แปะตอนสุดท้ายแล้วนะคะ ถ้ามีโอกาส ก็จะมาเขียนตอนพิเศษให้อ่านนะคะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และคอมเมนต์เป็นกำลังใจ พูดคุย แนะนำ แสดงความคิดเห็นต่อนิยายเรื่้องนี้ ได้อ่านทุกคอมเมนต์นะคะ ถึงจะไม่ได้ตอบหรือพูดคุยด้วยตลอดก็ตาม สำหรับนิยายเรื่องที่อัพค้างอยู่ก็จะมาต่อเรื่อย ๆ ค่ะ (ตั้งแต่วันจันทร์นี้ไปก็เริ่มว่างแล้วค่ะ)
--------------------------
======
บทที่ 22 (จบ)
======
เซอิจิถอนหายใจเบา ๆ หลังจากเล่าจบ เขามองยูคิซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา โดยมีริวยะลูบหัวปลอบโยนอยู่ข้าง ๆ เพราะไม่คิดว่าตาของตัวเองและอีกฝ่ายจะมีอดีตอันน่าเศร้าแบบนี้มาก่อน
“นี่ล่ะเรื่องของฉันกับตาของเธอ เธอคงไม่รู้เลยสินะ ตาของเธอคงไม่อยากพูดถึงคนอย่างฉันให้หลานอย่างเธอได้ฟังล่ะสิ”
น้ำเสียงเศร้า ๆ ทำให้ยูคิเช็ดน้ำตาของตนให้แห้ง แล้วรีบแย้งกลับไปทันที
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ!”
คนอื่น ๆ สะดุ้งโหยงกับเสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม ยูคิรู้สึกตัว จึงก้มหัวขอโทษค่อย ๆ
“เอ่อ... คือผมอยากบอกว่า คุณตาเองคงไม่โกรธคุณหรอกครับ”
คำพูดของยูคิทำให้ทั้งเซอิจิ และริวยะหันมามองด้วยความสนใจ เด็กหนุ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ถูกจ้องมอง แต่ก็ยังกล่าวต่อไปอีก
“คุณตาของผมไม่ใช่คนที่จะอาฆาตแค้นใครกับเรื่องแค่นี้แน่ โดยเฉพาะคน ๆ นั้นได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของคุณตาด้วยแล้ว”
เซอิจิเงียบไปเมื่อได้ฟัง ก่อนเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แต่การที่เขาหนีหน้าหายไปจากฉันแบบนั้นล่ะ จะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง”
“ผมก็ไม่แน่ใจ...”
ยูคิบอกไม่เต็มเสียง เขาเงียบไปสักพัก แล้วก็ทำท่าฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
“บางทีนะครับ ถ้าได้อ่านสมุดบันทึกของคุณตาอาจจะรู้ก็ได้!”
“สมุดบันทึก?” เซอิจิทวนคำ และก็ต้องแปลกใจที่จู่ ๆ คนที่ทำท่าดีใจ กลับสลดลงไปอีกรอบ
“ครับ ...คุณตาชอบเขียนบันทึกส่วนตัวยามว่าง แต่ว่า...บันทึกของคุณตา ไม่อยู่แล้ว เพราะ...”
ยูคิลอบชำเลืองมองไปทางริวยะ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสบตาอีกฝ่าย เจ้าตัวก้มหน้ามองพื้น บอกต่ออุบอิบ
“ของทุกอย่างของคุณตา ไม่สิ ของทุกอย่างที่บ้านเก่า มัน...”
ริวยะถอนหายใจเบา ๆ และหันไปทางทาคุซึ่งอยู่ในห้องด้วย
“ทาคุ พายูคิไปที่ห้องนั้นทีสิ”
ทาคุโค้งรับคำสั่ง และหันมากล่าวกับยูคิอย่างสุภาพ
“คุณยูคิ เชิญตามมาทางนี้ครับ”
ยูคิลุกขึ้นเดินตามทาคุไปอย่างงง ๆ โดยมีริวยะยิ้มอย่างอ่อนโยน มองต่างร่างบางไป ฝ่ายเซอิจิเมื่อชำเลืองมอง เห็นสีหน้าเช่นนั้นของบุตรชาย จึงลอบถอนหายใจกับตัวเอง แล้วยิ้มออกมาน้อย ๆ เช่นกัน
ทาคุพายูคิมาหยุดยืนหน้าประตูห้อง ๆ หนึ่ง และเมื่อชายหนุ่มยิ้มพร้อมเปิดประตูห้องให้ ยูคิก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อข้าวของ เครื่องใช้ ของส่วนตัวที่บ้านเก่านั้น ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบอยู่ภายในห้อง
“ของ ๆ ฉัน ที่บ้านโน้นนี่นา!”
ยูคิอุทานด้วยความประหลาดใจ ปนตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นของเหล่านี้อีก เนื่องจากคิดว่าริวยะทำลายทิ้งไปพร้อมบ้านเก่าแล้ว เจ้าตัววิ่งไปสำรวจ สิ่งของต่าง ๆ อย่างดีใจ จนทาคุต้องเอ่ยปากเตือน
“คุณยูคิครับ ไว้ค่อยมาสำรวจของเหล่านี้ทีหลังก็ได้ครับ แต่ตอนนี้เราไม่ควรให้คุณริวยะ และท่านเซอิจิต้องรอนานนะครับ”
ยูคิชะงัก ก่อนจะหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้ จากนั้นเจ้าตัวก็ลงมือค้นหาบันทึกของโคบายาชิ เรียว ซึ่งก็ใช้เวลาสักพัก ในที่สุดก็เจอ
“นี่ไง ของ ๆ คุณตาทั้งหมด!”
ยูคิหยิบลังไม้ลังใหญ่ ยกออกมาจากด้านล่างตู้โชว์ซึ่งตั้งอยู่ในห้อง พอเปิดลังดูก็พบว่า ข้างในนั้นมีสมบัติส่วนตัวของโคบายาชิ และสมุดบันทึกเล่มหนา ๆ อยู่ราว 10 เล่ม
“นี่ไง ทาคุ...”
ยูคิเรียกชายหนุ่มมาดู พร้อมกับหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกไปมา พลางมองอย่างรำลึกความหลัง
“คุณตาของฉันน่ะชอบเขียนบันทึก เวลาตอนฉันเด็ก ๆ ฉันเคยถามท่านว่าเขียนไปทำไม ท่านก็หัวเราะ แล้วบอกว่า สมุดบันทึกเหล่านี้ คือตัวแทนของท่าน เป็นความทรงจำอันล้ำค่า ที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษร ตัวตนของท่านทั้งหมดจะคงอยู่ตราบเท่าที่สมุดบันทึกเหล่านี้ยังอยู่...”
“เป็นคุณตาที่น่านับถือนะครับ”
ทาคุเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งยูคิก็ยิ้มรับ
“ใช่ ฉันรักคุณตาของฉันมากที่สุด และเชื่อเถอะ คุณตาต้องไม่หนีหน้าไปเพราะโกรธคุณเซอิจิด้วยเรื่องแค่นั้นแน่นอน ต้องมีเหตุผลที่มากกว่านั้นแน่ ฉันเชื่อมั่นอย่างนั้น!”
ชายหนุ่มยิ้ม และอาสาช่วยถือสมุดบันทึก ซึ่งยูคิก็ส่งให้ครึ่งหนึ่ง ทั้งที่ทาคุบอกว่าจะถือให้ทั้งหมด แต่เด็กหนุ่มยืนกรานไม่ยอม ลงท้ายคนที่มีหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่วนตัว ก็ต้องยอมรับข้อเสนอ ให้อีกฝ่ายช่วยถือครึ่งหนึ่งแต่โดยดี
“ขอโทษครับที่ทำให้รอนาน”
ยูคิกล่าว พร้อมกับเดินคุกเข่ามานั่งข้างหน้าเซอิจิ และส่งยื่นสมุดบันทึก ทั้งหมดที่เขาและทาคุถือมาให้
“ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่ผมเชื่อว่า ในบันทึกของคุณตา ต้องมีเรื่องของคุณอยู่ด้วยแน่นอน”
เซอิจิซึ่งหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง มาลองเปิดอ่านผ่าน ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว
“ทำไมเธอมั่นใจแบบนั้นล่ะ”
คำถามที่ทำให้คนฟังยิ้ม และบอกตอบอย่างอ่อนโยน
“เพราะผมเคยถามคุณตาอยู่ครั้งหนึ่ง ว่าคุณตาเขียนอะไรลงไปบ้าง คุณตาก็บอกว่า เขียนเรื่องสิ่งที่คุณตาชอบ เขียนเรื่องคนที่คุณตารัก พอผมถามต่อว่า คนที่คุณตารักมีใครบ้าง ตอนนั้นคุณตาก็ไล่ชื่อ คุณย่า คุณแม่ คุณพ่อ แล้วก็ผม และคนอื่น ๆ ที่ท่านรู้จัก แต่คนสุดท้ายที่ผมจำได้เสมอไม่มีวันลืม แม้เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อสมัยผมยังเด็กมากก็ตาม…”
ระหว่างที่ยูคิกำลังกล่าวให้ชายสูงอายุฟัง ริวยะเองที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องก็เริ่มสังเกตได้ว่า เด็กหนุ่มหายหวาดกลัว และเริ่มชินกับพ่อของตน เห็นได้จากการที่เจ้าตัวไปนั่งคุยกับอีกฝ่ายใกล้ ๆ เหมือนดังเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“คุณตาทำหน้าระลึกความหลังอยู่สักพัก แล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ท่านบอกว่า ท่านเขียนถึงเพื่อนรักของท่านคนหนึ่ง คนที่แม้ชีวิตนี้ไม่อาจไปพบกันได้อีก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คน ๆ นั้นก็ยังเป็นเพื่อนรักที่สุดตลอดกาลสำหรับท่าน”
เซอิจินิ่งเงียบ รู้สึกจุกแน่นในอกขึ้นมาเฉียบพลัน เมื่อได้ยินประโยคบอกกล่าวถึงความรู้สึกอันแท้จริงของเพื่อนรัก จากเด็กหนุ่มผู้เป็นหลานชายเพื่อนตรงหน้า
“มาถึงตอนนี้ ผมพอจะเข้าใจแล้วครับว่า เพื่อนรักคนที่คุณตาหมายถึง คือใคร”
ยูคิบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมาจากกองสมุดตั้งนั้น มันเป็นสมุดบันทึกที่มีปกเป็นสีดำมีกรอบนูนทองตรงหน้าปก
“และที่ผมจำได้ดีก็คือสมุดเล่มนี้ครับ...สมุดที่คุณตาเขียนเป็นเล่มสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต”
เซอิจิจ้องมองสมุดเล่มนั้น และเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่กล่าวต่อไป
“คุณตาบอกกับผมในวันนั้นว่า... สักวันหนึ่งอยากจะให้คน ๆ หนึ่งได้อ่าน ซึ่งพอผมถามว่าเป็นใคร ท่านก็ไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มให้ และในคืนนั้น ท่านก็จากไปอย่างสงบ...”
ยูคิยื่นส่งให้กับมือของชายชรา และจับมือของอีกฝ่ายที่นั่งนิ่งให้รับมันไว้
“ผมส่งต่อให้แล้วนะครับ ผมเชื่อเหลือเกินว่า เพื่อนที่คุณตาท่านบอก ก็คือคุณนั่นเองครับ”
เซอิจิไม่พูดอะไร นอกจากเปิดบันทึกดู เขาเปิดไปหน้าหลัง ๆ แล้วก็ต้องสะดุดกับข้อความ ๆ หนึ่ง
[ถึง เซอิจิ เพื่อนรักของฉัน]
ชายชราชะงัก มือสั่นเทา และตัดสินใจอ่านข้อความในหน้านั้นต่อ โดยมีคนอื่น ๆ มองดู อย่างเอาใจช่วย
[ฉันหวังเหลือเกินว่าจะมีปาฏิหาริย์ใดก็ตาม ทำให้นายได้มีโอกาสอ่านสมุดบันทึกของฉันเล่มนี้ ฉันรู้ตัวดี ว่าคงเหลือเวลาอยู่อีกไม่มาก ฉันรู้สึกผิดที่ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีนี้ ฉันไม่เคยโผล่หน้ากลับไปหานายเลยสักครั้ง ฉันรู้ วันนั้นที่ฉันจากนายมา มันทำให้นายเจ็บปวด ทำให้นายไม่เข้าใจในตัวฉัน นายคงคิดสินะ ว่าฉันโกรธนาย เกลียดนาย อยากตัดความสัมพันธ์กับนาย...
แต่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพื่อนรัก...ฉันไม่เคยนึกโกรธนาย เกลียดนาย แต่อย่างใด นายกับซายูริ เหมาะสมกันมากที่สุดแล้ว ฉันดีใจที่นายสองคนหมั้นกัน ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่เอาแต่ใจ และใจร้อน ซายูริ เป็นคนใจเย็น มีเหตุผล ถ้านายเป็นไฟ ซายูริ ก็เหมือนเป็นน้ำคอยดับไฟ ฉันมั่นใจว่าชีวิตคู่ของพวกนายจะต้องราบรื่นเป็นแน่
เพราะอย่างนั้น ฉันจึงจำต้องจากมา ...ฉันรู้ ถ้าฉันยังอยู่ นายย่อมไม่มีวันจะลงเอยกับซายูริได้ นายคงจะเกรงใจฉัน และพยายามหาทางทำให้ฉันกับซายูริ ลงเอยกันให้ได้แทน ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันปรารถนาจะให้เกิดขึ้นเลย
เพื่อนรัก ... นายไม่ต้องแก้ตัวหรอกนะ ว่านายจะไม่ทำดังเช่นฉันว่า ฉันติดตามข่าวคราวของพวกนายตลอด โชคดีที่พวกนายทั้งคู่เป็นคนของสังคม คนธรรมดาอย่างฉันจึงสามารถตามข่าวคราวได้ไม่ยาก ฉันรู้สึกเสียใจมาก ที่การจากมาของฉัน ทำให้นายเย็นชากับซายูริจนเกือบจะเลิกกัน และดีใจที่พวกนายทั้งคู่ได้แต่งงานกันแม้จะใช้เวลายาวนานหลังจากหมั้นกันเกือบสิบปี
พอถึงเวลานั้นฉันควรจะไปอวยพรกับพวกนายได้แล้ว แต่เจ้าความคิดบ้า ๆ บางอย่างของฉัน ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า คนอย่างฉันยังจะมีหน้าไปพบนายได้อีกอย่างนั้นหรือ เวลาเปลี่ยน คนอาจเปลี่ยนแปลง คนที่มีพร้อมทุกอย่างเช่นนาย ยังจะรับฉันเป็นเพื่อนอีกไหม
มาถึงตอนนี้ ตอนที่มันสายไปแล้ว ฉันถึงได้คิดว่า ฉันมันบ้าไปเอง...เซอิจิ ฉันไม่น่าดูหมิ่นน้ำใจของนายเลย นายคนที่ยอมรับคนอย่างฉันเป็นเพื่อนรัก นายคนที่ไม่เคยแคร์ว่าฉันจะยากดี มีจน ยอมคบหากับคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างฉัน แล้วทำไมแค่เวลาไม่กี่สิบปี จะทำให้คนอย่างนายเปลี่ยนไปได้ล่ะ
เซอิจิ...ฉันขอโทษ แม้ไม่อาจได้พูดต่อหน้านาย แต่จงรับรู้ไว้เถิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คนที่ฉันนับเป็นเพื่อนรักตลอดกาล มีเพียงนายคนเดียวเท่านั้น....
โคบายาชิ เรียว ....เพื่อนของนาย]
มือสั่นเทาถือสมุดบันทึกค้างไว้อย่างนั้น หยาดน้ำใส ๆ ไหลรินจากดวงตาทั้งสอง จนหยดลงบนกระดาษสมุด โดยคนอ่านไม่รู้ตัว
“หมอนั่น ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บ้าจริง ๆ”
เสียงพึมพำจากปากของชายสูงอายุ ก่อนจะปิดสมุดบันทึกเล่มนั้น และจ้องมองใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานของเพื่อนรัก คนที่ถอดพิมพ์ความกล้าหาญ ความซื่อตรง และความอ่อนโยน มาจากเพื่อนสนิทของเขาได้เกือบหมด
“ฉันขอบใจเธอมากนะ...ยูคิ ที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ยูคิแย้มยิ้มรับอย่างยินดีเป็นที่สุด
“ตกลงคุณตาไม่ได้โกรธคุณใช่ไหมครับ คุณตายังคิดกับคุณเป็นเพื่อนรักเหมือนเดิมใช่ไหมครับ!”
เด็กหนุ่มซักถามพลางจับมืออีกฝ่ายเขย่าเบา ๆ อย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้ง พลางดึงมือกลับ พร้อมก้มศีรษะโค้งให้อย่างสำนึกผิด
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน”
เซอิจิยิ้มน้อย ๆ และใช้มือลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ภาพที่ทำให้ทุกคนในห้องที่เกี่ยวข้องถึงกับไม่อยากเชื่อสายตา แม้แต่ริวยะผู้เป็นลูกชายแท้ ๆ ก็ตาม
“ไม่เป็นไร หลานของโคบายาชิ ก็เหมือนหลานของฉัน ต่อไปนี้เธอเรียกฉันว่า ตาแทนก็ได้”
ยูคิอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แต่ส่วนลึกก็แอบดีใจ ที่ตัวเองได้รับการยอมรับจากคนตรงหน้า
“เรียกแบบนั้นไม่ได้สิครับคุณพ่อ”
เสียงขัดจากคนที่นั่งเงียบอยู่นานทำให้คนอื่น ๆ หันไปมองแทบพร้อมกัน
“มีอะไรขัดข้องงั้นหรือริวยะ”
น้ำเสียงของชายชราเข้มขึ้นทันที จนยูคิที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะดุ้งเล็กน้อย
“ก็...ความจริงยูคิมีศักดิ์เป็นสะใภ้คุณพ่อด้วยซ้ำ จะให้เรียกตาได้ยังไงล่ะครับ”
ริวยะเฉลยต่อมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้ชายชราอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะลั่นดังตามมา
“ฮ่า ๆ เออ! มันก็จริงของแก! เอาเป็นว่าต่อไปนี้ฉันรับเด็กนี่เป็นลูกสะใภ้ เธอก็เรียกฉันว่า พ่อ เหมือนที่ริวยะเรียกก็แล้วกันนะยูคิ!”
ยูคิหัวเราะแห้ง ๆ รับคำพูดอะไรไม่ออก ทาคุเองก็อมยิ้ม ฝ่ายทาคาอิ ที่เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของเซอิจิหัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่คิดมาก่อนว่าพ่อลูก ตระกูลมุราคามิ จะหัวเราะร่าเริงให้เห็นได้แบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนี้ ที่ค่อย ๆ เข้ามาเปลี่ยนคนในตระกูลมุราคามิ ผู้เคยได้ชื่อว่า เย็นชา เจ้าเล่ห์ ไม่สนใจใคร ให้อ่อนโยนลง และยอมรับในตัวคนอื่นมากขึ้นก็ได้
เซอิจิกลับไปพร้อมกับสมุดบันทึกของโคบายาชิ เรียว ที่ยูคิยกให้ทั้งหมด เด็กหนุ่มให้เหตุผลว่า คุณตาของตนคงดีใจ ถ้าได้ถ่ายทอดตัวตนทั้งหมด หลังจากแยกทางกัน ให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักได้รับรู้
ฝ่ายเซอิจิ ก็ชักชวนยูคิให้ไปเที่ยวที่บ้านใหญ่ เพราะอยากให้เจอกับซายูริภรรยาของตน ทว่าริวยะแย้งไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้มันปุบปับกะทันหันเกินไป
แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่า ที่คนรักต้องเหนี่ยวรั้งตนเอาไว้ก่อน เกิดจากสาเหตุใด
“ในที่สุดก็ได้อยู่กันตามลำพังสักทีนะยูคิ”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมน้ำเสียงทุ้มกล่าว กับร่างบางที่เจ้าตัวดึงมากอดแนบอก
“คุณต้องไปทำงานที่บริษัทไม่ใช่หรือครับ”
ยูคิพยายามบ่ายเบี่ยง ทั้งนี้เพราะพอจะคาดเดาได้ว่า หากปล่อยให้ริวยะนัวเนียอยู่แบบนี้ คงไม่แคล้วโดนอีกฝ่ายลากขึ้นเตียงเป็นแน่
“ไม่เป็นไร อากิระคอยดูแลให้แล้ว ไปช้าสักชั่วโมง สองชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา”
ริวยะไม่พูดเปล่า เขารั้งร่างบางเดินไปด้วยกันยังห้องนอนของตน ไม่สนใจว่ายูคิจะทั้งดิ้น ทั้งร้องขออ้อนวอน หรือยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง
“เลิกพยายามหาเรื่องอ้างได้แล้วยูคิ รู้ไหมว่าวันนี้ฉันดีใจขนาดไหน ที่ความรักของเราสองคน หมดสิ้นซึ่งอุปสรรคสักที ลองพ่อฉันยอมรับทั้งคนแบบนี้ เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหาอีกแล้ว”
คำพูดของริวยะทำให้ร่างบางในอ้อมแขนชะงักนิ่ง ใบหน้าแดงน้อย ๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ
“ผมเองก็ดีใจนะครับ...ที่คุณพ่อของคุณริวยะยอมรับในตัวผมได้แบบนี้”
ริวยะโน้มใบหน้าไปจูบแก้มเนียนนั้นฟอดใหญ่อย่างอดใจไม่อยู่
“เห็นไหม เธอเองก็ดีใจใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เลิกอ้างโน้นอ้างนี่ได้แล้ว”
ใบหน้าหวานแดงก่ำเงยหน้าขึ้นสบกับอีกฝ่ายทันที
“มันคนละเรื่องกันนี่ครับ อีกอย่างเมื่อคืนก็...”
บอกแล้วก็ต้องก้มหน้างุด ๆ ด้วยความเขินอาย ทำให้ริวยะหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“นั่นสิ พูดถึงเมื่อคืนก็นึกได้ ยังจำสัญญาของเราได้ใช่ไหมล่ะ หนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ เธอต้องยอมเชื่อฟังฉันในเรื่องนั้นไม่ใช่หรือไง”
ยูคิรีบเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ
“อ๊ะ! แต่นั่นหมายถึงตอนกลางคืนอย่างเดียวนี่ครับ ไม่ใช่เวลาไหนก็ได้ แบบนี้สักหน่อย”
“ใครบอกเธอแบบนั้นล่ะ” คำตอบของริวยะทำให้ยูคิอ้าปากค้าง
“ฉันบอกว่าทั้งอาทิตย์ ก็คือ ทั้งอาทิตย์ ไม่ได้จำกัดเวลาสักหน่อยว่ากลางวันหรือกลางคืน มันขึ้นกับว่าฉันอยากจะกอดเธอขึ้นมาตอนไหนต่างหาก”
บอกแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ทำเอาคนฟังต้องโอดครวญประท้วงทันที
“ขี้โกงนี่ครับ!”
“เพิ่งรู้เหรอ” คนเจ้าเล่ห์บอกหน้าตาย และไม่รอฟังคำประท้วงที่ตามมา เจ้าตัวก็ช้อนร่างบางอุ้มขึ้นและพาเข้าห้องไป จากนั้นเพียงไม่นาน เสียงเอะอะโวยวายก็เงียบหาย เหลือเพียงแต่เสียงครวญครางกระเส่าดังแผ่วเบารอดมาเท่านั้น
=====
..End...
=====
:haun4:
พระเอก เสมอต้น เสมอปลาย ดีจัง
ช้ำแน่ๆ นายเอก
ของคุณเรื่องราวดีๆ นะคับ
:L1: