พิมพ์หน้านี้ - จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: DINNDANN ที่ 24-04-2016 20:15:55

หัวข้อ: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 24-04-2016 20:15:55
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



**************************************************************************************

(http://)



บทที่ 1    เด็กน้อยบนเทือกเขามังกรอัคคี


ใต้ผืนนภาอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีดินแดนยิ่งใหญ่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทุกทิศเป็นที่อาศัยของผู้คน สัตว์อสูรและสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมาย ผู้คนบนแผ่นดินแห่งนี้ได้ขีดแบ่งพื้นที่ออกเป็นเจ็ดดินแดนหลัก ได้แก่ดินแดนฟ้าไพศาล ดินแดนมายาจันทรา ดินแดนเทวะอัคคี ดินแดนวายุอัสนี ดินแดนทิวเมฆา ดินแดนดาราซ่อนเร้น และดินแดนหมื่นอสูร โดยในแต่ละดินแดนนั้นต่างก็มีผู้ยิ่งใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้เป็นผู้ปกครอง

บนผืนปฐพีในดินแดนทั้งเจ็ดต่างวัดความแข็งแกร่งกันที่พลังยุทธ์ ผู้ที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับสูงจึงจะเรียกเป็นผู้แข็งแกร่ง ระดับของพลังยุทธ์มีการจัดแบ่งไว้อย่างชัดเจนมีทั้งหมดเก้าระดับขั้นเรียงลำดับจากต่ำไปสูงดังนี้ระดับก่อกำเนิด ระดับผู้ฝึกยุทธ์ ระดับจอมยุทธ์ ระดับยอดยุทธ์ ระดับจ้าวยุทธ์ ระดับราชันย์ ระดับมหาราชันย์ ระดับจักรพรรดิ และระดับมหาจักรพรรดิ โดยแต่ละระดับยังแบ่งย่อยออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง

ผู้คนบนแผ่นดินนี้มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือคนธรรมดาที่ไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ เนื่องจากเมื่อตอนถือกำเนิดไม่มีพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดติดตัวมาจึงไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ และประเภทที่สองคือเหล่าผู้ฝึกพลังยุทธ์ เป็นคนที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิด จึงสามารถฝึกฝนพลังยุทธ์เพื่อเป็นผู้แข็งแกร่งได้ ในกลุ่มของผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้น หากเกิดมามีพลังก่อกำเนิดในระดับกลางขึ้นไปถือเป็นเด็กอัจฉริยะที่นานทีจะปรากฏมีขึ้นสักคน ในการฝึกพลังยุทธ์นั้นต้องฝึกฝนตามพลังธาตุของพลังก่อกำเนิดที่ติดตัวมา อันมีพลังธาตุพื้นฐานสี่ธาตุได้แก่พลังก่อกำเนิดธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ อีกทั้งยังมีพลังธาตุพิเศษอื่นๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งเช่นพลังธาตุน้ำแข็ง พลังธาตุสายฟ้า พลังธาตุทองเป็นต้น

ในโลกที่ยกย่องผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำผู้อ่อนแอเช่นนี้ หากท่านต้องการเป็นที่ยอมรับ ไม่ต้องการเป็นเพียงเศษหญ้าที่อยู่ใต้เท้าของผู้อื่น ก็ต้องรู้จักฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อยกระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้น ผู้คนบนผืนแผ่นดินนี้ต่างรู้จักวิธีการยกระดับพลังของตนเอง ซึ่งมีอยู่มากมายหลายวิธีเช่นการฝึกฝนตามตำรายุทธ์ระดับต่างๆ การรับประทานโอสถเพื่อเพิ่มพลัง การใช้ธาตุของสัตว์อสูรช่วยเพิ่มพลัง หากแต่ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะสามารถใช้วิธีการเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นตำรายุทธ์ขั้นกลางถึงขั้นสูง โอสถวิเศษต่างๆ รวมไปถึงธาตุของสัตว์อสูร ล้วนแล้วแต่มีราคาอันแพงลิบลิ่วเกินกว่าที่ครอบครัวของคนธรรมดาจะอาจเอื้อมถึง

---------------------------------------------------------------------


เทือกเขามังกรอัคคี บนดินแดนฟ้าไพศาลในยามนี้อยู่ในช่วงที่ต้นไม้น้อยใหญ่กำลังผลิใบใหม่เขียวขจีไปทั่ว ต้นสนใหญ่อายุนับร้อยปียืนต้นตั้งตรงดูสง่า แว่วเสียงคำรามกู่ก้องของสัตว์อสูรมาตามสายลมให้ได้ยินเป็นครั้งคราว
 
ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเขาอันสูงชันเห็นเด็กชายอายุประมาณสิบขวบ ดวงตากลมโตสุกใสอยู่ภายใต้แพขนตายาว ใบหน้าเรียวดูใสสะอาดตา จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้า ผิวพรรณขาวผ่อง หากเติบใหญ่ขึ้นกว่านี้คงจะเป็นหนุ่มรูปงามอันเป็นที่หมายปองของบุรุษสตรีเป็นแน่แท้ เห็นเด็กชายผู้นั้นนั่งเหยียดขาพิงลำต้นไม้ใหญ่ ในมือถือผลไม้รูปลักษณ์แปลกตาขบเขี้ยวรับประทานดูน่าเอร็ดอร่อย สายตามองเหม่อไปยังทิวเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่ไกลตา

เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่เด็กน้อยปรากฏตัวขึ้นมาอาศัยอยู่บนเทือกเขามังกรอัคคีแห่งนี้แต่โดยลำพัง ไม่น่าเชื่อว่าด้วยรูปลักษณ์ที่บอบบางดูไร้ซึ่งกำลังวังชาถึงเพียงนั้น อายุเยาว์วัยถึงเพียงนั้น จะฝ่าดงสัตว์อสูรขึ้นมาบนเทือกเขานี้ได้โดยไม่ได้รับอันตราย หากไม่ใช่ว่ามีพลังยุทธ์อันเร้นลับซุกซ่อนไว้ ก็คงเป็นเพราะมีโชควาสนา หรืออาจจะมีชะตาชีวิตที่ยังไม่ถึงฆาต จึงไม่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์อสูรดุร้ายเหล่านั้นไปเสียก่อน

“เฮ้อ…เกือบหนึ่งเดือนแล้วสิเฟยหลงที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” เสียงทอดถอนหายใจ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำอย่างแผ่วเบาดังขึ้นจากปากเด็กน้อย สายตาจับจ้องมองไปยังที่ห่างไกลออกไป หากแต่ในห้วงคำนึงกำลังครุ่นคิด

จ้าวเฟยหลงเกิดมาพร้อมกับพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดระดับสูง ถือเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เกิดดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้ นำความปีติยินดีมาสู่ตระกูลจ้าวยิ่งนัก ด้วยฐานะครอบครัวที่พรั่งพร้อมทั้งด้านกำลังคนและกำลังทรัพย์ จ้าวเฟยหลงได้รับการดูแลประคบประงมเป็นอย่างดีราวกับไข่ในหิน ได้รับการบำรุงร่างกายด้วยโอสถวิเศษและสมุนไพรล้ำค่าหายากมากมายนับไม่ถ้วนตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยถือว่าอัจฉริยะน้อยผู้นี้เป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต และอาจจะถึงขั้นเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ที่สามารถบรรลุถึงขั้นมหาจักรพรรดิเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้ก็เป็นได้

ท่ามกลางความคาดหวังของทุกผู้คน เมื่อจ้าวเฟยหลงมีอายุได้สามขวบถึงเวลาที่จะต้องเริ่มฝึกพลังยุทธ์ตามพลังธาตุนั้นกลับพบว่า ในร่างกายของเขามีพลังธาตุที่สับสน จนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพลังธาตุชนิดใด ยังความแปลกใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจ้าวเป็นอย่างยิ่ง หากแต่พวกเขาก็ยังไม่หมดหวังต่างคาดคิดว่าเป็นเพราะจ้าวเฟยหลงอาจจะยังเด็กพลังธาตุในร่างกายอาจจะยังไม่สามารถรวมตัวได้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักรอให้จ้าวเฟยหลงโตขึ้นอีกสักนิด น่าจะตรวจสอบพลังธาตุในร่างกายได้ และเริ่มต้นฝึกในตอนนั้นก็คงไม่สายเกินไป ถึงอย่างไรอัจฉริยะก็ต้องเป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าจะช้าจะเร็วเขาจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลจ้าวและดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้อย่างแน่นอน

เมื่อจ้าวเฟยหลงอายุได้ห้าขวบ มารดาผู้ให้กำเนิดพลันล้มป่วยด่วนลาโลกจากไปอย่างกะทันหัน ยังความเสียใจมาให้เด็กน้อยยิ่งนัก จากนกน้อยที่มีปีกของมารดาคอยโอบอุ้มและปกป้อง กลับกลายเป็นต้องอ้างว้างเดียวดาย แม้จะมีบิดาและพี่ชายคอยดูแลแต่ไหนเลยจะเทียบเท่ากับความรักความผูกพันจากผู้เป็นมารดาได้ จ้าวเฟยหลงในวัยห้าขวบถึงกับตรอมใจจนล้มป่วยหนัก ผู้เป็นบิดาต้องระดมแพทย์ผู้มีความสามารถทั่วดินแดนฟ้าไพศาลมาช่วยรักษาจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ และจากการป่วยในครั้งนั้นเองทำให้เด็กน้อยผู้เป็นอัจฉริยะ มีร่างกายที่แข็งแรงเนื่องจากได้รับการดูแลเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกพลังยุทธ์ กลับกลายเป็นเด็กน้อยขี้โรคธรรมดา อีกทั้งพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดระดับสูงที่ติดตัวมายังถดถอยจากกลายเป็นพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดระดับต่ำเพียงเท่านั้น แม้ว่าจ้าวเจิ้งไฉผู้เป็นบิดาและจ้าวเฟยเทียนผู้เป็นพี่ใหญ่ของเขาจะพยายามรักษาและสรรหาโอสถวิเศษมาช่วยเพิ่มพลังให้ก็ไม่เป็นผล อีกทั้งพลังธาตุภายในร่างกายที่สับสนมาตั้งแต่แรกนั้นกลับปั่นป่วนขึ้นมาทำให้เมื่อใดที่เขาเรียกใช้หรือฝึกพลังยุทธ์ร่างกายจะได้รับความเจ็บปวด บัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวหนาว อวัยวะภายในปั่นป่วนต้องทนทุกข์ทรมานเกินกว่าที่เด็กน้อยเยาว์วัยเช่นนั้นจะทนรับไหว นับตั้งแต่นั้นจ้าวเฟยหลงก็ไม่ได้ฝึกพลังยุทธ์อีกเลย

เมื่อพลังยุทธ์เสื่อมถอยไปจากอัจฉริยะที่มีผู้คนคอยห้อมล้อมหน้าหลัง กลับกลายเป็นตัวประหลาดที่ทุกคนเหลือบมองด้วยสายตาหยามเหยียด และคอยหลีกเลี่ยงไม่อยากเสวนาด้วย แต่นี่จะโทษใครได้ หากจะโทษก็โทษที่โลกใบนี้ยกย่องในพลังของผู้เข้มแข็งเหยียบย่ำผู้อ่อนแอเถอะ

ถึงจะไม่สามารถฝึกพลังยุทธ์ได้แต่จ้าวเฟยหลงก็ไม่นึกเสียใจ การเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของเขา นับแต่นั้นจ้าวเฟยหลงก็หันมาศึกษาตำรับตำราในหอหมื่นอักษร ซึ่งรวบรวมตำราทุกชนิดเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นตำราพิชัยสงครามโบราณ ตำราอักษรกาพย์กลอน ตำราดนตรีกวีนิพนธ์ ตำราค่ายกลต่างๆ ตำราหมื่นสัตว์อสูรที่รวบรวมเรื่องราวของสัตว์อสูรในแดนดิน แม้แต่ตำราฝึกพลังยุทธ์พื้นฐานเขาก็ศึกษาแม้จะไม่สามารถฝึกฝนได้ก็ตาม แต่ที่ถูกใจจ้าวเฟยหลงเป็นพิเศษกลับเป็นตำราวรยุทธ์โบราณที่ถูกวางไว้ที่มุมหนึ่งของหอหมื่นอักษรไร้ผู้คนสนใจ จากการศึกษาจ้าวเฟยหลงพบว่า สิ่งที่เรียกว่าวรยุทธ์โบราณนั้นแตกต่างจากพลังยุทธ์ที่ผู้คนในดินแดนฟ้าไพศาลฝึกฝนตรงที่วิธีการรวบรวมพลังและวิธีการเคลื่อนพลังปราณซึ่งมีแนวทางที่แตกต่างกันออกไป การฝึกพลังยุทธ์นั้นต้องอาศัยพลังก่อกำเนิดเป็นฐานพลังแล้วฝึกฝนวิธีการเคลื่อนพลังปราณให้มีระดับที่สูงขึ้น หากแต่วรยุทธ์โบราณนั้นไม่จำเป็น ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถฝึกฝนได้ วรยุทธ์โบราณจะเริ่มฝึกฝนตั้งแต่วิธีการสั่งสมพลังลมปราณหรือพลังวัตร โดยการโคจรลมปราณผ่านจุดต่างๆ ในร่างกายรอบแล้วรอบเล่า ยิ่งฝึกฝนลมปราณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น พลังวัตรก็ยิ่งแข่งแกร่ง จากนั้นจึงอาศัยลมปราณเป็นฐานใช้ออกผ่านวิชาการต่อสู้ซึ่งมีทั้งวิชาฝ่ามือ ท่าเท้า อาวุธลับ เพลงกระบี่ เพลงดาบและอาวุธอื่นๆ อีกมากมาย

จ้าวเฟยหลงตัดสินใจฝึกฝนวิชากำลังภายในที่เรียกว่าวิชาลมปราณผนึกฟ้า ซึ่งมีจุดเด่นที่เป็นวิชาลมปราณสายธรรมชาติช่วยให้ผู้ฝึกสามารถดึงพลังธาตุจากธรรมชาติมาใช้ได้ จึงง่ายต่อการฝึกฝนและสามารถสั่งสมพลังลมปราณได้ในเวลาอันสั้น หากแต่เส้นทางการโคจรของลมปราณนั้นมีความซับซ้อนยิ่งนัก ต้องโคจรผ่านจุดต่างๆ มากกว่าหนึ่งร้อยแปดจุด มีทั้งจุดเปิดเผยและจุดซ่อนเร้น หากไม่ใช่อัจฉริยะเช่นจ้าวเฟยหลงเกรงว่าไม่สามารถทำความเข้าใจแนวทางการโคจรลมปราณผนึกฟ้าได้ง่ายดายเช่นนี้ เขาใช้เวลาฝึกฝนโดยนั่งกรรมฐานรวบรวมพลังไว้ที่จุดตันเถียนที่ท้องน้อยอยู่สามวัน ในค่ำของวันที่สามนั่นเองจึงเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังความร้อนที่ท้องน้อย จ้าวเฟยหลงรู้สึกยินดียิ่งนัก พยายามประคับประคองสติขับเคลื่อนพลังกลุ่มนั้นให้เคลื่อนไปตามจุดชีพจรต่างๆ ทั่วร่างกายใช้เวลาถึงหนึ่งวันจึงโคจรพลังได้ทั่วทุกจุด

น่าแปลก! ในช่วงที่เขาเก็บตัวฝึกโคจรพลังอยู่นั้นร่างกายของมันไม่รู้สึกถึงความหิวโหย ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนหลับนอนมาหลายวันกลับไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นับแต่นั้นเขาก็ตั้งใจฝึกฝนลมปราณผนึกฟ้าไม่ได้ขาด เด็กน้อยที่โชคชะตาเล่นตลกจากที่เคยนั่งอยู่บนจุดสูงสุดพลันตกลงมาอยู่ใต้หุบเหวลึกอันมืดมิด เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่สาดส่องลงมาบ้างแล้ว

หลังจากนั้นจ้าวเฟยหลงก็หันมาศึกษาวิชาอื่นควบคู่ไปกับการฝึกลมปราณโดยเขาเลือกฝึกวิชาท่าเท้าเงามายา ซึ่งเป็นวิชาตัวเบาที่ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วดุจดั่งเงาภูติพราย ฝึกวิชาฝ่ามือสุริยันต์บรรจบฟ้าสำหรับการต่อสู้ในระยะประชิดและฝึกวิชาซัดขว้างอาวุธลับดาราพร่างพราว นอกจากนั้นยังฝึกเพลงกระบี่หิมะพลิ้ว ซึ่งเป็นเพลงกระบี่ที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เกือบห้าปีที่ซุ่มฝึกฝนวิชาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ จนถึงวันนี้นับว่าความพยายามที่ทุ่มเทไปไม่สูญเปล่า จ้าวเฟยหลงมีความก้าวหน้าในทุกวิชาที่ฝึกฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาลมปราณผนึกฟ้าด้วยวัยเพียงสิบปีแต่กลับมีพลังวัตรเทียบเท่าผู้ฝึกวิชาลมปราณมานับห้าสิบปี แต่หากจะเทียบกับระดับพลังยุทธ์ในดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้ ตอนนี้เขาคงอยู่ในระดับยอดยุทธ์ ขั้นต้นแล้ว นับว่าสวรรค์ยังคงปราณีไม่เหยียบย่ำจนอัจฉริยะต้องหมดสิ้นหนทางไป

บนดินแดนที่ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้จ้าวเฟยหลงจะถือกำเนิดในตระกูลที่เพียบพร้อมอยู่ในฐานะคุณชายคนหนึ่งของตระกูล  หากแต่ด้วยระดับพลังยุทธ์ขั้นต่ำที่ไม่สามารถฝึกฝนให้สูงขึ้นได้ตลอดชีวิต ในสายตาของคนในตระกูลแล้วจ้าวเฟยหลงจึงเป็นเพียงจอกแหนที่อาศัยเกาะตระกูลอยู่อาศัยไปวันๆ ถือเป็นบุคคลระดับต่ำสุดที่ไร้ซึ่งประโยชน์ ยามลับหลังจ้าวเจิ้งไฉผู้เป็นบิดาและจ้าวเฟยเทียนผู้เป็นพี่ใหญ่เขาจำต้องกัดฟันยอมรับการกลั่นแกล้งจากผู้เยาว์ของตระกูลจ้าวเสมอโดยไม่อาจตอบโต้ให้เกิดปัญหากระทบไปถึงผู้เป็นบิดาและพี่ชาย

“ไม่ได้แล้วเฟยหลง เจ้าจะหยุดเพียงแค่นี้ไม่ได้ เจ้าจะต้องเร่งฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง จะมัวแต่นั่งกินนอนกินอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว เจ้าจะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ให้ได้ เจ้าจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง เจ้าจะต้องยืนหยัดอยู่เคียงข้างท่านพ่อและพี่ใหญ่ให้ได้ เจ้าจะต้องไม่เป็นภาระของพวกเขา ฮึบ!!!” เสียงเล็กๆ แต่ฟังดูฮึกเหิมบอกตัวเอง พลางกระโดดลุกขึ้นยืนในทันใด ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองไปข้างหน้าด้วยแววตาอันมุ่งมั่น

------------------------------------------------------------------------------

...จ้าวดวงใจจอมราชันย์ เป็นนิยายเรื่องแรกของผู้เขียนเองจ้า สถานะคือ แต่งไปเรื่อยๆ ยังไม่จบนะ หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายแนวใหม่แบบนี้ เป็นกำลังใจและแนะนำติชมได้จ้า :call: :call: :call:



[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายแนวใหม่ กำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร)
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 24-04-2016 20:38:34
บทที่ 2   วาสนาของอาจารย์กับศิษย์


แสงแดดยามสายกำลังสาดส่องลอดพุ่มใบไม้น้อยใหญ่ลงมากระทบร่างเล็กของจ้าวเฟยหลงที่นั่งหลับตาฝึกลมปราณผนึกฟ้าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เห็นประกายแสงสีรุ้งอ่อนๆ ระยิบระยับวนเวียนอยู่รอบตัวดูแปลกตา ที่เบื้องหน้านั้นเป็นน้ำตกใหญ่ ได้ยินสียงสายน้ำร่วงหล่นจากที่สูงกระทบโขดหินเบื้องล่างดังครื่นครั่นไม่ขาดหู

ตูม!!!!!

เสียงวัตถุกระทบผิวน้ำดังก้องกังวานสะท้านสะเทือนเรียกจ้าวเฟยหลงให้ตื่นจากภวังค์แห่งการฝึกลมปราณ ดวงตากลมโตลืมขึ้น จับจ้องมองไปยังน้ำตกเบื้องหน้า ฉับพลันนั้นปรากฏเงาร่างมีดำคล้ายปลายักษ์ขนาดมหึมาพุ่งพรวดขึ้นมาจากใต้น้ำขึ้นไปสูงหลายวา เห็นปากของมันถูกเกี่ยวด้วยวัตถุแวววาวคล้ายโลหะเนื้อดีลากเส้นเชือกต่อสายยาวออกไปหลายวา

“หวา!!!!! เจ้าบ้าอย่าดิ้นนักได้ไหม ข้าเหนื่อยแล้วนะ!!!!!” ปลายเชือกมีร่างของคนผู้หนึ่งจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ตูม!!!!! เจ้าปลายักษ์พลันมุดลงน้ำไปอีกครั้ง พร้อมทั้งลากร่างของคนผู้นั้นตามลงไปด้วย จ้าวเฟยหลงเบิกตากว้างจ้องมอง รู้สึกประหลาดใจและแอบทึ่งในความดื้อดึงของคนผู้นั้นยิ่งนัก แม้จะโดนลากลงไปในน้ำลึกแต่มือนั้นกลับไม่ยอมปล่อยเชือก ช่างเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นจริงๆ จ้าวเฟยหลงอดจะทอดถอนใจชมเชยไม่ได้ พลางขยับร่างเดินเข้าไปใกล้น้ำตก เห็นผิวน้ำกลับนิ่งเรียบเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“หรือว่าเขาจะจมน้ำตายไปแล้ว” จ้าวเฟยหลงพึมพำ

ซ่า!!!!! เสียงน้ำพุ่งกระจาย พร้อมกับร่างของคนผู้นั้นทะลึ่งพุ่งพรวดขึ้นมา สายน้ำสาดกระเด็นถูกร่างจ้าวเฟยหลงจนชุ่มโชก เปียกปอนไปทั้งตัว

แฮ่ก!!!  แฮ่ก!!! แฮ่ก!!!

“โอ๊ย เหนื่อย!! เจ็บใจ น่าเจ็บใจยิ่งนัก เจ้าปลายักษ์ตัวนั้นดันหลุดไปได้ โธ่เว้ย!!” คนผู้นั้นหอบหายใจแฮ่กๆ เร่งโกยอากาศเข้าปอด หากแต่ปากกับไม่ยอมหยุดบ่น สองมือฟาดลงกับสายน้ำเบื้องหน้าอย่างนึกเจ็บใจตนเอง สายน้ำกระเด็นสาดต้องร่างจ้าวเฟยหลงที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เปียกปอนจนไม่อาจจะเปียกปอนได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“ว๊าก!!! เจ้าพรายน้ำ อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว” คนผู้นั้นร้องขึ้นดังลั่น เมื่อเหลือบเห็นร่างเปียกปอนที่ยืนถลึงตาจับจ้องมองมาที่มันอยู่ พลางขยับถอยตั้งท่าจะมุดลงน้ำไปอีกรอบ

“หยุด!!! ข้าไม่ใช่พรายน้ำ ดูให้ดีสิ” จ้าวเฟยหลงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ในใจครุ่นคิดเขาไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย ให้ตายสิ!! นั่งฝึกวิชาอยู่ดีๆ กลับต้องมาโชคร้ายเปียกปอนไปทั้งตัว ยังไม่พอยังต้องมาพบเจอกับคนสติไม่ดีอีกคนหนึ่ง

“หือ เจ้าไม่ใช่พรายน้ำ เจ้าเป็นคนหรอกหรือ ใช่ๆ เจ้าเป็นคน เจ้าเป็นคนจริงๆ ด้วย ข้าเห็นเงาเจ้าแล้ว ฮ่าๆ”

“ก็ใช่นะสิ แล้วท่านไม่คิดจะขึ้นมาจากน้ำหรือ”

“ขึ้นๆ แฮ่ๆ แต่ข้าขึ้นไม่ได้ เจ้าช่วยดึงข้าขึ้นไปหน่อยสิ” คนผู้นั้นกระพริบตาปริบๆ อย่างเว้าวอน แต่ทำไมมันน่าหมั่นไส้ก็ไม่รู้ในสายตาของจ้าวเฟยหลงได้แต่ค้อนให้วงหนึ่งแล้วก็ช่วยลากคนผู้นั้นขึ้นมาจากน้ำอย่างทุลักทุเล เมื่อขึ้นมาได้ก็นั่งแหมะลง หอบหายใจอยู่ริมน้ำตรงนั้น

หมดกัน!!! ภาพลักษณ์ของความห้าวหาญดุดันอันน่าเกรงขามที่เขาเห็นเมื่อตอนไล่จับเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นไม่มีเหลือแล้ว จ้าวเฟยหลงคิดพลางเหลือบสายตามองดูคนผู้นั้น เห็นเป็นเพียงเด็กหนุ่มเยาว์วัยอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีหน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม ดูจากเสื้อผ้าเนื้อบางที่สวมใส่ ซึ่งตอนนี้เปียกปอนแนบลู่ไปตามลำตัวของมัน เห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนงาม ดูแข็งแรง นับว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งที่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น จะต้องเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วทั้งดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้เป็นแน่
 
“เอ๋!!! เด็กน้อยเจ้าเป็นใครกัน มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วบิดามารดาของเจ้าล่ะ ที่นี่อันตรายมากเลยนะ มันมีสัตว์อสูรดุร้ายมากมายอาศัยอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ มันไม่ใช่ที่ๆ เด็กที่มีระดับพลังยุทธ์ก่อกำเนิดขั้นต่ำอย่างเจ้าจะมาวิ่งเล่นได้หรอกนะ” คนผู้นั้นหันขวับมาจับจ้องมองจ้าวเฟยหลงแล้วเอ่ยปากถามรัวเร็วอย่างเพิ่งนึกได้

“ช้าๆ หน่อยพี่ชาย ท่านจะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนล่ะ แต่อันที่จริงข้าสิต้องถามท่าน ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วไม่เคยพบเห็นผู้คนมาก่อน แล้วท่านล่ะโผล่พรวดมาจากที่ไหนกัน ข้าจ้าวเฟยหลง แล้วท่านล่ะ”

“ขออภัยๆ ข้าตื่นเต้นยินดีมากไปหน่อย ข้าก็ไม่พบเจอผู้คนบนเทือกเขาแถบนี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน  ข้าจินอวี่ อาศัยอยู่บนเขาลูกโน้น” จินอวี่บอกพลางชี้มือไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลลิบออกไป ซึ่งจ้าวเฟยหลงก็เคยนั่งจ้องมองดูอยู่บ่อยครั้ง และเคยหมายมาดไว้ว่าหากฝึกฝนตนเองจนแข็งแกร่งกว่านี้จะลองไปที่นั่นดูสักครั้ง ด้วยสงสัยอยากจะรู้ว่ายอดเขาอันสูงลิบลิ่วเช่นนั้นจะอาศัยอยู่ด้วยสิ่งมีชีวิตแบบใดกัน อีกทั้งยังเคยคิดจินตนาการไปไกลว่า หากจะมีเทพเซียนอาศัยอยู่บนโลกนี้ สถานที่พักอาศัยก็น่าจะเป็นเช่นภูเขาสูงลูกนั้นที่เห็นเพียงปลายแหลมของยอดเขาโผล่ขึ้นมา ด้านข้างล้อมรอบด้วยเมฆขาวลอยละล่องดูงามตา

“ท่านอยู่บนนั้นหรอกหรือ แล้วท่านเป็นคนหรือว่าเป็นเซียนกัน ข้าก็เคยคิดจะเดินทางไปยังที่นั่น” สองตาจ้าวเฟยหลงเบิกกว้างถามจินอวี่ด้วยความสนใจ

“ฮ่าๆ ใช่แล้วข้าอยู่บนนั้น ที่นั่นเรียกว่ายอดเขาเทียมเมฆา แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนหรือเป็นเซียนล่ะ”

“ก็ต้องเป็นคนอยู่แล้ว แถมเป็นยังเป็นคนสติไม่ดีคนหนึ่งด้วย” ประโยคหลังจ้าวเฟยหลงพึมพำเสียงแผ่วเบา

“หืม เจ้าว่ายังไงนะ” จินอวี่หันขวับมามองจ้าวเฟยหลงในทันใด

“เปล่าๆ สักหน่อย ข้าว่าท่านจะต้องเป็นคนที่มีพลังยุทธ์ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ ถึงอาศัยอยู่ในที่อันตรายๆ แบบนั้นได้ หูดีเป็นบ้าเลยให้ตายสิ”

“ฮ่าๆ ข้าอาศัยอยู่บนนั้นกับท่านอาจารย์เพียงสองคน ว่าแต่เฟยหลงเจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

“เอ่อ……” เห็นจ้าวเฟยหลงท่าทางอึกอักไม่อยากตอบคำถาม จินอวี่จึงพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว

“หากเจ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องบอกออกมาก็ได้ แล้วเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่เช่นนั้นนะพี่ชาย ข้าบอกท่านก็ได้ ข้าออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียวน่ะ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าทำไมจึงออกจากบ้านมา เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ แต่ที่ข้าแปลกใจกลับเป็นเมื่อตอนที่ข้าซุ่มตัวรอคอยเจ้าปลายักษ์นั่นปรากฏตัว ข้าสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ถึงสามคน ตอนแรกข้ายังคิดว่าเป็นพลังของสัตว์อสูรขั้นสูงที่อาศัยอยู่ที่แถวนี้เสียอีก แต่เมื่อพบเห็นเจ้าข้าก็มั่นใจว่าพลังที่ข้าสัมผัสได้ในตอนนี้เป็นพลังของผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน ใช่พวกเดียวกับเจ้าหรือเปล่า”

“ไม่ใช่นะ ข้าอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นผู้คนคนอื่นเลยนอกจากท่าน จะเป็นพวกที่เข้ามาล่าสัตว์อสูรเพราะต้องการพลังธาตุของมันหรือไม่ แล้วเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นคือสิ่งใดกันหรือพี่ชาย”

“อืม อาจจะเป็นพวกนักล่าสัตว์อสูรอย่างที่เจ้าว่าก็เป็นได้ เจ้าปลายักษ์นั่นหรือมันคือ ปลามังกรนิลกาฬ สัตว์อสูรดินแดนธาตุน้ำ เจ้าตัวนี้อายุห้าร้อยปีแล้วล่ะจัดเป็นสัตว์อสูรระดับห้า ถือเป็นสัตว์อสูรหายากในหนึ่งปีมันจะปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็คือช่วงนี้ พลังธาตุของมันเหมาะสำหรับสำหรับนำไปปรุงโอสถเพิ่มพลังยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มันหลุดรอดไปได้ เจ้ารู้ไหม ข้ามาดักจับมันมาหลายปีแล้วแต่มันก็หลุดไปได้เสียทุกที น่าเจ็บใจนัก ฮึ!!!” จินอวี่เล่าออกมาด้วยท่าทางเดือดดาลในตอนท้าย ด้วยนึกเจ็บใจตัวเอง

สัตว์อสูรบนผืนแผ่นดินนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่สามารถช่วยยกระดับพลังให้กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ได้ แบ่งได้ตามพลังธาตุเป็นสัตว์อสูรธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ และธาตุพิเศษอื่นๆ นอกจากนี้ถ้าแบ่งตามระดับความแข็งแกร่งของพวกมันแล้วสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทเรียกว่าสัตว์อสูรดินแดน จัดเป็นสัตว์อสูรที่พบเห็นได้บนแผ่นดินอาศัยอยู่ตามป่าเขาแบ่งเป็นเก้าระดับตามความแข่งแกร่งของพลังธาตุตั้งแต่ระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้า อีกประเภทเรียกว่าสัตว์อสูรวิญญาณ ซึ่งจะมีพลังธาตุที่บริสุทธิ์กว่าสัตว์อสูรดินแดนมากนัก จัดเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่พบเห็นได้ไม่ง่ายนักบนแผ่นดินนี้ ถ้าหากเทียบระดับความแข็งแกร่งแล้วละก็สัตว์อสูรวิญญาณมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิและระดับมหาจักรพรรดิเลยทีเดียวและส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนดินแดนหมื่นอสูรอันไกลโพ้น ดินแดนหมื่นอสูรเต็มไปด้วยสัตว์อสูรนานาชนิด จึงไม่แปลกที่สมาคมนักล่าสัตว์อสูร ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของนักล่าสัตว์อสูรทั้งแผ่นดินจะตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น และด้วยความที่สมาคมนักล่าสัตว์อสูรมีทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์อันมหาศาลจึงถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลที่สุดบนดินแดนทั้งเจ็ดที่แม้แต่จอมราชันย์ผู้ปกครองดินแดนยังต้องให้ความเกรงใจ

“เฟยหลง ข้าว่าเจ้าไปอยู่บนเขาเทียมเมฆากับข้าดีไหม ข้าว่าที่นี่มันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะอยู่เพียงลำพัง ยิ่งเมื่อข้าสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ทั้งสามนั้นด้วยแล้ว เกรงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้าอีกต่อไป แม้ว่าข้าจะเพิ่งพบเจอกับเจ้า หากแต่ข้ากับรู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก เจ้าไปอยู่กับข้าเถอะ”

“จริงหรือ ท่านให้ข้าไปอยู่ที่นั่นกับท่านได้จริงๆ นะ” จ้าวเฟยหลงตากลมโตเบิกกว้าง สองมือเกาะแขน       จินอวี่ กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ด้วยเฝ้ามองยอดเขาเทียมเมฆาอยู่บ่อยครั้ง และปรารถนาจะไปเยือนที่แห่งนั้นสักครั้งอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ อีกทั้งในช่วงอารมณ์ที่กำลังหงอยเหงาเมื่อจินอวี่ปรากฏตัวขึ้นกลับเติมเต็มความรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และด้วยวัยที่ห่างกันไม่มากนักจึงไม่แปลกหากจ้าวเฟยหลงจะถือจินอวี่เป็นสหายของเขา

“จริงสิ ท่านอาจารย์จะต้องชมชอบเจ้าอย่างแน่นอน แล้วข้าจะช่วยขอร้องให้อาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยอีกคน ดีหรือไม่” จินอวี่ยกมือลูบหัวจ้าวเฟยหลงด้วยความเอ็นดู เขาไม่มีพี่น้องเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรที่อาจารย์พบเจอระหว่างทางแล้วนำมาเลี้ยงดูสั่งสอนวิชาให้ด้วยความเมตตา จินอวี่รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งนัก แม้จะรู้สึกว่าจ้าวเฟยหลงต้องไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดา แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ หากจะปล่อยเด็กที่อายุเพียงสิบปีเช่นนี้อาศัยอยู่เพียงลำพังที่นี่

“ไป ไป เช่นนั้นข้าจะไปกับท่าน ข้าอยากเห็นยอดเขาเทียมเมฆายิ่งนัก แต่ว่าพวกเราจะขึ้นไปที่นั่นอย่างไรล่ะ หรือว่าพี่ชายท่านเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมที่เหาะเหินได้ แต่ว่า…ไม่น่าใช่ ท่านไม่เหมือนผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมเลยสักนิด” จ้าวเฟยหลงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ พูดพลางทำท่าครุ่นคิดพลางด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู


วิ้ว!!!!! วิ้ว!!!!!

จินอวี่ยกมือขึ้นห่อปากเป่าลมก่อเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวดังยาวนานสองครั้ง ที่ปลายฟ้าไกลลิบปรากฏเงาสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ในชั่วอึดใจก็เห็นรูปร่างของมันชัดเจนกลับเป็นนกเหยี่ยวสีน้ำตาลดำขนาดใหญ่บินมาหยุดลงข้างกายจินอวี่ แรงกระพือปีกพัดฝุ่นดินปลิวฟุ้งกระจาย จินอวี่ยกมือตบเบาลงที่ลำตัวให้มันย่อตัวลง

“เจ้าอิงเทียนจะพาพวกเราเดินทางไปยังยอดเขาเทียมเมฆา ไปกันเถอะเฟยหลง” เห็นจินอวี่กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลงเหยี่ยว พลางยื่นมือให้จ้าวเฟยหลงจับเพื่อจะช่วยดึงขึ้นไป

จ้าวเฟยหลงจับจ้องมองมือที่ยื่นมาคู่นั้น พลันตัดสินใจยื่นมือของตนให้จินอวี่จับ อาศัยแรงฉุดดึงของเขากระโดดขึ้นไปบนหลังเจ้าเหยี่ยวอิงเทียนได้ นับตั้งแต่นี้เขาจะไม่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังอีกแล้ว… อย่างน้อยเขาก็คาดหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

---------------------------------------------------------------------

คล้อยหลังจากที่จ้าวเฟยหลงนั่งเหยี่ยวอิงเทียนไปกับจินอวี่ไม่นานนัก บริเวณริมน้ำตกพลันปรากฏร่างของบุรุษวัยกลางคนขึ้นสามคน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ทั้งสิ้น เห็นพวกเขาหยุดอยู่ริมฝั่งจ้องมองไปยังเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เห็นเพียงเงาสีดำอยู่ลิบๆ

“หานตงเจ้าไปส่งข่าวให้นายท่านทราบด้วย ส่วนข้ากับหานลู่จะติดตามไป ดูแล้วนายน้อยไม่น่าจะมีอันตราย แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องติดตามไปอารักขานายน้อย” บุรุษผู้หนึ่งพูดขึ้น

“ทราบแล้วพี่ใหญ่” พูดจบชายผู้นั้นพลันเคลื่อนไหวหายลับไปทางป่าด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“พวกเราก็ติดตามไปเถอะ” พูดจบทั้งคู่พลันเหินร่างไปยังทิศที่ยอดเขาเทียมเมฆาตั้งอยู่ เห็นเพียงเงาเคลื่อนไหวผ่านไปวูบหนึ่งเท่านั้น

---------------------------------------------------------------------

เหยี่ยวอิงเทียนพาจินอวี่กับจ้าวเฟยหลงร่อนลงหน้าตึกหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาเทียมเมฆา จะเรียกเป็นตึกก็ดูไม่ได้ใหญ่โตมากนัก อันที่จริงมันเป็นเพียงบ้านไม้หลังหนึ่งที่ปลูกแอบอิงแนบยาวไปตามแนวของภูเขา หน้าบ้านเป็นลานกว้างมีต้นไม้ยืนต้นเป็นแนวเสมือนรั้วบ้านคอยให้ร่มเงากับคอยบังแดดลมให้กับตัวบ้าน สองฟากข้างของแนวรั้วมีดอกไม้ปลูกประดับประดากำลังชูช่อดอกหลายสีสันดูงามตา

จินอวี่พาจ้าวเฟยหลงเดินบ้านลัดเลาะเข้าไปในตัวบ้านเพียงไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือห้องหนึ่ง เห็นทั้งสามด้านซ้ายขวาและด้านหลังเป็นชั้นเต็มไปด้วยหนังสือ แม้จะไม่ได้มีจำนวนมากมายเช่นหอหมื่นอักษรของตระกูลจ้าวที่จ้าวเฟยหลงขลุกอยู่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านแวบหนึ่งจ้าวเฟยหลงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ หนังสือในห้องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นตำราระดับสูงอันมีราคาค่างวดทั้งสิ้นแม้แต่ในหอหมื่นอักษรก็ยังมีไม่มากเท่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปรากฏอยู่ในห้องหนังสือเล็กๆ กลางป่าเขาเช่นนี้

“อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้ว” จินอวี่ร้องบอกพลางหันไปประสานมือคารวะที่มุมหนึ่งของห้อง จ้าวเฟยหลงถึงกับใจสั่นสะท้านขึ้นมา ที่นั่นถึงกับมีบุรุษวัยกลางคนในชุดสีขาวผู้หนึ่งนั่งหลับตาอยู่ หากแต่จ้าวเฟยหลงกลับไม่สามารถจับสัมผัสได้ถึงการคงอยู่นั้น

“กลับมาแล้วหรือ ข้าเดาว่าเจ้าคงจับปลามังกรนิลกาฬไม่ได้อีกตามเคยใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง พลางลืมตาขึ้นประกายตาดุจดั่งสายฟ้าจับจ้องมองไปยังจ้าวเฟยหลงในทันใด

“เจ้าพาใครมาด้วยหรือจินอวี่ หรือเจ้าจะลืมไปแล้วว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!!!” จากเสียงนุ่มทุ้มกลับกลายเป็นกระด้างเย็นชาในชั่วพริบตา

“แฮ่ๆ ท่านอาจารย์ ท่านอย่าเพิ่งดุข้าสิ ฟังข้าก่อนได้หรือไม่”

“เจ้ามีอะไรจะต้องพูดอีก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าห้ามพาคนนอกเข้ามาที่นี่โดยพลการ พามันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!!”

“อาจารย์…” ใบหน้าจินอวี่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน พยายามเอ่ยปากขอร้องผู้เป็นอาจารย์ หากแต่กลับไม่อาจออกเสียงได้ด้วยความตระหนกตกใจ ไม่เคยเห็นผู้เป็นอาจารย์แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธเคืองเช่นนี้มาก่อน อาจารย์ผู้ที่ใจดี ใบหน้ามักจะแต้มเต็มไปด้วยรอบยิ้มเมตตาในวันนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

“พี่ชายท่านไม่ต้องพูดแล้ว ขออภัยผู้อาวุโสด้วยที่ข้าบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ขอท่านอย่าได้โกรธเคืองพี่จินอวี่เลย ข้าจะไปจากที่นี่เอง ขออำลา” จ้าวเฟยหลงประสานมือกล่าววาจา แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยอายุเพียงสิบปี หากแต่วาจากลับเด็ดเดี่ยวอาจหาญนัก พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้องนั้นทันที เมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ จะมีเหตุผลใดให้อยู่ที่นี่ต่อไป

“เฟยหลง!! เฟยหลง!!” แม้จะได้ยินเสียงร้องเรียกตามหลังหากแต่จ้าวเฟยหลงก็ไม่สนใจ รีบเร่งเดินออกไปไม่หันกลับไปมอง

เมื่อเดินออกมาถึงลานหน้าบ้านจ้าวเฟยหลงหันซ้ายหันขวาด้วยไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางทิศใด เห็นทางด้านขวามีทางน้อยสายหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหนทางที่ใช้เดินลงเขา จึงตัดสินใจร่ายท่าเท้าเงามายาพริ้วร่างไปตามทางนั้นทันทีโดยไม่รีรอลังเล
แม้ดูเหมือนจ้าวเฟยหลงจะเด็ดเดี่ยว หากแต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบปีผู้หนึ่ง เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็อดที่จะนึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเองไม่ได้ เดินทางไปพลางยกมือปาดเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ไหลจากสองตาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ได้ร้องไห้มาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว ตั้งแต่ท่านแม่จากไปเมื่อห้าปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้อีกเลย แม้จะถูกรุมรังแกจากบรรดาญาติพี่น้อง แต่เขาก็ไม่เคยร้องไห้ แม้จะต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเสียน้ำตา เขาจำต้องอดทนด้วยไม่อยากสร้างความกังวลใจหรือสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่คอยปกป้องตนเองเสมอมา

 ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด ข้าก็เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครต้องการ ข้าเป็นเพียงตัวซวยที่สร้างแต่ความเดือดร้อนให้กับคนที่รักและหวังดีกับข้า ที่บ้านท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็ต้องพลอยเดือดร้อนเพราะการปกป้องข้า เพราะความอ่อนแอ ความไม่เอาไหนของข้า มาวันนี้ข้ายังทำให้พี่จินอวี่ต้องถูกตำหนิ ข้ามันเป็นตัวซวยจริงๆ สวรรค์!!! ท่านให้ข้าเกิดมาทำไม!!! ท่านให้ข้าเกิดมาทำไม!!!! ทำไมไม่ให้ข้าตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!!!! ฮือๆๆ

เสียงตะโกนกู่ก้องตัดพ้อในใจดังก้อง น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายอย่างน่าเวทนา

จ้าวเฟยหลงเดินทางพลางเช็ดน้ำตาพลางไม่รู้ทิศเหนือใต้ ไม่รู้เวล่ำเวลา ผ่านไปเนิ่นนานจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย จำต้องทรุดนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สองแขนกอดเข่าซบหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้น
 
ร้องไห้ให้น้ำตามันไหลออกมาให้หมด ร้องเสียให้พอ หลังจากนี้ข้าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง ข้าจะต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เป็นภาระให้ใครอีกแล้ว

จ้าวเฟยหลงบอกกับตัวเอง แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง แม้จะจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ภายในจิตใจ หากแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องอดทนฟันฝ่ามุ่งหน้าต่อไป

ไม่รู้ว่าร้องไห้จนเผลอหลับไปนานเพียงใด แต่จ้าวเฟยหลงก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมา ด้วยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของการมุ่งร้ายหมายเอาชีวิตจากสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าที่ยืนจังก้าจ้องมองเขม็งมา เมื่อเห็นจ้าวเฟยหลงขยับตัว มันพลันกระโดดเข้าหาตะปบกรงเล็บแหลมคมเข้าใส่จ้าวเฟยหลงในทันที จ้าวเฟยหลงไม่มีเวลาให้ได้ครุ่นคิดอันใด อาศัยแรงส่งจากสองมือสะกิดพื้นส่งตัวเหินลอยขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียวนัก สองตามองลงมาเห็นเป็นสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับจู่โจมเข้าหา จากตำราหมื่นสัตว์อสูรที่เคยได้อ่านมา จ้าวเฟยหลงรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเป็นจิ้งจอกเพลิงโลหิต สัตว์อสูรดินแดนธาตุไฟระดับสอง

นับว่าปรากฏตัวได้ดี มาให้ข้าระบายความคับแค้นใจได้บ้าง จ้าวเฟยหลงแสยะมุมปากครุ่นคิด
   
ในฉับพลันนั้นจ้าวเฟยหลงก็เคลื่อนไหว ทะยานร่างเข้าหาจิ้งจอกเพลิงโลหิตในทันที ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเห็นเพียงเงาดำไหววูบผ่านไปดุจดั่งภูติพราย เท้าขวาตวัดฟาดลงตรงแสกหน้าสุนัขจิ้งจอกโชคร้ายตัวนั้นอย่างหนักหน่วง

 ตุ๊บ!!!!

โอกกก!!!!!

เสียงเท้ากระทบถูกจิ้งจอกเพลิงโลหิตคราหนึ่ง ได้ยินเสียงมันร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องสะท้อนทั่วผืนป่า จิ้งจอกเพลิงโลหิตผงะถอย สะบัดหัวด้วยความมึนงง เหยื่อตัวน้อยอันโอชะที่มันคิดจะกลืนกินอย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นอสูรร้ายที่กำลังหมายเอาชีวิตของมันเสียแล้ว

จ้าวเฟยหลงไม่ปล่อยให้มันได้ตั้งตัว พลันร่ายท่าเท้าเงามายาผสานกับฝ่ามือสุริยันต์บรรจบฟ้า ฟาดเข้าใส่จิ้งจอกเพลิงโลหิต เสียงฝ่าเท้าฝ่ามือกระทบถูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นดังตุบตับ ตุบตับ ไม่ขาดหู
โอกกก!!!!! โอกกก!!!!! โอกกก!!!!!

เสียงจิ้งจอกเพลิงโลหิตกู่ก้องร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นไม่รู้ว่าเนิ่นนานเพียงใด ตอนนี้ได้ยินเสียงมันร้องคราง อิ๋งๆ นอนแนบอยู่ข้างเท้าจ้าวเฟยหลงที่กำลังยกมือชี้นิ้วสั่งสอนมันอยู่

“ยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือเจ้าเดรัจฉาน ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยนะ เป็นอย่างไรล่ะ แม้แต่เจ้าก็คิดจะห่มเหงข้าอย่างนั้นหรือ คนอย่างข้าไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้ง่ายดายเช่นนั้นอีกแล้ว ฮึ”

พูบจบพลางยกมือปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าแล้วทำท่าจะเดินจากไป แต่ไม่วายหันมาพูดสำทับจิ้งจอกเพลิงโลหิตอีกครั้ง

“อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกนะ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน หึหึหึ”

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริเวณยอดเขาเทียมเมฆาก็ไม่ปรากฏสุนัขจิ้งจอกเพลิงโลหิตขึ้นอีกเลยแม้แต่ตัวเดียว ไม่รู้ว่ามันเจ็บซ้ำจนตายไปหรือพาครอบครัวอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

จ้าวเฟยหลงเดินทางต่อ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติรับรู้ได้ว่าตัวเขาเดินกลับมายังตำแหน่งเดิมหลายครั้งหลายหน บริเวณป่าที่เมื่อครู่ยังเห็นแสงจันทร์ส่องสลัวๆ ลงมาให้เห็นทางบ้าง กลับปรากฏหมอกควันบางเบาขึ้นปกคลุม จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันนั้นมันก็สังเกตเห็นว่าแนวต้นไม้ ก้อนหิน เนินเขาบริเวณนั้นกลับแฝงไว้ด้วยพลังของค่ายกลที่ถูกสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ อาศัยหลักความสมดุลของหยินหยางจัดวางวัตถุก่อเกิดเป็นค่ายกลขึ้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จ้าวเฟยหลงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ค่ายกลนี้กลับเป็นค่ายกลพยุหะแปดทิศ ค่ายกลโบราณที่หายสาบสูญไร้การสืบทอดมานับพันปี หากไม่ใช่ว่าเขาบังเอิญพบเจอตำรับตำราโบราณเหล่านั้นในหอหมื่นอักษรแล้วละก็คงไม่รู้ว่ามีค่ายกลอันน่าอัศจรรย์อยู่บนโลกนี้

เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วจ้าวเฟยหลงก็เริ่มกำหนดทิศทางเพื่อฝ่าออกไป ค่ายกลพยุหะแปดทิศจัดวางประตูไว้ทั้งแปดทิศทางเรียกเป็นประตูเปิด ประตูปิด ประตูกำเนิด ประตูมรณะ ประตูผวา ประตูบาดเจ็บ ประตูธรรมชาติ และประตูบาป เมื่อกำหนดทิศทางได้แล้วจ้าวเฟยหลงก็มุ่งหน้าฝ่าไปยังทิศตะวันออกซึ่งจัดวางประตูกำเนิดไว้ จากนั้นจึงฝ่าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นประตูบาป แล้วจึงมุ่งลงสู่ทิศใต้จึงพบประตูเปิด อันเป็นหนทางออกจากค่ายกลพยุหะแปดทิศ แม้ดูเหมือนจ้าวเฟยหลงจะฝ่าออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นผู้อื่นที่ไม่รู้จักค่ายกลพยุหะแปดทิศแล้ว คงต้องถูกกักอยู่ในค่ายกลจนหิวตายอยู่ภายในนั้นเป็นแน่

เมื่อหลุดออกจากค่ายกลได้จ้าวเฟยหลงก็พบว่าเขาใช้เวลาเดินทางเพื่อลงจากเขาทั้งคืน ด้วยตอนนี้พระอาทิตย์ดวงโตกำลังโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ทอแสงแดงจ้าอยู่ตรงปลายฟ้าที่ไกลตา นับแต่ที่ขึ้นไปบนเขาเทียมเมฆาพร้อม จินอวี่เมื่อตอนบ่ายคล้อย สะบัดหน้าลงจากเขาเมื่อตอนเกือบเย็นย่ำ หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งฝ่าออกจากค่ายกลพยุหะแปดทิศ กลับต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ลงมาได้แล้ว ถึงตอนนี้คงต้องกลับไปพักอาศัยที่เชิงเขามังกรอัคคีตามเดิม คิดได้เช่นนั้นก็ทะยานร่างมุ่งหน้าจากไปในทันที

---------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร) : ตอนที่ 1 กับตอน 2
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 24-04-2016 22:48:20
หนูเก่งเกินไปแล้วคะลูกกกกก
กำลังติดนิยายแนวนี้อยู่เลยค่ะ ชอบ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร) : ตอนที่ 1 กับตอน 2
เริ่มหัวข้อโดย: zwxnchii ที่ 24-04-2016 23:36:37
ติดตามค่ะ สนุกมากๆๆเลยค่ะ กำลังติดนิยายแนวนี้พอดี สู้ๆๆนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร) : ตอนที่ 1 กับตอน 2
เริ่มหัวข้อโดย: love noon ที่ 24-04-2016 23:42:58
ชอบแนวแฟนตาซีที่สุด แต่หาอ่านยากมาก
ต้องเขียนให้จบนะจ๊ะตัวเอง
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 3 (26 /4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 26-04-2016 17:05:09
ตอนที่ 3  กราบอาจารย์

จ้าวเฟยหลงทะยานร่างอยู่เหนือยอดไม้มุ่งหน้าไปยังเชิงเขามังกรอัคคีอย่างรวดเร็วด้วยท่าเท้าเงามายา อันได้ชื่อว่าเป็นทักษะวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยมในยุทธจักรเมื่อกว่าหนึ่งพันปีก่อน เห็นร่างของเขาเคลื่อนไหววูบวาบพุ่งไปดุจดั่งเงาภูติพราย หลังจากคลายความโศกเศร้าได้แล้วจ้าวเฟยหลงก็กลับมาเริงร่าได้อีกครั้ง ท่าร่างนั้นแผ่วพลิ้วลอยละล่องเหินบินหยอกล้อกับมวลหมู่ปักษาที่บินผ่านไป ใบหน้าเด็กหนุ่มตัวน้อยมีรอยยิ้มแต้มเต็ม จนเมื่อสุดแนวต้นไม้ใหญ่ ที่เบื้องหน้าเป็นลานโล่งกว้างแห่งหนึ่ง
พลันนั้นจ้าวเฟยหลงจำต้องหยุดชะงักท่าร่างแล้วเหินลงมายืนหยัดจับจ้องมองแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งที่ปล่อยพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งบีบบังคับให้เขาจำต้องหยุดยั้งลงอย่างไม่อาจต่อต้าน แม้จะหงุดหงิดใจหากแต่ก็ไม่วู่วาม จับจ้องมองดูแผ่นหลังของบุรุษเบื้องหน้าที่รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง

“ผู้อาวุโส เหตุใดจึงขวางทางไม่ให้ข้าผ่านไป”

เสียงแหลมเล็กด้วยเยาว์วัยเอ่ยขึ้น เรียกให้บุรุษผู้นั้นค่อยๆ หันมาเผชิญหน้ากับจ้าวเฟยหลง ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องจับต้องร่าง เห็นเป็นบุรุษวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลา ประกายตาคมกล้า คิ้วหนาดำคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน รูปลักษณ์ทั้งมวลประกอบรวมกันเป็นบุรุษรูปงามผู้องอาจที่อยู่เบื้องหน้า สายลมโชยพัดชุดสีขาวที่สวมใส่ปลิวสะบัด สองมือไขว่หลังยืดอกผึ่งผายดูสง่า ปากนั้นกำลังคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้กับจ้าวเฟยหลง

“เป็นท่าน??”

จ้าวเฟยหลงร้องอออกมาด้วยนึกไม่ถึง บุรุษวัยกลางคนเบื้องหน้าถึงกลับเป็นเจ้าของตึกบนยอดเขาเทียมเมฆาผู้นั้น

“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่” จ้าวเฟยหลงเอ่ยถาม ชายผู้นั้นยังไม่ทันได้ตอบคำ

“เฟยหลง!!!!” เสียงตะโกนร้องเรียกดังก้องกังวานมาจากเบื้องหลัง พร้อมกับร่างที่โถมเข้ามากอดจ้าวเฟยหลงเอาไว้อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

“ท่านพี่จินอวี่!!!!”

“เฟยหลงเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ข้าเป็นห่วงเจ้ามากรู้ไหม หากเจ้าเป็นอะไรไปข้าคงให้อภัยตัวเองไม่ได้อย่างแน่นอน ข้าดีใจจริงๆ ที่พบเจ้า” จ้าวเฟยหลงจับจ้องมองจินอวี่ รู้สึกซาบซึ้งใจกับความรักความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ แม้จะเพิ่งรู้จักกัน หากแต่การแสดงออกของอีกฝ่ายล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจ    เห็นดวงตาของจินอวี่มีน้ำใสๆ คลอเอ่อ พร้อมจะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ

“ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย ขอบคุณพี่ชายที่เป็นห่วงข้า”

“อะแฮ่ม!!! เด็กน้อยเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถผ่านด่านค่ายกลแปดประตูฟ้าดินของข้ามาได้”

“ฮึ อาจารย์ท่านไม่ต้องพูด ไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ น้องเฟยหลงถึงได้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ หากน้องเฟยหลงเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ทำอาหารให้ท่านรับประทานอีกเลย” จินอวี่หันไปค้อนใส่ผู้เป็นอาจารย์

“ฮ่าๆๆ ข้าเพียงแค่ล้อเด็กน้อยเจ้าเล่น ไม่นึกว่าเจ้าจะใจเด็ดเช่นนั้น มานี่มา” พูดพลางดึงจ้าวเฟยหลงมาหา สองมือประคองโอบร่างน้อยๆ นั้นไว้ราวกับจะปลอบขวัญ เป็นจ้าวเฟยหลงที่ร่างถึงกับแข็งทื่อด้วยไม่คาดคิดว่าบุรุษผู้นั้นจะทำเช่นนี้ หากแต่น้ำเสียงนุ่มทุ้มกับรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ส่งมา ทำให้มันอดจะซบหน้าแนบกับอกนั้นไม่ได้ น้ำตาพลันไหลรินออกมา อ้อมกอดที่อบอุ่นเช่นนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่มันไม่เคยได้รับ น้ำเสียงแบบนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่มันไม่เคยได้ยิน ความรักความจริงใจเช่นนี้ นานแค่ไหนกันที่มันไม่เคยได้สัมผัส ในห้วงความคิดอดจะคิดถึงท่านพ่อและพี่ใหญ่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

“ไม่เอาๆ อย่าได้ร้องแล้ว” ชายผู้นั้นโอบกอดปลอบประโลม ด้วยคิดว่าเป็นเพราะตนทำให้เด็กน้อยเสียขวัญจึงร้องไห้ออกมา

“ถือว่าข้าผิดเองที่ทำให้เจ้าเสียขวัญ เด็กน้อยที่น่ารักอย่างเจ้าไม่มีใครใจร้ายใจดำขับไล่ได้ลงคอหรอก ไปอยู่บนเขาเทียมเมฆากับข้าดีหรือไม่”

“หืมมม ผู้อาวุโสท่านให้ข้าไปอยู่ด้วยจริงหรือ” จ้าวเฟยหลงยกมือปาดเช็ดน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย

“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเฟยหลง เจ้าไปอยู่บนเขาด้วยกันเถอะ” จินอวี่พูดพลางยกมือเช็ดน้ำตามที่อาบแก้มของจ้าวเฟยหลงอย่างเอ็นดู

“เอ๊ะ!!!! น่าแปลก!!!!” ชายผู้นั้นพึมพำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับจับจ้องมองดูจ้าวเฟยหลงอย่างนึกสงสัย

“เฟยหลง เจ้ามีพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นต้นเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงสามารถใช้ทักษะเหินบินได้”

“เอ่อ ผู้อาวุโส” จ้าวเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง หากแต่ก็ตัดสินใจบ่งบอกเรื่องราวของมันตามความเป็นจริง

“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ใช้พลังยุทธ์ หากแต่ใช้วรยุทธ์โบราณ ทักษะที่ข้าใช้เรียกว่าวิชาตัวเบา หาใช่ทักษะเหินบินไม่”

ชายผู้นั้นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตระหนก วรยุทธ์แต่โบราณนับพันปีที่ถึงแม้ว่าจะมีตำรับตำราตกทอดหลงเหลืออยู่บ้าง หากแต่ใช่ว่าจะฝึกฝนได้โดยง่าย หากไม่มีผู้ชี้แนะจำต้องใช้ปัญญาขบคิดตีความให้เข้าใจอย่างยากลำบากจึงจะสามารถฝึกฝนได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยลองศึกษาหากแต่ก็ไม่พบกับความสำเร็จจำต้องเลิกล้มไป ทิ้งตำรายุทธ์เหล่านั้นไว้ในห้องสมุดบนเขาเทียมเมฆาอย่างไร้ค่า ที่เขาศึกษาและพอจะสำเร็จอยู่บ้างมีเพียงวิชาค่ายกลเท่านั้น จึงนำมาดัดแปลงสร้างเป็นค่ายกลแปดประตูฟ้าดินเพื่อใช้เป็นปราการป้องกันผู้บุรุกขึ้นไปสู่ยอดเขาเทียมเมฆา เท่าที่เห็นไม่เพียงเด็กน้อยผู้นี้จะฝึกฝนวิทยายุทธ์โบราณได้ หากแต่มีความสำเร็จเด่นล้ำ อีกทั้งยังแตกฉานวิชาค่ายกลอีกด้วย เด็กน้อยอายุเพียงสิบขวบแต่กลับมีความสำเร็จถึงขั้นนี้จะไม่ให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร

“โอ เจ้าถึงกับฝึกฝนและสำเร็จวิทยายุทธ์โบราณ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้าคาดเดาว่าเจ้ายังแตกฉานวิชาค่ายกลอีกด้วยใช่หรือไม่ จึงสามารถฝ่าค่ายกลแปดประตูฟ้าดินของข้าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”

“ผู้อาวุโส ข้าเพียงแค่มีวิทยายุทธ์เพียงพอที่จะปกป้องตนเองได้เท่านั้น ยังอยู่ห่างจากความสำเร็จอีกไกลมากนัก หากแต่วิชาค่ายกลนั้นข้าชอบเป็นพิเศษจึงพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง”

“เด็กน้อยเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ฝึกพลังยุทธ์ล่ะ เหมือนกับว่าเจ้าจะปล่อยทิ้งแนวทางการฝึกพลังยุทธ์ไปเสียอย่างนั้น”

“เมื่อตอนเด็กข้าป่วยหนักจนเป็นเหตุให้พลังยุทธ์เสื่อมถอย อีกทั้งพลังธาตุในร่างกายยังสับสน จนไม่อาจฝึกฝนพลังยุทธ์ได้อีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงละทิ้งแนวทางการฝึกฝนพลังยุทธ์แล้วจึงได้เริ่มศึกษาและฝึกฝนวรยุทธ์โบราณนับตั้งแต่นั้นมา” น้ำเสียงจ้าวเฟยหลงพลันสั่นเครือจนผู้ที่ฟังอยู่สัมผัสได้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียมารดาและพลังยุทธ์ไป จินอวิ่นโอบกระชับหัวไหล่อย่างปลอบโยน จ้าวเฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายผู้นี้ด้วยความสำนึกขอบคุณ

“พลังธาตุสับสนเช่นนั้นหรือ?? อืมม ไม่น่าจะใช่ ขอข้าตรวจดูให้แน่ใจอีกสักครั้ง”

“ข้าไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสกังวลสนใจเรื่องนี้หรอก เหล่าแพทย์ทั่วทั้งดินแดนฟ้าไพศาลต่างก็อับจนหนทางในการรักษา จนข้าไม่คาดหวังที่จะกลับไปฝึกพลังยุทธ์ได้อีกแล้ว” จ้าวเฟยหลงยกยิ้มฝืนๆ ของมันกล่าววาจา

“ฮึ เหล่าแพทย์กระจอกๆ ที่รู้จักแต่วิธีการใช้ยา หากแต่ไม่รู้จักวิธีปรุงกลั่นยาพวกนั้นน่ะหรือ ก็ไม่แปลกที่พวกมันจะรักษาอาการของเจ้าไม่ได้ ลองให้เทพโอสถอย่างข้าตรวจดูอาการเจ้าอีกครั้งเป็นไร”

“เทพโอสถ!!!!! ท่านว่า…ท่านคือเทพโอสถอย่างนั้นหรือ” จ้าวเฟยหลงตกตะลึงนิ่งงัน เบิกตาจับจ้องบุรุษผู้นั้นไม่วางตา
บนผืนปฐพีนี้มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อผู้ฝึกพลังยุทธ์ทุกคน ได้รับการยกย่องและให้เกียรติเหนือกว่าผู้คนทุกชั้นชน คนกลุ่มนั้นคือ เหล่าแพทย์โอสถ ซึ่งทำหน้าที่ในการปรุงกลั่นตัวยาเพื่อช่วยยกระดับพลังให้กับผู้ฝึกยุทธ์และตัวยาที่มีสรรพคุณวิเศษในการรักษาอาการเจ็บป่วย และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่าแพทย์ผู้รักษา ทำหน้าที่ในการตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้คน โดยอาศัยตัวยาที่ได้จากการปรุงกลั่นของเหล่าแพทย์โอสถเป็นเครื่องมือ

ในโลกของผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้นการที่จะยกระดับพลังเพื่อเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้นจะต้องรวบรวมพลังธาตุในร่างกายและควบคุมจนเกิดกระแสพลังที่แข็งแกร่งเพื่อทะลุทะลวงไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไป หากล้มเหลวอาจทำให้สูญเสียพลังธาตุจนระดับพลังยุทธ์เสื่อมถอยลงได้ ดังนั้น ผู้ฝึกพลังยุทธ์จำต้องพึ่งพาวัตถุธาตุของสัตว์อสูรเป็นตัวช่วย หากวัตถุธาตุของสัตว์อสูรนั้นมีความบริสุทธิ์ก็สามารถดูดซับพลังได้โดยตรง หากแต่วัตถุธาตุของสัตว์อสูรที่บริสุทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง จึงต้องอาศัยการนำไปสกัดผสมกับสมุนไพรหายากนานาชนิดกลายเป็นยาวิเศษซึ่งมีสรรพคุณพิเศษต่างๆ มากมาย เช่นยาสำหรับเพิ่มพลัง ยาหลอมรวมพลัง ยาฟื้นฟูพลัง เป็นต้น

หากแต่ในการสกัดปรุงกลั่นยานั้นจะกระทำโดยแพทย์โอสถ ซึ่งได้รับยกย่องจัดเป็นวิชาชีพชั้นสูงที่เหล่าตระกูลใหญ่ต่างต้องการตัว เพราะหากตระกูลใดมีแพทย์โอสถที่เก่งกาจแล้วละก็ผู้คนในตระกูลเหล่านั้นก็มีโอกาสที่จะมีโอสถวิเศษที่ช่วยยกระดับพลังให้แข็งแกร่งได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วใช่ว่าทุกผู้คนจะเป็นแพทย์โอสถได้

แพทย์โอสถนั้นต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ หนึ่งนั้นต้องเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุไฟ ยิ่งพลังยุทธ์ธาตุไฟนั้นบริสุทธิ์มากเพียงใด โอกาสที่จะปรุงกลั่นยาให้มีความบริสุทธิ์ระดับสูงก็มีมากเท่านั้น สองนอกจากจะมีธาตุไฟแล้วคนผู้นั้นต้องมีพลังธาตุน้ำแฝงอยู่ด้วย ธาตุไฟ คือ หยาง ส่วนธาตุน้ำ คือ หยิน คนที่จะสามารถปรุงกลั่นโอสถได้นั้นต้องมีหยินหยางที่สมดุลจึงจะสามารถปรุงกลั่นยาที่บริสุทธิ์ออกมาได้ โดยปกติแล้วผู้คนถือกำเนิดมาพร้อมพลังธาตุ เมื่อพลังธาตุถือกำเนิดขึ้น ย่อมมีเพียงหนึ่ง น้อยคนนักที่จะถือครองพลังธาตุถึงสองอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี อย่างน้อยก็มีในตระกูลแพทย์โอสถที่พยายามสืบทอดการถือครองพลังธาตุสองชนิดแบบรุ่นต่อรุ่น ถึงแม้จะมีไม่มากนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ในผู้คนบนโลกนี้หนึ่งล้านคนอาจจะมีแพทย์โอสถถือกำเนิดขึ้นสักคนหนึ่ง

เมื่อมีคุณสมบัติที่จะเป็นแพทย์โอสถได้แล้ว ยังต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้รู้จักควบคุมธาตุไฟและธาตุน้ำให้เหมาะสมสมดุลกับการปรุงกลั่นยาแต่ละชนิด ความเหมาะสมสมดุลที่ว่านี้หากยิ่งสามารถควบคุมได้ดีโอกาสปรุงกลั่นยาได้สำเร็จก็จะมีมาก อีกทั้งทำให้ยาที่ปรุงกลั่นขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพเป็นยาที่มีความบริสุทธิ์ระดับสูงอีกด้วย ความบริสุทธิ์ของยานั้นแบ่งเป็นระดับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับสิบ ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าใดหมายความว่ายิ่งเกิดผลข้างเคียงต่อผู้ใช้น้อยเท่านั้น

ด้วยเหตุที่แพทย์โอสถมีคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้จึงหาได้ยาก ทำให้สามารถปรุงกลั่นยาออกมาได้จำนวนไม่มากนัก ส่งผลให้ยาวิเศษทั้งหลายกลายเป็นของหายาก มีราคาแพงลิบลิ่ว ยิ่งมีความบริสุทธิ์มากเท่าใดก็ยิ่งมีมูลค่ามากเท่านั้น

แพทย์โอสถส่วนใหญ่จะเป็นอิสระไม่สังกัดตระกูลใด จึงได้รับการยกย่องและมีสิทธิพิเศษมากมาย นอกจากนั้นยังมีการจัดตั้งสำนักแพทย์โอสถหลวง เพื่อเป็นแหล่งรวมตัวของแพทย์โอสถทั้งหลาย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่จะฝึกฝนและรับรองระดับชั้นของแพทย์โอสถทั้งแผ่นดิน มีการจัดตั้งสำนักงานใหญ่อยู่บนดินแดนเทวะอัคคีซึ่งอยู่ติดกับดินแดนหมื่นอสูร ซึ่งจัดเป็นแหล่งวัตถุดิบอย่างดีสำหรับการปรุงกลั่นยาวิเศษ สำหรับสำนักแพทย์โอสถหลวงถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ บนแผ่นดินนี้ด้วยเช่นกัน สำนักแพทย์โอสถหลวงนั้นเป็นปรมาจารย์สามท่านร่วมมือกันก่อตั้งสำนักขึ้นมา ท่านแรกได้รับขนานนามนามเป็นเทพโอสถ มีนามว่าอวิ้นหยาง ท่านที่สองได้รับขนานนามเป็นเซียนโอสถ มีนามว่า หมิงเซียน และท่านที่สามเป็นปรมาจารย์หญิงผู้ได้รับขนานนามเป็นจ้าวโอสถ มีนามว่า ไป่ลี่ถิง
   

---------------------------------------------------------------------


“ผู้อาวุโส!!! ท่านคือเทพโอสถ ผู้อาวุโสอวิ้นหยางอย่างนั้นหรือ” จ้าวเฟยหลงละล่ำละลักเอ่ยถาม พลางหันหน้าไปมองจินอวี่ราวกับว่าจะให้เขาช่วยยืนยัน เห็นจินอวี่คลี่ยิ้มพยักหน้ารับคล้ายกับจะบ่งบอกเป็นนัยว่า ถูกต้องแล้วเฟยหลง ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือเทพโอสถอวิ้นหยาง ปรมาจารย์แห่งสำนักแพทย์โอสถหลวงไม่แปลกปลอม

“โอ ผู้อาวุโส นับเป็นวาสนาที่ได้พบท่าน ได้โปรดช่วยตรวจดูอาการให้ข้าด้วย”

จ้าวเฟยหลงคุกเข่าคำนับ พลางร้องขอให้อวิ้นหยางช่วยเหลือ สองตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ประตูแห่งความหวังที่จะได้ฝึกฝนพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งของจ้าวเฟยหลงถูกปิดลงเมื่อห้าปีก่อน เหล่าแพทย์ทั้งดินแดนฟ้าไพศาลต่างหมดสิ้นหนทางที่จะรักษาเขา ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเพียงปรมาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักแพทย์โอสถหลวงเท่านั้นที่อาจจะช่วยเหลือเขาได้ แม้ระยะทางระหว่างดินแดนฟ้าไพศาลกับดินแดนเทวะอัคคีจะห่างไกลกันเพียงใด แต่จ้าวเจิ้งไฉผู้เป็นบิดาของจ้าวเฟยหลงก็ไม่ยอมแพ้ ส่งผู้คนดั้นด้นเดินทางไปเยือนสำนักแพทย์โอสถหลวงเพื่อเชื้อเชิญปรมาจารย์ทั้งสามให้มาช่วยรักษาบุตรชาย หากก็ต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากปรมาจารย์ทั้งสามต่างก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไม่ได้พำนักอยู่ที่สำนัก นับแต่นั้นจ้าวเฟยหลงก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถกลับมาฝึกฝนพลังยุทธ์ได้อีก หากแต่วันนี้เขากับพบเจอกับหนึ่งในปรมาจารย์สำนักแพทย์โอสถหลวงจะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร ประตูแห่งความหวังที่ถูกปิดลงไป กลับมีโอกาสจะถูกเปิดออกได้อีกครั้ง จะไม่ให้จ้าวเฟยหลงตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร

“ฮ่าๆ เด็กน้อยเจ้าลุกขึ้นก่อน เข้ามาให้ข้าตรวจอาการเจ้าก่อน” อวิ้นหยางเอ่ยปากเรียกจ้าวเฟยหลงเข้าไปหา ยกมือขวาแตะลงตรงหน้าผากพลางปล่อยพลังยุทธ์ออกสำรวจสภาพร่างกายของเขาอย่างละเอียด เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเห็นคิ้วของอวิ้นหยางขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสงสัย จากนั้นไม่นานสีหน้ากลับกลายเป็นแตกตื่นยินดี

“ฮ่าๆๆ เด็กน้อยเจ้าช่างโชคดีนัก” พลันนั้นอวิ้นหยางยกมือออก พลางหัวร่อออกมาด้วยความยินดี จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ที่ยื่นอยู่จับจ้องมองอวิ้นหยางอย่างนึกสงสัย

“พวกเจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนั้น ที่ข้าบอกว่าเด็กน้อยเจ้ามีวาสนานั้นเป็นเรื่องจริง”

 “เช่นนั้นหรืออาจารย์ แล้วอาการของเฟยหลงเป็นเช่นไร ขออาจารย์โปรดบอก” จินอวี่คลี่ยิ้มพลางเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์

“เด็กน้อยเฟยหลงเจ้าอยากฝึกพลังยุทธ์หรือไม่” อวิ้นหยางเอ่ยถามจ้าวเฟยหลง

“ข้าฝึกพลังยุทธ์ได้หรือผู้อาวุโส” จ้าวเฟยหลงละล่ำละลักถาม สองตาเต็มไปด้วยประกายด้วยความคาดหวัง

“ฮ่าๆๆ ได้สิ แถมยังจะก้าวหน้ารวดเร็วกว่าศิษย์ไม่เอาไหนแถวนี้อีกด้วย”

“อาจารย์!!!”

“ฮ่าๆๆ หรือว่าไม่จริง เจ้าฝึกฝนพลังยุทธ์กับข้ามาเกือบสิบปีแล้วยังบรรลุถึงแค่ระดับจอมยุทธ์ขั้นสูง ไม่อาจผ่านเข้าสู่ระดับยอดยุทธ์ได้สักที” อันที่จริงด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีอย่างจินอวี่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์จนถึงขั้นจอมยุทธ์ได้นั้นนับว่าเยี่ยมยอดแล้ว ผู้คนทั่วไปใช้วิชาสิบปีฝึกฝนอาจจะผ่านได้เพียงหนึ่งขั้น อายุสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้เพียงแค่ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว มีเพียงอัจฉริยะในสำนักและตระกูลใหญ่ที่ได้รับการเสริมพลังจากโอสถวิเศษและพลังธาตุสัตว์อสูรเท่านั้น ที่จะสามารถบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ได้

“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว!!!”

“ฮ่าๆ ว่าอย่างไรเฟยหลง เจ้าต้องการฝึกฝนพลังยุทธ์กับข้าหรือไม่”

“อยากฝึก!!! ข้าอยากฝึกฝนพลังยุทธ์!!!” จ้าวเฟยหลงละล่ำละลักพูด

“เฟยหลง คุกเข่าลงคำนับอาจารย์สิ” จินอวี่สะกิดบอก เมื่อตั้งสติได้จ้าวเฟยหลงรีบคุกเข่าโขกศีรษะคำนับอาจารย์เก้าครั้งอย่างไม่ลังเลรีรอใดๆ

“ศิษย์จ้าวเฟยหลง คำนับอาจารย์”

“ฮ่าๆๆ ดี!!! ดีมาก วันนี้ข้าอวิ้นหยางรับศิษย์คนที่สาม ช่างน่ายินดียิ่งนัก”

“ศิษย์ยินดีกับอาจารย์ด้วย ยินดีต้อนรับเจ้าด้วยศิษย์น้องเฟยหลง” จินอวี่เอ่ยแสดงความยินดีกับผู้เป็นอาจารย์ พลางโอบกอบจ้าวเฟยหลงด้วยความดีใจที่จะได้มีศิษย์น้อง ไม่ต้องฝึกฝนพลังยุทธ์ด้วยความหงอยเหงาเพียงลำพังเช่นที่ผ่านมา

“เฟยหลง จากที่ข้าสำรวจดูภายในร่างกายของเจ้า เหตุที่เจ้าไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้นั้นไม่ใช่เพราะพลังธาตุในร่างกายสับสน หากแต่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักวิธีการฝึกฝน เรื่องที่น่ายินดีที่สุดคือร่างกายของเจ้ามีเส้นลมปราณพิเศษที่เรียกว่า เส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทอง”

“เส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทอง!!!” จ้าวเฟยหลงและจินอวี่อุทานขึ้นพร้อมกัน พลางหันไปมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้นสงสัย

“ถูกต้อง! เส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทองที่ในรอบหลายร้อยปีจะเกิดมีขึ้นสักคนหนึ่ง นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ คนเราปกติจะมีเส้นชีพจรที่รองรับพลังธาตุได้เพียงธาตุเดียวเท่านั้น ที่พิเศษหน่อยก็มีเพียงกลุ่มแพทย์โอสถที่มีพลังธาตุสองชนิดซึ่งก็นับว่าหาได้ยากแล้ว แต่ผู้ที่มีถึงสี่พลังธาตุนั้นมีเพียงเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่พึงมี เจ้าว่าเจ้าโชคดีหรือไม่”

“อา…” จ้าวเฟยหลงอ้าปากค้างไปแล้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ฮ่าๆๆ แต่ข้ากลับโชคดีกว่าที่ได้เจ้ามาเป็นศิษย์ ศิษย์ของข้าถึงกับมีเส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทอง ศิษย์ของข้าจะต้องยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดบนผืนปฐพี ฮ่าๆๆ”

 “เฟยหลง ในร่างกายของเจ้ามีพลังปราณที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย คงเป็นพลังปราณที่ได้จากการฝึกวรยุทธ์แล้ว หากข้าดูไม่ผิดพลังปราณของเจ้าถึงกับแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับยอดยุทธ์ขั้นกลางทีเดียว นับว่าเป็นเรื่องดีพลังลมปราณของเจ้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก อีกทั้งเป็นพลังปราณจากธรรมชาติมีส่วนช่วยเสริมพลังธาตุในร่างกายของเจ้าอีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เจ้าจะพบความสำเร็จในการฝึกฝนพลังยุทธ์ แต่ก่อนที่เจ้าจะสามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้นั้น ข้าจะต้องช่วยปรับสมดุลพลังธาตุในร่างกายของเจ้าก่อน ไปเถอะ กลับหอพยัคฆ์อัคคีกัน ข้าจะรีบหาวิธีการปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุให้เจ้าเอง”

อวิ้นหยางอดที่จะตื่นเต้นยินดีไม่ได้ แม้การปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเทพโอสถไปได้ หากแต่การได้มีส่วนช่วยสนับสนุนผู้มีเส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทองให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด อวิ้นหยางไม่อยากจะคาดเดาว่าในวันข้างหน้าจ้าวเฟยหลงผู้นี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด จ้าวเฟยหลงจะต้องนำพาหอพยัคฆ์อัคคีก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นผู้นำของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่แห่งผืนปฐพีอย่างแน่นอน

บนผืนปฐพีนี้มีกลุ่มอิทธิพลที่ได้รับการจัดให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงสิบกลุ่มเท่านั้น สี่อันดับแรกเป็นกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแข็งแกร่งที่สุดในด้านพลังยุทธ์ได้แก่ พรรคเทพวายุ ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุด หอพยัคฆ์อัคคี ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด วังบุบผาเหมันต์ ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุน้ำที่แข็งแกร่งที่สุด และหมู่ตึกดินแดนบูรพา ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุดินที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งสี่สำนักนั้นต่างมีความแข็งแกร่งสูสีทัดเทียมกันไม่สามารถจัดอันดับได้อย่างชัดเจน และด้วยที่ตั้งของแต่ละสำนักอยู่ห่างไกลกัน จึงไม่ค่อยมีโอกาสเกิดการปะทะกันมากนัก จึงยากที่ตัดสินได้ว่าสำนักใดแข็งแกร่งที่สุด

จินอวี่เรียกเจ้าเหยี่ยวอิงเทียนมารับทั้งสามไปยังหอพยัคฆ์อัคคีบนยอดเขาเทียมเมฆา ที่ปลายฟ้าไกลลิบเห็นเพียงเงาสีดำโบยบินมุ่งหน้าไป…แม้จะมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง แต่สำหรับจ้าวเฟยหลงแล้วมันก็ไม่ได้มืดมิดเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว

พลันบริเวณนั้นก็ปรากฏเงาร่างของจ้าวยุทธ์ขึ้นสองร่างเป็นหานเฟิงกับหานลู่ที่ติดตามจ้าวเฟยหลงมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง พวกเขาซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากพวกอวิ้นหยางนัก แม้จะรู้ว่าไม่อาจซุกซ่อนตัวจากสัมผัสของผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเช่นอวิ้นหยาง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมจากไป จึงได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เห็นดวงตาของทั้งคู่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ เป็นความปลาบปลื้มปีติยินดีที่นายน้อยของพวกเขามีวาสนาได้พบพานเทพโอสถอย่างไม่คาดคิด ครั้งนั้นที่เดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถหลวงก็เป็นพวกเขาเอง พวกเขารับรู้ได้ถึงผิดหวังเสียใจที่นายน้อยได้รับมากกว่าผู้ใด เมื่อนายน้อยของพวกเขาจะได้กลับมาฝึกพลังยุทธ์ได้อีกครั้ง จะไม่ให้พวกเขายินดีได้อย่างไร เห็นทั้งคู่เหินร่างไปยังทิศที่ยอดเขาเทียมเมฆาตั้งอยู่ ร่างนั้นลอยละลิ่วแผ่วพลิ้วพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว

---------------------------------------------------------------------------

เอามาส่งอีกตอนจ้า เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน๊าาาาาา

จะบอกว่าลงไม่ค่อยเป็น ใครรู้รบกวนแนะนำด้วยนะ

ถ้าจะล่งรูป image ตัวละครเอาไว้ที่หัวกระทู้ต้องทำยังไงเอ่ย????

อีกอย่างทำไมกระทู้ของเรามันถึงไม่เหมือนคนอื่น คือ มันไม่ขึ้น New อะ

เป็นเพราะเหตุใด??? งงงวย????

ใครก็ได้ช่วยหน่อยน๊าาาาา
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-04-2016 18:09:20
ศิษย์พี่จินอวี่น่ารักดี ดูเป็นเด็กหนุ่มที่ป่วง ๆ (ชอบตอนจับปลาด้วย อ่านแล้วภาพมา ขำเลย)
จ้าวเฟยหลงก็น่ารักดี
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-04-2016 18:10:51
เฟยหลงสู้ๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 26-04-2016 19:48:26
 :mc4: :mc4: :mc4: ฉลอง ๆ เย้ ๆ ๆ สนุกมาก  รอตอนต่อไปครับ :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-04-2016 20:47:34
รอตอนต่อไป :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-04-2016 23:44:16
ตามน้าาาา. สู้ๆค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 27-04-2016 02:06:31
สนุกกกก ชอบ เอาอีกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 27-04-2016 03:29:17
ติดตาม
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 28-04-2016 19:23:01
บทที่ 4   ยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูง

หลังจากที่จ้าวเฟยหลงกราบกรานอวิ้นหยางเป็นอาจารย์ก็ได้ขึ้นมาอาศัยอยู่บนหอพยัคฆ์อัคคี ในระหว่างที่รออวิ้นหยางรวบรวบสรรพวัตถุต่างๆ เพื่อปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุ จ้าวเฟยหลงก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เขาเข้าไปศึกษาตำราวรยุทธ์โบราณในหอตำราของหอพยัคฆ์อัคคีทันที ทำให้ตอนนี้จ้าวเฟยหลงสำเร็จวรยุทธ์อีกหลายแขนง อันได้แก่ เจ็ดสิบสองเพลงกระบี่ปราบมาร อันได้ชื่อว่าเป็นเพลงกระบี่ที่รวดเร็วที่สุด มีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองกระบวนท่า แต่ละกระบวนท่าแฝงความเปลี่ยนแปลงอีกนับสิบประการ เพลงกระบี่ปราบมารนี้ท้ายตำราบันทึกเรื่องราวไว้ว่าแรกเริ่มได้ดัดแปลงมาจากคัมภีร์ทานตะวันแต่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีอุปสรรคต่อการฝึกฝน จนผู้ฝึกจำต้องตอนตัวเองก่อนจึงจะฝึกสำเร็จได้ เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านการแก้ไขดัดแปลงจากยอดฝีมือมาหลายยุคหลายสมัย จนกลายเป็นเพลงกระบี่ปราบมารฉบับสมบูรณ์ในที่สุด ดรรชนีกระบี่เทพเป็นเพลงดรรชนีที่ดัดแปลงมาจากเพลงกระบี่อันเกรี้ยวกราดของยอดยุทธ์โบราณท่านหนึ่ง ที่มีความสำเร็จในเชิงกระบี่จนถึงขั้นไร้กระบี่เหนือมีกระบี่ แม้ในมือปราศจากกระบี่แต่ก็สามารถใช้สำนึกกระบี่ออกผ่านดรรชนีได้วิชาเข็มวายุพร่างพราววิชาอาวุธลับของสกุลถังที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาอาวุธลับที่รวดเร็วที่สุด รุนแรงที่สุด ผู้สำเร็จวิชานี้สามารถซัดอาวุธลับนับร้อยนับพันออกพร้อมกันดุจดั่งพายุฝนสาดต้องร่าง จึงยากที่หลบรอดจากการจู่โจมได้ นอกจากนั้นจ้าวเฟยหลงยังศึกษาตำราแพทย์โบราณ อันได้แก่ตำราสมุนไพรโบราณ ตำราการฝังเข็ม ตำราการสกัดจุดรักษาโรค และตำราการรักษาที่แปลกพิสดารอีกหลายเล่ม

อวิ้นหยางใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนเพื่อรวบรวบสรรพวัตถุต่างๆ เพื่อปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุ เนื่องจากวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงกลั่นยานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของหายากราคาแพงลิบลิ่ว หากแต่อวิ้นหยางก็ไม่เสียดายอาศัยเครือข่ายของหอพยัคฆ์อัคคีเสาะหาวัตถุดิบเหล่านั้นมาจนได้

ยาปรับสมดุลพลังธาตุที่อวิ้นหยางจะปรุงกลั่นขึ้นนั้น หาใช่ยาปรับสมดุลพลังธาตุที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ทั่วไปใช้กันเมื่อตอนพลังธาตุในร่างกายติดขัดจากการฝืนใช้พลังธาตุไม่ หากแต่เป็นเป็นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงที่ใช้เพื่อผสานรวมธาตุทั้งสี่ในร่างกายของจ้าวเฟยหลงให้สมดุล จึงต้องใช้วัตถุดิบที่แตกต่างและล้วนแล้วแต่หายาก แต่คนของหอพยัคฆ์อัคคีกลับเสาะพบวัตถุดิบเหล่านั้นอย่างง่ายดาย เหมือนกับว่ามีคนจัดเตรียมไว้แล้วเสียอย่างนั้น แม้จะแปลกใจ แต่ไม่ใช่สิ่งที่คนของหอพยัคฆ์อัคคีจะต้องใส่ใจ พวกเขาทำเพียงแค่รับมอบและรวบรวมวัตถุดิบจนครบถ้วนสำเร็จภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน

วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงที่สะท้านสะเทือนวงการแพทย์โอสถในครั้งนี้ประกอบไปด้วยหญ้าผลึกน้ำแข็งม่วงหญ้าสมุนไพรล้ำค่าหายากซึ่งมีอยู่บนยอดเขาน้ำแข็งหยกอำไพ บนดินแดนมายาจันทราเท่านั้นดอกบัวเพลิงโลกันตร์ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำหอพยัคฆ์อัคคี ถือเป็นแหล่งรวมพลังธาตุไฟอันบริสุทธิ์ ใช้สำหรับให้เหล่าศิษย์ระดับสูงของหอพยัคฆ์อัคคีดูดซับเพื่อฝึกพลังยุทธ์ ดอกบัวเพลิงโลกันตร์เกิดขึ้นที่สระเพลิงโลกันตร์ศักดิ์สิทธิ์บริเวณใต้ปล่องภูเขาไฟ บนดินแดนเทวะอัคคีเท่านั้นผลึกธาตุของสัตว์อสูรวิญญาณธาตุลมสัตว์อสูรวิญญาณจัดเป็นเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิ อาศัยอยู่ในป่าหมื่นอสูร บนดินแดนหมื่นอสูรอันไกลโพ้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบเจอ และเมื่อได้พบเจอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถสยบมันเพื่อแย่งชิงผนึกธาตุได้ และยิ่งเป็นสัตว์อสูรวิญญาณธาตุลมที่เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจดั่งสายลมแล้วยิ่งยากเย็นเข้าไปใหญ่ หยดน้ำค้างธารสวรรค์ธารสวรรค์คือธารน้ำที่เกิดจากตาน้ำที่ผุดขึ้นบนยอดเขาหิมาลัย บนดินแดนทิวเมฆา ที่ค่อยๆ ไหลหลั่งลงมารวมกับสายน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะรวมกันกลายเป็นมหานทีอันกว้างใหญ่ หากแต่หยดน้ำค้างธารสวรรค์ คือ ผนึกแร่ที่เกิดจากการสั่งสมมานับพันนับหมื่นปีบริเวณตาน้ำนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพบ และวัตถุดิบส่วนสุดท้ายเป็น ผลมังกรนิลกาฬต้นมังกรนิลกาฬเป็นต้นไม้ประหลาดที่ขึ้นในบริเวณที่ทับถมด้วยน้ำมันดิบใต้ดินลึก มันหยั่งรากลึกลงไปดูดซับเอาพลังอันหนาแน่นจากผืนปฐพีเหล่านั้นไว้หล่อเลี้ยงตนเองจบเติบใหญ่ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีมันจะผลิดอกออกผลสักครั้งหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นมีลักษณะกลมสีดำเกลี้ยง ถือเป็นวัตถุที่เต็มไปด้วยผลึกธาตุดินอันบริสุทธิ์ทั้งห้าอย่างนี้นับว่ามีค่าควรเมือง แม้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่ว อย่าว่าแต่มีครบทั้งห้าอย่าง เมื่อปรุงกลั่นแล้วเสร็จนับเป็นยาวิเศษที่สะท้านสะเทือนทั่วทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริง

เมื่อได้วัตถุดิบครบถ้วนเทพโอสถอวิ้นหยาง ก็ได้ออกไปเชื้อเชิญปรมาจารย์อีกสองท่านของสำนักแพทย์โอสถหลวงด้วยตนเองให้มาช่วยเหลือในการปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงในครั้งนี้


ณ ห้องปรุงกลั่นยาริมผาชมจันทร์ บนเขาเทียมเมฆา กึ่งกลางห้องจัดวางไว้ด้วยเตาหลอมยาขนาดใหญ่สีทองแวววาวจับตา ประดับด้วยลวดลายมังกรสองตัวโอบล้อมตัวเตาไว้ ส่วนบนของเตาเห็นมังกรทองทั้งสองตัวกางกงเล็บตะปบลงบนฝาปิดของเตาหลอม ปากมังกรอ้าออกกว้างเผชิญหน้ากันอยู่ดูน่าเกรงขาม ข้างเตาหลอมด้านหนึ่งนั่งไว้ด้วยเทพโอสถอวิ้นหยาง ทางด้านซ้ายของเทพโอสถเป็นสตรีผมขาวโพลน หากแต่ใบหน้ากลับยังดูเต่งตึงดุจคนวัยกลางคน คนผู้นี้คือจ้าวโอสถไป่ลี่ถิง ด้านขวาของเทพโอสถเป็นบุรุษชราผมขาวคิ้วขาว มองดูคล้ายเทพเซียนสมกับฉายาเซียนโอสถยิ่ง เขาคือเซียนโอสถหมิงเซียนนั่นเอง เห็นปรมาจารย์ทั้งสามยกสองมือปลดปล่อยพลังอัคคีอันร้อนแรงออกจากฝ่ามือ เปลวเพลิงจากพลังยุทธ์อันบริสุทธ์ส่องแสงเป็นประกายสีแดงเพลิงสาดแสงสวยงาม ชั่วพริบตาทั่วบริเวณห้องปรุงยานั้นก็ครุกรุ่นด้วยไอความร้อนจากเปลวเพลิง อุณหภูมิทั่วทั้งห้องพุ่งสูงขึ้นทันที

ความต่างชั้นในการปรุงกลั่นยาของแพทย์โอสถนั้น หากเป็นแพทย์โอสถทั่วไปจะใช้วิธีการจุดไฟที่เตาหลอมโอสถแล้วใช้พลังยุทธ์โอบหุ้มเตาควบคุมความร้อนแรงสูงต่ำของเปลวไฟในเตาให้เหมาะสม แต่หากเป็นแพทย์โอสถที่มีพลังยุทธ์ระดับสูงแล้วจะสามารถใช้เปลวเพลิงจากพลังยุทธ์ของตนหลอมเตาเพื่อปรุงกลั่นยาได้โดยตรงซึ่งทำให้สามารถควบคุมความร้อนของเปลวเพลิงได้ง่ายกว่าเปลวเพลิงธรรมชาติมากนัก อีกทั้งเปลวเพลิงนั้นยังมีความบริสุทธิ์กว่า จึงทำให้ตัวยาที่ปรุงกลั่นออกมามีความบริสุทธิ์สูงกว่าวิธีการหลอมโดยใช้เปลวเพลิงธรรมชาติอย่างเทียบไม่ติด

ณ ห้องปรุงกลั่นโอสถนั้นเห็นอวิ้นหยางพลิกฝ่ามืออย่างฉับพลัน สองมือเคลื่อนไหวเร็วรี่ พลังเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาเปลวเพลิงนั้นพลันพุ่งวนรอบเตาหลอมโอสถนั้นดุจพยัคฆ์อัคคีตัวน้อย ตะปบเกี่ยวร้อยรัดเตาหลอมไว้ ผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดดอก อวิ้นหยางพลันดึงพลังกลับ เคลื่อนไหวท่าร่างหมุนวนไปสลับตำแหน่งให้เซียนโอสถหมิงเซียนเข้าแทนที่ เห็นหมิงเซียนตวัดมือไขว้กันไว้ระหว่างอกผนึกพลังซัดพุ่งออกไป พลังเปลวเพลิงนั้นพลันพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือเตาหลอมหมุนคว้างอยู่อย่างนั้นรอบแล้วรอบเล่า ผ่านไปครู่หนึ่งพลังนั้นพลันผนึกรวมตัวกันปรากฏเป็นรูปร่างคลับคล้ายว่าจะเป็นหงส์เพลิงสยายปีกตัวหนึ่ง เห็นมันพุ่งกระโจนเข้าหาเตาหลอมยานั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่พุ่งชนเตาหลอมสะเก็ดความร้อนจะกระจายแผ่ทั่วทั้งห้องทำให้อุณหภูมิภายในห้องพุ่งสูงขึ้นทวีคูณขึ้นไปอีก ผ่านไปสักพักใหญ่เห็นพวกเขาเคลื่อนไหวสลับตำแหน่งกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นจ้าวโอสถไปลี่ถิงปลดปล่อยพลังเปลวเพลิงออกกลับปรากฏรูปลักษณ์คล้ายดั่งดอกโบตั๋นเพลิงสีแดงฉานเบ่งบานขึ้นที่ใต้เตาหลอมยานั้นดอกแล้วดอกเล่า ปรากฏเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงห้อมล้อมสุมเตาเอาไว้ประดุจบุบผาผลิบานต่อเนื่องยาวนาน ไม่หยุดหย่อนดูงดงามตระการตายิ่งนัก

ปรมาจารย์ทั้งสามผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้พลังยุทธ์หลอมเตาปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน จึงปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงได้สำเร็จออกมาทั้งหมดห้าสิบเก้าหยด อวิ้นหยางมอบให้จ้าวโอสถและเซียนโอสถเป็นค่าตอบแทนที่มาช่วยปรุงกลั่นยาคนละสามหยด ตัวเทพโอสถเก็บไว้สี่หยด ที่เหลือสี่สิบเก้าหยดนั้นสำหรับให้จ้าวเฟยหลงใช้ในการปรับสมดุลพลังธาตุของจ้าวเฟยหลงนั้นจะต้องนั่งแช่ในน้ำเพื่อดูดซับพลังจากยาปรับสมดุลพลังธาตุเดือนละหนึ่งครั้งในคืนพระจันทร์เต็มดวงเพื่ออาศัยพลังจากแสงจันทราช่วยปรับสมดุลและลดความร้อนแรงของพลังจากตัวยาอีกทางหนึ่ง จึงต้องใช้เวลาเกือบห้าปีเลยทีเดียว


--------------------------------------------------------------------------------



ภายในห้องพักห้องหนึ่งที่ส่วนหลังของหอพยัคฆ์อัคคี บนเขาเทียมเมฆา เป็นห้องพักที่ส่วนของหลังคาเปิดโล่ง มองเห็นแสงจันทราสาดส่องตกต้องลงมายังกลางห้องพอดิบพอดี ที่กลางห้องนั้นมีถังไม้ใบใหญ่ตั้งอยู่ ภายในมีเด็กหนุ่มร่างเปล่าเปลือยผู้หนึ่งนั่งหลับตาพริ้มอยู่อย่างสงบ มองเห็นเพียงลาดไหล่เปล่าเปลือยขาวนวลเนียนดุจหยกเนื้อดีโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบถัง รอบกายนั้นปรากฏแสงสีเหลืองทองระเรื่อทอแสงนวลงามเป็นประกาย ลอยละล่องวนรอบร่างเด็กหนุ่มอย่างช้าๆ รอบแล้วรอบเล่า แต่ละรอบที่หมุนไปสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างหนาแน่น ยิ่งพลังเพิ่มขึ้นความเร็วในการหมุนก็เพิ่มขึ้นตามไป เพียงไม่นานปรากฏคลื่นพลังอันแกร่งกล้าหมุนวนรอบตัวเด็กหนุ่มนั้นดุจดั่งพายุหมุนกลางท้องทะเลอันบ้าคลั่ง

พลันเด็กหนุ่มผู้นั้นก็ลืมตาขึ้น ประกายตาเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าวูบหนึ่ง ยกสองมือขึ้นด้วยท่วงท่าประหลาด เงยหน้าจับจ้องมองจันทราดวงโต พลังที่เคลื่อนไหวอยู่รอบกายพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงบิดเป็นเกลียวเล็กๆ พุ่งเข้าสู่จมูกผ่านลมหายใจของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายได้รับพลังจากประกายสีทองแปลกตานั้น ผิวพรรณของเด็กหนุ่มก็ดูสดใสขึ้น ร่างกายปรากฏประกายแสงสีทองเรื่อเรือง ภายในร่างกายบรรจุด้วยพลังเต็มเปี่ยม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม เห็นเขาหลับตานิ่งลงอีกครั้ง สองมือประสานอยู่ที่ตักดูดซับพลังจากแสงสีทองด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น ภายใต้การดูดซับอย่างต่อเนื่อง เมื่อประกายสีทองเริ่มจางหายหมดไป เป็นช่วงที่จันทราดวงนั้นลอยเด่นอยู่กลางศีรษะของเด็กหนุ่มพอดี พลังแสงสีเหลืองนวลจากจันทราดวงโตพลันห้อมล้อมเข้าแทนที่ประกายแสงสีทอง เห็นกลุ่มก้อนสีเหลืองทองนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งครอบคลุมร่างเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มราวถูกห่อหุ้มด้วยหมอกหนาผืนหนึ่ง

เวลาค่อยๆ ผ่านไปจนกระทั่งจันทราเคลื่อนคล้อยจากตำแหน่งเดิมไปมากโข พลังแสงสีเหลืองนวลนั้นก็อ่อนโทรมลง เด็กหนุ่มจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ลืมตาลุกขึ้นยืน ปล่อยให้หยดน้ำไหลรินละผิวกายลงไป ได้ยินเสียงพึมพำด้วยความยินดีแผ่วเบาจากร่างนั้น


“ในที่สุดข้าก็ปรับสมดุลพลังธาตุสำเร็จแล้ว ในที่สุดก็ทำสำเร็จ…”

:katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 28-04-2016 19:55:07
ติดตามๆ น่าหนุกดี :D
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-04-2016 20:06:18
จะได้ออกท่องยุทธภพแล้วซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 28-04-2016 21:03:23
 :mc4: หายแล้ว

ต้องเป็นพวกท่านพ่อแน่ๆที่ช่วยหาวัตถุดิบ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 28-04-2016 22:16:16
เฟยหลงน่ารักกกกกกก เราชอบเรื่องนี้มาก มาต่อไวๆเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 28-04-2016 22:22:38
แอร๊ยยยย เก่งเวอร์  :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 29-04-2016 00:29:04
กดติดตามรัวๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 29-04-2016 07:13:32
เนื้อเรื่องน่าติดตาม
แต่อยากบอกว่าตัวหนังสือติดกันเกินไป
อ่านแล้วลายตา :try2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 29-04-2016 08:01:43
 :interest: :interest: :interest: ว้าวววววววววววว  เลื่อนขั้นแล้ว  :music: :music: :music:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 4 (28/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 29-04-2016 09:30:41
เฟยหลงโครตเก่ง
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 3 (26/ 4 /59)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-04-2016 01:08:59
อ่อยยย!! ชอบๆ ต้องตาม
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 30-04-2016 15:26:42
บทที่ 4   เมืองจันทร์กระจ่าง

          แรกเริ่มฤดูใบไม้ผลิในเมืองจันทร์กระจ่างทางตอนใต้ของดินแดนฟ้าไพศาล อากาศเริ่มอบอุ่น ต้นไม้ผลิใบเขียวสวยสดใสดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งดูงามตา ผู้คนสวมใส่ชุดใหม่สวยงามเดินสันจรตามถนนหนทางดูคึกคัก สองฟากข้างริมถนนเป็นแผงขายของประหลาดนานาชนิด หากแต่สินค้าที่วางขายบนแผงข้างทางเหล่านี้นับเป็นของชั้นต่ำด้อยคุณภาพ  หากท่านต้องการอยากจะได้ของชั้นสูงที่มีคุณภาพสมกับราคาแล้วละก็ท่านควรต้องเข้าไปเลือกสรรจากในร้านค้าซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่อีกด้านของเมือง โดยเฉพาะร้านค้าสาขาของสหพันธ์วาณิชมังกรทองภายในเมืองแห่งนี้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ที่สุดที่มีสินค้าทุกชนิดที่ท่านต้องการ

          ภายในร้านค้าสาขาของสหพันธ์วาณิชมังกรทอง บนชั้นวางสินค้าขนาดใหญ่เต็มไปด้วยสินค้ามากมายดูละลานตา มีทั้งศาสตราวุธพิสดาร ชุดเกราะเนื้อดีอัญมณีอันล้ำค่า สมุนไพรหายาก ยาเม็ดเพิ่มพลัง ผนึกธาตุสัตว์อสูรระดับสูง ชิ้นส่วนของสัตว์อสูร มีแม้กระทั่งตำรายุทธ์ขั้นต้น ที่นี่มีสินค้าครบครันอย่างแท้จริง แต่แน่นอนว่าราคาก็สูงด้วยเช่นกัน บางชิ้นแม้จะใช้เงินตราของบางครอบครัวที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตยังไม่อาจเป็นเจ้าของได้

          “ศิษย์พี่รองเราเข้าไปดูของในร้านนี้กันเถอะ”

          “ได้สิ ตามใจเจ้า”

          ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มวัยประมาณสิบห้าสิบหกปีในชุดสีเหลืองขลิบทอง ก็วิ่งเข้าไปในร้านด้วยความยินดี ส่วนบุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกเป็นศิษย์พี่ผู้นั้นได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินตามเข้าไป

          ทั้งสองคนนั้นคือจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ที่เดินทางผ่านมายังเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้เพื่อเดินทางต่อไปยังสำนักแพทย์โอสถหลวงบนดินแดนเทวะอัคคีนั่นเอง

          จ้าวเฟยหลงในวัยสิบห้าปีอยู่ในชุดสีเหลืองขลิบทอง ใบหน้าเรียวงาม ดวงตากลมโตสุกใส หากแต่เปล่งประกายสูงส่งเหนือคำบรรยาย จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้า ผิวพรรณขาวผ่องราวกับหยก ปากสีแดงระเรื่อเรียวบาง แย้มยิ้มเห็นฟันขาวเรียงรายเป็นระเบียบงามตา องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบรวมกันอยู่บนร่างนี้ มองดูงดงามราวกับองค์เทพเทวาจากสรวงสวรรค์

           ส่วนจินอวี่สวมใส่อาภรณ์สีเงินยวง สอดรับเข้ากับผมสีเทาหม่น ผิวกายขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้ากึ่งหล่อเหลากึ่งงดงาม ร่างกายสมส่วน ด้วยเติบใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มแน่นนับว่ามีเสน่ห์น่าหลงใหล กอปรกับมีรอยยิ้มประดับที่ริมฝีปากเรียวนั้นตลอดชวนให้น่ามองเป็นที่สุด

           “คุณชายทั้งสองมีสิ่งใดให้ร้านของรับใช้โปรดบอกมาได้ ร้านของเรามีสินค้าทุกสิ่งให้ท่านเลือกสรร” เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็มีพนักงานของร้านปรี่เข้ามาต้อนรับทันที หลังจากที่ชะงักเพราะตะลึงในรูปลักษณ์ที่งดงามของลูกค้าทั้งสองไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากพูดจาได้คล่องแคล่วสมกับเป็นมืออาชีพ

          “เราต้องการอาภรณ์เนื้อดีสำหรับผลัดเปลี่ยนในระหว่างเดินทางท่านพอจะแนะนำได้หรือไม่”

          “รบกวนคุณชายท่านรอสักครู่” เพียงไม่นานพนักงานของร้านก็นำเสื้อผ้าสีสันลวดลายงดงามมาให้ทั้งคู่เลือก แม้ราคาจะสูงไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับศิษย์เอกของหอพยัคฆ์อัคคีที่มีกิจการต่างๆ มากมายตั้งอยู่ทั่วทุกดินแดน

          ขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านไปจ้าวเฟยหลงพลันเหลือบสายตาเห็นวัตถุธาตุสัตว์อสูรรูปลักษณ์แปลกตาจัดวางอยู่บนแท่นวางที่มุมหนึ่งของร้าน จ้าวเฟยหลงไม่รอช้าเดินรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว

          “ข้าต้องการผลึกธาตุชิ้นนั้น!!!”

          “มอบผลึกธาตุชิ้นนั้นให้ข้า!!!”


          สองเสียงเปล่งออกมาพร้อมเพรียงกัน เสียงหนึ่งแน่นอนว่าเป็นจ้าวเฟยหลง อีกเสียงมาจากชายหนุ่มที่เดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม

          จ้าวเฟยหลงละสายตาจากผลึกธาตุเงยหน้าขึ้นมองเห็นที่เบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาเรียวสวย คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ร่างกายสมส่วนในชุดสีขาวขลิบเงินดูงามสง่ามีราศีดุจดั่งผู้สูงศักดิ์ ด้านหลังติดตามด้วยบุรุษวัยกลางคนสองคน คนหนึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนน่าเกรงขาม แผ่พลังกดดันจนผู้จ้องมองลมหายใจติดขัด อีกคนเป็นบุรุษรูปร่างผอมสูงในชุดเช่นบัณฑิตในมือถือพัดจีบลวดลายงามตา บุคลิกท่าทางถือว่าธรรมดาไม่โดดเด่น หากแต่จากพลังที่แผ่กระจายจากร่างนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง

          จากพลังยุทธ์ที่จ้าวเฟยหลงสัมผัสได้ทั้งสองคนนี้ถึงกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งถึงระดับราชันย์เลยทีเดียว นับว่าน่าแปลกที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงมาปรากฏตัวในเมืองเล็กๆ ติดชายแดนเช่นนี้ ชายหนุ่มเบื้องหน้าจะต้องมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จ้าวเฟยหลงคิด

          “โอ คุณชายทั้งสองท่าน โปรดให้อภัยด้วย ผลึกธาตุชิ้นนี้เป็นผลึกธาตุของกิเลนเพลิง สัตว์อสูรวิญญาณธาตุไฟชั้นสูง มีความแข็งแกร่งระดับมหาราชันย์ เหมาะสำหรับผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุไฟยิ่งนัก นับเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากและที่สำคัญร้านของเรามีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น” พนักงานของร้านรีบปรี่เข้ามาบรรยายสรรพคุณสินค้าทันที

           “ข้ามาก่อน!!!ท่านจะต้องขายมันให้ข้า” จ้าวเฟยหลงตวัดสายตามองพนักงานของร้าน พูดออกมาพลางเบ้ปากให้ฝ่ายตรงข้าม

          “หึหึ มันไม่สำคัญหรอกว่าใครมาก่อนหรือมาทีหลัง มันสำคัญที่ว่าเจ้ามีเงินเพียงพอที่จะซื้อมันหรือไม่ต่างหากเล่า” ชายหนุ่มเปล่งเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังออกมา พลางปรายตามองผ่านจ้าวเฟยหลงไปวูบหนึ่ง หากสังเกตให้ดีจะเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายวาว ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ชวนมอง

           “ทำไมข้าจะไม่มีเงินจ่าย ผลึกธาตุชิ้นนี้ท่านขายมันในราคาเท่าไหร่”กล้าดูถูกข้าจ้าวเฟยหลงอย่างนั้นรึ ผลึกธาตุชิ้นเดียวมีหรือข้าจะซื้อหาไม่ได้ หึ จ้าวเฟยหลงครุ่นคิดอย่างคับแค้น เบิกตาจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าแล้วหันไปถามพนักงานของร้าน แว่วเสียงหัวร่อน้อยๆ อย่างนึกขำท่าทางของเขาจากฝ่ายตรงข้ามชวนให้น่าโมโหยิ่งกว่าเดิม

          “เรียนคุณชายผลึกธาตุชิ้นนี้ราคาสองร้อยเหรียญทอง”

          “หา!!!สองร้อยเหรียญทอง ทำไมแพงถึงเพียงนั้น แล้วใครจะพกเงินมากมายขนาดนั้นเล่า” จ้าวเฟยหลงถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินพนักงานบอกราคา

           ระบบเงินตราบนดินแดนทั้งเจ็ดนั้นใช้ระบบเหรียญอยู่สามชนิดได้แก่เหรียญทองแดง เหรียญเงินและเหรียญทอง โดยเหรียญทองแดงหนึ่งพันเหรียญแลกเป็นเหรียญเงินได้หนึ่งเหรียญ เหรียญเงินหนึ่งพันเหรียญแลกเป็นเหรียญทองได้หนึ่งเหรียญและหากไม่ต้องการพกพาเหรียญทองจำนวนมากก็สามารถนำไปแลกเป็นบัตรแทนเงินได้จากร้านรับแลกเงินสังกัดสำนักธนวานิชต่างๆ ซึ่งก็มีการแบ่งรูปแบบของบัตร มีทั้งบัตรแบบทั่วไปจนถึงบัตรพิเศษสำหรับบุคคลชั้นสูง

          “ข้าขอซื้อผลึกธาตุกิเลนเพลิงชิ้นนี้” พูดจบชายหนุ่มผู้นั้นก็ยื่นบัตรสีทองสะดุดตาใบหนึ่งให้พนักงานที่ค้อมตัวรับบัตรไปอย่างนอบน้อม ดูจากบัตรสีทองที่ใช้นับว่าเป็นบัตรพิเศษสำหรับบุคคลชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย

          “จ…เจ้า!!!หึ ข้าไม่ต้องการมันแล้วก็ได้” จ้าวเฟยหลงถลึงตาจ้องมองฝ่ายตรงข้าม แล้วสะบัดหน้ากระทืบเท้าปึงปังเดินออกจากร้านไป โดยมีสายตาของชายหนุ่มมองตามไปจนลับสายตา


--------------------------------------------------------------------------------


           “โมโห โมโห ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ฮึย!!!” จ้าวเฟยหลงเดินฟึดฟัดออกจากร้านด้วยความความหงุดหงิด

          “เอาน่าเฟยหลง ช่างเถอะ ของราคาแพงเช่นนั้น ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเสียเงินซื้อสักนิด” จินอวี่ยิ้มพลางพูดปลอบอย่างนึกขำ

          “ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะศิษย์พี่รองนั่นเป็นผลึกธาตุอสูรวิญญาณธาตุไฟเชียวนะ หากได้มันมาจะช่วยให้ท่านผ่านเข้าสู่ระดับจ้าวยุทธ์ได้อย่างแน่นอน น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าน่าจะแอบหยิบบัตรแลกเงินของอาจารย์มาด้วย ไม่อย่างนั้นเราคงไม่พลาดโอกาสเช่นนี้แน่ หึ เจ็บใจที่สุดที่ แพ้เจ้านั่นเสียได้”

           “ฮ่าๆๆๆ ขืนเจ้าแอบหยิบบัตรของอาจารย์มาจริงๆ กลับไปมีหวังโดนทำโทษให้เฝ้าเตาปรุงกลั่นโอสถทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่ เอาเป็นว่าข้าจะหมั่นฝึกฝนกว่าเดิม เพื่อจะได้ก้าวสู่ระดับจ้าวยุทธ์โดยเร็ว เจ้าไม่ต้องไม่ห่วงหรอก อย่าได้หัวเสียไปหน่อยเลย เราไปเดินดูของทางโน้นกันดีกว่า” จินอวี่ลูบหัวปลอบศิษย์น้องที่ทำปากยื่นแก้มป่องอยู่ ด้วยความเอ็นดู

           “ฮ่าๆๆ ช่างโชคดียิ่งนัก วันนี้กลับได้มาพบเจอคนงามถึงสองคน นี่ต้องเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตเป็นแน่แล้ว” เสียงหัวร่อกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง จ้าวเฟยหลงคิ้วขมวดมุ่นอย่างนึกขัดใจ พลางหันขวับกลับไปด้านหลังเห็นเป็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ที่นำหน้าเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ติดแต่สีหน้าค่อนข้างซีดเซียวไปบ้าง ขอบตาดำคล้ำเล็กน้อยอย่างคนที่อดหลับอดนอนเป็นประจำ อยู่ในชุดหรูหราอย่างคุณชายตระกูลใหญ่ ด้านหลังมีผู้ติดตามเป็นบุรุษเกือบสิบคน เห็นชายผู้นั้นสาวเท้ามุ่งหน้าเข้ามาหาจ้าวเฟยหลงและจินอวี่อย่างรวดเร็ว

           “คนงามทั้งสองได้พบกันถือเป็นวาสนา พวกท่านจะให้เกียรติไปรับประทานอาหารที่เหลาชมจันทร์กับข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เปล่งออกจากปากบุรุษหนุ่มผู้นั้นดูสุภาพดุจดั่งบัณฑิตปัญญาชน หากแต่สายตาที่กวาดมองไปยังจ้าวเฟยหลงและจินอวี่คู่นั้นกลับดูจ้วงจาบ ละลาบละล้วง จนน่าสะอิดสะเอียน

            “ขอบคุณสำหรับน้ำใจไมตรีจากคุณชายท่าน แต่พวกเรามีเรื่องราวต้องรีบไปจัดการ ไม่อาจไปกับท่านได้ โปรดอภัยด้วย พวกเราขอตัวก่อน” ขณะที่จ้าวเฟยหลงจะเอ่ยปาก จินอวี่เห็นว่าไม่ควรก่อเรื่องราวให้เสียเวลารีบดึงตัวศิษย์น้องไว้ แล้วประสานมือกล่าววาจาแทน

            ขณะที่หันหลังกลับเพื่อเดินจากไป บุรุษหนุ่มผู้นั้นพลันส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามล้อมทั้งสองไว้ทันที

             “พวกท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” จินอวี่ขมวดคิ้วถาม

             “ฮ่าๆๆ ไม่มีอันใดๆ ขออย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่มีความจริงใจที่จะเชื้อเชิญคนงามทั้งสองไปให้ได้ก็เท่านั้น”

              “หึหึหึ หากพวกเราไม่ไปกับพวกเจ้าล่ะ?” จ้าวเฟยหลงแค่นเสียงถามขึ้น ในใจเริ่มเดือดดาล คำก็คนงาม สองคำก็คนงาม ข้าก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ไม่ชอบให้ใครมาเรียกเป็นคนงามหรอกนะ และอีกอย่างข้าไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ฮึ

              “ขอพวกท่านอย่าได้ปฏิเสธดีกว่า” บุรุษหนุ่มผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์กล่าววาจา

              สถานที่ที่จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ถูกห้อมล้อมไว้ แม้จะเป็นใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน หากแต่ก็มีเพียงคนหันมามองพวกเขาด้วยความสงสัยเท่านั้น เมื่อเหลือบเห็นบุรุษหนุ่มในชุดคุณชายที่เป็นผู้นำ ก็พากันเดินหลบเลี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดอาจหาญเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่คนเดียว

              “พวกเจ้าอย่าได้เล่นตัวไปหน่อยเลย ได้ร่วมรับประทานอาหารกับคุณชายของพวกเรานับเป็นวาสนานัก” สมุนคนหนึ่งพูด

            “ถูกต้อง!!!และหากพวกเจ้าทำให้คุณชายของพวกเราถูกใจ พวกเจ้าอาจจะได้สุขสบายไปชั่วชีวิตก็เป็นได้ฮ่าๆๆ”อีกคนสอดรับทันควัน

            “อย่าได้เสียมารยาท!!!” คุณชายผู้นั้นทำเป็นถลึงตาห้ามปรามผู้ติดตาม

             ขณะที่จ้าวเฟยหลงผลึกลมปราณเตรียมปลดปล่อยความหงุดหงิดที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อก้าวเท้าเข้าเมืองจันทร์กระจ่าง เสียงก้องกังวานเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านหลัง

              “ช่างคาดคิดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณชายจ้าวหย่งฉี มาเดินเล่นกลางถนนในเวลาเช่นนี้ หรือว่าท่านจะมาช่วยท่านเจ้าเมืองตรวจตราความเรียบร้อย โอ หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาท่านคงได้ปลาบปลื้มเป็นแน่แล้ว” พูดจบร่างนั้นก็แหวกฝ่าวงล้อมมายืนเคียงข้างจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่แล้ว ด้านหลังยังมีผู้ติดตามเป็นบุรุษวัยกลางคนในชุดสีดำเข้มอีกสองคน เห็นผู้มาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี อยู่ในชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายบึกบึนแข็งแรง อย่างผู้ที่ฝึกกำลังอยู่เสมอ ใบหน้านั้นดูคมคายอย่างบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง

          “หยางหมิง!!!ข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า!!” คุณชายจ้าวหย่งฉีถลึงตาจ้องมองหยางหมิง
อย่างนึกเคียดแค้น

          ในเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้มีศูนย์กลางของอำนาจการปกครองรวมอยู่ที่จวนท่านเจ้าเมือง และมีสำนักต่างๆ ที่ถือเป็นกลุ่มผู้เข้มแข็งที่มีอิทธิพลอยู่อีกห้าสำนักได้แก่สำนักยุทธ์จันทร์กระจ่าง ซึ่งเป็นสำนักยุทธ์หนึ่งเดียวที่สังกัดและได้รับการสนับสนุนจากจวนเจ้าเมือง นับเป็นสำนักยุทธ์ประจำเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ สำนักยุทธ์ลมปราณเหล็ก ตระกูลทวนพยัคฆ์ ตระกูลวายุเมฆา อันเป็นสำนักและตระกูลใหญ่ในท้องถิ่นที่สืบทอดอิทธิพลรุ่นต่อรุ่นมานับร้อยปี และสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา ซึ่งนับเป็นสาขาย่อยของในกลุ่มสำนักผู้ยิ่งใหญ่สำนักเดียวที่ตั้งสำนักอยู่ที่เมืองจันทร์กระจ่าง

          ด้วยชื่อเสียงเกียรติภูมิของหมู่ตึกดินแดนบูรพาสำนักสาขาใหญ่ สำนักสาขาย่อยแห่งนี้จึงถือว่ามีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจอยู่หลายส่วน และหยางหมิงที่สอดเท้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของจ้าวหย่งฉีในครั้งนี้ ก็เป็นถึงบุตรชายคนเล็กของเจ้าสำนักหมู่ตึกดินแดนบูรพา สาขาเมืองจันทร์กระจ่าง จะไม่ให้จ้าวหย่งฉีนึกเคียดแค้นได้อย่างไร

    “โอ คุณชายจ้าว ข้าเพียงเห็นว่าที่แห่งนี้มีเรื่องราวคึกคึกน่าดูชม จึงได้เดินเข้ามา หากว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวทำให้ท่านต้องเสียเรื่อง ก็ต้องขออภัยแล้ว ไม่ทราบว่าพวกท่านชุมนุมที่นี่ด้วยเรื่องอันใด ขอข้าเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่”หยางหมิงกล่าววาจา พลางทำหน้าตาไขสืออย่างคนไม่รู้เรื่องราว กวาดสายตามองคนนั้นทีคนนี้ที จนจ้าวเฟยหลงอดจะหัวเราะคิกไม่ได้ เห็นเช่นนั้นจ้าวหย่งฉีเดือดดาลเคียดแค้นยิ่งขึ้น

    “หึ หยางหมิง ถือว่าข้าเตือนเจ้าแล้ว หากแต่เป็นเจ้าที่ไม่น้อมรับคำตักเตือนนั้นเอง เรื่องราววันนี้เป็นเรื่องของข้าจ้าวหย่งฉีกับหยางหมิงเจ้า ไม่เกี่ยวกับสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างและสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา พวกเราบุก!!!”

     สิ้นสุดเสียงตะโกนก้อง จ้าวหย่งฉีพร้อมด้วยบรรดาผู้ติดตามนับสิบคนของเขาที่ห้อมล้อมพวกจ้าวเฟยหลง
อยู่ พลันผลึกพลังยุทธ์ขึ้นทันทีอย่างพร้อมเพรียง ส่งพลังเข้ากดดันพวกเขาในวงล้อมในทันใด

          จากที่จ้าวเฟยหลงสัมผัสได้พบว่าในผู้คนนับสิบที่รายล้อมอยู่นั้น มีตั้งแต่ผู้มีพลังยุทธ์ระดับผู้ฝึกยุทธ์ ระดับจอมยุทธ์และสูงสุดเป็นระดับยอดยุทธ์ขั้นต้นซึ่งมีอยู่สองคนรวมทั้งจ้าวหย่งฉีด้วย นับว่าเป็นผู้พรสวรรค์ผู้หนึ่งที่สามารถก้าวมาถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบปี จากพลังยุทธ์ของพวกเขามีทั้งพลังยุทธ์ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำ และที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นยอดยุทธ์ธาตุลมทั้งสองคน

           ความแตกต่างอย่างหนึ่งของสำนักยุทธ์ประจำเมือง ตระกูลใหญ่กับสำนักใหญ่ คือแนวทางการฝึกฝน สำนักยุทธ์กับตระกูลใหญ่โดยส่วนมากจะรวมผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุต่างๆ ทั้งสี่ธาตุ ไม่ได้มุ่งเน้นฝึกพลังยุทธ์ธาตุใดธาตุหนึ่งเป็นหลัก หากแต่ภายในจะมีการตัดสินโดยใช้ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์เป็นสำคัญเพื่อคัดเลือกผู้นำ เฉกเช่นสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างในขณะนี้เจ้าสำนักเป็นผู้ฝึกพลังธาตุลมที่มีความแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุอื่นๆ ส่วนในสำนักใหญ่ต่างๆ เช่น หอพยัคฆ์อัคคี หมู่ตึกดินแดนบูรพา พรรคเทพวายุ วังบุบผาเหมันต์ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่คัดเลือกและสรรหาศิษย์ผู้มีพลังธาตุบริสุทธิ์ตรงตามแนวทางของสำนักเป็นผู้สืบทอดเท่านั้น จึงมีความเข้มงวดอย่างมากในการคัดเลือกศิษย์ คุณสมบัติของศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือกก็ล้วนแต่สูงส่ง ผู้ใดได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์สำนักใหญ่เหล่านี้ จึงนับเป็นวาสนาประการหนึ่งด้วยความที่สำนักใหญ่คัดเลือกแต่ผู้มีพรสวรรค์มาเป็นศิษย์ อีกทั้งมุ่งเน้นฝึกฝนและพัฒนาทักษะยุทธ์ในแนวทางเดียวเป็นเวลานับร้อยนับพันปีจึงทำให้กลายเป็นสำนักที่มีความแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าสำนักทั้งหลายบนแผ่นดิน

           “พวกเจ้าสองคนอย่าได้อยู่ห่างจากข้าโดยเด็ดขาด!!!” หยางหมิงกล่าวเสียงเข้ม หน้าตาเคร่งเครียดเป็นครั้งแรกด้วยเกียรติภูมิของสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา เขาไม่คาดคิดว่าจ้าวหย่งฉีจะกล้าลงมือจุดฉนวนความขัดแย้งขึ้นเช่นนี้ พลันเห็นเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามทั้งสองผลึกพลังยุทธ์เข้าต่อต้านแรงกดดันจากพลังยุทธ์รอบข้างทันที พลังยุทธ์ของทั้งสามคนเป็นพลังยุทธ์อันหนักแน่นของผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุดิน ทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับยอดยุทธ์ทั้งสิ้น หยางหมิงอยู่ในขั้นต้น ส่วนบุรุษวัยกลางคนทั้งสองเป็นยอดยุทธ์ระดับสูง

           จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่อดที่จะหันมาสบตากันไม่ได้ คนกลุ่มนี้นับว่าไม่ใช่คนธรรมดาในเมืองจันทร์กระจ่างเมืองเล็กๆ ติดชายแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลหรือพลังยุทธ์ ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา

           เห็นจอมยุทธ์สองคนพลันผลึกพลังยุทธ์ทะยานร่างเข้าหาปล่อยหมัดอันหนักหน่วงรุนแรงสองสายเข้าใส่หยางหมิงหยางหมิงเห็นเช่นนั้นกลับไม่แตกตื่นลนลาน ริมฝีปากนั้นเผยอรอยยิ้มน่ามองขึ้น ผลึกพลังซัดหมัดเข้าต่อต้านสองหมัดนั้นในทันใด

          “ฝ่ามือป่นศิลาผ่าพิภพ” เสียงตะโกนก้องอันดุดันจากปากของหยางหมิง พร้อมกับพลังยุทธ์อันหนักหน่วงแผ่พุ่งเข้าปะทะกับพลังหมัดของจอมยุทธ์สองคนนั้น

          “ตูม!!!”
           ตุ๊บ!!!

          เสียงพลังปะทะกันดังกึกก้องเพียงครั้งเดียว ตามด้วยเสียงจอมยุทธ์คู่นั้นตกลงสู่พื้นพร้อมกัน แน่นิ่งไปห่างจากจุดที่เกิดการปะทะไม่ไกลนัก ความเคลื่อนไหวรอบข้างพลันหยุดชะงักลง เกิดการปะทะกันเพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้นจริงๆ

          จ้าวหย่งฉีเบิกตาจ้องมองหยางหมิง ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มีโอกาสที่จะประมือกัน ทั้งคู่รับทราบระดับฝีมือของกันและกันผ่านคำบอกเล่าที่ได้ยินอยู่ประจำในฐานะอัจฉริยะรุ่นใหม่ของเมืองจันทร์กระจ่าง จ้าวหย่งฉีคาดคิดไม่ถึงว่าหยางหมิงยังแข็งแกร่งกว่าที่ได้ยินมา เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถสยบจอมยุทธ์ของสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างลงได้ถึงสองคน ในใจของหยางหมิงอดที่จะเต้นระริกไม่ได้ ปากแสยะยิ้มอย่างนึกยินดีที่จะได้พบเจอคู่มือที่สูสีทัดเทียมกันเช่นนี้

          “ยอดเยี่ยม!!!ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!! ฮ่าๆๆ ข้าว่าพวกเรามาประลองกันดูสักตั้งเป็นอย่างไร หากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้าไป”จ้าวหย่งฉีจ้องหยางหมิงเขม็ง พลางกล่าววาจา

           “คนที่ท่านต้องการหาเรื่องเป็นพวกเราสองพี่น้อง หากเจ้าต้องการประลอง ข้าจะเป็นคู่ประลองให้เจ้าเอง!!!”
   

   
--------------------------------------------------------------------------


ถึงเวลาทีจ้าวเฟยหลงจะออกไปโลดแล่นแล้วนะ

เอาใจช่วยจ้าวเฟยหลงด้วยจ้า


:hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-04-2016 15:59:45
ออกท่องยุทธไม่ทันไรความงามก็ก่อเหตุซะแล้ว
ว่าแต่ทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องนี่อยู่ฝ่ายเคะใช่ไหม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 30-04-2016 16:35:00
 :fire: :fire: :fire: คนสวยโหมดโหด ฆ่ามัน  ถล่มสำนักให้ราบเรียบ :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 30-04-2016 17:08:24
เฟยหลงถล่มมันค่ะ
คนแรกนี่พระเอกใช่ไหม
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 30-04-2016 19:23:19
แอร๊ย อยากเห็นฤทธิ์คนงามเฟย รอหนูนะลูก  :ruready o18
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 30-04-2016 23:27:13
ชอบเรื่องนี้ รักเรื่องนี่ สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-04-2016 23:57:42
มาต่ออีกเลย อยากรู้แล้วววว
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 01-05-2016 09:15:55
หนุ่มคมคายคนนั้นใช่พระเอกมั้ยหนอออ~~ หรือจะเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวหยางหนิงหนออออ~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 01-05-2016 15:39:17
จะได้โชว์ฝีมือแล้ว วู้วววววววว...
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 01-05-2016 16:27:29
เฟยหลงโชว์ความเมฟให้เขาได้เห็นเลยลูกหึหึ :hao6:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 01-05-2016 18:34:20
สู้เขาลูก สู้เขาาาา
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 01-05-2016 21:14:55
เฟยหลงจัดการเลยลูก ซัดให้หมอบจนสลบไปเลย สู้ๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: leefever ที่ 01-05-2016 22:09:16
ติดตามม ชอบอ่ะ.  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร): ตอนที่ 5 (30/04/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 02-05-2016 01:06:02
สวย โหด ดุจริงๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 02-05-2016 07:50:56
ตอนที่ 6 สั่งสอน

          สิ้นเสียงเห็นจ้าวเฟยหลงก้าวออกมาเผชิญหน้ากับจ้าวหย่งฉี สายตาจ้องฝ่ายตรงข้ามเขม็ง คิดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นมีศักดิ์เป็นถึงบุตรชายเจ้าเมือง หากแต่ประพฤติตนเป็นอันธพาลร้านถิ่นเที่ยวเกาะแกะระรานสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้คน และนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องเช่นนี้ ดูได้จากผู้คนในเมืองจันทร์กระจ่างที่เห็นเรื่องราวเกิดขึ้นบนถนนถนนใจกลางเมืองกลางวันแสกๆ ยังทำได้แต่เพียงหลีกเลี่ยงไม่กล้ายุ่งเกี่ยว คาดว่าฝ่ายตรงข้ามคงใช้อิทธิพลของผู้เป็นบิดาเที่ยวกดขี่ข่มเหงผู้คนเสียจนหวั่นเกรง คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงก็ตั้งใจที่จะให้บทเรียนอันสาสมแก่จ้าวหย่งฉีสักครั้ง

      เห็นผู้ที่ก้าวออกมาเป็นจ้าวเฟยหลงทั้งหยางหมิงและจ้าวหย่งฉีต่างก็นึกแปลกใจ ด้วยไม่สามารถสัมผัสพลังยุทธ์จากจ้าวเฟยหลงได้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่สามารถสัมผัสถึงพลังยุทธ์ได้นั้นมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีพลังยุทธ์หรือพลังยุทธ์อ่อนด้อยจนไม่สามารถสัมผัสได้ กับอีกประเภทคือผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งจนสามารถซุกซ่อนพลังยุทธ์ไม่ให้ผู้อื่นสัมผัสได้ ซึ่งผู้ที่มีความสามารถซุกซ่อนพลังยุทธ์ได้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นสูงตั้งแต่ระดับราชันย์ขึ้นไปจึงจะสามารถทำได้

          แต่เมื่อมองดูจ้าวเฟยหลงเห็นเป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบาง ผิวพรรณขาวผ่อง ดั่งไม่เคยต้องเผชิญกับความยากลำบากมาก่อน ยิ่งมีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี เกรงว่าจะเป็นประเภทแรกเสียมากกว่า ถ้าหากผู้ที่ก้าวออกมาเป็นจินอวี่ที่สัมผัสได้ว่ามีพลังยุทธ์แข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขาก็คงไม่น่าแปลกแล้ว คิดได้เช่นนั้นหยางหมิงรีบก้าวไปหาจ้าวเฟยหลง พลางเอ่ยวาจา

     “น้องชาย กับอันธพาลเช่นนี้ คงไม่ต้องให้ถึงมือเจ้า ให้ข้าจัดการเองจะดีกว่า”พูดพลางจับจ้องมองจ้าวเฟยหลง

     “ขอบคุณความปรารถนาดีของคุณชายท่าน หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องของพวกเราสองพี่น้อง คงไม่เหมาะ ถ้าหากเรื่องนี้จะทำให้พวกท่านพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพียงคุณชายท่านยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแค่นี้ พวกเราสองพี่น้องก็ซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว”

          จ้าวเฟยหลงพูดพลางส่งรอยยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความสำนึกขอบคุณ หากแต่ถึงกับทำให้หยางหมิงกับนิ่งตะลึงงันไปกับรอยยิ้มนั้นรอยยิ้มที่แย้มจากปากบางเรียวสวยรอยยิ้มที่ชวนให้หัวใจชายหนุ่มเต้นรัว รอยยิ้มที่งดงามดุจดั่งรอยยิ้มของเทพเทวาบนสรวงสวรรค์ หยางหมิงนิ่งงันจับจ้องจ้าวเฟยหลงดุจดั่งสตินึกคิดได้หลุดลอยออกจากร่างไปชั่วขณะ

     “โอ คนงามอยากจะเล่นสนุกกับพี่ชายคนนี้หรอกหรือ ที่จริงไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นก็ได้ พวกเรายังมีเวลาเล่นสนุกด้วยกันอีกนาน ฮ่าๆๆ” จ้าวหย่งฉีหัวร่อกล่าววาจาอย่างนึกย่ามใจ

     จ้าวเฟยหลงตวัดสายตาขึ้นมองหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ยืนห่างออกไปเกือบสองวา ใบหน้างามปรากฏแววเหยียดหยาม นึกดูถูกดูแคลนกับการกระทำของเขา มือเรียวงามโบกสะบัดวูบหนึ่งอย่างรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดทันได้มอง


      เพียะ!!!


     เสียงตบฉาดดังกังวานขึ้นอย่างฉับพลัน จ้าวหย่งฉีถึงกับถูกตบจนหน้าหัน พริบตาเดียวก็ปรากฏรอยปื้นสีแดงฉานบนใบหน้าหล่อเหลานั้น

     ทั่วบริเวณนั้นพลันเงียบกริบลงในทันใด ทุกผู้คนล้วนอ้าปากค้างตะลึงจับจ้องมองใบหน้าจ้าวหย่งฉี ร่องรอยบนใบหน้าเป็นหลักฐานบอกว่าที่ได้ยินเป็นเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่พวกเขาหูแว่วไป หากแต่เป็นผู้ใดลงมือ นี่เป็นสิ่งที่ทุกผู้คนสงสัย

      “ใคร!!!ใครกันที่กล้าลอบทำร้ายข้า!!! ปรากฏตัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!” จ้าวหย่งฉียกมือกุมหน้าตวาดก้อง หันซ้ายหันขวาสายตาจ้องมองหาผู้ที่ลงมือทำร้าย


       เพียะ!!!


     เสียงฉาดดังขึ้นอีกครั้ง จ้าวหย่งฉีถูกตบจนร่างซวนเซเกือบถลาล้มลง แก้มอีกข้างที่เหลือพลันปรากฏริ้วแดงขึ้น

     “ใครกัน!!!แน่จริงก็ปรากฏตัวออกมา อย่าได้ซุกหัวหดหางเป็นเต่าในกระดองเช่นนี้!!!” จ้าวหย่งฉีตะโกนก้องอย่างขุ่นแค้น ร่างนั้นพลันปลดปล่อยพลังยุทธ์ออกกดดันผู้คนรอบข้างอย่างบ้าคลั่ง ผู้ที่สามารถลงมือลอบทำร้ายยอดยุทธ์ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดา

   
      เพียะ!!!เพียะ!!!เพียะ!!!


     โดยไม่ทันมีใครได้คาดคิด พลังอันไร้ที่มาพลันฝ่าพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งของจ้าวหย่งฉีเข้าไป กระทบถูกใบหน้าของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนร่างนั้นส่ายโงนเงน ทรุดลงคุกเข่ากระอักโลหิตสีแดงฉานออกมา

     “คุณชาย!!!” บรรดาผู้ที่ติดตามจ้าวหย่งฉีมาเห็นเช่นนั้นพลันกระโจนเข้าโอบอุ้มร่างนั้นไว้ทันที จ้าวหย่งฉีหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตจับจ้องมองจ้าวเฟยหลงที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนดั่งไม่ได้เคลื่อนไหวมาก่อน ริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มให้เขาอย่างเย้ยหยัน คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าคนลงมือเป็นใคร แต่จ้าวหย่งฉีสัมผัสจากได้แรงตบครั้งสุดท้ายนั้นว่าเป็นจ้าวเฟยหลงเองที่ลงมือ


     “จ…เจ้า!!!”

      อ๊อก!!!

     จ้าวหย่งฉีส่งเสียงได้เพียงแค่นั้น พลันก็ต้องกระอักโลหิตออกมาด้วยความคลั่งแค้นสลบเหมือดไป

     เสียงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเรียกให้กองกำลังรักษาความสงบของเมืองจันทร์กระจ่างกลุ่มหนึ่งประมาณเกือบสามสิบคน ในมือถืออาวุธเป็นหอกยาวหน้าตาถมึงทึงดูน่าเกรงขามมุ่งตรงเข้ามาล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง ผู้นำขบวนเป็นบุรุษวัยกลางคนไว้เคราสามแฉกใบหน้าดุดัน

     “พวกท่าน มีเรื่องอะไรกันหรือไม่” ชายผู้นั้นร้องถาม น้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าด้านหน้ายืนไว้ด้วยหยางหมิง บุตรชายคนเล็กของเจ้าสำนักสาขาของหมู่ตึกดินแดนบูรพาอันยิ่งใหญ่

     “โอ คุณชาย!!!ใครกัน!!! กล้าทำร้ายคุณชายเช่นนี้” หัวหน้าขบวนผู้นั้นพลันถลาเข้าหาจ้าวหย่งฉีทันทีที่เห็นร่างนั้นแน่นิ่งทรุดอยู่ที่พื้นในอ้อมกอดของผู้ติดตามคนหนึ่ง พอเห็นสภาพของผู้เป็นคุณชายที่ทุลักทุเล สองแก้มบวมเปล่ง กระอักโลหิตแปดเปื้อนเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนั้น หากเขาไม่มีการแสดงออกที่เหมาะสมเกรงว่ากลับไปต้องถูกท่านเจ้าเมืองตำหนิเป็นแน่ คิดได้เช่นนั้นหัวหน้าขบวนพลันร้องถามเสียงดังก้อง

     “ใครกันที่บังอาจทำร้ายคุณชายของจวนเจ้าเมืองเช่นนี้ จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!”เสียงนั้นฟังดูขึงขัง น่าเกรงขามยิ่งนัก สายตากวาดมองหยางหมิงและพวกทั้งห้า เห็นพวกเขายังนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา สายตาพลันกวาดมองไปยังผู้ติดตามของจ้าวหย่งฉีแทน

     “เป็นพวกเขาที่ทำร้ายคุณชาย!!!” หนึ่งในผู้ติดตามลุกขึ้นชี้มือไปยังพวกจ้าวเฟยหลงอย่างกล่าวโทษ

     “เป็นพวกเจ้านั่นเองที่ทำร้ายคุณชาย พวกเราจับกุมให้หมดทุกคน!!!”

     “ท่านหัวหน้าฉี เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเรามีเรื่องกันจริง แต่พวกเราไม่ได้เป็นคนทำร้ายคุณชายท่าน”หยางหมิงเดินขึ้นมาพูดจาเพื่อไกล่เกลี่ยกับผู้เป็นหัวหน้าขบวน

     “พวกเจ้าทำร้ายคุณชาย!!!”เสียงพูดดังขึ้นจากฝั่งของจ้าวหย่งฉี

     “เมื่อเป็นเช่นนั้น คงต้องเชิญพวกท่านไปรับการไต่สวนที่จวนเจ้าเมืองสักครั้ง” หัวหน้าฉีพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

     “หึ เจ้ากล้าล่วงเกินหมู่ตึกดินแดนบูรพาอย่างนั้นหรือ”หยางหมิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

     “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแค่ขอเชิญคุณชายหยางไปกล่าววาจาที่จวนเจ้าเมืองสักครั้งเท่านั้น ขอท่านได้โปรดอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ”

     “หึ หากข้าไม่ไปกับท่านจะเป็นเช่นไร”

     “เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องคุมตัวท่านไป พวกเราจับกุมคนไปสอบสวน!!!”

     “เจ้ากล้า!!!”หยางหมิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับเดือดดาล เห็นเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามผนึกพลังเตรียมพร้อมรับมือทันที
กองกำลังรักษาความสงบของเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ที่ได้รับการฝึกฝนจากสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างเป็นหลัก มีจากสำนักยุทธ์อื่นๆ บ้างประปราย แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ที่มีพลังยุทธ์สูงส่ง หากแต่ก็ถือเป็นผู้เข้มแข็ง พวกเขาร่วมฝึกรูปแบบการรวมกำลังเพื่อต่อสู้กับผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับสูงเป็นการเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่อาจดูแคลนกองกำลังกลุ่มนี้โดยเด็ดขาด

          ขณะที่หยางหมิงกำลังจะระเบิดพลังเข้าต่อต้านการบุกของกองกำลังรักษาความสงบนั้น เสียงดังกึกก้องอย่างทรงพลังเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

     “หยุดมือ!!!”

     สิ้นเสียง เห็นร่างบุรุษสามคนแหวกฝ่าวงล้อมเข้ามา เห็นสายตาของพวกเขามองไปยังจ้าวเฟยหลงพลางผงกศีรษะให้ หากแต่ไม่ได้หยุดชะงักลง หนึ่งในนั้นสาวเท้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหัวหน้าขบวนแซ่ฉีผู้นั้นทันทีส่วนอีกสองคนแยกย้ายกันยืนหยัดอยู่ในบริเวณนั้นเป็นรูปสามเส้า โอบล้อมจ้าวเฟยหลงและพวกไว้ตรงกลาง แผ่พลังกดดันกองกำลังรักษาความสงบจนไม่กล้าเคลื่อนไหว

          ผู้มาทั้งสามคนกลับเป็นหานเฟิง หานลู่และหานตง ที่ติดตามจ้าวเฟยหลงมาตั้งแต่ต้นนั่นเองตั้งแต่ที่เทพโอสถอวิ้นหยาง รับรู้ถึงการคงอยู่นั้น พวกเขาก็ไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป หากแต่แสดงตัวอารักขาดูแลจ้าวเฟยหลงนายน้อยของพวกเขาอย่างเปิดเผยและการเดินทางลงจากยอดเขาเทียมเมฆาของจ้าวเฟยหลงและจินอวี่ในครั้งนี้ ด้วยมีพวกเขาทั้งสามคนติดตามมาด้วย เทพโอสถอวิ้นหยางจึงวางใจปล่อยให้จ้าวเฟยหลงและจินอวี่เดินทางลงเขามา
   

     ไม่มีใครรู้ว่าหานเฟิงพูดจากับหัวหน้ากองแซ่ฉีนั้นเช่นไร หากแต่ผ่านไปชั่วครู่ก็เห็นฝ่ายนั้นเปลี่ยนท่าทีจากแข็งกร้าวเป็นนอบน้อม ค้อมตัวก้มศีรษะให้หานเฟิงอย่างเคารพนบนอบ พร้อมกับสั่งให้กองกำลังรักษาความสงบคลายวงล้อมจัดตั้งขบวนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก

     “นายน้อย เชิญพวกท่านไปจากที่นี่ก่อน” หานเฟิงผละจากหัวหน้ากองแซ่ฉีเพื่อบอกกล่าวกับจ้าวเฟยหลง ด้านหลังของเขาเห็นหัวหน้ากองกำลังรักษาความสงบผู้นั้นมองมาด้วยใบหน้าจืดเจื่อน ราวกับว่าจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ พอเห็นจ้าวเฟยหลงปรายตามองมาถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ รีบประสานมือคารวะพลางก้มศีรษะประหลกๆ พร้อมกับร่างที่สั่นสะท้านอย่างกับคนทรงเจ้า

     “ขอบคุณท่านอา เช่นนั้นพวกข้าขอปลีกตัวไปก่อน ฝากท่านอาช่วยสั่งสอนอันธพาลผู้นั้นให้ได้รู้สำนึกด้วย”จ้าวเฟยหลงกล่าวขอบคุณ แต่ยังไม่วายฝากฝังหานเฟิงให้จัดการกับจ้าวหย่งฉี พลางแบะปากไปยังร่างที่ยังคงไม่ได้สตินั้นอย่างนึกรังเกียจ

     เมื่อจ้าวเฟยหลงเดินนำจินอวี่หยางหมิงและพวก ออกห่างจากจุดเกิดเหตุพอสมควร เป็นหยางหมิงที่อดทนรอไม่ไหวรีบสาวเท้าขึ้นดักหน้าจ้าวเฟยหลงไว้

     “พวกท่านทั้งสองโปรดชะงักเท้าก่อน ขอบังอาจสอบถาม พวกท่านเป็นใครกัน?”หยางหมิงเอ่ยถาม หน้าตาคมเข้มนั้นฉายแววเคร่งเครียด

     “ขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป ข้าจ้าวเฟยหลง ส่วนศิษย์พี่ของข้าจินอวี่ พวกเรามาจากเมืองหลวงดินแดนฟ้าไพศาล” จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่คลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ

     “ข้าหยางหมิงแห่งสำนักสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา เมืองจันทร์กระจ่าง ส่วนสองท่านนี้เป็นผู้พิทักษ์หมู่ตึกของเรา เกรงว่าพวกท่านจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบอกกล่าวได้แล้ว”

     “มิได้ ขอคุณชายหยางท่านอย่าได้เข้าใจผิด พวกเราเป็นศิษย์สำนักแพทย์โอสถหลวง สาขาเมืองหลวงดินแดนฟ้าไพศาลกำลังเดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถหลวงสาขาใหญ่ที่ดินแดนเทวะอัคคีเท่านั้น” จ้าวเฟยหลงพูด แม้จะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้โกหกหลวงลวงเขาหรอกนะ จ้าวเฟยแอบคิดอยู่ในใจ

     “ใช่แล้วคุณชายวันนี้มีวาสนาได้ยลฝ่ามือป่นศิลาผ่าพิภพของหมู่ตึกดินแดนบูรพา นับว่าห้าวหาญดุดันสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง”จินอวี่เอ่ยปากชม

     “ฝีมืออย่างข้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก ไม่ควรคู่ที่จะให้พี่ชายท่านเอ่ยชม ขอพวกท่านอย่าได้เรียกหาข้าเป็นคุณชายแล้วฟังดูเหินห่างกันเกินไป แต่ว่าเพราะเหตุใดหัวหน้ากองแซ่ฉีถึงได้ดูเกรงอกเกรงใจคนของท่านเช่นนั้น”หยางหมิงเอ่ยถามขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้

     “ฮ่าๆๆ ไม่มีอันใดหรอกพี่ชาย เพียงแต่ท่านอาของข้าเป็นสหายเก่าแก่กับท่านเจ้าเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ก็เท่านั้น”จ้าวเฟยหลงบอก

     “เช่นนั้นหรอกหรือ เอ่อ…ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปไหนต่อ หากไม่รังเกียจขอเชิญไปรับประทานอาหารกับข้าได้หรือไม่”หยางหมิงรีบเอ่ยชวนเมื่อเห็นว่าจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่มีทีท่าว่าจะเดินทางจากไป จึงได้ออกปากเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้

     “โอ เช่นนั้นก็นับว่าดียิ่งนัก ข้าอยากจะเลี้ยงอาหารตอบแทนที่ท่านยื่นมือให้ความช่วยเหลืออยู่เหมือนกัน”

     “พวกท่านไม่ต้องตอบแทนข้า ขออย่าได้เกรงใจ ช่วยเหลือผู้ที่เดือนร้อนถือเป็นหน้าที่ของวิญญูชนที่พึงกระทำ หากแต่พวกท่านมาเยือนเมืองจันทร์กระจ่างนับเป็นแขก ให้ผู้เหย้าอย่างข้าได้เลี้ยงอาหารต้อนรับพวกท่านจะดีกว่า”

     “ไม่ได้ๆ นับว่าไม่ถูกต้อง ครั้งนี้ให้พวกเราได้เลี้ยงขอบคุณท่าน แล้วหากมีโอกาสครั้งต่อไปที่พวกเรามายังเมืองจันทร์กระจ่างอีก ท่านค่อยจัดเลี้ยงต้อนรับพวกเราดีกว่า” จ้าวเฟยหลงรีบเอ่ยปากแย้งขึ้นทักที

     “ตกลงตามนี้เถอะ ข้าหิวจนจะทนไม่ไหวแล้ว” จินอวี่รีบตัดบทสรุป เมื่อเห็นหยางหมิงอ้าปากจะเอ่ยวาจา
   

     หยางหมิงในฐานะเจ้าถิ่นพาจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่มายังโรงเตี๊ยมจันทราลอยล่อง ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่างนอกจากที่พักชั้นเลิศแล้วที่นี่ยังมีเหลาอาหารเลิศรสอันเลื่องชื่อซึ่งเป็นที่นิยมของผู้เดินทางที่บอกกล่าวกันปากต่อปากทำให้ผู้คนมานั่งรับประทานอาหารกันไม่ขาดสาย และที่ประจวบเหมาะยิ่งกว่านั้นคือที่นี่เป็นสถานที่พักที่จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ได้จับจองไว้ด้วย

          หยางหมิงพาจ้าวเฟยหลงและจินอวี่ขึ้นมาที่ชั้นสองของเหลาอาหารที่ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมือนชั้นล่าง อีกทั้งยังพอมีที่ว่างอยู่อีกหลายที่ ส่วนผู้พิทักษ์หมู่ตึกดินแดนบูรพาทั้งสองคนนั้นเลือกที่จะนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ชั้นล่าง พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะที่ติดหน้าต่างเพื่อจะได้มองผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่บนท้องถนนระหว่างรออาหารไปด้วย ผ่านไปชั่วก้านธูปหมดไปหนึ่งดอกอาหารที่สั่งอาหารก็ทยอยนำมาจัดวางที่โต๊ะ อาหารหน้าตาน่ากินชวนให้น้ำลายสอ ยิ่งเมื่อได้ลิ้มชิมรสก็นับว่าสมชื่อเหลาอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่างโดยแท้

          เมื่อรับประทานอาหารและพูดคุยกันไปได้สักพัก สายตาของจ้าวเฟยหลงก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มในชุดสีขาวขลิบเงิน พร้อมผู้ติดตามที่เคยพบเจอกันที่ร้านค้าสาขาของสหพันธ์วาณิชมังกรทองเดินเข้าไปยังส่วนที่พักของโรงเตี๊ยม นับว่าคู่อริหนทางคับแคบ โรงเตี๊ยมมีตั้งหลายแห่งท่านกลับเลือกพักที่นี่ ดูท่าคืนนี้จะมีเรื่องสนุกให้ทำแล้ว จ้าวเฟยหลงครุ่นคิด ตาเป็นประกาย มุมปากจุดรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

     “มีอะไรหรือเฟยหลง?” จินอวี่ถามขึ้นเมื่อเห็นศิษย์น้องทำหน้าตาประหลาดอย่างมีเลศนัย พลางหันมองตามสายตาของจ้าวเฟยหลง แต่ก็เห็นเพียงผู้คนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมสองสามคนเท่านั้น

     “ไม่มีอะไรศิษย์พี่ ข้าแค่นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย” จ้าวเฟยหลงส่งยิ้มแห้งๆ ให้จินอวี่ที่ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ

     “เฟยหลงกับพี่อวี่จะเดินทางออกจากเมืองจันทร์กระจ่างเมื่อใดหรือ”หยางหมิงถามขึ้น

     “พรุ่งนี้เช้า พวกเราก็ต้องออกเดินทางแล้ว” เป็นจินอวี่ที่ตอบแทน เมื่อเห็นศิษย์น้องยังตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ เหมือนจะไม่ได้ยินคำถามของหยางหมิง

     “โอ ช่างรวดเร็วเสียจริง พวกท่านจะไม่อยู่เที่ยวชมเมืองจันทร์กระจ่างอีกสักวันสองวันหรือ เรื่องที่พักหากไม่รังเกียจแวะพักที่สาขาหมู่ตึกดินแดนบูรพาของข้าก็ได้ พวกเราเพิ่งได้รู้จักกัน ข้ารู้สึกถูกชะตากับพวกท่านยิ่งนัก ไม่อยากให้พวกเราด่วนแยกจากกันเช่นนี้เลย”

          ปากพูดหากแต่ส่งสายตาเว้าวอนไปยังจ้าวเฟยหลง ผู้ที่ทำให้เขารู้สึกสับสนในหัวใจเป็นครั้งแรก เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นิยมชมชอบหญิงสาวผู้งดงามไม่ต่างกับชายหนุ่มคนอื่นๆ มาโดยตลอดด้วยความที่เป็นคุณชายมีชื่อในเมืองจันทร์กระจ่าง ชีวิตของเขาที่ผ่านมาก็มีหญิงสาวงดงามติดตามพัวพันไม่น้อย แต่เขายังไม่เคยมีใครที่จะทำให้เขารู้สึกดีเวลาอยู่ด้วย หัวใจเต้นรัวเพียงเห็นรอยยิ้ม รู้สึกอยากอยู่ใกล้ชิดไม่ยอมห่าง หากแต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นเมื่อเขาได้พบเจอกับจ้าวเฟยหลง จ้าวเฟยหลงที่เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา

     สายตาที่จ้องมองของหยางหมิงเรียกให้จ้าวเฟยหลงได้สติ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อสบตากับหยางหมิง เห็นสายตานั้นมองมาด้วยความอ่อนโยน หากแต่ในแววตากลับแฝงด้วยความปรารถนาชื่นชมที่จ้าวเฟยหลงไม่แน่ใจว่าเป็นความปรารถนาสิ่งใด แต่สายตานั้นกลับทำให้เขาถึงกับขนกายลุกชูชันขึ้นมาอย่างไม่อาจเข้าใจ

     “พี่หมิง…”จ้าวเฟยหลงร้องเรียกหยางหมิงแผ่วเบา พลางสะบัดศีรษะทีหนึ่ง

     “โอ ข…ขออภัยที่เสียมารยาท” หยางหมิงละล่ำละลักพูดออกมา

     “มีอันใดต้องขออภัย พี่หมิงจากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเราถึงจะมีโอกาสพบเจอกันอีก หากท่านมีเรื่องอันใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ โปรดส่งคนไปแจ้งข้าที่สำนักแพทย์โอสถหลวงที่ดินแดนเทวะอัคคีเถอะ คาดว่าข้าจะอยู่ที่นั่นสักพัก” จ้าวเฟยหลงส่งยิ้มกระชากวิญญาณให้กับหยางหมิงอีกครั้ง

     “เช่นกันหากพวกท่านผ่านมาที่เมืองจันทร์กระจ่างอีก ได้โปรดแวะไปหาข้าที่สำนักสาขาหมู่ตึกดินแดนบูรพาด้วย ข้าจะนับวันรอพบเจอพวกท่านอีกครั้ง”

     หลังจากล่ำลากับหยางหมิงแล้ว จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ก็เดินเข้าสู่ส่วนของห้องพักห้องพักที่ทั้งสองคนจับจองไว้เป็นเป็นห้องพักสองห้องที่อยู่ติดกัน ภายในห้องดูโอ่โถงหรูหราสมกับเป็นห้องพักชั้นเลิศ


--------------------------------------------------------------------------------


      ราตรีกาลอันมืดมิดโรยตัวลงปกคลุมผืนปฐพีเฉกเช่นเดิม ผ่านไปครึ่งค่อนคืนทุกที่ภายในโรงเตี๊ยมจันทราลอยล่องตกล้วนอยู่ในความเงียบสงัด ผู้คนล้วนแต่หลับใหล ภายในโรงเตี๊ยมเห็นแสงสลัวๆ จากโคมที่ติดไว้ตามแนวทางเดินเท่านั้น

           ในความเงียบงันนั้นพลันปรากฏเงาร่างเล็กในชุดสีดำทึบมีผ้าสีดำปิดคลุมใบหน้าเอาไว้ ในมือถือกล่องไม้ใบหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักพุ่งทะยานออกมาจากห้องพักหลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นพุ่งปราดออกไปราวกับเหินบินกระโดดข้ามกำแพงโรงเตี๊ยมไป


            ปัง!!!


            เสียงประตูห้องพักถูกเปิดกระแทกออกเสียงดัง


            “มีขโมย!!!มีขโมย!!!”


            เสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดดังก้องสะท้อนทั่วบริเวณ พลันปรากฏร่างผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับสูงขึ้นสามคน ร่างนั้นแผ่พุ่งพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งพลางไล่กวดติดตามหัวขโมยไปอย่างกระชั้นชิด ทิ้งไว้เพียงเสียงวุ่นวายตะโกนร้องถามเรื่องราวของแขกที่เข้าพักภายในโรงเตี๊ยมเท่านั้น


--------------------------------------------------------------------------------


ขอบคุณที่รักและเมตตาเฟยหลงน้อยของเรานะทุกคนนนน

ติดตามกันต่อไปน้าาาาา

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 02-05-2016 08:31:25
ใครขโมย!!!!
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miya_pp ที่ 02-05-2016 10:02:04
มาปูเสื่อรอ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 02-05-2016 11:17:30
ค้าง ! มารอต่ออีกนะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-05-2016 11:19:05
รอตอนต่อไปใครมาขโมยอะไรหนอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 02-05-2016 11:54:25
เฟยหลงนี่อย่าบอกนะว่าไปขโมยไอ้นั่นมา5555
ระวังเขาจับได้ละเรื่องใหญ่เลยน้าาาา
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 02-05-2016 11:59:18
สวัสดีครับ คุณคนแต่ง

อ่านแล้วชอบมากเลย ไม่ทราบว่าในอนาคตนายเอกมีโอกาสท้องไหม อยากให้มีจัง

ที่ขโมยนั่นใช่สัตว์อสูรเปล่าาาา

รออยู่นะครับ ส่งข่าวบ้างนะครับถ้าหายไปไหนนานๆ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 02-05-2016 18:13:32
ชอบอ่านแนวนี้จัง รอตอนต่อไปจร้า >\\\\\<
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 02-05-2016 19:52:52
ว้ายยยย ใครขโมยยย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 02-05-2016 20:13:33
ขโมยคนนั้นคือใครกันน้า~ เฟยหลงหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆเลย :hao3:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 02-05-2016 20:20:03
อย่าบอกนะว่าเฟยหลงซุกซน
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: waiman ที่ 02-05-2016 21:14:58
รออ่านต่อจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 02-05-2016 23:40:06
รออ่านต่อ ใครขโมยอะไรนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 03-05-2016 07:40:12
หนูเฟย แน่เลยที่ขโมย! :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 03-05-2016 14:23:58
 :laugh: :laugh: :laugh: หลงหลงหอบกล่องไปใส่ร้ายป้ายสีหนุ่มชุดขาวละสิ เด็กมากกกกก  :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-05-2016 22:07:47
แสบฝุดๆ 555555
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 6 (02/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 04-05-2016 20:03:53
หนูเฟยหลง  หนูเล่นซุกซนอีกแล้วนะ   ไปขโมยแบบนั้นได้ไง     :a5: :a5: :a5:

เดี๋ยวก็โดนจับ(กด)หรอก    :z1: :z1: :z1:

หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ : ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 04-05-2016 21:48:15
บทที่ 7    หัวขโมยผู้หาญกล้า

              ผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับราชันย์สองคนที่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ว่าน่าตื่นตระหนกแล้ว แต่ที่น่าตื่นตระหนกมากกว่านั้นกลับเป็นบุรุษหนุ่มในชุดสีขาวขลิบเงิน ที่แม้จะดูไปมีอายุเพียงยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีแต่กลับมีพลังยุทธ์สูงกว่าระดับราชันย์ทั้งสองนั้นอีกพวกเขาสามคนไล่ล่าติดตามหัวขโมยไปอย่างกระชั้นชิด ตัดผ่านตรอกซอกซอยในเมืองตรอกแล้วตรอกเล่า ซอยแล้วซอยเล่า

            หัวขโมยผู้นั้นก็เคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างน่าประหลาด แต่ที่น่าประหลาดกว่ากลับเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับสูงทั้งสามที่ไล่ล่าติดตามมานั้นไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ของผู้หลบหนีจนหวิดจะคลาดคลากันหลายครั้งหลายหน บุรุษหนุ่มในชุดขาวขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างนึกสงสัย เป็นไปไม่ได้ผู้ที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้จะไม่ใช้พลังยุทธ์ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่มันจะซุกซ่อนปิดปังพลังยุทธ์ไว้ไม่แสดงออกมา  ขณะเคลื่อนไหว เห็นร่างเล็กนั้นพุ่งทะยานแผ่วพลิ้วดุจดั่งเหินบินพบข้ามกำแพงกระโดดข้ามกำแพง พบหลังคาก็ปีนป่ายหลังคา พบต้นไม้ก็เหินขึ้นไปวิ่งอยู่บนยอดไม้ด้วยวิชายุทธ์อันแปลกพิสดาร

           จนมาโผล่ที่ป่าทึบนอกเมืองแห่งหนึ่ง หัวขโมยผู้นั้นพลันทะยานร่างหายลับเข้าไปในป่า ผู้ติดตามทั้งสามเห็นเช่นนั้นพลันแยกย้ายกันไป ทะยานร่างเข้าโอบล้อมพลางผนึกพลังยุทธ์ครอบคลุมป่านั้นไว้ ด้านหน้าของป่าเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวขลิบเงินค่อยๆ เคลื่อนร่างเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน

            แสงสีทองโผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าเห็นไกลๆ รุ่งอรุณของวันใหม่กำลังมาเยือน หากแต่ภายในป่านั้นยังคงมืดครึ้มด้วยถูกต้นไม้ใหญ่บดบัง ใต้ต้นไม้ใหญ่ขนาดสามคนโอบต้นหนึ่ง ร่างของหัวขโมยผู้นั้นยืนพิงต้นไม้หอบหายใจไม่หยุดหย่อน เหงื่อหลั่งไหลโทรมกายดุจดั่งถูกชโลมด้วยหยาดน้ำ มือเล็กนั้นพลันยกขึ้นดึงผ้าคลุมหน้าสีดำออก เผยใบหน้าเรียวงามที่คิ้วขมวดมุ่น ปากแดงเรียวบางนั้นกำลังอ้าหอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้างดงามเป็นหนึ่งไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้เช่นนี้จะเป็นใครได้นอกจากจ้าวเฟยหลง!!!

             เป็นจ้าวเฟยหลงเองที่อาจหาญเข้าไปขโมยผนึกธาตุกิเลนเพลิงจากราชันย์ยุทธ์ผู้ดุดันทั้งสาม ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแค่อยากจะเอาคืนคนที่กล้าแย่งชิงสิ่งของที่เขาต้องการก็เท่านั้น แต่ตอนนี้จ้าวเฟยหลงกำลังนึกเสียใจ ด้วยไม่คิดว่าแค่ผนึกธาตุกิเลนเพลิงชิ้นหนึ่งราชันย์ยุทธ์พวกนั้นจะไล่ล่าติดตามมาไม่ยอมปล่อยเล่นนี้ สำนึกเสียใจก็ส่วนสำนึกเสียใจ แต่มีหรือที่คนอย่างจ้าวเฟยหลงจะยอมแพ้ หยุดยั้งพักโคจรลมปราณอยู่ชั่วขณะ ก็ลากสังขารพุ่งทะยานเข้าไปในส่วนลึกของป่า

            ก่อนจากมาจ้าวเฟยหลงทิ้งจดหมายบอกกล่าวกับจินอวี่ไว้ว่าจะเดินทางไปสำนักแพทย์โอสถหลวงก่อนให้จินอวี่เร่งติดตามมา แต่เชื่อเถอะตอนนี้ศิษย์พี่จินอวี่ของเขาคงรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นทีเจอกันคราวนี้มีหวังโดนบ่นไม่หยุดเป็นแน่ ไหนจะท่านอาทั้งสามที่ติดตามมานั่นอีก คงได้วิ่งพล่านหาตัวเขาให้วุ่นเป็นแน่ เอาเป็นว่ากลับข้าจะยอมให้พวกท่านลงโทษแล้วกัน


-----------------------------------------------------------------------



             เบื้องหน้าของจ้าวเฟยหลงตอนนี้เป็นยอดหน้าผาสูงชัน มองลงไปเบื้องล่างเห็นลำน้ำสายหนึ่งไหลหลั่งเชี่ยวกราก ได้ยินเสียงน้ำกระแทกโขดหินดังครืนครั่นไม่ขาดหู จ้าวเฟยหลงได้แต่เหม่อมองสายน้ำนั้นอย่างนึกจนปัญญา เขาไม่เคยเดินทางผ่านป่าแถบนี้มาก่อน แต่ด้วยเป้าหมายปลายทางที่ตั้งไว้เป็นสำนักไตรเวชศาสตร์ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองจันทร์กระจ่าง ตอนที่หลบหนีมาจึงมุ่งหน้าสู่ทางทิศใต้ไม่หักเหไปทางอื่น แต่ใครจะคาดคิดว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับเขาเช่นนี้

             “โธ่…สวรรค์ท่านกลับสร้างหน้าผาสูงชันและลำน้ำเชี่ยวกรากนั้นมาขวางกั้นหนทางของข้าเสียได้ แล้วข้าจะข้ามไปอย่างไรเล่า หึ” จ้าวเฟยหลงได้แต่บ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดใจ


            “คงไปต่อไม่ได้แล้วสิเจ้าหัวขโมย!!!”


            จ้าวเฟยหลงได้ยินเสียงจากเบื้องหลัง ถึงกลับต้องร่ำร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจไม่ทันได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม จ้าวเฟยหลงจำต้องพุ่งตัวหลบไปทางซ้ายอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์อันเกรี้ยวกราดที่ถูกปล่อยออกมา


            ตูม!!!


             เสียงระเบิดของพลังดังก้องสะท้านสะเทือน ฝุ่นดินหินฟุ้งกระจาย บริเวณที่จ้าวเฟยหลงเคยยืนอยู่กลับกลายเป็นหลุมลึกเกือบวา หากหลบไม่ทันเกรงว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นคงได้แหลกเหลวเป็นแน่

            จ้าวเฟยหลงเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงแล้วสะกิดปลายเท้ากับโขดหินที่อยู่ด้านข้างเตรียมพุ่งทะยานเหินร่างจากไป หากแต่ก็ทำได้แค่คิด ร่างนั้นจำต้องหยุดชะงักลงเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังแข็งแกร่งที่กดดันคุกคามมาจากด้านหน้า สองขาค่อยๆ ก้าวถอยหลังให้ห่างออกมาจากบุรุษวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนั้น หันกลับไปอีกด้านเห็นบุรุษร่างใหญ่ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าส่งพลังกดดันจนจ้าวเฟยหลงอึดอัด ด้านหน้าก็มีบุรุษหนุ่มชุดสีขาวขลิบเงินผู้นั้นที่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา ด้านหลังก็เป็นหน้าผาไร้หนทางจะไปต่อ

            “เป็นเจ้า!!!”เสียงอุทานด้วยคาดไม่ถึงดังจากปากของบุรุษหนุ่ม

            “ใช่แล้วจะทำไม!!!”

            สิ้นเสียงสองเท้าของจ้าวเฟยหลงพลันเคลื่อนไหวด้วยท่าเท้าเงามายา มองเห็นเงาสีดำวูบวาบไปมาดั่งเงาภูติพราย สองมือกลับซัดเข็มเงินเล่มเล็กหลายสิบเล่มด้วยวิชาซัดขว้างอาวุธลับดาราพร่างพราวออกไปอย่างรวดเร็วดุดัน

            ตูม!!!

            ตูม!!!

            ตูม!!!


            เสียงพลังยุทธ์อันแข็งกร้าวปะทะกันดังสนั่น ร่างของผู้ไล่ล่าทั้งสามถึงกลับเซถลาถอยร่นไปด้วยไม่คาดคิดว่า ผู้ที่พวกเขาไล่ล่ามาตั้งแต่ต้น จะมีพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

             จ้าวเฟยหลงไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาอันดีเช่นนั้นผ่านพ้นไป พลันทะยานเข้าหาบุรุษในชุดบัณฑิตนั้นทันที สองมือผนึกพลังใช้ออกด้วยพลังยุทธ์ของหอพยัคฆ์อัคคี เห็นพลังที่แผ่พุ่งออกไปผนึกเป็นรูปร่างคล้ายดั่งพยัคฆ์เพลิงอันดุร้ายโจนทะยานเข้าหาบัณฑิตผู้นั้นอย่างดุดัน

             ราชันย์ยุทธ์ในชุดบัณฑิตผู้นั้นก็ยอดเยี่ยมยิ่ง กวาดฟาดพัดจีบในมือออกอย่างรวดเร็ว ปล่อยพลังอันหนักหน่วงเข้าต้านทานพยัคฆ์เพลิงดุร้ายนั้นอย่างอาจหาญ

             เพียะ!!!

             ตูม!!!

             เสียงพลังยุทธ์จากพัดกระทบถูกพยัคฆ์เพลิงดั่งสนั่นหวั่นไหว ราชันย์ยุทธ์ผู้นั้นถึงกลับถูกกระแทกถอยร่นไปห้าก้าว อย่างที่ยังไม่มีใครทันคาดคิด จ้าวเฟยหลงอาศัยช่วงเวลาชั่วขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัวนั้น เคลื่อนไหวร่างแผ่วพลิ้วผ่านบัณฑิตผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

             “พลังเพลิงสุริยัน!!!”

              “เขากลับเป็นคนของหอพยัคฆ์อัคคี!!!”

              “เช่นนั้นจึงสมเหตุสมผล ตามไป!!!”

              จ้าวเฟยหลงโคจรลมปราณผนึกฟ้าร่ายท่าเท้าเงามายาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระโดดทะยานร่างไปเหนือยอดไม้มุ่งหน้าต่อไปไม่หยุดหย่อน ข้อดีของลมปราณผนึกฟ้าที่จ้าวเฟยหลงฝึกปรือคือช่วยให้สามารถดึงพลังจากธรรมชาติมาใช้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงทำให้จ้าวเฟยหลงเคลื่อนไหวพลางโคจรลมปราณฟื้นฟูอาการเหนื่อยล้าไปได้บ้าง จนพอที่จะมีกำลังโลดแล่นหลบหนีต่อไป

            เสียงชายเสื้อปะทะลมพรึบพรับจากด้านหลังดังมาให้ได้ยิน จ้าวเฟยหลงหันกลับไปมองถึงกลับใจสั่นสะท้าน เห็นผู้ไล่ล่าทั้งสามนั้นเหินร่างติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ให้ตายเถอะ…พวกนั้นกลับเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมที่สามารถเหาะเหินได้ คงไม่มีใครจะซวยซ้ำซวยซ้อนยิ่งกว่าเจ้าแล้วล่ะเฟยหลง

             จ้าวเฟยหลงเห็นเช่นนั้นพลันผนึกพลังยุทธ์ซัดเข็มเงินออกไปนับสิบเล่ม เข็มเงินที่ห่อหุ้มด้วยพลังเพลิงสุริยันไม่อาจต้านรับได้โดยง่ายแม้จะเป็นผู้มีพลังยุทธ์ระดับสูงเหล่านั้น เห็นผู้ไล่ล่าทั้งสามหยุดชะงักเท้าลงพลางผลึกพลังยุทธ์ต้านรับเข็มเพลิงสุริยันเหล่านั้นเอาไว้

              ตูม!!!

              ตูม!!!

              ตูม!!!

              เพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว จ้าวเฟยหลงไม่รีรอลังเลเร่งเร้าลมปราณร่ายท่าเท้าเงามายาจนถึงขีดสุดเหินร่างพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วดุจดั่งธนูหลุดจากแล่ง เพียงชั่วพริบตาก็หายลับกับทิวไม้เบื้องหน้าไป

             “ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสนใจยิ่งนัก” บุรุษหนุ่มชุดขาวขลิบเงินพึมพำแผ่วเบา พลางก้มลงมองเข็มเงินเล่มเล็กในมือ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ด้วยความพึงพอใจ

            “องค์ชายพวกเราจะติดตามต่อไปหรือไม่” บุรุษในชุดบัณฑิตเอ่ยถามขึ้น

             “ไม่ต้องตามแล้ว ข้ารู้สึกว่าพวกเราจะต้องได้พบกับเด็กน้อยคนนั้นอีกครั้งในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน ไว้ถึงตอนนั้นข้าจะคิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอกให้สาสม พวกเราเดินทางไปยังดินแดนเทวะอัคคีตามกำหนดเดิมเถอะ”

             “ขอรับ องค์ชาย”

              จ้าวเฟยหลงยังคงทะยานร่างมุ่งหน้าต่อไปไม่กล้าหยุดพัก จนเวลาผ่านไปได้หลายชั่วยามและอยู่ห่างจากจุดที่ปะทะกันมาไกลโขจึงหยุดยั้งลงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เขาไม่เคยต้องหนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้นับเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้จ้าวเฟยหลงได้รู้ซึ้งกับคำเตือนที่มีคนเคยบอกว่า อย่าไปแหย่รังแตน นั้นมีความหมายว่าเช่นไร

             จากดึกดื่นค่อนคืนจนถึงตอนนี้ เวลาล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์ดวงโตกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปอีกครั้ง จ้าวเฟยหลงปล่อยพลังยุทธ์ออกสำรวจบริเวณโดยรอบในรัศมีทั้งใกล้ไกล ผ่านไปสักพักก็ทอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงพลังยุทธ์ของผู้ที่ไล่ล่าติดตามมา จ้าวเฟยหลงถึงกับปล่อยร่างกระแทกนั่งแผ่หลาลงบนพื้นด้วยความเหนื่อยล้าหิวโหย หากแต่ก็ยังไม่อาจจะพักได้

              สำหรับผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้นเมื่อต้องฝืนใช้พลังยุทธ์จนเกินขีดกำจัดของตนเองไป จำต้องฝึกฝนทบทวนเคลื่อนพลังยุทธ์ไปตามจุดโพรงต่างๆ ในร่างกายตามแนวทางของตนเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายลงก่อน จึงจะสามารถพักผ่อนได้ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นเหตุให้ระดับของพลังยุทธ์ถดถอย หากแต่ที่นี่ไม่เหมาะที่จะหยุดพักเพื่อฝึกฝนพลังยุทธ์ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงก็ยันกายลุกขึ้น ค่อยๆ ลากเท้ามุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าที่ได้ยินเสียงสายน้ำกระแทกโขดหินดังโครมๆ มาแต่ไกล คาดว่าจะเป็นน้ำตกแห่งหนึ่งจ้าวเฟยหลงคิด

              เบื้องหน้าของจ้าวเฟยหลงเป็นน้ำตกสูงชันนับร้อยวา เห็นสายน้ำยาวขาวฟูฟ่องทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาลูงสิบลิ่ว ผ่านร่องผาหินสีเทาครึ้มลงมาไม่ขาดสาย สายน้ำเย็นหลั่งไหลกระแทกผาหินข้างเคียงจนน้ำใสกระเซ็นเป็นฟูฝอย ถูกลมพัดต้องกายจ้าวเฟยหลงจนสั่นสะท้าน ด้านข้างเป็นหมู่แมกไม้เขียวขจี แม้แสงอาทิตย์จะลาลับไปมีเพียงแสงจันทร์แต่ยังทำให้จ้าวเฟยหลงสัมผัสได้ถึงความงดงามยิ่งใหญ่ของน้ำตกเบื้องหน้า

               หากแต่จ้าวเฟยหลงก็ไม่มีเวลาชื่นชมกับความงดงามของน้ำตกเบื้องหน้านานนัก รีบหาซอกหน้าผาห่างจากน้ำตกไม่ไกลนักทรุดกายนั่งลงเคลื่อนพลังยุทธ์ตามแนวทางของพลังเพลิงสุริยันเพื่อผ่อนคลายร่างกายที่อ่อนล้าทันที เคลื่อนพลังยุทธ์ไปได้สักพักจ้าวเฟยหลงก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแปลบปลาบที่แล่นเข้าสู้เส้นประสาทความรู้สึก ในขณะที่เส้นเลือดตามแขนขาปูดโปนขึ้นมาเต้นตุบๆ อย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้าสุดขีดของร่างกายอย่างชัดเจน ช่างน่าหวุดหวิดหวาดเสียวยิ่งนัก

              หากต้องทนฝืนใช้พลังยุทธ์ต่อไปเช่นนี้อีกสักพักมีความหวังเขาต้องบาดเจ็บบอบซ้ำจนพลังยุทธ์ถดถอยเป็นแน่ นี่ขนาดเขาให้ทั้งพลังยุทธ์เพลิงสุริยันและวิทยายุทธ์โบราณ อีกทั้งยังเคลื่อนไหวด้วยลมปราณผนึกฟ้ายังเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ การรับมือการผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับสูงถึงสามคนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยให้ตายเถอะ ภายใต้บรรยากาศอันเย็นเยียบข้างน้ำตกลมหายใจกระชั้นถี่ของจ้าวเฟยหลงค่อยๆ สงบลง ร่างกายนิ่งสงบตกอยู่ในภวังค์ของการฝึกฝนโคจรพลังยุทธ์

             แสงแดดยามเช้าค่อยๆ ทอแสง เห็นฝูงผีเสื้อนับร้อยนับพันบินล้อเล่นดมดอมดอกไม้หลากสีดูละลานตาเสียงน้ำตกจากหน้าผาสูงกระแทกโขดหินปลุกจ้าวเฟยหลงให้ตื่นจากภวังค์แห่งการฝึกตน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดออกจับจ้องมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ดูงดงามเป็นพิเศษ ลายลมเบาๆ เคลื่อนผ่านพัดปอยผมยาวปลิวปรกหน้างาม จ้าวเฟยหลงยกมือปัดออกแล้วกระโดดลุกขึ้นยืนหยัดอยู่บนโขดหิน สายตาจับจ้องมองแผ่นฟ้ากว้างเบื้องหน้าร้องตะโกนกู่ก้องดังกังวาน เสียงสะท้อนดังสะท้านยาวนาน ฝูงนกกาแตกตื่นบินพรึบพรับขึ้นจากยอดไม้ด้วยความตระหนก

             จ้าวเฟยหลงหัวร่อฮ่าๆ อย่างบ้าคลั่งด้วยความยินดี แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากของการหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากมีผลรับที่ไม่คาดหมาย หลังจากฝึกฝนโคจรพลังยุทธ์ผ่านไปหลายรอบจ้าวเฟยหลงกลับสามารถทะลวงเปิดจุดในร่างกายจนมีความก้าวหน้าในการฝึกพลังยุทธ์อย่างไม่นึกไม่ฝันมาก่อน

               จากเดิมที่มีระดับพลังยุทธ์อยู่ในระดับราชันย์ขั้นต้น ตอนนี้กลับสามารถข้ามผ่านไปอีกหนึ่งระดับ ตอนนี้เขากลับมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับราชันย์ขั้นสูง จะไม่ให้เขาแตกตื่นยินดีได้อย่างไร นอกจากนั้นลมปราณผนึกฟ้าที่เขาฝึกปรือก็มีความก้าวหน้าเช่นกันจนถึงตอนนี้เขามีพลังวัตรเทียบเท่าคนที่ฝึกลมปราณมาเจ็ดสิบปีเลยทีเดียว

               “เหอะ พบเจอพวกท่านอีกครั้ง ข้าคงไม่ต้องหลบหนีแล้ว ฮ่าๆๆ” จ้าวเฟยหลงกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี สองมือร่ายวิทยายุทธ์โบราณโบราณด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เห็นเงาฝ่ามือฉวัดเฉวียนไปมาดูละลานตา ส่วนเท้าก็ร่ายออกด้วยท่าเท้าเงามายา กลับเคลื่อนไหวกลมกลืนกับเพลงฝ่ามือสุริยันบรรจบฟ้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นับว่ามีความก้าวหน้าในวิทยายุทธ์ไปอีกขั้น ฉับพลันนั้นก็จ้าวเฟยหลงหยุดชะงักลงไปครู่หนึ่งสองคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกับว่าฉุกใจได้คิดในสิ่งใด

               จ้าวเฟยหลงพลันผนึกพลังยุทธ์ด้วยพลังเพลิงสุริยันลงที่สองมือหากแต่ยังคงร่ายออกด้วยเพลงฝ่ามือสุริยันบรรจบฟ้าหากแต่เปลี่ยนจากการใช้ออกด้วยพลังลมปราณเป็นใช้ออกด้วยพลังยุทธ์แทน คลื่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงพลันพวยพุ่งออกจากสองมือนั้น จ้าวเฟยหลงพลันตวัดซัดฝ่ามือใส่โขดหินเบื้องหน้าในทันที

              ตูม!!!

              ตูม!!!

              เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหว โขดหินนั้นถึงกับถูกระเบิดจนแตกสลายกลายเป็นเศษหินก้อนเล็กก้อนน้อยในชั่วพริบตา

               อา… จ้าวเฟยหลงอุทานอย่างคาดคิดไม่ถึง

               การต่อสู้ด้วยพลังยุทธ์แต่เดิมนั้นเป็นการต่อสู้ปะทะกันด้วยความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์โดยตรง ไม่มีความพลิกแพลงมากนัก เป็นเพียงการต่อสู้โดยใช้เคล็ดวิชาหรือพลังของสรรพาวุธขึ้นสูงปะทะต่อสู้กัน ผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งจึงมักจะได้เปรียบ ผู้คนจึงต้องขวนขวายหาทางยกระดับพลังยุทธ์ของตนเองให้สูงขึ้น เพื่อให้มีเปรียบในการต่อสู้นั่นเอง หากแต่การต่อสู้ด้วยวิทยายุทธ์แต่โบราณนั้นนอกจากพลังลมปราณที่เข้มแข็งแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่จะทำให้มีเปรียบในการต่อสู้ เช่นความแข็งแกร่งของวิทยายุทธ์ ความพลิกแพลงของเคล็ดวิชา ความยอดเยี่ยมของอาวุธที่ใช้ เป็นต้น

                เช่นนั้นเป็นว่าหากจ้าวเฟยหลงสามารถผนึกรวมใช้เคล็ดวิชาของวิทยายุทธ์โบราณออกด้วยพลังยุทธ์ แม้จะมีความแตกต่างกันของระดับพลังยุทธ์ แต่ความพลิกแพลงและความยอดเยี่ยมของเคล็ดวิชาที่ใช้ก็จะช่วยลดความต่างชั้นนั้นลงและช่วยให้มีเปรียบในการต่อสู้ได้บ้าง ไม่ใช่ปิดประตูแห่งชัยชนะเพราะพลังยุทธ์ด้อยกว่าอย่างเช่นที่ผ่านมา

               โอ…หากทำสำเร็จจ้าวเฟยหลงจะกลายเป็นผู้บุกเบิกหนทางสายใหม่สู่การเป็นผู้แข็งแกร่งบนปฐพีแห่งนี้เลยทีเดียว

               จ้าวเฟยหลงยืนนิ่งครุ่นคิดอย่างตั้งใจ เวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดดอก เห็นรอยยิ้มจุดขึ้นตรงมุมปากเรียวงาม แววตาฉายชัดให้เห็นถึงความยินดี

-----------------------------------------------------------------------

เฟยหลงยังเด็กก็มีซุกซนบ้างเป็นธรรมดา อิอิอิอิ

เอาใจช่วยยเฟยหลงน้อยด้วยนะ

ไม่รู้จะได้เจอพ่อหนุ่มรูปงามคนนั้นอีกเมื่อไหร่

 o18 o18 o18

ชอบไม่ชอบ ยังไง บอกได้นะทุกคนนนนน

ส่วนที่ถามว่านายเอกจะท้องไหม บอกเลยว่าไม่จ้าาาาาา
[/color]
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-05-2016 21:59:35
หนูจ้าวซนน่าดู ไปขโมยขององค์ชายมาระวังเขาจะคิดค่าเสียหายเอานะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 04-05-2016 22:14:40
อุ๊ย!  องค์ชายเป็นพระเอกแน่เลย. ไม่รู้อะ เซนส์บอกว่าคนนี้แหละ ฮิๆ #ทีมเฟยหลง#ทีมองค์ชาย :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-05-2016 23:41:25
นั้น!! เก่งไปอีกคะลูก หวังว่าจะไม่เกินขีดตัวเองน้า
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 04-05-2016 23:50:05
เฟยหลงเด็กน้อยยย เดี๋ยวเถอะ ซนมากๆ เดี๋ยวองค์ชายมาตีก้นไม่รู้ด้วยนะ5555
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 05-05-2016 02:13:24
โดนทบต้นทบดอกจนอ่วมแน่
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 05-05-2016 03:07:25
ซนใช่เล่นเลยนะน้องเฟยหลง คนไล่ตามเจ็บใจแย่เลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-05-2016 05:02:07
องค์ชายนี่สนใจเฟยหลงใช่ไหมล้าาา
เฟยหลงคือเก่งไปอีกกก ถ้าฝึกเยอะๆกว่านี้มีสิทธิอาจเก่งกว่าองค์ชายเลยนะเนี่ย อายุยังน้อย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 05-05-2016 13:12:48
ว่าจะรอให้ผ่านไปหลายๆตอนค่อยอ่านมันอดไม่ไหวววว เป็นสไตล์ที่ชอบและพอจะเดาเรื่องออกลางๆ เขียนได้สนุกค่ะ ชอบมากกก ขออย่างเดียวมาต่อให้จบนะห้ามหายยยย  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 05-05-2016 14:45:26
อย่างน้อยก็ได้บทเรียนว่าจะขโมยของใครต้องดูพลังยุทธ์ของคนๆนั้นก่อน
ไม่งั้นอาจต้องหนีหางจุกตูได้ ถถถถถ เฟยหลงเอ้ย ซนเป็นเด็กๆเลยนะหนู
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 05-05-2016 19:49:11
เฟยหลงนะ เฟยหลง ซนจิงๆ
มันน่าโดนใครจับมากำหราบสักคน..อย่างเช่น องค์ชาย 5555555555
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 7 (04/05/2016) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 05-05-2016 19:59:17
เฟยหลง  ระวังถูกองค์ชายกดไม่รู้ตัวนะ  เล่นซุกซนเข้าไปเถอะ   :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 06-05-2016 20:58:13
บทที่ 8   เมืองหลวงดินแดนเทวะอัคคี

            ดินแดนเทวะอัคคีตั้งอยู่ทิศใต้ของดินแดนฟ้าไพศาล มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสามรองจากดินแดนวายุอัสนีและดินแดนฟ้าไพศาล หากแต่เมื่อพูดถึงความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งร่ำรวยแล้วถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนทั้งเจ็ด ทั้งนี้เนื่องจากดินแดนเทวะอัคคีอยู่ติดกับดินแดนหมื่นอสูรอันเป็นที่ชุมนุมของเหล่าสัตว์อสูรนานาชนิด สมาคมนักล่าสัตว์อสูรจึงเลือกดินแดนแห่งนี้เป็นตลาดกลางสำหรับซื้อหาแลกเปลี่ยนผลึกธาตุสัตว์อสูรและวัตถุธาตุสัตว์อสูรอื่นๆ อีกทั้งยังมีสำนักแพทย์โอสถหลวงที่ตั้งสำนักใหญ่ในดินแดนแห่งนี้เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีแหล่งวัตถุดิบอย่างดีสำหรับการปรุงกลั่นโอสถครบถ้วน ส่งผลให้ดินแดนเทวะอัคคีเป็นตลาดสำคัญในการจัดจำหน่ายยาวิเศษซึ่งมีสรรพคุณต่างๆ อันเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกพลังยุทธ์ทั้งหลาย เช่นยาสำหรับเพิ่มพลัง ยาหลอมรวมพลัง ยาฟื้นฟูพลัง เป็นต้น

            นอกจากนั้นยังมีสำนักงานใหญ่ของสหพันธ์วานิชมังกรทองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลที่มั่งคั่งที่สุดในแผ่นดินตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองหลวงของดินแดนเทวะอัคคีกลายเป็นจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของแผ่นดินไปโดยปริยาย จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางเข้าออกเมืองหลวงแห่งนี้กันอย่างพลุกพล่านหากไม่มีการจัดการที่ดีเกรงว่าคงจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายแต่ด้วยความรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดและความมั่งคั่งจนน่าริษยา ดินแดนแห่งนี้ย่อมเป็นที่หมายปองของดินแดนอื่นๆ หากแต่ก็ยังไม่มีดินแดนใดอาจหาญล่วงล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ของดินแดนเทวะอัคคี ทั้งนี้เนื่องจากหวั่นเกรงในอิทธิพลของกองกำลังพยัคฆ์ทมิฬ ซึ่งเป็นกองกำลังปกป้องดินแดนที่มีแสนยานุภาพอันยิ่งใหญ่

             กองกำลังพยัคฆ์ทมิฬ หาใช่ชื่อเรียกขานเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามแต่เพียงเท่านั้น หากแต่กองกำลังพยัคฆ์ทมิฬเรียกขานตามนามของ พยัคฆ์ทมิฬ สัตว์อสูรดินแดนระดับห้าซึ่งเป็นพาหนะของกำลังขบวนนี้

            ใช่แล้ว!!! กองกำลังนี้ถึงกับใช้สัตว์อสูรประเภทพยัคฆ์เป็นพาหนะ

            พยัคฆ์ทมิฬเป็นสัตว์อสูรธาตุไฟที่ดุร้าย เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หากเป็นตัวที่เติบโตเต็มวัยที่มีความแข็งแกร่งและได้รับการเสริมพลังธาตุอย่างเพียงพอแล้วยังสามารถพ่นไฟได้ เพียงแค่นี้ก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะมีผู้ใดต่อต้านได้แล้ว

            หากแต่การควบคุมสัตว์อสูรที่ดุร้ายเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดินแดนเทวะอัคคีโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากหอพยัคฆ์อัคคีซึ่งมีสำนักใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้และมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นคอยให้ความช่วยเหลือในการควบคุมและฝึกฝนกองกำลังพยัคฆ์ทมิฬให้สามารถรุกเข้าโจมตีหรือล่าถอยเพื่อตั้งรับได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผน แค่คิดดูว่าในการต่อสู้ หากต้องเผชิญกับกองกำลังของพยัคฆ์นับร้อยนับพันตัวที่โจนทะยานเข้ามา ข้าศึกคงได้ขวัญหนีดีฝ่อแตกพ่ายไม่เป็นขบวนทั้งที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้เป็นแน่
   
            สายลมพัดโชยใบไม้ร่วงปลิวพลิ้วไปตามลม ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความคึกคักพลุ่กพล่าน เห็นผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ตามถนนหนทาง บ้างก็แวะดูสินค้ามากมายที่จัดวางไว้ตามแผงทั้งสองข้างทาง บ้างก็หยุดทักทายคนรู้จักที่บังเอิญพบเจอกันส่งเสียงจอกแจกจอแจอย่างมีชีวิตชีวา

            “อา…ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้”เด็กชายตัวน้อยอายุประมาณสิบปีร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น

            “มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น” อีกเสียงดังมาจากคนที่อายุน้อยกว่าคนแรกสักปีสองปี

            “ห้ามพวกเจ้าวิ่งเพ่นพ่านไปไหน ไม่เช่นนั้นอาจจะพลัดหลงกันได้” เด็กผู้ชายที่โตที่สุดรีบบอก

            “พวกเจ้าหิวกันแล้วหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะพาไปรับประทานที่ร้านข้างหน้านั่น แต่ก่อนอื่นข้าว่าพวกเราไปหาชุดใหม่ผลัดเปลี่ยนกันก่อนดีกว่า” อีกเสียงดังมาจากเด็กหนุ่มในชุดสีเหลืองขลิบทอง ใบหน้าเรียวงามเป็นจ้าวเฟยหลงนั่นเอง

            หลังจากที่หยุดฝึกฝนพลังยุทธ์ที่ข้างน้ำตกในป่านั้นหนึ่งวัน จ้าวเฟยหลงก็ออกเดินทางโดยมุ่งหน้าสู่ทางทิศใต้อย่างไม่รีบร้อน ระหว่างเดินทางก็ตกผลึกความคิดของการหลอมรวมวิทยายุทธ์โบราณกับพลังยุทธ์พบกับความสำเร็จในระดับหนึ่ง แม้จะไม่สมบูรณ์นักแต่ก็ถือว่าได้บุกเบิกหนทางใหม่ขึ้นมาอีกสายหนึ่ง จ้าวเฟยหลงจึงเดินทางพลางฝึกฝนไปด้วยความยินดี


             ขณะที่กำลังเดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนระหว่างดินแดนฟ้าไพศาลกับดินแดนเทวะอัคคีนั้น จ้าวเฟยหลงพลันได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นผสานกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเด็กผู้ชายสองเสียง จ้าวเฟยหลงไม่รอช้ามุ่งตรงตามเสียงไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับโกรธจัด ที่เบื้องหน้าเห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังหวดไม้พลองด้ามใหญ่ใส่ร่างของเด็กน้อยวัยสิบสองปีผู้หนึ่งอย่างดุดัน

             ในขณะที่ในอ้อมแขนของเด็กคนนั้นพยายามโอบกอดปกป้องร่างของเด็กชายที่อายุน้อยกว่าสองคนไว้อย่างเต็มกำลัง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากเด็กชายสองคนในอ้อมกอดนั้น ทุกครั้งที่ไม้พลองหวดฟาดลงมาเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดใจก็ดังมาจากเด็กน้อยในอ้อมกอดนั้น เรียงร้องห้ามปรามไม่ให้ทุบตีก็ล้วนแต่ดังมาจากปากของผู้ได้รับการปกป้อง ในขณะที่เด็กผู้ชายที่โดนหวดฟาดกลับได้แต่กัดฟันรับไว้โดยไม่มีเสียงร้องหลุดรอดออกจากปากให้ได้ยินสักแอะ ผู้คนเกือบสิบคนที่มุงดูอยู่ล้วนแต่มองด้วยแววตาเฉยเมยไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเข้ามาห้ามปราม

             จ้าวเฟยหลงเห็นเช่นนั้นพลันทะยานเข้าไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ตวัดฝ่ามือฟาดใส่ไม้พลองด้ามนั้นจนหักท่อน ยกเท้ายันโครมเข้าใส่บุรุษดุดันผู้นั้นจนกระเด็นกระดอนล้มกลิ้งไปอย่างไม่เป็นท่า ฝูงชนที่รุมล้อมอยู่พลันแตกฮือออก มีบุรุษหลายคนกระโจนเข้าหาหวังจะจับตัวเอาไว้ จ้าวเฟยหลงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านช่องว่างระหว่างคนเหล่านั้นสองมือกราดฟาดออกอย่างหนักหน่วง เพราะรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีพลังยุทธ์เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นจึงไม่ได้ผนึกพลังลงไป เพียงครู่เดียวก็กราดฟาดจนพวกนั้นลมกลิ้งระเนระนาดอยู่บนพื้น ผู้คนที่จ้องมองดูอยู่ได้แต่เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ยืนหยัดนิ่งไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้ามาอีก

             หลังจากสืบสาวราวเรื่องได้ความว่าเด็กชายทั้งสามเป็นกำพร้าที่บิดามารดาเพิ่งเสียชีวิตจากโรคระบาดเมื่อสองเดือนก่อน ทิ้งเด็กน้อยทั้งสามให้ต้องเผชิญชะตากรรมบนโลกอันแสนโหดร้ายนี้ตั้งแต่เยาว์วัย สามพี่น้องนั้นพี่ชายคนโตหลินซี มีอายุเพียงสิบสองปี คนที่สองเป็นหลินซู ที่มีอายุเพียงสิบปี ส่วนน้องเล็กสุดมีอายุเพียงเก้าปีชื่อว่าหลินซินอี้ ทั้งสามไร้ญาติขาดมิตรผู้เป็นพี่ชายต้องดิ้นรนหาเลี้ยงน้องทั้งสองด้วยความลำบาก

             วันนี้ขณะที่พี่ชายคนโตออกไปหาของป่าเพื่อให้น้องทั้งสองได้รับประทานนั้น หลินซินอี้น้องเล็กก็หิวโหยจนทนไม่ไหว หลินซูเห็นเช่นนั้นด้วยความสงสารน้องชายสุดใจจึงปีนป่ายเข้าไปขโมยอาหารจากบ้านเรือนผู้มีอันจะกินที่อยู่ไม่ไกลนัก หากแต่โชคไม่เข้าข้างถูกจับได้แล้วนำมาฟาดโดยลงโทษอยู่ที่ลานหน้าบ้านหลังนั้น เมื่อหลินซีกลับมาพบเจอก็โดดเข้าปกป้องน้องชายทั้งสองอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งได้จ้าวเฟยหลงโดดเข้าช่วยเหลือ

              จ้าวเฟยหลงเมื่อช่วยสามพี่น้องออกมาก็หาข้าวปลาอาหารให้รับประทานจนอิ่มหนำ ตอนแรกคิดว่าจะมอบเงินให้สักก้อนเพื่อเป็นทุนรอนในการเลี้ยงชีพ หากแต่สามพี่น้องนั้นกลับนับถือเขาเป็นผู้มีพระคุณอาสาติดตามรับใช้เพื่อทดแทนบุญคุณที่ให้การช่วยเหลือ จ้าวเฟยหลงไม่อาจปฏิเสธในความจริงใจของพวกเขาได้จึงให้ติดตามมา

               ระหว่างทางจ้าวเฟยหลงทดสอบตรวจดูพลังยุทธ์ในร่างของทั้งสามพบว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่มีพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นต้นสามารถที่จะฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ แต่ที่น่าประหลาดกลับเป็นว่าพวกเขาสามพี่น้องล้วนมีพลังธาตุก่อกำเนิดที่แตกต่างกันทั้งหมด หลินซีพี่ชายคนโตมีพลังก่อกำเนิดธาตุดิน หลินซูคนรองมีพลังก่อกำเนิดธาตุน้ำ ส่วนหลินซินอี้น้องชายคนเล็กกลับมีพลังก่อกำเนิดธาตุลม ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟยหลงที่ฝึกปรือพลังยุทธ์ธาตุไฟจึงไม่อาจแนะนำพวกเขาในการฝึกฝนพลังยุทธ์ได้มากนัก ทำได้เพียงถ่ายทอดเคล็ดการฝึกพลังยุทธ์ขั้นพื้นฐานตามธาตุของแต่ละคนซึ่งเคยอ่านผ่านตาในหอหมื่นอักษรให้และถ่ายทอดวิธีการสั่งสมลมปราณผนึกฟ้าพร้อมทั้งสอนท่าเท้าเงามายาเพื่อใช้หลบเลี่ยงเพื่อต้องเผชิญกับศัตรู

                จากที่จะใช้เวลาเดินทางไปถึงเมืองหลวงดินแดนเทวะอัคคีภายในหนึ่งวัน กลับต้องยืดเวลาออกไปจนกระทั่งเจ็ดวันให้หลังพวกเขาจึงเดินทางถึงจุดหมาย ตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกัน ด้วยจ้าวเฟยหลงเป็นน้องเล็กที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากพี่ๆ มาตลอดจึงรู้สึกรักและผูกพันกับพี่น้องทั้งสามยิ่งนัก ในขณะที่สามพี่น้องก็รักเคารพและเชื่อฟังจ้าวเฟยหลง ความรักความผูกพันของพวกเขาทั้งสี่จึงเกิดขึ้นในลักษณะนี้

              จ้าวเฟยหลงเดินนำออกมาจากร้านค้าแพรพรรณ ด้านหลังติดตามด้วยสามพี่น้องตระกูลหลินที่เมื่อได้ผลัดเปลี่ยนสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่จากยาจกผู้ยากไร้ก็กลับกลายเป็นคุณชายน้อยรูปงาม เรียกสายตาผู้เดินผ่านไปผ่านมาให้จับจ้องมองดูด้วยความชื่นชม หลินซีอยู่ในชุดสีเทารับกับรูปร่างที่กำลังเติบโตนั้นยิ่งนัก วงหน้าคมคายฉายแววหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัย หลินซูสวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้มคับเน้นใบหน้าขาวผ่องงดงามนั้นให้โดดเด่น ดวงตาเรียวคมสวย จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปปากบาง ส่วนน้องชายคนเล็กหลินซินอี้อยู่ในชุดสีขาว ขับเน้นใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้นให้น่ารักน่าเอ็นดูเป็นทวีคูณ

               สองเท้าของจ้าวเฟยหลงมุ่งตรงมายังเหลาตะวันฉายซึ่งพนักงานของร้านแพรพรรณแนะนำว่าเป็นเหลาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแห่งนี้ทันทีเห็นผู้คนเดินเข้าออกจากเหลามากหน้าหลายตาแสดงว่าได้รับความความนิยมจากผู้คนอย่างแท้จริงโชคดีที่ชั้นบนสุดของเหลายังพอมีที่ว่าง จ้าวเฟยหลงจึงเดินนำสามพี่น้องขึ้นไปอย่างไม่รีรอ

                 ทันทีที่ก้าวไปถึงทุกสายตาบนนั้นพลันจับจ้องมองมาที่พวกเขาทันที ทุกสิ่งพลันหยุดชะงักราวกับว่าถูกจี้สกัดจุดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว บ้างก็ตะลึงงันในความงดงามสมบูรณ์แบบของทั้งพวกเขาสี่จนปากอ้าตาค้าง บ้างก็ถึงกลับมือไม้อ่อนตะเกียบร่วงกราวหลุดจากมือ จ้าวเฟยหลงทำเพียงกวาดรอยยิ้มให้พวกเขาไปอย่างไม่สะทกสะท้าน หากแต่สามพี่น้องตระกูลหลินกลับประหม่าจนไม่กล้าก้าวเดินต่อ

            เดินหน้าไปได้เพียงสองก้าวจ้าวเฟยหลงจำต้องหยุดชะงักลง สายตาจ้องประสานกับดวงตาคมดุที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ในใจได้แต่กล่นด่าสาปแช่งโชคชะตาที่มักจะเล่นตลกกับเขาเสมอ


             คำว่า“คู่อริหนทางคับแคบ”เป็นเช่นนี้เอง


-------------------------------------------------------------------


ในที่สุดก็เจอกันอีกครั้งงงงงงงง  ....

หวังว่าเฟยหลงน้อยจะอยู่รอดปลอดภัยนะ

 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 06-05-2016 21:18:24
ขอให้โดนองค์ชายตี 5555
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 06-05-2016 21:33:28
^เม้นท์บน ตีด้วยปากสินะ อร๊ายยยย~~>////<
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 06-05-2016 21:45:02
 :laugh: :laugh: :laugh: หงอคงตีลังกาหมื่นลี้ก็ยังหนีไม่พ้นหัตถ์พระยูไล
555 นับว่าเป็นคู่แค้นหนทางคับแคบจริง ๆ ด้วย  :m20: :jul3: :m20:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 06-05-2016 23:26:01
คำกล่าวที่ว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอนี่คือเรื่องจริงแบบ10000%เลย
พิสูทธิ์ดูได้จากการที่น้องเฟยหลงอยู่ๆก็บังเอิญเจอองค์ชาย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-05-2016 00:51:57
สั้นปายยยยย!! เค้าจะเอาอีก
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: roseouioui ที่ 07-05-2016 00:55:01
สนุกกกกก เจอกันอีกแล้วซินะ 555
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 07-05-2016 01:55:48
ชอบค่ะ สำนวนดีมากแต่ยังต้องปรับอีกนิด

ข้อมูลพื้นฐาน ใส่ตอนเหตุการณ์ปกติจะดีมากค่ะ

หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-05-2016 06:50:09
 o13
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 07-05-2016 07:11:26
เค้าเรียกว่า "ดวงสมพงศ์กัน" ไม่ก้อ "บุพเพสันนิวาศ"
นะจ๊ะเฟยหลง >\\\\<
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 07-05-2016 08:02:25
เอาแล้วววววว ! เด็กดื้อจะโดนทำโทษไหมนะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 07-05-2016 09:20:45
อ่าวๆเจอกันอีกครั้งแล้วองค์ชายจะปล่อยให้หลุดมือหรือ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-05-2016 09:39:50
บุพเพอาละวาด :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 09-05-2016 16:15:33
จะโดนลงโทษยังไงน้าาาาา

รอติดตามครับ

(แอบจินตนาการไปไกลหึหึหึ)

หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 09-05-2016 18:50:16
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 8 (06/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ~tai~ ที่ 10-05-2016 11:54:21
อืม... จะเชียร์ใครดีนะ  คู่อริ ศิษย์พี่ สมุนตัวน้อย เลือกไม่ถูก :serius2:
หรือฮาเร็มไปเลยดี  :z1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 10-05-2016 19:34:42
ตอนที่ 9  เผชิญหน้า

            โต๊ะริมหน้าต่างนั้นนั่งไว้ด้วยบุรุษสามคน เป็นบุรุษหนุ่มในชุดสีขาวขลิบเงินดุจคุณชายผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นกับผู้ติดตามทั้งสอง ซึ่งเป็นเจ้าของผลึกธาตุกิเลนเพลิงที่เคยพบกันที่เมืองจันทร์กระจ่างนั่นเอง จ้าวเฟยหลงกลอกตาไปมาตลบหนึ่งพลันฉีกรอยยิ้มขึ้นแต้มเต็มใบหน้างาม สาวเท้าเข้าหาคนทั้งสามนั้นทันทีคิดว่าข้าจะเกรงกลัวพวกท่านเช่นนั้นหรือ ฝันไปเถอะ หึ!

             “อา…ได้พบเจอกันสักครั้งนับเป็นวาสนา แต่พวกเราได้พบเจอกันครั้งแล้วครั้งเล่าถือเป็นโชคชะตานำพาให้พานพบอีกทั้งวันนี้ยังบังเอิญได้พบเจอกันอีก ให้ข้าได้มีโอกาสเลี้ยงสุราอาหารพวกท่าน ถือเป็นการขอขมาในการไม่รู้ความของข้าได้หรือไม่”

            จ้าวเฟยหลงพูดพลางส่งยิ้มพิมพ์ใจอันงามหยดย้อยให้ สายตาพลันสบเข้ากับดวงตาคมดุของชายหนุ่มชุดขาวขลิบเงินที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ประกายตานั้นสวยงามดุจดั่งอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดบนผืนแผ่นดิน จ้าวเฟยหลงถึงกับในเต้นตึกตักราวกับว่ามีกองมโหรีมาบรรเลงอยู่ภายในนั้น จำต้องรีบรั้งสายตากลับมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

            “จ…เจ้า” บุรุษในชุดบัณฑิตที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะ ถลึงตาจ้องมองจ้าวเฟยหลงอย่างดุดัน เหมือนจะเอ่ยปากพูดสิ่งใดหากแต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสบเข้ากับสายตาดุจจะห้ามปรามของชายหนุ่ม

            “หากเจ้ามีความจริงใจ ไหนเลยจะไม่ได้” เสียงนุ่มทุ้มน่าฟังดังขึ้นจากปากชายหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ บนใบหน้าคมคายนั้น เป็นรอยยิ้มบางเบาที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ เป็นรอยยิ้มที่เจือด้วยเสน่ห์อันแสนจะเย้ายวนใจ จ้าวเฟยหลงถึงกับถูกสะกดตรึงตราจับจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่อาจละสายตา

             “พี่ใหญ่!ท่านเป็นไรไปหรือ” หลินซินอี้จับแขนจ้าวเฟยหลงพลางร้องเรียกแผ่วเบา

              “อา…” จ้าวเฟยหลงสะท้านตื่นจากอาการหวั่นไหวในใจยังสั่นรัวไม่หายหันไปเห็นเป็นสามพี่น้องตระกูลหลินที่เดินตามมายืนอยู่เคียงข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สายตาทั้งสามคู่มองมายังเขาด้วยความเป็นห่วง หางตาเหลือบเห็นชายหนุ่มผู้นั้นเหมือนจะกลั้นยิ้มอย่างยากเย็น

             “นี่!!!พวกท่านไม่คิดจะเชิญพวกเราร่วมโต๊ะหรือไรกัน”จ้าวเฟยหลงส่งเสียงดังแก้เก้อ วงหน้าสวยถึงกับขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดูนักในสายตาชายหนุ่ม

              อวี้เหวินหลางลอบมองใบหน้างดงามนั้นด้วยความพึงพอใจ เป็นความพึงพอใจตั้งแต่เมื่อแรกพบสบตาที่เมืองจันทร์กระจ่าง เขาชอบดวงตากลมโตที่สุกใสแวววาวอย่างมีชีวิตชีวานั้นยิ่งนัก

             “เช่นนั้นก็นั่งด้วยกันเถอะ”อวี้เหวินหลางหัวร่อพลางเชิญอีกฝ่ายอย่างนึกขำแกมทึ่งในความใจกล้าของจ้าวเฟยหลง

             ฮึย!!! จ้าวเฟยหลงได้แต่ค้อนให้ฝ่ายนั้นไปทีหนึ่ง พลางเบ้ปากให้อย่างไม่สบอารมณ์ แต่ในสายตาอีกคนกลับน่าดูยิ่ง

            เมื่อเสี่ยวเอ้อจัดที่นั่งเพิ่มให้เสร็จโต๊ะริมหน้าต่างนั้นก็กลายเป็นโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดอีกทั้งยังน่ามองที่สุด ผู้คนที่เดินขึ้นมายังชั้นบนแห่งนี้จำต้องหยุดเท้าลงเหม่อมองมายังโต๊ะนี้อยู่บ่อยครั้ง มีทั้งสายตาของบุรุษที่มองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาเลื่อมใสและมีทั้งสายตาของบรรดาสตรีที่มองตาด้วยความหลงใหล

             หากแต่คนทั้งเจ็ดที่นั่งอยู่กลับไม่ได้รับรู้ถึงแววตาเหล่านั้น เด็กน้อยตระกูลหลินทั้งสามคนตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารอันโอชะบนโต๊ะนั้นด้วยความหิวโหย ส่วนจ้าวเฟยหลงก็คอยคีบอาหารใส่จานให้พวกเขาด้วยความเอ็นดู นานๆ จึงจะคีบใส่ปากรับประทานบ้าง จนลืม “คู่อริ” ทั้งสามที่จ้องมองมาด้วยแววตาแตกต่างกันไป

             “มีอะไร ทำไมจ้องข้าเช่นนั้น” จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามเมื่อเหลือบเห็นสายตาชายหนุ่มที่มองอยู่

             “เจ้าเป็นใครกัน”

             “ข้าจ้าวเฟยหลง ส่วนสามคนนี้หลินซี หลินซูและหลินซินอี้เป็นน้องชายข้าเอง แล้วพวกท่านเป็นใครกัน” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่เอ่ยจากปากเรียวงามนั้นน่าฟังยิ่ง

             “ข้าอวี้เหวินหลาง ส่วนสองคนนี้เป็นหย่งสือกับเหยียนจวิ้น”อวี้เหวินหลางพูดพลางชี้ไปยังผู้ติดตามทั้งสอง คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ดูกล้าแกร่งสมชื่อหย่งสือยิ่ง ส่วนเหยียนจวิ้นเป็นบุรุษในชุดบัณฑิตก็ส่งกลิ่นอายอันเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถดุจดั่งบัณฑิตผู้คงแก่เรียน นับว่าตั้งชื่อได้เหมาะสมนัก จ้าวเฟยหลงคิดค่อนขอดอยู่ในใจ

              ผู้คนที่เคยออกท่องเที่ยวบนผืนแผ่นดินนี้จะทราบว่านามอวี้เหวินหลางผู้นี้มีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งดินแดนวายุอัสนี ดินแดนที่มีพื้นที่และอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนผืนปฐพีแห่งนี้อีกทั้งอวี้เหวินหลางยังได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน

            เขาเกิดมาพร้อมกับพลังก่อกำเนิดระดับสูง เป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชาโดยตรงของประมุขพรรคเทพวายุ พรรคที่ได้ชื่อว่ามีพลังยุทธ์ธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุด ความสำเร็จของเขานับว่าไม่ธรรมดาด้วยวัยเพียงยี่สิบปีเขาสามารถบรรลุถึงระดับมหาราชันย์เป็นที่สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน จนเป็นที่คาดหมายกันว่าอวี้เหวินหลางผู้นี้จะเป็นผู้ที่นำพาพรรคเทพวายุผงาดขึ้นเป็นค่ายพรรคอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินได้ในไม่ช้านี้เป็นแน่ ปัจจุบันอวี้เหวินหลางอายุได้ยี่สิบสี่ปีมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับมหาราชันย์ขั้นต้น นับว่ามีความสำเร็จเหนือกว่าผู้เยาว์ทั้งหลายบนดินแดนทั้งเจ็ดนี้

             “โอ…เขาคือ องค์ชายแห่งสายลมอวี้เหวินหลาง

             “นับว่าสง่างามยิ่งกว่าคำร่ำลือนัก”เสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นจากโต๊ะใกล้เคียง สายตาหลายสิบคู่ลอบมองมายังชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง

              “เจ้ากลับไม่รู้จักข้า?เช่นนั้นเป็นว่าเจ้าคงเพิ่งเคยออกมาท่องเที่ยวแล้ว”อวี้เหวินหลางเอ่ยขึ้นอย่างนึกแปลกใจ เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟยหลงยังคงสนใจอาหารตรงหน้าไม่ได้รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อของเขาเช่นคนอื่นๆ

              “ข้าต้องรู้จักท่านด้วยหรือ” จ้าวเฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คิ้วขมวดครุ่นคิด หรือว่าเขาจะเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ดูจากรูปร่างอันหล่อเหลาสง่างามเช่นนี้ก็อาจจะเป็นไปได้จ้าวเฟยหลงพยายามนึกถึงชื่ออวี้เหวินหลางจากความทรงจำ

             จากเรื่องราวของค่ายพรรคและผู้คนบนแผ่นดินที่อาจารย์เคยเล่าให้ฟังก็ไม่มีชื่อนี้ปรากฏอยู่ หางตาพลันเหลือบไปเห็นสายตาจากโต๊ะข้างเคียงที่มองมายังเขาด้วยแววตาสมเพชในความโง่งมนั้น จ้าวเฟยหลงถึงกับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา หรือข้าจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักเขา


              “องค์รัชทายาทแห่งดินแดนวายุอัสนีให้เกียรติมาเยือนเมืองหลวงดินแดนเทวะอัคคี พวกเราให้การต้อนรับช้าไปต้องขออภัยอย่างยิ่ง” เสียงก้องกังวานดังขึ้นจากบันไดทางขึ้นชั้นบนของเหลาตะวันฉายเรียกสติของจ้าวเฟยหลงกลับมา สิ้นเสียงปรากฏบุรุษหนุ่มในชุดสีเหลืองทองลายกิเลนเดินเข้ามาอย่างองอาจ ด้านหลังเป็นกองกำลังในชุดสีแดงเพลิงที่ทยอยกันผู้คนในห้องนั้นออกไปจนหมดสิ้นคงเหลือแต่เพียงผู้คนบนโต๊ะริมหน้าต่างตัวนั้น

                “พวกเราเพียงเดินทางมาท่องเที่ยวยังดินแดนเทวะอัคคีแห่งนี้ ด้วยเกรงจะเป็นการรบกวนจึงไม่ได้แจ้งให้ทราบต้องขออภัยด้วย วันนี้องค์ชายเสียนหยางถึงกับเดินทางมาด้วยตนเองนับว่าให้เกียรติข้าอวี้เหวินหลางเกินไปแล้ว”เห็นอวี้เหวินหลางลุกขึ้นประสานมือยกยิ้มกล่าววาจากับเสียนหยางอย่างทระนง กิริยาวาจาที่แสดงออกนับว่าเหมาะสมกับศักดิ์ฐานะของรัชทายาทของดินแดนแห่งหนึ่ง

                 “หากไม่ขัดข้องขอเชิญท่านพร้อมด้วยผู้ติดตามไปพำพักที่วังหลวงด้วยกัน องค์ราชาของเราทราบข่าวการมาเยือนของท่านแล้วและกำลังรอคอยท่านอยู่ส่วนศิษย์น้องจ้าวเฟยหลงข้าจะให้คนนำทางเจ้าไปยังสำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคี ศิษย์น้องจินอวี่รอคอยเจ้าอยู่ที่นั่นเนิ่นนานแล้ว”เสียนหยางประสานมือกล่าววาจากับอวี้เหวินหลาง พลางหันมาบอกกล่าวกับจ้าวเฟยหลง
“ท่านคือ???”จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามด้วยสงสัย

                “ฮ่าๆๆ ข้าเสียนหยางเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า”

               “อา…ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ายินดียิ่งนักที่ได้พบท่านว่าแต่ศิษย์พี่รองมาถึงสำนักใหญ่นานเพียงใดแล้ว ข้าจะต้องถูกศิษย์พี่รองโกรธเป็นแน่ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านช่วยข้าด้วย”รอยยิ้มด้วยความยินดีผุดขึ้นส่งประกายเจิดจรัสถึงกับทำให้อวี้เหวินหลางและเสียนหยางนิ่งตะลึงไปชั่วขณะ หากแต่ในชั่วพริบตาใบหน้าก็กลับกลายเป็นม่อยลงเมื่อคิดได้ว่าจะต้องถูกศิษย์พี่รองโกรธเคืองที่ตนเองก่อเรื่องราวเอาไว้ ทุกความรู้สึกฉายชัดบนใบหน้างามอย่างไร้เดียงสา ช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาผู้มองชม

                 “ฮ่าๆๆ เจ้ารู้จักก่อเรื่องราวก็ต้องรู้จักรับผิดชอบด้วยตนเองสิ่งของที่เจ้าหยิบฉวยไปจากผู้อื่นอยู่ที่ใด นำออกมาส่งคืนแก่เจ้าของเถอะ”เสียนหยางปั้นหน้าดุบอกศิษย์น้อง

                 จ้าวเฟยหลงเบ้ปากเหลือบตามองไปยังอวี้เหวินหลาง ปากขมุบขมิบบ่นพึมพำไม่ได้ใจความ พลางล้วงกล่องไม้ออกมายื่นให้

                “ข้าคืนให้ท่าน ข้าไม่ได้จะขโมยของท่านสักหน่อย”แต่ใครใช้ให้ท่านแย่งชิงกับข้าก่อนเล่า ประโยคหลังบ่นพึมพำแผ่วเบา แต่มีหรือผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับสูงเช่นอวี้เหวินหลางและเสียนหยางจะได้ยิน

                 “ศิษย์น้อง!ยังไม่รีบขออภัยองค์ชายอีก” เสียนหยางจำต้องปั้นหน้าดุ แม้ในใจจะรู้สึกน่าหัวร่อกับนิสัยซุกซนไม่ยอมคนของศิษย์น้องผู้นี้เป็นอย่างที่จินอวี่พร่ำบ่นให้ฟังทุกประการ

                  “ไม่ต้องแล้ว ผนึกธาตุชิ้นนี้หากเจ้าต้องการ ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า” อวี้เหวินหลางยิ้มบอกอย่างใจดี

                  “องค์ชาย!แต่ว่า…”

                   “เหยียนจวิ้นเจ้าไม่ต้องพูด ข้าตัดสินใจแล้ว”

                  ควรทราบว่าผลึกธาตุกิเลนเพลิงเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากชิ้นหนึ่ง ด้วยกิเลนเพลิงเป็นสัตว์อสูรวิญญาณธาตุไฟชั้นสูง ที่ปรากฏตัวขึ้นไม่บ่อยครั้งนักมีถิ่นพำนักอยู่ในส่วนลึกของดินแดนหมื่นอสูร อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งจึงยากยิ่งที่จะสังหารมันได้ แม้เมืองหลวงดินแดนเทวะอัคคีจะเป็นตลาดกลางในการแลกเปลี่ยนผนึกธาตุสัตว์อสูรแต่ก็ใช่ว่าจะหาซื้อวัตถุธาตุระดับสูงได้ง่ายๆ

                “หากท่านมีความจำเป็นต้องใช้มัน ข้าไม่ต้องการแล้วก็ได้”ด้วยเป็นแพทย์โอสถที่รู้ซึ้งถึงสรรพคุณอันยิ่งใหญ่ของผลึกธาตุชิ้นนี้ จ้าวเฟยหลงที่เห็นถึงความลำบากใจของเหยียนจวิ้นจึงตัดใจส่งคืนให้อีกฝ่าย

               “สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับพวกเราไม่ใช่ผลึกธาตุสัตว์อสูร ขอเจ้ารับมันไว้ได้ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้าที่ข้ามอบให้เจ้าเถอะ หากไม่มีมันพวกเราคงไม่ได้รู้จักกัน”อวี้เหวินหลางพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจ

                “เช่นนั้นขอบคุณท่านยิ่งนัก แล้วสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับท่านคือสิ่งใด หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าจะช่วยหามันให้กับท่าน”จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามขึ้น พร้อมอาสาช่วยเหลือด้วยท่าทางจริงจัง

               “ขอบอกกล่าวโดยไม่ปิดบัง ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถที่สำนักแพทย์โอสถหลวงจัดขึ้น ด้วยหวังที่จะเชื้อเชิญแพทย์โอสถระดับสูงสักคนไปช่วยรักษาคนสำคัญของข้า ยิ่งหากได้มีโอกาสได้เข้าพบปรมาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักแพทย์โอสถหลวงด้วยแล้วยิ่งเป็นการดี” สายตาของอวี้เหวินหลางเมื่อพูดถึงคนสำคัญเอ่อล้นไปด้วยความรักความห่วงใยจน คนที่ฟังอยู่รู้สึกได้

                “เช่นนั้นข้าจะรับผนึกธาตุชิ้นนี้ไว้ ส่วนเรื่องแพทย์โอสถที่ท่านต้องการข้าจะช่วยท่านเองถือเป็นการตอบแทนสำหรับของขวัญที่มอบให้ และเป็นการขออภัยที่ได้ล่วงเกินพวกท่านด้วยความไม่รู้ความของข้า” จ้าวเฟยหลงขันอาสา

               อวี้เหวินหลางเมื่อคิดได้ว่าหอพยัคฆ์อัคคีนั้นมีทั้งผู้ที่ฝึกพลังยุทธ์ธาตุไฟอันแข็งแกร่งและผู้ฝึกฝนเป็นแพทย์โอสถ แม้จะไม่รู้ว่าจ้าวเฟยหลงเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดในหอพยัคฆ์อัคคีแต่เป็นที่แน่ใจว่าเมื่อขันอาสาเช่นนี้จะต้องมีหนทางช่วยเหลือเขาเป็นแน่จึงตอบรับด้วยความยินดี

              เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี เสียนหยางจึงเชิญอวี้เหวินหลางกับผู้ติดตามทั้งสองเดินทางเข้าวังหลวงและจัดคนนำทางจ้าวเฟยหลงกับสามพี่น้องตระกูลหลินไปยังหอพยัคฆ์อัคคี


---------------------------------------------------------------

ตอนนี้สั้นๆ นะทุกคน

คิดว่าเฟยหลงน้อยของเราจะไฝว้เหรอจ๊ะ  :m20:

เฟยหลงเป็นห่วงน้องๆ ก็เลยอาศัยความเกรียนเอาตัวรอดไปก่อน  :impress2:

ไว้เจอกันใหม่วันอาทิตย์จ้า....

ไปเที่ยวเกาะสมุย 3 - 4 วันจ้า

 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 10-05-2016 19:44:57
หุหุ คู่อริเจอกันแบบนี้ จะกัดกันแบบไหนล่ะเนี่ย
ปล. อ่านแล้วนึกถึงเรื่องชายาสะท้านแผ่นดินเยยอ่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 10-05-2016 20:08:26
<3 แต่หนูเฟยหลงนี่น่ารักจริงๆแฮะ ใครก็ว่าไม่ลง
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-05-2016 20:16:31
องค์ชายอวี้เหวินมีคนสำคัญแล้วเหรอสำคัญยังไงหนอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 10-05-2016 20:25:58
เฟยหลงแถจนสีข้างถลอกแล้วลูกกกก  :z2: เกรียนมากจริงๆ สวยแต่เกรียน โธ่..  :z3:
องค์ชายดูติดสินบนนิดๆนะฮะ ให้ของเพื่อให้ได้เจอกันอีกไรงี้ป่าววว
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 10-05-2016 21:21:16
ง่ะ ไม่อิ่มอะ ยังไม่จุใจเลย :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 10-05-2016 21:45:04
ฮือ  :hao5: รู้สึกยังไม่พอ ~ 
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 10-05-2016 21:59:26
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-05-2016 22:32:05
เอาอีกกกก
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่ 9 (10/05/2016) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 15-05-2016 21:43:11
รออยู่นะคะ ไรท์หายไปเลย :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี):ตอนที่ 10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 16-05-2016 20:34:59
ตอนที่ 11 สำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคี

             จ้าวเฟยหลงพร้อมด้วยสามพี่น้องตระกูลหลินเดินตามผู้นำทางไปยังสำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคีซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวงเมื่อก้าวผ่านประตูใหญ่ที่มีรูปปั้นพยัคฆ์ขนาดมหึมาน่าเกรงขามสองตัวตั้งตระหง่านเฝ้าประตูอยู่เข้าไป ก็พบกับหมู่ตึกพยัคฆ์คำรณอันเป็นตึกใหญ่สำหรับชุมนุมศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีในวาระพิเศษต่างๆ และเป็นที่พำนักของเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์คนสำคัญของหอพยัคฆ์อัคคี รอบๆ หมู่ตึกพยัคฆ์คำรณเป็นหมู่ตึกพยัคฆ์หมอบ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ระดับต่างๆ ตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ

               ถัดไปด้านหลังเล็กน้อยเป็นหมู่ตึกทิพยโอสถเป็นสถานที่ซึ่งทำหน้าที่ในการดูแลรักษาเหล่าศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกฝนและทำหน้าที่ในการแจกโอสถสำหรับสนับสนุนการฝึกฝนพลังยุทธ์ ถัดจากนั้นลึกเข้าในไปด้านในติดกับภูเขาสูงลูกหนึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่ตึกอัคคีศักดิ์สิทธ์ ซึ่งถือเป็นเขตหวงห้ามมีเพียงประมุขและเหล่าผู้อาวุโส รวมทั้งเหล่าศิษย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานของดอกบัวเพลิงโลกันตร์สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ประจำหอพยัคฆ์อัคคีนั่นเอง

             เมื่อจ้าวเฟยหลงก้าวพ้นประตูของหมู่ตึกพยัคฆ์คำรณเข้ามาก็เห็นจินอวี่ที่รออยู่อย่างกระวนกระวายใจ หากแต่เมื่อเหลือบสายตามาเห็นเป็นจ้าวเฟยหลง ก็พลันหันหน้าหนีไปอีกทาง พลางทำท่าจะเดินจากไป เดือดร้อนจ้าวเฟยหลงต้องรีบวิ่งเข้าไปหาพลางกอดแขนไว้แน่น ไม่ว่าจินอวี่จะสะบัดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ส่งสายตาออดอ้อนพลางออกปากพูดเสียงอ่อย

       “ศิษย์พี่รองข้ากลับมาแล้ว ข้าทราบความผิดแล้ว ท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ อย่าได้โกรธข้าเลยนะ” พลางทำตาปริบๆ อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก แล้วใครเขาจะใจแข็งโกรธเคืองได้ลงคอ

        “โอ๊ย!!!ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้ายอมรับผิดแล้ว ศิษย์พี่รองยกโทษให้ข้าด้วย” จ้าวเฟยหลงร้องโอดโอย ราวกับเจ็บปวดนักหนาเมื่อถูกจินอวี่บิดเข้าที่พุงน้อยๆ นั้น เรียกเสียงหัวเราะจากผู้อาวุโสสองคนรวมทั้งหานเฟิง หานลู่และหานตงที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง จนจินอวี่จึงจำต้องหยุดชะงักปล่อยมือออก เมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับศิษย์น้อง เงยหน้าขึ้นพลางสิ่งยิ้มแหยอย่างละอายส่งให้ผู้คนรอบข้างเมื่อนึกได้ว่าพวกตนเสียมารยาทต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส

         “เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า ตามข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสองก่อน” ประโยคแรกกัดฟันกระซิบบอกศิษย์น้อง พวกเดินนำไปยังผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนคอยอยู่

         “เฟยหลง รีบมาคำนับผู้อาวุโสอันดับหนึ่งผู้อาวุโสเหอเชียนและผู้อาวุโสอันดับห้าผู้อาวุโสซือหม่าอัน” จินอวี่แนะนำผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนยิ้มมองมายังจ้าวเฟยหลงอย่างชื่นชม

          “ผู้เยาว์จ้าวเฟยหลงคำนับผู้อาวุโสอันดับหนึ่งและผู้อาวุโสอันดับห้า” จ้าวเฟยหลงประสานมือค้อมตัวคำนับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม จนเรียกสายตาเอ็นดูจากทั้งสองได้เป็นอย่างดี

           หอพยัคฆ์อัคคีแม้จะมีเทพโอสถอวิ้นหยางทำหน้าที่เป็นประมุข หากแต่ในความเป็นจริงแล้วตัวอวิ้นหยางนั้นให้ความสนใจและหลงใหลเกี่ยวกับการหลอมโอสถมากกว่า จึงมอบหมายให้ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดทำหน้าที่ในการดูแลหอพยัคฆ์อัคคี โดยมีเสียนหยางศิษย์คนโตของเขาเป็นผู้ช่วย ส่วนตนเองก็ปลีกตัวไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการหลอมโอสถอยู่บนยอดเขาเทียมเมฆา บนดินแดนฟ้าไพศาล ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดจึงถือเป็นบุคคลสำคัญอย่างแท้จริงของหอพยัคฆ์อัคคี ที่ทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ฝึกสอนและเหล่าศิษย์นับพันคน

           “ฮ่าๆๆ ผู้เยาว์อันยอดเยี่ยม ผู้เยาว์อันยอดเยี่ยม หอพยัคฆ์อัคคีคงถึงคราวที่จะได้ผงาดขึ้นมาอยู่เหนือสำนักอื่นแล้ว” ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งหัวร่อฮาๆ กล่าววาจาจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่จากน้ำเสียงกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีอย่างปิดไม่มิด

           “ฮ่าๆๆ ศิษย์ของท่านประมุขช่างยอดเยี่ยมนัก ด้วยวัยเพียงเท่านี้แต่กลับมีพลังยุทธ์ระดับราชันย์ขั้นสูง อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับมหาราชันย์แล้ว นับว่าท่านประมุขมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก” ผู้อาวุโสอันดับหน้าเอ่ยขึ้นบ้าง

             “อา…นายน้อยท่านมีพลังยุทธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ยินดีด้วยนายน้อย ยินดีกับท่านด้วย”หานเฟิง หานลู่และหานตงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบสาวเท้าเข้ามาหาจ้าวเฟยหลง สายตาจับจ้องมองนายน้อยของตนด้วยความซาบซึ้งยินดี

              “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย ผู้เยาว์ไม่กล้ารับ” จ้าวเฟยหลงน้อมกายรับคำชมจากผู้อาวุโสทั้งสองแล้วจึงหันมากล่าววาจากับผู้ติดตามทั้งสาม

              “ท่านอาทั้งสาม ขออภัยที่ทำให้พวกท่านเป็นห่วง”

              “เพียงได้เห็นนายน้อยกลับมาอย่างปลอดภัยก็นับว่าเพียงพอแล้ว” หานเฟิงรีบเอ่ยขึ้น

              “อา…ข้าพาน้องชายทั้งสามคนมาด้วย พวกเจ้าเข้ามาเร็ว” เมื่อหลินซี หลินซูและหลินซินอี้เข้ามาคำนับเหล่าผู้อาวุโสแล้วเสร็จ จ้าวเฟยหลงก็บอกเล่าชะตากรรมของทั้งสามให้ทุกคนรับรู้ พร้อมกับขอร้องให้ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งและผู้อาวุโสอันดับห้าช่วยชี้แนะแนวทางการฝึกฝนพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้อง

                   แม้หอพยัคฆ์อัคคีจะมุ่งเน้นศึกษาพลังยุทธ์ธาตุไฟ แต่ใช่ว่าจะไม่มีตำรับตำรายุทธ์ระดับสูงธาตุอื่นมิเช่นนั้นจะมีแนวทางในการหักหาญเอาชัยผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุอื่นได้อย่างไร อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งสองเป็นผู้มีประสบการณ์ในการฝึกฝนพลังยุทธ์จึงไม่ยากที่จะให้คำแนะนำแก่สามพี่น้องตระกูลหลิน นับว่าช่วยแก้ปัญหาให้กับจ้าวเฟยหลงไปหนึ่งอย่าง เรื่องต่อไปที่จ้าวเฟยหลงวางแผนไว้ว่าจะต้องดำเนินการคือการเสาะหาผลึกธาตุสัตว์อสูรธาตุลม ธาตุดินและธาตุน้ำ เพื่อปรุงกลั่นเป็นโอสถเพื่อช่วยยกระดับพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้อง

                จากนั้นไม่นานทุกคนที่เห็นว่าจ้าวเฟยหลงและสามพี่น้องตระกูลหลินเพิ่งเดินทางมาถึงอาจจะเหน็ดเหนื่อย ก็ปล่อยให้พวกเขาแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ไม่วายที่จินอวี่จะเดินตามจ้าวเฟยหลงมาพลางบ่นกระปอดกระแปดจนจ้าวเฟยหลงผล็อยหลับไปจึงหยุดยั้งลงได้

------------------------------------------------------------

              ช่างเป็นเช้าที่ไม่แจ่มใสเอาเสียเลย เพราะจ้าวเฟยหลงกำลังหงุดหงิด แต่ก็ทำได้แค่เพียงรีบเร่งเดินหนีมาหลบอยู่ที่ศาลากลางน้ำแห่งนี้เท่านั้น เพราะเหตุใดนะหรือ? หึ ก็เพราะคนกลุ่มนั้นอย่างไรเล่า

               “ศิษย์น้องเฟยหลง!!!ศิษย์น้องเฟยหลง!!! ศิษย์น้องเฟยหลงหายไปไหนแล้ว เพราะพวกเจ้านั่นแหละ เป็นเพราะพวกเจ้าทำให้ศิษย์น้องรำคาญจนต้องหนีไป ข้ายังไม่ได้ทำความรู้จักกับศิษย์น้องเลย น่าเสียดายจริงๆ”

              “เป็นเพราะพวกท่านต่างหากเล่า หากพวกท่านไม่รุมล้อมเข้ามา ข้าคงมีโอกาสพูดคุยกับศิษย์น้องบ้างแล้ว”

              “พวกเราก็อยากทำความรู้จักศิษย์น้องเหมือนกันนะ จะปล่อยให้ท่านคุยกับศิษย์น้องคนเดียวได้อย่างไรเล่า”

              เห็นเหล่าศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีกลุ่มหนึ่งเกือบสิบคนเดินไปพลางเถียงกันไป ผ่านศาลาหลังนั้นไป คล้อยหลังไม่นาน จ้าวเฟยหลงก็พลิ้วร่างลงมาจากขื่อคานของศาลา สองเท้าแตะพื้นอย่างแผ่วเบาพลางทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความจริงเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นสักนิด เพียงแต่เป็นความรู้สึกไม่คุ้นชินที่จะต้องถูกล้อมรอบด้วยผู้คนเสียมากกว่า อีกทั้งยังไม่ใช่คนสนิท เขาก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรก็เท่านั้น

              ส่วนอีกเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดก็คงจะเป็นศิษย์พี่จินอวี่ของเขานั่นแหละ พอศิษย์พี่ใหญ่มาก็ถึงกับลืมเลือนศิษย์น้องคนนี้ ปล่อยให้เขาต้องรับมือกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นแต่เพียงลำพัง ส่วนตนเองออกไปเที่ยวในเมืองกับศิษย์พี่ใหญ่สองคน ไม่แม้แต่จะชักชวนเขาสักคำ คิดแล้วมันน่าน้อยใจนัก

               “ฮึ…กลับมาข้าจะไม่ยอมคุยกับท่านเลย คอยดูเถอะ” จ้าวเฟยหลงกอดอก ทำปากยื่นบ่นพึมพำราวกับว่ามีจินอวี่อยู่แถวนั้นด้วย

              “ฮ่าๆ ใครช่างกล้าทำให้ศิษย์น้องเฟยหลงอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า”สิ้นเสียงเห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีในชุดสีแดงเพลิงด้านหลังเสียบไว้ด้วยกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง รูปร่างสมส่วน บ่าไหล่กว้างดูงามสง่า ใบหน้างดงามหล่อเหลาจนไม่อาจมองข้ามได้ รอยยิ้มแต้มเต็มใบหน้านั้นมองดูสดใส จังหวะการก้าวเดินเข้ามาดูมีราศี โดยรวมแล้วนับว่าเป็นบุรุษรูปงามอย่างน่าริษยาคนหนึ่ง

         จ้าวเฟยหลงเหลือบมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ จากพลังยุทธ์ที่เขาสัมผัสได้เป็นพลังยุทธ์ของหอพยัคฆ์อัคคีในระดับจ้าวยุทธ์ขั้นกลางคาดว่าจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่ง ไม่ปล่อยให้จ้าวเฟยหลงได้สงสัยนานไปกว่านั้น ชายหนุ่มก็เอ่ยปากกล่าววาจา

         “ฮ่าๆ ดูเหมือนศิษย์น้องจะอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าให้ศิษย์พี่คนนี้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ โอ๊ะ…ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเหวินเจี้ยนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอันดับสอง ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์น้องจ้าวเฟยหลง” ปากกล่าววาจาหากแต่สายตาพราวระยับคู่นั้นกลับกวาดมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง

        “ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่เหวินเจี้ยน” แม้จะข้องใจกับสายตาที่อีกฝ่ายมองมา แต่แค่เพียงไม่นานจ้าวเฟยหลงก็สลัดความรู้สึกแปลกๆ นั้นไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คาดว่าเป็นเขาที่คิดมากเกินไป

        “ว่าแต่ศิษย์น้องเฟยหลงยืนทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียว”   

         “เอ่อ…ข้าเพิ่งเดินทางมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนก็เลยมาเดินเล่นแถวนี้”

          “เช่นนั้นหรือ หากไม่รังเกียจให้ศิษย์พี่คนนี้พาเจ้าเดินชมรอบๆ หอพยัคฆ์อัคคีดีหรือไม่” เหวินเจี้ยนเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มชวนมอง

          “ข้าไม่อยากรบกวนท่าน”

          “โอ้…หาได้รบกวนไม่ศิษย์น้อง ศิษย์พี่คนนี้เต็มใจอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเจ้าคงจะต้องพักอยู่ที่นี่อีกสักระยะ การได้รู้จักที่ทางเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร” จ้าวเฟยหลงยังคงลังเล หากแต่เมื่อคิดได้ว่าก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด การได้เดินชมรอบๆ ก็คงดีกว่ายืนอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงจึงขอให้เหวินเจี้ยนนำพาชมหอพยัคฆ์อัคคี

           เหวินเจี้ยนนับว่าเป็นชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยไมตรีสังเกตได้จากการที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่พบเจอต่างก็แวะทักทายเขา รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสดใส สายตาพราวระยับคู่นั้นชวนให้ใครๆ ต่างก็หลงใหล น้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นน่าฟัง บอกเล่าชี้ชวนให้จ้าวเฟยหลงได้รู้จักทุกซอกทุกมุมของหอพยัคฆ์อัคคีด้วยความเพลิดเพลิน
 
          เหวินเจี้ยนพาจ้าวเฟยหลงมาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง จากป้ายที่พาดขวางไว้เหนือประตูทำให้ทำให้ทราบว่าที่นี่คือหมู่ตึกพยัคฆ์ผยอง จากคำบอกเล่าของเหวินเจี้ยน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับฝึกยุทธ์ของเหล่าศิษย์หอพยัคฆ์อัคคี ในหมู่ตึกขนาดใหญ่แห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดเป็นที่จัดเก็บตำรายุทธ์ขั้นต้นจนถึงขั้นกลาง ซึ่งมีทั้งตำราการฝึกฝนพลังยุทธ์ ตำราทักษะยุทธ์ และตำราการใช้อาวุธหลายหมื่นเล่ม นับว่าเป็นศูนย์รวมความรู้ที่สั่งสมมาหลายร้อยปีของหอพยัคฆ์อัคคีแห่งนี้

               ส่วนการฝึกฝนพลังยุทธ์ขั้นสูงนั้นเหล่าผู้ฝึกสอนและเหล่าผู้อาวุโสจะทำการคัดเลือกศิษย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในแต่ละทักษะยุทธ์แล้วเป็นผู้ถ่ายทอดให้ด้วยตนเอง ชั้นที่สองของหมู่ตึกพยัคฆ์ผยองเป็นห้องสำหรับให้เหล่าศิษย์ฝึกฝนพลังยุทธ์ สั่งสมลมปราณ โดยแบ่งกั้นเป็นห้องส่วนตัวเล็กๆ หลายร้อยห้อง ส่วนชั้นล่างสุดที่ทั้งสองกำลังเกินเข้าไปนั้นเป็นลานประลองขนาดใหญ่ที่มีไว้สำหรับให้เหล่าศิษย์ใช้เป็นสถานที่ประลองเพื่อทดสอบความก้าวหน้าของพลังยุทธ์และเพื่อจัดลำดับของเหล่าศิษย์ซึ่งการประลองนั้นจะจัดขึ้นปีละครั้งในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของชีวิต หากแต่ในวาระอื่นลานประลองแห่งนี้ก็เปิดให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ประมือกันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องได้เสมอ

          เมื่อเหวินเจี้ยนและจ้าวเฟยหลงปรากฏตัวขึ้น เหล่าศิษย์หลายสิบคนที่กำลังประมือกันอยู่ต่างก็หยุดยั้งลง ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่

         “ศิษย์พี่เหวินเจี้ยน!” เสียงร้องเรียกเหวินเจี้ยนด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิดดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างในชุดสีขาวไหววูบ ในชั่วพริบตาก็เห็นชายหนุ่มในชุดยาวสีขาวผู้หนึ่งก้าวมายืนอยู่เคียงข้างเหวินเจี้ยนชายหนุ่มผู้นั้นดูไปอายุราวสิบแปดปี รูปร่างบอบบางท่วงท่าสง่างาม ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้างดงามดุจดั่งอิสตรี หากแต่สายตาคู่สวยนั้นกลับจับจ้องมองเพียงเหวินเจี้ยนไม่วางตาราวกับว่าผู้อื่นเป็นเพียงก้อนหินที่วางประดับอยู่อย่างไร้ความหมาย

              “ศิษย์น้องลู่เหวิน พวกเจ้ากำลังฝึกฝนกันอยู่อย่างนั้นหรือ”เหวินเจี้ยนหันไปถามอีกด้วยร้อยยิ้ม

              “ใช่แล้วศิษย์พี่ ท่านมาได้เวลาพอดี ข้าอยากจะขอคำแนะนำจากท่านบ้าง… แล้วท่านพาผู้ใดมาด้วย” พูดพลางยกสองมือจับแขวนเหวินเจี้ยนเอาไว้ราวกับจะออดอ้อน เมื่อพูดจบก็ตวัดสายตาเขม่นมองจ้าวเฟยหลงอย่างไม่เป็นมิตร

             จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย สักพักก็จุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากด้วยความเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังดื่มน้ำล้มสายชูอยู่เป็นแน่ (ดื่มน้ำส้มสายชู แผลงเป็น หึงหวง) เหอะ…ช่างคิดได้ว่าเขาจะยื้อแย่งบุรุษด้วย แม้จะไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งยังไม่คิดจะชมชอบบุรุษด้วยกันสักนิด

             “อา…ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าขอแนะนำให้รู้จักศิษย์น้องจ้าวเฟยหลง ซึ่งเดินทางมาจากดินแดนฟ้าไพศาล” เหวินเจี้ยนเอ่ยแนะนำ

             “ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน”

              “ศิษย์น้องเฟยหลง ข้าขอแนะนำให้รู้จักกับศิษย์น้องไป่ลู่เหวิน ศิษย์คนรองของผู้อาวุโสที่เจ็ด”

               “ข้าจ้าวเฟยหลง ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่ไป่ลู่เหวิน” จ้าวเฟยหลงแย้มยิ้มทักทายอีกฝ่าย

               “เหอะ…ที่แท้ก็ศิษย์จากสาขานอก ไม่เห็นมีความจำเป็นสักนิดที่ศิษย์พี่เหวินเจี้ยนจะต้องพามาแนะนำด้วยตนเองเช่นนี้” ไป่ลู่เหวินแค่นเสียงกล่าววาจา สายตามองจ้าวเฟยหลงอย่างนึกดูแคลน

                “เอ่อ…ไม่ใช่เช่นนั้น”

                 “ไม่เป็นไรศิษย์พี่เหวินเจี้ยน…”เหวินเจี้ยนไม่ทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย จ้าวเฟยหลงก็กล่าวตัดบทในทันที กับคนที่สายตาแคบสั้นรู้จักแต่ประเมินผู้อื่นจากภายนอกเช่นนี้ เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

                 “ศิษย์น้องเฟยหลงมาพอดีเลย พวกมาประลองแลกเปลี่ยนพลังยุทธ์ระหว่างศิษย์สำนักใหญ่กับศิษย์สาขานอกกันดีหรือไม่” ศิษย์คนผู้หนึ่งเอ่ยปากเสนอความคิดเห็นขึ้นมา

                 “ฮ่าๆ เป็นความคิดที่ดี ให้ศิษย์พี่คนนี้ได้ขอคำแนะนำจากศิษย์น้องเป็นคนแรกเป็นอย่างไร”เสียงอื้ออึงด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากเหล่าศิษย์ เมื่อไป่ลู่เหวินเสนอตัวเป็นคนแรก หากสังเกตจะพบสายตาที่ฉายแววมุ่งร้ายออกมาแวบหนึ่ง

                  “อ่า...ศิษย์พี่ลู่เหวิน ให้พวกเราคนใดคนหนึ่งประลองทดสอบพลังยุทธ์ของศิษย์น้องเฟยหลงก็น่าจะเพียงพอแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาประลองด้วยตนเองเลย” ศิษย์ผู้หนึ่งเสนอความเห็นอย่างประจบประแจง

                 “ศิษย์น้องลู่เหวิน ข้าว่าคงไม่ดี…”

                  “ศิษย์พี่เหวินเจี้ยนในเมื่อศิษย์พี่ลู่เหวินให้เกียรติข้าเช่นนี้ แม้ข้าจะอ่อนด้อยก็คงทำได้แค่ฝืนใจรับการทดสอบนี้ หากแต่ข้ามุ่งฝึกฝนในสายแพทย์โอสถ พลังยุทธ์จึงไม่แข็งแกร่งนัก หวังว่าศิษย์พี่จะเมตตาออมมือให้ด้วย” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบพลางจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก


------------------------------------------------------------

จบไปอีกตอนจ้า
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 16-05-2016 20:39:42
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 16-05-2016 20:56:25
จ้าวเฟยหลงนี่เสน่ห์แรงจริงจัง ไปไหนคนก็เข้ามาเต๊าะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 16-05-2016 21:06:39
 o18
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 16-05-2016 21:24:07
ลู่เหวินเละแน่ :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-05-2016 21:25:09
ลู่เหวินหึงไม่เข้าเรื่องเดี๋ยวได้รู้สึก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miya_pp ที่ 16-05-2016 23:06:25
จัดให้หนักไปเลย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 16-05-2016 23:36:03
แกล้งหน่อยไหมจ้ายเฟย :katai3:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 17-05-2016 01:10:53
หนูเฟยหลง  จัดเต็มไปเลย    :z6:       ให้รู้ซะบ้างว่า  ใครเป็นใคร   :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 17-05-2016 02:04:00
หยู๊ยยย
ตื่นเต้น
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-05-2016 03:58:16
แสดงให้เห็นเลยจ้ะ 5555
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: qilarsy39 ที่ 17-05-2016 09:37:48
ติดตามค่า รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 17-05-2016 10:29:43
ค้างงงงงงงงงงงงงง  มันค้างอย่างแรง :katai1: :katai1:

เฟยหลงจัดหนักๆเลยลูก  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 17-05-2016 12:02:50
อ่านแล้ว พอถึงท้ายๆนึกว่าจะมีต่อรีล่างอีก

โถ่ๆๆๆ ค้างอ่าาาา

ขอบคุณครับ รีบมาต่อนะ รออยู่ครับ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 17-05-2016 16:34:06
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 17-05-2016 22:05:40
เล่นมันเลยค่ะหนู เอาให้หนักๆเลย จะได้เลิกดูถูกคนอื่นสักที :fire:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 17-05-2016 22:17:56
เสน่ห์แรงจริงๆเลยน้าเฟยหลงเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 17-05-2016 22:52:27
ตัดฉึบบ
นึกว่าจะมีต่ออีกโพสฮือออ
มาเร้วๆนะก้ะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 17-05-2016 23:38:35
เสน่ห์แรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 17-05-2016 23:40:53
หนูเฟยหลง หนูต้องเป็นนางพญานะลูก อย่ายอม
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 18-05-2016 07:51:07
 :hao5: โธ่ รอลุ้นจ้าว่าเฟยหลงจะทำอะไรต่อไป
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: momoku ที่ 18-05-2016 11:34:16
เฟยหลง ของข้าาา สนุกมาก พลาดไปได้ไง

มาต่อบ่อยๆนะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 18-05-2016 12:16:47
มาส่องทุกวันอ่ะ รอไรท์อัพ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่10 (16/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 18-05-2016 12:46:37
สนุกมากกก รอตอนต่อไปจ้าาา
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 20-05-2016 19:33:34
ตอนที่ 11 ประมือ

               จ้าวเฟยหลงกับไป่ลู่เหวินก้าวออกไปยืนเผชิญหน้ากันกลางลานประลองขนาดใหญ่นั้น ท่ามกลางเหล่าศิษย์หลายร้อยคนที่ทราบข่าวต่างพากันมาหวังจะชมความสนุกครึกครื้นที่กำลังจะเกิดขึ้น

              ภายในหอพยัคฆ์อัคคีมีเพียงเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ทราบความเป็นมาของจ้าวเฟยหลงและจินอวี่ ฉะนั้นในสายตาของเหล่าศิษย์ที่มุงดูอยู่ต่างคาดเดาไว้แล้วว่าผลการประลองจะออกมาเช่นไร หวังไว้แค่ว่าความพ่ายแพ้ของจ้าวเฟยหลงจะไม่เกิดขึ้นเร็วเกินไปจนหมดสนุกและไม่อเนจอนาถเกินไปจนทำให้ใบอันงามสง่านั้นพลอยต้องได้รับความบอบช้ำ
ไป่ลู่เหวินมองดูจ้าวเฟยหลงด้วยสายตาดูแคลน

             ด้วยพลังยุทธ์ระดับยอดยุทธ์ขั้นต้นของเขา นับว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์อย่างไม่ต้องสงสัย ถือได้ว่ามีความสามารถพอที่จะอวดโอ่ถือดีต่อหน้าเหล่าศิษย์ทั้งหลาย เพียงแค่ศิษย์สาขานอกที่พลังยุทธ์อ่อนด้อยจนไม่สามารถตรวจจับได้นั้น เขาจะออมมือไม่ให้อีกฝ่ายต้องแสดงความทุเรศออกมามากนักก็แล้วกัน ถือว่าเขาปราณีอีกฝ่ายมากแล้ว เขาแค่จะหยอกล้ออีกฝ่ายเล่นเพื่อคลายความหงุดหงิดในใจบ้างก็เท่านั้น

              จ้าวเฟยหลงยังคงยืนหยัดเผชิญหน้ากับไป่ลู่เหวินด้วยสายตาแน่วแน่มั่นคง ไม่ได้มีความหวั่นไหวหวาดกลัวปรากฏออกมาให้เห็นสักนิด ยังความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับเหล่าผู้ชมดูอยู่รอบข้าง ด้วยบุคลิกที่แสดงออกราวกับผู้ฝึกยุทธ์อันแข็งแกร่ง ยืนหยัดเผชิญกับโลกหล้าโดยไม่หวาดหวั่น เพียงภาพลักษณ์ที่ฉายออกมาก็เพียงพอให้เหล่าศิษย์ส่วนหนึ่งอดที่จะทอดถอดใจชมเชยไม่ได้ พร้อมกับลอบเอาใจช่วยให้จ้าวเฟยหลงได้รับชัยชนะ

                 “ศิษย์น้องเฟยหลง เจ้าสามารถเริ่มต้นการประลองได้ทุกเมื่อที่เจ้าพร้อม” ไป่ลู่เหวินอดที่จะออกปากเอ่ยวาจาไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มลงมือ

                “ศิษย์พี่ลู่เหวินท่านสามารถจู่โจมเข้ามาได้ทุกเมื่อ แม้พลังยุทธ์ของข้าจะอ่อนด้อย แต่ทักษะการหลบหลีกของข้านั้นนับได้ว่าล้ำเลิศ จัดอยู่ในระดับแนวหน้าอย่างแน่นอน” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มอันสดใด เรียกเสียงหัวร่อจากผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดจากการยืนหยัดเผชิญหน้าของทั้งคู่ลงมาได้บ้าง

               “เหอะ...ในเมื่อเจ้าไม่รับความปรารถนาดีของข้า เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องเกรงใจแล้ว” ท่าทางรวมไปถึงวาจาที่แสดงออกด้วยความถือดีเช่นนั้นกลับสะกิดให้ไป่ลู่เหวินมีโทสะ

                 พูดจบพลันทะยานร่างเข้าหาจ้าวเฟยด้วยความรวดเร็ว มือขวาควงเป็นหมัดผนึกพลังซัดเข้าใส่จ้าวเฟยหลงด้วยพลังเพียงสามส่วน ถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์พี่ กระบวนท่าแรกหากจู่โจมอย่างหักโหมไม่ออมรั้งยั้งมือไว้ละก็ คงเป็นที่ครหานินทากันอย่างสนุกปากเป็นแน่ เช่นนั้นกระบวนท่านี้ถือว่าต่อให้ศิษย์น้องร่วมสำนักก็แล้วกัน

                แม้จะเป็นการใช้พลังเพียงสามส่วน แต่อานุภาพของหมัดนั้นก็ถือว่าไม่ธรรมดา เหล่าศิษย์ที่ชมดูอยู่ด้านข้างต่างได้ยินเสียงพลังหมัดนั้นแหวกฝ่าอากาศดังหวีดหวิวเสียดเข้าโสตประสาทอย่างชัดเจน หากจ้าวเฟยหลงโดนหมัดนั้นเข้าไปหากกระดูกไม่แตกหักเสียหาย ก็คงต้องรับบาดเจ็บบอบช้ำภายในจนลุกไม่ขึ้นเป็นแน่

              หากแต่เมื่อหมัดเคลื่อนเข้ามาอยู่ห่างจากตัวไม่ถึงหนึ่งศอก จ้าวเฟยหลงก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว สายตาจับจ้องมองหมัดนั้นอย่างเย็นชา เสี้ยววินาทีที่หมัดจะกระทบถูกตัว ร่างของจ้าวเฟยหลงพลันอันตรธานหายไปคล้ายดั่งสลายกลายเป็นหมอกควัน หมัดนั้นจึงซัดต้องความว่างเปล่า

                ไป่ลู่เหวินถึงกับตะลึงลาน ร่างนั้นยังพุ่งมุ่งหน้าไปตามสภาวะของพลังหมัดราววาเศษจึงหยุดยั้งลง  พลางหมุนตัวกลับหลังอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะพบกับจ้าวเฟยหลงที่ยืนส่งยิ้มอยู่ห่างไปเกือบสองช่วงตัว

               เหล่าศิษย์รอบข้างถึงกับหันมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนั้นเป็นทักษะอย่างไรกัน

              “ท่านมองเห็นการเคลื่อนไหวของศิษย์น้องเฟยหลงชัดหรือไม่” เสียงเอ่ยถามกันแผ่วเบาดังขึ้น

               “โอ…ข้ามองไม่เห็นแม้แต่น้อย ในหอพยัคฆ์อัคคีเกรงว่าไม่มีใครเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้อีกแล้ว”

                ไป่ลู่เหวินเหม่อมองไปยังจ้าวเฟยหลง พลางยกหมัดขวาของตนขึ้น สายตาจับจ้องมองหมัดนั้นอย่างเหลือเชื่อ เวลาผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้างดงามนั้นก็กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวไป โทสะพลันปะทุขึ้นมาในอก ฟันในปากแทบถูกขบกัดจนแหลกละเอียด ความรู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้สติและสำนึกผิดชอบชั่วดีของไป่ลู่เหวินถูกลืมเลือนไป

               “หึ...นับว่าทักษะการหลบหลีกของเจ้ายอดเยี่ยมสมกับที่ได้อวดโอ่ไว้ เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องออมมือแล้ว”

                สิ้นสุดคำพูดประโยคนั้นไป่ลู่เหวินพลันผนึกลมปราณ ปล่อยพลังยุทธ์อันเกรี้ยวกราดออกมา โคจรพลังหมุนวนรอบตัวรอบแล้วรอบเล่า สายธารแห่งพลังนั้นโอบล้อมรอบกายของเขาอย่างหนาแน่น บรรยากาศรอบด้านราวกับถูกปกคลุมด้วยม่านพายุขนาดย่อม ก่อให้เกิดระลอกริ้วพลังแผ่กระจายกดดันไปรอบด้าน เวลายิ่งเนิ่นนานพลังกดดันนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

               เมื่อเร่งเร้าพลังจนถึงขีดสุด พลันพลังลมปราณในร่างไป่ลู่เหวินก็ถูกผลักดันออกมาอย่างทะลักทะลายม้วนกวาดไปเบื้องหน้าราวกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำจุดหมายปลายทางของมวลพลังนั้นอยู่ที่จ้าวเฟยหลง พลังความร้อนแผ่กระจายออกจากสองมือของไป่ลู่เหวิน ก่อเกิดเป็นม่านพลังอันร้อนแรงเข้าบีบรัดจ้าวเฟยหลงไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหว

         “ฝ่ามือเพลิงเมฆา!!!”

              เหวินเจี้ยนโพล่งออกมา ก่อให้เกิดเสียงอุทานอื้ออึงดังขึ้นตามมาจากเหล่าศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ ควรทราบว่าฝ่ามือเพลิงเมฆานั้นถือเป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงของหอพยัคฆ์อัคคีที่เหล่าผู้อาวุโสจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับศิษย์ระดับสูงโดยตรง ศิษย์ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเรียนรู้ได้ ที่ผู้คนคาดคิดไม่ถึงคือการที่ไป่ลู่เหวินถึงกับใช้ฝ่ามือชุดนี้ออกมา

                 นั่นหมายความว่าไป่ลู่เหวินตั้งใจจะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับจ้าวเฟยหลงอย่างอเนจอนาถและหวังจะจบการประลองนี้ภายในกระบวนท่าเดียว การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเอากระทะต้มวัวไปต้มไก่เลยสักนิด (สำนวนจีนมีความหมายเดียวกับขี่ช้างจับตั๊กแตน) เป็นสิ่งที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แต่ครุ่นคิดภายในใจไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดออกมา

           เหวินเจี้ยนผนึกพลังยุทธ์ตระเตรียมโถมตัวเข้าไปต้านรับฝ่ามือนั้น ด้วยเกรงว่าจ้าวเฟยหลงจะได้รับบาดเจ็บบอบซ้ำ ในใจกำลังสำนึกเสียใจ หากเขาไม่พาศิษย์น้องเฟยหลงเข้ามาและหากเขาเอ่ยปากห้ามปรามอย่างจริงจัง การประลองนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น แต่ทั้งหมดที่เป็นเช่นนี้ด้วยเขาเองก็ไม่คาดคิดว่า จากการประลองไป่ลู่เหวินจะทำให้มันเลยเถิดกลายเป็นการต่อสู้หักหาญที่หมายให้อีกฝ่ายบาดเจ็บล้มลง หากแต่ในขณะที่เหวินเจี้ยนกำลังจะโถมตัวออกไปนั้นกลับมีพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งบีบรัดเขาไว้จนไม่อาจขยับตัว
 
           ในเสี้ยวนาทีที่ฝ่ามือของไป่ลู่เหวินจะกระทบถูกตัว จ้าวเฟยหลงก็ยกฝ่ามือขึ้นต้านรับ ขณะที่ผู้คนรอบข้างต่างเบิกตากว้างเตรียมจ้องมองดูร่างของจ้าวเฟยหลงถูกพลังอันเกรี้ยวกราดนั้นซัดกระเด็นกระดอน

           ฟึบ!

           เสียงฝ่ามือของทั้งคู่กระทบถูกกันดังขึ้นเพียงแผ่วเบา ร่างของจ้าวเฟยหลงยังยืนหยัดอยู่ที่เดิม ไม่ได้กระเด็นไปอย่างที่ทุกคนคาดคิด
 
           ดวงตาของไป่ลู่เหวินถึงกับเบิกค้าง ยังไม่ทันที่จะได้ครุ่นคิดอันใด เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังลมปราณอันเกรี้ยวกราดที่ซัดเข้าใส่จ้าวเฟยหลงนั้น พลันสูญสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย รอบตัวพลันถูกพลังสายหนึ่งโอบรัดไว้จนไม่อาจปรับเปลี่ยนกระบวนท่า เมื่อเป็นเช่นนั้นไป่ลู่เหวินจึงถอนดึงฝ่ามือเคลื่อนตัวทะยานร่างถอยกลับไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก

           แต่ในขณะที่ไป่ลู่เหวินยังคงลอยตัวอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังลมปราณอันร้อนแรงของเขาเองที่กลับถูกผลักดันถาโถมตามมาอย่างเร่งร้อน แม้จะตื่นตระหนกแต่ไป่ลู่เหวินก็ยังพอมีสติ พลันหงายหลังตีลังกากลับหลังไปสามตลบจึงสามารถตั้งหลักได้ ยกสองมือผนึกพลังซัดเข้าปะทะก้อนพลังนั้นอย่างหักโหม


           ตูม!!!!

            เสียงพลังสองสายของไป่ลู่เหวินปะทะกันเองดังสนั่น ร่างของไป่ลู่เหวินถึงกับเซถลาถอยหลังไปห้าก้าวจึงหยุดยั้งลง โลหิตสีแดงไหลซึมจากมุมปาก

                ทุกความเคลื่อนไหวพลันหยุดชะงักลง…อีกครั้ง

           บรรยากาศภายในหมู่ตึกพยัคฆ์ผยองในเวลานี้พลันเงียบกริบ เหล่าศิษย์หลายร้อยคนต่างนิ่งตะลึงงันปากอ้าตาค้าง ลืมแม้กระทั่งหายใจ

           “ฝ่ามือเพลิงเมฆา!”

                เป็นไป่ลู่เหวินที่อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ทำลายความเงียบงันนั้น ส่วนผู้ชมรอบข้างถึงตะลึงลานไปอีกรอบ มีหลายคนที่เริ่มนึกสงสัยถึงศักดิ์ฐานะของจ้าวเฟยหลง

           “เจ้…า เจ้ากลับรู้จักฝ่ามือเพลิงเมฆา”

           “ในฐานะศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคี มีอันใดน่าแปลกหากข้าจะรู้จัก” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ

           “เจ้าเป็นใครกันแน่!!!” ไป่ลู่เหวินตะโกนก้องอย่างนึกคับข้องในใจ

           เหล่าศิษย์รอบข้างหันไปมองหน้ากัน ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างนึกสงสัยไม่ต่างกัน

           “เหอะ…ข้าเป็นศิษย์สาขานอกคนหนึ่ง เป็นท่านกล่าวเองไม่ใช่หรอกหรือ” จ้าวเฟยหลงแค่นเสียงตอบกลับไป ตอนนี้อารมณ์ของเขากำลังครุกรุ่นด้วยความโมโห คนที่อาศัยความแข็งแกร่งของตนเหยียบย่ำผู้อื่นจนด้อยค่าเป็นคนประเภทที่จ้าวเฟยหลงเกลียดชังที่สุด หากเป็นคนอื่นจ้าวเฟยหลงคงไม่รีรอลังเลที่จะให้บทเรียนกลับคืนไปอย่างสาสม หากแต่นี่เป็นการประลองแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก เขาจึงจำต้องฝืนทน

           “เจ้…า” ไป่ลู่เหวินกำหมัดแน่น ร่างถึงกับสั่นสะท้าน

           “อา…ศิษย์น้องทั้งสองต่างมีฝีมือยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง” เหวินเจี้ยนที่เรียกสติคืนกลับมาได้รีบเอ่ยปากเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อันตึงเครียดนั้น

            “ศิษย์น้องลู่เหวินอาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินเจี้ยนเอ่ยถาม พลางเดินเข้าไปหา ผนึกพลังยุทธ์ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของไป่ลู่เหวินทันที

            “บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขอบคุณศิษย์พี่เป็นห่วง” ไป่ลู่เหวินคลี่ยิ้มตอบวาจา อารมณ์ครุกรุ่นภายในจิตใจพลันสูญสลายหายไป กลายเป็นความปลื้มปริ่มที่ได้รับความห่วงใยอาทรจากศิษย์พี่ที่ตนชื่นชอบ อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแค่นี้ ทำให้ได้รับการเหลียวแลจากศิษย์พี่เหวินเจี้ยนนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

             “แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้ ข้าว่าเจ้าไปที่หอโอสถให้ผู้อาวุโสหยางตรวจดูอีกสักหน่อยจะดีกว่า” พูดจบไม่รอให้ไป่ลู่เหวินได้ปฏิเสธ ก็เรียกศิษย์น้องสองคนให้พาไป่ลู่เหวินไปยังหอทิพยโอสถ

             “ศิษย์น้องเฟยหลง เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เหวินเจี้ยนเดินกลับมา พลางเอ่ยถาม

             “ข้าไม่เป็นไร”

             “เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ ให้ข้าตรวจดูสักหน่อย”

             “ไม่จำเป็นต้องตรวจ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”

                  น้ำเสียงและท่าทางที่แสดงความห่วงใยของเหวินเจี้ยนที่มีต่อจ้าวเฟยหลง ทำให้ไป่ลู่เหวินต้องหยุดมอง ดวงตาคู่สวยมีประกายแห่งความริษยาฉายชัด อารมณ์ครุกรุ่นในจิตใจโหมพัดอีกครั้ง สองมือบีบกำแน่นจนเล็บจิกกัดเข้าไปในเนื้ออย่างไม่รู้สึกตัว ครู่หนึ่งจึงสะบัดหน้าสาวเท้าจากไป


-----------------------------------------------------------------


ตอนนี้เขียนยากมาก เพราะหาทางลงให้จ้าวเฟยหลงไม่ได้ อิอิอิ

ก็เลยตัดจบไปด้วยประการฉะนี้

ชอบไม่ชอบยังไงบอกหน่อยน้าาาาา

หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-05-2016 20:15:37
ถ้ายังไม่เลิกนิสัยเสียสักวันลู่เหวินคงได้เจ็บหนักเพราะน้องจ้าว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 20-05-2016 20:19:10
เฟยหลงได้ศัตรูมาแบบไม่ตั้งใจอีกแย้ว  :hao4:
คนแต่งสู้ๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 20-05-2016 20:24:45
มาสั้นมากเรย :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:  คิดถึงมาอ่ะกว่าจะมา :mew6:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 20-05-2016 20:28:55
ทำไมเดี๋ยวนี้ความยาวมันเขยิบถอยลง. จ้าวเฟยหลงลงได้แล้ว. แต่นิยายความยาวจะถอยลงไม่ได้!!~. ฮา :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 20-05-2016 20:35:04
เหมือนจะสะใจไม่สุดอ่ะ   แต่ไม่เป็นไร  แค่นี้ก็สาสมแล้ว  คริ คริ   :laugh:

น่าจะเอาให้เลือดหยิ่งๆ นั่นออกมามากกว่านี้นะ  จะได้ไม่ดูถูกคนอื่นอีก    ไป่ลู่เหวิน    o3 o3 o3

หนูเฟยหลงของเจ้  เก่งที่สุดเลยยยยยยย    :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 21-05-2016 00:57:04
หมั่นไส้หมั่นพุงนางเหลือเกิน น่าจะซัดให้กระอักเลือดกองโตๆกว่านี้หน่อย จะได้รู้ว่าไผเป็นไผ เป็นแค่หิ่งห้อยริจะมาเปล่งแสงแข่งกับตะวัน ชิชะ!
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 21-05-2016 01:09:24
มันสั้นไป ไม่!!!!!!ไม่ยอม!!!

เฟยหลงหนักจะจัดหนักๆกว่านี้นะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-05-2016 01:28:51
จะเอาอีกกกกกกก
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 21-05-2016 01:37:27
ยังไม่จุใจเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 21-05-2016 09:39:15
ต่อเลยๆๆ อยากอ่านต่อ
กำลังสนุกเลยคะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 21-05-2016 17:41:16
น่าจะจัดให้หนักๆแบบที่เลิกนิสัยดูถูกคนอื่นไปเลย มาต่อออออออออ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 22-05-2016 19:03:06
น้องเฟยหลงเจ๋งมาก ! ใครอย่าได้แหยม
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: game6969 ที่ 27-05-2016 12:28:44
 :mew2: :mew2: :mew2: คิดถึงเฟยหลงอ่ะ มาต่อเหอะคัฟ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 27-05-2016 21:05:08
มารอนะคะ แอบส่องทุกวันเรยว่าเมื่อไหร่จะมา :mew2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่11 (20/05/2016) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 27-05-2016 23:53:37
วุ้ย เพิ่งเข้ามาวันแรก เฟยหลงก้อเจอคนไม่น่าคบหาเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์:ตอนที่ 12 (20/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DINNDANN ที่ 29-05-2016 13:16:10
บทที่ 12   เค้าลางแห่งความวุ่นวาย

            เมื่อจ้าวเฟยหลงและเหวินเจี้ยนออกจากหมู่ตึกพยัคฆ์ลำพอง เสียงเล่าลือเกี่ยวกับเหตุการณ์การประลองระหว่างจ้าวเฟยหลงกับไป่ลู่เหวินก็กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง จนทำให้ศักดิ์ฐานะของจ้าวเฟยหลงได้รับการเปิดเผยออกมา ช่วงบ่ายของวันนั้นหัวข้อที่เหล่าศิษย์ในหอพยัคฆ์อัคคีจับกลุ่มพูดคุยกันก็ไม่พ้นเป็นเรื่องราวของจ้าวเฟยหลง

              “นี่…เจ้ารู้เรื่องที่ศิษย์น้องเฟยหลงประลองกับไป่ลู่เหวินหรือไม่ น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นศิษย์น้องเฟยหลงอัดไป่ลู่เหวินกับตาตัวเอง คงจะสะใจน่าดู”

         “จุ๊! จุ๊! เจ้าอย่าได้พูดเสียงดังไป เดี๋ยวมีคนอื่นมาได้ยิน หึ…คนที่ชอบดูถูกเหยียบย่ำผู้อื่นเช่นนั้นได้รับบทเรียนแค่นี้ยังถือว่าน้อยเกินไป ข้าอยากให้เจ้าเห็นสีหน้าไป่ลู่เหวินตอนที่ถูกคนที่มันเรียกหาเป็นศิษย์สาขานอกจัดการยิ่งนัก น่าตาช่างดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าอะไร ฮ่าๆ ช่างสมใจข้าเป็นที่สุด”

          “ข้าอยากจะรู้ยิ่งนัก หากไป่ลู่เหวินรู้ว่าคนที่มันเรียกหาเป็นศิษย์สาขานอกแท้จริงแล้วเป็นถึงศิษย์คนเล็กของท่านเจ้าสำนักมันจะทำหน้าเช่นไร ฮ่าๆ”


------------------------------------------------------------


          ห้องพักอันมืดมิดภายในหอพยัคฆ์อัคคีห้องหนึ่ง

          จากแสงจันทราที่สาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามา เห็นเงาร่างอันเปลือยเปล่าสองร่างกอดกระหวัดรัดพันกันอยู่บนเตียงนอนอย่างเร่าร้อน กายทั้งสองแนบสนิทชิดกันจนไร้ซึ่งช่องว่าง ริมฝีปากทั้งคู่บดจูบอย่างโหยหา สองมือพัวพันลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของกันและกัน
 
           “อ…อื้อ”

            เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยหนักสอดแทรกกับลมหายใจอันร้อนผ่าว เร่งเร้าให้จังหวะการเคลื่อนไหวร้อนแรงยิ่งขึ้น

            “อ…อา”

             เสียงครวญครางปานจะขาดใจยังคงหลุดลอดออกมาให้ได้ยินเรื่อยๆ เสี้ยวนาทีที่แสงจันทร์ต้องกระทบเห็นเป็นดวงหน้างดงามราวกับอิสตรีวงหนึ่งกับใบหน้าอันหล่อเหลาราวหยกสลักของบุรุษอีกผู้หนึ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของบุรุษผู้นั้นยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นร่างบางที่ถูกทาบทับบิดกายไปมาอย่างทรมานในรสรักที่ร่วมกันสร้างขึ้น

             “อ…อ๊ะ…ม…ไม่ไหว…อ๊า…” ร่างบางบิดตัวเกร็งกระตุกจนหน้าท้องไหวยวบปลดปล่อยใจกายจนบรรลุจุดหมาย ร่างกำยำเห็นเช่นนั้นพลันเร่งเร้าจังหวะเป็นหนักหน่วงรุนแรง เพียงไม่นานก็ส่งเสียงคำรามต่ำ เกร็งตัวกระตุกปลดปล่อยตามพลางแนบตัวทาบทับลงบนร่างบอบบางนั้นอย่างหมดแรง

             “อ๊ะ…ศิษย์พี่ท่านถอนตัวออกไปก่อน” ร่างบางพยายามพลิกตัวกลับหมายจะผลักร่างหนานั้นให้ถอยออกไป

             “ขอข้าอยู่อย่างนี้อีกสักครู่ได้หรือไม่”

             “หึ…หากท่านรับปากจะช่วยข้าเอาคืนจ้าวเฟยหลงจนสาแก่ใจข้าแล้วล่ะก็ คืนนี้ให้ข้าอยู่กับท่านทั้งคืนก็ยังได้”

             “เฮอะ…เรื่องนั้นย่อมแน่นอน ต่อให้ไม่มีเรื่องของเจ้า ข้าก็ต้องหาทางกำจัดพวกมันให้พ้นทางของข้าอยู่แล้ว”

             “เช่นนั้น…ข้าจะช่วยศิษย์พี่อีกแรง”

             “ตอนนี้ข้าว่าเจ้าช่วยข้าเรื่องนี้ก่อนดีกว่า…มาต่อกันเถอะ” พูดจบพลางพลิกร่างบางขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

              “อ๊า…ศิษย์พี่หยุดก่อน ให้ข้าได้พักให้หายเหนื่อยก่อน อย่าเพิ่ง…อ๊ะ…”

              ค่ำคืนนั้นภายในห้องอันมืดมิดห้องนั้นถูกปลุกปั้นเต็มไปด้วยเพลิงราคะกันเร่าร้อน เสียงกระเส่าครวญคราง เสียงผิวเนื้อต้องกระทบถูกกันทำให้ทั้งคู่ทะยานถึงจุดสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไฟแห่งความปรารถนาอันร้อนแรงลุกโชติช่วงยาวนานไม่มีวี่แววที่จะสิ้นสุดลง


------------------------------------------------------------

   
               อากาศยามเช้าในวันนี้แจ่มใสเป็นพิเศษ เป็นเพราะจ้าวเฟยหลงมีนัดกับจินอวี่ที่จะพาเขาออกไปเที่ยวเดินเล่นภายในเมือง ชดเชยที่เมื่อวานทิ้งเขาไปเที่ยวกับศิษย์พี่ใหญ่เพียงสองคน

         เสียนหยางและจินอวี่เมื่อทราบเรื่องราวที่จ้าวเฟยหลงประลองกับไป่ลู่เหวิน ก็เอ่ยปากบ่นเขาเสียยกใหญ่ที่ไม่รู้จักอดกลั้นและสั่งห้ามไม่ให้เขาประลองประมือกับศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีอีก ยังดีที่จ้าวเฟยหลงไม่ได้ก่อเรื่องราวจนเกินเลยไปจึงไม่ถูกศิษย์พี่ทั้งสองสั่งลงโทษ

         ระหว่างทางที่เดินไปยังที่พักของจินอวี่ จ้าวเฟยหลงก็พบกับหลินซินอี้น้องเล็กของสามพี่น้องตระกูลหลินนั่งอยู่ที่โต๊ะหินหน้าเรือนพักหลังหนึ่งอย่างหงอยเหงาแต่เพียงลำพัง ในมือยังมีตำราอยู่เล่มหนึ่ง หากแต่เท่าที่มองดูเด็กน้อยเหมือนจะไม่กะจิตกะใจจะสนใจมันสักเท่าไหร่

         “ซินอี้ทำไมนั่งอยู่ที่นี่คนเดียว พี่ชายทั้งสองของเจ้าล่ะ ไปที่ใดแล้ว”

          “อา…พี่ใหญ่เฟยหลง” หลินซินอี้ที่เห็นว่าเป็นจ้าวเฟย ก็ทิ้งตำราในมือพลางวิ่งเข้ามาโอบกอดจ้าวเฟยหลงด้วยความดีใจ

          “ว่าอย่างไร…ซินอี้ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว” จ้าวเฟยก้มลงถาม

          “เอ่อ…”

           “หืม…”

            “พี่ใหญ่กับพี่รองเข้ารับการฝึกจากท่านอาจารย์แล้ว แต่อาจารย์บอกว่าข้ายังอ่อนแอเกินไป จึงให้ข้าฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงกับศึกษาตำราพวกนั้นก่อน ข้าก็เลยต้องนั่งอ่านตำราที่นี่คนเดียว แต่ว่ามันน่าเบื่อมากเลยนะ” พูดพลางทำทำปากยื่นปากยาวซึ่งช่างน่ารักยิ่งนักใจสายตาของจ้าวเฟยหลง จนอดที่จะดึงแก้มทั้งสองของน้องเล็กผู้นี้ไม่ได้

            “โอ๊ย…ย ข้าเจ็บนะพี่ใหญ่”

             “ฮ่าๆ ก็ใครใช้ให้เจ้าน่ารักอย่างนี้เล่า” จ้าวเฟยหลงหัวร่อเสียงดัง พลางลูบศีรษะหลินซินอี้ด้วยความเอ็นดู

             “เอ…พี่ใหญ่จะออกไปเดินเล่นในเมือง จะพาเจ้าไปด้วยดีไหมนะ…”

              “อา…ไปด้วย พาข้าไปด้วยนะพี่ใหญ่ พาข้าไปด้วย” ได้ยินเช่นนั้นหลินซินอี้รีบกระโดดเกาะแขนจ้าวเฟยหลงไว้พลางออดอ้อนขอติดตามไปด้วย ท่าทางเช่นนี้ทำให้จ้าวเฟยหลงอดที่จะนึกถึงตนเองเมื่อยังเล็กไม่ได้ เขาเองก็มักจะออดอ้อนจินอวี่ด้วยท่าทางเช่นนี้เสมอ

               “อืม…พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปด้วยก็ได้แต่เจ้าต้องสัญญาว่าเมื่อกลับมาจะตั้งใจฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและหมั่นอ่านตำราพื้นฐานพวกนั้นด้วย”

                “ข้าสัญญาพี่ใหญ่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” หลินซินอี้รีบรับปากด้วยท่าทางขึงขังจริงจังยิ่งนัก

                “ฮ่าๆ อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเลย”

                 “เย้!!!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินซินอี้ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เกาะแขนเกาะขาจ้าวเฟยหลงไปตลอดทาง ดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าเมื่อตอนนั่งอ่านตำราเป็นไหนๆ


   ------------------------------------------------------------


              เมืองหลวงของดินแดนเทวะอัคคียังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเสมอ สองฟากข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยมากมาย สามพี่น้องพากันแวะเข้าร้านนั้นออกจากร้านนี้อย่างไม่รีบร้อน

              จุดมุ่งหมายหลักที่จ้าวเฟยหลงออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อสรรหาผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรล้ำค่าที่จะใช้เป็นตัวยาสำคัญในการปรุงกลั่นเป็นโอสถเพื่อช่วยยกระดับพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้องตระกูลหลินนั่นเอง ถึงอย่างไรสามพี่น้องในขณะนี้ถือว่าอ่อนด้อยยิ่งนักเมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ในหอพยัคฆ์อัคคีด้วยกัน จำเป็นต้องเร่งฝึกฝนและยกระดับพลังยุทธ์ให้สูงที่สุดเพื่อที่จะดูแลกันและกันได้
 
              อันที่จริงหมู่ตึกทิพยโอสถภายในหอพยัคฆ์อัคคีเองก็มีผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมาก หากแต่โดยส่วนใหญ่เป็นผลึกธาตุของสัตว์อสูรธาตุไฟ ส่วนผลึกธาตุสัตว์อสูรธาตุอื่นๆ ก็เป็นผลึกธาตุชั้นต่ำที่เมื่อนำมาปรุงกลั่นเป็นโอสถแล้วก็มีประสิทธิภาพไม่สูงนัก จ้าวเฟยหลงจึงเห็นว่ามิสู้ออกมาหาซื้อผลึกธาตุจากร้านค้าภายในเมืองน่าจะได้ผลึกธาตุสัตว์อสูรระดับสูงตามที่ต้องการมากกว่า

             ด้วยเมืองหลวงแห่งนี้เป็นตลาดกลางสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนผลึกธาตุสัตว์อสูรอยู่แล้วจึงเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ใช้เวลาไม่นานจ้าวเฟยหลงก็รวบรวมวัตถุดิบในการปรุงกลั่นยาสำหรับสามพี่น้องตระกูลหลินได้ครบ อีกทั้งยังได้ผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรหายากอีกจำนวนหนึ่งแต่มูลค่าของมันก็ถือว่ามหาศาลเช่นกัน ยิ่งช่วงนี้ใกล้ถึงงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถ ทำให้มีเหล่าแพทย์โอสถมาหาซื้อวัตถุธาตุและสมุนไพรเป็นจำนวนมาก ร้านค้าต่างๆ จึงฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าจนแพงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จนเงินที่จ้าวเฟยหลงพกมาแทบจะหมดลง แต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา กลับไปให้ศิษย์พี่จินอวี่ไปออดอ้อนขอจากศิษย์พี่ใหญ่เงินในกระเป๋าของพวกเขาก็จะเต็มเปี่ยมดังเดิมแล้ว คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงก็อดที่หัวร่ออย่างอารมณ์ดีไม่ได้

         “ท่าทางเจ้าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะเฟยหลง คิดวางแผนทำอะไรแผลงๆ ไว้อีกละสิ” จินอวี่เหล่มองจ้าวเฟยหลงอย่างไม่ไว้ใจนัก

        “อะไรเล่าศิษย์พี่รอง ไม่มีอะไรสักหน่อย ข้าแค่ดีใจที่เราหาวัตถุดิบได้ครบแล้วต่างหากเล่า จากนี้พวกเราก็จะมีเวลาเดินเล่นได้เต็มที่แล้ว” จ้าวเฟยหลงอดจะมองค้อนศิษย์ไม่ได้

         “ซินอี้อยากกินพุทราเชื่อมหรือไม่” จ้าวเฟยหลงก้มลงถามหลินซินอวี้ เมื่อเห็นน้องเล็กผงกศีรษะรัวๆ ก็รีบจูงมือวิ่งไปทันที จนจินอวี่อดที่จะส่ายหน้ากับนิสัยของศิษย์น้องไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วแต่จ้าวเฟยหลงก็ยังเป็นศิษย์น้องที่ซุกซนของเขาเสมอ

          พวกเขาสามพี่น้องพากันเดินชมร้านรวงต่างๆ ด้วยความเพลิดเพลิน ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมักจะมีสายตาทั้งชายหญิงจับจ้องมองเสมอ หากแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก แม้จ้าวเฟยหลงจะรู้สึกหงุดหงิดบ้างแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ จะไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไรเล่า ก็พวกที่จ้องมองเขาโดยมากเป็นบุรุษ จ้าวเฟยหลงไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมบุรุษพวกนั้นต้องทำเหมือนสนใจเขาด้วย เขาก็ไม่ใช่สตรีนะ…หึยย

          “เอ๊ะ!!!” จ้าวเฟยหลงหยุดชะงัก พลางมองเข้าไปในตรอกซอยเบื้องหน้าด้วยความสงสัย

          “มีอะไรหรือเฟยหลง” จินอวี่เอ่ยถาม พลางหันไปมองตามสายตาของศิษย์น้อง

          “อืม…ไม่มีอะไรศิษย์พี่ พวกเรากลับกันเถอะ” จ้าวเฟยหลงหันไปตอบคำจินอวี่ พลางเดินนำผ่านตรอกซอยนั้นไป หากแต่ในใจกลับกำลังครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจในตนเองนัก

               เมื่อครู่ขณะกำลังจะเดินผ่านตรอกซอยนั้น หางตาเขาเหลือบเห็นเหมือนมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังเดินหายลับเข้าตรอกซอยนั้นไป แต่ในเสี้ยวนาทีที่ร่างนั้นกำลังจะลับสายตา จ้าวเฟยหลงกลับสัมผัสได้ถึง ลมปราณพิษ หากแต่สัมผัสนั้นช่างบางเบานัก จนทำให้จ้าวเฟยหลงเกิดความไม่แน่ใจ

               เหรียญมีสองด้านฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนปฐพีนี้ก็เช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มแพทย์โอสถอันได้ชื่อว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูงก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกเป็นเหล่าผู้สรรค์สร้างทำหน้าที่ในการปรุงกลั่นโอสถเพื่อช่วยเหลือผู้คนเรียกหาเป็นแพทย์โอสถ อันมีปรมาจารย์ทั้งสามของสำนักแพทย์โอสถหลวงเป็นผู้นำ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับทำตัวเป็นผู้ทำลายล้างคอยเสกสรรโอสถพิษมาทำลายชีวิตผู้คนเรียกหาตนเองเป็นจอมพิษ อันมีเจ้าแห่งพิษ หยุนเสียนจง สองสามีภรรยาเป็นผู้นำ


              จ้าวเฟยหลงก็ได้แต่หวังว่าสัมผัสของเขาจะผิดพลาดไป…




          คล้อยหลังจากที่จ้าวเฟยหลงพาจินอวี่และหลินซินอี้จากไปไม่นาน อวี้เหวินหลางพร้อมด้วยหย่งสือและเหยียนจวิ้นก็ปรากฏตัวขึ้น เห็นอวี้เหวินหลางหยุดยั้งลงส่งสายตามองตามเงาร่างของจ้าวเฟยหลงไปจนลับสายตา แม้อยากจะเข้าไปทักทายหากแต่เขาก็มีเรื่องให้ต้องจัดการ สายตาของเขามองเข้าไปในตรอกซอยนั้นพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด

          “แม้จะสัมผัสถึงลมปราณพิษได้เพียงแผ่วเบา แต่ข้ามั่นใจว่าเป็นของพวกจอมพิษอย่างแน่นอน” อวี้เหวินหลางพูดด้วยความมั่นใจ

           “องค์ชายท่านว่าพวกมันมาเพราะพวกเราหรือไม่” หย่งสืออดที่จะถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลไม่ได้

            “อาจจะไม่ได้มาเพราะพวกเรา ดูท่าพวกจอมพิษน่าจะมาเพราะงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถเสียแปดส่วน แต่พวกเราก็อย่าได้ประมาท เหยียนจวิ้นท่านส่งคนของเราไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกมันไว้อย่างใกล้ชิด แต่ต้องระวังตัวให้มาก”

            “รับคำสั่งองค์ชาย” เหยียนจวิ้นรับคำ พลางเอ่ยพูดอย่างเป็นกังวล

             “องค์ชายตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เห็นทีพวกเราต้องรีบเร่งเดินทางกลับดินแดนวายุอัสนีแล้ว”

             “อืม…อีกเพียงห้าวันก็จะถึงงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถแล้ว ถึงตอนนั้นหากสามารถเชื้อเชิญแพทย์โอสถชั้นสูงของสำนักแพทย์โอสถหลวงได้ พวกเราก็รีบเร่งออกเดินทางได้ทันที ตอนนี้วัตถุดิบ ผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรที่จะใช้ปรุงกลั่นโอสถเตรียมไว้ครบแล้วหรือไม่” อวี้เหวินหลางหันไปถามเหยียนจวิ้น

             “จัดเตรียมไว้ครบแล้วขอรับ ส่วนหนึ่งได้ว่าจ้างสำนักวาณิชมังกรทองนำส่งไปยังดินแดนวายุอัสนีแล้ว หากแต่ที่น่ากังวลเป็นข่าวที่องค์ชายห้าส่งมาแจ้งว่ามีคนว่าจ้าง กองกำลังอสูรรัตติกาล หมายมาดว่าจะขัดขวางไม่ให้พวกเราเดินทางกลับไปยังดินแดนวายุอัสนีได้”
 
              “เรื่องนี้คงต้องกลับไปวางแผนให้ดี ขอแค่เดินทางเข้าสู่เขตแดนของดินแดนวายุอัสนีได้ก็ไม่น่าเป็นกังวลแล้ว เพราะองค์ชายห้าจะส่งกองกำลังมารับพวกเรา ถึงตอนนั้นกองกำลังอสูรรัตติกาลก็คงไม่อาจทำอย่างไรพวกเราได้อีก”
   
              กองกำลังอสูรรัตติกาลเป็นกองกำลังทหารรับจ้างที่รวบรวมคนเดนตายนับพันนับหมื่นเข้าด้วยกัน จัดเป็นกองกำลังทหารรับจ้างที่ใหญ่ที่สุด มีอิทธิพลที่สุด แบ่งออกเป็นเจ็ดกองพันออกเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายอยู่ตามชายแดนของดินแดนทั้งเจ็ด แม้องค์จักรพรรดิแต่ละดินแดนจะส่งคนออกปราบปรามแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างไรพวกมันได้ เนื่องจากกองกำลังกลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวตามแนวชายแดน เมื่อถูกดินแดนนั้นออกปราบปรามก็จะหลบหนีเข้าไปอีกดินแดนหนึ่ง ตราบใดที่ดินแดนทั้งเจ็ดไม่ร่วมมือกัน เกรงว่ากองกำลังอสูรรัตติกาลก็ยังจะออกมาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

             ควรทราบว่าความน่ากลัวของกองกำลังทหารรับจ้างไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์ อย่างเช่นกองกำลังอสูรรัตติกาลเองหัวหน้าใหญ่ของพวกมันที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดยังอยู่ในระดับจ้าวยุทธ์ หัวหน้ารองทั้งสองมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับยอดยุทธ์ ส่วนหัวหน้ากองทั้งเจ็ดก็มีระดับพลังยุทธ์ตั้งแต่ระดับยอดยุทธ์จนถึงจอมยุทธ์เท่านั้น

                 หากแต่ความน่ากลัวของพวกมันอยู่ที่ความดุดันอำมหิต ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย การต่อสู้ก็ไร้ซึ่งแบบแผนอาศัยการเอาชีวิตเข้าแลกกับคู่ต่อสู้ นอกจากนั้นพวกมันรู้สึกการใช้ค่ายกลกลุ้มรุมสังหาร อีกทั้งยังรู้จักการใช้พิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้กองกำลังอสูรรัตติกาลเป็นที่หวั่นเกรงของผู้ฝึกยุทธ์ กลับเป็นเรื่องที่หัวหน้าใหญ่ของพวกมันถึงกับเป็นผู้สืบทอด ค่ายกลกักลมปราณ อันเป็นค่ายกลที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ตกอยู่ในค่ายกลนั้นไม่สามารถเรียกใช้พลังยุทธ์ได้ นับเป็นค่ายกลที่เป็นปรปักษ์กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ทุกคน

   
------------------------------------------------------------

             ท้องฟ้าในยามราตรีถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดราวกับถูกแต้มเต็มไปด้วยหมึกสีดำ แม้แต่ดวงดาวก็หลบเร้นไม่ปรากฏแม้แต่ดวงเดียว ด้านนอกห้องพักหลังหนึ่งภายในหอพยัคฆ์อัคคีพลันเห็นเงาร่างในชุดสีดำสนิทกลมกลืนกับความมืดมีผ้าสีดำเช่นเดียวกันปิดคลุมใบหน้าไว้ปรากฏตัวขึ้นสามคน คนชุดดำเหล่านั้นพลิ้วร่างอย่างแผ่วเบาเคลื่อนตัวเข้าประชิดห้องพักหลังนั้นโดยไร้ซุ่มเสียง ทั้งสามดูไปมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่จากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแผ่วเบาเช่นนั้น หากไม่ใช่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลม ก็คงได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ

           หนึ่งในสามล้วงหยิบวัตถุรูปร่างแปลกตาออกมาสอดผ่านหน้าต่างเข้าไป แล้วใช้ปากเป่าพ่นควันบางเบากรุ่นกลิ่นหอมคล้ายดอกกุ้ยฮัวเข้าไปในห้องพักหลังนั้น เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นคนชุดดำที่พ่นควันพิษนั้นให้สัญญาณ คนชุดดำอีกคนพลันเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเปิดหน้าต่างออกแล้วทะยานร่างเข้าไปในห้องอย่างแผ่วเบา

                ภายในห้องที่มืดมิดนั้นเห็นมีร่างบางหน้าตางดงามร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งหลับสนิทลมหายใจสม่ำเสมอ คนชุดดำผู้นั้นไม่รีรอลังเลเดินเข้าหาพลางโอบอุ้มร่างนั้นขึ้นมาแล้วทะยานร่างผ่านหน้าต่างห้องออกไป แล้วกระโจนขึ้นหลังคาอาคารหลังหนึ่งโดยไร้ซุ่มเสียง โดยมีพวกพ้องชุดดำอีกสองคนตามมาอย่างกระชั้นชิด ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเป็นมืออาชีพที่ผ่านการซักซ้อมวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี ใช้เวลาเพียงไม่นานคนชุดดำเหล่านั้นก็พากันลัดเลาะมาจนถึงเชิงกำแพงด้านหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครพบเห็นการเคลื่อนไหว เหล่าคนชุดดำก็ทะยานร่างข้ามกำแพงหายลับไปกับความมืด

               น่าแปลก!!!

               หอพยัคฆ์อัคคีที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักอันยิ่งใหญ่ กลับปล่อยให้มีโจรปลายแถวมาเคลื่อนไหวกระตุกหนวดเสือโดยไม่รู้สึกตัว หากเรื่องราวหลุดรอดออกไปเกรงว่าคงเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนแล้ว

               คล้อยหลังจากที่คนชุดดำทั้งสามจากไป ที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากกำแพงด้านในหอพยัคฆ์อัคคีมากนักพลันปรากฏเงาร่างของผู้คนขึ้นสองร่าง สายตาสองคู่นั้นจ้องมองตามคนชุดดำที่ทะยานร่างไปจนลับสายตา มุมปากแสยะยิ้มด้วยความสาแก่ใจ

------------------------------------------------------------


หมดสต็อกแล้วจ้า....

หลังจากนี้ขอเป็นทุกวันอาทิตย์นะทุกคน

ขอบคุณที่ติดตามจ้า


 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 29-05-2016 13:49:11
คร๊าบบบ~~. (^+++^)\ รอน้าาา~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 29-05-2016 13:52:22
หลินซินอี้น่ารักมากเลย ว่าแต่ชายชุดดำคือใครแล้วมาทำอะไร
อยากรู้มากเลย  :katai1: งืออออ รอนะคะ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-05-2016 14:54:10
ไม่ใช่ว่าเฟยหลงโดนลักพาตัวไปนะ ถ้าใช่หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดต้องมีไป่ลู่แน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-05-2016 15:44:00
งะ อารายยังงายย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 30-05-2016 00:22:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: hotladyanyavee ที่ 30-05-2016 19:00:29
แปะไว้ก่อนอ่านตอนแรกแล้วสนุกดี
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 30-05-2016 21:45:52
สนุกๆๆๆชอบๆๆคะ
คนที่โดนจับเฟยหลงรึป่าวคะ
ไม่นะ  ไม่ยอมๆๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 30-05-2016 23:00:22
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ขอบอกว่าวันอาทิตย์น่าจะช้าไปนะ. สนุกมากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 31-05-2016 01:41:20
เฟยหลงโดนจับตัวไปป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: เอาแต่ใจจะทำไม ที่ 31-05-2016 14:35:41


อ้ายเราชอบมากกกกเลย  :L2: :กอด1:  นิยายแบบจีน  เราจะคอยติดตามน้า  ขออย่างเดียว  :mew2:พอกลางๆเรื่องหรือนานๆไป คนเขียนจะหายไปเฉยเลยอย่างงี้ขอ เถอะน้าาาาาาา :mew6:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 01-06-2016 08:56:03
จ้าวเฟยหลงแกล้งหลับช่ายมั้ย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: littlepooh ที่ 12-06-2016 20:59:42
ไหนว่าจะมาต่อทุกวันอาทิตย์ละ นี่ 2 อาทิตย์แล้วยังไม่มาต่อเลย รออยู่นะ :hao5:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 17-06-2016 00:09:16
รอออออ มาต่อเถอะนะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miya_pp ที่ 17-06-2016 11:27:40
หายไปไหนอ่า รอนานนนแล้วง่ะ คิดถึงนะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 18-06-2016 00:42:41
กำลังสนุกเลยรีบมาต่อนะรออ่านจร้าาาาา :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 20-06-2016 07:15:42
ชอบเรื่องนี้เนื้อหาสนุกไม่น่าเบื่อน่าติดตามสุดๆ
อย่าลืมมาอัพต่อนะครับ รออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: littlepooh ที่ 20-06-2016 21:10:31
 :hao5:  :hao5: แง แง คนแต่งหายตัวไป
ใครลักพาตัวไป แง แง  :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 23-06-2016 07:41:24
คนเขียนหายไปไหนนนนนนนนนนนนนนน?
วอนเธอกลับมาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 23-06-2016 12:11:22
คนที่โดนอุ้มไปนั่นเฟยหลงใช่มั้ยนั่น
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 23-06-2016 14:27:31
หายไปนานแล้วน้า มาอัพต่อหน่อยสิคะ รออยู่น้า
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: littlepooh ที่ 26-06-2016 19:51:57
 :hao5: คนแต่งหายไปไหนน้า สงสัยโดนอุ้มไปแน่ๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 28-06-2016 21:14:47
พรุ่งนี้จะครบเดือนแล้ว คนแต่งก็ยังชิวๆ อยู่เลย
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-06-2016 22:02:34
เมื่อไหร่จะมาน้อ รอนะนี่
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 06-07-2016 11:53:27
หายไปไหน????
มาอัพนิยายหน่อย
พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: game6969 ที่ 08-07-2016 00:57:41
รอรอรอรอรอรอรอรอรอรอรอ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: boyboyman ที่ 09-07-2016 15:37:44
รอ...รอ.... :z3: :z3: :z3: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 10-07-2016 19:02:30
เฮ้อ  กลัวจะจบได้นี้คนอ่านคงต้องลุ้นแบบใจจดใจจ่อกันเลยที่เดียว  สนุกมาก  ถึงช่วงแรกๆจะรู้สึกขัดๆสักหน่อย  ถ้าทำเป็นหนังสื่อ  ผมคนหนึ่งที่จะซื้อเก็บไว้  คนแต่งสู้ๆนะคราบ  ลุ้นแทบแย่  คนที่โดนอุ่มไปคงไม่ใช่นายเอกนะ  แต่นายเอกทำไหมโดนจับง่ายจัง  หรือแผ่นซ่อนแผ่น  ตอนนี้ลุ้นมาก  ตอนนี้เนื้อหาก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ คนแต่งอย่าสมองตัน  แล้วทิ้งกันไปนะครับ  รอนะรอได้  ขออย่างเดียวว่าแต่งให้จบก็พอ  ขอแค่นี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 10-07-2016 23:38:52
สนุกจังเลย รอติดตามนะคะ :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 11-07-2016 18:11:12
หายไปเดือนหนึ่งล่ะ  สลสัยทิ้งกันแน่ๆเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 31-10-2016 22:47:09
เรื่องนี้คือหายไปนานเลย มาต่อเถอะนะ เค้าอยากอ่านมากเลย งืออออออ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-01-2017 20:30:30
คิดถึง
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: game6969 ที่ 11-01-2017 22:51:43
รออ่านต่อยุนะคัฟ
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 13-01-2017 00:00:32
หายจริงหายจังอ่ะ มาต่อเถิดดดด พลีสสสสส  :ling1:
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mystory.gig ที่ 11-02-2017 08:42:30
รอค่ะ นืยายสนุกมาก
หัวข้อ: Re: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: poonpungay ที่ 24-02-2017 22:11:18
หายไปแล้ว 9 เดือนเมื่อไหร่จะมาต่อเนี่ยคนอ่านรออยู่ นะครับ  :o12: :o12: :o12: :m31: :m31: :m31: