมเออออไปกับมันก็ได้

“"ตกลงอยากสิไปหลิ้นบ่องได๋ (ตกลงอยากไปเที่ยวไหน)” มันถามมาอีกแล้ว
“แถวในเวียงจันทน์ก็แล้วกันครับ เอาพวกแลนด์มาร์กก็ได้ ผมยังไปไม่ทั่วเลย”

บอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็พยักหน้ารับ รีบบอกผมอย่างรวดเร็ว
“โอเค จั่งซั่งไปเมียนข้าวของก่อนจักคราว (โอเค งั้นเดี๋ยวไปเตรียมข้าวของแป๊บ)”
พูดจบ มันก็ลุกจากที่นั่งไป ปล่อยให้ผมยืนรออยู่อย่างนั้น ก่อนที่มันจะกลับมาพร้อมกับ...กระเป๋ากระสอบสายรุ้ง

มึงจะเอาถุงกระสอบใส่เสื้อผ้ามาทำบ้าอะไร!

ใบบักเอ้กเหมือนวันที่ผมเจอมันครั้งแรกเลย แล้วมันก็ไม่สนสายตาผมที่มองมันอยู่ด้วยนะ เดินผ่านหน้าผมไป พอเห็นผมไม่เดินตามก็หยุดเดิน หันมาพยักหน้าใส่หน้าตาเฉย

“เอ้า แนมอยู่ได๋ ย่างตามมาติละ (เอ้า มองอะไรอยู่ได้ เดินตามมาดิ)”

ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่ว่านะ... กูจะให้มึงไปแต่งตัวดีๆ มาทำไมในเมื่อมึงยังจะหอบกระเป๋าพะรุงพะรังเป็นคนบ้าอยู่อย่างนี้เนี่ย!
แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันแบกถุงกระสอบสายรุ้งไปอย่างแน่นอน ชี้นิ้วไปที่กระเป๋ามันเป็นพัลวัน พอเห็นมันเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมเลยเอ่ยปาก

“นั่นน่ะ จะแบกไปจริงๆ เหรอ”
ใช้คำว่าแบกเลย ใบใหญ่มากจริงๆ

ปั้นรักพยักหน้ารับ “อือ ทำไม”

ยังจะมีหน้ามาถามอีก มึงจะเอาไปทำไม พากูนำเที่ยวนะเว้ย ไม่ได้ย้ายบ้าน!

“ผมว่าคุณเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปดีไหม หอบไปเยอะเป็นกระสอบอย่างนี้ ผมว่ามันล่อตาล่อใจพวกวิ่งราวนะ”
ทำเป็นพูดเหมือนเป็นห่วงมันไปงั้นแหละ ถุงกระสอบสำเพ็งอย่างนั้น ใครมันจะไปวิ่งราววะ

หากแต่พอผมพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผมทันที ก่อนจะโวยวายลั่น
“กระสอบบ้าหยัง นี่มันกระเป๋า BALENCIAGA รุ่น BARZAR SHOPPER ไซส์ M ราคาหนึ่งพันห้าร้อยซาวดอลลาร์ต่างหาก ฮู้จักบ่นิ”

พูดภาษาลาวปกอังกฤษออกมารัวๆ ยอมรับว่าผมฟังไม่ทันเลย จับใจความได้เพียงประโยคท้ายเลยส่ายหน้าไป มันเลยกระแทกเสียงออกมา
“โว้ย บ้านนาคัก (โว้ย บ้านนอกแท้)”

การที่กูไม่รู้จักกระเป๋าแบรนด์เนมที่มึงบอกมันผิดหรือไง แล้วมันดูเป็นของแบรนด์เนมตรงไหนไม่ทราบ มองยังไงก็ถุงกระสอบสำเพ็ง!

แต่ผมไม่เถียงกับมันหรอก มันก็คงไม่อยากจะเถียงกับผมด้วย พอพูดจบ มันก็หยุดกระฟัดกระเฟียด ร้องเรียกผมให้เดินไปยังหน้าเกสต์เฮ้าส์

“คาแต่พาเว้าหยังไร้สาระอยู่ได๋ มาได้แล้ว เดี๋ยวก็ค่ำก่อนดอก (มัวมาชวนคุยอะไรไร้สาระอยู่ได้ มาได้แล้ว เดี๋ยวก็เย็นก่อนหรอก)”
ผมไม่ตอบโต้ใดๆ เดินตามไปยังข้างหน้าเกสต์เฮ้าส์ ก่อนที่จะต้องขมวดคิ้วอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้เมื่อเห็นว่ามันเดินตรงไปยังลานจอดรถ

ใช่ ลานจอดรถ...แต่เป็นรถมอเตอร์ไซค์

แต่งตัวเหมือนนายแบบ สะพายกระเป๋ากระสอบสายรุ้งแล้วเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ Yamaha Mate

ความไม่สัมพันธ์กันแม้แต่อย่างเดียวนี่มันคืออะไรวะ...

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย ปั้นรักก็สตาร์ตรถมอร์เตอร์ไซค์ก่อนที่มันจะดังปุเรงๆ บอกอายุการใช้งานให้ผมได้รู้สึกไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่ามันจะไม่ไปดับกลางทาง จากนั้นก็หันมาเรียกผมอีก

“แนมหยังอยู่ได๋ พาวมา (มองอะไรอยู่ได้ มาเร็ว)”
ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่มึงแน่ใจเหรอว่ากูจะไม่ต้องเข็นกลับ?

ต่อให้มันบอกมั่นใจ ผมก็ไม่อยากจะเสี่ยง แทนที่จะได้เดินเที่ยวแบบสบายๆ กลายเป็นว่าต้องมาเข็นรถมันด้วย แบบนี้ผมไม่เอาหรอกนะ

แต่พอผมไม่ขึ้น มันก็ร้องเร่งมาอีก

“เอ้า พาวๆแหน่ติ (เอ้า เร็วสิ)”
“ไปรถสามล้อได้ไหม เดี๋ยวผมจ่ายค่ารถเอง” ผมเสนอ ไม่อยากจะเสี่ยงจริงๆ
พอผมบอกไปอย่างนั้น มันก็บ่น
“เรื่องหลายแท้วะ (เรื่องมากจังวะ)”

ก็มึงทำตัวให้กูควรเรื่องมากไหมล่ะ มึงน่ะตัวปัญหาเยอะเลย!

ถ้าผมเป็นคนใจร้อนกว่านี้สักหน่อย ผมคงจะไม่รอช้า เดินไปตะบันหน้ามันให้หงายไปแล้วกับการแสดงออกที่ไม่ค่อยให้เกียรติลูกค้าอย่างผมเนี่ย แต่ผมกลับเลือกที่จะนิ่งแล้วย้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“ไปสามล้อ ผมออกค่ารถเอง”
“มันเปลือง รถกะมีสิไปสามล้อเฮ้ดหยัง เอ้าขึ้น อย่าเรื่องหลาย (มันเปลือง รถก็มีจะไปสามล้อทำไม เอ้าขึ้น อย่าเรื่องมาก)” ปั้นรักว่ามาอีกแล้ว

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ได้เป็นไกด์ให้ผมแล้วล่ะ เหมือนมันเป็นเพื่อนผมแล้วจะพาผมเที่ยวมากกว่า ผมก็อยากจะยืนกรานคำเดิมอยู่หรอกนะว่าไปรถสามล้อ ทว่าพอพูดจบ ปั้นรักก็บิดคันเร่งเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ แล้วว่าเสียงดุ

“ขึ้นเลย ขึ้นๆ”
ผมก็แบบว่า...นะ ขึ้นก็ขึ้นวะ
พอขึ้นปุ๊บ ก็ต้องร้องบอกมัน
“มาให้ผมสะพายกระเป๋าให้เถอะครับ”

ไม่สะพายให้มัน กระเป๋าแม่งก็ดันหน้าผมอยู่เนี่ย

ปั้นรักหันมามอง ยอมส่งกระเป๋าให้ผมสะพายแต่โดยดี
“ดีมาก รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์”

กูเป็นลูกค้าไหมล่ะ!

แต่มันจะไปสนใจอะไร ผมนั่งเรียบร้อยดี มันตั้งท่าได้ก็บิดออกไปแล้ว ทำท่าเหมือนจะซิ่งด้วยนะ แต่ด้วยความที่รถเก่าไง มันเลยไปแบบปุเรงๆ เสียงท่อดังเหมือนจะบอกว่า ‘พวกมึง กูไม่ไหวแล้ว...ไม่ไหวแล้ว...’ ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ผมก็นั่งเกร็งไปตลอดทางเลย กลัวว่ามันจะดับกลางทาง นอกเหนือจากนั้นแล้วก็กลัวว่าจะมาตายในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วย
ก็ไอ้ปั้นรักมันเล่นขี่ปาดซ้ายปาดขวาชวนให้ถูกด่าพ่อล่อแม่ไปตลอดทางเลยน่ะสิ

กูยังอยากกลับไทยอยู่นะไอ้ปั้น!

แต่ก็กลัวว่าถ้าร้องบอกมันไป เดี๋ยวมันจะพาไปคว่ำตายโค้งหน้าเลยนิ่งๆ ไว้ นี่ถ้าไม่เกรงใจจะขอไปขี่เองด้วย หมวกกันน็อกแม่งก็ไม่มีให้ใส่ มึงนี่ไม่ได้เคารพกฎจราจรบ้านเมืองเลย!

หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่1: ไกด์ผี[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-05-2017 01:59:31
สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[2]

 
ก็ยังดีที่มันพาผมไปถึงยังที่หมายได้ เริ่มที่วัดพระธาตุหลวง จากนั้นก็ประตูชัย วันนี้ไปได้แค่สองที่เพราะกว่าจะออกมาจากเกสต์เฮ้าส์ก็บ่ายแล้ว ผมเลยไม่มีเวลาเที่ยวมากนัก ปั้นรักบอกว่าถ้าอยากมาอีกก็ให้มาวันอื่นแต่ออกให้เช้าหน่อย แต่ถึงมันจะพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่มีอารมณ์จะเดินดูอะไรสักเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวไม่น่าสนใจนะ น่าสนใจมากเลย แต่หมดอารมณ์จะดูเพราะไอ้ปั้นรักนี่แหละ

โน่น ตอนนี้มันไปทะเลาะกับแม่ค้าขายน้ำโน่น ด้วยข้อหาที่มันกล่าวอ้างว่าแม่ค้าโก่งค่าน้ำมันเพราะมันเป็นคนไทย
มันเป็นคนไทย...

เดี๋ยวนะ แม่มันเป็นคนลาวไม่ใช่เหรอ?

โอเค ถึงตอนนี้แล้วผมงงมาก ทำเป็นไม่รู้จักมันแล้วรอจนกว่ามันจะทะเลาะกับแม่ค้าเสร็จและเดินกลับมา ผมถึงสบโอกาสถามตอนมันบ่น

“คนพวกนี่ แม่งเฮ็ดให้การท่องเที่ยวเสื่อมเสีย ให้เงินกีบก็สิเอาเงินบาท อย่ามาโกงกันนะเว้ย (คนพวกนี้แม่งทำให้การท่องเที่ยวเสื่อมเสียหมด ให้เงินกีบก็จะเอาเงินไทย อย่ามาโกงกันนะเว้ย)”

“ปั้นรักเป็นลาวไม่ใช่เหรอ”
ถามไปอย่างนี้ ปั้นรักก็หยุดบ่นกระปอดกระแปด หันมามองหน้าผมทันควัน

“เคยบอกเบาะว่าเป็นคนลาว (เคยบอกเหรอว่าเป็นคนลาว)”

เอ้า ก็เห็นมึงพูดลาวจ้อขนาดนี้ จะให้กูคิดว่าเป็นคนประเทศอื่นหรือไง

“แต่คุณแอนเป็นคนลาว...” ผมบอกไปอย่างนั้น
ปั้นรักมองหน้าผมอย่างรำคาญก่อนกระดกน้ำขึ้นดื่ม แล้วถึงพูดออกมา
“แม่เป็นคนลาว แต่พ่อเป็นคนไทย เกิดอยู่ไทย ได้สัญชาติไทย เก็ตปะ”

จับใจความได้ โอเค อันนี้เก็ต

“แล้วพ่อกับแม่กะเลิกกัน พ่อย้ายไปเฮ็ดเวียกอยู่อเมริกา แต่งงานกับใหม่กับแหม่ม เฮาถืกส่งไปเฮียนอยู่บ็องฮั่นตั้งแต่ประถม พอปิดเทอมกะแวะมาหาแม่อยู่ลาวบ่อยๆ จบมหา'ลัยแล้วก็เลยกลับมาอีกที มีหยังสงสัยอีกบ่ (แล้วพ่อกับแม่ก็เลิกกัน พ่อย้ายไปทำงานอยู่อเมริกา แต่งงานใหม่กับแหม่ม ผมถูกส่งตัวไปเรียนที่นั่นตั้งแต่ประถม แวะมาเที่ยวหาแม่ที่ลาวบ่อยๆ ตอนปิดเทอม จบมหา’ลัยแล้วก็เลยกลับมาอีกที มีอะไรสงสัยอีกไหม)”

อันนี้ผมไม่ได้ถามแต่มันเล่าเอง ผมก็พยักหน้าเออๆ ออๆ ไป ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของมันเลยสักนิด ขัดใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้น...
เป็นแค่ลูกครึ่ง แต่สัญชาติไทย แถมอยู่กับคนไทยมากกว่าลาวอีก แล้วทำไมถึงไม่พูดไทยวะ ลูกค้าก็คนไทยเหอะ ให้กูแปลรัวๆ อยู่นั่น!

เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกันว่าผมถูกคุณแอนย้อมแมวเข้าให้แล้ว

ผมบอกว่าอยากได้ไกด์คนลาวไม่ใช่เหรอ แล้วเอาไอ้กุ๊ยสัญชาติเดียวกับผมมาทำไม!

คุณแอนคงคิดว่าอะลุ่มอล่วยได้เพราะปั้นรักรู้จักถนนหนทางในลาวล่ะมั้ง แต่ผมเริ่มไม่โอเคละ เพราะผมรู้สึกว่าการให้บริการลูกค้าจะต้องมีความจริงใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม กะว่าวันนี้กลับไปแล้วจะไปโวยสักหน่อย ทว่าพอจะหันไปบอกปั้นรักให้กลับกันได้แล้ว มันก็ตรงไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้อย่างรู้งาน ก่อนที่จะ...

แท่ก...แท่ก...

บรื้นๆๆ...บรื้...

รถดับไปต่อหน้าต่อตา ปั้นรักสตาร์ตอีกที...อีกที...แล้วก็อีกที...

...ไม่ติด

งานงอกแล้วกู!

งอกจริงๆ เพราะปั้นรักที่รู้ชาตะและมรณะของรถตัวเองร้องเรียกผมเป็นที่เรียบร้อยตะโกนบอกผม

“ย่างกลับเอา รถสตาร์ตบ่ติดแล้ว (เดินกลับนะ รถสตาร์ตไม่ติดแล้ว)”

ใครจะเดินกลับกับมึง กูจะขึ้นสามล้อ!

แทบอยากจะทิ้งมันในตอนนี้เลย แต่ก็สงสาร ปนสมเพชและเวทนาไม่ได้ตอนเห็นมันเข็นรถเก่าๆ แถมสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมอะไรก้าๆ ของมัน

ทุเรศทุรังฉิบ...

เอาจริงๆ นะ ถ้าไม่ติดว่ามันโกนหนวด ตัดผมแล้วหน้าตาดี ผมจะไม่มีความเมตตากับมันเลยแม้แต่น้อย แต่พอเห็นเด็กนอกต้องมาตกระกำลำบากแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปหา แล้วแย่งรถมาเข็นเอง
“ผมเข็นให้”
“โอ๊ย บ่ต้อง” มันปัดมือผมออก
ผมแย่งมาอีก “เข็นให้ คุณสะพายกระเป๋าคุณแล้วเดินตามก็พอ”

พอผมบอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ยอมหยุดต้านได้ พร้อมกับจุปากไล่หลังผมขณะที่ผมกำลังเข็นรถ
“สุภาพบุรุษแท้ เจนเทิลแมนล้ายหลาย”

มึงก็ยังจะมีหน้ามาเล่นอีก ไม่ตลกเลยนะเว้ย แล้วกูก็ไม่ได้มาทำให้มึงเพราะอยากจะเป็นสุภาพบุรุษอะไรด้วย แต่เห็นแล้วรำคาญสายตา

ทำไมผมซึ่งเป็นลูกค้าจะต้องมาเดือดร้อนทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ...



 
กว่าจะกลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ก็เล่นเอาผมเหงื่อท่วมตัว ดีนะที่ขากลับ ปั้นรักไปเจอคนใจดี ยอมถีบรถโดยการถีบที่พักเท้าคนซ้อนแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ดันกลับมาให้ถึงที่ ส่วนผมก็ซ้อนท้ายคนใจดีคนนั้นแทน กลับมาถึงที่หมาย ผมก็เลยให้เงินเขาไปนิดหน่อย ปั้นรักบ่นว่าผมจะไปให้ทำไม พูดขอบคุณก็พอ บลาๆๆ

เออ ผมปวดหัวมาก ได้ยินเสียงมันแล้วปวดหัว แค่ได้ยินชื่อมันก็ยังปวดหัวเลย ความหล่อ ความหน้าตาดีของมันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกได้รับการเยียวยาเลยแม้แต่น้อย อยากจะกลับขึ้นห้องไปนอนท่าเดียว

ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของผมทำเอาคุณแอนที่ตั้งท่าจะถามว่าวันนี้ไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้างถึงกับชะงัก ไม่กล้าถาม ยอมปล่อยให้ผมเดินสวนขึ้นไปพักบนห้องโดยไม่รั้งไว้แต่อย่างใด

ผมก็หวังว่าจะได้พักโดยสงบแหละ แต่พอนั่งพักจนหายเหนื่อย เตรียมตัวจะไปอาบน้ำแล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับปั้นรักที่ยืนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าประตู ดูท่าทางแล้วมันก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน สภาพดูเหมือนกับว่าถ้าหัวถึงหมอนปุ๊บ มันคงชัตดาวน์ตัวเองปั๊บ ผมถึงกับทำสีหน้าแบบเดียวกับมันส่งกลับคืนทันที

“มีอะไรเหรอครับ”
“แม่ให้มาถามว่าตอนแลงสิกินหยัง (แม่ให้มาถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร)”

มื้อเย็น... แต่มื้อเย็นที่นี่ไม่ฟรีนี่

พอเห็นผมทำหน้างงๆ ปั้นรักก็พ่นลมหายใจแล้วอธิบายออกมา
“แม่อยากจะชดใช้ให้คุณที่ผมพาคุณไปรถเสียระหว่างทาง”

อ๋อ เรื่องนี้...

“ฝากบอกคุณแอนทีว่าผมไม่กิน ผมจะนอน”
ผมตัดบท ไม่อยากกิน อยากจะนอนจริงๆ จำเป็นต้องเสียมารยาทแล้วล่ะด้วยร่างกายไม่ไหวจะเยียวยา

แล้วแทนที่ปั้นรักจะหยุดแค่นั้น ดันชักสีหน้าใส่แล้วว่าเร็วๆ
“ถามกะพ้าวตอบมาเถาะ เจ้านี่เรื่องหลายอีหลี ถ้าบ่กิน เดี๋ยวแม่กะหาว่าเฮาล้อตั๋วอีก สั่งๆ มาเถาะ แล้วสิไม่กินหรือบ่กินกะค่อยว่ากันอีกเทือ แม่เพิ่นอยากชดใช้ให้ สิเอามาวางทิ้งตากแอร์ให้แมลงสาบเกาะกะตามใจ สั่งมาเถาะ (ถามก็ตอบๆ มาเถอะนะ คุณนี่เรื่องมากชะมัดเลย ถ้าไม่กิน เดี๋ยวแม่ก็หาว่าผมโกหกอีก สั่งๆ มาเถอะ แล้วจะไม่กินก็ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ แม่เขาอยากจะชดใช้ให้ เอามาวางทิ้งตากแอร์ให้แมลงสาบเกาะก็ตามใจ สั่งมาเถอะ)”

ว่าเร็วมาก เร็วชนิดฟังไม่ทัน อารมณ์รำคาญมาเต็มที่สุดๆ ผมที่อยู่ในสภาพร่างกายเหน็ดเหนื่อยก็นึกรำคาญขึ้นมาเหมือนกัน
มันใช่เรื่องที่กูต้องมาแปลทุกคำที่มึงพูดไหมเนี่ย!
“ลูกค้าเป็นคนไทยเนี่ย พูดไทยสิ”

บ่นซะเลย รำคาญ นึกว่ากูฟังรู้เรื่องหรือไงวะ ถึงภาษาจะเป็นตระกูลเดียวกัน คล้ายกัน แต่มาพ่นรัวๆ ไม่หยุด แถมเร็วไป Fast & Furious ก็ฟังไม่ทันเหมือนกันว่ามึงพูดอะไร

ทว่าการที่ผมพูดไปอย่างนั้น แทนที่ปั้นรักจะตอบอะไรกลับมา กลับมีเพียงสายตาหงุดหงิดเท่านั้นที่ส่งให้ผม ผมเลยกลอกตา พูดกับมันไปอีกครั้ง

“เว้าไทยได้บ่ ภาษาไทยเนี่ย เฮาฟังลาวบ่ค่อยฮู้เรื่อง ฟังไม่ทัน” พูดไทยๆ ลาวๆ ปนกันไป ประชดมันแม่ง
ปั้นรักชำเลืองมองผม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“โง่แท้ โง่ล้ายหลาย”

มึงนี่มันกวนตีน อันนี้กูฟังออกทุกคำเลยนะเว้ย!

ผมสงบจิตสงบใจไม่ให้พุ่งไปต่อยมันอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะถามมันออกไปอีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากพูดไทย งั้นก็พูดภาษาอังกฤษแล้วกัน โอเคไหม”
“...”

ยัง มันยังเงียบอยู่ เหลือบมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ อีกต่างหาก ก็คงจะรู้แหละว่าภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่ค่อยได้ใช้นี่หว่า เรียนจบมาแล้วก็ไม่ได้แตะเลยเถอะ พอพูดได้ก็บุญแล้ว

แต่ถึงจะไม่สันทัด ผมก็ยังพูด ดีกว่าให้มันมาพูดลาวใส่แหละวะ ไม่ใช่เพราะว่าฟังภาษาลาวตอนมันพูดเร็วๆ ไม่ทันนะ แต่หมั่นไส้มันมากกว่า อารมณ์แบบว่าอยากเอาชนะน่ะ ก็ผมเป็นคนจ้างมัน แล้วดูมันทำตัวสิ อย่างกับผมง้อมันให้มันมาเป็นไกด์ให้นักแหละ
“แคนยูสปีคอิงลิช? อีฟยูแคนสปีคอิงลิช พลีสเล็ทสปีค (พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ถ้าพูดได้ก็พูด)”

เท่านั้น ผมก็พ่นภาษาอังกฤษสำเนียงไท้ไทยออกมาเลย ตะกุกตะกักนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะดูจากท่าทางแล้ว ไอ้ปั้นรักมันก็ไม่น่าจะพูดได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ไอ้ที่พูดกับฝรั่งไปตอนนั้นที่ผมเห็นก็คงจะมั่วไปงั้น

ก็ดูสภาพมัน หน้าตาดีก็จริง แต่ดูเหมือนไม่มีการศึกษา แว้นขนาดนี้ คงได้งูๆ ปลาๆ แหละ

ทว่าผมคิดผิดอย่างแรงเมื่อมันยกยิ้มใส่ผม ก่อนจะพ่นภาษาอังกฤษออกมาเป็นประโยคยาวเหยียด

“What would you like to eat for dinner? Just tell me, I’ll tell a receptionist to prepare for you.(มื้อเย็นจะกินอะไร บอกมา จะได้บอกให้พนักงานให้เตรียมให้)”

ไม่ใช่ภาษาอังกฤษธรรมดา แต่เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัดเป๊ะประหนึ่งเจ้าของภาษามาพูดเอง

ผมอ้าปากค้างไปเลย แล้วถามว่าฟังออกไหม... ไม่

มึงพูดเร็วขนาดนี้ ใครจะไปฟังมึงออกวะ แล้วทำไมมึงไม่เคยบอกว่าพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่งขนาดนี้!
เห็นหน้าอึ้งๆ ของผมแล้ว ปั้นรักก็แสยะยิ้มเย้ยขึ้นมา ก่อนพึมพำ

“You idiot (ไอ้โง่)”

ส่วนอันนี้กูฟังออกเว้ย!

กระทืบแม่งสักทีดีมั้งไอ้เวรนี่...

หงุดหงิดขั้นสุด มาหงุดหงิดตัวเองด้วยที่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามันก็บอกไปแล้วว่าไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ประถม พูดได้คล่องปรื๋ออย่างนี้ก็ไม่แปลก

โง่อย่างที่ถูกมันตราหน้าไว้จริงๆ ด้วย...

ต้องเงียบเพื่อยอมมันแล้ว แต่พอเห็นผมเงียบหน่อย มันก็ได้ใจ แสยะยิ้มขึ้นมา
“ตกลงคุณจะกินอะไร ผมจะได้ไปบอกพนักงานให้”

เนี่ย พูดไทยก็ได้ ชัดแจ๋วเลยเถอะ แกล้งทำเป็นไม่พูดไปงั้นเองอะ

“อะไรก็ได้ครับ เลือกให้ผมที คุณกินอะไร ผมก็กินอันนั้นแหละ” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องยอมมันไปอีกครั้ง

ปั้นรักพยักหน้า ทำหน้าระอาใส่ผมก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมมองตามหลังมันอย่างเหนื่อยอ่อน

ถ้าเจอมันทุกวันแล้วต้องมาปวดหัวแบบนี้ ผมว่าผมย้ายที่พักจะดีไหมนะ...

หล่อ แถมน่ารักทั้งชื่อทั้งหน้าตา แต่นิสัยนี่น่ากระทืบ อยู่ด้วยกันนานๆ มีหวังประสาทกินแน่ๆ
-------------------------------------
สิ่งที่ทำให้อัปนิยายช้าก็คือ การแปลภาษาจากไทยเป็นลาวค่ะ 555
บอกไว้ก่อนว่าหนูแดงให้รุ่นพี่ที่พอจะรู้ภาษาลาวช่วยแปลให้นะคะ ดังนั้นอันที่เอาลงให้อ่านอาจจะมีทั้งไทยทั้งลาวปนๆ กัน เดี๋ยวไว้ตอนส่งต้นฉบับไปจัดรูปเล่มจะให้เจ้าของภาษามาตรวจเช็กให้อีกทีค่ะ อันนี้ก็อ่านๆ ไปก่อน
ฝากกำลังใจเอาไว้ด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัปตัวอย่างให้นะ ^^
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่2: น่ารัก...น่ากระทืบ[27/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 27-05-2017 19:59:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่2: น่ารัก...น่ากระทืบ[27/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-05-2017 23:03:44
แหม่ คุยกันภาษากายล่ะรู้เรื่อง
ชอบอะ ตีกันสนุกดีแต่อย่าเพิ่งกระทืบเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่2: น่ารัก...น่ากระทืบ[27/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PoppyPrince ที่ 28-05-2017 00:05:04
ปั้นกวนสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่2: น่ารัก...น่ากระทืบ[27/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-05-2017 20:14:49
โอยยยย ปวดหัวแทนจอมดื้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่2: น่ารัก...น่ากระทืบ[27/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 29-05-2017 23:57:02
สะบายดี ครั้งที่ 3: เมาหลับ

ผมกะว่าวันนี้จะพักสักวันเพราะเมื่อวานรู้สึกว่าใช้พลังงานไปเยอะพอสมควรเลยทีเดียว แต่พอลงมากินมื้อเช้าที่ทางเกสต์เฮ้าส์จัดไว้ให้ ผมก็ต้องพบเจอกับสิ่งที่ไม่อยากจะเจออีก

มันคือปั้นรัก...

เออ วันนี้มันไม่ได้ดูรกหูรกตาหรอก ไปตัดผม โกนหนวดเคราแล้วเหมือนเงาะถอดรูป หล่อเหลาน่ารัก แต่จะดีมากถ้าผมไม่ขัดใจกับแฟชันชุดนอนของมัน

เสื้อกล้ามกับผ้าขาวม้า...

เหมือนเดิมแบบเมื่อวานเป๊ะๆ อะไรไม่ว่า แม่งนั่งกินข้าวไป ยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ โชว์ไข่อยู่ตรงหน้าให้ผมกระเดือกของกินไม่ลงอีกละ เหมือนมันตั้งใจโชว์อะ พอเห็นผมนั่งตรงไหน มันก็ต้องมานั่งลงที่โต๊ะตัวหน้าแล้วก็โชว์อะไรต่อมิอะไรให้ผมเห็น ถ้าไม่ติดว่ามันกวนโอ๊ย แถมมีความประทับใจแรกพบไม่ค่อยดี ผมคงแอบคิดว่ามันอ่อยผมเป็นนัยๆ ไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่...มันจงใจกวนชัดๆ

คราวนี้มันเหมือนรู้ด้วยนะว่าผมมองมันอยู่ มันผละสายตาจากแท็บเล็ตในมือมามองหน้าผม ก่อนจะพึมพำให้พอจับใจความได้ว่า ‘แนมอีหยัง แนมไข่เฮาแม่นบ่?’ แล้วแทนที่มันรู้ตัวแล้วก็น่าจะรีบเอาขาลงไปไว้บนพื้นดีๆ ดันแหกแข้งแหกขาให้ผมเห็นชัดมากกว่าเดิม ถึงจะมีบ็อกซ์เซอร์ แต่บอกเลย... แม่งไม่ได้เจริญหูเจริญตาสักนิด!

ยอมรับว่าผมค่อนข้างจะอคติกับมัน ต่อให้มันหล่อน่าปล้ำขึ้นมาจากเดิมเป็นล้านเท่า แต่ผมก็ไม่พิศวาสมันเลยแม้แต่น้อย อดสงสัยคุณแอนไม่ได้ด้วยว่าทำไมถึงได้ให้มันมาเป็นไกด์ให้ผม จะอ้างว่าเพราะอยากเห็นลูกชายทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่น่าจะใช้เหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอละ ปั้นรักดูไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยสักนิด

หรือว่าจะเป็นเพราะเห็นผมเป็นคนคุยง่าย?

แต่จะอะไรก็เอาเถอะ ผมไม่ถือสาอยู่แล้ว นิสัยผมก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ค่อยอยากมีปัญหาอะไรกับใครถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องจวนตัวจริงๆ ไม่แปลกเลยถ้าพี่ชายและน้องชายผมจะพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าผมเป็นพวกไม่หือไม่อือกับใคร

ความจริงไม่ใช่หรอก ผมก็หือก็อือนะ โดยเฉพาะเรื่องที่ผมไปจีบ ‘คนคนนั้น’ แล้วอกหักมา ไปตื๊อไปตามอยู่ตั้งหลายรอบ พอเขาแสดงออกว่าไม่เล่นด้วยชัดเจน ผมถึงได้มาเลียแผลใจอย่างที่เห็นนี่ไง

กลับมาเข้าเรื่องปั้นรักอีกที พอผมเห็นมันทำอย่างนั้น ผมก็รู้เลยว่ามันจงใจกวนประสาท อันที่จริงผมควรลุกขึ้นไปต่อยหรือไปฟ้องคุณแอน แต่สิ่งที่ผมเลือกจะทำก็คือลุกออกจากโต๊ะนั่นแล้วขึ้นไปเอากระเป๋าเป้ที่ห้องพัก ก่อนจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทน
ว่ากันว่ามาเที่ยวเวียงจันทน์ต้องไปหาของกินท้องถิ่นที่ตลาดเช้า ผมเลยเดินมาตรงแถวๆ ขนส่งเพื่อหาอะไรยาไส้ ร้านขายขนมปังที่มีคนรุมล้อมอยู่สองสามร้านเตะตาผมเป็นอันดับแรก มันเป็นร้านขายขนมปังบาแกตต์หรือขนมปังฝรั่งเศสที่เอามาผ่ากลางตามแนวยาว แล้วก็ใส่พวกผักชี แตงกวา แฮม หมูยอ หรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่แต่ละร้านจะรังสรรค์ ขนมปังแบบนี้คนลาวเรียกกันว่าข้าวจี่ ผมเลยตัดสินใจเข้าไปซื้อ สนนราคาอันละยี่สิบบาทซึ่งถือว่าไม่แพง จากนั้นผมก็เดินไปหาร้านกาแฟนั่ง

แน่นอนว่าคนลุยๆ อย่างผมไม่ไปนั่งร้านกาแฟติดแอร์อะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะร้านกาแฟที่ผมต้องการไปเยือนคือร้านกาแฟอารมณ์เหมือนร้านอาแปะขายปาท่องโก๋แถวบ้าน นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แบบกลมได้ก็สั่งกาแฟลาวมาลองชิมแก้วนึง ผมไม่ใช่คอกาแฟเลยไม่รู้หรอกว่ามันอร่อยหรือเปล่า แต่การได้มานั่งชมบรรยากาศและวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่มันทำให้ผมผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวได้เป็นอย่างมาก นับว่ามื้อเช้าวันนี้เป็นมื้อที่ทำให้ผมสดชื่นมากเลยทีเดียวจนเผลอคิดไปว่าความจริงแล้วผมไม่จำเป็นต้องมีไกด์ทัวร์ก็ได้นะ ไปเที่ยวเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา แค่อาจจะลำบากนิดหน่อยตรงที่ต้องระวังเรื่องถูกโกงหรือโก่งราคา
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธคุณแอนยังไงดี ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้าปฏิเสธคน แต่พอถูกคนอาวุโสกว่าขอร้อง ผมก็ดันใจอ่อนน่ะ

ถ้าพื้นฐานไม่ได้เป็นคนใจดีและใจเย็น ป่านนี้ผมย้ายเกสต์เฮ้าส์ แถมด้วยต่อยหน้าปั้นรักให้หายหมั่นไส้ไปแล้ว

พยายามไม่คิดถึงเรื่องไอ้ไกด์ผีนั่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศสบายๆ นี้ไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะต้องเบนความสนใจมายังโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเมื่อจู่ๆ พวกกลุ่มเพื่อนของน้องชายก็ส่งข้อความมา

ใช่ กลุ่มเพื่อนของน้องชายซึ่งผมหมายถึงจอมแก่นนั่นแหละ ประกอบไปด้วยจอมเจ้าชู้อย่างไอ้โรม เด็กเกเรอย่างไอ้ธาร แล้วก็สาวน้อยวัยแรกแย้มแต่ตัวเท่าหมีควายอย่างไอ้ไม้ที่มักชอบเรียกตัวเองว่าน้องมายด์ ผมสนิทกับเด็กๆ กลุ่มนี้เพราะว่าจอมแก่นกับโรมและธารโตมาด้วยกันเนื่องจากแม่ผมกับแม่ของโรมเคยทำงานที่บ้านของธาร ผมเลยเห็นพวกมันมาตั้งแต่เด็กๆ ซ้ำสมัยนั้นยังเป็นหัวหน้าแก๊งของพวกมันด้วย ส่วนไอ้ไม้นี่เพิ่งจะมารู้จักตอนที่จอมแก่นเข้าเรียนในโรงเรียนช่างที่จังหวัดบ้านเกิดผม ปกติแล้วเวลามีอะไร พวกมันก็ชอบคุยกันในนี้ ผมเองก็ร่วมจอยด้วยอย่างสนุกสนาน เว้นเสียแต่ครั้งนี้ที่ผมไม่สนุกด้วยเลยเมื่อจู่ๆ ไอ้ไม้ก็ส่งรูปคู่ของใครบางคนเข้ามา

มันเป็นรูปของธารใจ เพื่อนน้องชายผมเอง กับรูปของคนที่ผม...รัก

แสงเหนือ...

เป็นรูปที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันทำท่าเหมือนจะจูบ พร้อมกับคำค่อนแคะของไอ้ไม้ที่หมั่นไส้เพื่อนจนต้องเอามานินทาเพื่อหาแนวร่วมหมั่นไส้ แต่ไม่มีใครเข้าข้างมันนอกจากหาว่ามันยุ่งไม่เข้าเรื่อง ผมควรจะตลกกับคำพูดของพวกน้องๆ แต่ผมกลับยิ้มไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว ในใจปวดแปลบขึ้นมาเมื่อจับจ้องไปยังรูปนั้น

ผมก็รู้แหละว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน และผมก็ยินดีที่ได้เห็นคนที่ผมรักทั้งสองคนมีความสุขกันดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงทนดูรูปนั้นไม่ได้ พอเห็นแล้วผมก็ตัดสินใจจะออกจากห้องแชทนั้น ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำตามที่ตั้งใจ หูก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นมาจากหน้าร้าน

“เอ้า มาอยู่ที่นี่เอง ก็นึกว่าหายไปไหน หาตั้งนาน”
หันไปก็เห็นว่าเป็นปั้นรัก คราวนี้พูดภาษาไทยละ

จากที่เจ็บปวดรวดร้าวเมื่อกี้นี้ ตอนนี้ปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ ไอ้ปั้นรักมันเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษมาก แค่ได้ยินชื่อมัน ผมก็ปวดหัวได้แล้ว

“แล้วนี่นั่งทำอะไรน่ะ”
“กินข้าวเช้า” ผมว่าเสียงเรียบ
“ทำไมไม่กินที่เกสต์เฮ้าส์” มันถามอีก

ผมก็อยากจะบอกมันอยู่หรอกว่า ‘กูจะไปกินลงได้ยังไง มึงนั่งโชว์ไข่ให้เห็นจะๆ อย่างนั้นน่ะ’ แต่ไม่ทันจะได้พูดเลย ปั้นรักที่ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผมโดยไม่ขออนุญาตก่อนก็ชะโงกหน้ามามองหน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือผม

“แล้วนี่ทำอะไร ดู porn?”

ผมย่นคิ้ว บอกตามตรง...แปลไม่ได้

“คือ?”
“ง่อว์ เกย์ porn บ่?” มันถามมาอีก

ผมยังคงอยู่ แต่เข้าใจว่ามันกำลังเข้าใจผิด

“ไม่ใช่ นี่มัน...” กำลังจะอธิบายว่ารูปที่มันเห็นเป็นรูปของเพื่อนน้องชายกับแฟน แต่ปั้นรักก็ทำสูดปาก เอามือลูบก้นตัวเองป้อยๆ
“เสียวดากเด้”

มึงคิดอะไรของมึงอยู่เนี่ย!

“หยุดคิดไร้สาระเลย” ผมว่าขัดออกมา
ปั้นรักเลยหยุดการกระทำนั้นได้
“แล้วนั่นรูปใครอะ ไม่ใช่ Adult movie actor?”

มันถามมา พูดไทย พูดลาว พูดอังกฤษปนกันมั่วไปหมดจนผมปวดหัวไปหมด แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่ามันคิดอะไรจากคำว่า Adult movie

“ใช่ที่ไหนล่ะคุณ นั่นมันรูปน้องผมกับแฟนมัน”
“อ๋อ กลุ่มเพื่อนเกย์”

มันน่าจะขนมปังบาร์แก็ตต์ฟาดหน้านัก!

“ตกลงยูเป็นเกย์จริงๆ ใช่ปะ” แถมตอนนี้ก็ไม่เรียกแทนผมว่า ‘คุณ’ อย่างเมื่อวานแล้วด้วย

ผมไม่อยากจะถามหาเหตุผลมันหรอกว่ามาทำตัวสนิทสนมกับผมทำไม แค่อยากให้มันหุบปากมากกว่า

เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำกูปวดกบาลนะเว้ย!

“ผมเป็นเกย์แล้วมันมีปัญหาอะไร” ผมกระชากเสียงหน่อยๆ บอกให้มันรู้เลยว่าผมรำคาญและไม่พอใจด้วยที่มันมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวอย่างนี้

แต่ปั้นรักยังไม่หยุด ร้องออกมา “นั่นไง ผิดไปจากที่คิดซะที่ไหน”

ผมกลอกตาทันควัน

“แล้วนั่นคงไม่ใช่รูปน้องล่ะมั้ง รูปแฟนเก่ากับชู้รักอะดิถึงได้ทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ดตอนดูรูปนั่น”

แม่งพูดแทงใจดำจึ้กเลย ถึงจะไม่ใช่อย่างที่มันพูด แต่ก็ทำให้ผมหัวเสียได้

มึงสะกดคำว่ามารยาทเป็นบ้างไหมเนี่ย!

“ผมกลับละ”

อันที่จริงน่าจะด่ามันสักที แต่ไม่เอาดีกว่า แค่นี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ผมอยากกลับไปนอนคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวมากกว่า หากแต่พอผมลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่ากาแฟและเดินออกมานอกร้าน ปั้นรักก็รีบเดินตามมาอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวกลับพร้อมไอ” เรียกแทนตัวเองว่า ‘ไอ’ ด้วย ตีสนิทสุดๆ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเดินกลับเอง” ผมว่า
“เอาน่า ไปด้วยกัน ปล่อยคนอกหักไปไหนมาไหนคนเดียวได้ไง เดี๋ยวไปโดดแม่น้ำโขงตายก็ลำบากชาวบ้านกันพอดี”

มึงเห็นกูเป็นคนยังไงกันเนี่ย...

แต่ผมก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร เอาวะ กลับด้วยก็กลับ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดแล้ว

ทว่าการที่ผมตัดสินใจกลับมาที่เกสต์เฮ้าส์พร้อมกับมันเหมือนเป็นการตัดสินใจที่โคตรจะผิดเลย เพราะตอนขามา มันดันไหว้วานเด็กที่เกสต์เฮ้าส์ให้ถีบมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บของมันมาที่ร้านซ่อมในตลาด พอซ่อมเสร็จ ขากลับก็เลยขี่ไอ้แก่คันนั้นกลับ เครื่องไม่มีปัญหา มามีปัญหาตรงที่...ยางแตก!

มึงขายๆ ทิ้งร้านรับซื้อของเก่าไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลยไป!

เหนื่อยใจก็เหนื่อย ยังจะต้องมาหัวเสียเรื่องไอ้บ้าปั้นรักอีก ดีนะที่กลับมาถึงที่หมายได้โดยสวัสดิภาพ พอถึงห้องได้ ผมก็ตัดการติดต่อทุกอย่าง ขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อตั้งสติให้ไม่คิดถึงผู้ชายคนที่ทำให้ผมเจ็บหัวใจอย่างนี้ ทว่าต่อให้พยายามแค่ไหน ผมก็อดนึกถึงภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ทำไมนะ... ทำไมคนที่เขาเลือกถึงไม่ใช่ผม?

นอนนิ่งๆ มองเพดานห้อง น้ำตาก็ไหลออกจากหางตาโดยไม่รู้ตัว ผมเกือบจะปล่อยให้ความรู้สึกตัวเองจมดิ่งอยู่แล้วถ้าหากว่าหูไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

ไม่ต้องบอกผมก็เดาได้ว่าเป็นฝีมือของปั้นรัก

“เฮ้ยู! นอนอยู่บ่?”
นั่นไง เสียงมันจริงๆ ด้วย

ผมลุกขึ้นนั่ง ปาดหยาดน้ำตาที่เปรอะหน้าออกอย่างลวกๆ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
“มีอะไรเหรอครับ” เปิดออกมาเจอหน้าไอ้กวนประสาทนั่นได้ ผมก็ร้องถาม
“จะมาถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร ไอจะได้ไปบอกให้พนักงานเตรียมให้”

ผมรู้สึกตัวในตอนนี้ว่าขังตัวเองอยู่ในห้องนานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับการย่นคิ้วถามปั้นรัก
“เมื่อวานนี้ก็ชดเชยให้ไปแล้วนี่”

ผมหมายถึงที่คุณแอนเลี้ยงข้าวเย็นผมเพราะปั้นรักไปทำผมลำบาก แต่วันนี้ก็จะมาเลี้ยงข้าวผมอีก

เพื่ออะไร?

“วันนี้ไม่ได้ชดเชย”
“หืม?”
“แต่ไอจะเลี้ยงยู ปลอบใจที่ยูอกหัก”

อ๋อ...

ผมควรจะดีใจไหมที่มันพูดอย่างนี้ ดูเหมือนมันจะพยายามเอาใจผม เห็นอกเห็นใจ หรือจะสมเพชอะไรก็แล้วแต่ แน่นอนว่าผมไม่อยากไปกับมัน
“ไม่เป็นไร ผมไม่หิว”
“เอาน่า ไปเถอะ เดี๋ยวไอเลี้ยง”

ไม่พูดอย่างเดียว พยายามจะลากผมออกจากห้องด้วยการถลาเข้ามากอดคอด้วย

ไอ้นี่... ลามปามละ

ผมควรจะรู้สึกดีอยู่หรอกที่ผู้ชายหน้าตาตรงสเปกอย่างมันโผล่มาถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้ แต่เพราะมันเป็นปั้นรักไง ผมเลยไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่

“ไม่ไป...”
“ไปนั่งบาร์ก็ได้ อกหักก็ต้องไปดื่ม เดี๋ยวไอไปดื่มเป็นเพื่อน”
กำลังจะปฏิเสธ มันก็พูดออกมาอีก หันไปมองก็เห็นมันส่งยิ้มมาให้ ผมเลยถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้
“ก็ได้ๆ แต่อย่าดึกนะครับ ผมไม่อยากนอนดึก”
ปั้นรักทำหน้าทำตาทะเล้นใส่
“ฮ่วย อนามัยแท้”

อันที่จริงที่จะกลับมาไวๆ ก็เพราะกูไม่อยากจะใช้เวลาอยู่กับมึงต่างหาก!

แต่ปั้นรักไม่ฟังอะไรแล้วล่ะ แค่ผมตอบตกลง มันก็ลากผมออกจากห้องทันที
“ไปๆ เล็ตสะโกโลด”

ชูไม้ชูมือเป็นสัญญาณว่าให้รีบไป ผมเหลือบมองมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

เอาเถอะ ไปกับไอ้บ้านี่ก็ยังดีกว่าขังตัวเองอยู่ในห้อง ครุ่นคิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดไม่หยุดก็แล้วกัน



 
บาร์แถวๆ เกสต์เฮ้าส์เป็นจุดหมายของพวกเรา... ไม่สิ ไม่ใช่พวกเรา เป็นของปั้นรักมากกว่า ผมไม่สนใจหรอกว่ามันจะพาผมไปดื่มที่ไหน ให้สิทธิ์มันเลือกเต็มที่ มันเลยเลือกร้านที่มีฝรั่งเยอะยั้วเยี้ยไปหมดโดยมันให้เหตุผลว่า...

“ไอคุ้นชินกับพวกฝรั่งมากกว่า อยู่ด้วยแล้วไม่เกร็งดี”
ผมก็เข้าใจมันน่ะนะ ก็มันโตมากับสังคมที่มีฝรั่งรายล้อมนี่

ถ้าเป็นเวลาปกติ บอกเลยว่าผมก็คงจะเกร็งๆ แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรแล้วนอกจากกระดกเบียร์ลาวเข้าปากรัวๆ จากขวดเดียวก็เพิ่มเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามก็เริ่มขวดที่สี่ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงดี ทำเอาปั้นรักที่มัวแต่ไปทักทายกับฝรั่งนักท่องเที่ยวโต๊ะอื่นและเพิ่งกลับมาที่โต๊ะถึงกับร้องออกมา

“โอ้ย ดื่มเยอะขนาดนี้ เอายาดองปะ ดื่มปานอาบแท้”
ผมเหลือบมองมันเล็กน้อย “ช่างผมเถอะ”
ปั้นรักทรุดตัวลงนั่ง วางขวดเบียร์ที่ดื่มไปเพียงครึ่งขวดตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ววางบนโต๊ะแล้วว่าเสียงระรื่น
“อะไรมันจะอกหักปานนั้น”

ผมมองนิ่งๆ มันก็พูดออกมาอีก

“หน้าอย่างเถื่อนแต่อ่อนไหวเหลือเกิน”
“คนเรามันก็มีจุดที่อ่อนแอเหมือนกัน จะหน้าเถื่อน หน้าดี มันก็ต้องมีมุมนี้ทั้งนั้น” ผมหงุดหงิด ไม่รู้ทำไมปั้นรักถึงจะต้องมาแซะ มาแกะเกาอะไรผมด้วย
“บ๊ะ มีอารมณ์เสีย”
“มันก็สมควรไหมล่ะ ผีเจาะปากคุณมาพูดขนาดนี้” ผมว่าตอกหน้าไปตรงๆ

คราวนี้ปั้นรักเหมือนจะฟัง แต่ก็ไม่วายปากมาก
“ใครว่าผีเจาะปาก อย่างไอนี่เรียกว่าคุยเก่ง”

คุยเก่งบ้านมันเถอะ...

ถอนหายใจออกมาอีกแล้ว ปั้นรักถอนหายใจเลียนแบบผมบ้าง พอผมชำเลืองมอง มันก็ออกปาก
“อะ อยากระบายอะไรก็เล่ามา ไอจะยอมเป็นกระโถนให้ยูเอง”

กูไม่ได้ขอเลยสักนิด

ผมไม่อยากจะเล่าหรอก แต่พอเห็นมันเลิกคิ้วสูง ผายมือเป็นเชิงให้พูด ผมก็หลุดปากออกมาจนได้
“ก็ไม่มีอะไร แค่ไปจีบผู้ชายคนนึงเพราะเห็นว่าน่ารักดี แล้วทีนี้เขาไม่ได้เลือกผม ไปคบกับเพื่อนน้องชายที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กก็เท่านั้นน่ะ”
“เสร็จแล้วยูก็ทำใจไม่ได้ หนีมาเที่ยวลาวคนเดียวอะไรงี้?” มันพูดอย่างรู้ทัน

ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่มันเดาถูกเลยพนักหน้า พอพยักหน้าแค่นั้นแหละ มันก็หัวเราะใหญ่
“หัวเราะอะไร”
“ติสต์แตกแท้น้อ” มันว่า
“คุณไม่ได้อกหัก อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
ผมเลิกสนใจมันละ กำลังจะสั่งเบียร์ขวดใหม่มาเพิ่ม มันก็ดักคอทันควัน
“เดี๋ยวก็เมาหรอก”
“ช่างผมเถอะน่า”
“ช่างได้ไง คนแบกยูกลับก็ไอปะ” มันท้วง

ถ้ากลัวจะต้องแบกกูกลับแล้วจะชวนกูมาทำมะเขืออะไร

“ผมไม่เมาง่ายๆ หรอก รู้ลิมิตตัวเองดี” ผมตอบสั้นๆ ก่อนหันไปสั่งเบียร์กับพนักงานโดยไม่สนใจว่ามันจะมองผมยังไง
ปั้นรักไม่ห้ามผมแล้ว เอาแต่บ่นพึมพำ

“คนอกหักมันสติไม่ดีขนาดนี้เลยเรอะ”

ใครกันแน่ที่สติไม่ดี... ผมอยากจะพูดไปอย่างนั้น

“ก็ได้วะ มา! ไอดื่มเป็นเพื่อน ไม่เมาไม่เลิก ยูไม่ลืมผู้ชายคนนั้นก็ไม่เลิกเหมือนกัน ดื่มเพื่อลืมเธอ!”
จู่ๆ มันก็เสียงดังขึ้นมา หันไปสั่งเบียร์มาอีกต่างหาก ไม่ใช่แค่เบียร์อย่างเดียวด้วย มีพวกเครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ มาอีก ผมไม่ได้ใส่ใจนักว่ามันสั่งอะไร รู้อย่างเดียวว่าผมดื่มทุกอย่างที่ขวางหน้า

ผ่านไปได้สักชั่วโมง จากที่รู้สึกแย่ๆ ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น รู้สึกดีมากกว่าเดิมด้วยเมื่อเห็นว่าปั้นรักเริ่มพูดอะไรไร้สาระออกมาโดยเนื้อหาทั้งหมดก็เป็นการปลอบใจผมนั่นแหละ

“ยูไม่ต้องห่วงนะ ผู้ชายมากมายหลายแสน เดี๋ยวนี้ชอบกันเองเกลื่อนไปหมด หล่อๆ อย่างยูปานเล็บขบอนันดา ไปยืนในที่เปลี่ยวๆ ก็โดนดักฉุดแล้ว ไม่ต้องห่วงๆ”

สาบานว่ามันเป็นคำปลอบใจ เออ มันก็ไม่ใช่การปลอบใจที่ดีนักหรอก แต่ก็ตลกดี ทำเอาผมหัวเราะออกมาได้บ้าง เสียอย่างเดียว
ตรงที่ตอนที่มันเริ่มพูดพร่ำเพ้ออะไรแบบนี้ มันบ่งบอกให้ผมรู้เลยว่า...มันเมา

พูดพล่ามไปเรื่อยไม่พอ ลุกขึ้นไปเต้น น้วยนัวเนียไปกับฝรั่งโต๊ะอื่น แม่งมีเต้นทำท่าบีบอยแบบจะเอาหัวหมุนพื้นแต่ยกตัวไม่ขึ้นด้วย ต้องลำบากให้ฝรั่งพากันพยุงมันขึ้นมาส่งกลับโต๊ะ

เห็นท่าทางอย่างนั้น ผมว่าชักไม่เวิร์กละ ต่อให้ผมอยากดื่มอีก แต่ถ้าปล่อยให้ปั้นรักมันเมาตุปัดตุเป๋อย่างนั้น ผมว่าเดี๋ยวต้องมีเรื่องชวนให้ปวดหัวตามมาแน่

“กลับเถอะ” พอฝรั่งพามันมาส่งที่โต๊ะ ผมก็ร้องบอกมัน เอาจริงๆ ผมเองก็เริ่มกรึ่มๆ จะเมาแล้วเหมือนกัน
“หืม? ไปไหน โนว์ ไม่ไปๆ ไอยัง Enjoy and happy with my life อยู่” มันผงกหัวขึ้นมาปฏิเสธเป็นการใหญ่ พูดภาษาอังกฤษออกมาด้วย

“คุณเมาแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับเถอะ ผมอยากนอน” ผมว่า
ปั้นรักทำหน้าเมาๆ ใส่ผม
“ใครว่าไอเมา...ไม่เมา! Don’t worry. I’m so damn ok!”

ก็ยังปฏิเสธอยู่ว่าตัวเองโอเค แต่ผมไม่สนใจ พยุงมันขึ้นมายืนขณะที่มันโวยวาย พอมันยืนตัวตรงได้ ผมก็ร้องบอก

“แต่ผมบอกแล้วว่าจะไม่อยู่ดึก ไปเถอะ กลับกันได้แล้ว”
ว่าไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ร้องอ๋อพร้อมกับบอกโอเคๆ คล้ายกับว่าจำได้ว่าผมเคยพูดไว้ว่าอะไร ผมก็โล่งใจนิดๆ ที่เห็นมันยอมฟังแต่โดยดี ดูท่าทางคงไม่ได้เมามากถึงได้ยังมีสติอยู่

อย่างน้อยก็น่าจะเดินกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์เองได้โดยที่ผมไม่ต้องแบก...
ทว่าผมคิดผิด เพราะพอจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มเสร็จ กำลังจะเดินออกจากร้าน จู่ๆ มันก็ตะโกนร้องเรียกใครไม่รู้ดังลั่น
“Hey you! Hey!”

ตอนแรกผมก็นึกว่าร้องเรียกเพื่อนมัน แต่พอมองไปแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มฝรั่งที่เดินผ่านหน้าบาร์ ผมก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่
แม่งทำไปเพราะความเมาล้วนๆ

“ปั้นรัก” ผมเดินตรงไป พยายามเรียกสติมัน
“Hey, you!” แต่มันไม่ฟังเลยสักนิด พยายามจะเรียกฝรั่งหัวทองคนนั้นให้หันมามองให้ได้
“ปั้น...”
ผมเลยเรียกมันไปอีกที กะว่าจะตรงเข้าไปดึงมันไว้ด้วยเพราะมันเดินเซไปหาฝรั่งกลุ่มนั้นแล้ว แถมดันตะโกนอ้อแอ้ขึ้นมาด้วย
“Hey, Tom!”
ฝรั่งหนึ่งในกลุ่มนั้นหันมามองปั้นรักทันใด พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
“Me?”

เห็นท่าทางแบบนี้ ผมเลยหยุดความคิดก่อนหน้านั้น

เอ...หรือว่าจะรู้จักกัน?

“Did you call me? (เรียกผมเหรอ)” ฝรั่งคนนั้นถามปั้นรักกลับด้วยสีหน้างงงวยสุดๆ

ถึงภาษาอังกฤษจะง่อย แต่ประโยคสั้นๆ บางครั้งผมก็ฟังออกว่าเขาพูดอะไร

ปั้นรักพยักหน้ารับ เผลอแวบเดียวก็เดินเซตุปัดตุเป๋เข้าไปหา แล้วก็ตรงไปตบบ่าฝรั่งคนนั้นปุๆ หลายๆ ที

“ทอม ทอม แวร์ยูโกลาสต์ไนท์” ถามออกมาอีกแล้ว เป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม

ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสำเนียงภาษาที่มันพูดฟังดูแปลกๆ ไป มันฟังดูสำเนียงไท้ไทย ผมฟังและแปลได้ด้วย แล้วก็ประจักษ์ได้ว่ามันไม่ได้พูดหรอก เพราะประโยคต่อมาที่หลุดออกจากปากมันดันเป็นทำนองเสียอย่างนั้น

“ไอเลิฟเมืองไทย ไอไลก์พัฒพงศ์ น้องนางคงทำให้ทอมลุ่มหลง ไอเลิฟพัฒพงศ์ ไอเลิฟเมืองไทย!”
ร้องอย่างเดียวไม่พอ แม่งร้องเสียงดัง ฝรั่งเหวอกินไปเลยเถอะ

โว้ย! กูก็นึกว่ารู้จักกัน

ไม่รู้จักแล้วมึงจะไปทักเขาทำไมเนี่ย! แล้วนี่ไม่ใช่เมืองไทยไหม มันประเทศลาว!

ผมถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะรีบเดินไปดึงมันออกมาจากฝรั่งคนนั้นเมื่อเห็นว่ามันเริ่มเมาเลอะเทอะไปหมด พร้อมกับพูดซอร์รี่ๆ รัวๆ ฝรั่งคนนั้นบ่นอะไรก็ไม่รู้ออกมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่ากับปั้นรักที่ตะโกนร้องเพลง ทำท่าจะเดินตามไปถามฝรั่งคนเดิมอยู่นั่น

“ทอม ทอม แวร์ยูโกลาส์ไนท์...”

มึงไม่ต้องไปถามเขาแล้ว มึงนั่นแหละจะไปไหน!

“ปั้นรัก พอได้แล้ว” ผมเสียงดังนิดหน่อย อยากจะเอาหัวมันจุ่มน้ำเพื่อเรียกสตินัก
มันก็ยังดิ้นดุ๊กดิ๊กไม่หยุด ผมเลยใช้สองแขนดึงมันเข้ามารวบกอดเอาไว้ พร้อมกับว่าเสียงเข้ม
“บอกให้พอ กลับกันได้แล้ว”

เป็นการกอดที่... หันหน้าเข้าหากัน

เออ ผมไม่ได้ตั้งใจแหละนะ แค่จะให้มันตั้งสติได้เฉยๆ พอรู้ตัวก็จะปล่อยมือออกจากมัน อันที่จริงแล้วก็ไม่มีใครมาสนใจหรอก มันไม่ใช่การกอดแบบชู้สาวนี่ แต่ปั้นรักมันดันพูดโพล่งขึ้นมาก่อน

“ฮั่นแน่ What will you do with me? (จะทำอะไรน่ะ)”

ผมว่าผมแปลไม่ผิดนะ ผมเลยรีบบอกเร็วๆ

“ไม่ได้จะทำอะไร แค่จะให้ตั้งสติได้เฉยๆ”
ปั้นรักช้อนตาเยิ้มๆ เพราะความเมามอง
“บ่เชื่อ”

ไม่เชื่อก็เรื่องของมึงเถอะ

ผมคิดว่าอธิบายกับมันไปก็เท่านั้นแหละ เพราะมันไม่มีสติสัมปชัญญะมากพอที่จะมาเข้าใจอะไรแล้ว ผมเลยตัดบท
“กลับกันเถอะ”

หากแต่ปั้นรักไม่ยอมไป ขนาดผมปล่อยมันออกจากอ้อมกอดแล้วนะ มันดันขยับเข้ามาหาผม พร้อมกับคว้าเอวผมไว้มั่น

“I know what do you want (ไอรู้นะว่ายูต้องการอะไร)”

ผมขมวดคิ้วเพราะจู่ๆ มันก็พูดมาอย่างเร็ว

ยังไม่ทันจะได้แปล ปั้นรักก็ทำเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาด้วยการดึงผมเข้าไปใกล้แล้วเอาปากมางับหัวนมผม

ใช่...หัวนม งับมันผ่านเสื้อนี่แหละ

มึงทำบ้าอะไรเนี่ย!

“Yummy (อร่อย)”

มันพึมพำออกมาทั้งที่ปากยังคาหัวนมผมอยู่เลย ผมก็ตกใจสิ และด้วยอารามตกใจก็รีบผลักมันออก พร้อมกับเหวี่ยงมือไปตบกะโหลกมันดังเพียะ

“ทำอะไรของคุณน่ะ!” ร้องโวยวายด้วย

แต่ไม่ได้คำตอบแล้ว เพราะทันทีที่ปั้นรักโดนผมตบผัวะ มันก็ล้มฟุบไปกับพื้นแล้วนิ่งไปเลย ผมได้สติก็มองอย่างตกใจขณะที่คนอื่นๆ ก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิดว่ามีเรื่องกัน

ซะ...ซวยแล้ว

หาเรื่องให้กูแล้วไหมล่ะ เมาหลับของแท้เลยไอ้ปั้น!
-----------------------------
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วค่ะ
ปั้นรักคนเดิม เพิ่มเติมคือโดนพี่ดื้อตบสลบ 555 โอ๊ย พี่ดื้อถนอมเมียหน่อย เลี้ยงเมียด้วยลำแข้งของแท้ 555
ย้ำกันอีกทีว่าเรื่องภาษาลาวยังไม่ต้องไปใส่ใจมันมากนะคะ เพราะที่อัปให้เนี่ยคือต้นฉบับดิบ ยังไม่ได้แก้ค่ะ ต้นฉบับจริงที่เป็นไฟล์พิมพ์หนังสือมีเจ้าของภาษาดูให้อีกที บอกหนูแดงตอนนี้ หนูแดงก็ไม่รู้เด้อ วานคนอื่นเขาแปลมาอีกทีเหมือนกัน 555
1 คอมเมนต์ 1 กำลังใจ ฝากไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ ^^
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่3: เมาหลับ[30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 30-05-2017 12:54:39
เรื่องนี้น่ารักดีค่ะ  มาต่ออีกนะคะ  :กอด1: :impress2:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่3: เมาหลับ[30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 31-05-2017 21:35:46
โถๆๆ ชีวิตพี่ดืัอ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่3: เมาหลับ[30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 31-05-2017 22:42:38
ปั้นรักสมชื่อจริงๆ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่3: เมาหลับ[30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 31-05-2017 22:45:29
ชอบขนาดขอติดตามเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่3: เมาหลับ[30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 31-05-2017 23:09:34
สะบายดี ครั้งที่ 4: ริซซี่...ดวง

กลายเป็นว่าผมต้องอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจว่าไม่ได้มีเรื่องกัน แน่นอนว่าไม่ได้อธิบายอย่างเป็นทางการ แค่แกล้งพูดเสียงดังอย่างสนิทสนมว่า ‘อ้าวปั้น ไหงเมาหลับงี้ล่ะ พี่ต้องแบกกลับเลยเห็นไหม’ แล้วก็หัวเราะแห้งๆ ใส่คนที่ยืนมองอยู่ประหนึ่งว่าไม่ได้ตบมันจนหลับไปนะ มันเมาหลับไปเองอะไรงี้ ก่อนจะเอามันขึ้นหลังกลับมาเกสต์เฮ้าส์ บอกเลยว่าถ้ามีคนส่งผมเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาตลบตะแลงตอแหลล่ะก็ รับรองเลยว่าผมได้อย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาคิดอะไรไร้สาระ ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าผมไปทำร้ายร่างกายมัน...ใช่ ทำร้ายร่างกาย เพราะถ้าคนอื่นรู้ หรือปั้นรักตื่นมาเอาเรื่อง มีหวังผมได้ลองกินข้าวแดงคุกประเทศลาวอย่างแน่นอน

ดังนั้นสิ่งที่ผมควรทำก็คือ...อำพรางความผิด

พามันเข้ามาในเกสต์เฮ้าส์ได้ บรรดาพนักงานที่เข้ากะตอนดึกก็พากันมองผมที่แบกปั้นรักเข้ามาอย่างประหลาดใจ พร้อมกับเสนอตัวมาให้ช่วย ผมเลยต้องสวมวิญญาณนักท่องเที่ยวผู้แสนดีบอกกับพวกเขาว่าปั้นรักกับผมไปดื่มกัน แต่ปั้นรักดื่มหนักไปหน่อยเลยเมาแอ๋ ผมเป็นคนชวนไปดื่มเลยจะขอรับผิดชอบด้วยการดูแลมันคืนนี้เอง ไม่อยากรบกวนพวกเขาที่กำลังทำงานกันอยู่อะไรแบบนั้น

ฟังดูเป็นคนดีโคตรๆ เลยใช่ไหมล่ะ แต่ไม่...ไม่ใช่เลย ผมแค่ไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติบนตัวมันต่างหาก เผื่อว่าที่ผมตบกบาลมันดังป้าบก่อนหน้านี้จะไปโดนหน้ามันแดงเถือกอะไรแบบนั้น

สุดท้ายก็เลยแบกมันขึ้นมาบนห้อง จับมันลงนอนบนเตียงได้ก็ยืนหายใจหอบเพราะความเหนื่อยอยู่พักใหญ่

ไอ้ปั้นรักไม่ใช่ตัวเล็กๆ เลยนะ ตัวพอๆ กับผมเลยเถอะ แค่เตี้ยกว่ากันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ที่เพิ่งจะมาเหนื่อยเอาในตอนนี้ก็คงเพราะก่อนหน้ามัวแต่กังวลจนลืมเหนื่อย อารมณ์เหมือนผู้ร้ายหนีความผิดมากๆ

แต่จะอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเริ่มจะหายเหนื่อยละ เดินไปเช็กซีกหน้าของปั้นรักทั้งสองข้าง ไม่ปรากฏรอยแดงหรือบาดแผลใดๆ ทิ้งไว้เป็นหลักฐาน ผมก็พอจะเบาใจลงไปได้บ้าง จากนี้ก็คงต้องรอจนกว่ามันจะสร่างเมาและรู้สึกตัวถึงเช็กอีกทีว่าสมองมันได้รับการกระทบกระเทือนอะไรแต่อย่างใดไหม

ส่วนระหว่างรอ... เปลี่ยนเสื้อก่อน รอยน้ำลายไอ้ไกด์เถื่อนนั่นยังคาอยู่บนหัวนมผมอยู่เลยเถอะ

เปลี่ยนเสื้อมาได้ก็มานั่งรอมันตื่นจนเผลอหลับไปข้างๆ มันบ้าง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเช้ามืดเพราะไอ้ปั้นรักดันดิ้นไปมาปลุกผมเสียอย่างนั้น ผมเลยต้องจำใจลุกเนื่องจากว่ากลัวมันจะอ้วกใส่ พอไปล้างหน้าล้างตากลับมา ก็เห็นปั้นรักย่นคิ้วยู่ทั้งที่หลับอยู่พลางส่งเสียงอือออในลำคอ

“ปวดหัว...”
ผมจับใจความได้ว่าอย่างนี้ก็เลยถอนหายใจออกมาเต็มแรง

เมาแอ๋ขนาดนั้นไม่ปวดก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ

“อือ...ปวดหัว...” มันยังคงบ่นออกมาอีก
ผมเม้มริมฝีปากแน่น

มันปวดหัวเพราะเมาค้างหรือเพราะโดนผมตบไปเต็มรักกันวะนั่น?

เป็นห่วงมันเหมือนกันนะ จะไม่เป็นห่วงก็ไม่ได้เพราะถ้าเกิดมันเป็นอะไรขึ้นมา คนที่จะซวยก็คือผมนั่นเอง ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก่อนจะร้องถาม

“ปวดมากไหม”
ปั้นรักไม่ตอบแต่ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามอง
“ถามว่าปวดมากไหม ได้ยินหรือเปล่า”
ปั้นรักพยักหน้าช้าๆ ไม่รู้ว่าพยักหน้าเพราะตอบรับว่าปวดหัวมากหรือได้ยินที่ผมถาม แต่ผมก็ถือว่ามันตอบทั้งสองคำถามในคราวเดียวก็แล้วกัน

“แล้วปวดตรงไหน” ถามหน่อย เผื่อมีเลือดคั่งในสมองจะได้รู้ว่ามันใช่จุดเดียวกับที่โดนผมตบไปหรือเปล่า
“อือ...ปวดทั้งหัว”

โอเค ผมเดาเอาว่าไม่น่าจะปวดหัวเพราะโดนผมตบละ น่าจะเป็นจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มากกว่า ตอนนี้ก็โล่งใจไปได้อีกหนึ่งเปลาะ

“งั้นก็นอนต่ออีกหน่อย จะได้หายปวดหัว” ผมว่าเสียงเรียบ
ปั้นรักพยักหน้า ปิดเปลือกตาลงแล้วทำท่าจะหลับอีกรอบ ผมก็กะว่าจะนอนต่ออีกงีบเหมือนกัน ทว่าปั้นรักก็ดันพึมพำขึ้นมาอีก
“ผะ...ผ้า...”
“ผ้าเหรอ ผ้าอะไร” ผมถามเมื่อได้ยินเสียง

ปั้นรักปรือตาขึ้นมามองอีกครั้ง ก่อนจะต้องหลับตาลงไปอีกพร้อมกับทำหน้าเจ็บปวด ยกมือคลึงขมับตัวเองไปมา
“ขอผ้า...”
“ผ้าอะไรล่ะ” ผมย่นคิ้วบ้างแล้วเพราะมันไม่พูดสักที

ปั้นรักเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“ผ้าอนามัย...ขอผ้าอนามัย”
“ฮะ?” คราวนี้ย่นคิ้วหนักกว่าเดิมอีก

ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองฟังผิด แต่พอมันพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ผ้าอนามัย...”
ไม่ได้ฟังผิดเลย ชัดเด๊ะๆ

มึงจะขอผ้าอนามัยไปทำอะไร!

ในหัวครุ่นคิดเป็นพัลวันทันที ไม่เข้าใจด้วยว่ามันจะเอาของแบบนั้นไปทำอะไร จะบอกว่าเอาไปช่วยบรรเทาอาการเมาของมันก็ไม่น่าจะใช่เพราะดูแล้วมันไม่น่าจะเอาไปใช้งานอะไรได้สักอย่าง ขณะที่ปั้นรักก็ยังพึมพำงึมงำคำพูดเดิมจนผมต้องยืนคิดสักพัก
ผ้าอนามัย... มันสำหรับผู้หญิงใช้ตอนมีวันนั้นของเดือน แต่ปั้นรักเป็นผู้ชาย มันถามหาของแบบนี้ก็แสดงว่า...

มึงเป็นริซซี่ดวงเหรอไอ้ปั้น!?

ผมทำหน้าตกใจใส่มันทันที ทำไมเป็นอะไรถึงไม่บอกก่อน! ตายล่ะกู ปล่อยมันนอนบนเตียงอย่างนี้จะเป็นไรไหมเนี่ย

ไม่ได้รังเกียจมันหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่อยากจะจ่ายค่าทำความสะอาดเตียงถ้าเกิดว่ามันทำเลอะเทอะขึ้นมา เท่านั้นผมเลยยืนเลิ่กลั่กอยู่พักนึง ก่อนจะตัดสินใจคว้ากระเป๋าสตางค์แล้วพุ่งออกไปนอกเกสต์เฮ้าส์ ไปโผล่กลางร้านสะดวกซื้อพร้อมกับยืนกอดอกอยู่หน้าชั้นวางผ้าอนามัย

กลิ่นซากุระ กลิ่นชาเขียว สารพัดกลิ่น แถมมีปีก ไม่มีปีก กลางวัน กลางคืน แผ่นบ๊างบาง แผ่นหนาเตอะ

อะไรนักหนาวะเนี่ย กูจะรู้ไหมว่าควรซื้อแบบไหน

อะไรไม่ว่า การที่ผมมายืนจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าชั้นสินค้าที่ไม่เคยซื้อมาก่อนตั้งแต่เกิดมามันทำให้คนอื่นในร้านมองผมแปลกๆ ด้วย
เอาวะ หลับตาหยิบๆ มาแม่งเลย!

ตอนมาจ่ายเงินก็ถูกพนักงานมองด้วยสายตาแปลกๆ ผมก็เก็บอาการสุดฤทธิ์ นิ่งสุดๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป พอพนักงานทอนเงินกับส่งของให้ก็แทบจะรีบมุดแผ่นดินลาวกลับเกสต์เฮ้าส์

ทำไมกูจะต้องมาดูแลไกด์เวรนี่ด้วยวะ ลูกค้าจะต้องได้รับการดูแลไม่ใช่เหรอ!?

สถานการณ์โคตรจะย้อนแย้งกับสถานะ แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือปฐมพยาบาลมัน

ใช้คำว่าปฐมพยาบาล แต่เอาจริงๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนเป็นริดสีดวงจะต้องได้รับการดูแลยังไง ถึงอย่างนั้นผมก็หยิบเอาของที่ซื้อมาออกจากถุงพลาสติกมาดูเป็นที่เรียบร้อย

เป็นผ้าอนามัยนำเข้าจากประเทศไทย... เคยอ่านตามเว็บบอร์ดรีวิวท่องเที่ยวเหมือนกันว่าสินค้าในลาวส่วนใหญ่จะนำเข้าจากประเทศบ้านเกิดผม แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวหนังสือภาษาไทยที่แปะหราอยู่บนฉลากสินค้า

…คูลลิ่งเฟรช สูตรเย็น มีปีก ยาวสามสิบหน้าเซนติเมตร

ยาวขนาดนี้นี่ผ้าอนามัยผ้าเช็ดตัววะเนี่ย

แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากกลัวว่าทุกอย่างจะไม่ทันการ

เอาวะ จับใส่ให้มันเลยก็แล้วกัน

แกะห่อผ้าอนามัยออกมา หยิบมาชิ้นนึงแล้วลอกพลาสติกออก พินิจพิจารณาว่ามันใส่ยังไงด้วยการเปิดอินเทอร์เน็ตหาวิธีการใส่
ลอกสติ๊กเกอร์ตรงนี้ออก แล้วเอาแถบกาวแปะลงไปบนเป้ากางเกงใน

อืมๆ...

อ่านจนเข้าใจ คิดว่าทำได้วางผ้าอนามัยลงบนเตียง ก่อนจะตรงเข้าไปปลดเข็มขัดกางเกงปั้นรักออก ปั้นรักดูรำคาญนิดหน่อยแต่ท่าทางจะยังไม่ได้สติดี ผมเลยจัดการปลดตะขอกางเกงมันและดึงลง เหลือแต่บ็อกเซอร์ข้างใน พอมันเหลือสภาพแค่นั้น ผมก็ไม่ลังเลที่จะถอดปราการชิ้นสุดท้ายออก ตอนนี้ปั้นรักก็เลยอยู่ในสภาพเปลือยท่อนล่างเป็นที่เรียบร้อย

บอกตรงๆ ว่าถ้ามันไม่ใช่คนบ้าๆ บอๆ แถมยังกวนฝ่าเท้าจนผมอยากจะประเคนให้หลายต่อหลายครั้ง ผมคงจะใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กับการกระทำของตัวเองและภาพที่เห็นข้างหน้าแล้วเพราะมันโคตรจะชวนให้คิดลึกเตลิดเปิดเปิงเลย แต่เพราะปั้นรักมันเป็นคนนิสัยอย่างนี้ไง ผมเลยไม่รู้สึกอะไรกับมันสักนิด ยิ่งในหัวมีคำพูดผุดพรายขึ้นมาว่า ‘มันเป็นริดสีดวงๆๆ’ ผมก็หมดอารมณ์ที่จะคิดอกุศลทันใด

รีบๆ จัดการให้เสร็จจะดีกว่า...

คว้าผ้าอนามัยขึ้นมา แกะกาวออกและแปะลงไปบนเป้ากางเกงบ็อกเซอร์ ถึงมันจะโคลงเคลงไปมาเพราะไม่ใช่กางเกงใน แต่ผมก็มันใจว่ามันไม่เคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างแน่นอน ยาวประหนึ่งผ้าเช็ดตัวอย่างนี้ ต่อให้ไหลซึมไปยันง่ามก้มก็ยังรองรับและซึมซับได้ดี...เห็นบนฉลากเขียนไว้ว่างี้อะ ไม่ซึมเปื้อนตลอดคืนอะไรประมาณนั้น

พอจัดการแปะแถบกาวเสร็จก็ดึงกางเกงขึ้น ตามด้วยสวมกางเกงยีนให้มันเหมือนเดิม ใส่เข็มขัด จัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางราวกับว่าไม่ได้ไปยุ่มย่ามกับเสื้อผ้ามันเลยแม้แต่น้อย

เออ ความจริงไอ้ผ้าอนามัยอะไรนี่ก็ใช้ไม่ยากนะ

ผมคิดเองเออเองหลังจากปฏิบัติภารกิจเสร็จ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง คว้าห่อผ้าอนามัยมาอ่านอีกที อ่านแบบไม่ได้คิดอะไรอะ แค่อ่านเฉยๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุดที่ตัวหนังสือบนฉลากด้านหน้า

...คูลลิ่งเฟรช

เอะใจขึ้นมาแปลกๆ

ไอ้คำว่าคูลลิ่งเฟรชนี่อย่าบอกนะว่า...

ในหัวรีบแปลศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว

คูลลิ่ง แปลว่า เย็น
เฟรช แปลว่า สดชื่น
คูลลิ่งเฟรช ...สดชื้นสดชื่น

เวรละ ไข่มึงถูกแช่แข็งแน่ไอ้ปั้น!

จะจับมันถอดออกก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่หันไปมองมัน ก่อนจะพบว่าปั้นรักเริ่มมีสีหน้าเหยเกขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยบิดตัวซ้ายทีขวาที

จากอยู่ลาวดีๆ ก็ได้ไปเยือนขั้วโลกเหนือแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผมเห็นแล้วก็สงสาร แต่จะให้ไปถอดกางเกงมันอีกรอบก็ใช่เรื่อง ยิ่งมันส่งเสียง...

“อือ...อ๊า...ฮ้า...”
ผมก็ต้องยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเป็นพัลวัน

เสียงแบบนี้มันใช่เสียงที่ควรจะครางออกมาตอนเย็นไข่เหรอวะ!

ยิ่งเห็นมันเอามือพยายามล้วงเข้าไปในกางเกงในสภาพทุรนทุรายพร้อมกับส่งเสียงออกมาไม่หยุด ผมก็เริ่มชักจะได้กลิ่นไม่ดี

ไม่ใช่ว่ามันอ่อยผมนะ แต่ผมนี่แหละที่จะตบะแตกไปปล้ำคนเมาเอา!

โอเค ผมควรจะสงบสติอารมณ์ ลงไปนั่งรอที่ล็อบบี้ก่อน ไว้ฟ้าสว่างแล้วค่อยกลับขึ้นมาดูมันใหม่

คิดได้เท่านั้น ผมก็คว้าโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ รวมถึงของที่จำเป็นใส่ในกระเป๋าคาดอกใบเล็ก จากนั้นก็ออกจากห้องมานั่งเล่นที่ล็อบบี้ นั่งไปนั่งมาก็ผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนพนักงานเรียกให้ไปกินมื้อเช้า

ผมลุกไปหาอะไรยาไส้เสร็จก็กลับขึ้นมาชั้นบนอีกครั้ง หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูห้อง ผมก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายอันแสนจะคุ้นหูดังออกมาจากห้องพักของตัวเอง

“What the hell is this!? (นี่มันเวรอะไรวะเนี่ย!)”

เป็นภาษาอังกฤษ แปลไม่ค่อยถูกหรอก แต่เดาได้ว่าเป็นคำหยาบ และเดาได้เช่นกันว่านั่นเป็นเสียงของปั้นรัก

มันคงจะตื่นแล้วสินะ...

ผมเดินไปเคาะประตู เคาะเรียกอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียวก็ไร้วี่แววว่ามันจะมาเปิด ผมเลยต้องร้องเรียกด้วย
“ปั้นรัก นี่ผมเอง เปิดประตูให้หน่อย”

เสียงโวยวายของปั้นรักเงียบไป ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงกระชากประตูเปิดเข้ามาแทนที่ และทันทีที่มันเห็นหน้าผม มันก็เสียงดังใส่ทันควัน

“นี่ฝีมือยูใช่ไหม!”
ถามเรื่องอะไรไม่ต้องเดาให้เสียเวลา ผมมองสีหน้าโกรธๆ ของมันแล้วก็เหลือบไปมองยังส่วนร่างของร่างกายคนตรงหน้า พลันความรู้สึกสมเพชปนเวทนาก็พร่างพรายในหัวผมทันที

ไอ้ปั้นรักมันเดินมาหาในสภาพขาตั้งเป็นมุมฉากเก้าสิบองศาในสภาพที่สวมกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ส่วนกางเกงยีนก็หล่นไปกองอยู่ที่ข้อเท้า

เย็นไข่ล่ะสินะ…

ไม่ต้องถามก็คิดถูกเพราะหลังจากนั้นมันก็บ่นออกมา
“Are you fu*king kidding me? What the hell are you doing?! (ล้อกันเล่นใช่ไหม ยูทำอะไรของยูเนี่ย!)”
ผมว่าผมแปลออกและเข้าใจว่ามันถามอะไรนะ ดูมันโกรธมากด้วย ผมเลยรีบเข้ามาในห้องก่อน พอปิดประตูเรียบร้อยแล้วถึงได้พูดขึ้น
“ก็ช่วยปฐมพยาบาลไง”
“What!?” ปั้นรักหันมาถามผมด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด 
ผมเลยพูดไปอีกที “ที่ผมใส่ไอ้นั่นให้คุณก็เพราะช่วยปฐมพยาบาลน่ะ”
“ปฐมพยาบาลประเทศไหนของยูวะ” มันว่าเสียงดังอีกแล้ว

ผมลอบพ่นลมหายใจเล็กน้อย “ก็คุณเป็นริดสีดวงไม่ใช่เหรอ มันเลยต้องปฐมพยาบาลกันแบบนี้”

“What the hell are you talking about!? (พูดเรื่องบ้าอะไรของยูอยู่เนี่ย!?)” คราวนี้ถามกลับทั้งเสียงดัง ทั้งหยาบคายเลย
ผมก็ไม่รู้ว่าผมแปลถูกไหมนะ แต่ที่รู้ๆ คือประโยคหลังจากนั้นที่พรั่งพรูออกจากปากมัน ผมแปลต่อไม่ได้แล้ว และก่อนที่มันจะทำหูผมชาไปมากกว่านี้ ผมเลยรีบโพล่งขัดออกไปให้มันรู้ว่าผมทำอย่างนี้ทำไม

“ก็เมื่อคืนคุณเมา แล้วพอเริ่มรู้สึกตัว คุณก็บอกให้ผมไปเอาผ้าอนามัยมาให้ ผมก็เลยไปหาซื้อมาให้ จากนั้นคุณก็อยู่ในสภาพนี้”
ผมผายมือไปทางมันเล็กน้อยเพื่อให้มันเข้าใจชัดเจนว่าสภาพไหน ปั้นรักนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะทำท่าเหมือนจะจำได้ว่าเมื่อเช้ามืดพูดอะไร พลันยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเป็นพัลวัน

“ผ้าอนามัย...โว้ย โง่หลาย! ภาษาลาวมันหมายถึงทิชชูเว้ย เมื่อเช้ารู้สึกเหมือนจะอ้วกเลยขอทิชชู”

เอ้า แล้วกูจะรู้ไหมล่ะว่ามันแปลว่าทิชชูน่ะ บอกว่าจะเอาผ้าอนามัย กูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ สดชื่นไปทุกอณูรูขุมขนแบบนี้
“ก็ผมไม่รู้นี่ พูดกับผมก็ใช้ศัพท์ไทยสิ”
ปั้นรักทำท่าเหมือนจะด่าอะไรผมสักอย่างแต่ก็ไม่ด่า ยืนบิดไปบิดมาเพราะเย็นวูบวาบที่หว่างขาแทน
“แสบดากแสบไข่คัก” มันบ่นพึมพำ

ผมได้ยินแล้วก็เม้มปาก ไม่ใช่สำนึกผิดนะ

...กลั้นหัวเราะ

ไม่ให้กลั้นหัวเราะได้ไงล่ะ ท่าทางมันโคตรตรงเลย เดินขาถ่างๆ เขย่งไปที่ห้องน้ำ พึมพำเป็นภาษาลาว ภาษาไทยแล้วก็อังกฤษปนกันออกมาไม่หยุด ทำเอาผมที่มองท่าทางทุลักทุเลของมันอยู่ต้องตั้งสติสุดพลังเพื่อที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ทว่าพอเห็นปั้นรักเอามือล้วงไปในกางเกงบ็อกซ์เซอร์ พร้อมกับอุทาน...

“Ouch! F*ck!”

ตามมาด้วยเสียงดัง...

แค...ว่...ก...

กาวที่ผ้าอนามัยค่อยๆ ลอกออกจากเป้ากางเกงบ็อกซ์เซอร์

ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะค่อยๆ ดึงทำไม กระทั่งเห็นว่ามันใช้สองมือทำอะไรขยุกขยิกอยู่ใต้กางเกง ก่อนที่สีหน้าเหยเกบ่งบอกให้รับรู้ชัดเจนว่ากำลังเจ็บปวด ตามมาด้วยเสียงร้อง...

“อูย...ซี้ด...”

ผมก็พอจะเดาได้

กาวกินหมี่มังกรล่ะสิ...

ผมยกมือขึ้นปิดปาก หันหน้าหนีทันควัน ไม่ใช่ว่าทนเห็นภาพอุบาทว์ตรงหน้าไม่ไหว แต่เป็นเพราะกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหวต่างหาก แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาจนได้เมื่อมันจัดการดึงทุกอย่างออกจากกาวผ้าอนามัยได้สำเร็จ

“โว้ย! อย่างกับทำบราซิลเลียนแว็กซ์”

ได้ยินมันบ่นพร้อมกับถือซากผ้าอนามัยในมือ ผมก็หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล ปั้นรักที่ดึงกางเกงยีนขึ้นสวมหันมาแหวใส่ผมทันควัน

“หัวเราะอะไรของยู”                                     
ผมรีบกระแอม ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เปล่าครับ”

“เปล่าอะไร ก็เห็นหัวเราะอยู่”
“เปล๊า” ผมแกล้งปฏิเสธเสียงสูง

ปั้นรักย่นหน้า ส่งสายตาไม่พอใจสุดๆ มาให้

“ขำมากใช่ไหม เอาไปเชยชมเลยไป!”
ก่อนที่ผมจะได้ตั้งหลัก ปั้นรักก็ปาผ้าอนามัยอันนั้นใส่ผมแล้ว ผมที่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ถูกผ้าอนามัยกระแทกเข้าเต็มๆ

ไอ้เจ็บน่ะมันไม่เจ็บหรอก แต่กูขยะแขยง!

มันหล่นลงพื้นปุ๊บ ผมก็เตะมันกลับคืนไปให้ไอ้ปั้นรักอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ยคุณ มันสกปรกนะเนี่ย!”
ไม่เตะอย่างเดียว โวยวายด้วย

ปั้นรักทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ “ไอก็แค่จะเอาของคืนยู”

ของแบบนี้ไม่ต้องมาคืนหรอกเว้ย!

พอเห็นผมไม่ตอบโต้ มันก็เอามือล้วงเข้าไปในกางเกงตัวเอง

“อูย...แสบเลยเนี่ย เล่นอะไรของยูวะ จะ Bullying กันเหรอ”

ผมแปลศัพท์คำนี้ไม่ได้ เดาๆ เอาว่าน่าจะแปลว่าแกล้ง

“ไม่ได้แกล้ง...เฮ้ย!”

กำลังจะปฏิเสธเลยว่าไม่ได้แกล้ง แต่ปั้นรักก็ถลาเข้ามาพร้อมกับเอามือที่จกเป้ากางเกงตัวเองมาให้ผมดม
“กลิ่นเมนทอลหอมชื่นใจ”

เมนทอลบ้านมึงเถอะ ต้องให้กูพูดไหมว่ากลิ่นอะไรกันแน่!

“ทะลึ่งละคุณ เล่นมากไปปะ ชักจะปีนเกลียวใหญ่แล้ว ผมเป็นลูกค้านะ”

พอเห็นว่ามันชักจะลามปาม ผมก็ทำเสียงเข้มดุออกไป

ปั้นรักหยุดความพยายามที่จะเอากลิ่นเมนทอลผสมกลิ่นอย่างอื่นมาให้ผมดมทันควัน

“ใครกันแน่ที่เล่นมาก นี่ถ้าไอเป็นผู้หญิง ตอนยูถอดกางเกงไอ ไอคงโดนปล้ำไปแล้ว ดีนะไอเป็นผู้ชาย” แล้วมันก็บ่นๆ
ผมกลอกตา พูดเร็วๆ “ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า”

“ใช่สิ ยูไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไอก็เพิ่งมานึกได้ ยูเป็นเกย์นี่หว่า” พูดจบ ปั้นรักทำตาโต “เดี๋ยวนะ... ยูทำอะไรกับไอปะเนี่ย!”
แล้วมันก็เอามือป่ายปัดสำรวจร่างกายตัวเองเป็นการใหญ่

อย่างที่บอก ถึงมันจะหน้าตาดี ตรงสเปกผม แม้ว่าจะเป็นคนละสไตล์กับแสงเหนือที่ดูบอบบางกว่า แต่ปั้นรักก็หล่อใช้ได้ทีเดียว เสียอย่างเดียวตรงที่ผมทำอะไรมันไม่ลงเพราะมันเป็นบ้านี่แหละ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก” คราวนี้ผมว่าเสียงดังขึ้นมาหน่อย
ปั้นรักก็ยังทำหน้าเหมือนไม่เชื่ออยู่ดี แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจอะไรแล้วนอกจากจะยืนกรานเสียงแข็ง
“ไอไม่ได้เป็นริซซี่ดวง”

อันนั้นกูรู้แล้ว เออ ขอโทษ

แต่ผมไม่ได้พูดออกไป ทำเพียงถามสั้นๆ
“แล้ว?”

“แล้วผ้าอนามัยที่ไอหมายถึงน่ะมันคือผ้าเย็น”

“ภาษาลาวเหรอ”

“เปล่า ไอนึกไม่ทันว่า refreshing towel มันเรียกในภาษาไทยว่าอะไร”

“ก็บอกว่าผ้าอนามัย ใครจะไปรู้ล่ะนั่น บอกว่าผ้าเย็นตั้งแต่แรก ผมก็ไปขอจากล็อบบี้มาให้แล้ว บอกว่าผ้าอนามัย ใครๆ ก็คิดว่าเป็นผ้าอนามัยที่ผมซื้อมาให้คุณทั้งนั้นแหละ”

“ฮ่วย!”
มันส่งเสียงใส่ผมก่อนเดินอาดๆ เข้ามาหยุดที่ปลายเตียง คว้าห่อผ้าอนามัยที่เหลือขึ้นมาถือ

“ส่วนในห่อที่เหลือ ไอขอ”
ผมเลิกคิ้วสูงทันควัน “เอาไปทำไม”

“เย็นดี เอาไว้แปะที่หลังตอนพายูไปเที่ยว ซับเหงื่อก็ได้ รู้สึกเหมือนมีตู้เย็นพกพา”

มึงซื้อแป้งเย็นพกติดตัวไปจะดีกว่าไหม จะพกผ้าอนามัยแบบนี้มันก็เกิ๊นนน!

แต่จะไปห้ามอะไรมันได้ล่ะ มันจัดการยึดเป็นของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่อยากจะท้วงมันหรอกเพราะผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเก็บเอาไว้เพื่ออะไร ได้แต่มองปั้นรักที่คว้าข้าวของของคัวเองเดินไปที่ประตู พลันพูดเร็วๆ

“อีกชั่วโมงเจอกันข้างล่าง ไอไปอาบน้ำก่อน อยากไปไหนค่อยว่ากันอีกที”

พูดจบก็หายหัวออกไปเลย ปล่อยให้ผมได้แต่ถอนหายใจรัวๆ

ดีแล้วที่มันไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่ผมคิด แต่ไอ้ที่ผมทำเมื่อเช้ามืดนี่มันทุเรศโคตร แล้วก็ดันหยุดหัวเราะการกระทำของตัวเองกับสภาพของปั้นรักไม่ได้เลย นี่มันโคตรจะบ้าเลยเนี่ย

ถือว่าพาลูกๆ ไปเที่ยวเมืองหิมะก็แล้วกันไอ้ปั้น...
----------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ห้ามว่าพี่ดื้อโง่ พี่ดื้อของเราเป็นคนซื่อ ปั้นรักพูดไม่เคลียร์เอง 555
พรุ่งนี้คงไม่ได้อัปทั้งเนื้อหา ทั้งตัวอย่างนะคะ มาอีกทีมะรืนเลย พรุ่งนี้ไป ตจว.
ส่วนกำหนดเปิดของเรื่องนี้มาพรุ่งนี้ละเน้อ ติดตามเพจ สนพ.รักคุณ ไว้นะคะ
เสิร์ชในเฟซบุ๊กว่า สำนักพิมพ์รักคุณ เอาเด้อ
ฝากกำลังใจไว้ด้วยงับ ^^
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่4:ริซซี่...ดวง[31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 01-06-2017 00:48:07
ขำอะตลกไอ้ปั้น มาอัพบ่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่4:ริซซี่...ดวง[31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-06-2017 07:35:52
5555 จ๋มๆ ไข่เย็นเลยยยย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่4:ริซซี่...ดวง[31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 01-06-2017 11:06:18
ลั่นจริงๆ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่4:ริซซี่...ดวง[31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 08-06-2017 22:38:32
สะบายดี ครั้งที่ 5: รักนะ...แจ๊ะๆ[1]

ตามแพลนแล้ว ผมกะว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะเที่ยวในตัวเมืองเวียงจันทน์ ส่วนพรุ่งนี้จะมุ่งหน้าไปยังจังหวัดอื่นของลาว ดังนั้นการเที่ยวในวันนี้จึงเป็นการเที่ยวในสถานที่สำคัญๆ ส่งท้าย ปั้นรักเสนอผมว่าจะขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของมันพาเที่ยวอีก ซึ่งแน่นอนว่าผมปฏิเสธแทบจะในทันใด ก่อนจะรีบวิ่งปรู๊ดไปเช่าจักรยานจากร้านที่อยู่ไม่ไกล ปั่นไปเที่ยวฉายเดี่ยวคนเดียวโดยไม่บอกปั้นรักสักคำว่าจะไปไหน

ใครจะไปบอกมันล่ะ ขืนให้มันไปด้วย คนอื่นก็ได้คิดว่าผมไปเที่ยวกับคนบ้าพอดี ดูมันแต่งตัวสิ อย่างกับหลุดออกมาจากคอนเสิร์ตชาวร็อก

จะอธิบายยังไงดี คือมันแต่งตัวไม่ดูสภาพอากาศบ้านมันน่ะ แดดตอนบ่ายร้อนเปรี้ยง มันดันใส่เสื้อคลุมหนัง กางเกงยีนรัดเป้าตึงเปรี๊ยะ โดยแผ่นหลังมีผ้าอนามัยสูตรคูลลิ่งเฟรชแปะอยู่เต็มหลังไปหมด ถึงคนอื่นจะไม่เห็นแต่ผมรู้ และบอกได้เลยว่ามันโคตรจะทุเรศสายตา ไม่เข้ากันที่สุดคือกระเป๋าสำเพ็งสายรุ้งสะท้อนแสงของมันนี่แหละ จะหาว่าผมไม่เข้าใจแฟชันก็ได้นะ แต่ผมอยากจะถามมันสักคำ...

ถ้ามึงอยากได้กระเป๋าแบบนี้ ทำไมไม่ได้ซื้อที่สำเพ็ง ราคาที่มึงซื้อไอ้นี่ใบนึง ไปซื้อแบบออริจินอลได้หลายร้อยใบเลยเถอะ

แต่มันไม่ใช่เรื่องของผมไง ผมถือคติว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของผม ผมจะไม่ยุ่ง และผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักมันด้วย

จะไปรู้จักมันทำบ้าอะไรล่ะ ตอนที่มันเดินตามผมไปที่ร้านเช่าจักรยาน จู่ๆ ผ้าอนามัยที่มันเอาแปะหลังซับเหงื่อ ให้ความเย็นประหนึ่งแอร์เคลื่อนที่ก็ร่วงตกมาวางแหมะกลางบนท่ามกลางสายตาชาวบ้านอย่างนั้น ผมก็ต้องทำตัวประหนึ่งว่าไม่เคยรู้จักมันมาก่อนแล้ว

จ่ายเงินค่าเช่า คว้าจักรยานมาได้ก็ปั่นหน้าตั้งหนีมันจนน่องแทบโป่ง ดีนะที่ปั้นรักมันวุ่นวายกับสถานการณ์ทุเรศทุรังที่ผมบอกไปก่อนหน้านั้นอยู่ ผมเลยหนีมันมาได้ พ้นมันปุ๊บ จุดมุ่งหมายของผมในการเยือนเป็นที่แรกก็คือหอพะแก้ว ตามด้วยวัดสีสะเกด หอคำ วัดสีเมือง และอีกหลายๆ ที่ที่ในหนังสือคู่มือการท่องเที่ยวลาวซึ่งผมพกมาแนะนำ ทั้งหมดไปเพื่อเก็บรูปบรรยากาศต่างๆ เป็นที่ระลึกเพราะก่อนหน้านี้ที่มาดู ผมแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีปั้นรักมาด้วยนั่นแหละถึงได้ไม่มีอารมณ์เที่ยว

เข้าบ่ายคล้อย ผมก็แวะพักที่ร้านขายเครื่องดื่มใกล้ๆ ระหว่างนั้นก็เลือกรูปสวยๆ ที่ถ่ายมาด้วยโทรศัพท์จัดการส่งไปที่ห้องแชตที่มีแต่พี่น้องเป็นการอวดว่าชีวิตผมตอนนี้มันดีแค่ไหน ตามด้วยเซลฟี่ส่งไปอีกนิดหน่อยให้ไอ้แสบกับไอ้แก่นได้ด่ากันด้วยความหมั่นไส้ว่าผมทิ้งงานมาเที่ยวสบายใจเฉิบ

แต่มันก็แค่รูปภาพแหละนะ เพราะความจริงแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่นัก เริ่มรู้สึกว่าจะไม่โอเคแล้วด้วยเมื่อจู่ๆ ก็มีใครบางคนทักแชตส่วนตัวมา พอผมเห็นชื่อใครคนนั้น ผมก็นิ่งค้าง

แสงเหนือ...

ใจหนึ่งบอกว่าอย่าไปคุยเพราะจะทำให้ผมไปคิดถึงเขาอีก แต่อีกใจก็คิดถึง ทำให้มือกดเข้าไปอ่านข้อความที่เขาส่งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อ่านแล้วก็ยังไม่ตอบ กระทั่งอีกฝ่ายส่งข้อความมาอีกครั้ง

 
แสงเหนือ คอลึกประหนึ่งอุโมงค์: พี่ดื้อยังไม่กลับจากลาวเหรอครับ

 
ผมก็อยากจะตอบไปทันทีแหละว่าใช่ แต่พอเห็นชื่อในแชตแล้วก็ต้องย่นคิ้ว

ชื่อ...อะไรของเขาน่ะ

ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นตั้งชื่อแปลกๆ นะ เดาว่าคงจะตั้งเอาไว้แกล้งไอ้ธารใจเพราะผมคิดว่าผมรู้ว่าไอ้คอลึกประหนึ่งอุโมงค์มันหมายความว่ายังไง

แต่ก็ทำเป็นไม่คิดอะไรมาก พิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ ว่าอือ ก่อนที่แสงเหนือจะส่งข้อความกลับมาอีก
 
แสงเหนือ คอลึกประหนึ่งอุโมงค์: เห็นจอมแก่นกับพี่จอมแสบบอกว่าไปไม่บอกใคร พี่ดื้อดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าไปไหนคนเดียวตอนกลางคืน มันอันตราย ทุกคนเป็นห่วง

จอมดื้อ: ทุกคนเป็นห่วงที่ว่า หมายถึงเหนือด้วยหรือเปล่า

 
ไม่รู้ทำไมผมถึงพิมพ์ถามไปอย่างนั้น ในใจลุ้นระทึกเลยทีเดียวว่าแสงเหนือจะตอบกลับมายังไง แล้วก็ต้องดีใจขึ้นมาฉับพลันเมื่อเห็นข้อความถัดไปที่ถูกส่งมา
 
แสงเหนือ คอลึกประหนึ่งอุโมงค์: ก็ต้องห่วงสิครับ พี่ดื้อก็เหมือนพี่ชายคนนึงของเหนือ เหนือจะไม่ห่วงได้ไง
 
ประโยคแรกก็ดีใจอยู่หรอก แต่พอประโยคถัดมา...เออ คงเป็นได้แค่นี้สินะ

ความดีใจก่อนหน้ามลายหายไปทันที สำนึกตัวขึ้นมาได้ว่าผมเป็นแค่คนที่ไม่ได้ถูกเลือก

เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีสถานะให้ผมได้เป็นอะไรสักอย่างสำหรับเขาบ้างก็แล้วกัน
 
จอมดื้อ: ไม่ต้องห่วง พี่ดูแลตัวเองได้ เดี๋ยวพี่ซื้อของฝากไปให้นะ

แสงเหนือ ที่รักของธารใจ: ไม่ต้องหรอกครับ แค่พี่ดื้อกลับมาอย่างปลอดภัย เหนือก็พอแล้ว

 
ผมควรดีใจกับประโยคนี้ แต่พอเห็นชื่อในแชตที่เปลี่ยนไปก็ยิ้มไม่ออกหนักกว่าเดิม คาดว่าน่าจะเป็นธารใจที่บอกให้เปลี่ยนชื่อเพราะรู้ว่าคุยกับผม ก็ไอ้เด็กนั่นมันขี้หึงขี้หวงอย่างกับอะไรดีนี่นา

ผมจบบทสนทนาด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ทิ้งตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ
ถ้าเขาไม่เลือกผมแล้วเหม็นขี้หน้ากันไปเลย ทุกอย่างมันคงจะง่ายกว่านี้ แต่เพราะเขายังมีมิตรภาพดีๆ ให้ผมเหมือนเดิม ถึงจะรู้ว่าผมเป็นได้แค่ไหนสำหรับเขา ทว่ามันไม่ได้ทำให้ตัดใจง่ายเลยแม้แต่น้อย

ผมยังคิดถึงเขา...

ความรู้สึกที่ผมมีให้แสงเหนือยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...
 
การเที่ยวส่งท้ายก่อนอำลาเวียงจันทน์ในวันนี้กร่อยไปทันตา ต่อให้นั่งดูรูปที่ถ่ายสวยมาแค่ไหน ผมก็ไม่มีอารมณ์จะหรรษาใดๆ ทั้งนั้น กลับมาที่เกสต์เฮ้าส์หลังเอาจักรยานไปคืนได้ ผมก็ขึ้นไปทิ้งตัวนอนในห้องสักพัก ก่อนที่ความคิดฟุ้งซ่านจะเข้าเล่นงานผมอย่างหนัก ผมเอาแต่คิดถึงภาพใบหน้าของแสงเหนือขึ้นมาไม่หยุดหย่อน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะออกจากห้องนี้ไปเปิดหูเปิดตา

ขืนอยู่ต่อไป มีหวังผมคงได้ทำตัวไม่ต่างอะไรจากพระเอกมิวสิควิดีโอเพลงอกหัก เข้าไปนั่งในห้องน้ำ เปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวไปแล้ว

และเพราะคิดจะไปเปิดหูเปิดตา ยามค่ำคืนอย่างนี้ก็หนีไม่พ้นพวกผับบาร์ที่เปิดทำการในละแวกที่พัก แน่นอนว่าผมไม่ชวนปั้นรักเหมือนเดิม และไม่ได้บอกพนักงานในเกสต์เฮ้าส์ด้วยว่าจะไปไหน เดินออกมาแล้วก็ตระเวนไปรอบๆ เพื่อหาที่หมาย ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปในบาร์แบบเปิดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติดื่มกินค่อนข้างเยอะ ถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผมก็ไม่สนหรอกเพราะผมไม่ได้อยากจะมาคุยกับใคร แค่อยากจะให้บรรยากาศครึกครื้นนี่พัดพาเอาเรื่องฟุ้งซ่านในหัวผมออกไปก็เท่านั้น
นั่งลงที่โต๊ะได้ก็สั่งเบียร์ลาวมาดื่ม วันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจมาเมา อย่างที่บอกว่ามานั่งเล่นให้ตัวเองไม่คิดฟุ้งซ่านเท่านั้น ดื่มไปก็มองบรรยากาศรอบๆ สังเกตสีหน้ารื่นเริงและการพูดคุยอย่างออกรสของนักท่องเที่ยวหัวทองทั้งหลายเพลินๆ มันก็พอจะทำให้ผมสงบจิตสงบใจได้บ้างแหละ เสียเพียงอย่างเดียว การมานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้มัน...เหงาชะมัด

เหงาจริงๆ ผมถึงกับต้องถามตัวเองเลยนะว่าตัวเองมาโผล่หัวทำบ้าอะไรที่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวแบบนี้ ความจริงแค่อกหัก ผมกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านสวนในเชียงใหม่ก็ได้ อย่างน้อยก็มีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ มันไม่ทำให้เหงามากขนาดนี้หรอก

การอกหักทำให้ความสามารถในการตัดสินใจของผมต่ำลงจริงๆ

นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาจนเผลอหัวเราะหึในลำคอ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าการหัวเราะของผมเมื่อครู่เป็นการทำให้ใครบางคนเข้าใจผิดว่าผมยิ้มให้

ตอนแรกผมก็ว่าผมคงจะตาฝาดที่เห็นผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามส่งยิ้มมา ผมเลยทำเฉยๆ ทว่าพอเห็นเขามองผมนิ่ง ผมก็เริ่มเอะใจขึ้นมาละ มาชัดเจนอีกทีก็ตอนที่เห็นเขาลุกจากโต๊ะตัวเองเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งเสียงถามนั่นแหละถึงมั่นใจว่าเขามองผมมานานแล้ว

“Hi”
เสียงทักทายภาษาอังกฤษถูกส่งมา ผมมองหน้าเขาก็เกร็งขึ้นมาน้อยๆ ถึงจะเป็นคนเอเชียหัวดำเหมือนกัน แต่การมาถูกพูดภาษาอังกฤษใส่โดยไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ผมก็วางตัวไม่ถูก แต่ก็ยิ้มตอบรับไปนั่นแหละ พลันอีกฝ่ายก็ถามขึ้นอีกครั้ง

“Can I sit here? (ขอผมนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ)” ชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

ผมเข้าใจเพราะเขาพูดชัดถ้อยชัดคำและก็ไม่ได้สำเนียงอเมริกันจ๋าเหมือนปั้นรักด้วยเลยพยักหน้ารับ พออีกฝ่ายนั่ง เขาก็ถามผมขึ้นมาอีก

“Don’t you come here alone? (มาคนเดียวเหรอครับ)”
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเข้าใจทุกคำพูดที่เขาสื่อสาร ผมเลยตอบรับกลับไปสั้นๆ

“เยส”

สั้นมากจริงๆ ใจก็อยากจะถามต่อแหละ แต่ต้องใช้เวลาเรียบเรียงประโยคสักหน่อย ทว่ายังไม่ทันจะได้ถาม เขาก็สวนขึ้นมาอีกแล้ว

“Where are you come from? (คุณมาจากไหนเหรอครับ)”

มึงนี่แม่งก็ถามกูถี่จัง!

ถ้าไม่ติดว่าเขาก็หน้าตาดี ผมคงลุกหนีไปแล้ว เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้ดูหล่ออะไรมากมายหรอก แต่จากการประเมินทางสายตา โครงหน้าและรูปร่างถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวแม้ว่าเขาจะตัวเล็กกว่าผมสักหน่อยก็เถอะ ซ้ำการที่เขาพูดคุยเหมือนจะรู้เรื่อง มันเลยทำให้ผมไม่เอ่ยปากไล่เขาไป ดันตอบกลับเสียอย่างนั้น

“ฟอร์มไทยแลนด์”

สำเนียงไท้ไทย พูดไปก็อายวุฒิความรู้ตัวเองเหลือเกิน เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เป็นเด็กตัวจ้อย โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงก็ไม่ได้มีความพัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ทว่าการที่ผมตอบไปอย่างนั้น คนตรงหน้าก็เบิกตาโตก่อนยิ้มกว้างออกมา
“มาจากไทยเหรอครับ ผมก็เป็นคนไทย”

เอ้า มิน่าล่ะทำไมถึงได้ฟังภาษาอังกฤษที่เขาพูดออกทุกคำเลย

“เหรอครับ” ผมยิ้มออกมา รู้สึกโล่งใจเป็นปลิดทิ้งที่ไม่ต้องคุยภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ และต้องใช้ภาษามือเข้าช่วยในกรณีคุยกันไม่รู้เรื่อง
“แล้วนี่มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ”
เขาถามมาอีกแล้ว รู้แหละว่าชวนคุย ผมเลยพยักหน้าให้อีกที

“หมายถึงมาเที่ยวที่บาร์นี่คนเดียว หรือมาคนเดียวเลย?”
“ผมมาคนเดียวครับ ฉายเดี่ยวน่ะ” พูดจาเป็นกันเองขึ้นมากะทันหันประหนึ่งรู้จักกันมานมนานกาเล
อีกฝ่ายหัวเราะเล็กน้อย “เออ เหมือนผมเลยครับ ผมก็มาคนเดียว นี่ก็นั่งมองคุณมาพักนึงละ เห็นหน้าดูเหมือนคนไทยแต่ไม่แน่ใจก็เลยลองมาทักดู”

ให้เหตุผลมาเป็นคุ้งเป็นแคว ผมยิ้มอีก เขาคงจะไม่มั่นใจว่าผมเป็นคนไทยจริงหรือเปล่าอย่างที่ปากว่า แต่อีกมุมหนึ่ง ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้เข้าหาผมเพราะเหตุผลแรกอย่างเดียวหรอก แบบว่า...ผีมันย่อมเห็นผีด้วยกันน่ะ
“อยู่ที่นี่มากี่วันแล้วเหรอครับ”
“เกือบอาทิตย์แล้วครับ”
“ไม่มีใครมาเที่ยวเป็นเพื่อนบ้างเหรอ”

นั่นไง ถามมาอย่างนี้ก็รู้เลย กำลังจะหาคู่ขาล่ะสินะ

ผมสบตาอีกฝ่ายที่ทอดมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้มพลางพินิจ

รูปร่างหน้าตาดูอ้อนแอ้นเจ้าสำอางอย่างนี้ น่าจะเป็นฝ่ายรับ แต่การที่มารุกผมก่อนอย่างนี้มันเหมือนกับแสงเหนือตอนที่ผมเจอกับเขาครั้งแรกที่ร้านเหล้าของไอ้แสบเลยแฮะ ตอนนั้นแสงเหนือก็เป็นคนอ่อยผมอย่างนี้เหมือนกัน

แสงเหนือ...

จู่ๆ ก็ชะงักไปเพราะคิดถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว ได้สติอีกทีก็ตอนที่คนตรงหน้าถามย้ำอีกครั้ง

“หืม... เงียบเลย กำลังนั่งนับอยู่เหรอ” กลั้วหัวเราะตามมาด้วย

ผมเลยยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า “ไม่มีหรอกครับ ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น”

ผมว่าไปตามจริง บอกตามตรงว่าสังคมของคนที่มีรสนิยมทางเพศเดียวกันกับผมมันค่อนข้างจะไปไหนมาไหนด้วยกันง่าย แต่ผมไม่ค่อยชอบอะไรแบบนั้น ผมชอบความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าผ่านมาแค่คืนเดียวหรือไม่กี่คืนแล้วก็ผ่านไป

“เหมือนผมเลย เอ้อ ลืมบอกไป ผมชื่อปาล์มนะครับ” เขาแนะนำตัว
“จอมดื้อครับ เรียกดื้ออย่างเดียวก็ได้” ผมแนะนำบ้าง ไม่อยากจะถามอายุหรอก ถึงเขาจะดูอายุอ่อนกว่าผมแต่ก็ให้เรียกชื่อเฉยๆ ไปอย่างนั้นแหละ ขี้เกียจพิธีรีตอง
“ชื่อแบบนี้ แสดงว่าตอนเด็กต้องดื้อมากแน่ๆ”
“เป็นแบบนั้นเลยครับ” ผมหัวเราะน้อยๆ
“แต่ดูจากท่าทางคุณตอนนี้มันขัดกับชื่อมากเลยนะ เรียบร้อยกว่าชื่อเยอะ หรือว่าที่นิ่งๆ แบบนี้เป็นเพราะอกหักมา?”

จู่ๆ ปาล์มก็พูดแทงใจดำผมอย่างจัง เข้าใจแหละว่าเขาคงจะหาเรื่องคุย แต่ผมไม่ชอบเลยแฮะ
“ผม...” กำลังจะบอกว่าผมก็เป็นของผมแบบนี้ ทว่าเขาก็ขัดมาก่อน
“ล้อเล่นน่ะ หล่อๆ อย่างคุณไม่น่าจะอกหักหรอกมั้ง ถ้าอย่างผมนี่สิไม่แปลก นี่ก็เพิ่งอกหักมาหมาดๆ เลย ถูกแฟนทิ้งน่ะ ผมก็เลยหนีมาทำตัวอินดี้ที่ลาวคนเดียว”

คำพูดของเขาทำเอาผมเลิกคิ้วสูงเลยทีเดียว
“อกหักเหรอ”
“จะเรียกว่าอกหักได้หรือเปล่านะ คือผมถูกแฟนทิ้งน่ะครับ เขานอกใจไปมีคนอื่น”

ตอนแรกก็ว่าเขาเป็นคนพูดมาก แต่ตอนนี้ดันมองเป็นคนหัวอกเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว
“แต่ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะคิดถึงคนอย่างนั้นสักหน่อย กลับไปไทยเมื่อไหร่คงจะตัดใจได้” เขาว่ามาอีก
“ขอให้ทำได้นะครับ” ผมขอให้ตัวเองด้วย

ปาล์มหัวเราะออกมาทันที ก่อนที่บทสนทนาของเราจะเริ่มเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นเรื่องอื่น ผมพอจะรู้ข้อมูลของปาล์มคร่าวๆ ว่าเป็นเด็กนักศึกษาเพิ่งจบใหม่ แฟนเก่าที่เพิ่งเลิกกันไปเป็นรุ่นพี่ที่แชร์ห้องกันอยู่และคบหากันตั้งแต่สมัยเรียน เพิ่งมาเลิกกันเพราะปาล์มจับได้ว่าแฟนไปมีอะไรกับคนอื่น ปาล์มก็เลยย้ายออกมาจากห้องที่แชร์ร่วมกันและหนีมาเที่ยวลาวเพื่อพักใจเหมือนกันกับผม แต่เรื่องส่วนตัวของเขามันไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมรู้ว่าปาล์มเป็นคนคุยเก่ง เขาสามารถคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ ลักษณะดูคล้ายๆ กับแสงเหนือด้วย ทำเอาผมเริ่มสนุกกับการได้พูดคุยกับเขา ยิ่งอยู่กันดึกมากเท่าไหร่ การพูดคุยของเราก็ออกรสมากขึ้นตามฤทธิ์แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่พวกเราดื่มเข้าไป

จากพูดคุยธรรมดาก็เริ่มกลายเป็นการมองหน้ากันไปมาด้วยดวงตาหวานหยาดเยิ้ม...

ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ผมหรอกที่มองเขาอย่างนั้น เขาต่างหากที่มองผม ผมเห็นแวบเดียวก็รู้เลยว่าถ้าผมเล่นด้วย คืนนี้มันจะต้องจบลงที่ไหน ปกติแล้วผมจะเลี่ยง แต่เหมือนครั้งนี้น่าจะต้องละเว้นไว้ครั้งหนึ่งเพราะเขาดูเหงา ต้องการเพื่อนปลอบใจ ส่วนผมเองก็อยากจะลองดูสักครั้งว่าการไปกอดคนอื่นที่ไม่ใช่แสงเหนือ มันจะทำให้ผมลืมเขาได้หรือเปล่า

มือไม้ของปาล์มเริ่มอยู่ไม่สุข เอื้อมมาคว้าแขนผมไปกอด พลันซบหน้าลงบนต้นแขน พึมพำเสียงเบา
“ผมว่าผมเริ่มเมาแล้วล่ะคุณดื้อ”
แกล้งเมาชัวร์ป้าบ เป็นสัญญาณให้ผมรู้ไงว่าพร้อมจะไปต่อที่อื่นแล้ว
“ถ้าเมาแล้วก็คงถึงเวลากลับไปนอนแล้วล่ะมั้ง ที่พักคุณอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมไปส่ง”

ผมเล่นด้วยไปจนได้ รู้สึกประดักประเดิดมากเลยทีเดียว ขณะที่ปาล์มช้อนสายตามองผม

“ไม่ไกลหรอกครับ ความจริงผมกลับเองก็ได้นะ แต่ถ้าคุณไปส่ง ผมก็ไม่ปฏิเสธ” ส่งยิ้มตามมานิดๆ

อ่อยเต็มที่สุดๆ ผมก็ว่าเขาน่ารักดี ไม่ได้รังเกียจหรอก ก่อนที่จะตอบรับ

“งั้นผมเรียกเก็บเงินเลยนะ ผมเลี้ยงเอง”

ปาล์มพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนผมก็กำลังจะเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน ทว่าปาล์มก็สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ บางอย่างเสียก่อน พลันขัดผมขึ้นกะทันหัน

“เอ่อ...คุณดื้อ ผมว่าพวกเราถูกจ้องอยู่ล่ะ”
“ครับ?”
“นั่นไง ผู้ชายคนนั้นน่ะจ้องพวกเราเขม็งเลย”

ปาล์มว่าพึมพำ ส่งสายตาให้ผมมองไปยังสิ่งที่เขาเห็น พอผมมองไปตามทิศที่เขาบอกก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนคุ้นตานั่งจิบเบียร์ทอดสายตามองผมอยู่ยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่เป็นโต๊ะตัวเดียวกับที่ปาล์มนั่งก่อนหน้า

นั่นมัน...ไอ้ปั้นรัก

กระดกเบียร์อึ้กๆ ทั้งที่ตายังมองผมเขม็ง ผมโคตรมั่นใจเลยว่ามันมองผม ไม่ได้มองปาล์มหรอก ทำเอาผมถึงกับย่นคิ้ว
มันมองบ้าอะไร ที่สำคัญ...มันรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่

ก็คงจะเดินตามหานั่นแหละ ผับบาร์ที่นี่มีสักกี่ร้านเชียว แต่สิ่งที่สงสัยมากกว่านั้นคือผมอยากรู้ว่ามันตามมาทำบ้าอะไร แต่ไม่ได้คำตอบจากมันแม้แต่น้อย มีเพียงคำถามจากคนข้างๆ ที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกจากแขนผมไปนั่งตัวตรง
“ผมว่าเขาดูท่าทางแปลกๆ นะ”

ผมไม่เถียงเลยว่าปั้นรักมันเป็นคนแปลกๆ ขนาดมันทำท่าทางปกติ มันยังดูเป็นคนแปลกๆ เลย ยิ่งมันมาจ้องผมเขม็ง และตอนนี้ก็ขยิบตาให้เหมือนส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ผมก็ต้องย่นคิ้วยู่มากกว่าเดิม

ไม่ได้ขยิบตาส่งสัญญาณ ดูดีๆ แล้วมันน่าจะกำลังส่งสายตาปิ๊งๆ

มันคิดจะทำอะไรของมัน...

หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่4:ริซซี่...ดวง[31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 08-06-2017 22:39:06
สะบายดี ครั้งที่ 5: รักนะ...แจ๊ะๆ[2]

สงสัยหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันยกมือขึ้นทำเหมือนโทรศัพท์เป็นเชิงบอกว่าจะโทรหา ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาโทรหาผมเรื่องอะไรในเมื่อการกระทำของผมก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการใช้เวลาส่วนตัวคนเดียว อารมณ์สนุกสนานก่อนหน้าที่คุยกับปาล์มมลายหายไปทันที เหลือแต่เพียงความหงุดหงิดที่จู่ๆ ก็เห็นมันแลบลิ้นออกมาทำเหมือนจะเลียมือที่ทำเป็นรูปโทรศัพท์

มึงหิว? จะเลียโทรศัพท์? เออ เดาไม่ออกเลยว่ามันจะบอกอะไร

เดาไม่ออกไม่พอ ตอนนี้รู้สึกกวนฝ่าเท้าผมอะ เพราะจากนั้นไม่นานมันก็ทำปากจู๋ๆ เหมือนจะส่งจูบมา ผมเห็นแล้วก็ขนลุกเกรียว

อะไรของมึงเนี่ย!

ไม่ใช่ว่าเพราะหน้าตามันไม่ดีแล้วพอมันทำท่าแบบนั้นมันดูน่าเกลียดนะ แต่เพราะเป็นไอ้ปั้นรักต่างหาก ผมถึงได้ขยะแขยงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ส่วนคนข้างๆ ผม พอเห็นปั้นรักทำหน้าทำตาอย่างนั้น เขาก็เอ่ยขึ้น
“ผู้ชายคนนั้น...เอ่อ...เป็นอะไรกับคุณหรือเปล่า”
ผมส่ายหน้าพรืดทันที
“ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ”
“แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้น”
“ผมก็ไม่รู้” ผมว่า ตายังจับจ้องปั้นรักอยู่ ขณะเดียวกันมันก็ยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์ ‘I love you’ ส่งมาให้
“เขารู้จักกับคุณเหรอ” อีกฝ่ายถามมาอีก
ผมพยักหน้า “เขาเป็น...”

กำลังจะบอกว่าเป็นไกด์ แต่จู่ๆ ปั้นรักก็พลิกมือข้างที่ทำสัญลักษณ์ I love you หงายขึ้น ก่อนจะพึมพำออกมาให้ผมจับใจความได้ว่า... ‘รักนะ แจ๊ะๆ’

แจ๊ะบ้านมันเถอะ!

หน้าชาวาบเลย ขนหัวลุกขึ้นมาอีกระลอกด้วย ขณะที่ปาล์มขมวดคิ้ว

“คู่ขาของคุณหรือเปล่าเนี่ย”
ผมหันขวับไปมองคนถาม กำลังจะปฏิเสธ ปาล์มก็พูดขึ้นมาอีก
“แล้วคุณ...เป็นรับเหรอ”
สีหน้าผิดหวังฉาบพรายขึ้นมาบนใบหน้าของปาล์มทันที

รับบ้ารับบออะไร ดูเหง้าหน้ากูด้วย!

“ผมไม่...”
กำลังจะปฏิเสธความเข้าใจผิด ปั้นรักก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ตรงเข้ามาหาผมแล้ว ก่อนจะโพล่งขึ้นมาห้วนๆ
“ก็นึกว่าไปไหน โดนจัดหนักไปหน่อยถึงกับหนีพี่มาเลยเหรอจ๊ะน้องดื้อ”
“ฮะ?” ผมถึงกับอุทานออกมา

น้องดื้อแป๊ะอะไร มึงนี่ทะลึ่งบ้องมากเกินไปละ อะไรไม่ว่า มันทำคนข้างๆ ผมเข้าใจผิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แล้วนี่ใครอะ จะนอกใจพี่เหรอ” พูดไปเรื่อย หันไปมองหน้าปาล์มอีกต่างหาก
ปาล์มที่จู่ๆ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดหัวเราะแห้งๆ ก่อนรีบโพล่งออกมา
“ผมว่าผมเมามากแล้วล่ะ ขอตัวกลับไปนอนก่อนนะครับ วันนี้ขอบคุณที่คุยเป็นเพื่อนผมมากครับคุณดื้อ”
จากนั้นก็ลุกพรวดไปทันที

มันไป มันมาง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ!

ผมมองแผ่นหลังคนแปลกหน้าที่ห่างออกไปพลันถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเพราะเสียดายที่ไม่ได้ไปต่อกับเขานะ แต่เหนื่อยใจที่มาเจอไอ้ปั้นรักมากกว่า

“ง่อว์ เผลอนิดเดียวมีการเต๊าะคู่ขา แล้วนี่เอาไงต่อ จะแจ๊ะกับพี่ไหมจ๊ะ” ปั้นรักว่า
ผมไม่อยากจะคุยกับมันเท่าไหร่เลยตอกกลับไปสั้นๆ “แจ๊ะบ้าบออะไรของคุณ”
“แจ๊ะแบบนี้ไง”
มันทำมือเป็นสัญลักษณ์ไอเลิฟยูแล้วก็หงายมือขึ้น ขยับๆ เล็กน้อยเหมือนก่อนหน้าให้ผมดู ผมมองแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา คว้ามือมันหมับแล้วสะบัดทิ้ง

“พอได้แล้ว”
“เอ้า เมื่อกี้ยังเห็นยูลั้นลาจะไปกับหนุ่มคนนั้นอยู่เลย ตอนนี้จะพอละ?”
“ผมจะไปกับใคร จะลั้นลาอะไรยังไง แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ มาขวางผมแบบนี้มันเสียมารยาทมากเลยนะ”
“เอ้า ไอเป็นไกด์ของยู ไอก็ต้องดูแลแขกให้ดีสิ ปล่อยให้ไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ไง”
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัว”
“แต่ถ้ายูโดนหลอกไปขุด...เอ้ย รูดทอง ไอจะซวยเอาเพราะดูแลยูไม่ดีน่ะสิ ไอไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก”

ผมเข้าใจที่มันพูดนะว่ามันหมายถึงอะไร แต่การแกล้งพูดผิดอย่างนี้มันไม่ตลกเลยเว้ย!

ทว่าผมก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่พ่นลมหายใจใส่แรงๆ แล้วเรียกพนักงานมาคิดเงิน จ่ายเงินเสร็จก็ลุกจากโต๊ะ ตั้งท่าจะเดินกลับไปยังที่พัก ปั้นรักเดินตามมา ปากก็พูดไปเรื่อย

“เมื่อคืนก็มาเมาเพราะอกหัก แต่วันนี้ดันจะหิ้วคู่ขาไปมีซัมธิงกันละ ใจง่ายคัก”
ผมไม่เถียง การกระทำของผมก็ใจง่ายจริงๆ แหละ ทว่ามาหัวเสียตอนมันพูดอีกประโยคออกมา
“แฟนเก่ายูก็คงเปลี่ยนใจจากยูง่ายๆ ไปกับคนอื่นเหมือนกันล่ะสินะ”

มันหมายถึงแสงเหนือ ถึงแสงเหนือจะไม่ได้เป็นแฟนผมและเคยเป็นคนใจง่ายจริง แต่พอได้ยินมันมาพูดอย่างนี้ ผมก็ไม่พอใจ

มันไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของแสงเหนือสักหน่อย ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักอย่างนี้!

“นี่คุณ หุบปากไปเลยถ้าไม่อยากโดนผมต่อยปากแตก” ผมหันไปว่าเสียงเขียว
ปั้นรักชะงักกึกทันควัน พอตั้งสติได้ก็เลิกคิ้วสูง
“What did you say? (พูดว่าอะไรนะ)” ส่งเสียงสูงออกมาด้วยพร้อมกับผายมือออกประมาณว่าอะไรเนี่ย

ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“แล้วเมื่อกี้คุณพูดอะไรล่ะ” ผมถามกลับ
“ไอก็แค่บอกว่าแฟนเก่าที่ทิ้งยูมาคงไปนอนกับคนอื่นเหมือนกัน” มันว่าซื่อๆ

ความจริงไม่ซื่อหรอก มันกำลังกวนประสาทผม ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมาหาเรื่องกันทุกครั้งที่เจอหน้า แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่พอใจมากๆ

“ปั้นรัก บอกตรงๆ นะว่าผมรำคาญคุณมาก ถ้าพูดอะไรสร้างสรรค์ไม่เป็นก็อยู่เงียบๆ เถอะ”
“ยูเคืองที่ไอตอกย้ำความเจ็บปวดของยูเหรอ” มันยังยักคิ้วหลิ่วตาทำเป็นเล่นอีก
“ไม่ตลกครับ” ผมว่าเสียงเรียบ จ้องมันด้วยสายตานิ่งๆ ด้วย “การที่คุณไม่รู้จักคนอื่นแล้วมาพูดอย่างนี้ ผมว่ามันไม่โอเคเลยนะ ตั้งแต่เกิดมา ไม่มีใครสอนเรื่องมารยาทให้คุณบ้างหรือไง ทำตัวอย่างกับเกิดในสลัม”

ปั้นรักนิ่งไปบ้างเมื่อถูกผมสวนกลับ ผมว่าผมไม่ได้ด่านะ แต่คำพูดของผมก็แรงอยู่เหมือนกัน พอมันตั้งสติได้ มันก็ทำหน้าตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าได้ยินอะไรอย่างนี้จากปากผม

“แล้วเมื่อกี้ไอว่าอะไรยูหรือยัง” เถียงมาอีก
ผมตอบเสียงเรียบ “ไม่ได้ว่าผมแต่ก็เหมือนว่า คุณพูดถึงคนที่ผมรักในทางไม่ดี”
ปั้นรักร้องอ๋อ “โอเค งั้นไอพูดถึงยูในทางไม่ดีคนเดียวก็แล้วกัน แล้วนี่ชวดคู่ขาไปก็อย่ามายุ่งกับดากไอเด้อ ไม่เป็นตัวตายตัวแทนนะขอบอก”

ก็ยังจะเล่นอีก ทำไมมันถึงได้เป็นคนที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นได้ขนาดนี้นะ

“ผมไม่ตลกนะ การล้อเล่นเรื่องรสนิยมของคนอื่นมันต่ำมาก และผมก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ เป็นลูกค้า จะพูดจะทำอะไรก็ให้เกียรติกันบ้าง ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาเล่นหัวด้วยได้” ผมว่าออกไปตรงๆ ละหลังจากที่ทนมันมาหลายวัน

ปั้นรักกลอกตา ทำหน้าเบื่อหน่าย ปากขมุบขมิบบ่นอะไรบางอย่าง
“บลาๆๆ”

เออ มันกำลังล้อเลียน ผมเลยก้าวเข้าไปหามันแล้วกระชากคอเสื้อมันไปทีหนึ่ง
“หยุด”

มันดูตกใจ รีบผลักผมออก โวยวายลั่น
“อะไรของยูเนี่ย!”

คงจะกลัวว่าจะถูกผมต่อยจริงๆ ล่ะมั้ง ผมก็อยากต่อยอยู่หรอก แต่ไม่เอา ไม่ได้หัวร้อนอะไรขนาดนั้น แค่อยากให้มันเลิกเล่นสักที

“ผมเข้าใจละว่าทำไมแม่คุณถึงได้บอกว่าคุณไม่เอาอ่าว เพราะคุณมันเป็นแบบนี้ไง มีการศึกษาดีซะเปล่า ทำตัวเหมือนคนไม่มีหัวคิด เลิกทำตัวอย่างนี้สักที มันหมดช่วงที่คุณจะมาทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่แล้ว”

ผมว่าผมน่าจะไปพูดอะไรแทงใจดำมันเหมือนกันนะ เพราะทันทีที่ผมพูดจบ มันก็นิ่วหน้าทันที
“แล้วไอบอกเหรอว่าเรียกร้องความสนใจ ไม่รู้อะไรก็พูดไปเรื่อย”
“ก็เหมือนกับที่ยูตัดสินคนอื่นแค่เพราะเขาเป็นเกย์นั่นแหละ” ผมหมายถึงตอนมันล้อเล่นเรื่องรสนิยมทางเพศของผม พูดถึงแสงเหนือ และเรียกปาล์มว่าเป็นคู่ขาผมอะไรแบบนั้น
“ไอก็พูดในสิ่งที่เห็น”
“ผมก็พูดในสิ่งที่เห็นเหมือนกัน เห็นว่าคุณมันทุเรศ ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคุณเป็นโสดตลอดชีวิต นิสัยห่วยๆ ปากก็หมาอย่างนี้คงจะมีผู้หญิงที่ไหนอยากเอาเป็นพ่อพันธุ์หรอก”

ผมสวนกลับทันควัน เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเถียงกับคนอื่นทัน อาจเป็นเพราะแสงเหนือเข้าไปเอี่ยวด้วย ผมเลยสู้สุดใจเพราะปกติผมเลือกที่จะเงียบมากกว่า

ปั้นรักยังคงไม่ยอม อึกอักไปเล็กน้อยแต่ก็ยังเถียงกลับมาอีก
“หยุดพูดไปเลย ไม่งั้นไอจะ...”
“จะทำไม” ผมก้าวเข้าไปหา กะว่าถ้ามันคิดจะทำอะไรผมขึ้นมา ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน

ปั้นรักดูพรึงเพริด ก้าวถอยหลังเร็วๆ ก่อนจะทำท่าหันหนี ผมเลยคว้าแขนมันเอาไว้แล้วกระชากมาหลบมุม ปั้นรักเซไปเล็กน้อย พอตั้งหลักได้ก็ถอยหลังไปจนติดกำแพงตึกอีกเมื่อผมต้อนมันไปจนมุม

“พูดมาสิว่าจะทำไม”
ปั้นรักกัดฟันแน่น สายตาจ้องผมเขม็งอย่างดื้อดึงคล้ายไม่ยอม ทว่าพอถูกผมจ้องกลับเขม็งไม่แพ้กัน มันก็เป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน

“ไอจะกลับ” จากนั้นมันก็รีบหนีออกจากตรงนั้น

ผมยอมปล่อยให้มันหนีไปแต่โดยดี กลอกตาตบท้ายอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันหันมามองด้วยสายตาขุ่นเคืองพร้อมกับขยับปากพอให้จับใจความได้

‘You bastard (ไอ้เวร)’

ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

โอเค ผมพอกับมันละ จบกันแค่นี้เลย เลิกจ้าง
-------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ ขออภัยที่หายไปนาน ช่วงนี้ก็จะมาช้าๆ หน่อยเพราะยังไม่มีเวลามาแก้เนื้อหาเรื่องนี้เลยค่ะ
ส่วนตอนนี้ พี่ดื้อมีอารมณ์กับบักปั้นแล้วข่า อารมณ์โมโห 555
หลายคนเห็นหน้าปกแล้วสับสนว่าตกลงคนไหนปั้นรัก คนไหนพี่ดื้อ บอกก่อนว่าพี่ดื้อคือคนมีหนวด ปั้นรักคือคนที่สะพายกระเป๋าสายรุ้ง แต่ใส่เสื้อสลับกันเพราะมันมีเหตุผลอยู่ในเนื้อเรื่องนะคะ รออ่านเน้อ
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่5:รักนะ...แจ๊ะๆ[8/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 09-06-2017 00:54:01
ดีมากค่ะพี่ดื้อ พูดออกมาซะบ้าง คนอ่านอึดอัดแทน
ปั้นรักคะ นี่ถ้าในชีวิตจริงถ้าจะรอดตรีนยากนะคะ 555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่5:รักนะ...แจ๊ะๆ[8/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 09-06-2017 07:38:52
ปั้นนิสัยโคตรเด็ก
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่5:รักนะ...แจ๊ะๆ[8/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-06-2017 09:03:03
นิสัยเด็กมากจิงๆ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่5:รักนะ...แจ๊ะๆ[8/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-06-2017 10:00:23
น่าดีดปากแล้วขยี้ด้วยลิ้้นจริงๆ. จากกันแล้วจะยังไงต่อล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่5:รักนะ...แจ๊ะๆ[8/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 09-06-2017 11:40:14
นี่จะคิดว่าปั้นรักกำลังเรียกร้องความสนใจจากดื้ออยู่นะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่5:รักนะ...แจ๊ะๆ[8/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-06-2017 09:00:36
สะบายดี ครั้งที่ 6: ไหนลองเรียก ‘อ้าย’ ซิ

พอเกิดเรื่องนั้น ผมกลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ได้ก็แจ้งกับพนักงานทันทีว่าพรุ่งนี้ผมจะเช็กเอาท์ออก แล้วก็ขอยุติการจ้างไกด์นำเที่ยวด้วย ตอนแรกก็กะจะไม่บอกเหตุผลเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญหรอก แต่เพราะตอนที่ผมไปแจ้งเรื่อง คุณแอนก็อยู่ที่นั่นพอดี เธอจึงมาเค้นถามผม สุดท้ายผมก็ต้องยอมเปิดปากบอก

สาเหตุที่ผมยกเลิกทุกอย่าง...ก็เพราะไอ้ปั้นรักนั่นแหละ

ทว่าปากดันบอกไปไม่หมด
“ผมจะไปเที่ยวที่จังหวัดอื่นน่ะครับ”
“บอกมาตามตรงเถอะค่ะว่าเพราะปั้นรัก ไม่อย่างนั้นคุณดื้อคงไม่เปลี่ยนใจไม่เอาไกด์หรอกค่ะ” คุณแอนว่าอย่างรู้ทัน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ผมไม่อยากจะใส่ไฟหรอกนะ แต่ในเมื่อเธอพูดมาอย่างนี้ ผมก็พยักหน้า
“มันก็มีเหตุผลส่วนนั้นนิดหน่อยน่ะครับ”
“ปั้นรักไปทำอะไรคุณเหรอคะ” เค้นถามมาอีกละ

ผมลังเลครู่หนึ่งว่าจะบอกหรือไม่บอกดี สุดท้ายก็...
“ปั้นรักไม่ได้ทำอะไรผมหรอก ผมแค่คิดว่าผมกับเขาเข้ากันไม่ค่อยได้น่ะครับ คุยกันไม่ค่อยถูกคอ”

บอกกลายๆ เอาก็แล้วกัน

คุณแอนก็รู้ว่าผมจงใจไม่บอกตามตรง ทว่าเธอก็ไม่ได้เค้นถามอะไร นอกจากจะระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันต้องขอโทษคุณดื้อมากๆ เลยนะคะที่ปั้นรักสร้างปัญหาให้ เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกค่ะ แต่ตั้งแต่ที่...”
“ครับ?” เห็นคุณแอนเงียบไปพักหนึ่ง ผมก็เลิกคิ้วถาม

คุณแอนมองหน้าผม ถอนหายใจอีกครั้งแล้ว
“ตั้งแต่ที่ฉันให้เขาไปอยู่กับพ่อ ปั้นรักกับฉันก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ เวลาฉันบอกให้เขาทำอะไร เขาก็จะทำตรงกันข้ามแทบทุกเรื่องค่ะ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน”

ผมจับประเด็นได้ทันทีว่าปั้นรักมันคงมีปัญหาครอบครัวตามประสาเด็กบ้านแตก แต่อย่างที่บอกว่าผมไม่ยุ่งเรื่องของใครไง ครอบครัวมันจะเป็นยังไงก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาทำกิริยามารยาทแย่ๆ ใส่ลูกค้าอย่างผม ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับส่งเดชไป

“ฉันก็แค่อยากให้เขามีการมีงานทำจะได้มีแนวทางในชีวิตว่าจะไปต่อทางไหน แค่นี้ฉันก็ห่วงจนไม่รู้จะห่วงยังไงแล้ว ยิ่งช่วงนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง”
“ผมเข้าใจครับ”

กลายเป็นว่าการที่ผมมาเช็กเอาท์ออกเป็นการเปิดโอกาสให้คนเป็นแม่ระบายความอัดอั้นตันใจเกี่ยวกับลูกชายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูท่าทางแล้ว ก่อนที่ปั้นรักจะมาหาแม่ที่ลาว มันคงไปทำเรื่องอะไรชวนให้แม่ต้องหนักใจมา ทว่าคุณแอนก็ไม่ได้บ่นต่อเมื่อสายตาเหลือบเห็นปั้นรักเดินเข้ามาที่เกสต์เฮ้าส์พอดี เท่านั้นสีหน้ากลัดกลุ้มของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ พลันบอกผมเร็วๆ

“ขอตัวไปจัดการไอ้ตัวดีก่อนนะคะคุณดื้อ แล้วก็ต้องขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้งด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”

บอกไปอย่างนั้นเพื่อให้คุณแอนสบายใจ พลันมองตามคนรุ่นราวคราวแม่ที่เดินเข้าไปหาปั้นรัก ก่อนที่เธอจะฟาดฝ่ามือลงบนกบาลของลูกชาย พร้อมกับดึงหูไปนั่งที่โซฟาใกล้ๆ แล้วเริ่มบ่นออกมาเสียงดังเป็นภาษาลาว ดีนะที่ช่วงนี้ไม่มีแขกเพราะดึกมากแล้ว ไม่อย่างนั้นปั้นรักต้องขายขี้หน้าแน่ๆ

แต่มันจะขายขี้หน้าหรืออะไร ผมก็ไม่สนใจอยู่ดี ได้แต่ยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นมันมองผมกลับอย่างโกรธๆ ประหนึ่งรู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันถูกแม่เล่นงาน ผมก็ยักคิ้วให้ทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับขึ้นไปชั้นบน ทิ้งให้มันถูกเช็กบิลตามลำพัง



 
ผมใช้เวลาเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเป้ใบเขื่องไม่นานนัก ลงมาเช็กเอาท์ออกตั้งแต่เช้ามืดเพราะผมตั้งใจจะไปขึ้นรถบัสเที่ยวแรกไปวังเวียง อาหารเช้าของผมในวันนี้จึงต้องไปฝากท้องที่ร้านอาหารแถวๆ คิวรถที่หน้าสนามกีฬาเจ้าอนุวงศ์ เปิดในหนังสือแนะนำท่องเที่ยวดู เขาแนะนำให้ผมสั่งข้าวเปียกมากิน ผมก็เลยลองเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นยังไง มันคล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของบ้านเราครับ แต่รสชาติของน้ำซุปก็จะต่างกันพอสมควร ส่วนข้าวเปียกก็เป็นแป้งเส้นกลมๆ ค่อนไปทางเหนียวและลื่นๆ มองเผินๆ มันดูคล้ายกับเส้นอุด้ง กินกับเนื้อสัตว์ซึ่งก็แล้วแต่ว่าแต่ละร้านจะใส่อะไร บนโต๊ะมีเครื่องปรุงสำหรับให้ปรุงรสเพิ่ม ผมไปนั่งงงๆ อยู่นิดหน่อยที่แม่ค้าบอกว่าให้เติมแป้งนัวเพิ่มได้ ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าแป้งนัวมันคือผงชูรสเมื่อสังเกตสีและรูปร่างลักษณะของมันที่อยู่ในกระปุก

ผมไม่ได้เติมอะไรเพิ่มหรอก รสชาติดั้งเดิมของมันก็อร่อยอยู่แล้ว หลังจากจัดการกับมื้อเช้าเสร็จก็ไปนั่งรอรถตามเวลาที่ระบุในตั๋ว พอรถบัสมาแล้วก็ขึ้นไปนั่ง เตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง บอกตามตรงเลยนะว่าพอคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าปั้นรักอีกแล้ว ผมก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด

สดชื่นมากที่ตัวน่ารำคาญออกไปจากชีวิตผมสักที จากนี้ต่อให้หลงหรือถูกโกงก็ช่างมันเถอะ เที่ยวๆ ไป พอเบื่อแล้วก็ค่อยกลับไทยแล้วกัน



 
ทำตามที่หนังสือท่องเที่ยวแนะนำมันก็ไม่ได้แย่ เขาบอกให้ผมมาขึ้นรถเที่ยวแรกสุด ผมเลยมาถึงที่วังเวียงในช่วงบ่าย แต่เพราะความที่นั่งรถมานานติดกันหลายชั่วโมง ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะยังไม่ไปเที่ยวที่ไหน นอนพักและเดินเล่นในละแวกเกสต์เฮ้าส์ที่ไปเช่าอยู่ก่อน ไปลุยเที่ยวอีกทีในวันพรุ่งนี้

วันใหม่มาถึง ผมก็เที่ยวตามที่หนังสือแนะนำการเที่ยวเขียนไว้อีกเช่นเคย เริ่มจากออกมาหาข้าวกินแถวริมแม่น้ำซอง นั่งชมบรรยากาศร่มรื่นเสียเพลิน พอตกบ่ายถึงได้ออกไปเช่าจักรยานแล้วปั่นไปเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ไม่ไกลจากเมือง เช่น ถ้ำพจัง ถ้ำพูคำ ถ้ำผาปวก ถ้ำฤาษี บลูลากูน ฯลฯ

จากการเที่ยววันนี้ ผมค่อยข้างจะชอบและธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ของวังเวียงทำให้ผมหายฟุ้งซ่านได้มากเลยทีเดียว และแน่นอนว่าพอผมได้พัก ก็ไม่ลืมที่จะส่งรูปที่ไปเที่ยวมาวันนี้ให้กลุ่มแชตพี่กับน้องชายของผม พวกนั้นเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดกลับมา
 
จอมแสบ เจ้าของร้านเหล้าที่หล่อน้อยกว่าเจ้าของร้านนม: เที่ยวเพลินเลยนะมึง เดี๋ยวกูหมั่นไส้จะแกล้งทำร้านมึงเจ๊ง
จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง: (http://จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง:) ถ้าคนไม่รู้จักมาชวนไปไหนก็อย่าไปกับเขานะพี่ดื้อ เผื่อเป็นพวกมิจฉาชีพ
 
แต่ละคนพิมพ์ตอบมาคนละอย่าง ส่วนชื่อในแชตที่ดูแปลกๆ นั่น ผมตั้งให้พวกมันตามลักษณะนิสัยเองแหละ 
 
จอมดื้อ: พวกมึงอย่าพล่ามเยอะว่ะ เดี๋ยวขากลับ กูเอาของฝากไปเซ่น
 
พิมพ์ตอบไปอย่างนี้ ทั้งสองคนก็ส่งสติ๊กเกอร์โอเคมาแทบจะพร้อมกับ อ่านข้อความของพี่กับน้องแล้วก็ขำอยู่คนเดียว

ไอ้พวกนี้...พอมีของฝากเข้าล่อหน่อยก็เงียบกันเลยเชียว

ผมก็กะจะยุติการคุยกับมันสองคนแค่นั้นแล้วเพราะกะว่าจะรีบไปซื้อทัวร์ล่องแม่น้ำซองกับพายเรือคายักวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะมืด ทว่าจู่ๆ จอมแก่นก็ดันพิมพ์ข้อความบางอย่างมา
 
จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง: พี่ดื้อได้คุยกับไอ้ธารบ้างไหม
จอมดื้อ: ไม่ได้คุยเลย มีอะไรวะ
 
ในใจตงิดแปลกๆ ว่ามันถามมาอย่างนี้คงต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อจอมแก่นตอบกลับมา
 
จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง: เหมือนช่วงนี้มันจะมีปัญหากับพี่เหนืออะ
 
ผมก็อยากจะถามนะว่ามีปัญหาอะไร แต่พอเห็นชื่อแสงเหนือเท่านั้น ผมก็นิ่งไปทันควัน เป็นห่วงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
 
จอมดื้อ: แล้วทะเลาะกันแรงมากไหม
จอมแสบ เจ้าของร้านเหล้าที่หล่อน้อยกว่าเจ้าของร้านนม: ไอ้แก่น มึงลงมาข้างล่างได้แล้ว กูจะไปที่ร้านแล้ว เร็วเข้า
 
กำลังรอคำตอบจากจอมแก่น ไอ้แสบก็ดันพิมพ์แทรกขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมรู้ว่ามันคงไม่อยากให้จอมแก่นพูดถึงคนที่ทำให้ผมอกหักสักเท่าไหร่ และเหมือนว่าจอมแก่นจะรู้ตัวในตอนนี้ว่าหลุดพิมพ์อะไรออกมา มันเลยรีบส่งสติ๊กเกอร์ว่าโอเคมาอีกครั้ง แล้วบอกผมสั้นๆ
 
จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง: ไว้คุยกันใหม่นะพี่ดื้อ
 
แล้วบทสนทนาของพวกเราก็จบลงแค่นั้น ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะติดต่อไปหาแสงเหนือดีไหมเพราะเป็นห่วงจนวุ่นวายใจขึ้นมา ทว่าพอคิดดูดีๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม ถ้าผมยื่นมือเข้าไปยุ่ง จากที่จะตัดใจได้มันจะกลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บมากกว่าเดิมอีก

คิดดังนั้นผมจึงเอาโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม นั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกจาตรงนั้นเพื่อไปต่อ
ชีวิตของผม...มันต้องเดินหน้าต่อไปต่างหาก
 
กลับเข้าเมืองมาซื้อทัวร์ล่องน้ำซองกับพายเรือคายักของวันพรุ่งนี้ในช่วงเย็นของวันตามที่ตั้งใจไว้เรียบร้อย ผมก็ไปเดินเล่นก่อนจะไปจบที่ร้านอาหารแถวริมน้ำซองเช่นเคย ได้เจอกับกรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวไทยระหว่างที่นั่งกินข้าวอยู่พอดี พวกเขาก็เลยชวนผมไปต่อที่บาร์ในละแวกนั้น ความจริงแล้วแผนของผมคือกลับไปนอนพักผ่อนหลังกินข้าวเสร็จ ทว่าดูจากการที่ผมเอาแต่คิดถึงแสงเหนือไม่หยุด ผมเลยคิดเอาว่าถ้ากลับห้องไป ผมคงจะต้องฟุ้งซ่านจนหัวแตกตายก่อนได้ไปเที่ยววันพรุ่งนี้แน่ๆ

การไปนั่งดื่มกับคนไทยกรุ๊ปนี้ก็สนุกดี อย่างน้อยก็ทำให้ผมไม่ต้องเหงาเป็นพระเอกในมิวสิควิดีโอที่ห้องพักอยู่คนเดียว พวกเขาค่อนข้างจะเฮฮาปาร์ตี้กันมาก เกือบจะทำผมลืมเรื่องแสงเหนือไปแล้วเมื่อผมเริ่มดื่มเยอะขึ้น พร้อมพูดคุยอย่างสนุกสนาน ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมลืมเรื่องแสงเหนือได้เป็นปลิดทิ้งกลับเป็นการปรากฏตัวของใครบางคน

มองไปแวบแรก ผมก็นึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นผู้ชายในแจ็กเก็ตหนัง แต่งตัวประหนึ่งหลุดออกมาจากนิตยสารแต่สะพายกระเป๋าสายรุ้งสำเพ็งเดินผ่านหน้ามาให้เห็น ขยี้ตาไปที สะบัดหัวไปอีกหน่อยเผื่อว่าจะเมาแล้วมองไปยังผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง พอเห็นเข้าเดินเข้ามาในบาร์ ตรงไปคุยอะไรสักอย่างกับพนักงาน ผมก็ต้องอ้าปากค้าง

เฮ้ยเดี๋ยว...นั่นมันไอ้ปั้นรักนี่หว่า!?

ไม่แน่ใจเลยสะกิดถามคนข้างๆ ว่าเขาเห็นเหมือนกับผมหรือเปล่าอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...ตรงนั้นมีผู้ชายใส่ชุดหนังกับสะพายกระเป๋าสายรุ้งใช่ไหมครับ”

คนถูกสะกิดมองไปยังจุดที่ผมชี้ ก่อนจะพยักหน้า
“ใช่ครับ”

เท่านั้นผมก็อ้าปากค้าง

ไอ้ปั้นรักจริงๆ ด้วย มันมาได้ยังไงวะเนี่ย!

ไม่ต้องถามก็น่าจะเดาได้ว่าผมต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันอยู่แล้ว พอมันหันซ้ายหันขวามองหาที่นั่งปุ๊บ ผมก็เบนสายตาหนีปั๊บ ทำเป็นนั่งดื่มไม่สนใจมันไปเรื่อยๆ ดีที่วันนี้คนเยอะพอสมควร ปั้นรักเลยไม่ทันจะได้สังเกตว่าผมก็นั่งอยู่ในบาร์ร้านเดียวกับมันด้วย ดื่มไปสักพัก ผมก็รู้สึกตัวว่าควรกลับก่อนที่มันจะเห็น ไม่ใช่ว่ากลัวมันหรอกนะ แต่ไม่อยากจะเจอเรื่องยุ่งยากใจมากกว่า แค่เห็นหน้ามันก็เบื่อแล้ว ขนาดหนีมาถึงวังเวียงแล้ว มันยังตามมาได้อะคิดดู

ทว่าพอกำลังจะขอตัวกลับไปยังที่พัก ปั้นรักมันก็ลุกขึ้นกวักมือเรียกพนักงานพอดี ดูท่าทางมันก็กำลังจะไปเหมือนกัน ผมเลยรอให้มันไปก่อนจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากัน หากแต่พอพนักงานเดินมาเก็บเงินปุ๊บ ปั้นรักที่กำลังล้วงกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงก็มีสีหน้าตระหนกขึ้นมา ก่อนที่มันจะมีสีหน้าวิตก พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างกับพนักงานนั้นหน้าเครียด ไม่นานพนักงานก็มีสีหน้าตรึงเครียดเช่นกัน พลันเดินไปเรียกผู้ชายอีกคนซึ่งน่าจะเป็นผู้จัดการมาคุย จากนั้นก็พากันทำหน้าเครียดทั้งหมด

ผมมองแล้วก็ย่นคิ้ว

ไอ้ปั้น... มึงจะดื่มเบียร์แล้วชักดาบเหรอ

ไม่น่าชักดาบหรอก แต่น่าจะกระเป๋าเงินหาย ดูจากลักษณะแล้วถ้าไม่หล่นหายแบบไม่รู้ตัวก็คงจะถูกล้วงน่ะ แถวนี้มีพวกมิจฉาชีพขโมยของนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร พนักงานในเกสต์เฮ้าส์ก็เตือนผมให้ระวังมาเหมือนกัน

แต่ว่า...มึงเป็นคนลาวไม่ใช่เหรอไอ้ปั้นรัก มาเสียท่าให้คนลาวด้วยกันนี่มันใช่เรื่องเหรอ

เออ เกือบลืมไปว่ามันไม่ใช่คนลาว แค่ลูกครึ่งลาว แต่สัญชาติไทย และความจริงแล้วผมจะทำเฉยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ได้ ทว่าพอเห็นเหมือนกับว่าเรื่องราวจะใหญ่โตถึงขั้นเรียกตำรวจ ผมก็อดนั่งดูเฉยๆ ไม่ได้

แค่เบียร์ขวดเดียวถึงขั้นจะเรียกตำรวจมันก็เกิดไปใช่ไหมล่ะ ไปจ่ายให้มันก็แล้วกัน
“เดี๋ยวผมเลี้ยงเขาเอง” ผมที่ลุกขึ้นไปแทรกกลางวงโพล่งขึ้น

พวกพนักงานกับผู้จัดการที่ทำท่าเหมือนจะมีปัญหา พอผมยื่นเงินให้ ทุกอย่างก็จบทันที ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ก่อนจะกลับไปทำงานตามเดิม ปล่อยให้ผมกับปั้นรักเผชิญหน้ากันตามลำพัง
“ยูตามไอมาทำไม”
แทนที่มันจะขอโทษ มันดันขมวดคิ้วมองหน้าผมด้วยสายตาหงุดหงิด ผมเห็นแล้วก็ลอบถอนหายใจ
“ผมว่าคำถามนี้ผมควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า ผมมาที่นี่ก่อนคุณมั้ง ไม่งั้นไม่เห็นคุณดื่มเบียร์แล้วไม่มีเงินจ่ายหรอก”
ผมย้อนไปแบบนี้ ปั้นรักก็เงียบ
“ไม่ได้ขอให้ยูมาช่วยสักหน่อย”

ทำเป็นปากดี เมื่อกี้ยังเห็นหน้าดำคร่ำเครียดอยู่เลยเถอะ

ผมไม่อยากจะถือสาหรอก คิดว่าแค่ช่วยก็จบไปเท่านั้น ไม่คิดจะถามมันด้วยว่ามาที่นี่ทำไม หากแต่หูดันได้ยินมันพึมพำขึ้นมาเสียก่อน

“ทำไมต้องมาเจอกันที่นี่ด้วยวะ”
อันนี้กูก็อยากรู้เหมือนกัน ประเด็นคือกูมาที่นี่ก่อนด้วยไง!
“ผมก็อยากรู้” ผมว่า
ปั้นรักทำหน้ารำคาญ “ก็ยูตามไอมา”
“ตลก ถ้าบอกว่าคุณตามผมมายังจะน่าเชื่อกว่าอีก แม่คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมจะมาเที่ยววังเวียง”

พูดมาอย่างนี้ ปั้นรักก็เถียงต่อไม่ออก ทำปากขมุบขมิบพึมพำอีกครั้ง เห็นท่าทางอย่างนั้น ผมก็จับทางได้เลย

มันโดนแม่มันบังคับให้มาตามหาผมแล้วนำเที่ยวเป็นการชดเชยที่มันทำไม่ดีกับผมไว้แน่

ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะพอจะอ่านนิสัยคุณแอนออกน่ะ เธอคงอยากจะให้ลูกชายคนเดียวที่ได้ชื่อว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทำงานจนสำเร็จลุล่วงล่ะมั้งถึงได้ตัดสินใจอย่างนี้ ทว่าจู่ๆ ความโลกสวยของผมก็อันตรธานหายไปเมื่อนึกขึ้นมาได้

คุณแอนน่าจะกลัวว่าผมจะไปวิจารณ์แล้วให้คะแนนติดลบในหน้ารีวิวบนเว็บไซต์จองห้องพักมากกว่า...

หัวเราะในลำคอไปอีกที ทำเอาปั้นรักที่มองหน้าผมอยู่ถามเสียงขุ่น

“หัวเราะอะไร”
“เปล่า”
“เป็นบ้าปะเนี่ย”

ไม่รู้มันไปกินรังแตนที่ไหนมา ทั้งๆ ที่ผมช่วยมันแท้ๆ มันไม่ขอบคุณไม่พอ ยังจะค่อนขอดผมไปเรื่อย ทำเอาผมต้องว่าออกมาอย่างจริงจัง

“นี่คุณ ผมอุตส่าห์ช่วยคุณขนาดนี้ยังไม่ขอบคุณอีก ไม่ขอบคุณแล้วยังจะมาพูดโน่นพูดนี่ว่าผมไปเรื่อยด้วย คุณนี่โตมายังไงเนี่ย”
คล้ายกับว่าผมด่ามันนะ แต่ไม่ได้ด่าหรอก ผมแค่พูดตรงเลยดูเหมือนพูดแรง ก็อย่างว่า นิสัยผมออกจะห่ามๆ ถึงจะไม่ค่อยวุ่นวายอะไรกับใครและใจเย็นในสายตาของคนอื่น แต่ถ้าเอาจริงแล้ว ผมก็เลือดร้อนไม่แพ้ใครเหมือนกัน

พอพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ว่าออกมาเร็วๆ
“ขอบคุณ”
เป็นการขอบคุณที่ไร้ซึ่งความจริงใจมาก ผมไม่ถือสา แต่อยากจะสั่งสอนสักหน่อย เห็นคนตรงหน้าทำให้แม่หนักใจถึงขนาดมาบ่นกับลูกค้าอย่างผมแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงน้องชายตัวเองขึ้นมาบ้าง

ถ้าไอ้จอมแก่นโตขึ้นมาเป็นเหมือนปั้นรักล่ะก็ ผมคงจะตบกะโหลกมันแยกอย่างแน่นอน

เท่านั้นผมก็เลยพูดไปอีกที
“แบบนี้เรียกว่าขอบคุณเหรอ ไหนหางเสียง?”
ปั้นรักกลอกตา ดูท่าจะรำคาญผมสุดฤทธิ์ และเพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไป มันเลยยอมพูดออกมาแต่โดยดี
“ขอบคุณครับ”

เป็นครั้งแรกที่มันยอมผมเลย สงสัยจะโดนแม่เล่นงานมาเยอะถึงได้อ่อนลงขนาดนี้

“โอเค แล้วนี่ยังไง ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่” ผมพอใจกับการขอบคุณของมันละ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ไอก็มาเที่ยวสิ” ปั้นรักตอบเสียงเขียว
ผมหัวเราะในลำคออีกที ว่าทีเล่นทีจริง “โดนแม่บังคับให้มาล่ะสิ”

เท่านั้นริมฝีปากหนาก็เม้มเข้าหากัน ดูก็รู้เลยว่าผมพูดถูก

คุณแอนใช้ให้มาจริงๆ ด้วย...

“จะมาเป็นไกด์ให้เหรอ”
“เออ” ปั้นรักตอบรับเสียงห้วน
“ถ้าจะมาเป็นไกด์อะไรเพราะกลัวว่าผมจะไปคอมเพลนดิสเครดิตอะไรล่ะก็ ไม่ต้องหรอก ผมไม่เสียเวลาทำเรื่องอย่างนั้น อีกอย่าง ตอนนี้ผมไม่อยากได้ไกด์แล้ว มีหนังสือนำเที่ยวอยู่ คนไทยที่นี่ก็มี เดี๋ยวผมไปเที่ยวกับเขา” ผมว่า
ปั้นรักได้ยินแล้วก็บ่นออกมาซึ่งๆ หน้า “เสียเวลานั่งรถมาฉิบ”

ก็ใครใช้ให้มึงมาล่ะ บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่เอาไกด์แล้ว ตอนอยู่ในเวียงจันทน์ก็น่าจะพูดชัดเจนแล้วนะ

“อยากกลับไหมล่ะ” ผมถามอีกครั้ง

ปั้นรักไม่ตอบ แต่ผมรู้ว่ามันคงอยากกลับจะแย่ ก็เลยล้วงกระเป๋าเงินจากกระเป๋าที่คาดอยู่บนหน้าอก นับเงินไทยออกมาจำนวนหนึ่งแล้วส่งให้มัน ปั้นรักรับไปอย่างงุนงงเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ผมก็ไม่ปล่อยให้มันได้พูดอะไรด้วยเมื่อเห็นว่ามันทำท่าจะถามว่าผมทำอะไร

“เงินนี่เอาไว้ขึ้นรถกลับแล้วกัน แล้วผมก็มีอะไรจะบอกอย่างนึง”

ปั้นรักทำหน้าตาไม่พอใจออกมาให้เห็นอย่างไม่ปกปิดหากแต่ไม่พูดอะไร เปิดโอกาสให้ผมได้พูดต่อ
“ผมอายุมากกว่าคุณ”

ความจริงก็ไม่รู้หรอกว่ามันอายุเท่าไหร่แน่ แต่เดาจากที่แม่มันบอกว่ามันเพิ่งเรียนจบ มันก็น่าจะอายุยี่สิบสอง ส่วนผมเรียนจบมาสักพักแล้ว ตอนนี้อายุยี่สิบสี่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ยังไงผมก็อายุมากกว่ามันแน่นอน

และการที่จู่ๆ ผมก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ปั้นรักเลยเอ่ยเสียงเบา “อะไรวะเนี่ย” ตามมาด้วยการเลิกคิ้วสูงอย่างยียวน “ยูจะบอกว่าภูมิใจที่แก่ตัวขึ้นว่างั้น เหอะ พวกคลั่งระบบอาวุโส”

ตบท้ายด้วยการเบ้ปากจนผมอยากจะยื่นมือไปตีให้เลือดกบปากนัก ทว่าเลือกที่จะยืนนิ่งๆ แล้วอธิบายเสียงเรียบแทน

“มันไม่ได้เกี่ยวกับคลั่งหรือไม่คลั่งระบบอาวุโส ผมแค่กำลังจะบอกให้คุณรู้จักเคารพคนอื่นบ้างก็เท่านั้น ผมไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านี้คุณไปเจออะไรมาบ้าง แต่การที่คุณต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคม คุณจะต้องรู้จักเคารพคนอื่น เริ่มจากผมเลยเพราะคุณทำเสียมารยาทกับผมหลายครั้งมาก ขนาดเมื่อกี้ผมเพิ่งช่วยคุณแท้ๆ คุณยังดูไม่สำนึก” ผมให้เหตุผล ว่ามันไปด้วยอีกหน่อย
ปั้นรักทำท่าจะเถียง ทว่าผมก็สวนขึ้นก่อน

“คนมีการศึกษาสูงคงเข้าใจนะว่าผม...ไม่สิ พี่หมายความว่าอะไร ปั้นก็เพิ่งจะเรียนจบมาหมาดๆ ใช่ไหม” เรียกแทนตัวเองว่าพี่เลย เป็นการตอกย้ำเป็นนัยๆ ว่ามันควรจะเคารพผมและเรียกผมว่าอะไร

ปั้นรักไม่แสดงออกง่ายๆ หรอก ทำเสียงจึ๊จ๊ะในลำคอ เบ้หน้าขึ้นมาอีกระลอกแล้ว แต่ก่อนที่มันจะได้พูดอะไร ผมก็สวนขึ้นอีกครั้ง
“แถมตอนนี้ไม่ใช่แค่อายุเยอะกว่าแล้วด้วย แต่พี่ยังเป็นผู้มีพระคุณอีก ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้พี่ช่วย ปั้นจะทำยังไง ไปโรงพักเพราะกินเบียร์ขวดเดียวแล้วไม่มีเงินจ่ายเลยจะชักดาบงี้เหรอ”

ทวงบุญคุณเรื่องเมื่อกี้แม่งเลย ปั้นรักทำหน้าเหม็นบูดออกมา คล้ายกับว่าพลาดไปแล้วที่เปิดโอกาสให้ผมเข้าไปยุ่มย่ามปัญหาของมันโดยไม่เต็มใจ ก่อนจะเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“แต่เมื่อกี้ไอก็ขอบคุณไปแล้วไง”
“แค่ขอบคุณมันไม่พอหรอกนะ”
“แล้วยูจะเอาอะไร” เอียงคอ ทำท่าหาเรื่องผมชัดเจน บ่งบอกชัดเจนเลยว่ามันรำคาญเต็มทน แต่มันก็พยายามที่จะอดทนนะ ถ้าไม่อดทน ป่านนี้มันคงกวนโมโหผมกลับแล้ว

ทว่าตอนนี้ผมถือไพ่เหนือกว่า พลันว่าออกมานิ่งๆ
“ไหนลองเรียก ‘อ้าย’ ซิ”

พูดไปเท่านั้น ปั้นรักก็ทำหน้าแหยง
“ทำไมต้องเรียก”
“อายุมากกว่าก็ชัดเจนแล้ว เป็นผู้มีพระคุณอีก ถ้าไม่อยากมีอะไรติดค้างก็เรียกสิ”

ดูก็รู้ว่าปั้นรักไม่อยากเรียก แต่มันก็หยิ่งในศักดิ์ศรีพอที่จะไม่หนีสถานการณ์ที่ผมบีบคั้นมันตรงหน้า สิ้นเสียงผม มันก็ทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“เรื่องเหอะ แขยงปาก”

สิ้นเสียง มันก็เดินเข้ามากระแทกไหล่ผมอย่างแรง ทำท่าจะออกไปนอกร้าน ผมเห็นท่าทางมันแล้วก็ได้แต่ยักไหล่ไม่ยี่หระ
ไม่อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก คงจะใช้อธิบายเรื่องนิสัยของมันได้

หากแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปไหน จู่ๆ ปั้นรักก็เดินกลับมาในบาร์ เข้ามาหยุดยืนตรงหน้าผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม
“มีอะไร” เห็นมันไม่พูดสักที ผมเลยถาม

ปั้นรักทำท่าอึกอัก แล้วก็พูด
“จะเรียกว่าอ้ายก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”
“รถกลับเวียงจันทน์หมดเที่ยวแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยกมือขึ้นกอดอก เดาอะไรออกขึ้นมารางๆ

อย่าบอกนะว่ามัน...ไม่ได้จองห้องพักเอาไว้?

ใช่อย่างที่ผมคิดนั่นแหละเพราะหลังจากประโยคนั้น มันก็พูดออกมาอีก

“เงินก็มีแค่ค่ารถกลับ”
“แล้ว?”
“ก็ไม่อยากไปนอนที่ขนส่ง”

นั่นไง ผิดจากที่ผมคิดที่ไหน

ผมยกยิ้มมุมปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างผู้มีชัยทันที
“สรุปคือจะขอค้างกับพี่คืนนึงว่างั้น”

ปั้นรักไม่อยากจะพยักหน้ารับหรอก เบือนหน้าไปด้านข้าง ว่ามุบมิบ
“เออ”
“งั้นก็เรียกอ้ายสิ ไหนพูด...อ้าย...”

ผมได้ทีก็ขี่ช้างไล่ใหญ่ ปั้นรักชำเลืองมองหน้าผมแล้วก็ค่อยๆ ขยับปากในขณะที่ผมรอฟังอย่างตั้งใจ
“อะ...อ้าย...”
“อีกทีซิ ได้ยินไม่ชัด”
“อ้าย...” พูดไปก็ทำหน้าหงุดหงิดไป
“อ้ายดื้อ...” ผมพูดขึ้นมา พยักพเยิดเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้มันพูดตาม

ปั้นรักสบถอะไรสักอย่างออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ทำท่าเหมือนจะไม่พูด แต่สุดท้ายก็...
“อ้ายดื้อ...โว้ย!” ก่อนที่มันจะทำท่าขนลุก แล้วเอามือมาเกาคอตัวเองรัวๆ “โอ๊ย! คัน!”

แสลงปาก แสลงคอสินะ กูก็แสลงหูเหมือนกัน

ขนลุกเกรียวเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ก็ทำให้ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา หยุดหัวเราะได้ก็ออกปากชวนมัน
“ดึกแล้ว กลับกันเถอะ พรุ่งนี้ปั้นจะได้กลับแต่เช้า”

พูดจบก็เดินนำมันออกมานอกบาร์ ขณะที่ปั้นรักลูบแขนลูบคอตัวเองเป็นพัลวัน
“ขี้เดียดเด้! (ขยะแขยง!)”

ผมได้แต่หัวเราะกับท่าทางนั้นอีกครั้ง

เด็กน้อยเอ๊ย คิดจะเล่นกับพี่มันเร็วหลายปีแล้ว
---------------------------
อัปเต็มตอนแล้วค่ะ พี่ดื้อตีตื้นมาแล้ว ได้ทีแกล้งน้องใหญ่เลยนะ บอกตรงๆ ตอนน้องเรียกอ้ายนี่แบบขนลุกแทนพี่ดื้อ 555
ฝากฟีดแบ็กด้วยค่า เดี๋ยวเย็นๆ จะเอาตัวอย่างตอนต่อไปมาแปะให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่6:ไหนลองเรียก 'อ้าย' ซิ[10/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 10-06-2017 11:22:37
อ้ายดื้อ พรุ่งนี้จะปล่อยน้องกลับบ้านไปเหรอ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่6:ไหนลองเรียก 'อ้าย' ซิ[10/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 10-06-2017 12:25:45
ไม่อย่กได้แค่ตัวอย่างอ่ะครับ 55555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่6:ไหนลองเรียก 'อ้าย' ซิ[10/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-06-2017 01:00:12
ปั้นรักดูเป็นเด็กมีปัญหานะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่6:ไหนลองเรียก 'อ้าย' ซิ[10/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 09-07-2017 01:21:22
สะบายดี ครั้งที่ 7: อย่ายุ่งกับดากเด้อ

พากลับมาที่ห้อง จัดการวางข้าววางของเสร็จ ผมก็ตั้งท่าจะหันไปบอกมันให้ทำตัวตามสบายเพราะเห็นมันเดินเกร็งๆ มาตั้งแต่เมื้อกี้แล้ว ทั้งที่ปกติมันน่าจะไร้ซึ่งความเกรงอกเกรงใจเหมือนที่เคยทำ ถ้าให้ผมเดานะ ผมว่าเป็นเพราะก่อนจะแยกกันรอบที่แล้ว ผมต่อว่ามันไปน่ะ ครั้งนี้มันก็เลยไม่ค่อยกล้าอะไรกับผมเท่าไหร่

“ไม่ต้องเกร็ง ถือซะว่าเป็นห้องตัวเองก็ได้ ทำตัวตามสบายเถอะ พี่เห็นแล้วอึดอัดแทน”

เรียกแทนตัวเองว่าพี่ไปเรียบร้อย ปั้นรักสบตาผม ผมก็ยิ้มให้ แต่มันไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้นนอกจากวางกระเป๋าบาเลนเซียก้าอะไรของมันลงบนโต๊ะใกล้ๆ กับเตียง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนพื้น แทนที่จะนั่งบนเตียง

เห็นแล้วผมก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อยประมาณว่า ‘แล้วแต่นะ’ เพราะตอนแรกผมกะว่าจะชวนมันนอนบนเตียงด้วย บังเอิญห้องที่ผมเช่ามันเป็นห้องที่มีเตียงเดี่ยวไซส์ควีนเบด ถึงจะไม่ใหญ่มาก แต่ผู้ชายตัวขนาดผมกับมันก็นอนข้างกันได้สบายๆ โดยไม่ต้องเบียด
พอทำทีเป็นไม่สนใจ เดินไปเปิดตู้เย็น คว้าน้ำดื่มมารินใส่แก้ว ปั้นรักก็ถามขึ้น

“มีผ้าห่มอีกไหม”
หมอนนี่ไม่ถามแล้วเพราะมันเห็นเต็มสองตาว่าบนเตียงมีหมอนอีกใบ ผมพยักพเยิดปลายคางไปยังตู้เสื้อผ้า
“ในตู้น่าจะมีนะ”

สิ้นเสียง ปั้นรักก็ลุกขึ้นไปเปิดตู้ คว้าผ้าห่มสีเขียวที่ลักษณะคล้ายๆ ผ้าขนหนูออกมา จากนั้นก็จัดการเอาปูบนพื้น เห็นก็รู้เลยว่าคืนนี้มันคงจะนอนบนพื้นแน่ๆ ผมไม่ติดใจหรอก รู้ว่ามันคงจะเกรงใจ หรือไม่ก็เกร็งๆ ที่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกับผม แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ดันออกปากถาม

“แล้วไม่นอนเตียงกับพี่เหรอ”
ถามเพราะอยากรู้น่ะ ไม่ได้อยากจะให้มันมานอนข้างๆ หรืออะไร และตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าผมคิดผิดที่ไปหลงคิดว่ามันเกรงใจ ความจริงแล้วมันน่ะ...

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวตื่นมาแล้วไอตกเป็นของยูขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”

...มันกลัวผมจะทำมิดีมิร้าย

โถ ไอ้ปั้น! มึงนี่น่าปล้ำมากเลยนะ!

ถึงกับต้องประชดประชันมันในใจ เห็นมันทำหน้าแหยงๆ ใส่ผมด้วยแล้ว ผมก็แทบอยากจะไสหัวมันออกไปจากห้อง แต่เป็นคนอนุญาตให้มันมานอนไงเลยพูดออกไปไม่ได้ จึงทำได้แค่บอกเร็วๆ เท่านั้น

“ไม่ทำหรอกน่า เห็นพี่เป็นคนยังไง”
“หื่น” มันตอบหน้าตาเฉย
ผมเลยว่าเสียงเข้มใส่ “ถึงจะเป็นเกย์ แต่พี่ก็เลือกนะ”

ตอกกลับไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ไม่พูดอะไร เพราะนัยยะที่ผมแฝงออกมามันหมายถึง...’ต่อให้มึงมายืนแก้ผ้าตรงหน้ากู กูก็ไม่เอามึงหรอก!’ อะไรประมาณนั้น

และดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะทำให้ปั้นรักผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเริ่มเกาตามเนื้อตามตัว เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่ามันคงจะเหนียวตัวเพราะเดินทางทั้งวัน แต่ผมไม่พูดอะไร นอกจากเข้าไปอาบน้ำก่อน พอกลับออกมาถึงได้เอ่ยปาก

“ถ้าเหนียวตัวก็ไปอาบน้ำเถอะ ผ้าเช็ดตัวมีในตู้อีกผืน”
ได้รับอนุญาต ปั้นรักก็พยักหน้ารับอือออ ลุกขึ้นยืน ตรงไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่าพลันถอดกางเกงยีนของตัวเองลง เหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์เท่านั้น

ผมมองตามขณะใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดปลายผมของตัวเองที่เปียกน้ำจนชื้น มองตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แค่มองธรรมดา แต่พอมองไปมองมา สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปจับจ้องอยู่แต่ลวดลายกางเกงบ็อกเซอร์ของมัน

สีสันฉูดฉาดขนาดนี้ มันกล้าซื้อมาใส่ได้ยังไง...

เป็นสิ่งที่ผมสงสัย และดูท่าสายตาผมจะทำให้ปั้นรักรำคาญใจไม่น้อย ก่อนที่มันซึ่งอยู่ในสภาพมีบ็อกเซอร์ตัวเดียวปกปิดของสงวนจะหันมาสบตาผมพลางว่าเสียงขุ่น

“เอ้า มองๆ”
ผมแสร้งทำเฉยๆ แต่การที่เฉยนั้นทำให้ปั้นรักทำหน้าหาเรื่องใส่
“ยังๆ ยังจะมองอีก”
ผมเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย “ทำไม มองไม่ได้เหรอ”
“ถ้ามองหน้าก็ไม่ว่า” มันบอก “แต่มองดากนี่เสียวคัก”

โว้ย! กูไม่ได้มองดากมึงสักหน่อย แค่มองลายกางเกงบ็อกเซอร์มึงเฉยๆ!

ลายกางเกงแม่งก็น่าให้มองจริงๆ นั่นแหละ เด่นสะดุดตา เป็นลายดาวสีเหลือง พื้นสีแดงแจ๋อย่างกับเอาแม่สีมาสาดขนาดนี้ อยากจะถามมันมาก... มึงกลัวควายไม่วิ่งมาขวิดหรือไง

โดยปกติผมจะทำเป็นไม่สนใจนะ กะว่าแค่มองแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เพราะมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็เลยแกล้งทำเป็นจ้องเขม็งเลย

ปั้นรักมองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจ เอามือทั้งสองข้างมากุมแก้มก้นไว้ทันควัน

“แน่ะๆ มองอีก คิดอะไรลามกอยู่อะดิ”
บอกตรงๆ ว่าไม่ได้คิดสักนิด ตอนแรกกะแค่แกล้งมองเขม็งแล้วก็หยุด แต่เห็นท่าทางหวาดระแวงของมันแบบประดิษฐ์ๆ ผมก็อดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้

จ้องแม่งเลย จ้องให้มากกว่าเดิม จ้องเขม็ง จ้องตาเป็นมัน จ้องหื่นๆ แกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากยั่วมันด้วย ปั้นรักออกอาการเลิ่กลั่กเป็นการใหญ่ เห็นท่าทางของมันแล้ว ผมก็รู้สึกสนุกขึ้นมา ยิ่งพอมันหันดาก...เอ้ย ก้นหนี ผมก็จ้องอย่างกับว่าจะสิงเข้าไปในกางเกงบ็อกเซอร์ของมัน

“เลิกมองได้แล้ว เสียว!”

เสียวที่โดนมองหรือเสียวเพราะกลัวว่าผมจะทำมิดีมิร้ายมันก็ไม่รู้ ผมมองอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งแล้วก็แสร้งไม่สนใจเพราะคิดว่าควรยุติการแกล้งแต่เพียงเท่านี้ คราวนี้ปั้นรักถึงได้เริ่มวางท่าทางปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือบมองผมอย่างไม่ไว้ใจมาเป็นระยะ

“พี่ไม่ทำอะไรหรอกน่า”
พูดไปอย่างนั้นเพราะหนึ่งรำคาญที่มันมองผมในทางไม่ดีไม่ยอมหยุด และสอง...ผมไม่คิดจะทำอะไรมันจริงๆ

ปั้นรักสูดลมหายใจเข้าปอด ส่งสายตาประหนึ่งไม่เชื่อมา ทว่าก็ยอมที่จะเดินผ่านหน้าผมเพื่อไปเข้าห้องน้ำแล้ว ผมก็ว่าจะเลิกแกล้งมันอยู่แล้วนะ แต่พอมันเดินผ่านแล้วพูดใส่ผมว่า...

“ขนดากลุกซู่”

...ผมก็ดันหมั่นไส้มันขึ้นมาอีก

ขนลุกนักใช่ไหม ได้! จกดากมันแม่ง!

ไม่ได้คิดอย่างเดียว ยื่นมือไปจับตูดมันเข้าให้หมับหนึ่ง ปั้นรักสะดุ้งโหยง ร้องเสียงดัง
“เฮ้ย!”

แค่นั้นยังไม่พอ สบโอกาส ผมก็ฟาดไปไม่แรงนักอีกทีดังเพียะ

ผิวเนื้อที่เด้งรับมือนี่มันแบบ... แหม เด้งดีดึ๋งดั๋ง

แน่นอนว่าปั้นรักร้องโวยวายกับการกระทำนั้นของผมสุดเสียง
“ยูทำบ้าอะไรเนี่ย!”

ผมกำลังจะแกล้งบอกมันว่าทำให้เสียวดากมากขึ้นไง ทว่ายังไม่ทันจะได้พูด หมัดหลุนๆ ของมันก็พุ่งมาปะทะที่ซีกหน้าผมแล้ว
ต่อยดังผัวะ ผมถึงกับเสียหลักไปเลย ถึงจะไม่แรงมากแต่รู้สึกทันทีเลยว่าปากแตกเพราะรสเค็มปร่าที่อบอวลในปาก ปั้นรักก็ดูตกใจเหมือนกันที่พลั้งมืออย่างนี้ ทว่าครู่เดียวก็รีบเก็บอาการ รีบพูดเร็วๆ

“เป็นเกย์หื่นบ่นิ เว้าแล้วเว้าอีกว่านอนนำได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับดาก ฮ่วย!”

หลุดภาษาลาวออกมาเฉยเลย จากนั้นก็ตามมาด้วยบ่นเป็นภาษาอังกฤษที่ผมฟังไม่เข้าใจ จากนั้นก็หายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมยืนสูดปากตัวเองด้วยความเจ็บปวดตามลำพัง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดบ่น ยังมีเสียงบ่นพึมพำกับการกระทำของผมเมื่อครู่ดังออกมาให้ได้ยินอีกเป็นระยะตลอดการอาบน้ำของมัน จนผมอยากจะพุ่งไปถีบประตูแล้วจกดากมันให้สาแก่ใจ อุตส่าห์ทำเงียบๆ ไม่ตอบโต้แล้วนะ มันยังจะตะโกนมาอีก

“โว้ย! หื่นคัก! บักหื่น!”

“ถ้าไม่หยุดบ่น พี่จะตามจกดากทั้งคืนนะจะบอกให้”

ผมสวนกลับไป เท่านั้นแหละ เสียงเงียบไปเลย พักใหญ่ๆ ปั้นรักถึงออกจากห้องน้ำมาพร้อมกับสีหน้าปั้นปึ่ง
“มาจกดากไอ ไอจะขมิบมือยูให้ขาด”

ผมถึงกับหลุดหัวเราะ

มึงจะโหดยันดากไม่ได้นะไอ้ปั้น!

ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยืนมองมันแต่งตัวเร็วๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนแล้วออกคำสั่งผมหน้าตาเฉย
“ปิดไฟได้แล้ว แล้วตอนไอนอน อย่ามาแอบจับอะไรของไอด้วย ไม่งั้นแจ้งตำรวจนะเว้ย”
“คร้าบๆ”

ผมตอบรับขณะยังหัวเราะอยู่ เดินไปปิดไฟให้มันตามสั่งแต่โดยดี



 
เพราะตะลอนเที่ยวทั้งวัน พอหัวถึงหมอน ผมก็หลับคร่อกเหมือนชัตดาวน์ตัวเองไปเลย ปั้นรักเองก็เช่นกัน หลังจากที่มันโทรอายัดพวกบัตรสำคัญๆ ที่หายไปกับกระเป๋าเงินเป็นที่เรียรร้อย มันก็ปิดสวิตซ์ตัวเองทันที เหมือนจะหลับไปก่อนผมอีกมั้ง ผมก็ไม่ได้ไปรบกวนอะไรมันหรอกถ้าหากว่าพอตกดึก หูผมไม่ได้ยินเสียงดังกึ้กๆ มาจากมันน่ะนะ

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร รู้แต่ว่าเสียงนั้นมันทำให้ผมหลับต่อไม่ลง ผมเป็นพวกที่ถ้ามีเสียงอะไรรบกวนแม้แต่หน่อยเดียวก็จะตื่นขึ้นมาทันที ยังไม่ทันที่จะได้รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร ผมก็ได้ยินเสียงของปั้นรักดังขึ้นมาเสียก่อน

“cold… (หนาว...)”

งึมงึมๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ รู้แต่ว่ามันพูดภาษาอังกฤษ ผมก็เลยดันตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์ไปส่องมันก็เห็นว่าปั้นรักนอนขดเป็นกุ้งอยู่

อ๋อ หนาวล่ะสินะ

กอดกระเป๋าบาเลนเซียก้า ตัวงออย่างกับกิ้งกือ ฟันกระทบกันดังกึ้กๆ พึมพำๆ ไม่หยุด ตอนนี้ผมเลยรู้ว่าเสียงที่ดังมาให้ได้ยินอยู่นานสองนานคือเสียงฟันมันนั่นเอง เห็นแล้วก็สมเพชปนเวทนา จะว่าขำก็ขำอยู่เหมือนกัน

แหม ทำเป็นปากดีอย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายก็ไม่พ้นกูจนได้

เพราะมันเอาผ้าห่มที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าไปปูนอนแล้ว ผ้าเช็ดตัวก็ใช้ซับน้ำตอนอาบน้ำ ยังเปียกชื้นๆ อยู่ จะเอามาห่มให้มันก็เดี๋ยวจะไม่สบายเอา ถ้าปิดแอร์ก็จะร้อนอีก ดังนั้นผมจึงเอาผ้าห่มตัวเองที่เหลืออยู่ผืนเดียวไปห่มให้มัน แต่ถ้าจะห่มให้มันคนเดียว ก็เท่ากับว่าผมจะไม่มีผ้าห่มใช้ใช่ไหมล่ะ ผมก็เลยทิ้งตัวลงไปนั่งบนพื้นก่อนล้มตัวนอนข้างๆ มัน ตลบผ้าห่มคลุมกายให้ปั้นรักด้วย
ทันทีที่ผ้าห่มคลุมตัว ความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมา ปั้นรักก็กระชับผ้าห่มแน่นทันที มิหนำซ้ำยังออกแรงดึงจนผ้าห่มบนตัวผมถูกดึงไปทางมันทั้งหมด

เฮ้ยๆ ตลกละมึง ไม่ได้ยกให้มึงนะ

ผมเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มกลับมา ปั้นรักที่ยังอยู่ในห้วงนิทราส่งเสียงรำคาญใส่

“อื้อ...F*ck”

ผมถึงกับชะงัก

ไอ้นี่... ขนาดหลับ มันยังจะกวน...

พอปล่อยมือ ปั้นรักก็ดึงผ้าห่มไปทั้งหมด ซ้ำยังพลิกตัวตะแคงหนีไปอีกข้างด้วย ทำเอาผมที่นอนอยู่ข้างๆ ถอนหายใจออกมา
ลงมานอนข้างมันนี่ตัดสินใจพลาดแท้ๆ

แต่พอเห็นมันกรนดังคร่อกๆ เพราะหลับสบายกว่าเดิม ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะยิ้มทำไม พลันความหมั่นไส้ก็ประดังประเดเข้ามา เลยฟาดก้นมันไปไม่แรงนักทีหนึ่ง

ฝ่ามือกระทบแก้มก้นดังเพียะ เท่านั้นเสียงของปั้นรักก็ดังตามมา
“อือ...อย่ายุ่งกับดากเฮาเด้”

คราวนี้ผมถึงกับหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่

ถึงมันจะกวน แต่มันก็ตลกดีเหมือนกัน ทำผมหัวเราะได้ขนาดนี้ งั้นเรื่องผ้าห่มก็ช่างมันเถอะ
ผมนอนมองเงาของปั้นรักตรงหน้าอีกครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงบ้าง ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว



 
ตอนนอนมันไม่เท่าไหร่ ตอนตื่นมานี่สิหายนะ เพราะผมตื่นมาในสภาพถูกปั้นรักกอดก่ายประหนึ่งหมอนข้าง ใช้หน้าอกผมต่างหมอนอีก อะไรไม่ว่า น้ำลายมันก็มาหยดลงบนคอเสื้อผมด้วยเถอะ จะว่าขยะแขยงก็พูดได้ไม่เต็มปาก ถ้ามันไม่หล่อ ไม่น่ารักล่ะก็ ป่านนี้ผมถีบติดประตูไปแล้ว

“ปั้นรัก ตื่นได้แล้ว ปั้น...”

เรียกไปเขย่าไป ปั้นรักก็ส่งเสียงอือออไม่หยุด หนำซ้ำยังจะกอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิมด้วย

มึงเป็นตุ๊กแกหรือไง!

แทบจะสิงผมอยู่แล้วเถอะ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นนั่งพรวดทันที ทำเอาปั้นรักที่หลับอยู่เทกระจาดไม่เป็นท่า พอตั้งหลักได้ก็โวยวายลั่น

“อะไรเนี่ย!”

ยังจะถามอีกเหรอว่าอะไร น้ำลายมึงหกรดหน้าอกกูจนจะกลายเป็นแอ่งน้ำขังอยู่แล้ว!

ผมมองสภาพมันที่ยังเมาขี้ตาอยู่อย่างระอา พอมันเริ่มหายงัวเงียก็ตวัดมองผมพลางย่นคิ้วยู่
“แล้วปลุกไอขึ้นมาทำไมเนี่ย”

ถ้าไม่ปลุก แล้วมึงจะทันรถกลับเวียงจันท์รอบแรกไหมล่ะ มันคงลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าเมื่อคืนนี้มานอนที่ห้องผมทำไม แต่ยังไม่ทันจะได้บอกอะไร ปั้นรักก็เอะใจอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

“เดี๋ยวนะ เมื่อคืนนี้ยู...นอนกับไอ?”
ผมพยักหน้า เท่านั้นแหละ มันก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน ดึงกางเกงบ็อกเซอร์ลงแล้วหันมองก้นตัวเองทันที
“Didn’t I lost my butt’s virgin!? (เสียซิงตูดไปหรือยังวะเนี่ย!)”

ผมแปลได้นะประโยคนี้ มันกำลังถามว่ามันโดนผมทำอะไรไปหรือยัง แต่เดี๋ยวนะไอ้ปั้น มึงไม่ต้องพิสูจน์ด้วยการถอดกางเกงโชว์ต่อหน้ากูก็ได้ไหม!

ผมทำหน้าไม่ถูกเลยตอนเห็นกล้วยหอมของคนตรงหน้า ถ้าเป็นกล้วยเหี่ยวๆ จะไม่ว่า นี่เพิ่งตื่นนอนไง โอ้โห ชี้หน้ากูเลย
เหมือนมันจะมาสำนึกขึ้นได้ในตอนนี้ว่ากำลังยืนโชว์อะไรต่อมิอะไรให้ผมดูอยู่ มันก็เลยรีบพุ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาห่อช่วงล่างตัวเองไว้ ก่อนจะโวยวายตามมาอีก

“เอ้าแนมๆ เดี๋ยวปั๊ด!”

ทำท่าเหมือนแม่เวลาขู่จะตีลูกอะ

“อยู่กับยูแล้วอันตรายโคตรๆ”

พอมันพูดมาอีก ผมก็รู้สึกปวดหนึบที่ขมับขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุทันที

กูไม่ได้คิดจะทำอะไรมึงเลย มีแต่มึงที่ปู้ยี่ปู้ยำกูเนี่ย!

ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปเป็นยังไง ผมสำนึกได้ในตอนนี้

“รีบไปล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวไปขึ้นรถไม่ทันหรอก”
แล้วผมก็ตัดบทก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ ปั้นรักทำท่าจะสวนอะไรคืนมาสักอย่าง ทว่าพอจะอ้าปากเท่านั้น เสียงโทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้นมาก่อน ผมบุ้ยปากให้มันเป็นเชิงบอกให้รีบรับโทรศัพท์ ปั้นรักเดินไปรับแต่โดยดีขณะที่ผมนับหนึ่งถึงสิบและท่องไว้ในใจว่าอีกไม่นาน มันก็จะหายหัวไปจากชีวิตผมแล้ว

หากแต่การให้มันเดินไปรับโทรศัพท์นั้นเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ผิด เพราะคนที่โทรมาก็คือแม่มัน ก่อนที่ผมจะได้ยินมันเถียงกับบุพการีครู่หนึ่งที่ผมพอจะจับใจความได้ว่า...คุณแอนไม่อยากให้มันกลับ

ไม่อยากให้มันกลับ!?

โอ๊ย จะมาห้ามลูกตัวเองทำไม มันอยากกลับก็ให้มันกลับๆ ไปเลย!

แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ พอปั้นรักเถียงแม่ตัวเองไม่ชนะ มันก็วางสายแล้วหันมาบอกผม
“สงสัยไอคงต้องอยู่กับยูสักระยะ”
“ทำไม”
“โดนแม่ไล่ออกจากบ้าน” มันว่าพลางทำหน้าเนือยๆ

ไม่รู้ว่าผมจะสงสารหรือขำมันดี แต่พอมันบอกว่า...

“แม่บอกว่าไอจะกลับบ้านไม่ได้จนกว่ายูจะกลับไทย”

เท่านั้นแหละผมก็รู้ทันทีว่ามันเป้นแผนของคุณแอนที่ต้องการให้ปั้นรักนำเที่ยวผมจนจบตามที่ได้ตกลงกันในตอนแรกเพื่อเป็นการบังคับให้มันรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูดไว้กลายๆ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีปัญหาหรอกถ้าหากว่ามันไม่กวนอารมณ์ผมตลอดเวลาน่ะนะ เพราะตอนนี้ดูท่าทางมันจะมีปัญหาใหญ่แล้วด้วยเพราะมันพึมพำบ่นออกมา

“แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้วะเนี่ย”

ก็ว่าแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ มันทำกระเป๋าเงินหายนี่นา บัตรอะไรก็หายไปหมด ต่อให้คุณแอนโอนเงินมาก็เท่านั้น เพราะยังไงมันก็ไปกดเงินไม่ได้อยู่ดี ที่ติดตัวมันอยู่ก็คือเงินที่ผมให้เฉพาะค่ารถเท่านั้น ผมเลยอดที่จะยื่นข้อเสนอไปไม่ได้

“งั้นเอางี้ ปั้นก็อยู่กับพี่จนกว่าพี่จะกลับไทยก็ได้ พี่จะออกเงินค่ากินอยู่ให้เอง ถือซะว่าเป็นค่าจ้างไกด์”
“นี่ยูยังคิดจะจ้างไออยู่อีกเหรอ” ปั้นรักถามพลางทำหน้าแหย
“บอกตรงๆ ...ไม่” ผมก็ว่าไปตามตรง

อย่างที่รู้กันว่าผมกับมันเข้ากันไม่ได้สักเท่าไหร่ การต้องมาอยู่กับมัน เป็นอะไรที่ไม่น่าพิสมัยสักนิด
“เนี่ย แล้วจะให้อยู่ทำไมวะ” มันว่า
“แล้วมีทางไปเหรอ”
พอผมสวน ปั้นรักก็ฮึดฮัด ทำท่าหัวเสีย ถึงไม่พูด คำตอบก็ชัดเจนเลยว่าไม่
“ถ้าไม่มีทางไปก็อยู่กับพี่นี่แหละ วันนี้พี่จะออกไปเที่ยว ไปด้วยกันเลยแล้วกัน”
“ไม่...” ปั้นรักทำท่าจะปฏิเสธ

ผมมองมันนิ่งก่อนจะว่าชัดๆ “ถ้างั้นก็นอนข้างถนน ไม่ไปเที่ยวด้วยก็แสดงว่าไม่ได้เป็นไกด์สิ”

สิ้นเสียง ปั้นรักก็เงียบ กลายเป็นบ่นพึมพำแทน

“เผด็จการฉิบ”
“เออ เลิกบ่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้ว จะได้ไปกินข้าว”
“ให้ไออยู่ด้วยนี่ คิดจะทำอะไรไอหรือเปล่า” ยังจะมีหน้ามาจับผิดผมอีก
“ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังจะกล้ามาคิดแบบนี้กับพี่อีกนะ ถ้าจะทำก็ทำไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมตอกกลับ

ปั้นรักทำหน้าแหยง “คิดไม่ซื่อจริงๆ ด้วย ยูนี่แม่งตัวอันตราย”
“ยังอยากเก็บไว้ไหมสวัสดิภาพดากน่ะ ถ้ายังอยากอยู่รอดปลอดภัยก็รีบไปล้างหน้าไป มัวชวนคุยอะไรไร้สาระอยู่ได้ พี่หิวแล้ว”
มันก็ยังไม่เลิกบ่นผมอยู่ดี แต่ตอนนี้ยอมเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว สงสัยจะห่วงสวัสดิภาพของตัวเองขึ้นมาเพราะเห็นผมทำหน้าตาจริงจังตอนพูดประโยคเมื่อกี้ ไม่ใช่อะไรหรอก ผมรำคาญน่ะเลยทำหน้าเครียดใส่

ผมมองตามพลางส่ายหน้าน้อยๆ พลางอมยิ้มออกมาทั้งที่ก่อนหน้ายังปั้นหน้าดุใส่มัน

ไอ้นี่มันโตมาแบบไหนกันวะเนี่ย นิสัยแปลกคนฉิบ...
-------------------------------
ไม่เจอกันนาน คิดถึงกันมั้ย 555
กลับมาแล้วนะคะ คงจะมาอัปถี่ๆ ละ ตอนนี้เริ่มเคลียร์งานได้แล้ว ถึงคิวสักที
เป็นฉบับก่อนรีไรท์เหมือนเดิมค่ะ ฉบับสมบูรณ์ไปตามอ่านในแบบรูปเล่มเอาเน้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่7:อย่ายุ่งกับดากเด้อ[9/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-07-2017 09:22:08
นิยายเรื่องนี้ทำให้เราอยากแบกเป้ไปเที่ยวลาวคนเดียวเลยนะจะบอกให้ 5555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่7:อย่ายุ่งกับดากเด้อ[9/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-07-2017 12:49:02
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่7:อย่ายุ่งกับดากเด้อ[9/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-07-2017 11:33:57
นับถือในความอดทนของพี่ดื้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่7:อย่ายุ่งกับดากเด้อ[9/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-07-2017 17:21:37
สะบายดี ครั้งที่ 8: จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว

แผนที่วางไว้ในตอนแรกว่าจะให้ปั้นรักกลับเวียงจันทน์รถรอบแรกของวันเป็นอันล้มเหลว ผมเลยต้องกระเตงมันไปเที่ยวด้วย ซื้อทัวร์ไว้หนึ่งที่เมื่อวาน วันนี้ก็ต้องไปซื้อเพิ่มอีกที่ ซ้ำยังเป็นเงินผมที่ต้องจ่ายให้มันอีก ถึงมันจะบอกก็เถอะว่าเดี๋ยวแม่ให้เข้าบ้านเมื่อไหร่ มันจะใช้คืน แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะทวงอะไรมันหรอก ได้แต่บอกว่าถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่มันมาเป็นไกด์ให้ผมต่อก็แล้วกัน แม้ว่าอันที่จริงแล้วทัวร์นี้จะมีไกด์คนอื่นนำทางไปก็เถอะ

ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นนะ ปั้นรักดูฟังผมมากขึ้นเพราะต้องพึ่งพาผม แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย ถึงจะไม่พูดมากอย่างเคย ทว่าความยียวนกลับไม่ได้น้อยลงไปสักนิด

ยียวนยังไงน่ะเหรอ? อันดับแรกเลย...การแต่งตัว

ผมจะไปพายเรือคายัคล่องแม่น้ำซอง หมายความว่าตัวต้องเปียกน้ำ ผมเลยใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสามส่วนเตรียมเปียกเต็มที่ แต่ไอ้ปั้นรัก...กางเกงยีนขาเดฟ เสื้อยืด แถมสวมแจ็กเก็ตหนังทับ

นี่มึงคิดว่าเป็นชาวนิวยอร์กเกอร์หรือไง?

ยังดีที่มันไม่เอากระเป๋ากระสอบอะไรของมันไปด้วย แต่แน่นอนว่าผมไล่มันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สภาพอย่างนี้จะไปเล่นน้ำยังไง ทว่าพอมันตอบมาว่า...

“ไอมีเสื้อผ้าชุดเดียวปะ?”

เอ้า แล้วในกระเป๋าสายรุ้งมึงไม่ได้พกเสื้อผ้ามาเลยหรือไง
คำตอบคือใช่...

ผมล่ะอยากจะกุมขมับเหลือเกิน หากแต่ก็ได้แค่บอกมันว่าให้ยืมเสื้อผ้าผมไปใส่ก่อน มันปฏิเสธเสียงแข็งเลย สุดท้ายเลยมาด้วยชุดนั้น เดชะบุญที่หัวสมองอันน้อยนิดของมันคงบอกกับมันว่าอย่าใส่เสื้อแจ็กเก็ตหนังไปเลย มันเลยถอดทิ้งไว้ที่ห้อง แล้วไปเที่ยวในมาดหนุ่มร็อกแบบไม่ครบเครื่องแทน

ผมเหลือบมองมันตลอดการนั่งรถไปยังถ้ำน้ำ มองมันแล้วเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ

...มึงแม่งโคตรเหมือนไม่ได้อ่านแชทกลุ่มอะ ชาวบ้านเขาเตรี๊ยมกันมาแบบนี้ มึงไปอีกแบบนึง หาความเข้ากันได้จากที่ไหนบ้างเนี่ย

มองไปนานๆ เห็นมันไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของคนรอบข้าง ผมก็เลิกสนใจ กระทั่งเรามาถึงยังที่หมาย ไกด์ทัวร์แนะนำให้เรารู้จักกับน้ำถ้ำซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติซึ่งเป็นที่นิยมแห่งหนึ่งในวังเวียง ก่อนจะอธิบายถึงวิธีการเข้าไปผจญภัยในนั้นด้วยการให้นักท่องเที่ยวนั่งลงบนห่วงยางที่ทางไกด์เตรียมมาแล้วล่องเข้าไปข้างในถ้ำ โดยมีไฟฉายติดที่หัวให้ความสว่างแค่นั้น หลังจากนั้นก็นัดแนะมากินมื้อเที่ยงหลังจากออกจากถ้ำน้ำเป็นที่เรียบร้อย

ผมค่อนข้างจะตื่นเต้นกับอะไรแบบนี้นะ ยกเว้นปั้นรักที่ยืนกอดอกฟังพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ ผมไม่อยากจะทักมันหรอก เดี๋ยวเสียอารมณ์เที่ยวเพราะรู้ว่าถ้าผมพูดอะไรออกไป มันจะต้องพูดอะไรก็ตามแต่ให้บรรยากาศกร่อยอย่างแน่นอน

เพราะคิดอย่างนั้น ผมก็ปลีกตัวจากมัน เดินไปรับห่วงยางมา พร้อมกับฝากกระเป๋าคาดอกให้กับไกด์ดูแล เดินกลับมาพร้อมกับห่วงยาง เตรียมตัวลงน้ำ ปั้นรักที่ยืนมองอยู่ก็โพล่งขึ้น

“แค่ล่องห่วงยาง ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง”
ผมหันไปมอง เห็นมันยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ไปเอาห่วงยางกับชาวบ้านเขา ผมเลยถามกลับ
“แล้วปั้นไม่ล่อง?”
“หึ”
“แต่จ่ายเงินไปแล้วนะ มันรวมอยู่ในทัวร์”
“ไอยืมเงินยูจ่ายก่อนนี่ เดี๋ยวก็คืน เท่ากับว่าเป็นเงินไอ ไอจะเล่นหรือไม่เล่นก็ไม่เห็นเป็นไร อีกอย่าง ไอไม่ใช่เด็กด้วยที่จะมาเล่นอะไรแบบนี้”

ปากบอกไม่ใช่เด็ก แต่นิสัยมึงโคตรจะเด็กเลยเถอะ

ผมยักไหล่ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง หย่อนตัวลงน้ำตามการแนะนำของผู้ดูแล แล้วล่องห่วงยางเข้าไปในถ้ำโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้ปั้นรักเดินตามไกด์ไปรอยังร้านอาหารสำหรับทานมื้อเที่ยง

หลังจากล่องห่วงยางลอดถ้ำน้ำเสร็จ ผมก็ขึ้นมากินข้าว หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำช้าง แค่แวะชมแวะดูแบบทัวร์ชะโงกเสร็จเรียบร้อย คราวนี้เป็นคิวไฮไลท์ของวันนี้ เราตรงไปยังน้ำซองเพื่อพายเรือคายัคเล่น พอมาถึง ไกด์ก็สาธิตขั้นตอนการพายเรือพร้อมกฎต่างๆ โดยระหว่างที่พายเรือเล่นนั้น เราสามารถลงเล่นน้ำหรือแวะร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมน้ำได้ จากนั้นก็ทยอยเอาเรือลงน้ำ

นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์เดียวกับผมต่างพากันลงเรือเป็นคู่ ส่วนผม...ฉายเดี่ยว

ปั้นรักยังคงไม่หือไม่อือเช่นเคย ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจด้วย ผมเลยไม่ได้ถามมันว่าจะเล่นไหม ได้แต่สวมเสื้อชูชีพ แล้วเตรียมตัวจะลงเรือ ทว่าปั้นรักก็ขัดขึ้นอีก

“แค่นี้ต้องใส่เสื้อชูชีพ”
“เอ้า ก็เพื่อความปลอดภัย” ผมหันไปตอบ
“แล้วคนอื่นเขาใส่กันที่ไหน เห็นแต่ยูใส่เนี่ย”
หันไปมองนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่เป็นฝรั่ง พวกนั้นมาถึงได้ก็ถอดเสื้อ ลงเรือพายกันอย่างคล่องแคล่ว ไม่สนใจจะใส่เสื้อชูชีพแม้แต่คนเดียว ผมมองแล้วก็หันไปตอบปั้นรัก
“พวกนั้นเขาคล่องแล้ว พี่เพิ่งเคยพายครั้งแรก มันก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยกันหน่อย”
พอให้เหตุผลไปแบบนี้ ปั้นรักก็เบ้หน้าขึ้นมานิดนึง
“ป๊อดว่ะ”

คราวนี้คิ้วผมกระตุกเลย
“คนที่เอาแต่ยืนเต๊ะท่าหล่ออยู่ริมฝั่ง ไม่ยอมลงน้ำ ไม่มีสิทธิ์มาพูดหรอกนะ”
แขวะคืนไปบ้าง ปั้นรักก็ชักสีหน้า จ้องผมตาเขม็งอยู่ครู่ ก่อนโพล่งเสียงสูง
“ได้! ไอจะไปพายกับยูด้วย”

อยากจะบอกมันเหลือเกินว่ามึงไม่ต้องมา แต่มันเดินอาดๆ ไปลงเรือเป็นที่เรียบร้อย นั่งตรงหัวเรือด้วย จากนั้นก็หันมาบอกผมเร็วๆ
“เอ้าขึ้นมา ไอจะสอน”
“เคยพาย?” ผมเลิกคิ้ว
“เออ ตอนอยู่ที่โน่น สมัยเด็กๆ พ่อพาไปพายบ่อยๆ มัวถามจุ๊กจิ๊กอยู่ได้ ขึ้นมาเร็วๆ”

ผมเออออกับมัน ยอมขึ้นเรือโดยดี พอนั่งเป็นที่เรียบร้อย ปั้นรักก็จัดการพายเรือ ท่าทางกระฉับกระเฉงนั่นทำให้ผมพอจะเชื่อใจได้บ้างว่ามันอาจจะเคยพายมาก่อนอย่างที่บอกไว้จริงๆ

การพายเรือของผมกับปั้นรักก็ไม่ได้มีอะไรพิสดารหรอก ออกแนวเอื่อยๆ เรื่อยๆ กินลมชมวิวข้างทางมากกว่า พายไปได้สักพัก สายตาผมก็เหลือบเห็นร้านค้าอะไรบางอย่างบนฝั่ง ผมเลยรีบร้องบอก

“ปั้น เดี๋ยวแวะตรงนี้ให้พี่ก่อน”
“จะซื้ออะไร” มันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงรำคาญทั้งที่ไม่มองหน้าผม
“แค่จะขึ้นไปดู”
พอผมบอกไปอย่างนั้น มันก็ทำเสียงฮึดฮัด
“เรื่องเยอะสุด”

แหม ก็กูมาเที่ยวไหม ให้กูได้ดูอะไรที่ไม่เคยดูหน่อยเถอะ

ถึงอย่างนั้นปั้นรักก็ยอมบังคับหัวเรือมาเทียบฝั่งแต่โดยดี ขึ้นท่าเรือได้ ผมก็เดินตรงไปยังจุดขายของ มองดูคล้ายๆ ตลาด แต่ไม่ใช่ เป็นจุดขายของที่ระลึก มีร้านอาหารและน้ำตั้งเรียงรายกันประปราย ผมไม่ได้หิว แต่จะมาเดินดูอะไรเพลินๆ น่ะ

ผมพุ่งตรงไปยังร้านขายของที่ระลึก กะว่าจะหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปฝากพี่ชายน้องชายบ้าง ก่อนจะหยุดยืนดูร้านเครื่องประดับแฮนด์เมด หยิบอันนั้นจับอันนี้มาดูไปเรื่อย พลันสะดุดตาเข้ากับเครื่องประดับบางอย่างเข้าให้อย่างจัง

เพราะใช้เวลายืนดูนานไปหน่อย ปั้นรักที่ยืนรออยู่ยังท่าเรือจึงเดินมาตาม ...คาดว่าน่ะนะ ตอนแรกคงคิดจะมาตาม แต่พอเห็นผมยืนดูเครื่องประดับอันนั้นอย่างสนอกสนใจ มันก็ร้องถาม พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ดูไรน่ะ”
ผมหันไปมองมันเล็กน้อยก่อนจะยื่นของในมือให้ดู
“สร้อยข้อเท้า”
มันมองแล้วย่นคิ้ว “สร้อยอะไร เชือกชัดๆ”
เออๆ เชือกก็เชือก ก็ถูกของมันแหละ เป็นเชือกรัดข้อเท้าแบบสานน่ะ
แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรมัน นอกจากจะหยิบเชือกสานพวกนั้นขึ้นมาดูหลายต่อหลายอันเพื่อเลือกลาย พลันสะดุดตาเข้ากับเชือกรัดข้อเท้าคู่หนึ่งที่เป็นเชือกถักสีดำและมีจี้เงินเล็กๆ ห้อย ผมหยิบขึ้นมาดู ปั้นรักก็ชะโงกหน้าเข้ามาทันใด
“ตัวอะไรห้อยอยู่น่ะ”
ผมพินิจอยู่ครู่ก่อนจะตอบ “นกเพนกวินมั้ง มีเป็นคู่ด้วย” หันไปเหลือบเห็นเชือกรัดข้อเท้าอีกอันที่มีลักษณะคล้ายกัน ผมก็หยิบขึ้นมา พลันหันไปถามปั้นรัก “น่ารักไหม”
เท่านั้นปั้นรักที่ชะเง้อชะแง้มองอยู่ก็ทำหน้าแหย ไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยให้แม่ค้าเสนอขายสินค้าให้กับผมแทน
“ลายนี้มีคู่เดียว ใส่คู่กับแฟนน่ารักนะ นกเพนกวินเป็นสัตว์ที่มีคู่ครองตัวเดียวตลอดชีวิตด้วย เอาไปใส่กับแฟน จะได้รักกันตลอดไป”

พูดไทยชัดแจ๋วเลย ถึงจะห้วนๆ ไปหน่อยก็เถอะ แต่ผมไม่แปลกใจหรอกที่แม่ค้าพูดไทยกับผม เพราะนักท่องเที่ยวคนไทยที่มาเที่ยววังเวียงก็เยอะมากทีเดียว ไม่แปลกถ้าแม่ค้าพ่อค้าที่นี่จะพูดไทยเพื่อเอาใจลูกค้า แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมได้ยินแล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้

ซื้ออันนี้ไปฝากแสงเหนือกับไอ้ธารใจดีไหมนะ เป็นของฝากจากลาว สองคนนั้นจะได้รักกันตลอดไป
คิดแล้วก็เจ็บจี๊ดในใจขึ้นมา จากตอนแรกที่หวังดีจะซื้อให้สองคนนั้น ผมก็พลันไม่เข้าใจตัวเอง

ทำไมผมจะต้องทำตัวเป็นพระเอก ยินดีกับความรักของสองคนนั้นด้วยนะ?

ทว่าก็ได้คำตอบในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง

ก็คนหนึ่งเป็นคนที่ผมรัก ส่วนอีกคนก็เป็นเสมือนน้องชายแท้ๆ นี่ แต่จะให้ซื้อเพื่อไปแสดงความยินดีกับความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมันก็ดูจะมากไปหน่อย ผมเลยทำท่าจะวางมันลงที่เดิม หากแต่ปั้นรักที่ยืนมองอยู่นานก็โพล่งขึ้นมา

“โอ๊ย รักกันตลอดไปอะไรล่ะ สัญลักษณ์ของรักร่วมเพศล่ะสิไม่ว่า”
ผมหันขวับไปอย่างรวดเร็ว “ยังไง”
“เอ้า ก็นกเพนกวินมันเป็นสัตว์ที่มีการรักร่วมเพศนะ ยูไม่เคยดูสารคดีเหรอที่เขาค้นพบว่านกเพนกวินตัวผู้ครองคู่กับตัวผู้ด้วยกันอะ ยูจะซื้อก็เพราะอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ”

มันว่ารัวๆ มา ผมนี่อยากจะยกมือขึ้นฟาดปากมันเลย ยิ่งเห็นแม่ค้ายิ้มแหยๆ ผมก็อยากจะดุไอ้ปั้นรักที่พูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา แต่ผมกลับไม่พูดอะไร นอกจากยื่นเชือกรัดข้อเท้าสองอันนั้นให้กับแม่ค้า

“เอาสองอันนี้ครับ”
จ่ายเงินเสร็จก็รีบผลุบออกมาจากร้านนั้นทันที ขณะที่ปั้นรักซึ่งเดินตามมายังพูดไม่หยุด
“ซื้อสองอันแบบนี้ แสดงว่าอีกอันจะเอาไปให้คู่ขาล่ะสิ”
ผมชะงักฝีเท้า หยิบเชือกรัดข้อเท้าออกจากถุงพลาสติกแล้วส่งให้มันอันหนึ่ง มันทำหน้างุนงงฉับพลัน
“อะไร”
“เอาไปสิ”
“เอาไปทำไม”
“ก็อีกอันนึง พี่ซื้อให้คู่ขาไง”
พูดไปอย่างนั้น ความเงียบก็เข้าครอบงำเราทั้งคู่ทันที ก่อนที่ปั้นรักมันจะได้สติแล้วโวยวายขึ้นมา
“โว้ย! ไม่เอา ขนลุก!”
“อ๊ะๆ เล่นตัว” ผมว่าเย้า
ปั้นรักหน้าตึง รีบสวนมาอย่างรวดเร็ว
“เล่นตัวบ้าอะไร ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“เมื่อคืนเราก็นอนด้วยกันขนาดนั้นแล้ว ยังจะปฏิเสธอีกหรือไง”

ผมแกล้งว่าไปอีก คราวนี้แกล้งพูดดังๆ ให้คนอื่นได้ยินด้วย แต่ความหมายของคำว่า ‘นอน’ ของผม คือนอนจริงๆ ไม่ใช่ทำเรื่องอย่างว่า ทว่ากับคนอื่น พวกเขาไม่คิดอย่างนั้น ก่อนที่สายตาของคนรอบข้างจะมองมาทางพวกเรา บ้างก็ซุบซิบหัวเราะกัน ขณะที่ใบหน้าของปั้นรักย่นยู่มากกว่าเดิม

“เงียบไปเลยยูน่ะ พูดอย่างนั้น คนอื่นก็เข้าใจผิดกันพอดี!”

ก็ตั้งใจให้เข้าใจผิดนั่นแหละ เอาคืนที่มันปากมาก แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร ปั้นรักก็รีบก้าวหนีไปแล้ว ทิ้งให้ผมมองมันตามหลัง ก่อนจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างจากร่างกายของคนตรงหน้า

หู...

หูของปั้นรักแดงแจ๋เลย...

ไอ้นี่... มันกำลังอายนี่หว่า

ผมหัวเราะในลำคอ คงดังพอให้มันได้ยิน ก่อนมันจะหันมามองผมตาขวาง
“หัวเราะบ้าอะไร”
“ไม่รู้สิ” ผมตอบยิ้มๆ

เดาได้เลยว่ามันคงจะดูกวนประสาทน่าดู เพราะทำให้ปั้นรักสบถศัพท์ภาษาอังกฤษอะไรออกมาสักอย่างซึ่งผมก็แปลไม่ได้ ก่อนจะรีบเดินอาดๆ ไปยังเรือคายัคที่จอดทิ้งไว้ ทว่าในจังหวะที่มันกำลังจะก้าวขึ้นเรือนั้นคงจะรีบร้อนไปหน่อย เพราะทันทีที่ก้าวขาข้างหนึ่งขึ้นเรือ เรือก็ถอยห่างออกไป ปั้นรักร้องเสียงดังทันควัน

“เหวอ!”
ขายาวๆ ทั้งสองข้างกางออกจากกัน ข้างหนึ่งพยายามเกี่ยวเรือให้เข้าฝั่ง อีกข้างพยายามรั้งตัวเองไว้บนฝั่ง ไม่ให้ตกลงไปในน้ำ

ท่าอุบาทว์มาก...

ถึงตอนนี้ ผมถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดัง ไม่ไปช่วยมันด้วย เอาแต่ยืนกุมท้องเพราะหัวเราะจนปวดไปหมด
“โว้ย! มัวแต่หัวเราะอะไรเนี่ย รีบมาช่วยเร็ว เป้ากางเกงจะแตกแล้ว!”

เป้ากางเกงจะแตกมันไม่เท่าไหร่ แต่ขามันสั่นพั่บๆ ขนาดนี้ ผมว่ามันไม่กล้ามเนื้อขาฉีกก่อนก็ร่วงตกน้ำแน่นอน ส่วนผม พอถูกร้องขออย่างนั้นก็ได้ทีแกล้งมันเลย

“พูดเพราะๆ ก่อน”
“มันใช่เรื่องไหมวะ มาเร็วๆ เข้า!”
“ไม่พูดเพราะๆ ก็อยู่อย่างนั้นไปแหละ”
ผมว่าอย่างไม่ยี่หระ ถึงตอนนี้ก็คว้าเอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปมันไว้ด้วย
“ยิ้มหน่อยปั้น”
“อย่าถ่าย!”

ไม่สนอะ กดถ่ายแม่งรัวๆ เลย ปั้นรักก็โวยวายไม่หยุด ขณะที่ผมไม่สนใจสักนิด นอกจากรู้สึกว่าถ่ายรูปอย่างเดียวไม่สะใจ ถ่ายวิดีโอด้วยแล้วกัน

กดถ่ายเป็นที่เรียบร้อย ปั้นรักถึงกับโวยวายออกมา
“เลิกถ่ายแล้วมาช่วยสักที เกร็งจนไข่หดแล้วเนี่ย!”
ผมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอีกระลอก ยิ่งมองขาสั่นๆ ของมัน กับท่าทางที่พยายามจะทรงตัวไว้ให้มั่นแล้วก็หัวเราะจนน้ำตาไหล แต่ก็ยอมเดินมาหาเพื่อจะช่วย

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าจะช่วยง่ายๆ หรอกนะ มาหยุดยืนตรงหน้ามันได้ ก็บอกเสียงเรียบ
“พูดเพราะๆ ก่อน”
“โว้ย!” ปั้นรักร้องใส่ผม หน้าแดงไปหมด ดูท่าคงจะเหนื่อยจากการยืนเกร็งด้วยท่านั้น
“เอ้าเร็วๆ ไม่พูดก็ไม่ช่วยนะ” ผมก็ยังเล่นแง่
“ยูแม่ง! ขึ้นฝั่งไปได้เมื่อไหร่ โดนแน่!”
“ยูจะทำอะไรไอเหรอ” ผมแกล้งเรียกแทนตัวเองกับมันด้วยสรรพนามที่มันพูดประจำบ้าง ยื่นหน้าล้อเลียนไป
ปั้นรักคงจะรู้แหละว่าทำอะไรผมไม่ได้ เพราะมันไม่มีที่ไป แถมยังต้องให้ผมดูแล ก่อนมันจะยอมจำนน เพราะมันทำท่าฮึดฮัดได้ครู่หนึ่งก็ยอมเปิดปากแต่โดยดี
“ช่วยไอหน่อย”

แต่ผมไม่พอใจไง...

“หางเสียงล่ะ”
“ช่วยหน่อยครับ”
“คำว่าพี่ดื้อครับไปไหน”

ปั้นรักกลอกตา สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วพูดเร็วๆ
“พี่ดื้อครับ ช่วยด้วยครับ!”

เร็วไม่พอ กระแทกกระทั้นอีกต่างหาก แต่ผมแกล้งมันแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ขามันจะกางถึงร้อยแปดสิบองศาอยู่แล้ว

“กว่าจะพูดได้ ดื้อนักนะเรา จอมดื้อน่ะ มีคนเดียวก็พอแล้ว” ผมว่า
ปั้นรักทำปากขมุบขมิบก่นด่าแบบไม่มีเสียงใส่ ผมไม่สนใจ ชูโทรศัพท์ในมือขึ้น
“เดี๋ยวเก็บโทรศัพท์แป๊บ”

อันนี้ไม่ได้เล่นแง่ แต่จะเก็บจริงๆ กดปิดการอัดวิดีโอ เก็บใส่กระเป๋าคาดหน้าอก ก่อนจะช่วยมัน ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังเก็บโทรศัพท์อยู่นั้น ขาทั้งสองข้างของปั้นรักก็เริ่มห่างจากกันมากขึ้น

“เร็วๆ! เก็บโทรศัพท์แค่นี้อย่าลีลา! เกร็งจนกล้ามตูดขึ้นแล้ว!”
ผมเหลือบมอง เห็นสภาพอุบาทว์ของมันแล้วก็รีบทำอย่างที่มันบอก หากแต่พอยื่นมือจะไปช่วยมันปุ๊บ หูทั้งสองข้างก็ได้ยืนเสียงประหลาด

แคว่ก!

ผมกับปั้นรักมองหน้ากันชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนสายตาของพวกเราจะมองต่ำลงไปแทบจะพร้อมกัน

เป้ากางเกงไอ้ปั้นรักแตก!

กางเกงบ็อกเซอร์สีชวนให้ควายวิ่งขวิดออกมาปะทะสายตา ผมแทบจะลงไปดิ้นกับพื้น หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลอีกรอบ ขณะที่ใบหน้าของปั้นรักค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมา
“หยุดได้แล้ว ช่วยสักที!”

เสียงดังมาอีก อันนี้ไม่รู้ว่าเพราะอายหรือโกรธ แต่ผมว่าทั้งสองอย่าง สุดท้ายผมก็ยอมเอื้อมมือไปคว้ามันแล้วออกแรงดึงให้ขึ้นมาบนฝั่ง ปั้นรักเดินขาถ่างๆ ไปหลบมุม เพราะยืนถ่างขาแล้วเกร็งนานไปหน่อย กล้ามเนื้อเลยตึง ผมหัวเราะไล่หลัง แล้วก็แทบจะตายเพราะหัวเราะอีกทีพอเห็นแนวตะเข็บกางเกงทางด้านหลังของมัน

แม่งแตกขึ้นไปยันก้นอะ!

ปั้นรักก็รู้ตัวในตอนนี้ เอี้ยวตัวมองบั้นท้ายตัวเองแล้วสบถอย่างหัวเสีย
“Damn it! (แม่งเอ๊ย!)” จากนั้นก็หันมาตะคอกผม “หยุดหัวเราะได้แล้ว เพราะยูนั่นแหละ!”

อะไร กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

“ถ้ายูไม่มัวแต่ถ่ายวิดีโอ ไอก็ไม่ต้องมาเปิดดากโชว์อย่างนี้หรอก!”

โอเค ชัดแล้วว่ามันโบ้ยความผิดให้ผม

ผมไม่เถียงอะไรหรอกนะ ตอนนี้ในหัวคิดว่าจะทำยังไงกับมันต่อไปมากกว่า ถ้ามันเอาเสื้อแจ็กเก็ตมาก็ยังจะพอเอามาผูกเอวบังได้เพราะเสื้อที่มันใส่ดันปิดไม่หมด ก่อนที่ผมจะนึกอะไรขึ้นมาได้ขณะที่มันบ่นพึมพำ

“เห็นแถวนั้นมีร้านค้า เดี๋ยวพี่มานะ”
ผมชี้ไปยังร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ก่อนกลับมาพร้อมกับ...

“อะนี่ เข็มกับด้าย”

ใช่ ผมจะให้มันเย็บกางเกง

ปั้นรักมองหน้าผมแล้วทำหน้าเหยเก
“เย็บไม่เป็น”

ความเงียบเข้าครอบงำเราอยู่ชั่วขณะหนึ่ง อย่าบอกนะว่ากูจะต้อง...

“เย็บให้ไอหน่อย”

นั่นไง! กูต้องรับผิดชอบจริงๆ ด้วย!

แต่เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่เป็นไร ผมพยักหน้ารับ กำลังจะบอกให้มันถอดกางเกงแล้วส่งมา แต่ดันนึกขึ้นได้ว่าสีกางเกงบ็อกเซอร์มันล่อตาเกินไป ขืนมันถอด มีหวังได้เป็นที่สนใจจากคนที่พายเรือผ่านไปผ่านมาแถวนี้แน่ๆ ผมเลยบอกมันเร็วๆ

“ไม่ต้องถอด เดี๋ยวพี่เย็บให้เลย”
“เย็บยังไง”
“ยืนอยู่เฉยๆ แล้วกัน”

จากนั้นผมก็ร้อยเข็มกับด้าย เริ่มเย็บจากด้านหลังไปยังจุดสุดท้ายซึ่งอยู่...ใต้ไข่

ถึงจุดนี้แล้ว ต้องตัดด้ายแล้วล่ะ แต่ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่มีกรรไกร!

ผมที่นั่งคุกเข่ามองปั้นรักที่ยืนดูการกระทำของผมอยู่อย่างรู้กันว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ขณะที่ปั้นรักส่ายหน้า
“ไม่... เลิกคิดไปเลย”
แต่มึงจะปล่อยให้ด้ายห้อยต่องแต่งอย่างนี้ไม่ได้
“รีบๆ ทำแล้วรีบไปต่อเถอะ”

ผมเลยไม่ฟังมัน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วอ้าปากจะใช้ฟันกัดด้ายให้ขาด ทุกอย่างต้องรีบทำก่อนที่จะมีใครมาเห็น เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกเข้าใจผิดได้ว่าเราทั้งคู่ทำเรื่องอย่างว่ากัน

ทว่าโชคไม่เข้าข้างผมเพราะทันทีที่ผมงับเส้นด้าย ฝรั่งผู้หญิงสองคนก็ดันพายเรือคายักมาใกล้ จะเทียบท่าพอดี พอเห็นผมกับปั้นรักอยู่ในท่านั้นก็พากันร้องอย่างตกใจ

“Oh my God!”

ผมหันไปมอง ฝรั่งสองคนนั้นรีบขอโทษขอโพยแล้วแจวเรือหนีอย่างรวดเร็ว ส่วนปั้นรักก็ร้องเรียกเสียงดัง

“No no! It’s not what you think. Hey! Wait! (ไม่ ไม่! มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด เฮ้ย เดี๋ยว!)”

ไม่ทันแล้ว แจวไปโน่นแล้ว ปั้นรักเลยมามองหน้าผมอย่างเอาเรื่องแทน ขณะที่ผมใช้ปากกัดด้ายเรียบร้อย มัดปมให้มันเงียบๆ อย่างสำนึกผิด

“ยูนี่แม่ง! ถูกเข้าใจว่าเป็นพวกวิตถารแล้วเนี่ย!”

สำนึกผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดันหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของปั้นรักอีกแล้ว

อยู่กับไอ้นี่แล้วก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ
-----------------------------------
หายไปพักใหญ่ๆ คิดถึงกันล่ะซี่ 555
เรื่องนี้ปิดจองสิ้นเดือนนี้แล้วนะคะ ติดต่อไปที่เพจรักคุณเพื่อจองได้เลย
เดี๋ยวหนูแดงมาอัปเรื่อยๆ ค่ะ เริ่มว่างละ
ส่วนตอนนี้...พี่ดื้อคะ 5555555 หลอกทำอะไรน้องปะเนี่ย
มีหลายคนยังสับสนว่าพี่ดื้อคนไหน ปั้นรักคนไหน ใครเป็นเคะเป็นเมะ
พี่ดื้อเป็นเมะ มีหนวด ปั้นรักเป็นเคะนะคะ คนใส่เสื้อดำ
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยค่า พรุ่งนี้มาต่อนะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่8:จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว[10/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 10-07-2017 20:22:50
น่าสงสารผู้บ่าวน้อยอยู่เหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่8:จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว[10/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-07-2017 21:37:29
หูย..ยอมรับในความกวนของปั้นรัก
แต่เย็บกางเกงถอดออกก่อนก็ได้
ไม่มีใครว่าหรอก แต่ไม่ถอดก็ดูสนุกดี
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่8:จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว[10/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 10-07-2017 23:06:44
ขี้โวยวายนะไอ้ปั้น555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่8:จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว[10/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 11-07-2017 05:17:12
ปั้นรักเป็นเคะทีฉีกทุกกฎจริงๆ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่8:จอมดื้อมีคนเดียวก็พอแล้ว[10/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-07-2017 09:03:34
สะบายดี ครั้งที่ 9: ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน

ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรนะที่ผู้หญิงฝรั่งสองคนนั้นเข้าใจผิดว่าผมทำเรื่องอย่างว่ากับปั้นรักในที่โล่ง แถมยังเป็นกลางวันแสกๆ ก็รู้สึกแหละ รู้สึกชัดเจนเลย แต่ไม่อยากจะพูดอะไรออกไปให้คิดมากไง แค่นี้ก็โดนปั้นรักบ่น...ไม่สิ เรียกว่าด่าดีกว่า มันด่าไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว

ด่ามากกว่าเดิมอีกเมื่อผมกับมันมารู้ทีหลังว่าร้านขายของฝากแถวๆ นั้นมีร้านขายพวกเสื้อผ้า กางเกงขาสั้นอะไรแบบนี้อยู่ด้วย
“ทำไมยูไม่ซื้อกางเกงมาให้ไอตั้งแต่แรกวะ แม่ง!”

เอ้า ถ้ากูเห็น กูจะปล่อยเบลอเหรอ นี่ไม่เห็นไง ถึงได้วิ่งไปซื้อเข็มกับด้ายน่ะ!

เอาเป็นว่าจุดนี้ผมไม่เถียงก็แล้วกันว่าไม่รอบคอบ แต่ใครใช้ให้เป้ากางเกงมันแตกล่ะ กางเกงที่ใส่นั่นก็เป็นกางเกงยีนไม่ใช่หรือไง เป้าแตกตามแนวตะเข็บแบบนี้มันหมายความว่ายังไงวะ

“แต่พี่ว่ากางเกงยีนมันไม่น่าจะขาดง่ายอย่างนี้นะ”
คิดแล้วก็พูดออกไป ทำเอาปั้นรักที่จ้ำพายเรืออยู่หันขวับมามองด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ใส่มานานแล้ว มันก็เปื่อยปะ”
“นานแล้วนี่กี่ปี”
“ตั้งแต่ไฮสกูลปีสุดท้าย”

มึงก็ซื้อตัวใหม่มาใส่บ้างดีไหมล่ะ จะใส่ตัวเดียวตั้งแต่อายุสิบแปดไม่ได้นะเว้ยถึงจะเป็นกางเกงตัวเก่งก็เถอะ!

“กลับไปก็เอาไปทิ้งซะนะ ไม่ต้องคิดจะเอาไปเย็บแล้วใส่ต่อล่ะ หมดอายุการใช้งานแล้ว”
“กางเกงมันมีวันหมดอายุด้วยหรือไง” ปั้นรักยังคงเถียงอยู่
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย ว่าอย่างไม่ยี่หระ “อยากตัดทิ้งทั้งพวงเพราะเน่าก็ตามใจ”
“ก็ซักทุกอาทิตย์หรือเปล่าวะ”

พอได้ยินมันเถียงกลับมาอย่างนั้น ผมก็หัวเราะเบาๆ บอกตามตรงว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่ามันกวนอวัยวะเบื้องล่างของผมน้อยลงเลยสักนิด แต่การได้อยู่กับมันในเวอร์ชันที่ยอมอ่อนข้อให้ผมเพราะมันต้องพึ่งพาผมอย่างนี้ มันก็สนุกดีเหมือนกัน กลายเป็นว่าผมชอบหยอกให้มันหัวเสียด้วยอีก

กลายเป็นคนขี้แกล้งโดยไม่รู้ตัวแล้วแฮะ

จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกัน มีแต่ปั้นรักเท่านั้นที่สบถออกมาเมื่อขึ้นมาถึงฝั่งแล้วประจักษ์ได้ว่าผู้หญิงฝรั่งสองคนนั้นคือนักท่องเที่ยวที่มาทัวร์เดียวกับเรา แน่นอนว่ามันรีบกระซิบกระซาบบอกผมว่าตัวเองจะไปอธิบายให้สองคนนั้นเข้าใจว่าสิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่คิด ผมไม่ได้ห้าม ปั้นรักก็เลยไปอธิบาย หากแต่ผู้หญิงสองคนนั้นดูท่าทางจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่เพราะยังมองมาที่ผมกับปั้นรักด้วยสายตาแปลกๆ ผมเลยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขณะที่ปั้นรักก็น่าจะรู้ตัวเหมือนกันว่าการไปอธิบายอะไรนั่นเป็นการเสียเวลาเปล่า มันเลยพึมพำออกมา

“ซวยฉิบ”
ผมเหล่มอง
“ไม่ได้ทำจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ก็ไม่เห็นจะต้องสนใจสักหน่อย”
“ยังมีหน้ามาพูดดีอีก ก็เพราะยูไหมล่ะ ไอถึงโดนเข้าใจว่าเป็นพาร์ทเนอร์ของยูเนี่ย”

หน้าตามันดูหงุดหงิดเต็มทนมาก ถ้ามันต่อยผมได้ มันคงทำไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม แวบหนึ่งผมถึงได้รู้สึกว่ามันก็น่ารักดี ก่อนจะหัวเราะออกมา

“ยังๆ ยังจะหัวเราะอีก ยูนี่มัน...”
“ถ้าคิดว่าซวย พรุ่งนี้ไปทำบุญกันไหมล่ะ”
ผมว่า ก่อนที่มันจะได้พูดจบ ปั้นรักชะงักไปเล็กน้อย
“ที่วัด?”
“อืม อย่าบอกนะว่านับถือศาสนาอื่น ทำบุญไม่ได้”
ผมเดาน่ะ เห็นมันไปโตที่อเมริกาเลยเดาๆ เอาว่ามันอาจจะนับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธก็ได้

“แสดงว่าพรุ่งนี้จะไปทัวร์วัด?”
“ใช่ กะว่าจะเช่าจักรยานแล้วปั่นตระเวนไป”
ผมบอกแพลนตัวเองคร่าวๆ ขณะที่ปั้นรักทำหน้าเหยเกขึ้นมา
“ใส่บ็อกเซอร์เข้าวัดได้ไหม”
ผมหัวเราะ “เดี๋ยวกลับไปแล้วจะซื้อกางเกงให้”

พอบอกไปอย่างนี้ ปั้นรักก็พยักหน้า

แหม จะให้กูซื้อเสื้อผ้าให้ก็บอกมาตรงๆ ทำเป็นถามอ้อมค้อมไปได้

“งั้นก็ดีล แต่บอกไว้ก่อนว่าไอไม่ค่อยได้เข้าวัดนะ ไม่รู้เท่าไหร่ว่ามีพิธีรีตองยังไง บอกก็แล้วกัน”
พูดจบ มันก็เดินไปขึ้นเรือ เตรียมกลับไปยังโรงแรม ปล่อยให้ผมยืนยิ้มให้กับการตกลงปลงใจของมันเมื่อครู่

ค่าจ้างไกด์ทัวร์รอบหน้าคือกางเกงหนึ่งตัว มันก็คุ้มดีเหมือนกันนะ



 
กลับมาถึงโรงแรมได้ เราทั้งคู่ก็พากันสลบไสลแทบจะภายในไม่กี่ชั่วโมง วันนี้ผมให้ปั้นรักยืมเสื้อผ้าผมใส่ ตอนแรกมันก็ไม่เอาหรอก ปฏิเสธเสียงแข็งเลย แต่พอผมแกล้งพูดว่า
“จะแก้ผ้านอนกับพี่ก็ตามใจ”

เน้นคำว่า ‘นอนกับพี่’ ชัดๆ

เท่านั้นมันก็ยอมใส่เสื้อผ้าผมแต่โดยดี ตอนนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่าผมก็ตัวใหญ่กว่ามันพอสมควรเหมือนกัน ถึงขนาดตัวจะไม่ได้ต่างกันเยอะ แต่พอสวมเสื้อยืดของผมแล้ว มันก็ดูโคร่งไปนิดหน่อย มุมนี้เองที่ทำให้ผมมองมันแปลกๆ ขึ้นมา

...น่ารัก

เออ รู้ว่าบ้า รีบสลัดไล่ความคิดนั้นแทบไม่ทันเลยล่ะ เคราะห์ดีที่พอมันเปิดปากปล่อยฝูงหมาให้ออกมาวิ่งพล่าน ผมก็เรียกสติกลับคืนมาได้ทันใด ตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าหน้าตาหล่อๆ ของมันไม่ได้ช่วยให้มันดูน่าพิศวาสขึ้นมาเลยสักนิด ไอ้ความรู้สึกเมื่อกี้นี้น่ะมันอารมณ์ชั่ววูบชัดๆ

แต่เหมือนตอนนี้ผมเริ่มจะชินกับการกระทำของมันเสียแล้ว เพราะพอวันใหม่มาถึง มันก็บ่นเรื่องผมนอนเบียด แย่งผ้าห่ม นอนกรน น้ำลายไหล บลาๆๆ อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้อีกเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่ผมก็ฟังแบบหูทวนลมแหละนะ ล่าสุดมันบ่นเรื่อง...

“ยูจะให้ไอใส่กางเกงนี่จริงดิ”

ใช่ กางเกง เป็นกางเกงที่ผมออกไปซื้อให้มันมาเมื่อเช้าก่อนมันตื่นน่ะ

พอผมพยักหน้า ปั้นรักก็ส่งเสียงสูง

“โอ๊ย เซ้นส์แฟชันเนี่ยเนอะ! เต่าถุยมาก!”

ว่าพลางยกกางเกงเอวยางยืดที่เป็นลายดอกสีเหลืองแซมเขียวขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าเหยเก

แหม แล้วเซ้นส์แฟชันมึงดีตายเลยเนอะ ไอ้เสื้อผ้าสไตล์ร็อกกับถุงสำเพ็งของมึงเนี่ย!

“ก็มันมีแต่แบบนี้” ผมบอกrพลางพยายามปั้นหน้านิ่งๆ
“ยูก็เลือกสีที่มันพื้นๆ หน่อยไม่ได้เหรอวะ วิ่งออกไปกลางถนน ไม่โดนโบกเรียกหรือไง อย่างกับแท็กซี่เขียวเหลือง”
ผมถึงกับหลุดหัวเราะกับคำเปรียบเปรยนั่น

เลือกสีพื้นๆ มาก็ไม่สนุกดิ

แต่ไม่บอกมันหรอกว่าผมจงใจเลือกสีนี้มา อยากดูปฏิกิริยาของมันไงว่าจะเป็นแบบไหน ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ผมคาดเดาไว้สักเท่าไหร่ ก่อนที่ผมจะรีบบอกมันพอเห็นว่ามันเริ่มบ่นไม่หยุด

“ใส่ไปก่อน เมื่อเช้าร้านกางเกงยีนในตลาดยังไม่เปิด พี่ไม่รู้ไซส์กางเกงเราด้วย ที่ตัวเก่าไม่เห็นมีป้ายบอก ไว้ไปซื้อด้วยกัน”
บอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ยอมเงียบเสียงลงได้

พอจัดการพามันไปซื้อกางเกงยีนตัวใหม่ พร้อมกับเสื้อยืดอีกสองสามตัวไว้เปลี่ยน พวกเราก็กลับมาเช่ารถจักรยานแล้วออกไปปั่นเล่นรอบเมืองตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวาน ปั้นรักดูไม่ค่อยอยากจะเที่ยวสักเท่าไหร่ ตลอดทางที่ปั่นจักรยานไป มันก็บ่นร้อนบ้าง เหนื่อยบ้าง เหงื่อออก ตัวเหนียว และอะไรอีกก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด

ถามว่าผมรำคาญไหม? ก็รำคาญนะ แต่วันนี้ตั้งใจว่าจะมาเที่ยวแบบชิลล์ๆ ไง เลยปั่นไป แวะพักไปตลอดทาง เพราะที่เที่ยวในละแวกนี้ ผมแวะไปเยือนมาหมดตั้งแต่วันแรกที่เหยียบวังเวียงแล้ว

“จะทำบุญเลยไหม วัดอยู่ตรงนั้นพอดี”
ผมถามเมื่อเราจอดแวะพักซื้อน้ำนั่งดื่มได้สักพัก ปั้นรักในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนขาเดฟตามสไตล์ตัวเองเหลือบมองวัดที่ผมพยักพเยิดให้ดูเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า

“ก็แล้วแต่ ทำเลยก็ดี จะได้ล้างซวยสักที”

ความซวยของมึงคงจะรวมกูเข้าไปด้วยล่ะสินะ

ผมเม้มปาก พยักหน้ารับเออออ พลันคว้าจักรยานมาปั่นเข้าไปในวัดโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

วัดที่พวกเราแวะเข้าไปนั้นเป็นวัดเล็กๆ ที่ไม่ได้มีในโปรแกรมเที่ยวหรือเป็นจุดน่าสนใจสักเท่าไหร่ อีกทั้งการมาทำบุญอะไรที่ว่าก็อาจจะไม่ได้เรียกว่าทำบุญได้เต็มปากเต็มคำด้วย เรียกว่ามาไหว้พระขอพรจะดีกว่า เพราะตอนที่เรามาก็เลยเวลาเพลของพระไปเยอะแล้ว จึงทำได้แค่บริจาคปัจจัยให้วัดเล็กน้อย แล้วก็บูชาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระกัน

ใช้เวลาไม่นาน ผมก็ไหว้ขอพรเสร็จ เอาธูปไปปักแล้วกลับมานั่งข้างๆ รอปั้นรักเพื่อที่จะเอาดอกบัวไปวางบนพานทองที่ทางวัดจัดไว้ให้พร้อมกัน

ปั้นรักยกมือไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ ดูก็รู้เลยว่าไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญสักเท่าไหรนัก ผมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าให้เอาธูปไปปักที่กระถาง พอปั้นรักจัดการเรียบร้อยดี ผมก็พามันเอาดอกบัวไปวาง ก่อนกลับมานั่งเพื่อกราบพระอีกครั้ง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

“เป็นไง รู้สึกดีขึ้นไหม” พอเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นได้ ผมก็เอ่ยปากถาม
ปั้นรักหันมามองผม หัวคิ้วย่นยู่ “ก็พอได้ แต่ตัวซวยก็ยังอยู่”

นั่นไง ผมบอกแล้วว่ามันมองว่าผมเป็นตัวซวยอย่างแน่นอน คิดผิดไปเสียที่ไหน

“ถ้าพี่เป็นตัวซวย ปั้นก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของพี่อะ” ผมสวนคืน
ปั้นรักถึงกับนิ่วหน้า ว่าเสียงสูง
“แน่ะๆๆ ปากคอเราะร้าย”

มึงปากร้ายยิ่งกว่ากูอีกเถอะ แต่ละคำที่สำรอกออกมานี่ฟังได้เสียที่ไหน

ทว่าผมไม่ได้เถียงอะไรนะ นอกจากจะหัวเราะออกมา ดูเหมือนช่วงนี้ผมจะหัวเราะบ่อยพิกล ขณะที่ปั้นรักยังคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก
“หัวเราะอะไรของยูนักหนา โดนตัวไหนมา ไหนพูด”

มันก็คงจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผมเหมือนกันถึงได้พูดแบบนี้
ผมก็ไม่ตอบหรอก ทำเพียงแค่พูดลอยๆ เท่านั้น
“ปั้นเคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าถ้าทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าจะได้มาเจอกันอีก”
พูดไปเท่านั้น ปั้นรักก็ทำหน้าปูเลี่ยน ก่อนที่มันจะเบ้ปากใส่
“เหย ใครอยากจะเจอกับยูอีกวะ”

ผมยิ้มให้ ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่ามันต้องพูดแบบนี้ แต่ที่ผมเอ่ยปากไปอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะเจอมันในชาติหน้าหรอกนะ แค่อยากจะแกล้งมันเฉยๆ เวลามันทำสีหน้าเหมือนขยะแขยงผมอะไรแบบนั้นมันดูตลกดี
“มาทำบุญไหว้พระด้วยกันขนาดนี้แล้ว ยังจะไม่อยากเกิดมาเจอพี่ชาติหน้าอีก ดื้อจริงๆ” ผมแสร้งว่า
ปั้นรักสวนคืน “ดื้อน่ะมันคือยูต่างหาก”

เออ ใช่สิ ก็ชื่อกูนี่

“แสดงว่าตอนเด็กๆ ยูแม่งโคตรดื้ออะถึงได้ชื่อนี้มา”

จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ใช่อีก ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสามคน ผมเป็นคนที่ดื้อที่สุด ถึงจะดูไม่ค่อยหือค่อยอือกับใครเท่าไหร่นัก แต่พ่อแม่บอกอะไรก็จะไม่ค่อยฟังและทำตาม ในขณะที่ไอ้แสบมันชอบแกล้งคนอื่นกับเล่นแผลงๆ ส่วนจอมแก่นจะซนเป็นลิงทโมนแม้ว่าตอนนี้มันจะเรียบร้อยประหนึ่งผ้าขี้ริ้วหมกซอกตู้ก็ตาม

“ก็ดื้อนะ” ผมยอมรับ “แล้วเราล่ะ ทำไมถึงชื่อปั้นรัก”
ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วบ้างเหมือนกัน
“ตามตัวไหมล่ะ ปั้นรัก เกิดจากการที่พ่อแม่ปั้นขึ้นมาด้วยรัก” จากนั้นปั้นรักก็ทำหน้าเนือยๆ “ถึงหลังจากนั้น พ่อกับแม่จะหย่ากันเพราะไม่ได้รักกันแล้วก็เถอะ”

พอมาในทำนองนี้ ผมก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องครอบครัวของมันต่อทันที เพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นปมด้อยของปั้นรักอะไรประมาณนั้น ก่อนจะเบนความสนใจไปเรื่องอื่นแทน
“จะไปกันเลยไหม หิวหรือยัง”
“จะไปก็ไป ไม่ต้องมาถาม นี่มันแพลนเที่ยวของยู” ปั้นรักเปลี่ยนเรื่องตามผมจนได้ ถึงมันจะกวนไปหน่อยก็เถอะ
ผมก็ยักไหล่ไม่ยี่หระ ดันตัวลุกขึ้น เดินออกจากโบสถ์ไปนั่งใส่รองเท้าผ้าใบที่ด้านหน้า ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อปั้นรักเดินตามมาทรุดตัวนั่งใส่รองเท้าข้างๆ

“แต่ยูควรรู้ไว้ว่าไอไม่ได้อยากจะเกิดมาเจออยู่อีกชาติหรอกนะ ไม่อยากมาไหว้พระทำบุญกับยูด้วย ที่มาก็เพราะมันเลี่ยงไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม”

ผมรู้ เลี่ยงไม่ได้จริงๆ แหละ เพราะมันจำเป็นต้องพึ่งผมให้เปย์ให้ก่อนไง

“พี่ก็ไม่ได้อยากจะเกิดมาเจอกับปั้นเหมือนกัน” ผมแกล้งสวนคืนบ้าง ตามด้วยอีกประโยค “แล้วอันที่จริง พี่ก็ไม่ได้อยากมาไหว้พระทำบุญกับปั้นหรอก อยากมากับคนอื่นมากกว่า”
ปั้นรักทำหน้ายู่ หัวคิ้วขมวดมุ่น “แฟนเก่า?”

ผมเงียบ เพิ่งรู้ตัวในตอนนี้ว่าเผลอพูดอะไรออกไปเลยยิ้มให้เป็นคำตอบแทนเพราะไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับ
ตามตรงเลยว่าผมยังคงคิดถึงเขาแม้ว่าเขาจะรักกับคนอื่นไปแล้วก็ตาม

คิดถึงตลอด... คิดถึงทุกนาที...

แสงเหนือ... พี่จะมีโอกาสได้ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกับเราไหม เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมารักพี่ ไม่ใช่เป็นรักไอ้ธารใจอย่างนั้น

คิดแล้วก็เงียบไปสักพัก รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ปั้นรักกระเถิบเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามา
“ไหน เอารูปมาดูหน่อยดิ”
ผมขมวดคิ้วใส่มัน “ก็เห็นไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

จำได้ว่าที่ร้านกาแฟ มันเคยเห็นรูปของแสงเหนือจากโทรศัพท์ผมไปแล้ว

“เห็นไม่ชัด เอามาดูอีกที” มันว่า
ผมนิ่ง มันเลยยื่นมือมาตรงหน้า กระดิกปลายนิ้วยิกๆ
“เร็วน่า แค่ขอดู ทำเป็นหวงไปได้”

ที่ไม่อยากให้ดูเพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผมไง แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมถึงได้ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าคาดอก แล้วหารูปแสงเหนือส่งให้มันดูเสียอย่างนั้น

ปั้นรักรับโทรศัพท์ไปถือ ดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำหน้าเครียด

“เป็นไง น่ารักไหม” เห็นมันเงียบไปนาน ผมเลยถาม

มันหันมามองหน้าผม
“นี่มัน...เกย์สาว?”

ผมถึงกับสำลักน้ำลาย ตั้งหลักได้ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“เฮ้ย ไม่ใช่ เหนือไม่ใช่เกย์สาว... น่าจะนะ”

ผมเองก็พูดไม่เต็มปากเหมือนกัน ก็แสงเหนือน่ะค่อนข้างจะ...เอ่อ...แรด ไม่รู้สิ หาคำนิยามที่ดีกว่านี้ให้ไม่ได้น่ะ อาจจะเรียกว่าเป็นพวกลั้นลารักสนุกก็ได้

หากแต่พอผมแก้ตัวให้ ปั้นรักก็เปรยออกมา
“ดูแบบ...Bitchy มาก”
“แปลว่า?”
“แปลเป็นไทยก็น่าจะแรด”

คราวนี้ผมหัวเราะดังกว่าเดิมอีก

มึงก็ตรงไปไหมไอ้ปั้น!

ไม่เถียง... ผมไม่เถียงเลย แค่ท่าทางของแสงเหนือที่ถ่ายรูปคู่ไอ้ธารใจแล้วทำท่าทำทางภูมิใจที่มีแฟนเกินเหตุ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นคนยังไง

“สเปกยูชอบแบบนี้?”
ปั้นรักถามออกมาอีก ผมเลยต้องหยุดหัวเราะ
“พี่มองข้ามเรื่องภาพลักษณ์นะ ถ้านิสัยถูกใจ พี่ก็อยากจะเรียนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง ถ้าเข้ากันได้ พี่ก็พร้อมจะจริงจังด้วย”
พอตอบไปอย่างนี้ ปั้นรักมันก็ทำหน้าเหลือเชื่อ จากนั้นก็ครางออกมา
“อูยยย ตอบหล่อเลย”
“ก็หล่ออยู่แล้วไหม”
“เอ้าๆ หลงตัวเองไปอีก รอบนี้โดนตัวไหนมา”

มึงนี่ก็ดักกูทุกทางเลยนะไอ้ปั้น!

ไปๆ มาๆ ก็สนุกกับการถูกมันแกล้งอีก แต่มันไม่ได้แกล้งผมนาน เพราะจู่ๆ มันก็ดันถามเรื่องแสงเหนือขึ้นมา
“แล้วตกลงผู้ชายคนนั้นเป็นคนยังไง ถึงได้ทำให้ยูชอกช้ำระกำทรวงขนาดนี้”
“บอกตรงๆ นะว่าพี่ไม่อยากพูดถึง” ผมว่า
“เอาน่ะ นิดนึง อยากรู้” ปั้นรักคะยั้นคะยอ

ปกติมันไม่สนใจเรื่องของผมนะ แต่รอบนี้มาแปลก แถมเร้าหรืออีกต่างหาก ผมเลยอดไม่ได้ที่จะเล่าขึ้นมา

“ก็...เป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี จิตใจดี แล้วก็...”
พูดยังไม่ทันจบ ปั้นรักก็สวนขึ้นมา
“แรด”

นี่ก็ย้ำจริง!

“ถ้าให้สุภาพหน่อยก็ใช้คำว่ารักสนุกจะดีกว่านะ” ผมบอก
“ว่าแต่...ผู้ชายคนนั้นเคยชวนยูไปนอนด้วยปะ”
เหมือนมันไม่ได้ฟังที่ผมพูดไปก่อนหน้าเลย ถามแต่เรื่องที่อยากจะรู้เท่านั้น
“ก็เคย” ผมตอบตามตรงไปอีก

ปั้นรักเบ้ปากขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็นคนทั่วถึงว่างั้น”
“เปล่าหรอก เพราะพี่หล่อต่างหาก” ไม่รู้นึกยังไง ผมถึงได้หยอกไปแบบนั้น

แน่นอนว่าปฏิกิริยาจากปั้นรักไม่ได้เป็นไปในแง่บวกเลยแม้แต่น้อย
“ดีนะที่ไอยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ไม่งั้นได้เสียของแน่”

มึงจะอ้วกว่างั้นเถอะ!

ผมก็ขำกับคำพูดมันนะ พอตั้งหลักได้ถึงแก้ตัวให้แสงเหนือ

“แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ เพราะเหนือมีแฟนที่จริงจังด้วยแล้ว นิสัยเดิมๆ หยุดไปแล้ว”
“ในเมื่อหมอนั่นหยุดนิสัยเดิมๆ แล้ว ทำไมยูไม่หยุดบ้างล่ะ”

ปั้นรักมันชอบพูดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พอพูดมาอย่างนั้น ผมก็เลิกคิ้ว

“หยุดเรื่อง?”
“หยุดคิดถึงผู้ชายคนนั้นไง ยูมาที่นี่เพื่อมาพักใจไม่ใช่เหรอ เอาแต่คิดถึงอย่างนั้นจะพักใจได้หรือไง”

เอ้า ก็เมื่อกี้มึงเป็นคนถามเองไม่ใช่หรือไง!

ไม่ใช่หรอก มาคิดๆ ดูแล้ว ผมเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นพูดถึงแสงเหนือขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นไอ้ปั้นรักมันก็ขุด ขุดแล้วก็กินเผือก จากนั้นก็ขยี้ๆ ก่อนจะตามมาด้วยการลูบหลัง

“ก็คนมันรักน่ะ จะให้ทำยังไงได้ การตัดใจไม่ได้ทำง่ายๆ สักหน่อย” ผมว่าไปตามประสา กะว่าจะไม่พูดอะไรแล้ว จะยุติหัวข้อสนทนาเรื่องแสงเหนือแต่เพียงเท่านี้

ทว่าพอกลับมาสนใจการใส่รองเท้าอีกครั้ง ปั้นรักก็ว่าขึ้นมาลอยๆ

“ใช่ ตัดใจมันทำยาก แต่ตัดใครสักคนที่ทำให้เราเจ็บปวดออกจากชีวิตมันก็คงจะไม่ยากสักเท่าไหร่มั้ง ถึงเวลาที่ยูต้องจัดการพื้นที่ในใจได้แล้ว คนที่ไม่ใช่ก็เก็บไว้ห่างๆ ใจซะ”

พูดจบ มันก็ตบบ่าผมปุๆ ตามด้วยว่ามาอีกประโยค

“กลับห้องเมื่อไหร่ ไปซื้อเบียร์มาดื่มกัน ไอจะอยู่เป็นเพื่อนคนอกหักอย่างยูเอง”

สิ้นเสียงก็เดินไปยังลานกว้างที่ใช้จอดรถจักรยาน ปล่อยให้ผมมองตามก่อนจะหลุดยิ้มออกมา

พูดอะไรดีๆ ก็เป็นเหมือนกันนี่หว่า...




 
การตกปากรับคำปั้นรักเรื่องซื้อเบียร์มาดื่มอะไรนี่ ผมว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดโคตรๆ เพราะพอดื่มไปได้สักพัก จากความตั้งใจที่จะให้ผมได้ผ่อนคลายระบายความทุกข์อะไรนั่น ก็กลายเป็นว่าไอ้ปั้นรักต่างหากที่ได้ระบายน่ะ

“แม่นะแม่! มีลูกคนเดียวแท้ๆ ไล่ออกจากบ้านได้ลงคอ!”

เมาแล้วโวยวาย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่แม่มันเฉดหัวออกจากบ้านเพื่อให้มาตามติดผมต้อยๆ แบบนี้จนกว่าผมจะกลับไทย

“แล้วดูพ่อนะ พอมีเมีย มีลูกใหม่ ก็ไม่สนใจไอเลย ระยะหลังนี่หนัก ถึงขั้นพยายามบีบให้ย้ายออกไปอยู่กับคนอื่น แย่จริงๆ!”
พูดจบก็กระดกเบียร์เข้าปากอีก ทำเอาผมที่ฟังมันพล่ามเรื่องครอบครัวมันซ้ำไปซ้ำมาคว้าเบียร์ออกจากมือมันแทบไม่ทัน

“พี่ว่าดื่มพอได้แล้วมั้งปั้น เมามากแล้วนั่นน่ะ”
“ไหน ใครเมา โว้ย ไม่เมา!”

ปั้นรักโวยวาย เอี้ยวตัวหลบ ไม่ยอมให้ผมแย่งเบียร์ไปจากมือง่ายๆ เบียร์ในขวดเลยกระฉอกหกรดตัวเอง มันก็เป็นปกติของคนเมาแหละที่จะปฏิเสธว่าตัวเองไม่เมา ผมก็อยากจะปล่อยให้มันดื่มต่อหรอกนะถ้ามันไม่ส่งเสียงดังจนผมกลัวว่าจะไปรบกวนห้องอื่นอย่างนี้น่ะ

“เออ ไม่เมาก็ไม่เมา แต่เลิกดื่มได้แล้ว หกใส่ตัวหมดแล้วเนี่ย”
แย่งขวดเบียร์มาได้เรียบร้อย ผมก็เอาวางลงบนพื้น พลางชี้ไปที่ตัวมัน ปั้นรักมองเสื้อยืดเปียกไปด้วยเบียร์ของตัวเอง ก่อนจะยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
“อยากซดเบียร์จากตัวไอไหมล่ะ”

ถ้าเป็นคนอื่นพูด ผมจะคิดว่ายั่ว แต่พอเป็นปั้นรักพูด ผมล่ะอยากจะเอาขวดเบียร์ฟาดหัวมันให้สลบ

แต่พอผมไม่ตอบอะไร ปั้นรักมันก็ทำเสียง
“อ๊ะๆ หื่น”
แล้วก็ถลกเสื้อตัวเองขึ้น ใช้นิ้วข้างนึงบิดหัวนมตัวเองไปมา พร้อมกับทำหน้าคล้ายกับว่าเสียว
“อ๊าง อ้ายดื้อ...”

อยากจะถีบสักที อุบาทว์ลูกตาฉิบ!

ถึงมันจะหน้าตาดี แต่มาทำท่าทางแบบนี้ ผมก็อดหมั่นไส้มันไม่ได้เลยแกล้งหยิกหัวนมข้างที่มันใช้นิ้วบิดไปบิดมาไปทีหนึ่ง พอมันร้องโวยวายเพราะเจ็บ ผมก็พูดขึ้นมา

“เลิกเล่นแล้วนอนลงไปเลย เดี๋ยวได้โดนพี่ไล่ออกจากห้อง”
“ยูแม่ง...” มันพึมพำอะไรสักอย่าง แต่ก็ยอมนอนโดยดี

ผมจัดการไปเอาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดตัวให้มัน ไม่ได้ทำอย่างพิถีพิถันอะไรนักหรอก ทำลวกๆ ให้เสร็จเร็วๆ แล้วจะได้เก็บข้าวของ จากนั้นก็นอนบ้าง

หากแต่ระหว่างที่เช็ดตัวให้ปั้นรักอยู่นั้น จู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา
“ยู...”
“หืม?”
“ไอหวังว่าการมาลาวของยู จะทำให้ยูรู้สึกดีขึ้นนะ”

ผมชะงัก หันไปมองหน้ามันด้วยงุนงงว่าทำไมมันถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมา จังหวะเดียวกับที่มันสบตาผมพอดี ก่อนที่มันจะพูดออกมาอีก

“เพราะไอเองก็หวังว่าจะรู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน”

รู้สึกดีขึ้นเหรอ... เรื่องอะไร

ต่อมความอยากรู้ทำงานทันใด อยากจะถามเสียเดี๋ยวนั้นเลย ทว่าดูปั้นรักจะไม่พร้อมสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากประโยคนั้นมันก็หลับตาลง พึมพำมาให้ได้ยิน

“ความจริงแล้วที่ไอโผล่มาที่นี่น่ะ ไม่ใช่เพราะแม่ไอให้มาหรอกนะ ไอตามมาเอง”
“ทำไมล่ะ” ผมรีบถามออกไปทันควัน
“สำนึกผิดที่พูดไม่ดีเลยตามมารับผิดชอบ”
“พูดไม่ดีเรื่องเหนือน่ะเหรอ”

ทว่าปั้นรักไม่ตอบแล้ว หลับคร่อกไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมค้างคาใจอยู่อย่างนั้น ก่อนจะต้องหัวเราะออกมาเมื่อพอจะสรุปเองได้
เรื่องแสงเหนือนั่นแหละ ก็วันนั้นก่อนที่ผมจะเดินทางมาที่นี่ ผมทะเลาะกับมันเพราะปั้นรักพูดถึงแสงเหนือในทางไม่ค่อยดีไง

ใครว่ามันไม่มีความรับผิดชอบกัน รับผิดชอบดีเลยนี่หว่า

ผมยิ้มให้กับปั้นรักที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่พักหนึ่ง เห็นใบหน้าของมันที่ปราศจากความดื้อดึงในยามหลับแล้วก็อดใจไม่ไหว ยื่นมือไปดึงแก้มมันเบาๆ ไม่ได้

“ไอ้ดื้อเอ๊ย”

รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่เรียกชื่อตัวเองกับคนอื่น แต่ปั้นรักมันดื้อด้านจริงๆ ดื้อไม่พอ กวนบาทาทุกเวลาอีก แต่นิสัยแบบนี้มันก็...น่ารักดี

ผมชักจะอยากรู้จักมันมากกว่านี้เสียแล้วสิ...
------------------------------------
มาเต็มตอนแล้วค่ะ ขออภัยที่้มาช้า เดี๋ยวตอนเย็นจะมาอัปตัวอย่างตอนถัดไปให้นะคะ
ตอนนี้พี่ดื้อเริ่มสนใจบักปั้นแหล่ว ส่วนตอนหน้า บอกเลยมีจิกหมอน อิอิ
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่9:ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน[12/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-07-2017 15:02:28
เอาหมอนมาเตรียมเลยเด้อ อิอิ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่9:ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน[12/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 12-07-2017 17:24:03
รอจิกหมอนตอนหน้าครับ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่9:ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน[12/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 12-07-2017 18:13:59
อุ๊ย! คู่นี้มันยังไงๆอยู่น้าา :hao3:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่9:ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน[12/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 12-07-2017 20:47:20
อยากรู้เลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่9:ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน[12/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 13-07-2017 22:48:39
สะบายดี ครั้งที่ 10: Shut up and…

ความจริงแล้ว แพลนเที่ยวของผมต่อไปคือการไปทัวร์หลวงพระบาง แต่เพราะปั้นรักมันเมาแอ๋ ตื่นมาก็บ่นปวดหัวไม่เลิก ผมเลยต้องเปลี่ยนแผนด้วยการอยู่วังเวียงอีกวันเพื่อให้มันได้นอนพักก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าจะไปไหน

พอบอกให้มันนอน มันก็นอนจริงๆ นอนทั้งวัน ที่เหลือก็ชี้นิ้วสั่งผมประหนึ่งผมเป็นขี้ข้ามัน

“ยูไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้หน่อย” มันพูดขณะนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง

เออ ตอนนี้มันขึ้นมานอนบนเตียงกับผมละ ต้นเหตุมาจากการที่ผมเอามันมานอนบนเตียงตอนเมาเมื่อคืนนี้ มันเลยยึดเตียงไปเป็นที่เรียบร้อย

“เอาไปทำไม” ผมที่นั่งอยู่ปลายเตียงหันไปถาม
มันเลิกคิ้วสูงทันที “เอ้า ก็จะได้ไปอาบน้ำ”
“ผ้าเช็ดตัวก็แขวนอยู่ที่ราวหน้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ เดินไปหยิบก็เข้าห้องน้ำไปเลยก็ได้นี่”
“ขี้เกียจ” คราวนี้มันว่าสั้นๆ ทำสีหน้ากวนโอ๊ยส่งมาให้ผม

ผมล่ะอยากจะด่ามันเหลือเกินว่ามึงก็ขี้เกียจเกิ๊น!

แต่พอมันพูดตามมาอีกประโยค...
“อยากให้ยูหยิบมาให้”

โห เหมือนอ้อนอะ แต่หน้าตาโคตรกวน แล้วแทนที่ผมจะปฏิเสธหรือแกล้งทำเฉยไป ดันลุกขึ้นไปหยิบมาให้มันโดยดีด้วยนะ
โยนผ้าเช็ดตัวในมือให้มันรับ ก่อนจะว่า

“ขี้เกียจขนาดนี้ ต้องให้พี่อุ้มไปอาบน้ำด้วยไหม”
“อยากทำ?”
พอมันถามมาอย่างนี้ ผมก็ยกยิ้มน้อยๆ หัวเราะในลำคอเบาๆ แถมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ปั้นรักก็สวนคืนมา
“เอ้า หื่นไปอีก ดูๆ”

แค่ยิ้ม! สาบานว่าแค่ยิ้มจริงๆ ไม่ได้คิดอะไรหื่นอย่างที่ปั้นรักว่าเลยแม้แต่นิดเดียว!

ผมหุบยิ้มเลย แต่เป็นการเกร็งหน้าที่เมื่อยมากเพราะสุดท้ายก็ต้องหลุดหัวเราะอยู่ดีเมื่อปั้นรักพูดลอยๆ
“ไม่ได้แอ้มไอร้อก! ขาอ่อนก็ไม่ได้เห็น”

พูดออกมานี่คงลืมไปแล้วสินะว่าก่อนหน้านั้นมันเคยดึงกางเกงตัวเองลงจนผมเห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้วน่ะ
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่โบกมือไล่ให้มัน

“ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ออกไปเดินเล่นบ้าง อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้”
ปั้นรักบ่นอะไรออกมาอีกสองสามประโยค แต่ผมไม่ได้สนใจแล้วเพราะจู่ๆ เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นจอมแก่นที่ส่งข้อความมา
 
จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง: พี่ดื้อว่างไหม โทรคุยได้หรือเปล่า
 
จู่ๆ ผมก็สังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ ขึ้นมา ถ้าไม่มีเรื่องด่วนหรือเรื่องร้าย จอมแก่นจะไม่ค่อยโทรหาผมสักเท่าไหร่นัก แต่นี่มัน...
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาว่ามีเรื่องอะไร ผมก็กดโทรกลับหาจอมแก่นแล้ว ไม่นานนัก จอมแก่นก็รับสาย ผมกรอกเสียงลงไปทันที

“ว่าไง”

ในใจขอให้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับพ่อแม่หรือคนในครอบครัว ซึ่งก็ใช่จริงๆ เมื่อจอมแก่นสวนกลับมา

‘พี่เหนือกับธารทะเลาะกันน่ะ’

ผมระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โล่งใจอย่างเต็มที่เมื่อได้ยินชื่อผู้ชายอีกคนที่ผม...ยังคงรัก

“คนเป็นแฟนกัน มันก็ต้องทะเลาะกันเป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่” ผมบอก แม้ว่าในใจจะไม่ค่อยชอบใจไอ้ธารใจสักเท่าไหร่ที่มันทะเลาะกับแสงเหนือ เดาได้เลยว่าต้องเป็นเพราะความเอาแต่ใจของมันแน่ที่เป็นต้นเหตุ

‘มันก็ใช่แหละพี่ดื้อ แต่ครั้งนี้มันแบบ...แรงน่ะ’ จอมแก่นว่าด้วยน้ำเสียงลำบากใจ

ผมสัมผัสได้นะว่ามันก็ไม่อยากจะบอกผมเรื่องนี้หรอก อย่างน้อยถ้าไอ้แสบรู้ มันต้องสั่งน้องให้ห้ามพูดเรื่องแสงเหนือกับผมอย่างแน่นอนเพราะมันรู้ดีว่าผมกำลังจะตัดใจ

ทว่ามันคงจะเป็นเรื่องรุนแรงจริงๆ จอมแก่นถึงได้ตัดสินใจมาบอกอย่างนี้

‘ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดไหมเพราะมันไม่เกี่ยวกับพี่ดื้อ แต่ผมว่าพี่ดื้อควรจะรู้ไว้’
“ตกลงแล้วสองคนนั้นทะเลาะกันเรื่อง?” ผมถามตรงประเด็น

จอมแก่นเงียบไปครู่ มีเสียงพ่นลมหายใจออกมาให้ได้ยินเล็กน้อยก่อนที่มันจะยอมเปิดปาก
‘พี่เหนือ...จะไม่อยู่แล้วนะพี่’

ฟังดูไม่ดีเลย เหมือนกับว่าเหนือจะเป็นอะไรไปอย่างนั้นแหละ

“ไปไหน”
แต่เอาจริงๆ ในใจผมคิดว่าเขาอาจจะเลิกกับไอ้ธารใจนะ แต่ทว่า...

‘พี่เหนือกำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกา’

ฟังแล้วผมก็นิ่งไป

เพราะเหตุผลนี้เลยทำให้ไอ้ธารใจมันชวนทะเลาะใหญ่โตล่ะสินะ ก็ไม่แปลกใจหรอก คนรักจะไปอยู่ไกลๆ ทั้งที มันก็ต้องเป็นห่วงกันบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาทะเลาะกันหนักจนจอมแก่นต้องโทรมาบอกผมนี่นา

“เรื่องแค่นี้เองเหรอ” ได้สติ ผมก็พูดออกมาอีกที
‘อือ ธารไม่อยากให้พี่เหนือไป’ จอมแก่นว่า

ผมรู้ ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่อยากให้ไป แต่ผมก็โตพอที่จะแยกแยะอะไรได้ ทว่ากับธารใจมันไม่ใช่ เด็กนั่นมันคงกลัวจะสูญเสีย บวกกับนิสัยเอาแต่ใจของตัวเองเป็นทุนเดิม ผมเดาได้เลยว่ามันต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้แสงเหนือไปจากมันแน่

‘ตอนนี้พี่เหนือกับธารทะเลาะกันหนักเลย พี่เหนือหนีออกจากบ้านของธารไปไหนก็ไม่รู้ ยังหาตัวไม่เจอ ธารเพิ่งโทรมาถามหาพี่เหนือกับผมเมื่อกี้เพราะคิดว่าพี่เหนือมาบ้านเรา ตอนนี้กำลังโทรถามเพื่อนคนอื่นๆ อยู่’ จอมแก่นว่ามาอีก

ผมพอจะเดาออกเลยว่าแสงเหนือหนักใจขนาดไหนถึงขนาดต้องหนีไปตั้งหลักก่อน ฟังแล้วก็หงุดหงิดไอ้ธารขึ้นมา ถ้าแสงเหนือคบกับผม ผมรับรองเลยว่าจะไม่มีวันทำให้เขาต้องลำบากใจอย่างนี้แน่

...ไม่มีวันเลย

‘ผมก็โทรมาบอกแค่นี้แหละ เผื่อพี่ดื้อกลับมาไทยแล้วอยากจะรู้ว่าพี่เหนือหายไปไหน’

จอมแก่นทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ประเด็นของมันคือไม่ได้จะบอกผมว่าทั้งคู่ทะเลาะกัน แต่จะบอกว่าแสงเหนือจะไปจากผมต่างหาก
ไปจากผมมากขึ้นทุกที... ไกลจนเอื้อมมือไปคว้าไว้ไม่ได้

ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรั้งเขาไว้ เป็นเสมือนดาวเคราะห์นอกวงโคจรของเขา เรียกว่าเป็นเพื่อนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมก็เป็นแค่... พี่ชายของนักเรียนที่เขามาฝึกสอน

ผมกดวางสาย ถอนหายใจออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงโดยลืมไปสนิทว่าระหว่างการคุยกับจอมแก่นนั้น มีสายตาของปั้นรักจับจ้องอยู่ตลอด

“แฟนเก่ายูโทรมาเหรอ” แล้วมันก็ถามออกมา
ผมหันไปหาพลางส่ายหน้า “น้องชายน่ะ”
“มีพี่น้องด้วย?” ปั้นรักทำหน้าตกใจ
ผมยิ้มออกมาน้อยๆ “อือ”
“ไม่น่าเชื่อว่ามีคนอยากเป็นพี่น้องกับยูด้วย”

มันเลือกไม่ได้หรือเปล่าวะว่าอยากหรือไม่อยากน่ะ

“ไหนเอารูปมาดูดิ๊”
พูดจบก็กระตือรือร้นขึ้นมาเฉยเลย แถมยังขอดูรูปจอมแก่นอีกต่างหาก ผมก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไร เปิดรูปของจอมแก่นให้ดูเสียอย่างนั้น
“หมอนี่ชื่อจอมแก่น เป็นน้องชายคนเล็ก”
“หน้าตาไม่เห็นเหมือนยู” ปั้นรักมองแล้วก็ว่า

ก็แน่สิ ไอ้จอมแก่นมันน่ารักนี่ ใครจะมาดูเถื่อนๆ เหมือนผม

“จริงๆ มีพี่ชายอีกคนนะ ชื่อจอมแสบ ไอ้นี่น่าจะหน้าตาคล้ายกันหน่อย เถื่อนเหมือนกัน”
ว่าแล้วผมก็เปิดรูปของไอ้แสบให้ดู ปั้นรักมองแล้วขมวดคิ้วมุ่น
“เถื่อนแท้หลาว”

มันทั้งสัก ทั้งเจาะเต็มตัวไปหมดเลยนี่ พอถามว่ามันทำบ้าอะไรกับตัวเองเยอะแยะ มันก็บอกว่า...

“แฟชันน่ะ” อันนี้ผมตอบปั้นรัก
“แต่ก็ไม่เหมือนยูอยู่ดี”

ปั้นรักว่า ทำเอาผมเลิกคิ้วสูง
“จริงอะ ใครๆ ก็บอกว่าพี่หน้าตาคล้ายมันนะ”
“พี่ชายยูหล่อกว่า” มันพูดเนิบๆ ก่อนจ้องหน้าผม “หน้าตายูเหมือนแพะภูเขา”

คราวนี้ผมถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดัง

คงเพราะไว้เคราล่ะสินะ

ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อมันเอามีมาดึงเคราอ่อนๆ ที่ปลายคางผมอย่างถือวิสาสะ
“นึกว่าตัวเองเป็นอนันดาแม่นบ่ โว้ย อนันดาอีหยัง แพะภูเขาชัดๆ”

ผมคว้ามือมันออก ว่าอย่างรวดเร็ว
“ถ้าปั้นไม่ชอบ อยากให้พี่โกนไหมล่ะ”
“เออ โกนดิ ไว้ทำบ้าอะไร ถ้าจะไว้ก็ตัดแต่งให้เข้าทรงหน่อยเถอะ อันนี้เหมือนขี้เกียจโกน”

มันพูดถูก ปล่อยยาวนี่ไม่ใช่อะไรอะ ขี้เกียจล้วนๆ แต่ถ้ายอมรับไปตามตรงก็ไม่สนุกสิ ผมเลยแกล้งบอกมันไป

“ถ้าอยากให้พี่โกน ก็...ทีนึง”
“ทีนึงอะไร” ปั้นรักมองผมอย่างไม่ไว้ใจทันที
ได้ที ผมก็หันแก้มข้างหนึ่งให้
“หอมแก้มพี่ทีนึง”

เพียะ!

มันฟาดฝ่ามือใส่หน้าผมทันทีอย่างไม่แรงนัก ผมหันไป กำลังจะโวยวาย มันก็ดึงผ้าห่มมาครอบหัวผมเอาไว้ ตามด้วยคว้าหมอนมาฟาดอีกหลายที ก่อนที่มันจะรีบทิ้งตัวลงจากเตียง

“ทะลึ่งบ้อง”

ผมดึงผ้าห่มออก และก่อนที่มันจะวิ่งปรู๊ดหนีเข้าห้องน้ำ ผมก็แอบเห็นสีหน้าของมันตอนพูดประโยคนั้นก่อน
สีหน้าแบบนั้น... หูกับคอแดงอย่างนั้น... เขินล่ะสินะ

เสียงประตูปิดดังปังตามมาให้ได้ยิน พร้อมกับร่างของปั้นรักที่หายเข้าไป ผมมองตามแล้วก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง หลายวันมานี่ ผมหัวเราะเพราะปั้นรักหลายครั้งแล้วนะ แถมครั้งนี้มันยังทำให้ผมเผลอลืมเรื่องของแสงเหนือไปหมดอีกต่างหาก

ปั้นรักนี่มัน...น่ารักจริงๆ นะ



 
ถึงจะบอกว่าผมลืมเรื่องของแสงเหนือไปสนิท แต่มันก็แค่ช่วงนั้นเท่านั้นแหละ เพราะหลังจากที่ไปตระเวนเดินเล่น หาอะไรกินและกลับมายังห้องพัก ผมก็อดคิดถึงเรื่องเขาอีกไม่ได้ ความรู้สึกของผมอย่างเดียวในตอนนี้คือเป็นห่วงความรู้สึกของแสงเหนือมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ได้มีความรู้สึกอยากให้แสงเหนือกับไอ้ธารใจเลิกกันเลยสักนิด เพราะผมรู้ว่าถ้ามันลงเอยอย่างนั้น คนที่จะต้องเจ็บปวดก็จะคือแสงเหนือ ซึ่งผมไม่ต้องการให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น

แต่อย่างที่บอกว่าเพื่อนก็ไม่ได้เป็น ผมเป็นแค่ใครบางคนสำหรับเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ต่อให้อยากปลอบแค่ไหนก็ทำได้เพียงนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ของเขาที่บันทึกไว้ในเครื่อง คิดกับตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าควรจะโทรไปดีไหม จนเดินออกจากห้องมานั่งเล่นในสวนเล็กๆ ของทางเกสต์เฮ้าส์

ทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งได้ก็จ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตาย

เป็นห่วงจริงๆ นะ ป่านนี้ไอ้ธารใจจะเจอตัวแสงเหนือหรือยังก็ไม่รู้...

ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆ ผมก็หน้ามืดขึ้นมา เกือบจะกดโทรออกหาเขาไปแล้ว ถ้าเกิดว่าหูไม่ได้ยินเสียงใครบางคนเดินมาทางนี้ ผมก็คงกดโทรออกไปเรียบร้อย

ผมมองไปตามเสียงฝีเท้าที่ย้ำลงบนก้อนหิน พอเห็นว่าเป็นใครก็เหยียดตัวนั่งหลังตรง
“มานั่งทำตัวเป็นพระเอก MV อยู่ได้ พรุ่งนี้ต้องออกเช้าไม่ใช่หรือไง” เดินมาถึงก็พูดเลย

แน่นอนว่าปั้นรักหมายถึงพรุ่งนี้ต้องขึ้นรถรอบเช้าไปหลวงพระบางน่ะ ผมไม่ได้ตอบอะไร ขยับที่ให้ปั้นรักนั่งข้างๆ ก่อนที่มันจะพูดขึ้นมาอีก

“อย่าบอกนะว่ามานั่งบริจาคเลือดให้ยุงแบบนี้เพราะคิดจะโทรหาแฟนเก่ายู?”
มันคงเห็นผมถือโทรศัพท์ไว้ในมือน่ะ ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เลยได้แต่พยักหน้ารับ
“แต่เหนือไม่ใช่แฟนเก่าพี่หรอกนะ แค่คนที่พี่จีบแล้วจีบไม่ติด” แก้ตัวให้แสงเหนือหน่อย ไม่อยากให้ปั้นรักเรียกเขาว่าแฟนเก่าผมอย่างโน้นอย่างนี้
“จะอะไรก็เอาเถอะ ไม่ได้เกี่ยวกับไอ”

ผมยิ้มให้มัน ไม่พูดอะไรออกมาอีก ปล่อยให้มันพูดอยู่คนเดียว

“แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับยูด้วย”
คราวนี้ผมมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่ามันหมายความว่ายังไง ปั้นรักเองก็มองหน้าผมอยู่เช่นกัน
“คนที่หักอกยูน่ะ ก็เหมือนก้อนหินนั่นแหละ”

มันว่า ก่อนจะยื่นมือไปคว้าก้อนหินเล็กๆ บนพื้นมาใส่มือผมเอาไว้ จากนั้นก็บีบมือผมเล็กน้อยให้กำก้อนหินนั้น
“ถ้ายูยังเข้าไปยุ่ง มันก็เหมือนกำก้อนหินเอาไว้ ยิ่งยุ่งมากเท่าไหร่ก็จะต้องกำมากขึ้น คนเจ็บก็จะมีแต่อยู่ แต่ก้อนหินมันไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ถ้ายูปล่อย...”

จากนั้นก็แกะนิ้วผมออก ปล่อยให้ก้อนหินก้อนนั้นร่วงหล่นจากฝ่ามือ
“ยูก็จะไม่เจ็บ” มันว่าต่อ

ผมมองหน้าปั้นรัก เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ ซึ่งก็จริงอย่างที่มันว่า ถ้าผมยังเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับแสงเหนือ คนที่จะเจ็บก็มีแค่ผมเท่านั้น ส่วนแสงเหนือจะไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะเขาเลือกไปแล้วว่าจะรักใคร ต่อให้ผมทำดีด้วยแค่ไหน มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ถึงสุดท้ายแสงเหนือกับไอ้ธารใจจะเลิกกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหันมารักผม อันนั้นผมรู้ดี แต่ที่มานั่งซึมกะทือคิดไม่ตกอยู่อย่างนี้ก็อย่างที่บอก... ผมแค่เป็นห่วงเขา

“ยูก็เลือกเอาแล้วกันว่าอยากจะกำหรือจะปล่อย”
พอมันพูดมาอย่างนี้อีก ผมที่เงียบอยู่นานเลยได้โอกาสปริปากพูดบ้าง

“จริงๆ แล้วพี่อยากจะกำเอาไว้ พี่อยากรั้งเหนือไว้กับพี่ให้นานที่สุด”

ปั้นรักย่นคิ้วทันที
“วุ้ย อุตส่าห์ออกมาปลอบใจแล้วยังจะรั้นอีก ยูนี่มัน...”

“แต่ดูเหมือนว่าถ้าปล่อยไปจะดีกว่า ไม่งั้นการมาลาวจะเสียเปล่า”
ผมไม่ปล่อยให้มันพูดจบก็สวนขึ้นมาก่อน ปั้นรักชะงัก ไอ้ที่ทำท่าเหมือนจะด่าผมเหมือนกี้ก็เงียบไป ปั้นหน้าให้เป็นสีหน้าปกติแทน
“เออ คิดได้ก็ดี”

แถมยังเอามือมาตบบ่าผมปุๆ เหมือนเป็นการปลอบใจ ผมมองมันแล้วหัวเราะน้อยๆ

“เปลี่ยนจากตบไหล่ปลอบเป็นกอดปลอบได้ไหม เผื่อจะรู้สึกดีกว่า”
แกล้งถามไปแบบไม่ได้คาดหวัง กะว่าจะแกล้งให้มันหงุดหงิดเพื่อให้ตัวเองอารมณ์ดีขึ้นเฉยๆ ทว่าผิดคาดมากๆ เพราะปั้นรักเม้มปาก พยักหน้ารัวๆ
“ได้ มาสิ แต่แค่ครั้งเดียวนะ”

มาสิบ้าอะไร ผมไม่ได้ขยับเลยสักนิด มีแต่มันที่โผเข้ากอดผม พลันลูบหัวลูบหลังมั่วไปหมด

“it’s ok. Everything will be alright. (ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง)”

ผมแปลได้ ประโยคนี้มันกำลังปลอบใจผม แต่ว่านะไอ้ปั้น ท่าทางของมึงเหมือนกอดหมามากอะ ยีหัวผม ตบหลังเป็นพัลวัน ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น ก่อนจะจับไหล่มันแล้วผละออกมาเล็กน้อย
“ปั้น...”

ผละออกมาได้ก็เรียก ปั้นรักมองหน้าผม เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

ไม่รู้ทำไมพอผมเห็นสีหน้านั้นแล้วก็รู้สึกว่ามันน่ารักโคตรๆ เลย มันน่ารักในความคิดของผมตั้งแต่ที่ผมแกล้งมันจนเขินหนีเข้าห้องน้ำไปเมื่อบ่ายแล้ว ก่อนจะอดใจไม่ไหว ถลาเข้าไปหาและ...

จุ๊บ...

จูบไปที่ริมฝีปากทีหนึ่งเต็มๆ

ถอยออกมาได้ก็ยิ้มให้ เขินนิดหน่อยกับการกระทำของตัวเอง ในขณะที่ปั้นรักนิ่งค้าง ตัวแข็งเป็นหิน มองผมด้วยดวงตาเบิกโตอยู่ครู่หนึ่งจนผมต้องโบกมือไหวๆ ตรงหน้ามันพร้อมเรียก
“ปั้น... โอเคไหม”

ตอนนี้เองที่มันได้สติ ส่ายหน้าช้าๆ

เดี๋ยวๆ มึงจะมาช็อกเพราะถูกกูจูบแค่นิดเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ

ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำท่าปกติได้หรอกนะ เพราะปั้นรักมันไม่ได้เป็นเกย์ การถูกเกย์อย่างผมจูบแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ มันคงจะเหวอหนักพอตัว ยิ่งมันแสดงออกชัดเจนหลายต่อหลายครั้งว่าขนลุกกับผมด้วยแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดขึ้นมา

“คือ...เมื่อกี้นี้น่ะ พี่ขอ...”
ทว่าพอผมจะขอโทษ มันก็ดันพูดสวนขึ้นมา
“อีก”
ผมชะงัก เลิกคิ้วสูง
“หืม?”
“อีกทีซิ”

เอ้าไอ้ปั้น ที่มึงเงียบไปนี่คือติดใจเหรอ

“เอาจริง?” ผมแกล้งถาม

ปั้นรักเม้มริมฝีปาก มองหน้าผมแล้วพยักหน้ารับ

ยอมรับว่าผมก็ลังเลนะ กลัวจูบไปแล้วโดนมันกัด แต่พอมองไปที่ริมฝีปากสีสวยตรงหน้า ผมก็อดใจไม่ไหวขึ้นมา ขยับตัวเข้าไปใกล้มันจนหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันเพียงคืบ

“อย่ากัดนะ” กระซิบบอกมันไว้ก่อน เผื่อมันเล่นแง่ ก่อนที่จะทาบทับริมฝีปากของตัวเองลงไป

ลมหายใจของเขาสัมผัสกันชั่วขณะหนึ่ง ผมแค่จูบเบาๆ แล้วก็ผละออกมาโดยไม่คิดจะทำอะไรเกินเลย หากแต่พอผละออกมาปุ๊บ ปั้นรักที่ยังคงนิ่งค้างอยู่ก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา ผมกำลังจะถามเลยว่าเป็นอะไร แต่มันก็ดันพูดขึ้นมาก่อน
“Again (อีกที)”

ยังไม่ทันจะได้ตอบรับใดๆ มันทั้งสิ้น มันก็โผเข้ามาหาผมแล้ว โผอย่างเดียวไม่ว่า จูบผมเป็นทีเรียบร้อย กลายเป็นว่าผมนี่แหละที่ตกใจกับการกระทำของมันจนต้องรีบดันตัวมันออก

“เดี๋ยวปั้น เดี๋ยวๆ พี่ว่าเรา...”
“Just shut up and kiss me (หุบปากแล้วจูบไอเถอะน่า)”

พูดยังไม่ทันจบ มันก็ส่งเสียงจึ๊จ๊ะในลำคอมาให้ได้ยิน พร้อมกับประโยคภาษาอังกฤษที่ผมดันฉลาดแปลได้ทุกคำขึ้นมาในตอนนี้
พอมันว่ามาอย่างนี้ ผมก็เลยนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้มันจูบไป มันคงอยากจะลองของใหม่ แต่ครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้มันจูบแค่เอาริมฝีปากสัมผัสกันหรอก พอมันประทับริมฝีปากลงมา ผมก็คว้าหัวมันไว้หมับ จากนั้นก็ดูดกลืนกลีบปากนุ่มเป็นเชิงบังคับให้แยกออกจากกัน ก่อนจะแทรกปลายลิ้นเข้าไปตักตวงความหอมหวานอยู่ครู่หนึ่ง

ที่น่าตกใจก็คือ... ปั้นรักก็ตอบสนองการรุกล้ำของผมเช่นกัน

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ามันเริ่มรุกผมละ ดันปลายลิ้นตัวเองเข้ามาในปากผมเสียอย่างนั้น อะไรไม่ว่า...มือ

มือมึงจะล้วงเข้ามาในเสื้อกูทำไม!

รู้สึกตัวอีกที มือของไอ้บ้าตรงหน้าก็วางแหมะอยู่บนหน้าท้องใต้เสื้อผมละ พอกำลังจะหาจังหวะถอนจูบออกมาเตือนมัน นิ้วแม่งก็ไต่ไปสะกิดหัวนม

ไอ้ปั้น! มึงจะรุกกูไม่ได้นะ!

ผมดันมันออกห่างทันที ก่อนจะรีบร้องเรียกสติ
“ปั้น เดี๋ยว...”

ปั้นรักทำหน้าหงุดหงิด มองผมคล้ายกับว่าจะโวยวาย ผมไม่ปล่อยให้มันพูด รีบโพล่งออกไปก่อน

“พี่ว่าที่นี่ยุงเยอะ กลับขึ้นห้องดีกว่า”

ไม่บอกมันหรอกว่าที่ผมรีบดันมันออกเพราะกลัวมันรุกเลยเถิด ขณะที่ปั้นรักเองก็เริ่มตั้งสติได้ในตอนนี้ว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไป เท่านั้นหน้ามันก็แดงแปร๊ดขึ้นมา แดงแบบแดงอะ เห็นชัดเจนมาก

กลายเป็นว่าจากที่ผมตกใจ ตอนนี้สนุกขึ้นมาเฉยเลย อยากจะแกล้งมันก็เลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ กระซิบบอกข้างหู

“ที่ห้องมีเตียงด้วย ไปนอนสบายๆ ให้พี่จัดการดีกว่าเนอะ”

เท่านั้นแหละ ปั้นรักก็ดันหน้าผมออกเต็มแรง แล้วลุกพรวด
“พูดบ้าอะไร ใครมันจะไปทำอะไรกับยูวะ!”

แล้วก็จ้ำอ้าวหนีอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมนั่งมองตาม แต่มันเดินไปไม่กี่ก้าว มันก็หันมาตะโกนใส่อีก
“แล้วก็โกนหนวดด้วย กินเข้าไปหลายเส้นแล้วเนี่ย!”

สิ้นเสียงก็วิ่งกลับห้องไปทันที ปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวขณะที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เริ่มมีปฏิกิริยาแปลกๆ กับการกระทำของปั้นรักเมื่อครู่นี้ขึ้นมา

ใจเต้นแรง...

ไอ้ปั้นรักมันเล่นซนจนหัวใจผมเต้นไม่เป็นปกติเลยเนี่ย
--------------------------
ช้าไปหน่อยแต่ก็มานะ ตอนนี้พี่ดื้อน่ารัก ได้ทีหยอกบักปั้นใหญ่เลยนะ 555
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวมาต่อค่ะ
ใครยังไม่ได้จอง ยังเปิดจองอยู่นะคะ ปิดจองสิ้นเดือนนี้ ไปจองได้ที่นี่เน้อ http://rakkunpublishing.lnwshop.com/p/6
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-07-2017 09:37:17
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2017 11:40:40
หวั่นไหวเลยเรอะอ้ายดื้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-07-2017 12:23:50
 :z1:    :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-07-2017 16:47:33
เอาแล้วไง เจอกับนักเรียนนอกเข้าไปแล้วไหมละนั่น  :hao6:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-07-2017 18:22:55
ขอ...อีก   คิคิ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 14-07-2017 20:44:47
น่ารักอ่ะ

 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 14-07-2017 21:20:57
เหวยยย ปั้นรักก็มีมุมนี้กับเขาด้วยหรอ :o8:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 14-07-2017 23:06:57
เด็กดื้อกับพี่ดื้อ ใครจะรุกก่อนนะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-07-2017 19:47:40
เหอๆๆ 2ตอนหลังนี้ปั้นรักดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่10:Shut up and…[13/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-07-2017 00:59:18
สะบายดี ครั้งที่ 11: ปั้น (น่า) รัก

หลังจากจูบกัน พอผมกลับขึ้นมาบนห้อง เสียงพูดคุยระหว่างเราก็ไม่เกิดขึ้นเลยสักนิดเพราะทันทีที่ผมมาถึง ปั้นรักที่ขึ้นมาก่อนก็กระโดดขึ้นเตียง เอาผ้าห่มคลุมโปง แกล้งหลับไปเรียบร้อยแล้ว

เพราะอะไรผมถึงรู้ว่ามันแกล้งหลับน่ะเหรอ?

ก็ตอนที่ผมลองเรียกชื่อมันดู เห็นว่ามันไม่ตอบเลยแกล้งเอาหน้าไปใกล้ๆ มันทำเป็นละเมอฟาดหน้าผมเข้าให้อย่างจังน่ะสิ ผมเลยพอจะเดาได้ว่ามันไม่ได้หลับจริง อะไรไม่ว่า หูก็แดงให้เห็นเป็นหลักฐานว่ามันกำลังเขินอยู่อีกด้วย

แต่ก็ช่างมันเถอะ มันก็คงจะเขินแหละนะที่ทำอะไรอย่างนั้นกับผมไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนผมน่ะเหรอ... ยิ้มไม่หุบเลยล่ะ

เช้าวันต่อมา ทุกอย่างกลายเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผมอยากจะพูดถึงเรื่องเมื่อวานนะ อยากจะถามด้วยว่ามันคิดอะไรอยู่ถึงได้จูบผมแบบถึงพริกถึงขิงอย่างนั้น แต่พอเรียก...

“ปั้น เรื่องเมื่อคืนน่ะ...”

...ก็เหมือนมันจะรู้ว่าผมจะถามอะไร มันเลยรีบเสียงดังโวยวายกลบเกลื่อนทันที

“เอ้ารถมาแล้ว รีบขึ้นรถเร็วเข้า!”

รถที่จะพาเรามุ่งหน้าไปหลวงพระบางมาพอดีจริงๆ อย่างที่มันพูด ทำเอาผมต้องเก็บคำถามไว้ เดินตามขึ้นรถไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วใช่ว่าขึ้นรถมา ผมจะมีโอกาสได้ถามนะ ปั้นรักไม่เปิดโอกาสให้ผมเลยสักนิด ทั้งที่ก็ไม่ได้ตื่นเช้าอะไรมาก เที่ยวรถรอบแรกประมาณเก้าโมงเช้าเท่านั้น แต่ปั้นรักทำอย่างกับว่าอดหลับอดนอนมาจากไหนก็ไม่รู้ นั่งหลับไปตลอดทาง มีตื่นขึ้นมาตอนที่คนขับจอดให้พักกินข้าวกลางวันกับแวะเข้าห้องน้ำแค่รอบเดียวเท่านั้น ผมนี่อยากจะรู้เลยว่ามันจะทนแกล้งนั่งหลับไปได้อีกสักกี่น้ำ
ขึ้นรถตอนเก้าโมงเช้า ไปถึงที่หมายประมาณสี่หรือห้าโมงเย็น ถ้าจะหลับไปตลอดทางก็จะเกินไปแล้ว...

แต่ผมไม่ได้ไปเซ้าซี้อะไรมันหรอก เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วกลับขึ้นรถอีกรอบ คราวนี้เหมือนมันจะหลับจริงๆ

ผมเหลือบมองคนข้างๆ เห็นมันนอนสัปหงก โงนเงนไปมาตลอดทางจนหัวโขกเข้ากับหน้าต่างหลายต่อหลายรอบ ไหนผมหน้าจะถูกลมจากช่องหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อยพัดจนกระจายให้มันทำสีหน้ารำคาญอีก ผมก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เอื้อมมือไปปัดปอยผมพวกนั้นออกให้ ก่อนจะประคองหัวมันให้เอนกลับมาทางผม จัดท่านั่งของตัวเองดีๆ แล้วกดให้มันนอนซบกับไหล่ผมอย่างเบามือ

ปั้นรักยังคงนิ่งเหมือนไม่รู้สึกตัวว่าถูกทำอะไร ผมเหลือบมองมันในสภาพที่หลับตาพริ้มแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา
แม่งโคตรน่ารักเลย...

นอกจากแสงเหนือแล้ว ผู้ชายที่ผมเห็นว่าน่ารักมากๆ อีกคนก็เห็นจะเป็นไอ้คนที่นอนหลับอยู่บนไหล่ผมนี่แหละ

ไม่สิ... ไม่ใช่น่ารักเหมือนกับแสงเหนือ น่ารักกว่าด้วยซ้ำ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาผมมีแต่ผู้ชายคนนี้ ในตอนนี้เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแสงเหนือมีหน้าตาแบบไหน

เอาแต่นั่งมองปั้นรักอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าคาดอก เปิดกล้องเพื่อที่จะถ่ายรูปเซลฟี่ หากแต่พอกดไปได้รูปหนึ่ง เสียงชัตเตอร์ก็ดังปลุกให้ปั้นรักรู้สึกตัวขึ้นมา ผมเหลือบมองมันในขณะที่มันเองก็ผงกหัวขึ้นมามองหน้าผมด้วยสีหน้างัวเงียปนหงุดหงิด

“ทำอะไร”
“ถ่ายรูปนิดหน่อย”
ผมว่ายิ้มๆ กะว่าต้องโดนมันด่าแน่ๆ แต่เปล่า...เปล่าเลย มันไม่ด่า นอกจากจะซบลงมาบนไหล่ผมเหมือนเดิมแล้วว่าเสียงเบา
“เมื่อกี้หลับตา เอาใหม่อีกทีซิ”

แล้วก็ยกมือมากอดแขนผมหน้าตาเฉย ทำเอาผมมองด้วยความประหลาดใจ ปั้นรักเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง ว่าพร้อมกับหัวคิ้วย่นยู่
“เอ้า ยังจะลีลา ถ่ายเร็วๆ เข้า”

แล้วผมจะรอช้าทำไมอยู่ล่ะ รีบถ่ายรูปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว คราวนี้ไม่ใช่แค่รูปเดียวด้วย กดชัตเตอร์รัวจนนิ้วแทบเป็นอัมพาต ไม่รู้ถ่ายเยอะไปหรือเปล่า เพราะมือของปั้นรักที่เกาะแขนผมอยู่เอื้อมมาแย่งโทรศัพท์ในมือไปแล้ว

“จะถ่ายเยอะเกินไปละ อย่าให้มันได้ใจมาก” พูดจบก็ส่งโทรศัพท์คืนให้ผม ก่อนจะพึมพำมาอีกนิดหน่อย “ถ้าไอไม่ง่วงอย่างนี้ รับรองได้เลยว่าโทรศัพท์อยู่ได้ไปนอนอยู่ข้างพงหญ้าเมื่อกี้แล้ว”

สิ้นเสียงก็หลับตาทั้งที่ยังซบไหล่ผมเหมือนเดิม แค่ไม่ได้กอดแขนเฉยๆ

ผมมองแล้วก็กลั้นรอยยิ้มตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

น่ารัก...น่ารัก...น่ารัก...

น่ารักโว้ย!

ใจเต้นตึกตักรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเหลือบมองปั้นรักที่หลับตาพริ้มเหมือนเดิมแล้ว ผมก็ยิ่งใจเต้นหนักกว่าเดิม และคิดว่าปั้นรักเองก็คงจะรู้สึกอย่างเดียวกัน เพราะถึงมันจะไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางอะไรออกมา แต่ก็ปิดผมไม่ได้หรอกเพราะว่าหูของมันน่ะ...แดงแจ๋อีกแล้ว

น่ารักจนอดใจไม่ไหว เอื้อมมือไปดึงหูมันเบาๆ ทำเอาปั้นรักลืมตาขึ้นมาถามเสียงขุ่น

“อะไร”
“หูแดงน่ะ” ผมบอก “เขินเหรอ” ตามด้วยกระเซ้าอีกนิดหน่อย
ปั้นรักทำหน้าตกใจไปทันที รีบดันตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วพูดเร็วๆ
“อะ...อากาศมันร้อน”
“จริงเหรอ ไม่ใช่เขินพี่แน่นะ”
ผมก็ยังกระเซ้าไปเลิก ทำเอาปั้นรักตวัดตามามอง
“แน่ะๆ ทำมาเป็นจีบไอ ลืมแฟนเก่าได้แล้วหรือไง”

ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองว่ามันกำลังโยนหินถามทาง
คิดว่าเล่นกับใครอยู่ หยอดมาแบบนี้ ผมก็แกล้งถามกลับด้วยการโยนหินถามทางเช่นเดียวกัน
“ถ้าพี่บอกว่าใช่ ปั้นจะยอมให้พี่จีบไหม”

เท่านั้น จากแค่หูที่แดงก็ลามไปยังใบหน้าและลำคอ ผมไม่เคยปั้นรักหน้าแดงมากขนาดนี้มาก่อนเลย พอได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่า... น่ารักดี

น่ารักมากกก ก.ไก่ล้านตัวไปเลย จนผมอดพูดออกมาไม่ได้

“น่า...”
“อะไร” มันถามเสียงขุ่นอีกรอบเมื่อได้ยินผมพูดไม่ชัดเจนนัก
“น่ารัก... พี่จะบอกว่าปั้นน่ารักดี”

สิ้นเสียง ก็ยิ้มให้มันขณะที่มันมีสีหน้าอึกอักขึ้นมา

“วะ...เว้าอีหยัง! ฮ่วย!” แก้เขินด้วยการพ่นภาษาลาวใส่แล้วหันหนีไปมองนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

ผมเห็นด้วยนะว่ามันพึมพำอะไรสักอย่างออกมาที่ผมเองก็จับใจความไม่ได้ ก่อนที่มันจะเอาหน้าผากโขกกับหน้าต่างรถเบาๆ ประมาณว่าทำโทษตัวเองที่ดันมาเขินอายกับการกระทำและคำพูดของผม

ผมหัวเราะ นึกอยากแกล้งให้มันอายมากขึ้นไปอีกด้วยการยื่นมือไปกุมมือมันเอาไว้ ปั้นรักถึงกับสะดุ้งสุดตัว หันมาฟาดฝ่ามือใส่หน้าผมเต็มแรงดังเพียะ ก่อนที่มันจะทำหน้าตกใจเมื่อเห็นว่าซีกหน้าผมมีรอยนิ้วมือขึ้นเป็นปื้นแดง

ส่วนผมน่ะเหรอ... หน้าชาสิครับ ชาดิกจนไม่รู้สึกอะไรเลย มิหนำซ้ำยังจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้โดยสารคนอื่นๆ ในรถด้วยเพราะเสียงเมื่อกี้มันดังมากจริงๆ ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงของปั้นรักลอยมาให้ได้ยิน

“คะ...ความผิดยูนะ ใครใช้ให้มาทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ล่ะวะ แม่ง ยอมนิดเดียว จะได้ใจเกินไปละ!”
ผมหันไปมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าข้างที่โดนตบของตัวเอง
“ก็มือปั้นน่าจับนี่” ผมก็ดันกลายไม่สำนึก หยอกมันไปอีก
ปั้นรักเบ้ปากใส่ผม แต่คราวนี้ไม่เถียง เบนหน้าไปทางอื่นแทน ปล่อยให้ผมได้ขยับเข้าใกล้มันกว่าเดิมแล้วกระซิบถามเบาๆ
“จับไม่ได้เหรอ”
“จับอะไร” มันเหล่มอง ถามอย่างหงุดหงิด”
“ปั้นอยากให้พี่จับอะไรล่ะ พี่จับได้หมดแหละ”

ผมก็ดันไปแหย่มันอีก มันเลยขู่เข้าให้

“เดี๋ยวโดนถอง”
ไม่ได้พูดเปล่า ทำท่าจะเอาข้อศอกมากระทุ้งผมจริงๆ ผมรีบหลบแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน พอเห็นมันเฉยก็ถามอีก
“จะไม่รับผิดชอบที่ตบหน้าพี่หน่อยเหรอ”
“ยูจะเอาอะไร” รอบนี้น้ำเสียงฟังดูเบื่อหน่ายมาก
“ก็...ให้นั่งจับมือไปตลอดทางจนกว่าจะถึงท่ารถดีไหม”

พูดไปอย่างนั้น ผมไม่ได้คาดหวังจะให้มันเซย์เยสหรอกนะ แค่อยากจะกวนมันเล่นๆ เวลามันหงุดหงิดแล้ว ผมสนุกดี แต่คำตอบที่ได้กลับมาดันเหนือความคาดหมายเอามากๆ

“ได้ จับแค่มืออย่างเดียวนะ”

แล้วมันก็จัดการคว้ามือผมไปจับเองเฉยเลย ผมเบิกตาโพลง มองมือที่ถูกมันจับแล้วรีบหันไปมองมัน ปั้นรักก็มองออกไปนอกหน้าต่างรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผมได้แต่ยิ้มแล้วมองมันตามลำพัง

ปั้นรัก... โอย ใจพี่จะพังแล้ว



 
นับว่าเวลาหลายชั่วโมงในการนั่งท่าเดิมอยู่บนรถทัวร์เก่าๆ ที่มีเพียงพัดลมจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่กับลมจากด้านนอกให้ความเย็น เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีความสุขมาก... แค่เพียงได้จับมือปั้นรักเท่านั้น

แค่จับมือ...ก็ทำให้ผมอยากจะหยุดเวลานั้นไว้ ไม่อยากให้มันถึงที่หมายเลยสักนิด ผมไม่รู้หรอกว่าปั้นรักคิดยังไง เพราะพอลงจากรถมาได้ มันก็ทำทุกอย่างเหมือนกับปกติ จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่นอกจากอยากจะพูดเรื่องจูบเมื่อคืนนี้แล้ว เรื่องจับมือเมื่อกี้ก็อยากจะพูดเหมือนกัน

ทำไมมันถึงจูบผมอย่างนั้น? ทำไมถึงยอมให้ผมจับมือ? ทำไมๆๆๆ

อยากถามใจจะขาดอยู่แล้วโว้ย!

แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ไปเช็กอินเข้าพักที่เกสต์เฮ้าส์ แล้วก็ออกไปนมัสการพระธาตุพูสี จากนั้นก็ชมพระอาทิตย์ตกดิน พอฟ้าเริ่มมืดถึงได้ลงมาข้างล่างเพื่อหาอะไรกิน บอกตามตรงว่าการไปเที่ยวนั้นไม่ได้ทำให้ผมซึมซับบรรยากาศเลยแม้แต่น้อย ในหัวมีแต่เรื่องของปั้นรักกับคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ นอกจากจะไม่เข้าใจมันแล้ว อะไรไม่ว่า ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันด้วย
หรือว่าผมจะรู้สึกกับปั้นรักเกินกว่าสถานะที่เป็นอยู่?

ไม่กล้าคิดต่อจากนี้เลย เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ผมคงจะไม่กล้าจีบมัน ก็มันบอกเองใช่ไหมล่ะว่าไม่ใช่เกย์ ดูท่าทางจะไม่
ชอบเกย์ด้วย ถ้าผมหน้าด้านบุกเข้าไปแล้วต้องผิดหวังกลับมาอีก ผมไม่ต้องไปพักใจไกลกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างที่ทำอยู่เหรอ

นั่นแหละ เลยได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น ระหว่างกินข้าวก็มองหน้ามันไปด้วย ทำเอาปั้นรักที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอึดอัดขึ้นมา ก่อนจะโพล่งทำลายความเงียบ

“มองอะไรนักหนา มองหน้าไอแล้วอิ่มหรือไง”
“พักนี้ดูปั้นไม่ค่อยกวนพี่เลยเนอะ” จู่ๆ ผมก็ว่าออกไป
ปั้นรักย่นคิ้วยู่ “กวนอะไร”
“ตีน”
พอผมบอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็มุ่ยหน้าใส่
“อยากให้ไอกวนตีนว่างั้น?”
“เปล่าหรอก แต่พี่แค่คิดว่าถ้าปั้นรักกวนพี่เหมือนเดิมอย่างนั้น พี่ก็คงจะไม่สับสน”

ไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย ปั้นรักก็เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ มันเลิกคิ้วสูงทันที
“อย่าบอกนะว่ายูหลงเสน่ห์ไอเข้าให้แล้ว?”
ผมไม่ตอบตรงๆ เม้มริมฝีปากแล้วหัวเราะแทน

“แหม ช่วยไม่ได้นะ ก็ไอมันหล่อนี่หว่า” มันก็ดันหลงตัวเองไปอีก
“พี่จะไม่เถียงเลย ถ้าปั้นแต่งตัวไปในแนวทางเดียวกันหน่อยน่ะนะ”

อันนี้ผมก็ว่าไปตรงๆ เหมือนกัน ตอนนี้มันเริ่มกลับมาแต่งตัวแบบไม่ค่อยเข้ากันอีกแล้ว ผมทำใจได้แล้วล่ะกับการแต่งตัวไปซ้ายทีขวาทีของมันน่ะ ปั้นรักนี่ไม่สนใจอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอผมพูดไปอย่างนั้น มันก็ทำหูทวนลมไปเลย คว้าแก้วน้ำขึ้นมาดูดน้ำ ก่อนจะพูดไปเรื่องอื่น

“ตกลงยูชอบไอก็เลยสับสน?”
“ก็ปั้นมาจูบพี่อย่างนั้น แถมยอมให้พี่จับมืออีกต่างหาก จะไม่ให้พี่สับสนได้ไง ปั้นจะบอกพี่ได้ไหมล่ะว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น”
ได้โอกาส ผมก็รีบพูดเรื่องที่ค้างคาใจทันที ปั้นรักมองผมนิ่ง ดูท่าทางมันน่าจะพร้อมกับการคุยเรื่องนี้แล้ว แต่ก็เงียบไปอึดใจหนึ่งเลยทีเดียวก่อนที่มันจะว่าออกมา
“เรื่องจูบนั่น ยูมาจูบไอก่อนไม่ใช่หรือไง ส่วนจับมือ ยูก็จับไอก่อนเหมือนกัน”
“มันก็ใช่ แต่ปั้นก็ยอมให้พี่ทำนี่”
“ไม่ได้ยอม”
“แล้วให้จับให้จูบทำไม”
“ไอก็แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

พูดมาอย่างนี้ เป็นตาผมที่เงียบบ้างแล้ว
“พิสูจน์เหรอ”

อันนี้ผมก็อยากได้คำตอบ หากแต่ปั้นรักไม่บอก ได้แต่ตัดบทสั้นๆ

“ไม่ใช่เรื่องของไอ แล้วนี่จะเอาไงต่อ ฟ้ามืดแล้ว จะไปเที่ยวต่อหรือกลับห้อง”
“วันนี้นั่งรถมาทั้งวัน ปั้นน่าจะเหนื่อย กลับห้องไปพักกันดีไหม”

ในเมื่อมันไม่ตอบ ผมก็คงจะทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนเรื่องอื่นคุยตามมันแทน พร้อมกับคิดไปด้วยว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อปั้นรักนั้นคงต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่ามีแค่ผมที่คิดเองคนเดียว ไม่แน่ว่าคงเพราะผมเหงาหรือโดดเดี่ยว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นผลพวงจากการถูกแสงเหนือหักอกก็เป็นได้ ที่ทำให้ผมเผลอหวั่นไหวไปกับปั้นรักอย่างนี้

ผมลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่าอาหารแล้วเดินออกจากร้าน ทอดน่องไปเรื่อยโดยมีปั้นรักเดินขนาบข้าง ไม่รู้ว่าหน้าตาผมมันดูสลดมากหรือยังไง ปั้นรักถึงได้รำคาญใจจนต้องพูดออกมา

“นี่ก็ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่ได้ แค่ไม่ตอบคำถามหน่อยเดียว ทำมาจะเป็นจะตาย”
ผมหันมองหน้ามัน ทำปากยู่น้อยๆ
“ก็พี่อยากรู้”
“รู้เรื่อง?”
“จูบพี่ทำไม ให้พี่จับมือทำไม คิดอะไรกับพี่หรือเปล่า”

ผมถามรัวเลย ไม่มีอะไรต้องปิดอีกต่อไปแล้ว ปั้นรักก็คงจะเลิกอายแล้วเหมือนกันล่ะมั้ง เพราะมันมองหน้าผมได้ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา
“ถามมางี้ แสดงว่าชอบไอเข้าให้แล้วล่ะสิ?”
“ถ้าตอบพี่ พี่ก็จะบอก” ผมได้ทีเลยเล่นแง่บ้าง

ปั้นรักสูดหายใจเข้าปอดแล้วบอกอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่บอกก็เรื่องของยู ไอไม่ได้อยากรู้”

สิ้นเสียงก็เดินนำไปโน่น ทำเอาผมรีบก้าวตามไปคว้าแขนมันแทบไม่ทัน
“เดี๋ยว อยากรู้สักหน่อยก็ได้”
“ก็ยูไม่บอกเอง” มันว่า

ผมก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงอยากจะให้มันถามให้ได้ แถมไปง้อให้มันอยากรู้อีก
“ขอโทษครับ อยากรู้หน่อยนะ นะๆ”
“ได้ อยากรู้แล้ว เอ้า บอกมา”
“ปั้นบอกมาก่อน”

ปั้นรักทำหน้ารำคาญออกมาทันที แล้วต่อยเข้ามาที่อกผมไม่แรงนัก
“กวนตีน”

โดนด่าอะ แต่ผมดันยิ้มเสียอย่างนั้น

“ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก ยิ้มทำบ้าอะไร”
“ฉันนั่งยิ้มลำพัง หัวเราะลำพัง สุขยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา...” ผมก็เลยร้องเพลง หยุด ของวง กรูฟไรเดอร์ ออกมา

ปั้นรักทำหน้าเหยเกทันควัน แล้วมันก็คว้าแขนผม ชี้ไปแบบไม่มีจุดหมายข้างหน้า
“เนี่ยๆ รับยาช่องนั้นนะ เชื่อฟังหมอด้วยล่ะ”

ไอ้ปั้น! กูไม่ได้เป็นบ้า แค่มีความสุขเว้ย!

กลายเป็นว่าหัวเราะร่วนไปแล้ว ปั้นรักเองก็หัวเราะไปกับผมด้วยเช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาที่... ผมมีความสุขมากๆ

ไม่เข้าใจ อธิบายไม่ถูกเลยว่าเพราะอะไร แต่การได้มีปั้นรักอยู่ข้างๆ อย่างนี้ มันทำให้ทุกความเจ็บปวดของผม...ได้รับการเยียวยา เป็นอีกครั้งที่ผมอยากจะหยุดเวลานี้ไว้ ทว่าปั้นรักกลับพูดออกมาก่อน

“ถ้ายูไปโกนหนวดให้เรียบร้อย ไอจะบอกว่าทำอย่างนั้นกับยูทำไม”
“ได้ ปั้นอยากให้พี่โกนอะไรก็บอกเลย ไม่ต้องแค่หนวดก็ได้ ยอมทุกอย่าง” ผมยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
ปั้นรักเหลือบมองผมอย่างหมั่นไส้
“ระริกระรี้เชียวนะ”

แหม ก็นิดนึง

“แต่ปั้นต้องโกนให้พี่นะ”
พอผมบอกไปอย่างนี้ ปั้นรักก็พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คิดว่ามันจะปฏิเสธนะ แต่มันดันชี้นิ้วไปที่มินิมาร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกล
“แวะซื้ออุปกรณ์ก่อนก็แล้วกัน”

พักนี้พูดง่ายเชียว เชื่องผิดปกติ หรือว่า... มันก็รู้สึกแบบผมเหมือนกัน?




 
กลับมาถึงห้องได้ ก่อนที่จะอาบน้ำ ผมก็ถูกปั้นรักลากเข้าไปยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ ในขณะที่มันถือมีดโกนไว้มั่น
ใช่ มันกำลังจะโกนหนวดให้ผม ไม่สิ...ตอนแรกน่ะจะโกนหนวด แต่พอกลับมาถึงห้อง มันก็ดันเปลี่ยนใจขึ้นมา เนื่องจากว่า...
“ตกแต่ง เล็มให้เรียบร้อยก็โอเคแล้วมั้ง ยูคงไม่เหมาะกับหน้าโล้นๆ หน้าตาต้องเหี้ยมๆ แบบนี้ ถึงจะเป็นได้แค่เล็บขบอนันดาก็เถอะ”

...นั่นแหละ หนวดเคราเลยอยู่ครบเหมือนเดิม แค่ถูกจับเล็มเท่านั้น

ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนให้มันเอาแหนบมาถอนไอ้พวกเส้นที่ขึ้นเกินๆ มาออก บอกตามตรงว่าผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย แล้วมันโคตรจะเจ็บเลยเถอะ ถูกดึงไปเส้นนึงทีก็สะดุ้งไปที เหลือบมองหน้าตัวเองในกระจกก็เห็นว่าบริเวณที่ถูกดึงหนวดเกินๆ ออกแดงเถือกเลยทีเดียว

“แล้วนี่จะบอกพี่ได้หรือยังว่าจูบพี่ทำไม”
ผมได้ทีก็ถามขณะที่ปั้นรักยืนจ้องถอนหนวดผมอย่างตั้งใจ
“ก็บอกไปแล้วไงว่าเพราะยูจูบไอก่อน”
“แล้วปั้นก็เลยจูบพี่อีกครั้งเหรอ พี่ว่ามันไม่เมคเซ้นส์เลยนะ”

ท้วงไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ชะงักนิดหนึ่ง แล้วพูดออกมาอีก
“ถ้ามันรู้สึกดี อะไรๆ ก็เมคเซ้นส์ทั้งนั้นแหละ”

กลายเป็นผมบ้างแล้วที่ชะงักงันไป

รู้สึกดี... จูบกับผมอีกรอบเพราะรู้สึกดีอย่างนั้นเหรอ

“แล้วจับมือล่ะ ทำไมยอมให้พี่จับ เพราะรู้สึกดีเหมือนกัน?”
“อืม” มันขานรับทั้งที่ไม่มองหน้า ตั้งใจถอนหนวดผมเหมือนเดิม
“แต่พี่เป็นผู้ชายนะ แล้วก็เป็นเกย์ด้วย”
“มันสำคัญยังไงในเมื่อไอรู้สึกดี จูบกับใครมันไม่สำคัญหรอก แค่รู้สึกดีก็พอแล้ว และไอก็รู้สึกดีกับยู มันก็แค่นั้น”

ยิ่งฟัง ใจก็ยิ่งเต้นแรง

ปะ...ปั้นรัก ฮึ่ยยย! อยากจะคว้าตัวมากอดแน่นๆ ชะมัด!

แต่ไม่กล้าทำอะ กลัวมันจะเอาแหนบแทงปาก ได้แต่ยืนนิ่งๆ ให้มันได้ถอนหนวดเหมือนเดิม ทว่าเพราะอดยิ้มออกมาไม่ได้ ปากเลยขยุกขยิกไปเรื่อย จนปั้นรักแหวออกมา

“จะยิ้มอีกนานไหม อยู่เฉยๆ มันถอนไม่ได้”
“มันกลั้นไม่ไหวน่ะ” ผมบอกไปตามตรง ยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายที่เปล่าเปลือยของตัวเองด้วย “ตรงนี้ก็อดใจเต้นแรงไม่ไหวเหมือนกัน”
ปั้นรักมองหน้าผมนิ่ง ผมเองก็มองมันนิ่งเช่นกัน ก่อนมันจะทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“ยูมันบ้า”

พูดจบก็มีท่าทีเลิ่กลั่กเพราะขวยเขินให้เห็น ไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ ผมก็เกิดมั่นใจขึ้นมาว่าในใจผมตอนนี้รู้สึกกับปั้นรักแบบไหน ถึงมันจะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับผมสักเท่าไหร่ แต่ผมคงจะทนความน่ารักของมันอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว พอมันเผลอ ผมก็ฉวยโอกาสประทับจูบลงบนหน้าผากของมันฟอดหนึ่งเต็มรัก

ถอนริมฝีปากออกมาได้ ปั้นรักก็ทำหน้าเหวอ อ้าปากเตรียมจะด่าผมทันที

“เฮ้ย! ทำอะ...”
“พี่ชอบปั้นนะ”

ผมไม่ปล่อยให้มันได้ด่า พูดแทรกขึ้นมาก่อน ปั้นรักนิ่งค้าง ทำหน้าเหลอหลาทันควัน

“เมื่อกี้ยูว่าอะไรนะ”
ถามซ้ำอีกครั้งประหนึ่งไม่แน่ใจด้วย

“พี่บอกว่า...พี่ชอบปั้นนะ” ผมย้ำอีกครั้ง
เท่านั้น ใบหน้าของปั้นรักก็แดงซ่านทันควัน ผมขยับเข้าไปใกล้ โน้มใบหน้าลงเล็กน้อยเพื่อที่กระซิบข้างหู
“พี่ชอบปั้น แล้วปั้นชอบพี่ไหม”
“มะ...ไม่รู้!”

มันเอาแหนบวางกระแทกลงบนพื้นที่ข้างๆ อ่างล้างหน้าทันที ก่อนที่มันจะรีบวิ่งพรวดพราดออกจากห้องน้ำไป ผมโผล่หน้าออกไปมองตามก็เห็นว่ามันกระโดดขึ้นเตียง เอาผ้าห่มคลุมโปงแล้วโวยวายไม่หยุด

“ไม่รู้โว้ย! หยุดถาม! You need to stop talking sh*t! (หยุดพูดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว!)”

แปลไม่ออกอะ แต่พอจะเดาได้ว่ามันด่ากลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อยู่

ทว่าถึงจะโดนด่า ผมก็ยังมั่นใจเหมือนเดิมว่า... ผมชอบไอ้ตัวน่ารักตัวนี้เข้าให้แล้ว
-------------------------
มาต่อเถอะ เบี้ยวมาหลายวันแล้ว 555
ตอนนี้พี่ดื้อใจพังเพราะบักปั้นหลายรอบมาก บักปั้นก็ซึนไม่เลิก
แหมมม ทำเป็นเล่นตัว น่าตบให้หายดีดดิ้นสักที 555
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้นะคะ ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-07-2017 01:29:37
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-07-2017 02:53:58
น่ารุักจนเผลอใจ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 17-07-2017 03:23:19
จีบกันๆ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-07-2017 08:18:20
เรามองข้ามความน่ารักของแนไปได้ยังไงอ่านตอนนี้แล้วปั้นดูดีมาก
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-07-2017 12:45:52
อย่าหลอกเด็กแล้วทิ้งให้เขาอยู่ที่ลาวละพี่ดื้อ :hao7:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 17-07-2017 19:10:32
ทำไมปั้นรักมาน่ารักเอาตอนนี้ :hao7:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 18-07-2017 01:01:42
แหมมมมมมมมม
พอความรักเข้าตา อะไรๆก็น่ารักไปหมด
เด็กกวนตี_ คนนั้นหายไปไหนแล้วคะพี่ดื้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-07-2017 10:57:09
สะบายดี ครั้งที่ 12: ศึกชนช้าง

ปั้นรักก็คือปั้นรัก ต่อให้ผมบอกว่าชอบมันหรือมันรู้สึกอะไรกับผมอย่างเดียวกับที่ผมรู้สึกกับมัน มันก็ไม่พูดออกมาให้เสียหน้าหรอก มันเลยทำได้แค่เงียบแล้วก็กวนบาทาไปเรื่อยเพื่อกลบเกลื่อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็เท่านั้น ผมไม่ได้ว่าอะไรมันหรอก ตอนนี้ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็น่ารักในสายตาผมไปหมดแล้วล่ะ แต่เอาจริงๆ ผมก็อยากรู้นะว่ามันคิดยังไงกับผมบ้าง เวลาเราบอกชอบใครสักคน เราก็อยากจะได้คำตอบใช่ไหมล่ะว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ทว่าพอผมถาม...

“พี่ชอบปั้น แล้วปั้นชอบพี่ไหม”

...มันก็เบี่ยงประเด็น ไม่ยอมตอบคำถามทุกที

“ถามอะไรนักหนาเนี่ย วุ้ย!”
“เอ้า ก็อยากรู้” ผมว่าขณะที่เราทั้งคู่กำลังเดินไปหาอะไรในละแวกเกสต์เฮ้าส์รองท้องในช่วงเย็นหลังจากที่เราเที่ยวเล่นแถวๆ นี้เป็นที่พอใจแล้ว

วันนี้พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวไหน เพราะผมบอกกับมันว่าไม่อยากรีบเที่ยว เที่ยวมาหลายวันติดๆ กันแล้ว เดินทางมากเกินไปมันเหนื่อยอะไรแบบนั้น แต่จริงๆ ผมแค่จะประวิงเวลาเพื่อที่จะอยู่กับมันให้นานกว่าเดิมก็เท่านั้นเอง

“เก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้บ้างเถอะ”

พอพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็หันมาแหว หน้านี่งอง้ำเป็นม้าหมากรุกเลย แต่ผมรู้นะ มันแสร้งทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อนความเขินอายต่างหาก ไม่ได้หงุดหงิดจริงหรอก

“ถ้าไม่อยากให้พี่ถามบ่อยๆ ปั้นก็บอกมาสิว่าคิดกับพี่ยังไง” ผมตอแยไม่เลิก
ปั้นรักหยุดเดิน หันมามองหน้าผมทันใด
“ถ้าไอบอกว่าไม่ชอบยูแล้วยูจะทำยังไง”
“ก็ไม่ยังไง พี่ก็คงจะถอย แต่ถ้าบอกว่าชอบ พี่ก็จะเดินหน้าจีบ” ผมว่าไปตามตรง
ปั้นรักก็ยังคงไม่บอก ผมเลยถามไปอีก
“ตกลงชอบพี่ไหม”

ตอนถามประโยคนี้ แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วย ใครจะว่ากะล่อนหรืออะไรก็ช่างเถอะ เพราะเวลาทำแบบนี้ ปั้นรักก็จะทำสีหน้าไม่ถูก มันดู...น่ารักดี

“มะ...ไม่ชอบ!”

ถูกทำอย่างนั้น ปั้นรักก็โวยวายใส่ผมเสียงดังเลย ผมแกล้งทำปากยู่
“ว้า เสียดายจัง แต่ถ้าปั้นไม่ชอบพี่ แล้วปั้นยอมให้พี่จูบ...ไม่สิ จูบพี่ทำไมเหรอหืม?”
แกล้งหยอกไปอีก คราวนี้ปั้นรักหน้าง้ำกว่าเดิม
“ไอก็บอกแล้วไงว่าแค่อยากจะลองพิสูจน์น่ะ!”
“พิสูจน์อะไร”

เออ ผมจำได้ว่าปั้นรักเคยพูดนะว่าที่จูบผมเป็นเพราะต้องการจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

พอสิ้นเสียงผม ปั้นรักก็มีท่าทางอึกอักขึ้นมา

“ไปกินข้าวกันสักที ไอหิวจะแย่แล้ว”

แถมไม่ยอมตอบอีกต่างหาก ผมเห็นมันเดินดุ่ยๆ ไปข้างหน้าก็รีบก้าวยาวๆ ไปคว้าแขนมันเอาไว้ ดึงให้มันหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมแล้วถามขึ้นอีกครั้ง

“บอกพี่มาก่อนว่าพิสูจน์อะไร”
“อะไรของยูวะเนี่ย ปล่อย!”
“พี่จะปล่อยถ้ายอมบอกว่าปั้นจะพิสูจน์อะไร”
“น่ารำคาญฉิบ”

มึงน่ารำคาญกว่าอีก มีอะไรก็ไม่พูด ลีลาท่ามากอยู่ได้

แต่ไม่ว่ามันเลยสักคำ ได้แต่บ่นในใจ

แหม ก็ใครจะกล้าว่ากันล่ะ เดี๋ยวน้องปั้นรักของพี่ดื้อก็ตกใจเตลิดเปิดเปิงหมด กว่ามันจะกลายเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ได้ เล่นเอาผมอยากกระโดดถีบขาคู่ไปหลายรอบ ผมไม่ยอมให้มันกลับไปเป็นแบบเดิมอีกหรอก

“ว่าไง จะบอกพี่ไหม ไม่บอก พี่ก็ไม่ปล่อย ไม่ปล่อยแล้วก็จะจูบด้วย” ผมถามย้ำอีกครั้ง พร้อมกับขู่แบบขำๆ เล็กน้อย
ปั้นรักที่ถูกผมจับอยู่เบนสายตาไปทางอื่นก่อนว่าเสียงเบา
“เผด็จการว่ะ”
“บอกเร็ว” ผมย้ำอีกระลอก
ปั้นรักเหลือบมองหน้าผม ก่อนตอบออกมาตรงๆ
“ไอก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่าเป็นหรือเปล่า”
“เป็น?”
“เป็นเกย์ ไอแค่อยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเกย์หรือเปล่าเลยจูบยูอีกรอบเพราะตอนที่ถูกยูจูบ ไอรู้สึกดีไง”

กลายเป็นผมบ้างแล้วที่นิ่งไป นิ่งแค่ตัวนะ แต่หน้าไม่ได้นิ่งตาม ยิ้มแป้นแล้นชวนให้คนมองหมั่นไส้เลยทีเดียว
“ไม่ต้องยิ้มปากฉีกถึงรูหูก็ได้มั้ง” มันค่อนขอดมา
ผมแสร้งทำหูทวนลม
“แล้วตกลงพิสูจน์ได้ไหม”
“ไม่รู้” ปั้นรักว่าอุบอิบ “รู้แต่ว่าจูบกับยูแล้วรู้สึกดี” พูดประโยคนี้จบแล้วก็เบนสายตาไปทางอื่นอีกครั้ง

ผมล่ะอยากจะจับมันมาขยำขยี้ให้หายมันเขี้ยวจริงๆ

น่ารักอะไรอย่างนี้นะ!

ทว่าก็ได้แต่เต๊าะมันไปเรื่อยๆ เท่านั้น

“แล้ว...อยากลองพิสูจน์อีกทีไหมล่ะ”
ปั้นรักเหลือบมองผม ผมไม่รอคำตอบก็ขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนเรียวปากมันแผ่วเบา
“รู้ตัวหรือยัง” ผละออกมาได้ ผมก็ถามอีก

ปั้นรักนิ่งงัน มองหน้าผมแล้วก็กัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะถาม
“ไม่กินข้าวแล้วใช่ปะ”
“อยากกินปั้นมากกว่า”

อันนี้พูดจริง ไม่ได้พูดเล่นเลยแม้แต่น้อย มันน่ารักมากจริงๆ น่ารักจนผมอยากจะทำอะไรสักอย่างให้มากกว่านี้ แต่ก็หยอดไปแบบทีเล่นทีจริงแหละนะ ไม่กล้าบุกอะไรมาก เดี๋ยวปั้นรักจะตื่นตกใจไปก่อน

ทว่าการที่ผมพูดไปอย่างนั้น จู่ๆ ปั้นรักก็โพล่งขึ้นมาเร็วๆ
“งั้นรออยู่นี่แป๊บนึง เดี๋ยวมา”
“ไปไหน”

ผมทำท่าจะเดินตามไป หากแต่ปั้นรักหันมาชี้นิ้วเป็นสัญญาณบอกให้ผมยืนอยู่กับที่ พอผมหยุด ไม่เคลื่อนไหว มันก็รีบก้าวเข้าไปยังมินิมาร์ทที่อยู่ไม่ไกล ใช้เวลาพักหนึ่งถึงกลับออกมา ผมพยายามมองหาว่ามันซื้ออะไรมาก็ไม่เห็น แถมพอจะถาม มันก็ไม่เปิดโอกาสให้ถามอีกต่างหาก เดินกลับมาได้ก็ออกคำสั่งกับผมเสียอย่างนั้น

“ถ้าไม่หิวก็กลับห้อง”

เอาจริงๆ คือผมหิวนะ แต่ในเมื่อมันชวนกลับห้องอย่างนั้น ผมก็เดินตามต้อยๆ ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรเลยแม้แต่น้อยเพราะอยากรู้ว่ามันจะทำอะไร

ซึ่ง...พอกลับมาถึงห้องแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมายของผมมากๆ ทันทีที่ปิดประตูห้องได้ ปั้นรักก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“มาจูบกัน”
ผมถึงกับเบิกตาโตทันทีด้วยความตกใจ
“พูดจริง?”
“เออ ไออยากมั่นใจอีกทีว่าตกลงรู้สึกยังไงกับยูกันแน่”

ไม่พูดเปล่า จัดการลากผมมานั่งบนเตียงเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายดึงผมเข้าไปจูบเองด้วย

ริมฝีปากของมันยังคงมีรสหวานเหมือนเดิม ตอนแรกผมกะว่าจะปล่อยให้มันเป็นฝ่ายจูบจนกว่าจะพอใจ ทว่าพอได้ลิ้มรสเรียวปากนั้นแล้ว ผมก็อดใจไม่ไหว รุกล้ำโพรงปากด้วยการแทรกปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของมัน ปั้นรักเองก็ไม่ปฏิเสธหรือหลีกหนีแม้แต่น้อย ตอบสนองเป็นอย่างดี อะไรไม่ว่า ยังจะเป็นฝ่ายรุกอีกด้วย จนผมชักทนไม่ไหว เผลอทำอะไรที่มากกว่าการจูบลงไป

มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อยืดของปั้นรัก ลูบไปบนหน้าท้องที่มีลอนกล้ามอ่อนๆ ไต่ระดับขึ้นไปยังแผงอก หยอกล้อกับตุ่มไตเม็ดเล็กๆ จนมันชูชันขึ้นมา หูได้ยินเสียงของปั้นรักครางฮืมในลำคออย่างพึงพอใจ ก่อนที่มันจะละริมฝีปากออกมาเล็กน้อยเพื่อถอดเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่ออก จังหวะนี้เองที่สายตาของเราทั้งคู่ประสานกัน ไม่รู้ทำไม สายตาของมันที่มองผมในตอนนี้ถึงได้ดูหวานฉ่ำมากเป็นพิเศษ เป็นสายตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่มันดู...ยั่วมาก

ไม่แน่ใจว่าปั้นรักตั้งใจหรือเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ที่รู้ๆ คือมันทำให้ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป ดึงมันเข้ามาบดจูบหนักหน่วงอีกครั้ง ปั้นรักประคองท้ายทอยผม กดให้เข้าใกล้มันยิ่งขึ้น

เนิ่นนานทีเดียวที่เราต่างคนต่างแลกเปลี่ยนชิมรสชาติหวานของกันและกันอยู่อย่างนั้น จนถึงเวลาอันสมควร ผมจึงถอนริมฝีปากออกจากปั้นรักอย่างอ้อยอิ่ง ยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูคนตรงหน้าที่ตอนนี้หน้าแดงรื้นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เดาว่าตอนนี้ไม่ได้แดงเพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะอย่างอื่นมากกว่า

“ยู...”
“เรียกอ้ายดื้อสิ”
พอได้ยินมันคราง ผมก็ว่าสวน ปั้นรักจึ๊ปากเล็กน้อย ก่อนจะเรียก
“ไอ้ดื้อ”
“อ้ายๆ ไม่ใช่ไอ้” ผมหัวเราะ แก้ต่างให้
“มันก็คือๆ กัน” มันยังจะมีหน้ามาเถียงข้างๆ คูๆ อีก

ผมแกล้งจูบหน้าผากมันแรงๆ ไปทีหนึ่ง พลันผละออกมา
“งั้นเรียกว่าพี่ดื้อก็แล้วกัน”
มันหัวเราะในลำคอ ทำเหมือนจะไม่ยอมพูด แต่สุดท้ายก็...
“พี่ดื้อ”

ผมยิ้มไม่หุบเลย

น่ารักโคตรๆ!

ถึงปั้นรักดูเป็นคนเกรียนๆ เรื้อนๆ ปากไม่ค่อยดี ไม่มีหูรูด แต่ไม่น่าเชื่อว่าพอได้ลิ้มรสแล้ว มันจะหวานขนาดนี้ แถมตอนว่านอนสอนง่ายก็น่ารักเสียจนผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ดึงมันเข้ามาประทับริมฝีปากอีกครั้งเบาๆ ก่อนจะถามออกมาชนิดที่ว่าลืมไปเสียสนิทว่าจริงๆ แล้วพวกเรากลับห้องมาทำไม

“พี่ขอได้ไหม”
ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ปั้นรักก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร มันเม้มปากไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้ผมทำมากกว่านี้ได้

ความกลัดมันตามประสาชายหนุ่มและความอดทนที่ผมกักเก็บมานานปะทุออกจนหมด แทบรอกดปั้นรักลงไปนอนเสียไม่ไหว ผมโน้มใบหน้าไปประกบปากจูบเรียวปากนุ่มอีกระลอก ดูดกลืนความหอมหวานจากคนตรงหน้าอย่างกระหายขณะที่อีกฝ่ายก็จูบผมตอบเช่นเดียวกัน

จูบตอบอย่างร้อนแรง... ร้อนแรงมาก ร้อนจนผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ผละออกมาถอดเสื้อจากตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ส่วนปั้นรักก็รู้งาน ดึงเสื้อยืดออกจากร่างกายตัวเองเช่นกัน ตอนนี้เราสองคนอยู่ในสภาพที่เปลือยท่อนบนกันทั้งคู่ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงใดๆ อีกต่อไป ผมโผเข้าหามัน ส่วนมันก็พุ่งเข้ามากอดผม จูบกันนัวเนีย แลกลิ้นเป็นพัลวัน

ความร้อนรุ่มที่พร่างพรายไปทั้งกายทำให้ผมชักจะทนเล้าโลมต่อไม่ไหว

ไม่ไหวแล้ว อยากทำ... จะทำเดี๋ยวนี้

ไหนๆ ปั้นรักก็เป็นคนลุยๆ อยู่แล้ว ถ้าผมจะบุกเลยมันก็คงไม่เป็นไร กดเลยก็แล้วกัน

คิดแล้วก็เอื้อมมือไปจะดันไหล่ให้คนตรงหน้านอนราบไปบนฟูก หากแต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ผมก็เป็นฝ่ายถูกดันเสียเอง

ตุ้บ...

ผมล้มลงนอนราบบนเตียง มองปั้นรักที่กำลังขึ้นมาคร่อมผมพร้อมสีหน้าหื่นกาม หื่นอย่างเดียวไม่ว่า แม่งเอาหน้ามาซุกไซ้ซอกคอผมแล้วด้วย

รุกหนักนี่หว่า...

ปล่อยให้มันพรมจูบตามลำคอผมได้ครู่หนึ่ง ผมก็เป็นฝ่ายจับมันพลิกตัวแล้วขึ้นคร่อมบ้าง ลากฝ่ามือข้างหนึ่งไปบนแผงอกที่แน่นไปด้วยกล้าม จมูกซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่น ลากปลายลิ้นกระตุ้นอารมณ์ด้วยความหื่นไม่แพ้กัน แล้วก็ต้องสลับตำแหน่งเมื่อจู่ๆ ผมก็ถูกปั้นรักพลิกตัวขึ้นมาคร่อมอีกรอบ

ปั้นรักทำแบบเดิม เริ่มไต่ระดับลงไปยังหน้าอกผม ละเลงจูบไปทั่ว ผมมองท่าทางนั้นแล้วก็คิดเอาเองว่าปั้นรักคงอยากจะออนท็อป แต่ด้วยความที่ผมเป็นรุกไง ผมเลยไม่ค่อยชอบถูกกระทำสักเท่าไหร่ต่อให้เป็นการเล้าโลมก็เถอะ

อดทนรอให้ปั้นรักเล่นสนุกได้ครู่หนึ่ง ผมก็จับปั้นรักพลิกลงมานอนอีก ปั้นรักจึ๊ปาก ทำหน้าไม่พอใจ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร มันก็จับผมพลิกลงนอน หยอกล้อกับร่างกายผมได้ครู่หนึ่ง แล้วผมก็จับมันพลิกลงนอนแทน

ปั้นรักชักสีหน้า ดันหน้าผมออกแล้วจับผมพลิก

ผมล้มลงนอน มันยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ผมก็จับมันพลิก

มันบุ้ยปาก ลุกขึ้นมาจับผมพลิก

ผมจับมันพลิกอีกครั้ง

มันก็จับผมพลิกกลับมานอนอีก

คราวนี้ไม่พลิกเปล่า ยกขาผมทั้งสองข้างขึ้นชันเข่า แทรกตัวเองเข้ามาตรงกลางระหว่างขาผมจนเป้ากางเกงของเราสัมผัสกัน

เดี๋ยวนะ กูว่ามันทะแม่งๆ แล้ว...

“หยุดก่อนนะปั้น”
ผมรีบร้องทัก เอามือดันหน้าไอ้เด็กนั่นที่กำลังจะครอบครองยอดอกผมออกห่างจากตัว ปั้นรักเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วยู่อย่างไม่พอใจที่ผมขัดจังหวะพร้อมส่งเสียงถาม

“What? (อะไร)”
อันนี้ผมแปลได้ ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาก็คือมึงคร่อมกูทำไม!? คร่อมไม่พอ แม่งเอาตัวแทรกเข้ามาระหว่างกลางด้วย มึงคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่!?

“พี่ว่าโพสิชันมันผิดนะ”
ผมไม่โวยวาย บอกไปเสียงนิ่งๆ ปั้นรักได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วหนักกว่าเดิม
“ผิดตรงไหน”
“ก็ที่เป็นอยู่เนี่ยมันผิด”

ผมชี้นิ้วให้ดูสภาพที่ผมนอนแล้วถูกมันคร่อมเอาไว้ ปั้นรักมอตามงแล้วก็หรี่ตามองผม เหมือนจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้
“อย่าบอกนะว่ายู... เป็นรุก?”

รู้จักกันมาตั้งพักหนึ่งแล้ว มึงเพิ่งรู้ว่ากูเป็นรุกเหรอไอ้ปั้น! โอ้โห ดูขนาดตัวกูด้วย ใหญ่โตมหึมาเป็นรถบรรทุกขนาดนี้ มึงจะให้กูเป็นรับหรือไง!

ความจริงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกถ้าหากฝ่ายรับจะตัวใหญ่ แต่ไม่ใช่ผมไง หน้าแม่งก็หนวดเฟิ้มด้วยเถอะ จะเป็นรับที่เถื่อนไปหน่อยไหม

ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างระอากับความเข้าใจผิดของมัน ก่อนพยักหน้ารับเบาๆ
“พี่ถึงได้บอกไงว่าโพสิชันมันผิด”
ปั้นรักทำหน้าไม่เชื่อ ถอยห่างจากผม ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดปาก บ่นพึมพำ
“แล้วยูจะให้ไอเป็นรับว่างั้น? Gosh! Are you f*cking kidding me!? (พระเจ้า! ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย!?)”

แปลได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ช่างมันเถอะ พอจะรู้ว่ามันคงไม่อยากจะเชื่อชะตากรรมตัวเอง ผมเลยได้แต่ปลอบใจมันไปตามเรื่องเพราะรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของมัน...กับผู้ชาย

“ไม่เป็นไรปั้น เดี๋ยวพี่จะอ่อนโยนกับปั้นนะ”
ลูบหัวมันไปด้วยเผื่อมันจะใจเย็นลง ทว่าไม่ มันดึงมือตัวเองที่ปิดหน้าอยู่ลงแล้วถามผมกะทันหัน
“ปิโตรเลียมเจลหรือออยล์?”
“ฮะ?”

ผมทำหน้างงฉับพลัน ส่วนมันก็ก้มลงไปคุ้ยเสื้อแจ็กเก็ตที่มันถอดแล้วโยนทิ้งไปก่อนหน้า คว้าเอาของบางอย่างออกมาถือในสองมือให้ผมเลือกแล้ว
“ถามว่าปกติยูใช้ปิโตรเลียมเจลหรือออยล์ จะได้เลือกใช้ถูก แต่ไอว่าปิโตรเลียมเจลมันเหนียว ใช้ออยล์น่าจะเวิร์กกว่า ลื่นดี แล้วใช้ท่า Doggy style ด้วย เข้าง่าย ไม่เจ็บ”

นี่มึงมีอะไรกับผู้ชายครั้งแรกจริงหรือเปล่า ทำไมรู้ดีจังวะ แล้วไอ้ของที่มึงว่านี่มึงไปหามาตั้งแต่เมื่อไหร่!

นึกขึ้นได้ทันทีว่าก่อนหน้านั้นมันแวะเข้ามินิมาร์ท

ที่แท้...มึงก็ไปซื้อไอ้พวกนี้มานี่เอง ไอ้ปั้น... เตรียมพร้อมมาก แสดงว่าคิดจะรุกกูตั้งแต่แรกแล้วสินะ เด็กเวรจริงๆ เลยมึงเนี่ย!

“ไม่เวิร์กทั้งคู่ ปิโตรเลียมเจลมันเหนียวอย่างที่ปั้นว่า ส่วนออยล์...เอาไว้ทาผิวหรือใส่ผมเถอะ มันไม่ค่อยช่วยหรอก ถ้าจะใช้ตัวช่วยก็ต้องใช้อันที่มันทำมาเฉพาะเพื่อทำกิจกรรมนั้นเลย”

ผมอธิบาย ในใจก็นึกขำกับความเตรียมพร้อมของมันไม่น้อย แต่เหมือนจะไม่ใช่ประเด็น เพราะทันทีที่ผมพูดจบ ปั้นรักก็มีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา
“เอ้า ถ้าใช้ไม่ได้ แล้วยูจะหยุดไปดื้อๆ แบบนี้?”
“ก็เราไม่พร้อม พี่ก็ไม่อยากจะฝืนปั้นด้วย ไว้วันหลังเถอะเนอะ”
“อะไรวะ ศึกชนช้างล่มซะงั้นอะ” มันพึมพำ แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ

ผมก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำนะ โคตรอยากจะทำเลย แต่ถ้าฝืนทำต่อไป ผมกลัวว่าปั้นรักจะเจ็บตัวน่ะ หยุดแค่นี้แล้วไว้ต่อวันหลังจะดีกว่า

“พี่เป็นห่วงปั้นนะถึงได้หยุดแค่นี้” ผมให้เหตุผล
ทว่าให้เหตุผลไปก็เท่านั้น ปั้นรักไม่ได้มีสีหน้าดีขึ้นแม้แต่น้อย บูดบึ้งเสียจนน่าจับมาตีก้นให้รู้แล้วรู้รอด
“บ่มีไก๊แท้ๆ เสพบ่มิสม”

แถมยังจะดูถูกผมอีก ผมถึงกับต้องสงบสติอารมณ์ตัวเองเป็นพัลวัน

หึย ถ้าไม่กลัวว่ามึงจะเจ็บตัว ป่านนี้กูทำไปนานแล้ว

อุตส่าห์เป็นห่วงมันแท้ๆ แต่มันยังคงถามไม่เลิก
“สรุปไม่อยากเยแล้ว?”

ผมถึงกับเบิกตาโต

มึงก็จะพูดตรงเกินไปไหม! รู้ไหมเนี่ยว่ามันหมายความว่าอะไร!

เออ แต่คงไม่ต้องอายแล้วล่ะ มาถึงขั้นนี้กันแล้ว จะใช้คำว่าอะไรก็ช่างเถอะ

“ใครว่าไม่อยาก แต่เอาไว้วันหลัง วันนี้ยังไม่พร้อมก็เอาไว้ก่อน”
“ฮ่วย!” ปั้นรักแสดงท่าทางฮึดฮัดออกมา
“ถ้าจะอารมณ์ไม่ดีขนาดนี้ งั้นวันนี้ทำแค่ภายนอกดีไหม”

สุดท้ายผมก็เลยต่อรอง พอเข้าใจอยู่ว่าการที่มีอารมณ์รุนแรงอย่างนั้นแล้วจู่ๆ มาหยุด มันทำให้เสียอารมณ์ก็เลยลองเสนอดู
ปั้นรักมองหน้าผมครู่หนึ่งพลันพยักหน้า “จะทำอะไรก็รีบๆ ทำก่อนที่ไอจะเปลี่ยนใจ”

พูดมาอย่างนี้ ผมก็ไม่รอแล้ว จัดการดันปั้นรักให้นอนราบลงไป ประทับจูบบนเรียวปาก ผละออกมาก็ไล่ไปตามต้นคอ แผ่นอก หยอกเย้าตุ่มไตเล็กๆ ด้วยปลายลิ้น มือที่ว่างอยู่ก็จัดการถอดกางเกงออกจากตัวของคนใต้ร่าง ก่อนจะมาจัดการกับตัวเอง ไม่นานนัก เราทั้งคู่ก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

สีหน้าของปั้นรักกลับมาดูยั่วยวนอีกครั้ง และทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อมือของผมกอบกุมอยู่บนส่วนกลางลำตัวของมัน พอเคลื่อนไหว เสียงครางอือออก็ดังลอดออกจากริมฝีปากหนา ผมเร่งจังหวะทีละน้อยจนปั้นรักชักทนไม่ไหว ผวาคว้าผมไปกอดแน่น ปากก็ยังครวญครางไม่หยุด

“อะ...อ้ายดื้อ...”
ถึงจะถูกเรียกด้วยสรรพนามไม่บ่อย แต่ทุกครั้งที่ได้ยินก็ทำให้หัวใจผมพองโตจนแทบปริแตก และผมก็ได้โอกาสในตอนนี้ ก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง
“ปั้น...ชอบพี่ไหม”

ไม่มีเหตุผลที่ปั้นรักจะต้องปฏิเสธอีกต่อไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะตกอยู่ในห้วงอารมณ์หวามไหวก็เป็นได้ มันถึงรีบพยักหน้ารัวๆ

“พูดสิ...” ผมแกล้งผ่อนความเร็วลงเพื่อยั่วให้ปั้นรักทรมาน
ปั้นรักทำหน้าขัดใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมพูด
“ชอบ...ไอชอบยู แค่นี้พอใจหรือยัง”

ผมยิ้มรับ จูบลงไปบนริมฝีปากของคนใต้ร่างเบาๆ
“พอใจแล้วครับ”

จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามอย่างที่ควรจะเป็น พร้อมกับความสุขแทบกระอักที่ผมไม่ได้สัมผัสมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ปั้นรัก... ผมชักจะเริ่มหลงรักผู้ชายคนนี้เสียแล้วสิ




 
หลังจากผ่านกิจกรรมเข้าจังหวะแบบไม่เป็นทางการไปเป็นทีเรียบร้อย ปั้นรักก็ผล็อยหลับหมดสภาพด้วยถูกผมรังแกจนหมดแรง ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้รับการปลดปล่อยอะไรอย่างนั้นหรอกนะ ผมเองก็ถูกปั้นรักรังแกเหมือนกัน แต่มันถูกผมกระทำมากกว่า ตอนนี้ผมเลยได้นอนมองหน้ามันขณะหลับไปเพลินๆ โดยลืมไปสนิทเลยว่าเราทั้งคู่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตอนเย็น แน่นอนว่าพอมันตื่น มันก็จะหิว ผมเลยตั้งใจจะลุกไปหาซื้ออะไรมาไว้ให้มันกินก่อนที่ร้านแถวนี้จะปิด

ทว่าพอลุกจากเตียงไปแต่งตัวและคว้ากระเป๋าคาดหน้าอก ผมก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเชือกรัดข้อเท้าที่ซื้อไว้ตั้งแต่ไปวังเวียงอยู่ในนั้น ผมหยิบมันออกมาไว้ในมือ พลันหันไปมองทางปั้นรัก ก่อนจะตัดสินใจคว้าเอาเส้นหนึ่งไปมัดให้ที่ข้อเท้าของคนที่นอนหลับอยู่ มัดยังไม่ทันเสร็จ ปั้นรักก็รู้สึกตัวตื่นเสียก่อน

“ทำอะไร” ตื่นไม่พอ ยังจะผงกหัวขึ้นมามองอีกต่างหาก ผมยังไม่ทันจะตอบ มันก็ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าหัวแล้วว่ายิ้มๆ “อะไร แค่ทำภายนอกแค่นี้ถึงกับต้องตีตราจองเลยหรือไง”
“แค่อยากให้นกเพนกวินมันมีเจ้าของ”

ผมว่ายิ้มๆ ขณะที่ปั้นรักหัวเราะออกมา

“สัญลักษณ์ของความเป็นเกย์”
ไม่รู้ว่ามันกำลังว่าผมหรือเยาะเย้ยตัวเองกันแน่ที่สุดท้ายแล้วมาชอบผมอย่างนี้ ผมมัดให้มันเสร็จก็ขยับเข้าไปนั่งข้างๆ มัน พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มของปั้นรักเบาๆ

“จะเป็นสัญลักษณ์ของอะไรแล้วมันสำคัญตรงไหน แค่นกเพนกวินมันมีเจ้าของแล้วก็ได้อยู่เป็นคู่ แค่นี้ก็พอแล้ว มันจะได้รักกันไปชั่วนิรันดร์”

ครั้งนี้ผมใช้คำว่า ‘รัก’ ไม่ได้พูดว่า ‘ชอบ’ อย่างที่เคยพูด ปั้นรักคงจะเข้าใจแล้วว่าตอนนี้ผมรู้สึกกับมันยังไง มันยกยิ้มออกมา ก่อนจะมองมาที่ข้อเท้าผม
“แล้วไหนคู่มัน?”
“อยู่ในกระเป๋า” ผมพยักพเยิดไปทางกระเป๋าคาดอกที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม
“เอามาใส่สิ”

พอมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็เดินไปหยิบมาผูกกับข้อเท้าตัวเองบ้าง
“แบบนี้โอเคไหม” ใส่เสร็จก็ถาม
ปั้นรักพยักหน้ารับ
“เอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปไว้ด้วยสิ”
ผมก็หยิบมาถ่ายแหละ ถ่ายเสร็จก็ดูรูปข้อเท้าตัวเองกับข้อเท้ามันที่ใส่เครื่องประดับเป็นคู่กัน พลันนึกอะไรขึ้นมาได้
“ปั้นรู้ไหมว่าแบบนี้เหมือนเราเป็นแฟนกันเลยนะ”

พูดจบก็หันมองหน้าปั้นรัก ผมกะว่ามันคงจะโวยวายหรือไม่ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่อะไรเทือกนั้น ทว่าก็ต้องพบว่ามันมองหน้าผมแล้วเออออเสียอย่างนั้น

“เป็นแฟนก็เป็นแฟนสิ ยูโสด ไอก็ยังโสด คบกันก็ไม่เสียหาย”

ฮะ...เฮ้ย! พูดจริงดิ!?

ผมเบิกตาโพลงทันทีที่จู่ๆ ก็กลายเป็นแฟนมันโดยไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวนะปั้น หมายความว่าปั้นจะเป็นแฟนพี่ว่างั้น?”
“เหนื่อย จะนอน”

มันไม่ตอบแล้ว พอผมถามปุ๊บ มันก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปงปั๊บ ผมมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทิ้งตัวลงไปกอดร่างใต้ผ้าห่มนั้นไว้แน่นจนมันโวยวายออกมา

“อะไรของยูวะเนี่ย อึดอัด!”
“ก็ดีใจอะ” ผมว่า “ดีใจที่มีปั้นเป็นแฟน”

ปั้นรักเงียบไป ผมเลยดึงผ้าห่มออกเพื่อมองหน้ามัน เห็นหน้าปั้นรักแดงแจ๋ ผมก็ฝังจูบแรงๆ ลงบนซีกแก้มมันเต็มรัก ผละออกมาได้ก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“สัญญาว่าจะดูแลเป็นอย่างดี ฝากหัวใจพี่ไว้ด้วยนะ”
ปั้นรักดูอึกอักไป หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมอีก แต่มันก็ยอมพยักหน้ารับน้อยๆ
“อือ จะดูแลให้”

ผมว่าผมไม่ออกไปซื้ออะไรมาให้มันกินแล้วล่ะ แต่จะกินมันอีกรอบแทน

จะรู้บ้างไหมว่าตัวเองมีอิทธิพลกับหัวใจพี่ขนาดไหนเนี่ย เด็กดื้อของพี่ดื้อ...
------------------------------
มาแล้ววว มาหัววันหน่อย ตอนเย็นจะได้ไปอัปเรื่องอื่นแทน
ตอนนี้ปั้นรักดูมึนๆ อึนๆ ดี ตีเนียนให้พี่ดื้อตกร่องปล่องชิ้นเป็นแฟนเฉย พี่ดื้อก็หยอดน้องซ้า 555
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้หน่อย เดี๋ยวมาต่อให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-07-2017 11:12:09
น้องเอ้ยยยยซื้อมาแต่ละอย่างมือสมัครเล่นจริงๆแต่ปั้นมันใจเด็ดดีนะคิดจะรุกด้วย5555
พี่ดื้อกลับเข้ามาคราวนี้ต้องได้เจลมานะพี่เอามาเยอะๆเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 18-07-2017 12:15:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-07-2017 12:25:30
 :katai2-1: :z1: :katai2-1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 18-07-2017 13:56:47
ง้อววววววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-07-2017 13:58:00
บทจะเล่นตัวก็เล่น บทจะยอมก็ง่ายๆ นะ
พี่ดื้ออย่ารุนแรงกับน้องปั้นเขานะ สงสาร
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 18-07-2017 18:22:37
เป็นการคบกันแบบมึนๆ 5555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 18-07-2017 18:35:07
น่ารักจริงแหละน้องปั้นรัก สมชื่อเขาเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่12:ศึกชนช้าง[18/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-07-2017 01:00:06
สะบายดี ครั้งที่ 13: I love you too

ว่ากันตามตรง ผมก็ยังงงอยู่นะที่จู่ๆ ก็มาเป็นแฟนกับปั้นรักแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ถามว่าผมชอบไหม...ชอบสิ แล้วจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือหรือไง ถึงตอนแรกจะมองว่ามันเป็นคนไม่น่าคบหาหรือไม่น่าเข้าใกล้อะไร ตอนนี้ผมกลับไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ปั้นรักทำอะไรก็น่ารักหมดแหละตอนนี้ เรียกได้ว่าผมเห่อแฟนเต็มขั้น

เห่อแค่ไหนคิดดู ถึงขนาดเอารูปข้อเท้าของผมกับมันอัปขึ้นเฟซบุ๊ก พร้อมกับใส่แคปชันว่า ‘นกเพนกวินต้องมีคู่’ ตอนแรกก็แค่จะอัปเพื่อสนองนี้ดตัวเอง แต่พออัปขึ้นไปได้ไม่ถึงสิบนาทีดี ไอ้แสบกับไอ้แก่นก็รีบโทรมาหาผมทันที ปกติเวลามีอะไรก็จะทักแชทมาใช่ไหม โทรมาหาแค่เฉพาะเรื่องด่วนเท่านั้น ท่าทางงานนี้จะเป็นเรื่องด่วนของพวกมัน เพราะทันทีที่ผมรับสายปุ๊บ เสียงของไอ้แสบก็ดังทะลุออกมา

‘ไหนมึงว่าไปพักใจไงไอ้ดื้อ แล้วไอ้รูปนั่นมันอะไรวะ’

ตามมาด้วยเสียงของไอ้จอมแก่นที่เออออห่อหมกกับพี่ชาย ผมได้แต่หัวเราะกับท่าทางตื่นตูมของพวกมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ก็ไม่มีอะไร กูแค่มีแฟน”
‘แฟน!? นี่มึงอกหักมายังไม่ทันถึงเดือนดีเลย มีแฟนแล้ว?’

แน่นอนว่าเป็นคำพูดของไอ้แสบ ผมรู้อยู่หรอกว่ามันคงจะเป็นห่วงเพราะมันรู้ว่าเวลาผมอกหักแต่ละครั้ง ผมจะเป็นจะตายมากแค่ไหน

“เออน่า ความรักมันไม่ต้องการเวลาหรือเปล่าวะ” ผมว่า
ได้ยินเสียงไอ้แสบค่อนแคะมาอย่างหมั่นไส้ทันใด
‘ทำเป็นพูดดีนะมึง ก่อนหน้านี้ทำเป็นติสต์แตก แล้วแฟนมึงนี่เป็นใครวะ เห็นแต่รูปเท้า ไหนหน้าตา เอามาดูซิ’

มันไม่ถามเลยสักคำว่าแฟนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็อย่างว่านะ มันรู้อยู่แล้วว่าผมมีรสนิยมแบบไหน สิ่งที่มันอยากรู้คงจะเป็นเรื่องข้อมูลของปั้นรักมากกว่า

“เป็นคนไทยลูกครึ่งลาว เพิ่งกลับมาจากอเมริกา ลูกเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ที่กูไปพักนั่นแหละ”
‘มึงนี่มัน...’

เหมือนจะด่าอะไรผมสักอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้พูด จอมแก่นก็แย่งโทรศัพท์ไปคุย ผมได้ยินเสียงไอ้แสบบ่นน้องชายคนเล็กตามหลังเล็กน้อยก่อนที่จะได้ยินเสียงของจอมแก่น

‘รู้จักเขาดีแล้วเหรอพี่ดื้อถึงไปคบเป็นแฟนน่ะ’
เอาล่ะ แม่คนที่สองมาแล้ว แต่ก็ยอมรับนะว่าคำถามนี้ทำเอาผมฉุกใจคิดขึ้นมาได้

จะว่าไป ผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปั้นรักสักอย่างเลยนี่นา อายุเท่าไหร่ ชื่อจริงชื่ออะไร เรียนจบอะไรมา ชีวิตที่ผ่านมาเป็นยังไง ไม่รู้เลยสักนิด อย่าว่าแต่ผมไม่รู้ ปั้นรักก็ไม่รู้เรื่องของผมเช่นกัน เรียกได้ว่าเราคบกันทั้งที่ยังไม่รู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ

“เรื่องของกูน่า พวกมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูดูแลตัวเองได้”
ผมตัดบทแค่นั้น ทว่าไอ้จอมแก่นก็ยังถามไม่เลิก
‘ไม่ห่วงได้ไง ถ้าพี่ดื้อต้องเสียใจอีก คราวนี้ไม่ต้องหนีไปยุโรปเลยเหรอ ตกลงยังไม่รู้จักเขาดีใช่ไหม’

ผมล่ะเกลียดความรู้ทันของมันเหลือเกิน ก่อนจะตัดบทเอาดื้อๆ
“เอาเป็นว่าแฟนกูชื่อปั้นรัก ไว้จะส่งรูปไปให้ดู กูต้องวางแล้ว จะออกไปเที่ยว”
เกือบจะวางสายอยู่แล้ว ถ้าหากว่าจอมแก่นมันไม่ร้องโวยวายมา

‘เดี๋ยวก่อนพี่ดื้อ’
“อะไร”
‘ตัดใจจากพี่เหนือได้แล้วแน่ๆ ใช่ไหม’

คำถามนี้ก็ทำให้ผมชะงักงันไปเหมือนกัน

ตัดใจได้แล้วไหมน่ะเหรอ? ไม่รู้สิ ผมก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ผมยังคิดถึงเขาอยู่ ยังเป็นห่วงและรู้สึกดีๆ ด้วย แต่ว่า...มันไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว

“มึงรู้แค่ว่ากูโอเค แฮปปี้กับสถานะตอนนี้ก็พอแล้ว เลิกถาม กูจะวางสาย”

ตัดบทอีกครั้ง จอมแก่นก็เลยไม่ตอแย พอวางสายไปได้ ผมก็จัดการส่งรูปของผมกับปั้นรักและวิดีโอที่ถ่ายมันตอนก่อนที่มันจะทำกางเกงเป้าขาดไปให้พี่น้องผมดู แน่นอนว่าพวกมันสนุกสนานกันยกใหญ่ พร้อมกับชมปั้นรักมาด้วยว่า...หล่อ

ผมยอมรับ ปั้นรักหน้าตาดีจริงๆ ถ้ามันไม่กวนประสาท แต่ก็นะ ตอนนี้มันจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ผมรักมันไปแล้ว อะไรก็น่ารักไปหมดแล้วล่ะ

หลังจากจัดการส่งรูปให้ไอ้แสบกับไอ้แก่นดูเป็นที่เรียบร้อย ผมก็นึกถึงหน้าใครบางคนขึ้นมา

แสงเหนือ... ผมจะตัดใจจากเขาได้หรือยังนะ?

อย่างที่บอกว่าผมเองก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อตอนนี้ผมมีแฟนแล้ว หัวใจของผมก็มอบให้กับปั้นรักไปแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องเฝ้าคะนึงหาอะไรถึงเขาอีกแม้ว่าในใจอยากจะบอกกับเขาเหมือนกันว่าผมเคยรู้สึกกับเขายังไง เพราะก่อนหน้านี้นั้นไม่มีโอกาสได้บอกว่าชอบหรืออะไรแบบจริงจังสักที

เท่านั้นผมก็กดเข้าไปในรายชื่อในโทรศัพท์ เลื่อนไปที่ชื่อแสงเหนือ ตั้งใจจะลบมันออกจากเครื่อง ทว่าปั้นรักที่เข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวไปเที่ยวเมื่อครู่ก็โผล่ออกมาก่อน ซ้ำยังเดินตรงมาหาผม ชะโงกหน้าถามเสียใกล้โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

“เมื่อกี้คุยกับใคร”
ผมสะดุ้ง หันไปมองก็เห็นว่าหน้าของปั้นรักอยู่ห่างแค่คืบ
“กับไอ้แสบไอ้แก่นน่ะ” ผมบอก ไม่ต้องอธิบายแล้วว่าสองคนนั้นเป็นใครเพราะปั้นรักรู้แล้ว

แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด นอกจากมองมาที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วพูดออกมา
“แล้วในมือนั่นเบอร์ใคร”
“อ๋อ ไม่มีอะไร”
ผมบ่ายเบี่ยงด้วยการจะเก็บโทรศัพท์ลงไป ทว่าปั้นรักไวกว่า แย่งโทรศัพท์ไปถือเสียก่อน

“แสงเหนือ...” แล้วก็อ่านชื่อออกมา “แฟนเก่ายูนี่”

ผมยิ้มแห้งๆ ไม่อยากจะปิดบังหรอกนะ แต่ไม่อยากให้เป็นปัญหาหึงหวงอะไรประมาณนั้นก็เลยไม่กล้าบอกมันไปตามตรง
“ไม่ใช่แฟนเก่าสักหน่อย แค่คนที่เคยชอบ” ผมแก้ต่าง

ปั้นรักนิ่ง ฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก่อนที่จะถามผม
“คิดถึงหรือไงถึงได้จะโทรหา”
ไม่รู้ว่าถามอย่างนั้นเพราะไม่พอใจหรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือผมรีบแก้ตัวไปแล้ว
“เปล่า พี่แค่จะลบเบอร์เหนือออกจากเครื่อง”

อันนี้ไม่ได้โกหก บอกเรื่องจริง ในใจก็ลุ้นว่าปั้นรักจะหงุดหงิดไหม ทว่าผิดคาด นอกจากจะไม่หงุดหงิดแล้ว ยังส่งโทรศัพท์คืนให้ผมพร้อมกับบอกว่า...
“จะลบทำไม ถ้ายูอยากโทรหาก็โทรสิ”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วสูง ขณะที่ปั้นรักเองก็ร้องเสียงสูงเช่นกัน
“เอ้า มาหงมาหืมอะไร ถ้ายูมีอะไรติดค้างอยู่ในใจก็โทรไปเคลียร์สิ จะปล่อยให้มันคาราคาซังทำไมเล่า”
พูดราวกับอ่านใจผมออกอย่างนั้นน่ะ แต่ผมไม่คิดจะทำหรอก ตอนนี้ข้องใจเรื่องความคิดของปั้นรักมากกว่า
“ปั้นอยากให้พี่โทรไปบอกเหนือเหรอว่าเคยชอบเขามากแค่ไหน”
“ถ้ายูอยากบอกก็บอกไปสิ”
“แล้วไม่หึง?”
“จะหึงทำไมในเมื่อหัวใจของยูอยู่กับไอแล้ว”

โอ้โห มั่นใจมาก ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมากับคำพูดน้ำเน่าที่มันบอก ทำเอาปั้นรักหน้าม้านทันตาเห็น ตรงมาต่อยไหล่ผมดังตุ้บ

“หัวเราะอะไรวะ ก็แค่พูดเรื่องจริง”
“ก็ใครจะไปคิดว่าปั้นจะพูดแบบนี้” ผมยังคงหัวเราะไม่เลิก

ปั้นรักจะมาหัวเสียเอาตอนนี้นี่แหละ ก่อนที่มันจะเดินไปหาเสื้อผ้าใส่หลังจากนุ่งผ้าเช็ดตัวมาพักหนึ่ง ปากก็บ่นไปด้วย
“อุตส่าห์จะพูดดีๆ ด้วย แม่งก็มาขัดอารมณ์ซะงั้น วันหลังไม่พูดแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็รีบกุลีกุจอเข้าไปหาทันที
“พี่ขอโทษนะ พูดอีกนะครับ”

อ้อนแม่งเลย กอดเอว เอาหน้าซุกซอกคอ หอมแก้มหอมคอไปเรื่อย ซึ่งก็ดูท่าทางจะได้ผลเพราะปั้นรักบ่นพึมพำมาอีกนิดหน่อยแล้วก็เงียบไป ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายถามแทน

“แล้วปั้นไม่หึงพี่จริงๆ เหรอถ้าพี่โทรหาเหนือแล้วบอกว่าเคยรู้สึกยังไงน่ะ”

ปั้นรักหันมามองหน้าผมเล็กน้อย “จะหึงทำไม ก็ยูอยู่กับไอไม่ใช่เหรอตอนนี้ อยากบอกก็บอกไปสิ มันเป็นเรื่องระหว่างยูกับแฟนเก่า ไม่ใช่เรื่องของไอสักหน่อย การเป็นแฟนกันมันไม่ได้หมายความว่าไอจะต้องตามหึงหวงเวลายูไปคุยกับคนที่เคยรักเคยชอบนี่ เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นก่อนที่ไอจะรู้จักยูอีก อดีตก็คืออดีต”

ผมถึงกับนิ่งงันในความคิดของปั้นรัก โห ความคิดมันนี่...เด็ดเดี่ยวอะ ถ้าเป็นผมนะ ผมคงตามหึงทุกคนยันอดีตชาติ
“แฟนพี่ใจกว้างจัง” ผมแกล้งหยอก
ปั้นรักมุ่ยหน้า สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนผมอย่างรำคาญ
“ไม่ได้ใจกว้าง เรียกว่ามีเหตุผลเว้ย ถ้าไม่ได้ข้ามเส้นกลับไปคบกันหรืออะไรแบบนั้นก็ถือว่าโอเค”
“แต่ปั้นไม่ต้องห่วง พี่ไม่ไปยุ่งกับแฟนเก่าหรอก แล้วก็นะ จะต้องให้พี่ย้ำอีกกี่ครั้งว่าเหนือไม่ใช่แฟนเก่าพี่ เป็นแค่คนที่พี่เคยจีบ”
“เป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ยูไม่ต้องลบเบอร์ออกหรอก เอาไว้อย่างนั้นแหละ เผื่อวันไหนคิดถึงจะได้โทรหา”

พูดจบ มันก็เดินไปแต่งตัว ปล่อยให้ผมมองตามพลางอมยิ้ม

ถึงมันจะดูเป็นคนมีปัญหา แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีมุมที่เป็นคนมีเหตุผลขนาดนี้ ทว่าถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เก็บเบอร์แสงเหนือเอาไว้ พอปั้นรักไม่ได้สนใจอะไรผม ผมก็จัดการลบเบอร์และช่องทางการติดต่อทุกอย่างของแสงเหนือออกจากโทรศัพท์

พอแล้วล่ะ...ผมพอแล้ว ต่อจากนี้ผมจะมีสายตาไว้มองแค่ปั้นรักคนเดียวเท่านั้น



 
หลังจากแต่งตัวแล้วพากันไปกินข้าวเรียบร้อย พวกเราก็ไปเที่ยวตามแพลนที่วางเอาไว้ เริ่มจากการไปเดินเที่ยวตลาดเช้า ชมบรรยากาศเมืองมรดกโลก ก่อนจะแวะไปจิบกาแฟลาวต้นตำรับที่ร้านแถวริมแม่น้ำโขง เสร็จสิ้นแล้วถึงได้ออกไปเที่ยวนอกเมือง ส่วนใหญ่สถานที่เที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกันก็เป็นพวกวัดโพนเพา บ้านผานม บ้านช่างไห ปิดท้ายด้วยการไปแวะเดินเที่ยวที่ถ้ำติ่งและน้ำตกตาดกวางชี

คราวนี้ไม่ได้เล่นน้ำเพราะผมอยากจะเดินเที่ยวแบบสบายๆ มากกว่า พอกลับมาถึงที่พักในตอนเย็น พวกเราก็ออกไปเดินเล่นช็อปปิงเรื่อยเปื่อย บอกตามตรงว่าผมแทบไม่ได้สนใจเลยว่าการไปเที่ยววันนี้มันเป็นยังไงบ้าง เพราะความสนใจทั้งหมดของผมจดจ่ออยู่ที่ปั้นรักเท่านั้น

ปั้นรักพูดเจื้อยแจ้ว อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลสถานที่ที่ตัวเองพอจะรู้ไปเรื่อย นั่นก็ไม่ได้เข้าหูผมเหมือนกันด้วยผมเอาแต่มองหน้ามันแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กระทั่งเดินมาถึงร้านขายเสื้อร้านหนึ่ง ผมถึงได้เบนความสนใจไปยังสิ่งอื่นนอกเหนือจากผู้ชายข้างๆ อีกครั้ง

“ยูจะซื้อของฝากกลับไปให้พี่น้องของยูไหม ถ้าซื้อก็ไปดู”

ผมมองไปยังร้านที่ปั้นรักชี้ให้ดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นร้านขายเสื้อยืดสกรีน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมจะต้องซื้อของพวกนี้ไปให้พี่กับน้องด้วย แต่ไม่ได้บอกปั้นรักนะว่าจะซื้ออะไร นี่เหมือนมันเป็นคนเลือกให้ผมเลย

“เสื้อยืดก็ดีนะ คอมมอนดี”

ผมว่า ก่อนจะเดินไปเลือกดูเสื้อยืดที่สกรีนภาษาลาวว่าหลวงพระบางบ้าง ประเทศลาวบ้าง เลือกซื้อให้พี่กับน้องเสร็จ ก็เลือกเสื้อกล้ามที่สกรีนว่า I รูปหัวใจ Laos มาตัวหนึ่ง อันนี้ผมจะซื้อมาใส่เอง ทว่าก่อนจะจ่ายเงิน หูก็ได้ยินเสียงของปั้นรักเสียก่อน

“มีสกรีนเสื้อด้วยนะ ยูไม่เอาเหรอ”

ผมเหลือบมองไปยังป้ายก็เห็นว่ามีภาษาลาวเขียนเอาไว้ พอจะเดาได้รางๆ ว่ารับสกรีนเสื้อที่ระลึกด้วย แต่ผมได้ของที่ต้องการหมดแล้วไง ก็เลยได้แต่บอกปั้นรักไป

“ถ้าปั้นอยากได้ พี่จะจ่ายให้ ไปสั่งสิ”
“ใครบอกว่าไออยากได้” ปั้นรักขมวดคิ้วทันที

ผมรู้ว่ามันคงไม่ได้อยากได้อะไรหรอก แต่ผมอยากซื้อให้น่ะ

“สั่งเถอะ พี่อยากซื้อให้ หรือจะเอาลายเดียวกับพี่ จะได้ใส่คู่กัน”
กลายเป็นว่าผมจะให้มันซื้อเสื้อมาใส่คู่ผมเสียแล้ว ปั้นรักทำหน้าเหยเกทันที
“ไอไม่ใส่ลายเดียวกับยูหรอก มันไม่ swag”

แปลว่าอะไรวะ?

แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ปั้นรักเดินเข้าไปหลังร้านกับพ่อค้าเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักก็กลับออกมา
“เขาบอกให้ไปเดินเล่นก่อน อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยกลับมาเอาของ”
“ปั้นสั่งให้เขาสกรีนอะไรไป”

ผมไม่ได้สนใจเลยว่าจะได้ของเมื่อไหร่ อยากจะรู้ว่าปั้นรักมันสั่งอะไรไปมากกว่า ทว่าผมไม่ได้รับคำตอบเมื่อปั้นรักตวัดดวงตามองหน้าผมแล้วว่าเสียงระรื่น
“เซอร์ไพรส์”
พูดจบก็เดินนำไปทันที ปล่อยให้ผมมองตามอย่างขัดใจที่ไม่ได้รับคำตอบ



 
ผมไม่เคยคิดว่าเวลาครึ่งชั่วโมงมันยาวนานเลยกระทั่งถึงตอนนี้...ตอนที่ผมอยากรู้ใจจะขาดว่าปั้นรักมันสั่งสกรีนเสื้อว่าอะไรนี่แหละ!

พอมันบอกว่าเซอร์ไพรส์ ผมก็คิดไปเองว่ามันจะต้องสกรีนว่า ‘ปั้นรักดื้อ’ หรืออะไรสักอย่างทำนองนี้แน่ๆ แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะใช่อย่างนั้น อีกอย่าง ปั้นรักมันดูไม่น่าจะเป็นคนที่จะทำอะไรอย่างนั้นด้วย ผมเลยได้แต่สงบสติอารมณ์แล้วยืนรอมันอยู่หน้าร้าน ขณะที่มันหายเข้าไปหลังร้านกับพ่อค้าอีกครั้ง และเดินกลับออกมาในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง

“ไหน เอามาดูหน่อยว่าไปสกรีนคำว่าอะไรมา”

ผมร้องถามทันทีที่เห็นหน้า ยื่นมือไปกระดิกตรงหน้ามันยิกๆ ด้วย อยากจะรู้เต็มแก่แล้วว่ามันมีลับลมคมในอะไรนักหนาถึงไม่ยอมให้ผมรู้ตั้งแต่แรก

ปั้นรักหันมองผมขวับ ตอบเร็วๆ “ใส่ไปแล้ว”
ผมเลิกคิ้วสูง “เสื้อน่ะนะ”
“เออ ใส่อยู่”

ผมเหลือบมองไปที่ลำตัวปั้นรักทันที ก่อนจะเพิ่งสังเกตว่าในตอนนี้มันใส่เสื้อแจ็กเก็ตแบบรูดซิปปิด เท่านั้นผมก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม

“งั้นขอพี่ดูหน่อยนะ”
“อือ”

ปั้นรักตอบรับเสียงเบา ผมเลยไม่รอช้าที่จะยื่นมือไปรูดซิปเสื้อมันลง เสื้อยืดสีดำด้านในโผล่มาให้เห็นทีละน้อย ก่อนที่ผมจะต้องหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นตัวหนังสือภาษาลาวสีขาวบนหน้าอกมันเต็มสองตา

“อะไรเนี่ย”

ที่ถามอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าผมอ่านไม่ออกนะ ถึงจะเป็นภาษาลาวแต่ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันเขียนว่าอะไร แต่ที่อยากรู้คือทำไมมันถึงเลือกที่จะสกรีนชื่อผมลงไปบนเสื้อต่างหาก

“อะไรคืออะไร” ปั้นรักแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ขมวดคิ้วถามผมกลับ
“ก็นี่ไง ปั้นสกรีนชื่อพี่ลงเสื้อทำไม”
“ใครว่าชื่อยู มันเป็นคำที่ยูใช้เรียกไอต่างหาก ไอ้ดื้ออะไรงี้”

‘จอมดื้อ’ ที่เห็นอยู่บนนั้น ผมมั่นใจว่าเป็นชื่อผมนะ ไม่ใช่สรรพนามที่ผมให้เรียกปั้นรักอะไรสักหน่อย ถึงว่าจะผิดจากที่ผมคาดการณ์ไปเยอะ แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้นะ ก่อนที่จะยื่นมือไปดึงแก้มอย่างมันเขี้ยว

“แถเหรอฮะไอ้ตัวน่ารัก”
ปั้นรักสะบัดหน้าหนี ปากพึมพำขมุบขมิบ
“หลงตัวเองฉิบ”
“ปั้นก็หลงแฟนฉิบ ถึงขนาดสกรีนชื่อพี่มาใส่ ถือว่าไม่ธรรมดา”

แกล้งพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ทำหน้าเหยเกทันที

“ยูหลงไอมากกว่าอีก รักปานจะแหกดากดม”

รักอย่างเดียวก็พอ แหกอะไรดมนี่ไม่ต้อง ทุเรศเกิ๊น!

แต่อันนี้ผมก็ไม่เถียงหรอกนะ ก็ปั้นรักน่ารักขนาดนี้ จะไม่ให้หลงได้ยังไง ยิ่งตอนมันเขินแล้วหน้าแดงๆ ด้วยนะ โห เป็นอะไรที่ทำใจผมละลายมาก

“ไม่ปฏิเสธครับ”
ผมว่าพลางคว้ามันมากอดคอ แล้วฝังจมูกลงไปบนแก้มเบาๆ สัมผัสได้เลยว่าหน้าของมันในตอนนี้ร้อนผะผ่าวกว่าเดิมขึ้นมาก ก่อนที่ผมจะกระซิบเพื่อจะให้มันเขินอายมากขึ้นไปอีก
“พี่รักปั้นนะ”

ทว่าปฏิกิริยาของปั้นรักกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคาดหวังเท่าไหร่นัก เพราะแทนที่มันจะอาย มันดันหันมามองหน้าผมพร้อมกับบอกว่า...

“ไปเยกัน”

เฮ้ย เดี๋ยวสิมึง จะมาทำลายบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย

“เอ้ามองๆ ตกลงจะเยหรือไม่เย”
เห็นผมไม่ตอบ มันก็ถามมาอีก ทำเอาผมรีบตอบรับมันทันควัน
“เย แต่ใจเย็นๆ ไปซื้อถุงยางกับเจลก่อน”

ผมก็ดันบ้าจี้ไปตามมันอีก ความจริงตั้งใจจะพูดเล่นๆ นะเพราะนึกว่ามันพูดขำๆ แต่ไม่เลย ปั้นรักมันเอาจริงล้วนๆ พอผมว่าไปอย่างนั้น มันก็ลากผมไปที่ร้านสะดวกซื้อ เร่งเร้าให้ผมรีบเลือกของทันที



 
แล้วก็ไม่รู้เป็นมายังไง รู้ตัวอีกที ผมก็มานั่งอยู่บนเตียงในห้องพักที่เกสต์เฮ้าส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อะไรไม่ว่า...เสื้อก็ถอด เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ ปั้นรักก็เช่นกัน มิหนำซ้ำ ตอนนี้ผมกำลังถูกปั้นรักหยอกเย้ากับร่างกายอีกต่างหาก

สถานการณ์แบบนี้นี่มันอะไรวะ?

เสียววูบวาบที่สันหลังขึ้นมาอย่างประหลาด ผมพยายามจะไม่คิดอะไรมากนะ กระทั่งเสื้อผ้าบนตัวเราทั้งคู่อันตรธานหายไป แต่ผมยังคงถูกปั้นรักคร่อมร่างเอาไว้อยู่ อะไรไม่ว่า ตอนนี้สายตาเหลือบไปเห็นมันคว้าเอาถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่นมาแล้ว

เดี๋ยวๆๆ กูว่าผิดแล้ว!

ผมรีบลุกพรวด คว้ามือมันไว้ทันที ก่อนจะรีบบอกเร็วๆ

“ปั้น... พี่ว่าเรามีเรื่องต้องตกลงกันแล้วล่ะ”
ปั้นรักที่ทำท่าจะแกะกล่องถุงยางเมื่อครู่ขมวดคิ้ว มือยังไม่ปล่อยจากของทั้งสองสิ่งที่ถืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“ตกลงเรื่องอะไร”
“โพสิชัน เราจะตกลงกันเรื่องโพสิชัน”

ผมบอก ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะต้องมาคุยเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย ปกติแล้วผมเลยต้องมาคุยกับแฟนเรื่องนี้เสียที่ไหนกันล่ะ แต่สำหรับปั้นรักแล้วคงต้องคุย ไม่อย่างนั้นผมได้กลายเป็นเมียมันแน่

“ว่ามา” ปั้นรักทำท่ารำคาญแต่ก็ยอมฟังโดยดี
“คืองี้นะปั้น พี่ไม่อยากจะบังคับหรือบอกให้ปั้นทำตามหรอก แต่ว่า...พี่เป็นรุก”
“แล้ว?”
“คนที่ใช้ของพวกนั้นคือพี่ ไม่ใช่ปั้น” ผมพยักพเยิดไปทางของที่มันถืออยู่ในมือ

ปั้นรักมันเข้าใจแหละ เพราะมันถามกลับมา
“ยูกลัวว่าจะโดนไอเสียบ?”
“ก็...เปล่าหรอก แต่พี่ไม่เคย”

เท่านั้นมันก็หัวเราะออกมา ล้อเลียนผมทันที
“โถ พ่อเวอร์จิ้น”

แหม แล้วมึงไม่เวอร์จิ้นเลยเนอะ มึงเคยโดนใครตีค่ายทัพหลังมาก่อนไหมล่ะ

และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร มันก็ถามออกมาแล้ว

“แล้วถ้าไอไม่อยากเป็นรับ ยูจะยอมให้ไอทำไหมล่ะ”
บอกตามตรงว่าคิดหนักเลย แถมยังกลายเป็นว่าผมตกเป็นฝ่ายรองเสียอย่างนั้น พอเห็นผมไม่ตอบในทันใด ปั้นรักก็ถามย้ำมาอีก
“ว่าไง จะยอมไหม”
“ถ้าปั้นอยากทำ...พี่ก็คงต้องยอม”

จำใจสุดๆ แต่เอาเถอะ มันคงไม่ต่างอะไรจากการเป็นรุกมากนักหรอก

ทว่าพอผมพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ยังคงไม่พอใจ ถามออกมาอีก
“ทำไมถึงยอม”
“ก็พี่รักปั้นนี่นา”

สิ้นเสียง ใบหน้าของปั้นรักก็มีรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่มันจะฉกจูบผมแบบไม่ทันตั้งตัว แป๊บนึงก็ผละออกไป ผมมองตามมันอย่างงุนงงในขณะที่มันว่าพลางกลั้วหัวเราะ

“ไม่ต้องทำหน้าหงอยอย่างนั้นก็ได้ ไอก็แค่อยากรู้เฉยๆ ว่ายูจะยอมไหม แล้วก็ไม่ต้องกลัว เรื่องแค่นี้ ไอจะยอมยูก็ได้”
ฟังแล้วก็หูผึ่ง
“สรุปว่าปั้นจะรับ?”
“อือ”

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวจนปั้นรักต้องหัวเราะร่วน

“อะไรวะ เรื่องแค่นี้จะเป็นจะตายเลยหรือไง”
“ก็พี่ไม่เคย”
“แล้วไอเคยหรือไง”

พูดมาถึงประโยคนี้ ผมก็มองหน้ามัน เห็นมันจ้องหน้าผมนิ่ง ผมก็เอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างประหลาด

“แล้วทำไมปั้นถึงยอมพี่” อันนี้อยากรู้เหมือนกัน เพราะลักษณะของปั้นรักดูท่าทางจะไม่ได้เป็นคนยอมใครง่ายๆ
ทว่าคำตอบของมันกลับทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมา
“เหตุผลเดียวกับยูนั่นแหละ”
“หมายถึง?”
“I love you too”

ไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ตอนนี้หัวใจผมพองโตจนแทบจะปริแตก อดใจไม่ไหวที่จะคว้ามันมากอด ก่อนประทับจูบลงบนริมฝีปาก ดูดกลืนความหอมหวาน ซึมซับทุกความรู้สึกที่มีราวกับกลัวว่ามันจะจางหายไป ผละออกมาได้ก็กระซิบเสียงพร่าให้ปั้นรักได้จดจำอีกครั้ง

“พี่รักปั้นมากเลยนะ”
“เหมือนกัน”

ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากจะสัมผัสร่างกายของคนตรงหน้าให้มากขึ้น ผมเลยไม่รอช้าที่จะเป็นฝ่ายดันร่างของปั้นรักให้ลงนอนและตั้งท่าจะคร่อมร่างของมันบ้าง ทว่าปั้นรักก็ดันรีบแกะของในมือออกจากกล่อง พลันฉีกซอง หยิบเอาถุงยางอนามัยออกมา

แวบแรกผมคิดว่ามันจะเอาให้ผมนะ แต่ไม่...มัน-ใส่-เอง

อะไรไม่ว่า ทำท่าจะเทเจลออกจากหลอดด้วย ทำเอาผมรีบคว้าไว้แทบไม่ทัน

“ปั้นๆๆ เดี๋ยวๆๆ”
แย่งมาถือเองทันใด ขณะที่ปั้นรักมองหน้าผม
“What?”
“ฝ่ายรับไม่ต้องใส่ถุงยาง”
“แล้ว?”
“เจลก็ไม่ต้องบีบออกมาด้วย เดี๋ยวพี่จัดการเอง” พูดไปก็ละเหี่ยใจไป

ไหนมึงบอกว่าจะยอมเป็นรับไง จะทำให้กูเสียวสันหลังทำไมอีกเนี่ย!

แต่เหมือนปั้นรักจะรู้นะว่าผมกังวลอะไร มันหัวเราะร่า ตบบ่าผมเป็นการใหญ่
“แกล้งนิดเดียว ไม่ต้องตกใจหรอกน่า”

ได้ยินอย่างนั้น พร้อมกับเห็นมันหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ผมก็มันเขี้ยวขึ้นมา จับมันกดลงนอนราบไปบนฟูก รวบแขนทั้งสองข้างขึ้นมาไว้เหนือหัวแล้วว่าเสียงขุ่นแบบไม่จริงจังนัก

“กล้าแกล้งพี่เหรอ”
ปั้นรักยิ้มทะเล้นอย่างท้าทายแต่ไม่ตอบคำถาม ท่าทางแบบนี้โคตรน่ารักเลย ทำเอาผมต้องคาดโทษออกมา
“เดี๋ยวโดนพี่แกล้งบ้างจะรู้สึก จะเอาให้ลุกไม่ขึ้น”
แต่มันไม่สะทกสะท้านสักนิด บอกผมเสียงระรื่น
“จะรอดู” แล้วก็ทิ้งตัวลงนอน อ้าแขนออกกว้างพลางร้องเรียก “มากอดไอสิ”

ยั่วกันขนาดนี้...แล้วผมจะอดใจไหวได้ยังไงล่ะ

ผมขยับตัวเข้าหา ประทับจูบบนเรียวปากของปั้นรักอีกครั้ง แทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่ายจนเป็นที่พอใจถึงได้ผละออกมา จูบไล่ต่ำลงไปบนซอกคอและแผงหน้าอก ก่อนหยุดอยู่ที่ตุ่มไตเม็ดเล็ก รังแกด้วยปลายลิ้นและนิ้วมือทั้งสองข้างจนกระทั่งชูชัน

เสียงครางต่ำในลำคอของปั้นรักดังมาให้ได้ยิน และทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อผมยื่นมือข้างหนึ่งไปกอบกุมแก่นกายกลางลำตัวก่อนจะเคลื่อนไหวทีละน้อย กระทั่งปั้นรักถึงจุดที่ทนไม่ไหว ถึงได้ร้องบอกออกมา
“ทำสักที”

ผมก็ทำตามสั่งแหละ แต่ทุกอย่างเป็นไปอย่างนุ่มนวลและเชื่องช้า

จนกว่าปั้นรักจะพร้อมเต็มที่ ผมจะไม่ทำอะไรให้เขาต้องเจ็บปวดเด็ดขาด...

ปลายนิ้วชำแรกเข้าไปในช่องทางด้านหลัง ขยับเบาๆ เพื่อให้เกิดความเคยชิน ผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงครางกระเส่าจากคนใต้ร่างออกมา ตอนนี้เองที่ผมถอยออกมาแล้วค่อยๆ ดุนดันความเป็นชายเข้าไปแทนที่ ผสานร่างของตัวเองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคนที่ผมรัก

สีหน้าเหยเกปรากฏให้เห็น ผมจูบลงบนหน้าผากเป็นการปลอบใจ ก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ็บไหม”
ปั้นรักส่ายหน้าเป็นคำตอบ พลันโน้มใบหน้าผมให้เข้าใกล้แล้วกระซิบเสียงเบา
“จะเจ็บกว่าถ้ายูไม่บอกว่ารักไอมากแค่ไหน”

ประโยคนั้นทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะจูบปั้นรักไปอีกครั้ง เอ่ยบอกตามที่ปั้นรักต้องการ
“พี่รักปั้นนะ...”

แต่แทนที่มันจะบอกรักผมกลับ มันกลับพูดว่า...
“ถ้านอกใจ...จู๋ขาด”

เอาเถอะ อย่าไปหวังอะไรจากมันมากนัก แค่นี้ถือว่าดีแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น...ตลอดทั้งคืน
-----------------------------
โอเค ได้เยกันละ 55555 ฉากเลิฟซีน หนูแดงไม่ได้เขียนละเอียดนะคะ เพราะแนวเรื่องมันไม่ให้ ก็ตามนี้แหละ ฝากฟีดแบ็กเอาไว้ล่วย เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-07-2017 01:23:53
 :katai2-1: :z1: :z1: :z1: :katai2-1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 20-07-2017 07:17:13
ฟินตัวแตกกับตอนนี้
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-07-2017 07:44:49
ขำนังหนูปั้น
นางจะเอาต้องได้เอา555
พี่ดื้อหลงเมียมากเลยอะนี่สิเจอตัวจริงแล้วจะลืมทุกคนที่เคยชอบเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 20-07-2017 08:35:09
อิพี่ก็พาโรแมนติกตลอด แต่พังเพราะอิน้องตลอด  :m20:
น่ารักอะ  แหมะมีการสกรีนชื่อแบบนี้เอาใจไปเลยใช่ป่าวคะพี่ดื้อ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 20-07-2017 20:53:53
ปั้นรักตอนแรกๆหายไปไหนนนนน ตอนนี้มีแต่ปั้นรักดาวยั่ว :hao6:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 22-07-2017 07:49:43
ไม่น่าเชืีอจะมีวันนี้
แต่... รักกันเร็ว กลัวมีมาม่าจังเลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 22-07-2017 11:52:00
น้องปั้นหลุดความคาดหมายพี่ไปเยอะเลย  :m20:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 22-07-2017 21:18:41
ดีใจกับจอมดื้อจริงๆ ครับ

 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 23-07-2017 01:37:48
 :-[
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 23-07-2017 15:17:36
ในที่สุด... ในที่สุด.... 5555555

ปั้นจ๋าบอกความต้องการตัวเองตรงไปไหม นี่ตั้งตัวไม่ทันเลยนะ

พึ่งมาตามอ่าน อ่านรวดเดียวเลย อย่างสนุกอ่ะ ชอบๆๆๆ
คือหัวเราะให้กับคำพูดปั้นหลายรอบมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่13: I love you too[20/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-08-2017 18:23:39
สะบายดี ครั้งที่ 14: โลกหยุดหมุน

ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนเช้ามืด ร่างกายค่อนข้างอ่อนเพลียมากเลยทีเดียว ก็อย่างว่าแหละ เมื่อคืนนี้จัดหนักจัดเต็มไปหน่อย จะโทษว่าผมมักมากอะไรแบบนั้นก็ไม่ถูกด้วยเพราะไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องการครั้งแล้วครั้งเล่า ไอ้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมก็ชวนผมต่ออีกหลายต่อหลายครั้งยิกๆ นั่นก็ตัวดีเลย จนสุดท้ายก็เป็นปั้นรักที่บอกว่าให้พอเถอะเพราะร่างกายรับไม่ไหวแล้ว

ถึงไม่บอก ผมก็พออยู่แล้ว นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ผมก็นึกขำกับความบ้าพลังของมันขึ้นมา ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดปอยผมของคนที่นอนหลับอุตุอยู่ข้างกาย ก่อนจะหยิกแก้มอีกฝ่ายเล่นอย่างมันเขี้ยว ปั้นรักย่นคิ้วเล็กน้อยคล้ายกับว่ารำคาญ ผมกลัวว่าจะทำมันตื่นเลยรีบดึงมือออก แล้วตัดสินใจทิ้งตัวลงจากเตียง กะว่าจะไปหาซื้ออะไรจากมินิมาร์ทมาทิ้งเอาไว้สักหน่อย เพราะคาดว่าถ้าปั้นรักตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ คงได้หิวไส้กิ่วแน่ จะดีกว่าถ้าตื่นมาแล้วก็มีของกินเตรียมไว้รอเลย

เพราะอย่างนั้นผมเลยทิ้งตัวลงจากเตียงไปแต่งตัว หากแต่แค่ใส่เสื้อได้อย่างเดียวเท่านั้น คนบนเตียงก็ขยับพร้อมกับปรือตาขึ้นมอง

“Where are you going, babe? (จะไปไหนน่ะที่รัก)”
เออ อันนี้ผมแปลได้ จั๊กจี้ในใจนิดหน่อยที่ได้ยินมันเรียกผมแบบนั้น

“พี่จะไปหาซื้ออะไรมาไว้ให้ปั้นกินน่ะ” ผมตอบพลางหันไปยิ้มให้มัน
ทว่าปั้นรักไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลย นอกจากยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
“Come here (มานี่)”

คงยังไม่ตื่นเต็มตาดีเลยพ่นภาษาอังกฤษออกมาใหญ่เลย ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ เดินเข้าไปหามัน พอเดินมาถึงปลายเตียง ปั้นรักก็อ้าแขนทั้งสองข้างออก
“Come on (มาเร็ว)”

เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว ผมก็ไม่หยุดยืนอยู่แค่ปลายเตียงละ กระโจนเข้าใส่มันอย่างว่าง่าย ก่อนจะคว้ามันไปกอด ขณะที่ปั้นรักเองก็กอดผมแน่นเช่นกัน

น่ารักอะไรอย่างนี้นะ...

กอดกันได้พักหนึ่ง ผมก็จับให้ปั้นรักนอนหนุนแขนตัวเอง ก่อนจะชวนคุย

“เรียกพี่มาอย่างนี้ จะชวนพี่ทำเรื่องทะลึ่งอีกเหรอ” ไม่เชิงชวนคุยหรอก หยอกมันเล่นมากกว่า
ปั้นรักขยี้ตาสองสามครั้ง มองผมด้วยสายตางัวเงียพลางยิ้ม
“หื่นแต่เช้าเลยวะยูเนี่ย”
“ใครกันแน่ที่หื่น ต้องให้พี่เล่าไหมว่าเมื่อคืนชวนพี่ยังไงบ้าง” ผมหัวเราะเมื่อเห็นซีกหน้าทั้งสองข้างของปั้นรักแดงเรื่อขึ้นมา แต่มันคงไม่ได้เขินอะไรผมมากนักหรอก แค่หน้าแดง แต่สายตากลับจ้องผมเขม็ง
“เป็นเรื่องธรรมชาติน่า เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นเป็นไร”

ทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกเฉยเลย ผมก็ไม่อะไรหรอก ออกจะชอบด้วยซ้ำที่ได้ทำอะไรต่อมิอะไรกับมันอย่างนั้น เป็นห่วงก็แค่เรื่องสุขภาพของมันอย่างเดียว เพราะปั้นรักไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน เพิ่งเคยกับผมเป็นคนแรก ที่สำคัญ...มันเป็นฝ่ายรับ ทำเอาผมอดเป็นห่วง เอื้อมมือไปจับๆ คลึงๆ ที่สะโพกมันไม่ได้

“เป็นผู้ชายเหมือนกันก็จริง แต่ปั้นก็ต้องเป็นห่วงตัวเองด้วย ไม่ใช่เอาแต่สนุก แล้วตรงนี้เป็นไงบ้าง เจ็บไหม”
ปั้นรักเหลือบมองหน้าผม ไม่ตอบคำถาม ก่อนที่ผมจะถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าไง เจ็บหรือเปล่า”
“ถ้าไอบอกว่าเจ็บ ยูจะทำไง”
“ก็คงต้องพักทำเรื่องลามกไปก่อน”
“ถ้าบอกว่าไม่เจ็บล่ะ”
“ก็ต้องให้ปั้นนอนพักก่อนอยู่ดี”
ตอบไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ชักสีหน้า

“โว้ย จะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ไม่ทำใช่ไหมล่ะ แล้วจะถามทำไม”

พูดมาอย่างนี้ ผมก็รู้เลยว่าปั้นรักน่ะ...
“อยากทำอีกเหรอ ลีลาพี่เด็ดล่ะสิ”

อันนี้แหละที่ผมเดาได้ เลยหยอกล้อมันไปอีกที

ปั้นรักเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะตบเข้ามาที่หน้าผมไม่แรงนักทีหนึ่งแล้วว่าเสียงเขียว
“ลีลาเด็ดบ้าบออะไร ไอเก่งกว่ายูตั้งเยอะ”
จ้า แล้วเมื่อคืนใครนะที่ครางออกมาไม่เป็นภาษา

“ถ้าไอได้เป็นท็อปนะ ยูจะติดใจไอมากกว่าอีก”
แต่พี่ว่าปั้นคงจะติดใจพี่แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่แอ่นสะโพกรับอย่างนั้นหรอก

คิดทะลึ่งไปสุดกู่ เถียงในใจทุกคำพูด แต่ผมไม่พูดออกมาหรอกเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคนในอ้อมแขนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม

“แล้วปั้นยอมพี่ทำไมล่ะหืม?”
ถามไปอย่างนี้ก็ถูกปั้นรักย่นคิ้วมองทันควัน
“ถ้าไอไม่รัก ก็ไม่ยอมหรอกเว้ย” น้ำเสียงค่อนข้างกรรโชกโฮกฮาก แต่ดันแผ่วเบาราวกับกระซิบ
ผมมองก็รู้เลยว่ามันกำลังเขินแน่ๆ จึงไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงหัวเราะให้กับคำพูดนั้นเล็กน้อย
“ปั้นพักต่อเถอะ เดี๋ยวพี่ไปหาซื้ออะไรมาให้” ผมว่าพลางทำท่าจะลุกไปอีก แต่ก็ต้องชะงักเพราะถูกปั้นรักดึงเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก ไอไม่หิว อยากอยู่กับยูมากกว่า”
ได้ยินแค่นั้น ผมก็หยุดเคลื่อนไหวเลย ความคิดที่จะออกไปซื้ออะไรนั่นก็มลายหายไปสิ้น ยอมนอนอยู่แบบเดิมให้ปั้นรักหนุนแขนอย่างว่าง่าย
“ติดพี่เป็นตังเมเลยนะ สงสัยจะรักพี่มาก” ผมว่าเย้า

ปั้นรักยู่ปากเล็กน้อย แทนที่จะยอกย้อนผมหรือตอบรับ แต่ดันถามกลับ
“ยูเคยรักใครมากกว่าตัวเองไหม”
ผมเลิกคิ้วสูงด้วยประหลาดที่จู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา “ถามทำไมเหรอ”
“อยากรู้”
ตอบมาอย่างนั้น พร้อมกับมองหน้าผมนิ่ง ผมก็ไม่เซ้าซี้ต่อ นอกจากจะตอบรับ
“เคยสิ”

ปั้นรักก็จ้องหน้าผมเขม็งยิ่งกว่าเดิมอีก ผมไม่รู้หรอกว่ามันคิดอะไรอยู่ การที่จู่ๆ มาถามอะไรแบบนี้มันเป็นเรื่องผิดปกติอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะถามถึงสาเหตุมัน ผมต้องแก้ความเข้าใจผิดก่อนเพราะเดี๋ยวมันจะคิดว่าผมยังสนใจบรรดาคนเก่าๆ ที่เคยคบหามาอยู่ แล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแทน ผมไม่รู้หรอกนะว่าปั้นรักเป็นยังไง แต่แฟนเก่าส่วนใหญ่ที่ผมคบมา พอมีโมเมนต์แบบนี้ทีไรเป็นอันต้องปิดท้ายด้วยการทะเลาะกันทุกที

“แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว คนที่พี่รักมากที่สุดก็คือตัวเองนะ” ผมขยายความให้
“ตกลงยูรักคนอื่นมากกว่าตัวเองหรือรักตัวเองมากกว่ากันแน่”
ผมหัวเราะกับสีหน้าหาเรื่องของมันที่พร่างพรายขึ้นมา ก่อนจะอธิบาย
“เวลาที่เรามีความรัก บางครั้งมันก็จะมีโมเมนต์นึงที่เรารู้สึกว่ารักเขาคนนั้นมาก รักมากกว่าตัวเอง แต่พอทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่หวัง เราก็จะตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ พี่ถึงบอกว่าพี่รักตัวเองมากกว่า”
“แบบนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวปะ”

“ใช่” ผมยอมรับ “แต่ถ้าสิ่งที่เราคาดหวังมันทำให้เราเจ็บปวด แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่กลับมารักตัวเองให้มากขึ้นกันล่ะ”
ถามไปอย่างนี้ ปั้นรักก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยื่นนิ้วชี้มาแตะที่ปลายจมูกผม

“มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ยูมาพักใจที่ลาวใช่ไหม”
ผมพยักหน้ารับ พลันปั้นรักก็คว้าปลายจมูกผมไปออกแรงบีบเบาๆ แต่มันทำให้ผมหายใจไม่ออกได้เลยล่ะ
“แล้วระหว่างตัวยูกับไอ ยูรักใครมากกว่ากัน”

ผมหัวเราะกับคำถามนั้น...

อะไรกัน นี่จะสร้างบรรยากาศโรแมนติกเหรอ

“เอ้า ตอบมาได้แล้ว มัวแต่หัวเราะอยู่นั่น ไม่ตอบนี่ตายนะ”
พอเห็นผมหัวเราะไม่เลิก มันก็ออกแรงบีบที่จมูกผมมากขึ้น ผมเลยรีบตอบคำที่มันอยากได้ยินออกไป
“ปั้น... พี่รักปั้นมากกว่า”

ปั้นรักยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดึงมือกลับไป พลันพยายามจะเม้มปากเพื่อเก็บรอยยิ้ม แต่เหมือนจะทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยเพราะมันยังเอาแต่ยิ้มไม่หุบอยู่อย่างนั้น มิหนำซ้ำหน้าก็ยังจะแดงเรื่อขึ้นมาอีกด้วย จนมันต้องซุกหน้าลงกับหน้าอกผมเพื่อเก็บซ่อนอาการนั้นไม่ให้ผมเห็นแทน

ผมเห็นแล้วก็มันเขี้ยว กอดมันแน่นขึ้นขณะที่ปั้นรักโวยวาย
“อะไรเนี่ย”
“แสดงความรัก” ผมว่า จากนั้นก็ฝังจมูกลงบนซีกแก้มคร้าม

ปั้นรักหันมามอง แล้วก็กลายเป็นมันที่เลื่อนใบหน้ามาฉกจูบริมฝีปากผม พร้อมกับคำพูดที่ผมไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากมัน
“ไอก็จะรักยูมากกว่าตัวเองเหมือนกัน”

ปั้น...
หึย อยากจับบีบให้แหลกคามือ ทำไมมันน่ารักได้ขนาดนี้!

“ได้แค่เศษเสี้ยวความรักจากปั้น พี่ก็พอใจแล้ว”
ผมแกล้งว่าขำๆ ทำเอาปั้นรักทำหน้าหมั่นไส้ใส่ทันที
“แหม มักน้อย”
“มักน้อยแต่ได้บ่อยๆ จะดีกว่า”

ผมเล่นลิ้นไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ยิ่งทำหน้าหมั่นไส้ผมมากขึ้นไปใหญ่ อะไรไม่ว่า ตอนนี้ทำหน้าตาพะอืดพะอมออกมาอีกด้วย
“ยูแม่งเลี่ยนว่ะ พูดแบบนี้กับคนอื่นบ่อยล่ะสิ”
ผมส่ายหน้าทันควัน “แค่กับปั้น”
“โว้ย ขี้ตั๋วแท้ (โกหก)”

ทำหน้าไม่เชื่อออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ผมไม่แน่ใจว่ามันไม่เชื่อจริงๆ หรือแค่แกล้งเล่น แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้ผมกอดมันแน่นมากกว่าเดิม ก่อนจะซุกใบหน้าลงบนเส้นผมนุ่ม กระซิบแผ่วเบาออกมา

“เวลาอยู่กับคนที่ทำให้พี่รู้สึกอยากให้โลกหยุดหมุน พี่ก็จะเป็นแบบนี้แหละ และคนคนนั้นมันคือปั้น... ปั้นทำให้พี่อยากหยุดเวลาที่เราทั้งคู่มีความสุขกันแบบนี้เอาไว้”

ปั้นรักไม่ตอบอะไรกลับมา นอนนิ่งๆ ปล่อยให้ผมได้พูดขึ้นมาอีก
“ตอนนี้พี่ขาดปั้นไม่ได้แล้วนะรู้ไหม ขาดไม่ได้แล้ว...”

ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมาอีก มีแต่อ้อมแขนของปั้นรักที่ตวัดมาพาดลำตัวผมและโอบกอดตอบแน่น
แค่การแสดงออกเท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะสำหรับการตอบรับความรู้สึกของผม

แค่ได้โอบกอดคนที่ผมรักและถูกโอบกอด... มันเพียงพอแล้วจริงๆ กับการเยียวยาความเจ็บปวดของผมทั้งหมดที่ผ่านมา
ต่อจากวินาทีนี้ ผมคงอยู่แบบไม่มีเขาไม่ได้อีกแล้ว...

ผมบอกกับตัวเองไว้แบบนั้น ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ผมก็จะต้องกลับไปแล้ว หนึ่งเพราะวีซ่านักท่องเที่ยวใกล้ครบกำหนด และสอง...ถึงจะมาพักใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเที่ยวเล่นได้นานนักเพราะผมมีหน้าที่ที่ต้องกลับไปรับผิดชอบ การทิ้งงานไว้แล้วให้คนอื่นมาดูแลต่อแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีสักนิด ผมจึงเอ่ยปากขึ้นมา

“เออปั้น พี่ถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่า?”
“ถ้าพี่กลับไทย ปั้นจะไปกับพี่ไหม”
ถามตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมใดๆ ทั้งสิ้น ปั้นรักมองหน้าผมอย่างงุนงง ถามกลับทันควัน
“ยูจะกลับไทยเหรอ”
“อือ มาเที่ยวนานแล้วนี่ ถึงเวลาแล้วคงต้องกลับ” ผมว่า “แต่พี่ไม่อยากแยกจากปั้นก็เลยชวนไปด้วยนี่ไง อยากไปเที่ยวบ้านพี่ไหม ปั้นก็สัญชาติไทยเหมือนกัน คงอยู่ได้นาน ไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่าหรอกมั้ง”

เรื่องสัญชาติมันนี่ผมไม่แน่ใจหรอก แต่คิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้นเพราะพ่อของปั้นเป็นคนไทย เคยอยู่ที่ไทยมาก่อน จากนั้นถึงย้ายไปอยู่กับพ่อที่อเมริกาตอนพ่อแม่เลิกกัน ต่อให้มีวีซ่านักเรียนหรือกลายเป็นพลเมืองอเมริกันไปแล้ว ยังไงสัญชาติเดิมก็คือไทย คงไม่มีปัญหาอะไรหากจะอยู่กับผมนานๆ

ปั้นรักทำท่าคิดไปครู่ ก่อนจะถามผมกลับ
“แล้วทำไมไอต้องไปเที่ยวบ้านยูด้วย”

ถามอย่างกับว่าไม่รู้อย่างนั้นแหละ ผมว่ามันรู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้ไปไทย แต่แกล้งยอกย้อนผมมากกว่า แต่ถ้าอยากจะให้ผมตอบล่ะก็ไม่มีปัญหา ตอบให้ก็ได้

“ปั้นจะได้รู้ไงว่าพี่อยู่บ้านแบบไหน พี่น้องหน้าตาเป็นยังไง ใช้ชีวิตยังไง ถือซะว่าเรียนรู้กันและกันก็ได้ ตั้งแต่ที่เราตัดสินใจคบกัน ปั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพี่เลยนี่ พี่อายุเท่าไหร่ เรียนจบที่ไหนอะไรยังไงมา หรือชอบกินอะไร ปั้นยังไม่รู้เลยนี่นา”

ปั้นรักพยักหน้า ผมคงจะพูดถูก เพราะขนาดผมเองยังไม่รู้เลยว่าปูมหลังของปั้นรักเป็นยังไงบ้าง บอกตามตรงว่าตั้งแต่มีแฟนมา ปั้นรักเป็นแฟนคนแรกเลยที่ผมรู้ข้อมูลน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะเราตัดสินใจคบกันแบบปุบปับก็เป็นได้ ผมถึงมีข้อมูลมันน้อยขนาดนี้ จะมีแต่บางข้อมูลเท่านั้นแหละที่ผมพอจะเดาได้ อย่างเช่นเรื่องอายุเป็นต้น

“ก็ได้ ไปก็ได้ แต่ถ้าไอไปแล้ว ยูต้องเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเลยนะ”
นี่ก็ตอบรับแบบไม่คิดอะไรมากเช่นกัน ผมเลยพยักหน้ารับทันที
“จะดูแลประหนึ่งเจ้าหญิงเลยล่ะ” พูดจบก็จูบลงไปบนริมฝีปาก ก่อนจะโดนปั้นรักตีเข้าที่หน้าอีกครั้ง ทำเอาผมรีบผละออกจากมันอย่างรวดเร็ว

พอผละออกมาแล้ว ปั้นรักก็แหวใส่

“เจ้าหญิงบ้าบอคอแตกอะไร จู๋โด่เด่ขนาดนี้ เรียกเจ้าหญิงอีกที จะเอาฟาดปากให้”

ไม่แหวธรรมดา ชี้ไปที่เป้ากางเกงตัวเองที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยด้วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้ชายตอนตื่นนอนนั่นแหละนะ แต่ไอ้ที่บอกว่าฟาดปากเนี่ย ไม่ต้องพูดก็ได้มั้ง

ทว่านั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับใจความสำคัญของบทสนทนานี้
“สรุปว่าไปบ้านพี่เนอะ”
“ไป เอาที่อยู่มาด้วย เดี๋ยวหลง” ปั้นรักหันไปคว้าโทรศัพท์มายื่นใส่มือผม ให้ผมพิมพ์ข้อความลงไปบนโน้ตในโทรศัพท์เสียอย่างนั้น

ผมอยากจะบอกอยู่หรอกนะว่าไปด้วยกัน จะไปกลัวหลงอะไร แต่พอเห็นปั้นรักมอง รอให้ผมพิมพ์แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้มันอย่างใจจดใจจ่อ ผมก็จำต้องทำตามอย่างว่าง่าย พิมพ์ไปก็หัวเราะไป ส่งโทรศัพท์กลับให้แล้วก็กอดอีกฝ่ายแน่นๆ อีกครั้ง

“พี่ไม่ปล่อยให้หลงหรอกน่า กังวลไปได้ ขืนทำแฟนหายไป พี่ได้ขาดใจตายแน่เลย”
อันนี้ผมพูดจริง ปั้นรักหัวเราะออกมาเล็กน้อย กอดผมตอบ
“งั้นก็รักษาดีๆ แล้วกัน”
“ครับ”

ตอบรับแล้วกระชับอ้อมกอดมากขึ้นกว่าเดิม ซึมซับความสุขนี้ไว้อย่างเต็มที่

มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากๆ มีความสุขจนอยากจะให้โลกหยุดหมุนแล้วปล่อยให้เวลาแห่งความสุขนี้ดำเนินไปตราบนานเท่านาน

ขอแค่มีปั้นรัก... แค่ผู้ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น ชีวิตผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอแค่เขามั่นคงกับผม มือที่จับมือเขาเอาไว้ก็จะไม่มีวันปล่อยอีกเลย...ไม่มีวัน



 
ผ่านไปสองสามวัน เราเที่ยวจนไม่มีอะไรจะให้เที่ยวแล้ว ผมจึงชวนปั้นรักกลับไปเวียงจันทน์ก่อนกำหนดการเดิมที่วางไว้ เพราะตั้งใจว่าจะให้ปั้นรักได้ไปเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น รวมถึงจองตั๋วเครื่องบินสำหรับบินไปไทยด้วย ปั้นรักก็เห็นตรงกัน วันนี้พวกเราจึงเก็บข้าวของเตรียมตัวขึ้นรถทัวร์กลับเวียงจันทน์กันตั้งแต่เช้า

ระหว่างรอรถรอบเช้ามาถึง ผมแวะไปซื้อพวกน้ำกับขนมจากร้านค้าใกล้ๆ มาติดกระเป๋าเอาไว้ ด้วยกลัวว่าปั้นรักจะหิวระหว่างทาง เพราะกว่ารถจะแวะพักให้เข้าห้องน้ำหรือกินอะไรก็อีกหลายชั่วโมง ของส่วนใหญ่ที่ผมซื้อมาจะเป็นจำพวกขนมปังแซนด์วิซมากกว่าพวกขนมกรอบแกรบ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบกินขนมพวกนั้นหรอกนะ มันก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่มันไม่อิ่มท้อง ผมห่วงเรื่องอิ่มหรือไม่อิ่มมากกว่า เพราะไม่อย่างนั้น ปั้นรักอาจจะต้องทนหิวท้องกิ่วจนกว่าจะรถจะแวะจอดพักตามกำหนดการก็เป็นได้

ซื้อของเสร็จก็กลับมายังบริเวณจุดรอรถ ก่อนจะเห็นว่าปั้นรักก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์อยู่ ผมจะไม่สนใจเลยเพราะคิดว่าปั้นรักคงจะคุยกับแม่หรือไม่ก็เพื่อนอะไรแบบนั้น แต่เพราะเห็นว่าสีหน้าของมันดูตึงเครียด แล้วก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย คล้ายกับว่าโมโหอะไรบางอย่าง ผมจึงไม่เรียกในทันที เดินอ้อมไปทางด้านหลัง กะว่าจะรอให้มันคุยเสร็จก่อนแล้วค่อยเรียก พลางเหลือบมองพอให้เห็นแวบๆ ว่ามันพิมพ์คุยกับใครบางคนเป็นภาษาอังกฤษ และเพราะภาษาอังกฤษของผมห่วยแตกเข้าขั้นโง่ ผมจึงแปลไม่ได้ แปลไม่ได้ไม่พอ อ่านไม่ทันด้วย จึงยืนรออย่างนั้นจนกระทั่งมันคุยเสร็จ ผมถึงได้ทัก

“ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบอยู่แล้ว คุยกับใครเหรอถึงได้ทำหน้าเหมือนแมวอึไม่ออกแบบนี้” แกล้งว่าหยอกด้วยกะจะให้มันอารมณ์ดีขึ้น

ทว่าไม่ได้ช่วยเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินเสียงผม ปั้นรักสะดุ้งโหยง หันมามองผมด้วยสายตาตื่นๆ แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น มันก็รีบปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ

“ไม่มีอะไรหรอก พวกแอดมั่วน่ะ”
“แน่ใจนะ?” ผมถาม

ปั้นรักพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง “ไม่ใช่เรื่องที่จะมาใส่ใจสักหน่อย ก็แค่คนทักผิดน่ะ ไปเร็ว รถมาแล้วนั่น”
บ่ายเบี่ยงอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก ผมก็ตงิดในใจอยู่เล็กน้อยว่ามันแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก เพราะตั้งแต่ที่คบกันมา ผมไม่เคยเห็นปั้นรักใช้โปรแกรมแชทคุยกับใครที่ไหนนอกจากแม่ อีกอย่าง มันก็ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์อะไรด้วย ผมจึงไม่ได้ใส่ใจเมื่อได้ยินมันร้องเรียกมาอีก

“เอ้า จะกลับไหมเวียงจันทน์น่ะ มาเร็วเข้า ให้ว่องๆ”
ผมเลยก้าวตามขึ้นรถไป ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตปั้นรักไปด้วย มันทำตัวปกติทุกประการ ผมเลยเลิกคิดเล็กคิดน้อยกับท่าทางของมันเมื่อกี้ไป

คงจะเป็นคนทักผิดมาอย่างที่มันบอกจริงๆ นั่นแหละนะ คงไม่มีอะไรอย่างที่ปันรักว่าจริงๆ...
--------------------------
มาแล้ววว หลังจากดองมานาน
ปิดจองไปแล้วนะคะ หลายวันแล้วด้วย ใครพลาดรอบจองไป รอรอบปกติเน้อ ให้ทาง สนพ.รักคุณ แจ้งอีกที ส่วน Ebook มาหลังหนังสือจัดส่งค่ะ

ส่วนตอนนี้... อีปั้น! หล่อนคุยกับใครรรร!
จะมีดราม่านิดๆ พอให้ปวดปอดนิดหน่อยนะ กุมใจไว้ดีๆ พรุ่งนี้มาต่อให้ค่ะ
ฝากฟีดแบ็กเอาไว้ให้ล่วย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-08-2017 18:34:34
เดี๋ยวๆเหมือนจะพบเด็กหนีตามผู้ชายหนึ่งอัตรา   หวานมากโอ้ยยน่อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-08-2017 19:11:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 14-08-2017 19:33:10
เอาจริงๆก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวของปั้นรักเลยนะ  :mew5:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 15-08-2017 08:24:58
แฟนเก่าออ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-08-2017 08:56:14
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-08-2017 22:36:09
ตอนนี้หวานมาก ค่อยๆเรียนรู้กันไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 16-08-2017 07:42:57
บทจะรักกันก็หวานจนมดเอียนเลยนะคะ

แต่เหมือนเรื่องยุ่งๆ กำลังตามมา
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่14: โลกหยุดหมุน[14/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-08-2017 00:39:16
สะบายดี ครั้งที่ 15: คนนิสัยไม่ดี

บอกตามตรงว่าเรื่องที่ปั้นรักแชทคุยกับใครอะไรนั่น ผมไม่ได้ใส่ใจเลยนะ แล้วก็จะไม่สนใจด้วยถ้าหากว่าตลอดทางที่นั่งรถกลับมาเวียงจันทน์ ปั้นรักออกอาการกระสับกระส่ายตลอดเวลา แถมยังหยิบโทรศัพท์มาดูหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็มีพิมพ์ตอบกลับอีกฝ่ายไป จากนั้นก็แสดงท่าทางหัวเสีย จนสุดท้ายก็ปิดโทรศัพท์ไป

ผมมองแล้วก็เป็นห่วงขึ้นมา กลัวว่าปั้นรักจะทะเลาะกับแม่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกเลยถามออกไปอย่างอดไม่ได้

“ทะเลาะกับใครหรือเปล่าปั้น”
ไม่เจาะจงถามว่าทะเลาะกับแม่หรือเปล่า เพราะผมไม่อยากให้มันรู้สึกว่าผมจี้ใจดำ

“เปล่า” ปั้นรักตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ผมมองแวบเดียวก็รู้ว่ามันแสร้งทำทีเป็นปกติ แต่สีหน้าดูเคร่งเครียดแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเลยถามไปอีก
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร”
“อือ ไม่มี”

แทนที่จะจบแค่นั้น ผมดันถามออกไปอีกเพราะสีหน้าของมันไม่ได้ดีขึ้นเลย
“ถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้นะ”
“ไอบอกว่าไม่มีอะไรไง ถามอะไรนักหนา!”

เพราะเซ้าซี้มากเกินไป ปั้นรักเลยขึ้นเสียงใส่ผมนิดหน่อย ผมเงียบไปเลย อันที่จริงก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ปั้นรักขึ้นเสียงใส่ผม แต่การขึ้นเสียงใส่โดยใช้อารมณ์ มันทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา ขณะที่ปั้นรักรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไปก็รีบปรับน้ำเสียงและสีหน้า แล้วบอกผมเร็วๆ

“ไม่มีอะไรหรอก ยูไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวไอจะงีบสักหน่อย เหมือนจะเมารถ”

สิ้นเสียง ปั้นรักก็ปิดเปลือกตา พิงพนักเก้าอี้หลับไปเงียบๆ ผมรู้ว่ามันไม่ได้หลับหรอก แต่กำลังเลี่ยงที่จะคุยกับผมมากกว่า ผมอยากรู้นะแต่ไม่ถามดีกว่า เพราะไม่อยากทำให้ปั้นรักรู้สึกแย่ไปกว่านี้ และการที่มันหัวเสียได้ถึงขนาดนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องครอบครัวนั่นแหละ มันเป็นเด็กมีปมนี่นา



 
หลังจากนั้น ปั้นรักก็ทำตัวปกติจนมาถึงที่หมาย ผมก็ลืมเรื่องที่มันขึ้นเสียงใส่ผมในรถไปสนิทเลยซ้ำถ้ามันไม่ขอโทษที่เสียงดังใส่ผมอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมันหรอก ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะพากันนั่งรถสามล้อจากขนส่งมาที่เกสต์เฮ้าส์แม่มัน ตอนนี้ผมได้แต่หวังว่าคุณแอนคงจะไม่ตัดหางมันปล่อยวัดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าถึงเธอจะไล่ปั้นรักออกจากกองมรดก ผมก็ยินดีที่จะรับเลี้ยงดูมันนะ

...ก็มันเป็นแฟนที่ผมรักนี่

“ยูขึ้นไปรอบนห้องก่อนนะ เดี๋ยวไอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องก่อน อาบน้ำเสร็จแล้วเดี๋ยวจะไปหา”
เข้ามาที่ล็อบบี้ของเกสต์เฮ้าส์ได้ ปั้นรักก็เอ่ยขึ้น ผมพยักหน้า ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะรู้ว่าห้องพักของปั้นรักอยู่ในโซนของห้องพักพนักงานซึ่งแยกจากห้องพักแขกที่ผมเช่าอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะคว้าข้อมือปั้นรักเอาไว้เมื่อเห็นมันทำท่าจะเดินไป

“อะไร” มันหันมาถาม
ผมกระซิบไปที่ข้างหู “ไปเอาแค่เสื้อผ้ามาอย่างเดียวก็พอ แล้วมาอาบน้ำที่ห้องพี่”
“โว้ย ทะลึ่ง” ปั้นรักโวยวายขึ้นมาน้อยๆ เรียกเสียงหัวเราะให้ผมเป็นอย่างดี ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเห็นดีด้วยหรอก แต่หลังจากประโยคนี้ มันก็ดันพยักหน้ารับ “เออๆ งั้นรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวไอไปเอาเสื้อผ้าแป๊บ”

เอาจริงดิ!?

ผมไม่ถามหรอก นอกจากเบิกตาโตเล็กน้อย แล้วหัวเราะให้กับความตรงไปตรงมาของมัน
“มาเร็วๆ นะ เดี๋ยวพี่คิดถึง”
หยอดมันไปอีกหน่อยก่อนจะแยกกัน

ปั้นรักพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนที่ผมจะคลายมือออกจากข้อมือมัน ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวไปไหน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“Pun! (ปั้น!)”

หันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง ผมสีทอง ตาสีฟ้าเลยล่ะ วัยไล่เลี่ยกันกับปั้นรักนี่แหละ ซึ่งผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากเธอไม่ร้องเรียกชื่อแฟนผมเสียงดังอย่างนั้น ไม่เว้นแม้แต่ปั้นรักเองที่หันไปมองแล้วก็มีสีหน้าประหลาดใจเหมือนกัน

ประหลาดใจเหรอ... ไม่หรอก ออกจะดูตกใจมากกว่า ก่อนที่มันจะครางพึมพำออกมา

“Lucy… (ลูซี่...)”

เพื่อนเหรอ?

แวบแรกผมคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะไม่งั้นทั้งคู่คงไม่รู้จักกันหรอก ก่อนจะตกใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นกึ่งวิ่งกึ่งเดินมากระโดดกอดปั้นรักอย่างรวดเร็ว

“Pun! I miss you! I really miss you! (ปั้น! คิดถึงนะ! คิดถึงมากเลย!)”
หูเจ้ากรรมดันดี แถมภาษาอังกฤษก็ดันดีขึ้นมาอย่างผิดปกติ ผมเข้าใจที่ผู้หญิงคนนี้พูดทุกคำ แต่ก็ยังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของปั้นรักนะ
“How can you come here!? (มาที่นี่ได้ไงเนี่ย!)”
ปั้นรักถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่ลูซี่ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พูดพร่ำคำเดิม
“I’m sorry, babe. I really sorry. Please don’t leave me again. I’m sorry. (ฉันขอโทษนะที่รัก ขอโทษจริงๆ อย่าทิ้งกันไปอีกนะ ฉันขอโทษ)”

นี่ก็ดันแปลได้ทุกประโยค ทุกคำอีกเหมือนกัน วินาทีนี้เริ่มรู้สึกทะแม่งๆ ละ ผมเลยมองหน้าปั้นรักอย่างขอคำตอบทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ขณะที่ปั้นรักเองก็เหลือบมามองผมด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก ดูคล้ายกับลำบากใจ ขณะเดียวกันก็ดูสับสนและเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ทว่ายังไม่ทันที่ปั้นรักจะได้พูดอะไร ลูซี่ก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“I love you, hun. Really love you. (ฉันรักนายนะ รักจริงๆ)”

รักเหรอ...

ประโยคนี้ทำผมย่นคิ้วยู่เลย แต่ย่นคิ้วหนักก็ตอนที่พอสิ้นเสียงหวาน ลูซี่ก็โผเข้าประกบปากจูบปั้นรัก ภาพที่เห็นทำเอาผมมือไม้อ่อนทันที กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ร่วงกระแทกพื้น ปากอ้าค้างด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าจะเห็นภาพบ้าๆ อะไรแบบนี้

เดี๋ยวนะ...นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!

ปั้นรักเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน รีบดันร่างบางออกห่างจากตัว

“Hey wait! What are you doing? (เฮ้ยเดี๋ยว ทำอะไรเนี่ย)”
“What do you mean? (หมายความว่าไง)” ลูซี่ย่นคิ้วถามกลับ
“Why did you do like this? (ทำแบบนี้ทำไม)” ปั้นรักดูหงุดหงิดขึ้นมา
ลูซี่เองก็ไม่ต่างกันนัก “Why!? You are my boyfriend. Why can’t I kiss you? (ทำไมล่ะ นายเป็นแฟนฉัน ทำไมจะจูบไม่ได้)”

โอเค... เริ่มแปลไม่ได้ละ รู้อย่างเดียวว่าสองคนนี้ทะเลาะกันละ แต่ถึงจะแปลไม่ได้ ผมก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้รางๆ ขณะที่ลูซี่เริ่มโวยวายเสียงดังเมื่อปั้นรักทำท่าจะเดินหนีมาหาผม พร้อมกับคว้าแขนของปั้นรักเอาไว้

“I said don’t leave me. Stay and talk! (บอกแล้วไงว่าอย่าทิ้งฉัน อยู่คุยกันก่อน)”

ปั้นรักสบถอะไรสักอย่างออกมา ผมแปลไม่ได้แล้วล่ะ ถึงจะแปลได้ก็ไม่คิดจะแปลเช่นกัน เพราะในตอนนี้หัวของผมมึนงงไปหมด
ผู้หญิงคนนี้บอกว่าปั้นรักเป็นแฟน... อย่าบอกนะว่าเรื่องระหว่างผมกับมันที่ผ่านมา ปั้นรักมัน...นอกใจแฟนงั้นเหรอ

ผมเม้มริมฝีปากแน่น มองหน้าปั้นรักที่มองผมอยู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนที่มันจะเรียกผม

“พี่ดื้อ...” ควรจะดีใจนะที่มันเรียกผมแบบนี้ แต่ไม่ใช่ในเวลานี้... “ไม่ใช่อย่างที่ยูคิดนะ”

มันรู้เหรอว่าผมคิดอะไร แต่เอาเถอะ มันคงจะเดาได้เพราะสถานการณ์ก็เอื้ออำนวยให้คิดแบบนั้นอยู่แล้ว ทว่าผมยังไม่พร้อมจะคุยกับมันตอนนี้เพราะลูซี่ที่เห็นปั้นรักเดินหนีเริ่มร้องไห้ออกมา พร้อมกับโวยวายอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวพี่ขึ้นไปอาบน้ำแล้วเอาของไปเก็บก่อน ปั้นรักคุยกับ...” ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจพูดมันออกมา “คุยกับแฟนไปก่อนแล้วกัน”
“พี่ดื้อ...”

ปั้นรักทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าผมจะพูดประโยคนี้ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรแล้ว คว้าเอากระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วขึ้นไปบนห้องเพื่อตั้งหลักก่อน



 
ปั้นรักทำท่าจะตามผมขึ้นมาในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ด้านล่างเพื่อคุยอะไรบางอย่างกับผู้หญิงคนนั้น ขณะที่พอผมเข้าห้องมาได้ ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียงด้วยความสับสนสุดๆ

ปั้นรักเป็นแฟนผม แต่พอกลับมาแล้วเจอผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนของปั้นรัก แล้วก็ดูเหมือนมันจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นดีเสียด้วย ถ้าลูซี่เป็นแฟนของปั้นรักเหมือนกัน งั้นก็แสดงว่าผมมาทีหลัง

งั้นผม...เป็นมือที่สามเหรอ?

เออ ไม่อยากคิดแบบนี้เลย แต่สถานการณ์มันให้มาก คิดแล้วก็ปวดหัว อีกทั้งยังปวดหนึบที่หัวใจอีกด้วย ปวดจนคิดไม่ออกว่าหลังจากนี้ถ้าได้เจอหน้าปั้นรักอีกครั้ง ผมควรจะวางตัวอย่างไรดี แต่ยังไม่ทันจะได้คิดออก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผมเหลือบไปมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์เล็กน้อย ก็เห็นว่าผ่านมาสองชั่วโมงกว่าแล้วหลังจากที่ขึ้นมานั่งเฉยๆ ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในห้อง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่ตรงนั้นเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก

“พี่ดื้อ เปิดให้หน่อย”
ผมก้าวไปหยุดที่หน้าประตู สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วชะงักไปเล็กน้อยว่าควรจะเปิดดีไหม แต่สุดท้ายก็เปิดออก พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย
“ว่าไง”
“ว่าไงอะไรล่ะ ถอย ไอจะเข้าไป”

ปั้นรักพูดเร็วๆ แล้วรีบก้าวเข้ามาในห้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวผมจะปิดประตูใส่หรือเปล่าถึงได้ร้อนรนขนาดนี้

ผมปล่อยให้เลยตามเลย เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องคุยเรื่องนี้กัน และพอปิดประตูห้องได้ ปั้นรักที่เดินไปพิงโต๊ะวางทีวีก็รอให้ผมเดินไปนั่งที่ปลายเตียงเหมือนเดิม ก่อนจะเริ่มพูดขึ้น
“พี่ดื้อ ไอ้ที่ยูเห็นน่ะนะ ไอมีคำอธิบาย”

ผมเหลือบมอง “ว่ามาสิ พี่รอฟังอยู่”

รอฟังจริงๆ ไม่ได้ประชดประชันแต่อย่างใด ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมเห็นมันตรงกับที่ผมคิดหรือไม่ ในใจก็ภาวนาไปด้วยว่าขอให้ทุกสิ่งที่เห็นและที่ผมคิดไปเองมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

เป็นความเข้าใจผิดของผมเอง ขอให้มันเป็นแค่เรื่องตลกโง่ๆ อะไรแบบนั้น ขอให้ปั้นรักพูดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนที่สนิทมากเลยถึงเนื้อถึงตัวมากเกินไปหน่อย หรืออย่างร้ายก็เป็นผู้หญิงที่มาชอบเขา แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรแบบนั้น

ทว่า... ความหวังของผมกลับถูกกลบมิดเมื่อปั้นรักเอ่ยออกมา

“ผู้หญิงคนนั้น...หมายถึงลูซี่น่ะ เธอเป็น...” พูดแล้วก็มีสีหน้าลำบากใจ ก่อนปั้นรักจะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วเอ่ยออกมาอีกครั้ง “เป็นแฟนของไอเอง”

ผมมองหน้าปั้นรักนิ่ง ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ จะพูดออกมา เหมือนสมองถูกกระหน่ำตบจนชาเสียจนคิดอะไรต่อไม่ออก ขณะที่ปั้นรักก็ดูอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“ไอกับลูซี่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยแล้ว อยู่ยูเดียวกัน”

สิ่งที่ผมคิดมันเป็นจริง...

แต่ผมไม่คิดว่ามันจะหนัก...

“แล้วเราก็มีแพลนจะแต่งงานกันหลังเรียนจบ”

ได้ยินมาถึงประโยคนี้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมก็ปวดร้าวขึ้นมาทันที ผมมองหน้าปั้นรักด้วยความรู้สึกที่เรียกได้ว่า...ผิดหวัง
ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเก็บงำเรื่องนี้ไว้ทำไม เพราะถ้ามันมีแฟนอยู่แล้ว จะมาคบกับผมทำไม อีกอย่าง แฟนมันก็ไม่ใช่ผู้ชายด้วย แต่เป็นผู้หญิง ซึ่งมันตอกย้ำให้ผมรู้ว่าปั้นรักไม่ได้เป็นเกย์ เพราะมันชอบผู้หญิง แต่ผมก็ไม่มีสิทธิไปโวยวายอะไรเพราะจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นผมเองแหละที่ผิด ด้วยไม่เคยถามมันเลยว่ามีแฟนหรือยัง อย่าว่าแต่เรื่องแฟนเลย เรื่องอื่นๆ ของมัน ผมก็ไม่รู้
อายุเท่าไหร่ ส่วนสูง น้ำหนัก ชอบกินอะไร ใช้ชีวิตแบบไหน ไม่เคยรู้เลยสักนิด ก็เหมือนกับที่มันไม่รู้เรื่องของผมนั่นแหละ เรียกได้ว่าเราสองคนตกลงคบกันทั้งที่ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอเลยด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ อะไรมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะความจริงก็คือ...ผมเป็นคนมาทีหลัง

ทว่าปั้นรักก็ยังคงพูดอยู่
“จริงๆ แพลนแต่งงานของไอกับลูซี่จะมีขึ้นในอีกสามเดือน แต่มีปัญหากัน ไอก็เลยหนีมาหาแม่ที่นี่”

คล้ายกับว่าพยายามจะอธิบายนั่นแหละว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อย่างที่ผมบอก ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ผมมองปั้นรักแล้วว่าออกมาช้าๆ

“มันไม่ใช่เรื่องของพี่แล้วล่ะปั้น มันเป็นเรื่องของปั้นกับผู้หญิงคนนั้น”
“แต่ไอคิดว่ายูจะต้องรับรู้ไว้ เพราะยูเป็นแฟนไอ”

ผมสะดุดกับคำนี้

แฟนงั้นเหรอ? แฟนที่เพิ่งมาทีหลังขณะที่ปั้นรักมีแฟนอยู่แล้วน่ะนะ แบบนี้ไม่เรียกว่าแฟนหรอก เรียกว่ามือที่สาม

เพิ่งจะตระหนักได้ชัดเจนว่าสถานะของตัวเองคืออะไร ผมแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไป

“แฟนของปั้นไม่ใช่พี่หรอก คือคนที่ปั้นจะแต่งงานด้วยต่างหาก”
“ก็ใช่ แต่ไอมีคำอธิบายนะ ยูฟังไอก่อนได้ไหม”

คงจะรู้ว่าผมเริ่มปิดกั้นแล้ว ปั้นรักเลยร้อนรนขึ้นมา บอกตามตรงว่าผมไม่อยากฟังเลย ยิ่งฟัง มันก็ยิ่งทำให้ผมปวดใจ ผมก็เลยตัดบทเอาดื้อๆ

“พี่ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว ปั้นกลับไปก่อนเถอะ พี่ขออยู่คนเดียวหน่อย”
ไม่พูดเปล่า จะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้มันออกไปด้วย ทว่าปั้นรักกลับถลาเข้ามาคว้ามือผมไว้
“พี่ดื้อ ฟังไอก่อน”

วินาทีนี้เหมือนผมจะน็อตหลุดเลย หันไปมองมันแล้วว่าเสียงเรียบ

“ไม่มีประโยชน์ที่จะฟังแล้วปั้น กลับไปแคร์คนที่ต้องแคร์เถอะ คนนั้นเป็นว่าที่เจ้าสาวของปั้นนะ นอกใจมาหาพี่ได้ยังไง”
พูดไปก็ปวดแปลบไป ขณะที่ปั้นรักแผดเสียงออกมาอย่างสุดกลั้นคล้ายกับว่าหงุดหงิดเต็มทนที่ผมไม่ฟังมันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็ใช่ ผมยังจะต้องฟังอะไรมันอีกล่ะ ในเมื่อภาพที่เห็นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“ยูหยุดฟังไอพูดก่อนสิวะ ที่ไอทำแบบนี้มันมีเหตุผล!”
“ยังมีเหตุผลอะไรที่ฟังขึ้นสำหรับคนที่นอกใจแฟนอีกเหรอ” พอผมพูดไปอย่างนี้ ปั้นรักก็เงียบไปเลย “แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่มือที่สามอย่างพี่จะต้องฟังเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีอีก”

ยิ่งพูด ปั้นรักก็ยิ่งเงียบ ได้แต่มองหน้าผม

ผมเป็นคนที่ปั้นรักนอกใจแฟนมาหา...
ผมเป็นมือที่สาม...

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าผมผิด ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็ผิด ปกติแล้วเคยเจอแต่แฟนไปมีคนอื่นน่ะนะ พอตัวเองตกเป็นมือที่สาม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะรู้สึกยังไงหรือควรทำตัวแบบไหน แล้วคนที่ทำผิดโดยไม่รู้ตัวแบบผม มันควรไปยืนแก้ตัวทีหลังเพราะเหตุผลที่ปั้นรักยกมาอธิบายเหรอ ควรทำอะไรให้สถานการณ์นี้มันดีขึ้นดีล่ะ หรือผมต้องไปบอกแฟนของปั้นรักว่า ‘ขอโทษนะที่เผลอใจไปกับปั้น ผมไม่รู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว’ มันควรไปพูดแบบนี้เหรอ

ไม่เลย ไม่ควรสักนิด สิ่งที่ผมควรทำในตอนนี้คือเงียบ แล้วกลับมาอยู่ในที่ของตัวเองก็เท่านั้น

ใช่ ผมกำลังหมายถึงเลิกกับปั้นรัก ถึงจะไม่อยากทำ แต่เพื่อความถูกต้อง มันควรเป็นแบบนั้น

“ฟังไอก่อนได้ไหม” พอเห็นผมเงียบไป ปั้นรักก็ถามผมเสียงแผ่วออกมาอีกครั้ง

ผมพ่นลมหายใจออกมายาวราวกับสะกดอารมณ์หลายๆ อย่างที่วิ่งพล่านอยู่ในหัว
“พี่ไม่มีเรื่องจะคุยกับปั้นแล้ว กลับไปเถอะ เราจบกันแค่นี้แหละ”

พอบอกออกไปอย่างนั้น สีหน้าของปั้นรักก็ยุ่งเหยิงทันที

“ไม่คุยแล้วจะรู้เรื่องได้ไงวะ แล้วเราจะมาเลิกกันอย่างนี้เหรอ มันไม่ใช่เรื่องเลยนะเว้ย”
“ปั้น...”
“ฟังไอก่อนเถอะ ขอร้องล่ะ มันไม่ใช่อย่างที่ยูคิด ไอเป็นแฟนกับลูซี่ก็จริง แต่มันมีเรื่องอื่นที่ยูต้องรู้”
“ปั้น...”
“ฟังสิเว้ย!”
“ต้องฟังอะไรอีก พี่ก็เห็นตำตาอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร พอเถอะ จะหลอกแฟนตัวเองไปถึงไหน หยุดทำเรื่องที่มันไม่ถูกต้องสักที!”

กลายเป็นผมบ้างแล้วที่เสียงดังใส่ ปั้นรักชะงักกึกไปทันที คงจะพูดแทงใจดำมันน่ะ แต่มันจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าที่ผมพูดไปเมื่อกี้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมมันบีบรัดแค่ไหน

เจ็บ...โคตรเจ็บเลย เจ็บที่จะต้องยอมรับว่าคนที่ผมเรียกว่าแฟนมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง แท้จริงแล้วเป็นแฟนของคนอื่น ก่อนที่ผมจะกลั้นใจว่าออกมาช้าๆ พยายามข่มความเจ็บปวดที่พร่างพรายขึ้นมาอย่างสุดกลั้น

“หยุดทำนิสัยไม่ดีอย่างนี้สักทีปั้น พี่พอแล้ว”
“ไม่นะพี่ดื้อ อย่า...” ปั้นรักส่ายหน้า บีบมือของผมที่จับอยู่แน่นคล้ายกับรู้ว่าผมจะพูดอะไร

ผมเหลือบมองมือนั้นแล้วก็ค่อยๆ ดึงออกมาจากการเกาะกุมอย่างเชื่องช้า

“ไม่ใช่วันนี้ก็ต้องมีสักวันที่พี่ต้องพูด”
“พี่ดื้อ...” ปั้นรักครางออกมาอีก ท่าทางประหนึ่งว่าจะเตือนให้ผมหยุดพูดสิ่งที่จะพูดในลำดับถัดไป

แต่มันหยุดผมไว้ไม่ได้แล้ว เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าควรทำสิ่งที่ถูกต้อง

“ปั้น...” เรียกมันแล้วก็มองหน้า ก่อนจะว่าออกมาอีก “เราเลิกกันเถอะ”

ความเงียบงันหลั่งไหลเข้ามาโอบอุ้มเราสองคนเอาไว้ ปั้นรักดูสับสนไม่ใช่น้อย ขณะเดียวกัน แววตาของมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่...คนที่เจ็บกว่ามันหลายเท่าตัวนั่นคือผม

ผมรักผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาก...มากเท่าที่คนอย่างผมจะมอบความรักให้ได้ รักมากเสียจนไม่มีความรักหลงเหลือไว้ให้ใครแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังจะเอามันกลับมา ไม่ใช่เพราะคนอย่างปั้นรักไม่คู่ควรกับความรักของผม ทว่าผมแค่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

“จบกับพี่แล้วกลับไปดูแลแฟนตัวเองให้ดีๆ”
ผมกลั้นใจพูดประโยคนี้ออกมา มือและเท้าชาไปหมด หัวใจก็ปวดแปลบราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ขณะที่ปั้นรักซึ่งอ้าปากค้างไปเมื่อครู่ตั้งสติได้ ก่อนจะโวยวายเสียงดัง

“ได้ไงวะ เลิกไม่ได้นะเว้ย เวรเอ๊ย! ไอบอกแล้วไงให้ฟังไออธิบายก่อน มันไม่ใช่อย่างที่ยูคิด ลูซี่เป็นแฟนไอก็จริง แต่ว่าลูซี่น่ะ เธอ...”
“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะปั้น หยุดทำตัวเหมือนคนนิสัยไม่ดีสักที”

ปั้นรักก็พยายามจะอธิบายเหตุผลของตัวเองน่ะนะ แต่ผมไม่พร้อมจะรับฟังแล้ว ถ้ามันยังอยู่ตรงหน้าผมนานกว่านี้ มีหวังผมต้องแสดงความอ่อนแอออกมามากกว่านี้แน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องขัด

ปั้นรักชะงักไป ผมเลยได้ทีพูดขึ้นอีกครั้ง

“ไปเถอะปั้น เราจบกันแค่นี้แหละ ที่ผ่านมา พี่ขอบคุณมาก”
จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูทันที ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงให้มันออกไปได้แล้ว
“พี่ดื้อ...”

ปั้นรักครางเรียกผมออกมาอีก ทว่าก็ไม่พูดอะไรเมื่อเห็นผมปั้นหน้าเครียดใส่ ก่อนจะยอมเดินมาที่ประตูแต่โดยดี ทว่าจังหวะที่ผมกำลังจะปิดประตู ปั้นรักก็หันหลังกลับมา เอามือดันประตูไว้พลางว่า

“ไอรู้ว่ายูยังไม่พร้อมจะคุยตอนนี้ คุยวันหลังก็ได้ แต่ขอโอกาสให้ไอได้อธิบายหน่อย ไอรับรองว่าสิ่งที่ไอทำ ทุกอย่างมันมีเหตุผล”

“พี่อยากพักแล้ว” ผมตอบรับเพียงเท่านั้น พร้อมกับออกแรงดันประตูปิด

ปั้นรักยอมจากไปแต่โดยดี ประตูปิดแล้ว แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองบานประตูด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะสั่นเทาขึ้นมาทีละน้อย

ไม่สิ... ไม่ใช่แค่มือ สั่นไปทั้งตัวเลยต่างหาก อะไรไม่ว่า นอกจากนี้ผมยังรู้สึกด้วยว่าการหายใจของผมติดขัดขึ้นมา รู้สึกตัวอีกทีว่าเป็นเพราะการสะอื้นก็ตอนที่น้ำตาไหลอาบซีกหน้าแล้วหยดลงบนพื้น

ผมกำลังร้องไห้...

ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มข้างหนึ่งแล้วก็ได้แต่มองปลายนิ้วเปื้อนของเหลวสีใสนิ่งๆ

ผมกำลังร้องไห้ให้กับความรักที่ผ่านเข้ามาและกำลังจะจากไปตลอดกาล...

ตอนแรกก็ว่าเจ็บแล้วนะ พอยิ่งร้องไห้ ความเจ็บปวดของผมก็ทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

ผมก็แค่อยากจะรักใครสักคนหมดใจ แล้วทำไมฟ้าต้องแกล้งผมด้วย
ผมไปทำอะไรให้คนบนฟ้าโกรธกัน พวกเขาถึงได้ทำร้ายผมแบบนี้
แล้วผมไปทำอะไรไว้ ปั้นรักถึงได้... ทำร้ายจิตใจผม

น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด หมดแล้วซึ่งมาดใดๆ ผมทนไม่ไหวอีกแล้ว

ทำไมผมจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ทำไมกัน...
-----------------------------
มาเต็มตอนแล้วค่ะ
ฮือออ พี่ดื้อของเก๊า โอ๋ๆ นะ นิ่งเตะๆ
อกหักจากอีพี่เหนือมาแล้ว ยังจะโดนนังปั้นทำร้ายอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาต่อตอนใหม่ให้นะคะ ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 17-08-2017 01:13:31
เราเชื่อว่าปั้นมีเหตุผลนะ
แต่ตอนนี้ให้พี่ดื้อพักก่อน สงบสติอารมณ์
แล้วรีบมาอธิบายนะ ถ้าพี่ดื้อกลับไทยนี่เรื่องยาวเลยนะเนี้ยยย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2017 05:17:46
ก้อฟังไปสิโอ้ยจะร้องไห้ต่อหน้าปั้นมันก้อไม่ตายหรอก

เลสรุปไม่คุยกันให้จบก้อเลิกกันแล้ว อืมก้อเซงแทนเจ้าปั้นมันนะเนี่ย
แล่วยัยนั่นคือไปกับกับคนอื่นแล้วหวนกลับมาหรอ ก้าเนอะที่ตามมาถึงลาว
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-08-2017 07:30:51
 :a5:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 17-08-2017 08:14:19
เจ็บปวด T_T
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-08-2017 12:20:25
เราว่าควรฟังเหตุผลกันนะเราว่า
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 17-08-2017 19:21:53
แล้วทำไมพี่ดื้อไม่ฟังเหตุผลจากปากของปั้นบ้างล่ะ ทำไมไม่ลองฟังดูก่อนนน ฮื่ออ :sad4:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่15: คนนิสัยไม่ดี[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-08-2017 22:52:00
สะบายดี ครั้งที่ 16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง

จะว่าผมใจร้อนก็ได้ที่ไม่ฟังสิ่งที่ปั้นรักพยายามจะอธิบาย แต่ก็อย่างว่า มารู้ความจริงอย่างนั้น มีใครกันบ้างที่ไม่ช็อก บอกตามตรงว่านอกจากผิดหวังและเสียใจแล้ว ผมก็โกรธปั้นรักมากเหมือนกันที่ปิดบังเรื่องนั้นไว้ไม่ยอมบอกจนกระทั่งตอนนี้ ถึงความจริงแล้วจะเป็นความผิดผมส่วนหนึ่งที่ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของมันก่อนตกลงเป็นแฟนกันก็เถอะ ทว่าเรื่องอย่างนี้ก็ควรบอกก่อนหรือเปล่า

อย่างน้อยก็ต้องบอกก่อนที่จะตกลงเป็นแฟนกัน...

ผมไม่เข้าใจปั้นรักหรอกว่าถ้ามีแฟนอยู่แล้ว อีกทั้งมีแพลนจะแต่งงานกัน แล้วจะมาตกลงคบหากับผมซึ่งเป็นผู้ชายทำไม เพราะจริงๆ แล้ว มันไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่รสนิยมทางเพศของมันปกติ

ผมรอนะ รอที่จะฟังเหตุผลนั้น รอให้ปั้นรักมาแก้ตัวตามที่มันบอกเอาไว้

ทว่า...ผ่านไปหนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว เข้าวันที่สาม ผมก็ยังไม่เห็นว่าปั้นรักจะมาปรากฏตัวให้เห็นเลยสักครั้ง พอไปถามพนักงานที่ล็อบบี้ก็ได้ยินว่ามันออกไปกับผู้หญิงที่ชื่อลูซี่

ถึงจะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่เหตุการณ์กำลังเดินไปอย่างนั้น

ปั้นรัก...เริ่มที่จะถอยกลับไปอยู่ยังที่ของมันแล้ว

ผมสรุปได้แล้วล่ะว่าสถานะของตัวเองตอนนี้เป็นยังไง ผมเป็นมือที่สาม และก็เป็นฝ่ายบอกเลิกมันเอง บอกให้ทุกอย่างจบ ปั้นรักก็คงจะตัดสินใจเลือกแฟนสาวที่คบหากันมาหลายปีมากกว่าคนอย่างผม ผมก็คิดในแง่ดีเอาว่าถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วกันที่ได้เป็นมือที่สามของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ในใจผมกลับไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับปั้นรักแล้ว ผมก็ยิ่งเจ็บเสียจนแทบทนไม่ไหว ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ มันปวดหนึบและสร้างความอึดอัดให้ผมทุกครั้งที่คิดถึงภาพปั้นรักกับลูซี่

ผมทนอยู่ในสถานการณ์นี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...

ได้แต่บอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับไทยให้เร็วที่สุด ไม่ได้ส่งข้อความบอกไอ้แสบหรือไอ้จอมแก่นก่อนด้วย เพราะคิดว่าถ้าพวกมันรู้ว่าผมกลับก่อนกำหนด พวกมันจะต้องสงสัยแล้วก็คาดคั้นถึงเหตุผลอย่างแน่นอน ซึ่งผมยังไม่อยากจะพูดถึง

หากแต่ก่อนจะกดจองตั๋วเครื่องบิน ผมกลับฉุกใจอะไรบางอย่าง เดินลงมาที่ล็อบบี้เพื่อถามหาปั้นรักอีกครั้ง และคำตอบก็คือแบบเดิม...มันไม่อยู่ ออกไปกับแฟน ดูโง่นะที่ถามทั้งที่พอจะเดาได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมีความหวังว่าจะได้เจอกับปั้นรักในครั้งนี้ ทว่าพอผลออกมาเป็นอย่างนี้ ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับคุณแอนซึ่งรับหน้าที่ตอบคำถามผมในครั้งนี้แทน

หากแต่พอผมขอบคุณและกำลังจะกลับขึ้นห้อง คุณแอนก็เรียกผมเอาไว้

“คุณดื้อคะ”
ผมหันไปมอง
“มาถามหาปั้นรักทุกวันแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือปั้นรักจะไปก่อเรื่องอะไรไว้”

ตามประสาแม่นั่นแหละ เป็นห่วงว่าลูกชายตัวดีจะไปก่อเรื่องวุ่นวาย เพราะก่อนหน้านั้น มันก็ป่วนผมเสียจนต้องออกปากว่าไม่อยากได้มันเป็นไกด์มาแล้ว จริงๆ ครั้งนี้ก็ก่อเรื่องไว้เหมือนกัน แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกไปว่าลูกชายของเธอทำผมเจ็บปวดแค่ไหน ที่สำคัญ คุณแอนน่าจะรู้ว่าปั้นรักกำลังจะแต่งงานกับแฟน การที่ผมหลุดปากออกไปว่ามันกับผมเคยเป็นอะไรกันมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่สมควรสักนิด

ดังนั้น ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแล้วตอบออกไป

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมจะกลับไทยแล้ว ก็เลยอยากเจอปั้นรักสักหน่อย”
“กลับไทยเหรอคะ ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้า”
คุณแอนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายอะไรหรอก นอกจากจะยิ้มฝืนๆ ให้ก็เท่านั้น และดูเหมือนเธอจะดูออกเสียด้วยว่าผมฝืนยิ้มให้ เธอเลยมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะว่าออกมา
“หนีปั้นรักกลับไทยหรือเปล่าคะคุณดื้อ”

แทงใจดำผมอย่างจังเลย จะว่าหนีก็ใช่แหละ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็อยากเจอมันนะ อยากเจอจริงๆ อยากให้มันมาแก้ตัวอะไรแบบนั้น นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่วันนั้นไม่ฟังมันก่อน ทว่าพอตอนนี้มาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความรู้สึกของตัวเองย้อนแย้งลักลั่นยังไงพิกล

ทั้งรักทั้งเกลียดคงจะเป็นอย่างนี้แหละมั้ง แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เกลียดปั้นรักเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่รักเท่านั้น

...รักมากเสียด้วย

“ผมมีธุระต้องให้กลับไปจัดการน่ะครับ”
จัดการเรื่องหัวใจ... ไม่ต้องพูดออกไปหรอก ผมแค่บอกตัวเอง

คุณแอนร้องอ๋อ แล้วก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา

“ค่อยยังชั่ว นึกว่าหนีไอ้ลูกชายตัวดีของฉันกลับไทยซะอีก นี่มันก็เพิ่งหนีแฟนมันมา ฉันล่ะปวดหัวกับมันจริงๆ”
ความจริงคุณแอนก็บ่นไปเรื่อยแหละนะ แต่มันดันทำให้ผมเลิกคิ้วสูงขึ้นมาทันควัน

“หนีเหรอครับ?”

“อ๋อ ใช่ค่ะ มันเพิ่งหนีลูซี่มา แล้วก็มาบอกกับฉันว่ามาหาที่ลาวเพราะอยากพักผ่อน จากนั้นก็บอกกับพ่อมันว่าไปอยู่บ้านแฟน แต่บอกกับลูซี่ว่าจะไปอยู่บ้านเพื่อนที่รัฐอื่นสักพักเพราะตอนนั้นทั้งคู่ทะเลาะกัน ลูซี่เพิ่งมารู้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองค่ะว่าปั้นรักหนีมาลาว ถึงมาตามที่นี่ ไอ้ลูกคนนี้มันเหลือเกินจริงๆ หลอกคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ไม่รู้จักคุยให้เคลียร์ก่อนว่าจะเอายังไง จะแต่งงานกันอยู่แล้วแท้ๆ”

แค่ไม่กี่ประโยคที่หลุดออกจากปากของคุณแอนก็ทำให้ผมเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปั้นรักมาโผล่ที่นี่ได้ เจ็บตรงประโยคหลังสักหน่อย แต่ก็ทำให้ผมเข้าใจอยู่เหมือนกันว่าเพราะอะไร ปั้นรักถึงได้หวั่นไหวกับผม

คงเพราะทะเลาะกับลูซี่ แล้วพอมีผมเข้าไป ปั้นรักถึงได้ไขว้เขวล่ะสินะ

ผมก็ไม่อยากจะละลาบละล้วงหรอกนะว่าทั้งคู่ทะเลาะอะไรกัน แต่พอคุณแอนเปิดประเด็นมาอย่างนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามไม่ได้

“แล้วทะเลาะอะไรกันเหรอครับถึงขนาดที่ปั้นรักต้องหนีมาที่นี่”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ถามแล้ว แต่ไอ้ตัวแสบยังไม่ยอมไม่บอก ดูท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันเพราะไม่อย่างนั้นปั้นรักคงไม่หนีมา แล้วลูซี่ก็คงไม่ลงทุนมาตามข้ามทวีปกันแบบนี้”

ผมเดาไปต่างๆ นานาเลยว่าทะเลาะกันด้วยสาเหตุอะไร แต่ผมไม่ได้รู้จักสองคนนั้นมาก่อนจึงยากที่จะคาดเดาได้ไม่ใช่น้อย
แล้วความคิดของผมก็ถูกขัดขึ้นเมื่อคุณแอนว่าออกมาอีกครั้ง

“ฉันก็อยากให้เคลียร์กันได้ไวๆ แหละค่ะ เห็นปั้นรักเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็สงสารลูซี่ ดูท่าทางเด็กคนนี้น่าจะรักลูกชายฉันมาก เจอหน้าทีไรก็เห็นร้องไห้ทุกที คงไม่อยากให้งานแต่งงานล่ม”

จากที่มีความหวังว่าปั้นรักจะกลับมาหาผมอะไรนั่น ผมไม่หวังอะไรแล้วล่ะพอได้ยินคำพูดนี้ ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าผมจะไม่ทำร้ายใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับปั้นรัก ถึงมันจะมาอธิบายเหตุผลที่ทำอย่างนี้ให้ฟัง แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรแล้วล่ะ เพราะผมคิดว่าต่อให้มันกลับมาเลือกผม แทนที่จะเลือกลูซี่ ทว่าการคบกับผมน่ะ มันดีแล้วเหรอ?

ไม่ดีหรอก ไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่ดีกับใครทั้งนั้น ลูซี่ก็ต้องสูญเสียคนที่เธอรักมากไป ปั้นรักก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ขณะที่ผมเองก็คงจะเชื่อใจปั้นรักได้ไม่สนิทใจอีกแล้ว

ในเมื่อมันเลิกกับแฟนที่คบกันมานานเพื่อมาคบผมได้ แล้วในอนาคต มันจะไม่เลิกกับผมเพื่อไปคบคนอื่นเหรอ?

เพราะคิดอย่างนั้น ผมจึงไม่ลังเลอีกต่อไปว่าจะอยู่รอมันหรือไม่ พลันตัดบททันควัน
“ขอให้ปั้นรักเคลียร์กับแฟนได้ไวๆ ก็แล้วกันครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อน จะต้องไปจัดกระเป๋าน่ะ”

คุณแอนไม่ได้ทักท้วงอะไร พยักหน้ารับและขอบคุณผมเป็นการใหญ่ที่ที่ผ่านมาดูแลลูกชายของเธอเป็นอย่างดี ผมก็ได้แต่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าพอกลับเข้ามาที่ห้องแล้ว ความเข้มแข็งก่อนหน้าก็เหมือนจะถูกทำลายลงไปย่อยยับไม่มีชิ้นดี

ผมยืนพิงประตูห้องอย่างหมดแรง ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น กดโทรศัพท์จองตั๋วเครื่องบินสำหรับบินกลับไทยในวันพรุ่งนี้ พอจัดการเสร็จเรียบร้อยก็ทอดมองไปยังกระเป๋าเป้ตรงหน้าที่ยังเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่ไม่เรียบร้อยดีด้วยความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก

ถึงเวลา...ที่ผมต้องไปจริงๆ แล้วสินะ



 
ผมตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปสนามบินแต่เช้า ความจริงจะบอกว่าตื่นก็ไม่ได้ เพราะอันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้นอนหลับด้วยซ้ำ ในหัวเอาแต่คิดครุ่นเรื่องของปั้นรักเต็มไปหมด ใจไม่อยากจะไปหรอก มันยังอยากอยู่กับผู้ชายคนนั้น มันเรียกร้อง โหยหา อยากให้ปั้นรักกลับมา ทว่าผมกลับบังคับให้สมองบอกกับร่างกายตัวเองด้วยตรรกะและเหตุผลว่าผมควรกลับไปอยู่ในที่ของตัวเอง เพราะตอนนี้ปั้นรักก็กลับไปอยู่ในที่ของมันแล้ว

คิดอย่างนั้นถึงได้รวบรวมแรงยกกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายและลงมารอรถบัสที่จะมารับหน้าเกสต์เฮ้าส์เพื่อไปส่งที่สนามบินได้ ระหว่างที่รออยู่ จู่ๆ หูก็ได้ยินเสียงของคนคุ้นเคยดังเข้ามา

“พี่ดื้อ!”

หันไปมองก็เห็นว่าเป็นปั้นรักที่เดินมาหาผมด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนมันจะเสียงดังใส่มาอีก
“ไหนบอกว่าจะกลับอาทิตย์หน้าไง ทำไมจู่ๆ ถึงกลับวันนี้ แล้วทำไมถึงไม่บอกไอ ไอยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย”
มันหมายถึงเรื่องที่ผมชวนไปไทยด้วย ดูก็รู้ว่ามันรู้ว่าผมเลือกที่จะกลับคนเดียวเพราะอะไร แต่ปั้นรักแสร้งทำเป็นไม่รู้มากกว่า ผมเลยฝืนยิ้มให้มันเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา

“ปั้นไม่ต้องไปไทยกับพี่แล้วล่ะ มันไม่จำเป็นแล้ว”
ปั้นรักมีสีหน้าตึงเครียดทันที “ทำไม”
“เพราะอะไร ปั้นก็น่าจะรู้ พี่ว่าปั้นใช้เวลาอยู่ที่นี่กับแฟนเถอะ เคลียร์กันให้รู้เรื่อง จะได้แต่งงานกันสักทีนะ”

กัดฟันพูดนะประโยคนี้ แต่ไม่ได้ประชดประชันสักนิด ผมแค่พูดไปตามความจริง หากแต่คงจะไม่เข้าหูปั้นรักล่ะมั้ง มันถึงได้ทำสีหน้าน่ากลัวขึ้นมา แล้วโวยวายใส่ผม

“ยูก็ฟังไอก่อนได้ไหม จะแดกดันกันทำไมวะ”
ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ประชดหรือแดกดันอะไร แต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

พอเห็นผมเงียบไป ปั้นรักก็ผ่อนเสียงลง
“ฟังไอก่อนนะ ขอไออธิบายหน่อย”

ผมอยากจะบอกว่าเวลาสำหรับการอธิบายเรื่องนี้มันจบลงแล้ว เพราะยังไงผมก็เลือกที่จะกลับไปแล้ว ทว่าผมก็ไม่อยากให้มันจบลงอย่างวันนั้น จึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะว่าออกมา
“พูดมาสิ พี่รอฟังอยู่”

ปั้นรักมีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ผมยอมฟังจนได้ ก่อนที่มันจะรีบพูดอย่างรวดเร็ว
“ไอกับลูซี่เป็นแฟนกัน คบหากันมานานแล้วก็มีแพลนแต่งงานกันก็จริง แต่ก่อนที่ไอจะมาลาว เรามีปัญหากันมาก่อน มันค่อนข้างหนักหนาแล้วก็เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานด้วย ไอก็เลยขอเวลามาคิดทบทวนก่อนว่าจะตัดสินใจยังไงเพราะไอรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้”

“แล้วยังไงต่อ”
“หลายวันที่ผ่านมา ไอคุยกับลูซี่แล้ว ไอคิดว่าไอจะเลิกกับลูซี่ แล้วก็มาคบกับยู”

ผมนิ่งงันไปนิด...

มันควรดีใจหรือเปล่าที่ปั้นรักบอกว่าเลือกผม?

ไม่สิ มันไม่ควรจะดีใจเลย เพราะคำตอบของคำถามต่อไปของผมที่หลุดออกมาจากปากปั้นรัก
“แล้วปั้นจะเลิกกับลูซี่เพราะอะไร”
“เพราะไอรักยู รักมากจนไม่อยากจะเสียไป”

ผมไม่รู้ว่าปั้นรักพูดจริงหรือเปล่า แต่ดูจากสายตาที่มองมายังผมนิ่งๆ นั้น ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบางอย่างที่แฝงอยู่ในนั้น บอกตามตรงว่าเกือบจะทำให้ผมใจอ่อนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าผมไม่ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

“ตอนนี้ปั้นรักพี่ ปั้นเลยอยากรั้งพี่ไว้ แต่ถ้าวันนึงปั้นไม่รักพี่ขึ้นมา แล้วจะเอาพี่ไปไว้ที่ไหน”
“มันจะไม่มีวันนั้น” ปั้นรักตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
แต่รู้อะไรไหม... ผมไม่เชื่อใจคนตรงหน้าแล้ว
“ขนาดคนที่คบกันมานานหลายปีและมีแผนที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ปั้นยังทิ้งมาเพราะคนที่รู้จักกันไม่กี่อาทิตย์ได้ ถ้าวันไหนที่ปั้นหมดใจจากพี่ พี่ก็ไม่ถูกปั้นทิ้งขว้างเหรอ”

พูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็อึกอักขึ้นมา

“พี่ดื้อ...”

ทำท่าคล้ายกับว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็นะ มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ ไม่ว่ายังไงเราก็กลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
ไม่... ผมต่างหากที่กลับไปรู้สึกเชื่อใจปั้นรักเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วต่อให้ยังรักมากเหมือนเดิมก็ตาม

“พี่มาที่ลาวเพื่อพักใจนะปั้น ไม่ได้มาเพื่อทำให้ตัวเองเจ็บมากกว่าเดิม แต่ผลที่ได้มา มันทำให้พี่แทบอยากจะตายไปเลยรู้ไหม ขอร้องล่ะปั้น อย่าทำร้ายพี่อีกเลย ปล่อยพี่ไปเถอะ แล้วปั้นก็ไปใช้ชีวิตของตัวเองซะ แคร์คนที่ควรแคร์รู้ไหม”
“ก็ยูไงคือคนที่ไอควรแคร์ ไหนบอกว่าจะฟังไงวะ สุดท้ายก็ไม่ได้ฟัง!”

พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวาย ผมฟังนะ ฟัง...แต่ยอมรับตามตรงว่าไม่ได้เปิดใจให้แล้ว วินาทีนี้ผมอยากจะหนีไปจากความเจ็บปวดที่คอยทิ่มแทงผมมากกว่า

“คนที่ปั้นควรแคร์น่ะ คือลูซี่ต่างหาก ไม่ใช่พี่”
ผมว่าเนิบๆ ขณะที่ปั้นรักออกอาการหัวเสีย
“ให้ตายเถอะ! ยูไม่ได้เข้าใจอะไรเลยนี่หว่า! ต้องให้อธิบายใหม่ไหมว่าไอรักยูมากแค่ไหน! รักมากกว่าลูซี่ เข้าใจหรือยัง!”

เสียงของปั้นรักที่ดังขึ้นมาเรียกสายตาจากทุกชีวิตในล็อบบี้ไป จากที่ไม่มีใครรู้ว่าผมกับปั้นรักเคยเป็นอะไรกัน ตอนนี้ดูท่าทางจะรู้หมดแล้ว ทว่าปั้นรักก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้น

“แล้วแม่งจะหนีกันไปแบบนี้น่ะนะ เรื่องที่ผ่านมามันไม่สำคัญเลยหรือไงวะ ทำไมถึงจะทิ้งกันไปง่ายๆ แบบนี้!”

ทิ้งเหรอ? จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ผมกำลังจะทิ้งปั้นรัก แต่นั่นก็เป็นเพราะผมทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่เหรอ?

ผมเกือบจะพูดออกไปอยู่แล้วถ้าไม่เห็นว่าปั้นรักที่โวยวายอยู่นั้นมองมาที่ผมด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ไอผิดที่ปิดบังยู ไอรู้ ขอโทษ แต่อย่าทิ้งกันไปแบบนี้ได้ไหม ขอร้องล่ะ อยู่คุยกันก่อน ใจเย็นๆ แล้วคุยกันได้ไหม อย่าคิดเองเออเองคนเดียว”

ไม่เพียงแต่ตาแดง ขอบตาก็มีน้ำสีใสเอ่อปริ่มอยู่ด้วย

ปั้นรักกำลังจะร้องไห้...

ผมเห็นแล้วก็อดไม่ได้ จะเอื้อมมือออกไปข้างหน้าเพื่อคว้ามันมากอดแล้ว ทว่าสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นลูซี่ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้โผล่มาทางด้านหลังของปั้นรักเสียก่อน ทำให้ผมต้องหยุดความตั้งใจนั้น ดึงมือตัวเองกลับไปอยู่ในที่เดิมของมันอย่างยากลำบาก จังหวะเดียวกับที่หูได้ยินเสียงของพนักงานที่แจ้งกับแขกคนอื่นๆ ว่ารถบัสที่รับไปส่งยังสนามบินมาถึงแล้ว ผมจึงตัดสินใจตัดบทในวินาทีนั้น

“ปั้น...”
ปั้นรักมองหน้าผมนิ่ง ขณะที่ผมฝืนยิ้มออกมา
“พี่ขอให้ปั้นมีความสุข”

พูดจบ ก็หันหลังเดินจากไปเลย ไม่สนใจเสียงเรียกของปั้นรักที่ดังไล่หลังมาแม้แต่น้อย

“พี่ดื้อ! เฮ้ย! พี่ดื้อเดี๋ยว!”

ผมก้าวขึ้นรถไปแล้ว ลูซี่ก็ตรงเข้ามาคว้าแฟนของตัวเองเอาไว้พร้อมกับถามอะไรบางอย่าง ผมเหลือบมองแล้วก็เดาเอาว่าคงจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ปั้นรักโวยวายใส่เธอ ทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีก ปั้นรักเลยต้องเคลียร์กับทางนั้นก่อน พอจะถ่วงเวลาให้ผมได้

รถบัสต้องทำเวลา การลำเลียงแขกของเกสต์เฮ้าส์ที่มีไฟลท์บินวันนี้ขึ้นรถจึงใช้เวลาไม่นานนัก ปั้นรักเห็นรถจะออกก็สลัดลูซี่ออกห่างจากตัว รีบเดินมาหา แต่รถบัสเคลื่อนตัวออกไปแล้ว

จากที่เดิน ปั้นรักก็เริ่มวิ่งเพื่อไล่ตามรถบัสให้ทัน พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง
“พี่ดื้อ!”

ทุกคนในรถหันไปมองผู้ชายที่วิ่งหน้าตั้งไล่หลังรถบัส คนขับชะลอรถด้วยคิดว่าผมยังมีเรื่องที่จะต้องสะสางกับผู้ชายคนนี้ ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแขกจากเกสต์เฮ้าส์นั้นหันมามองผมเป็นตาเดียวด้วยเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้า และอยากรู้ว่าผมจะทำยังไงต่อไป

แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำอะไร นอกจากจะบอกกับคนขับที่หันมามองผมอย่างขอคำตอบเท่านั้น
“ไปเลยครับ เดี๋ยวผมตกเครื่อง”

คนขับพยักหน้ารับ ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไป ปล่อยให้ปั้นรักวิ่งตามจนมาถึงทางแยก จากนั้นก็ต้องหยุดวิ่งด้วยไม่สามารถจะวิ่งข้ามถนนในนาทีนั้นได้ ผมหันไปมองก็เห็นว่ามันมองตามรถที่ผมนั่งอยู่พลางหายใจหอบฮั่ก

กระทั่งรถมุ่งหน้าออกไปไกลจนภาพของปั้นรักหายจนลับสายตา ผมถึงกลับมานั่งในท่าปกติและมองตรงไปข้างหน้า พลางคิดใน
ใจ

ใช่ มันควรจะจบแบบนี้แหละ ผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว...




 
การกลับมาโดยไม่ได้บอกกล่าวใครล่วงหน้าทำเอาไอ้แสบกับไอ้จอมแก่นตกใจไม่น้อย พี่กับน้องของผมพากันซักไซ้ไล่เรียงกันใหญ่ว่าทำไมผมถึงกลับมาโดยไม่บอกใคร และทำไมถึงกลับเร็วกว่ากำหนด ทว่าพอผมบอกว่ายังไม่พร้อมจะคุยตอนนี้ พวกมันก็เลิกเซ้าซี้ทันทีราวกับเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ผมอยากจะบอกพวกมันว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรด้วยยังไม่พร้อมจะคุยกับใคร ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก อยากจะพักทั้งร่างกาย ทั้งใจ พักทุกๆ อย่างก่อน พวกมันก็เลยปล่อยให้ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองไปอีกหลายวันโดยไม่ถามอะไรเรื่องลาวเลยสักคำ

จนเข้าวันที่สาม... เหมือนไอ้แสบจะทนไม่ไหว เพราะพอพวกมันปล่อยให้ผมใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ผมก็ดันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง นอนมองเพดานเฉยๆ หายใจทิ้งให้เวลาหมดไปวันๆ มันเลยเป็นคนแรกที่เข้ามาคุยกับผมถึงในห้องโดยไม่ถามไถ่ว่าผมพร้อมจะคุยไหมสักคำ

“เอ้า ตกลงมึงจะเล่าได้หรือยังว่ากลับไทยก่อนกำหนดทำไม”
มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามเลย ผมเหลือบมองมันที่ยืนกอดอกจ้องผมอยู่เล็กน้อย

“มึงไม่ไปเปิดร้านหรือไง ร้านเหล้ามึงเปิดสองทุ่มนี่ สองทุ่มครึ่งแล้วนะเว้ย”
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องไอ้ดื้อ อันนั้นกูให้เด็กไปเปิดแทนได้ มึงรีบเล่ามาดีกว่าว่ามึงมีเรื่องอะไรถึงได้หงอยเป็นหมาป่วยอย่างนี้”

ผมไม่ตอบในทันที ได้แต่ถอนหายใจออกมา ไอ้แสบมันเลยพูดออกมาอีก
“อย่าบอกนะว่ามึงโดนหนุ่มลาวหักอกมาอีก?”

เข้าเป้าอย่างจังเลยทีเดียว

“ทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นเพราะเรื่องนั้นวะ”
“น้ำหน้าอย่างมึง ถ้าไม่ใช่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มึงจะหงอยอย่างนี้เหรอวะ กูรู้นิสัยมึงดีไอ้ดื้อ มึงมันพ่อคนอ่อนไหว มึงเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ไอ้แสบว่าเหน็บแนม ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก็สมกับที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมาเกิดจริงๆ แหละ มันรู้จักผมดีชะมัด
“เอ้า เล่าสักทีว่าโดนทิ้งมาหรืออะไรยังไง”

เห็นผมไม่เล่าสักที มันก็เค้นออกมาอีก จังหวะเดียวกับที่จอมแก่นเดินเข้ามาสมทบพอดี ไอ้น้องชายคนเล็กของผมก็เลยขัดเข้าให้

“พี่แสบไปถามอย่างนั้นได้ไง พี่ดื้ออาจจะมีปัญหาอื่นก็ได้”
“มึงก็โลกสวยไอ้แก่น ทำอย่างกับไม่รู้จักพี่มึงว่าเป็นคนยังไงอย่างนั้นแหละ หงอยเป็นหมาป่วยมาแบบนี้ โดนทิ้งมาแน่นอน อกหักอีกแล้วน่ะสิมึงน่ะ”

ประโยคหลังหันมาถามผม ไอ้แสบก็เลยโดนจอมแก่นดุเข้าให้

“พี่แสบ พอได้แล้วน่า”
“ก็กูพูดจริง”
“แต่ก็ไม่เห็นต้องพูดตรงๆ แบบนั้น”

ตอนนี้รู้เลยว่าสองพี่น้องคู่นี้คิดแบบเดียวกัน ถึงตอนนี้ผมคงปิดพวกมันไม่มิดอีกแล้ว เลยดันตัวขึ้นนั่งแล้วเปิดปาก

“เออ กูโดนหักอกมา หนุ่มลาวหักอกกู”

ไอ้แสบตบมือดังป้าบทันที

“นั่นไง ผิดจากที่กูคิดซะที่ไหน” จากนั้นก็หัวเราะเหมือนสะใจที่เดาถูก เลยโดนจอมแก่นมองตาเขียวปั้ดไปที
“พอได้แล้วน่าพี่แสบ” ปรามเสร็จก็หันมาถามผม “แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงอะพี่ดื้อ ทำไมถึงถูกหักอกซ้ำสองได้อีก”

ไอ้นี่ก็พูดแทงใจดำผมเหมือนกัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่รู้ตัว เออ ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็เป็นเรื่องจริงที่ผมถูกหักอกสองครั้งติดๆ กันน่ะ

“ก็ไม่มีอะไร กูไปคบกับคนลาวที่เคยบอก พอเป็นแฟนกัน ทุกอย่างมันก็ดีแหละ แต่กูเพิ่งมารู้เมื่อไม่กี่วันนี้ว่าจริงๆ แล้วเขามีแฟนอยู่แล้ว กูเป็นมือที่สาม”
“มึงเป็นมือที่สามแบบไม่รู้ตัว?” ไอ้แสบถาม

ผมพยักหน้ารับ

เท่านั้น ไอ้แสบกับจอมแก่นก็มองหน้ากันทันควัน ก่อนไอ้แสบทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรออกมาอีก แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะจอมแก่นขยิบตาให้เป็นสัญญาณว่าให้หยุดซักไซ้ อาจจะเพราะเห็นสีหน้าผมไม่ดี หรือเพราะเห็นว่าผมฝืนใจเล่าล่ะมั้ง มันถึงไม่ให้พี่ชายคนโตถามอีก ก่อนที่จอมแก่นจะเดินมาทรุดตัวนั่งข้างๆ ผม

“พี่ดื้อ” เรียกด้วยเสียงแผ่วอีกด้วย
ผมหันไปมองมัน “อะไร”
“ไม่เป็นอะไรนะ”
“จะบอกว่าไม่เป็นไรก็คงยาก เอาเป็นว่ากูยังไม่ตายก็พอ” ผมว่าเจือหัวเราะที่ฟังดูโคตรจะแหบแห้งเลย แต่นั่นก็เพื่อทำให้น้องชายของผมสบายใจขึ้น

ทว่าไม่ได้ช่วยเลยสักนิด จอมแก่นมีสีหน้าหนักใจ จากนั้นก็พูดอะไรเลี่ยนๆ ออกมา
“ถึงพี่ดื้อจะถูกทิ้ง แต่พี่ดื้อก็ยังมีผมกับพี่แสบที่ไม่ทิ้งพี่ดื้อไปไหนนะ”
“ขนลุกเลยไอ้แก่น พูดบ้าอะไรของมึงเนี่ย”

คราวนี้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่เพราะนานๆ ทีจะได้ยินจอมแก่นพูดอะไรแบบนี้ และไม่ใช่แค่ผมด้วยที่ขนลุก ไอ้แสบที่ยืนฟังอยู่ก็ลูบแขนตัวเองเป็นการใหญ่

“เออ พูดบ้าอะไรของมึง ขยะแขยงฉิบหาย”
“อะไรของพวกพี่กันเนี่ย ผมพยายามปลอบใจพี่ดื้ออยู่นะ”

จอมแก่นโวยวายหน้ายู่ขึ้นมาเมื่อถูกผมกับไอ้แสบรุม แก้มขาวๆ ของมันป่องขึ้นมาเล็กน้อย มองยังไงมันก็น่ารัก เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่วิ่งตามผมกับไอ้แสบไปโรงเรียนต้อยๆ ไม่มีผิด ทำเอาผมต้องคว้ามันมากอดคอแล้วใช้มือข้างหนึ่งยีผมเป็นพัลวัน
“งอนเหรอไอ้แก่น มึงไม่ต้องมาทำตัวน่ารักแถวนี้เลย พวกกูไม่เอ็นดูมึงหรอกเว้ยบอกไว้ก่อน”

ไม่เอ็นดูบ้าอะไรล่ะ เป็นน้องชายที่โคตรจะน่ารักของพวกผมเลยเถอะ

“เออ มึงอย่าคิดว่าเป็นน้องคนเล็กแล้วพวกกูจะเห็นว่ามึงน่ารักนะ” ไอ้แสบผสมโรง แต่ผมรู้ว่ามันก็คิดเหมือนผม

ไอ้จอมแก่นมันน่ารัก...

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาวิเคราะห์ว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูหรือเปล่า ผมต้องแก้ความเข้าใจผิดของพี่น้องตัวเองก่อน
“แล้วอีกอย่าง กูอกหักมาก็จริง แต่กูไม่ได้ถูกทิ้งนะเว้ย กูทิ้งเขามา”

พูดจบก็ปล่อยจอมแก่นให้เป็นอิสระ จอมแก่นมุ่ยหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกผมฟัดจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ตั้งหลักได้ มันก็ถาม
“พี่ดื้อทิ้งมา หมายความว่าพี่เป็นคนบอกเลิก?”

ผมพยักหน้า คราวนี้ไอ้แสบมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อ
“มึงเนี่ยนะทิ้งเขา?”

ผมพยักหน้าอีกที

ไอ้แสบกับจอมแก่นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด ก่อนไอ้แสบจะเดินมาตบบ่าผม

“ทิ้งเขามาแต่หงอยขนาดนี้ กูว่าคงเรื่องใหญ่ เอาเป็นว่ามึงพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ก็บอกพวกกูแล้วกัน มึงยังตัดใจตอนนี้ไม่ได้ สักวันมึงก็ทำได้ ใช้เวลาหน่อย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็บอก เดี๋ยวกูพาไปเที่ยว อย่างที่ไอ้แก่นมันบอก มึงไม่มีเขา แต่มึงก็ยังมีพวกกูนะไอ้ดื้อ”

“ขอบใจ” ผมยิ้มออกมา

ไอ้แสบเลื่อนมือมายีเส้นผมของผมเล็กน้อย ก่อนจะเรียกจอมแก่นออกจากห้องไป

“ปล่อยให้มันพัก ไอ้แก่น มึงอย่าไปกวนมัน เดี๋ยวมันติสต์แตก หนีไปที่อื่นแบบไม่บอกอีก กูขี้เกียจดูร้านนมให้มัน ได้กำไรไม่คุ้มเหนื่อย”
“เงินหมด กูไม่ไปแล้ว” ผมหัวเราะไล่หลัง ก่อนที่สองคนนั้นจะออกจากห้องผมไป

รู้สึกดีขึ้นมามากทีเดียวที่กลับมาเจออะไรแบบนี้ ยอมรับเลยว่าการตัดสินใจกลับมาพักใจที่บ้านเป็นอะไรที่ถูกต้องแล้ว

สักวัน...ผมจะลืมปั้นรักได้

...ลืมว่าเคยรักปั้นรักมากกว่าตัวเองแค่ไหน แล้วกลับมารักตัวเองสักที
------------------------------
มาเต็มตอนแล้วค่ะ
พี่ดื้อเป็นผู้ชายอ่อนไหวมากกก กลัวเจ็บไปหมดเลยเนอะ
แต่อย่าเพิ่งขัดใจไป เข้าใจพี่ดื้อหน่อย นางเจ็บมาเยอะ 555
ตอนหน้าก็เป็นตอนเกือบสุดท้ายแล้วค่ะ เดี๋ยวจะมาอัปให้นะ
ใครรอหนังสืออยู่ รออีกหน่อยนะ กำลังอยู่ในกระบวนการจัดพิมพ์ค่ะ ใกล้แล้วล่ะ

ฝากฟีดแบ็กให้ล่วยยย เจอกันพรุ่งนี้จ้า
 
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2017 23:07:04
น่าตบบ้องหูทั้งคู่เลย คุยกันดีๆไม่ได้หรอเนี่ย  แล้วนี่แม่ก้อต้องมาวุ่นวายใจไปด้วยเจ้าปั้นนี่
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 17-08-2017 23:29:38
กรี๊ด!!!!! น้ำตาไหล...
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-08-2017 23:56:12
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 18-08-2017 04:10:33
โถ... พี่ดืัอ เค้าเข้าใจพี่ดื้อนะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 18-08-2017 05:19:59
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 18-08-2017 12:11:40
เป็นเราเราก็คงทำเหมือนดื้อนะ เพราะจากสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้า จากที่พยายามอธิบายแต่ไม่เหมือนอธิบาย เอะยังไง ฟังๆ เหมือนคนเห็นแก่ตัว ทิ้งอีกคนมาเอาอีกคน หรือยังฟังไม่จบ แล้วทำไมไม่เอาแต่เนื้อๆ เหอๆ เอาเป็นว่าติดตามต่อไปดีฝ่าาา ขอบคุณค้าบบบ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 18-08-2017 16:08:07
อยากจะปลอบใจพี่ดื้อจังเลย แต่นี่ก็สงสารปั้นรักเหมือนกัน :hao5:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-08-2017 00:18:13
ม่ากันไป พี่ดื้อก็นะแทบจะไม่ฟังอะไรเลยอ่อนไหวไปนี๊ด
จริงๆอยากให้พี่ดื้อเป็นเคะมากกว่าอ่ะ มันคงพีคกว่านี้เยอะ แต่ก้เปลี่ยนไม่ได้แล้ว แอบลุ้นมานานเผื่อปั้นจะรุก ลุ้นไม่ขึ้นเลย :ling1:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 19-08-2017 04:45:08
สะบายดี ครั้งที่ 17: สะบายดีจอมดื้อ[1]

บอกกับตัวเองว่าจะกลับมารักตัวเอง แต่ทำจริงๆ มันง่ายอย่างที่คิดเสียที่ไหน ผมก็ยังคิดถึงปั้นรักอยู่ ความรู้สึกดีๆ ต่างๆ ที่มีให้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

ใช่ ผมยังรักมัน...ยังรักมาก คงจะลืมไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

เพราะรู้อย่างนั้น ผมก็เลยพยายามที่จะทำให้ตัวเองไม่ว่าง ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งาน พอร้านนมของตัวเองปิดก็ไปช่วยงานที่ร้านเหล้าของไอ้แสบต่อ กลับมาถึงบ้านก็พยายามนอนให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดอะไร แต่ก็เหมือนจะไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่นักเพราะทุกครั้งที่ผมหลับตา ภาพใบหน้าของปั้นรักก็โผล่มาหลอกหลอนเสียจนนอนหลับไม่เคยสนิทสักวัน ตอนกลางวันเลยจะมีสภาพโทรมไม่ต่างจากซอมบี้

ส่วนปั้นรัก... หลังจากที่ผมกลับมาไทย ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ติดต่อมานะ มันพยายามทั้งโทรหาและส่งข้อความมาตลอด ตอนแรกผมก็รับสายด้วยไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ของใคร แต่พอรู้ว่าเป็นมัน ผมก็เลือกที่จะตัดสาย ก่อนจะตัดการติดต่อด้วยการเปลี่ยนเบอร์ใหม่ด้วยรู้ว่ามันคงเอาเบอร์ผมมาจากข้อมูลลูกค้าที่จองเกสต์เฮ้าส์ พอติดต่อผมด้วยการโทรและส่งข้อความไม่ได้ มันก็เปลี่ยนมาส่งอีเมลแทน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยเปิดเข้าไปอ่านเลยแม้แต่น้อย

อย่างที่บอก...ผมกำลังตัดใจ

แต่เหมือนมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด ด้วยอาการผมไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย รังแต่จะแย่มากขึ้นไปอีก ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็เป็นอันต้องเหม่อลอย และอาการนั้นมันก็ต่อเนื่องมาเป็นหลายอาทิตย์ ทำเอาพี่กับน้องของผมชักทนไม่ไหว ถึงขนาดต้องออกปากด่า พร้อมยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามอย่างอดไม่ได้

“มึงเลิกซึมกระทือเดี๋ยวนี้เลยไอ้ดื้อ ไป รีบไปเก็บเสื้อผ้า กูจะพาไปหาพ่อกับแม่ที่เชียงใหม่”
เดินเข้ามาในห้องผมได้ ไอ้แสบก็ออกปากสั่งแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาผมที่นอนเหม่อมองเพดานอยู่เหลือบไปมองมันทันใด
“ไปหาทำไมวะ”
“กูก็จะไปฟ้องแม่ว่ามีคนหักอกน้องกูน่ะสิ”
ไอ้แสบว่าด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

ผมจ้องมันนิ่งไปครู่ รู้อยู่ว่ามันเป็นห่วงผม การที่ผมมีเวลาว่างทีไรก็เอาแต่เหม่อลอยมันไม่ใช่เรื่องดีเลย คงจะทำให้มันเป็นห่วงมากพอสมควรถึงได้พยายามที่จะช่วยให้ผมผ่อนคลายด้วยการพาออกไปข้างนอกอย่างนี้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ...ทำไมต้องเป็นที่บ้านพ่อกับแม่

“กูไม่อยากไป”
ผมตอบกลับทันที ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอหน้าพ่อกับแม่นะ อยากเจออยู่นั่นแหละ แต่ไม่อยากให้พวกท่านรู้ว่าผมอกหักมาอีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่ผมตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ พ่อกับแม่ก็จะประคบประหงม เอาใจผมราวกับเป็นเด็กเล็กๆ ทุกที ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกผิดเลยไม่อยากให้พวกท่านรู้

ทว่าไอ้แสบไม่สนเลยสักนิด เห็นผมปฏิเสธ มันก็ยกมือขึ้นกอดอก
“ถึงมึงไม่อยากไปก็ต้องไป เพราะกูกับไอ้แก่นตกลงกันแล้วว่าจะไป”
ผมย่นคิ้วทันควัน
“พวกมึงอยากไปก็ไปกันเองสิ กูอยู่เฝ้าบ้านก็ได้”
“ได้อะไรล่ะ ถ้าเกิดพวกกูไม่อยู่ขึ้นมาแล้วมึงฆ่าตัวตายคาบ้าน พวกกูจะทำยังไง ไอ้แก่นมันกลัวผี มึงก็รู้”

ไอ้แสบอ้างอะไรไปเรื่อยเปื่อย แถมยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่างหาก ถึงผมจะอกหักรักคุดมา แต่ก็ไม่ได้ทนความเจ็บปวดไม่ไหวถึงขนาดคิดสั้นอย่างนั้น ที่สำคัญ...ไอ้แก่นมันก็ไม่ได้...
“ผมไม่ได้กลัวผีสักหน่อย”

จอมแก่นที่โผล่เข้ามาในห้องพร้อมตะกร้าเสื้อผ้าของผมที่เพิ่งเก็บมาจากหลังบ้านโพล่งแทรกขึ้นมา

นั่นแหละที่ผมจะบอก ไอ้จอมแก่นมันไม่ได้กลัวผี

“มึงก็กลัวสักหน่อยก็ได้ เผื่อพี่มึงเป็นห่วงว่าน้องจะกลัว มันจะได้ไม่คิดสั้น” ไอ้แสบหันไปมองน้องชายคนเล็กพร้อมกับบอกเหตุผลไร้สาระออกมา

จอมแก่นส่ายหน้าด้วยระอา ก่อนจะเอาตะกร้าเสื้อผ้าในมือไปวางไว้หน้าตู้เสื้อผ้าของผม
“อันนี้เสื้อผ้าใหม่นะพี่ดื้อ ผมซักให้แล้ว พับเอาเองนะ”
สั่งเป็นแม่โดยไม่สนใจไอ้แสบที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างหลังอีกเลย ขณะที่ผมตอบรับเสียงเบา
“อือ”
จอมแก่นทำท่าจะออกจากห้องไป แต่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยร้องถามไอ้แสบขึ้น
“แล้วพี่แสบบอกพี่ดื้อหรือยังว่าเสาร์ - อาทิตย์นี้จะไปบ้านสวนของพ่อกับแม่”
“บอกแล้ว มันไม่ยอมไปอยู่เนี่ย มึงชวนพี่มึงเองเลยไหม”
ฟังแล้วก็รู้เลยว่าไอ้สองพี่น้องคู่นี้มันวางแผนกันมาก่อน ไม่ได้เป็นแผนของไอ้แสบคนเดียว ก็อยากจะขอบใจพวกมันอยู่หรอกนะที่เป็นห่วงผม แต่ผมไม่มีอารมณ์จะไปไหนทั้งนั้น

“กูไม่ไป ไม่ต้องชวน”
ผมสวนกลับทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครคะยั้นคะยอให้ไปด้วย ทำเอาจอมแก่นจ้องหน้าผมเขม็ง
“ทำไมถึงไม่ไปอะ พี่ดื้อไม่ได้เจอพ่อกับแม่มาหลายเดือนแล้วนะ”
“กูไม่มีอารมณ์ไปเที่ยว” ผมว่า
“ก็ไม่ได้บอกให้ไปเที่ยว แต่ให้ไปพักผ่อน”
กลายเป็นจอมแก่นบ้างแล้วที่บังคับผมกลายๆ แต่ผมก็ตอบไปแบบเดิมอีก
“กูไม่อยากไป กูอยากพักที่นี่”
คราวนี้จอมแก่นชักสีหน้า
“ตอนพักใจจากพี่เหนือยังถ่อไปถึงลาวได้ ทีตอนนี้ชวนไปพักผ่อนที่บ้านตัวเองแท้ๆ กลับไปไม่ได้ พ่อกับแม่รู้คงน้อยใจตาย”

พูดอีกก็ถูกอีก หลังจากที่ผมเรียนจบ ป.ตรี ผมก็มาอยู่ที่พิษณุโลกกับไอ้แสบที่ดันอินดี้บ้าบออะไรก็ไม่รู้ อยากจะมาเปิดร้านเหล้าที่บ้านเกิดของพ่อ ในขณะที่พ่อกับแม่ทำธุรกิจสวนผลไม้อยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนจอมแก่น พอรู้ว่าพี่ๆ ย้ายมาที่นี่กันหมดก็ดันอยากตามมาอีก ด้วยมันติดผมกับไอ้แสบมากพอสมควร พวกเราก็เลยได้มาอยู่บ้านเก่าของพ่อซึ่งย่าได้ให้ไว้ก่อนตาย ปกติแล้วเราจะกลับไปที่บ้านเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง แต่เดือนนี้ยังไม่ได้กลับไปสักครั้ง มีหวังป่านนี้พ่อกับแม่คงรอแย่แล้ว

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ผมก็...
“กูอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวเงียบๆ ว่ะ พวกมึงไปกันเถอะ ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าไว้กูจะกลับไปหาวันหลัง”
...ไม่อยากไปอยู่ดี

จอมแก่นถอนหายใจออกมา หันมองหน้าไอ้แสบ ขณะที่ไอ้แสบส่ายหน้าช้าๆ
“เรื่องของมึงแล้วกัน”
เหมือนไอ้แสบจะถอดใจแล้ว ยกเว้นจอมแก่นที่ไม่ยอมง่ายๆ
“เรื่องของพี่ดื้ออะไรล่ะ ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องไป เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วย ผมอุตส่าห์ซักมาให้แล้ว ยังไงก็ต้องไป”
“นี่มึงเป็นน้องหรือแม่กูกันแน่เนี่ยไอ้แก่น”
จอมแก่นไม่สนใจผมแล้ว สั่งเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ไอ้แสบพูดทิ้งท้าย
“ตัดสินใจเอาเองแล้วกันไอ้ดื้อ กูไม่ได้บังคับ แต่มึงต้องไป”
สิ้นเสียงก็เดินตามจอมแก่นออกไป

ไม่บังคับก็เหมือนบังคับแหละวะ

ผมถอนหายใจ เหนื่อยหน่ายกับความเป็นห่วงของพวกมันเสียเหลือเกิน พลันนอนนิ่งๆ อย่างนั้นอีกสักครู่หนึ่ง ก่อนจะดันตัวขึ้นนั่ง ลุกจากเตียงไปจัดการคุ้ยเสื้อผ้าออกมาเตรียมพับ การทำให้ตัวเองไม่ว่างคือสิ่งที่ทำให้ผมพอจะลืมปั้นรักได้บ้างในเวลานี้ หากแต่การพับผ้าดูท่าจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่เมื่อจู่ๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเสื้อยืดสีดำตัวหนึ่ง ไม่รู้อะไรดลใจให้หยิบมันขึ้นมา สะบัดๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็คลี่ออก ก่อนจะชะงักไปทันทีที่เห็นลายเสื้อ

เสื้อจอมดื้อของปั้นรัก... มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย

ดูท่าทางน่าจะติดกระเป๋าผมมาจากตอนที่ไปเที่ยวกัน แต่มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ผมคิดถึงปั้นรักขึ้นมามากเสียจนแขนและขาสั่นไหวขึ้นมาน้อยๆ ยิ่งนึกถึงภาพเก่าๆ ที่เคยมีความสุขด้วยกัน ความอดทนในการข่มอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของผมที่พยายามกักเก็บมาหลายวันก็พังทลายลงทันที

น้ำตามากมายไหลอาบใบหน้า ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น ผมกอดเสื้อตัวนั้นไว้แน่น ซุกใบหน้าลง สูดดมกลิ่นของมันด้วยหวังว่าจะยังมีกลิ่นของปั้นรักหลงเรืออยู่

ปากครางเรียกเจ้าของเสื้อออกมาเสียงแผ่ว
“ปั้น... พี่คิดถึง”

คิดถึง...
คิดถึงมากจริงๆ...

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะปล่อยให้ความอัดอั้นนั้นถูกระบายออกมาด้วยการร้องไห้เท่านั้น

ผมต้องทำยังไงถึงจะลืมมันได้สักที...




 
จากตอนแรกที่คิดว่าอยากอยู่ที่บ้านหลังนี้เงียบๆ คนเดียว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนผมอยู่ในห้องคนเดียว มันทำให้ผมรู้เลยว่าขืนผมอยู่คนเดียว ผมจะต้องคิดฟุ้งซ่านอย่างรุนแรงแน่ๆ พอตั้งสติได้ ผมเลยเดินลงมาบอกพี่กับน้องของตัวเองว่าจะกลับบ้านด้วย ไม่กี่วันให้หลัง ผมก็มาโผล่หัวอยู่ที่เชียงใหม่ตามแผนการของไอ้แสบกับจอมแก่นจนได้
จริงๆ การกลับมาบ้านมันก็ไม่ได้แย่ และการที่พ่อแม่รู้ว่าผมอกหักมาอีกแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เช่นกัน ถึงพ่อกับแม่จะโอ๋ราวกับผมเป็นเด็กเล็กๆ แต่มันก็ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นได้ไม่น้อย

ในเวลาที่คนอื่นไม่รักเรา ก็ยังมีครอบครัวนี่แหละที่รักเรา

คนอื่น... ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันเป็นคำที่ใช้เรียกปั้นรักในตอนนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องของมันนะ
ครอบครัวผมก็ให้ความช่วยเหลือให้ผมหยุดคิดถึงอดีตแฟนเป็นอย่างดี ด้วยการพาไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย เริ่มตั้งแต่ช่วยแม่ทำกับข้าว ช่วยพ่อคุมคนงานในสวนเก็บผลไม้ ไปเจอหน้าเพื่อนเก่าๆ ที่ยังอยู่ในเชียงใหม่ พอตกกลางคืน ไอ้แสบก็พาไปเที่ยวผับที่เพิ่งเปิดใหม่ในย่านใจกลางเมือง

ผมไม่ได้อยากมาหรอก แต่ก็มา อย่างที่บอกว่าต้องการทำตัวเองให้ไม่ว่างเพื่อให้ลืมปั้นรัก ทว่าดูท่าจะเสียการเปล่า ต่อให้ผับนี้ใหญ่หรือคนเยอะ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแยะ เปิดเพลงมันส์น่าเต้นแค่ไหน ผมก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ดื่มบ้าง คุยกับเพื่อนๆ ของไอ้แสบที่มาร่วมก๊วนด้วยบ้างเป็นพักๆ

ดื่มไปก็ดูไอ้แสบคุยสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆ มันไปเพลินๆ ก่อนจะขอตัวแยกไปเข้าห้องน้ำ จัดการทำธุระของตัวเองเสร็จ ผมก็น่าจะเดินกลับมาที่โต๊ะตามปกติ แต่ทว่าระหว่างเดินอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีใครบางคนคว้าแขนผมเอาไว้ พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นมือของผู้หญิงคนหนึ่ง

...ผู้หญิงชาวต่างชาติเสียด้วย

แสงไฟสลัวทำให้ผมมองเห็นหน้าเธอไม่ชัดนัก แต่พอเสียงของเธอดังมาให้ได้ยิน ผมก็เอะใจขึ้นมาทันที
“Hey, You are Pun’s friend, right? Did you remember me? (เฮ้ คุณเป็นเพื่อนปั้นใช่ไหม จำฉันได้หรือเปล่า)”

บอกตรงๆ ว่าผมแปลไม่ได้หรอก เสียงรอบข้างดัง แถมเธอยังพูดเร็ว แต่เพราะได้ยินชื่อของใครบางคน เท่านั้นก็ทำให้ผมขมวดคิ้วเป็นปมทันที

“ยู...” ผมเอ่ยออกมา พลางเพ่งมองหน้าเธอ ก่อนจะใจหายวาบ “ลูซี่...”

ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้น ผมว่าผมจำหน้าเธอได้รางๆ นะ ขณะที่เธอพยักหน้ารับเร็วๆ

“Yes, I am! (ใช่ ฉันเอง!)”
ว่าพลางยิ้มร่า ขณะที่ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ แต่จะถามออกไปก็เรียงประโยคไม่ถูกอีก ส่วนลูซี่ก็ว่าสวนมาเร็วๆ
“What a coincidence! I never think to meet you again. Don’t you live here? (บังเอิญอะไรอย่างนี้! ฉันไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณอีก บ้านอยู่นี่เหรอ?)”

แม่ง...แปลไม่ได้เลย

“It’s very nice to meet you. I wanna talk to you about Pun. (ดีจังที่ได้เจอ อยากจะคุยกับคุณเรื่องปั้นพอดี)”
“เอ่อ...”

ผมเงอะงะไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร รู้อย่างเดียวว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องปั้นรัก อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องฟังเธอก็ได้ เพราะผมคิดจะตัดใจจากมันอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ผมยังตัดใจไม่ได้ พอได้ยินอย่างนั้นก็เกิดอยากรู้ขึ้นมา ทว่าการสื่อสารภาษาอังกฤษของผมติดลบเป็นอย่างมาก จึงทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนคนนึงของไอ้แสบที่มาเที่ยวด้วยกันพูดภาษาอังกฤษได้ ผมเลยรีบบอกกับลูซี่

“โอเค เดี๋ยวๆ เว็ตก่อน...เอ่อ...คัมๆ ฟอลโลว์มี”

ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ มาก แต่ลูซี่น่าจะเข้าไปเพราะทันทีที่ผมพูดจบ เธอก็ยอมเดินตามผมกลับมาที่โต๊ะ ผมรีบบอกความต้องการของตัวเองให้เพื่อนไอ้แสบรู้ ก่อนที่เขาจะตกปากรับคำให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ผมทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับลูซี่ ก่อนที่จะอธิบายให้ไอ้แสบเข้าใจด้วยเวลาอันรวดเร็วว่าลูซี่เป็นใคร พอเสร็จสิ้น เธอก็เริ่มเอ่ยปาก ในขณะที่เพื่อนของไอ้แสบคอยแปลให้ เริ่มจากเรื่องที่เธอมาโผล่ที่เชียงใหม่ เธอบอกว่าหลังจากที่ผมกลับมาไทย เธอกับปั้นรักก็ทะเลาะกันอย่างหนักถึงขั้นเลิกกันจริงจัง เพราะปัญหาที่เกิดระหว่างพวกเขามันรุนแรงเสียจนกลับไปต่อไม่ติดอีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องการแต่งงานก็เป็นอันยกเลิกด้วย เธอเลยตัดสินใจเดินทางมาหาเพื่อนที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นระหว่างรอกำหนดกลับไปอเมริกา
ดูเธอเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรนะเพราะใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่ผมสัมผัสได้ว่าลูซี่เองก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน เธอย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าไม่อยากเลิกกับปั้นรัก แล้วก็บอกกับปั้นรักไปแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับบอกว่ารักผม นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เธออยากจะคุยกับผมเช่นกัน

จะอะไรก็ช่าง มันไม่ใช่ปัญหาของผม ที่ผมอยากรู้ก็คือ...ทั้งคู่ทะเลาะอะไรกันต่างหาก คำพูดของลูซี่ก็เหมือนที่ปั้นรักบอกนั่นแหละ แต่มันยังกำกวม ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทั้งสองคนมีเรื่องอะไรถึงทะเลาะกันหนักหนาอย่างนี้ ถึงจะไม่ใช่เรื่องของผม ทว่าผมก็อยากรู้ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับผม

...เกี่ยวเนื่องกับหัวใจของผม

“พี่ถามให้หน่อยได้ไหมว่าลูซี่กับปั้นทะเลาะกันเรื่องอะไรแน่ ปั้นถึงขอเลิกอย่างนี้”
เพื่อนไอ้แสบจัดการแปลให้เสร็จสรรพ ลูซี่เม้มริมฝีปากไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา แล้วจากนั้นเพื่อนไอ้แสบก็แปลให้ผม
“เธอบอกว่าเธอท้อง”

ผมใจหายวาบไปอีกระลอก
“ท้อง...ลูกของปั้นเหรอ”

ผมคิดลบกับปั้นรักไปเลย ถ้าจะเลิกกับผู้หญิงคนนี้เพราะผม ผมจะโกรธและเกลียดมันจริงๆ แล้วนะ

แต่ผมกลับคิดผิดเพราะเมื่อเพื่อนไอ้แสบหันไปถามอีกที คำตอบกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด
“กับคนอื่น”
“หมายความว่าไงที่ว่าท้องกับคนอื่น” ผมขมวดคิ้วมุ่น แต่เชื่อไหมว่าในใจกลับโล่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

พอถามไปอย่างนั้น ลูซี่ก็เล่าออกมาอย่างหมดเปลือก
“เธอบอกว่าตอนนั้นที่ทะเลาะกับปั้น เป็นเพราะว่าเขาจับได้ว่าเธอนอนกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่มของปั้น ปั้นก็เลยรับไม่ได้ หนีหน้าเธอ เธอตามง้อ แต่ปั้นขอเวลาคิดทบทวนก่อนว่าจะเอายังไงต่อ ทีนี้เวลามันผ่านมาหลายเดือน ปั้นก็ไม่ให้คำตอบสักที งานแต่งงานก็ใกล้เข้ามา เธอก็เลยไปตามหา จากนั้นก็รู้ว่าปั้นหนีไปอยู่ที่ลาว พอมาตามตัวเจอที่ลาว ปั้นก็สรุปว่าอยากเลิกกับเธอ เธอเสนอว่าจะเอาเด็กออกเพื่อไม่ให้ปั้นเลิก แต่สุดท้ายก็รั้งเขาไว้ไม่ได้”

เป็นการเล่าเรื่องที่สรุปได้กระชับ แต่ผมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะยินดีเลยนะ ทว่าผมกลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ปั้นรักไม่ได้เป็นฝ่ายนอกใจลูซี่ก่อน ถึงจะมาคบกับผมซ้อน มันก็ยังถือว่าเป็นการคบกันในขณะที่ทั้งคู่มีระยะห่างระหว่างกัน

สรุปแล้วผมไม่ใช่มือที่สามใช่ไหม?

โล่งใจเสียจนหลุดแสดงสีหน้าออกมา ก่อนที่ลูซี่จะเล่าออกมาอีก โดยมีเพื่อนไอ้แสบแปลให้อย่างรู้งาน

“แล้วเธอก็บอกว่าพอมาคิดทบทวนดีๆ แล้ว การเลิกกับปั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะจริงๆ เธอก็คงจะไม่ได้รักเขาเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้านอกใจไปนอนกับเพื่อนเขาอย่างนั้น ที่ไม่อยากเลิกในตอนแรกเป็นเพราะความผูกพัน แบบว่าคบกันมานานอะไรแบบนี้ จริงๆ แล้ว คนที่เธออยากใช้ชีวิตด้วยคือเพื่อนของปั้นที่เคยนอนด้วยต่างหาก” แปลมาถึงตอนนี้ คนแปลก็มีสีหน้ายุ่งเหยิงขึ้นมา ก่อนจะหันมามองหน้าผม “อารมณ์ประมาณว่ายัยนี่กับเพื่อนของปั้นแอบกินกันมานานแล้ว แต่เพิ่งถูกจับได้ครั้งหลังสุดว่ะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก เข้าใจได้ทันที ก่อนจะอดคิดไม่ได้ว่าปั้นรักจะรู้สึกยังไงตอนที่รู้ว่าแฟนที่ตัวเองคบหามาหลายปีกับเพื่อนสนิทแอบแทงข้างหลังอย่างนั้น มันคงช็อกมากเลยทีเดียวถึงได้หนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาพักใจอย่างนี้ พลันโทษความงี่เง่าของตัวเองที่ไม่ยอมใจเย็นฟังปั้นรักอธิบายให้จบ

ถ้ามันพูดเรื่องนี้...
ถ้าบอกอย่างนี้ตั้งแต่แรก...
ผมก็คงไม่หนีมันมาอย่างนี้หรอก

ผมไม่โทษว่าเป็นความผิดของปั้นรักนะ โทษว่าเป็นเพราะความบ้าบอของตัวเองเต็มประตูเลย

“แล้วมีเท่านี้เหรอที่ลูซี่อยากบอก”
เพื่อนไอ้แสบหันไปถามให้ ลูซี่ว่าพลางมองหน้าผม ก่อนจะได้รับคำแปล
“เธอบอกว่าใช่ แล้วก็อยากจะฝากให้มึงดูแลปั้นให้ที ถึงเธอกับปั้นจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่เธอก็เป็นห่วงปั้นในฐานะคนที่รู้จักกันมานาน เธอรู้ว่าปั้นรักมึง แล้วมึงก็รักปั้น เลยอยากจะฝากให้ดูแลหน่อย”

ผมพยักหน้ารับ หลังจากนั้นลูซี่ก็คุยอะไรต่ออีกนิดหน่อย ตบท้ายว่าเพื่อนที่เธอมาหาที่นี่ก็คือเพื่อนของปั้นรักที่เธอนอกใจมานอนด้วยนั่นแหละ หมอนั่นมาเที่ยวไทยรอบทสรุปเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับปั้นรัก ก่อนที่จะแยกไปเมื่อถึงเวลาอันสมควร ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าลูซี่จะเป็นยังไง หรือไปที่ไหนกับใครต่อ ในตอนนี้ผมมีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น

อยากบินไปหาปั้นรักที่ลาวเดี๋ยวนี้!
 
คิดได้เท่านั้น ผมก็เรียกไอ้แสบทันที
“ไอ้แสบ! ไปส่งกูหน่อย”
ไอ้แสบที่กำลังกระดกขวดเบียร์ดื่มอยู่มองหน้าผม
“ไปส่งไหน”
“สนามบิน กูจะไปหาปั้นที่ลาว”
ไอ้แสบถึงกับเบ้หน้า ก่อนจะรีบคว้าแขนผมเอาไว้เมื่อเห็นผมผุดลุกขึ้นอย่างร้อนรน
“มึงจะไปทำบ้าอะไรตอนนี้ ดูเวลาด้วย แล้วมึงเตรียมตัวอะไรไว้ซะที่ไหน ทำอะไรอย่าหุนหันสิวะ”
“แต่กูอยากคุยกับปั้น” ผมบอก
ไอ้แสบถอนหายใจออกมาอย่างระอา
“ถ้าผมอยากจะคุย มึงก็โทรไปหาสิวะ”
“กูไม่มีเบอร์ เปลี่ยนเบอร์ใหม่แล้ว เบอร์ที่ปั้นใช้โทรมามันหายไปหมดแล้ว”
“แม่มันทำเกสต์เฮ้าส์ไม่ใช่เหรอ มึงก็โทรไปสิ”
“เออว่ะ”

พอผมครางตอบรับออกมาอย่างนั้น ไอ้แสบก็ด่าผมว่าโง่ออกมาชุดใหญ่ ทว่าผมไม่สนใจอะไรแล้ว นอกจากเสิร์ชหาเบอร์ของเกสต์เฮ้าส์แล้วต่อสายตรงไปทันที ทว่าก็ต้องผิดหวัง เพราะทันทีที่ได้คุยกับคุณแอน ผมก็ได้รับคำตอบว่า...ปั้นรักหายตัวไปไหนก็ไม่รู้

หายไปแบบไม่บอกไม่กล่าวตั้งแต่หลายวันก่อน ตอนแรกคุณแอนคิดว่ากลับอเมริกา แต่พอโทรถามกับทางพ่อของมันที่นั่นก็ได้คำตอบว่าไม่ได้กลับ พอโทรไปตามหากับเพื่อนฝูง ก็ไม่มีใครเจอปั้นรักสักคน ตอนนี้เลยตามหาตัวกันอยู่

ผมได้ยินอย่างนั้นก็เป็นห่วงขึ้นมาเสียจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ จากที่ถูกไอ้แสบปรามไว้ว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้อยากจะบินตรงไปลาวอีกแล้ว

ไม่ต้องบินก็ได้ นั่งรถทัวร์หรืออะไรก็ตาม ผมยอมหมด ขอให้ได้เจอกับปั้นรักเท่านั้น ทว่าพอผมพูดออกไปอีก ไอ้แสบก็ตบหัวผมดังป้าบ พร้อมกับดุออกมา
“มึงเลิกกระสับกระส่ายสักที ถึงมึงจะไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะตามหาแฟนมึงเจอสักหน่อย กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สายหรอกเว้ย”

หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่16: กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง[17/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 19-08-2017 04:45:46
สะบายดี ครั้งที่ 17: สะบายดีจอมดื้อ[2]

 
นั่นแหละ เพราะประโยคนั้น วันรุ่งขึ้น ผมกับไอ้แสบ แล้วก็จอมแก่นก็มุ่งหน้ากลับไปยังพิษณุโลกทันที ด้วยผมอยากจะรีบไปจัดการเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย และแน่นอนว่าไอ้แสบไม่ยอมให้ผมแตะพวงมาลัยรถเลย เพราะมันกลัวว่าผมจะเหยียบมิดไมล์เพื่อให้ถึงที่หมายให้ไวที่สุดน่ะ

ไอ้ถึงที่หมายมันไม่เท่าไหร่ แต่จะไปเยี่ยมยมบาลก่อนกำหนดนี่แหละที่ทำให้มันกลัว
กว่าจะกลับมาถึงพิษณุโลกก็ค่ำแล้ว รถเคลื่อนตัวเข้าไปในซอย กระทั่งมาถึงหน้าบ้าน ผมกำลังจะบอกให้จอมแก่นลงไปเปิดประตูรั้ว แต่ไอ้แสบก็โพล่งขึ้นมาก่อน

“ใครมานั่งอยู่หน้าบ้านวะ”
เท่านั้น ทั้งผม ทั้งจอมแก่นก็เพ่งมองไปยังร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งฟุบหน้ากอดเข่าอยู่หน้าบ้าน ไอ้แสบกะพริบไฟใส่ อีกฝ่ายก็ไม่ได้สังเกตเห็น มันเลยบีบแตรไปทีหนึ่งเพื่อให้ผู้ชายคนั้นถอยออกไป พลางบ่นพึมพำไปเรื่อย

“นักท่องเที่ยวหลงทางหรือเปล่าวะ หรือจะเป็นคนจรจัด”
ผมเพ่งมอง จากนั้นก็นิ่งค้างไปด้วยคุ้นตากับผู้ชายคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเพราะตกใจเสียงแตรรถ ผมก็อ้าปากค้างทันใดด้วยจำได้ดีว่าคนที่นั่งอยู่หน้าบ้านผมนั้นคือ...
“ปั้นรัก...”

ใช่ ปั้นรักอย่างแน่นอน มันในตอนนี้อยู่ในสภาพอ่อนล้าไม่ใช่น้อย ข้างกายมีกระเป๋าเป้ใบเขื่องตั้งอยู่ และเพราะผมพูดออกไปอย่างนั้น ไอ้แสบกับจอมแก่นก็หันมามองผมทันที
“อย่าบอกนะว่าไอ้นี่คือคนที่มึงทิ้งมา?”

ผมพยักหน้า ไอ้แสบครางออกมาด้วยไม่เชื่อ
“โอ้โห มันก็ลงทุนแฮะ ที่มันหายตัวไปไม่บอกใครคงเพราะมาหามึงนี่แหละมั้งไอ้ดื้อ”

ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ยังไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือเรื่องจริง ก่อนที่จอมแก่นจะเรียกสติผม
“มัวอึ้งอยู่ได้ รีบลงไปสิพี่ดื้อ ไปเร็วเข้า!”

เรียกสติไม่พอ ดันให้ผมลงจากรถไปอีก ผมรีบพยักหน้า ก่อนกุลีกุจอเปิดประตูรถ พอลงมายืนบนพื้นได้ ผมก็ร้องเรียกคนตรงหน้าทันที

“ปั้น...”
ปั้นรักหยีตามอง พอเห็นว่าเป็นผมก็ยิ้มออกมา
“สะบายดีจอมดื้อ”
ผมไม่ได้ตอบกลับอะไรใดๆ ขณะที่ปั้นรักผุดลุกขึ้นยืน ปัดเนื้อตัวเล็กน้อย ก่อนจะเกาคอแก้เขิน
“คือไอมาตามที่อยู่ที่ยูเคยให้ไว้น่ะ”

นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่ง ผมเคยให้ที่อยู่มันเอาไว้ตอนที่ชวนมันมาไทยด้วยเพราะมันบอกว่ากลัวจะหลง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงยืนนิ่ง มองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

“ขอโทษที่โผล่มาแบบไม่บอก แต่ไออยากอธิบายให้ยูเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นยังไง ช่วยฟังไออีกสักครั้งได้ไหม สัญญาว่าครั้งนี้จะเล่าทุกอย่าง”

นี่มาหาผมถึงที่เพื่อจะพูดเรื่องนี้เหรอ?

ผมก็ยังไม่พูดอะไรออกไปอยู่ดี ทว่าในใจกลับชุ่มฉ่ำไปหมดเมื่อสัมผัสได้ว่าปั้นรักแคร์ผมมากแค่ไหน ความรู้สึกเดิมๆ ที่พยายามจะลบล้างมันไปหวนกลับมาอีกครั้ง

ผมรักปั้นรัก... รักมาก... รักจนไม่อยากจะแยกจากกันอีกแล้ว

ขณะที่ปั้นรักพยายามจะอธิบายเรื่องเดิม

“คือ...มันพูดลำบากน่ะนะ ไอคิดว่ายูคงไม่เชื่อ แต่ว่าสาเหตุที่ไอกับลูซี่ทะเลาะกันน่ะ เป็นเพราะลูซี่กับเพื่อนของไอไปมีอะไรกัน แล้วลูซี่ก็ท้อง พอไอจับได้ ไอรับไม่ได้ก็เลยหนี...”

พูดยังไม่ทันจบ ผมก็คว้ามันเข้ามากอดแน่น ปั้นรักอุทานออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเงียบไปเมื่อผมว่าออกมา
“พี่รู้แล้วปั้น พี่รู้แล้ว”
“หมายความว่ายังไงที่ว่ารู้แล้ว”
มันถาม ส่วนผมก็กอดมันแน่นกว่าเดิม
“ลูซี่เล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว”
“ยูเจอลูซี่ตอนไหน”

น้ำเสียงของปั้นรักดูงุนงงมาก แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอธิบายใดๆ คิดแต่เพียงว่าตอนนี้ผมได้คนที่ผมรักกลับคืนมาแล้ว ได้แต่กระชับอ้อมกอดแน่น ซุกใบหน้าลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายแล้วพึมพำออกมา

“พี่ขอโทษที่พี่ไม่ฟังนะปั้น”
ปั้นรักที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างชะงักไป ก่อนที่จะโอบกอดผมตอบเมื่อผมพูดออกมาอีก
“ขอโทษที่พี่ใจร้อน ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่า อย่าโกรธพี่เลยนะ”
“ไอไม่ได้โกรธ ถ้าโกรธก็คงไม่ถ่อมาหาถึงที่หรอก ที่ไอ้อยากทำก็คืออยากขอโทษที่พูดไม่เคลียร์ มันลำบากใจที่จะพูดเรื่องนี้น่ะ ลูซี่เป็นผู้หญิง ไอก็เลย...”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว” ผมขัดขึ้นมา

ปั้นรักผละออกจากผมเล็กน้อย “ยูจะไม่ฟังไออธิบายอะไรหน่อยเหรอ”
“มีเรื่องอะไรนอกจากที่ลูซี่เล่าให้ฟังที่พี่ควรต้องรู้อีกไหมล่ะ”
“ไอไม่รู้ว่าลูซี่เล่าอะไรให้ยูฟัง อยากจะฟังไอเล่าอีกรอบไหม เผื่อจะเป็นหนังคนละม้วน”

ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย ปั้นรักก็ยังคงเป็นปั้นรัก ยังคงความกวนประสาทได้เหมือนเดิม แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ตอนนี้ผมก็ไม่สนแล้ว ผมสนแค่ว่าคนที่ผมอยากเจอมากที่สุดมาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว และสิ่งที่ผมอยากทำก็คือกอดมันเอาไว้... กอดไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ให้ใครมาแทรกกลางระหว่างเราได้อีก

“ถ้าปั้นอยากเล่า พี่ก็ยินดีจะรับฟัง พี่พร้อมฟังแล้ว”
ไม่เพียงแค่คิด ผมทำจริงๆ ด้วยหลังจากพูดประโยคนี้จบ กอดมันแน่นอีกครั้ง ปั้นรักก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้ผมกอดแต่โดยดี พลันถามออกมาสั้นๆ
“แน่ใจนะว่าพร้อมจะฟัง?”
“แน่ คราวนี้จะฟังจริงๆ แต่ปั้นก็พูดเอาแต่สาระนะ น้ำๆ ไม่เอา”

ปั้นรักหัวเราะออกมาเล็กน้อย ว่าติดขำๆ
“มันก็ต้องมีเกริ่นกันก่อนสิวะ”
“เกริ่นพอแล้ว” ผมว่า คลายอ้อมแขนเล็กน้อย “เข้าไคลแม็กซ์เลยเถอะ” จากนั้นก็จรดจูบโดยไม่ทันให้ปั้นรักตั้งตัว

ปั้นรักเบิกตาโตขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าครู่เดียวก็จูบตอบผมคล้ายกับว่าโหยหาสัมผัสจากผมเช่นกัน ช่วงเวลานั้นหยุดหมุนไปฉับพลัน ราวกับว่าโลกนี้มีแค่ผมกับปั้นรักเพียงสองคนเท่านั้น จนลืมไปสนิทเลยว่าด้านหลังของพวกเรายังมีพี่กับน้องของผมนั่งดูเหตุการณ์อยู่ในรถ ก่อนที่เสียงบีบแตรจะดังมาอีก ทำเอาพวกเรากระเด้งออกจากกันอย่างรวดเร็ว และตามมาด้วยเสียงของไอ้แสบที่ชะโงกหน้าออกมาโวยวายน้อยๆ

“เอ้า ไปต่อกันในบ้านไป กูนั่งรอจนรากงอกแล้ว ไอ้แก่นจะหลับแล้วเนี่ย!”
ผมหัวเราะออกมา ขณะที่ปั้นรักย่นคิ้วยู่
“นั่น...”
“พี่ชายของพี่เอง ที่นั่งอยู่ด้านหลังนั่นก็น้องชาย เข้าบ้านกันก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จะแนะนำให้รู้จักนะ”

ผมว่าเร็วๆ เดินไปเปิดประตูรั้วให้ไอ้แสบขับรถเข้าไปจอดในรั้วบ้าน ก่อนจะช่วยปั้นรักถือของ แล้วยื่นมือออกไปตรงหน้าให้มันจับ
“มาสิ”
ปั้นรักมองมือผมเล็กน้อย พลันเอื้อมมือมาทำท่าจะจับ ทว่าก็ชะงักเพราะผมโพล่งขึ้นมาก่อน
“คิดให้ดีนะถ้าจะจับมือพี่ ครั้งนี้ถ้าจับแล้ว พี่จะไม่ปล่อยปั้นไปอีก”
“ประโยคนั้น ไอต้องพูดมากกว่า คนที่ทิ้งคนอื่นไปหน้าตาเฉยไม่มีสิทธิ์พูดหรอกเว้ย ไอจะจับไม่ปล่อยเลยคอยดู”

สิ้นเสียงก็คว้ามือผมไปจับแน่น เชื่อแล้วล่ะว่ามันจะจับมือผมไม่ปล่อยจริงๆ เพราะขนาดผมหนีมา มันยังมาตามถึงที่ แล้วไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะ ชอบ...ต้องขอบคุณมันด้วยที่เห็นผมสำคัญขนาดนี้

ผมยิ้มออกมา กระชับฝ่ามือนั้นแนบชิดเป็นการบอกมันโดยนัยว่าผมเองก็จะไม่ปล่อยมือมันเหมือนกัน ต่อให้มีเรื่องอะไรหลังจากนี้ ผมก็จะไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ อย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว

แต่ก่อนจะไปคุยเรื่องเครียดๆ เพื่อปรับความเข้าใจกัน ผมอยากจะพูดอะไรบางอย่างก่อน
“พี่รักปั้นนะ”

นี่แหละที่ผมอยากพูด

ปั้นรักมองหน้าผม ยิ้มกว้างออกมา
“ไม่เชื่อโว้ย หนีกันขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่ารัก”
“งั้นพี่จะพิสูจน์ตัวเองนะ” ว่าจบ ผมก็ดึงปั้นรักเข้ามาจูบอีกครั้ง

จูบในครั้งนี้ดูดดื่มกว่าครั้งแรกเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าต่างคนต่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป ผมซึมซับทุกความรู้สึกไว้ด้วยหัวใจที่กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ประหนึ่งว่าความเจ็บปวดที่ผ่านมาถูกดูดกลืนไปด้วยรสจูบของผู้ชายตรงหน้า ก่อนที่เสียงของไอ้แสบจะดังมาให้ได้ยินอีก

“เอ้า กูบอกให้ไปต่อกันในบ้าน ไม่ใช่ในรั้วบ้าน เข้ามาได้แล้ว”
ผมผละออกจากปั้นรัก หันไปมองก็เห็นมันยืนอยู่ข้างจอมแก่นที่โพล่งขึ้นมาบ้าง
“พาพี่เขาเข้าบ้านเถอะพี่ดื้อ ข้างนอกยุงเยอะ”

ผมพยักหน้ารับ กระชับฝ่ามือของปั้นรักอีกครั้ง
“เข้าบ้านกันนะ พี่มีเรื่องจะคุยกับปั้นเยอะแยะเลย”

ไม่มีการตอบรับเป็นคำพูดจากปั้นรัก มีรอยยิ้มเป็นคำตอบแทน ก่อนที่พวกเราจะเดินเข้าไปในตัวบ้านพร้อมๆ กัน

ดูท่าทางคืนนี้ผมคงจะมีเรื่องต้องคุยกับปั้นรักยาวอย่างแน่นอน การปรับความเข้าใจอาจจะต้องใช้เวลา แต่ความรักที่อยู่ในใจผม ถึงจะไม่ต้องใช้เวลาแต่ผมก็รู้ดีว่าหัวใจผมต้องการอะไร

ปั้นรัก... ผมต้องการปั้นรัก แค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้นที่ผมรัก

และจะรักตลอดไป...
------------------------
มาซะเช้าเลย มัวแต่ไปเขียนเรื่องอื่นอยู่ ลืมไปเลยค่ะว่าสัญญาจะอัปเรื่องนี้ 555
ตอนหน้าเป็นบทสรุปแล้วนะคะ ฝากฟีดแบ็กตอนนี้ไว้ด้วยเน้อ
เจอกันพรุ่งนี้ค่า
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-08-2017 05:58:59
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-08-2017 06:49:13
รู้สึกว่าจบไวมากเลยเพิ่งคืนดีกันเองนะ
ทั้งสองคนต้องขอบใจยัยลูซี่และแฟนนางนะที่มาไทยแล้วบอกเรื่องนี้กับปั้นนางก้แไม่ใช่คนเลววหรอกแม้จะเคยทำผิดมา  คนเราถ้าไม่จริงจังจะปล่อยให้ท้องได้เหรอ
ถึงจุดนี้แล้วสงสารปัั้นรักยิ่งกว่าอีก
ปั้นคงจะชอบพี่ดื้อก่อนใช่ไหมล่ะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 19-08-2017 07:03:40
ว่าแล้ว ปั้นต้องตามมา ^^
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-08-2017 08:37:55
 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 19-08-2017 09:30:42
จะจบแล้วหรอเร็วจังเลลย
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 19-08-2017 10:52:26
เจอกันแล้ว~~~~~
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 19-08-2017 12:33:21
จบละเหรออ แต่เรื่องน่รักดีค่ะ อิอิๆ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-08-2017 13:41:09
ขำ โดนขัดจังหวะตั้งสองครั้ง
เอานะ ไปต่อในห้องนอนก็ได้นะพี่ดื้อ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 19-08-2017 14:44:56
แหมมมมมม...ปรับความเข้าใจกันได้แล้วก็หวานต่อได้เลยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่17: สะบายดีจอมดื้อ[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 19-08-2017 19:05:19
สะบายดี ครั้งสุดท้าย

ทันทีที่พาปั้นรักเข้ามาในบ้านและพาขึ้นมาที่ห้องนอนของผม ปั้นรักก็ไม่รอช้า เล่าทุกอย่างออกมาชนิดหมดเปลือกแบบไม่กั๊กอะไรไว้เหมือนก่อนหน้า สิ่งที่มันพูดเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมได้ยินจากปากของลูซี่ ไม่มีข้อมูลใดผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เพิ่มเติมเรื่องความรู้สึกของปั้นรักหลังจากที่รู้ว่าตัวเองโดนแฟนกับเพื่อนตัวเองหักหลัง มันบอกว่าที่ยังไม่เลิกกับลูซี่ในทันทีเป็นเพราะตัวมันเองยังรักลูซี่อยู่ ขณะเดียวกันก็สับสนอยู่ไม่น้อยเพราะไม่สามารถกลับไปเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นได้อีกแล้ว และยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีกตอนที่เริ่มหวั่นไหวกับผม สุดท้ายถึงได้รู้ใจตัวเองว่าคนที่มันรักคือผมต่างหาก ไม่ใช่คนที่คบหากันมานานอย่างลูซี่
ผมฟังแล้วก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เข้าใจทั้งความรู้สึกและการตัดสินใจของมัน ถ้าผมเป็นมัน ผมก็คงจะเคว้งคว้างอยู่เหมือนกัน ขนาดตอนที่รู้ว่าจริงๆ ปั้นรักมีแฟนอยู่แล้ว ผมยังแทบตั้งสติไว้ไม่ได้เลย แต่เรื่องมันผ่านมาแล้ว ความรู้สึกใดๆ ก่อนหน้าที่มีต่อปั้นรักในแง่ลบมันหายไปหมดแล้ว วินาทีนี้ในใจของผมมีแต่คำว่า ‘รัก’ ให้ปั้นรักเท่านั้น

นอกจากเรื่องระหว่างปั้นรักกับลูซี่ ก็ยังมีอีกเรื่องที่ผมจะต้องคุยกับมันยาว นั่นก็คือเรื่องตัวตนของกันและกัน เพราะเราทั้งคู่ตกลงคบหากันเร็วเกินไป ผมถึงตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้ว ผมยังไม่รู้จักมันดีด้วยซ้ำ ปั้นรักเองก็ยังไม่รู้จักผมดี เราจึงแนะนำตัวและเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ที่ผมได้รู้เกี่ยวกับปั้นรักก็คือ...มันอายุยี่สิบสอง เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ จากคณะเกี่ยวกับการออกแบบแฟชัน ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการแต่งตัวมันถึงได้ล้ำเกินมนุษย์มนาขนาดนี้ ส่วนผมก็แนะนำมันไปว่าตัวเองอายุยี่สิบสี่ จบบัญชีมาจากเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านนมปั่นเล็กๆ ในพิษณุโลก

นั่นคือสิ่งที่ผมกับปั้นรักแลกเปลี่ยนกัน เรื่องอื่นๆ นอกจากนี้คงต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะรู้จักกันดีขึ้น...

และมันก็ไม่ได้สำคัญสำหรับวินาทีนี้ด้วย เพราะผมรักและคิดถึงปั้นรักมาก บวกกับดีใจที่ได้เจอหน้ามันอีกครั้ง หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อย ผมก็ไม่ปล่อยให้มันห่างกายเลยตลอดทั้งคืน มอบให้ทั้งความรัก ทั้งพร่ำบอกไม่หยุดว่าคิดถึงมันแค่ไหน กลายเป็นว่าผมเก็บความรู้สึกของตัวเองไม่มิด อ้อนอีกฝ่ายเป็นเด็กๆ เลย ส่วนปั้นรักก็โอ๋ผมประหนึ่งผมเป็นเด็กเล็กๆ เช่นกัน สภาพของผมดูตลกไปหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ แต่ได้กอดมันเอาไว้แน่นๆ แบบนี้ ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว

ความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงที่ห่างหายไประยะหนึ่งทำให้หลับสนิทตลอดทั้งคืนหลังจากที่ไม่ได้หลับลึกอย่างนี้มาตั้งแต่กลับจากลาว รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนเช้าของวันใหม่ มือเอื้อมไปควานหาปั้นรัก แต่พอเจอเพียงความว่างเปล่า ผมก็ลืมตาขึ้นมอง พลันใจหายวาบด้วยกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะเป็นเพียงแค่ความฝัน ก่อนจะรีบทิ้งตัวลงจากเตียง ก้าวเร็วๆ ออกจากห้องลงมายังชั้นล่าง เท่านั้นเสียงพูดคุยกันก็ดังออกมาจากในครัวให้ได้ยิน

“คบกับมันก็ต้องทำใจหน่อย เห็นเถื่อนๆ อย่างนั้น ไอ้ดื้อมันเป็นคนอ่อนไหวง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็กระทบกระเทือนจิตใจมันแล้ว”

เสียงของไอ้แสบ... กำลังพูดถึงผมให้ใครบางคนฟังอยู่ ก่อนที่เสียงของจอมแก่นจะดังตามมา
“ดื้อด้วย ดื้อสมชื่อพี่ดื้อนั่นแหละ”

อันนี้เป็นเสียงของจอมแก่น เดาว่าพวกมันคงกำลังจะเล่าเรื่องผมให้ปั้นรักฟังอยู่ ปั้นรักคงไปถามนั่นแหละว่าผมเป็นคนยังไง สังเกตตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่ามันกระตือรือร้นที่จะรู้จักผมให้มากขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงจะดีใจ แต่ผมก็ถึงกับย่นคิ้วเลยที่พี่กับน้องรวมหัวกันเผาผมอย่างนั้น

“รู้อยู่แหละว่าดื้อ ดื้อไม่พอ งี่เง่าด้วย ไอยังไม่ทันจะอธิบายจบเลย หนีกลับมาไทยละ ต้องมาตามง้อถึงที่นี่เลยเห็นไหมเนี่ย”
คราวนี้เป็นเสียงของปั้นรัก ผมย่นคิ้วอยู่นะ แต่ก็หลุดหัวเราะออกมากับคำบ่นของมัน

ก็จริงอย่างที่พวกมันพูด ผมทั้งอ่อนไหว ทั้งดื้อ ทั้งงี่เง่า เรียกได้ว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยล่ะ แต่ก็นะ ช่วยไม่ได้ สถานการณ์นั้นมันทำให้ผมคิดมากนี่

“แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมีแต่เรื่องแย่ๆ หรอกนะ ไอ้ดื้อมันก็มีส่วนดีอยู่เยอะ เวลามันรักใคร มันรักจริง แล้วมันดูแลแฟนมันดี” ไอ้แสบว่าออกมาอีก

ได้ยินเสียงปั้นรักหัวเราะตามมา พลางว่า “ไอรู้อยู่แล้วเรื่องนี้ ดูแลดีจริงๆ แหละ”

ผมยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนเสียงของจอมแก่นจะดังตามมา

“ผมฝากพี่ปั้นดูแลพี่ดื้อด้วยนะครับ พี่ดื้อเขาอกหักบ่อยแล้ว อยากเห็นเขามีความสุขบ้าง”
“ไม่ต้องบอก ไอก็ดูแลอยู่แล้วล่ะ งี่เง่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ขนาดนี้ ปล่อยไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวชาวบ้านเขาเดือดร้อน”
“พูดอย่างกับว่ามันเป็นหมา เอาโซ่ล่ามมันไว้ดีๆ แล้วกัน พาไปฉีดวัคซีนให้ครบกำหนดด้วย”

ไอ้แสบแซว หลังจากนั้นก็พากันหัวเราะเสียงขรม ผมเองก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน พลันเดินเข้าไปในครัว มองไอ้แสบกับจอมแก่นที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ขณะที่ปั้นรักกำลังทอดอะไรสักอย่างให้พวกมันอยู่ พลางว่าขึ้น

“เอ้าๆ สุมหัวกันนินทาสนุกเลยนะ”
พวกมันหันมามองหน้าผมเป็นตาเดียว ก่อนที่จอมแก่นจะโบ้ยความคิดให้พี่ชายคนโต
“พี่แสบเริ่มก่อน”
“มึงไม่ต้องมากูเริ่มก่อนเลยไอ้แก่น ถ้าไม่มีคนถาม กูจะพูดเหรอ” ว่าพลางมองไปยังปั้นรัก
“ปั้นเป็นคนเริ่มนินทาพี่เหรอฮึ?” ผมแกล้งถาม
ปั้นรักทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน “ไอก็ชวนคุยไปเรื่อย”

เดาว่าตอนนี้พวกพี่กับน้องผมคงรู้หมดแล้วว่าระหว่างผมกับปั้นรักเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นผมจึงไม่พูดอะไร นอกจากจะเดินเข้าไปกอดเอวปั้นรักที่มือหนึ่งถือตะหลิว อีกมือจับด้ามกระทะอยู่เท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ชวนพี่คุยบ้างสิ”
“เดี๋ยวน้ำมันกระเด็นใส่ ถอยไป” ปั้นรักโวยนิดๆ จับด้ามกระทะที่มีไส้กรอกทอดออกห่าง
“น้ำมันกระเด็นไม่กลัว กลัวปั้นไม่รัก”
ผมว่าเย้าทำเอาไอ้แสบที่นั่งมองอยู่เบ้หน้า

“เหม็นความรักโว้ย!”
ตามมาด้วยเสียงของจอมแก่นที่หัวเราะกับคำพูดของพี่ชายคนโต
“ข้าวใหม่ปลามันก็แบบนี้แหละพี่แสบ”
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่พวกมันเล็กน้อย ก่อนจะสวนกลับไป
“มึงก็ไม่ต้องมานั่งดู กูจะจู๋จี๋กัน เอาเวลามานั่งแซวกูไปนอนเถอะไอ้แสบ ปกติเวลานี้มึงยังไม่ตื่นไม่ใช่หรือไง แล้วมึงไม่ไปเรียนหรือไงไอ้แก่น มัวละเลียดกินอยู่ได้ จะสายแล้วเนี่ย”
ไม่สวนกลับเฉยๆ ยังไล่พวกมันอีก แต่ไอ้สองคนพี่น้องนั่นก็ยังไม่ไปไหน แถมยังลอยหน้าลอยตาใส่ผมอีก

“กูยังไม่ได้กินไส้กรอก กูไม่ไป”
“ผมก็ยังกินไม่อิ่มเลย”

ทีงี้ล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะพวกมึง!

“เอ้า ปล่อยได้แล้ว จะไปหยิบจาน”

ปั้นรักแสร้งทำทีไม่สนใจกับการทะเลาะกันเล็กๆ ระหว่างผมกับพี่น้อง ดึงแขนผมออก แล้วดันผมให้ไปนั่งรวมกับไอ้แสบและจอมแก่นแทน ครู่หนึ่ง ปั้นรักก็ตักไส้กรอกที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ ใส่จานมาวางให้กลางโต๊ะ เท่านั้นไอ้แสบก็รีบดึงจานเข้าหาตัวทันทีที่เห็นผมคว้าส้อมจะจิ้มลงไป

“ของกูกับไอ้แก่น มึงมาทีหลัง อย่าคิดจะได้กินไส้กรอกปั้น”
ผมย่นคิ้วยู่ “อะไรของมึงวะ”
“อยากกินไปทอดเองเลย อันนี้ค่าจ้างที่ผมกับพี่แสบเล่าเรื่องพี่ดื้อให้พี่ปั้นฟัง” จอมแก่นหัวเราะออกมาน้อยๆ ขณะพูดประโยคนี้
เห็นก็รู้เลยว่าไอ้สองคนนี้มันกำลังรวมหัวกันแกล้งผม ชัดเจนด้วยว่าที่ปั้นรักมายืนทำนู่นทำนี่อยู่หน้าเตาเป็นเพราะติดสินบนพี่กับน้องของผม แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะต่อให้ไม่ได้กินไส้กรอกที่ปั้นรักทอด แต่ผมก็มีอย่างอื่นให้กิน

...คนข้างๆ ผมไง

“กูไม่สนใจไส้กรอกของพวกมึงหรอก กูมีของกินของกูแล้ว”
พอผมพูดมาอย่างนี้ ทั้งไอ้แสบกับจอมแก่นก็มองผมเป็นตาเดียว ส่วนปั้นรักก็หันมาถามผมด้วยสงสัย เพราะไม่เห็นว่าตรงหน้าผมจะมีจานข้าวเลย
“กินอากาศหรือไงยูน่ะ”

ผมหันไปยิ้มให้คนพูด ก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งลำคอของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจของเราปะทะกัน ก่อนที่ผมจะกระซิบบอกเสียงเบา

“กินปั้นต่างหาก”

สิ้นเสียงก็ประทับจูบลงไปบนริมฝีปากของคนตรงหน้า พลันหูก็ได้ยินเสียงของไอ้แสบดังมาให้ได้ยิน

“อู้ว... ไอ้แก่น ปิดตาเลยมึง อันนี้เรต ฉ. ไม่เหมาะกับเด็ก”

ไม่พูดเปล่า ยื่นมือไปปิดตาน้องชายที่กำลังกินข้าวอยู่อีกต่างหาก ส่วนมืออีกข้างก็จิ้มไส้กรอกเข้าปาก สายตามองผมที่กำลังจูบปั้นรักเขม็ง ปล่อยให้จอมแก่นโวยวายออกมา

“อะไรของพี่แสบเนี่ย มองไม่เห็นจะกินข้าวได้ไง พี่ดื้อก็รีบๆ กินให้เสร็จเร็วๆ เข้า เดี๋ยวผมไปเรียนสาย”
ประโยคหลังร้องเร่งผม ผมไม่สนใจมันหรอก แต่ปั้นรักดันผลักผมออก เป็นอิสระได้ก็นิ่วหน้าบ่นผม

“โว้ย! หื่นแต่เช้าบักหำนี่”
ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ปั้นรักที่ด่าแล้วก็ขำไปด้วย
“เป็นแค่กับปั้นคนเดียวเท่านั้นแหละ” ผมแกล้งว่าให้ปั้นรักเขินอาย
มันก็ได้ผลนะ ซีกหน้าของมันแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ ก่อนมันจะลุกขึ้นยืน แล้วดึงผมให้ลุกขึ้นตาม
“ถ้าอยากกินมากก็ไปกินบนห้อง ตรงนี้ไม่ถนัด ถึงไอจะโตที่อเมริกา แต่ก็ไม่ได้ชอบเปิดเผย” จากนั้นก็หันไปบอกพี่กับน้องของผม “ขอตัวพาพี่ดื้อไปกินไส้กรอกไอก่อนนะ”

ไอ้แสบถึงกับสำลักกับความพูดตรงของปั้นรัก ขณะที่จอมแก่นมองด้วยสีหน้าตื่นๆ ด้วยไม่คิดว่าตัวตนจริงๆ ของปั้นรักจะพูดตรงขนาดนี้

คงจะมีเรื่องนี้แหละที่ผมเอาคืนพวกมันโทษฐานที่รวมหัวกันแกล้งผมได้ ปั้นรักมันกวนประสาทได้ทุกที่ทุกเวลาและกับทุกคนจริงๆ

เดินพ้นออกมาจากห้องครัวแล้ว ผมก็ดึงมันไปกอด กระซิบใส่ข้างหู
“พูดเองนะว่าจะให้พี่กิน”
ปั้นรักเหลือบมองยิ้มๆ “จะให้กินจนกว่าเราจะรู้จักกันดีเลย ไม่ต้องห่วง”

หลังจากนี้ ผมคงต้องใช้เวลาศึกษากันและกันนานหน่อยแล้วล่ะ

ต้องศึกษากันอย่างละเอียดและลึกซึ้งเลยทีเดียว...ปั้นรักของพี่ดื้อ
 --------------------------------------
สุดท้ายแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้
ในฉบับสมบูรณ์แบบอีบุ๊กและรูปเล่มมีตอนพิเศษ 3 ตอน ซึ่งเนื้อหาจะต่อเนื่องจากนี้อีกหน่อย มันจะสมบูรณ์กว่านี้ ไว้เดี๋ยวหนูแดงเอาตัวอย่างตอนพิเศษมาแปะให้อ่านนะคะ
ส่วนหนังสือกับ Ebook ก็รอหน่อยเน้อ ใกล้แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-08-2017 00:19:13
 o13

 :กอด1: :L2: :pig4: :pig4: :pig4:  :L2: :กอด1:

หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 20-08-2017 11:49:55
สนุก อ่านไปอมยิ้มไปทั้งเรื่องเลย เรื่องราวน่ารักๆ เบาสมองอ่านแล้วผ่อนคลาย ชอบปั้นรักกับจอมดื้อเป็นคู่ที่ลงตัวจริงๆ สำหรับนิยามความรักของคู่นี้ต้องใช้คำว่ารักกันปานจะแหก...ดม ตามที่น้องปั้นเคยกล่าวไว้ 55555
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2017 14:59:53
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 20-08-2017 20:00:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Secsec ที่ 22-08-2017 03:18:03
เป็นเรื่องที่น่ารักมากกกกก อ่านไปยิ้มไป อยากให้มีตอนพิเศษจัง
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 23-08-2017 15:08:02
สนุกดีฮะ ขอบคุณมาก ตามมาตั้งแต่พี่เหนือ แต่ชอบปั้นอ่ะ 5555+
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 23-08-2017 19:20:20
อ่านรวดเดียวจบเลย ปั้นรักน่ารักและตลกมากๆค่ะ พี่ดื้อก็น่าสงสาร 555+

ขอบคุณนิยายสนุกๆเรื่องนี้ด้วยค่ะ อ่านเพลินๆ อ๊าาา...จบซะแล้ว รอติดตามเรื่องใหม่ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 24-08-2017 10:55:20
เป็นคู่ที่เหมาะสมกันแปลกๆ อ่านไปฮาไป
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 25-08-2017 17:04:50
ตอนแรกๆก็รู้สึกยุ่งยากใจแทนพี่ดื้อแปลกๆเพราะปั้นรักนี่สุดๆจริงๆ แต่หลังจากชอบและหลงจนรักนี่หวานมากถึงแม้เด็กปั้นจะชอบทำลายความโรแมนติกก็เหอะ น่ารักสุดๆเลย ขอบคุณมากนะคนเขียน
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 04-09-2017 23:31:49
 o13 :laugh:
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Ashita ที่ 18-11-2017 22:05:26
อ่านจบแล้วอยากไปลาวเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 18-11-2017 22:43:26
ยกนิ้ว  o13 o13 o13

..ลุ้นมาจากช่างใจรัก  :mc2:

จะตามติดจอมอื่นเช่นกันนะจ้ะ [ขอให้มาเขียนต่อที่นี่ด้วยนะ]  :mc3: :m3:
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 28-11-2017 20:15:53
เขียนดีมากค่ะ ขำแล้วขำอีก
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 01-12-2017 20:32:10
 :hao7: :hao7: :hao7:ชอบๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 22-01-2018 18:08:56
อ่านตั้งนานแล้ว นานมากๆๆๆ
แต่เพิีงจะมาเม้นท์ งงตัวเอง
ชอบพี่ดื้อนะ ชัดเจนดี
แต่กับปั้นรัก คงต้องมีเวลาศึกษามากกว่านี้
ถึงตอนแรกปั้นรักจะกวน(มาก)ไปหน่อย
ทำให้เราไม่ค่อยถูกชะตานัก
แต่ก็หยวนๆเมื่อยอมตามมาง้อพี่ดื้อถึงเมืองไทย
รักกันนานๆเด้ออออออ
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 05-03-2018 20:11:28
โอ้ย ฮามาก ชอบมากค่ะ  :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: สะบายดีจอมดื้อ ສະບາຍດີຈອມດື້[พี่น้องสามจอม The Series]-บทนำ[08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-03-2018 02:58:42
 :jul3:  :m20: ฮามาก โอ้ย 5555555555


ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะปิ๊งกันยังไง ตลกมาก 5555

ปั้นไปความมั่นใจในการแต่งตัวแบบนั้นมากจากไหน 5555
หัวข้อ: Re: ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งที่11:ปั้น(น่า)รัก[17/7/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-03-2018 19:09:39
ว้าย!  :o8: อะไรยังไงคะ เขินนนนน อยู่ๆ ดีๆ ปั้นมาน่ารักเฉย

ตอนกวนตีน พูดไม่ฟังโน่นนี่เรานี่ไมเกรนจะกิน ความดันจะขึ้น

บอกเลยแค่อ่านก็คิ้วขมวด ปวดหัวตามดื้อ จะบ้าให้ได้ตรงนั้น 55

บอกเลยจุดๆ นั้น อยากต่อยปั้นให้เงียบสักที

หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-03-2018 21:54:34
โอ้ย ตลก  :jul3:  ขนาดม่ายังตลก ดีมากๆค่ะ

เราไม่ชอบม่าบีบน้ำตา  อ่านแล้วยิ้มขำไปด้วยตลอด

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 21-04-2018 08:24:50
ถ้ามีคนแบบปั้นรักสักร้อยคนบนโลกนี้
ต้องมีคนปวดประสาทตายแน่นอนอะ
5555555555555555
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 31-07-2019 12:26:52
สนุกมากเลยยย ถึงปั้นรักจะกวนตีนมากกกก ก็เถอะ ชอบการเขียนบรรยายของคุณนักเขียนมากมันดูสมู้ดดี ของคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Wharnnn ที่ 21-08-2019 15:00:02
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ เพลิน ฮามากก
แรกๆ หมั่นไส้ปั้นเพราะน้องมันชอบกวน55 แต่หลังๆ น้องน่ารัก พูดตรงมาก พี่ดื้อหลงนี่ไม่แปลกใจเลยยย


Sent from my iPhone using Tapatalk