พิมพ์หน้านี้ - Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 9) P.2 [11/03/2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Airiณ ที่ 28-09-2017 16:25:24

หัวข้อ: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 9) P.2 [11/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 28-09-2017 16:25:24
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************************************

สวัสดีค่ะ Airin_and เอง ^^
เรียกไอรินก็ได้น้า

สารบัญ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3711454#msg3711454)・บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3711963#msg3711963)・บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3715621#msg3715621)・บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3718853#msg3718853)・บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3724001#msg3724001)・บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3727344#msg3727344)・บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3735388#msg3735388)・บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3794199#msg3794199)・บทที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3797033#msg3797033)・บที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.msg3802555#msg3802555)

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่ลงในเล้า
My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645)・ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61530)・Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803)・Kill me gently จุมพิตอันธการ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745)

ถ้ามีอะไรผิดพลาด ยังไงก็ฝากให้คำแนะนำด้วยนะคะ

มาพูดคุยและติดตามกันได้ตามนี้เลยค่ะ
Facebook (https://www.facebook.com/airinand/)・Twitter (https://twitter.com/airin_yoku)

ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทนำ) P.1 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 28-09-2017 16:32:09

บทนำ



แสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบลงบนกระจกหลากสีของโบสถ์แบบคริสต์เป็นประกายวาววับน่ามอง บรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ทำให้สถานที่แห่งนี้ร่มรื่นและสดชื่นกว่าสถานที่อื่นๆ ทั่วไปในประเทศไทย

แต่ถึงอย่างนั้น ซันหรืออาทิตย์ เดชพิพัฒน์ ชายผู้อยู่ในชุดสูทก็อดไม่ได้ที่จะขยับคอปกเสื้อเชิ้ตที่อยู่ใต้สูทอย่างเป็นทางการเพราะความร้อนที่กำลังทำให้เหงื่อไหลลงมาจากขมับด้านข้าง

ร้อนเป็นบ้า… บางทีเขาน่าจะเข้าไปข้างในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศติดอยู่ตามจุดต่างๆ แอนดรูว์ คิง เพื่อนสนิทที่มีเชื้อสายอเมริกาแต่สัญชาติไทยเต็มตัวก็คงกำลังเตรียมตัวอยู่ด้านในเหมือนกัน ป่านนี้คงกำลังจัดแจงเสื้อผ้า เซ็ตผมให้เรียบร้อย เช็กว่ารองเท้าหนังสีดำของตัวเองมันวาวพอรึเปล่า แล้วก็อะไรต่อมิอะไรที่จะต้องออกมาให้สมบูรณ์แบบ

ก็ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อวันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้าตัว… และเขาก็มาอยู่ที่นี่ในฐานะเพื่อนคนสนิทของเจ้าบ่าว ช่างน่าขำเสียนี่กระไร

“ซัน”

ซันหันกลับไปมองตามเสียงเรียก แอนดรูว์ที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวเตรียมพร้อมจะเข้าพิธีส่งยิ้มมาให้เขา รอยยิ้มนั่นขับให้นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายสว่างสดใส เส้นผมสีบลอนด์ทองที่ถูกจัดแต่งอย่างดีเปิดรับใบหน้ากระจ่างให้ฉายชัดมากขึ้น ความหล่อเหลาที่ไม่เคยลดลงไปของเจ้าตัวทำเอาคนมองถึงกับเผลอลืมหายไปชั่วขณะ จากนั้นความเจ็บปวดและความทรมานที่เขาพยายามดันมันลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจก็พุ่งทะยานออกมาอีกครั้ง

เพื่อนรักของเขากำลังจะแต่งงาน

ไม่สิ

คนรักของเขากำลังจะแต่งงาน… กับใครคนอื่น กับผู้หญิงคนอื่นที่เจ้าตัวพามาให้เขารู้จักแค่ไม่กี่ครั้ง และในระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้นที่แอนดรูว์ได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้ทำให้ความรักเป็นปีๆ ของพวกเขาสองคนพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนแม้กระทั่งตอนนี้ซันก็ยังไม่เข้าใจว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหน ที่ผ่านมา ทุกอย่างมันช่างสวยงามและมั่นคง และไม่กี่เดือนหลังๆ คนรักของเขาก็ห่างออกไป กลับมาอีกทีพร้อมกับประกาศให้ซันรับรู้ว่าเจ้าตัวกำลังจะแต่งงานแล้ว

มันอาจจะเป็นขั้นตอนหนึ่งของชีวิตก็ได้ เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบ… แต่งงาน มีลูกสืบสกุล อะไรทำนองนั้น แต่เขาแค่หวังว่าคนรักเก่าของเขาจะบอกเรื่องความต้องการนี้ให้เขารับรู้ล่วงหน้าก่อนสักห้าปี สิบปี… ไม่ใช่ว่าคอยดูแลเอาใจใส่เขา บอกว่ารักเขามาตลอดแล้ววันหนึ่งก็ทิ้งเขาไปเพื่อวิ่งเข้าหาความสมบูรณ์แบบที่ว่า

มันเจ็บนะ… มันทรมานเกินไป แต่เขาก็พูดไม่ออกเสียที

“ไง ดรูว์” ซันยกยิ้มขณะเอื้อมมือไปขยับโบกระต่ายที่คอปกเสื้อของเจ้าตัวให้มันตรง เขายังเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนรักของอีกฝ่ายทุกทีแม้ว่าแอนดรูว์กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ก็เถอะ “สภาพแบบนี้ ออกมาเดินข้างนอก ไม่ร้อนเหรอวะ ทำไมไม่เข้าไปรอข้างในดีๆ”

“ก็ตั้งใจออกมาตามนาย” ชายหนุ่มเชื้อสายอเมริกาพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงชัดเจนเนื่องจากอยู่ที่ประเทศนี้มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ “นายเถอะ มายืนที่แบบนี้ ไม่ร้อนรึไง เหงื่อออกแล้วนั่น เข้าไปข้างในกันเถอะ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายสักหน่อยด้วย”

ซันเดินตามร่างสูงของอีกฝ่ายเข้าไปด้านในด้วยความหวังเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมา

บางทีดรูว์อาจจะพูดว่าความรู้สึกที่มีต่อเขายังไม่เปลี่ยนไป บางทีดรูว์อาจจะบอกกับเขาว่าที่ต้องแต่งงานเพราะมีเหตุผลจำเป็น แต่เรื่องระหว่างพวกเขาสองคนยังไม่จบ หรืออะไรแบบนั้น

แต่ความหวังเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมานั่นก็ต้องสลายไปอย่างรวดเร็วๆ พอกับตอนที่มันมาเมื่อคนผมบลอนด์ทองพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังหลังจากที่พาเขามาในพื้นที่เก็บของเล็กๆ ที่ลับสายตาผู้คน

“หลังจากวันนี้ไป ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งกับฉัน”

ซันรู้สึกเหมือนแข้งขาอ่อนแรงลง อาจจะทรุดลงไปกับพื้นก็ได้ถ้าไม่ใช่เพราะยืนชิดผนังด้านหลังอยู่ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะตัดรอนเขารุนแรงขนาดนี้

“แต่… ทำไมล่ะ ดรูว์? เพราะว่านายกำลังจะแต่งงานงั้นเหรอ? เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้หรือไง”

“เราเคยเป็นเพื่อนกันด้วยเหรอวะ ซัน”

นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่แทบจะเถียงไม่ออก พวกเขาสองคนคบกันมาตั้งแต่สมัยม. ปลาย และก่อนหน้านั้นก็รู้จักกันมาในฐานะเพื่อนตั้งแต่ชั้นประถม… ใช่ อย่างน้อยตอนนั้นพวกเขาก็ยังเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ นะ

“ก็… กลับไปเป็นเหมือนช่วงม.ต้น”

“นั่นมันผ่านมากี่ปีแล้วนั่น ยอมรับเถอะซัน เรากลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นไม่ได้หรอก ถึงเวลาที่เราทั้งสองคนต้องเริ่มต้นใหม่แล้ว ฉันไปทางของฉัน นายไปทางของนาย”

...เจ็บชะมัด การที่หมอนี่พูดออกมาได้หน้าตาเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้… มันเจ็บชะมัด

“นายมันโหดร้าย แอนดรูว์” เขาตัดพ้อออกมาตรงๆ และมันได้ผล นัยน์ตาสีเขียวของคนตรงหน้าเขาไหววูบ ช่วงวินาทีหนึ่งที่เขาเห็นความเจ็บปวดของดรูว์ มันเหมือนกับความเจ็บที่อยู่ในตาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แม้มันจะหายวับอย่างรวดเร็วก็ตาม

พวกเขาสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง และในที่สุดซันก็ทำลายความเงียบน่าอึดอัดลง

“นายต้องเลือกทางนี้จริงๆ เหรอ ดรูว์ นี่คือทางที่นายตั้งใจเลือกแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่ ฉันเลือกแล้ว”

“ฉันถามได้ไหมว่าเพื่ออะไร นายรักผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ หรือว่านายแค่อยากจะแต่งงาน เพื่อเติมเต็ม… อะไรก็ตามที่สังคมคิดว่าต้องมี”

“มันไม่สำคัญหรอก”

“นายอย่าเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นนะ”

“ฟังนะ ซัน” เจ้าตัวเอื้อมมือมาบีบมือเขาแน่น ถ่ายทอดความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อนผ่านสัมผัสนั้นมาอย่างชัดเจน มันเต็มไปด้วยความหวังดี ความห่วงใย… ความอุ่นซ่านนั่นทำให้ซันรู้สึกสับสน เขาเดาไม่ถูกเลยว่าอีกฝ่ายยังรักเขาอยู่หรือว่ายังไงกันแน่ “เลิกติดต่อฉันซะ เลิกยุ่งกับฉัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราจะแยกย้ายกันไป ฉันจะย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่กับภรรยาของฉัน ฉันขอร้องนายแค่อย่างเดียว ปล่อยฉันไปซะ”

ไอ้บ้าเอ๊ย… พูดเอาแต่ได้นี่หว่า แล้วคิดว่าเขาต้องรับบทเป็นนางเอกผู้เสียสละ ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้ชายหรือไง

“แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่นายขอด้วย?” พูดพลางเชิดหน้าขึ้นนิดๆ แม้หางตาจะเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาก็ตาม

“นายว่าไงนะ?”

“นายเป็นคนทิ้งฉันนะเว้ย แอนดรูว์ นายทำลายความรักของฉัน ความรู้สึกดีๆ ที่ฉันมีให้นาย… นายพังมันลงไปไม่มีชิ้นดี แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องขอนู่นนี่กับฉันอีกเหรอ”

“นี่เป็นคำขอร้องสุดท้ายฉันแล้ว” ดรูว์บีบมือเขาแน่นขึ้นและมันยิ่งทำให้ซันอยากจะร้องไห้ “ได้โปรด อย่ายุ่งกับฉัน ปล่อยฉันไปซะ แล้วไปตามทางของนาย สัญญากับฉันสิ”

“ไม่”

“ได้โปรดเถอะ”

“จูบฉัน”

คำพูดสั้นๆ นั่นทำให้คนฟังเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึง “นายว่าไงนะ?”

“จูบฉันสิ” ซันเชยคางขึ้นอีกครั้งอย่างถือดี เขารู้ดีว่าว่าที่เจ้าบ่าวคงไม่อยากจูบกับผู้ชายมั่วซั่วก่อนเข้าพิธีวิวาห์แน่ “ถ้าทำแบบนั้น ฉันจะยอมทำตามคำพูดของนาย”

“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ซัน”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของคนตัวเล็กกว่าจ้องเขาเขม็ง แอนดรูว์กระอึกกระอักขึ้นมานิดหนึ่งก่อนจะพูดเสียงอ่อยลง

“นายไม่อยากทำแบบนี้หรอก”

“ใช่สิ ก็เหมือนกับที่ฉันไม่อยากทำตามที่นายขอนั่นแหละ เอาล่ะ ถ้านายหมดเรื่องที่จะพูดแล้วก็ไปเตรียม---”

มือแกร่งกดลงบนบ่าของเขา จากนั้นเจ้าตัวก็เบียดริมฝีปากลงจูบปากเขาอย่างอ่อนหวาน โหยหา อาวรณ์ มันเป็นไปด้วยความรู้สึกแบบที่ซันยังจำได้ดี รุนแรงกว่าด้วยซ้ำ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก เขาตวัดลิ้นรับสัมผัสอุ่นซ่านนั่นอย่างกระหาย ราวกับมีหยดน้ำเล็กๆ ร่วงรินลงบนทะเลทรายที่แห้งผากในจิตใจของเขา

ดรูว์ยังรักเขา แต่หมอนี่ก็กำลังจะแต่งงานด้วย

ทุกอย่างนี้มันบ้าบอสิ้นดี ทำไมหมอนี่ถึงไม่เคยพูด ไม่เคยบอกอะไรกับเขาเลยว่าต้องการอะไร แต่กลับเลือกวิธีที่จะป่นหัวใจเขาให้เป็นผุยผงด้วยการไปเข้าพิธีวิวาห์กับคนอื่น จากนั้นก็มาจูบอย่างอาลัยกับเขาแบบนี้เนี่ยนะ? ถึงเขาจะเป็นคนท้าให้อีกฝ่ายจูบเองก็เถอะ…

“เอาล่ะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออก ซันหอบหายใจนิดๆ ใบหน้าแดงระเรื่อจนแทบจะเลยไปถึงหู “ฉันทำตามที่นายขอแล้ว ถึงตานายที่ต้องทำตามที่ฉันขอบ้าง”

“ไม่ยุติธรรมเลย” ซันคราง นึกเสียใจกับจูบเมื่อครู่ตามที่อีกฝ่ายเตือนจริงๆ เพราะมันไม่ช่วยอะไรนอกจากถลำความรู้สึกรักนี่ให้ลึกลงไป แอนดรูว์แสดงความเสียใจออกมาผ่านสีหน้าครู่หนึ่ง

“ฉันขอโทษ ซัน”

เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น เขาเบื่อคำขอโทษของคนตรงหน้าเต็มทนแล้ว

“แต่ฉันขอร้องนายจริงๆ”

เจ็บ…

“ปล่อยฉันไปเถอะนะ”

เจ็บชะมัด…

แต่เขาไม่มีทางอื่นให้เลือกมากไปกว่านั้นมาตั้งแต่แรก



เขาหวังว่าสิ่งที่เพื่อนของเขาเลือกจะคุ้มค่ากับความเสียใจของเขา



ซันยืนอยู่ข้างกายอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว พวกเขาถ่ายรูปด้วยกัน หัวเราะพูดคุยอย่างร่าเริงปะปนไปกับแขกคนอื่นๆ ในงานราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าให้ทุกคนในที่นี้รู้ก็แล้วกันว่าเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างเขาเคยนอนกับเจ้าบ่าวมาก่อน… เป็นปีๆ เลยด้วย เพราะถ้าใครสักคนรู้เขาอาจโดนถอดออกจากตำแหน่งนี้ก็เป็นได้

เขารู้ดีว่าที่ตรงนี้มันทำให้ตัวเองเจ็บ แต่เขาก็อยากยืนเคียงข้างเพื่อนสนิทคนนี้ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย เขาคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

ซันรู้สึกราวกับหัวใจถูกกระชากออกตอนที่ส่งแหวนแต่งงานให้ดรูว์ เพื่อให้เขานำมันไปมอบให้กับว่าที่ภรรยาของเขา

เขาส่งอีกฝ่ายขึ้นรถสำหรับคู่บ่าวสาวใหม่ มองดูรถคันนั้นขับหายไปจนลับสายตา



จากนั้นมาเขาก็ไม่เคยได้ข่าวคราวใดๆ แอนดรูว์ คิงอีกเลย






--------------------------------------------
เปิดไหใหม่มากองๆ ไว้ในพิพิธภัณฑ์ค่ะ (?) จะพยายามไม่โผล่หน้ามานะ เพราะควรจะไปเคลียร์เรื่องเก่าๆ ให้จบก่อน 5555555//วิ่งหนี
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทนำ) P.1 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เขียวไข่กา ที่ 28-09-2017 21:39:10
หอมกลิ่นดราม่ามาแต่ไกล
มาปักหลักรอค่ะว่าซันจะได้เจอรักใหม่ดีๆรึเปล่า แต่ก่อนหน้านั้นขอตบตีแอนดรูว์ก่อน ทำอย่างนี้ได้ไง :katai1: :katai1:

เป็นกำลังใจให้และรออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทนำ) P.1 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-09-2017 23:27:35
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทนำ) P.1 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-09-2017 17:42:51
บทที่ 1




โทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงสั่นครืดคราดพร้อมกับแผดเสียงร้องตามที่เจ้าของได้ตั้งค่าเอาไว้ให้มันส่งเสียงเมื่อถึงเวลาที่กำหนด

ชายหนุ่มที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มส่งเสียงครางขณะค่อยๆ เอื้อมมือมาควานหาต้นกำเนิดเสียงเปะปะ เสียงสายฝนและลมกระโชกแรงกระแทกเข้ากับหน้าต่างคละไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เขาตั้งค่าอุณหภูมิไว้ต่ำจนหนาวสั่น ตั้งกระชับผ้าห่มให้ลงมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้มากขึ้น

นาฬิกาปลุกที่มาจากโทรศัพท์เขายังส่งเสียงไม่หยุด ตอนนี้มันดังแข่งกับเสียงพายุข้างนอก ซันไม่แน่ใจว่าอะไรเลวร้ายกว่าระหว่างสองเสียงนี้ แต่เขาเกลียดวันที่ฝนตกหนักๆ แบบนี้ชะมัด เพราะนั่นหมายถึงความเฉอะแฉะบนท้องถนน รถที่ติดอยู่ทุกวันก็จะติดหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่า ความยุ่งยากในการกางร่มเวลาต้องเดินในที่แจ้ง

ใครชอบวันฝนตกกันบ้าง?

“อือ…” ในที่สุดชายหนุ่มก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งจนได้ หัวแม่โป้งเลื่อนปิดนาฬิกาปลุก มืออีกข้างยกขึ้นขยี้ตาด้วยความงัวเงีย

รู้สึกอยากจะนอนต่อแบบนี้ไปอีกสักสองอาทิตย์ ไม่อยากจะตื่นเลย เมื่อคืนเขานั่งทำโอทีจนถึงสี่ทุ่มกว่า กว่าจะกลับมาถึงบ้าน หาอะไรใส่ท้อง อาบน้ำ แล้วก็เช็กงานต่ออีกนิด ตอนที่หัวถึงหมอนก็ล่อเข้าไปตีสองได้ล่ะมั้ง แล้วนี่เขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเข้างานให้ทันตอนแปดโมง…

ฆ่ากันเลยเถอะ เขาง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว แต่ก็รู้ดีว่าถ้าไม่ไปทำงานวันนี้ที่ออฟฟิศอาจเกิดความโกลาหลขั้นวิกฤติได้ บางทีลูกน้องเขาอาจจะมาเคาะประตูคอนโดด้วยน้ำตาคลอเบ้า เจ้านายอาจจะส่งช่อดอกไม้มาถามไถ่อย่างเป็นห่วงพร้อมกับอวยพรให้รีบกลับมาเร็วๆ

อะไรก็ช่าง… เอาเป็นว่าเขาสำคัญกับงานที่ทำอยู่ขนาดนั้นเลยแล้วกัน และแน่นอนว่างานมันก็สำคัญกับเขาด้วยน่ะนะ

ซันจัดการภารกิจในยามเช้าเสร็จอย่างรวดเร็ว คว้าขนมปังที่เพิ่งเด้งออกจากเครื่องปิ้งใส่จานพร้อมกับหยิบแยมสตรอว์เบอร์รี่ตรงไปที่โต๊ะอาหาร

คอนโดใจกลางเมืองกรุงเทพของเขาถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน มีห้องครัวที่เชื่อมกับพื้นที่สำหรับรับแขก ห้องนอนแยกไปต่างหาก ส่วนบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ของครอบครัวเขาตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชานเมืองที่คนน้อยกว่าหน่อย ช่วงที่มีวันหยุดยาวๆ ซันก็กลับไปเยี่ยมที่บ้านเหมือนกัน ถึงหลังๆ มาจะยุ่งจนปลีกตัวแทบไม่ได้เลยก็เถอะ

ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟกับจานที่ว่างเปล่าลงในซิงค์ครัวหลังจากเสร็จภารกิจอาหารเช้า เขาเข้าไปแปรงฟันอีกรอบ จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ดวงตาลึกโหลราวกับหมีแพนด้าทำให้ซันนึกสะท้อนในใจ นี่เขานอนดึกแบบนี้มาเป็นคืนที่เท่าไรแล้วเนี่ย แล้วไอ้สภาพยังกับศพเดินได้นี่มันอะไรกัน ท่าทางเขาต้องหันกลับมาใส่ใจสุขภาพตัวเองจริงๆ จังๆ สักทีล่ะมั้งเนี่ย

“ไง ซัน” บาส หนึ่งในเพื่อนร่วมงานเขาเอ่ยทักทันทีที่ซันก้าวเท้าผ่านโต๊ะทำงานของเจ้าตัวไป ซันหันกลับไปทักตอบ ตรงดิ่งไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ริมผนังโดยมีโต๊ะของพนักงานคนอื่นอีกสี่ถึงห้าโต๊ะตั้งเป็นกลุ่มห่างจากโต๊ะเขาไป มันคือการแบ่งระดับหัวหน้ากับลูกน้องนั่นเอง และไม่น่าแปลกใจเลยที่โต๊ะเขาจะใหญ่กว่าโต๊ะสี่ห้าตัวนั้น

ซันรับไหว้ลูกน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงที่ทำงานแล้วตรงมาทักเขา จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามประสาคนยุคใหม่ที่พอมีเวลาว่างสักนิดต้องได้แตะเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่

ข้อความจากโปรแกรมแชทสีเขียวปรากฏอยู่บนหน้าจอเด่นชัด มันมาจากกลุ่มเพื่อนซี้ปึ้กสมัยมหาลัยของเขาที่มีกันอยู่ห้าหกคน



Chai: เฮ้ย พวก คืนนี้อย่าลืมนัดนะ สองทุ่ม ร้านเดิม ใครมาสายใครไม่มา คราวหน้าเลี้ยง
Kitti_Rn: แล้วคราวที่แล้วใครนะที่ไม่มา ไอ้ซันเปล่าวะที่แม่งบอกติดงานกะทันหัน รอบนี้ซันเลี้ยงสินะ
Chai: เออ ห่าซัน ถ้าคราวนี้แม่งเบี้ยวอีกกูจะบุกไปลากที่คอนโดแม่ง
GametheJoker: เออ รอบนี้ไอ้ซันต้องเลี้ยงนี่หว่า เยี่ยมๆๆ กูรอถล่มแม่งอยู่



อืม… ดูนะ เพื่อนเขาแต่ละคน รักเขาเหลือเกิน ซาบซึ้งน้ำตาจะไหลเลยเนี่ย

ว่าแล้วเจ้าของชื่อก็พิมพ์ตอบกลับไปอย่างเข่นเขี้ยว



Sunsun: ไอ้พวกบ้า รักกูเหลือเกินนะ เดี๋ยวแม่งเบี้ยวทุกนัดเลย ทีนี้กูก็ไม่ต้องจ่ายแล้วใช่ปะ
GametheJoker: เฮ้ย ไอ้ชัย เตรียมไปลากมันมาเลย ไปกับกูเนี่ยแหละ
Sunsun: เออๆๆ กูรู้แล้ว ไปได้น่าคืนนี้ แล้วเจอกัน ทำงานล่ะ



ออดเวลาเข้างานดังขึ้น ซันจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเริ่มลงมือทำงานที่ค้างเอาไว้

จ้องหน้าจอไปได้ครู่ใหญ่ โทรศัพท์สายในบนโต๊ะทำงานของเขาก็ดังขึ้น ซันยกสายรับ คุณฉัตรชัย ประธานบริษัทของเขานั่นเอง ปลายสายขอให้เขาไปหาที่ห้อง ซันเลยลุกออกจากเก้าอี้ไปเคาะประตูห้อง ระดับผู้บริหารแล้ว ห้องทำงานก็โออ่าสมกับตำแหน่งจริงๆ

“คุณซัน” ชายหนุ่มวัยห้าสิบที่แต่งตัวภูมิฐานเงยหน้าขึ้นมาจากคอม หันมายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรพร้อมกับผายมือที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “นั่งก่อนสิ งานตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ผมส่งรายงานให้ทางเอเชียซิตี้แล้วครับ แล้วก็กำลังขอให้คุณนิสรุปผลการประชุมใหญ่เมื่อคราวที่แล้ว แล้วก็--” พูดไปแล้วซันก็นึกขึ้นได้ “คุณฉัตรอยากทราบเรื่องไหนดีกว่า ถ้าให้ผมไล่ เกรงว่าจะเสียเวลาเกินไป”

ฉัตรชัยหัวเราะร่วนทันทีก่อนจะว่า “ยังยุ่งเหมือนเดิมเลยสินะ ผมเองก็หัวปั่นกับเอเชียซิตี้เหมือนกัน แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้คุณพักผ่อนพอรึเปล่า ดูเหนื่อยๆ นะ”

“ก็นิดหน่อย งานมันยุ่งจริงๆ” ซันตอบตามตรง ฉัตรเองก็รู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มไฟแรงคนนี้ทำงานถวายหัวบริษัทขนาดไหน

แต่อย่างหนึ่งที่ฉัตรชัยไม่รู้ก็คือ… การโหมงานอย่างบ้าระห่ำของซันเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณสองปีก่อน ตอนที่คนรักเก่าของซันไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น พร้อมกับคำสัญญาทิ้งท้ายว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของซันเลยก็ว่าได้

“คืออย่างนี้… คุณจำคุณแมดเดอลีน สตีเวนสันที่มาดูงานที่บริษัทเราคราวก่อนได้ไหม”

“จำได้ครับ” ซันว่า ไม่มีทางที่เขาจะลืมหญิงสาวผมบลอนด์สัญชาติอเมริกันคนนั้น หล่อนเป็นตัวแทนของบริษัทไออีซีที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่กับบริษัทของเขา อ้อ ใช่ เขาบอกไปหรือยังว่าบริษัทของเขาทำงานด้านไอที จัดเก็บข้อมูล ดูแลเครือข่าย แล้วก็อะไรอีกมากมายที่เป็นสายงานนี้

“จำข้อเสนอที่คุณแมดเดอลีนบอกว่าอยากให้คุณไปร่วมงานด้วยได้รึเปล่า”

ซันอึ้งไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาจำคำพูดทีเล่นทีจริงของหญิงสาวคนนั้นได้ แต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดไปตามมารยาทหรือแหย่เล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าหัวหน้าของเขาจะเอามาพูดจริงๆ จังๆ แบบนี้

“จำได้… จำได้ครับ”

“แล้วคุณสนใจไหม ทางนั้นส่งรายละเอียดตำแหน่งกับเนื้องานมาให้ ผมว่าจะฟอร์เวิร์ดไปให้คุณอยู่พอดี”

นี่ก็เอีกเรื่องที่ซันตะลึงเข้าไปอีก เขาไม่ใช่คนที่หลงตัวเองอะไร แต่ถึงอย่างนั้นซันก็มั่นใจไม่น้อยว่าเขามีความสำคัญกับบริษัทนี้มาก ชายหนุ่มจึงไม่คิดว่าประธานจะยอมส่งตัวเขาให้บริษัทอื่นง่ายๆ

“อย่าเข้าใจผิดครับ คุณซัน แน่นอนว่าทางเราอยากให้คุณอยู่ทำงานกับเรามาก” ฉัตรพูดดักคอราวกับอ่านสีหน้าของซันออก “แต่ทางนั้นส่งข้อเสนอมาน่าสนใจจริงๆ และผมคิดว่ามันคงเห็นแก่ตัวเกินไปถ้าจะไม่ลองให้คุณได้พิจารณาดู เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมส่งรายละเอียดที่ทางนั้นส่งมาไปให้ แล้วเอาคำตอบมาบอกผมอีกทีก็แล้วกัน”

ซันพูดขอบคุณทั้งที่ยังงงๆ และก่อนจะออกจากห้องประธานไป ชายหนุ่มก็หันกลับมาถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“แล้วถ้าผมตอบตกลง ผมก็ต้องไปทำงานที่…”

“นิวยอร์ก” ฉัตรตอบยิ้มๆ “ก็สำนักงานใหญ่เขาอยู่ที่นั่นนี่นะ”

นิวยอร์กงั้นเหรอ แปลว่าเขาต้องห่างจากบ้านไปไกลเลยสิ แถมยังไม่มีกำหนดระยะเวลา…

“เอาเป็นว่าลองค่อยๆ คิดดูก่อนแล้วกัน เพราะอันที่จริงแล้วผมเองก็ไม่อยากให้คุณไปนักหรอก” ฉัตรชัยพูดตบท้ายก่อนที่ซันจะขอตัวออกมา







ท่ามกลางเสียงดนตรีและแสงไฟสลัวๆ ของร้านอาหาร เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานของกลุ่มเพื่อนที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา ซันกลับก้มหน้าอยู่กับจานข้าวของตัวเองนิ่ง จนกระทั่งกิต เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้เขาที่สุดเริ่มสังเกต เจ้าตัวจึงยกศอกขึ้นถองเพื่อนเบาๆ ใบหน้าแดงเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวดื่มเบียร์เข้าไป

“เฮ้ย ไอ้ซัน เป็นอะไรวะมึง เงียบเชียวนะ วันนี้ อย่าบอกนะว่ากลุ้มใจเรื่องที่ต้องเลี้ยงพวกเรา”

“เปล่าๆๆ” ซันรีบเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อน “แค่เลี้ยงพวกมึงแค่นี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่กูกำลังคิดเรื่องงานนิดหน่อย”

“อีกแล้ว ไอ้ซันจอมบ้างาน” เกมที่สนิทกับเขามากกว่าใครในกลุ่มพูดพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ “แม่งตอนสมัยเรียนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ไอ้คุณชายอาทิตย์เอ๊ย อะไรทำให้เอ็งเป็นแบบนี้วะ”

“เออ จะว่าไป เราไม่ได้มารวมกลุ่มกันแบบนี้มาพักใหญ่แล้วเหมือนกันนะ” เมฆ เพื่อนอีกคนในกลุ่มพูดยิ้มๆ ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดูดจากหลอด “คราวก่อนนู้นที่ซันมาได้ ไอ้กิตติก็ไม่ว่าง คราวก่อนนู้นๆ อีกก็มีใครมาไม่ได้ เพิ่งมีคราวนี้นี่แหละที่มากันได้หมด”

“นั่นดิ คิดถึงเป็นบ้าเลย แต่เหมือนตอนเราเรียนยังมีใครอีกปะวะ เหมือนอะไรขาดๆ”

“ขาดเหี้ยอะไรวะ แก๊งเราก็อยู่กันเท่านี้”

คำพูดนั้นทำเอาซันที่รู้คำตอบว่าใครขาดหายไปใจหายวาบ ตั้งแต่ที่แอนดรูว์แต่งงานไปเขาก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากอีกฝ่ายเลยตามที่ดรูว์เคยลั่นวาจากับเขาไว้ แถม… ต่อให้ซันจะพยายามค้นหาชื่อของดรูว์ทางหน้าเฟสบุ๊คหรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ เขาก็ไม่เคยหาเจอ ตอนแรกเขาคิดว่าดรูว์แค่บล็อกเขาออกไป แต่พอลองถามเพื่อนคนอื่นๆ ซันก็พบว่าชื่อของแอนดรูว์ คิงถูกลบให้หายไปจริงๆ

และด้วยความที่เขาเป็นโปรแกรมเมอร์… ทำงานด้านคอม เขาย่อมรู้วิธีที่จะค้นหาชื่อของบุคคลคนหนึ่งด้วยวิธีที่ล้วงลึกขั้นสุด แต่เขาก็ไม่เคยเจอวี่แววใดๆ มันเหมือนกับว่าแอนดรูว์ คิงถูกลบให้หายไปจากโลกนี้เสียดื้อๆ และยิ่งมาได้ยินเพื่อนในกลุ่มพูดแบบนี้… ซันก็ยิ่งใจคอไม่ดีเอาเสียเลย

“อยู่เท่านี้บ้านแกสิวะ เรามีแอนดรูว์อีกคนไง ไอ้หัวทองๆ ที่พูดไทยชัดกว่ามึงอะ” เกมหันไปเอ็ดกิตติที่เมาจนหัวเริ่มสั่นคลอนพร้อมกับส่ายหน้า “แม่ง พอไอ้หมอนั่นย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่กับเมียมันก็หายจ๋อยไปเลย ไม่เคยติดต่อกลับมาสักครั้ง”

“แต่ซันสนิทกับแอนดรูว์ที่สุดนี่ ใช่ไหม” เมฆหันกลับมาถามเขา หมอนี่ไม่รู้เรื่องที่เขาเคยคบกับดรูว์… ซึ่งถ้าวันตามตรง ในโต๊ะนี้ คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่เกมที่กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาเห็นใจเพียงคนเดียวเท่านั้น “หมอนั่นไม่ติดต่อมาหานายบ้างเลยเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนตัวติดกันขนาดนั้น”

“หมอนั่นคงอยากเริ่มชีวิตใหม่น่ะ” ซันพูดออกไปโดยพยายามบังคับไม่ให้เสียงในคอสั่น “มัน… มันบอกเราแบบนั้นวันที่มันแต่งงาน”

“อยากเริ่มชีวิตใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งเพื่อนปะวะ” ชัยพูดพร้อมกับส่ายหน้าอย่างยอมรับไม่ได้ “ไอ้ตาเขียวนั่นแม่งไม่ได้เรื่องจริงๆ”

“ตาเขียว… ไอ้นั่นตาเขียวเหรอวะ” กิตติที่น่าจะไปก่อนเพื่อนพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าพะอืดพะอม ชัยเลยต้องรีบลากเพื่อนไปห้องน้ำ ส่วนซันที่พอได้ยินคนรอบตัวพูดถึงคนคนนั้น ใจเจ้าตัวก็ลอยกลับไปยังคืนวันในอดีตแล้ว

ดวงตาสีเขียวเป็นประกายของหมอนั่น

เส้นผมสีบลอนด์ธรรมชาติที่รับกับใบหน้าได้รูปของเจ้าตัว

รอยยิ้มสดใสที่อ่อนโยนและมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษยามที่มองเขา

คำบอกรักที่เคยกระซิบข้างหูที่มาพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่บอกว่าเราจะอยู่ด้วยกัน…

คงมีแค่เขาคนเดียวสินะที่ยังติดอยู่ในวังวนนี่ ในขณะที่ดรูว์ก้าวข้ามเรื่องพวกนั้นไปจนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขถึงไหนต่อไหนแล้ว

มีแค่เขา… ที่สะดุดล้มคว่ำลงแล้วไปไหนต่อไม่ได้ ได้แต่หยุดอยู่กับที่แบบนี้

“ซัน” เกมเรียกเขาพร้อมกับสะกิดบ่า เพื่อนคนอื่นๆ กำลังขอตัวไปสูบบุหรี่อยู่อีกที่หนึ่ง บางคนผละไปจีบสาวก็มี “มึงเมารึเปล่า ไหวไหม จะกลับบ้านเองได้รึเปล่าเนี่ย”

“ไหว กลับได้” ซันพยายามฝืนยกยิ้ม “กูกินค็อกเทลไปแค่แก้วเดียวเองนะ แค่นี้ไม่เมาหรอก”

“มึงยังรักไอ้ดรูว์อยู่อีกเหรอวะ”

คำถามนั้นทำให้ซันชะงักนิ่งไป เขายกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเฉไฉไป

“ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นวะ เกม”

“ก็ตั้งแต่ที่ดรูว์แต่งงานใหม่ มึงก็ไม่เคยคบใครเลย แถมยังเอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วมึงอาจจะไม่รู้ตัวนะ แต่มึงดูโทรมลงมากเลยว่ะเพื่อน เหมือนชีวิตเหี่ยวเฉาลงไปเรื่อยๆ”

“เฮ้ย” มากไปเปล่าเนี่ย “พอปล่อยให้พูดเข้าก็พูดใหญ่เลยนะ เกินไปว้อยไอ้บ้าเกม”

“ก็กูพูดจริงๆ อ้ะ ช่วงแรกๆ ก็เห็นมึงเฮิร์ตหนัก แดกเหล้ายังกับน้ำเปล่า พอดีขึ้นหน่อยก็ดันโหมงานหนัก ถึงจะไม่ฟูมฟายแบบตอนแรกๆ แล้ว แต่อาการก็ไม่ได้ดูดีขึ้นเลยว่ะ”

“กูไม่เป็นไร”

“กูเข้าใจนะว่ามึงคบกับไอ้ดรูว์มานาน” คนที่ไม่เชื่อถือคำพูดของเพื่อนถอนหายใจเฮือก “แต่มึงต้องทำใจได้แล้วนะ ซัน สองปีแล้วนะเว้ย ได้เวลาที่มึงต้องหาคนใหม่ได้แล้ว หรือไม่งั้นก็หาทางมีความสุขกับตัวเอง”

“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง” มึงก็พูดง่ายสิ… ไม่ได้มาเป็นกูนี่

ทั้งสองคนเงียบกันไปครู่ใหญ่ ผลัดกันดื่มเครื่องกันคนละจิบ และด้วยความที่สนิทกับเกมมากที่สุด ซันก็พูดขึ้นมาเหมือนขอคำปรึกษา

“มึง กูได้รับการเสนองานมาจากบริษัทไออีซี”

“จริงป้ะ บ.ใหญ่เลยนี่มึง ดีลเขาดีไหมล่ะ”

“ดี… ค่อนข้างดีมากเลยล่ะ” ปากว่าแบบนั้น หากสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย “เงินเดือนก็ดี สวัสดิการก็ดี”

“ก็ดีสิมึง แล้วจะย้ายไปทำที่นั่นรึเปล่า”

“แต่กูต้องไปทำที่เมกาว่ะ”

“เฮ้ย” น้ำเสียงของเกมดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที “งั้นก็ดีเลยสิ แบบนี้ไม่ตอบรับไม่ได้แล้วมั้ง ไอ้ซัน”

“ทำไมวะ” น้ำเสียงของนายอาทิตย์ลังเล “อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันจะดีได้ไง”

“ดีสิ เพราะว่าหนึ่งเลย โอกาสแบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆ” ไม่พูดเปล่า ยังอุตส่าห์ยกนิ้วขึ้นมาประกอบด้วย “สอง เอ็งจะได้ไปหาฝรั่งหล่อๆ คนใหม่แทนไอ้ดรูว์มันไง กูรู้ล่ะว่าทำไมมึงหาคนใหม่ไม่ได้สักที เพราะมึงชอบแบบฝรั่งล่ำๆ สูงๆ ผมทองๆ ล่ะสิ แล้วแถวนี้มันมีให้ซะที่ไหน ไปเลยมึง เมกา อนาคตที่สดใสมาจ่ออยู่ที่ปลายจมูกมึงแล้ว อย่ายิมเสียโอกาสนี้ไปง่ายๆ นะเว้ย”

“แต่… ถ้ากูไปเมกา…” กูก็อาจจะไม่ได้เจอดรูว์อีกเลยตลอดชีวิตก็ได้นะ…

เกมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกราวกับรับรู้ความคิดเพื่อน

“มึงต้องยอมแพ้ได้แล้วนะ ไอ้ซัน”

ซันไม่พูดอะไรตอบ เขาอยากจะบอกคนตรงหน้าเหลือเกินว่ายอมแพ้มานานมากแล้ว แต่ใจของเขามันไม่ยอมตายสักที ต่อให้มันจะเจ็บปวดสักแค่ไหน มันก็ยังรักและคิดถึงหมอนั่นอยู่

“บางทีถ้ามึงไปเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อะไรๆ ก็อาจจะดีขึ้นก็ได้นะ”

ซันมองหน้าเพื่อนพร้อมกับคิดตาม ที่เกมพูดมาก็ไม่ผิดเสียทีเดียว

“อีกอย่าง… ยังไงซะมึงก็ชอบทำงานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำที่เดิมๆ มันคุ้นดีก็ดีอยู่ แต่ลองไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำอะไรที่มันท้าทายขึ้นเผื่อมึงจะรู้สึกเบิกบานขึ้นบ้าง"

ก็ฟังดูเข้าที

ซันเก็บเรื่องที่คุยกับเพื่อนไปนอนคิดอยู่หลายคืน ว่ากันตามตรงแล้ว ตอนแรกที่เขาได้ยินข้อเสนอจากปากของแมดเดอลีน เขาค่อนข้างสนใจข้อเสนอทีเล่นทีจริงนั่นอยู่ไม่น้อย แต่พอเจ้านายเขาส่งเอกสารมาให้ดูจริงๆ เขากลับรู้สึกว่าไม่อยากไปเลย แค่ที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว แถมยังต้องห่างจากประเทศไทยไปอีก ความรู้สึกไม่อยากไปมันมีมากกว่าไม่น้อย

แต่มาตอนนี้ หลังจากที่เขาคิดใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ถามใจตัวเองว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เขาไม่อยากไปกันแน่ และในที่สุดซันก็ได้คำตอบ

เขากลัวว่าเขาจะไม่ได้เจอกับแอนดรูว์อีก

ในที่สุดซันก็เข้าใจว่าที่เขายังละล้าละลัง ซึมเซาอยู่กับรักครั้งเก่ามากว่าสองปีแบบนี้เป็นเพราะอะไร ทุกๆ ครั้งที่เขาปะปนไปกับฝูงชนของชาวเมือง ทุกครั้งที่เขาแวะเวียนไปยังสถานที่เก่าๆ ที่เขาเคยไปกับดรูว์ ลึกๆ ในใจนั้นเขายังหวังว่าชายหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นจะปรากฏตัวออกมาให้เขาเห็น ส่งยิ้มพร้อมกับพูดทักทายเขา บางทีมันอาจเป็นการเจอกันด้วยความบังเอิญ บางทีดรูว์อาจจะอยู่กับภรรยาของเขา แต่ถึงแบบนั้นซันก็ยังหวังที่จะเจออีกฝ่ายในสถานที่เก่าๆ ที่อัดแน่นไปด้วยความทรงจำของพวกเขาทั้งสอง

'มึงต้องยอมแพ้ได้แล้วนะ ไอ้ซัน' เสียงของเพื่อนดังก้องอยู่ในหัว

ซันยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียง นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากติดกันขณะยกมือขึ้นมาประสานบนตักที่ยังมีผ้าห่มสีครีมคลุม

เขาจะตอบรับข้อเสนอเรื่องงานนั้น และเขาก็จะไปเจอกับแอนดรูว์ คิงด้วย ต่อให้หมอนั่นจะทำตัวหายเข้ากลีบเมฆไป ต่อให้เขาจะสัญญากับอีกฝ่ายแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะไปพบกับหมอนั่น การจากลาครั้งก่อนของพวกเขาสองคนมันแย่เกินไป ครั้งนี้เขาจะไปแก้ตัว จะพูดทุกอย่างที่อัดแน่นอยู่ในใจ จากนั้นก็จะจบเรื่องของซันกับแอนดรูว์แต่โดยดี

นั่นคงทำให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าได้... อย่างน้อยซันก็เชื่อแบบนั้น

วันรุ่งขึ้น ซันเข้าไปคุยกับหัวหน้าเรื่องตอบรับข้อเสนองานเพื่อดำเนินการในขั้นตอนอื่นๆ ต่อ จากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มสืบหาข้อมูลของแอนดรูว์ในเวลาที่ว่าง ถามจากเพื่อนหรือคนรู้จักของอีกฝ่าย เขาคงไปถามครอบครัวคิงได้ถ้าไม่ใช่ว่าแม่และน้องสาวของหมอนั่นย้ายกลับไปอเริกาก่อนหน้าที่แอนดรูว์จะแต่งงานเสียอีก แถมเมื่อตอนที่เขาเลิกกับดรูว์ใหม่ๆ ถึงจะติดต่ไปทางนั้น ฝั่งนั้นก็เหมือนพยายามปิดบังเขาเรื่องของดรูว์เหมือนกัน ซันเดาว่าแฟนเก่าตัวแสบของเขาคงขอครอบครัวไว้แบบนั้นแน่

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป การตามหาเบาะแสของแอนดรูว์ที่เคยยากยังไงก็ยังยากแบบนั้น เหมือนกับพยายามไขว่คว้าอะไรบางอย่างในม่านหมอกที่หนาทึบ ซันยกมือขึ้นเกาหัวขณะที่ตายังมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คอนโดของตัวเอง ฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว ชายหนุ่มจึงต้องเดินไปเปิดสวิตช์ไฟของห้องนอน จากนั้นสายตาเขาก็เลื่อนไปมองรูปถ่ายที่อยู่ในกรอบบนชั้นวาง

รูปคู่ของเขากับแอนดรูว์ในวันที่อีกฝ่ายแต่งงานนั่นเอง

ซันหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดู แอนดรูว์อยู่ในชุดสูททักซิโด้แบบที่เอาไว้ใส่ในวันแต่งงาน เจ้าตัวส่งยิ้มสดใสมาให้กล้อง ตัวเขาในรูปเองก็ยิ้มอยู่เหมือนกัน แต่มันดูจืดไปหน่อย ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก

หญิงสาวที่อยู่ในชุดแต่งงานสีขาวถูกถ่ายติดมาในรูปด้วย ดูเหมือนเจ้าหล่อนกำลังคุยกับแขกกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหลัง

ซันหยิบรูปถ่ายใบนั้นออกมาจากกรอบทันที ในเมื่อการตามหาตัวแอนดรูว์ คิงมันยากนัก งั้นเขาก็ตามหาจากภรรยาของมันเลยแล้วกัน ทำไมเขาไม่นึกถึงเรื่องนี้ให้ได้เร็วกว่านี้นะ!

การตามหาตัวภรรยาของแฟนเก่าเขาง่ายดายอย่างน่าเหลือเชื่อ แค่เพียงซันสแกนรูปที่มีใบหน้าของเจ้าหล่อนอยู่และเริ่มค้นหา ไม่นานเขาก็ได้เบาะแสมากมายที่จะพาตัวเขาไปถึงหญิงสาวได้ ชื่อของหล่อนคือนภาพร ชื่อเล่นชื่อน้ำหวาน ซันยังจำได้เพราะมันสลักอยู่ในการ์ดแต่งงาน แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจนิดหนึ่งคือนามสกุลไทยแท้ของเจ้าหล่อนตามข้อมูลที่เขาหามาได้มากกว่า บางทีหล่อนอาจจะใช้นามสกุลเดิมของตัวเอง... เขารู้จักบางคนที่ถึงจะแต่งงานแล้วแต่ไม่เปลี่ยนนามสกุลอยู่บ้างเหมือนกัน

ในเมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมาหมดแล้ว ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญ... เขาต้องตามหาแอนดรูว์โดยผ่านจากหล่อนนี่แหละ และเขาต้องทำให้สำเร็จก่อนจะขึ้นบินไปอเมริกาด้วย




ซันมายืนอยู่ที่หน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ตั้งอยู่ในแถบชานเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ ชายหนุ่มก้มมองที่อยู่ที่เขาบันทึกไว้ในโทรศัพท์ หลังจากที่เขาขุดคุ้ยข้อมูลของน้ำหวาน ซันก็ได้รู้ว่าหญิงสาวเป็นญาติของเพื่อนของเพื่อนเขาอีกที คนเรามักจะมีสายสัมพันธ์ที่เชื่องถึงกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เพราะเรื่องนั้นทำให้เขามายืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังนี้ได้ และซันก็รู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยความตื่นเต้นระคนกังวลไปพร้อมๆ กัน

ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลอง เขาอยู่ในช่วงงานเพราะต้องเตรียมตัวย้ายงานไปทำที่อีกซีกโลกเป็นการถาวร เขาจึงใช้จังหวะนี้เดินทางมาที่บ้านของแอนดรูว์ซะเลย แล้วก็ต้องบุกมาโดยไม่บอกเจ้าของบ้านล่วงหน้าด้วย ไม่อย่างนั้นเขาอาจโดนหลบหน้า หรืออะไรแบบนั้นอีก ซึ่งซันไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น

“เอาล่ะ” เจ้าตัวพึมพำกับตัวเอง สูดลมหายใจลึกเข้าปอดเฮือกหนึ่งเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ จากนั้นก็กดกริ่งหน้าบ้านด้วยใจระทึก

ไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวเจ้าของบ้านก็เปิดประตูแล้วก้าวเท้าออกมา นัยน์ตาของเจ้าหล่อนฉายแววตกใจอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งก่อนจะหายวับไป แทนที่ด้วยแววตาสงสัยระคนอึดอัด

“เอ่อ สวัสดีครับ” เห็นหน้าน้ำหวานแล้วซันก็ต้องรีบพูดทันที เขามั่นใจว่าหล่อนคือผู้หญิงคนเดียวกับที่เข้าพิธีวิวาห์กับเพื่อนเขาแน่ ถ้าดรูว์ยังนับเขาเป็นเพื่อนน่ะนะ “คุณ… น้ำหวาน นภาพรใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ” สีหน้าของหญิงสาวยังคงไม่ไว้วางใจ “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

สงสัยหล่อนจะจำเขาไม่ได้แฮะ ขนาดเขาเป็นถึงเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าวตัวเอง… ก็เขานี่แหละที่ส่งแหวนให้ดรูว์เพื่อมอบให้เจ้าหล่อนน่ะ

“คือ… ผมมาหาแอนดรูว์น่ะครับ เขาอยู่บ้านรึเปล่า”

นภาพรกำมือแน่นขึ้น สีหน้าลำบากใจขึ้นอย่างชัดเจน

“ฉัน… ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงใคร”

“หา?” คนที่ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์แทนแล้วตอนนี้ “คุณ… คุณหมายความว่ายังไง”

ก็แอนดรูว์ คิง คนที่คุณแย่งไปจากผมเมื่อสองปีก่อนไง!

แต่แน่นอนล่ะว่าซันพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้

“ฉันไม่รู้จักคนชื่อนั้นหรอกค่ะ คุณมาผิดที่แล้วล่ะ”

“แต่… ก็ เมื่อสองปีก่อน”

“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณเป็นใคร” หล่อนเริ่มก้าวถอยหลัง เตรียมหลบกลับเข้าประตู “แต่กลับไปเถอะค่ะ ฉันขอโทษจริงๆ ที่ช่วยอะไรคุณไม่ได้”

เฮ้ยๆๆๆ

ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?






--------------------------------------------
Talk: บทแรกมันงอกมาจนได้ค่ะ ทั่นผู้ชม 555555 สุขสันต์วันศุกร์ให้ทุกคนเลยค่ะ ม้วฟๆ
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 1) P.1 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 29-09-2017 18:47:59
อ้าว เห้ยยยย เริ่มมาก็งงแล้ว ยังไงกันเนี่ย
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 1) P.1 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เขียวไข่กา ที่ 30-09-2017 21:06:30
น้ำหวานมีพิรุธนะ แต่งงานตั้งแต่สองปีก่อนจู่ๆบอกไม่รู้จัก ท่าทางจะปิดบังอะไรไว้ ว่าแต่แอนดรูว์หายไปไหนล่ะนี่ หนีหายไปเองหรือโดนใครจับไป ท่าทางจะมีเงื่อนงำ
รอติดตามต่อค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 1) P.1 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-09-2017 21:24:26
เห้ยยยย  :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 1) P.1 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-10-2017 17:47:10

บทที่ 2



ซันกำลังนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงของโรงแรมที่แพงเป็นอันดับต้นๆ ในตัวเมือง หลังจากที่เขาผละมาจากบ้านของนภาพร ชายหนุ่มก็รู้สึกอ่อนล้าราวกับเขาได้วิ่งมาเป็นกิโลๆ ทั้งที่แทบไม่ได้ลงเดินเท้าเปล่าที่ไหนนานเลย

นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองเพดานสีขาวอย่างครุ่นคิด รู้สึกหมดหวังและห่อเหี่ยวกว่าก่อนหน้านี้ที่เป็นมาไม่รู้กี่เท่า

เหมือนกับตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ เขาห่อเหี่ยวอยู่ในใจก็จริง แต่มันก็ยังมีเสียงเล็กๆ ที่กระซิบบอกเขาว่า อย่างน้อยแอนดรูว์ก็ยังมีความสุขอยู่กับใครอีกคนที่เขาเลือกแล้วนะ แต่มาตอนนี้… ไอ้เสียงเล็กๆ ที่ว่ามันสลายหายไปเพราะถูกความจริงแทรกเข้ามาเสียแล้ว

ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตอนที่ซันไปหาน้ำหวานที่บ้าน ตอนที่เขาได้รับรู้ความจริงอีกด้านหนึ่ง...



‘เดี๋ยวก่อนสิครับ น้ำหวาน’ ซันรีบเรียกหญิงสาวที่ทำท่าจะผลุบหายเข้าไปในบ้าน รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอย่างอธิบายไม่ถูก ‘นี่ผมเองครับ ผมชื่อซัน ที่เป็นเพื่อนกับดรูว์ สามีของคุณไง ก็… ก็ผมยังไปงานแต่งงานของคุณกับ--’

‘หยุดนะ’ หล่อนว่าเสียงหลง ใบหน้าซีดลงเรื่อยๆ ‘ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงใคร กลับไปเถอะค่ะ ฉันต้องไปทำงานบ้านต่อแล้ว’

‘ดรูว์อยู่ที่นี่ใช่ไหม’ น้ำเสียงเขาแทบจะเรียกได้ว่าอ้อนวอนด้วยซ้ำ ‘เขาเป็นบอกให้คุณมาบอกผมแบบนี้เหรอ เขาอยากให้ผมตัดขาดจากเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ’

‘หวาน’ เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังมาจากด้านหลังของเจ้าหล่อน น้ำหวานรีบหันหน้ากลับไปทางประตูทันที ชายร่างสูง หุ่นกำยำอีกคนเดินออกมา สีหน้าของเขาถมึงทึงเมื่อหันมาเห็นแขกที่ทำให้น้ำหวานหน้าซีดเผือดลงขนาดนั้น ‘เกิดอะไรขึ้น แล้วหมอนี่เป็นใคร’

‘พี่โจ้คะ ช่วยหวานด้วย บอกให้คุณซันไปจากบ้านเราที’

‘เดี๋ยวก่อนสิครับ’ ซันเห็นท่าไม่ดี รีบยกมือขึ้นมาเป็นเชิงบอกให้คนทั้งคู่ใจเย็นๆ ‘ผมแค่มาตามหาแอนดรูว์ เพื่อนของผมเท่านั้น ก็เขาเคยแต่งงานกับหวาน...’

‘หา!?’ พี่ล่ำคนนั้นตะโกนลั่นอย่างไม่พอใจ ‘พูดเรื่องบ้าอะไรของแกวะ หวานเป็นภรรยาผม ไม่เคยแต่งงานกับใครนอกจากผมทั้งนั้นแหละ แล้วนี่คุณเป็นใคร อย่าบอกนะว่าเป็นพวกชอบยุแยงให้ครอบครัวเขาแตกแยกกัน’

ไปกันใหญ่แล้ว

‘ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น’ ซันพูด หันหน้าไปสบตากับหญิงสาวต้นเรื่องอย่างขอความเห็นใจ แต่นภาพรหลบสายตาวูบไปอีกทาง อะไรบางอย่างบอกให้เขารู้ว่าน้ำหวานจำเขาได้ แต่ทำไมหล่อนต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องของเขากับแอนดรูว์ด้วยล่ะ?

‘ถ้าไม่ใช่ก็กลับไปได้แล้ว! ที่นี่ไม่ต้อนรับ’

‘ผมแค่มาตามหาคนที่ชื่อแอนดรูว์ คิงเท่านั้น’

‘แถวนี้ไม่มีฝรั่งที่ไหนอยู่ทั้งนั้น’ โจ้พูดเสียงแข็ง ใบหน้าดุดันของเขาไม่ได้ทำให้ซันกลัว แต่เขาไม่อยากจะมีเรื่องเพราะเรื่องแค่นี้ ‘คุณกลับไปได้แล้ว มาเถอะ หวาน เข้าบ้านกัน ถ้าหมอนี่เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เดี๋ยวผมจัดการเอง’

ซันมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ที่หายเข้าตัวบ้านไป รู้สึกเหมือนท้ายทอยโดนฟาดด้วยไม้หน้าสาม มึนงงจนปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก

มันเหมือนกับ… แอนดรูว์ คิงถูกลบออกไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ อย่างนั้นแหละ



แต่หมอนั่นกลับไม่เคยหายไปเลยจากใจเขา…

ซันคิดอย่างทดท้อขณะที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรอบ เขาเผลอหลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ที่กลับเข้าห้องพักมานอนคิดนั่นคิดนี่ เหลือบไปมองนาฬิกาดิจิทัลที่หัวเตียง ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว

โอ๊ะ… โอย หิวข้าว

เสียงท้องที่ร้องประท้วงขึ้นมาเบาๆ ทำให้ซันต้องยันตัวขึ้นมานั่ง มือเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามสัญชาตญาณ รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพราะหิวจัด ข้าวกลางวันเขาก็ไม่ได้กิน ข้าวเช้าก็กินน้อยอย่างกับแมวดม ต้องลงไปหาอะไรกินที่ห้องอาหารหน่อยแล้ว

“หืม?” ชายหนุ่มส่งเสียงครางเบาๆ อย่างแปลกใจเมื่อเห็นข้อความจากส้ม… หญิงสาวที่เป็นญาติห่างๆ ของน้ำหวานที่เป็นคนที่ทำให้เขาสามารถมาเจอเจ้าหล่อนตัวเป็นๆ ได้

แต่… นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเจอดรูว์อยู่ดี และเขาสงสัยเหลือเกินว่าทั้งหมดนี่มันเรื่องบ้าบออะไร

และข้อความที่เขาได้จากส้มก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนั้นมากเข้าไปอีก


‘ไปที่สวน xxx ประตูทิศตะวันออก เวลาสองทุ่ม’

 
ซันคุ้นชื่อสวนที่อีกฝ่ายส่งมา เห็นบนป้ายตอนที่เขาขับรถที่เช่ามาจากสนามบิน แต่อะไรคือการที่เขาต้องไปที่สวนนั่นตอนสองทุ่มด้วยวะ?


Sunsun: ทำไมครับ?
Somเช้ง: หวานฝากฉันมาบอกค่ะ


คำตอบนั้นทำให้ซันชะงักไปทันที


Somเช้ง: คุณจะไปหรือไม่ไปก็ได้นะคะ หวานว่ามางี้
Somเช้ง: เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่าคะ?


เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่างั้นเหรอ เขาสิที่อยากจะถามแบบนั้น


ซันไปถึงสถานที่ที่น้ำหวานฝากส้มมานัดเขาอีกที แปลว่าส้มบอกเรื่องที่เขาจะมาหาเจ้าหล่อนที่บ้านก่อนสินะ น้ำหวานถึงได้ติดต่อผ่านส้มได้แบบนี้ งั้นหมายความว่าเรื่องทั้งหมดนี่ก็อาจเป็นได้ไปว่าเป็นแผนการของดรูว์เหรอ? หมอนั่นรู้เรื่องที่เขาจะบุกมา จากนั้นก็จัดการจัดฉากทั้งหลายทั้งปวงนี่เพื่อตบตาเขา?

ไม่หรอก ไม่น่าใช่ มันดูมีอะไรตงิดๆ มากกว่านั้น แต่มันคืออะไรนี่สิที่เขายังหาคำตอบไม่ได้

ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ขอเลิกคิดก่อนแล้วกัน ไว้เจอน้ำหวานแล้วค่อยคิดต่อ

น้ำหวานมาถึงที่ตรงเวลากับที่นัดซันเอาไว้ ใบหน้าของเจ้าหล่อนเคร่งเครียด คิ้วขมวดแทบจะชนกันขณะที่ก้าวเท้ามาหาที่นั่งรออยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งในสวน มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังซ้อมเต้นอยู่บริเวณพื้นที่ว่างห่างออกไปไม่ไกล ถึงจะไม่ใช่สถานที่ที่ถือว่าเปลี่ยว แต่ก็เรียกว่าคนเยอะไม่ได้เหมือนกัน

ซันเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมาหาเขาเพียงคนเดียว หากยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากใดๆ นภาพรก็ยกมือขึ้นมาเป็นเชิงห้ามเสียก่อน

“เลิกถามอะไรซ้ำไปซ้ำมาได้แล้วค่ะ คุณซัน” น้ำเสียงของหล่อนเจือแววหงุดหงิดระคนหวาดระแวง และมันยิ่งทำให้ซันสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างนี่มากขึ้น “แล้วก็เลิกถามถึงคนคนนั้นได้แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาบอกคุณแล้วเหรอคะว่าให้ตัดขาดทุกอย่างจากเขา”

ซันอึ้งไปทันที แค่คำถามที่ย้อนมาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน็อคไปแล้ว

“แปลว่า… ดรูว์เป็นคนบอกให้คุณ…”

“เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะอธิบายให้คุณฟังสั้นๆ แบบนี้” น้ำหวานพูดตัดบท พยักพเยิดไปที่ม้านั่งเป็นเชิงบอกให้นั่งลงก่อน และเมื่อทั้งสองคนจัดท่านั่งกันเรียบร้อย หญิงสาวก็เริ่มเรียบเรียง “เมื่อสองปีก่อน มีผู้ชายคนหนึ่งติดต่อมา เขาบอกกับฉันว่าต้องการจะจัดฉากงานแต่งงานขึ้น”

ซันรู้สึกว่าตัวเองอ้าปากค้าง “หมายถึง… ดรูว์น่ะเหรอ”

“จะใครเสียอีกล่ะ ก็เพื่อนคุณนั่นแหละ เขาเสนอเงินหลักล้านมาให้ฉันเพื่อให้ฉันไปเล่นละครโง่ๆ กับเขาพักหนึ่ง แล้วพอจบงานแต่งปลอมๆ นั่นพวกเราก็แยกย้ายกัน”

“แล้ว… ทำไม” ซันพูดอย่างสับสน ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามจากตรงไหนก่อนดี “งั้นทำไมคุณถึงไม่อธิบายผมตั้งแต่ที่บ้าน… หรือเพราะว่าสามีคุณไม่รู้เรื่องนี้”

“ใช่ค่ะ พี่โจ้ไม่รู้เรื่องนี้ และฉันก็ไม่อยากให้เขารู้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่เพื่อนคุณพูดทิ้งท้ายกับฉันไว้ต่างหาก”

ถึงตอนนี้ซันเริ่มสังเกตแล้วว่าน้ำหวานพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดชื่อของแอนดรูว์จริงๆ

“เขาบอกว่าให้ฉันระวังตัว ถ้ามีใครมาถามหาเขากับฉันให้ยืนยันไปว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และอันที่จริงก็ไม่เคยมาใครมาถามเรื่องนั้นจริงๆ หรอก เพิ่งมีคุณเป็นคนแรกนี่แหละ แต่เพราะคุณเป็นคนที่อยู่ในงานแต่งคราวนั้นด้วย ฉันเลยสับสนเพราะไม่รู้ว่าควรจะรับมือยังไงดี”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมหัวแล้วตอนนี้ ไอ้เรื่องราวที่พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้านี่มันอะไรกัน… เกิดอะไรขึ้นกับแอนดรูว์กันแน่ แล้วไอ้งานแต่งงานหลอกๆ เมื่อสองปีก่อนนั่นมันเพื่ออะไรกัน… แต่… แล้วพวกแขกที่ไปร่วมงานล่ะ

“แล้ว… พวกญาติๆ ของคุณ…”

“หมายถึงคนที่อยู่ในงานแต่งนั่นใช่ไหมคะ ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าดรูว์ไปเอาคนมากมายพวกนั้นมาจากไหน แต่เอาเป็นว่าไม่มีใครที่เป็นญาติฉันในนั้นจริงๆ หรอกค่ะ มันเหมือนเป็นแค่การแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น”

เหมือนโดนฟาดลงมาด้วยไม้หน้าสามอีกระลอก ซันยกมือขึ้นบีบนวดที่หว่างตาอย่างอ่อนล้าทันที เขามึนกับเรื่องทั้งหมดนี่ไปหมดแล้ว ทำไมดรูว์ต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อจะแหกตาใครบางคนว่าเขาแต่งงานแล้ว… เดี๋ยวก่อนนะ! มาคิดๆ ดูอีกที คนที่ดรูว์พยายามจะแหกตาก็คือเขามาแต่แรกไม่ใช่เหรอ!

ก็ลองคิดดูสิ นอกจากเขาแล้ว แอนดรูว์ไม่ได้เชิญให้เพื่อนคนอื่นๆ ไปร่วมงานด้วยเลย โดยเจ้าตัวอ้างว่าญาติฝั่งเจ้าสาวอยากจะจัดงานแต่งเรียบๆ ที่มีกันแค่ไม่กี่คน

อะไร… นี่หมอนั่นอยากจะตัดขาดกับเขาถึงขั้นต้องลงมือทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

ชักจะ… โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วนะโว้ย!

แต่ซันรู้ดีว่ามากกว่าความโกรธคือความเป็นห่วงที่มีให้กับชายหนุ่มคนนั้น ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าแอนดรูว์ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับหญิงสาวข้างตัวนี้ ปัญหาก็คือแล้วหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วล่ะ?

จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับดรูว์รึเปล่า? กำลังเจอประสบกับภาวะอันตรายอยู่ไหม? หรือว่าที่จริงแล้วหมอนั่นป่วยเป็นโรคอะไรที่แบบใกล้จะตายเลยต้องตีตัวออกห่างเขาและผู้คน? แล้วนี่มันก็ผ่านมาสองปีแล้ว… ไม่ใช่ว่าหมอนั่นตายไปแล้วหรอกใช่ไหม!?

“ก็เท่านี้แหละค่ะ ธุระของฉัน” น้ำหวานลุกขึ้นพรวดจากม้านั่ง “หวังว่าคุณจะเข้าใจและเลิกยุ่งกับฉันเสียที ฉันพูดจริงๆ นะคะตอนที่บอกว่าเสียใจที่ช่วยอะไรคุณไม่ได้”

“แล้วคุณรู้ไหมว่าผมจะติดต่อเขาได้ที่ไหน ผมต้องทำยังไง? คุณไม่ได้คุยกับเขาอีกเลยเหรอตั้งแต่ตอนนั้น”

นภาพรส่ายหน้า มองชายหนุ่มด้วยสายตาเห็นใจ นั่นทำให้ซันรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา เสียงที่เขาใช้พูดไปเมื่อกี้คงฟังดูหมดหวังมากจริงๆ

“เขายืนยันกับฉันแค่เรื่องเดียว… คือให้ทำเหมือนเรื่องในวันแต่งงานนั่นไม่เคยเกิดขึ้น และฉันก็มั่นใจว่าตัวเองทำได้ดีมาตลอด จนกระทั่งคุณบุกมาถึงบ้านฉัน... บางทีคุณน่าจะปล่อยเรื่องเขาไปนะคะ มันก็ผ่านมาสองปีแล้ว ถ้าเขาหายไปนานขนาดนั้น แปลว่าเขาคงไม่ต้องการให้ใครๆ ข้องเกี่ยวด้วยแล้วจริงๆ นั่นแหละค่ะ”





ตั้งแต่ที่แยกจากน้ำหวานมาในวันนั้น ซันก็รู้สึกว่าเขาฝันถึงแอนดรูว์บ่อยขึ้น ในหัวของเขามีแต่เรื่องของคนผมบลอนด์ทองคนนั้นลอยวนเวียน โดยเฉพาะในเวลาที่เขาทำตัวว่างและไม่มีงานรีบเร่งอะไรให้ต้องทำ

'ซัน… เฮ้ ซัน!’ เสียงเรียกของเด็กชายผมทองที่พูดด้วยภาษาไทยแปร่งๆ เรียกความสนใจให้คนอื่นๆ หันมามองด้วยความสนใจ เนื่องจากบริเวณที่พักอาศัยนั้นไม่มีชาวต่างชาติอยู่เท่าไรนัก ‘ถ้าขืนนายยังมักชักช้าอยู่ล่ะก็ ฉันจะไปก่อนจริงๆ แล้วนะ'

 แอนดรูว์ทำเป็นไม่สนใจสายตาเหล่านั้นที่มองมาที่เขา หากเด็กชายมองเพื่อนคนที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ แถมคอยสอนเจ้าตัวให้พูดภาษาไทยมาตลอด ตอนนี้ซันหรือเด็กชายอาทิตย์กำลังหอบข้าวของที่ซื้อมาจากตลาดตามคำขอของแม่ สองมือเต็มไปด้วยพลาสติกที่ใส่ทั้งของสดและของใช้สารพัด ซันชักสีหน้าบูดบึ้งไปให้เพื่อนต่างชาติของตัวเอง

'รอหน่อยสิ ดรูว์ ก็เราถือของหนักอยู่นี่นา แล้วทำไมนายต้องรีบนักหนาด้วย ยังไงบ้านก็ไม่หนีหายไปไหนหรอก'

'ก็เราอยากกลับไปเล่นเกมเร็วๆ' เจ้าตัวว่า ถอนหายใจเฮือกก่อนจะเดินกลับมาหาเพื่อนพร้อมกับฉุดถึงจำนวนหนึ่งจากมือของอีกฝ่าย ซันเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนงงๆ 'เราช่วยถือเอง ของแค่นี้ไม่ได้หนักขนาดนั้นสักหน่อย อีกอย่างนะ น้าติ๊กก็บอกแล้วว่าพวกของใช้พวกนี้ไว้ค่อยซื้อวันหลังก็ได้ แต่นายอยากดื้อซื้อให้หมดวันนี้เอง'

'ก็ถ้าเราซื้อให้หมดวันนี้ วันพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องออกมาแล้วไง' ซันพูดตาแป๋ว จ้องหน้าเพื่อนตรงไปตรงมา 'เราจะได้อยู่เล่นกับดรูว์นานๆ ไง แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ?'

'ก็... ก็ดี' แอนดรูว์อึกอักเล็กน้อย แววตาซื่อๆ กับถ้อยคำง่ายๆ ที่บอกว่าอยากจะใช้เวลาร่วมกับเขาทำให้เด็กชายรู้สึกขัดเขินแปลกๆ เขาถือถุงทั้งหมดด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งคว้ามือที่ว่างของซันมาจับแล้วออกแรงดึงเพื่อนข้างตัว 'ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไปเล่นกันเถอะ ฉันเองก็อยากเล่นเกมใหม่ของนายจะแย่แล้ว'

ประโยคหลังเจ้าตัวพูดเป็นภาษาบ้านเกิด เขามักใช้ภาษาอังกฤษตอนที่เริ่มลนลานหรือตื่นเต้น

'เฮ้ นายพูดเป็นภาษาอังกฤษอีกแล้วนะ' ซันเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ขัดขืนที่อีกฝ่ายจับมือด้วย 'บอกแล้วไงว่าให้พยายามพูดภาษาไทยหน่อยน่ะ ไม่งั้นก็พูดไม่ได้สักที เดี๋ยวก็ไม่มีเพื่อนหรอก'

'ไม่เห็นจะสนเลย' เจ้าตัวพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษตามเดิม น้ำเสียงดื้อดึง หากซันที่มองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายสังเกตเห็นว่าแก้มของเด็กชายแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย 'ก็ฉันมีนายแล้วนี่ ซัน แค่มีนายคนเดียวก็เหมือนมีเพื่อนเป็นล้านแล้ว'

เป็นล้านเลยเหรอ…

ซันอยากจะถามกลับไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าแก้มของตัวเองร้อนขึ้น นั่นทำให้เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป

หึ วันคืนที่แสนสุข

“...เรียนท่านผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เครื่องบินของเราได้ลงจอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้ทุกท่านนั่งอยู่กับที่จนกว่าสัญญาณจะดับลง ขอขอบคุณที่เลือกใช้บริการของสายการบินเรา--”

ซันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสสาวที่ผ่านมาตามลำโพงของเครื่องบิน ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างเขาเริ่มปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากหน้าท้องของตัวเอง หลายคนเริ่มลุกขึ้นยืนเพื่อหยิบกระเป๋าบนช่องเก็บของเหนือศีรษะด้านบน ชายหนุ่มเหยียดแขนพร้อมกับบิดขี้เกียจน้อยๆ ยกมือปิดปากหาว ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินอย่างเหม่อลอย

เขามาอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของโลกแล้ว ผลสุดท้ายเขาก็ทำตามความตั้งใจของตัวเองได้ไม่สำเร็จ เขาหาตัวแอนดรูว์ไม่เจอ และคำพูดของน้ำหวานที่ทิ้งท้ายเอาไว้ยิ่งตอกย้ำให้เขามองเห็นความจริงที่พยายามมองข้ามมาตลอด

ดรูว์ไม่ต้องการอยู่ในชีวิตของเขาอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่หมอนั่นต้องการตัดเขาออกจริงๆ ความคิดนั้นทำให้ซันอึดอัดยิ่งกว่าตอนที่เข้าใจว่าแอนดรูว์ตัดขาดไปจากเขาเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่กับน้ำหวานเสียอีก มันกลายเป็นว่าตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นตายร้ายดียังไง หรือว่าอยู่ที่ไหนในโลกนี้

หรือ... บางที หมอนั่นอาจไม่ได้แม้แต่จะอยู่ในโลกนี้แล้ว

"สวัสดีค่ะ คุณอาทิตย์" แมดเดอลีน สตีเวนสันที่มารอรับเขาที่สนามบินกับชายหนุ่มวัยกลางคนอีกคนผลัดกันจับมือเขา "เดินทางเป็นยังไงบ้างคะ นั่งเครื่องมาหลายชั่วโมง คุณคงเหนื่อยน่าดู"

"ก็นิดหน่อยครับ"

"ทางเราดีใจจริงๆ ที่คุณตกลงมาทำงานกับเราค่ะ ขอฉันแนะนำหน่อยนะคะ นี่คุณอเล็กซ์ เบคเกอร์ค่ะ เป็นเมเนเจอร์แผนกไอทีของบริษัทเรา เขาจะช่วยดูแลความเรียบร้อยเรื่องต่างๆ ให้คุณนะคะ"

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เขาฝากเนื้อฝากตัวกับหัวหน้างานในอนาคต จากนั้นจึงเริ่มแนะนำตัวเองขณะที่ลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปตามทาง "แล้วก็เรียกผมว่าซันก็ได้ครับ ชื่ออาทิตย์ของผมหมายความแบบนั้น"

ทันทีที่มาถึงห้องพักซึ่งเป็นคอนโดในย่านเดียวกับที่ทำงานที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ ซันก็ถลาตัวลงไปนอนคว่ำกับเตียงอันใหญ่โตที่นอนได้อย่างน้อยสองคนขึ้นไป ฝ่าย HR ที่นี่ดูแลเขาดีจริงๆ สงสัยคงกะใช้งานกันเต็มที่แน่ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาต้องเริ่มไปหาดูลู่ทางว่าจะไปซื้อของได้ที่ไหนบ้าง แล้วก็พวกเรื่องยานพาหนะมากมาย อาจจะต้องลองไปปรึกษากับอเล็กซ์อีกทีว่าควรจะมีรถขับไหม แต่ถ้าเขากะจะอยู่ที่นี่ยาวๆ คงต้องซื้อไว้สักคัน ส่วนเรื่องใบขับขี่เขาทำเรื่องให้ได้ใบขับขี่สากลมาแล้ว

ซันหยิบโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูก่อนจะกดที่หน้าโปรแกรมแชทซึ่งทางครอบครัวของเขาก็ใช้งานอยู่ด้วย ไม่กี่อึดใจต่อมาชายหนุ่มก็วิดีโอคอลกับแม่และน้องชายของเขาขณะที่เกลือกกลิ้งไปมาบนเตียง แม่เขาเอาแต่ถามเรื่องรายละเอียดของที่พัก ที่ทำงาน การกินอยู่ และอะไรอีกสารพัดโดยลืมไปว่าเขาเพิ่งจะมาเหยียบประเทศนี้ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

"แล้วนี่ที่นั่นเขาดูแลลูกดีไหม เจอเพื่อนๆ ที่ทำงานรึยัง"

"ยังครับแม่ ใจเย็นๆ นะ ซันเพิ่งมาถึงวันแรกเอง จะเริ่มเข้าทำงานอาทิตย์หน้า เออ แล้วเขาบอกจะมีงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ให้ซันด้วยล่ะวันจันทร์"

"งั้นเหรอ ดีเลยลูก ทำความรู้เพื่อนใหม่ไว้เยอะๆ" แม่เขาตอบกลับมาแถมยังพ่วงมาด้วยคำแนะนำราวกับว่าเขาเป็นเด็กอนุบาลที่กำลังจะเข้าเรียนวันแรกอย่างไรอย่างนั้น

"อย่าลืมหาหนุ่มหล่อๆ ด้วยนะพี่ จะได้มีแฟนใหม่กับเขาสักที แล้วก็เลิกนึกถึงไอ้แอนดรูว์งี่เง่านั่นได้แล้ว หมอนั่นไม่เห็นจะได้เรื่อง" ทราย น้องชายตัวแสบที่รู้เรื่องการคบหาของเขากับดรูว์เป็นอย่างดีพูดขึ้น อันที่จริงครอบครัวเขาก็รู้กันทั้งบ้านนั่นแหละ และซันก็โชคดีที่ไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่เขาจะคบกับผู้ชาย

"อย่าพูดจาแบบนั้นสิ ทราย ถึงยังไงหมอนั่นก็เป็นรุ่นพี่นายนะ" ซันเอ็ดน้องชายหน่อยๆ และได้รับการย่นจมูกใส่เป็นการตอบรับ

"ปกป้องไอ้ฝรั่งนั่นอีกแล้วนะ ทั้งๆ ที่หมอนั่นทำกับพี่ซันขนาดนี้"

อันที่จริง ก่อนหน้าที่แอนดรูว์จะหักอกเขา ทรายก็มีความนับถือให้ชายหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นไม่น้อยหรอก แต่พอเห็นว่าหมอนั่นทำพี่เขาเจ็บ เด็กหนุ่มก็รู้สึกแค้นใจแทนพี่ชายที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรกับใครเขาเลย โดนเขาบอกเลิกแล้วหนีไปแต่งงานแบบนั้น แทนที่จะไปด่ากราดหรือซัดหน้าหมอนั่นสักทีสองที พี่ซันของเขากลับยอมรับเรื่องราวแต่โดยดี แถมยังไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหมายเลขหนึ่งให้ไอ้บ้านั่นอีก จิตใจต้องทำด้วยอะไรถึงทำได้แบบนั้น

"ทราย เขี่ยผักออกอีกแล้วนะลูก ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ กินเข้าไปสิ ของดีมีประโยชน์ทั้งนั้น" มารดาของทั้งสองหนุ่มเริ่มเอ็ดเมื่อมองจานข้าวของลูกคนสุดท้อง ซันได้ยินเสียงพ่อเขาที่คงนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะหัวเราะร่วนผ่านสายมา

"โธ่ แม่ ก็ทรายไม่ชอบ แม่ก็ตักมาให้ทรายซะเยอะ ทรายกินไปหลายคำแล้วน่า"

"ไม่ได้ กินไปให้หมด" พูดเสียงเขียวทีเดียว

และเพราะพูดถึงเรื่องของดรูว์ขึ้นมานั่นเอง ซันถึงได้ลุกออกจากเตียงไปเปิดกระเป๋าใบย่อม หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วดึงรูปถ่ายที่มีเขากับแอนดรูว์อยู่ด้วยกัน มันเป็นรูปที่เขาใช้ในการตามหาตัวน้ำหวานเพื่อสืบต่อไปหาแอนดรูว์ แต่ตอนนี้เขาเก็บมันไว้ด้วยเหตุผลอย่างอื่นแล้ว

อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะจบความว้าวุ่นในทั้งหมดนี่... แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เขายิ่งคิดถึงอีกฝ่ายยิ่งกว่าเก่า ว้าวุ่นยิ่งกว่าเก่า เขาคงต้องติดอยู่ในวังวนนี่ไปอีกพักใหญ่แน่ บางทีอาจจะเป็นสิบปี หรือบางทีอาจจะทั้งชีวิตของเขา




ซันเริ่มต้นทำงานที่บริษัทแห่งใหม่ได้อาทิตย์หนึ่ง เขาที่เริ่มคุ้นกับงานก็มีงานเข้าโครมๆ ราวกับลูกคลื่นกระทบกับชายฝั่งที่ไม่มีวันจบสิ้น เนื่องจากว่าพื้นฐานของงานด้านระบบและคอมพิวเตอร์ที่เขาทำอยู่นั้นเหมือนกันทั่วโลก ไอ้เรื่องจะทำงานได้เร็วจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร โปรเจกต์ต่างๆ มากมายถูกโยนมาสุมหัวเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ซันรู้สึกราวกับว่างานเลี้ยงต้อนรับที่มีบรรยากาศอบอุ่น สบายๆ พวกนั้นผ่านมาเมื่อหลายเดือนมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น เพราะตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนเขาทำงานอยู่ในกองเพลิงที่มีไฟลุกท่วมตลอดเวลา จบโปรเจกต์นี้ไปก็ต้องรีบต่ออีกโปรเจกต์หนึ่ง วางระบบให้ที่นี่เสร็จต้องไปตรวจสอบงานที่บริษัทนั้น

...เหนื่อยสายตัวแทบขาด นี่มันยุ่งยิ่งกว่าตอนที่เขาทำอยู่ที่ไทยเสียอีก!

"ผมกลับก่อนนะครับ คุณซัน" เพื่อนร่วมงานคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เขาพูดขึ้นขณะคว้ากระเป๋าไว้ในแขน สภาพของเจ้าตัวไม่แตกต่างอะไรกับของซันมาก นั่นคือดวงตาลึกโหล ผมเผ้าชี้ไปมาไม่เป็นทรง ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ซันตอบรับแกนๆ โดยที่ตายังไม่ละออกจากหน้าจอคอม เขาเลื่อนมือไปขยับแว่นกรองแสงที่ใช้ในยามต้องจ้องหน้าตาจนตาแฉะ ขอเขาตอบเมล์อันนี้ก่อน ซันก็ตั้งใจจะกลับคอนโดเขาเหมือนกัน รู้สึกเหมือนพลังงานชีวิตติดลบ คนที่คิดจะทำงานสายไอทีนี่เส้นชีวิตคงสั้นกันทุกคน

ชายหนุ่มก้าวเท้าออกจากตัวอาคารแล้วตรงไปยังรถของตัวเอง ลานจอดรถภายนอกไม่ค่อยมีรถของใครอยู่ให้เห็นเพราะเป็นเวลาที่มืดมากแล้ว แสงไฟสลัวๆ จากเสาไฟพอจะทำให้ซันมองเห็นทางได้บ้าง แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้เขาเพลียจนแทบจะล้มตัวลงนอนกลางถนนนี่ได้อยู่แล้ว แถมอากาศเย็นๆ น่าหลับนี่มันอะไรกัน กลับไปถึงบ้านนะ เขาจะอาบน้ำอย่างไวแล้วปักหัวลงบนหมอนนอน ข้าวยงข้าวเย็นอะไรก็ช่างแม่งแล้ว

แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักฝีเท้าลง สัญชาตญาณบางอย่างในตัวทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมอง

เขาหันขวับกลับไปด้านหลัง ต้นไม้ขนาดใหญ่สั่นไหวไปตามแรงลมแผ่วเบา ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับเริ่มเอ็ดตัวเองในใจ

สงสัยคงทำงานเหนื่อยจนประสาทเริ่มหลอนไปหมด หยุดเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้สาบานเลยว่าจะนอนให้เต็มคราบ เผื่อว่าการทำงานอาทิตย์ต่อไปจะดีขึ้น

หากเมื่อก้าวต่อไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ซันก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง

ชายหนุ่มหันหลังขวับทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนพุ่งเข้ามาที่ตัว แรงปะทะจากชายร่างกำยำทำให้เขาเซไปเล็กน้อย แต่เพราะเตรียมตัวรับแรงนั้นไว้อยู่แล้วเขาจึงไม่เสียท่ามาก

ทุกอย่างเป็นไปด้วยสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ เขาเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้างสมัยมัธยมกับมหาลัย และคนที่เคยลากเขาไปให้ไปเรียนด้วยกันก็ไม่ใช่ใครอื่น แอนดรูว์นั่นแหละ และตอนนี้เขานึกขอบคุณทักษะติดตัวพวกนั้น และไม่ว่าเขาจะกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ ซันรู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาต้องรีบสลัดผู้ชายคนนี้ให้หลุดแล้ววิ่งไปที่รถ

ท่ามกลางความมืดแบบนี้ทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่เขาบอกได้เลยว่าลักษณะท่าทางแบบนั้นมันดูคุ้นๆ เหมือนเป็นคนที่เขารู้จัก

“อึก!” ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็หวดกำปั้นลงบนบั้นเอวของซันอย่างแรง แต่สัญชาตญาณทำให้เขาเบี่ยงตัวมากพอที่จะหลบไม่ให้หมัดนั้นโดนที่ไตและได้รับความเสียหายมากเกินไป เขาใช้จังหวะนั้นหมุนตัว กระแทกศอกใส่หน้าอีกฝ่าย หวังให้มันกระแทกจมูกให้ดั้งหักกันไปข้าง แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมืออาชีพกว่าเขาและเบี่ยงหน้าหลบพ้นไปอย่างรวดเร็ว

นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย...

ชายหนุ่มลอบคิดในใจขณะที่สลับตำแหน่งโต้ตอบกับการโจมตีของคนตรงหน้า นี่มาถึงต่างถิ่นได้แค่ไม่กี่วัน เขาก็โดนพวกปล้นชิงทรัพย์เล่นงานซะแล้วเหรอ?

ซันกระแทกหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายได้ครั้งหนึ่ง อะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั้งร่างกายเขา แต่แล้วชายหนุ่มก็ค้นพบว่าชายร่างกำยำคนนั้นตั้งใจให้เขาชกหมัดนั้นได้เอง เพราะวินาทีถัดมาอีกฝ่ายก็กระแทกหมัดกลางลำตัวเขาอย่างแรง ไตเขาได้รับการกระเทือนอย่างหนัก และมันทำให้ซันทรุดเข่าข้างหนึ่งลงไปบนพื้น

เจ็บเป็นบ้า

ซันรู้ตัวแล้วว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก แต่ถึงแบบนั้นชายหนุ่มก็ฝืนเด้งตัวขึ้นมาใหม่แล้วยกมือขึ้นกันหมัดที่พุ่งตรงเข้ามาที่หน้า คู่ต่อสู้เขาก้าวถอยไปจังหวะหนึ่งกะทันหัน เสี้ยววินาทีที่ซันชะงักไปด้วยความงุนงง อีกฝ่ายก็ยกขาขึ้นมาเตะที่สีข้างเขา แรงกระแทกนั้นทำให้ทัศนวิสัยของซันพร่าเลือน

และเมื่อเขาทรุดไปกองกับพื้นอย่างเต็มรูปแบบ ชายคนนั้นก็จับมือเขาไพล่หลังแล้วหยิบเทปพันสายไฟออกมารัดข้อมือสองข้างของเขาติดกันแน่น

ซันถูกกระชากให้ยืนขึ้นจากนั้นโดนโยนเข้าไปที่หลังรถสีดำสนิทที่ไม่มีป้ายทะเบียนคันหนึ่ง จังหวะนั้นเองที่แสงจากเสาไฟกระทบลงบนใบหน้าของชายคนนั้น ซันก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างไม่แน่ใจ

“นาย… เจมส์ ดาร์วินเหรอ” เขาจำหมอนี่ที่ทำงานอยู่ในชั้นเดียวกันแต่คนละแผนกกับเขาได้ ก็ตอนงานเลี้ยงเขายังได้คุยกับเจ้าตัวอยู่เลย

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขา แต่เอาผ้าสีดำมาผูกปิดตาของเขาแทน จากนั้นก็ตามมาด้วยเทปกาวม้วนเดิมที่ปิดปากเขาสนิท และตอนนี้หมอนั่นก็กำลังพันเทปที่ว่าผูกติดขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้

ประสบการณ์การโดนลักพาตัวครั้งแรกที่ต่างประเทศ ที่เขาว่ากันว่าพอเราได้เดินทางไปยังที่ใหม่ๆ ก็จะได้เจออะไรใหม่ๆ นี่เป็นเรื่องจริงสินะ

ขอบใจมากเลย





------------------------------------------------------
Talk: อื้อหือ นายเอกเราแต่ละเรื่องนี่ ชาติที่แล้วน่าจะทำบุญมาน้อยกันทุกคนนะคะ ถถถถถ
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 2) P.1 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-10-2017 08:59:45
ค้างเลย รีบมาต่อเร็วๆนะ   :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 2) P.1 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2017 15:34:41
ไม่ใช่ฝรั่งตาเขียวเป็นโรคตายไปแล้วนะคะ หรือยังอยู่เป็นพระเอก 55555 ใครจับตัวซันล่ะเนี่ย นายเอกทุกเรื่องคือเหมือนเกิดมาชดใช้กรรมค่ะ โดนแต่ล่ะอย่างไม่ธรรมดา 55555555555 ติดตามนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 2) P.1 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 09-10-2017 20:40:03
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 2) P.1 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-10-2017 15:50:10

บทที่ 3



ซันมีโอกาสได้มองเห็นพื้นที่และสิ่งของรอบตัวอีกครั้งเมื่อดาร์วินขับรถพาเขามาสถานที่แห่งหนึ่ง แกะเทปพันสายไฟที่รัดขาเขาออกแล้วบังคับให้เขาเดินขึ้นบันไดแคบๆ จากนั้นก็สั่งให้เขาคุกเข่าลงบนพื้น นั่นแหละอีกฝ่ายถึงได้ยอมปลดผ้าที่ผูกตาเขาอยู่ออก

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซันถามอย่างสับสนเพราะเบื้องหน้าของเขาคืออ่างอาบน้ำที่ถูกใส่น้ำสะอาดไว้จนเต็ม นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปที่คนซึ่งลากตัวเขามาที่นี่อย่างแค้นเคืองระคนหวาดหวั่น ยังรู้สึกจุกจากตอนที่อัดนัวเนียกับหมอนั่นอยู่เลย

ซันได้ยินเสียงชายอีกสองคนดังแว่วมาให้ได้ยินจากด้านหลัง คนหนึ่งเดินมาบอกว่าจะจัดการตรงนี้แล้วให้ดาร์วินไปทำแผลที่โดนเขาซัดที่อีกห้องหนึ่ง ซันอยากจะบอกเหลือเกินว่าหมอนั่นโดนไปเท่านั้นน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่เขาสิโดนอัดซะน่วม ควรจะมาดูแผลให้เขามากกว่า

“เฮ้” คนที่ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองโดนจับตัวมาทำไมพยายามเปิดปากขึ้นอีกครั้ง “มีใครช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่านี่มันเรื่องอะไร”

“แกนี่ปากดีไม่เบาเหมือนกันนะ ไอ้หนู” ชายที่ผูกผ้าโพกหัวซึ่งมากดบ่าเขาไม่ให้ลุกไปไหนแทนพูดขึ้นเสียงเหี้ยม “แต่ก็ดี มาทำให้ทุกอย่างง่ายกัน แกเป็นอะไรกับเบนจามิน ลูมิส”

เบนจามิส ลูมิสไหนวะ…

“ฉันไม่รู้จัก--- อุบ!” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ไอ้ผ้าโพกหัวก็จับหน้าเขาลงไปในอ่างตรงหน้าเสียแล้ว

ซันพยายามหายใจในน้ำทันทีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด รู้สึกแสบหน้าแสบจมูกไปหมดเพราะแรงที่กดหัวเขาลงไปกะทันหัน

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าลมหายใจของเขาลดลงเรื่อยๆ มันทำให้ความกลัวเกาะกุมหัวใจเขา ซันดิ้นตัวสุดแรงเพื่อจะได้หลุดออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วโผล่หน้าขึ้นไปให้พ้นน้ำเพื่อเอาออกซิเจนเข้าปอด แต่ผ้าโพกหัวมีพละกำลังมากเกินกว่าตัวเขาที่อ่อนล้าจากเรื่องอย่างอื่นมาอยู่แล้วจะสู้ไหว

และเมื่อชายหนุ่มกำลังจะขาดหายใจจริงๆ มือหนาก็กระชากเส้นผมสีดำของซันขึ้นมา ปล่อยให้เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรงสลับกับหอบหายใจถี่ๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อนและตื่นกลัว

“คำตอบนายไม่ถูกใจฉันเท่าไรว่ะ”

“ผมไม่--”

“ตอบคำถามมา แกเป็นอะไรกับเบนจามิน ลูมิส”

ซันหลับตาลงอีกรอบ ในหัวนึกเร็วจี๋ว่าเขาเคยรู้จักที่ชื่อนามสกุลนี้บ้าง แต่เขาเป็นคนไทย อาศัยอยู่ที่ไทยมาทั้งชีวิต ถึงจะรู้จักชาวต่างชาติทั้งตอนสมัยเรียนและวัยทำงานบ้าง แต่ก็มีแค่น้อยคนเท่านั้นเมื่อเทียบกับคนชาติเดียวกัน และเขามั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้จักใครชื่อนี้

“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นใคร”

“แกแน่ใจนะ”

“ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้ด้วย-- !” แล้วหน้าเขาก็โดนกดน้ำลงไปอีกรอบ

ความโหดร้ายของการทรมานเหยื่อด้วยวิธีนี้ที่ซันค้นพบก็คือ มันให้ความรู้สึกที่แย่กว่าการโดนซ้อมด้วยฝ่าเท้าหรือหมัดหนักๆ แบบที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้ตรงที่ว่า พอคุณใกล้จะเริ่มหมดลมหายใจ ใกล้จะเริ่มยอมแพ้แล้วปล่อยให้สติอันแสนเลือนรางของตัวเองหายไปกับสายน้ำ ไอ้คนข้างหลังก็จะกระชากหัวคุณขึ้นมา ปล่อยให้คุณมีโอกาสได้หายใจพะงาบๆ ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ สักพักจากนั้นก็กดคุณลงไปพบกับความทรมานแบบเดิมต่อ และตอนนี้ซันเริ่มคิดว่าเขาอยากให้สติของตัวเองหายไปทั้งๆ แบบนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

คือเขาไม่ได้อยากจะตายหรอกนะ แต่นี่มันมากเกินไปแล้ว เขาสงสัยว่าความตายอาจจะยังไม่ทรมานขนาดนี้ด้วยซ้ำ

“ผม…. ไม่รู้จริงๆ” ซันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าหลังจากโดนถามถึงคนที่ชื่อเบนจามิน ลูมิสนี่มาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ และดูเหมือนคนที่คอยเอาหัวเขากดน้ำอยู่นี่ก็เริ่มจะหมดความอดแล้วเช่นกัน

“ทำไมไอ้หมอนี่มันปากแข็งจังวะ” เขาตะโกนคุยกับพวกอีกสองคนที่อยู่ในห้องพักด้านนอก

“แกแน่ใจนะว่าเจมส์ ว่ามันรู้จักลูมิสจริงๆ” อีกคนหันไปถามดาร์วินซึ่งจัดการกับแผลเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองเสร็จแล้ว

“ฉันแน่ใจ” ดาร์วินว่า “ก็ฉันเห็นรูปคู่มันอยู่ในกระเป๋าสตางค์”

รูปคู่ในกระเป๋าสตางค์…

คำพูดที่ลอยเข้าหูมาทำให้ซันใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก เขาแน่ใจว่านอกจากรูปคู่ของเขากับแอนดรูว์แล้วเขาไม่มีรูปถ่ายคู่กับใครที่ไหนอีกแน่

หมายความว่า… คนพวกนี้กำลังพูดถึงแอนดรูว์อยู่อย่างนั้นเหรอ? พวกมันรู้จักดรูว์อย่างนั้นเหรอ?

“ฉันว่าทำแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” ในที่สุดชายอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟามาตลอดก็ลุกขึ้นมา กระชากคอเสื้อซันจากด้านหลัง บังคับให้เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องน้ำไปที่ห้องด้านนอกแทน

ซันโดนเหวี่ยงตัวให้ทรุดลงไปกับพื้นโดยที่มือทั้งสองข้างยังโดนไพล่หลังผูกติดกันอยู่เหมือนเดิม รายนี้มีนาฬิกาเรือนทองที่ดูเด่นกว่าทุกส่วนบนร่างกาย ถ้าให้เปรียบ ซันคิดว่าหมอนี่คงเป็นบอสใหญ่ในบรรดาสามคนนี่ และตอนนี้เจ้าตัวก็กลับไปนั่งบนโซฟาตามเดิม มือหยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจุด พ่นควันออกมาขณะที่ปรายตามองซันที่กำลังไอค่อกแค่กจากการโดนกดน้ำเมื่อครู่

“เอาล่ะ ไอ้หนู แกชื่ออะไร”

“ไปตายซะเหอวะ…” ซันพึมพำอย่างหัวเสีย และได้รับรางวัลเป็นฝ่าเท่าที่ฟาดลงมาเต็มแรงบน

หน้าเขาหันไปตามแรงถีบนั้น ซันรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในปาก เจ้าตัวหอบหายใจอย่างแรง หน้าชาไปทั้งแถบ จากนั้นก็ตบท้ายด้วยการไอเบาๆ อีกสองสามที

“ฉันจะให้โอกาสอีกครั้ง แกชื่ออะไร”

“ซัน…” เขาตอบเรียบๆ “ใครๆ ก็เรียกผมแบบนั้น”

“โอเค ซัน ไหนบอกซิ นายยืนยันเสียงแข็งมากว่าไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อเบนจามิน ลูมิส”

“...ผมไม่รู้จักคนชื่อนั้นจริงๆ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“งั้นช่วยอธิบายเรื่องรูปถ่ายนี้ให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม” เขาว่าพร้อมกับส่งสัญญาณให้ดาร์วินเอารูปที่ว่ามาให้แล้วโชว์ให้ซันดู มันเป็นรูปคู่ของซันกับแอนดรูว์นั่นเอง แปลว่าไอ้สารเลวนั่นฉกกระเป๋าตังค์เขาไปเหรอ โธ่เว้ย นอกจากรูปนั้น เขาก็แทบไม่มีรูปที่ถ่ายคู่กับแอนดรูว์อีกแล้วนะ เพราะทั้งเขาทั้งมันไม่ชอบถ่ายรูปกันมาแต่ไหนแต่ไร

เอารูปนั่นคืนมา...

ก็อยากจะพูดแบบนั้นหรอก แต่ซันรู้ดีว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้ พูดไปแบบนั้นก็คงไม่มีทางได้รูปนั่นคืน

“นั่น… เขาเป็นเพื่อนผม”

“อ้าวๆๆ” ชายผู้เป็นบอสใหญ่เอนหลังลงบนพนักโซฟา ขยับรูปในมือกลับไปมองจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามอีกครั้ง “แล้วเมื่อกี้ใครบอกว่าไม่รู้จักเบนจามิน ลูมิส”

“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ชื่อนั้น”

คราวนี้อีกสองคนในห้องเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ซันมากขึ้น รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีกับเรื่องนั้นเลย

“หืม” ไอ้นาฬิกาทองลากเสียงยาวในลำคอ “อย่างนั้นเหรอ แล้วนายรู้จักชื่อผู้ชายคนนี้รึเปล่าล่ะ”

ซันเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ถึงตอนนี้สมองของเขาจะไม่เฉียบคมมากเท่าตอนปกติเพราะความอ่อนล้าทางกาย แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตามหาตัวแอนดรูว์… หรือใครก็ตามที่เหมือนแอนดรูว์อยู่นั่นเอง และเขาคิดว่าถ้าพูดชื่อของแอนดรูว์ออกไป มันอาจจะทำให้คนรักเก่าของเขาต้องตกอยู่ในอันตราย

ถึงแม้ตอนนี้ซันจะมืดแปดด้านแบบสุดๆ ไปเลยก็ตามว่าแท้จริงแล้วแอนดรูว์เป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ผม… จำไม่ได้แล้ว”

เท่านั้นแหละคนเป็นหัวหน้าใหญ่ถึงได้ทำไม้ทำมือให้อีกสองคนตรงมาหาซันอีกครั้ง ชายหนุ่มถูกดึงตัวให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็โดนต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรงจนตัวงอ จากนั้นก็ตามมาด้วยหมัดที่สองที่จุดเดิม หมัดที่สามเข้าที่หน้า หมัดที่สี่ที่ตามมาติดๆ ทำให้ซันเริ่มเห็นดาว

เขาได้ยินคำถามเดิมๆ เกี่ยวกับแอนดรูว์ตะโกนอยู่ข้างหูซ้ำไปซ้ำมา ซันลงไปนอนกองกับพื้นอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมาเขาเพิ่งเคยจะโดนทำร้ายร่างกายหนักขนาดนี้ และตอนนี้เหมือนขีดความอดทนของเขาก็ใกล้จะหมดลงไปแล้ว

ชายหนุ่มพยายามประคองสติ แต่แล้วเขาก็โดนกระชากตัวขึ้นไปอีกครั้ง โดนถามด้วยคำถามเดิมๆ ที่หากเขาไม่ตอบ ความเจ็บปวดแบบเมื่อครู่ก็จะย้อนกลับเข้ามาอีก

และเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่ความอดทนพังทลายลง ซันก็ละลักละล่ำออกมาอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าริมฝีปากมันขยับไปเอง ไม่ใช่เพราะสมองสั่งการด้วยซ้ำ

“แอนดรูว์… หมอนั่นชื่อแอนดรูว์” หลุดปากพูดไปแล้วซันแทบอยากจะร้องไห้ ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน นี่เขากำลังขายเพื่อนอยู่นะ รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป

แต่… ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ระดมอัดเข้ามาในร่างกายนี่ มันทำให้เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ

“แอนดรูว์อะไร”

“แอนดรูว์ คิง”

“แน่ใจนะว่าพูดความจริง” ชายคนนั้นพูดพลางบิดคางของซันให้หันไปมองตาตรงๆ ชายหนุ่มที่ตกเป็นรองหอบหายใจระรัวก่อนจะตอบเสียงเบา

“ผมพูดความจริง”

อีกฝ่ายเม้มปากแน่นขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่งใจ เขาทำงานด้านมืดแบบนี้มานาน รับรู้ได้ว่าใครพูดจริงหรือพูดโกหก และคนส่วนมากที่ตกอยู่ในสถานการณ์ปางตายแบบนี้มักไม่ค่อยพูดโกหกกันนักหรอก

“ดาร์วิน รายงานหัวหน้าเรื่องนี้”

“ครับ คุณแจ็คสัน”

“ฮันท์ จัดการเอาไอ้นี่ไปเก็บที ฉันว่าวันนี้คงถึงลิมิตมันแล้ว เราจะมาจัดการต่อพรุ่งนี้”

“ครับ” ผ้าโพกหัวตอบพร้อมกับกระชากตัวซันที่แทบจะลืมตาไม่ไหวขึ้นจากพื้นอีกครั้ง รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายโยนเขาโครมลงบนพื้นอีกห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นและข้าวของเก่าๆ ที่ใช้งานไม่ได้แล้ว จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าขาโดนมัดติดกันอีกรอบ

ไอ้พวกนี้ประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว… คิดว่าเขาจะลุกขึ้นหนีได้ในสภาพสะบักสะบอมแบบนี้เหรอ

แค่… ลืมตาให้เต็มตา… ยังทำไม่ได้เลยตอนนี้

แล้วสติของชายหนุ่มก็ดับวูบไป








‘ทำไมฉันต้องมาเรียนพวกมวยไทย คาราเต้ ยูโดห่าเหวอะไรพวกนี้กับนายด้วยวะ ดรูว์’ ซันในวัยมัธยมศึกษาตอนปลายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ บนบ่ามีกระเป๋าสำหรับอุปกรณ์การเล่นกีฬาและชุดเครื่องแบบที่ต้องใช้อัดแน่นอยู่ ‘ทั้งๆ ที่ฉันอยากจะกลับไปเล่นเกมที่เพิ่งโหลดมาเมื่อคืนแท้ๆ แต่นายก็ยังจะต้องลากมาให้ได้จนได้’

‘เอาน่า ซัน ออกกำลังกายบ้าง นายอยู่แต่กับหน้าจอ’ คนผมทองที่ตอนนี้สูงและหล่อทำให้สาวๆ ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง และรุ่นพี่เหลียวหลังกลับมามองพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงที่ทำให้ซันตกหลุมรักครั้งแล้วครั้งเล่า

และครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน เด็กหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าหน้าร้อนขึ้นกว่าทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งจะตอบตกลงคบกับอีกฝ่ายไปเมื่อวาน… และถึงจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากเพราะพวกเขาสองคนก็ตัวติดกันแต่ไหนแต่ไร แต่ในเมื่อสถานะเปลี่ยน ซันก็รู้ว่าทุกๆ อย่างย่อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

 ‘ก็… ไม่เห็นเป็นไรเลยไม่ใช่หรือไง ฉันตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะทำงานพวกไอที สมัยนี้น่ะ จับงานด้านนี้รวยจะตาย’

‘ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย นายจะทำงานด้านนั้นก็ดี’ แอนดรูว์ว่าพร้อมกับจับหัวแฟนหนุ่มของตัวเองโยกไปมาอย่างเอ็นดู ‘แต่ก็ต้องออกกำลังกายแล้วก็มีอะไรติดตัวบ้าง ยังไงนายก็เป็นผู้ชายนะเว้ย ศิลปะป้องกันตัวเป็นสิ่งพื้นฐาน’

‘ไม่ได้อยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนสักหน่อย’

‘ใครจะไปรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเล่า เถอะน่า นายไม่ทันตรงไหนเดี๋ยวฉันช่วยสอนเอง ถือซะว่ามาเรียนเป็นเพื่อนฉันนะ นะครับคนดี ไม่ตีหน้าบูดนะ’

‘ไม่ได้ตีหน้าบูดสักหน่อยเฟ้ย’ ซันแยกเขี้ยว พูดตอบกลับก่อนจะตามคนที่ตัวสูงกว่าเขาเข้าไปด้านในโรงยิมที่อยู่แถวบ้านพวกเขา

ถ้าเกิดว่าเขามีโอกาสได้เจอดรูว์อีกสักครั้งล่ะก็… เขาจะบอกหมอนั่นแน่ว่า ไอ้ศิลปะป้องกันตัวที่เรียนมา… แม่งไม่เห็นเวิร์คเลย





โครม!

เสียงอะไรสักอย่างถูกพังอย่างแรงทำให้ซันที่ตอนนี้ถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้ผงกหัวขึ้นมาอย่างตกใจ เขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ไม่รู้ด้วยว่าผ่านมากี่วันแล้วตั้งแต่โดนจับตัวมา

เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นขึ้นจากภายนอก ห้องที่ซันอยู่เป็นห้องเก็บของที่ถูกปิดทึบทุกด้านทำให้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรที่ด้านนอก แต่ฟังจากเสียงแล้วจะต้องมีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นแน่ๆ

ซันสาบานว่าเขาได้ยินเสียงกระสุนปืนดังลั่นขึ้นหลายนัด เขารับรู้ถึงความอันตรายได้ แต่ร่างกายก็ยังอ่อนล้าเกินกว่าจะขยับตัวเพื่อพยายามเอาชีวิตรอดได้

จะว่ายังไงดี เหมือนสติเลือนรางของเขาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่รับรู้เหมือนไกลออกจากตัวเองไป ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็ห่างจากเขาไปแค่ไม่กี่ก้าวขานี่เอง

ไอ้ซัน… ตั้งสติหน่อย คิดสิ คิด แกจะยอมโดนลูกหลงแล้วมาตายแบบงงๆ แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย

ชายหนุ่มพยายามสะบัดหัวแรงๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากอาการเบลอๆ นี่ แค่ขยับร่างกายนิดเดียวเขาก็รู้สึกเจ็บเพราะร่างกายช้ำและเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายไปหมด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นซันก็ยังฝืนขยับข้อมือที่ถูกมัดติดกันไว้อย่างแรง โยกตัวขยับเก้าอี้ไปมาโดยหวังว่าตัวเองจะโชคดีหลุดรอดไปจากพันธนาการนี้ได้

โครม!

เสียงตัวเขาที่ล้มไปกองกับพื้นพร้อมกับเก้าอี้นั่นแหละ

แรงกระแทกทำให้ชายหนุ่มหลับตาแน่นเพราะความเจ็บปวดแล่นแปลบขึ้นทั้งแถบที่แนบไปกับพื้น เสียงเอะอะโวยวายด้านนอกค่อยๆ เงียบหายไปแล้ว จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกระแทกประตูห้องที่ขังเขาไว้ ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับยกปืนขึ้นเล็งอยู่ที่เบื้องหน้าระดับสายตา การย่างก้าวและท่าทางที่เต็มไปด้วยความระแวดระวังนั้นดูมืออาชีพเหมือนกับพวกตำรวจตอนที่จะบุกเข้าจับคนร้ายที่ซันเคยเห็นในหนังฝรั่ง

และเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่บนพื้น ชายคนนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งของปากกระบอกปืนมาจ่อที่เขาแทน ซันรู้สึกได้ถึงความกลัวที่เริ่มคลานมาเกาะในใจเขาอีกครั้ง ไม่รู้เลยว่าคราวนี้คนที่เข้ามาใหม่เป็นพวกไหน เขาหวังให้อีกฝ่ายเป็นตำรวจที่มีเป้าหมายมาช่วยเขา แต่ใครจะไปรู้ บางทีหมอนี่อาจจะเป็นคนที่อยู่ฝั่งศัตรูของพวกคนที่จับเขามาก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ซันก็หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ฆ่าเขา

“ดะ… เดี๋ยวก่อนครับ” เสียงที่เขาเปล่งออกไปแหบพร่าและสั่นเทา “ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนั้นเลยนะ พวกมันจับผมมา---”

แต่แล้วเมื่อแสงไฟจากภายนอกสาดส่องเข้ามาจนทำให้ซันเห็นใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าชัดขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลของเจ้าตัวก็ต้องเบิกกว้าง อีกฝ่ายเองก็ชะงักไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้มีท่าทีตกใจเท่าเขา ราวกับเจ้าตัวรับรู้ก่อนหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าคมสันที่แสดงออกถึงความดุดันและระมัดระวังจนถึงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนระคนกังวลทันที

"ซัน"

"ดะ... ดรูว์?" สีหน้าและน้ำเสียงของซันงันไปอย่างคาดไม่ถึง

ชายหนุ่มในชุดปฏิบัติการเต็มยศลดปืนในมือลงขณะก้าวเท้าเข้ามาหาซันอย่างรวดเร็ว เขาหยิบมีดเล่มเล็กออกมาพร้อมกับลงมือตัดเชือกที่รัดข้อมือกับต้นขาเขาเอาไว้กับเก้าอี้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ซันรู้สึกสับสนงงงวยเกินกว่าจะตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอหน้าคนที่เขาเฝ้าฝันหาอยู่ทุกคืนตลอดสองปีที่ผ่านมา เหมือนเขายังไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพฝันในมโนของเขากันแน่

"ไม่เป็นไรแล้ว ซัน ฉันมาช่วยแล้ว" คำพูดที่เปล่งออกมาเป็นภาษาไทยชัดเจนทำให้ซันรู้สึกหวิวๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก แอนดรูว์เปลี่ยนไปมากโดยเฉพาะบรรยากาศรอบตัวที่ดูสุขุมและระแวดระวังเพราะประสบการณ์ในหน้าที่การที่บ่มเพาะมา แต่สำหรับซันแล้วสายตาที่มองมาที่เขาอย่างอ่อนโยนนั่นไม่เปลี่ยนไปสักนิด เส้นผมสีบลอนด์ทองที่รับกับใบหน้าได้รูปของเจ้าตัวอย่างเหมาะเจาะนั่นก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดสำหรับเขา

"ทำไม..." ทั้งๆ ที่มีเรื่องต่างๆ อยากจะถามมากมาย แต่คำแรกที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากกลับมีเพียงเท่านี้

"อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลย ลุกไหวไหม เราออกจากที่นี่กันก่อน พอถึงที่พักฉันแล้วค่อยว่ากัน"

แอนดรูว์พาเขาออกมาจากตึกที่ดูเหมือนจะมีผู้อยู่อาศัยน้อยคน เขาเดินผ่านร่างของดาร์วินกับไอ้ผ้าโพกหัวที่ซ้อมเขาเกือบตายก่อนหน้านี้ ทั้งคู่นอนจมกองเลือดของตัวเองและไม่ไหวติงแม้แต่นิดเดียว ซันไม่อยากเดาต่อว่าทั้งสองคนนั่นตายรึยังเพราะไม่ใช่ปัญหาของเขา มีร่างของชายหนุ่มอีกคนที่เขาไม่คุ้นตานอนนิ่งอยู่บนพื้นแถวพื้นที่ครัวด้วย แต่เขาไม่เห็นร่างของไอ้ตัวบอสที่ใส่นาฬิกาเรือนทองคนนั้น

ว่าแต่ไอ้ข้าวของกระจัดกระจายเหมือนพายุไต้ฝุ่นเข้ากับคนสามคนที่ลงกองกับพื้นนี่ฝีมือดรูว์อย่างนั้นเหรอ? ก็นั่นสินะ เขาหาคำอธิบายอย่างอื่นที่ฟังดูเข้าทีกว่านี้มาไม่ได้แล้วด้วยสิ

แอนดรูว์พาเขาเดินมาจากตัวอาคารที่ตัวเองโดนขังเอาไว้ประมาณสามช่วงตึก ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนที่ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีดำสนิทและแทบมองไม่เห็นพระจันทร์ คนผมบลอนด์พาเขามาหยุดที่รถคันหนึ่ง บอกให้ซันรอก่อนจากนั้นก็ทรุดตัวลงไป เปิดไฟฉายกระบอกเล็กแล้วส่องดูใต้ท้องรถและบริเวณรอบๆ

ซันได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างงงงวยระหว่างมองแอนดรูว์ทำแบบนั้น จนกระทั่งเจ้าตัวเด้งตัวขึ้นมายืนอีกครั้งแล้วพยักหน้าให้ซันเปิดประตูเข้าไปที่ที่นั่งข้างคนขับ

พวกเขาทั้งสองคนยังคงไม่พูดอะไรกันแม้แอนดรูว์จะเริ่มออกรถ แล่นไปตามถนนที่มีรถผ่านไปมาเพียงไม่กี่คัน ชายหนุ่มในเครื่องแบบสีดำเริ่มขยับตัว หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากรอกเสียงผ่านสาย

"แอลฟ่าหนึ่ง ภารกิจเสร็จสิ้น ส่งทีมเก็บกวาดเข้าไปด้วย... สาม อืม คนหนึ่งหนีรอดไปได้" จากนั้นเจ้าตัวก็เงียบไปพัก รอฟังปลายสายพูดตอบ "ไม่ต้อง ผมจะจัดการเอง ขอบคุณ"

ซันเหลือบมองคนข้างตัวที่ติดต่ออยู่กับใครก็ไม่รู้ พูดคุยต่ออีกสองสามประโยคจากนั้นจึงตัดสายไป นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบมองที่ตักของตัวเองอย่างคนทำอะไรไม่ถูก มือสองข้างที่ชื้นเหงื่อเริ่มถูไปกับกางเกงที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและรอยฉีกขาดจากการโดนตะลุมบอน

และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนานพอที่จะบอกได้กลายๆ ว่าเจ้าตัวไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับใครแล้ว ซันก็เริ่มพูดขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

"เอ่อ ดรูว์ นาย..." ไม่สิ รู้สึกเหมือนในสถานการณ์แบบนี้ยังไม่ควรพูดเรื่องนี้ยังไงไม่รู้ "คือ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ"

แอนดรูว์ไม่พูดอะไรตอบ นัยน์ตาสีเขียวคู่คมยังคงทอดมองออกไปยังถนนเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ซันคิดว่ามันดูเย็นชาและวาววับอย่างน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก และนั่นทำให้เขาต้องก้มหน้างุดลงไปอีกรอบอย่างอ่านสถานการณ์ออกว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยหรือตอบคำถามตอนนี้

แอนดรูว์มาหยุดรถที่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่แทบจะร้างผู้คน ถึงตอนนี้อะดรีนาลีน ความตื่นเต้นและความสับสนต่างๆ เริ่มเลือนๆ ไปแล้ว ความเจ็บปวดจากอาการบอบช้ำทางร่างกายก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ซันโอดครวญเบาๆ หลังจากที่ยกมือขึ้นลูบบริเวณสีข้างฝั่งซ้ายที่ดูจะช้ำหนักกว่าที่อื่นๆ แอนดรูว์หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าอ่านไม่ออกก่อนจะออกคำสั่งเสียงเรียบ

"รออยู่ในรถก่อนนะ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม"

พูดถึงเรื่องของกิน ท้องก็ร้องขึ้นมาเชียว จะว่าไปก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเขามานานมากแล้ว

"อะไรก็ได้"

แอนดรูว์พยักหน้ารับก่อนจะเปิดประตูออกจากรถไป ทิ้งให้ซันนั่งงงอยู่กับเรื่องราวที่พลิกผันไปมาอยู่ท่ามกลางความมืดในรถและบริเวณภายนอก

สิบนาทีต่อมาที่เหมือนยาวนานเป็นชั่วโมงสำหรับคนรอ ในที่สุดคนผมบลอนด์ก็เดินกลับมานั่งประจำตำแหน่งคนขับ โยนถุงใส่ของที่เพิ่งซื้อมาไว้บนเบาะหลัง จากนั้นก็สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง คราวนี้แอนดรูว์ตัดสินใจว่าไม่อาจนั่งเงียบๆ รับความกดดันระหว่างพวกเขาสองคนได้

"นาย... นายเป็นคนฝั่งไหน" เขากลั้นใจถามตรงๆ ต่อให้เขาเชื่อว่าตัวเองรู้จักดรูว์มาดีแค่ไหน แต่เวลาสองปีจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปเพียงใด ใครจะไปรู้ "นายทำงานให้ใคร"

"ฉันทำงานให้รัฐบาล"

ซันพยักหน้ารับ คำตอบนั้นพอจะทำให้เขาใจชื้นขึ้นบ้าง และมันมีความภาคภูมิใจเล็กๆ ต่อคนข้างตัวตามมาด้วย

"นายไม่ได้แต่งงานกับน้ำหวานจริงๆ" ซันว่าต่อ เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาคุยเรื่องส่วนตัวกันตอนนี้ แต่เขาไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

แอนดรูว์นิ่งไปเล็กน้อยอย่างชั่งใจ เขารู้ดีว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับทีหนึ่งโดยที่ตายังไม่ละจากถนนเบื้องหน้า ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ออกจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยพื้นที่รกร้างเข้าสู่เขตพื้นที่อาศัยที่พอมีบ้านเรือนและตัวอาคารเก่าๆ ให้เห็นบ้างแล้ว แต่ซันก็ยังไม่คิดจะสนอยู่ดีว่าดรูว์จะพาเขาไปที่ไหน

"นายจัดฉากเรื่องงานแต่งงานนั่นเพื่อตบตาฉัน"

ดรูว์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดนั้น แต่ซันคิดว่าความเงียบเป็นคำตอบที่ดังชัดกว่าเสียอีก

"ต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

ก็ยังไม่มีคำตอบ ซันตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เผื่อว่าพ่อคนปากหนักจะยอมพูดอะไรออกมาบ้าง

"นาย... นายบอกว่าทำงานให้รัฐบาล แบบพวกเอฟบีไออะไรอย่างนี้รึเปล่า นายทำงานให้เอฟบีไอเหรอ"

"นายอย่าถามจะดีกว่านะ"

คำพูดและน้ำเสียงราบเรียบทำให้ซันเจ็บแปลบขึ้นในอกอย่างบอกไม่ถูก เขากำหมัดแน่น เบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับบอกตัวเองในใจว่าอย่าไปสน อย่าไปแคร์คำพูดของหมอนี่ แต่ความน้อยใจก็ทำให้ซันอดประชดกับตัวเองไม่ได้

ใช่สิ ก็เขามันแค่คนนอกเท่านั้นนี่ ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วสักหน่อย แม้แต่ความเป็นเพื่อน แอนดรูว์เองก็ขอตัดขาดจากเขาตั้งแต่แยกจากกันคราวที่แล้วแล้ว สถานะตอนนี้ของพวกเขามันไม่มีอะไรมากไปกว่าคนเคยรู้จักกันก็เท่านั้น

"ซัน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น" ราวกับได้ยินเสียงในใจของเขา แอนดรูว์ถึงได้เริ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉันแค่กลัวว่าถ้านายรู้อะไรมากไป มันจะส่งผลเสียกับนายทั้งนั้น อย่างที่นายโดนจับตัวไปเค้นเรื่องของฉันไง นายอยากโดนอะไรแบบนั้นอีกเหรอ"

คำอธิบายของแอนดรูว์ไม่ช่วยอะไร เพราะพ่อคนเอเชียหัวดำงอนเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สงสัยพอถึงที่พักแล้วคงเป็นคิวเขาที่ต้องง้ออีกตามเดิม ถึงนี่มันจะไม่ใช่เวลามาทำอะไรแบบนั้นก็เถอะ






------------------------------------------------------
Talk: มีหลายคนถามว่าพระเอกตายหรือยัง... ยังไม่ตายนะคะ แหม เพิ่งจะเริ่มเรื่อง จะให้รีบตายไปไหน //แต่จริงๆ กลัวนายเอกตายก่อนมากกว่าค่ะ เจอซ้อมซะน่วมตั้งแต่เริ่มเรื่องเลย ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 3) P.1 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-10-2017 17:02:35
เกลียดความคนดีของพระเอก เสียสละตัดขาดทุกอย่าง งอนไปเลยซัน ไม่ต้องไปพูดด้วย โกรธ  :m16:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 3) P.1 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 13-10-2017 20:35:35
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Faded Fog (บทที่ 3) P.1 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-10-2017 10:17:40
ซันงอนไปเยอะๆเลยนะ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 3) P.1 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 22-10-2017 10:09:02

บทที่ 4




ที่พักของแอนดรูว์เป็นอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ ที่ค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม ผิดจากที่ซันวาดภาพในหัวเอาไว้พอสมควร ภายในตัวอพาร์ทเม้นท์แทบไม่มีเครื่องเรือนหรือของใช้อะไรที่ไม่จำเป็น และถึงแม้พื้นที่สำหรับนอน ที่ทำครัว ห้องน้ำ จะถูกแบ่งเป็นสัดส่วนเอาไว้แต่ก็ไม่ได้มีการแยกห้องอย่างชัดเจนแบบคอนโดที่เขาอยู่

"นายถอดเสื้อผ้ารอบนเตียงเลยนะ" แอนดรูว์พูดขณะถอดเสื้อตัวนอกออกแขวนกับที่แขวนเสื้อ

ซันหันหน้าขวับกลับมามองคนพูด ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า จนกระทั่งดรูว์หันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นั่นแหละ

"ฉันจะได้ดูแผลให้นายได้ไง"

อ้อ งั้นก็แล้วไป

แอนดรูว์เดินกลับมาหาซันที่เตียงอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านที่ดูใส่สบายกว่าชุดเต็มยศเมื่อครู่ แต่เมื่อมาถึง พ่อตัวดีของเขาก็ยังอยู่ในชุดขาดหลุดลุ่ยตามเดิม ใบหน้าขาวซีดที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าอย่างเต็มที่ก้มลงมองพื้นอย่างเหม่อลอยทำให้ร่างสูงใจหายวาบด้วยความเป็นห่วง แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังพูดเสียงแข็งออกไปหลังจากที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซัน

"ทำไมถึงยังไม่ถอดเสื้อผ้าอีก"

ซันเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาขวาง "แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่นายพูดด้วย"

เฮ้ย นี่ไอ้หมอนี่มันกล้าพูดกับเขาแบบนี้เชียวเหรอ นี่เขาเพิ่งไปช่วยมันออกมาจากไอ้เส็งเคร็งพวกนั้นเองนะ

"เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เพื่อนกันก็ยังไม่ใช่ด้วยซ้ำ"

ถึงแอนดรูว์จะคาดไว้แล้วว่าจะเจอคำพูดแบบนั้น แต่พอโดนพูดใส่ตรงๆ แบบนี้ก็ทำเอาเขาจุกไปไม่น้อยเหมือนกัน

เขารู้ดี... สิ่งที่ตัวเองทำลงไปกับซันเมื่อสองปีก่อน ไม่ใช่เรื่องที่จะให้อภัยกันได้ง่ายๆ

แอนดรูว์ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งก่อนจะดึงเก้าอี้มาจากโต๊ะเขียนหนังสือ นั่งลงตรงหน้าซันที่ยังหลุบตาต่ำไม่มองหน้าเขาอยู่ เขาอยากจะถลาเข้าไปกอดอีกฝ่าย ปลอบประโลมชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับพูดขอโทษที่ทิ้งกันไปเมื่อสองปีก่อน แต่สถานการณ์ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่า

"เล่าให้ฉันฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตั้งแต่ตอนที่นายโดนจับตัวไป"

ซันเกือบจะอ้าปากแล้วพูดคำเดิมไปแล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย แต่ท่าทางจริงจังของดรูว์... ท่าทางที่ทำให้ซันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนสอบปากคำมากกว่ากำลังคุยกับเพื่อนของเขาทำให้ชายหนุ่มต้องนิ่งไป จากนั้นซันจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่เขาโดนดาร์วินโจมตีที่ลานจอดรถ

ซันเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาจำได้มาเรื่อยๆ หากเสียงของชายหนุ่มแผ่วเบาลงหรือขาดหายไปบ้างเมื่อเล่าว่าคนพวกนั้นทรมานเขายังไง แอนดรูว์ลอบสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายที่ยกแขนขึ้นมากอดอกหลวมๆ ระหว่างที่เล่าว่าตนเองโดนจับกดน้ำลงในอ่าง ไหล่ทั้งสองข้างสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าก็ซีดเผือดลง มันเป็นปฏิกิริยาของคนทั่วไปหลังจากที่โดนจับไปทรมานแบบนั้น และมันอาจจะตามหลอกหลอนซันไปตลอดชีวิตก็ได้ มันจะกลายเป็นฝันร้ายยามค่ำคืนของชายหนุ่มคนนี้ มันจะทำให้ซันรู้สึกไม่ปลอดภัยในสวัสดิภาพของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

"ไม่เป็นไร ซัน" แอนดรูว์เลื่อนมือไปแตะบ่าที่สั่นเล็กน้อยของชายหนุ่มอย่างปลอบประโลม "ไม่ต้องเล่าตรงส่วนนั้นก็ได้ แต่นายบอกฉันได้รึเปล่าว่านายพูดอะไรกับพวกมันบ้าง มันถามถึงฉันแล้วยังไงอีก"

"มัน... มันบอกว่านายชื่อเบนจามิน ลูมิส" ซันพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา "นั่น... ชื่อใหม่นายงั้นเหรอ"

"อะไรประมาณนั้น ตอนนี้ทุกคนรู้จักฉันในชื่อนั้นแหละ"

"ทำไมเป็นงั้นล่ะ"

"เราอย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้นกันตอนนี้ดีกว่า วกกลับมาที่เรื่องเดิมก่อน พวกนั้นถามถึงฉันแล้วนายได้พูดอะไรไปบ้าง"

ซันหลับตาลง คิ้วขมวดเข้ากัน ใบหน้าที่ซีดเผือดลงทำให้ดรูว์รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากนึกถึงมันเลย แต่เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นมันอาจเป็นอันตรายทั้งต่อเขากับซันเอง

"ฉัน... ฉันบอกชื่อนายไป"

แอนดรูว์เม้มริมฝีปากแน่นทันที ครุ่นคิดถึงผลกระทบที่อาจตามมาจากเรื่องนั้น "แล้วอะไรอีก"

"อะไรนะ"

"นายบอกชื่อเก่าของฉันให้พวกนั้นแล้วอะไรอีก ได้พูดเรื่องครอบครัวของฉันไหม หรือว่าครอบครัวของนายเอง"

ซันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมหัวแล้วตอนนี้ ลมหายใจเริ่มแรงขึ้นขณะพยายามคุ้ยเอาความทรงจำที่อยู่ในหัว

"ซัน"

"ฉัน... ฉันไม่รู้ ฉันนึกไม่ออก"

"ไม่เป็นไร ซัน ไม่เป็นไร" พูดพร้อมกับก้าวเข้ามาสวมกอดชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน ซันชะงักไปเล็กน้อย รับรู้ถึงความอบอุ่นจากอุณหภูมิผิวกายที่แผ่ซ่านมาจากคนตรงหน้า แล้วความรู้สึกเก่าๆ ผุดขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องฝืนนึกแล้วล่ะ เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนเถอะ ฉันเชื่อว่าเราจะไม่เป็นไรหรอก”

คำว่า ‘เรา’ ที่หลุดออกมาจากปากหมอนี่ให้ความรู้สึกดีจริงๆ

“นายพอให้รายละเอียดอย่างอื่นฉันได้ไหม” พอเห็นว่าซันเริ่มสงบลง เนื้อตัวหายสั่น แอนดรูว์ก็กลับมานั่งบนเก้าอี้พร้อมกับท่าทีเป็นการเป็นงานเหมือนเดิม “อย่างเช่นชื่อของไอ้สามคนนั่นที่จมกองเลือด ระหว่างที่นายอยู่ที่นั่น พวกมันเรียกชื่อกันบ้างไหม”

ซันให้รายละเอียดตรงนี้กับแอนดรูว์ได้ ชายหนุ่มผมบลอนด์พยักหน้ารับแต่ไม่ได้จดอะไรลงในกระดาษสักอย่าง และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจะซักถามกันแล้ว บรรยากาศของทั้งคู่จึงเงียบลงครู่หนึ่ง

นัยน์ตาตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองคนรักเก่าตรงหน้าที่ทำหน้าเหมือนกำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง คงเป็นเรื่องสิ่งที่เขาเพิ่งบอกไปเมื่อกี้นั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าดรูว์จะเอาไปปะติดปะต่อเรื่องราวยังไง

“เอาล่ะ” คนผมทองพูดขึ้นในที่สุด หันหน้ากลับมาสบตาซันนิ่ง “จบเรื่องของฝั่งนั้นแล้ว ทีนี้มาต่อเรื่องของเราบ้าง”

น้ำเสียงและแววตาของคนพูดฉายแววคุกรุ่นหน่อยๆ ทำเอาซันชักสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี

“ระ…. เรื่องของเราอะไรเหรอ”

“นายยังต้องถามอีกเหรอ ซัน” นัยน์ตาสีเขียวคมกริบทีเดียวขณะที่จ้องหน้าเขา “ฉันเคยบอกนายไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าให้ตัดขาดจากฉัน”

“ก็… ก็ใช่ นายบอก”

“นายเองก็ให้สัญญาแล้ว”

ไอ้สัญญาแบบมัดมือชกแบบนั้นน่ะนะ

“แต่ทำไมนายถึงไม่ยอมทำตามที่พูดล่ะ หา? ” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงก้าวเท้าเข้ามาหาคนบนเตียงอย่างคุกคาม ทำเอาซันถอยกรูดไปชิดผนังด้านหลังแทบไม่ทัน

“กะ… ก็ ฉันก็ทำตามที่พูดแล้วนะ ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับนายสักหน่อย”

“ไม่ยุ่ง แล้วทำไมไอ้คนพวกนั้นมันถึงได้รู้ว่านายเคยรู้จักกับฉัน”

“นั่นมัน… เพราะฉันมีรูปถ่ายคู่กับนายในกระเป๋าสตางค์” พูดออกไปแล้วถึงได้นึกขึ้นได้ ซันเลื่อนมือตบกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง และแน่นอนล่ะว่ามันว่างเปล่า

ชายหนุ่มใจเสียเพราะเสียดายรูปถ่ายใบนั้นยิ่งกว่าเงิน โทรศัพท์ หรือกุญแจรถที่หายไปพร้อมกันเสียอีก ก็รูปถ่ายคู่ของพวกเขามันมีเยอะซะที่ไหนล่ะ อีกใบที่มีดูเหมือนจะเป็นตอนที่พวกเขายังอยู่ชั้นประถมกันด้วยซ้ำ และมันก็อยู่ส่วนไหนที่บ้านที่ไทยแล้วก็ไม่รู้ด้วย

แอนดรูว์ที่ผละไปแถวๆ โต๊ะกินข้าวที่วางกระเป๋าและข้าวของของตัวเองเอาไว้เดินกลับเข้ามา ชายหนุ่มโยนข้าวของของซันลงตรงหน้าเจ้าของ ซันรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเป็นอย่างแรก ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่ารูปถ่ายใบที่เขาหวงแหนยังปลอดภัยอยู่ในนั้น

“เหอะ” แอนดรูว์ที่เริ่มลงมือคุ้ยข้าวของในถุงที่เพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงเยาะ ทำเอาซันเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างงุนงงทันที

“ทำไมเหรอ”

“ก็นายน่ะสิ ผ่านไปตั้งสองปีแล้วยังมัวแต่อาลัยอาวรณ์อยู่ บ้ารึเปล่า”

ซันตัวชาวาบกับคำพูดจากปากอีกฝ่าย รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าตอนโดนไอ้คนบ้าพวกนั้นซัดเขาเสียอีก และไอ้คำพูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยิน ไอ้เกมเองก็เคยพูดกรอกหูใส่เขามาแล้วเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยรู้สึกอะไร แต่พอคนพูดเป็นตัวแอนดรูว์เอง มัน… รู้สึกแย่ชะมัด

ชายหนุ่มเก็บรูปคู่ของพวกเขาลงเข้าที่เดิมอย่างนิ่มนวล เรื่องของพวกเขาสองคนมันจบลงไปตั้งนานแล้วสินะ มีแค่เขาคนเดียวที่ยังโง่ถนอมความทรงจำเก่าๆ พวกนั้นเอาไว้ในใจ

“มันไม่มีความหมายกับนายเลยสินะ แอนดรูว์”

น้ำเสียงสั่นเทาของคนบนเตียงทำให้คนผมทองหันหน้าขวับกลับมาทันทีด้วยความตกใจ ซันไม่ได้ร้องไห้ แต่แววตาหม่นหมองนั่นทำให้คนมองใจหายวูบ

“เรื่องของพวกเราสองคน… นอกจากฉันแล้วก็ไม่เคยมีค่าอะไรกับใครเลยใช่ไหม”

“ซัน ฉันแค่จะบอกว่า--”

“พอเถอะ ฉันเข้าใจแล้วว่านายหมายความตามที่พูดเมื่อสองปีก่อนจริงๆ ไอ้เรื่องที่ว่าอยากจะตัดขาดกับฉัน”

“มันไม่ใช่แบบนั้น--”

“นายไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันอีกแล้ว! แล้วช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดของเราสองคนก็ไม่มีความหมายอะไรกับนายอีก! มีแค่ฉันคนเดียวที่บ้าไป--”

เสียงของเขาถูกกลืนหายไปกับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ถลาเข้ามากดลงบนปากเขาแน่น ซันเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ สัญชาตญาณสั่งให้เขาดิ้นตัวหนีในวินาทีแรก หากยามที่มือหนาเลื่อนลงมากดบ่าให้แนบไปกับฟูกเตียง เบียดลิ้มร้อนเข้ามาอย่างหิวกระหาย สัมผัสร้อนแรงที่แสนคุ้นเคยทำให้เขาเลื่อนมือไปโอบรอบคอร่างสูงแน่นจากนั้นก็จูบตอบอย่างโหยหาไม่ต่างกัน

ความเจ็บแสบจากแผลและรอยช้ำบนร่างกายแล่นแปลบขึ้นมา แต่ซันก็ไม่ร้องท้วงหรือขัดขืนมือหนาที่เริ่มปลดกระดุมเสื้อเขาออกอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้าม เขาเองก็กำลังเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกอย่างบ้าคลั่งไม่แพ้กัน

แอนดรูว์ซุกหน้าลงบนซอกคอ ขบเม้มริมฝีปากลงไปบนนั้นขณะที่ซันจิกเส้นผมสีบลอนด์ของอีกฝ่ายให้ฝังหน้าลึกเข้ามาบนร่างกายเขามากกว่านี้

กางเกงชิ้นสุดท้ายถูกถอดออกไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคนด้านบนก็แทรกนิ้วสอดเข้ามาผ่านปากทางเข้าด้านหลังของเขาแล้ว

“อื้อ… ดรูว์ เบา… เบาหน่อย” ซันครางออกมาขณะจิกปลายเท้าลงกับผ้าปูเตียง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมทำตามคำขอของเขาเพราะแรงอารมณ์พุ่งสูงขึ้นมาเกินกว่าจะต้านทาน “แฮ่ก… ดะ… เดี๋ยว นายมี… มีถุงยางรึเปล่าเนี่ย…”

แอนดรูว์ค่อยๆ ถอนนิ้วออกจากร่างเขาไปอย่างว่าง่ายในรอบนี้ ซันคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้ทำเพราะไม่มีเครื่องป้องกันไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ ไอ้หน้าด้านนี่มันหยิบกล่องถุงยางที่ยังไม่ได้แกะขึ้นมาจากถุงพลาสติกที่ใส่ข้าวของที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อครู่หน้าตาเฉย

ซันหน้าแดงเถือกไปถึงใบหูเมื่อคิดว่าแอนดรูว์เองก็คิดเรื่องจะทำกับเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ซ้ำยังเตรียมตัวมาดีอีกต่างหาก

ร่างสูงขยับร่างเปลือยเปล่าของตัวเองขึ้นคร่อมคนบนเตียงอีกครั้ง พรมจูบลงทั่วหน้าอีกฝ่ายก่อนจะกระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูอย่างยั่วยวนและท้าทายไปพร้อมๆ กัน

“เท่านี้… ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม”

...ไอ้บ้าเอ๊ย

นิสัยแบบนี้ เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเลยนี่หว่า!

“อ๊ะ! อื้อ” ซันเปล่งเสียงออกมาจากลำคออย่างควบคุมไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาในตัวด้วยจังหวะที่ค่อนข้างเร็วและรุนแรง

แค่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เขาก็รู้สึกปวดระบมไปทั้งร่างเพราะโดนอัดน่วมก่อนหน้านี้อยู่แล้วแท้ๆ แต่มาตอนนี้เขาแทบไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำขณะที่ขยับสะโพกรับแรงกระแทกที่สอดแทรกเข้ามาจากคนข้างบน อันที่จริงมันเรียกได้ว่าหื่นกระหายเลยด้วยซ้ำ ทั้งสำหรับเขากับแอนดรูว์ ราวกับว่าพวกเขาสองคนเป็นพวกอับจนหนทางในการหาที่ระบายทางเพศมาก และความหฤหรรษ์ที่ก่อตัวขึ้นก็ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดเสียที

“ซัน… ซัน”

ซันเอื้อมมือไปเกาะแผ่นหลังของอีกฝ่ายแน่นขณะที่แอนดรูว์เบียดร่างกายเข้ามาอย่างแรงพร้อมกับพรมจูบไปทั่วแผ่นอกของเขา

เสียงหวานเปล่งออกจากลำคออีกระลอกเมื่อลิ้นร้อนไล้วนอยู่ที่ยอดอกของซันไปมาเพื่อให้ร่างกายของคนด้านล่างผ่อนคลายลง

ซันรู้สึกว่านี่เป็นการมีเซ็กส์ที่ชวนให้หน้ามืดที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยมีมา แอนดรูว์ปล่อยให้เขาไปถึงจุดสุดยอดก่อนตัวเองครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถอนส่วนนั้นออก จับเขาให้นอนคว่ำ ยกสะโพกขึ้นไปจากนั้นก็กระแทกลงมาอีกรอบอย่างไม่ปรานี

เขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงครางน่าอายของตัวเอง มือแกร่งของคนด้านบนยึดสะโพกเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย และเมื่ออีกฝ่ายกระตุกตัวเป็นครั้งสุดท้าย ซันที่กำลังหอบหายใจระรัวก็ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอกเพราะว่าจะได้พัก พอปลดปล่อยเสร็จ อะดรีนาลีนเหือดหาย ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ทันที เพราะงั้นเขาต้องได้พักแล้วล่ะ และถ้าไอ้บ้าดรูว์นึกคึกขอต่ออีกรอบขึ้นมา สาบานเลยว่าเขาจะยกฝ่าเท้าขึ้นประทับบนหน้ามัน

แอนดรูว์โน้มหน้าลงมาหาเขาพร้อมกับทาบจูบอ่อนโยนลงมาอีกครั้ง ผละออก จากนั้นก็ประกบลงมาอีก มันอ่อนหวานแบบที่ซันยังจำได้ สัมผัสของหมอนี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย และเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าโหยหามันเพียงใด

ในที่สุดร่างสูงก็ผละตัวออก ดึงถุงยางขึ้นมามัดที่ปลายแล้วหย่อนลงในถังขยะข้างเตียง ล้มตัวลงนอน แขนก่ายรอบบ่าของซันอีกรอบ

“ฮ้า… ให้ตายสิ รู้สึกดีเป็นบ้า ไม่ได้มีเซ็กส์มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

ยังพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยเหมือนเดิม

“ของนายฉันไม่รู้หรอก แต่ของฉันก็คงสองปีกว่าเห็นจะได้”

“แปลว่าตั้งแต่ที่เราเลิกกันไป นายไม่เคยคบกับใครใหม่เลยเหรอ”

ซันมองตาคนถามตรงๆ ก่อนจะตอบ “ใช่”

“ไหนบอกว่าจะยอมปล่อยฉันไปไง”

“ก็ปล่อยแล้วไง ฉันรั้งนายไว้สักคำเหรอ”

ร่องรอยสำนึกผิดพาดผ่านนัยน์ตาสีเขียวคู่สวยของแอนดรูว์ทันที ชายหนุ่มดึงร่างของซันเข้ามากอดแนบอกก่อนจะพูดข้างหู

“ฉันขอโทษ ซัน”

ซันไม่พูดอะไรตอบ แต่ก็เลื่อนมือขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบ

“ฉันก็เหมือนกัน”

“อะไรเหรอ” ซันถามกลับงงๆ

“ฉันเองก็ไม่ได้มีอะไรกับใครมาสองปีกว่าแล้วเหมือนกัน”

คำพูดประโยคนั้นทำให้ซันรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาทันที แต่เขาก็ยังไม่เชื่อสนิทใจหรอก ก็หื่นๆ อย่างหมอนี่เนี่ยนะ? จะไม่มีอะไรกับใคร? น่าเชื่อซะที่ไหนกันล่ะ

“นายพูดจริงเหรอ”

“ใจร้ายชะมัดเลยซัน ไม่ไว้ใจกันเหรอ ถามแบบนั้นหมายความว่ายังไง”

“ฉันควรไว้ใจคนที่บอกเลิกฉันเพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอ”

โอ้โห สวนกลับมาแบบนี้นี่มีจุก

“นายบอกฉันมาตามตรงก็ได้นะ ไม่ต้องมาโกหกกันเพื่อให้ฉันดีใจหรอก”

“เฮ้ ฟังนะ” แอนดรูว์เลื่อนมือมาประคองใบหน้าของคนรักเก่า… ที่ครั้งหนึ่งเขาเป็นคนหักหาญน้ำใจของอีกฝ่ายอย่างร้ายกาจ แต่ซันก็ยังให้โอกาสเขาได้นอนร่วมเตียงกับตัวเองอยู่แบบนี้ “ฉันยอมรับว่าฉันเคย… เคยคิดจะนอนกับคนอื่นเหมือนกัน แบบวันไนท์สแตนด์ ไม่ได้จริงจังอะไร แต่แค่จูบกัน ฉันยังรู้สึกไม่มีอารมณ์ร่วมเลย จะว่ายังไงดี ฉัน… ฉันเอาแต่คิดถึงนายแล้วก็เรื่องของเรา”

“เรื่องของเรา? ” ซันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แอนดรูว์ส่งเสียงขัดใจเล็กน้อยเหมือนเด็กๆ ก่อนจะจูบปากซันเร็วๆ อีกรอบอย่างเอาใจ จากนั้นก็ดึงซันมากอดอีกรอบแล้วกระซิบข้างหู

“ฉันไม่เคยลืมนายได้เลย ซัน”

ซันได้ยินเสียงหัวใจจากอกข้างซ้ายของคนพูด มันทำให้อุ่นซ่านในอก ใจเต้นรัวตามอย่างช่วยไม่ได้ แปลว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวใช่ไหมที่เอาแต่นึกถึงวันเก่าๆ

“นายยังรักฉันอยู่รึเปล่า”

“พูดเป็นเล่น ไอ้ที่ฉันทำกับนายเมื่อกี้มันยังไม่ชัดพออีกเหรอ”

“ฉันชอบที่จะได้ยินเป็นคำพูดมากกว่า”

แอนดรูว์หน้าแดงขึ้นนิดหนึ่งก่อนจะกระแอมเบาๆ แล้วพูดคำที่พ่อทูนหัวของเขาอยากได้ยิน แต่ขอเป็นกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูพอ พูดชัดๆ แล้วเดี๋ยวหัวใจวายตายกันก่อน

“ฉันรักนาย”

เท่านั้นเองซันก็ยกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แบบที่เขาไม่ได้ทำมาในรอบปี มันเป็นรอยยิ้มแบบที่ถ้าใครได้เห็นก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ครั้งหนึ่งสมัยที่พวกเขายังเด็กกันมากกว่านี้ แอนดรูว์เคยหึงซันด้วยซ้ำที่ยิ้มสดใสแบบนี้ให้คนอื่นเห็น มือหนาเอื้อมไปหยิกแก้มขาวของเพื่อนรักตั้งแต่สมัยเด็กเบาๆ อย่างมันเขี้ยว เขาเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่มีความสุขได้มากขนาดนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่

“ฉันก็รักนาย ดรูว์”

“ไม่มีคนเรียกชื่อนั้นของฉันมานานมากแล้ว”

“ก็พอจะเดาได้”

“ฉันไม่ได้พูดภาษาไทยมานานมากๆ แล้วเหมือนกัน”

“สำเนียงนายก็ยังโอเคดีอยู่นะ ไม่เป็นไรหรอก”

“คิดถึงนายเป็นบ้า”

ซันรู้สึกว่าขอบตาตัวเองร้อนขึ้นมาทันที เขารัดร่างอีกฝ่ายแน่นราวกับกลัวว่าแอนดรูว์อาจจะหายไปจากเขาอีกถ้าเขาพลาด

“นายไม่อยากแข่งเรื่องนั้นกับฉันหรอก”

“ซัน…”

“ฉันคิดถึงนายจนแทบจะเป็นบ้า”

“ฉันขอโทษ”

“นายหายไปไหนมา ไอ้บ้า ทิ้งฉันได้ยังไง”

“ฉันจะเล่าให้ฟังนะ”

“คายออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้ ไอ้บ้าดรูว์”

“ฉันจะเล่าให้ฟังทั้งหมดแน่ๆ ฉันสัญญา” พูดพร้อมกับลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายไปด้วย “แต่ก่อนอื่น เรามาทำแผลให้นายก่อนเถอะ ตรงสีข้างนายช้ำไปหมดแล้ว นายคงเจ็บน่าดูตอนที่เราทำกันเมื่อกี้”

“เพิ่งรู้ตัวเหรอ”

“ขอโทษนะ อย่าโกรธฉันเลย”

ซันส่งยิ้มหวานที่ทำให้คนมองชะงักไปอีกครั้งทันที “ก็ไม่ได้โกรธสักหน่อย”

“นายนี่มัน...” แอนดรูว์หยิกแก้มของซันอีกรอบอย่างอดไม่อยู่ “พ่อพระอาทิตย์ของฉันจริงๆ ”

ซันหัวเราะรับกับคำพูดนั้น แอนดรูว์เคยพูดกับเขาแบบนั้นบ่อยๆ มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว บอกเขาว่าเป็นคนที่ทำให้ชีวิตเจ้าตัวสว่างไสวบ้างล่ะ บอกว่าเป็นซันชายน์ของมันบ้างล่ะ แต่ละอย่างที่พูดมานี่โคตรจะเลี่ยน

ให้ตายสิ… พวกเขาสองคนนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย





-----------------------------------------------------

Talk: พวกนายสองคนใจเย็นๆ นะ เก็บกดเหรอ ถถถถถถ //อีคนแต่งน่าจะเก็บกดสุดนะ nc ฉ่ำมากช่วงนี้ ทั้งเรื่องนี้กับอีกเรื่องที่แต่งอยู่นี่ มารัวๆ เชียว
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 22-10-2017 12:03:53
อ่านแล้วเครียดดี พอกับอ่านข้อสอบเตรียมตัว เอ็นอะเครียดพักก่อน 555555555 คงไม่ใช่แนว
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-10-2017 12:26:54
อ่านมาถึงตรงนี้ต้องตบเข่าฉาดเลย นั่นไง ว่าแล้วแอนดรูว์ต้องกันซันออกจากอันตรายแน่
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 22-10-2017 13:22:57
เม้นๆเปนกำลังใจให้คนแต่งนะคะะะะะ สนุกชอบสำนวนการเขียนมากค่าา
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-10-2017 00:40:18
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 24-10-2017 21:55:13
กำลังสนุกเลยค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 24-10-2017 23:23:55
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-10-2017 01:25:32
ดูเหมือนอนาคตของเรื่องนี้ต้องบู๊มากแน่นอน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 4) P.1 [22/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-10-2017 12:38:57

บทที่ 5




"เมื่อราวๆ สามปีก่อน พ่อของฉันไปเหยียบเท้าพวกผู้มีอิทธิพลแถบๆ ฝั่งฟลอริดาเข้า"

แอนดรูว์เริ่มต้นเล่าเรื่องราวระหว่างที่ลงมือทำแผล ทายาให้คนที่นอนโดยใส่บ็อกเซอร์เพียงตัวเดียวอยู่บนเตียง ซันกะพริบตาปริบๆ มองเส้นผมสีบลอนด์ทองของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน แล้วการทำแผลของหมอนี่ก็เป็นไปอย่างนุ่มนวลมากกว่าที่คาด ราวกับว่าเจ้าตัวผ่านการทำแผลมาอย่างโชกโชนอย่างไรอย่างนั้น

"ผู้มีอิทธิพลเหรอ เหมือนพวกแก๊งมาเฟียอะไรแบบนี้รึเปล่า"

"อะไรเทือกๆ นั้น แต่ขอฉันสรุปรวบยอดเลยแล้วกัน ผลสุดท้ายพ่อฉันก็โดนพวกนั้นลากคอไป ฉันมีทางเลือกอยู่ไม่มาก ตอนนั้นความเป็นความตายของพ่อฉันมีแค่เส้นกั้นบางๆ พาดอยู่ตรงกลางเท่านั้นเอง"

"เดี๋ยวนะ แต่พ่อนายทำงานอะไร ดรูว์ ไม่ใช่ว่าท่าน... โอ๊ย เจ็บๆๆ เบาหน่อย"

"อ่า โทษๆๆ" แอนดรูว์ว่าพร้อมกับหยุดมือที่ทำแผลอยู่ทันที เขามองรอยช้ำที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอีกรอบ แค้นใจแทนคนตรงหน้าอย่างยิ่งยวด ถึงเขาจะหยิบยื่นความตายให้ไอ้คนที่ทำแบบนี้กับซันไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแค้นใจไม่หายอยู่ดี "ตรงนี้แผลมันกว้างน่ะ"

"อือ ไม่เป็นไร" ปากว่างั้น แต่น้ำตานี่เล็ดเชียว "แล้วตกลงพ่อนายทำงานอะไร ไม่ใช่พวกขายที่อะไรงี้เหรอ"

"ก็ใช่แหละ พวกนายหน้าขายที่ดิน"

"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกแก๊งมาเฟีย" ไม่ได้ขายยาหรือทำอะไรผิดกฎหมายสักหน่อย

"อืม จะว่ายังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแล้วกัน ยังไงก็ตาม ในตอนท้ายสุด ฉันได้รับความช่วยเหลือจากหน่วย DSI ที่ทำงานขึ้นตรงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เหลือก็อธิบายไม่ยากแล้ว ฉันขอเข้าร่วมงานนั้นด้วยเพราะถึงยังไงเป้าหมายในการช่วยเหลือก็คือพ่อฉัน แล้วพอฉันได้เข้าร่วมงานในครั้งนั้น ฉันก็ได้รับข้อเสนอให้ทำงานร่วมกับพวกเขาต่อในภารกิจต่อๆ ไป"

"และนายก็ไม่ปฏิเสธ?"

"คืออย่างนี้ ฉันโดนขอร้องเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มภารกิจกับพวกเขาจริงๆ จังๆ แล้ว และอีกอย่างก็คือ... ฉันเป็นหนี้บุญคุณพวกเขา และด้วยความที่มันเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ ฉันเลยรู้สึก... จะว่ายังไงดี เหมือนกับว่า แค่คิดว่ามีใครคนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์แบบฉันหรือพ่อฉัน มันก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา และถ้าฉันสามารถช่วยเหลือคนพวกนั้นได้บ้าง แม้จะแค่ส่วนหนึ่ง ฉันก็รู้สึกอยากจะช่วย"

"วีรบุรุษเหลือเกิน"

"ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ลองนายมาเจอแบบที่ฉันเจอบ้างแล้วนายจะเข้าใจ ฉันเชื่อว่าถ้านายเป็นฉัน นายก็จะเลือกแบบเดียวกัน"

"และฉันก็จะบอกเลิกนายแล้วไปจัดงานแต่งปลอมๆ เพื่อมาหลอกนายด้วยใช่ไหม เพื่อจะได้สลัดนายให้หลุดจากชีวิตฉัน"

แอนดรูว์หน้าแดงขึ้นมาด้วยความอายระคนรู้สึกผิด ซันเป็นที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้มากกว่าใครๆ เสมอ

"ไม่... นายคงไม่ทำแบบนั้น นายไม่ใช่คนที่จะหลอกใครๆ"

"อ่าฮะ"

"อย่าโกรธฉันเลยน่า" พูดพร้อมกับแตะริมฝีปากลงบนแผ่นอกของซันทีหนึ่งอย่างรักใคร่ "ยกโทษให้ผมเถอะนะครับ คุณอาทิตย์"

"ไม่ต้องมาทำอ้อน รีบๆ ทำแผลต่อได้แล้ว ฉันง่วงจนตาจะปิดได้อยู่แล้วเนี่ย"

"งั้นนายกินนี่ก่อนนอนนะ ซัน จะได้กินยาแก้ปวดตาม ไม่งั้นพรุ่งนี้นายจะทรมานแทบตายทั้งเป็นแน่ ถึงตอนนี้นายน่าจะระบมแบบสุดๆ อยู่แล้วก็เถอะ"

ซันรับแซนด์วิชแฮมชีสที่ดรูว์ซื้อมาเผื่อเขาไว้ในมือ หนึ่งในของโปรดเขา ดูเหมือนว่าหมอนี่ยังพอจะจำได้สินะว่าเขาชอบกินอะไร น่าปลื้มใจจริงๆ

แอนดรูว์ส่งยาแก้ปวดที่ว่าปิดท้ายให้เขา ซันปล่อยให้อีกฝ่ายทายาที่แผลเล็กๆ ของเขาตามช่วงแขน ร่างสูงผละไปเอาผ้าที่พันน้ำแข็งกลับมาประคบที่บริเวณหน้าท้องเขาที่ช้ำหนักสุด จากนั้นเจ้าตัวก็ล้มตัวลงมานอนเหยียดข้างๆ เขา มือลูบผมสีดำแผ่วเบา

"นายเป็นคนจัดการสามคนนั้นงั้นเหรอ ดรูว์" ซันถามขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ แอนดรูว์พยักหน้ารับหงึก

"ใช่ ฉันยิงพวกมันเอง"

"นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นั่น"

"มีวิดีโออันหนึ่งส่งมาหาฉัน แล้วก็มีนายกำลังถูกซ้อมสภาพปางตายอยู่ในนั้น นายไม่รู้หรอกว่าฉันแทบคลั่งขนาดไหนตอนที่เห็นวิดีโอนั่นครั้งแรก"

"ใครเป็นคนส่ง"

"ระบุไม่ได้ แต่ในนั้นมีข้อความแนบอกที่อยู่ของตึกนั่นมาด้วย ฉันก็เลยประสานงานกับทีมแล้วบุกเข้าไปช่วยนาย"

"นายใช้คำว่าทีม" ซันพูดขึ้นอย่างสังเกต "แต่มีแค่นายคนเดียวเองนี่ที่มาจริงๆ"

"เรามีทีมเบื้องหลังน่ะ แล้วจากที่ประเมินสถานการณ์ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองต้องการแบ็คอัพ ไอ้สามสี่คนนั่นไม่ได้มีอาวุธร้ายแรงอะไร แถมฝีมือยังกระจอกอีกต่างหาก"

"ความประมาทเป็นหนทางที่นำไปสู่ความตาย"

"เขาเรียกว่าการประเมินสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมาต่างหาก งานของหน่วยเราก็มีไม่ใช่น้อย และการบุกมาช่วยนายแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวกลายๆ"

"นายคิดว่าใครเป็นคนส่งวิดีโอที่ว่าให้"

"ก็คงเป็นไอ้พวกที่จับตัวนายไปนั่นแหละ ตอนนี้ฉันกำลังให้ทีมตามสืบอยู่ว่าคนที่หนีรอดไปอีกคนชื่ออะไร แต่นายบอกว่ามันน่าจะเป็นหัวหน้าใช่ไหม"

"ใช่" ซันว่าพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น "แต่ฉันว่ามันมีอะไรแปลกๆ"

"อะไรเหรอ"

"ก็นายลองคิดดูสิ ในเมื่อดาร์วินกับอีกสามคนที่เหลือลากคอฉันไปเพื่อเค้นเรื่องของนาย ก็ต้องแปลว่าพวกมันต้องการตัวนายไม่ใช่เหรอ แต่การที่มันสามารถส่งวิดีโอที่ฉันโดนซ้อมไปให้นายได้ ก็ต้องแปลว่าพวกมันก็ต้องรู้สิว่าต้องส่งไปที่ไหน"

แอนดรูว์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดข้อสันนิษฐานของตัวเอง “บางทีพวกมันอาจจะพยายามเค้นเอาเรื่องของฉันจากนายก็ได้นะ แบบ เรื่องอื่นๆ จุดอ่อนอะไรแบบนี้ ฉันถึงได้ถามนายไงว่าได้บอกเรื่องครอบครัวของฉันไปรึเปล่า”

“งั้นเหรอ” แต่สีหน้าซันไม่คล้อยตามเลย “แต่ฉันว่าคนพวกนั้นพยายามตามหาตัวนายอยู่นะ ดรูว์ ถึงฉันจะจำได้ไม่หมดว่าพวกมันถามอะไรบ้างก็เถอะ”

“แต่นายไม่ได้พูดอะไรเรื่องครอบครัวของฉันหรือของตัวเองใช่ไหม”

“จำไม่ได้จริงๆ” สีหน้าของซันเคร่งเครียดขึ้น แอนดรูว์เลยต้องรีบย้ำ

“ไม่เป็นไร ซัน ไว้ฉันจะจัดการเรื่องนั้นเอง”

“ขอโทษนะ ฉันทำให้นายเดือดร้อนใช่ไหม”

“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกน่า” เห็นหน้าคนข้างตัวหมองลง แอนดรูว์ก็รีบดึงเจ้าตัวเข้ามากอดปลอบ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาคลอเคลียแถวข้างแก้ม ไล้ปลายจมูกลงมาที่ซอกคอ ลมหายใจอุ่นที่รดลงมาชวนให้ซันรู้สึกวูบวาบขึ้นมาอีกแล้ว มือที่เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นปลาหมึกเลื้อยอยู่ทั่วตัวเขาทำให้ซันหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้หื่นนี่คิดจะทำอะไร

แต่เซ็กส์ของพวกเขาคราวนี้ไม่ได้รุนแรงเผ็ดร้อนเหมือนเมื่อครู่ หากเป็นไปอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่ง และวาบหวาม ซันหอบหายใจเบาๆ ขณะที่คนด้านบนขยับสะโพกเข้าออกเอื่อยๆ

เขาชอบเวลาที่แอนดรูว์เลื่อนฝ่ามือลงมาลูบเส้นผมเขาอย่างทะนุถนอม ทำราวกับว่าเขาเป็นของที่แสนล้ำค่าสำหรับอีกฝ่าย ต่อให้มันจะเป็นคนเดียวกับที่คนที่ทำให้เขารู้สึกไร้ค่ามากที่สุดเมื่อสองปีก่อนก็ตาม

“ดรูว์” ซันพูดด้วยเสียงแหบพร่าเมื่อความรู้สึกวาบหวามไต่ขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ “นาย… สัญญาอะไรกับฉันอย่างได้ไหม”

“อะไรเหรอ”

“อย่าหายไปไหนอีก”

แอดรูว์เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นอย่างชั่งใจ แต่ก็ยังไม่หยุดขยับร่างกายท่อนล่างอยู่ดี

“สัญญาสิ”

“ฉัน…”

“...อ๊ะ” เสียงหวานลอดผ่านลำคอออกมาสั้นๆ ก่อนจะบิดร่างน้อยๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่คนด้านบนถึงจุดยอดพอดี

แอนดรูว์ครางเสียต่ำอย่างพึงพอใจขณะถอนร่างออกมาจากอีกฝ่าย ซันเพิ่งมีเวลาสังเกตว่าเพื่อนรักของเขามีกล้ามเนื้อหน้าท้องแบบที่คงทำให้สาวๆ เหลียวหลังน้ำลายหกกันเป็นทอดๆ และมันทำให้เขารู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่มันไม่ใช่ร่างกายของเขาด้วยซ้ำ

“ฉันให้สัญญาไม่ได้หรอก”

คำพูดเรียบๆ นั่นทำเอาซันหน้าชาทันที เหมือนความสุขที่เริ่มกลับมาหายวับไปกลางอากาศ

“นายว่าไงนะ”

“ฉันไม่อยากให้นายมายุ่งเกี่ยวกับฉัน”

“หลังจากที่นายเพิ่งนอนกับฉันไปเนี่ยนะ? ไม่เอาน่า ดรูว์ อย่างี่เง่าดิ”

ใบหน้าคมมีสีหน้าลำบากใจอย่างยิ่งยวด เขาพลาดอีกแล้วที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ เหมือนกับตอนที่เขาจูบซันเป็นครั้งที่โบสถ์แห่งนั้น

เพราะจูบนั่นแท้ๆ ที่ทำให้เขาไม่สลัดเรื่องของหนุ่มชาวไทยคนนี้ออกไปจากหัวได้จริงๆ สักครั้ง

จูบที่เขามอบให้กับซันในวันนั้นมันศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นจูบสาบานจริงๆ ไม่ใช่แบบที่เขามีให้หญิงสาวที่เขาแต่งงานด้วยปลอมๆ ตอนนั้น

“นายต่างหากที่อย่างี่เง่า เจอมาทั้งหมดนี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าไม่ควรมาข้องเกี่ยวกับฉัน”

“ดูซิว่าคราวนี้ใครงี่เง่ากันแน่” นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองคนพูดเขม็ง คิ้วขมวดติดกันแทบจะผูกเป็นโบได้อยู่แล้ว “นายลองคิดดู ขนาดฉันไม่ได้ติดต่ออะไรกับนายเลยสองปี ฉันยังโดนซ้อมจนน่วมขนาดนี้ ถึงแบบนั้น นายก็ยังจะบอกว่าการตัดขาดกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วเหรอวะ”

“นั่นเพราะว่านายพกรูปฉันในกระเป๋าสตางค์ต่างหาก” แอนดรูว์โวยวาย “การที่ฉันบอกให้ตัดขาดกัน มันหมายถึงว่านายไม่ควรจะพกรูปของเราไว้สิ นี่ต้องให้อธิบายละเอียดกันขนาดนี้เลยเหรอ”

“ไม่เอาแบบนั้นอีกแล้วไม่ได้เหรอ ดรูว์” เมื่อเห็นว่าคำขู่ไม่ได้ผล ซันก็หันกลับมาเล่นลูกอ้อนแทน และนั่นทำให้แอนดรูว์ใจอ่อนยวบได้อย่างรวดเร็ว “นายไม่หายไปอีกแล้วไม่ได้เหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ฉันพยายามแทบตายกว่าในการหาตัวนาย เหมือนกับพยายามควานหาอะไรก็ไม่รู้อยู่ในม่านหมอก แล้วตอนนี้นายก็มาอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว แต่ฉันกลับต้องมาฟังว่านายคิดจะหายกลับเข้าไปในนั้นอีกตามเดิมงั้นเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขอร้องนายเรื่องนี้เลยหรือไง”

โอ๊ย… อย่าเล่นบทดราม่าได้ไหม มันทำให้ใจเขาสั่น

“เราไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันรับรู้เรื่องของนายบ้าง ไม่ใช่เป็นคนหูหนวกตาบอด เกิดอะไรขึ้นกับนายก็ไม่มีทางรู้ นายก็น่าจะเข้าใจไม่ใช่เหรอว่ามันแย่ขนาดไหนเวลาที่เราไม่รู้ว่าคนที่เรารักเป็นตายร้ายดียังไง อย่างตอนที่พ่อนายโดนจับตัวไปน่ะ ฉันก็รู้สึกทรมานแบบนั้นเป็นเหมือนกันนะ”

โอเค ยอม... ยอมแล้วก็ได้ ยกสองมือยอมแพ้เลย

“โธ่เว้ย ไอ้บ้าซัน รู้แล้วน่า ไม่เห็นต้องพูดถึงขนาดนั้นเลย”

คนถูกเอ็ดยังตีหน้างอง้ำ แอนดรูว์เลยหยิกแก้มไอ้ตัวแสบของเขาอีกครั้งจนมันยืดออก

“ฉันสัญญาก็ได้ จะไม่หายไปนานๆ อีกแล้ว แต่นายต้องเข้าใจนะว่าเราอาจจะเจอกันบ่อยๆ ไม่ได้ แล้วนายก็ต้องเป็นฝ่ายรอการติดต่อจากฉันด้วย”

“ห้ามนานเกินหนึ่งอาทิตย์” ชายหนุ่มเริ่มตั้งเงื่อนไขทันที แอนดรูว์อ้าปากทำท่าจะค้าน หากเห็นสายตาวับๆ ของซันแล้วก็ต้องหุบกลับลงไปอีกรอบ ไม่ไหว เพิ่งจะคืนดีกันได้แป๊บๆ ขืนทำซันโกรธอีกล่ะก็ คราวนี้ง้อกันยาวแน่

“ก็ได้ ฉันจะพยายาม”

“งั้นแปลว่าตอนนี้เรากลับมาคบกันเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม” คำถามซื่อๆ จากปากอีกฝ่ายทำเอาแอนดรูว์แทบอยากลงไปฟัดเจ้าตัวอีกรอบ

หมอนี่มันน่ารักชะมัด มองเขาตาแป๋วแถมยังถามออกมาง่ายๆ แบบนั้น… อ่า ชักอยากทำอีกสักรอบ

“อื้อ ใช่สิ แปลว่าเรากลับมาคบกัน”

“อันที่จริงแล้วนะ ฉันรู้สึกเหมือนเราไม่เคยเลิกกันเลย”

แอนดรูว์ยิ้มให้อีกฝ่าย “ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

ซันปล่อยให้ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวลงมาอ้อมแขนเขาอีกครั้ง แต่เหมือนทั้งเขากับดรูว์จะอิ่มเอมจากกิจกรรมบนเตียงมามากพอแล้ว รอบนี้จึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการเล้าโลม กอดก่าย จูบตอบผลัดกันไปมา ราวกับทั้งคู่ต้องการจะเติมเต็มช่องว่างที่หายไปในช่วงสองปีที่ห่างหายกันมา

หลังจากนั้นพอแอนดรูว์ทิ้งหัวลงบนหมอน ชายหนุ่มก็เริ่มถามสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนฝูงเก่าๆ ที่เขาห่างหายไปนาน ถามเรื่องครอบครัวของซัน รวมถึงทราย น้องชายของเจ้าตัวที่เมื่อก่อนเขาคอยสอนภาษาอังกฤษให้บ่อยๆ และเมื่อซันถามกลับถึงครอบครัวของดรูว์บ้าง คนผมทองก็ยักไหล่

“ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับไปเท่าไร แต่ตั้งแต่ช่วยพ่อกลับมาได้ก็อยู่กันเงียบๆ สงบๆ ดี”

“ดีนะที่ฉันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับครอบครัวนายมาก” ตั้งแต่ที่แม่ของแอนดรูว์ย้ายกลับอเมริกา เขาก็ห่างหายจากครอบครัวนี้ไปเลย ทั้งที่ตอนเด็กๆ คอยไปมาหาสู่กับดรูว์มาตลอดและสนิทกันหมดแท้ๆ แต่ถ้านึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งเจอมา มันอาจจะเป็นเรื่องดี “ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะเผลอหลุดปากพูดอะไรไป… แต่นายแน่ใจจริงๆ ใช่ไหมว่าจะหาตัวคนที่บางการเรื่องทั้งหมดนี้ได้จริงๆ ฉันไม่ค่อยสบายใจเลย”

“วางใจเถอะ” นัยน์ตาสีเขียวฉายแววเหี้ยมเกรียมขึ้นมาวูบหนึ่ง “ฉันไม่ปล่อยให้คนที่ทำกับนายแบบนี้ลอยนวลไปแน่”

“ฉันควรจะต้องดีใจไหม?” ยกยิ้มนิดๆ อย่างล้อเลียน

“ควรสิ ควรต้องดีใจมากๆ ด้วย”

“แต่ยังไงนายก็ต้องระวังตัวนะ ในเมื่อเป้าหมายของฝั่งนั้นคือนายตั้งแต่แรก”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อีกอย่าง ฉันไม่ได้ทำเรื่องนี้คนเดียว”

“แล้วนี่เรื่องที่บริษัทฉันควรทำไง” ซันพูดอย่างนึกขึ้นมาได้ ถึงตอนนี้จะมีความสุขจนเหมือนอยู่บนสวรรค์ชั้นเจ็ด แต่ยังไงเขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริง “จะอธิบายให้หัวหน้าฟังยังไงเรื่องที่ฉันหายตัวไปดี แล้วฉันต้องแจ้งความไหม มันจะทำให้นายเดือดร้อนหรือเปล่า”

“ฉันจะไปเดือดร้อนอะไรล่ะ แต่พวกตำรวจแถบนี้ต้องเดือดร้อนแน่ถ้านายไปแจ้งความ” ก็แถบๆ นี้มีคดีเกิดขึ้นแต่ละวันน้อยซะที่ไหน

“งั้นฉันควรทำไง โกหกหัวหน้าว่าไม่สบายเหรอ สภาพถูกซ้อมเป็นหมูบะช่อขนาดนี้ เขาคงจะเชื่อหรอก”

“หมูบะช่อคืออะไร”

เวรกรรม เขาต้องมานั่งสอนภาษาไทยให้หมอนี่ตอนนี้ด้วยเหรอ มันใช่เวลาไหม

“เอ่อ ฉันว่าเราโฟกัสกับที่ประเด็นของคำถามกันเถอะ”

“ซัน นายพาฉันไปบ้านนายหน่อย” อยู่ๆ แอนดรูว์ก็พูดอย่างนึกขึ้นได้ แถมยังลุกพรวดออกจากเตียงหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

“หา? ทำไมล่ะ?”

“ฉันอยากรู้ว่านายอยู่ไหน จะได้ไปหานายถูกไง”

คำพูดนั้นทำให้ซันยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ก็ดีใจนะที่นายกระตือรือร้นขนาดนั้น แต่ต้องไปตอนนี้เลยเหรอ”

“ใช่ เพราะพรุ่งนี้ฉันจะยุ่งมากๆ กับการหาคนมาเค้นคอ”

“แต่… ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ตกลงว่าเป้าตกอยู่ที่นาย แล้วก็มีคนที่คิดอยากจะทำร้ายนายงั้นเหรอ”

“เราจะได้รู้แน่ชัดก็ตอนที่ฉันจับไอ้อีกคนที่หนีรอดไปได้มา หวังว่านะ แต่ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนั้นจริงฉันก็ไม่แปลกใจมากหรอก งานของฉันมันทำให้มีศัตรูจากหลายทิศทางเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เอ้า ลุกไหวไหม จะใส่เสื้อผ้าได้รึเปล่าเนี่ย”

“ได้สิ” พูดพลางรับเสื้อเยินๆ ของตัวเองที่แอนดรูว์โยนมาให้ขึ้นสวม “ไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย แค่ช้ำนิดๆ หน่อยๆ”

“นิดหน่อยที่ไหนล่ะ พรุ่งนี้นอนพักทั้งวันเลยนะ ไม่ต้องไปซ่าที่ไหน อ้อ เรื่องเสื้อ โทษทีนะที่ไม่มีให้ยืม ฉันว่าไซส์ฉันมันใหญ่เกินไปสำหรับนาย อีกอย่าง เดี๋ยวก็แวะไปที่พักนายแล้ว ทนเอาหน่อยคงไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไร”

ทั้งคู่เริ่มหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายตามพื้นขึ้นมาใส่ ซันยกยิ้มอย่างอดไม่อยู่เมื่อในหัวกำลังตะโกนไปมาในหยุดว่าเขากับแอนดรูว์กลับมาคบกันอีกรอบแล้ว และอีกฝ่ายก็บอกเขาว่าไม่เคยมีคนอื่นในตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ดรูว์บอกเขาว่าเจ้าตัวเองยังรักและคิดถึงเขาเหมือนที่เขาเป็น

สำหรับคนที่อยู่กับความสิ้นหวังมาเนิ่นนานแบบเขา จะมีอะไรน่ายินดีไปมากกว่านี้อีก?

“เฮ้ ซัน แต่งตัวเร็วๆ หน่อย เราอยากถึงบ้านนายภายในคืนนี้นะ เดี๋ยวก็เช้ากันก่อนพอดี”

“รู้แล้วล่ะน่า รอแป๊บหนึ่งสิ ฉันหาถุงเท้าอีกข้างไม่เจอ”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้มตัวลงไปชะโงกดูที่ใต้เตียง ก่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยจะสบเข้ากับตาที่เบิกกว้างของหญิงสาวอีกคนที่เบิกกว้างมองมาที่เขา

นั่นคือร่างที่ไร้ลมหายใจของแมดเดอลีน สตีเวนสัน






-----------------------------------------------
Talk: ถ้าเราเป็นผีแมดเดอลีนคงนึกสรรเสริญในใจอ่ะ แบบ พวกเอ็งเอากันเสร็จยัง สนใจศพตรูหน่อย :katai1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 5) P.1 [29/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 29-10-2017 13:15:52
 :jul1: :laugh: หือออ
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 5) P.1 [29/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-10-2017 01:57:00
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 5) P.1 [29/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Honyuchum ที่ 11-11-2017 00:59:35
เดี๊ยวววววววว บรรทัดสุดท้ายนี่อึ้งเลยครับ.. :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 5) P.1 [29/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-11-2017 09:31:09

บทที่ 6



“เหี้ย! ” ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากตำแหน่งที่มองอยู่แทบไม่ทัน รู้สึกได้ถึงน้ำดีที่ไหลย้อนมาที่คอหอย

แอนดรูว์พุ่งตัวเข้ามาดันซันให้ถอยไปอยู่ด้านหลังของตัวเองทันที ทรุดตัวลงเพื่อมองศพที่อยู่ด้านล่าง คว้าไฟฉายกระบอกเล็กที่ห้อยติดอยู่กับสายเข็มขัดขึ้นมาส่อง จากนั้นก็เริ่มกวาดสายตาไปบริเวณรอบร่างของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว

“ตายมาไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง ดูเหมือนว่าสาเหตุการเสียชีวิตจะเพราะขาดอากาศหายใจ สงสัยว่าจะถูกรัดคอ”

“นายอย่าเพิ่งมาวิเคราะห์ศพให้ฉันฟังตอนนี้ได้ไหม! ”

วินาทีนั้น ซันรับรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้อยู่คนละโลกกับเขา ชายหนุ่มคนที่เพิ่งนอนกับเขาไปเมื่อครู่หายวับไปแล้ว เหลือแต่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐอะไรสักอย่างที่ซันยังจำแม้แต่ตัวย่อไม่ได้

“ถอยออกไปหน่อย ฉันต้องดึงร่างหล่อนออกมา”

“โอย ให้ตาย… นี่มัน” ซันยกมือขึ้นปิดปากสนิท ท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนอยากจะขย้อนแซนด์วิชที่เพิ่งกินเข้าไปเมื่อครู่ออกมา เขาไม่เคยเห็นศพคนตายมาก่อนตั้งแต่เกิดมา แม้แต่ตอนที่คุณย่าเสีย ครอบครัวฝั่งพ่อเขาก็จัดการทุกอย่างและเขาก็ได้เห็นแค่โลงที่ใส่ร่างของหญิงชราเอาไว้ตอนไปร่วมงานศพเท่านั้น แล้วคนที่ไม่เคยเห็นคนตายมาก่อนแต่ต้องมาเจอศพตาเบิกโพลงอยู่ใต้เตียงแบบนี้... สาบานเลยว่าภาพต้องติดตาเขาไปชั่วชีวิตแน่ๆ

"สตีเวนสันเหรอ" แอนดรูว์พึมพำหลังจากที่ดึงศพหญิงสาวออกมาจากใต้เตียง สำรวจรอยคล้ำที่อยู่รอบคอของแมดเดอลีนอย่างระมัดระวัง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ "ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย"

"นายรู้จักแมดเดอลีนด้วยเหรอ" ซันละล่ำละลักถาม ปิดเปลือกตาลงเพราะหวังจะลบภาพสีหน้าตื่นกลัวของหญิงสาวที่นอนตัวแข็งอยู่บนพื้น แต่ภาพนั้นกลับแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ฉันสิต้องเป็นคนพูดประโยคนั้น นายรู้จักหล่อนด้วยงั้นเหรอ”

“ก็ต้องรู้จักสิ ก็หล่อนนั่นแหละเป็นคนแนะนำให้ฉันมาทำงานที่นี่” ในความทรงจำของเขา แมดเดอลีนเป็นผู้หญิงสวยและมากไปด้วยความสามารถ เขายังจำตอนที่ไปกินข้าวกับหล่อนเมื่อวันแรกที่เขามาเหยียบประเทศนี้ได้เลย แล้วตอนนี้…

“ฉันเคยทำงานร่วมกับสตีเวนสันมาก่อน เพราะบริษัทหล่อนทำงานด้านหน่วยข่าวกรอง” แอนดรูว์พูดเสียงเครียด และเมื่อหันกลับมาเห็นใบหน้าพะอืดพะอมของอีกฝ่าย เขาก็รีบถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงทันที “ไหวรึเปล่าซัน นั่งพักก่อนไหม”

“ฉัน… จะไปห้องน้ำ” พูดแล้วไม่รอฟังคำตอบ ชายหนุ่มโซเซไปที่ชักโครกจากนั้นก็สำรอกของน้อยนิดที่อยู่ในกระเพาะออกมา เบื้องหลัง เขาได้ยินเสียงแอนดรูว์พูดโทรศัพท์กับใครอีกคนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด คงเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนๆ สายลับของเจ้าตัวล่ะมั้ง ซันเดินกลับออกมาหลังจากที่บ้วนปากเรียบร้อย มือยกทิชชู่ซับ

“ฮาลจะมาถึงที่นี่ในอีกสิบห้านาที”

“ใครนะ”

“คนในทีมฉัน เอาเป็นว่านายนั่งรอพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้ฮาลไปส่งนายที่บ้าน”

“แปลว่านายจะไม่ไปคอนโดฉันแล้วเหรอ”

แอนดรูว์ส่ายหน้า “เรื่องมันวุ่นมากเกินไปแล้ว อีกอย่างคนที่ตายไม่ใช่ระดับเล่นๆ นี่ยังไม่นับเรื่องที่ศพของเจ้าหล่อนอยู่ในห้องฉันอีกนะ”

ซันทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว ชำเลืองมองสีหน้าครุ่นคิดของแอนดรูว์ จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มมองหาเส้นผมสีดำของซันที่อาจจะอยู่บนเตียง รวมถึงคว้าถุงยางที่โยนใส่ถังขยะไปกดลงชักโครก

“ทำอะไรของนายน่ะ” คนหัวดำพูดขึ้นหลังจากทนแรงกดดันจากความเงียบไม่ไหว

“ฉันให้ใครรู้ว่าตัวเองนอนกับนายไม่ได้”

“นายอย่าไปขยับอะไรมากจะดีกว่าไหม เผื่อว่ามันจะมีหลักฐานหรือร่องรอยอะไรของคนร้ายอยู่ที่เตียง”

แอนดรูว์ส่ายหน้า “ระดับนี้แล้ว ไม่มีทางพลาดเรื่องง่ายๆ แบบนั้นหรอก แต่ฉันไม่เข้าใจว่าแมดเดอลีนมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย เป้าหมายของไอ้เอ็กซ์นี่คืออะไรกันแน่”

“เอ็กซ์เหรอ”

“โค้ดเนมเวลาเราเรียกฝั่งตรงข้ามที่ไม่รู้ว่าเป็นใครน่ะ” เจ้าตัวว่า ยังไม่เลิกสอดส่ายสายตาบริเวณเตียงสักที และมันชักทำให้ซันรำคาญขึ้นมา

“ถ้าลำบากใจขนาดนั้นก็เผาฟูกซะเลยสิ”

“อย่าพาลน่า ซัน ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่านายสำคัญกับฉันขนาดนั้น ต่อให้กับคนในทีมก็เถอะ ฉันไม่อยากให้นายตกที่นั่งลำบากเพราะฉันอีกแล้ว”

ก่อนจะได้เริ่มการโต้วาทีกันอีกยก ฮาล ชายหนุ่มผิวดำ รูปร่างกำยำ ตัวสูงกว่าประตูห้องก็ก้าวเข้ามา เจ้าตัวตรงไปสมทบกับแอนดรูว์เพื่อตรวจสอบร่างที่ไร้ลมหายใจที่ยังอยู่บนพื้น

“ฉันเรียกให้ทิมมาจัดการกับศพแล้ว แต่นายรู้ตัวใช่ไหม เบน ว่านี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหน”

“เออ”

“ดูเหมือนจะตายมาประมาณวันหนึ่ง ที่รอบคอมีรอยรัด ให้ตายสิ แล้วเป็นสตีเวนสันด้วยนะ” ฮาลว่าขณะพิจารณารอบคอของแมดเดอลีน จนถึงตอนนี้ซันก็ยังไม่เข้าใจว่าทั้งฮาลกับแอนดรูว์ถึงได้ดูสงบกันนักทั้งๆ ที่มีศพคนตายอยู่ต่อหน้าต่อตา ราวกับว่าทั้งคู่เห็นอะไรแบบนี้มาจนชินตา และนั่นยิ่งทำให้ซันรู้สึกว่าระยะห่างของเขากับดรูว์มันไกลออกไปมากขึ้น

เหมือนอยู่กันคนละโลก… จริงๆ นะ

“ฮาล เดี๋ยวนายไปส่งหมอนี่หน่อยได้ไหม”

ฮาลหันกลับมามองผมก่อนจะยื่นมือมาให้จับเหมือนนึกขึ้นได้ “ฮาร์โรว์ มาร์ติน เรียกฮาลก็ได้”

“เอ่อ ซันครับ” เขาแนะนำตัวง่ายๆ ประสบการณ์สอนมาแล้วว่าถ้าไม่ยื่นนามบัตรให้ก็ไม่ต้องแนะนำตัวชื่อกับนามสกุลให้คนต่างชาติรู้ เพราะไม่งั้นต้องพูดทวนซ้ำหลายครั้งมาก

“นายแน่ใจนะว่าไม่อยากไปส่งเพื่อนนายเอง”

“ฉันว่าเรามีงานต้องทำล้นมือต่อจากนี้แล้ว นายไปส่งซันแล้วกลับมาหาฉันในสามสิบนาที”

ฮาลหันหน้าขวับกลับมาหาเจ้าตัว “บ้านนายอยู่ไหน”

“เอ่อ อัลไพน์ นิวเจอร์ซีย์ครับ แต่...”

“อะไร”

“ผมอยากให้แอน-- ผมอยากให้เบนจามินไปส่ง” ลืมไปไอ้บ้านี่เปลี่ยนชื่อแล้ว “ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา”

“ฉันไปไม่ได้” คนผมทองพูดตรงๆ “หลังจากนี้พวกทีมสืบสวนคงมา และฉันจะมีปัญหาหนักกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่ถ้าไม่อยู่รับหน้าพวกเขา”

“เขาพูดถูก” ฮาลพูด “จริงๆ แล้วนายควรจะอยู่ด้วยด้วยซ้ำ แต่เบนคงไม่อยากให้นายมาเอี่ยว มาเถอะ ก่อนที่พวกนั้นจะมา เดี๋ยวเรื่องจะวุ่นไปมากกว่านี้”

“แล้วฉันจะติดต่อนายได้ยังไง”

“ฉันจะติดต่อไป”

เกลียดคำนั้นชะมัด แต่ซันรู้ดีว่าไม่มีทางเลือก “นายสัญญาแล้วนะ” เขาจ้องหน้าดรูว์เพื่อย้ำว่าอีกฝ่ายบอกว่าจะติดต่อมาทุกๆ สัปดาห์ ไอ้หายไปนานสองปีแบบที่ผ่านมานี่ไม่เอาแล้วนะ

“อื้อ รีบไปเถอะ ซัน ขอโทษนะที่ต้องให้นายมาวุ่นด้วย” แอนดรูว์พูดตอบเป็นภาษาอังกฤษเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อเพื่อนผิวดำอีกคน “นอนพักเยอะๆ อย่าฝืนมากนัก ฉันสัญญาว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”

ซันไม่อยากทำตามที่แฟนหนุ่มสั่ง แต่อย่างกับว่ามีทางให้เลือกมากมายงั้นแหละ







หลังจากที่ซันกับฮาลจากไป อีกไม่ถึงสิบนาทีต่อมาพวกทีมสืบสวนก็เข้ามาในพื้นที่และตรวจสอบที่เกิดเหตุ สิ่งที่พิเศษสำหรับทีมสืบสวนชุดนี้คือพวกเขาจะระมัดระวังไม่ให้เคสนี้เผยแพร่หรือหลุดไปที่สื่ออื่นใด แต่ชายหนุ่มผมทองผู้เปรียบเสมือนเจ้าของอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้กลายๆ ก็รู้ดีว่าเรื่องการตายของแมดเดอลีน สตีเวนสันคงจะปิดข่าวได้ไม่นาน และหลังจากนั้นพวกสื่อคงเล่นกันสนุกสนานแน่

เบนจามิน ลูมิสปล่อยให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานสามคนเข้ามาตรวจสอบสถานที่พบศพ ห้องที่เขาอยู่แทบไม่มีอะไรบ่งบอกถึงตัวเขาเลย เพราะถ้าจะให้ว่ากันจริงๆ ที่อยู่ของเขานั้นไม่ค่อยเป็นหลักเป็นแหล่ง เดี๋ยวย้ายไปนู่น ย้ายไปนี่ แล้วแต่สถานที่ทำงานที่ทางเบื้องบนจะสั่งลงมา

จงทำตัวให้เหมือนสายหมอก

ดีน เพอร์คินส์ ชายผู้เป็นครูฝึกสอนเขาตั้งแต่ตอนที่เริ่มเข้าทำงานกับหน่วยดีเอสไอ ทีมที่เขาสังกัดอยู่เคยพูดแบบนั้นกับเขา เพอร์คินส์เข้าร่วมภารกิจกับพวกเขาตอนที่บุกไปช่วยแอนเดอร์สัน คิง พ่อของเขาเป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณตัวเองจากงานแบบถาวรแล้วมาเป็นครูฝึกให้เขาอย่างเต็มรูปแบบ ชายคนนั้นสอนอะไรหลายอย่างให้เขา และหนึ่งในนั้นก็คือคำพูดประโยคดังกล่าว

จงเป็นสายหมอกที่ปรากฏขึ้นมาแล้วก็จางหายไป อย่าทิ้งร่องรอย อย่าทิ้งหลักฐาน ลูมิสทำตามที่อีกฝ่ายสอนอย่างเคร่งครัดเสมอมา

“เจ้าหน้าที่ลูมิสคะ” หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสูทกางเดินมาพร้อมกับเปิดตราเอฟบีไอให้ดู “จีน่า ครอสส์ค่ะ รบกวนคุณช่วยมาให้ปากคำที่สำนักงานเราหน่อยได้ไหมคะ”

มาจนได้ อีหรอบนี้

ลูมิสคิดอย่างเซ็งๆ เขาทำงานกับพวกตำรวจมานานพอที่จะรู้ว่าเวลาได้เป็นพวกเดียวกันก็ดี แต่ถ้าตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละทุกอย่างจะกลับตาลปัตรไปหมด แล้วก็จะวุ่นวายยุ่งยากอย่างถึงที่สุดด้วย

ชายหนุ่มโดนจับเข้าห้องสืบสวนโดยการอ้างแบบเดิมๆ ของเจ้าหน้าที่ว่าแค่ต้องการให้เขาให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม และเขาก็รู้ดีด้วยว่าตัวเองเป็นเหยื่ออันโอชะของคนกลุ่มนี้ หนึ่ง เพราะศพนั่นอยู่ในบ้านเขา สอง เพราะเขารู้จักผู้ตายมาก่อน สาม เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยดีเอสไอซึ่งไม่ถูกกับเอฟบีไออยู่แล้ว คือเอาจริงๆ พวกหน่วยงานจำพวกเดียวกันก็ไม่เห็นเคยถูกกันสักที่ ต้องมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องกลัวโดนแย่งผลงานหรืออะไรต่อมิอะไรหยุมหยิมไปหมด

“คุณบอกว่าคุณอยู่กับเจ้าหน้าที่มาร์ตินในช่วงเวลาแปดโมงถึงบ่ายสอง ถูกต้องไหม”

“ครับ ใช่”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

“ผมกลับบ้านไปเตรียมตัวเพื่อทำภารกิจต่อไปอยู่”

“ใครเป็นพยานให้คุณได้บ้าง”

“ไม่มี” ลูมิสพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ผมอยู่คนเดียว”

ครอสส์พยักหน้าให้เขาราวกับเข้าอกเข้าใจคำตอบนั้น แต่ลูมิสรู้ดีว่าหล่อนไม่เชื่อ และคงกำลังหาทางเขาคายออกมาให้ได้ว่าเขาเป็นคนฆ่าแมดเดอลีน สตีเวนสัน

“คุณก็ทราบใช่ไหมคะ คุณลูมิส”

“อะไรครับ”

ครอสส์ปิดแฟ้มของตัวเองลง ช้อนนัยน์ตาสีฟ้าใสหากเต็มไปความสุภาพห่างเหินอยู่ในที เส้นผมสีดำสั้นคลออยู่บนดวงหน้า

“คุณเคยทำงานร่วมกับหล่อนมาก่อน คุณรู้จักผู้ตาย และศพก็มาอยู่ในที่พักของคุณ ถ้าคุณเป็นฉัน คุณจะมองคดีนี้ในรูปแบบไหนคะ”

ลูมิสโน้มหน้าไปหาอีกฝ่าย สบตาเจ้าหล่อนตรงๆ

“ฟังนะ คุณเจ้าหน้าที่ครอสส์” เขาพูดเสียงเรียบ หากแฝงไปด้วยความหงุดหงิด มีใครบางคนพยายามเล่นงานเขาผ่านทางซัน พยายามเล่นงานเขาโดยการป้ายให้ความผิดให้แบบนี้ และเขาจำเป็นต้องสืบทราบให้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ไม่ใช่มาเสียเวลาเล่นเกมตอบคำถามกับคนฝั่งเดียวกันที่มองเห็นเขาเป็นศัตรูแบบนี้ “สำหรับคำถามนั้นของคุณ แน่นอน ผมทราบทฤษฎีเรื่องนั้นแน่ อาชีพสายงานผมบังคับให้ผมต้องทราบ แต่ผมจะบอกคุณตรงๆ ตรงนี้เลย ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าสตีเวนสัน ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม อะไรคือแรงจูงใจ”

“นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องสืบให้รู้ค่ะ”

“งั้นคุณก็สืบผิดคนแล้ว เอาง่ายๆ แบบนี้ดีกว่า ถ้าผมเป็นคนทำจริง ผมจะเอาศพไปไว้ที่ห้องตัวเองแบบนั้นเหรอ”

“บางครั้งข้อสรุปของคดีบางคดีก็ง่ายๆ แบบนั้นแหละค่ะ”

กัดไม่ยอมปล่อยจริงๆ เว้ย

ลูมิสเด้งตัวกลับมานั่งพิงพนักเก้าอี้ มองเลยบ่าของครอสส์ไป ด้านหลังของเจ้าหน้าที่สาวมีกระจกบานใหญ่ที่เขามองไม่เห็นอีกฝั่ง แต่ลูมิสรู้ดีว่าอีกฝั่งมองเห็นเขา และใครก็ตามที่อยู่ด้านหลังนั่นคงกำลังวิเคราะห์อยู่ว่าควรจะทำยังไงกับเขาดี

“ผมไม่อยากจะเรียกทนายนะ” เขาพูดขึ้นในที่สุด “เพราะมันจะทำให้เราเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย และผมสามารถบอกได้เลย ในทางกฎหมาย คุณจะกักตัวผมไว้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่คุณไม่มีอาวุธ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีแรงจูงใจอะไรมาโบ้ยให้ผม และผมขอพูดตรงๆ เลยว่าตัวเองมีงานที่ต้องทำต่อ การสืบหาว่าใครเป็นคนฆ่าสตีเวนสันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน”

“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่เราดีกว่าค่ะ”

“ผมไปได้หรือยัง”

“หลังจากคุณตอบคำถามฉันต่ออีกสักหน่อยนะคะ”

ครอสส์ซักถามเขาเรื่องระยะเวลาที่ลูมิสอยู่ในห้องก่อนจะเจอศพ ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่นว่าเขาอยู่คนเดียวจนกระทั่งทำของหล่นและกำลังก้มลงไปเก็บถึงได้เจอกับศพใต้เตียงเข้า

ไม่ว่าการโกหกครั้งนี้จะส่งผลในแง่ลบกับเขามากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มสาบานกับตัวเองแล้วว่าเขาจะไม่ให้ซันมาข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่อีกแล้ว

เกือบสองชั่วโมงที่ลูมิสนั่งอยู่ในห้องแคบๆ แสนจะน่าเบื่อ ในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะทางฝั่งนั้นก็ยังหาอะไรมามัดเขาได้เหมือนกัน เกมมันก็เล่นกันแบบนี้แหละ แต่หลังจากนี้พวกเอฟบีไอคงพยายามหาอะไรมาำให้เขาดิ้นไม่หลุดแน่ๆ เพราะงั้นในช่วงที่ยังไม่ถูกคุมตัวอยู่นี่ เขาต้องรีบหาให้ได้แล้วว่าตัวเองเป็นเป้าหมายของใคร

ขาเรียวยาวของชายหนุ่มก้าวฉับๆ ขณะที่ปล่อยให้ข้อสันนิษฐานมากมายลอยในหัว แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเรียก

“ลูมิส”

“อ้าว” เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน ส่วนหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในกลุ่มเขาไม่รู้จัก “แมคแนร์ คัลเลน มาได้ไงเนี่ย”

“ถ้าให้ตอบให้ตรงที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นขับรถมา” เฟรดเดอริค คัลเลน ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนชี้ฟูพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มสบายๆ แบบไม่ถือตัวมาให้ แต่ลูมิสตีความว่ามันกวนประสาทเขาอยู่มากกว่า

“นายรู้จักเขาด้วยเหรอ” หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มถามอย่างระแวดระวัง ลูมิสเดาว่าหล่อนคงเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่าเขาฆ่าสตีเวนสันไปแหงๆ

“เคยทำงานด้วยกันมานิดหน่อยน่ะ”

“แล้วนี่นายมาทำอะไรอยู่แถวนี้เนี่ย แมคแนร์” คนผมทองหันไปให้ความสนใจกับชายหนุ่มอีกคนแทน ไซม่อน แมคแนร์เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจะเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่เขากำลังโดนอยู่หรือเปล่า “ไม่ใช่ว่าประจำอยู่ที่เคาน์ตี้ลอสแองเจลิสหรอกเหรอ”

“ใช่ครับ แต่พอดีโดนขอให้มาช่วยอะไรนิดหน่อย”

“งั้นเหรอ งั้นก็โชคดีนะ” ลูมิสตัดบท เวลาตอนนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก “ฉันคงต้องขอตัวก่อน มีธุระต่อจากนี้ ไว้คุยกันโอกาสหน้า”

ชายหนุ่มผมบลอนด์ทองก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่ลิฟต์เพื่อจะลงไปชั้นหนึ่งแล้วออกจากตึก แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงของคัลเลนแว่วๆ มาจนได้

“หมอนั่นน่ะเหรอ? ไม่หรอก หมอนั่นไม่ได้ฆ่าสตีเวนสันหรอก”

อ้อ ใช่ อย่างหนึ่งที่ทำให้คัลเลนพิเศษแล้วก็แปลกแยกกว่าคนอื่นๆ ก็คือ หมอนี่ไม่ใช่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่แบบเขาหรือแมคแนร์ แต่เป็นนักจิตวิทยาที่คอยวิเคราะห์คน สถานที่เกิดเหตุ แล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง

และตอนนี้ เขาก็กำลังโดนมันวิเคราะห์ แปลว่าคัลเลนอยู่ในห้องหลังกระจกตอนที่เขาโดนสอบปากคำอยู่อย่างนั้นสินะ

“แต่ใช่ เขามีเรื่องปิดบัง”

วินาทีนั้น ลูมิสหันกลับไปมองหน้าคนพูด และพวกเขาทั้งสองก็สบตากัน นัยน์ตาสีฟ้าของคัลเลนมองมาที่เขาอย่างท้าทาย และมันทำให้ลูมิสนึกหวาดหวั่นขึ้นมาเหมือนกัน

“อย่าง… ตอนที่เขาพูดว่าเขาอยู่ในห้องนั่นคนเดียวตอนที่เจอศพน่ะ ผมคิดว่าเขาโกหกตรงนั้น”

และคัลเลนก็คิดถูก

และลูมิสก็รู้ดีว่านี่จะทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากกว่าเดิม

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ช่าง

ให้ตายยังไงเขาก็จะไม่พูดชื่อซันหรืออาทิตย์ เดชพิพัฒน์ขึ้นมาให้ใครได้ยินอย่างแน่นอน





ลูมิสขับรถตรงไปที่อพาร์ทเม้นท์ของฮาลทันทีที่หลุดออกมาจากการสืบสวนได้ ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาใกล้รุ่งสาง เขาไม่ได้นอนติดๆ กันมาเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคกับเจ้าตัวมากนักเพราะฝึกมาก่อน

“ไง เบน” ฮาลพูดขึ้นหลังจากที่เปิดประตูรับอีกฝ่าย ที่พักของเขาก็ไม่ต่างกับของลูมิสมาก นั่นคือมีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แทบไม่มีของเก็บหรือของใดๆ ที่ไม่จำเป็น ยกเว้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่และดูเป็นมืออาชีพมากกว่าของคนผมบลอนด์ที่ไม่ถนัดด้านนี้เท่าฮาล

ลูมิสรับแก้วน้ำที่อีกฝ่ายย่นมาให้ขึ้นดื่ม จากนั้นก็ตรงไปที่ครัวอย่างคนที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี

ฮาลเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจและสนิทที่สุดแล้วในบรรดาคนในทีมทั้งหมด และสำหรับฮาลเองก็เช่นกัน เขาไม่มีวันยอมให้ใครเข้ามาที่ที่พักส่วนตัวแบบลูมิสแน่

อาจเป็นเพราะพวกเขาสองคนได้รับภารกิจร่วมกันบ่อย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมามาก ช่วงหลังๆ มานี่ ต่อให้ไม่ใช่งานที่ได้รับร่วมกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายว่างพอที่จะมาช่วย ทั้งคู่ก็จะผลัดเปลี่ยนกันมาเป็นแบ็คอัพให้อีกฝ่ายอยู่เสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในเมื่อลูมิส เพื่อนสนิทของเขามีเรื่องเดือดร้อน และน่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เจ้าตัวเข้าทีมมาด้วย

ฮาลหันกลับไปหาคนผมทองที่ยังปาดครีมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตลงบนหน้าขนมปัง จากนั้นก็โรยเยลลี่หลากสีแล้วประกบขนมปังอีกแผ่นลงไป ลูมิสเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วให้เพื่อน ชูแซนด์วิชในมือขึ้นนิดหนึ่ง

“นายจะเอาด้วยไหม? ”

“ไม่ดีกว่า ขอบใจ นายอยากเล่าให้ฉันฟังไหมว่าพวกเอฟบีไอทำอะไรกับนายบ้าง”

“ก็ถามนู่นนี่” พูดพร้อมกับเคี้ยวหงุบหงับในปาก “พวกนั้นคิดว่าฉันเป็นคนฆ่าสตีเวนสัน”

“ก็สมควรหรอก ศพอยู่ในบ้านนายนี่”

“ฉันจะฆ่าสตีเวนสันทำไม ไม่มีเหตุผลสักหน่อย”

“เรื่องนั้นฉันรู้ แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อ หาตัวคนที่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นตัวจริง? ”

“นั่นด้วย เพราะนี่มันก็เห็นชัดกันอยู่แล้วว่าไอ้เอ็กซ์นี่พยายามเล่นงานฉันจากหลายๆ ทาง เพราะงั้นการที่จะสืบหาว่าเอ็กซ์เป็นใครได้ ก็ต้องหาให้เจอก่อนว่าใครฆ่าสตีเวนสัน”

“ฟังดูเป็นแผนที่ดี แต่ก่อนที่เราจะเจาะลึกกันมากกว่านี้ นายมีอะไรอยากจะสารภาพกับฉันก่อนไหม เบนจามิน ลูมิส”

น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้ลูมิสต้องรีบกลืนขนมปังเยลลี่เข้าไปในคออย่างรวดเร็ว

“นายพูดเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันฆ่าสตีเวน--”

“เปล่า” ฮาลยกมือขึ้นกอดอกหลวมๆ “อันที่จริงฉันก็เข้าใจนะว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และจริงๆ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรสนิยมทางเพศของนาย”

ลูมิสรู้สึกเลยว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลง นี่เขากับซันแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นตอนที่หมอนี่มาเลยเหรอ

“เปล่า ฉันไม่ได้รู้จากท่าทีพวกนาย” ฮาลพูดต่อราวกับอ่านใจเพื่อนออก เขาชูกล้องวิดีโอตัวจิ๋วขนาดเท่าหัวแม่โป้งขึ้นมา “แต่รู้มาจากไอ้นี่”

คนผมบลอนด์ทองวางแซนด์วิชในมือลงอย่างเชื่องช้า ความอยากอาหารหมดไปอย่างรวดเร็ว

“กล้อง… งั้นเหรอ”

“ติดอยู่ที่หลังตู้กับตรงสัญญาณเตือนไฟไหม้… งานเนี้ยบเชียวล่ะ” เจ้าตัวว่าขณะพลิกกล้องตัวจิ๋วในมือไปมา “เดาว่าป่านนี้ไอ้เอ็กซ์คงได้ดูหนังสดของนายกับคู่ขานายไปจนหนำใจแล้ว”

“ซันไม่ใช่คู่ขา” น้ำเสียงของชายหนุ่มงวดขึ้นมาทันที สำหรับเขาแล้ว ซันสำคัญเทียบเท่ากับคนในครอบครัวของเขาเอง

“งั้นนั่นก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ไม่ว่าคนที่ติดกล้องนี่ไว้จะเป็นใคร แต่มันก็ได้รู้แล้วล่ะว่าซันมีเอี่ยวกับนายขนาดไหน ไอ้ที่นายบอกไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยดูจะยากเกินไปหน่อยแล้วในสถานการณ์นี้”

ลูมิสสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง มือยกขึ้นแตะหน้าผากก่อนจะลากลงไปถึงคาง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างคนคิดไม่ตก

พลาดแล้ว เขาพลาดเองจริงๆ เขาไม่ควรพาซันมาอยู่กับเขาสองต่อสองแต่แรก ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย แต่ก็ยังเลือกที่จะทำแบบนั้นลงไปอีก

แล้วคราวนี้… ซันก็อาจจะต้องเดือดร้อนเพราะเขาอีกแล้ว

“ติดต่อบอสให้หน่อย ฉันว่ารอบนี้เราต้องการคนเพิ่มแล้วล่ะ”





-------------------------------------------------
Talk: ขอโทษที่อาทิตย์ที่แล้วหายนะคะ เรายังไม่ลืมดรูว์ซันหรอกนะ! ส่วนไซม่อนกับคัลเลนนี่โผล่ทุกที่เลย ความเสนอหน้านี้ 555555
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 6) P.1 [12/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-11-2017 19:03:50
 :hao5: :hao5: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 6) P.1 [12/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: popuri ที่ 01-12-2017 09:23:43
ตู่นี้ก็สนุกมากค่ะ รอติดตามอยู่นะคะ
แอบเห็นชื่อหนุ่มๆจากเรื่องอื่นแว้บแจมมาด้วยยย
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 6) P.1 [12/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 01-01-2018 20:53:20
 o13
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 6) P.1 [12/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 22-02-2018 17:15:49
บทที่ 7




หลังจากที่ฮาลมาส่งเขาที่ห้องพัก ซันก็หลับเป็นตายจนถึงช่วงบ่ายของอีกวัน เขาติดต่อไปหาอเล็กซ์ หัวหน้าของเขาทันทีที่มีสติและเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำแบบนั้น อีกฝ่ายส่งเสียงเอะอะมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็เริ่มเล่าถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นในช่วงสามวันที่เขาหายตัวไป ตอนแรกทุกคนก็ลงความเห็นไปว่าเขาไม่สบายเลยไม่ได้มาทำงาน แต่พอพยายามติดต่อมาก็ติดต่อไม่ได้ ส่งคนมาดูที่ห้องก็ไม่มีใครเปิดรับ จนอเล็กซ์กำลังคิดว่าจะไปแจ้งความอยู่แล้ว แล้วสักพักก็มีเรื่องการตายของแมดเดอลีนเข้ามาอีก

"ผมได้ยินเรื่องของคุณมาจากทางตำรวจแล้ว" อเล็กซ์ว่าด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ซันรู้ดีว่านี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ฮาลบอกเขาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เจ้าตัวบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องที่ทำงานให้ ขอให้เล่นตามน้ำไปตามนั้นก็พอ "เขาบอกว่าคุณโดนจับตัวไป และมันอาจมีความเกี่ยวข้องกับการตายของแมดเดอลีน"

อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียวล่ะนะ

"แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า"

"ตอนนี้เรียบร้อยดีครับ แค่เจ็บหนักหน่อย กำลังพักฟื้นตัวอยู่ที่ห้อง อาจจะเข้างานได้อีกทีอาทิตย์หน้า"

"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นตอนนี้หรอก เฮ้ แล้วพวกมันจับตัวคุณไปทำไม มันได้พูดอะไรกับคุณบ้าง"

"ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เหมือนทุกอย่างมันเลือนรางไปหมด"

"งั้นก็เหมือนกับที่ทางตำรวจบอก งั้นผมไม่กวนคุณแล้วดีกว่า ไว้ผมจะติดต่อไปใหม่นะ คุณซัน ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอด แล้วก็ ผมเสียใจจริงๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทั้งที่คุณเพิ่งจะมาทำงานได้ไม่นาน"

"ไม่เป็นไรครับ" ซันว่าก่อนจะกดวางสายไปแล้วแหงนหน้ามองเพดานของห้องอย่างเหนื่อยอ่อน

ไม่รู้ป่านนี้แอนดรูว์เป็นไงบ้าง จะยังปลอดภัยดีอยู่ไหม แล้วตอนนี้หมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่

ชายหนุ่มนึกทบทวนเรื่องวุ่นวายที่เจอมาในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี้ ร่างของเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองโดนทรมาน รวมถึงตอนที่เจอศพของแมดเดอลีนที่ใต้เตียงนั่น สีหน้าหวาดกลัวก่อนจะขาดใจตายของเจ้าหล่อนยังคงติดตาเขา บางทีเขาน่าจะเสิร์ชหาดูว่ามีวัดไทยที่ไหนใกล้กับที่เขาอยู่ที่สุดบ้าง จะได้ไปทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าหล่อนสักหน่อย ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่าจะส่งบุญข้ามศาสนากันได้รึเปล่าก็เถอะ

หลังจากนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง หยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอแล้วก็วางไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ยังไงเสียก็คงยังไม่มีการติดต่อจากดรูว์เร็วๆ นี้ ท้องเขาก็เริ่มร้อง แถมการจมอยู่กับความเงียบก็ยิ่งทำให้ซันรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง โทรไปสั่งพิซซ่าให้มาส่งที่ห้อง จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำให้สบายตัว แม้ว่าการโดนหยดน้ำกระเซ็นใส่เบาๆ จะทำให้เจ้าตัวแสบแผลจนแทบสะดุ้งเลยก็ตาม

กลับออกมานั่งแช่บนโซฟาพร้อมกับดูโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายหนังเรื่องหนึ่งที่เคยเข้าโรงที่ไทย เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ซันเดินไปเปิดประตู นึกในใจว่ามื้อค่ำเขาคงมาแล้ว แต่เจ้าตัวก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ฝ่ายหญิงที่มีเรือนผมสีแดงน้ำตาลเหยียดตรงยาวเลยบ่าพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

"สวัสดีค่ะ คุณซัน ฉันชื่อเจน โฮแกน ส่วนนี่เพื่อนร่วมงานฉัน ไบรอัน ฟลินน์"

"เอ่อ สวัสดีครับ? " เขาตอบกลับอย่างไม่แน่ใจ "มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า"

"เราแค่แวะมาทักทายนิดหน่อย ลูมิสเป็นคนขอให้เรามาช่วยจับตาดูคุณ เลยแค่อยากจะโผล่มาให้เห็นว่าถ้าเห็นหน้าเราบ่อยๆ ก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ฉันกับฟลินน์จะคอยผลัดกันตามคุณ หรือบางครั้งเราอาจจะอยู่ด้วยกันทั้งคู่ แต่เราจะไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของคุณแน่ค่ะ แค่คอยดูอยู่ห่างๆ "

"อะไรนะ" ซันอุทานอย่างตกใจ ดรูว์ไม่เห็นจะบอกอะไรเขาเรื่องนี้ แล้วนี่มันไม่เกินเหตุไปหน่อยเหรอ "แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าเขาเป็นคนส่งพวกคุณมาจริงๆ "

โฮแกนกับฟลินน์หันไปมองหน้ากันก่อนจะหันกลับมาทางซัน จากนั้นโฮแกนก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกแล้วยื่นให้ชายหนุ่มชาวเอเชียตรงหน้า

"เอาเป็นว่าคุณคุยกับเขาเองเลยน่าจะดีกว่า"

ซันรับโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอย่างงงๆ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นสามกริ่งก่อนที่จะมีคนรับ

"ว่าไง เจน"

ซันเกือบจะหลุดเรียก 'ดรูว์' ไปอยู่แล้ว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนตรงหน้ารู้จักปลายสายในชื่อของเบนจามิน ลูมิส ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเรียกชื่อใหม่อีกฝ่ายแทน

"เบนจามิน"

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอุทาน "ซัน? "

"นี่มันเรื่องอะไรกัน" เขาถามกลับไปเป็นภาษาไทย

"อ้อ นายเจอเจนกับไบรอันแล้วใช่ไหม"

"สรุปว่าสองคนนี้เป็นคนรู้จักนายจริงๆ สินะ"

"ใช่แล้ว นายไว้ใจพวกเขาได้"

"นายปลอดภัยดีใช่ไหม"

"ฉันปลอดภัยดี แต่นายจะว่าอะไรไหมถ้าฉันขอวางก่อน"

ซันตีหน้าหงอยลงทันที ถึงจะรู้ดีว่าดรูว์ไม่มีทางเห็นก็ตาม "แต่ฉันยังอยากคุยอยู่เลยนี่"

"ขอโทษนะครับคนดี" แอนดรูว์พูดเสียงปลอบโยนมาตามสาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุยกับซัน แต่เขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำจริงๆ "ไว้ฉันจะโทรไปหานายตอนที่พอมีเวลานะ รอฉันหน่อยได้ไหม"

"อย่างกับฉันมีทางเลือก"

"ไม่โกรธน่า ซัน ต้องวางแล้ว เดี๋ยวจะติดต่อไปนะครับ" น้ำเสียงเว้าวอนจนซันใจอ่อนตามเคย

"ระวังตัวนะ" อดไม่ได้ต้องพูดออกมาเสียงเบา แอนดรูว์รับปากทันที

"เข้าใจแล้ว นายเองก็ดูแลตัวเองด้วย เจนกับไบรอันจะดูแลความปลอดภัยของนายเอง"

"เรื่องนั้น… มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ"

"นายยังจะพูดแบบนั้นหลังจากโดนลากไปซ้อมมาครั้งหนึ่งแล้วเนี่ยนะ"

ก็จริงของมัน

"ไปแล้ว ซัน เดี๋ยวค่อยคุยกัน"

"โชคดี เบน" แล้วอีกฝ่ายก็วางหูไป ซันยื่นโทรศัพท์คืนให้หญิงสาวตรงหน้า

โฮแกนกับฟลินน์ฝากเนื้อฝากตัวกับเขาอีกสองสามคำก่อนจะจากไป ซันได้แต่กลับไปนั่งอยู่บนโซฟาตามเดิมด้วยความคิด ความกังวลสารพัดที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะๆ อย่างที่เขาห้ามไม่อยู่

แต่พอลองคิดถึงสิ่งที่เขาเจอมาในช่วงสามวันนี้แล้ว เขาก็ไม่นึกโทษความขี้ระแวงของตัวเองเหมือนกัน







ลูมิสมองหน้าจอมือถือของตัวเองหลังจากที่กดวางสายไป เขาถือมันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกง นัยน์ตาสีเขียวทอดสายตาไปที่บ้านเดี่ยวหลังเล็กชั้นเดียวที่ตั้งอยู่กลางพื้นที่รกร้างและป่าไม้ที่รายล้อมอยู่บริเวณนั้น แทบไม่มีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในแถบนี้

นี่เป็นที่อยู่ของอดัม จอห์นสัน ชายหนุ่มที่ทางทีมเจาะข้อมูลของเขาสืบมาได้ว่าเป็นคนส่งวิดีโอตอนที่ซันถูกลากไปซ้อมจนน่วมเพียงเพื่อถามความเป็นไปเกี่ยวกับเขา

ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องตบที่ข้างเอวเพื่อหาตรวจสอบว่าปืนอยู่ตรงนั้นหรือไม่ เขารู้ดีว่าอาวุธมากมายที่ซ่อนอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายพร้อมแบบครบครัน เหลือแค่เขาจะเลือกหยิบมาใช้ตอนไหนก็เท่านั้นเอง

ลูมิสเลาะไปตามรั้วบ้าน ความมืดไม่เป็นอุปสรรคของเขาเท่าไรนักเพราะประสบการณ์และการฝึกฝนมากมายที่ทำให้เขาชินกับสถานการณ์แบบนี้ ชายหนุ่มกระโดดข้ามรั้วเตี้ยๆ เพื่อเข้าสู่เขตของตัวบ้าน เท่าที่กวาดตาดูจากรอบๆ เงี่ยหูฟังดูอย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว ไม่มีใครอยู่แถวนี้นอกจากเขา นอกเสียจากว่าคนที่อยู่จะเป็นระดับมืออาชีพที่พอๆ กับเขาหรือมากกว่า เขาหวังให้มันไม่ใช่แบบหลัง

ลูมิสใช้เวลาเล็กน้อยในการสำรวจและปลดล็อกกลอนประตูหน้าบ้าน ใช้เวลาไม่นานเลยในการบุกเข้ามาข้างใน นัยน์ตาสีเขียวคมกริบกวาดดูข้าวของอย่างรวดเร็วและสรุปได้อย่างง่ายดายว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้ว

โต๊ะกินข้าวกับเก้าอี้สำหรับคนเดียวถูกทิ้งไว้จนฝุ่นเกาะอยู่ที่มุมหนึ่ง อีกมุมมีโซฟาเก่าๆ ที่มีรอยปะอยู่บางส่วน ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีโทรศัพท์ เขาสงสัยว่าที่นี่จะไม่มีไฟฟ้าใช้แล้วด้วยซ้ำแต่เมื่อเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็น ด้านในเย็นเฉียบราวกับมันถูกเสียบปลั๊กไว้แบบนั้นเป็นปกติ ซึ่งขัดกับหลายอย่างในตัวบ้าน หรือแต่ตัวตู้เย็นที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

มีคนใช้ที่นี่เป็นครั้งคราว

ลูมิสสันนิษฐาน ไม่แน่ใจเสียทีเดียว แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังเล็กจิ๋วนี่นอกจากเขา ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะสำรวจให้ทั่ว เขาเดินไปเปิดประตูห้องนอนที่มีเพียงห้องเดียวในบ้านหลังนี้ ชายหนุ่มถือไฟฉายเล็กจิ๋วที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดเวลาส่องไปตามทิศทางต่างๆ ตามที่ต้องการ

กลิ่นกำมะถันลอยปนมาในอากาศทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ลูมิสชะงักไปชั่วขณะ มือที่ถือไฟฉายค้างเอาไว้ฉายแสงให้เห็นตัวหนังสือที่ไม่รู้ว่าเขียนด้วยสีแดงหรือว่าเลือด





‘สวัสดีลูมิส ขอบคุณที่มาเล่นด้วยนะ’





“ระยำ” เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดต่อจากนั้นแม้แต่เสี้ยววิฯ ชายหนุ่มถลาตัวออกจากห้องแล้วตรงไปที่ประตูหลังบ้านซึ่งอยู่ใกล้กว่า กระชากเปิดพร้อมกับพุ่งตัวออกไป สมองประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ประตูห้องนอนนั่นต้องมีเซนเซอร์บางอย่างอยู่แน่ หรือไม่ก็กล้องวงจรปิดแบบอินฟราเรด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน แต่ในบ้านหลังนั้นต้องมีระเบิดอยู่แน่ เขาทำได้แค่หวังว่ามันจะไม่ร้ายแรงเกินไป

ลูมิสนึกถึงบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่ถัดไปอีกเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นมันตอนที่จอดรถแล้วย่องมาที่บ้านหลังนี้

สัญชาตญาณสั่งให้เขาพุ่งทะยานไปที่แห่งนั้นทันที ขาเรียวยาวพาร่างของตัวเองทะยานลงผืนน้ำเป็นจังหวะเดียวกับที่แรงระเบิดจากด้านหลังกดทับลงมา ฟองอากาศลอยออกมาจากปากของคนที่อยู่ใต้น้ำเพราะแรงดันมหาศาลที่ทำให้ร่างกายด้านชาจนแทบขยับตัวไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่ารับระเบิดกระแทกหน้าเต็มๆ แน่

ลูมิสลอบคิด กัดฟันข่มความเจ็บปวดที่เพิ่มพูนขึ้นมาจนชวนให้สติหลุดออกจากร่าง เสี้ยววินาทีหนึ่งเขาเกือบจะสลบไปอยู่แล้ว หากสัญชาตญาณในตัวส่งเสียงเตือนว่าขืนเขาหลับตรงนี้ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแน่ ชายหนุ่มจึงได้แต่กัดฟัน ประคองสติพาตัวเองแหวกว่ายขึ้นไปด้านบน เมื่อแน่ใจว่าแรงระเบิดเมื่อครู่หายไปหมดแล้วลูมิสก็ตะเกียกตะกายโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมกับหอบหายใจระรัว

เขามองกลับไปยังบ้านหลังเล็กที่ตัวเองเพิ่งเข้าไปสำรวจ มันพังราบไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเขาตัดสินใจจะก้าวออกมาช้ากว่านั้นสักเสี้ยววินาทีละก็… เขาเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากมัน

ชายหนุ่มไม่เสียขอบคุณในความโชคดีของตัวเองหรือฟูมฟายกับความเจ็บปวด เขายันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเพราะบาดแผลที่หนักที่สุดบนแผ่นหลัง เดินกลับไปที่รถด้วยความเร็วที่ช้าลงจากปกติแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามเร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลังก็ตาม

ลูมิสปิดประตูรถ ผ่อนลมหายใจอย่างแรงเฮือกหนึ่งขณะที่เท้าเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ในหัวนึกทบทวนถึงสิ่งที่เจอซ้ำไปมาเพื่อเตือนไม่ให้ตัวเองลืม

‘สวัสดีลูมิส ขอบคุณที่มาเล่นด้วยนะ’

ใครบางคนกำลังเล่นตลกกับเขา แต่เป็นตลกที่ขำไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ชัดเจนแล้วว่าเขาคือเป้าหมายอย่างแน่นอน ทีนี้ก็ต้องมานั่งเสียเวลาคิดแล้วว่าใครที่พยายามจะเก็บเขา

จำนวนที่ผุดขึ้นในหัวมากมายจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเลย

“อ่า…” ลูมิสครางออกมาแผ่วเบาเพราะสภาพร่างกาย หากในหัวคิดถึงกลุ่มคนที่มีความเป็นไปได้ว่าอยากจะได้ชีวิตเขาตอนนี้

แต่สิ่งที่ลูมิสกำลังกังวลตอนนี้ก็คือ… บางทีเขาอาจเชื่อใจใครไม่ได้เลยแม้แต่คนในองค์กรเดียวกัน







ซันนั่งเหม่อลอยมองหน้าจอคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลาเกือบสิบนาทีแล้ว นี่ไม่ใช่นิสัยปกติของเขา แต่ถ้าต้องเจอเรื่องที่หนักหนาอย่างโดนลักพาตัวไปซ้อมหลายวันติดกัน เจอศพหัวหน้างานอยู่ใต้เตียงของแฟนตัวเอง ซันว่าแค่เขาไม่เป็นบ้าไปก่อนก็เก่งมากพอแล้ว

และตอนนี้ทั้งบริษัทก็แต่งชุดดำไว้อาลัยให้กับแมดเดอลีน สตีเวนสัน พนักงานคนสำคัญที่ทำให้องค์กรก้าวหน้ามาได้ถึงเพียงนี้ แต่ทุกคนไม่ได้เห็นศพของหญิงสาวเหมือนที่เขาเห็นนี่ แล้วยิ่งการตายของหล่อนสยดสยองขนาดนั้น…

อุบ… แค่คิดถึงมันขึ้นมาก็จะอ้วกแล้ว

ซันลุกออกจากที่ทำงานของตัวเองหลังจากทนแรงกดดันไม่ไหว ชายหนุ่มสะโหลสะเหลราวกับคนป่วยเพิ่งฟื้นไข้ เข้าไปในห้องน้ำโซนที่คนค่อนข้างน้อย ไม่ถึงกับอาเจียนออกมาแต่ก็เกือบไปเหมือนกัน เขาห้ามตัวเองไว้ได้ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไล่อาการหน้ามืดที่ผลุบๆ โผล่ๆ มาช่วงนี้ เดินไปที่ซิงค์แล้วเปิดก๊อกขึ้นมาวักน้ำใส่หน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองกระจก แทบจะสะดุ้งไปติดอยู่กับผนังด้านบนเมื่อเห็นร่างของใครบางอยู่ด้านหลังเขาในกระจกเงานั่น

เขาเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาตอนที่ร่างสูงเพรียวก้าวเข้ามาประชิดแล้วยกมืออุดปากเขาอย่างรวดเร็ว แอนดรูว์ยกนิ้วชี้อีกข้างแตะริมฝีปาก ส่งเสียงชู่เบาๆ เพื่อให้คนรักของเขาเงียบ ซันพยักหน้ารับทีหนึ่งก่อนจะกระซิบถามเสียงเบาอย่างงุนงง

“นาย… มานี่ได้ไงเนี่ยดรูว์ แล้วนี่นายบาดเจ็บเหรอ? ” ซันไม่ได้เห็นบาดแผลเต็มๆ ที่กลางหลังเพราะสายลับหนุ่มจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าซันได้เห็นแผลเขาเต็มๆ ละก็ไม่มีทางนิ่งอยู่ได้แบบนี้หรอก

แต่ถึงจะบอกว่านิ่งสีหน้าและแววตาของเจ้าตัวก็บ่งบอกถึงความกังวลมากพอสมควร ลูมิสนับถือแฟนของตัวเองจริงๆ ที่ช่างสังเกตถึงเพียงนี้ ทั้งที่เขาแน่ใจว่าปกปิดแผลแล้วก็กลบเกลื่อนอาการบาดเจ็บของตัวเองได้อย่างแนบเนียนแล้วเชียว

“ก็นิดหน่อย”

“ทำอะไรมา”

ร่างสูงไม่ตอบในทันที เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าไม่มีใครจากนั้นก็ลากซันเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง ปิดประตูลงกลอน ดันร่างของคนผมดำไปติดผนังแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากของซันอย่างรุนแรงและโหยหาราวกับคนตายอดตายอยาก

ซันทั้งตกใจทั้งขำกับจูบที่ย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งที่คนที่ไม่มีเวลาให้ในความสัมพันธ์ของพวกเขาคือคนตรงหน้านี้แท้ๆ แต่เจ้าตัวก็ยังแทะโลมริมฝีปากเขาอย่างตะกละตะกลาม ซันตวัดลิ้นรับจูบของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลกว่า แต่แอนดรูว์ไม่ยอมผ่อนจังหวะใดๆ ลงให้เขาเลย ตรงกันข้าม ฝ่ามืออุ่นเริ่มรุกล้ำเข้ามาใต้สาบเสื้อเขาอย่างซุกซนแล้ว

ซันไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ มือเลื่อนไปจับแขนแอนดรูว์นิดๆ เพราะไม่ชินกับเรื่องอย่างว่าที่ห่างหายไปนานแรมปี แอนดรูว์ส่งเสียงในลำคออย่างพอใจ ผละจูบออกแล้วเลื่อนริมฝีปากไปคลอเคลียที่ใบหูซัน ท่อนแขนที่แข็งแรงกว่าหลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงข่มขู่ที่ชวนเร้าอารมณ์คนฟังอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวนี้กล้าขัดฉันเหรอ? ”

“เปล่า…” ซันว่า นึกถึงช่วงปิดเทอมก่อนจะเข้ามหาลัยที่พวกเขาสองคนเล่นบทรักแบบที่อีกฝ่ายต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายหนึ่ง เสียงที่แอนดรูว์ใช้ตอนนี้เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิดเลย “แค่ไม่ทันตั้งตัว”

“อาราย” ใบหน้าคมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำตัวเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ไปได้ นี่ ซัน จำช่วงที่เราจบม.6 ใหม่ๆ กันได้ไหม ที่เราเล่น SM กันอะ ฉันยังจำได้เลยว่าเร่าร้อนขนาดไหนเวลารับคำสั่งจากฉัน”

“อย่าเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดนะ” หน้าของซันแดงเถือกไปถึงหลังหู ใครจะไปบอกกันล่ะว่าเขาก็กำลังคิดถึงเรื่องเดียวกับที่ดรูว์พูดอยู่เป๊ะเลย

“ที่รักเขินเหรอครับ” ลากลิ้นร้อนลงบนหู มือที่อยู่บนแผ่นอกเริ่มหยอกเย้ากับส่วนยอดที่เริ่มแข็งรับสัมผัสเสียวซ่านจากคนตรงหน้า ซันครางแผ่วเบาในลำคอ ขยับร่างรับฝ่ามือกร้านอีกข้างที่ลากลงมาบนหน้าท้อง ไล้ลงต่ำเรื่อยๆ จนล้วงไปสัมผัสผิวเนื้อใต้กางเกง

เสียงครางแผ่วเบาอย่างพึงพอใจเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่สวย แอนดรูว์ขบริมฝีปากเจ้าตัวอย่างมันเขี้ยว

“อย่าส่งเสียง”

นั่นเป็นประโยคคำสั่ง

ซันปล่อยให้มือหนารูดลงบนส่วนอ่อนไหวของเขาอย่างชำนาญการ ใบหน้าหล่อเหลาของคนผมบลอนด์ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่เซนฯ ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดกันทำให้ซันยิ่งเข่าอ่อน ความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งผลให้เขาส่งเสียงครางออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่

แอนดรูว์กดจูบลงมาแรงขึ้นเป็นเชิงเตือน

“ผมสั่งว่าไง? ”

“อะ… อือ” นัยน์ตาสีดาร์กช็อกโกแลตหยาดเยิ้มทีเดียวขณะมองมาที่เขาอย่างอ้อนวอน แม้ทั้งคู่จะรู้ว่านี่มันไม่ใช่เวลามาทำเรื่องลามกแบบนี้แต่ก็ไม่มีใครห้ามใครได้

“ถ้าส่งเสียงแล้วคนอื่นเข้ามาจะทำยังไงครับ”

“อะ… ดรูว์…”

แอนดรูว์เหลือบมองแก่นกลางที่อยู่ในมือของตัวเอง ตวัดลิ้นลงบนหูของคนตัวเตี้ยกว่า พอใจที่ได้เห็นซันสะดุ้ง หูที่แดงระเรื่ออยู่แล้วแดงขึ้นกว่าเดิม

“อยากถึงไหม” กระซิบด้วยน้ำเสียงยั่วยวนพร้อมกับเร่งจังหวะมือ คนถูกถามบิดตัวเกร็งด้วยความเสียวซ่าน “รู้ใช่ไหมว่าอยากถึงต้องทำยังไง”

“ดรูว์ ไม่เอา” จะบ้าเหรอ เขาสองคนไม่ใช่เด็กๆ แบบตอนนั้นแล้วนะ จะมาให้พูดอะไรน่าอายแบบนั้นได้ไง

“ไม่เอาก็อด” น้ำเสียงยียวนจนซันอยากทุบหัวใส่สักที ซ้ำเจ้าตัวยังลดจังหวะมือที่ปรนเปรอเขาอยู่อีกต่างหาก ซันกัดฟันกรอด มองไอ้ตัวแสบที่ทำลอยหน้าลอยตาส่งยิ้มเผล่ให้เขาอย่างกวนประสาท อยากจะรับคำท้านั้นอยู่ แต่ถ้าดรูว์ไม่ทำให้เขาตอนนี้เขาต้องคลั่งตายแน่ๆ อีกอย่างกว่าจะได้เจอกันครั้งต่อไปก็ไม่รู้เมื่อไหร่ เขาอยากใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่กับหมอนี่ให้มีค่าที่สุด

ยอมลงให้มันก็ได้วะ…

“ดรูว์ครับ” พูดเสียงอ่อยอย่างจำยอม “ทำให้ผมถึงสวรรค์ที”

“ได้สิครับที่รัก” แอนดรูว์หอมแก้มคนขอฟอดใหญ่ เร่งจังหวะมือของตัวเองมากขึ้น เมื่อเห็นริมฝีปากคู่สวยกำลังจะเผยอขึ้นมาเขาก็จูบปิดปากอย่างรวดเร็ว ลงท้ายซันเลยทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอขณะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นลงบนฝ่ามืออีกฝ่ายที่รอท่าอยู่แล้ว

ซันทิ้งน้ำหนักตัวกระแทกกับผนังด้านหลังขณะหอบหายใจระรัว เหลือบมองคนตรงหน้าที่หยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมือที่เปื้อนน้ำรักของเขาออก

ให้ตายเถอะ นี่พวกเขาสองคนทำบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย

“ตกลงทำอะไรถึงบาดเจ็บมา? ”

“เอาจริงดิ? ” แอนดรูว์ขมวดคิ้วขณะโยนทิชชู่ลงในชักโครก “นั่นคือคำแรกที่นายพูดหลังจากที่ฉันส่งนายไปสวรรค์เหรอ? ”

“ตลกมากเลยนะที่มาทำเรื่องหื่นๆ ในสถานการณ์แบบนี้”

“นายก็เคลิ้มดีนี่”

เถียงไม่ออก เขาไม่ต่อต้านผู้ชายคนนี้ได้เลยไม่ว่าจะตอนไหน

“อย่าโยกโย้นะ แอนดรูว์ ตอบคำถามฉันมาได้แล้ว”

“โดนระเบิดน่ะ”

ซันอ้าปากค้าง “นายว่าไงนะ”

“โดนระเบิด แค่เฉียดๆ เอง” พูดพลางยกมือประกอบท่าทางอย่างยียวน “ยังอยู่ครบสามสิบสองประการ แถมยังแข็งแรงพอจะใช้มือทำให้นายได้อีก”

“คิดว่านี่ตลกนักใช่ไหม”

“อย่าซีเรียสสิครับ”

“นาย…” ซันอ้าปากค้าง แฟนของเขาเพิ่งเฉียดตายจากการโดนระเบิดมา สิ่งแรกที่พวกเขาทำด้วยกันก็คือเซ็กส์แบบภายนอกในห้องน้ำเนี่ยนะ? “นายใช้ชีวิตยังงกันแน่วะเนี่ย”

“งานมันเสี่ยง” แอนดรูว์ยอมรับ ดึงซันเข้ามากอดแนบอก “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ฉันไม่อยากโกหกนาย”

ซันกอดตอบ วินาทีหนึ่งเขาจินตนาการถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา ถ้าเกิดคราวหน้าดรูว์ไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้ล่ะ? ถ้าคราวหน้าเขาตายจริงๆ ล่ะ?

“นายเลิกงานนี้ไม่ได้เหรอ”

แอนดรูว์จูบหน้าผากของคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน

“ไม่ใช่ตอนที่มีคนกำลังตามฆ่าฉันอยู่แน่”

“ว่าไงนะ” ซันอุทาน มองสีหน้าจริงจังขึ้นของคนรักอย่างวิตก

“มีคนพยายามฆ่าฉัน” แอนดรูว์พูดอย่างสงบราวกับมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน “ฉันจำเป็นต้องสืบหาให้ได้ว่าใคร ไอ้บ้านั่นมันเข้าหาตัวฉันผ่านนาย เพราะงั้นฉันอยากให้นายระวังตัวให้มากที่สุดระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ถึงจะมีเจนกับไบรอันคอยคุ้มครองนายอยู่แล้วก็เถอะ แต่ห้ามประมาทนะเข้าใจไหม”

“นายจะไปไหน” ในที่สุดซันก็รู้เหตุผลที่ดรูว์มาหาเขาในเวลาทำงานแบบนี้ ยิ่งเห็นัยน์ตาสีเขียวเบือนไปอีกทางเหมือนเด็กที่โดนครูจับได้ว่าแอบกินขนมในห้องเรียนแบบนั้นด้วยแล้ว… “นายจะผิดสัญญาฉันใช่ไหม ที่บอกว่าจะติดต่อมาทุกอาทิตย์น่ะ”

“ฉันไม่รู้” แอนดรูว์ยอมรับ “แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเสี่ยงไปหมด ฉันไม่อยากเอานายเข้ามาเกี่ยวกับตัวเองมากกว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ อีกอย่างฉันจำเป็นต้องไปสืบหาว่าใครคือคนที่กำลังตามล่าฉัน ถ้าฉันไม่พลิกเป็นฝ่ายล่า ฉันก็จะโดนล่าซะเอง นายเข้าใจไหม”

ไม่ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละโว้ย!

ซันอยากจะตะโกนตอบกลับไปแบบนั้น แต่วัยวุฒิทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากเย็น

“ฉันช่วยนายได้นะดรูว์” ซันพูดเสียงแผ่ว “อะไรก็ได้ ฉันลางานไปสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อช่วยนายหาเบาะแสผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออะไรแบบนั้นก็ได้”

“ไม่ ขอร้องเถอะซัน นายต้องใช้ชีวิตของนายนะ ฉันไม่อยากเอานายมาเสี่ยงอีกแล้ว”

ซันสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เฮือกหนึ่ง “แต่นายจะกลับมาหาฉันใช่ไหม”

“แน่นอน”

“เมื่อไหร่”

แอนดรูว์ไม่ตอบ เรียกว่าตอบไม่ได้น่าจะดีกว่า

“ฉันต้องเป็นฝ่ายรออีกแล้วเหรอ? ”

“ขอโทษ”

ซันหันหลังให้คนรักของตัวเอง แขนยกขึ้นกอดอก “ถ้าฉันขอตามนายไปด้วย ฉันจะเป็นตัวถ่วงนายใช่ไหม”

แอนดรูว์โอบกอดเขาจากด้านหลัง จูบลงบนขมับราวกับจะปลอบโยน “นายไม่เคยเป็นตัวถ่วงของฉัน ซัน”

ซันไม่พูดอะไรตอบ

“นายมีค่าสำหรับฉันมาก… มากๆ ๆ ๆ ๆ ที่สุด เพราะงั้นฉันทนไม่ได้แน่ถ้าต้องเสียนายไป แต่ฉันสัญญา ฉันจะจัดการเรื่องของตัวเอง จากนั้นเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

ประโยคหลังนั่นทำให้ร่างที่เกร็งอยู่เมื่อคลายลง แม้จะไม่ชอบใจกับความเผด็จการของดรูว์ แต่ซันก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่มีทางเลือก

“นายสัญญาแล้วนะเมื่อกี้”

“สัญญาแล้ว”

“ฉันจะรอ” ซันหันกลับมาสบตาอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “จะรอ… อย่างที่รอมาตลอด”

เขาปล่อยให้แอนดรูว์เลื่อนหน้าลงมาประทับจูบบนริมฝีปาก มันอ่อนหวานเหมือนเดิมอย่างที่เขาจำได้

“ฉันรักนาย ซัน”

ซันยกยิ้มที่จะติดจะขมขื่น “ฉันก็เหมือนกัน”





-------------------------------------------------
Talk: กลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อแล้ว! เยสสส คิดถึงพ่อตาเขียวและน้องพระอาทิตย์มาก XD
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 7) P.2 [22/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-02-2018 01:16:08
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 7) P.2 [22/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 23-02-2018 11:25:10
รอตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 7) P.2 [22/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 27-02-2018 17:03:54

บทที่ 8




เกินหนึ่งสัปดาห์ที่เขาได้เจอกับแอนดรูว์แล้ว ซันไม่แปลกใจเลยที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้แม้ว่าตอนที่พวกเขาสองคนกลับมาคบกันดรูว์จะให้สัญญาเรื่องนี้เอาไว้ แต่ด้วยอาชีพการงานของเจ้าตัวรวมถึงสถานการณ์ผิดปกติที่แอนดรูว์กำลังเผชิญด้วยแล้ว ซันเองก็ไม่แปลกใจนักหรอกถ้าอีกฝ่ายจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้

ใช่… ในสมองน่ะเข้าใจว่าดรูว์คงยุ่ง แต่ในใจน่ะเขาได้แต่กังวลสารพัดว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ดรูว์จะยังมีชีวิตอยู่ไหม แล้วดรูว์รู้หรือยังว่าใครเป็นคนที่คิดจะฆ่าตัวเอง จะเป็นคนเดียวกับที่ฆ่าแมดเดอลีนรึเปล่า

ให้ตายเถอะ เขาอยู่มาได้อาทิตย์หนึ่งโดยไม่รู้เลย อาศัยแค่ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวจากทางตำรวจที่นำมาอัปเดตให้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้าความเป็นห่วงมันฆ่าคนได้ ป่านนี้ซันคงตายไปแล้ววันละหลายรอบ ตายอย่างทรมานด้วย ทำไมดรูว์ไม่ติดต่อเขามาสักที ข้อความอะไรก็ส่งมาหากันสักนิดก็ได้

ไอ้ฝรั่งหัวทองนั่นคงไม่เข้าใจ… ว่าตัวมันเองก็กำลังฆ่าเขาอยู่ทีละนิดๆ อย่างเลือดเย็น

“คุณซันคะ” เจน โฮแกน หนึ่งในคนคนที่ดรูว์ส่งมาคอยคุ้มกันเอ่ยปากขึ้นขณะที่ร่วมโต๊ะทานข้าวเย็นด้วยกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

“ว่ายังไงครับ? ”

“เปล่าค่ะ เห็นคุณเหม่อๆ ” หล่อนพูดด้วยท่าทีเป็นห่วง นี่เป็นครั้งที่สองที่ซันได้มานั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวคนนี้ เขาเคยกินข้าวกับไบรอัน ฟลินน์คู่หูของเจ้าหล่อนสามครั้ง อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ชายด้วยกันการชวนคุยในโต๊ะอาหารจึงราบรื่นกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ซันไม่รู้ว่าควรหยิบยกเรื่องไหนมาพูดกับคนที่ทำงานสายลับหรอก ถ้ากับดรูว์ เอ่อ พวกเขาสองคนคงแค่พากันลากขึ้นเตียงแล้วคุยด้วยภาษากาย ซึ่งเอามาอ้างอิงในการคุยกับสายลับคนอื่นไม่ได้เลย

“อ้อ โทษทีครับ” ซันตอบยิ้มๆ ดันแว่นที่ร่วงลงมาจากสันจมูกเล็กน้อย วันนี้เขาตื่นสายจนไม่มีเวลาแม้แต่ใส่คอนแทคเลนส์ “ผมคิดเรื่องงานนิดหน่อย”

“จริงเหรอคะ” หล่อนยิ้มตอบอย่างรู้ทัน “คิดเรื่องงานอยู่จริงเหรอ? ”

“เรื่องงานด้วยครับ แล้วก็เรื่องอื่นๆ ”

“อย่างเช่นเรื่องของเบน”

เบนจามิน ลูมิส ชื่อเล่นใหม่ของแฟนเขาคือเบน ยังไงซันก็ชอบชื่อดรูว์มากกว่าอยู่ดี

“ผมกังวลเรื่องเขา” ชายหนุ่มยอมรับ “ไม่รู้เลยว่าหมอนั่นเป็นตายร้ายดียังไง”

โฮแกนส่งสายตาเห็นใจมาให้เขา “มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ”

“ใช่ครับ” ยิ่งการที่อีกฝ่ายหายไปโดยที่เขาเองก็ติดต่อไม่ได้… มันทำให้ซันร้อนรนจนแทบจะเป็นบ้า “ยิ่งล่าสุดผมได้ยินมาว่ามีคนพยายามตามล่าเขา ผมก็ยิ่งกังวลหนักไปกว่าเดิมอีก”

“เขาแวะมาหาคุณเหรอคะ” โฮแกนเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ซันเคยพูดเรื่องที่แอนดรูว์โผล่มาหาเขาเมื่อคราวก่อนให้ฟลินน์ฟังแต่เพิ่งบอกโฮแกนตอนนี้

“ใช่ครับ”

“แปลว่าเขาสนิทกับคุณมาก”

อืม ใช่ สนิทกันจนเข้าไปอยู่ในตัวของอีกคนได้เลยล่ะ

“ก็… สนิทครับ”

“ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า… เขาให้ความสำคัญกับคุณมากต่างหาก จริงๆ นะคะ ไม่อย่างนั้นทั้งฉันและไบรอันคงไม่ได้มาทำหน้าที่ตรงนี้แน่”

ซันยกยิ้มนิดๆ เพราะไม่รู้ว่าควรตอบยังไง แอนดรูว์บอกว่าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ แต่ซันไม่รู้ว่าทั้งโฮแกนกับฟลินน์จะเดาออกหรือไม่ อย่างที่หญิงสาวตั้งข้อสังเกตมานั่นแหละ เพื่อนกันธรรมดาคงไม่แคร์กันมากขนาดนี้ เขาว่าบางทีคนทั้งคู่อาจจะพอเดาได้

“แล้ว… กระซิบให้ฉันฟังสักนิดได้ไหมคะ” โฮแกนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ซันแล้วลดเสียงลง

“อะไรเหรอครับ”

“เรื่องที่ทำงานของคุณ”

“ที่ทำงานผม? ” เลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน

“ค่ะ ก็ทางบริษัทของคุณน่ะทำงานให้หน่วยข่าวกรองของรัฐด้วยไม่ใช่เหรอ”

ซันเงียบไปเล็กน้อย จริงอยู่ที่ว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาเป็นคนจากรัฐบาลด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้สนิทกับหล่อนพอจะรู้ว่าหล่อนอยู่ในหน่วยไหน ทีมไหน และการเอาเรื่องที่ทำงานมาบอกคนนอกก็ผิดกฎพื้นฐานของบริษัท

“คือ…. จะอธิบายยังไงดีล่ะครับ เรามีกันหลายทีม” เขาตอบเลี่ยงไปและคาดว่าอีกฝ่ายคงเดาออก “ผมอาจจะบอกตรงๆ ไม่ได้ว่าผมอยู่ทีมไหน บางทีงานมันก็ไม่ได้เจาะจงขนาดนั้น แต่ถ้าให้พูดถึงเนื้องานมันก็มีหลากหลายรูปแบบครับ อย่างการรวบรวมข้อมูลหรือหัวข้อข่าวมาจากทั่วทุกมุมโลก วิเคราะห์พวกมัน หาค่าสถิติหรือความเป็นไปได้ ส่วนตัวเนื้อหาก็มีหลายแบบ อย่างด้านอาชญากรรม ฆาตกรรม การก่อการร้าย หรืออาจจะเป็นการเกษตร ปศุสัตว์ เทคโนโลยี การศึกษา มันก็ครอบคลุมอยู่หลายส่วน”

“ฉันเคยฟังเรื่องบริษัทที่ทำงานให้หน่วยข่าวกรองมาบ้าง” โฮแกนพยักหน้า “แต่ก็รู้เท่าที่คุณพูดมาให้ฟังนี่แหละค่ะ”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไมคะ” โฮแกนหัวเราะเล็กน้อย “เรื่องที่ทำงานไม่ควรบอกให้คนนอกรู้มากมาย ฉันรู้ข้อนั้นดีอยู่แล้ว”

ประโยคนั้นทำให้ซันนึกถึงแอนดรูว์ หมอนั่นก็เคยพูดกับเขาตอนที่เขาเซ้าซี้ขอร้องให้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ถ้ามีอะไรที่เขาช่วยได้เขาจะช่วย หากตอนนั้นคนผมบลอนด์ส่ายหน้า

‘ยิ่งนายรู้มากเท่าไร นายก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายง่ายขึ้นเท่านั้น’

‘แต่นี่ฉันไม่รู้อะไรเลยนะ’

‘แค่นายรู้เรื่องตัวตนของฉันก็แย่มากพอแล้ว’

‘ดรูว์’ ซันครางอย่างท้อใจ ‘ฉันเป็นแฟนนายนะ นายต้องให้ฉันช่วยสิ’

‘แน่นอนที่รัก’ พูดพร้อมกับก้มลงมาจูบหน้าผากเขาอย่างเอาใจ ‘ถ้ามีอะไรอยากให้นายช่วย ฉันจะรีบบอกเลย’

จบการสนทนา

และไม่ใช่ว่าซันไม่รู้ว่าดรูว์กังวลเรื่องเขาหรอกนะ แต่การโดนคนรักกันออกจากวงจรชีวิตของตัวเองก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน

เหมือนพวกเขาสองคนอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก… ซันเองก็ไม่รู้ว่าควรอย่างไร

จริงๆ เขาไม่ควรทำตามคำสั่งของไอ้เผด็จการนั่น

เขาควรจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองสามารถช่วยเหลือแอนดรูว์ได้ ต่อให้นั่นจะทำให้ตัวเขาเองตกที่นั่งลำบาก แต่เขาไม่ควรปล่อยให้ดรูว์สู้อยู่คนเดียว

ใช่แล้ว! เขาควรจะหาทางช่วยหมอนั่นสิ! ไม่ใช่ทำตัวหัวอ่อน ฟังคำสั่งของไอ้หมอนั่นง่ายๆ แบบนี้

“คุณโฮแกนครับ”

“คะ? ”

“เล่าเรื่องเกี่ยวกับดรูว์-- เอ่อ ลูมิสให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ เอาเท่าที่คุณรู้”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ “แต่ฉันว่าคุณน่าจะสนิทกับเขามากกว่าฉันนะคะ”

“ใช่ครับ แต่ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับงานของเขาบ้าง”

“แหม” หล่อนยิ้มอย่างลำบากใจเล็กน้อย “เราเพิ่งพูดกันไปเองไม่ใช่เหรอคะว่าไม่ควรเอาเรื่องที่ทำงานมาพูดมากมาย”

“คร่าวๆ ก็ได้นี่ครับ” ตอบหน้าตาย “อีกอย่าง… ผมสนิทกับเขาก็จริง แต่ดรูว์… เอ่อ ลูมิสไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานให้ฟังเลย”

“ค่ะ” โฮแกนยอมรับ ซันจึงรีบพูดเพื่อโน้มน้าวต่อ

“ผมทราบนะครับว่างานของลูมิส ไม่สิ งานของพวกคุณเป็นความลับ แต่บางที---”

“ระวัง! ”

จู่ๆ โฮแกนก็กรีดเสียงขึ้นพร้อมกับถลาเข้ามากระชากซันลงจากเก้าอี้โดยที่ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว

เสียงกระจกที่กั้นตัวร้านกับถนนด้านนอกแตกเพล้งทันทีที่เสียงปืนกระหน่ำสาดลูกกระสุนเข้ามาภายในตัวร้าน เสียงผู้คนกรีดร้องระงมกับความเจ็บปวดจากเศษกระจกที่แตกละเอียดยิบที่สาดลงมาบนหลังทำให้ซันใจเต้นรัวขึ้นด้วยความตกใจระคนหวาดหวั่น

เขาได้ยินเสียงปืนยิงรัวอย่างต่อเนื่องจนมันกลบเสียงทุกอย่างจนหมด ซันเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยผลักเขาลงมานอนคว่ำกับพื้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นเลือดทะลักออกมาจากร่างของอีกฝ่ายจนกลายเป็นแอ่ง และถ้าเขาตั้งใจมองให้มากกว่านั้นซันก็จะได้เห็นเลือดของใครคนอื่นที่ไม่โชคดีแบบเขา โฮแกนส่งเสียงครางแผ่วเบาขณะที่ซันคลานไปเขย่าตัวอีกฝ่าย

“คุณโฮแกน! ”

หล่อนเลื่อนมือสั่นเทาไปหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมาส่งให้ชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า

“ติดต่อ… ฟลินน์”

ปัดโธ่เว้ย! นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย!?

ซันยังไม่กล้าลุกจากพื้นแม้ว่าเสียงกระสุนจะเงียบลงไปแล้ว เสียงหวอของรถตำรวจและรถพยาบาลดังขึ้นระงมปนเปไปกับเสียงกรีดร้องและเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คน

นี่มันใจกลางเมืองและยังเป็นเวลากลางวันแสกๆ แต่ยังมีคนกล้าลงมือทำเรื่องระห่ำอย่างกราดยิงแบบไม่มีเป้าหมายขนาดนี้ ไม่น่าแปลกหรอกที่ทุกคนจะแตกตื่นราวกับเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น

หรือมันอาจจะเกิดจริงๆ ก็ได้ เพียงแต่ประชาชนธรรมดาอย่างพวกเขาไม่มีทางสู้เท่านั้นเอง

ไบรอัน ฟลินน์มาถึงสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วทั้งที่ซันเพิ่งจะบอกสถานที่ที่พวกเขาอยู่ไม่ถึงสิบนาที ใบหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดขณะที่ตามเจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลที่พาร่างของโฮแกนใส่เปลขึ้นรถไป ฟลินน์กลับมาหาซันอีกครั้งหลังจากที่ส่งหญิงสาวขึ้นรถ แต่ซันพอจะดูออกว่าเจ้าตัวคงอยากตามไปดูอาการคู่หูมากกว่าแน่

“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” ซันเปิดปากถามได้ในที่สุดหลังจากที่กดอาการหวาดกลัวที่ตกค้างลงไปในใจได้ มือสองข้างประคองถ้วยช็อกโกแลตร้อนที่เจ้าหน้าที่พยาบาลคนหนึ่งยัดเยียดมาให้พร้อมกับกำชับว่าค่อยๆ ดื่มให้หมดแล้วอาการตกใจนี่จะดีขึ้น มือของเขายังสั่นอยู่เล็กน้อยขณะค่อยๆ ยกแก้วกระดาษขึ้นจิบ พยายามไม่มองเหยื่อคนอื่นๆ ทั้งที่ไม่มีลมหายใจแล้วและที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

นี่มันฝันร้ายชัดๆ ถึงเขาจะเคยได้ยินมาว่าอเมริกาเป็นประเทศที่น่ากลัวกว่าที่คิดก็เถอะ

“ทางเราก็พยายามสืบอยู่ แต่ตัวคนยิงตายไปแล้ว เรากำลังเอาศพเขาไปชันสูตร”

“มีพวกบัตรแสดงตัวตนจากตัวเขาไหม”

ฟลินน์ส่ายหน้า สีหน้ายับขึ้นเล็กน้อยจนซันเริ่มรู้ตัวว่าคำถามที่เขาเพิ่งถามไปเหมือนดูถูกความเป็นมืออาชีพของอีกฝ่าย

“แล้วเป้าหมายของมันล่ะครับ? ”

“ใช่ นั่นแหละปัญหา เดาว่าทุกคนคงคิดถึงการก่อการร้ายแน่ ผมเองก็คงคิดไม่ต่างหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่มีคุณกับเจนอยู่”

ซันอ้าปากค้าง “คุณคิดว่าผมเป็นเป้าหมายของพวกมันงั้นเหรอ? ”

“ผมบอกแล้วไงว่าเราต้องตรวจสอบกันก่อน” สีหน้าคนพูดเคร่งเครียดไม่เปลี่ยน แต่ซันเข้าใจดีว่าฟลินน์รู้สึกยังไง ทั้งฟลินน์และโฮแกนถูกส่งมาเพื่อคุ้มครองเขา เพราะงั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่แปลกหรอกถ้าจะคิดว่าเป้าหมายคือเขา

แต่ให้ตายเถอะ ไอ้ที่กราดยิงเมื่อกี้มันยิงแบบไม่เลือกหน้าเลยนะ แบบนี้มันก็พูดยากไม่ใช่รึไงว่าเป้าหมายใช้เขาจริงๆ รึเปล่า อาจจะเป็นซันที่ซวยเองมาตกอยู่ในสถานการณ์การก่อการร้ายจริงๆ ก็ได้ ถึงจะฟังดูเชื่อยากก็เถอะ

“แล้วผมควรทำยังไงครับตอนนี้” ซันถามอย่างอ่อนล้าพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่เจนทิ้งไว้ให้เขาขึ้นมา “นี่ของคุณโฮแกนครับ ผมใช้โทรหาคุณเมื่อกี้”

“ขอบคุณ” เขารับมันไปถือพร้อมกับไล่ดูเบอร์ด้านใน “ผมจะติดต่อเบนจามิน ถ้าเป้าหมายการโจมตีครั้งนี้คือคุณ แปลว่าเขาต้องมีส่วนกับเรื่องนี้”

ซันยักไหล่ทีหนึ่งอย่างขอไปทีเหมือนจะบอกว่า ‘อยากจะเอายังไงก็เอาเลย’







ลูมิสนั่งมองแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือยึกยือที่เขาเขียน นัยน์ตาสีเขียวกวาดมองแผนผังที่เขาพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่ง เขาขอให้ฮาลลากกระดานขนาดใหญ่มาตั้งไว้ในห้องจากนั้นลูมิสก็เริ่มแปะแผ่นกระดาษมากมายทับซ้อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งส่วนหนึ่งเลยออกมาอยู่ที่ข้างฝา

“เฮ้พวก” ฮาลเดินกลับมาพร้อมกับแก้วกาแฟสองใบ ยื่นใบหนึ่งลงตรงหน้าเพื่อน “พักหน่อยไหม หน้าดำคร่ำเครียดมาหลายชั่วโมงแล้ว”

“ฉันกำลังคิด” ลูมิสใช้ปากกาวงบนกระดาษสามถึงสี่จุด “ว่าไอ้คนที่อยากได้หัวฉันตอนนี้น่าจะมาจากภารกิจช่วงหลังๆ นี่แหละ ไอ้นี่ตัดทิ้งเพราะเราถอนรากถอนโคนมันไปแล้ว ไม่น่าย้อนกลับมาแว้งกัดได้ ที่น่าสงสัยอยู่ก็คงประมาณนี้”

“ไหน” ฮาลขยับกระดาษมาดูพร้อมกับยกถ้วยกาแฟจรดปาก “ฮันนาห์ โรบินกับ… แดเนียล ฮันท์ แล้วก็แบรดลีย์ คูเปอร์? ”

“อือฮึ”

“คนแรกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ตัดทิ้งก็ได้นี่”

“รายนี้อิทธิพลเขากว้าง ไม่อยากตัดเพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีใครในกลุ่มย้อนกลับมาแก้แค้น”

“ไหนว่าถอนรากถอนโคนแล้ว? ”

“ตอแหลทั้งนั้น พวกเบื้องบนก็อยากจะปิดจ๊อบเร็วๆ แต่ก็นั่นแหละ ที่เหลือๆ อยู่ก็ลูกกระจ๊อก ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แต่ไม่อยากตัดทิ้งตอนนี้”

“แล้วไอ้คนที่ตัดทิ้งไปก่อนนี่หมดจดแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่ อันนั้นตัดไปได้เลย ลองดูจากข้อมูลที่รวบรวมมาตามนี้ ฉันสรุปไว้แล้ว”

ฮาลรับแผ่นกระดาษยาวเหยียดจากเพื่อนมาอ่านก่อนจะเปิดปาก “เรียบร้อยกว่าที่คิดนะ”

“ชมจากใจจริงใช่ไหม”

“แน่นอน เป็นอันว่าเหลือสามคนที่นายบอก โรบินที่ตัวตายไปแล้วแต่อาจยังมีพวกสาวก อีกสองคนยังรอดอยู่ แล้วความเคลื่อนไหวเป็นไง”

“ฮันท์ลำบากหน่อยเพราะอยู่โรม ส่วนคูเปอร์นี่ไม่ไกลเท่าไร ข้อมูลล่าสุดที่ได้เห็นว่าอยู่ที่แอลเอ”

“งั้นก็เริ่มที่แอลเอก่อน? ”

“คงจะอย่างนั้น แต่ฉันอยากหาข้อมูลเรื่องฮันท์อีกนิด นายช่วยเรื่องคูเปอร์ได้ไหม”

“ไม่มีปัญหา” ฮาลพยักหน้า “แล้วโรบินล่ะ? ”

“เดี๋ยวฉันทำเอง แต่เอาไว้อันดับท้ายสุดเลย ยังไงคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็น่าสงสัยมากกว่า ส่วนกาแฟนี่หอมดี ใช่ที่ซื้อมาคราวก่อนรึเปล่า”

ทั้งคู่แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ กลับมารวมกันอีกครั้งเพื่อถกเถียงข้อมูลที่วิเคราะห์ออกมาได้ ลูมิสเริ่มจดรายการที่พวกเขาสองคนต้องทำเพื่อหาคำตอบและข้อสรุปบางอย่างระหว่างการถกเถียงที่ว่า ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาออกไปจัดการล้วงข้อมูลมาจนมาบีบรายชื่อคนที่น่าจะอยากจัดการเขาได้นี่แหละ

“นายน่าจะไปหาหมออีกสักรอบ” ฮาลพูดขึ้นมาขณะที่ลูมิสเตรียมปิดการประชุมแล้วไปหาข้าวเย็นง่ายๆ กิน “เพิ่มลงไปในรายการนั่นด้วยก็ดีนะ”

“ฉันไม่เป็นไร”

“นายไม่ได้กินยาด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ” คนตัวสูงกว่ากอดอก ขมวดคิ้วมุ่น “ผ้าพันแผลก็ไม่ได้เปลี่ยน”

“นายคิดว่าเราควรเสียเวลาทำเรื่องแบบนั้นเหรอ”

“ขอทีน่า เบน ฉันรู้ว่านายอยากจบเรื่องนี้เร็วๆ แต่ไม่คิดบ้างเหรอว่า---”

เสียงของฮาลเงียบลงเพราะโทรศัพท์ของคนผมบลอนด์แผดร้องขัดขึ้นมา ลูมิสยกมือเป็นเชิงขอตัวรับสาย หากวินาทีต่อมาคนผมทองก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นกับสิ่งที่ได้ยินจากโทรศัพท์ ใบหน้าคมเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดจนฮาลต้องร้องถามอย่างแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้น”

“เปิดทีวีที”

อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากเปลี่ยนช่องเป็นครั้งที่สองทั้งคู่ก็ได้เจอข่าวเกี่ยวกับการกราดยิงที่ย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นที่ที่ซันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย

ลูมิสกำหมัดแน่นขึ้น ฮาลที่สังเกตเห็นพูดอย่างตั้งข้อสังเกต

“มันอาจจะไม่เกี่ยวอะไรกับแฟนนายเลยก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็แปลว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา”

“อ้อ นายคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ” ลูมิสถามกลับเสียงราบเรียบ คู่หูของเขาเงียบไป สีหน้าครุ่นคิด

“เราลองสืบหาจากรายชื่อเมื่อกี้เลยไหมว่าคนไหนจะเกี่ยวโยงกับการก่อเหตุกราดยิงนี่”

“ก็คงต้องทำแบบนั้นแหละ” พูดพร้อมกับออกแรงกำโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะฟลินน์บอกเขาว่าซันปลอดภัยดีละก็ เขาต้องคุมสติไม่อยู่แน่ “เจนถูกยิง ซันยังปลอดภัย ไบรอันก็อยู่อีกที่ตอนเกิดเรื่อง ฮาล ฉันว่าเราต้องเร่งมือแล้วล่ะ"

"นายกำลังทำให้ฉันรู้สึกแย่ที่ชวนกินกาแฟเมื่อกี้นะ"

ครู่ใหญ่ต่อมาทั้งสองก็ดึงแผ่นกระดาษทั้งหมดที่แปะอยู่ทั่วเข้าเตาเผาใบไม้ที่อยู่ด้านนอก ลูมิสลบทุกอย่างที่อยู่บนกระดานก่อนจะขอตัวไปก่อนฮาลที่ยังสาละวนอยู่กับการทำลายข้าวของหรืออะไรก็ตามที่อาจเป็นหลักฐานว่ามีใครเคยเข้ามาใช้งานเซฟเฮ้าส์แห่งนี้





ราวสองชั่วโมงต่อมาลูมิสก็มายืนที่หน้าประตูห้องของซันหลังจากที่บอกให้คนที่มาเฝ้าชายหนุ่มแทนฟลินน์ปลีกตัวไปได้ ซันเดินมาเปิดประตูห้องให้เขาในสภาพที่ผมเผ้าเปียกปอน เจ้าตัวยู่ในชุดคลุมอาบน้ำที่พันไว้อย่างลวกๆ สีหน้าค่อนข้างอิดโรยไม่ค่อยต่างจากครั้งล่าสุดที่แอนดรูว์ได้เห็นเท่าไรนัก

"ดรูว์? " ซันอุทานอย่างประหลาดใจขณะที่มือแกร่งผลักเขาเข้าไปด้านใน ปิดประตูลงกลอนแล้วลากคนรักที่ยังเปียกปอนไปด้วยน้ำฝักบัวมาที่โซฟาตัวยาวในห้องรับแขก "นายมานี่ได้ไง แล้วอาการของคุณโฮแกน---"

"ยังไม่พ้นขีดอันตราย" คนผมบลอนด์ว่าพร้อมกับดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามานั่งตักแล้วกอดแน่น "แต่ซันไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้เจนอยู่ในมือหมอที่เก่งที่สุดของเราแล้ว เดี๋ยวหล่อนก็ฟื้น"

"นายบอกให้ฉันไม่ต้องห่วงเหรอ" ซันดันหน้าของคนรักที่ฝังสันจมูกลงมาบนลำคอออกอย่างหัวเสีย "คุณโฮแกนช่วยชีวิตฉันเอาไว้นะ ไม่มีเขา ป่านนี้ตัวฉันก็อาจจะพรุนไปแล้ว"

แอนดรูว์นิ่งไปนิดหนึ่ง เขาถกเรื่องนี้กับฟลินน์มาก่อนหลังจากที่เห็นร่องรอยกระสุนบนตัวของโฮแกน มีปัจจัยและหลักฐานหลายอย่างทำให้พวกเขาต้องกลับมาขบคิดถึงเป้าหมายของคนร้ายที่แท้จริง และสิ่งที่แอนดรูว์รู้สึกก็คืออีกฝ่ายไม่ได้ต้องการเอาชีวิตซันตั้งแต่แรก

แน่นอนว่าซันอาจเป็นเป้าหมาย แต่ถ้าคิดอีกฝ่ายคิดจะเอาชีวิตซันจริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลยโดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเงื่อนไขที่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กลัวว่าเรื่องนี้จะครึกโครมและถูกจับตามองเพียงใด ขอแค่แลกได้กับชีวิตของคนคนหนึ่งก็พอ

แต่แอนดรูว์รู้ดีว่าถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป คนในอ้อมแขนเขาต้องยิ่งสับสนหนักแน่ ดังนั้นแล้วชายหนุ่มผมบลอนด์จึงตัดสินใจไม่พูดอะไร เพียงแค่ดันร่างของซันลงนอนราบกับโซฟาแล้วถอดแว่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกจากหน้าอีกฝ่าย มีไอจางๆ ปรากฏอยู่บนเลนส์

“ไม่ได้เห็นนายใส่แว่นมานานแล้วนะ”

“เอาคืนมา” พูดพร้อมกับตีหน้าหงิกใส่อีกฝ่าย ไม่ชอบที่ดรูว์ทำเป็นเมินคำพูดของเขา

“เฮ้ ฟังนะ ซัน” เขาสบตาร่างที่ตัวเองคร่อมอยู่ตรงๆ “ฉันเป็นห่วงเจน เป็นห่วงมากเลยด้วย ฉันกับยัยนั่นเคยทำภารกิจด้วยกันมาสองครั้ง และฉันขอบคุณหล่อนมากที่ช่วยดูแลนาย แต่ถ้าเรามัวแต่กังวลเพื่อร่วมทีมที่ได้รับบาดเจ็บละก็ เราจะก้าวไปไหนต่อไม่ได้ นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม”

ซันเบ้ริมฝีปาก หลบตาคนถามไปอีกทาง แอนดรูว์เลยขบกลีบปากของเจ้าตัวเบาๆ ให้หันกลับมา ในที่สุดคนผมดำก็พูดอุบอิบ

“เข้าใจก็ได้”

“ทำไมต้องมี ‘ก็ได้’ ด้วยวะ? ”

“ก็ฉันเป็นห่วงเขานี่นา แถมตอนที่มีการกราดยิงนั่น เสียงกระสุนปืนยังติดอยู่ในหัวฉันอยู่เลย”

“ไม่เป็นไร” เขาว่าขณะไล้ปลายนิ้วลงบนผ้าคลุมอาบน้ำ เผยอมันออกเผยให้เห็นผิวเนียนด้านใน “เดี๋ยวฉันทำให้ลืมเอง”

ซันหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง “นาย… ค้างได้เหรอคืนนี้? ”

“ได้สิ” กดจูบลงบนซอกคออีกฝ่ายราวกับจะยืนยันคำพูด “ไม่งั้นจะมาหาเหรอ”

“แล้ว… ภารกิจล้านแปดของนาย? ”

“ไว้พรุ่งนี้แล้วกัน” เขาว่าพร้อมกับปลดอาภรณ์ของตัวเองออกทีละชิ้น “ขอทำภารกิจบนเตียงก่อน”

แต่นี่มันโซฟานะ

ซันไม่ได้พูดในสิ่งที่คิดออกไป





----------------------------------------------
Talk: อาจจะมาแบบกระดึ๊บๆ หน่อย TvT ยังไงก็ฝาก #ดรูว์ซัน ด้วยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 8) P.2 [27/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-02-2018 02:25:47
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 8) P.2 [27/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-03-2018 10:05:50

บทที่ 9




“ให้ตายเถอะ” คนผมดำครางออกมาเป็นรอบที่ล้านหลังจากที่พวกเขาขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ของซันมาเกือบสองชั่วโมง “นายแม่ง… ไม่เคยบอกอะไรกันก่อนล่วงหน้าเหมือนเคย คิดจะพาฉันออกมาก็ลากออกมา ได้ถามความสมัครใจกันเหมือนเดิม แล้วนี่งานการอะไรของฉันก็ไม่ต้องสนใจกันเลยใช่ไหม”

อันที่จริงซันส่งอีเมลไปบอกที่ทำงานแล้วว่าจะขอหยุดงานสักช่วงหนึ่งเนื่องจากเจอเหตุการณ์เลวร้ายติดๆ กันมาในระยะเวลาไม่ถึงเดือน ซึ่งแน่นอนว่าหัวหน้าทีมของเขาย่อมไม่ขัดอยู่แล้ว อีกอย่างข่าวการยิงกราดก็แผ่หลาไปทุกหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และสื่อออนไลน์ทั้งปวง และเมื่อทุกคนรู้ว่าซันเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็ไม่มีใครค้านการลาหยุดของชายหนุ่ม

“นายยังสนใจเรื่องงานอยู่อีกเหรอ ทั้งที่นายเกือบจะตายมาสองรอบ”

“ให้ตอบตรงๆ ก็ไม่นะ” ยังไงก็ต้องรักชีวิตตัวเองก่อนเปล่าวะ เพียงแต่… “แต่ไอ้เรื่องที่ฉันโดนลูกหลงตอนกราดยิงนั่นไปด้วย ไม่เห็นเกี่ยวกับที่นายต้องลากฉันออกมาจากวงจรชีวิตปกติสุขของตัวเองเลย”

“ยังกล้าเรียกวงจรชีวิตตอนนี้ว่าปกติสุขอีกเนอะ? ”

เออ จริงของมัน

“แล้วอีกอย่างนะ คุณอาทิตย์ คุณไม่คิดบ้างหรือไงว่าบางทีไอ้เหตุการณ์จลาจลนั่นมันมีสาเหตุมาจากคุณ บางทีเป้าหมายของมันอาจจะเป็นนายคนเดียวเลยก็ได้ นายคิดว่าที่ฉันส่งคนสองคนไปคุ้มครองนายนี่ไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ"

"ขอบใจนะ นายช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย" น้ำเสียงประชดประชันแบบสุดๆ แอนดรูว์ยักไหล่

"ก็แค่ให้แง่คิด"

"แต่ถ้าเกิดไอ้คนคนนั้นคิดจะฆ่าฉันคนเดียวจริงๆ ทำไมต้องทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตขนาดนั้นด้วย ไม่เห็นจะสมเหตุสมผล---" พูดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างคนที่คิดอะไรได้เร็ว "หรือว่าเพราะมันไม่อยากให้รู้ตัวว่าเป้าหมายของมันจริงๆ คืออะไร"

"นั่นแหละสิ่งที่ฉันคิดล่ะ" คนผมบลอนด์ทองว่า น้ำเสียงภูมิใจที่คนข้างตัวคิดตามได้เร็ว สมแล้วจริงๆ ที่เป็นแฟนของเขา

ซันนิ่งไปนิด เขาควรจะรู้ตัวมาตั้งแต่ตอนที่โดนจับตัวไปเค้นเรื่องของดรูว์แล้วว่าตัวเองอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงแค่ไหน แต่ซันกลับเพิ่งมารู้สึกตัวเอาตอนนี้ และมันก็กำลังทำให้เขากลัวจนแสดงชัดออกมาทางสีหน้า

"กังวลเหรอ? " คนขับรถถาม เพียงแค่เหลือบตามองคนที่นั่งข้างๆ แอนดรูว์ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง

"แล้วฉันไม่ควรหรือไง"

"ไม่ควร" แอนดรูว์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ "เพราะนายอยู่กับฉัน"

ซันยกยิ้มออกมากับคำพูดนั้น ความวิตกเมื่อครู่เหมือนจะหลุดออกไปจากตัวเล็กน้อยตามคำอีกฝ่าย

"ฉันควรฝากชีวิตไว้กับคนที่หลังเหวอะไปทั้งแถบเพราะแรงระเบิดสินะ" พูดติดตลก แม้ว่าความจริงเมื่อคืนตอนที่เขาเห็นแผลอีกฝ่ายแล้วตัวเองจะช็อกจนทำอะไรแทบไม่ถูกก็ตาม

แอนดรูว์ทำเสียงจุ๊ๆ พร้อมกับส่ายหน้า "นายมันไม่รู้อะไรซะแล้ว พ่อซันชายน์"

"อะไรล่ะ"

"นายต้องพูดว่า 'ฝากชีวิตไว้กับคนที่รอดตายจากระเบิดมาแล้ว' ต่างหาก"

"ฟังดูดีขึ้นจริงๆ ด้วย" รอยยิ้มของคนผมดำกว้างขึ้น แอนดรูว์หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาสีเขียวหลังแว่นกันแดดเป็นประกายมีชีวิตชีวา

"ฉันจะปกป้องนายเอง" น้ำเสียงแอนดรูว์จริงจังขึ้น ซันยังคงยิ้มขณะมองออกไปนอกกระจกรถ ทางด้านหน้าโล่งเรียบ แทบไม่มีรถคันอื่นโผล่มาให้เห็น เขาไม่ได้ถามดรูว์ว่าจะพาไปไหน อาจจะเป็นเพราะต่อให้เป็นสุดขอบโลกเขาก็ยินดีจะตามอีกฝ่ายไปด้วยอย่างไม่ลังเล

"ทั้งๆ ที่นายทำฉันเกือบเอาตัวรอดไม่ได้เมื่อคืนอะนะ? "

แอนดรูว์นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างงงๆ ก่อนนัยน์ตาสีเขียวจะเบิกกว้างขึ้นแล้วหันมาโวยวายใส่คนข้างๆ ด้วยสีหน้าที่แดงขึ้นจางๆ

"ไอ้บ้า ซัน! นายเองก็โหดพอกันไม่ใช่หรือไง ไอ้ตัวแสบ! แล้วเอาเรื่องบนเตียงมาพูดแบบนี้ อยากโดนจัดอีกสักรอบใช่ไหม!? "

"ฮ่าๆ ๆ " ซันระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

นึกถึงเรื่องเมื่อคืน…







“ขอทำภารกิจบนเตียงก่อน”

ซันได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวขึ้นขณะที่แอนดรูว์โยนเสื้อตัวนอกลงบนพื้นแล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อด้านใน เผยให้เห็นผิวขาวแบบฝรั่งที่ออกไปทางซีดของเจ้าตัว

ซันพยายามหลอกตัวเองว่าหมอนี่ยังดูดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะแอนดรูว์ดูดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาคบกันมาก กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ดูเหมาะเจาะกับขนาดของเจ้าตัวแทบทำเอาซันสติกระเจิง รอยช้ำและรอยแผลบางจุดกลับยิ่งทำให้ร่างกายของแอนดรูว์น่ามองยิ่งขึ้น

คนผมดำสังเกตว่าแอนดรูว์ไม่ได้ถอดเสื้อตัวนั้นออกขณะก้มลงจูบเขาอย่างอ่อนหวาน ซันตวัดลิ้นเกี่ยวรับอย่างรวดเร็ว ไม่หวั่นแม้แต่ตอนที่จังหวะจูบนั้นรวดเร็วและร้อนแรงขึ้นกะทันหันเมื่อถึงจุดหนึ่ง

ซันไม่สนใจการประท้วงจากร่างกายที่อ่อนล้าของตัวเอง เหมือนอย่างที่แอนดรูว์เมินอาการบาดเจ็บของตัวเองนั่นแหละ แอนดรูว์ผละริมฝีปากออกไปแล้วทาบจูบร้อนลงมาอย่างแรงอีกระลอก ซันครางในลำคอพร้อมกับปรือตาขึ้นมองคนตรงหน้าที่แทะโลมเขาราวกับนี่จะเป็นคืนสุดท้ายที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน รับรู้ได้ว่าแอนดรูว์กำลังจะคุมเกมอีกแล้ว เขาไม่ได้รังเกียจนะถ้าคนผมทองจะนำแล้วย่ำยีเขาตามใจชอบ แต่ไอ้ครั้งสุดท้ายที่มันจัดการเขาด้วยมือนี่สิ ประเด็นมันอยู่ที่นั่นเป็นห้องน้ำของบริษัทแล้วไอ้หมอนี่ก็แกล้งเขาไว้ด้วยไง

ดังนั้นเมื่อแอนดรูว์ผละริมฝีปากออกไปอีกครั้งแล้วทำท่าจะจูบลงมาใหม่ ซันก็รีบยกมือปิดปากอีกฝ่ายทันที นัยน์ตาสีเขียวเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาจากหน้าผาก

"อะไรครับ คุณอาทิตย์ เครื่องกำลังติดเลย"

"ฉันหยุดเพราะแบบนั้นแหละ" พูดพร้อมกับยกยิ้มหวาน แต่สำหรับแอนดรูว์เห็นแล้วรู้สึกเหมือนความหวานนั่นอาบยาพิษมาด้วย

"หมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าจะมาขอให้หยุดตอนนี้ ติดไฟมาถึงขั้นนี้แล้วถ้านายไม่ยอมให้ทำ ฉันปล้ำจริงๆ นะโว้ย"

“โห กลัวจนตัวสั่นเลย” พูดพร้อมกับยกยิ้มกว้างขึ้นอย่างท้าทาย รู้ดีว่าแอนดรูว์ไม่กล้าทำอย่างที่ปากพูดจริงๆ หรอก “แต่โทษทีนะ ฉันอยากให้นายลุกออกไปหน่อย ได้รึเปล่า? ดรูว์”

“หา?? ” สีหน้าของแอนดรูว์ซีดลงเรื่อยๆ อย่างที่ซันรู้ดีนั่นแหละ ต่อให้เขาจะทำโหดกับเจ้าตัวได้ แต่ถ้าซันยื่นคำขาดเมื่อไหร่ เขาก็มีแต่ต้องเชื่อฟังเท่านั้น

แต่ว่า… นี่มันกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อารมณ์กำลังมาเลยนะโว้ย แล้วคิดว่าเขาเฝ้านึกถึงโอกาสนี้มานานแค่ไหนแล้ว?

“เร็วๆ เข้าครับ คนดี” ไม่พูดเปล่า ยังทำร้ายกันด้วยการจูบบนหน้าผากเขาอย่างเอาใจอีก “ถ้าไม่ทำตามที่ซันบอก ซันจะโกรธแล้วนะ”

“! ” ก็เหี้ยล่ะ เล่นแทนตัวเองด้วยชื่อแบบนี้ก็เหี้ยล่ะ!

แต่จนแล้วจนรอดคนผมบลอนด์ทองก็ต้องกัดฟันทำตามที่ซันพูดอย่างเสียไม่ได้ คนตัวสูงกว่าใจหายวูบเมื่อเห็นคนรักผุดลุกขึ้นมาจากโซฟาที่นอนราบอยู่ ใจนึกกลัวไปสารพัดว่าซันไม่อยากนอนกับเขาเพราะเบื่อแล้ว หรือไม่ก็อาจจะไม่พอใจที่เขาผิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ที่ไหนได้ คนที่ลุกขึ้นยืนทรุดตัวนั่งลงตรงหว่างขาเขาแล้วจับเข่าแยกออกจากกัน ปลดกางเกงลงโดยไม่สนสีหน้าเหวอๆ ของคนถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย

“ซัน? ” แอนดรูว์ว่า หน้าร้อนขึ้นเมื่อปลายลิ้นอีกฝ่ายแตะลงบนส่วนอ่อนไหวของร่างกายอย่างนุ่มนวล “นาย… ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ ถ้าไม่อยากใช้ปาก… นายไม่ชอบไม่ใช่เหรอ? ”

“หุบปากน่าดรูว์” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองคนบนโซฟาคมกริบ “ถ้าไม่อยากให้ฉันทำต่อก็แค่พูดมา แต่ถ้าอยากให้ทำต่อ… อย่าได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

“เข้าใจ---”

“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าส่งเสียง”

แอนดรูว์อ้าปากค้าง ไม่บ่อยหรอกที่จะได้เห็นซันเล่นบทโหดแทนเขา ยิ่งเห็นรอยยิ้มแบบผู้ชนะบนมุมปากของคนผมดำด้วยแล้วยิ่งทำให้เลือดในกายเขาสูบฉีดแรงขึ้น ทันทีที่ซันเริ่มครอบปากลงบนแกนกลาง สัมผัสนุ่มหยุ่นจากลิ้นและกระพุ้งแก้มทำให้ร่างสูงครางออกมาอย่างพึงพอใจ แต่เมื่อเห็นสายตาวับๆ ของซันที่มองมาเป็นเชิงเตือนแอนดรูว์ก็รีบกลั้นเสียงของตัวเองไม่ทัน วินาทีนั้นเจ้าตัวก็เข้าใจทันทีว่าซันต้องการเอาคืนเขาที่เคยแกล้งก่อนหน้านี้ในห้องน้ำที่ทำงาน

แต่… แต่ตอนนั้นเขาใช้แค่มือเองนะ! หมอนี่เล่นใช้ปากแบบนี้… ไม่โกงกันไปหน่อยหรือไง!? แล้วซันก็ไม่ได้ใช้ปากทำให้เขาบ่อยๆ เพราะเจ้าตัวเคยออกปากว่าไม่ชอบ

แอนดรูว์จำได้ว่าเมื่อก่อนเขาดีใจจะตายตอนซันยอมทำให้เนื่องในโอกาสพิเศษหรืออะไรก็ตาม แล้วนี่… ตอนนี้ที่เขาได้เจอกับเจ้าตัวอีกครั้งหลังจากห่างกันมาเป็นปีๆ แถมยังยอมใช้ปากทำให้เขาแบบนี้… แต่กลับมาตั้งกฎห้ามไม่ให้เขาส่งเสียงระบายความสุขสมที่กำลังได้รับเนี่ยนะ?

ใจร้ายเกินไปแล้ว!

แต่แอนดรูว์ไม่อยากให้ซันหยุดอยู่แค่นี้ ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้นมาเล็กน้อยหากเจ้าตัวกลั้นใจไม่ปล่อยให้เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาได้สำเร็จ

ลิ้นนุ่มอุ่นกำลังหยอกเย้าอยู่ที่โคนของแก่นกลางอย่างซุกซน แอนดรูว์ได้แต่สบถในใจขณะเปิดขากว้างขึ้น พิงหลังคอลงบนพนักโซฟา จิกนิ้วลงบนเบาะอย่างคนสิ้นไร้ไม้ตอกที่หาทางระบายอารมณ์ได้ดีสุดเท่านี้

เขาแพ้ทางหมอนี่… แพ้มาตลอด

ไม่ว่าซันจะรู้ตัวหรือไม่ก็เถอะ แต่เขาไม่เคยลงให้ใครคนอื่นอย่างหมอนี่อีกแล้ว

“อ๊ะ…! ” ร่างหนากระตุก เกร็งตัวเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้อารมณ์ไต่ถึงจุดสุดยอดตามแรงกระตุ้นของลิ้นและโพรงปากอีกฝ่ายที่รับน้ำสีขุ่นเข้าไปเต็มๆ

“เฮ้” ซันโวยนิดๆ ทั้งที่น้ำรักยังเจิ่งนองอยู่ภายใน แอนดรูว์ใจเต้นตึกขณะประคองร่างคนรักขึ้นมากอดหลวมๆ รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปก่อนที่เขาจะเข้าหน่วยดีเอสไอที่แสนจะตึงเครียด… เหมือนได้ส่วนหนึ่งของชีวิตกลับคืนมา “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามส่งเสียงน่ะ ให้ตายสิ”

“ขอโทษ” คนที่ถึงฝั่งแล้วยิ้มหวาน “นายบอกว่าถ้าฉันส่งเสียงจะหยุดนี่นา ทำไมนายไม่หยุดล่ะ? ”

“หึ” ซันเบ้ปาก กลืนของเหลวกลิ่นคาวลงลำคอรวดเดียวด้วยสีหน้าไม่ดีนัก “อย่างกับว่าจะหยุดได้งั้นแหละ แถมตอนนายเสร็จ นายจับหลังหัวฉันไว้ด้วยนะ”

“โทษที เผลอไป ก็ปากนายมันฟินนี่หว่า”

คนผมดำถอนหายใจยาว “แถไปเรื่อย”

“ขอบคุณนะที่ทำให้” เขาดึงอีกฝ่ายลงมาจูบอย่างเอาใจ นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามเอวขาว เลื่อนไปถึงปากทางเข้าด้านหลังอย่างซุกซน “เดี๋ยวเราทำให้ซันมีความสุขบ้างนะ”

“จะทำก็ไปบนเตียง” น้ำเสียงแข็งๆ บ่งบอกให้รู้ว่ายังไม่พอใจที่เขาขัดคำสั่ง แถมยังย้อนกลับเหมือนจะกวนประสาทอีก

“ทำตรงนี้ก็ได้นี่” พูดพลางดันนิ้วเข้าไปในปากทางเข้าด้านหลังให้ร่างในอ้อมแขนสะดุ้งเล่น “เห็นไหม ฉันทำให้นายมีอารมณ์ได้นะ สถานที่ไม่เกี่ยงหรอก อ่า ให้ตาย ปฏิกิริยาตอบรับของร่างกายนายมันหื่นชะมัดเลย”

“ไป… ทำที่เตียง”

“ครับๆ คุณผู้ชาย” อย่างกับว่าเขาจะกล้าขัดให้เจ้าตัวโกรธกว่าเดิมอย่างนั้นแหละ

แอนดรูว์อุ้มคนรักของตัวเองที่ร้องเหวอนิดหนึ่งเพราะไม่ทันตั้งตัว วางซันลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล พอใจกับสีหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่าย

เขาก้มลงไปจูบซันหลังจากขึ้นคร่อม พยายามปัดมือชายหนุ่มที่เลื่อนมาจะดึงเสื้อตัวสุดท้ายของเขาออกอยู่ร่ำๆ เขายังไม่อยากให้ซันเห็นแผลเต็มๆ บนหลังของตัวเอง ส่วนร่างกายของซัน… รอยช้ำกับรอยแผลยังมีปรากฏให้เห็นไม่ต่างจากร่างกายเขาเองเท่าไร

แอนดรูว์รู้สึกผิดกับเรื่องนั้นเหมือนกัน เหมือนเขาพาซันก้าวเข้ามาในโลกอันแสนเลวร้ายอย่างไม่รู้ตัวเข้าเสียแล้ว และการจะออกจากโลกฝั่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แต่เมื่อแขนของคนด้านล่างโอบรอบคอเขา เสียงครางแผ่วเบาที่คุ้นเคยก็ทำให้แอนดรูว์ปัดเรื่องกวนใจพวกนั้นทิ้งไป

เขาก็แค่อยากมีเซ็กส์กับคนรักของตัวเอง

เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยคิดตอนไม่ได้ร่วมรักกับซันก็ได้

“อ่า… ดรูว์” ชายหนุ่มครางหลังจากที่คนด้านบนสอดใส่ท่อนนั้นเข้ามากลางลำ “สะ… ใส่เข้ามาต่อสักทีสิ ฉัน… อื๊อ---”

“ใจเย็นที่รัก” เลื่อนหน้าไปงับใบหูแดงเถือกของอีกฝ่าย “รอบนี้อยากค่อยๆ ทำ”

“อ่า… แอนดรูว์” ซันยกขาขึ้นก่ายเอวอีกฝ่ายเพื่อบังคับให้คนด้านบนดันสะโพกเข้ามาสักที น้ำใสๆ คลออยู่ที่หางตาทั้งสองข้างด้วยความเสียวซ่าน แอนดรูว์ลอบกลืนน้ำลายคอขณะบังคับตัวเองไม่ให้กระแทกเอวใส่แล้วทำเจ้าตัวร้องไห้หนักกว่าเดิม “ดรูว์… ฮื้อ ทำไมคราวนี้ถึงแกล้งเราเยอะจัง ไม่รักกันแล้วใช่ไหม”

โอ้โห เอาไม้นี้มาอ้อน แล้วเขาจะอดใจไหวเหรอ

“โธ่เว้ย” คราวนี้แอนดรูว์สนองให้คนด้านล่างรวดเร็วทันใจ ซันมีสีหน้าเจ็บปวดแล่นขึ้นมาทันทีที่เขากระแทกตัวเข้าไป ภายในร่างอีกฝ่ายบีบรัดจนแอนดรูว์ต้องครางออกมาเช่นกัน หากไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขาทั้งคู่ก็ผ่อนคลายลง มือหนาเลื่อนไปไล้เส้นผมสีดำปรกแก้มที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ “เป็นไงล่ะ เร่งนัก เจ็บเลยใช่ไหม”

“ก็อยากทำ”

“ก็ทำอยู่นี่ไง ค่อยๆ ทำ” ดูนะ ยังจะเถียง “ทำไมคราวนี้ถึงได้ดื้อนัก หือ? กลัวจะไม่เสร็จรึไง ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พาที่รักถึงฝั่งฝันแน่นอน”

“ฉัน… กลัว”

คำพูดนั้นทำเอาคนที่ตั้งใจพูดล้อเล่นบนเตียงเงียบเสียงลง

“กลัวว่าถ้าเผลอ… นายจะหายไปอีก”

“ซัน” วินาทีนั้นแอนดรูว์ก็เข้าใจว่าเขาทำร้ายคนที่ตัวเองรักมากขนาดไหน ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือตอนนี้

“กลัวว่าถ้าเราไม่รีบทำ---” ซันครางออกมาเมื่อคนด้านบนเริ่มขยับตัว “นายอาจจะต้อง… รีบไปทำงานต่ออีก”

“ไอ้บ้าซัน” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ลืมไอ้ที่ว่าอยากค่อยๆ ทำตอนแรกไปหมดแล้ว แอนดรูว์กระแทกสะโพกอย่างแรงขณะที่คนด้านล่างเริ่มดิ้นตัวด้วยความเจ็บปวดระคนสุขสม "ทำไมนายถึง... ไม่สิ ฉันขอโทษ ขอโทษนะซัน ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนายขนาดนี้"

"ฉะ... ฉันรู้" คนผมดำละล่ำละลัก มือทั้งสองข้างยึดหลังคออีกฝ่ายแน่น "อึก ดรูว์ ฉันไม่--- ไม่โทษนายหรอก ฉันเป็นฝ่ายรอนายเอง"

แอนดรูว์คำรามในลำคออย่างเจ็บใจตัวเอง เขารู้นิสัยซันดีอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำแบบนี้ ซันหอบหายใจถี่ขึ้นตามจังหวะการกระแทกที่เร่งขึ้นเรื่อยๆ เสียงครางที่หลุดออกมาน่าอายขึ้นเรื่อยๆ จนคนผมดำต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก ร่างเพรียวของชายหนุ่มกระตุกเฮือกเมื่อแอนดรูว์ถอนกายออกจากตัวเขาทั้งที่อารมณ์ยังท่วมท้น

มือหนาขยับร่างของซันให้ขยับตัวลุกขึ้นแล้วหันหลังให้เขา คนผมดำจัดท่าตามที่คนรักต้องการอย่างรวดเร็วก่อนจะต้องจิกนิ้วลงบนผ้าปูเตียงเมื่อคนด้านหลังดันร่างเข้ามาอย่างไร้ความปรานี เขารู้ดีว่าแอนดรูว์ชอบเซ็กส์แบบนี้มากกว่าแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบที่เจ้าตัวพยายามจะทำ

"นายกำลังทำให้ฉันคลั่งนะ" เสียงทุ้มดังให้ซันได้ยินจากด้านหลัง มือหนาที่เอื้อมมารูดขึ้นลงที่ส่วนอ่อนไหวด้านหน้าของเขาทำให้ชายหนุ่มครางออกมาอย่างสุขสม รู้สึกเหมือนในหัวเริ่มโล่ง

นายต่างหากที่กำลังทำฉันคลั่ง…

ซันลอบคิดขณะปล่อยให้อีกฝ่ายปรนเปรอเขาด้วยการกระแทกลงบนจุดที่อ่อนไหวที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แอนดรูว์หยุดขยับร่างกายขณะที่ของเหลวขุ่นทะลักออกมาเปื้อนผ้าคลุมเตียงพร้อมกับเสียงครางครั้งสุดท้ายของคนผมดำ

ซันเขยิบตัวออกจากแกนกายของอีกฝ่าย หอบหายใจครู่หนึ่งเพื่อพักร่างกาย ก่อนจะคลานไปหาร่างสูงที่ย้ายไปนั่งพิงหลังกับพนักเตียงเรียบร้อยแล้วขึ้นไปนั่งคร่อม ทั้งคู่จูบกันอย่างดูดดื่มอีกรอบขณะที่ซันขยับสะโพกเพื่อให้ช่องทางรับกับความแข็งขืนของอีกฝ่าย สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อแอนดรูว์ยกเอวขึ้นมาให้ส่วนปลายของตัวเองมุดไปในร่างของคนด้านบน

คนผมดำผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วหันมาให้ความสนใจกับการสอดใส่ด้านล่าง ลมหายใจร้อนของแอนดรูว์รดลงบนลำคอขาว ทันทีที่เขาดันตัวลงจนความแข็งขืนเข้ามาจนมิดลำ ซันรู้สึกว่ามันยังขยายขึ้นอีกในตัวเขา ความร้อนที่เหมือนจะหลอมรวมพวกเขาเป็นหนึ่งชวนให้สติกระเจิง แอนดรูว์ประคองหลังคอเขาขึ้นไปจูบอีกรอบอย่างอ่อนหวาน ซันใกล้จะละลายคาอ้อมแขนแอนดรูว์แล้วตอนนี้

"ซัน" แอนดรูว์ครางเรียกชื่ออีกฝ่ายเมื่อคนด้านบนเริ่มขยับเอวควบ "อ่า... ให้ตาย ซันชายน์ รู้สึกดีเป็นบ้า"

"ซันชายน์เหรอ" ซันยกยิ้มทั้งที่ใบหน้ายังแดง เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาถึงปลายคาง "น้ำเน่าฉิบ"

"ปากดี" แอนดรูว์ว่า ยกฝ่ามือแนบลงกับฝ่ามือของซันแล้วกุมแน่น ปล่อยให้คนด้านบนขยับสะโพกคุมเกม "อ่า... ให้ตาย คืนนี้กี่ยกดีครับคุณซัน"

"อ่า... แฮ่ก ขอคิดก่อนนะ" เจ้าตัวว่า เสียงขาดเป็นห้วงๆ สลับกับเสียงหอบและเสียงคราง "เมื่อกี้นายออกหนึ่ง ฉันหนึ่ง ต่อไปก็นายหรือเปล่า? "

“บ้ารึเปล่า ซัน” มือแกร่งเลื่อนมาออกแรงยึดที่เอวของคนที่เขาปล่อยให้คุมเกม “มันต้องพร้อมกันแล้วรึเปล่ารอบนี้? คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้นายทำตามใจชอบคนเดียวเหรอ? ”

“จะไปรู้นายเหรอ” พูดพร้อมกับยิ้มอย่างท้าทาย “ก็เห็นนายดูมีความสุขขนาดนั้น--- อ๊ะ ดรูว์ เดี๋ยวก่อน ฉัน… อื้อ”

“ไม่เป็นไรนะครับ ที่รัก” เขาว่าพร้อมกับขยับสะโพกของคนด้านบนตามความต้องการ “เดี๋ยวผมทำให้ที่รักถึงสวรรค์เอง”

“ไอ้บ้า ดรูว์” ซันแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย เลื่อนมือไปวางบนบ่าเจ้าตัว “แล้วทำเป็นจะให้ฉันจัดการ”

“ก็ผลัดๆ กันไง” พูดหน้าตาเฉย พอใจที่เห็นอีกฝ่ายครางตามสัมผัสของเขา ว่าแล้วเชียว เป็นคนคุมเกมนี่มันสนุกกว่าจริงๆ

“อื้อ… แอนดรูว์” ซันว่าพร้อมกับเคลื่อนสะโพกขึ้นลงรับกับคนด้านล่าง “แฮ่ก… มะ… ไม่ไหวแล้ว นาย---”

“โอเค” พูดพร้อมกับวางมือบนแก้มของซันอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีเขียวใสที่มองตรงเข้ามาทำให้เขาใจสั่นเหมือนเคย

แอนดรูว์ดึงอีกฝ่ายเข้าไปจูบพร้อมกับกระแทกเอวอีกฝ่ายอย่างแรง ไม่มีเสียงครางของใครเล็ดลอดออกมาเพราะคนผมทองกดหลังคอของซันแน่น

ซันสูดอากาศหายใจพร้อมกับหอบอย่างแรงเมื่อแอนดรูว์ผละริมฝีปากออก ของเหลวขุ่นเจิ่งนองทั่วหน้าท้อง เขามองคนรักที่ผุดลุกขึ้นไปมัดปากถุงยางแล้วโยนลงถังขยะ อดไม่ได้ต้องพูดดักคอเพราะเข็ดจากคราวก่อน

“รอบนี้คงไม่ต้องสำรวจฟูกอีกใช่ไหม”

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะถึงยังไงใครๆ ก็รู้เรื่องของเราหมดแล้ว”

ซันอ้าปากค้าง “หมายความว่าไง ฉัน… แบบว่า เอ่อ ออกอาการมากไปเหรอ? ”

“ไม่เชิง แต่ครั้งก่อนที่ห้องฉัน มีคนแอบเอากล้องมาติด ไอ้คนคนนั้นเลยได้ดูลีลาเด็ดของเราสองคนเต็มที่”

ซันหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว “นายล้อฉันเล่นใช่ไหม”

“เปล่า”

“ให้ตาย” เจ้าตัวยกมือกุมหน้าผาก “แล้ว… แล้วฉันต้องทำยังไง? ”

แอนดรูว์เดินกลับมานั่งลงข้างซัน ดึงมือออกแล้วจูบคนถามอย่างอ่อนโยน

“โทรไปลางานซะแล้วมากับฉัน”

“แต่---”

“นายไม่มีทางเลือกหรอก ซัน”

อืม เขาก็ว่าอย่างนั้นแหละ





----------------------------------------------
Talk: กระดึ๊บๆ มา บอกเลยว่าเลือดหมดตัวค่ะบทนี้ -.,-
หัวข้อ: Re: Faded Fog หมอกเลือนรัก (บทที่ 9) P.2 [11/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-03-2018 03:22:57
 :pighaun: :pighaun: