พิมพ์หน้านี้ - ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2018 17:13:13

หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2018 17:13:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ








:z7: สารบัญ :z7:


✦บทเริ่มต้น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3781868#msg3781868)
✦บทแรก :บทพระรอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3781869#msg3781869)
✦เสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนไปจริงหรือ? (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3782335#msg3782335)
✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3783159#msg3783159)
✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3783646#msg3783646)
✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท! (อะไรนะ?) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3784290#msg3784290)
✦บทหก: ลิขิตเอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3785288#msg3785288)
✦บทเจ็ด: ผูกมิตร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3787098#msg3787098)
✦บทแปด: จื่อฟางออกโรง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3790009#msg3790009)
✦บทเก้า:ความลับ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3792401#new)
✦บทสิบ: ข่มขู่  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3795189#msg3795189)
✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3800871#new) 
✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3864819#msg3864819)
✦บทสิบสาม: คลื่นลมสงบ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3866346#new)
✦บทสิบสี่:เยี่ยมสกุลโหยว  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3872153#msg3872153)
✦บทสิบห้า:โชคชะตา  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3875390#msg3875390)
 ✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3928822#msg3928822)
✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3930169#msg3930169)
✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3931401#msg3931401) 
✦บทสิบเก้า: คำสัญญา  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3932030#msg3932030) 
✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3933304#new) 
✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3935620#msg3935620)
✦บทยี่สิบสอง: หวนคืน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3936682#msg3936682)
✦บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3939088#msg3939088)
✦บทยี่สิบสี่: พลิกผัน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3940312#msg3940312)
✦บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1)   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3942384#msg3942384)
✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3943103#msg3943103)
✦บทยี่สิบเจ็ด :สู่บทเริ่มต้น (1)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3943776#msg3943776)
 ✦บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65954.msg3944539#msg3944539)

-จบภาคต้น-

คำเตือนจากผู้เขียน:นายเอกเรื่องนี้เป็นเพียงคนธรรมดา ๆ

ไม่ได้เก่งกาจอย่างผู้อื่นเขา ขอภัยจริงๆ ชีวิตของน้องจื่อเปรียบดั่งหอยทาก  :z13:

ติดตามเพจ-->>  กดเลย (https://goo.gl/NZhHgp)

หัวข้อ: Re: ✦ ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2018 17:14:24
 Chapter edit : 13 ส.ค. 2562


ว่าด้วยเรื่องของพระรอง


บทเริ่มต้น

 

เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่จื่อฟางยังไม่เข้านอน หนึ่งเพราะเขานอนไม่ค่อยหลับ สองเขากำลังเพลิดเพลินกับการวาดภาพสำหรับลงขายในเว็บ เขาเรียนอยู่ที่ม.ซีเตี้ยนในเมืองซีอาน เข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจสาขาบัญชีเพราะพ่อกับแม่ต้องการให้เขาเรียนในคณะที่มั่นคง เกรดก็เลยตามสภาพ เนื่องจากต้องเรียนและหาเงินไปพร้อม ๆกัน จื่อฟางจึงไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาที่ไหน ช่วงปีแรกก็ยังพอมีคนให้คบให้ควงบ้าง แต่พอเข้าสู่ช่วงปีสองด้วยเหตุผลที่ว่ามาจึงทำให้เขาไม่ได้ออกเดทเลยสักหน ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ไม่มีตกถึงท้อง ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องหน้าตาก็ไม่ใช่ เพราะจื่อฟางก็ไม่ได้น่าเกลียดจนดูไม่ได้ถึงจะไม่หน้าตาดีเหมือนพวกไอดอลจีนแต่เขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่แน่นอน ชีวิตของเขามันช่างจืดชืดอะไรอย่างนี้


จื่อฟางลากดินสอไปมาอย่างหงุดหงิด รู้สึกว่าไม่มีอารมณ์วาดตามที่ใจอยากก็เปลี่ยนไปหาอย่างอื่นทำเพื่อสร้างอารมณ์ศิลป์สักเล็กน้อย เขานั่งบงที่หน้าคอมพิวเตอร์เก่าๆ ท่องโลกออนไลน์จนไปเจอนิยายเรื่องหนึ่งที่ยอดอ่านและคอมเม้นท์ค่อนข้างสูงจึงเปิดเข้าไปดูแก้เบื่อ นิยายชื่อเรื่องกลรักหญิงงาม ดูเหมือนกำลังได้รับความนิยมเพราะเนื้อเรื่องตลกขบขันเบาสมอง เนื้อหาเพ้อฝันแบบที่หลายๆคนคงชอบ เป็นเรื่องของคุณหนูฉินเซียงอินนางเอกของเรื่องที่ภายนอกดูอ่อนหวานเรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วนิสัยของนางกลับตรงกันข้าม สมัยนี้คงต้องบอกว่านางแสดงละครได้แนบเนียน คุณหนูฉินแอบหลงรักพระเอกนิสัยเหมือนท่อนไม้อย่างไป๋ผูอวี้ บุตรชายคนเดียวของสกุลไป๋เจ้าของโรงน้ำชาอันเลื่องชื่อในเมืองฉางอัน นอกจากดูแลกิจการของบิดาแล้วไป๋ผูอวี้ก็ไม่คิดสนใจเรื่องอื่นใด


และนี่จึงเป็นบทเริ่มต้นของการงัดกลยุทธิ์หญิงงามมาใช้กับคุณพระเอก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไป๋ผูอวี้ไม่ใช่คนโง่ที่มองไม่ออกถึงความตั้งใจของคุณหนูฉิน ส่วนที่เป็นสีสันของเรื่องก็คือตัวตลก เอ้ย พระรองอย่างเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายเจ้าของใบหน้างดงามหมดจด(ตามที่ผู้เขียนบรรยาย) นิสัยไม่เอาไหน นอกจากเล่นกู่เจิง[1]และเดินหมากได้เก่ง นอกนั้นก็ไม่มีดีให้พูดถึงนัก เสิ่นจิ้งเฟยชอบเที่ยวเตร่กับสหาย ถลุงเงินบิดา นอกจากหน้าตางดงามคุณชายเสิ่นผู้นี้ก็สู้กับพระเอกอย่างไป๋ผูอวี้ไม่ได้เลยสักนิด มีเรื่องให้กล่าววาจาต่อคำก็มักเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ


อ่านไปแล้วนิสัยบางส่วนช่างเหมือนกับตัวจื่อฟาง เขาจินตนาการหน้าตาของตัวละครเหล่านี้ไม่ออก ไม่ว่าผู้เขียนจะบรรยายว่างดงามหล่อเหล่าอย่างไร ร่างเล็กเอนตัวพิงพนักเก้าอี้มุ่นคิ้วเมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ก็ค้นพบว่านิสัยของไป๋ผูอวี้คุ้นๆเหมือนเพื่อนร่วมชั้นของเขา จื่อฟางนึกชื่อฝ่ายนั้นไม่ออกเพราะไม่ได้รู้จักมักจีเพียงแต่เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ 


จื่อฟางกลอกตาอ่านไปได้ครึ่งเรื่องก็เริ่มปวดขมับจี๊ด ๆอย่างบอกไม่ถูก เริ่มตาลายอ่านไม่รู้เรื่องจึงปิดคอม รู้สึกไม่ดีชอบกลจึงทิ้งนอนพักสักงีบ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง….โลกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


~•~


                “คุณชาย…คุณชาย”เสียงเรียกซ้ำ ๆดังอยู่ข้างหู หนวกหูจริง จื่อฟางไม่ใช่คุณชายซ้ำยังเช่าหออยู่คนเดียว ใครที่ไหนจะมาเรียก ในใจจึงคิดอย่างง่วงงุ่นว่าคุณป้าข้างห้องคงเปิดทีวีทิ้งไว้เสียงดังอีกแล้ว เขาพลิกตัวไปอีกด้าน แต่ยิ่งพลิกก็ยิ่งไม่สบายตัว รู้สึกว่าเตียงนอนแข็งผิดปกติ


“คุณชายรีบตื่นเถิด หากไม่รีบกลับไปที่จวนตอนนี้ มีหวังนายท่านต้องโกรธมากแน่ ๆ”เสียงร้อนใจดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม คราวนี้มาพร้อมกับแรงเขย่าที่หัวไหล่


“อา หนวกหู!”จื่อฟางคำรามขึ้นมาอย่างนึกรำคาญ ปัดป่ายสิ่งที่มารบกวนออกอย่างหงุดหงิด


จางต้าได้แต่มองผู้เป็นนายนอนขดตัวหันหลังให้ตนอยู่บนเตียงด้วยความกระวนกระวายใจ มิรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแต่คุณชายเสิ่นหมกตัวอยู่ในหอผูเยว่เอาแต่ดื่มสุรามาสองวันติดแล้ว นางคณิการ่างแบบบางเข้ามาออเสาะปรนนิบัติก็ถูกคุณชายของเขาไล่ตะเพิดออกไปหมด จางต้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก แต่ไม่ว่าด้วยเรื่องใดหากวันนี้คุณชายยังไม่กลับจวนสกุลเสิ่น ไม่ใช่แค่ตัวเขาแน่ที่ตกที่นั่งลำบาก จางต้าจึงตัดสินใจใช้วิธีปลุกที่นาน ๆทีจะกล้าทำ ถึงจะอยู่กับคุณชายมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ใช่ว่าคุณชายจะไม่กล้าลงโทษบ่าวรับใช้เช่นเขา ว่าแล้วก็กลั้นใจยื่นมือออกไปดีดหน้าผากคุณชายเต็มแรง


ผลั้วะ!


“โอ๊ย…”จื่อฟางอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด พลิกตัวลุกนั่งหมายจะก่นด่า แต่ลืมตามองเห็นคนผู้หนึ่งอายุอานามคงพอๆกับเขาทั้งยังสวมเสื้อผ้าที่เหมือนในละครย้อนยุคนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็รู้สึกงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ฉากพวกนี้มันคุ้นๆ


“อภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ คุณชาย!”


จื่อฟางมองตาโต สมองสับสนวุ่นวายไปหมด ทำไมเจ้าคนนี้ถึงนั่งคุกเข่าให้เขา แล้วยังเรียกเขาว่าคุณชายอีก นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว หรือเขาจะฝันไป? จื่อฟางมองไปรอบตัว ก็พบว่านี่ไม่ใช่หอนอนคับแคบของตน แต่เป็นห้องรับรองตกแต่งด้วยของโบราณ เช่นเตียงที่เขานั่งอยู่ถึงจะแข็งแต่ผ้าไหมปักลายสวยงามพวกนี้คงเป็นของดีแน่ ห่างออกไปไม่ไกล มีโต๊ะตัวเตี้ยที่เกลื่อนไปด้วยไหสุรา ส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง จื่อฟางหลับตาพลางศีรษะไปมา


“ต้องเป็นความฝันแน่ ๆ ทำไมจู่ ๆถึงได้ฝันประหลาดแบบนี้ได้นะ”ร่างบางพึมพำกับตัวเองเบาๆ หรือว่าอ่านนิยายกลรักก่อนนอนจนทำให้เขาเก็บมาละเมอเพ้อพกเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ ใช่!ต้องเป็นแบบนั้นแน่ จื่อฟางยังคงปลอบใจ แม้จะสงสัยว่าในความฝันคนเรารู้ด้วยหรือว่าตัวเองกำลังฝัน...ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดขมับเพราะกลิ่นสุราที่ส่งกลิ่นฟุ้งอยู่ในห้อง


“คุณชายจะมัวแต่ใจเย็นอยู่ไม่ได้แล้ว คราวนี้นายท่านใหญ่ดูจะโกรธจริง ๆขอรับ ไม่แน่อาจโดนตัดเบี้ยเลี้ยงทั้งเดือนเลยก็เป็นได้ รีบกลับจวนกันเถอะขอรับ!”เจ้าคนที่นั่งคุกเข่าร้องเรียกด้วยท่าทางร้อนใจ ถ้าร้องไห้ได้คงร้องไปแล้ว จื่อฟางเพียงอ้าปากหาวหวอด ๆ คิดว่านอนต่ออีกสักหน่อย เดี๋ยวก็ตื่นจากความฝันบ้าบอนี่เอง เขาทำท่าจะล้มตัวลงนอนแต่พลันชะงักกึกเมื่อสังเกตเห็นแขนตัวเองซะก่อน


เดี๋ยวนะ…ฉากแบบนี้มันคุ้นๆเหมือนในละครข้ามมิติที่ตัวเอกจะต้องชะงักเมื่อเห็นร่างตัวเอง


จื่อฟางก้มมองสำรวจพบว่าร่างของเขาสวมใส่ชุดคลุมยาวสีเข้มปกเสื้อไขว้กันปักลวดลายสวยงาม แต่ที่ผิดปกติคือผิวเนียนละเอียดกับนิ้วมือเรียวยาวที่เหมือนไม่เคยทำงานหนักตรงหน้านี่ต่างหาก นี่มันไม่ใช่มือของเขาแน่ๆ จื่อฟางขยับนิ้วก่อนยกจับแตะใบหน้าก็ยิ่งตกตะลึงเพราะโครงหน้าของเขาไม่ใช่แบบนี้ อาการตื่นตระหนกยิ่งทำให้ทำอะไรไม่ถูก 


“คุณชายเสิ่น ท่านเป็นอะไรไปแล้ว”จางต้าโอดครวญ เมื่อเห็นผู้เป็นนายมีอาการแปลกประหลาดเหลียวซ้ายแลขวาหน้าตาซีดเซียว พอเห็นคันฉ่องที่วางอยู่ใกล้เตียงก็รีบคว้ามาดู แล้วส่งเสียงพิกลออกมา


“คุณชาย…”บ่าวรับใช้เอ่ยเรียกช้า ๆ แม้จะร้อนใจ แต่ยามนี้คุณชายเสิ่นทำตัวผิดแปลกไปจากเดิม หรือว่าจะไม่สบาย ไม่ได้ๆ เขาต้องรีบพาคุณชายกลับจวนโดยเร็วที่สุด บ่าวรับใช้พลันรับรู้ชะตาของตัวเอง จางต้าเอ๋ย ดูท่าวันนี้เจ้ามีดวงถูกโบยแน่ ๆโทษฐานที่ดูแลคุณชายไม่ดี


จื่อฟางยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกมองเงาสะท้อนจากคันฉ่อง ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มหน้าอ่อนอายุคงไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี มีคิ้วเรียวสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากรับกับรูปหน้า เส้นผมสีดำยาวรวบเสยไปด้านหลัง นับว่าหน้าตามีเสน่ห์หมดจด สามารถพูดว่าสวยได้เต็มปากเต็มคำ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จิกเล็บลงในอุ้งมือ อาการเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นคือของจริง แต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา


นี่เป็นความจริงหรือความฝัน?


“คุณชายรีบกลับจวนเถอะ”จางต้าเอ่ยอีกครั้งระหว่างที่วางแผนอยู่ในใจ


“ว่าแต่คุณเป็นใคร”จื่อฟางขมวดคิ้ว ละสายตาจากคันฉ่อง ยิ่งส่องก็ยิ่งปวดหัว


“โธ่ คุณชาย เหตุใดถึง....”จางต้ากัดริมฝีปากอย่างอับจนหนทาง ดูท่าว่าคุณชายจะป่วยจริงเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยังคงมองมาที่ตนด้วยแววตาสับสนท่าทางโง่งม จึงไม่รอช้ารีบพุ่งไปคว้าร่างผอมบางบนเตียงพาดบ่าเหมือนเห็นเป็นกระสอบป่านใบหนึ่ง


“เฮ้ย แกจะทำอะไร!”จื่อฟางร้องลั่นด้วยความตกใจ อยู่ ๆถูกจับพาดบ่าก็รู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาทันที รีบยกมืออุดปากเมื่ออาการคลื่นเหียนเริ่มก่อตัว รับรู้ว่าเจ้าคนที่แต่งตัวประหลาดพาเขาออกจากเรือนรับรองที่เหม็นกลิ่นสุราด้วยความเร่งรีบ


“กลับจวนไงขอรับ!”จางต้าตอบอย่างอดทน เขาทวนประโยคนี้มาหลายรอบแล้ว เหตุใดคุณชายถึงไม่เข้าใจเสียที บ่าวรับใช้รีบก้มหน้าก้มตาพาร่างคุณชายผ่านโถงทางเดิน สองหูได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของแม่นางทั้งหลายในหอผูเยว่ดังมาไม่ขาดสายระหว่างที่เขาพาคุณชายเสิ่นออกมาด้วยสภาพที่ไม่น่าดูนัก แต่ยามนี้จางต้าไม่มีเวลามาเห็นแก่หน้าคุณชายแล้ว เพราะเสนาบดีเสิ่นกำลังเดือดดาลรออยู่ที่จวนทั้งคน ไม่รู้ว่าจะโดนนายท่านลงโทษอย่างไรบ้าง


“เฮ้ เดี๋ยวสิ...”จื่อฟางส่งเสียงตะกุกตะกักดูเหมือนสมองจะทำงานได้ช้ากว่าปกติ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหญิงงามหลายคนและแขกเหรื่อต่างก็พากันออกมาดูเหมือนเห็นเขาเป็นตัวตลก เขากลอกตามองการแต่งตัวของผู้คนรอบข้างก็ต้องยอมรับจริง ๆว่าที่นี่คือยุคโบราณจึงลอบหยิกแขนตัวเองอีกครั้ง


เจ็บ!


“นี่ของเจ้า แม่เล้าเถาฮวา”ได้ยินจางต้าเอ่ยขึ้น คำว่าแม่เล้าทำให้จื่อฟางตาโต มองร่างที่จับเขาพาดบ่าโยนถุงเงินให้หญิงสาวร่างท้วมแต่งหน้าหนาเตอะ กลิ่นเครื่องหอมฟุ้งติดจมูก นางเคลื่อนกายนวยนาดตรงเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม สายตาเป็นประกายขบขัน จื่อฟางเหลียวมองหญิงงามทรวดทรงอวบอิ่มยั่วยวนเหล่านั้นก็เริ่มเข้าใจลางๆ อย่าบอกนะว่าที่นี่คือ…หอคณิกา


“ข้าน้อยยินดีอย่างยิ่ง ขอบคุณคุณชายเสิ่นที่เมตตา…”แม่เล้ายังพูดไม่ทันจบ จางต้าก็พาร่างของคุณชายออกมาจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ทิ้งเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวไว้เบื้องหลัง เนื่องจากเป็นเวลาพลบค่ำ บ่าวรับใช้จึงเลือกออกไปทางประตูข้างเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้คน แต่ข่าวลืออย่างไรก็คงหลุดลอยออกไป ชื่อเสียงของคุณชายคงไม่เหลือให้กอบกู้แล้ว


“ข้าน้อยให้คนขับรถม้ารออยู่หลังตรอก…ความจริงจะพาคุณชายออกมาเงียบๆ แต่ไม่คิดว่า…”บ่าวรับใช้พูดไปหอบไประหว่างที่พาจื่อฟางเข้ามาในตรอกแคบแห่งหนึ่ง เมื่อเลี้ยวไปยังหัวมุมก็มองเห็นรถม้าจอดรออยู่ จื่อฟางกวาดมองรอบตัวเมื่อไม่พบผู้คนก็โล่งอกเพราะสภาพของเขาในเวลานี้คงดูไม่ดีซักเท่าไหร่ ว่าแต่เจ้านี่บอกว่าจะพาเขากลับจวน จวนที่ไหน แล้วเขาอยู่ในร่างของผู้ใด คำถามมากมายประดังประเดเข้ามา จื่อฟางนึกไปถึงแม่เล้าที่เอ่ยเรียกร่างนี้ว่าคุณชายเสิ่น...


“นี่ ปล่อยผมลงได้แล้ว”เขารีบพูดจนลืมไปว่าต้องพูดคำโบราณๆ


“ท่านว่าอะไรนะ”จางต้าได้ยินไม่ค่อยชัด ด้วยความเร่งรีบจึงไม่ทันเห็นเงาร่างคนที่อยู่เบื้องหน้า


               “อุ๊ก!”วินาทีต่อมาบ่าวรับใช้ก็ชนเข้ากับกำแพงคนจนล้มหงายหลัง พาเอาจื่อฟางล้มกองกับพื้นไปด้วย


“คุณชาย!”จางต้าห่วงแต่ผู้เป็นนายจึงไม่ได้มองสิ่งใด รีบเข้าไปประคองเสิ่นจิ้งเฟยที่ดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงกว่าปกติคล้ายคนป่วยเป็นโรค จื่อฟางขมวดคิ้ว คว้าท่อนแขนที่ยื่นมาตรงหน้า ระหว่างที่เงยมองว่าชนกับอะไร


โอ้…


เขาเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีถึงสองคนยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเหมือนเสาไฟฟ้า แต่ที่ทำให้เขาตาค้างคือชายร่างสูงในเสื้อคลุมตัวยาวสีเทาเรียบ ๆ เส้นผมรวบเป็นมวยพันด้วยผ้าสีเข้ม หน้าตาหล่อเหลาแบบที่ชายชาตรีควรเป็น ส่วนด้านหลังเป็นชายรูปร่างกำยำแข็งแรง สายตาดุดันชวนให้คนหวาดกลัว และคนผู้นี้ก็กำลังใช้สายตาดังกล่าวมองมาที่เขา ทำเอารู้สึกคันยิบๆตามเนื้อตามตัว สายตาเช่นนี้แปลได้อย่างเดียว คนทั้งคู่ต้องรู้จักกับร่างนี้


“อ้อ ที่แท้เป็นคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยนี่เอง ท่านเป็นอะไรไปเสียแล้ว หรือหญิงงามในหอผูเยว่ทำให้ท่านตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนอ่อนน้อม แต่แววตาและใบหน้าที่เรียบเฉยกลับแฝงแววเสียดสีชัดเจน


“อะไรนะ”จื่อฟางโพล่งออกมาอย่างลืมตัว ลุกยืนด้วยท่าทางซวนเซ ชื่อเมื่อกี้ฟังแล้วคุ้นมาก


“คุณชายเราต้องรีบกลับจวนอย่าถือสาเขาเลย”จางต้ากระซิบระหว่างที่ช่วยปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าของเจ้านาย รู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่ชอบไป๋ผูอวี้ จึงไม่แปลกใจที่คุณชายจะโมโห เจอกับคนผู้นี้ทีไร เป็นต้องต่อล้อต่อเถียงกลับไปทุกทีถึงแม้จะเสียหน้ากลับมาทุกครั้งก็ตาม


“คุณชายไป๋ ข้าน้อยมีเรื่องเร่งด่วน ต้องขออภัยเรื่องเมื่อครู่ด้วยขอรับ”จางต้ากัดฟันพูด  ก่อนรีบพาคุณชายที่ดูสับสนมึนงงไปยังรถม้าที่จอดรออยู่นานแล้ว จื่อฟางรีบหลบฉากเดินตามจางต้าไปยังรถม้าทันที รับรู้ว่าสายตาทิ่มแทงคู่นั้นยังคงจับจ้องมา ทำเอาเขาเสียวสันหลังวูบ สองคนนั่นมันอะไรกัน


คนขับรถม้าหันมองทั้งสองคนด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่จื่อฟางมองออกว่าอีกฝ่ายกลั้นยิ้มคงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่เข้า แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เขากำลังว้าวุ่นใจ จื่อฟางก้าวเข้ามานั่งในรถม้าอย่างเลื่อนลอย...เมื่อครู่คุณชายใบหน้าหล่อเหลาเรียกเขาว่าเสิ่นจิ้งเฟย เป็นชื่อที่เขาอ่านผ่านตามาเมื่อคืน ชื่อของพระรองในนิยายกลรักหญิงงาม แต่อาจเป็นเรื่องบังเอิญชื่ออาจจะซ้ำกันก็ได้ เพราะรู้สึกว่าดูเหลือเชื่อเกินไปที่ตนเองมาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย มันเป็นไปได้หรือ?ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเขาอยู่ในโลกนิยาย? ยิ่งฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่... เขานึกถึงบทบรรยายถึงเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายไม่เอาไหนคนนั้น มีข้ารับใช้ที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก ชื่อว่าจางต้า จื่อฟางพลันเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ตรงที่สำหรับบ่าวไพร่ทันที อย่าบอกนะ...


“จางต้า”เขาลองเรียกดูเบาๆ แต่ดูท่าเจ้าของชื่อจะหูดี


“มีอะไรหรือคุณชาย”จางต้าโน้มตัวมาใกล้ๆ เขาเหงื่อแตกพลั่ก อาการตื่นตระหนกก่อตัวอีกระลอก หมายความว่าเป็นเรื่องจริงสินะ เขาอยู่ในโลกนิยาย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนเอ่ยถาม


“คนเมื่อกี้…เอ่อ คนเมื่อครู่รู้จักข้าด้วยงั้นหรือ”เขาปากคอแห้งผากขึ้นมา ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวโขยกเขยกชวนเวียนหัว จางต้าหันมามองเหมือนไม่อยากเชื่อหู คิดว่าคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่สบายจนสติเลอะเลือนไปแล้วแน่ ๆ


“ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ย่อมต้องรู้จักแน่นอน ในฉางอันมีใครไม่รู้จักบุตรชายเสนาบดีกรมพิธีการอย่างท่านบ้าง…”พออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้เขาก็จำได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นบุตรชายคนเดียวของขุนนางมีตำแหน่ง เมื่อคืนเขาไม่ได้ตั้งใจอ่านนิยายโดยละเอียดเพียงแค่เปิดไปเจอโดยบังเอิญเท่านั้น ซ้ำยังอ่านค้างอยู่กลางเรื่องด้วย รู้อย่างนี้อ่านให้จบเสียก็ดี ขณะที่กำลังคร่ำครวญอยู่ในใจ จางต้าก็ยังคงโม้ต่อไปถึงอำนาจของท่านพ่อของเสิ่นจิ้งเฟย


“ไป๋ผูอวี้เป็นใคร เทียบชั้นท่านแทบไม่ติด ถึงโรงน้ำชาของตระกูลไป๋จะเลื่องชื่อไปทั้งฉางอัน แต่อย่างไรก็เป็นเพียงพ่อค้า ไหนเลยจะสู้ท่านได้”ใจความก็คือเจ้าหนุ่มจิ้งเฟยเป็นพวกอาศัยบารมีพ่อนั่นเอง


“อ้อ…”จื่อฟางพึมพำ คุณชายหล่อเหลาที่เขาเพิ่งเจอก็คือไป๋ผูอวี้พระเอกของเรื่อง จะว่าไปก็หล่อสมคำบรรยาย พอมาได้เห็นตัวเป็นๆ ลักษณะท่าทางก็ยิ่งคล้ายกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา ส่วนอีกคนที่มองเขาด้วยสายตาทิ่มแทงนั่นคงเป็นเว่ยหลง ผู้ติดตามที่ไม่ชอบขี้หน้าเสิ่นจิ้งเฟย ในนิยายไม่มีเหตุผลบอก สงสัยเพราะแบบนี้ถึงได้ถูกจ้องจนหนาวสันหลัง ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาในนิยายยุคโบราณที่ไม่รู้ตอนจบเช่นนี้...


จิตใต้สำนึกของจื่อฟางเอาแต่แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอธิบายด้วยหลักการไหนก็ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่แล้วในรถม้าที่กำลังแล่นไปตามถนนอันเงียบสงัดมุ่งสู่จวนเสนาบดี เหมือนสุกรรอขึ้นเขียง จื่อฟางจะหลอกตัวเองอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องที่ต้องเผชิญหน้าอย่างไรก็ต้องเกิดอยู่ดี ในหัวกำลังหาหนทางรับมือกับบิดาของเสิ่นจิ้งเฟย


“ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ บอกข้ามาเถอะ”จางต้าเอ่ยถามอย่างกังวล เมื่อเห็นคุณชายเสิ่นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก คิดว่าหากกลับถึงจวนคงต้องเรียกท่านหมอกู้มาตรวจคุณชายว่ามีอาการผิดปกติตรงไหนหรือไม่ คุณชายเสิ่นมีท่าทีไม่เป็นตัวเอง แต่แปลกไปตรงไหนจางต้าก็บอกไม่ถูก


“เปล่า ข้าไม่เป็นไร”เขาเพียงตอบสั้นๆเท่านั้น พยายามนึกถึงบิดาของร่างนี้ แต่ยิ่งเค้นสมองก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าในนิยายมีฉากที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่หรือเปล่า เอาเป็นว่าจื่อฟางจะแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ล่ะกัน คนเป็นบิดาคงไม่ทำรุนแรงกับบุตรชายคนเดียวหรอกกระมังเสิ่นจิ้งเฟยเสียแม่ไปตั้งแต่เด็กจึงถูกเลี้ยงมาอย่างเอาใจจนเสียคน


“ถึงแล้วขอรับ”จางต้าเอ่ยเมื่อรถม้าค่อยๆหยุดอยู่หน้าจวนเสนาบดีที่เงียบสงบ ในใจจื่อฟางพลันหวาดกลัวขึ้นมา ฝามือเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเล่นบทเสิ่นจิ้งเฟยพระรองไม่เอาไหนได้สมจริงหรือไม่แต่เขาก็ใช้ชีวิตไม่เอาไหนเช่นกัน คงไม่ต่างจากเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเท่าไหร่หรอกกระมัง









[1] พิณ




หัวข้อ: Re: ✦ ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2018 17:17:34
บทแรก :บทพระรอง


จื่อฟางได้รู้รสชาติของคำว่ากลัวจนก้าวขาไม่ออกก็วันนี้ ตอนก้าวเข้ามาในห้องโถง ก็รับรู้ว่าบรรยากาศภายในห้องกดดันจนรู้สึกได้ บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว จื่อฟางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วก็นึกหวาดกลัวขึ้นมา คำบรรยายที่เคยอ่านไหลเข้ามาในหัว เสิ่นมู่หยางบิดาของเสิ่นจิ้งเฟยเดิมทีเป็นคนนิสัยเรียบง่าย จิตใจดี แต่หากได้โกรธขึ้นมาใครหน้าไหนก็ฉุดไม่อยู่ จื่อฟางมองใบหน้าดำคล้ำที่เหมือนจะระเบิดของอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะพูดประจบสักสองสามประโยค แต่ไม่คิดว่าเสิ่นมู่หยางจะคว้าถ้วยชาที่อยู่ใกล้ตัวปาใส่เขา

 เพล้ง!

ร่างบางหลบได้หวุดหวิด น้ำชาจึงเปื้อนเสื้อคลุมเป็นด่างดวง แววตาดุดันจ้องเขม็งจนพูดไม่ออก

“นายท่านได้โปรดระงับโทสะด้วย เป็นความผิดของบ่าวเองที่ดูแลคุณชายไม่ดี”จางต้าทำใจกล้าปรี่ไปคุกเข่าที่หน้าเก้าอี้ก่อนโขกศีรษะเสียงดังโป้ก ๆ

“เฟยเอ๋อร์ เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่เกิดมาทำให้ข้าช้ำใจมากี่หนแล้ว”เสิ่นมู่หยางไม่สนใจจางต้า เอ่ยถามบุตรชายตัวดีด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โทสะที่เคยพุ่งสูงลดลงไปบ้างเมื่อเห็นสภาพเหมือนคนจับไข้ของบุตรชาย แต่เสนาบดีกรมพิธีการก็ทำใจแข็งใช้สายตาเย็นเยียบกดดันคนต่อไป

“ท่านพ่อ…”จื่อฟางได้แต่ตีสีหน้าสำนึกผิด เสียงโขกศีรษะของจางต้าดังรบกวนจิตใจของเขายิ่งนัก

“ข้า…ข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อลงโทษข้าเถอะ”ร่างบางกลั้นใจเอ่ยออกไปแม้ไม่รู้ว่าจะโดนทำโทษอย่างไรแต่การยอมรับความผิดน่าจะทำให้อารมณ์โกรธของผู้เป็นบิดาลดลงได้ ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปาก สีหน้าของเสนาบดีเสิ่นก็แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จากแปลกใจเป็นสับสนก่อนจะกลับสู่ความเรียบเฉยเช่นเดิมจนจื่อฟางเดาทางไม่ออก บรรดาบ่าวรับใช้ในห้องต่างก็ลอบส่งสายตาให้กันอย่างงุนงง แม้กระทั่งจางต้าก็ชะงักก่อนจะโขกศีรษะต่อไป ในใจคิดว่าตนได้ยินผิดไปหรือไม่ คุณชายเสิ่นยอมรับความผิด?

“เฮอะ ลงโทษ? ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดจาออกมาส่งๆกระมัง ไหนเจ้าลองบอกข้ามาซิว่าเจ้าสมควรได้รับโทษอย่างไร”อารมณ์โกรธของเสิ่นมู่หยางลดลงไปกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่อยากยอมอ่อนข้อให้กับบุตรไม่เอาไหนง่ายๆ

‘เอาแล้วไง’ จื่อฟางปั้นหน้าเศร้าสลด คิดหาคำพูดในคลังสมอง

“ท่านตีข้าเถอะ”เขาแข็งใจพูด ลองเสี่ยงดูสักครั้ง เขาเชื่อว่าเสิ่นมู่หยางไม่กล้าลงมือกับบุตรชายที่ประคบประหงมราวสตรี

“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”โทสะของเสนาบดีเสิ่นกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง   

“นายท่านใหญ่โปรดอย่าถือสาคุณชายเลย เมตตาคุณชายด้วยขอรับ!”จางต้ารีบโพล่งออกมา โขกศีรษะจนหน้าผากแดงเถือก หวั่นใจว่าเสิ่นมู่หยางจะหน้ามืดลงโทษเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ ร่างกายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีของคุณชายเสิ่นจะทนการทุบตีได้อย่างไร

“หุบปาก! ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โดนตีแทนเขาเสีย”เสิ่นมู่หยางถีบบ่าวรับใช้ที่ขัดหูขัดตาจนกระเด็น ออกคำสั่งกับบ่าวด้านนอกทันที

“ใครอยู่ข้างนอก ลากจางต้าออกไปโบยที!”จางต้าหน้าซีดเผือดแต่ไม่ได้โวยวายขอร้องเพราะเตรียมใจไว้แล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็กลัวว่าจะยิ่งไปกระตุ้นโทสะนายท่านใหญ่ บ่าวด้านนอกกรูกันเข้ามาลากเขาออกไปเหมือนกระต่ายตัวหนึ่ง จื่อฟางได้แต่ตื่นตระหนกกับฉากที่เห็น 

“ท่านพ่ออย่าทำจางต้าเลย ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ ท่านตีข้าก็ได้ ข้าขอโทษ”สุดท้ายจื่อฟางก็สติแตกรีบเข้าไปกอดขาเสิ่นมู่หยางเหมือนหมีโคอาล่าตัวหนึ่ง หวาดกลัวว่าตนเองจะเป็นต้นเหตุทำให้คนตาย เสิ่นมู่หยางก้มมองบุตรชายราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ไหนแต่ไรก็เห็นเสิ่นจิ้งเฟยมันรักหน้าตาตัวเองอย่างกระไรดี

“เจ้าโตแล้วทำแบบนี้ไม่อายหรือ ปล่อยข้า”เสนาบดีเสิ่นถลึงตาใส่ร่างบางที่เกาะขาตนเองไม่ปล่อย  พยายามดึงขาออกจากการกอดรัดของบุตรชาย แต่จื่อฟางกลับยิ่งออกแรงกอดรัด ได้ยินเสียงตีตุบตับดังอยู่ที่ลานบ้านพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของจางต้าดังเข้ามา

“ข้าไม่ปล่อย จางต้าเป็นบ่าวคนสนิทคนเดียวของข้า ท่านพ่อไว้ชีวิตมันเถอะ”จื่อฟางกลืนน้ำลาย อยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อความสมจริง แต่เขาไม่ใช่นักแสดงจึงได้แต่ก้มหน้าสูดจมูกเสียงดัง เสียงร้องโอดโอยของจางต้าทำให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ความคิดหนึ่งวาบเข้ามา

“ท่านแม่ซื้อจางต้าให้ข้า อย่างน้อย…”ต่อจากนี้ก็นึกคำพูดไม่ออกแล้วจึงได้แต่ทำหน้าเศร้ากอดขาอีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย เสิ่นมู่หยางหายใจกระฟัดกระเฟียดนึกถึงภรรยาที่จากไปก็ยิ่งรู้สึกท้อแท้ใจนัก ก้มมองเสิ่นจิ้งเฟยแล้วก็ระบายลมหายใจยาว เจ้าลูกตัวดีมันก็เป็นเช่นนี้ เขาใจแข็งลงโทษไม่ลงซักที ขุนนางใหญ่จึงหันไปสั่งหานตงผู้ติดตามประจำตัว

“ไปบอกเด็กด้านนอกให้หยุดมือ”

“ขอรับ”ร่างของหานตงหายไปอย่างรวดเร็วจนจื่อฟางตาค้าง ไม่นานนักเสียงด้านนอกก็สงบลง เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ชายตามองเสิ่นมู่หยาง ร่างนั้นมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ จื่อฟางนึกเห็นใจ หากเสิ่นจิ้งเฟยมีนิสัยตามที่บรรยายไว้ พระรองผู้นี้คงสร้างเรื่องไว้ไม่น้อย

“ท่านพ่อ…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องที่แล้วมาก็แล้วไปเถอะ ข้าจะไม่เอาความ แต่หากเจ้าสร้างเรื่องอีก ข้าจะไม่ใจอ่อนกับเจ้าแล้ว”เสิ่นมู่หยางพึมพำ นึกขันนักเพราะเขาพูดเช่นนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง ร่างใหญ่สะบัดบุตรชายออก หลายปีมานี้เขาต้องปั้นหน้านิ่งเฉยต่อกับเสียงเล่าลือดูถูกของเหล่าขุนนางในราชสำนักเกี่ยวกับบุตรชายไม่เอาไหนของตน เฝ้าฝันลมๆแล้งๆว่าวันหนึ่งเจ้าเด็กบ้าจะคิดทำตัวดีๆบ้าง เสิ่นมู่หยางไม่ได้ต้องการให้เด็กนี่เป็นขุนนาง เพียงแค่อยากให้สอบเป็นบัณฑิตรักษาหน้าตาของสกุลเสิ่นไว้ แต่เขาคงหวังสูงไป คิดแล้วก็ได้แต่ถอดถอนใจ

“เฟยเอ๋อร์ เจ้าตัดใจเรื่องคุณหนูฉินเถอะ ในเมื่อนางมิได้มีใจให้เจ้า ไยถึง...”เสนาบดีเสิ่นพูดไม่ออก รู้ถึงเหตุผลที่บุตรชายไปหมกตัวร่ำสุราที่หอผูเยว่ถึงสองวันติด คงเพราะถูกคุณหนูฉินกล่าววาจาปฏิเสธมา ฉินเซียงอินเป็นบุตรสาวของฉินจื่ออวี้เสนาบดีกรมขุนนางที่เขาเองก็คุ้นเคยดี แต่สกุลฉินไม่ไว้หน้าตนแม้แต่นิด  เดิมทีเสนาบดีเสิ่นเห็นใจบุตรชายเสียด้วยซ้ำ ตั้งใจจะหาหญิงงามตบแต่งเป็นอนุให้สักหลายคน แต่เช้าวันนี้ขุนนางในราชสำนักต่างก็หยิบยกเรื่องของบุตรชายมาพูดค่อนแขวะ ทำให้เขาอับอายเสียหน้ายิ่งนัก ถึงได้มีโทสะสั่งให้จางต้านำตัวบุตรไม่เอาไหนกลับมาหมายจะสั่งสอน สุดท้ายก็ลงเอยเช่นนี้ เป็นเขาเองที่ใจอ่อน เสิ่นมู่หยางถอนหายใจก้มมองลูกชายที่ยังคงนั่งทึมทื่ออยู่บนพื้น อีกเดี๋ยวข่าวลือพวกนี้คงแพร่ไปทั้งฉางอัน เจ้าลูกเลวได้ตกเป็นที่หัวร่ออีกครั้งแน่

“นับแต่วันนี้เจ้าถูกกักบริเวณอยู่ในจวนหนึ่งเดือน ห้ามออกไปไหนทั้งสิ้น ระหว่างนี้ข้าจะให้ผู้ติดตามคนใหม่มาดูแลเจ้า”ขุนนางใหญ่กล่าวเสียงเข้มจ้องมองเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังคงนั่งทรุดอยู่กับพื้น ร่างผอมบางพยักหน้ารับรู้ช้า ๆ เสิ่นมู่หยางส่ายศีรษะก่อนสะบัดชายเสื้อออกไปจากห้องโถง บ่าวรับใช้ต่างก็พากันกรูออกไปด้วย ทิ้งให้จื่อฟางเนื้อตัวอ่อนยวบอยู่เพียงลำพัง คุณหนูฉินเหรอ ฉินเซียงอิน? นางเอกของเรื่องน่ะหรือ ที่แท้เสิ่นจิ้งเฟยถูกหญิงงามที่หมายตาหักอกจนต้องไปเมามายที่หอนางโลมสองวัน เป็นแบบนี้แล้วยิ่งเทียบกับไป๋ผูอวี้พระเอกของเรื่องไม่ติด

~•~

ผู้ติดตามที่เสิ่นมู่หยางส่งมาชื่อหยางชวี เป็นคนพูดน้อย หน้าบึ้งตึงไร้รอยยิ้ม แต่การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวดูแล้วคงฝีมือไม่ธรรมดา ดูท่าเสิ่นมู่หยางจะตั้งใจส่งคนมาคุมพฤติกรรมของเขาโดยเฉพาะ ช่วงอาทิตย์แรกจื่อฟางเอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือนของตน พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวภายในจวนเสนาบดีแห่งนี้ อย่างแรกหากคิดจะเอาตัวรอดเขาต้องปรับตัว เรื่องของสกุลเสิ่นเขาพอรู้คร่าวๆจากนิยายว่าโหยวหลันมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยเสียตั้งแต่อายุได้เพียงสามขวบ

เสนาบดีเสิ่นรักใคร่ภรรยาผู้นี้มากจนไม่กล้าแต่งอนุเข้ามา แต่ใช่ว่าเสิ่นมู่หยางจะรักเดียวใจเดียว เพราะเมื่อวานก่อนมีหญิงคณิกาจากเรือนร้องรำมาบรรเลงเพลงให้บิดาแซ่เสิ่นถึงในจวน  เสิ่นจิ้งเฟยยังมีท่านปู่ใจดีนามว่าเสิ่นฉินอี้เคยเป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลังแต่เมื่ออายุได้เจ็บปีท่านปู่ก็มาด่วนจากไปด้วยปัญหาสุขภาพ จื่อฟางมักมีปัญหาจำเรื่องราวต่อจากนี้ไม่ได้ เขาจึงรู้สึกเหมือนคนตาบอด อ่านนิยายไม่จบอีกทั้งความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่สมบูรณ์ 

แต่ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นเพราะภาษาจีนโบราณแตกต่างในปัจจุบัน  ในโลกนี้เขาเสมือนคนไม่รู้หนังสือ ในตอนแรกเขากังวลว่าสำเนียงการพูดจะไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง แต่คนรอบตัวก็ไม่มีท่าทีผิดปกติ จึงคิดว่าเพราะอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยสำเนียงก็คงเหมือนเดิมไปด้วย ถือว่าเป็นโชคดีที่เขาถูกกักบริเวณอยู่ในจวนหนึ่งเดือน ไม่ต้องออกไปข้างนอก พูดคุยกับคนในจวนย่อมไม่มีปัญหาอะไร สามารถถูๆไถๆแก้ขัดไปก่อนได้

อีกปัญหาที่ทำให้จื่อฟางปวดหัวก็คือหยางชวี คนผู้นี้ตามติดเขาทุกฝีก้าว ถึงจะปรนนิบัติดูแลได้ไม่เลว แต่การถูกจับตามองตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาปวดประสาทนัก ป่านนี้เสิ่นมู่หยางคงรู้แล้วว่าเขากำลังศึกษาตำรา ฝึกเขียนพู่กันจีนอยู่ นึกถึงสีหน้าของเสิ่นมู่หยางก็หัวเราะออกมาดังๆ ขุนนางใหญ่ผู้นั้นคงประหลาดใจแน่ที่บุตรไม่เอาไหนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ๆก็ขยันขึ้นมา

ไม่ต่างจากที่จื่อฟางว่าไว้ เสนาบดีเสิ่นมู่หยางประหลาดใจจริง ๆเมื่อได้ยินที่หยางชวีมารายงาน ครั้งแรกที่ได้ยินว่าบุตรชายหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือเขาไม่เชื่อจนต้องไปดูด้วยตาตนเอง ก็เห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยกำลังฝึกเขียนพู่กันจีนอยู่จริง ๆ ถึงไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะฝึกเขียนชื่อตัวเองไปเพราะเหตุใด แต่เรื่องนี้ทำให้เขาหัวเราะฮ่า ๆกับตัวเอง ตอนส่งไปเรียนก็ไม่อยากเรียนแล้วตอนนี้เจ้าตัวดีคิดจะทำอะไรอีก ไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมาไม้ไหน แต่อีกสักเดี๋ยวก็หยุดไปเอง  ผ่านไปอีกแปดวันหยางชวีก็มารายงานว่าเสิ่นจิ้งเฟยเลิกอยู่ในห้องหนังสือแล้ว แต่ไปหมกตัวอยู่ที่โรงครัวแทน

“โรงครัวหรือ”เสนาบดีเสิ่นคิดว่าตัวเองหูเพี้ยนไปแน่ เจ้าจิ้งเฟยจะไปห้องครัวทำไม หยางชวีเพียงทำหน้านิ่งตอบด้วยเสียงไร้ความรู้สึกตามปกติ

“ใช่แล้วขอรับ ช่วงนี้คุณชายเจริญอาหารมาก ดูเหมือนจะชอบซุปไก่ตุ๋นไข่นกพิราบ…”เขาโบกมือไล่หยางชวีออกไปไม่รอให้มันได้รายงานจบด้วยซ้ำ หรือเฟยเอ๋อร์คิดจะใช้วิธีนี้ป่วนประสาทตน?

จื่อฟางเลิกขลุกอยู่ที่ห้องหนังสือไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะภาษาจีนโบราณยากเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาต้องการอาจารย์สักคน รอให้เสิ่นมู่หยางอารมณ์ดีเขาค่อยคุยเรื่องนี้ก็แล้วกัน

ช่วงเวลาที่ถูกกักบริเวณเขาจึงใช้เวลาหาความสุขให้ตัวเอง จื่อฟางถือพัดผ้าไหมด้ามจับทำจากงาช้างเดินไปตามระเบียงทางเดินที่เชื่อมต่อกันอย่างอารมณ์ดี จวนเสนาบดีไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอุดอู้ จะว่าไปก็ใหญ่ไม่น้อย ในจวนมีสวนที่น่ามอง ทั้งภูเขาจำลอง สระน้ำเล็กๆ มีดอกบัว ปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่าย เห็นของพวกนี้แล้วก็จุ๊ปาก พวกขุนนางใหญ่ใช้เงินกันฟุ่มเฟือยจริง ๆ จื่อฟางเหลือบมองหยางชวีที่เดินตามมาอยู่ห่างๆ คิดได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่ได้เจอจางต้าที่ถูกโบยจนเนื้อแตกเลย

“หยางชวี”เขาเอ่ยเรียก

“ขอรับคุณชาย”หยางชวีเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบ ไม่กล้าล่วงเกินจื่อฟางที่มีฐานะคุณชาย ตอนคุยก็มักจะก้มหน้าหลุบตาต่ำ ชวนให้อึดอัด ไม่เหมือนจางต้าที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายกว่า

“จางต้ารักษาตัวอยู่ที่ใด นำทางข้าไปหน่อยซิ”ร่างบางเอ่ยสั่ง เขาไม่เห็นจางต้ามาเกือบสิบวันแล้ว ช่วงที่กำลังยุ่งๆกับตำราได้สอบถามหยางชวีว่าอาการของจางต้าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ติดตามหน้าตายก็บอกเพียงว่าจางต้าถูกโบยจนเนื้อแตกต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยหนึ่งเดือน ถึงจื่อฟางจะเพิ่งรู้จักพูดคุยกับจางต้าได้ไม่กี่ประโยค แต่ก็รู้สึกคุ้นเคย คงเพราะอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยกระมัง ถึงอย่างไรที่จางต้าต้องเจ็บตัวก็เพราะเสิ่นจิ้งเฟยด้วยส่วนหนึ่ง เขาที่เป็นเจ้าของร่างในยามนี้ย่อมไปแสดงความรับผิดชอบสักเล็กน้อย

จางต้าพักรักษาตัวที่เรือนบริวาร เป็นห้องขนาดเล็กเก่าโทรมจนน่าแปลกใจ เด็กนี่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่หรือ ก็น่าจะดูแลดีหน่อย เขาเหลือบมองหยางชวี ร่างนั้นหลบไปยืนด้านข้างให้เขาเข้าไป จื่อฟางผลักบานประตูเข้าไปในห้องที่เหม็นกลิ่นยาจนต้องยกพัดปิดจมูก ภายในห้องไม่มีของใช้มากมาย มีเพียงเตียงสี่เสา ตู้เก็บผ้า และโต๊ะตัวหนึ่งเท่านั้น บ่าวคนสนิทนอนคว่ำอยู่บนเตียง พอรู้ว่าผู้เป็นนายมาเยี่ยมก็ถึงขั้นร้องห่มร้องไห้

“เจ้าจะร้องไห้ทำไม”

“ข้าน้อยซึ้งใจที่คุณชายยังนึกถึงบ่าวไร้ค่าผู้นี้ ข้าน้อยได้ยินว่าท่านถูกทำโทษกักบริเวณอยู่ในจวนหนึ่งเดือน จึงคิดว่าคุณชายโกรธเคืองจนไม่มาเยี่ยมดู”จางต้าพูดไปสูดน้ำมูกไปชวนให้น่าสงสาร ตนนอนเจ็บแผลอยู่หลายวัน คุณชายเสิ่นไม่แม้แต่มาดู จึงคิดไปต่าง ๆนาๆว่าต้องถูกเจ้านายโกรธเป็นแน่

“ช่างเถอะๆ เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”จื่อฟางรีบตัดบทก่อนที่จะทำตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าการมาเยี่ยมของเขาจะทำให้จางต้าซึ้งใจขนาดนี้ จะว่าไปหมอนี่ก็เด็กคนหนึ่งนี่นะ เขาถอนหายใจสำรวจมองอีกฝ่ายที่ดูซูบเซียวไปเยอะ

“หยุดร้องได้แล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อปลอบคน”จื่อฟางแสร้งทำเสียงรำคาญ เลียนแบบนิสัยของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างมืออาชีพ บ่าวคนสนิทถึงได้ยอมสงบในที่สุด ร่างที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงเหลือบมองไปทางหน้าประตูอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“คุณชายควรระวังเจ้าหยางชวีไว้ให้ดี เขาไม่ใช่บ่าวธรรมดา เป็นคนของนายท่านใหญ่ย่อมต้องมีวรยุทธ์แน่นอน”

จื่อฟางเลิกคิ้ว คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องไม่ธรรมดา แต่เหตุใดเสิ่นมู่หยางต้องเอาคนมีวรยุทธ์มาเฝ้าด้วย หรือคิดจะควบคุมพฤติกรรมของเขาจริง ๆ เช่นนี้ก็ขยับทำอะไรลำบากแล้ว

“เจ้าจะหายดีเมื่อไหร่”เขาไม่อยากติดแหง็กอยู่กับหยางชวีนาน ๆ   

“น่าจะประมาณเดือนหนึ่งขอรับ ยาของท่านหมอดีมาก”สีหน้าของจางต้าเริ่มดีขึ้น

“อ้อ ตอนนั้นข้าคงพ้นกำหนดกักบริเวณพอดี”ร่างบางหมุนพัดในมือเล่น สังหรณ์ในใจแปลกๆหากว่าจางต้าหายดี เสนาบดีเสิ่นจะส่งหยางชวีมาดูแลเขาอีกคน จื่อฟางมองความกังวลของจางต้าออก จึงตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้ท่านพ่อเอาเจ้าไปทิ้งหรอก”เขาแสร้งหัวเราะ จางต้าลอบมองเขาด้วยสายตาเหมือนลูกหมาหลงทาง

“ถึงเมื่อก่อนคุณชายจะแกล้งข้าหนักไปบ้าง แต่ข้าน้อยคิดไม่ผิดจริง ๆที่เลือกมารับใช้คุณชาย”เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กนี่ทำท่าจะร้องไห้อีก จื่อฟางก็รีบตัดบท กำชับให้จางต้าหายไวๆก่อนออกมาจากห้องของบ่าวรับใช้ เดินใจลอยออกมานั่งรับลมที่ศาลาริมสระน้ำเล็กๆ หยางชวีเฝ้าอยู่เงียบๆเช่นเคย เขาเงยมองท้องฟ้ากระจ่างเบื้องบน พอได้อยู่คนเดียวแบบนี้สิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในใจก็ชัดเจน จวนสกุลเสิ่นเงียบเหงานัก

“นี่”เขาเอ่ยเรียก

“ขอรับ?”หยางชวีตอบรับ

“ช่วยเล่าเรื่องตลกให้ข้าฟังทีซิ เล่ามาสักสองสามเรื่อง”เขาโบกพัดไปมา ผู้ติดตามแสดงสีหน้าลำบากใจให้เห็น

“เรียนคุณชาย ข้าน้อยไม่มีความสามารถ”อีกฝ่ายตอบเสียงแข็งทื่อ จื่อฟางจิ๊ปาก แค่เล่าเรื่องตลกก็ทำไม่ได้ เป็นคนที่น่าเบื่ออะไรอย่างนี้ เขาลอบมองอีกฝ่าย ถ้าตัดว่าหน้านิ่งไปหน่อย หยางชวีก็ถือว่าหน้าตาดีระดับหนึ่ง

“คุณชายมีอะไรจะพูดหรือไม่”หยางชวีเอ่ยถามเมื่อเห็นเสิ่นจิ้งเฟยจ้องมองตนนานแล้ว

“อ้อ…ฮ่า ๆ เอ่อ ท่านพ่อสั่งให้เจ้ามาเฝ้าข้าเหรอ”จื่อฟางถามไปตรง ๆ เหงื่อผุดที่หน้าผากน้อย ๆ เพราะตอนที่เขามองหยางชวีมันก้มหน้าอยู่ไม่ใช่หรือ?

“ถูกแล้วขอรับ”ถึงจะโดนถามตรง ๆสีหน้าของหยางชวีก็ไม่เปลี่ยน ชายหนุ่มไม่คิดปิดบัง กลับเป็นจื่อฟางเสียเองที่ทำหน้าไม่ถูก จะว่าไปในนิยายไม่มีตัวละครที่ชื่อหยางชวีนี่นา แล้วคนผู้นี้โผล่มาได้อย่างไร จื่อฟางเคาะพัดกับฝามือ จริงสิที่จางต้าโดนโบยก็ไม่มีในนิยายเหมือนกัน หรือว่า…เหตุการณ์ในโลกนิยายไม่แน่นอนสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของตัวละคร ถ้าอย่างนั้นเขาก็มีทางเลือกสินะ เขาเลือกไม่เป็นพระรองได้หรือไม่?แค่ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ในโลกแห่งนี้จนกว่าจะได้กลับไปที่โลกปัจจุบัน…ถ้าหากว่าเขาได้กลับไปล่ะก็

หัวข้อ: Re: ✦ ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2018 17:19:29
   
 

 ~•~

โทษกักบริเวณของจื่อฟางสิ้นสุดลงแล้ว อาการบาดเจ็บของจางต้าก็หายดีเช่นกันจึงกลับมาทำหน้าที่ได้ตามเดิม และก็อย่างที่เขาคาดเสนาบดีเสิ่นส่งหยางชวีมาเป็นผู้ติดตามเขาอีกคน ถึงอย่างไรจื่อฟางก็ปฏิเสธไม่ได้จึงยอมรับไปตามนั้น สิ่งแรกที่จื่อฟางทำคือออกไปเดินตลาด มีตรอกคึกคักที่เรียกว่าตรอกซีหมาน อารมณ์ขุ่นมัวของเขาปลิวหายไปเมื่อได้ออกมาเจอกับผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงพูดคุยดังจอแจอยู่รอบตัว ร้านค้าเต็มสองข้างทาง เมืองฉางอันคึกคักดีจริง ๆ เขาพบเห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปหมดจนจางต้ามองตามด้วยความงุนงง

“คุณชายอยู่ในจวนหนึ่งเดือนคงเบื่อสุดๆเลยกระมัง”

“แน่นอน”จื่อฟางใช้พัดปกปิดรอยยิ้ม เหลือบมองไปด้านหลังก็ไม่เห็นหยางชวีแล้ว

“หยางชวีไปไหนแล้ว”เขาถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง บางทีผู้ติดตามอาจเบื่อจนหนีไปแล้วก็ได้

“คงอยู่แถวนี้แน่ เขามีวรยุทธ์คงตามเรามาเงียบๆ”จางต้าป้องปากกระซิบ จื่อฟางจึงพยักหน้า ออกมานอกจวนสกุลเสิ่นทั้งที เขาก็ไม่อยากให้มีคนหน้าตายมาเดินตามติดทุกย่างก้าว ร่างบางในชุดคลุมผ้าแพรต่วนสีเขียวน้ำทะเลสบายตาเดินเตร่มองร้านรวงข้างทางอย่างสนใจ เพ่งตามองป้ายร้านก็พบว่าอ่านออกเป็นบางตัวเท่านั้น ยังไงเขาก็ต้องรีบหาอาจารย์สักคน ลูกขุนนางขั้นสองอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะอ่านหนังสือไม่ออกได้อย่างไร จื่อฟางและจางต้าเดินมาถึงโรงน้ำชาสองชั้นแห่งหนึ่ง ท่าทางครึกครื้น ผู้คนนั่งจับจองอยู่ที่โต๊ะนอกร้านเต็มไปหมด เขาจึงชวนจางต้าเข้าไป

“คุณชายแน่ใจเหรอว่าจะเข้าร้านนี้”จางต้ามีท่าทีไม่สบายใจ  หยางชวีที่หายไปนานเดินแทรกผู้คนมาหยุดข้างๆ

“นายท่านสั่งห้ามคุณชายเสิ่นสร้างเรื่องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าน้อยคงต้องเสียมารยาทแล้ว”หยางชวีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ ใบหน้าไร้ความรู้สึก จื่อฟางได้ยินก็เลิกคิ้ว หัวเราะน้อย ๆ

“ข้าแค่จะแวะดื่มชา พวกเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”

“เอ่อ ท่านไม่ได้มาหาเรื่องก่อกวนไป๋ผูอวี้หรือ…”จางต้าพึมพำเสียงแผ่ว จื่อฟางพลันจำได้ทันที่ว่าที่อยู่ตรงหน้า คือโรงน้ำชาหลิวซื่ออันเลืองลือของสกุลไป๋ กิจการที่ไป๋ผูอวี้ต้องการสืบทอดจนไม่สนใจแม่นางน้อยอย่างฉินเซียงอิน มิน่าเล่าคนถึงเยอะเพียงนี้

ร่างบางเหลียวมองข้ารับใช้ทั้งสองคนแล้วส่ายหน้าไปมา “เจ้าสองคนกังวลเกินเหตุไปแล้ว ข้าจะดื่มชาเท่านั้น”

พูดจบก็หมุนตัวสะบัดชายเสื้อเดินเข้าไปในร้านทันที จางต้าเกาศีรษะก่อนรีบตามหลังผู้เป็นนายเข้าไปไม่ห่าง หยางชวีถอนหายใจแต่ไม่ได้ตามเข้าไป คำพูดของคุณชายเสิ่น ชายหนุ่มไม่ได้นำมาคิดจริงจังอยู่แล้ว หากคุณชายสร้างเรื่อง เขาจะเข้าไปหิ้วตัวออกมาเอง หยางชวีสงสารนายท่านใหญ่จับใจ รู้ดีว่าท่านไม่ใจแข็งพอเอาจริงกับบุตรชายผู้นี้

‘น่าเบื่อเหลือเกิน ข้าควรจะได้ทำงานที่คุ้มค่าคุ้มเวลาแท้ๆ กลับต้องมาคอยเดินตามก้นคุณชายที่ไม่เอาไหนเช่นนี้...’ หยางชวีบ่นอยู่ในใจ สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนไม่ได้คิดสิ่งใด

จื่อฟางเข้ามาในโรงน้ำชาก็ถูกจ้องมองจนวางท่าไม่ถูก เพราะการแต่งกายหรูหราและถือพัดผ้าไหมลวดลายสวยงามทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาในทันที ไม่มีใครไม่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟยบุตรชายสนาบดีกรมพิธีการ ร่างในชุดสง่ากวาดตามองหาโต๊ะว่างดูเหมือนชั้นแรกทุกโต๊ะถูกจับจองหมดแล้ว

“คุณชายเสิ่นร้านเต็มแล้วขอรับ ข้าว่าออกไปที่อื่นเถิด”จางต้ากระซิบบอก ท่าทางเหมือนไม่อยากเหยียบเข้ามาที่นี่เท่าไหร่นัก รอไม่นานเด็กร้านน้ำชาก็มาต้อนรับพอเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ชะงักไปเล็กน้อย จื่อฟางเห็นแล้วขัดหูขัดตา ชื่อเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยคงเหม็นโฉ่สุดๆ

“ขออภัยด้วยคุณชายเสิ่น อย่างที่ท่านเห็น ไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว”เด็กร้านน้ำชาตอบเสียงหวาดหวั่นประหนึ่งกลัวเขากินหัว

“แล้วชั้นบนเล่า”เขาใช้พัดชี้ไปยังชั้นสองของร้าน ถึงคนจะแน่นแต่ดูแล้วน่าจะยังมีที่เหลือ

“ชั้นบนนั้น…ห้องดื่มชาส่วนตัวเต็มหมดแล้ว…”

“ใครบอกว่าข้าต้องการห้องส่วนตัว ข้าอยากนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศ ว่าอย่างไรยังมีโต๊ะว่างอยู่ไหม”ร่างบางถามซ้ำ เด็กร้านน้ำชากลัวว่าเขาจะโมโหแล้วก่อกวนเหมือนทุกทีจึงรีบพยักหน้าเดินนำจื่อฟางขึ้นไปยังชั้นสอง จางต้าเดินตามมาเงียบๆพลางคิดในใจว่าหมู่นี้คุณชายของเขาทำแต่เรื่องแปลกๆ

“โรงน้ำชาหลิวซื่อมีชาดีอะไรก็เอามา”จื่อฟางไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวยจึงไม่ค่อยได้ดื่มชาดี ๆ ความรู้เรื่องชาก็มีไม่มาก จึงได้แต่ใช้นิสัยเอาแต่ใจของเสิ่นจิ้งเฟยเอาตัวรอด

“คุณชายเสิ่นกรุณารอสักครู่”เด็กร้านน้ำชารีบร้อนเดินจากไป จื่อฟางนั่งลงอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดี แค่มาร้านน้ำชาของไป๋ผูอวี้ต้องทำเหมือนว่าร่างนี้เป็นตัวเชื้อโรคเลยหรือ ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีคนไม่ชอบหน้าขนาดนี้ โต๊ะที่เขานั่งอยู่ติดกับบานหน้าต่างฉลุลายพอมองเห็นถนนครึกครื้นได้เล็กน้อย จางต้าเห็นคุณชายมีอารมณ์หงุดหงิดก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ท่านมาก่อกวนบ่อย ๆ คิดว่าจะได้รับการต้อนรับดี ๆจากคนสกุลไป๋หรือ

ระหว่างที่นั่งรอจื่อฟางก็เหลือบไปเห็นชายร่างกำยำคุ้นตาเดินแหวกม่านมุกเข้าไปในห้องดื่มชาส่วนตัวที่มุมห้องฝั่งตรงข้าม “จางต้า…นั่นใช่เว่ยหลงรึเปล่า”

จางต้าหน้าถอดสีทันที “คิดว่าใช่ขอรับ…คุณชายอย่าคิดไปมีเรื่องกับเขาเลย”

“ข้าไม่ได้คิดมีเรื่อง”เจ้านั่นตัวออกใหญ่โต เขาไม่ได้โง่เสียหน่อย จื่อฟางหรี่ตาหรือคนในห้องคือไป๋ผูอวี้ จากตรงนี้มองเห็นไม่ชัดด้วยสิ ไม่นานนักเว่ยหลงก็ออกมายืนเป็นตอไม้อยู่หน้าห้อง สายตาไม่เป็นมิตรมุ่งตรงมาที่ร่างของจื่อฟาง เขาหยักยิ้มคงรู้แล้วสินะว่าเสิ่นจิ้งเฟยตัวก่อกวนมาที่นี่ ร่างบางเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นหญิงงามนางหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า แม้มองมาจากที่ไกล ๆก็รับรู้ได้ว่าดวงหน้าเล็กๆนั้นงดงามมีเสน่ห์ การแต่งกายไม่ธรรมดาน่าจะเป็นลูกคุณหนูบ้านไหนสักบ้าน 

“นั่นคุณหนูฉินเซียงอิน…”จางต้าก้มตัวมากระซิบเบาๆ ช่วงที่เขารักษาอาการบาดเจ็บได้ยินพวกบ่าวคุยกันว่าคุณชายถูกคุณหนูฉินหักน้ำใจมา ที่แท้…วันนั้นที่คุณชายดื่มจนเมามายไม่ยอมกลับจวนก็เป็นเพราะคุณหนูฉินนี่เอง จื่อฟางเบิกตาโต โอ้ เขาจำได้แล้ว ในนิยายมีบทที่คุณหนูฉินเซียงอินมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อเพื่อขอบคุณไป๋ผูอวี้ที่ช่วยชีวิตนางไว้โดยไม่ตั้งใจ หนึ่งเดือนที่เขาโดนกักบริเวณก็เกิดฉากสำคัญไปแล้วหรือ เสิ่นจิ้งเฟยเอ๋ย…น่าสงสารจริง ๆ

“ข้าเห็นแล้ว”จื่อฟางยิ้มออกมา ตอนแรกเขากะจะเป็นฝ่ายดูพระเอกนางเอกจีบกันเงียบๆ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ปลูกต้นรักกันก็เถอะ ไหน ๆเขาก็มีบทพระรอง การพบกันครั้งนี้เขาจะขัดขวางเอง จางต้ามองอย่างไม่เข้าใจ

“เหตุใดยังไม่มีคนเอาน้ำชามาเสียที เจ้าลงไปดูทีซิว่าทำไมถึงชักช้านัก!”เขาแกล้งโมโห มองจางต้าตาเขียว บ่าวคนสนิทจำต้องลงไปชั้นล่างอย่างฝืนใจ จื่อฟางจัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อยก่อนเดินไปยังห้องดื่มชาส่วนตัวที่มีเว่ยหลงยืนเฝ้าอยู่เหมือนยามเฝ้าบ้าน เว่ยหลงเห็นคุณชายเสิ่นเข้ามาใกล้ก็ตีหน้าเข้ม

“ท่านมีธุระอะไร”เขาเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะเป็นมิตรแต่สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดคุยกับจื่อฟาง

“ข้ามีเรื่องจะคุยกับไป๋ผูอวี้”เขาตอบเสียงดังเผื่อแผ่คนด้านใน

“คุณชายไป๋ไม่มีเรื่องจะคุยกับท่าน”เว่ยหลงไม่ชอบหน้าคุณชายผู้นี้แม้แต่น้อย แม้เป็นลูกขุนนางมีตำแหน่งแต่คุณชายเสิ่นกลับทำแต่เรื่องขายหน้า หากเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีอำนาจบารมีของบิดาคุ้มหัว ก็ไม่นับว่ามีอะไร

“ข้าไม่ได้มาก่อกวน แค่อยากมาพูดคุยเท่านั้น”จื่อฟางตอบหน้าซื่อ เขาไม่มีเรื่องจะคุยหรอก แค่อยากมาขวางคุณหนูฉินเซียงอินเท่านั้นเอง เว่ยหลงตั้งท่าจะเถียง แต่ไป๋ผูอวี้พูดแทรกมาก่อน

“ให้คุณชายเสิ่นเข้ามา”

“เชิญ!”เว่ยหลงกัดฟันยอมให้คุณชายรูปงามผ่านเข้าไป จื่อฟางจึงยิ้มกว้างเลิกม่านมุกเข้าไปในห้องด้านใน ร่างสูงในชุดตัวยาวสีเทาปักลายเรียบง่ายยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางสุขุม แม้เป็นเพียงชุดเรียบง่ายแต่เมื่ออยู่บนตัวอีกฝ่ายกลับดูดีขึ้นมาหลายเท่า

“คุณชายเสิ่น ไม่คิดว่าท่านจะมา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทัก กวาดตามองร่างตรงหน้าขึ้นลง

“ข้าเดินผ่านก็เลยแวะมาทักทายท่านเสียหน่อย”จื่อฟางกล่าวอย่างลื่นไหล มองเห็นหัวคิ้วของชายอีกคนขมวดมุ่นน้อย ๆจึงชะงักคิดไปว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือไม่ บุตรชายสกุลไป๋ผายมือเชื้อเชิญให้เขานั่งยังเก้าอี้ว่าง บนโต๊ะมีกาน้ำชาส่งกลิ่นหอมและขนมวางอยู่ ดูเหมือนจะมาถูกจังหวะ จื่อฟางกำลังหิวพอดี

“ข้าคงไม่ได้มารบกวนท่านกระมัง”

“...”ไป๋ผูอวี้ไม่ตอบ เพียงรินน้ำชาให้เงียบๆ ไม่รู้ว่านิสัยเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือตั้งใจกวนประสาทกันแน่ จื่อฟางกวาดตามองรอบห้อง การตกแต่งที่เรียบง่ายบ่งบอกว่าไป๋ผูอวี้เป็นคนตระหนี่ นอกจากกู่เจิงที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยที่มุมห้องก็มีเพียงภาพวาดพู่กันจีนบนผนัง ดูแล้วไม่มีของชิ้นไหนที่ดูราคาแพงเลย

“เชิญดื่ม”เสียงนิ่งสงบทำให้เขาดึงสายตากลับมามองชายตรงหน้า พอได้มองในระยะใกล้เช่นนี้ก็ยิ่งเห็นว่าไป๋ผูอวี้หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ทุกส่วนบนใบหน้าเข้ากันอย่างดี นึกชมคนเขียนนิยายที่สร้างไป๋ผูอวี้ออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ จื่อฟางยกถ้วยชาจิบ แต่ลืมไปว่าต้องเป่าเสียก่อน ชาร้อนจึงลวกลิ้นจนเขาน้ำตาคลอหน่วย ไป๋ผูอวี้มองมาด้วยสายตาแปลไม่ออก แต่มุมปากกระตุกน้อย ๆ

‘วันนี้เสิ่นจิ้งเฟยเป็นอะไรไปอีกแล้ว’ชายหนุ่มครุ่นคิด จื่อฟางกระแอมอย่างกระดากอาย อุตส่าห์วางมาดคุณชายแล้วแท้ๆ

“เว่ยหลง หากมีคนมาขอพบ ให้บอกว่าข้ามีแขก”ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงบอกผู้ติดตามที่อยู่ด้านนอกห้องเบาๆ รู้ดีว่าวันนี้คุณหนูฉินต้องมารบกวนตนแน่ แม้ภายนอกแม่นางผู้นั้นจะมีท่าทางอ่อนหวาน แต่เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้เดียงสา เขาอายุยี่สิบสองปีจึงรู้ได้ว่าที่คุณหนูฉินเข้ามาสนิทชิดใกล้ย่อมมีแผนการ เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าแม่นางน้อยไม่ใช่ธรรมดา เนื้อแท้ของนางเป็นหญิงงามใจกล้าผู้หนึ่ง ไม่เหมือนคุณชายเสิ่นที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ยามนี้กำลังจิ้มฟักเชื่อมเข้าปาก ดูไปก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลก เขาไม่เคยเห็นเสิ่นจิ้งเฟยผ่อนคลายท่าทีเวลาที่เผชิญหน้ากับตน

ไป๋ผูอวี้ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู บางทีเจ้าตัวอาจคิดไปเอง คุณชายเสิ่นมีสิ่งใดให้เขาต้องเก็บมาใส่ใจด้วยหรือ? แต่พอมาสังเกตเสิ่นจิ้งเฟยที่นั่งอยู่ตรงหน้าดี ๆแล้วกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป ชายหนุ่มก็บอกไม่ถูก อาจเป็นที่ดวงตาเปิดเผยมีชีวิตชีวา

“ไป๋ผูอวี้”คุณชายรูปงามกล่าวขึ้นหรี่ตามองมาที่ตนพร้อมกับทำสีหน้ารู้ทันอะไรบางอย่าง เขาเห็นแล้วอยากหัวเราะยิ่งนัก เหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงทำตัวไม่เหมือนเดิม หรือถูกกักบริเวณอยู่ในจวนจนเพี้ยนไปเสียแล้ว

“ท่านพูดเช่นนี้...ไม่อยากพบนางหรือ”จื่อฟางเลิกคิ้ว หากอีกฝ่ายออกปากไม่อยากพบผู้ใดแสดงว่าท่อนไม้ไป๋รู้ว่าคุณหนูฉินจะมาสินะ เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน

“นาง?”ไป๋ผูอวี้แสร้งทำหน้าไม่เข้าใจ

“คุณหนูฉินเซียงอินอย่างไรเล่า”เขากัดฟันตอบ ใครว่าคนผู้นี้นิสัยแข็งทื่อ น่าจะเป็นพวกกวนประสาทหน้าตายมากกว่า”

“…”ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยคำเพียงยกจอกชาจิบช้า ๆ  ในช่วงตอนต้นของนิยายจื่อฟางจำได้ว่าไป๋ผูอวี้ยังไม่สนใจคุณหนูฉินเซียงอิน เพราะในหัวมีแต่เรื่องสืบทอดกิจการของสกุลไป๋ จนคุณหนูฉินต้องงัดกลยุทธ์หญิงงามมาใช้  จื่อฟางลอบมองร่างของอีกคน คลายใจนิดหน่อย ตอนแรกที่เจอกับไป๋ผูอวี้ คนผู้นี้พูดจาเสียดสี แต่วันนี้ก็ยังสามารถนั่งดื่มชาร่วมกันได้แสดงว่าไม่ได้เกลียดขี้หน้ากันปานนั้น

“แล้วท่านเล่า”ไป๋ผูอวี้ย้อนถาม เขาไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำหน้ามึนงง

“อะไรหรือ”

“ได้ยินว่าคุณชายดื่มสุราจนเมามาย เพราะถูกคุณหนูฉินปฏิเสธ”รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏบนเรียวปากของอีกฝ่าย จื่อฟางขบฟัน ความคิดก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น เสิ่นจิ้งเฟยเจ้ามันไม่ได้เรื่องจริง ๆ เขาอยู่ในจวนหนึ่งเดือนไม่รับรู้ข่าวสาร ดูท่าข่าวซุบซิบเรื่องนี้จะลือไปไกล เขากำมืออยู่ในแขนเสื้อเมื่อนึกถึงตอนที่เข้ามาในโรงน้ำชา เหตุที่คนมองก็เพราะเรื่องนี้สินะ เหตุใดจื่อฟางต้องตกเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองด้วย

แต่เขาก็ปั้นยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เหลวไหล ข้าไม่ได้ชอบนาง ข่าวลือก็คือข่าวลือ ข้าไม่ได้เมาเพราะนางด้วยซ้ำ”เขาต้องกู้ชื่อเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยกลับมา เจ้าจะดูเป็นไอ้ขี้แพ้ต่อหน้าศัตรูแบบนี้ไม่ได้!

“อ้อ อย่างนั้นหรือ”ไป๋ผูอวี้ยิ้มน้อย ๆ ประกายในดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนบ่งบอกว่าไม่เชื่อ ที่ด้านนอกพลันมีเสียงเคลื่อนไหว จื่อฟางมองผ่านม่านมุกก็ยิ้มออกมา นางเอกของเรามาถึงแล้ว

“ต้องขออภัยด้วยยามนี้คุณชายมีแขก”เสียงของเว่ยหลงดังแว่วมา จื่อฟางเงี่ยหูฟัง คุณหนูฉินมีน้ำเสียงหวานหู ทำให้ในอกกระตุกวูบ หรือเป็นเพราะเสิ่นจิ้งเฟยชอบหญิงนางนี้ ร่างกายจึงตอบสนอง แต่เขาไม่เข้าใจร่างนี้เป็นของตน  หัวใจจะเป็นของคนอื่นได้อย่างไร เขามองเห็นรูปร่างบอบบางของคุณหนูฉินผ่านม่านมุก ก็พบว่านางยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“แต่ว่าข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับคุณชายไป๋เพียงชั่วครู่มิได้หรือ”ฉินเซียงอินยังคงไม่ยอมแพ้ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงชวนให้ผู้คนเกรงใจ เขาชายตามองไป๋ผูอวี้อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไร แต่ร่างสูงตรงหน้ากลับจิบชาช้า ๆราวกับไม่ได้ยินเสียงภายนอก

“แต่ว่าคุณชายมีธุระกับคุณชายเสิ่น”

“คุณชายเสิ่น?”เสียงของนางแฝงแววแปลกใจชัดเจน จื่อฟางคิดว่าน่าสนุกจึงยกยิ้มลุกจากที่นั่งออกไปแหวกม่านมุก พบหญิงงาม ดวงตากลมสดใส ขนตาเป็นแพ ริมฝีปากบางเป็นกระจับ นางสวมผ้าปิดหน้าอย่างหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นหญิงงามอย่างแน่นอน

“หากคุณหนูฉินอยากเข้ามาพูดคุยก็มาเถิด ข้าไม่ถือหากมีแม่นางน้อยเช่นท่านอยู่ด้วย”จื่อฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างชัดเจนยังผลให้ใบหน้าของนางขึ้นสีเรื่อน่ามอง ไม่รู้ว่าเขินอายหรือโกรธเคืองกันแน่ แต่สาวใช้ประจำตัวของฉินเซียงอินลอบปรายตามองเขาอย่างไม่พอใจนัก

“น่าเสียดาย…ข้ามีเรื่องอยากพูดกับคุณชายไป๋พอดีแต่ข้าไม่รบกวนดีกว่า”ฉินเซียงอินตีสีหน้าเศร้าหมองก่อนจะค้อมกายให้เขาแล้วหมุนกายจากไปอย่างแช่มช้อย จื่อฟางเหลียวมองเว่ยหลงก่อนจะกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะเช่นเคย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยวาจาใด เพียงแค่จ้องมองคุณชายรูปงามอย่างนึกสงสัย เมื่อครู่ตอนที่คุณหนูฉินปรากฏกาย เขาสังเกตเห็นสีหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยที่เผยความสับสนออกมาชัดเจนหรือข่าวลือที่ว่าคุณชายเสิ่นหลงรักฉินเซียงอินจะเป็นเรื่องจริง

จื่อฟางนั่งลงจัดการขนมในจานต่อ ช่วงหนึ่งเดือนที่อยู่ในจวนเขาชอบไปป้วนเปี้ยนในโรงครัว ตอนนี้จึงมีน้ำมีนวลไม่ผอมบางเหมือนคนขี้โรค อีกอย่างหนึ่งเขาคิดว่าผู้ชายจะต้องหล่อสมชายชาตรี จะบอบบางเหมือนหญิงสามได้อย่างไร เสิ่นจิ้งเฟยเกิดมาหน้างดงามราวสตรีจึงถือเป็นเวรเป็นกรรมโดยแท้

“คุณชายเสิ่นบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าไม่ใช่หรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทักขึ้น มองเห็นท่าทางชะงักงันของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะเบาๆ

“ข้า…”ข้า อะไรดีเล่า…เขาไม่มีเรื่องจะคุยจริงๆเสียหน่อย แค่อยากเป็นก้างขวางคอคนเท่านั้น ไป๋ผูอวี้ราวกับมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สีหน้าเรียบเฉยเป็นท่อนไม้คล้ายจะเป็นเพียงเปลือกนอก

“เอาเถอะ ข้าไม่ถือสา ถือว่าได้ดูเรื่องตลก”ไป๋ผูอวี้ไหวไหล่ ยกน้ำชาจิบด้วยท่าทางที่ไม่ประดิษฐ์แต่สง่างาม แบบที่เขาหรือเสิ่นจิ้งเฟยเทียบไม่ติด อะไรกัน เขาอยู่ในร่างที่เป็นคุณชายบุตรขุนนางเชียวนะ เหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงไม่เกรงกลัวอำนาจของตระกูลเสิ่นเลยเล่า เป็นแค่พ่อค้าธรรมดาไม่มีอำนาจหนุนหัวแท้ๆ จื่อฟางรู้สึกถึงความโกรธที่ก่อตัวอยู่ในร่างทั้งที่เป็นของตนและของเสิ่นจิ้งเฟย พอจะเข้าใจว่าเหตุใดถึงได้หมั่นไส้คนผู้นี้นัก แม้แต่เว่ยหลงก็ไม่เกรงกลัวคุณชายเสิ่น แบบนี้ไม่หยามกันเกินไปหน่อยหรือ? คอยดูเถอะ เขาต้องหาทางเอาคืน

“ท่านไม่สบายหรือ”ไป๋ผูอวี้แสร้งถาม จื่อฟางได้แต่ปั้นยิ้มอ่อนหวานส่งให้อีกฝ่าย ปรับลมหายใจให้เป็นปกติคิดว่ายุคสมัยนี้ต้องปั้นหน้าเข้าหากัน เมื่อครู่เขาโดนปั่นหัวง่ายๆ

“ท่านดีดกู่เจิงเป็นด้วยหรือ”จื่อฟางเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง ลุกจากเก้าอี้ไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะวางกู่เจิงที่สลักลวดลายรูปต้นไผ่คันหนึ่งตรงมุมห้อง

ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งนิ่งเป็นท่อนไม้เช่นเดิมก่อนเอ่ยคำขึ้น “ฝีมือของข้าคงสู้คุณชายไม่ได้หรอก ได้ยินว่าฝีมือบรรเลงกู่เจิงของท่านเป็นเลิศนัก ผู้คนกล่าวว่าในฉางอันยังหาคนเทียบยาก ข้าขอฟังสักครั้งได้หรือไม่”บุรุษหนุ่มเอ่ย ชายตามองคุณชายร่างผอมบาง วันนี้เขาคุยกับเสิ่นจิ้งเฟยได้นานกว่าทุกครั้งจนน่าแปลกใจ ปกติเขาจะรำคาญที่อีกฝ่ายมาก่อกวนอยู่เสมอ แปลกที่ยามนี้กลับรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก

จื่อฟางดีดกู่เจิงไม่เป็นเพียงแค่เป่าขลุ่ยได้แบบงูๆปลาๆเท่านั้นจึงโบกมือฎิเสธ “มิได้ๆ คนเล่าลือเกินจริงแล้ว อีกทั้งเวลานี้ข้ามีคติติดตัวว่าจะบรรเลงให้คนรักฟังเท่านั้น”เขาช่างพูดจาได้ลื่นไหลจริง ๆ

“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เกรงว่าชาตินี้ท่านคงไม่ได้บรรเลงให้ผู้ใดฟังแล้วกระมัง”

ฮะๆ ไป๋ผูอวี้มีจิกกัดเขาด้วย บุรุษยุคสมัยนี้ปากคอเราะร้ายจริง ๆ เจอคนสำบัดสำนวนเต็มไปหมด จื่อฟางเริ่มงุ่นง่านใจไม่ว่าพูดอะไรดูเหมือนว่าไป๋ผูอวี้จะย้อนกลับมาได้หมด เขาพยายามคิดหาทางออกจากห้องนี้ไปโดยไม่แพ้ จื่อฟางไม่ใช่พระรองตัวตลกเสียหน่อย เขาจะยอมแพ้อีกไม่ได้แล้ว!

ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับเพิ่งนึกได้ “จริงสิ ครั้งก่อนท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านอยากเดินหมากกับข้า”

จื่อฟางเหงื่อตก ในนิยายเสิ่นจิ้งเฟยชื่นชอบการเดินหมากล้อมมาก แม้กระทั่งไป๋ผูอวี้ก็ยังสูสี เป็นเรื่องเดียวที่คุณชายรูปงามพอโอ้อวดได้ แต่บัดนี้เขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย นอกจากวาดรูปและงานศิลป์ เขาก็ไม่ถนัดทั้งนั้น จื่อฟางใช้สมองคิดวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ นึกบ่นอยู่ในใจว่าจางต้าหายไปไหน เหตุใดไม่ตามเขากลับจวนเสียที ได้แต่ปั้นสีหน้าคงเดิมเมื่อเห็นเว่ยหลงยกกระดานหมากล้อมเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นล้นพ้น คิดสงสัยว่าคุณชายไป๋ผูอวี้คุยกับเจ้าเต่านานกว่าทุกครา ทั้งยังเป็นฝ่ายขอเดินหมากก่อนอีก เว่ยหลงเคยได้ยินว่าเสิ่นจิ้งเฟยพอมีฝีมืออยู่บ้างจึงอยู่ชมด้วย 

“ข้าเดินไม่เก่งหรอก”จื่อฟางออกตัว สุดท้ายการเดินหมากกับไป๋ผูอวี้ก็ผ่านไปอย่างงุนงง เห็นช่องวางได้ก็วาง เป็นการเดินหมากที่ยึดหลักไปตายเอาดาบหน้า แต่ไป๋ผูอวี้เดินหมากอย่างใจเย็นไม่นานตัวหมากของเขาก็ถูกหมากสีดำล้อมไว้หมดจนเดินไม่ได้ เว่ยหลงที่ชมดูอยู่ยิ้มกว้าง คิดว่าคุณชายเสิ่นคงโอ้อวดตัวไปเอง

“หมากของท่านมุทะลุเกินไป ทั้งยังขาดการวางแผน ทำเช่นนี้ถือว่าหาญกล้าแต่ก็โง่เขลาเช่นกัน”ไป๋ผูอวี้แปลกใจนัก ไม่ใช่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีฝีมือเดินหมากหรอกหรือ หากเขาไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อนก็คิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดโอ้อวดตามนิสัยเท่านั้น เสิ่นจิ้งเฟยในยามนี้ไม่เหมือนคนที่เขาเคยพบเจอแม้แต่น้อย 

“ฮ่า ๆ น่าขายหน้าจริง ๆ ข้าบอกแล้วไงว่าเดินไม่เก่ง”จื่อฟางโบกพัดไปมาเพื่อคลายความร้อนที่หน้า เขาแพ้ราบคาบภายในไม่กี่นาที มีแต่ทำให้ภาพลักษณ์ของเสิ่นจิ้งเฟยแย่เรื่อย ๆ

“ข้าควรกลับเสียที ออกมาจากจวนนานมากแล้ว”เพราะแพ้ราบคาบจึงหงุดหงิดรีบลุกขึ้น แต่เพราะเร่งรีบมากเกินไปจึงหน้ามืดไปวูบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ลืมตาอีกที ใบหน้าของเขาก็อยู่ชิดติดกับไป๋ผูอวี้ ริมฝีปากของเขาเฉียดโดนของริมฝีปากของอีกฝ่ายเต็มๆ

“จะ เจ้า”เว่ยหลงตกตะลึงเพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ได้สติก็รีบมาแยกจื่อฟางออกจากไป๋ผูอวี้ทันที เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยจูบจึงไม่รู้สึกตกใจอะไร ก็แค่ริมฝีปากเฉียดกันเท่านั้น ไม่สามารถเรียกว่าจูบได้ด้วยซ้ำ แต่ไป๋ผูอวี้กลับตัวแข็งทื่อ คล้ายกับไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ผู้ติดตามร่างกำยำได้แต่หน้าแดง มองคุณชายรูปงามด้วยสายตาแปลกๆ

จื่อฟางจึงปั้นหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  “ขอตัว”

เขาหมุนตัวกลับ กำลังจะก้าวขาออกจากห้องก็ชะงักกึก เมื่อนึกได้ว่านี่ควรจะเป็นบทของฉินเซียงอิน หากนางได้มาคุยกับไป๋ผูอวี้เหตุการณ์เมื่อครู่ก็จะเกิดขึ้น กลายเป็นจุดหวั่นไหวของพระ-นาง ดูเหมือนว่าเขาขโมยบทจูบแรกของคุณหนูฉินเซียงอินไปซะแล้ว! จื่อฟางหันไปมองไป๋ผูอวี้อีกครั้ง ร่างนั้นกลับมามีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่จื่อฟางกลับมีความกังวลที่ไม่รู้สาเหตุก่อตัวอยู่ในอก ร่างบางจึงรีบสืบเท้าออกมาจากห้องดื่มชา เจอกับจางต้ายืนรออยู่ด้านนอกด้วยท่าทีกระวนกระวาย

“คุณชาย เกิดอะไรขึ้นหรือ ครั้งนี้ท่านคุยกับไป๋ผูอวี้นานจริง ๆ”บ่าวคนสนิทพึมพำ คุณชายเสิ่นทำเรื่องแปลกอีกแล้ว จื่อฟางได้แต่ฉีกยิ้มอ่อนแรง คุยอะไรกันโดนไป๋ผูอวี้เล่นงานจนขายหน้ามากกว่า

“คุณหนูฉินกลับไปแล้วหรือ”เขาเอ่ยถาม

“กลับไปแล้วขอรับ”

จื่อฟางถอนหายใจ ขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะขโมยบทเสียหน่อย



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 01-02-2018 21:32:07
 :katai2-1:
สนุกคร้าา
มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 01-02-2018 21:45:33
ดีงามมากกกกก แย่งบทแบบนี้บ่อยๆสิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-02-2018 22:05:12
พระรองจะกลายเป็นนายเอก  รอดูค่ะ
ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-02-2018 22:24:28
ตามมาจากอีกเว็ปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-02-2018 22:59:35
ชอบ ๆ เอาอีก ๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 01-02-2018 23:34:56
รอตอนต่อไปจ้าาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 02-02-2018 02:02:11
พระรองกินพระเอก ถถถ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-02-2018 03:43:50
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 02-02-2018 15:00:00
น่าสนใจ รอต่ิอค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสอง : เสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนไปจริงหรือ?
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 02-02-2018 16:18:01
บทสอง : เสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนไปจริงหรือ?


จื่อฟางกลับมาที่จวนเสนาบดีด้วยอาการใจลอย นึกถึงสีหน้าของไป๋ผูอวี้ยามที่เดินหมากล้อมก็ยิ่งทำให้ไม่สบายใจ ไป๋ผูอวี้ดูประหลาดใจกับฝีมือการวางหมากของเขามาก ร่างของเด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่ในสวนด้วยอาการวิตก หรือคนผู้นั้นจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในตัวเขา แต่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เขาส่ายศีรษะไปมา ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน จางต้าและหยางชวีได้แต่ยืนมองเสิ่นจิ้งเฟยพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย คุณชายกลับจากโรงน้ำชาหลิวซื่อก็เป็นเช่นนี้  บ่าวทั้งสองได้แต่คิดว่าในห้องดื่มชาส่วนตัวมีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่?

หยางชวีมองร่างของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างใช้ความคิด เขาได้ยินมาว่าคุณชายไม่ถูกกับไป๋ผูอวี้ แต่วันนี้ที่โรงน้ำชากลับไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เขาติดตามคุณชายมาได้หนึ่งเดือน คอยจับตามองและสังเกตพฤติกรรมของคุณชายมาตลอด จึงรู้ว่าคุณชายเสิ่นมีเรื่องที่อยู่ในใจตลอดเวลาจึงมักตกอยู่ในอาการเหม่อลอยบ่อย ๆ หยางชวีเป็นคนสัมผัสไวตอนดึกจึงรู้ว่าคุณชายตื่นมาเสมอ หากนอนไม่หลับก็จะวาดภาพ เสิ่นจิ้งเฟยชอบวาดภาพมาก ช่วงที่ถูกทำโทษอยู่ในจวนคุณชายผู้นี้จะวาดภาพทุกวัน แต่ที่เท่าที่เขาได้ยินมาเสิ่นจิ้งเฟยชอบดีดกู่เจิงไม่ใช่หรือ?เหตุใดเขาไม่เคยได้ยินคุณชายดีดกู่เจิงเลยสักครั้ง ยิ่งคิดก็พบว่ามีอีกหลายเรื่องที่ดูประหลาด

จื่อฟางกำมืออยู่ในแขนเสื้อเมื่อรู้สึกว่าสายตาของหยางชวีอาบไปทั่วร่าง มิน่าถึงได้เสียวสันหลังวูบวาบไปหมด ระหว่างนั้นเองก็มีสาวใช้ร่างอวบอิ่มเดินเข้ามา นางชื่อลู่เฟย เขาได้ยินพวกบ่าวไพร่ในเรือนซุบซิบกันว่าเสิ่นจิ้งเฟยชอบเรียกนางมาปรนนิบัติบนเตียง ลู่เฟยเป็นสาวสะพรั่งมีทรวดทรงชัดเจน จื่อฟางกวาดตามองนางขึ้นลงก็ต้องยอมรับว่ารสนิยมของเสิ่นจิ้งเฟยไม่เลวทีเดียว สาวใช้ตรงหน้าค้อมกายคาราวะทีหนึ่งก่อนเอ่ยรายงาน

“คุณชายเสิ่ย นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”นางลอบชม้ายตามองเขาทีหนึ่ง จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ วันนี้เขาจะคุยกับเสิ่นมู่หยางเรื่องหาอาจารย์ เขาจะรอช้าไม่ได้แล้ว หากมีเรื่องทำให้เขาต้องอ่านหนังสือขึ้นมาถึงตอนนั้นต้องลำบากแน่ ๆ

เสิ่นมู่หยางนั่งพักอยู่ที่ห้องโถงก็เห็นบุตรชายเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ‘มันจะมาประจบเอาอะไรอีก’ เขาคิดอยู่ในใจ ท่าทางเช่นนี้ของเสิ่นจิ้งเฟยเขาเห็นจนชินตาแล้ว เสนาบดีเหลือบมองทางหยางชวีที่เดินตามหลังบุตรชายเพื่อสอบถามว่าวันนี้เจ้าตัวดีได้ก่อเรื่องบ้างหรือไม่ หยางชวีเพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบ เสิ่นมู่หยางหันมองเสิ่นจิ้งเฟยอีกครั้งครุ่นคิดว่า ‘วันแรกที่ได้ออกจากจวน แต่เจ้าจิ้งเฟยกลับไม่ก่อเรื่อง เป็นไปได้ด้วยหรือ’

“ท่านพ่อ…”จื่อฟางใช้น้ำเสียงประจบเรียก

เสิ่นมู่หยางได้ยินแล้วขัดหูนัก จึงโบกมือทีหนึ่งแล้วพูด “เจ้าอยากพูดอะไรก็ว่ามาตรง ๆ เฟยเอ๋อร์”

จางต้าและหยางชวีก็อยากรู้เช่นกันว่าคุณชายคิดจะทำอะไร

จื่อฟางกระแอม “ข้าอยากได้อาจารย์มาสอนหนังสือ”ในห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ จางต้าถึงกับแคะหู เขาได้ยินผิดไปหรือเปล่า คุณชายอยากเรียนหนังสือ? ท่านเป็นคนหยุดเรียนที่สำนักเองไม่ใช่หรือไร แล้วเหตุใดยังมาถามหาอาจารย์อีก หยางชวีเงยมองเสิ่นจิ้งเฟยครู่หนึ่ง บุรุษหนุ่มเห็นคุณชายฝึกเขียนพู่กันจีน ใช้เวลาในการอ่านตำราขงจื๊อนานมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือคุณชายเสิ่นโง่กันแน่

“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”เสิ่นมู่หยางคิดว่าตนหูแว่วไปเองแน่ ๆ ได้แต่มองสีหน้าจริงจังของบุตรชายอย่างงุนงง

“ข้าบอกว่าอยากได้อาจารย์มาสอนหนังสือ”ท่านหูหนวกหรือไง จื่อฟางเติมประโยคอยู่ในใจ เห็นคนในห้องทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อแล้วหงุดหงิดเล็กน้อย

“อย่างเจ้าน่ะเหรอ...”เสิ่นมู่หยางพึมพำ ไม่น่าเป็นไปได้ “ฮ่าๆๆ”เขาระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เจ้าลูกคนนี้คิดเล่าเรื่องตลกให้เขาฟังหรือไร

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น”จื่อฟางโกรธขึ้นมา

“ถ้าคิดจะทำแค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็กลับไปซะเถอะเสียเวลาเปล่า”เสิ่นมู่หยางโบกมือไล่ เคยส่งมันไปเรียนที่สำนักก็ขี้เกียจสันหลังยาว เอาแต่คบเพื่อนเกเรพากันเที่ยวเตร่สร้างเรื่องให้เขาปวดหัวไม่เว้นวัน ซ้ำยังทิ้งเรื่องให้เขาตามเช็ดอีก

“ข้าจริงจังนะท่านพ่อ”จื่อฟางยืนยันเสียงหนักแน่น “ข้ารู้ว่าทำให้ท่านผิดหวังมามาก..”

“เจ้ารู้ตัวด้วยหรือ”เสิ่นมู่หยางเบือนหน้าหนี แต่ในใจหวั่นไหวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

“คราวนี้ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน”จื่อฟางไม่อยากเล่นบทพระรองไม่เอาไหน ไม่อยากเป็นตัวตลกให้คนมาหัวเราะเยาะ โดยเฉพาะไป๋ผูอวี้กับผู้ติดตามเว่ยหลงนั่น เขาเข้าใจที่เสิ่นมู่หยางมีท่าทีไม่อยากเชื่อเพราะที่ผ่านมาเสิ่นจิ้งเฟยก็เคยพูดประจบเอาใจแต่ไม่เคยลงมือทำ ผ่านไปบ่อยครั้งผู้คนหน้าไหนจะเชื่อ หากพูดขอดีๆไม่ได้ผล เขาจะใช้มุกเดิม ร่างบางลงไปนั่งคุกเข่ากอดขาบิดา

“เจ้า!ลุกขึ้นมา ทำไมถึงชอบทำตัวเหลาะแหละนัก”เสิ่นมู่หยางลุกพรวดอย่างขัดใจ อยากจะถีบเจ้าลูกไม่รักดีออกไปซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ลงเพราะเสิ่นจิ้งเฟยมีใบหน้าที่เหมือนกับภรรยาที่จากไปจนไม่กล้าตัดใจทำร้าย ตอนโหยวหลันคลอดบุตรชายออกมาเจ้าเด็กบ้าคงลืมเอาสมองมาด้วยแน่ๆ

“ท่านรับปากมาก่อนสิว่าจะหาอาจารย์ให้ข้า”จื่อฟางไม่ยอมแพ้เอาหน้าแนบขาของเสนาบดีเสิ่น พยายามไม่เหลือบมองข้ารับใช้สองคนที่อยู่ด้านหลัง จางต้าได้แต่อ้าปากค้างมองตาโต เขาไม่เคยเห็นคุณชายเป็นเช่นนี้มาก่อน คุณชายที่เขารู้จักไม่มีทางลงไปนั่งคุกเข่าให้ผู้ใดแน่ แม้คนผู้นั้นจะเป็นเสิ่นมู่หยางก็เถอะ ถ้าเป็นยามปกติเสิ่นจิ้งเฟยคงอาละวาดเสียงดังไปทั้งจวนแล้ว นึกถึงวันที่พักรักษาตัวตนคิดว่าคงโดนเขี่ยทิ้งเพราะไม่เห็นคุณชายมาเยี่ยม แต่จางต้ากลับคิดผิด ยังนึกว่าฝันไปด้วยซ้ำ หรือคุณชายเสิ่นของเขาจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้หยางชวีขมวดคิ้วมองเงียบๆ ได้แต่คิดอยู่ในใจว่าคุณชายเสิ่นเกินเยียวยาแล้ว 

“เฟยเอ๋อร์ ถ้าหากข้าเคยได้ยินเป็นครั้งแรกก็คงตื้นตันน้ำตาไหลอยู่หรอก แต่เจ้าเคยตั้งใจทำอะไรจริงเสียที่ไหน”เสิ่นมู่หยางอยากจะเชื่อคำพูดของบุตรชายนักแต่ที่ผ่านมาก็พบเจอแต่เรื่องผิดหวัง

“ข้าบอกแล้วว่าพูดจริง ทำไมท่านไม่เชื่อบ้าง”เขากระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิด

“เฮอะ! เจ้าอยากเรียน?เจ้าบอกว่าจริงจัง? หากเจ้ายืนยันจะเรียนก็ควรทำให้หนักแน่นกว่านี้ มิใช่ไม่ได้ดั่งใจแล้วจะคุกเข่ากอดขาข้าเหมือนคนไม่มีศักดิ์ศรี เอาแต่ทำเช่นนี้ใครหน้าไหนจะนับถือเจ้า”เสิ่นมู่หยางตวาดเสียงดังทำให้บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนทันที จื่อฟางไม่คิดว่าเสนาบดีเสิ่นที่ใจอ่อนกับบุตรชายจะตอกกลับมาเช่นนี้จึงนิ่งอึ้ง แต่สิ่งที่เสิ่นมู่หยางพูดมาก็มีส่วนถูกจนไม่รู้จะแย้งกลับไปอย่างไร เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายนิ่งงันก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ตัดใจเบือนหน้ามองทางอื่น 

จื่อฟางกัดฟันค้อมคำนับเสิ่นมู่หยาง“ขอบคุณท่านพ่อที่สั่งสอน เป็นข้าที่คิดน้อยไปจริง ๆ”

“เอาล่ะๆลุกขึ้น”เสิ่นมู่หยางคลายใจเล็กน้อย ดูเหมือนคำพูดของเขาจะเข้าหัวบุตรชายบ้าง เห็นเสิ่นจิ้งเฟยทำหน้าเหมือนสุนัขป่วยแล้วไม่ชิน จื่อฟางลอบถอนหายใจก่อนลุกยืน ไม่รู้เพราะเหตุใดแต่การยอมรับคำสั่งสอนของเสิ่นมู่หยางทำให้เขาขายหน้ามากกว่าโดนด่าเมื่อครู่อีก

“ข้าถามเจ้า เหตุใดถึงอยากเรียนนัก มิใช่เจ้าหรือที่บอกไม่อยากเรียนแล้ว”เสิ่นมู่หยางถามอย่างสงสัย

จื่อฟางเหนื่อยจนไม่อยากปั้นคำตอบจึงบอกไปตามความจริง “ข้าแค่ลืมความรู้ไปหมดแล้ว จึงอยากเริ่มใหม่”

เสิ่นมู่หยางหน้าคล้ำไปกับคำตอบของบุตรชาย หยางชวีมุ่นคิ้ว คิดอย่างห่อเหี่ยว ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สรุปคุณชายสมองทึบเองสินะ’จางต้าก้มหน้าเพื่อซ่อนรอยยิ้ม คุณชายก็ไม่ถือว่าเปลี่ยนไปเสียทีเดียว

เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ ตบบ่าบุตรชาย “ก็ได้!ข้าจะไปเสาะหาอาจารย์มาให้ แต่ชื่อเสียงของเจ้า...คงหามายากหน่อย”เขาเอ่ยอย่างลำบากใจ

“อย่างไรก็ได้ ขอแค่ท่านหาให้ข้าก็พอ”

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าพอนึกออกอยู่คนหนึ่ง…”เสิ่นมู่หยางพูดด้วยโทนเสียงไม่แน่ใจแต่ก็ทำให้จื่อฟางโล่งอกไปเปราะหนึ่ง

“ขอบคุณท่านพ่อมาก”

จวนเสนาบดีจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เย็นวันนั้นเสิ่นมู่หยางอารมณ์ดีมาก ชวนเขาร่ำสุราจนมืดค่ำ จื่อฟางไม่ชินกับสุราในยุคนี้จึงเพียงจิบไปไม่กี่อึก เมื่อรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเขาจึงขอตัวกลับเรือน ได้เห็นสีหน้าสบายใจของเสิ่นมู่หยางก็ทำให้เขายิ้มขำออกมา ไหน ๆเขาก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว จะทำหน้าที่บุตรชายแทนเสิ่นจิ้งเฟยให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

“ข้าจะอาบน้ำ”เขาพูดเท่านี้ บ่าวรับใช้ก็รีบออกไปตระเตรียมทันที จื่อฟางมึนหัวเล็กน้อย ทั้งยังรับรู้ว่าร่างกายของตัวเองเกิดอาการร้อนรุ่มผิดปกติ จางต้าช่วยถอดเสื้อคลุมให้เขา ระหว่างนั้นก็กระซิบเบาๆว่า

“คุณชาย เรียกสาวใช้มาปรนนิบัติดีหรือไม่”จางต้าเสนอ เขาอยู่กับคุณชายมานานจึงรู้ดีว่าเวลาคุณชายดื่มสุรามักต้องการสาวใช้มาปรนนิบัติบนเตียงเสมอ

จื่อฟางได้ยินก็ชะงัก “ไม่ต้อง พวกเจ้าออกไปให้หมด”เขาโบกมือไล่เมื่อบ่าวรับใช้ยกถังอาบน้ำเข้ามา จางต้ากับบ่าวคนอื่นต่างรีบพากันออกไป ร่างบางถอนหายใจ รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดถึงได้มีอารมณ์หวาบหวิวแปลกๆ จะว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยความต้องการ เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ถึงในเรือนแห่งนี้จะมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มทรวดทรงงดงามหลายคน แต่จื่อฟางกลับไม่รู้สึกอยากเรียกใช้ เขาไม่อยากมีสัมพันธ์กับคนในจวน เคยคิดว่าหากทนไม่ไหวค่อยออกไปหาความสุขที่หอคณิกา ไม่คิดว่าจะมาตบะแตกเอาวันนี้

จื่อฟางถอดชุดออกจนเหลือเพียงร่างกายเปล่าเปลือย พาดชุดคลุมไว้บนฉากกั้น ค่อยๆหย่อนร่างลงในถังน้ำอุ่น หลับตาอย่างพอใจเมื่อน้ำอุ่นสัมผัวร่างช่วยให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้บ้าง เขาเอื้อมหยิบไยบวบมาขัดถูร่างกายอย่างไม่ค่อยถนัดนัก แม้จะแช่อยู่ในถังน้ำมาสักพักแล้วแต่อารมณ์ที่ยังไม่ได้จัดการก็ยังคงอยู่ จื่อฟางมองไปรอบตัวเมื่อไม่เห็นคนก็ทิ้งร่างพิงขอบถังหลับตาจินตนาการถึงฉากร่วมรักกับแฟนเก่า ระหว่างที่กำลังใช้มือช่วยจนอารมณ์ไต่ถึงขีดสูง สองหูก็พลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอกฉากกั้นเข้าทำเอาใจกระตุก

“ใครน่ะ”เขาขยับตัวจนน้ำกระเพื่อมออกนอกถัง อารมณ์ดิ่งวูบทันที

“หยางชวีเองขอรับ”เสียงของอีกฝ่ายดังมาเบาๆ เขาขมวดคิ้ว หยางชวี?แล้วคนหน้าตายผู้นี้เข้ามาทำไม

“เจ้า…มีอะไรหรือ”เขาใจเต้นกระหน่ำ หวังว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้ยินเสียงเขาทำเรื่องน่าอายอยู่

“จางต้าให้ข้าน้อยเข้ามาดูว่าคุณชายยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”เสียงราบเรียบของหยางชวีทำให้ร่างบางหมดอารมณ์ไปกว่าเดิมจึงถอนหายใจ

“ข้า…”เขาไม่รู้จะตอบอะไรจึงทิ้งให้ความเงียบคลืบคลานเข้ามาอย่างน่าอึดอัด แต่หยางชวีคล้ายเดาออกว่าจื่อฟางทำอะไรอยู่เพราะเจ้าตัวเอ่ยเสริมด้วยเสียงแผ่วเบา

“หรือจะให้ข้าน้อยพานางคณิกาจากข้างนอกมา”

จื่อฟางกัดริมฝีปาก คิดจะตอบตกลงแต่ก็รีบส่ายหน้าไปมา ไม่ได้ เขาตั้งใจแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ หากเสิ่นมู่หยางรู้เข้าคงไม่เชื่อใจกันอีกแน่ ในอนาคตข้างหน้าพูดอะไรคงไม่มีคนเชื่อแล้ว

“ข้าไม่ต้องการ”หยางชวีได้ยินคำตอบแล้วเลิกคิ้ว คุณชายเสิ่นยับยั้งชั่งใจได้ดีกว่าที่ตนคิด

จื่อฟางก้าวออกจากถังน้ำ เส้นผมยาวสยายเปียกแฉะแนบลำตัวจนนึกรำคาญกับผมยาวๆ อยากตัดให้สั้นใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ เด็กหนุ่มคว้าชุดคลุมมาสวม ก่อนก้าวออกมาจากฉากกั้น หยางชวียืนก้มหน้ารออยู่ ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่กระอักกระอ่วนเท่าไร 

“เจ้าอยู่ก็ดี มาช่วยข้าเช็ดผมที”เขานั่งลงที่หน้าคันฉ่อง จ้องมองใบหน้าสวยงามของเสิ่นจิ้งเฟยที่สะท้อนออกมา พลางครุ่นคิดว่าต้องอยู่ในโลกนี้อีกนานแค่ไหน ระหว่างนั้นหยางชวีใช้ผ้าเช็ดเส้นผมให้จื่อฟางอย่างระมัดระวัง เบามือเสียจนน่าแปลกใจ บ้างครั้งมือหยาบกร้านของอีกฝ่ายก็ปัดมาโดนหลังคอของร่างบางโดยไม่ตั้งใจ ทำให้จื่อฟางรู้ว่าต้นคอเป็นจุดอ่อนไหวของเสิ่นจิ้งเฟย เพราะทุกครั้งที่หยางชวีปัดมาโดน อารมณ์กรุ่นๆที่ไม่ได้ปลดปล่อยมักจะคอยขึงขังทุกที จื่อฟางได้แต่พยายามหลับตาทำท่าปลอดโปร่ง 

“คุณชาย ข้าขอถามอะไรได้หรือไม่”หยางชวีเอ่ยถาม จื่อฟางลืมตา พบว่าคนด้านหลังสบตาเขาผ่านคันฉ่อง

“อ้อ ว่ามาสิ”เขาเตรียมรับมือเต็มที่ เพราะลึกๆแล้วรู้ว่าหยางชวีอันตรายนัก อีกฝ่ายมีวรยุทธ์และติดตามเขามาได้หนึ่งเดือน เรื่องบางเรื่องคงไม่สามารถหลุดรอดสายตาของหยางชวีไปได้

“นายท่านมักพูดให้ได้ยินเสมอว่าคุณชายชื่นชอบการดีดกู่เจิง…”นั่นไง จื่อฟางเผยรอยยิ้ม ไม่แปลกใจที่หยางชวีจะสงสัยกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเสิ่นจิ้งเฟย บ่าวไพร่ในเรือนของเขาล้วนมีคำถามอยู่ในใจกันทั้งนั้นแต่ไม่มีใครกล้าปริปาก

“ตั้งแต่ข้าน้อยติดตามท่าน เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินท่านบรรเลงกู่เจิงเลยสักครั้ง”คำถามของหยางชวีถือว่าอุกอาจมาก จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมก่อนลุกจากเก้าอี้มาเผชิญหน้ากับหยางชวีที่ถอยห่างออกไปสองก้าวก้มหน้ามองนิ้วเท้าด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม

“เจ้าข้องใจขนาดนั้นเลยหรือ”

“ข้าน้อยเพียงแค่สงสัยเท่านั้น”หยางชวีเงยหน้ามองด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์

“ดูท่าเจ้าคงสงสัยมากจริงๆถึงได้หาโอกาสมาถามข้าในเวลาเช่นนี้”จื่อฟางเดินเข้าไปใกล้หยางชวี แสร้งมองสำรวจอีกฝ่ายด้วยสายตาพราวระยับ หยางชวีลอบขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแต่พอเห็นว่าคุณชายเสิ่นเข้ามาใกล้เสียจนได้กลิ่นกายหอมๆหลังอาบน้ำ บุรุษหนุ่มก็พลันเข้าใจความหมายในประโยคนั้นทันที ข่าวลือเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นมีมากมาย เรื่องชมชอบบุรุษก็เป็นหนึ่งในนั้น

“คุณชาย ข้าน้อย…”หยางชวีตัวแข็งทื่อเมื่อผิวมือเนียนนุ่มของคุณชายลากไล้ไปตามต้นคอของเขาเบาๆคล้ายกำลังยั่วยวน เขาจ้องมองคุณชายเสิ่นด้วยความตื่นตระหนก ไม่คิดว่าจะถูกปฏิบัติเช่นนี้ หรือว่า…คำเล่าลือเหล่านั้นเป็นจริง แต่คุณชายหลงรักคุณหนูฉินเซียงอินมิใช่หรือ

“บางทีเจ้าอาจอยากปรนนิบัติข้าบนเตียง”คำพูดนี้ทำให้หยางชวีถอยห่างด้วยความตกใจ จื่อฟางแอบกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ

“อันที่จริงข้าก็ไม่รังเกียจหรอกนะ จะบุรุษหรือสตรีสำหรับข้าถือว่าไม่แตกต่าง ขอแค่ปรนนิบัติได้ดีก็พอ รูปร่างหน้าตาของเจ้าก็ถือว่าผ่านเกณฑ์ของข้า…”จื่อฟางใช้สายตาร้อนแรงสำรวจมองหยางชวีขึ้นลง ร่างของอีกฝ่ายรีบลงไปนั่งคุกเข่าทันที

“คุณชายเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว”หยางชวีก้มหน้าต่ำ รู้สึกแปลกพิกลที่คุณชายเสิ่นใช้สายตาเช่นนี้สำรวจมองตน ถึงคุณชายจะมีใบหน้าที่งดงามคล้ายสตรีแต่อย่างไรก็ยังเป็นบุรุษ แต่ว่าสัมผัสเมื่อครู่…เหตุใดผิวของคุณชายเสิ่นถึงได้นุ่มนิ่มเช่นนี้ หยางชวีรีบสะบัดความคิดไร้สาระออกไปทันที   

“ข้าคิดว่าเจ้าอยากปรนนิบัติข้าเสียอีก เจ้าก็รู้ตอนอาบน้ำข้ายังไม่ได้…”จื่อฟางยังพูดไม่จบหยางชวีก็รีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ข้าน้อยไม่รบกวนเวลานอนของคุณชายแล้ว”ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งบัดนี้ร้อนผ่าวๆ พลันนึกถึงเสียงที่ได้ยินหลังฉากกั้น หยางชวีมีสัมผัสไวจึงรู้ว่าคุณชายทำสิ่งใดอยู่ บุรุษหนุ่มค้อมกายก่อนเร่งรีบออกไปจากห้องทันที ยามที่อีกฝ่ายปิดประตูจื่อฟางยังคงแกล้งใช้สายตาร้อนแรงมองส่ง จนหยางชวีก้มหน้าหลบสายตาแทบไม่ทัน ฮ่าๆ เขาหัวเราะจนตัวสั่น คาดว่าพรุ่งนี้หยางชวีคงไม่กล้าเข้าหน้าตนแน่

~•~

จื่อฟางตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำเสร็จ สาวใช้ชื่ออี้เหมยก็ยกเตาเครื่องหอมเข้ามาในห้อง เขาแอบย่นคิ้ว การกระทำดังกล่าวเป็นนิสัยเคยชินของเสิ่นจิ้งเฟย ทุก ๆสามวันจะต้องให้สาวใช้ยกเตาเครื่องหอมเข้ามาในห้องนอน แม้ว่าจะเหม็นแต่เขาไม่อยากทำตัวมีพิรุธจึงไม่ได้ปรับเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นหยางชวีคงสงสัยอีก เรื่องเมื่อคืนคงกันหยางชวีได้สักสองสามวัน อี้เหมยเข้ามาช่วยเขาแต่งตัวเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา ทั้ง ๆที่อยากมองใจจะขาด จื่อฟางได้แต่นึกขันอยู่ในใจ เมื่อจางต้าเข้ามาในห้องเขาก็โบกมือไล่สาวใช้ออกไป

“นายท่านออกไปจากจวนแล้วขอรับ”จางต้ากระซิบเบาๆ

“เหตุใดออกไปเช้านัก”เขาถามพลางอ้าปากหาว นั่งลงหน้าคันฉ่องเห็นใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยสะท้อนมาแล้วคันยุบยิบในใจ รู้สึกว่าแปลกพิกลที่ไม่ได้มองเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาของตัวเอง   

“ดูเหมือนว่าจะออกไปพบกับคนผู้หนึ่ง ข้าน้อยคิดว่าคงเป็นเรื่องอาจารย์ของคุณชายนั่นแหละ”บ่าวคนสนิทตอบ ก่อนมาช่วยหวีผม เส้นผมของเสิ่นจิ้งเฟยเหยียดตรงบ่งบอกว่าผ่านการดูแลอย่างดี บนร่างกายแทบไม่มีตำหนิเลยสักจุด จนจื่อฟางแอบคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นชายแท้แน่หรือถึงได้พิถีพิถันขนาดนี้ ระหว่างที่เกล้ามวยผมให้ร่างบางตรงหน้า จางต้าเหลือบมองคุณชายอย่างครุ่นคิด เมื่อเช้าหยางชวีมีท่าทีแปลกประหลาด ยืนยันว่าจะรออยู่นอกประตู ไม่ยอมเข้ามาในห้อง เขาจึงเดาว่าคุณชายคงไปแกล้งหยางชวีแน่ ๆ เพราะเมื่อคืนเขาให้หยางชวีเข้ามารับใช้  คนหน้าตายเช่นหยางชวียังโดนคุณชายแกล้งได้ จึงอยากรู้นักว่าคุณชายเสิ่นแกล้งด้วยวิธีไหน

“เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”จื่อฟางเหลือบเห็นคนด้านหลังทำหน้าเหมือนอยากถามอะไรเข้าพอดี

“ข้าเห็นหยางชวีทำท่าทางแปลกๆ เมื่อคืนคุณชายทำอะไรเขาหรือ”พอได้ยินคำถาม รอยยิ้มขบขันก็ปรากฏบนริมฝีปากของจื่อฟางทันที

“ข้าแค่แกล้งเขานิดหน่อยเอง”จื่อฟางหัวเราะเสียงดัง จางต้าทำหน้าไม่เข้าใจ เขาอยากได้รายละเอียดมากกว่านี้หน่อย

“แกล้ง…?”

“อืม ข้าบอกว่าอยากให้เขาปรนนิบัติบนเตียง”จางต้าเบิกตาโต มองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาตำหนิ ไม่คิดว่าคุณชายจะใช้วิธีนี้ แต่ก็ร่วมหัวเราะไปกับคุณชายด้วยเช่นกัน

“คุณชายรังแกเขาเกินไปแล้ว”จางต้าพึมพำ เมื่อจื่อฟางแต่งตัวเสร็จก็หยิบพัดออกไปจากห้อง หยางชวีรออยู่หน้าประตูพอเห็นว่าคุณชายรูปงามออกมาก็รีบก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตา

“นี่หยางชวี”จื่อฟางเอ่ยเรียกเมื่อนึกอะไรได้

“ขอรับ”ร่างนั้นสะดุ้งเล็กน้อย

“ข้าอยากให้เจ้าไปสืบข่าวที่โรงน้ำชาหลิวซื่อได้ หากไป๋ผูอวี้ไม่อยู่ให้มารายงานข้า”จื่อฟางคิดไว้แล้วว่าจะสั่งสอนเว่ยหลงสักหน่อย ในเมื่อจัดการเจ้านายไม่ได้ก็เล่นงานบ่าวไปก่อนแล้วกัน

“ท่านจะก่อเรื่องหรือ”หยางชวีเอ่ยเสียงเรียบ

“เปล่า...ข้าแค่อยากพูดคุยกับเว่ยหลงเท่านั้น”เห็นท่าทีไม่กริ่งเกรงของคนผู้นั้นแล้วหงุดหงิด จื่อฟางได้แต่สงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่เคยใช้อำนาจบิดาจัดการกับคนที่มาพูดจาล่วงเกินบ้างเลยหรือ หยางชวีคล้ายจะเข้าใจความคิดของเขา

“ข้าจะออกไปดูให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะสนับสนุนท่านทำเรื่องยุ่ง”หยางชวีพูดจบก็ค้อมกายหมุนตัวเดินจากไปอย่างว่องไว จื่อฟางหยักยิ้มถือว่าวันนี้เขี่ยหยางชวีไปได้แล้ว จึงไปทานมื้อเช้าที่เรือนใหญ่เพียงลำพัง หลังจากท้องอิ่มก็ออกไปเดินย่อยอาหารในสวน ผ่านไปสักพักบ่าวรับใช้ก็วิ่งหน้าตั้งมารายงาน

“มีเรื่องอันใด”จื่อฟางมองแล้วคิดว่าต้องมีเรื่องใดเกิดขึ้นแน่

“เรียนคุณชาย ที่ด้านนอกคุณชายหลี่รออยู่ขอรับ ดูท่าจะมารับท่านออกไปเที่ยว”บ่าวตรงหน้าเช็ดเหงื่อพร้อมพูดไปด้วย จื่อฟางเคาะพัดกับฝามือ ที่แท้ก็หลี่ฮุ่ยจือ หนึ่งในสหายเกเรของเสิ่นจิ้งเฟย อีกฝ่ายคล้ายเป็นหัวโจกของกลุ่มเพราะเป็นถึงลูกชายของอัครเสนาบดี ในนิยายกล่าวเพียงว่าหลี่ฮุ่ยจือชื่นชอบเสิ่นจิ้งเฟยจึงมักไปมาหาสู่บ่อย ๆแต่ผู้เขียนไม่ได้ขยายความว่าชื่นชอบแบบไหน

“ข้ารู้แล้ว”จื่อฟางพยักหน้าเรียกจางต้าให้ตามมา แม้วันนี้ไม่คิดอยากออกไปเที่ยวกับสหาย แต่คงปฏิเสธคนอย่างหลี่ฮุ่ยจือไม่ได้ ร่างในชุดคลุมสีม่วงลายดอกสืบเท้าออกมาจากประตูชั้นหน้าจวนเสนาบดีพบว่ามีรถม้าคันใหญ่จอดรออยู่ คนขับรถม้าค้อมตัวคำนับคล้ายกับคุ้นเคยกับเขาดี เขาเพียงยิ้มให้ร่างที่เปิดบานประตูให้จึงก้าวเข้าไปด้านใน คนในรถม้าประกอบด้วยคุณชายหน้าตาดีทั้งหมดสามคน เขายังไม่ทันได้มองสำรวจว่าเป็นผู้ใดก็ถูกคุณชายหน้าตาคมเข้มคนหนึ่งดึงไปนั่งข้างตัวจนแทบจะเกยอยู่บนตัก

“จิ้งเฟย เจ้าหายหน้าไปหนึ่งเดือน อ้วนท้วนสมบูรณ์ถึงเพียงนี้เลยหรือ”คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากคุณชายอีกสองคน คนผู้นี้คือหลี่ฮุ่ยจือ ส่วนคนที่หน้าตาเฉลียวฉลาดชื่อหลินเจียงหยงบุตรชายของเสนาบดีกรมโยธา อีกคนที่ดูเบื่อหน่ายคือจ้าวเซียวชิงบุตรชายเสนาบดีกรมพระคลัง จื่อฟางยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรหลี่ฮุ่ยจื่อก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาไปฟอดใหญ่

“เจ้าทำอะไร”จื่อฟางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตื่นตะลึง เหลือบมองคุณชายอีกสองคนก็เห็นว่าทั้งคู่ทำเหมือนไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลี่ฮุ่ยจือคนนี้…ดูจากสายตาแพรวพราวที่มองมายังร่างของตนก็พอจะรู้แล้วว่าชอบเสิ่นจิ้งเฟยมากจริง ๆ

“ไม่ต้องอายน่า ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว”หลี่ฮุ่ยจือหัวเราะ ยื่นแขนมาโอบไหล่อย่างสนิทสนม

“ฮ่าๆ ดูเจ้าสิ หน้ากลมเชียว”อีกฝ่ายว่าก่อนหยิกแก้มจื่อฟางเบาๆ เขานั่งตัวแข็งทื่อไม่คิดว่าหลี่ฮุ่ยจือจะแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ ในนิยายที่ตนอ่านคนผู้นี้เพียงแค่ชอบโอบไหล่ใกล้ชิดเช่นสหายทั่ว ๆไป จื่อฟางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกคุกคามเพราะมือปลาไหลของหลี่ฮุ่ยจือที่คอยแต่จะลูบข้อมือ ลูบแขนอย่างหมั่นเขี้ยวไปตลอดทาง เขานึกอยากกระโดดออกจากรถม้าคันนี้ใจแทบขาด ไม่กล้ามองหน้าสหายสองคนที่อยู่ในรถ แต่ทั้งคู่ก็ดูเฉยเมยคล้ายกับไม่สนใจหรือไม่ก็ชินแล้ว จื่อฟางนึกภาพไม่ออกว่าเสิ่นจิ้งเฟยอยู่รอดปลอดภัยจากเสือตัวนี้มาได้อย่างไร

รถม้าแล่นไปตามตรอกคุ้นตาช้า ๆเมื่อสังเกตดูดีๆก็พบว่าเป็นตรอกซีหมาน เสียงหัวเราะพูดคุยของคุณชายในรถดังออกไปถึงด้านนอก ผู้คนบนถนนต่างก้พากันหลบหลีก ต่างรู้ดีว่าเป็นคุณชายสกุลใดบ้างที่อยู่ในรถม้า ล้วนแต่เป็นบุตรชายขุนนางใหญ่โตทั้งสิ้น

“เจ้าโกรธหรือ ไม่พูดไม่จา”หลี่ฮุ่ยจือสังเกตว่าวันนี้จิ้งเฟยเงียบกว่าทุกที “หน้าเจ้างดงามเหมือนสตรีอยู่แล้ว ก็อย่าทำน้อยใจเป็นสตรีเลยน่า”

หลี่ฮุ่ยจือยังคงพูดเย้าหยอกอยู่ใกล้ๆ ยื่นมือบีบคางของเสิ่นจิ้งเฟยเบา ๆ หนึ่งเดือนที่ไม่ได้เจอหน้ายิ่งทำให้เขาคิดถึงเสิ่นจิ้งเฟยนัก เขาชมชอบของสวยๆงามๆ บุรุษใบหน้าสวยผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เส้นความอดทนของจื่อฟางขาดเปรี๊ยะ “ลองให้ข้าบอกว่าเจ้าหน้าเหมือนลาบ้างเจ้าจะโกรธหรือไม่”เขาสวนกลับเสียงแข็ง คุณชายทั้งสามคนต่างก็มองมาด้วยสายตาแปลกใจทันที ปกติเวลาที่โดนหลี่ฮุ่ยจือเย้าหยอก คุณชายรูปงามจะร่วมหัวเราะไปด้วยเท่านั้น จางต้าที่นั่งอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของคุณชายก็ได้แต่ภาวนาให้เสิ่นจิ้งเฟยใจเย็นๆ ด้วยอำนาจของอัครเสนาบดีหลี่แล้ว…สกุลเสิ่นก็แค่ลูกไก่ในกำมือ

จื่อฟางปัดมือของหลี่ฮุ่ยจือออก แต่อีกฝ่ายออกแรงบีบคางมากกว่าเดิมจนเขาส่งเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บ นัยน์ตาของหลี่ฮุ่ยจือเป็นประกายลึกล้ำราวกับคิดเรื่องสัปดนอยู่ เมื่อเห็นผิวขาวๆของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นรอยแดงก็เบามือเปลี่ยนมาลูบไล้แทน จื่อฟางปัดมือของหลี่ฮุ่ยจือออก ลูบคางด้วยความโกรธเคือง

“จอดรถ!”จื่อฟางตะโกนบอกคนขับรถม้าด้านนอก

“จิ้งเฟย…เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ”หลี่ฮุ่ยจือขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เสิ่นจิ้งเฟยถึงทำตัวแปลกไป

“ข้าจะลง”เขายืนยันคำเดิม หลี่ฮุ่ยจือส่งเสียงดังเฮอะ ใจเย็นๆ…จื่อฟางเตือนตัวเองก่อนส่งยิ้มหวานส่งไปให้อีกคน

 “เอาไว้ก่อนไม่ได้หรือ ข้ารับปากกับท่านพ่อไว้ว่าช่วงนี้จะเป็นเด็กดี ข้าไม่อยากผิดคำพูด ไว้คราวหลังข้าจะไปกับเจ้าดีหรือไม่”จื่อฟางพูดเอาตัวรอด ไม่รู้หรอกว่าคุณชายเหล่านี้จะไปที่ใด พอคิดขึ้นมาได้ก็สายไปเสียแล้ว ทำอะไรโง่ๆอีกแล้วสิเรา นึกถึงคำพูดของไป๋ผูอวี้ที่วิจารณ์การเดินหมากล้อมของเขาตนขึ้นมา

หลี่ฮุ่ยจือหรี่ตาครุ่นคิด ไปกับเสิ่นจิ้งเฟยสองคนหรือ…น่าสนใจ “ก็ได้ หยุดรถ!”เจ้าตัวสั่ง รถม้าค่อยๆจอดกลางถนน ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองเป็นตาเดียว รวมไปถึงไป๋ผูอวี้ที่อยู่ในร้านขายเครื่องลายครามกับคุณหนูฉินเซียงอินที่อีกฝากฝั่งด้วย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 02-02-2018 16:20:59


“เจ้าเห็นรถม้าคันนั้นหรือไม่ มีแต่บุตรชายขุนนางทั้งนั้น เสิ่นจิ้งเฟยก็ด้วย ได้ข่าวว่าเขาโดนกักบริเวณหนึ่งเดือน”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าเพราะคุณชายเสิ่นมีใจให้คุณหนูฉิน แต่นางไม่เล่นด้วย จนคุณชายเสิ่นช้ำใจไปหมกตัวร่ำสุราที่หอผูเยว่ตั้งสองคืน”


เสียงหึ่งๆดังมาจากผู้คนสองข้างทาง จื่อฟางได้ยินเต็มสองรูหูก็ยิ่งทำให้ตนอับอาย หลี่ฮุ่ยจือเลิกคิ้วมองหน้าเขาอย่างขบขัน คุณชายอีกสองคนทำท่าเหมือนจะหัวเราะแต่เด็กหนุ่มถลึงตาใส่

“เป็นเรื่องจริงอย่างที่พวกเขาพูดหรือไม่เล่าจิ้งเฟย”หลี่ฮุ่ยจือเอ่ยถามเสียงดังพอให้ผู้คนด้านนอกได้ยิน จื่อฟางสบถด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจเป็นรอบที่ร้อย ทำให้เขาขายหน้าไม่พออีกเหรอไร

“จะเป็นจริงได้อย่างไร ข้าน่ะหรือชอบคุณหนูฉิน ผู้คนเล่าลือเกินจริง น่าตัดลิ้นพวกปากมากนัก จะได้ไม่ต้องพูดจาไร้สาระอีก”จื่อฟางตอบกลับด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นกัน ไม่รู้ว่าในร้านใกล้ๆมีคุณหนูฉินอยู่ด้วย ชาวบ้านในตลาดต่างพากันไม่กล้าเอ่ยปากอีก หลี่ฮุ่ยจือดูพอใจกับคำตอบของเขามาก

“เจ้ารับปากกับข้าแล้ว ห้ามผิดสัญญา”หลี่ฮุ่ยจือย้อนกลับมาคุยเรื่องเดิม

“แน่นอนอยู่แล้ว”ถึงจะตอบกลับไปเช่นนั้นแต่กลับคิดว่าไม่น่าพูดออกไปเลย หลี่ฮุ่ยจือโน้มตัวมากระซิบขู่ใกล้ๆใบหูของเขา

“หวังว่าเจ้าคงไม่ลืมว่าบ้านข้าสามารถทำอะไรสกุลเสิ่นของเจ้าได้บ้าง”

“ข้ารู้น่า ไม่ผิดคำพูดหรอก”จื่อฟางใช้น้ำเสียงประจบตอบ หลินเจียงหยงมองออกว่าเขาแค่แสร้งพูดไปอย่างนั้นจึงหัวเราะในลำคอ หลี่ฮุ่ยจือมองติ่งหูของอีกฝ่ายแล้วอยากขบเม้มขึ้นมา แต่เอาไว้ก่อน เขารอได้ จื่อฟางขนลุกเกรียวเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนอยากกลืนกินเขาไปทั้งตัวของอีกฝ่าย

‘เสิ่นจิ้งเฟยนายต้องรับมือกับคนหื่นกามแบบนี้น่ะเหรอ!’

“ข้าขอตัว เที่ยวให้สนุกล่ะ”เขาส่งยิ้มให้คุณชายในรถ รีบผลักประตูเปิดแล้วก้าวลงไปทันที จางต้ารีบกระโดดตามมาจากฝั่งด้านหน้า จิตใจของบ่าวคนสนิทเต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน

‘คุณชาย!ท่านหาเรื่องอีกแล้ว ไหนจะเมื่อครู่ท่านไม่รู้สินะว่าคุณหนูฉินก็อยู่ด้วย นางจะมองท่านเป็นคนเช่นไร’

ผู้คนบนถนนต่างไม่มีใครกล้ามองหรือวิจารณ์จื่อฟางอีก เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก วันนี้ยังเอาตัวรอดมาได้ แล้ววันข้างหน้าเล่า?เขาจะทำอย่างไรดี

จางต้ามองไปด้านหน้าก่อนจะขยับมากระซิบใกล้ๆ

“คุณชาย ร้านเครื่องครามตรงหน้า…”

“ทำไมหรือ…”จื่อฟางเอ่ยถามพลางมองตรงไปที่ร้านค้าฝั่งตรงข้าม ก็พบว่าฉินเซียงอินอยู่ในร้านเครื่องครามกับไป๋ผูอวี้ เขาอยากเอาพัดในมือตบหน้าผากตัวเองนัก เมื่อครู่ที่เขาพูดนางคงได้ยินสินะ อา เสิ่นจิ้งเฟย ในสายตานาง เจ้าคงเป็นบุรุษที่ไร้ค่าเทียบไป๋ผูอวี้ไม่ติด จื่อฟางเม้มปาก ในที่สุดพระเอกนางเอกก็มีบทด้วยกันเสียที ราวกับล่วงรู้ว่าถูกจ้องมองไป๋ผูอวี้เงยหน้าประสานสายตากับเขายกยิ้มให้เล็กน้อยก่อนก้มไปพูดอะไรบางอย่างกับคุณหนูฉิน แม่นางน้อยจึงหันมาทางตนบ้าง สายตาเย็นชาของหญิงงามมองผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จื่อฟางพลันใจกระตุกแต่ครั้งนี้พ่วงมาด้วยอาการเจ็บแปลบในอก เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าคงเจ็บปวดที่พระเอกนางเอกอยู่ด้วยกันสินะ จางต้าที่ยืนอยู่ข้างกายลอบมองคุณชายของตน ใบหน้าหมดจดมีสีหน้าหลากหลายบ่าวคนสนิทได้แต่เห็นใจ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุณชายรับปากกับคุณชายหลี่แล้วก็ปวดหัวขึ้นมาอีกระลอก

“คุณชาย เหตุใดท่านถึงไปรับปากคุณชายหลี่เช่นนั้นเล่า ท่านอุตส่าห์เลี่ยงไม่ไปไหนมาไหนกับเขาสองคนมาตั้งนาน…”จางต้ากลัวคุณชายของตนจะไม่รอดเงื้อมมือของหลี่ฮุ่ยจือน่ะสิ

“ข้าจัดการได้น่า ยังมีหยางชวี…วันนั้นค่อยให้เขาแอบติดตามข้าไป”แม้จะพูดไปแบบนั้นจื่อฟางก็ไม่แน่ใจว่าหยางชวีจะทำอะไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นบุตรชายของคนมีอำนาจ เสียดายที่วันนี้เขาให้เจ้านั่นไปเฝ้าที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ จื่อฟางเบนสายตาไปที่ร้านเครื่องลายครามอีกครั้ง ไป๋ผูอวี้ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ข้างๆฉินเซียงอิน ถึงจะดูประดักประเดิกแต่มองอย่างไรก็ดูเหมาะสมกัน จื่อฟางพลันรู้สึกแปลกๆเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก บางทีเสิ่นจิ้งเฟยอาจจะเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนกระมัง พระรองเช่นเสิ่นจิ้งเฟยเป็นได้แค่ตัวตลกขี้แพ้อย่างนั้นหรือ?แค่โดนไป๋ผูอวี้และเว่ยหลงดูถูกก็มากพอแล้ว ยังมีหลี่ฮุ่ยจือผู้น่ากลัวกว่าในนิยายหลายสิบเท่าโผล่มาอีก…เหตุใดชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยถึงได้ยากเพียงนี้

“คุณชาย…จะกลับจวนเลยหรือไม่”จางต้าเอ่ยถามเบาๆ เมื่อเห็นคุณชายอยู่ในอารมณ์หม่นเศร้า เป็นเพราะคุณหนูฉินอย่างนั้นหรือ?

“ยัง ไหนๆก็มาแล้ว เดินเล่นสักพักค่อยกลับ”จื่อฟางกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง

ที่ร้านเครื่องครามไป๋ผูอวี้ไม่ค่อยได้ฟังบทสนทนาที่ฉินเซียงอินพูดอยู่เท่าไหร่ เขามองไปที่เสิ่นจิ้งเฟยบ่อยครั้ง จะว่าไปก็แปลกที่ตนรู้สึกว่าคุยกับคุณชายเสิ่นยังสนุกกว่าคุณหนูท่านนี้ เมื่อครู่มองเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเสิ่นจิ้งเฟย ไป๋ผูอวี้ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงชอบคุณหนูฉินอยู่ แต่เขาเคยได้ยินผู้คนในโรงน้ำชาหลิวซื่อเล่าลือกันว่าเสิ่นจิ้งเฟยชื่นชอบบุรุษ ต้นเหตุข่าวลือมาจากหลี่ฮุ่ยจือผู้ชื่นชอบความงามของคุณชายเสิ่น 

“คุณชายไป๋…”ฉินเซียงอินเห็นชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ฟังที่นางพูดเลยแม้แต่น้อยก็เริ่มทำหน้างอ

“คุณหนูฉิน ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องต้องคุยกับคุณชายเสิ่น คงอยู่สนทนากับท่านไม่ได้แล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพจนฉินเซียงอินไม่กล้ายื้อให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ แต่เสิ่นจิ้งเฟย…นางมองไปที่คุณชายผู้มีใบหน้าหมดจดอีกครั้ง นางเคยคิดว่าคนผู้นั้นยังมีดีอยู่บ้าง ถึงจะเกเรแต่ไม่เคยใช้อำนาจข่มผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่ชมชอบบุรุษที่หยิบจับสิ่งใดไม่เป็นอีกทั้งยังมีใบหน้าที่คล้ายสตรีเช่นนั้น…

“น่าเสียดายนัก ขอบคุณคุณชายไป๋มากที่ช่วยข้าเลือกถ้วยชา หากมีโอกาสข้าจะลองชงชาให้ท่านชิมดู”คุณหนูฉินจำใจต้องกล่าวลา ไป๋ผูอวี้เพียงยกยิ้มบาง ชงชา?หญิงแก่นอย่างนางไม่มีความอดทนพอหรอก เขาคิดอยู่ในใจก่อนค้อมกายน้อย ๆอย่างมีมารยาท จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกมาจากร้านเครื่องครมพบว่าเสิ่นจิ้งเฟยกำลังเดินไปยังเส้นทางอื่น

“คุณชายเสิ่น”เขาเอ่ยเรียก ทำให้ร่างบางตรงหน้าจำใจหันมาเผชิญหน้ากับตน ที่บอกว่าจำใจก็เพราะบุรุษหนุ่มทันมองเห็นสีหน้าไม่อยากเสวนาของเสิ่นจิ้งเฟยเข้า เจ้าเด็กผู้นี้ไม่แม้จะปิดบังด้วยซ้ำ ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มหรือยังมีอารมณ์หงุดหงิดที่เป็นฝ่ายแพ้หมากครั้งก่อน พูดถึงเรื่องหมากล้อมก็ยังติดใจไม่หาย

“อ้าว ที่แท้เป็นท่านเองหรือ ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางหัวเราะน้อย ๆ ลอบกลอกตาอยู่ในใจ ก็เห็นอยู่แท้ๆ

“บังเอิญจริง ๆ”ไป๋ผูอวี้แสร้งพูดเหมือนเพิ่งเห็นเช่นกัน บุรุษหนุ่มมองไปยังทิศที่รถม้าเคลื่อนจากไปนานแล้วก่อนหันมองหน้าเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อพูดถึงความงาม หลี่ฮุ่ยจือบอกว่าชอบของงดงาม เขาก็ยอมรับว่าคุณชายเสิ่นเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหมดจดคนหนึ่ง

“ดูเหมือนคุณชายเสิ่นจะเจอเรื่องลำบากเข้าแล้ว”จื่อฟางยิ้มไม่ออกรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องใด แต่สิ่งที่กวนใจตนอยู่คือไป๋ผูอวี้ เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้เข้ามาคุยกับเขา ตอนที่อยู่ในร้านเครื่องลายครามเขารับรู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายตกมาที่ร่างอยู่บ่อยครั้ง หรือจูบที่ไม่ได้ตั้งใจแผลงฤทธิ์ เป็นไปไม่ได้ คนอย่างไป๋ผูอวี้ไม่น่าชอบใครง่ายๆ

“ท่านมีเรื่องใดหรือ”จื่อฟางเอ่ยถาม เหลือบมองไปยังร้านขายเครื่องลายคราม คุณหนูฉินยืนคุยอยู่กับสาวใช้คนสนิทด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม นางเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย จื่อฟางยังชอบมองบ่อย ๆ แต่เหมือนว่านางจับได้ว่าเขามองอยู่ ร่างนั้นจึงหันตวัดมองด้วยแววตาที่เหมือนเข็มแทง โอ้…นางคงเกลียดเสิ่นจิ้งเฟยไปแล้วแน่ ๆ

“ท่านมากับข้าสักครู่ได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงนิ่ง

“ท่านใช้ชื่อข้าเป็นข้ออ้างหนีคุณหนูฉินหรือ”จื่อฟางกล่าวหยอก มองไม่ออกว่าไป๋ผูอวี้ชมชอบนางบ้างหรือยัง เหตุใดบทพระ-นางถึงไม่คืบหน้าเลย

“ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านจริง ๆ”ไป๋ผูอวี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม จื่อฟางรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาคล้ายถูกใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายดึงดูด เด็กหนุ่มหันมองจางต้าที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ บ่าวคนสนิทได้แต่คิดว่าคุณชายไปญาติดีกับไป๋ผูอวี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“จางต้า เจ้าเดินเล่นอยู่แถวนี้ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวข้ามา”จื่อฟางบอกกับบ่าวคนสนิท

“ขอรับ”

จื่อฟางเดินตามไป๋ผูอวี้ไปเงียบๆ ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างได้ จริงสิ!คนผู้นี้ออกมาคนเดียวเช่นนั้นเว่ยหลงก็อยู่ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อคนเดียวน่ะสิ อา…น่าเสียดายชะมัด ไป๋ผูอวี้พาเขาเดินมาเรื่อย ๆจนถึงสะพานก่ออิฐข้ามไปยังร้านค้าอีกฝั่ง เขาเลิกคิ้วสงสัยว่าพ่อพระเอกจะพาไปที่ใด ตรอกนี้ผู้คนเริ่มบางตาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากบ่นเพราะอากาศปลอดโปร่ง เย็นสบาย สายลมพัดต้องหน้าบางเบา คล้ายจะปัดเป่าความกังวลใจของเขาออกไปด้วย

ไป๋ผูอวี้หยุดอยู่ที่ร้านขายเครื่องดนตรี จื่อฟางขมวดคิ้ว ท่อนไม้ไป๋พาเขามาที่นี่ทำไม!

“คุณชายไป๋ ยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้ง”เถ้าแก่ของร้านรีบออกมาต้อนรับด้วยท่าทางยินดีเมื่อเห็นว่าเป็นไป๋ผูอวี้ แต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นจื่อฟางก่อนจะมองผ่านเหมือนไม่เห็นเขาเสียอย่างนั้น เขาเลิกคิ้ว สงสัยว่าเถ้าแก่ผู้นี้เป็นอะไร ได้แต่คลี่พัดมาโบกเหมือนไม่ใส่ใจทั้ง ๆที่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

“เถ้าแก่เถียนเกรงใจข้าไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้พูดคุยทักทายเจ้าของร้านอยู่สักพัก

จื่อฟางได้โอกาสจึงขยับเข้าไปหา “ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม”เขากระซิบถาม ไป๋ผูอวี้ไม่ตอบเพียงเดินนำไปยังชั้นวางที่มีขลุ่ยหลายชนิด บุรุษหนุ่มหยุดที่ขลุ่ยเลาหนึ่ง จื่อฟางมีความรู้เรื่องดนตรีน้อยนิดจึงมองผ่านอย่างไม่สนใจนัก ยังไม่เข้าใจว่าไป๋ผูอวี้พาตนมาที่นี่ด้วยเหตุใด เถ้าแก่เถียนรีบกระตือรือร้นเข้าไปอธิบายกับไป๋ผูอวี้จนเบียดร่างของจื่อฟาง

“ท่านอยากได้เชียงตี๋เลานี้หรือ”ขลุ่ยที่ว่ามีรูปร่างเพรียวยาวคล้ายๆขลุ่ยในสมัยปัจจุบัน แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือที่ประณีต จื่อฟางคิดว่ายังมีขลุ่ยเลาอื่นที่สวยกว่าเลานี้มาก แต่ดูเหมือนไป๋ผูอวี้จะชอบ

“สหายของข้าอยากได้”ไป๋ผูอวี้ตอบ จื่อฟางขมวดคิ้ว สหายคนไหนกันหรือ แล้วเจ้าคนนี้จะพาเขามาทำไม เด็กหนุ่มยืนฟังการค้าคิดว่าเถ้าแก่เถียนคิดราคาแพงนัก

“ไม่แพงไปหน่อยหรือ”เขาเอ่ยแทรกการสนทนา

“นี่เป็นงานฝีมือหายากที่ชนเผาเซียงลงมือแกะอย่างยากลำบาก”เถ้าแก่เถียนเอ่ยเสียงเข้มก่อนกลับไปเจรจากับไป๋ผูอวี้ต่อแต่ก็ยอมลดราคาให้หลายตำลึง จื่อฟางได้แต่กอดอกมอง ก่อนหมุนกายออกไปนอกร้าน รอไม่นานไป๋ผูอวี้ก็ก้าวออกมาด้วยท่าทางสุขุม ร่างนั้นเดินนำกลับไปยังทางเดิม 

“ท่านต้องการอะไรกันแน่”จื่อฟางรีบสืบเท้าตาม เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ร่างตรงหน้าหยุดลงที่สะพานอิฐทางเดิม

“ของท่าน”ไป๋ผูอวี้ยืนขลุ่ยเลานั้นให้จื่อฟาง เขาตาโตอย่างคาดไม่ถึง อะไรนะ ไป๋ผูอวี้ซื้อขลุ่ยให้เขาทำไม คนผู้นี้คิดทำสิ่งใดแปลกเหลือเกิน

“ข้าไม่ชอบขลุ่ย”เขารีบกล่าวดักทาง กลัวว่าไป๋ผูอวี้จะขอให้ตนเป่าให้ฟัง

“ปีนั้นท่านอยากได้ขลุ่ยเลานี้ แต่เถ้าแก่เถียนไม่ยอมขายให้ท่าน…”ไป๋ผูอวี้พูดขึ้นช้า ๆ จื่อฟางได้แต่เม้มปากไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย พยายามเค้นหาความทรงจำแต่ก็นึกไม่ออก เรื่องความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเขา จื่อฟางไม่รู้จะพูดตอบอย่างไรจึงได้แต่จ้องมองร่างบุรุษตรงหน้าอยู่เช่นนั้น

“ท่านจำไม่ได้แล้ว?”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มบาง

“ใช่ ข้าลืมไปแล้ว”จื่อฟางตอบอย่างรำคาญใจ เหตุใดท่อนไม้ไป๋ต้องมาจับผิดเขาด้วย ไป๋ผูอวี้จับจ้องเขาอยู่สักพัก จื่อฟางจึงเสมองสายน้ำเล็กๆที่ไหลผ่านสะพานแทน

“เหตุใดท่านถึงดูเปลี่ยนไปนัก เสิ่นจิ้งเฟย”

เขาไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะถามตรงๆเช่นนี้แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

“หากเป็นยามปกติท่านคงโวยวายที่ข้าพาท่านเดินมาไกลเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้เอามือไพล่หลังใช้สายตามองสำรวจเขาเหมือนต้องการเสาะหาคำตอบ

“ข้าตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง”จื่อฟางตอบเสียงจริงจัง เขามองเห็นแววขบขันในดวงตาของคนที่อยู่ตรงหน้า

“ตอนที่ข้าเดินหมากกับท่าน วิธีเดินหมากของท่านไม่เหมือนเดิม…คุณชายเสิ่นตั้งใจเปลี่ยนด้วยหรือ”ไป๋ผูอวี้จับจ้องเขาตาไม่กระพริบ แต่จื่อฟางกลับมีสีหน้าราบเรียบคิดคำพูดไว้แล้ว

“บอกท่านตามตรง ท่านคงไม่รู้ตอนที่ข้าถูกทำโทษอยู่ในจวน ข้าเกิดอุบัติเหตุทำให้ความจำไม่ค่อยดีนัก พักนี้จึงทำตัวแปลกไปบ้าง ท่านอย่าได้ถือสา”จื่อฟางพูดจาลื่นไหลสีหน้าจริงจังจนเหมือนพูดเรื่องจริง ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ แต่พักนี้เสิ่นจิ้งเฟยก็ทำตัวผิดแปลกไปจริงๆ

“….”

“….”

เกิดความเงียบระหว่างที่เขายืนมองหน้าไป๋ผูอวี้ ห้าม-หัว-เราะ-เด็ด-ขาด!จื่อฟางบอกตัวเองซ้ำๆ

“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นหรือ ข้าเข้าใจแล้ว”เสียงหัวเราะดังก้องกังวาน จื่อฟางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหัวเราะได้น่าดูถึงนี้จึงกระพริบตาเสมองทางอื่น

‘ทำไมท่านต้องทำหน้านิ่งเป็นท่อนไม้บ่อยๆด้วย’

“ขออภัยคุณชาย”บุรุษตรงหน้าเอ่ยช้า ๆ เขารู้สึกว่าประโยคต่อไปของไป๋ผูอวี้ต้องจู่โจมตนแน่จึงตั้งท่ารออะไรก็ตามที่คนตรงหน้าคิดจะพูด

“ปกติท่านจะชอบวางตัวอยู่เหนือข้าเสมอ มาวันนี้เห็นท่านว่านอนสอนง่าย พูดจาดี ๆกับผู้อื่นจึงคิดว่าดีแล้วที่ท่านเป็นเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบาๆอีกครั้ง เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลาย จื่อฟางเพียงเม้มปากบอกไม่ถูกว่าควรวางตัวอย่างไรกับคำพูดของอีกคน

บุรุษตรงหน้ายื่นขลุ่ยให้เขาอีกครั้ง “ท่านรับไปเถอะ”

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากได้ขลุ่ยเลานี้”จื่อฟางเอ่ยถาม เสิ่นจิ้งเฟยมีรสนิยมเรื่องดนตรีที่ต่างจากการใช้ชีวิตทีเดียว ขลุ่ยเลานี้ธรรมดากว่าที่คิด

“บังเอิญว่าปีก่อนข้าไปซื้อกู่เจิงที่ร้านเถ้าแก่เถียนเช่นกัน จึงได้พบท่านโวยวายทะเลาะอยู่กับเถ้าแก่”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ สายตากวาดมองใบหน้าหมดจดของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางทำได้เพียงเก็บงำสีหน้า ใจเต้นรัวด้วยความรู้สึกบางอย่างเมื่อความทรงจำวูบไหวเข้ามาในห้วงความคิด เป็นภาพของเสิ่นจิ้งเฟยที่ใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าตอนนี้และไป๋ผูอวี้ที่ยังคงสวมใส่ชุดเรียบง่ายเช่นเคย เสิ่นจิ้งเฟยต้องการซื้อขลุ่ยเซียงตี๋แต่เถ้าแก่เถียนไม่ยอมขายให้ การที่เถ้าแก่ไม่สนใจบุตรชายขุนนาง แต่ไปสนใจไป๋ผูอวี้ที่เป็นเพียงบุตรชายสกุลไป๋พ่อค้าโรงน้ำชา ก็ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยเสียหน้าเป็นอย่างมาก

“อ้อ ข้านึกออกแล้ววันนั้นนั่นเอง เว่ยหลง…”จื่อฟางพยายามไม่แสดงท่าทีแปลกประหลาดออกไป เรื่องปีนั้นเว่ยหลงเรียกเสิ่นจิ้งเฟยว่าเต่าในกระดอง เด็กหนุ่มมองขลุ่ยที่ยื่นมาตรงหน้าจึงยื่นมือออกไปรับ ในใจพลันคิดว่านี่เหมือนฉากพระเอกให้ของแทนใจนางเอกชัดๆ แต่ติดที่ว่าเขาอยู่ในร่างของพระรอง และนี่ก็ไม่ใช่ของแทนใจ แต่เป็นของที่เสิ่นจิ้งเฟยอยากได้ แต่ไม่มีโอกาสได้มา ไม่มีโอกาสได้มา…จื่อฟางชะงักเก็บมือที่ยื่นออกไปกลับมา

“ข้าไม่ต้องการ ท่านเป็นคนซื้อ ท่านเก็บเอาไว้เถอะ”เขาไม่อยากได้ของที่มาจากไป๋ผูอวี้ เท่ากับว่าเขายอมแพ้น่ะสิ  ทำไมเขาต้องรับของจากศัตรูด้วย ไป๋ผูอวี้ยังคงยืนเป็นท่อนไม้เช่นเดิม ใบหน้าท่ามกลางแสงแดดของชายตรงหน้าหล่อเหลาเสียจนเขาเผลอมองอยู่นาน

“คุณชายเสิ่นอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ ถือขลุ่ยด้วยสองมือก่อนพลิกเล่น อย่างที่ตนเคยบอก เขาไม่เคยมองเสิ่นจิ้งเฟยเป็นศัตรู มีเพียงเจ้าตัวคิดไปเองทั้งสิ้น คราแรกคิดว่ายังพอเป็นสหายกันได้ นอกจากนิสัยไม่เอาไหน เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ได้เลวร้ายหากเทียบกับสหายที่เหลือ

“ขออภัยที่ทำให้ท่านเสียเวลา วันนี้คงพาท่านมาเสียเปล่าแล้ว”ไป๋ผูอวี้ค้อมกายให้อย่างสุภาพเฉกเช่นทุกที จื่อฟางได้แต่มองเงาร่างของไป๋ผูอวี้อย่างไม่เข้าใจ คนยุคสมัยนี้เหตุใดต้องทำอะไรอ้อมค้อมวุ่นวายด้วย พูดออกมาตรง ๆเลยไม่ได้หรือ สรุปแล้วไป๋ผูอวี้พาเขามาที่นี่เพราะอยากซื้อขลุ่ยที่เสิ่นจิ้งเฟยเคยอยากได้งั้นหรือ?แปลกจริง ๆ
 





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: zaneforest ที่ 02-02-2018 18:46:46
มีความรอตอนหน้าไม่ไหวเเล้ว 555
คือดีงั่มมม
เฮียไป๋คนคูลกับคุณพระรองจอมเเย่งซีน(นางเอก)
คนเขียนเขียนดี สำนวนลื่นไหล คำไม่ผิด ใช้คำหลากหลาย บรรยายไม่งง ติดตามเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 02-02-2018 21:05:08
ปักหมุดจร้าาาาาาา :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 02-02-2018 21:35:52
มารอ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-02-2018 21:50:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 02-02-2018 23:11:48
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วววว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-02-2018 00:06:35
ของแทนใจจากพระเแกก้อไม่รับจ้า  เดวจะคิดว่าเราง่าย 5555 

สนุกมากค่ะตามสองเว็บเลยนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 03-02-2018 00:56:12
นายเอกเราจะรอดจาก ลี่ฮุย ยังไงนะ แล้วพระเอกเป็นแค่คนไม่มียศจริงดิ
สนุกมากคะ  มาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-02-2018 02:24:56
รอตอนต่อไป รอดูความร้ายของนางเอกว่าจะร้ายแค่ไหน  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 03-02-2018 08:00:59
 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-02-2018 14:37:28
รอออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 03-02-2018 14:53:50
จะจบแบบไหนอ่ะ ถ้าหลุดออกจากนิยายจะเป็นไง คิดไปไกลอีกเรา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: allegiant1994 ที่ 03-02-2018 17:10:23
เรื่องนี้ดีงามมากๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 03-02-2018 19:37:31
ตลกก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสอง:เสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 03-02-2018 20:55:38
บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง


เมื่อแปดปีก่อนโรงน้ำชาหลิวซื่อเป็นเพียงร้านน้ำชาเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียงอย่างเช่นทุกวันนี้ สกุลไป๋เป็นสกุลคหบดีในเมืองหลานโจวแต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพของไป๋อู่เหยียน เขาจึงพาบุตรชายไป๋ผูอวี้ที่อายุได้สิบสี่ปีและข้ารับใช้ย้ายมาลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงฉางอัน ตอนแรกไป๋อู่เหยียนคิดว่าสกุลของตนมั่งคั่งแล้วแต่เมื่อมาที่ฉางอันก็ต้องเปลี่ยนความคิด


สกุลไป๋เทียบสกุลเก่าแก่ที่มีต้นตระกูลเป็นขุนนางไม่ติด เขาไม่มีอำนาจแต่ก็ไม่คิดแสวงหา อยากใช้ชีวิตเงียบๆเปิดโรงน้ำชาตามที่หลิวซื่อภรรยาที่ด่วนจากไปต้องการ เถ้าแก่ไป๋จึงไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากทำให้โรงน้ำชาหลิวซื่อเจริญรุ่งเรืองเป็นที่เลื่องลือ โชคดีที่บุตรชายของตนรู้ความ ถึงจะอายุได้เพียงสิบสี่ปีแต่ก็รู้จักรับผิดชอบ สุขุมเกินอายุ ไป๋ผูอวี้มักไปช่วยบิดาดูแลโรงน้ำชาบ่อย ๆ แต่หากมีเวลาว่างก็จะเดินเล่นในตลาดกับเว่ยหลง เดือนนี้เข้าสารทฤดู 
อากาศจึงเย็นสบายยิ่งนักไป๋ผูอวี้แวะซื้อเนื้อแกะย่างที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ข้างทาง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงผู้คนพึมพำถึงคนผู้หนึ่งที่เขามักได้ยินบ่อยๆ สกุลเสิ่น


“เฮอะ เสิ่นจิ้งเฟยโตไปคงกลายเป็นคุณชายไม่ได้เรื่องเป็นแน่ น่าสงสารเสนาบดีเสิ่นมีบุตรชายทั้งทีก็เป็นเช่นนี้”หญิงอ้วนเจ้าของร้านผ้าไหมพูดเสียงดัง เว่ยหลงทำหน้ารำคาญ ตั้งแต่มาอยู่ที่ฉางอันเขาได้ยินชื่อของคนสกุลเสิ่นมาจนหูแฉะแล้ว


“เสิ่นจิ้งเฟยมีใบหน้าเหมือนมารดามาก เสนาบดีเสิ่นจึงไม่กล้าลงมือกับเขา เจ้าก็เห็นเขาหน้าตางดงามออกปานนั้น”


ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว งดงามเหรอ?ใช้คำนี้กล่าวถึงคุณชายเสิ่น หากเจ้าตัวมาได้ยินจะทำหน้ายังไงหนอ เว่ยหลงเองก็มีสีหน้าข้องใจเช่นกัน


“งดงาม? สกุลเสิ่นมีบุตรชายไม่ใช่หรือ ท่านใช้คำว่างดงามได้อย่างไร”เว่ยหลงอดไม่ไหวต้องร่วงวงด้วย ไป๋ผูอวี้ปรายตามองอย่างไม่ชอบใจนัก แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้าน


“เจ้าคงย้ายมาใหม่สินะ หากเจ้าเห็นคุณชายเสิ่น เดี๋ยวก็ได้รู้เอง”คนขายเนื้อแกะย่างตอบ ไป๋ผูอวี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับวงสนทนาถึงผู้อื่นจึงจ่ายเงินแล้วรีบเดินออกมา หากเว่ยหลงอยากคุยก็ให้คุยไป


“คุณชาย รอข้าด้วย!”เว่ยหลงจำต้องรีบร้อนตามคุณชายของตน ไม่ใช่ว่าเขาอยากรู้เรื่องชาวบ้าน แต่ในเมื่อมาอยู่ที่ฉางอันแล้ว เขาจำเป็นต้องเก็บข้อมูลให้มากที่สุดว่าใครเป็นใครบ้างแค่พักนี้ได้ยินชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ไป๋ผูอวี้เดินกลับมาที่โรงน้ำชา วันนี้บิดาไม่ได้เฝ้าร้านให้เสี่ยวฮั่วพ่อบ้านคนสนิทดูแลแทน เขาจึงแวะมาดูเสียหน่อย มาถึงหน้าร้านก็ได้ยินเสียงกราดเกรี้ยวดังมาจากด้านใน


“เจ้าพาข้ามาที่เพิงขยะนี่น่ะเหรอ”


“ข้าได้ยินคนบอกว่าร้านนี้ชาดี ก็เลยพาท่านมา อย่าโกรธข้าน้อยเลยขอรับ”อีกเสียงตอบอย่างหวาดหวั่น ไป๋ผูอวี้พลันขมวดคิ้ว โรงน้ำชาหลิวซื่อเป็นร้านเล็กๆก็จริง แต่ไม่ใช่เพิงขยะแน่นอน เว่ยหลงที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินแล้วมีสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน


“ข้าจะไปดูเอง”ไป๋ผูอวี้กล่าว เพราะรู้ดีว่าเว่ยหลงเป็นคนเช่นไร เมื่อก้าวเข้าไปในร้าน เขาก็พบว่าเด็กร้านน้ำชาพากันกลัวหัวหด ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว เป็นไรไป เจอผีกันหรือ เขาคิดพลางมองไปที่โต๊ะด้านในก็พบกับคุณชายที่อายุราว ๆสิบปีนั่งวางท่าอยู่ ไป๋ผูอวี้นิ่งอึ้งเพราะใบหน้างดงามหมดจดของคุณชายตรงหน้า งดงามหรือ… รึนี่คือคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย บุตรชายของเสนาบดีเสิ่นที่คนในตลาดเล่าลือกัน


แต่เรื่องเล่าลือที่ทำให้ไป๋ผูอวี้จำชื่อคุณชายผู้นี้ได้ไม่ใช่หน้าตางดงามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่เขาดีดกู่เจิงได้อย่างไพเราะอายุเท่านี้ก็บรรเลงเป็นบทเพลงได้แล้ว ไป๋ผูอวี้อยากรู้นักว่าคำเล่าลือเป็นจริงหรือไม่ เมื่อคุณชายเสิ่นผู้มีใบหน้างดงามมองเห็นตนก็ปรายตามองอย่างประเมิน แววตาสีดำกระจ่างแฝงไปด้วยความถือดี


“เจ้า!มานี่ซิ”ไป๋ผูอวี้ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ เขาเพียงยกยิ้มก่อนเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางปลอดโปร่ง


“คุณชายน้อยท่านนี้ต้องการสิ่งใดหรือ”คุณชายตรงหน้าขมวดคิ้วไม่พอใจกับเรื่องอะไรสักอย่าง ไป๋ผูอวี้พิจารณามองอย่างละเอียดสกุลเสิ่นก็มีเงินไม่ใช่หรือเหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงได้ตัวเล็กเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาดูคล้ายสตรี หากเขามีน้องชายล่ะก็จะต้องจับขุนให้อ้วนไม่ปล่อยให้มีรูปร่างเช่นนี้แน่


“เจ้าบ่าวโง่นี่บอกว่าร้านนี้ชาดี จะอย่างไรข้าก็มาแล้ว ก็เอาชาที่ดีที่สุดมาให้ข้า หากไม่ดีจริง โรงน้ำชาของเจ้าได้กลายเป็นขยะจริงๆแน่”คุณชายตรงหน้าขู่ ไป๋ผูอวี้ยังคงมีรอยยิ้มบนหน้าแต่ในใจกลับครุ่นคิด พวกบุตรขุนนางมักเป็นเช่นนี้หมดเลยหรือ


“คะ คุณชายเสิ่น”บ่าวรับใช้ด้านข้างพูดจาตะกุกตะกัก เหลือบมองเขาอย่างจนใจ ไป๋ผูอวี้ได้แต่แค่นเสียงหึ อยากหัวเราะออกมาดังๆ อายุเท่านี้ก็วางอำนาจแล้ว โตไปจะไม่ยิ่งกว่านี้หรือ สมคำเล่าลือจริง ๆ


“คุณชายไม่ต้องห่วง ชาร้านข้าล้วนเป็นชาดี วันนี้ข้าจะลงแรงชงชาให้ท่านสักครั้งก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงนุ่ม หันไปพยักหน้าสั่งให้เด็กในร้านไปจัดการ ตอนอยู่หลานโจวเขาเจอคนมาทุกประเภท จึงรับมือกับคุณชายเอาแต่ใจผู้นี้ได้อย่างไม่ติดขัด


เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกไม่ชอบคนผู้นี้ ดูๆไปคงโตกว่าเขาแค่สองสามปี แต่วางท่าเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง จึงรู้สึกขัดหูขัดตานัก รอไม่นานคนงานในร้านก็ยกชุดน้ำชากับใบชามาที่โต๊ะ ไป๋ผูอวี้ยกชายเสื้อด้วยท่าทางชำนาญ คีบใบชาอูหลงชั้นดีใส่ป้านชา เทน้ำร้อนใส่จนเต็มก่อนเทน้ำชาใส่กา จากนั้นใช้น้ำชารอบแรกล้างถ้วยชา ไป๋ผูอวี้แอบยิ้มเมื่อเห็นคุณชายตรงหน้ามองอย่างสนใจ เขาเทน้ำร้อนใส่ป้านชาจนเต็มอีกครั้ง มือของไป๋ผูอวี้เคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล เสิ่นจิ้งเฟยมองครู่เดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายได้รับการฝึกฝนมานาน รอจนได้ที่ไป๋ผูอวี้ก็ยกป้านชาเทน้ำชาสีเขียวใสใส่กา แล้วจึงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้เขา


“เชิญ คุณชาย”ไป๋ผูอวี้ประคองถ้วยชาให้คุณชายตรงหน้า เสิ่นจิ้งเฟยรับถ้วยชามาถือ กลิ่นชาอ่อนจางลอยแตะจมูก เขาละเลียดดื่มชาเงียบๆ


“เป็นอย่างไร”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ตอบ ย่อมต้องเป็นชาดีแน่อยู่แล้ว แต่เขาไม่พูดออกไปหรอก ไป๋ผูอวี้คาดเดาความคิดของคุณชายเสิ่นได้เพราะสีหน้าที่แสดงออกมา 


“หากท่านชอบ ก็แวะมาที่ร้านเราบ่อยๆได้”เขาเพียงเอ่ยไปตามมารยาทเท่านั้น เสิ่นจิ้งเฟยเพียงแค่นเสียงในจมูก


เพล้ง!


เสิ่นจิ้งเฟยปล่อยถ้วยชาตกจนแตกละเอียด มองหน้าเขาด้วยท่าทางอวดดี ไป๋ผูอวี้ไม่ได้แสดงสีหน้าใด ต่างจากเว่ยหลงที่หน้าดำคล้ำไปแล้ว ผู้ติดตามคิดอย่างขุ่นเคือง เจ้าเด็กนี่…มาถึงก็วางอำนาจ ทำลายข้าวของผู้อื่น นิสัยเสียจริง เขาคันไม้คันมืออยากสั่งสอนขึ้นมา แต่กระแสเยือกเย็นจากไป๋ผูอวี้ก็บอกตนกลายๆว่าให้อยู่เฉยๆ 


“ชาของเจ้าดีก็จริง แต่ยังห่างชั้นชาของบ้านข้านัก”เสิ่นจิ้งเฟยยิ้ม กวาดตามองคนงานในร้านด้วยสายตาดูแคลน


“คุณชาย…”บ่าวข้างตัวเรียกเสียงอ่อย


“ชาบ้านคุณชายย่อมต้องเป็นของดีอยู่แล้ว”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงเรียบ เสิ่นมู่หยางเป็นขุนนางของกินของใช้คงไม่ธรรมดา ความจริงไป๋ผูอวี้โกรธมากจนใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด แต่เขาจะทำอะไรได้เล่า สกุลไป๋ต่อกรกับบุตรเสนาบดีไม่ได้อยู่แล้ว ที่เขาลงมือชงชาด้วยตัวเองก็เพื่อผูกมิตรกับอีกฝ่าย สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรู แต่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นอย่างหลัง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายเสิ่นถึงไม่ชอบใจขึ้นมา แต่หาเหตุผลจากคนพาลไปก็เปล่าประโยชน์


เสิ่นจิ้งเฟยมองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาหงุดหงิด คนผู้นี้ไม่รู้สึกอะไรต่อคำดูถูกของเขาเลยหรือ ช่างเป็นคนที่น่าเบื่อจริง ๆ เขาส่งสายตาให้บ่าวรับใช้จัดการเรื่องที่เหลือ ก่อนเดินสะบัดชายเสื้อออกมาจากร้านน้ำชาหลิวซื่ออย่างเบิกบานใจ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนงานในร้านจดจำชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยได้ดีนัก ต่างจากคนก่อเหตุที่ลืมเรื่องราวในวันนี้ไปเหมือนไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่แห่งนี้...


~•~


ย่างเข้าสู่คิมหันต์ฤดู  เมืองฉางอันยังคงเฉกเช่นเดิม ผู้คนเดินสวนไปมาในตลาด ส่งเสียงจอแจวุ่นวาย ไป๋ผูอวี้ชอบบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ จึงมักออกมาเดินชมบรรยากาศที่ตรอกซีหมาน ปีนี้เขาอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขาจึงเกล้าผมด้วยผ้ามวยผมสีน้ำเงิน ไป๋ผูอวี้ไม่ชอบสิ่งเครื่องใช้ของหรูหราจึงสวมแต่เสื้อผ้าเรียบง่าย ผู้คนที่ไม่พบพานอาจดูไม่ออกว่าเขาคือบุตรชายของคหบดีสกุลไป๋เจ้าของโรงน้ำชาหลิวซื่อที่มีชื่อไปทั้งฉางอัน 


วันนี้ไป๋ผูอวี้ตั้งใจมาซื้อกู่เจิงคันใหม่ที่ร้านเถ้าแก่เถียน เดินข้ามสะพานที่ก่อด้วยอิฐก็ถึงแล้ว เว่ยหลงเดินตามเขามาห่างๆเช่นเคย เดินเข้าใกล้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงดีดกู่เจิงดังออกมา ถึงแม้จะไม่เป็นทำนอง แต่ไป๋ผูอวี้ฟังออกว่าคนดีดมีฝีมือ เขาก้าวเข้าไปในร้านก็เจอเถ้าแก่เถียนกำลังตะเบ็งเสียงใส่เด็กหนุ่มร่างบางอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้เขา ร่างบางกำลังดีดกู่เจิงด้วยท่าทางเบื่อหน่าย รูปร่างท่าทางคุ้นตายิ่งนัก 


“คุณชายเสิ่น ไยท่านทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้!”เถ้าแก่เถียงตวาดเสียงดังปากคอสั่นไปหมด ก่นด่าอยู่ในใจ วันนี้ดูท่าจะฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว เจ้าเด็กแซ่เสิ่นตั้งใจมาป่วนร้านเขาหรือ


“ก็ท่านไม่ยอมขายขลุ่ยเชียงตี๋ให้ข้า กู่เจิงคันนี้….ข้าก็ชอบเช่นกัน”เสิ่นจิ้งเฟยตอบเสียงเรียบ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหมดจดของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี เชียงตี๋เป็นขลุ่ยชนิดหนึ่งของชนเผ่ากลุ่มน้อยเชียง ถึงจะดูธรรมดาไปบ้าง แต่เสิ่นจิ้งเฟยกลับถูกใจเพราะทำให้นึกถึงผู้หนึ่ง


“ข้าไม่ขาย!”เถ้าแก่เถียนตะเบ็งเสียง เสิ่นจิ้งเฟยหัวเราะขบขัน สายตาพลันไปสะดุดชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน เขาขมวดคิ้ว หน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน แต่เจ้าผู้ติดตามด้านหลังนั่นกลับมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนมีดแหลม


“โอ้ คุณชายท่านนี้…เป็นผู้ใดหรือ”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยียวน พัดในมือแตะอยู่ที่ปลายคางอย่างข้องใจ คนผู้นี้คุ้นตาจริง ๆ เถ้าแก่เถียนพอเห็นลูกค้าคนใหม่ก็ปรี่ไปหาด้วยใบหน้าสีแดงเข้ม


“คุณชายไป๋ เป็นเกียรติจริงๆ”เถ้าแก่เถียนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ายังโกรธเสิ่นจิ้งเฟยไม่หาย ไป๋ผูอวี้ยิ้มรับ ปรายตามองไปที่คุณชายเสิ่น ถึงแม้จะผ่านไปหลายปีแต่เขาก็ยังไม่ลืมเหตุการณ์ในร้านน้ำชาวันนั้น ไป๋ผูอวี้โตขึ้นแล้ว ถึงจะไม่ติดใจอะไรอีก แต่ในเมื่อคนผู้นี้อยู่ตรงหน้าจะไม่เอาคืนก็น่าเสียดาย ปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยเล่นสนุกอยู่ผู้เดียวได้อย่างไร


“เถ้าแก่เถียน เกิดเรื่องใดหรือ ข้าได้ยินเสียงดังไปถึงข้างนอก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม เห็นคุณชายเสิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


“ไม่มีเรื่องใด ก็แค่แมลงวันก่อกวนเท่านั้น”เถ้าแก่เถียนตอบเสียงสั่น ‘แมลงวัน’ที่ว่าเดินตรงมาหาทันที


“แมลงวันหรือ! เจ้าว่าใคร หึ รนหาที่ตายแล้วตาแก่ แค่พ่อข้าเอ่ยปากร้านเจ้าก็หายวับไปกับตาแล้ว!”เสิ่นจิ้งเฟยตวาดลั่น อำนาจของบิดาอาจทำให้หายวับไปกับตาทันทีทันใดเลยมิได้ก็จริง แต่สหายที่เขาคบหาล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งสิ้น มีผู้ใดไม่กลัวเขาบ้าง ไป๋ผูอวี้ได้ยินคำพูดของคุณชายเสิ่นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม คุณชายท่านไม่มีคำพูดอื่นแล้วหรือ เถ้าแก่เถียนได้แต่ขบฟันกรอดๆ


“คุณชายไป๋ เชิญทางนี้”เถ้าแก่ผายมือเชิญเขาไปอีกทาง ไม่สนใจไยดีเสิ่นจิ้งเฟยอีกต่อไป หากเป็นแค่แมลงวันตัวหนึ่ง ไยต้องสนใจ! ไป๋ผูอวี้ตามไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เว่ยหลงเดินผ่านพร้อมพึมพำคำว่า “เจ้าเต่าในกระดอง”


เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้วเต่าในกระดอง?หมายความว่าอย่างไร ว่าเขาเป็นเต่ารึ เขากำพัดจนมือจนเจ็บ ไป๋ผูอวี้…เคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง หล่อเหลาสมคำเล่าลือ แต่ยิ่งมองเขากลับยิ่งรู้สึกขัดตา


“คุณชายไป๋สนใจเครื่องดนตรีชนิดไหน เชิญเลือกชม”เถ้าแก่เถียนถามด้วยความกระตือรือร้น เสิ่นจิ้งเฟยถูกทิ้งให้ยืนเหมือนคนโง่งม ในใจลุกเป็นไฟที่โดนหักหน้า คนแซ่ไป๋ก็แค่ลูกคหบดีเท่านั้น


“ข้าอยากได้กู่เจิง…คันนั้นเป็นอย่างไร”ไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายไปที่กู่เจิงรูปร่างสวยงามสลักลายหงส์ที่เสิ่นจิ้งเฟยเพิ่งดีดไปนี่เอง


“นี่เป็นของข้า”เสิ่นจิ้งเฟยรีบปรี่เข้าไปเหมือนสุนัขหวงของทันที


“แต่ข้าไม่ขายให้ท่าน หากคุณชายอยากได้ก็เชิญร้านอื่นเถิด!”เถ้าแก่เถียนกัดฟันพูด ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะถูกเสิ่นมู่หยางใช้อำนาจจัดการ


“เจ้า!”เสิ่นจิ้งเฟยใช้พัดชี้หน้าเถ้าแก่เถียนอย่างขัดใจ ตอนแรกตาแก่นี่ใกล้จะตกปากรับคำยอมขายเชียงตี๋และกู่เจิงให้เขาเพราะความรำคาญใจแล้ว แต่ไป๋ผูอวี้เข้ามาซะก่อน เป็นตัวขัดขวางโดยแท้!


“คุณชายเสิ่น ท่านก็โตแล้ว คุยแบบปัญญาชนได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยแทรกเสียงเรียบ เถ้าแก่เถียนหน้าถอดสีไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะกล้าพูดจาเช่นนี้ มองไปด้านหลังก็เห็นผู้ติดตามร่างกายกำยำทำหน้าดุร้ายใส่คุณชายเสิ่นเหมือนเป็นการข่มขวัญกลายๆ


เสิ่นจิ้งเฟยคิดไม่ถึงว่าเจ้าคนแซ่ไป๋จะกล้าสอดปากขึ้นมาจึงยิ่งหงุดหงิด “เจ้าเป็นแค่ลูกชายคหบดี กล้าพูดกับข้าเช่นนี้คงไม่รู้อะไรแล้วกระมัง”


ไป๋ผูอวี้เพียงแค่ยกยิ้ม คุณชายเสิ่นสำหรับเขาก็เหมือนคนที่ดีแต่พูดเท่านั้น จะว่าไปก็เหมือนเต่าอย่างที่เว่ยหลงพูด เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง เพราะคิดว่ามีอำนาจของบิดาหนุนหลัง


“ถูกแล้ว สกุลของข้าเทียบท่านไม่ติด ขออภัยที่ต้องพูดล่วงเกิน แต่ตัวข้าไม่คิดเอาแต่พึ่งพิงร่มเงาบิดา หากท่านไม่พอใจข้าก็เชิญกลับจวนไปฟ้องเสนาบดีเสิ่นเถอะ”คำพูดของไป๋ผูอวี้เล่นงานเสิ่นจิ้งเฟยจนพูดไม่ออก ได้แต่ขบฟันกรอด รู้ตัวว่าต่อปากต่อคำไปก็มีแต่แพ้


‘เจ้าคนแซ่ไป๋ ดูถูกข้าเกินไปแล้ว คอยดูเถอะ ข้าไม่ยอมแพ้เจ้าหรอก!’


นับแต่นี้เขาจะไปก่อเรื่องที่โรงน้ำชาของสกุลไป๋ทุกวี่วันเลย คอยดู!วันนั้นเสิ่นจิ้งเฟยเสียหน้ามาก ได้แต่กระฟัดกระเฟียดออกมาจากร้านเถ้าแก่เถียนไปอย่างทำอะไรไม่ได้


~•~


‘ข้าตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง’


คำพูดของเสิ่นจิ้งเฟยยังคงดังก้องอยู่ในหัวของไป๋ผูอวี้ สีหน้าและแววตาของเสิ่นจิ้งเฟยแตกต่างไปจากเดิม แต่ก่อนมีเพียงแววตาถือดีดื้อรั้น แต่ดวงตาคู่งามที่ตนเห็นมีความมีชีวิตชีวาแฝงอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณชายไม่เอาไหนผู้นี้ถึงได้ดูเปลี่ยนไปราวคนละคนเช่นนี้ ยิ่งขบคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจ ระหว่างที่เทน้ำชาให้ตัวเอง บุรุษหนุ่มนั่งดื่มอยู่เงียบๆ  คฤหาสน์สกุลไป๋ไม่ได้ตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือย บิดาของเขาอยากให้คงความเป็นธรรมชาติมากที่สุด เขาจึงชอบมาดื่มชาเป่าขลุ่นที่ศาลาในสวนเสมอ


เขาวางถ้วยชาลงแล้วหยิบเชียงตี๋มาหมุนในมือเล่น เขาตั้งใจซื้อขลุ่ยเลานี้ให้เสิ่นจิ้งเฟยก็เพราะอยากผูกมิตร แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รับน้ำใจ ช่างเหมือนเมื่อตอนแปดปีก่อนที่ได้พบเจอกันครั้งแรกจริงๆ  ไป๋ผูอวี้ไม่แปลกใจที่เสิ่นจิ้งเฟยลืมการพบเจอในร้านเถ้าแก่เถียนไปแล้ว เรื่องปีนั้นคงทำให้คุณชายเสิ่นขายหน้าพอดู มาคิดอีกทีเพราะคำพูดของเขาทำให้เสิ่นจิ้งเฟยไม่ยกอำนาจบิดามาข่มสกุลไป๋ ไม่อย่างนั้นคงเจอเรื่องลำบากแล้ว


“คุณชาย ท่านกลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”เว่ยหลงปรากฏกายขึ้นเมื่อได้ยินว่าคุณชายไป๋กลับมาจากตลาดแล้ว เขาได้ยินพวกบ่าวรับใช้พูดกันว่าคุณชายเจอกับคุณหนูฉินในตลาด คุณชายเพียงขมวดคิ้ว ไม่ตอบคำถามของเขา เว่ยหลงเห็นคุณชายถือขลุ่ยอยู่ในมือก็พลันแปลกใจ


“วันนี้ที่โรงน้ำชาเรียบร้อยดีหรือไม่”ไป๋ผูอวี้ถามไถ่ตามปกติ เรื่องของคุณหนูฉินไม่คิดว่าบ่าวรับใช้ในถฤหาสน์จะรู้ข่าวกันเร็วเช่นนี้ ถึงท่านพ่อไม่เอ่ยปากแต่เขารู้ดีว่าท่านอยากให้เขาแต่งงานเสียที แต่ไป๋ผูอวี้ไม่สนใจ เขาคิดว่ายังไม่ถึงเวลา


“เรียบร้อยดีขอรับ แต่วันนี้ผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟยมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้าน”เว่ยหลงรายงาน คนผู้นี้ฝีมือดีมาก เขาเกือบจับสังเกตไม่ได้ ไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยคิดจะทำอะไรอีก


“หยางชวีหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจ เขารู้จักก็เพราะว่าอาจารย์เคยพูดให้ได้ยินบ่อย ๆ ไม่คิดว่าจวนสกุลเสิ่นจะชุบเลี้ยงคนมีฝีมือด้วย


“ใช่แล้ว แต่เขาแค่มาตรวจตราเท่านั้น…”


“อืม…”ไป๋ผูอวี้พนักหน้าอย่างครุ่นคิด ทำไมคุณชายเสิ่นต้องส่งผู้ติดตามมาสอดแนมที่โรงน้ำชาด้วย หรือตั้งใจจะสร้างเรื่องอะไรอีก


เขาหัวเราะในลำคอ “ช่างเถอะ เจ้าคอยระวังไว้ก็พอ ข้าอยากรู้นักว่าเขาคิดจะทำอะไร”เขาพลันรู้สึกสนุกขึ้นมา เว่ยหลงมองคุณชายของตัวเองด้วยสายตาครุ่นคิด พักนี้คุณชายไป๋ดูสนใจเสิ่นจิ้งเฟยมากกว่าแต่ก่อน หรือเป็นเพราะเหตุการณ์ในห้องดื่มชาส่วนตัวครั้งนั้น…แต่เป็นไปไม่ได้ เขาพินิจมองไป๋ผูอวี้ที่ยังคงหมุนเชียงตี๋ในมือเล่น ขลุ่ยเลานี้เป็นขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาๆเท่านั้น


“เจ้าจำเหตุการณ์เมื่อปีก่อนในร้านเถ้าแก่เถียนได้หรือไม่ ที่เสิ่นจิ้งเฟยต้องการขลุ่ยเลานี้แต่เถ้าแก่ไม่ขายให้”ไป๋ผูอวี้เอ่ยขึ้นช้า ๆ ยกขลุ่ยเซียงตี๋ให้เว่ยหลงมองให้ชัด ผู้ติดตามขมวดคิ้ว ความทรงจำค่อยๆแจ่มชัด เขาย่อมต้องจำได้ เสิ่นจิ้งเฟยเป็นคุณชายเกเรที่ชอบมาก่อเรื่องที่โรงน้ำชาประจำ 


“ท่านซื้อมาหรือ”เว่ยหลงเบิกตากว้างจ้องมองขลุ่ยในมือของผู้เป็นนาย คุณชายไป๋ ท่านทำเรื่องพิกลนัก


“ข้าแค่อยากผูกมิตรกับเขาเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องเหมือนเมื่อแปดปีก่อน”ไป๋ผูอวี้ยกถ้วยชาดื่มเงียบๆ ถึงคุณชายเสิ่นจะดูเปลี่ยนไป แต่นิสัยบางอย่างก็ยังคงเดิมสินะ   


“ท่านอยากผูกมิตรกับเขา? ขออภัยที่ข้าน้อยก้าวก่าย แต่ท่านคิดผิดแล้วกระมัง”เว่ยหลงหน้าเคร่งเครียด อยากจะเอ่ยปากสั่งสอนมากกว่านี้แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ เขาเห็นคุณชายไป๋เป็นเหมือนคนในครอบครัว จึงไม่อยากให้คุณชายหลงกลเสิ่นจิ้งเฟย


“เจ้าไม่เบื่อหรือที่ต้องรับมือกับเสิ่นจิ้งเฟยบ่อย ๆ”ไป๋ผูอวี้ย้อนถามเสียงเรียบ เว่ยหลงย่อมเบื่อมากอยู่แล้วนอกจากไม่สนุกแล้วยังน่ารำคาญ


“เว่ยหลง ข้าสงสัยนักพักนี้เจ้าไม่คิดหรือว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีพฤติกรรมแปลกไป”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม ลุกเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าคิดไม่ตก แต่ก่อนเสิ่นจิ้งเฟยดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง แต่ยามนี้เขาดูมีเรื่องอยู่ในใจตลอดเวลา 


“ข้าก็เห็นเขายังไม่เอาไหนเหมือนเดิม”เว่ยหลงตอบ แต่ท่านต่างหากคุณชาย เหตุใดถึงสนใจคุณชายเสิ่นนัก 


เขาหันไปเห็นสีหน้าหลากหลายของผู้ติดตามเข้าพอดี จึงเอ่ยถาม“เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือไม่”


“เปล่าขอรับ”เว่ยหลงส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้เขาจะไม่สบายใจ แต่นี่เป็นเรื่องของเจ้านาย เขาไปก้าวก่ายไม่ได้ แต่เว่ยหลงแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนจนไป๋ผูอวี้สังเกตเห็น


“พูดมา”ไป๋ผูอวี้เดินมาหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย เจ้าตัวถอนหายใจน้อยๆ


“คุณชาย…ทำไมพักนี้ท่านถึงสนใจเสิ่นจิ้งเฟยนัก”เว่ยหลงถามเสียงแผ่ว ยังคงสีหน้าเช่นเดิมเมื่อเห็นสายตาที่แปลไม่ออกของไป๋ผูอวี้มองมา


“ข้าแค่เบื่อหน่ายเท่านั้น…คุณชายเสิ่นพอจะทำให้ข้าสนุกได้ก็เท่านั้นเอง”เขาตอบคล้ายไม่ใส่ใจ เว่ยหลงเพียงพยักหน้าไม่ถามให้มากความอีก ไป๋ผูอวี้มองผู้ติดตามด้วยความรู้สึกขบขันเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เจ้านี่คิดว่าเขาเป็นเหมือนหลี่ฮุ่ยจือที่ชมชอบบุรุษงามหรือไร แต่จะว่าไปแล้วแม้แต่ตัวเขาเองยังแปลกใจที่ความคิดของตนวนเวียนอยู่แต่กับคุณชายเสิ่น ดูท่าตนคงว่างงานเกินไปแล้ว



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 03-02-2018 21:10:54
น่ารักจัง /-\
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 03-02-2018 22:20:36
สนุกมากกก   คือมีเรื่องให้ขำ มากที่คุณชายไป่สนอกสนใจพระรองของเรา  ลุ้นจัง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 03-02-2018 23:06:41
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-02-2018 23:34:36
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 03-02-2018 23:36:20
รอๆๆๆๆตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 04-02-2018 02:04:01
ชอบแนวจีนมากเลยค่ะ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-02-2018 03:27:18
อีหนูนายเอก ดันเข้าตาพระเอกเข้าให้แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก  :z3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-02-2018 09:35:39
มารอ สั้นไปหน่อย ฮือออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 04-02-2018 16:12:21
 

บทสี่:นางมารหมื่นพิษ

เสียงตีกลองบอกเวลายามเย็นดังไปทั่วฉางอัน เย็นย่ำแล้วแต่เสิ่นมู่หยางยังไม่กลับจวนเพราะมีงานเลี้ยงขุนนางในวังหลวง จวนเสนาบดีจึงสงบเงียบราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ จื่อฟางไม่กล้าออกไปด้านนอกเพราะกลัวเจอกับหลี่ฮุ่ยจือ เขารู้ว่ายังไงก็หลบไม่พ้น แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหาเร็วเช่นนี้

“คะ คุณชาย...”บ่าวรับใช้วิ่งหน้าตื่นมาหา จื่อฟางใจหายวูบ มองสีหน้าลนลานของบ่าวรับใช้ก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใดมา

“เสิ่นจิ้งเฟย”หลี่ฮุ่ยจือตะโกนเรียกอยู่ในลานบ้านอย่างไม่เกรงใจ จื่อฟางลนลาน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกไปรับหน้า หลี่ฮุ่ยจือเดินเอามือไพล่หลังหน้าตายิ้มแย้ม ด้านหลังตามติดมาด้วยองครักษ์ร่างใหญ่คนหนึ่ง บ่าวไพร่ในจวนไม่มีใครกล้าต่อว่าที่บุตรชายอัครเสนาบดีหลี่บุกเข้ามาเช่นนี้

“หลี่ฮุ่ยจือ เจ้ามีอะไรหรือ”จื่อฟางถามหน้าซื่อ หยางชวีใช้สายตาพิจารณาองครักษ์ของหลี่ฮุ่ยจือ แค่มองก็รู้ว่าฝีมือดี อาจจะเหนือกว่าเขาด้วยซ้ำ

หลี่ฮุ่ยจือหัวเราะเสียงดังเข้ามาโอบไหล่เขาอย่างสนิทสนม “อย่าทำเฉไฉ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสัญญาอะไรไว้”จื่อฟางไม่ได้ลืม แต่ไม่คิดว่าหลี่ฮุ่ยจือจะใจร้อนมาเร็ว

“ไม่ลืมๆ”เขารีบตอบ

“ข้าจะพาเจ้าไปหอเหม่ยซิ่ว วันนี้มีนางรำมาจากหลานโจว ข้าจองห้องรับรองไว้แล้ว”หลี่ฮุ่ยจือพาเสิ่นจิ้งเฟยเดินไปด้วยกัน เขารู้ว่าเจ้านี่พยายามหลีกเลี่ยงเขาตลอด วันนี้เขาจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆหลุดหายไปแน่ 

จื่อฟางยิ้มแห้งพยายามแย้ง “แต่ว่าพ่อข้า…”

“พ่อเจ้ากล้าว่าหรือ อีกอย่างเขาอยู่ในวังหลวง ฮ่องเต้คงไม่ปล่อยมาโดยง่าย” 

“เจ้ามากับข้า”จื่อฟางหันไปสั่งหยางชวี อย่างน้อยมีหยางชวีไปด้วยเขาจะได้เบาใจแต่หลี่ฮุ่ยจือกลับดับความหวังของเขา

“องครักษ์ของข้าฝีมือดี มีเขาก็พอแล้ว”หลี่ฮุ่ยจือปรายตามอง หยางชวีชะงักงัน ใบหน้านิ่งเฉยแต่ในใจเป็นห่วงคุณชายเสิ่น หากเกิดอะไรขึ้นมาเขาคงช่วยไม่ได้แล้ว จื่อฟางมองหยางชวีเป็นสัญญาณว่าให้แอบตามมาทีหลังก่อนเดินตามหลี่ฮุ่ยจือออกไปนอกจวน จางต้ามองตามคุณชายอย่างเป็นกังวล คุณชายของเขาต้องแย่แน่ๆ

“จะทำเช่นไรดี”จางต้าได้แต่เดินวนไปวนมา หยางชวีครุ่นคิด หอเหม่ยซิ่วหรือ…สงสัยคงต้องพึ่งนางมารนั่นแล้ว เขารีบส่งนกพิราบบอกข่าวไปยังหอเหม่ยซิ่วทันที

‘หวังว่าจะทันการ’

ในรถม้าหลี่ฮุ่ยจือไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งจ้องจื่อฟางไม่วางตาจนเขาขนลุกเกรียว ได้แต่บ่นอยู่ในใจว่ามองอะไรนักหนา ไม่รู้ว่าเจ้าหื่นกามนี่คิดวางแผนอะไรอยู่ เขาได้แต่นั่งเกร็งอยู่บนที่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างฉลุลายก็พบว่าตรอกนี้คือตรอกซีหมาน ตรอกที่ไป๋ผูอวี้พาเขาไปร้านเถ้าแก่เถียน พูดถึงไป๋ผูอวี้แล้วเขานึกอยากให้อีกฝ่ายโผล่มา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ จื่อฟางจุงมองดูร้านรวงผ่านตาไปเรื่อยๆจนรถม้าหยุดจอดอยู่หน้าหอเหม่ยซิ่ว อักษรจีนโบราณสวยงามฝังอยู่บนแผ่นหินหน้าประตูร้าน โคมไฟฉลุลายห้อยเรียงอยู่บนเสาสูง เป็นหอคณิกาที่หรูหรามีระดับ หลี่ฮุ่ยจือเดินวางท่านำเสิ่นจิ้งเฟยเข้าไปด้านใน แม่เล้าเฟิ่งรีบมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เชิญคุณชายหลี่ทางนี้เจ้าค่ะ”นางเดินนำไปที่ชั้นสอง พาไปยังห้องส่วนตัว เขารู้ว่าบุตรชายเสนาบดีผู้นี้ชื่นชอบศิลปะดนตรี จึงตั้งใจพามาที่หอเหม่ยซิ่วที่ขึ้นชื่อว่ามีนางคณิกาชั้นสูง ถนัดร่ายรำและมีฝีมือบรรเลงดนตรีที่ยอดเยี่ยม แขกของที่นี่จึงมีแต่พวกเหล่าขุนนางและคหบดีร่ำรวย เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่เคยมีโอกาสได้เหยียบเข้ามาด้วยซ้ำ เขายิ้มมุมปากเมื่อเห็นเสิ่นจิ้งเฟยมองไปรอบๆด้วยความสนใจ ทำให้รู้สึกเหมือนพาสาวน้อยมาเที่ยวเล่น ต้องขอบใจสหายอย่างหลินเจียงหยงที่แนะนำ หลี่ฮุ่ยจืออารมณ์ดีมากทีเดียว

“นำสุราอู่เหลียงเย่และกับแกล้มสองสามอย่างมา”หลี่ฮุ่ยจือสั่ง มองหน้าแม่เล้าเฟิ่งอย่างมีความนัย

“เจ้าค่ะ คุณชายหลี่”นางยิ้มรับคำก่อนเดินส่ายออกไปจากห้อง จื่อฟางกวาดตามองห้องส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เครื่องเรือนฝังมุก สุราที่หลี่ฮุ่ยจือสั่งเป็นสุราชั้นดีและรสชาติแรง จื่อฟางเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง ดูท่าเจ้านี่ตั้งใจจะมอมสุราตนจริงๆ องครักษ์ของหลี่ฮุ่ยจือออกไปยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ความเป็นไปได้ที่จะหนีเท่ากับศูนย์ แล้วหยางชวีเล่า หมอนั่นจะตามมาหรือไม่

“เจ้ากังวลหรือ”หลี่ฮุ่ยจือเอ่ยถามเสียงหยอกล้อ ดึงให้คนงามนั่งลงข้างๆ

“เปล่า”จื่อฟางโกหก พยายามทำทางปลอดโปร่ง

“เจ้าเป็นคนรับปากเองว่าจะมากับข้าสองคน คิดเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”หลี่ฮุ่ยจือกระซิบบอก ระหว่างนั้นสาวงามกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง นำสุราหนึ่งไห ผักดอง เนื้อแห้งและไก่ต้มมาวางบนโต๊ะ หญิงงามรูปร่างหน้าตาโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ย่อตัวคาราวะด้วยท่าทางอ่อนช้อย นางมีใบหน้าหมดจด คิ้วโก่ง นัยน์ตาสีดำเป็นประกายเย้ายวน ริมฝีปากแดงอิ่ม

“เสวี่ยฮวาและพี่น้องมาจากหลานโจว ยินดีที่ได้รับใช้คุณชายทั้งสอง”นางชม้ายตามองเขาทีหนึ่ง ก่อนรินสุราใส่จอกสามขาให้จื่อฟางและหลี่ฮุ่ยจือที่รู้สึกไม่พอใจอยู่นิดหน่อยที่เสิ่นจิ้งเฟยมองหญิงงามนางนี้ไม่วางตา เขาจึงกระแอมเบาๆแล้วโอบไหล่ของเสิ่นจิ้งเฟยที่ร่างกายเกร็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เสวี่ยฮวารีบถอยไปนั่งที่มุมห้อง ก่อนจรดมือดีดสาย


เป็นท่วงทำนอง หญิงงามเริ่มร่ายรำอ่อนช้อยราวกับไม่มีกระดูก เสียงบรรเลง


เคล้าคลอบรรยากาศ แต่จื่อฟางกลับเครียดเขม็ง

“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ สุราอู่เหลียงเย่ดื่มครบสามจอกจะช่วยให้มีกำลังวังชา มา ดื่มให้กับมิตรภาพของข้ากับเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือยกจอกสุราขึ้นมา จื่อฟางได้แต่ทำตามแต่ไม่ยกดื่ม กลิ่นหอมเข้มของอู่เหลียงเย่แตะจมูก เขากลืนน้ำลาย เด็กหนุ่มไม่ใช่พวกคอแข็ง อย่าว่าแต่สามจอกเลย แค่สองจอกแรกก็เดี้ยงแล้ว

“ทำไมไม่ดื่ม”หลี่ฮุ่ยจือขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ

“ข้าไม่อยากเมา”จื่อฟางเอ่ยตอบ คุณชายหลี่ชักสีหน้าไม่พอใจ

“ข้าบอกให้ดื่มก็ดื่ม หรือเจ้าไม่อยากเป็นมิตรกับข้า”หลี่ฮุ่ยจือมองเขาด้วยสายตาบังคับ จื่อฟางเหงื่อตก เสวี่ยฮวาดีด


อยู่ตรงมุมห้องสบตากับเขาครู่หนึ่ง เขาได้แต่ยกจอกดื่มช้าๆ รสชาติเปรี้ยวปนหวานไหลลงคอ จื่อฟางไม่เคยดื่มเหล้าดีกรีแรงมาก่อนจึงได้แต่ยกแขนเสื้อปิดปาก พยายามปั้นหน้าให้ดูดี รีบหยิบตะเกียบคีบผักดองเข้าปากอย่างรวดเร็วแก้อาการคลื่นเหียนที่จะตามมา หลี่ฮุ่ยจือพยักหน้าพอใจ ยกจอกสุราของตนดื่มรวดเดียวหมด

“จอกที่สองเจ้ารินให้ข้า”หลี่ฮุ่ยจือสั่ง จ้องมองใบหน้าหมดจดของคุณชายที่นั่งทำหน้าพะอืดพะอมอยู่ข้างๆ เสิ่นจิ้งเฟยเอื้อมมารินสุราให้เขาด้วยท่าทางไม่เป็นตัวเอง แปลก…ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายรูปงามผู้นี้แปลกไป ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ หลี่ฮุ่ยจือลูบมือเนียนละเอียดของอีกฝ่ายเล่น เสิ่นจิ้งเฟยชะงักเล็กน้อย ดึงมือออกอย่างแนบเนียน บุตรชายอัครเสนาบดียกยิ้ม

‘ยังไงวันนี้เจ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอก’

ครั้งนี้เขาวางแผนไว้แล้ว ในไหสุราใส่ผงยาปลุกกำหนัดชนิดไม่รุนแรงนัก เขารู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยมักมีความต้องการหลังดื่มสุรา อีกทั้งเขาก็ร่วมดื่มด้วยเพื่อให้เสิ่นจิ้งเฟยวางใจ ใช้ยากระตุ้นเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว นางรำที่เคลื่อนไหวอ่อนช้อยอดรู้สึกคันยุบยิบในใจไม่ได้ พวกนางเสมือนบุปผางามแต่คุณชายทั้งสองกลับไม่ชายตามองแม้แต่นิด เสวี่ยฮวาหรือชื่อจริงของนางคือซูเหลียนฮวามองเจ้าคนแซ่หลี่พยายามจับเนื้อต้องตัวเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาขบขัน หลี่ฮุ่ยจือผู้นี้ไม่เก็บอาการสักนิด แสดงออกชัดเจนว่าลุ่มหลงใบหน้างามๆของเสิ่นจิ้งเฟย

‘เสิ่นจิ้งเฟยรูปงามสมคำรำลื่อ หยางชวีเอ๋ยหยางชวี ครั้งนี้เจ้าติดหนี้ข้าแล้ว แต่จะว่าไปคุณชายของข้าก็รู้จักคนผู้นี้…’

นางก้มหน้าก้มตาดีด


อย่างเบื่อหน่าย ซูเหลียนฮวามาเป็นนางคณิกาชั้นสูงขายศิลปะไม่ขายร่างกายก็เพราะต้องการหาอะไรทำ อีกทั้งนางชอบมองบุรุษรูปงาม หอเหม่ยซิ่วจึงเป็นตัวเลือกที่ดี นางเพิ่งย้ายมาอยู่ที่ฉางอันได้ไม่นาน ยามอยู่หลานโจวได้ฝึกวิชากับอาจารย์ท่านหนึ่งจนเชี่ยวชาญด้านการสกัดจุดโดยใช้เข็ม นางรับงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงเท่านั้น ผู้คนที่หลานโจวจึงขนานนามนางว่า‘นางมารหมื่นพิษ’เพราะนอกจากสกัดจุดแล้วนางยังใช้พิษร่วมด้วย ซูเหลียน ฮวาคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงหยางชวี ตอนแรกนางไม่คิดช่วย แต่มาเห็นเสิ่นจิ้งเฟยรูปงามเช่นนี้แล้ว นางจะอยู่เฉยได้อย่างไร 

จื่อฟางถูกจ้องมองจนอึดอัด หลี่ฮุ่ยจือมือไม้ไม่อยู่นิ่ง ประเดี๋ยวก็ลูบแขน ประเดี๋ยวก็ลูบใบหน้าของเขาไม่สนใจว่ามีหญิงงามอยู่ในห้อง

“จิ้งเฟย รู้หรือไม่นางรำพวกนี้งดงามสู้เจ้าไม่ได้เลย”จื่อฟางอยากเอาหน้ามุดโต๊ะหนีให้รู้แล้วรู้รอด หลี่ฮุ่ยจือกล้าพูดออกมาได้ยังไง ไม่กระดากปากบ้างหรือ เขาหน้าแดงเพราะความโกรธและอับอาย ถูกชมว่าสวยต่อหน้านางรำพวกนี้…จะให้เขาดีใจหรือ คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยก็คงไม่ชอบเช่นกัน เกิดมาเป็นชายซะเปล่าเหตุใดถึงได้หน้าตาเช่นนี้ จื่อฟางก่นด่าอยู่ในใจ แต่หลี่ฮุ่ยจือกลับคิดว่าเขาเขินอายกับคำเกี้ยวจึงหัวเราะฮ่าๆรินสุราให้เป็นจอกที่สาม แต่จื่อฟางมึนหัวและรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ เหมือนวันที่ร่ำสุรากับเสิ่นมู่หยาง หรือว่า...จื่อฟางหน้าซีด

“เร็วเข้า อีกจอกเดียวเจ้าก็คึกคักแล้ว”เจ้าตัวหื่นกามคะยั้นคะยอให้เขาดื่มอีก

“หลี่ฮุ่ยจือ ข้ามึนหัวแล้ว พอก่อนดีกว่า”จื่อฟางผลักจอกสุราออกไป แต่หลี่ฮุ่ยจือกลับบีบคางของตน พยายามกรอกสุราเข้าปากของเขาให้ได้ สุราในจอกจึงไหลเข้าปากเขาครึ่งหนึ่ง หกเลอะเทอะเปื้อนเสื้อครึ่งหนึ่ง หลี่ฮุ่ยจือถลึงตาใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างโมโห

“เหตุใดเจ้าไม่เชื่อฟังข้าเหมือนแต่ก่อน”เขาหงุดหงิดนัก 

“ข้าเปลี่ยนไปแล้ว”เสิ่นจิ้งเฟยตอบเสียงสั่น ท่าทางเหมือนอยากอาเจียน เขาจึงปล่อยมือ เสิ่นจิ้งเฟยฟุบตัวไปด้านข้าง ไอสองสามที หลี่ฮุ่ยจือขยับเข้าไปดูว่ายาออกฤทธิ์หรือยังเพราะเขาเองก็เริ่มรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาแล้ว

“จิ้งเฟย”หลี่ฮุ่ยจือเรียกลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเบาๆ จื่อฟางสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้สมองแจ่มใสอารมณ์พลุ่งพล่านผิดปกติ ทั้งยังมึนหัวมากกว่าเดิม ไม่ได้การ เขาควรคิดหาทางออก ไม่อย่างนั้นแย่แน่ๆ หลี่ฮุ่ยจือดึงร่างของเขามาโอบไหล่อีกครั้ง จื่อฟางขบฟัน ร่างกายของเขาเหมือนถูกความร้อนหลอมละลายจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง 

“เจ้าเมาแล้วหรือ”หลี่ฮุ่ยจือกระซิบถามใกล้ใบหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอยู่ใกล้ๆทำให้เขารู้สึกหวาบหวิวในท้องน้อย จื่อฟางเอนตัวออกห่างคุณชายหลี่ เสียงดีด


เร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อย นางลอบมองคุณชายทั้งสองด้วยสายตาคมปลาบ

“พวกเจ้าออกไปให้หมด”หลี่ฮุ่ยจือไล่ ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยนอนฟุบอยู่บนพื้น ใบหน้าแดงก่ำ เขาเอื้อมไปดึงผ้าคาดเอวของอีกฝ่ายออก จื่อฟางถลึงตาใส่ เจ้าบัดซบนี่!พวกนางรำรับคำก่อนรีบเคลื่อนกายออกไปจากห้อง พวกนางเองก็ไม่อยากอยู่ดูฉากพลอดรักของคุณชายสองคนเช่นกัน

“ดะ เดี๋ยวก่อน…”จื่อฟางร้องเรียก เมื่อเห็นเสวี่ยฮวากำลังจะออกไป นางเพียงขยิบตาให้เขาแล้วจากไป หลี่ฮุ่ยจือหัวเราะในลำคอ โน้มใบหน้ามาหมายจะจูบแต่เขาเบือนหน้าหลบ ริมฝีปากของหมอนี่จึงโดนแก้มเขาแทน

“ปล่อย…”เขากัดฟันพูด

“ปล่อยหรือ หึๆ เจ้าต้องการขนาดนี้ข้าจะปล่อยได้ไปได้อย่างไร”หลี่ฮุ่ยจือตอนนี้มีสีหน้าหื่นกามสุดๆ โถมร่างมากอดรัดจื่อฟาง เขาพยายามออกแรงดิ้น แต่ก็เสียเปล่ากลับยิ่งทำให้เขาเหนื่อยกว่าเดิม หลี่ฮุ่ยจือดึงเสื้อของเขาออก จนท่อนบนเปลือยเปล่า จื่อฟางร้องกรี๊ดได้คงทำไปแล้ว

“เจ้าอดทนได้ดีกว่าที่ข้าคิด”ร่างที่ทาบทับอยู่ด้านบนพรมจูบตามแผ่นอกผอมบาง จื่อฟางขนลุกเกรียว บทของเสิ่นจิ้งเฟยเปลืองตัวเกินไปแล้ว

ทันใดนั้นเอง ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างไม่ได้สติขององครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องหล่นกองกับพื้น หญิงงามนามว่าเสวี่ยฮวาก้าวตามเข้ามาก่อนปิดประตูตามหลัง

“เจ้า--”

“ขออภัยจริงๆคุณชายที่ขัดจังหวะ”นางหุบยิ้ม ก่อนเคลื่อนตัวมาหาหลี่ฮุ่ยจืออย่างรวดเร็ว จื่อฟางเบิกตาโตเมื่อเห็นฝามือของนางสะบัดว่องไว เข็มเงินเล่มเล็กจิ้มเข้าที่จุดโหวเอี้ยน  ของหลี่ฮุ่ยจืออย่างแม่นยำ ไม่กี่นาทีต่อมา หลี่ฮุ่ยจือก็สลบเหมือด ร่างหนักๆทับอยู่บนตัวจื่อฟาง เขาเบิกตากว้าง เกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่

“ข้าชื่อซูเหลียนฮวา”ท่าทางงามชดช้อยของนางหายวับไป อะไรนะ พอเห็นอย่างนี้เขาก็จำได้ ตรงกับที่นิยายบรรยายไว้ ตัวละครที่เขาเกือบลืมไปแล้ว เพราะวันที่เขาอ่านนิยายเขาง่วงมากจึงเลิกอ่าน และนั่นก็คือบทของนางที่เขาอ่านไม่จบ

“ซูเหลียนฮวา…นางมารหมื่นพิษหรือ…”จื่อฟางพึมพำเบาๆ รู้สึกขนลุกวูบวาบ แล้วนางโผล่มาตอนนี้ได้ยังไง

“ท่านรู้จักข้า?”นางขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าชื่อเสียงของนางเลื่องลือมาถึงฉางอันด้วย

“...ท่าน…ช่วย…”เขารวบรวมคำพูดอย่างยากลำบาก ตั้งใจจะบอกว่าให้เอาหลี่ฮุ่ยจือที่สลบไม่ได้สติออกไปจากตัวเขาก่อน   

“ท่านว่าอะไรนะ”นางก้มมองเขาด้วยดวงตาพราวระยับ จื่อฟางปากคอแห้งผากรู้สึกว่านางอันตรายมาก

“อยากให้ข้าช่วยถอนฤทธิ์ยาให้หรือ”นางเอ่ยถามเสียงหยดย้อย จื่อฟางใจเต้นระรัว ถอนฤทธิ์ยา…เขากลืนน้ำลายเอื๊อก

“เจ้าทำอะไรเขา”จื่อฟางพยายามดันร่างของหลี่ฮุ่ยจือออก แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ซูเหลียนฮวายืนมองเหมือนเห็นเรื่องสนุก

“แค่ทำให้สลบไปเท่านั้น”นางเพียงตอบอย่างไม่ใส่ใจ จื่อฟางมองนางอย่างหวาดหวั่น แม้แต่องครักษ์ของหลี่ฮุ่ยจือก็พลาดท่าให้กับนางหรือ ถึงจะดีใจที่รอดพ้นเงื้อมมือหลี่ฮุ่ยจือ แต่ถ้าหากมันกลายเป็นเรื่องใหญ่เล่า ซูเหลียนฮวายิ้มราวกับคาดเดาความคิดของเขาออก

“เจ้าคิดว่าคนอย่างหลี่ฮุ่ยจือจะกล้าเอาเรื่องหรือ เรื่องที่เขาวางยาเพื่อหลับนอนกับเจ้าหลุดออกไป ข้าไม่คิดว่าอัครเสนาบดีหลี่จะพอใจ อีกอย่างเขาคงขายหน้าขนาดวางยาเจ้าแล้วยังทำไม่สำเร็จ”นางหัวเราะเบาๆ ท่าทางร้ายกาจ แต่ที่นางพูดก็มีเหตุผล

“หยางชวีรู้จักข้า”ซูเหลียนฮวาเอ่ยอีกครั้ง จื่อฟางพลันเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ครั้งนี้เขารอดได้อย่างหวุดหวิดจริงๆ ประตูห้องรับรองเปิดอีกครั้ง จื่อฟางหันไปมองก็เห็นไป๋ผูอวี้ก้าวเข้ามาด้านในด้วยใบหน้าราบเรียบ ผู้มาใหม่กวาดสายตามองเหตุการณ์ตรงหน้า เหมือนใช้เวลารับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในห้องคล้ายมีลมเย็นพัดเข้ามา

“คุณชายไป๋”ซูเหลียนฮวากลับมามีท่าทางสำรวมเหมือนหญิงงามอีกครั้ง จื่อฟางมองไป๋ผูอวี้ตาโต รู้จักกันด้วยเหรอ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ไป๋ผูอวี้เดินตรงมาหาเขา ดันร่างของคุณชายหลี่ที่ไม่ได้สติออก เมื่อพบว่าท่อนบนของจื่อฟางไม่มีสิ่งใดปกปิดอยู่อีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วก่อนนั่งลงจัดเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มให้เข้าที่เข้าทาง อยู่ ๆจื่อฟางก็ร้องครางออกมาเบาๆเพราะสัมผัสนั้น ไป๋ผูอวี้ชะงักมือที่วางอยู่บนไหล่ของเขา จื่อฟางหน้าแดงก่ำอับอายจนไม่กล้ามองหน้าผู้ใด น่าอายจริงๆ ทนมาได้ตั้งนาน ทำไมถึงมาหลุดเอาตอนนี้

“ข้าเชื่อว่าเจ้ามียาถอนพิษอยู่กับตัว”ไป๋ผูอวี้หันไปพูดกับซูเหลียนฮวาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางนับได้ว่าเป็นศิษย์น้องของเขา ที่หลานโจวเขามีอาจารย์อยู่คนหนึ่งคอยสอนหนังสือและวรยุทธ์ให้ นางเป็นศิษย์น้อง เว่ยหลงเป็นศิษย์รอง   

ซูเหลียนฮวายกยิ้ม “เสิ่นจิ้งเฟยโดนยาปลุกกำหนัดชนิดไม่แรงนัก แค่หาหญิงสาวมาถอนฤทธิ์ยาให้เขาก็พอแล้ว”นางตอบพลางมองเสิ่นจิ้งเฟยไม่วางตา

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร”ไป๋ผูอวี้กวาดตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่นอนตัวงออยู่บนพื้น คุณชายท่านนี้เป็นอะไรไปอีก

“หากเขาถูกยาแรงจริง คงกระโดดใส่หลี่ฮุ่ยจือไปนานแล้ว”คำพูดของหญิงงามทำให้ไป๋ผูอวี้มีสีหน้าแปลกพิกล แต่นางก็พูดถูกจื่อฟางแค่อารมณ์พลุ่งพล่าน ร่างกายร้อนรุ่มมากกว่าปกติเท่านั้น 

“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”จื่อฟางเอ่ยถามเสียงอ่อนเพลีย แต่ก็รู้สึกดีใจที่ไป๋ผูอวี้โผล่มา

“ข้าผ่านมาแถวนี้พอดี”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้นๆ ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เขาเพียงมาคุยกับสหายใกล้ๆกับหอเหม่ยซิ่วเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเจอเสิ่นจิ้งเฟยกับหลี่ฮุ่ยจือมาด้วยกัน อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่คุณชายเสิ่นกลับมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาจึงนึกสงสัย สหายของเขาบอกเพียงว่าเหตุการณ์ที่ตรอกซีหมานคราวก่อนเสิ่นจิ้งเฟยตกลงมาเที่ยวกับหลี่ฮุ่ยจือ ไป๋ผูอวี้ได้แต่คิดว่าคุณชายเสิ่นบ้าไปแล้วหรือ คิดสิ่งใดอยู่ หลังจากการพบเจอกับสหายจบลง เขาก็เจอกับหยางชวีผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟย คนผู้นั้นยอมออกปากขอความช่วยเหลือจึงได้รู้ว่าซูเหลียนฮวามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

นางเป็นศิษย์น้องของเขา บุรุษหนุ่มจึงรู้ดีว่านางมีนิสัยแปลกประหลาด หากชอบบุรุษคนไหนแล้วนางจะใช้วิชาสกัดจุดจับหิ้วกลับเรือนทันที เสิ่นจิ้งเฟยเป็นบุรุษรูปงาม น่าจะเข้าตานาง เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องยุ่ง จึงตามมาดู ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้ามาเจอเสิ่นจิ้งเฟยในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเช่นนี้ 

“ข้าจะพาท่านกลับจวน”ไป๋ผูอวี้ไม่รอช้าคว้าตัวเสิ่นจิ้งเฟยพาดบ่าทันที ‘ตัวเบาเช่นนี้ สกุลเสิ่นไม่มีข้าวให้เจ้ากินหรือ’ไป๋ผูอวี้คิดอยู่ในใจ จื่อฟางเม้มปากเมื่อได้กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย กลิ่นชาอ่อนๆ ‘หอมมาก’ รู้สึกว่าอยากสูดดมยิ่งนัก เขารีบสั่นศีรษะไปมาทันที คิดอะไรอยู่เนี่ย 

“ข้าเป็นคนช่วยเขาไว้ เขาต้องเป็นของข้าสิ”ซูเหลียนฮวาเอ่ยหลังจากเฝ้าดูอยู่นาน นางแค่เพียงแกล้งพูดไปเช่นนั้น นางไม่เคยเห็นคุณชายไป๋เอาตัวมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่น โดยเฉพาะเสิ่นจิ้งเฟยผู้นี้ ช่วงที่นางอยู่หลานโจว ศิษย์พี่รองมักเขียนจดหมายมาบ่นให้นางฟังเสมอว่ามีคุณชายไม่เอาไหนคนหนึ่งมาก่อกวนโรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อย ๆ แต่คุณชายไป๋กลับช่วยเขา แสดงว่าไม่ได้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยเป็นศัตรู

“ของเจ้าหรือ? เจ้าเป็นหญิง พูดจาเช่นนี้ไม่เหมาะ”ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว สีหน้าซับซ้อนแปลไม่ออก

“ไม่ใช่ของข้าก็ได้ แต่ข้าหมายตาเขาไว้แล้ว”ซูเหลียนฮวายิ้มกว้าง คุณชายไป๋ช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย 

“เจ้าชมชอบบุรุษที่ไม่ใช่บุรุษเช่นนี้ด้วยหรือ”ไป๋ผูอวี้กล่าว

“ไป๋ผูอวี้…”จื่อฟางพลันโกรธ กล้าดียังไงมาว่าเขา บุรุษที่ไม่ใช่บุรุษเหรอ ดูถูกกันเกินไปแล้ว

“เจ้าจัดการที่เหลือก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่ง นางจึงแสร้งย่อกายคาราวะด้วยท่าทางอ่อนช้อย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้พาเขาออกไปทางประตู แต่เดินไปที่หน้าต่างแทน จื่อฟางเบิกตากว้างเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

“จะกระโดดลงไปเหรอ นี่มันชั้นสองนะ”เขาพึมพำไม่มีแรงโวยวายแล้ว เด็กหนุ่มหันไปเห็นซูเหลียนฮวาออกแรงอุ้มหลี่ฮุ่ยจือด้วยท่าทางทะมัดทะแมงก็ได้แต่จ้องมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“ด้านนอกยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลี่ฮุ่ยจือ อีกอย่างท่านคงไม่อยากออกไปด้วยสภาพเช่นนี้กระมัง”บุรุษหนุ่มเอ่ยพูดพลางเปิดบานหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกดำสนิท เขากวาดตามองอย่างระมัดระวังพบว่าในตรอกใกล้ๆไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมาจึงเตรียมตัวกระโดดลงไป จื่อฟางรีบหลับตาทันที รับรู้ว่าไป๋ผูอวี้กระโดดลงไปด้วยความชำนาญ สายลมพัดผ่านใบหน้า รับรู้ว่าเท้าของไป๋ผูอวี้สัมผัสกำแพงของหอเหม่ยซิ่วอย่างนุ่มนวล จื่อฟางจึงลืมตาเมื่อรู้สึกว่าลงมาอยู่บนพื้นดินแล้ว ไป๋ผูอวี้มีสมกับเป็นพระเอกจริง ๆ เทียบกับเสิ่นจิ้งเฟยแล้วคนละชั้นกันเหลือเกิน คนเขียนนิยายเรื่องนี้ลำเอียงเกินไปแล้ว ไป๋ผูอวี้โผล่ทีไรต้องได้ฉากเท่ๆทุกที เขาเงยมองหน้าต่างของหอเหม่ยซิ่ว ซูเหลียนฮวามองส่งก่อนปิดหน้าต่าง

“ท่านไม่ควรออกมากับหลี่ฮุ่ยจือ ถ้าหากไม่ได้ซูเหลียนฮวา ท่านจะเป็นเช่นไร”เจ้าโง่ขนาดนี้เลยหรือ เขาคิดอยู่ในใจ เดินนำร่างของคุณชายเสิ่นไปที่รถม้าคันเล็กที่จอดรออยู่ในตรอก

“ข้าไม่มีทางเลือก”จื่อฟางเถียง เพราะน้ำเสียงของไป๋ผูอวี้เหมือนกำลังตำหนิตนอยู่ อากาศเย็นๆด้านนอกยิ่งทำให้ร่างกายของจื่อฟางร้อนระอุ ไปผูอวี้เดินมาถึงรถม้า

ตุบ

เขาวางเสิ่นจิ้งเฟยลงบนพื้นรถอย่างไม่เกรงใจ ไปผูอวี้เคาะผนังบอกคนขับรถม้าให้ออกตัว จื่อฟางเจ็บตัวไปหมด ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ไปผูอวี้ให้เขานั่งพื้นเหมือนบ่าวไพร่ชัดๆ แต่รถม้าคันนี้แคบมาก เขาจึงไม่ได้ขยับไปนั่งบนที่นั่ง รถม้าแล่นโขยกเขยกไปตลอดทาง เขารู้ว่าฤทธิ์ยายังไม่ได้ถูกขับออกจากร่างกายจึงนั่งงอตัวป้องกันไม่ให้มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้น ยังดีที่หลี่ฮุ่ยจือไม่ได้ใช้ยารุนแรง ไม่เช่นนั้นเรื่องราวคงเปลี่ยนแน่ๆ พูดถึงหลี่ฮุ่ยจือ คนผู้นั้นจะว่าอย่างไรหากตื่นมาเจอองครักษ์ตัวเองนอนสลบอยู่ในห้อง 

“ท่านทรมานมากหรือ”ไป๋ผูอวี้ถาม จ้องมองเสิ่นจิ้งเฟยที่นั่งงอตัวเอาหน้าซุกเข่าเหมือนเจ็บปวดหนักหนา ร่างนั้นไม่ตอบ

“ข้ามีวิธีทำให้ท่านหาย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้าๆ จื่อฟางหันมองอย่างงุนงง

“ท่านหมาย…”ไป๋ผูอวี้ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เอื้อมมือไปบีบส่วนนั้นของร่างบางเต็มแรง

 “อ๊ากกกก”เสียงร้องของเสิ่นจิ้งเฟยดังลั่นรถม้า ทำเช่นนี้คงไม่รู้สึกอะไรแล้วกระมัง เขายิ้มด้วยความขบขัน

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”จื่อฟางหน้าแดงก่ำหันไปด่าอย่างเจ็บปวด ถ้าหากใช้การไม่ได้อีกจะทำอย่างไร! ไป๋ผูอวี้เพียงหลับตานั่งนิ่งเป็นท่อนไม้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กว่าจะถึงจวนเสนาบดีเขาก็ก่นด่าไป๋ผูอวี้อยู่ในใจจนนับไม่ถ้วน

“คุณชาย!”จางต้าวิ่งมาหาเมื่อเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าจวน แปลกใจอยู่บ้างที่เห็นไป๋ผูอวี้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ บุรุษหนุ่มชี้ไปด้านใน จางต้าจึงเปิดบานประตูรีบเข้าไปหาคุณชายเสิ่นที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพที่ดูไม่ดีนัก ทำให้บ่าวคนสนิทถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่

“คะ คุณชาย ไยท่านเป็นเช่นนี้ ท่านโดนหลี่ฮุ่ยจือเปิดบริสุทธิ์แล้วหรือ”

“เจ้าบ้า!”จื่อฟางถลึงตาใส่ อยากเตะจางต้าให้กระเด็น ดูพูดเข้าสิ

“พาข้าเข้าไปในจวน”เขาโกรธจนพูดไม่ออก จางต้าพยักหน้ารัวๆ

“ข้าว่า…”เขากำลังจะบอกว่าขี่หลังสะดวกกว่าแต่จางต้ารีบคว้าตัวเขาพาดบ่า คนพวกนี้เห็นเขาเป็นกระสอบข้าวแล้วหรือ

“คุณชายไป๋ ขอบคุณท่านมาก”จางต้านำคุณชายลงมาจากรถม้า ไป๋ผูอวี้เพียงพยักหน้าเท่านั้น สีหน้ายังคงเป็นเช่นเดิม จื่อฟางเงยมองเห็นว่าแววตาของไป๋ผูอวี้มีแววขบขัน ก็ได้แต่สบถอยู่ในใจ จางต้าพาเขาเข้ามาในห้อง ตอนนี้จื่อฟางรู้สึกอ่อนเพลียและยังเจ็บที่ส่วนนั้นอยู่บ้าง ไป๋ผูอวี้นะไป๋ผูอวี้ เห็นเขาเป็นตัวตลกหรือไง   

“หยางชวีไปไหน”จื่อฟางถามเมื่อไม่เห็นผู้ติดตามหน้านิ่งที่ปกติจะต้องมายืนขมวดคิ้วใส่เขาแล้ว หรือจะไปคุยกับซูเหลียนฮวา   

“เขาออกไปนอกจวนยังไม่กลับมาเลยขอรับ”จางต้าช่วยคุณชายถอดชุด กวาดตาสำรวจดูว่าคุณชายมีร่องรอยผิดปกติอะไรหรือไม่นอกจากกลิ่นสุราแล้วก็ไม่มีสิ่งใด บ่าวไพร่ในเรือนรีบยกถังน้ำเข้ามา 

“ท่านพ่อยังไม่กลับหรือ”จื่อฟางเอ่ยถาม รีบลงไปแช่น้ำ สาวใช้นามว่าอี้เหมยเข้ามาปรนนิบัติตามปกติ ตอนนี้จื่อฟางสงบลงแล้ว น้ำเย็นๆช่วยให้เขาผ่อนคลาย จางต้าอยู่นอกฉากกั้นระหว่างที่ตอบคำถามของคุณชาย 

“คืนนี้นายท่านไปค้างคืนที่จวนใต้เท้าเฉินฉางเซียงขอรับ”

“ใต้เท้าเฉินฉางเซียง…”จื่อฟางทวนอย่างนึกไม่ออก ใครอีกเนี่ย

“ท่านลืมแล้วหรือ ใต้เท้าเป็นสหายเก่าของท่านปู่ของคุณชาย เขาอาศัยอยู่นอกเมืองเคยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักมาก่อน นายท่านอยากให้เขามาช่วยสอนหนังสือท่าน”

“อ้อ…เช่นนี้เอง”เขาเอนพิงถังน้ำ จ้องหน้าสาวใช้จนนางหน้าแดงก่ำ จื่อฟางยังปวดส่วนนั้นอยู่ ไม่มีอารมณ์แล้ว อีกอย่างเขาจะไม่เรียกสาวใช้ในเรือนมาปรนนิบัติ เขาจึงโบกมือไล่นางออกไป จุ่มหน้าลงไปน้ำเย็นๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อนึกอะไรออก

“จางต้า”เขาเรียก

“คุณชายมีอะไรหรือ”เสียงของบ่าวใช้ยังดังอยู่นอกฉากกั้น

“เจ้าแน่ใจนะว่าท่านพ่อไม่ได้แอบเลี้ยงดูอนุนอกบ้าน”อยู่ๆก็กลัวขึ้นมา

“คุณชายไยคิดเช่นนั้น….”แต่น้ำเสียงของจางต้ามีบางอย่างที่ทำให้จื่อฟางไม่สบายใจ จริงๆแล้วเขากลัวมาก กลัวว่าเสิ่นมู่หยางจะแอบมีอนุ หากเสนาบดีเสิ่นอยากได้บุตรชายอีกคนขึ้นมาเล่า จะเป็นเช่นไร บุตรชายไม่ได้เรื่องอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะตกกระป๋องหรือไม่

“คุณชายอย่าคิดมากเลยขอรับ นายท่านรักเอ็นดูคุณชายมาก…ท่านคงไม่รู้ ใต้เท้าเฉินเป็นคนคุยยาก นายท่านกลับแวะไปหาบ่อยๆก็เพราะอยากได้เขามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้คุณชาย”จางต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จื่อฟางถอนหายใจ เขาเคยคิดว่าแค่ใช้ชีวิตในโลกนี้ไปเรื่อย ๆโดยไม่ต้องคิดอะไร แต่ตอนนี้คงไม่ได้แล้ว เขาจะได้กลับไปโลกเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ หากต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอด เขาก็ต้องวางแผนให้ดีว่าจะเอายังไงกับชีวิต
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสาม: เรื่องราวที่ไม่ได้กล่าวถึง P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 04-02-2018 16:13:59
 

~•~

เช้าวันรุ่งขึ้นจื่อฟางป่วยนอนซมอยู่บนเตียงเพราะเมื่อวานแช่น้ำเย็นนานไปหน่อย ท่านหมอกู้ผู้ประจำสกุลเสิ่นมาตรวจดูอาการของเขา ให้ยาถอนพิษเพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดยังค้างอยู่ในร่างกาย แถมยังห้ามเขาแตะต้องจื่อฟางน้อยไปสักพักเพราะมีอาการบวมจากแรงบีบของไป๋ผูอวี้ เจ้านั่นทำกับเขาแสบมาก!

“ท่านหมอกู้ ท่านแค่บอกท่านพ่อก็พอว่าข้าป่วย เข้าใจหรือไม่ ถือว่าข้าขอ”จื่อฟางไม่อยากให้เสิ่นมู่หยางรู้ว่าหลี่ฮุ่ยจือวางยาตน เรื่องเมื่อคืนจึงสั่งบ่าวไพร่ในจวนห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปเด็ดขาด

“คุณชาย ข้าเองก็ลำบากใจ”ท่านหมอถอนหายใจ หยางชวีที่ยืนฟังมานานจึงพูดจาขู่ไปเล็กน้อย ท่านหมอถึงได้ยอมตกลงรับปาก หมอกู้ออกไปได้ไม่นานเสิ่นมู่หยางก็เข้ามาดูด้วยใบหน้ากังวล

“ข้าแค่เป็นไข้หวัดธรรมดา ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก”จื่อฟางพูดให้เสิ่นมู่หยางคลายใจ ทั้งๆที่ต้นเหตุจริงๆไม่ได้ป่วยเพราะไข้หวัด 

“ข้าไปคุยกับใต้เท้าเฉินมาแล้ว อีกสองวันเขาจะมาสอนเจ้าและพักอยู่ที่จวนชั่วคราว เจ้าต้องทำตัวให้ดีเข้าใจหรือไม่ กว่าข้าจะเกลี้ยกล่อมใต้เท้าได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกล่ะ”เสิ่นมู่หยางมองบุตรชายที่นอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง เดิมทีเสิ่นจิ้งเฟยก็มีร่างกายบอบบางอยู่แล้ว พอป่วยจึงยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูซีดเซียวไปทันตา ทั้งที่วันก่อนยังดูมีน้ำมีนวลอยู่เลย

จื่อฟางมองใบหน้าอิดโรยของเสิ่นมู่หยางแล้วก็ได้แต่เห็นใจ “ได้ ข้าจะตั้งใจ ไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวังแน่นอน”เขาพูดให้เสนาบดีเสิ่นมั่นใจ ถึงไม่รู้ว่าสมองของเขาจะรับความรู้ได้แค่ไหน เสิ่นมู่หยางกำชับจางต้าและหยางชวีให้ดูแลเขาให้ดี หยางชวีรู้สึกผิดมากที่ต้องโกหกนายท่านเรื่องคุณชาย แต่ครั้งนี้คุณชายเสิ่นพูดถูก คุณชายเสิ่นกลัวว่านายท่านจะพลอยมีปัญหากับอัครเสนาบดีหลี่ไปด้วย หยางชวีแปลกใจนักที่เสิ่นจิ้งเฟยคิดได้เช่นนี้

อีกเรื่องที่เขากังวลคือนางมารหมื่นพิษซูเหลียนฮวา นางยอมช่วยคุณชายเสิ่น แสดงว่านางคงถูกใจคุณชายเข้าแล้ว หยางชวีเคยรู้จักกับนางมาระยะหนึ่งตอนที่ติดตามศิษย์พี่หานตงไปหลานโจวเมื่อปีกลาย เขากลุ้มใจแทนคุณชายนัก ทั้งเรื่องซูเหลียนฮวาและหลี่ฮุ่ยจือ แต่ฝ่ายนั้นคงไม่กล้าเข้ามายุ่งไปสักระยะ   

จื่อฟางไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องจึงไปนั่งวาดภาพอยู่ที่ศาลาในสวน วันนี้เขาตั้งใจวาดภาพนกกระเรียนหนึ่งตัวในหมู่ต้นสนลงบนพัดกระดาษ เพื่อเป็นคำขอบคุณสำหรับไป๋ผูอวี้ ถึงแม้ยังเหม็นหน้า แต่เรื่องที่ต้องขอบคุณก็ต้องขอบคุณ ส่วนซูเหลียนฮวา…นางเป็นคนที่แปลกมาก ยามนี้นางไม่ได้เป็นหญิงคณิกาของหอเหม่ยซิ่วแล้ว แต่นางย้ายไปอยู่หอผูเยว่แทน   

“คุณชายฝีมือเยี่ยมมาก”จางต้าเอ่ยชมระหว่างที่ฝนหมึกให้เขา คุณชายเขียนตัวอักษรประหลาดๆลงบนพัดใต้รูปวาดเหมือนเป็นการลงชื่อ แต่บ่าวคนสนิทไม่เคยเห็นตัวอักษรเช่นนี้มาก่อน หยางชวียืนมองอยู่เงียบๆเช่นเคย คุณชายมีฝีมือในการวาดภาพพู่กันจีน แต่ยังไงตนก็ไม่เคยเห็นคุณชายแตะ


  หยางชวีไม่กล้าถามจึงทำเป็นลืมเรื่องคราวก่อนไป แต่สักวันเขาต้องหาคำตอบให้เจอ

จื่อฟางวางพู่กันลง เขาเขียนชื่อของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษลงลายเซ็นใต้ภาพไปด้วย ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดอ่านออก เขาเป่าหมึกให้แห้ง ก่อนวางพัดลงในกล่อง ชะงักไปเล็กน้อย คิดไปคิดมา ใช่ว่าใส่ใจเกินไปหรือไม่

“หยางชวี ให้ห้องครัวหาชาชั้นดีส่งไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อก็พอ”จื่อฟางได้แต่ถอนหายใจ




หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-02-2018 16:46:35
ชีวิตนายเอกช่างยากจริง
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-02-2018 17:48:46
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-02-2018 20:21:55
มาต่อแล้ว ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 04-02-2018 20:58:04
ชีวิตช่าง..... :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 04-02-2018 21:14:36
เป็นที่ถูกใจใครหลายคนจริงๆน้าาา เนื้อหอมนะเรา 5555555
รอติดตามนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 04-02-2018 21:16:14
บทพระรองหรือบทนายเอกจ๊ะ o18 แหมมม นึกว่าโดนยาปลุกกำหนัดเข้าไปพระเอกจะช่วยถอนฤทธิ์ยาโดยใช้เรือนร่างตัวเองที่ไหนได้บีบ...ซะระบมเลย :laugh: โหดร้ายมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 04-02-2018 21:45:15
อยากอ่านเยอะๆจังเลยยยย สนุกค่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 04-02-2018 22:22:58
อยากอ่านเยอะๆๆๆๆ  ขอแบบรัวๆ o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 04-02-2018 23:44:57
รอตอนต่อไปค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-02-2018 00:27:48
เริ่มจะไม่ชอบไป๋แล้ว มาบีบชายน้อยของฟางได้ลงคอ  :m16:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-02-2018 06:13:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 05-02-2018 06:30:35
เรื่องนี้สนุกมากค่ะอ่านวางไม่ลงเลย ขำวิธีถอนพิษกำหนัดบีบจนจุกเลยอ่ะ 5555  นี่ไม่ใช่พระรองแลนนายเอก เป็นที่หมายปองซะเหลือเกินนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-02-2018 15:18:10
สนุกมากกกกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

สงสาร.....จื่อฟางน้อย.....
ตอนที่โดนไป๋บีบ คงใหญ่แล้วละ  :hao5: :sad4:  :o12:
โถๆๆๆ.......จื่อฟางต้องบีบไป๋น้อยเอาคืนบ้างนะ จะได้แฟร์ๆ
อยากอ่านต่ออีกแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 05-02-2018 17:34:59
บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท! (อะไรนะ?)



สองวันที่เหลือก่อนที่เฉินฉางเซียงจะมาสอนหนังสือ จื่อฟางจึงถือโอกาสใช้เวลาว่างนั่งรถม้าตระเวนไปตามถนนตรอกซอกซอยสำคัญๆเพื่อเขียนแผนที่เมืองไว้ แม้จางต้าและหยางชวีจะไม่เข้าใจว่าคุณชายทำไปเพื่ออะไรแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเพราะพวกเขาเริ่มชินกับนิสัยแปลกๆของคุณชายไปแล้ว รถม้าแล่นมาถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อทำให้จื่อฟางนึกถึงไป๋ผูอวี้ขึ้นมา เขาจึงตะโกนบอกคนขับรถม้าอย่างไม่ทันได้คิด

“จอดก่อน”

“คุณชาย…?”หยางชวีเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เสิ่นจิ้งเฟยนิ่งไปเล็กน้อยก่อนยกยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าเห็นข้าเป็นตัวก่อเรื่องหรือ”จื่อฟางขมวดคิ้วใส่ เขาแค่แวะมาหาไป๋ผูอวี้เท่านั้น

“ข้าเชื่อท่านได้แค่ไหนกัน”จางต้าพึมพำเสียงอ่อย คนทั้งฉางอันก็เห็นท่านเป็น‘ตัวก่อเรื่อง’ทั้งนั้น เขาได้แต่คิดอยู่ในใจ แต่ยังมีหยางชวีหากเกิดเรื่องก็ให้เจ้านั่นรับผิดชอบก็แล้วกัน

“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยกลัวว่า…”หยางชวีเอ่ยแทรกด้วยท่าทางลำบากใจ แค่ปกปิดนายท่านเรื่องหลี่ฮุ่ยจือเขาก็รู้สึกผิดมากแล้ว จางต้าได้แต่ส่งสายตาให้หยางชวียอมๆคุณชายไปเถอะ

‘ดูนายบ่าวคู่นี้….’หยางชวีถอนหายใจ จื่อฟางเลิกม่านมองออกไปเห็นเว่ยหลงยืนอยู่หน้าร้าน เมื่อเห็นเขามองมาจากในรถม้าเจ้าตัวก็ตีหน้าเรียบเฉย ผู้คนที่เดินสวนไปมาต่างก็คิดว่าวันนี้จะได้ชมเรื่องสนุกอีกหรือไม่ คุณชายเสิ่นมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อทีไรเป็นต้องหาเรื่องสกุลไป๋ทุกทีทั้งที่มักจะแพ้กลับไปเสมอ จื่อฟางยิ้มอย่างรู้สึกขำที่เห็นเว่ยหลงทำท่าทีเช่นนั้น เขาปิดม่านแต่ก่อนที่จะลงจากรถม้าก็หันไปถามหยางชวีเหมือนเพิ่งนึกได้   

“เจ้ากับเว่ยหลงต่างก็มีฝีมือด้วยกันทั้งคู่ หากสู้กันใครเป็นฝ่ายชนะหรือ”จากสายตาของจื่อฟาง ทั้งคู่มีจุดได้เปรียบต่างกัน เว่ยหลงตัวใหญ่แข็งแรง หยางชวีคล่องแคล่วว่องไว

ดูเหมือนคำถามของเขาจะยากเกินไปเพราะหยางชวีเงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “ตอบยากขอรับ แต่ข้าน้อยคิดว่าสูสี”หยางชวีไม่จำเป็นต้องบอกว่าเคยประมือกับเว่ยหลงมาแล้วเมื่อตอนปีนั้นที่ไปหลานโจว ครั้งก่อนเขาแพ้ก็เพราะนางมารหมื่นพิษซูเหลียนฮวาเข้ามาวุ่นวาย แต่หากได้ประมือกันอีกจริง เขาไม่ออมมือแน่

จื่อฟางมองสีหน้าที่เคยไร้อารมณ์ของหยางชวีเปลี่ยนเป็นซับซ้อนก็แปลกใจ ‘หรือหยางชวีเคยรู้จักกับเว่ยหลง’ถึงจะดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ไม่แน่ เจ้าคนหน้าตายยังรู้จักกับซูเหลียนฮวาเลย จื่อฟางจัดเสื้อให้เรียบร้อยก่อนก้าวลงจากรถม้า วันนี้เขาสวมชุดสีเทาคอเสื้อไขว่ทับปักลาย ผ้าคาดเอวสีเขียวขี้ม้าอ่อนๆ ทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกัน ดูไปเหมือนบัณฑิตผู้แก่เรียน เขาต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตนเอง

“คุณชายเสิ่น”เว่ยหลงทำหน้าตายเมื่อเห็นเขาเข้าไปใกล้ ยืนขวางอยู่หน้าประตูร้าน

“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเมินเฉยสีหน้าไม่ต้อนรับของอีกฝ่าย

“คุณชายไม่อยู่ ออกไปกับคุณหนูฉิน”เว่ยหลงจงใจบอก หัวเราะเยาะอยู่ในใจที่เห็นคุณชายเสิ่นชะงักไป แต่ไม่นานเจ้าตัวก็เปล่งเสียงหัวเราะฮ่าๆไม่เป็นธรรมชาติออกมา จางต้าลอบสบตากับหยางชวี ดูเหมือนคุณชายของเขาจะไม่มีหวังแล้ว

“อา อย่างนั้นหรือ”จื่อฟางได้แต่โบกพัดกลบเกลื่อน เขาตั้งใจแวะมาหาไป๋ผูอวี้ พอได้ยินเช่นนี้จึงผงะไปบ้าง หึ ไป๋ผูอวี้ ทำได้ไม่เลวจริงๆ ไม่เลวๆ แต่ลึกๆแล้วกลับไม่อยากให้พระเอกนางเอกสมหวังกันนัก 

“คุณชายเรากลับกันเถอะ”จางต้าเอ่ยเบาๆเมื่อเห็นคุณชายของตนยังคงยืนนิ่งอยู่ แต่เรื่องอะไรจื่อฟางต้องกลับแค่เพราะไป๋ผูอวี้ไม่อยู่ เขาฉีกยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้าวเข้าไปในร้าน แต่เว่ยหลงกลับไม่ยอมให้เขาเข้าไป 

“เจ้าทำอะไร หลีกไป”เขาเอาพัดโบกไล่อย่างหงุดหงิด

“คุณชายเสิ่น หากท่านมาก่อกวน ข้าไม่ไว้หน้าท่านแน่”ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆต่างก็หันมามองเป็นตาเดียวด้วยความสนใจ อารมณ์หงุดหงิดใจของจื่อฟางเปลี่ยนเป็นโมโหทันที เจ้าบ้านี่กล้าดียังไงมาขวาง แล้วยังพูดจาไม่เกรงกลัวกันอีก แม้แต่ข้ารับใช้ยังกล้าหือกับเขา ใครจะเกรงกลัวสกุลเสิ่น วันนี้เขาจะสอนให้เว่ยหลงรู้ฐานะของตัวเองซะบ้าง

“ข้าจะเข้าไปดื่มชาก็ยังไม่ได้หรือ เพิ่งรู้ว่าโรงน้ำชาหลิวซื่อเลือกลูกค้าด้วย”จื่อฟางตั้งสติได้ก็เคาะพัดกับฝามือด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ใครก็ฟังออกว่าเว่ยหลงไม่ต้องการให้เขามาที่นี่

“ท่านก็น่าจะรู้ตัวกระมังว่าข้าหมายความว่าอย่างไร คุณชายเสิ่น”เว่ยหลงตอบด้วยเสียงสุภาพ ทุกครั้งที่เจอคุณชายผู้นี้ ความอดทนของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ

“จุ๊ๆ เว่ยหลง เจ้าเป็นเพียงผู้ติดตามของไป๋ผูอวี้กล้าดียังไงมาพูดจากับข้าเช่นนี้”จื่อฟางพูดเสียงเข้มด้วยท่าทางจริงจัง จางต้าได้แต่เบิกตาโต ไม่เคยเห็นคุณชายใช้อำนาจกับสกุลไป๋มาก่อน

“ท่านก็แค่เต่าในกระดอง อาศัยอำนาจบิดาเท่านั้น”เว่ยหลงรู้ดีว่าตนไม่มีสิทธ์กล่าววาจาเช่นนี้กับบุตรชายสกุลเสิ่นแต่ก็อดไม่ได้ ปากมักไวกว่าความคิดเสมอ หากเป็นแต่ก่อน เสิ่นจิ้งเฟยคงกระทืบเท้าเร่าๆเหมือนเด็กแล้ว แต่จื่อฟางไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจจึงแค่ไหวไหล่อย่างไม่สนใจเท่านั้น คนที่ทนคำพูดเหยียดหยามไม่ได้กลับเป็นหยางชวี ถึงอย่างไรคุณชายเสิ่นก็เป็นนายของเขา

“แต่เจ้าคงรู้กระมังว่ากระดองของเต่าตัวนี้แข็งแรงนัก เว่ยหลง”หยางชวีโผล่เข้ามาด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึกเช่นเคย จื่อฟางหันมองอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าหยางชวีจะมาช่วยพูด ปกติหมอนี่มักคอยห้ามนู่นห้ามนี่เสมอ เว่ยหลงขมวดคิ้ว ปรายตามองหยางชวี ประมือกันไปคราวนั้น เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือไม่ธรรมดา บรรยากาศจึงเริ่มตึงเครียด ผู้ติดตามฝีมือดีทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ผู้ใดจะชนะเล่า ชาวบ้านจึงหันมองอย่างสนใจ

“อะแฮ่ม”จื่อฟางกระแอมขัดบรรยากาศตึงเครียด เว่ยหลงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ตอนอ่านนิยายเขานึกภาพไม่ออกว่าเว่ยหลงน่ากลัวแค่ไหน แต่พอได้เห็นกับตาจื่อฟางก็ขนลุกเกรียวจนเผลอก้าวถอยหลัง

“เรื่องครั้งก่อนคุณชายของข้าช่วยท่านไว้ ท่านยังไม่สำนึกบุญคุณอีกหรือ”เว่ยหลงไม่เบาเสียงลงแม้แต่น้อย ไป๋อู่เหยียนตรวจใบชาอยู่ด้านในได้ยินเต็มสองหูจึงไม่กล้าเพิกเฉยอีก ด้วยกลัวว่าเรื่องราวจะบานปลาย เขาจึงรีบออกมารับหน้าทันที

“คุณชายเสิ่น เชิญท่านเข้ามาด้านในเถอะ”ไป๋อู่เหยียนไม่เหมือนเว่ยหลง เขายอมโอนอ่อนไปตามสถานการณ์ได้ สิ่งไหนยอมได้ก็ยอม หากมิรู้จักก้มหัวภัยคงมาถึงตัว แต่เว่ยหลงเป็นเด็กกำพร้าที่มีนิสัยแข็งกระด้าง เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เขาพร่ำบอกไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าอย่าล่วงเกินพวกสกุลใหญ่ลูกขุนนางทั้งหลาย หากไม่มีไป๋ผูอวี้คอยตักเตือนคงเจอเรื่องลำบากไปนานแล้ว เขาเห็นเว่ยหลงเสมือนคนในสกุลไป๋ที่ชุบเลี้ยงมาเองกับมือ จึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เถ้าแก่ไป๋ถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะเคยรู้จักกับเสิ่นฉินอี้ บิดาของเสิ่นมู่หยาง แต่นั่นก็เกือบสิบกว่าปีมาแล้ว

“เงียบซะ”ไป๋อู่เหยียนหันไปกระซิบดุกับเว่ยหลง ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ ถึงแม้คุณชายเสิ่นตรงหน้าจะมีลักษณะคล้ายกับเสิ่นฉินอี้ท่านปู่ของอีกฝ่ายที่ตนเคยรู้จัก แต่นิสัยกลับไม่เหมือนแม้แต่นิด บุตรชายอย่างเสิ่นมู่หยางยิ่งไม่มีส่วนไหนคล้าย จึงแน่ใจว่าหากเรื่องบานปลายคงไม่จบดี

“ข้ารับใช้ของท่านไม่เกรงใจข้าแม้แต่น้อย เถ้าแก่ไป๋จะจัดการเขาอย่างไรหรือ”จื่อฟางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงมีคุณธรรม เขามาจากยุคสมัยใหม่ถึงจะไม่ชอบใจระบบศักดินา แต่ในเมื่อเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้วก็ต้องทำตามไปโดยปริยาย เว่ยหลงเทียบอะไรกับคุณชายเช่นเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ลากไปทุบตีก็ไม่ผิด แต่จื่อฟางไม่ใช่คนใจคอโหดร้าย ตอนแรกตั้งใจจะมาหาไป๋ผูอวี้ แต่ดูสิ เว่ยหลงกลับทำเสียเรื่องหมด 

“ข้าต้องขออภัยคุณชายด้วย เว่ยหลงมีนิสัยเช่นนี้ทำอย่างไรก็แก้ไม่หาย ขอคุณชายอย่าถือสา”ไป๋อู่เหยียนรีบพูด รอยยิ้มอ่อนน้อมปรากฏบนหน้า เว่ยหลงหลุบตาต่ำ นายท่านไป๋ต้องพูดประจบเอาใจคุณชายไม่เอาไหนเช่นนี้ก็รู้สึกคับแค้นใจเหลือทน   

“นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านไยต้องขออภัย แต่เป็นเว่ยหลงต่างหาก”จื่อฟางหันมองเว่ยหลงที่ยืนก้มหน้าด้วยรอยยิ้ม หึๆ ดีจริงๆที่ไป๋ผูอวี้ไม่อยู่ เขาจะได้จัดการง่ายหน่อย แต่คนผู้นี้เหมือนม้าพยศไม่ยอมก้มหัวให้โดยง่าย เว่ยหลงกำมือแน่น   ไป๋อู่เหยียนเห็นดังนั้นก็กระแอมเบาๆเมื่อเห็นว่าเจ้าเว่ยหลงไม่มีทีท่าจะสำนึก

“ขออภัยที่ข้าต้องพูด เขาเป็นเพียงข้ารับใช้แต่กลับทำตัวโอหังเช่นนี้ ต้องโทษผู้ใดหรือ ดูท่าสกุลไป๋คงสั่งสอนเขาได้ไม่ดีพอ”คำพูดนี้คล้ายกับตบหน้าไป๋อู่เหยียนไปด้วย เว่ยหลงหน้าดำคล้ำทันที ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยอย่างขึงโกรธ ด่าว่าเขายังพอทนแต่นี่เสิ่นจิ้งเฟยกลับพูดจาดูหมิ่นสกุลไป๋เขาให้อภัยไม่ได้!

“เจ้าเต่าบัดซบ!”เว่ยหลงโกรธจนเส้นเลือดปูด

“ขอโทษคุณชายข้าเดี๋ยวนี้!”หยางชวีก้าวออกมาเหมือนรออยู่นานแล้ว จื่อฟางตกใจถอยไปหลายก้าว เว่ยหลงยิ้มมุมปากเมื่อเจอที่ระบายความโกรธแล้ว จึงพุ่งเป้าไปที่หยางชวีทันที จางต้ารีบพาคุณชายถอยออกมาให้พ้นการต่อสู้ของผู้ติดตามทั้งสองคน กระบวนท่าของเว่ยหลงดุดันมากเสียจนหยางชวีได้แต่ตั้งรับฝ่ายเดียว

“เจ้าว่าใครชนะ”ชาวบ้านรอบตัวเริ่มวางเดิมพัน จื่อฟางเม้มปากมองการต่อสู้ตรงหน้าอย่างลุ้นระทึกกลัวว่าหยางชวีจะแพ้ ไม่อย่างนั้นเขาคงขายหน้าไปด้วย หยางชวีเคลื่อนไหวหลบหลีกว่องไวจนเขามองแทบไม่ทัน จื่อฟางกำพัดในมือแน่น นี่มันเหมือนได้ดูหนังต่อสู้กำลังภายในชัดๆ การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เว่ยหลงพลิกกายหลบหลีก เจ้าหยางชวีฝีมือดีกว่าครั้งก่อนมาก

“คุณชายหลบมาทางนี้เถอะ เดี๋ยวจะโดนลูกหลงเอา”จางต้าเห็นคุณชายกำลังสนุกจึงเอ่ยเตือนเบาๆ แต่ในเวลานั้นเอง กำปั้นของเว่ยหลงก็พุ่งมาหาจางต้า เพราะหยางชวีใช้ฝามือปัดออก

“อ๊าก”จางต้าร้องเสียงหลงรีบก้มตัวหลบทันที ลืมไปว่าคุณชายอยู่ด้านหลัง เว่ยหลงยั้งมือไม่ทัน ได้แต่ออมแรงเท่าที่ทำได้ เสิ่นจิ้งเฟยถูกชกเข้าไปเต็มคาง ร่างผอมๆนั่นล้มไปกองกับพื้นโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เสียงฮือฮาดังอยู่รอบตัว เว่ยหลงชักมือกลับด้วยสีหน้าตกใจ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายคุณชายเสิ่นมาก่อนเพราะเขารู้ดีว่ายังไงสกุลเสิ่นก็มีอำนาจมาก

“คุณชาย!”จางต้ารีบเข้ามาพยุงคุณชายที่นั่งกองอยู่บนพื้น จื่อฟางหน้าชาไปหมด รสคาวเลือดอยู่ในปาก เขาสะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่ความมึนงง รู้สึกปวดแปลบที่ปลายคาง

“โอย…”เขาใช้มือจับปลายคาง น้ำตาคลอหน่วย กระดูกเขาจะร้าวหรือไม่ แม้เว่ยหลงจะออมแรงแล้วแต่ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยบอบบางมากเพราะถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แค่โดนหมัดชกเข้าที่ปลายคางก็ปากแตกเลือดไหลแล้ว เสียงซุบซิบดังหึ่งๆอยู่ทั่วท้องถนน พวกชาวบ้านเริ่มถอยห่างเพราะรู้ว่านี่ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ เสิ่นมู่หยางไม่เคยลงไม้ลงมือกับบุตรชายเลยสักครั้ง แล้วเว่ยหลงเป็นใครเล่า? หยางชวีใช้ความคล่องตัวกระแทกหมัดใส่ลิ้นปี่ของเว่ยหลงจนอีกฝ่ายชะงักถอยไปหลายก้าว ก่อนรีบวิ่งมาดูคุณชายเสิ่นทันที ร่างบางนั่งกองอยู่บนพื้น สองมือกุมคาง เลือดไหลเปื้อนชุดคลุมสีเทาจนเป็นด่างดวง หยางชวีสบถอยู่ในใจ ‘อย่าว่าแต่เว่ยหลง เช่นนี้ข้าไม่แย่ไปด้วยหรือ’

“คุณชายเสิ่น! ได้โปรดอภัยให้เว่ยหลงด้วย!”ไป๋อู่เหยียนรีบค้อมคำนับด้วยความหวาดกลัว คุณชายเสิ่นมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยครั้ง ทะเลาะกับเว่ยหลงจนเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่มีครั้งไหนถึงขั้นลงไม้ลงมือจนเลือดตกยางออกเช่นนี้ ได้ยินมาว่าเสนาบดีเสิ่นรักบุตรชายเพราะใบหน้าเหมือนภรรยาที่จากไป เว่ยหลงทำเช่นนี้ไม่แย่หรือ เถ้าแก่ไป๋เหลือบมองคุณชายที่หน้าซีดเผือดเลือดกบปากแล้วอยากจะร้องไห้ สกุลไป๋ถึงคราวแย่ก็คราวนี้กระมัง

“เจ้ามานี่!”ไป๋อู่เหยียนหันไปถลึงตาใส่เว่ยหลง เรียกให้เขามาคุกเข่าขอโทษ

“ข้าไม่เป็นไร”จื่อฟางพยายามพูด แต่ก็ต้องปวดแปลบ รับผ้าเช็ดหน้าที่จางต้ายื่นมาให้ซับเลือดที่ยังไหลไม่หยุด ไม่ว่าจะยุคนี้หรือยุคไหนจื่อฟางไม่เคยโดนต่อยมาก่อน อาการปวดร้าวที่ปลายคางทำให้เขาถึงกับน้ำตาไหล จางต้าเองก็ไม่เคยเห็นคุณชายมีสภาพย่ำแย่เช่นเดียวกัน จึงได้แต่ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดเลือดที่เปื้อนชุดของคุณชายด้วยความเจ็บปวดใจ หันไปมองเว่ยหลงที่คุกเข่าอยู่อย่างโกรธเคือง

“เจ้าโดนดีแน่!”เขาขู่ฟ่อ จื่อฟางไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้ อยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา หรือนี่คือบทที่กำหนดมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็กลายเป็นเรื่องแย่ทุกที หยางชวีประคองคุณชายเสิ่นที่มีใบหน้าซีดเผือดด้วยความกังวล คงไม่ใช่ตกใจจนวิญญาณหลุดไปแล้วกระมัง

“คุณชาย เหตุใดท่านไม่หลบ หมัดตรงมาเข้าหน้าท่านแท้ๆ”ถ้าเป็นเวลาปกติหยางชวีคงหัวเราะไปแล้ว แต่ครั้งนี้เขาอาจเดือดร้อนไปด้วยเพราะดูแลคุณชายไม่ดี 

“ข้าหลบทันที่ไหน ทำได้คงหลบไปแล้ว”จื่อฟางถลึงตาใส่ ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่แต่สีหน้านิ่งเฉยของอีกฝ่ายคล้ายแฝงแววขบขัน

“คุณชาย ให้อภัยเขาด้วยเถอะ”ไป๋อู่เหยียนก้มหัวขอร้อง 

“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยขออภัยจริงๆ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของข้าน้อยเพียงคนเดียว หากจะลงโทษก็ลงโทษข้าเพียงคนเดียวเถอะ”เว่ยหลงก้มศีรษะคุกเข่าขอโทษ เขารู้ดีว่าครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คุณชายเสิ่นต้องไม่ใจอ่อนแน่ จึงกลั้นใจกลืนคำว่าศักดิ์ศรีลงคอโขกศีรษะเสียงดัง จื่อฟางใจหล่นวูบ เขาเกลียดไอ้การโขกศีรษะบ้าบอเหลือเกิน จึงรีบสะบัดมือ

“ช่างเถอะ เจ้าลุกขึ้น ข้าไม่เอาเรื่อง”จื่อฟางตอบด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะปวดกราม มือที่ซับเลือดสั่นน้อยๆ เขาอยากกลับจวนแล้ว ในสายตาของผู้คนรอบข้างมองเขาอย่างไม่เชื่อถือนัก กลับเข้าใจไปว่าเขาเพียงพูดไปเช่นนั้น ปากบอกไม่เอาเรื่อง แต่ผู้เป็นบิดาจะยอมหรือ

จื่อฟางไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะสายตาที่แฝงความไม่ชอบหน้า จึงรีบเดินกลับไปที่รถม้า ในกลุ่มชาวบ้านมีหญิงงามสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้ายืนมองอยู่ด้วยสีหน้าอ่อนใจ 

‘ศิษย์พี่รอง ท่านยังคงอารมณ์ร้อนเช่นเคย หวังว่าเรื่องครั้งนี้คงเป็นบทเรียนได้บ้าง แต่เจ้าหยางชวีฝีมือไม่เลวเช่นเดิม’ ซูเหลียนฮวาจับจ้องเงาร่างของคุณชายเสิ่นในใจรู้สึกเสียดายที่ใบหน้างดงามต้องเป็นรอยฟกช้ำมีตำหนิ

‘เสิ่นจิ้งเฟย ทำให้ศิษย์พี่รองยอมคุกเข่าได้ ก็ถือว่ายังพอมีพิษสงอยู่บ้าง’ริมฝีปากอวบอิ่มฉีกเป็นรอยยิ้มพอใจ นึกไปถึงคุณชายไป๋ของนางที่ต้องติดแหง็กอยู่กับคุณหนูฉินแล้วก็ยิ่งพบว่าน่าหัวเราะ นางรู้ว่าคุณหนูฉินเซียงอินไม่ได้เรียบร้อยปานผ้าพับไว้แบบที่แสดงออก มีหรือที่นางจะมองไม่ออก

“คุณชาย ท่านพลาดฉากสนุกไปเสียแล้ว”

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 05-02-2018 17:36:54
  ~•~

กว่าจื่อฟางจะกลับถึงจวนใบหน้าซีดขาวของเขาก็ปรากฏรอยฟกช้ำ ริมฝีปากบวมเจ่อแล้ว สภาพของตนในตอนนี้คงไม่น่ามองนัก หากเสิ่นมู่หยางเห็นเข้าคงตกใจปรี่ไปเอาเรื่องเว่ยหลงแน่ เขาจึงหันไปทางหยางชวีแทน

“หยางชวี จวนมีทางเข้าอื่นหรือไม่”

หยางชวีขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนตอบ “มีขอรับ คุณชายคิดจะปิดเรื่องนี้ไว้หรือ ไม่ช้าก็เร็วนายท่านก็ต้องรู้อยู่ดี รอยฟกช้ำบนหน้าท่าน ใช่ว่าวันสองวันจะหาย”หยางชวีเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

“ข้ารู้ แค่ประวิงเวลาออกไปเท่านั้น พาข้าไปทางเข้าอื่น”จื่อฟางไม่อยากถกเรื่องนี้อีกจึงมองออกไปนอกหน้าต่างแทน อีกไม่นานคงถึงจวนเสนาบดีแล้ว

“ข้าน้อยจะพาท่านเข้าไปเอง ส่วนเจ้าพอถึงจวนแล้วก็ไปตามท่านหมอกู้มาดูคุณชาย”หยางชวีหันไปสั่งจางต้า ก่อนสั่งให้รถม้าจอดที่ข้างจวน จื่อฟางได้แต่สงสัยว่าหยางชวีคิดจะทำอะไร ได้แต่ลงจากรถม้าเงียบๆ

หยางชวีก้มตัวลง“คุณชายเกาะหลังข้าน้อยไว้แน่นๆ”

จื่อฟางตาโต หันมองจางต้าอย่างขอความเห็น “รีบๆเถอะคุณชาย”

เขาจำต้องขึ้นขี่หลังของหยางชวี ร่างกายของบุรุษผู้นี้แข็งแรงนักรับรู้กล้ามเนื้อของอีกฝ่ายได้ชัดเจน เมื่อเกาะมั่นเหมาะแล้ว หยางชวีก็ใช้วิชาตัวเบาพาเขาเข้าไปในจวนอย่างนุ่มนวล ดูแล้วฝีมือคงไม่ด้อยไปกว่าไป๋ผูอวี้ พูดถึงคนผู้นั้นแล้ว ป่านนี้คงรู้เรื่องแล้วกระมัง 

“ท่านรีบกลับไปที่เรือนของท่านเถอะ ข้าพาจางต้าเข้ามาแล้วจะไปดูนายท่านใหญ่ว่าอยู่หรือไม่”หยางชวีไม่รอให้เขาตอบก็รีบพุ่งตัวหายลับไปจากกำแพงจวน จื่อฟางยืนงงอยู่สักพัก เสิ่นมู่หยางต้องกลับมาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เขามองไปรอบ ๆพบว่าแถวนี้คือบริเวณเรือนของตัวเอง หยางชวีคิดอะไรรอบคอบไปหมด จื่อฟางก้มหน้าก้มตารีบเดินไปตามทางปูหินมุ่งหน้าสู่เรือน บ่าวไพร่เห็นคุณชายมีใบหน้าฟกช้ำ ริมฝีปากบวมก็ตกใจ เขาจึงสั่งให้หุบปากเงียบ ก่อนรีบเข้ามารอในห้องด้วยอาการวิตกจริต รอไม่นานหยางชวีก็ตามเข้ามา

“คุณชาย วันนี้นายท่านไม่กลับจวนขอรับ”ได้ยินอีกฝ่ายรายงาน จื่อฟางก็ทั้งโล่งอกทั้งแปลกใจ

“สอบถามพ่อบ้านสุ่ยได้ใจความว่านายท่านมีธุระกับใต้เท้าเฉิน”หยางชวีรายงานด้วยใบหน้าไม่แสดงความรู้สึก จื่อฟางพยักหน้าช้าๆ ในใจกลับรู้สึกผิดหวังแปลกๆ

“อ้อ…ดีแล้ว”เขากลืนคำว่าอีกแล้วหรือลงคอไป ไม่ใช่เวลามาตัดพ้อเขาไม่ใช่บุตรชายจริงๆของเสิ่นมู่หยางเสียหน่อย หยางชวีถอยไปยืนด้านข้าง เรื่องของนายท่านเขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นใดๆทั้งนั้น

“ท่านพ่อคงกลับวันรุ่งขึ้นสินะ”

“ขอรับ”อีกฝ่ายก้มหน้าตอบ จื่อฟางส่งเสียงหึออกมา ถ้าหากว่าไปจวนใต้เท้าเฉินจริงๆน่ะนะ ในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ เขาก้มมองเสื้อผ้าเปื้อนเลือดไปจุดๆของตัวเองก็ถอดออกจนเหลือเพียงเสื้อตัวกลางเท่านั้น เห็นหยางชวีมีท่าทางไม่สะดวกใจอยู่กับเขาก็นึกขำ หรือยังกลัวเรื่องที่เขาแกล้งอยู่อีก

“สั่งให้คนเอาน้ำร้อนเข้ามา ข้าจะอาบน้ำ”เขาสั่งด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย ตั้งใจหาเรื่องให้หยางชวีออกไปด้านนอกด้วย หยางชวีลอบถอนหายใจ เป็นไปได้ตนก็ไม่อยากอยู่ตามลำพังกับคุณชายนัก ถึงเรื่องคราวนั้นคุณชายจะแค่แกล้ง แต่หยางชวีก็ยังกลัวอยู่ดี รอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จางต้ากลับมาพร้อมกับท่านหมอกู้คนเดิม ใบหน้าเหี่ยวๆมีความอ่อนใจปรากฏอยู่ จื่อฟางจึงนึกสงสัยว่าเสิ่นจิ้งเฟยเรียกใช้อย่างลับๆบ่อยหรือถึงได้แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา ท่านหมอตรวจดูรอยช้ำและอาการบวมบนใบหน้าของเขาอย่างละเอียด โชคดีที่ไม่มีฟันซี่ไหนหลุดและกรามของเขายังอยู่ดี   

“รอยฟกช้ำบนใบหน้าของคุณชายอาจใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์กว่าจะกลับมาเป็นปกติตามเดิม…”ท่านหมอเอ่ยเสียงหวาดหวั่น กลัวว่าคุณชายเสิ่นจะอาละวาดที่ใบหน้าเสียโฉม แต่คุณชายทำแค่พยักหน้าเท่านั้น เขาสงสัยอยู่ในใจว่าคุณชายไปมีเรื่องกับผู้ใดมา แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ เพียงแค่บอกให้ใช้ยาตลับเล็กทาแผลและแนะนำให้ใช้โสมซานชีมารักษาอาการฟกช้ำเลือดออกเท่านั้น

“คุณชาย…”ท่านหมออยากเอ่ยถามเรื่องหนึ่งแต่เพราะในห้องยังมีจางต้าและหยางชวีจึงได้แต่หุบปากเงียบ “ใช้ทาทุกวัน”หมอกู้ตบท้ายเช่นนี้ก่อนขอตัวออกไป

เมื่อท่านหมอไปแล้ว จางต้าก็รีบนำโสมซานซีมาต้มยาให้เขาอย่างไม่รอช้า นำส่วนที่บดเป็นผงมาโรยแผลปากแตกของจื่อฟาง ระหว่างที่จางต้าต้มยา ข้ารับใช้ก็ยกน้ำร้อนมาเทในอ่างไม้หลังฉากกั้น แต่จื่อฟางยังไม่มีอารมณ์อาบน้ำ เขาคิดถึงเรื่องวันนี้อยู่ในใจ ถึงแม้จะบอกว่าไม่เอาเรื่องเว่ยหลง แต่เขารู้ว่าเสิ่นมู่หยางคงไม่ปล่อยไว้แน่ เสิ่นจิ้งเฟยมีใบหน้าเหมือนมารดา ยามนี้ใบหน้าก็ฟกช้ำปากบวมน่าเกลียดคงยิ่งทำให้เสิ่นมู่หยางโกรธ เว่ยหลงจะเดือดร้อนหรือไม่ สกุลไป๋เล่า? เสิ่นมู่หยางจะเล่นงานด้วยหรือเปล่า

“จางต้า เจ้าว่าท่านพ่อจะเล่นงานสกุลไป๋หรือไม่”เขาเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ ขณะที่จางต้ากำลังเคี่ยวยาในโถกระเบื้อง เพียงแค่ตอบกลับมาเบาๆ

“เล่นงามสกุลไป๋หรือ…ข้าน้อยคิดว่าไม่ หากนายท่านใช้อำนาจจัดการจริง เกรงว่าจะเป็นแต่ที่นินทาต่อชาวบ้านร้านตลาด สกุลไป๋เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน โรงน้ำชาหลิวซื่อก็เลื่องลือไปทั้งฉางอัน หากมีขุนนางในราชสำนักคิดเล่นงานนายท่านได้ยินเข้าแล้วนำเรื่องนี้ไปเขียนฎีการายงานฮ่องเต้ขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องใหญ่ไปเปล่า ๆ ท่านอาจไม่รู้แต่เวลานี้ในราชสำนักร้อนเป็นไฟ อัครเสนาบดีหลี่มีอำนาจมาก เรื่องของหลี่ฮุ่ยจือที่มาชอบพอท่าน ทำให้เขาไม่ชอบใจอยู่แล้ว หากเขามีเรื่องมาเล่นงานนายท่าน…”จางต้าทำท่าปาดคอแล้วเอ่ยต่อ

“แต่หากเป็นเว่ยหลงคนเดียวเจ้านั่นไม่รอดแน่ จะมองแง่ไหนก็ผิด เขาไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ทำคุณชายเจ็บตัว”บ่าวคนสนิทถอนหายใจ แม้ว่าเว่ยหลงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ ข้ารับใช้เช่นพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ จะถูกหรือผิดหากถูกตัดสินโทษก็ไม่ต่างกัน จางต้ารู้สึกโชคดีที่ยังมีคุณชาย ไม่อย่างนั้นคงตายไปตั้งนานแล้ว

จื่อฟางคิดตามอยู่เงียบๆ นึกถึงเรื่องของหลี่ฮุ่ยจือก็ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หากเรื่องนี้หลุดรอดไป อัครเสนาบดีหลี่จะว่าอย่างไร แต่เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของสกุลหลี่ด้วย ฝ่ายนั้นคงไม่กล้าทำอะไร แต่ยังมีอีกเรื่องที่จื่อฟางติดใจ เรื่องของซูเหลียนฮวา นางมีฝีมือไม่ธรรมดาและรู้จักกับไป๋ผูอวี้ที่ดูจะมีวรยุทธิ์เช่นกัน ซูเหลียนฮวามาจากเมืองหลานโจว คิดไปคิดมาสกุลไป๋ก็มาจากหลานโจวเช่นเดียวกัน หรือพวกเขาจะเป็นชาวยุทธ!จื่อฟางจินตนาการไปไกลจนสามารถสร้างหนังกำลังภายในได้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่ร่างกายก็ผ่อนคลายกว่าเดิมมาก

“คุณชาย พรุ่งนี้นายท่านกลับมา ท่านจะว่าอย่างไร…”จางต้ายกชามยาส่งกลิ่นหึ่งมาให้เขาด้วยสีหน้ากังวล คุณชายเสิ่นปากแตก ใบหน้ามีรอยฟกช้ำดำเขียวเช่นนี้ ข้ารับใช้อย่างเขาและหยางชวียังจะรอดพ้นจากบทลงโทษหรือ

“ข้าจะพูดกับท่านพ่อเอง”จื่อฟางเอ่ยอย่างจนใจ จางต้าเคยโดนโบยเพราะเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะห้ามเสิ่นมู่หยางยังไง จื่อฟางกลั้นใจดื่มยาเงียบๆ หยางชวีคล้ายกับฟังบทสนทนาอยู่ เสียงของอีกฝ่ายลอยเข้ามาให้ได้ยินเบาๆ

“คุณชายเจ็บตัวทั้งๆที่ข้าน้อยอยู่ด้วย ข้าน้อยเองก็มีความผิด”น้ำเสียงนั้นมีแววเจ็บใจแฝงอยู่

“เจ้ายอมรับโทษไปคนเดียวได้หรือไม่”จื่อฟางพูดล้อเล่นไปอย่างนั้น เขากับจางต้ายิ้มขำเมื่อคนด้านนอกเงียบไปเหมือนเป็นใบ้ เขาส่งชามยาที่ดื่มหมดแล้วให้จางต้า

“ข้าพูดเล่น เลิกก่นด่าข้าในใจได้แล้ว”จื่อฟางเอ่ย รู้หรอกว่าภายใต้หน้ากากนิ่งเฉย เจ้าหน้าตายต้องด่าเขาอยู่แน่ๆ 

“เจ้าออกไปได้แล้ว”เขาโบกมือไล่จางต้า นอกจากเจ็บปากแล้วยังปวดขมับตุบๆ หยางชวีที่อยู่ด้านนอกบ่นอยู่ในใจ ‘หากนายท่านคิดโบยข้าขึ้นมาจริงๆ ท่านจะช่วยข้าได้หรือ’

จื่อฟางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเกือบค่อนคืนอย่างคิดไม่ตก ครั้งนี้เสิ่นมู่หยางจะผิดหวังหรือไม่หากรู้ว่าเขาก่อเรื่องอีกแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย ตามกฎหมายคนที่ลงมือก่อนย่อมเป็นฝ่ายผิด เว่ยหลงพูดจาล่วงเกินแถมยังทำคุณชายอย่างเขาเจ็บตัว ก็เป็นเรื่องถูกแล้วหากจะถูกลงโทษ แต่อย่างไรจื่อฟางก็ไม่ใช่คนใจหิน เขากลัวว่าเว่ยหลงจะโดนเสิ่นมู่หยางทำโทษหนัก จื่อฟางหยุดเดินเมื่อนึกเรื่องหนึ่งได้ ไป๋ผูอวี้และซูเหลียนฮวาช่วยเขาจากหลี่ฮุ่ยจือ หากเอาเรื่องนี้มาพูดทวงบุญคุณ ไม่แน่เสิ่นมู่หยางอาจไม่ลงโทษเว่ยหลงหนักเกินไป

“คุณชายท่านควรพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก”เสียงของจางต้าดังมาจากนอกประตู

“อืม…นั่นสิ พรุ่งนี้…เจ้าก็ไปนอนเถอะ ข้าจัดการเอง”จื่อฟางพึมพำ เริ่มเหนื่อยแล้วเช่นกัน เขาเดินไปอยู่หน้าคันฉ่องมองใบหน้าขาวซีดที่บัดนี้มีรอยช้ำน่ากลัวปรากฏอยู่ ริมฝีปากบวมเจ่อน่าเกลียดถึงเพียงนี้เลยหรือ จื่อฟางยังคงสวมแค่ชุดตัวกลางสีขาว ก่อนเดินเอามือไปจุ่มน้ำในถังที่ตอนนี้หายร้อนแล้ว ยามนี้ก็ดึกมากแล้วเขาไม่อยากเรียกใช้จางต้าอีก จึงถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ลงแช่น้ำไล่ความกลัดกลุ้มออกไป หยิบไยบวบขัดถูร่างกายด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น เมื่อความเครียดหายไปก็เอนพิงถังน้ำจนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น แต่จื่อฟางสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคลื่อนไหวดังอยู่นอกฉากกั้น

“ใครน่ะ”เขาขมวดคิ้ว หรือจะเป็นหยางชวีอีกแล้ว

“หยางชวีหรือ”เขาเอ่ยถาม แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงเริ่มรู้สึกแปลกๆหยางชวีเงียบก็จริง แต่หากเขาเรียกไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ตอบ

“จางต้า”จื่อฟางเรียกบ่าวอีกคน แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาเช่นกัน เด็กหนุ่มใจเต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว หรือจะเป็นผี จื่อฟางไม่เคยคิดถึงเรื่องผีสางมาก่อน เขาขนลุกซู่รีบลุกออกมาจากถังน้ำเพราะแช่อยู่นานแล้ว ชะงักกึก ถ้าหากเป็นโจรเล่า?แต่เป็นไปไม่ได้ หยางชวีอยู่ด้านนอก ไม่มีทางที่ฝ่ายนั้นจะไม่รู้ตัว จื่อฟางใจคอไม่ดี หมุนตัวจะคว้าชุดคลุมก็พบว่าไม่ได้หยิบมาด้วย ได้แต่ก่นด่าตัวเองเบาๆรวบผมที่เปียกชื้นไปด้านหลัง รีบหอบเสื้อผ้าออกมาด้วยตัวเปล่าเปลือย

แต่พอเดินออกมาจากฉากกั้นก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า จื่อฟางไม่ทันได้แหกปากร้อง ร่างนั้นก็พุ่งมาปิดปากด้วยฝามือหนา

“ชู่ววว อย่าส่งเสียงดัง ข้าไม่ใช่ผู้ร้าย”เจ้าของเสียงกระซิบ ไป๋ผูอวี้! แล้วใครใช้ให้ท่านโผล่มาเช่นนี้เล่า เขาถลึงตาใส่ หัวใจยังคงเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก

“ข้ามาคุยเรื่องเว่ยหลง”ไป๋ผูอวี้ทำหน้าขรึม กวาดตามองเรือนร่างเปลือยเปล่าของคุณชายตรงหน้าอย่างแปลกใจ ตอนแรกก็ตกใจอยู่บ้าง บุรุษหนุ่มลอบเข้ามาก็พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยอาบน้ำอยู่จึงรอให้อีกฝ่ายอาบน้ำให้เสร็จก่อน แต่ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่สวมเสื้อออกมาเช่นนี้ 

‘เสิ่นจิ้งเฟย มีผิวพรรณที่เนียนละเอียดอย่างกับสตรี เจ้าเด็กนี่ใช่ผู้ชายแน่หรือ’

หากไม่เห็นสิ่งนั้น…ก็คงคิดว่าเป็นสตรีปลอมตัวมาแล้ว จื่อฟางไม่รู้สึกอายที่แก้ผ้าต่อหน้าไป๋ผูอวี้ แต่เมื่อครู่ที่อีกฝ่ายใช้สายตามองสำรวจร่างกายตนเองกลับทำให้เขาหน้าร้อนขึ้นมา

“อ่อยอือ”จื่อฟางส่งเสียงอู้อี้ออกไป ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตัวลึกลับด้วย

“ท่านห้ามร้อง ไม่อย่างนั้นข้าจัดการท่านแน่”ไป๋ผูอวี้เพียงขู่เท่านั้น เขาไม่ใช่โจรเสียหน่อย เสิ่นจิ้งเฟยพยักหน้ารับรู้อย่างรำคาญใจ ไป๋ผูอวี้จึงปล่อยมือ หันไปอีกทาง ถึงจะเป็นบุรุษด้วยกัน แต่เขาไม่ได้อยากมองคุณชายเสิ่นโป๊ จื่อฟางรีบไปหยิบชุดคลุมมาสวมอย่างรวดเร็ว

“ท่านโผล่มาดีๆไม่ได้หรือ ทำตัวอย่างกับโจร”เขาเอ่ยเสียงเบา ขมวดคิ้วสงสัย ไป๋ผูอวี้เข้ามาในห้องของเขาดึกๆดื่นๆ ได้อย่างไร หยางชวีที่อยู่ด้านนอกเล่า อีกฝ่ายยกยิ้มคล้ายกับล่วงรู้ความคิดของตน

“ผู้ติดตามของท่านหลับสบายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหน้า

“ท่านทำอะไรเขา”ถึงจื่อฟางจะเดาไว้แล้วว่าไป๋ผูอวี้มีฝีมือแต่ไม่คิดว่าหยางชวีจะพลาดท่าง่ายๆ

“แค่ทำให้หลับเท่านั้น”คำตอบของไป๋ผูอวี้ทำให้เขานึกถึงซูเหลียนฮวาขึ้นมา อย่าบอกนะว่านางมารหมื่นพิษก็มาด้วย อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ใช่ ซูเหลียนฮวาอยู่ด้านนอก หากท่านโวยวายข้าสั่งให้นางเข้ามาแน่”ไป๋ผูอวี้มองสีหน้าเผือดซีดของคุณชายผู้นี้ด้วยความสนุก

“ท่านมีอะไรก็พูดมา”จื่อฟางเข้าเรื่อง 

“มาคุยเรื่องที่ท่านก่อไว้”ไป๋ผูอวี้เดินเข้ามาใกล้มากเรื่อยๆด้วยกระแสกดดัน

“ถือว่าท่านยังฉลาดอยู่บ้างที่เล่นงานเว่ยหลงตอนที่ข้าไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ท่านส่งหยางชวีมาดูลาดเลาที่โรงน้ำชา ท่านวางแผนไว้แล้วสินะ คุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้ถาม รอยยิ้มปรากฏอยู่บนหน้า จื่อฟางคันยุบยิบในใจ ทำไมเจ้านี่ถึงยิ้มอยู่ได้ ขัดตาจริงๆ

“ข้าไม่ได้วางแผนไว้ แค่อยากแวะไป…พูดคุยกับท่านเท่านั้น”จื่อฟางตอบอย่างลังเล ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ในสายตาของไป๋ผูอวี้คำว่าพูดคุยของเขาก็คงความหมายเดียวกับ‘ก่อกวน’กระมัง เพราะเห็นบุรุษตรงหน้าเลิกคิ้ว

เขาจึงเอ่ยเสริม “ใครใช้ให้ท่านออกไปกับคุณหนูฉินเล่า”

“ข้าแค่ออกไปเพราะไม่มีทางเลือก อ้อ เพราะเหตุนี้ท่านถึงโมโหสินะจึงคิดมาก่อกวนข้านี่เอง”ไป๋ผูอวี้ดันเข้าใจไปเช่นนี้ จื่อฟางจิ๊ปาก

“เอาเป็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าไม่ได้วางแผนไว้ ข้าแค่แวะไปหาท่านเท่านั้น แต่เว่ยหลงพูดจาล่วงเกินข้าทั้งยังต่อยข้าด้วย”จื่อฟางชี้มาที่ใบหน้าฟกช้ำของตัวเอง ไป๋ผูอวี้เพียงมองหน้าเขาด้วยสายตาสงสัย

“แวะมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม อย่างเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่พ้นมาก่อกวนอยู่แล้ว

“ขอบคุณที่ท่านช่วยข้าจากหลี่ฮุ่ยจืออย่างไร”จื่อฟางเพียงตอบไปอย่างนั้น เพราะเขาเองก็นึกไม่ออกว่าแวะไปหาไป๋ผูอวี้เพราะเรื่องใด ตอนนั้นแค่นึกถึงเฉยๆ เด็กหนุ่มย่นคิ้ว คิดแล้วก็แปลกๆแฮะ

“ท่านส่งใบชาชั้นดีมาให้แล้วไม่ใช่รึ”ไป๋ผูอวี้ยิ้มน้อยๆ แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้ว่าคุณชายเสิ่นโกหก ช่างเป็นคนที่ดูออกง่ายจริงๆ

“ข้าแค่ตั้งใจจะแวะไปดื่มชา ท่านมาคุยเรื่องของเว่ยหลงไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงพูดเรื่องอื่นอยู่ได้”แล้วคนผู้นี้จะมาเค้นถามตนเพราะเหตุใด จื่อฟางคิดอย่างหงุดหงิด ไป๋ผูอวี้มองแผลฟกช้ำดำเขียวและริมฝีปากบวมเจ่อของร่างผอมบางตรงหน้าด้วยความหนักใจ ด้วยเพราะคุณชายมีผิวขาวเป็นทุนเดิมรอยช้ำจึงเห็นได้ชัด หากเสิ่นมู่หยางเห็นเข้าไม่ตกใจจนเป็นลมเลยหรือ

“ข้าไม่ได้มาเพื่อพูดแก้ตัวให้เว่ยหลง ข้าเองเห็นด้วยที่เขาสมควรได้รับโทษ ที่ผ่านมาเขาก็พูดจาล่วงเกินท่านอยู่หลายครั้ง ถือเป็นความผิดของข้าด้วยเช่นกันที่อบรมสั่งสอนเขาไม่ดีพอ”ไป๋ผูอวี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ ถือเป็นบทเรียนของเว่ยหลงที่ทำอะไรไม่คิด ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้วทำได้แค่รับมือแก้ไขเท่านั้น

จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง ก่อนหัวเราะเบาๆ ฟังดูเป็นคนดีจริงๆ

“ท่านเพิ่งรู้ตัวหรือ หลายครั้งหลายคราเว่ยหลงพูดต่อหน้าท่านด้วยซ้ำ ไยไม่เคยคิดห้าม”เขาเอ่ยเสียงเยาะ ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ตอบกลับ บุรุษหนุ่มมองสำรวจคุณชายเสิ่นอย่างละเอียด น่าแปลกที่คุณชายคุมอารมณ์ได้ดีกว่าทุกครา

“แต่เอาเถอะ ข้าไม่ถือสา”จื่อฟางพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ จนไปผูอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ได้มาพบคุณชายเช่นนี้ จึงรู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไปมากทีเดียว จนข้าแปลกใจ”ไป๋ผูอวี้พินิจมองดวงหน้าหมดจด รู้สึกพอใจมาก เป็นเช่นนี้ก็ดี ค่อยคุยกันง่ายหน่อย

“ข้าบอกไปแล้วอย่างไรว่าจะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะพูดกับท่านพ่อให้เบาโทษของเว่ยหลงเอง”พอเห็นไป๋ผูอวี้ไม่โต้ตอบจื่อฟางก็ได้ใจขึ้นมา นี่สินะความรู้สึกของการได้เหนือกว่าเป็นครั้งแรก มุมปากของไป๋ผูอวี้กระตุก บางทีคุณชายผู้นี้อาจไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่

“ท่านจะทำได้หรือ ข้าได้ยินว่าแม้แต่จางต้าก็เคยถูกโบยเพราะท่านมาแล้ว”ไป๋ผูอวี้ไม่ปล่อยให้คุณชายเสิ่นลอยหน้าลอยตาได้นานนัก จึงพูดขัดออกไป

“ข้าจัดการได้”จื่อฟางตอบเสียงห้วน ไป๋ผูอวี้ดูขัดตาขึ้นมาทันที

“อย่างไรเล่า”อีกฝ่ายเค้นถาม เดินมานั่งลงข้างกายด้วยท่วงท่าสบายๆ จื่อฟางได้กลิ่นหอมพิเศษจากไป๋ผูอวี้จึงอดมองสำรวจไม่ได้

“ข้ามีวิธีของข้า”เด็กหนุ่มถอนสายตากลับ เมื่อรู้ตัวว่าไปผูอวี้มองมาด้วยสายตาสงสัยจึงเอ่ยเสริม “ข้าจะยกเรื่องที่ท่านช่วยข้าจากหลี่ฮุ่ยจือมาลดโทษให้เว่ยหลง”

ไป๋ผูอวี้ปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชาทันที จื่อฟางกระพริบตา หรือว่าเขาพูดอะไรผิด

“ข้าไม่ได้ช่วยเหลือท่านเพื่อเอาไว้ทวงหนี้บุญคุณ เรื่องของเว่ยหลงก็แล้วแต่เสนาบดีเสิ่นจะจัดการก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้พูดด้วยเสียงราบเรียบจนจื่อฟางใจหาย

“แต่เว่ยหลงเป็นผู้ติดตามของท่าน…”

“แล้วอย่างไร เขาทำผิดย่อมได้รับโทษ”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยเสียงราบเรียบ เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“อ้อ จริงสิ ข้าตั้งใจเอายามาให้ท่าน”ไป๋ผูอวี้หยิบตลับยาส่งให้เสิ่นจิ้งเฟย อีกเหตุผลที่เขามาก็เพราะได้ยินว่าเว่ยหลงชกคุณชายเสิ่นจนปากแตก ถึงแม้ผู้ติดตามของตนจะเบาแรงแล้วแต่หมัดของเว่ยหลงไม่ธรรมดา จึงตั้งใจจะมาดูอาการของอีกฝ่าย และก็อย่างที่คาด แผลฟกช้ำบนใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยแย่อย่างที่เขาคิด เขาจึงตั้งใจเอายาทาแผลแก้ฟกช้ำอย่างดีของอาจารย์มาให้ ยาตลับนี้เป็นยาดีสกัดด้วยสมุนไพรหายากหลายชนิดที่อาจารย์เคยให้ตนเมื่อนานมาแล้ว เพราะยามฝึกยุทธิ์เขาเคยได้รับบาดแผลบ่อย ๆ หากแผลฟกช้ำบนหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยเบาลง เสิ่นมู่หยางอาจคลายโทสะได้บ้าง ถึงแม้จะเห็นว่าเว่ยหลงสมควรได้รับโทษแต่เขาก็กลัวว่าจะเป็นโทษหนัก

“ท่านให้ข้า?”จื่อฟางมองตลับยาที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ตาโต โอ้…ไป๋ผูอวี้ทำเรื่องแปลกจริงๆ

“ใช่ ท่านหูหนวกหรือ”ไป๋ผูอวี้ยังคงยื่นตลับยาให้คุณชายเสิ่น เขาเห็นรอยช้ำบนหน้าของอีกฝ่ายแล้วอดเอ่ยชมไม่ได้

“เว่ยหลงยังมีฝีมือเหมือนเดิม”

จื่อฟางได้ยินแล้วถลึงตาใส่แต่ยังไม่รับตลับยาจากอีกฝ่าย

“รับไปสิ”ไป๋ผูอวี้ยื่นจนเมื่อยแขนแล้ว

“ท่านให้ข้า?”จื่อฟางถามซ้ำ ครั้งนี้ไป๋ผูอวี้ไม่ตอบ “ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่ยาพิษ”

หากไป๋ผูอวี้ใส่ผงอะไรลงไปเล่า ร่างนั้นมีสีหน้ารำคาญใจ ก่อนจะเข้ามาประชิดตัวร่างบางด้วยความว่องไว ใช้มือหนึ่งจับคอของเสิ่นจิ้งเฟยไว้ อีกมือป้ายยาใส่บริเวณฟกช้ำบนใบหน้าของคุณชายจอมพูดมากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จื่อฟางอ้าปากค้างด้วยตกใจไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายมือเบาเสียจนเขาไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่เนื้อยามีความเย็นส่งกลิ่นหอมออกมาแตะจมูก

“ข้าทำเองดีกว่า”จื่อฟางเอ่ยยกมือแตะฝามือหนาของอีกคนที่กุมลำคอของตัวเองอยู่ แต่ไปผูอวี้ออกแรงบีบคอเบาๆจนเขาหุบปากเงียบปล่อยให้อีกฝ่ายละเลงยาบนหน้าจนพอใจ

“จะว่าไปท่านเป็นบุรุษแท้ๆแต่ทำไมผิวกายถึงเนียนละเอียดเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้มองผิวหน้านุ่มมือของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างไม่เข้าใจ ร่างบางเส้นผมเปียกแนบเสื้อคลุม ดวงหน้าขาวซีด นัยน์ตาคู่งามเป็นประกายมีชีวิตชีวาช่างแตกต่างจากคนเก่านัก แต่คุณชายเสิ่นมีคนเก่าด้วยหรือ?ไป๋ผูอวี้คงคิดมากไปเอง 

“ข้าจะไปรู้หรือ”จื่อฟางพึมพำ อยู่ๆไป๋ผูอวี้ก็พูดแปลกๆ สมองคงเพี้ยนไปแล้วกระมัง ทั้งยังจ้องตนตั้งนาน ไม่รู้คิดอะไรอยู่

“มิน่า…หลี่ฮุ่ยจือถึงได้ชอบท่าน เมื่อครู่หากข้าไม่เห็น…”ไป๋ผูอวี้หยุดกะทันหันเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา แต่จื่อฟางได้ยินเต็มสองรูหู เขาเกือบลืมไปแล้วแท้ๆว่าแก้ผ้าต่อหน้าไป๋ผูอวี้ จื่อฟางตอนนี้จึงหน้าแดงก่ำไปถึงลำคอ บุรุษตรงหน้าทายาเสร็จก็รีบปล่อยมือเหมือนโดนน้ำร้อนลวก

“ขอบคุณ”จื่อฟางพึมพำตอบเบาๆ อยู่ ๆก็ทำตัวไม่ถูก

“คุณชายไป๋ท่านออกมานานแล้ว”เสียงระรื่นหูของซูเหลียนฮวาดังอยู่ด้านนอก จื่อฟางจึงเหลือบมองหน้าไป๋ผูอวี้อย่างตื่นๆ

“หรือข้ามาขัดจังหวะคุณชายทั้งสอง”ซูเหลียนฮวาเอ่ยเย้าแหย่มาจากนอกห้อง นางแอบเงี่ยหูฟังอยู่หรอกถึงได้รู้ว่าในห้องคุณชายไป๋ของนางพูดอะไร นางหัวเราะเบาๆ รู้สึกว่าน่าสนใจนัก ซูเหลียนฮวาไปจัดการหยางชวีในห้องข้างๆมา นางฝากรอยจูบไว้บนหน้าผากของเจ้านั่นด้วย เจ้าคนน่าสงสารโดนนางเล่นงานไปถึงสองครา ‘หวังว่าจะไม่คิดแค้นข้าหรอกนะ หยางชวี’

“…พรุ่งนี้ข้าจะพาเว่ยหลงมารับโทษ”ไป๋ผูอวี้ลุกยืน กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ปัดความรู้สึกกระอักกระอ่วนออกไปอย่างรวดเร็ว จื่อฟางก็เช่นกัน ตอนแรกเขาตั้งใจเดินไปส่ง แต่คิดไปคิดมาควรนั่งอยู่เฉยๆดีกว่า เขามองไป๋ผูอวี้ออกไปจากห้องเงียบๆก่อนถอนหายใจออกมา ว่าแต่เมื่อครู่นี่มันอะไรกัน เขาจับใบหน้าที่ถูกละเลงด้วยยาทาแผลแล้วครุ่นคิดในใจ ไป๋ผูอวี้มือเบามากจริง ๆ

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสี่:นางมารหมื่นพิษ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 05-02-2018 17:38:35
 
 ~•~

เป็นเช้าที่แสนวุ่นวาย เสิ่นมู่หยางรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ที่สำคัญคือใต้เท้าเฉินฉางเซียงที่จะมาสอนหนังสือให้จื่อฟางก็มาด้วย ใต้เท้าเฉินเป็นชายร่างเล็กอายุราวๆห้าสิบปีได้ ใบหน้าคล้ายใจดี แต่นิสัยกลับตรงกันข้าม ใช้สายตามองเขาอย่างประเมินอยู่ตลอดเวลา ในห้องโถงเวลานี้เต็มไปด้วยความกดดัน เสิ่นมู่หยางนั่งหน้าเคร่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง ใต้เท้าเฉินดื่มชาอยู่เงียบๆคล้ายไม่สนใจว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น ส่วนไป๋ผูอวี๋ยังคงสุภาพสุขุมเช่นเคยราวกับเป็นผู้มาเยือนเพียงแค่แวะเวียนมาดื่มชากับสหายเท่านั้น ต่างจากจื่อฟางที่นั่งอย่างกระสับกระส่าย

เว่ยหลงนั่งคุกเข่าอยู่กลางห้อง มีหยางชวี จางต้าคุกเข่าอยู่เบื้องหลังด้วยสีหน้าสำนึกผิด จื่อฟางนึกถึงเหตุการณ์ในห้องเมื่อเช้าแล้วก็ปวดขมับ ใครจะคิดว่าใต้เท้าเฉินฉางเซียงมาปลุกเขาด้วยตัวเองถึงในห้อง!

“อ๊าก อะไรเนี่ย”จื่อฟางสะดุ้งตื่นเพราะความเจ็บแสบที่แขน ลืมตาได้ก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งถือไม้เรียวฟาดแขนเขาอยู่

“ไอ้เจ้าเด็กไม่รักดี! ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่เอาไหนแต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงเพียงนี้ ตะวันโด่งแล้วยังไม่ลุกจากที่นอนอีก เสิ่นมู่หยางตามใจเจ้าเกินไปแล้ว น่าสงสารเสิ่นฉินอี้ปู่เจ้า ป่านนี้คงร่ำไห้อยู่ปรโลกแล้วกระมัง”เสียงสั่นเครือแหบห้าวดังขึ้น เขาไม่ทันได้คิดว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบดีดตัวหนีไม้เรียวที่ฟาดมาอีกที

“อะไรของท่านเนี่ย ใครอยู่ข้างนอก มาจับตาแก่นี่ออกไปที”จื่อฟางตะโกนหลบหลีกไม้เรียวเป็นที่วุ่นวาย แต่คำพูดของเขากลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายโกรธเคือง

“ผายลมอะไรออกมา เจ้าเด็กเลว!”จื่อฟางวิ่งหนี ในสมองวิ่งวน ไม่เห็นบ่าวไพร่คนไหนเข้ามาก็เริ่มเอะใจ แถมเสิ่นมู่หยางไปไหนแล้ว เขามองชายแก่ที่หยุดหอบอยู่ตรงหน้า เดี๋ยวนะ…หรือตาแก่นี่คือ…

“ท่าน…คือ…”

“ท่านอะไร! ข้าไม่ใช่ตาแก่แล้วรึ เสียแรงที่พ่อเจ้าไปคุยกับข้าถึงบ้าน คุยอยู่หลายวันข้าถึงใจอ่อน แต่ดูเด็กไม่เอาไหนเช่นเจ้า มันน่านัก!”เฉินฉางเซียงโมโหจนตัวสั่น จื่อฟางอ้าปากค้างพะงาบ ๆ นี่คืออาจารย์ของเขาหรือ แย่แล้ว!เขารีบนำเก้าอี้มาให้ท่านอาจารย์ในอนาคตนั่งทันที

“เฮอะ”

“ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว”จื่อฟางใช้น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบ

เพี๊ยะ

“ใครเป็นอาจารย์เจ้า รีบแต่งตัวออกไปที่ห้องโถงได้แล้ว!”เขาโดนไม้เรียวฟาดมาอีกทีหนึ่ง

และนั่นก็เป็นการพบกันที่ดูไม่จืดระหว่างเขาและใต้เท้าเฉินฉางเซียงที่ยังไม่ยอมให้เขาเรียกว่าอาจารย์

“ท่านพ่อ…”จื่อฟางเอ่ยเรียก เสิ่นมู่หยางได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็หน้าแดงก่ำ ตวัดสายตาดุๆมองมาที่เขา หายใจกระฟัดกระเฟียดอยู่เป็นนาน แต่จื่อฟางรู้ว่าเสิ่นมู่หยางไม่พอใจมากเมื่อเห็นรอยฟกช้ำบนหน้าของเขา ถึงแม้จะเบาลงไปเล็กน้อยเพราะยาดีของไป๋ผูอวี้ก็ตาม

เสิ่นมู่หยางเพิ่งกลับมาจากบ้านของใต้เท้าเฉินก็เจอไป๋ผูอวี้พาผู้ติดตามนามว่าเว่ยหลงมาขอพบ เสนาบดีเสิ่นแปลกใจมากเพราะนี่คือครั้งแรกที่คนจากสกุลไป๋มาหาตนที่จวน ไป๋ผูอวี้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เสิ่นมู่หยางมีโทสะยิ่งนักเมื่อได้ยินว่าเสิ่นจิ้งเฟยบาดเจ็บ ตั้งใจจะไปดูอาการของบุตรชายแต่ใต้เท้าเฉินขอไปปลุกเสิ่นจิ้งเฟยด้วยตัวเอง เสนาบดีเสิ่นห้ามไม่ได้

เฉินฉางเซียงเป็นสหายคนสนิทของเสิ่นฉินอี้ท่านพ่อที่ลาโลกไปแล้วของตน ใต้เท้าเฉินเคยเข้าออกจวนสกุลเสิ่นบ่อย ๆตั้งแต่เริ่มจำความได้ เสิ่นมู่หยางเองก็คุ้นเคยดี ถึงแม้จะไม่เต็มใจนักแต่ใต้เท้าเฉินเป็นผู้อาวุโสที่เขานับถือรองลงมาจากท่านพ่อผู้ล่วงลับ  กว่าใต้เท้าจะยอมตกลงมาสอนหนังสือให้บุตรชายได้ เขาต้องแบกหน้าไปขอร้องอยู่หลายวัน แม้จะรู้ดีถึงความร้ายกาจของใต้เท้าเฉินแต่ท่านเป็นความหวังเดียวของตน เสิ่นมู่หยางไม่เชื่อว่าใต้เท้าเฉินจะจัดการกับเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยอมตกปากรับคำ

ไม่รู้ใต้เท้าเฉินปลุกด้วยวิธีใด เสียงร้องของเสิ่นจิ้งเฟยจึงดังออกมาถึงห้องโถง เท่านั้นไม่พอเจ้าจางต้าและหยางชวีก็เข้ามาคุกเข่าด้วย เขาแทบอยากไปถลกหัวบ่าวรับใช้ไม่ได้เรื่อง แม้แต่หยางชวีก็เอาบุตรชายของตนไม่อยู่ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ สุดท้ายเสิ่นจิ้งเฟยก็โผล่มาในห้องโถงด้วยใบหน้าฟกช้ำ ริมฝีปากบวม เสิ่นมู่หยางตกใจจนอยากร่ำไห้ ใบหน้าหมดจดของลูกชายกลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ถึงเสิ่นจิ้งเฟยจะดื้ออย่างไรเขาก็ไม่เคยตี แต่เจ้าบ่าวไพร่ไม่มีหัวนอนกับกล้าดีอย่างไร!เสิ่นมู่หยางไม่ทันได้สั่งคนมาลากเว่ยหลงไปโบย บุตรชายตัวดีก็เล่าเรื่องหลี่ฮุ่ยจือให้ฟัง ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบเช่นนี้

“ทำไมไม่คิดบอกข้าเรื่องหลี่ฮุ่ยจือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามเสียงเหนื่อยอ่อน เขาพุ่งเป้าไปที่หยางชวีแทน

“เจ้าเองก็คิดปิดข้าหรือ ข้าส่งเจ้าติดตามเสิ่นจิ้งเฟยก็เพราะอยากให้เจ้าปรามเขา! แล้วนี่อะไร เจ้ากลับช่วยเขาปกปิด แล้วไหนจะเรื่องที่เจ้าบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยได้รับบาดเจ็บ”เขาตะคอกเสียงดัง จนจางต้าตัวสั่นงันงก

“ข้าน้อยน้อมรับความผิด”หยางชวียังคงมีใบหน้าเรียบเฉยเช่นเคย ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดใจ

“ท่านพ่อ หากข้าบอกท่านแล้วอย่างไร ท่านทำอะไรได้หรือ”จื่อฟางไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนจึงโพล่งออกมา เสิ่นมู่หยางเหลียวมองเขาหน้าคล้ำ

“เจ้ายังจะพูดอีก ไหนบอกจะเปลี่ยนตัวเอง แล้วดูเจ้าทำกับข้า เจ้ายังสนุกไม่พอหรือ”จื่อฟางอ้าปากจะเถียงแต่ไป๋ผูอวี้ลุกยืนด้วยท่าทางอ่อนน้อมจนขัดลูกตา

“เสนาบดีเสิ่น ความจริงแล้วเป็นความผิดของผู้ติดตามของข้าเอง ท่านควรลงโทษตามที่เห็นสมควร”ไป๋ผูอวี้เอ่ย มองหน้าจื่อฟางปราดหนึ่งแล้วก้มมองเว่ยหลง เว่ยหลงหนอ…เจ้าคงคิดแค้นข้าแน่ จื่อฟางนึกอยู่ในใจ เหลือบมองเสิ่นมู่หยางที่ดูอิดโรยเหมือนคนอดนอน คงเพราะมีคนนอกอยู่ด้วย ท่านพ่อของเสิ่นจิ้งเฟยจึงอารมณ์ไม่รุนแรงอย่างที่เขาคาด

“เจ้าว่าอย่างไร เฟยเอ๋อร์ เขาเป็นคนทำผิดต่อเจ้า เจ้าก็ตัดสินโทษเขาเถอะ”เสิ่นมู่หยางหันไปหาบุตรชาย วันนี้ตนเหนื่อยมาก ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องวุ่นวายแต่เช้าเช่นนี้ ไหนจะเรื่องของหลี่ฮุ่ยจือ แต่ก็จริงอย่างที่บุตรชายพูด รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“ข้าหรือ”จื่อฟางแทบไม่อยากเชื่อหู แต่เสิ่นมู่หยางก็พยักหน้าตามนั้น นั่งลงดื่มชาเหมือนตัดสินใจแล้ว เด็กหนุ่มจึงก้มมองเว่ยหลงที่บัดนี้ยังก้มหน้าอยู่ จื่อฟางหันมองไป๋ผูอวี้อย่างขอความเห็น แต่ร่างนั้นยกยิ้มโคลงศีรษะเชิงให้ตนจัดการตามใจชอบ

“คุณชายลงโทษเขาเถอะ”

กดดันกันเกินไปแล้ว! จื่อฟางมองออกไปด้านนอกอย่างว้าวุ่นใจ ในเมื่อเสิ่นมู่หยางไม่เอาเรื่องหนัก เขาก็ต้องว่าไปตามนั้น

“ถ้า…ถ้าอย่างนั้นก็โบยเว่ยหลงสิบที!”เขาสั่งเสียงดัง เห็นเสิ่นมู่หยางขมวดคิ้ว จึงคิดว่าน้อยไปกระมัง แต่เท่าไหร่ถึงจะพอดีเล่า

“ไม่สิ สามสิบทีก็แล้วกัน!”จื่อฟางเปลี่ยนจำนวนครั้ง มองร่างกายกำยำของเว่ยหลงแล้วคิดว่าเจ้าคนผู้นี้คงทนได้กระมัง สิ้นเสียงบ่าวรับใช้ก็พากันมาเอาตัวเว่ยหลงออกไปที่ลานบ้าน จื่อฟางรีบตามไปดู แต่ไป๋ผูอวี้อยู่คุยกับเสิ่นมู่หยางไม่รู้ว่าเรื่องใด เขาไม่ได้สนใจนักเพราะตอนนี้ต้องไปติดสินบนคนโบยเสียก่อน เด็กหนุ่มเข้าไปกระซิบกับบ่าวผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่ถือไม้โบยกำลังเตรียมทำโทษเว่ยหลง

“เบามือหน่อยได้หรือไม่”เขาเอ่ย บ่าวรับใช้เพียงแค่มองหน้าจื่อฟางเงียบๆไม่รู้ว่าเข้าใจหรือไม่ ร่างบางเหลือบมองเว่ยหลงที่ถูกจับนอนคว่ำที่แท่นตรึง   

“ข้าให้เงินเจ้าเพิ่ม”จื่อฟางกระซิบยัดถุงเงินเล็กๆใส่มือของอีกฝ่าย สุดท้ายคนผู้นั้นก็ยอมพยักหน้าเมื่อเห็นว่านายท่านใหญ่ของจวนไม่ออกมาดู

“ข้าขอโทษจริงๆนะ”จื่อฟางก้มกระซิบกับเว่ยหลงด้วยความรู้สึกผิด เจ้าตัวเพียงแค่นเสียงตอบกลับมา

ตุบตับๆ

เสียงทุบตีดังขึ้น จื่อฟางเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่กล้ามอง ฟังจากเสียงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าพวกบ่าวมันเบาแรงบ้างหรือไม่ เว่ยหลงไม่ส่งเสียงร้องสักนิด จื่อฟางได้กลิ่นเลือดก็ทนดูไม่ไหวรีบกลับเข้าไปในห้องโถง ไป๋ผูอวี้ใจแข็งเกินไปแล้ว ในห้องโถงเหลือเพียงแค่เสิ่นมู่หยางกับไป๋ผูอวี้ ดูท่าบทสนทนาเป็นไปด้วยดีเพราะสีหน้าของท่านพ่อดูดีกว่าเดิมมาก แต่ข้ารับใช้ของเขายังคงนั่งคุกเข่าอยู่

ไป๋ผูอวี้ได้ยินเสียงโบยจากด้านนอกก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยเข้ามา เขาก็หันไปมองคุณชายในชุดสีเขียวอ่อนกระจ่างตา ใบหน้าหมดจดเต็มไปด้วยความกังวล รอยฟกช้ำยังคงเด่นชัด เสิ่นมู่หยางไม่อยากมองหน้าบุตรชายจึงก้มมองจอกชาแทน

“ท่านพ่อ ข้าเองก็มีส่วนผิด”จื่อฟางเอ่ยอย่างนึกละอาย เขาทำให้คนนี้ผิดหวังอีกแล้ว “ท่านโกรธข้าหรือ”จื่อฟางทำหน้าเศร้าหมอง ไป๋ผูอวี้ก้มหน้าดื่มชาเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด

“เงียบ”เสิ่นมู่หยางยกมือห้าม ถลึงตาใส่ ยังมาพูดต่อหน้าไป๋ผูอวี้อีก เจ้าลูกคนนี้คิดจะปั่นประสาทเขาหรือไร

“เสนาบดีเสิ่น ข้าไม่รบกวนเวลาแล้ว วันนี้ข้าขออภัยจริง ๆ คราวหน้าจะสั่งสอนบ่าวรับใช้ให้ดี”ไป๋ผูอวี้ถือโอกาสล่ำลา เสิ่นมู่หยางทำได้แค่เหยียดยิ้มเท่านั้น

“ช่างเถอะ แต่หากมีครั้งหน้าข้าจะไม่เกรงใจ บทลงโทษของบ่าวไพร่เจ้ายังเทียบไม่ได้กับรอยฟกช้ำบนหน้าบุตรชายข้าเลยด้วยซ้ำ สั่งสอนบ่าวไพร่เจ้าให้ดี”แค่เสิ่นมู่หยางยอมให้โบยไปสามสิบทีก็ดีแค่ไหนแล้ว หากไป๋ผูอวี้ไม่ได้ช่วยบุตรชายตนไว้ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้จบง่ายๆแน่

“ข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี”ไป๋ผูอวี้รับคำก่อนจากไปอย่างนอบน้อม จื่อฟางไม่ชินกับท่าทีเช่นนี้ของไป๋ผูอวี้ ถึงจะแค่แสร้งทำแต่ก็ขัดหูขัดตา

เมื่อคนนอกออกไปหมดแล้วเสิ่นมู่หยางก็หันมาเล่นงานบุตรชาย “เฟยเอ๋อร์ เจ้าคิดจะเปลี่ยนตัวเองจริงหรือ”เขาถอนหายใจ อารมณ์โกรธหายไปหมดแล้ว

“ข้าพูดจริง ครั้งนี้ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าเสียใจจริงๆ”จื่อฟางนั่งคุกเข่าเช่นเดียวกับจางต้าและหยางชวี

“ข้าไม่ได้ขอร้องท่าน แต่ข้ามีส่วนผิดด้วย จางต้าและหยางชวีรับใช้ข้าด้วยความจริงใจ ข้าไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ทั้งสองคนต้องเจ็บตัว ครั้งนี้ท่านลงโทษข้าเถอะ”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้เขาไม่ได้ประชด แต่พูดจากใจจริง ที่ด้านหลังเขาได้ยินจางต้าร้องไห้อีกแล้ว เจ้านี่มันบ่อน้ำตาตื้นจริง ๆ

เสิ่นมู่หยางมองบุตรชายด้วยสายตาไตร่ตรอง ครั้งนี้เสิ่นจิ้งเฟยคุกเข่าไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นการยอมรับผิดอย่างแท้จริง เขาถอนหายใจ

“ได้ ข้าจะไม่ลงโทษจางต้ากับหยางชวี แต่ข้าสั่งเจ้าไปนั่งคุกเข่าในลานบ้านจนกว่าข้าจะสั่งให้พอ”เสิ่นมู่หยางสั่งบุตรชายด้วยสีหน้าราบเรียบ

“นายท่าน ข้าน้อย—”หยางชวีและจางต้าแย้งพร้อมกัน

“หุบปาก! หรือจะให้ข้าเพิ่มโทษให้คุณชายของพวกเจ้า!”เสิ่นมู่หยางหมดความอดทนแล้ว เขาสะบัดเสื้อจากไป ต้องกัดฟันกรอดๆกว่าจะก้าวออกมาจากห้องโถงได้ เป็นครั้งแรกที่ตนแข็งใจลงโทษบุตรชายในรอบสิบแปดปี

จื่อฟางนั่งคุกเข่าอยู่ในลานบ้านไม่ปริปากบ่นสักคำ เขาเห็นสีหน้าของเสิ่นมู่หยางแล้วสะท้อนใจ ท่านพ่อผู้นี้คงกลั้นใจสุดๆ กลิ่นคาวเลือดของเว่ยหลงยังติดจมูกอยู่แม้บ่าวไพร่จะมาเช็ดล้างแล้ว จื่อฟางถอนหายใจ เขาก็ไม่ได้อยากเป็นพระเอกหรอก แต่เขาต้องแสดงความจริงใจไม่อยากให้เสิ่นมู่หยางผิดหวังในตัวเขาอีก ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงจื่อฟางก็เจ็บเข่าแล้ว เขาเคยทำงานหนักก็จริง แต่ไม่เคยคุกเข่าอยู่ท่าเดียวเป็นชั่วโมง จางต้าและหยางชวีทนไม่ไหวต้องมานั่งคุกเข่าเป็นเพื่อนเขาด้วย

“คุณชาย เหตุใดท่านทำเช่นนี้”จางต้าตาแดงก่ำ อยากจะโขกหัวลงพื้นแต่กลัวนายท่านมาเพิ่มโทษคุณชาย นายท่านใจแข็งลงโทษคุณชายเสิ่นเช่นนี้ หรือจะหมดความเอ็นดูแล้ว จางต้ายิ่งคิดก็ยิ่งน้ำตาไหล

“ข้ายังไม่ตาย เจ้าจะฟูมฟายทำไม ดูหยางชวีสิ เขายังทำหน้าเดียวได้เลย”จื่อฟางเอ่ยติดตลก หยางชวีเพียงมองเขานิ่งๆด้วยสายตาจับผิด

“คุณชาย เมื่อคืนไป๋ผูอวี้มาหาท่านใช่หรือไม่”ถึงจะถามเสียงไม่สะทกสะท้านแต่เมื่อเช้าหยางชวีตื่นมาด้วยรอยจูบบนหน้าผาก พลันจำได้ว่านางมารหมื่นพิษบุกมาในห้องของตน เดิมทีคิดว่าฝันไป แต่ไม่ใช่เพราะเขาจำกลิ่นหอมของนางได้ ที่แท้นางวางยาเขาอีกแล้ว ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งมีสีหน้าบึ้งตึง สักวันเขาต้องจัดการนางให้ได้!

“ใช่…”จื่อฟางจะถามต่อ แต่เห็นสีหน้าของหยางชวีแล้วก็เลือกหุบปากเงียบ วันนั้นจื่อฟางถูกสั่งให้นั่งคุกเข่าอยู่ในลานอยู่ครึ่งค่อนวัน จนหัวเข่าเจ็บระบมไปหมด นั่งแทบไม่ติด นานกว่านี้จื่อฟางคงเป็นลมแน่ เสิ่นมู่หยางจึงใจอ่อนสั่งให้หยุด

“ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่รักเจ้านะเฟยเอ๋อร์”เสิ่นมู่หยางเข้ามาประคองบุตรชาย จื่อฟางไม่ได้คิดมากเพียงพยักหน้าเข้าใจ เสิ่นมู่หยางยกมือจับใบหน้าของบุตรชายเอียงไปมา รอยฟกช้ำพวกนี้…ใบหน้าบวม ริมฝีปากเจ่อ เกรงว่าคงใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะหาย บุตรชายของเขาคงไม่กล้าออกไปนอกจวนอีกนานแน่ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องดี   

“เรื่องของหลี่ฮุ่ยจือ ข้าขอโทษที่ทำอะไรให้เจ้าไม่ได้”จิตใจของเสิ่นมู่หยางหนักอึ้งขึ้นมา อัครเสนาบดีหลี่ไม่ใช่คนที่เขาจะแตะได้ง่ายๆ

“ท่านพ่อไม่ต้องคิดมาก ครั้งหน้าข้าจะระวัง”จื่อฟางยังไม่ทันได้ประจบ เฉินฉางเซียงก็โผล่มาขัดจังหวะของพ่อลูก ด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไม้เท้าในมือส่งเสียงกึกๆ 

“จะโอ๋กันอีกนานหรือไม่ เสิ่นมู่หยางเจ้าไม่มีเรื่องทำรึ เจ้าเด็กเลว ตามข้ามา”ใต้เท้าเฉินกวักมือเรียกเขา เสิ่นมู่หยางยังจำได้ว่าเฉินฉางเซียงเคย‘สั่งสอน’เขาไว้เยอะเช่นกัน จึงไม่อยากรับมือกับคนร้ายกาจจึงรีบปลีกตัวหนีหายไปทันที จื่อฟางปัดชุดสีเขียวอ่อนสบายตาที่เปื้อนฝุ่นก่อนเดินเข้าไปหาใต้เท้าเฉินด้วยท่าทางหวาดๆ

“ท่านมีสิ่งใดจะสั่งสอนหรือ”เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าอ่อนน้อม ใต้เท้าเฉินส่งเสียงหึในลำคอ

“ไปจวนสกุลไป๋กับข้า”จื่อฟางตาโตแต่ใต้เท้าเฉินเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้เขายืนนิ่งอึ้ง เขายังไม่ได้ทานข้าวเช้าหรือข้าวกลางวัน หัวเข่าก็ปวดระบมไปหมด สารรูปย่ำแย่เช่นนี้ยังจะลากเขาไปไหนอีก

“เหตุใดท่านถึงไปจวนสกุลไป๋เล่า”จื่อฟางเข้าไปช่วยประคอง เฉินฉางเซียงทำเสียงรำคาญแต่ไม่ได้ออกปากไล่

“ข้ารู้จักกับไป๋อู่เหยียน”เฉินฉางเซียงตอบสั้นๆมองหน้าเขาครู่หนึ่งด้วยรอยยิ้มน่ากลัว โอ้…จื่อฟางไม่กล้าปฏิเสธจึงได้แต่ตามไปเงียบๆ หน้าจวนมีรถม้าคันเล็กๆเก่าๆจอดรออยู่แล้ว เหมือนเป็นรถม้าของใต้เท้าเฉิน คนขับรถม้าเป็นท่านลุงใบหน้าอ้วนกลม เมื่อเข้ามานั่งเบียดในรถม้าแล้ว คนขับก็ออกรถ ม้าอ้วนพีออกวิ่งจนกระชากร่างโงนเงน จางต้าและหยางชวีไม่ได้ตามมาด้วยเพราะใต้เท้าเอ่ยห้าม

“ข้าได้ยินว่าเจ้ามักไปก่อกวนสกุลไป๋ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ เจ้าทำไปเพราะเหตุใด”คำถามแรกที่ยิงมาทำให้จื่อฟางแปลกใจมาก เหตุใดใต้เท้าเฉินถึงสนใจ?

“ข้าแค่ไปคุยกับไป๋ผูอวี้เท่านั้น”เป็นคำตอบติดปากไปเสียแล้ว ใต้เท้าเฉินส่งเสียงหัวเราะหึๆ

“เจ้าเด็กไม่ได้เรื่อง”ว่าแล้วก็ยกไม้เท้าเคาะหัวเข่าของเขา

“โอ๊ย”เสิ่นจิ้งเฟยร้องโอดโอย แต่ใต้เท้าเฉินกลับไม่มีทีท่าสนใจ

“เจ้ารู้หรือไม่ข้าให้เจ้ามากับข้าเพราะเหตุใด”

“…เอ่อ ข้าไม่รู้”จื่อฟางตอบไปตามตรง ใต้เท้าเฉินทำท่าจะยกไม้เท้าฟาดเขาอีก จื่อฟางจึงกระเถิบตัวหนี เสิ่นมู่หยางเอาคนร้ายกาจเช่นนี้มาสอนเขาได้อย่างไรเนี่ย

“เจ้าพูดจาดูหมิ่นสกุลไป๋ ไปขอโทษจึงจะถูก”เฉินฉางเซียงสั่งสอน จื่อฟางแทบไม่อยากเชื่อหู

“ให้ข้าขอโทษสกุลไป๋? ข้าเป็นคุณชาย เขาเป็นแค่…โอ๊ย”จื่อฟางโดนฟาดอีกรอบจนน้ำตาเล็ด

“เจ้านี่มัน…ถ้าหากปู่เจ้ายังอยู่ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้ายังกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้อีกหรือไม่”ใต้เท้าเฉินพึมพำ ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ

“ไป๋อู่เหยียนเป็นคหบดีชื่อดังในฉางอันเวลานี้ ไยเจ้าคิดทำตัวเป็นปรปักษ์กับเขา เป็นแค่พ่อค้าแล้วอย่างไร ผูกมิตรไว้ไม่ดีหรือ จุ๊ๆ เจ้ามันดีแต่ถือตนว่าเป็นบุตรขุนนาง หากวันหนึ่งพ่อเจ้าไม่ได้เป็นขุนนางแล้ว เจ้าจะเหลือสิ่งใดให้พูดอีก”เฉินฉางเซียงร่ายยาว เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักมานานแล้ว แต่ใช่ว่าไม่รู้พิษสง ตนเพียงแค่พูดให้เจ้าเด็กไม่เอาไหนคิดได้บ้าง จื่อฟางชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าซับซ้อนเหมือนมีเรื่องคิดเต็มหัว เขากระพุ้งแก้มตัวเอง สงสัยจะชินกับชีวิตสุขสบายของเสิ่นจิ้งเฟยไปแล้วถึงติดนิสัยไม่ดีมาด้วย

“ข้าแค่พูดเท่านั้น เจ้าไม่ต้องหน้าซีดไป”เฉินฉางเซียงเห็นแล้วหงุดหงิด เจ้าเด็กนี่ชอบทำหน้าตาน่าสงสารอยู่เรื่อย ไม่รู้แกล้งทำหรือไม่

“วันข้างหน้าเจ้าก็ตั้งใจเรียน ไปสอบเป็นบัณฑิตซะ”จื่อฟางตาโต บัณฑิต…เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของตน การเรียนสมัยนี้ยึดถือปรัชญาขงจื๊อเป็นหลัก นึกถึงบทความซับซ้อนที่ต้องแปลความพวกนั้นก็ปวดขมับจี๊ด ๆ

ผ่านไปไม่นานรถม้าก็จอดที่หน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่ง จื่อฟางไม่เคยมาที่คฤหาสน์สกุลไป๋จึงตื่นเต้นเล็กน้อย ใต้เท้าเฉินลงจากรถม้าอย่างกระฉับกระเฉงจนน่าแปลกใจ ต่างจากเขาที่เดินโขยกเขยกเพราะปวดหัวเข่าเข้าไปในคฤหาสน์ที่ร่มรื่นเสียจนคิดว่าตนเข้ามาในสวนมากกว่าบ้านคน สกุลไป๋รักธรรมชาติจริง ๆ เด็กรับใช้ในบ้านรีบมาต้อนรับ ไป๋ผูอวี้เดินตัวปลิวคล้ายหอบเอากลิ่นชามาด้วย ร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่หน้าชายแก่ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“ใต้เท้าเฉิน ท่านสบายดีหรือไม่ เจอกันในจวนสกุลเสิ่นข้าไม่มีโอกาสได้ทักทาย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงลื่นไหล หันมองเสิ่นจิ้งเฟยที่มีสีหน้างุนงง สายตาของเขาจับอยู่ที่เสื้อคลุมบริเวณหัวเข่าที่มีรอยเปื้อนฝุ่นทั้งสองข้างก็แปลกใจ เสิ่นจิ้งเฟยถูกทำโทษ? เสิ่นมู่หยางกล้าลงมือกับบุตรชายด้วยหรือ ไป๋ผูอวี้จ้องมองอยู่นานจนใต้เท้าเฉินกระแอม

“ข้าสบายดี พ่อเจ้าเล่า ข้าพาเสิ่นจิ้งเฟยมาคุยกับพ่อเจ้า”เฉินฉางเซียงและเสิ่นฉินอี้รู้จักกับสกุลไป๋ที่หลานโจว ยามนั้นเขากับฉินอี้อายุราวๆสี่สิบปี คิดไปเที่ยวพักผ่อนแต่กลับมีคนดักทำร้าย ได้ไป๋อู่เหยียนที่เป็นชายหนุ่มรักสนุกช่วยไว้ ก็นับว่ามีมิตรไมตรีต่อกัน หากเสิ่นฉินอี้รู้ว่าลูกหลานทำตัวเช่นไรกับคนที่เคยช่วยเหลือคงกลายเป็นผีมาอาละวาดเป็นแน่

จื่อฟางได้แต่เดินตามคนทั้งสองไปอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงได้ดูคุ้นเคยกับคนแก่ร้ายกาจผู้นี้ เท่าที่จำได้ในนิยายไม่ได้พูดถึงเลยซักนิด เฮ้อ จะว่าไปเรื่องราวทั้งหมดนี่มันก็นอกบทมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาในโลกนี้ เขานึกถึงไปวันที่เขาแย่งบทของฉินเซียงอินในวันนั้น จื่อฟางมองแผ่นหลังของไป๋ผูอวี้อย่างครุ่นคิด คุณหนูฉินเพียงโผล่มาวับๆแวมๆเหมือนตัวประกอบอย่างไรอย่างนั้น

ไป๋ผูอวี้เดินนำแขกทั้งสองคนไปที่ศาลาริมบึงน้ำ บรรยากาศที่เลียนแบบธรรมชาติทำให้ในคฤหาสน์มีอากาศเย็นสบาย ลมพัดเข้ามาจึงทำให้หนาวอยู่บ้าง ไป๋อู่เหยียนนั่งดีดลูกคิดอยู่ในศาลาพอเห็นเฉินฉางเซียงก็ผุดลุกยืนทันที แปลกใจที่เห็นเสิ่นจิ้งเฟยเดินตามมาด้วยสีหน้ายับย่น

“ใต้เท้าเฉิน ไม่พบกันนาน”ไป๋อู่เหยียนออกมาต้อนรับอย่างยินดี

“ข้ารู้สึกเหมือนได้เจอเจ้าไม่นานมานี่เอง ที่ข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องไหน พาเจ้าเด็กไม่เอาไหนมาพบท่านจริงๆจังๆเสียที”เฉินฉางเซียงถอนหายใจ

“ท่านเกรงใจไปแล้ว”ไป๋อู่เหยียนไม่กล้าจริงๆถึงแม้เขาจะเคยรู้จักเสิ่นฉินอี้ แต่ก็เป็นเรื่องนานนมมาแล้ว สกุลเสิ่นยามนี้ไม่อยากรู้จักกับเขาด้วยซ้ำ จื่อฟางกับไป๋ผูอวี้มองหน้ากันครู่หนึ่ง มันเรื่องอะไรล่ะนี่ ใต้เท้าเฉินหันมามองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าพูดซะ จื่อฟางกระแอมเมื่อวานเขารู้ตัวดีว่าพูดจาเกินเลยไปบ้าง พอมาเผชิญหน้าเช่นนี้จึงกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“ข้าต้องขอโทษด้วยที่พูดจาดูหมิ่นเถ้าแก่ไปเมื่อวาน”เด็กหนุ่มค้อมกายอย่างมีมารยาท

“อา ช่างเถอะ ข้าไม่ติดใจ”ไป๋อู่เหยียนรีบพูด ถึงอย่างไรเว่ยหลงก็ผิดจริง รอยยิ้มบนหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ส่อแววประจบ จื่อฟางจึงส่งยิ้มแห้งกลับไป ไปอู่เหยียนเดินนำใต้เท้าเฉินกับเขาไปนั่งในศาลา กลิ่นชาอ่อนๆลอยแตะจมูก สายตาของจื่อฟางพุ่งเป้าไปที่ขนมดอกเบญจมาศในจานตาเป็นมัน เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้แสบท้องไปหมด

“ข้าแค่ทำตามในสิ่งที่เสิ่นฉินอี้ต้องการเท่านั้น เขาไม่รู้เสียหน่อยว่าบุตรชายและหลานเพียงคนเดียวจะเป็นเช่นนี้”ใต้เท้าเฉินมิวายจิกกัด จื่อฟางไม่รู้เรื่องราวของท่านปู่มากนัก พูดเช่นนี้แสดงว่าสกุลไป๋รู้จักเสิ่นฉินอี้อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดเสนาบดีเสิ่นถึงไม่รู้จักสกุลไป๋ เหตุใดไม่เคยเอ่ยถึง จื่อฟางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ท่านรู้จักท่านปู่ด้วยอย่างนั้นหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างห้ามไม่อยู่ เฉินฉางเซียงเคาะหัวเข่าเขาเบาๆ ไป๋อู่เหยียนหัวเราะเสียงแห้ง มองคุณชายเสิ่นอย่างสำรวจ เสิ่นจิ้งเฟยมีใบหน้าละม้ายคล้ายสตรีที่ได้มาจากมารดา ไป๋อู่เหยียนเคยเห็นเสิ่นมู่หยางแต่เขาไม่คล้ายเสิ่นฉินอี้คนพ่อจึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ใครจะไปคิดว่าหลายชายต่างหากที่มีใบหน้าหมดจดเหมือนเสิ่นฉินอี้ แต่ต่างกันตรงที่เสิ่นฉินอี้มีใบหน้าหมดจดแฝงความแข็งแกร่ง แต่หลานชายของคนที่ล่วงลับกลับงดงามอ่อนแอราวกับแก้วบาง

จื่อฟางทำตัวไม่ถูกเพราะถูกจ้องมอง ไป๋ผูอวี้กระแอมเบาๆเมื่อเห็นบิดามองเสิ่นจิ้งเฟยไม่วางตา ท่านพ่อเป็นอะไรไปแล้ว ไยถึงจ้องเสิ่นจิ้งเฟยเช่นนั้น แม้ในใจคิดสงสัยแต่ไป๋ผูอวี้ก็จัดการเทชาให้ใต้เท้าเฉินและเสิ่นจิ้งเฟย เห็นคุณชายตรงหน้าจ้องขนมตาเป็นมันก็เม้มปากกลั้นรอยยิ้ม ขยับจานไปให้อีกฝ่ายอย่างเชื้อเชิญ จื่อฟางอยากจะหยิบมากินแต่ก็กลัวเสียมารยาท จึงกลั้นใจยกชาดื่มแทน

“ขออภัยพอเห็นคุณชายเสิ่น ข้าก็นึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา ความจริงข้ารู้จักปู่ของท่านเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่หลานโจว คราวนั้นได้ช่วยชีวิตปู่ท่านและใต้เท้าเฉินไว้โดยบังเอิญ นับว่าเป็นเรื่องสนุกมากทีเดียว”ไป๋อู่เหยียนก้มมองถ้วยชาด้วยสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง ไป๋ผูอวี้รู้แค่ว่าท่านพ่อรู้จักกับใต้เท้าเฉินฉางเซียงเท่านั้น จึงแปลกใจที่ท่านพ่อรู้จักกับคนในสกุลเสิ่นด้วย

จื่อฟางเห็นว่าคนในศาลาไม่มีใครสนใจเขาจึงหยิบขนมดอกเบญจมาศเข้าปาก แต่ไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะหันมามองด้วยสายตาขบขัน

“ถึงจะนานมาแล้ว แต่เจ้ายังดูแข็งแรงเป็นคนหนุ่มเฉกเช่นวันนั้น”เฉินฉางเซียงหัวเราะเบาๆ ไป๋อู่เหยียนเพียงยิ้มรับเท่านั้น กลายเป็นพูดคุยถึงเรื่องราวความหลังไปแล้ว

“ทำไมบิดาข้าถึงไม่รู้จักเถ้าแก่เล่า ถ้าหากท่านปู่รู้จักเถ้าแก่จริง เหตุใดถึงไม่เล่าให้บิดาฟังบ้าง”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างที่ใจคิด ไป๋อู่เหยียนมองเขาด้วยสายตาที่แปลไม่ออก

“ข้าคิดว่าปู่ท่านคงมีเหตุผล…เดิมทีสกุลไป๋ไม่ยุ่งเกี่ยวกับขุนนางราชสำนัก…”เจ้าตัวถอนหายใจ

“ไป๋อู่เหยียน เจ้าจำคำพูดของเสิ่นฉินอี้เมื่อครั้งนั้นได้หรือไม่”เฉินฉางเซียงเพียงพูดขึ้นเพราะเห็นเป็นเรื่องตลก ไป๋อู่เหยียนก็จำได้เช่นกันจึงหัวเราะฮ่าๆออกมา มองใบหน้าหมดจดของคุณชายเสิ่นอีกครั้ง เสิ่นฉินอี้เคยโกหกตนว่ามีหลานที่งดงามมากจนเขาอยากให้หมายหมั้นกับบุตรชาย แต่มารู้ความจริงที่หลังว่าหลานที่เสิ่นฉินอี้พูดถึงเป็นหลานชาย! ดีจริงๆที่ไม่ได้ตกลงรับปาก ไม่เช่นนั้นเรื่องคงออกมาพิลึกน่าดู

“พวกท่านหัวเราะสิ่งใด แบ่งปันให้ผู้น้อยเช่นข้าได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามอย่างสงสัย ใต้เท้าเฉินมองหน้าอีกฝ่ายก่อนหันไปมองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยดวงตาฉ่ำน้ำเพราะหัวเราะมากเกินไป

“เสิ่นฉินอี้น่ะซี หลอกพ่อเจ้าว่ามีหลานหน้าตางามนัก จนพ่อเจ้าอยากหมายหมั้นให้แต่งงานกับเจ้าอย่างไรล่ะ”ใต้เท้าเฉินเอ่ย ไปผูอวี้ขมวดคิ้ว เมื่อไตร่ตรองดีๆก็พบว่าหลานที่พูดถึงคือเสิ่นจิ้งเฟยนั่นเอง จื่อฟางเมื่อคิดตกก็สำลักขนมจนกระอักกระไออยู่เป็นนาน รีบยกจอกชาดื่ม ใต้เท้าเฉินมองเด็กหนุ่มตาเขียวปั้ด ไป๋ผูอวี้ทำสีหน้าเรียบเฉยไม่คิดว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย …หน้าตางดงามหรือ เขามองหน้าคุณชายที่สำลักจนหน้าแดงก่ำ แต่จะว่าไปตอนที่เขาเจอกับเสิ่นจิ้งเฟยครั้งแรกเขาก็คิดว่าคุณชายผู้นี้งดงามเกินบุรุษ พอคิดว่าตนก็หลงกลไปกับคำว่า ‘งดงาม’จึงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ต่อให้งดงามอย่างไรไป๋ผูอวี้ก็รู้ว่าระยะหลังมานี้ตนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเพราะความงามแต่เป็นเพราะนิสัยที่แตกต่างราวคนละคน

จื่อฟางได้แต่อึดอัดใจ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้หัวเราะสิ่งใดกัน ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสิ่นจิ้งเฟยก็ยิ่งหงุดหงิดเหมือนถูกนินทาซึ่งๆหน้า



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 05-02-2018 17:47:02
 :-[
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 05-02-2018 18:59:03
 o13 รอตอนต่อๆไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-02-2018 19:19:24
แปะไว้ก่อนตอนนี้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-02-2018 19:53:32
ก็นึกๆเหมือนกันว่าอาจจะมีการหมั้นหมายกันไว้
ก็ใกล้เคียง .....เกือบจะเท่านั้น

จื่อฟางจะก้าวหน้ากว่าเสิ่นจิ้งเฟยมั้ยนะ  :hao3:
แต่ไป่ กับหวางชวี ดูจะเห็นความแตกต่างของจิ้งเฟยแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-02-2018 20:52:20
น่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 05-02-2018 22:00:10
หึๆๆๆ ตอนนี้ก็แต่งได้น้าาาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-02-2018 22:34:49
หนูฟางปากเจ่อเลย น่าฉงฉานจริง ๆ เลย  :o11:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-02-2018 23:23:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 06-02-2018 00:27:37
ชอบมากเลยค่าาาา ขอซื้อหนังสือเลยได้เปล่าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 06-02-2018 00:35:44
สนุกมากกกกกก ช่วงนี้เรากำลังติดนิยายจีนอยู่พอดี มาเจอเรื่องนี้ทำเอาเราตื่นเต้นมากเลยค่ะ
ภาษาอ่านง่าย ไหลลื่น แถวเรื่องก็สนุก
ฮืออออ  ปลื้มใจจัง
เราจะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่าา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-02-2018 08:49:49
เขาควรหมั้นกันตอนนี้เลยค่ะเพราะว่า
1.พระเอกทั้งจับทั้งบีบจิ้งเฟยน้อยไปแล้ว แถมยังย่องเข้าหายามวิิกาลอีก ตั้งนานสองนาน เห็นน้องโป๊ด้วย ต้องรับผิดชอบนะ  :-[
2. รุ่นพ่อรับรู้เรื่องหมั้นมาก่อนแล้ว
3.ทั้งสองยังไม่มีคู่หมั้น
ขอบคุณคนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 06-02-2018 10:07:41
รอต่อน้า สนุกมากเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 06-02-2018 10:25:12
ชอบบ แอบติดใจเรื่องที่พระเอกคล้ายกับคนที่จื่อฟางรู้จักด้วย  o18
จื่อฟางจะมีฮาเร็มมั้ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 06-02-2018 13:31:53
เด็กน้อยจื่อฟางน่าเอ็นดู
แต่เป๋อมากอ่ะ ตอนหน้าจะดีขึ้นไหมนะ 555555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: naplatoo ที่ 06-02-2018 18:56:36
สนุกมากเลยค่ะ
ติดตามและเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ 
:katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 06-02-2018 20:12:08
สนุกมากๆๆๆ รอๆๆตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 07-02-2018 05:57:34
เมื่อไรพระนายจะชอยกัน?

อิคุณชายหลี่จะกลับมาป่วนเมื่อไรนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ผายลม888 ที่ 07-02-2018 07:24:50
ได้โปรด มาต่อเถอะคนเขียน เรารอเรื่องนี้ที่ท่าน้ำทุกวันเลย ชอบพล็อตแบบนี้ ชอบพระเอกแบบนี้ ชอบนิสัยนายเอกแบบนี้ ชอบวุ้ย เรื่องแนวจีนแบบตรงสเปคนี่หายากมากนะ เรารออออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-02-2018 07:59:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-02-2018 09:04:17
 บทหก: ลิขิตเอง

“ก็แค่เสิ่นฉินอี้หลอกพ่อเจ้าว่ามีหลานหน้าตางามมาก จนพ่อเจ้าอยากหมายหมั้นให้แต่งงานกับเจ้าอย่างไรล่ะ”

ไป๋อู่เหยียนได้ยินเสียงหัวเราะของใต้เท้าเฉินก็ทำให้เขานึกย้อนกลับไปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน วันที่ได้ช่วยชีวิตขุนนางจากเมืองหลวงสองคนจากโจรป่าที่ลอบดักทำร้ายระหว่างเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองหลานโจว เฉินฉางเซียงและเสิ่นฉินอี้ได้รับบาดเจ็บแต่ยังดีที่บาดแผลไม่ได้สาหัสมาก ไป๋อู่เหยียนจึงพาทั้งสองคนไปพักรักษาตัวที่จวนสกุลไป๋อย่างลับๆ เขาไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของขุนนางทั้งสองนัก แต่ก็รู้สึกว่าการลอบทำร้ายครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หลานโจวไม่มีโจรออกปล้นมานานแล้ว การช่วยเหลือครั้งนั้นถือว่าเสี่ยงมาก สกุลไป๋หลายชั่วคนไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับอำนาจ แม้จะเป็นสกุลคหบดีที่ร่ำรวยมีชื่อเสียงในเมืองหลานโจวก็ตาม ไป๋อู่เหยียนจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

เฉินฉางเซียงและเสิ่นฉินอี้พักอยู่ในเรือนเก่าที่ไม่ได้เปิดใช้นานแล้ว ถึงจะไม่สะดวกสบายแต่คนทั้งสองกลับไม่ปริปากบ่น ในยามนั้นเฉินฉางเซียงอายุห้าสิบสองปีใบหน้าอิ่มเอิบคล้ายใจดีแต่นิสัยกลับตรงกันข้าม สายตาดุรั้นแฝงความฉลาด แต่ไป๋อู่เหยียนสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้มีจิตใจดี ส่วนเสิ่นฉินอี้อายุสี่สิบกว่าๆแต่ยังคล้ายคนหนุ่มทั้งยังมีใบหน้าหมดจดจนเขาแปลกใจ เขามีนิสัยเป็นกันเองไม่ถือยศถือตัวทำให้เข้ากับไป๋อู่เหยียนได้อย่างรวดเร็ว เสิ่นฉินอี้และเฉินฉางเซียงซาบซึ้งใจกับการช่วยเหลือของเขามาก

‘เจ้าอายุอานามเท่าใด คงไม่น้อยแล้วกระมัง’

‘ปีนี้ข้าก็ยี่สิบแปดแล้ว’ไป๋อู่เหยียนยังไม่เข้าใจนักว่าเสิ่นฉินอี้ถามเพราะเหตุใด

‘เจ้าคงมีบุตรแล้ว ข้ามีหลานหน้าตางดงามมากคนหนึ่ง…หากเจ้าได้เห็นต้องตกตะลึงเป็นแน่’ยามนั้นไป๋อู่เหยียนตื่นเต้นมากเพราะไม่คิดว่าเสิ่นฉินอี้จะเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะเขาเองก็มีบุตรชาย…สีหน้าของเสิ่นฉินอี้ดูมั่นใจกับความงามของหลานตนนัก

‘แต่น่าเสียดายที่หลานข้าอายุยังน้อย...เพิ่งครบเจ็ดขวบเมื่อปีนี้เอง'เสิ่นฉินอี้หัวเราะฮ่าๆเหมือนมีเรื่องน่าขบขัน เฉินฉางเซียงพลันหน้าตาดำคล้ำบูดบึ้งทันที

‘เจ้าสนุกนักหรือ! ไป๋อู่เหยียนเจ้าอย่าไปฟังคำเหลวไหลของเขานักเลย…’

‘หากเจ้าเจอหลานข้าแล้วยังยืนยันคำเดิม ข้ายินดีดองกับเจ้า'เสิ่นฉินอี้พูดขัดเฉินซางเซียน ยังคงหัวเราะไม่หยุด ไป๋อู่เหยียนจึงคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดล้อเล่นไปเท่านั้น อีกทั้งบุตรชายของเขาก็เพิ่งสิบเอ็ดขวบเท่านั้น แม้จะรู้ความเกินอายุก็เถอะ ไป๋อู่เหยียนเข้าใจดีที่เห็นเฉินฉางเซียงคล้ายไม่พอใจ จะอย่างไรเขานับได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาใช้เวลาพักรักษาตัวอยู่ที่จวนสกุลไป๋อย่างเงียบๆอยู่สองอาทิตย์ เสิ่นฉินอี้และเฉินฉางเซียงไม่อยากรั้งอยู่นาน กลัวว่าเขาจะเจอเรื่องเดือดร้อนจึงรีบเดินทางกลับเมืองหลวง

‘หากมีวาสนาต่อกันย่อมต้องได้พบกับพวกท่านสองคนอีกแน่นอน’

ไป๋อู่เหยียนกล่าวไปเช่นนั้น แต่ผ่านไปไม่ถึงปีเขากลับได้รับข่าวว่าเสิ่นฉินอี้เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ต่อมาไม่นานเฉินฉางเซียงก็ลาออกจากราชสำนักไปใช้ชีวิตเงียบๆอยู่ที่เสียนหยางเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากฉางอัน ไป๋อู่เหยียนได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกคงเป็นเรื่องในราชสำนักที่เขาไม่คิดยุ่งเกี่ยว ไป๋อู่เหยียนเคยได้ยินมาว่าสกุลเสิ่นเป็นขุนนางมาหลายรุ่น แต่เสิ่นฉินอี้กลับแปลกออกไป เขาแยกตัวออกมาตั้งตัวใหม่ด้วยความสามารถของตนเอง สร้างเรือนจนใหญ่โตทำให้เสิ่นฉินอี้กลายเป็นขุนนางที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีผู้ไม่หวังดีจงใจเล่นงาน สองปีถัดมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในราชสำนัก ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สกุลหลี่กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ไป๋อู่เหยียนจึงเลิกสนใจข่าวสารจากเมืองฉางอัน

ในวัยสามสิบปีสุขภาพของเขาเริ่มย่ำแย่ การจากไปของภรรยายิ่งทำให้เขาทุกข์ใจ ทุกปีเมืองหลานโจวมักได้รับผลกระทบจากพายุฝุ่นที่พัดเข้ามาเพราะอยู่ติดกับทะเลทรายโกบี แต่ปีนี้สุขภาพของเขาทรุดโทรมลงอย่างน่าใจหาย ในเมื่อภรรยาก็จากไปแล้วเขาจึงตัดสินใจย้ายไปยังฉางอันเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองทำให้เขาได้พบกับใต้เท้าเฉินอีกครั้ง ไม่พบกันนานหลายปีเฉินฉางเซียงเปลี่ยนไปราวคนละคน บุคลิกที่เคยดุดันแฝงความฉลาดหายไปเหลือเพียงตาแก่ร้ายกาจขี้บ่นเท่านั้น อีกประการสำคัญคือเขาได้รู้แล้วว่าถูกเสิ่นฉินอี้หลอก เพราะหลานหน้าตางดงามที่เสิ่นฉินอี้เคยพูดถึงกลับเป็นหลานชายหาใช่หลานสาวไม่ มิน่าเล่าคราวนั้นเสิ่นฉินอี้ถึงได้หัวเราะไม่หยุด ใต้เท้าเฉินถึงได้มีสีหน้าเหมือนกลืนลูกเหม็นลงคอ!

ไป๋อู่เหยียนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆแล้วถอนหายใจออกมา เคยนึกว่าคงไม่มีเรื่องใดให้เกี่ยวข้องกับสกุลเสิ่นอีกแล้ว แต่ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเอง

ระหว่างนั้นไป๋ผูอวี้ยกถ้วยชาดื่มเงียบๆ นั่งฟังบิดาและใต้เท้าเฉินพูดคุยถึงเรื่องเก่า เรื่องที่หลานโจวและเรื่องของท่านปู่ของเสิ่นจิ้งเฟย เขาได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ เหตุใดท่านพ่อไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้มาก่อน หรือท่านพ่อไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสกุลเสิ่น ไป๋ผูอวี้นึกถึงเรื่องวุ่นวายที่เสิ่นจิ้งเฟยก่อไว้ก็อดเห็นด้วยไม่ได้

จื่อฟางได้แต่นั่งทำหน้าไม่ถูก โชคดีแค่ไหนที่ไป๋อู่เหยียนไม่ได้ตอบตกลง ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว เขาเหลือบมองไป๋ผูอวี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ใบหน้าของบุรุษหนุ่มยังคงเดิมคล้ายกับบทสนทนาเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น จื่อฟางนึกอยากได้พรสวรรค์ในการทำหน้าตายบ้าง เขาไม่ชอบให้มีคนมาพูดชมเสิ่นจิ้งเฟยว่างดงาม ฟังแล้วขัดหูพิลึก

“คุณชายเสิ่น…”เสียงเรียกของไป๋ผูอวี้ทำให้เขารู้สึกตัว จื่อฟางกระพริบตา พบว่าใต้เท้าเฉินกับไป๋อู่เหยียนจ้องมองตนอยู่ 

“ท่านว่าอะไรนะ”เขาจมกับความคิดมากไปจนไม่ทันได้ฟังว่าเมื่อครู่ไป๋ผูอวี้พูดอะไร

“ข้าบอกว่าจะพาท่านออกไปชมสวน”ไป๋ผูอวี้กล่าวซ้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“อ้อ…”จื่อฟางปั้นยิ้มแต่ในใจกลับก่นว่า ‘ใครอยากไปกันหา!’ ตอนนี้เขาปวดเข่าจนไม่อยากเดินไปไหนแล้ว แต่เมื่อเห็นสายตาของใต้เท้าเฉิน เขาก็เข้าใจทันที คงมีเรื่องที่อยากคุยกับไป๋อู่เหยียนตามลำพัง

“เช่นนี้ก็ดี ตอนที่ข้าเข้ามายังคิดชมอยู่เลยว่าจวนของท่านตกแต่งได้เยี่ยมนัก”จื่อฟางหันไปเอ่ยชมกับไป๋อู่เหยียน ก่อนค้อมกายจากมา ไป๋ผูอวี้ยืนขึ้นด้วยท่าทางสงบ ในใจกลับรู้สึกขบขันเพราะเขามองออกว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่อยากลุกไปที่ใดแล้ว จื่อฟางแบกร่างปวดระบมเดินตามไป๋ผูอวี้ออกไปจากศาลา ที่เขาชมก็ไม่ถือว่าโกหกเสียทีเดียว ถึงแม้คฤหาสน์สกุลไป๋จะใหญ่สู้จวนสกุลเสิ่นไม่ได้ แต่บรรยากาศแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ดอกไม้เต็มไปหมด

ไป๋ผูอวี้เดินเอื่อยช้าเพราะรู้ว่าคุณชายเสิ่นถูกทำโทษมา พิจารณาจากรอยเปื้อนคงถูกสั่งให้นั่งคุกเข่ากระมัง เขาหันมองเสิ่นจิ้งเฟยที่แสดงสีหน้าบึงตึงอย่างไม่คิดปิดบัง ในมือของคุณชายถือพัดกระดาษวาดลวดลายกิ่งไผ่ ลายเส้นมีน้ำหนักอ่อนเบาดูแปลกตา ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าจะได้เห็นคุณชายเสิ่นใช้พัดกระดาษธรรมดาๆเช่นนี้ ปกติเขาเห็นคุณชายชอบใช้พัดผ้าไหมชั้นดี ด้ามจับทำจากงาช้างและมักใช้ไม่ซ้ำกันคล้ายเป็นของประจำตัวที่เอาไว้โอ้อวดความอู้ฟู้ของตน

“ท่านคงไม่คิดพาข้าเดินชมสวนจริงๆหรอกกระมัง”จื่อฟางเอ่ยถามเมื่อเดินตามไป๋ผูอวี้มาได้สักพัก แต่เจ้าของร่างตรงหน้ากลับไม่ตอบเพียงแต่เดินไปตามทางปูหินช้า ๆ รอบด้านปลูกต้นหลิวสลับกับพุ่มดอกหมู่ตาน มองเห็นศาลาอยู่เบื้องหน้า ต้นไผ่เงินปลูกอยู่เป็นแนวให้ความรู้สึกสงบเช่นเดียวกับไป๋ผูอวี้ ชายเสื้อคลุมสีอ่อนสะบัดพลิ้วตามจังหวะก้าวเดิน จื่อฟางถอนหายใจอย่างโล่งอกคิดว่าต้องเดินจนขาลากเสียแล้ว!

“เชิญท่านตามสบาย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเบาแต่ก้องกังวานราวกับพูดอยู่ข้างหู จื่อฟางนั่งลงทันทีโอดครวญอยู่ในใจเมื่อมีอาการปวดกล้ามเนื้อ บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ สายลมอ่อนๆพัดต้องใบหน้าชวนให้ผ่อนคลาย

“กุ้ยตาน นำของว่างมาต้อนรับคุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้สั่งเมื่อเห็นบ่าวรับใช้ยกกาน้ำชาเข้ามาวางบนโต๊ะ บ่าวรับใช้รับคำเงียบๆแล้วจากไปอย่างว่องไว จื่อฟางเอ่ยชมอยู่ในใจ ตอนนี้เขาหิวมาก ๆ แค่ขนมเมื่อครู่ไม่พอยาไส้หรอก

“เว่ยหลงเล่า เขาเป็นเช่นไรบ้าง”จื่อฟางเอ่ยถาม นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า เขาเพิ่งเคยออกคำสั่งโบยตีคนเป็นครั้งแรก จึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ไป๋ผูอวี้รินน้ำชาใส่ถ้วยให้พอเป็นพิธี รู้สึกแปลกใจที่คุณชายเสิ่นถามถึงผู้ติดตามของตนเอง บางทีเขาควรชินกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคุณชายผู้นี้ได้แล้ว

“เว่ยหลงแข็งแรงกว่าที่ท่านคิด บาดแผลมากกว่านี้เขาก็ผ่านมาแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง เขาพักรักษาตัวไม่นานก็หาย”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนเหลือบมองรอยเปื้อนบนเสื้อคลุมบริเวณหัวเข่าของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วเอ่ยเสริม

“ห่วงตัวเองเถอะ”

“อะไรนะ”จื่อฟางทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าไป๋ผูอวี้หมายถึงอะไร

“หัวเข่าของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”ไป๋ผูอวี้ถาม เดินมานั่งข้างๆเขาอย่างรวดเร็วจนจื่อฟางไม่ทันได้ตั้งตัว

“ไม่เป็นไร”เขาตอบโกหก นึกสงสัยว่าไป๋ผูอวี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาเจ็บหัวเข่า

“รู้ตัวหรือไม่ว่าท่านโกหกไม่เก่ง”ไป๋ผูอวี้พึมพำพลางเอื้อมมือไปจับบริเวณหัวเข่าของคุณชายตรงหน้า แค่เพียงเบาๆเท่านั้นแต่เสิ่นจิ้งเฟยกลับร้องลั่นเหมือนโดนเขาหักกระดูก ไป๋ผูอวี้เงยหน้ามองเด็กหนุ่มครู่หนึ่ง แววตานิ่งสงบจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย มองเห็นรอยฟกช้ำและริมฝีปากบวมเจ่อของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วรู้สึกขัดตาขึ้นมา

จื่อฟางถูกจ้องมองเสียจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้อยู่ใกล้มากเสียจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ สายตาของเขาเลื่อนมองไปที่ริมฝีปากได้รูปของไป๋ผูอวี้ คิดแล้วก็นึกเสียดายหากต้องปล่อยให้นางเอกอย่างฉินเซียงอินมาคว้าไป ใจจริงกลับรู้สึกไม่อยากให้พระเอกนางเอกลงเอยกันซักเท่าไหร่ หรือเขาควรทำอะไรสักอย่าง

“ขอข้าตรวจดูหน่อย”เสียงแผ่วเบาของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ใกล้ๆ จื่อฟางได้สติก้มมองก็เห็นบุรุษหนุ่มกำลังเลิกชายเสื้อคลุมของตนจนเห็นชุดตัวกลาง เจ้านี่ตั้งใจจะดูหัวเข่าของเขาจริงๆน่ะเหรอ

“ท่านกังวลมากไปแล้ว”จื่อฟางแกล้งพูดเสียงนุ่ม มือของไป๋ผูอวี้หยุดชะงักทันทีคล้ายกับเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ร่างตรงหน้าขยับไปนั่งตัวตรง สีหน้ายังคงเดิมแต่คิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ จื่อฟางจัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย

“ยาที่ข้าให้ไปก็ใช้เสีย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงราบเรียบ เมื่อครู่นี้เขาเผลอแสดงความสนใจมากไปหน่อย แม้กระทั่งตัวเขาเองยังแปลกใจ

“อืม”จื่อฟางพยักหน้าช้าๆ โลกนิยายที่หลุดเข้ามาเปลี่ยนไปแล้ว เขาสงสัยว่าคุณหนูฉินเริ่มงัดกลยุทธ์ใดออกมาหรือยัง จะได้จูบแรกจากไป๋ผูอวี้ตอนไหน ยิ่งคิดก็รู้สึกคันในใจแปลกๆ ใครจะพระเอกหรือนางเอกก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อจื่อฟางเข้ามาในโลกนี้แล้ว ชะตาชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นอย่างไร เขาจะลิขิตเอง

“นี่ไป๋ผูอวี้ ข้าขอถามอะไรสักหน่อยได้หรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามเสียงนุ่มหูกว่าปกติ ไป๋ผูอวี้จึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

“ท่านมีเรื่องใด”

“ท่านคิดกับคุณหนูฉินเช่นไร”เขาถามตรงๆ อยากรู้ว่าตอนนี้ฉินเซียงอินเข้าไปอยู่ในใจของไป๋ผูอวี้ได้สักนิดหรือยัง บุรุษตรงหน้ากลับยกยิ้ม ทำให้จื่อฟางหัวใจกระตุกอีกรอบ คิดว่าดีแล้วที่ไป๋ผูอวี้ชอบทำหน้านิ่งเช่นนี้ไม่อย่างนั้นคงใจเต้นแรงบ่อยๆ

“แล้วท่านว่าอย่างไร?”ไป๋ผูอวี้ย้อนถาม คุณชายเสิ่นเอ่ยถึงเรื่องนี้แสดงว่ายังตัดใจจากนางไม่ลงอีกหรือ

“ข้าถามท่านก่อน”จื่อฟางกัดฟันกรอดๆ เรื่องอะไรคนผู้นี้ต้องมาย้อนถามเขาด้วย

“ท่านไม่ต้องคิดมาก ข้าเห็นนางเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น”เขาตอบ เรื่องของคุณหนูฉินแค่ท่านพ่อกับเว่ยหลงพูดถึงนางบ่อยๆเขาก็เบื่อหน่ายแล้ว

“เหตุใดข้าต้องคิดมากด้วย ข้าเคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้ชอบนาง”ได้ยินอีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ ไป๋ผูอวี้จึงปรายตามองก็พบว่าคุณชายรูปงามไม่ได้โกหกจริงๆ หรือข่าวที่ตนเคยได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง สายตาของเสิ่นจิ้งเฟยจับจ้องมาที่ไป๋ผูอวี้จนทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจนเกิดอาการวางตัวไม่ถูก

“อ้อ ท่านไม่ได้ชอบคุณหนูฉิน หรือว่าท่านชอบหลี่ฮุ่ยจือ”ไป๋ผูอวี้พูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้นและก็ได้ผล เสิ่นจิ้งเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยินชื่อของหลี่ฮุ่ยจือ

“ท่านล้อเล่นแล้ว”จื่อฟางนึกถึงเหตุการณ์ที่หอเหม่ยซิ่วแล้วขนลุกขึ้นมา พอดีกับบ่าวที่ชื่อกุ้ยตานนำซาลาเปาไส้เนื้อและขนมแป้งทอดไส้ผักมาวางบนโต๊ะ จื่อฟางจึงเลิกสนใจไป๋ผูอวี้ สูดกลิ่นหอมๆของอาหารตรงหน้าแต่ท้องของเขากลับส่งเสียงร้องออกมา ในศาลาอันเงียบสงบแค่เสียงเบาๆก็ถือว่าดังแล้ว

“ท่านคงจะหิวมากจริงๆ”ไป๋ผูอวี้หัวเราะอย่างไม่เกรงใจ มองคุณชายนั่งหน้าแดงก่ำ แต่ก็เห็นใจอีกร่างอยู่บ้างเพราะวันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายตั้งแต่เช้า ไหนจะถูกทำโทษคุกเข่าอีก

จื่อฟางได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจ จะต้องมีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นต่อหน้าไป๋ผูอวี้ตลอด เขาคิดพลางหยิบซาลาเปามากัดคำเล็กๆ

“ข้าคิดว่าท่านกับข้าควรผูกมิตรกันดีกว่า ข้าเบื่อไปก่อกวนท่านแล้ว”จื่อฟางเอ่ยขึ้นหลังจากที่จัดการซาลาเปาไปสามลูก เขาควรผูกมิตรดีกว่าสร้างศัตรู อีกทั้งสกุลไป๋ก็ดูมีอะไรมากกว่าที่คิด ปู่ของเสิ่นจิ้งเฟยก็เคยรู้จักกับบิดาของไป๋ผูอวี้มาก่อน     

“ท่านออกปากต้องการผูกมิตรก่อนเช่นนี้ คงไม่มีเรื่องไหนทำให้ข้าแปลกใจได้อีกแล้วกระมัง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยรอยยิ้มบางเบาปรากฏบนริมฝีปากเมื่อนึกไปถึงวันที่เขาตั้งใจซื้อขลุ่ยเซียงตี๋ให้คุณชายเสิ่นเป็นการผูกมิตร

“ไม่ดีหรือ อย่างน้อยๆท่านกับข้าก็เคยเกือบได้เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันเชียวนะ”จื่อฟางเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ อยากเห็นปฏิกิริยาของไป๋ผูอวี้ แต่ชายผู้นี้ไม่เหมือนหยางชวี เขาจึงผิดหวังเมื่อเห็นไป๋ผูอวี้เพียงแค่กระพริบตาก่อนก้มหน้าดื่มชาเท่านั้น ช่างเป็นคนจืดชืดเสียจริง 

“เรื่องนี้เป็นการพูดล้อเล่นของปู่ท่านเท่านั้น”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงเรียบ ในใจคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงโดนหมัดของเว่ยหลงจนสมองเพี้ยนไปแล้วแน่ถึงได้ใช้น้ำเสียงหยอกล้อกับเขาเช่นนี้

“กุ้ยตาน เจ้าเข้าไปในห้องนอนข้า นำขลุ่ยเซียงตี๋ในตู้ลิ้นชักที่สองมาให้ข้าที”ไป๋ผูอวี้เอ่ยสั่งบ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ กุ้ยตานพยักหน้ารับคำก่อนจากไปอย่างว่องไวเช่นเคย

“ขลุ่ยเลานั้นข้าตั้งใจซื้อให้ท่าน อยากให้ท่านรับไว้เป็นการผูกมิตร”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้าๆ จื่อฟางไม่คิดว่าที่ไป๋ผูอวี้ซื้อขลุ่ยให้คราวนั้นมีความหมายเช่นนี้จึงได้แต่นั่งเงียบ ๆพลิกพัดกระดาษในมือเล่น

“พัดของท่านดูแปลกตาไปกว่าทุกที”ไป๋ผูอวี้เอ่ย จ้องมองพัดในมือของคุณชายเสิ่นอีกครั้ง

“แน่นอน ก็ข้าเป็นคนวาดเอง”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ในที่สุดเขาก็มีเรื่องให้โอ้อวดแล้ว

“ไม่เคยได้ยินว่าท่านมีฝีมือด้านนี้ด้วย”ไป๋ผูอวี้เก็บสีหน้าประหลาดใจไว้ไม่อยู่

“ข้าเพิ่งฝึกได้ไม่นาน”จื่อฟางตอบกลับอย่างลื่นไหล คิดถึงพัดกระดาษอันที่เขาตั้งใจจะส่งให้ไป๋ผูอวี้ขึ้นมา เอาไว้มีจังหวะเหมาะๆค่อยมอบให้ก็แล้วกัน ไป๋ผูอวี้สำรวจมองคุณชายใบหน้าหมดจดอย่างละเอียด คิดในใจว่ามีเรื่องอีกเท่าใดกันที่ตนยังไม่ล่วงรู้ คุณชายเสิ่นเปรียบเสมือนหนังสือที่เขาอยากเปิดอ่าน ไม่ใช่สิ ไป๋ผูอวี้รีบไล่ความคิดไร้สาระออกไปทันที

“ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าเฉินมาสอนหนังสือให้ท่าน”บุรุษหนุ่มเปรย ข่าวลือนี้ได้ยินมาสักพักแล้ว เพราะเสนาบดีเสิ่นนั่งรถม้าไปจวนใต้เท้าเฉินอยู่หลายวัน

“ใช่แล้ว ท่านได้ยินมาจากไหนหรือ”จื่อฟางถามอย่างสงสัย ไม่คิดว่าข่าวลือจะไปเร็วถึงเพียงนี้

“โรงน้ำชาหลิวซื่อเป็นที่พบปะของผู้คน”ไป๋ผูอวี้ตอบเพียงเท่านี้เด็กหนุ่มก็เข้าใจแล้ว พูดง่ายๆคือเป็นสถานที่ไว้นินทาคนกระมัง กุ้ยตานปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมนำขลุ่ยไม้ไผ่เรียบง่ายมาด้วย บ่าวรับใช้ส่งขลุ่ยเซียงตี๋ให้ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม ไป๋ผูอวี้รับมาหมุนในมือเล่นก้มมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งให้จื่อฟาง

“ข้าแปลกใจมาตลอดว่าเหตุใดท่านถึงสนใจขลุ่ยเลานี้”เขาเอ่ยถามอย่างข้องใจ ครั้งแรกที่เห็นว่าคุณชายเสิ่นอยากได้ขลุ่ยธรรมดาๆเลานี้จึงแปลกใจนักเพราะเสิ่นจิ้งเฟยชอบของหรูหรา

จื่อฟางไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยต้องการขลุ่ยเลานี้เพราะอะไร แต่เขาก็ตอบไปตามที่เห็น

“ขลุ่ยเซียงตี๋เป็นของชนเผ่าหนึ่ง ข้าเพียงแค่ชอบความธรรมดาเรียบง่ายของมันเท่านั้น”จื่อฟางรับขลุ่ยมาจากมือของไป๋ผูอวี้ จงใจให้ฝามือเนียนนุ่มสัมผัสกับหลังมือของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึกราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น น่าสงสารฉินเซียงอินจริงๆ นางต้องอดทนมากเพียงไรเวลางัดกลยุทธ์สาวงามมาใช้แล้วเจอปฏิกิริยาท่อนไม้จากไป๋ผูอวี้เช่นนี้

“ท่านไม่ยอมบรรเลงกู่เจิงให้ข้าได้ฟัง แล้วถ้าเป็นขลุ่ยเซียงตี๋เล่า ท่านจะปฏิเสธอีกหรือไม่”ไป๋ผูอวี้หาเรื่องให้เขาอีกแล้ว คนผู้นี้ติดใจเรื่องเครื่องดนตรีอะไรนักหนา จื่อฟางก้มมองขลุ่ยในมือ เขาเคยเรียนพื้นฐานเป่าขลุ่ยมาบ้างแต่ก็หลายปีดีดักมาแล้ว หากเขาเป่าขลุ่ยจริงก็กลายเป็นตัวตลกไปอีกเปล่าๆ พูดถึงเป่าขลุ่ย…หากหมายถึงความหมายอื่นเขาก็พอได้อยู่ จื่อฟางไล่ความคิดสัปดนในหัวออกไป

“น่าเสียดายจริงๆไป๋ผูอวี้ หากข้าได้ขลุ่ยเซียงตี๋มาเมื่อหลายปีก่อนก็คงเป่าได้อยู่ แต่ยามนี้ข้าหมดความสนใจไปแล้ว บอกท่านตามตรง ข้าไม่มีความสามารถ”จื่อฟางปั้นแต่งคำปฏิเสธให้แนบเนียนที่สุด ไป๋ผูอวี้มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดเรื่องใด

“คุณชายเสิ่น ข้าจะคอยดูว่าท่านจะหลีกเลี่ยงได้นานแค่ไหน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเบาๆ ทำเขาชาวาบไปทั้งตัว จื่อฟางพยายามปั้นหน้าไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของอีกฝ่าย จนกระทั่งสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดินเข้ามายอบกายคาราวะ

“เรียนคุณชายเสิ่น ใต้เท้าเฉินเรียกตัวท่านเจ้าค่ะ”เสียงของนางก้องกังวาน จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ก่อนหันไปหาไป๋ผูอวี้ที่ยังคงใช้สายตามองสำรวจเขาอยู่

“ข้าขอตัวก่อน”

“รักษาตัวด้วยคุณชาย พบกันเร็วๆนี้”ไป๋ผูอวี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มปริศนา จื่อฟางเลิกคิ้ว พบกันเร็วๆนี้หรือ? หมายความว่าอย่างไร เขารีบหมุนกายเดินตามสาวใช้ออกไป ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รอดพ้นจากสายตาของไป๋ผูอวี้มาได้ แต่ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าจะได้เจอกับไป๋ผูอวี้เร็วๆนี้อย่างที่เจ้าตัวพูดแน่นอน

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทห้า:ไม่เป็นไปตามบท!?(อะไรนะ) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-02-2018 09:05:32
     ~•~

“เจ้าเด็กโง่! ไปเรียนในสำนักได้อะไรมาบ้าง แค่ตีความกวีบทนี้ก็ทำไม่ได้ แล้วเจ้าจะสอบได้เช่นไร!”เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของใต้เท้าเฉินดังอยู่ในศาลา พร้อมกับเสียงหวดไม้เรียวไปที่หลังมือของเสิ่นจิ้งเฟยดังเพี๊ยะ บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็คุ้นเคยไปเสียแล้ว เป็นเวลาห้าวันนับตั้งแต่ใต้เท้าเฉินมาสอนหนังสือ คุณชายก็ถูกฟาดไปนับครั้งไม่ถ้วน เสนาบดีเสิ่นทำอะไรไม่ได้เพราะเคยรับปากไว้แล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายการสอนของเฉินฉางเซียง ยามที่ได้ยินเสียงบุตรชายร้องโอดโอยเขาจึงทำเป็นไม่ได้ยินซะ นับแต่ใต้เท้าเฉินเข้ามาพำนักอยู่ในเรือนรับรอง จวนสกุลเสิ่นก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป

จื่อฟางถูหลังมือที่แสบร้อนไปมา จางต้าคอยฝนหมึกให้คุณชาย ได้แต่ทำตาแดงมองอยู่เงียบๆ เขาโดนตีจนมือบวมแดงไปหมดแล้ว ใต้เท้าเฉินโหดเหลือเกิน แต่ภาษาจีนโบราณต่างจากในปัจจุบัน ถึงจะสั้นกระชับและจำง่ายกว่าแต่เขาก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่แม้จะเคยศึกษาด้วยตัวเองมาบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะใช้คล่องได้ภายในเวลาอันสั้น

เฉินฉางเซียงได้แต่มองเสิ่นจิ้งเฟย “หากยังเป็นเช่นนี้เจ้าคิดจะทำสิ่งใดได้”จื่อฟางได้แต่กลืนคำว่า‘อยู่เฉยๆ’ลงคอ หากพูดออกไปมีหวังได้มือลายแน่

“ข้าไม่อยากเป็นขุนนาง”จะให้เขาเอาตัวไปหาเรื่องน่าปวดหัว อยู่ใกล้ฮ่องเต้ที่เปรียบเสมือนมังกรน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ

“ข้าอยากเปิดกิจการ”เขาจบบัญชี เก่งวาดรูปก็คงพอได้กระมัง แต่เสิ่นมู่หยางจะยอมให้เขาทำหรือไม่ ยามนี้ก็ยังไม่มีเงินที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง  คิดจะทำสิ่งใดไม่ใช่เรื่องง่าย

“แน่ล่ะ เจ้าเป็นเช่นนี้ คงได้กลายเป็นที่หัวร่อในราชสำนักเปล่าๆ เจ้าจะสอบผ่านได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”เฉินฉางเซียงส่ายศีรษะอย่างระอา ขมับปวดตุบๆจนเขาต้องพักดื่มน้ำดับอารมณ์ ว่าแต่เปิดกิจการอย่างนั้นหรือ?เสิ่นจิ้งเฟยที่ไม่เอาอะไรน่ะรึจะเปิดกิจการ ใต้เท้าเฉินไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีพื้นฐานที่แย่ถึงเพียงนี้ คงต้องหวังแค่ให้เสิ่นจิ้งเฟยไปสอบระดับอำเภอเอาวุฒิบัณฑิตซิ่วไฉมาประดับก็พอ

เสิ่นมู่หยางเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ หน้าที่การจัดสอบเคอจวี่ก็อยู่ในความรับผิดชอบของตน หากคิดใช้เส้นสายช่วยบุตรชายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ระยะนี้เสิ่นมู่หยางโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษจึงกลัวว่าเรื่องนี้จะระแคะระคายไปถึงหูฮ่องเต้ อย่าว่าแต่ตัวเขาเลย สกุลเสิ่นก็คงไม่รอดแน่

จื่อฟางอยากร่ำไห้นัก ก้มหน้าอ่านปรัชญาขงจื้อตรงหน้าอย่างฝืนทน ความคิดโบราณๆพวกนี้ไม่เข้าหัวของเขาเลยสักนิด มีแต่เห็นแย้งมากกว่า เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายถูกเคี่ยวกรำจนหน้าซีดเผือดก็เป็นกังวลขึ้นมา รอยช้ำบนใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยเบาลงแล้ว แต่กลับได้รอยแดงบนหลังมือมาแทน ใต้เท้าเฉินคล้ายกับรู้ว่าเสิ่นมู่หยางเฝ้ามองอยู่จึงเปรยออกมาดังๆ

“ดั่งที่ขงจื้อกล่าวไว้ ฮ่องเต้ต้องทำหน้าที่ของฮ่องเต้ให้สมบูรณ์ ขุนนางต้องทำหน้าที่ขุนนางให้สมบูรณ์ บิดาก็ต้องทำหน้าที่บิดาให้สมบูรณ์ บุตรก็ทำหน้าที่บุตรให้สมบูรณ์…”

จื่อฟางได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ ใต้เท้าเฉินมักจะชอบพ่นคำสอนขงจื้อออกมาเสมอเวลาที่เสิ่นมู่หยางคิดเข้ามายุ่ง หรือไม่ก็จะรำพึงถึงท่านปู่ผู้ล่วงลับให้เขาฟัง

“เฮ้อ เสิ่นฉินอี้คงร่ำไห้อยู่ในปรโลกกระมัง พ่อเจ้าก็เป็นขุนนาง แต่เจ้ากลับไม่ได้เรื่องเช่นนี้…”เฉินฉางเซียงถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ถึงแม้เขาจะดุด่าเข้มงวดกับเจ้าเด็กไม่เอาไหนผู้นี้ แต่ก็เห็นเป็นหลานชายคนหนึ่งอยากให้ชีวิตประสบความรุ่งเรือง

“ใต้เท้าเฉินควรพักสักหน่อย”จื่อฟางเอ่ย เหลือบมองเฉินฉางเซียงที่ดูจะแก่มากกว่าเดิมไปอีกสิบปี ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ใช่คนยุคนี้และก็ไม่ได้เป็นคนฉลาด เขาเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ในโลกปัจจุบันชีวิตก็จืดชืดนอกจากถูกบังคับเรียนในคณะที่ตนไม่ต้องการจะให้เขาทำสิ่งใด ลุกขึ้นมาทำการใหญ่อย่างในละครน่ะหรือ?เรื่องพวกนั้นอยู่เหนือความคิดของเขา จื่อฟางแค่ต้องการอยู่รอด 

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าคิดว่าไป๋ผูอวี้เป็นคนเช่นไร”อยู่ ๆ ใต้เท้าเฉินเอ่ยถาม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันที เหตุใดถึงถามขึ้นมาเล่า? แต่ใบหน้าที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นของใต้เท้าเฉินก็อ่านไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่ จื่อฟางเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง

“ก็…ข้าเห็นว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งถึงแม้จะชอบทำหน้าไร้อารมณ์…”เขายังพูดไม่จบ ชายแก่ตรงหน้าก็โบกมือให้หยุด

“เจ้าชอบเขาหรือไม่”คำถามนี้ทำเอาจื่อฟางใจกระตุกวาบ

“ท่านถามอะไรเนี่ย ข้าจะชอบเขาได้อย่างไร ข้าเป็นบุรุษ เขาก็เป็นบุรุษ…โอ๊ย”จื่อฟางถูกเฉินฉางเซียงใช้ไม้เรียวตีมืออีกครั้ง ใต้เท้าเฉินตัวสั่นระริกด้วยความอดกลั้น

“คิดเหลวไหลอะไรของเจ้า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!ข้าจะให้เขามาช่วยชี้แนะเจ้า เพราะเขาเคยผ่านการสอบระดับอำเภอได้อันดับหนึ่งมาก่อน ที่ข้าถามก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะเข้ากับไป๋ผูอวี้ไม่ได้”เฉินฉางเซียงพูดจบก็หอบเล็กน้อย หากเขาสอนเด็กไม่เอาไหนนี่ทุกวันคงได้เป็นลมเพราะโมโหแน่ เขาเองก็ไม่แน่ใจเรื่องที่ให้ไป๋ผูอวี้มาช่วยสอนเสิ่นจิ้งเฟยเท่าไหร่ แต่บุตรชายของไป๋อู่เหยียนสอบได้บัณฑิตซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบแปดปี ฉลาดและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน หากเสิ่นจิ้งเฟยผูกมิตรไว้ก็เป็นเรื่องดี ครั้งล่าสุดที่เห็นทั้งสองคนก็ดูเข้ากันได้ดี แม้กระทั่งไป๋อู่เหยียนยังแปลกใจ

“ท่านว่าอะไรนะ”จื่อฟางเบิกตาโต คิดว่าตนหูฝาดไปแน่ๆ จะให้ไป๋ผูอวี้มาช่วยสอนหนังสือตนน่ะหรือ หากผู้คนได้ยินคงถูกหัวเราะเยสะ เขาหวนนึกไปถึงคำพูดที่ไป๋ผูอวี้เอ่ยไว้เมื่อคราวก่อน ‘พบกันเร็วๆนี้’อย่าบอกนะว่าใต้เท้าเฉินเตรียมการไว้ก่อนแล้ว

“เจ้าก็ได้ยินชัดสองหู หากเจ้าไม่อยากแพ้เขา ก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องรับราชการก็ได้ แค่สอบเป็นซิ่วไฉให้ได้ก็พอ ผู้คนด้านนอกจะได้ไม่หัวเราะเยาะ”ถึงเฉินฉางเซียงจะอาศัยอยู่ที่เสียนหยาง แต่เรื่องเล่าลือของเสิ่นจิ้งเฟยก็ได้ยินผ่านหูมาบ้าง รับราชการคงยากเกินไปสำหรับเสิ่นจิ้งเฟยในตอนนี้ อีกทั้งยังมีคนผู้นั้น…เข้าไปในราชสำนักไม่ใช่ความคิดที่ดี

จื่อฟางอ้าปากหมายจะโต้เถียง แต่ก็คิดว่าควรเงียบไว้ เพราะเขาเป็นเช่นนั้นจริง แย้งไปก็เปล่าประโยชน์ ดูท่าใต้เท้าเฉินคงอยากให้เขาสอบให้ได้ แม้ว่าจะปวดหัวแต่ก็ต้องพยายามเสียหน่อย

“ท่านคุยกับเขาแล้ว?”จื่อฟางถาม

“อืม กับพ่อเจ้าข้าก็คุยแล้วเช่นกัน”เฉินฉางเซียงรู้ว่าที่เสิ่นมู่หยางมาขอให้ตนสอนหนังสือบุตรชายก็เพราะอยากให้เขาควบคุมพฤติกรรมของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยส่วนหนึ่ง อีกประการคือเรื่องการสอบ วันที่เจ้ามู่หยางไปหาเขาที่จวน เจ้าตัวแค่พูดว่า

‘บุตรชายข้าไม่ได้ความ ขอท่านช่วยให้เขาสอบระดับอำเภอผ่านก็พอ’

วันนั้นเขาโมโหมากที่เสิ่นมู่หยางพูดจาไม่เข้าท่า เสิ่นจิ้งเฟยจะไม่ได้ความแค่ไหนกันเชียว เขาจะเข็นให้ได้ดีเอง เพราะอารมณ์โมโหเขาถึงตกปากรับคำไป แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นถึงขนาดนี้

“ใต้เท้าเฉินอยากทำอะไรก็ทำเถอะ”ถึงอย่างไรจื่อฟางก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

“เจ้าไม่คิดเถียงหรือ”เฉินฉางเซียงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

“ข้าเถียงได้ที่ไหนกัน”เขาพึมพำตีหน้าซื่อ

“หึ”เฉินฉางเซียงทำเสียงขึ้นจมูก “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้ให้เขามาสอนเจ้าทุกวัน วันนี้พอเท่านี้ก่อน ข้าเหนื่อยแล้ว”

จื่อฟางแทบร้องตะโกนรีบลุกเข้าไปช่วยประคองใต้เท้าเฉินให้ลุกยืนสะดวกๆ แต่เฉินฉางเซียงยกมือไล่ก่อนจะใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินออกไปจากศาลาเอง จื่อฟางถอนหายใจ บิดตัวไปมาไล่ความปวดเมื่อย ทิ้งตัวนั่งลงให้จางต้าทุบไหล่ที่แข็งเกร็งให้ หยางชวีไม่ได้มาตามติดเขาเหมือนก่อนเพราะไม่อยากฟังใต้เท้าเฉินบ่น แต่เขารู้ดีว่าเจ้าคนหน้าตายนั่นก็วนเวียนอยู่ใกล้ๆนี่ล่ะ

“คุณชาย ท่านคิดสอบจริงๆหรือ”จางต้าเอ่ยถาม เขาไม่รู้หนังสือ แต่ก็พอจำได้ว่าการเรียนของคุณชายไม่แย่เท่านี้ หรือผ่านไปนานเข้าคุณชายก็ลืมหมดแล้ว

“ใต้เท้าเฉินกับท่านพ่ออยากให้ข้าสอบ ข้าไม่คิดเป็นขุนนาง แต่ก็จะทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน”จื่อฟางเอ่ยครุ่นคิด อย่างน้อยไปสอบให้เสิ่นมู่หยางสบายใจ เขาได้ยินมาว่าการสอบระดับอำเภอจะมีในอีกห้าเดือนข้างหน้า ห้าเดือน…พอคิดว่าต้องทนกับใต้เท้าเฉินไปอีกนานก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมา โชคดีที่ไป๋ผูอวี้จะมาช่วยสอนหนังสือให้เขาอีกคน อย่างน้อยจะได้มีอาหารตาให้มองบ้าง จื่อฟางยกยิ้มอย่างนึกสนุก หากคุณหนูฉินใช้กลยุทธ์หญิงงามกับไป๋ผูอวี้ เขาก็จะใช้เช่นกัน ดูซิว่าผู้ใดจะชนะ แต่กลยุทธ์ของเขาเรียกง่ายๆว่าการอ่อยนั่นเอง

ไป๋ผูอวี้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะทำตัวเป็นท่อนไม้ได้นานแค่ไหนกันเชียว!



 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 07-02-2018 10:05:12
รอนะ ลุยเต็มที่เลยจื่อฟาง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-02-2018 11:05:36
จื่อฟางเจ้าช่างร้ายนัก555สะใจ
กลยุทธอ่อยจะต้องได้ผลแน่นอน ขนาดว่าหัวเข่ายังเกือบโดนเปิดออกดูมาแล้ว
น้องจะต้องใช้พู่กันมัดใจชายแล้วล่ะงานนี้ 555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-02-2018 11:26:15
มารอจ้า ลุ้นขึ้นเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 07-02-2018 12:27:46
รอตอนต่อไปค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 07-02-2018 12:28:57
เป็นหลานชายก็แต่งได้ค่ะท่านพ่อ :laugh:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 07-02-2018 13:16:16
ยั่วเขาเองระวังเถอะ เฟยเอ๋อ โอ้ยแล้วใครจะจัดการไอแพนด้าหลินฮุ่ย ไดด้เนี้ยยยยยย ตำแหน่งสูงแท้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-02-2018 13:33:27
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 07-02-2018 14:21:39
อ้าวๆ จะไปอ่อยเขาซะแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 07-02-2018 16:02:26
เดี๋ยวๆ มันถึงจุดที่จะไปอ่อยเขาเหรอจื้อฟางงง เอ็งชอบเขาหรือไงงง เอ็งตอบตัวเองก่อนเว้ยย ย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-02-2018 18:46:37
จื่อฟาง อ่อยไป๋ ไวๆเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 07-02-2018 19:51:16
หุๆๆๆๆ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-02-2018 21:47:21
เหมือนจะมองเห็นภาพ อาจารย์จับมือลูกศิษย์ให้เขียนตาม  o18
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 07-02-2018 22:01:49
มาแว้วววววววว :katai4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 07-02-2018 22:04:02
ไปไปไป หว่านเสน่ห์แบบโก๊ะๆของเราให้ทั่นชายไป่แบบจัดหนักไปเล๊ยยยย
555555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 07-02-2018 22:18:07
เหมือนจะทำสงครามกันเลยน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 07-02-2018 23:04:00
รอดูวิธีการอ่อย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 08-02-2018 01:57:43
 :t3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 08-02-2018 02:28:19
สนุกดี รออ่านตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kimlowbatt ที่ 08-02-2018 14:30:49
ชอบมากอ่านยันเช้าไม่หลับไม่นอน
ติดจนนอนไม่หลับ
ถ้ามีหนังสือจองเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-02-2018 01:10:37
เพิ่งมาเจออันนี้ ชอบมากเลยค่ะ มาดูกันว่าจะท่อนไม้ได้นานแค่ไหนนนน  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 09-02-2018 04:23:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-02-2018 08:27:28
รอการอ่อยเต็มที่ o18
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: dino94 ที่ 09-02-2018 14:22:01
นายเอกเราตะอ่อยบ้างแล้วว้ายๆๆ5555 :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 09-02-2018 16:01:39
พระรองหรือนายเอก :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: wifesuju ที่ 09-02-2018 22:57:09
นายเอกของเรา นังร้ายไม่เบานะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 10-02-2018 03:03:53
ผูอวี้จะติดบ่วงจื่อฟางของเราหรือเปล่าหน้อออออ รอดูแผนการอ่ออยู่นะจ้ะแต่เธอไม่รู้บ้างเลย5555555 อยากรู้ว่าตอนจบจะไปจบที่ปัจจุบันหรือว่าเรื่องจะอยู่แค่ในนิยายต่อไปจนจบ ถ้ากลับปัจจุบันจะไปรักกันอีท่าไหนหน๋อออ หรือว่าจะออกแนวเหมือนซีรี่ย์เรื่อง W น่าติดตามๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Thunderyong ที่ 10-02-2018 08:01:12
ศึกชิงนาเริ่มแล้ว  :hao7: :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 10-02-2018 11:36:49
สนุกแล้วสิทีนี้ :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทหก: ลิขิตเอง P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 10-02-2018 11:55:08
  บทเจ็ด: ผูกมิตร

   จื่อฟางกลับเข้ามาพักผ่อนในห้องหนังสือที่แบ่งออกเป็นชั้นนอกและชั้นใน ห้องชั้นในมีเตียงนอนเล็กๆสำหรับพักผ่อนอยู่หลังฉากกั้น ช่วงนี้เขาจึงเลือกมาหมกตัวอยู่ที่นี่ ใช้เวลาอ่านตำราคัมภีร์ทั้งห้าของขงจื้อที่เป็นเนื้อหาในการสอบ อันได้แก่อี้จิงคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องโหราศาสตร์ ซ่างซูตำราประวัติศาสตร์ ซือจิงคัมภีร์กวี หลี่จี้คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมและชุนชิวบันทึกพงศาวดาร คิดดูเถิดว่าเขาทุ่มเทแค่ไหน แต่ใต้เท้าเฉินกลับบ่นเขาไม่หยุด

   จื่อฟางยอมรับว่าตนเองอ่านตำราช้า เพราะตัวอักษรที่เขียนเรียงในแนวตั้ง ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอนจนเขาไม่รู้ว่าจะแบ่งประโยคตรงไหน ใต้เท้าเฉินยังสั่งให้เขาคัดตัวหนังสือเป็นการท่องจำด้วยอีก ช่วงห้าวันที่ผ่านมา เขาจึงรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ พูดถึงโลกปัจจุบันนี่ก็เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วที่เขาเข้ามาในโลกนี้ ยังมีจุดหนึ่งที่จื่อฟางข้องใจ ตอนนี้เขากลายเป็นเสิ่นจิ้งเฟย แล้วร่างของเขาจะเป็นอย่างไร หรือแค่นอนหลับไม่มีวันฟื้นอยู่ในห้องเช่าเล็กๆนั่นแต่ป่านนี้พ่อกับแม่ของเขาคงรับรู้แล้วกระมัง
จื่อฟางถอนหายใจระหว่างนั่งลงบนเตียงพลางเพ่งมองฝามือขาวละเอียดที่บัดนี้มีรอยแดงอย่างหงุดหงิดใจ เสิ่นจิ้งเฟยบอบบางเกินไปแล้ว เห็นทีเขาต้องออกกำลังกายบ้าง

   “คุณชายเจ้าอยู่ด้านในหรือไม่”เสียงของเสิ่นมู่หยางดังมาจากนอกห้อง

   “อยู่ขอรับ”จางต้าตอบ เสิ่นมู่หยางจึงเดินเข้าไปในห้องหนังสือ พบว่าบุตรชายออกมาจากหลังฉากกั้นพอดี

   “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถาม จ้องมองมือที่เป็นรอยแดงของเสิ่นจิ้งเฟยก็ถอนหายใจออกมา ใต้เท้าเฉินยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เมื่อครั้งที่เขาอายุได้สิบขวบก็ถูกตีเช่นกัน ยังจำได้ว่าถูกบิดาหัวเราะใส่ไม่หยุด

   “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านพ่อไม่ต้องกังวล”จื่อฟางทำตัวไม่ถูก เสิ่นมู่หยางเลี้ยงดูบุตรชายเช่นนี้เอง เสิ่นจิ้งเฟยถึงได้ไม่รู้จักโตเสียที แค่เป็นแผลเพียงเล็กน้อยก็มาโอ๋แล้ว ครอบครัวของจื่อฟางไม่เคยทำเช่นนี้ ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดี พ่อกับแม่จึงมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวัน เขายังต้องดิ้นรนหาเงินส่งตัวเองเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านด้วยการวาดรูปขายในเว็บทำงานพาร์ทไทม์อีกทาง ครอบครัวของเขาจึงไม่ค่อยได้อยู่กันพร้อมหน้ากันนัก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ในระหว่างที่เขาอยู่ในโลกโบราณมีชีวิตอย่างสุขสบาย พ่อกับแม่ของเขาก็คงลำบากอยู่เช่นเดิม
“เจ้าแน่ใจนะ ไยสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี”เสิ่นมู่หยางกวาดตามองบุตรชายตรงหน้าอย่างไม่วางใจ เสิ่นจิ้งเฟยดูเหม่อลอยไม่เป็นตัวเอง หรือคิดจะถอดใจเรื่องเรียนหนังสือแล้ว
“ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น”จื่อฟางยิ้มเพื่อให้เสิ่นมู่หยางสบายใจ

   “เฟยเอ๋อร์ เรื่องรับราชการข้าไม่ได้บังคับเจ้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ย เขารู้ดีว่าบุตรชายเป็นเช่นไร… ถึงไม่อยากยอมรับแต่หากไม่ใช้เส้นสายเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่มีทางสอบเป็นบัณฑิตได้แน่ เมื่อสองปีก่อนเจ้าเด็กนี่เคยไปสอบแต่ก็ไม่ผ่านเพราะมัวแต่เที่ยวเล่นไม่สนการเรียน ผิดกับไป๋ผูอวี้ที่สอบเพียงครั้งเดียวก็สอบได้หลิ่นเชิง ซิ่วไฉอันดับหนึ่งแล้ว จะว่าไปเขาก็รู้สึกเสียดาย เขาเชื่อว่าคนหนุ่มอย่างไป๋ผูอวี้ยังไปได้อีกไกล แต่เจ้าตัวไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักจึงไม่ได้ไปสอบระดับสูงกว่านั้น เสิ่นมู่หยางไม่เคยเข้าใจสกุลไป๋ เหตุใดถึงไม่คิดหาความรุ่งเรื่องก้าวหน้าให้ตนเอง

   “ข้าจะพยายาม”ได้ยินบุตรชายตอบด้วยน้ำเสียงแข็งขัน เสิ่นมู่หยางก็อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนมาตบบ่าเสิ่นจิ้งเฟยสองสามทีแทน
“เจ้าพักผ่อนเถอะ”เสิ่นมู่หยางหมุนกายออกจากห้อง เดิมทีเขาคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงทนเรียนกับใต้เท้าเฉินได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นแต่เขาคิดผิด หรือเสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่พูดจริง ๆ เขายกยิ้มระหว่างที่เดินข้ามลานบ้านกลับไปยังเรือนของตน เห็นท่าทางตั้งใจของบุตรชายแล้วก็อยากหาทางช่วยเหลือแต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง แค่บอกแนวทางข้อสอบของปีนี้คงไม่เป็นอะไรกระมัง ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าบุตรชายว่าจะทำได้หรือไม่

   หลังจากที่เสิ่นมู่หยางออกไปจากห้องแล้ว จื่อฟางก็ถอนหายใจ เหลือบมองตำราหลายเล่มที่ต้องอ่านแล้วก็ปวดหัวทันที ตอนนี้เขาอยากวาดภาพมากกว่า นึกถึงคำบรรยายของเสิ่นจิ้งเฟยที่บอกว่าเขามีใบหน้างดงามเหมือนมารดาแล้วก็คันไม้คันมืออยากจับพู่กัน ถึงเขาจะไม่เคยเห็นนางแต่ก็พอนึกภาพออก คงเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยในร่างหญิง เขานั่งลงหลังโต๊ะเขียนหนังสือ เรียกจางต้ามาช่วยฝนหมึก ส่วนแม่สีใช้สกัดจากธรรมชาติ

   “ข้าน้อยตามอารมณ์คุณชายไม่ทันจริง ๆ”บ่าวรับใช้คนสนิทบ่นพึมพำระหว่างที่ฝนหมึกแท่งสีดำในจานหินไปด้วย จื่อฟางเพียงไหวไหล่ ใช้มือลูบผ้าไหมสำหรับวาดภาพก่อนหลับตานึกถึงใบหน้าสง่างามของเสิ่นจิ้งเฟย เขารู้สัดส่วนใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ดี คิ้วเข้ม ดวงตาดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์ จมูกได้รูป ริมฝีปากบางรับกับโครงหน้าเรียว เส้นผมสีดำมันวาว ผิวขาวเนียนละเอียด จื่อฟางยกแขนตวัดพู่กันลงบนผืนผ้าไหมช้าๆด้วยท่วงท่าชำนาญ วาดภาพคงเป็นเรื่องเดียวที่เขาทำได้ดีและสามารถโอ้อวดได้เต็มปาก

   จางต้ามองคุณชายวาดภาพเงียบๆ ระยะหลังมานี้เขาคุ้นชินกับการเห็นคุณชายเสิ่นจับพู่กันมากกว่ากู่เจิงแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณชายวาดคน เดิมทีจางต้าคิดว่าคุณชายวาดภาพตัวเอง แต่เมื่อพินิจดีๆใบหน้านั้นมีเค้าโครงอ่อนโยนของหญิงสาว เขาพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้คุณชายของเขากำลังวาดภาพมารดาผู้ล่วงลับ จางต้ายังจำวันที่เสิ่นฮูหยินจากไปได้ชัดเจน จวนสกุลเสิ่นเงียบงันถนัดตา ยามนั้นคุณชายอายุได้เพียงสามขวบ เสิ่นจิ้งเฟยเหมือนก้อนสำลีขาววิ่งร้องไห้โฮมาถามเขาว่าท่านแม่ไปที่ใดแล้ว เสิ่นฮูหยินดีกับเขามาก
จางต้าจึงเอ่ยตอบไปว่านางอยู่บนสวรรค์ ผ่านไปหลายปีเมื่อคุณชายรู้ความก็สั่งลงแส้โบยจางต้าที่พูดปด หลังจากนั้นคุณชายเสิ่นก็ไม่พูดถึงมารดาอีกเลย  จนกระทั่งวันเกิดเมื่อปีกลายของคุณชาย จางต้าจำได้ว่าคุณชายยืนเหม่อมองท้องฟ้าท่าทางโดดเดี่ยว ใบหน้าอมทุกข์รำพึงกับเขาว่า

   ‘หากข้าหน้าตาอัปลักษณ์ ท่านพ่อจะยังทำดีกับข้าอยู่หรือไม่ หากข้าบรรเลงกู่เจิงไม่ได้แล้วข้าจะมีสิ่งใดให้พูดถึงอีก’

   จางต้าถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า คิดไปว่าคุณชายของเขาเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง

   จื่อฟางใช้พู่กันแต่งแต้มจนกลายเป็นภาพหญิงงามราวบุปผาที่บานสะพรั่ง ใช้เวลาอยู่หนึ่งชั่วยาม ถึงแล้วเสร็จ จางต้าคิดไม่ถึงว่าคุณชายจะวาดเสิ่นฮูหยินได้เหมือนถึงเพียงนี้
เขาเอ่ยชม “คุณชายฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ”
จื่อฟางยิ้มพอใจ ไม่มีคนชื่นชมผลงานของเขามานานแล้ว เขามองภาพหญิงงามตรงหน้าแต่นางก็เป็นเพียงภาพวาด เขานึกถึงสำนวนที่เคยได้ยินก็คิดเขียนลงไปสักท่อน ระหว่างที่จับพู่กันอยู่นั้นแขนของเขาก็พลันไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาส่งผลให้พู่กันในมือร่วง
“…”จื่อฟางใช้มืออีกข้างบีบนวดแขนเบาๆ สงสัยจะจับพู่กันมากไป เขาหยิบพู่กันมาเขียนอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จางต้ามองคุณชายเสิ่นอย่างเป็นห่วง “คุณชายพักก่อนดีหรือไม่”เขากลั้นใจเอ่ยออกไป ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นคุณชายมีอาการคล้ายๆกันมาก่อน ตอนนั้นคุณชายกำลังดีดกู่เจิงแต่ก็หยุดเล่นกลางคันเสียอย่างนั้น จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เห็นคุณชายบรรเลงกู่เจิงมาหลายเดือนแล้ว จางต้ารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
แต่จื่อฟางไม่รับรู้ความคิดเหล่านั้น เขาคัดตัวอักษรจนเสร็จ วางพู่กันลงก่อนพินิจมองผลงานของตนเองด้วยสายตาพอใจ
“เหมือนท่านแม่หรือไม่”เขาหันไปถามจางต้าที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าตัวเองวาดสวยเกินจริงไปหน่อย

   “เหมือนมากเลยขอรับ”จางต้าเอ่ยตอบด้วยจิตใจไม่อยู่สุข จื่อฟางจับสังเกตโทนเสียงเป็นกังวลของอีกฝ่ายได้จึงขมวดคิ้วมอง

   “เจ้าเป็นอะไร”

   “…”จางต้าเม้มปาก ไม่กล้าเอ่ยออกมาด้วยเกรงว่าคุณชายจะหงุดหงิดที่เขากังวลเกินเหตุ

   “พูดมา”จื่อฟางทำเสียงเข้ม

   “ข้าแค่มีความคิดว่าควรตามท่านหมอกู้มาตรวจร่างกายท่านดู...”เขาเอ่ยอยากระมัดระวัง

   “ตามทำไม ข้าไม่ได้ป่วย”จื่อฟางรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้างที่คนรอบตัวคอยโอ๋จนเกินเหตุแบบนี้ เขาก็แค่นั่งวาดรูปนานจนมือไม้อ่อนเท่านั้นเอง

   “ข้าน้อยเพียงเป็นห่วงคุณชาย กลัวท่านจะเหนื่อยล้าเกินไป…”จางต้าอธิบายไม่ถูก จึงอ้อมแอ้มตอบไป จื่อฟางมองบ่าวรับใช้ด้วยสายตาไม่เข้าใจ

   “ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย”เขาถอนหายใจเบาๆ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แถมเวลานี้เสิ่นมู่หยางอยู่ในจวนด้วย ตามหมอมาเกรงว่าจะทำให้แตกตื่นไปเปล่าๆ

   “เจ้าว่าท่านพ่อจะชอบหรือไม่”จื่อฟางถามด้วยรอยยิ้มนึกสนุก เขารู้ว่าเสิ่นมู่หยางรักมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยมาก สมัยนี้ไม่มีรูปถ่ายหากเสิ่นมู่หยางได้เห็นภาพเหมือนผืนนี้จะทำสีหน้าเช่นไร

   “นายท่านจะต้องชอบมากแน่ขอรับ”จางต้าตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าคุณชายตั้งใจวาดภาพมารดาให้นายท่านเสิ่น

   “ว่าแต่หยางชวียังไม่มาอีกหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามระหว่างที่ยืนยืดเส้นยืดสาย ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ผู้ติดตามก็หายหน้าหายตาไปเลย ปกติหากเขาเรียนกับใต้เท้าเฉินเสร็จหยางชวีจะโผล่มายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เขาเสมอ

   “ข้าน้อยว่าเจ้านั่นต้องแอบออกไปเที่ยวเตร่แน่นอน”จางต้าตอบด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย ช่วงนี้คุณชายอยู่ในจวนตลอดเขาจึงรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง จื่อฟางหัวเราะ หยางชวีน่ะหรือจะออกไปเที่ยวเตร่ ซ้ำยังทิ้งหน้าที่ไปอีก เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องส่วนตัวให้จัดการและคงบอกกล่าวเสิ่นมู่หยางที่เป็นเจ้านายตัวจริงไว้แล้ว

   เวลาอาหารเย็นที่โต๊ะอาหารมีเพียงเขาและเสิ่นมู่หยางเท่านั้น ใต้เท้าเฉินทานอาหารทุกมื้อในเรือนรับรองของตน ซึ่งเขาเห็นว่าดีมาก หากมีคนแก่อารมณ์ร้ายมาร่วมโต๊ะด้วยเขาคงไม่เจริญอาหารแน่ จื่อฟางกวาดตามองอาหารบนโต๊ะก็รู้สึกเบื่อ เขานึกถึงอาหารสมัยปัจจุบันแล้วก็น้ำลายสอ เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายกินน้อยกว่าทุกทีก็เอ่ยถาม

   “เจ้าไม่อร่อยหรือ”วันนี้ล้วนมีแต่ของโปรดของเจ้าเด็กนี่ทั้งนั้น 

   “ข้าแค่ไม่ค่อยหิวเท่านั้น”จื่อฟางรีบตอบ กินอีกสองสามคำก็วางตะเกียบลง รอให้เสิ่นมู่หยางทานเสร็จเร็วๆ หลังมื้ออาหารผ่านพ้นไป จื่อฟางก็ให้จางต้านำม้วนภาพเข้ามา

   “ข้ามีของจะให้ท่าน”เขาส่งม้วนภาพให้เสิ่นมู่หยางที่มีสีหน้าประหลาดใจ เจ้าตัวรับไปดูเงียบๆ ในใจสงสัยว่าเสิ่นจิ้งเฟยคิดเล่นอะไรอีก แต่เมื่อเขาคลี่ม้วนภาพ ก็ได้แต่จ้องมองอย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึง 

   “นี่…”เขาจ้องมองภาพวาดตรงหน้าด้วยหัวใจเต้นระรัว หญิงงามในภาพวาดคล้ายกับจ้องมองมาที่เขา เสิ่นมู่หยางกวาดตามองบทกวีท่อนหนึ่งด้วยจิตใจกระเพื่อมไหว

   พบหรือไม่พบล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือคิดถึงมากเท่าใด

   เสิ่นมู่หยางพูดไม่ออกอยู่นาน ‘คิดถึงมากเท่าใด’ ภาพของโหยวหลันพรั่งพรูเข้ามาในห้วงความคิด ทุกท่วงท่ากิริยาเขาล้วนจำได้ดี แต่นางจากไปนานแล้ว

   “เจ้าวาดเองหรือ”เขาเงยหน้ามองบุตรชายด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปอยู่ในอก เสิ่นจิ้งเฟยเพียงพยักหน้าเงียบๆ สีหน้าที่อ่านไม่ออกทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก เจ้าเด็กนี่…รู้ความกว่าแต่ก่อน

   “อยู่ๆข้าก็คิดถึงท่านแม่ขึ้นมา”จื่อฟางเอ่ยเรียบ ๆ เมื่อเห็นเสิ่นมู่หยางเหม่อมองภาพวาดในมือ ไม่ว่าจะออกมาแบบไหนเสิ่นมู่หยางจะมีหญิงอื่นจริงหรือไม่ เขาทำใจไว้แล้ว หากเสิ่นมู่หยางมีหญิงอื่นจริง เขาคงทำอะไรไม่ได้ ภรรยาเอกก็จากไปนานแล้ว ชีวิตคนก็ต้องเดินต่อไป ขอแค่…เสิ่นมู่หยางไม่ลืมมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยก็พอ

   “เจ้าวาดนางออกมาได้คล้ายมาก…”เสิ่นมู่หยางพึมพำเบาๆ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ม้วนภาพวาด หยางชวีเคยมารายงานเขาแล้วว่าพักนี้เสิ่นจิ้งเฟยชอบวาดภาพเป็นพิเศษ แต่เขาไม่คิดว่าบุตรชายจะมีฝีมือยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้

   “ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”จื่อฟางรู้สึกว่าได้เวลากลับ ตอนนี้บิดาของเสิ่นจิ้งเฟยดูไม่เป็นตัวเอง บางทีเขาอาจจะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว เสิ่นมู่หยางมองบุตรชายก่อนตัดสินใจพูดออกมาเสียงหนักแน่น

   “เฟยเอ๋อร์...ไม่มีผู้ใดแทนที่มารดาเจ้าได้”

   “ท่านหมายถึงตำแหน่งภรรยาเอกน่ะเหรอ”จื่อฟางปากไวเอ่ยกลับไป เสนาบดีเสิ่นเหมือนอยากพูดอีกสองสามประโยคแต่ก็นั่งเงียบ จื่อฟางถอนหายใจก่อนออกมาจากห้องเงียบๆ เดินมาถึงลานบ้านในเรือนของตนก็หยุดยืนมองท้องฟ้ามืดครึ้มเบื้องบน แสงดาวกระจ่างเต็มฟากฟ้า สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดต้องใบหน้าบางเบา เขาใจลอยคิดสงสัยว่าเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

   จางต้ายืนมองคุณชายอยู่เงียบๆ ร่างสูงของเสิ่นจิ้งเฟยดูโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืนวันเกิดเมื่อปีกลายไม่มีผิด เขารู้สึกหมองเศร้าตามผู้เป็นนายไปด้วย คิดอยากเอ่ยปลอบสักคำสองคำ แต่ก็มีสายลมแรงพัดเข้ามาพร้อมกับร่างหนึ่งปรากฏให้เห็น

   “คุณชายเสิ่น”เป็นหยางชวีนั่นเอง จื่อฟางหลุดออกมาจากห้วงความคิด หันไปมองเจ้าคนที่หายไปทั้งวัน

   “มีเรื่องใด”เขามองมือขาวเนียนของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วก็นึกได้ว่าลืมหยิบพัดมาด้วย มิน่าถึงได้รู้สึกมือว่างชอบกล

   “ซูเหลียนฮวาฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”หยางชวีส่งกล่องหนังไปให้คุณชายเสิ่นที่มีสีหน้าแปลกประหลาด คิดอยู่ในใจว่าตนเข้ามาถูกเวลาหรือไม่

   “อ้อ”จื่อฟางรับมาเงียบๆ กล่องนั้นไม่หนักไม่เบาดูจากลักษณะแล้วของที่อยู่ด้านในน่าจะเป็นพัด เขาเดินเข้าไปในเรือนของตนโดยไม่ถามอะไรอีก ใต้ชายคามีโคมไฟสีแดงแขวนไว้แล้ว สาวใช้พอเห็นเขาก็ตั้งใจจะเข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาโบกมือไล่ หยางชวีหันมองจางต้าด้วยสายตาสงสัย วันนี้คุณชายดูจะเงียบผิดปกติ

   “คุณชายเป็นอะไรอีก”

   “เรื่องของนายท่านใหญ่…เกรงว่าคุณชายจะคิดมาก”จางต้ากระซิบกระซาบกับเขาเสียงเบา หยางชวีพลันเข้าใจ สีหน้ายังคงเดิม เรื่องของเจ้านายเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวแม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจคุณชาย เขาได้แต่ถอดถอนหายใจ

   จื่อฟางเข้ามาในห้อง ไม่มีอารมณ์ให้ใครเข้ามาปรนนิบัติ จึงใช้เวลาอาบน้ำชำระร่างกายอยู่พักใหญ่ เรื่องเสิ่นมู่หยางเขาไม่ได้เศร้าแค่นึกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น เด็กเอาแต่ใจอย่างเจ้านั่นคงไม่พอใจอยู่แล้วกระมัง หลังจากอาบน้ำจนรู้สึกสดชื่นแล้วเขาก็ออกมานั่งหน้าโต๊ะแต่งตัว มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง รอยฟกช้ำบนหน้าจางลงแล้ว ยาของไป๋ผูอวี้ดีจริงๆ พูดถึงไป๋ผูอวี้ ถึงจะบอกว่าใช้กลยุทธอ่อยอะไรนั่น แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล ตัวเขาในยุคปัจจุบันก็ยังไร้คู่มาจนป่านนี้เลย! อา...พูดแล้วก็เจ็บกระดองใจ
จื่อฟางหยิบกล่องหนังที่ซูเหลียนฮวามอบให้มาพินิจดู ของในนี้ปลอดภัยรึไม่ แต่หยางชวีเป็นคนนำมาให้คงไม่มีอันตราย เขาเปิดกล่องดูก็พบว่าเป็นพัดไม้หอมแกะลวดลายอย่างประณีต มีดอกบ๊วยแห้งและจดหมายแนบมาด้วย เขาเปิดจดหมายอ่าน ซูเหลียนฮวาคล้ายคนเขียนหนังสือไม่คล่อง เขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะอ่านจบ

   ‘ถึงคุณชายเสิ่น ขออภัยที่ลายมือของข้าอ่านยาก ที่ข้าเขียนจดหมายถึงคุณชายเป็นเพราะอยากขอบคุณที่ท่านมอบปิ่นหยกให้ข้า ข้าจะเก็บไว้อย่างดี ตัวข้าไม่มีอะไรตอบแทนมีเพียงพัดไม้หอมจากร้านขึ้นชื่อในหลานโจว หวังว่าคุณชายเสิ่นจะถูกใจ …หยางชวีห้ามไม่ให้ข้ามาหาท่าน น่าเสียดายนักที่ไม่สามารถมอบให้คุณชายได้ด้วยตนเอง’

   ระหว่างที่อ่านเขาก็ได้แต่นึกสีหน้าของนางไปด้วย ซูเหลียนฮวา….เขารู้สึกว่านางชอบปั่นหัวผู้คนเล่น นางคงเคยได้ยินว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นพวกชอบสะสมพัดหลายชนิด พัดที่เสิ่นจิ้งเฟยสะสมล้วนแต่เป็นของแพงที่ชาวบ้านธรรมดาคงยากที่จะครอบครอง เสิ่นจิ้งเฟยสะสมไว้หลายหีบ เขาเคยคิดเปิดดูแต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจไป จื่อฟางจำได้ว่ามีเสื้อคลุมสีเนื้อเข้าคู่กับพัดไม้หอมอันนี้อยู่ตัวหนึ่ง เขาวางพัดลงในกล่อง ก่อนเข้านอนก็ใช้เวลาอ่านตำราเช่นเคย
~•~

   ไป๋ผูอวี้มาเยือนจวนสกุลเสิ่นเป็นครั้งที่สองแต่คราวนี้ต่างจากครั้งก่อน เสนาบดีเสิ่นต้อนรับเขาด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจนัก เรื่องที่ใต้เท้าเฉินให้เขามาช่วยแนะแนวทางการสอบให้คุณชายเสิ่นคงทำให้ขุนนางใหญ่ไม่พอใจ เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก ผู้ใดยินดีให้บุตรพ่อค้าธรรมดามาสอนหนังสือบุตรชายขุนนางเล่า? แต่เรื่องที่ทำให้ไป๋ผูอวี้นึกฉงนก็คือเสิ่นจิ้งเฟ เขาไม่คิดว่าคุณชายที่แสนไม่เอาไหนจะทนเรียนกับคนอย่างใต้เท้าเฉินได้นาน แต่ดูเหมือนเขาจะมองพลาด 

   หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อนใต้เท้าเฉินมาคุยกับเขาด้วยเรื่องนี้บุรุษหนุ่มคงปฏิเสธไปทันทีโดยไม่เสียเวลาไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น แต่วันนี้คุณชายเสิ่นผู้ไม่เอาไหนเปลี่ยนไปแล้ว ถึงแม้จะดูโง่งมมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็เปลี่ยนไปจริง ๆ

   “คุณชายไป๋เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”สาวใช้เดินนำทางไปยังสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ข้ารับใช้ที่ติดตามเขามาวันนี้คือกุ้ยตาน เว่ยหลงยังคงพักรักษาตัว ถึงแม้อาการจะทุเลาลงแล้วแต่เขายังไม่วางใจให้มารับใช้ อีกประการเพราะวันนี้มาที่จวนสกุลเสิ่น

   “จวนสกุลเสิ่นใหญ่โตจริงๆ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยชม เขาเพิ่งได้มีโอกาสเดินชม ถึงแม้จวนสกุลเสิ่นจะใหญ่แต่ไป๋ผูอวี้กลับสัมผัสได้เพียงความเงียบเหงาเท่านั้น มิน่าเล่าเสิ่นจิ้งเฟยถึงอยู่ไม่ติดจวน กุ้ยตานเดินตามเขามาอย่างสงบเสงี่ยม บ่าวคนนี้ไม่ค่อยพูดจานัก แต่ทำงานฉับไว เขาเรียกใช้บ่อย กุ้ยตานรู้ใจเขาพอสมควร สาวใช้นำทางมาถึงศาลาขนาดใหญ่ มีต้นหลิวให้ร่มเงา ใกล้กันมีสระน้ำเล็กๆน้ำสีใสจนมองเห็นฝูงปลาแหวกว่าย ไป๋ผูอวี้ชอบบรรยากาศเช่นนี้ เขาจึงอารมณ์ดีผิดกับคนที่อยู่ในศาลา
ใต้เท้าเฉินกำลัง‘สั่งสอน’เสิ่นจิ้งเฟยเสียงดังอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเตี้ย เสิ่นจิ้งเฟยมีสีหน้าอ่อนเพลียคล้ายไม่ได้ฟังสิ่งที่ใต้เท้าเฉินพูด แต่เมื่อคุณชายเสิ่นมองเห็นเขาก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ไป๋ผูอวี้ชะงักเล็กน้อย คุณชายเสิ่นทำตัวประหลาดอีกแล้ว ที่จวนสกุลไป๋ก็ทีหนึ่ง แม้จะสงสัยแต่ใบหน้าของเขาก็ยังไม่ปรากฏอารมณ์เช่นเดิม 

   “เจ้ามาแล้ว”ใต้เท้าเฉินมีใบหน้าแดงก่ำคล้ายกำลังโมโห 
“ใต้เท้าเฉิน เสียงของท่านดังนัก ข้าคงไม่ต้องห่วงสุขภาพของท่านแล้วกระมัง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหยอกล้อ เฉินฉางเซียงได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ
“เจ้าก็พูดไป เจ้าเด็กแซ่เสิ่นมีแต่ทำให้ข้าอายุสั้นกว่าเดิม”ใต้เท้าเฉินถอนหายใจ ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่ทำหน้าอ่อนระโหยโรยแรง หึ เจ้าเด็กนี่ปั่นประสาทเขาได้ดีนัก หน้าตาก็เหมือนคนนอนน้อย ไม่รู้ว่าเอาเวลาก่อนนอนไปใช้ทำอะไร ความรู้ไม่กระเตื้องเลยสักนิด

   “ท่านกล่าวเกินจริงไปแล้ว ข้าแย่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ”จื่อฟางเอ่ยแสร้งตีหน้าเศร้าหมอง เสิ่นจิ้งเฟยเวลาทำหน้าแบบนี้ดูแล้วน่าเวทนาเห็นใจมาก เขากลั้นอาการหาวนอนอย่างสุดความสามารถ เมื่อคืนหลังจากที่อ่านตำราเรียน เขาบังเอิญค้นเจอนิยายรักอีโรติกที่เสิ่นจิ้งเฟยเอาซ่อนไว้ในตู้ลิ้นชักได้พอดี แต่เพราะอ่านช้าจื่อฟางจึงใช้เวลาอ่านเสียเกือบค่อนคืน

   “เจ้าสอนเขาไปเดี๋ยวก็รู้”ใต้เท้าเฉินกล่าวกับไป๋ผูอวี้ เขาจัดเวลาเรียนให้จื่อฟางไม่มากไม่น้อยเกินไป เรียนกับใต้เท้าเฉินสามวัน เรียนกับไป๋ผูอวี้สองวัน ส่วนอีกสองวันคือวันพักผ่อนของเขา จื่อฟางเห็นอีกฝ่ายมองมาที่ตนก็ฉีกยิ้มให้อีกครั้ง แต่ท่อนไม้ก็คือท่อนไม้ เขาจึงมองไปที่ข้ารับใช้ที่ติดตามไป๋ผูอวี้แทนพบว่าคือกุ้ยตาน บ่าวที่เขาเคยเห็นหน้ามาก่อน

   จื่อฟางรอให้ใต้เท้าเฉินออกไปก่อน เมื่อได้จังหวะจึงเอ่ยถาม “เว่ยหลงยังไม่หายดีหรือ”
“เขาดีขึ้นแล้ว แต่ข้ายังอยากให้เขาพัก”ไป๋ผูอวี้ตอบ ยกชายชุดคลุมยาวนั่งลงข้างๆเขา ชายหนุ่มยังคงมีกลิ่นชาอ่อนๆติดมา เขาสวมชุดสีเทาเรียบง่ายเช่นเคย จื่อฟางหันไปสั่งจางต้าให้นำน้ำชาร้อนๆและของว่างมาใหม่ เพราะเขากินขนมไปหมดแล้ว
“อ้อ…ข้าควรไปเยี่ยมเขาสักครั้ง”เขาเองก็เหมือนเป็นต้นเหตุจึงรู้สึกไม่ค่อยดี แม้ว่าเว่ยหลงจะเหม็นขี้หน้าเขามากกว่าเดิมก็ตาม

   “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกอย่างเขาคงไม่ชอบ”ไป๋ผูอวี้ตอบตามตรง จนจื่อฟางอ้าปากอยากจะพูดแต่ก็นึกไม่ออก เจ้านี่พูดอ้อมๆบ้างก็ได้เถอะ! เขาจึงได้แต่ทำหน้ายับย่น ไม่นานนักจางต้าก็นำชากับของว่างมาวางที่โต๊ะอีกตัว จื่อฟางรินน้ำชาให้ผู้มาเยือน แค่ได้กลิ่นชาก็เอียนแทบแย่แล้ว เขาอยากดื่มน้ำอัดลมเหลือเกิน
“ท่านเคยเรียนที่สำนักมาก่อน….”ไป๋ผูอวี้เกริ่น

   “ข้าลืมไปหมดแล้ว”จื่อฟางเอ่ยขัด อย่างน้อยๆจะได้ไม่ต้องถูกซักถามจนตอบไม่ได้ ไป๋ผูอวี้ร้องอืมคำหนึ่ง
“ข้าอยากทราบว่าท่านเรียนสิ่งใดมาบ้าง”บุรุษหนุ่มถาม ด้านนอกมีข่าวลือว่าคุณชายเสิ่นไม่เอาไหน แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น เขามีฝีมือดีดกู่เจิงเป็นเลิศ แม้ว่าไป๋ผูอวี้จะไม่เคยได้สดับฟัง
‘เรียนสิ่งใดมาบ้างน่ะหรือ แล้วท่านจะแปลกใจเชียวล่ะ!’จางต้านั่งฝนหมึกให้คุณชายเสิ่นลอบถอนหายใจเบาๆ
“ก็เรื่องทั่วๆไป”จื่อฟางตอบสั้นๆ  “แต่ที่เจ้ายอมมาสอนข้า ทำเอาข้าแปลกใจจริงๆ”เขาเปลี่ยนเรื่อง จงใจใช้คำว่าเจ้าเพื่อความสนิทสนม ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วน้อย ๆให้กับคำเรียกขานที่เปลี่ยนไป
“ข้าแค่มาช่วยชี้แนะเท่านั้น”
“แต่ข้าก็ปลื้มใจมาก”จื่อฟางเอ่ยหยั่งเชิง จากหางตามองเห็นจางต้าทำหน้าพิกลๆแต่ไป๋ผูอวี้ยังคงทำหน้าตายเช่นเคย

   “ปลื้มใจ? เช่นนั้นท่านควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ให้สมกับที่พ่อท่านคาดหวัง”ชายหนุ่มถือโอกาสสั่งสอน เห็นเสิ่นจิ้งเฟยพยักหน้า แต่มิรู้ว่าเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือไม่

   “เหตุใดท่านถึงอยากเรียนขึ้นมา…”ไป๋ผูอวี้ถามสิ่งที่สงสัย ไม่น่าแปลกหรือที่เสิ่นจิ้งเฟยขยันอยากเรียน

   “ต้องมีเหตุผลด้วยมากมายด้วยรึ ข้าแค่อยากหาความรู้ใส่ตัวเท่านั้น”คำตอบนี้จื่อฟางคิดไว้แล้วจึงกล่าวอย่างลื่นไหล

   “สอบระดับอำเภอไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ข้าแค่อยากให้ท่านตั้งใจ อย่าเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น”
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 10-02-2018 11:59:47
 

   “…”จื่อฟางพยักหน้าอีกครั้ง

   “ท่านอยากเป็นขุนนาง?”ไป๋ผูอวี้พินิจมองคุณชายที่นั่งใกล้ตน…ต้องบอกว่าใกล้จนได้กลิ่นหอมจางจากอีกฝ่าย บุรุษหนุ่มงุนงงขึ้นมา เขาเหลือบไปเห็นพัดไม้หอมข้างตัวของคุณชายเสิ่นเข้าพอดี เป็นพัดที่สลักลวดลายอย่างประณีต มองปราดเดียวเขาก็จำได้ว่าเป็นพัดจากร้านชื่อดังในเมืองหลานโจว ที่คุ้นตาเพราะลายสลักอันเป็นเอกลักษณ์บนด้ามพัด เถ้าแก่บอกกับเขาว่าผลิตเพียงอันเดียวเท่านั้น แล้วเขาก็ยกให้กับซูเหลียนฮวาเนื่องจากนางขอไป แต่ยามนี้กลับมาอยู่ในมือของเสิ่นจิ้งเฟยได้อย่างไร หรือนางมอบให้เสิ่นจิ้งเฟย
‘มอบของให้บุรุษก็ยังไม่เอาของที่ออกเงินเองอีกหรือ’ไป๋ผูอวี้บ่นอยู่ในใจ

   “ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าตั้งคำถามเยอะกว่าทุกที”เสียงของเสิ่นจิ้งเฟยดังอยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนระยะห่างระหว่างตนกับคุณชายจะใกล้เข้ามาทุกที

   “ข้าเพียงสงสัย...”ไป๋ผูอวี้มองคุณชายเสิ่นที่เหมือนอยากสนิทกับเขาขึ้นมาดื้อๆ  “ไยท่านทำตัวแปลกพิกลนัก”

   “ข้ากับเจ้าผูกมิตรกันแล้ว ก็ควรจะทำความสนิทสนมกัน”จื่อฟางพึมพำตอบ นี่เรียกว่าการลองเชิงอย่างหน้าด้านๆ ดีที่ไป๋ผูอวี้เป็นท่อนไม้ เขาจึงไม่กระอักกระอ่วนเท่าไหร่ ไป๋ผูอวี้พินิจมองคุณชายเสิ่นที่ดูมีชีวิตชีวา ท่วงท่ากิริยาไม่ได้ดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญอย่างที่เคยเห็น นัยน์ตาเป็นประกาย ให้ความรู้สึกสดใสคล้ายกับว่าตัวตนที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องจริง หากเป็นแต่ก่อนเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่คิดพูดคุยดีๆกับเขา อย่าว่าแต่เรื่องผูกมิตรเลย แต่ไป๋ผูอวี้ยอมรับว่าเขาชอบที่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้มากกว่า

   “ท่านอ่านบทความนี้ให้ข้าฟัง”ไป๋ผูอวี้ไม่สนเรื่องไร้สาระที่คุณชายคิดทำ เขาชี้ไปที่บทความในตำราที่คุณชายเสิ่นกำลังคัดลอกอยู่ จื่อฟางเม้มริมฝีปากอย่างกังวล อักษรตัวเต็มพวกนี้...ไม่รู้ล่ะ! เขาได้แต่กลั้นใจอ่านอย่างติดๆขัดๆเท่าที่ทำได้ ไป๋ผูอวี้ได้ยินเสิ่นจิ้งเฟยอ่านเหมือนคนติดอ่าง บางจังหวะก็เว้นวรรคผิดแต่ก็ยังพยายามอ่านอยู่พักใหญ่

   “ดูท่าตอนเด็กท่านคงไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยขึ้นเมื่อคุณชายเสิ่นอ่านจบบทแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยชะงักไปเล็กน้อย ท่าทางเหมือนอยากก่นด่าเขาเต็มแก่

   “งั้นเจ้าก็อ่านให้ข้าฟังทีสิ”ร่างบางเลื่อนตำราไปให้ไป๋ผูอวี้ บุรุษหนุ่มยังรู้สึกตะขิดตะขวนใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายใช้คำแทนตัวเขาเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยคิดทำสิ่งใด แต่การกระทำเช่นนี้คล้ายกับคุณหนูฉินนางก็พยายาม‘ตีสนิท’เขาเช่นกัน เทียบกับฉินเซียงอินแล้วเสิ่นจิ้งเฟยฝีมืออ่อนด้อยนัก

   ไป๋ผูอวี้ยิ้มมุมปาก ‘คุณชายเสิ่นลวดลายแพรวพราวของเจ้าหายไปไหนแล้ว ข้ารอชมอยู่’

   “ท่านคัดลอกตามที่ข้าอ่าน”เสียงเป็นจังหวะจะโคนของไป๋ผูอวี้คล้ายกับเป็นยานอนหลับชั้นดีสำหรับจื่อฟาง เขาจรดพู่กันอย่างเชื่องช้า อาการง่วงนอนยิ่งทวีคูณ ไป๋ผูอวี้เงยหน้ามองอีกทีก็เห็นคุณชายเสิ่นนั่งสัปหงกแล้ว เขายกมือตั้งใจจะปลุก แต่เห็นรอยคล้ำใต้ตาของเสิ่นจิ้งเฟยก็ลดมือลง เมื่อสังเกตดีๆคุณชายเสิ่นผอมลงจากครั้งก่อนที่เขาเจอที่คฤหาสน์สกุลไป๋หรือใต้เท้าเฉินจะเข้มงวดเกินไป

   ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยหลับ เขาจึงเอื้อมไปดึงกระดาษซวนจื่อที่อีกฝ่ายเขียนค้างไว้มาดู ลายมือของคุณชายเสิ่นสวยงามดังคาดแม้การเขียนจะดูเหมือนไม่คล่องในบางตัวอักษร ไป๋ผูอวี้ประหลาดใจ ถึงคุณชายผู้นี้จะไม่ได้ความอย่างไรแต่เขาเป็นลูกขุนนาง ไม่มีทางที่จะเขียนหนังสือไม่คล่อง...แล้วเหตุใด...ไป๋ผูอวี้มองเห็นว่าตัวอักษรเปลี่ยนไป เป็นไปได้ด้วยหรือ? เขาเริ่มเป็นกังวล แม้การสอบระดับอำเภอจะไม่ยาก แต่เพียงห้าเดือนเจ้าเด็กนี่จะทำได้เท่าไหร่กันเชียว ไป๋ผูอวี้จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนเสิ่นจิ้งเฟยก็ไปสอบแต่ไม่ผ่าน  ดูเหมือนจะเป็นงานยากกว่าที่คิด  ใต้เท้าเฉินให้เขามาช่วยเพราะเหตุนี้กระมัง

   จางต้าเหลือบมองคุณชายด้วยความฉงน 'เหตุใดท่านถึงทำตัวแปลกๆใส่ไป๋ผูอวี้เล่าซ้ำยังหลับอีก หากใต้เท้าเฉินมาเห็น ท่านมีหวังได้โดนตีอีกแน่’

   จื่อฟางเผลอหลับไปวูบหนึ่ง กลิ่นชาอ่อนๆจากไป๋ผูอวี้ทำให้เขาสูดจมูก …ว่าแต่เขาเอนพิงสิ่งใดอยู่ แข็งๆอุ่นๆ จื่อฟางตัวชาวูบ …หรือว่า…กลิ่นชาอ่อนๆอยู่ตรงจมูกเขานี่เอง แต่จื่อฟางแทบไม่อยากลืมตามองเพราะหวาดกลัว

   “.....”ไป๋ผูอวี้นั่งตัวตรงหรี่ตามองคุณชายเสิ่นที่เผลอหลับซบอยู่ตรงไหล่ของตน เขาเดาไม่ออกว่าเสิ่นจิ้งเฟยแกล้งหรือเผลอหลับมาซบเขาจริงๆ ริมฝีปากของไป๋ผูอวี้กระตุกน้อยๆ ก่อนตัดสินใจดีดหน้าผากของเสิ่นจิ้งเฟยเสียงดัง

   “โอ๊ยย”เจ้าตัวรีบดีดตัวออกห่างเขาทันที สายตากวาดไปรอบ ๆราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น มีเพียงบ่าวคนสนิทที่นั่งก้มมองมือตนเองอย่างเก้อกระดากเท่านั้น ส่วนกุ้ยตานก็คล้ายกับเป็นเสาหินต้นหนึ่ง ไป๋ผูอวี้คิดถูกจริงๆที่ให้กุ้ยตานตามมาในวันนี้ 

   “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”ไป๋ผูอวี้ยกจอกชาดื่ม จื่อฟางลูบหน้าผากที่เป็นรอยแดงน้อย ๆ เจ้านี่ทำร้ายร่างกายเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว

   “ข้าทำอะไรหรือ”เขาถามหน้าซื่อ จางต้าเอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเอง ‘คุณชายเสิ่น! ไม่มีคนบอกหรือว่าท่านแสดงละครไม่เก่งเลยแค่ฟังเสียงก็รู้แล้ว!’
“เอาเถอะ ข้าจะทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยสีหน้าคล้ายมีรอยยิ้ม จื่อฟางยกจอกชามาจิบบ้าง ไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร ไป๋ผูอวี้เป็นท่อนไม้ ส่วนกลยุทธการอ่อยของเขาก็เข้าขั้นแย่ ไม่รู้ว่าอย่างไหนน่าหัวเราะมากกว่ากัน

   “ข้าแค่อยากผูกมิตรกับเจ้าเท่านั้น”
“ผูกมิตร? ท่านผูกมิตรเช่นนี้กับหลี่ฮุ่ยจือด้วยหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม เขาเองก็เคยได้ยินคำเล่าลือมาหนาหู ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่เคยได้ยิน ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามามีหลายประเภท พอเห็นเสิ่นจิ้งเฟยเงียบไปนานเขาก็เลิกคิ้ว

   “แล้วแต่จะคิด”จื่อฟางจงใจเลือกคำตอบคลุมเครือ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงจะหลุดรอดการถูกเนื้อต้องตัวจากหลี่ฮุ่ยจือได้อย่างไร คิดแล้วก็ขนลุก ก่อนหน้านี้เสิ่นจิ้งเฟยโดนลวนลามไปเยอะแค่ไหนแล้ว

   “เอาเถิด วันนี้ข้าได้รู้แล้วว่าต้องรื้อฟื้นความรู้ท่านใหม่...”ไป๋ผูอวี้เลิกหาเหตุผลว่าเพราะเหตุใด
“วันพรุ่งนี้ยามซื่อ ไปพบข้าที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ ข้าคิดว่าท่านไม่ชอบอุดอู้อยู่ในจวน หากข้าเอ่ยปากใต้เท้าเฉินย่อมอนุญาตแน่”เขาเองก็ไม่อยากแวะมาที่จวนสกุลเสิ่นบ่อยๆด้วย สู้ไปสอนด้านนอกคงดีกว่า

   “อย่างนั้นก็ดี”จื่อฟางพยักหน้าเห็นด้วยอย่างกระตือรือร้น จะว่าไปแล้วอยากกับนัดเดทเลย   

   “เจ้าจะไปแล้วหรือ”เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นไป๋ผูอวี้ลุกยืนไม่พูดไม่จา 

   “อืม ข้าอยู่ไปก็สอนอะไรท่านไม่ได้อยู่ดี วันพรุ่งนี้ห้ามมาสาย หากท่านมาช้า ข้าจะไม่สอนท่าน ข้าไม่ชอบคนขี้เกียจสันหลังยาว”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงจริงจัง อา…แต่จื่อฟางจัดอยู่ในประเภทคนขี้เกียจสันหลังยาวเสียด้วย
ชายหนุ่มมองหน้าเขาคล้ายกับเพิ่งนึกได้ “อีกประการ หากท่านอยากผูกมิตรกับข้า ใช้วิธีแกล้งหลับซบไหล่ข้าไม่ได้ผลหรอกนะ”

   “ข้าไม่ได้แกล้งหลับ!”จื่อฟางเลือดขึ้นหน้าทันที มากล่าวหากันแบบนี้ได้ที่ไหน เขาเผลอหลับไปจริง ๆ แต่พอรู้สึกตัวแล้ว เขาแค่ไม่อยากลืมตาเท่านั้นเอง

   ไป๋ผูอวี้แย้มยิ้มบาง “อีกประการคือท่านโกหกไม่เก่ง”

   จื่อฟางได้แต่ขบฟัน ยกพัดมาโบกไปมาแก้ร้อน รู้สึกว่าไป๋ผูอวี้ก็ไม่ใช่ท่อนไม้เสียทีเดียว!

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-02-2018 12:33:33
อ่อย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-02-2018 12:34:51
งานนี้ต้องเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่อ่านเขียนเลยสินะ
ดูนายท่อนไม้ก็ไม่ได้โง่นะ แต่จื่อฟางก็มึนเข้าสู้ ฮา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 10-02-2018 12:36:24
โอ้ย. อายแทนเพืยเอ๋อจริงๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-02-2018 12:45:37
เป็นงน้อนิยายรักอีโรติกที่อ่านมาทั้งคืนน่ะ คงจะสนุกจนวางไม่ลงล่ะสิ
ถึงอ่อยไม่สำเร็จแต่ก็แอบยิ้มนะ นัดเขาเดทนะนั่น อิอิ ตอนเห็นพัดไม้หอมแล้วบอกมาสิว่าม่รู้สึกคันหัวใจ 555  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 10-02-2018 13:43:28
เป็นการอ้อยที่กากมากกกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 10-02-2018 14:49:06
อ้อยเบอร์นี้ จะได้ผลมั้ยน้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 10-02-2018 16:55:33
อ้อยแบบมึนๆ ถึงเขาจะรู้ทัน แต่เขาก็ชวนเดทนะเธอออ ถึงแม้ว่าจะไปเรียนก็เถอะ 5555 เอาใจช่วยเฟยเอ๋อให้สกิลการอ้อยพัฒนาจนท่อนไม้ติดบ่วงนะคะ o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 10-02-2018 17:43:02
รอๆๆๆๆตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 10-02-2018 17:50:14
น่ารักกกก ชอบมากๆ /////
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 10-02-2018 17:55:36
เนียนมากกกก เนียนจนสงสัยทั้งจวน  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 10-02-2018 18:07:30
ทำไมเรารู้สึกดราม่าเรื่องท่านพ่ออ่ะ จริงๆชีวิตที่ผ่านมาก็น่าสงสารนะดูเหงาอ่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-02-2018 18:24:59
จื่อฟาง จะเก่งขึ้นมั้ยนะ  :hao3:
ที่เก่งจริงๆ ก็เป็นวาดรูปละนะ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 10-02-2018 18:34:30
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-02-2018 20:13:19
อ่อยไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะลูกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 10-02-2018 20:24:33
 o13 รอลุ้นตอนต่อๆไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-02-2018 21:00:09
มาต่อแล้วเย้ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: flowerloveyaoi ที่ 10-02-2018 21:07:00
อนาคตต้องดราม่าแน่ ฮืออออ สุขภาพของจิ้งเฟยไม่ดีคงไม่ใช่โรคร้ายหรอกใช่มั้ย :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: wifesuju ที่ 10-02-2018 22:32:44
พระเอกของเราเริ่มเจ้าเล่ห์แล้วสิ ไม่ใช่ท่อนไม้อีกแล้วนะหนูจื่อฟาง จะอ่อยก็ระวังเค้าเต๊าะกลับแล้วหน้าร้อนนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Thunderyong ที่ 10-02-2018 22:34:44
ตอนนี้มีความน่ารัก  :-[ :-[ :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 11-02-2018 00:19:27
แอบขำนายเอก ย้อนยุคมาแล้วยังติดนิสัยอ่านนิยายอีก แถมอ่อยพระเอกได้น่าเอ็นดูมากค่ะ เรื่องนี้ยิงอ่านยิ่งรอคอย ชอบฉากที่นายเอกวาดรูปแม่ให้พ่อที่ย้อนยุคแล้วใส่กวีเข้าไปแอบร้องไห้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 11-02-2018 03:35:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 11-02-2018 04:23:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 11-02-2018 07:13:54
อยากรู้ว่าถ้าท่อนไม้ตกหลุมรักแล้วจะเป็นยังไง o18
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kimlowbatt ที่ 11-02-2018 11:01:53
อยากเห็นนายท่อนไม้เอาคืนการอ่อยของจื่อฟางบ้าง
เชื่อว่าต้องเขินตนไปไม่ถูกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 11-02-2018 15:24:37
เหมือนโดนบอก ไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่ 5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 11-02-2018 16:59:58
วิธีอ่อยสมัยโบราณ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nekodollzz ที่ 11-02-2018 19:45:00
555555 ท่อนไม้ท่อนนี้ปากจัดจริงๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-02-2018 20:19:41
ตกลงมันภาษาเดียวกันป่ะ ระหว่างหนังสือเรียนกับหนังสือโป๊ ทำไมสกิลการอ่านมันต่างกันฟ่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 12-02-2018 00:12:43
ไม่เนียนต้องไปเรียนเพิ่มนาาาาาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-02-2018 00:24:28
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 12-02-2018 01:08:39
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 13-02-2018 11:19:08
ของอย่างงี้มันต้องดูกันไปยาวๆ   :z1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: __puppy ที่ 13-02-2018 14:28:04
ขอแปะ เดี๋ยวมาอ่านจ้ะะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 13-02-2018 15:58:21
โถ่วๆๆๆๆ เอ็นดูคนอ่อยไม่เนียน 55555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 14-02-2018 19:56:18
สงสารนาง อ่อยไม่เนียน 555 เดี๋ยวต้องดูกันต่อไป ><
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเจ็ด: ผูกมิตร P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TheCatmewt ที่ 14-02-2018 22:33:43
รอออออออออออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 15-02-2018 10:37:37
บทแปด: จื่อฟางออกโรง

จื่อฟางออกมาจากจวนเสนาบดีตั้งแต่ยามเฉิน* นั่งรถม้าหอบตำราสองสามเล่มไปยังโรงน้ำชาหลิวซื่อ จางต้าและหยางชวีตามมารับใช้ตามปกติ วันนี้ท้องฟ้าปรอดโปร่งอากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินเล่น เขาจึงบอกให้คนขับรถม้าจอดที่หน้าตรอกเพราะอีกไม่ไกลก็ถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อแล้ว หากเดินไปก็ยังทันเวลาที่ไป๋ผูอวี้นัดหมายไว้ หยางชวีเห็นว่าคุณชายกำลังอารมณ์ดีทั้งยังดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อวันก่อน เขาจึงยอมตามใจคุณชายผู้นี้สักครา จื่อฟางลงมาจากรถม้าก็พบผู้คนเดินขวักไขว่ส่งเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่เช่นทุกที

จางต้ายังไม่คลายกังวลเรื่องสุขภาพของคุณชายจึงรีบเข้าไปประคอง แต่คุณชายกลับส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

“ข้าเดินเองได้”เขาเอ่ยเสียงดุ จัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย วันนี้เขาสวมชุดสีอ่อน ใช้พัดขนนกกระเรียนเลียนแบบขงเบ้งในวรรณกรรมสามก๊กเพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้ดูภูมิฐาน

ชาวบ้านร้านตลาดที่อยู่โดยรอบเห็นคุณชายเสิ่นก็อดเหลียวมองไม่ได้ นับแต่เกิดเรื่องกับเว่ยหลง เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ได้ออกมานอกจวน มีข่าวลือว่าเขาตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ เสิ่นมู่หยางถึงกับยอมไปขอร้องใต้เท้าเฉินให้มาช่วยสอน ไหนจะข่าวลือที่คุณชายไป๋ยอมช่วยชี้แนะอีก ทีแรกพวกเขาไม่เชื่อ แต่วันนี้เห็นคุณชายเสิ่นในคราบบัณฑิตก็ต้องเปลี่ยนความคิด หรือคุณชายไม่เอาไหนผู้นี้จะเปลี่ยนไปแล้ว ดูท่าว่าจะตั้งใจไปสอบระดับอำเภอจริง ๆ ชาวบ้านบางคนหัวเราะเยาะคิดว่าคนเช่นนี้ทำสิ่งใดก็ไม่มีทางสำเร็จ ในบ่อนพนันจึงคึกคักเป็นพิเศษ ลงขันกันว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะสอบได้ซิ่วไฉหรือไม่ เสียงข้างมากตกไปที่สอบไม่ได้ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่นึกสนุกคิดว่าคุณชายเสิ่นจะสอบผ่านเพราะความช่วยเหลือของบิดา


   แต่เรื่องเหล่านี้จื่อฟางล้วนไม่ล่วงรู้ เขาไม่ได้ออกมานอกจวนเกือบหนึ่งอาทิตย์ ส่วนหยางชวีเองก็ไม่คิดบอก เกรงว่าคุณชายจะโมโหที่ตกเป็นหัวข้อพนัน อีกทั้งเสียงข้างมากยังลงไปที่สอบไม่ได้อีก จื่อฟางได้กลิ่นหอมของร้านเนื้อแพะย่างข้างทางก็น้ำลายสอ สั่งให้จางต้าซื้อมาสามไม้ แบ่งให้บ่าวรับใช้คนละไม้ แต่หยางชวีไม่ยอมรับไว้ ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงขันแข็ง จื่อฟางจึงยกให้จางต้าแทน เสียงดังรอบตัวทำให้เขารู้สึกกระฉับกระเฉง แม้จะมีสายตาจ้องมองมาเป็นระยะ แต่เรื่องยิบย่อยพวกนี้กลับไม่ทำให้อารมณ์ดีๆของเขาหายไป

ระหว่างที่กำลังคิดเพลินๆกลับมีชายสวมชุดเก่ามอซอเนื้อตัวมอมแมมคล้ายขอทานเดินมาชนเขาเต็มแรงจนเนื้อแพะย่างหล่น จื่อฟางขมวดคิ้วปัดอกเสื้อที่เปื้อนออก ย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นเหม็นสาบ ชายขอทานแก้มตอบมีจมูกงุ้มดูน่ากลัวจ้องมองเขาครู่หนึ่ง

“ยังไม่ขอโทษคุณชายอีก”จางต้าเห็นคนตัวเหม็นหึ่งมองหน้าคุณชายก็ตวาดดุ หยางชวีขมวดคิ้ว รู้สึกว่าแปลกชายผู้นี้คล้ายกับว่าตั้งใจเดินมาชนคุณชายเสิ่น

“ขออภัยขอรับคุณชาย”ชายสารรูปมอซอเอ่ยเสียงเบา ผู้คนรอบข้างต่างก็หันมองอย่างสนใจ คิดว่าคุณชายเสิ่นจะก่อเรื่องอีกหรือไม่

“ช่างเถอะ เดินดูทางให้ดี อย่าไปชนผู้อื่นอีก”จื่อฟางหงุดหงิดอยู่บ้างที่ถูกชนจนแต่ก็ไม่คิดเอาเรื่อง อีกฝ่ายเป็นแค่ขอทานเท่านั้น พอเขาพูดเช่นนี้ชายขอทานก็เหลือบมองก่อนก้มหน้าก้มตาเดินจากไปอย่างเร่งรีบ หยางชวีหรี่ตามองจนร่างผอมแห้งนั้นกลืนหายไปกับฝูงชน

จื่อฟางเลิกสนใจ คิดไม่ถึงว่าตอนเดินผ่านร้านขายผ้าไหมและเสื้อผ้าราคาแพงจะเจอกับจ้าวเซียวชิงบุตรชายเสนาบดีกรมพระคลังผู้ชอบทำสีหน้าเบื่อหน่ายตลอดเวลา คุณชายจ้าวมากับบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่หอบหิ้วของเต็มมือ อีกฝ่ายมองเห็นตนแล้ว จื่อฟางจำต้องหยุดทัก

“เจ้านี่เอง ไม่เจอกันเสียนาน”เด็กหนุ่มแสร้งทักหน้าชื่น จ้าวเซียวชิงมองเขาด้วยแววตาเหมือนคนง่วงนอน

“ได้ข่าวว่าเจ้าถูกหลี่ฮุ่ยจือวางยาหรือ”จ้าวเซียวชิงยื่นหน้ามากระซิบถาม รอยยิ้มของจื่อฟางหายวับไปทันตา เจ้านี่รู้เรื่องด้วยหรือ แต่ก็แน่ล่ะ คนผู้นี้คบค้าสมาคมกับหลี่ฮุ่ยจือ จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร เสิ่นจิ้งเฟยมีมิตรแท้บ้างหรือไม่? เหตุใดคนรอบตัวถึงมีแต่คนเช่นนี้

“ไปได้ยินมาจากที่ใด แค่ข่าวลือไร้สาระเท่านั้น”เขาตอบด้วยเสียงราบเรียบ ไม่คิดจะเสวนาต่อตั้งใจจะบอกลาแต่อีกฝ่ายกลับทำจมูกฟุดฟิด

“ข้าเห็นว่าเจ้าถูกขอทานชน ไม่คิดว่ากลิ่นเหม็นสาบจะติดมาด้วย”จ้าวเซียวชิงเพียงแค่เอ่ยหยอกล้อสหายเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าคุณชายใบหน้างามตรงหน้าจะคิดเป็นเรื่องจริงจัง

“จริงหรือ เจ้าลองดมดูซิ”เขาแสร้งหันไปหาบ่าวคนสนิท จางต้าลอบมองคุณชายจ้าวก่อนรีบส่ายหน้าตอบเสิ่นจิ้งเฟย

“ไม่มีกลิ่นหรอกขอรับ”จางต้าตอบ ‘ท่านโดนล้อเล่นอีกแล้ว’

“นี่ ถึงข้าจะไม่เอาไหน แต่ก็ชอบให้ใครมาแกล้งเล่น”จื่อฟางยกยิ้มเย็น คนพวกนี้ชอบพูดจาหยอกล้อเสิ่นจิ้งเฟย เขาไม่เห็นว่าน่าขำตรงไหน คนถูกแกล้งจะสนุกได้อย่างไร นึกถึงวันที่เจอหลี่ฮุ่ยจือครั้งแรกแล้วโดนแทะโลมต่อหน้าสหายก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง หากเขามีเพื่อนเช่นนี้สู้ไม่มีดีกว่า จ้าวเซียวชิงมองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยความประหลาดใจ สีหน้าเบื่อหน่ายสลายไปแล้ว ดูท่าเขาจะหยอกล้อผิดเวลา คุณชายจ้าวอ้าปากหมายจะพูดแต่ก็ถูกเสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขัด

“ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน”พูดจบคุณชายรูปงามก็ผละจากไปโดยไม่คิดหันมองอีก จางต้าได้แต่เดินตามคุณชายด้วยความตกใจเพิ่งเคยเห็นคุณชายใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับสหาย คุณชายจ้าวแม้จะนิสัยแปลกประหลาดแต่ก็เป็นคนที่คบหาสมาคมได้ไม่เหมือนคุณชายหลินเจียงหยง รายนั้นเป็นพวกลากมากไป ไม่ใช่สหายที่ดีเท่าไร

จื่อฟางถูกจ้าวเซียวชิงทำลายอารมณ์ดีๆไปเสียแล้ว เขาจึงมาถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยามนี้ร้านน้ำชาเปิดแล้วแต่คนยังบางตา เขามองไปที่โต๊ะด้านใน มีชายสามคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยไม่เกินสามสิบ ลักษณะที่ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปดึงดูดสายตาของจื่อฟางได้ทันที ท่วงท่ายามดื่มชาสง่างาม ชายอีกสองคนที่ร่วมโต๊ะด้วยมีท่าทางเกรงใจอยู่หลายส่วน เขาสวมชุดสีเทาเรียบ ๆแต่ท่าทางเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ บางทีอาจเป็นขุนนางตำแหน่งสูงก็ได้

แต่เขาก็นึกไม่ออกว่านอกจากอัครเสนาบดีหลี่แล้วยังมีผู้ใดอีก ตำแหน่งที่สูงเทียบเท่าอัครเสนาบดียังมีอีกสองตำแหน่ง อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ เจ้าตัวคล้ายกับรู้สึกถึงสายตาของเสิ่นจิ้งเฟยจึงเงยหน้ามอง แววตานิ่งสงบของชายผู้นั้นคล้ายกับมีระลอกคลื่น มุมปากคล้ายยกเป็นรอยยิ้มจาง

‘คนรู้จักเสิ่นจิ้งเฟยหรือ’

จื่อฟางรีบดึงสายตากลับทันที หยางชวีสังเกตเห็นชายหนุ่มผู้นั้นเช่นกัน ท่าทางไม่ธรรมดาดูแล้วอาจจะเป็นคนมียศตำแหน่ง โรงน้ำชาหลิวซื่อมีลูกค้าหลายประเภทจริง ๆ

“คุณชายเสิ่น เชิญทางนี้ขอรับ”เป็นเว่ยหลงที่มาต้อนรับ บุรุษหนุ่มหายดีจากการถูกโบยแล้วพอรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมาจึงระวังท่าทีมากกว่าปกติ จงใจใช้น้ำเสียงอ่อนน้อม จื่อฟางย่นคิ้วฟังแล้วเหมือนประชดมากกว่า เขาจึงเดินตามชายร่างกำยำตรงหน้าไปยังห้องดื่มชาส่วนตัวชั้นสอง

“เจ้าคงหายดีแล้วกระมัง”เขาเอ่ยถาม กวาดตามองอีกฝ่ายที่ดูปกติดีทุกอย่างแล้วก็เบาใจ เว่ยหลงเพียงส่งเสียงตอบรับเบาๆ ตนเองยังแปลกใจที่คุณชายเสิ่นสั่งโบยเพียงสามสิบทีเท่านั้น นี่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยจริงหรือ คิดว่าจะโดนหนักกว่านี้เสียอีก เว่ยหลงจึงคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยอาจมีแผนการใดอยู่ในใจเป็นแน่ อยู่ ๆจะต้องการผูกมิตรกับคุณชายไป๋ที่นับได้ว่าเป็นศัตรูหัวใจทำไม ไม่แปลกไปหน่อยหรือ คุณชายไป๋คิดสิ่งใดอยู่ เว่ยหลงไม่เข้าใจจริง ๆ นึกถึงช่วงนี้ที่คุณชายของเขาสนใจเสิ่นจิ้งเฟยมากกว่าทุกทีก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจระหว่างที่เดินนำทางคุณชายเสิ่นมาถึงห้องริมสุด จากนั้นก็ถอยไปยืนด้านข้างหลีกทางให้เสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชายไป๋รออยู่ด้านในขอรับ”เว่ยหลงยังคงก้มหน้า จื่อฟางไม่ชินกับท่าทางเช่นนี้ของเว่ยหลง ดูก็รู้ว่าประชด เห็นสายตาคมปลาบของอีกฝ่ายก็ได้แต่คิดว่าคงถูกเกลียดเข้าแล้ว พอคิดว่าหากไม่มีไป๋ผูอวี้และเว่ยหลง เสิ่นจิ้งเฟยจะก่อกวนใคร

จื่อฟางปัดความคิดไร้สาระทิ้งแล้วหันไปทางหยางชวี “เจ้ารออยู่ด้านนอก…ดื่มชารอไปก่อน…”เขามองไปทางเว่ยหลงอย่างลังเล หยางชวีกับเว่ยหลงคงไม่ทะเลาะกันหรอกนะ

“เจ้าอย่าหาเรื่องทะเลาะกับเว่ยหลงล่ะ”เขากระซิบใกล้ใบหูของผู้ติดตาม หยางชวีก้มมองเขาด้วยสายตาที่คล้ายกับระอา แต่เมื่อมองอีกทีเจ้านี่ก็ยังทำหน้าตายเช่นเคย จื่อฟางอาจตาฝาดไปเอง เขายกมือตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

‘เขาไม่ใช่ท่านนะคุณชาย’จางต้าคิดอย่างละเหี่ยใจ เขามีหน้าที่ฝนหมึกให้คุณชายจึงต้องเข้าไปด้วย จางต้าคันปากอย่างบอกคุณชายเหลือเกินว่าได้โปรดอย่าทำเรื่องแปลกๆอีกเลย

จื่อฟางไหนเลยจะล่วงรู้ความคิดของบ่าวรับใช้ เขาคิดทำเรื่องแปลกๆอยู่แล้ว มีโอกาสอยู่กับไป๋ผูอวี้ทั้งที ก็ต้องแกล้งบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ผล แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ จื่อฟางเลิกม่านมุกเข้าไปในห้อง ไป๋ผูอวี้ยืนเอามือไพล่หลังรอด้วยท่าทางเคร่งขรึมเหมือนอาจารย์ผู้เข้มงวด

“ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยชม เช่นนี้ค่อยรู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีความตั้งใจเล่าเรียนจริง

“ข้าไม่อยากถูกเจ้าจัดอยู่ในประเภทคนขี้เกียจสันหลังยาว”จื่อฟางนั่งลงอย่างไม่รีรอทำตัวเหมือนลูกศิษย์ผู้มุ่งมั่นคนหนึ่ง ไป๋ผูอวี้ยังคงมองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาครุ่นคิด เขาควรจะชี้แนะอย่างไรดี ความรู้ของคุณชายท่านนี้ทำให้เขาหนักใจนัก เขาชี้ไปที่คัมภีร์กวีบนโต๊ะ

“ใต้เท้าเฉินคงให้ท่านอ่านคัมภีร์เล่มนี้แล้ว ท่านเข้าใจวิธีแต่งกวีแล้วกระมัง อย่างที่ท่านคงรู้ในการสอบจะมีหัวข้อกำหนดคำขึ้นต้นบทมาให้ เดิมทีข้าจะลองให้ท่านลองแต่งดูก่อน แต่…”จากเหตุการณ์เมื่อวานเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ไม่แปลกใจที่สองปีก่อนเสิ่นจิ้งเฟยสอบไม่ผ่าน

“ท่านลองดูเถอะ”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาอ่านคัมภีร์กวีมาหลายวัน ย่อมเข้าใจหมดแล้ว ถึงเขาจะหัวช้าแต่ก็ไม่ได้โง่จนแต่งกลอนไม่เป็นเสียหน่อย แค่อาจจะไม่ไพเราะอย่างนักกวีเท่านั้น ไป๋ผูอวี้มองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเขียนอักษรลงบนกระดาษด้วยลายมือบรรจง จื่อฟางมองคำว่า‘ลูกไหน’ด้วยสายตาทึมทื่อ ไป๋ผูอวี้จะให้เขาเขียนอะไรจากคำนี้เล่า จางต้าที่กำลังฝนหมึกให้เสิ่นจิ้งเฟยลอบมองอย่างกังวล กลัวว่าคุณชายของเขาจะโดนดูถูกอีก จื่อฟางจับพู่กันขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ลูกไหนก็คือลูกพลัม ว่าแต่เขาจะแต่งออกมาอย่างไรดี ไป๋ผูอวี้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยไม่ลงมือเขียนสักทีก็เคาะโต๊ะเบาๆ

“ท่านเขียนได้หรือไม่”

จื่อฟางไม่ตอบเพราะกำลังใช้ความคิด นึกถึงเพลงพื้นบ้านสมัยเด็กที่แม่เคยร้องคลอให้ฟังเวลาที่เขานอนไม่หลับ เป็นเพลงจังหวะสนุกกล่าวถึงผู้หญิงที่จีบผู้ชายก่อนและรอให้เขามาสู่ขอไม่ไหวแล้ว หญิงสาวก็เหมือนผลไม้ที่สุกงอมหากไม่กินตอนสุกก็จะเน่าไปเปล่าๆอีกนัยหนึ่งคือขึ้นคานนั่นเอง บางทีแม่ของเขาอาจเคยร้องให้พ่อฟัง จื่อฟางอมยิ้มคิดทบทวนอยู่ในหัวก่อนจรดพู่กันเขียนอย่างตั้งใจ จางต้าเห็นคุณชายเริ่มเขียนก็โล่งใจ ไป๋ผูอวี้รอจนน้ำชาเย็นชืดจึงเรียกเว่ยหลงเข้ามาเปลี่ยนน้ำชา

เว่ยหลงเข้ามาในห้องพร้อมกาน้ำชาร้อนๆและของว่างสองสามอย่าง เขาลอบมองเสิ่นจิ้งเฟยที่ตั้งหน้าตั้งตาเขียนกวี เขาไม่รู้หนังสือแต่เคยอยู่เป็นเพื่อนคุณชายในห้องเรียนจึงพออ่านคำสั้นๆอย่างลูกไหนได้ เห็นเสิ่นจิ้งเฟยเขียนอยู่สามบท ‘เจ้าเต่านี่ก็ยังพอใช้ได้อยู่บ้าง’

“เรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ตรวจดู”จื่อฟางพูดเสียงหยอกล้อ ไป๋ผูอวี้ทำหน้าตึงรับกระดาษที่เสิ่นจิ้งเฟยส่งให้มาอ่าน

ลูกไหนร่วงหล่น บนต้นเหลือเจ็ดส่วน ข้าเฝ้ารอท่าน โปรดอย่าพลาดยามดี   

ลูกไหนร่วงหล่น บนต้นเหลือสามส่วน ข้าเฝ้ารอท่าน บัดนี้ถึงเวลาแล้ว

ลูกไหนร่วงหล่น ข้าเก็บใส่ตะกร้า เฝ้ามองหาบุรุษ ขอเพียงท่านเอ่ยคำ

ไป๋ผูอวี้มีความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกอยู่ในใจ เขาเคยบอกว่าคุณชายเสิ่นผู้นี้คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากเปิดอ่าน ก่อนหน้านี้เขายังคิดอยู่เลยว่าเสิ่นจิ้งเฟยไร้ความสามารถ แต่ยามนี้คุณชายกลับแต่งกวีบทนี้ได้ แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็เหนือความคาดหมายของเขา ไป๋ผูอวี้ประเมินคุณชายเสิ่นไม่ออก เขาโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?บุรุษหนุ่มพบว่าตนเองพอใจไม่น้อย

“เป็นอย่างไร”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างกังวล เห็นไป๋ผูอวี้เงียบไปนานสองนานความมั่นใจของเขาก็ค่อยๆลดลง หรือเขาเขียนผิดเผลอใช้ตัวหนังสือปัจจุบันเขียนไป

“อืม..”ไป๋ผูอวี้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยมีสีหน้าใคร่รู้เหมือนเด็กจึงแกล้งตอบไปแค่นั้น

“อืม? หมายความว่าดีหรือไม่ดีเล่า”จื่อฟางซัก อยากได้คำชม แต่อีกฝ่ายกลับยกยิ้มไม่พูดไม่จา หึ จงใจกวนประสาทเขาสินะ เขานึกอยากเอาพู่กันปาใส่หน้าหมอนี่เหลือเกิน

แกร๊ง

แค่คิดเท่านั้น แต่มือของเขากลับไร้เรี่ยวแรง พู่กันในมือหล่นลงพื้น จื่อฟางมองมือขาวๆด้วยสายตาว้าวุ่นลองขยับมือก็พบว่าปลายนิ้วยังชาอยู่ มือของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้อีกแล้ว เขาคิดอย่างกังวลระหว่างที่ก้มเก็บพู่กัน แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ไป๋ผูอวี้ก้มมาเก็บพู่กันให้เช่นกัน จื่อฟางเก็บได้ก่อน ฝามือของชายหนุ่มจึงคว้าหมับเข้าที่มือของเขาแทน เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีโอกาสได้จ้องตาเหมือนในละคร ไป๋ผูอวี้ชักมือกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่จื่อฟางยังยกแขนไม่ขึ้น จางต้าเห็นคุณชายชะงักไปจึงรีบก้มเก็บพู่กันให้ด้วยความกังวล

“คุณชาย ท่านเป็นเช่นนี้อีกแล้ว”ครั้งนี้เขาปล่อยผ่านไม่ได้จริง ๆ หากกลับจวนเมื่อไรเขาจะรีบไปตามท่านหมอกู้มาตรวจคุณชายทันที จื่อฟางก็เริ่มคิดแล้วว่ามันไม่น่าใช่เรื่องปกติ ไป๋ผูอวี้มองสองนายบ่าวด้วยสายตาคมปลาบ

“ท่านเป็นอะไรหรือ”เขาเอ่ยถาม เห็นความกังวลอยู่ในแววตาของเสิ่นจิ้งเฟย 

“เปล่า”เขาพึมพำตอบ

“คุณชาย!แต่ท่านมีอาการมือไม้อ่อนมาได้สักพักแล้ว”จางต้าเอ่ยตอบอย่างไม่กลัวถูกลงโทษ

“ใครใช้ให้เจ้าพูด”คุณชายเสิ่นหันมามองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ขอข้าตรวจดูหน่อย”ไป๋ผูอวี้เอ่ย เขาเคยเรียนวิชาจับชีพจรแม้จะไม่เชี่ยวชาญเท่าซูเหลียนฮวาแต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง อีกอย่างเขาก็อยากรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นอะไร เห็นสีหน้าคุณชายซีดเผือดคล้ายไม่อยากให้ตนตรวจ

“ข้าไม่เป็นอะไร”จื่อฟางกลัวขึ้นมา เพิ่งคิดได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยรู้ตัวหรือไม่ว่าร่างกายผิดปกติ ช่วงก่อนที่จื่อฟางจะเข้ามาในร่างนี้เสิ่นจิ้งเฟยทำอะไรมาบ้างเขาไม่รู้เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวจะเผยพิรุธ

ไป๋ผูอวี้เพียงมองคุณชายเสิ่นด้วยสายตานิ่งสงบ “ข้าไม่ใช่หมอ เพียงตรวจดูเท่านั้น ท่านกลัวเป็นเด็กไปได้”เขาเอ่ยยิ้มๆ

“ใช้แล้วๆ แค่ให้คุณชายไป๋ตรวจดูเท่านั้น”จางต้ารีบส่งเสียงสนับสนุนเพราะรู้ถึงความดื้อด้านของเสิ่นจิ้งเฟยดีแม้จะไม่มั่นใจว่าไป๋ผูอวี้จะจับชีพจรได้แม่นยำ

“เจ้าเป็นบ่าวหรือเป็นเจ้านายข้ากันแน่”จื่อฟางรู้สึกว่าจางต้าพูดมากก็วันนี้ ไป๋ผูอวี้ไม่สนใจสองนายบ่าว เขาเคลื่อนไหวมาถึงตัวเสิ่นจิ้งเฟยอย่างรวดเร็ว จับข้อมือของอีกฝ่ายขึ้นมาถกชายเสื้อคลุมขึ้นเพื่อจับชีพจร จื่อฟางได้แต่มองตาโต

“แขนท่านเล็กเท่านี้ ข้าออกแรงเพียงนิดกระดูกก็หักแล้วกระมัง”ไป๋ผูอวี้เคาะแขนคุณชายเสิ่นเบาๆ น่าเสียดาย กระดูกของเจ้าเด็กนี่ไม่เหมาะจะเรียนวรยุทธ์ แค่นึกอยากให้เสิ่นจิ้งเฟยมีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่านี้ จื่อฟางมองไป๋ผูอวี้จับชีพจรของตนเงียบๆ กังวลว่าร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นโรคร้ายแรงที่การแพทย์ในยุคโบราณตรวจไม่เจอ เท่าที่เขาเคยอ่านมาอาการอ่อนแรงส่วนมากก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทยิ่งทำให้เขารู้สึกร้อนๆหนาวๆ

“…”แม้ไป๋ผูอวี้จะตรวจด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจกลับเกิดคำถามขึ้นมากมาย ทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับเส้นชีพจรของเสิ่นจิ้งเฟยเขาก็รับรู้ทันทีว่ามีสิ่งไม่ถูกต้อง จุดชีพจรของคุณชายเสิ่นยุ่งเหยิงผิดปกติ ตามตำราแพทย์เรียกว่าชีพจรโก๋ยเสาะ อีกทั้งพลังลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างก็ติดขัด

‘เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้’ ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วเขาเคยฝึกยุทธ์จึงรู้ว่าลมปราณของเสิ่นจิ้งเฟยยังไม่กล้าแข็ง เหมือนเพิ่งฝึกวิชาได้ไม่นานแต่เมื่อคิดดูก็ไม่แปลก ร่างกายของคุณชายเสิ่นบอบบางเดินลมปราณจะช่วยฟื้นฟูปรับสมดุลของร่างกาย แต่เหตุใดลมปราณในร่างถึงติดขัด

“ท่านฝึกวิชาลมปราณใดหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามอย่างสนใจ รู้สึกว่าชีพจรของเสิ่นจิ้งเฟยเต้นเร็วขึ้น ดูเหมือนคำถามของเขาจะทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนก

“เป็นวิชาลับ ข้าคงบอกไม่ได้”จื่อฟางได้แต่ตอบเอาตัวรอด ลมปราณ? เสิ่นจิ้งเฟยฝึกลมปราณด้วยหรือ เรื่องการฝึกลมปราณเขาเคยได้ยินมาบ้าง สมัยปัจจุบันก็ยังมีคนฝึกชี่กงเพื่อสุขภาพ แต่พลังลมปราณอย่างในหนังกำลังภายในคือเรื่องไร้สาระมีแต่ในนิยายเท่านั่น อ่า…แต่ที่นี่ก็คือโลกนิยายนี่นา อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ซักถามต่อ เขาแค่ไม่เข้าใจ จุดชีพจรและลมปราณของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับเคยถูกทำลายอย่างรุนแรงมาก่อน...แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง คุณชายเสิ่นคงพิการหรือไม่ก็ตายไปแล้ว ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือมีคนช่วยเขาได้ทันท่วงที แต่ถึงกับพยุงรักษาชีพจรและปราณแท้ที่ถูกทำลายไว้ได้คงเป็นสุดยอดฝีมือ ในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนกัน เขานึกไปถึงท่านผู้นั้นที่แตกฉานในศาสตร์หลายด้าน ท่านอาจารย์หย่งสือ อาจารย์ของเขาเอง แต่อาจารย์ออกเดินทางท่องเที่ยวไร้ข่าวคราวมาสามสี่ปีแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้และไม่น่ายุ่งเกี่ยวกับคนอย่างเสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชายไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”จางต้าเอ่ยถามเสียงลังเล เห็นบุรุษหนุ่มเงียบไปเป็นนาน เรื่องที่คุณชายเสิ่นฝึกลมปราณบ่าวคนสนิทเช่นเขายังไม่รู้ คุณชายเสิ่นมีความลับจริง ๆด้วย จางต้าแคลงใจสงสัยมานานแล้ว คุณชายมักใช้เวลาก่อนนอนเพียงลำพังเสมอ

“ร่างกายของท่านอ่อนแอเพราะเคยบาดเจ็บอย่างรุนแรงมาก่อน หมั่นเดินลมปราณสม่ำเสมอจะช่วยปรับร่างกายของท่านให้สมดุล”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ จื่อฟางรู้ดีว่าร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยบอบบางแค่ไหน แค่โดนหมัดของเว่ยหลงก็ช้ำไปหลายวัน หากบาดเจ็บรุนแรงจริงไม่ถึงตายเลยหรือ ไป๋ผูอวี้ตรวจผิดหรือเปล่า ดูเหมือนจางต้าก็คิดเช่นเดียวกับเขา

“คุณชายไป๋ตรวจผิดแล้วกระมัง คุณชายเสิ่นไม่เคยบาดเจ็บรุนแรงมาก่อน หากบอกว่าป่วยเป็นไข้หวัดยังน่าเชื่อมากกว่าอีก”จางต้าส่งเสียงแย้ง เมื่อปีกลายคุณชายเสิ่นเดินทางไปเยี่ยมบ้านเดิมของเสิ่นฮูหยินที่นอกเมือง แต่สภาพอากาศไม่ค่อยดีจึงต้องหยุดพักที่โรงเตี๊ยมข้างทาง คุณชายเกิดไม่สบายหนักจนต้องรอให้ไข้เบาถึงจะพากลับจวนได้ทั้งยังนอนซมอยู่เกือบอาทิตย์ หากบาดเจ็บร้ายแรงจริงจะปกปิดได้อย่างไร ท่านหมอกู้ก็มาตรวจร่างกายอยู่เสมอ

“ข้าคงตรวจผิดไปเองจริงๆ”ไป๋ผูอวี้ตอบ ปล่อยมือออกจากข้อมือของเสิ่นจิ้งเฟย เขาไม่ได้ตรวจผิดแน่นอน ถึงวิชาแพทย์ของเขาจะไม่ได้ล้ำลึก แต่ไป๋ผูอวี้มั่นใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยเคยบาดเจ็บหนักมาก่อน ลมปราณเป็นเช่นนั้นร่างกายจะเป็นปกติได้อย่างไร ผู้ใดกันที่ช่วยเขาไว้ ที่เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยากให้เขาตรวจชีพจรก็คงเพราะอยากเก็บเป็นความลับ?หรือมีเรื่องใดที่ไม่ต้องการบอก แต่เพราะเหตุใดเล่า แม้แต่บ่าวใช้คนสนิทก็ยังไม่รู้ ไป๋ผูอวี้จึงคิดว่าน่าสนใจแต่ตอนนี้ซักถามไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงแสร้งทำทีปล่อยผ่าน

จื่อฟางผ่อนลมหายใจพยายามไม่แสดงพิรุธใดออกมา แต่สายตาของไป๋ผูอวี้ราวกับเข็มแหลม เขาจึงหาทางเบี่ยงประเด็น “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ช่วงนี้แค่อ่านตำราดึกเกินไปเท่านั้น”เขาพูดเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าโกหก ช่วงนี้เขาหักโหมอ่านตำราเพราะอยากอ่านหนังสือให้คล่องเร็วๆ

จางต้าเม้มปากอย่างไม่สบายใจ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้อยู่กับคุณชายเสิ่นตลอด แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขารู้สึกมานานแล้วว่าคุณชายเหมือนอยู่ตรงหน้าแต่กลับห่างไกล ไม่เรียกใช้จางต้าอย่างแต่ก่อน บ่อยครั้งที่คุณชายเสิ่นออกไปเที่ยวกับพวกหลี่ฮุ่ยจือแต่ไม่ได้พาตนไปด้วย ยามไปหอผูเยว่ก็ไล่เขากลับจวนบ่อยครั้ง ยิ่งพักหลังคุณชายเสิ่นยิ่งชอบอยู่คนเดียวเป็นพิเศษ เขาติดตามคุณชายมาตั้งแต่เด็กจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ลึกๆ แต่จางต้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ควรเจียมตัวถึงจะถูก ตั้งแต่มีหยางชวีมาติดตาม คุณชายก็ออกไปไหนตามใจชอบไม่ได้อีก คงเป็นคำสั่งของนายท่าน

“ข้าขอชี้แนะท่านสักเล็กน้อย ท่านเองก็รู้ว่าร่างกายแต่งต่างจากผู้อื่น หากฝึกวิชาลมปราณก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ อย่าคิดละเลยเด็ดขาด”ไป๋ผูอวี้รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง ดูเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยจะหยุดเดินลมปราณระยะหนึ่งแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ทำเช่นนี้ร่างกายก็ยิ่งอ่อนแอ เขาอยากจะสั่งสอนเจ้าเด็กนี่อีกหลายประโยค แต่ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนจึงปรับสีหน้าให้เรียบเฉยตามเดิม จื่อฟางนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นแววกังวลพาดผ่านใบหน้าของไป๋ผูอวี้แม้จะแค่ครู่เดียวก็ตาม

“เจ้าเป็นห่วงด้วยหรือ”เขายกชาดื่ม อาการว้าวุ่นในใจสงบลงแล้ว ไป๋ผูอวี้ไม่ตอบเช่นเคยแต่กลับถามเรื่องอื่นแทน

“ผู้ใดเป็นผู้สอนท่านฝึกวิชาลมปราณ”ไป๋ผูอวี้ยังติดใจไม่หาย คนที่แนะนำให้เสิ่นจิ้งเฟยฝึกวิชาลมปราณทำถูกแล้ว ร่างกายของคุณชายเสิ่นในเวลานี้ ยังต้องปรับสมดุลฟื้นฟูอีกนาน เขาไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะรักษาชีพจรและลมปราณที่ผิดปกติให้กลับมาดั่งเดิมได้

“เรื่องนี้ก็เป็นความลับเช่นกัน”จื่อฟางเอ่ยลื่นไหล ปั้นหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่าสมจริงหรือไม่

ไป๋ผูอวี้จึงไม่เอ่ยซักต่อ “ไว้ข้าจะส่งยาสมุนไพรไปให้ท่านก็แล้วกัน”

“ขอบคุณมาก”จื่อฟางหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “หากเป็นก่อนหน้านี้ เจ้าจะยอมช่วยข้าหรือไม่”หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยคุณชายไม่เอาไหนคนนั้น ไป๋ผูอวี้จะทำอย่างไร

บุรุษหนุ่มตอบโดยไม่หยุดคิด “แม้ตอนนั้นข้าจะรำคาญท่าน แต่ก็ไม่ได้เกลียดจนอยากเห็นท่านตายเสียเมื่อไหร่”เจ้าออกจะน่าสงสาร ไป๋ผูอวี้นึกในใจ เมื่อครั้งที่ย้ายมาฉางอันใหม่ๆ เขาได้ยินชื่อของคุณชายเสิ่นทุกวัน ได้ยินเรื่องที่เขามีใบหน้างดงามบรรเลงกู่เจิงได้ไพเราะ ได้ยินเรื่องที่เสิ่นมู่หยางเอ็นดูเสิ่นจิ้งเฟยเพราะมีใบหน้างดงามเหมือนภรรยาที่จากไป หรือเรื่องที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกทิ้งให้อยู่ในจวนอันเงียบเหงากับบ่าวไพร่ เสิ่นมู่หยางเลี้ยงดูบุตรอย่างไรกันแน่? 

ตอนนั้นไป๋ผูอวี้รู้สึกเห็นใจคุณชายเสิ่น เพราะเข้าใจว่าการสูญเสียมารดาเป็นเช่นไร จนกระทั่งได้มาเจอตัวจริงที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ จึงได้รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยคือเด็กนิสัยเสียน่ารำคาญคนหนึ่ง นับจากนั้นมาคุณชายรูปงามก็ชอบแวะมาที่โรงน้ำชาบ่อยๆ มาหาเรื่องเว่ยหลงและเด็กในร้าน ผ่านไปหลายปีก็ยังแวะมาเช่นเดิม ไป๋ผูอวี้คิดว่าคุณชายเสิ่นผู้นี้อาจจะเบื่อไม่มีสหายเล่นกระมัง

จื่อฟางได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายก็อมยิ้มน้อย ๆ ดีใจแทนเสิ่นจิ้งเฟย เจ้าบ้าเอ๋ย พลาดมิตรสหายดีๆแล้ว ไปคบค้ากับพวกหลี่ฮุ่ยจือได้อย่างไร!

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 15-02-2018 10:39:32
 “ท่านยิ้มอะไร”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม คิดว่ารอยยิ้มของเสิ่นจิ้งเฟยน่ามองแต่ก็ดูขัดตา

“เปล่าแค่คิดว่าเจ้าเป็นคนดีจริงๆ”จื่อฟางไม่ได้แสร้งพูด แต่ไป๋ผูอวี้ทำสีหน้าคล้ายไม่เชื่อ

“ตกลงว่าบทกวีของข้าเป็นอย่างไร”เขาวกกลับมาสนใจเรื่องบทกวีอีกครั้ง

“ใช้ได้”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้นๆเท่านี้ เขาจึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ทันใดนั้นมีเสียงพูดคุยดังอยู่นอกห้อง เป็นเสียงของเว่ยหลง หยางชวีและเสียงหวานหูที่เขาจำได้ในทันที ซูเหลียนฮวานางมารหมื่นพิษนั่นเอง

“เจ้าไม่ให้ข้าแวะไปหาคุณชายที่จวนก็พอเข้าใจ แต่คุณชายเสิ่นอยู่ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ ข้าเพียงอยากแวะมาหาเท่านั้น เจ้ายังจะขวางข้าอีกหรือ เสี่ยวชวี”เสียงของซูเหลียนฮวาดังแว่วเข้ามาคล้ายกับอยากให้คนในห้องได้ยิน

“เสี่ยวชวีหรือ เจ้ามีชื่อเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ฮ่าๆ”เสียงหัวเราะของเว่ยหลงดังกังวาน จื่อฟางนึกสีหน้าของหยางชวีออกจึงหัวเราะออกมา เจ้าคนหน้าตายนั่นต้องไม่ชอบใจแน่ เขาเลื่อนสายตามองไป๋ผูอวี้ แล้วคนนี้ล่ะ ควรมีชื่อเล่นว่าอะไรดี ชายหนุ่มคล้ายกับล่วงรู้ความคิดของเขา

“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเรียกข้าด้วยชื่อแปลกๆ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเนิบช้า

“คิดว่าข้าอยากเรียกหรือ”เจ้านี่ขัดเขาอีกแล้ว

“เว่ยหลง ให้นางเข้ามา”ไป๋ผูอวี้คล้ายรำคาญกับเสียงพูดคุยหยอกล้อด้านนอก พอเขาเอ่ยเสียงหัวเราะอย่างนางมารก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างแช่มช้อยของซูเหลียนฮวาจะแหวกม่านมุกเข้ามา วันนี้นางสวมชุดสีเหลืองอ่อนสบายตา มีผ้าคลุมปิดหน้าเผยให้เห็นดวงตาสุกใส นางพุ่งสายตามาทางจื่อฟางคนแรกก่อนจะหันมองไป๋ผูอวี้

“คุณชายทั้งสองไม่พบกันเสียนาน เสี่ยวฮวาคิดถึงยิ่งนัก”นางเอ่ยทักเสียงหวาน แสร้งยอบกายคาราวะด้วยกิริยางดงาม

“เจ้าว่างหรือถึงได้ออกมาจากหอผูเยว่ได้”ไป๋ผูอวี้ถามอย่างไม่อินังขังขอบ

“ข้าเพียงคิดถึงคุณชายเสิ่นเท่านั้น”นางตอบพร้อมกับส่งสายตาเย้ายวนมาให้เขา จื่อฟางยิ้ม ถึงแม้หญิงงามนางนี้จะอันตรายชอบปั่นหัวผู้อื่นแต่นางให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ในยุคสมัยที่เคร่งครัดหาได้ยากที่หญิงสาวจะทำตัวสบายๆเช่นนี้

“คุณชาย หากท่านว่างก็แวะมาพูดคุย ดีดพิณเล่นหมากล้อมกับข้าที่หอผูเยว่ได้เสมอ”นางเคลื่อนกายมานั่งอีกฝั่ง กลิ่นหอมจากเครื่องแต่งหน้าและถุงพกลอยอวลอยู่ในห้อง จางต้าแอบลอบมองหญิงงามที่เข้ามาในห้องด้วยสายตาตกตะลึง เขาไม่รู้จักนาง แต่นางเอ่ยถึงหอผูเยว่ก็แสดงว่าเป็นนางคณิกา หอผูเยว่มีหญิงงามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ แต่เหตุใดนางถึงออกมานอกหอได้ ท่าทางจะเป็นคนรู้จักของคุณชายไป๋ นางคล้ายจะสนใจคุณชายของเขาเป็นพิเศษ

“ช่วงนี้ข้าคงไม่มีเวลาเที่ยวเล่น น่าเสียดายนัก”จื่อฟางแสร้งเอ่ยเสียงเสียดาย ไป๋ผูอวี้นั่งมองด้วยสีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ทำตัวคล้ายเป็นเพียงอากาศในห้อง

“พัดไม้หอมของข้าถึงมือท่านหรือไม่”ซูเหลียนฮวาเอ่ยถาม กลัวว่าหยางชวีจะนำไปโยนทิ้ง นางจงใจเน้นคำว่าของข้าเป็นพิเศษ แย้มยิ้มเมื่อเห็นคุณชายไป๋ขมวดคิ้ว

“ได้รับแล้ว หากมีโอกาสข้าจะ…”จื่อฟางยังไม่ทันได้พูดจบ ไป๋ผูอวี้ก็กระแอมคล้ายมีอะไรติดคอ

“เจ้ามาก็ดี ศิษย์พี่อย่างข้ามีเรื่องขอให้ช่วย”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มหูกว่าทุกครา นางกล้าพูดว่าพัดไม้หอมเป็นของนางอีกหรือ แต่เขายกให้ซูเหลียนฮวาแล้วจะทำตัวเป็นคนใจแคบไม่ได้

จางต้ายืนกระสับกระส่าย เหตุใดในห้องถึงอุณหภูมิลดเช่นนี้

“ข้าเป็นเพียงหญิงต่ำต้อยไม่กล้านับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับคุณชายไป๋หรอกเจ้าค่ะ”เห็นนางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ไป๋ผูอวี้ได้แต่ถอนหายใจ เหตุใดซูเหลียนฮวาถึงได้ดูอารมณ์ดีนัก แต่ก่อนนางชอบแกล้งเว่ยหลง ดูท่านางจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขาแล้ว

“ท่านอยากให้ข้าช่วยเรื่องใดหรือ”ซูเหลียนฮวากลับมาสู่ท่วงท่าจริงจัง ถึงจะถามไปเช่นนั้น แต่ตอนที่อยู่ด้านนอกนางได้ยินคุณชายไป๋ตรวจชีพจรให้คุณชายเสิ่นแล้ว นางถึงได้อยากเข้ามาตรวจดูคุณชายผู้งดงามเสียหน่อย

‘หยางชวีเอ๋ย เจ้าทำหน้าที่อย่างไรถึงไม่รู้ว่าคุณชายป่วย ทั้งยังแอบฝึกวิชาลมปราณลับหลังเจ้าด้วย’ นางอยากรู้นักว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยของหยางชวีจะรู้สึกเช่นไรที่คุณชายเสิ่นไม่ไว้ใจตนเอง

“เจ้าช่วยตรวจชีพจรของเสิ่นจิ้งเฟยดูอีกทีเถอะ”ไป๋ผูอวี้มองซูเหลียนฮวาด้วยสายตาสื่อความนัย เขาอยากให้นางหาสาเหตที่แน่ชัดว่าเสิ่นจิ้งเฟยเคยบาดเจ็บร้ายแรงด้วยสาเหตุใด เขาทำได้แค่คาดเดา แต่ซูเหลียนฮวาเชี่ยวชาญกว่ามาก

จื่อฟางไม่คิดว่าจะถูกตรวจเป็นครั้งที่สองจึงเอ่ยแย้ง “ตรวจอีกหรือ พวกท่านใส่ใจสุขภาพของข้ามากไปแล้ว”

“ให้ข้าตรวจดูเถอะ คุณชายเสิ่น”ซูเหลียนฮวาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาทอประกายมุ่งมั่น

“เอ่อ คุณชาย…”จางต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ซูเหลียนฮวาเป็นเพียงหญิงคณิกาจะมาจับตรวจชีพจรได้อย่างไร

“นางเก่ง…”จื่อฟางเอ่ยเบาๆ จำได้ว่านางมีฝีมือด้านฝังเข็มสกัดจุดใช้พิษและมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลานโจว เขาจึงพับชายเสื้อคลุมยื่นแขนขวาไปให้จับชีพจร ซูเหลียนฮวาส่งยิ้มให้เขาก่อนกลับสู่มาดจริงจัง นางหลับตาจับชีพจรให้คุณชายรูปงามอยู่นานหลายนาที คิ้วเรียวโก่งขมวดมุ่น

นางรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีร่างกายบอบบางแต่ไม่คิดว่าภายในจะอ่อนแอเช่นนี้ จุดชีพจรและลมปราณของเขาผิดปกติทำให้ร่างกายขาดสมดุล ส่วนต้นเหตุนางรู้ดีเพราะเคยเจอมานักต่อนัก แต่ส่วนมากที่นางเจอมักจะไม่รอด กรณีของเสิ่นจิ้งเฟยจึงแปลกมาก คุณชายเสิ่นเคยถูกพิษมาก่อน นางไม่รู้ว่าคุณชายเสิ่นถูกพิษชนิดใด แต่จากเส้นชีพจรและปราณที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นพิษรุนแรง ถึงแม้พิษจะไม่เหลืออยู่ในร่างกายแล้วก็ตามแต่ผลข้างเคียงค่อนข้างหนักหนา คนที่ช่วยชีวิตเสิ่นจิ้งเฟยได้ต้องเป็นสุดยอดฝีมือ แม้ว่าร่างกายจะไม่ปกติ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางรักษาให้ดีขึ้น แต่วิธีค่อนข้างจะยากสำหรับคนที่ร่างกายอ่อนแออย่างเสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชาย อาการอ่อนแรงที่เกิดขึ้น ท่านคงรู้ดีกว่าข้าว่ามาจากสาเหตุใด ข้าจะไม่ซักถามให้ท่านลำบากใจ เพียงแค่อยากบอกคุณชายว่าอย่าได้ท้อ อาการที่เกิดกับท่านใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา”ซูเหลียนฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงจะพูดเช่นนี้แต่ก็ทำได้แค่รักษาให้ดีขึ้นไม่มีทางหายขาด ไป๋ผูอวี้จิบชานั่งฟังอยู่เงียบๆเห็นสีหน้าของนางก็เบาใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่ตายง่ายๆแน่

“อย่างไรหรือ”จื่อฟางเอ่ยถาม เก็บงำสีหน้าสงสัยไว้ไม่อยู่ ถึงจะยังงงว่าเสิ่นจิ้งเฟยป่วยเป็นอะไรก็ตาม

“เปิดจุดทั่วร่าง ใช้กำลังภายในทะลวงจุดชีพจรเพื่อปรับสมดุลให้ลมปราณไหลเวียนเป็นปกติ แต่ในเวลานี้ิร่างกายของท่านไม่อาจรับได้ ท่านจึงจำเป็นต้องฝึกวิชาลมปราณให้กล้าแข็งก่อน ร่างกายท่านไม่เหมือนคนทั่วไปเกรงว่าจะกินเวลานานหลายปี คุณชายเสิ่น ข้าเข้าใจหากท่านจะท้อใจจนปล่อยปละละเลย ความตายง่ายกว่ามีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ท่านควรคิดถึงคนข้างหลัง….”ซูเหลียนฮวาเอ่ยเสียงเศร้าหมอง นางตรวจพบว่าธาตุไฟในร่างของคุณชายเสิ่นมีมาก แสดงว่าไม่ได้ดื่มยาสมุนไพรบำรุง และไม่ได้โคจรลมปราณอย่างสม่ำเสมอจนทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอ

“ท่าน…ว่าอะไรนะ”จื่อฟางมึนงงคล้ายฟังไม่ทัน เหตุใดนางพูดเหมือนกับว่าเขาอยากตายเสียอย่างนั้น จื่อฟางปวดขมับจี๊ดๆขึ้นมาทันที

“นางกลัวว่าท่านจะยอมแพ้ไม่รักษาต่อแล้วเลือกความตายแทน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงนิ่ง แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่านางแค่แกล้งพูดให้เศร้าไปอย่างนั้น อาการของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ร้ายแรงใกล้ตาย แค่ต้องดื่มยาบำรุงฝึกลมปราณไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง

“ตาย? ข้าจะอยากตายไปทำไม”เขาพลันเข้าใจ รู้สึกอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆกัน แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว!

“แล้วเหตุใดท่านจึงปล่อยร่างกายให้เป็นเช่นนี้เล่า”ซูเหลียนฮวามองตนด้วยสายตาปั้นปึ่งก่อนยื่นมือขาวเนียนมากดบริเวณแขนของเขาอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ยย”จื่อฟางปวดแปลบขึ้นมาทันที จางต้าได้ยินซูเหลียนฮวาเอ่ยเช่นนี้ก็ตื่นตระหนก

“คุณชายท่านจะคิดสั้นอยากตายไม่ได้นะขอรับ ข้าน้อย…ข้าน้อยจะหาหมอมารักษาท่านเอง หากนายท่านรู้เรื่อง…”พูดถึงตรงนี้เสิ่นจิ้งเฟยก็รีบโบกมือบอกให้เขาเงียบ จางต้าพลันเข้าใจ คุณชายคิดปกปิดเรื่องนี้ไว้

“เจ้าไม่ต้องห่วง ใช่ว่าข้าใกล้ตายเสียเมื่อไหร่”จื่อฟางพูดเสียงชื่นมื่นไม่อยากให้จางต้ากังวลจนเกินไป ได้แต่ส่งสายตาไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกเสิ่นมู่หยาง ยังมีหยางชวีที่อยู่ด้านนอกคงได้ยินหมดแล้วกระมัง

“คุณชายเสิ่น…”จางต้ามีคำถามมากมายแต่ก็รีบยั้งตัวเองไว้ หากถามออกไปคุณชายก็ไม่คิดบอกอยู่ดี ไม่เช่นนั้นคงไม่ปกปิดเรื่องอาการป่วยไว้ ไยต้องเก็บเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไว้กับตัวด้วย จางต้าคิดแล้วไม่เข้าใจ

ไป๋ผูอวี้มองเสิ่นจิ้งเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายซูเหลียนฮวาแล้วถอนหายใจ ซูเหลียนฮวาเป็นหญิงงาม แต่ใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยยังสามารถเทียบเคียงได้ บุรุษเช่นนี้นางชอบตรงที่ใดกัน เขานึกถึงฉินเซียงอิน เมื่อไม่นานมานี้ตนเคยถามนางว่าเหตุใดถึงไม่ชอบเสิ่นจิ้งเฟย นางตอบเพียงว่าไม่ชอบบุรุษที่มีใบหน้างดงาม บุรุษหนุ่มนึกถึงนางแล้วก็หนักใจอยู่บ้าง

ซูเหลียนฮวาส่งสายตาลึกลับไปให้คุณชายไป๋ก่อนก้มอ่านบทกวีที่เสิ่นจิ้งเฟยแต่งไว้ นางอ่านจบนัยน์ตาก็เป็นประกายซุกซน

“ลูกไหนหล่นจากต้น… คุณชายไป๋สนใจเก็บไหมเล่า”นางเอ่ยหยอกล้อ มุมปากยกเป็นรอยยิ้ม จื่อฟางส่งเสียงไอ ซูเหลียนฮวาพูดอะไรของนาง! 

“ข้าไม่ชอบลูกไหน”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงเรียบ สีหน้ายังคงเดิม หญิงสาวหัวเราะ ให้นางจับชีพจรของคุณชายเสิ่นไม่ใช่ว่าสนใจหรือ คุณชายไป๋ยังคงเหมือนเดิมจริงๆ

“อย่าให้ข้าเห็นท่านแอบกินก็แล้วกัน”ซูเหลียนฮวาพึมพำเบาๆให้คุณชายไป๋ได้ยิน ชายหนุ่มส่งสายตาปรามรู้สึกว่านางสนุกมากเกินไปแล้ว

“แล้วคุณชายเสิ่นชอบหรือไม่”นางหันมาทางจื่อฟาง  ดวงตาเป็นประกายมีชีวิตชีวา เด็กหนุ่มปรายตามองไป๋ผูอวี้ที่เหมือนไม่อยากร่วมวงสนทนา

“ข้าชอบแบบตากแห้ง”จื่อฟางได้แต่ตอบไปเช่นนั้น

“แสดงว่าข้ากับท่านใจตรงกัน หากมีโอกาสข้าจะพาท่านไปเก็บลูกไหน”นางเอ่ยอยากไม่ติดขัด รู้สึกขบขันที่ไป๋ผูอวี้ทำหน้าเหมือนอยากเข้ามาพูดสั่งสอนนาง จางต้าได้แต่ทำหูทวนลม เห็นคุณชายเสิ่นทำท่ากระอักกระอ่วนก็แปลกใจ คุณชายท่านแสดงละครอีกแล้วหรือ!

ซูเหลียนฮวาเห็นเสิ่นจิ้งเฟยทำหน้าไม่ถูกรอยยิ้มก็กว้างขึ้น ไม่ใช่ว่าคุณชายชอบหญิงใจกล้าหรือ นางเคยได้ยินแม่นางน้อยในหอผูเยว่จับกลุ่มคุยเรื่องบนเตียงของเสิ่นจิ้งเฟยบ่อยๆ นางไม่แปลกใจที่คุณชายเสิ่นจะชอบคุณหนูฉิน แต่ความงามของนางมองแล้วน่าเบื่อไปหน่อย คุณชายเสิ่นยังน่ามองกว่า ไม่รู้ว่าคุณชายไป๋จะคิดเช่นเดียวกันหรือไม่ เอาไว้ค่อยแกล้งเล่นคราวหลังก็แล้วกัน

จื่อฟางเหงื่อตกสังหรณ์ใจว่านางคิดเรื่องแปลกๆอยู่แน่ ในห้องจึงเกิดบรรยากาศแปลกประหลาด จนกระทั่งมีเสียงพูดคุยดังหึ่งๆอยู่ด้านนอก ไป๋ผูอวี้ขมวดเมื่อเว่ยหลงพรวดพราดเข้ามารายงาน   

“คุณชายไป๋ ด้านนอกมีมือปราบแซ่อู๋มาตรวจค้นโรงน้ำชาขอรับ”เว่ยหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก

“ตรวจค้นหรือ เกิดอะไรขึ้น”ไป๋ผูอวี้ยืนขึ้นทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด จื่อฟางเริ่มสนใจ 

“ดูเหมือนพวกเขาจะมาหาเบาะแสจับโจรขอรับ”

“โจร?”ไป๋ผูอวี้ถามเสียงงุนงง ไม่รอช้าก้าวออกไปนอกห้องทันที จื่อฟางอยากออกไปดูด้วยจึงขยับตัวลุก

“ท่านอยู่ด้านในดีกว่า”ซูเหลียนฮวาเอ่ย ที่ด้านนอกยังมีหยางชวี รู้สึกพอใจที่เจ้านั่นถูกทิ้งให้ไม่รู้เรื่องใดเลย

“ข้าอยากออกไปดูเรื่องสนุก”จื่อฟางไม่อยากพลาดจึงลุกออกไปด้านนอก จางต้าไม่อยากให้คุณชายเข้าไปยุ่งเกี่ยว จึงได้แต่เดินตามด้วยสีหน้าว้าวุ่น หยางชวียืนอยู่นอกห้องดื่มชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ไม่ใช่เพราะมีมือปราบมาตามจับโจร แต่เป็นเรื่องที่ตนได้ยินจากด้านในต่างหาก คุณชายเสิ่นป่วยแต่เก็บเรื่องนี้ไม่บอกนายท่านใหญ่ คุณชายคิดสิ่งใดอยู่ หยางชวีไม่คิดว่าตนจะมีอารมณ์โกรธมากเท่านี้ เป็นอารมณ์ขุ่นเคืองของเขาเอง

ผู้ติดตามยอมรับว่าหงุดหงิดที่คุณชายไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ลมปราณของเขาแข็งแกร่ง เรื่องเดินลมปราณหากคุณชายขอให้เขาช่วยไยจะไม่ได้ หยางชวีทำงานรับใช้คุณชายมาเกือบสองเดือน เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ไว้ใจตนอีกหรือ ความคิดนี้ทำให้เขาไม่สบายใจนัก

จื่อฟางออกมาด้านนอกก็เจอกับหยางชวีที่ยืนหน้าเรียบเฉยรออยู่ ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วท่าทางเหมือนกำลังโกรธ

“คุณชาย ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”หยางชวีก้าวมาขวางไม่รอให้คุณชายได้ลงไปชั้นล่าง จื่อฟางขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกหยางชวีทำท่าทางคุกคามใส่

“ว่ามา”เขาเองก็มีเรื่องจะคุยเช่นกัน

“ท่านป่วยเป็นอะไรกันแน่”ชายหนุ่มกระซิบถาม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“ข้าไม่บอก”จื่อฟางตอบเสียงเข้มเพราะตนก็ยังไม่รู้แน่ชัด อีกทั้งเขาไม่โง่บอกเรื่องสำคัญกับคนที่ทำงานให้เสิ่นมู่หยาง เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเก็บงำเรื่องนี้มาตั้งนานแสดงว่าต้องมีเหตุผลและเขาจะเก็บต่อไป


“ท่าน…”หยางชวีเหมือนอยากเข้ามาบีบคอจื่อฟางอย่างไรอย่างนั้น เจ้าตัวสูดลมหายใจก่อนกลับมามีท่าทีสงบตามเดิม

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากนายท่านรู้เข้า…”

“พอได้แล้ว ข้าจะพูดสั้นๆ ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อเด็ดขาด!ไม่อย่างนั้น…”จื่อฟางชะงักไปไม่รู้ว่าจะนำขออ้างไหนมาข่มขู่อีกฝ่าย หยางชวีเลิกคิ้วรอฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่ทำให้เขาอยากต่อยสักหนึ่งที

“ข้าจะให้ซูเหลียนฮวาไปจัดการเจ้า”เขากระซิบ หยางชวีมองคุณชายเสิ่นอย่างอ่อนใจ

“คุณชาย เรื่องนี้ข้าช่วยท่านไม่ได้จริงๆ”เขาก็มีหน้าที่ของตนเอง คุณชายเสิ่นไม่เข้าใจหรือ

“ก็ดี ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าไว้ใจไม่ได้ เจ้าไม่ต่างอะไรกับพวกบ่าวไพร่ในจวนสักนิด อยากทำอะไรก็เชิญเถอะ”จื่อฟางรู้ว่าหยางชวีพูดคำไหนคำนั้น ทั้งยังเคารพเสิ่นมู่หยางมากกว่าตัวเขา จะพูดอย่างไรก็คงไร้ประโยชน์ เขาหมุนตัวจากไปพยักหน้าเรียกจางต้าลงไปชั้นล่างด้วยจิตใจว้าวุ่น 

“คุณชาย…”จางต้าเอ่ยเรียกรู้สึกเป็นห่วง

“เจ้าเลือกเอาว่าจะเป็นแค่บ่าวรับใช้หรือมิตรข้า”จื่อฟางถามเสียงแข็ง จะว่าไปแล้วคนรอบตัวของเสิ่นจิ้งเฟยมีผู้ใดไว้ใจได้บ้าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าน้อยจะไม่บอกนายท่านเด็ดขาดขอรับ ขอแค่คุณชายไว้ใจข้าน้อยก็พอแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าเป็นสหายของคุณชาย…”จางต้าพูดไม่ออก จะไม่ทำตัวน่าขายหน้าต่อหน้าคุณชายอีก จื่อฟางเห็นอีกฝ่ายตาแดงเหมือนจะร้องไห้ก็ยกมือตบบ่าเบาๆ

“ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

ชั้นแรกเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน ช่วงสายๆเป็นช่วงที่คนแน่นร้านอยู่แล้ว แต่เวลานี้มีคนมาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่งก็ยิ่งแน่นขนัด เป็นมือปราบตำแหน่งซื่อจี้ทำหน้าที่ลาดตระเวนจับโจรแซ่อู๋นายหนึ่ง เขานำทหารชั้นผู้น้อยอีกสี่คนยืนอออยู่กลางโถงด้วยท่าทางอวดเบ่ง ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนในร้าน ต่างก้สงสัยเหมือนๆกันว่ามาตามจับโจรแล้วเหตุใดต้องมาที่โรงน้ำชา

จื่อฟางลงมาก็เห็นไป๋อู่เหยียนและไป๋ผูอวี้กำลังพูดคุยกับมือปราบรูปร่างใหญ่ด้วยสีหน้าจริงจัง การปรากฏตัวของเขาเรียกสายตาของคนในโรงน้ำชาได้ดี จื่อฟางรู้สึกอึดอัดที่สายตาเกือบทั้งหมดพุ่งตรงมาที่ตนเองคล้ายกับสปอร์ตไลท์

‘มองอะไรกันไม่เคยเห็นเสิ่นจิ้งเฟยหรือไร’

จื่อฟางได้แต่บ่นอยู่ในใจ รู้สึกเสียวสันหลังวาบ สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ร่างของตนราวกับอยากฉีกเสื้อผ้าออก เขาไม่ได้คิดไปเอง สายตาเช่นนี้เคยเจอมาก่อนในผับบาร์ แต่ไม่คิดว่าจะเจอในโรงน้ำชายามสาย เขากวาดตามองหา ก็พบว่าเป็นสายตาของคุณชายท่าทางสูงศักดิ์ที่โต๊ะด้านในนั่นเอง เขาเริ่มเครียด หรือเป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟย เป็นไปไม่ได้ อายุห่างกันเกินไป แววตาดำลึกของชายหนุ่มอ่านไม่ออก ประกายในดวงตาทำให้จื่อฟางไม่สบายใจ เขาจึงเบนสายตากลับไปมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า มองเห็นนายทหารคนหนึ่งถือแผ่นกระดาษหลายแผ่น คล้ายเป็นภาพวาดหมึกดำ

“ได้ยินว่าท่านมาตามหาเบาะแสโจร ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ รู้สึกไม่พอใจที่คนพวกนี้เข้ามาในร้านด้วยท่าทางวางอำนาจจนทำให้ผู้คนตกใจ

“มีคนแจ้งมาว่าเคยเห็นชายคนนี้มาขอขนมที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยๆ”มือปราบอู๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเล็กน้อยก่อนจะส่งภาพวาดขาวดำให้ไป๋ผูอวี้ดู ถึงแม้สกุลไป๋จะไม่มียศตำแหน่ง แต่ก็เป็นคหบดีที่ร่ำรวยสกุลหนึ่ง เขาจึงไว้หน้าอยู่หลายส่วน ไป๋ผูอวี้กวาดตามองภาพวาดอยู่นาน ภาพถูกวาดอย่างลวกๆ ทำให้มองออกยากว่าเป็นผู้ใด แต่เขาจำลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของชายคนนี้ได้ บวกกับข้อมูลที่ได้รับเขาจึงรู้ว่าโจรที่มือปราบอู๋เอ่ยถึงคือขอทานคนหนึ่งที่เคยมาขอขนมและน้ำชาที่นี่บ่อยๆ

“ข้าเกรงว่าจะช่วยอะไรท่านไม่ได้ โจรที่ท่านตามหาไม่ได้มาที่โรงน้ำชาระยะหนึ่งแล้ว”ไป๋ผูอวี้ตอบ แม้จะแปลกใจว่าชายขอทานผอมแห้งคนนั้นจะกลายเป็นโจรไปได้อย่างไร แต่เขาก็เก็บงำสีหน้าสงสัยไว้ มือปราบอู๋รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

“หากพวกท่านพบเห็นเขา โปรดแจ้งทางการด้วย”เขาไล่สายตาไปเจอคุณชายเสิ่นกับบ่าวรับใช้ ก็ลอบแปลกใจ ดูท่าข่าวลือในตลาดที่บอกว่าคุณชายไป๋ช่วยสอนหนังสือให้คุณชายใบหน้างามผู้นี้จะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

จื่อฟางเดินเอื่อย ๆเข้าไปขอรูปวาดจากทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งมาดู ผู้คนในร้านมองตามการก้าวย่างของคุณชายรูปงาม สงสัยว่าเขาจะทำเรื่องใด ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว เสิ่นจิ้งเฟยคงไม่ได้คิดก่อกวนอีกหรอกนะ เกิดเรื่องทีไรต้องเป็นที่โรงน้ำชาของเขาทุกที

มือปราบอู๋มองคุณชายเสิ่นอย่างไม่เข้าใจ“คุณชายเคยเห็นเขาหรือ”เขาถามเสียงประจบประแจง เว่ยหลงแค่นเสียงหึอยู่ในใจ ทำอย่างกับสุนัขเห็นกระดูก

จื่อฟางขมวดคิ้วกวาดตามองภาพวาดน่าเกลียดตรงหน้า “นี่เรียกว่าภาพวาดได้หรือ”รอยยิ้มประจบบนหน้าของอู๋โจวสือกระตุก

“คุณชาย นี่เป็นเบาะแสเดียวที่เรามี…”หากท่านไม่คิดช่วยอะไรก็อย่ามายุ่ง อู๋โจวสือคิดอย่างเผ็ดร้อน คุณชายเสิ่นไยต้องก่อกวนการทำงานของผู้อื่นด้วย

“เบาะแสเดียว? เกรงว่าชาตินี้พวกท่านก็จับโจรไม่ได้หรอก ข้ามองมุมไหนก็ไม่เห็นเป็นภาพคน”จื่อฟางวิจารณ์ เขาพูดความจริง ภาพวาดมองไม่ออกเลยว่าตามจับใคร ยกเว้นจมูกยาวๆทำให้เขานึกถึงพิน็อคคิโอ เว่ยหลงกลั้นอารมณ์อยากหัวเราะเอาไว้อย่างยากลำบาก น้อยครั้งนักที่คุณชายผู้นี้จะพูดจาเข้าหู

“คุณชายเสิ่น…”หยางชวีส่งเสียงปราม บุรุษหนุ่มตามลงมาได้สักพักแล้ว มือปราบอู๋ข่มอารมณ์โกรธอยู่ในใจ หากบิดาของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ขุนนางขั้นสองล่ะก็ เขาคงสั่งให้คนลากคุณชายผอมบางแรงน้อยไปทุบตีจนแบนแล้ว

“ข้าแค่เพียงอยากช่วยเท่านั้น”ผู้คนในโรงน้ำชาทำสีหน้าพิกล เมื่อได้ยินเสิ่นจิ้งเฟยพูด นี่เรียกว่าช่วยหรือ? ฃ

คุณชายสูงศักดิ์มองเหตุการณ์ด้วยความสนใจ อยากรู้ว่าบุตรของเสนาบดีเสิ่นผู้นี้จะทำสิ่งใดอีกให้เขาแปลกใจอีก

“บุตรชายเป็นเช่นนี้ เสนาบดีเสิ่นคงปวดหัวน่าดู”ชายร่วมโต๊ะเอ่ยเบาๆ แววตาไม่ใคร่จะชอบคุณชายไม่เอาไหนเช่นนี้นัก

“เรากลับคิดว่าน่าสนใจ พวกท่านไม่คิดหรือว่าเขาดูแปลกไปจากคราวก่อนมาก เราอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ”คุณชายสูงศักดิ์เอ่ยเสียงราบเรียบแต่กระแสความพอใจนั้นปิดไม่มิด ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนไม่ได้เอ่ยสิ่งใด พวกเขาชินกับความคิดแปลกๆของคนผู้นี้แล้ว จึงได้แต่ก้มหน้ารับฟัง

หยางชวีเข้ามาประชิดตัวคุณชาย กระซิบพูดเสียงเบา “ข้าไม่อยากให้ท่านก่อเรื่อง ครั้งนี้นายท่านจะเสียหน้าไปด้วย”เขากวาดสายตามองภาพวาดในมือของคุณชาย ถึงแม้จะดูไม่ออกจริงอย่างที่คุณชายว่าแต่เขาก็จำจมูกงุ้มของชายในภาพได้

“นี่เป็นขอทานที่ชนท่านเมื่อเช้า”หยางชวีเอ่ย มองใบหน้าหมดจดของเสิ่นจิ้งเฟยเพื่อดูว่าคุณชายจำได้หรือไม่ จื่อฟางร้องอ้ออยู่ในใจ เจ้าคนตัวเหม็นสาบนั่นเอง เขามองภาพวาดตรงหน้าอยู่นาน หากหยางชวีไม่บอกเขาคงมองไม่ออก

“คุณชายเสิ่น เคยเห็นเขาหรือ”มือปราบอู๋ไม่รอช้าเอ่ยแทรก เขาต้องนำตัวเจ้าโจรในคราบขอทานผู้นี้มาให้ได้ มีบัณฑิตผู้หนึ่งต้องการจับชายผู้นี้ ค่าจ้างอย่างงามจนไม่สามารถปฏิเสธได้พวกเขาจึงแค่ทำตามเท่านั้น

“อืม เขาเดินชนข้าในตลาด ที่ข้าพูดว่าอยากช่วยคือเรื่องจริง ภาพวาดใบนี้มองอย่างไรก็ไม่เหมือนเขาสักนิด ข้าจะวาดใหม่เอง”จื่อฟางเอ่ยด้วยเสียงก้องกังวาน ถึงเวลาเขาออกโรงแล้ว จังหวะดีเสียด้วย ผู้คนในโรงน้ำชาเยอะเช่นนี้ก็ดี เขาจะได้แสดงให้เห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยก็มีดีเช่นกัน

“ท่านว่าอะไรนะ”มือปราบอู๋คิดว่าตนได้ยินผิดไปแน่ แต่จื่อฟางหันไปทางจางต้าแล้วสั่งให้เขานำหมึกและพู่กันออกมา

“คุณชายจะวาดจริงหรือ”หยางชวีไม่แน่ใจนัก เขารู้ว่าช่วงนี้คุณชายชอบวาดภาพ แต่เขายังไม่เคยเห็นเสิ่นจิ้งเฟยวาดคนมาก่อนจึงกลัวว่าจะเป็นการโม้เหม็นไปเสียเปล่าๆ

ซูเหลียนฮวานั่งอยู่ในห้องดื่มชาฟังเสียงจากด้านนอก เวลานี้นางไม่สะดวกออกไปเจอผู้คนจึงได้แต่เสียดายที่ไม่สามารถชมเรื่องสนุกได้ ไป๋ผูอวี้ไม่เคยเห็นเสิ่นจิ้งเฟยวาดภาพมาก่อน จึงคิดห้ามแต่บิดาของเขากลับส่ายหน้าไปมา

“รอดูเถอะ”ไป๋อู่เหยียนเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยมั่นใจมาก บนใบหน้างดงามมีรอยยิ้มสว่างไสวไม่เหมือนยามที่หาเรื่องแกล้งคนเล่น ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วแปลกใจที่ท่านพ่อของเขาเห็นดีเห็นงามให้เสิ่นจิ้งเฟยก่อเรื่องในโรงน้ำชา

“คุณชายเสิ่น ข้าไม่มีเวลามาล้อเล่นกับท่าน”มือปราบอู๋ตัดสินใจพูด เหตุใดไม่มีใครมาหยุดเรื่องไร้สาระนี่ เขามองไปรอบ ๆก็พบว่าชาวบ้านหลายคนมามุงดูอยู่หน้าร้านน้ำชาด้วยความสนใจ เรื่องที่เกี่ยวกับเสิ่นจิ้งเฟยพวกเขาสนใจเป็นพิเศษ

“วางใจเถิด ข้าไม่ได้ล้อเล่น ฝีมือวาดภาพของข้าไม่ด้อยกว่าผู้ใดแน่นอน”จื่อฟางไม่ได้โอ้อวดเกินจริง แต่เขานำเทคนิคการวาดภาพเหมือนในยุคปัจจุบันมาใช้ในโลกที่ยังไม่มีผู้ใดคิดทำ ได้แต่เสียดายที่ไม่มีสีน้ำมัน 

ผู้คนในโรงน้ำชาเริ่มส่งเสียงหัวเราะ บางคนก็รู้สึกคึกคักที่จะได้เห็นเรื่องสนุก เว่ยหลงก็เป็นหนึ่งในนั้น วันนี้จะได้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยขายหน้าอีกแล้ว ไป๋ผูอวี้รู้สึกปวดหัวขึ้นมา มองบิดาของตนที่ยืนดูด้วยสีหน้าสนุกก็ไม่กล้าก่นด่าผู้อื่นว่าไร้สาระอีก

‘เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าเห็นโรงน้ำชาสกุลไป๋เป็นพื้นที่อวดตัวไปแล้วหรือ’

“คุณชาย ข้านำหมึกและกระดาษมาแล้ว”จางต้ากลับมาพร้อมกับกระดาษซวนจื่อ พู่กันและจานหมึก แต่หาโต๊ะว่างไม่เจอจึงยืนโง่งมอยู่เช่นนั้น

“พี่สาวท่านนี้ ข้าขอยืมโต๊ะได้หรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามหญิงวัยประมาณยี่สิบปลายๆที่โต๊ะตัวใกล้สุด นางอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง แต่ก็ยอมให้จื่อฟางนั่งร่วมโต๊ะด้วย จางต้าวางกระดาษซวนจื่อลงตรงหน้า จื่อฟางจับพู่กันตั้งสมาธินึกถึงใบหน้าชายขอทานผู้นั้น ค่อนข้างเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะวาดภาพเหมือนได้ แต่ครั้งนี้แตกต่างจากคราวก่อน เขาวาดเสิ่นจิ้งเฟยเพราะเห็นหน้าทุกวัน แต่เขาเคยเห็นชายขอทานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ให้นึกจากความจำก็ยาก เขาจึงนำภาพวาดน่าเกลียดใบนั้นมาเป็นแบบร่าง

ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะปัดพู่กันเติมแต่งส่วนที่ควรวาด ชายขอทานแก้มตอบ จมูกงุ้ม จื่อฟางคล้ายจะลืมไปแล้วว่าดวงตาเป็นอย่างไร แต่หยางชวีมาช่วยบอก อาจจะไม่เหมือนตัวจริงเท่าไร แต่แค่เห็นจุดเด่นบนใบหน้าของโจรในคราบขอทานผู้นี้ก็ต้องจำได้แน่นอน เขาแต่งเติมอีกเล็กๆน้อยๆจึงเสร็จ

“นี่อย่างไร”จื่อฟางวางพู่กันโชว์ภาพเหมือนให้คนในโรงน้ำชาด้วยท่าทางภูมิใจ ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นชายในภาพ แต่แค่มองก็รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีฝีมือวาดรูปอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มยิ้มพอใจที่เห็นปฏิกิริยาของทุกคน จื่อฟางส่งภาพให้มือปราบอู๋ดู ฝ่ายนั้นรับภาพไปด้วยใบหน้าตะลึงงัน ไป๋ผูอวี้และหยางชวีเคยเห็นขอทานผู้นี้เมื่อเห็นฝีมือวาดภาพของเสิ่นจิ้งเฟยก็พูดไม่ออกไปครู่ใหญ่

‘คุณชายเสิ่นมีความสามารถถึงเพียงนี้เชียว’ ไป๋ผูอวี้มองจื่อฟางที่มีรอยยิ้มเต็มหน้าด้วยสายตาคาดไม่ถึง 


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 15-02-2018 10:41:01
 



 

มีเสียงปรบมือดังมาจากโต๊ะคุณชายสูงศักดิ์ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาปรากฏความพอใจ

“ฝีมือของน้องชายยอดเยี่ยมนัก ข้าไม่เคยเห็นการวาดเช่นนี้มาก่อน”คุณชายสูงศักดิ์เอ่ยชมจากใจจริง ไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นจะมีความสามารถอย่างอื่นซุกซ่อนอยู่ จื่อฟางได้แต่ก้มหน้ารับคำชม

“คุณชาย ขอบคุณท่านมากจริงๆ!”มือปราบอู๋เอ่ยเสียงดัง เขาม้วนภาพวาดเก็บไว้ราวกับเป็นสมบัติชิ้นสำคัญ

“ขออภัยที่รบกวนพวกท่าน”มือปราบอู๋หันไปทางสกุลไป๋ ไม่ได้แสดงพิธีรีตองใดมากก่อนที่จะพากันออกไปจากโรงน้ำชา ชาวบ้านที่มาดื่มชาต่างจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จื่อฟางอารมณ์ดีมาก หันไปเจอคุณชายสูงศักดิ์ที่ยังมองสำรวจตนอยู่พบว่าสายตาของคนผู้นั้นแฝงรอยยิ้ม

‘คนรู้จักของเสิ่นจิ้งเฟยจริงๆสินะ’จื่อฟางไม่กล้าทำอะไรทั้งไม่แน่ใจจึงได้แต่ตีหน้านิ่งเฉย

“คุณชายเสิ่น ข้ากับท่านยังมีเรื่องต้องจัดการ”ไป๋ผูอวี้ไม่รอให้เขาตอบ เดินนำไปยังชั้นสองอย่างรวดเร็ว จื่อฟางแจกรอยยิ้มให้คนทั้งโรงน้ำชาก่อนเดินตามไป๋ผูอวี้ไปยังห้องดื่มชา หยางชวีได้แต่ตามไปเฝ้าหน้าห้องเงียบๆเช่นเดิม คล้ายกับเรื่องที่คุณชายเสิ่นพูดก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

“ท่านรู้จักคุณชายผู้นั้นหรือ เห็นเขามองท่านไม่วางตา”ไป๋ผูอวี้ถามเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยเข้ามาแล้ว ซูเหลียนฮวาไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่รู้ออกไปเมื่อใด เขาจำคุณชายท่าทางไม่ธรรมดาคนนี้ได้ เพราะลักษณะที่มองอย่างไรก็มิใช่ชาวบ้านธรรมดา ไป๋ผูอวี้พบเขาไม่บ่อย แต่หากมาจะนั่งโต๊ะตัวเดิม และไม่ใช้ห้องส่วนตัวซึ่งน่าแปลกมากสำหรับคุณชายร่ำรวย บุรุษหนุ่มมีความคิดที่คาดเดาอยู่ในใจ แต่ไม่แน่ใจนัก

จื่อฟางไม่กล้าตอบออกไปส่งเดช จึงแค่นยิ้มปริศนาไปให้

“ดูเหมือนท่านคบหาแต่ชายหนุ่มรูปงาม”

“ท่านก็รูปงาม”จื่อฟางเอ่ยชมอย่างไม่คิดมาก คำพูดออกไปเร็วเสมอ เขาจึงแสร้งรินน้ำชาแก้เก้อ ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าจะถูกชมกะทันหันจึงนิ่งค้างไปบ้าง ส่วนจางต้าเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นประหนึ่งไม่มีตัวตน

ไป๋ผูอวี้แนะนำเรื่องบทกวีให้เขาเกือบๆหนึ่งชั่วยาม จื่อฟางต้องทนไม่หาวนอนแทบแย่ เสียงของท่านอย่างกับยานอนหลับดีๆนี่เอง

~•~

ไป๋ผูอวี้ยืนเอามือไพล่หลังมองภาพวาดบนผนังในห้องดื่มชาส่วนตัว เสิ่นจิ้งเฟยกลับไปได้สักพักแล้ว หากบอกว่าไม่สนใจคุณชายเสิ่นก็คงเป็นเรื่องโกหก เขากำลังรอซูเหลียนฮวา เพราะรู้ว่านางยังไม่กลับ มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น เมื่อหมุนตัวกลับไปมองก็พบว่าเป็นนางจริงดังคาด หญิงงามคล้ายกับคาดไว้แล้วว่าตนรอพบด้วยเรื่องอะไร รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงยิ่งอ่อนหวานไม่น่าดู

“เจ้าตรวจอาการเสิ่นจิ้งเฟยได้ความว่าอย่างไรบ้าง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่คิดเปิดปากพูดก่อน ซูเหลียนฮวาเดินมาหยิบบทกวีของเสิ่นจิ้งเฟยมาดู ยกมือลูบตัวอักษรสวยงามช้าๆ

“ท่านอยากรู้ด้วยหรือ ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจเสียอีก”ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบ นางชอบยกเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยมาหยอกล้อเสมอ ตกลงนางชอบคุณชายใบหน้างามผู้นี้หรือไม่กันแน่ ซูเหลียนฮวาถอนหายใจท่าทางจริงจังกลับมาอีกครั้ง

“เสิ่นจิ้งเฟยเคยโดนพิษจริง ข้าไม่รู้ว่าพิษใด แต่ว่ารุนแรงมากพอที่จะทำให้เขาตาย ข้ายังแปลกใจที่เขายังรอดอยู่ได้ ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้มีความสามารถไม่ธรรมดา”นางนึกถึงท่านอาจารย์หย่งสือ แต่ไม่รู้ว่าจะมีความเป็นไปได้แค่ไหน อาจารย์หายตัวไปอย่างลึกลับหลายปี ถึงแม้นางและคุณชายจะสืบหา แต่ก็ไม่เคยพบ

“อืม ข้าก็คิดเช่นกัน เขาโชคดีที่ถูกช่วยไว้ทันเวลา”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ถึงแม้ร่างกายของคุณชายเสิ่นจะไม่แข็งแรงเท่าแต่ก่อน

“เขาป่วยมานานหรือยัง”

“หากไม่ผิดพลาด น่าจะไม่ถึงปี ลมปราณของเขายังไม่แข็งแกร่ง”ซูเหลียนฮวานิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด   

“ใครกันที่อยากได้ชีวิตเขาถึงขนาดต้องวางยาพิษ”ไป๋ผูอวี้พึมพำกับตัวเองเบาๆ   

“คุณชายไป๋ มีหลายเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ เรื่องอำนาจในราชสำนัก ภายนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น”นางถอนหายใจ นึกถึงข่าวลือที่นางได้ยินมาจากหลายๆที่ เสิ่นฉินอี้เป็นขุนนางที่เก่งกาจและมีอำนาจมากคนหนึ่ง เขาเป็นฝ่ายสนับสนุนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ขึ้นครองราชย์ แต่น่าเศร้าที่ดันต้องมาตายก่อนฮ่องเต้ แต่ซูเหลียนฮวาไม่เชื่อว่าเสิ่นฉินอี้จะป่วยตายเพราะโรคประจำตัว ด้วยเวลาที่กะทันหันเช่นนี้ เวลานั้นเสิ่นฉินอี้เกือบได้เป็นอัครเสนาบดีอยู่แล้ว น่าเสียดายนักไม่อย่างนั้นคงได้เห็นคุณชายเสิ่นวางท่ามากกว่านี้ นางยิ้มเมื่อคิดถึงเสิ่นจิ้งเฟย นางชมชอบคุณชายรูปงาม แต่คุณชายเสิ่นผู้นี้ดูจะแตกต่างออกไปซักหน่อย

“ท่านมีความคิดหรือไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยนิสัยเปลี่ยนไป ท่านรู้จักกับเขามาหลายปี คิดเช่นไรหรือ”นางเอ่ยอย่างครุ่นคิด คุณชายไป๋มองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เขาแตกต่างจากเดิมจริง”ไป๋ผูอวี้เคยขบคิดเรื่องนี้แล้วแต่ก็ไม่มีคำตอบ นิสัยของคุณชายเสิ่นไม่เหมือนคนที่เขาเคยรู้จัก แตกต่างราวคนละคน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปกับทำให้เขาชอบ เสิ่นจิ้งเฟยดูโง่กว่าแต่ก่อน แต่มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม เขามักรู้สึกเสมอว่าคุณชายผู้นี้โดดเดี่ยวน่าสงสาร ถึงจะรำคาญแต่ไม่เคยเกลียด เสิ่นจิ้งเฟยในเวลานี้เขาว่าดีแล้ว ซูเหลียนฮวาเห็นคุณชายไป๋มีรอยยิ้มจางก็สงสัยว่าคิดถึงเรื่องใดอยู่ ใช่เสิ่นจิ้งเฟยหรือไม่

“ท่านแน่ใจนะว่าไม่ชอบลูกไหน”นางแสร้งเอ่ยถามอีกครั้ง ไป๋ผูอวี้ปรายตามอง ไม่เอ่ยอะไรอีกเช่นเคย ก็แค่ลูกไหนไม่ใช่หรือ แต่ไป๋ผูอวี้กลับไม่เอ่ยคำ

“ข้าฝากท่านนำยาสมุนไพรบำรุงร่างกายไปให้คุณชายเสิ่นด้วย ต่อจากนี้คงออกจากหอผูเยว่ยากแล้ว”นางส่งกระปุกยาลูกกลอนให้ไป๋ผูอวี้ นี่เป็นยาส่วนตัวของนาง แต่หญิงสาวคิดว่าคุณชายเสิ่นจำเป็นต้องใช้มากกว่า

“เห็นข้าเป็นสารถีรักของเจ้าหรือ”เขาเอ่ยหยอกล้อบ้าง

“ข้าแค่เพียงคิดว่าท่านถนัดเรื่องย่องเบาเท่านั้น”พูดจบนางก็ไม่อยู่รอฟังประโยคสั่งสอน รีบหมุนตัวออกไปจากห้องทันที ทิ้งเสียงหัวเราะรื่นหูไว้ ไป๋ผูอวี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมย่องเบาหรือ ให้เด็กในจวนนำสมุนไพรไปให้ก็ได้แล้ว ไม่ได้สิ คนในจวนเสนาบดีไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยป่วย หรือตนต้องทำตัวเป็นโจรย่องเบาจริง ๆ

“คุณชายจดหมายขอรับ”เว่ยหลงส่งเสียงมาจากด้านนอก ก่อนที่จะนำผ้าไหมมาส่งให้เขา ในผ้าไหมมีจดหมายซ่อนอยู่ จดหมายมีเนื้อความยาว ลายมือเรียงสวยคุ้นตา เขาอ่านจดหมายในมือด้วยแววตานิ่งสงบ 

ชายขอทานผู้นั้นคือคนของอ๋องสามจริง ๆ ข้าได้ยินว่าท่านสอนหนังสือให้เสิ่นจิ้งเฟย ฝากท่านจับตามองเขาด้วยได้หรือไม่ ข้าเป็นห่วง จะอย่างไรเขาก็เป็นสหายข้า พักนี้คงไม่ได้ติดต่อท่านมากนัก

ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจก่อนเก็บจดหมายจากสหาย จับตาดูเสิ่นจิ้งเฟยหรือ เขาคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับอ๋องสามหรอกกระมัง แต่เสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปกปิดอยู่จริง เรื่องเคยถูกวางยาพิษก็ด้วย เรื่องน่าปวดหัวเช่นนี้…เขาน่าจะเชื่อคำอาจารย์ที่เคยบอกไว้อย่าไปข้องแวะกับพวกคุณชายเจ้าสำราญ โดยเฉพาะคนไม่เอาไหนอย่างเสิ่นจิ้งเฟย



(Cr. https://zhidao.baidu.com/question/237021277.html



www.wenyanhanyu.com/zhaonan/6033.html



บทกลอนจีนลูกพลัม แปลไทยออกมาไม่เพราะขออภัยอย่างสูง)



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 15-02-2018 10:55:33
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 15-02-2018 12:25:31
หายไปนาน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-02-2018 13:30:48
มียาวกว่านี้อีก สมกับที่รอคอย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 15-02-2018 14:25:22
สนุกดี ซูเหลียนฮวาท่าทางจะเป็นสาววาย
แล้วเจ้าของร่างตัวจริงตอนนี้ไปอยู่ไหนเสียแล้วนะ ทิ้งปัญหาไว้ให้จื่อฟางเยอะแยะเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-02-2018 16:29:25
กำลังสนุกเลย รอติดตามตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-02-2018 16:31:12
รอเรื่องนี้ทุกวัน พอเจอปมขนาดนี้แล้วก้อเริ่มเริ่มใจชื้นว่าน้องเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่ตายง่ายๆ
เราข้องใจหมอในตระกูลจริงๆเลย

รอวันเขาย่องเข้าห้องอีกค่ะ ป้อนยาน้องบ่อยๆนะพี่ไป๋ 5555
ขอบคุณค่ะ 新年快乐!
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 15-02-2018 16:54:19
ขอบคุณมากเลยค่ะ


สนุกมากก :katai2-1:


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 15-02-2018 17:14:24
 :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 15-02-2018 17:58:52
ได้โชว์ฝีทือทั้งที แต่ไหงถึงดูท่าจะไปมีเรื่องดับองค์ชายละเนี่ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 15-02-2018 18:07:41
ปมเริ่มมาแล้วววว คุณชายเสิ่นไปโดนใครวางยากันแน่นะ แล้วใครเป็นคนช่วย น่าสงสัย อยากรู้แล้วฮือออ น่าติดตามๆ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 15-02-2018 19:50:14
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 15-02-2018 19:52:54
เป็นไปได้ไหมว่าเจิ้นไม่รู้ว่าตัวเองโดนวางยา เพราะเข้าร่างนี้ทีหลัง ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นอา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-02-2018 20:58:42
ทำเป็นไม่บอก ที่จริงก็คือจื่อฟางเองก็ไม่รู้สินะ เฮ้อ ลำบากแท้หนอ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2018 21:07:02
ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มาอัพที ยาวจุใจ  แต่ยังอยากอ่านต่ออีกอ่ะ  :ling1: :ling1: :ling1:

มีปมของเสิ่นจิ้งเฟยอีก ไปโดนยาพิษได้ยังไง แล้วใครช่วยชีวิต ????  :katai1:
อ๋องสาม เกี่ยวข้องกับขอทานยังไง  :hao4:
แล้วชายสูงศักดิ์ รู้จักจิ้งเฟยด้วยหรือ  :hao3:
 :mew1: :mew1: :mew1:  ชอบบบบบ  ซูเหลียนฮวา นางปั่นหัวไป๋อยู่นะ  :m20:
รู้ใจไป๋ ยิ่งกว่าตัวไป๋เองซะอีก  o18  :laugh:

ตอนนี้ไป๋ ไม่ชอบลูกไหนจริงหรือ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่สนใจจื่อฟางก็ใช้ได้ละ
ไป๋ผูอวี้ จื่อเฟย   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-02-2018 02:11:05
ใครกันนะที่ต้องการให้จื่อฟางตาย   :hao4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-02-2018 03:18:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 16-02-2018 06:27:51
งือช่างซับซ้อนยิ่ง ทำไม ๆ ในหัวเต็มไปหมด

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 16-02-2018 06:35:08
เรื่องซับซ้อนไปเรื่อยๆ แล้วจื่อฟางจะตอบยังไงล่ะ
มีแต่คนใหม่ๆ มาเกี่ยวพัน จื่อฟางไม่รู้จะเชื่อมโยงยังไงเลย

คุณชายไป๋ก็ไม่อยากเก็บลูกไหนหรอก
เอาไว้เชยชมบนต้นไปก่อน

จางต้ากับหยางชวีมาติดตาม ก็อยากให้ไว้ใจ
ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปนะ ตอนนี้จื่อฟางวางตัวลำบาก
ขนาดตัวเองยังสับสนเลย

คุณชายเสิ่นตัวจริงอยู่ที่ใด จื่อฟางในโลกปัจจุบันเกี่ยวข้องยังไงนะ

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-02-2018 07:26:00
น้องเดินลมปราณเป็นเหรอคะ เดินพล่ดเดี๋ยวธาตุไฟแตกซ่านเอานะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 16-02-2018 21:10:12
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kimlowbatt ที่ 16-02-2018 21:14:35
อยากเห็นโจรย่องเบาแล้วจ้าา อิอิ
แต่ยิ่งอ่านก็มีเรื่องให้คิดเกี่ยวกับเสิ่จิ้งเฟยเยอะเลย
หรือคุณชายรูปหล่อคนนั้นจะเป็นอ๋องสาม?
ปริศนาเต็มไปหมดเด้อออออ
อยากรู้แล้ว แต่ก็รอฉากกุ๊กกิ๊กด้วยเหมือนกัน งื้อออออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Toxic ที่ 16-02-2018 23:26:10
จริงๆแล้วคุณชายเสิ่นไม่ได้ด้อยความสามารถสินะแต่กลัวว่าจะถูกฆ่าเหมือนท่านปู่ก็เลยต้องทำตัวไม่เอาไหน (เรามะโน :z1:) :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 17-02-2018 06:44:09
สนุกมากเลย ปมมาแล้วใครวางยาพิษนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 17-02-2018 08:40:38
สนุกมาก เนื้อเรื่องก็น่าติดตาม
รอลุ้นว่าจะเป็นยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 17-02-2018 13:46:14
รอๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Akanasan ที่ 17-02-2018 17:24:58
เดาว่าเสิ่นจิ้้งเฟยน่าจะโดนพิษจนตายนายเอกเลยเข้ามาสวมร่างงี้คนวางยาจะมาวางซ้ำอีกรอบมั้ยนะ

 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 17-02-2018 23:12:34
รอติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทแปด: จื่อฟางออกโรง P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-02-2018 00:06:32
โดนลอบฆ่าแน่ๆเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 19-02-2018 12:37:21


บทเก้า: ความลับ

เหตุการณ์ในโรงน้ำชาหลิวซื่อแพร่สะพัดไปทั่วตลาดภายในเวลาไม่กี่ชั่วยาม เสิ่นจิ้งเฟยคุณชายเจ้าสำราญผู้นั้นเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆหรือ? นอกจากบรรเลงกู่เจิงได้ไพเราะ ยังวาดภาพได้สวยงามน่าทึ่ง ผู้คนที่อยู่ในโรงน้ำชาเห็นเองกับตาถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ไป๋ผูอวี้ปล่อยจื่อฟางกลับเมื่อเรียนจบบท เขาโล่งใจเมื่อออกมาไม่เจอกับคุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นแล้ว หยางชวียืนรอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย จื่อฟางมองผ่านเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนก่อนเดินออกไปนอกโรงน้ำชา ผู้คนบนท้องถนนหันมองด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ เขาคร้านจะใส่ใจจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนแทน ดวงตะวันลอยค่อนไปทิศตะวันตกแล้ว

ถึงแม้ภายนอกเขาจะดูปรอดโปร่ง แต่ในใจกลับหนักอึ้งด้วยความกังวล คิดวนเวียนแต่เรื่องอาการป่วยของเสิ่นจิ้งเฟย เขาป่วยเป็นอะไรกันแน่ ดูแล้วไม่ใช่การป่วยธรรมดา จื่อฟางไม่กล้าถามซูเหลียนฮวาถึงต้นเหตุของอาการป่วย เพราะเสิ่นจิ้งเฟยฝึกวิชาลมปราณเพื่อฟื้นฟูร่างกายจะไม่รู้ตัวว่าป่วยก็คงแปลกๆ เขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้สองเดือนไม่ได้กินยาหรือเดินลมปราณ ร่างกายถึงได้เป็นเช่นนี้ เหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยต้องเก็บเรื่องป่วยไว้เป็นความลับด้วยแม้แต่บิดาอย่างเสิ่นมู่หยางก็ไม่ได้บอก เสิ่นจิ้งเฟยทำอะไรอยู่กันแน่ เรื่องเดินลมปราณหากขอให้หยางชวีช่วย คงไม่เป็นไรกระมัง 

“คุณชาย รีบกลับจวนเถอะขอรับ”จางต้าเอ่ยเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นยืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางเหม่อลอย คิ้วขมวดมุ่นราวกับมีเรื่องอยู่ในใจ หากกลับถึงจวนแล้วเขาจะเรียกหมอกู้มาตรวจคุณชายทันที แล้วจะซักถามด้วยว่าเหตุใดถึงตรวจไม่เจอว่าคุณชายมีอาการป่วย!

“คุณชายเหนื่อยหรือ ข้าจะไปเรียกรถม้าให้”หยางชวีมองคุณชายเสิ่นที่มีสีหน้าอ่อนเพลียคล้ายไม่อยากเดินไปหน้าตรอกก็เอ่ยขึ้น เสิ่นจิ้งเฟยเหลือบมองเขาก่อนพยักหน้า หยางชวีจึงรู้ว่าถูกคุณชายโกรธเข้าให้แล้ว แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เขารับคำสั่งจากนายท่านให้เฝ้าดูคุณชายเสิ่นถึงตนจะไม่สบายใจแต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ หยางชวีหันมองจางต้า ส่งสายตาบอกว่าดูคุณชายให้ดีก่อนจะเคลื่อนกายออกไปอย่างรวดเร็ว รอไม่นานรถม้าแบบไม่มีหลังคาก็มาถึง จื่อฟางนั่งจมอยู่ในความคิดไปตลอดทางระหว่างกลับจวน

เสิ่นมู่หยางกลับจากราชสำนักได้ยินเรื่องของบุตรชายแพร่อยู่ในตลาด ทั้งยังเป็นเรื่องดี ก็คลายใจที่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้สร้างเรื่องใดอีก เมื่อเห็นบุตรชายกลับมาด้วยท่าทางอ่อนล้าจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นำพัดผ้าไหมที่เขาได้ได้มานานแล้วไปให้บุตรชาย

“นี่คือ…”จื่อฟางเพิ่งนั่งพักได้ไม่นานก็มีบ่าวรับใช้ที่เขาจำหน้าได้ว่าอยู่ในเรือนของเสิ่นมู่หยางนำกล่องใบหนึ่งมาให้

“นายท่านใหญ่มอบให้คุณชายขอรับ”บ่าวรับใช้ยื่นกล่องมาให้ จื่อฟางรับมาเปิดดูอย่างไม่ใส่ใจนัก ที่แท้ก็เป็นพัดผ้าไหมสวยงามเล่มหนึ่ง เขาแส้รงฉีกยิ้มพอใจเพราะจำได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยชอบสะสมพัด

“อ้อ ฝากขอบคุณท่านพ่อด้วย”จื่อฟางบอกกับบ่าวไพร่ที่ตั้งท่าจะถอยออกไป บ่าวคนนั้นเพียงรับคำแล้วออกไปเงียบๆ เหลือเพียงหยางชวีที่ยังอยู่ในห้องกับเขาสองคน ส่วนจางต้ายังไม่กลับมาจากการไปตามหมอกู้มาตรวจอาการของตนอีกรอบ จื่อฟางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมองหยางชวีเป็นแค่ธาตุอากาศ เขาตัดสินใจแล้วในเมื่อเจ้านี่คิดจะทำตัวเป็นสายสืบให้เสิ่นมู่หยาง เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติดีด้วยอีกต่อไป

“คุณชายโกรธข้าน้อยหรือขอรับ”หยางชวีเอ่ยถามเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน มองเด็กหนุ่มถอดอาภรณ์จนเหลือแต่เสื้อตัวกลาง

“ทำไมข้าต้องโกรธด้วย ข้าเข้าใจเรื่องที่เจ้าทำงานให้ท่านพ่อ”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงปราศจากอารมณ์ขุ่นเคือง แต่ในใจกลับแค่นเสียงเหอะ นึกอยากไล่หยางชวีออกไปจากห้องเพราะตอนแรกตั้งใจจะค้นห้องของเสิ่นจิ้งเฟยดูให้ถี่ถ้วนอีกครั้งว่าซ่อนสิ่งใดไว้บ้างหรือไม่ คงต้องรอให้หมอกู้มาตรวจอาการก่อนแล้วค่อยไล่พวกบ่าวไพร่ออกไปให้หมด

หยางชวีได้ยินน้ำเสียงไม่ปรากฏอารมณ์ใดของเสิ่นจิ้งเฟยก็เกิดอาการไม่สบายใจขึ้นมา พานนึกถึงคำพูดของคุณชายเสิ่นเมื่อตอนที่อยู่ในโรงน้ำชาหลิวซื่อ เจ้าไม่ต่างอะไรกับพวกบ่าวไพร่ในจวนสักนิด ระหว่างทางกลับจวนเสนาบดีเขาไตร่ตรองมาตลอดว่าควรทำเช่นไร ใจหนึ่งเขาไม่อยากปกปิดนายท่าน อีกใจก็ไม่อยากถูกมองเป็นเพียงข้ารับใช้เท่านั้น หยางชวีอยากให้คุณชายเสิ่นไว้ใจตนเองเหมือนจางต้า คิดถึงตรงนี้แล้วอาการไม่สบายใจก็ยิ่งเพิ่มพูน

“คุณชายเสิ่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าจะยอมหลับตาข้างหนึ่ง…เรื่องนี้ิข้าจะไม่รายงานนายท่าน”หยางชวีถอนหายใจ มิใช่ว่าเขาหลับตาข้างหนึ่งมาตลอดหรือ หากนายท่านมาทราบทีหลัง เขาคงถูกทำโทษสถานหนัก เรื่องสุขภาพของคุณชายไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาตัดสินใจถูกแล้วหรือไม่ ‘คุณชายเสิ่นท่านเก่งเรื่องทำให้คนลำบากใจนัก’

“เจ้าว่าอะไรนะ”จื่อฟางหมุนตัวมองหยางชวีอย่างไม่อยากเชื่อหู คนผู้นี้ยอมเก็บความลับให้เขาจริงๆน่ะเหรอ

“ท่านก็ได้ยินแล้ว”หยางชวีเอ่ยหน้านิ่งมองคุณชายเสิ่นที่ฉีกยิ้มกว้างจนต้องเบนสายตาไปทางอื่น

“ข้าขอบใจเจ้ามากจริง ๆ”จื่อฟางดีใจเสียจนอยากเข้าไปกระโดดกอดอีกฝ่าย แต่ก็รู้ดีว่าจะทำให้หยางชวีกลัวไปเปล่าๆ

“แค่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น อีกประการ…”หยางชวีเอ่ยเสียงเข้มทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยจางลง

“หากหมอกู้มาตรวจ ท่านต้องให้ข้าอยู่ด้วย”เขาไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคุณชายตรงหน้า กลับคืนสู่อาการสงบนิ่งของตัวเองอีกครั้ง จื่อฟางอยากแย้งเพราะตั้งใจจะสอบถามหมอกู้เรื่องอาการป่วยของเสิ่นจิ้งเฟยให้แน่ชัด นึกถึงสีหน้าอ่อนใจของท่านหมอเมื่อคราวที่มาตรวจดูบาดแผลฟกช้ำให้จื่อฟางก็รู้สึกตงิดใจ เขาไม่แน่ใจว่าท่านหมอชราผู้นี้ทราบอาการป่วยของเสิ่นจิ้งเฟยหรือไม่ แต่ก็คุ้มที่จะหลอกถาม

“ก็ได้”จื่อฟางจำต้องยอมเพราะเท่านี้หยางชวีก็ลดราให้มากแล้ว หยางชวีไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเพียงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นรอท่านหมอกู้ เวลาผ่านไปสักพักจื่อฟางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังอยู่ด้านนอก จางต้านำท่านหมอกู้เข้ามาด้วยท่าทางลับๆล่อๆ ท่านหมอชรามีสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพังก็ชะงักไปเล็กน้อย

กู้เซ่าอิ่งเข้ามาในห้องขมวดคิ้วเห็นว่าไม่ได้มีแค่คุณชายเสิ่น ยังมีหยางชวีผู้ติดตามที่ทำงานให้กับนายท่านอยู่ด้วย

“ข้าขอตรวจคุณชายตามลำพัง ไม่อยากให้มีผู้ใดรบกวน”กู้เซ่าอิ่งเอ่ยเสียงเคร่งเครียด เหตุใดคุณชายถึงปล่อยให้มีคนรู้เรื่องนี้ เจ้าเด็กจางต้ามาตามหาเขาถึงโรงหมอทั้งยังโวยวายว่าเขาตรวจอาการให้คุณชายเสิ่นไม่ดี

‘ท่านมิใช่คนบอกให้ข้าเก็บเรื่องอาการป่วยเป็นความลับหรือ จางต้ายังพอเข้าใจ แต่เจ้าหยางชวีผู้นี้จะไว้ใจได้หรือ’

“ไม่เป็นไรหรอก เขารู้แล้ว ท่านตรวจข้าเถอะ”จื่อฟางกล่าวพอจะรู้ว่าท่านหมอชรากังวลเรื่องใด แสดงว่าหมอกู้รู้เรื่องอาการป่วยของเสิ่นจิ้งเฟยสินะ มิน่าถึงปิดได้ตั้งนาน

“แต่ว่าคุณชาย…”

“หยางชวีจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่บอกท่านพ่อแน่นอน ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ใช่หรือไม่”เขาหันไปถามหยางชวีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เจ้าตัวขมวดคิ้วส่งเสียงรับคำสั้นๆแล้วก็เงียบไป ความจริงจื่อฟางอยากให้จางต้าออกไปนอกห้อง แต่ก็คิดว่าไม่ถูก ยิ่งเห็นสีหน้าหมาหงอยของอีกฝ่าย เขาก็ไล่ไม่ลง ท่านหมอกู้ถอนหายใจพึมพำอะไรบางอย่างได้ยินแว่วๆว่า‘เป็นโชคร้ายของข้า’หรืออะไรทำนองนั้น

กู้เซ่าอิ่งไม่คิดว่าหยางชวีจะยอมช่วยปิดเรื่องอาการป่วยของคุณชาย หากเป็นอาการป่วยธรรมดาคงไม่เท่าไหร่แต่นี่เป็นอาการป่วยที่มีผลต่อเนื่องมาจากการถูกยาพิษ หยางชวียังยอมช่วยอีกหรือ? เหตุใดเขาถึงยอมปิดนายท่านใหญ่เล่าถ้าไม่มีเหตุผลใดแอบแฝง กู้เซ่าอิ่งไม่วางใจนัก แต่ก็ทำอะไรมิได้ เขาไม่รู้ว่าตนคิดถูกหรือคิดผิดที่ช่วยคุณชายเสิ่นปกปิดเรื่องใหญ่เช่นนี้

เมื่อปีกลายเสิ่นจิ้งเฟยถูกพิษระหว่างที่พักอยู่โรงเตี๊ยมข้างทางเมื่อครั้งที่ไปเยี่ยมสกุลฝั่งมารดา คุณชายบอกเพียงว่ามีท่านผู้กล้ามีอายุคนหนึ่งช่วยชีวิตไว้ จำได้ว่าคุณชายต้องนอนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมห้าวัน ก่อนถูกพากลับมาที่จวนด้วยสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เวลานั้นนายท่านไม่อยู่ในจวนออกไปที่ใดเขามิอาจทราบได้ กู้เซ่าอิ่งถูกตามตัวมาดูอาการคุณชายกลางดึกและพบว่าอาการป่วยหนักตามที่จางต้าบอกนั้นไม่ธรรมดา คุณชายเสิ่นขอให้เขาเก็บเป็นความลับ ทั้งยังมีจดหมายจากท่านผู้กล้าเขียนบอกอาการของคุณชายทิ้งไว้ให้อย่างละเอียด ท่านผู้กล้าเป็นสุดยอดฝีมือโดยแท้ถึงสามารถช่วยคุณชายไว้ได้ คุณชายไม่ได้บอกที่มาที่ไปถึงสาเหตุที่ถูกพิษ กู้เซ่าอิ่งเอ่ยถามแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ในใจคิดไปถึงเสิ่นฉินอี้ท่านปู่ของคุณชายที่ด่วนจากไปเพราะเรื่อง‘สุขภาพ’เช่นกัน หมอกู้ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีกลาย เป็นเวรเป็นกรรมของเขาแท้ๆ หากวันใดนายท่านรู้ก็โดนลงโทษไปพร้อม ๆกันเถิด!

หมอชราจัดการตรวจชีพจรให้เป็นอันดับแรกเพราะจางต้าบอกเขาว่ามีนางคณิกาจับชีพจรให้คุณชาย ตอนที่ได้ยินเขายังแปลกใจไม่คิดว่าจะมีหญิงคณิกาจับชีพจรเป็น และตรวจรู้ด้วยว่าคุณชายมีอาการป่วย

“คุณชายเสิ่น…”หมอกู้เอ่ยเสียงเครียด ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยกังวล จื่อฟางใจเต้นถี่รัวเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องถูกดุว่าที่ไม่ได้บำรุงร่างกาย

“ไยอาการท่านแย่ลงเช่นนี้ ท่านไม่ได้ดื่มยาบำรุงที่ข้าจดเทียบให้หรือ อาการอ่อนแรงเกิดขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”กู้เซ่าอิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าคุณชายเสิ่นจะละเลยเรื่องสุขภาพของตนเช่นนี้

“...”จื่อฟางรีบพยักหน้า

“ท่านหยุดดื่มนานเท่าใดแล้ว”หมอกู้มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งคล้ายกับจะมองให้ทะลุไปถึงความคิดของเขา

“ก...เกือบสองเดือน”จื่อฟางตอบเสียงสั่น รู้ดีว่าเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร เมื่อเขาเอ่ยตอบคนในห้องก็ขมวดคิ้วมีสีหน้าเช่นเดียวกัน สงสัยคล้ายกันว่าเหตุใดคุณชายถึงไม่ได้กินยาถึงสองเดือน ท่านหมอกู้หน้าเผือดซีดก่อนแปรเปลี่ยนเป็นโมโห

“ไยท่านทำเช่นนี้ กว่าข้าจะหาสมุนไพรให้ท่านได้ไม่ง่ายเลย ไหนจะต้องปกปิดนายท่าน แล้วยังมีใต้เท้าเฉินเข้ามาอยู่ในจวนเช่นนี้ก็ยิ่งลำบาก ท่านอยากแกล้งคนแก่อย่างข้าหรือไร”กู้เซ่าอิ่งกดเสียงต่ำเกรงว่าบ่าวไพร่ในเรือนจะได้ยิน ทุกวันนี้เขาต้องลำบากเพียงใดคุณชายก็น่าจะรู้

“ข้า…พอดีว่ายาหมดแล้ว”จื่อฟางแก้ต่างให้ตนเอง เขานึกเหตุผลที่เข้าท่ากว่านี้ไม่ออก ยามนี้เขาถูกสายตาโกรธเคืองของหมอกู้จ้องมองจนหวาดหวั่น

“หมดหรือ เหตุใดท่านไม่มาขอเพิ่ม ท่านก็รู้ว่าร่างกายของท่านอ่อนแอยิ่งนัก”หมอกู้ดุด้วยเสียงสั่นเครือ

“ข้าไปไหนมาไหนลำบาก หยางชวีก็คอยเกาะติดตลอดเวลา…”จื่อฟางยกเรื่องนี้มาตอบ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเก็บงำเรื่องอาการป่วยมาได้นานถึงขนาดนี้ถือว่าเก่งพอตัว

หมอกู้ไม่ปล่อยให้เขาหลุดรอดไปได้ “แล้วเหตุใดท่านไม่เดินลมปราณ ชีพจรและลมปราณของท่านเสียหายหนักเพราะถูกพิษร้ายแรง ท่านจำเป็นต้องฝึกวิชาลมปราณเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย หากท่านละเลยเพียงนิดก็ส่งผลต่อตัวท่าน หรือท่านอยากตายนัก!”คำพูดของหมอกู้ส่งผลรุนแรงต่อคนในห้อง รวมทั้งเขาด้วย เสิ่นจิ้งเฟยถูกพิษหรือนี่!นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว เดิมทีเขาคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยแค่ป่วยหนักเท่านั้น…เสิ่นจิ้งเฟยไปทำให้ใครโกรธแค้นถึงได้ถูกหมายปองเอาชีวิตเช่นนี้ เขาพลันรู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูก อาการเครียดยิ่งเพิ่มพูน หยางชวีและจางต้าไม่คิดว่าอาการป่วยของคุณชายจะมาจากการโดนพิษร้ายแรงจึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“คุณชายเสิ่น เหตุใดท่านเก็บเรื่องใหญ่เช่นนี้ไว้กับตัว แล้วยังไม่ยอมรักษาร่างกายอีก…”หยางชวีไม่แน่ใจว่าคุณชายอยากตายจริง ๆ หรือมีเหตุผลมากกว่านั้น เพราะคุณชายดูแปลกไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนก็ตรงกับช่วงที่คุณชายไม่ได้กินยาพอดี

“คุณชาย ท่านอย่าเพิ่งถอดใจเลย หากนายท่านทราบเรื่องจะต้องหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาคุณชายได้แน่”จางต้ารีบเอ่ยอย่างหวาดกลัว เรื่องจริงจังถึงเพียงนี้ไม่มีเหตุผลใดเลยที่คุณชายจะไม่ดื่มยาและไม่เดินลมปราณรักษาร่างกายนอกเสียจากว่าคุณชายของเขาคิดอยากตายจริง ๆ

“บอกไม่ได้เด็ดขาด!”จื่อฟางเผลอพูดเสียงดัง ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยเก็บเป็นความลับมานานทั้งที่เป็นเรื่องเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเองเช่นนี้ก็แสดงว่าต้องมีเหตุผลสำคัญที่ไม่อยากให้ผู้ใดรู้และที่เขาเลือกจะเก็บไว้เป็นความลับเหตุผลหนึ่งคือไม่รู้จะตอบเสิ่นมู่หยางอย่างไรหากถูกซักถามหนักๆเข้า จื่อฟางจะต้องรีบหาสาเหตุให้เจอ ก่อนที่จะถูกเล่นงานอีกรอบ ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตาย คนที่วางยาจะต้องหาทางอีกเป็นแน่  แค่อาจจะรอเวลาเท่านั้น เขายิ่งรู้สึกหนาวเย็นเมื่อมาคิดว่าชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยตกอยู่ในอันตราย

“ข้า…”จื่อฟางพูดไม่ออก อธิบายอย่างไรก็คงดูไม่เข้าที

“คุณชาย ข้ารู้ว่าท่านกังวล แต่อย่างที่ข้าเคยบอกพิษที่ท่านโดนร้ายแรงนัก ต่อให้ตามหมอเทวดามาก็ทำได้แค่รักษาให้ดีขึ้นเท่านั้น ท่านอย่าคิดสั้นท้อแท้ใจไป ข้าจะพยายามเสาะหายาดีมาให้อย่างสุดความสามารถ…”กู้เซ่าอิ่งรู้สึกเสียใจยิ่งนัก คุณชายเฝ้าถามเรื่องอาการอยู่บ่อยครั้งเขาก็ทำได้แต่ตอบเช่นเดิม บางทีเรื่องอนุของนายท่านที่คุณชายสืบเจออาจทำให้คุณชายท้อแท้หมดหวังในชีวิตขึ้นมาก็เป็นได้ ในวัยเด็กแม้จะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากนายท่าน แต่ก็เป็นเพียงเปลือกนอก เขารู้ว่าคุณชายตัวน้อยโดดเดี่ยวเพียงใด คุณชายเสิ่นต้องการความรักที่ไม่ใช่เงินทอง

จื่อฟางพูดไม่ออก อาการตื่นตระหนกและเคร่งเครียดจากเรื่องที่ได้ยินทำให้เขาแน่นหน้าอก รู้สึกว่าหัวใจบีบรัดรุนแรง เลือดลมตีกลับจนเขาหูอื้อ

“คุณชายเสิ่น ท่านรีบเดินลมปราณเดี๋ยวนี้”หมอกู้เอ่ยด้วยเสียงตื่นตระหนก เหตุใดอยู่ ๆคุณชายถึงเป็นเช่นนี้ จื่อฟางไม่รู้จะทำเช่นไรได้แต่หลับตาพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ไม่เป็นผลเขาพลันรู้สึกอุ่นวาบในอก เลือดซึมออกมาที่มุมปาก

“คุณชาย!”จางต้าร้องเสียงหลง หยางชวีรีบเข้าไปดูเสิ่นจิ้งเฟยทันที ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ท่านไม่ได้กินยามาสองเดือนจนร่างกายอ่อนแอหากบอกว่าอยากตายก็ยังพอเชื่อ แต่นี่ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีเดินลมปราณ ท่านเป็นอะไรกันแน่?

“คุณชาย หันหลัง”เขาเอ่ยเสียงห้วนคล้ายไม่สนใจว่าตนเป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น จื่อฟางไม่ได้ถือสานักรีบทำตามอย่างรวดเร็ว ฝามืออุ่นร้อนของหยางชวีนาบลงมาบนแผ่นหลังผอมบางของเขา จื่อฟางพลันตัวสั่นระริกเมื่อรับรู้ถึงกระแสอุ่นร้อนแปลกประหลาดไหลเข้ามาในร่างแต่แขนขากลับเย็นเฉียบ หยางชวีขมวดคิ้วระหว่างที่บังคับลมปราณในร่างของคุณชายให้ผ่านจุดต่าง ๆอย่างราบเรียบ จิตใจของเขาหนักอึ้งเมื่อรับรู้ว่าลมปราณในร่างของคุณชายผิดปกติแค่ไหน อาการหนักอย่างที่ท่านหมอกู้ว่าจริง ๆ

“ท่านหมอ คุณชายถูกพิษนานหรือยัง”เขาเอ่ยถามหมอกู้

“นับคร่าวๆก็เกือบหนึ่งปีมาแล้ว”กู้เซ่าอิงมีสีหน้าหนักใจ แต่ร่างกายของคุณชายกลับยังไม่ดีขึ้น ชายชรามองคุณชายเสิ่นด้วยความเป็นห่วง หยางชวีขมวดคิ้วแน่นเกือบหนึ่งปี…แต่คนที่วางยาพิษคุณชายไม่คิดลงมืออีก หรือกลัวว่าจะถูกจับได้จึงคิดรามือไป หยางชวีรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ ช่วงเวลานั้นคุณชายก็ยังออกไปเที่ยวเตร่ตามเดิมราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น ท่านไม่กลัวตายหรืออยากตายกันแน่? ยิ่งคิดเขาก็พบว่าคุณชายเสิ่นประหลาดนัก

“รู้สึกดีขึ้นหรือไม่”ผู้ติดตามเอ่ยถามเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายของคุณชายผ่อนคลายแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยเพียงพยักหน้าตอบ เขาจึงหยุดมือเพราะกลัวร่างกายของอีกฝ่ายรับไม่ไหว เขาเพียงส่งพลังลมปราณอ่อนๆเข้าไปช่วยไหลเวียนเท่านั้น ได้ยินที่ซูเหลียนฮวาบอกว่าต้องใช้กำลังภายในทะลวงจุดชีพจร แต่ร่างกายคุณชายเป็นเช่นนี้จะต้องใช้เวลานานกี่ปีกัน ถึงเวลานั้นร่างกายทนไหวก็คงดี เขาพลันเข้าใจความรู้สึกท้อแท้ของคุณชายขึ้นมา

จื่อฟางรับรู้ว่าอาการแน่นหน้าอกหายไปแล้ว ทั้งยังหายใจคล่องกว่าเดิมแต่เนื้อตัวไร้เรี่ยวแรงราว หมอกู้หน้ายังคงหน้าซีด แม้ในใจจะสงสัยที่คุณชายเดินลมปราณไม่ได้แต่ยามนี้ไม่มีเวลามาสงสัยแล้ว เขาหยิบห่อสมุนไพรที่นำติดตัวมาด้วยส่งให้จางต้า

“นำสมุนไพรแบ่งออกปริมาณเล็กน้อยต้มให้คุณชายดื่มทุกเวลาหลังอาหาร อย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”กู้เซ่าอิ่งเอ่ยกำชับกับจางต้าที่พยักหน้าอย่างขันแข็ง

เขาหันพูดกับคุณชายเสิ่นอีกครั้ง “หากร่างกายท่านแข็งแรงขึ้นสักเล็กน้อย ข้าจะฝังเข็มให้”กู้เซ่าอิ่งถอนหายใจ มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเป็นห่วงเสมือนปู่มองหลานคนหนึ่ง

“ข้าเห็นท่านมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ยามเติบโตก็อยากเห็นท่านมีร่างกายแข็งแรงสร้างครอบครัว หากท่านคิดท้อแท้ก็นึกถึงมารดาท่านไว้ นางคงไม่อยากพบท่านเร็วนัก คุณชายโปรดรักษาตัวให้ดี อย่าลืมกินยาและเดินลมปราณเป็นอันขาด”ท่านหมอกู้ตบหลังมือคุณชายเสิ่นเบาๆเป็นการปลอบใจ

“เจ้าไปส่งท่านหมอ ดูให้ดีอย่าให้ใต้เท้าเฉินเห็น”หยางชวีเอ่ยกับจางต้า เขามีเรื่องจะถามคุณชายเสิ่นสักเล็กน้อย เมื่อท่านหมอกับจางต้าออกไปแล้วเขาก็ตีสีหน้าเคร่งขรึม ขยับเข้าไปใกล้เสิ่นจิ้งเฟย กวาดตามองตามใบหน้าซีดขาวไม่วางตา ใช้ฝามือลูบไปตามแนวสันกรามและไรผมของคุณชายช้า ๆเพื่อหาสิ่งผิดปกติ

“เจ้าทำอะไร”จื่อฟางถามอย่างงุนงง เวลานี้เขาเหนื่อยมากจนอยากนอนอยู่เฉยๆจึงปล่อยให้หยางชวีลูบหน้าอยู่อย่างนั้น เจ้านี่คิดจะทำอะไรกันแน่ เขามองแววตานิ่งสงบของหยางชวี เดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด

“หรือเจ้าอยากปรนนิบัติข้า”เขาเอ่ยหยอกล้อ เพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดที่เกิดขึ้น แต่แปลกที่หยางชวีกล้าถลึงตาใส่ตน

“ท่านใช่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยแน่หรือ”เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จื่อฟางเลิกคิ้ว ใจกระตุกวูบแต่ก็ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หยางชวีสงสัยอะไรอีก

“หากไม่ใช่แล้วจะเป็นใครได้เล่า”เด็กหนุ่มมองผู้ติดตามด้วยสายตาแฝงรอยยิ้ม คนผู้นี้ขี้สงสัยเกินไปแล้ว แต่ต่อให้สงสัยก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มีสิ่งใดมาพิสูจน์กันว่าเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย หยางชวีสำรวจมองใบหน้าของคุณชาย แต่ก็ไม่พบสิ่งปกติ มิได้แปลงโฉมมาแต่อย่างใด

“ท่านมิใช่ตัวปลอมแต่เหตุใดถึงแปลกไปเช่นนี้”หยางชวีพึมพำเบาๆคล้ายกับรำพึงกับตัวเอง

“ฮ่าๆเจ้าบ้าไปแล้วหรือ”จื่อฟางหัวเราะเสียงดัง ขบขันกับความคิดของอีกฝ่ายที่เข้ามาลูบๆคลำๆเขาก็เพราะเหตุนี้สินะ

“ท่านเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน ท่านไม่ได้กินยาไม่ได้เดินลมปราณทั้ง ๆที่รู้ตัวว่าป่วย เมื่อครู่ลมปราณท่านตีกลับ แต่ท่านกลับเดินลมปราณไม่ได้ ท่านเคยฝึกวิชามาก่อน เหตุใดถึงทำไม่ได้แล้ว”หยางชวีเอ่ยถึงสิ่งที่สงสัยออกมา จื่อฟางนึกบางสิ่งออก ในเมื่อมีโอกาสอธิบายแล้วเขาจะปล่อยผ่านไปได้เช่นไร

“ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ แต่เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง”เขากล่าวด้วยเสียงจริงจัง มองตาอีกฝ่ายอย่างไม่คิดหลบหนี

“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริง ข้าไม่ใช่คนเดิม ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”เขาเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง

“เรื่องที่ข้าเคยทำได้ยามนี้กลับไร้ความสามารถ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นก็มักลืมเลือน พักนี้ข้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ แม้แต่ความสามารถเพียงหนึ่งเดียวอย่างบรรเลงกู่เจิง ข้าก็ทำไม่ได้แล้ว ข้าหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ข้าไม่ได้อยากเจอเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ หากเจ้าไม่ชินก็คิดเสียว่าข้าคือเสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่ก็แล้วกัน”จื่อฟางไม่ได้พูดโกหก ทุกคำพูดจึงหนักแน่น เขาแค่เลือกจะไม่เล่าความจริงที่เหลือ เรื่องเหนือธรรมชาติที่ไม่มีเหตุผลรองรับกล่าวไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งเขาก็ไม่คิดบอกใคร หากวันใดวันหนึ่งเขาได้กลับไปยังโลกปัจจุบันขึ้นมาเล่า คงอธิบายลำบาก

“…”หยางชวีไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยพูดเกินจริงหรือไม่ แต่สีหน้ายามพูดก็ไม่มีวี่แววโกหกและเขาก็หาพิรุธไม่ได้ อีกทั้งคุณชายเคยโดนพิษร้ายแรงมาก่อน เขาไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นพิษใด แต่มีพิษใดบ้างที่มีผลกระทบเช่นนี้? หยางชวีนึกไม่ออก ถึงจะสองจิตสองใจแต่ก็หาเหตุผลมาอธิบายเรื่องพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคุณชายไม่ได้จริง ๆ

จื่อฟางเห็นระลอกคลื่นในแววตาดำสนิทคล้ายลังเลใจของอีกฝ่าย ก็ใส่ไฟเพิ่ม “บางทีข้าอาจใกล้ตายแล้วกระมัง”

“คุณชายเสิ่นอย่าพูดเช่นนี้ ท่านไม่ตายง่ายๆหรอก แต่อย่างไรความตายก็เป็นเรื่องปกติ….”หยางชวีคิดว่าตนพูดไม่ถูกต้องเพราะเห็นสีหน้าของคุณชายเปลี่ยนไป แต่เขาไม่ถนัดเรื่องปลอบใจคนจึงได้แต่เอ่ยเสริมเสียงแข็งทื่อ

“หากท่านรักษาไปเรื่อย ๆก็ดีขึ้นเอง”

จื่อฟางมองหยางชวีด้วยความรู้สึกขบขัน ดูแล้วหยางชวีคงไม่ชินเรื่องพูดจาปลอบคนจริง ๆ “เช่นนั้นเจ้าสอนข้าเดินลมปราณได้หรือไม่”จื่อฟางถือโอกาสเอาตัวรอด

“ย่อมได้”หยางชวีตอบอย่างไม่ต้องคิดและเขาเองก็เต็มใจสอน เพราะอยากให้คุณชายผู้นี้มีแข็งแรงเร็วๆ เรื่องที่ยังหาเหตุผลไม่ได้ก็ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน สักวันเขาจะต้องสืบหาให้เจอ

“ข้าอยากอาบน้ำแล้ว เจ้าไปเรียกคนเอาน้ำเข้ามา”เด็กหนุ่มถือโอกาสออกปากไล่ หยางชวีมองเขาครู่หนึ่งก่อนออกไป รอไม่นานบ่าวไพร่สองคนก็หิ้วถังน้ำเข้ามาด้วยอาการเหนื่อยหอบ วันนี้จื่ิอฟางมีอาการอ่อนล้ากว่าทุกทีจึงเรียกอี้เหมยสาวใช้คนเดิมเข้ามาปรนนิบัติเช่นเคย สาวใช้คนอื่นนึกอิจฉาอี้เหมยที่ได้ใกล้ชิดคุณชายเช่นนี้ แต่จะมีผู้ใดล่วงรู้บ้างว่าคุณชายเสิ่นไม่คิดจะแตะต้องอี้เหมยเลยสักนิด

“วันนี้คุณชายร่ำเรียนหนักหรือเจ้าค่ะ”อี้เหมยส่งเสียงถามระหว่างที่ใช้ไยบวบขัดถูแผ่นหลังเนียนขาวของคุณชาย นางนึกอิจฉาอยู่ในใจ ผิวของคุณชายดีกว่านางเสียอีก

“อืม ร่างกายของข้าจึงล้านิดหน่อย”จื่อฟางตอบสั้นๆ อี้เหมยไม่เหมือนสาวใช้นางอื่นที่จ้องอยากปรนนิบัติบนเตียงใจจะขาด อีกทั้งทรวดทรงของนางก็แบนเป็นกระดาน ใบหน้าก็จิ้มลิ้มเหมือนเด็กที่ยังไม่แตกสาว เขาอยู่ด้วยจึงไม่รู้สึกว่านางน่าเขมือบแต่อย่างใดกลับรู้สึกว่านางเหมือนน้องสาวมากกว่า จื่อฟางจึงรู้สึกสบายใจเวลาเรียกใช้ ว่าแต่ร่างกายเป็นเช่นนี้เสิ่นจิ้งเฟยยังชอบออกไปเที่ยวที่หอผูเยว่บ่อย ๆ ช่างเป็นคนที่เจ้าสำราญจริง ๆ ยังมีแรงทำเรื่องบนเตียงด้วยหรือไร เขาหลุดหัวเราะออกมาเมื่อคิดถึงเรื่องบนเตียงของร่างนี้

หยางชวีได้ยินเสียงหัวเราะของเสิ่นจิ้งเฟยก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนคุณชายจะชอบสาวใช้นางนี้มาก ร่างกายก็บอบบางไม่เหมือนชายชาตรีเหตุใดถึงยังมีเรี่ยวแรงทำเรื่องเช่นนั้นอีก หยางชวีไม่รู้จะชื่นชมหรือถอนหายใจดี

“คุณชายหัวเราะสิ่งใดหรือ”นางเอ่ยถามอย่างงุนงงที่อยู่ ๆคุณชายก็หัวเราะออกมา นางกำลังใช้มือขยี้เส้นผมยาวสลวยของคุณชาย นี่ก็อีกเรื่องผมของคุณชายสุขภาพดียิ่งนัก นางนึกถึงเรื่องที่มีข่าวลือว่าคุณชายชอบบุรุษ ก็อาจมีเค้าความจริง พักนี้คุณชายไม่เรียกใช้พี่ลู่เฟย อีกทั้งไม่ชอบให้สาวใช้เข้ามาวุ่นวายในเรือนนอน

“ข้าแค่นึกถึงเรื่องบางเรื่องน่ะ หากเจ้าสระผมให้ข้าเสร็จก็ออกไปได้ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เขาเอ่ยบอก อี้เหมยรับคำเบาๆล้างเส้นผมให้คุณชายเสร็จก็ออกไปนอกฉากกั้น ถูกผู้ติดตามของคุณชายจ้องมองจนหวาดกลัว

‘หยางชวีผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก หรือเขามีความสัมพันธ์ใดกับคุณชายถึงได้จ้องข้าเช่นนี้’อี้เหมยรีบออกไปจากเรือนคุณชายทันที

จื่อฟางเอนพิงถังน้ำครุ่นคิดถึงเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟย เหตุใดเรื่องราวถึงได้ดูซับซ้อน เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยสบายนัก วันๆไม่มีสิ่งใดให้ทำนอกจากเที่ยวเล่น แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าเขาถูกปองร้ายเอาชีวิต เป็นความแค้นส่วนตัวหรือเป็นเพราะเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในตระกูลขุนนางอย่างสกุลเสิ่นกันแน่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญเท่านั้น ฆ่าแล้วได้อะไร ดูท่าจื่อฟางต้องสืบหาต้นเหตุของเรื่องโดยเร็ว เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าไหมได้ไม่นาน จางต้าก็ยกถาดอาหารเย็นที่ล้วนเป็นของบำรุงร่างกายมาโดยเฉพาะเข้ามาในห้อง


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 19-02-2018 12:38:14
   

“ท่านพ่อได้เอ่ยถามอะไรหรือไม่”

“ไม่เลยขอรับ”จางต้าส่ายหน้า จื่อฟางนั่งลงที่โต๊ะเหลือบมองหยางชวีที่ใช้สายตาสืบเสาะมองตนอยู่นานแล้ว ไม่ใช่แค่คนหน้าตายแต่จางต้าก็เช่นกัน หลังจากที่จัดแจงอาหารให้เขาเรียบร้อย บ่าวคนสนิทก็มองจื่อฟางด้วยสายตาที่แฝงแววชื่นชม จางต้าคิดว่าคุณชายของตนยังมีแรงหยอกล้อหญิงสาวได้อยู่แสดงว่าอาการป่วยไม่ได้หนักหนาสาหัส

จื่อฟางเลิกสนใจทั้งสองคน เริ่มลงมือกินข้าวเงียบๆ ถึงแม้จะเป็นอาหารบำรุงร่างกายจำพวกแกงตุ๋นยาจีนแต่ก็เขาก็เติมข้าวไปหลายถ้วย

“คุณชาย ข้าได้ยินว่าด้านนอกจับโจรได้แล้วขอรับ!เป็นเพราะฝีมือภาพเหมือนของคุณชายแท้ๆ”จางต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นมื่นเมื่อเห็นคุณชายเจริญอาหารดีไม่มีท่าทีเบื่ออาหารยิ่งทำให้เขามีรอยยิ้มบนหน้า

“งั้นหรือ ข้าว่าเขาไม่น่าเป็นโจรไปได้ ตัวผอมแห้งเช่นนั้นจะทำการใดได้ ก็แค่ขอทานคนหนึ่ง”จื่อฟางมุ่นคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆอยู่บ้าง

“จิตใจมนุษย์ยากหยั่งถึง ท่านไม่มีวันล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วคนผู้นั้นคิดสิ่งใด”หยางชวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายสั่งสอนอยู่ในที

“เหมือนเจ้า?”เขาเอาตะเกียบชี้ไปที่อีกฝ่าย หยางชวีเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อย พินิจมองคุณชายเสิ่นที่สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แม้แววตาจะดูอ่อนล้าอยู่บ้าง

“จิตใจของข้าไม่ยากหยั่งถึง เพียงแต่จะเปิดให้หยั่งหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”หยางชวีกล่าวเรียบๆ สีหน้านิ่งสงบ

“ช่างสำบัดสำนวนนัก พูดธรรมดาไม่ได้หรือ”จางต้าพึมพำเบาๆ

จื่อฟางยกยิ้มขำเอ่ยถามเรื่องที่คาใจ “เจ้าไม่ไปหาท่านพ่อหรือ”ปกติเขาต้องหายไปสักหนึ่งชั่วยาม

“วันนี้ข้าไม่มีสิ่งใดรายงาน นายท่านก็ไม่ได้มีเรื่องที่อยากซักถามเป็นพิเศษ”พูดถึงเรื่องนี้แล้วหยางชวีก็ไม่สบายใจขึ้นมา แต่ก็ปัดความกังวลทิ้ง หากเขาหาสาเหตุพบว่าเหตุใดคุณชายถึงโดนพิษ ค่อยบอกนายท่านตอนนั้นก็มิสาย

หลังจากท้องอิ่มจื่อฟางต้องดื่มยาสมุนไพรขมๆไปอีกหนึ่งถ้วย

“เจ้าจะสอนข้าเดินลมปราณเมื่อใด”จื่อฟางเอ่ยถามระหว่างที่เดินเล่นไปมาอยู่ในห้อง เขาอยากค้นห้องจะแย่อยู่แล้ว แต่หยางชวียังไม่ยอมไปไหน เด็กหนุ่มเลือกหยิบนิยายที่อ่านค้างไว้มาอ่าน

“รอให้ร่างกายของท่านดีขึ้น ยามนี้ฝืนไปก็มีแต่ทำให้ยิ่งแย่ ท่านพักฟื้นฟูร่างกายสักสองสามวัน ช่วงนี้ข้าจะช่วยเดินลมปราณให้ท่านไปก่อน”เขาบอกคุณชายที่อ่านหนังสืออยู่บนเตียงก็ขมวดคิ้ว

“เรื่องเรียนหนังสือ ท่านอย่าได้หักโหม เข้านอนพักผ่อนแต่หัววันจึงจะดี”หยางชวีเอ่ยเห็นว่าถึงเวลาที่คุณชายต้องเข้านอนแล้ว จึงสั่งให้จางต้าดับตะเกียงจนเหลือเพียงโคมไฟที่แขวนอยู่ที่ฉากบังลมเท่านั้น จื่อฟางนั่งมึนงงอยู่บนเตียง ดูเหมือนเขาจะโดนบังคับให้เข้านอนเสียแล้ว เขายังไม่ได้ตรวจค้นห้องของเสิ่นจิ้งเฟยเลยนะ

“เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรือไร”จื่อฟางต่อว่า แต่หยางชวีไม่อยู่แล้ว เขาจึงล้มตัวนอน อาการอ่อนเพลียเริ่มคืบคลานเข้ามา

~•~

ดึกสงัด สายลมพัดเอื่อย ดวงจันทร์กระจ่างอยู่บนฟากฟ้า ไป๋ผูอวี้กระโดดเข้ามาในเขตเรือนของเสิ่นจิ้งเฟย ผู้คนในจวนสกุลเสิ่นคล้ายหลับกันหมดแล้ว เขาสวมชุดคลุมสีขาวกระจ่างดุจภูติพรายในความมืด บุรุษหนุ่มมากลางดึกเช่นนี้เพราะอยากก่อกวนเสิ่นจิ้งเฟย เขาจำเรือนของคุณชายเสิ่นได้แม้จะเคยมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ใต้ชายคามีเพียงโคมไฟสีแดงส่องแสง เท้าของเขาสัมผัสพื้นได้ไม่นาน เงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาโจมตี ไป๋ผูอวี้เตรียมรับมืออยู่แล้ว เขาเอี้ยวตัวหลบ ประมือกันไปสองกระบวนท่า ทั้งเขาและหยางชวีก็ถอยออกจากกัน

“ฝีมือเจ้าไม่ธรรมดา”เขาเอ่ยชมด้วยท่าทางปรอดโปร่งราวกับไม่ได้บุกเข้ามาในจวนของผู้อื่น

“ท่านเข้ามาในจวนสกุลเสิ่นเพราะเหตุใด”หยางชวีเอ่ยถามเสียงนิ่งเรียบ ไม่แปลกใจที่เห็นคุณชายผู้นี้ลอบเข้ามา ซูเหลียนฮวาเองก็เป็นเช่นนั้น คนในจวนสกุลไป๋เป็นเหมือนกันหมดกระมัง

“ข้าไม่วางใจ จึงคิดแวะมาดูอาการคุณชายเสิ่น ซูเหลียนฮวาฝากให้ข้านำยาสมุนไพรมาให้เขา ท่านคงรู้ว่านางมีความสามารถเพียงใด”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงสงบ ยืนเอามือไพล่หลังอย่างผ่อนคลาย

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็นำสมุนไพรให้ข้า แล้วก็ไปเสีย”หยางชวีไม่มีเรื่องใดต้องเกรงกลัวไป๋ผูอวี้ สกุลไป๋เป็นเพียงคหบดี อีกทั้งเขาไม่จำเป็นต้องเคารพศิษย์พี่ของนางมารหมื่นพิษ เว่ยหลงไม่เคารพคุณชายของเขา ไยเขาต้องเคารพคุณชายไป๋ด้วย

“ข้าอยากคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย”เขาเอ่ยตามตรง หลังจากที่ได้อ่านจดหมายของสหาย เขาก็มีเรื่องที่อยากลองเชิงคุณชายท่านนี้

“คุณชายเข้านอนแล้ว”หยางชวีไม่ยอมให้คุณชายท่านนี้เข้าไปเพียงเพราะอยากคุยกับคุณชายแน่

“ข้ามีเรื่องสำคัญ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยอย่างอดทน หึ ดูท่าเสิ่นจิ้งเฟยคงสั่งสอนบ่าวไพร่ดีจริงๆถึงได้ป่วนประสาทพอกัน

“ท่านก็รู้ว่าร่างกายคุณชายไม่ค่อยดี เหตุใดยังมารบกวนดึกดื่น”หยางชวีไม่ยอมลดละ

“เจ้าจะให้ข้ามาเยี่ยมตอนที่เสนาบดีเสิ่นอยู่หรือไร ข้านำยาสมุนไพรของซูเหลียนฮวามาให้ ยาของนางจะช่วยให้คุณชายเสิ่นดีขึ้น และข้าต้องการมอบให้เขาเองกับมือ”ไป๋ผูอวี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หยางชวีนิ่งคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ นางมารนั่นรู้เรื่องใดบ้าง เขาคงต้องไปเค้นถาม

“นางได้บอกอะไรท่านบ้างหรือไม่ ตอนนี้อาการของคุณชายยังไม่ดีขึ้น”หยางชวีเก็บสีหน้าเป็นกังวล แต่มีหรือที่ไป๋ผูอวี้จะมองไม่ออก

“เขาไม่ตายง่ายๆหรอก เจ้าวางใจเถิด”จากที่ซูเหลียนฮวาตรวจชีพจรดูแล้วไม่น่ามีอันตรายถึงชีวิต เพียงแค่ต้องหมั่นบำรุงร่างกายเท่านั้น ลมเย็นวูบหนึ่งพัดมาทำให้ชายเสื้อคลุมสะบัด ไม่ใช่ลมธรรมชาติ แต่เป็นลมจากผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟย ดูเหมือนคำพูดของเขาจะทำให้หยางชวีโกรธ เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ อยู่ ๆเป็นอะไรไปแล้ว

“ท่านต้องการคุยสิ่งใดกับคุณชาย”เขาถามหน้าบึ้งตึง

“เรื่องอาการป่วย ข้าคงไม่จำเป็นต้องยืนขาแข็งอธิบายให้เจ้าฟังทั้งคืนหรอกกระมัง”ไป๋ผูอวี้ไม่อยากยืนอยู่เช่นนี้นานเพราะกลัวมีคนมาเจอ อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่เขาพูด เขาเพียงแค่เอายาสมุนไพรมาให้และตรวจดูอาการของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น

“ซูเหลียนฮวาฝากมาบอกว่านางคิดถึงท่าน ช่วยแวะไปหานางที่หอผูเยว่ด้วย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยโกหก หยางชวีมองหน้าเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิมแต่เขาเห็นเส้นเลือดเต้นตุบๆที่ขมับ ดูท่าหยางชวีจะโดนนางปั่นหัวไม่ใช่น้อย มีเสียงเคลื่อนไหวมาจากเรือนรับรอง หยางชวีย่นคิ้ว นั่นเป็นเรือนของใต้เท้าเฉิน เขาไม่รู้ว่าตาเฒ่าร้ายกาจนั่นมีฝีมือแค่ไหน แต่ตาแก่นั่นอาจรับรู้ได้ว่าไป๋ผูอวี้ลอบเข้ามาในจวน

“ข้าให้เวลาท่านครู่เดียว”หยางชวีถอนหายใจยอมเอ่ยออกมาในที่สุด ไป๋ผูอวี้นึกขันอยู่ในใจเขาจะใช้เวลามากหรือน้อยหยางชวีสั่งได้หรือ บุรุษเคลื่อนไหวรวดเร็วเข้าไปในเรือนนอนของคุณชายเสิ่น ในห้องมีเพียงโคมไฟแขวนอยู่ฉากกันลมเท่านั้น เตียงสี่เสาเป็นเงาตะคุ่มอยู่เบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้ก้าวเข้ามาเงียบๆจนถึงข้างเตียง ม่านสีเข้มถูกปล่อยไว้ เขารวบขึ้น นั่งลงที่ข้างเตียงพบว่าเสิ่นจิ้งเฟยนอนหลับสนิท

“หลับเช่นนี้โดนลอบฆ่าตายไปเจ้าก็ยังคงไม่รู้ตัวกระมัง”ไป๋ผูอวี้พึมพำ แสงจากโคมไฟส่องให้เห็นใบหน้าซีดเซียว เส้นผมดำขลับล้อมรอบใบหน้า ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว เมื่อสังเกตว่าเสิ่นจิ้งเฟยดูซีดเซียวผิดปกติ แค่เวลาไม่กี่ชั่วยามเหตุใดคุณชายเสิ่นถึงได้คล้ายคนป่วยเช่นนี้ เขายื่นมือไปจับชีพจรอีกครั้ง ถอนหายใจโล่งอกเมื่อรับรู้ว่าลมปราณในร่างไหลเวียนดีกว่าเมื่อตอนบ่ายมาก ไป๋ผูอวี้มองใบหน้าซีดขาวของเสิ่นจิ้งเฟยก่อนยื่นมือไปแตะอย่างเบามือ แต่ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะลืมตาสะลึมสะลือทั้งยังคว้าฝามือของเขาไว้

“อืม...”จื่อฟางลืมตาอย่างง่วงงุ่นมองเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่ข้างเตียงก็ใจหายวูบ

“ไป๋ผูอวี้...”เขาพึมพำคิดว่าตนเองฝันไปแน่ถึงได้เห็นไป๋ผูอวี้มานั่งอยู่ข้างเตียง แถมมือก็ยื่นมาสัมผัสแก้มของเขาอีก จื่อฟางมองมือใหญ่ที่ตนจับอยู่ ...อุ่นด้วย

“เหตุใดท่านถึงดูซีดเซียวนัก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม แต่เสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ร่างบางจึงเอาแก้มแนบกับฝามืออุ่นๆของตนพร้อมกับถูไปมาเหมือนแมวตัวหนึ่ง

“...คุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เรียกเบาๆ หมายจะดึงมือออกแต่เสิ่นจิ้งเฟยยิ่งฝังหน้ามากกว่าเก่า ริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะอยู่กับฝามือของเขาให้ความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย

“เสิ่นจิ้งเฟย”ครั้งนี้เขาโน้มตัวไปกระซิบข้างหู ส่งเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย จื่อฟางกระพริบตามองใบหน้าของไป๋ผูอวี้ที่อยู่ใกล้ๆจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆของอีกฝ่าย

“นี่…ไม่ได้ฝันไปเหรอ...”เขาพึมพำ ขมวดคิ้วมุ่น

“ท่านไม่ได้ฝัน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงนิ่ง จื่อฟางมองใบหน้าของไป๋ผูอวี้ที่คล้ายประดับรอยยิ้ม “หรือท่านฝันถึงข้า”

เด็กหนุ่มจึงตื่นเต็มตาแม้จะแปลกใจที่เห็นไป๋ผูอวี้แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนผู้นี้ลอบเข้ามาในห้อง จื่อฟางแสร้งตบที่ว่างบนเตียง “อ้อใช่ ข้าฝันว่าเก็บลูกไหนอยู่ มาเก็บด้วยกันไหมเล่า”

“ข้าไม่มีเวลาล้อเล่นกับท่าน ลุกมาคุยกับข้าดี ๆ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ

“มิใช่เจ้าเป็นฝ่ายล้อเล่นกับข้าก่อนหรือ”จื่อฟางลุกนั่ง ปัดผมยาวสยายออกอย่างรำคาญใจ ไป๋ผูอวี้มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง

“เหตุใดท่านทำตัวลับๆล่อๆกลางดึก หยางชวีเล่า”จื่อฟางแอบลอบยิ้ม รู้ตัวว่าเวลาเสิ่นจิ้งเฟยปล่อยผมแล้วอย่างกับผู้หญิงดี ๆนี่เอง

“อยู่ด้านนอก”บุรุษหนุ่มตอบสั้นๆละสายตามาจากใบหน้าหมดจดของคุณชายเสิ่น

“เขายอมให้ท่านเข้ามาด้วยหรือ”เขาเบิกตาโตอย่างแปลกใจ

“อืม”

“ท่านมีเรื่องใด”จื่อฟางเอ่ยถาม ไป๋ผูอวี้ชอบทำตัวเหมือนโจรเข้าไปทุกที

“ซูเหลียนฮวานำยาสมุนไพรมาให้ท่าน”บุตรชายสกุลไป๋หยิบกระปุกยาลูกกลอนส่งให้เสิ่นจิ้งเฟย

“ท่านมาเพราะนางนี่เอง”คุณชายรูปงามแสร้งพึมพำเบาๆระหว่างที่รับกระปุกยามาจากอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ได้แต่มองหน้าเขาอยู่เงียบๆ

“ท่านมองหน้าข้าอีกแล้ว คิดว่าข้างามใช่หรือไม่”จื่อฟางหยอกล้อ ไหน ๆไป๋ผูอวี้ก็มาแล้วควรจะแกล้งเล่นเสียหน่อย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ตอบคำ

“ท่านกลายเป็นท่อนไม้ไปแล้วหรือ”คนผู้นี้เป็นแบบนี้ทุกที

“ท่อนไม้?”ไป๋ผูอวี้ย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็เวลาข้าแกล้งท่าน ท่านมักทำเช่นนี้เสมอ”เขาตบแผ่นอกของอีกฝ่าย แปลกใจที่ไป๋ผูอวี้มีร่างกายแข็งแรงขนาดนี้ แค่ตบเบาๆก็รู้แล้วว่าภายใต้เสื้อตัวยาวสีขาวมีกล้ามเนื้อ

ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม “หากท่านสนุกที่ได้เล่นกับท่อนไม้เช่นข้า ก็ทำต่อไปเถิด”อีกฝ่ายดูมั่นใจมากว่าจื่อฟางคงอ่อยไม่สำเร็จ

“เจ้าใจดียิ่งนัก”ร่างบางเอ่ยประชด เปิดกระปุกดมยาลูกกลอน กลิ่นขมลอยมาแตะจมูก ซูเหลียนฮวาเก่งเรื่องสมุนไพร หากได้ยาของนางมาบำรุง ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยอาจดีขึ้นก็ได้

“ฝากขอบคุณนางด้วย”จื่อฟางคิดว่าจะลุกลงจากเตียงเพราะนึกถึงพัดจีบที่ยังไม่ได้ให้ไป๋ผูอวี้เสียที 

“แล้วท่านเป็นอย่างไร เหตุใดถึงดูซีดเซียวอีกแล้ว”

“ข้า...”จื่อฟางนึกถึงเรื่องเมื่อเย็น คิดหาคำพูดอธิบาย “ลมปราณของข้าติดขัดเล็กน้อย ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก”

ไป๋ผูอวี้มองคุณชายร่างกายผอมบางแล้วถอนหายใจ ตัวผอมบางเช่นนี้ ผู้ใดยังคิดวางยาอีก จื่อฟางก้าวลงจากเตียงพลันเกิดอาการวิงเวียนขึ้นมา ร่างกายจึงซวนเซ ไป๋ผูอวี้เห็นท่าไม่ดีตั้งใจจะคว้าแขนของอีกคนไว้แต่เขาคิดช้าไปเพราะร่างของคุณชายตรงหน้าเซล้มอยู่บนตัวเขา เหตุการณ์คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในห้องดื่มชาส่วนตัวเมื่อนานมาแล้ว แต่ริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยกระแทกกับริมฝีปากของเขาเต็มแรง ...แรงเสียจนไป๋ผูอวี้รับรู้รสชาติคาวเลือดในปาก ดันกัดปากตัวเองเสียได้

“โอ๊ยย”จื่อฟางหลุดร้องออกมา ยกมือแตะริมฝีปากที่ปวดตุบๆทันที หยางชวีเฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องของเสิ่นจิ้งเฟยก็รีบเข้ามาดู

“คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือไม่…”หยางชวีก้าวพรวดไปหลังฉากบังลม แต่ก็อ้าปากค้าง คำพูดหายไปในลำคอเมื่อเห็นภาพตรงหน้า คุณชายเสิ่นซบอยู่บนตัวของไป๋ผูอวี้ด้วยริมฝีปากมีเลือดซึม จื่อฟางตกใจที่หยางชวีเข้ามาเร็วขนาดนี้จึงรีบปล่อยมือที่จับริมฝีปากออกเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไป๋ผูอวี้ขยับถอยห่างจากเขาเช่นกันแต่ลืมคิดไปว่าด้านหลังคือเสาเตียง ดังนั้นศีรษะของบุรุษผู้นั้นจึงขยับกระแทกกับเสาเตียงดังโป๊ก

จื่อฟางหลุดขำทันที “ฮ่าๆ”เพิ่งเคยเห็นไป๋ผูอวี้เป็นเช่นนี้ แม้เจ็บปากเล็กน้อยแต่ก็ยังหัวเราะได้ เด็กหนุ่มหันมองหยางชวีด้วยสายตาแพรวพราว

“เจ้ามาขัดจังหวะข้ากับไป๋ผูอวี้ทำไม หากได้ยินเสียงอะไรก็ทำหูทวนลมไปซะ”เขาเอ่ยแกล้งหยางชวี ใบหน้าเรียบเฉยของหมอนั่นแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

“ท่าน…”ไป๋ผูอวี้เอ่ยแทรก แต่จื่อฟางยกนิ้วแตะริมฝีปากของอีกฝ่ายไว้

“ชู่วว”เด็กหนุ่มมองเห็นเลือดไหลซิบ ๆก็ใช้นิ้วปาดออกให้ ไป๋ผูอวี้ตัวแข็งทื่อสีหน้างุนงงคล้ายกับไม่เข้าใจเรื่องราว อาจเป็นเพราะแสงสะท้อนของโคมไฟเพราะเขาเห็นใบหูของไป๋ผูอวี้แดงเถือก

“คุณชายท่านกับ…”หยางชวีไม่กล้าเอ่ยคำอีก เขาทนอยู่ในบรรยากาศแปลกๆระหว่างทั้งสองคนไม่ไหวจึงรีบหมุนตัวออกไปทันที ไป๋ผูอวี้กับคุณชายเสิ่น…เรื่องจริงหรือ

“เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ แกล้งหยางชวีสนุกนักหรือ”ไป๋ผูอวี้ได้สติก็กดเสียงต่ำเอ่ยเบาๆ คุณชายเสิ่นติดนิสัยของซูเหลียนฮวามาหรือไร

“สนุกสิ ครั้งก่อนเขากลัวข้าไปตั้งหลายวัน”จื่อฟางนึกแล้วก็หัวเราะเบาๆ ยังคงแกล้งซบอยู่บนแผ่นอกของไป๋ผูอวี้ ไออุ่นจากร่างแข็งแกร่งทำให้เขาอยากกอดแน่นๆ ท่อนไม้ไป๋เหมาะเป็นหมอนข้างจริง ๆ จื่อฟางฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นตุบๆกระทบหู

ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วก้มมองคุณชายเสิ่นที่ยังคงไม่ยอมผละไปจากร่างตน ดูไปคล้ายลูกแมวที่มาเอาใจเจ้าของ ไป๋ผูอวี้หัวใจสูบฉีด เขาคิดอะไรอยู่ คุณชายเสิ่นน่ะหรือคล้ายแมว เขาขยับตัวดันไหล่ของเสิ่นจิ้งเฟยเบาๆ ‘ท่านสบายเกินไปแล้ว’

“คราวก่อนข้าแค่แกล้งบอกว่าอยากให้เขาปรนนิบัติบนเตียงเท่านั้นเอง”ไป๋ผูอวี้ชะงักมือ สายตาก้มมองร่างในอ้อนแขน คุณชายเสิ่นประสานสายตากับเขาเช่นกัน นัยน์ตาเป็นประกายอยู่ในความมืด บุรุษหนุ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ได้ยินแต่คำว่า‘ปรนนิบัติบนเตียง’ดังก้องอยู่ในหู

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางผละออกมามองดูอีกฝ่าย เจ้านี่กลายเป็นท่อนไม้อีกแล้ว

“ปรนนิบัติบนเตียง…เรื่องเช่นนี้ล้อเล่นได้ด้วยหรือ”ไป๋ผูอวี้เพิ่งรับรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นดั่งสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ท่าทางเช่นนี้ค่อยเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยที่เขาเคยรู้จัก

“ท่านกับหยางชวีคงไม่ได้…”ชายหนุ่มมีสีหน้าคลางแคลงใจ

“เหลวไหล!”เขาถลึงตาใส่ทันที

“แล้วหลี่ฮุ่ยจือเล่า…”ไป๋ผูอวี้ถามเรื่องนี้อีกแล้ว

“ข้าไม่ได้ชอบเขา คนเช่นนั้นมีสิ่งใดน่าคบหานอกจากอำนาจ”จื่อฟางเผลอพูดอย่างที่ใจคิด คนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะยอมคบกับหลี่ฮุ่ยจือเพื่ออะไร เขาเองไม่แน่ใจเรื่องรสนิยมของร่างนี้นัก

“ท่านก็เลยยอมทนคบหากับเขาทั้ง ๆที่ต้องถูกแทะโลมน่ะหรือ เพราะอำนาจ?”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มมุมปาก รู้สึกเหมือนได้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม แค่เพราะอำนาจ…

จื่อฟางรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงแววค่อนแขวะ รอยยิ้มของไป๋ผูอวี้ทำให้รู้สึกแปลกๆ เขาไม่ได้ตอบโต้เพราะเดาใจเสิ่นจิ้งเฟยไม่ถูก แต่ที่ไป๋ผูอวี้พูดมาก็จริง ชายหนุ่มจับจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบอยู่พักใหญ่

“…”

ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ “ดูเหมือนท่านจะไม่เป็นไรแล้ว”

“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีของให้ท่าน”จื่อฟางรีบเอ่ย ไป๋ผูอวี้เหมือนอยากกลับแล้ว เขาจึงลุกเดินไปที่หีบหนังวัวสีเหลืองใบแรกสุดที่ตู้ข้างเตียง จำได้ว่าจางต้าเอาเก็บไว้ที่หีบใบนี้ เมื่อเปิดเจอกล่องสีดำเรียบ ๆเขาก็หยิบออกมา ไป๋ผูอวี้ยืนเอามือไพล่หลังสีหน้าปรอดโปร่ง แต่เหตุใดตนกลับรู้สึกว่าไป๋ผูอวี้ดูเย็นชาชอบกลเพราะเรื่องหลี่ฮุ่ยจือน่ะหรือ

“ข้าวาดให้ท่าน ความจริงข้าจะมอบให้ตั้งแต่เกิดเรื่องหลี่ฮุ่ยจือแล้ว”เขาส่งให้กล่องพัดให้อีกฝ่าย

“ข้าจำได้ว่าท่านส่งชาชั้นดีมาให้ไม่ใช่หรือ”ไป๋ผูอวี้คลี่พัดออก กวาดตามองภาพวาดนกกระเรียนในหมู่สน เขาไล่สายตาจนถึงตัวอักษรแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ท่านเขียนสิ่งใด”ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสนใจ

“แค่ลายเส้นไร้สาระน่ะ”จื่อฟางได้แต่เอ่ยตอบไปเช่นนั้น ไป๋ผูอวี้ไม่ปักใจเชื่อนักแต่ก็หุบพัดเก็บ

“ขอบคุณมาก ข้าจะเก็บไว้อย่างดี”ไป๋ผูอวี้ชะงักเล็กน้อย เมื่อนึกได้ว่าที่ตนมาก็เพราะมีเรื่องจะถามเสิ่นจิ้งเฟย   

“ข้ามีคำถาม เรื่องที่ท่านถูกวางยาพิษ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยหรือ”บุรุษหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ จื่อฟางส่ายหน้า

“ท่านพอจะสงสัยหรือไม่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด”

“ข้าพยายามขบคิดแต่ก็หาคำตอบไม่ได้เสียที”หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอาจจะรู้ก็ได้

“ท่านโดนพิษมานานแค่ไหนแล้ว”

“เกือบๆหนึ่งปี”เขาตอบตามที่หมอกู้บอก

“ท่านไม่สงสัยหรือเหตุใดคนที่คิดร้ายต่อท่านถึงปล่อยให้ท่านลอยนวลเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้ซักถามจนเขารู้สึกว่ากำลังให้การกับตำรวจ

“ก็คงหาจังหวะอยู่กระมัง อย่างที่เห็นร่างกายของข้าเป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าคนผู้นั้นคงพอใจ”ถึงจะไม่ตายแต่ ผลกระทบสำหรับคนร่างกายบอบบางอย่างเสิ่นจิ้งเฟยถือว่าหนักหนา

“ท่านควรระวังตัวไว้ หยางชวีไม่ได้อยู่ช่วยท่านตลอดเวลา ท่านก็อย่าเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่ง”ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาอยู่นานจนจื่อฟางอึดอัด เหตุใดวันนี้ท่อนไม้ไป๋มองหน้าตนบ่อยนัก

“โจรที่ท่านวาดภาพถูกจับแล้ว เขาเป็นคนของอ๋องสามหรือหลิวอ๋องเจี่ยซิน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นหู จับตามองดูท่าทีของเสิ่นจิ้งเฟยว่ามีพิรุธหรือไม่ หากเสิ่นจิ้งเฟยรู้จักกับหลิวอ๋อจริงคงเป็นเรื่องยุ่งยากเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปวุ่นวายได้ แค่เขามาเกี่ยวข้องกับเสิ่นจิ้งเฟยก็ถือว่าล้ำเส้นที่ตนเองขีดไว้มากแล้ว

“อ๋องสาม?”จื่อฟางทวนคำอย่างงุนงง มองหน้าไป๋ผูอวี้อย่างไม่เข้าใจ เขาไม่รู้จักอ๋องสามหรือหลิวอ๋องอะไรทั้งนั้น แล้วเหตุใดขอทานคนหนึ่งถึงเป็นคนของท่านอ๋องได้

“เจ้าคนตัวเหม็นนั่นน่ะเหรอ เขาจะเป็นคนของท่านอ๋องได้อย่างไร”ดูไปแล้วเหมือนขอทานคนหนึ่งมากกว่า

“ขอทานทำอะไรได้มากกว่าที่ท่านคิด สืบข่าว ส่งข่าว ทำได้ทั้งนั้น”

“อย่างนี้นี่เอง”จื่อฟางพึมพำ ราวกับสายลับ ในวงการตำรวจก็มีพวกนอกเครื่องแบบแฝงตัวอยู่ในชุมชนเสมอ แต่เดี๋ยวนะถ้าเช่นนั้นเขาก็เป็นคนที่ทำให้คนของท่านอ๋องถูกจับน่ะสิ… 

“อ๋องสามเป็นคนสุขุมเด็ดขาด ท่านมีส่วนทำให้คนของเขาโดนจับ…”ไป๋ผูอวี้ทิ้งท้ายไว้ แต่จื่อฟางเข้าใจความหมายทันที ดูเหมือนว่าเขาจะไปล่วงเกินท่านอ๋องคนหนึ่งเข้าแล้ว

“ข้าไม่รู้นี่ว่าขอทานเป็นคนของท่านอ๋อง เขาคงไม่มาเล่นงานคนอย่างข้าหรอกกระมัง”จื่อฟางนึกกลัวขึ้นมา

“ก็ต้องดูว่าท่านมีค่าพอให้เขาเล่นงานหรือไม่”คำพูดของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาขมวดคิ้ว

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”จื่อฟางมีสีหน้าสับสน

“ท่านย่อมรู้ตัวดี”ไป๋ผูอวี้พูดด้วยเสียงกระซิบ แววตาคมปราบ บุรุษหนุ่มเพียงพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น

จื่อฟางใจเต้นแรงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา เสิ่นจิ้งเฟยเจ้าทำสิ่งใดอยู่กันแน่?

“ข้าไม่รบกวนเวลานอนท่านแล้ว”ไป๋ผูอวี้มาทิ้งระเบิดไว้ก็จากไป เงาร่างสูงใหญ่หายไปจากหน้าต่าง เพียงครู่เดียวก็หายไปจากสายตาแล้ว จื่อฟางย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ขอทานมาชนตนเองอีกครั้ง หากขอทานนั่นไม่ใช่ขอทานธรรมดาตามที่ไป๋ผูอวี้บอก เป็นไปได้หรือไม่ที่รู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟย…เขานึกถึงท่าทางแปลกๆของขอทานผู้นั้นตอนที่มาชนตนแล้วจื่อฟางไม่เอาเรื่อง ขอทานมีสีหน้าแปลกใจ ทั้งยังเป็นคนของอ๋องสาม 

“คุณชายท่านควรพักผ่อนได้แล้ว”เสียงของหยางชวีดังแว่วออกมาจากนอกประตู เขาไม่ได้ตอบกลับ ได้แต่เดินไปเดินมาอย่างกังวล สายตาของจื่อฟางพุ่งไปที่หีบหนังวัวสีเหลืองที่เอาไว้สะสมพัดสามสี่ใบของเสิ่นจิ้งเฟย เขาเคยเปิดดูไปหีบเดียวเท่านั้น จื่อฟางมองไปที่ประตูห้องก่อนจะก้าวเบาๆไปที่หีบทั้งสี่ใบ หีบแรกเขาเคยเปิดแล้ว จึงเปิดหีบที่สองเต็มไปด้วยกล่องใส่พัดเต็มหีบ ใบที่สามมีแต่พัดเช่นกัน เด็กหนุ่มเปิดกล่องดูพบว่าเป็นพัดกระดาษธรรมดา น่าแปลก เขาไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะชอบพัดเรียบง่ายเช่นนี้ บนพัดมีลายมือบรรจงตวัดเขียนบทกวีไว้ ลายมือของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายๆกับเขาจนน่าแปลก จื่อฟางคิดว่าบทกวีน่าสนใจ แต่เวลานี้ดึกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาอ่าน ร่างบางขยับเปิดหีบใบสุดท้าย ค่อนข้างเปิดยาก เขาออกแรงจนหอบแฮ่ก สายตาเหลือบมองที่ประตูห้องกลัวว่าหยางชวีจะเข้ามา หีบใบนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังในนั้นมียาสมุนไพรซุกซ่อนอยู่จริง ๆ

‘ที่แท้เจ้าก็ซ่อนไว้ตรงนี้นี่เอง’

จื่อฟางหยิบกระปุกยาลูกกลอนมาดู นอกจากนั้นยังมีหนังสือนิยายและตำราเก่าๆ เขาหยิบตำราเล่มบาง ๆมาดูในตำรามีตัวอักษรเรียงเป็นคำว่าโหยวหลันอย่างบรรจง โหยวหลันเป็นชื่อมารดาของเสิ่นจิ้งเฟย นางเขียนตำราเล่มนี้หรือ เมื่อเปิดดูคร่าวๆก็พบว่าเป็นบทเพลงสำหรับบรรเลงกู่เจิง ตำราอื่น ๆเป็นตำราความรู้ทั่วไป และหนังสือนิยายหน้าปกเก่าๆ จื่อฟางหยิบมาดูเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือแนวชายรักชาย

เสิ่นจิ้งเฟยมีรสนิยมเช่นนี้จริงหรือ ผิดคาแรคเตอร์ในนิยายอย่างรุนแรง เขารีบพลิกเปิดอ่านคร่าวๆ มีภาพประกอบด้วย เขาเปิดไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่งสอดไว้ ดูจากความเก่าน่าจะถูกสอดเก็บไว้นานแล้ว เด็กหนุ่มเดินไปอ่านตรงโคมไฟ ลายมือบรรจงปรากฏให้เห็น แต่บางคำลงน้ำหนักไม่เท่ากันบ่งบอกว่าผู้เขียนใส่อารมณ์ไปด้วย แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งใจเต้นแรง บทความนี้คล้ายเป็นบทความวิพากษ์ฮ่องเต้

จื่อฟางคิดไม่ถึงว่าคนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะมีความคิดเช่นนี้ สนใจเรื่องราวในราชสำนักด้วยหรือ ในบทความกล่าวว่าฮ่องเต้ปกครองได้ดี แต่ก็มีส่วนที่แย่ ฮ่องเต้รักสนุก ขาดว่าราชการบ่อยครั้ง หมกมุ่นเรื่องกามารมณ์ แอบเลี้ยงดูชายงามด้วย จื่อฟางต้องอ่านซ้ำอยู่หลายรอบเพราะกลัวตนเองอ่านผิด เรื่องราวเหล่านี้เสิ่นจิ้งเฟยรู้ได้อย่างไร เขาเม้มปากอ่านถ้อยคำบรรทัดสุดท้ายที่ทำให้เขาใจหวิว เสิ่นจิ้งเฟยขวัญกล้าเกินไปแล้ว

‘ฮ่องเต้ตระบัดสัตย์ มิสมควรครองราชย์’

เขาพ่นลมหายใจเบาๆ ในยุคที่ฮ่องเต้คือคนตัดสินชีวิต เขาจะต้องทำลายบทความนี้เสีย เสิ่นจิ้งเฟยเขียนวิพากษ์ได้เช่นนี้ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่คนโง่

เสิ่นจิ้งเฟยเจ้ายังมีความลับใดอีก!





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-02-2018 13:08:34
ความลับเยอะจริงๆ สรุปว่าอนุมีอยู่จริง
คุณชายนี่ชีวิตลำบากจริงนะ ที่ทำไปทั้งหมดเพื่อสร้างข่าวลือแน่เลย ทำตัวอ่อนแอ เกเร เที่ยวหอนางโลม แอบรักคุณหนูฉิน เดาว่าคือการสร้างแผนลวงเพื่อเอาชีวิตรอด
นี่ถ้าจื่อฟางไม่เข้าร่าง มีเหรอที่จะได้สนิทกับไป๋ผู่อวี้แบบนี้ แค่จะคุยกันดีดียังไม่เห็นวี่แววเลย
ปมเยอะดีค่ะ เรานึกไปว่าตอนนี้ร่างจริงของจื่อฟางมีคุณชายเสิ่นดูแลอยู่ หรือไม่ก้อเวลาในโลกความจริงผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีในขณะที่ในนิยายเวลาผ่านไปเป็นปี
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 19-02-2018 13:30:37
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นนนนนนน รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Akanasan ที่ 19-02-2018 14:14:59
ไม่ธรรมดาแฮะเสิ่นจิ้งเฟยมีความลับเยอะอะไรเบอร์นั้น
 :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 19-02-2018 15:30:40
แล้วเสิ้นจิ้งเฟยหายไปไหน??
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 19-02-2018 15:42:00
ทำตัวเสเพลกลบเกลื่อนตัวตนแน่ๆ เอาวะ พระรองนำมาขนาดนี้ จื่อฟางสืบเลย เดี๋ยวจะแย่เอา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 19-02-2018 15:47:03
รออ่านเรื่องนี้ กำลังเข้มข้นเลย  o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-02-2018 15:58:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 19-02-2018 18:59:42
อื้อหื้อตอนนี้มีครบ พระเอกเค้ามีหึงจื่อฟางหน่อยๆแล้ว ส่วนจิ้งเฟยกะอ๋องสามต้องรู้จักกันแน่เลย เผลอๆที่ยอมคบกับหลี่ฮุ่ยอาจจะมีนัยยะทางการเมืองแอบแฝง ยิ่งอ่านยิงสนุกค่ะ ติดเรื่องนี้งอมแงมเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 19-02-2018 19:11:11
เสิ่นจิ้งเฟย ทำตัวเสเพลเพราะผิดหวัง จากการแอบรักฮ่องเต้ จินตนาการล้ำเลิศ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-02-2018 19:34:49
ยังไงๆ.........อยากอ่านต่ออีกแล้ว   :z3: :z3: :z3:

เส่ยจิ้งเฟยทำไมวิพากษ์ฮ่องเต้  :katai1:
ทำไมรู้เรื่องลับๆของฮ่องเต้ได้  :ling1:
หรือเส่ยจิ้งเฟย รู้จักกับอ๋องสาม  o22
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-02-2018 20:07:26
จริงๆน่าจะเป็นคนฉลาดมากๆ ถึงขนาดเขียนบทความวิพากย์ฮ่องเต้ ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ตื่นเต้นไปหมด ค่อยๆเฉลยมาทีล่ะนิด  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 19-02-2018 21:49:34
ปมเริ่มเยอะเรื่อยๆแล้ว คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่ได้โง่ ทุกอย่างน่าจะถูกนางจัดฉากไว้ เพื่อเอาชีวิตรอดให้คนคิดว่าเป็นคนไม่เอาไหนจะได้ไม่มีคนสนใจ แล้วเสิ่นจิ้นเฟยตัวจริงอยู่ไหนกันนะ จะอยู่ในร่างของจื่อฟางหรือว่าอยู่ที่ไหนสักที่ในโลกนิยาย แล้วร่างของจื่อฟางในโลกจริงจะเป็นยังไง น่าติดตามๆ :hao4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 19-02-2018 22:37:09
ติดตามตอนต่อไปปปปปป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 19-02-2018 23:27:58
เริ่มซับซ้อน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-02-2018 23:42:19
มีความลับกันหมดทุกตัวละครเลย จื่อฟางจะรู้ความลับอะไรต่อไปบ้างนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 20-02-2018 01:19:56
มารอยิ่งอ่านยิ่งลุ้น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 20-02-2018 02:52:06
ตัวจริงนางแค่แกล้งโง่สินะ
คุณพระเอกตาแหลมคม เรื่องที่เห็นเสิ้นจิ้งเฟยโง่กว่าเดิม
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-02-2018 03:17:51
สนุกมาก รอติดตาม
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 20-02-2018 12:08:29
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-02-2018 19:45:36
แปะป้ายรออออ สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 20-02-2018 22:54:50
ความลับเยอะจริงๆ :mew5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-02-2018 23:41:07
ยิ่งอ่านเนื้อเรื่องยิ่งน่าติดตาม อยากอ่านต่อเรื่องสนุกมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kimlowbatt ที่ 21-02-2018 05:45:27
คาดว่าเสิ่นจิ้งเฟยแกล้งโง่เพื่อสิบอะไรซักอย่าง
อาจจะเป็นคดีของปู่ก็เป็นได้
อึดอัด อยากรู้มากกกกกกกกกก   :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Thunderyong ที่ 22-02-2018 00:32:40
อยากอ่านต่อล๊าววววววววววววว :z13:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 22-02-2018 09:53:56
เพราะว่ายังอ่านนิยายไม่จบด้วยหรือเปล่าจึงมีหลายเรื่องที่ยังไม่เฉลย

แล้วถ้าเป็นชายรักชายจริง ที่เศร้าจนไปเมาที่หอนางโลม จนมาเข้าร่างได้นี่ยังไง


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-02-2018 17:52:50
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Toxic ที่ 22-02-2018 23:06:51
 :z1: :z1: เค้าหูแดงแล้วนะจื่อฟาง :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 23-02-2018 21:48:52
สนุกกกกกค่ะ น่าติดตามมากกกก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ:ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 24-02-2018 11:38:08

บทสิบ: ข่มขู่



เสียงตีกลองบอกเวลายามเหม่า ดังขึ้นฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แต่จื่อฟางถูกหยางชวีปลุกให้ลุกจากเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือ เขาลุกมาบ้วนปากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น พบว่าจางต้ากำลังเคี่ยวยาสมุนไพรอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางขันแข็ง จื่อฟางสวมเสื้อคลุมทับเสื้อผ้าไหมตัวบางเดินตามหยางชวีออกไปนอกเรือน อากาศเย็นยามเช้าไล่อาการง่วงงุ่นได้ดีนัก

“เจ้าจะให้ข้าทำอะไร”เขาถามระหว่างที่คนตรงหน้านำเขาออกมาที่ลานบ้าน สายลมพัดเอื่อยๆทำให้ใบหลิวส่ายไหวน้อยๆ

“ออกกำลังสักเล็กน้อยจะช่วยกระตุ้นร่างกายของคุณชาย...”หยางชวีร่ายสารพัดประโยชน์ของการออกกำลังให้เขาฟัง หมอนี่ว่าอย่างไรเขาก็ทำตามนั้น การออกกำลังที่ว่าคล้ายกับการรำไทเก็ก หยางชวีให้เขาฝึกเพียงสามท่า แต่ไม่คิดว่าเท่านี้ก็ทำให้เขาเหนื่อยหอบแล้ว ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยบอบบางจริง ๆ บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นคุณชายตื่นแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งยังฝึกกำลังกับหยางชวีอีก สาวใช้ลู่เฟยแอบมาเมียงมองอยู่หลายคราแต่ก็โดนพ่อบ้านสุ่ยไล่กลับไปทำหน้าที่ของตน

“พอก่อนได้หรือไม่”ถึงปากจะเอ่ยถามแต่เขาไม่รอฟังคำตอบนั่งพักที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ทันที หยางชวีรอจนคุณชายเสิ่นหายใจเป็นปกติจึงค่อยช่วยเดินลมปราณ ครั้งนี้จื่อฟางรู้สึกสั่นสะท้านน้อยกว่าคราวก่อน ใจนึกไปถึงบทความวิพากษ์ฮ่องเต้ของเสิ่นจิ้งเฟย เรื่องของอ๋องสามและคำพูดของไป๋ผูอวี้เมื่อคืน ก็ต้องดูว่าท่านมีค่าพอให้เขาเล่นงานหรือไม่ หรือว่าเสิ่นจิ้งเฟยเกี่ยวข้องกับอ๋องสามผู้นั้นจริง ๆ? แล้วอ๋องที่ว่ามีประวัติความเป็นมาเช่นไร เหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงไปรู้จักมักจีได้

“คุณชายไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือ”เสียงของหยางชวีทำให้จื่อฟางกลับมามีสติ เขากระพริบตาเพิ่งรู้สึกตัวว่าชายหนุ่มเดินลมปราณให้เสร็จแล้ว

“เจ้าว่าอะไรนะ”เขาถามซ้ำ หยางชวีเดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้า

“คุณชายสิ่งที่ท่านควรรู้หากคิดจะฝึกวิชาลมปราณคือสมาธิและจิตตั้งมั่น หากคุณชายไม่พร้อมข้าก็ไม่อยากเร่งรีบ กลัวว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงติติง

“ข้าแค่คิดฟุ้งซ่านมากไปหน่อย เจ้าว่าอะไรพูดมาอีกทีซิ”จื่อฟางถามอีกรอบ

“ข้าบอกว่าท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะให้ท่านออกกำลังตอนเช้าทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง บางทีข้าควรให้ท่านนั่งสมาธิเพิ่มด้วย คุณชายจะได้ไม่กลายเป็นคนสมาธิสั้นไปเสีย”คนสมาธิสั้น จื่อฟางมุ่นคิ้ว เจ้านี่กล้าพูดเช่นนี้กับเขาแล้วหรือ แต่ก่อนไม่ได้เป็นคนแบบนี้เสียหน่อย

“เจ้าดูเปลี่ยนไปจากตอนที่มารับใช้ข้าวันแรกนะหยางชวี”เขายิ้ม แต่ก็ดีแล้วเขาชอบที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มากกว่า

“มนุษย์ย่อมพัฒนาขึ้น คุณชายก็ต้องพัฒนาเช่นกัน”บุรุษตรงหน้าตอบโต้อย่างไหลลื่น จื่อฟางอ้าปากจะพูดแต่ก็คิดว่าเถียงไปคงโดนสวนกลับมาด้วยถ้อยคำสำบัดสำนวนจึงเลือกที่จะเงียบ เขาถอนหายใจลุกยืนบิดเนื้อบิดตัวไปมา มองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง

“คุณชาย…เมื่อคืนท่านทำอะไรดึกดื่นหรือ ข้าได้ยินเสียงจากด้านนอก”หยางชวีเอ่ยถามเลี่ยงไม่เอ่ยถึงไป๋ผูอวี้ ภาพที่เห็นเมื่อคืนเขาไม่แน่ใจนักว่าคุณชายแค่แกล้งเล่นหรือเป็นเรื่องจริง แต่บรรยากาศระหว่างคุณชายและไป๋ผูอวี้ก็ดูคลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าหมายถึงที่ข้าทำกับไป๋ผูอวี้?”เขาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ลอบมองหยางชวีที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

“คุณชายเสิ่น…”

“ไม่มีอะไร ข้าแค่นอนไม่ค่อยหลับคิดเรื่องท่านพ่อ เจ้าทำงานกับพ่อข้ามานาน คิดว่าเขาเป็นคนเช่นไร”จื่อฟางยกเรื่องนี้มาพูดแทน เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้าซักไซ้มากความแน่นอน เขายังไม่ไว้ใจหยางชวีเต็มร้อย ถึงอย่างไรหมอนี่ก็ยังต้องรายงานเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาให้เสิ่นมู่หยางฟังอยู่ดี น่าเสียดายจริง ๆ หากได้หยางชวีเป็นพวกคงอุ่นใจไม่น้อย

“ข้าน้อยไม่กล้า”คุณชายแกล้งเขาอีกแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นใดๆเกี่ยวกับเจ้านายทั้งสิ้น

“เจ้าช่างน่าเบื่อจริงๆ”จื่อฟางพึมพำ หยางชวีได้แต่นิ่งเงียบ รู้ดีว่าคุณชายเสิ่นยกเรื่องนี้มาเบี่ยงประเด็น ถึงอย่างไรคุณชายก็คงไม่ไว้ใจเขาง่ายๆ เพราะเขาทำงานให้นายท่านเสิ่น ชายหนุ่มรู้ว่าการทำให้คนเชื่อใจต้องใช้เวลา เขาไม่รีบร้อน ดูท่าคุณชายจะมีความลับมากกว่าที่คิด หยางชวีได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังเข้ามาใกล้จึงถอยเว้นระยะห่างจากคุเสิ่นจิ้งเฟย พอดีกับร่างสูงใหญ่ของเสนาบดีเสิ่นก้าวเข้ามาในบริเวณลานบ้าน เขาสวมชุดขุนนางสีเข้มเสริมให้ดูน่าเกรงขามกว่ายามปกติ

“เจ้าตื่นเช้าเป็นด้วยหรือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ วันนี้ฮ่องเต้ไม่เรียกประชุมท้องพระโรง เขาก็เลยไม่ต้องตื่นแต่ฟ้ามืด เห็นว่าเช้านี้อากาศดีจึงออกมาเดินเล่นรับลมรอเวลาไปราชสำนักแต่ได้ยินเสียงดังมาจากเรือนของบุตรชายจึงแวะมาดูก็พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยและหยางชวีพูดคุยอยู่ในลานบ้านท่าทางดูเข้ากันได้ดี ทีแรกเขาคิดว่าบุตรชายไม่ชอบใจที่ตนส่งคนมาตามติดเสียอีก

จื่อฟางเก็บสีหน้าประหลาดใจก่อนเอ่ยตอบ “ข้าแค่อยากสูดอากาศยามเช้าดูบ้างว่าจะสดชื่นอย่างที่เขาว่ากันหรือไม่”เขาใช้น้ำเสียงสบายๆ เสิ่นมู่หยางได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง กวาดตามองใบหน้าหมดจดที่แฝงความซีดเซียวของบุตรชายก่อนเบนหันมองหยางชวีด้วยสายตาตักเตือน ตอนที่ให้หยางชวีมาทำหน้าที่เขาบอกอีกฝ่ายไปว่าให้ทำหน้าที่ให้ดี อย่าคิดสนิทสนมกับบุตรชายของเขา คงไม่ได้ถูกเจ้าเด็กนี่หลอกตีสนิทอยู่กระมัง

“ฝีมือวาดภาพของเจ้าถูกพูดถึงไปทั่ว”ผู้เป็นบิดาพยายามสานต่อบทสนทนาเพราะคิดว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกับบุตรชาย ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยวางตัวห่างเหินกับตนยิ่งนัก เสิ่นมู่หยางรู้ว่าเจ้าเด็กนี่เคยใช้ให้คนตามสืบเรื่องของเขาและค่อนข้างแน่ใจว่าบุตรชายทราบเรื่องที่ปกปิดไว้แล้ว แต่เสนาบดีเสิ่นกลับไม่มีความกล้าจะเอ่ยบอกด้วยตัวเองเพราะเกรงว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะทำใจไม่ได้และยามนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่สมควร

จื่อฟางคงดีใจอยู่หรอกหากการแสดงฝีมือของตัวเองไม่ได้แลกมาด้วยการทำให้คนของอ๋องสามถูกจับ

“แค่ความสามารถเล็กน้อยของข้าเท่านั้น”เด็กหนุ่มพูดถ่อมตัว เสิ่นจิ้งเฟยอย่างกับดาราที่ไม่ว่าจะมีเรื่องดีหรือเรื่องแย่ก็เป็นที่พูดถึงตลอดไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยทนไปได้อย่างไร เสิ่นมู่หยางได้ยินคำว่าความสามารถก็นึกได้ว่าไม่ได้ยินบุตรชายบรรเลงกู่เจิงมาสักพักแล้ว

“จริงสิ พักนี้ข้าไม่เห็นเจ้าฝึกกู่เจิง เพลงบทใหม่ที่เจ้าพูดถึงคงไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆหรอกกระมัง”เขาลูบคางไปมา ระหว่างสำรวจดูบุตรชาย โหยวหลันเคยเขียนบทเพลงไว้ เสิ่นจิ้งเฟยจึงมักบรรเลงเพลงที่นางชอบบ่อย ๆ แต่พักนี้เขากลับไม่ได้ยินเสียงดีดกู่เจิงดังมาจากเรือนของบุตรชายเลยสักครั้ง เสิ่นจิ้งเฟยมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก ชื่อเสียงและฝีมือจึงเป็นที่กล่าวถึง กระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงยังเคยเรียกเสิ่นจิ้งเฟยไปบรรเลงให้ฟังถึงวังหลวง ตอนนั้นเขาไม่สบายใจมากเพราะข่าวลือที่ฝ่าบาททรงเลี้ยงดูชายงามเป็นเรื่องจริง บุตรชายของเขามีใบหน้าหมดจดจึงหวาดกลัวว่าฝ่าบาทจะสนใจในตัวบุตรไม่เอาไหนผู้นี้เข้า

“เรื่องนั้น…”อา แย่แล้ว! จื่อฟางใจกระตุก “พักนี้ข้าไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่…”

“เอาเถอะ ข้าไม่ได้เร่งร้อน หากฝึกเสร็จสมบูรณ์เมื่อใดก็มาบรรเลงให้ข้าฟัง”เสิ่นมู่หยางตบบ่าบุตรชายเบาๆ ก่อนหันมองหยางชวีด้วยสายตาคมปราบ

“เจ้ามากับข้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเสียงห้วนก่อนหมุนตัวออกไปจากลานบ้าน หยางชวีเดินตามผู้เป็นนายออกไปด้วยจิตใจที่ไม่กริ่งเกรง เตรียมพร้อมกับการถูกซักถามแล้ว

จื่อฟางมองร่างของทั้งสองจนลับตาก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เสิ่นจิ้งเฟย เจ้ารู้ไหมว่าทำให้ข้าเจอแต่เรื่องยุ่ง! เขารีบกลับไปในเรือน คิดฉวยโอกาสตอนที่หยางชวีไม่อยู่สอบถามจางต้าเรื่องอ๋องสาม เขาต้องรู้คร่าวๆก่อนว่าคนผู้นี้เป็นใคร จะได้จับต้นชนปลายได้ถูก หากได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยก็ดีน่ะสิ

จื่อฟางตรงไปที่เรือนนอน บ่าวคนสนิทยังคงเฝ้าหมอต้มยาอยู่เช่นเคย “จางต้า...เจ้าเคยได้ยินเรื่องของอ๋องสามบ้างหรือไม่”

เขาเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า สายตาสอดส่องอยู่ที่ประตูราวกับกลัวว่าหยางชวีจะกระโดดโผล่เข้ามาได้ทุกเมื่อ

“อ๋องสาม? เคยได้ยินสิขอรับ ท่านถามทำไมหรือ”จางต้าถามเสียงฉงนเงยหน้ามองคุณชายเสิ่นด้วยความแปลกใจ ปกติเขาไม่เคยเห็นคุณชายสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน

“ข้าแค่สงสัย พอดีได้ยินท่านพ่อกล่าวถึงบ่อย ๆ ก็เลยคิดว่าท่านอ๋องเป็นคนสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”จื่อฟางพูดอย่างลื่นไหล จางต้าละมือจากหม้อต้มยา อยากบอกคุณชายเหลือเกินว่าท่านช่างไม่รู้อะไรเลย! แต่ก็ไม่แปลกเพราะคุณชายของเขาเอาแต่เที่ยวเล่นไม่เคยสนใจเรื่องบ้านเมือง

“หลิวอ๋องเจี่ยซินเป็นพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เจี่ยผิง ท่านอ๋องมีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย ฮ่องเต้จึงให้อยู่ช่วยงานข้างกาย เรียกได้ว่ารักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่มีเสียงเล่าลือกันว่าเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการให้ท่านอ๋องอยู่ใกล้สายตาจึงไม่ยอมส่งหลิวอ๋องไปครองหัวเมืองอื่น”จางต้ากระซิบเสียงเบา เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แน่ล่ะ มีฮ่องเต้คนไหนบ้างที่ไม่ระแวงคนเก่งมีฝีมือโดยเฉพาะพวกอ๋องทั้งหลาย ไม่ว่ายุคไหนก็ต้องคิดกบฏ

“หลิวอ๋องไม่เคยคิดอยากแย่งบัลลังก์ฮ่องเต้บ้างเลยหรือ”จื่อฟางถามอย่างสงสัย เท่าที่อ่านประวัติศาสตร์มาพวกอ๋องทั้งหลายมักจะคิดก่อกบฏอยู่เสมอ จางต้าได้ยินเขาพูดก็ทำตาโตจุ๊ปากใส่ทันที

“คุณชายก็พูดไป หลิวอ๋องเป็นคนดี ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเสียหายของท่านอ๋องเลยสักเรื่อง เขาไม่คิดอยากได้อำนาจถึงได้เป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ทรงสนิทสนมมากที่สุด แต่จะอย่างไรพระองค์ก็ระแวงหลิวอ๋องอยู่ดี”จางต้าเล่าตามที่เคยได้ยินมา รู้สึกพอใจในตัวเองน้อย ๆที่เห็นคุณชายตั้งใจฟังที่ตนพูดทุกคำ

จื่อฟางยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “แล้วฮ่องเต้เล่า เป็นคนเช่นไร ข้าเคยได้ยินว่าเขาแอบเลี้ยงชายงามไว้ด้วย”เขาเอ่ยถามเมื่อนึกถึงข้อความในบทวิพากษ์ของเสิ่นจิ้งเฟย ดูแล้วไม่น่าจะใช่ฮ่องเต้ที่นิสัยดีเท่าไหร่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยก็ยังชมว่าบริหารบ้านเมืองได้ดี จื่อฟางคิดว่าฮ่องเต้ก็เหมือนนักการเมืองมีทั้งด้านดีและไม่ดี

จางต้าหรี่ตาใส่คุณชาย “คุณชายป่วยจนหลงลืมไปแล้วหรือ ท่านยังเคยบรรเลงกู่ฉินให้พระองค์ฟังถึงในวัง ข้าจำได้ว่านายท่านเป็นกังวลมาก กลัวว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะถูกใจท่าน”

“…”โอ้ อะไรนะ จื่อฟางได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ที่แท้เสิ่นจิ้งเฟยก็เคยเจอฮ่องเต้มาก่อน มิน่าเล่าในบทความวิพากษ์ถึงได้มีถ้อยคำแฝงแววรังเกียจอยู่ด้วย จื่อฟางอยากกรีดร้องดังๆ ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีเรื่องลึกลับสร้างปัญหาให้เขารับหน้าเช่นนี้ แล้วตอนนี้เจ้านั่นไปอยู่ที่ใดแล้ว? เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในร่างของตนในโลกปัจจุบัน เพราะมันเลวร้ายเกินไป!

“ข้าจะไปเตรียมน้ำร้อนให้คุณชาย”จางต้าเห็นว่าคุณชายไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีกจึงออกไปจัดการตามหน้าที่ จื่อฟางยืนทำอะไรไม่ถูก หลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมกันจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากเรื่องไหนก่อน จากที่ฟังหลิวอ๋องดูไม่ใช่คนเลวร้ายคงไม่คิดโกรธที่เขามีส่วนทำให้ขอทานนั่นโดนจับหรอกกระมัง เขาได้แต่เดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่น ไป๋ผูอวี้เหมือนจะรู้เรื่องบางอย่าง ไว้ค่อยแวะไปถามให้รู้เรื่องก็แล้วกันดังนั้นจื่อฟางจึงทำกิจวัตรยามเช้าตามปกติราวกับไม่มีเรื่องใดกวนใจ

หยางชวีกลับมาตอนที่เขากำลังกินมื้อเช้าพอดี เขาเงยหน้ามองผู้ติดตามด้วยความอยากรู้ว่าเสิ่นมู่หยางซักถามอะไรบ้าง

“คุณชายไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้พูดเรื่องอาการป่วยของท่าน”หยางชวีตอบเพราะรู้ว่าคุณชายอยากรู้เรื่องใด นายท่านเพียงสงสัยว่าเพราะเหตุใดเขาถึงดูสนิทกับคุณชายเสิ่นและย้ำกับเขาว่าอย่าผูกมิตรกับคุณชายเด็ดขาด จื่อฟางพยักหน้า ในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน หลังจากกินข้าวเสร็จก็ตามด้วยยาสมุนไพรหนึ่งถ้วยเช่นเคย

“วันนี้คุณชายจะทำอะไรดีขอรับ”จางต้าเอ่ยถามเพราะทราบมาว่าคุณชายไม่มีเรียนสองวัน คุณชายเสิ่นชี้ไปที่หีบหนังวัวใบแรกที่วางอยู่ใกล้กับตู้เก็บของ

“ยกไปที่ศาลาในสวน”จื่อฟางบอก สีหน้างุนงงปรากฏอยู่บนหน้าของบ่าวรับใช้แต่ก็ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อคืนตอนที่เปิดดูหีบเก็บพัด เขาเจอบทกลอนที่เสิ่นจิ้งเฟยเขียนไว้จึงตั้งใจจะนำมาอ่านทั้งหมด เผื่อว่าจะเข้าใจความคิดของเจ้านั่นบ้าง เขาหยิบหนังสือนิยายชายรักชายปกเก่าที่ยังอ่านไม่จบมาด้วย รู้ว่าโลกนี้ไม่เหมือนในนิยายที่ตนอ่าน แต่ก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก หยางชวีเหลือบมองหนังสือในมือคุณชายก็หน้าชาไปครู่หนึ่ง ท่านถือหนังสือเช่นนี้เดินไปเดินมาในจวนได้อย่างไร

จื่อฟางเดินเตร่ไปที่ศาลาในสวนอันเงียบสงบ ท้องฟ้ากระจ่างใส ลมเย็นพัดวูบทำให้เศษใบไม้ปลิวเกลื่อน สงสัยจะเข้าใกล้เหมันต์ฤดู กระมัง เด็กรับใช้ในจวนเห็นเขาเดินมาก็ค้อมตัวให้ก่อนเร่งรีบหลบไปให้พ้นทาง จื่อฟางเดินมาถึงศาลาที่ก่อสร้างแบบเก๋งจีน ทิ้งตัวนั่งอ่านนิยายเงียบๆ จางต้ายกหีบมาวางไว้ข้างตัวคุณชาย สายตาจับจ้องอยู่ที่หนังสือในมือของร่างบางทำสีหน้าฉงนเมื่อเห็นหนังสือที่คุณอ่าน คุณชายยังอ่านอยู่อีก เขาอยากรู้นักว่าหนังสือนั่นสนุกมากเลยหรือ เขาจำหนังสือเล่มนี้ได้ เมื่อหลายเดือนก่อนคุณชายไปที่ร้านหนังสือเถ้าแก่จางเพื่อซื้อตำราเครื่องดนตรี เถ้าแก่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ด้วยท่าทางลับลมคมใน หนังสือนิยายจำพวกนี้ไม่ขายอย่างโจ่งแจ้ง แต่เขาไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นจะบ้าจี้ซื้อมาจริง ๆ

จื่อฟางไม่สนใจสายตาของบ่าวรับใช้ทั้งสองคน กวาดตาอ่านนิยายต่อ หนังสือเล่มนี้ไม่มีชื่อเรื่อง ภาพประกอบโจ่งแจ้งชัดเจนจนเขาต้องรีบเปิดผ่าน เมื่อมาไตร่ตรองดี ๆเขาว่านิยายเรื่องนี้แปลก ตัวเอกมีชื่อเรียกว่าเจี่ยเป็นคหบดีที่ร่ำรวยในแคว้นหนึ่ง มีที่ดินหลายพันไร่ที่ได้มาด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขาเป็นคนเก่งแต่มีความคิดแปลกประหลาด เจี่ยชอบสะสมบุรุษรูปงามจนสร้างตำหนักให้อยู่กิน ทั้งที่ตัวเขามีทั้งภรรยาและอนุอีกหลายคน เรียกว่าเป็นคนมักมากในกามคนหนึ่ง เจี่ยยังหมกมุ่นในเรื่องยาอายุวัฒนะอีกด้วย

จื่อฟางรู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อหนังสือเล่มนี้ทำให้เขานึกถึงบทความวิพากษ์ของเสิ่นจิ้งเฟย ฮ่องเต้ก็แซ่เดียวว่าเจี่ย และยังเลี้ยงดูชายงามเหมือนกันด้วย หรือนี่เป็นเรื่องราวของฮ่องเต้ที่ถูกตีแผ่อย่างลับๆ เขากัดริมฝีปากอย่างกังวล หนังสือเล่มนี้เป็นของต้องห้ามอย่างแน่นอน หากเจ้าแผ่นดินรู้คงได้หัวขาด ดูแล้วเสิ่นจิ้งเฟยเกลียดชังฮ่องเต้เจี่ยผิง เด็กหนุ่มอยากถามจางต้าใจจะขาดว่าเสิ่นจิ้งเฟยซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากที่ใดแต่ก็ไม่อยากทำตัวมีพิรุธ

“คุณชายหากท่านจะอ่านหนังสือพวกนี้ก็ระวังหน่อยได้หรือไม่”หยางชวีกล่าวขึ้นเมื่อเหลือบมองเห็นภาพวาดบรรยายกิจกรรมบนเตียงอย่างโจ่งแจ้ง คุณชายเสิ่นเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าไร้สีเลือด

“เจ้าอ่านรู้เรื่องด้วย?”คุณชายรีบปิดหนังสือคล้ายกับกลัวเขาแอบอ่าน

“ข้าอ่านออก แต่ไม่ได้อยากอ่านหนังสือของท่าน”ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ

จื่อฟางไม่อยากเก็บหนังสือที่สุ่มเสี่ยงไว้กับตัวแต่ก็ไม่อยากทำลายทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าจึงได้แต่เก็บไว้ก่อน เขาเริ่มจัดการนำกล่องพัดออกมาจากหีบมีทั้งหมดยี่สิบกว่ากล่อง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะอ่านบทกลอนบนพัดกระดาษครบทุกอัน บทกลอนที่เสิ่นจิ้งเฟยแต่งล้วนรำพึงถึงชีวิตอันเปลี่ยวเหงาในจวนเสนาบดี เช่นใต้แสงจันทร์ มีเพียงเสียงพิณเป็นเพื่อน เอื้อนเอ่ยบทกลอนกับสายลม ตัวอักษรเหล่านี้แฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยวของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางถอนหายใจ รู้เพียงว่าเสิ่นมู่หยางไม่เคยใส่ใจบุตรชายอย่างแท้จริง

จางต้าและหยางชวีได้แต่มองท่าทางเซื่องซึมของคุณชายด้วยสีหน้าโง่งม

“ไปเตรียมรถม้าให้ข้าที”จื่อฟางหันไปสั่งจางต้า เขาต้องไปคุยกับไป๋ผูอวี้เสียหน่อย

“ขอรับ”จางต้ารับคำก่อนทำตามคำสั่งของคุณชายโดยไม่เอ่ยถามสักคำ

“ท่านจะไปที่ใดหรือ”แต่ยังมีคนที่ขี้สงสัยอยู่อีกคน

“ไปหาไป๋ผูอวี้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้ไปก่อเรื่อง ข้าแค่คิดถึงเขา”จื่อฟางตอบพร้อมรอยยิ้มซุกซน หยางชวีนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนก็พูดไม่ออก จื่อฟางเก็บหนังสือไว้ในหีบ เรียกบ่าวไพร่คนหนึ่งให้นำไปเก็บในห้องนอน เขายืดกายปัดเสื้อคลุมลายดอกสีเทาสง่างามให้เรียบร้อย หยิบพัดกระดาษเล่มหนึ่งมาใช้

“เจ้าจะไปหรือไม่”จื่อฟางถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนทึ่มอยู่ที่เดิม หยางชวีปั้นหน้านิ่งเดินตามเขามาเงียบๆ จะว่าไปแขกที่พักอยู่ในจวนอย่างใต้เท้าเฉินแทบไม่ได้ออกมาเจ้ากี้เจ้าการกับตน เอาแต่อยู่ในเขตเรือนรับรองของตน แต่จื่อฟางรู้ดีว่าหากถึงวันเรียนกับใต้เท้าเฉินเมื่อไหร่คงถูกทดสอบความรู้แน่

พ่อบ้านสุ่ยกำลังดุด่าบ่าวรับใช้เห็นคุณชายเสิ่นทำท่าจะออกไปนอกจวนก็ได้แต่ชะเง้อชะแง้มองด้วยความใคร่รู้ เด็กหนุ่มเดินเอ้อระเหยไปตามเฉลียงทางเดินทอดยาวกว่าจะเดินมาถึงประตูหน้าก็กินเวลาไปนาน จางต้าเตรียมรถม้าให้เขาเรียบร้อยแล้ว คนขับรถม้าหน้าเดิมรออยู่เช่นกัน เขาก้าวเข้าไปนั่งบนรถม้า รถเคลื่อนตัวออกทันที จื่อฟางใช้พัดเขี่ยม่านมองออกไปด้านนอก เขาจำถนนสายนี้ได้ขึ้นใจแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงน้ำชาขนาดใหญ่ของสกุลไป๋

“ข้ารออยู่ด้านนอกนะขอรับ”หยางชวีกล่าวเพราะไม่คิดไปเจอกับคุณชายไป๋และเว่ยหลง จื่อฟางจึงเข้าไปในร้านกับจางต้า ภายในร้านมีคนแน่นขนัดแทบไม่มีโต๊ะว่าง แต่เขาไม่ได้มาดื่มชา จื่อฟางตั้งใจจะเรียกเด็กในร้านมาถามหาไป๋ผูอวี้ แต่เขาเห็นคุณชายสูงศักดิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม มาอีกแล้ว? เขาคิดอย่างประหลาดใจ เพียงแต่วันนี้เขานั่งอยู่คนเดียวไม่มีสหายมาด้วย มีเพียงองครักษ์ใบหน้าเข้มยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง จื่อฟางคงสนใจมากกว่านี้หากสายตาไม่สะดุดอยู่ที่โต๊ะด้านใน หญิงงามสวมชุดสีเหลืองอ่อนสบายตามีรอยยิ้มประดับหน้าทำให้นางยิ่งดูอ่อนหวาน เขามองปราดเดียวก็จำได้ นางคือฉินเซียงอิน เนื่องเพราะนางนั่งหันหน้ามาทางเขา ฉินเซียงอินจึงเห็นจื่อฟางเต็มตารอยยิ้มของนางจางลง ส่วนแผ่นหลังคุ้นตาของชายหนุ่มคนหนึ่งจะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่คนที่เขาตั้งใจจะมาหา

ไป๋ผูอวี้

“คุณชาย…”จางต้ากระซิบเรียกเสียงอ่อน คุณชายของเขาเจอภาพบาดตาอีกแล้วถึงได้ชะงักไปเช่นนี้

“คุณชายเสิ่นโต๊ะเต็มหมดแล้ว แต่ชั้นบนยังมีที่เหลือขอรับ”เด็กร้านน้ำชาเข้ามาบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม จื่อฟางเหมือนได้ยินเสียงหึ่ง ๆดังอยู่ในหู เขาแทบลืมฉินเซียงอินไปแล้วไม่คิดว่าจะได้เจออีก แต่ทุกครั้งที่เจอเหตุใดนางต้องอยู่กับไป๋ผูอวี้ทุกที

ไป๋ผูอวี้ได้ยินเด็กในร้านเอ่ยถึงคุณชายเสิ่นจึงหันมอง วันนี้เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีเรียนกับเขาแต่ก็ยังมาที่โรงน้ำชาหรือมาก่อกวนจนเคยชินไปแล้ว ชายหนุ่มนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนใบหน้าก็ยิ่งเรียบเฉย เรื่องของหลี่ฮุ่ยจือทำให้เขาไม่สบายใจ คำตอบของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ผิดคาดนัก เจ้าหวังอะไรอยู่?ไม่มีทางที่นิสัยส่วนนี้ของเสิ่นจิ้งเฟยจะเปลี่ยนได้ ไป๋ผูอวี้จึงมองผ่านคุณชายเสิ่นราวกับมองไม่เห็น   

“คุณชายไป๋ ไม่กลัวเขาก่อเรื่องวุ่นอีกหรือ”คุณหนูฉินเอ่ยถาม ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาปั่นปึ่ง นางรู้ว่าคุณชายไม่ได้เรื่องผู้นี้คิดอย่างไรกับนาง แม่ว่าหญิงสาวจะปฏิเสธไปหลายครั้ง เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่เคยลดละความพยายามแม้แต่น้อย แต่นางไม่ได้ชมชอบบุรุษที่หยิบจับสิ่งใดไม่เป็น

“ก็ให้เขาก่อไป”เขาตอบเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ

หนอย ไป๋ผูอวี้ เห็นเขาแล้วแท้ๆ จื่อฟางพลันหงุดหงิดใจที่ถูกเจ้าท่อนไม้มองเมิน เขาได้ยินเสียงโต๊ะใกล้ๆกระซิบกระซาบใส่กันเบาๆจึงหันไปมองตาเขียว ในฉางอันมีใครไม่รู้บ้างว่าคุณชายเสิ่นชอบพอคุณหนูฉิน

“คุณชายเสิ่นเชิญด้านบนเถอะขอรับ”เด็กร้านน้ำชาไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่น เห็นท่าทางของคุณชายไป๋ก็ได้แต่จนใจ เว่ยหลงไปที่ใดแล้ว เหตุใดไม่โผล่มาเสียที ดูท่าเขาต้องรับมือกับคุณชายเสิ่นเพียงลำพัง

“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเอ่ยกับร่างที่ยืนนอบน้อมอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายมีท่าทีลำบากใจทันที

“คุณชาย…ท่านก็เห็นว่าคุณชายไป๋มีแขก”เจ้าเด็กนี่เน้นคำว่าแขกเป็นพิเศษ จื่อฟางนึกอยากเดินเข้าไปหาไป๋ผูอวี้ที่โต๊ะ แต่การทำเช่นนี้เสียมารยาทและจะยิ่งทำให้เขากลายเป็นที่หัวเราะ

“คุณชายเสิ่น…”เด็กรับใช้เรียกอีกครั้งคล้ายจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ ลูกค้าที่นั่งกันหน้าสลอนต่างก็มองดูว่าคุณชายเสิ่นจะอาละวาดหรือไม่

“ข้าจะรอจนกว่าเขาจะส่งแขกกลับ”จื่อฟางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง สายตาจับจ้องศีรษะของไป๋ผูอวี้เขม็ง เหมือนอยากมองให้ทะลุว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ฉินเซียงอินเหลือบมองจื่อฟางด้วยสายตาปั้นปึ่งราวกับต่อว่าที่เขามาทำให้เสียบรรยากาศ

ไม่ต้องมองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ได้ชอบพอท่านเสียหน่อย!

เขาส่งเสียงขึ้นจมูก เช่นนั้นเขาก็จะก่อกวน เด็กหนุ่มใช้พัดชี้ไปที่โต๊ะตัวใกล้กับไป๋ผูอวี้ซึ่งมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

“ข้าจะนั่งโต๊ะนี้”จื่อฟางบอกคล้ายกับเด็กที่อยากได้ของเล่น

“คุณชายด้านบนยังมีโต๊ะเหลืออยู่…”เด็กรับใช้มองไปที่เจ้านาย

ไป๋ผูอวี้เพียงแค่ยกถ้วยชาจิบไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เอาเถิดหากท่านอยากสร้างเรื่องก็สร้างไป ข้าจะนั่งชมว่าท่านจะทำอย่างไร 

“คุณชายข้าว่าไปที่ชั้นบนดีกว่า”จางต้าช่วยพูดอีกแรง เห็นเด็กรับใช้ในร้านเหมือนจะร้องไห้ก็รู้สึกเห็นใจเล็กน้อย แต่คุณชายของเขาน่าสงสารมากกว่า คุณหนูฉินมองท่านด้วยสายตาดูแคลนเช่นนี้... จางต้าช้ำใจแทนคุณชายจนอยากพาไปหอผูเยว่เลือกสาวงามมาปลอบใจสักสองสามคน จื่อฟางใช้ความคิดว่าจะอาละวาดต่อหรือยอมแพ้จากไปเงียบๆ แต่ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น

“น้องชาย หากไม่รังเกียจเชิญนั่งกับข้าเถอะ”เสียงหนึ่งดังขึ้น เขาหันมองก็พบว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นนั่นเอง คนในร้านต่างมองอย่างแปลกใจเพราะเห็นคุณชายท่านนี้นั่งมองอยู่นานแล้วและดูเหมือนจะสนุกเสียด้วยซ้ำ

“ข้า…”จื่อฟางไม่แน่ใจว่าจะรับน้ำใจดีหรือไม่ หากเขารู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยจริงจะทำอย่างไร? ปฏิเสธคงไม่ดีนัก

“รบกวนท่านแล้ว”เขาจึงตัดสินใจรับคำเชิญ แม้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากองครักษ์ด้านหลัง คุณชายสูงศักดิ์ยิ้มก่อนเอ่ยพูด

“เจ้าอย่าสนใจ เขาเป็นเช่นนี้เสมอ”คุณชายสูงศักดิ์รินน้ำชาให้อีกร่างที่ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด บุรุษหนุ่มมองไปที่โต๊ะของคนแซ่ไป๋ เห็นว่าคนผู้นั้นมองมาที่ตนด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ขอบคุณท่านมาก”จื่อฟางรับถ้วยน้ำชามาอย่างเกรงใจ ยิ่งรู้สึกอึดอัดเพราะคนในโรงน้ำชาพุ่งสายตามาที่เขาและคุณชายท่านนี้อย่างใคร่รู้

“ฮ่า ๆ ตามสบายเถอะ ข้ากับเจ้ายังต้องเกรงใจกันอีกหรือ”ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงใส เด็กหนุ่มไม่รู้ชื่อแซ่ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่จะให้เอ่ยถามก็คงแปลกพิลึกในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยรู้จัก จื่อฟางมองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด คนๆนี้มีใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ ผิวขาวละเอียดปานหยก แต่ลักษณะท่าทางเหมือนคนที่ผ่านโลกมาเยอะ คงมีฐานะไม่ธรรมดา จื่อฟางยกถ้วยชาแตะริมฝีปากสายตาเหลือบมองจางต้าที่ทำสีหน้างุนงง เจ้านี่ก็ไม่รู้จักสินะ เสิ่นจิ้งเฟยมีความลับเยอะนัก! ความลับเต็มไปหมด

“ดูท่าเจ้าคงลืมข้าไปแล้วจริง ๆ”ฝ่ายตรงข้ามพูดเสียงแผ่ว สายตากวาดมองใบหน้าของเขาเหมือนหาสิ่งผิดปกติ จื่อฟางได้แต่ซ่อนสีหน้าตื่นตกใจไว้ พยายามทำใจให้สงบ 


 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 24-02-2018 11:39:33


“ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยสบาย…”จื่อฟางจำต้องปั้นน้ำเป็นตัว แม้รู้ดีว่าเรื่องที่ตนเล่าฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ 

“อา…เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าคิดว่าเจ้าลืมพี่ชายเช่นข้าไปเสียแล้ว ปกติเจ้าจะเรียกหาข้าว่าพี่ฝู่จวิ้นเสมอ แต่เจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้าเช่นนี้…”ที่แท้อีกฝ่ายก็มีชื่อว่าฝู่จวิ้น ร่างนั้นกล่าวด้วยเสียงนุ่ม นัยน์ตาสีดำนิ่งลึกอ่านไม่ออก จื่อฟางกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ แต่ทำอย่างไรได้เล่า เขาเองก็จนปัญญา เขาได้แต่ดุด่าเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในใจ

“อาการป่วยทำให้ช่วงนี้ข้าเจอแต่เรื่องลำบาก พี่ฝู่จวิ้นอย่าได้ขุ่นเคือง”จื่อฟางตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยเหมาะทำเรื่องแบบนี้ และดูเหมือนได้ผล ฝ่ายนั้นถอนหายใจคว้ามือของเขาไปกุมพร้อมตบเบาๆ องครักษ์ด้านหลังมีสีหน้าดำคล้ำถลึงตามองจื่อฟางราวกับไม่เชื่อคำโกหกที่เขาพูด ร่างบางจึงเหงื่อตกในใจเริ่มร้อนรน

ฝู่จวิ้นยิ้มบางทำสีหน้าเข้าใจ “ข้ามิได้ขุ่นเคือง เพียงแต่ข้าไม่เคยได้ยินโรคเช่นนี้มาก่อน พ่อเจ้าเป็นถึงเสนาบดีหาหมอเก่งๆมารักษาไม่ได้เชียวหรือ” 

“ท่านหมอบอกว่าอาการของข้ารักษาไม่หาย ข้าพยายามฟื้นความทรงจำ แต่คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่”จื่อฟางตอบลอบมองไปยังไป๋ผูอวี้ เห็นว่าอีกฝ่ายมองดูอยู่เช่นกัน แต่มองมายังมือของเขาที่ถูกฝู่จวิ้นกุมอยู่

“เป็นเช่นนี้เอง หากเจ้าออกไปกับข้าบ่อย ๆความจำคงฟื้นคืนกระมัง”ฝู่จวิ้นเอ่ย องครักษ์ส่งเสียงกระแอมกระไอขัดราวกับไม่เห็นด้วย   

ไป๋ผูอวี้ฟังบทสนทนาของคุณหนูฉินด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มพอเป็นพิธี ลอบมองไปที่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นครั้งคราวเห็นว่าคุยได้ถูกคอกับคุณชายผู้นั้นทั้งยังจับไม้จับมือกันด้วย เขาหลุบตามองน้ำชาที่มีควันลอยกรุ่นในถ้วย ความรู้สึกไม่สบายใจในอกยิ่งเพิ่มขึ้น คุณหนูฉินยังคงพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด จะส่งนางกลับตอนนี้ก็เสียมารยาท ไป๋ผูอวี้จึงทำได้แค่แกล้งสนใจในสิ่งที่นางพูดเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วความสนใจของเขาอยู่ที่เสิ่นจิ้งเฟย ข้าไม่ได้เตือนเจ้าไปแล้วหรือว่าอย่าเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่ง ทำไมถึงได้ดื้อนัก!

“ที่ข้ามาวันนี้เพราะคิดว่าเจ้าต้องมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อและข้าก็คิดถูกเสียด้วย”ฝู่จวิ้นเอ่ย เห็นสีหน้างุนงงของเสิ่นจิ้งเฟยก็เผยรอยยิ้ม

“ความจริงแล้วข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”

“เรื่องใดหรือ”จื่อฟางพยายามไม่แสดงท่าทางกังวลออกมา

“ข้าเห็นฝีมือวาดภาพของเจ้ายอดเยี่ยมมาก จึงคิดอยากให้เจ้าวาดภาพเหมือนให้ข้าสักรูป”

“อ้อ เรื่องแค่นี้เองย่อมได้อยู่แล้ว ข้าวาดให้พี่ชายฟรีๆยังได้”เขายิ้มอย่างโล่งอกเมื่อไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรง

ฝู่จวิ้นย่นคิ้วอย่างงุนงงเมื่อได้ยินคำพูดไม่คุ้นหู “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

“ข้าหมายถึงไม่คิดเงิน”จื่อฟางยิ้มแห้งอยากเอาพัดตบหน้าตัวเองซักสองสามที

“ข้าไม่อยากเสียเวลา ที่นี่ไม่ค่อยสะดวก ข้าได้ยินว่าตรอกทางทิศตะวันตกมีศาลารับลมอยู่หลังหนึ่ง ไปวาดภาพที่นั่นคงดีกว่า เจ้าเห็นด้วยหรือไม่”ฝู่จวิ้นไม่รอให้เขาตอบก็ลุกยืนแล้ว จื่อฟางได้แต่ลุกตาม องครักษ์วางเหรียญเงินจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะก่อนรีบตามผู้เป็นนายออกไป

จื่อฟางเดินตามคุณชายฝู่จวิ้นออกไปจากโรงน้ำชาด้วยจิตใจอันหนักอึ้ง

“ไม่คิดว่าคุณชายผู้นั้นจะรู้จักกับคุณชายเสิ่นด้วยน่าแปลกจริงๆ”ฉินเซียงอินเอ่ยระหว่างที่มองคุณชายท่วงท่าสง่างามผู้นั้นออกไปจากโรงน้ำชา

“คุณชายเสิ่นเป็นลูกขุนนาง ข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”ไป๋ผูอวี้ตอบไม่ตรงอย่างที่ใจคิด

คุณหนูฉินมองมาอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนท่านจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายเสิ่นมากกว่าที่ข้าคิดซะอีก”นางเอียงศีรษะอย่างครุ่นคิด ช่วงสองสามวันมานี้มีข่าวลือมากมายเกิดขึ้น ส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องโรงน้ำชาหลิวซื่อและเสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชายเสิ่น…ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิด”ไป๋ผูอวี้กล่าว คุณหนูฉินเลิกคิ้วแต่ไม่ได้เอ่ยแย้งออกมา ชายหนุ่มจึงสบโอกาสมองหาเว่ยหลงเมื่อพบว่าผู้ติดตามเพิ่งออกมาจากห้องเก็บชาก็ส่งสายตาสื่อความนัยไปให้ เว่ยหลงขมวดคิ้วเขาติดตามคุณชายมานานจนรู้ว่าคุณชายคิดสิ่งใด ตอนที่เสิ่นจิ้งเฟยเข้ามาเขาลอบมองเหตุการณ์จากในห้องเก็บชาโดยตลอด เว่ยหลงจึงรู้ว่าคุณชายของตนใส่ใจเสิ่นจิ้งเฟยมากกว่าคุณหนูฉินเสียอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่มันก็ชัดเจนแล้วสำหรับเขา

คุณชายไป๋ เทพธิดาอยู่ตรงหน้าท่านแท้ๆเหตุใดไปสนใจเจ้าเต่านั่นได้หนอ

~•~

จื่อฟางนั่งอยู่ในศาลารับลมหลังเล็กๆที่แห่งนี้คล้ายเป็นศาลาริมทาง คุณชายฝู่จวิ้นสั่งองครักษ์ให้ไปซื่ออุปกรณ์วาดภาพ ใช้เวลาแค่ชั่วอึดใจก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งผ้าไหมและพู่กันสีสกัดธรรมชาติเป็นของดีมีราคา องครักษ์คนนี้มีฝีมือสูงส่ง ทำให้หยางชวีมีท่าท่างเคร่งเครียด

“ท่านอยากให้ข้าวาดภาพใดหรือ”จื่อฟางเอ่ยถาม ทีแรกคิดว่าคุณชายท่านนี้อยากให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับยืนเอามือไพล่หลังมองเขาอยู่เป็นพักแล้ว

“คนผู้หนึ่ง...” ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงเรียบ จื่อฟางกวาดตามองไปรอบ ๆก็ไม่พบใครอีกนอกจากองครักษ์หน้าดุที่ยืนจ้องเขาอยู่ เจ้านี่ท่าทางดูมีปัญหากับเขามาก

“ใครเล่า หากข้าไม่เห็นคนผู้หนึ่งของท่าน ข้าก็วาดออกมาไม่ได้”เขาบอกด้วยน้ำเสียงจนใจ คุณชายฝู่จวิ้นคิดเล่นตลกกับเขาหรือ

อีกฝ่ายยกยิ้มชวนฝันส่งมาให้ พร้อมก้มมากระซิบใกล้ๆใบหูของเขา “เจ้าอย่างไร”

“อะไรนะ”จื่อฟางกระพริบตามองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างมึนงง

“ข้าอยากให้เจ้าวาดภาพตนเอง วาดได้หรือไม่”ฝู่จวิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงลื่นหู สายตากวาดมองใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปราวคนละคน นิสัยแตกต่างไปจากเดิม แต่ว่าอย่างไรแล้วเขาก็ยังชอบใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่ดี เขายกมือเกลี่ยใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยเบาๆอย่างอดไม่ไหว แต่เจ้าตัวเบี่ยงหนีด้วยสีหน้าตกใจ เขาหัวเราะในลำคออย่างนึกสนุก

หยางชวีและจางต้าลอบมองหน้ากัน พวกเขาเจอหลี่ฮุ่ยจือคนที่สองอีกแล้ว

“ได้…แต่ข้าต้องใช้สมาธิ พี่ฝู่จวิ้นต้องรอซักหลายชั่วยาม”จื่อฟางพึมพำไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้ จึงปั้นหน้าไม่ถูก

“ข้ารอได้”ฝ่ายนั้นตอบด้วยรอยยิ้ม เขายกชายเสื้อคลุมนั่งตัวตรงอยู่ที่ม้านั่งอีกฝั่ง จื่อฟางอึดอัดใจเล็กน้อยรอยยิ้มคลุมเครือของชายหนุ่มทำให้เขาร้อนๆหนาวๆชอบกล เขารู้สึกว่าฝู่จวิ้นไม่เชื่อคำโกหกที่เขาพูด

หยางชวีและจางต้ายืนอยู่ด้านนอกศาลาด้วยในใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย คุณชายเสิ่นไปรู้จักคุณชายท่านนี้ได้อย่างไร ท่านมีความลับมากเหลือเกิน จางต้าครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ หยางชวีมุ่นคิ้วลอบมองคุณชายฝู่จวิ้นทคุณชายท่านนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่ เขามองออกว่านอกจากความชื่นชอบในตัวคุณชายแล้วยังมีเรื่องอื่นอีก แต่มองได้ไม่นานสายตาขององครักษ์ก็พุ่งตรงมาที่เขา เป็นสายตาที่ไม่กริ่งเกรงใด ๆ

หยางชวีได้แต่หลุบตามองพื้น รู้ดีว่าองครักษ์ผู้นี้มีฝีมือสูงส่งเกินกว่าที่เขาจะทำสิ่งใดได้ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้ คนที่มีฝีมือมากเช่นนี้….จะต้องติดตามคนที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งเขาไม่เคยได้ยินชื่อฝู่จวิ้นมาก่อน ขุนนางชั้นสูงจะมีสักกี่คน นอกเสียจาก….เป็นคนที่ระดับสูงมากกว่านั้น ท่านโหว? ท่านอ๋อง?หรือ…เขาพลันขนลุกวูบ มีคนผู้หนึ่งที่เขาเคยได้ยินนายท่านกล่าวถึงว่าชอบสะสมบุรุษงาม สายลมพัดเอาความหนาวเย็นมาด้วย หยางชวีเหงื่อไหลซึมตามแผ่นหลัง เขาคงต้องไปถามนายท่านอีกที แต่หากเป็นท่านผู้นั้นจริง คุณชายเสิ่นคงสติเลอะเลือนเป็นแน่ถึงยังพูดจาไร้ความเคารพเช่นนี้ได้อยู่

~•~

กว่าจื่อฟางจะได้กลับจวนเสนาบดีตะวันก็คล้อยต่ำแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาใช้เวลาวาดภาพนาน แต่เป็นเพราะคุณชายฝู่จวิ้นพาเขาเที่ยวไปทั่วฉางอัน เขาดูพอใจมากที่ได้ภาพเหมือนม้วนนั้นไปทั้งยังกล่าวชมไม่หยุดปาก เมื่อเขาเข้ามาในเรือนก็ออกปากไล่หยางชวีและจางต้าออกไปด้านนอกไม่ต้องมาปรนนิบัติ ทั้งสองคนมีสีหน้าเหมือนอยากซักถาม แต่ตอนนี้เขายังให้คำตอบใดๆไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเองยังมึนงง เขาจะให้คำตอบผู้อื่นได้อย่างไร

หยางชวีมีสีหน้ากลัดกลุ้มมาก “คุณชายความจำของท่านไม่มีทางดีขึ้นเลยหรือ”จื่อฟางหันมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนส่ายหน้า อยู่ ๆก็เอ่ยออกมาเช่นนี้ เจ้านี่คิดอะไรอีก

“ข้าจะไปดูว่านายท่านใหญ่กลับมาหรือยัง…”ผู้ติดตามพึมพำความคิดล่องลอยก่อนถอยออกไปเงียบๆ

เมื่ออยู่เพียงลำพังจื่อฟางก็ตรวจดูหีบหนังวัวที่บ่าวไพร่นำมาวางไว้ที่เดิม เขาชะงักเมื่อมองเห็นกล่องไม้สีแดงกล่องหนึ่งวางอยู่บนเตียง จื่อฟางขมวดคิ้วเพราะไม่เคยเห็นกล่องใบนี้มาก่อน เขาหยิบมาถือพบว่าหนักเล็กน้อยจึงลังเลใจที่จะเปิด เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆก่อนกลั้นหายใจเปิดกล่อง

 “…!”

สิ่งที่อยู่ในนั้นทำให้เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เนื้อตัวอ่อนยวบ ใจเต้นแรง ได้กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูก กระต่ายน้อยนอนไร้ชีวิตอยู่ในกล่อง ขนสีขาวถูกย้อมไปด้วยเลือด มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ในนั้น

“คุณชายเป็นอะไรหรือขอรับ”เสียงจางต้าดังออกมาจากด้านนอก

“ไม่มีอะไรข้าแค่เดินเตะหีบ…ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวาย”จื่อฟางตอบยังตกใจไม่หาย หลับตาปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เมื่อจิตใจสงบก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ที่น่าตกใจคือไม่ได้เขียนด้วยหมึกแต่เขียนด้วยเลือด

‘ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมเผชิญ’

คำสาบานที่เจ้าเคยกล่าวไว้ข้ากลัวว่าเจ้าจะหลงลืม สองเดือนที่เจ้าเงียบหาย ตัวข้ามีเรื่องอยากซักถามมากมายนัก เหตุใดถึงช่วยทางการจับอาสือ…ข้าให้เวลาเจ้าสามวันเตรียมคำตอบดีๆไว้ให้ข้า มาพบกันที่หอผูเยว่ห้องเดิม …หากคิดทรยศ…เจ้าจะเป็นเช่นกระต่ายตัวนี้

จื่อฟางกวาดตาอ่านจนจบ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รีบปิดกล่องไม้กลัวว่ากลิ่นเลือดจะฉุนออกไปด้านนอก เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงร่างกายไร้เรี่ยวแรงระหว่างที่ประติดประต่อเรื่องราว เหตุใดถึงช่วยทางการจับอาสือ อาสือ?ขอทานตัวเหม็นผู้นั้นน่ะหรือ ขอทานเป็นคนของอ๋องสาม ถ้าอย่างนั้น…คนที่ส่งจดหมายข่มขู่มาก็คือหลิวอ๋อง? ท่านอ๋องที่จางต้าบอกว่าเป็นคนดีนักหนาคนนั้น

เขาอ่านจดหมายทบทวนอีกครั้ง เมื่อไตร่ตรองดี ๆก็พบว่าทุกอย่างลงตัวไปหมด เสิ่นจิ้งเฟยรู้จักกับหลิวอ๋องคงร่วมมือกันทำเรื่องบางอย่าง....ซึ่งไม่น่าใช่เรื่องดี ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเขาไม่ได้ติดต่อฝ่ายนั้นไปเลย หลิวอ๋องจึงส่งอาสือขอทานตัวเหม็นมา หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงส่งสัญญาณไปคุยนอกรอบแล้ว แต่ว่าเขาไม่รู้ทั้งยังมีส่วนช่วยทางการจับอาสือด้วยซ้ำ หลิวอ๋องจึงคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยทรยศจึงส่งจดหมายมาขู่ถึงในห้อง!

ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมเผชิญ คำสาบานเช่นนี้…เจ้าทำเรื่องอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่อยากคิดในแง่ร้ายเลย มาพบที่หอผูเยว่ห้องเดิม…หอผูเยว่เป็นหอนางโลมที่เสิ่นจิ้งเฟยชอบไปเที่ยวหาความสุขบ่อย ๆ ในจดหมายบอกว่าห้องเดิมหรือที่ผ่านมาเสิ่นจิ้งเฟยแอบพบกับหลิวอ๋องมาโดยตลอด เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องชู้สาว มีเวลาแค่สามวันเท่านั้น จื่อฟางลุกจากเตียงเดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิดไม่อยากมีชะตาชีวิตเหมือนกระต่ายน้อยตัวนั้น เขาพลันนึกถึงคำพูดของไป๋ผูอวี้ ก็ต้องดูว่าท่านมีค่าพอให้เขาเล่นงานหรือไม่ ท่านก็อย่าเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่ง

…นี่มันมากกว่าเรื่องยุ่งอีก!

“ใจเย็นๆ”จื่อฟางบอกตัวเอง เมื่อหายสับสนก็เรียกสาวใช้ให้นำเตาเครื่องหอมเข้ามาในห้อง อี้เหมยยกเตาเครื่องหอมเข้ามาย่นจมูกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นแปลกๆในห้อง

“คุณชายในห้องมีกลิ่น…”นางยังเอ่ยถามไม่ทันจบประโยค จื่อฟางก็โบกมือด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“พาตัวลุงสุ่ยมาหาข้าที”จื่อฟางมีเรื่องต้องซักถาม จวนเสนาบดีไม่ปลอดภัยเช่นนี้เขาจะนอนหลับลงได้อย่างไร 

“เจ้าค่ะ”นางรับคำก่อนออกไปจากห้อง จื่อฟางนึกถึงหยางชวีจึงเปล่งเสียงถาม “จางต้า หยางชวีไปหาท่านพ่อกลับมาหรือยัง”

“เขาอยู่ด้านนอกขอรับ… ดูเหมือนนายท่านจะไม่อยู่”บ่าวรับใช้พึมพำบอกเสียงแผ่ว ทำให้อารมณ์ของเขายิ่งย่ำแย่ เสิ่นมู่หยางไม่อยู่อีกแล้ว เด็กหนุ่มกำมืออยู่ในแขนเสื้อตอนแรกเขาคิดจะขอให้เสิ่นมู่หยางเพิ่มเวรยามเฝ้าจวนให้รัดกุมกว่าเดิม คืนนี้เขาคงนอนไม่หลับ

รอไม่นานพ่อบ้านสุ่ยก็มาถึง “คุณชายมีเรื่องใดหรือ”พ่อบ้านสุ่ยเอ่ยถาม ในห้องของคุณชายเสิ่นมีกลิ่นหอมชวนปวดหัว จนเขาต้องกลั้นอาการอยากจามไว้

“ท่านอยู่ในจวนตลอดเวลา ท่านเห็นสิ่งผิดปกติในจวนบ้างหรือไม่”

“ไม่นี่ขอรับ ทุกอย่างปกติดี”พ่อบ้านตอบด้วยเสียงแปลกใจ ร้อยวันพันปีคุณชายไม่เห็นสนใจไต่ถามเขา จื่อฟางแค่นเสียงหึในใจ ปกติดี มีคนเข้ามาถึงในห้องนอนเขาเช่นนี้ วันใดหากเขาถูกปาดคอตายเหมือนกระต่ายตัวนั้นคงไม่มีใครรู้

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือคุณชาย”พ่อบ้านเห็นว่าคุณชายมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“เปล่า…แล้วใต้เท้าเฉินเล่า”จื่อฟางถามเมื่อนึกได้ว่ายังมีคนแก่ร้ายกาจอยู่อีกคน

“ใต้เท้าออกไปพบสหายยังไม่กลับมาเลยขอรับ”คำตอบของพ่อบ้านทำให้เขานิ่งงันไป ใต้เท้าเฉินไม่อยู่ แสดงว่าตอนนี้เขาก็อยู่จวนคนเดียวน่ะสิ ถึงจะมีหยางชวีและบ่าวไพร่อีกหลายสิบชีวิตแต่เขาก็ยังกลัว เด็กหนุ่มโบกมือไล่พ่อบ้านสุ่ยออกไป พ่อบ้านได้แต่ออกไปอย่างงุนงง

จื่อฟางเคยคิดว่ามีหยางชวีอยู่ก็ปลอดภัยแต่หากคนที่ลอบเข้ามาในจวนมีฝีมือมากเล่า แม้แต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังเคยเข้ามาได้…ไป๋ผูอวี้ จริงสิ แค่นึกถึงเจ้าของชื่อเขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เขาโยนความรู้สึกขุ่นเคืองต่ออีกฝ่ายทิ้ง เอาล่ะ ในเมื่อไป๋ผูอวี้ยังลอบเข้ามาหาเขาในจวนได้ เขาก็จะหน้าด้านไปจวนสกุลไป๋บ้าง จื่อฟางรีบเก็บเสื้อผ้าหนึ่งชุดใส่ห่อผ้าห่อใหญ่ ยัดกล่องไม้บรรจุซากกระต่ายไปด้วย เขาจะเอาไปให้ไป๋ผูอวี้ดู ไม่คิดบอกเรื่องทั้งหมดกับอีกฝ่าย แค่บอกคร่าวๆเท่านั้น 

“คุณชายจะไปที่ใดหรือ”หยางชวีกับจางต้าอยู่นอกห้องเอ่ยถามเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นออกมาจากห้องพร้อมกับห่อผ้าใบใหญ่ หยางชวีย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นคล้ายคาวเลือด แต่เมื่อกวาดมองตามร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลใด

“ข้าจะไปหาไป๋ผูอวี้”

“แล้วเหตุใดท่านต้องเอาห่อผ้าไปด้วย ท่านซ่อนอะไรไว้”หยางชวีมองห่อผ้าของคุณชายที่ดูจะหนักกว่าปกติด้วยสายตาสงสัย

“เปล่า ไม่มีอะไร วันนี้ข้าจะไปนอนค้างที่จวนสกุลไป๋”พอจื่อฟางเอ่ย บ่าวทั้งสองคนก็ทำสีหน้าพิลึกพิลั่นทันที พวกเขาได้ยินที่คุณชายพูดผิดไปหรือไม่? จื่อฟางไม่รอให้ทั้งสองคนเอ่ยแย้งรีบเดินออกมาจากเรือนสั่งบ่าวไพร่คนหนึ่งให้ไปเตรียมรถม้าให้เขา

จางต้าวิ่งตามมาหน้าตื่น“คุณชายเหตุใดท่านต้องไปนอนที่จวนสกุลไป๋ด้วย”ทำอย่างกับคุณชายไป๋จะต้อนรับท่านอย่างนั้นแหละ บ่าวคนสนิทยังไม่ทราบเรื่องที่ไป๋ผูอวี้แอบย่องมาหาเจ้านายของตน

“ข้าเหงา”เขาแกล้งตอบ

“…”หยางชวีมองคุณชายเสิ่นหน้านิ่ง ท่านกินอะไรผิดสำแดงมาหรือ?

“หรือว่าพวกเจ้าจะขึ้นมานอนบนเตียงเป็นเพื่อนข้า”จื่อฟางแกล้งทำสายตาแพรวพราวใส่ข้ารับใช้ทั้งสองคน จางต้าตัวสั่นเพิ่งเคยโดนเสิ่นจิ้งเฟยแกล้งก็วันนี้

“คุณชาย…ท่านไม่คิดหรือว่ามันไม่เหมาะ”หยางชวีพยายามหาเหตุผลมาแย้ง

“ไม่เหมาะอย่างไร ข้าไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย”เขาหัวเราะกับความคิดของอีกฝ่าย “พวกเจ้าอย่าห้ามข้าเลย วันนี้ใต้เท้าเฉินยังไม่กลับ ท่านพ่อก็ไม่อยู่จวนไม่ใช่หรือ เขายังไปค้างที่อื่นได้ ทำไมข้าต้องอุดอู้อยู่แต่ในจวนด้วย”เขากล่าวจบก็เดินต่อ

หยางชวีถอนหายใจ จางต้าได้แต่เดินตามคุณชายอย่างไม่เต็มใจนัก พ่อบ้านสุ่ยเห็นคุณชายเสิ่นออกไปข้างนอกทั้งๆที่ฟ้าใกล้มืดแล้วก็รีบเข้าไปถาม

“คุณชายเสิ่นนี่ก็เย็นย่ำแล้วท่านจะไปที่ใดอีกหรือ”

“เรื่องของข้า”พ่อบ้านสุ่ยได้แต่ยืนตาค้างมองคุณชายเสิ่นออกไปข้างนอก ถอนหายใจ ส่ายหน้าไปมา นายท่านก็ไม่อยู่ คุณชายก็ออกไปข้างนอก นับวันจวนสกุลเสิ่นยิ่งเงียบเหงา จวนแห่งนี้เป็นที่ให้บ่าวไพร่อยู่หรือไรฃ

จื่อฟางเดินอาดๆออกไปนอกจวน รถม้าจอดเตรียมพร้อมแล้ว เขากวาดตามองไปรอบ ๆรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง ก็ลูบแขนไปมาอย่างหวาดกลัวรีบผลุบเข้าไปในรถม้าทันที ข้ารับใช้ทั้งสองจำต้องตามเข้าไปด้วย หยางชวีชะงักขมวดคิ้วรับรู้ถึงบางสิ่งแปลกๆ มีคนจับตามองคุณชายอยู่ เขามองไปรอบ ๆก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เขารู้ว่าคุณชายมีความลับซุกซ่อนไว้มากมาย หากเขาจมูกไม่เพี้ยนก็คิดว่าได้กลิ่นคาวเลือดจริง ๆ ต้องมีของอยู่ในห่อผ้าของคุณชายอย่างแน่นอน ชายหนุ่มรู้ว่าสกุลไป๋ไม่ธรรมดา ไป๋ผูอวี้มีฝีมือมากกว่าเขา ไหนจะเว่ยหลง ยังมีบ่าวไพร่อีกหลายคนที่เป็นวรยุทย์อีก หยางชวีจึงไม่คิดห้ามคุณชาย หวังว่าสักวันคุณชายจะไว้ใจเขาบ้าง   

รถม้าเคลื่อนโขยกเขยกไม่นานก็จอดที่หน้าจวนสกุลไป๋ จื่อฟางมองเห็นบ่าวไพร่เฝ้าอยู่หน้าประตูมองมาด้วยสายตาแปลกใจ

“คุณชายไป๋จะยอมให้ท่านค้างคืนจริงหรือขอรับ”จางต้าเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลกลัวว่าคุณชายจะถูกไป๋ผูอวี้เมินอีก

“ทำไมจะไม่ยอม เขายังเคยแอบย่องมาหาข้าตอนดึกได้เลย เคยเห็นข้าโป๊แล้วด้วยซ้ำ”จื่อฟางพูดออกมาอย่างอัดอั้น ความรู้สึกขุ่นมัวที่ถูกเมินใส่กลับมาอีกครั้ง

“อะ..อะไรนะขอรับ”ทั้งจางต้าและหยางชวีหน้าซีดเผือด

“ช่างเถอะ”จื่อฟางลงจากรถม้า โชคไม่ดีที่เขาหน้าด้านกว่าคนยุคนี้มากโข แค่บอกว่าไป๋ผูอวี้เคยเห็นเขาโป๊เจ้าสองคนนี่ก็ไม่กล้าสบสายตากับเขาแล้ว

“คุณชายเสิ่น…”บ่าวรับใช้เอ่ยเสียงนุ่มนวล สีหน้างุนงงเมื่อเห็นเขาและผู้ติดตามอีกสองคนยืนตระหง่านอยู่หน้าประตู

“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้”เขาพูดด้วยน้ำเสียงกังวาน รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า บ่าวรับใช้เหม่อมองก่อนเลื่อนสายตามองห่อผ้าใหญ่ในอ้อมแขนของคุณชายเสิ่นก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก

“มีเรื่องใดกัน”กุ้ยตานได้ยินเสียงจึงออกมาดู ไม่คิดว่าจะพบกับคุณชายรูปงามอย่างเสิ่นจิ้งเฟยอยู่หน้าประตูจวน จื่อฟางเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของกุ้ยตานมีความแปลกใจพาดผ่านก็ยกมือเรียก อย่างน้อยก็ยังเจอคนรู้จัก

“คุณชายเสิ่นท่านมีธุระใดหรือ”

“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้ มีเรื่องสำคัญจะคุย พาข้าไปหาเขาที”เขาพูดคำเดิม กุ้ยตานมีสีหน้าไม่แน่ใจ

“ยามนี้คุณชาย….”กุ้ยตานยังเอ่ยไม่จบก็มีคนโผล่เข้ามาอีก จื่อฟางยืนรออย่างอดทน ฟ้ามืดพอดีกว่าเขาจะได้เข้าไป

“ท่านมาทำไมขอรับ”เว่ยหลงส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงที่แสร้งนอบน้อม เขาไม่คิดว่าเจ้าเต่าจะมาหาคุณชายถึงคฤหาสน์ วันนี้คุณชายไป๋ให้เขาตามเสิ่นจิ้งเฟยไปก็ว่าแปลกแล้ว แต่เขาไม่ได้เข้าไปใกล้เพราะองครักษ์หน้าดุผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป จึงได้แต่ลอบมองอยู่ห่างๆแล้วกลับมารายงานคุณชายไป๋

“ข้ามีเรื่องคุยกับไป๋ผูอวี้ เรื่องเมื่อคืนที่เขามาคุยถึงในห้องข้า”จื่อฟางจงใจพูดให้เว่ยหลงได้ยินคนเดียว อีกฝ่ายหน้าทะมึนทันที ไล่บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่กลับไปทำหน้าที่ตามเดิม ก่อนเดินนำจื่อฟางและข้ารับใช้อีกสองคนไปที่เรือนของไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มร่างกำยำเหลือบมองห่อผ้าในอ้อมแขนของเสิ่นจิ้งเฟยก็ขมวดคิ้ว

“เหตุใดท่านเอาห่อผ้ามาด้วย”เจ้าเต่าหอบผ้าหอบผ่อนมาถึงคฤหาสน์สกุลไป๋ หากมีคนรู้เข้าก็ถูกเอาไปนินทาอีก เว่ยหลงเบื่อเรื่องซุบซิบของเสิ่นจิ้งเฟยเหลือเกิน ในโรงน้ำชาหลิวซื่อจะต้องมีคนพูดถึงทุกวัน

“เรื่องของข้า”จื่อฟางไม่อยากบอก เว่ยหลงคล้ายอยากเถียงแต่ก็เลือกหุบปากเงียบ สายตามองปราดไปที่หยางชวีและจางต้าอย่างไม่พอใจนัก ‘เห็นจวนสกุลไป๋เป็นโรงเตี๊ยมหรือไร’ เรือนของไป๋ผูอวี้เงียบสงบและปลูกแต่ต้นไผ่เงิน สายลมเย็นพัดเข้ามา เว่ยหลงย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นเลือดจากห่อผ้าที่คุณชายเสิ่นถืออยู่

“อะไรอยู่ในห่อผ้ากันแน่”

“กระต่าย”จื่อฟางตอบเบาๆ ภาพของกระต่ายสีขาวยังติดตา คนทั้งสามมีสีหน้าไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอีกคล้ายกับรู้ว่าคุณชายรูปงามคงไม่ตอบ เว่ยหลงบ่นอยู่ในใจ ให้คุณชายจัดการเองก็แล้วกัน เขาชักเหนื่อยหน่ายกับเรื่องไร้สาระพวกนี้แล้ว

“ท่านรออยู่ตรงนี้ก่อน”ชายหนุ่มบอกเมื่อเดินมาถึงลานบ้าน

“จะให้คุณชายข้ายืนขาแข็งอยู่เช่นนี้หรือ”จางต้าแย้ง แต่เว่ยหลงไม่สนใจเดินเข้าไปรายงานคุณชายไป๋ในเรือน แต่เขาคิดว่าคุณชายน่าจะทราบเรื่องแล้ว จื่อฟางมองไปรอบ ๆ เรือนของไป๋ผูอวี้ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป ให้บรรยากาศเป็นธรรมชาติ เรียบง่ายเหมือนเจ้าของ รอไม่นานนักไป๋ผูอวี้ก็ก้าวออกมาจากห้องด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จื่อฟางเม้มปาก นึกถึงเหตุการณ์ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้อนรับ

ร่างสูงตรงหน้าถอนหายใจ “เข้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านพอดี”ไป๋ผูอวี้เอ่ยก่อนหันไปทางเว่ยหลง

“เจ้าไปบอกบ่าวพวกนั้นว่าอย่านำเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อ ข้าไม่อยากให้เขารู้”เขาสั่งเสียงเข้มก่อนหันมาพยักหน้าเรียกจื่อฟาง เด็กหนุ่มกระชับห่อผ้า รู้สึกแปลกเหมือนแอบหนีมาค้างบ้านแฟนหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาแค่มานอนค้างบ้านสหายไม่ใช่เรื่องน่าแปลกตรงไหน แม้ว่าเขาพยายามจะ‘อ่อย’สหายผู้นี้ก็เถอะ

“พวกเจ้ารออยู่ด้านนอกก่อน”จื่อฟางหันไปบอกจางต้าและหยางชวี ก่อนเดินตามไป๋ผูอวี้เข้าไป ภายในห้องของไป๋ผูอวี้มีเครื่องเรือนประณีต ไม่มีของราคาแพงหรูหราอย่างเรือนของเสิ่นจิ้งเฟย ข้าวของในห้องก็ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เตียงสี่เสาอยู่ชิดริมห้อง ตู้เก็บของอยู่ทางซ้ายมือ โต๊ะเขียนหนังสืออยู่อีกฝั่ง

ไป๋ผูอวี้กวาดตามองทั่วร่างของเขาด้วยสายตาสำรวจ

“ท่านนำสิ่งใดมา”เขาพยักเพยิดไปที่ห่อผ้าในอ้อมแขนของเสิ่นจิ้งเฟย ร่างตรงหน้าจึงคลี่ห่อผ้าหยิบกล่องไม้ส่งมาให้ ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นเลือดจางๆ เปิดดูก็พบว่ามีซากกระต่ายตัวหนึ่ง เขาใช้นิ้วเขี่ยดูพบว่าเจ้ากระต่ายที่น่าสงสารถูกปาดคอ

“มีคนส่งให้ข้าถึงในห้อง คนในจวนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสักคน ข้ารู้สึกไม่ปลอดภัย”จื่อฟางเริ่มเดินงุ่นง่านไปมา เรื่องโดนวางยาพิษก็ยังไม่กระจ่าง ตอนนี้ยังมีท่านอ๋องมาข่มขู่อีก

“เป็นผู้ใด”บุรุษหนุ่มเอ่ยถามทั้ง ๆที่เดาได้อยู่แล้ว

“ข้าคิดว่าเป็นหลิวอ๋อง”จื่อฟางตอบด้วยสีหน้าหนักใจ ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งจริงเสียด้วย ดูจากที่ท่านอ๋องข่มขู่ท่านเช่นนี้ ท่านคงถลำลึกพอดู”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้า ๆ เท่าที่รู้มาจากสหายลับ เขารู้เพียงว่าเสิ่นจิ้งเฟยติดต่อกับหลิวอ๋องมานานแล้ว แต่ด้วยเรื่องใดนั้นได้แต่คาดเดา แต่สิ่งที่เขาและสหายคาดเดาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างร้ายแรง คิดว่าท่านหลิวอ๋องเจี่ยซินที่ดูจงรักภักดีกับฮ่องเต้เจี่ยผิงกำลังคิด‘กบฏ’ บุรุษหนุ่มแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงเข้าร่วมด้วย

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าขอถามได้หรือไม่ เหตุใดถึงร่วมมือกับหลิวอ๋อง”ไป๋ผูอวี้ลดเสียงลง เดินเข้าไปใกล้คุณชายเสิ่น จ้องมองเข้าไปในดวงตาของคนร่างผอมบางราวกับอยากมองให้รู้ชัด

“…”จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบในทันที เขาไม่รู้เหตุผลของเสิ่นจิ้งเฟย ในนิยายที่ตนอ่านก็อ่านได้เพียงครึ่งเดียว พระรองเสิ่นจิ้งเฟยก่อกบฏจริงหรือไม่ยังไม่สามารถรู้ได้ แต่จากนิสัยที่ในเรื่องที่ผ่านมา ก็เป็นเพียงคนที่ต้องการอำนาจและพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นว่าไม่ได้อ่อนแอเป็นตัวตลก เสิ่นจิ้งเฟยที่จื่อฟางมาอาศัยร่างจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า? แต่เหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงได้รู้เรื่องนี้ ไปรู้มาจากไหน

“สักวันข้าจะบอกท่าน”เขาได้แต่ตอบไปเช่นนั้น

“ข้าคิดว่าท่านไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร หากท่านคิดถอนตัวตอนนี้ก็ยังทัน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงนุ่มคล้ายกำลังหลอกล่อ  หากวันใดเสิ่นจิ้งเฟยหมดประโยชน์คิดหรือว่าท่านอ๋องจะไว้ชีวิต

“ถอนตัว ข้าจะทำได้อย่างไร หากข้าถอนตัวจริงคงได้มีชะตาเหมือนกระต่ายตัวนั้นแน่”จื่อฟางนึกถึงข้อความในจดหมาย เสิ่นจิ้งเฟยร่วมมือกับท่านอ๋องทำเรื่องน่าสงสัยลับหลังฮ่องเต้จะเป็นเรื่องดีไปได้อย่างไร เขาไม่อยากคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นกบฏ เจ้านั่นคงไม่โง่ทำเรื่องที่ไม่มีทางสำเร็จเช่นนั้น ทำไปเพราะอะไร เสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังใดกับฮ่องเต้ แต่หากถูกจับได้ขึ้นมาก็มีแต่โทษตายเท่านั้น


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 24-02-2018 11:40:28
 
 

 

“เจ้าเป็นคนพูดก็ง่ายสิ หากเกิดอะไรขึ้นมาผู้ใดจะช่วยข้า”เด็กหนุ่มถอนหายใจคิดว่าเรื่องนี้โทษผู้อื่นไม่ได้ คนนอกมองอย่างไรก็เป็นการตัดสินใจของตัวเขา แต่จื่อฟางเป็นคนโชคร้ายที่มาติดอยู่ในร่างของผู้อื่น เอาเข้าจริงก็มืดแปดด้าน หากไม่มีทางออกจื่อฟางจะพึ่งผู้ใด ไป๋ผูอวี้เป็นเพียงบุตรชายคหบดีไม่มียศตำแหน่งคงช่วยอะไรไม่ได้จะยอมช่วยเหลือตนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ความเงียบคืบคลานเข้ามาระลอกใหญ่ เขาชายตามองบุรุษร่างสูงที่มีสีหน้าเรียบเฉย

“ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า”มาคิดดูอีกทีรังแต่จะทำให้ไป๋ผูอวี้เดือดร้อน จื่อฟางหมุนกายออกจากห้อง แต่ไป๋ผูอวี้คว้าแขนเขาไว้ ใบหน้าแฝงแววขบขัน เจ้าท่อนไม้ยังขำออกอีกหรือ?

“ท่านนำห่อผ้ามาเช่นนี้ มิใช่ว่าอยากมานอนกับข้าหรือ”

“…”จื่อฟางมองอีกฝ่ายตาเขียว ไม่อยากเชื่อว่าคนผู้นี้จงใจใช้คำกำกวมกับตนแต่ในยามนี้ไม่มีอารมณ์มาหยอกล้อด้วย

“ไยท่านทำตัวคาดเดาไม่ได้เช่นนี้เล่า”บุรุษหนุ่มพึมพำเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นยังทำหน้าบึ้งตึงใส่

“เจ้ากับข้าเป็นสหายกันแล้ว หากท่านพบเจออันตรายข้าย่อมช่วยเหลือ”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างสุขุม ไม่ได้จริงจังมากนัก รู้ดีว่าเรื่องจริงคงไม่ง่าย หากคิดจะยื่นมือช่วยเสิ่นจิ้งเฟยถอนตัวจากหลิวอ๋อง เขาต้องไม่ทำให้สกุลไป๋เดือดร้อนไปด้วย แต่ขาจำเป็นต้องช่วยเหลือเสิ่นจิ้งเฟยถึงขั้นนี้ด้วยหรือ พูดตามจริงหากเป็นเมื่อสองเดือนก่อน คุณชายเสิ่นจะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏอย่างไรตนก็ทำเพียงถอนหายใจเท่านั้น แต่เสิ่นจิ้งเฟยตรงหน้าเขาไม่เหมือนคนเก่า แม้จะมีนิสัยบางส่วนที่ยังคล้ายกัน แต่ไป๋ผูอวี้รู้สึกชัดเจนว่าคุณชายไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ แต่ลายมือของเสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย บุรุษหนุ่มมุ่นคิ้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีความรู้สึกเป็นห่วงต่อเสิ่นจิ้งเฟยจริง

“เจ้าพูดจริง? เหตุใดถึงช่วย ข้ากับเจ้าพึ่งรู้จักกัน”เขาไม่เคยคิดระแวงไป๋ผูอวี้มาก่อนเพราะคนผู้นี้ป็นพระเอก อย่างไรก็ต้องอยู่ฝ่ายดี เขาแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงช่วย

ไป๋ผูอวี้ตอบไม่ได้ “ข้าไม่รู้”

จื่อฟางมองอีกฝ่ายนิ่งงัน ก่อนจะหัวเราะเบา ๆคำว่าไม่รู้เป็นคำแก้สถานการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้ดีที่สุด เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้เชื่อใจไป๋ผูอวี้ ร่างบางสบตากับอีกฝ่ายเนิ่นนานถึงได้สืบเท้าเข้าไปสวมกอดไป๋ผูอวี้หลวม ๆ ใบหน้าอยู่ที่ระดับปลายคางของร่างตรงหน้า กลิ่นอายของคนผู้นี้ให้ความรู้สึกปลอดภัย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ผลักตนออกเพียงแต่ยืนเป็นท่อนไม้ให้สวมกอดอยู่นานสองนาน

เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศหนักอึ้งคลายลงจึงกล่าว “เจ้าให้ข้านอนด้วยจริงหรือ”

“อีกห้องหนึ่ง”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ว้าวุ่นใจที่ไม่ได้รู้สึกอยากผลักไสร่างบางออกไป แบบนี้มันผิดปกติใช่หรือไม่?

“ไม่ได้ นอนกับเจ้าข้าจะสบายใจกว่า”จื่อฟางเพิ่งเคยรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องตลอดเวลาก็ครานี้ นึกไปถึงเมื่อตอนที่ขึ้นรถม้ามาที่คฤหาสน์สกุลไป๋ค่อนข้างแน่ใจว่ามีใครบางคนจับตามองเขาอยู่ หลิวอ๋อง?ความคิดนี้ทำให้ขนลุกวูบวาบ

“นอนกับข้า?”ไป๋ผูอวี้ถามซ้ำด้วยน้ำเสียงหยอกล้อจนชวนให้คิดว่าตัวเองหูฝาดไปเอง     

“ข้าหมายถึงนอนเตียงเดียวกับเจ้า แค่คืนเดียวเท่านั้น อีกอย่างข้ากับเจ้าก็เป็นบุรุษด้วยกัน จะกลัวอะไร”

“ก็ได้ แต่มีข้อแม้…”ไป๋ผูอวี้เปรยทำให้รอยยิ้มของจื่อฟางลดลง

“ข้าอยากรู้ว่าท่านไปสนิทกับคุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นได้อย่างไร”คำถามนี้ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยผละมามองหน้าบุรุษหนุ่มเขามองเห็นอาการลนลานในดวงตาคู่งาม 

“อ้อ คุณชายฝู่จวิ้นน่ะเหรอ”จื่อฟาวต้องปั้นแต่งเรื่องโกหกอีกแล้วสินะ

“ฝู่จวิ้น?”ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ความสงสัยของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

“อืม…”เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่แต่งขึ้นให้ไป๋ผูอวี้ฟัง บอกว่าเคยรู้จักคุณชายฝู่จวิ้นเมื่อหลายปีก่อนเพราะถูกช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญ (นี่มันบทของไป๋ผูอวี้และฉินเซียงอินชัดๆ) ถึงจะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแต่ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าฝู่จวิ้นเป็นผู้ใด เมื่อเล่าจบไป๋ผูอวี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ

“ข้าจะให้เว่ยหลงจัดที่นอนให้ข้ารับใช้ของท่าน”ร่างนั้นเอ่ยเพียงเท่านี้ จื่อฟางยืนมองอีกฝ่ายคิดได้ว่ายังไม่ได้เอาจดหมายให้ไป๋ผูอวี้ดู ตอนแรกตั้งใจจะบอกแค่เพียงครึ่งเดียว แต่ไป๋ผูอวี้รู้เรื่องท่านอ๋องมากกว่าที่คิด เขาไม่อยากเผชิญเรื่องคอขาดบาดตายเพียงลำพัง หากมีไป๋ผูอวี้คอยช่วยเหลือบางทีอาจมีวิธีเอาตัวรอดจากหลิวอ๋องได้

“ไป๋ผูอวี้…”เขาเอ่ยเรียก “ข้าคิดว่าไว้ใจท่านได้”จื่อฟางหยิบจดหมายออกมาจากห่อผ้าก่อนส่งให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า ไป๋ผูอวี้รับไปอ่านด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นทุกครา

“เขานัดเจอท่าน แล้วท่านจะทำเช่นไร”

“ก็คงต้องไปตามนัด ข้าไม่คิดว่าท่านอ๋องจะลงมือฆ่าข้าในตอนนี้”

“หอผูเยว่…หอคณิกานั่น…ข้าจะบอกซูเหลียนฮวาให้นางเฝ้าดูอีกแรงหากมีสิ่งผิดปกตินางย่อมลงมือช่วยอย่างแน่นอน”ไป๋ผูอวี้ไม่อยากออกโรงเองเพราะห่วงสกุลไป๋จะเดือดร้อน แต่หากเกิดเรื่องร้ายแรงจริง เขาค่อยเข้าไปช่วย

“เหตุใดท่านถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างสงสัย ไป๋ผูอวี้มองเขาอย่างพินิจ

“ข้าขอตอบเช่นเดียวกับท่าน สักวันข้าจะบอก เรื่องบางเรื่องไม่อาจบอกได้ถ้ายังไม่ถึงเวลา”ไป๋ผูอวี้มองเห็นร่องรอยผิดหวังของอีกฝ่าย แต่เรื่องนี้จะตัดสินโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวไม่ได้ เรื่องที่เขาทำงานให้ท่านผู้อาวุโสอวิ๋นน้อยคนนักที่ล่วงรู้ ผู้อาวุโสอวิ๋นเป็นขุนนางเก่าเคยดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี ท่านผู้อาวุโสเคารพบอกว่าได้รับคำสั่งลับๆจากฝ่าบาทให้จับตาดูคนกลุ่มหนึ่ง ฮ่องเต้ระแคะระคายว่าหลิวอ๋องจะก่อกบฏ มีกลุ่มคลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ไป๋ผูอวี้ไม่เคยเจอฮ่องเต้เพียงแต่มีคนที่สงสัยอยู่ในใจและเขาก็ไม่คิดอยากเข้าเฝ้าเพราะเขาไม่ได้อยากเป็นขุนนาง เขาร่วมมือกับผู้อาวุโสอวิ๋นเพราะมีเรื่องที่อยากทำ มิใช่เพราะฮ่องเต้เจี่ยผิง

“แต่อย่างไรข้าก็ขอบคุณท่านที่ไว้ใจข้า”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม หากเจ้าไปพบหลิวอ๋องโดยไม่ได้เผยความลับใด ข้าจะบอกเจ้าอย่างแน่นอน เสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชาย…”เสียงเรียกของเว่ยหลงดังอยู่ด้านนอกเบาๆ “ข้านำน้ำร้อนมาให้”

“เข้ามาสิ”ไป๋ผูอวี้ตอบรับ เว่ยหลงแบกถังน้ำร้อนเข้ามาสองถัง จื่อฟางมองด้วยสายตาชื่นชม จางต้าแบกแค่ถังเดียวก็หอบแฮ่กเป็นลูกหมาแล้ว

“ท่านพ่อกลับมาหรือยัง”บุรุษหนุ่มเอ่ยถามระหว่างที่มองผู้ติดตามยกถังน้ำไปไว้หลังฉากกั้น

“ยังขอรับ”เว่ยหลงตอบ รำพึงอยู่ในใจว่าช่างเป็นใจนัก

“เถ้าแก่ไป๋ไม่อยู่หรือ”เขาเอ่ยถามเจ้าของห้อง

“ออกไปกับใต้เท้าเฉิน”อีกฝ่ายตอบ เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องอืมในลำคอ เว่ยหลงออกไปจากห้องด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

ไป๋ผูอวี้ก็หันมาทางเขา “เชิญท่านอาบน้ำก่อนเลย”

    “ขอสาวใช้มาช่วยขัดหลังได้หรือไม่”

    “…”ไป๋ผูอวี้ไม่ตอบเพียงแต่ทำหน้านิ่งมองเขาเท่านั้น 

“ข้าเรียกหยางชวีมาก็ได้”

“ข้าขัดให้ท่านดีหรือไม่”ไป๋ผูอวี้คล้ายรำคาญ

จื่อฟางหัวเราะ“ถ้าท่านไม่รังเกียจ”คิดว่าไป๋ผูอวี้แค่พูดหยอกเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าตอนที่เขาแช่น้ำอุ่นอยู่ในถัง เจ้าตัวจะเข้ามาช่วยขัดหลังให้เขาจริง ๆ

“ท่านเอาจริงหรือ”จื่อฟางหันหลังให้แทบไม่ทัน รู้สึกเขินอายขึ้นมา รับรู้ว่าสายตาของไป๋ผูอวี้จ้องแผ่นหลังขาวเนียนของร่างนี้อยู่

“บุรุษด้วยกัน จะกลัวอะไรเล่า”ไป๋ผูอวี้ลอกคำพูดของเขามาตอบ

“ทำไมวันนี้ท่านทำตัวแปลกนัก ปกติทำตัวเป็นท่อนไม้”จื่อฟางพูดแต่อีกฝ่ายออกแรงใช้ไยบวบขัดหลังให้เขา

“โอ๊ยยย”

“เจ็บหรือ”อีกฝ่ายถามด้วยเสียงเจือหัวเราะ

“ลองบ้างไหมล่ะ”จื่อฟางพึมพำรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งตนแน่ ไป๋ผูอวี้ขยับมากระซิบใกล้ใบหูของเขา

“เว่ยหลงกับหยางชวีแอบฟังอยู่ ท่านช่วยเล่นละครไล่สองคนนั่นไปได้หรือไม่”จื่อฟางไม่อยากเชื่อว่าสองคนนั่นจะมาแอบฟังตอนที่ตนใช้เวลาอาบน้ำ คิดอะไรกันอยู่นะ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงแกล้งร้องเสียงดังเป็นพิเศษ ในหัวพลันสงสัยว่าท่อนไม้อย่างไป๋ผูอวี้จะยังบริสุทธ์ผุดผ่องอยู่หรือไม่ ไป๋ผูอวี้ได้ยินเสียงร้องสมจริงของเสิ่นจิ้งเฟยก็รู้สึกว่าหน้าร้อน บุรุษหนุ่มรีบหยุดความคิดไร้สาระ เมื่อรู้สึกว่าหยางชวีและเว่ยหลงไปแล้วเขาจึงทิ้งไยบวบ

    “เชิญท่านตามสบาย”ร่างสูงใหญ่เดินออกไปโดยไม่หันมอง จื่อฟางเหลียวมองอย่างขบขัน ใช้เวลาไม่นานเพราะไป๋ผูอวี้ต้องอาบน้ำต่อ จึงออกมาจากฉากกั้นพบว่าจางต้ากำลังจัดแจงโต๊ะอาหารให้ บ่าวคนสนิทใช้สายตามองหาสิ่งผิดปกติบนร่างกายของเขาอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อไป๋ผูอวี้หายเข้าไปหลังฉากกั้นจางต้าก็กระซิบกระซาบเบาๆ

“ข้าได้ยินเสียงท่านกับไป๋ผูอวี้…”จางต้ากระซิบหน้าแดงซ่าน

“แล้วอย่างไร”จื่อฟางมองกับข้าวที่มีแต่ผักก็คีบกินไม่กี่คำ

“ท่านไม่ได้ชอบคุณหนูฉินหรือ”

“ข้าไม่ได้ชอบนาง ข้าชอบไป๋ผูอวี้ต่างหาก”จื่อฟางเพียงตอบเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้ที่อยู่หลังฉากกั้นจะได้ยิน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เสิ่นจิ้งเฟยชอบเขา? เป็นไปได้หรือ แต่นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายเล็กน้อย มองไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่ 

“คุณชาย! ท่านล้อเล่นแล้วหากนายท่านรู้เข้า…”จางต้ามีสีหน้าตื่นตระหนก แต่พอเห็นคุณชายหัวเราะก็รู้ว่าถูกแกล้งเข้าแล้ว

“หยางชวีอยู่ที่ใด”เขาเอ่ยถาม วางตะเกียบลง กับข้าวสกุลไป๋ไม่ถูกปากเอาซะเลย

“ฝึกยุทธ์กับเว่ยหลงอยู่ขอรับ”จางต้าตอบด้วยน้ำเสียงปนอิจฉา

“เจ้าเป็นไรแล้ว”

“ข้าอยากฝึกบ้าง เพื่อจะปกป้องคุณชายได้”จางต้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ส่งถ้วยยากลิ่นแรงให้คุณชาย นี่เป็นยาสุมนไพรที่เว่ยหลงนำมาให้

“ให้หยางชวีสอนสิ”จื่อฟางรับถ้วยยามาดื่มรวดเดียวก่อนทำหน้าบิดเบี้ยวเพราะรสชาติขมฝาด

“เขาไม่ยอมสอน ทั้งยังดูถูกข้าอีก!”จางต้ามีท่าทีเจ็บแค้น

“แล้วเว่ยหลง…”เขาคิดว่าเจ้านั่นเก่งมากทีเดียว หากสู้กับหยางชวีจริง ๆ ผลแพ้ชนะอาจพลิกได้ตลอด

“ท่านล้อเล่นอีกแล้ว เขาเกลียดพวกเราสกุลเสิ่นจะตาย อย่าว่าแต่ยอมคุยด้วยเลย”จางต้าทำเสียงจุ๊ๆเมื่อนึกถึงคนร่างกำยำนั่น

เมื่อไป๋ผูอวี้อาบน้ำเสร็จ จางต้าก็รีบออกไปจากห้องคิดอยู่ในใจว่าคุณชายดูมีชีวิตชีวากว่าตอนอยู่ที่จวนเสนาบดีนักหรือเป็นเพราะไป๋ผูอวี้ เขาได้แต่หวังว่าเรื่องที่คุณชายบอกว่าชอบคุณชายไป๋จะเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น เดาใจนายท่านใหญ่ไม่ออกว่าคิดเห็นเช่นไร

ฟ้ามืดแล้วจื่อฟางนำหนังสือตำราของไป๋ผูอวี้มาอ่านเล่นแก้เบื่อ ในขณะที่เจ้าของห้องนั่งสมาธิอยู่หลายชั่วยาม  เขาเพิ่งเคยเห็นไป๋ผูอวี้ปล่อยผมยาวสยายเป็นครั้งแรก จึงลอบมองบ่อย ๆ ร่างที่นั่งหลับตาขมวดคิ้วราวกับรู้ตัวว่าถูกจับจ้องไม่วางตา

ผ่านไปหนึ่งเค่อ ไป๋ผูอวี้ก็ลืมตาช้า ๆด้วยท่าทางปรอดโปร่ง มองจื่อฟางด้วยดวงตากระจ่าง

“ข้าจะช่วยท่านเดินลมปราณ”

จื่อฟางตกใจจนทำหนังสือตำราหล่นพื้น ท่อนไม้รู้ด้วยหรือว่าตอนนี้เขาเดินลมปราณไม่เป็น

“หยางชวีบอกข้าหมดแล้ว”ชายหนุ่มกล่าว นึกถึงสีหน้าจริงจังและยอมรับของหยางชวียามที่พูดกับเขา ‘ข้าฝากดูแลคุณชายด้วย’ เจ้านี่เห็นเขาเป็นพี่เลี้ยงของเสิ่นจิ้งเฟยหรืออย่างไร แต่หยางชวีเป็นคนมีฝีมือหากยอมลดความถือตน ยอมให้เว่ยหลงสอน ฝีมืออาจจะไปได้ไกลกว่านี้

“จริงหรือ”จื่อฟางแทบไม่อยากเชื่อ หยางชวีเอ๋ย ไยเจ้าปากสว่างเช่นนี้!

“เขาบอกว่าท่านคล้ายเสียความทรงจำ เรื่องที่เคยทำได้กลับไร้ความสามารถ แม้แต่กู่เจิงก็เล่นไม่ได้แล้ว”ไป๋ผูอวี้ถามระหว่างที่เดินมายืนซ้อนด้านหลัง แนบฝามือลงกลางหลังของเสิ่นจิ้งเฟย ร่างบางพยายามไม่เหม่อลอย ใจเต้นตุบตับรุนแรง พลังลมปราณของไป๋ผูอวี้แข็งแกร่งจนเขารู้สึกได้ ร่างกายของสั่นเล็กน้อย บุรุษหนุ่มจึงละมือออกจากแผ่นหลังของตรงหน้า

จื่อฟางนั่งพักรู้สึกง่วงขึ้นมา เขาจึงแบกร่างไปนอนแผ่บนเตียง “ไยท่านถึงสนใจเรื่องกู่เจิงนัก”เขาพึมพำถาม

“ตั้งแต่ย้ายมาฉางอันข้าก็ได้ยินเรื่องนี้มาตลอด จึงอยากฟังสักครั้งว่าจริงหรือไม่”ไป๋ผูอวี้ตอบยืนมองอยู่ข้างเตียง จื่อฟางมองเส้นผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลังของอีกฝ่ายก็รู้สึกอยากจับ

“ข้าเล่นไม่ได้แล้ว”เด็กหนุ่มตอบเสียงหม่น ไป๋ผูอวี้ชอบความสามารถของเสิ่นจิ้งเฟย “แต่หากท่านอยากฟังข้าจะลองฝึกดู”พอพูดออกไปแล้วจื่อฟางก็อยากคืนคำ

“รอให้ท่านสอบซิ่วไฉได้ค่อยฝึก”ไป๋ผูอวี้ยิ้มจาง   

“อืม”เขาเพียงโคลงศีรษะ ไม่รู้ว่าตนจะสอบได้หรือไม่

กลางดึกจื่อฟางฝันถึงกระต่ายสีขาวแปลงร่างเป็นปีศาจร้ายไล่กัดคน เขาจึงนอนอย่างกระสับกระส่าย คิ้วขมวดมุ่น พลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบทำให้ไป๋ผูอวี้นอนไม่หลับไปด้วยเพราะเสิ่นจิ้งเฟยนอนดิ้นอยู่ใกล้ๆ บุรุษหนุ่มจึงนอนเงี่ยหูฟังเสียงลมพัดจวบจนไม่มีเสียงใดให้ฟัง เขาก็ยังนอนไม่หลับ ไป๋ผูอวี้จึงพลิกตัวพินิจมองเสิ่นจิ้งเฟยที่นอนหันหน้ามาทางตนเงียบๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายขาวซีด มีเหงื่อผุดตามหน้าผากราวกับกำลังฝันร้าย แน่ล่ะ ถ้าคุณชายเสิ่นยังหลับสบายได้อยู่ก็แปลกแล้ว ไป๋ผูอวี้ยื่นมือออกไปอย่างลังเลก่อนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างเบามือเพราะกลัวเจ้าตัวจะตื่น

“เสิ่นจิ้งเฟย…เจ้า…”เสิ่นจิ้งเฟยละเมอ คิ้วยังขมวดเป็นปม ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้ว มุมปากมีรอยยิ้ม มีคนละเมอด่าตัวเองด้วยหรือ บุรุษหนุ่มนึกถึงตอนที่ตนยังเด็กยามที่ฝันร้ายท่านแม่มักมานอนปลอบเสมอ แต่เสิ่นจิ้งเฟยเสียมารดาไปนานแล้ว ยามที่ฝันร้ายคนผู้นี้จะมีคนปลอบหรือไม่ เสนาบดีเสิ่นคงไม่ใช่คนอ่อนโยนเท่าไหร่ นอกจากตามใจบุตรชายแล้วเคยสนใจเสิ่นจิ้งเฟยด้วยหรือ ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่จึงเอื้อมมือไปตบหลังคุณชายเสิ่นเบาๆ แต่เขากลับคิดผิดเพราะเสิ่นจิ้งเฟยขยับตัวมาซุกในอ้อมแขนของเขาทันที คิ้วที่ขมวดมุ่นค่อยคลายลง แม้แต่ตอนนอนคุณชายท่านนี้ก็ยังคิดแกล้งเขา ไป๋ผูอวี้ได้แต่ถอนหายใจ

นี่ไม่ใช่แค่ล้ำเส้นแล้วกระมัง แต่ดูเหมือนก้าวข้ามมาทั้งตัวแล้ว





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 24-02-2018 12:36:02
มีปมเยอะแยะ สนุกมากรอติดตาม
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 24-02-2018 13:32:08
รอคุณชายทั้งสองได้กันนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-02-2018 13:42:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 24-02-2018 16:01:55
ลึกลับไปอีกกกกก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 24-02-2018 17:52:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-02-2018 18:57:13
นี่ชัวร์มากเลยว่าพี่ฟู่จวิ้นคือฮ่องเต้ที่เล็งคุณชายเสิ่นเอาไว้
ถ้าเป็นท่านอ๋องสักคนทำไมจะไม่มีใครรู้จักหน้าตา ชื่อเสียงเรียงนาม โอ้ยบางทีหยางชวีก้อฉลาดนะ เหตุกบฏน่าจะจริง คุณชายเสิ้น ท่่นไม่รักชีวิตจริงๆหรือนี่ ข้าล่ะปวดหัวยิ้งนัก
เป็นคนดังจริงๆพอออกไปกับคุณชายปริศนาปุ้ปข่่วถึงทันที กระต่ายก็ถูกส่งมาขู่

ว่าแต่ท่านพ่อนี่ไปสร้างเรื่องไว้ที่ไหนรึเปล่า
ดูเหมือนลูกนี่รับกรรมอะไรมากมายหนักหนา

เราล่ะหวังให้พี่ท่อนไม้เปลี่ยนเป็นไม้เลื้อยสักคืนค่ะ กอดปลอบน้องหน่อยน้องด่าตัวเองอยู่นั่นน่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 24-02-2018 18:59:34
 :pig4: รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 24-02-2018 19:42:27
ลึกลับเกินไปแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเป็นยังไงกันแน่ดูไม่ธรรมดาเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-02-2018 19:54:23
สนุกมาก ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ฟู่จวิน ใช่ฮ่องเต้ หรือเปล่า  o18

เสิ่นจิ้งเฟย  บอกให้ไป๋ได้ยินว่าไม่ได้ชอบฉินเซียงอิน
แต่ชอบไป๋ ไป๋ก็ได้ยินแถมตาเป็นประกายซะด้วย
ที่แน่ๆ จื่อฟาง นอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของไป๋ผูอวี้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-02-2018 20:31:42
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 24-02-2018 20:37:05
สงสารจื่อฟาง คุณชายเสิ่นผูกเรื่ิองไว้ซะเยอะแยะเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 24-02-2018 21:37:02
มันเป็นปมที่ต้องตามต่ออะ รีบมาต่อนะะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 24-02-2018 22:07:46
บางที่ คนที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก น่าจะเป็น นังนายเอกเวอร์ชั่น2 นี่แหละ  ///จับบีบคอเขย่าๆ  :fire:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 24-02-2018 22:52:02
ปมเยอะเลย ลึกลับไปหมดดดด
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Sistel2 ที่ 24-02-2018 23:01:18
ความลับเยอะจริงคุณชายเจ้าสำราญคนนี้
คุณพระเอกของเราก็ไม่ธรรมดาจริง ๆ
สงสารแต่นางเอกที่ตอนนี้นางคงแทบไม่มีบทแล้ว (ฮา)
แล้วจะมีวี่แววของคู่รองบ้างไหมเนี่ย  :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 24-02-2018 23:30:09
อ่อยไม่รู้ตัวอีกแล้วนะจิ้งเฟย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-02-2018 23:42:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 24-02-2018 23:42:21
ตอนเค้าชวนนอนด้วยกันนี่เราเขินอะ จริงๆเขินตั้งแต่ที่จื่อฟางบอกข้าคิดถึงเค้าแล้ว โอ้ยยยอะไรเนี่ยฉากอาบน้ำนั้น เหมือนข้าวใหม่ปลามันเพิ่งแต่งงานกันเลย มีนอนกอดกันด้วย ฮื้อออเขิน :-[ ค่อยๆหยอกเอินกัน แอบมีหวงแบบไม่รุตัวให้เว่ยหลงย่องๆตามไปดูด้วยอ่ะ พ่อท่อนไม้ช่างน่ารักกกก
ท่านอ๋องต้องมาลองเชิงแน่ๆ แสร้งทำเป็น บอกว่าชื่อฟู่จวิ้น
ส่วนพ่อของจิ้งเฟย คงมีเมียน้อยจริงๆ  เฮ้อ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-02-2018 00:51:53
ปริศนาเยอะแยะไปหมดดดด  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-02-2018 01:22:39
นอนด้วยกันแล้ว  พวกเขานอนด้วยแล้วววววว  :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: zaneforest ที่ 25-02-2018 02:32:02
เเอบจิ้น เว่ยหลง จางต้า เเละ หยางชวี อย่างเงียบๆ #ผิด
เสิ่นจิ้งเฟยคนก่อน น่าจะชอบเรียนลูกเสือนะ
ขยันผูกปมจังเลย รอต่อไป เรื่องราวกำลังเจ้มจ้น
สนุกมาก คนเขียน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 25-02-2018 03:31:10
ความลับ ความลับเต็มไปหมด นี่ก็อยากรู้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 25-02-2018 08:01:52
รอตรงได้กันแน่นอนนี่แหละ555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 25-02-2018 09:25:51
เรื่องราวซับซ้อนมากค่ะ มีหลายคนพัวพัน
แล้วจิ้งเฟยกลายมาเป็นจื่อฟางไปอีก
เลยยังไม่ทันได้รู้เรื่องว่า จิ้งเฟยกำลังทำอะไร

ชีวิตน่าสงสารนะ มีพร้อมแต่เหมือนตัวคนเดียว
พ่อก็ไปมีอนุ ปากก็บอกว่ารักแม่คนเดียว รักลูกมาก

แล้วผูอวี้รู้อะไรมาบ้างนะ ทุกอย่างมีเงื่อนงำไปหมด

คุณชายผู้นั้น คงไม่ใช่ฮ่องเต้มาเองหรอกนะคะ

หยางชวีเจอเรื่องใหญ่ เจอศึกหนัก เจอคนแกร่งกว่า
จะปกป้องคุณชายได้มากแค่ไหนนะ
จางต้าก็น่าสงสารไปอีก ภักดี แต่ก็บอบบาง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 25-02-2018 20:05:22
ลุ้นทุกอย่างเลยอ่ะ มันลึกลับซับซ้อนมากเลย ตกลงนางเป็นคนยังไงกันแน่นะ แต่ๆๆๆๆ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงจะเป็นยังไงก็ช่างมันก่อน สนใจแระโยคสุดท้ายของคนเขียนดีกว่า ได้กันๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 55555555จิตใจอยากรับsinรับpornแล้ว5555 :hao6: :z1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 26-02-2018 09:35:21
เสิ่นจิ้งเฟยนี่ความลับเยอะเนอะ .... เยอะจนกลุ้มใจ .... จะรอดไปได้ถึงตอนไหนเนี่ยยยยยย ตอนต่อไปนางจะโดนสั่งเก็บมั้ย.... อ่านละเครียดแทน 55555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kik ที่ 26-02-2018 14:43:21
สนุกมากเลยค่ะ  ปมเยอะ  มาต่อบ่อยๆนะ  รออ่านเลยค่ะ :mew3: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 26-02-2018 15:37:29
ชอบความขี้อ่อยของจื่อฟางจังค่ะ555555 รอติดตามอยุ่นะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 26-02-2018 15:58:07
หนุ่มรูปงาม มีแต่หนุ่มสนใจ


เรื่องเป็นยังไงกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 26-02-2018 20:15:50
ความลับจะเยอะไปไหนนนนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 26-02-2018 20:31:26
เอาอีกๆ อยากเห็นท่อนไม้กลายร่าง  :really2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: wifesuju ที่ 27-02-2018 19:57:55
เริ่มยุ่งยากขึ้นไปทุกที จื่อฟางจะเอาตัวรอดไปได้ถึงไหนกัน ตอนแรกที่อ่านไม่คิดว่าเนื้อเรื่องจะซับซ้อนขนาดนี้ แต่สนุกดีค่ะ น่าติดตามไปเรื่อยๆเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: jaja-jj ที่ 27-02-2018 22:52:41
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-02-2018 09:12:58
ลึกลับไปอีกกกก เอาใจช่วยจื่อฟางงง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fida ที่ 28-02-2018 10:01:04
ชอบมากค่ะ

ชอบแนวย้อนเวลาแล้วไปเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวละครเดิมแบบสุดๆ

ฮรือ อยากอ่านต่อ :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-02-2018 18:00:40
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 01-03-2018 11:37:35
นายเอกเป็นคนที่ปมเยอะมากจริงๆ :ruready
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-03-2018 12:30:10
 :z2:
 :z2:
 :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-03-2018 13:40:08
 :L2: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 01-03-2018 14:45:24
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทสิบ :ข่มขู่ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 04-03-2018 04:12:49
เพิ่งได้มาตามอ่าน
อหห อ่านแล้วรู้สึกขนลุก แต่ละอย่างคือมีลับลมคมในมาก น่าสงสัยไปหมด
แต่เสิ่นจิ้งเฟยน่าจะสมคบคิดกะหลิวอ๋องก่อกบฏนี่ท่าจะจริงนะเนี่ย แล้วฟู่จวิ้นก็น่าจะใช่ฮ่องเต้เลยมั้ยนะ เขาจะอยากได้รูปจิ้งเฟยไปทำไมนี่ น่าสงสัยไปหมดด
รอตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 06-03-2018 19:56:19
บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง



จื่อฟางสะดุ้งตื่นพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของไป๋ผูอวี้ ใบหน้าของเขาซุกอยู่กับแผ่นอกของอีกฝ่าย ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท กลิ่นกายอ่อนๆอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาใจเต้นแรง เด็กหนุ่มขยับตัวแต่ก็พบว่าถูกอ้อมแขนของไป๋ผูอวี้รัดไว้จนขยับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“…ไป๋ผูอวี้…”เขากระซิบเรียกเสียงแผ่ว

“…”เมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่มีทีท่าจะตื่น เขาจึงถือโอกาสกวาดตามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย ทุกสัดส่วนบนใบหน้ารับกันอย่างเหมาะเจาะ เขาถอนหายใจพลางคิดว่าคนผู้นี้สมบูรณ์แบบจริง ๆ เพียบพร้อมขนาดนี้ไม่แปลกที่ฉินเซียงอินจะหลงชอบ ในนิยายคลับคล้ายคลับคลาว่าพ่อของนางไม่ชอบไป๋ผูอวี้เพราะไม่มียศตำแหน่ง จนบุรุษผู้นี้ต้องพิสูจน์รักด้วยการสอบเป็นขุนนาง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วไป๋ผูอวี้ได้เป็นขุนนางหรือไม่ จากบทพระเอกก็คงสอบได้ เขานึกถึง(อดีต)นางเอกแล้วก็ยกยิ้ม ในนิยายนางอาจจะได้เป็นนางเอก แต่ไม่ใช่กับโลกนี้ หากฉินเซียงอินคิดจะมาก่อรักกับไป๋ผูอวี้คงไม่ง่าย ยังต้องผ่านด่านเขาไปก่อน

จื่อฟางยื่นมือไปลูบคิ้วเข้ม ลากนิ้วลงมาตามสันจมูกก่อนหยุดลงที่ริมฝีปากหนา เอานิ้วจิ้มเบาๆแต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังไม่ตื่น ท่อนไม้ไป๋นอนหลับลึกเกินไปหรือเปล่า? เขาใช้มือเกลี่ยริมฝีปากของบุรุษอีกคนเล่น พลางคิดว่ารสชาติของเจ้าท่อนไม้จะเป็นเช่นไร จื่อฟาง…นายหมกมุ่นมากไปแล้ว! แต่เขากับไป๋ผูอวี้ห่างกันแค่คืบ หากขยับเข้าไปเพียงเล็กน้อย…อีกเล็กน้อย…รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนโรคจิตที่แอบลักหลับคนที่ชอบ

จื่อฟางกลั้นหายใจเมื่ออยู่ๆไป๋ผูอวี้ก็ลืมตาขึ้นมา สายตากระจ่างใสจ้องมาที่ตนไม่มีร่องรอยง่วงงุนอย่างคนเพิ่งตื่นนอนแม้แต่น้อย ไป๋ผูอวี้ตื่นนานแล้วหรือ จื่อฟางรีบผละออกห่างทันที แต่เพราะเจ้าตัวยังไม่ปล่อยมือที่โอบแผ่นหลังเขาไว้ เขาจึงถูกกักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย หนีจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปไม่ได้ อากาศรอบตัวพลันร้อนอบอ้าวขึ้นทันใด

“ตื่นแล้วหรือ”จื่อฟางส่งเสียงทักพยายามยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น ความร้อนยังคงลามมาตามลำคอขึ้นบนใบหน้า ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วอย่างงุนงง ไล่สายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่มีใบหน้าแดงเรื่อ ความจริงเขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ว่าคุณชายเสิ่นจะทำสิ่งใดต่อ เขาจึงแสร้งทำเป็นหลับไม่คิดว่าคุณชายจะใจกล้าถึงขนาดลอบจุมพิตตน บุรุษหนุ่มใจเต้นผิดจังหวะแม้จะวูบเดียวแต่เขาก็รับรู้ถึงความนุ่มนิ่มของริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยได้ชัดเจน

“ท่านปล่อยมือได้หรือไม่ อากาศค่อนข้างร้อน”จื่อฟางพึมพำตีมึนทำหน้าใสซื่อ ไป๋ผูอวี้มองเขาด้วยสายตาราบเรียบแต่แฝงแววบางอย่าง ร่างตรงหน้าไม่ตอบทั้งยังไม่ปล่อยมือด้วย

“ดูเหมือนท่านจะหมกมุ่นในตัวข้าจริง ๆ ชอบข้ามากเลยหรือ”ร่างนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย แต่รอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากคล้ายกำลังหยอกล้อ อาจเพราะเพิ่งตื่นนอนเสียงของไป๋ผูอวี้จึงแหบไปบ้าง ทำให้จื่อฟางยิ่งใจเต้น มาถึงขั้นนี้แล้วยังมีอะไรต้องอายอีก ในเมื่อเขาเคยลั่นวาจากับตัวเองว่าจะอ่อยไป๋ผูอวี้ เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป

เด็กหนุ่มจึงแย้มยิ้มหวาน “ใช่ ข้าชอบเจ้า หลงรักตั้งแต่แรกเห็น”เขาเอาหน้าซบแผ่นอกของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงหัวเราะจนตัวเขาสะเทือน จื่อฟางขมวดคิ้ว หัวเราะอะไรอีก! ลูกไม้ของเขาใช้ไม่ได้ผลกับเจ้านี่เสียที

“ท่านขำอะไร”เขาถลึงตาใส่ ผลักแขนไป๋ผูอวี้ออกไปให้พ้นตัวกลิ้งออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้คันหัวใจยุบยิบ

“หลงรักตั้งแต่แรกเห็นหรือ ข้าจำได้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรกท่านปาถ้วยน้ำชาที่ข้าชงให้ทิ้ง”ไป๋ผูอวี้กวาดมองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่น รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า เสิ่นจิ้งเฟยที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้เขาสนุกนัก

“เจ้าเห็นข้าเป็นตัวตลก?”จื่อฟางได้แต่ทำสีหน้าบึ้งตึง ไป๋ผูอวี้ขยับตัวลุกนั่ง มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาเป็นประกาย

“เปล่า ท่านแค่ทำให้ข้าสนุก”อีกฝ่ายยิ้ม จื่อฟางไม่รู้ว่ามันต่างกันหรือไม่

“เหตุใดเจ้าดูไม่แปลกใจที่ข้าแอบจูบเจ้า”เขาหรี่ตามอง เดาอารมณ์ของชายตรงหน้าไม่ถูก ประเดี๋ยวก็ทำตัวเป็นท่อนไม้ ประเดี๋ยวก็หัวเราะชอบใจ

“หากเป็นแต่ก่อน…ข้าคงแปลกใจ แต่ท่านในยามนี้…ข้าไม่รู้สึกว่าแปลกเท่าไหร่”บุรุษหนุ่มกล่าวพลางมองตรงไปที่เสิ่นจิ้งเฟยอย่างครุ่นคิด จะว่าไปจุมพิตผิวเผินเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ถึงแม้ยามที่อยู่หลานโจวจะเคยพบเจอชายบำเรอมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปคลุกคลีสัมผัส แต่คุณชายผู้นี้กลับต่างออกไป บางที…อาจเป็นเพราะใบหน้างดงามราวสตรีกระมังที่ทำให้เขาไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน …แต่ชายบำเรอเหล่านั้นก็รูปงาม เสียงในหัวแย้งมา แต่เขาปัดทิ้งไป

“เช่นนี้เอง…”จื่อฟางยิ้ม ทำตาเป็นประกาย แสดงว่าตนก็ยังมีโอกาสอยู่ เขาเหลือบมองเส้นผมสีดำมันวาวของอีกฝ่ายแล้วก็อยากเอื้อมไปสัมผัส แต่ต้องห้ามใจตนเอง คำถามที่ผุดมาเมื่อครั้งก่อนกลับมาอีกครั้ง

“ท่านเคยเข้าหอนางโลมหรือไม่”ทันทีที่คำถามหลุดออกมา ไป๋ผูอวี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที

“เหตุใดต้องถาม”คุณชายเสิ่นแปลกเสียจริง

“ข้าแค่อยากรู้ ท่านดูเป็นสุภาพบุรุษ…”เขาพยายามซ่อนสีหน้าที่นึกถึงเรื่องลามกไว้

“ท่านคงไม่ได้คิดเรื่องแปลกๆอยู่กระมัง”ไป๋ผูอวี้พูดช้าๆแค่มองใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวคิดเรื่องใดอยู่

“เปล่า”จื่อฟางพูดปด

“ข้าไม่ใช่ท่านที่จะเห็นหอนางโลมเป็นบ้านหลังที่สอง”ประโยคของบุรุษหนุ่มแฝงแววค่อนแขวะ ร่างนั้นนิ่งเงียบไปเหมือนหาคำพูดมาแย้งไม่ได้ จื่อฟางกระแอมก่อนคลานผ่านบุรุษอีกคนลงจากเตียง เขาเดินไปเปิดหน้าต่างสำรวจดูด้านนอก อากาศเย็นๆปะทะใบหน้า ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่คำนวณดูแล้วว่าอีกสักพักคงใกล้เช้า จื่อฟางควรกลับจวนสกุลเสิ่นก่อนฟ้าสว่าง 

เขาปิดหน้าต่างก่อนหันมาพูดกับไป๋ผูอวี้ “ข้าคิดว่าได้เวลากลับจวนแล้ว ขอบคุณมากที่ยอมให้ข้าค้างคืนด้วย”

ไป๋ผูอวี้มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นก่อนกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “…เรื่องของอ๋องสามท่านควรไตร่ตรองให้ดีก่อนเอ่ยวาจา อยู่กับเขาท่านควรระวังตัวไว้เสมอ…”

แม้จะรู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงคุ้นเคยกับหลิวอ๋องแต่ยามนี้…คุณชายตรงหน้ากลับดูน่าเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ทำให้เขาไม่วางใจ

จื่อฟางเองก็ทราบดี หากต้องเผชิญหน้ากับหลิวอ๋องเขาควรระมัดระวังคำพูดและมีสติที่สุดจะทำลุกลนมีพิรุธไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นชะตาของเขาคงเป็นเหมือนกระต่ายตัวนั้น เขาพยักหน้ารับก่อนเดินกลับมาที่คันฉ่องบนโต๊ะ สำรวจดูใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของตนอย่างพอใจ ถึงแม้เมื่อคืนจะจำได้ลางๆว่าฝันร้ายแต่ก็นอนหลับสบายกว่าที่คิด

จื่อฟางรวบผมเป็นมวยอย่างลวกๆก่อนใช้ปิ่นธรรมดาเสียบ อาจเป็นเพราะข้ารับใช้ได้ยินเสียงพูดคุยของเขาและไป๋ผูอวี้ กุ้ยตานจึงยกอ่างน้ำเข้ามาให้เขาและผู้เป็นนายล้างหน้าบ้วนปาก บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เด็กหนุ่มจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย รับรู้ว่าสายตาเจ้าของห้องจับอยู่ที่ตนจึงทำให้รู้สึกเกร็งๆอยู่บ้าง เขาเหลือบมองห่อผ้าก็คิดว่าจะทิ้งเอาไว้ที่นี่ ไม่แน่อาจได้มีโอกาสมานอนค้างที่จวนสกุลไป๋อีก

“ห่อผ้าของท่าน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตัวปลิวเหมือนไม่ได้หอบเอาสิ่งใดมาด้วย

“ข้าฝากไว้ที่เจ้าก่อน”

“ไยต้องฝาก…”เขามองร่างที่เดินมาหยุดตรงหน้า หรือเจ้าเด็กนี่คิดจะมาค้างคืนที่ห้องของเขาอีก จื่อฟางยืนอยู่ตรงหน้าไป๋ผูอวี้ด้วยสีหน้าสงบทำให้อีกฝ่ายนึกแปลกใจ

“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้า…”จื่อฟางนึกไปถึงท่าทีเมื่อวานของไป๋ผูอวี้ การที่ถูกใครสักคนไม่ไว้ใจทำให้เขาไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะกับบุรุษที่เขาเปิดอกบอกเรื่องหลิวอ๋อง เขาจึงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

“แต่สักวันข้าจะทำให้เจ้าไว้ใจข้าโดยที่ไม่มีแต่ข้อกังขา”คำพูดหลุดออกไปแล้ว ไป๋ผูอวี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะซึมซับข้อความ เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ใบหน้าเรียบสงบ เป็นท่าทีที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ดูท่าคุณชายท่านนี้จะพูดจริง แต่เขาไม่เคยไว้ใจใครโดยที่ไม่คิดสงสัย คำพูดของอีกฝ่ายจึงดูเลื่อนลอย

“ท่านคิดว่าทำได้หรือ เสิ่นจิ้งเฟย”เขาไม่ได้หัวเราะว่าความคิดเช่นนี้ไร้สาระ ได้แต่สงสัย

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”จื่อฟางเองก็ไม่รู้คำตอบเพราะเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่เขาจะทำให้ได้

“ข้าจะรอดู…”ไป๋ผูอวี้ผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้อย่างไม่จริงจังนัก แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ได้เล่าว่าอีกหลายปีข้างหน้าเขาจะเชื่อคุณชายท่านนี้อย่างหมดใจ จื่อฟางหมุนกายเดินออกมาจากห้อง ที่ลานบ้านหยางชวีและจางต้ายืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ข้าน้อยกำลังคิดเข้าไปปลุกคุณชายอยู่พอดี”จางต้าเอ่ยเมื่อเห็นคุณชายของตนเดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งสงบก็นึกฉงนอยู่ในใจ ได้แต่เดินตามคุณชายไปเงียบๆ จื่อฟางมองหน้าหยางชวีก็นึกไปถึงคำพูดของตนที่บอกกับไป๋ผูอวี้ เขาเองก็ยังไม่ไว้ใจหยางชวี เรื่องของหลิวอ๋องใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเผชิญหน้าเพียงลำพัง แต่เขาก็กลัวว่าคนผู้นี้จะเอาเรื่องของตนไปรายงานกับเสนาบดีเสิ่น

“หยางชวี หากท่านพ่อไม่ได้ส่งเจ้ามาติดตามข้า เจ้าอยากทำอะไร”เด็กหนุ่มเอ่ยถามระหว่างที่เดินออกมาจากคฤหาสน์สกุลไป๋ รถม้าคันเดิมจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หยางชวีได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายก็ประหลาดใจ คำถามเช่นนี้เขาเคยถามตัวเองมาก่อน ทีแรกเขาก็ไม่เต็มใจมาทำหน้าที่นี้นักเพราะคิดว่ายังมีงานอื่นที่คุ้มค่ากว่ามาเดินตามก้นคุณชายไม่เอาไหน แต่เมื่อรับใช้ไปนานวันเข้า เขาก็เริ่มชินกับคุณชายท่านนี้ จึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด

หยางชวีนิ่งคิดไปนานก่อนเอ่ยตอบ “ข้าอยากตอบแทนบุญคุณให้นายท่าน”

บุรุษหนุ่มตอบเสียงเรียบ เขาเองก็ไม่รู้ว่านี่คือความต้องการของตนหรือเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หานตงคอยกรอกหูมาตั้งแต่เด็กกันแน่ หากไม่ได้นายท่านใหญ่ซื้อตัว เขาคงเป็นเพียงทาสชั้นต่ำ ไม่มีวรยุทธ์ติดตัวเช่นทุกวันนี้ เสิ่นมู่หยางจึงถือเป็นผู้มีพระคุณของเขา

“ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า การมารับใช้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อหรือไม่”จื่อฟางถามด้วยน้ำเสียงสบายๆระหว่างที่ก้าวไปนั่งบนรถม้า คนถูกถามไม่ได้เอ่ยตอบทันที ครุ่นคิดว่าคุณชายถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เขาเดาความคิดของคุณชายไม่ออก

จื่อฟางไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงหลับตาใช้ความคิดเงียบๆระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆมุ่งหน้าไปยังจวนเสนาบดี จางต้าลอบมองคุณชาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนเฉลียวฉลาดแต่หลังจากที่เผชิญเรื่องลึกลับที่คุณชายเก็บไว้ ไหนจะเรื่องของคุณชายสูงศักดิ์ที่ดูแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นข้ารับใช้คนสนิทยังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายไปรู้จักตั้งแต่เมื่อใด จึงคิดได้เพียงคุณชายเสิ่นกำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่ ระหว่างที่กลับจวนสกุลเสิ่นในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หากหยางชวีตอบคำถามของเขาได้เมื่อนั้นเขาก็จะเล่าเรื่องของหลิวอ๋องให้ฟัง

เมื่อมาถึงจวนสกุลเสิ่น พ่อบ้านสุ่ยก็รีบมาหาเขาพร้อมกับบอกว่าเสิ่นมู่หยางมีเรื่องอยากคุย สงสัยจะทราบเรื่องที่เขาไปนอนค้างจวนสกุลไป๋แล้วแน่ จื่อฟางจึงเตรียมพร้อมกับการถูกซักถาม

เสนาบดีกรมพิธีการอยู่ที่โถงรับรอง กำลังอ่านบทความของบุตรชายที่ใต้เท้าเฉินส่งมาให้อ่านหลังจากที่สอนหนังสือเสร็จ เห็นอย่างนี้แล้วเขาก็คิดว่าตนเพิกเฉยต่อเสิ่นจิ้งเฟยเกินไปหรือไม่ ดูเหมือนการเรียนของเจ้าเด็กไม่เอาไหนไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ เขาถอนหายใจมองม้วนกระดาษที่เขาเขียนหัวข้อแนวข้อสอบระดับอำเภอไว้ คงไม่พ้นต้องช่วยมันจริง ๆกระมัง

“ท่านพ่อ”จื่อฟางส่งเสียงเรียกเมื่อเข้ามาในห้อง เห็นเสิ่นมู่หยางกำลังอ่านอะไรสักอย่าง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จนเห็นว่าเป็นบทความที่ตนเคยเขียนไว้ก็ใจเต้นรัว

“เจ้าไปที่ใดมา”อีกฝ่ายถาม ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเรียนของเขา

“ไปนอนค้างบ้านสหาย”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้านับไป๋ผูอวี้เป็นสหายด้วย”เสนาบดีเสิ่นพยักเพยิดให้บุตรชายนั่งลง

“ข้าเพิ่งคิดได้ว่าควรผูกมิตรกับเขา แม้ว่าสกุลไป๋จะไม่มีอำนาจ แต่เขาเป็นคนใช้ได้คนหนึ่ง”จื่อฟางตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นมู่หยางใช้สายตาสำรวจบุตรชายขึ้นลง ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีความคิดเช่นนี้จึงหัวเราะเสียงดัง

“ข้าคิดว่าเจ้าคบหาแต่สหายที่มีหน้ามีตาเสียอีก”เสิ่นมู่หยางไม่รู้ว่าควรพอใจดีหรือไม่ที่ช่วงนี้บุตรชายไม่ได้ไปมาหาสู่กับหลี่ฮุ่ยจือและพรรคพวกแล้ว เขาไม่ชอบให้เสิ่นจิ้งเฟยมีข่าวซุบซิบน่าเกลียดกับหลี่ฮุ่ยจือและคิดว่าอัครเสนาบดีหลี่ก็ไม่ชอบเช่นกัน

“ท่านพ่อไม่เห็นด้วยหรือ”เขาอยากรู้ว่าเสิ่นมู่หยางคิดอย่างไรกับสกุลไป๋

“ตราบใดที่เจ้าไม่สร้างเรื่อง ข้าก็ไม่ห้าม”เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ สงสัยว่าเพราะเหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงยอมมาผูกมิตรกับบุตรชายของตน เท่าที่เขารู้มาสกุลไป๋ไม่ชอบคบหาผู้มีอำนาจเพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย แต่ก่อนเขาไม่เห็นสกุลไป๋อยู่ในสายตา เพียงแค่รู้มาว่าเสิ่นจิ้งเฟยชอบไปหาเรื่องจนถูกหัวเราะเยาะ หากเจ้าเด็กนี่หยุดทำเรื่องน่าขายหน้าก็ดีไป แต่สกุลไป๋…เขาคงต้องให้คนไปสืบดูสักหน่อย เสิ่นมู่หยางหยิบม้วนกระดาษของตนส่งให้บุตรชายโดยไม่พูดไม่จา จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็รับมาถือไว้ สีหน้าของเสนาบดีเสิ่นเหมือนบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดอ่านตรงนี้ เขาจึงได้แต่ถืออยู่ในมือ

“ท่านพ่อ ข้าไม่โกรธหากท่านจะไปค้างนอกจวน...เพียงแต่ข้าขอเพิ่มเวรยามรอบจวนได้หรือไม่”เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง เสิ่นมู่หยางจ้องหน้าบุตรชายเขม็งทันที ตกใจไปวูบหนึ่งที่เสิ่นจิ้งเฟยพูดถึงเรื่องที่เขาไปค้างนอกจวน

“เพิ่มเวรยาม? มีเรื่องใดเกิดขึ้น”

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แค่มีคนแกล้งข้า…”จื่อฟางเล่าแค่ว่ามีคนเอากระต่ายตายมาแกล้ง เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที

“จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร”เสนาบดีเสิ่นลุกเดินไปเดินมาทันที ถึงกับมีคนเอากระต่ายตายมาไว้ในห้องเช่นนี้เป็นการข่มขู่ชัดๆ แต่ผู้ใดเล่าจะกล้า พักนี้สถานการณ์ในราชสำนักเริ่มนิ่งแต่คล้ายกับเป็นฟ้าสงบก่อนพายุมา หากบอกว่ามีคนอยากเล่นงานสกุลเสิ่น เหตุใดไม่เล่นงานเขาตรง ๆ เสิ่นมู่หยางนึกไปถึงการตายของบิดาก็กระวนกระวายใจ บิดาของเขาเคยสนับสนุนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทนองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ที่ถูกปลด แต่หลังจากที่เสิ่นฉินอี้ตาย ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสกุลเสิ่น ราวกับจะบอกใบ้กลายๆว่าไม่อยากให้สกุลเสิ่นมีอำนาจมากไป แต่ยามนี้กลับเป็นสกุลหลี่ที่มีอำนาจในราชสำนักจนกดหัวตน

เสิ่นมู่หยางหยุดอยู่ตรงหน้าบุตรชาย “เฟยเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้ไปล่วงเกินผู้ใดเข้าหรอกนะ”

“ข้าเปล่า”จื่อฟางตอบหน้าซื่อ คนที่เขาไปล่วงเกินเป็นถึงท่านอ๋อง หากเอ่ยปากบอก ท่านคงโวยวายใหญ่โตแน่

เสิ่นมู่หยางนั่งลงพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งเครียด “จำคำข้าไว้ พักนี้อย่าสร้างเรื่อง เดี๋ยวข้าจัดการหาคนมาเฝ้าเรือนเจ้าเอง”เขามองหน้าบุตรชายด้วยความรู้สึกผิด

“ท่านเป็นอะไร”จื่อฟางเห็นสีหน้าของเสิ่นมู่หยางไม่ค่อยดีจึงเอ่ยถามอย่างกังวล

“ข้าขอโทษที่พักนี้ไม่ค่อยได้ใส่ใจเจ้า”เสนาบดีเสิ่นวางมือลงบนไหล่ผอมบางของบุตรชาย ก็พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยผ่ายผอมลงมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งทำให้เขาจุกแน่นในอก เพราะมัวแต่สนใจผู้ที่ป่วยอยู่นอกจวนจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุตรชายตรงหน้า หากโหยวหลันรู้เข้าคงไม่มีวันให้อภัย เสิ่นมู่หยางอยากจะโอบกอดเจ้าเด็กไม่เอาไหนแต่ก็กระดากเกินกว่าจะทำ

“หากมีเรื่องใดก็มาบอกข้าได้ทุกเมื่อ”สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เอ่ยเช่นนี้ จื่อฟางยิ้ม ถ้าเขาเป็นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงซึ้งใจอย่างน้อยเสิ่นมู่หยางก็ยังเป็นห่วงบุตรชายไม่ได้เรื่องคนนี้

เขานึกถึงเรื่องที่อยากถามได้พอดีจึงหยิบยกมาพูด...เรื่องของคุณชายฝู่จวิ้น “ท่านพ่อรู้จักขุนนางชั้นสูงที่ชื่อฝู่จวิ้นบ้างหรือไม่”

“ฝู่จวิ้น?”เสิ่นมู่หยางทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง “ไม่มีขุนนางคนใดชื่อนี้”

“ไม่มีหรือ?ที่หน้าตาหล่อเหลา อายุราว ๆสามสิบ...”จื่อฟางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีแต่ก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายฉงนกว่าเดิม

“เจ้าไปโดนผู้ใดหลอกมาแล้วกระมัง ไม่มีขุนนางชื่อฝู่จวิ้น?อยู่ในราชสำนัก”เสนาบดีเสิ่นพูดย้ำ จึงได้ทีอบรมบุตรชายว่าควรระวังตัว สกุลเสิ่นเป็นขุนนางมาหลายชั่วรุ่นไม่แปลกที่มีคนอยากเข้าหา จื่อฟางได้แต่แสร้งตั้งใจฟัง

“ข้าทราบแล้ว”เขารีบตอบก่อนขอตัวกลับไปที่เรือนเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ เสิ่นมู่หยางจึงเรียกหยางชวีมาซักถามเรื่องบุตรชาย

“เจ้าติดตามคุณชายมาสองเดือน คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปกปิดอยู่หรือไม่”เสนาบดีเสิ่นถามพลางใช้สายตากดดันสำรวจมองข้ารับใช้ตรงหน้า เขารู้จักหยางชวีดีจึงรู้ว่าเมื่อครั้งก่อนข้ารับใช้ผู้นี้เอ่ยคำโกหกกับตน หรือถูกเสิ่นจิ้งเฟยตีสนิทไปแล้ว

“ข้าน้อยคิดว่ามี…”หยางชวีตอบไปตามตรง “แต่ข้าจะพยายามสืบหาความจริงให้ได้ขอรับ”เสนาบดีเสิ่นเพียงพยักหน้าก่อนซักถามต่อ

“แล้วเรื่องกระต่ายที่มีคนส่งมาเจ้าไม่รู้หรือ”

“ไม่ขอรับ”บุรุษหนุ่มตอบด้วยลำคอตีบตัน รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณชายเสิ่นพูดเขาก็ทราบในทันทีว่าคุณชายไปนอนค้างที่คฤหาสน์สกุลไป๋เพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่าคุณชายรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับไป๋ผูอวี้มากกว่า หยางชวียอมรับว่ารู้สึกเจ็บใจอยู่บ้างที่คุณชายเลือกไว้ใจไป๋ผูอวี้ มิใช่ว่าคุณชายเห็นคนผู้นั้นเป็นศัตรูมาตลอดหรือ แต่หยางชวีก็ปฏิเสธความแข็งแกร่งของไป๋ผูอวี้ไม่ได้ ซ้ำยังต้องเอ่ยปากขอให้ฝ่ายนั้นช่วยดูแลคุณชายเสิ่นอีก หากศิษย์พี่รู้ว่าเขาทำตัวเช่นนี้คงไม่วายโดนหัวเราะเยาะ บุรุษหนุ่มเก็บซ่อนสีหน้ากลัดกลุ้มใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย

“ข้าอยากให้เจ้าจับตามองไป๋ผูอวี้ให้ดี หากเขามีท่าทีผิดปกติก็มารายงานข้า”

“ขอรับ”หยางชวีรับคำ นึกไปถึงคุณชายสูงศักดิ์ที่นามว่าฝู่จวิ้น?ก็ยิ่งข้องใจ เป็นตามที่เขาคาดคุณชายท่านนั้นไม่ใช่ขุนนาง

“นายท่าน ข้ามีคำถาม…”หยางชวีเอ่ยเสียงลังเล เพราะกลัวว่าเสิ่นมู่หยางจะคิดว่าตนถามมากความ

“ว่าอย่างไร”เขาปราดตามองข้ารับใช้ตรงหน้า

“วันนี้ข้าพบคนน่าสงสัยผู้หนึ่ง เขามาขอให้คุณชายวาดภาพ ชายผู้นั้นมีองครักษ์ฝีมือสูงส่ง ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา…”เขามองเห็นเสนาบดีเสิ่นขมวดคิ้วมุ่น

“คนน่าสงสัยที่เจ้าว่ามีหน้าตาเช่นไร”เสิ่นมู่หยางถามอย่างสนใจ รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมิเช่นนั้นหยางชวีคงไม่ออกปากถาม เมื่อเขาได้ฟังอีกฝ่ายบอกลักษณะท่าทาง ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเผือดซีด ผุดลุกจากที่นั่งทันที

“เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีท่าทีใดเลยหรือ!”เขาถามเสียงสั่น จำได้ว่าบุตรชายไม่ชอบคนผู้นั้น…

“คุณชายไม่มีทางเลือก จำต้องออกไปกับคนผู้นั้นขอรับ”หยางชวีไม่คิดบอกว่าคุณชายจำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก เขาเหลือบมองท่าทางกระวนกระวายของผู้เป็นนายก็ถอนหายใจเบาๆ เขาคิดถูกแล้วคนผู้นั้นไม่ใช่คุณชายสูงศักดิ์ธรรมดา แต่ดูจากการไม่ติดใจเอาความที่คุณชายเสิ่นพูดจาไม่กริ่งเกรงก็ยิ่งทำให้เขากังวล คนผู้นั้นคงชอบคุณชายมากจริง ๆ

“เหตุใด…”เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าสับสน เริ่มเดินไปเดินมาพึมพำกับตนเองเบาๆ แต่หยางชวีก็ได้ยิน

“หรือฮ่องเต้ยังไม่ตัดใจเรื่องเฟยเอ๋อร์”

บุรุษหนุ่มเหงื่อแตกพลั่ก เป็นฮ่องเต้เจี่ยผิงจริงดังคาด เสียงเล่าลือที่เขาชอบบุรุษรูปงามเป็นเรื่องจริง ทั้งยังชอบคุณชายเสิ่น คุณชายของเขากลับจำเรื่องราวใดไม่ได้จึงออกไปกับฮ่องเต้เจี่ยผิงจนเย็นย่ำ…เขากลัวว่าพระองค์จะเข้าใจผิดคิดว่าคุณชายมีใจ…หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร

“เจ้า…คอยจับตามองคุณชายให้ดี”เสนาบดีเสิ่นถอนหายใจด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฮ่องเต้คิดทำสิ่งใดไม่มีใครล่วงรู้

“แล้วฝู่จวิ้นคือผู้ใด”เขาเอ่ยถามอย่างข้องใจ

“เป็นเพียงพวกต้มตุ๋นเท่านั้นขอรับ”หยางชวีจำต้องพูดปด ไม่อยากให้นายท่านตกใจไปมากกว่านี้ถ้าหากรู้ว่าฝู่จวิ้นที่คุณชายถามถึงคือฮ่องเต้

~•~

หลังจากที่จื่อฟางอาบน้ำชำระร่างกายจนปรอดโปร่งเขาก็หยิบม้วนกระดาษที่เสิ่นมู่หยางให้มาเปิดอ่าน มุ่นคิ้วเมื่อพบว่ามันคือโจทย์ข้อสอบ หากรู้หัวข้อพวกนี้ย่อมสอบผ่าน แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการโกง ถึงจะไม่สบายใจแต่เด็กหนุ่มก็ม้วนกระดาษเก็บไว้ โกงเพียงเล็กน้อยคงไม่เป็นไรกระมัง เขานึกถึงเพื่อนที่ชอบจดโพยเข้าไปในห้องสอบ จำได้ว่าตนเองยังแอบก่นด่าอยู่ในใจ หรือเขาต้องกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อแลกกับชื่อเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยที่ต้องรักษา   

ช่างมันก่อนเถอะ!จื่อฟางปัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไป เพราะเขายังมีเรื่องอื่นให้ขบคิด อย่างแรกคือคุณชายฝู่จวิ้น เสนาบดีเสิ่นบอกว่าไม่มีขุนนางชื่อนี้อยู่ แล้วเขาเป็นผู้ใด แต่คิดว่าต้องรู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยอย่างแน่นอน ท่าทางแสดงออกว่าสนิทสนม…ถ้าหากว่านั่นไม่ใช่การเสแสร้ง ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักจริง หรือว่าเขาไม่ได้ชื่อฝู่จวิ้น จื่อฟางนึกไปถึงท่าทางสูงศักดิ์และองครักษ์ฝีมือสูงส่ง ชายผู้นั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบเสิ่นจิ้งเฟย เขายังจำสายตาที่ฝ่ายนั้นมองมาได้...ราวกับต้องการฉีกกระชากเสื้อผ้าตนออก... ดูจากลักษณะท่าทาง คุณชายผู้นั้นน่าจะมีอายุไม่เกินเลขสาม ด้วยวัยที่เยอะขนาดนี้ก็คงแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เหตุใดยังมาสนใจเสิ่นจิ้งเฟยอีก

จื่อฟางรู้สึกหัวใจเต้นแรง ทีแรกเขาคิดว่าตัวเองจะเป็นลมเพราะหน้ามืด แต่ภาพเหตุการณ์บางอย่างกลับวาบเข้ามา

    …เป็นสวนสวยงามแห่งหนึ่ง เขา—เสิ่นจิ้งเฟยนั่งบรรเลงกู่ฉินด้วยสีหน้าสงบ มือเคลื่ิอนไหวอย่างอ่อนช้อย ในกรอบสายตามองเห็นคนผู้หนึ่งยืนหันหลังในชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองสง่างาม ความรู้สึกไม่ชอบหน้าก่อตัวขึ้นมาช้าๆ เขารังเกียจคนผู้นี้…

“เจ้าฝีมือยอดเยี่ยมสมคำล่ำลือ”เสียงคุ้นหูเอื้อนเอ่ยพร้อมกับร่างในชุดคลุมสีเหลืองหันหน้ามามอง เขาใจเต้นรัวด้วยความประหม่า แต่ยังคงก้มหน้ามองกู่ฉินตัวยาวตรงหน้า

“กระหม่อมฝีมือยังอ่อนด้อย เป็นผู้คนที่กล่าวเล่าลือเกินจริง”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแปลกหู ต่างจากที่ตัวจื่อฟางใช้

“ดูท่าเจ้าคงยังไม่หายโกรธ ถึงได้พูดจาห่างเหินกับข้า”บุรุษหนุ่มมีรอยยิ้มจาง เดินเอื่อยช้าเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้เขาใจเต้น เหงื่อออกที่ฝามือแต่ก็ยังคงดีดสายฉินต่อไป มือของเขาสั่นเล็กน้อย

“อย่างที่เคยบอก แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าแผ่นดิน แต่ข้าก็ยังเป็นพี่ชายฝู่จวิ้น คนเดิมของเจ้าเสมอ...”ความโกรธพุ่งขึ้นมาจนเขาหยุดมือ สายฉินยังคงส่งเสียงกังวานก่อนจางหายไปกับสายลม

“ฝ่าบาทพูดเรื่องใดข้าไม่เข้าใจ…”เสิ่นจิ้งเฟยอยากออกไปจากที่แห่งนี้เหลือเกินยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาปราศจากความรู้สึกผิดก็ยิ่งโกรธเคือง บุรุษหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจแต่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าราวกับสวมหน้ากาก

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 06-03-2018 19:57:20
จื่อฟางยังคงใจเต้นแรงยกมือกุมหน้าอก อาการโกรธเคืองยังคงอยู่ในร่างทำให้มือของเขาสั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆทรุดตัวนั่งบนเตียง ความรู้สึกพวกนี้เป็นของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ของเขา โกรธ…สับสน…และผิดหวัง นี่เป็นความทรงจำของร่างนี้ เหตุใดถึงจำขึ้นมาได้ จื่อฟางสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามทำจิตใจให้สงบ ที่แท้คุณชายฝู่จวิ้น ก็คือฮ่องเต้เจี่ยผิง เขาสั่นสะท้านขึ้นมาเมื่อคิดว่าตนเผชิญหน้ากับเจ้าแผ่นดินโดยที่ไม่ได้ระวังกิริยา มิน่าองครักษ์หน้าดุถึงไม่ชอบเขาตนนัก

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้านั่น…”เขาถอนหายใจ เจ้านี่ไม่ใช่แค่รู้จักกับฮ่องเต้ แต่ยังมีความหลังด้วยกันอีกต่างหาก คาดเดาจากความทรงจำที่เห็น เสิ่นจิ้งเฟยก็คงถูกหลอกด้วยชื่อฝู่จวิ้น มาก่อน พอรู้ความจริงก็เลยโกรธงั้นหรือ มิใช่…นอกจากความรู้สึกโกรธเขายังสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังจางๆ จื่อฟางลุกเดินไปเดินมา แล้วแบบนี้ฮ่องเต้ไม่สงสัยในหรือ? เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงคงไม่มีทางออกไปกับฮ่องเต้และพูดจาดีด้วยแน่

“คุณชายเสิ่น...”เสียงของหยางชวีดังอยู่นอกห้อง

“มีอะไร”

“ข้าน้อยขอคุยด้วยสักครู่หนึ่ง”

“เข้ามา”จื่อฟางกลับมาสู่อาการสงบเช่นเดิม เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ บนโต๊ะมีขนมทานเล่นวางอยู่ แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จะหยิบมากิน หยางชวีโผล่เข้ามาในห้องด้วยใบหน้าราบเรียบเช่นเคย แต่ก็ปิดความเป็นกังวลในแววตาไว้ไม่อยู่

“เจ้ามีเรื่องใด”เขาเอ่ยถาม พยายามทำสีหน้าให้ปรอดโปร่ง

“ข้าเป็นห่วงท่าน”หยางชวีกล่าวตามตรง ทำให้คุณชายเสิ่นแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

“เจ้าพูดจาแปลกจนข้าขนลุก”จื่อฟางลูบแขนไปมา แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงจริงจัง

“คุณชายยังจำอะไรไม่ได้เช่นนี้อันตรายยิ่งนัก”เขาพูดออกมาในที่สุด เด็กหนุ่มเข้าใจในทันที เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เจ้าพูดถูก แต่ข้าก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เจ้าไม่ต้องห่วง ความทรงจำของข้าต้องกลับมาแน่นอน”อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยทำให้เขายังพอมีความหวัง หากพบกับหลิวอ๋องเขาอาจได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยกลับมา เรื่องราวที่เผชิญอาจไม่ต้องเป็นปริศนาอยู่เช่นนี้

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”หยางชวีกวาดตามองคุณชายตรงหน้า ร่างบางมีรอยยิ้ม

“เมื่อครู่ข้าจำเรื่องราวได้เล็กน้อย ถึงได้รู้ว่าคุณชายฝู่จวิ้น คือฮ่องเต้เจี่ยผิง”จื่อฟางบอกอีกฝ่ายด้วยความกังวล นอกจากกลัวฮ่องเต้สงสัย เขายังกลัวว่าจะถูกเข้าใจผิด การที่เขาทำดีด้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะทำให้พระองค์คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยหายโกรธหรือเปล่า? เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นนานเท่าใดแล้ว ยังมีอีก…เรื่องความหลังพวกนี้ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยโกรธจนคิดกบฏงั้นหรือ?แม้ว่าจะรับรู้ได้แผ่วจางแต่เขาก็สัมผัสถึงความเกลียดชังที่อยู่ในอกได้ 

“ท่านพูดจริงหรือ”หยางชวีมีสีหน้าดีขึ้น แต่แววตาก็ยังคงฉายแววกังวล

“อืม เจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป เรื่องฮ่องเต้ข้าจะหาทางเอาตัวรอดเอง”เขาเพียงพูดไปเท่านั้น ยังมีเรื่องหลิวอ๋องให้กังวล เขาจำได้ว่าวันที่ฮ่องเต้มาที่โรงน้ำชาเป็นวันเดียวกับที่เขาวาดรูปจับโจร ฮ่องเต้มาที่โรงน้ำชาเพราะเหตุใด? เกี่ยวข้องกับไป๋ผูอวี้ด้วยหรือเปล่า แต่หมอนั่นยังเอ่ยถามเขาถึงคุณชายสูงศักดิ์อยู่เลย คงไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ แต่ไป๋ผูอวี้ก็รู้เรื่องของหลิวอ๋องทั้งยังรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยรู้จักกับขอทานนั่นด้วย…หรือท่อนไม้ไป๋แอบสืบเรื่องราวอยู่เงียบๆ มิใช่ว่าสกุลไป๋ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายหรอกหรือ

“ข้าก็หวังว่าท่านจะทำได้อย่างที่พูด”หยางชวีไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่คิด หากว่าฮ่องเต้เอ่ยปาก ผู้ใดจะขัดได้

“คุณชาย…เรื่องกระต่ายที่ท่านเอ่ยถึงเหตุใดไม่บอกข้า”

“เจ้าทำงานให้ท่านพ่อ ไยข้าต้องบอก ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าเหตุใดเจ้าถึงเอาเรื่องที่ข้าเสียความทรงจำและความสามารถไปบอกไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเบี่ยงประเด็นถามอีกฝ่ายเสียงแข็ง เขาไม่รู้ว่าผู้ติดตามคนนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเกี่ยวข้องกับหลิวอ๋องทั้งยังมีท่าทีจะก่อกบฏ กับจางต้าเขาไม่เคยคิดสงสัย จะอย่างไรเจ้านั่นก็คงยอมเสี่ยงไปกับเขา แต่หยางชวีเล่าจะยอมช่วยหรือบอกเสิ่นมู่หยาง เขาไม่กล้าเสี่ยง

หยางชวีหลุบตามองพื้น เรื่องนี้เขาทราบดีว่าไม่สมควรบอกผู้ใด แต่คุณชายมีท่าทีไว้ใจไป๋ผูอวี้มากกว่าตัวเขา 

“ข้าคิดว่าเขาดูแลท่านได้ แม้ไม่อยากยอมรับ...แต่เขามีความสามารถมากกว่าข้า...”บุรุษหนุ่มเอ่ยตอบ จื่อฟางได้แต่นิ่งเงียบเพราะที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นความจริง เขาสบายใจเมื่อได้อยู่กับไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มมองใบหน้าเรียบเฉยของหยางชวีพลางคิดว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าน้ำเสียงที่พูดออกมาแฝงแววน้อยใจไว้ด้วย เขาจึงคิดว่าควรพูดอะไรบางอย่าง

“หยางชวี ข้าไม่ได้ดูแคลนความสามารถของเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็วางใจที่มีเจ้าอยู่”แม้จะน้อยกว่าไป๋ผูอวี้ก็ตาม

“ท่านแน่ใจหรือ”หยางชวีเอ่ยเสียงเรียบ แต่ก็คิดว่าตนพูดมากไป เขาไม่ควรเอ่ยเรื่องนี้ออกมาด้วยซ้ำ จื่อฟางคิดว่าวันนี้เจ้าคนหน้าตายพูดจาเปิดอกมากทีเดียว หากเป็นแต่ก่อนก็คงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เขาจนชวนให้อึดอัด

“เจ้ากับไป๋ผูอวี้ไม่เหมือนกัน…”จื่อฟางพึมพำ หวังว่าหยางชวีจะเข้าใจ เขามองว่าไป๋ผูอวี้สำคัญกว่า...น้ำหนักในใจจึงไม่เท่ากันอยู่แล้ว หยางชวีได้แต่นิ่งเงียบรู้ดีว่าคุณชายหมายถึงสิ่งใด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่พูดเรื่องของคุณชายกับไป๋ผูอวี้

“ข้าคิดว่าเจ้าเป็นสหายมากกว่าข้ารับใช้”จื่อฟางเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา ผู้ติดตามมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ท่าทางกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง   

“ข้าจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น”

“วานเจ้าพัฒนาจางต้าด้วยได้หรือไม่”เขานึกถึงเมื่อตอนที่อยู่คฤหาสน์สกุลไป๋เจ้านั่นบอกว่าอยากปกป้องเขา…ไมสิ อยากปกป้องเสิ่นจิ้งเฟย

“จางต้า?”หยางชวีมีสีหน้าฉงน

“เขาอยากฝึกยุทธ์”จื่อฟางบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะอยู่ในใจ

“ข้าจะพยายาม”หยางชวีเอ่ยเพียงเท่านี้ก็ออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มถอนหายใจ หยิบขนมเบญจมาศเข้าปากหนึ่งชิ้น พูดถึงเรื่องหลิวอ๋อง เขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเหตุใดถึงช่วยทางการจับขอทานที่ชื่ออาสือ จะปั้นแต่งคำโกหกเช่นไรดี?เขานึกถึงมือปราบแซ่อู๋…เหตุผลที่ทางการมาตามจับอาสือเพราะบอกว่าเป็นโจร แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าคนตัวเหม็นนั่นไม่ใช่โจร แต่เป็นคนของอ๋องสาม 

“หยางชวี…เจ้าเข้ามานี่ก่อน”เขาใจเต้นระรัว ผู้ติดตามเข้ามาพบเขาอีกครั้ง เขาจึงถ่ายทอดคำสั่งให้ไปจัดการสอบถามมือปราบแซ่อู๋ลับๆ

“เจ้าทำวิธีใดก็ได้ให้เขาคายออกมาว่าผู้ใดเป็นคนสั่งให้จับขอทานนั่น”

“คุณชาย…ท่านกำลังทำเรื่องใดอยู่”หยางชวีไม่เข้าใจเรื่องที่เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยมาเลยสักนิด

“เจ้าแค่ทำตามคำสั่งของข้าก็พอ ทำอย่างลับๆ เพราะมีคนจับตามองข้าอยู่ เข้าใจหรือไม่”เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงวางอำนาจกับอีกฝ่าย หยางชวีจึงไม่ปริปากถามอีก เขาประสานมือลาออกไปจากห้องด้วยความเงียบเชียบประดุจสายลม

~•~

วันถัดมาเป็นวันที่จื่อฟางเรียนหนังสือกับใต้เท้าเฉิน หยางชวียังไม่กลับจากการไปทำตามคำสั่งของตน ความกังวลยิ่งทำให้เขาประสาทเสียเนื่องเพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เขาต้องพบกับหลิวอ๋อง ยามนี้ในหัวของเขาจึงเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายจนไม่มีสมาธิในการเรียน จนถูกใต้เท้าเฉินใช้ไม้เรียวตีมือไปหลายที

“วันนี้เจ้าเป็นอะไร หากไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะไม่สอนเจ้าแล้ว”ใต้เท้าเฉินมีใบหน้าแดงก่ำด้วยอารมณ์โกรธเช่นทุกที จื่อฟางถอนหายใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“วันนี้ข้ามีเรื่องปวดหัวนิดหน่อย ท่านอย่าหงุดหงิดไปเลย”

“เหอะ! เด็กไม่เอาไหนอย่างเจ้ามีเรื่องใดทำให้ปวดหัว”เฉินฉางเซียงหรี่ตามองอย่างข้องใจ

“เรื่องท่านปู่”พอเขาเอ่ยตอบสีหน้าของใต้เท้าเฉินก็แปรเปลี่ยนทันที บรรยากาศรอบตัวคล้ายกับหยุดนิ่ง เขาเม้มปากคิดว่าไม่น่าพูดออกไปเลย

“เจ้าเขียนของเจ้าไป อย่าคิดเหลวไหล ยามนี้เจ้าต้องสนใจกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า”เฉินฉางเซียงเอ่ยเสียงเรียบ เรื่องของเสิ่นฉินอี้ถือเป็นความลับอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยถึงนานแล้ว ถึงจะตกใจที่อยู่ ๆเจ้าเด็กเสิ่นจะเอ่ยออกมาก็ตาม

จื่อฟางเห็นสีหน้าน่ากลัวของชายแก่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามอีก

“หากเจ้าสอบได้ซิ่วไฉ ข้ามีของสำคัญของปู่เจ้ามอบให้ เขาทิ้งไว้ก่อนตาย บอกว่าต้องมอบให้เจ้าเมื่อถึงเวลาที่สมควร…”เฉินฉางเซียงอดเอ่ยออกมาไม่ได้ ทีแรกเขาไม่คิดจะให้ด้วยซ้ำเพราะคำว่าเวลาที่สมควรที่เสิ่นฉินอี้พูดถึงก็คือ เมื่อเสิ่นจิ้งเฟยรู้ความเป็นผู้เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง เสิ่นฉินอี้คงคาดหวังว่าหลานชายจะเติบใหญ่เป็นคนฉลาด เพราะเมื่อยามที่เขายังมีชีวิตเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเด็กน้อยน่ารักฉลาดรู้จักพูด

แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าหลังจากที่โหยวหลันมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยจากไป เจ้าเด็กบ้านี่ก็เปลี่ยนไปราวคนละคน กลายเป็นคุณชายไม่เอาไหนเสียอย่างนั้น หากเสิ่นฉินอี้รู้คงได้แต่ก่นด่าตัวเองของที่ทิ้งไว้คงไม่มีวันได้เปิดดู  เฉินฉางเซียงตั้งใจไว้ว่าหากเสิ่นจิ้งเฟยสอบได้ เขาก็จะมอบของที่เสิ่นฉินอี้ทิ้งไว้ให้ ยังไงซะก็ถือว่าเป็นเวลาที่สมควร แต่ลึกๆแล้วเขาเชื่อว่าของดังกล่าวคงถูกทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะเช่นเคย เจ้าเด็กจิ้งเฟยที่อยู่ตรงหน้ายังห่างไกลจากคำว่ารู้ความนัก

“ถ้าเช่นนั้นข้าควรตั้งใจให้มาก”จื่อฟางตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น แต่ใต้เท้าเฉินดูเหมือนไม่คิดว่าเขาจะสอบผ่าน เมื่อชายแก่ไม่มีสิ่งใดให้ดุด่าก็กลับไปที่เรือนรับรองของตน เด็กหนุ่มจึงหันไปหาจางต้าที่นั่งสัปหงกอยู่เบื้องหลัง

“นี่ พรุ่งนี้ข้าจะไปหอผูเยว่…ปกติแล้วข้ามักไปเวลาใด”จื่อฟางส่งเสียงถามทำเป็นไม่เห็นสายตาแปลกใจของข้ารับใช้   

“ช่วงยามซวี(19.00 - 20.59 น.)ขอรับ”จางต้าตอบ หรือคุณชายจะป่วยจนจำเรื่องราวไม่ได้จริง ๆ เขาได้แต่สงสัยอยู่ในใจ

“อ้อ…คอยเตรียมรถม้าให้ข้าด้วย”เขาสั่ง จางต้าพยักหน้ารับรู้

จื่อฟางจึงใช้เวลาที่เหลือค้นหาหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโจทย์ข้อสอบมาอ่าน เขาตั้งใจหาข้อมูลมาเขียนบทวิพากษ์ดี ๆยาวๆสักบทให้ไป๋ผูอวี้ตรวจ หากว่าผ่านเกณฑ์ก็ค่อยคัดลอกให้จำขึ้นใจ เมื่อถึงวันสอบเขาต้องเขียนบทวิพากษ์ดี ๆได้แน่นอน แค่ได้เป็นซิ่วไฉให้เสิ่นมู่หยางไม่ต้องขายหน้าก็พอ

หยางชวีกลับมาช่วงหัวค่ำหลังจากที่เขาทานข้าวเสร็จพอดี กำลังจะดื่มยาสมุนไพรตามปกติ เขาได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาพร้อมกับข้อมูลที่เขาต้องการ จื่อฟางรอให้บ่าวไพร่คนอื่นออกไปจนหมดเหลือเพียงหยางชวีและจางต้าเท่านั้น

“ว่าอย่างไร”เขากระซิบถาม

หยางชวีตอบเสียงเบา “ดูเหมือนว่ามือปราบอู๋จะถูกคนมาซักถามเช่นกันขอรับ ตอนที่ข้าไปถึงจวนของเขาถึงได้มีคนเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา ข้าจึงต้องลอบติดตามเขาไปเพื่อรอโอกาสเหมาะ จนเมื่อเขาออกไปเที่ยวหอนางโลมถึงได้มีโอกาสซักถาม ข้าสวมชุดพรางตัว เขาจึงจำข้าไม่ได้ มือปราบอู๋มีท่าทีหวาดกลัวมาก พอข้าเอ่ยถามเขาก็บอกเพียงว่ามีบัณฑิตผู้หนึ่งจ่ายเงินให้จับตัวขอทาน เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนว่าจ้างเพราะบัณฑิตผู้นั้นปกปิดใบหน้าไว้ขอรับ”

จื่อฟางรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รู้เรื่องราวมากเท่าไหร่ “บัณฑิตหรือ…”เขายังหาความเกี่ยวข้องใดไม่ได้ รู้เพียงว่ามีคนต้องการตัวอาสือ หรือบัณฑิตปริศนาจะรู้ว่าอาสือเป็นคนของหลิวอ๋องจึงคิดจับตัวไปซักถาม หากสาวมาถึงเสิ่นจิ้งเฟยคงเดือดร้อนแน่

“แต่ขอทานผู้นั้นเสียชีวิตแล้วขอรับ”หยางชวีเอ่ยเสริม เขาถึงกับเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ

“เสียชีวิต เป็นไปได้อย่างไร”เด็กหนุ่มใจเต้นรัว อย่างกับโดนฆ่าตัดตอน ผู้ติดตามมีสีหน้าเคร่งขรึมก่อนกล่าวบอก

“เขาชิงฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ…”

“…”จื่อฟางได้แต่นิ่งเงียบ จิกเล็บลงในอุ้งมือ แสดงว่าอาสือเป็นพวกจงรักภักดีพอตัวถึงได้ชิงฆ่าตัวตายไปก่อน แต่หากหลิวอ๋องรู้ว่าเสียอาสือไป เขาจะเดือดร้อนหรือไม่? แค่คิดเหงื่อก็ซึมไปทั้งแผ่นหลัง เขาต้องหาคำตอบดีๆ เพราะเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้คนๆหนึ่งต้องมาตาย

“ขอทานผู้นั้นแค่โดนจับก็ถึงกับฆ่าตัวตาย?”จางต้ากระซิบเสียงตระหนก สมองช้าๆของเขายังคงไม่รับรู้เรื่องราวจนถูกหยางชวีปรายตามองด้วยสายตาเย็นชา

“ดูเหมือนว่าขอทานนั่นจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ธรรมดา”บุรุษหนุ่มพูด รู้สึกติดใจอยู่เล็กน้อยเพราะเขาจำได้ว่าขอทานผู้นั้นเหมือนจงใจชนคุณชาย หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่หากคุณชายรู้จักจริงคงไม่มีทางยอมช่วยทางการวาดภาพจับตัวแน่

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”จื่อฟางได้แต่ส่งเสียงเห็นด้วย รอจนหายฟุ้งซ่านเขาจึงให้หยางชวีช่วยเดินลมปราณ เมื่อข้ารับใช้ทั้งสองออกไปจากห้องแล้ว เขาก็นั่งสมาธิใช้ความคิดไตร่ตรองถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช้า ๆ เขาไม่กล้าหยิบยกเหตุผลที่ตนป่วยจนเสียความจำมาใช้กับท่านอ๋องที่ปาดคอกระต่ายส่งมาข่มขู่ตน เด็กหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เจออาสืออีกครั้ง วันนั้นฮ่องเต้มาที่โรงน้ำชา 

ที่ข้ามาวันนี้เพราะคิดว่าเจ้าต้องมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อและข้าก็คิดถูกเสียด้วย

คำพูดของฮ่องเต้เจี่ยผิงทำให้เขาสะกิดใจ หรือมารอเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ แต่ฮ่องเต้มีเวลาว่างขนาดนั้นเชียว เรื่องบ้านเมืองเล่า บทวิพากษ์ของเสิ่นจิ้งเฟยลอยเข้ามาในหัวทันที ฮ่องเต้ชอบเที่ยวเตร่ ถ้าหากฝ่าบาทแวะมาที่โรงน้ำชาบ่อย ๆเพราะเสิ่นจิ้งเฟยก็แสดงว่าตัวเขาถูกจับตามอง แล้วพระองค์จะรู้หรือไม่ว่าคุณชายรูปงามร่วมมือกับหลิวอ๋อง จื่อฟางใจเต้นระรัว จางต้าเคยบอกเขาว่าฝ่าบาทระแวงหลิวอ๋องมาตลอด ถ้าอย่างนั้นจะรู้หรือไม่ว่าอาสือเป็นคนของอ๋องสาม จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อคิดหาวิธีปั้นแต่งคำตอบให้ท่านอ๋องได้แล้ว

เขาชักนอนไม่หลับเพราะความตื่นเต้นที่ก่อตัว ‘กบฏ’เป็นถ้อยคำที่รุนแรงสำหรับยุคนี้ จื่อฟางไม่อยากตายและไม่อยากร่วมทุกข์ไปกับหลิวอ๋อง แต่เขาก็หาหนทางถอนตัวออกมาในเร็วๆนี้ไม่ได้ สิ่งที่น่ากลัวกว่าการก่อกบฏคือ ก่อกบฏแล้วทำไม่สำเร็จ ชะตาชีวิตหลังจากนั้นคงไม่ต้องสืบ เสิ่นจิ้งเฟยบ้าไปแล้วที่ทำเช่นนี้ นึกถึงบทพระรองในนิยายของเสิ่นจิ้งเฟยก็พอมีเค้าของคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากได้อำนาจ แต่เขาไม่เคยคิดไปถึงเรื่องก่อกบฏ

…เป็นอีกคืนที่ทรมานสำหรับจื่อฟาง เขานอนไม่หลับและนึกถึงไป๋ผูอวี้

~•~

ยามซวีมาถึงจื่อฟางเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับหลิวอ๋อง ย้ำเตือนกับตนเองว่าอย่าตื่นตระหนก ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถม้าหัวใจของเขาเต้นแรงเสียจนกลัวว่าจะกระเด็นออกมา เขาได้แต่มองออกไปนอกรถอย่างกังวล วันนี้มีเพียงหยางชวีที่ตามมาเท่านั้น เขาทิ้งให้จางต้าคอยตอบคำถามของเสิ่นมู่หยางอยู่ที่จวน

เมื่อมาถึงที่หมาย หอผูเยว่ก็ห้อยโคมไฟจนสว่างโล่แล้ว จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สวดภาวนาอยู่ในใจก่อนปั้นหน้าสดชื่น เขามาที่หอนางโลมหาความสุขใส่ตัวถ้าเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์คงแปลกพิลึก ร่างผอมบางก้าวลงจากรถม้า เดินนำหยางชวีเข้าไปด้านใน แม้ว่าหยางชวีจะไม่ชอบสถานที่เช่นนี้แต่ผู้ติดตามเช่นเขาก็ไม่อยากปล่อยคุณชายเข้าไปเพียงลำพัง

แม่เล้าเถาฮวามองเห็นจื่อฟางก็ปรี่ตรงมาหาทันที ยังคงแต่งหน้าจัดจนได้กลิ่นเครื่องหอมฟุ้งเต็มจมูก

“คุณชายเสิ่น ข้อน้อยไม่ได้เจอท่านเสียนาน…เด็ก ๆในร้าน…”

“พาข้าไปที่ห้องเดิม”เขาเอ่ยขัดจังหวะไม่อยากฟังเสียงเจื้อยแจ้วนานกว่านี้ เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆก็พบว่ามีคนมาใช้บริการมากมาย แม้จะมองไม่เห็นซูเหลียนฮวา แต่เมื่อคิดว่ามีนางคอยจับตาดูตนอยู่ เขาก็คลายความตึงเครียดที่แบกไว้ แม่เล้าไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่คุณชายเสิ่นให้นำทาง นางเพียงเดินอุ้ยอ้ายพาเขาอ้อมไปยังห้องรับรอง ทางเดินที่คุ้นตากระตุ้นความทรงจำของเขาได้ดี จื่อฟางจำได้ว่าห้องตรงหน้าคือห้องที่ตนตื่นขึ้นมาและพบว่าอยู่ในโลกนิยาย…

“ลู่เจียงรออยู่ด้านในเจ้าค่ะ ขอให้คุณชายเสิ่นมีความสุข”แม่เล้าเถาฮวาแย้มยิ้มก่อนยอบตัวจากไป ทิ้งให้เขายืนอยู่กับผู้ติดตามสองคน

“ข้าจะเข้าไปหาความสุข คงใช้เวลานานสักหน่อย หากได้ยินเสียงใด เจ้าไม่ต้องตกใจ”จื่อฟางเอ่ยบอกกับหยางชวี แสร้งยิ้มซุกซนก่อนผลักบานประตูเข้าไป เมื่อปิดประตูเรียบร้อยก็กวาดมองสำรวจห้อง สิ่งแรกที่เห็นคือหญิงงามผู้มีเค้าหน้าคม เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านางมิใช่คนแถบนี้ นางน่าจะเป็นหญิงงามนอกด่าน ลู่เจียงบรรเลงกู่เจิงอยู่ที่มุมห้อง สวมชุดบางเบาสีชมพูอ่อน นางชม้ายตามองมาที่เขาก่อนเผยยิ้มเห็นฟันขาว

“คุณชายเสิ่น…ท่านหายหน้าไปนาน หลิวอ๋องเป็นห่วงมาก”ลู่เจียงเอ่ยเสียงเบาแทบถูกเสียงกู่เจิงกลบ หัวใจของเขาบีบรัดเมื่อเห็นสภาพห้องอันคุ้นตา บนโต๊ะมีอาหารและไหสุราวางอยู่ แต่เขามองไม่เห็นหลิวอ๋อง เมื่อหมุนตัวมองอีกด้าน เขาก็ใจกระตุกวูบเงาร่างสายหนึ่งโฉบมาประชิดตัวพร้อมกับบีบคอของเด็กหนุ่มจนร้องตะโกนไม่ออก เขากลอกตามองหญิงงามแต่นางก็ยังคงบรรเลงกู่เจิงต่อไปราวกับมองไม่เห็นคนทั้งสอง

“เจ้ามาช้า…”บุรุษตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้ามีเค้าเหมือนกับฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ฉายอารมณ์ความรู้สึกใด เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ก็ปกปิดรัศมีสูงศักดิ์ไม่มิด หลิวอ๋องเจี่ยซินอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“…อะ…”เขาส่งเสียงตะกุกตะกัก คิดว่าจะถูกบีบคอจนตายแต่ท่านอ๋องตรงหน้าก็คลายมือออกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น แค่นี้ทำตกใจไปได้”หลิวอ๋องผละถอยห่าง กวาดตามองเสิ่นจิ้งเฟย ดูเหมือนของขวัญที่เขาส่งไปจะทำให้อีกฝ่ายหวาดผวาไม่น้อย องครักษ์ของเขามารายงานว่าวันนั้นเสิ่นจิ้งเฟยถึงกับไม่กล้าอยู่ในจวน

“ท่านอ๋อง…”จื่อฟางเอ่ยเรียก ยกมือลูบลำคอที่แสบร้อน การล้อเล่นของท่านแรงเกินไปแล้ว เขามองสำรวจหลิวอ๋องเจี่ยซิน ชายผู้นี้มีใบหน้าอ่อนโยน ลักษณะภายนอกคล้ายกับบัณฑิต มองอย่างไรก็ไม่น่าใช่คนจิตใจอำมหิต แต่คนผู้นี้เป็นคนปาดคอกระต่ายส่งมาข่มขู่เขา …คนที่ร้ายเงียบเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก...

“ดื่มเหล้าสักจอกแล้วค่อยคุย”เจี่ยซินกล่าวเดินนำไปที่โต๊ะราวกับไม่มีเรื่องเร่งรีบ หญิงงามลู่เจียงละมือจากเครื่องดนตรี เคลื่อนกายมาที่โต๊ะรินสุรากลิ่นหอมใส่จอกให้หลิวอ๋องและเสิ่นจิ้งเฟย นางมองตาเขาเพียงครู่เดียวก่อนนั่งลงข้างกายเขา หญิงผู้นี้ก็คงไม่พ้นเป็นคนของหลิวอ๋อง จื่อฟางรอให้ท่านอ๋องยกดื่มก่อนค่อยจิบช้า ๆจนหมดจอก แม้ว่าจะตื่นกลัวแต่เขาก็พยายามรักษาท่าทีเยือกเย็นไว้ให้ได้มากที่สุด

เจี่ยซินปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟย สองเดือนที่ไม่ได้เจอกัน คุณชายผู้นี้ดูผ่ายผอมและแววตาดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร ดูท่า…ข่าวที่องครักษ์นำมารายงานว่าเสิ่นจิ้งเฟยป่วยจนเสียความทรงจำจะเป็นเรื่องจริง เพราะสายตาของอีกฝ่ายมองเขาราวกับคนแปลกหน้า แต่มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?หากเป็นเรื่องเสแสร้งเสิ่นจิ้งเฟยก็ทำได้แนบเนียน

“สองเดือนมานี้ ข้าพยายามติดต่อเจ้าผ่านเถ้าแก่จาง แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้แวะไปที่ร้าน”บุรุษหนุ่มกล่าวเบาๆ เทเหล้าใส่จอกให้ตนเอง จื่อฟางยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม แม้ว่าจะไม่เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาเลยก็ตาม เถ้าแก่จาง…คงต้องไปสืบหาดู

“ช่วงหนึ่งเดือนก่อนข้าถูกกักบริเวณอยู่ในจวน ท่านพ่อส่งคนมีฝีมือมาตามติด ทำให้ข้าแวะไปที่ร้านไม่ได้”จื่อฟางตอบตามน้ำอย่างลื่นไหล เรื่องพูดจาโกหกไม่ใช่เรื่องที่นักหนาสำหรับเขา

“เพราะอย่างนี้ข้าถึงได้ส่งอาสือไป แต่เจ้ากลับช่วยทางการจับตัวเขา ข้าเสียสายสืบมือดีไปแล้ว เจ้าพอจะอธิบายการกระทำของเจ้าได้หรือไม่ น้องชาย”เจี่ยซินกระแทกจอกลงบนโต๊ะ สายตาจับจ้องอยู่ที่คุณชายตรงหน้าไม่วางตา สอดส่องหาร่องรอยพิรุธ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความตื่นกลัวราวกับกระต่ายตัวน้อยเท่านั้น หากเป็นแต่ก่อนเจ้านั่นคงหัวเราะใส่เขาอย่างไม่เกรงกลัวแล้ว ลู่เจียงลอบมองคุณชายเสิ่นเช่นกัน

“อันที่จริงข้าก็ไม่ได้คิดตั้งใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะวันนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงอยู่ที่โรงน้ำชา ข้าก็เลยคิดว่าหากข้าช่วยทางการจับอาสือ จะช่วยลดความคลางแคลงใจ…”จื่อฟางยังพูดไม่ทันจบหลิวอ๋องก็เอ่ยแทรกเสียก่อน

“เจ้าก็เลยแสดงละครทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าเขา ช่วยทางการจับโจรอย่างนั้นสินะ”เจี่ยซินยกยิ้ม ทอดสายตามองเสิ่นจิ้งเฟยอยู่เนิ่นนาน เรื่องที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงเริ่มสงสัยคุณชายเสิ่นเขาก็พอรู้มาบ้าง ทั้งยังระแคะระคายว่าอาสือเป็นคนของเขาอีก ฝ่าบาทขี้ระแวงจนน่ารำคาญ

“ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าเรื่องจะเลวร้ายถึงขั้นนี้”จื่อฟางยังคงสีหน้าเดิม หลิวอ๋องได้แต่หรี่ตามอง ด้วยสีหน้าที่คล้ายกับจะบอกว่าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ จื่อฟางทำหน้าตาย ยกจอกเหล้าจิบด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย

เจี่ยซินยังคงไม่ละสายตาไปจากใบหน้างามของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ความงามของอีกฝ่ายทำอะไรเขาไม่ได้ เขาไม่ใช่พวกรักชอบบุรุษอย่างพี่ชายร่วมสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่ง เขาเพียงต้องการตัวหมาก อันที่จริงอาสือก็ไม่ใช่คนสำคัญถึงเพียงนั้น หากเสียไปสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาส่งจดหมายข่มขู่ก็แค่อยากดูท่าทีของเสิ่นจิ้งเฟย

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฮ่องเต้ระแคะระคายเรื่องอาสือจนต้องแสร้งแสดงละครต่อหน้าเขา หากเจ้ารู้เหตุใดไม่ส่งจดหมายมาเตือนข้า ข้าจะได้ไม่ต้องส่งอาสือไป เจ้าทำตัวน่าสงสัยนัก คำแก้ตัวของเจ้าคิดว่าหลอกข้าได้งั้นหรือ”เจี่ยซินเผยรอยยิ้ม แต่ไหนแต่ไรคุณชายผู้นี้ก็เหมือนจิ้งจอก แสร้งทำเป็นคนไม่เอาไหนมาได้ตั้งนาน หากจะปั้นแต่งคำโกหกใส่เขาก็ทำได้ เจี่ยซินจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายระหว่างหยิบกรีชพกแหลมคมของตนออกมา เขาเพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น เขายังต้องใช้งานเสิ่นจิ้งเฟย 

จื่อฟางจ้องมองกริชคมวาวด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“ข้าเพียงคาดเดา หากฝ่าบาทสงสัยในตัวท่าน เขาต้องหาทางสืบข่าวจนรู้…หากท่านไม่ไว้ใจอยากฆ่าข้าก็ทำเถอะ”

 “เสิ่นจิ้งเฟยที่ข้ารู้จักไม่มีทางพูดเช่นนี้แน่”เจี่ยซินหัวเราะเบาๆ แนบกริชกับลำคอของอีกฝ่าย แววตามีคลื่นสั่นไหวแต่ก็ยังมองตรงมาที่ตน

“ถึงแม้ข้าจะดูเปลี่ยนไป แต่คำสาบานที่เคยกล่าวไว้ข้าไม่มีทางผิดคำพูด เรื่องมาถึงเช่นนี้ข้าก็ไม่คิดถอยกลับ ฮ่องเต้…ข้าไม่มีวันให้อภัยเขา”จื่อฟางแสร้งตีหน้าเจ็บแค้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงบีบคั้น เขายังจำความรู้สึกโกรธผิดหวังและเกลียดชังของเสิ่นจิ้งเฟยได้ ที่ว่าไม่ผิดคำสาบานนั่นเป็นเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ตัวเขา เขาไม่ได้เป็นคนเอ่ยคำสาบาน ไม่คิดถอยกลับหรือ หึ เขาจะรอจังหวะเหมาะๆกระโดดหนีลงเรือต่างหาก เขาไม่คิดล่มจมไปกับหลิวอ๋อง

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 06-03-2018 19:57:52
   
 “เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดี…”หลิวอ๋องฉีกยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตา เขาคว้าข้อมือของจื่อฟางก่อนใช้มีดกรีดข้อมือของเด็กหนุ่มเบาๆ การกระทำเพียงเท่านี้ก็ทำให้เลือดไหลซิบ จื่อฟางขบกรามกลั้นอาการแสบเคืองที่ผิวหนัง ลู่เจียงเม้มปากยื่นมือเรียวบางมาลูบรอยแผลของเขา เด็กหนุ่มตัวสั่นวูบ

“ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือว่าผิวคุณชายเสิ่นบอบบางมาก”น้ำเสียงของนางเจือแววติติง

“หึ ข้าแค่อยากเตือนความจำเขา หากคิดทรยศจะเป็นดั่งเช่นกระต่ายตัวนั้น”เจี่ยซินล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปลายมีดด้วยสีหน้ารื่นรม ถึงจะทำเหมือนไม่ติดใจแต่เขาไม่คิดไว้ใจเสิ่นจิ้งเฟยอีก การที่ฮ่องเต้ไปโรงน้ำชาหลิวซื่อไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขาตั้งใจแวะไปดูเสิ่นจิ้งเฟย หรือไม่ก็กำลังทำเรื่องบางอย่าง พักนี้ฝ่าบาทจับตามองบุรุษงามผู้นี้เป็นพิเศษ ช่างเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์และสิ้นเปลืองเวลายิ่งนัก เป็นถึงโอรสสวรรค์แต่กลับละเลยหน้าที่เพียงเพราะบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง…เขาเหยียดรอยยิ้มหยัน ช่างน่ารังเกียจเสียจริง คนเช่นนี้เหมาะสมครองบัลลังก์แล้วหรือ

“ข้าไม่คิดทรยศท่านอย่างแน่นอน” จื่อฟางกล่างด้วยเสียงหนักแน่นประหนึ่งว่าภักดีต่อท่านอ๋องยิ่ง ลู่เจียงเอนตัวมาซบเขาพร้อมกับรินสุราเพิ่มให้

“คุณชาย ไม่ได้แวะมานานทำให้ข้าคิดถึงยิ่งนัก”นางกระซิบใกล้หูเขาเบาๆ ฝามือเรียวข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่แต่สัมผัสของนางไม่ใช่สัมผัสในเชิงชู้สาว เขาสบตาลู่เจียง แววตาของนางเข้มลึกเป็นประกาย

“องครักษ์มารายงานข้าว่าคราวก่อนเห็นเจ้าออกไปกับพี่ชายข้าเสียครึ่งค่อนวัน หรือเจ้าคิดเปลี่ยนใจอยากเป็นหนึ่งในชายงามของเขาแล้ว แต่ครั้งก่อนที่ข้าเอ่ยถึง เจ้าถึงกับโกรธไปสามวันสี่วัน”คำพูดของหลิวอ๋องทำให้จื่อฟางนิ่งงันไปชายงามหรือ อารมณ์ขุ่นเคืองไม่ทราบที่มาก่อตัวอยู่ในอก เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่ากำลังถูกดูแคลนอยู่

“ข้าไม่ได้คิดอยากเป็น”สุ้มเสียงของเขาแฝงแววเย็นชาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อรู้ตัวเขาจึงหลุบตามองรอยแผลยาวบนข้อมือ เลือดหยุดไหลแล้ว รอยแผลแดงก่ำราวกับผิวหนังของเสิ่นจิ้งเฟยปริแตก เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเบาๆ ผิวบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นริ้วรอยเสียแล้ว

เจี่ยซินหัวเราะในลำคอ แบบนี้ค่อยสมเป็นเสิ่นจิ้งเฟย “ข้าพูดล้อเล่น หากท่านยอมเป็นชายบำเรอของเขาสิแปลก จงอย่าลืมว่าเขาเป็นคนวางยาปู่ของท่าน หวังลดทอนอำนาจสกุลเสิ่น…เสนาบดีเสิ่นมู่หยางควรได้รับตำแหน่งที่ดีกว่าเจ้ากรมพิธีการที่ไม่ได้มีปากเสียงใด ฝ่าบาทไม่อยากให้สกุลเสิ่นมีอำนาจมากเกินไป แต่ยามนี้สกุลหลี่กลับมีอำนาจในราชสำนักจนยากต่อกร หากไม่ใช่ความผิดของเขาแล้วจะเป็นของผู้ใด”

หลิวอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างปิดไม่มิด จื่อฟางได้ยินว่าฮ่องเต้เป็นคนวางยาเสิ่นฉินอี้ก็ได้แต่ตระหนกอยู่ในใจ ไม่คิดว่าการตายของท่านปู่ของเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นฝีมือของเจ้าแผ่นดิน ยิ่งทำให้เขานึกไปถึงประโยคในย่อหน้าสุดท้ายในบทความวิพากษ์ ‘ฮ่องเต้ตระบัดสัตย์ ไม่สมควรครองราชย์’ สองพี่น้องแซ่เจี่ยดูเป็นคนที่ไม่น่าทำร้ายผู้ใดได้…แต่มนุษย์เราตัดสินกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ

“เสิ่นจิ้งเฟย…ข้าสงสารเจ้านัก คิดดูเถิดปู่เจ้าทุ่มเทให้เขามากมาย แต่กลับถูกฆ่าทิ้งเช่นนี้ ไม่ยุติธรรม สวรรค์ไม่ยุติธรรม…เจ้าเห็นด้วยกับข้าที่เขาไม่สมควรครองราชย์ คนน่ารังเกียจเช่นนั้นไม่เหมาะเป็นฮ่องเต้…”หลิวอ๋องพึมพำคล้ายกับคนเมาสุรา จื่อฟางมองท่านอ๋องตรงหน้าทั้งหวาดกลัวและเวทนาไปพร้อม ๆกัน บุรุษผู้นี้เป็นคนเก็บกดจิตใจกระด้างเย็นชา ที่ผ่านมาคงผ่านเรื่องราวมามาก แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด กบฏก็คือกบฏต่อให้มีเหตุผลดูดีร้อยแปดมาแก้ตัว ความหมายก็ไม่เปลี่ยน ท่านอยากได้บัลลักก์ของผู้อื่น อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ไม่มีกบฏคนไหนไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากวันใดหลิวอ๋องได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยยังจะปลอดภัยอยู่อีกหรือ เจ้าบ้านี่มีหัวคิดบ้างหรือไม่!

เจี่ยซินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้ตัวว่าเสียกิริยาไปชั่วขณะ เขาจึงยกจอกเหล้าดื่มจนหมด ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยกับหญิงคณิกา

“เรื่องอาสือก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าเสียทีเดียว จริงอยู่ที่ข้าเสียดาย แต่ข้าคิดไว้แล้วว่าสักวันต้องมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ขุนนางที่มีคำสั่งให้จับตัวเขาก็เป็นคนของฮ่องเต้ ข้าจึงให้เขาพกยาพิษติดตัวเสมอ หากทำพลาดเมื่อใดก็จบชีวิตลงเมื่อนั้น”บุรุษตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขัดกับใบหน้าอ่อนโยน ทำให้จื่อฟางไม่สบายใจนัก ราวกับได้อยู่กับฆาตกร ถ้าหากวันใดหลิวอ๋องคิดทำกับเขาเช่นนี้บ้างเล่า…

“ท่านรอบคอบยิ่งนัก”เขาได้แต่เสริมเบาๆ

“สิ่งที่ข้าเขียนในจดหมายข้าเพียงแค่อยากย้ำเตือนเท่านั้น เจ้าถือเป็นพี่น้องของข้า…ข้าไม่อยากผิดหวัง”เจี่ยซินเอ่ยตามตรง เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายลืมคำพูด

“ข้าเข้าใจ”จื่อฟางตอบ ย้ำเตือนกับผีน่ะสิ เป็นการข่มขู่ชัดๆ

“ระยะนี้ดูเจ้าจะสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋เป็นพิเศษ…ข้ารู้สึกว่าเขาแปลกๆ เจ้าช่วยจับตาดูให้ข้าที สืบให้รู้ว่าสกุลไป๋มีเรื่องใดปกปิด แล้วมารายงานให้ข้ารู้ ทิ้งจดหมายไว้ที่ร้านเถ้าแก่จางเช่นเดิม แต่ช่วงนี้เจ้าต้องระวัง พวกสุนัขของฮ่องเต้เริ่มออกมาเพ่นพ่านกันยั้วเยี้ย”เจี่ยซินออกคำสั่ง จับจ้องเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังคงทำหน้านิ่งก็ยกยิ้มมุมปาก เจ้าเด็กนี่พยายามทำสุขุมอยู่หรือ รอจนเจ้าหมดประโยชน์…ข้าจะโละหมากทิ้ง

“ได้ข้าจะพยายาม”จื่อฟางรับคำ แต่ในหัวสับสนวุ่นวาย จับตามองไป๋ผูอวี้ให้เขาเป็นสายลับสองหน้าเนี่ยนะหรือ เถ้าแก่จาง…จากนี้ต้องสืบหาด่วน

“ข้าไม่อยากได้ยินคำว่าพยายาม”หลิวอ๋องมองอีกร่างด้วยสายตาคมปราบ

“ข้าจะทำสุดความสามารถ”จื่อฟางเปลี่ยนคำพูด

“ดี”อีกฝ่ายมีท่าทีพอใจ เขาไม่ได้ดื่มสุราอีกเพราะกลัวจะขาดสติ ลู่เจียงนั่งอิงแอบอยู่ด้านข้างคีบเนื้อไก่มาให้ เขาจำต้องยอมให้นางป้อน จากนั้นก็เคี้ยวไก่อย่างไร้รสชาติ

“ผู้คนในท้องตลาดพูดกันให้แซ่ดว่าเจ้าเรียนหนังสือ เจ้าเบื่อไม่อยากแสร้งโง่ให้คนดูถูกแล้วหรือ”

“ข้าแค่สอบระดับอำเภอให้ท่านพ่อวางใจเท่านั้น”เขาเอ่ยตอบ หลิวอ๋องแค่นเสียงในลำคอแต่ไม่พูดสิ่งใดอีก หลิวอ๋องรั้งอยู่ไม่นานก็หยิบหมวกสานมาสวม ก่อนจากไปทางหน้าต่าง เขาทิ้งถ้อยคำไว้ว่า

“ข้าไม่อยากใจดำทำร้ายกระต่ายที่น่าสงสาร…จงระลึกอยู่เสมอว่าทำงานให้ข้า”กระต่ายที่น่าสงสารของหลิวอ๋องดูเหมือนจะหมายถึงตัวเขา เงาร่างของหลิวอ๋องจากไปแล้ว เขาก็ลอบผ่อนลมหายใจ ปรายตามองหญิงงามข้างตัว สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที นางขยับเข้ามากระซิบเบาๆ

“คุณชายเสิ่น ท่านจะทำเช่นนี้ไปถึงเมื่อใด ข้า…หวาดกลัวนัก ท่านคิดหรือว่าเขาจะไว้ชีวิตท่าน ไหนท่านเคยบอกไว้ว่าจะพาข้าหนีออกไปจากที่นี่อย่างไร”ลู่เจียงน้ำตาคลอหน่วย นางไม่อยากเจอกับหลิวอ๋อง นางไม่อยากเป็นกบฏแต่เสิ่นจิ้งเฟยเกลี้ยกล่อมนางว่าหากยอมช่วยจะพานางออกจากหอผูเยว่ นางจึงตกลงรับปาก แต่เมื่อสองเดือนก่อนคุณชายกลับหายหน้าหายตาทิ้งให้นางกังวลใจแทบแย่

“คือ…”จื่อฟางกระอักกระอ่วนใจมาก เสิ่นจิ้งเฟยสร้างเรื่องมาให้ตนคลี่คลายชัดๆ

“หรือท่านลืมคำพูดแล้ว!”นางถลึงตาโตใส่

“ข้าไม่ลืมแต่เวลานี้ยังไม่เหมาะ หากมีจังหวะเมื่อไรข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน”เขาได้แต่กล่าวตามน้ำ สถานการณ์ในยามนี้เขาจะไปช่วยใครได้ นางมีสีหน้าอ่อนลง คว้าข้อมือของจื่อฟางไปดูสีหน้าเคียดแค้น

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านร่วมมือกับเขาได้อย่างไร”นางพึมพำ คำถามนี้เขาก็อยากถามเสิ่นจิ้งเฟยเช่นกัน

“ข้าเกรงว่าอยู่นานไม่ได้”เด็กหนุ่มเกริ่น ลู่เจียงถอนหายใจ นางเข้าใจคุณชายเสิ่น ความสัมพันธ์ของนางกับคนผู้นี้ไม่เรียกว่าเชิงชู้สาว จริงอยู่ที่นางเคยถูกเรียกใช้แต่ก็แค่ไม่กี่ครั้ง คุณชายเสิ่นเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของนาง ลู่เจียงถึงได้ยอมตกปากเข้าร่วมกับหลิวอ๋อง

“ข้าขอบคุณคุณชายมากที่คอยช่วยเหลือข้ามาตลอด ท่านระวังตัวด้วย หากมีเวลาก็แวะมาพูดคุยกับข้าบ้าง”ลู่เจียงเอ่ยเสียงเบาก่อนยอบกายออกจากห้อง เมื่อจื่อฟางได้อยู่เพียงลำพังก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก กุมข้อมือที่เป็นรอยแดงก่ำ หลิวอ๋องเจี่ยซินคนดีของจางต้าก็เป็นแค่คนที่ได้บัลลังก์ผู้อื่นเท่านั้นเอง

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าไปรับปากผู้อื่นทั้งที่ไม่คิดทำได้อย่างไร”เขาพึมพำกับตัวเอง ด้วยนิสัยของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่มีทางที่จะช่วยให้ลู่เจียงหนีรอดได้แน่ เด็กหนุ่มรอจนร่างกายคลายจากความตึงเครียดก็ออกมาจากห้องรับรอง แต่ไม่พบหยางชวีเฝ้าอยู่หน้าห้อง ได้แต่กวาดสายตามองอย่างงุนงง เจ้าคนหน้าตายหายไปที่ใดแล้ว แต่เขาไม่คิดรอ จื่อฟางอยากกลับจวน นอนหลับแล้วไม่ต้องตื่นมาพบกับเรื่องเสี่ยงตายอีก เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงห้องเช่าแคบ ๆ ป่านนี้พ่อแม่ของเขาจะเป็นเช่นไร?ตัวเขาเล่า ตายหรือยังหรือเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในร่างของเขา เป็นคำถามที่คิดให้ตายก็คงไม่ได้คำตอบ

จื่อฟางเดินออกมาจากหอผูเยว่ แม่เล้าเถาฮวาไม่ได้เข้ามาออเซาะเอาใจ เพียงมองเขาด้วยสายตาพราวระยับเท่านั้น เขาได้แต่คิดสงสัยว่านางรู้เรื่องหรือไม่ หรือเป็นคนของหลิวอ๋อง คนของท่านอ๋องมีมากเท่าใด แต่หากจะก่อกบฏจริงก็คงมีกำลังมากพอสมควร จื่อฟางพกเอาความกังวลออกมาด้วย เมื่ออกมาพ้นกรอบประตูหอผูเยว่ก็พบรถม้าคันเดิมจอดรออยู่ คนขับรถม้าส่งยิ้มมาให้ จะว่าไปเห็นหน้าก็หลายครั้งแต่เขายังไม่รู้ชื่อแซ่คนผู้นี้เลย จื่อฟางเข้าไปนั่งในรถม้า แต่ไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ด้านในจึงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ

“ข้าเอง”ไป๋ผูอวี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ร่างบางมีสีหน้าโล่งอก เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบเข้ามานั่งใกล้ๆไหล่เบียดแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงไอร้อน ร่างนั้นพึมพำอะไรบางอย่างที่เขาได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก แต่บุรุษหนุ่มสัมผัสได้ชัดเจนว่าคุณชายเสิ่นมีอาการเครียดเกร็ง จึงยกมือลูบแผ่นหลังผอมบางของอีกฝ่ายเบา ๆ กลิ่นสุราจางลอยเข้าจมูก ไป๋ผูอวี้มุ่นคิ้วเมื่อได้กลิ่นหอมของเครื่องแต่งหน้ากลิ่นแรงของหญิงสาวติดมาด้วย แม้ว่าพบกับหลิวอ๋องคุณชายเสิ่นก็ยังมีเวลาหาความสุขที่หอผูเยว่ได้ เขาคงกังวลมากไปเอง

“ข้าตกใจหมด เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างสงสัย ไม่คิดว่าคนขับรถม้าของสกุลเสิ่นจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามานั่งด้านใน   

“ข้ามีวิธีพูดกับคนของท่านก็แล้วกัน”สุ้มเสียงของอีกฝ่ายเจือความเรียบเฉยทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ จึงเงยหน้ามอง ไป๋ผูอวี้ทอดสายตามองออกไปนอกรถ รถม้ายังคงไม่ขยับเขยื้อนราวกับรอคำสั่งอยู่

“เจ้าเป็นอะไร”เขาขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่ตอนที่อีกฝ่ายเห็นหน้าตนก็ยังมีรอยยิ้มอยู่เลย

“เปล่า…”จื่อฟางเลิกคิ้วด้วยความไม่เชื่อ ไป๋ผูอวี้หันมองเขาก่อนกล่าวช้าๆ

“ข้าแค่คิดว่าท่านดีนัก เจอเรื่องคอขาดบาดตายก็ยังมีเวลาเสพความสุขได้…”ได้ยินที่อีกฝ่ายกล่าวก็ต้องใช้เวลาอยู่สักพักถึงจะรับรู้ว่าคนผู้นี้หมายถึงอะไร ไป๋ผูอวี้คิดว่าเขาเรียกหญิงคณิกามาปรนนิบัติหรือ? คนผู้นี้ไปเอาความคิดมาจากไหน

“ข้าไม่ได้เสพความสุขใดทั้งสิ้น เจอกับหลิวอ๋องข้าจะมีอารมณ์ได้อย่างไร”เขาอาจพูดตรงเกินไปเพราะเจ้าของร่างสูงใหญ่จ้องเขาตาเขม็งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“ข้าได้กลิ่นเครื่องแต่งหน้า…”จื่อฟางพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้น สหายของข้านั่งใกล้ไปสักหน่อย กลิ่นถึงได้ติดเสื้อผ้า”เด็กหนุ่มก้มดมเสื้อผ้าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้กลิ่นใด ไป๋ผูอวี้จมูกดีเกินไปแล้ว บุรุษหนุ่มได้ฟังเสิ่นจิ้งเฟยบอกก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เคาะรถม้าเบาๆเพื่อส่งสัญญาณให้คนขับรู้ รถม้าจึงค่อยๆเคลื่อนไปยังทิศตรงกันข้ามของจวนสกุลเสิ่น

“เจ้าจะไปที่ใด หยางชวียังไม่โผล่หน้ามาเลย”คุณชายเสิ่นทำสีหน้าตกใจเหมือนกระต่ายตื่นคน

“ข้าให้ซูเหลียนฮวาไปถ่วงเวลาเขา ท่านไม่ต้องห่วงเดี๋ยวเขาก็กลับจวนสกุลเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกราวกับไม่ใช่เรื่องของตน ผิดกับจื่อฟางที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร หยางชวีอยู่กับซูเหลียนฮวา ความสัมพันธ์ของสองคนนั่นเป็นเช่นไรกันแน่”เขาถามอย่างสนใจ ไม่ใช่ว่านางชอบเสิ่นจิ้งเฟยหรอกหรือ 

“ค่อนข้างซับซ้อน เป็นสหายที่เป็นศัตรูกัน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเรียบ ๆ เขาได้แต่เลิกคิ้วสงสัย แต่ช่างเถอะ ตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องกับคนหน้าตายก็ดีแล้ว

“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”เด็กหนุ่มซักเมื่อยังไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่าย เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เวลานี้คงเป็นช่วงยามไห่( 21.00 - 22.59 )ฟ้าเริ่มมืดจนเห็นแสงดาวสุกสกาวบนฟากฟ้า

“นั่งรถชมวิว”คำตอบของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาเหลียวมอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า

“เวลานี้น่ะรึ เจ้าไปกินสิ่งใดผิดสำแดงมาใช่หรือไม่ ถึงได้ทำตัวแปลกเช่นนี้”เขาไม่ได้ตั้งใจเอ่ยกวนประสาท แต่ไป๋ผูอวี้ทำตัวแปลกจริง ๆ หรือหลงเสน่ห์ร่างนี้เข้าแล้ว บุรุษอีกคนไม่ตอบคำเพียงนั่งเงียบๆ ย้อนนึกไปถึงคำพูดของเว่ยหลงตอนที่ตนบอกว่าจะออกไปข้างนอกสักพักถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าไปที่ใดแต่ผู้ติดตามกลับล่วงรู้ความคิดของเขา

ไป๋ผูอวี้เป็นห่วงเสิ่นจิ้งเฟย

‘คุณชายไป๋ ท่านเป็นห่วงเจ้าเต่านั่นถึงเพียงนี้ ท่านว่าไม่แปลกหรือ’เว่ยหลงถาม

‘…เขาเป็นสหายข้า’

‘ฮ่าๆ คุณชาย ท่านหาเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อยเถอะ สหายอะไรกัน เขาเป็นสหายของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเพียงอยากให้ท่านระมัดระวังสักเล็กน้อย อย่าให้ความงามของเสิ่นจิ้งเฟยมาล่อลวงท่านได้’

เว่ยหลงพูดจาเหลวไหล เขาพึงระวังคุณชายท่านนี้ไว้เสมอ และเขารู้ตัวดีว่าไม่ได้ถูกล่อลวง ไป๋ผูอวี้หันมองคุณชายเสิ่นที่มีสีหน้าเซื่องซึม หลับตาเอนตัวพิงผนังรถม้า

“ท่านง่วงแล้วหรือ”

“อืม พอได้เจอเจ้า ข้าก็สบายใจมากจนอยากหลับ”จื่อฟางพึมพำตอบ ลืมตามองบุรุษอีกคน นึกถึงเรื่องที่หลิวอ๋องอยากให้จับตาดูไป๋ผูอวี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ คนผู้นี้ไม่ได้เอ่ยถามว่าเขาคุยอะไรกับหลิวอ๋องเพียงแค่พาเขานั่งรถม้าไปเรื่อย ๆเหมือนรู้ว่าเขามีเรื่องกลุ้มใจ จื่อฟางไม่อยากเป็นสายสืบให้ท่านอ๋อง

“ไยต้องทำสีหน้าเช่นนั้น”สีหน้าหมองหม่นของคุณชายเสิ่นไม่น่ามองนัก เขาไม่อยากเห็นเท่าใด เพราะมักทำให้จิตใจที่ตั้งมั่นของตนสั่นคลอน

“ข้ามีเรื่องกังวลเต็มหัว”

“ท่านเลือกร่วมมือกับอ๋องสามเอง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าจะเปิดโปงข้าไหม”จื่อฟางกลับมานั่งตัวตรง นวดขมับที่กำลังเต้นตุบๆ นึกสงสัยว่าหากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง เจ้านั่นจะทำสิ่งใดต่อ เขาได้หาทางหนีทีไล่ของตนไว้หรือยัง

“หากข้าจะทำก็คงลงมือไปนานแล้ว”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ ในรถม้าจึงตกอยู่ในความเงียบสักพักจนเมื่อรถแล่นโขยกเขยกมาถึงตรอกซีหมาน จอดอยู่ที่ริมสะพานก่ออิฐใกล้กับร้านเครื่องดนตรีเถ้าแก่เถียน จื่อฟางมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์สะท้อนอยู่ในแม่น้ำสายเล็กๆ ไป๋ผูอวี้ลงจากรถม้าก่อนหันมามองเขา

“ลงมา”

“ตอนนี้ข้าเหนื่อย”จื่อฟางโอดครวญเบาๆ แต่ไป๋ผูอวี้ยังคงยื่นมือไปให้คุณชายตรงหน้าที่แสดงอาการเหมือนทารกอยากเข้านอนแต่หัววัน เขาไม่อยากรู้เรื่องหลิวอ๋อง ที่พาเสิ่นจิ้งเฟยออกมาก็เพราะเป็นห่วงต้องการให้คุณชายท่านนี้ผ่อนคลายความตึงเครียด 

“ก็ได้”จื่อฟางจับมือที่ชายร่างสูงใหญ่ยื่นมาให้ก่อนกระโดดลงจากรถม้า สายลมพัดเอากลิ่นชาหอมอ่อนจางของไป๋ผูอวี้มาด้วย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างมองเห็นดวงจันทน์กลมโตได้ชัดเจน ร่างตรงหน้าเดินนำเขาไปที่สะพานช้า ๆ บรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนบางตา จื่อฟางไม่ได้มาแถวนี้นานก็พบว่าในบ่อน้ำมีดอกบัวขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มเหลียวมองคนขับรถม้า เห็นว่าฝ่ายนั้นยืนอยู่ในมุมมืดคล้ายกับไม่รู้ไม่เห็นเรื่องใดทั้งสิ้น

“เขาคิดว่าข้าเป็นคนรักของท่าน จึงปล่อยให้ลอบมาพบกัน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขบขันเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นคาใจ

“ท่านไม่คิดปฏิเสธ?”จื่อฟางเลิกคิ้วถาม ชายตรงหน้าเพียงไหวไหล่

“อย่างน้อยข้าก็ได้มาพบท่าน”

“ฟังเหมือนข้ากับเจ้าเป็นคู่รักกันจริง ๆ เจ้าว่าไหม”ร่างบางยกยิ้ม อีกฝ่ายเพียงแค่นเสียงในลำคอเบาๆ

จื่อฟางมองใบหน้าของไป๋ผูอวี้ก่อนตัดสินใจเอ่ย “ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า”

“อืม”

“หลิวอ๋องเห็นว่าพักนี้ข้าสนิทกับเจ้า เขาจึงอยากให้ข้าคอยสืบเรื่องของสกุลไป๋…”เอ่ยจบ ก็เกิดความเงียบระลอกใหญ่ มีเพียงสายลมที่พัดมาต้องหน้าบางเบา

“เหตุใดถึงบอกข้า”ไป๋ผูอวี้มองคุณชายเสิ่นด้วยแววตานิ่งลึก คุณชายรูปงามตรงหน้าก้าวมาใกล้พร้อมกับคว้ามือของเขาไปจับ ฝามืออ่อนนุ่มของเสิ่นจิ้งเฟยชื้นเหงื่อเล็กน้อย

จื่อฟางจ้องมองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงหนักแน่นมั่นคง “ข้าบริสุทธิ์ใจ ข้าไม่ต้องการสืบเรื่องของเจ้าให้หลิวอ๋อง” เขาไม่อยากถูกไป๋ผูอวี้ระแวง

“แต่ท่านก็ต้องทำตามคำสั่งของเขาอยู่ดี”ไป๋ผูอวี้ยิ้มจาง กวาดมองใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยที่ยามนี้เผยแววอ่อนล้าชัดเจน บุรุษหนุ่มต้องกำมือเพื่อหักห้ามไม่ให้ยกมือเกลี่ยข้างแก้มของร่างตรงหน้า 

“เอาเถอะ ท่านไม่ต้องกังวล”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสริม ตบหลังมือของอีกฝ่าย คิดไว้แล้วว่าหลิวอ๋องต้องใช้วิธีเช่นนี้   

“ข้าไม่ได้อยากผูกมิตรกับเจ้าเพราะอยากสอดแนม”จื่อฟางนึกได้จึงเอ่ยออกมา สบตามองไป๋ผูอวี้ ไม่อยากให้คนผู้นี้คิดระแวงสงสัยตน ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ แต่มองเห็นดวงตาคู่งามที่เคยมีชีวิตชีวาเป็นประกายวูบไหว ในใจของบุรุษหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกคลื่นซัดโถม   

จื่อฟางมองเห็นไป๋ผูอวี้ที่ปกติมักตีหน้าสุขุมนุ่มลึกมีอาการที่เหมือนทำตัวไม่ถูกก็หยักยิ้ม คิดว่าควรหยอกไป๋ผูอวี้สักเล็กน้อยจึงนำฝามือของร่างสูงตรงหน้ามาแตะที่บริเวณอกซ้าย

“ข้ารู้ว่ามันอาจฟังดูประหลาด แต่ข้าอยู่กับเจ้าแล้วรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก ”จื่อฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแม้ท่าทีจะคล้ายกับหยอกล้อแต่ประกายในแววตามิใช่เช่นนั้น เวลานี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นลูกไม้ใด ไป๋ผูอวี้ยืนมองคุณชายตรงหน้าอยู่เนิ่นนาน ความรู้สึกปนเปอยู่ในอก เป็นความรู้สึกที่คอยรบกวนเขาเหมือนมีกรงเล็บที่มองไม่เห็นมาข่วนหัวใจ คงเป็นเพราะแสงจันทร์หรือบรรยากาศเงียบสงบที่ทำให้บุรุษเช่นไป๋ผูอวี้หักห้ามใจตนเองไม่ได้ยกฝามือหนาอีกข้างลูบแก้มของร่างบางอย่างเบามือ 

“คุณชายเสิ่นกำลังสารภาพความในใจกับข้าอยู่กระมัง”น้ำเสียงรื่นหูของบุรุษหนุ่มทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ได้เรื่อง จื่อฟางยังคงกุมมือของไป๋ผูอวี้ไว้ ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีขาวกระจ่างตาสืบเท้าประชิดใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงช่วงสั้นๆ

“ข้าแค่แสดงความจริงใจ”เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ปล่อยมือของอีกฝ่าย โน้มตัวเอาหน้าผากอิงแผ่นอกแกร่งของไป๋ผูอวี้กลิ่นอายของคนผู้นี้ชวนให้จิตใจสงบ

“ข้าไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไร”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ แม้จะรับรู้ว่าในอกเต้นไม่เป็นจังหวะเดิม บุรุษหนุ่มเลือกปัดความคิดกวนใจทิ้ง

“ข้ากำลังสืบเรื่องการก่อกบฏของหลิวอ๋อง เป็นเพราะทำงานให้กับคนผู้หนึ่ง ข้าบอกได้เพียงเท่านี้”

จื่อฟางมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจสกุลไป๋นัก ไหนบอกว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจอย่างไร “ฮ่องเต้หรือ”

“ไม่เชิง”ไป๋ผูอวี้ตอบ ร่างบางไม่คิดถามต่อ แต่ก็สังหรณ์ใจไม่ดีรู้สึกไม่อยากให้อีกฝ่ายข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง   

“ข้อมือท่านไปโดนอะไรมา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเสียงเข้ม เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็น เจ้าตัวคว้าข้อมือของเขาไปดู ถกแขนเสื้อจนมองเห็นรอยแผลที่ถูกกรีดเป็นทางยาว

“ฝีมือหลิวอ๋อง ไม่เจ็บหรอก”ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอะไรแล้วแค่ตึงๆแผลเล็กน้อย ไป๋ผูอวี้ลากนิ้วมือไปตามรอยกรีดเบาๆ จนจื่อฟางร้อนวูบไปทั้งร่าง บุรุษหนุ่มมองรอยแผลของเขา ช้อนสายตามองด้วยดวงตาล้ำลึกที่แปลไม่ออก ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจทำให้ไป๋ผูอวี้จรดริมฝีปากลงมาบนบาดแผลของเขา

“เจ้าทำอะไร”จื่อฟางมองตาโต หน้าร้อนวูบ บาดแผลสกปรกเช่นนี้ยังกล้าทำเหมือนในนิยายอีก 

“ท่านแม่เคยทำให้ข้าตอนเด็ก ๆ”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงนุ่ม รอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปาก จื่อฟางพูดไม่ออกได้แต่มองหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ร่างสูงตรงหน้ายังคงจับข้อมือของเขาหลวมๆ บรรยากาศเช่นนี้…ปกติจะต้องโน้มตัวมาจุมพิตหวานซึ้งแล้ว เจ้ามัวรอช้าอะไรอยู่

บุรุษหนุ่มมองเห็นสายตาที่คล้ายกับรอคอยของเสิ่นจิ้งเฟยก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในอก เขาแน่ใจว่าตนไม่ได้ชมชอบบุรุษ แต่ว่าคลื่นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนผู้นี้ คุณชายเสิ่นที่คล้ายกลับเป็นคนใหม่ ไป๋ผูอวี้ปัดความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวออกไป ตัดสินใจก้มแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะไปส่งท่านที่จวน”กล่าวจบก็หมุนกายกลับไปที่รถม้า ชายเสื้อคลุมไหวเล็กน้อย   

จื่อฟางหยักยิ้ม เท่านี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่…คนอย่างท่อนไม้ไป๋คงจูบเป็นอยู่แล้วกระมัง   



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-03-2018 20:29:34
หายไวไวนะคะ ขอให้สุขภาพแข็งแรงค่
นุ้งไป๋ของแม่รุกเข้าไป 5555 
ทีนี้ปริษนาก้อชัดเจนขึ้นมากเลย ความเกลียดเพิ่งปรากฏออกมาพร้อมกันกับความลับ ได้แต่หวังว่าพระนายของเราจะอยู่รอดปลอดภัยนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-03-2018 20:54:29
เครียดไม่แพ้จื่อฟางเลยค่ะ ทำไมปัญหามันเยอะขนาดนี้ แต่ดีใจที่มีฉากสวีทเล็กน้อยให้รู้สึกอบอุ่น คุณคนเขียนรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายตอนใหม่ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-03-2018 21:01:49
เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นทุกที
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-03-2018 21:05:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 06-03-2018 21:12:44
ขอให้สุขภาพแข็งแรงโดยเร็วนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-03-2018 21:39:41
เก็บคำตอบไปทีละตอน
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 06-03-2018 22:21:20
ฮือออ คิดถึงจื่อฟางมากกกก คนเขียนหายไวๆนะ คิดถึงเหมือนกัน ขอให้เรื่องคลี่คลายไปในทางที่ดีด้วยเถอะ ขอให้เฟยเอ๋อไม่กลับมากลัวจื่อฟางไม่มีที่ยืน...
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 06-03-2018 22:39:41
ขอให้หายป่วยไวไวนะคะไรท์
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ปาปริก้า ที่ 06-03-2018 22:58:17
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-03-2018 00:46:02
 :เฮ้อ:

 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: jaja-jj ที่ 07-03-2018 00:57:12
เข้มข้นมาก เรื่องดีมาก หายป่วยไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-03-2018 01:51:38
เรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายปมเหลือเกิน  :hao4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: naplatoo ที่ 07-03-2018 02:18:33
เข้ามาอ่านตอนแรก ไม่คิดว่าเนือหาจะเข้มข้น และมาไกลถึงขนาดนี้
สนุกมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

//แอบอยากรุ้ความทรงจำของเสิ้นจิ้งเฟย รอติดามๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Toxic ที่ 07-03-2018 06:03:47
พระเอกของเรา รู้เดียงสารึไม่?  :oo1: :z1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 07-03-2018 08:05:26
เราชอบเรื่องนี้มาก เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 07-03-2018 09:10:58
ยิ่งอ่านยิ่งซับซ้อนไปเรื่อย ลุ้นกันต่อไปจ้า
ขอให้หายไวไวนะค่ะ
 :L2: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Sistel2 ที่ 07-03-2018 09:36:12
โอ๊ย กรี๊ดดดดด ฟินเฟ่อร์  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 07-03-2018 09:48:32
โอ้ยยยยย เครียดแทนจื่อฟางงง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-03-2018 10:00:02
เงื่อนงำเยอะอ่ะ จะผ่านพ้นไปได้ไหมหนอ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-03-2018 11:19:52
ไรท์ ป่วยเพราะเป็นหวัดแน่เลย เพราะป่วยเหมือนกัน 
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไวๆนะ   :mew1: :mew1: :mew1:

เนื้อเรื่องเข้มข้น
ตัวร้ายออกมาแล้ว

ที่สำคัญ จิ้งเฟยได้ใจไป๋ผูอวี้แล้ว  :z3: :z3: :z3:
มีจุ๊บรอยกรีดข้อมือ จุ๊บหน้าผากด้วย  :hao5: :sad4: :heaven
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 07-03-2018 14:10:38
ยาวสะใจมากค่ะ :hao6: ขอให้หายป่วยไวๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: JingJing ที่ 08-03-2018 20:50:07
ขอให้หายป่วยไวๆนะคะ รอติดตามค่ะ สนุกมากๆเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-03-2018 00:06:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 09-03-2018 00:07:13
ซับซ้อนยิ่งนักกกกก  o2 o7
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-03-2018 12:44:45
พี่ไป๋ทำงี้จื่อฟางก็หวั่นไหวดิ ทั้งจูบข้อมือตรงแผลทั้งจูบหน้าผาก ผู้ชายแท้เค้าไม่ทำงี้นะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 10-03-2018 05:43:30
ฟู่จวิ้นคือฮ่องเต้จริงๆ ด้วย แล้วหลิวอ๋องนี่ดูจิตๆ หน่อยๆ ป่ะเนี่ย -*-
จิ้งเฟยคือโคตรพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก ปวดหัวแทน
มีความหวานโผล่มาตอนท้ายให้รู้สึกดีหน่อย ฮี่ๆ
ขอให้นักเขียนหายไวๆ นะคะ ><
รอตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-03-2018 20:47:24
จื่อฟางหวังเคลมคุณชายไป๋จิงเชียว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 11-03-2018 12:32:57
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 13-03-2018 15:23:44
หายป่วยเร็วๆน่ะ รออยู่เสมอ ปกติเราอ่านวายจีนค่อนข้างเยอะ เรียกว่าค่อนข้างจะเลือกอ่านเลยก็ว่าได้ ภาษาไม่โอเค พล็อตเรื่องไม่โอเคเราไม่อ่านเลย ปกติจะอ่านพวกแปลมากกว่า แต่เรื่องนี้ชอบมาก รอติดตามเสมอน่ะ  :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 14-03-2018 16:31:35
สนุกมากกกกกกกกก ปมเยอะขึ้นเรื่อยๆ

หายป่วยไวไวนะ รออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-03-2018 18:28:51
ซับซ้อนมาก ไม่รู้ว่าจิ้งเฟยทำอะไรไว้บ้าง

อยากให้จำได้แล้วค่ะ จื่อฟางจะได้ทำให้มันถูกต้อง
ผูอวี้ก็อินนะ แหมม ทำมาจุ๊บหน้าผาก แล้วหนีขึ้นรถม้า

หลิวอ๋องดีไหม เหมือนไม่ดีนะ
ฮ่องเต้ก็ยังไง มาแปลกๆ
เดาทางสองคนนี้ไม่ออกเลย



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 22-03-2018 16:22:53
หายป่วยไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-03-2018 16:48:30
รอๆ :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 22-03-2018 17:54:59
หายป่วยไวไวนะคะ รออยู่เด้อ :bye2: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 22-03-2018 17:55:42
ปมต่างๆเริ่มโผล่มาทีละหน่อยละ น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 22-03-2018 20:56:58
ยังรออยู่นะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 23-03-2018 15:43:39
รอออออออออออ อ่านวนรอบ2ละ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Key Mine ที่ 29-03-2018 01:54:00
สนุกกก เข้มข้น ลุ้น ตลก น่าค้นหาดีค่ะ มีอะไรที่ขัดใจน้อยมากๆ เราชอบภาษาแบบนี้มาก มินิมอลแต่ดี มาต่อไวๆนะค๊าา เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวพุธ ที่ 29-03-2018 23:45:19
รอติดตามต่อไปนะคะ สนุกอ่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Toxic ที่ 01-04-2018 09:06:38
คุณคนเขียนเป็นยังไงบ้างน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 02-04-2018 20:39:50
ตามทันแล้ววววว สนุกมากเลยปมเยอะแยะ

เดาว่าเสิ่น จิ้งเฟย ไม่ใช่คนไม่เอาไหนแต่แกล้งทำ ใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: TheCatmewt ที่ 04-04-2018 23:53:44
แวะมาดู ฮือออรออยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 06-04-2018 13:57:47
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-04-2018 17:28:39
รอๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-04-2018 18:58:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 16-04-2018 20:56:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 20-04-2018 13:00:12
หายใจไม่ทั่วท้องแทนละอ่ะ ถ้าไม่ได้ฉากมุ้งมิ้งๆบ้างซอคเป็นปลาขาดน้ำแล้ว
 :call: :call: :call:
สุขภาพแข็งแรงไว้ก่อนนะคะนักเขียน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 23-04-2018 02:29:27
พึ่งตามอ่านถึงตอนล่าสุด อ่านแล้วรู้สึกเครียดแทนจื่อฟางเลยค่ะ แต่เครียดได้ไม่นานพี่แกก็ตบมุกจนได้ แอบอยากรู้ว่าจิ้งเฟยจะเป็นยังไงบ้างเหมือนกัน รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 04-05-2018 20:37:49
คอยอยู่ตรงนี้ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 04-05-2018 20:41:26
 เค้ายังรออยู่นะ :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 05-05-2018 08:41:49
ยังรออยู่น้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Thunderyong ที่ 11-06-2018 00:58:33
 :katai1: หายไปไหนอ่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-06-2018 19:54:54
รออยู่นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-06-2018 03:53:46
ไม่ชอบอ่านนิยายแนวพีเรียดเลยยิ่งนิยายจีนยิ่งแล้วใหญ่ แต่เรื่องนี้ทำให้ชอบนิยายแนวนี้ขึ้นมาเลย ภาษาอ่านง่ายเข้าใจ เนื้อเรื่องน่าติดตามทุกตอน สนุกมากค่าาาาฮือออ  o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 02-07-2018 15:13:01
เนิ้อเรื่องกำลังเข้มข้น แต่งสนุกมาก รอมาต่อนะคนเขียน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 24-07-2018 15:27:57
 

บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง



ระหว่างทางกลับจวนสกุลเสิ่น ไป๋ผูอวี้บอกว่ามีเรื่องที่ต้องจัดการจึงขอตัวกลับไปก่อน จื่อฟางไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นมีเรื่องต้องจัดการจริง หรือเป็นเพราะไม่กล้าสู้หน้าตนกันแน่ จื่อฟางถอนหายใจ ทิ้งตัวพิงผนังรถ หลับตาดื่มด่ำกับความเงียบ แม้ว่าจะยังกังวลเรื่องหลิวอ๋อง แต่ภาพของไป๋ผูอวี้ที่ทำตัวไม่ถูกกลับทำให้จื่อฟางยกยิ้มกับตัวเอง รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปตามปกติ แต่เขากลับรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก รู้สึกแปลกๆจึงลืมตาขึ้น

“ข้าไม่ได้เห็นเจ้ายิ้มนานแล้ว มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ”เสียงคุ้นหูดังอยู่ภายในรถม้าที่เงียบสงัด ทำเอาจื่อฟางสะดุ้งสุดตัว ใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนบุกรุกเข้ามาเขาก็อ้าปากค้าง คนผู้นี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมยังในเวลานี้อีก?

“ฮ่องเต้เจี่ยผิง”จื่อฟางพึมพำเบาๆกับตัวเอง เจ้าตัวคลี่ยิ้มจางเหมือนกำลังสนุกกับอาการตกตะลึงของเขา ไม่ผิดแน่ บุรุษตรงหน้าคือเจ้าแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าชื่อฝู่จวิ้น จื่อฟางโดนต้มเสียเปื่อย แม้ภายในรถม้าจะมีเพียงแสงสลัว แต่เขาก็ยังมองเห็นว่าฮ่องเต้สวมชุดคลุมสีดำยาวเรียบง่ายแต่ก็ปกปิดความสูงศักดิ์ไม่มิด น่ากลัวเกินไปแล้ว คนผู้นี้คิดจะโผล่ก็โผล่มา เขาแทบไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ

ต้องมีอะไรขึ้นกับคนขับรถม้าแน่ บ่าวรับใช้ไม่มีทางปล่อยให้มีคนแปลกหน้าเข้ามา (ไม่นับกรณีของไป๋ผูอวี้)หรือองครักษ์หน้าดุมากฝีมือผู้นั้นเป็นคนจัดการ จื่อฟางเลิกม่านมองออกไปด้านนอกแต่กลับพบว่านี่ไม่ใช่เส้นทางสายเดิมของตรอกซีหมานแต่เป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นตา ฮ่องเต้มักมากจะพาเขาไปที่ใดกัน?

จื่อฟางเหลียวมองฮ่องเต้เจี่ยผิงด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “ฝ่าบาทมาที่นี่ได้อย่างไร”เขาเอ่ยถาม

“ข้ากระโดดขึ้นมาน่ะสิ”เจี่ยผิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร คืนนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะทุกอย่างล้วนเป็นใจ เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ บุรุษหนุ่มขยับตัวเพื่อปรับท่านั่งให้สบาย ยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของเสิ่นจิ้งเฟยเมื่อได้ยินคำตอบของเขา

“ฝ่าบาท...”

“เจ้าไม่แสร้งทำเป็นจำข้าไม่ได้แล้วรึ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงมองมาด้วยแววตาขบขัน จื่อฟางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่พบกันคราวก่อน รอยยิ้มและแววตาของพระองค์คล้ายกับล่วงรู้ว่าเขามีเรื่องปกปิด เด็กหนุ่มรู้สึกว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นจิ้งเฟย ไม่แปลกใจหากฮ่องเต้จะไม่เชื่อเรื่องอาการป่วยที่โกหกไว้ ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงและฮ่องเต้เคยมีความหลังต่อกัน ย่อมต้องรู้จักนิสัยใจคอกันพอสมควร

“ฝ่าบาทต้องการสิ่งใดหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ หรือพระองค์แค่อยากแวะมาทักทายกระหม่อม”จื่อฟางสวมบทบาทของเสิ่นจิ้งเฟย คำพูดรัวเร็วออกมาอย่างลื่นไหล ความทรงจำของร่างนี้ทำให้เขารู้ว่าต้องวางตัวต่อฮ่องเต้อย่างไร เขาจำโทนเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยยามที่พูดกับฮ่องเต้ได้ดี ห่างเหินและแฝงแววเย็นชาโดยไม่กริ่งเกรงต่ออำนาจของเจ้าแผ่นดิน ยิ่งทำให้จื่อฟางสงสัยนักว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

เจี่ยผิงหัวเราะให้กับคำถามของเสิ่นจิ้งเฟย “เจ้าก็ยังคงพูดจาห่างเหินกับข้าเช่นเดิม”ชายหนุ่มพึมพำก่อนพูดต่อ

“ข้าออกมาตรวจตราบ้านเมือง ไม่คิดว่าจะได้พบกับเจ้าที่ตรอกซีหมาน จึงคิดว่าควรแวะทักทายเจ้าเสียหน่อย”เจี่ยผิงกล่าวช้าๆ ในขณะที่มองการเคลื่อนไหวของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาคมปราบราวกับนกอินทรีย์ที่จับจ้องเหยื่อ จื่อฟางขนลุกเกรียว เก็บซ่อนสีหน้าที่แท้จริงไว้ แม้ว่าหัวใจจะเต้นผิดจังหวะเมื่อได้ยินคำว่า‘ตรวจตราบ้านเมือง’หรือจะเกี่ยวข้องกับการที่หลิวอ๋องออกมาพบปะกับเสิ่นจิ้งเฟยในคืนนี้ เรื่องของหลิวอ๋องฮ่องเต้เจี่ยผิงระแคะระคายมากแค่ไหน แถมยังบอกว่าเห็นเขาที่ตรอกซีหมานอีก หรือฮ่องเต้ต้องการหยั่งเชิงตน

 “ช่างบังเอิญยิ่งนัก”จื่อฟางพึมพำ บรรยากาศระหว่างเขาและฮ่องเต้ไม่ได้กดดันตึงเครียด เพราะอีกฝ่ายไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่   

“ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย ว่าอย่างไร มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือเจ้าถึงได้ยิ้มไม่หยุด หาได้ยากนัก”เมื่อได้ยินคำถามของฮ่องเต้เจี่ยผิง จื่อฟางก็อดสงสัยไม่ได้ ฮ่องเต้คิดจะใช้โอกาสนี้ตีสนิทเสิ่นจิ้งเฟยหรือ พูดจาราวกับสนิทสนม ทั้งที่ความจริงแล้วเสิ่นจิ้งเฟยไม่ชอบหน้าชายผู้นี้ 

“ข้าเพียงมีความสุขที่ได้พบเจอสหาย”

“อ้า เช่นนี้เอง ข้าก็เช่นกัน ข้ามีความสุขที่ได้พบหน้าเจ้า”ฮ่องเต้กล่าวหยอกล้อ จื่อฟางปั้นหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่มีทางหลงกลแน่ ฮ่องเต้มีสนมมากมาย ไหนยังชายงามที่คัดเลือกมาอย่างดีจากในและนอกแคว้น ยังจะมาสนใจเสิ่นจิ้งเฟยอีกหรือ อารมณ์ขุ่นเคืองเบาบางที่ก่อตัวขึ้นทำให้จื่อฟางเบนสายตาไปทางอื่น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยได้ทั้งๆที่เขาเป็นเจ้าของร่างนี้ ความผิดหวังและเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟยดูเหมือนจะมีผลกระทบต่อจื่อฟาง บางทีเศษเสี้ยวของเสิ่นจิ้งเฟยอาจจะหลงเหลืออยู่ในร่างนี้กระมัง เขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย มันทำให้เขาไม่สบายตัว

ภายในรถม้าตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงเคลื่อนตัวของล้อรถเท่านั้น ทั้งฮ่องเต้และจื่อฟางต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เจี่ยผิงกอดอกนึกไปถึงคำทำนายของนักพรตชรา นักพรตหลินเป็นสหายของฮ่องเต้องค์ก่อน เขาเองก็คุ้นเคยและได้ยินชื่อเสียงของท่านนักพรตดี เจี่ยผิงจึงเคารพนับถือท่านนักพรตเสมือนญาติผู้ใหญ่ เขาจำได้ว่าเรียกตัวเสิ่นจิ้งเฟยเข้าวังหลวงเพื่อมาบรรเลงกู่ฉิน และก็เป็นวันที่นักพรตหลินได้พบกับเสิ่นจิ้งเฟยเป็นครั้งแรก

‘ฝ่าบาท เด็กหนุ่มรูปงามผู้นั้นมีดวงชะตาข้องเกี่ยวกับท่าน’

‘มิใช่ว่าเห็นได้ชัดอยู่แล้วรึ’

นักพรตหลินมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายปริศนา ‘สิ่งที่กระหม่อมจะกล่าวต่อจากนี้ ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องเชื่อกระหม่อม แต่ในวันข้างหน้าชะตาของเด็กผู้นั้นจะแปรผัน เขาเป็นได้ทั้งศัตรูหรือกัลยานิมิตรของท่าน’นักพรตชราหยุดครู่หนึ่ง แววตาที่ผ่านโลกมานักต่อนักมองตรงมาที่เจี่ยผิง

‘ทั้งท่านและเด็กคนนั้นไม่สามารถหลีกหนีโชคชะตาได้พ้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดหรือเป็นผู้ใดก็ตาม อีกไม่นานจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น วิญญาณของเขาจะมิใช่ของเขา กายเนื้อเป็นเพียงกายเนื้อ’เจี่ยผิงไม่เข้าใจในสิ่งที่นักพรตหลินกล่าวนัก

‘ฝ่าบาท หากวันเวลานั้นมาถึงขอจงจำไว้ว่ากายเนื้อนั้นมิสำคัญ แต่เป็นจิตวิญญาณต่างหากเล่า…’


เจี่ยผิงเก็บคำทำนายของท่านนักพรตมาไตร่ตรอง เขาเป็นถึงโอรสสวรรค์จะเชื่อคำผู้อื่นโดยไม่ไตร่ตรองได้อย่างไร แต่คนผู้นี้เป็นนักพรตศักดิ์สิทธิ์ เขาเคยทำนายว่าเจี่ยผิงจะได้ครองบัลลังก์มังกรแม้ว่าในขณะนั้นองค์ชายใหญ่จะเป็นองค์รัชทายาท แต่ช่างเถิด เขาเป็นฮ่องเต้ที่ถูกกล่าวขานว่ามีความคิดที่แปลกประหลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แปลกหากครานี้เจี่ยผิงจะปักใจเชื่อ แต่ยังมีเหตุผลอีกประการที่ทำให้เขาเชื่อคำทำนายของนักพรตหลิน ฮ่องเต้คลี่ยิ้มปริศนาก่อนปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ

กายเนื้อมิสำคัญงั้นหรือ เจี่ยผิงหัวเราะอยู่ในใจ เขาไม่สนว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเปลี่ยนไปเพียงไหน จะเป็นคนเดิมหรือไม่ เขาเพียงต้องการคุณชายรูปงามผู้นี้เท่านั้น ขอแค่ได้มาครอบครองก็พอแล้วมิใช่หรือ

จื่อฟางทอดสายตาออกไปนอกรถ ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ฮ่องเต้อมาที่นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคงไม่ใช่แค่อยากมาทักทายอย่างที่กล่าวแน่ โชคชะตาเล่นตลกกับเขามากเกินไปแล้ว ทั้งหลี่ฮุ่ยจือ ไป๋ผูอวี้ หลิวอ๋อง ฮ่องเต้ ยังมีตัวละครไหนอีกที่ยังไม่ได้ออกมา การตายของท่านปู่ของเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังไม่แน่ชัด หลิวอ๋องบอกว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ท่านอ๋องก็ไม่ใช่คนดี พูดถึงเรื่องหลิวอ๋อง จื่อฟางก็ไม่แน่ใจ ฮ่องเต้อยู่ข้างเขาตรงนี้แล้ว สมควรบอกดีหรือไม่

‘บ้าไปแล้ว’จื่อฟางขบริมฝีปาก ถึงฮ่องเต้เจี่ยผิงจะชอบเสิ่นจิ้งเฟย แต่เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไม่มีอะไรมารับประกันว่าฮ่องเต้จะเชื่อหรือไว้ใจ หากพระองค์ทรงกริ้วเล่า สกุลเสิ่นมีอันได้ล่มจมเพราะความเขลาของจื่อฟางแน่

ระหว่างที่เขากำลังคิดหนัก ฮ่องเต้ก็เอ่ยทำลายความเงียบ “ข้ามีเรื่องอยากสนทนากับเจ้า”

“สนทนากับกระหม่อม?”ฝามือของจื่อฟางเริ่มชื้นเหงื่อ

เจี่ยผิงเพียงพยักหน้า ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟย “ข้าบอกเจ้าไปหลายคราแล้ว วางตัวตามสบายเถอะ ข้ายังเป็นพี่ฝู่จวิ้นของเจ้าเสมอ”ฮ่องเต้ไม่ได้ล้อเล่น จื่อฟางสัมผัสได้ว่าบรรยากาศที่เคยผ่อนคลายมลายหายไป สีหน้าอ่านไม่ออกของบุรุษมากอำนาจทำให้คิดว่าเรื่องที่ต้องการสนทนาเป็นเรื่องสำคัญ เขาแปลกใจที่ตัวเองใจเย็นกว่าที่คิด จื่อฟางนั่งนับเลขไปเรื่อยๆจนกระทั่งรถม้าหยุดลงช้าๆ

เจี่ยผิงเผยรอยยิ้มปริศนาก่อนก้าวลงจากรถม้าอย่างเงียบเชียบ ทิ้งกลิ่นหอมจางไว้เบื้องหลัง จื่อฟางก้าวตามมาช้า ๆ ทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย เมื่อลงมาได้ก็กวาดตามองไปรอบๆ จำได้ว่าเคยนั่งรถม้าสำรวจผ่านบริเวณนี้มาก่อน ระยะทางห่างจากตรอกซีหมานมาพอสมควร ทั้งยังเป็นเขตห่างไกลจากบ้านคน มีศาลาหลังเล็กอยู่ใกล้กับแนวป่าไผ่ที่เห็นเป็นแนวดำตะคุ่ม จื่อฟางมองปราดไปที่รถม้า องครักษ์หน้าดุคนเดิมกำลังยืนลูบหัวม้าสีดำด้วยสีหน้าสงบ ร่างไม่ได้สติของคนขับรถม้าสกุลเสิ่นนอนฟุบอยู่ที่แท่นนั่ง

เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ จื่อฟางเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวเต็มผืนฟ้า เขาออกมาจากหอผูเยว่เป็นเวลาเท่าใดแล้ว หยางชวีจะสังเกตว่าเขาหายไปนานกว่าปกติหรือไม่ จื่อฟางได้แต่เดินตามฮ่องเต้อย่างเงียบๆ ร่างตรงหน้าหยุดยืนเอามือไพล่หลัง สายตาจับจ้องอยู่ที่เนินดินเล็กๆมีหินศิลาก้อนหนึ่งฝังอยู่คล้ายสุสาน จื่อฟางขนลุกซู่ ฮ่องเต้พาเขามาที่นี่ทำไม   

“เจ้าจำที่แห่งนี้ได้หรือไม่”เจี่ยผิงไม่ได้คาดหวังคำตอบ เขาเพียงนึกถึงความหลังเท่านั้น บุรุษหนุ่มหันมองเสิ่นจิ้งเฟยที่ทำสีหน้าประหลาด คิ้วเรียวขมวดมุ่น แววตาคล้ายเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง

ตึกตัก ตึกตัก

ที่แห่งนี้หรือ จื่อฟางใจเต้นระรัว ความรู้สึกเดียวกับเมื่อครั้งที่ได้เห็นความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟย

‘จิ้งเฟย เจ้าอย่าเสียใจไปเลย หากเจ้าอยากได้กระต่ายตัวใหม่ ข้าจะไปหามาให้’เจี่ยผิงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบเสิ่นจิ้งเฟยวัยสิบขวบ ร่างผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันสั่นน้อยๆ เขาคุกเข่าอยู่ข้างหลุมที่ถูกขุดมาฝังศพกระต่ายสีขาว เด็กน้อยใช้แขนเสื้อคลุมเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าหมองหม่น

‘ไม่เหมือนกัน ข้าไม่อยากได้กระต่ายตัวใหม่ ข้าต้องการแค่ฮ่าวฮ่าวเท่านั้น’เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ตวัดสายตาบึ้งตึงมองเจี่ยผิง

‘ข้าเข้าใจ แต่ฮ่าวฮ่าวกลับมาไม่ได้แล้ว เจ้าหยุดร้องไห้เถอะ’เจี่ยผิงถอนหายใจก่อนยกมือลูบหัวเสิ่นจิ้งเฟยเบาๆ

‘เหมือนท่านแม่ใช่หรือไม่’เสิ่นจิ้งเฟยรำพึง สายตาหลุบต่ำมองร่างแน่นิ่งของกระต่ายสีขาวในหลุม เจี่ยผิงนั่งลงข้างๆร่างเล็ก

‘ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว ท่านแม่ของเจ้าไม่ได้อยากทิ้งเจ้าไป มนุษย์ทุกคนล้วนพบจุดจบเช่นนี้’เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

‘พี่ฝู่จวิ้นก็ด้วยหรือ’เสิ่นจิ้งเฟยเงยหน้ามอง แววตาเป็นระลอกคลื่นหวาดหวั่น

‘อืม ไม่มีผู้ใดหนีพ้น’เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ สีหน้าคล้ายกับเจ็บปวด

‘แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ายังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้า สักวันข้าจะพาเจ้าไปอยู่ด้วย ดีหรือไม่’นัยน์ตาของเจี่ยผิงทอประกายเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง เสิ่นจิ้งเฟยชะงักไปเล็กน้อย

‘เจ้าไม่ชอบจวนสกุลเสิ่นไม่ใช่หรือ หากไม่ชอบข้าก็จะพาเจ้าออกมา บ้านข้าสะดวกสบายมีให้เจ้ากินได้ทั้งชีวิต หากเจ้าโตกว่านี้ ข้าจะพาเจ้าไปแน่นอน ข้ากล่าวแล้วไม่คืนคำ’เจี่ยผิงกล่าวเสียงหนักแน่น เสิ่นจิ้งเฟยเลิกคิ้วสีหน้าคล้ายไม่เชื่อนัก

‘ท่านแน่ใจหรือ ถ้าหากท่านพ่อ…’

‘ข้ากลัวเขาที่ไหน’เจี่ยผิงหัวเราะเสียงใส ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนจะปรากฏแววดูถูก เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้ว ประกายไม่พอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าเล็กๆ

‘มีแต่ผู้คนเกรงกลัวพ่อข้า ไม่มีผู้ใดไม่กลัวสกุลเสิ่น’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวอย่างไม่พอใจ ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น เจี่ยผิงยกมือกอดอก ผงกศรีษะช้าๆ แววตาฉายแววขบขัน เสิ่นจิ้งเฟยก้มมองกระต่ายในหลุม อารมณ์เสียใจมลายหายไปสิ้น เขาหยิบดินมาหนึ่งกำมือก่อนปาใส่เจี่ยผิง

‘ข้าไม่ไปกับท่านหรอก’

“เสิ่นจิ้งเฟย”เจี่ยผิงเรียกเมื่อเห็นเสิ่นจิ้งเฟยยืนนิ่งงันไปนานคล้ายกับไม่ได้ยินที่เขาเอ่ยถาม จื่อฟางกระพริบตา เสียงหัวเราะของฮ่องเต้ในวัยหนุ่มยังคงติดหู ช่างต่างกับบุรุษตรงหน้าเหลือเกิน ถึงจะมีรอยยิ้มเป็นมิตรแต่ก็เหมือนสวมหน้ากาก ความทรงจำเมื่อครู่ทำให้จื่อฟางรู้สึกแปลกพิกล ฮ่องเต้คิดงาบเสิ่นจิ้งเฟยตั้งแต่เด็กแล้ว เด็กที่โดดเดี่ยวอย่างเสิ่นจิ้งเฟยคงมองฮ่องเต้เจี่ยผิงเป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น แถมอายุก็ห่างกันเกือบสิบปี…น่ากลัวชะมัด

“ท่านว่าอะไรนะ”เขาแสร้งทำสีหน้าปลอดโปร่ง

“ข้าถามว่าเจ้าจำที่แห่งนี้ได้หรือไม่”

“จำไม่ได้”จื่อฟางเลือกโกหก หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงตอบเช่นนี้เหมือนกันกระมัง ฮ่องเต้เจี่ยผิงไหวไหล่ก่อนเปลี่ยนมาใช้สีหน้าจริงจัง สายลมพัดเอื่อยๆ พัดพากลิ่นหอมจางจากร่างตรงหน้ามาอีกระลอก

“ข้าอยากคุยเรื่องหลิวอ๋อง”เจี่ยผิงเข้าเรื่องอย่างไม่เสียเวลา เสิ่นจิ้งเฟยยังคงท่าทีเช่นเดิมได้อย่างน่าชื่นชม

“หลิวอ๋อง?ฝ่าบาทอยากคุยเรื่องใดหรือ”จื่อฟางย้อนถามเสียงใสซื่อ เขาแปลกใจอยู่บ้างที่ฮ่องเต้กล่าวออกมาตรงๆเช่นนี้

“ข้าจะไม่อ้อมค้อม ข้าทราบเรื่องเจ้ากับหลิวอ๋องมาสักพักแล้ว คืนนี้เป็นคืนที่เจ้ากับเขาลอบพบกันที่หอผูเยว่ หึ คงคิดว่าหลุดรอดสายตาของข้ากระมัง”เจี่ยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ อากาศรอบตัวคล้ายกับหยุดนิ่ง ความกดดันอันน่ากลัวทำให้จื่อฟางเหงื่อไหลซึม แววตาที่อ่านไม่ออกของฮ่องเต้พานให้สั่นสะท้านอยู่ลึกๆ

“สมกับเป็นฝ่าบาท ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าท่านต้องระแคะระคาย”จื่อฟางคิดว่าตัวเองแสดงละครได้แนบเนียนทีเดียว เขาแสร้งทำเป็นเยือกเย็นจนกระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงหยิบมีดสั้นออกมา

“ข้ารู้ว่าเจี่ยซินไม่ไว้ใจข้า และข้าก็ไม่ไว้ใจเขา”เจี่ยผิงเอ่ยช้าๆ สาวเท้าเข้ามากาจื่อฟางที่บัดนี้ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เรียบร้อยแล้วแต่เขาไม่ได้ขยับหนี

“และข้าไม่ไว้ใจเจ้า”มีดสั้นชี้ตรงมาที่ร่างของเขา 

“ฝ่าบาทจะฆ่าข้าหรือ”จื่อฟางทำใจแข็งกล่าวเสียงเรียบ ฮ่องเต้บอกว่าต้องการสนทนา คงไม่คิดฆ่าเขาทิ้งหรอกกระมัง จากหางตาเขามองเห็นองครักษ์ประจำตัวฮ่องเต้ยืนมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ 

“ฆ่าเจ้า?จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”ฮ่องเต้เอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับลดมีดลง “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ไว้ใจ แต่ข้ายังเห็นว่าเจ้ายังมีประโยชน์ ร่วมมือกับข้า หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า”ปฏิกิริยาของเสิ่นจิ้งเฟยน่าชมกว่าที่เจี่ยผิงคิดไว้ ร่างตรงหน้ามองมาที่เขาด้วยสีหน้าสับสนงุนงงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

“ว่าอย่างไร”เจี่ยผิงหลุดหัวเราะกับท่าทางโง่งมของอีกฝ่ายซึ่งเขาไม่ได้เห็นนานแล้ว เจี่ยผิงไม่ใช่คนโง่ แต่เขามีเหตุผลที่เลือกใช้วิธีนี้ และเขารู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยในยามนี้ต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน

จื่อฟางต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะประมวลผลได้ เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่ เหตุใดฮ่องเต้ถึงเอ่ยเช่นนี้ เขาคือเสิ่นจิ้งเฟยที่ร่วมมือก่อกบฏกับหลิวอ๋อง ฮ่องเต้กล้าไว้ใจเสิ่นจิ้งเฟยง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หรือหลงรูปงามๆจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว

“ข้าไม่เข้าใจ”จื่อฟางเอ่ยออกมาในที่สุด

“เจ้าเพียงตอบว่าจะร่วมมือหรือไม่เท่านั้นก็พอ ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก เจ้าอาจหลงผิดไปเพราะคำโป้ปดมดเท็จของหลิวอ๋อง หากเจ้าร่วมมือเป็นสายสืบให้ข้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าเจ้าเคยคิดก่อกบฏ ดีหรือไม่”ข้อเสนอของฮ่องเต้ยิ่งฟังก็ยิงเหลือเชื่อเข้าไปทุกที

จื่อฟางสบตาอีกฝ่าย เขาต้องการความจริง มีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ด้วยหรือ เขาไม่รู้จักฮ่องเต้เจี่ยผิงแต่คนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงคงไม่มีทางยอมรับข้อเสนอนี้เพราะเจ้านั่นมีเรื่องแค้นใจกับฮ่องเต้ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องท่านปู่ที่ตายไปอย่างปริศนา เขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย เขาคือจื่อฟางที่ต้องการมีชีวิตอยู่ เรื่องซับซ้อนที่เกี่ยวโยงถึงสกุลเสิ่นนับว่าเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเขา     

“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้ารู้ว่ายามนี้เจ้า…ไม่เป็นตัวของตัวเอง”เจี่ยผิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจช้าถึงเพียงนี้จึงกล่าวเสริม “เสิ่นจิ้งเฟย ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร นั่นไม่สำคัญ ข้าเพียงต้องการตัวเจ้าเท่านั้น”

จื่อฟางพินิจมองฮ่องเต้ ข้าเพียงต้องการตัวเจ้าเท่านั้น พูดราวกับเห็นเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเพียงของสวยงามที่ต้องมีในครอบครอง คงเป็นเรื่องจริงที่ฮ่องเต้ชอบชายงาม ไม่แปลกที่อีกฝ่ายต้องการเสิ่นจิ้งเฟยถึงเพียงนี้  ความรู้สึกโกรธเบาบางที่ก่อตัวขึ้นเป็นของตนหรือเจ้าของร่างคนเก่ากันแน่ตอนนี้เขาแยกไม่ออกนัก จื่อฟางพอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้านั่นเสียแล้ว 

“หากท่านสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายสกุลเสิ่น ข้าก็ตกลง”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาคมปราบอยู่นาน 

“ข้าไม่เคยทำร้ายสกุลเสิ่น”เจี่ยผิงพลันรู้สึกถึงอารมณ์โกรธของตัวเอง บุรุษหนุ่มสะบัดชายเสื้อด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เรื่องนี้เอ่ยถึงทีไรเป็นต้องหงุดหงิดทุกครา จื่อฟางเพียงยืนรอคอยคำตอบเงียบๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังต้องหาทางพิสูจน์

“เจ้าคิดว่าต่อรองกับข้าได้หรือ จิ้งเฟย”

“ข้าเพียงเสี่ยงดวงดูเท่านั้น”จื่อฟางยังคงรอคอยอย่างสงบนิ่ง

ฮ่องเต้หนุ่มชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ว่าสิ่งที่ตนได้มาจะคุ้มหรือไม่ สุดท้ายเขาก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสกุลเสิ่น งานของเจ้าไม่มีอะไรมาก เพียงแค่รายงานความเคลื่อนไหวของหลิวอ๋องให้องครักษ์ของข้าทุกครั้ง ข้าจะส่งมือดีมาเฝ้าระวังให้เจ้าอีกแรง”

 “ข้าจะทำสุดความสามารถ”แรงหนักอึ้งบนบ่าคล้ายกับถูกยกออกไป หากร่วมมือกับฮ่องเต้ จื่อฟางก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง

“ยื่นมือออกมา”เจี่ยผิงเอ่ย แต่เขาไม่รอคำตอบ คว้าข้อมือของเสิ่นจิ้งเฟยพาเดินไปใกล้หลุมฝังศพกระต่าย

“ฝ่าบาท…ท่านทำสิ่งใด”จื่อฟางมองฮ่องเต้ถกแขนเสื้อของตนขึ้น ข้างเดียวกับที่หลิวอ๋องทิ้งรอยกรีดไว้ เจี่ยผิงใช้มือลูบเบาๆ แววตาล้ำลึกอ่านไม่ออก

“คืนนี้ข้ากับเจ้า กรีดเลือดสาบานไม่คิดทรยศต่อกัน”ฮ่องเต้เคลื่อนไหวว่องไวใช้มีดสั้นกรีดข้อมือเขาทันที อาการเจ็บแปลบทำให้เขาขบฟันแน่น เลือดสีสดไหลซึมออกมาจากรอยกรีดหยดลงเป็นดวงเล็กๆบนแผ่นศิลา

ฮ่องเต้ยื่นมีดสั้นมาตรงหน้าพร้อมกับยื่นข้อมือข้างขวาออกมา “เจ้ากรีดให้ข้า”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงบ้าไปแล้วหรือ!จื่อฟางรับมีดมาด้วยมือที่อ่อนแรง เขามองเห็นองครักษ์ขยับตัว แม้จะยืนอยู่ที่เดิม แต่เขามั่นใจว่าร่างนั้นเตรียมพร้อมพุ่งมาหักคอได้ทุกเมื่อหากคิดตุกติกทำร้ายเจ้าแผ่นดิน

“ข้าทำไม่ได้”จื่อฟางไม่กล้า จะให้กรีดแขนคนน่ะเหรอ ทั้งยังเป็นฮ่องเต้อีก เขาทำไม่ได้จริงๆ

เจี่ยผิงมองเห็นใบหน้าหมดจดมีแววหนักใจฉายชัดจึงรวบจับมือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนใช้แรงบังคับจนปลายมีดกรีดผ่านผิวหนังราวหยกเนื้อดีของตนช้า ๆ ข่มกลั้นความเจ็บแปลบที่ชำแรกผ่านผิวกาย มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเมื่อมองเห็ยคุณชายรูปงามมีสีหน้าตื่นตกใจ

“ข้ากับเจ้ายึดมั่นสัญญามิคิดหักหลัง”บุรุษหนุ่มกล่าวช้า ๆ จื่อฟางจึงกล่าวตามอย่างคนเลื่อนลอย ฮ่องเต้ผู้นี้เป็นคนประหลาดนัก เขามองหยดเลือดของเจ้าแผ่นดินไหลลงบนแผ่นศิลาปะปนไปกับหยดเลือดของตนก็รู้สึกวูบไหว หยดเลือดส่องเป็นประกายล้อแสงจันทร์  จื่อฟางรู้สึกเจ็บแปลบในอกจึงเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า

‘เสิ่นจิ้งเฟย ข้าขอโทษจริงๆที่ต้องละทิ้งเรื่องเคืองแค้นระหว่างเจ้ากับฮ่องเต้’

เด็กหนุ่มถอนหายใจละสายตามองใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุของบุรุษข้างกาย

‘ไร้ที่ติ’จื่อฟางคิดสงสัยอยู่ในใจว่าสีหน้าที่แท้จริงของฮ่องเต้จะเป็นเช่นเดียวกับในความทรงจำนั่นหรือไม่ เขาอาจจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป เพราะฮ่องเต้หันมามองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย

“ข้าพาเจ้าออกมาเสียดึก ควรส่งเจ้ากลับจวนเสียที”เจี่ยผิงกล่าวเสียงชื่นมื่นราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับจื่อฟาง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าการพบเจอกับฮ่องเต้จะลงเอยเช่นนี้ เขาลูบรอยแผลที่เกิดจากปลายมีดแหลมคมอย่างครุ่นคิด พี่น้องแซ่เจี่ยร้ายกาจพอกันทั้งคู่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งองครักษ์ติดตามเขามาสองคน จื่อฟางแน่ใจว่านอกจากทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อกับฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองคนยังทำหน้าที่จับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาด้วย เท่ากับว่าตอนนี้จื่อฟางอยู่ใต้การควบคุมของฮ่องเต้ เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าเป็นกบฏ


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 24-07-2018 15:29:22
 

กว่าจะกลับถึงจวนสกุลเสิ่นก็เงียบสงัดแล้ว รถม้าเคลื่อนมาหยุดอยู่หน้าจวน องครักษ์ทั้งสองคนก็หายตัวไปโดยไม่กล่าววาจาใด

คนขับรถม้าสะดุ้งตื่นด้วยท่าทางงุนงง “คุณชาย มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ”

“เปล่านี่ ถ้าหากมีก็คงเป็นเจ้าที่เผลอหลับไปครู่หนึ่ง”จื่อฟางตอบระหว่างลงมาจากรถม้า ซ่อนรอยยิ้มขบขันเพราะสีหน้าโง่งมของบ่าวรับใช้

“อ้อ อีกอย่างข้ากับไป๋ผูอวี้มิใช่คนรักกัน”เขาเอ่ยเสริมเมื่อนึกขึ้นได้

“แต่ข้าน้อยเห็น…”คนขับรถม้าเอ่ยแย้งเสียงอ่อน

เด็กหนุ่มปรายตามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดเด็ดขาด โดยเฉพาะท่านพ่อ เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยจะปิดปากเงียบ….”เจ้าตัวรับคำด้วยสีหน้าตื่นๆ

“ดี ว่าแต่เจ้าชื่อแซ่อะไร”เผื่อวันหลังเขาจะได้เรียกใช้อีก เด็กหนุ่มลูบคลำเสื้อคลุมเพื่อหาถุงใส่เงิน

“ข้าน้อยนามว่าหนานอิงขอรับ”

“หากมีเรื่อง ข้าจะเรียกใช้เจ้า”จื่อฟางหยิบพวงเหรียญเงินมานับ รู้สึกว่าวุ่นวายจึงส่งไปให้ทั้งพวง 

“ข้าน้อยยินดีรับใช้คุณชายขอรับ”หนานอิงกระซิบด้วยท่าทางตื้นตัน จื่อฟางยิ้มก่อนหมุนตัวเข้าไปในจวนอย่างเงียบเชียบ เขาเดินอย่างเชื่องช้า อาการเหนื่อยล้าจากความกดดันเริ่มแผลงฤทธิ์ ภายในจวนจุดโคมสว่างแต่บรรยากาศเงียบสงัดบ่งบอกว่าผู้คนในจวนต่างหลับไหล จื่อฟางรีบตรงดิ่งไปที่เรือนของตนเองทันที

จางต้าและหยางชวียืนรออยู่ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย พอเห็นร่างของผู้เป็นนายโผล่มา จางต้าก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที หยางชวียืนมองเงียบๆ คุณชายเสิ่นมีสีหน้าอ่อนล้า ไปเที่ยวสำราญที่หอผูเยว่ก็ควรจะมีความสุขมิใช่หรือ เหตุใดถึงทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายเช่นนั้น หรือคุณชายใช้กำลังมากไป 

“คุณชายเสิ่น ไฉนท่านกลับช้านัก เห็นหยางชวีกลับมาก่อนท่าน ข้าเป็นห่วงแทบแย่ สาวงามที่หอผูเยว่ ทำให้คุณชายไม่อยากกลับเรือนเชียวหรือ”จางต้าถูกทิ้งอยู่ที่จวนเอ่ยหยอกล้อ รู้สึกอิจฉาหยางชวีอยู่บ้างที่ได้ออกไปเที่ยวสำราญ เพราะเขาได้กลิ่นแป้งหอมของหญิงคณิกาจากร่างอีกฝ่าย

“ข้าหาความสุขเพลินไปหน่อย”จื่อฟางโกหก แสร้งทำดวงตาเป็นประกายปลิ้นปล้อน ทั้งจางต้าและหยางชวีไม่รู้ว่าการที่เขาไปหอผูเยว่คือการลอบพบกับหลิวอ๋อง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาบอกความจริง

จื่อฟางก้าวเข้าไปในห้องก็นึกอยากทิ้งตัวนอนเสียเดี๋ยวนี้

“คุณชายยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะขอรับ”จางต้าส่งเสียงแย้งเมื่อเห็นคุณชายเดินตัวปลิวไปที่เตียงนอน ไม่สนแม้กระทั่งถอดชุดออก

“ข้าเหนื่อย”จื่อฟางล้มตัวนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงแข็งๆ

“คุณชาย…”

“ครอกกก”

“คุณชายเสิ่น ท่านยังไม่ได้เดินลมปราณ”หยางชวีเอ่ยเตือนเสียงนิ่ง  จื่อฟางลืมตาอีกครั้งเห็นว่าร่างสูงใหญ่ของผู้ติดตามมองมาที่ตนด้วยสายตาตำหนิ เขาถอนหายใจ จัดแจงหันหลังให้เจ้าคนหน้าตาย

“ข้าออกมาไม่เจอเจ้า”เขาพึมพำในขณะที่หยางชวีช่วยเดินลมปราณให้

“ข้าน้อยกลับมาไม่เจอคุณชายเช่นกัน”หยางชวีเพียงตอบกลับ

“ข้าออกไปกับไป๋ผูอวี้”จื่อฟางบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เจ้าตัวส่งเสียงอืมในลำคอ

“เขาได้บอกอะไรท่านหรือไม่”

“บอกว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับซูเหลียนฮวา”

“ข้ากับนางเพียงแค่ประลองฝีมือกันเท่านั้น”

“อ้อ…”

“ท่านไม่เชื่อ?”หยางชวีลดฝามือออกจากแผ่นหลังของคุณชาย  จื่อฟางไหวไหล่ เรื่องนี้ไม่ใช่ธุระอะไรของเขาเสียหน่อย เขามีเรื่องให้ปวดหัวมากมายพออยู่แล้ว เขาขยับเสื้อคลุม บิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าออกจากร่างกาย

“ตอนข้าออกไปด้านนอก ท่านพ่อได้ซักถามเจ้าบ้างหรือเปล่า”เขาหันไปถามจางต้าที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ

“เอ่อ ขอรับ นายท่านใหญ่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่คุณชายกลับไปเที่ยวที่หอนางโลมอีกแล้ว”จางต้าพึมพำตอบ จื่อฟางถอนหายใจ นั่นสิ เขาบอกไปแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ยังกลับไปทำตัวเช่นเดิม เขาต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เก่งด้านดนตรีเหมือนเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางก็จำเป็นต้องนำข้อเด่นของตัวเองออกมา วาดรูป? จื่อฟางรู้สึกท้อใจเล็กน้อย 

เด็กหนุ่มยกมือตบหน้าผาก เดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด บ่าวรับใช้ทั้งสองคนมองการเคลื่อนไหวของคุณชายด้วยสายตามึนงง คุณชายของพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดอีกหรือ

“พวกเจ้าว่าชีวิตของข้าน่าเบื่อหน่ายหรือไม่”

“ไม่เลยขอรับ”จางต้ารีบตอบ ต่างจากหยางชวีที่ตอบไปตามตรง “ขอรับ”

จื่อฟางมองทั้งสองคนก่อนส่งเสียงหัวเราะ ตารางประจำวันของเขามีเพียงแค่ เรียน อ่านหนังสือ เที่ยวเล่น อ้อ มีหน้าที่สายสืบเพิ่มมาอีกประการ

“ข้าอยากทำการค้า”จื่อฟางพึมพำ 

“การค้า?คุณชายเสิ่น…ท่านคิดว่านายท่านจะยอมหรือ”จางต้าหรี่ตามองเสิ่นจิ้งเฟยอย่างประหลาดใจ

“ท่านเป็นบุตรขุนนาง นายท่านคงอยากเห็นคุณชายรับราชการมากกว่า”หยางชวีเอ่ยตอบ การสอบระดับอำเภอใกล้เข้ามาแล้ว เขาก้มมองฝามือเรียวของเสิ่นจิ้งเฟย เขาเล่นกู่เจิงไม่ได้ นึกถึงคำพูดของไป๋ผูอวี้แล้วหนักใจเหลือเกิน ฝีมือด้านดนตรีของเสิ่นจิ้งเฟยคงยอดเยี่ยม ไป๋ผูอวี้ถึงเอาแต่กล่าวถึง จื่อฟางเม้มปากเมื่อความรู้สึกบางอย่างก่อตัว เขาอยากฝึกเล่นกู่เจิง แต่ผู้ใดจะมาสอนเล่า 

ซูเหลียนฮวา

ชื่อของนางผุดเข้ามาในหัว ยามที่พบกันครั้งแรก นางบรรเลงกู่เจิงได้ไร้ที่ติ แต่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นความคิดที่ดีหรือไม่

สุดท้ายจื่อฟางก็ถอนหายใจ“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ข้าเหนื่อยแล้ว”เขาเดินกลับไปที่เตียงนอน

“คุณชายยังไม่ได้อาบน้ำ….”แต่เด็กหนุ่มอ่อนล้าเกินกว่าจะลุกไปที่ใดแล้ว หยางชวีได้แต่มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นด้วยแววตาครุ่นคิด ส่งสายตาบอกจางต้าให้ล่าถอยไป เขาไม่รู้ว่าคุณชายคิดทำสิ่งใด เรื่องบางเรื่องบ่าวรับใช้เช่นเขาก็ไม่มีสิทธิเอ่ยถาม

หลับไปได้ไม่นาน จื่อฟางฝันประหลาด เป็นความฝันที่ยาวนานคล้ายกับเรื่องจริง ไม่สิ มันคือเรื่องจริง เพราะความฝันที่ว่าเป็นความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟย

เสิ่นจิ้งเฟยนอนอ่านตำราอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย จางต้าบ่าวรับใช้คนสนิทยืนอยู่ตรงหน้าประตู

“ดูท่าว่าเราต้องพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอีกสักคืนขอรับ ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย”จางต้ากล่าว ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยังคงมีสีหน้าไม่ใส่ใจอยู่เช่นเดิม

“แล้วอย่างไร”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยออกมาในที่สุด

“เราจะไปถึงสกุลโหยวช้ากว่าที่คาดไว้น่ะสิขอรับ”เสียงร้อนใจของบ่าวรับใช้ทำให้เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปาก

“ดีเสียอีก ข้าไม่ได้อยากมาเยี่ยมท่านตาเสียหน่อย หากไม่ใช่คำสั่งของท่านพ่อ คิดหรือว่าข้าจะทนลำบากนั่งรถม้าถ่อมาถึงอำเภอถงฉวนเช่นนี้”เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้ว ปิดตำราที่ตนอ่านอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ จางต้าจึงได้แต่หุบปากเงียบ ระหว่างที่เสิ่นจิ้งเฟยเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบจดหมายสองม้วนส่งให้บ่าวรับใช้

“นำจดหมายไปส่งให้ท่านพ่อและท่านตา”เด็กหนุ่มส่งม้วนกระดาษให้กับจางต้า “ข้าอยากแวะเที่ยวเล่นสักสองสามวัน”เจ้าตัวเอ่ยตอบเมื่อมองเห็นสีหน้างุนงงของบ่าวคนสนิท

“แต่ว่าคุณชาย…”จางต้าแย้ง แต่เสิ่นจิ้งเฟยโบกมือไล่อย่างรำคาญใจ “ออกไปได้แล้ว”   

จางต้าได้แต่จำใจออกไปจากห้อง เสิ่นจิ้งเฟยยืนเหม่อลอยจมอยู่กับความคิด ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่นอกประตูจึงส่งเสียงออกไป

“มีอะไรอีก จางต้า!”

แต่เสียงเคลื่อนไหวไม่ใช่เสียงของบ่าวรับใช้ การจู่โจมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเด็กหนุ่มตั้งตัวไม่ทัน เขาหมุนตัวเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกชุดสีดำ ใบหน้าถูกปกปิด ร่างนั้นก้าวประชิดตัวอย่างว่องไว ฝามือพุ่งมาที่หน้าอกของเขา เสิ่นจิ้งเฟยพลิกกายหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่กลับโดนฝามือเข้าที่แขนด้านขวา

“ชะ…”ไม่ทันได้เอ่ยร้อง ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยก็ทรุดกองกับพื้นทันที ผู้บุกรุกยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มตัวมากระซิบใกล้ใบหูของเสิ่นจิ้งเฟย

“นี่เป็นพิษหายาก เจ้าไม่มีทางรอดแน่ พ่อเจ้าก็เช่นกัน เท่านี้สกุลเสิ่นก็จบสิ้นแล้ว”เสียงกระซิบเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย

“จะ เจ้าเป็นผู้ใด…”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามเชื่องช้า เหงื่อผุดบริเวณหน้าผาก คิ้วขมวดมุ่นราวกับกำลังทรมาน ผู้บุกรุกแค่นเสียง ร่างนั้นเพียงยืดตัวขึ้น ก่อนหนีหายไปทางหน้าต่างท่ามกลางสายฝนที่ยังกระหน่ำลงมา เสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในสภาพที่ดูไม่ดีนัก ร่างอ่อนแรงพยายามขยับตัว ส่งเสียงขลุกขลักในลำคอราวกับร้องขอความช่วยเหลือ

เงาร่างสายหนึ่งพุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็นชายแก่ที่ดูเคร่งขรึมทะมัดทะแมง ไว้เคราแพะ สวมชุดตัวยาวสีขาวดูซอมซ่อ ใบหน้าเคร่งขรึมระหว่างที่กวาดตามองร่างที่นอนฟุบอยู่ตรงหน้า ชายแก่ไม่รอช้ารีบนำยาสมุนไพรเม็ดเล็กๆใส่ปากของเสิ่นจิ้งเฟยไปหลายเม็ด

“เวรกรรมๆ หวังว่าจะทันเวลา...”เสียงแหบแห้งไม่คุ้นหูของคนแปลกหน้าสะท้อนอยู่ในห้อง ชายแก่กวาดสายตาสอดส่องไปตามร่างกายของเด็กหนุ่ม

“…ขะ แขน…”เสิ่นจิ้งเฟยพูดอย่างยากลำบาก

“อ้า ดูท่าเป็นพิษทำลายเส้นประสาท”ชายแก่พึมพำ คว้าแขนทั้งสองข้างของเสิ่นจิ้งเฟยมาดู ร่างนั้นถลกชายเสื้อของเด็กหนุ่มดูพบว่าที่ข้อพับแขนข้างขวามีจุดสีแดงบวมเป่งปรากฏอยู่

“จุ๊ ๆ เจ้าไปทำอะไรมาหนอถึงโดนเล่นงานเช่นนี้”ชายแก่พึมพำก่อนจะพลิกร่างของเสิ่นจิ้งเฟยนอนคว่ำ ก่อนวางมือลงบนแผ่นหลังของร่างผอมบางด้วยสีหน้านิ่งสงบ ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านรุนแรงจนน่ากลัว แต่ชายแก่กลับไม่ละมือ เมื่อจังหวะการหายใจของเสิ่นจิ้งเฟยดีขึ้น เขาก็ออกแรงอุ้มร่างอ่อนเปลี้ยของเสิ่นจิ้งเฟยไปวางบนเตียงอย่างเงียบเชียบดุจสายลม 

“เฮ้อ ถึงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวแต่ก็อดไม่ได้ ไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อคราวปู่ของเจ้าอีก ครานั้นข้ามาช้าเกินไป…”เจ้าของเสียงรำพึงกับตนเอง ในขณะที่จับชีพจรของเสิ่นจิ้งเฟยไปด้วย

“ทนอีกสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้น...”เสียงของชายแก่คล้ายอยู่ห่างไกลออกไป ภาพตรงหน้าเริ่มกลายเป็นสีดำพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป….

คราวนี้จื่อฟางมองเห็นเสิ่นจิ้งเฟยแช่อยู่ในถังน้ำร้อนที่กลิ่นฉุนไปด้วยยาสมุนไพร ใบหน้าซีดเซียวราวกับซากศพ ภายในห้องนั้นยังมีชายแก่คนเดิม และจางต้าบ่าวรับใช้ที่นั่งอยู่หลังฉากกั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด 

“ท่านหมอ ท่านแน่ใจนะขอรับว่าคุณชายของข้าป่วยเพราะเป็นไข้หวัดจริงๆ”จางต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน มองตรงไปที่เสิ่นจิ้งเฟยก่อนเลื่อนสายตาไปยังชายแก่ที่กำลังลูบหนวดเคราตรวจหม้อสมุนไพรอยู่ด้านนอก

“แน่ใจสิ เจ้าไม่เห็นหรือว่าฝนตกติดต่อกันมาสองวันแล้ว คุณชายของเจ้าร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมถึงได้มีสภาพเช่นนี้”ชายแก่ตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

“ท่านแน่ใจได้อย่างไร หากคุณชายของข้าเป็นอะไรขึ้นมา…”

“แน่ใจสิ หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปซะ อย่ามายืนขวางหูขวางตาข้า”ชายแก่ตอบอย่างรำคาญใจพร้อมกับโบกมือไล่

“แต่คุณชายของข้ายังดูซีดเซียวอยู่เลย….”

“หุบปาก”เสิ่นจิ้งเฟยโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยอำนาจ จางต้าชะงักไปครู่หนึ่งสีหน้าคล้ายกับมีเรื่องที่อยากพูด

“ข้าไม่เป็นอะไร ออกไปได้แล้ว ข้าจะพักอีกสองสามวัน และก็อย่านำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดล่ะ…”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยเสียงเรียบ รอจนได้ยินเสียงจางต้ารับคำออกไปจากห้อง เสิ่นจิ้งเฟยก็เอนพิงถังน้ำด้วยอาการเหนื่อยหอบ ชายแก่เดินเข้ามาในฉากกั้นพร้อมกับถ้วยยา 

“อาการของเจ้ายังไม่นิ่ง ข้าช่วยฟื้นฟูลมปราณและเส้นชีพจรให้เจ้าได้ แต่ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะใช้กำลังภายในช่วย เดินลมปราณไปตามที่ข้าสอนก็พอ”ชายแก่ประคองถ้วยยาให้เสิ่นจิ้งเฟยดื่มเงียบๆ   

“เหตุใดท่านถึงช่วยข้า… ท่านเป็นอาจารย์ของไป๋ผูอวี้ไม่ใช่หรือ”เสิ่นจิ้งเฟยยังคงกัดฟันพูดต่อแม้ว่าเสียงจะสั่นเครือ

“แล้วอย่างไร”

“ท่านคงได้ยินเรื่องของข้ามาไม่น้อย ท่านผู้เฒ่าหย่งสือ”เสิ่นจิ้งเฟยคลี่รอยยิ้มอ่อนเพลีย มือขาวซีดจับขอบถังน้ำเพื่อพยุงร่างกายอ่อนแอ

“ข้าทำในสิ่งที่สมควรทำ เรื่องของเจ้ากับไป๋ผูอวี้ ไม่เกี่ยวกับข้า”

ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง เสิ่นจิ้งเฟยนั่งหันหน้าเข้าหาหย่งสือ สองมือของคนทั้งคู่ประสานกัน ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยมีเหงื่อไหลท่วม คิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับเจ็บปวด ร่างกายสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ต่างจากหย่งสือที่ยังคงปกติดีเช่นเดิม

“เท่านี้ก็พอ มากไปกว่านี้ร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว”

“แต่ว่า…”

“ทำได้เพียงเท่านี้ พิษที่เจ้าโดนเป็นพิษหายาก…เจ้าคงไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรมากระมัง”หย่งสือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พินิจมองเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา

“…”เสิ่นจิ้งเฟยไม่ตอบ ชายแก่จึงถอนหายใจ เอ่ยกล่าวต่อ

“ถึงจะขจัดพิษไปได้ แต่ร่างกายของเจ้าไม่มีทางเป็นดั่งเดิมได้อีก หากเจ้าไม่อยากพิการ ก็จงฝึกลมปราณไปเรื่อยๆ เมื่อวันที่ลมปราณแข็งแกร่งมากพอ ย่อมมีคนช่วยเจ้าได้”หย่งสือกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย

เสิ่นจิ้งเฟยมุ่นคิ้ว“ท่านหมายถึงผู้ใด...”

“ไป๋ผูอวี้”หย่งสือตอบสั้นๆ มองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายก็คลี่ยิ้ม “หากเจ้าไม่ต้องการก็ไปเสาะหาผู้อื่นแทนก็แล้วกัน”เสิ่นจิ้งเฟยยังคงนั่นนิ่งคล้ายกับไม่ยอมรับ   

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เหมือนที่คนเล่าลือกัน...เจ้าคิดสิ่งใดข้าไม่ล่วงรู้ แต่ปู่เจ้าคงไม่อยากเห็นเจ้าเดินไปในทางที่ผิด”หย่งสือสบตากับเสิ่นจิ้งเฟย ราวกับสามารถมองเด็กหนุ่มได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 

“ผิดหรือถูก ท่านมิใช่คนตัดสิน”เด็กหนุ่มพึมพำ หย่งสือเพียงยิ้มจาง

“ข้าทำได้แค่ตักเตือนเจ้า เรื่องอาการป่วยข้าช่วยได้เพียงเท่านี้ ที่ข้าช่วยเจ้า มิได้คิดอยากนำมาทวงบุญคุณในภายหลัง เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบแทนข้า”

“ถึงอย่างไรท่านก็ช่วยชีวิตข้าไว้…”เสิ่นจิ้งเฟยหยุดพูดสีหน้าคล้ายมีเรื่องอยากถาม

“เจ้ามีสิ่งใดในใจก็กล่าวมา”

“ท่านรู้จักท่านปู่ของข้าหรือ ตอนที่ท่านมาช่วย ข้ายังพอมีสติอยู่บ้าง ข้าได้ยินท่านเอ่ยถึงท่านปู่”

หย่งสือถอนหายใจ“ข้าเคยรู้จัก แต่ไม่ได้สนิทสนม สิ่งที่เจ้าต้องการถามข้าตอบไม่ได้”ชายแก่กล่าวดักทาง เกิดความเงียบอยู่ภายในห้อง

“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากเตือน…”หย่งสือมองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาจริงจัง “อย่านำภัยมาสู่สกุลไป๋”

เสิ่นจิ้งเฟยคลี่ยิ้ม“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่สนใจสกุลไป๋ ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้า แม้ท่านมิคิดทวงบุญคุณแต่ข้าไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน”

จื่อฟางสะดุ้งตื่นด้วยเหงื่อแตกพลั่ก เขากระพริบตา ปรับลมหายใจได้เป็นปกติก็ขยับตัวลุกนั่ง ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยอีกแล้วหรือ เหตุใดวันนี้ถึงเกิดบ่อยนัก หรือร่างกายของเขาอ่อนล้าเกินไป จื่อฟางถอนหายใจ หลับตาลงเพื่อนึกถึงความทรงจำอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกลอบฆ่าด้วยยาพิษแต่รอดตายมาได้เพราะอาจารย์ของไป๋ผูอวี้ เขาสงสัยมาตลอดว่าไป๋ผูอวี้ไปร่ำเรียนวิชามาจากผู้ใด ร่างบางมุ่นคิ้วพยายามนึกภาพคนที่บุกเข้ามาทำร้ายเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใด ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นฝีมือของผู้ใด

จื่อฟางข่มตาหลับอีกครั้ง คืนนั้นเขาวนเวียนอยู่ในความทรงจำเรื่องเดิมของเสิ่นจิ้งเฟยไปถึงรุ่งเช้า





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 24-07-2018 16:48:15
เย่ มาอัพแล้ววววววว เนื้อเรื่องยังสนุกเหมือนเดิมค่ะ แต่ตลค.นี่เริ่มมีปมมาให้คิดเพิ่มตลอด ก็ขออย่างเดียวนะคะ ขอให้ลูกปลอดภัย5555 // ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ ตอนหน้ามาเมื่อไหร่ก็จะรอค่ะ สู้ๆน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 24-07-2018 16:59:01
กรี๊ดดดดด ดีใจจริงๆที่รอเรื่องนี้ อัพแล้วว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ สู้ๆๆไฟๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-07-2018 17:00:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-07-2018 17:41:59
ปลาบปลื้ม ขอให้สุขภาพแข็งแรงไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 24-07-2018 20:23:48
เผยปมทีละนิดทีละนิดแล้ว
ถ้าฮ่องเต้ไม่แอบดูจิตๆ
ใจจริงก็อยากเชียร์ให้เป็นพระเอกอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 24-07-2018 22:19:03
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-07-2018 22:46:35
ปมเริ่มคลายล่ะ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-07-2018 22:51:05
ดีใจ ไรท์มา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ขอให้ไรท์สุขภาพแข็งแรง กลับมาสดใส สดชื่นเร็วไวนะ   :L1: :L1: :L1:

เข้มข้นมากกกกก   :mew1:

จื่อฟางรับรู้เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยตัวเองมากขี้น
เป็นสายลับซ้อนเลย ทั้งของหลิวอ๋อง ทั้งของฮ่องเต้   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
พี่น้องตัวร้าย ตัวแสบทั้งคู่  ชิงไหวชิงพริบน่าดู
ดูเหมือนฮ่องเต้จะรู้อะไรลึกๆของเสิ่นจิ้งเฟยมากเลย
และเหมือนหลงเสน่ห์คนงามจิ้งเฟย ไม่ใช่แค่อยากครอบครองอย่างเดียว
ตามต่อ รอตอนใหม่  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-07-2018 00:11:41
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 25-07-2018 06:10:44
กลับมาแล้ว
จะเป็นยังไงต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-07-2018 10:45:19
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 25-07-2018 12:16:28
เย้​ มาแล้ว​ มารอตลอดเลยค่าา​ สนุกเช่นเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-07-2018 00:58:32
โอ๊ยยยยย เพิ่งได้มาอ่านอ่านรวดเดียวจนถึงล่าสุด บอกได้คำเดียวว่าสนุก สนุกมากกกกกกก เนื้อเรื่องมีให้ลุ้นได้ตลอดเวลาเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkping ที่ 26-07-2018 02:12:25
เพิงเข้ามาอ่านชอบมากเลยยย งือออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-07-2018 09:26:15
ฮือ มาแล้ว มาช้าแต่ขอให้มาาา เรารอได้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-07-2018 00:35:46
น้องคนเก่าดูแล้วเป็นคนฉลาดมาก แต่ก็ทำให้เรื่องมีปมเยอะมากเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 27-07-2018 10:58:09
ดีใจจจจจจจจจจ  รอเสมอนะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง P.11 24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 27-07-2018 18:29:45
ซับซ้อนเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 27-07-2018 20:47:15
 บทสิบสาม: คลื่นลมสงบ

ผ่านไปสามวันหลังจากการพบปะหลิวอ๋องและฮ่องเต้เจี่ยผิง จื่อฟางก็เอาแต่หมกตัวอ่านหนังสือ ฝึกเขียนบทวิพากษ์อย่างตั้งใจราวกับบัณฑิตผู้ใฝ่รู้ สภาพของเขาจึงดูอิดโรยกว่าปกติ ใต้ตาเริ่มคล้ำ เหตุผลสำคัญอีกประการคือความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยที่ย้อนมาทำร้ายเขา จื่อฟางฝันซ้ำๆมาสามวันติดแล้ว เขาเฝ้าฝันวนเวียนอยู่กับวินาทีที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกโจมตีด้วยยาพิษ ยามนอนหลับจึงนอนอย่างกระสับกระส่าย ดิ้นไปมา ปากพึมพำเป็นถ้อยคำที่ไม่ชัดเจน จนจางต้าและหยางชวีต้องเข้ามาปลุกอยู่บ่อยครั้ง

คืนนี้ก็เป็นเช่นเดิม เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นกลางดึก เนื้อตัวเย็นเฉียบ เหงื่อผุดตามหน้าผาก มือยื่นไปข้างหน้าราวกับกำลังไขว่คว้าบางอย่าง อันที่จริงเขาคว้าข้อมือของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเตียง จื่อฟางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่

“ข้าน้อยเองขอรับ”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ ฝามือเย็นชื้นของคุณชายเสิ่นกำรอบข้อมือของเขาแน่นจนบุรุษหนุ่มแปลกใจ ไม่คิดว่าร่างผอมบางของคุณชายจะมีเรี่ยวแรง เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงเสิ่นจิ้งเฟยพึมพำและส่งเสียงร้องคล้ายกับทรมานจึงเข้ามาดู เสิ่นจิ้งเฟยมีอาการเช่นนี้มาสามวันแล้ว เขาได้ยินคุณชายพึมพำว่าช่วยด้วย เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายกันแน่

“หยางชวีหรือ”จื่อฟางกระพริบตาก่อนถอนหายใจเบาๆ เขาปล่อยข้อมือของหยางชวี ขยับลุกนั่งช้า ๆ เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ความทรงจำเรื่องเดิมทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไรก็ไม่รู้ คล้ายกับว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง เขาจึงนั่งเงียบๆทำใจให้สงบครู่หนึ่ง

“คุณชายฝันร้ายอีกแล้ว”หยางชวีเอ่ยเสียงเบาท่ามกลางแสงสลัว แสงจากโคมไฟส่องให้เห็นใบหน้าซีดเผือดกว่าปกติของคุณชายเสิ่น แต่ก็ลบความงดงามอย่างสตรีออกไปไม่ได้ หยางชวีหลุบสายตามองปลายเท้าของตน นึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่สองคนกับคุณชายนานแล้ว เขาไม่ได้รังเกียจ แต่การล้อเล่นคราวนั้นของคุณชายทำให้เขากลัวนัก หยางชวีก็ตอบไม่ได้ว่ากลัวอะไรกันแน่

“ไม่มีอะไรหรอก เจ้ากลับไปนอนเถอะ”จื่อฟางมองหน้าในเงาสลัวของอีกฝ่าย แต่หยางชวีไม่ขยับตัวไปที่ใด เขาจึงลอบถอนใจ เจ้านี่ต้องการคำตอบให้ได้สินะ

“มีสิ่งใดจะถามหรือไม่”เขาเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง

“ความฝันของท่าน…”

จื่อฟางมองร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายอย่างพินิจ หยางชวีเอ่ยเสริม “ข้าได้ยินท่านพึมพำว่าช่วยด้วย ได้ยินคุณชายส่งเสียงทรมาน”หยางชวียังคงมองหน้าเขา ยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง จื่อฟางไม่รู้มาก่อนว่าส่งเสียงร้องออกไปด้วย 

“ข้าฝันถึงเรื่องเก่าๆน่ะ วันที่ถูกพิษ”เป็นครั้งแรกที่หยางชวีขยับตัว ร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงขยับเข้ามาใกล้ ใกล้จนเส้นผมที่ปล่อยยาวของหยางชวีปัดโดนใบหน้าเขา เจ้าคนนี้ไม่กลัวยามที่อยู่กับเขาสองคนแล้วหรือ เด็กหนุ่มคิดอย่างขบขัน

“คุณชายเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่”

“ไม่เห็น คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ท่าทางทะมัดทะแมงว่องไว ตัวใหญ่ สำเนียงไม่เหมือนคนแทบนี้”จื่อฟางพึมพำบอก 

หยางชวีขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด “ท่านนึกไม่ออกหรือว่าไปทำเรื่องใดมาบ้าง”

จื่อฟางส่ายศีรษะ กล่าวต่อไป “ข้าจำคำพูดของคนผู้นั้นได้…”เจ้าไม่มีทางรอดแน่ พ่อเจ้าก็เช่นกัน เท่านี้สกุลเสิ่นก็จบสิ้นแล้ว

“ดูเหมือนข้าจะไม่ใช่เป้าหมายเดียว  คนชั่วนั่นมีความแค้นต่อสกุลเสิ่น”เป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการตายของเสิ่นฉินอี้ที่โดนพิษเช่นเดียวกัน ความอยากรู้กัดกินจิตใจของจื่อฟาง

หยางชวีพยักหน้าเงียบ ๆ เห็นทีเขาต้องไปสอบถามศิษย์พี่หานตงเสียแล้วว่าเมื่อปีกลายเคยเกิดเหตุร้ายกับนายท่านหรือไม่  “คุณชายเสิ่น…”

เขาเหลือบมองไปด้านบนด้วยสายตาคมปราบ ก่อนเบนสายตามองเสิ่นจิ้งเฟย บุรุษหนุ่มขยับถอยห่างเมื่อรู้สึกตัวว่าอยู่ใกล้กับคุณชายรูปงามมากเกินไป อยู่ในความมืดเช่นนี้ความงามของเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งเป็นอันตราย

“ว่าอย่างไร”จื่อฟางมีรอยยิ้มที่มุมปาก ท่าทางน่าขันของหยางชวีทำให้เขาเกิดอารมณ์อยากแกล้งอีกแล้วสิ

“ข้ามีความรู้สึกแปลกๆ ข้ากลัวว่าคนผู้นั้นจะต้องมาเล่นงานคุณชายอีกแน่ เขาไม่น่าปล่อยให้คุณชายมีชีวิตรอด”หยางชวีจริงจังเกินกว่าจะเห็นประกายซุกซนในแววตาของจื่อฟาง

“นั่นสิ แต่เขาก็ปล่อยให้ข้าอยู่มาได้ตั้งหนึ่งปี…”เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด น่าแปลกจริงๆเหตุใดถึงไม่ตามมาฆ่าอีก หรือไม่กล้าลงมือติดกัน

“ข้ากลัวว่าเขากำลังรอเวลาลงมือ”หยางชวีพูดเสียงเบากว่าเดิม

“เหตุใดเจ้าต้องทำท่าลับลมคมในด้วย”จื่อฟางขมวดคิ้ว เห็นว่าร่างตรงหน้าเหลือบมองไปด้านบนอีกรอบราวกับมีสิ่งใดน่าสนใจ เขามองตามอย่างไม่เข้าใจ

“มีอะไรหรือ”คุณชายกระซิบเสียงแผ่ว

“ข้ามีความรู้สึกว่าบริเวณเรือนของคุณชายมีผู้มีวรยุทธิ์กล้าแกร่งวนเวียนอยู่สองคน”หยางชวีมีสีหน้าแข็งกระด้าง แววตาแสดงออกถึงอาการเจ็บแค้น จื่อฟางพลันนึกถึงองครักษ์ของฮ่องเต้สองคนนั่น

“เจ้าไม่ต้องห่วง สองคนที่ว่าเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ ฝ่าบาทส่งมาดูแลความปลอดภัยของข้า”เขาบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เขามีความลับต่อหยางชวีเยอะเหลือเกิน

“คนของฮ่องเต้”หยางชวีพึมพำอย่างตื่นตระหนก

“ข้าไม่ได้เอ่ยขอ ฝ่าบาทส่งมาเอง ช่วยไม่ได้ที่เขามาลุ่มหลงเสิ่น…ข้าเอง”จื่อฟางยิ้มกลบเกลื่อน เกือบหลุดพูดชื่อเสิ่นจิ้งเฟยไปแล้ว

หยางชวียังคงไม่สบายใจ “คุณชายจะวางใจไม่ได้ หากพระองค์ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนเล่า”เขาอธิบายไม่ถูก คนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นจะยอมเสียเปรียบหรือไร

“อย่าห่วงเลย ฝ่าบาทไม่มีทางทำอะไรข้าหรอก หากข้าไม่เต็มใจ”เขาคิดว่าคนผู้นั้นมีศักดิ์ศรีเกินกว่าจะเรื่องไม่ควร  “ฝ่าบาทรอข้ามาตั้งนาน…หากจะลงมือ ก็คงทำไปนานแล้ว”

จื่อฟางตอบไปตามตรง เป็นเรื่องเดียวที่เขานับถือฮ่องเต้เจี่ยผิง ลำพังแค่เอ่ยปาก เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่มีทางหนีรอด

หยางชวีมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ท่านพูดราวกับรู้จักพระองค์มานาน”   

“เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”จื่อฟางออกปากไล่อย่างไม่เกรงใจ เท่านี้ก็บอกหยางชวีไปเยอะแล้ว เขาเหลือบมองอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ขยับไปไหน นัยน์ตาจึงกลับมามีประกายซุกซนอีกครั้ง

“หากเจ้าอยากรู้ ก็มานอนบนเตียงกับข้า ข้าจะเล่าให้ฟัง”เขาได้ทีเอ่ยแกล้ง ตบที่ว่างข้างๆตัว คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้า

หยางชวีลากเท้าไปมาด้วยความลังเล เขาอยากรู้เรื่องระหว่างคุณชายและฮ่องเต้ แต่ก็ทราบดีว่าในฐานะผู้ติดตามไม่ควรก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายมากเกินไป แต่…

“ถ้าคุณชายพูดจริง ข้าก็ยอม”โชคดีที่อยู่ในความมืดเพราะหยางชวีมั่นใจว่าใบหน้าร้อนๆของเขาต้องเปลี่ยนเป็นสีแดง จื่อฟางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าหยางชวีจะบ้าจี้ตาม เขาหัวเราะอย่างขบขัน 

“มา นอนกับข้าสักคืน”เขาแกล้งเอ่ยหยอก หยางชวีชะงัก ท่าทางเหมือนกำลังฝืนสุดกำลัง แต่ก็ยอมทำตัวแข็งมานอนข้างๆ เหมือนเป็นท่อนไม้ จื่อฟางจึงทิ้งตัวนอนบ้าง เว้นระยะห่างไว้พอสมควร หากใกล้กว่านี้เกรงว่าจะเป็นการแกล้งเกินไป

“ข้าเคยรู้จักฮ่องเต้เมื่อตอนสิบขวบ…”จื่อฟางเล่าเรื่องในความทรงจำให้ฟังคร่าวๆเท่านั้น คนข้างกายนอนเงียบไปนานราวกับเผลอหลับ จนเด็กหนุ่มต้องชะโงกไปดูว่าหลับไปแล้วหรือยัง แววตาลุ่มลึกของหยางชวีกระพริบมองกลับ เขาจึงศีรษะลงที่เดิม 

“เรื่องก็มีเท่านี้”เขาถอนหายใจ หวังว่าเจ้านี่จะไม่ซักถามอีก “ข้ากับเจ้าถือว่าเป็นมิตรสหายกันแล้ว”

“มิตรสหายต้องนอนร่วมเตียงด้วยหรือ”ได้ยินอีกฝ่ายพึมพำเบา ๆ

“ข้าก็นอนเตียงเดียวกับไป๋ผูอวี้มาแล้ว…จะกล่าวอย่างนั้นก็ถูก”จื่อฟางเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก

“คุณชาย กับไป๋ผูอวี้ท่านต้องระวังตัวด้วย ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายท่าน แต่สกุลไป๋มีทีมาไม่ชัดเจน ท่านก็เห็นว่าพวกเขามีวรยุทธ์ หลายชั่วรุ่นไม่ฝักใฝ่การเมืองในราชสำนัก ท่านคงไม่รู้ สาเหตุที่ท่านผู้เฒ่าหย่งสือหายตัวไปเป็นเพราะผิดหวังในตัวลูกศิษย์ ไป๋ผูอวี้เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง”หยางชวีเล่าด้วยโทนเสียงนิ่งเรียบ เรื่องของสกุลไป๋ทำให้ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง อาจารย์หย่งสือ…ชายแก่ที่ช่วยชีวิตเสิ่นจิ้งเฟยเอาไว้…เขาพลิกตัวนอนตะแคง มองอีกร่างด้วยสายตาสนใจ

“เจ้ารู้เรื่องสกุลไป๋ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

หยางชวีมองสบตากับเขา “เป็นเพราะข้าเคยประมือกับเว่ยหลงและนางหมื่นพิษมาก่อน อาจฟังเหมือนข้อแก้ตัว แต่ซูเหลียนฮวาเล่นตุกติกกับข้า ข้าถึงได้แพ้ จากนั้นข้าก็ผูกใจเจ็บแค้น สืบเรื่องราวของสกุลไป๋อย่างเงียบๆ”

“เช่นนี้เอง แล้วที่เจ้าบอกว่าไป๋ผูอวี้ไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขุนนางเก่าผู้หนึ่ง ขุนนางผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ…”หยางชวีกระซิบราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดได้ยิน “ฮ่องเต้คนก่อนและฮ่องเต้เจี่ยผิง”

จื่อฟางใจเต้นรัว นึกไปถึงคำพูดของไป๋ผูอวี้ ฝ่ายนั้นบอกว่าทำงานให้กับคนผู้หนึ่ง คำว่า‘ไม่เชิง’ของไป๋ผูอวี้ หมายถึงว่าไม่ได้ทำงานให้ฮ่องเต้โดยตรงหรือเปล่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าขุนนางเก่าที่ว่าเป็นใคร”เขาถามอย่างกระตือรือร้น

“ผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง เขาเคยดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีมาก่อน เคยสนิทกับท่านปู่ของคุณชาย”

ข้อมูลใหม่ทำให้เลือดในกายสูบฉีด ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง หากได้พบเจอกับผู้อาวุโสอวิ๋นการตายของเสิ่นฉินอี้อาจคลี่คลายก็เป็นได้

หยางชวีเห็นสีหน้ามีความหวังของคุณชายจึงกล่าวเตือน “ท่านอย่าตั้งความหวังมาก คนผู้นั้นหาตัวจับยาก หลังจากที่เขาเกษียณ เขาก็เก็บตัวเงียบ ที่อยู่ไม่แน่ชัด ท่านคงต้องหาคำตอบจากไป๋ผูอวี้ แต่เขาคงไม่บอกท่านโดยง่าย”

จื่อฟางพยักหน้าช้าๆ “แล้วอาจารย์หย่งสือ ยามนี้อยู่ที่ใดแล้ว”เขาเอ่ยถามอย่างสนใจ

“เขาเปรียบดั่งสายลม ข้าก็อยากเจอท่านผู้เฒ่าสักครั้ง”ใบหน้าของหยางชวีมีประกายมุ่งมั่น

“เขาช่วยชีวิตข้าจากยาพิษ ข้ารอดมาได้เพราะเขา”ทั้งยังสอนเสิ่นจิ้งเฟยเดินลมปราณอีก หากไป๋ผูอวี้รู้จะทำสีหน้าแบบใดกันนะ เขาปรายตามองหยางชวีที่มีสีหน้าคาดไม่ถึง 

“ประหลาดนัก ไป๋ผูอวี้รู้หรือไม่”

“ข้าไม่ได้บอกเขา แต่อย่างไรก็ขอบใจเจ้ามาก หยางชวี เจ้าช่วยไขข้อข้องใจได้เยอะเลย ถือว่าแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน”รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเขากับหยางชวีลดลง เขาจะรอวันที่คนผู้นี้มอบความภักดีให้เขาเต็มร้อย 

“คุณชายพักผ่อนได้แล้ว ข้าน้อยจะออกไปนอกห้อง หากมีเรื่องใดก็ส่งเสียงเรียก”หยางชวีลงจากเตียง มองเขาครู่หนึ่งก่อนเดินออกไปจากฉากกั้น จื่อฟางยิ้มจาง หยางชวีใส่ใจเขามากไปแล้ว ถึงกับยอมนอนเตียงเดียวกับเขา

เด็กหนุ่มนอนต่อไม่หลับจึงถือโคมไฟย่องแผ่วเบาไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่น คิดไตร่ตรองอยู่เงียบ วันรุ่งขึ้นเขาจะทำหน้าที่สายสืบของหลิวอ๋องแล้ว จะเล่นละครให้แนบเนียนก็ต้องทำอย่างเต็มที่ เรื่องของไป๋ผูอวี้ เขาจะรายงานไปตามที่ทราบ แม้ข้อมูลใหม่ที่ได้มาทำให้ลังเลเล็กน้อย หากบอกไปกลัวว่าจะมีคนเดือดร้อน อีกทั้งอาจารย์หย่งสือเคยกล่าวเตือนว่าอย่านำภัยมาสู่สกุลไป๋…จื่อฟางถอนหายใจ หลิวอ๋องเคยอยู่ในวังหลวง คุ้นเคยกับแวดวงราชสำนัก ย่อมต้องรู้ว่าขุนนางเก่าคนใดที่สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ จื่อฟางตัดสินใจบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เขาฝนหมึกอยู่ในความมืด ก่อนตวัดปลายพู่กันบนกระดาษด้วยลายมือบรรจง

‘ข้าสืบรู้มาว่าไป๋ผูอวี้ไม่ธรรมดา เขาทำงานให้กับคนผู้หนึ่ง ข้าคิดว่าเขาไม่ได้ทำงานให้ฮ่องเต้โดยตรง หากข้าได้ข้อมูลมากกว่านี้จะรายงานให้ทราบ’

จื่อฟางมองจดหมายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพับเก็บให้เรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเขาจะไปร้านเถ้าแก่จาง เขาต้องเสี่ยงดวงดูอีกสักครั้งแล้วสิ

~•~

“บอกคนเตรียมรถม้า ข้าจะไปร้านเถ้าแก่จาง”จื่อฟางสั่งจางต้าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย อี้เหมยช่วยเขาแต่งตัวเงียบๆ ระยะหลังมานี้ดูเหมือนนางจะมองเขาด้วยสายตาแปลกพิกล ไม่ใช่สายตาเชิงชู้สาว แต่เป็นสายตาสอดส่องหาความจริง หรือไปได้ยินข่าวลือใดมาอีก เด็กหนุ่มใจแกว่งเมื่อเห็นจางต้าชะงักไป

“แต่วันนี้คุณชายมีเรียนกับไป๋ผูอวี้ไม่ใช่หรือ”

“ไปสายนิดหน่อยเจ้านั่นไม่ว่าหรอก”เขาตอบ จางต้าไม่เอ่ยถามอีก บ่าวรับใช้รับคำก่อนหันไปสั่งเด็กคนหนึ่งที่กำลังยกถังน้ำออกไปนอกห้องให้เตรียมรถม้า จื่อฟางไม่รู้รายอะเอียดใดเกี่ยวกับคนแซ่จางผู้นี้ รู้แต่ว่าทำงานให้กับหลิวอ๋องเจี่ยซิน

“ช่วงที่คุณชายไม่ได้แวะไปที่ร้านเถ้าแก่จาง ข้าได้ยินมาว่ามีหนังสือนิยายใหม่เข้ามาเยอะเลยล่ะขอรับ”จางต้าชวนคุย นึกว่าคุณชายจะไม่แวะไปร้านหนังสือเสียแล้วเพราะปกติคุณชายจะเข้าไปซื้อหนังสือใหม่ทุกเดือน เขามองใบหน้าซีดเซียวคล้ายคนนอนไม่พอของคุณชายอย่างสงสัย เมื่อคืนเขาได้ยินคุณชายฝันร้ายและได้ยินว่าหยางชวีเข้าไปดูคุณชายเสิ่นนานสองนาน เจ้านั่นก็เหมือนคนนอนน้อยเหมือนกัน หรือมีเรื่องใดเกิดขึ้น จางต้าปัดความคิดไร้สาระออกไป

“อ้อ ข้าไม่ได้ไปเสียหลายเดือน คงต้องซื้อเยอะหน่อยแล้ว”จื่อฟางกล่าวอย่างลื่นไหล ที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือ   เขาโบกมือไล่อี้เหมยกับจางต้าออกไป เดินไปหยิบเอาจดหมายที่เขียนไว้เมื่อคืนซ่อนในแขนเสื้อ หยิบอุปกรณ์เขียนหนังสือ และพัดออกไปจากห้อง หยางชวีและจางต้ายืนเรียงแถวรออยู่ด้านนอกตามปกติ เขาส่งของให้จางต้า แสร้งขยิบตาให้หยางชวี เจ้านั่นกระแอมกระไอเสียงดังหลบสายตาของจื่อฟางเป็นที่วุ่นวาย เด็กหนุ่มเดินถือพัดไปนอกจวนอย่างอารมณ์ดี รถม้าจอดรออยู่แล้ว คนขับรถม้าเป็นหนานอิงคนเดิมพอเห็นเขาก็รีบส่งยิ้มประจบมาให้

ร้านเถ้าแก่จางอยู่ที่ตรอกเหวิน อยู่คนละทิศกับตรอกซีหมาน รถม้าจึงเคลื่อนตัวไปอีกทาง จื่อฟางมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง คลับคล้ายว่าเคยผ่านมาตรอกนี้เช่นกัน ระยะทางค่อนข้างไกลพอตัว ตรอกเหวินค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะทั้งตรอกไม่มีร้านค้าจำพวกให้ความรื่นเริง มีแต่ร้านชาหรูหรา ร้านผ้า ร้านเครื่องประดับ ร้านเครื่องดนตรี และร้านหนังสือ เป็นตรอกสำหรับผู้มีความรู้โดยแท้ รถม้าจอดที่มุมหนึ่งของถนน

จื่อฟางอดจุ๊ปากมิได้เมื่อพบว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้วนแต่เป็นผู้มีการศึกษา ตั้งแต่คุณชายท่าทางแก่เรียน บัณฑิต นักปราชญ์ นักกวี หรือแม้กระทั่งนักศิลป์ เขาเริ่มตื่นเต้น แสดงว่าตรอกนี้ย่อมมีหอศิลปะ เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสื้อคลุมยาวปักดิ้นสีทองของเขาส่องประกายในแดดยามเช้า ทำให้หลายคนเหลียวมอง บางคนขมวดคิ้วแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

“ทำท่าเสียสูงส่ง”เด็กหนุ่มพึมพำ เมื่อเห็นว่าพวกบัณฑิตเหล่านั้นต่างก็ทำเหมือนว่าเขาเป็นเชื้อโรค จื่อฟางก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ชื่นชมสองข้างอย่างสบายอารมณ์ จางต้าไม่เคยเห็นคุณชายเสิ่นสนใจร้านค้าพวกนี้มาก่อน หรือคุณชายเป็นพวกแก่เรียนไปแล้ว

“แถวนี้มีหอศิลปะหรือไม่”เขาถามจางต้า

“มีขอรับ ตรอกข้างๆมีโรงเตี๊ยมราคาแพง ส่วนมากพวกนักศิลป์ นักกวีที่มีเงินจะไปเช่าอยู่”เขาเอ่ยเสริมเมื่อเห็นว่าคุณชายสนใจ

“อืม”เขาพยักหน้า แม้ว่าอยากไปสำรวจจนตัวสั่น แต่วันนี้ไม่ใช่เวลา ไม่อย่างนั้นจะไปถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อสาย เขาเดินมาจนถึงร้านหนังสือขนาดใหญ่ ป้ายอักษรตวัดสวยงามว่า‘จาง’ เขาคลี่ยิ้มมุมปาก ตั้งใจจะก้าวเข้าไปแต่มีสายตาหนึ่งคู่พุ่งตรงมา จื่อฟางหันมอง พบว่าเป็นเด็กหนุ่มในวัยใกล้เคียง สวมชุดสีเทาเรียบง่าย มองครั้งเดียวก็รู้ว่าถูกใส่จนสีจาง ร่างนั้นถือหนังสือเล่มเก่าๆ ใบหน้ารูปไข่ไม่มีอะไรโดดเด่น ยกเว้นท่าทางที่ดูฉลาดเฉลียวและสายตาที่เหมือนว่ารู้จักเสิ่นจิ้งเฟย ใครอีกหนอ เขามองผ่านอย่างไม่ใส่ใจ จางต้าขยับมากระซิบเบาๆกับเขา

“นั่นเจิ้งเซี่ยสวี เมื่อก่อนครอบครัวเขาเคยทำงานให้สกุลเสิ่น แต่ยามนั้นคุณชายไม่ชอบหน้าเขาจึงหาเรื่องทำให้ครอบครัวเขาโดนไล่ออก...”บ่าวรับใช้กระซิบ ไม่แปลกใจที่คุณชายจะจำไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเกือบแปดปีแล้ว ในยามนั้นคุณชายกำลังอยู่ในช่วงวัยเกเร เขายังแทบรับมือไม่ไหว จื่อฟางขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดเดิน เขามีธุระกับเถ้าแก่จาง ไม่มีเวลาไปสนใจกับคู่อริเก่าของเสิ่นจิ้งเฟย เจ้านี่ขยันสร้างเรื่องจริงๆ เขาบ่นอยู่ในใจ

ภายในร้านของเถ้าแก่จางตกแต่งอย่างมีระเบียบ เครื่องเรือนโบราณ ตู้หนังสือเป็นแนวยาวละลานตา กลิ่นอับชื้นของหนังสือลอยเข้าจมูก จางต้าทำหน้าเหนื่อยหน่ายทันที

“คุณชาย ข้าน้อยรออยู่ตรงนี้นะขอรับ”แค่เขาเห็นหนังสือมากมายก็คันคะเยอแล้ว จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ ใช้พัดโบกให้หยางชวีตามมา ร่างนั้นยืนห่างจากเขาตั้งหลายคืบ ยังไม่ทันได้เอ่ยแกล้ง ร่างหนึ่งก็พุ่งมาทางเขา เป็นชายกลางคนไว้เคราแพะ มีไฝใต้ตา   

“คุณชายเสิ่นนี่เอง! ท่านหายหน้าหายตาไปตั้งหลายเดือน ข้าคิดว่าท่านจะไม่แวะมาเสียแล้ว หนังสือนิยายที่ท่านสั่งไว้มาถึงแล้วแหน่ะ ตั้งสองเล่ม ข้า--”

“เอาไว้ก่อนเถอะ เถ้าแก่ วันนี้ข้ารีบ ข้าขอเดินเลือกหนังสือเสียหน่อย”จื่อฟางไม่รอช้ารีบปลีกตัวไปหาหนังสือที่อยากได้ทันที เถ้าแก่จางเหมือนอยากเข้ามาพูดคุยด้วย แต่เพราะมีหยางชวีจึงไม่กล้ามาวุ่นวาย เขาเลือกหยิบหนังสือกลอน โคลงกวีต่างๆมาสองเล่ม หนังสือเขียนบทวิพากษ์มาอีกสองเล่ม นิยายไร้สาระอีกหนึ่งเล่ม เด็กหนุ่มหอบหิ้วหนังสือไปที่โต๊ะจ่ายเงิน เถ้าแก่จางยืนลูบเคราอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาทอประกายเมื่อเห็นจื่อฟาง

“ท่านเลือกมาเยอะเลยนะ”อีกฝ่ายชวนคุย

“ข้าไม่ได้มาหลายเดือน มีหนังสือที่อยากได้เยอะแยะไปหมด”จื่อฟางตอบกลับอย่างเป็นกันเอง “เอ่อ ข้าอยากได้หนังสือ…”โป๊ เขาแสร้งทำท่าทีอึกอักอย่างคุณชายผู้เหนียมอาย

เถ้าแก่จางเข้าใจในทันที “อ้า ได้เลยขอรับ ข้าจะเลือกเล่มที่กำลังได้รับความนิยมมาให้คุณชาย ท่านต้องชอบอย่างแน่นอน”เขามองร่างกระฉับกระเฉงของเถ้าแก่จางหยิบหนังสือจากตู้ด้านหลังมาสี่เล่ม ไม่มีปกอยู่สองเล่ม แบบเดียวกับที่ซ่อนอยู่ในหีบของเสิ่นจิ้งเฟย เขาเหลือบมองหยางชวี เจ้านั่นมีท่าทางเบื่อหน่าย เขาใช้จังหวะที่อีกฝ่ายละสายตารีบส่งจดหมายในแขนเสื้อให้เถ้าแก่จางทันที

“ทั้งหมดห้าตำลึงเงิน ข้าลดให้ เห็นว่าท่านซื้อเยอะ”

“ขอบคุณเถ้าแก่จาง”เขาล้วงเอาก้อนเงินในถุงส่งให้เถ้าแก่ รีบหมุนตัวกลับทันที หยางชวีหอบหนังสือตั้งสูงตามออกมา เดาว่ากำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจเป็นแน่

“รีบไปโรงน้ำชาหลิวซื่อเถิดขอรับ”จางต้านั่งรออยู่ด้านนอก ยืดตัวเดินมาเขาทันที จื่อฟางมองเห็นเจิ้งเซี่ยสวียังคงอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม เมื่อเห็นเขาออกมาจากร้าน ร่างในชุดเก่าจางก็ตรงปรี่มาหาทันที

“โอ้ บัณฑิตท่านนี้มีเรื่องใดกับข้าหรือ ข้ากำลังรีบ”เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน อีกฝ่ายมองเขาปราดเดียว

“ข้าได้ยินว่าท่านลงสอบระดับอำเภอ ข้าก็สอบเช่นเดียวกัน”

“แล้ว…”จื่อฟางเลิกคิ้ว เจ้าคนน่ารำคาญนี่ต้องการอะไรกันแน่ จางต้าขยับขาไปมาอยู่ด้านหลัง

“หึ หวังว่าท่านจะสอบผ่าน คุณชายเช่นท่านคงไม่แพ้คนลูกคนจนอย่างข้าหรอกกระมัง”เจิ้งเซี่ยสวีเผยรอยยิ้มหยัน สายตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“ข้าต้องสอบผ่านแน่อยู่แล้ว เจ้าก็ด้วย ผู้มีความรู้ไม่ว่าจนหรือรวยก็ไม่ถือว่าแตกต่าง”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับนักบวชผู้บรรลุธรรม เจิ้งเซี่ยสวีนิ่งงันไปอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้จากเขา

“ข้าไปก่อนล่ะ”เขายิ้มใจดีก่อนเดินตัวปลิวกลับไปยังรถม้า จางต้าและหยางชวีเดินตามด้วยอารมณ์งุนงงพอกัน  ผีสางตนใดเข้าสิงคุณชายเสิ่นกัน ระหว่างทางไปโรงน้ำชาหลิวซื่อจึงเงียบงัน จื่อฟางเล่นพัดในมือ อมยิ้มกับท่าทางของบ่าวทั้งสองคน เขาทำอะไรแปลกๆก็บ่อยครั้ง คนพวกนี้ไม่ชินอีกหรือไร

~•~

“ท่านมาสาย”ไป๋ผูอวี้กล่าวเป็นสิ่งแรกเมื่อจื่อฟางสืบเท้าเข้ามาในห้องดื่มชาห้องเดิม เขาชี้ไปยั้งตั้งหนังสือเรียนที่จางต้ายกตามเข้ามา

“ข้าแวะไปซื้อหนังสือ”เขาตอบพลางนั่งลงที่เก้าอี้ ไป๋ผูอวี้กลับมาเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมนิ่งเป็นท่อนไม้ตามเดิมแล้ว จนสงสัยว่าเจ้าคนที่จุมพิตหน้าผากเขาใช่คนเดียวกันหรือไม่ แต่คืนนั้นบรรยากาศช่างงดงาม ท่อนไม้ไป๋อาจเผลอตัวเผลอใจไปกับความงามของร่างนี้

“วันนี้ข้าจะให้ท่านเขียนวิพากษ์ตามหัวข้อที่กำหนด ในการสอบท่านต้องได้เจออยู่แล้ว”

“รับทราบ”เขาพยักหน้าอย่างตั้งใจ สีหน้าหยอกล้อแปรเปลี่ยนในชั่ววินาที ไป่ผูอวี้มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเขียนหัวข้อกำหนดให้เสิ่นจิ้งเฟย อยากรู้ความคิดของคุณชายท่านนี้ เขาจรดพู่กันก่อนเขียนคำว่า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ลงไปเสร็จแล้วจึงส่งให้ร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

จื่อฟางกวาดตาอ่านอย่างพอใจ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนความเหลื่อมล้ำก็ยังมีอยู่ เขาเกิดมาในครอบครัวยากจนจึงเข้าใจดีพอสมควร ตอนนี้อยู่ในร่างบุตรขุนนางของเสิ่นจิ้งเฟยจึงได้เห็นทั้งสองด้าน เขาจรดพู่กันเขียนอย่างคล่องแคล่ว เขียนจนเต็มหน้ากระดาษ ภายในห้องจึงมีแต่ความเงียบ จางต้าไม่เคยเห็นคุณชายตั้งหน้าตั้งตาเขียนด้วยท่าทางจริงจังมาก่อนจึงอดอ้าปากค้างไม่ได้ ไป๋ผูอวี้ลอบมองสีหน้าจริงจังของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างเงียบๆ จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามเสิ่นจิ้งเฟยจึงเขียนเสร็จ เขายื่นกระดาษมาให้ด้วยสองมือท่าทางเหมือนลูกศิษย์ผู้เลื่อมใสในตัวอาจารย์

ชายหนุ่มรับมาด้วยสีหน้าคงเดิม กวาดตาอ่านอย่างประหลาดใจเป็นล้นพ้น ท่วงทำนองการเขียนของเสิ่นจิ้งเฟยบ่งบอกถึงความอัดอั้นตั้นใจ กล่าวถึงความไม่เท่าเทียม การใช้อำนาจในทางที่ผิดที่เป็นผลจากความเหลื่อมล้ำได้อย่างตรงประเด็น เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวถึงการสอบเคอจวี่ มีบัณฑิตที่ยากจนแต่ฉลาดหัวดีไม่ผ่านการสอบมากมายเพราะพวกลูกขุนนางที่ใช้อำนาจบิดาทำให้ผ่านการเข้าสอบ ไป๋ผูอวี้สูดลมหายใจลึกๆ นี่เป็นเรื่องที่เขาและสหายถกกันบ่อยครั้งในการชุมนุมบัณฑิต ล้วนเป็นเหล่าบัณฑิตที่ไม่ผ่านการสอบเพราะความเหลื่อมล้ำทางฐานะ อำนาจ พวกเขาจัดตั้งกลุ่มนัดเจอกันอย่างลับๆ ถกปัญหาทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องของฮ่องเต้

ผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางรู้เข้าและเห็นว่ากลุ่มบัณฑิตมีประโยชน์ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา สหายคนอื่นต้องการทำงานบวกกับเลือดวัยหนุ่มกำลังพลุ่งพล่านจึงตอบตกลง ทีแรกเขาไม่เห็นด้วย เขาไม่ต้องการทำงานให้ผู้อื่น  แต่หากต้องการเปลี่ยนแปลงก็ต้องลงมือทำมัวแต่ถกปัญหา คงไม่เกิดผลใด

ไป๋ผูอวี้มองไม่ออกว่าท่านอาวุโสผู้นี้คิดเห็นเช่นไร ท่านผู้อาวุโสผูกพันกับฮ่องเต้เจี่ยผิงก็จริง แต่ในบางครั้งก็วิจารณ์พระองค์อย่างไม่เห็นด้วย อวิ๋นเซียนหลางบอกกับไป๋ผูอวี้ว่าแค่รอให้กลุ่มก่อกบฏเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักจะเกิดขึ้นเอง

‘ข้าพูดกับเจ้าอย่างเปิดอก อีกไม่นานเจ้าของเดิมจะกลับมาทวงคืน สิ่งใดที่แย่งมาย่อมอยู่ได้ไม่นาน’

เพียงเท่านี้ไป๋ผูอวี้ก็เดาได้ เดิมทีองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้เป็นรัชทายาท แต่เขาถูกปลดจากตำแหน่งด้วยเรื่องบางอย่าง ฮ่องเต้ในสมัยนั้นลงโทษคุมขังอยู่วังองค์ชาย จนกระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ครองราชย์  ยามที่สนทนาเรื่องนี้เขาคิดว่าเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของผู้อาวุโสอวิ๋นจึงไม่คิดไว้ใจมากนัก

ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าการกระทำของตนขัดต่อกฎของสกุลไป๋ที่ยึดถือมาช้านาน บุรุษหนุ่มทำตามความยึดมั่นส่วนตัว ยึดมั่นมากเสียจนทะเลาะกับท่านอาจารย์หย่งสือ

‘สิ่งที่เจ้าทำเป็นการสูญเปล่า ความซื่อตรงของเจ้าจะนำภัยมาสู่สกุลไป๋’

ท่านอาจารย์โกรธมากที่เขาไปยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักจึงออกเดินทางหายตัวไปนานหลายปี หาอย่างไรก็ไม่พบ


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 27-07-2018 20:48:39
 

ไป๋ผูอวี้กระพริบตา รู้ตัวว่าเหม่อลอยไปนาน เขาไล่สายตาอ่านจนจบ ไม่คิดว่าบุตรชายขุนนางที่ใช้ชีวิตไม่เอาไหนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะคิดได้เช่นนี้ ที่ผ่านมา ข้ามองท่านผิดไปหรือ บุรุษหนุ่มพลันรู้สึกว่าน่าขันที่ตนตัดสินเสิ่นจิ้งเฟยจากสิ่งที่เห็นและได้สัมผัสเพียงบางส่วน

“ไป๋ผูอวี้?”จื่อฟางเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน เขาไม่เคยเห็นไป๋ผูอวี้แสดงสีหน้าสลับซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน บทความวิพากษ์ที่เขาเขียนไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง ได้พบกับเจิ้งเซี่ยสวีทำให้เขารู้ว่ายังมีผู้ที่พยายามในการสอบครั้งนี้ และการโกงของจื่อฟางย่อมไม่ยุติธรรมต่อคนพวกนั้น เขาไม่อยากใช้วิธีสกปรก ตัดสินใจแล้วว่าจะไปบอกเสิ่นมู่หยางให้เปลี่ยนหัวข้อการสอบซะ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรเขาก็พยายามด้วยตัวเอง

“ท่านเขียนได้ดี ข้าพอใจมาก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยออกมาในที่สุด “ข้าเข้าใจท่านผิดมาตลอด”

“นี่…”ท่อนไม้ไป๋เป็นอะไรไปแล้ว “เข้าใจผิดเรื่องใด”

“ข้าคิดว่าท่านเป็นอย่างบุตรชายขุนนางพวกนั้น พวกคดโกง”น้ำเสียงราบเรียบของไป๋ผูอวี้ทำเอาหัวใจเขาหล่นวูบ หากคนผู้นี้รู้ว่าเสิ่นมู่หยางเอาแนวข้อสอบมาให้จะมองเขาเช่นไร จื่อฟางยิ้มฝืดเฝือน

“วันนี้ข้าจะไม่สอนท่านก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้เผยรอยยิ้ม มองเขาด้วยแววตาเป็นประกายท่าทางอารมณ์ดี จื่อฟางแอบมองจางต้า บ่าวรับใช้ดูงุนงงเช่นเดียวกัน

“ถ้าอย่างนั้น…ข้าขออะไรสักอย่าง”จื่อฟางมีท่าทีกระตือรือร้นเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก

“ถ้าไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ย่อมได้”

“มีสิ่งใดแปลกกว่าเจ้าจูบหน้าผากข้าอีกหรือ”จื่อฟางพึมพำ แต่บุรุษอีกคนได้ยินจึงแสร้งยกถ้วยชาดื่มเงียบ ๆเหตุการณ์คราวนั้นทำให้เขาว้าวุ่นไปทั้งคืน เป็นเพราะแสงจันทร์ต่างหากที่ทำให้เขาไขว่เขว เขาไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยใต้แสงจันทร์ยามดึกงดงามราวกับปีศาจ นี่คนอย่างเขาก็ถูกความงามล่อลวงหรือ?

“ข้าอยากวาดภาพเจ้า”เสิ่นจิ้งเฟยยิ้มกว้าง

“วาดภาพข้า เพราะอะไรเล่า”เขาวางถ้วยชา เห็นจางต้ากำลังฝนหมึกด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อ แต่มีรอยยิ้มเผยน้อยๆ

“ข้าก็ต้องวาดไว้ดูต่างหน้าสิ ท่อนไม้ไป๋เอ๋ย”เสิ่นจิ้งเฟยหัวเราะเสียงใส เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้เขาอุ่นวาบอยู่ในอก แววตามีชีวิตชีวาของอีกฝ่ายเหมือน….ไป๋ผูอวี้วางถ้วยชาดังกึก ไม่คิดว่าตนเองจะพร่ำพรรณนาถึงคุณชายไม่เอาไหนได้

‘เจ้าบ้าไปแล้วรึ ทำอย่างกับพวกแรกรัก’

“คุณชายเสิ่น ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเรียกข้าด้วยคำเช่นนั้น”ไป๋ผูอวี้รักษาท่าทางให้คงเดิม “แต่อยากทำอะไรก็ทำเถิด”เขาพึมพำ

“หมายความว่า…ข้าจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ”จื่อฟางแกล้งหยอกล้อ

“หากท่านพูดมากความ ข้าเปลี่ยนใจขึ้นมา อย่าหาว่าข้าใจดำล่ะ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเตือน เด็กหนุ่มจึงยกมือทั้งสองข้างบอกว่าพอแล้ว จางต้าพยายามทำตัวเหมือนล่องหนให้แนบเนียนที่สุด   

“เจ้ายังไม่ได้ทานข้าวเช้าไม่ใช่หรือ เจ้าออกไปเถอะ ข้าจัดการเองได้”จื่อฟางหันไปหาจางต้าที่ทำหน้าเก้อกระดาก บ่าวรับใช้งุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบค้อมกายออกไป ภายในห้องจึงเหลือเขากับไป๋ผูอวี้เท่านั้น

“เจ้านั่งตามสบาย จะได้ไม่ปวดเมื่อย”จื่อฟางหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาใช้ ลูบแผ่นกระดาษอย่างเบามือ ใช้พู่กันจุ่มหมึก จดจ้องมองชายหนุ่มที่มองตรงมาที่เขาด้วยนัยน์ตาใคร่รู้ เขาตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว จนร่างภาพเป็นสัดส่วน ท่อนไม้ไป๋ใช้สายตามองจนจื่อฟางเป็นฝ่ายตกประหม่าเสียเอง มือไม้ติดขัดจนทำหมึกกระเซ็นไปโดนไป๋ผูอวี้ หมึกสีดำเปื้อนเสื้อคลุมบริเวณหน้าอกเป็นด่างดวงราวกับศิลปะ ไป๋ผูอวี้ก้มมองรอยหมึก ก่อนปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาขบขัน

“ดูท่าท่านจะไม่ชำนาญเท่าไหร่”

“ข้าจับพู่กันไม่ถนัด”ใครใช้ให้เจ้ามองข้ามากขนาดนั้นกันเล่า

“อ้อ…”ไป๋ผูอวี้เงียบไปพักใหญ่ รู้หรอกว่าเสิ่นจิ้งเฟยจงใจไล่บ่าวรับใช้ออกไป แต่คุณชายท่านนี้ฝีมือยังอ่อนด้อย คิดจะแกล้งเขาไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เขามองสำรวจร่างบางที่ขะมักเขม้นตวัดพู่กันอย่างตั้งใจ รอยยิ้มแผ่ไปถึงแววตา ดูว่าจะมีความสุขในการวาดภาพจริงๆ เขามองอยู่จึงเผลอยิ้มไปด้วย   

“ข้าไม่ได้นำหมึกสีติดมาด้วย คราวหน้าข้าจะวาดให้เจ้าใหม่”จื่อฟางกล่าวโดยไม่ละสายตาไปจากแผ่นกระดาษ เขาเพียงวาดลงเส้นคร่าวๆเท่านั้น มนุษย์ผู้หล่อเหลาอย่างไป๋ผูอวี้ ใช้แค่หมึกดำไม่พอหรอก 

“เสร็จแล้วรึ”เสียงของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ข้างหู จนจื่อฟางสะดุ้ง น้ำหมึกหยดลงบนภาพวาด กลายเป็นว่าไป๋ผูอวี้มีไฝอยู่บนหน้าผาก เขาหลุดขำพรืด หันมองร่างสูงยืนเอามือไพล่หลังก้มมองภาพวาดด้วยสายตาเรียบนิ่ง คนร่างสูงเลื่อนสายตามองใบหน้าของเขาแทน

“โทษข้าไม่ได้นะ เจ้าทำให้ข้าตกใจเอง แต่ข้าว่าเจ้ามีไฝก็ดูหล่อเหลาไปอีกแบบ”จื่อฟางพึมพำ สูดกลิ่นชาอ่อนๆจากตัวของอีกฝ่าย ลอบมองไป๋ผูอวี้ คงตั้งใจมายืนซุ่มอยู่ตรงนี้เพื่อแกล้งให้เขาตกใจ

“ไว้คราวหลังท่านก็มาวาดใหม่ ใช้หมึกที่ท่านว่า ข้าจะรอดูฝีมือที่แท้จริงของท่าน”บุรุษตรงหน้าพูดเสียงนุ่ม จื่อฟางหรี่ตา ตกลงว่าผู้ใดอ่อยใครกันแน่ เหตุใดต้องมาทำเสียงล่อลวงใส่เขาด้วย เด็กหนุ่มไล่สายตาไปหยุดที่ริมฝีปากของไป๋ผูอวี้ คิดว่าหากใช้กลยุทธ์ไม่ได้ผลเสียที ก็เข้าหาตรงๆไปเลยก็แล้วกัน จื่อฟางจึงลุกจากที่นั่งเขย่งตัวไปใกล้กับบุรุษร่างสูง จรดริมฝีปากลงบนกลีบปากของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้นิ่งงันด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้ถอยหนี เขาจึงขบเม้มเรียวปากของคนตรงหน้าเบาๆเป็นการลองเชิง ไป๋ผูอวี้ค่อยมีปฏิกิริยาตอบรับจูบของจื่อฟาง คิดว่าเท่านี้คงเพียงพอ ตั้งใจจะผละออกมา

แต่ไป๋ผูอวี้กลับคว้าต้อคอของจื่อฟางไว้พร้อมทั้งขบกัดริมฝีปากล่างของเขาเบาๆคล้ายเป็นการเอาคืน เขาได้แต่กำพู่กันในมือ สมองมึนงง ไม่คิดว่าไป่ผูอวี้จะทำเช่นนี้ ทั้งยังเป็นจูบลึกซึ้งที่ทำให้เขาอ่อนยวบไปทั้งร่าง ปลายลิ้นอุ่นมีรสชาติของชาอ่อนๆ ไปผูอวี้ย้ำจูบลงบนเรียวปากราวกับกำลังประกาศผู้ชนะ จื่อฟางทำได้เพียงโอนอ่อนตามจนกระทั่งฝ่ายนั้นถอนริมฝีปาก ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววผู้ชนะ จื่อฟางสูดลมหายใจวางมือลงบนโต๊ะเพื่อประคองร่าง เขายกปลายเสื้อเช็ดปากที่เป็นมันวาวจากจูบเมื่อครู่

“เจ้าจูบข้า…”เขายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ท่อนไม้ไป๋กลายเป็นไม้เลื้อยได้อย่างไร 

“ท่านเอาชนะข้าไม่ได้หรอก”ไป๋ผูอวี้ตอบเบา ๆ ริมฝีปากนุ่มนิ่มของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับทิ้งร่องรอยไว้ ยกยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นเป็นฝ่ายเขินอายเสียเอง ไม่ใช่ว่าเป็นคนเริ่มก่อนหรอกหรือ จื่อฟางรู้สึกว่าร้อนไปทั้งร่าง คิดว่าปล่อยคนผู้นี้ให้ฉินเซียงอินไม่ได้เด็ดขาด จูบเมื่อครู่ไม่ใช่การจูบจากความรู้สึกเป็นการจูบเพื่อเอาชนะ เขายกมือลูบริมฝีปากที่ยังร้อนอยู่ กระแอมกระไอเบาๆ บรรยากาศแปลกประหลาดปกคลุมไปทั้งห้อง

ไป๋ผูอวี้คล้ายกับรู้สึกตัว กลับมาอยู่ในสภาพท่อนไม้เช่นเดิมพึมพำว่า “ข้าออกไปดูใบชาสักครู่”จากนั้นก็เดินตัวปลิวจากไป ปล่อยให้จื่อฟางตบหน้าตัวเองเบาๆ ครั้งหน้าข้าไม่ยอมแพ้แน่ 

จื่อฟางออกมาจากโรงน้ำชาหลิวซื่อด้วยท่าทางปกติ ไป๋ผูอวี้ก็เช่นกัน บุรุษหนุ่มเพียงยกยิ้มสุภาพส่งลา ท่าทางสุขุมนุ่มลึกยิ่งนักราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เว่ยหลงยืนอยู่เบื้องหลังมองผู้เป็นนายด้วยสายตาใคร่รู้

จื่อฟางเคาะพัดลงบนฝามือ เอ่ยเปรยกับจางต้าและหยางชวี “ข้าอยากเปิดร้านค้า”เขาหยุดมองร้านที่อยู่เยื้องจากโรงน้ำชาด้วยสายตาครุ่นคิด เป็นร้านขายผ้าขนาดพอเหมาะ เขาอยากเปิดหอศิลปะ มีมุมดื่มชา อ่านหนังสือ เหมือนคาเฟ่ในโลกปัจจุบัน

“คุณชายคิดจริงจังหรือขอรับ”หยางชวีมองแผ่นหลังผอมบางของเสิ่นจิ้งเฟย ตอนแรกเขาคิดว่าคุณชายแค่เอ่ยเอาสนุก อีกเดี๋ยวก็ลืม ไม่คิดว่าจะอยากทำจริงจัง

“อืม ข้าอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง”เขาใช้พัดชี้ไปที่ร้านผ้า “ทำเลดี”ตรอกซีหมานคึกครื้น ผู้คนเดินไปมาตลอดวัน อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับโรงน้ำชาหลิวซื่อ ยังไปมา…ไปแกล้งไป๋ผูอวี้ได้

“แต่ร้านนั้นเป็นของเถ้าแก่ชวีนะคุณชาย”จางต้าแย้งเสียงอ่อย รู้ดีว่าหากคุณชายอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้อยู่แล้ว

“ข้าจะขอเช่า ได้กำไรก็จ่ายให้เจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่ง แบบนี้ก็ไม่ถือว่ารังแกใช่หรือไม่”จื่อฟางทำเสียงครุ่นคิดมองร้านผ้าตาเป็นมัน เถ้าแก่ชวีอยู่ๆก็ร้อนหนาวไม่ทราบสาเหตุ

“คุณชายเก็บไปคิดให้ดีก่อนดีกว่า หากทำเล่นๆ…”

“ข้าไม่ได้เล่น ข้ากล่าวจริง และจะทำจริง”เขาหมุนตัวไปหาบ่าวทั้งสอง กางมือสองข้างออก

“ข้าจะเป็นเจ้าของกิจการ ผู้คนในฉางอันจะต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวข้าใหม่”จื่อฟางพูดอย่างมุ่งมั่น แววตาเป็นประกาย นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงแรงฮึดเช่นนี้ จางต้าและหยางชวีคล้ายเห็นไฟลุกท่วมร่างของคุณชายเสิ่น

เว่ยหลงยืนอยู่ที่ชั้นสอง คำพูดของคุณชายเสิ่นลอยเข้าหูพอดี ‘หืม…เจ้าเต่าคิดทำสิ่งใดอีก กิจการหรือ’

“ฮ่าๆๆๆ”เสียงหัวเราะของเว่ยหลงดังลั่นไปทั่วร้าน

จื่อฟางเดินออกมาได้ไม่นาน ได้ยินเสียงหัวเราะก็รู้สึกว่าถูกดูถูก เขาสะบัดชายเสื้อผลุบหายไปในรถม้า หยางชวียิ้มจางคิดว่าคุณชายยามจริงจังดูเข้าท่ากว่าทำตัวไม่เอาไหนมากนัก แต่…เขาถอนหายใจ หากนายท่านอนุญาตก็ดีไป

จื่อฟางกลับมาถึงจวนก็ไปหมกตัวที่ห้องหนังสือรอให้เสิ่นมู่หยางกลับจากราชสำนัก เขานำหนังสือไร้หน้าปกมาอ่าน แน่นอนว่าย่อมเป็นนิทานของคหบดีแซ่เจี่ย อ่านไปได้ครึ่งทางก็พบว่ามีจดหมายสอดมา เป็นจดหมายตกค้างจากสองเดือนก่อนที่เขาไม่ได้แวะไปที่ร้านหนังสือ ใจความมีอยู่ว่า

‘เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าตรวจสอบการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสอวิ๋นได้ใจความอย่างไรบ้าง สืบให้รู้ว่าเขาใช้พวกใดทำงาน อย่าให้การตายของปู่เจ้าเสียเปล่า’

ส่วนอีกฉบับ

‘ไยเจ้าไม่ตอบจดหมาย? เดือนหน้าข้าจะส่งอาสือไป ระมัดระวังด้วย’

เขาเหยียดยิ้ม ที่แท้หลิวอ๋องก็ตามสืบเรื่องผู้อาวุโสอวิ๋นอยู่เหมือนกัน วันนี้องครักษ์ของฮ่องเต้คงได้เรื่องไปรายงานแล้ว รออยู่ค่อนวัน หยางชวีก็มาบอกว่าเสิ่นมู่หยางกลับมาแล้ว เขานำจดหมายซ่อนไว้ในแขนเสื้อก่อนเดินไปที่เรือนใหญ่ เสิ่นมู่หยางเพิ่งจะดื่มชาไปสองจอก ก็เห็นบุตรชายเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“ท่านพ่อ เรื่องการสอบระดับอำเภอ ข้าคิดดีแล้วว่าควรพยายามด้วยตนเอง ข้าอยากให้ท่านเปลี่ยนหัวข้อสอบ”เขาเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า เสิ่นมู่หยางถูกคำพูดของบุตรชายเล่นงานจนมึนงง

“เจ้า…แน่ใจหรือ”

“แน่ใจ ข้าไม่อยากเอาเปรียบผู้อื่น”เสิ่นมู่หยางมองหน้าเสิ่นจิ้งเฟยอยู่สักพักก่อนหัวเราะเสียงดัง ลุกเดินมาหาบุตรชายตบไหล่เบาๆ

“เจ้าคิดได้ก็ดี แต่หากเจ้าสอบไม่ผ่านเล่า”

“ข้าจะพยายามสุดความสามารถ ข้าจะสอบให้ได้”จื่อฟางเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “ท่านพ่อ หากข้าสอบได้ ท่านรับปากได้หรือไม่ว่าหากข้าเอ่ยปากขอสิ่งใด ท่านจะตกลง”

เสนาบดีเสิ่นเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าบุตรชายไม่เอาไหนจะต่อรองเขาด้วยเรื่องนี้ ทั้งยังดูมั่นใจว่าจะต้องสอบได้อีก มันไปกินสิ่งใดผิดแปลกมาหรือไง “เจ้าจะขอสิ่งใดเล่า”

“ไม่ใช่ของหายากอะไรหรอก ท่านพ่อรับปากมาก็พอ”

“ถ้าหากว่าเจ้าสอบได้ ข้าก็ตกลง”เสิ่นมู่หยาง ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะสอบได้อยู่แล้วจึงเอ่ยไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มพลันมีท่าทางแปลกไป รอยยิ้มมุ่งมั่นในตอนแรก ยามนี้คล้ายดูแสร้งทำ   

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวก่อน ท่านพักผ่อนเถอะ”จื่อฟางรีบหมุนตัวเดินออกมา สองมือกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อ หานตงยืนอยู่มุมห้องอย่างสงบเสงี่ยม ลอบถอนหายใจเบาๆ เงยหน้ามองนายท่านที่ดูไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตรชาย

“เจ้าเฟยเอ๋อร์เป็นอะไรไปอีก”เสิ่นมู่หยางพึมพำ คิดว่าเด็กหนุ่มช่างเอาใจยาก

“คุณชายเสิ่นคงน้อยใจที่นายท่านไม่คิดว่าเขาจะสอบได้”หานตงเอ่ยเสียงเรียบ เสิ่นมู่หยางปรายตามองอย่างแปลกใจ นานครั้งที่ผู้ติดตามของเขาจะออกปากเรื่องในบ้าน เขาถอนหายใจ ก็บุตรชายของเขาทำเรื่องน่าผิดหวังมากี่ครั้งกี่หนกันเล่า?

“ข้าลืมไป เจ้านำความไปบอกคุณชายเสิ่นด้วยว่าวันหยุดนี้ต้องเดินทางไปอำเภอถงฉวน สกุลโหยวอยากพบเขา”เสิ่นมู่หยางจ้องมองจดหมายที่ส่งมาจากสกุลโหยว เขาเองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนานแล้วเช่นกัน แต่สกุลฝั่งนั้นชังน้ำหน้าเสนาบดีเสิ่นนักจนไม่กล้าไปเหยียบ

“ขอรับ”หานตงรับคำ ออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ที่สกุลโหยวอยากพบเสิ่นจิ้งเฟยก็คงเป็นเพราะเขาเขียนจดหมายไปบอกเล่าว่าเสิ่นจิ้งเฟยวาดภาพโหยวหลันได้งดงามเหมือนจริงมาก ทางนั้นจึงอยากเชยชมว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าตาแก่นั่นเห็นคงร้องไห้ไปอีกหลายวัน เขายกยิ้มมุมปาก แต่เขาก็ถอนหายใจอีกรอบเมื่อคิดถึงภรรยาที่จากโลกนี้ไปนานแล้ว     

เจ้าคงเข้าใจข้า ไม่โกรธข้าใช่หรือไม่ ข้าจะบอกเฟยเอ๋อร์อย่างไรดี เขานึกไปถึงคำพูดเย็นชาไร้หัวใจของบุตรชาย

‘ท่านเคยสัญญากับท่านแม่ไว้ว่าจะไม่นำหญิงใดเข้ามาอยู่ในจวน ข้าขอเตือนท่าน หากท่านผิดสัญญา ข้าสาบานว่าจะตามไปฆ่าผู้ใดก็ตามที่คิดเหยียบเข้ามาในจวนแห่งนี้’

“เฟยเอ๋อร์เป็นเช่นนี้…หากเขารู้เรื่องราวเบื้องหลังการตายของท่านปู่…เขาจะรับได้หรือ แท้จริงแล้วท่านปู่ที่แสนใจดีของเขา เป็นคนร่วมมือกับฮ่องเต้ใส่ความองค์ชายใหญ่…”หากคนผู้นั้นจะชิงชังสกุลเสิ่นก็ไม่ผิด เสิ่นมู่หยางรู้มาว่าองค์ชายใหญ่ใช้คนเคลื่อนไหวในทางลับมาหลายปีแล้ว เสิ่นมู่หยางหลับตานวดขมับเบาๆ แต่การเมืองก็เป็นเช่นนี้ เดินพลาดเพียงนิด สถานการณ์ก็เปลี่ยน คมดาบอาจหันมาได้ทุกเมื่อ ตอนแรกเขาลังเลใจ ต้องการให้บุตรชายรับราชการอย่างที่ทายาทสกุลเสิ่นควรทำ แต่คิดดูอีกทีเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ห่างจากคมดาบเหล่านั้นก็ดีแล้ว…. เสิ่นมู่หยางลูบหน้าอก รับรู้ว่ารอยแผลที่เกิดขึ้นเมื่อปีกลายยังคงอยู่เป็นเครื่องยืนยันความเกลียดชังของคนผู้นั้น

เอาเถิด…หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาจะเป็นคนรับคมดาบเอง




หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 27-07-2018 21:18:04
อ่านตอนนี้แล้ว ทำให้รู้รายละเอียดมากขึ้น ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: fida ที่ 27-07-2018 22:29:00
ไม่ได้อ่านเรื่องนี้มานานมาก
หลายๆ ปมเริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังไม่กระจ่าง
รอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 28-07-2018 01:26:39
เขินฉากจูบ ครั้งหน้าเอาแบบไม่ใช่ความอยากเอาชนะนะหุหุ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-07-2018 04:06:48
สอบได้อยู่แล้ว มั่นหน้า มั่นใจสุด ๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-07-2018 09:33:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-07-2018 10:32:31
ชอบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ไป๋ผูอวี้ ชนะจื่อฟางอีกแล้ว   :o8: :impress2:
แข่งแบบนี้ ถูกใจ๋ ถูกใจ   :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-07-2018 10:42:16
ฮืออออ เค้าจูบกัน ถึงจะแบบเอาชนะก็เถอะ เราก็ฟินนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-07-2018 10:43:52
ซับซ้อนมากเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 28-07-2018 11:27:04
อยากรู้คนใหม่ของท่านพ่อคือใครร ชอบเรื่องนี้มาก รอนะคะะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-07-2018 14:13:33
 :pig4:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 28-07-2018 17:17:18
อุ้ยมาไว​ ดีใจจังเลยค่ะ​  สนุกค่ะ​ ยิ่งคลายปม​ ยิ่งน่าติดตาม
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-07-2018 19:22:04
จูบแล้วน้า โอ้ย เข้มข้น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 30-07-2018 14:12:19
จูบกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-08-2018 19:20:36
 บทสิบสี่ เยี่ยมสกุลโหยว

หลังจากที่หยางชวีสอนให้จื่อฟางเดินลมปราณจนแล้วเสร็จ เด็กหนุ่มก็ใช้เวลาก่อนนอนเพียงลำพังเช่นเคย เขานั่งมองเงาสะท้อนใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยจากคันฉ่อง ในใจพลันผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา หากว่าเสิ่นจิ้งเฟยใบหน้าอัปลักษณ์จะยังมีคนชื่นชมอยู่หรือไม่ เขาอยู่ในร่างนี้มาเกือบสี่เดือน ยังรู้สึกเช่นนี้ แล้วเสิ่นจิ้งเฟยเล่าจะรู้สึกเช่นไร เขาไล่ความคิดไร้สาระออกไปก่อนกวาดตาอ่านจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จไปเมื่อครู่ เป็นจดหมายถึงฮ่องเต้เจี่ยผิงมีใจความว่า

‘ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากร้องขอท่าน เรื่ององครักษ์ที่ท่านส่งมาข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ข้ามิใช่นักโทษ ข้าไม่อยากให้องครักษ์ทั้งสองมาสุ่มส่องบนหลังคาเรือนนอนของข้า ฝ่าบาทโปรดเข้าใจด้วย’

เขาพยายามใช้ถ้อยคำที่ดูไม่เหมือนเป็นคำสั่ง แม้อ่านแล้วจะสั้นห้วนไปบ้าง แต่เช่นนี้ถึงจะสมกับเป็นเสิ่นจิ้งเฟย  การร่วมมือกับฮ่องเต้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเสียทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเรื่องของหลิวอ๋องเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีคนของฮ่องเต้คอยสอดส่องทำให้จื่อฟางทำเรื่องออกนอกลู่นอกทางไม่สะดวก เขากลัวว่าองครักษ์สองคนนั่นจะเอาไปรายงานฮ่องเต้ เด็กหนุ่มตรวจความเรียบร้อย นำจดหมายของตนเทียบกับลายมือเดิมของเสิ่นจิ้งเฟยก็พบว่าไม่มีร่องรอยน่าสังสัยจึงจัดการปิดผนึกจดหมาย

จื่อฟางย้อนนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับหานตงผู้ติดตามประจำตัวของเสิ่นมู่หยาง 

“คุณชายเสิ่น นายท่านนำความมาบอกว่าช่วงวันหยุดนี้ให้เดินทางไปเยี่ยมสกุลโหยวขอรับ”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว จากความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยเจ้าตัวดูไม่ใคร่อยากไปเยี่ยมสกุลทางฝั่งมารดาเท่าไร

จื่อฟางแสร้งทำสีหน้าขุ่นเคือง “เยี่ยมท่านตา? ไยต้องไป เขาป่วยขึ้นมาหรือ”

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ นายท่านบอกกล่าวมาเช่นนี้”หานตงตอบด้วยสีหน้าคงเดิม 

“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว”เขาพินิจมองบุรุษตรงหน้า หานตงมีบุคลิกที่แตกต่างจากหยางชวี เขาดูสุขุมนุ่มลึก คล้ายภูเขาลูกโตที่ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ถ้าหยางชวีเป็นคนหน้าตาย ชายตรงหน้าก็เป็นคนหน้าหิน เปรียบเทียบกันแล้วถึงได้รู้ว่าคนผู้นี้เหนือกว่าหลายขุม 

 “คุณชายเสิ่น ข้าน้อยขอกล่าวสักสองสามประโยค”หานตงกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังสร้างความกดดันให้จื่อฟาง 

“ว่ามา”เขาโบกพัด เลียนแบบท่าทางของเสิ่นจิ้งเฟยได้สมจริงจนเขาเห็นหัวคิ้วของหานตงขยับน้อยๆ

“ระยะนี้ข้ามีความรู้สึกว่าจวนเสนาบดีกำลังถูกจับตามอง ข้าไม่รู้ว่าคุณชายคิดทำสิ่งใด แต่การให้คนภายนอกรู้ความเป็นไปของสกุลเสิ่นไม่ใช่เรื่องดี ข้าน้อยเป็นห่วง”น้ำเสียงของหานตงไม่ได้มีแววตำหนิ แต่สายตาที่มองตรงมาที่เขากลับสร้างความกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี เพียงแค่ไหลไปตามสถานการณ์เท่านั้น ข้าไม่สามารถขัดคำพูดของคนผู้นั้นได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

สีหน้าของหานตงยังคงไม่เปลี่ยน มีเพียงนัยน์ตาที่ไหวเป็นระลอกบางเบา “นายท่านทราบหรือไม่ขอรับ”

เด็กหนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว ปรายตามองอย่างเฉยชา“หากท่านพ่อรู้ ก็คงมาโวยวายกับข้าแล้ว”เขาแสร้งสะบัดพัดดังฉับหมุนตัวจากไปทันที

นับวันเขาก็ยิ่งแสดงได้แนบเนียน คงดีกว่านี้หากเขาได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วย แต่เขาจะได้รับความทรงจำก็ต่อเมื่อเกิดสถานการณ์ใกล้เคียงหรือมีเหตุกระตุ้น แต่เร่งรีบไปก็ไม่ดี ผลเสียมีแต่ตกมาที่ตัวเขา จื่อฟางไม่อยากนอนฝันร้าย คิดแล้วก็รู้สึกขุ่นเคือง กระทั่งยามนอนเสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ปล่อยให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง จื่อฟางเพ่งมองใบหน้าเคร่งเครียดในคันฉ่องอย่างหงุดหงิด ได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ในอก ยามนี้ต้องห่วงเรื่องคำสั่งของเสิ่นมู่หยางต่างหาก

เยี่ยมสกุลโหยว

นับว่าเป็นเรื่องเสี่ยง แต่ก็มีเรื่องดีอยู่หนึ่งประการเพราะการไปเยี่ยมญาติครั้งนี้ตรงกับบทของเสิ่นจิ้งเฟยในนิยาย ในที่สุดเนื้อเรื่องก็กลับเข้าเส้นเรื่องเดิมเสียทีหลังจากที่ถูกเรื่องราวไม่คาดคิดประดังประเดเข้ามาจนเปลี่ยนทิศทางของนิยายไปหมดสิ้น อาจมิใช่พล็อตเรื่องเดิม จื่อฟางเข้าใจว่าผู้แต่งยังไม่ได้เฉลยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของของเสิ่นจิ้งเฟย บางทีอาจเป็นช่วงกลางเรื่องที่เขายังอ่านไม่ถึง เขาจำได้ว่าซูเหลียนฮวานางมารหมื่นพิษปรากฏตัวหลังจากบทเยี่ยมสกุลโหยว

ผู้เขียนตั้งใจยกตำแหน่งนางรองให้นาง แต่ในโลกนิยายแห่งนี้จื่อฟางที่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยน ตัวละครบางตัวที่ไม่เคยมีเช่นหยางชวีโผล่มา ซูเหลียนฮวาปรากฏตัวเร็วเกินไป นางไม่ได้ชอบเขาในเชิงชู้สาว นางเพียงอยากแกล้งเขาเท่านั้น  ถ้าหากนางไม่ใช่นางรองของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วเป็นผู้ใดเล่า เขาพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ ตัวละครใดที่ปรากฏในบทของเสิ่นจิ้งเฟยบ้าง หรือจะเป็นตัวประกอบที่ไม่รู้ชื่อ

เหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ทำให้จื่อฟางเป็นกังวล ตามบทนิยาย ระหว่างที่เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่ในเมืองหลวงฉางอัน จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับไป๋ผูอวี้และคุณหนูฉิน พวกเขาจะมีฉากที่ทำให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวต่อกันเป็นครั้งแรก แม้จื่อฟางจะมั่นใจว่าท่อนไม้ไป๋ในยามนี้ไม่ได้สนใจฉินเซียงอิน แต่เขาจะห้ามไม่ให้เกิดเรื่องได้อย่างไร? ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์จะไม่ตรงกับในนิยาย ไม่เช่นนั้น...ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

“นายควรห่วงเรื่องของตัวเองถึงจะถูก”จื่อฟางพึมพำ การเดินทางไปอำเภอถงฉวนครั้งนี้ เขาต้องระมัดระวังเพราะเสิ่นจิ้งเฟยเคยถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษมาก่อน เขาเบาใจได้เปราะหนึ่งเพราะมีหยางชวีไปด้วย ไหนจะองครักษ์ของฮ่องเต้ เรื่องที่เขาต้องห่วงก็คือ... เด็กหนุ่มมองนิ้วมือเรียวยาวของเสิ่นจิ้งเฟย เขาจะลืมการดีดกู่เจิงอันล้ำเลิศของหมอนี่ไปได้อย่างไร บ่อยครั้งที่คนสกุลโหยวจะร้องขอให้เสิ่นจิ้งเฟยแสดงฝีมือ เขาต้องทำให้มือข้างใดข้างหนึ่งบาดเจ็บ

เขาเตรียมใจสำหรับการเล่นละครแล้ว

~•~

วันต่อมาจื่อฟางตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้ง เขาพลิกตัวลงจากเตียง หยิบเสื้อคลุมมาสวมอีกชั้นเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย เหมันต์ฤดูใกล้เข้ามาทุกที เด็กหนุ่มออกไปสูดอากาศที่ลานบ้าน บ่าวรับใช้ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงกระวีกระวาดเข้ามาหมายจะปรนนิบัติแต่เขาโบกมือไล่   

“คุณ...”จางต้าอ้าปากหาว “คุณชายตื่นเช้าจังเลยขอรับ”เจ้าตัวขยี้ตาอย่างงัวเงีย วันนี้เขาหลับสบายเพราะคุณชายไม่ได้ฝันร้ายจนส่งเสียงประหลาดออกมา

“ข้าจะออกกำลัง หยางชวีไปไหนแล้ว”เขาเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นผู้ติดตามอีกคน 

“เขาออกไปฝึกเคล็ดวิชา ท่าทางลึกลับน่าดูขอรับ”จางต้ารายงานตาปรือ ตัวสั่นน้อยๆเมื่อลมหนาวพัดเข้ามาวูบใหญ่

“อ้อ...”จื่อฟางไม่ได้ว่าอะไรอีก คงเพราะมีองครักษ์ของฮ่องเต้แฝงตัวอยู่ในจวน หยางชวีคงไม่อยากฝึกวิชาให้เห็นกระมัง

    “เจ้ากลับไปนอนเถอะ ข้ายังไม่มีเรื่องให้เรียกใช้”จื่อฟางออกปากไล่อย่างเกียจคร้าน บรรยากาศเย็นๆทำให้เขากระชับเสื้อคลุม

“จะดีหรือขอรับ”จางต้าถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“อืม!”พอเขาทำเสียงรำคาญใจ จางต้าก็รีบพาหน้าตาอันง่วงงุ่นหายไปจากสายตาทันที เมื่อร่างของบ่าวคนสนิทลับตาไป เขาจึงลงมือยืดเส้นยืดสายอยู่พักใหญ่ จากนั้นเดินลมปราณ เมื่อรู้สึกว่าเลือดลมพลุ่งพล่านก็เปลี่ยนมารำไทเก็กตามที่หยางชวีสอน ไม่มีสายตาคนเฝ้ามอง จื่อฟางจึงเคลื่อนร่างกายได้พริ้วไหวไม่ติดขัด แต่ก็ได้แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น เขารู้ลิมิตร่างกายนี้ดี เมื่อเหงื่อเริ่มออกเยอะ เขาจึงหยุดพักปรับลมหายใจให้เป็นปกติ สายลมพัดมาวูบใหญ่ เศษใบหลิวปลิวว่อน ท้องฟ้าเริ่มเห็นเป็นสีทองรำไร

จื่อฟางจึงกลับเข้าไปในเรือนหยิบจดหมายปิดผนึกออกมา เขารู้ว่าองครักษ์คงอยู่ไม่ไกลจากเขตเรือนจึงกระแอมเบาๆ

“องครักษ์ทั้งสอง...ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”เขาเอ่ยเสียงเบากับสายลม “ข้าอยากฝากจดหมายถึง....คนผู้นั้น”พอกล่าวเช่นนี้ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวบนกำแพงจวนไม่ห่างจากจุดที่จื่อฟางยืนอยู่นัก องครักษ์นิรนามสวมชุดดำทั้งร่าง ใบหน้าถูกปกปิดเห็นเพียงดวงตาเป็นประกายวาวในแสงสลัวยืนมองไม่พูดไม่จา เขาส่งจดหมายไปให้โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ร่างนั้นรับจดหมายก่อนหายตัวไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับยามที่ปรากฏตัว สายลมวูบหนึ่งทำให้เส้นผมระบ่าของเขาขยับไหว

จื่อฟางยังคงเพ่งมองอยู่ที่จุดเดิม เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากเบื้องหลัง เขาไม่ได้หมุนตัวกลับไปมอง ฟังจากฝีเท้าที่ไม่มั่นคงและเสียงดังกึกเบาๆของไม้เท้า เขาก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด

เฉินฉางเซียงมองร่างผอมบางของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยดวงตาราบเรียบ สองสามวันที่ผ่านมาเจ้าเด็กนี่กลับมาพร้อมกับผู้มีฝีมือสองคน ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ เขารู้จักดี เป็นคนของฮ่องเต้ เขาได้ยินเรื่องเล่าลือมากมายเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง เรื่องที่พระองค์ทรงถูกใจความงามของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นที่รู้ดีของเหล่าขุนนางคนสนิท

ความทรงจำเก่าๆผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเฉินฉางเซียง ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีก่อนยามที่ฮ่องเต้ยังเป็นเพียงองค์ชายรองเจี่ยผิง เวลานั้นพระองค์เพิ่งครบสิบชันษาแต่ก็เปล่งประกายโดดเด่นกว่าองค์ชายรัชทายาทเจี่ยอี้ที่ไม่ค่อยเฉลียวฉลาดนัก พระองค์พระชนมายุสิบสามปีแต่กลับมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กทั่วไป ทั้งยังค่อนข้างมุทะลุ เลือดร้อน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากถึงเรื่องความเหมาะสมขององค์รัชทายาท เหตุเพราะฮ่องเต้เจี่ยจ้าวเคยรับปากกับหูเหม่ยเหรินว่าจะแต่งตั้งโอรสองค์แรกให้เป็นรัชทายาท ผู้ที่กล้าออกปากกลับมิใช่ใครอื่น เป็นเสิ่นฉินอี้นั่นเอง

เวลานั้นสกุลเสิ่นค่อนข้างแข็งแกร่ง บุตรชายของเขาเสิ่นมู่หยางอายุได้สิบหกปีก็มีความสามารถมาก ในอนาคตคงได้เข้ามาในราชสำนัก ฮ่องเต้ยังต้องพึ่งสกุลเก่าแก่เหล่านี้จึงจำต้องรับฟังอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก กลุุ่มคลื่นใต้น้ำได้เคลื่อนไหวมานานตั้งแต่เมื่อคราวที่สี่ว์ฮองเฮาเสียธิดาคนแรกในการประสูติ พวกเขาก็ยิ่งร้อนใจ แต่ต่อมาไม่นานพระนางก็ทรงให้กำเนิดโอรสซึ่งก็คือองค์ชายรองเจี่ยผิง การประสูติครั้งนั้นทำให้สี่ว์ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอลงมาก กลุ่มขุนนางที่หนุนหลังองค์ชายรองล้วนเป็นสกุลเก่าแก่ ยกเว้นสกุลหลี่และอัครเสนาบดีอวิ๋นเซียนหลางที่ไม่ได้เผยท่าทีใด เช่นเดียวกับเฉินฉางเซียง เขาเพียงมองความเป็นไปของราชสำนักเงียบๆดั่งเฝ้ามองกระดานหมาก

จนในที่สุดเสิ่นฉินอี้และผู้สนับสนุนองค์ชายรองก็หาจุดบกพร่องเขี่ยองค์ชายใหญ่หลุดพ้นจากตำแหน่งรัชทายาทได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยที่องค์ชายรัชทายาทเจี่ยอี้ไม่เหมาะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่สนับสนุนแนวทางของเสิ่นฉินอี้ ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่การกระทำของสหายขัดกับคุณธรรมในใจเขา

 “องค์ชายใหญ่ใช่ว่าไม่มีผู้สนับสนุน เดิมทีต้นสกุลหูมาจากนอกด่าน พวกเขาคงไม่นิ่งเฉย”

 “ข้ารู้ ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย แต่การเคลื่อนไหวครานี้เป็นก้าวที่สมควร ข้ามองคนไม่ผิด องค์รัชทายาทเจี่ยผิงทรงปรีชามีความสามารถ ภายภาคหน้าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี นำความสงบมั่งคั่งมาสู่แผ่นดิน”

 “ฮ่องเต้ที่ดีหรือ....ให้พระองค์เลิกสนใจขันทีอ้อนแอ้นพวกนั้นก่อนเถอะ”เฉินฉางเซียงพึมพำ เดิมทีก็มิใช่เรื่องแปลก รัชทายาทไม่ใช่เชื้อพระวงศ์องค์แรกที่มีรสนิยมชมชอบบุรุษเพศเดียวกัน แต่เรื่องนี้ให้รู้น้อยคนยิ่งดี ตำแหน่งรัชทายาทขององค์ชายเจี่ยผิงยังไม่มั่นคง เรื่องนี้รู้น้อยคนยิ่งดีจึงมีเพียงเหล่าคนสนิทเท่านั้นที่ล่วงรู้

เสิ่นฉินอี้ขมวดคิ้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดูท่าจะห้ามไม่ได้ ข้าได้แต่เตือนพระองค์”

จากขันที เปลี่ยนเป็นชายงาม เมื่อวันครบรอบพระชนมายุสิบเจ็ดชันษา แคว้นเก๋อทรงมอบหญิงงามและชายงามให้กับพระองค์ ฮ่องเต้เจี่ยจ้าวมิได้ว่ากล่าวสิ่งใด จึงไม่มีผู้ใดกล้าออกปากขัด วันนั้นเองเป็นวันที่รัชทายาทเจี่ยผิงได้พบกับหลานชายของเสิ่นฉินอี้เป็นครั้งแรก เสิ่นจิ้งเฟยในวัยหกขวบแม้ยังเยาว์วัย แต่ใบหน้านั้นก็มีเค้าความงามที่ได้มาจากมารดา เฉินฉางเซียงยังจำสายตาของพระองค์ยามจ้องมองเสิ่นจิ้้งเฟยได้ดี ทำเอาขนอ่อนที่หลังคอลุกชัน เป็นความลุ่มหลงและต้องการหมายครอบครอง

เสิ่นฉินอี้เองก็คล้ายกับสังเกตเห็น นับจากนั้นเขาก็ไม่ได้พาหลานชายมาร่วมงานเลี้ยงในวังอีก แต่ใครจะคาดคิดว่ารัชทายาทจะกล้าปลอมตัวออกนอกวังไปพบปะกับเสิ่นจิ้งเฟยเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา แต่จะบอกว่าไม่ประสีประสาก็ไม่ถูก เสิ่นจิ้งเฟยนั้นฉลาด แต่นิสัยเสีย เสิ่นฉินอี้รู้เข้าก็ถึงขั้นควันออกหู โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เมื่อถึงเวลาดื่มชาพบปะกับรัชทายาท เขาจึงไม่เก็บอาการ สั่งสอนรัชทายาทต่อหน้าสกุลเก่าแก่ทันที แม้จะเป็นคนเคยเห็นหน้าค่าตากัน แต่การกระทำของเสิ่นฉินอี้ถือว่าไม่ไว้หน้ารัชทายาท 

 “องค์รัชทายาท ข้าขอกล่าวตามตรง ขออย่าท่านได้คิดเป็นอื่นกับหลานชายของข้า”   

 “คิดเป็นอื่น? ข้ากับท่านคนกันเอง จะให้คิดเป็นอื่นได้เช่นไร ท่านกล่าวเรื่องใดอยู่หรือ”เจี่ยผิงยังคงสงบท่าที 

 “ข้าขอย้ำเตือนท่าน หลานของข้ามิใช่ของเล่น เขาบอบบางเกินกว่าจะให้ท่านมาทำลาย”

 “ท่านจริงจังเกินไปแล้ว ข้าดองกับท่านไม่ดีหรือ สกุลเสิ่นจะได้มั่นคง”แม้น้ำเสียงของพระองค์จะแฝงแววหยอกล้อ แต่เฉินฉางเซียงรู้ดีว่ารัชทายาทหมายความอย่างที่พูด สกุลหลินและสกุลจ้าวได้แต่ลอบมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก 

เสิ่นฉินอี้ยิ่งหน้าเขียว รัชทายาทเจี่ยผิงเผยรอยยิ้มขบขัน “รองเสนาบดีเสิ่น ท่านคงทราบดีกระมัง หากข้าได้ครองบัลลังก์ เพียงแค่ข้าเอ่ยปากสกุลเสิ่นก็หนีไม่พ้นแล้ว ท่านอย่าโมโหไปเลย เกิดป่วยขึ้นมาจะลำบากเอา เช่นนั้นใครจะปกป้องสกุลเสิ่น ข้าอยากอยู่พูดคุยกับท่านอีกหลายปี”

เสิ่นฉินอี้หัวเราะลั่น น่าแปลกที่บรรยากาศกลับเปลี่ยนเป็นดีขึ้น “รัชทายาทเจี่ยผิง ท่านไม่ต้องกังวล ข้ายังอยู่ได้อีกนาน”

แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีผู้นำบทสนทนาของพวกเขาไปบิดเบือนจนทำให้เกิดเรื่องเล่าลือออกไปว่ารัชทายาทเจี่ยผิงไม่พอใจสกุลเสิ่น จากนั้นไม่ถึงหนึ่งปีเสิ่นฉินอี้ก็จากไปอย่างกะทันหัน ภายนอกได้ยินกันว่าเป็นเพราะปัญหาสุขภาพที่สั่งสมมานาน แต่แท้จริงแล้วเสิ่นฉินอี้ถูกวางยาพิษ ข่าวลือที่รัชทายาทกับสกุลเสิ่นไม่ลงรอยกันจึงกระพือไปทั่วอีกครั้งทำให้มีผู้คนเชื่อว่าการตายของเสิ่นฉินอี้เป็นฝีมือของรัชทายาท สองปีต่อมาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ฮ่องเต้เจี่ยจ้าวสวรรคต รัชทายาทเจี่ยผิงขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ด้วยวัยยี่สิบปี

    

“โชคชะตาบางคราก็โหดร้าย เจ้าว่ารึไม่ เสิ่นจิ้งเฟย”เฉินฉางเซียงเอ่ยถาม หลังจากที่หลุดออกจากห้วงความคิด ลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ ทำให้เส้นผมยาวสยายของเสิ่นจิ้งเฟยปลิวน้อยๆ เป็นภาพที่งดงาม เขายิ่งมองกลับเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงของที่เสิ่นฉินอี้ฝากไว้เพื่อส่งมอบให้หลานชาย ยิ่งทำให้เฉินฉางเซียงร้อนใจราวกับถือครองของต้องห้าม อยากยกให้เจ้าเด็กไม่รู้ความเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขาไม่อยากให้ผิดความตั้งใจของเสิ่นฉินอี้

 “ข้าว่าจิตใจของคนโหดร้ายมากกว่านัก”จื่อฟางโต้ตอบ หมุนตัวมองใต้เท้าเฉิน “ท่านคิดสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินท่านมาถึงสักพักแล้ว”

 “เรื่องเก่าๆสมัยยังเป็นขุนนาง”ใต้เท้าเฉินตอบอย่างไม่ปิดบัง ใบหน้าเหี่ยวย่นฉายแววเป็นกังวลก่อนเอ่ยถาม “เมื่อครู่เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้สินะ”

จื่อฟางพยักหน้ารับ จะอย่างไรคงปิดไม่พ้น เฉินฉางเซียงใช้สายตาตำหนิมองเสิ่นจิ้งเฟย   

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าฝ่าบาทคิดเช่นไร ไฉนยังเข้าไปยุ่งเกี่ยว”เขากล่าววาจาสั่งสอน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเสิ่นฉินอี้ “หากปู่เจ้ารู้คงอกแตกตายอยู่ในปรโลกแล้วกระมัง”

จื่อฟางได้แต่ตีหน้าหมอง “ข้าทราบดี แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้หลีกหนีก็หนีไม่พ้น”เขาไม่รู้ว่าเฉินฉางเซียงคิดเห็นเรื่องที่ฮ่องเต้ส่งคนมาเฝ้าที่จวนว่าอย่างไร แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือไว้ก่อนเป็นอันดี

 “หึ เจ้าก็เลยจะเสนอตัวเข้าไปอย่างนั้นหรือ”เฉินฉางเซียงไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดทำเรื่องเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะยอมโอนอ่อน มิใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ชิงชังฝ่าบาทหรอกหรือ

“ท่านดูถูกข้ามากไปแล้ว ข้าเนี่ยนะเสนอตัวให้เขา”เด็กหนุ่มสวนกลับทันควัน อารมณ์ขุ่นเคืองทั้งของเขาและเจ้าของร่างทำให้จื่อฟางกำหมัดแน่น คิดอยากโต้ตอบสักหลายประโยค แต่ก็เอ่ยบอกเหตุผลออกไปไม่ได้

เฉินฉางเซียงหายใจเร็วกว่าปกติ คล้ายมีน้ำโหขึ้นมา “แล้วเจ้าคิดทำสิ่งใด คิดจะหลอกฝ่าบาทหรือ คนผู้นั้นใช้เวลารอเจ้ามานานหลายปี คิดดูเอาเถิด เขาจะจัดการเจ้าเช่นไร คิดหรือว่าสกุลเสิ่นจะปลอดภัย”เฉินฉางเซียงพลันปวดหัว เคาะไม้เท้าลงกับพื้นดังกึกๆ “เจ้ากำลังสร้างเรื่องเดือดร้อนให้สกุล”

“ข้าไม่มีวันหาเรื่องทำร้ายสกุลเสิ่น”คำพูดนี้ช่างย้อนแย้งกับการกระทำของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน ถ้าหากว่าเจ้านั่นกลับร่าง แล้วเขาเล่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ก่อนอื่นก็ต้องตอบคำถามว่ายามนี้เสิ่นจิ้งเฟยไปวนเวียนอยู่ที่ใด...

ใต้เท้าเฉินเห็นสีหน้าสับสนปนเปของเด็กหนุ่มรูปงามก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา 

“เจ้ายังเด็ก อย่าได้คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้ ข้ารู้จักคนผู้นั้น...”

 “หากท่านรู้จักเขา ท่านก็คงรู้ว่าฝ่าบาทไม่มีทางละมือโดยง่าย”จื่อฟางเหนื่อยใจเหลือเกินที่ต้องคุยเรื่องฮ่องเต้

เฉินฉางเซียงไม่ได้เอ่ยตอบ เพราะรู้ดีว่าเจ้าเด็กไม่เอาไหนพูดได้ถูกต้อง

“เอาเถอะ คิดทำสิ่งใดก็นึกถึงใจพ่อเจ้าบ้าง”พูดถึงเสิ่นมู่หยาง จื่อฟางก็ย่นคิ้ว คนผู้นั้นรักเสิ่นจิ้งเฟยจริงหรือ

“หากเขานึกถึงบุตรชายบ้างก็คงดี”เขาพึมพำ พยายามเก็บสีหน้า แต่ก็ไม่สำเร็จนัก ใต้เท้าเฉินไม่ได้สังเกตคำพูดแปลกๆของอีกฝ่าย ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยช่างรัดทดนัก นอกจากเกิดเป็นบุตรขุนนางแล้วมีอะไรดี มิตรสหายจริงใจก็ไม่มี เสียมารดา เสียท่านปู่ แล้วยังมาถูกคนที่คิดว่าเป็นพี่ฝู่จวิ้นมาหลอกเอาอีก 

เฉินฉางเซียงได้แต่ถอนหายใจ อยากเรียกเจ้าเสิ่นมู่หยางมาสั่งสอน แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา เขาเพียงมาสอนหนังสือเจ้าเด็กไม่เอาไหนเท่านั้น

    “ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องในบ้านของพวกเจ้า แค่สอนเจ้าก็ปวดหัวมากพอแล้ว”ถึงจะกล่าวเช่นนั้น สายตาที่มองดูจื่อฟางก็อ่อนลงมาก

“ใต้เท้าเฉิน ความจริงแล้ว ข้ากำลังตามหาความจริงเรื่องท่านปู่”เด็กหนุ่มหยิบยกเรื่องนี้มาเอ่ยอีกครั้ง ใต้เท้าเฉินเหมือนไม่อยากให้เขาเอ่ยถึงเรื่องของเสิ่นฉินอี้

 “เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้ เรื่องก็เกิดขึ้นตั้งนานนมแล้ว”

 “เพราะข้าต้องการความจริง ข้าไม่เชื่อว่าท่านปู่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วยธรรมดา”จื่อฟางพูดไปก็กลัวว่าจะถูกไม้เท้าฟาดเอา

เฉินฉางเซียงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากให้เสิ่นจิ้งเฟยควานหาความจริงเอาเองก็เกรงว่าจะไปคว้าเจอตอเข้า

“สอบระดับอำเภอเสร็จสิ้นเมื่อใด ข้าจะบอกเจ้า”เขาเอ่ยเมื่อตัดสินใจได้ในที่สุด

 “บอกตอนนี้ไม่ได้หรือ”จื่อฟางเร่งเร้า รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาเพราะไม่คิดว่าชายคร่ำเคร่งผู้นี้จะยอม

 “ไม่ได้ เจ้าเตรียมสมองไว้สำหรับสอบระดับอำเภอก็พอ อย่าทำให้ข้าและสกุลเจ้าขายหน้าล่ะ”เฉินฉางเซียงถลึงตาใส่เด็กหนุ่ม เขากลัวเจ้าเด็กนี่รู้ความจริงเข้าจะเสียสมาธิ

 “ข้ารู้แล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ”

    “หึ ก็ยังดีที่เจ้ายังพยายาม อีกอย่าง ข้าดีใจที่ได้ยินว่าเจ้าไม่คิดใช้ความช่วยเหลือของบิดา คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว แค่สอบยังคดโกง ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร เรื่องเป็นขุนนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง”เกรงว่าจะได้เป็นเพียงพวกต๊อกต๋อยเป็นลูกไล่ตามผู้อื่นเขา เฉินฉางเซียงละความหวังให้เสิ่นจิ้งเฟยเป็นขุนนาง ยิ่งฮ่องเต้เริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเจ้าเด็กนี่ ก็ยิ่งเสี่ยงให้เข้าไปอยู่ใกล้สายพระเนตร แต่ส่งคนมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างกันนัก ...สวรรค์คงลงโทษ ดูท่าเสิ่นฉินอี้จะมองคนผิดชักนำเสือมาขย้ำหลานชายเสียอย่างนั้น เป็นดั่งที่ฮ่องเต้กล่าว ไม่มีเสิ่นฉินอี้ ผู้ใดก็ปกป้องสกุลเสิ่นไม่ได้ เสิ่นมู่หยางก็ปวกเปียกเกินกว่าจะคิดแข็งข้อต่อฮ่องเต้   

 “หากเจ้าสอบได้ ข้าจะยอมให้เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์”เฉินฉางเซียงเอ่ยดวงตาเป็นประกาย

    “จริงหรือ!”จื่อฟางไม่อยากเชื่อหู ปกติเขาเอ่ยขอแทบตาย ใต้เท้าเฉินก็เอาแต่ใช้ไม้เท้าฟาด เขาน้ำตารื้นเล็กน้อย แม้ใต้เท้าเฉินจะขี้บ่นจนน่ารำคาญแต่ก็ใส่ใจเขาในแบบของตัวเอง

 “สอบให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยร้อง”เฉินฉางเซียงเบือนหน้าหนี ตั้งใจจะกลับเรือนรับรองของตนแล้ว เขาไม่ถนัดทำตัวเช่นนี้นัก

 “ข้าไม่ร้องหรอก”จื่อฟางเบ้ปากพึมพำ ใช่เด็กเสียที่ไหน

 “แต่หากสอบไม่ได้ ข้าฟาดเจ้าแน่”ใต้เท้าเฉินเพียงส่งเสียงหึ ยกไม้เท้าขึ้นหมายจะเคาะ แต่จื่อฟางเอียงตัวหลบได้ทัน

 “ข้าจะกลับล่ะ คุยกับเจ้าแล้วหน่ายนัก”ใต้เท้าเฉินมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินหมุนตัวจากไปพร้อมเสียงไม้เท้าดังเป็นจังหวะ เขายืนมองจนร่างของเฉินฉางเซียงหายไปจากสายตา รับรู้ว่าตนเองมีรอยยิ้ม

 “คุณชาย ข้าเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว”จางต้าส่งเสียงเรียกเบาๆมาจากหน้าเรือนราวกับกลัวจะทำลายอารมณ์ดีๆของคุณชาย จื่อฟางกลับเข้าไปอาบน้ำจนเรียบร้อย แต่งตัวอย่างประณีตเช่นเคย ทานมื้อเช้าในห้องตามปกติ  จากนั้นก็เตรียมตัวไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ นึกถึงไป๋ผูอวี้ก็ทำให้เขากระปี้กระเปร่าเป็นเท่าตัว

 “คุณชายคงชอบเรียนกับไป๋ผูอวี้นะขอรับ”จางต้าเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่เดินตามเขาออกจากห้อง จื่อฟางชะงักมือที่คลี่พัด มองปราดไปที่อีกร่างทันที

    “เจ้ากล้าหยอกล้อข้าด้วยเรื่องนี้เชียวหรือ”เขาแสร้งทำเป็นขุ่นเคือง มองไปโดยรอบอย่างระวัง กลัวว่าจะมีคนได้ยิน แต่นอกจากเขาและจางต้า ก็ไม่พบผู้ใด   

 “แหะๆ คุณชาย ข้าเห็นว่าท่านอารมณ์ดีแต่เช้าเท่านั้นเอง เดี๋ยวข้าไปเรียกรถม้านะขอรับ”จางต้ารู้ว่าคุณชายไม่ได้โกรธตน แต่ไม่อยากอยู่กับคุณชายในสถานการณ์เช่นนี้จึงขอปลีกตัวออกไป ในใจบ่นถึงหยางชวีที่ยังไม่โผล่หน้ามา แต่เขากลับพบว่าเจ้านั่นรออยู่หน้าจวนกับคนขับรถม้าหน้าเดิมที่ชื่อหนานอิง

จื่อฟางมองร่างของบ่าวรับใช้ที่ลุกลี้ลุกลนจากไปก็นึกขำ เจ้าพวกนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว ระหว่างที่เดินเอื่อยเฉื่อยไปตามเฉลียงทางเดินเขาก็ครุ่นคิดถึงวิธีการทำข้อมือบาดเจ็บ หากลงมือทำเองเขากลัวว่าจะเจอกับคำถาม จึงจำเป็นต้องเล่นละครให้คนเห็น สะดุดตกจากรถม้าก็เป็นความคิดที่ดี เด็กหนุ่มทำใจกล้า คิดทำการใหญ่ก็ต้องยอมแลก เจ็บเพียงนิดไม่เป็นอะไรหรอก!ดีกว่าโดนคนสกุลโหยวสงสัยเรื่องความสามารถ เด็กหนุ่มเดินคิดเรื่อยเปื่อยก็มาถึงประตูจวน พบว่าหยางชวี จางต้าและหนานอิงกำลังรอตนอยู่

“เจ้าฝึกวิชาเสร็จแล้วรึ”จื่อฟางถาม แอบประหลาดใจที่เห็นหยางชวีมีสีหน้าพิกล

    “ขอรับ”ผู้ติดตามตอบ เขาไปฝึกวิชามาจริง แต่ไปฝึกกับเว่ยหลง แม้จะไม่ชอบน้ำหน้าฝ่ายนั้น แต่ก็ต้องยอมรับฝีมือ อันที่จริงไป๋ผูอวี้เคยเอ่ยชวนเขามาฝึกนานแล้ว แต่ด้วยคำว่าศักดิ์ศรี เขาจึงไม่ตัดสินใจ แต่ไม่นานมานี้เขามีความรู้สึกว่าคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยกำลังทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ไหนจะข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง หยางชวีอยากแข็งแกร่งมากขึ้น เขาอยากปกป้องคุณชาย แม้ว่าจะต้องยอมทิ้งทิฐิของตนไปก็ตาม มันคือหน้าที่ของผู้ติดตามไม่ใช่หรือ

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-08-2018 19:23:24
 

จื่อฟางก้าวไปในรถม้า ยังคงตกอยู่ในห้วงความคิด ลูบข้อมือของตัวเองอย่างเลื่อนลอย แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปตามท้องถนนที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คน ชาวบ้านที่ค้าขายในตรอกซีหมานต่างก็คุ้นชินกับการปรากฏตัวของเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อเห็นรถม้าที่มีคนของสกุลเสิ่น พวกเขาต่างก็หลบทางให้ แม้ในใจจะหมดความตื่นเต้น แต่ก็ยังลอบมองรูปงามๆของบุตรชายเสนาบดีเสิ่น

 “วันก่อนศิษย์พี่หานตงมาคุยกับคุณชายหรือขอรับ”หยางชวีถาม คิดว่าศิษย์พี่รู้เรื่ององครักษ์ของฮ่องเต้มาป้วนเปี้ยนแถวเรือนคุณชายเสิ่นแล้ว เขาเองก็ไม่สบายใจนัก ไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้คิดสิ่งใดอยู่ เท่ากับว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้ความเคลื่อนไหวของสกุลเสิ่น ไม่เป็นการดีเลยแท้ๆ   

 “อืม เจ้าก็รู้ ข้าต้องไปเยี่ยมท่านตาที่อำเภอถงฉวน”จื่อฟางเลี่ยงตอบถึงบทสนทนาอื่น เขาหมุนพัดรูปนกกระเรียนในมืออย่างเหม่อลอย ความคิดฟุ้งซ่านไปหมด ทั้งเรื่องสกุลโหยว ไป๋ผูอวี้และฉินเซียงอิน หากสองคนนั่น...ได้จูบแรกโดยบังเอิญเล่า ถึงเขาจะขโมยบทของนางไปแล้ว แต่ก็มีโอกาสที่บทของคุณหนูฉินจะกลับเข้าเส้นเรื่องเดิมอย่างเสิ่นจิ้งเฟย จูบรึ...แค่คิดเขาก็แสบๆคันๆที่หัวใจจนเผลอกำพัดในมือแทบหัก 

    “ถึงแล้วขอรับ”จางต้าส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นคุณชายยังคงนั่งบีบพัดแทบแหลกคามือ เขาขนลุกเกรียว  คุณชายของเขาคิดสิ่งใดอยู่หนอ ถึงได้ทำสีหน้าเช่นนี้

    “อ้อ...”จื่อฟางลากเสียง คลายมือจากพัด พบว่าจางต้าและหยางชวีกำลังจ้องมองตนอยู่ สายตาของเจ้าคนหน้าตายจับจ้องอยู่ที่ฝามือขาวที่มีรอยแดงเนื่องจากออกแรงกำพัด เขาสะบัดชายเสื้อคลุมปิด มองออกไปนอกม่าน ดูท่าวันนี้เขามาเช้ากว่าปกติเพราะมองเห็นร่างสูงหล่อเหลาสะดุดตาของไป๋ผูอวี้กำลังสนทนาอยู่กับคนผู้หนึ่งที่โต๊ะด้านหน้า หากมองไม่ผิด เขาจำเสื้อเก่าๆสีจางนั่นได้ ก็เจ้าคนที่เคยเจอเมื่อตอนที่ไปร้านเถ้าแก่จางในตรอกเหวิน เจิ้งเซี่ยสวีอย่างไร

เว่ยหลงยืนอยู่หน้าร้าน จ้องมองมาที่รถม้าของเขา จื่อฟางเลิกม่านกว้างพอให้คนข้างนอกมองเห็นร่างของตน เขาแสร้งส่งยิ้มกว้างทักทาย เว่ยหลงเพียงทำสีหน้าเหม็นเบื่อ ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอย่างที่ผ่านมา แต่ความจริงที่ว่าเขาไม่ชอบเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังไม่เลือนหาย

จื่อฟางเหลือบมองหยางชวี  “เจ้าเข้าไปทักทายเขาให้ข้าหน่อย”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาไม่ได้จะหาเรื่อง แต่หากจะให้แผนทำข้อมือบาดเจ็บสำเร็จก็ต้องให้หยางชวีหลีกให้พ้นทาง เจ้านี่ว่องไวปานนั้น เห็นเขาล้มคงรีบพุ่งมาช่วยแน่

หยางชวีแสดงสีหน้าแปลกใจ “ท่านว่าอะไรนะ”

 “ไปทักทายเขาหน่อย ข้าไม่อยากปะทะกับเขาตรงๆ”จื่อฟางตอบเรื่อยเปื่อย มองผู้ติดตามด้วยสายตาเด็ดขาด หยางชวีถอนหายใจ

 “ข้าไม่เข้าใจท่านจริงๆ”เสียงพึมพำของเจ้านั่นลอยมาให้ได้ยิน เขานึกขันในใจ หากเป็นแต่ก่อนหยางชวีไม่กล้าทำพฤติกรรมเช่นนี้แน่ เมื่อเห็นร่างแข็งแรงของหยางชวีเดินตรงไปหาเว่ยหลงด้วยท่าทางเหมือนฝืนใจ เขาก็รีบทำตามแผนการ รถม้าไม่ได้สูงมากมาย แต่ก็พอจะทำให้บาดเจ็บเล็กๆน้อยๆได้ โดยเฉพาะร่างกายที่เหมือนแก้วบางของเสิ่นจิ้งเฟย จางต้าลงไปรอรับเขาแล้ว จื่อฟางกลั้นใจก้าวลงผิดจังหวะ ออกแรงพุ่งไปข้างหน้า เห็นใบหน้าตื่นตระหนกของจางต้าครู่หนึ่ง วินาทีถัดมาร่างของเขาก็หล่นตุ้บกองกับพื้น แขนข้างซ้ายรับน้ำหนักไปเต็มๆด้วยมุมที่ทำให้เขาเจ็บแปลบ

...เป็นฉากที่ดูไม่จืดจริงๆ

“คุณชาย!”จางต้าร้องเสียงหลงด้วยอารามตกใจ ปรี่เข้ามาช่วยพยุง แต่หยางชวีไวกว่า เขารีบผละจากเว่ยหลงมาหาคุณชายเสิ่นที่นอนกองอยู่กับพื้น ท่าทางเหมือนลุกไม่ขึ้น แต่ประหลาดที่เขาเห็นแววตาพอใจวูบหนึ่งของคุณชายรูปงาม พ่อค้าแม่ค้าร้านใกล้เคียงต่างก็มองเป็นตาเดียวด้วยอาการตกใจปนขบขัน คุณชายเสิ่นเป็นอะไรไปเสียแล้ว?เพิ่งเคยเห็นบุตรชายเสนาบดีเสิ่นซุ่มซ่ามก็ครานี้

ไป๋ผูอวี้เดิมทีก็พุ่งความสนใจครึ่งหนึ่งไปที่เสิ่นจิ้งเฟยตั้งแต่แรก พอเห็นว่าร่างผอมบางนั่นร่วงตุ้บไปกองกับพื้นก็รีบก้าวออกไป ทิ้งเจิ้งเซี่ยสวีที่กำลังสนทนาอยู่โดยไม่คิดหันมอง แต่หยางชวีไปถึงก่อนร่างนั้นกำลังประคองแขนข้างซ้ายของเสิ่นจิ้งเฟยไว้ แม้สีหน้าราบเรียบแต่เขามองออกว่าหยางชวีเป็นห่วง จางต้ากระวีกระวาดช่วยปัดฝุ่นออกจากตัวของคุณชายเป็นการใหญ่

 “แขนท่านเป็นอย่างไร”หยางชวีเอ่ยเสียงเครียด จื่อฟางลองขยับก็ส่งเสียงร้องเบาๆเพราะเสียวแปลบรู้สึกขัดอยู่บ้าง

    “เจ็บเล็กน้อย”เขาตอบ ก้มมองแขนของตน เมื่อเห็นว่ายังอยู่ดีก็โล่งอก เงยหน้ามาพบกับร่างสูงของไป๋ผูอวี้ บุรุษหนุ่มเดินตรงมาหาด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด แต่หัวคิ้วมุ่นน้อยๆ

    “เข้ามาด้านในร้าน ข้าจะตรวจดูให้”ไป๋ผูอวี้มองไม่ผิด จังหวะการก้าวเดินของเสิ่นจิ้งเฟยไม่เป็นธรรมชาติ คุณชายรูปงามผู้นี้จงใจล้มชัดเจน เว่ยหลงมีสีหน้าสงสัยเช่นกัน เจ้าเต่าปกติดีแน่หรือ? จื่อฟางไม่รอช้ารีบเข้าไปในโรงน้ำชา จางต้าเข้ามาประคองเหมือนเขาเป็นหญิงสาวที่เดินไม่ถนัดเพราะใส่รองเท้าทรงประหลาด เขาพยายามไม่สบตาผู้ใดเพราะอายจะแย่อยู่แล้ว

    “คุณชายเจ้าพิสดารจริง เจ้าว่าเขาเรียกร้องความสนใจจากคุณชายไป๋หรือไม่”เว่ยหลงลูบคางครุ่นคิด ไม่มีเหตุผลใดดีเท่านี้แล้ว หยางชวีปรายตามองอย่างมึนตึง

“ดูเหมือนเป็นคุณชายของเจ้ามากกว่าที่สนใจคุณชายของข้า ก้าวมาไวเสียขนาดนั้น เขาเอาตาไปไว้ที่ไหนกันเล่า เจ้าว่าแปลกไหม”ชายหนุ่มย้อนกลับ ทำเอาเว่ยหลงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนเงียบเชียบเช่นหยางชวีจะพูดประโยคยาวๆเป็น ยามที่ฝึกวิชากับเขาก็เอาแต่ปิดปากเงียบ ถามคำตอบคำ

    “ฮ่า เจ้า...ข้าบอกว่าอย่างไร ให้เรียกข้าว่าศิษย์พี่”เว่ยหลงไม่อยากกล่าวถึงพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของคุณชายไป๋ให้ปวดใจจึงเปลี่ยนเรื่องกลางคัน หยางชวีก้าวตามคุณชายเข้าไปด้านในโดยไม่คิดตอบ เขาเห็นเว่ยหลงเป็นพวกมีกำลัง ดีแต่เพาะกล้ามเนื้อแต่ไร้สมองก็เท่านั้น มีผู้ติดตามคนใดกล้ามีปากเสียงกับบุตรชายเสนาบดีบ้างเล่า?คนผู้นี้โง่และอวดดีจนน่ารำคาญ นอกเวลาฝึกคิดหรือว่าหยางชวีจะเสวนาด้วย เขายอมกล้ำกลืนศักดิ์ศรีของตนมาฝึกกับคนผู้นี้ก็น่าเจ็บปวดมากพอแล้ว หากศิษย์พี่หานตงรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาสนใจเคล็ดวิชาของผู้เฒ่าหย่งสือ เขาอยากพบท่านผู้เฒ่าสักครั้ง แต่ไป๋ผูอวี้บ้าไปแล้วหรือที่ยอมให้คนนอกเช่นเขามาฝึก ไป๋ผูอวี้และสกุลไป๋...ช่างแปลกนัก 

ไป๋ผูอวี้นำเสิ่นจิ้งเฟยไปที่ห้องดื่มชาห้องเดิม เพื่อหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นด้านนอก มองข้ามสีหน้าตกใจของเจิ้งเซี่ยสวีที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม เขาไม่โทษหากฝ่ายนั้นจะตื่นตระหนกกับการกระทำของเขา เมื่อสามเดือนก่อนในการชุมนุมบัณฑิต พวกเขาก็เอ่ยถึงเสิ่นจิ้งเฟย เวลานั้นเขาไม่ล่วงรู้ความคิดของคุณชายเสิ่นจึงเผลอวิพากษ์วิจารณ์ไปบ้าง มาคิดดูแล้วช่างเป็นการกระทำที่น่าละอายนัก คงเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่ากลุ่มบัณฑิตเป็นเพียงกลุ่มของคนขี้แพ้ นั่นก็ถูก พวกเขาเหล่านั้นแพ้ให้กับระบอบอุ้มชูพวกเดียวกันของพวกขุนนาง

“ข้าคิดว่าแขนไม่เป็นอะไร”จื่อฟางเอ่ยหลังจากที่พินิจดูไม่พบว่ามีกระดูกส่วนไหนหักหรือซ้น ไป๋ผูอวี้เพียงลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเด็กหนุ่ม ตวัดสายตามองอย่างเคร่งขรึม

    “ท่านเป็นหมอหรือถึงได้รู้”โอ้...ไป๋ผูอวี้จิกกัดเขาอีกแล้ว จื่อฟางจึงนั่งให้อีกฝ่ายจับแขนเขาไปเงียบๆ ร่างนั้นถกชายเสื้อของเขาเพื่อตรวจดูรอยช้ำ เขาไม่ทันร้องห้าม สายตาของชายหนุ่มก็หยุดลงที่รอยกรีดที่เพิ่มมาอีกรอยด้วยแววตาทอประกายสงสัย คิ้วขมวดมุ่น

ไป๋ผูอวี้จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นรอยกรีดรอยใหม่ เป็นฝีมือผู้ใดกัน? แสร้งล้มเมื่อครู่กับบาดแผลเลือดออกค่อนข้างต่างกัน เขาแน่ใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่กล้ากรีดแขนตนเอง

“ท่านไปโดนอะไรมา”ไม่ทันได้หักห้ามความสงสัย เขาก็ส่งเสียงถามออกไปแล้ว 

 “อ้อ นี่...”เด็กหนุ่มถูกถามกะทันหัน ไม่ทันได้คิดคำโป้ปด รอยแผลเด่นชัดเช่นนี้เขาจะโกหกอะไรได้ เขาไม่มีทางบอกไป๋ผูอวี้ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ทำงานให้ผู้อาวุโสอวิ๋น เขารู้ว่าฝ่ายนั้นมิใช่ศัตรู แต่เขาไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่อง

 “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกหรือ รีบตรวจแขนให้ข้าได้แล้ว ท่านหมอไป๋”เขาเบี่ยงประเด็น แสร้งเอ่ยหยอกล้อ แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยเขาดิ้นหลุดจากหัวข้อนี้ ร่างตรงหน้ายังคงจับแขนของเขาไว้ สบตากับจื่อฟาง

    “ท่านไปโดนอะไรมา”คำถามเดิม แต่น้ำเสียงยิ่งเรียบเฉย เด็กหนุ่มขบกระพุ้งแก้ม สบตาอย่างไม่ยอมแพ้

    “เหตุใดต้องบอกเจ้า เจ้ายังมีความลับมากมาย ข้าก็มีความลับของข้าเช่นกัน”เขาทำสุ้มเสียงเย็นชาใส่ไป๋ผูอวี้เป็นครั้งแรก เป็นน้ำเสียงที่เสิ่นจิ้งเฟยชอบใช้เวลาที่มีเรื่องรำคาญใจ ไป๋ผูอวี้คล้ายกับทราบความจริงข้อนี้ จึงส่งเสียงหึทีหนึ่ง

    “ความลับเยอะเหลือเกิน คุณชาย”อีกฝ่ายพึมพำ กลับมาสนใจตรวจแขนให้เขาต่อด้วยใบหน้าของท่อนไม้ไป๋ที่เขาคุ้นชิน จางต้ายืนอยู่มุมห้องด้วยท่าทางสงบปากสงบคำ ใช่แล้ว ความลับของคุณชายมีเยอะมาก จางต้าส่งเสียงเห็นด้วยอยู่ในใจ แม้ว่าจะสงสัยเช่นกันว่ารอยกรีดสองรอยมาจากที่ใด หยางชวีเพิ่งมาถึงจึงพลาดบทสนทนาสำคัญไป แต่สายตาแหลมคมของเขาก็ไม่พลาดรอยกรีดสองรอยบนข้อมือของเสิ่นจิ้งเฟยที่เห็นเด่นชัดบนผิวขาวๆ ชายหนุ่มหรี่ตา ไม่ได้สังเกตมาก่อน คุณชายไปทำอะไรมาอีก 

จื่อฟางได้แต่กัดฟันกรอด ๆ ไป๋ผูอวี้จงใจใช้เวลาตรวจเนิ่นนานเพื่อให้หยางชวีเห็นรอยแผลของเขา ฝ่ายนั้นใช้มือไล่กดไปตามท่อนแขนของเขาเบาๆ ก่อนจะจับยกขึ้นลง

 “เจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน แต่นัยน์ตาเรียบนิ่ง

    “ไม่”เขาพึมพำตอบ

หยางชวีมองฉากเบื้องหน้าด้วยแววตาใคร่รู้ เขาคิดไปเองหรือไม่ที่บรรยากาศมาคุแปลกๆ เกิดอะไรขึ้นกับไป๋ผูอวี้ เขารู้สึกถึงแรงกดดันจากร่างนั้น คุณชายและจางต้าอาจไม่รู้สึก แต่สำหรับเขาแล้ว ไป๋ผูอวี้กำลังไม่พอใจ

    “ไม่มีอันตราย กระดูกของท่านไม่ได้รับความเสียหาย ร่างกายของท่านไม่เหมือนผู้อื่น อาจมีการขัดยอกเพราะแรงกระแทก เกิดอาการบวมช้ำก็ประคบเย็น”ไป๋ผูอวี้กล่าวเหมือนท่องหนังสือใช้มือกดบริเวณข้อต่อแขนของจื่อฟางจนเขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ 

 “เจ็บหรือ”ฝ่ายนั้นยิ้มมุมปาก

    “ไม่เจ็บ”เขากัดฟันตอบ เจ้าท่อนไม้ไป๋ตั้งใจให้เขาเจ็บชัดๆ

“คุณชายไม่มีอาการร้ายแรงใดก็ดีแล้ว”หยางชวีเอ่ยแทรก ไม่สนบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้น จื่อฟางไม่ได้สบตาผู้ติดตาม รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องซักถามเรื่องแผลแน่ ไป๋ผูอวี้สร้างเรื่องยุ่งให้เขาแล้ว! 

    “วันนี้จะเรียนหนังสือหรือไม่”เขาถามออกไป “ข้าไม่มีอารมณ์”จื่อฟางใช้น้ำเสียงของเสิ่นจิ้งเฟย จางต้ายิ้มค้าง นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคุณชายทำตัวป่วนประสาทไป๋ผูอวี้

    “คุณชายเสิ่น ที่ท่านเคยสอบตก ก็เพราะไม่มีอารมณ์เหมือนกันหรือ”ไป๋ผูอวี้หยิบยกเรื่องเก่ามาพูด ก่อนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ถ้าเช่นนั้น เดินหมากกับข้าสักตา”เขาไม่รอคำตอบของอีกร่าง ส่งเสียงสั่งเว่ยหลงให้นำกระดานหมากเข้ามา

จื่อฟางคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าคุณชายไป๋จะเล่นไม้นี้ จึงได้แต่เก็บสีหน้าหงุดหงิดไว้ สวมบทเสิ่นจิ้งเฟย สวมบทเสิ่นจิ้งเฟย เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะช่วยได้ แต่ทันใดนั้นความรู้สึกคุ้นเคยก็แผ่ไปทั่วร่าง

 ‘เดินหมากกับข้าสักตา’ไป๋ผูอวี้เอ่ย ดวงตาคู่นั้นฉายแววไม่ยอมแพ้ชัดเจน เสิ่นจิ้งเฟยเพียงยิ้มหวาน โบกพัดอย่างสบายใจ

 ‘ต่อให้เดินอีกร้อยตา ท่านก็เอาชนะข้าไม่ได้ การเดินหมากของท่าน ข้าดูออกหมดแล้ว’

 ‘อย่าเอาแต่พูด พิสูจน์ให้ข้าเห็น หากข้าชนะ ท่านต้องบรรเลงกู่เจิงให้ข้าฟัง’ไป๋ผูอวี้จิบชา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

 ‘กู่เจิง?ฝันหวานอยู่หรือ คนเช่นท่านไม่คู่ควรได้สดับฟัง ข้าตั้งใจบรรเลงให้....’เสิ่นจิ้งเฟยชะงักพูดไม่จบประโยคคล้ายกับนึกถึงเรื่องใด เขาเม้มริมฝีปาก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับถูกไป๋ผูอวี้เหยียบเท้า อารมณ์ที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้ชายหนุ่มอีกคนย่นคิ้วงุนงง

‘หากข้าชนะท่าน รับปากกับข้าว่าจะไม่ยุ่งกับคุณหนูฉิน’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเย็นชา วางหมากสีดำลงบนกระดาน จากมุมห้องร่างสูงกำยำของเว่ยหลงส่งเสียงเย้ยหยันมาให้ได้ยิน เสิ่นจิ้งเฟยหันขวับไปมอง

 ‘บ่าวรับใช้ของท่านลามปามยิ่งนัก เขาเป็นคนเถื่อนหรือ ถึงได้ไม่มีมารยาท ไป๋ผูอวี้ท่านควรสั่งสอนเขาให้ดี’เพราะอารมณ์ขุ่นเคืองเสิ่นจิ้งเฟยจึงกล่าวอย่างเสียกิริยาไปบ้าง

 ‘เจ้า...’เว่ยเหลงตั้งท่าจะต่อปากต่อคำ

‘ออกไป เว่ยหลง’ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตารำคาญใจ

    ‘บุตรชายเสนาบดีเช่นท่าน เสียกิริยาเช่นนี้ ก็มิได้รับการสั่งสอนเช่นกันกระมัง’คำพูดล่วงเกินที่ออกจากปากของบุตรชายคหบดีธรรมดาๆทำให้เสิ่นจิ้งเฟยโกรธมากเสียจนบีบพัดในมือเสียงดังกรอบแกรบ

‘ฮ่าๆ เจ้าลามปามนัก เห็นข้าไม่ว่ากล่าวตักเตือน ก็เลยคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรท่านหรือ ไป๋ผูอวี้’เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยผ่านฟันที่ขบแน่น ชายหนุ่มอีกคนไม่ตอบ เพียงมองมาด้วยสายตาสุขุม วางหมากสีขาวต่อจากหมากของเขา

 ‘เดินหมากกันเถิด’

เสิ่นจิ้งเฟยอยากล้มกระดานหมากให้รู้แล้วรู้รอด อาการเมินเฉยของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาตัวสั่นน้อยๆ ในอกปวดแปลบ แม้แต่บุตรชายพ่อค้าก็ไม่เห็นหัวเขา ไม่ว่าเขาทำสิ่งใดก็ถูกผู้คนมองด้วยสายตาเมินเฉย เขาคิดอย่างขุ่นเคือง คอยดูเถอะ ข้าจะทำให้พวกเจ้าหน้าหงายให้หมด เสิ่นจิ้งเฟยพลันรู้สึกเกลียดทุกอย่าง แม้กระทั่งร่างกายอ่อนแอของตน หากเขาหลุดพ้นได้เมื่อใด...

 ‘ข้าเพียงอยากผูกมิตร เหตุใดท่านต้องทำเสียบรรยากาศทุกที’ไป๋ผูอวี้มองมาอย่างไม่เข้าใจ ลงมือวางหมากสีขาวลงบนกระดาน เสิ่นจิ้งเฟยกำหมากดำในมือ กวาดมองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าไป๋ผูอวี้จะวางที่ใด ข้อเสียของคนผู้นี้คือซื่อตรง เขามีความเคยชินมักวางหมากในรูปแบบเดิมโดยไม่รู้ตัว แม้เพียงตัวเดียว เขาก็สังเกตเห็น มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถเอาชนะไป๋ผูอวี้ได้

 ‘ข้าไม่ต้องการ ข้าอยากชนะท่าน’เขาวางหมากดำบนเส้นทะแยง การเดินหมากระหว่างเขาและไป๋ผูอวี้จบลงเช่นเดิมทุกครั้งไม่ว่าอีกฝ่ายจะขอลองกี่ครา เขาก็เป็นฝ่ายชนะ 

    “คุณชายเอาชนะไป๋ผูอวี้ได้แน่นอนขอรับ”จางต้าเข้ามากระซิบเบาๆกับเขา จื่อฟางใจเต้นตึกตัก ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยยังคงท่วมท้น เขามองกระดานหมาก น่าแปลกที่เห็นไป๋ผูอวี้วางหมากแบบเดียวกันกับในความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางหยิบตัวหมากของตน ไม่คิดวางแนวเดิม เขาเกรงว่าไป๋ผูอวี้จะจำได้ จึงเลือกวางตรงข้ามกับที่เขาเห็นในความทรงจำ เด็กหนุ่มมือสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เขาและไป๋ผูอวี้วางหมากแต่ไม่มีตัวใดถูกจับกิน

ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว วางหมากสีขาวลงไปบนจุดตัด ก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะวางหมากเขาเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มกวาดสลับไปมาที่จุดหนึ่งอย่างลังเลใจ จื่อฟางยังคงไม่ค่อยเข้าใจการเดินหมากอย่างถ่องแท้ เพราะเป็นการเล่นที่ใช้สมาธิและความอดทนจึงทุ่มความสนใจไปที่กลุ่มหมากอย่างเดียว ครั้งแรกที่ได้เดินหมากกับไป๋ผูอวี้เขาเพียงเล่นส่งๆด้วยความตื่นกลัว ผิดกับคราวนี้ที่เขามีสติกว่ามาก เขาพยายามจำความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยยามวางหมาก ความต้องการเอาชนะ วางหมากอย่างใจเย็น และอดทน

จื่อฟางขบคิดจนเหงื่อผุด เวลาผ่านไปเรื่อยๆตัวหมากของเขาและไป๋ผูอวี้ต่างก็พลัดกันถูกกิน เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าจะวางหมากใด มือที่สั่นน้อยๆของเขากลับทำให้วางหมากผิดตำแหน่ง เสียงกระทบดังแกร๊กเบาๆคล้ายดังอยู่ในห้องดื่มชา  จื่อฟางกระพริบตา รูปแบบวางหมากกลับมาเป็นเช่นในความทรงจำอีกครั้ง คราวนี้เขาเลือกวางหมากตามเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อถึงเวลานับคะแนน เขาก็ชนะได้อย่างฉิวเฉียด เพียงหกแต้มเท่านั้น สวรรค์ยังนับว่าเมตตา

ไป๋ผูอวี้เหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังไม่ผ่อนคลายจากความตึงเครียดอย่างครุ่นคิด เขาจงใจเล่นซ้ำรูปแบบเดิม ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีเดิมเช่นกัน เขาจึงลองวางหมากไปตามนั้น และก็เป็นอย่างที่เขาคาด แม้ว่าตัวหมากที่หลุดกระเด็นนั่นจะไม่อยู่ในการคาดเดาของเขาก็ตาม แต่ได้เห็นท่วงท่ายามขบคิดของคุณชายคล้ายเด็กน้อยที่อยากไขปริศนาก็ทำให้ไป๋ผูอวี้เผยรอยยิ้ม

    “ท่านชนะอีกแล้ว แต่รูปแบบเช่นนี้คลับคล้ายว่าท่านเคยใช้มาก่อน”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ

จื่อฟางเลิกคิ้ว “แต่เจ้าก็ยังเดินรูปแบบเดิม”ไป๋ผูอวี้ยอมอ่อนให้เขาหรือ เขาไม่ได้โกรธแค่เพียงสงสัยว่าไป๋ผูอวี้คิดทำสิ่งใด

อีกฝ่ายเพียงมองเขาอย่างใคร่รู้อยู่นานสองนาน“ข้าคิดถึงเรื่องหนึ่ง ท่านบอกว่าความทรงจำไม่ค่อยดี เรื่องที่เคยทำได้กลับทำไม่ได้ ...ครานี้หมากของท่านเหมือนครั้งก่อน หมายความว่าท่านได้ความทรงจำมาบางส่วนแล้วหรือ”ถ้อยคำของไป๋ผูอวี้ทำให้คนในห้องกระพริบตา ส่วนลึกของไป๋ผูอวี้นั้นผิดหวัง เขาไม่อยากได้เสิ่นจิ้งเฟยคนเก่าที่เย่อหยิ่งน่ารำคาญไม่น่าคบหาผู้นั้น

 “กล่าวเช่นนั้นก็ถูก ข้านึกถึงเรื่องเก่าๆไปครู่หนึ่ง”จื่อฟางหมุนตัวหมากในมือเล่น ไฉนไป๋ผูอวี้ต้องทำสีหน้าพิกลด้วย ฝ่ายนั้นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ชั่วขณะไป๋ผูอวี้รู้สึกว่าการพบปะกับเสิ่นจิ้งเฟยใกล้หมดเวลาแล้ว ชายหนุ่มข่มความรู้สึกไม่คุ้นชินในอกหันไปทางเว่ยหลง สั่งให้เอาน้ำชามาหนึ่งกา 

 “คุณชายเสิ่น เรียนต่อเถิด”ท่าทีที่เปลี่ยนไปฉับพลันของอีกคนทำเอาจื่อฟางมึนงง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแย้ง หยางชวีกลับออกไปรอนอกห้อง จางต้ากลับมาฝนหมึกให้เขาราวกับฉากเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น   

    “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”จื่อฟางกล่าวเมื่อนึกได้ ส่งสายตาบอกให้จางต้าออกไปก่อน ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วรอคำพูดของเขา

เด็กหนุ่มรอจนอยู่เพียงสองคน จึงเอ่ยวาจา “รับปากกับข้าว่าจะไม่ยุ่งกับคุณหนูฉิน”เขายกคำพูดเดิมที่เสิ่นจิ้งเฟยเคยกล่าวไว้มาใช้ น่าแปลกที่วันนี้ได้เห็นอารมณ์หลากหลายบนใบหน้าของไป๋ผูอวี้ 

 “ข้าเป็นฝ่ายเดินหมากชนะท่าน”จื่อฟางกล่าวต่อ ราวกับอ่านบทนิยาย เขากำลังท่องบทของเสิ่นจิ้งเฟย เหตุการณ์นี้คล้ายกับในความทรงจำที่เขาเห็น   

 “ข้าไม่ได้รับปากจะพนันกับท่าน”ไป่ผูอวี้แสดงท่าทางเฉยเมย

 “ข้าไม่ได้ห่วงคุณหนูฉิน ข้าห่วงเจ้า”เขาอดไม่ได้ต้องเอ่ยต่อ จื่อฟางได้แต่หวังว่าคนฉลาดเช่นไป๋ผูอวี้จะไม่ตกหลุมพรางของฉินเซียงอิน

    “ถือว่าข้าเตือนท่านแล้ว”เขาไม่อยากพูดให้มากความ

    “ท่านคิดว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าจริงจัง

“คุณหนูฉินชอบเจ้า นางต้องหาเรื่อง...เข้าใกล้เจ้าอย่างที่ข้าทำ”จื่อฟางไม่กล้าบอกกล่าวไปตามตรงว่าคุณหนูฉินใช้กลวิธีอ่อยไป๋ผูอวี้ เขาเป็นบุรุษเอาคุณหนูฉินมาพูดลับหลังจะทำให้ดูไม่ดีไปเสียเปล่าๆ พอเขาพูดจบอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้ว

    “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสา คุณชายเสิ่นห่วงตัวเองเถิด ได้ยินว่าท่านต้องไปเยี่ยมสกุลฝั่งมารดา ท่านกลัวจะถูกขอให้เล่นกู่เจิงถึงได้ทำเรื่องให้แขนบาดเจ็บ ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”ไป๋ผูอวี้ยกถ้วยชาดื่มช้าๆ เหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยแววตารู้ทัน

จื่อฟางอึ้งไปครู่หนึ่ง เจ้านี่มองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “เจ้ารู้?”

 “ข้าเห็นท่านจงใจตกลงมา ต่อไปอย่าได้เล่นเช่นนี้อีก ข้าไม่อยากเห็นท่านเจ็บตัว”บุรุษหนุ่มวางถ้วยชา สายตาจับอยู่ที่แขนข้างซ้ายของคุณชายเสิ่น หวนนึกถึงรอยแผลที่ข้อมือของอีกฝ่าย จื่อฟางไม่รู้ว่าควรตอบกลับเช่นไร จึงไหวไหล่ จับแขนซ้ายของตน

 “ข้านึกได้ว่ามีธุระ วันนี้พอเท่านี้ก่อน”เขาไม่มีอารมณ์อยากเรียนอีกต่อไปแล้ว คิดว่าควรกลับจวนเสียที”เขาลุกยืนอย่างดื้อดึง    

    “รอประเดี๋ยว”ไป๋ผูอวี้ส่งเสียง เขาเองก็ไม่มีสมาธินัก ชายหนุ่มก้าวมาหยุดตรงหน้าเสิ่นจิ้งเฟย  ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดเขาถึงได้ถอดเอาสร้อยคอหยกที่ราคาค่างวดใช้ซื้อพัดหรูหราของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ออกมาสวมให้กับร่างบางตรงหน้า

จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

“นี่เป็นสร้อยของข้า ได้มาจากท่านอาจารย์เมื่อยังเด็ก เขาบอกว่าจะปัดเป่าโชคร้าย ข้าจึงเก็บติดตัวเสมอ”ไป๋ผูอวี้กล่าวพลางจัดสร้อยให้อยู่ในคอเสื้อของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่อยากให้เว่ยหลงเห็นเข้า สายตาของชายหนุ่มมองเห็นผิวขาวใต้ร่มผ้าของเสิ่นจิ้งเฟย อยู่ๆภาพความทรงจำในคืนที่ตนเห็นร่างเปล่าเปลือยของคนผู้นี้ก็ฉายเข้ามาในหัว เขารีบปล่อยมือราวกับถูกน้ำร้อนลวกทันที

จื่อฟางไม่ได้สังเกต “ข้าว่าเจ้าควรเก็บไว้มากกว่า...”

 “ข้ามอบให้เจ้า กลับมาจากอำเภอถงฉวนค่อยคืนข้า ส่วนเรื่องคุณหนูฉิน ข้ารับปากว่าจะอยู่ให้ห่างจากนาง”เดิมทีไม่คิดตอบ เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องใกล้ชิดนาง แต่เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเสิ่นจิ้งเฟย เขาก็พลั้งปากพูดออกไปแล้ว

จื่อฟางคลี่ยิ้มลูบหยกที่เป็นก้อนนูนในอกเสื้อด้วยนัยน์ตากระจ่างใส “ข้าจะเก็บไว้อย่างดี”

ในห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ เด็กหนุ่มเหลือบมองร่างสูงอย่างลังเล กล่าวช้าๆ  “ข้าไม่อยู่ คงคิดถึงเจ้า”

ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใด ก้มมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เก็บอารมณ์ “ท่านไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดหยอกล้อกับข้า ข้าไม่ใช่บรรดาสาวงามของท่าน”ร่างนั้นยืดตัวตรง เอามือไพล่หลังท่าทางปลอดโปร่ง

    “แต่ข้าจะจำไว้ก็แล้วกัน”ร่างสูงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จื่อฟางเกาแก้ม กระแอมเล็กน้อย ไร้ความกล้าจะโต้ตอบอย่างทุกที “ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอตัวก่อน”

คิดถึงหรือ ไป๋ผูอวี้มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นหายลับไปจากการมองเห็น ความรู้สึกยามที่คิดว่าจะไม่ได้พบเจอเสิ่นจิ้งเฟยที่ห้องดื่มน้ำชาแห่งนี้อีกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทำให้เขาถอดถอนหายใจ ยืนนิ่งอยู่ในห้องราวกับคนโง่งม

~•~

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-08-2018 19:30:35
 
จื่อฟางกลับจวนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม หยางชวีและจางต้าต่างก็แปลกใจ ก่อนหน้านี้พวกเขายังเห็นบรรยากาศระหว่างคุณชายและไป๋ผูอวี้ดูกระอักกระอ่วนอยู่เลย เขาวางท่าราวไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เมินเฉยต่อสายตาตั้งคำถามของหยางชวี เรื่องรอยแผลอย่าหวังเลยว่าเขาจะบอก รถม้าแล่นมาจอดที่จวนสกุลเสิ่นอย่างราบรื่น จื่อฟางกลับเข้าไปในเรือน สั่งให้บ่าวจัดเตรียมของสำหรับเดินทางไปอำเภอถงฉวนในวันรุ่งขึ้น เขาพบว่ามีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่บนหมอนกระเบื้องจึงรีบนำมาเก็บไว้ รอจนทางสะดวกถึงจะกล้าเปิดอ่าน เป็นจดหมายตอบกลับจากฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย

ยามคล้อยบ่ายเสิ่นมู่หยางกลับมาจากราชสำนักด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขามาหาบุตรชายที่เรือน บ่าวรับใช้คนหนึ่งถือกล่องยาวสลักลวดลายงดงามเดินตามมาด้วย จื่อฟางออกไปต้อนรับพร้อมกับรินชาให้เสิ่นมู่หยาง

    “ข้าเก็บภาพวาดของมารดาเจ้าไว้อย่างดี ท่านตาของเจ้าอยากชมดูว่าเป็นอย่างไร”เขาเอ่ย พยักเพยิดให้บ่าวรับใช้ส่งกล่องไม้ไปให้บุตรชาย จื่อฟางพอใจกับผลงานชิ้นนี้มาก ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นงานศิลปะของเขาเป็นตัวแทนความทรงจำของผู้ที่จากไปแล้ว เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายมีสีหน้าอ่อนโยนจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด

“ท่านพ่อมีเรื่องใดอีกหรือ”เด็กหนุ่มสังเกตว่าอีกฝ่ายเงียบไป

    “ไปเยี่ยมสกุลโหยวครานี้ เจ้าก็ทำตัวดีๆหน่อยล่ะ”เสนาบดีเสิ่นรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่อยากไปอำเภอถงฉวนเพราะไม่อยากกลับไปยังสถานที่ที่เป็นความทรงจำของมารดา

 “ข้าทราบแล้ว”ร่างบางรับคำอย่างว่าง่าย ผู้เป็นบิดาลอบแปลกใจ ทุกทีเจ้าเด็กนี่ต้องโวยวายสองสามประโยคถึงจะยอมตกปากรับคำ เขาพินิจมองเสิ่นจิ้งเฟย จะว่าไปนิสัยของบุตรชายก็เปลี่ยนไปราวคนละคน ตั้งแต่เกิดเรื่องที่หอผูเยว่ เรื่องของคุณหนูฉินส่งผลถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไหนจะเรื่องที่หานตงนำมารายงาน ฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งคนมาเฝ้าดูบุตรชายถึงจวน เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ฝ่าบาทเคยออกนอกวังมาพบกับเสิ่นจิ้งเฟย แม้ผ่านไปนานหลายปีก็ยังไม่ยอมละความพยายาม เสิ่นมู่หยางหวาดกลัวยิ่งนัก เขาไม่อยากให้บุตรชายตกเป็นหนึ่งในชายงามของฝ่าบาท 

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าไม่สร้างเรื่องให้ท่านปวดหัวแน่นอน”จื่อฟางกล่าวเสริม เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย เสนาบดีเสิ่นยิ้มฝืดเฝื่อน

    “พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าต้องใช้เวลาเดินทางทั้งวัน”เขาไม่อยู่รบกวนบุตรชาย ตบบ่าร่างนั้นเบาๆก่อนกลับเรือน จื่อฟางมองชายเสื้อคลุมของอีกฝ่ายลากพ้นธรณีประตูก็หยิบจดหมายของฮ่องเต้มาเปิดอ่าน ลายมือเป็นระเบียบหนักแน่นงดงามปรากฏให้เห็น

‘จิ้งเฟย เจ้าได้ใจมากไปแล้ว แค่เอ่ยปากร้องขอโดยไม่มีสิ่งตอบแทนคิดว่าข้าจะตอบตกลงหรือ ไม่คิดว่าเรื่องจุกจิกไร้สาระเช่นนี้จะทำให้เจ้าเขียนจดหมายหาข้า แต่หากเจ้าร้องขอด้วยตัวเอง ข้าอาจรับฟัง’

จื่อฟางทำเสียงหึในลำคออย่างหงุดหงิด ขยำจดหมายจนเป็นก้อนเล็กๆ อย่างที่เขาคาดฮ่องเต้ไม่ยอมรับคำขอของเขาง่ายๆเสียด้วย

~•~

จื่อฟางออกเดินทางจากจวนสกุลเสิ่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เขาให้หยางชวีและจางต้าตามมาปรนนิบัติเพียงสองคนเท่านั้น เสิ่นมู่หยางไม่ได้เอ่ยค้านเพราะรู้ดีว่ามีคนของฮ่องเต้ติดตามไปอย่างลับๆ การเดินทางไปอำเภอถงฉวนราบรื่นกว่าที่คิดไว้ แม้ว่าจะต้องนั่งอยู่ในรถม้าถึงสองวันจนปวดก้นไปหมด จางต้าเองก็โล่งใจเพราะเมื่อปีกลายคุณชายเสิ่นป่วยหนักต้องพักที่โรงเตี๊ยมอยู่หลายวัน พอมาไตร่ตรองดูดีๆ อาการป่วยคราวนั้นของคุณชายช่างแปลกนัก แต่จางต้าไม่กล้าสงสัยต่อจึงได้แต่ทำลืมเลือนไป

อำเภอถงฉวนคึกคักไม่ต่างจากเมืองหลวงฉางอัน เมื่อผ่านเส้นทางรกร้างเข้าสู่ตัวเมือง จื่อฟางก็เริ่มมองเห็นบ้านเรือน ถนนเริ่มมีผู้คน ร้านรวงเต็มสองข้างทาง เขาเลิกม่านมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ เสียงพูดคุยของผู้คนดังปะปนจนแยกไม่ออก เด็กหนุ่มมองทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วยจิตใจเบิกบาน  เขานำอุปกรณ์วาดภาพมาด้วย ไหนๆก็มาถึงสกุลโหยวทั้งที จื่อฟางคิดอยากวาดภาพคนเหล่านั้นเก็บไว้

ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงจวนสกุลโหยว เขาปิดม่านเมื่อรถม้าหยุดจอดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ มีบ่าวรับใช้รอต้อนรับอยู่กลุ่มหนึ่ง เมื่อเห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามาหนึ่งในนั้นก็รีบเข้าไปรายงานนายใหญ่ในบ้าน

“ถึงแล้วขอรับ”หนานอิงส่งเสียงบอกจากด้านนอก จื่อฟางยินดียิ่งนักอยากลงไปยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย เขาลงจากรถม้าด้วยการประคองของจางต้า บ่าวรับใช้ยังกังวลว่าเขาจะสะดุดตกลงมาอีก จื่อฟางไม่มีข้อโต้แย้งได้แต่รับการประคองของอีกฝ่าย ภาพคุณชายรูปงามถูกประคองราวหญิงสาวทำให้บ่าวไพร่ที่ยืนต้อนรับทำสีหน้าสงสัยใคร่รู้ พวกเขาได้ยินเรื่องเล่าหลายอย่างเกี่ยวกับหลานชายสกุลโหยว ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ฝีมือบรรเลงกู่เจิงของคุณชายเป็นที่ร่ำลือ กระทั่งฮ่องเต้ยังเรียกหา แต่ติดที่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ไม่หยิบจับสิ่งใด ได้ข่าวว่าถูกบุตรตรีสกุลฉินหักน้ำใจจนฟูมฟายอยู่ที่หอนางโลมไม่ยอมกลับเรือนเสียหลายวัน

    “คุณชายเสิ่นคงเดินทางมาเหนื่อย เข้าไปด้านในเถอะขอรับ นายท่านโหยวรออยู่นานแล้ว”บ่าวรับใช้ที่อายุมากที่สุดก้าวมาด้านหน้า จื่อฟางกวาดตามองครู่เดียวก็จำได้ ลักษณะตรงกับที่นิยายบรรยายไว้ คนผู้นี้คือพ่อบ้านเฮ่อสุ่นที่ดูแลสกุลโหยวมายาวนาน เขาพอจะคุ้นเคยกับเสิ่นจิ้งเฟยอยู่บ้าง

จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ไม่ได้เอ่ยตอบ เสิ่นจิ้งเฟยไม่ค่อยพูดคุยกับคนสกุลโหยวเท่าไร พ่อบ้านเฮ่อสุ่นคุ้นเคยกับท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายดีจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร  พ่อบ้านเดินนำไปตามเฉลียงทางเดินทอดยาว

“พ่อบ้านเฮ่อสบายดีหรือ”จื่อฟางเอ่ยทำลายความเงียบ

    “ข้าสบายดี คุณชายเล่า”เฮ่อสุ่นได้ยินนายท่านโหยวเถียนบ่นถึงคนทางเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเสิ่นมู่หยางซุกซ่อนอนุ นายท่านเป็นห่วงความรู้สึกของหลานชาย เคยส่งจดหมายไปถามไถ่ แต่ก็ไม่มีการติดต่อกลับมา

    “ข้าก็เรื่อยๆเหมือนเดิม”จื่อฟางตอบสั้นๆ หยางชวีกับจางต้าเดินตามมาเงียบๆ นึกอยู่ในใจว่าคุณชายทำเรื่องไว้เยอะแยะต่างหาก จื่อฟางมองการตกแต่งในยุคโบราณด้วยสายตาสนใจ คฤหาสน์สกุลโหยวไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่ก็ไม่ได้คับแคบ เป็นเรือนสี่ประสาน มีประตูทางเข้าสองชั้น ลานกว้างถูกจัดเป็นสวนเรียบง่าย เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแว่วออกมาจากเรือนอีกฝั่งก็ทำหน้ามึนตึง 

เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่ เขาก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนก้าวเข้าไปในห้องรับรอง ด้านในห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนประณีต คนในห้องมีกันอยู่หลายคน ผู้ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลางคือชายมีอายุผมดอกเลาร่างท้วมสมบูรณ์ โหยวเถียนท่านตาของเสิ่นจิ้งเฟย เก้าอี้ทางซ้ายมือคือชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโหยวเถียน โหยวจี้เหวินท่านลุงใหญ่ผู้ประกอบกิจการขายเครื่องดนตรี ข้างกายมีหญิงหน้าตาหมดจดนั่งอยู่ด้วย คงเป็นป้าสะใภ้ ทางขวามือคือลุงรองโหยวหวั่น เจ้าของโรงเตี๊ยมหลังใหญ่ในตลาด ยังไม่ได้ตบแต่งหญิงใดเข้ามาแม้ว่าจะเลยวัยไปมากแล้ว

จื่อฟางไม่ทันได้อ้าปากท่านตาก็ลุกพรวดเดินปรี่มาหาด้วยกำลังวังชาที่น่าตกใจสำหรับชายสูงวัย

“เฟยเอ๋อร์ ไม่ได้เจอเจ้านานไฉนซูบเซียวถึงเพียงนี้ เสิ่นมู่หยางดูแลเจ้าอย่างไร ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย!”ชายแก่ตวาดเสียงสั่นเข้ามาลูบตามเนื้อตามตัวของจื่อฟางไม่หยุด ดวงตาฉ่ำน้ำจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของเขา

“ท่านพ่อ ให้เขาได้หายใจหายคอหน่อยเถิด”โหยวจี้เหวินกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มจาง สายตากวาดมองมาที่หลานชายไม่หยุดเช่นกัน ไม่ได้เจอกันนานเสิ่นจิ้งเฟยผ่ายผอมอย่างที่ท่านพ่อกล่าวจริง แต่ใบหน้ามีเลือดฝาดไม่เหมือนคนอมทุกข์ โหยวจี้เหวินจึงเบาใจ

    “ถูกแล้ว จิ้งเฟยเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ให้เขาพักดื่มชาสักจอกค่อยคุย”โหยวหวั่นเอ่ยเสริม เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของหลานชายก็รู้สึกเวทนา เด็กหนุ่มผู้นี้ร่างกายอ่อนแอเหมือนโหยวหลันน้องสาวไม่มีผิด จื่อฟางเหลือบมองผู้พูด ลุงรองผู้นี้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา 

    “ข้าสบายดี”จื่อฟางเอ่ยสั้นๆค้อมตัวทักทายลุงใหญ่ ลุงรองและป้าสะใภ้ แต่ท่านตาผู้นี้กลับไม่ยอมปล่อยตัวเขา ซ้ำยังจับโดนแขนซ้ายที่ปวดระบมของเด็กหนุ่มเข้า เขาส่งเสียงร้องเบาๆชักแขนหนีไปด้วย

    “เจ้าเป็นอะไร”โหยวเถียนเห็นเสิ่นจิ้งเฟยทำท่าประหลาดจึงไม่กล้าแตะต้องตัวหลานชายอีก

    “ข้าไม่ระวังก็เลยตกจากรถม้า ท่านตาไม่ต้องเป็นห่วง แค่ระบมเล็กน้อยเท่านั้น  ข้าไม่ตายง่ายๆหรอก”เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม คนสกุลโหยวทำเหมือนเขาจะปลิวหายไปได้ทุกเมื่อ                         

    “ไยเจ้ากล่าวเช่นนี้เล่า”ท่านตาทำสีหน้าปานใจจะขาด แม้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีนิสัยไม่น่ารัก แต่เขาก็เอ็นดู อีกทั้ง...ยังมีใบหน้าที่ได้เค้ามาจากบุตรสาวคนเล็กของตน เห็นแบบนี้จะให้ดุด่าอย่างไรไหว จื่อฟางนั่งลงที่เก้าอี้ว่าง ‘ตาเฒ่าน่ารำคาญ’คือคำกล่าวที่เสิ่นจิ้งเฟยบรรยายถึงท่านตา แต่จื่อฟางไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ชายแก่ผู้นี้เพียงแค่คิดถึงหลานชายที่ไม่ค่อยโผล่หน้ามาหา ทั้งยังทำตัวห่างเหิน พอพบหน้าจึงจุกจิกไปบ้าง

โหยวฮูหยินรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เสิ่นจิ้งเฟย นางพบเจอเด็กหนุ่มผู้นี้เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อปีกลายบอกว่าป่วยกะทันหันมาไม่ได้ นางยังคิดอยู่ว่าปีนี้เสิ่นจิ้งเฟยอาจจะไม่ยอมมาเยี่ยม แต่นางคาดผิด

    “น่าเสียดายนัก เช่นนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้รับฟังบทเพลงกู่เจิงของเจ้าแล้ว”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง โหยวฮูหยินได้ยินพ่อสามีเอ่ยชมฝีมือดีดกู่เจิงของหลานชายบ่อยครั้ง

จื่อฟางกุมถ้วยชาอุ่นๆไว้ในมือ กล่าวอย่างสุภาพ “หากมีโอกาสข้าจะเล่นให้ท่านป้าสะใภ้ฟัง กลัวแต่ว่าจะทำให้ท่านผิดหวัง”เขาเพียงกล่าวตามน้ำ

 “ช่างเถอะๆ เจ้ามาเยี่ยมคนแก่เช่นข้าก็ดีแล้ว เฟยเอ๋อร์ ตาดีใจที่เจ้ายอมมา มารดาเจ้า...”โหยวเถียนชะงักงันเมื่อหลุดปากเอ่ยถึงมารดาของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่ใช่ว่าเขาทำใจไม่ได้ แต่เด็กคนนี้ไม่ชอบให้คนเอ่ยถึงมารดาที่จากไปแล้ว 

เกิดความเงียบระลอกใหญ่ จื่อฟางกวาดตามองอย่างไม่เข้าใจนัก ก่อนหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วน

“ข้านำผู้ติดตามมาด้วย เขาชื่อหยางชวี”เขาหันมองผู้ติดตามและบ่าวคนสนิทที่ยืนอยู่นอกประตู คนสกุลโหยวหันมองร่างกำยำของหยางชวีเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงก้มตัวคำนับทำความเคารพ

    “หยางชวี? มิใช่เด็กที่เสิ่นมู่หยางเก็บมาดูแลหรือ”โหยวเถียนจ้องมองร่างสูงใหญ่เขม็ง แต่อีกฝ่ายทำหน้าไร้ความรู้สึก 

“ขอรับ”เขาตอบ ก่อนออกเดินทางนายท่านเสิ่นเตือนเขาไว้แล้วว่าอาจถูกโหยวเถียนไม่ชอบหน้า แต่เดิมสกุลโหยวไม่ชอบนายท่าน เรื่องใดที่เกี่ยวกับเสิ่นมู่หยางจะพลอยถูกชังไปด้วย เขาทราบดีว่าเหตุใดสกุลโหยวถึงมีท่าทีเช่นนี้ หลังจากที่เสิ่นฮูหยินจากไปได้สี่ปี นายท่านก็ผูกสัมพันธ์กับหญิงนางหนึ่ง 

 “อ้อ ข้าได้ยินมาว่าท่านตาอยากชมฝีมือวาดภาพของข้าหรือ”จื่อฟางเปลี่ยนเรื่อง คนสกุลโหยวหันมาสนใจเขาอีกครั้ง พวกเขาได้อ่านจดหมายของเสิ่นมู่หยางจึงอยากเห็นภาพวาดโหยวหลันด้วยตาตัวเอง จางต้าเห็นคุณชายส่งสายตามาให้จึงนำกล่องไม้เข้ามาวางบนโต๊ะด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม สกุลโหยวค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องกฏธรรมเนียม เขาจึงทำตัวเคยชินอย่างยามที่อยู่สกุลเสิ่นมิได้

จื่อฟางเปิดกล่องหยิบแผ่นผ้าไหมที่ม้วนอย่างประณีตส่งให้โหยวเถียน เขามองชายแก่คลี่ผ้าไหมด้วยมือที่สั่นเทา ท่านลุงทั้งสองและป้าสะใภ้ต่างก็โน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อมองให้ชัด ๆ

ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ของท่านตา “นี่มัน...”โหยวเถียนมองด้วยสายตาตกตะลึง ภาพวาดงามวิจิตรเสมือนมีชีวิตปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็นภาพของโหยวหลันที่บานสะพรั่งมีชีวิตชีวา ดวงตาคู่งามคล้ายกับมองมาที่พวกเขา โหยวหวั่นมองอย่างตกตะลึงไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีฝีมือถึงขั้นนี้ ทีแรกคิดว่าเสิ่นมู่หยางกล่าวชมเกินเลย

ชายหนุ่มหันไปเอ่ยชมหลานชาย “ฝีมือเจ้ายอดเยี่ยมนัก”โหยวหวั่นกล่าวชมด้วยโทนเสียงที่แฝงความแปลกใจ

 “นั่นสิ อาจารย์ท่านใดสอนเจ้ารึ”ท่านลุงใหญ่เอ่ยถาม   

    “ท่านอาจารย์เป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีชื่อเสียง กล่าวไปพวกท่านคงไม่รู้จัก แต่ข้านับถือเขามาก”จื่อฟางตอบอย่างไม่ปิดบัง เขาไม่อยากพูดปดว่าเรียนรู้เอง เพราะถือว่าไม่ให้เกียรติอาจารย์ เมื่อนึกถึงอาจารย์สอนดรออิ้งนัยน์ตาของเขาก็เป็นประกาย 

    “ผู้ใดกล่าวหาว่าหลานข้าหยิบจับสิ่งใดไม่เป็น”โหยวเถียนลูบภาพวาดด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ

“เจ้าวาดภาพให้ข้าสักผืนได้หรือไม่ ข้าจะนำไปติดที่โรงเตี๊ยม”โหยวหวั่นได้ทีกล่าวอย่างกระตือรือร้น ภาพวาดพู่กันราคาค่อนข้างสูง หากให้เสิ่นจิ้งเฟยช่วย เขาจะได้ประหยัดเงินไปอีกหลายตำลึงทอง

    “ย่อมได้ ข้ากำลังเบื่อพอดี”จื่อฟางเอ่ยตอบทันที เขากับโหยวหวั่นพากันออกไปจากห้องรับรอง ปล่อยให้ท่านลุงใหญ่และท่านตานั่งชื่นชมภาพวาดผืนนั้น

โหยวหวั่นนำเขาเดินไปตามเฉลียงทางเดินที่ค่อนข้างสงบ จนพบกับศาลาหลังใหญ่ มีม่านสีฟ้าอ่อนโบกสะบัด ความทรงจำเลือนลางปรากฏให้เห็น เป็นศาลาที่มารดาของเสิ่นจิ้งเฟยมักมาบรรเลงกู่เจิงที่นี่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ชอบนัก เขามักจะเลี่ยงสถานที่ที่มารดาเคยไป

โหยวหวั่นหยุดยืน กล่าวโดยไม่หันมามองเขา “ข้ารู้ว่าเจ้ามิชอบความวุ่นวาย แต่อย่างไรสกุลโหยวก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเจ้า หากมีเรื่องขุ่นเคืองใด สกุลโหยวพร้อมต้อนรับเจ้าเสมอ”พูดจบเขาก็สะบัดพัดก้าวเดินนำไปที่ศาลาโดยไม่รอฟังคำพูดของหลานชาย เสียงกระดิ่งต้องสายลมดังเบาๆเป็นท่วงทำนองเสนาะหู ใช้เวลาอยู่สักครู่จางต้าถึงนำอุปกรณ์วาดภาพของเขามาให้ที่ศาลา หยางชวียืนห่างออกไป พินิจมองโหยวหวั่นจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายใด เขาจึงผ่อนคลายท่าทีเฝ้ามองอยู่เงียบๆ

    “ท่านอยากให้ข้าวาดภาพแบบใดหรือ”เขาเอ่ยถาม พับแขนเสื้อเพื่อให้สะดวกต่อการวาดพู่กัน โหยวหวั่นนึกถึงภาพวาดที่เขาหมายตา แต่ถูกเถ้าแก่ผิงแย่งซื้อไปจึงอธิบายให้หลานชายฟัง เป็นภาพวาดหญิงงามห้านางกำลังดีดบรรเลงดนตรีในมวลหมู่ดอกไม้ งดงามราวนางสวรรค์ จื่อฟางจินตนาการภาพไว้ในหัว โชคดีที่เขาบาดเจ็บที่แขนข้างซ้ายไม่ใช่แขนข้างขวา  เด็กหนุ่มจับพู่กันอย่างคุ้นชิน วาดหญิงงามทั้งห้าโดยใช้ดาราจีนที่เขารู้จักเป็นต้นแบบ ท่านลุงรองขยับมาดูเขาวาดภาพอย่างสนใจ ได้เห็นกับตาตนเองก็ยิ่งทึ่ง เสิ่นจิ้งเฟยบรรเลงกู่เจิงได้ไพเราะเป็นเรื่องที่ผู้คนต่างเคยล่วงรู้ แต่ฝีมือด้านวาดภาพกลับซุกซ่อนไว้ เจ้าเด็กคนนี้คงไม่ใช่คุณชายไม่เอาไหนอย่างที่ถูกกล่าวหากระมัง เขายกมือลูบคางอย่างครุ่นคิด

~•~

วันรุ่งขึ้น จื่อฟางออกไปเดินตลาดด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่อารมณ์ดีๆของเขาปลิวหายไปกับสายลมเย็นทันทีเมื่อพบว่าตนตกเป็นเป้าสายตา เขาลืมคิดไป มารดาของเสิ่นจิ้งเฟยเคยอยู่ที่นี่มาก่อน เรื่องของเสิ่นฮูหยิน และบุตรชายไม่เอาไหนแห่งฉางอันคงเล่าลือมาถึงที่นี่ด้วย อีกทั้งใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยงดงามกว่าบุรุษทั่วไป การแต่งตัวของเขาแค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นของมีราคา ผู้คนรอบข้างจึงมองมาที่คุณชายรูปร่างบอบบางเป็นตาเดียว

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคุณชายเสิ่นมาก่อน แต่ผู้คนในอำเภอถงฉวนไม่มีผู้ใดไม่รู้จักสกุลโหยวที่ร่ำรวยในระแวกนี้ แม้จะมิได้มีลูกหลานเป็นขุนนาง แต่เรื่องราวของโหยวหลันบุตรสาวร่างกายอ่อนแอของโหยวเถียนที่ตบแต่งให้สกุลเสิ่นตระกูลขุนนางเก่าแก่เป็นที่ร่ำลือ โชคชะตาของเสิ่นฮูหยินไม่ดีนัก นางจากไปด้วยอาการป่วยที่สั่งสมจากการคลอดบุตร 

จื่อฟางไม่คิดว่าจะถูกจ้องมองมากเช่นนี้จึงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย คงด้วยเหตุนี้เสิ่นจิ้งเฟยถึงไม่อยากมาอำเภอถงฉวน เขารีบก้าวเดินไปตามถนนสายยาวที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ จางต้าและหยางชวีก็ถูกจับจ้องไปด้วย ทั้งสองคนต่างก็เห็นใจคุณชายของตนยิ่งนัก จากฉางอันมาแล้วยังต้องเจอสายตาสอดรู้ของชาวอำเภอถงฉวนอีก

จื่อฟางทำมองไม่เห็นสายตาพวกนั้น เดินมือไพล่หลังดูร้านรวงข้างทางไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ร้านขายเครื่องประดับ เถ้าแก่ร้านพอเห็นการแต่งตัวของเขาก็รีบกระวีกระวาดมาประจบประแจงทันที  หยางชวีมองภาพตรงหน้าอย่างเฉยชา เงยหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างใส รับรู้ว่าองครักษ์ของฮ่องเต้เคลื่อนไหวอยู่บนหลังคาบ้านผู้อื่นก็หัวเราะหึในใจ ละสายตากลับมามองคุณชายเสิ่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของเถ้าแก่ร้านร่ายยาวถึงเครื่องประดับราคาแพง

“ข้าขอแนะนำปิ่นเงินลายนกยูง ตีด้วยช่างฝีมือดี..”

“ข้าต้องการปิ่นไม้อันนั้นสองชิ้น”จื่อฟางเอ่ยขัด ใช้พัดชี้ไปยังปิ่นปักผมทำจากไม้จันทร์ลักษณะเรียบง่ายธรรมดา แม้จะเป็นปิ่นปักผมสตรีแต่มีเพียงรูปสลักดอกไม้เล็กๆตกแต่งเท่านั้น บุรุษใช้ก็ไม่น่าเกลียด โดยเฉพาะกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่กับไป๋ผูอวี้....เด็กหนุ่มนึกภาพแล้วก็หลุดรอยยิ้มออกมา จางต้าเห็นคุณชายเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะร่ำไห้ด้วยความดีใจหรือเศร้าหมองดี เขารู้ว่าปิ่นธรรมดาที่คุณชายเลือกมานั้นตั้งใจซื้อให้กับผู้ใด ดูท่าคุณชายเสิ่นจะสนใจไป๋ผูอวี้จริงๆ  กระทั่งตอนนี้จางต้าก็ยังไม่เข้าใจนักว่าคุณชายเปลี่ยนใจจากคุณหนูฉินได้อย่างไร

    “ชิ้นนี้หรือ อย่างคุณชายเสิ่นไม่เหมาะกับของธรรมดาๆเช่นนี้หรอก”   

“จะขายรึไม่”เขาโบกพัดด้วยท่าทางรำคาญใจ สำหรับไป๋ผูอวี้ ซื้อของราคาแพงไปคนผู้นั้นไม่มีทางรับไว้แน่

“คุณชายแน่ใจหรือ”เถ้าแก่บ่นอยู่ในใจว่าคุณชายเสิ่นตระหนี่เกินไปแล้ว

    “คุณชายข้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น”หยางชวีเอ่ยแทรกอย่างนึกรำคาญ

เมื่อเห็นผู้ติดตามร่างสูงใหญ่ของเสิ่นจิ้งเฟยเถ้าแก่ก็ไม่กล้าพูดให้มากความอีก รีบจัดปิ่นทั้งสองชิ้นใส่กล่องไม้ส่งให้ จางต้ารับมาถืออย่างรู้หน้าที่ จื่อฟางจ่ายเงินเสร็จก็หมุนตัวออกจากร้าน เดินทอดน่องไปเรื่อยๆก็พบวัดเล็กๆแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มเดินเข้าไปคล้ายกับถูกสะกดจิต ผู้ติดตามและบ่าวคนสนิทได้แต่เดินตามคุณชายอย่างเงียบๆ ไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นมีอารมณ์อยากเข้าวัด หยางชวีผ่อนลมหายใจ แรงกดดันขององครักษ์สองคนนั่นจางลงแล้ว แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ตามเข้ามา คงอยากให้คุณชายได้ใช้เวลาอย่างสงบกระมัง

ไม่รู้สิ่งใดดลใจ จื่อฟางเลือกไปเสี่ยงเซียมซี โชคไม่ดีที่ติ้วหล่นมาถึงสองอัน เขานำกระบอกติ้วไปวนเหนือกระถางธูปสามรอบ ก่อนใช้มือสุ่มหยิบติ้วหนึ่งอันส่งให้ซินแส แม้ว่าจะไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย

    “คุณชายท่านนี้...”ซินแสผู้อ่านเซียมซีมุ่นคิ้ว มองหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกายล้ำลึก “ข้าจำท่านได้”

จื่อฟางซ่อนสีหน้าประหลาดใจ ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยผุดเข้ามาในห้วงความคิด เมื่อสองปีก่อนเสิ่นจิ้งเฟยเคยพบกับซินแสท่านนี้ ซินแสเอ่ยทักว่าจะเกิดเรื่องอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ปีถัดมาอย่าได้เดินทางมาถงฉวน แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่เก็บคำพูดไร้สาระมาใส่ใจ ไม่กี่ชั่วยามก็ลืมแล้ว   

    “ข้าก็จำท่านได้เช่นกัน”เขาพึมพำ มองไปเบื้องหลัง ทั้งจางต้าและหยางชวีไม่ได้เข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มจึงเบาใจเล็กน้อย ซินแสลูบเครายาวของตน หยิบติ้วของเขามาอ่าน ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยกังวล

“คุณชาย ติ้วของท่านไม่ค่อยดี”

    “อ้อ...”เด็กหนุ่มหมุนตัวหมายจะกลับ ไม่คิดรอฟัง ติ้วอับโชคฟังไปก็เท่านั้น

    “รอประเดี๋ยว...”ซินแสส่งเสียงเรียก ร่างสูงก้าวมาหาเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

“ติ้วของคุณชายบอกว่าแม้เปลี่ยนแปลง แต่ก็มิสามารถแก้ไขเรื่องที่กระทำลงไปแล้วได้ ไม่ถือว่าอับโชคนัก ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง สิ่งที่ท่านตามหา อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จะได้พบไม่ช้าก็เร็ว”ถ้อยคำของซินแสกระทบโดนใจเขาอย่างจัง เขาหมุนพัดในมือเล่น มองท่านซินแสอย่างหยั่งรู้ ใบหน้าเหี่ยวย่นเคร่งขรึมของชายตรงหน้าดูไม่ออกว่าเป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า ซินแสผู้นี้เคยทำนายทายทักเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน และก็เป็นอย่างดั่งคำทำนาย เสิ่นจิ้งเฟยถูกวางยาพาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

    “แน่อยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วได้”แต่จื่อฟางก็อดไม่ได้ที่จะกังขา ซินแสเครายาวยิ้มมองออกว่าเขาไม่ใคร่เชื่อนัก 

    “คุณชาย ข้าจะบอกท่านเป็นครั้งสุดท้ายและจะไม่ทายทักเรื่องท่านอีก ชะตาของท่านคลุมเครือ มองไม่เห็น แต่สิ่งที่แจ่มชัดคือทางเลือกของท่าน ท่านทางหนึ่ง เขาทางหนึ่ง ...”เสียงนั้นแผ่วเบา แต่คล้ายกับดังก้องอยู่ข้างหู จื่อฟางยังคงสงบท่าที แต่คิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ

จื่อฟางบีบพัดในมือ เหลือบมองข้ารับใช้ทางหางตา ก่อนโน้มตัวเข้าไปถามเสียงแผ่ว “เขาที่ว่า...ท่านซินแสหมายถึงผู้ใด”

ซินแสกวาดตามองเขาไปทั่วร่างด้วยสายตากระจ่างใส คล้ายกับมองทะลุ ร่างตรงหน้าหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาทอประกาย

“ผู้ที่ท่านอาศัยยืมร่างกายเขาอย่างไร”คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนก้อนหินที่หล่นในน้ำ พาให้สั่นสะท้านอยู่ลึกๆ จื่อฟางปากคอแห้งผาก ท่านซินแสผู้นี้...มองออกหรือ

 “ชะตาของท่านทั้งสองคล้ายคลึงกัน ไม่แปลกที่เป็นเช่นนี้...”ซินแสยังคงกล่าวต่อไป

    “เจ้าของร่างนี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว ข้า...ข้าจะได้กลับไปยังที่จากมารึไม่”เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง เอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้ 

ซินแสมองเขาด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม “อย่างที่ข้าบอก ไม่ใกล้ไม่ไกล ส่วนชะตาของท่าน ข้าตอบมิได้”ชายชราตรงหน้ากลับไปนั่งตามเดิม บอกเป็นนัยว่าจะไม่บอกอะไรอีกแล้ว จื่อฟางยืนบื้ออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะควักเอาเงินวางบนโต๊ะหมุนตัวจากมา หยางชวีและจางต้าเห็นคุณชายสีหน้าเผือดซีดก็คิดว่าวันนี้คงเสียฤกษ์แล้ว คุณชายเสี่ยงเซียมซีได้ติ้วไม่ดีเป็นแน่

    “กลับเถอะ”เด็กหนุ่มปัดเรื่องกวนใจออกไป อาจเพราะจื่อฟางเข้ามาในโลกนิยายชะตาของเขาถึงคลุมเครือส่วนเสิ่นจิ้งเฟย...ซินแสบอกว่าเจ้านั่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แสดงว่ายังอยู่ในโลกนี้ไม่ได้สลับกับวิญญาณของเขาในโลกปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับร่างจริงของจื่อฟางกันล่ะ หรือตายไปแล้ว? โอกาสที่เขาจะได้กลับไปโลกเดิมแลดูน้อยลงทุกที นึกถึงไป๋ผูอวี้...เขายกมือลูบหยกที่ห้อยอยู่ในอกเสื้อ ความรู้สึกก็ยิ่งสับสน  ระหว่างทางกลับจวน จื่อฟางจมอยู่กับความคิดเหม่อลอย

เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลโหยว สาวใช้ก็มารายงานว่ามีแขกมารอพบ 

    “เป็นผู้ใด”หรือเป็นคนรู้จักของเสิ่นจิ้งเฟย สาวใช้ส่ายหน้า ไม่ทราบเช่นกัน จากวีรกรรมของเจ้าของร่าง จื่อฟางนึกไม่ออกว่ายังมีใครกล้ามาผูกมิตร เขาเดินตามสาวใช้ไปตามเฉลียงเงียบๆ เป็นศาลาอันเงียบสงบที่เขานั่งวาดภาพให้โหยวหวั่น เด็กหนุ่มมองเห็นเงาร่างในชุดคลุมสีฟ้าอ่อน จากการแต่งกายคล้ายกับเป็นนักกวี

เมื่อฝ่ายนั้นเห็นจื่อฟางก้าวเข้ามาในศาลาก็ลุกยืนทักทายด้วยท่าทางสุภาพ “ขออภัยที่มารบกวนเวลาของคุณชาย”สุ้มเสียงของร่างนั้นนุ่มหู ในศาลามีชุดกาน้ำชาและขนมวางอยู่บนโต๊ะ คะเนจากกาน้ำชาที่ยังมีควันฉุยคนผู้นี้เพิ่งมาได้ไม่นาน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-08-2018 19:33:48
 
“ข้าไม่อยากเสียมารยาท แต่ท่านมาด้วยเรื่องใดหรือ ข้าจำไม่ได้ว่ามีมิตรสหายอยู่ที่ถงฉวนด้วย”เขาเอ่ยกระทบกระเทียบ ผู้คนที่นี่ไม่มีผู้ใดอยากคบหาเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางยกชายเสื้อนั่งลง รินน้ำชาให้ตัวเอง

ร่างตรงหน้ายิ้ม สีหน้าละอายอยู่บ้าง “ข้าแซ่ซ่ง เป็นกวีเร่ร่อนเดินทางไกลเพื่อตามหาคนผู้หนึ่ง พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมโหยวหวั่น ข้าเห็นภาพวาดห้าหญิงงามก็มองออกว่าภาพนั้นเป็นของเลียนแบบ มิใช่ของจริง ภาพต้นแบบเป็นฝีมือของเจาเหลิน.....”

จื่อฟางฉุนขึ้นมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงภาพที่ตนวาดว่าเป็นของเลียนแบบ แถมคนแซ่ซ่งก็ยังพูดยืดยาวชวนให้หงุดหงิด

    “ท่านเข้าเรื่องมาเลยดีกว่า ข้าไม่มีเวลาทั้งวัน”

ซ่งเหยียนไม่สะทกสะท้านกับท่าทีเสียกิริยาของคุณชายเสิ่น เขาดูอ้ำอึ้งเล็กน้อยระหว่างที่ทำหน้าหนากล่าวต่อ

“พอข้าได้เห็นจึงรู้ว่าคุณชายมีฝีมือ”คำตอบของอีกฝ่ายยิ่งทำให้จื่อฟางงุนงง เมื่อครู่ยังว่าเป็นของเลียนแบบอยู่เลย

    “ซ่งเหยียนเป็นกวีเร่ร่อน ไม่มีเงินมากมาย.....ข้าขอรบกวนคุณชายเสิ่นวาดภาพคนผู้หนึ่งให้ข้าได้หรือไม่”ซ่งเหยียนหลุบตามองพื้นด้วยสีหน้าละอาย ต้องบากหน้ามาขอผู้อื่น แถมยังเป็นคุณชายเสิ่นที่มีแต่ชื่อเสียงด้านลบทำให้เขาอยากแทรกแผ่นดินหนี

“เจ้ามาด้วยเรื่องนี้”จื่อฟางเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ

    “มาร้องขอผู้อื่น ท่านไม่คิดทำให้เป็นเรื่องเป็นราวหน่อยหรือ”หยางชวีเอ่ยขัดมาจากนอกศาลา เขามองออกว่ากวีแซ่ซ่งผู้นี้ไม่อยากก้มหัวขอร้องคุณชาย

“ช่างเถอะๆ ข้าไม่คิดมาก เรื่องเท่านี้ข้าช่วยได้”เขารีบโบกมือ กวีที่ชื่อซ่งเหยียนสีหน้าเปล่งประกายด้วยความหวังค้อมตัวขอบคุณเขาทันที

    “ขอบคุณคุณชายเสิ่นมาก”

จื่อฟางแสร้งทำสีหน้ารำคาญ สั่งจางต้านำอุปกรณ์วาดรูปมา หลังจากที่ฟังอีกฝ่ายพร่ำพรรณาถึงหญิงงามนางหนึ่งเขาก็พอเดาออกว่ากวีตกอับผู้นี้กำลังตามหาคนรัก เด็กหนุ่มใช้เวลาวาดรูปอยู่หลายชั่วยามถึงแล้วเสร็จ กวีแซ่ซ่งขอบคุณเขาอีกครั้งพร่ำบอกว่าจะจดจำเรื่องครานี้ไว้ไม่รู้ลืม กวีแซ่ซ่งจากไปได้วันเดียวก็มีจิตกรใบหน้าอ่อนเยาว์มาขอพบ ต้องการเรียนรู้ฝีแปรงของเขา

เรื่องแปลกเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น ศาลารับลมในจวนสกุลโหยวมีผู้มาเยือนไม่ขาด ทั้งนักปราชญ์กวี จิตกร  คุณชายตรอกข้างๆ จื่อฟางได้แต่ต้อนรับอย่างงุนงง พวกเขามาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน บ้างมาถกเรื่องกาพย์กลอนที่เขายังพอถูไถหยิบยืมเอาบทกวีที่เคยได้ยินมาใช้(ขออภัยท่านหลี่ไป๋เป็นอย่างสูง) บ้างต้องการให้เขาวาดภาพ ไม่นานผู้คนในอำเภอถงฉวนต่างก็เอาเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยไปพูดต่อๆกันเพราะเขาวาดภาพไม่คิดเงิน 

    “คุณชายดูเหมือนว่ามาเยี่ยมถงฉวนครานี้จะมีแต่เรื่องดีๆนะขอรับ”จางต้าเอ่ย มีรอยยิ้มประดับหน้า แค่เพียงสี่วัน คนในอำเภอถงฉวนก็มองคุณชายเปลี่ยนไป แม้จะมีคนนินทาอยู่ แต่ก็น้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก

    “เจ้าว่าดีหรือ”จื่อฟางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย จางต้ากำลังอ้าปากตอบคำ แต่หยางชวีเดินมาหาเขาในศาลาเสียก่อน ในมือถือของบางอย่างที่มองแว๊บเดียวก็เห็นว่าเป็นจดหมาย หยางชวียื่นจดหมายให้คุณชาย จื่อฟางรับมาเปิดออก ไม่คิดว่าดอกเหมยสีขาวดอกเล็กๆจะร่วงลงมา เขาหยิบมาดู กวาดตามองตัวอักษรเป็นระเบียบสวยงามก็จำได้ว่าเป็นลายมือของผู้ใด เขาใจเต้นตึกตัก รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ไป๋ผูอวี้ส่งจดหมายมาหาเขา

‘คุณชายเสิ่น ข้าอยู่ฉางอันยังได้ยินเรื่องราวของท่าน ข้าเกรงว่าท่านจะสนุกจนลืมว่าการสอบใกล้เข้ามาแล้ว หมั่นทบทวนตำรา หากกลับมาข้าจะทดสอบท่าน อ้อ...ท่านคงเห็นดอกเหมยที่ข้าแนบมา เมื่อวานคุณหนูฉินส่งเทียบเชิญข้าชมดอกเหมย ข้าเห็นว่างดงามมากจึงอยากให้ท่านชมดูด้วย’

จื่อฟางอ่านจดหมายซ้ำอยู่หลายครั้ง หยิบดอกเหมยมาดู ไป๋ผูอวี้ชมดอกเหมยกับฉินเซียงอิน คงไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรอกกระมัง เขาเม้มปาก นั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบพู่กันจรดกับกระดาษ ขีดเขียนตอบโต้

‘ดอกเหมยที่เจ้าแนบมาเหี่ยวช้ำไม่งดงามสักนิด แต่หากได้ไปชมกับเจ้า ข้าว่าคงสวยงามกว่าร้อยเท่า’

เขียนเสร็จเขาก็โบกพัดไปมา ความร้อนสุมไปทั่วใบหน้า จื่อฟางให้ท่าถึงเพียงนี้แล้วหวังว่าไป๋ผูอวี้จะเข้าใจ





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-08-2018 20:50:33
ขอบคุณมากๆค่า
อืมมม ปลื้มใจ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 09-08-2018 21:35:13
สิ่งที่ตามหาคือดวงวิญญาณของเจ้าของร่างหรือเปล่า เป้าหมายคนละทางแปลว่าต้องช่วยฮ่องเต้หรือยังไง คุณปู่ก็ความลับเยอะเวอร์ องค์ชายใหญ่ยังไม่ตายใช่ไหม ฮือออออ ปริศนาร้อยห้าแสนแปด จะรอติดตามนะคะ :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 09-08-2018 21:48:21
ยาวสะใจมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-08-2018 22:12:22
ยาวจุใจ จอบคุณมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 09-08-2018 23:04:36
ยาวมากกกกกกกกกกก​กกก​ จุใจที่สุดเลยค่ะ​ เหมือนอ่าน3ตอนเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-08-2018 02:49:22
เรื่องราวเข้มข้น ยาวจุใจ สมกับเป็นนิยายรายไตรมาส  o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 10-08-2018 07:39:32
โอ้ยน่ารักอ่ะ​  เค้าจีบกันค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้ว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-08-2018 17:14:25
อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าตัวจริงอยู่ไหน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-08-2018 20:43:07
ชอบบบบบบ   ไรท์มาลงยาวจุใจเลย   :laugh: :laugh: :laugh:

เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง ใช่มาเป็นหยางชวี หรือไม่  :hao3:
เพราะพอจื่อฟางมา หยางชวีก็โผล่มาด้วย  :really2: :really2: :really2:

จิ้อฟาง ทำให้ภาพลักษณ์เสิ่นจิ้งเฟยดีขึ้นนะ
ก่อนหน้านี้มีแต่คนนินทาทั้งถือตัวเย่อหยิ่ง ตามตื๊อคุณหนูฉิน จนน่าเกลียด
คนที่รู้ตัวว่าเสิ่นจิ้งเฟย เปลี่ยนไปจริงก็มีไป๋ผูอวี้ กับซินแสสินะ

แต่ที่แน่ๆเสิ่นจิ้งเฟย กับไป๋ผูอวี่คิดถึงกันแล้ว  :o8: :impress2:
ฮ่องเต้นี่ต้องตาต้องใจหลงรักเสิ่นจิ้งเฟยตั้งแต่เสิ่นจิ้งเฟยหกขวบเลย
เสิ่นจิ้งเฟยนี่เสน่ห์แรงไม่เบา หรือไม่ก็ฮ่องเต้ ชอบกินเด็ก   :serius2: :serius2: :serius2:
         :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-08-2018 22:20:09
เงื่อนงำเยอะจนคิดไม่ทัน โฟกัสเรื่องความรักไว้เป็นรองแล้วกันค่ะ สนุกมากก รอคอยตอนต่อไป คนเขียนดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เป็นห่วง  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-08-2018 22:54:18
ตอนนี้ยาวมากๆๆๆ
ลุ้นเลยว่าคุณชายตัวจริงอยู่ไหน
แล้วอนาคตสองคนนี้จะเป็นไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 12-08-2018 11:33:37
'เขียนเสร็จเขาก็โบกพัดไปมา ความร้อนสุมไปทั่วใบหน้า จื่อฟางให้ท่าถึงเพียงนี้แล้วหวังว่าไป๋ผูอวี้จะเข้าใจ' ตายแล้ว ไร่อ้อยคว่ำแล้ว คุณชายไป๋นี่ก็อ่อยไม่เบามีส่งดอกไม้มาให้ รายงานตัวว่ากำลังทำอะไรให้ภรรยารู้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ^PUNEOPPA^ ที่ 12-08-2018 17:52:45
ตามมาจากทวิตเตอร์ครับ

ตอนแรกที่อ่านคิดว่าเป็นเรื่องแปลเสียอีก
บอกเลยว่าสนุกมากครับ ชอบการเขียนแบบย้อนยุค แต่การบรรยายไม่น่าเบื่อยืดเยื้อจนขี้เกียจอ่าน
น่าติดตามทุกตอน เหมือนเราได้เห็นพัฒนาการของเขาไปพร้อมๆ กัน
ความรักของทั้งคู่ก็เรียบเรื่อย แต่บทจะฟิน ก็ฟินมากตามสไตล์ท่อนไม้ที่กลายเป็นไม้เลื้อยเลย
คิดว่าหลังจากแจ่มแจ้งว่าใจตรงกัน คงไม่เหลือคราบไม้ท่อนนิ่งๆ แน่นอน 55
เป็นกำลังใจให้นะครับ ติดตามอ่านตอนต่อไปครับผม
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Toxic ที่ 12-08-2018 19:14:16
ปมก็น่าติดตาม ฉากกุ๊กกิ๊กก็น่ารักมากค่า :o8:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 13-08-2018 21:55:54
ตัองรอถึง2เดือนเลยหรอ ตุลาคม
เพิีงมาอ่านสนุกมากๆเลยจ้า ชอบๆ ลึกลับดี
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-08-2018 23:16:28
ยาว อ่านจุใจ นาน 2 เดือน รอได้ ปมเริ่มคลายแล้ว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 15-08-2018 08:39:45
สนุกมากกกก ลุ้นทุกตอนเลยจริงๆ ชอบมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนมาต่อไวไวนะ
ตอนต่อไปตุลาเลยหรอ ฮืออออออออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-08-2018 11:22:37
ยาวมาก อ่านจุใจเลย ขอบคุณที่มาต่อค่ะ สนุกเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 15-08-2018 12:31:14
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Fufufeel ที่ 17-08-2018 01:27:46
เราตามคนรีวิวเข้า พออ่านแล้วติด เลยอ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆเลยค่ะ มีปมอะไรให้เราลุ้นตลอด พระเอกนายเอกก็ค่อยเป็นค่อยไป กลมกล่อมเลยค่ะ555555 เราจะตั้งตารอตอนหน้าเลย  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-08-2018 12:36:08
ชะตานี้ ไม่รู้เลยจะไปทางไหน
แล้วโชคชะตาทำให้เจอซินแสอีกครั้ง

จื่อฟางนอยด์ไปนิด แต่ก็ร่าเริงเกินเหตุตอนได้จดหมายนะ
ไป๋อวี้ ไม่คอยออกตัวเท่าไหร่เนาะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 17-08-2018 22:47:43
 บทที่สิบห้า: โชคชะตา 

ไป๋ผูอวี้อ่านจดหมายที่เพิ่งได้รับจากอำเภอถงฉวนด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก เป็นเพราะเว่ยหลงอยู่ในห้อง เขาจึงไม่อยากแสดงความรู้สึกใดออกมาให้เห็น  ไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นจะตอบกลับจดหมายของเขาเร็วเช่นนี้ อีกทั้งข้อความในจดหมายยังหยอกล้อชายหนุ่มชัดเจน ไป๋ผูอวี้มิใช่คนไม่รู้ความไยจะอ่านความนัยไม่ออก ชายหนุ่มรับรู้ว่าริมฝีปากกระตุกน้อยๆแต่ก็พยายามเก็บซ่อนสีหน้า เขาเงยหน้ามองผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างประตู สายตามองมาที่ตนคล้ายมีความอ่อนใจอยู่บ้าง เขาพลันรู้สึกงุ่นง่านในใจ

“เจ้าไม่มีงานทำหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม

“...ดูท่าท่านจะหลงใบหน้างามๆของคุณชายเสิ่นเสียแล้ว”เว่ยหลงถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็พอจะเดาได้ ระยะหลังที่เสิ่นจิ้งเฟยมาโรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยๆ คุณชายไป๋ทำตัวแปลกไปจากเดิม ผู้อื่นอาจไม่ทันสังเกตเห็นแต่เขาที่ติดตามคุณชายมานานปีย่อมรู้สึกได้

“ข้าไม่ได้หลงใบหน้างามๆของคุณชายเสิ่น ความงามทำอะไรข้ามิได้หรอก”บุรุษหนุ่มถูกนิสัยที่เปลี่ยนไปของเสิ่นจิ้งเฟยดึงดูดต่างหากเล่า ยิ่งสงสัยใคร่รู้เขาก็ยิ่งสนใจในตัวเสิ่นจิ้งเฟยมากเข้าทุกที

“นั่นสิขอรับ แม้แต่คุณหนูฉินก็ทำให้จิตใจของคุณชายสั่นไหวมิได้”เว่ยหลงรำพึง

       ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจพับจดหมายของเสิ่นจิ้งเฟยเก็บไว้ นึกถึงเหตุการณ์ที่คุณหนูฉินเชิญเขาไปชมดอกเหมยที่จวนเสนาบดี เขามิได้ถูกเชิญแต่เพียงผู้เดียว ยังมีสหายของคุณหนูฉินอีกหลายคน แม้จะมีฉากกั้นแยกชายหญิง แต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังรู้สึกแปลกๆเพราะในบรรดามิตรสหายที่เชิญมามีเพียงไป๋ผูอวี้เท่านั้นที่เป็นบุรุษ อีกทั้งได้ข่าวว่าเสนาบดีฉินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ฉินเซียงอินจึงสบโอกาสส่งเทียบเชิญมาให้เขา ไป๋ผูอวี้มาตามมารยาท เขามองดอกเหมยสีขาวออกดอกตามกิ่งก้าน แม้จะงดงามส่งกลิ่นหอมไปทั้งจวนแต่ภาพเบื้องหน้ากลับมิได้ซึมซาบไปในจิตใจ เขาก้มเก็บดอกเหมยที่ร่วงหล่นมาดู ในใจนึกไปถึงเสิ่นจิ้งเฟย

‘ดอกเหมยไม่งามหรือ เหตุใดท่านถึงดูเหม่อลอยนัก คุณชายไป๋’

ฉินเซียงอินก้าวมายืนข้างกาย นางสวมผ้าคลุมใบหน้าเห็นเพียงดวงตากระจ่างใส นางลอบมาหาเขา ใช้เวลากล่อมสาวใช้อยู่นานสองนาน 

‘ข้าเป็นพ่อค้า จะมีเรื่องใดให้คิดกันหากไม่ใช่โรงน้ำชาหลิวซื่อ’

เขาหมุนตัวไปมอง พบว่าอยู่กับนางเพียงสองคนเท่านั้น ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กสาวหลายคนดังมาจากอีกฟากของฉากกั้น ไป๋ผูอวี้เลื่อนสายตามองใบหน้าเปล่งประกายของนาง ก็ยิ่งรู้ว่านางมีจุดประสงค์

    ‘ท่านมิควรมาตรงนี้ หากมีผู้คนเห็นเข้าจะดูไม่ดี’ โดยเฉพาะพวกบ่าวไพร่ในจวน หากมีคนปากพล่อยนำไปบอกเสนาบดีฉินเล่า เขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นไม่ชมชอบให้บุตรสาวมาสนิทสนมกับบุตรคหบดี แม้ว่าชายหนุ่มจะสอบได้หลิ่นเชิง ได้เป็นชิ่วไฉอันดับหนึ่ง แต่เขาไม่ได้เข้าไปศึกษาต่อในสำนักศึกษาหลวง เพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าอยู่ในสายตาของท่านเสนาบดี 

ฉินเซียงอินทำหน้างอ ‘ไยต้องสนใจคำนินทาของผู้อื่นด้วย’

    ‘ท่านไม่เห็นเอ่ยเช่นนี้กับเรื่องของคุณชายเสิ่น’

‘เขากับท่านเหมือนกันหรือ คุณชายไป๋น่าจะทราบดี’ นางทำหน้าคับข้องใจ 

    ‘เสิ่นจิ้งเฟยเป็นสหายข้า’ ไป๋ผูอวี้ตอบโดยไม่หยุดคิด คุณหนูฉินยังคงไม่เข้าใจนัก ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเห็นนางเม้มริมฝีปาก ดวงตากลมใสส่อประกายขุ่นเคือง

‘ข้าเชิญท่านมาชมดอกเหมย ไยยังคิดถึงเรื่องอื่นอีกเล่า’ ฉินเซียงอินอยากบอกกล่าวไปตามตรงว่านางอยากมาชมดอกเหมยกับเขา แต่ไม่อยากแสดงตัวมากไป   

‘คุณหนูฉิน...’ ไป๋ผูอวี้ทราบความนัยของประโยคนี้ดี ใช่ว่าเขาไม่รู้ใจนางเสียเมื่อไหร่ เขาคิดว่าควรเอ่ยอะไรสักอย่าง

    ‘คุณชายไป๋ ข้า…’ คุณหนูร่างบอบบางและดูน่าทนุถนอมก้าวเข้ามาหาเขา

 ‘อุ้ย...’

แต่ด้วยเพราะคุณหนูฉินเอาแต่มองไป๋ผูอวี้ไม่วางตานางจึงสะดุดชายกระโปรงล้ม ชายหนุ่มมิใช่บุรุษใจจืดใจดำจะให้นิ่งเฉยมองนางล้มก็กระไรอยู่ แม้จะรู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้สะดุดล้มจริงๆก็ตาม ชายหนุ่มเข้าไปประคอง รับรู้ว่าริมฝีปากอ่อนนุ่มของฉินเซยงอินเฉียดผ่านแก้มของเขาโดยไม่ตั้งใจ

‘ท่านเป็นอะไรหรือไม่’ ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามคล้ายกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นระหว่างที่ปล่อยมือจากคุณหนูฉิน นางใบหน้าแดงก่ำท่าทางเอียงอาย เขาลอบยิ้มจาง นางยังมาทำขวยเขินอีกหรือ ชายหนุ่มกวาดตามองรอบตัว มองเห็นสาวใช้ประจำกายของฉินเซียงอินยืนลับๆล่อๆอยู่นอกฉากกั้นหวาดกลัวว่าจะมีผู้คนพบเห็น 

‘ข้าไม่เป็นอะไร’นางตอบด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม 

‘ท่านมิควรอยู่กับข้า สหายของท่านจะสงสัยว่าท่านหายไปที่ใดนานสองนาน ท่านควรระวังกิริยา หากมีผู้ใดพบเห็นจะไม่เป็นผลดีต่อตัวท่านและตัวข้า’ ไป๋ผูอวี้กล่าวตามตรง ได้ทีสั่งสอนไปด้วย ฉินเซียงอินมองเขาอย่างดื้อรั้น นางไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ

‘คุณชายไป๋มีหญิงในดวงใจแล้วหรือ’ ฉินเซียงอินไม่ใคร่เข้าใจนัก ไป๋ผูอวี้ผู้นี้ดูไม่สนใจสาวงามใด รึเป็นนางคณิกาเสวี่ยฮวาจากหลานโจวผู้นั้น ได้ยินว่ารู้จักกับคุณชายไป๋ แม้ว่าสกุลไป๋จะเป็นพ่อค้า แต่ก็เป็นคหบดีมีชื่อสกุลหนึ่ง นางมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงไปสนิทมักจีกับนางคณิกาได้ เขาไม่ใช่คุณชายเจ้าสำราญพวกนั้น เท่าที่ทราบมาเสวี่ยฮวานางนั้นมักมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยครั้ง

‘ข้าไม่มีหญิงใดในดวงใจ...’ ไป๋ผูอวี้หวนคิดนึกถึงเสิ่นจิ้งเฟย ‘ท่านเป็นน้องสาวข้าคนหนึ่ง...คุณหนูฉิน ข้าเป็นเพียงพ่อค้าต่ำต้อย ท่านอย่าได้เสียเวลากับข้าเลย’

‘ข้าไม่ยอมแพ้หรอก’ นางลั่นวาจาอย่างดื้อดึง 



ไป๋ผูอวี้คิดผิดที่คิดว่าคุณหนูฉินจะไม่กล้าทำเรื่องเพราะอยู่ในเรือนของตน นางเป็นเด็กสาวที่แปลก ไม่มีหญิงนางใดกล้าประพฤติตนเช่นนาง ชายหนุ่มเองก็ชอบคุณหนูฉินอยู่ไม่น้อย แต่ความชอบของเขาไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น

“ข้ามิได้ชอบนางเช่นนั้น”ชายหนุ่มกล่าวออกมาหลังจากที่เงียบไปเป็นนาน

“แต่ท่านชอบเสิ่นจิ้งเฟย”เว่ยหลงเอ่ยออกมาอย่างไม่กลัวตาย สายตาเรียบเฉยของไป๋ผูอวี้ตวัดมองผู้ติดตาม ก่อนกลับไปตรวจตราบัญชีรายจ่ายของโรงน้ำชาโดยไม่กล่าววาจาใดอีก ผู้ติดตามได้แต่ลอบถอดถอนหายใจ

“ข้ารู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์เอ่ยต่อเรื่องนี้ ขออภัยหากข้ากล่าวมากวาจา แต่ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเสิ่นจิ้งเฟยมาทำสนิทสนมกับท่านไม่ได้มีเรื่องแอบแฝงอื่นใด...คุณชายไป๋ก็รู้ว่าเขาทำเรื่องใดอยู่”เว่ยหลงมิชอบการนินทาลับหลัง แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกล่าว เขารู้ ว่าเสิ่นจิ้งเฟยกำลังเคลื่อนไหวทำเรื่องใดกับหลิวอ๋องลับหลังฮ่องเต้ ไม่มีทางเป็นเรื่องดีไปได้ เขากังวลว่าอีกฝ่ายเพียงมาสนิทสนมกับคุณชายเพราะต้องการสืบข้อมูล ที่ผ่านมาคุณชายเสิ่นผู้นั้นเคยทำดีกับสกุลไป๋ด้วยหรือ เจ้าเต่ามาสร้างเรื่องรำคาญใจก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องผูกมิตรตีสนิท คนเย่อหยิ่งอย่างเสิ่นจิ้งเฟยต้องการผูกมิตรกับพ่อค้าไปเพราะเหตุใด แม้ว่าสกุลไป๋จะเป็นคหบดีที่มีเงินทองพอตัว แต่เสิ่นจิ้งเฟยมิใช่คนที่คบหากับคนที่มีฐานะต่ำกว่า หากไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ไป๋ผูอวี้เข้าใจในสิ่งที่เว่ยหลงกังวลจึงไม่ได้คิดตำหนิ เพราะสิ่งที่ฝ่ายนั้นกล่าวมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

“ข้ารู้ ข้าถึงอยากเปลี่ยนแปลงเขา เจ้าว่าข้าบ้าหรือไม่”

เว่ยหลงมองคุณชายด้วยสายตาหลากอารมณ์ “ท่านเสียสติไปแล้วต่างหาก ท่านคนเดิมไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่”

ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคอ นั่นสิ หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีทางเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นถึงขั้นอยากคิดช่วยเหลือเป็นแน่ เขาปรายตามองจดหมายที่เสิ่นจิ้งเฟยส่งกลับมาด้วยแววตาลุ่มลึก บางครั้งเขารู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปิดบัง บางคราก็เหมือนกำลังเสแสร้งคล้ายเล่นละครตบตาคน ทำให้ชายหนุ่มพานสับสนว่าสิ่งที่คุณชายรูปงามเคยเอ่ยกับเขาที่ตรอกซีหมานเป็นเรื่องจริงกี่ส่วนกันแน่

 เสิ่นจิ้งเฟย แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ ข้าอยากรู้นัก

~•~

จื่อฟางนั่งอยู่ในศาลารับลม สายตาจดจ่ออยู่ที่แผ่นผ้าไหมผืนใหญ่มองสลับกับคนสกุลโหยวที่นั่งเรียงอยู่ที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม โหยวเถียนนั่งอยู่ตรงกลางประกบด้วยลุงใหญ่และป้าสะใภ้ มีบุตรชายและบุตรสาวนั่งกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ ส่วนลุงรองมีสีหน้าเซื่องซึมคล้ายคนง่วงนอน จื่อฟางพยายามเร่งมือวาดภาพให้เร็วที่สุดเพราะเห็นท่านั่งเกร็งของโหยวเถียนแล้วก็นึกสงสาร

“เสร็จเสียที พวกท่านมาดูสิ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่ตวัดพู่กันเขียนชื่อตัวเองลงไป ผู้ที่นั่งเกร็งมานานต่างก็ผ่อนคลายท่าที ขยับตัวไล่ความเมื่อยขบ ญาติผู้พี่ทั้งสองคนรีบเข้ามาดู พอเห็นภาพวาดก็เบิกตากว้างกล่าวชมไม่หยุดปาก

“เจ้ามีฝีมือจริงๆ น้องเสิ่น”

“เป็นอย่างไร ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว”โหยวเถียนได้ทีสอดคำขึ้นมา ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยแห่งความสุข

“ข้ารบกวนพวกท่านเสียหลายชั่วยาม ขออภัยด้วยจริงๆ”จื่อฟางกล่าวอย่างเกรงใจ ท่านตาอายุมากแล้วแต่ก็ยอมทนนั่งนานๆไม่ขยับเขยื้อนเพราะคำร้องขอของเขา ภาพสกุลโหยวถูกแต่งแต้มมีชีวิตชีวาในผืนผ้าไหมทำให้เขายิ้มอย่างพอใจ

“รบกวนอะไรกัน โอย...”โหยวเถียนจับบั้นเอวขณะที่ลุกมาชมดูภาพวาดฝีมือหลานชาย พอเห็นก็ตบบ่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่หยุด

“ท่านพ่อกลับไปพักผ่อนเถอะ”โหยวจี้เหวินกล่าว เข้าไปประคองโหยวเถียนที่ดูจะมีอาการปวดบั้นเอว เขาดีใจที่เสิ่นจิ้งเฟยไม่คิดทำตัวห่างเหินกับทางนี้แล้ว ท่านพ่อก็พลอยมีความสุขไปด้วย 

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย หลีกไป ข้าเดินเองได้”โหยวเถียนกล่าวอย่างดึงดัน ก้าวเดินออกไปจากศาลารับลมอย่างผ่าเผย แต่ลุงใหญ่ไม่วางใจจึงตามไปประคองอยู่ห่างๆ เด็กหนุ่มมองส่ง จนเหลือเพียงโหยวหวั่นที่ยืนถูมือท่าทางเหมือนอยากเอ่ยสิ่งใด

“ลุงรองมีเรื่องใดก็ว่ากล่าวมาเถิด”

“ไหนๆเจ้าก็จะกลับฉางอันแล้ว ข้าอยากร้องขอให้เจ้าช่วยวาดภาพให้ข้าสักหลายผืนได้หรือไม่”

จื่อฟางพินิจมองโหยวหวั่น เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการนำภาพไปขาย เขายังจำคำที่กวีซ่งเหยียนเอ่ยได้ ภาพเลียนแบบ จื่อฟางเดาเรื่องราวได้ทันที ลุงรองผู้นี้ให้เขาวาดภาพเลียนแบบภาพวาดของจริงแล้วนำไปขายโก่งราคา

“ท่านจะนำไปหลอกขายผู้อื่นรึ”จื่อฟางกล่าวอย่างไม่เกรงใจ โหยวหวั่นสีหน้าเปลี่ยนโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ข้าไม่ได้หลอกขาย แค่นำไปติดแสดงที่โรงเตี๊ยม พวกเศรษฐีก็มาขอซื้อกันเอง”แม้จะแก้ตัวเช่นนั้น เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี ท่านลุงรองผู้นี้ทำตัวเป็นพวกพ่อค้าหัวหมอไปได้ เขาไม่ทันได้ว่าอะไร บ่าวรับใช้ในจวนคนหนึ่งก็เดินเร็วๆเข้ามาหา

    “คุณชายเสิ่น มีคนแซ่ฟู่มาพบขอรับ”จื่อฟางเลิกคิ้ว คนแซ่ฟู่อะไรอีก เรื่องฝีมือวาดภาพที่เล่าลือเกรงว่ามากไปจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา หากทำตัวเด่นจนหลิวอ๋องไม่พอใจประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องเดือดร้อนอีก

    “ให้เขาเข้ามา”เด็กหนุ่มตอบกลับ

“เจ้ารับแขกไปเถอะ ข้าไม่กวนล่ะ”โหยวหวั่นถอนหายใจอย่างเสียดาย ไม่กล้าอยู่รบกวน

เขามองท่านลุงรองเดินออกไปจากศาลา หยางชวีส่งเสียงขึ้นจมูกมาให้ได้ยิน พอเหลียวไปมองก็พบว่าเจ้าตัวปรายตามองโหยวหวั่นอย่างดูแคลน

“คนผู้นี้คิดหาผลประโยชน์จากคุณชาย ซ้ำยัง...ทำตัวอย่างกับพวกต้มตุ๋น เขาเองก็เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหลังใหญ่ไม่กลัวสกุลโหยวเสียชื่อรึ”หยางชวีเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ จื่อฟางไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงได้แต่หุบปากเงียบรอแขกของตน ผ่านไปครู่หนึ่งบ่าวรับใช้ก็เดินนำเข้ามา ตามด้วยชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีเงิน ลักษณะผ่าเผย สง่างาม มีไฝจุดเล็กๆที่ใต้ตาข้างซ้าย ท่าทางเหมือนคนรักสนุก กวาดสายตามองครู่เดียว เด็กหนุ่มก็รู้ว่าคนผู้นี้เคยรู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน เพราะอาการปั่นป่วนในช่องท้องที่เกิดขึ้น ความรู้สึกอุ่นๆกระจายอยู่ในอก กล่าวให้ถูกคือเป็นความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้ามา ภาพความทรงจำแจ่มชัดปรากฏขึ้น

เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เด็กหนุ่มในชุดสีเข้มสะดุดตาอุ้มกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งมองร่างผอมบางของเด็กน้อยเสิ่นจิ้งเฟยที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้ 

‘คุณชายน้อยช่วยเหลือข้าไว้ ข้าอยากตอบแทน’

‘ช่างปะไร แค่เงินไม่กี่ตำลึง’เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใส่ใจนัก สายตามองปราดไปที่กระต่ายน้อยในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มอย่างสนใจ

‘แต่ข้าซึ้งใจมาก หากไม่ได้เจ้าช่วย มารดาข้าแย่แน่’

‘มารดาเจ้า...’เด็กน้อยดูตกตะลึงไปชั่วขณะ

‘ป่วยน่ะ ลำพังเงินที่ได้จากการแสดงไม่พอค่ายาสมุนไพรดีๆหรอก’เด็กที่โตกว่ามีรอยยิ้มสดใสอยู่บนหน้า มืออีกข้างลูบขนนุ่มของกระต่ายไปด้วย

เสิ่นจิ้งเฟยทำจมูกฟุดฟิด อดกลั้นก้อนสะอื้นไว้อย่างสุดความสามารถ เขาคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน

‘เจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องมาเถิด พ่อข้าบอกว่าเก็บเอาไว้จะป่วยเอา ต้องระบายออกมา’

‘พูดเหลวไหล ข้าไม่ได้อยากร้องไห้’

ฟู่เทียนสือเผยรอยยิ้มจนแก้มบุ๋ม ‘เจ้าร้องเถอะ ข้าจะไม่บอกผู้ใด’

สุดท้ายเด็กน้อยก็กลั้นสะอื้นไม่อยู่ หันหลังให้อีกฝ่ายใช้ท่อนแขนเช็ดน้ำตาหลายที

‘อีกไม่กี่วันคณะร้องรำจะเดินทางไปลั่วหยางแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะเหงาจึงยกฮ่าวฮ่าวให้เลี้ยงดู’ฟู่เทียนสือก้มมองกระต่ายในอ้อมแขน นั่งลงข้างกายเสิ่นจิ้งเฟย

‘ข้าฝากเจ้าดูแลฮ่าวฮ่าวด้วย’

‘ข้าไม่เลี้ยงสัตว์’เสิ่นจิ้งเฟยเช็ดน้ำตาจนใบหน้าเป็นรอยแดง สายตาจับจ้องไปที่กระต่ายฮ่าวฮ่าว

‘ข้าต้องเดินทางไกล ไม่สะดวกดูแลมัน คงต้องขายให้ผู้อื่นแล้วล่ะ’ฟู่เทียนสือมีสีหน้าหมองเศร้า เด็กน้อยเสิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก

‘ก็แค่เดรัจฉานตัวหนึ่ง’

จื่อฟางปั้นหน้าไม่ถูก เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกเช่นไรกับคนผู้นี้กันแน่ เขาไม่มีเวลาให้ขบคิดเพราะฟู่เทียนสือมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว

    “ไม่เจอกันนาน เจ้าดูสบายดีนะน้องเสิ่น”

    “ใครเป็นน้องท่าน”จื่อฟางสวนกลับด้วยบทของเสิ่นจิ้งเฟย คำพูดนี้ลื่นไหลจนเขายังตกใจ อีกฝ่ายได้ยินก็ยกยิ้มขบขัน ก้าวเข้ามาในศาลาอย่างไม่กริ่งเกรง หยางชวีและจางต้าได้แต่มองด้วยความฉงน ตั้งแต่มาที่นี่เพิ่งเจอแขกที่รู้จักคุณชายเสิ่น บรรยากาศรอบตัวของฟู่เทียนสือคล้ายกับห่อหุ้มไปด้วยความผ่อนคลายเป็นกันเองจึงทำให้จื่อฟางคลายความกังวลไปด้วย เขาเอื้อมรินน้ำชาให้พอเป็นพิธี

 “ข้าเดินทางผ่านมาแถบนี้พอดี ได้ยินว่าเจ้ามาเยี่ยมสกุลโหยวจึงคิดแวะเวียนมาหา นึกกลัวอยู่ว่าเจ้าจะจดจำข้าไม่ได้”ฟู่เทียนสือยกจอกชามากุม สายตามองตรงมาที่เสิ่นจิ้งเฟย ผ่านไปนานหลายสิบปีคุณชายผู้นี้ดูเปลี่ยนไป แต่ใบหน้าหมดจดไม่ต่างจากที่เขาวาดภาพไว้ ช่วงสองสามปีก่อนได้ยินข่าวลือว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคุณชายเจ้าสำราญไม่หยิบจับสิ่งใดก็กลัวว่าคุณชายน้อยในวัยเยาว์จะลืมตน แต่ได้พบหน้าเข้าจริงๆ คุณชายท่านนี้แตกต่างไปจากที่คิด 

 “ท่านมีตำหนิอยู่บนหน้า ย่อมต้องจำได้”จื่อฟางเอ่ย อันที่จริงไฝใต้ตาของอีกฝ่ายยิ่งเสริมทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์

ฟู่เทียนสือไม่นึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะกล่าวเช่นนี้จึงหัวเราะเสียงดัง ลักยิ้มปรากฏสองข้าง จื่อฟางจ้องมอง อารมณ์ปั่นป่วนยิ่งเกิดในอก แปลกจริงๆ

“เจ้าดูแตกต่างจากคำเล่าลือที่ข้าได้ยิน”

 “ผู้คนมีปากก็พูดไปเรื่อย”จื่อฟางผ่อนท่าที ไม่ได้แสร้งแสดงเป็นเสิ่นจิ้งเฟยอีกต่อไป หาได้ยากที่ร่างกายนี้จะรู้สึกสบายใจกับคนแปลกหน้าที่ไม่ได้เจอกันนาน 

 “เจ้ายังจำกระต่ายที่ข้ายกให้ได้หรือไม่”ฟู่เทียนสือเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกายคล้ายกับหวนนึกไปถึงเรื่องราวเก่าๆ

 “ตายไปแล้ว”จื่อฟางเอ่ยบอกหน้าตาย น้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน อยู่ๆก็นึกสงสัยว่าเจ้าฮ่าวฮ่าวตายไปเพราะอะไร จากความทรงจำเมื่อครู่ ช่วงวัยของเสิ่นจิ้งเฟยดูไม่แตกต่างจากเมื่อตอนที่ฝังกระต่ายตัวนั้นลงหลุมมากนัก

 “อืม ข้ารู้อยู่แล้ว มันตายอย่างไรเล่า”

 “ท่านมาเพื่อถามเรื่องกระต่ายหรือ?”แปลกคนนัก   

 “ฮ่าๆ ข้ามาหาเจ้าต่างหาก”ฟู่เทียนสือกล่าวตามตรง สบตากับเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายรูปงามทำสีหน้าประหลาด ก่อนหลบสายตายกจอกชาดื่ม   

ตึกตักๆ   

เสิ่นจิ้งเฟย…ชมชอบบุรุษผู้นี้งั้นหรือ

“มีเรื่องใดก็กล่าวมา”เขากลับมาสวมบทของเสิ่นจิ้งเฟย ทั้งๆที่จื่อฟางอยากหันหน้าหนีเพราะกระดากอายต่อสายตาเป็นประกายของอีกฝ่าย คนผู้นี้มาเพื่ออะไรกันแน่

 “ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงอยากรู้ว่าเจ้าเติบใหญ่แล้วเป็นเช่นไร อยากเห็นด้วยตาตนเอง เช่นนี้ถึงสบายใจ”ฟู่เทียนสือยังคงจ้องมองคุณชายเสิ่นไม่วางตา คล้ายอยากจดจำทุกสัดส่วน

“ท่านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูสง่างามกว่าแต่ก่อน”จื่อฟางได้จังหวะเอ่ยหยอกล้อบ้าง ฟู่เทียนสือเดินทางไปมาหลายที่เพราะสกุลฟู่เป็นคณะร้องรำ เขาไม่แปลกใจที่คนผู้นี้จะติดนิสัยหว่านเสน่ห์มาด้วย สงสัยเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงจะตกหลุมพรางของหมอนี่ไปกระมัง

 “เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ”ฟู่เทียนสือรู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีชีวิตชีวามากทีเดียว

“ข้าอยากฟังเจ้าบรรเลงกู่เจิงสักบท”เขาเอ่ยอย่างไม่มีพิธีรีตอง ได้ยินคนพูดกันเขาจึงอยากลองฟังสักครา ดูว่าจะสู้คณะร้องรำของเขาได้หรือไม่

 “เกรงว่าท่านคงผิดหวัง ข้าได้รับบาดเจ็บที่แขน”จื่อฟางแสร้งทำใบหน้าหม่นหมอง ดีเหลือเกินที่เขาใช้วิธีนี้ตัดปัญหา

 “น่าเสียดาย…”ฟู่เทียนสือถอดถอนใจ กวาดตามองไปที่ภาพวาดผ้าไหมบนโต๊ะ “ชาวบ้านในตลาดบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ซุกซ่อนอยู่”

    “ผู้คนกล่าวเกินจริง ข้าไม่ได้มีฝีมือมากถึงเพียงนั้น สู้พวกจิตกรตัวจริงไม่ได้หรอก”เขากล่าวตามตรง ฝีมือของจื่อฟางยังสู้ความละเอียดอ่อนของจิตกรจีนได้ไม่ถึงครึ่ง ที่ทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจเป็นเพราะฝีแปรงที่แปลกใหม่ไม่เหมือนอย่างสมัยโบราณของเด็กหนุ่มมากกว่า 

    “ที่ข้าทุ่มเทลอบเรียนรู้ศิลปะเป็นเพราะข้ามิคิดเล่นกู่เจิงอีกต่อไปแล้ว…”เขาแสร้งถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ เขามีความรู้สึกว่าต้องได้เจอกับฟู่เทียนสืออีกแน่ อีกทั้งสกุลของคนผู้นี้เป็นคณะร้องรำ ต้องมีความรู้เรื่องเครื่องดนตรี เรื่องกู่เจิงจื่อฟางจึงคิดตัดไฟตั้งแต่ต้นลม 

    “เจ้าหมายความเช่นไร”

    “ข้าหลงรักคุณหนูผู้หนึ่ง ตั้งใจบรรเลงบทเพลงให้นางสดับรับฟังความในใจ แต่นางมิได้มีใจให้ข้า…ยามคิดบรรเลงกู่เจิงก็ยิ่งเจ็บปวดใจนัก”เขาก้มหน้าเล่าเรื่องเท็จ จางต้าได้ฟังก็พานเศร้าตามคุณชายไปด้วย เพราะเหตุนี้คุณชายเสิ่นถึงไม่ยอมเล่นกู่เจิงอีกสินะ ความเจ็บปวดเสียใจทำให้คุณชายเสิ่นถึงขั้นหน้ามืดไปหลงชอบไป๋ผูอวี้เชียวหรือ

    “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ ข้าพานเจ็บปวดไปด้วย”ฟู่เทียนสือยกมือกุมอก จื่อฟางกระพริบตานึกอยากหัวร่อ หมอนี่แสดงละครเก่งกว่าเขานัก

“เอาอย่างนี้ข้าจะสอนเพลงขลุ่ยให้เจ้าหนึ่งบท เป็นบทเพลงหาคู่ของชนเผ่าตี๋ รับรองว่าแม่นางน้อยใหญ่ต้องสยบต่อน้องเสิ่นแน่นอน”เขาหยิบขลุ่ยเซียงตี๋ที่เหน็บห้อยตรงสายคาดเอวออกมา เป็นขลุ่ยเรียบง่ายธรรมดาแบบที่จื่อฟางเคยเห็นมาก่อน เพียงมองครู่เดียวเด็กหนุ่มก็จำได้เป็นขลุ่ยเซียงตี๋ที่เสิ่นจิ้งเฟยเคยอยากได้ จนไป๋ผูอวี้เป็นฝ่ายซื้อให้เมื่อสองเดือนก่อน

    “ข้าไม่เคยเป่าขลุ่ยมาก่อน”จื่อฟางก็เหมือนคนทั่วไป เป่าเป็นเพียงพื้นฐานแต่นั่นก็นานนมมาแล้ว

ฟู่เทียนสือขยับตัวอย่างกระตือรือร้น โน้มตัวมาหา“น้องเสิ่นไม่ต้องกังวลเป็นเพลงสั้นๆง่ายๆ แต่ท่วงทำนองนั้นขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้เป่า”ฟู่เทียนสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    “ท่านลุงใหญ่ขายเครื่องดนตรี เช่นนั้นเจ้าไปนำขลุ่ยเซียงตี๋มาให้ข้าเลาหนึ่ง”เขาหันไปสั่งจางต้า บ่าวรับใช้รับคำจากไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงหยางชวีที่เฝ้ามองด้วยใบหน้าตายเช่นเคย แต่ในหัวครุ่นคิดหลายอย่าง ยิ่งติดตามคุณชายเสิ่นนานวันเข้า เขาก็ยิ่งพบว่าคุณชายลึกลับยิ่งนัก เช่นยามนี้เสิ่นจิ้งเฟยไม่วางท่าคุณชายต่อฟู่เทียนสือ พูดคุยราวกับเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน ไม่รู้เพราะเหตุใด หยางชวีรู้สึกเหมือนเคี้ยวหินอยู่ในปาก 

“นี่ขอรับคุณชาย”จางต้ากลับมาพร้อมกับขลุ่ยเซียงตี๋ที่ดูมีราคา จื่อฟางรับมาถือ ตั้งใจฟังสิ่งที่ฟู่เทียนสือสอนทุกคำ ใช้เวลาเกือบสองชั่วยามกว่าจะเป่าได้จบเพลงอย่างไม่ติดขัด

    “ที่เหลือก็ขัดเกลาอารมณ์ที่เจ้าต้องการส่งถึงผู้ฟัง”จื่อฟางรู้ว่าฟู่เทียนสือแปลกใจเรื่องทักษะด้านดนตรีของเขา แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้เอ่ยถาม ไม่ได้ทำท่าทีสงสัยด้วยซ้ำ คนผู้นี้สนใจแต่เพลงขลุ่ย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้จื่อฟางรู้สึกไม่ติดขัดยามสนทนา

 “ขอบคุณที่สอนข้า”

 “เรื่องเล็กน้อย หวังว่าแม่นางผู้นั้นจะใจอ่อนต่อเจ้า หากข้ามีโอกาสแวะไปฉางอัน ข้าต้องรบกวนน้องเสิ่นอีกหลายเรื่อง”

“อืม”เขาตอบสั้นๆ พูดคุยกับฟู่เทียนสืออีกเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ กำชับอีกรอบว่าหากมีเวลาจะแวะไปเมืองหลวง เมื่อเงาร่างของฟู่เทียนสือลับไปจากสายตาเขาก็ทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง ก้มมองเซียงตี๋ในมืออย่างครุ่นคิด อย่าบอกนะว่าที่เสิ่นจิ้งเฟยต้องการซื้อเซียงตี๋เป็นเพราะชายผู้นี้ เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ นึกถึงบทเยี่ยมสกุลโหยวของเสิ่นจิ้งเฟย… นึกถึงนางรองที่ยังไม่ปรากฏตัว…ไม่หรอกกระมัง โชคชะตาคงไม่เล่นตลกกับจื่อฟางมากเกินไป

เย็นวันนั้นหลังจากที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย จื่อฟางไปหาโหยวเถียนในเรือน ส่งมอบภาพวาดมารดาอีกผืนให้ท่านตา 

“ข้ารู้ว่าท่านอยากได้ภาพวาดท่านแม่ จึงวาดให้ท่านอีกผืน”

ท่านตามองมาด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ“เฟยเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กดี หากพ่อเจ้าทำเรื่องให้คับข้องใจก็กลับมาที่สกุลโหยวได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องคิดเกรงใจ”โหยวเถียนลูบใบหน้าหมดจดที่ได้เค้าบุตรสาวของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างเอ็นดูแต่เมื่อนึกถึงเสิ่นมู่หยางเขาก็ยิ่งขุ่นเคือง เวทนาหลานชายจับใจ 

“ท่านตาอย่าได้กังวล เรื่องท่านแม่ ข้าปล่อยวางแล้ว หากท่านพ่อคิดมีอนุ ข้าไม่ห้าม แต่ข้าไม่ยินยอมให้หญิงใดมาแทนที่ท่านแม่ได้อย่างแน่นอน”อย่างน้อยจื่อฟางจะปกป้องสิ่งที่เสิ่นจิ้งเฟยต้องการปกป้อง

 “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี”ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้นแต่โหยวเถียนไม่ใคร่วางใจอยู่ดี เขาเคยได้ยินมาว่าหลานชายกล่าววาจาข่มขู่ผู้เป็นบิดาเรื่องอนุ

~•~
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 17-08-2018 22:48:27
 จื่อฟางเดินทางกลับเมืองหลวงในเช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างทางก็นำตำรามาอ่านทบทวนความรู้ไปด้วย เขาสนใจปรัชญาของเมิ่งจื่อเป็นพิเศษ จางต้าและหยางชวีต่างก็หมกมุ่นอยู่ในความคิดของตนเอง ผู้ติดตามคิดถ้อยคำไปรายงานนายท่านใหญ่ เขาเชื่อว่านายท่านต้องตกตะลึงแน่หากรู้ว่าคุณชายทำเรื่องใดบ้าง แต่อย่างไรเรื่องทางอำเภอถงฉวนก็คงลอยไปถึงหูนายท่านอยู่ดี ส่วนจางต้าคิดอย่างเป็นสุขว่าคุณชายเสิ่นทำตัวดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังลบล้างคำติฉินนินทาที่ผู้คนกล่าวถึง รับใช้คุณชายมาตั้งแต่เล็กเพิ่งจะมีวันนี้ที่คุณชายไม่สร้างเรื่องใดให้เสียชื่อ นายท่านเสิ่นต้องภูมิใจในตัวคุณชายอย่างแน่นอน

จื่อฟางนั้นอ่านตำราจนตาลาย จึงเลิกเสีย ในหัวเริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตน เรื่ององครักษ์ของฮ่องเต้คงต้องเอาไว้ก่อน เขาไม่คิดไปร้องขอฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน เด็กหนุ่มไม่อยากเสี่ยงเปลืองเนื้อเปลืองตัว จะอย่างไรคนของฮ่องเต้ก็ไม่ได้ตามเขาไปทุกที่ยกเว้นยามที่เดินทางออกนอกเมืองหลวง พวกเขาเฝ้าประจำอยู่ที่จวนเท่านั้น  แม้จะทำให้อึดอัดบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทนไหว เขาใจเหม่อลอยไปหาไป๋ผูอวี้ ไม่ได้เจอหน้าหกวันหากบอกว่าไม่คิดถึงก็คงเป็นเรื่องโกหก อีกทั้งเขาส่งจดหมายไปแบบนั้น หากพบหน้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องวางสีหน้าอย่างไร

    “นี่ จางต้า ในเมืองฉางอันหากอยากชมดอกเหมยต้องไปที่ใดได้บ้าง”เขาออกปากถาม จางต้าย่นคิ้วใช้ความคิดอยู่สักพัก

    “ตรงศาลาลมใกล้กับตรอกเหวิน ข้าน้อยจำได้ว่ามีต้นเหมยขึ้นอยู่สองสามต้นนะขอรับ หากคุณชายอยากชม ข้าว่าไปที่จวนคุณชายจ้าวจะดีกว่า”เขาเอ่ยถึงคุณชายจ้าวเซียวชิง คุณชายไม่ได้ติดต่อหานานแล้ว

    “จ้าวเซียวชิงเหรอ?”จื่อฟางนึกออกทันทีก็เจ้าคนหน้าตาเหมือนคนง่วงนอนที่ปากพล่อยถามว่าเขาถูกหลี่ฮุ่ยจือวางยานั่นอย่างไร เขาไม่คิดอยากเสวนาด้วย สหายเช่นนั้นเขาไม่อยากคบหา

    “แค่สองสามต้นก็เพียงพอแล้ว”เขาพูดดับความหวังของบ่าวรับใช้ แสร้งทำเป็นหลับตาเพราะไม่อยากสานต่อบทสนทนาน่าเบื่อ ขากลับใช้เวลาถึงเมืองหลวงช้าไปสองวัน เพราะจื่อฟางแวะพักโรงเตี๊ยมถึงสองครั้ง เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านประตูเมืองที่มีการตรวจค้นอย่างหนาแน่น หยางชวีก็รับรู้ว่าแรงกดดันจากคนของฮ่องเต้หายไปแล้ว ชายหนุ่มมองไปยังทิศที่วังหลวงตั้งอยู่ สองคนนั่นคงไปรายงานฝ่าบาทกระมัง มิรู้ว่าจะรายงานเรื่องของฟู่เทียนสือว่าอย่างไร เขาวิตกกังวลกลัวว่าฮ่องเต้จะไม่พอพระทัยแล้วเรียกตัวคุณชายเสิ่นไปหา

กว่าจะถึงจวนสกุลเสิ่นก็เย็นแล้ว  จื่อฟางไม่ได้เข้าไปหาเสิ่นมู่หยางเพราะปวดเมื่อยจากการเดินทางจึงมุ่งตรงไปพักผ่อนในเรือนแทน เด็กหนุ่มเรียกบ่าวรับใช้ยกถังน้ำร้อนเข้ามาล้างตัวทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง นึกถึงไป๋ผูอวี้ก็คิดว่าควรทำอะไรเสียหน่อย เขาทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ครุ่นคิดอยู่สักพักก็จรดปลายพู่กันลงบนกระดาษซวนจื่อ 

    ‘ยามไฮ่ เจ้ามาพบข้าที่ศาลาลมใกล้ตรอกเหวินได้หรือไม่ ข้าได้ยินว่ามีต้นเหมย อยากไปเชยชมกับเจ้าเพียงสองคน ข้าจะรอ’

การชมดอกเหมยของจื่อฟางจะให้ธรรมดาเหมือนผู้อื่นได้อย่างไร

    “หยางชวี”เขาเอ่ยเรียก ร่างของผู้ติดตามปรากฏอยู่ที่ธรณีประตูจึงส่งจดหมายที่พับอย่างดีให้กับอีกฝ่าย

    “นำไปส่งให้ไป๋ผูอวี้”คนตรงหน้าไม่ทำสีหน้าใด เพียงแค่พยักหน้าแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ เขาตั้งใจจะงีบหลับแต่จางต้ารีบเร่งมาหาในเรือนด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เบื้องหลังมีหมอกู้ตามมาติดๆ

    “ข้ามาตรวจร่างกายของคุณชาย”กู้เซ่าอิ่งกล่าว เดินตามคุณชายไปหลังฉากกั้น จื่อฟางนั่งลงบนเตียงระหว่างที่เฝ้ามองหมอกู้ตรวจจับชีพจร สายตาของหมอชรามองกวาดผ่านรอยกรีดสองรอย มองด้วยตาเปล่าก็ทราบแล้วว่าต้นเหตุมาจากของมีคม รอยกรีดสองรอยมีน้ำหนักไม่เท่ากัน รอยหนึ่งตั้งใจ อีกรอยคล้ายกับยั้งแรงไว้ กู้เซ่าอิ่งมองผ่านคล้ายกับไม่เห็น ทำตามหน้าที่ของตนไปเงียบๆ

    “ชีพจรของคุณชายปกติดี”กู้เซ่าอิ่งเอ่ยอย่างพอใจ มองใบหน้าของคุณชายเสิ่นที่อิดโรยจากการเดินทางแต่ไม่มีร่องรอยของความเจ็บป่วย

    “อาการของคุณชายคงที่ อาการอ่อนแรงหายไปแล้วใช่หรือไม่”

    “อืม ข้าสบายดี คงเพราะเดินลมปราณออกกำลังทุกเช้า ร่างกายถึงดีขึ้น”จื่อฟางดีใจที่ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มีอาการใดน่าเป็นห่วง แต่ร่างกายนี้มีขีดจำกัด น่าหงุดหงิดที่ออกแรงมากไม่ได้

    “หมั่นทำไปเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่าไม่นานร่างกายของท่านดียิ่งขึ้น เอาล่ะ ข้าจะฝังเข็มให้ท่าน”ได้ยินหมอกู้พูดจื่อฟางก็พลันหน้าซีด เขากลัวเข็ม แต่ก็ต้องกลบเกลื่อนทำตามที่ท่านหมอกู้บอก เด็กหนุ่มถอดชุดออกจนเหลือเพียงชั้นในบางๆทิ้งตัวนอนคว่ำ

พอดีกับที่หยางชวีกลับมาจากจวนสกุลไป๋ เขาส่งจดหมายให้ไป๋ผูอวี้เองกับมือ พอฝ่ายนั้นทราบว่าจดหมายมาจากคุณชายเขาก็สังเกตว่าใบหน้าของคนผู้นั้นมีรอยยิ้ม บุรุษหนุ่มเข้ามาในฉากกั้นสบตากับคุณชายเสิ่นที่ยามนี้ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือย ท่อนล่างมีเพียงชั้นในบางปกปิด เผยให้เห็นท่อนขายาว หยางชวีไม่เคยเห็นบุรุษใดมีรูปร่างบอบบางเช่นนี้มาก่อนจึงเผลอมองจนตาค้าง

จื่อฟางรู้สึกว่าถูกสายตาของผู้ติดตามแผดเผาจึงกล่าวถามขึ้น “อะแฮ่ม จดหมายข้า เจ้าส่งเรียบร้อยดีใช่ไหม”

แต่ก็พอเข้าใจได้ รูปร่างของเสิ่นจิ้งเฟยไม่เหมือนบุรุษซะทีเดียวเพราะร่างกายที่ผอมบาง ไม่มีกล้ามเนื้อ ช่วงสะโพกจึงพอเหมาะรับกับช่วงบน  ผิวกายถูกดูแลประคบประหงมอย่างดีจึงเนียนขาวราวกับหยกเนื้อดี บางครั้งเขายังเผลอลูบคลำไปนิดหน่อย

“ข..ขอรับ”หยางชวีเอ่ยตะกุกตะกัก รู้สึกละอายที่เผลอจ้องร่างของคุณชายเสิ่นเป็นนาน 

    “เจ้ายืนบื้ออยู่ทำไม ไปเฝ้าหน้าประตูให้ที”หมอกู้ส่งเสียงไล่เมื่อเห็นผู้ติดตามหน้าตายถูกเรือนร่างของคุณชายทำให้ตาค้าง หยางชวียิ่งหน้าร้อนรุ่มเมื่อถูกท่านหมอว่าเข้าจึงรีบหมุนตัวออกไปเฝ้าระวังอยู่หน้าประตู โชคดีที่คนของฮ่องเต้ยังไม่กลับมา เขาไม่อยากให้ฝ่าบาททราบเรื่องที่คุณชายป่วย กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย

จางต้านั่งอยู่ข้างเตียงใช้ชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ผุดตามหน้าผากให้คุณชาย หัวเราะฮ่าๆอยู่ในใจกับท่าทางโง่งมของหยางชวี ซึ่งนานครั้งจะได้เห็น 

    “คุณชายเสิ่น ผ่อนคลายทำใจให้สบายเข้าไว้ มิเช่นนั้นโลหิตจะไหลเวียนไม่ดี”หมอกู้เอ่ยเตือน ใช้มือนวดบริเวณหัวไหล่ที่เครียดเขม็งของร่างผอมที่นอนอยู่บนเตียง จื่อฟางพ่นลมหายใจช้าๆ พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หมอกู้จึงลงมือแทงเข็มไปตามแนวจุดสำคัญบนแผ่นหลังอย่างเบามือ เขาหลับตารอรับความเจ็บ แต่มีเพียงอาการปวดแปล๊บวูบเดียวเท่านั้น ท่านหมอฝังเข็มอย่างเบามือจนเด็กหนุ่มเผลองีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งเขาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างเสิ่นมู่หยางและจางต้าจากนอกฉากกั้น     

“คุณชายเจ้าพักผ่อนอยู่ก็ดี ข้าไม่อยากกวน เสิ่นจิ้งเฟยนั่งรถม้านานๆร่างกายอ่อนเพลียเป็นธรรมดา นี่เป็นของบำรุงที่ฝ่าบาทมอบให้ อย่าลืมให้คุณชายเจ้ากิน”น้ำเสียงของเสิ่นมู่หยางมีริ้วรอยของความกังวลแฝงอยู่

    “รับทราบขอรับ”บ่าวคนสนิทตอบรับ

 “ส่วนเจ้ามากับข้า”เสิ่นมู่หยางหันไปทางหยางชวี ก่อนที่เงาร่างของทั้งสองคนจะหายไป ไม่นานเสียงในห้องก็เงียบลง เด็กหนุ่มถึงได้กล้าขยับตัวลงจากเตียง นึกได้ว่ามีนัดกับไป๋ผูอวี้ เขาสวมเสื้อคลุมก้าวออกมาจากฉากกั้น มองเห็นจางต้ากำลังเตรียมต้มยาอยู่ที่มุมห้อง 

    “เวลานี้ยามใดแล้ว”จื่อฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืด ทั้งยังจุดโคมไฟสว่าง

“ใกล้ยามไฮ่แล้วขอรับ”บ่าวรับใช้มองคุณชายเสิ่นเปลี่ยนมาสวมชุดสีขาวเรียบง่ายด้วยความรวดเร็วก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ท่านจะออกไปข้างนอกหรือ”

    “ไปพบสหาย เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก”จื่อฟางบอกระหว่างที่ใช้หวีสางผมรวบเป็นมวยเล็กๆครึ่งหัว ส่วนที่เหลือปล่อยยาว ก่อนเสียบปิ่นไม้จันทร์ที่ซื้อมาจากอำเภอถงฉวน เอียงศีรษะไปมาเพื่อตรวจดูเงาสะท้อนในกระจกทองเหลือง เห็นว่าเข้ากับเสิ่นจิ้งเฟยพอดิบพอดี เขาเอื้อมหยิบกล่องไม้ที่บรรจุปิ่นแบบเดียวกันมาด้วยตั้งใจมอบให้ไป๋ผูอวี้ บ่าวคนสนิทมองดูเงียบๆ เห็นคุณชายเสิ่นแต่งตัวพิถีพิถันทั้งยังออกไปยามวิกาล เขาก็รับรู้ได้โดยที่คุณชายไม่ต้องบอกว่าสหายที่กล่าวถึงคือผู้ใด   

“คุณชายระวังตัวด้วย ยามวิกาลทหารตรวจการเพ่นพ่านไปหมด”จางต้าตักเตือนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งประหนึ่งพี่ชายสอนน้องสาวที่กำลังออกเรือน

    “ข้าจะไปสั่งหนานอิงเตรียมรถม้าให้คุณชายก็แล้วกัน”เขากล่าวจบก็รีบเร่งออกไป จื่อฟางยกยิ้ม เจ้านี่ก็เข้าเรื่องเข้าราวดีเหมือนกัน ไม่ว่าเขาคิดทำสิ่งใด จางต้าไม่เคยถามมากความ แต่ครั้งนี้ถึงกับออกปากเตือน คงเป็นห่วงจริงๆ ไม่รู้ว่าเดิมทีเสิ่นจิ้งเฟยปฏิบัติต่อจางต้าดีหรือเปล่า

จื่อฟางสวมชุดคลุมทับอีกชั้นก่อนออกไปนอกเรือน สัมผัสกับอากาศหนาวเย็น เหมันต์ย่างกรายแล้ว เวลานี้คงเป็นเดือนสิบสอง จื่อฟางคาดคะเนอยู่ในใจ เร่งฝีเท้าออกไปตามเฉลียงทางเดินที่ทอดสู่ประตูจวน เด็กหนุ่มก้าวเท้าออกจากประตูสกุลเสิ่นได้ไม่กี่ก้าว เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าจนเขาเผลอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

“คุณชายจะออกไปที่ใดหรือ”หยางชวีเปิดปากถาม จื่อฟางถลึงตาใส่ร่างตรงหน้า หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำรุนแรงจากความตกใจ 

    “เจ้าอยากเห็นข้าหัวใจวายตายรึถึงได้โผล่มาแบบนี้”

    “ยามนี้มืดค่ำแล้วท่านจะออกไปที่ใดอีก”ผู้ติดตามเอ่ยถามอย่างสงสัย รึคุณชายจะไปเที่ยวหอนางโลม 

    “ข้านัดกับไป๋ผูอวี้ไว้ หมดคำถามหรือยัง ข้าสายแล้ว”เขาบอกไปตามตรงยังคงขุ่นเคืองที่เจ้าคนหน้าตายโผล่มาไม่บอกไม่กล่าว

หยางชวีขมวดคิ้วมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ “ท่านให้ข้านำจดหมายไปส่งให้ไป๋ผูอวี้ด้วยเรื่องนี้เองหรอกหรือ”ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรดี

    “ทำเช่นนี้หากนายท่านรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่”เขาไม่คิดว่าการนัดพบยามวิกาลจะเป็นการพบเจอเช่นมิตรสหายทั่วไป

    “เจ้าก็อย่าบอกสิ ถือว่าเห็นแก่ข้า”จื่อฟางไม่รู้ว่าภายใต้สีหน้าเรียบเฉยของหยางชวีนั้นคิดสิ่งใดอยู่ “จริงสิ…”เขากวาดตามองไปในจวนสกุลเสิ่น นึกถึงเรื่องหนึ่งได้

    “ว่าแต่องครักษ์พวกนั้นยังอยู่ในจวนหรือไม่”เขาเอ่ยถามนึกวาดภาพองครักษ์มาดนิ่งเงี่ยหูฟังบทสนทนาในเรือนของตนแล้วแปลกพิลึก

    “ไม่ขอรับ พวกเขาไม่ได้เข้ามาใกล้เรือนคุณชาย เฝ้าอยู่ด้านนอก”หยางชวีรับรู้ว่าทั้งสองคนเฝ้าอยู่นอกจวน นับว่าเป็นเรื่องแปลกเมื่อครั้งก่อนยังมาเฝ้าถึงหลังคาเรือน

    “อย่างนั้นหรือ”ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอ

“อา ข้าสายแล้ว หากท่านพ่อถามก็บอกว่าข้าไปเยี่ยมสหาย”จื่อฟางไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ แต่หยางชวียังยืนเป็นเสาไฟขวางทางอยู่ เขาจึงเดินอ้อมร่างของผู้ติดตามไปอีกทาง มองเห็นรถม้าจอดอยู่ห่างออกไปจากประตูจวนก็รีบเร่งสืบเท้า หนานอิงไม่ได้เปิดปากพูดสิ่งใด เมื่อคุณชายผลุบเข้าไปในรถม้า เขาก็ขยับแส้ ม้าตัวใหญ่พุ่งไปข้างหน้าทันที หยางชวีได้แต่มองส่งด้วยสายตาหลากอารมณ์แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจยาว

‘คุณชายกับไป๋ผูอวี้…เรื่องจะจบอย่างไรหนอ’

~•~

ไป๋ผูอวี้มาถึงครู่ใหญ่แล้ว แต่ยังไม่เห็นเงาร่างของเสิ่นจิ้งเฟย จึงยืนมือไพล่หลังรอคอยอย่างสงบ ชายหนุ่มยืนอยู่ใกล้กับต้นเหมยสามสี่ต้นที่แผ่กิ่งก้านอยู่ข้างศาลาลม คืนนี้อากาศหนาวเย็น ท้องฟ้ากระจ่าง แสงจันทร์นวลส่องให้เห็นกลีบดอกเหมยสีขาวร่วงหล่นเต็มผืนดินมองไปสวยงามแปลกตายิ่ง สายลมวูบใหญ่พัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนจางของดอกเหมยลอยอบอวล เมื่อคิดถึงคุณชายรูปงาม มุมปากก็ยกเป็นรอยยิ้ม คุณชายเสิ่นทำให้เขาประหลาดใจนัก ไม่คิดว่าจะนัดหมายเขาออกมาเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวไป๋ผูอวี้คงตำหนิแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยแสดงออกชัดเจนยิ่งกว่าคุณหนูฉินเสียอีก ชมดอกเหมยยามวิกาล เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ผ่านไปสักพักเสียงฝีเท้าเร่งรีบแผ่วเบาก็ดังมาให้ได้ยิน เสิ่นจิ้งเฟยมาถึงเสียที

    “ให้เจ้ารอเสียแล้ว”จื่อฟางหยุดอยู่ห่างจากไป๋ผูอวี้ไม่กี่ก้าว มีต้นเหมยอยู่สามสี่ต้นอย่างที่จางต้าว่าจริงๆ ดอกเหมยสีขาวยังออกดอกไม่เต็มกิ่งก้านดีนัก แต่กลีบดอกหล่นเกลื่อนพื้น ร่างเบื้องหน้าหมุนตัวมาหา ไป๋ผูอวี้สวมชุดคลุมสีเข้ม เส้นผมถูกมัดไว้ลวกๆ

    “เป็นคนนัดข้า ยังจะสายอีก”บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ใบหน้าที่เคยอ่านยาก ยามนี้ประดับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายหยอกล้อ  จื่อฟางกระพริบตา บางทีเขาอาจตาฝาดไป

    “เกิดเรื่องจุกจิกนิดหน่อย เจ้ามานานหรือยัง”เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะรอนาน เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณใกล้เคียงเงียบสงัด สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ กลิ่นหอมอ่อนจางของดอกเหมยบางเบา เด็กหนุ่มบอกให้หนานอิงจอดรถม้าอยู่ที่ตรอกใกล้ๆ ไม่อยากให้มาเป็นกว้างขวางคอ

“ไม่นานนักหรอก ว่าแต่คุณชายเสิ่นรีบร้อนอยากพบข้าเสียดึกดื่นถึงเพียงนี้ คงมีเรื่องสำคัญกระมัง”ไป๋ผูอวี้กวาดตามองร่างบาง น่าแปลก ไม่ได้เห็นหน้าหลายวันเขากลับรู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยดูอิ่มเอิบกว่าเดิม ดวงตากระจ่างใส คุณชายตรงหน้าทำทีอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดชะงัก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ไป๋ผูอวี้เลื่อนสายตามองปิ่นไม้จันทร์ลักษณะธรรมดาเกินกว่าจะมาอยู่บนเส้นผมดำขลับของอีกฝ่าย มีเพียงดอกไม้เล็กๆประดับตกแต่งแต่ก็ดูเข้ากับคุณชายเสิ่นอย่างพอดิบพอดี

จื่อฟางยกมือจับปิ่นบนศีรษะเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมอง ล้วงเอากล่องไม้ออกมาส่งให้อีกคน 

“ข้าซื้อมาให้ท่าน”

    “ให้ข้า?”ชายหนุ่มรับมาเปิดดูอย่างใคร่รู้ แต่เมื่อเห็นปิ่นไม้แบบเดียวกันกับที่เสิ่นจิ้งเฟยใช้ก็เลิกคิ้ว ปกติเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้ปิ่นปักผมอยู่แล้ว ของสวยงามเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขา

    “เจ้าไม่ชอบหรือ”จื่อฟางเริ่มวิตก ถึงแม้จะเป็นของไม่แพง แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าไป๋ผูอวี้จะชอบหรือไม่ “เจ้าไม่ต้องใช้ก็ได้ แค่เก็บไว้ก็พอ”เด็กหนุ่มพูดเสริม

ไป๋ผูอวี้เหลือบตามองใบหน้าหมดจดที่มีริ้วรอยตกประหม่าของอีกฝ่ายก็เผยรอยยิ้ม “ข้าไม่เหมาะกับของพวกนี้ แต่ในเมื่อท่านซื้อให้ ข้าจะปฏิเสธของจากคนงามได้อย่างไร”ชายหนุ่มจงใจเอ่ยหยอกล้อ ร่างบางตรงหน้าเบิกตาโตมองเขา ‘คนงาม’ที่ว่าหน้าแดงซ่าน กำมืออยู่ในแขนเสื้อ 

    ‘นี่ไป๋ผูอวี้หยอกเขาอยู่หรือ คนงามรึ! บ้าไปแล้ว’ จื่อฟางกัดลิ้นห้ามตัวเองอย่างหนักไม่ให้โกรธเคือง ใครจะชอบให้ถูกชมว่างามกันเล่า! ไป๋ผูอวี้เห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยดูไม่คล้ายเหมือนคนเขินอายก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้ไม่ชอบให้ผู้ใดชมว่างดงาม หากเป็นเขาถูกชมว่างามเหมือนหญิงก็ต้องมีขุ่นเคืองบ้างล่ะ

    “ท่านโกรธหรือที่ถูกเรียกว่าคนงาม”ไป๋ผูอวี้ยังมีแก่ใจเอ่ยแกล้ง

    “ช่างเถอะ”จื่อฟางถลึงตาใส่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกเจ้าบ้านี่แกล้งเข้าแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทำท่าปลอดโปร่ง

    “ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น”ชายหนุ่มกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเข้าจริงๆจึงยอมลดลา เสิ่นจิ้งเฟยเม้มปากเงียบไปอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจ คิดว่าโกรธไปเดี๋ยวเสียบรรยากาศเปล่าๆ อีกอย่างตนไม่ใช่หญิงสาวมาเง้างอนคงไม่น่าดูนัก เขาจึงก้าวไปใกล้ร่างสูง ถอดสร้อยหยกของไป๋ผูอวี้ออกมาคืนเจ้าของ   

    “สร้อยหยกปัดเป่าโชคร้ายของเจ้าคงช่วยข้าไว้กระมัง ถึงได้ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น”จื่อฟางพึมพำเขย่งเท้า ยืดตัวสวมสร้อยคืนให้กับบุรุษตรงหน้า แต่ไป๋ผูอวี้ตัวสูงกว่าเขา ร่างนั้นจึงโน้มตัวมาใกล้เพื่อลดช่องว่าง ทำให้ไม่ต้องเขย่งมากเกินไป ได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์มาจากร่างของไป๋ผูอวี้ จื่อฟางกวาดตามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย

    “เจ้าคงรู้กระมังว่าข้านัดเจ้าออกมาด้วยเรื่องใด”เขากระซิบเสียงเบาราวกับกลัวผู้ใดได้ยิน

ไป๋ผูอวี้สบตาเขาครู่ใหญ่ “มีผู้ใดชมดอกเหมยยามวิกาลบ้างเล่า”คนตรงหน้าพึมพำ

“ข้าแค่อยากเห็นหน้าเจ้า”จื่อฟางกลั้นใจเอ่ยออกไป คำเกี้ยวหวานๆเช่นนี้ เขาไม่ค่อยชินนัก นึกอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดิน ในยุคปัจจุบันหากพูดไปคงโดนล้อว่าเห่ยเป็นแน่ แต่จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นดวงตาคู่นี้ของบุรุษตรงหน้าเป็นประกายเจ้าเล่ห์มาก่อน หรือนี่คือภาพลวงตา เขาทนสบตาไม่ไหวจึงเลื่อนมองทางอื่น

    “ไยไม่มองหน้าข้า”อีกฝ่ายคล้ายมีรอยยิ้ม

    “เจ้าสนุกสินะได้หยอกล้อข้าเช่นนี้”เขาพึมพำหรี่ตามอง

“ก็คงเหมือนยามที่ท่านล้อว่าข้าเป็นท่อนไม้กระมัง”ไป๋ผูอวี้กล่าวจบก็ใช้สายตาขบขันมอง แต่สายตานั้นเลื่อนต่ำลงที่ริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟย สายลมหนาวพัดมาอีกระลอก พาให้กลีบดอกเหมยร่วงหล่นลงบนไหล่ผอมบางของร่างตรงหน้า ไป๋ผูอวี้ยืนมือไปปัดออก สบตากับร่างนั้นครู่หนึ่ง พานคิดไปว่าเสิ่นจิ้งเฟยงามกว่าดอกเหมยเป็นไหนๆ

“ไป๋ผูอวี้…เจ้าว่าคืนนี้ดวงจันทร์งามรึไม่”จื่อฟางเอ่ยถาม แต่ความคิดไม่ได้อยู่ที่ดวงจันทร์เพราะบุรุษหนุ่มขยับเข้ามาหา ยกมือเชยคางอย่างนุ่มนวล เด็กหนุ่มตกประหม่าเมื่อเงาร่างของอีกฝ่ายทาบทับ ไป๋ผูอวี้โน้มใบหน้าเข้าใกล้ ริมฝีปากเย็นขบเม้มเบาๆชวนให้จั๊กจี้ จื่อฟางหลับตา สัมผัสเปียกชื้นลากไล้อยู่บริเวณริมฝีปาก เขาจึงเปิดรับปลายลิ้นที่สอดเข้ามา จื่อฟางวางมือลงบนบ่าของร่างแกร่ง ใจเต้นไม่เป็นส่ำราวกับเด็กหนุ่มแรกรัก แต่เมื่อคุ้นชินกับริมฝีปากที่ย้ำจูบซ้ำๆ เขาก็เริ่มดูดเม้มกลีบปากของอีกฝ่ายก่อนเอียงใบหน้าปรับรับองศาจูบให้ดูดดื่มมากยิ่งขึ้น

สองมือของชายหนุ่มขยับเลื่อนมาโอบเอวกระชับร่างบางเข้าใกล้ จื่อฟางลูบไปตามลำคอของร่างสูง จูบนั้นแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนหวานก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะยอมผละจากริมฝีปากอย่างเชื่องช้า เขากวาดตามองใบหน้าแดงก่ำของเสิ่นจิ้งเฟย ริมฝีปากยังคงชุ่มฉ่ำจากการจูบเมื่อครู่ ไป๋ผูอวี้ยกนิ้วโป้งเกลี่ยไปมาบนกลีบปากนั้น ความร้อนสุมอยู่ในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จื่อฟางยังคงหวาบไหวกับรสจูบจึงอ้าปากขบฟันลงบนนิ้วมือของไป๋ผูอวี้ เขาช้อนตามองเห็นแววตาของอีกฝ่ายคมเข้มกว่ายามปกติจึงใช้ลิ้นหยอกเย้า อยากรู้ว่าเจ้านี่จะแสดงท่าทีเช่นไร ไป๋ผูอวี้เพียงก้มมองออกแรงกดนิ้วลงบนปลายลิ้น

    “ไฉนท่านซุกซนเช่นนี้”เขาเอ่ย ยังคงมองใบหน้าหมดจดของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่อยากเชื่อว่าคุณชายท่านนี้ทำให้เขาเสียการควบคุม รู้สึกว่าอยากกำราบสายตาซุกซนแพรวพราวของอีกฝ่าย คนทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง แม้ไม่เอ่ยสิ่งใดก็ล่วงรู้อยู่ในใจ   

 “ท่านไม่ควรออกมาตากลมนาน ร่างกายของท่านไม่แข็งแรง”ไป๋ผูอวี้ละมือออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อชวนให้บดขยี้ ใบหน้ารูปไข่ของเจ้าตัวมีเลือดฝาดดูมีชีวิตชีวา 

    “ข้ามิได้อ่อนแอปานนั้น”จื่อฟางบ่นพึมพำ ริมฝีปากยังคงร้อนผ่าวราวกับสัมผัสเมื่อครู่ยังคงอยู่ เขาเอื้อมไปเด็ดกิ่งเหมย ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นดินที่มีกลีบดอกสีขาวร่วงหล่นละลานตาอย่างไม่กลัวชุดราคาแพงเปื้อน

    “หากเจ้าอยู่ใกล้ ข้าก็ไม่หนาวแล้ว”เด็กหนุ่มมิวายกล่าวหยอกชี้ให้ไป๋ผูอวี้มานั่งข้างกาย ร่างนั้นผ่อนลมหายใจมองเขาด้วยนัยน์ตาวูบไหวก่อนจะเคลื่อนกายนั่งลงข้างๆอย่างจำยอม ไป๋ผูอวี้ยังมีเรื่องที่อยากคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่อากาศเย็นเช่นนี้ก็กลัวว่าคุณชายเสิ่นจะป่วยเอาจึงถอดเสื้อคลุมสีเข้มของตนออกมาคลุมไหล่ผอมบางของอีกฝ่าย

    “เจ้าไม่หนาวหรือ”จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมอบอุ่นไปทั้งตัว

“ท่านห่วงตัวเองเถอะ”ไป๋ผูอวี้เก็บดอกเหมยเสียบทัดที่ข้างหูของร่างบาง พินิจมองอย่างชื่นชม เด็กหนุ่มถูกจ้องมองจนรู้สึกว่าต้นคอร้อนวูบ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สายตาของไป๋ผูอวี้ชวนให้วาบไหวเช่นนี้  เขาเม้มริมฝีปากฟังคำที่อีกฝ่ายเอ่ยพูด

    “ข้าได้ยินเรื่องของท่านที่อำเภอถงฉวนแล้ว”ชายหนุ่มยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้าของคุณชายเสิ่น จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่คนจำพวกหลงไหลในความงาม แต่ก็มิอาจละสายตาไปจากคนข้างกายได้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นหลี่ฮุ่ยจือ กระทั่งเขาก็มิต่างกัน ยังละกิเลศมิได้ แต่เขาไม่ใช่นักบวชจะให้ทำนิ่งเฉยต่อความรู้สึกที่ควบคุมไว้มานานได้อย่างไร

“เจ้าว่าอย่างไร”จื่อฟางถามเอนตัวพิงหัวไหล่แกร่งของไป๋ผูอวี้อย่างเป็นธรรมชาติ ชายหนุ่มเหลียวมอง จมูกจึงเฉียดผ่านข้างแก้มของอีกฝ่าย 

“ข้าเกรงว่าหลิวอ๋องจะไม่พอใจ ท่านหลีกเลี่ยงการมีตัวตนในฉางอันนี้มาหลายปี ไม่สิต้องบอกว่าท่านแสร้งทำตัวเหลวไหล…”กล่าวถึงตรงนี้ไป๋ผูอวี้ก็ไม่แน่ใจนัก คุณชายเสิ่นดูสำราญกับการเสแสร้งเสียเหลือเกิน

    “ท่านเตรียมใจรับมือกับท่านอ๋องไว้บ้างก็ดี”

“อืม”

    “ท่านกล้านัดข้ามากลางดึกไม่กลัวคนของอ๋องสามมาเห็นเข้ารึ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจ จื่อฟางกดจมูกลงบนบ่าของอีกฝ่าย สูดกลิ่นหอมจากอีกร่าง ยกรอยยิ้มเหยียด

    “หากมีคนเห็นก็แค่บอกว่าข้าใช้ความงามล่อลวงเจ้า”เด็กหนุ่มเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย เอ่ยช้าๆ  “ดูเหมือนจะได้ผล”

ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคอ รู้สึกเก้อกระดากอยู่บ้าง“ข้าไม่ได้หลงความงามของท่าน ข้าชอบท่านที่เป็นเช่นนี้ต่างหาก”

คำพูดซื่อตรงของอีกคนทำให้จื่อฟางอุ่นวาบไปทั้งอก ไป๋ผูอวี้คงเป็นเพียงคนเดียว ที่ชมชอบเขาเพราะตัวตน มิใช่รูปงามๆของเสิ่นจิ้งเฟยเสียทีเดียว เกิดความเงียบระลอกใหญ่แต่ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใด

    “ข้าได้ยินมาว่าเหล่าบัณฑิตและพวกนักปราชญ์กวีในฉางอันอยากรู้ว่าท่านมีฝีมือจริงดังที่ข่าวเล่าลือหรือไม่ พวกเขายังคลางแคลงในตัวท่านอยู่”คนที่นี่ไม่เหมือนอำเภอถงฉวน พวกเขาคุ้นชินกับเสิ่นจิ้งเฟยดีจึงไม่มีทางเปลี่ยนความคิดโดยง่าย

    “ข้าไม่สนความคิดของพวกเขา”จื่อฟางเบ้ปากน้อยๆ คนพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับผู้ดีจอมปลอม มีแต่พกคำพูดสวยหรู วันๆเอาแต่นั่งต่อบทกลอน ยิ่งเหล่าบัณฑิตที่หัวเก่าคร่ำครึร่ำเรียนแต่คำสั่งสอนของขงจื๊อยิ่งแล้วใหญ่ แต่จื่อฟางจะพูดอะไรได้ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้ทำตัวมีประโยชน์มากนัก

 “ข้าเพียงแค่อยากให้คนในฉางอันรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยมิใช่ตัวตลกให้ผู้ใดมาหัวเราะ”อารมณ์วุ่นวายในอกทำให้เขาไม่สบายใจ เสิ่นจิ้งเฟยคงเก็บกดความรู้สึกเหล่านี้ไว้มาเป็นเวลานานปี  บุรุษอีกคนพินิจมองระลอกความรู้สึกที่ปนเปอยู่ในดวงตาคู่นั้น ความรู้สึกของคุณชายเสิ่นเขาพอจะเข้าใจ หรือนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คุณชายท่านนี้เข้าร่วมกลุ่มกบฏอย่างนั้นหรือ?บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจความคิดของคุณชายรูปงามผู้นี้นัก

ลมหนาวพัดมาอีกระลอกใหญ่จื่อฟางเบียดตัวเข้าหาคนข้างกาย ไออุ่นร้อนจากกายบุรุษทำให้เขาเบียดเข้าหาเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง ไป๋ผูอวี้กุมใบหน้าเย็นเยียบของอีกร่างไว้   

    “ดึกแล้วอยู่แบบนี้นานไม่ดีนัก”เอ่ยจบก็แตะจูบลงบนกลีบปากของเสิ่นจิ้งเฟยอีกครั้งเหมือนอดไม่ไหว จื่อฟางนึกขำอยู่บ้างไม่คิดว่ายามที่ไป๋ผูอวี้เปิดเผยก็เปิดเผยเสียจนน่ากลัว เจ้านี่เปลี่ยนไปราวคนละคน ‘หรือเจ้าเป็นปีศาจยามอยู่บนเตียง’ เขาใจเต้นตุบๆ หลุดออกจากภาพจินตนาการเมื่อพบว่าแผ่นหลังสัมผัสพื้นดินแข็งๆตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ จื่อฟางพลันส่งเสียงครางเครืออยู่ในลำคอ ไป๋ผูอวี้ถอนจูบ ยันกายมองคุณชายเสิ่นที่นอนอยู่ท่ามกลางกลีบดอกเหมยใบหน้าแดงก่ำก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 17-08-2018 22:49:19
   

 

“ข้าว่า…”กลับกันเถอะ คำพูดที่เหลือไม่ทันได้กล่าวเพราะเขาได้ยินเสียงควบม้ามุ่งตรงมาทางนี้ ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วเสียงกีบม้าดังเข้าใกล้ชัดเจนพร้อมเงาตะคุ่มๆ เสิ่นจิ้งเฟยเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ แต่อีกฝ่ายเร็วกว่าคว้าดึงเสื้อคลุมที่สวมอยู่บนบ่าของจื่อฟางมาคลุมศีรษะเพื่อปกปิดใบหน้า หากมีผู้ใดเห็นเข้าคงมิใช่การดี ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ นี่ไป๋ผูอวี้คิดเช่นไรถึงได้ตกลงออกมายามวิกาลเช่นนี้ หรือเขาโดนคุณชายเสิ่นล่อลวงเข้าแล้ว

“นั่นผู้ใด ไยมาทำลับๆล่อๆยามวิกาลเช่นนี้!”เสียงแหบห้าวดังแหวกความเงียบ พร้อมด้วยม้าสีดำตัวใหญ่หยุดอยู่ที่ศาลาลม ทหารตรวจกาลนั่นเอง จื่อฟางถูกเสื้อคลุมบดบังจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รับรู้ว่าถูกสองมือของไป๋ผูอวี้ฉุดให้ลุกยืน เสียงกีบม้าดังเข้าใกล้กว่าเดิม

“คุณชายไป๋”เสียงเรียกนั้นปรากฏแววประหลาดใจอย่างชัดเจน  “เหตุใดท่าน…”เสียงพูดเงียบหายไปราวกับพูดไม่ออก คงจะตกตะลึงมาก

    “ข้ามิทันระวัง นั่งเล่นเสียดึกดื่น”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงสุภาพอยู่ข้างกาย

 “ไป๋ผูอวี้ท่านบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดถึงทำตัวประเจิดประเจ้อไม่อายฟ้าดินเช่นนี้เล่า”ครานี้มีสุ้มเสียงแฝงแววกระทบกระเทียบดูถูกมาด้วย ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยกล่าววาจาใด นายทหารเลื่อนสายตาสอดส่องมองร่างบางที่ถูกเสื้อคลุมตัวใหญ่บดบังใบหน้า สงสัยว่าเป็นหญิงบ้านใดที่กล้าออกมากับชายหนุ่มยามวิกาลเช่นนี้

ประเจิดประเจ้ออะไร น่าตื่นเต้นต่างหาก

จื่อฟางคิดอยู่ในใจไม่กล้าเอ่ยออกมา

 “พวกท่านรีบกลับไปได้แล้ว ข้าจะทำเป็นไม่เห็น หากจะพลอดรักก็ไปทำในที่ลับตาผู้คน”นายทหารยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดูแคลน คิดจะป่าวประกาศเรื่องไม่ดีไม่งามของสกุลไป๋ให้รู้กันทั้งฉางอัน

“ข้าขอตัว”ไป๋ผูอวี้อุ้มร่างของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสองแขนแข็งแรง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าด้วยอารามตกใจ รับรู้ว่าถูกอุ้มราวหญิงสาว ร่างสูงพาเขาไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ จื่อฟางไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาได้แต่ฟังเสียงก้าวเดินอยู่เงียบๆ สองหูได้ยินเสียงควบม้าห่างไปยังทิศอื่น

    “ท่านเจอเรื่องยุ่งเข้าแล้ว”จื่อฟางเอ่ยเมื่อแน่ใจว่าทหารนายนั้นไปไกลแล้ว

 “ช่างเถอะ ก็แค่คำนินทา ใช่ว่าข้าจะใส่ใจ”

ไป๋ผูอวี้ตกเป็นหัวข้อนินทาอยู่พักใหญ่ เรื่องที่เขาพลอดรักกับหญิงสาวอย่างไม่อายฟ้าดินกระจายไปทั่ว เป็นที่กังขาต่อเหล่าบัณฑิตที่รู้จักกับบุตรชายสกุลไป๋ จื่อฟางได้ยินแล้วก็หุบปากเงียบทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่จางต้าและหยางชวีต่างก็รู้ดี

    ‘คุณชายเสิ่น ท่านกล้ามากไปแล้ว’จางต้าอยากเอาหัวโขกพื้นร่ำไห้เสียเหลือเกิน เห็นอนาคตเบื้องหน้าลางๆ 

~•~

วันที่ห้าเดือน เป็นวันที่เมืองหลวงคึกคักไปด้วยเหล่าบัณฑิตนักศึกษาจากเมืองใกล้เคียงเดินทางมาสอบระดับอำเภอ จื่อฟางได้ยินมาจนเบื่อว่าไป๋ผูอวี้สอบได้คะแนนดีลำดับหนึ่ง ก่อนวันสอบเขาไม่มีโอกาสได้เจอไป๋ผูอวี้ ฝ่ายนั้นก็ไม่กล้ามาหาเพราะข่าวลือที่เกิดขึ้นยังคงคุกรุ่น เขาเพียงส่งจดหมายมาอวยพรพร้อมแนบดอกเหมยมาด้วยเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาฮึดสู้ได้แล้ว เสิ่นมู่หยางถึงขั้นบูชาเทพเหวินฉวี่ขอพรเสริมมงคลให้บุตรชายสอบได้ กลับกันกับใต้เท้าเฉินที่เก็บตัวอยู่ในเรือนรับรอง ไม่แม้แต่โผล่หน้ามาให้กำลังใจ จื่อฟางไม่คิดมากแต่รู้ดีว่าเฉินฉางเซียงกดดันไม่แพ้กัน

ถึงวันสอบจื่อฟางและเหล่านักศึกษามุ่งหน้าเดินทางไปสำนักศึกษาหลวงด้วยความตั้งใจเดียวกัน สถานที่สอบเป็นห้องขนาดพอนั่งได้สบายตัวอย่างละห้องเรียงเป็นแนวยาวราวๆห้าสิบถึงหกสิบแถว มีหอหมิงหย่วนสำหรับสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านน่าเกรงขามยิ่ง เมื่อเห็นจำนวนผู้เข้าสอบจื่อฟางก็ยิ่งหวั่นวิตก ในห้องมีกระดานอยู่สองแผ่นสำหรับทำข้อสอบและรองนั่ง เขาต้องหลับนอนในห้องแคบๆนี้ด้วย

ผู้คุมสอบตรวจค้นตัวเหล่านักศึกษาอย่างเคร่งครัด ของที่สามารถนำติดตัวเข้าไปได้มีเพียงเหยือกน้ำ หม้อ อาหาร เครื่องนอน และเครื่องเขียนเท่านั้น จื่อฟางทำสมาธิระหว่างที่ผู้คุมเริ่มแจกข้อสอบ ตั้งสติก่อนเปิดแผ่นกระดาษ หัวใจเต้นถี่รัว มองเห็นตัวอักษรบรรจงเรียงเป็นข้อความประโยคหนึ่งให้ตีความ

เด็กหนุ่มจรดปลายพู่กันเริ่มต้นเขียนบทความอย่างตั้งใจ กระทั่งการสอบสมัยเรียนเขายังไม่จริงจังเท่านี้ ภายในห้องแคบๆก่อด้วยหินทำให้เหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่เป็นช่วงเหมันต์ อย่างที่เฉินฉางเซียงว่าสอบระดับอำเภอไม่ยากเย็นเพราะเป็นขั้นต้น เขาต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ การเขียนบทความค่อนข้างตายตัวมีแบบแผนชัดเจน เป็นเรียงความแปดตอน อย่างที่ว่ากันว่าการสอบเคอจวี่สมัยโบราณค่อนข้างล้าหลังกำจัดความคิดของผู้สอบเพราะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นนอกเหนือจากตำราไปได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็ทำเพียงแค่คัดลอกบทความที่อ่านมาเท่านั้น

การสอบในที่แคบทำเอาจื่อฟางลำบากลำบน ปวดเมื่อยตัวไปหมด น้ำก็ไม่ได้อาบ การสอบกินเวลายาวนานถึงสองวัน แต่ก่อนจื่อฟางยังนึกสงสัยว่าบัณฑิตเหล่านั้นเขียนอะไรเยอะแยะนักหนา พอได้ประสบพบเจอกับตัวเองเขาก็แทบอยากร่ำไห้ เด็กหนุ่มเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายเสร็จก็นำกระดาษข้อสอบออกไปนอกห้องส่งให้ผู้คุมที่เฝ้าอยู่

บรรยากาศเย็นๆช่างสดชื่นนัก เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าดวงตะวันค่อนไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย อย่างน้อยน่าจะอยู่ในช่วงยามเซินเขาลากขาออกจากสนามสอบ เสื้อผ้าของจื่อฟางอับไปด้วยกลิ่นเหงื่อ

“คุณชายเสิ่น”มีเสียงเรียกดังมาจากเบื้องหลัง เขาหยุดหันไปมองก็พบกับเจิ้งเซี่ยสวีที่อยู่ในชุดเก่าจางดูเหมือนเพิ่งสอบเสร็จเช่นกัน

“เจ้าเองหรือ มีเรื่องใด”จื่อฟางไม่มีอารมณ์อยากสนทนากับผู้ใดนัก

“ท่านมาสอบจริงๆด้วย สีหน้าไม่สู้ดีเช่นนี้ ทำข้อสอบได้หรือไม่เล่า”อีกฝ่ายกล่าวคล้ายอยากชวนคุย แต่ฟังจากน้ำเสียงเจตนาคงมิใช่     

“ข้าทำได้ ทำได้ดีเลยเชียวล่ะ”จื่อฟางยิ้มกว้าง เขาไม่ได้มั่นใจถึงเพียงนั้นแต่เห็นอีกฝ่ายมาดูแคลนก็โมโหขึ้นมา เหล่าบัณฑิตนักศึกษาหลายคนที่สอบเสร็จแล้วต่างจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความสนใจ ผู้ที่ไม่รู้จักจ้องมองเพราะเห็นเสิ่นจิ้งเฟยใบหน้างดงาม ส่วนผู้ที่คุ้นชินต่างก็ฉงนสงสัย ไม่คิดว่าจะเห็นคุณชายเสิ่นมาสอบ เหล่าบัณฑิตต่างรู้ดีว่าเจิ้งเซี่ยสวีไม่ชอบบุตรชายสกุลเสิ่น พอเห็นคนทั้งคู่ประจันหน้ากันก็มองด้วยความสนใจ 

“เช่นนั้นขอให้คุณชายเสิ่นสอบผ่าน ท่านมาสอบเป็นครั้งที่สองแล้วข้าไม่อยากให้เสนาบดีเสิ่นผิดหวังอีก”

“ข้าก็ขอให้เจ้าสอบผ่านเช่นกัน แต่ข้าจะสอบอีกกี่ครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่มีความพยายามใฝ่รู้ใฝ่เรียนและตั้งใจจริงก็ไม่ผิดมิใช่หรือ”เขากล่าวชัดถ้อยชัดคำ เจิ้งเซี่ยสวีเอียงศีรษะ ผู้คนรอบข้างได้ยินต่างก็แปลกใจ 

    “เจิ้งเซี่ยสวี เจ้าคงหิวเช่นกันกระมัง ถ้าอย่างนั้นไปหาข้าวกินกับข้า”จื่อฟางกล่าวผูกมิตร ไม่อยากให้มีเรื่องค้างคาใจกับเด็กหนุ่มผู้นี้อีก เจิ้งเซี่ยสวีได้ยินก็ทำหน้าฉงน มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาระแวดระวัง ไม่แน่ใจว่าคุณชายท่านนี้คิดทำสิ่งใดกันแน่

“ขออภัยคุณชาย ข้าทำมิได้ คำสอนของขงจื๊อกล่าวไว้ว่าอย่าคบสหายที่ไม่เสมือนตน มิตรสหายที่คบไม่ได้คือประจบสอพลอ หน้าไหว้หลังหลอก คุยโม้โอ้อวด”เจิ้งเซี่ยสวีเอ่ยเสียงสุภาพแต่จื่อฟางกลับรู้สึกเหมือนถูกน้ำร้อนสาดจนเจ็บแสบไปทั้งหน้า เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับเช่นนี้ พอมองไปรอบตัวก็เห็นเหล่าบัณฑิตนักศึกษาทำท่าราวกับเป็นผู้มากปัญญาเสียเต็มประดาก็เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียน

จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันข่มความรู้สึกขมปร่าในอก ความรู้สึกรุนแรงของเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สีหน้าจึงย่ำแย่ มองไปก็น่าสงสาร     

“ดี ท่านขงจื๊อช่างดีนัก พวกเจ้าศึกษาเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความรู้ศีลธรรมของตนเองหรือเพื่อประดับตนให้คนอื่นดูกันแน่!”กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกมาจากสำนักศึกษาหลวงด้วยความรู้สึกอันบอบช้ำทั้งของตัวเองและเสิ่นจิ้งเฟย หากบอกว่านี่คือผลของการกระทำที่เจ้าของร่างนี้สมควรได้รับมันไม่แย่เกินไปหน่อยหรือ!

จื่อฟางกลับมาที่จวนด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ ตั้งใจจะเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง แต่พบว่าใต้เท้าเฉินรออยู่ที่ห้องรับรอง

“ใต้เท้าเฉิน”เขาปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ค้อมตัวทักทาย เฉินฉางเซียงกวาดตามองเจ้าเด็กไม่เอาไหน เห็นว่ามีสีหน้าย่ำแย่ก็ได้แต่นึกสงสัย

 “เป็นอะไรของเจ้า”

“เปล่า”เด็กหนุ่มตอบทันควัน แต่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชายชราอีกคนฟังเพราะความอัดอั้น

    “ข้าเพียงแค่อยากผูกมิตรไถ่โทษเท่านั้น”จื่อฟางตัดพ้อเหมือนเด็กน้อย พยายามกลั้นคลื่นอารมณ์ของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ความโดดเดี่ยวของเจ้าของร่างทำให้เขาน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    “ต้องให้ท่านเห็นภาพเช่นนี้น่าอายจริงๆ”เขาพูดพลางใช้ชายเสื้อเช็ดน้ำตา เฉินฉางเซียงมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

    “พวกเขาเห็นเจ้าอย่างไรก็กล่าวอย่างนั้น อย่าได้คิดมาก เจ้าก็ปรับปรุงตัวแล้วมิใช่รึ”ใต้เท้าเฉินตบบ่าเขาเบาๆ จื่อฟางพยักหน้า ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เมื่อจัดการความรู้สึกที่ปั่นป่วนได้แล้วก็กลับมาสู่ท่าทีเดิม

    “ท่านมีเรื่องใดหรือ”

    “ข้านำของที่ปู่เจ้าฝากไว้มาให้”เฉินฉางเซียงพยักเพยิดไปที่หีบขนาดหนึ่งใบที่วางอยู่ข้างเก้าอี้

 “และมาเล่าเรื่องปู่เจ้าให้ฟัง”เขามองเด็กหนุ่มรูปงามด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนบอกเล่าเรื่องที่เสิ่นฉินอี้จัดการองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้จนหลุดพ้นจากตำแหน่งรัชทายาท ปีนั้นเกิดอุทกภัย ต้องนำเงินท้องพระคลังมาแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย แต่พบว่ารัชทายาทได้ยักยอกเงินส่วนหนึ่งมานานแล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนรังเกียจพวกคดโกงพอรู้เข้าก็ทรงกริ้วจนประชวร เรื่องนี้เป็นทั้งเรื่องจริงและไม่จริง เพราะผู้อยู่เบื้องหลังคือหู่เหม่ยเหรินสนมรักฮ่องเต้ พวกเขาเพียงสุมไฟให้ลุกลามเท่านั้น เดิมทีฮ่องเต้ก็มองออกว่าบุตรชายคนโตไม่สามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้ แต่เพราะรับปากสนมรักไว้เช่นนั้น จึงไม่สามารถปลดรัชทายาทออกจากตำแหน่งในระยะเวลาอันใกล้ แต่กลุ่มผู้สนับสนุนองค์ชายรองไม่คิดรอนาน พวกเขาจึงชิงลงมือก่อน   

“เจ้ารู้เพียงเท่านี้เป็นพอ รู้แค่ว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้ทำร้ายปู่เจ้า ปู่เจ้าถูกคนขององค์ชายใหญ่เล่นงาน พิษที่ตรวจเจอเป็นพิษหายากจากนอกด่าน”เฉินฉางเซียงกังวลว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะสะเทือนใจเรื่องท่านปู่จึงไม่ได้กล่าวเพิ่มถึงเรื่องชู้สาวที่องค์ชายใหญ่ถูกกล่าวหา

จื่อฟางแสร้งตีหน้าเศร้าหมอง เขาก็มิได้ตกใจแต่อย่างใด เสิ่นฉินอี้เป็นคนเช่นไรเขาไม่เคยได้สัมผัส เรื่องในราชสำนักไม่มีคำว่าปรานี ในประวัติศาสตร์เรื่องโหดร้ายมากกว่านี้ยังถูกจารึกไว้ นับประสาอะไรกับเรื่องเท่านี้ จื่อฟางหวนนึกถึงความทรงจำยามที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกยาพิษ ไม่ผิดที่องค์ชายใหญ่จะเคียดแค้นสกุลเสิ่น หากองค์ชายใหญ่สามารถกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้กลุ่มที่เคยสนับสนุนฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่รอดชีวิต

    “ตอนนี้องค์ชายใหญ่อยู่ที่ใดแล้ว”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิต พระองค์ถูกกักตัวคุมประพฤติอยู่ในวังองค์ชาย แต่เมื่อฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็กลัวว่าจะเป็นหอกข้างแคร่ แต่พระองค์ยังมีจิตเมตตาไม่อยากฆ่าแกงพี่น้องจึงสั่งถอดยศองค์ชาย ให้นามใหม่ว่าช่างอิ่น คุมตัวอยู่ในคุกหลวงอยู่หลายปี แต่ว่าเกิดเหตุวุ่นวายในวังหลวงทำให้องค์ชายใหญ่กลับหนีรอดไปได้ เจ้าว่าวังหลวงที่คุมเข้มถึงเพียงนั้น เขาจะหนีไปได้อย่างไร”ใต้เท้าเฉินเล่าเหมือนเห็นเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง

    “ใต้เท้าหมายความว่าเป็นฝีมือของคนในหรือ”จื่อฟางกระซิบ ไม่ว่าใครที่ลงมือช่วยเหลือคนผู้นั้นนำภัยมาให้สกุลเสิ่นแท้ๆ องค์ชายใหญ่หรือช่างอิ่นอยู่ด้านนอก ไม่คิดมาลงมือมาฆ่าเสิ่นจิ้งเฟยอีกหรือไร

    “ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอสรพิษตัวใด”ใต้เท้าเฉินถอนหายใจ

จื่อฟางรู้สึกว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น  ฮ่องเต้เจี่ยผิงอยู่ในวังหลวงท่ามกลางศัตรูรายล้อม คนผู้นั้นข่มตานอนหลับได้อย่างไร 

    “ฟังแล้วก็อย่าคิดให้รกสมอง เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”เฉินฉางเซียงกล่าวเตือน มองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาคมปราบ

    “คิดว่าข้าอยากยุ่งหรือ”สายไปเสียแล้วล่ะ เสิ่นจิ้งเฟยตัดสินใจเลือกข้างไปแล้ว ทั้งฮ่องเต้ หลิวอ๋อง องค์ชายใหญ่ วันใดวันหนึ่งพวกเขาต้องปะทะกัน จื่อฟางได้แต่หวังว่าตัวเองจะอยู่รอดปลอดภัย

“เอาล่ะ ข้าจะพักอยู่ในจวนอยู่รอฟังผลสอบของเจ้าแล้วค่อยกลับเสียนหยาง”ใต้เท้าเฉินลุกจากที่นั่ง พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็ใจหาย ตาแก่ผู้นี้ทำให้จวนเสนาบดีไม่เงียบเหงา หากไปจากจวนสกุลเสิ่น จวนแห่งนี้ก็คงกลับมาไร้สีสันเช่นเดิม

เฉินฉางเซียงเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าหมองก็ยกไม้เท้าเคาะหัวเข่าเสิ่นจิ้งเฟยเบาๆ “ไม่ต้องทำหน้าเศร้า ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย”

ถึงอย่างไรท่านก็ตายยากอยู่แล้ว จื่อฟางคิดในใจ จนเมื่อร่างของเฉินฉางเซียงหายไปจากสายตา เขาก็เรียกจางต้ามายกหีบเข้าไปในห้อง เห็นสีหน้าท่าทางของบ่าวคนสนิทนี่ก็รู้ว่าของในหีบต้องหนักมากแน่

 “ขอบใจมาก เจ้าออกไปได้”เขาออกปากไล่ เมื่ออยู่เพียงลำพังก็เปิดหีบด้วยใจใคร่รู้ เสิ่นฉินอี้ทิ้งอะไรไว้ให้หลานชายกันหนอ จื่อฟางอ้าปากกว้าง ตาโตเมื่อเห็นทองแท่งเรียงรายอยู่ในนั้นอยู่ยี่สิบกว่าแท่ง เมื่อตรวจดูปรากฏว่ามีตั๋วเงินด้วย เด็กหนุ่มหยิบกระดาษเก่าๆคาดว่าเป็นจดหมายออกมาอ่าน

เสิ่นจิ้งเฟยหลานรัก หากเจ้าอ่านจดหมายนี้ ปู่คงลงปรโลกและเจ้าคงเติบใหญ่เป็นหนุ่ม พ่อเจ้าก็คงเริ่มมีหงอกขึ้นบนผมแล้ว ยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้จัดการ พ่อเจ้านิสัยไม่เด็ดขาด ปู่กลัวมู่หยางปกป้องตัวเองไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็จะแย่ไปด้วย ปู่เป็นห่วงนัก จึงเขียนถึงเจ้าฉบับหนึ่ง ถึงมู่หยางฉบับหนึ่ง ปู่ต้องขอโทษด้วยที่ในภายภาคหน้าสกุลเสิ่นต้องเจอเรื่องราววุ่นวาย ปู่อยากเตือนเจ้าอย่าได้คิดยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นั้นมิอาจนำความสงบสุขให้เจ้าได้

จื่อฟางย่นคิ้ว ทำราวกับเสิ่นจิ้งเฟยจะตกลงปลงใจกับฮ่องเต้ 

อีกประการอย่าเข้าร่วมกับหลิวอ๋องเจี่ยซิน เขาเป็นคนสองหน้า ภายนอกดี แต่ในใจคงคิดวางแผนใดอยู่เป็นแน่ ส่วนองค์ชายใหญ่หรือช่างอิ่นผู้ ยามนี้เจ้าเติบใหญ่ คงเข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ปู่กระทำกระมัง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเรื่องใดขึ้นกับมู่หยางหรือสกุลเสิ่น จงนำทองและตั๋วเงินเหล่านี้หนีไปตามแผนที่ที่ปู่แนบมา เสิ่นจิ้งเฟย ข้าหวังว่าเจ้าจะเติบโตอย่างงดงาม

จื่อฟางจ้องจดหมายอยู่นานสองนานก่อนย้ายสายตามองกระดาษยับย่นเก่าเหลืองอีกแผ่นมาดู เป็นแผนที่ไปยังเหลียวตง จื่อฟางไม่รู้จักสถานที่นี้ แต่จากจุดในแผนที่ เหลียวตงที่ว่าอยู่เกือบสุดขอบ ภูเขาหรือ? หากคิดจะเดินทางจริงต้องใช้เวลาเท่าใดกัน เสิ่นฉินอี้ถือว่ายังมีความรับผิดชอบ สร้างเรื่องไว้แล้วยังหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ด้วย เขาคิดอย่างประชดประชัน หากจะหนีให้พ้นจากอำนาจฮ่องเต้ต้องไปที่ใดเล่า จื่อฟางนึกถึงดินแดนตะวันตก ถ้าจะหนีจริงข้ามไปทางเส้นทางสายไหมไม่ดีกว่าหรือ แต่ในโลกที่มีพื้นฐานมาจากนิยาย ได้อ้างอิงสถานที่จริงเหล่านี้หรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะหนีได้เลย ยังมีเรื่องที่ต้องเผชิญอีกมากนัก

    “คุณชายเสิ่น”จื่อฟางสะดุ้งโหยง รีบเก็บจดหมายปิดหีบทันทีเมื่อได้ยินเสียงราบเรียบไม่คุ้นหูดังอยู่หน้าประตู

“ใครน่ะ”

    “ฝ่าบาทต้องการพบท่าน”

~•~

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จื่อฟางได้เยียบย่างเข้ามาในวังต้องห้าม แม้การพบเจอฮ่องเต้จะเป็นเรื่องหน้าสิวหน้าขวาน แต่เขาก็ยังอดเหลียวมองไปรอบตัวไม่ได้ กงกงที่เดินนำหน้าคอยแต่ใช้สายตาตำหนิมองเมื่อเห็นจื่อฟางทำเสียกิริยา ได้มาเห็นของจริงกับตาตนเองก็ย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา เขาถูกนำไปยังสวนกว้างขวางแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคือศาลาหรูหราทอดยาวอยู่ในสระบัว ม่านทองปลิวไสวรับลม มีเงาร่างงดงามของคนผู้หนึ่งปรากฏให้เห็น

จื่อฟางเพ่งมองก่อนเอ่ยถาม “ข้าขออนุญาตถาม คนผู้นั้นเป็นผู้ใดหรือ กงกง” 

“ชายงามของฝ่าบาท”คำตอบที่ได้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้

“ท่านรอฝ่าบาทอยู่ที่นี่”กงกงกล่าว

จื่อฟางยังไม่ทันได้ขอบคุณ ร่างของขันทีใหญ่ก็หมุนตัวจากไปแล้ว ทิ้งให้เขายืนเก้ๆกังๆอยู่เช่นนั้น เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ศาลาอย่างเงียบเชียบจนสามารถมองเห็นชายงามได้ชัดร่างนั้นมีใบหน้าเล็ก ริมฝีปากแดงเป็นกระจับ ผิวกายสีน้ำผึ้ง เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสยาย ชายงามสวมชุดสีฉูดฉาดแขนเสื้อคลิบทองหรูหรา คนผู้นี้งดงามมาก งามคนละแบบกับเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นนั่งลูบคลำกู่ฉินคันงาม ท่าทางสงบนิ่งราวกับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของจื่อฟาง นิ้วมือเรียวเริ่มเคลื่อนไหวบนเครื่องดนตรี ท่วงทำนองเสนาะหูระทมทุกข์ชวนให้จิตใจสั่นไหว เด็กหนุ่มยืนมองราวกับถูกมนต์สะกดตรึงให้อยู่กับที่ หัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมา   

ตึง 

เสียงกู่ฉินหยุดลงพร้อมกับชายงามตรงหน้าที่ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาเป็นประกายวูบไหวจดจ้องอยู่ที่ร่างของเขา

“เป็นอย่างไร อยู่ในร่างของข้าแล้วมีความสุขหรือไม่”โทนเสียงคุ้นหูเอื้อนเอ่ย จื่อฟางเบิกตากว้าง หัวใจสูบฉีด  ร่างกายเอนไหวคล้ายยืนไม่อยู่ เขาขยับก้าวเข้าไปหาก่อนทรุดนั่งอยู่เบื้องหน้าร่างนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ชายงามเอ่ยเช่นนี้…หมายความว่า

“เจ้าคือ...”เขาอ้าปากหมายจะพูด แต่สายตาขุ่นเคืองของอีกฝ่ายพุ่งตรงมาทำให้ชะงักค้าง

“ได้มองจากสายตาคนนอก ตัวข้าเสิ่นจิ้งเฟยช่างอ่อนแอน่าสมเพชยิ่งนัก ไม่รู้ว่านี่เป็นโชคชะตาหรือว่าเป็นเจ้าที่โชคร้ายกันแน่”รอยยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตาปรากฏอยู่บนเรียวปากเล็ก ท่าทางร้ายกาจแฝงแววเย่อหยิ่งเช่นนี้จะเป็นใครมิได้ ถ้อยคำของท่านซินแสลอยเข้ามา ‘อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล’

เสิ่นจิ้งเฟย!เจ้าอยู่ในวังหลวงเองหรอกหรือ





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2018 23:32:11
 โอ้โหๆ. น้องเสิ่นจิ้งเหยตัวจริงที่แท้มาหลบอยู่กับฝ่าบาทนี่เองน่าสงสารนะ เพราะถึงจะมีตัวจริงอยู่แต่กลับไม่ปล่อยวางร่างกายของน้อง
จื่อฟางกับพี่ไป๋นี่คืออื้อหือๆๆๆ. ในรถม้าไม่ได้บรรยากาศเนาะเสียดายทหารมาขัด
ขอบคุณมากๆที่มาต่อแบบจุใจค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 17-08-2018 23:45:40
ขอบคุณค่ะ ยาวจุใจเหมือนเดิม ตอนนี้พระเอกมาแรงมากกก ฮีเปลี๊ยนไป๋ ที่กั๊กๆ ไว้หายหมด ส่วนเสิ้นจิ้งเฟยตัวจิง รอดูค่ะว่าจะมาแนวไหน แต่นางหนีฮ่องเต้ไม่พ้นจิงๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 18-08-2018 02:34:05
ตัวจริงอยู่ใกล้ๆนี่เอง ท่าทางคงร้ายไม่เบา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-08-2018 04:02:01
ว้าววววววว เอาแล้ว ๆ ต่อ ๆ ด่วนนนนนนนน   :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทนำ+บทหนึ่ง:บทพระรอง
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-08-2018 07:24:35
สนุกมากค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 18-08-2018 08:48:41
เจอกันแล้ว ตัวจริง ตัวปลอมต่อไปจะเป็นยังไงลุ้นๆจ้า  o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 18-08-2018 08:56:50
ต้นฉบับนิยายนี่คือเรื่องนี้หรือเปล่าคะ ติดตามๆๆรอได้ค่าา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 18-08-2018 09:08:24
เฮ้ย
จะเกิดอะไรขึ้นอีกนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-08-2018 09:17:20
โอ้ยสนุกมากกกก ชอบฉากพลอดรักมากเลย เหมือนน้องจื่อฟางมาทำให้คุณไป๋ใจแตกไงไม่รู้ ส่วนเจ้าของร่างจริงคือดูเป็นคนฉลาดมากเลยค่ะ น่ากลัว  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-08-2018 09:33:43
ทำไมไปอยู่ในร่างนั้นได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-08-2018 10:07:43
 พี่ไป๋เดี๋ยวนี้ไม่นิ่งแล้ววววว เดี๋ยวจูบๆ  :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทเก้า :ความลับ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-08-2018 10:46:26
เรื่องเริ่มลึกลับซับซ้อนขึ้นไปอีก ไหนจะเรื่องอนุของพ่อ

แล้วโผล่เรื่องยาพิษกับน่าจะเคยได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้อีก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-08-2018 12:12:03
ร้ายกันทั้งพี่ทั้งน้องอะเราว่านะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสาม:คลื่นลมสงบ P.11 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-08-2018 12:57:41
 :a5: เอ้าผี พีค! พีคมากอะ ที่โดนยาพิษคือจากองค์ชายใหญ่

ชัวร์แล้ว มันพลิกแพลงไปเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: toncivil ที่ 18-08-2018 13:34:48
ฉากบู่กำลังจะมา  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 18-08-2018 15:50:18
ดุบนเตียง​ อื้อหือออออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 18-08-2018 16:26:53
โอ้ ปมเยอะสุด ๆ เรื่องนี้  :a5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-08-2018 20:50:03
อ้าวๆๆๆๆ ยังไงต่อล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Sedsawa ที่ 18-08-2018 22:02:25
         โอ้ยๆๆๆ ชอบมาก ติดมากตอนนี้ และค้างมากเช่นกันแต่จะเป็นผู้รอที่ดีค่ะ :hao5: :hao5:
          จบตอนได้อึ้งมาก นี่เอ๋อไปเลยแปปนึง แต่ที่รุ้ๆคือน้องเสิ่นตัวจริงต้องแซ่บ!!!!! ไม่รู้ทำไมแต่ชอบน้องอ่ะ พูดมาคำเเรกก็ร้ายเเล้ว อิแม่ชอบค่ะรู้กก  :ling1: :ling1: ดูเป็นคนรว้ายรว้ายยยย อยากปกป้องน้องเลย อยู่ใกล้ฮ่องเต้คนที่ไม่ชอบอีก อยากจับหอมหัว
          อยากได้โมเม้นนางช่วยกันเเก้ปัญหา หวังได้มั้ยคะะะ5555555 ต้องเป็นภาพที่น่าเอ็นดูววว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 18-08-2018 23:45:55
ตัวจริง ตัวปลอม เจอกันแล้ว นี่ยังไม่ถึงกลางเรื่อง งั้นก็ยังอีกหลายตอนกว่าจะจบ ดีมาก อ่านจุใจดี
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 19-08-2018 00:58:59
ช่วงชมดอกเหมยเราเขินมากค่ะ​ โดนจับได้ด้วยอ่ะ55​ ตัวจริง​มาอยู่กับฮ่องเต้แบบนี้โอ้ยคู่ตัวจริงก็น่าสนใจ​ แต่คู่หลักน่ารักมากๆ​ ขอให้ตัวปลอมสอบได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบสี่: เยี่ยมสกุลโหยว P.12 9/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-08-2018 02:38:10
นั่นสิเสิ่นจิ้งเฟยไปอยู่ที่ไหน ร่างใคร ทำไมบอกว่าไม่ใกล้ไม่ไกล

ป.ล. ดะ ดะ เดือนตุลาคมเหรอคะ  :hao5: ได้ค่ะได้ เราจะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-08-2018 03:11:51
 :a5:  :o12: แง้ ค้างงง ฮือ กำลังเข้มข้นเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-08-2018 08:41:58
โอ๊ยยยย อ่อยเบอร์สิบไปอีกจื่อฟาง
แล้วดูสิผูอวี้ไม่มีห้าม ไม่ตามน้ำ แต่ตามใจฉัน
มีความคืบหน้านะคู่นี้ แล้วทำแบบไม่กลัวโดนส่องเลย

เจอกันแล้ว ไปอยู่ร่างนั้นได้ไง
แล้วทำไมจื่อฟางถึงมาอยู่ร่างนี้ได้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-08-2018 17:27:34
เสิ่นจิ้งเฟย..........แสดงตัวแล้ว   :serius2:
ที่แท้เสิ่นจิ้งเฟย มาเป็นชายงามอยู่ข้างกายฮ่องเต้นี่เอง
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: หนีฮ่องเต้จอมเจ้าชู้ไม่พ้น   :z3:
ฮ่องเต้นี่มีวาสนากับเสิ่นจิ้งเฟยจริงๆ  ไม่ได้ตัวก็ได้จิตวิญญาณ  :m20:
ทั้งที่เสิ่นจิ้งเฟย ร่างใหม่ก็งามซะด้วย  :mew1:
แต่ฮ่องเต้ ยังไม่วายหวนหาอยากได้ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟย  o18
อย่างนีึ้เจ้าของร่างชายงามไปอยู่ไหนล่ะ

ไป๋ น่ารักแสดงออกกับจื่อฟางไม่กั๊กแล้ว   :sad4:
จื่อฟางก็คลอเคลียกับไป๋แบบเป็นธรรมชาติมาก ชอบบบบบบบบบบบ   :impress2:
อย่างนี้คุณหนูฉิน ต้องหงุดหงิดกับข่าวไป๋พลอดรักกับหญิงสาวแน่ๆ   :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 20-08-2018 00:28:21
อ่านตอนเข้าพระเข้านางแล้วเขิลมาก ไม่คิดว่าท่อนไม้จะดุขนาดนี้  :-[ :hao6: คือแบบปมมันเยอะไปหมด อยากรู้มากมาย ชอบเรื่องนี้มากมาย อยากรู้ว่าทำไมเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงถึงมาอยู่ในวังหลวง มาเพราะตั้งใจหรือว่าต้องมาอยู่ในร่างที่อยู่ในวังอยู่แล้ว อยากรู้ไปหมด ค้างมากมาย55555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 20-08-2018 11:25:26
อยาก skip ไปตอนจบแล้วเริ่มอ่านจากตอนแรกจริงๆ 555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-08-2018 18:47:52
พระเอกเราฉีกบท ท่อนไม้ เรียบร้อยย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-08-2018 00:43:05
 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ThE_PaRaN ที่ 21-08-2018 20:13:05
ลุ้นไปด้วยเลย ตื่นเต้น ตัวจริงคงจะดื้อน่าดู
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 23-08-2018 20:10:59
สนุกมากๆๆๆๆๆตามอ่านจนครบวันเดียว เขินเลิฟซีนมากกก

แต่.....  ตุลาเลยหรอคะ น้องจาร้อง555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Hyung. ที่ 27-08-2018 16:03:20
เรื่องราวชักเจ้มจ้นขึ้นทุกที
นานแค่ไหนก็รอได้ค่า
สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 27-08-2018 19:22:30
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว :ling1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: junjou ที่ 31-08-2018 02:06:40
สนุกมากกกกกกกกกก ชอบมากกกกกกกก ปกติเราชอบแนวจีนๆอยู่แล้ว มาเจอเรื่องนี้คือรักเลย พล็อตดี ไม่เทพทรูเหมือนที่เค้าเขียนๆกันตอนนี้ 55555 เรียลดีค่ะชอบ ปมเยอะด้วย เข้มข้นมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย ที่ 04-09-2018 13:05:13
คุณชายเสิ่นตัวจริงท่าจะลุคราชินีน่าดู อยากอ่านแล้วหนอเมื่อไหร่จะตุลา :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 05-09-2018 00:36:26
คุณชายเสิ่นตัวจริงพูดแค่ประโยคเดียวก้็จับรังสีราชินีได้เลย ร้ายยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 05-09-2018 19:46:32
คิดถึงจังค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-09-2018 04:37:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 22-09-2018 22:56:26
รอนะค้าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 23-09-2018 08:51:31
โอ้....
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 23-09-2018 16:58:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: JingJing ที่ 02-10-2018 16:36:01
สนุกมาก รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 14-10-2018 14:02:01
ยังรออยู่นะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 14-10-2018 15:01:14
จากหนุ่มไม่ได้เรื่องกลายเป็นชายในองค์ฮ่องเต้...  ก็น่าสงสารเขาอยู่อ่ะนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 14-10-2018 15:03:00
 :call:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 14-10-2018 17:05:48
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 14-10-2018 18:06:49
เนื้อเรื่องน่าสนใจ เข้มข้น สนุกจังเลยค่ะ แง ชอบมากๆเลย

ว่าแต่แล้วร่างของน้องจื่อฟางเป็นยังไงบ้างล่ะน้ออ

ส่วนเจ้าหนูเสิ่นจิ้งเฟย จะเอายังไงต่อล่ะนั่น

บทพระเอกกับพระรองละมุนมากเลย ฮื้ออ เข้าใจคุณคนเขียนนะคะถ้าจะเขิน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ นี่ก็เดือนตุลาแล้วน้าาา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 20-10-2018 18:58:48
 :z13:  :z13:   :z13:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 20-10-2018 20:24:47
ชอบตอนที่พระนายอยู่ด้วยกันมากเลยค่ะ รอติดตามอยู่นะคะ :)
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 29-10-2018 07:59:37
จะหมดเดือนตุลาแล้วน้าาาา :undecided: :o11:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 14:10:35
 :hao5: เข้ามาส่อง หลังจากที่นับวันรอ อีก 2 วันก็หมดเดือนแล้ว

แต่เราก็ยังรอนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 31-10-2018 20:35:47
รอค่าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: MimoreQ ที่ 03-11-2018 13:30:17
ร้องโอ้วดังมากกกกกก ชอบค่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 05-11-2018 12:28:10
ชอบนะ รออ่าน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 28-11-2018 07:50:06
 :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-11-2018 04:03:57
 :freeze: :o11: ยังรออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 04-12-2018 19:42:13
คิดถึงเรื่องนี้นะคะเนี่ย น้องมารอพี่ที่หน้าเล้าทุกวันเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 05-12-2018 01:14:47
คิดถึงแล้ววว
รออยู้นะคะ o22
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 05-12-2018 14:57:09
 สนุกมากเลยค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบห้า: โชคชะตา P.13 17/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 08-12-2018 17:59:44
ยังรออยู่น้าาาาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 31-12-2018 03:03:36
 บทสิบหก เสิ่นจิ้งเฟย


เสียงกู่ฉินหยุดลงไปนานแล้ว ทำให้บริเวณศาลาเงียบสงัด มีเพียงสายลมเย็นบางเบาพัดเอื่อย แม้ไม่พบวี่แววของผู้ใดแต่จื่อฟางรู้ดีว่าในสวนแห่งนี้ย่อมมีคนของฮ่องเต้จับตามองอยู่ เหตุนี้ทั้งเขาและเสิ่นจิ้งเฟยจึงได้แต่มองหน้ากันไปมาอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มหมุนพัดในมือเล่นระหว่างที่ทำใจให้สงบ เสิ่นจิ้งเฟยอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่คิดว่าจะได้พบอีกฝ่ายในวังหลวงทั้งยังอยู่ในร่างชายงามของฮ่องเต้อีก ชะตาของเสิ่นจิ้งเฟยหนีฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่พ้นจริง ๆ

“ว่าอย่างไรเล่า เจ้ามีความสุขหรือไม่ที่ได้อยู่ในร่างของข้า”เสิ่นจิ้งเฟยในร่างชายงามยังคงถามด้วยรอยยิ้ม ทำให้จื่อฟางรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมา เขาต้องพบเจอกับเรื่องยากลำบากก็เพราะคนผู้นี้ ยังจะมาทำลอยหน้าลอยตาใส่เขาอีกหรือ

จื่อฟางยิ้ม ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “คำถามนี้…ข้าว่าตัวเจ้าน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”เห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่ายก็ยิ่งขุ่นเคือง แต่ในยามนี้เขามีเรื่องที่ต้องถามให้กระจ่าง ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะมาตอนไหน เขามีเรื่องที่อยากถามและต้องการคำตอบ เขากวาดตามองไปรอบ ๆเมื่อเห็นว่าบริเวณศาลาไม่มีผู้ใดก็รีบเอ่ยอย่างไม่รอช้า

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ารู้ว่าเจ้ากับข้าต่างก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่ตอนนี้ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

เสิ่นจิ้งเฟยปล่อยเสียงหัวเราะไร้อารมณ์ออกมา แววตาเป็นประกายแค้นเคือง “เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า?เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าด้วย ในเมื่อข้าต้องฝืนทนอยู่ในร่างกายสกปรกของเจ้า ต้องทนกล้ำกลืนเห็นหน้าคนผู้นั้นทุกวัน ให้เจ้าได้ทรมานอยู่ในร่างของข้าบ้างก็ถือว่าเท่าเทียมกันแล้วไม่ใช่รึ เจาเฟิง”จื่อฟางกระพริบตาเมื่อได้ยินชื่อที่อีกฝ่ายเรียก เจาเฟิงงั้นหรือ ทั้งยังบอกว่าร่างกายสกปรกของเจ้าอีก เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว หรือเสิ่นจิ้งเฟยคิดว่าเขาคือชายงามเจาเฟิงอะไรนั่น

“ข้าไม่ใช่เจาเฟิง”เขาเอ่ยแย้ง เริ่มเข้าใจเรื่องราวได้ลาง ๆ 

“เจ้าพูดเรื่องใด”เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงปรายตามองด้วยสีหน้ากังขา ท่าทางระวังตัวแจของอีกฝ่ายทำให้อยากหัวเราะ ไม่ใช่เขาหรือที่ต้องเป็นฝ่ายระแวง

“ข้าชื่อจื่อฟาง ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าคือเจาเฟิงชายงามของฮ่องเต้ล่ะก็ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนโชคร้ายที่บังเอิญเข้าร่างเจ้าเท่านั้น”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแม้ในใจจะสั่นไหวไปด้วยความไม่มั่นใจ คนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางเชื่อคำพูดของเขาง่ายๆแน่ เด็กหนุ่มมองดวงหน้างดงามของเจาเฟิง แม้จะไม่ปรากฏสีหน้าใด แต่นัยน์ตาคู่นั้นสั่นไหวระลอกหนึ่ง

“คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดหลักลอยของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

“ข้าพูดเรื่องจริง ข้าไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก ข้ามาจากสถานที่ห่างไกลมากแห่งหนึ่ง ไม่แปลกหากเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อของข้า ตอนที่ข้าฟื้นก็พบว่าเมาสุราอยู่ที่หอผูเยว่”จื่อฟางยังคงพูดต่อ ความคิดหวนถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง ภาพในความทรงจำยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

หอผูเยว่
 
เสิ่นจิ้งเฟยในร่างชายงามใจกระตุกวูบ ก่อนปรายตาจับจ้องร่างผอมบางเบื้องหน้าอย่างไตร่ตรอง เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก จื่อฟางผู้นี้ดูไม่มีพิษมีภัย แต่เขาไม่ใช่คนที่จะไว้ใจคนง่าย ๆ เขาหวนนึกไปถึงค่ำคืนที่ฟื้นในร่างของเจาเฟิง เจาเฟิงที่น่าสงสารสมควรตายไปแล้วด้วยซ้ำจากบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะ ในวันนั้นเสิ่นจิ้งเฟยดื่มสุราอยู่ที่หอผูเยว่หลังจากที่สืบเรื่องของท่านพ่อจนกระจ่างและได้พบกับหญิงนางนั้น…เขากำมือแน่นก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ใช้สายตากวาดมองร่างผอมบางที่เคยเป็นของตนอย่างเย็นชา ข้าดูอ่อนแอเช่นนี้เสมอเลยหรือ

 “ข้าจะพูดอย่างไรดี ข้าไม่มีสิ่งพิสูจน์ให้เจ้าเชื่อว่าข้าไม่ใช่เจาเฟิง”ร่างนั้นกล่าว ขบริมฝีปากอย่างว้าวุ่นใจ เสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิงตัดสินใจทดสอบบางอย่าง มือเรียวข้างหนึ่งยกแหวกเส้นผมบริเวณศีรษะข้างขวาออก เผยให้เห็นรอยแผลยาวน่ากลัว รอยแผลนี้เป็นฝีมือของเจาเฟิงที่เลือกจบชีวิตตัวเอง เขาจึงอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ร่างผอมบางตรงหน้ามองมาด้วยสายตานิ่งงันเท่านั้น เสิ่นจิ้งเฟยถอนหายใจ หรือคนผู้นี้จะเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนโชคร้ายจริงๆ 

“แผลที่เจ้าเห็นเป็นฝีมือของเจาเฟิง เขาไม่อยากเป็นหนึ่งในชายงามของฮ่องเต้ จึงพยายามปลิดชีพตัวเองด้วยการโขกศีรษะ ตอนที่ข้าฟื้น ร่างของเขาเย็นเฉียบหมดลมหายใจไปแล้ว”บุรุษงามกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย ไม่เพียงแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้แต่เขายังได้รับความทรงจำและความรู้สึกของเจาเฟิงมาด้วย

“โอ้…”จื่อฟางปล่อยเสียงอุทานเบา ๆ “เจ้าหมายความว่าเจาเฟิงตายแล้วงั้นหรือ”เขานึกไปถึงร่างของตัวเอง ร่างกายของเขาก็เปรียบเสมือนคนตายไปแล้วงั้นหรือ

“ใช่ บางทีอาจเป็นเหตุผลที่วิญญาณของเจ้าเข้ามาในร่างของข้าแทน”เสิ่นจิ้งเฟยสำรวจมองจื่อฟางด้วยสายตาราบเรียบ เป็นความรู้สึกที่ออกจะแปลกอยู่บ้าง เพราะเขาสัมผัสได้ว่าร่างกายที่เคยเป็นของเขาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน…มิใช่หมายถึงรูปร่าง แต่เป็นจิตวิญญาณ เสิ่นจิ้งเฟยสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวา นึกสงสัยว่าจื่อฟางผู้นี้จะแสดงละครตบตาหลิวอ๋องเจี่ยซินได้อย่างไร ผู้คนที่สนิทชิดเชื้อกับเสิ่นจิ้งเฟยจะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เชียวหรือ

“ข้าจะบอกก็ได้ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ในวันที่เกิดเรื่อง ข้าดื่มสุราที่หอผูเยว่ อยู่ ๆก็เกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกจนหน้ามืด…ข้าฟื้นอีกครั้งในร่างของเจาเฟิง”เสิ่นจิ้งเฟยเล่าถึงตรงนี้ก็หยุด คล้ายกับจำสาเหตุที่เมาอยู่ที่หอนางโลมได้ ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ท่านพ่อไม่เพียงมีหญิงใหม่ แต่ยังมีบุตรชายเพิ่มมาอีกคนด้วย! ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโกรธแค้นเสิ่นมู่หยาง เขาไม่อยากได้ร่างคืน ไม่มีเหตุผลให้เขาเป็นเสิ่นจิ้งเฟยอีกต่อไปแล้ว 

ในมุมมองของจื่อฟางกลับเข้าใจไปว่าเสิ่นจิ้งเฟยเจ็บปวดใจเรื่องคุณหนูฉิน ความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้นทำให้เขาหนาวเหน็บไปด้วย แต่เขานึกภาพชายงามนิสัยเหย่อหยิ่งอย่างเสิ่นจิ้งเฟยไปตามตื้อคุณหนูฉินไม่ออก แล้วกับฟู่เทียนสือเล่า ความรู้สึกที่จื่อฟางรับรู้คืออะไร เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยชมชอบชายมากเสน่ห์ผู้นั้น แต่เป็นความชอบแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

 “เสิ่นจิ้งเฟย…”จื่อฟางลังเลอยู่ชั่วขณะ ชั่งใจว่าควรพูดสิ่งที่คิดออกไปดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร “อาจฟังดูประหลาดแต่ดูเหมือนว่าความทรงจำบางส่วนของเจ้ายังหลงเหลืออยู่ในร่างนี้ ทำให้ข้าพอจะรู้เรื่องราวของเจ้านิดหน่อย”

เสิ่นจิ้งเฟยชะงัก เผยสีหน้าซับซ้อนออกมา ความทรงจำบางส่วนยังหลงเหลืออยู่งั้นเหรอ บางอย่างในน้ำเสียงของจื่อฟางทำให้ชายงามไม่สบายใจ คำถามที่เขาเคยสงสัยได้รับคำตอบแล้ว เป็นเพราะความทรงจำส่วนหนึ่งฝังอยู่ในร่างจริงของเขา ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยจำเรื่องราวบางอย่างไม่ได้ นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

“จื่อฟาง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า ตั้งแต่อยู่ในร่างของเจาเฟิง ความทรงจำของข้าดูเหมือนจะมีปัญหา ข้าจดจำเรื่องราวได้เพียงบางส่วนเท่านั้น”เสิ่นจิ้งเฟยบอกไปตามตรง แม้จะบอกไม่หมด แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าผู้นี้ นึกสงสัยอยู่ว่าจื่อฟางรู้เรื่องราวของเขามากน้อยเพียงใด ยามที่อยู่ในจวนสกุลเสิ่น เสิ่นจิ้งเฟยไม่เคยเขียนบันทึก จะมีก็แต่บทความวิพากษ์ฮ่องเต้ที่ซุกซ่อนอยู่ในหีบเก็บพัด บทกวีพร่ำเพ้อ ร่องรอยการติดต่อกับหลิวอ๋อง เสิ่นจิ้งเฟยแน่ใจว่านอกจากคนสนิทชิดใกล้แล้วไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องราววัยเด็กระหว่างเขากับฮ่องเต้ 

“ความทรงจำของเจ้าหายไป”เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเสียงดัง พยายามกดเสียงพูดให้เบาที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่คิดว่าจะได้ยินข้อแก้ตัวที่เคยใช้มาก่อนออกมาจากปากของเสิ่นจิ้งเฟย 

“ถูกแล้ว”เขาผงกศีรษะอย่างสงบ จื่อฟางชั่งใจ มีท่าทีลังเลก่ำกึ่งระหว่างเชื่อและไม่เชื่อก่อนทิ้งไหล่ลงอย่างห่อเหี่ยว

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่เชื่อข้า”เสิ่นจิ้งเฟยเผยรอยยิ้มคลุมเครือ ดีแล้ว

“เจ้าควรบอกข้ามา เรื่องหลิวอ๋องเจ้าวางแผนทำอะไร”จื่อฟางกระซิบอย่างหมดความอดทน เหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าพูดคุยเรื่องนี้ในวังหลวงค่อนข้างเสี่ยง แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น ใช่ว่าจะได้เข้าวังมาพูดคุยกับชายงามของฮ่องเต้ได้บ่อย ๆเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อมีโอกาสได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง เขาก็ต้องรีบคว้าไว้

เสิ่นจิ้งเฟยสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อถูกถามถึงหลิวอ๋อง “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

“ไม่จำเป็นต้องรู้...” จื่อฟางขบฟัน ความโกรธเคืองฉายชัดบนใบหน้า “ผายลมอันใดออกมา ข้าอยู่ในร่างของเจ้า ต้องเผชิญกับเรื่องที่ไม่ได้ก่อ เจ้าน่าจะรู้ว่าชีวิตของเจ้าเป็นอย่างไร ผู้คนปฏิบัติต่อเจ้าแบบไหน เจ้าว่ายังไม่เกี่ยวอีกหรือ”

เสิ่นจิ้งเฟยตวัดสายตาคมปราดมองเด็กหนุ่ม จื่อฟางจะเป็นหรือตายไม่ใช่เรื่องของเขา ร่างกายก็เป็นเพียงร่างกาย มนุษย์ย่อมต้องแตกสลาย ชีวิตในร่างเก่าก็ไม่ได้ดีเสียจนเขาต้องโหยหวนอยากได้ร่างคืน เขาออกจะรังเกียจความอ่อนแอของร่างกายตัวเองเสียด้วยซ้ำ เขาอยากบินหนีให้ไกลจากจวนสกุลเสิ่น ทิ้งชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยไว้เบื้องหลัง แต่โชคชะตากลับกลั่นแกล้ง ในยามนี้กลับถูกกักขังอยู่ในวังหลวง ติดอยู่ในร่างชายงามของฮ่องเต้ คนที่เขาไม่อยากเห็นหน้าที่สุด

มีเพียงเรื่องดีเรื่องเดียว การที่เจาเฟิงพยายามปลิดชีพ ทำให้ฮ่องเต้ไม่กล้าทำเกินเลยกับร่างนี้เพราะกลัวว่าบุรุษงามจะฆ่าตัวตายอีก แต่ถึงกระนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ยังหน้าด้านมาฟังเขาบรรเลงกู่เจิงที่ตำหนักบ่อยครั้ง ไม่ได้ทำการล่วงเกินแต่อย่างใด แต่เสิ่นจิ้งเฟยค่อนข้างมั่นใจว่าฮ่องเต้ได้ล่วงเกินร่างนี้ไปแล้ว เพราะตอนที่เขาเข้ามาในร่างของเจาเฟิง เขาตรวจพบร่องรอยการร่วมรักกระจายอยู่ตามเรือนร่าง เพราะเหตุนี้เจาเฟิงถึงได้เลือกจบชีวิตตัวเองกระมัง บุรุษงามแค่นเสียงในลำคอ ความรู้สึกชิงชังที่มีต่อฮ่องเต้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทั้งจากของเขาและเจาเฟิง

แต่คิดจะบินหนี อย่างไรก็ต้องมีแผน ตอนนี้กระดานหมากเปลี่ยนไปแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยแค่ต้องรอเวลา รอให้หลิวอ๋องก่อกบฏ องค์ชายใหญ่เคลื่อนไหวจัดการฮ่องเต้ จากนั้นเขาจะบินหนีให้ไกล มีชีวิตใหม่ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบฆ่า ไม่ต้องพะวงเรื่องหลิวอ๋อง หลุดจากวงเวียนความแค้นขององค์ชายใหญ่ เขาจะเป็นอิสระ เสิ่นจิ้งเฟยคลี่รอยยิ้ม ทำให้ใบหน้างดงามของเจาเฟิงดูลึกลับน่ากลัว 

จื่อฟางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่เขาพลันรู้สึกหนาวเหน็บที่สันหลัง ลางสังหรณ์กระตุ้นเตือนว่าอย่าไว้ใจคนผู้นี้เด็ดขาด
    
“เจ้าคนโชคร้าย ระวังคำพูดหน่อย เรื่องของหลิวอ๋อง ข้าจำได้รางๆว่ามีคนผู้หนึ่ง สหายของข้า หากเอ่ยปากขอ เขาอาจช่วยเจ้าได้”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวช้า ๆพลางยกมือนวดขมับที่เริ่มปวดตุบๆ…คนผู้หนึ่ง…ชื่อติดอยู่ที่ปลายลิ้น เขาพูดไม่ออก ใบหน้าเลือนรางอยู่ในความทรงจำแต่เขารู้สึกได้ว่าต้องเป็นคนสำคัญ เพราะจังหวะการเต้นของหัวใจถี่เร็วขึ้น 

“คนผู้หนึ่งหรือ ข้าอ่านใจเจ้าไม่ได้หรอก ช่วยข้าได้มากเลย”จื่อฟางหัวเราะเบา ๆ หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ เสิ่นจิ้งเฟยก็คงตายไปแล้ว บุรุษงามเพียงยิ้มหวาน ได้ยินอีกฝ่ายพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยทั้งทีทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หรือดวงชะตาของข้ามันอับโชคจริง ๆ”

“ข้าจำไม่ได้จะให้ทำอย่างไร แต่ดูแล้วหลิวอ๋องยังวางใจเจ้าอยู่ เจ้าก็แสดงละครต่อไป เจ้าเล่นบทของเจ้า ข้าเล่นบทของข้า หากมีโอกาสข้าจะหาทางติดต่อเจ้าไปเอง”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยอย่างขอไปที

“เจ้าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย…”จื่อฟางกัดฟันกรอด ๆ

‘มิใช่เรื่องของข้าเสียหน่อย’

เสิ่นจิ้งเฟยตอบโต้อยู่ในใจ แต่ใบหน้าประดับรอยยิ้มงามอ่อนหวาน เรื่องของหลิวอ๋องจะว่าไปก็ซับซ้อน เขารู้ดีว่าคนผู้นั้นไม่มีทางปล่อยให้เขารอดเงื้อมมือไปแน่ แม้ครั้งหนึ่งหลิวอ๋องจะเคยช่วยเหลือจนเสิ่นจิ้งเฟยเชื่อใจยอมเอ่ยคำสาบานเป็นพี่น้อง ‘ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมเผชิญ’ ข้าช่างโง่เขลานัก หลิวอ๋องถึงได้เอาคำสาบานมาผูกมัดเช่นนี้

“ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ องค์ชายใหญ่เคยส่งคนมาเล่นงานข้า ในตอนนั้นข้าเกือบถูกข่มเหง แต่หลิวอ๋องช่วยข้าไว้ ข้าถึงได้ยอมเอ่ยคำสาบานกับเขา”เสิ่นจิ้งเฟยกำมือ เมื่อนึกถึงความทรงจำลางเลือนที่อยากลืม เจ้าช่างอิ่นผู้นั้นจงเกลียดจงชังสกุลเสิ่นจนใช้วิธีสกปรก

จื่อฟางได้ยินที่อีกฝ่ายบอกก็ได้แต่ตระหนกอยู่ในใจ ไม่คิดว่าองค์ชายใหญ่จะลงมือด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสารเสิ่นจิ้งเฟยขึ้นมา ทันใดนั้นอยู่ ๆเขาก็หายใจไม่สะดวก จนต้องยกมือกุมหน้าอก ภาพบางอย่างเลือนลางวูบวาบอยู่ในความทรงจำ เสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิงมองมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่ก็เพียงครู่เดียว ใบหน้าของชายงามกลับมาเย็นชาเช่นเดิม จื่อฟางสูดหายใจเข้าออกช้า ๆเมื่ออาการเมื่อครู่จางหายไปจึงเอ่ยต่อ

 “เรื่ององค์ชายใหญ่…เจ้ารู้หรือไม่ว่าปู่ของเจ้าเป็นคนใส่ร้ายจนเขาหลุดจากตำแหน่งรัชทายาท เขาถึงได้แค้นเคืองสกุลเสิ่นถึงเพียงนี้” เด็กหนุ่มเฝ้ามองปฏิกิริยาของอีกร่าง ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการตกใจกับเรื่องนี้ คนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยคงคาดเดาเรื่องราวได้อยู่แล้วกระมัง

ร่างนั้นฉีกยิ้มหวาน “อยู่ในร่างของข้า เจ้าคงลำบากน่าดู แต่ว่าเจ้าควรห่วงเรื่องของตัวเองจะดีกว่า เสิ่นจิ้งเฟย เป็นข้า ข้าจะระวังตัวไว้ ท่านอ๋องจะฆ่าเจ้าเมื่อไหร่ก็ย่อมได้”เสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในร่างของเจาเฟิง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกลอบฆ่าอีกต่อไปแล้ว ทั้งท่านอ๋อง องค์ชายใหญ่ ถึงจะรู้สึกสะใจในโชคร้ายของจื่อฟาง แต่ลึกๆแล้วก็แอบเห็นใจคนผู้นี้อยู่เล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น

จื่อฟาง…อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลย สวรรค์คงกำหนดให้เจ้ามารับเคราะห์แทนข้ากระมัง
 
“ขอบคุณที่เตือน”จื่อฟางกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินฝ่ายนั้นเรียกเขาด้วยชื่อตัวเอง เสิ่นจิ้งเฟยโยนปัญหามาให้เขา  เด็กหนุ่มโกรธเสียจนอยากเข้าไปเขย่าร่างงดงามเย้ายวนตรงหน้าให้สั่นคลอน ความอัดอั้นที่อยู่ในอกทำให้ผุดลุกเดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่น แต่ก็ชะงักฝีเท้าเมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดสีม่วงเข้มลายมังกรสะดุดตาเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณทางเดินทอดยาวมายังศาลาริมสระบัว

…ฮ่องเต้เจี่ยผิง ร่างนั้นถือดอกกุหลายเย่ว์จี้สีแดงสดมาด้วยสองดอก มองไกล ๆยังสัมผัสได้ว่าเจ้าของร่างกำลังอยู่ในอารมณ์เบิกบานใจ จื่อฟางพลันรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี เด็กหนุ่มเหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟยหรือเจาเฟิงนั่งลูบคลำเครื่องดนตรีด้วยท่าทางเย็นชาเศร้าหมองประหนึ่งคนงามผู้ถูกรังแกได้อย่างไม่ติดขัด มุมปากของร่างบางยกเป็นรอยยิ้มคล้ายกำลังขบขัน อันที่จริงเสิ่นจิ้งเฟยก็อยากรู้ว่าจื่อฟางผู้นี้จะเล่นละครตบตาฮ่องเต้อย่างไร เขาจึงรอชมเสมือนเห็นเป็นละครงิ้วฉากหนึ่ง

ฮ่องเต้เจี่ยผิงก้าวเข้ามาในศาลา นำพากลิ่นกายหอมอ่อน ๆมาด้วย สายตาจ้องมองคนงามทั้งสองด้วยนัยน์ตาเป็นประกายพอใจ ทั้งเจาเฟิงและเสิ่นจิ้งเฟยต่างก็รูปงามด้วยกันทั้งคู่ ยิ่งทำให้ศาลาแห่งนี้น่ามองราวกับถูกแต่งแต้มสีสัน แม้ชายหนุ่มจะสัมผัสได้ว่าคนงามทั้งสองมีเรื่องอยู่ในใจก็ตาม บุรุษหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆเมื่อเห็นว่าจื่อฟางทำตัวไม่ถูก

“เจ้าทำตัวตามสบายเถอะ”ฮ่องเต้โบกมือไปมา ก่อนหันมองชายงามที่ปั้นสีหน้าเรียบเฉยอันเป็นเอกลักษณ์ เจี่ยผิงเคยชินกับท่าทีดื้อดึงของเจาเฟิงเสียแล้ว เขายกยิ้มมุมปาก ถ้าเจ้าใช่เจาเฟิงน่ะนะ

“เจาเฟิง จำที่ข้าเคยบอกได้หรือไม่ นี่คือเสิ่นจิ้งเฟย บุตรชายของเสนาบดีเสิ่นที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง ฝีมือการบรรเลงกู่เจิงของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วฉางอัน แม้ว่าจะถูกเรื่องแย่ๆ กลบไปเสียส่วนใหญ่จนทำให้ผู้คนลืมเลือนไปบ้างว่าเขามีความสามารถซ่อนอยู่ ฝีมือการบรรเลงกู่ฉินของเจ้าอาจไพเราะสู้เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ แต่เจาเฟิง บทเพลงของเจ้ามักทำให้ข้านึกถึงคนผู้หนึ่งอยู่เสมอ เจ้าว่าแปลกหรือไม่”เจี่ยผิงกล่าวเหมือนคุยเรื่องทั่วไป ก้มมองดอกกุหลาบในมือด้วยสายตาเป็นประกายลึกลับ ทำให้คนงามทั้งสองคนรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ลมหนาวพัดเข้ามาจนม่านสีทองสะบัดไหว

คนผู้หนึ่งที่ท่านเอ่ยถึงนั่งอยู่ตรงหน้านั่นอย่างไร จื่อฟางนึกอยู่ในใจ รู้สึกว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงมีจุดประสงค์บางอย่าง

“ข้าเห็นว่าดอกกุหลาบดอกนี้สีสันงดงามเหมาะกับเจ้าทั้งสองยิ่งนัก”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวทำลายความเงียบ ขยับกายเข้าใกล้จื่อฟาง ลมวูบหนึ่งพัดกลิ่นหอมต้องจมูก ก่อนจะเสียบดอกไม้ทัดหูให้เด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว   

“เจาเฟิง เจ้าก็เหมาะกับกุหลาบดอกนี้เช่นกัน”ฮ่องเต้หมุนกายไปทางบุรุษงามอีกคน

“กระหม่อมไม่เหมาะกับดอกไม้สวยงาม พระองค์เก็บไว้มอบให้ผู้อื่นเถิด”เสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิงบอกปัด แต่ก็รู้ดีว่าไม่เป็นผลเพราะสัมผัสได้ถึงลมวูบหนึ่ง รับรู้ว่าฮ่องเต้เอื้อมมือมาทัดดอกกุหลาบให้เขาเช่นกัน มือหนาปัดผ่านเส้นผมดำขลับทำให้ร่างบางตัวสั่นน้อย ๆ น่ารังเกียจนัก คนผู้นี้มักมากเหลือเกิน

“บรรเลงเพลงให้ข้าฟังสักบท”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวเสียงนุ่ม ก่อนยืดตัวเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนตั่งไม้ตัวยาวที่สลักลายสวยงาม

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้ามานั่งเป็นเพื่อนข้า”ฮ่องเต้เอ่ยเรียกระหว่างที่นางกำนัลหน้าตาจิ้มลิ้มยกถาดน้ำชาหอมกรุ่นเข้ามาในศาลา จื่อฟางลอบถอนหายใจแต่ก็นั่งลงตามคำเชิญ ทิ้งช่วงห่างไว้พอเหมาะพอควร เสียงดีดสายกู่ฉินดังขึ้นเบา ๆ ถึงแม้จื่อฟางจะไม่มีความรู้ด้านดนตรี แต่ก็พอฟังออกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีพรสวรรค์ นิ้วมือเรียวกรีดกรายไปตามจังหวะ เขาสังเกตุว่าอีกฝ่ายใช้จังหวะการเล่นไม่เหมือนกับที่เขาเคยได้ยินในความฝัน 

ข้าอยากรู้นักว่าสวรรค์ต้องการสิ่งใด ไยไม่ส่งข้าไปเข้าร่างผู้อื่น เหตุใดต้องเป็นชายงามเจาเฟิงผู้นี้ด้วย เจ้าของร่างตัวจริงคิดอย่างขุ่นเคืองระหว่างที่ใช้มือดีดไปตามสายกู่ฉิน ร่างบางเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาจับจ้องของเจ้าแผ่นดิน นึกอยากก่นด่าว่ามองอะไร แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มเย็นชาตามแบบฉบับของร่างนี้ส่งไปให้

“ไม่เจอเจ้าเสียนาน ดูเหมือนเจ้าจะมีน้ำมีนวลกว่าครั้งก่อนที่ได้พบกันเสียอีก”ฮ่องเต้เจี่ยผิงกวาดตามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างออกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับกำลังสำรวจว่ามีส่วนไหนที่สึกหรอหายไป จื่อฟางกลั้นหายใจกับสายตาที่อาบทั่วร่าง เขาหมุนพัดในมือเล่น เป็นอุปนิสัยอย่างหนึ่งของเสิ่นจิ้งเฟยที่เขานำมาใช้จนชินแม้กระทั่งเจ้าของร่างตัวจริงยังแปลกใจที่ได้เห็นพฤติกรรมเคยชินของตนจากร่างนั้น ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าจื่อฟางเล่นละครได้ไม่เลวทีเดียว

“คงเป็นเพราะข้าหลับสบาย ไม่มีคนมารบกวนบนหลังคาเรือนกระมัง”จื่อฟางลืมตัวไปครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่จริงจังนัก 

“ข้าสั่งคนพวกนั้นให้เฝ้าอยู่นอกจวน เจ้ายังไม่หายโกรธอีกหรือ”

“ข้าไม่ได้โกรธฝ่าบาท”จื่อฟางตอบ อึดอัดอยู่บ้างเพราะรู้ดีว่าการสนทนาครั้งนี้เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงก็นั่งฟังอยู่ ทำให้เขารู้สึกแปลกพิกล เด็กหนุ่มมองมือเรียวขาวของนางกำนัลที่รินน้ำชาให้อย่างอ่อนช้อย ได้กลิ่นชาก็นึกไปถึงไป๋ผูอวี้ ในใจภาวนาให้ฮ่องเต้รีบๆพูดธุระมาเสีย เขาจะได้รีบกลับ จื่อฟางยกจอกชามากุมในมือ รับรู้ว่ากำลังถูกฮ่องเต้พินิจมอง เสียงกู่ฉินยังคงดังคลอเบา ๆ   

เสิ่นจิ้งเฟยในร่างของเจาเฟิงดีดกู่ฉินระหว่างที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่ได้รับรู้ข่าวสารจากภายนอกมาระยะหนึ่งแล้วจึงไม่รู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นบ้าง แต่ฟังจากบทสนทนาพวกนี้หมายความว่าฮ่องเต้ส่งคนไปเฝ้าตัวเขาที่จวนอย่างนั้นหรือ?ไร้สาระเหลือเกิน นี่หรือคนเป็นฮ่องเต้ เอาเวลามาใส่ใจเรื่องไร้สาระอยู่ได้ ไม่แปลกหากหลิวอ๋องจะก่อกบฏสำเร็จ เสิ่นจิ้งเฟยปวดหัวจี๊ดๆ พยายามนึกให้ออกว่าหลิวอ๋องมีแผนก่อกบฏอย่างไร นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เรื่องต่อจากนี้คงแล้วแต่ลิขิตสวรรค์ก็แล้วกัน ขึ้นอยู่ว่าจื่อฟางจะได้รับความทรงจำของเขาไปรึเปล่า เสิ่นจิ้งเฟยขนลุกซู่ไปหมดเมื่อเห็นสายตาของฮ่องเต้ยามที่มองร่างที่เคยเป็นของตนราวกับอยากฉีกกระชากเสื้อผ้าออก ไอ้คนโรคจิต

“ว่าแต่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าสองคนคุยเรื่องใดกันอยู่รึ ท่าทางถูกคอ ข้าเห็นแล้วไม่อยากเข้ามาขัดจังหวะ”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยถาม มองสลับไปมาระหว่างชายงามทั้งสอง แต่ทั้งคู่กลับจ้องมองเขาด้วยสายตาที่คล้ายกัน จนทำให้เจี่ยผิงรู้สึกคันยุบยิบตามเนื้อตามตัวชอบกลจึงเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเข้าสอบระดับอำเภอ เป็นอย่างไร พอทำได้หรือไม่”ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใส่ใจ ไม่แปลกใจนักที่รู้ว่าบุตรชายเสนาบดีเสิ่นเข้าสอบด้วย เขาเองก็อยากรู้ว่าคุณชายอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะอดทนได้อีกเท่าไหร่   

“ข้าทำได้ค่อนข้างดี”จื่อฟางตอบไปตามที่คิด

“ไยสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี หรือเจ้าไม่พอใจที่ข้าเรียกเจาเฟิงมาบรรเลงกู่ฉินให้เจ้าฟัง”เจี่ยผิงกล่าวหยอกล้อ ปรายตามองเจาเฟิงครู่หนึ่ง บุรุษงามยังคงจดจ่ออยู่กับการดีดกู่ฉิน แต่เขารู้ว่าฝ่ายนั้นฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ 

“เปล่า ข้าแค่อ่อนเพลียจากการสอบเท่านั้น ฝ่าบาทไม่ต้องใส่ใจ”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงหลุบสายตามองใบชาในถ้วยที่มีควันอ่อน ๆลอยกรุน แววตาเป็นระลอกคลื่นเดาไม่ออก “ข้าเห็นว่าพักนี้เจ้าแวะเวียนไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยครั้ง เจ้าคงชื่นชอบการดื่มชามากกว่าที่ข้าคิดไว้ ชานี้เป็นชาอู่หลงชั้นดี คิดว่าเจ้าคงถูกใจ”จื่อฟางใจหล่นวูบเมื่อได้ยินฮ่องเต้กล่าวถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อ   
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 31-12-2018 03:04:07
 

บุรุษหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มจาง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋เป็นพิเศษ น่าแปลกนัก ข้าคิดว่าเจ้าไม่ชอบเขาเสียอีก ไหนจะคุณหนูฉิน นางไม่อยู่ในสายตาของเจ้าแล้วหรือเสิ่นจิ้งเฟย”

เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงใจกระตุกวูบ เขารู้จักฮ่องเต้เจี่ยผิงดีพอจนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยถามธรรมดา ทั้งยังเน้นคำว่าสนิทสนมเป็นพิเศษ ว่าแต่เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่ สนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋?ไป๋ผูอวี้ผู้นั้นน่ะรึ จื่อฟางไปตีสนิทกับเจ้านั่นได้อย่างไร ชายงามเผลอดีดกู่ฉินผิดสายจนเสียงเพี้ยนแต่รีบกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน เขาเงยมองฉากเบื้องหน้า พบว่าฮ่องเต้นั่งดื่มชาด้วยท่วงท่าสบายใจ ส่วนจื่อฟางยังคงอยู่ในท่าทีปกติไม่ได้แตกตื่นแต่อย่างใด เสิ่นจิ้งเฟยเบาใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่คลายใจเรื่องของไป๋ผูอวี้ เหตุใดต้องไปสนิทสนมกับคนแซ่ไป๋ด้วย แค่คิดเขาก็คันคะเยอไปทั้งร่าง

“ข้ายอมรับว่าเคยไม่ชอบเขา แต่มาคิดดูแล้ว ไป๋ผูอวี้ก็ไม่ได้มีพิษสงใด ข้าเพียงใช้ความเป็นมิตรให้เป็นประโยชน์เท่านั้น”จื่อฟางตอบพยายามให้เหตุผลทั้งกับตัวเองและฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มเหลือบมองร่างบุรุษงามที่ยังคงสนใจเครื่องดนตรี แต่เขามั่นใจว่าไม่ได้หูฟาดไปกับโน้ตเพี้ยนๆเมื่อครู่แน่

“อะแฮ่ม ส่วนเรื่องคุณหนูฉิน…ข้าบังคับใจนางไม่ได้ หากสวรรค์อยากให้ข้าคู่กับนาง ก็คงทำไปนานแล้ว”จื่อฟางแสร้งเอ่ยด้วยเสียงท้อใจประหนึ่งคนที่ปล่อยวางเรื่องความรัก   

เจี่ยผิงพยักหน้าช้า ๆ “ข้าได้ยินว่าคุณหนูฉินชอบพอกับไป๋ผูอวี้ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”

จื่อฟางขบฟัน รู้ดีว่าฮ่องเต้จงใจพูดถึง เขาสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองเจือจางของร่างนี้ก่อตัวอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ เสิ่นจิ้งเฟยคงมีความรู้สึกดี ๆให้คุณหนูฉินจริง ๆ เด็กหนุ่มกุมถ้วยชาในมือเมื่อได้ยินเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเล่นโน้ตเพี้ยนอีกรอบ เจ้านั่นเป็นอะไรไปแล้ว

“ผู้คนเล่าลือกันเช่นนั้น”จื่อฟางตอบ ฮ่องเต้หนุ่มขยับตัวดื่มชาอีกอึกหนึ่งก่อนลุกเดินเอามือไพล่หลัง สายตาทอดมองไปยังสระบัวด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์

“ตอนที่เจ้าไปเยี่ยมสกุลโหยว ข้าได้ยินว่าเจ้าได้พบสหายเก่าแก่ผู้หนึ่ง”เจี่ยผิงเอ่ยถามถึงบุคคลหนึ่งที่เขาได้รับรายงานจากองครักษ์ ฟู่เทียนสือ ใช่ว่าเจี่ยผิงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

จื่อฟางหวังว่าฮ่องเต้จะไม่ได้คิดร้ายใดกับฟู่เทียนสือ จะให้ฮ่องเต้รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเสิ่นจิ้งเฟยชื่นชอบคนผู้นั้น

“เขาเป็นสหายวัยเด็กของข้า”

“เจ้าของกระต่ายฮ่าวฮ่าวตัวนั้นสินะ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังจำกระต่ายตัวนั้นได้ แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่มีทางลืมในเมื่อเขาเป็นคนทำให้เจ้ากระต่ายนั่นตายเอง ในตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้เสิ่นจิ้งเฟยยึดติดกับผู้ใดนอกจากตัวเขา จื่อฟางลอบแปลกใจไม่คิดว่าฮ่องเต้จะยังจำได้ สายกู่ฉินถูกดีดเพี้ยนอีกรอบ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเผลอขมวดคิ้วมุ่นแต่เมื่อรู้ตัวก็รีบคลาย กระต่ายฮ่าวฮ่าว คุ้นนัก สหายเก่าแก่ที่สองคนนั่นพูดถึงเป็นเรื่องใดกัน

นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวข้ามิใช่หรือ ไยถึงจำไม่ได้!เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกอึดอัดกับความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ เจ้าจื่อฟางนั่นได้รับความทรงจำของเขาไปมากเท่าใดกัน เรื่องของเขาถูกคนแปลกหน้ารับรู้หมดเลยหรือ

“ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องนี้หรือ”จื่อฟางเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตอีกเพราะเขารับรู้ได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิงกำลังตัวสั่นน้อย ๆ สีหน้าที่เคยเย็นชาเริ่มเคร่งเครียด หากพูดต่อมีหวังได้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นแน่

“ข้าย่อมมีธุระสำคัญกับเจ้า”เจี่ยผิงกล่าว ก่อนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเจาเฟิง

“เจ้ากลับไปก่อน คืนนี้ข้าจะแวะไปคุยเล่นกับเจ้า”เจี่ยผิงมองร่างบางที่เกร็งขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้สึกพอใจที่คำพูดของตนมีผลต่ออีกฝ่าย เจาเฟิงลุกยืนอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมเย้ายวนลอยอวลอยู่ใกล้ ๆ บุรุษหนุ่มยื่นมือออกไปแตะใบหน้างามอย่างลืมตัว 

เพี๊ยะ!

ฝามือเรียวฟาดลงบนมือของฮ่องเต้ ทำเอาจื่อฟางสะดุ้งสุดตัว องครักษ์ชุดดำโผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ เงาสายหนึ่งพุ่งรวบคอบอบบางของเจาเฟิงด้วยมือหนาเพียงแค่มือเดียวแต่ชายงามเอาแต่ใช้สายตาเย็นชามองฮ่องเต้ ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำจากความโกรธ ฮ่องเต้เจี่ยผิงตวัดสายตาใส่องครักษ์ปราดเดียว ชายชุดดำก็ล่าถอยยอมปล่อยมือจากลำคอของชายงามโดยไม่พูดสิ่งใด 

“เจ้าไปได้แล้ว”เจี่ยผิงยกยิ้ม ร่างนั้นหมุนตัวจากไปโดยไม่หันมอง จื่อฟางผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ รับรู้ว่ากุมจอกชาไว้แน่น เขาคลายมือออก สบตากับบุรุษเบื้องหน้า ร่างของชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เขาเดาไม่ออก นัยน์ตาแฝงแววบางอย่างที่ทำให้จื่อฟางหวาดหวั่น เกิดความเงียบอีกระลอก เขากับเจ้าแผ่นดินแลกเปลี่ยนสายตากันอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มขบฟันสู้สายตาลึกลับคู่นั้นอย่างไม่ยอมแพ้

“เจ้าทำให้ข้าแปลกใจ”ฮ่องเต้หนุ่มหัวเราะเบา ๆระหว่างที่ก้าวเข้ามาย่นระยะห่าง “เจ้าไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็แสดงได้ดีเยี่ยมทีเดียว”

ว่าอะไรนะ

จื่อฟางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของฮ่องเต้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ความคิดตีกันวุ่นอยู่ในหัว 

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ข้าพอใจมาก”เจี่ยผิงพินิจมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เปลือกนอกคือเสิ่นจิ้งเฟย แต่แววตากระจ่างใสกลับมีผู้อื่นอยู่ คำพูดของนักพรตหลินดังก้องอยู่ในหัว ‘ทั้งท่านและเด็กคนนั้นไม่สามารถหลีกหนีโชคชะตาได้พ้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดหรือเป็นผู้ใดก็ตาม อีกไม่นานจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น วิญญาณของเขาจะมิใช่ของเขา กายเนื้อเป็นเพียงกายเนื้อ’

“ท่านพูดเรื่องใด ข้าไม่เข้าใจ”จื่อฟางเอ่ยขึ้นเมื่อควานหาเสียงเจอ คนผู้นี้พูดเหมือนรู้ว่าเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย ความคิดนี้ทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อย

ฮ่องเต้เจี่ยผิงหัวเราะในลำคอ “ไม่เอาน่า อย่าตีหน้าซื่อ เจ้ามิใช่เสิ่นจิ้งเฟย แต่เป็นผู้อื่นต่างหากที่อยู่ในร่างนี้”กล่าวจบก็ยื่นมือไปแตะบริเวณหน้าอกซ้ายของเสิ่นจิ้งเฟย

“บอกชื่อของเจ้ามา...”

“ท่านกล่าวเหลวไหล”จื่อฟางยังไม่ยอมแพ้ เขาไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้ เหมือนกับว่ารอบตัวกดดันเสียจนหายใจไม่ออก

“ข้าเปล่า”เจี่ยผิงพอใจที่ได้เห็นปฏิกิริยาจากร่างตรงหน้า ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใครก็ตามแต่ก็ทำให้เขาสนุกมากทีเดียว แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยังไม่ลดละ เหมือนกระต่ายฮ่าวฮ่าวตัวนั้น

“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย ข้าถึงยอมไว้ใจให้เจ้าทำงานสืบเรื่องหลิวอ๋อง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องตอบตกลงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น”

จื่อฟางนิ่งงันไปเพราะอับจนคำพูด เรื่องที่เขาสงสัยมาตลอดได้รับคำตอบแล้ว ที่ผ่านมาเขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้ถึงยอมไว้ใจให้เขาทำงานสืบเรื่องหลิวอ๋องทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าร่างนี้เคยร่วมมือก่อกบฏ ถ้าหากเป็นจื่อฟาง เขาไม่มีทางทรยศหักหลังอยู่แล้ว

“ฝ่าบาท...”อยู่ๆจื่อฟางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“บอกชื่อของเจ้ามา ข้าจะไม่เอ่ยถามเป็นครั้งที่สามหรอกนะ” ถึงแม้อีกฝ่ายมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา แต่จื่อฟางรู้ดีว่าเป็นเพียงเปลือกนอก 

“ข้าชื่อจื่อฟาง”เด็กหนุ่มพึมพำตอบ

“จื่อฟาง…”ฮ่องเต้พึมพำ ดวงตาเป็นประกายวูบหนึ่ง “เจ้าคงสงสัยว่าเพราะเหตุใดข้าถึงรู้ว่าเจ้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย”เด็กหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ

“เจ้าเชื่อในโชคชะตาหรือไม่”ชายหนุ่มเอ่ยถาม 

“ข้าไม่เชื่อ”จื่อฟางตอบไปตามตรง เจี่ยผิงก้มมองด้วยดวงตาดำลึกแน่วแน่ “แต่ข้าเชื่อ สวรรค์เข้าข้างข้า เจ้าไม่เห็นหรือ ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ที่นี่”ชายหนุ่มละมือจากบริเวณอกซ้าย เลื่อนมาสัมผัสใบหน้าของจื่อฟางเบาๆ ขนอ่อนที่ต้นคอลุกวูบวาบกับสัมผัสนั้น

“กระทั่งวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังอยู่ใกล้ตัวข้า เจาเฟิงตัวจริงไม่มีทางเล่นกู่ฉินได้ลื่นหูเพียงนี้”

คลื่นความตระหนกพุ่งชนจื่อฟางอีกรอบ ฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้หรือ ชายคนนี้รู้ได้อย่างไร เจี่ยผิงหัวเราะเบา ๆราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา

“คำทำนายของท่านนักพรต ข้าที่เป็นโอรสสวรรค์ไม่มีทางเชื่อคำพูดล่องลอยโดยไม่ไตร่ตรอง แม้กระทั่งกับผู้อาวุโสก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นสอดคล้องกับคำทำนาย เมื่อหลายเดือนก่อน เจาเฟิงโขกศีรษะฆ่าตัวตาย เขาสิ้นลมไปหลายนาทีแต่อยู่ๆก็ฟื้นขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ ข้ามาเยี่ยมตอนที่เจาเฟิงไม่ได้สติ เขาเพ้อถึงเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่มีเพียงข้าและเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้นที่ล่วงรู้ ทีแรกข้ายังไม่แน่ใจนัก จึงตัดสินใจไปตรวจดูเสิ่นจิ้งเฟยที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ...ถึงได้รู้ว่าร่างนั้นทำตัวประหลาดผิดแปลกไปจากทุกที ยิ่งได้พูดคุยก็ยิ่งแน่ชัด”สายตาของฮ่องเต้กวาดมองร่างของจื่อฟาง เด็กหนุ่มฟังด้วยใจที่เต้นระส่ำ จดจำเรื่องราวในวันนั้นได้เป็นอย่างดี

“เจ้าเป็นบุตรชายสกุลไหน”

“ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา มาจากสถานที่ไกลมากแห่งหนึ่ง”

“เท่านี้?”เจี่ยผิงเลิกคิ้ว สถานที่ไกลมากแห่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ

“ใช่ เท่านี้ ข้าไม่ใช่คนนอกด่าน หรือชนเผ่าไหน สถานที่ที่ข้าจากมา...จะว่าอย่างไรดีต่างจากที่นี่ลิบลับ”จื่อฟางเหม่อมองออกไปมองสระบัว คิดถึงโลกที่เคยอยู่ แม้จะไม่สะดวกสบายเท่าจวนสกุลเสิ่น แต่เขาก็หลับได้อย่างสบายใจ นึกถึงร่างที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนแล้วก็ปวดใจ จื่อฟางคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อกับแม่ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เจี่ยผิงเฝ้ามองอีกฝ่ายจมอยู่ในห้วงความคิด สีหน้าเศร้าหมองปรากฏอย่างไม่ปิดบัง เขามองเห็นความโดดเดี่ยวจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ฮ่องเต้นั่งลงข้างกาย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“จื่อฟาง หากเจ้าอยู่กับข้า เจ้าจะไม่โดดเดี่ยว”ถ้าหากได้จื่อฟางมาอยู่ใกล้ตัว เท่านี้เสิ่นจิ้งเฟยก็ตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

“ฝ่าบาท”เด็กหนุ่มชะงักเมื่อมืออุ่นของฮ่องเต้เกลี่ยริมฝีปากบางอย่างเบามือ เขาขมวดคิ้ว ผลักมือของอีกฝ่ายออกแต่ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือทั้งสองข้างของร่างผอมบางไว้ได้ อีกมือคว้าหลังคอของเด็กหนุ่ม ตามด้วยริมฝีปากของร่างใหญ่ที่กดจูบลงมา จื่อฟางดิ้นสุดแรง แต่ก็หนีไม่พ้น ถูกริมฝีปากของฮ่องเต้ขบกัดรุนแรงราวกับสัตว์ป่า ข้อมือถูกบีบจนเจ็บ เขาส่งเสียงร้องได้แต่เม้มริมฝีปากไม่ให้ปลายลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามา แต่ฮ่องเต้ดูเหมือนจะพอใจแค่การขบจูบ เจี่ยผิงรีบปล่อยร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเมื่อได้สติ 

จื่อฟางลุกพรวดจากที่นั่ง ลูบข้อมือที่เป็นรอยแดง อกสะท้อนขึ้นลง อารมณ์โกรธพลุ่งพล่านอยู่ในอก เขาเข้าใจความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยแล้ว เขาตวัดสายตามองฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการสงบ แววตาคล้ายกับกล่าวขอโทษแต่จื่อฟางคงตาฝาดไปเอง
 
“ท่านแค่อยากครอบครองเสิ่นจิ้งเฟย เขาไม่ใช่สิ่งของสวยงามที่ท่านอยากได้ ฝ่าบาท หากท่านทำเช่นนี้ ท่านจะไม่มีวันได้ความรักจากเขา ท่านมีความสุขหรือ”จื่อฟางขึ้นเสียงอย่างลืมตัว ความรู้สึกขุ่นเคืองปะทุขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆพยายามหักห้ามอารมณ์ของตัวเอง

เจี่ยผิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขัดกับแววตาแข็งกร้าว “ข้าอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้ ข้าต้องการเสิ่นจิ้งเฟย ต่อให้เจ้าเป็นคนแปลกหน้าอยู่ในร่างของเขา ข้าหาได้สนไม่ ข้าต้องการร่างกายของเขา ต้องการจิตวิญญาณของเขา เท่านี้ก็พอแล้ว เรื่องความรักเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าไม่ต้องการ”

จื่อฟางไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับฮ่องเต้  เขาใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปาก ค้อมตัวให้ฮ่องเต้เล็กน้อย

“ข้าขอตัว”เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับ เดินไม่ทันพ้นศาลา เสียงของฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ดังไล่หลังมา 

“จื่อฟาง จำเอาไว้ว่าเจ้าสาบานกับเราไว้อย่างไร เราคงไม่ต้องเอ่ยเตือนเจ้ากระมังว่าร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ของเจ้า”ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ

“ร่างกายของเขา ไม่ใช่ของท่านเช่นกัน”จื่อฟางตอบกลับโดยไม่หันมอง รีบก้าวออกมาจากศาลาลมทันที เจ้าแผ่นดินถอนหายใจ ไม่คิดว่าการพบเจอกับชายงามทั้งสองจะลงเอยเช่นนี้ ทั้งเสิ่นจิ้งเฟยและจื่อฟางรับมือยากด้วยกันทั้งคู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรชะตาของทั้งสองก็อยู่ในกำมือของเขา ไม่มีผู้ใดหนีพ้นกงล้อของโชคชะตา เจี่ยผิงลุกจากตั่งไม้ ทอดสายตามองสระบัว นึกไปถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเสิ่นจิ้งเฟย

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าผิดคำพูดต่อเจ้า”เจี่ยผิงนึกไปถึงคำพูดที่เคยบอกฝ่ายนั้นว่าจะไม่ใช้กำลังบังคับ แต่เมื่อครู่เขากลับปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ชายหนุ่มก้มมองฝามือทั้งสองข้างของตัวเอง ในใจครุ่นคิดไปถึงคำพูดของจื่อฟาง ความรักหรือ  แม้แต่ฮองเฮาก็ให้เขาไม่ได้ เขาไม่ได้รักนาง นางไม่ได้รักเขา เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีความรัก เขาไม่ต้องการ



~~



จื่อฟางก้าวเร็ว ๆตามทางเดิน กำมืออยู่ในแขนเสื้อ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืด เป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน เริ่มจากการสอบ ความจริงของท่านปู่ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง ฮ่องเต้เจี่ยผิง คิดแล้วเขาก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมา ร่างบางเดินลากขาออกมาจากสวน พบกับกงกงคนเดิมยืนรออยู่ กงกงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่นำทางจื่อฟางออกมาที่ประตูวังหลวง รถม้าของสกุลเสิ่นจอดรออยู่ห่างออกไปไม่ไกล ร่างสูงใหญ่ของหยางชวีปรากฏทันที ถึงสีหน้าของหยางชวีจะไม่ปรากฏอารมณ์ใด แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง ผู้ติดตามสบตาคุณชายเสิ่น สายตาสะดุดเข้ากับริมฝีปากแดงเรื่อทันที เกิดอะไรขึ้น?ฮ่องเต้เจี่ยผิงแตะต้องคุณชายอย่างนั้นหรือ ความโกรธไม่มีทีมาปะทุขึ้นทันที หยางชวีก้าวเข้าไปหาเสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชาย...”

“ไม่มีอะไรหรอก รีบกลับจวนดีกว่า”จื่อฟางไม่อยากพูดถึง รู้สึกว่าริมฝีปากยังแสบ ๆร้อนๆจากรอยขบกัด เขาตีหน้าเรียบนิ่งเมื่อเห็นสายตาของหยางชวีจ้องมองริมฝีปากของเขาไม่วางตา เด็กหนุ่มรีบผลุบหายเข้าไปในรถม้าหยางชวีเข้ามานั่งโดยไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด จื่อฟางเอนพิงผนังรถม้า หลับตาไม่รับรู้สิ่งใด ในระหว่างที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ   

“เจ้าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อเด็ดขาด”จื่อฟางสั่งเสียงเบา

“...”เกิดความเงียบอยู่นาน จนเขาลืมตามอง พบว่าหยางชวียังคงมองอยู่ สีหน้าและแววตาไม่ปรากฏอารมณ์ใด ทำให้นึกไปถึงวันแรกที่เจออีกฝ่าย

“คุณชายเสิ่น...ข้าน้อยขออภัย”ผู้ติดตามพึมพำ ชั่วพริบตาร่างกำยำนั้นก็ขยับเข้าประชิดพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดริมฝีปากของเขาเบา ๆ สายตาของหยางชวีหลุบต่ำ จื่อฟางกลั้นหายใจ กระพริบตาปริบ ๆ เจ้านี่...เขายกยิ้ม  ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างที่ต้องการ จนกระทั่งเริ่มเจ็บปากจึงแตะข้อมือของอีกคนเบาๆ

“ข้าว่าคงสะอาดแล้วกระมัง”

“คุณชาย ข้าน้อยขออภัยจริง ๆที่ปกป้องคุณชายไม่ได้”หยางชวีมองผ้าเช็ดหน้าในมือ

“ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสา”จะปกป้องอะไรกันเล่า

“ถ้าหากว่าคนผู้นั้นต้องการมากกว่านี้ ท่านจะยังไม่ถือสาอีกหรือ!”หยางชวีเผลอตัวขึ้นเสียงใส่คุณชายเป็นครั้งแรก

“เจ้าจะเสียงดังทำไม”จื่อฟางดุ ขมวดคิ้วใส่ผู้ติดตามที่ทำตัวผิดแปลกไปจากทุกที

“คุณชายใจเย็นอยู่ได้อย่างไร ถ้าหากฮ่องเต้...”หยางชวีหยุดพูด พ่นลมหายใจออกมา เขาไม่เข้าใจเช่นกัน แค่เห็นคุณชายเสิ่นออกมาจากประตูวังด้วยริมฝีปากแดงเรื่อแบบนั้น เขาก็โมโหขึ้นมาดื้อ ๆ

“ใจเย็นน่าหยางชวี เขาไม่บังคับข้าหรอก”ถึงแม้เรื่องวันนี้จะสวนทางกับคำพูดของเขาก็เถอะ ฮ่องเต้เจี่ยผิงดูจะเสียความควบคุมไปชั่วขณะ ฝ่าบาทไม่ได้มีความรู้สึกใดให้เขา ก็แค่ความต้องการอยากครอบครองเสิ่นจิ้งเฟย เขาถอนหายใจ

“เขาไม่ลงมือเร็ว ๆนี้หรอก”จื่อฟางรู้สึกเช่นนั้น ผู้ติดตามยังคงมองหน้าเขาอยู่

“หรือคุณชายชอบฝ่าบาท”

เด็กหนุ่มตวัดสายตามอง “เจ้าพูดเหลวไหล ข้าไม่ได้ชอบเขา”เพียงเข้าใจส่วนหนึ่ง เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยไม่รู้ว่าชาตินี้ฮ่องเต้จะเข้าใจหรือไม่ เขาหลุดอยู่ในห้วงความคิดอยู่นานสองนาน เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง รถม้าผ่านถนนซอกซอยคุ้นตา เขาคิดถึงไป๋ผูอวี้   

“แวะที่คฤหาสน์สกุลไป๋”จื่อฟางร้องบอกข้ารับใช้นอกรถ เคาะผนังรถม้าบอกเบา ๆ

“คุณชาย นายท่านรออยู่ที่จวนขอรับ”หยางชวีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ 

“ข้าแวะไปครู่เดียวเท่านั้น”ผู้ติดตามไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ผ่านไปไม่นานนัก รถม้าก็แล่นมาจอดที่หน้าคฤหาสน์สกุลไป๋ จื่อฟางลงจากรถม้าได้ไม่นาน เงาร่างของเว่ยหลงก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู อีกฝ่ายดูไม่แปลกใจนักที่เห็นเขา มีเพียงสีหน้าเบื่อหน่ายปรากฏอยู่ 

“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้ เขาอยู่ไหม”เขาถามพอเป็นพิธี

“ตามข้ามา”ผู้ติดตามร่างกำยำถอนหายใจ ปรายตามองหยางชวีที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ก่อนหมุนตัวเดินนำไปยังทางเดินที่มุ่งหน้าสู่เขตเรือนของไป๋ผูอวี้ สายลมอ่อน ๆพัดต้องร่าง เสียงขลุ่ยดังมาจากบริเวณศาลานั่งเล่นที่ล้อมไปด้วยต้นไผ่เงินเรียงรายเป็นแถว ร่างสูงของไป๋ผูอวี้สวมชุดสีเทาอ่อนเรียบง่าย เส้นผมปล่อยยาวสยาย ร่างนั้นหลับตาเป่าขลุ่ยด้วยท่วงท่าธรรมชาติ บทเพลงธรรมดาแต่ฟังแล้วชวนให้ผ่อนคลาย จื่อฟางยืนฟังเงียบ ๆ เว่ยหลงและหยางชวีปลีกตัวออกไปได้สักพักแล้ว ต้องบอกว่าเว่ยหลงลากหยางชวีออกไปจึงจะถูก

เสียงขลุ่ยหยุดลง ไป๋ผูอวี้ลืมตามองคุณชายเสิ่น ใช้สายตากวาดมองทั่วทั้งร่างเพื่อเก็บรายละเอียด ไม่ได้เจอคุณชายท่านนี้สักพักเพราะเรื่องพลอดรักยามวิกาลคราวก่อน เสิ่นจิ้งเฟยมีสีหน้าเหนื่อยอ่อน

“ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเจ้าเข้าพบ”ไป๋ผูอวี้เอ่ย วางขลุ่ยลงบนโต๊ะ ก่อนก้าวเดินไปหาชายรูปงามที่ยืนมองเขาทุกอย่างก้าว เขามองเห็นริมฝีปากที่บวมแดงกว่าปกติ เมื่อเข้าไปใกล้พอจึงเห็นรอยขบกัด เขาเพ่งมองจนเสิ่นจิ้งเฟยเลียริมฝีปาก แววตากระจ่างใสสบกับเขา

“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้า”

“อืม ข้าบังเอิญเจอชายงามของเขาเลยได้คุยกันนิดหน่อย”จื่อฟางเล่า มองหน้าไป๋ผูอวี้ที่อยู่ใกล้จนได้กลิ่นชาอ่อนๆ

“เขาจูบเจ้า”ไป๋ผูอวี้เอ่ย สายตาจับจ้องริมฝีปากของเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจ ยกมือลูบโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว คว้าข้อมือของเขาไปดู รอยแดงปรากฏชัดเจนบนข้อมือขาวผ่องของเสิ่นจิ้งเฟย ไป๋ผูอวี้ลูบรอยแดงบนข้อมือของร่างบางอย่างไม่ชอบใจ

“วันนี้ข้าเจอแต่เรื่องยุ่ง”คุณชายเสิ่นเอนตัวพิงแผ่นอกของเขา ไป๋ผูอวี้จึงโอบกอดอีกฝ่ายหลวม ๆ คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อได้กลิ่นอ่อน ๆของคนไร้ยางอายผู้นั้นติดเสื้อผ้าของเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วยก็เผลอออกแรงกอดร่างผอมแห้งโดยไม่รู้ตัว เสิ่นจิ้งเฟยส่งเสียงร้องเบา ๆ 

“เจ้าจะฆ่าข้ารึ”คุณชายเสิ่นผละออกมาเมื่อชายหนุ่มคลายอ้อมกอด ไป๋ผูอวี้จับใบหน้าของอีกฝ่ายพลิกไปมาเพื่อหาความผิดปกติ เมื่อไม่พบก็วกกลับมาจับจ้องริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก 

“ข้าจะทายาให้คุณชายก็แล้วกัน”ไม่ทันได้บอกกล่าว ไป๋ผูอวี้ก็ออกแรงอุ้มจื่อฟางพาดบ่าอย่างง่ายดายทันที

“ไป๋ผูอวี้เจ้าทำอะไร ข้าเดินเองได้”เขาส่งเสียงอย่างตื่นตระหนก โลกแกว่งไปครู่หนึ่ง เขามองเห็นบ่าวรับใช้พากันหลบหน้าหลบตาอย่างรวดเร็ว คนพวกนี้ก็รู้หน้าที่ดีเหมือนกัน

“ทายาให้เจ้าอย่างไรล่ะ”จื่อฟางไม่ได้เอ่ยแย้ง ปล่อยให้ไป๋ผูอวี้พาเขาไปในเรือนนอน ชายหนุ่มปล่อยเขาลง ก่อนที่จะไปหยิบกระปุกยามาอย่างรวดเร็ว จื่อฟางนั่งลงอย่างหมิ่นเหม่บนเตียง

“ยื่นมือออกมา”ไป๋ผูอวี้สั่ง คุณชายเสิ่นทำคามอย่างว่าง่าย เขาเปิดกระปุก กลิ่นหอมอ่อนๆแตะจมูก เขาป้ายยาลงบริเวณรอยแดงตรงข้อมือ ใช้มือเกลี่ยอย่างเบามือจนแล้วเสร็จ เสิ่นจิ้งเฟยชะงักเหมือนเพิ่งนึกได้ ร่างบางเอี้ยวตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ใช้มือจับเส้นผมไปอีกข้างจนลำคอขาว ๆปรากฏให้เห็น แต่รอยแดงช้ำดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างดี ไป๋ผูอวี้พ่นลมหายใจออกมา ก่อนทายาให้

“คิดว่าเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วจะแตะต้องผู้อื่นได้ตามใจชอบหรือ...”ไป๋ผูอวี้ทายาให้เสร็จก็โน้มตัวมาประกบจูบที่ริมฝีปาก จื่อฟางหลับตาปล่อยให้อีกฝ่ายขบเม้มช้า ๆ เผยอริมฝีปากรับปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา จูบเม้มอยู่นานจนจื่อฟางรู้สึกเจ็บแปลบๆ เพราะฟันของอีกฝ่ายขบกัดเบา ๆ จื่อฟางกุมใบหน้าของไป๋ผูอวี้ก่อนบดจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอก่อนค่อย ๆถอนริมฝีปากออกมา

“สอบเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็พอทำได้”จื่อฟางตอบ อีกหลายวันกว่าผลสอบจะออก

“อืม”ไป๋ผูอวี้ก้มหน้ามองใบหน้าหมดจดของร่างตรงหน้าแล้วรู้สึกอยากขบกัดอีกรอบ แต่ริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยบวมแดงจนเขารังแกไม่ลง

“เจ้าควรกลับจวนได้แล้ว เสนาบดีเสิ่นคงรอเจ้าอยู่”ชายหนุ่มเอ่ย ถอนหายใจเบา ๆ

“ข้าคิดถึงเจ้า”จื่อฟางพึมพำ เขาตั้งใจแวะมาเติมพลังเท่านั้น ไป๋ผูอวี้ยื่นมือมาแตะแก้มของเขาเบา ๆ

“หากเจ้าสอบได้ ข้ามีของจะให้”จื่อฟางเลิกคิ้ว แย้มรอยยิ้มซุกซน

“ถ้าหากว่าข้าสอบไม่ได้เล่า”

“ข้ามีบทลงโทษ”ไป๋ผูอวี้ยัดกระปุกยาใส่มือของเสิ่นจิ้งเฟย ก่อนเดินนำอีกฝ่ายออกมาจากเรือนนอน เมื่อออกมาด้านนอกก็พบว่าหยางชวีอยู่ที่ลานบานกำลังประมือกับเว่ยหลงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย ต่างจากเว่ยหลงที่สบถพึมพำ หน้านิ่วคิ้วขมวด การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ก่อให้เกิดลมวูบใหญ่ เงาร่างของหยางชวีหยุดตรงหน้าจื่อฟาง

“คุณชายเสิ่น กลับกันเถอะขอรับ”จื่อฟางพยักหน้าหันมองไป๋ผูอวี้อีกครั้ง

“ระวังตัวด้วย”เขาพึมพำบอก

“เจ้าก็เช่นกัน”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสุภาพ รู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องในใจถึงได้แวะมาหาเขา ฮ่องเต้เจี่ยผิง…
 

   -------------------------------------------------------
   มาอัพแล้วว >_< จุดพลุฉลอง สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ
   ตอนนี้ก็เฉลยไปอีกตอน เจอกันตอนหน้าค่ะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 31-12-2018 04:31:13
เย้ มาต่อแล้ววว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 31-12-2018 06:42:23
กลับมาแล้ววววว
เย้เย้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-12-2018 07:01:02
HAPPY NEW YEAR 2019  :mew1:
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒   :mew1:

ดีใจไรท์มา   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ที่แท้ชายงามเจาฟาง ก็คือคุณชายเสิ่นตัวจริง  :z3:
ฮ่องเต้ตัวร้าย รู้หมดแล้วด้วยว่าเจาฟางคือเสิ่น
และรู้ว่าคุณชายเสิ่นไม่ใช่ตัวจริง
แถมบังคับจนจื่อฟางต้องบอกชื่อไป   :z3: :z3: :z3:
ไม่พอเท่านั้น ยังบังคับจูบจื่อฟางอีก  o22 :z6: :serius2:
ไป๋ผูอวี้จูบลบรอยมากๆเลย  :impress2:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-12-2018 08:09:37
ฮองเต้ น่ากลัวอ่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 31-12-2018 08:48:19
 :o12: โฮววววว ผู้แต่งมาต่อแล้ว ขอบคุณนะคะ ฮืออ

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับของขวัญปีใหม่นะคะ ///

ฮ่องเต้นี่ร้ายกาจจริงๆ  :katai1:  +1 ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 31-12-2018 13:13:26
เย่ มาต่อแล้ว hny นะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 31-12-2018 15:17:13
ฮ่องเต้น่ากลัวจริง จื่อฟางจะหนีได้หรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 31-12-2018 15:40:19
สวัสดีปีใหม่นะคะคนเขียน
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ วันนี้รู้สึกว่าคลายปมแล้วแต่ยังคาใจค่ะ โอ้ยสงสารทั้งสองคนนั่นแหละ ซวยจริง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 31-12-2018 16:14:24
มายาวจุใจมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 31-12-2018 17:20:22
ฮือ เป็นของขวัญพอดีเลย คิดถึงมาก ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 31-12-2018 21:24:15
สวัสดีปีใหม่ค่า

ท่านพ่อมีคนใหม่จริงๆด้วย ฮือออ ;w; ทำให้นึกถึงกรณีของน้องโหยวเหมี่ยว จากปราชญ์กู้บัลลังก์ ถ้าจื่อฟางยังไม่ได้ถูกตั้งเป็นผู้สืบทอด หนีไปอยู่กับไป๋ผูอวี๋เลยดีไหม สงสารน้อง ยิ่งทำให้เข้าใจความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย TT

ตอนนี้ดีที่ท้ายๆตอนมีความหวานมาปลอบประโลม  :hao5:

ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปนะคะ~
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 31-12-2018 21:57:59
กลับมาต่อแล้ว ดีใจจัง แถมเฉลยเรื่องราวบางอย่าง แต่ก็ยังเดาอะไรไม่ได้อยู่ดี พ่อพระเอกของเราออกมานิดเดียวแต่ดีมาก หลงเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 31-12-2018 22:06:02
Happy new year  2019. ฮ่องเต้รู้ความจริงทั้งหมด จื่อฟางต้องสมหวังกับไป๋ผูอวี้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 01-01-2019 00:45:14
เย้ กลับมาแล้ว เป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีมากๆเลยค่ะ!! สวัสดีปีใหม่นะคะ ตอนนี้เข้มข้นมากเลยย ทุกคนรู้หมดแล้วบยกเว้นคุณชายไป๋ ถ้าเจ้าตัวรู้ทีหลังจะโอเคมั้ยนะ ; - ;
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 01-01-2019 01:46:50
เย้ รอค่าาาปมเยอะมากเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 01-01-2019 22:17:59
ใครเป็น​ลูกชายสกุลเสิ่นอีกคนกัน  แวะมาลบรอยจูบที่จวนน้ำชา​ อร้ายยย​ แสดงว่าเสินจิ้งเฟยตัวจริง​คงไม่แคล้วต้องมีชะตาลงเอยกับฮ่องเต้แน่ๆเลยขนาดวิญญาณ​มาอยู่ในร่างคนใกล้ตัวห้องเต้ได้แบบนี้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 02-01-2019 00:04:26
 :z3: เอาหัวโขกเพื่อเช็คว่าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยยยย นิยายอัพพพพพพ ดีใจมากเวอร์ :heaven ฮือ ฮ่องเต้ เจ้าคนชั่ว จะเอาทุกคนไม่ได้เฟ้ยยย นี่ไม่ใช่นิยายฮาเร็ม
รอตอนต่อไปค่ะ :sad4: เมื่อไหร่พี่ไป๋จะรู้ความจริงว่าน้องไม่ใช่เสิ่น อยากอ่านต่อมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-01-2019 05:31:17
รอมานาน กลับมาแล้ว ขอบคุณนะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-01-2019 21:00:17
ฮ่องเต้จะสร้างฮาเร็มเหรอคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: mijimaria ที่ 02-01-2019 21:24:29
เย้ มาอัพแล้ว สารภาพเลยค่ะว่าลืมๆไปแล้ว แต่เดี๋ยวจะกลับไปอ่านใหม่อีกรอบนึง HNY2019 นะคะ :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 02-01-2019 22:43:03
อืมมมมม มัน นานมากกแต่ก็ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบหก: เสิ่นจิ้งเฟย P.15 31/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 03-01-2019 19:19:00
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 04-01-2019 09:14:47
 
บทสิบเจ็ด:สุรากับคนงามไม่ใช่ของคู่กัน


กว่าจื่อฟางจะกลับถึงจวนสกุลเสิ่นฟ้าก็มืดแล้ว ที่หน้าประตูจวนมีเงาร่างของจางต้ายืนรออยู่ พอเห็นร่างของเขาลงจากรถม้า บ่าวรับใช้ก็รีบปรี่เข้ามาหาด้วยท่าทางเป็นกังวลทันที

“คุณชาย!”จางต้ารู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด “นายท่านรออยู่ที่ห้องรับรองขอรับ”บ่าวรับใช้รายงาน
จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ หันมองหยางชวีครู่หนึ่งเพื่อย้ำเตือนว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ให้เสิ่นมู่หยางรับรู้เด็ดขาด ผู้ติดตามถอนหายใจ คิดอยู่เงียบๆว่าเขาหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องของคุณชายเสิ่นมากี่ครั้งกี่หนแล้ว เด็กหนุ่มเดินลากขาเข้าไปในจวนที่เงียบสงบเช่นเคย โคมไฟถูกจุดตามทางเดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในห้องรับรองก็พบว่าเสิ่นมู่หยางกำลังเดินไปเดินมาด้วยท่าทางวิตกจริต ทันทีที่เห็นบุตรชาย ผู้เป็นบิดาก็รีบเดินมาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ

“เหตุใดเจ้าถึงกลับจวนช้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาอยากได้ยินคำตอบจากปากบุตรชายของตัวเองมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานว่าเสิ่นจิ้งเฟยออกจากวังหลวงได้ก็มุ่งหน้าตรงไปที่คฤหาสน์สกุลไป๋ทันที ทำให้เสิ่นมู่หยางถึงกับแปลกใจว่าบุตรชายของตนไปสนิทชิดเชื้อกับไป๋ผูอวี้ถึงขั้นนั้นตั้งแต่เมื่อใด เขาคงต้องสอบถามหยางชวีให้แน่ชัด

“ข้าแวะไปพูดคุยกับสหาย”จื่อฟางตอบเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าอยากพูดคุยกับไป๋ผูอวี้มากกว่าคุยกับข้า”เสิ่นมู่หยางพินิจมองบุตรชายราวกับต้องการมองให้ทะลุ “เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”

จื่อฟางได้ยินคำพูดอีกฝ่ายก็ทำหน้าซื่อ “ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว ข้ายังเป็นเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม จะมีก็แต่ท่านกระมังที่เปลี่ยน”เขาได้ทีย้อนกลับจนเสิ่นมู่หยางทำสีหน้าไม่ถูก

“ท่านพ่อมีเรื่องใดจะคุยกับข้าก็พูดมาเถิด ข้าชักเหนื่อยแล้ว”เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ รู้สึกว่าวันนี้ยาวนานเหลือเกิน เสิ่นมู่หยางกระแอม พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ นับวันยิ่งรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้เปลี่ยนไป แม้กระทั่งแววตาก็ไม่เหมือนเดิม 

“ฮ่องเต้เรียกเจ้าไปคุยว่าอย่างไรบ้าง”เขาเอ่ยถามเรื่องนี้แทน

“ฝ่าบาทแค่ต้องการฟังข้าบรรเลงกู่ฉิน พูดคุยเรื่องการสอบระดับอำเภออีกเล็กน้อยเท่านั้น”จื่อฟางหลีกเลี่ยงรายละเอียดที่ไม่จำเป็น แต่คิดว่าเสิ่นมู่หยางคงเดาได้อยู่ดี เพราะสายตาของผู้เป็นบิดาหยุดอยู่ที่
ริมฝีปากของเขา

“เขาไม่ได้ทำเกินเลยเจ้า?”เขามองหน้าบุตรชายอย่างต้องการคำตอบ

“…”จื่อฟางเม้มปากอย่างอึดอัดเพราะถูกจ้องจนไม่สบายตัว

“เฟยเอ๋อร์ อันที่จริงข้ากังวลว่าฝ่าบาทจะเอ่ยเรื่องชายงามกับเจ้าอีก ถึงเจ้าจะเคยปฏิเสธไปแล้วแต่พระองค์คงไม่ยอมลามือโดยง่าย”เสิ่นมู่หยางกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ ฮ่องเต้เจี่ยผิงถึงกับส่งองค์รักษ์มาเฝ้าที่จวน คงไม่คิดปล่อยบุตรชายของเขาไปโดยง่าย แต่สวรรค์ยังเมตตาเพราะในตอนนี้สถานการณ์ในท้องพระโรงยังไม่สงบ ระยะนี้แถบชายแดนกำลังคุกรุ่น ฝ่าบาทจะทำเรื่องเหลวไหลเพิกเฉยต่อปัญหาอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องฟังเสียงของเหล่าขุนนางทั้งหลาย หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ฝ่าบาทชะลอการตัดสินใจไว้ก่อน

“ที่ท่านพ่อจะกล่าวคือ…”จื่อฟางรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไรสักอย่าง หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาเดือดร้อน

“นอกจากคุณหนูฉิน เจ้าไม่มีหญิงนางใดที่ชอบพอเลยรึ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยอย่างระมัดระวังรู้ดีว่าเรื่องนี้ทำให้บุตรชายอารมณ์เสีย

“เหตุใดท่านต้องอยากรู้”นั่นอย่างไร จื่อฟางแสร้งทำสีหน้ารำคาญใจ เริ่มเห็นเค้ารางว่าบทสนทนานี้จะจบลงที่ตรงไหน

เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายไม่ตอบคำจึงกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าหากเจ้าแต่งหญิงเข้าสกุล ฝ่าบาทอาจไม่กล้าทำเรื่องโจ่งแจ้งกับเจ้าในตอนนี้”จื่อฟางกระพริบตามองชายตรงหน้า เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่ แต่งงานหรือ  บ้าไปแล้ว

“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ข้าอายุยังน้อย เรื่องแต่งงานคงยังไม่จำเป็นกระมัง”เขาไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด เสิ่นจิ้งเฟยเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเอง จะรีบแต่งไปไหน ชีวิตยังอีกยาวไกลนัก รีบเกินไปแล้ว

“อายุยังน้อย!ปีนี้เจ้าสิบแปดแล้ว ยังว่าน้อยอยู่อีกหรือ ตอนข้าอายุเท่าเจ้า มารดาเจ้าก็ตั้งท้องแล้ว”เสิ่นมู่หยางกล่าวเสียงดัง จื่อฟางอยากตอบโต้แต่รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ด้วยยุคสมัยที่ต่างกัน

“ข้าไม่เหมือนท่านเสียหน่อย จะอย่างไรเสียข้าก็ยังไม่มีความคิดแต่งหญิงใด ข้ายังช้ำใจเรื่องคุณหนูฉินไม่หาย”เด็กหนุ่มจำต้องยกชื่อของฉินเซียงอินมาอ้าง

“ถ้าไม่แต่งภรรยาเอกก็แต่งอนุ”เสิ่นมู่หยางนึกอยากโขกศีรษะบุตรชายนัก สีหน้าท่าทางเช่นนี้เขารู้ว่าเจ้าตัวดีไม่มีทางยอมเปลี่ยนใจง่ายๆแน่

“เจ้าเป็นไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องแต่งอนุไม่ใช่รึ”เสิ่นมู่หยางหรี่ตาลง จำได้ว่าเคยเกริ่นเรื่องนี้ไว้ ครั้งก่อนบุตรชายไม่ได้มีท่าทีต่อต้านรุนแรงเท่านี้   

“ท่านพ่อ ถ้าหากข้าจะแต่งก็ต้องมาจากความต้องการของข้าเท่านั้น”จื่อฟางกล่าววาจาหนักแน่น เสิ่นจิ้งเฟยทิ้งปัญหาไว้ให้เขาจัดการก็หนักหนามากพอแล้ว อย่าให้เขาต้องมารับมือเรื่องแต่งอนุพวกนี้เลย 

“ข้าก็ไม่อยากบังคับเจ้า แต่…”เสิ่นมู่หยางตามใจบุตรชายมาตลอด แต่หากจำเป็นก็ต้องบังคับ

“ท่านคิดว่าให้ข้าแต่งงานแล้วจะห้ามฝ่าบาทได้หรือ ข้าเกรงแต่ว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทยัง…ยังไม่ต้องการข้าในตอนนี้”จื่อฟางพึมพำ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่ใกล้ตัวฮ่องเต้เจี่ยผิงถึงเพียงนั้น คงทำให้ฝ่าบาทชะลอเรื่องตัวเขาไว้ก่อน อีกอย่างฝ่ายนั้นคงคิดว่าอย่างไรเสียจื่อฟางก็หนีไม่พ้น นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า ชะตาของเสิ่นจิ้งเฟย…คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วกระมัง 

“เจ้าดูเข้าอกเข้าใจฝ่าบาทเสียเหลือเกินนะ”เสิ่นมู่หยางพลันหงุดหงิดขึ้นมา เขารู้ว่าในวัยเด็กบุตรชายเคยใช้เวลากับชายผู้นั้นอยู่บ้าง อา!ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เสนาบดีเสิ่นได้แต่เดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านใจ

“หรือเจ้า…เจ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากเป็นชายงามของฮ่องเต้ขึ้นมา”เขาลดเสียงลง มองไปรอบตัวราวกับ
กลัวมีผู้ใดได้ยิน บุตรชายปรายตามองเขาอย่างเย็นชา

“ท่านรู้จักข้าดี ข้าไม่มีวันต้องการเช่นนั้น”

“เฮอะ ข้าคิดว่าเคยรู้จักเจ้าต่างหาก”เสิ่นมู่หยางหยุดมองใบหน้าหมดจดของเลือดเนื้อเชื้อไข มีเรื่องใดบ้างที่เจ้าเด็กนี่ปกปิดไว้

“จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้ายังไม่อยากแต่ง เรื่องนี้ให้ข้าตัดสินใจเองเถอะ อย่าทำให้ข้า…”จื่อฟางขบฟัน กลั้นใจเอ่ยคำพูดร้ายกาจออกไป

“อย่าทำให้ข้ามองท่านในแง่ลบไปมากกว่านี้เลย”คำพูดของเขาทำให้เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าหลากหลาย เด็กหนุ่มเบนสายตาไปทางอื่น ในอกเริ่มมีอารมณ์แปรปรวนทำให้จื่อฟางอยากออกไปจากห้องรับรองใจจะขาด เขาไม่ต้องการอยู่กับเสิ่นมู่หยางในเวลานี้

“เฟยเอ๋อร์…”เสิ่นมู่หยางจ้องบุตรชายเขม็งอย่างอับจนคำพูด “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนี้ เรื่องมารดาของเจ้า…”

“ท่านสัญญาไว้แล้ว”จื่อฟางโพล่งออกมาเป็นคำพูดในความทรงจำของร่างนี้ ความเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาตัวสั่น เจ้านั่นอารมณ์รุนแรงถึงเพียงนี้เรื่องของมารดาคงฝังลึกมากจริง ๆ

“ข้าเข้าใจหากท่านต้องการภรรยาใหม่ เพราะฉะนั้นท่านโปรดเข้าใจข้าด้วยเถอะ”จื่อฟางถอนหายใจ อยู่ ๆก็รู้สึกร่างกายใกล้หมดแรง

“ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่เรือน”เด็กหนุ่มไม่อยากคุยต่อแล้ว เขาลุกจากที่นั่งรีบเดินออกมาจากห้องรับรองโดยไม่เหลียวมองสีหน้าของเสิ่นมู่หยาง เขาพบหยางชวียืนรออยู่นอกประตูด้วยใบหน้าก้มต่ำทำให้มองไม่เห็นสีหน้า เด็กหนุ่มไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ตามมาด้วย เสิ่นมู่หยางคงใช้เวลาไต่ถามเจ้านั่นอีกพักใหญ่กระมัง

จื่อฟางกลับมาถึงเรือนก็พบว่าจางต้าจัดเตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้คนสนิทไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ช่วยเขาถอดชุดคลุมกับเสื้อตัวกลางออกเงียบ ๆก่อนถอยไปรออยู่นอกฉากกั้น จื่อฟางหย่อนกายลงในถังน้ำ หลับตาผ่อนลมหายใจ น้ำร้อนช่วยผ่อนคลายร่างที่ตึงเครียดมาทั้งวัน เด็กหนุ่มค่อยๆจมไปกับความเหนื่อยล้าที่ครอบงำ


  เสียงบรรเลงกู่เจิงแผ่วเบาดังขึ้นเป็นท่วงทำนองห่วงหา ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกเปลี่ยวเหงาไปด้วย แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มด่ำกับบทเพลง เขามาเพื่อยืนยันบางอย่าง เบื้องหน้ามีศาลาเล็ก ๆ หญิงงามนางหนึ่งกำลังจรดนิ้วลงบนกู่เจิง นางไม่ได้งามอย่างนางฟ้านางสวรรค์แต่เป็นความงามที่ทำให้ผู้คนสบายใจ ร่างนั้นก้มหน้าบรรเลงบทเพลงด้วยท่าทางจริงจัง ข้างกายมีเด็กชายตัวเล็กอายุราว ๆเก้าปีนั่งอ่านตำราอยู่ใกล้ ๆ เค้าโครงใบหน้าดูคุ้นตา

เสิ่นจิ้งเฟยขบฟัน กำมือจนเจ็บ จ้องมองฉากตรงหน้าผ่านผ้าคลุมที่สวมปกปิดรูปลักษ์ด้วยสายตาเย็นชา ท่านพ่อไม่เพียงมีอนุแต่ยังมีบุตรชายอีกคนซ่อนอยู่ด้วย จะให้เขารับความจริงเรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ของเขาเล่า เสิ่นมู่หยางเอาไปไว้ที่ใด ไหนเคยตกปากรับคำเอาไว้ว่าจะไม่ให้ผู้ใดมาแทนที่ท่านแม่ ทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดโกหกพกลม

ดูเหมือนสายตาชิงชังของเสิ่นจิ้งเฟยจะทำให้หญิงผู้นั้นรู้ตัว นางเงยหน้ามอง เขาตกใจจนก้าวถอยหลังจากต้นไม้ที่ใช้เป็นจุดกำบังจนสะดุดเข้ากับก้อนหินล้มก้นจ้ำเบ้า เสียงกู่เจิงหยุดลง เขาพยุงร่างกายลุกขึ้นหมายจะหมุนตัวหนี แต่หญิงนางนั้นร้องเรียกเสียก่อน

‘คุณชาย หยุดก่อนเถิด ให้ข้าดูว่าคุณชายไม่ได้รับบาดเจ็บ’เสียงของนางนุ่มนวล เสิ่นจิ้งเฟยแค่นเสียงไม่คิดอยากเสวนาด้วย เขาปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้า มองนางปราดหนึ่งระหว่างที่ร่างนั้นก้าวมาถึงตัวเสิ่นจิ้งเฟย

‘ท่านแม่ มีเรื่องใดรึ’เด็กชายก้าวตามมารดาด้วยสีหน้าใคร่รู้ สายตากระจ่างใสมองมาที่เขาอย่างงุนงง

‘เหตุใดเจ้าทำตัวน่าสงสัย คิดร้ายต่อท่านแม่ของข้าหรือ’เด็กคนนั้นก้าวมาอยู่ตรงหน้า กางแขนปกป้องท่านแม่ของตัวเอง เสิ่นจิ้งเฟยจ้องมองจนทั้งเด็กและหญิงนางนั้นก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น

‘ข้าไม่มีความคิดแทนที่มารดาของคุณชาย’นางเอ่ยด้วยแสงแผ่วเบา แววตาเป็นประกายอ่อนโยน ยิ่งทำให้เสิ่นจิ้งเฟยสะท้านอยู่ในอก เด็กหนุ่มอ้าปากตอบคำแต่ก็ไร้คำพูด เขาอยากเกลียดนาง นอกจากความจริงที่ว่านางเป็นอนุของท่านพ่อ เขาก็หาสิ่งอื่นมาเกลียดชังไม่ได้ ความอ่อนโยนในดวงตาของนางทำให้เขานึกถึงมารดา เสิ่นจิ้งเฟยเลื่อนสายตามองเด็กตรงหน้า ใบหน้าที่ได้เค้ามาจากเสิ่นมู่หยางทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มเจ็บปวดเหมือนถูกกรงเล็บที่มองไม่เห็นบีบคั้น ท่านพ่อคงสมใจแล้ว หากเด็กคนนี้เติบใหญ่ เขาจะยังเป็นที่ต้องการอยู่หรือ? ความคิดนี้ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยหนาวเหน็บ

‘ท่านแม่รู้จักคนแปลกหน้าผู้นี้หรือ’

‘ข้าไม่มีวันยอมรับพวกเจ้า’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเย็นชาปรายตามองสองแม่ลูกก่อนรีบหมุนกายจากไป



จื่อฟางสะดุ้งตื่นเมื่อรับรู้ว่าน้ำอุ่นกำลังเข้าจมูก เขาจับขอบถังก่อนยันร่างขึ้นมาพิงขอบถังน้ำ จังหวะหัวใจยังคงเต้นถี่รัว อาการปวดหน่วงในอกค่อยๆจางหาย เขายกมือสัมผัสใบหน้าพบว่าน้ำตาไหลจึงเช็ดออกอย่างเลื่อนลอย ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาไม่สบายตัวอีกแล้ว เสิ่นมู่หยางแอบมีอนุจริง ๆทั้งยังมีบุตรชายอีกคนด้วย แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงอย่างไรเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย เจ้านั่นกลัวถูกบิดาทอดทิ้ง บางทีอาจมีความอิจฉาปะปนอยู่ด้วย เด็กหนุ่มนวดขมับ ย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านนอก

“คุณชายเสิ่น นายท่านสั่งให้ข้ามาปรนนิบัติคุณชายเจ้าค่ะ”เสียงสาวใช้นางหนึ่งดังขึ้นนอกฉากกั้น จื่อฟางขมวดคิ้ว ปกติอี้เหมยจะเป็นคนมาปรนนิบัติเขา แต่วันนี้ไม่เห็นนางโผล่หน้ามา

“เป็นผู้ใด…”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ขยับตัวนั่งให้ถนัด

“ข้าน้อยลู่เฟยเองเจ้าค่ะ”เจ้าของเสียงตอบ จื่อฟางเลิกคิ้วเมื่อจำได้ว่าสาวใช้ผู้นี้คือสาวใช้ที่เคยปรนนิ
บัติเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน เสิ่นมู่หยางนี่จริงๆเลย เขาถอนหายใจก่อนส่งเสียงบอก “เข้ามา”

ลู่เฟยเดินเข้ามาด้วยท่าทางเรียบร้อย แต่แววตาเป็นประกายเย้ายวน เขากวาดตามองรวดหนึ่ง นางมีทรวดทรงองเอวชัดเจน ไม่แปลกที่เสิ่นจิ้งเฟยจะชอบ แต่อย่างไรเขาก็นึกภาพเจ้านั่นห้อมล้อมไปด้วยสาวงามไม่ออกจริง ๆ 

“นานแล้วที่คุณชายไม่เรียกหาข้อน้อย ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปหรือ”นางเอ่ยถามระหว่างที่หยุดอยู่เบื้องหลังของจื่อฟาง

“เปล่า ข้าแค่เบื่อ”จื่อฟางตอบเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเด็กหนุ่มหันหลังให้อีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าเจ้าตัวทำสีหน้าอย่างไร

“คุณชายเสิ่น”ลู่เฟยทำเสียงน้อยใจ

“เจ้ารีบๆปรนนิบัติข้า แล้วก็รีบออกไปเสีย ข้าไม่อยากเสียเวลาพักผ่อน”จื่อฟางสั่งเสียงเด็ดขาดจนอีกฝ่ายไม่กล้าแย้งเช่นทุกที ลู่เฟยเม้มปาก หยิบไยบวบมาขัดแผ่นหลังเนียนขาวของคุณชายเสิ่นอย่างเบามือ ในใจครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือข่าวลือที่คุณชายชมชอบบุรุษเป็นเรื่องจริง พักนี้นางได้ยินว่าคุณชายสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋ ทั้งยังเข้าได้ดีกับหยางชวี ไหนจะข่าวลือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก เรื่องล่าสุดที่เกิดขึ้นสดๆร้อนคือคุณชายไม่ยอมแต่งอนุ ลู่เฟยขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าโอกาสที่ตนจะได้เป็นอนุยิ่งน้อยลงทุกครา

จื่อฟางหลับตาปล่อยให้สาวใช้ขัดเนื้อขัดตัว นางจงใจลากฝามืออ่อนนุ่มวนเวียนอยู่แถวแผ่นหลังของเขาก่อนลงมือบีบนวดบริเวณบ่าที่ตึงเครียดอย่างชำนาญ

“ให้ข้าน้อยดูแลคุณชายเสิ่นเถอะเจ้าค่ะ คุณชายก็รู้ว่าข้าน้อยมีฝีมือแค่ไหน”นางกระซิบใกล้ ๆ ทำเอาจื่อฟางขนลุกซู่ ร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง เขาไม่ได้ชมชอบลู่เฟยแต่ร่างกายของเขาไม่ได้ผ่อนคลายจากอารมณ์ที่ตึงเครียดมานานแล้ว เด็กหนุ่มพยายามเมินเฉยต่อคลื่นอารมณ์ที่ค่อย ๆก่อตัว   

“เจ้าขัดหลังให้ข้าเสร็จก็ออกไปได้”เขาออกคำสั่ง ขยับหัวไหล่จนอีกฝ่ายปล่อยมืออย่างเสียดาย นางทำเสียงอิดออดแต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของเขา

“ข้าน้อยรอคุณชายเสิ่นได้เสมอ”ลู่เฟยกระซิบก่อนเดินออกไปทิ้งกลิ่นหอมจางไว้ จื่อฟางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก   

“คุณชายขอรับ”จางต้าส่งเสียงเรียกอยู่นอกฉากกั้น

“ว่าอย่างไร”เขาก้าวออกมาจากถังน้ำ คว้าชุดคลุมมาสวม

“ถ้าคุณชายอยากผ่อนคลาย...ข้ารู้จักสถานที่ที่คุณชายน่าจะชอบ”บ่าวรับใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล จื่อฟางเลิกคิ้ว

“ที่ไหนเล่า”

“เอ่อ ที่ที่มีนายบำเรอ...”จางต้าเอ่ยอย่างกระดากอาย

“ข้าไม่ต้องการนายบำเรอ”จื่อฟางกลอกตา เหตุใดเจ้านี่ถึงคิดว่าเขาต้องการนายบำเรอกัน

“อะแฮ่มแต่คุณชายต้องการไม่ใช่หรือขอรับ...”

จื่อฟางไม่ได้ใส่ใจฟังนัก เขาใจลอยไปถึงไป๋ผูอวี้ ดูเหมือนว่าเสิ่นมู่หยางจะเริ่มสงสัยแล้ว เรื่องระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้พังทลายแน่ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มั่นใจในหลายๆเรื่องเช่นเรื่องที่ไป๋ผูอวี้ทำงานให้ท่านผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง ซึ่งอวิ๋นเซียนหลางเป็นขุนนางเก่าของฮ่องเต้องค์ก่อน คนผู้นี้ต้องการปกป้องฮ่องเต้เจี่ยผิงจริงหรือไม่กันแน่ เขาเดาไม่ออก ตัวไป๋ผูอวี้น่าจะทราบดีว่าการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสไม่ชัดเจน 

“คุณชายกับไป๋ผูอวี้ ข้าไม่อยากให้ท่านหลวมตัวไปกับเขา...”เสียงของจางต้าดังเรียกสติ บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความกังวล

“คุณชายรู้จักนายท่านเสิ่นดี นายท่านไม่มีทางเห็นด้วย ตัดใจเสียตอนนี้ดีกว่าเจ็บปวดทีหลังนะขอรับ”
จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบเพียงยกยิ้มน้อย ๆก่อนก้าวออกมานอกฉากกั้น บ่าวรับใช้สะดุ้งเล็กน้อย คุกเข่าก้มหน้ามองพื้นราวกับกลัวถูกลงโทษ

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ข้าก็ยังอยากเสี่ยง”เขาพึมพำอ้าปากหาวนอน เดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะแต่งตัว มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง หยิบกระปุกยาที่ไป๋ผูอวี้ให้มาทาลงบนรอยช้ำที่ฮ่องเต้ทิ้งไว้ จางต้ารีบนำผ้ามาเช็ดผมที่เปียกแฉะให้ผู้เป็นนาย แอบลอบถอนหายใจเบา ๆ ระหว่างนั้นหยางชวีก็กลับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย แต่จางต้าสังเกตเห็นหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันของอีกฝ่าย

“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยมีเรื่องอยากคุยด้วย”หยางชวีหยุดอยู่หน้าประตู สายตาจ้องมองมาที่คุณชาย

“ข้าต้องออกไปหรือเปล่า”จางต้าเอ่ยหยอกล้อ ผู้ติดตามไม่ได้กล่าวแย้ง ยังคงมองไปที่คุณชายเช่นเดิม เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการพูดกับคุณชายเสิ่นด้วยเรื่องใด แววตาเช่นนี้เขารู้จักดี เป็นแววตาของผู้ที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาปล่อยผ้าเช็ดผมก่อนถอยออกไปนอกห้องอย่างรู้หน้าที่
จื่อฟางเหลือบมองหยางชวี พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้ ร่างนั้นก้าวเข้ามาจนอยู่ในระยะที่พอเหมาะ

“เจ้าต้องการคุยเรื่องใด รีบๆหน่อยก็ดี วันนี้ข้าเจอแต่เรื่องปวดหัว”เด็กหนุ่มใช้ผ้าซับผมให้แห้งไปด้วยระหว่างที่กวาดตามองผู้ติดตาม หยางชวีมีท่าทีแปลกไปตั้งแต่เมื่อตอนที่ออกมาจากวังหลวง ชายผู้นี้ดูไม่เป็นตัวเองเหมือนมีเรื่องอยู่ในใจ   

“คุณชายยังจำเรื่องที่เคยเอ่ยถามข้าได้หรือไม่ เรื่องเกี่ยวกับนายท่าน”หยางชวีเอ่ยอย่างไม่รอช้า เขาเองก็ไม่อยากกล่าววาจายืดเยื้อ

“อืม”จื่อฟางหยุดมือที่กำลังเช็ดผม มองผู้ติดตามด้วยสายตาจริงจัง “ข้าเคยถามเจ้าว่า การมารับใช้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อหรือไม่ ข้าจำได้ว่าเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย”จื่อฟางยิ้ม เมื่อสบกับแววตาตั้งมั่นของอีกฝ่ายรอยยิ้มก็จางลง

“เจ้าพร้อมจะตอบแล้ว?”

“ข้าเคยคิดว่าชีวิตนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการได้ตอบแทนบุญคุณของนายท่าน ข้าเติบโตมาด้วยความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งข้าได้พบคุณชาย ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแต่ข้าอยากปกป้องท่าน เดิมทีข้าคิดว่าการติดตามคุณชายเป็นงานที่ไร้สาระ ข้าต้องการตอบแทนบุญคุณของนายท่านถึงได้รับคำ แต่นานวันเข้ากลับเปลี่ยนเป็นความตั้งใจของข้าเอง”หยางชวีกล่าวเสียงเบาอย่างไม่เป็นตัวเอง เขาไม่ถนัดเรื่องเช่นนี้ แม้จะรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่และนายท่านเสิ่น แต่ความตั้งใจของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว คุณชายไม่เอาไหนผู้นี้เปลี่ยนความคิดของเขา

“เจ้าสารภาพความในใจกับข้ารึ”เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆแกล้งเอ่ยหยอกล้อ แต่หยางชวียังอยู่ในโหมดจริงจังพลานทำให้เขาอึดอัด

“คุณชายเสิ่น ข้าตัดสินใจแล้ว”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้าสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อคุณชาย”

จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง สบตากับชายตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ แรงหนักอึ้งในใจค่อยเบาลง “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนี้”เขาเหนื่อยกับการที่ต้องระแวงคนใกล้ตัวแล้ว

“เรื่องของคุณชายกับไป๋ผูอวี้ข้าไม่ได้บอกนายท่าน”หยางชวีกล่าว รู้สึกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง แน่นอนว่า
เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน ในเมื่อเป็นเรื่องของคุณชายเสิ่น เขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นหรือเข้าไปสอดได้อยู่แล้ว

“ขอบใจ”จื่อฟางพินิจมองหยางชวี ดูเหมือนคืนนี้เขาจะไม่ได้นอนง่ายๆเสียแล้ว

“จางต้า เข้ามาด้านในเถอะ”เด็กหนุ่มเรียก บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกรีบโผล่เข้ามา อย่างน้อยจางต้าก็อยู่รับใช้ข้างกายเสิ่นจิ้งเฟยมาตั้งแต่เด็ก เจ้าเด็กนี่ก็สมควรรู้ความจริงเช่นกัน

“เอาล่ะ ก่อนอื่นข้ามีเรื่องอยากบอกให้พวกเจ้ารู้ไว้”จื่อฟางมองผู้ติดตามและบ่าวรับใช้ด้วยสายตาจริงจัง ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิวอ๋อง เขาไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมดเพียงเล่าคร่าว ๆเท่านั้น สีหน้าของจางต้าและหยางชวีเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่ากบฏ

“คุณชายข้าไม่คิดว่าท่านจะกล้าทำ ข้าคงฝันไปแน่ๆ”จางต้าพึมพำ ลอบหยิกแขนตัวเอง แต่ก็พบว่าตนไม่ได้ฝัน คุณชายเสิ่นของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร หากเล่าให้ผู้คนฟังคงไม่มีผู้ใดเชื่อทั้งยังโดนหัวเราะเยาะแน่

“ข้าคิดอยู่ตลอดว่าท่านมีเรื่องปิดบัง แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องนี้ ท่านบ้าไปแล้วหรือ ท่านคิดทำสิ่งใดอยู่”หยางชวีตำหนิ ไม่คาดคิดว่าคุณชายที่ดูไม่เอาไหนคนหนึ่งจะทำเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ทั้งยังร่วมมือกับอ๋องสาม บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะมาร่วมมือกันได้

“ข้ามีเหตุผล”แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของเสิ่นจิ้งเฟยก็ตาม “อันที่จริงข้าร่วมมือกับฝ่าบาท เขาถึงส่งคนมาเฝ้าที่จวน”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาเท่าที่จะทำได้ หยางชวีเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับข้อมูลนี้

“ฝ่าบาทไว้ใจท่านด้วยหรือ ข้าหมายถึงท่านคือคนที่ร่วมมือกับหลิวอ๋อง”ผู้ติดตามขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก ตกลงความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และคุณชายเป็นเช่นไรกันแน่

“เขามีเหตุผลที่ไว้ใจข้า”จื่อฟางมองหยางชวีครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวไปมากกว่านั้น ความลับเรื่องที่เขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ถึงเวลาที่ควรบอก และเขาก็ไม่แน่ใจว่าสมควรบอกผู้ใดหรือไม่ แม้ลึกๆแล้วจื่อฟางอยากให้ไป๋ผูอวี้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร เขาไม่อยากใช้ชีวิตใต้เงาของเสิ่นจิ้งเฟยไปตลอดกาล จื่อฟางคือชื่อของเขา


สักวันหนึ่งเขาหวังว่าจะได้บอกชื่อนี้กับไป๋ผูอวี้


~•~


เข้าสู่วันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง ฤดูวสันต์มาเยือน หิมะตกปกคลุมทั่วฉางอัน ผลการสอบระดับอำเภอประกาศแล้ว ที่น่าแปลกใจก็คือเสิ่นจิ้งเฟยบุตรชายไม่เอาไหนของเสนาบดีกรมพิธีการสอบผ่าน บ่อนพนันต่างไม่คาดคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะสอบผ่าน เสิ่นมู่หยางพอใจมากแม้บุตรชายจะสอบผ่านเป็นแค่บัณฑิตซิ่วไฉแต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ผู้คนที่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟยย่อมรู้ดีว่าความเป็นไปได้มีน้อยแค่ไหน เขาจึงจัดงานเลี้ยงฉลองให้บุตรชายที่โรงเตี๊ยม บรรดามิตรสหายของเสิ่นจิ้งเฟยถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยง เสนาบดีเสิ่นยอมให้บุตรชายทำตัวเหลวไหลได้หนึ่งวัน

ในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะ เสียงบรรเลงเครื่องดนตรี และกลิ่นสุรา จื่อฟางกวาดตามองผู้คนรอบตัว โต๊ะห่างออกไปมีไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ เขาถูกเชิญมาด้วยเช่นกันเพราะมีส่วนช่วยสอนหนังสือให้เสิ่นจิ้งเฟย ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลานั่งจิบสุราอยู่เงียบ ๆ ใช่แล้ว สุรา!ทีแรกจื่อฟางคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าคนอย่างท่อนไม้ไป๋จะดื่มสุรา ไป๋ผูอวี้แสดงท่าทางชัดเจนว่าไม่อยากสนทนากับผู้ใดและต้องการนั่งอยู่เงียบ ๆ เว่ยหลงติดสอยห้อยตามยืนเป็นเงาตะคุมอยู่ด้านหลังจนคนไม่กล้าเข้าใกล้ เจ้านั่นไม่แตะจอกสุราแม้แต่นิด

ผิดกับจื่อฟางที่ข้างกายมีหญิงคณิกาขนาบข้าง นางคือลู่เจียงสาวงามหน้าคมที่เขาเคยเจอที่หอผูเยว่ นางกำลังคีบเนื้อย่างใส่ปากเขา เด็กหนุ่มจำต้องอ้าปากรับ เคี้ยวอย่างยากเย็น ผู้ที่ร่วมโต๊ะเดียวกันคือสหายกลุ่มเดิมนั่นคือหลินเจียงหยงที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน ร่างนั้นดื่มสุราเงียบ ๆ สายตาสอดส่องมองมาที่เขาอย่างใคร่รู้ เขาเพียงถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด หมอนั่นหัวเราะก่อนหันไปสนใจสาวงามข้างกายแทน ทางซ้ายมือของเขาคือจ้าวเซียวชิงที่ไม่ได้ดูง่วงซึมอีกต่อไปกำลังคลอเคลียสาวงาม มือหนึ่งถือจอกสุรา อีกมือหนึ่งก็วุ่นวายอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของนาง และแน่นอนคนสุดท้ายจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากหลี่ฮุ่ยจือที่กำลังยกจอกสุราดื่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตาปราดมองมาที่เขาบ่อยครั้ง ไม่ได้เจออีกฝ่ายนานเขาพบว่าร่างนั้นดูผ่ายผอมไปไม่น้อย

“เจ้าป่วยหรือ หลี่ฮุ่ยจือ”จื่อฟางแกล้งเอ่ยถามราวกับเรื่องระหว่างหลี่ฮุ่ยจือไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าตัวคล้ายกับไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยทัก

“อ้อ เปล่า ข้าเพียงคิดถึงเจ้าเท่านั้น”หลี่ฮุ่ยจือยังคงเป็นเช่นเดิม สายตาที่มองมายังหวานเยิ้มชวนขนลุก เขารับรู้ว่าถูกสายตาของไป๋ผูอวี้ที่อีกฝากหนึ่งจ้องมองจึงทำทีหันมองรอบกายก่อนสบตากับชายหนุ่ม ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วน้อยๆเหมือนต้องการสื่ออะไรสักอย่าง จื่อฟางเลิกคิ้วกลับ ข้าไม่เข้าใจ

“อะแฮ่ม”หยางชวีกระแอมกระไอมาจากด้านหลัง เขาหันมอง หรี่ตาลง “อะไรติดคอเจ้าไม่ทราบ”

“ระวังหน่อยคุณชาย นายท่านยังอยู่”ผู้ติดตามโน้มตัวมากระซิบเบา ๆ ลมหายใจเป่ารดต้นคอของจื่อฟาง เขามองไปทางเสิ่นมู่หยางที่ร่วมโต๊ะกับขุนนางในกรม คนที่มาร่วมงานฉลองส่วนมากเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าเคยเห็นที่จวนเป็นบางครั้ง จื่อฟางเบนสายตากลับมามองหยางชวีที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง จะว่าไปหยางชวีก็รอบคอบมาก ไหสุราของเขาจึงเต็มไปด้วยน้ำเปล่าผสมสุราเพียงน้อยนิดพอให้มีกลิ่นป้องกันไม่ให้เขาเมาแล้วทำเรื่องเหลวไหล ลู่เจียงหญิงคณิกาคล้ายกับเดาออกแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางรินสุราให้เขาเงียบ ๆ

“คุณชาย ไม่คิดมาเยี่ยมหาข้าน้อยเลยหรือ”นางเอ่ยใกล้ๆใบหูชวนให้จั้กจี้

“ข้าไม่ค่อยว่าง แต่ไม่ต้องห่วง ข้าหาได้ลืมเจ้า”เด็กหนุ่มจำต้องเอ่ยไปตามสถานการณ์ ลู่เจียงยกยิ้มเอนกายเข้าใกล้ หลี่ฮุ่ยจือไม่ค่อยพอใจนัก โน้มตัวมาหาเขาจนได้กลิ่นสุราจากอีกฝ่าย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 04-01-2019 09:20:59
 
“จิ้งเฟย เรื่องคราวนั้นเจ้าหายโกรธข้าแล้วหรือ”หลี่ฮุ่ยจือกระซิบถาม สายตากวาดมองใบหน้างามหมดจดอย่างห่วงหา ไม่ปกปิดท่าทีแม้แต่นิด เสนาบดีเสิ่นหันมองอยู่หลายครา หน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าบุตรชายของเขาถูกหลี่ฮุ่ยจืออิงแอบจนแทบสิงร่างอยู่ร่อมร่อ

“อืม แต่อย่าทำเช่นนั้นอีก ข้าไม่ได้ชมชอบเจ้า”จื่อฟางกล่าวไปตามตรงนึกอยากหัวเราะกับสีหน้าของอีกฝ่าย สหายร่วมโต๊ะอีกสองคนหันมาสนใจฉากละครตรงหน้า หลี่ฮุ่ยจือคล้ายกับถูกหมัดที่มองไม่เห็นต่อยจนผงะ ร่างนั้นพ่นลมหายใจ เอนตัวออกห่างจากจื่อฟางเล็กน้อย

“ไยเจ้าเย็นชากับข้านัก อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงความหลังที่เรามีต่อกัน”เจ้าตัวเอ่ยเสียงดังทำให้หลายคนหันมามองรวมถึงไป๋ผูอวี้ จื่อฟางขมวดคิ้วนึกไม่ออกว่าเสิ่นจิ้งเฟยเคยมีความหลังใดกับเจ้าคนหื่นกามนี่   

“ข้าไม่มีความหลังใดกับเจ้า อย่าพูดจาเหลวไหล”เด็กหนุ่มกัดฟันพูด

“เจ้าลืมแล้วรึ แต่ข้าไม่ลืม”หลี่ฮุ่ยจือกระซิบทำสีหน้าเศร้าหมอง จื่อฟางได้แต่บอกกับตัวเองว่าอีกฝ่ายแค่พูดจาเหลวไหลเท่านั้น เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางมีความหลังใดกับคนผู้นี้แน่ เขาจิบน้ำเปล่าในจอก ลอบมองไหสุรา พบว่าน้ำเปล่าใกล้หมดแล้ว เขาจึงมองหาผู้ติดตามแต่ก็พบว่าเงาร่างของชายหนุ่มหายไปแล้ว เด็กหนุ่มหันมองทางเสิ่นมู่หยางพบว่าร่างนั้นก้มหน้าพูดคุยกับหยางชวี ไม่รู้คุยสิ่งใดแต่สีหน้าของหยางชวีดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“เสิ่นจิ้งเฟย ดื่มสักหน่อย”จ้าวเซียวชิงยิ้มคล้ายกับรู้ว่าเขาไม่ได้ดื่มสุรา สหายจึงเทสุรากลิ่นแรงใส่จอกที่ว่างเปล่าให้เขา

“ข้าคิดว่าดื่มไปเยอะแล้ว…”น้ำเปล่าต่างหากเล่า

“เจ้าจะปฏิเสธน้ำใจจากสหายรึ”อีกฝ่ายทำสีหน้าหมองหม่น

“ก็ได้”เด็กหนุ่มจำต้องยกสุราจอกนั้นดื่ม ลู่เจียงมองเขาด้วยสายตาขบขัน ยังคงอิงแอบอยู่ใกล้ตัว นางไม่ได้แสดงท่าทีที่บ่งบอกว่าอยากขึ้นเตียงกับเขา จื่อฟางจึงไม่ได้รู้สึกตึงเครียดแต่อย่างใด ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะแต่ครั้งนี้สนทนากับเฉินฉางเซียง เขายังไม่ได้คุยกับตาแก่ผู้นั้นจริง ๆจังเสียที แต่ตอนที่เสิ่นมู่หยางนำผลสอบมาบอก ใต้เท้าเฉินแสดงอาการโล่งอกอย่างชัดเจน

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า”เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะ ขุนนางสหายของเสิ่นมู่หยางที่เขาจำชื่อไม่ได้คนหนึ่งรินสุราให้เขาเต็มจอก เขาปฏิเสธไม่ได้จึงต้องฝืนทนยกดื่มจนหมด เบ้หน้าให้กับรสชาติเข้มข้นที่ไหลลงคอทำเอาร่างกายร้อนผ่าววูบหนึ่ง หลี่ฮุ่ยจือยกยิ้มกรุ่มกริ่มไม่รู้คิดเรื่องใดในหัว

“จิ้งเฟย สีหน้าของเจ้าตอนนี้น่าดูนัก”

“หลี่ฮุ่ยจือ เจ้าจะหยอกล้อเสิ่นจิ้งเฟยอีกนานรึไม่ หากบิดาเจ้ารู้ไม่กลัวโดนลงโทษอีกหรือ”จ้าวเซียวชิงกล่าวขึ้น จื่อฟางเลิกคิ้วให้กับข้อมูลที่ได้ยิน หลี่ฮุ่ยจือถลึงตาใส่สหายใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออับอาย

“หุบปากของเจ้าไปเลยเซียวชิง”

“สรุปว่าเป็นเรื่องจริงรึ ข้าคิดว่าผู้คนกล่าวเกินเลยเสียอีก”หลินเจียงหยงมีรอยยิ้มไม่น่ามอง หลี่ฮุ่ยจือส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ยกสุราดื่มหมดจอก ก่อนก้มมากระซิบแผ่วเบา

“มากับข้า ข้าสาบานว่าจะไม่แตะต้องเจ้า”แววตาของร่างนั้นไม่คล้ายคนเมาและไม่ยอมลดละ จื่อฟางหมุนพัดในมือ รู้สึกรำคาญใจเหลือเกิน เมื่อไหร่เจ้านี่จะเลิกกวนเสียที เขาถอนหายใจ มองหาหยางชวีแต่ก็ไม่พบจึงสบตากับไป๋ผูอวี้ อีกฝ่ายมองผ่านคล้ายกับไม่ใส่ใจ แต่เขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นรับรู้จึงลุกจากโต๊ะ แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไป จ้าวเซียวชิงก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ระวังตัวด้วย”ร่างนั้นมองมาด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม จื่อฟางมองอย่างไม่เข้าใจ อยู่ๆก็ทำตัวเป็นมิตรจนน่าแปลกใจ เสิ่นมู่หยางยุ่งอยู่กับการสนทนากับสหาย เขาจึงรีบปลีกตัวเดินตามร่างสูงใหญ่ของหลี่ฮุ่ยจือออกไปนอกโรงเตี๊ยม เขากระชับเสื้อคลุมตัวหนาเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็น ๆ แม้จะยังไม่ดึกแต่ผู้คนบางตา โคมไฟถูกจุดจนส่องสว่าง 

“ข้าอยากคุยกับเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือเปรยขยับตัวอย่างไม่สบายใจ เขากวาดสายตามองไปรอบๆราวกับกลัวว่ามีผู้คนจะมาเห็น

“คุยเรื่องใดก็ว่ามา”จื่อฟางไม่อยากยืนขาแข็งท่ามกลางอากาศหนาว

“เอ่อ อะแฮ่ม ข้าอยากกล่าวขอโทษที่เคยเอาเปรียบเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือกระดากอายอยู่บ้างที่ต้องเอ่ยออกมาตรงๆ อีกทั้งเขาไม่ใช่คนที่จะเอ่ยขอโทษกับผู้ใด

“เจ้าขอโทษข้า?แปลกอะไรอย่างนี้”เด็กหนุ่มพึมพำ คิดว่าอีกฝ่ายเมาสุราจนสมองเพี้ยนไปแล้วกระมัง

“เจ้าอาจจะคิดว่าแปลก แต่ข้ายังต้องการเป็นสหายเจ้า อย่าได้ผลักไสข้าเลย”ชายตรงหน้าถอนหายใจท่าทีกะล่อนเจ้าชู้คล้ายกับปลิวหายไป 

“เอาเถอะ เรื่องก็ผ่านมาแล้ว ข้าไม่ติดใจแต่อย่าทำอีกก็พอ”

“แน่นอนแต่ถ้าหากเจ้ายินยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”หลี่ฮุ่ยจือทำสายตาเป็นประกาย

“ข้าไม่มีทางยอม…”

“เจ้าลืมเรื่องคืนนั้นแล้วจริงๆรึ”หลี่ฮุ่ยจือกล่าวแทรก

“คืนนั้น?เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอีก”

“ข้าไม่ได้โกหก แต่เจ้ากับข้าต่างก็เมาด้วยกันทั้งคู่ ไม่แปลกหากเจ้าจะจำอะไรไม่ได้ ข้าก็เพิ่งนึกออกเมื่อไม่นานมานี้เอง”หลี่ฮุ่ยจือเหม่อมองใบหน้างดงามของคุณชายตรงหน้า ยกมือลูบริมฝีปากของตนเองไปด้วย

“…”จื่อฟางได้แต่ตกใจ ถ้าหากเสิ่นจิ้งเฟยเมาเรื่องใดก็เป็นไปได้ทั้งนั้น “เกิดอะไรขึ้น”

“คืนนั้นข้ากับเจ้าเมามาก ข้าเลยพาเจ้ากลับไปที่จวนสกุลหลี่…”

  ภาพความทรงจำวาบเข้ามาในหัว เป็นเงาเลือนลางของห้องหนึ่ง บนเตียงมีร่างของเสิ่นจิ้งเฟยและหลี่ฮุ่ยจือกำลังแลกเปลี่ยนจูบกันอย่างเร่าร้อน แต่สักพักร่างของหลี่ฮุ่ยจือก็หมดสติ เช่นเดียวกับเสิ่นจิ้งเฟยที่ขยับตัวไปมาอย่างไม่สบายตัว

จื่อฟางโล่งอก   …ก็แค่จูบ…

“ข้าจำไม่ได้ หากวันนั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงก็เป็นเพราะว่าข้าเมา และจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก”เขาเกลียดสีหน้าหื่นกามของคนผู้นี้นัก หลี่ฮุ่ยจือยังคงมองมาด้วยสายตาที่เหมือนอยากจับเขากลืนลงท้องแต่ก็ถอนหายใจอย่างอาลัยอาวรณ์ 

“ข้ามีคำถามที่สงสัย ข้าเห็นสายตาของไป๋ผูอวี้ ข้ามองออกว่าเขาต้องการเจ้าเช่นเดียวกับข้า”ได้ยินอีกฝ่ายพูดจื่อฟางจึงครุ่นคิดในใจว่ามองออกง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ “เจ้ากับไป๋ผูอวี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่”

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องยุ่ง”เขาพึมพำบอก หลี่ฮุ่ยจือหัวเราะเสียงต่ำ “ท่านพ่อออกปากเตือนข้าว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงโปรดปรานเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าเกรงว่าเจ้าจะทำให้คนผู้นั้นเดือดร้อนเสียเปล่า ๆ ไม่มีสิ่งใดที่ฮ่องเต้อยากได้แล้วไม่ได้หรอก เจ้าน่าจะรู้ดี เสิ่นจิ้งเฟย”

จื่อฟางไม่ได้ตอบโต้เพราะรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีส่วนถูก หลี่ฮุ่ยจือเหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้ง “เจ้าควรระวังตัวด้วย ข้าได้ยินท่านพ่อคุยกับสหายว่าองค์ชายใหญ่ต้องการแก้แค้นสกุลเสิ่น”เจ้าตัวมีท่าทีลังเล เลียริมฝีปากที่เริ่มแห้ง แววตาสั่นไหว   

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักแต่เจ้ารู้จักข้าดีว่าต่อให้ตายข้าก็ไม่คิดร้ายกับเจ้า แต่ดูเหมือนพ่อข้าจะไม่คิดเช่นนั้น เสิ่นจิ้งเฟย ข้าจะไม่ยอมให้ท่านพ่อทำร้ายเจ้าเด็ดขาด”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดพ่อเจ้าต้องอยากทำร้ายข้าด้วย”จื่อฟางมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนักหรือหลี่ฮุ่ยจือไปรู้เรื่องใดมา

“ไว้ข้าจะบอกเจ้าวันหลัง ข้าต้องกลับก่อน ท่านพ่อไม่อยากให้ข้าสนิทชิดเชื้อกับเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือถอนหายใจ มองหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวจากไปด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก จื่อฟางมองส่ง อัครเสนาบดีหลี่คิดทำร้ายเขา?นี่เป็นเพียงเรื่องที่บุตรชายของฝ่ายนั้นมายุ่งกับเสิ่นจิ้งเฟยจนมีข่าวซุบซิบน่าเกลียดหรือมีเรื่องอื่นใดแอบแฝงด้วย เขานึกไปถึงคำพูดของใต้เท้าเฉินที่บอกว่าสกุลหลี่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เรื่องการเมืองจะเป็นไปได้หรือ อย่างน้อยสกุลหลี่ก็คงไม่ปล่อยสกุลเสิ่นไว้แน่   

จื่อฟางพ่นลมหายใจออกมาจนเกิดไอลอยอยู่ในอากาศหนาวเย็น เขากระชับเสื้อคลุมก่อนเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายกลับมาด้วยสภาพปกติก็โล่งใจ หลี่ฮุ่ยจือคงกลับไปแล้ว ระยะนี้สกุลหลี่ไม่ได้แสดงท่าทีใดเป็นพิเศษ นึกถึงอัครเสนาบดีหลี่ลั่วหวั่นก็ยิ่งไม่ชอบใจ ฝ่ายนั้นไม่มีทางที่จะปล่อยสกุลเสิ่นไว้เป็นเสี้ยนหนาม

เสิ่นมู่หยางถึงได้ระวังตัวทุกฝีก้าวไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายเล่นงานได้ แม้กระทั่งที่อยู่ของอนุยังตามเจอยาก ไม่นานมานี้เขาได้ยินมาว่าหลี่ลั่วหวั่นโกรธบุตรชายนักหนาที่มายุ่งกับเสิ่นจิ้งเฟย อีกสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะกลัวฮ่องเต้เจี่ยผิงล่วงรู้เข้า แต่ไม่มีเรื่องใดหลุดรอดสายตาของฝ่าบาท ที่ยังไม่จัดการ บางทีพระองค์อาจรอจังหวะเล่นงานสกุลหลี่ทีเดียวก็เป็นได้ เสนาบดีเสิ่นหวังว่าเช่นนั้น

จื่อฟางไม่ทันได้กลับไปยังโต๊ะเดิมเพราะถูกบรรดาขุนนางที่อ้างตัวว่าเป็นสหายของท่านพ่อดึงเขาไปนั่งที่โต๊ะ ตอนแรกเขาคิดปฏิเสธแต่เสิ่นมู่หยางส่งสายตาบังคับมาให้ เขาจึงจำต้องนั่งร่วมวง กวาดตามองผ่านๆ ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งอยู่กับใต้เท้าเฉิน เด็กหนุ่มถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มสุราไปเกือบๆสี่จอกจนเริ่มมึนศีรษะ รับรู้ว่าท่อนไม้ไป๋มองมาเป็นระยะ   มองอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก 

“เสิ่นจิ้งเฟย ไหนๆเจ้าก็สอบได้ไม่คิดรับราชการเล่า ข้าว่าฝ่าบาทคงชอบใจ”คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆแต่เมื่อถูกสายตาของเสิ่นมู่หยางมองปราดก็หุบปากฉับ จื่อฟางเห็นใจเสนาบดีเสิ่นอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าถูกพวกขุนนางสองหน้าเอ่ยวาจาเยาะเย้ยว่าอย่างไรบ้าง แต่ความเห็นใจของเขาก็หายไปเมื่อนึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟย

“หากข้าต้องเป็นอย่างพวกท่าน ข้าไม่ทำหรอก”จื่อฟางตอบกลับเสียงเรียบ กุมจอกสุราไว้ก่อนยกดื่ม อารมณ์คุกรุ่นอยู่ในอก คนที่เอ่ยถามหน้าแห้งไป เขายกยิ้มวางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง อาการมึนหัวทำให้เขายิ่งอารมณ์ไม่ดี เริ่มรู้สึกร้อนไปทั่วร่าง หยางชวีที่หายไปครู่ใหญ่อยู่ๆก็โผล่มายืนซ้อนด้านหลังจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ส่งสายตาหงุดหงิดไปให้

“เจ้าหายไปไหนมา”จำได้ว่าเสิ่นมู่หยางพูดอะไรบางอย่างกับเจ้านี่ เขาย่นคิ้วเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบแต่คว้าแขนเขาไว้หลวมๆ

“คุณชายเจ้าเมาแล้ว เจ้าพาเขาไปพักบนชั้นบน”เสิ่นมู่หยางเอ่ย เขาถูกผู้ติดตามพาไปยังชั้นบน จื่อฟางยังคงมึนงง เขาเหลียวมองไปรอบตัว ไป๋ผูอวี้จ้องเขาเขม็งด้วยสายตาที่ทำให้เขาหนาวสันหลัง

“หยางชวี เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”เขาพึมพำถามเมื่อมาถึงชั้นบนแล้ว ร่างตรงหน้าถอนหายใจพาเขาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง

“นายท่านให้ข้าเตรียมห้องไว้ให้คุณชาย”หยางชวีตอบสั้นๆ ก่อนผลักประตูห้องเปิดออก จื่อฟางนวดขมับถูกดันเข้ามาในห้องที่มีเพียงแสงสลัวเท่านั้น ประตูห้องปิดลง เขาทันมองเห็นสีหน้าหนักใจของผู้ติดตาม     

“คุณชายเสิ่น”เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากในห้อง เด็กหนุ่มเหลียวมอง ตั้งสติจนจำได้ว่าเจ้าของร่างบางคือผู้ใด

“ลู่เจียง”เขาพึมพำ เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่เสิ่นมู่หยางเรียกหยางชวีไปคุยก็คงเพราะเรื่องนี้

“คุณชายไม่ต้องห่วง ข้าไม่ล่วงเกินท่านหรอก”ลู่เจียงเอ่ยหยอกล้อ นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกาย นางไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกับคุณชายเสิ่นมากนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าคุณชายตรงหน้าแตกต่างจากคุณชายที่นางเคยเจอ จะว่าไปแล้วคุณชายเสิ่นมีท่าทีเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่นัดเจอหลิวอ๋อง

“ข้ามึนหัว”จื่อฟางพึมพำนั่งลงบนเตียง พยายามข่มความร้อนรุ่มที่กำลังก่อตัว กลิ่นหอมจากหญิงคณิกาทำให้เขาไม่สบายตัว โดยเฉพาะจุดกึ่งกลางลำตัว ลู่เจียงเอียงศีรษะมองเขารอยยิ้มจางปรากฏอยู่ แม้จะมองเห็นไม่ชัดแต่รอยยิ้มนั้นเหมือนเป็นรอยยิ้มล้อเลียน

“ข้าได้ยินว่าท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายไป๋ น่าแปลกนัก”นางเปรย คุณชายเสิ่นที่นางรู้จักไม่มีทางทำตัวสนิทสนมกับคุณชายไป๋ บุตรชายคหบดีร้านน้ำชาแน่ นางมองสำรวจอย่างใคร่รู้ เสิ่นจิ้งเฟยแปลกไปที่ตรงไหนกันหนอ 

“ลู่เจียง ข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิมที่เจ้าเคยรู้จัก”จื่อฟางกล่าว คลายชุดคลุมกันหนาวออกเพราเริ่มรู้สึกร้อน เขาไม่มีทางปล่อยนางให้อยู่ในหอผูเยว่ เขาจะทำตามคำสัญญาที่เสิ่นจิ้งเฟยให้ไว้ แม้เจ้าตัวจะไม่คิดอยากช่วยก็ตาม

“ข้ารู้”

“เจ้ารู้?”จื่อฟางตาโต คงไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอกกระมัง

“เพราะท่านไม่เหมือนเดิม คุณชายเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”ลู่เจียงบรรยายไม่ถูก แต่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยในยามนี้ดูเข้าหาง่าย ปกติแล้วยามที่คุยกับคนผู้นี้มักเหมือนมีกำแพงขวางกั้น

“ข้าขอโทษด้วยที่ไม่มีโอกาสไปหาเจ้า เรื่องหลิวอ๋องจบสิ้นเมื่อใด ข้าจะไถ่ตัวเจ้าออกมาจากหอผูเยว่ หากเจ้าอยากกลับบ้านข้าก็จะหาทางช่วย แต่ในตอนนี้ข้ายังทำเช่นนั้นไม่ได้”

“ข้าเข้าใจ ลู่เจียงขอบคุณคุณชายที่ไม่คิดทิ้งข้า”ลู่เจียงขยับมาโอบกอดหลวมๆ ก่อนผละออกไป

“ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ทางกาย ท่านพักผ่อนเถอะ”นางยังพูดไม่จบประโยคดี เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏตัวที่บานหน้าต่าง แม้จะมืดสลัวแต่จื่อฟางจำกลิ่นหอมอ่อนๆของใบชาได้ ไป๋ผูอวี้นั่นเอง

“ข้าดูแลเขาเอง”ไป๋ผูอวี้เข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ

“ไป๋ผูอวี้ เจ้าเองเหรอ”จื่อฟางส่งเสียงเรียกยานคางเล็กน้อย เขาส่ายหน้าไปมาเพื่อเรียกสติ มึนหัววูบ
หนึ่ง รู้ตัวอีกทีร่างผอมบางก็ถูกผู้บุกรุกยกพาดบ่าแล้ว เขามองลู่เจียงที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง นางมองเขากับไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“ดูแลคุณชายเสิ่นด้วย”ลู่เจียงเอ่ยเบา ๆ ยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเสิ่นจิ้งเฟย

“ไม่ต้องห่วง”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ ก่อนมุ่งหน้าไปที่บานหน้าต่าง กระโดดเพียงวูบเดียวก็แตะถึงพื้นดิน การเคลื่อนไหวนุ่มนวลเช่นทุกครา จื่อฟางรู้สึกเหมือนเดจาวู ตัวสั่นเพราะสัมผัสอากาศหนาว นึกได้ว่าถอดเสื้อคลุมไว้ในห้อง เสียงเพลงและเสียงหัวเราะยังคงดังมาจากโรงเตี๊ยมเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง รอบตัวปราศจากผู้คนมีเพียงความมืด แสงโคมไฟจากใต้หลังคาร้านรวงเท่านั้น แต่สงบได้ไม่นานเงาร่างอีกร่างก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เจ้าจะพาคุณชายไปที่ใด”หยางชวีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือแววขุ่นเคือง ตวัดสายตามองไป๋ผูอวี้ที่จับเสิ่นจิ้งเฟยพาดบ่าเหมือนเป็นกระสอบป่าน

“คุณชายของเจ้าเมา ข้าจะพาเขากลับจวน”ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่ม ไม่สะทกสะท้านกับท่าทีของหยางชวี จื่อฟางขยับตัวอยู่บนบ่ากว้างอย่างไม่สบายตัว กลิ่นหอมอ่อนๆของไป๋ผูอวี้ทำให้ท้องน้อยปั่นป่วน

“เป็นหน้าที่ข้า ไม่ใช่ของเจ้า ปล่อยคุณชายข้าลงเดี๋ยวนี้”ผู้ติดตามส่งเสียงเย็นชาอย่างที่เขาไม่ค่อยได้ยินนัก

“หยางชวี ข้าไม่เป็นไรหรอก”เขารีบบอกก่อนที่จะเกิดเรื่อง

“เสียใจด้วย ข้าจะพาเสิ่นจิ้งเฟยกลับเอง”ไป๋ผูอวี้ยังคงตอบด้วยเสียงสุภาพ วางมือข้างหนึ่งลงบนแผ่นหลังของคุณชายเสิ่น ร่างนั้นตัวสั่นน้อยๆเพราะอากาศหนาวหรือเพราะสัมผัสของเขาก็ไม่แน่ใจนัก

“หยุดเถียงกันได้แล้ว ข้าไม่อยากหนาวตายอยู่ตรงนี้”จื่อฟางโพล่งออกมา ตบแผ่นหลังของไป๋ผูอวี้เบา ๆ เขาสบตากับหยางชวี

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าอยู่กับไป๋ผูอวี้ไม่เกิดเรื่องใดหรอก”เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่รับรู้ว่าหยางชวีส่งกระแสดำทะมึนออกมา

“ข้าขอตัว”ไป๋ผูอวี้กล่าวจบก็เคลื่อนกายพาเขาไปที่รถม้าที่จอดอยู่ที่ตรอกถัดไป พบเว่ยหลงนั่งรอด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายพอมองเห็นผู้เป็นนายและจื่อฟางก็ทำสีหน้าเหมือนกลืนของบูด

“คุณชายหายไปเพื่อพาเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วย”เว่ยหลงไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ คุณชายของเขาทำตัวเหมือนโจรย่องเบาอีกแล้ว

“รีบเถอะ ข้าไม่อยากให้คนเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เปล่าๆ”คุณชายไป๋ตอบก่อนค่อยๆวางเสิ่นจิ้งเฟยด้วยการเคลื่อนไหวนุ่มนวล เสิ่นจิ้งเฟยมีใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราที่ส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง ร่างบางห่อไหล่ก่อนผลุบเข้าไปในรถม้าอย่างรวดเร็ว

“ขอรับ”เว่ยหลงรับคำ รอให้คุณชายเข้าไปในรถม้า ก่อนจะใช้แส้กระตุ้นม้าเบา ๆ คิดอยู่ในใจว่า
‘คุณชายไป๋เอ๋ย ท่านจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้อีกนานเท่าใด’เขานึกย้อนไปเมื่อตอนที่ยังอยู่ในโรงเตี๊ยม รับรู้ได้ชัดเจนว่าเสนาบดีเสิ่นพินิจมองคุณชายไป๋ เขาไม่อยากคิดว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นหากคนผู้นั้นรู้ความจริง

ในรถม้าไป๋ผูอวี้ถอดเสื้อคลุมให้จื่อฟาง เขาได้กลิ่นอ่อนๆจากร่างนั้นติดมาด้วย ไออุ่นจากร่างใกล้ตัวทำให้เขาขยับออกห่างเพราะความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ในช่องท้อง ไป๋ผูอวี้คล้ายกับไม่รู้ว่าเขามีอาการแปลก ๆหันมองอย่างแปลกใจ

“เจ้าเป็นอะไร ขยับออกห่างอยู่ได้ ข้าไม่กัดเจ้าหรอก”ชายหนุ่มหรี่ตาลง รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างประหลาดนึกถึงหลี่ฮุ่ยจือที่แทบจะสิงร่างคุณชายตรงหน้าก็ยิ่งขุ่นเคือง

“เจ้ากับหลี่ฮุ่ยจือสนิทกันมากหรือ”

“หา ไม่หรอก”จื่อฟางยังคงมึนศีรษะจากสุรา เขามองออกไปนอกม่านพบว่าเส้นทางไม่ได้มุ่งหน้าไปจวนสกุลเสิ่น แต่ไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋   

“เจ้าไม่เห็นบอกว่าจะกลับบ้านเจ้า”

“ข้าไปส่งที่จวนสกุลเสิ่นไม่ได้เพราะคนของฮ่องเต้อยู่ที่นั่น”ไป๋ผูอวี้ตอบ ยังคงไม่ละสายตาไปจากเสิ่นจิ้งเฟย

“เจ้ากับหลี่ฮุ่ยจือมีเรื่องใดกัน เจ้าออกไปคุยกับเขาตั้งนาน”จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมเมื่อสายตาเรียบนิ่งของไป๋ผูอวี้อาบทั่วร่าง

“ไม่มี…”

“ข้าให้โอกาสเจ้าตอบใหม่”ไป๋ผูอวี้ยังคงมองหน้าคุณชายเสิ่น เขาต้องการความจริง เขาได้ยินคุณชายหลี่เอ่ยถึงเรื่องความหลังอะไรสักอย่าง เขาอยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เสิ่นจิ้งเฟยถอนหายใจเบา ๆ

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เขาแค่ขอโทษที่เคยเอาเปรียบข้า”จื่อฟางไม่อยากบอกเรื่องของอัครเสนาบดีหลี่

“ช่างเป็นคนดีนัก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยประชดอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงเหลียวมองอย่างแปลกใจ

“เจ้ากับเขามีความหลังต่อกันจริงหรือเปล่าเล่า”ไป๋ผูอวี้มองข้ามสายตาของคุณชายเสิ่น ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจบนใบหน้าหมดจดที่ยังคงแดงก่ำเพราะสุรา

“ข้าเมา เขากับข้าก็เลยจูบกัน”จื่อฟางพึมพำตอบ ความคิดที่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจูบกับหลี่ฮุ่ยจือทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ภาพนั้นกลับทำให้เขาสะท้านอยู่ในอก อารมณ์ที่ถูกฝังไว้ส่วนลึกพุ่งสูงอีกครั้ง เขาห่อตัวในเสื้อคลุมได้แต่หวังว่าไป๋ผูอวี้จะไม่สังเกตเห็น

ไป๋ผูอวี้นิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยิน “เหตุใดเจ้าถึงได้จูบกับผู้อื่นไปทั่ว”

“ข้าเมา”เขาตอบเสียงแข็ง คนที่จูบไม่ใช่ตัวเขาด้วยซ้ำ “ข้าดื่มสุราแล้วมักจะ เอ่อ มีอารมณ์”ความร้อนลามไปทั่วใบหน้า

ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วอย่างแปลกใจกวาดตามองไปทั่วร่างของคุณชายเสิ่น “แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุของการปล่อยเนื้อปล่อยตัว”

“ก็ได้ ๆ ข้าเข้าใจแล้วท่านไป๋”จื่อฟางแกล้งเอ่ยเสียงนอบน้อม ไป๋ผูอวี้ตีหน้านิ่ง เด็กหนุ่มซุกหน้าลงบนฝามือ รถม้าโขยกเขยกอยู่ไม่นานก็หยุดลง เป็นอีกครั้งที่จื่อฟางรู้สึกว่าโลกหมุน ไป๋ผูอวี้จับเขาพาดบ่าอีกแล้ว

“เจ้าอุ้มข้าดีๆไม่เป็นหรือไง”เขาบ่นระหว่างที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มุ่งหน้าเข้าไปในคฤหาสน์สกุลไป๋ ไป๋ผูอวี้ก้าวพาร่างของเสิ่นจิ้งเฟยตรงไปยังเขตเรือนของตัวเอง บ่าวรับใช้ที่ยังไม่ได้เข้านอนต่างก็มองตาค้าง ไม่เคยเห็นคุณชายไป๋เป็นเช่นนี้ทั้งยังพาเสิ่นจิ้งเฟยคุณชายไม่เอาไหนเลื่องชื่อผู้นั้นกลับมาที่คฤหาสน์อีก เว่ยหลงก้าวตามผู้เป็นนายมาติด ๆ ส่งสายตาไปให้บ่าวรับใช้ที่เหลือ เท่านี้พวกเขาต่างก็รู้ว่าอย่าได้นำเรื่องที่เห็นไปบอกผู้ใดเด็ดขาด อากาศในคฤหาสน์สกุลไป๋ค่อนข้างเย็นกว่าด้านนอกเพราะต้นไม้ที่ปลูกอยู่โดยรอบ

จื่อฟางถูกวางลงในห้องนอนคุ้นตาของไป๋ผูอวี้ เขายังคงมีอาการมึนศีรษะ “เจ้าทำตัวอุกอาจนัก ขโมยตัวข้าเช่นนี้ ท่านพ่อรู้เข้าจะเดือดร้อนกันหมด”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ รู้สึกว่าพูดมากกว่าปกติ เขาถอดเสื้อคลุมออกรวมไปถึงเสื้อตัวกลางจนเหลือเพียงชุดบางๆเท่านั้น

“เจ้าทำอะไร”ไป๋ผูอวี้ได้แต่มองอย่างงุนงง

“ข้าร้อน”เขาตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ เส้นผมสีดำถูกปล่อยยาวสยาย   

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าเมาแล้วก็นอนเสีย”ไป๋ผูอวี้ละสายตามาจากร่างตรงหน้า เสิ่นจิ้งเฟยในชุดบาง ๆทำให้จิตใจอันหนักแน่นของเขาสั่นไหว ไม่มีผู้ใดบอกเจ้ารึว่าอย่าได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น ร่างผอมบางทิ้งตัวลงบนเตียง เงยมองด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์

“เจ้าก็มานอนกับข้าสิ”จื่อฟางกล่าวจบก็คว้าเอวของอีกฝ่ายไว้ ออกแรงดึงรั้งจนร่างสูงเอนมานอนบนเตียงด้วยกัน

“คุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าตัวเขาจะใจเย็นกว่าที่คิด เสิ่นจิ้งเฟยเอาหน้าซุกแผ่นอกของเขา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดชวนให้จักจี้ เขาจับไหล่ของอีกฝ่ายออกแรงดันเบา ๆแต่กลับยิ่งทำให้คุณชายเสิ่นเบียดร่างกายเข้าหา

“ไป๋ผูอวี้ ข้า…”เสิ่นจิ้งเฟยกระซิบเสียงแผ่ว ริมฝีปากบางแตะที่ลำคอของเขาเบาๆ ไป๋ผูอวี้ร้อนวูบไปทั่วร่าง ไม่เพียงแค่ลำคอ แต่ริมฝีปากของชายงามขบจูบไปทั่วใบหน้าของเขา ก่อนเลื่อนมาขบเม้มที่ริมฝีปาก ชายหนุ่มพยายามดันอีกฝ่ายออกอย่างไม่จริงจังนัก ร่างที่แนบชิดส่งเสียงในลำคอราวกับกำลังประท้วง ปลายลิ้นอุ่นแตะเลียริมฝีปากของเขา ไป๋ผูอวี้คว้าหลังคอของอีกร่าง เบียดริมฝีปากแนบชิด เสิ่นจิ้งเฟยเอียงใบหน้าขบจูบราวกับกลัวว่าจะเสียโอกาส ร่างกายของคนทั้งคู่ต่างก็ตอบสนองไปตามเพลิงอารมณ์  ชายหนุ่มรับรู้ถึงฝามือซุกซนของคุณชายเสิ่นที่กำลังกระตุกสายรัดเอวออก

“เสิ่นจิ้งเฟย ไยเจ้าถึงเป็นเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้พึมพำพูดไปก็พยายามแกะมือปลาหมึกของร่างบางออก แต่ยิ่งปฏิเสธคุณชายเสิ่นก็ยิ่งดื้อรั้น เจ้าตัวก้มมากัดที่บ่าของเขาเต็มแรง

“ชู่วว”จื่อฟางยกนิ้วแตะที่ริมฝีปากของไป๋ผูอวี้ โอบกอดร่างอุ่นๆไว้ ก่อนดึงสายรัดเอวออกจนได้ ใช้มือแหวกดึงชุดจนผิวกายเปล่าเปลือยของชายหนุ่มปรากฏตรงหน้า จื่อฟางไม่รอช้าโน้มตัวใช้ริมฝีปากจู่โจมทุกที่ตารางนิ้วที่ริมสัมผัสถึง ขบกัดยอดอกของอีกฝ่ายเบา ๆจนได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอของไป๋ผูอวี้ยิ่งทำให้เลือดในกายพลุ่งพล่าน
เขาผละมามองหน้าของชายหนุ่ม “ข้าต้องการเจ้า”

“เสิ่นจิ้งเฟย…”ไป๋ผูอวี้มองหน้าชายงามอย่างงุนงง คุณชายผู้นี้ดูไม่เหมือนยามปกติหรือเพราะเมาสุรา คำพูดของเสิ่นจิ้งเฟยลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง ข้าดื่มสุราแล้วมักจะมีอารมณ์ เขาทิ้งศีรษะอย่างหมดแรงเมื่อร่างบางยังคงเบียดกายเข้าหา ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วแผ่นอก

“ไม่ได้หรือ”น้ำเสียงออดอ้อนทำให้เขาขบกัดริมฝีปากอย่างหักห้ามใจ ไม่ได้!ตอนนี้เสิ่นจิ้งเฟยไม่เป็นตัวเอง เขาจะไม่ยอมฉวยโอกาสเด็ดขาด

“ไม่ได้ เจ้าไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่”ไป๋ผูอวี้พ่นลมหายใจติดขัดออกมา

“ไหนเจ้าว่าถ้าข้าสอบได้มีของจะให้ข้าอย่างไร”จื่อฟางทวง

“อืม…ข้ายัง…”ชายหนุ่มยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายประกบจูบ ไป๋ผูอวี้ไม่ได้จูบกลับปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยจูบจนพอใจ

“ถ้าหากเจ้าไม่หยุด ข้าจะ…”ไป๋ผูอวี้หายใจหอบ เหตุใดคุณชายท่านนี้ถึงได้ดูชำนาญนัก?

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”เสียงของอีกฝ่ายเริ่มอันตราย แต่จื่อฟางไม่ได้สนใจฟัง ขบเม้มริมฝีปากไปตามลำคอของอีกฝ่าย

“เจ้าจะทำอะไร--”เด็กหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ มือหนาก็เลื่อนมาสัมผัสที่กึ่งกลางลำตัวก่อนออกแรงบีบ

หมับ

“อ๊ากกกก”ไอ้…จื่อฟางปัดมือของไป๋ผูอวี้ออก พลิกตัวออกห่างทันที

“ข้าเตือนเจ้าแล้ว”ชายหนุ่มลุกนั่งจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลมหายใจยังคงถี่กระชั้น จังหวะการเต้นของหัวใจถี่รัว เสิ่นจิ้งเฟยเจ้ามันน่าตีนัก!

“ไป๋ผูอวี้…เจ้าคนชั่ว หากของข้าใช้การไม่ได้เล่า”จื่อฟางกลิ้งไปมา รอให้อาการปวดตุบๆบรรเทา 

“ก็ไม่ต้องใช้”ไป๋ผูอวี้ยิ้มน้อย ๆก่อนก้าวลงจากเตียง หายไปจากห้อง ได้ยินเสียงของร่างนั้นเอ่ยคำสั่งกับเว่ยหลงแว่วๆ ไม่นานนักชายหนุ่มก็กลับมา จื่อฟางนอนมองอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง 

“ยังไม่หายเจ็บอีกหรือ”ฝ่ายนั้นถามด้วยเสียงเจือแววขบขับ

“ให้ข้าจับของเจ้าดูบ้างไหมเล่า”จื่อฟางขึ้นเสียง

ไป๋ผูอวี้ยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย “คุณชายเสิ่น ไยท่านดื้อซนเช่นนี้ เอาไว้คราวหลังดีหรือไม่ ยามที่เจ้าหายเมา ค่อยพูดกับข้าใหม่”

“เจ้า…”

“ลุกไปอาบน้ำ จะได้มีสติ”ไป๋ผูอวี้สั่งกลับมาสู่ท่าทีจริงจัง “แต่ปกติเจ้าก็ไม่ค่อยมีสติอยู่แล้ว”ชายหนุ่มพึมพำ
 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 04-01-2019 09:21:19
เว่ยหลงยกถังน้ำเข้ามาในห้อง สายตากวาดมองไปที่เสิ่นจิ้งเฟยบนเตียงของคุณชายไป๋ เขารีบเบือนสายตาออกมา ตกใจอยู่ไม่น้อย สภาพเช่นนั้น…เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้น คุณชายของเขาก็เช่นกันคิดว่าจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้วหรือไร เว่ยหลงได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ คุณชายไป๋เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ต่อให้พูดจาอย่างไรก็คงฉุดไม่อยู่

“ท่านหลงใบหน้างามๆของเขาแน่ๆ”เขาพึมพำกับตัวเอง ไป๋ผูอวี้เหลียวมองผู้ติดตามคิดอยากเอ่ยอะไรสักหน่อยแต่เว่ยหลงไม่อยู่รอให้เขากล่าววาจาตักเตือน ร่างกำยำนั้นหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
จื่อฟางก้าวลงจากเตียงโอดครวญเบาๆเมื่ออาการเจ็บยังไม่ทุเลา เจ้ามันร้ายกาจนัก เจ้าท่อนไม้ไป๋

จื่อฟางใช้เวลาอาบน้ำอย่างรวดเร็ว สวมเสื้อผ้าถูกเตรียมไว้เป็นชุดของไป๋ผูอวี้ กลิ่นหอมอ่อนๆประจำตัวของร่างนั้นติดมาด้วย เขาเลิกคิดฟุ้งซ่านรีบแต่งตัวจนเสร็จเมื่ิอออกมาจากฉากกั้น ก็พบว่าไป๋ผูอวี้เตรียมน้ำสมุนไพรแก้เมาไว้แล้ว ส่วนชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวด้วยสีหน้าสุขุม จื่อฟางถือถ้วยยาร้อน ๆมากุมก่อนจิบช้า ๆ ใช้สายตาพินิจมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
 
“เจ้ามีเรื่องใดอยากพูดหรือ”อีกคนเอ่ยถามโดยที่ไม่ละสายตาจากตำรา

“ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งอนุ”จื่อฟางพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย เขาสังเกตว่าไป๋ผูอวี้ชะงักเล็กน้อย

“อืม…แล้วเจ้าว่าอย่างไร”ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษ แต่สายตาไม่ได้เลื่อนอ่านที่จุดใด

“ข้ายังไม่อยากแต่ง ข้ายังอยากเล่นสนุกอยู่ ท่านพ่อบังคับข้าไม่ได้หรอก”เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“แต่การแต่งงานมีบุตรถือว่าเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่ง อย่างไรเสียก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

“ความกตัญญูแสดงออกได้หลายทาง อีกอย่างเสิ่นมู่หยางคงไม่ต้องการจากข้าหรอกกระมัง”จื่อฟางพึมพำนึกถึงน้องชายต่างมารดาของเสิ่นจิ้งเฟย เด็กคนนั้นหน้าตาท่าทางฉลาดเฉลียว เสนาบดีเสิ่นคงพอใจ จื่อฟางรู้ว่าอีกไม่นานเสิ่นมู่หยางต้องแนะนำให้คนทั้งคู่ให้เด็กหนุ่มรู้จักอย่างเป็นทางการ เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นทุกวัน จะให้อยู่ในเงามืดย่อมไม่ได้ 

ไป๋ผูอวี้ได้ยินที่คุณชายเสิ่นพึมพำ แต่ไม่รู้จะเอ่ยปลอบอย่างไรดี เขารู้สึกโชคดีที่บิดาเป็นคนรักเดียวใจเดียวต่อมารดาไม่แปรผัน แม้กระทั่งนางจากไปแล้วก็ไม่คิดมีผู้ใด

“แล้วเจ้าเล่าอยากแต่งงานหรือไม่”จื่อฟางย้อนถามบ้าง อายุอานามของอีกฝ่ายมากกว่าเขา น่าจะถูกกดดันเรื่องแต่งงานเช่นกัน

“ยามนี้ข้ายังไม่สนใจเรื่องสร้างครอบครัว”ไป๋ผูอวี้ตอบโดยไม่หยุดคิด เกิดความเงียบอยู่นานสองนาน จื่อฟางดื่มน้ำสมุนไพรจนหมดถ้วย

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าขอถามเจ้าบ้าง หากวันใดฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าอยู่ข้างกาย เจ้าจะทำเช่นไร”ไป๋ผูอวี้ละสายตาจากตำรามองไปยังเด็กหนุ่มใบหน้างดงามที่สวมชุดสีเทาอ่อนเรียบง่าย เส้นผมแผ่สยายทำให้ร่างนั้นดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ

“หากไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าจะหนี”จื่อฟางตอบ

“หนี?เจ้าจะหนีไปที่ใดได้”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ร่างผอมบางได้แต่ไหวไหล่“ในป่ากระมัง”

“ข้าไปกับเจ้าไม่ได้หรอกนะ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหยอกล้อ ยังไม่ใช่ตอนนี้

“ข้าก็จะไปคนเดียว”จื่อฟางเคยใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาก่อนคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ ความเงียบกลับมาครอบงำอีกครั้ง

“ไป๋ผูอวี้ ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า”

“ข้าฟังอยู่”อีกฝ่ายเลิกคิ้วรอฟัง

“ข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิมที่เจ้าเคยรู้จัก”จื่อฟางเอ่ยช้าๆ ไป๋ผูอวี้เงยหน้ามอง นัยน์ตาสีเข้มสั่นไหว ใบหน้ายังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง

“เจ้าหมายถึง…”

“หมายถึงข้าเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม แต่ก็ยังเป็นข้า”จื่อฟางจงใจใช้คำให้งุนงง ไป๋ผูอวี้มองเขาด้วยดวงตาเรียบนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนยกยิ้มจาง

“จะอย่างไรก็ช่าง ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”

“ข้าก็ชอบเจ้าเช่นกัน”จื่อฟางพึมพำกับตัวเองเบาๆ



------------------
มาแล้ววววว ค่อยๆเป็นไปตามสเต็ปเนอะ ไม่อยากให้ได้กันเร็ว ประเด็นคือเขินเขียนฉากจึกๆไม่ค่อยออก จะมาอัพบ่อยๆแล้วค่ะ ไว้เจอกันจ้า! :L2: :กอด1:

 ป.ล.เคยคิดอยากให้เรื่องนี้เป็นฮาเร็มนิยายไร้สาระ ตัวละครทุกตัวสร้างมาเป็นฮาเร็มน้องจื่อแม้กระทั่งเสิ่นจิ้งเฟย(ว้าย)แต่ตอนนี้เปลี่ยนพล็อตแล้ว555มิอย่างนั้นจะได้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเมะ ฮ่าๆๆ ประหลาดสุด :laugh:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 04-01-2019 09:25:27
 :katai4: ยังไม่จึกก็ได้ค่ะ ขอฉากฟินก็พอ5555 :-[  พี่ไป๋แกใจร้ายไปแล้ววว :laugh: บีบของน้องหน้าตาเฉยเลย ระวังโดนเอาคืนนะคุณพี่ :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 04-01-2019 12:14:07
อ่านตามมาตั้งแต่เมื่อคืน ทันแล้วว เอ็นดูน้องมาก แอบใจหายตอนที่บอกว่าจะหนีไปอยู่ในป่าคนเดียว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-01-2019 15:26:30
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจมาอัปบ่อยๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 04-01-2019 16:43:19
ทำไม อ่านแล้ว ฟิน แบบ หน่วง ๆ

หรือรู้สึกไปเอง ฮะ ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-01-2019 17:27:28
ท่าทางจะหาความฟินยากแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-01-2019 18:21:33
สงสารน้องที่พ่อไม่รักษาคำพูดจริง ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 04-01-2019 18:36:37
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-01-2019 18:48:23
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ ค่ะ ไรท์ 
ขอให้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต......
ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรงนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
คิดถึงเรื่องนี้มากๆ เลย มาเป็นของขวัญปีใหม่พอดี   :mew1:

คุณชายไป๋ ควบคุมตัวเองดีเกินไปหรือเปล่า   :z3:
คนอ่านเลยอดเผือกเลย  :เฮ้อ: :mew2: :serius2:
สนุกมากกกกกกกกก   อยากอ่านต่ออีกแล้ว   :ling1:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 04-01-2019 19:23:36
สงสารจัง
แต่อิจฉาที่ได้คุณชายไป๋
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 04-01-2019 20:09:46
คิดถึง​นะคะไรท์​ ขอบคุณ​สำหรับของขวัญ​ปีใหม่ค่าาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-01-2019 20:11:45
ท่อนไม้ไป๋! เจ้าทำร้ายจื่อฟางน้อยทำไม
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 04-01-2019 21:19:56
คุณชายไป๋คือพ่อพระอดกลั้น ไม่ชิงสุกก่อนห่าม. จื่อฟางโดนบีบไข่
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 04-01-2019 22:28:19
พ่อท่อนไม้ของข้า​ โถ่ว​ คราวหน้าถ้าปกติก็ได้ใช่มั้ยค่อยๆบอกแล้วว่าไม่ใช่คนเก่า​ ​
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 04-01-2019 22:32:32
เฮ้ออ หนักใจไปกับน้องจื่อฟางจริงๆเลยน้าาา เชื่อใครได้บ้างเนี่ย

สู้ต่อไปนะน้องงง และคุณคนเขียนด้วย

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-01-2019 23:55:01
หัวใจสั่นมากที่บอกว่าไปกะน้องไม่ได้ ถึงคุณไป๋จะล้อเล่นก็เถอะ อยากกอดน้อง ทำไมต้องหลุดมาเจออะไรวุ่นวายขนาดนี้ แง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 05-01-2019 08:03:19
 :mew1: :katai5: :katai5: :katai5:
เป็นกำลังใจให้ค่าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-01-2019 09:40:11
โถ่ววว นึกว่าจะเสร็จน้อง 5555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-01-2019 20:19:05
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 06-01-2019 04:01:45
แงงง ในที่สุดก็มาต่อแล้วขอบคุณไรต์มากๆนะคะ แอบเชียร์ฮ่องเต้กับจิ่งเฟ่ยตัวจริงง ชอบเวลานังแอบด่าฮ่องเต้ :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 06-01-2019 04:41:42
โถ่ววว  เจ้าท่อนไม้ไป๋  :katai1: :katai4: :ling1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Sedsawa ที่ 06-01-2019 12:38:22
แอบอยากให้น้องเสิ่นเป็นเมะ-////- รุกน้องจื่อไปเลย!! นี่จิ้นเองจริงจังเเล้วค่ะ ของสวยๆงามๆคู่กัน :impress2:  :hao6: เสิ่นจื่อๆ แค่กๆๆๆ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 06-01-2019 18:26:49
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ทำไมฉากเข้าพระเข้านางตลกแบบนี้ โถ่วว ลูก เกือบแล้วไหมละ

คู่ตัวจริงจะว่าไปก็เป็นคู่ที่ผูกพันธ์กันมานาน ไม่ไปจากกัน อยู่ด้วยกันเรื่อยๆ
คนที่มีอำนาจมีทุกอย่าง ยกเว้นความรัก
กับเด็กที่ขาดความรัก โดนทอดทิ้ง หักหลัง
จะไปกันยังไง จะปลงใจได้ไหม

ส่วนคู่รักก็จะมีรักเรื่อยๆ ฟินๆไปตลอด

เนื้อเรื่องค่อยๆคลายปม แต่ดูยังมียาว อาจใกล้ช่วงชิงบังลังก์แล้วก็ได้

แต่งเก่งวางเรื่อง ชอบนิยายจีนโบราณจัง

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเจ็ด: คนงามกับสุราไม่ใช่ของคู่กัน P.16 04/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 06-01-2019 21:17:34
เพิ่งตามอ่านทัน สนุกค่ะ ลุ้นๆ คุณชายไป๋นี่ก็ไม่ธรรมดานะ  น้องจื่อก็ปัญหารุมเร้าจริงๆ

รอตอนต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-01-2019 05:03:17

                บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง

เป็นวันที่หิมะตกหนักลมแรงจนอากาศเย็นบาดผิว จื่อฟางขลุกตัวอยู่ในห้อง สวมชุดคลุมขนแพะหนาเตอะ ซุกเตาอุ่นไว้ในอกเสื้อเพิ่มความอบอุ่น ทั้งยังจุดกระถางไฟในห้อง เขาเกลียดสภาพอากาศเช่นนี้จริง ๆ ใต้เท้าเฉินฉางเซียงยังไม่ได้กลับเมืองเสียนหยางเพราะอากาศอันเลวร้ายเช่นกัน ชายแก่ต้องรอให้หิมะเบาถึงจะได้กลับ


ขยับมือที่เริ่มแข็งไปมาขณะที่ออกแบบร่างผังร้านค้าที่คิดไว้ แม้ว่ายังไม่ได้ตกลงเรื่องนี้กับเสิ่นมู่หยางแต่เขาก็แอบไปเจรจากับเถ้าแก่ชวีเจ้าของที่ดินคนเก่ามาแล้ว ทีแรกเถ้าแก่ไม่ยอมขายที่ดินทำกิน

จื่อฟางจึงเสนอจ่ายค่าเช่าเดือนละหลายตำลึงทองจนเถ้าแก่ชวีคล้อยตาม จากนั้นเขาก็ประกาศหาช่างไม้ฝีมือดีเพื่อรับงานก่อสร้าง แต่เพราะอากาศหนาวเย็นยังทำให้ไม่สามารถลงมือก่อสร้างได้จึงทำได้แค่รื้อถอนร้านผ้าของเถ้าแก่ชวีออก จื่อฟางใช้ตั๋วเงินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน กับเสิ่นมู่หยางไว้ค่อยคุยทีหลัง ต่อให้อีกฝ่ายแย้ง เขาก็จะทำในเมื่อตั้งใจไว้แล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ

จางต้ากำลังต้มโสมที่หมอกู้นำมาให้ใหม่อยู่ตรงมุมห้อง หมอชราบอกว่าช่วงเหมันต์ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าปกติ ต้องบำรุงให้ดีจึงมีการปรับเปลี่ยนยาเล็กน้อย ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยอ่อนแอนัก จื่อฟางคิดก่อนละมือจากงานตรงหน้า เหลือบมองพัดลายดอกเหมยที่มีพู่หยกสลักลายหยูอี้เจี๋ยประดับวางอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบพัดกระดาษคลี่เปิดออกช้า ๆ ตัวอักษรเป็นระเบียบที่มุมขวามือปรากฏให้เห็น พัดเล่มนี้เป็นของที่ไป๋ผูอวี้ที่มอบให้เขาเมื่อสามวันก่อน ร่างบางยกยิ้มน้อย ๆเมื่อนึกถึงเรื่องวันนั้น

‘เจ้าคงหายเมาแล้วกระมัง ข้ามีของจะมอบให้’ไป๋ผูอวี้เดินไปเปิดตู้ลิ้นชักหยิบกล่องยาวเล็ก ๆออกมายื่นให้

‘สำหรับที่เจ้าสอบได้เป็นซิ่วไฉ ไม่ใช่ของมีราคา เจ้าอาจจะไม่ชอบ’จื่อฟางเงยหน้ามองบุรุษอีกคน เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นไป๋ผูอวี้ตกประหม่า แต่ถึงอย่างนั้นร่างตรงหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าหล่อเหลา

‘ของที่เจ้ามอบให้ ข้าล้วนชอบหมด’เขาพึมพำ ไม่สบตาอีกฝ่ายก่อนเปิดกล่อง พบกับพัดหนึ่งเล่มมีพู่หยกลายหยูอี้เจี๋ยสลักอย่างประณีตประดับอยู่ จื่อฟางคลี่พัด ปรากฏว่าเป็นลายดอกเหมยพานให้นึกถึงจุมพิตในคืนนั้น ร่างผอมบางเม้มริมฝีปาก ตวัดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้า ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดแต่นัยน์ตาแฝงรอยยิ้มคล้ายกับล่วงรู้ความคิดของเขา

จื่อฟางกระแอม ‘ขอบคุณมาก ข้าจะเก็บไว้ข้างกาย’ขณะที่พูดมือเรียวก็ลูบหยกสีเขียวอ่อนไปด้วย

‘ช่วงเหมันต์เจ้าไม่จำเป็นต้องพกหรอกกระมัง’นัยน์ตาของไป๋ผูอวี้เป็นประกาย

เขาแสร้งทำสีหน้าสงสัยส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้ ‘เจ้าไม่อยากให้ข้าพกติดตัวไว้ตลอดหรือ เป็นของดูต่างหน้าเวลาข้ากับเจ้าห่างกัน’

‘ข้ามอบให้เจ้าแล้วอยากทำสิ่งใดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า’ไป๋ผูอวี้ตีหน้านิ่งเฉย เบนสายตากลับไปอ่านตำราอีกครั้ง จื่อฟาวหรี่ตาลง เจ้านี่ชอบทำตัวเป็นท่อนไม้เสียจริง เขาก้มมองพัดในมืออย่างครุ่นคิด นึกถึงเรื่องบางอย่างได้ ดวงตาจึงเปล่งประกาย

‘ไป๋ผูอวี้…รบกวนเจ้าเขียนบทกลอนให้ข้าที’เขาเอ่ย เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อีกมุมของห้อง คลี่พัดวางลงบนโต๊ะ หยิบหมึกมาฝนอย่างถือวิสาสะ เจ้าของห้องเงยหน้ามองแต่ก็ยอมลุกจากที่นั่งมาหา กลิ่นชาอ่อนๆลอยเข้าจมูกเมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ยกชายเสื้อคลุมนั่งลงตรงหน้า ไป๋ผูอวี้พินิจมองคุณชายเสิ่นอย่างใช้ความคิดว่าควรเขียนบทกลอนใดลงไปดี เขายกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ ชายหนุ่มหยิบพู่กันจรดลงบนพัด ค่อยๆตวัดลายเส้นอย่างบรรจง ตัวอักษรงดงามปรากฏให้เห็น

‘ดอกเหมยร่วงหล่น’

จื่อฟางจ้องมองตัวอักษรบนพัดก่อนใช้มือลูบช้า ๆ ลายมือของไป๋ผูอวี้หนักแน่น บ่งบอกตัวตนของผู้เขียน เขาเหม่อลอยไปถึงเหตุการณ์วันนั้น เรื่องระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้คล้ายเป็นความฝัน ในโลกแห่งความเป็นจริงเขายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ


ไม่ได้ติดต่อหลิวอ๋องสักพักแล้วคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวบ้าง ยังคิดอยู่ว่าจะเอาเรื่องใดไปรายงาน เรื่องของไป๋ผูอวี้เขาเองก็ไม่ค่อยล่วงรู้มากมายนัก 

“ข้าอยากรู้นักว่าท่านอ๋องวางแผนใดไว้”จื่อฟางพึมพำ แน่ใจว่าคนผู้นั้นต้องมีกองกำลังพอสมควรถึงได้คิดก่อกบฏใต้จมูกฮ่องเต้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงขี้ระแวงเพียงนั้น ไม่มีทางที่ท่านอ๋องจะเป็นคนลงมือเคลื่อนไหวเอง หลิวอ๋องย่อมมีกำลังอยู่ภายนอก เขาไม่คิดว่าคนอย่างหลิวอ๋องจะร่วมมือกับพวกนอกชายแดนหรือแม้กระทั่งองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ หลิวอ๋องต้องการบัลลังก์ไม่น่าอยากร่วมมือกับคนที่เคยถูกปลด เพราะเป้าหมายขององค์ชายใหญ่ก็คือทวงคืนตำแหน่งเดิม สองคนนั่นไม่มีทางตกลงกันลงตัว

หลิวอ๋องเจี่ยซิน องค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิง พวกเขาต่างมีกำลังของตัวเอง ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวตรง ๆ ผู้ใดจะเป็นคนลงมือก่อน?เขาขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ในบรรดาสามคนนี้เขายังไม่เคยเจอองค์ชายใหญ่ แต่คนผู้นี้ส่งคนมาทำร้ายเสิ่นจิ้งเฟยถึงสองรอบ เหตุใดถึงปล่อยให้ร่างนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้อีก

มีอะไรอีกนะ นึกให้ออกสิ เขาต้องนึกให้ออก จื่อฟางหลับตาลง ความรู้สึกบางอย่างกระทุ้งอยู่ในอก จางต้าลอบมองมาจากมุมห้องเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นทำท่าทีแปลกประหลาด

‘ข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดมานานถึงเพียงนี้ เสิ่นจิ้งเฟยเจ้ามีสิ่งใดจะพูดก่อนตายหรือไม่’

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำถือดาบคมปลาบจ่อมาที่ลำคอของเสิ่นจิ้งเฟย แสงจันทร์นวลส่องแสงสะท้อนกับปลายดาบแหลมคม ร่างสูงตระหง่านตรงหน้าสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ปกปิดใบหน้าจนเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างลักษณะเช่นไร


ใบหน้าหมดจดกลืนน้ำลาย ความหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วร่าง หัวใจเต้นถี่แรง คนผู้นี้คือคนที่ส่งคนมาทำร้ายถึงสองครั้ง แต่ละครั้งก็ทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา ทั้งจิตใจและร่างกาย เขากลอกตามองไปรอบตัวอย่างหมดหวัง ไม่คิดว่าการมานั่งรับลมที่หลุมศพกระต่ายฮ่าวฮ่าวจะจบลงเช่นนี้ ในใจคิดสงสัยว่าคนผู้นี้หลุดรอดสายตาสุนัขของฮ่องเต้เข้ามาในฉางอันได้อย่างไร

‘องค์ชายใหญ่…’หรือต้องเรียกว่าช่างอิ่น นามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงตั้งให้ใหม่

‘ข้ามิใช่ นามของข้าคือเจี่ยอี้ ต้องขอบคุณปู่ของเจ้ากับพี่ชายข้า’ร่างนั้นแค่นเสียง แววตาเป็นกระกายวาบในความมืด คมดาบกดลงบนลำคอมากขึ้น

‘ฆ่าข้าแล้วได้อะไร ปู่ของข้าก็ตายไปแล้ว’

‘ข้าคิดว่าเจ้าฉลาดกว่านี้เสียอีก’องค์ชายใหญ่เจี่ยอี้เอ่ยเสียงเย็นชา ไม่สนว่าออกแรงจนคมดาบบาดเข้าผิวกายอันบอบางของเสิ่นจิ้งเฟย

‘ข้าตายไปก็เท่านั้น ท่านได้ความสะใจแล้วอย่างไร มิสู้มาทำข้อตกลงกันไม่ดีกว่าหรือ’เสิ่นจิ้งเฟยเสนอ รู้ดีว่ากำลังเล่นกับไฟ คนผู้นี้ไม่มีทางไว้ชีวิตตนแน่

เจี่ยอี้หัวเราะเสียงต่ำ ยอบกายลงจนนั่งอยู่ในระดับเดียวกัน เสิ่นจิ้งเฟยถูกสายตาคมปราบจ้องมองจนเหงื่อซึม

‘เจ้าเสนอข้อตกลงให้เจี่ยซินด้วยกระมัง ไม่คิดว่าน้องชายข้าจะวิปริตด้วยกันทั้งสองคน’สายตาเหยียดหยามของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นจิ้งเฟยโกรธจนหายใจไม่สะดวก เขาขบฟันแน่น

‘ไม่ใช่ข้อเสนออย่างที่ท่านคิด!ไหน ๆท่านก็จะฆ่าข้าแล้ว ก่อนตายก็ให้ข้าได้สมหวังทำลายฮ่องเต้เจี่ยผิง ข้ายินดีทำงานให้ท่าน’

‘คิดว่าข้าจะหลงกลเจ้าหรือ’ปลายดาบตวัด เสิ่นจิ้งเฟยก้มตัวหลบ คมดาบเฉียดผ่านเส้นยาแดงผ่าแปด รับรู้ของเหลวเหนอะหนะไหลเปื้อนลำคอ เส้นผมของเขาหลุดไปกระจุกหนึ่ง


นอนหอบเพราะใช้กำลังลมปราณจากการเคลื่อนไหวไปเมื่อครู่ องค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ก้มมองด้วยสายตาดำลึกที่แผ่รังสีอันตรายออกมา

‘ดูเหมือนเจ้าจะมีกำลังลมปราณอยู่บ้าง ไม่คิดว่าจะยังเหลืออยู่ เจ้าสมควรตายไปตั้งแต่ครั้งก่อนที่โดนยาพิษ  เสิ่นจิ้งเฟย ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่อยากให้เจ้าตาย’มือหนาหยาบกร้านกดที่ลำคอจนเจ็บแปลบ คาดว่าดาบขององค์ชายใหญ่จะสร้างบาดแผลให้เขา เสิ่นจิ้งเฟยไม่ดิ้นหนี เพียงนอนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบราบเรียบแม้ลมหายใจจะติดขัด การมองเห็นเริ่มเป็นภาพเบลอ เขาก็ยังไม่ดิ้นรน

เจี่ยอี้ปล่อยมือออกจากลำคอของเสิ่นจิ้งเฟย เขากระอักกระไออย่างหมดแรง สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

‘ข้าชอบการพนัน สมัยยังเป็นองค์รัชทายาทข้าชื่นชอบไก่ชนเป็นพิเศษ จึงจับไก่ชนที่ดีที่สุดให้พวกมันสู้กันจนตายไปข้าง ตัวที่อ่อนแอพยายามหนีอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะหนีอย่างไร จุดจบก็เหมือนเดิม ผู้แพ้ย่อมหนีไม่พ้น สุดท้ายมันก็ต้องตายภายใต้การจิกตีของไก่ชนอีกตัว เจ้าว่าฟังน่าสนุกหรือไม่’

องค์ชายใหญ่ปลดผ้าคลุมใบหน้าออก เสิ่นจิ้งเฟยขยับใบหน้ามอง เขาต้องการเห็นคนที่ทำร้ายสกุลเสิ่น ชายตรงหน้าแตกต่างจากน้องชายทั้งสองคนอย่างชัดเจน เขามีรูปร่างกำยำอย่างพวกใช้กำแรง ใบหน้ามีรอยแผลเป็นหลายแห่ง ที่เด่นชัดที่สุดคือรอยกรีดที่ข้างแก้ม นัยน์ตาสีดำสะท้อนเพียงความป่าเถื่อนอย่างคนป่า เสิ่นจิ้งเฟยตัวสั่นเล็กน้อย ช่วงหลายปีที่ชายผู้นี้ระหกระเหินหลบหนีจากเงื้อมมือฮ่องเต้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ชื่นชอบการใช้กำลังแต่ไร้สมอง คือคำบอกเหล่าของหลิวอ๋อง แต่ยามนี้องค์ชายใหญ่ไม่คล้ายคนไร้สมองทั้งยังดูชอบการทรมานผู้คนด้วย

‘เสิ่นจิ้งเฟย ข้าจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย’

‘ท่านยอมรับข้อตกลงของข้าหรือ…’เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามเสียงแหบ ไม่ได้รู้สึกโล่งอกแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าคนผู้นี้เพียงปล่อยให้เขาหายใจสะดวกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

‘ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีข้อมูลมากแค่ไหน บอกแผนการของเจี่ยซินให้ข้า แล้วข้าจะพิจารณาดูว่าข้อตกลงของเจ้าคุ้มค่าหรือไม่’องค์ชายใหญ่นั่งขัดสมาธิ ยังคงถือดาบเล่มยาว เสิ่นจิ้งเฟยกัดฟันพยุงร่างกายลุกนั่งอย่างยากลำบาก ใช้มืออีกข้างกุมลำคอที่เลือดยังคงไหลซึม บาดแผลดูไม่ลึกเท่าไหร่

องค์ชายใหญ่ยื่นดาบมาแตะลำคอของเขาเป็นการย้ำเตือน ‘ข้าไม่มีเวลามากนัก’เจี่ยอี้เอ่ยเตือนคลี่ยิ้มที่ทำให้


หนาวเหน็บไปทั้งร่าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัว คนแซ่เจี่ยมีผู้ใดปกติบ้าง

‘แผนการของหลิวอ๋องข้ารู้เพียงบางส่วนเท่านั้น เขาเองก็ไม่ไว้ใจข้า ข้ารู้เพียงว่าหลิวอ๋องวางแผนจะโจมตีวังหลวงและเมืองใกล้เคียงพร้อม ๆกันเพื่อสร้างความวุ่นวาย มีอ๋องครองหัวเมืองอีกเจ็ดแคว้นเข้าร่วมด้วย’

เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเรียบ แต่ในใจสั่นคลอน เดิมทีที่เข้าร่วมกับหลิวอ๋องก็เพียงเพราะอยากแก้แค้นให้ท่านปู่ หลิวอ๋องกรอกข้อมูลมากมายใส่หัวตน ไหนจะคำสัญญาที่ถูกผูกมัด กบฏสำเร็จเขาจะได้พิสูจน์ให้คนเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ หากเขามีอำนาจเขาจะจัดการอะไรก็ได้ มาคิดดูแล้วเขาช่างโง่เขลานักที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้ใด เขาถูกหลิวอ๋องปั่นหัวซ้ำยังหนีไปไหนไม่ได้ ได้เผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ ตัวเขาก็ชักไม่แน่ใจว่าเลือกทางเดินถูกต้องแล้วหรือไม่ เขาต้องการสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเห็นคนผู้นั้นพังทลายจริงหรือ   

‘อ๋องเจ็ดแคว้น…ฮ่า ๆ…เจี่ยผิงเอ๋ย เจ้าจะได้ลิ้มรสของการถูกแทงข้างหลังเสียแล้ว’องค์ชายใหญ่หัวเราะเสียงต่ำ ดวงตาเป็นประกายวาบ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะลบล้างความแค้นของเจี่ยอี้

‘ดี ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้ แต่เสิ่นจิ้งเฟยเจ้าจงจดจำเอาไว้ ยามใดที่เจี่ยซินเคลื่อนไหว เมื่อนั้นก็เป็นเวลาตายของเจ้า’

“คุณชายเป็นอะไรไปขอรับ”จางต้าส่งเสียงถามเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นมีใบหน้าเผือดซีดทั้งยังตัวสั่น เขาละจากหม้อต้มยามาตรวจกระถางไฟก็พบว่าไฟยังไม่มอดดับ

“เปล่า ข้าไม่เป็นไร”จื่อฟางตอบให้บ่าวคนสนิทวางใจ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ความทรงจำที่เห็นยังคงแจ่มชัด เสิ่นจิ้งเฟย ร้ายกาจนัก เกี่ยวข้องกับสกุลเจี่ยทั้งสามคน หนำซ้ำยังทิ้งปัญหาไว้ให้เขา ร่างนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาอย่างไรอย่างนั้น เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงลอยตัวเหนือปัญหาทั้งหมด แล้วจื่อฟางเล่า ต้องมารับกรรมแทนอีกฝ่ายหรือ เจี่ยอี้หรือช่างอิ่นไม่มีทางปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยมีชีวิต ตัวเขานี่แหละที่ตกอยู่ในอันตราย เสิ่นจิ้งเฟย…คงดีใจที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่ ความรู้สึกเห็นใจที่เคยมีให้หายวับไปกับตา

เขาพยายามเรียบเรียงความคิด ไม่คิดว่าหลิวอ๋องเจี่ยซินจะมีกำลังพลมากถึงขนาดนั้น อ๋องทั้งเจ็ดแคว้นร่วมมือกันก่อกบฏต้องเกิดความวุ่นวายแน่อยู่แล้วซ้ำยังแยกกันโจมตีอีก หากฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ทันได้ตั้งตัวล่ะก็…ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงไม่ต้องกล่าวถึง

ยามใดที่เจี่ยซินเคลื่อนไหว เมื่อนั้นก็เป็นเวลาตายของเจ้า

แล้วหลิวอ๋องจะเคลื่อนไหวเมื่อใด? จื่อฟางไม่รู้แผนการของท่านอ๋อง แต่มีอ๋องเจ็ดแคว้นร่วมมือรอโจมตีหัวเมืองสำคัญ ส่วนช่างอิ่น นอกจากชาวหู ก็ไม่รู้ว่ากำลังอีกเท่าใด สิ่งหนึ่งที่รู้อย่างแน่ชัดคือจะให้สองคนนี้เป็นฝ่ายชนะไม่ได้เด็ดขาด องค์ชายใหญ่ไม่มีทางละเว้นสกุลเสิ่น ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับจื่อฟางในตอนนี้คืออยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ควรบอกฮ่องเต้ อย่างน้อยหากนำแผนของหลิวอ๋องไปบอกฝ่าบาทพระองค์จะได้มีเวลาวางแผนรับมือกับการก่อกบฏ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรง 

จื่อฟางนึกถึงสถานที่หนึ่งที่เสิ่นฉินอี้บอกไว้ในจดหมาย เหลียวตง เขาต้องหลบหนีไปที่นั่น แต่ไปคนเดียวหรือนำคนไปด้วยไว้ถึงเวลานั้นค่อยตัดสิน แต่เรื่องนี้ต้องค่อยๆจัดการอย่างแนบเนียน  เขาลุกจากที่นั่งเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด เขาจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ ไม่นับพวกหลี่ฮุ่ยจือ เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่มีมิตรสหายคนไหนอีก ยกเว้น…

“ฟู่เทียนสือ”จื่อฟางไม่แน่ใจว่าสามารถเรียกว่าสหายได้หรือไม่ แต่จังหวะการเต้นของหัวใจถี่เร็วขึ้น เขายกมือถูหน้าอกข้างซ้ายพลางคิดอยู่ในใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยหลงเสน่ห์ของชายใบหน้าคมผู้นั้นเข้าจริง ๆน่ะหรือ? สกุลฟู่เป็นคณะร้องรำ เดินทางไปหลายที่ แวะที่เมืองนั้นเมืองนี้ไม่หยุดพัก หากเขาขอให้ฟู่เทียนสือช่วยเรื่องการหลบหนีย่อมไม่มีผู้ใดสงสัย จื่อฟางมีความหวังขึ้นมา แต่นอกจากความทรงจำเรื่องกระต่ายฮ่าวฮ่าวเขาก็ไม่รู้เรื่องใดเกี่ยวกับฟู่เทียนสืออีก ครั้งล่าสุดที่พบกัน ฟู่เทียนสือบอกว่าจะแวะมาหาเขาที่ฉางอัน หวังว่าจะไม่นานจนเกินไป เสียดายจริง ๆที่ไม่ได้ขอที่อยู่ติดต่อไว้

จางต้าเหลียวมองคุณชายอย่างไม่เข้าใจนักก่อนเอ่ยขึ้น “คุณชาย ข้าน้อยเคี่ยวยาจนได้ที่แล้วขอรับ”

บ่าวคนสนิทยกถ้วยโสมข้นๆมาให้ จื่อฟางพยักหน้า กลั้นใจยกถ้วยยาดื่มจนหมด จางต้าส่งจอกชาอุ่นๆให้อย่างรู้หน้าที่ เขารีบยกดื่มแก้รสชาติขมเฟื่อนของโสมทันที เขาเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ กลับไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือเช่นเดิม ตั้งใจออกแบบร้านค้าให้เสร็จ ใช้เวลาอยู่เกือบสองชั่วยามถึงเรียบร้อย เขากวาดตามองอย่างพอใจ ระหว่างนั้นเสียงของหยางชวีก็ดังอยู่นอกห้อง

“คุณชาย ดูเหมือนว่าจะหาช่างไม้ฝีมือดีได้แล้วขอรับ”

“เจ้าเข้ามาก่อน หนาวถึงเพียงนี้เจ้าทนได้อย่างไร”จื่อฟางร้องบอก นึกไปถึงองครักษ์ของฮ่องเต้ที่เฝ้าอยู่นอกจวน นึกภาพชายปริศนายืนตากหิมะอยู่ด้านนอกก็หลุดขำออกมา หยางชวีปรากฏกายอยู่ในห้อง เกล็ดหิมะติดอยู่ตามเส้นผม

“เจ้าว่าหาช่างไม้ได้แล้วหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามลุกจากที่นั่ง หยิบเตาอุ่นส่งให้ผู้ติดตาม ร่างตรงหน้าไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่รับเตาอุ่นมากุมเงียบๆ

“ขอรับ เขาชื่อชุนเหลียง ข้านัดเขาวันรุ่งขึ้นที่โรงน้ำชาหลิวซื่อตามที่คุณชายบอก”หยางชวีรายงาน จื่อฟางพยักหน้าอย่างพอใจ ที่ไปคุยที่โรงน้ำชาก็เพราะอย่างน้อยจะได้เจอไป๋ผูอวี้ด้วย เขาเหลือบมองท่าทีลังเลของหยางชวีก็เลิกคิ้วรู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้ของผู้ติดตามบ่งบอกว่ามีเรื่องที่อยากเอ่ยแต่ไม่กล้า

“มีเรื่องใด”

“เรื่องของไป๋ผูอวี้ขอรับ”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงแผ่ว จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างสนใจ “มีอะไร”

“ก่อนหน้านี้นายท่านสั่งให้ข้าสืบเรื่องของสกุลไป๋อยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่พบเรื่องผิดปกติใด แต่ระยะหลังมานี้เขามักไปยังสถานที่หนึ่งในสวนลู่ เป็นชุมนุมกวีขับบทกลอน เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกสำหรับคนสกุลไป๋ แต่ข้ากลับพบว่าเขาสนิทสนมกับคุณชายจ้าวเซียวชิงบุตรชายเสนาบดีกรมพระคลัง ข้าเห็นพวกเขานัดเจอกันในรถม้าข้างตรอกใกล้สวนลู่”หยางชวีบอกกล่าวตามที่เห็น ขบฟันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น คนแซ่ไป๋จงใจชัด ๆ คนผู้นั้นจงใจให้เขาติดตามไป

จื่อฟางนิ่งงันไปครู่ใหญ่ สมองใช้เวลาประมวลผลนานกว่าปกติ จ้าวเซียวชิง?เจ้าคนที่ดูง่วงนอนตลอดเวลานั่นน่ะหรือ เป็นไปได้อย่างไร

“ไป๋ผูอวี้สนิทกับบุตรชายขุนนางอย่างจ้าวเซียวชิงเนี่ยนะ”เขาพึมพำ รู้สึกแปลกใจเป็นล้นพ้น ไม่คิดว่าคนอย่างไป๋ผูอวี้จะยอมผูกมิตรกับคนเช่นคุณชายจ้าวที่เป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟย หากมีคนเอาไปพูดคงไม่มีผู้ใดเชื่อ สนิทกับจ้าวเซียวชิงสหายไม่เอาไหนของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย

หยางชวีหรี่ตาลงอย่างไม่ชอบใจ กล่าวเสริม “แต่ว่า…ตอนที่ข้าลอบติดตามเขา ดูเหมือนไป๋ผูอวี้จะรู้ตัวแต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีใด”ผู้ติดตามกล่าวเรียบ ๆ คิ้วขมวดมุ่น ไม่ได้ตาฝาดไปเองที่เห็นไป๋ผูอวี้เหลียวมองตนครู่หนึ่ง วันนั้นเว่ยหลงไม่ได้ตามรับใช้แต่เป็นผู้ติดตามคนที่เขาไม่คุ้นหน้า ฝีมืออ่อนด้อยกว่าคนไร้สมองผู้นั้นหลายขุม

“เขาตั้งใจให้ข้าน้อยตามไป”หยางชวียังคงไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่าย

จื่อฟางเหม่อมองพัดในมือ คิ้วขมวดเข้าหากัน ไป๋ผูอวี้ตั้งใจให้หยางชวีตามไปเห็นว่านัดเจอกับจ้าวเซียวชิง เจ้าท่อนไม้ทำเช่นนั้นย่อมมีเหตุผล 

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจที่มาบอก”

“คุณชายไม่สงสัยหรือ เหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงไปสนิทกับคุณชายจ้าว แล้วไปสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เขาคงมีเหตุผล”จื่อฟางถอนหายใจ ไป๋ผูอวี้ทำเรื่องใดอยู่ เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพวกขุนนางที่เอารัดเอาเปรียบ ทั้งเคยเหม็นหน้าเสิ่นจิ้งเฟยแต่กลับมาคบหากับจ้าวเซียวชิง ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย หรือมีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ จื่อฟางนึกถึงชายท่าทางเบื่อหน่ายเซื่องซึม เมื่อวันงานเลี้ยงฉลองที่คนผู้นั้นทำดีเป็นเพราะรู้จักกับไป๋ผูอวี้น่ะรึ

“อย่างนั้นก็ดี ข้าจะได้มีเรื่องรายงานหลิวอ๋อง”

“ท่านแน่ใจหรือ”หยางชวีเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าคุณชายจะนำเรื่องนี้ไปบอกท่านอ๋อง

“ข้าคิดว่าไม่เป็นไร เขาเห็นว่าเจ้าตามไปแต่ไม่มีท่าดีคงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายกระมัง”จื่อฟางคาดเดา กลับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง เงยหน้ามองหยางชวีเมื่อนึกขึ้นได้

“องครักษ์ของฮ่องเต้ยังอยู่นอกจวนหรือไม่”

“อยู่ขอรับ”จื่อฟางถอนหายใจ เจ้าพวกนี้ติดหนึบเชียว!เขาหยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกมาสองแผ่นเขียนจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนสั้นๆถึงหลิวอ๋อง

‘ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่ พักนี้อ่องเต้ส่งคนมาเฝ้าข้าที่จวนคงไม่ค่อยได้มีโอกาสส่งข่าวถึง แต่เรื่องล่าสุดที่ข้ารู้มาทำเอาข้าแปลกใจยิ่งนัก ไป๋ผูอวี้รู้จักกับจ้าวเซียวชิง’

ส่วนอีกฉบับเขียนถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง

‘ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการพูดคุยด้วยเป็นเรื่องด่วน ท่านนัดสถานที่มา แต่ต้องไม่ใช่วังหลวงข้าไม่อยากให้หลิวอ๋องสงสัย’

“นำไปให้องครักษ์ของฮ่องเต้ที”เขาพับจดหมายส่งให้หยางชวี ฝ่ายนั้นพยักหน้าก่อนออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ

~•~

หลังจากที่นำจดหมายไปส่งที่ร้านเถ้าแก่จาง จื่อฟางซื้อหนังสือเล่มใหม่มาสองเล่มก่อนมุ่งหน้าไปตามตรอกซีหมาน แม้ไม่อยากออกมาเจอกับอากาศหนาวเย็นแต่เมื่อคิดว่าจะได้เจอไป๋ผูอวี้ด้วย เขาจึงกัดฟันฮึดสู้ทั้งๆที่อยากนอนห่มผ้าหนาๆอยู่บนเตียงมากกว่า หยางชวีและจางต้าติดสอยหอยตามมาด้วยเช่นกัน ในรถม้าจุดกระถางไฟให้ความอบอุ่นระหว่างที่แล่นช้า ๆไปตามทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบางมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาหลิวซื่อ แม้อากาศจะหนาวแต่ผู้คนยังมาดื่มชากันตามปกติ


นัดแนะช่างไม้เพื่อมาตกลงราคาคร่าวๆก่อน

“ถึงแล้วคุณชาย”จางต้าเอ่ย ห่อตัวเมื่ออากาศเย็นๆปะทะเข้ามา จื่อฟางรีบลงจากรถม้าก้าวฉับๆเข้าไปในโรงน้ำชาทันที ภายในร้านผู้คนหนาแน่นเช่นเคย เขามองเห็นใบหน้าคุ้นตาของเด็กรับใช้ในร้าน ยกยิ้มเมื่อคิดได้ว่าไม่ได้มาก่อเรื่องที่นี่นานแล้ว เขาต้องเล่นบทเสิ่นจิ้งเฟยเสียหน่อยไม่เช่นนั้นก็น่าเบื่อแย่

“อะแฮ่ม มีโต๊ะว่างหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามกับเด็กรับใช้คนหนึ่ง ฝ่ายนั้นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก

“ยังมีที่ว่างด้านบนขอรับ แต่ห้องส่วนตัวเต็มหมดแล้ว”

“เต็มหมดแล้ว?เจ้าจะให้คุณชายอย่างข้านั่งอยู่ด้านนอกหรือ!”เขาแสร้งเอ่ยเสียงดังทำให้ลูกค้าหลายคนหันมอง ร่างบางกวาดตามองไปรอบ ๆจนพบว่าเว่ยหลงโผล่หน้าออกมาดูจากห้องเก็บชา ร่างนั้นเลิกคิ้วแต่คล้ายกับมองออกว่าเขาแกล้งทำจึงผลุบกลับไปเหมือนเดิม ว่าแต่ไป๋ผูอวี้ไปอยู่ที่ใดกัน เขาได้คำตอบทันทีเมื่อร่างของชายหนุ่มคุ้นตาก้าวออกมาจากห้องดื่มชาส่วนตัวห้องหนึ่ง ข้างกายมีคุณหนูฉินก้าวตามมา จื่อฟางขบกระพุ้งแก้มพยายามไม่แสดงท่าทีใด

“ข้าต้องการห้องส่วนตัว”


แสดงละครต่อ เห็นว่าอดีตนางเอกกวาดตามองด้วยสายตาปั้นปึ่ง นางหงุดหงิดอะไรของนางไม่ทราบ เขาคิดอย่างไม่พอใจเช่นกัน

“แต่ว่าคุณชายเสิ่น…”เด็กรับใช้ก้มหน้าอย่างลำบากใจ หยางชวีและจางต้ามองฉากตรงหน้าอย่างอ่อนใจรู้ดีว่าคุณชายเพียงแค่แกล้งเล่นเท่านั้น ท่านสนุกนักหรือที่ได้แกล้งคนพวกนี้ ผู้ติดตามลอบส่ายหน้าไปมา แต่มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

“ท่านมาโวยวายเรื่องใดหรือคุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เดินมาหยุดอยู่ข้างเด็กรับใช้ที่เขาจำได้ว่าแซ่อิ่น เด็กแซ่อิ่นแสดงสีหน้าโล่งใจเมื่อเห็นเขาพยักหน้าให้หลบไป

“ข้าต้องการห้องดื่มชาส่วนตัว”
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-01-2019 05:04:44
 
“ห้องส่วนตัวเต็มหมดแล้ว แต่ชั้นบนยังมีโต๊ะว่าง คุณชายเสิ่นไม่ลองไปดูหน่อยหรือ”ไป๋ผูอวี้ตอบช้าๆ กวาดตามองคุณชายเสิ่น นึกขำอยู่ในใจที่คุณชายท่านนี้มาแสดงละครในร้านสกุลไป๋ เจ้าคงว่างมากจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นห้องที่ข้าเคยนั่งบ่อย ๆก็เต็มสินะ ช่างน่าเสียดาย ข้าคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ”จื่อฟางยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัว คุณหนูฉินขมวดคิ้วมอง

“หากท่านยืนยันว่าต้องการจริงๆก็รออีกสักหน่อยเถิด”ชายหนุ่มกล่าว ฉินเซียงอินทำสีหน้ามึนงง คงไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะยอมพูดจาดีๆกับเขาถึงเพียงนี้ จื่อฟางแค่นเสียงในลำคอพยายามกลั้นรอยยิ้ม จึงเบนสายตามองฉินเซียงอินแทน

“ไม่พบคุณหนูฉินเสียนาน ท่านสบายดีหรือ”ร่างบางเอ่ยทัก คุณหนูฉินเพียงปรายตามองราวกับว่าเขาเป็นเศษฝุ่นที่ติดรองเท้าของนาง

“ข้าสบายดี”ฉินเซียงอินตอบพร้อมรอยยิ้มที่ปั้นแต่งมาอย่างดี ใบหน้ารูปไข่แดงเรื่อเพราะอากาศหนาวเสริมให้นางยิ่งดูน่าถนุถนอม จื่อฟางจ้องมอง อดยอมรับไม่ได้ว่าหญิงตรงหน้างดงาม แต่เสียดายที่นางไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับไป๋ผูอวี้ เขาย้ายสายตาไปหาบุรุษที่ยืนทำสีหน้าห่างเหิน ร่างนั้นส่งสายตาขบขันมาให้ราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา

“คุณชายเสิ่น เชิญด้านบน”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงสุภาพ ก่อนเดินไปส่งคุณหนูฉินที่ด้านนอก เขาหมุนตัวมอง เห็นหยางชวีทำสีหน้าไม่พอใจจึงใช้ศอกกระทุ้ง

“เจ้าเป็นไรไปแล้ว”

“เขาไม่ให้เกียรติคุณชาย”หยางชวีรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่ก็อดพูดไม่ได้ อีกทั้งก็เข้าใจเหตุผลของการแสดงท่าทีเช่นนั้นของไป๋ผูอวี้ ในใจของเขามักต่อต้านคุณผู้นั้นเสมอ หยางชวีไม่สบายใจกับความคิดนี้ยิ่งนัก

“เจ้าบ้าหรือ”จื่อฟางพึมพำ เดินขึ้นไปบนชั้นสอง กวาดตามองก็พบว่ายังมีโต๊ะเหลือ หยางชวีกระแอมก่อนเอ่ยบอก

“ช่างไม้อยู่นั่นขอรับ”เขาพยักเพยิดไปทางโต๊ะด้านใน ดูเหมือนจะนั่งอยู่สักพักแล้ว จื่อฟางรีบเดินเข้าไปหา พยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีพิธีรีตองเท่าใดนัก

“ท่านคือช่างไม้ที่ข้าตามหาสินะ”เขาเอ่ยถามพร้อมนั่งลง ช่างไม้พยักหน้า เขาเป็นชายผิวคล้ำสวมเสื้อผ้าไม่เก่าไม่ใหม่ท่าทางแข็งกระด้าง ช่างไม้เทชาให้


 ก่อนทำท่าเชื้อเชิญให้เขาดื่ม จื่อฟางกุมจอกชาไว้ในมือ

“ข้านามว่าชุนเหลียง ยินดีที่ได้รับใช้คุณชายเสิ่น”เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งๆคล้ายคนไม่ชิน จื่อฟางไม่ติดใจถึงอย่างไรก็ต้องทำงานด้วยกัน

“ข้าจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน”


หยิบกระดาษซวนจื่อออกมา เป็นแผนผังร้านค้าที่เขาออกแบบไว้ เขาส่งให้อีกฝ่าย ชุนเหลียงยกชาดื่มจนหมดก่อนรับไปดู กวาดตามองเร็วๆแล้วเหลือบมองหน้าเขา

“ท่านออกแบบเองหรือ”

“ใช่แล้ว แต่ข้าคิดว่ายังมีจุดที่ต้องแก้ไขอีกมาก”จื่อฟางไม่ได้เรียนด้านออกแบบแค่รักในการวาดภาพเท่านั้น ชุนเหลียงลูบคาง แววพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้า

“อืม แต่ท่านก็วาดออกมาได้ดีจนข้าแปลกใจมากทีเดียว”เขาได้ยินว่าคุณชายเสิ่นมีฝีมือการวาดภาพ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเพราะลายเส้นพู่กันบ่งบอกว่าเป็นของคนที่ฝึกหัดมานาน

“ในการก่อสร้างข้าต้องการใช้ไม้แดง ไม้มะเกลือ ราคาไม่สูงมากนัก”


หยิบกระดาษอีกแผ่นออกมาส่งให้ชุนเหลียง เป็นกระดาษสำหรับคำนวณราคาไม้ วัสดุก่อสร้าง ค่าจ้างช่างไม้ คนงานก่อสร้างที่เขาคาดการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว

“ขาดตกบกพร่องก็บอกข้า แต่งบต้องไม่เกินที่กำหนดไว้”จื่อฟางเอ่ยดัก เขาไม่จำเป็นต้องใช้ของราคาแพงอย่างที่เสิ่นจิ้งเฟยชอบ เขาต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ใครจะอยากทำการค้าแล้วขาดทุนเล่า แม้ว่าเงินทองจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จื่อฟางต้องการพิสูจน์ให้เสิ่นมู่หยางเห็นว่าเขาทำได้ ช่างไม้ชุนเหลียงมองคุณชายเสิ่นด้วยความแปลกใจ นึกว่าคนผู้นี้จะไม่เอาไหนไม่รู้เรื่องพวกนี้เสียอีก ทีแรกเขาตั้งใจจะคิดราคาก่อสร้างงามๆเสียด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนคุณชายเสิ่นจะคิดไว้ล่วงหน้า ใช้ไม้ไม่แพง มิใช่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นพวกหลงใหลของราคาแพงหรืออย่างไร จางต้าและหยางชวีก็ลอบแปลกใจเช่นกันไม่คิดว่าคุณชายจะจริงจังถึงเพียงนี้

“อะแฮ่ม ที่ท่านคำนวณมาก็เรียบร้อยดี แต่อย่างไรค่าใช้จ่ายก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง การก่อสร้างเริ่มปลายเดือนสองอากาศคงเริ่มดีขึ้นแล้วเพราะเข้าใกล้ฤดูวสันต์ ไว้ค่อยตกลงราคากันอีกที”ชุนเหลียงกล่าว

“ย่อมได้ ข้าไม่มีปัญหา”จื่อฟางพยักหน้า การพูดคุยราบรื่นกว่าที่คิด ชุนเหลียงไม่ใช่พวกจุกจิกแม้เขาจะมองออกว่าอีกฝ่ายคิดว่าเขาโง่เสียเต็มประดาจนไม่รู้ว่าควรคิดคำนวณตรงไหน เขาให้ตั๋วเงินสำหรับค่ามัดจำไว้

“ข้าคิดว่าเสนาบดีเสิ่นจะไม่อนุญาตให้ท่านทำการค้าขายเสียอีก ได้ข่าวว่าท่านสอบได้เป็นซิ่วไฉ ท่านไม่อยากเป็นขุนนางหรือ”ชุนเหลียงถามสิ่งที่คาใจ เรื่องที่เสิ่นจิ้งเฟยสอบผ่านเป็นที่พูดถึง ผู้คนในฉางอันต่างก็รู้ดีว่าคุณชายท่านนี้ไม่เอาไหน

“ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องการ ท่านพ่อไม่เกี่ยวเสียหน่อย”เขาไหวไหล่ รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมีคนถามถึงเสิ่นมู่หยาง

“คุณชายกล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”จางต้าเอ่ยแย้ง หวาดกลัวว่าคุณชายเสิ่นจะถูกเอาไปพูดว่าเป็นบุตรอกตัญญูจื่อฟางไม่ได้ใส่ใจนักพูดคุยกับช่างไม้อีกสักสองสามประโยคก่อนที่จะแยกย้ายกลับ

“หากคุณชายไม่มีเรื่องใดแล้วข้าขอตัวก่อน”ชุนเหลียงยิ้มก่อนจะก้มตัวให้น้อยๆแล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี


เหลียวมองรอบตัวพบว่าผู้คนเริ่มบางตาเพราะใกล้ถึงเวลาปิดของโรงน้ำชาแล้ว เขาหันมาอีกทีก็พบเว่ยหลงปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ


กระพริบตาไม่รู้ว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใด

“คุณชายเสิ่น คุณชายไป๋รอพบอยู่ที่ห้องดื่มชาห้องเดิม”กล่าวจบชายร่างกำยำก็จากไปทันที จื่อฟางลุกขึ้นมองผู้ติดตามและบ่าวคนสนิท

“เจ้าสองคนลงไปรอด้านล่างก่อนก็ได้ คงใช้เวลาสักพัก”

“ขอรับ”จางต้ารับคำ หยางชวีเพียงส่งเสียงในลำคอเป็นการบอกว่ารับรู้

จื่อฟางสืบเท้าเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องดื่มชาห้องเดิมที่เคยใช้ มองไปรอบตัวก่อนแหวกม่านมุกเข้าไปด้านใน พบว่าไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังเดินหมากด้วยท่าทางสุขุม

“มานั่งสิ เล่นกับข้าสักตา”เจ้าตัวเอ่ยชวนโดยไม่เงยหน้ามอง จื่อฟางนั่งลงตามคำเชิญ ขยับเสื้อคลุมขนแพะให้เข้าที่ หยิบตัวหมากสีดำมาวาง การเดินหมากครั้งนี้ไม่ได้เป็นการแข่งขัน เขาจึงไม่ได้กดดันว่าต้องชนะ การวางหมากจึงเป็นไปอย่างช้า ๆ

“เจ้าคงมีเรื่องอยากถามข้า”เจ้าท่อนไม้เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน

“ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าสนิทกับคุณชายจ้าว ข้าแปลกใจมากทีเดียว”จื่อฟางเงยหน้าสังเกตอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้ายังคงเรียบนิ่ง

“หยางชวีไปรายงานเจ้าจริง ๆเสียด้วย”ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคอวางตัวหมากสีขาวลงบนจุดตัด “และข้าเดาว่าเจ้าก็คงรายงานหลิวอ๋องแล้วเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่”

“เจ้าจงใจหรือ”เขาเอ่ยถาม ขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่าย   

“อืม ข้าจงใจ ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะไม่มีเรื่องรายงานท่านอ๋องแล้วเขาจะสงสัยเอา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเบา ๆ เขาจ้องมองเพื่อหาร่องรอยการประชดประชัน แต่ก็ไม่พบ

“เจ้าไปสนิทกับจ้าวเซียวชิงตั้งแต่เมื่อไหร่”จื่อฟางพึมพำ เทชาในกาให้ตัวเอง

“ข้าจะเล่าให้ฟังคร่าวๆก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้ตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้ควรบอกเสิ่นจิ้งเฟยอย่างน้อยจะได้รู้ว่าคุณชายจ้าวก็เป็นสหายคนหนึ่ง เขาเล่าว่ารู้จักกับจ้าวเซียวชิงจากการสอบระดับอำเภอเมื่อสองปีก่อน หลังการสอบไป๋ผูอวี้ก็พบกับความเน่าเฟะของระบอบขุนนาง ความไม่เท่าเทียม การใช้อำนาจในทางที่ผิด บุตรขุนนางใช้อำนาจบิดาทำให้ผ่านการเข้าสอบ ผู้คุมบางคนเป็นคนช่วยเสียด้วยซ้ำทำให้เหล่าบัณฑิตที่มีความรู้กับต้องพลาดโอกาส เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม ชายหนุ่มพบว่าจ้าวเซียวชิงก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

ในคราแรกเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะคุณชายจ้าวเป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟยและยังเป็นบุตรขุนนางกังฉิน แต่ความคิดของคุณชายจ้าวค่อนข้างแตกต่างจากสหายคนอื่น ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าภายใต้สีหน้าเบื่อหน่ายคล้ายคนง่วงนอนของจ้าวเซียวชิงจะเป็นเช่นนี้ เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายก็ต้องยอมรับว่าพวกเขามีความเห็นตรงกัน จากวันนั้นเขากับคุณชายจ้าวจึงลอบติดต่อพูดคุยอย่างลับๆเพราะเบื้องหน้าที่แตกต่าง จนก่อตัวเป็นชุมนุมบัณฑิต ตามด้วยผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางเข้ามาเกี่ยวข้อง

“เรื่องก็มีเท่านี้”กล่าวจบเขาก็ยกจอกชาดื่ม มองเสิ่นจิ้งเฟยที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิด

“ไม่คิดว่าจ้าวเซียวชิงจะมีความคิดเช่นนี้”จื่อฟางมองคนผู้นั้นผิดไป ขมวดคิ้วใส่ชายตรงหน้าเมื่อนึกถึงพฤติกรรมของคุณชายจ้าวเมื่องานเลี้ยงฉลอง

“เจ้าสั่งให้เขาทำดีกับข้าหรือ”

“เปล่า”ไป๋ผูอวี้ยิ้ม “จ้าวเซียวชิงเป็นห่วงเจ้าอย่างสหายคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาขอให้ข้าช่วยจับตามองเจ้าด้วยซ้ำ”ไป๋ผูอวี้บอก จื่อฟางแสดงสีหน้าแปลกใจ ก้มมองกระดานหมากก่อนวางหมากสีดำข้างๆตัวหมากสีขาวของไป๋ผูอวี้ เหลือบมองอีกคนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะวางหมากลงที่จุดไหนจึงรู้สึกว่าอยากแกล้งขึ้นมา

“ไป๋ผูอวี้”เขาเอ่ยเรียก หมุนตัวหมากในมือเล่นไปด้วย

“หืม”อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอ ยังคงไม่ละสายตาจากกระดานหมาก

“ข้าคิดถึงเจ้า”จื่อฟางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อย สายตาตวัดมองคล้ายกับรู้ทัน

“ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไร”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงนุ่ม

“แต่ข้าอยากเจอเจ้าทุกวันนี่”จื่อฟางแกล้งทำสีหน้าเง้างอน ไม่รู้ว่าทำสีหน้าเช่นนี้แล้วเสิ่นจิ้งเฟยจะดูเป็นอย่างไร ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนวางตัวหมากเสียงดังกึก

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าโตแล้วไม่ควรแสดงกิริยาเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้หลบสายตามองกระดานหมากเบื้องหน้า รอคอยให้คุณชายรูปงามเล่นต่อ 

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเตรียมตัวทำการค้า”ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อได้ยินว่าก่อนหน้านี้หยางชวีประกาศหาช่างไม้ ประจวบกับร้านผ้าของเถ้าแก่ชวีถูกรื้อถอนออกภายในวันเดียว

“ใช่ ข้าไม่อยากอยู่เฉย ๆ ร้านอยู่ใกล้กับโรงน้ำชาหลิวซื่อด้วย ห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าวเอง”จื่อฟางตอบระหว่างที่เก็บตัวหมากที่กินได้

“เสนาบดีเสิ่นคงยังไม่รู้เรื่องกระมัง”ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าเสนาบดีเสิ่นจะยอมให้บุตรชายทำการค้า ไม่เข้าใจคนสกุลเสิ่นนักเพียงเพราะเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่น่ะหรือ

“ไว้ข้าจะบอกเขาทีหลัง…”จื่อฟางตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เสิ่นมู่หยางไม่ใช่เจ้าของชีวิตของเขา แม้ร่างกายนี้จะเป็นของบุตรชายของคนผู้นั้นก็เถอะ เขาหยิบขนมเบญจมาศเข้าปาก อยากถามไป๋ผูอวี้เรื่องของผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการข้ามเส้นหรือไม่ 

“ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องอยากถามข้า”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเมื่อเห็นสายตาสืบเสาะมองเห็นสีหน้าลังเลของเสิ่นจิ้งเฟย 

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะตอบได้รึเปล่า”

“เจ้าลองว่ามาสิ”

“เรื่องท่านผู้อาวุโสอวิ๋น”เขากระซิบเพราะกลัวมีคนได้ยิน “ข้าสงสัยว่าท่านผู้อาวุโสทำเช่นนี้เพื่อผู้ใดกันแน่”

ไป๋ผูอวี้นึกไปถึงบทสนทนาเมื่อนานมาแล้วก่อนเอ่ยบอกอีกฝ่าย

“ท่านผู้อาวุโสเคยกล่าวกับข้าว่ารอให้กลุ่มก่อกบฏเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักจะเกิดขึ้นเอง เจ้าคิดเห็นอย่างไรเล่า”เขาเคยคิดว่าบุคคลผู้นี้น่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะผู้อาวุโสรู้ว่ากำลังมีเรื่องเกิดขึ้นกับฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่เขาไม่คิดหยุดยั้ง ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์

“เจ้าว่าไม่แปลกหรือ ท่านผู้อาวุโสปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น เขารอให้ผู้ใดครองบัลลังก์กัน”จื่อฟางไม่อยากคิดต่อ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“เจ้าของเดิมกระมัง”ไป๋ผูอวี้มองคุณชายเสิ่น ปกติแล้วเขาเห็นคุณชายท่านนี้ไม่สนใจเรื่องในราชสำนักจึงอยากรู้ความคิดของอีกฝ่ายบ้าง

“เจี่ยอี้นั่นน่ะรึ”จื่อฟางขนลุกซู่ ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยวาบเข้ามา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามทำตัวให้เป็นปกติ

“ข้าไม่เก่งเรื่องการเมือง แต่การที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนปลดองค์ชายใหญ่ออก ย่อมต้องมีเหตุผล”

“เพราะเขาถูกใส่ร้าย”โดยปู่ของเจ้าและฮ่องเต้เจี่ยผิง บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกมาเพียงหยักยิ้มจาง

“การปกครองแผ่นดินไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดีก็ปกครองได้…”จื่อฟางรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแต่เขาไม่อยากออกความเห็นเรื่องของเสิ่นฉินอี้ ในบางครั้งการเมืองก็ทำให้ผู้คนกลายเป็นปีศาจ

“เจ้าพูดเหมือนรู้จักเขา”ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปกปิดเขาอยู่

“แค่เคยเห็นเท่านั้น”

ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ นาน ๆครั้งเขาจะพูดเรื่องในราชสำนัก “เสิ่นจิ้งเฟย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชมชอบฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นเจ้าแผ่นดิน ข้าไม่เห็นดีเห็นงามกับกบฏที่พยายามยึดครองบัลลังก์ การก่อกบฏของเจ้าเป็นเรื่องร้ายแรง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะถอนตัวออกมาทันหรือไม่”

“ข้าคิดทางหนีทีไล่ไว้แล้ว”จื่อฟางตอบเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าควรบอกไป๋ผูอวี้เรื่องที่ร่วมมือกับฮ่องเต้ดีหรือไม่

ชายหนุ่มร่างสูงมองเห็นสีหน้าหนักใจปรากฏอยู่บนใบหน้าหมดจดก็เลิกคิ้ว “เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือไร?”

“เจ้ายังไม่บอกเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังเลย”จื่อฟางตอบกลับหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ ชายตามองชายอีกคนที่ยังคงทำสีหน้าคงเดิม ไม่คิดเอ่ยตอบคำถามของเขา


ยกยิ้ม เรื่องบางเรื่องก็มีเส้นของมันสินะ

“ข้าไม่ไว้ใจท่านผู้อาวุโสแม้ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่าบาทก็เถอะ”จื่อฟางถือโอกาสกล่าวต่อ “เจ้าทำงานให้เขาเท่ากับทำงานให้ฮ่องเต้ ข้าเพียงแค่ไม่สบายใจที่เจ้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ไหนเจ้าว่าคนสกุลไป๋ไม่ข้องเกี่ยวกับอำนาจอย่างไร”เขาหยิบยกเรื่องนี้มาพูดเพราะเป็นห่วง บางคราไป๋ผูอวี้ก็ดื้อรั้น คนที่ยึดมั่นสูงไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมักจะไม่ฟังผู้อื่น บางครั้งก็ทำเรื่องผิดพลาดได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งไป๋ผูอวี้

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลแต่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจัดการได้”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย น้ำเสียงของคุณชายเสิ่นคล้ายกำลังตำหนิตนอยู่ ทำให้นึกถึงอาจารย์หย่งสือ

‘สิ่งที่เจ้าทำเป็นการสูญเปล่า ความซื่อตรงของเจ้าจะนำภัยมาสู่สกุลไป๋’

“เอาเถอะ ข้าไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเจ้า”จื่อฟางถอนหายใจ คิดว่าบรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัดจนหายใจไม่ออกไป๋ผูอวี้จึงผ่อนคลายไหล่ที่ตึงเครียดลง

“ช่วงนี้ข้าฝึกเพลงขลุ่ย เจ้าอยากลองฟังหรือไม่”เขาเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ยามนี้ข้ายังเล่นกู่เจิงไม่ได้”จื่อฟางกล่าวเสริม

“ไม่เป็นไร ข้าอยากฟังบทเพลงขลุ่ยของเจ้า”ไป๋ผูอวี้ทำท่าเชื้อเชิญให้เขาเริ่ม เขาจึงกระแอมหยิบขลุ่ยเซียงตี๋ที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา ชายตรงหน้ามองขลุ่ยในมือของเขาดวงตาเป็นคลื่นไหว เป็นขลุ่ยเซียงตี๋ที่ไป๋ผูอวี้มอบให้ จื่อฟางรู้สึกประหม่าอยู่บ้างจึงหลับตาทำสมาธิ เริ่มเป่าบทเพลงที่จำจนขึ้นใจ เสียงขลุ่ยคล้ายกับสะกดให้สิ่งรอบกายเงียบงัน รับรู้ถึงสายตาของไป๋ผูอวี้อาบไปทั่วร่าง เมื่อจบเพลงจื่อฟางก็ลืมตาด้วยใจที่เต้นระรัว

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ ไป๋ผูอวี้ยังคงจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้ทำตัวไม่ถูก

“ข้าเพิ่งฝึกได้ไม่นาน”เขาพึมพำทำลายความเงียบ

“เจ้าเป่าได้ดี”ไป๋ผูอวี้เอ่ยชม รู้ดีว่าบทเพลงนี้เป็นบทเพลงหาคู่ของเผ่าเซียงตี๋ แม้เป็นบทเพลงง่ายๆแต่จังหวะท่วงทำนองขึ้นอยู่กับผู้เป่า ท่วงทำนองของเสิ่นจิ้งเฟยนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงคนึงหาและความโดดเดี่ยวทำให้เขาอยากสวมกอดร่างบางตรงหน้า ชายหนุ่มลุกจากที่นั่ง รู้ดีว่าเวลานี้ลูกค้าของโรงน้ำชากลับไปหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดมาขัดจังหวะของเขา 

ไป๋ผูอวี้ย่อกายจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกับคุณชายผู้มีใบหน้าหมดจด ร่างนั้นอ้าปากน้อย ๆเหมือนต้องการจะเอ่ยอะไรสักอย่าง 

“เจ้ายังมีข้า”เขากระซิบบอก

จื่อฟางสบตากับไป๋ผูอวี้ เข้าใจความเงียบที่ครอบคลุมโดยไม่ต้องเอ่ยวาจาใด 

~•~

จื่อฟางกลับมาที่จวนสกุลเสิ่นก็ตะวันคล้อยแล้ว หิมะหยุดตกเหลือเพียงอากาศเย็น หวังว่าวันรุ่งขึ้นอากาศจะไม่เลวร้าย เขาคิดระหว่างที่เดินมาถึงเขตเรือนของตนก็พบว่าเสิ่นมู่หยางยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในลานบ้าน มองสำรวจไปรอบตัวราวกับมีสิ่งใดให้มอง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ร่างของเสนาบดีเสิ่นในชุดขุนนางปักลายบอกขั้นตำแหน่งก็หันมามอง สีหน้าของอีกฝ่ายคาดเดาไม่ออกทำให้จื่อฟางหวาดหวั่นอยู่บ้าง

“เจ้าออกไปเที่ยวเตร่อีกแล้วหรือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามบุตรชาย สอบถามบ่าวไพร่ในเรือนของมันก็ไม่มีผู้ใดรู้ เขาตวัดสายตามองหยางชวีอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ข้าได้ยินว่าเจ้าตามหาช่างไม้ เจ้าคิดทำสิ่งใด”

“ข้าอยากทำการค้า”เขาบอกกล่าวไปตามตรง ถึงอย่างไรก็ต้องบอก เพียงแค่ไม่คิดว่าเสิ่นมู่หยางจะรู้ข่าวเร็ว

“ทำการค้า?เจ้ารู้อะไรกับเขารึ นี่ไม่ใช่การเล่นขายของนะเฟยเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาทองไปละลายทิ้งแน่”เสิ่นมู่หยางอยากจะเจาะศีรษะแข็งๆของบุตรชายดูว่าเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าจัดการได้ ท่านรอดูเถอะ”

“เจ้ามันอวดดีนัก ข้าจะรอดูว่าเจ้าทำได้จริงไหม”

“เหตุใดท่านไม่เชื่อใจข้าบ้าง”เขาโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด จะมีครั้งไหนบ้างที่เสิ่นมู่หยางจะเอ่ยวาจาสนับสนุนบุตรชาย ขนาดไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงยังรู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ 

“ที่ผ่านมาเจ้าทำตัวให้ข้าเชื่อหรือไม่เล่า”เสนาบดีเสิ่นเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างแล้ว สองพ่อลูกจึงขึ้นเสียงใส่กัน บ่าวรับใช้ในจวนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้เห็นคุณชายเสิ่นถกเถียงกับนายท่านมานานแล้ว

“เจ้าไปเอาเงินจากที่ไหนมาใช้”

“ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ข้าจำนวนหนึ่ง ทีนี้ท่านก็ว่าข้าไม่ได้แล้วว่าผลาญเงินท่านเล่น”จื่อฟางกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ เสิ่นมู่หยางต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายทีเพื่อสงบอารมณ์

“ข้าก็แค่บุตรชายไม่ได้เรื่อง ท่านอย่ามากะเกณฑ์กับข้านักเลย สู้เอาเวลาไปยุ่งกับบุตรชายอีกคนของท่านเถอะ”


อดเอ่ยค่อนแขวะไม่ได้ ยกยิ้มเยาะเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเสิ่นมู่หยาง เกิดความเงียบระลอกใหญ่

“ท่านไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเขาหรอก ดีเสียอีก เด็กคนนั้นจะได้กู้ชื่อเสียงของสกุลเสิ่นกลับมา ท่านคงหวังให้เขาเป็นขุนนาง สกุลเสิ่นจะได้ไม่ขาดตอน”จื่อฟางเข้าใจดี แต่ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาหายใจไม่สะดวก

“เฟยเอ๋อร์”เสิ่นมู่หยางพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะเอ่ยออกมาตรง ๆเช่นนี้

“ท่านมีเรื่องใดจะเอ่ยอีกหรือไม่ ข้าหนาว”จื่อฟางมองเสนาบดีเสิ่นทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนพอใจแล้ว เสิ่นมู่หยางไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด อ้าปากหมายจะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ยอมแพ้หมุนตัวเดินออกมาจากเรือนของบุตรชาย เขามองมองส่ง นึกถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเอ่ยถามบ่าวไพร่ในเรือนที่นิ่งเงียบเหมือนเป็นใบ้

“นี่พวกเจ้า ใต้เท้าเฉินยังอยู่ที่เรือนรับรองหรือไม่”

“ขอรับ”หนึ่งในนั้นเอ่ยตอบ เขาหันมองจางต้ากับหยางชวีที่ทำสีหน้าเช่นเดียวกับบ่าวรับใช้ในเรือน

“คุณชาย…”จางต้าเรียกเสียงอ่อย

“ข้าไม่เป็นไร”เขาทำใจยอมรับได้แล้ว จึงยิ้มดีดนิ้วใส่หน้าของบ่าวทั้งสอง

“ข้าจะไปพูดคุยกับใต้เท้าเฉินเสียหน่อย วันรุ่งขึ้นเขาคงกลับเมืองเสียนหยางแล้วกระมัง”

จื่อฟางออกเดินไปยังเรือนที่เฉินฉางเซียนพัก ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง บ่าวรับใช้ประจำตัวของใต้เท้าเฉินออกมารับหน้าก่อนจะเดินนำเข้าไปในเรือน เฉินฉางเซียงนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ พอเห็นคุณชายรูปงามก็ละสายตาจากตำราเลิกคิ้วมอง

“เจ้ามีเรื่องใด”

“ข้ามาลาท่าน”จื่อฟางเอ่ย รู้สึกใจหายเล็กน้อย

ใต้เท้าเฉินปิดหนังสือดังฉับ “ทำอย่างกับข้าจะจากไปไกล ถ้าอยากเจอก็แวะมาหาข้าที่เสียนหยาง ข้าจะได้สั่งสอนเจ้าได้ถนัดถนี่หน่อย”

เฉินฉางเซียงได้ยินการถกเถียงของสองพ่อลูกก็อดรู้สึกเห็นใจเจ้าเด็กไม่เอาไหนขึ้นมา

“ถ้าข้ามีโอกาสข้าจะแวะไป”แม้จะขัดเขินอยู่บ้างแต่เขาก็ยอบกายนั่งคุกเข่ากับพื้นตรงหน้าใต้เท้าเฉิน กระแอมเบา ๆก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง

“ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่สั่งสอนข้า ข้าขออภัยหากทำให้ท่านต้องปวดหัวไปบ้าง”กล่าวจบก็ก้มโขกศีรษะให้เฉินฉางเซียง แม้จะเจ็บแต่เขาก็กัดฟันโขกศีรษะจนครบสามครั้ง ใต้เท้าเฉินรับการคาราวะก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“เอาเถอะๆ ก็ไม่ได้ลำบากถึงเพียงนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย คิดทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้รอบคอบ”เฉินฉางเซียงมองดูเสิ่นจิ้งเฟยก่อนเอื้อมมือตบบ่าเจ้าเด็กไม่รักดีเบา ๆ เรื่องที่ควรบอกก็บอกไปแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจ เป็นห่วงเจ้าเด็กนี่ยิ่งนัก

“ยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้ นับว่าเป็นเรื่องวุ่นวายไหมเล่า”

“อย่ามายอกย้อนข้า”เฉินฉางเซียงว่ากล่าวเสียงดัง มอง


ด้วยแววตาที่ผ่านโลกมามาก

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้ากับไป๋ผูอวี้…คิดทำสิ่งใดก็ระวังตัวให้ดี”

คำเตือนของใต้เท้าเฉินทำให้จื่อฟางนิ่งงันไป ชายชราผู้นี้รู้อย่างนั้นหรือ เขาทำสีหน้าไม่ถูก ใต้เท้าเฉินเอาเวลาใดมาสังเกต

“ข้าไม่ได้หาฝ่าฟาง จะได้ไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้ลอบมาหาเจ้าถึงในจวน”เฉินฉางเซียงส่ายศีรษะไปมา ไม่คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋จะทำเรื่องไม่ยั้งคิด

“ข้าจะระวัง อาจารย์”เขาได้แต่พึมพำเบาๆ  รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “ข้าจะจำคำที่ท่านสอนไว้ให้ดี”แม้จะไม่น่าได้ใช้ก็ตาม

“เฮอะ อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน”ใต้เท้าเฉินทำเสียงขึ้นจมูก โน้มตัวมาใกล้ๆ  “หากมีเรื่องขุ่นหมองก็แวะมาหาข้าที่เสียนหยาง”คำบอกกล่าวสั้นๆทำให้จื่อฟางรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ

“เจ้ากลับไปได้แล้วข้าอยากพักผ่อน”แต่ก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เฉินฉางเซียงคว้าไม้เท้ามาเคาะศีรษะของจื่อฟางเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้นข้ากลับแล้ว”เขาคำนับก่อนออกมาจากเรือน ยกมือลูบหน้าผากป้อย ๆ ไม่คิดว่าโขกหัวแค่สามทีจะทำให้เจ็บจี๊ดๆได้


กลับมาที่เรือน จดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ที่หมอนกระเบื้อง เขาจึงรีบคลี่เปิดอ่านทันที

‘เช่นนั้นอีกสองวันยามจื่อ*มาพบกันที่หลุมศพกระต่ายที่เดิม’

อ่านจบก็พับจดหมายเก็บ แต่นั่งพักได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ผู้ติดตามก็นำข่าวเข้ามาในห้อง

“มีสหายมาพบคุณชายขอรับ”หยางชวีบอก

“เวลานี้น่ะเหรอ”สหายที่ว่าเป็นผู้ใดกัน

“ขอรับ ฟู่เทียนสือรออยู่ด้านนอก”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ แอบแปลกใจที่ชายเจ้าของคณะร้องรำแวะเวียนมาหาคุณชายเร็วกว่าที่คิด

จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างไม่คาดคิด เขาเพิ่งเอ่ยถึงก็โผล่มาเลยหรือ “ให้เขาเข้ามา”

จื่อฟางบอกระหว่างที่หยางชวีก็นำชายมากเสน่ห์เข้ามาในห้อง ร่างนั้นสวมชุดคลุมขนแกะ ขนเตียวพันอยู่รอบคอ ใบหน้าคมแดงเรื่อเพราะอากาศด้านนอก ผู้ติดตามส่งเตาอุ่นให้แขกผู้มาเยือน ร่างสูงก้มตัวน้อย ๆอย่างถ่อมตัว

“ฟู่เทียนสือไม่เจอท่านเสียนานเป็นอย่างไรบ้าง”จื่อฟางเอ่ยทัก เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามานั่ง จัดการเทน้ำชาอุ่นๆใส่จอกให้ตามมารยาท ฟู่เทียนสือส่งเสียงฮัมในลำคอ นั่งลงตรงที่เก้าอี้ว่าง

“ข้าสบายดี วันนี้ตั้งใจแวะมาหาเจ้าโดยเฉพาะ ข้ามีความรู้สึกว่าอยากมาหาเจ้าอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่เขาว่าได้ยินชื่อมิสู้พบหน้า”ฟู่เทียนสือกล่าวอย่างอารมณ์ดี

จื่อฟางลอบมองสำรวจบุรุษที่ดื่มชาอยู่เงียบๆ

“เจ้าไม่สบายรึ”ฟู่เทียนสือสังเกตสีหน้าของเสิ่นจิ้งเฟย ตอนเข้ามาได้กลิ่นสมุนไพรอวลอยู่ในห้อง กวาดตามองร่างบอบบางของอีกฝ่ายก็ไม่แปลกใจนัก

“ข้าดื่มยาสมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกายเท่านั้น ว่าแต่ท่านตั้งใจมาหาข้าด้วยเรื่องใด”เขาวกเข้าเรื่องเดิม

ฟู่เทียนสือวางจอกชา “ข้าตั้งใจมาลาเจ้า”

“ลาข้า?ท่านจะไปที่ใด”จื่อฟางใจกระตุกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาเพราะฝ่ายนั้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“ข้าตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปกับคณะร้องรำท่องเที่ยวตามสถานที่ใหม่ๆ การเดินทางคงกินเวลาหลายเดือน ข้าจึงคิดว่าควรแวะมาหาเจ้า ข้าตั้งใจไปให้ถึงภูเขาเหลียวตงเชียวล่ะ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่เขาว่ากันว่าที่นั่นสวยงามราวกับเมืองสวรรค์”

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-01-2019 05:05:08
   
 “เหลียวตง…”เขาขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่าเหลียวตง แววตาของ


เป็นประกายวาบก่อนเอ่ยถาม

“ท่านรู้จักด้วยหรือ”

ฟู่เทียนสือยกยิ้มน้อย ๆไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นสนใจเช่นกัน “แน่นอนแม้สถานที่นั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล่าขานปากต่อปากของชาวบ้าน ข้าจึงอยากพิสูจน์ด้วยตาตนเอง เจ้าอยากไปกับข้าไหมเล่า”เขาเอ่ยถามด้วยเสียงหยอกล้อ

“เวลานี้ยังไม่ได้”คำตอบของคุณชายเสิ่นทำให้ฟู่เทียนสือประหลาดใจ เจ้าเด็กคนนี้ความคิดคำพูดคำจาแปลกไปจริง ๆ

“แสดงว่าเจ้าอยากไปกับข้า”ชายหนุ่มเอ่ย ไม่ได้สอบถามมากความ จื่อฟางเหลือบมองบ่าวคนสนิทที่ทำสีหน้าตระหนกตกใจ เขาถอนหายใจ แม้ว่าอยากหลบหนีใจแทบขาด แต่หากเขาหนีปัญหาในตอนนี้ มีแต่ทิ้งปัญหาไว้ให้คนข้างหลังเดือดร้อน

“อืม…”


เพียงพยักหน้าใช้สายตากระจ่างใสมองสำรวจฟู่เทียนสือ

“ฟู่เทียนสือ ข้ามีเรื่องขอร้องท่าน”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลดเสียงจนเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่ว ฟู่เทียนสือเอียงศีรษะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทีอยากรวดเร็ว

“เจ้าว่ามาเถิด”

“เรื่องนี้เป็นความลับ”จื่อฟางส่งสายตาสื่อความหมาย

“โอ้…”อีกฝ่ายทำตาโต ท่าทางกระตือรือร้น

“ข้าบังเอิญไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยากเข้า…ท่านคงรู้ หากมาเกี่ยวข้องกับข้า อาจทำให้ตัวท่านตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”


เอ่ยอย่างไม่รอช้า ฟู่เทียนสือหัวเราะเบา ๆ ส่งเสียงจุๆ

“น้องเสิ่น ข้าคิดว่าเจ้ารู้ใจข้าเสียอีก ครั้งหนึ่งเจ้าเคยช่วยเหลือข้า หากไม่ได้เงินของเจ้าในวันนั้น มารดาของข้าคงจากโลกนี้ไปแล้ว ข้าวมื้อเดียวก็ถือเป็นพระคุณ เจ้ามีเรื่องเดือดร้อนข้ายินดีช่วย”ฟู่เทียนสือกล่าวเสียงจริงจัง ใบหน้าคมมากเสน่ห์ไม่ได้แสดงท่าทีล้อเล่นอีกต่อไป เขารู้ว่าสักวันคุณชายเสิ่นย่อมยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย เพราะฮ่องเต้เจี่ยผิงทรงโปรดปรานชายงาม แต่ชายงามเช่นเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่คนที่จะยอมอ่อนน้อมได้ง่าย ๆ

จื่อฟางพยักหน้า“ท่านรอสักครู่”

เขาลุกจากที่นั่ง รีบก้าวเดินไปยังหีบที่ท่านปู่ทิ้งไว้ เปิดหีบนำแผ่นแผนที่เก่าจนเหลืองออกมา ส่งสายตาไปให้หยางชวี

“เจ้าแยกทองแท่งออกมาครึ่งหนึ่ง”เอ่ยคำสั่งจบ เขาก็กลับมานั่งที่เดิม ฟู่เทียนสือยังคงสีหน้าเดิมแม้แววตาจะส่อประกายใคร่รู้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม ชายหนุ่มมองคุณชายใบหน้างามตรงหน้าวาดๆเขียนๆอะไรสักอย่างจนแล้วเสร็จ จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคัดลอกแผนที่

“ท่านเห็นหรือไม่ จุดตรงนี้คือเหลียวตง”จื่อฟางส่งแผนที่แผ่นใหม่ให้ฟู่เทียนสือ ชายตรงหน้ารับไปดูกวาดตาครู่เดียวก่อนพยักหน้า

“ข้าต้องการให้ท่านนำหีบใบนั้นติดตัวไปยังเหลียวตง ที่นั่นเป็นสถานที่ซ่อนตัวของข้า”จื่อฟางชี้ไปที่หีบของท่านปู่ หยางชวีแยกทองแท่งออกมาใส่หีบอีกใบเรียบร้อยแล้ว ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ

“เจ้าลึกลับนัก”ชายหนุ่มเอ่ยระหว่างที่พับแผนที่เก็บใส่ในแขนเสื้อ “แต่น้องเสิ่นไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาภายในสามเดือน”แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่อยากถาม เพราะหากเป็นความลับก็ไม่สมควรล่วงรู้มิใช่หรือ

“ฟู่เทียนสือ”จื่อฟางโน้มตัวไปใกล้ชายมากเสน่ห์เอามือป้องปากเอ่ยกระซิบ “ข้าบอกเจ้า อีกไม่นานในวังหลวงจะมีการก่อกบฏเกิดขึ้น ข้าไม่รู้เวลาแน่ชัด แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าต้องการเส้นทางหลบหนี ท่านพร้อมช่วยเหลือข้าได้หรือไม่”

ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้ม “คำตอบของข้ายังคงเป็นเช่นเดิม ข้ายินดีช่วยเจ้า คณะร้องรำของข้าชำนาญเส้นทางลับ เจ้าสามารถหลบหนีออกจากฉางอันได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”

ฟู่เทียนสือกล่าวแม้จะยังไม่เข้าใจนักก็ตาม หากมีการกบฏจริงเหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยต้องการหลบหนีด้วย หรือสกุลเสิ่นมีส่วนเกี่ยวข้อง? ฟู่เทียนสือไม่สนใจเรื่องราวในราชสำนัก แต่เคยได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งสกุลเสิ่นเคยมีอำนาจบารมี กระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนยังต้องฟังความเห็นของขุนนางอย่างเสิ่นฉินอี้ ยามที่เขามาฉางอันและพบกับเสิ่นจิ้งเฟยคุณชายผู้เอาแต่ใจ ในเวลานั้นสกุลเสิ่นถูกลดบทบาทจนเป็นเพียงตระกูลขุนนางที่เก่าแก่เท่านั้น เขาไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ ครอบครัวเป็นเพียงคณะร้องรำ แต่ก็ใช้ว่าไม่มีเส้นสาย หากมีเรื่องใดที่ช่วยเหลือเสิ่นจิ้งเฟยได้ เขาก็พร้อมยื่นมือช่วย เหตุผลอาจไม่มากมายอะไรนัก   

จื่อฟางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตกปากรับคำโดยไม่เอ่ยถามสิ่งใดจึงรู้สึกอุ่นอยู่ในอก แม้เรื่องนี้จะค่อนข้างเสี่ยง เสิ่นจิ้งเฟย หากเจ้าได้พบคนผู้นี้อีกก็ดีสิ

“ขอบคุณมาก หากท่านกลับมาจากการเดินทาง ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง”จื่อฟางเอนตัวออกห่าง ประสานสายตากับอีกฝ่าย ชายหนุ่มดื่มชาอีกอึกใหญ่

“น้องเสิ่น ข้าดีใจที่เจ้าเปิดใจกับข้าถึงเพียงนี้”ฟู่เทียนสือพูดจากใจ 

“ท่านไม่คิดว่าข้าเปลี่ยนไปหรือ”จื่อฟางอดเอ่ยถามไม่ไหว บางครั้งชายผู้นี้มักมองมาด้วยสายตาที่ทำให้เขาไม่สบายใจ

“อืม…เจ้าแตกต่าง แต่เจ้าก็ยังเป็นเจ้ามิใช่หรือ”ชายหนุ่มพินิจมองเสิ่นจิ้งเฟยราวกับต้องการมองให้เห็นว่าเขาซ่อนสิ่งใดไว้ จื่อฟางพูดคุยกับชายหนุ่มจนฟ้ามืด เจ้าตัวจึงขอตัวกลับพร้อมกับหยางชวีที่ยกหีบใบนั้นตามออกไป

“คนแซ่ฟู่ผู้นั้น…คุณชายไว้ใจเขาหรือ”จางต้าเอ่ยขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงวิตกเมื่อร่างนั้นหายไปจากสายตา

“ข้าไว้ใจเขา”จื่อฟางตอบสั้นๆ เขาเชื่อความรู้สึกความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย

 


* 23.00 น. - 24.59

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 07-01-2019 09:21:36
จะเป็นยังไวต่อไปนะ
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-01-2019 10:36:39
+1
ลุ้น

 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 07-01-2019 10:58:17
อ่านตอน 16 จบ คืออิฮ่องเต้
อย่ามายุ่งกับจื่อฟางโว้ยยย

ตอนแรกก็เชียร์ให้คู่กับจิ้งเฟย(ในร่างเจาเฟิง)
แต่พอฮ่องเต้ฉวยโอกาสกับจื่อฟางด้วยคือไม่โอเค
แบบนี้ไม่เรียกว่ารักอ่ะ อยากได้ทั้งจิตใจ และร่างกาย
แม้ว่าคนในร่างจะไม่ใช่คนที่ตัวเองรักเนี่ยนะ

เปลี่ยนไปเชียร์ ฟู่เทียนสือกับจิ้งเฟยตัวจริงแทนดีกว่า

ส่วนคู่ของจื่อฟาง กับ ท่อนไม้ไป๋ก็ดีงาม
แต่มีแอบเขินตอนหยางชวีหวงจื่อฟางอ่ะ น่ารัก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-01-2019 12:04:47
เอาใจช่วยจื่อฟาง..........  :mew1: :mew1: :mew1:
ร้านค้าของจื่อฟางจะเป็นอย่างไรนะ  :hao3:
อยากให้ประสบความสำเร็จ จนโด่งดังระบือ 
คนมาอุดหนุนมากมาย ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ   :katai2-1:
ที่แน่ๆ คุณชายไป๋ จูบจื่อฟางด้วย  :o8: :-[ :impress2:

อยากให้ฟูเทียนสือเจอชายงามเสิ่นตัวจริง  :katai2-1:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 07-01-2019 12:45:46
เนี่ยยยย ฟู่เทียนสือคือดี จิ้งเฟยตัวจริง ต้องคู่กับคนนี้

หลี่สุ่ยจือ นางเป็นคนดีกว่าที่คิดนะเนี่ย
ถึงจะหื่นกามไปบ้างแต่นางก็เป็นห่วงจื่อฟาง(จิ้งเฟย)

ส่วนจ้าวเซียงซิง เป็นเพื่อนที่ดีอยู่นะหวังว่าในภายภาคหน้าจะคอยช่วยเหลือน้องจื่อฟางนะ

ส่วนท่อนไม้ไป๋กับหยางชวีคือกินกันไม่ลง
คนนึงก็จงรักภักดี+เคมีที่เข้ากันกับน้องจื่อฟาง
เลยแอบฟินนายบ่าวคู่นี้นะ

ท่อนไม้ไป๋ชอบตอนนางฟังเพลงขลุ่ยน้องแล้วกอดน้องจัง อบอุ่นมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-01-2019 14:24:11
ลุ้นค่ะ ว่าน้องจะหนีรอดจากเหตุการณ์กฎบหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-01-2019 15:35:46
น้องจื่อวางแผนหนีแล้ว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-01-2019 15:40:21
งานนี้ล่ะมันส์แน่  ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-01-2019 16:18:43
 :hao7:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 07-01-2019 16:35:42
รอลุ้น ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-01-2019 18:01:59
รอดูผลงานจะรอดหรือร่วง  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 07-01-2019 20:44:58
นึกไม่ออกเลยว่าเรื่องจะจบลงยังไง ซับซ้อนจนเดาเรื่องไม่ได้อ่ะค่ะ อ้อ...ไม่ได้หมายความว่าไม่สนุกนะคะ จริงๆคือชอบมากกกก แต่ก็อ่านไปก็อึดอัดไปด้วยงี้ 555

ไหนจะจื่อฟางกับท่อนไม้ไป๋อีก ถ้าจะให้ลงเอยกันด้วยดีก็คงมีแต่หนีตามกันไปอยู่ที่ไกลๆนู่นล่ะ ส่วนจิ้งเฟยกับฮ่องเต้นั้น อยากรู้จริงๆว่าทำไมจิ้งเฟยถึงเกลียดได้ขนาดนี้ คหสต.คิดว่าฮ่องเต้น่าจะรักนั่นแหละ เพียงแต่รักไม่เป็นและไม่ยอมรับก็เท่านั้น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 08-01-2019 13:45:47
เค๊าออกเดตในโรงน้ำชาแล้วจีบกันด้วยเพลงขลุ่ยอ่ะ  มีปลอบประโลมจิตใจกันเบาๆด้วย พ่อท่อนไม้ช่างอบอุ่นนัก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: mink2538 ที่ 08-01-2019 16:53:31
เป็นเรื่องที่หลงมาอ่านแต่พออ่านแล้วหลงหนักมาก
นับถือใจคนแต่งเลย ปมเยอะมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 08-01-2019 23:02:17
เครียดไปด้วยเลย ติดตามต่อนะคะเข้มข้น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง P.16 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 09-01-2019 00:51:04
เครียดแทนจื่อฟ่างเลยอะคือแบบก็แค่อ่านนิยายอยู่ดีๆตื่นมาอีกทีก็มาเจอกับเรื่องยุ่งยากเลย5555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-01-2019 05:04:58
บทสิบเก้า: คำสัญญา


รัชทายาทเจี่ยผิงเหม่อมองแนวป่าไผ่ สายลมพัดเอื่อยต้องใบหน้าระหว่างที่รอให้เด็กน้อยเสิ่นในวัยเจ็ดขวบวางตัวหมากลงบนกระดานอย่างใจเย็น ที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากบ้านคน ไกลจากตรอกซีหมานที่คึกคักวุ่นวาย ไกลจากวังหลวง ศาลาลมที่เงียบสงบเปรียบเสมือนจุดพักหย่อนจิตใจของเจี่ยผิง เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าองครักษ์คนสนิทปรากฏกายใกล้กับรถม้าที่จอดอยู่ 

‘หลี่ลั่วหวั่นผู้นั้นทำสำเร็จแล้วสินะ’

“พี่ฟู่จวิ้นไม่เล่นหรือ”เสียงเล็ก ๆของเสิ่นจิ้งเฟยดึงให้เด็กหนุ่มกลับมาสนใจกระดานหมากอีกครั้ง

“ดูเหมือนว่าที่บ้านข้ามีธุระ คงต้องกลับแล้ว ไว้ข้าจะมาเล่นกับเจ้าใหม่”เจี่ยผิงพูดเสียงอ่อน วางมือลงบนศีรษะเล็ก ๆของคุณชายน้อย ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยพลันเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเล็กเม้มเป็นเส้นตรง เจี่ยผิงเห็นแล้วเผยยิ้มออกมา ในภายภาคหน้าเสิ่นจิ้งเฟยเติบโตเป็นชายรูปงามอย่างไม่ต้องสงสัย

“ข้ายังไม่อยากกลับจวน ข้าเบื่อต้าซุย”เจ้าตัวส่งเสียงบ่น

“ต้าซุยเป็นพี่เลี้ยงเจ้า เขาจะเดือดร้อนถ้าหากเจ้าไม่กลับไปที่จวน”รัชทายาทยกยิ้ม คิดอย่างเยาะหยันในใจว่าเขาเป็นคนลอบพาคุณชายน้อยออกมาจากจวนสกุลเสิ่น เขาต่างหากที่เป็นคนทำให้เจ้าต้าซุยนั่นเดือดร้อน

“ครั้งหน้าข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวนอกเมือง ดีไหม”เจี่ยผิงเสนอ เสิ่นจิ้งเฟยรีบพยักหน้าหงึกหงักรอยยิ้มใสซื่อกระจายเต็มหน้า ร่างสูงของรัชทายาทลุกจากที่นั่งจัดแต่งเสื้อตัวยาวสีเทาให้เรียบร้อยก่อนยื่นมือออกไปให้คุณชายเสิ่น เด็กน้อยคว้ามือที่ใหญ่กว่ามาจับไว้เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยว หลังจากที่มารดาของเสิ่นจิ้งเฟยจากไป เด็กน้อยผู้นี้ก็ยิ่งโดดเดี่ยวแม้กระทั่งเงินทองความเอาอกเอาใจของผู้เป็นบิดาอย่างเสิ่นมู่หยางก็ไม่อาจเติมเต็มได้ 

“พี่ฟู่จวิ้นห้ามโกหกนะ”ดวงตากระจ่างใสของอีกฝ่ายทำให้เจี่ยผิงเผยสีหน้าอ่อนโยนที่น้อยครั้งนักจะแสดงออกมา

“แน่นอน ข้าไม่โกหก”

เขาพาคุณชายเสิ่นเดินไปที่รถม้า องครักษ์ย่อกายคำนับก่อนจะเข้าประจำตำแหน่ง เสิ่นจิ้งเฟยเข้าไปนั่งซุกตัวอยู่ด้านในไม่พูดไม่จา รถม้าเริ่มออกตัว เจี่ยผิงถอนหายใจเบาๆ มองร่างเล็กด้วยสายตาครุ่นคิด เสิ่นจิ้งเฟยเป็นหลานชายของเสิ่นฉินอี้ เขารู้จักเสนาบดีเสิ่นดี แม้รัชทายาทหนุ่มจะบอกว่าไม่เร่งร้อน เขาต้องการรอให้เสิ่นจิ้งเฟยเติบโตจนเข้าใจเรื่องราวก่อนก็ตามแต่เสิ่นฉินอี้ไม่ยอมให้หลานชายมาข้องเกี่ยวกับตัวเขา

พูดถึงคนผู้นี้เขาได้ยินมาว่าอัครเสนาบดีอวิ๋นต้องการให้เสนาบดีเสิ่นรับตำแหน่งต่อก็ยิ่งทำให้จิตใจของรัชทายาทหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวลหวาดระแวง ไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของอวิ๋นเซียนหลางออก เวลานี้สุขภาพของเสด็จพ่อไม่ค่อยดี คงอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น เจี่ยผิงสืบรู้มาว่าสกุลหลี่ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสกุลเสิ่นมาช้านานต้องการขัดขาเสิ่นฉินอี้ และยังรู้ว่าฝ่ายนั้นวางแผนกระทำสิ่งใด องครักษ์ของเจี่ยผิงเคยรายงานว่าเสนาบดีหลี่ให้คนหาซื้อยาพิษรุนแรงจากนอกด่าน และวันนี้ก็เป็นจังหวะเหมาะสำหรับการลงมือเพราะเสิ่นมู่หยางเดินทางออกไปนอกเมืองฉางอัน เด็กหนุ่มให้องครักษ์ไปเฝ้าดูที่จวนสกุลเสิ่นและเมื่อครู่ที่องครักษ์คนสนิทโผล่มา ก็คาดเดาได้เพียงว่าเสนาบดีหลี่ทำสำเร็จแล้ว

‘เสิ่นฉินอี้…ท่านช่วยเหลือข้ามามากมายนัก จากนี้ข้าจะดูแลเสิ่นจิ้งเฟยเอง’ เขาเบนสายตามาจากคุณชายตัวน้อย ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดทำเรื่องไม่ดีกับเสิ่นจิ้งเฟย เขาเพียงต้องการแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยช้า ๆ

“บ้านพี่ฟู่จวิ้นทำอะไรอย่างนั้นเหรอ”คำถามของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เจี่ยผิงหันไปมองร่างเล็กอีกครั้ง

“หากเจ้าโตกว่านี้ข้าจะบอก”เด็กหนุ่มยิ้มเมื่ออีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ไม่ได้ถามเซ้าซี้อย่างเด็กทั่วไป ขณะนั้นรถม้าก็จอดใกล้กับบริเวณจวนสกุลเสิ่น

“ให้ข้าส่งเจ้าด้านในหรือไม่”

เสิ่นจิ้งเฟยส่ายหน้า กระโดดลงจากรถม้า หันมองเขาครู่หนึ่งก่อนรีบวิ่งจากไป รัชทายาทมองตาม ย่นคิ้วเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงวุ่นวายมาจากด้านในจวน รู้สึกหน่วงในอกอยู่บ้างเมื่อนึกถึงเสิ่นฉินอี้…

“อย่างน้อยข้าก็ยังมีความรู้สึกสินะ”เจี่ยผิงพึมพำ หลับตาเมื่อรับรู้ว่ารถม้าเริ่มเคลื่อนตัวโขยกเขยกมุ่งหน้าไปทางวังหลวง ตอนนี้ก็ปล่อยให้หลี่ลั่วหวั่นเสพสุขไปก่อนก็แล้วกัน 


เจี่ยผิงสะดุ้งตื่นจากความฝัน ชายหนุ่มกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้รับกับความมืด เขากวาดตามองไปรอบๆขยับร่างกายที่ปวดเมื่อยจากการนอนอยู่บนตั่งยาวอย่างไม่สบายตัว จำได้ว่าคืนนี้มานอนค้างในตำหนักของเจาเฟิง ไม่สิ เสิ่นจิ้งเฟย เขามองไปที่เตียงนอน ผ้าม่านเป็นเงาตะคุ่ม แต่เขาก็ยังมองเห็นประกายวิบวับจากดวงตาคู่สวยของเจาเฟิงที่จ้องมองมาทางตน เสิ่นจิ้งเฟยนอนไม่หลับหรือ? เจี่ยผิงไม่ได้เอ่ยวาจาใด รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางยกโทษให้ง่าย ๆ

“จิ้งเฟย เจ้านอนไม่หลับหรือ”เขาส่งเสียงถาม ร่างนั้นขยับเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยตอบ เจี่ยผิงยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เหตุใดฝันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานแล้วกันนะ พักนี้เขาฝันอยู่บ่อย ๆ จนไม่อยากไปนอนค้างที่ตำหนักของสนมนางไหน ชายงามก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย มีเพียงแค่เสิ่นจิ้งเฟยที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาไม่มีทางได้มาง่าย ๆ

“เราฝัน…”เจี่ยผิงยังคงพึมพำต่อไป ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะฟังอยู่หรือไม่ “ถึงเจ้า”ชายหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย ขยับผ้าห่มถึงต้นคอ ยกยิ้มอยู่ในความมืดเมื่อนึกถึงชีวิตวัยหนุ่ม จะว่าไปเจี่ยผิงรู้สึกมีความสุขก็ต่อเมื่อได้ลอบออกมาพบเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น ไม่ยักรู้ว่าพอเป็นถึงเจ้าแผ่นดินแล้วจะยิ่งรู้สึกเปล่าเปลี่ยวถึงเพียงนี้ แต่หากย้อนเวลากลับไป เขาก็ยังทำเช่นเดิม เขาต้องการบัลลังก์ 

“เราว่าแปลกนัก เจ้าเกลียดความทรงจำเมื่อครั้งที่เราเป็นฟู่จวิ้น แต่เรากลับมีความสุข”

“ท่านรบกวนการนอนของข้า ถ้าหากอยากขุดคุ้ยความหลังก็ไปคุยกับหลุมศพปู่ข้านู่น”เสียงรำคาญใจดังขึ้น แม้จะไม่ชินกับน้ำเสียงที่ไม่ใช่ของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย

“อีกไม่นานข้าคงได้ตามปู่เจ้าไปกระมัง”เจี่ยผิงรำพึงไปเช่นนั้น ไม่มีทางหรอก ข้าเป็นโอรสสวรรค์ ชายหนุ่มนึกถึงเจี่ยซินกับแผนการกบฏ รวมถึงองค์ชายใหญ่ที่ไร้วาสนา เขาเองก็ไม่อยากฆ่าแกงพี่น้องสายเลือดเดียวกันแม้จะเพียงครึ่งหนึ่งก็เถอะ แต่สวรรค์คงกำหนดไว้แล้ว เหลือทางเลือกไม่มากเท่าไหร่ หากเราไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็ฆ่าเรา 

“ให้ข้าฆ่าท่านดีหรือไม่เล่า ข้าอยากควักหัวใจท่านออกมาดูว่าเป็นสีใดเป็นของมนุษย์หรือไม่”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าว ในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับมีร่องรอยขุ่นเคือง

“ตายด้วยน้ำมือเจ้า? ฟังดูดี แต่ต้องรอให้เราแก่เฒ่าเสียก่อน”มาแก่เฒ่าไปด้วยกันเถิด เสิ่นจิ้งเฟย


~•~

ไป๋ผูอวี้กุมจอกชาอยู่ในมือ ภายในรถม้าจุดกระถางไฟเพิ่มความอบอุ่น อากาศวันนี้ไม่ถือว่าเลวร้ายหากเทียบกับที่หลานโจวเมืองบ้านเกิด เขายกจอกขึ้นจิบช้า ๆรับรู้รสชาติหอมของชาหมอลี่ฮวาฉาที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน ระหว่างนั้นเงาร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในรถม้าที่จอดรออยู่ข้างสวนลู่

“เจ้ามานานหรือยัง”จ้าวเซียวชิงเอ่ยถาม ยื่นมืออิงรับความอบอุ่นที่กระถางไฟ บุตรชายกรมพระคลังสวมใส่ชุดที่กลมกลืนไม่สะดุดตาเฉกเช่นทุกที

“ไม่นาน”ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ระหว่างที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย

“ดูเหมือนว่าหลิวอ๋องเริ่มเคลื่อนไหว เขาเริ่มติดต่อกับอ๋องแคว้นเกาโหยว คงจะมีเหตุวุ่นวายเร็วๆนี้กระมัง”จ้าวเซียวชิงถอนหายใจ เอนพิงผนังรถม้า มือซุกอยู่ในแขนเสื้อ

“เจ้าว่าเขาจะนัดพบเสิ่นจิ้งเฟยหรือเปล่า”คุณชายจ้าวเอ่ยถามแม้สีหน้าจะยังมีความง่วงงุ่น แต่ก็ปิดความกังวลในแววตาไม่มิด

“เป็นไปได้ เว้นแต่ว่าเขาจะไม่ไว้ใจคุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้ตอบ รินชาใส่จอกให้อีกฝ่าย

“เหตุใดเจ้าไม่พูดจาผูกมิตรกับคุณชายเสิ่นตรง ๆ เขา…ไม่ค่อยมีสหาย”ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่ตนเองห่วงเรื่องคุณชายไม่เอาไหนถึงเพียงนั้น 

จ้าวเซียวชิงเลิกคิ้ว มุมปากยกเป็นรอยยิ้ม “เจ้าเป็นห่วงเขารึ เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่คนอ่อนไหว เขาไม่สนใจด้วยเรื่องแค่นี้หรอก”

“เขาไม่เหมือนเดิม เจ้าคงสัมผัสได้กระมัง ข้าไม่เข้าใจนัก เหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนไปราวคนละคน”ไป๋ผูอวี้อดใจรำพึงออกมาไม่ได้ เป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจมานานหลายเดือน ตั้งแต่เสิ่นจิ้งเฟยไปเมาสุราที่หอผูเยว่…ไป๋ผูอวี้จำได้ว่าวันนั้นชนเข้ากับคุณชายเสิ่นที่ดูจะเผือดซีดเหมือนคนป่วย ท่าทางดูมึนงงทึมทื่อ ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเมื่อจำสีหน้าในตอนนั้นได้ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เจ้าเด็กนั่นทำสีหน้าเช่นนั้น จ้าวเซียวชิงปรายตามอง ทำเสียงจุ๊ในลำคอ

“อืม เจ้าพูดมาก็ถูก เขาแปลกไปจากเดิมราวคนละคน แต่ข้าก็นึกหาเหตุผลไม่ออก บางทีเจ้านั่นอาจจะล้มหัวฟาดพื้นจนจำความไม่ได้กระมัง”เรื่องนี้เขากับไป๋ผูอวี้เคยถกกันมาหลายครั้ง แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เช่นเคย

“คราแรกข้านึกว่าเจ้าจะตกลงปลงใจกับคุณหนูฉินเสียอีก แต่จะว่าไปก็แปลกพิลึก เสิ่นจิ้งเฟยเคยชอบนางมาก่อน แต่เจ้านั่นกลับมามีสัมพันธ์กับเจ้าเสียอย่างนั้น หากนางรู้คงร้องไห้โฮ ตอนนางร้องไห้น่าเกลียดจะตาย เจ้าคงไม่เคยเห็น”คุณชายจ้าวพึมพำ

“อย่าสนใจเรื่องของข้าเลย เจ้ามีเรื่องใดบอกอีกหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เปลี่ยนเรื่อง ฟังเสียงล้อรถม้าวิ่งดังกุกกักไปตามทาง เขาเลิกม่านออกเล็กน้อยเพื่อมองว่าถึงที่ใดแล้ว จุดหมายปลายทางของเขาคือจวนสกุลเสิ่น 

“ท่านผู้อาวุโสต้องการพบเจ้า เขาบอกว่าเจ้าไม่ได้แวะไปร่วมวงดื่มน้ำชานานแล้ว”

“ข้าไม่อยากทำตัวมีพิรุธ ทั้งหลิวอ๋องและเสนาบดีเสิ่นต่างก็จับตามองข้า หากข้าเดินทางออกนอกเมืองฉางอันจะยิ่งน่าสงสัย”ชายหนุ่มตอบเพียงเท่านี้แม้จะมีเหตุผลอื่นอยู่ก็ตาม

“เจ้าไม่ไว้ใจตาแก่นั่นรึ”คุณชายจ้าวหันมองอย่างใคร่รู้

“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ เพียงแค่ไม่เข้าใจเจตนาของคนผู้นั้น เขาคล้ายจะสนับสนุนฮ่องเต้แต่ก็มิยอมช่วยเหลือ การก่อกบฏครานี้เป็นเรื่องใหญ่ หากฮ่องเต้เจี่ยผิงวางหมากพลาดเพียงนิด พระองค์อาจเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ”เขาไม่อยากออกความเห็นเรื่องการเมืองมากนัก ถ้าว่ากันตามตรงมิใช่ว่าเขาไม่อยากเป็นขุนนางเสียทีเดียว แต่ในยามนี้ราชสำนักมีแต่พวกขุนนางไม่ได้เรื่อง เขาไม่อยากร่วมมือกับคนเหล่านั้น ไป๋ผูอวี้ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตนที่ถลำลึกมาถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาแค่สนใจร่วมวงสนทนากับชุมนุมบัณฑิตเพื่อแก้ความเบื่อหน่ายเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาข้องเกี่ยวกับผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง

“เจ้ากล่าวถูก แต่ผู้อาวุโสก็เป็นเช่นนี้ ข้าเดาใจเขาไม่ถูกเช่นกัน บางทีเขาอาจต้องการความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักกระมัง ระยะหลังมานี้ฮ่องเต้เจี่ยผิงทำตัวออกนอกลู่นอกทางไม่น้อย”จ้าวเซียวชิงส่ายหน้าช้า ๆอย่างครุ่นคิด แววตาเป็นประกายไร้ความง่วงงุ่น หากคนผู้นี้เข้าร่วมราชสำนักคงดีไม่น้อย ไป๋ผูอวี้คิด แต่ต้องเป็นยามที่ราชสำนักเกิดความเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ทำหน้าที่ผลักดันเรื่องนี้คือพวกคณะบัณฑิต   

“อืม…”เขาพยักหน้า เรื่องของฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ เว้นแต่เรื่องที่ฝ่าบาทเข้ามาวุ่นวายกับเสิ่นจิ้งเฟย พูดกันตามตรง เขาไม่มีทางต่อกรกับคนผู้นั้นได้ ฝ่ายนั้นเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน แต่จะให้เขาอยู่เฉยก็ทำไม่ได้ แต่ยังติดที่สกุลไป๋   

“ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสอวิ๋นตั้งใจมอบตำแหน่งอัครเสนาบดีให้กับเสิ่นฉินอี้ แต่เสิ่นฉินอี้ถูกวางยาตายไปเสียก่อน เจ้าว่าจะเป็นอย่างไรหากสกุลเสิ่นยังมีอำนาจมากเพียงนั้น”คุณชายจ้าวหัวเราะในลำคอ เขาได้แต่ขมวดคิ้ว ไม่ต้องการร่วมวงสนทนา

“สกุลหลี่คงตกที่นั่งลำบากแน่ ตาแก่เสิ่นฉินอี้ไม่เอาไว้หรอก”จ้าวเซียวเล่าเหมือนกำลังสนุก เอื้อมมือคว้าจอกชามายกดื่มแก้คอแห้งแต่ก็เบ้หน้าเพราะรสชาติไม่ถูกปาก เรื่องนี้เรียกความสนใจของไป๋ผูอวี้ได้   

“เจ้าหมายความว่าสกุลหลี่เป็นคนลอบทำร้ายเสิ่นฉินอี้อย่างนั้นรึ แต่ว่าพิษที่พบเป็นของคนนอกด่าน ข้าคิดว่าเป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่เสียอีก”เขาขมวดคิ้ว หรือที่เสิ่นจิ้งเฟยไปสนิทชิดเชื้อกับหลี่ฮุ่ยจือเป็นเพราะต้องการสืบหาความจริงเรื่องท่านปู่

“ผู้คนว่ากล่าวกันเช่นนั้น”คุณชายจ้าวไหวไหล่ สีหน้าครุ่นคิด “เจ้าจะไปที่ใดต่อ…อ้อ…ข้าคงถามคำถามโง่เขลาไปเอง”ฝ่ายนั้นยิ้มกริ่ม เขาไม่ได้เอ่ยตอบ   


~•~


จวนสกุลเสิ่นยังคงเงียบสงบเฉกเช่นทุกวัน หลังจากที่เอ่ยถึงบุตรชายอีกคนของเสิ่นมู่หยาง ผู้เป็นบิดาก็ไม่ได้โผล่หน้ามารบกวนเขา จื่อฟางนอนซุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนาฝันถึงภูเขาเหลียวตงแม้จะไม่เคยเห็น แต่ภาพในฝันกลับงดงามเสมือนจริง เขาสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้อง ลืมตาสะลึมสะลือเมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตาของจางต้ากำลังตรวจกระถางไฟ เขาขยับตัวลุกนั่ง บิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยออกจากร่างกาย หย่อนขาลงจากเตียง ดูท่าวันนี้เขาตื่นสายกว่าทุกที เขากวาดตามองที่โต๊ะเขียนหนังสือก็พบว่ามีสำรับอาหารยกมาแล้ว รวมไปถึงถ้วยยา

“ใต้เท้าเฉินกลับเสียนหยางไปแล้วกระมัง”เขาเอ่ยถามลอย ๆ

“ขอรับ ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสาง”จางต้าตอบ ระหว่างที่หยางชวีสั่งให้บ่าวรับใช้ด้านนอกนำน้ำอุ่นเข้ามา หลังจากที่จัดการอาบน้ำ กินข้าว ดื่มยาเดินลมปราณเรียบร้อย เขาก็นำผ้าใบสำหรับวาดภาพออกมา รู้สึกอยากจับพู่กัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ทำให้เขาไม่อยากออกไปที่ใด นับวันรอพบฮ่องเต้เจี่ยผิง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกทนไม่ไหวอยากพบชายผู้นั้น เรื่องที่อยู่ในใจหากไม่พูดออกไปก็คงนอนหลับไม่สนิท เด็กหนุ่มกลับมาสนใจวาดภาพอีกครั้ง คราวนี้เขาอยากวาดภาพตัวเขาเอง จื่อฟาง จางต้าเก็บโต๊ะอาหารตามปกติระหว่างที่หยางชวีนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย คอยฝนหมึกให้ 

“คุณชายวาดผู้ใดหรือ”ผู้ติดตามถามขึ้นเมื่อเงยหน้ากวาดตามองภาพวาดบนผืนผ้าใบ เป็นภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าได้รูป เส้นผมสีดำตัดสั้นยาวระต้นคอ ดวงตากระจ่างชัด จมูกพอเหมาะกับใบหน้า ไม่อาจพูดได้ว่าหล่อเหลาปานเทพบุตร แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่ เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของคนผู้นี้ คนรอบตัวของคุณชายเสิ่นไม่มีทางหลุดรอดสายตาของหยางชวีไปได้

“คนผู้นี้น่ะเหรอ ชายในฝันของข้าเอง”จื่อฟางตอบทีเล่นทีจริง มองสีหน้าไร้อารมณ์ของหยางชวี

“ชายในฝัน?ข้าไม่คิดว่าคุณชายจะชมชอบบุรุษเช่นนี้ ข้านึกว่าท่านจะชอบคนหล่อเหลา”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นคล้ายกับพึมพำกับตัวเองมากกว่าคุยกับคุณชายเสิ่นจึงไม่ได้คิดว่าคำพูดฟังดูแปลกประหลาด หยางชวีกระแอมเมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดออกไป คุณชายเสิ่นสมควรชมชอบสตรีงดงามถึงจะถูก เหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงมีชายในฝันกัน

“เจ้าพูดหมือนกับว่าข้าชอบบุรุษหล่อเหลาไปเสียทุกคน”จื่อฟางหัวเราะเบาๆ  ไล่สายตามองหยางชวี เขาไม่ได้แกล้งเจ้านี่มานานแล้ว คงต้องกระตุ้นเสียหน่อย “จะว่าไปเจ้าก็รูปหล่อเหมือนกันนะหยางชวี”

“ค...คุณชาย”หยางชวีชะงักงันไปอย่างทำตัวไม่ถูก มือที่ฝนหมึกหยุดนิ่ง หนำซ้ำใบหน้ายังร้อนผ่าวเป็นหญิงสาวไปได้ คุณชายรูปงามเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าคนไร้ความรู้สึกอย่างหยางชวีจะเขินอายเป็นด้วย เด็กหนุ่มเม้มปากยิ่งรู้สึกว่าอยากแกล้ง จางต้าลอบมองมาจากที่นั่งได้แต่คิดว่าคุณชายแกล้งหยางชวีอีกแล้ว แต่ก็รู้สึกขบขันกับเจ้าคนหน้าตายนั่น ยังไม่ชินกับนิสัยเช่นนี้ของคุณชายอีก

“เจ้าหน้าแดง เขินข้ารึ”เขากล่าวเสียงนุ่ม เพิ่งเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของอีกฝ่ายจึงแกล้งยื่นมือไปแตะใบหน้าของชายอีกคน

“ข้าน้อย...ขอตัว”หยางชวีพึมพำพบว่าในจังหวะการเต้นในอกเร็วขึ้นจึงรีบออกมาจากห้อง ถึงได้รู้สึกว่าหายใจสะดวกกว่าเดิม บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เขาจำได้ว่ามาจากเรือนของนายท่านเสิ่นเดินเข้ามาเงียบ ๆ ผู้ติดตามเลิกคิ้วเป็นคำถาม อีกฝ่ายกระแอมกระไอ

“นายท่านต้องการพบคุณชายขอรับ”บ่าวรับใช้ส่งเสียง จื่อฟางที่อยู่ในห้องวางพู่กันลง เสิ่นมู่หยางมีเรื่องใดอีก หรือต้องการคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน   

“เดี๋ยวไป”เขาร้องตอบ ลุกยืนบิดกายไปมา บ่าวคนสนิทรีบหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับให้ผู้เป็นนาย จื่อฟางก้าวออกมาจากห้อง พบกับหยางชวีที่ยืนก้มหน้าหลบสายตาเช่นเคย

บ่าวรับใช้จากเรือนของเสิ่นมู่หยางเอ่ยเสริม “นายท่านรออยู่ในห้องรับรองขอรับ”

จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ เดินก้าวฉับ ๆไปตามเฉลียงทางเดินทอดยาว เมื่อมาถึงห้องรับรองเด็กหนุ่มสูดลมหายใจก่อนก้าวเข้าไปในห้อง พบเสิ่นมู่หยางนั่งถือจอกชาคล้ายกับกำลังพูดกับใครสักคนอยู่
“ท่านพ่อต้องการพบข้ามีเรื่องใดหรือ”เขาเอ่ยถาม แต่ในห้องไม่ได้มีเพียงเสนาบดีเสิ่น ร่างบางหันมองชายชราร่นวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง ร่างนั้นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาแหลมคมทำเอาขนลุกซู่

“ท่านผู้นี้คือนักพรต เขาบอกว่าเจ้ามีเคราะห์ต้องรีบทำพิธีด่วน”เสิ่นมู่หยางกระแอมเบา ๆ จื่อฟางทำตาโต หันมองผู้พูดอย่างไม่อยากเชื่อ

“ท่านพ่อเชื่อด้วยหรือ”บ้าไปแล้ว เพี้ยนจริงๆ เสิ่นมู่หยางถูกสายตาของบุตรชายจ้องมองจนทำตัวไม่ถูกจึงกระแอมกระไอเสียงดัง

“เจ้า!”อยู่ ๆท่านนักพรตก็ส่งเสียงแหบพร่าใส่ จื่อฟางหันมองด้วยสายตาเย็นชารู้สึกไม่สบอารมณ์

“เสนาบดีเสิ่น บุตรชายของท่านไม่อยู่แล้ว ยามนี้เหลือเพียงวิญญาณร้ายสิงสู่ร่างกายของบุตรชายท่านเท่านั้น ข้าจะทำพิธีปัดเป่าดวงวิญญาณให้ท่านเอง”นักพรตตวัดสายตามองร่างบาง จื่อฟางใจเต้นผิดจังหวะแม้สีหน้ายังคงเดิม ตาแก่นี่มองเห็นจริง ๆน่ะรึ

“ท่านกล่าวเหลวไหลแล้ว จะทำอันใดก็เชิญแต่หากทำไม่สำเร็จก็คุกเข่าขอโทษข้าด้วย”จื่อฟางเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่คิดว่านักพรตจะทำได้จริง

“เฟยเอ๋อร์!”เสิ่นมู่หยางส่งเสียงเตือนเมื่อบุตรชายกล่าววาจาลามปามกับท่านนักพรต

“ท่านเชื่อนักพรตต้มตุ๋นผู้นี้หรือ”เขาหมุนตัวมอง ยังคงมีสีหน้าขุ่นเคือง

เสิ่นมู่หยางมองหน้าบุตรชาย เขาไม่ได้เชื่อเสียทีเดียว มีนักพรตมาทำนายทายทักถึงที่จะให้อยู่เฉยได้อย่างไร

“เจ้าผีร้าย หยุดพูดจาเหลวไหลเสียที ข้าจะเอาเจ้าออกจากร่างของคุณชายสกุลเสิ่นเดี๋ยวนี้”นักพรตหยิบกระบี่ไม้มาร่ายรำ  ท่องบทสวดอะไรสักอย่าง จื่อฟางเฝ้ามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใจเต้นระรัว รอดูว่าตาแก่นี่มีฝีมือจริงหรือไม่

“ท่านพ่อคงไม่ได้เล่าเรื่องราวของข้าให้เขาฟังกระมัง”เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ มองดูว่านักพรตผู้นี้จะเล่นแร่แปรธาตุใด เสิ่นมู่หยางได้ยินคำพูดของบุตรชายก็ขมวดคิ้ว เมื่อมาคิดดูท่านนักพรตได้เอ่ยถามจริง เสนาบดีเสิ่นบอกเล่าว่าบุตรชายนิสัยเปลี่ยนไป ดูไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม...พอได้มาเห็นท่วงท่ารายรำของท่านนักพรตจึงรู้สึกว่าโง่เขลาอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นพวกหลอกลวงจริง ๆ

“วิญญาณร้าย จงออกไป!”นักพรตแกว่งไม้เท้ามาทางจื่อฟาง เขากลั้นใจรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มกวาดตามองร่างกายตัวเอง หัวเราะเบาๆเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความเงียบกระจายอยู่ในห้อง ท่านนักพรตชราหนวดเคราสั่นระริกเมื่อคาถาไม่เป็นผล

“ว่าอย่างไร ข้าต้องชักดิ้นชักงอหรือไม่”เขายิ้มกว้าง

นักพรตเคาะไม้เท้าตึงๆ “เป็นเพราะเจ้าเป็นวิญญาณกล้าแกร่ง ข้าไล่ไปไม่ได้ง่าย ๆ”นักพรตทำท่าร่ายรำอีกรอบ  ครั้งนี้หมุนกายมาทางจื่อฟาง แต่เงาร่างของหยางชวีปรากฏอยู่เบื้องหน้า ฝามือแข็งแกร่งคว้าไม้เท้าของชายชราไว้

“พอได้แล้ว”ผู้ติดตามเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองนายท่านเสิ่นที่ไม่ได้เอ่ยว่าอะไร นักพรตหน้าเขียวคล้ำ คุณชายเสิ่นทำสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้

“เอาล่ะ ท่านนักพรต ท่านเข้ามาในจวนสกุลเสิ่น มากล่าวหาข้าพล่อย ๆเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าเอาผิดท่านได้ด้วยซ้ำ แต่ข้าเป็นคุณชายจิตใจดีจะไม่เอาเรื่องท่าน ฉะนั้นคุกเข่าขอโทษข้าเสีย”จื่อฟางแสร้งทำอารมณ์เสีย คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นเขาจะไม่ไหว้หน้าท่านนักพรตผู้นี้แม้ตาแก่นี่จะมีอายุมากกว่าเขาก็ตาม

“เฟยเอ๋อร์ ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้นก็ได้กระมัง ท่านนักพรตเพียงแค่…หวังดี”เสิ่นมู่หยางลุกเดินมาหาบุตรชายพยายามเอ่ยเกลี่ยกล่อม

หวังดี โดยการบอกว่าข้าถูกผีร้ายเข้าสิงน่ะหรือ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว”แม้จะถูกครึ่งหนึ่งก็เถอะ ไม่ว่านักพรตผู้นี้จะมองเห็นอย่างถ่องแท้หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ตาม จื่อฟางปรายตามองอย่างเย็นชา

“ข้าขออภัยที่กล่าววาจาเหลวไหล”ท่านนักพรตจำต้องกัดฟันพูด “แต่ข้าสัมผัสได้!”

“เอาล่ะๆ ข้าจะไม่เอาเรื่องท่าน เด็ก ๆไปส่งท่านนักพรต”เสิ่นมู่หยางไม่อยากเห็นเรื่องวุ่นวาย รู้ดีว่าบุตรชายเป็นคนเช่นไร เขาจึงส่งเสียงเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา บ่าวรับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองพานักพรตชราออกไป จื่อฟางรอจนชายชราก้าวไปพ้นห้องจึงหันไปทางเสิ่นมู่หยาง ใช้สายตาเหนื่อยหน่ายมอง

“ท่านพ่อระอาข้าจนต้องฟังคำนักพรตสติเลอะเลือนเชียวหรือ เรื่องของข้าเป็นที่กล่าวถึงไปทั้งฉางอัน เป็นผู้ใดก็เดาได้ว่าข้าไม่เหมือนคนเดิม”จื่อฟางไม่รู้ว่าเสิ่นมู่หยางจะคล้อยตามนักพรตผู้นั้นหรือไม่

“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”เขาเอ่ยเสียงอ่อนแม้จะคิดจริง ๆว่าบุตรชายเปลี่ยนไป แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เสนาบดีเสิ่นคว้าไหล่บุตรชายด้วยสองมือ

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าโกรธแค้นข้าหรือไม่”ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้กันว่าเอ่ยถามถึงเรื่องใด

“ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว”จื่อฟางยกยิ้มจาง “ข้าไม่ได้แค้นเคือง”ถ้าเป็นเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงล่ะก็ไม่แน่

“ท่านให้ข้าทำใจสักระยะหนึ่งเถิด ข้ามิใช่คนใจจืดใจดำ”เขาได้แต่ตอบไปเช่นนั้น แรงจับของเสิ่นมู่หยางเพิ่มขึ้น

“ข้าขอโทษที่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเจ้า ที่ผ่านมาข้าทำหน้าที่บิดาได้แย่นัก เสิ่นจิ้งเฟย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรชายของข้า ต่อให้เจ้าเกเรอย่างไรข้าก็ยังรักเอ็นดูเจ้าเสมอ”เสิ่นมู่หยางพึมพำ แม้จะรู้สึกกระดากอายแต่ก็คว้าร่างของบุตรชายมาสวมกอด จื่อฟางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงคิดว่าควรทำอะไรสักอย่าง เขาจึงตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ ไม่รู้จะเอ่ยตอบอย่างไรเพราะเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย   
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-01-2019 05:05:42


จื่อฟางกลับมาที่เรือน ไล่จางต้ากับหยางชวีออกไปอยู่ด้านนอกเพราะอยากใช้เวลาเพียงลำพัง เด็กหนุ่มถอนหายใจ เรื่องเสิ่นมู่หยางทำเอาปวดหัวจี๊ดๆ กวาดตามองภาพวาดที่ทำค้างไว้ จึงกลับมาสนใจวาดต่อให้เสร็จ ยังเหลือลงสีอีกเล็กน้อย เขาตวัดพู่กันอีกสองสามที เอียงศีรษะไปมา เขาไม่ได้เห็นใบหน้าของตัวเองมานานแล้ว จื่อฟางมองภาพวาดคิดว่าควรแต่งเติมให้ดูดีกว่านี้หน่อย เขากวาดตามองทรงผมสั้นๆในภาพวาด จะว่าไป…เขาจับเส้นผมที่ถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่ง รู้สึกอยากตัดผมให้สั้นเล็กน้อยเพราะความยาวที่เพิ่มขึ้นทำให้เริ่มดูแลลำบาก เขาลุกเดินไปที่โต๊ะแต่งตัว จ้องมองคันฉ่องอยู่ครู่หนึ่งเพราะช่วงนี้บำรุงมาก ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยจึงมีน้ำมีนวล

ถ้าหากตัดผมยาวๆออกร่างนี้อาจดูงดงามน้อยลง ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้ออีกหน่อยเป็นอันดี เด็กหนุ่มปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลัง ใช้มือสางจนเรียบ หยิบมีดสั้นในกล่องออกมา รวบผมมากำมือหนึ่งตั้งใจจะใช้ใบมีดคมหั่นออก แต่เกิดเสียงเคลื่อนไหวที่บานหน้าต่างที่ปิดไว้ จื่อฟางเหลียวมอง ลมหนาววูบหนึ่งพัดเข้ามาพร้อมกับอุ้งมือใหญ่ที่จับข้อมือของเขาไว้แน่น

“เจ้าคิดทำสิ่งใดหรือ”ผู้บุกรุกเอ่ยถาม ร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม ขับให้รูปลักษณ์โดดเด่น

“ไป๋ผูอวี้!”เขากระซิบเหลียวซ้ายแลขวา “เจ้าเข้ามาในจวนได้อย่างไร มีคนเห็นหรือไม่”

ร่างตรงหน้าไหวไหล่ “ข้าไม่รู้สึกถึงองครักษ์เหล่านั้น ส่วนหยางชวี...เขาห้ามข้าไม่ได้หรอก”

จื่อฟางเม้มปาก อดเอ่ยออกมาไม่ได้ “หยางชวีมีฝีมือ”

ไป๋ผูอวี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย“ถูก เขามีฝีมือ แต่ข้ามีมากกว่า”ชายหนุ่มทำสีหน้าเรียบเฉย แกล้งเอ่ยเสียงเข้ม “ไยเจ้าถึงเอ่ยชมชายอื่นต่อหน้าข้าเล่า”

“เจ้ากินของผิดสำแดงมารึไง”จื่อฟางพึมพำ พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย

“เจ้าจะทำอะไร”ไป๋ผูอวี้ถามอีกครั้งดึงมีดสั้นออกจากมือเล็ก ออกแรงบีบนวดเบา ๆ ถึงแม้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นแต่ก็ยังถือว่าผอมในสายตาของเขาอยู่ดี

“ข้าจะตัดผม มันยาวเกินไป ข้ารำคาญ”เขามองเสิ่นจิ้งเฟยทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เจ้าก็รู้ว่าทำไม่ได้”ชายหนุ่มวางมีดสั้นเก็บใส่ในกล่อง ปล่อยมือของคุณชาย

“รู้ไหม เจ้าทำตัวเหมือนโจรเข้าไปทุกที”เด็กหนุ่มกอดอกมองไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นเดินไปหยุดมองภาพวาดบนโต๊ะ สายตาจับจ้องอย่างสนใจ

“เจ้าวาดผู้ใดหรือ”อีกฝ่ายถามอย่างใคร่รู้

“ชายในฝันของข้า”เขาตอบเช่นเดิม รอดูท่าทีของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้เงยหน้ามอง คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย

“ชายในฝันของเจ้า?เจ้าชอบคนเช่นนี้เอง”ร่างนั้นก้มมองภาพวาดอีกครั้ง

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”จื่อฟางรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างร้อนตัวทันที

“อืม...มองคราแรกก็ว่าธรรมดา แต่เมื่อจ้องมองดูดี ๆ ข้ากลับคิดว่าชายในฝันของเจ้ามีบางอย่างแปลกๆ”ชายหนุ่มเอียงหน้ามอง

“อะไรหรือ”เขาถามอย่างกระตือรือร้น

“ผมที่ตัดสั้นเกินไป เจ้าว่าไม่แปลกหรือ ชายในฝันของเจ้าเป็นคนแบบไหนกันแน่”

กรอดด

เจ้าบ้านี่มัวแต่สนใจอะไรกัน เขากำมือ อยากกระทืบเท้าเร่า ๆเป็นเด็กก็วันนี้

“ข้าหมายถึงว่าเจ้าคิดเห็นต่อจื่อฟางอย่างไร”อุ๊บ เขายกมือปิดปากเมื่อเผลอเอ่ยชื่อตัวเองออกมา ไป๋ผูอวี้หรี่ตามองเขาอย่างสงสัย

“เจ้ารู้แม้กระทั่งชื่อ ดูท่าเจ้าจะชอบเขาจริง ๆ”ไป๋ผูอวี้ละสายตามาจากภาพวาด “ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอกว่าคิดเห็นเช่นไร กระทั่งเจ้าอยู่ต่อหน้าข้า ข้ายังเคยมองเจ้าผิดมาก่อน นับประสาอะไรกับคนในภาพวาด ข้าต้องรู้จักเขาก่อนถึงจะบอกได้”

“...”คุณชายรูปงามถึงกับพูดไม่ออก ไป๋ผูอวี้ใช้มือเคาะภาพวาดเบาๆ

“จื่อฟาง...” ชายหนุ่มเอ่ยทวน ชื่อของเขาที่ออกมาจากปากอีกคนทำให้เด็กหนุ่มสะท้านอยู่ในอก 

“เจ้ารู้ชื่อของเขาได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเขามาเข้าฝันเจ้าด้วย”บุตรชายสกุลไป๋เอ่ยทีเล่นทีจริง ยืดตัวเดินหยุดตรงหน้าร่างผอมบาง จื่อฟางถูกสายตาจดจ้องจนตกประหม่า

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้...เขาอยู่ในหัวของข้าตลอดเวลา”เขากล่าวช้า ๆพยายามเลือกใช้คำที่ดูคลุมเครือ ทั้ง ๆที่อยากบอกใจจะขาดว่าข้านี่แหละคือจื่อฟาง!

“เจ้าแสร้งพูดให้ข้าหงุดหงิดกระมัง”ไป๋ผูอวี้ไม่ค่อยเข้าใจนัก ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นเสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถึงคนผู้นี้มาก่อนและเขาก็ไม่เคยเห็นหน้า หรือมาจากเมืองอื่นกัน

“ข้าพูดจริง จื่อฟางอยู่ในหัวข้าตลอด เขาเป็นคนในฝัน แต่เจ้าคือตัวจริงที่จับต้องได้”เพื่อยืนยันจื่อฟางจึงลากมือไปตามลำคอแกร่งของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ย่นคิ้วคว้าข้อมือของเขาไว้หลวมๆ นึกว่าอีกฝ่ายจะปัดออกแต่การกระทำถัดมาทำให้จื่อฟางอ้าปากน้อย ๆ เพราะชายร่างสูงประทับจูบลงบนหลังมือของเขาแผ่วเบา สายตามองมาทำเอาใจกระตุกถี่รัว บางทีอาจตาฝาดไปเอง ไป๋ผูอวี้นะเหรอ จะใช้สายตาเร่าร้อน

“เจ้า...ทำอะไร”เขาตั้งใจเอ่ยดุแต่เสียงพลันอ่อนลง ดึงมือออกจากฝามืออุ่นของคนร่างสูงกว่า เบนสายตาไปอีกทางเพราะสู้ไม่ไหว   

“ไม่ชอบหรือ ถ้าไม่ชอบข้าจะได้ไม่ทำอีก”ไป๋ผูอวี้เป็นฝ่ายเอ่ยหยอกเย้าบ้างก่อนกลับคืนสู่ท่าทีจริงจังในเสี้ยววินาที

 “ข้าแวะมาเพราะเรื่องหลิวอ๋อง”ร่างนั้นยกชายเสื้อนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ จื่อฟางสนใจทันทีนั่งลงข้างกายอีกฝ่ายเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการขนมหวาน “ท่านอ๋องทำไมหรือ”

“ดูเหมือนเขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”จื่อฟางใจกระตุก

“ข้าคิดว่าเขากำลังเริ่มแผนก่อกบฏ ไม่แน่ท่านอ๋องอาจนัดพบเจ้าในเร็ววันนี้”ชายหนุ่มคาดคะเนด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเท่าไหร่

“เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับหลิวอ๋องมากแค่ไหน”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างข้องใจ   

“คงพอๆกับเจ้า”ชายอีกคนทำสีหน้าลึกลับ

“บอกข้าได้หรือไม่”เขาเซ้าซี้ถาม

“อืม...ขอข้าคิดดูก่อน”ไป๋ผูอวี้ทำทีเหมือนใช้ความคิด เด็กหนุ่มได้แต่รอฟังอย่างตั้งใจ

“เจ้าอยากรู้ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน”อีกฝ่ายเอ่ยออกมาในที่สุด เจ้านี่ตั้งใจล้อเขาเล่นหรือไง

“สิ่งแลกเปลี่ยน?เจ้าต้องการอะไร ตัวข้ารึ"จื่อฟางขมวดคิ้ว ตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบาๆ “ตัวเจ้า?ข้าคิดว่าอยู่ในกำมือนานแล้วเสียอีก”อีกฝ่ายยิ้มมุมปาก วันนี้ท่อนไม้ไป๋ปากดีเสียจริง! 

“เจ้าต้องการอะไรก็พูดมา”เขาเอ่ยตามน้ำ รู้ดีว่าภายใต้ท่าทางสุภาพนุ่มนวลของไป๋ผูอวี้ เจ้าตัวกำลังสนุกที่ได้แกล้งเขา ไม่คิดว่าจะเป็นคนเช่นนี้จริง ๆ

“ขอข้าคิดดูก่อน”อันที่จริงไป๋ผูอวี้เพียงแค่อยากหยอกเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น เห็นท่าทางเคร่งเครียดของคุณชายเสิ่นเขาก็อยากหาเรื่องทำให้อีกฝ่ายไม่ต้องคิดมาก

“เอาเป็นว่าข้าอยากรู้เรื่องของจื่อฟาง เหตุใดเขาถึงเป็นชายในฝันของเจ้า”ชายหนุ่มคิดว่าไม่ได้ตาฝาดเมื่อเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยแสดงท่าทีแปลกๆตอนที่เขาเอ่ยถึงชายในฝันผู้นี้ หรือว่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆเสียแล้ว?

“เขาเหมือนข้า”จื่อฟางตอบสั้นๆ

“เหมือนเจ้า?”เขาไม่เห็นว่าคนในภาพวาดจะเหมือนคุณชายเสิ่นตรงไหน ยกเว้นแต่ดวงตาที่ให้ความรู้สึกคล้ายกัน

“ข้าหมายถึงทางจิตวิญญาณ”เขาพึมพำ ฉีกรอยยิ้มปริศนาให้ชายหนุ่มอีกคน ไป๋ผูอวี้จ้องมองภาพวาดบนโต๊ะพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เสิ่นจิ้งเฟยพูด เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เข้าใจ ไป๋ผูอวี้ลอบเข้ามาในจวนสกุลเสิ่นนานแล้ว เขานึกไปถึงบทสนทนาที่ได้ยินในห้องรับรองขึ้นมา นักพรตนั่นก็พูดถึงวิญญาณเหมือนกัน เขาย่นคิ้ว ฟังดูไร้สาระ ไป๋ผูอวี้ไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้ แต่อยู่ ๆเสิ่นจิ้งเฟยก็เปลี่ยนไป หรือเป็นเรื่องที่ไม่ต้องการเหตุผลใดรองรับ

“เอาเถอะ รีบบอกเรื่องท่านอ๋องมาดีกว่า”คุณชายเสิ่นทำสีหน้าจริงจัง

ไป๋ผูอวี้สบตากับคนร่างตรงหน้า “หลิวอ๋องติดต่อกับอ๋องแคว้นเกาโหยว อาจมีเหตุจลาจลเกิดขึ้นเร็วๆนี้ แต่คงไม่ใช่การก่อกวนในวังหลวง เพราะในยามนี้ยังเสี่ยงเกินไปที่จะเคลื่อนไหว อาจเป็นเหตุการณ์ลุกฮือเล็ก ๆเพื่อสร้างความวุ่นวาย ในฉางอันเขามีกำลังส่องสุมอยู่ไม่น้อยทีเดียว”จื่อฟางทำสีหน้าผิดหวังเมื่อเป็นข้อมูลที่ไม่ต่างจากที่เขารู้เท่าไหร่ ท่อนไม้ไป๋ชอบแกล้งปั่นหัวกันเสียจริง

“คุณชายเสิ่น ข้าไม่ใช่สายสืบ”ไป๋ผูอวี้หัวเราะกับท่าทางของอีกฝ่าย   

“ข้านึกว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าเสียอีก อวิ๋นเซียนหลางให้เจ้าสืบเรื่องหลิวอ๋องไม่ใช่หรือ”ในตอนนี้จื่อฟางยังบอกเรื่องแผนการของหลิวอ๋องให้กับอีกฝ่ายรู้ไม่ได้ เขาต้องคุยกับฮ่องเต้เจี่ยผิงเพื่อดูท่าทีของฝ่าบาทเสียก่อน 

“ก็ไม่เชิง ท่านผู้อาวุโสอวิ๋นแค่เสนอหนทางผลักดันความต้องการของข้าเท่านั้น”ไป๋ผูอวี้นึกถึงเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องปวดหัวทุกที

“ความต้องการของเจ้า? เจ้าต้องการสิ่งใด”จื่อฟางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก

“ข้าแค่คิดว่าจะเป็นอย่างไรหากพวกบัณฑิตที่ฉลาดเฉลียวได้รับราชการ ขุนนางเก่าต้องเลิกใช้วิธีให้คนของตัวเองสืบทอดตำแหน่งเสียที แผ่นดินเจี่ยต้องการขุนนางเลือดใหม่”

“เจ้ากลายเป็นผู้พิทักษ์สันติราชไปแล้วหรือไร”จื่อฟางอดพูดไม่ได้ ความต้องการของไป๋ผูอวี้ฟังคล้ายกับการปรับเปลี่ยนระบอบการสอบอย่างไรอย่างนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวไปแล้ว

“ข้าทำเพราะความถูกต้อง แต่ก็ถลำลึกมาถึงขั้นนี้จนทำผิดกฎของสกุลไป๋” ไป๋ผูอวี้พึมพำพลางถอนหายใจ อา!เจ้านี่ทำตัวเป็นพระเอกเกินไปแล้ว! จื่อฟางไม่เข้าใจความคิดความอ่านของคนผู้นี้เอาเสียเลย แม้จะอ่านนิยายจนรู้ว่าไป๋ผูอวี้เป็นพวกนิสัยพระเอก ยึดถือความถูกต้องเป็นหลักเขาก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี 

“คิดเช่นนี้ไยไม่เป็นขุนนางในราชสำนักเสียเลยเล่า”เขาพึมพำเสียงขุ่น ท่อนไม้ไป๋ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองด้วยซ้ำ แต่ทำเพราะต้องการความถูกต้อง บลาๆ จำได้ว่าบทของไป๋ผูอวี้มีช่วงหนึ่งที่เจ้านั่นต้องสอบรับราชการเพราะอยากเอาชนะใจบิดาของฉินเซียงอิน อย่าบอกนะว่าเรื่องราวยังต้องดำเนินไปตามนั้น ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยหงุดหงิดด้วยเรื่องใดจึงใช้ฝามือลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเพื่อให้เสิ่นจิ้งเฟยคลายความโกรธ เด็กหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ

“เจ้ามาหาข้าไม่กลัวถูกจับได้หรือ”เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ข้าไม่กลัว”ชายหนุ่มตอบไปตามตรง “การหลบๆซ่อนๆทำให้ข้าอึดอัดโดยเฉพาะเรื่องของเจ้า แต่ยามนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้”ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้

“ข้าเข้าใจ”จื่อฟางเอาศีรษะพิงไหล่ของอีกฝ่าย

“เจ้ารอก่อน...หากว่าทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะพาเจ้าไปจากสกุลเสิ่น”ไป๋ผูอวี้กระซิบเสียงหนักแน่น คำพูดของอีกฝ่ายฝังลงในใจ ทำให้เขานึกถึงฮ่องเต้เจี่ยผิงที่เคยเอ่ยเช่นนี้กับเสิ่นจิ้งเฟย เขาหลับตาพบว่าเปลือกตาหนักอึ้ง

“ดี เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด”ร่างบางพึมพำ

“ข้าไม่คืนคำ ข้าสัญญา”

จื่อฟางพยักหน้า รู้สึกว่าแบกรับเรื่องทุกอย่างมานาน เขาอยากหยุดพัก ไป๋ผูอวี้ลูบแผ่นหลังของร่างบางเป็นการปลอบโยน รู้ดีว่าตั้งแต่เสียมารดาไปเสิ่นจิ้งเฟยต้องพบเจอเรื่องลำบากไม่น้อย

“ไป๋ผูอวี้ ท่านพ่อข้า...”ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้พรั่งพรูเรื่องของเสิ่นมู่หยางออกมาจนหมดเปลือก เรื่องที่ฝ่ายนั้นแอบมีอนุ และบุตรชายอีกคน เขาระบายออกมาจนหมดสิ้นเพื่อคลายความตึงเครียดและบรรเทาอารมณ์เจ็บช้ำของเสิ่นจิ้งเฟย

“ข้าอยากไปจากจวนสกุลเสิ่น ข้ารู้จักสถานที่หนึ่ง...เป็นที่หลบภัยของท่านปู่ เขาทิ้งแผนที่ไว้ให้ข้าด้วย”จื่อฟางกระซิบอย่างมีความหวัง   

“เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลาข้าจะไปกับเจ้าแน่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยด้วยเสียงตั้งมั่น รับรู้ถึงความหวังของอีกคนได้ชัดเจนทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอกไปด้วย ‘ไป๋ผูอวี้เอ๋ย เจ้าบ้าไปแล้วจริง ๆถึงให้คุณชายผู้นี้ก้าวล้ำเส้นเข้ามาถึงเพียงนี้’ 

จื่อฟางรู้สึกวางใจ โชคดีที่มีไป๋ผูอวี้อยู่ด้วย เขาสบตาของอีกฝ่าย “ไป๋ผูอวี้เจ้าเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือไม่”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ต้องดูว่าเหนือธรรมชาติแบบใด”

“ถ้าหากข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยเล่า เจ้าว่าอย่างไร”เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

“ถ้าไม่ใช่…แล้วเจ้าเป็นผู้ใด”ชายหนุ่มกวาดตามองใบหน้าที่มองไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไรของเสิ่นจิ้งเฟย

“จื่อฟาง”เจ้าของชื่อกลั้นใจตอบ สีหน้าของไป๋ผูอวี้เต็มไปด้วยความสับสนงงงวยจึงรีบเอ่ยเสริม

“ข้าล้อเล่น”เขาหัวเราะกลบเกลื่อน คงเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเกินไปกระมัง สีหน้าของท่อนไม้ไป๋ถึงได้เป็นเช่นนี้

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าสงสัยนัก เจ้าไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยที่ข้ารู้จัก”ไป๋ผูอวี้ใช้มือกุมใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกคนเพื่อไม่ให้หลบสายตา

“ข้าแกล้งเจ้าเฉยๆ ไยต้องจริงจังด้วย”จื่อฟางใจเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว

“เสิ่นจิ้งเฟย….”ชายหนุ่มหรี่ตาลง มองไม่ออกว่าคุณชายตรงหน้าพูดจริงหรือเล่น “เจ้าเป็นใครกันแน่ ข้าอยากเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”

ตัวตนของข้างั้นหรือ

นัยน์ตาของจื่อฟางเป็นประกายวิบวับก่อนจะผลักร่างของไป๋ผูอวี้ลงไปนอนราบ เสียงโต๊ะขูดกับพื้นเมื่อร่างนั้นขยับโดน

“ข้าจะแสดงให้เจ้าดู”เขาก้มกระซิบใกล้ใบหูของอีกฝ่าย


-------------------------------------
เจอกันตอนหน้าจ้า อิ__อิ   :katai3::กอด1:
 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-01-2019 06:56:50
น่าร้ากกก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 09-01-2019 07:26:08
ห๊ะะะะะะะะ
จะทำอะไรหนะ
คุณชายไป๋ยังไม่ได้ตั้งตัวเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-01-2019 07:41:11
แซ่บบบบบ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 09-01-2019 09:40:00
เรื่องนี้เสิ่นเป็นเมะใช่ม้ายยยย ชายไป๋ไม่คิดจะทวงตำแหน่งเลยรึ อย่างงี้มันม่ายด้ายยยยยย :serius2:

นักเขียนมาต่อเร็วมาก :กอด1: ขอบคุณค่ะ ดีใจมากกก :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-01-2019 09:48:32
ฮึ่ย............ ค้างอีกและ   :z3: :z3: :z3:
ไป๋ จื่อฟาง  มีใจให้กันแล้ว   :-[ :impress2:
จื่อฟางบอกตัวตนไปเล้ย  :mew1:

หยางชวี ตัวสั่น ใจสั่นไปแล้ว โดนจื่อฟางแกล้ง  :m20: :laugh:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-01-2019 09:56:40
แสดงตัวตนกันท่าไหนน้อ​ ช่วงนี้มาต่อต่อเนื่องเลย​ ฟินมากๆเลยค่ะ​ ขอบคุณ​มากๆนะคะ​ รอจื่อฟางพบกับฮ่องเต้​  ใกล้ช่วงกบฎ​เข้ามาทุกที​
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-01-2019 10:15:41
+1

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-01-2019 14:02:06
ยังไงดีค่ะ จะพิสูจน์ยังไงค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 09-01-2019 14:29:38
ปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมดบวกกับใกล้จะปะทุแล้วด้วย ไม่ว่าจะจบยังไง ขอให้ทั้งสองได้หนีไปใช้ชีวิตด้วยกันที่เหลียวตงเถอะ

ปล. มาถึงตอนนี้ก็ไม่ชอบท่านพ่อเหมือนเดิม ไม่เห็นใจจิ้งเฟยเลย สงสารชีวิตจิ้งเฟย ไม่มีอะไรดีเลยซักอย่าง   :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Aomoto ที่ 09-01-2019 17:16:39
สนุกขั้นสุดค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-01-2019 17:34:11
ติดหนึบหนับ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-01-2019 17:54:37
รอ รอตอนหน้า  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 09-01-2019 19:32:19
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-01-2019 20:07:04
กรี๊ดดดดดดด หนูลูกกก ขอดูหน่อยค่าว่าจะแสดงอะไรน้าาาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-01-2019 20:36:32
น้องจื่อรุกท่อนไม้ไป๋หนักๆ เลยลูก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 09-01-2019 21:02:16
ตายแล้วน้องจื่อฟาง จะรุกคุณชายไป๋แล้ว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-01-2019 22:55:15
 :laugh:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 11-01-2019 23:24:28
จื่อฟางงงงงง
แซ่บเกินยุคไปแล้วน้าาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทสิบเก้า: คำสัญญา P.17 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 12-01-2019 07:53:15
 :katai1: :katai1: น่ารักกกกมาก แงงง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 12-01-2019 23:58:35
บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล


ไป๋ผูอวี้ไม่เคยคาดคิดว่าตนจะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เขาได้แต่ลอบคิดอยู่ในใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยกล้าเกินไปแล้ว แม้จะยังตกใจที่ถูกโถมร่างใส่โดยไม่ทันตั้งตัวแต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมว่ายังมีบ่าวรับใช้อยู่ด้านนอกจึงไม่กล้าส่งเสียงดัง ริมฝีปากนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายขบเม้มไปตามลำคอ ปลายลิ้นลากเลียอย่างหยอกเย้า

“เสิ่นจิ้งเฟย”เสียงของเขาแหบพร่า เบนสายตาไปที่ประตูห้อง “หากมีคนด้านนอกได้ยินเข้า เจ้าจะเดือดร้อน”เขาเอ่ยเตือน

“ใครจะกล้าเข้ามาเล่า”อีกฝ่ายกระซิบตอบเรียวปากยังคงแนบชิด ทำเอาชายหนุ่มจั้กจี้ลอบกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มรู้ว่าหยางชวีเป็นพวกสัมผัสไวกว่าคนทั่วไป ได้แต่หวังว่าคนผู้นั้นจะไม่เข้ามาขัดจังหวะ ไป๋ผูอวี้หลับตานับตัวเลขอยู่ในใจแต่ทำอย่างไรก็ทำจิตใจให้สงบดั่งขุ่นเขามิได้เพราะกลิ่นหอมจากร่างของเสิ่นจิ้งเฟยอวลอยู่ใกล้ ๆ ชักชวนให้อยากสูดดม เขาคิดว่าแปลกนัก ที่ผ่านมาต่อให้มีสาวงามเปลื้องผ้าต่อหน้าเขาก็ยังสงบสติอารมณ์ได้ แต่กับคุณชายท่านนี้…ความอดทนอดกลั้นกลับลดลงเรื่อย ๆ

‘ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าข้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก’

ไป๋ผูอวี้ยังคงนอนตัวแข็งทื่อปล่อยให้ฝามือนุ่มของคุณชายรูปงามดึงผ้าคาดเอวออก อาภรณ์หลุดไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เหลือเพียงชุดผ้าไหมตัวหลวมที่อยู่บนร่างเท่านั้น ไม่ใช่ว่ายังตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ชายหนุ่มกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างหนัก เส้นคุณธรรมฉีกขาดทีละน้อย ๆ หรือเขาถูกเสิ่นจิ้งเฟยล่อลวงเข้าแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้คุณชายเสิ่นกระทำตามใจชอบอีกแล้ว เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วรวบมือซุกซนของอีกฝ่ายก่อนออกแรงพลิกตัวจนร่างนั้นอุทานแผ่วเบา

เขาใช้ความว่องไวประทับริมฝีปากอุ่นร้อนดูดกลืนเรียวปากของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างไม่รีบร้อน ร่างที่ถูกกดทับสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเผยอปากรับลิ้นร้อนไล่ต้อนอย่างชำนาญ รสจูบให้ความรู้สึกหวาบหวิวในท้องน้อย ฝามือแกร่งดึงเสื้อผ้าของร่างบางออกอย่างนุ่มนวล ชั่วพริบตาผ้าชิ้นสุดท้ายก็ถูกปลดออก จื่อฟางพลันรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว แต่ร่างที่อยู่ด้านบนโอบกอดแนบชิดจนรับรู้ทุกสัดส่วนโดยเฉพาะบริเวณกลางลำตัว สัมผัสนั้นทำให้เขาร้อนวูบวาบไปด้วยความต้องการที่ถูกจุดติด ชายหนุ่มถอนริมฝีปากผละออกมาเล่นกับจุดอื่น รุกล้ำผิวกายเนียนราวกับหยกของคุณชายเสิ่น ขบกัดที่ซอกคอราวกับหมั่นเขี้ยว

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเบา ๆ ร่างบางพยักหน้าดวงตาเป็นประกายวิบวับดั่งสุนัขจิ้งจอก เคลื่อนไหวพริบตาเดียวร่างของจื่อฟางก็ถูกอุ้มมาวางบนเตียงอย่างเบามือ ชายหนุ่มเบื้องหน้ากวาดตามองร่างเปล่าเปลือยด้วยสายตาราบเรียบที่แฝงแววบางอย่าง จื่อฟางลอบกลืนน้ำลาย ใจเต้นถี่รัวอย่างไม่ได้ความ ร่างนั้นยังคงสวมเสื้อชั้นในหลวมโพรก ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย นึกอยากยื่นมือไปกระตุกออก แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาไม่กล้าขยับตัว สายตานั้นกวาดมองร่างกายท่อนบนไล่มาถึงท่อนล่างช้า ๆ เด็กหนุ่มกลั้นใจเมื่อถูกฝามือหยาบเลื่อนมาลูบคลำต้นขาด้านใน ก่อนจับแยกออก แม้ว่าจื่อฟางจะใจกล้าแค่ไหนแต่ถูกไป๋ผูอวี้จับจ้องไม่วางตาเช่นนี้ก็ใบหน้าร้อนผ่าวแทบระเบิด เจ้านั่นจ้องมองอย่างใคร่รู้เหมือนเห็นเขาเป็นรูปปั้นที่น่าสนใจ

“ไป๋ผูอวี้”เด็กหนุ่มกัดฟันเรียก จะมองอะไรนักหนาเล่า

ชายหนุ่มรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เขาไม่เคยผ่านประสบการณ์บนเตียงมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร คิดว่าคงไม่ต่างจากสตรีกระมังแม้สรีระร่างกายจะต่างกันก็ตาม ชายหนุ่มลูบคลำไปตามเรือนร่างผอมบาง แม้เคยเห็นเสิ่นจิ้งเฟยเปล่าเปลือยมาก่อนแต่ก็ยังลอบแปลกใจกับผิวกายเนียนนุ่ม ขาวจนเกือบซีดของอีกฝ่ายอยู่ดี เขาโน้มร่างเข้าหาประทับริมฝีปากลงบนหัวไหล่มนไล่ลงมาตามแผงอกผอมแห้ง ขบกัดลงบนยอดอกเบาๆ ใช้ลิ้นดุนอย่างหยอกล้อ ส่งผลให้คนใต้ร่างส่งเสียงอยู่ในลำคอ

ไป๋ผูอวี้ถอดผ้าชิ้นสุดท้ายออก แผ่นอกแข็งแกร่งปรากฏให้เห็น จื่อฟางไล่สายตามองส่วนนั้นของอีกฝ่ายด้วยสายตาซุกซน สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ริมฝีปากแห้งผาก นึกหวาดกลัวขึ้นมา ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยจะทนรับความแข็งแกร่งของบุรุษได้หรือ แต่ความคิดของเขากลับว่างเปล่าเมื่อริมฝีปากถูกครอบครองอีกครั้ง ร่างแกร่งทาบทับเบียดชิด วัตถุร้อนผ่าวดุนดันอยู่ใกล้ๆ ไป๋ผูอวี้ย้ำจูบลงบนริมฝีปากบางอย่างหักห้ามอารมณ์ไม่อยู่ ปลายลิ้นต่างก็เกี่ยวกระหวัดกันไม่ห่าง ฝามือลูบไล้กอบกุมส่วนล่างที่กำลังตื่นตัวของร่างบาง ส่วนมืออีกข้างนวดเค้นต้นขาด้านใน เสิ่นจิ้งเฟยตัวสั่นกับสัมผัสหยาบกร้านของชายหนุ่ม ร่างนั้นส่งเสียงครางอย่างห้ามไม่อยู่ความรู้สึกที่อดกลั้นไว้ก็พังทลาย

ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจ ส่วนนั้นเจ็บปวดจากความต้องการจนทนไม่ไหว แต่เขารู้ขีดจำกัดร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยดีจึงไม่อยากเร่งร้อน มองร่างตรงหน้าที่คล้ายกับหมดเรี่ยวแรงจากการปลดปล่อยเมื่อครู่

“เสิ่นจิ้งเฟย ทนหน่อย”ชายหนุ่มพึมพำเสียงแหบ ใช้ของเหลวข้นเป็นตัวหล่อลื่น พยายามแทรกนิ้วมือเข้าไปยังช่องทางที่ไม่เคยถูกรุกล้ำช้า ๆ ส่งเสียงครางต่ำในลำคอกับความอ่อนนุ่มคับแน่น 

“เดี๋ยวก่อนสิ”จื่อฟางท้วงเสียงสั่น พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างสุดกำลัง ใบหน้าเล็กแดงก่ำ เหงื่อผุดบนหน้าผาก ชายหนุ่มที่คร่อมอยู่เหนือร่างโน้มตัวมาจูบปลอบประโลม ระหว่างที่ดันแทรกนิ้วมือเข้ามาจนลึก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จื่อฟางรับรู้ถึงส่วนแข็งแกร่งของบุรุษอีกคนค่อยแทรกเข้ามาในร่างกาย ร่างบางเม้มปากห้ามเสียงร้อง ขยับตัวดิ้นด้วยเพราะร่างนี้ไม่คุ้นชินกับสัมผัสแปลกใหม่ที่แทรกเข้ามาอย่างเจ็บปวดจนน้ำตาเอ่อคลออย่างทรมาน

“ชู่ววว”ไป๋ผูอวี้พรมจูบไปทั่วใบหน้า ลากนิ้วไปตามริมฝีปากที่แดงเรื่อ ก่อนใช้สันมือให้อีกฝ่ายกัดแทน ร่างนั้นอ้าปากกัดอย่างไม่รอช้าในขณะที่เขาค่อยๆดันแทรกความแข็งแกร่งเข้าไปในความคับแน่นจนสุด เสียงร้องอู้อี้ด้วยความเจ็บปวดของคุณชายเสิ่นทำให้เขาหยุดการกระทำเปลี่ยนมาก้มจูบปลอบประโลม ความอึดอัดทำให้ไป๋ผูอวี้สูดหายใจเข้าลึกๆข่มอารมณ์ที่มีแต่จะปะทุมากขึ้น

“ข้าเองก็ลำบากเหมือนกัน”ท่อนไม้ไป๋พึมพำ ลมหายใจถี่กระชั้น ใช้มือข้างที่ว่างปัดเส้นผมชื้นเหงื่อของจื่อฟางออกจากใบหน้า เด็กหนุ่มออกแรงกัดมือของอีกฝ่ายเพื่อข่มกลั้นเสียงร้อง ถลึงตาใส่ร่างด้านบนที่เริ่มเคลื่อนกายโดยไม่บอกกล่าว ทั้งร่างสะท้านราวกับถูกฉีกขาด ส่วนนั้นรุกรานขยับเข้าออกอย่างไม่ปราณีทำให้เขาดิ้นอย่างทรมานเกินกว่าจะรู้สึกสุขสมไปพร้อมฝ่ายนั้น ไป๋ผูอวี้ปล่อยเสียงครางต่ำในลำคอพยายามควบคุมอารมณ์ปั่นป่วนร้อนแรง แต่ได้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยในสภาพเช่นนี้ก็ยากจะทานทน เขาขบเม้มติ่งหูเล็ก ๆของร่างบาง ซุกใบหน้าขบจูบที่ลำคอระหว่างที่ฝังความเป็นบุรุษเข้าออกซ้ำ ๆเป็นจังหวะที่ทำให้จื่อฟางร้องครางเครือ ตวัดขากอดรัดสะโพกคนด้านบน เริ่มมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ภายในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ และเสียงเสียดสีของร่างกายของทั้งสองคนดังสะท้อนอย่างน่าอาย ชายหนุ่มดึงมือที่ถูกกัดจนเจ็บแปลบออกจากริมฝีปากบางเปลี่ยนมากดสะโพกของอีกร่างไว้ ส่งความอุ่นร้อนแข็งแกร่งเข้ามาไม่หยุด แทรกกายเข้าไปจนลึกความสุขสมแผ่กระจายทั่วท้องน้อย

จื่อฟางกวาดตามองใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้ เห็นคลื่นความปรารถนาอยู่ในดวงตาคู่นั้นชัดเจนจนชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน

“ไป๋ผูอวี้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เด็กหนุ่มพึมพำร้องบอกอย่างลืมตัว คลื่นความรู้สึกที่ก่อตัวถาโถม ร่างสั่นสะท้านเมื่อการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มที่โถมทับเร็วขึ้นตอกย้ำลึกราวกับต้องการบดขยี้ร่างกายจื่อฟางให้แหลก ได้แต่ปล่อยร่างกายรับรู้ทุกสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ เผลอปล่อยเสียงพอใจออกมาอย่างไม่อายเมื่อความเป็นบุรุษขยับย้ำเข้ามาถูกจุดที่ทำให้เสียวซ่าน ไป๋ผูอวี้กวาดตามองเรือนร่างขาวเนียนที่บัดนี้แดงก่ำจากการถูกตนเคี่ยวกรำ เขาก้มลงดูดเม้มริมฝีปากของอีกฝ่ายซ้ำ ๆอย่างไม่รู้เบื่อ ฝังกายเข้าออกตามแรงอารมณ์ที่ปะทุพุ่งสูง อาการบิดเกร็งในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น ชายหนุ่มกระทั้นกายรุนแรงอีกไม่กี่ครั้ง จุมพิตที่ลาดไหล่ของร่างบาง ส่งเสียงในลำคอขณะที่อารมณ์หวาบหวามไต่ถึงขีดสุดก่อนที่กระแสอุ่นร้อนจะถูกปลดปล่อยในร่างของคุณชายรูปงาม แรงปรารถนาค่อยๆดับลงทั้งคู่

จื่อฟางรู้สึกเนื้อตัวอ่อนยวบ แข้งขาไร้เรี่ยวแรง หน้าอกสะท้อนขึ้นลง เหนื่อยเสียจนลืมตาไม่ขึ้นราวกับออกวิ่งทั้ง ๆที่เขาไม่ได้ออกแรงทำอะไรด้วยซ้ำ ร่างกายหนักๆของชายหนุ่มบนตัวฟุบลงอย่างหมดแรง เมื่อสติเริ่มแจ่มชัด ก็รับรู้ว่าระหว่างกิจกรรมเมื่อครู่เผลอทำเสียงดังออกไป ป่านนี้หยางชวีคงรู้แล้วกระมัง

“นี่…”เขาส่งเสียงอ่อนแรง ยังคงหลับตาอยู่ ใช้มือกระตุกเส้นผมอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนออกจากร่างของตน

ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจ หยัดกายก้มจูบขมับของเขาเบา ๆ “เสิ่นจิ้งเฟย เมื่อครู่นี้ดีนัก”

“ออกไปได้แล้ว”เด็กหนุ่มพึมพำ เริ่มรู้สึกว่าร่างเปล่าเปลือยเหนอะหนะไม่สบายตัว ท่อนล่างชาหนึบเริ่มปวดตุบๆมีอาการแสบร้อนยามที่ชายหนุ่มอีกคนขยับถอนกายออกมา ร่างนั้นใช้ชุดตัวในมาเช็ดทำความสะอาดคราบสกปรกบนร่างของจื่อฟางอย่างเบามือ มือหนาคว้าท่อนขาของเขายกขึ้นเพื่อสำรวจดูช่องทางว่าเป็นอย่างไร

“เจ้าทำอะไร”เขาหน้าแดงวาบ

“ข้าแค่ตรวจดู…คิดว่าเผลอทำรุนแรงไปเล็กน้อย”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงเบา ใบหน้าเรียบเฉยคล้ายมีอาการกระดากอายแต่สำรวจอย่างไรไม่ทราบถึงได้ขึงขังขึ้นมาอีก จื่อฟางเองก็ยังต้องการอยู่แต่ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายจะประท้วงเขาแทบไม่อยากขยับตัวแล้ว

“เจ้านอนเฉยๆก็พอ”อีกฝ่ายกระซิบ บทรักรอบที่สองจึงเริ่มขึ้นครั้งนี้ไป๋ผูอวี้ดูคล่องแคล่วกว่าเดิมมาก จนเขาต้องออกปากร้องขอให้เบาแรงลงหน่อย ไม่รู้ว่าเสียงดังออกไปถึงด้านนอกหรือไม่ กว่าอารมณ์ร้อนแรงของอีกคนจะดับมอดลงท่อนล่างของจื่อฟางก็ร้อนผ่าวไปหมด ได้แต่นอนไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาหนักอึ้ง พาให้สติดับวูบรับรู้ว่าไป๋ผูอวี้ดึงผ้าห่มมาคลุมร่าง

………..

ตอนที่จื่อฟางตื่นขึ้นมาอีกทีก็รับรู้ว่าสวมใส่เสื้อผ้าตัวใหม่แล้ว เงาร่างคุ้นตาของไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้ามีร่องรอยของความกังวล เขากวาดตาไปรอบห้องพบว่าโคมไฟแขวนอยู่ที่ฉากกั้น กลิ่นยาสมุนไพรอวลอยู่ในห้อง เขาย่นคิ้ว 

“เวลานี้ยามใดแล้ว”เด็กหนุ่มเอ่ยถามรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายท่อนล่าง ระหว่างนั้นก็ยันตัวลุกนั่ง ชายอีกคนเข้ามาช่วยประคอง กลิ่นกายบุรุษทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล 

“ยามไฮ่(21.00 น. - 22.59 น.)เจ้าหลับไปหนึ่งวันเต็ม”ร่างนั้นบอกกล่าวด้วยเสียงสำนึกผิด เอื้อมหยิบถ้วยยาส่งให้เขา “จางต้าต้มยาบำรุงธาตุมาให้”

“หนึ่งวันเต็ม”เขาไม่รู้ว่าต้องตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่ในห้องข้าตลอดเลยหรือ?”เด็กหนุ่มรับถ้วยยามาอย่างมึนงง

“อืม ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าอ่อนเพลียก็เลยสั่งให้เขาต้มยามาให้”จื่อฟางหรี่ตาลง ริมฝีปากแห้ง

“ถ้าเช่นนั้นบ่าวด้านนอกก็รู้ว่าเจ้ากับข้า เอ่อ ทำอะไรกันน่ะสิ”เขาหน้าร้อนเล็กน้อยเมื่อนึกถึง ร่างนั้นโคลงศีรษะ แววตาเป็นประกายคล้ายกับนึกถึงความทรงจำอันหอมหวาน

“เสียงเจ้าดังออกปานนั้น ไม่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะอย่างไรแล้ว”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อแต่ใบหน้ายังคงเดิม เด็กหนุมเม้มปาก เจ้านี่ยังมีหน้ามากวนประสาทเขาอีก เขากระแอมค่อยๆยกถ้วยดื่มยาจนหมด รู้สึกเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าขอโทษ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยด้วยเสียงจริงจัง

“ขอโทษทำไม”คุณชายเสิ่นกระพริบตามองมาอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าหักห้ามใจตัวเองไม่ได้”เขาพูดไม่ทันจบประโยคดี ร่างนั้นก็กลอกตาไปมา

“เจ้าพูดจาน่าเบื่อจริง ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะมาอยู่กับข้าแบบนี้ คนที่บ้านเจ้าไม่สงสัยเอารึ”จื่อฟางเอ่ยถาม อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยตอบในทันที เพียงแค่จัดผ้าห่มให้เขาเงียบ ๆ ก่อนสบสายตาโน้มใบหน้าเข้าใกล้จนเด็กหนุ่มต้องเบือนหน้าหนี

“ไม่ต้องห่วงบ้านข้า ข้าโตแล้วไปที่ใดไม่จำเป็นต้องรายงานท่านพ่อทุกเรื่อง”ไป๋ผูอวี้ไม่ได้บอกเว่ยหลงด้วยซ้ำว่าแวะมาหาเสิ่นจิ้งเฟย แต่คิดว่าผู้ติดตามของตนคงเดาได้อยู่ดี บางครั้งชายหนุ่มก็เกลียดความรู้ท่วงทันของเจ้านั่นนัก

“องครักษ์ด้านนอก…”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าลอบออกไปได้”ไป๋ผูอวี้ยังไม่เคยประมือกับองครักษ์เหล่านั้น แต่หากเป็นคนของฮ่องเต้ ฝีมือคงไม่ธรรมดา เขายกยิ้มน้อย ๆ คิดอยู่ในใจว่าเล่นสนุกซักเล็กน้อยก็ดีเหมือนกัน

“เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าไม่เป็นไร”ฝ่ายนั้นเอ่ยให้เขาวางใจ เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ รู้สึกง่วงจึงทิ้งตัวนอนเช่นเดิม ไป๋ผูอวี้ก้มมองใบหน้าในเงามืดทำให้มองไม่เห็นสีหน้า แต่มือใหญ่ลูบศีรษะของเขาเบา ๆ ชวนให้เข้าสู่ห้วงนินทราอย่างรวดเร็ว

จื่อฟางตื่นอีกรอบในช่วงรุ่งสางรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก ผู้ติดตามถือโอกาสเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินเสียงเขาขยับตัว ร่างนั้นไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่ถอนหายใจ สีหน้าไร้ความรู้สึก เด็กหนุ่มพยายามทำท่าทีให้ปกติเท่าที่ทำได้ นับว่าเป็นเรื่องดีที่หยางชวีเป็นพวกหน้าตาย

“คุณชายลุกไหวหรือไม่”ชายหนุ่มเอ่ยถาม อดกวาดตามองสำรวจร่างของคุณชายไม่ได้ เจ้าคนแซ่ไป๋ทรมานคุณชายของเขาได้ดีนัก

“ไหว ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย”จื่อฟางเขม่นมอง ก้าวลงจากเตียงด้วยขาที่สั่นเล็กน้อย ได้ยินจางต้าสั่งบ่าวรับใช้อีกหลายคนยกถังน้ำร้อนเข้ามาหลังฉากกั้น เด็กหนุ่มบิดตัวหมุนเอว ล้างหน้าบ้วนปากพอให้รู้สึกสดชื่นบ้าง หยางชวีมองเสิ่นจิ้งเฟยอย่างใคร่รู้ มีเรื่องที่คาใจอยู่ เรื่องของนักพรตผู้นั้น เขาไม่ใช่คนเชื่อเรื่องที่ไม่มีสิ่งใดพิสูจน์ แม้จะเป็นท่านนักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาสงสัย ‘ยามนี้เหลือเพียงวิญญาณร้ายสิงสู่ร่างกายของคุณชายเสิ่น’ เรื่องที่คุณชายเสิ่นเปลี่ยนไปไม่เคยจางหายไปจากใจของหยงชวี จังหวะเวลาช่างเหมาะเจาะ เขากลับมาสนใจคุณชายรูปงามที่ก้าวผ่านด้วยท่าทางไม่มั่นคง ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปช่วยพยุงเงียบ ๆ คุณชายเสิ่นเหลียวมองแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

“ท่านกับเขาควรจะระวัง”ผู้ติดตามออกปากเตือนอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกแปลกประหลาดในอกทำให้เขาต้องถอนหายใจ ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยถอดชุดออกจนเหลือเพียงเสื้อตัวในบาง ๆเท่านั้น

“อืม”จื่อฟางได้แต่ตอบกลับเช่นนั้น เขาแค่มีอาการเมื่อยขบตามร่างกาย ส่วนท่อนล่างก็ยังแสบร้อนอยู่บ้าง

“ข้าจะให้หมอกู้นำยามาให้”หยางชวีเอ่ยเสริม เด็กหนุ่มพยักหน้า กระแอมเล็กน้อย

“เจ้าจะยืนอยู่อย่างนี้เหรอ”

“ข้าอยู่เป็นเพื่อนคุณชายเอง”เขาตอบด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้อยากแอบมองคุณชายอาบน้ำหรืออะไรทั้งสิ้น เขาแค่อยากพิสูจน์ด้วยตาตนเองว่าคุณชายไม่มีร่องรอยบาดแผลจากการทำบ้าบอของนักพรตนั่น

จื่อฟางกระพริบตา ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง หมุนตัวหันหลังให้อีกฝ่าย รีบกระตุกผ้าเสื้อผ้าออก อากาศหนาวเย็นสัมผัสร่างเปล่าเปลือย สิ่งปกปิดร่างกายชิ้นสุดท้ายถูกทอดออกกองอยู่แทบเท้า สายตาจากคนด้านหลังคล้ายกับกำลังลังไล่สำรวจ เขารีบก้าวลงไปในถังน้ำทันที นั่งห่อตัวอยู่ในถังน้ำอุ่นร้อน ผู้ติดตามยังคงยืนทึมทื่อ

“ท่าน...”หยางชวีเอ่ยเสียงลังเล มองแผ่นหลังขาวๆของคุณชายเสิ่น “เป็นผู้ใดกันแน่”

จื่อฟางไม่ได้ตกใจกับคำถามนั้น รู้ดีว่าผู้ติดตามยังสงสัยในตัวเขาอยู่มาก

“ที่คุณชายเปลี่ยนไปคงไม่ใช่ฝีมือของวิญาณร้ายกระมัง”

จื่อฟางหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าเชื่อนักพรตนั่นจริงหรือ”

“ข้าน้อยเปล่า แค่สงสัย”

“จริงหรือไม่จริง คิดว่าข้าจะบอกหรือไง”เด็กหนุ่มหยิบไยบวบมาขัดร่างกายเบา ๆ

“ข้าสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าต้องหาความจริงเรื่องท่านให้ได้ ต่อให้ใช้เวลาเป็นสิบปีก็ตาม”หยางชวีตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“อย่างนั้นหรือ เจ้าช่างมีความอดทนนัก”

“ตลอดชีวิตข้าก็อดทนรอได้”ชายหนุ่มเอ่ย เกิดความเงียบตามมา เขาถอนหายใจหมายจะหมุนตัวไปนอกฉากกั้น แต่เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยเรียกก่อน 

“หยางชวี”

“ขอรับ”

“หากข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยแล้วอย่างไร ข้าก็ยังเป็นคนเดิมที่เจ้ารู้จัก”เขาเอ่ยคลุมเครือ หลับตาผ่อนคลายกับน้ำอุ่น   ชายหนุ่มชะงัก ยืนนิ่งอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะมารับใช้คุณชาย เขาไม่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟย ได้ยินแต่เรื่องเล่าจากศิษย์พี่เท่านั้น ยามที่ได้รับใช้จึงประหลาดใจที่เรื่องบางเรื่องไม่เหมือนสิ่งที่ได้ยินมา แม้อยากรู้ความจริงแต่เอ่ยถามตอนนี้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์ หยางชวีบอกแล้วว่าต่อให้อีกสิบปีหรือทั้งชีวิตก็รอได้ จะเป็นปีศาจหรือวิญญาณเร่ร่อนก็คงไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาต้องการปกป้องรับใช้คนผู้นี้ นึกถึงเจ้าคนแซ่ไป๋ก็ถอนหายใจ ตอนที่คนผู้นั้นลอบออกไปจากจวน เขามั่นใจว่าไป๋ผูอวี้ได้ประมือกับองครักษ์ของฮ่องเต้ ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

~•~

ยามจื่อ(23.00 น. - 24.59 น)วันนัดพบกับฮ่องเต้ จื่อฟางนั่งห่อตัวอยู่ในรถม้าที่จอดอยู่ใกล้กับบริเวณหลุมศพกระต่ายฮ่าวฮ่าวที่เดิม รอคอยฮ่องเต้เจี่ยผิงมาถึง จางต้าและหยางชวีไม่ได้มาด้วยเพราะองครักษ์ทั้งสองของฮ่องเต้เป็นคนติดตามมาโดยเฉพาะ คืนนี้ฟ้ามืด สายลมหนาวพัดโชยชวนให้หนาวสั่น เด็กหนุ่มนั่งกอดเตาอุ่นระหว่างรอ ชั่วอึดใจหนึ่งก็ได้ยินเสียงรถม้าเคลื่อนมาใกล้ๆ จื่อฟางขยับนั่งตัวตรง ร่างกายยังคงปวดเมื่อยอยู่เล็กน้อย ขนเตียวที่พันอยู่รอบคอช่วยปกปิดร่องรอยของไป๋ผูอวี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ดังเข้ามาใกล้ ขมวดคิ้วเมื่อเสียงที่ได้ยินไม่ใช่มาจากบุคคลเดียว ฮ่องเต้เจี่ยผิงพาคนมาด้วย

ทันใดนั้นประตูรถม้าเปิดออกร่างสองร่างโผล่เข้ามาในรถม้า จื่อฟางใจเต้นรัว เมื่อจดจำใบหน้าของชายงามได้ เสิ่นจิ้งเฟยในร่างของเจาเฟิงสวมใส่ชุดเรียบง่ายเส้นผมรวบไว้หลวม ๆ จ้องมองมาที่เด็กหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา ส่วนฮ่องเต้เจี่ยผิงสวมชุดตัวยาวสีดำเช่นเคย เส้นผมสีดำขลับปล่อยยาวสยายดูแปลกตา เจ้าแผ่นดินใช้สายตาเรียบนิ่งมองสำรวจ สีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดของร่างนั้นทำให้รู้สึกว่าน่ากลัวอยู่บ้าง

“เจ้ามีเรื่องสำคัญใดก็รีบพูดมา เวลาของเรามีค่า”ฝ่ายนั้นเอ่ยทำลายความเงียบ จื่อฟางสังเกตว่าคำเรียกแทนตัวของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปคล้ายกำลังบอกกลาย ๆว่ากำลังจริงจัง เขาเหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟยก่อนกล่าวขึ้น

“เรื่องที่ข้าต้องการจะบอกเป็นเรื่องที่เสิ่นจิ้งเฟยก่อไว้ หากท่านอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ซักถามเขาเอาเองก็แล้วกัน”เมื่อพูดเช่นนี้ร่างของชายงามก็ขยับ ดวงตาเจือแววตระหนก

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้และหลิวอ๋อง”สิ้นคำของจื่อฟาง สีหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยก็แปรเปลี่ยนอย่างชัดเจน ฮ่องเต้หนุ่มปรายตามองคนงามข้างกายก่อนหันมองคุณชายรูปงามอีกคน

“เจ้ากล่าวมาเถิด”ฮ่องเต้เอ่ยสั้น ๆด้วยกระแสเจือคำสั่ง จื่อฟางแปลกใจกับท่าทีผิดแปลกของฝ่ายนั้นไม่น้อย กระแอมก่อนเล่าถึงแผนการของหลิวอ๋อง แต่ไม่ได้บอกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างองค์ชายใหญ่และเสิ่นจิ้งเฟย เด็กหนุ่มคิดว่าเจ้านั่นคงไม่อยากให้ผู้ใดรู้ เล่าจบเขาก็เหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นมองมาด้วยสายตาแปลกใจระคนสงสัยใคร่รู้ จื่อฟางรอคอยว่าฮ่องเต้จะว่าอย่างไร แต่ฝ่ายนั้นกลับหลับตานิ่งไปนานจนรถม้าตกอยู่ในความเงียบ

“อ๋องทั้งเจ็ดแคว้นร่วมมือกับเจี่ยซินอย่างนั้นหรือ”เจี่ยผิงเอ่ยทวนด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดไว้ใจบรรดาอ๋องครองแคว้นทั้งสิบหกแคว้นอยู่แล้ว แต่เหล่าขุนนางก็คอยขัดค้านเขาอยู่เสมอ คงได้มีเหตุผลดี ๆในการลิดลอนอำนาจกลับคืนราชสำนักส่วนกลางเสียที เจี่ยผิงปล่อยเสียงหัวเราะต่ำสะท้อนในรถ

“ดูท่าข้าจะให้อิสระแก่แคว้นอ๋องมากเกินไป”

“ข้าไม่รู้รายละเอียดว่าเป็นอ๋องแคว้นใดบ้าง”จื่อฟางรีบกล่าวเสริม ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่นิ่งเงียบไปเช่นกัน ร่างนั้นหลุบสายตามองมือของตนที่มีผ้าพันแผลพันไว้

“เจ้าว่าอย่างไร จิ้งเฟยเป็นไปตามแผนที่หลิวอ๋องวางไว้หรือไม่”ชายหนุ่มกล่าวเสียงนุ่มซ่อนความขุ่นเคืองเอาไว้ ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะคิดแค้นเคืองถึงขั้นอยากให้เขาตาย เป็นเพราะเหตุผลใด?เรื่องเสิ่นฉินอี้?หรือเรื่องที่เขาโกหกหลอกลวง ความคิดของชายงามผู้นี้ทำให้ชายหนุ่มปวดหัวยิ่งนัก ฮ่องเต้หนุ่มถอนหายใจ พินิจมองคุณชายรูปงามตรงหน้า จื่อฟางกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงแม้จะตีหน้าซื่อหลอกเขาได้ แต่ไม่ใช่คนที่อ่านยาก

“เหตุใดเจ้าถึงเลือกบอกเรา”เขาเอ่ยถาม หากคุณชายท่านนี้ไม่ต้องการมอบร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยให้แก่เขา เพียงแค่ร่วมมือกับหลิวอ๋องหรือช่างอิ่นก่อกบฏทำลายเจี่ยผิงก็ย่อมได้   

“ฝ่าบาทย่อมล่วงรู้เหตุผลดี หากหลิวอ๋องก่อกบฏสำเร็จอย่างไรเขาก็ไม่มีทางไว้ชีวิตข้าอยู่แล้ว”จื่อฟางตอบโดยไม่คิด ใช้สายตากล่าวโทษมองไปที่เสิ่นจิ้งเฟย ผู้ที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด

“จิ้งเฟย เจ้าเห็นหรือยังว่าสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่นถึงเพียงนี้...”บุรุษหนุ่มกล่าวเสียงนุ่ม จื่อฟางลอบมองทั้งสองสลับไปมา พบว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เย็นชา แต่มีบางอย่างที่เขาเดาไม่ออก เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาที่เด็กหนุ่มไม่มีทางเข้าใจ ฮ่องเต้เรียกเจาเฟิงด้วยชื่อเสิ่นจิ้งเฟยก็แสดงว่าพระองค์บอกความจริงกับเจ้านั่นแล้วกระมัง

“คนอย่างท่านกล้าพูดเช่นนี้ด้วยหรือ”เสิ่นจิ้งเฟยเพียงตวัดสายตามอง สุ้มเสียงเป็นของเจาเฟิงแต่กระแสคุ้นหูอย่างที่เคยได้ยินบ่อย ๆ เวลานี้ยิ่งทำให้ชายงามดูเหมือนดอกไม้อาบยาพิษ เจี่ยผิงหัวเราะเบา ๆ ไม่มีกระแสหยอกล้อเช่นทุกทีอยู่ในนั้น ไม่ได้ตอบคำของชายงาม เลื่อนสายตามองจื่อฟาง

“เรื่องหลิวอ๋องเราจัดการเอง”ฮ่องเต้เจี่ยผิงพูดขึ้น เด็กหนุ่มไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่พูดคุยเรื่องงานบ้านงานเมืองกับเขา แค่เสียดายที่ไม่รู้การเคลื่อนไหว

“ที่เรามาวันนี้ก็เพราะว่าเราได้ยินเรื่องหนึ่งจากองครักษ์ จื่อฟาง เจ้ากล้านัก ลืมสิ่งที่เราเคยพูดไปแล้วหรือ”เจี่ยผิงจ้องร่างบางเขม็ง เป็นสายตาที่จับจ้องครบกริบเกินเหตุทำเอาจื่อฟางขนลุกซู่ ใจกระตุกวูบ

“ฝ่าบาทกล่าวถึงเรื่องใดหรือ”จื่อฟางทำใจเย็นถามกลับ แม้ในใจรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องไหน

“ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ของเจ้า เราเอ่ยชัดเจนหรือไม่”ร่างของเจ้าแผ่นดินโน้มตัวมาใกล้ แรงกดดันจากอีกฝ่ายทำให้เขาหายใจไม่สะดวก ความขุ่นเคืองจากหลายเรื่องที่สั่งสมมานานใกล้ถึงจุดเดือด เมื่อช่วงบ่ายองครักษ์มารายงามที่ตำหนักบอกว่าไป๋ผูอวี้ลอบมาหาเสิ่นจิ้งเฟยถึงในจวน ทั้งยังได้ประมือกับคนสกุลไป๋ ฟังจากคำบอกเล่า คนผู้นั้นไม่ได้ประมือจริงจัง ราวกับต้องการทดสอบฝีมือ คนของเขาฝีมือสูงส่ง แสดงว่าไป๋ผูอวี้ไม่ธรรมดา เรื่องเล่าลือของสกุลไป๋คงไม่ใช่เรื่องไร้สาระ วรยุทธ์ของไป๋ผูอวี้กล้าแกร่งถึงเพียงนี้ ปล่อยไว้เปล่า ๆก็น่าเสียดาย

“กระหม่อมก็พูดชัดเจนแล้วเช่นกัน”แม้จะหวาดหวั่นเขาก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา เจ้าแผ่นดินขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนาคว้าใบหน้าของเขาแต่ก่อนที่ร่างนั้นจะได้ลงมือทำอะไรก็ตามที่ต้องการ ชายงามอีกคนก็เข้ามาขัดจังหวะ มือเรียวข้างหนึ่งคว้ามือของฮ่องเต้ไว้

“นี่เป็นร่างกายของข้า ข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจเอง ข้าไม่อนุญาตให้ท่านแตะต้อง”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ดวงตาเป็นประกายวาบ สบสายตาไม่ลดละ จื่อฟางค่อย ๆดึงมือของฝ่าบาทออก ผ่อนลมหายใจช้า ๆเมื่อฝ่ายนั้นยอมล่าถอยไปเอง สายตามองสลับไปมาระหว่างเขาและเสิ่นจิ้งเฟย รอยยิ้มคาดเดาไม่ได้ปรากฏช้า ๆ

“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าไป๋ผูอวี้คงได้แตะต้องไปแล้ว”เจี่ยผิงพลันรู้สึกถึงอารมณ์รุนแรงพุ่งสูงอีกครั้ง จำต้องกำมือแน่นเพื่อรักษาท่าทีไว้

 “หมายความว่าอย่างไร”เสิ่นจิ้งเฟยมีสีหน้างุนงง มองจื่อฟางก่อนหันมองฮ่องเต้ พูดถึงไป๋ผูอวี้เขาก็นึกถึงบทสนทนาเมื่อครั้งก่อนที่บอกว่าจื่อฟางไปทำตัวสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋

“ก็หมายความว่าจื่อฟางผู้นี้ใช้ร่างเจ้าหาความสุขกับคนแซ่ไป๋นั่น”ฮ่องเต้กล่าวจบก็เอนตัวรอคอยฉากสนุกตรงหน้า แม้จะยังรู้สึกถึงความริษยาแผดเผาอยู่ในอก ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกผู้อื่นครอบครอง ทั้ง ๆที่เขาเฝ้าดูร่างนั้นเติบใหญ่มานานปี…

จื่อฟางเม้มริมฝีปาก มองไปที่เสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นมีสีหน้าเผือดซีด ดูคล้ายกับจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“เจ้ากับบุตรชายสกุลไป๋…”





หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 12-01-2019 23:59:51
 

“ข้ากับเขาเป็นเพียงสหาย…”จะอย่างไรก็ต้องแก้ตัวไว้ก่อน

“สหาย?”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอ่ยแทรก เคลื่อนไหวทีเดียวก็ดึงขนเตียวออกจากลำคอของจื่อฟาง แม้ในรถม้าจะมีแสงสลัวแต่ก็พอมองเห็นรอยจ้ำจาง ๆ ปรากฏอยู่บนผิวเนื้อบอบบางนั้น บุรุษหนุ่มข่มอารมณ์ขุ่นเคือง สายตายังคงจับจ้องร่องรอยบนลำคอขาวเนียน เขาเป็นผู้เฝ้าดูเสิ่นจิ้งเฟย…แต่กลับมาถูกคนแซ่ไป๋ตัดหน้าก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง

จื่อฟางโกรธขึ้นมาบ้างรีบดึงขนเตียวกลับมาอย่างไม่ระวังกิริยา “เจ้าจงใจทิ้งร่างนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องของข้า”เขามองตรงไปที่เสิ่นจิ้งเฟย เขากับชายงามสู้สายตากันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างรู้ดีว่าหมายถึงเรื่องใด เจี่ยผิงเริ่มรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นคนนอก

“เจ้า…!”เสิ่นจิ้งเฟยนึกอยากบีบคอร่างตรงหน้า แต่เพราะเป็นร่างของตัวเองจึงได้แต่ถลึงตามองอย่างโกรธเคือง

“ไป๋ผูอวี้เนี่ยน่ะหรือ รสนิยมของเจ้าต่ำช้านัก”

“ก็ดีกว่าเจ้าก็แล้วกัน”จื่อฟางสวนกลับทันทีนึกถึงหลี่ฮุ่ยจือและฮ่องเต้ที่ความสัมพันธ์ดูคลุมเครือ ภายในรถม้าจึงตกอยู่ในความเงียบ

“ฝ่าบาท ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟย หรือตัวตนของเสิ่นจิ้งเฟย”จื่อฟางเปลี่ยนเรื่องเอ่ยให้ฝ่ายนั้นได้สติ เลิกบ้าบอคิดอยากครอบครองร่างกายนี้เสียที ไม่อย่างนั้นทางเดียวที่เขามีก็คือการหลบหนี

“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ข้าต้องการทั้งหมดของเสิ่นจิ้งเฟย”ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงท่าทีเช่นเดิมแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง

“แต่ข้าไม่ต้องการ”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขัด “เรื่องของข้ากับท่านไม่จำเป็นต้องดึงผู้อื่นมาเกี่ยว ข้าต้องการคุยกับจื่อฟางเป็นการส่วนตัว ท่านให้ข้าได้หรือไม่”ชายงามสบตากับเจ้าแผ่นดิน ในใจหวาดหวั่นว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำตาม ร่างนั้นไม่เอ่ยตอบในทันที ตวัดสายตามองเสิ่นจิ้งเฟยก่อนสะบัดชายเสื้อก้าวลงจากรถม้า บรรยากาศหนักอึ้งค่อยผ่อนคลาย 

เมื่ออยู่กันสองคน ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ทันที กล่าวกระซิบ “เจ้าโชคร้ายหน่อยนะที่อยู่ในร่างของข้า”

“เสิ่นจิ้งเฟย”จื่อฟางพยายามข่มอารมณ์โกรธ ทำไมคนผู้นี้ต้องดูสะใจกับความทุกข์ของผู้อื่นด้วย ชายงามยกยิ้มเยือกเย็น

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจตั้งสติ “ข้า...ไม่ต้องการยกร่างนี้ให้ฮ่องเต้ เรื่องระหว่างเจ้ากับเขา เจ้าจัดการแก้ปัญหาเองก็แล้วกัน”

เสิ่นจิ้งเฟยกวาดมองใบหน้าเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ “เจ้ากับไป๋ผูอวี้…เจ้าเอาร่างกายของข้าไปเกลือกกลั้วกับลูกพ่อค้า”

“เลิกพูดถึงได้หรือไม่”

“ก็จริงที่ข้าไม่ต้องการร่างกายนี้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ”เสิ่นจิ้งเฟยขยับตัวอย่างอึดอัดใจ

“ข้าก็ไม่ได้อยากอยู่นักหรอก เจ้าก็อย่าคิดทิ้งปัญหาให้ผู้อื่น”พูดแล้วก็น่าโมโห หากเขาไม่ได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยก็คงไม่รู้ว่าจะถูกองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ฆ่า

“เหตุใดเจ้าถึงก่อกบฏ”จื่อฟางเอ่ยถาม บทในนิยายบอกเพียงคนผู้นี้ต้องการอำนาจเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เป็นพระรองกากๆคนหนึ่ง แต่เรื่องราวในโลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

“เรื่องท่านปู่และเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ”เสิ่นจิ้งเฟยถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่เผยสีหน้าออกมาอย่างไม่ปิดบัง เรื่องหลิวอ๋องก็ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ถึงเพียงนี้ ขึ้นหลังเสือคิดจะลงก็ทำได้ยากหากไม่ถูกฆ่าตายไปเสียก่อน

“ในตอนแรกข้าก็แสร้งเป็นเสิ่นจิ้งเฟยไม่เอาไหน สร้างเรื่องไปวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่งข้าถูกคนขององค์ชายใหญ่รุมรังแก หลิวอ๋องมาช่วยข้า เขาเริ่มพูดถึงการตายของท่านปู่ บอกว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือฮ่องเต้ ข้าเชื่อหลิวอ๋องเพราะวันที่ท่านปู่ตาย ฮ่องเต้อยู่กับข้า เขารู้ทั้งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่กลับปล่อยให้ปู่ข้าตาย คงเพราะกลัวสกุลเสิ่นจะมีอำนาจมากเกินไป แต่เมื่อข้าถูกองค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายเป็นครั้งที่สอง ข้าก็เริ่มสงสัยว่ามีเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังเกิดขึ้นเพราะคำพูดขององค์ชายใหญ่บ่งบอกว่าเคียดแค้นสกุลเสิ่น อาจารย์ของไป๋ผูอวี้ช่วยชีวิตข้าไว้ แม้จะรอดตายแต่ร่างกายก็อ่อนแอมาก เจ้าคงรู้ดี…”เสิ่นจิ้งเฟยเหม่อลอยไปชั่วครู่ราวกับจมอยู่ในความทรงจำเก่า ๆ

“ข้าต้องการสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัด ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านปู่เป็นคนใส่ร้ายองค์ชายใหญ่เพื่อสนับสนุนฮ่องเต้เจี่ยผิงครองบัลลังก์ การตายของท่านปู่ทำให้หลายๆคนสงสัยพุ่งเป้าไปที่ฮ่องเต้และองค์ชายใหญ่ แต่ข้ากลับไม่วางใจสกุลหลี่ เพราะสกุลนั้นไม่ถูกกับบ้านข้ามานาน ข้าจึงจำเป็นต้องตีสนิทกับหลี่ฮุ่ยจือ กระทั่งองค์ชายใหญ่เคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาต้องการฆ่าข้า ข้าให้ข้อมูลเรื่องหลิวอ๋องเพราะอยากแก้แค้นที่เขาเอาเรื่องท่านปู่มาหลอกใช้ข้า องค์ชายใหญ่ดูมั่นใจมากว่าข้าไม่มีทางหนีการตามฆ่าของเขาพ้น แต่ดูตอนนี้สิ”เสิ่นจิ้งเฟยยกยิ้มเยาะหยัน ก่อนเปลี่ยนมากระซิบเสียงแผ่ว มองเขาด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้

“บางทีข้าอาจเปลี่ยนใจช่วยเจ้า  อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ปล่อยให้ค้างคาไม่ได้ จื่อฟาง เจ้ารู้หรือไม่ ตอนที่องค์ชายใหญ่ถูกฮ่องเต้คุมขังมีคนช่วยเขาหนีรอดออกไป ข้าสงสัยว่าเขาร่วมมือกับคนในราชสำนัก อีกทั้งเขายังมีสกุลหู เรื่องที่ข้าผูกปมไว้ ปล่อยให้ข้าจัดการวางแผนเอง”

“เจ้าคิดทำสิ่งใด”จื่อฟางรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นเต้น

“เจ้ารอดูเถอะ พอหลังจากที่ข้าจัดการเรื่องพวกนี้ได้เจ้าค่อยหลบหนี”เสิ่นจิ้งเฟยเองก็อยากหลบหนีเช่นกัน แต่ถ้าไม่จัดการฮ่องเต้เจี่ยผิง ชาตินี้เขาคงหนีไม่พ้น 

“ไว้ข้าจะหาทางติดต่อเจ้า”

“เจ้าจะออกมาจากวังหลวงได้อย่างไร”

“ข้าจะคุยกับคนผู้นั้น”เสิ่นจิ้งเฟยพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด จะกักเขาอยู่แต่ในวังหลวงย่อมเป็นไปไม่ได้ เดิมทีแผนของเขาคือให้พวกพี่น้องแซ่เจี่ยฆ่าแกงกันให้ตายไปข้าง หากคนพวกนี้ตาย บางทีเขาอาจเป็นอิสระ พอมีจังหวะค่อยหลบหนี แต่ยามนี้แค่เขาคนเดียวย่อมทำไม่ได้ ชายงามก้มมองมือที่บาดเจ็บจากการฝึกยิงธนูอย่างครุ่นคิด   

“เรื่องคงไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด”ได้ยินเจ้าคนโชคร้ายเอ่ยเตือนก็หยักยิ้ม

“ถูก ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นข้ากับเจ้าต้องร่วมมือกัน”เสิ่นจิ้งเฟยมองสีหน้าแปลกใจบนใบหน้าที่เคยเป็นของตัวเอง เวลาข้าทำหน้าโง่งมเป็นเช่นนี้เองหรือ

“ร่วมมือ?”จื่อฟางอยากหัวเราะ ถึงอย่างไรก็ไม่คิดไว้ใจเสิ่นจิ้งเฟย องค์ชายใหญ่ตั้งใจฆ่าเจ้านี่ ส่วนเขาติดแหง็กอยู่ในร่างนี้ เกรงว่าตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อล่อโดยไม่รู้ตัว

“ตั้งแต่แรกข้าก็ตั้งใจจะหนีอยู่แล้ว”เสิ่นจิ้งเฟยกระซิบสายตาระแวะระวังมองออกไปนอกรถม้า เขาอ้าปากจะกล่าวต่อแต่ความรู้สึกบางอย่างกระตุกอยู่ในอกจนใจเต้นถี่รัว ความทรงจำของคนผู้หนึ่งปรากฏเด่นชัด เขายกมือกุมหน้าอก

“เจ้าเป็นอะไร”จื่อฟางมองอย่างตื่นตกใจเมื่อเห็นท่าทางแปลกประหลาดของอีกฝ่าย แต่ท่าทางเช่นนี้คุ้นๆนัก

“เจ้า…”เสิ่นจิ้งเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ฟู่เทียนสือ “เจ้าได้เจอคนแซ่ฟู่บ้างหรือไม่”

 “เจอ”จื่อฟางซ่อนสีหน้าแปลกใจไว้ตอบสั้น ๆ ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงแผ่วจนเกือบไม่ได้ยิน “เจ้าชอบเขา”

“ไม่ใช่!”อีกร่างเอ่ยเถียงทันควัน

“โกหกไปก็เท่านั้น อย่าลืมสิ ข้ามีความทรงจำของเจ้า ความรู้สึกของเจ้าข้าก็รับรู้”เขายกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเผือดซีดของอีกฝ่าย

“…”เสิ่นจิ้งเฟยเงียบไป ใบหน้างดงามมีอารมณ์มากมายปรากฏอยู่

“ข้า…”เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกอัดแน่นอยู่ในอก “ข้าตั้งใจขอความช่วยเหลือจากเขา ฟู่เทียนสือชำนาญเรื่องเส้นทางมาก อีกทั้งเขายังท่องเที่ยวไปหลายแห่ง”

“อืม…”จื่อฟางได้แต่พยักหน้าช้า ๆ ไม่อยากเอ่ยถามเซ้าซี้

“เจ้าได้คุยกับเขา?”ชายงามเม้มปากมอง แววตามีคลื่นสั่นไหว

“ใช่ ข้าขอความช่วยเหลือจากเขา”

“เจ้านั่นก็ยอมช่วยทั้ง ๆที่เป็นเรื่องเสี่ยงน่ะหรือ ยังโง่เหมือนเดิม”เสิ่นจิ้งเฟยดูตกใจแต่ก็ยกยิ้มเยาะซ่อนสีหน้าตื่นตระหนก แต่แววตาอ่อนลงเล็กน้อย

“เจ้าคงไม่ได้ใช้ร่างกายข้าล่อลวงฟู่เทียนสือกระมัง”ชายงามปรายตามอง หากเจ้าคนโชคร้ายทำเช่นนั้นจริง เขาก็รู้สึกไม่ถูก

เด็กหนุ่มหัวเราะทันที “หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าหวงหรือ”เขาแกล้งเอ่ยถาม

“…”เสิ่นจิ้งเฟยตอบไม่ได้ ร่างนั่นเป็นของเขา แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ไม่ใช่ แต่ถ้าฟู่เทียนสือมีความสุข…อา ยุ่งยากเสียจริง!เรื่องความรู้สึกพวกนี้ เขาไม่อยากคิดถึงนัก จื่อฟางเห็นท่าทีวุ่นวายใจของอีกฝ่ายก็มองดูอย่างสนใจ ไม่คิดบอกกล่าวความจริง ให้เจ้าได้ว้าวุ่นเสียบ้าง ยังไม่ได้ครึ่งที่เจ้าทิ้งปัญหาไว้ที่ข้าเลย 

“ปู่เจ้าทิ้งสถานที่หนึ่งไว้ให้หลบหนี…เขาทิ้งจดหมายถึงเจ้า”จื่อฟางกลับมาสู่ท่าทีจริงจัง บอกถึงเนื้อความในจดหมายเท่าที่จำได้ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรรู้ สีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย

“อ้อ อย่างนั้นหรือ ก็ยังดีที่ท่านปู่ยังคิดถึงข้า…”อีกฝ่ายเอ่ยเสียดสีประชดประชันชัดเจน

“…”เขาเองก็เงียบไปเพราะไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดอีก

“ฟู่เทียนสือสบายดีหรือไม่”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามอีกครั้ง ห้ามความอยากรู้ไว้ไม่ไหว

“สบายดี สักวันข้าหวังว่าเจ้าจะได้พบเขา”อยากรู้ด้วยว่าเพราะเหตุใดเจ้านี่ถึงเชื่อใจในตัวฟู่เทียนสือถึงนัก แต่มาคิดดูอีกที ปล่อยให้เป็นเรื่องของทั้งสองคนดีกว่า ฟู่เทียนสือเองก็คล้ายกับรู้ว่าเขาต่างจากเสิ่นจิ้งเฟย

“ไม่จำเป็น”ชายงามตอบเสียงแผ่ว หลุบสายตามองมือเรียวที่วางอยู่บนตัก นานมาแล้วที่คนผู้นี้เคยสอนเขายิงธนูป้องกันตัวเอง ร่างงามกระพริบตา รู้ดีว่าเส้นทางของเขากับคนผู้นั้นไม่มีวันได้บรรจบกัน ในตอนแรกที่คิดหนี เขามีสถานที่ที่อยู่ในใจนั่นก็คือเมืองเวินโจว เมืองบ้านเกิดของฟู่เทียนสือ เป็นเมืองที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลจากฉางอัน ใกล้กับแถบแม่น้ำฉางเจียง(แยงซีเกียง)คนแซ่ฟู่นั่นเป็นพวกบ้านนอก หากได้ใช้ชีวิตอยู่แถบนั้นชีวิตคงสงบสุขดี

แต่…เมื่อนึกถึงชายอีกคนที่ผูกรั้งเขาไว้ก็ปวดหน่วงในอก เขากับฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินยิ่งไม่มีทางที่เส้นทางจะมาบรรจบ ความรู้สึกต่อฮ่องเต้ยังคงสับสนไม่น้อย เสิ่นจิ้งเฟยดีแต่ย้ำเตือนตัวเองเรื่องท่านปู่ว่าเป็นความผิดของคนผู้นั้น ย้ำเตือนว่าต้องเกลียดเจี่ยผิง แต่พอความจริงเริ่มกระจ่างว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฆ่าท่านปู่ เขาก็ทำตัวไม่ถูกว่าควรรู้สึกเช่นไร จะหยิบหยกเรื่องท่านปู่มาเกลียดชังไม่ได้อีกต่อไป แล้วความชิงชังต่อคนผู้นั้นมาจากที่ใดกัน ถูกหลอก ถูกทิ้งหรือเรื่องอื่น ช่างเถอะ ยามนี้ไม่สำคัญแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากถูกกักขังไว้ในวังหลวง เสิ่นจิ้งเฟยคิดว่าให้อภัยเจี่ยผิงได้ แต่ลึกๆแล้ว หากเป็นฟู่จวิ้นคนที่เขารู้จักคนเดิมคนนั้น เขาอาจยอมให้อภัย

เสิ่นจิ้งเฟยจมอยู่ในห้วงความคิด รู้ตัวว่าถูกจื่อฟางจับจ้องได้ครู่ใหญ่แล้ว

“เจ้ามีอะไร”

จื่อฟางตัดสินใจเอ่ยขึ้น“เสิ่นจิ้งเฟย เรื่องของพ่อเจ้า ไม่คิดอยากเจอบ้างเลยหรือ จางต้าบ่าวคนสนิทของเจ้าด้วย”

“ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นแล้ว”เสิ่นจิ้งเฟยพูดจาเย็นชาเสียจนหัวใจของเขาเต้นแรง

“แต่ว่า อย่างน้อย…”

“ข้าเกลียดเสิ่นมู่หยาง”

“ถึงอย่างไรเสียเขาก็เป็นพ่อเจ้า”เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ

“สิ่งที่เขาทำข้าอภัยให้ไม่ได้ เจ้าน่าจะเข้าใจที่สุดว่าข้ารู้สึกเช่นไร”เสิ่นจิ้งเฟยพูดผ่านฟันที่ขบแน่น ทั้งเรื่องหญิงนางนั้น หญิงที่มีนิสัยคล้ายกับมารดาของเขา คิดเอาผู้อื่นมาแทนที่อย่างนั้นหรือ เขาไม่มีทางให้อภัย แล้วยังมีบุตรชายอีกคนอีก เขากำมือแน่นจนเจ็บ จื่อฟางได้แต่นิ่งงัน คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางยกโทษให้เสิ่นมู่หยางง่าย ๆ แต่พอมาได้ยินเข้าจริง ๆก็รู้สึกเศร้าใจไปด้วย

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะรถม้าดังอยู่ด้านนอกก่อนที่ประตูเปิดออก ร่างของฮ่องเต้เจี่ยผิงปราฏให้เห็น ชายหนุ่มมองคนงามทั้งสองด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ดึกแล้ว”ฮ่องเต้เอ่ยสั้น ๆ มองไปที่เสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นมีท่าทีต่อต้าน แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจ มองจื่อฟางด้วยสายตาแฝงความนัย

“ดูแลร่างกายข้าให้ดี คนแซ่ไป๋แม้จะไม่ได้มาจากสกุลใหญ่ แต่ข้าเชื่อว่าเขาปกป้องเจ้าได้”จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ พูดแบบนี้เสิ่นจิ้งเฟยจงใจยั่วโมโหฮ่องเต้หรือไร เขาเหลือบมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าประหลาดเช่นกัน เจ้าแผ่นดินแค่นเสียงในลำคอ

“ปกป้องหรือ เราแค่ออกคำสั่ง สกุลไป๋ก็แหลกสลายกับมือแล้ว”เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้กล่าวโต้แย้ง มองฮ่องเต้ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าเหลือเพียงเจี่ยผิงที่เบนสายตามายังจื่อฟางทำเอาขนลุกวูบวาบ

“สกุลไป๋น่าสนใจนัก พวกเจ้าถึงเอาแต่พูดถึง”ร่างนั้นเอ่ยเบาๆ

“ฝ่าบาทสักวันหนึ่ง กระหม่อมหวังว่าท่านจะรักผู้อื่นเป็น”

“จื่อฟางเจ้าช่างไร้เดียงสานัก เจ้าตอบเรามาสิ ความรักที่ไม่ได้ครอบครอง มีประโยชน์อันใดหรือ”เจี่ยผิงกล่าวได้ถูกประเด็นเพราะอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป

“แล้วฝ่าบาทเล่า ถ้าได้เพียงร่างกาย จิตวิญญาณแต่ไม่ได้ความรู้สึก มีประโยชน์อันใด เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่สิ่งของ ขออภัยที่จื่อฟางต้องกล่าวเช่นนี้ แต่หากพระองค์ยังคงดึงดัน สักวันหนึ่งท่านจะเสียทุกอย่าง”ความเงียบเกิดขึ้นอีกระลอกใหญ่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงหยักยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาไม่ปรากฏอารมณ์ใด

“เจ้าจงระวังคำพูดไว้ เราไม่ได้ใจดีอย่างที่เจ้าคิด ข้าอนุญาตหากเจ้าอยากไปเที่ยวเล่นกับคนสกุลไป๋ แต่จงระลึกไว้ว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของเจ้า ฝากบอกไป๋ผูอวี้ด้วย เราสนใจวิทยายุทธของเขา”กล่าวจบก็หายไปจากรถม้า จื่อฟางมองตามร่างของคนทั้งคู่ เสิ่นจิ้งเฟยหันมามองเขาแว๊บหนึ่งก่อนจะถูกฮ่องเต้ดึงเข้าไปในรถม้า จากนั้นประตูก็ปิดลง

 “คุณชายเสิ่น ถึงเวลากลับจวนแล้ว”องครักษ์ปริศนาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับปิดประตูรถม้าดังกึก   

ทั้งเขาและเสิ่นจิ้งเฟยจะหนีคนผู้นี้พ้นไหมหนอ ชั่ววูบหนึ่งเด็กหนุ่มรู้สึกอยากให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงหายไปจากโลกนี้ซะ

~•~

จื่อฟางกลับมาถึงจวนก็ถึงยามโฉ่วแล้ว (01.00น-02.59น) เขารีบก้าวลงจากรถม้า สององครักษ์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาสืบเท้าเดินผ่านประตูชั้นในเข้าไปอย่างเร่งรีบ ไม่อยากตากอากาศเย็นนานนัก คำพูดของฮ่องเต้เจี่ยผิงทำให้เขาไม่สบายใจ แม้คิดอยากไปหาไป๋ผูอวี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้ตนเองพึ่งฝ่ายนั้นมากเกินไป อาจารย์หย่งสือเคยกล่าวว่าอย่าสร้างปัญหาให้สกุลไป๋ เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้าความคิดร่องรอยไปไกล มองโคมไฟริบหรี่ที่แขวนตามเฉลียงทางเดิน เงาร่างของหยางชวีก็ปรากฏขึ้นอยู่ข้างกาย จนเขาสะดุ้งโหยง

“เจ้า...ทำข้าตกใจหมด”จื่อฟางพึมพำ มองผู้ติดตามด้วยรอยยิ้ม เจ้านี่คงไม่สบายใจที่ไม่ได้ติดตามเขาไป ถึงได้รอเขากลับมา ร่างบางรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน้อยในจวนแห่งนี้ก็ยังมีคนห่วงไย

“คุณชายปลอดภัยดีนะขอรับ”ผู้ติดตามเอ่ยถาม ใช้สายตาสอดส่องเพื่อหาร่องรอยผิดปกติบนตัวของคุณชายรูปงาม แต่ก็ไม่พบ

“ข้าจะเป็นอะไรล่ะ กังวลเกินเหตุไปแล้ว”เด็กหนุ่มรีบสืบเท้าเดินต่อ มุ่งหน้าไปยังเขตเรือน คิดทบทวนว่าฝ่าบาทไปเห็นฝีมือของไป๋ผูอวี้ที่ไหนกัน หยางชวีก้าวเท้าตามมาอย่างเงียบเชียบ

“หยางชวี หากวันหนึ่งข้าหลบหนี เจ้าจะทำอย่างไร”

ผู้ถูกถามนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จ้องมองแผ่นหลังบอบบางของคุณชายเสิ่น “ข้าเอ่ยคำสาบานต่อคุณชายแล้ว…”ชั่ววูบหนึ่งจิตใจของเขาลังเลเล็กน้อย นายท่านเสิ่นมีบุญคุณกับเขามากนัก

“ข้าแค่เปรยถามไว้ก่อน หากวันนั้นมาถึงจริง เจ้าค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน”กล่าวจบคุณชายเสิ่นก็ก้าวเข้าไปในเรือน ทิ้งให้หยางชวีก้มมองปลายเท้าอย่างครุ่นคิด

~•~

สองวันถัดมาร่างกายของจื่อฟางแข็งแรงเต็มที่จึงจัดเตรียมรถม้าไปยังพื้นที่ว่างที่เคยเป็นร้านผ้าของเถ้าแก่ชวี เพื่อไปตั้งโรงน้ำชาริมทางแจกจ่ายชาสมุนไพรสำหรับดื่มช่วงเหมันต์ ทำเช่นนี้ก็เพื่อยั่วโมโหสกุลไป๋เล่น เขายังต้องเล่นบทของเสิ่นจิ้งเฟยต่อไป รู้สึกกังวลเรื่องหลิวอ๋องที่ไม่ได้ติดต่อมาอีก ทำให้เขาสังหรณ์ใจว่าฝ่ายนั้นเริ่มจะไม่ไว้ใจตน

“คุณชายแน่ใจนะขอรับว่าจะทำเช่นนี้จริง”จางต้าเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจระหว่างที่ช่วยพยุงคุณชายขึ้นนั่งบนรถม้าวันนี้อากาศค่อนข้างหนาวแห้ง

“แน่สิ ข้าทำทานแก่คนยากไร้ ไม่ดีหรือ”จื่อฟางนำพัดลายดอกเหมยติดตัวมาด้วย หยางชวีจุดกระถางไฟอยู่เงียบ ๆ บ่าวคนสนิทกระแอมกระไอ

“ท่านทำเช่นนี้คงไม่ได้อยากเอาใจสกุลไป๋หรอกกระมัง”เรื่องเมื่อหลายวันก่อนยังคงทำให้จางต้าหน้าแดงไปด้วยความเขินอาย แค่นึกถึงก็หน้าร้อนผ่าวแล้ว คุณชายกับคนแซ่ไป๋ไม่เกรงกลัวนายท่านเสิ่นเลยหรือ กระทำเช่นนั้นถึงในเรือน หากเป็นหญิงสาวจางต้าคงได้ละลาบละล้วงก่นว่าตักเตือนไปแล้ว คุณชายของข้าถูกไป๋ผูอวี้รังแก คนผู้นั้นยังไม่โผล่หน้ามาดูอีก

 “เหตุใดข้าต้องเอาใจสกุลไป๋ ข้าเป็นคุณชาย เขาก็เป็นพ่อค้า สกุลไป๋ต่างหากต้องเอาใจข้า”อยู่ ๆจื่อฟางก็ร้อนรนขึ้นมา เขาไม่มีเหตุผลต้องทำเช่นนั้น เขาแค่อยากกวนประสาทเล่น อีกทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ชาวบ้าน บ่าวคนสนิทไม่ได้เอ่ยเถียงนั่งซุกอยู่ในรถม้า เขาจัดเสื้อผ้าสีเขียวมรกตลายดอกให้เรียบร้อย วันนี้เขาต้องดูสง่าดุจเทพเซียนผู้มีจิตเมตตา รถม้ามาถึงที่ทางกิจการของเขาก็พบว่ามีคนใช้แรงงานมาจัดตั้งเพิงน้ำชาแล้ว ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างก็จ้องมองอย่างสงสัย เสิ่นจิ้งเฟยแจกน้ำชาไม่คิดเงินแก่คนยากไร้ใกล้กับโรงน้ำชาหลิวซื่อ ช่างเป็นภาพที่หายากนัก

จื่อฟางไม่มีความรู้เรื่องชาว่าต้องดื่มตามฤดูกาลอย่างไรบ้างเพื่อไม่ให้ชาทำลายสุขภาพ เรื่องนี้จึงให้บ่าวไพร่จัดการ ชาที่นำมาแจกจึงเป็นชาเขียวไม่เข้มข้น เพิ่มดอกมะลิแห้งหรือใส่ขิงลงไปแทนเป็นการอุ่นกระเพาะ ไม่นานก็มีขอทานมาต่อแถวรับน้ำชาเป็นแนวยาว ชาวบ้านที่ไม่อยากเสียเงินก็มาต่อแถวด้วย โรงน้ำชาหลิวซื่อจึงคนน้อยไปถนัดตา

เว่ยหลงออกมาดูก็ทำตาโต รีบกลับเข้าไปรายงานคุณชายไป๋ที่ต้องเผชิญหน้ากับคุณหนูฉิน วันนี้นางมาชวนคุณชายเดินหมากแต่เดินอย่างไรนางก็เอาชนะไม่ได้ทั้งยังใช้เวลาคิดเสียหลายเค่อ กระทั่งเสิ่นจิ้งเฟยยังคิดเร็วกว่า

“คุณชายไป๋ ท่านเก่งเกินไปข้าคิดอย่างไรก็สู้ท่านไม่ได้”ฉินเซียงอินตีหน้าเศร้าหมอง ระหว่างที่หยิบตัวหมากสีดำวางลงบนตำแหน่งที่ถูกกินได้ง่าย ๆ

“เจ้ากล่าวเกินไป ข้าไม่ได้ใช้ความคิดแม้แต่น้อย”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงสุภาพ คุณหนูฉินชะงักมือเล็กน้อย เขวี้ยงสายตาปั้นปึ่งไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“ท่านด่าข้ารึ”

“ข้าเปล่า แค่อยากบอกว่าต่อให้พยายามแค่ไหน ท่านก็เอาชนะข้าไม่ได้หรอก”ไป๋ผูอวี้ส่งยิ้มคลุมเครือให้คุณหนูฉิน นางเม้มปาก มีท่าทีเหมือนอยากเอ่ยอะไรออกมาสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจ

“ถ้าอย่างนั้นท่านชงชาให้ข้าได้หรือไม่ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้…”นางขมวดคิ้วเมื่อหันไปเห็นผู้ติดตามของคุณชายไป๋ยืนเป็นเงาตะคุ่มน่ากลัวอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนาย

“อะแฮ่ม คุณชายไป๋ขอรับ ข้ามีเรื่องจะรายงาน ดูเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยจะมาก่อกวนโรงน้ำชาอีกแล้วขอรับ”เว่ยหลงก้มกระซิบใกล้ใบหูผู้เป็นนาย สังเกตปฏิกิริยาของคุณชายเงียบ ๆ หลายวันก่อนคุณชายไม่ได้กลับเรือน เขาพอจะเดาได้ว่าไปที่ใด ทั้งยังกลับมาด้วยอารมณ์ดีผิดปกติ ใช่ว่าคุณชายเป็นพวกอารมณ์ร้าย แต่ปกติคุณชายจะไม่เผยอารมณ์ออกมาง่าย ๆ คุณชายไป๋ที่เปรียบดั่งสายลมนิ่งสงบหายไปที่ใดแล้วหนอ เป็นเพราะเสิ่นจิ้งเฟยที่เปลี่ยนไปผู้นั้นก้าวข้ามเส้นมาเปลี่ยนแปลงคุณชาย เว่ยหลงเคยเหม็นขี้หน้าคุณชายรูปงามท่านนั้น แต่นานวันเข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าเต่าจะมีพิษสงใดนอกจากล่อลวงคุณชาย ช่วงนี้เว่ยหลงจึงคิดมากจนผมร่วง เพราะนายท่านไป๋เริ่มระแคะระคายบ้างแล้ว เจ้าหยางชวียังคงมาฝึกยุทธแต่ก็มาน้อยลง เขาจึงไม่มีโอกาสไต่ถาม

“ก่อกวนหรือ ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงเขา”ไป๋ผูอวี้ตอบ พยายามทำสีหน้าเรียบนิ่ง แต่กลับซ่อนประกายวูบหนึ่งจากสายตาผู้ติดตามไม่ได้

“คุณชายเสิ่นอยู่ด้านนอก กำลังแจกชาสมุนไพรให้คนยากไร้”

“เสิ่นจิ้งเฟยแจกน้ำชา?”คุณชายยกยิ้มคล้ายกับซ่อนไว้ไม่อยู่ ท่าทางเหมือนรอคำตอบนี้อยู่แล้ว

“คุณชายไม่เอาไหนผู้นั้นน่ะหรือ”ฉินเซียงอินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆเอ่ยขึ้น ใบหน้างดงามเผยแววแปลกใจ

“เขาสอบได้ซิ่วไฉ ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ผู้คนเลิกดูถูกคุณชายเสิ่นเสียอีก”ไป๋ผูอวี้กล่าว ทำให้คุณหนูฉินย่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

“บิดาของเขาเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ ไม่แปลกหรอกที่เขาสอบผ่าน”

“ข้าเป็นคนชี้แนะเขาเช่นกัน”ชายตรงหน้าเอ่ยขึ้นช้า ๆ ทำให้คุณหนูฉินยิ่งทำหน้าหงิกงอ เว่ยหลงมองแล้วคิดว่าความงามของนางลดลงไปโข

“คุณชายไป๋ เหตุใดท่านเข้าข้างเขานัก”นางทำสีหน้าเง้างอน

ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว เว่ยหลงรู้สึกสงสารคุณหนูฉินนิดหน่อย เฝ้าเวียนมาหาคุณชายของเขาที่จิตใจไม่อยู่กับร่างตัวเองเช่นนี้เป็นการเปล่าประโยชน์ยิ่งนัก

“ข้าเคยบอกท่านแล้ว เขาเป็นสหายข้า คุณหนูฉิน ข้าขอตัวก่อน ข้าต้องออกไปดูว่าคุณชายเสิ่นสร้างเรื่องหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยด้วยเสียงสุภาพเช่นเคย เขาค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนยืนขึ้นหยิบตัวหมากสีขาววางล้อมหมากของคุณหนูฉินเป็นการส่งท้าย

“ไป๋ผูอวี้!”นางร้องเรียก แต่ชายหนุ่มออกไปจากห้องดื่มชาแล้ว เว่ยหลงค้อมตัวให้ ส่งสีหน้าเห็นใจมาทางนาง ฉินเซียงอินยกมือกอดอก

“เจ้าว่าเขาแปลกไปหรือไม่”นางเอ่ยถามสาวใช้ข้างกาย

“ข้า…ไม่รู้สิเจ้าค่ะ คุณหนูไม่ได้ยินข่าวลือที่คนเขาพูดกันรึ”สาวใช้เอ่ยด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ใช้มือป้องปากกระซิบใกล้ใบหูของคุณหนูฉิน คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน

“ข่าวลือใด?”

“ข่าวลือที่ว่าคุณชายไป๋เป็นพวกรักชอบบุรุษน่ะสิเจ้าคะ”คุณหนูฉินได้ยินก็ถลึงตาใส่สาวรับใช้

“แค่เพราะเขายังไม่แต่งงานก็มิได้แปลว่าเขาเป็นเช่นนั้น คนพวกนี้น่าตัดลิ้นทิ้งให้หมด”ฉินเซียงอินที่อารมณ์หงุดหงิดเป็นทุนเดิม กวาดตามองตัวหมากบนกระดานด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น ต่อให้พยายามแค่ไหน ท่านก็เอาชนะข้าไม่ได้หรอก ชนะไม่ได้หรือหึ คอยดูก็แล้วกัน นางไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ

ไป๋ผูอวี้เดินออกมานอกโรงน้ำชาหลิวซื่อเห็นผู้คนต่อแถวเป็นแนวก็ยกยิ้มจาง ดูท่าเสิ่นจิ้งเฟยคงเบื่อหน่ายถึงได้ทำเช่นนี้ ชายหนุ่มกวาดตามองร่างบาง ใบหน้าหมดจดแดงเรื่อจากอากาศหนาว เส้นผมสีดำขลับถูกรวบเป็นมวยหลวม ๆที่เหลือปล่อยยาวถึงกลางหลัง เขาสังเกตว่าเส้นผมสั้นลง เขาขมวดคิ้ว คุณชายเสิ่นตัดผมจนได้ เหตุใดถึงทำเรื่องผิดธรรมเนียมเช่นนี้ สายตาของเขาไล่มองฝามือเรียวที่กำลังส่งจอกชาให้ขอทานตัวเล็กอายุไม่น่าจะเกินสิบปี เสื้อผ้าที่สวมใส่เก่าจนขาด เสิ่นจิ้งเฟยจ้องมองเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนเรียกจางต้ามาคุยด้วยเรื่องใดสักอย่าง ใบหน้านั้นแฝงแววอ่อนโยนอย่างที่ไป๋ผูอวี้ไม่เคยเห็นมาก่อน จางต้าฟังจบก็เดินไปหาเด็กน้อยผู้นั้นพร้อมกับยัดเงินใส่ในมือ 

ไป๋ผูอวี้กระชับเสื้อคลุมก่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้เพิงน้ำชาที่วุ่นวาย เดินเข้าใกล้ได้ไม่นานคุณชายเสิ่นก็สังเกตเห็น ใบหน้านั้นคล้ายกับเปล่งประกายไปด้วยความยินดี ละมือจากงานที่ทำอยู่เดินตรงมาหาด้วยท่วงท่าเหมือนคนพาล

“อะแฮ่ม ไป๋ผูอวี้ เจ้าออกมาดูข้าทำทานรึ เสียใจด้วยจริง ๆที่วันนี้โรงน้ำชาของเจ้าคนน้อย”

“คุณชายสบายดีหรือ ข้าได้ยินว่าท่านป่วย”ไป๋ผูอวี้แสร้งเอ่ยถาม นึกถึงไปยังเหตุการณ์หวาบหวามกับเสิ่นจิ้งเฟยก็ทำให้ท้องน้อยปั่นป่วน เขาละสายตามองไปที่อื่น เพราะใบหน้าของคุณชายเสิ่นในเวลานี้ยิ่งแดงเรื่อไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรือเขินอาย

“ข้าสบายดี ร่างกายแข็งแรงแล้ว”จื่อฟางกัดกระพุ้งแก้ม อยากเข้าไปฟาดอีกฝ่ายสักทีสองที ทำเป็นพูดจาหน้านิ่งทั้ง ๆที่เป็นต้นเหตุอาการป่วยของเขาแท้ ๆ

“ดีแล้ว”ชายหนุ่มพยักหน้า จางต้ารีบนำเก้าอี้มาให้คุณชายของตนเพราะไม่อยากให้ยืนนาน จื่อฟางนั่งลงอย่างผ่าเผย เหลียวมองรอบตัวเห็นว่าไป๋อู่เหยียนยืนอยู่หน้าโรงน้ำชาเช่นกัน เขาจึงส่งยิ้มไปให้ ไป๋ผูอวี้หันมองบ้างเมื่อเห็นว่าเป็นบิดาก็ทำท่าทีสุขุมเย็นชา 

“หากท่านไม่ทำเรื่องเดือดร้อนก็ดีไป”ชายหนุ่มกล่าวเสียงนุ่ม รู้ดีว่าท่านพ่อต้องการให้เขากลับเข้าไปดูแลโรงน้ำชา เขาทิ้งคุณหนูฉินไว้ด้านใน คุณชายเสิ่นปรายตามองแสร้งทำพัดตก

“โอ๊ะ ท่านเก็บให้ข้าหน่อยสิ”จื่อฟางสั่ง มองเห็นเว่ยหลงทำสีหน้าพิกล แต่ไป๋ผูอวี้ยังคงทำสีหน้าเช่นเดิม ก้มเก็บพัดให้คุณชายเสิ่น

“คนผู้นั้นบอกว่าสนใจวรยุทธ์ของสกุลไป๋”เด็กหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ระหว่างที่ไป๋ผูอวี้ส่งพัดมาให้

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 13-01-2019 00:00:39
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น สายตาเป็นประกายลึกลับ คิดไว้อยู่แล้วจึงไม่แปลกใจนักเพราะวันที่ลอบออกมาจากจวนสกุลเสิ่น เขาได้ประมือกับองครักษ์ทั้งสอง ไม่นานฮ่องเต้ต้องส่งคนมาหาตนแน่

“ไม่ต้องกังวล”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว ยกยิ้มเล็กน้อย “ข้าต้องกลับไปด้านใน คุณหนูฉินรออยู่ คุณชายเสิ่นรักษาตัวด้วยข้างนอกอากาศหนาวกลัวว่าท่านจะป่วยอีก ข้าเป็นห่วง”เขาส่งสายตาคมปราบไปให้ก่อนหมุนตัวจากมา ทันมองเห็นสีหน้าหงุดหงิดของคุณชายรูปงามก็หัวเราะเบาๆในลำคอ

“คุณชายไป๋ ท่านระวังหน่อย นายท่านเริ่มสงสัยแล้ว”เว่ยหลงเตือนเสียงเบา เดินจากมาจากกลุ่มคนที่มารอรับน้ำชา จากที่ได้กลิ่นดูท่าจะเป็นชาดี ไป๋ผูอวี้มองผู้ติดตาม “ข้าน่าสงสัยขนาดนั้นเชียวรึ”

เว่ยหลงกลอกตาไปมา “ข้าเคยได้ยินคุณชายเสิ่นเรียกท่านว่าท่อนไม้ ตอนนี้ท่านยังเป็นท่อนไม้อยู่หรือไม่เล่า”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว สงสัยว่าเว่ยหลงไปได้ยินตอนไหน ท่อนไม้รึ?เขาก็ชอบเป็นอยู่หรอก แต่ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยชอบมาแกล้ง ผู้ใดจะยอมทนเป็นท่อนไม้ไหวเล่า?




 
-------------------------------------
จบไปอีกตอนนน ตอนนี้ไม่รู้เขียนncเป็นไงไม่ได้เขียนนานมากแล้วยิ่งมาเขียนน้องจื่อกะพี่ไป๋ก็รู้สึกขัดๆเขินๆอย่างบอกไม่ถูก หน้าปกร่างเสร็จแล้ว ถ้าอาจารย์ลงสีเสร็จเมื่อไหร่จะเอามาให้ยลโฉมเนอะ  ขอบคุณที่ยังติดตามจ้า :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 13-01-2019 00:34:07
พี่ไป๋ไม่ใช่ท่อนไม้อีกต่อไปแล้ว  :impress2:   

กำลังเข้มข้นเลย ท่านอ๋อง กับองค์ชายใหญ่น่ากลัวกว่าฮ่องเต้อีก  รอตอนต่อไปนะคะ

ปล. อยากให้เขาได้กันอีก  :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-01-2019 01:26:59
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-01-2019 01:58:16
ท่อนไม้!!!!!  :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 13-01-2019 03:52:43
ยังจำตอนที่แอบนัดพบกันไปดูดอกไม้ได้ที่น้องจื่อบอกว่าหรือท่อนไม้ไป๋จะเป็นปีศาจยามอยู่บนเตียง น้องคงรู้แล้วนะว่าเป็นปีศาจจริงมั้ย555555555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llluca ที่ 13-01-2019 04:49:48
เข้าใจความยุคโบราณฮ่องเต้ใหญ่ที่สุดนะ แต่ไม่ชอบการที่ฮ่องเต้ทรีตจื่อฟางเหมือนปรสิต เป็นแค่พยาธิในร่างเสิ่นจิ้งเฟย อ่านแล้วอยากข่วนหน้า :angry2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-01-2019 06:53:43
ปีศาจท่อนไม้  หึหึ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 13-01-2019 07:52:06
จะเรียกพี่เค้าว่าท่อนไม้ไม่ได้เเล้วนะคะ :-[
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 13-01-2019 08:27:19
พี่ไป๋
น้องนอนข้ามวันกันเลยที่เดียว
ร้อนแรงเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-01-2019 09:39:32
ท่อนไม้รึ หึหึหึ :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 13-01-2019 10:29:09
เป็นท่อนไม้ที่พร้อมติดไฟอย่างดีเชียวค่ะ :hao3: ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-01-2019 11:29:26
ท่อนไม้ทำน้องสลบไปหนึ่งวัน 5555555555555555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Fujoshi ที่ 13-01-2019 12:16:26
รอตอนต่อไปเลยค่ะ
เนื้อเรื่องดีมากสนุกและมีอะไรให้ลุ้นตลอดเลย
ตัวละครก็น่าสนใจทุกตัว
ภาษาสวยมากไม่
จะรอวันที่ออกเป็นรูปเล่มนะคะ
รอคนเขียนอัพตอนต่อไปค่าาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 13-01-2019 16:04:17
ฉากรักดีงาม น้องจื่อป่วยข้ามวัน อย่างนี้ท่อนไม้ไป๋ ก็เปลี่ยนฉายาล่ะเนอะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-01-2019 18:48:35
ขนาดเป็นท่อนไม้ .............   :m20: :laugh:
ยังมีฤทธิ์เดช จนจื่อฟางนอนหลับไปเป็นวันเลย   :z3: :z3: :z3:
ไป๋เป็นยานอนหลับชั้นดีจริงๆ   :katai2-1:

คุณหนูฉิน ไม่เบานะเนี่ย.....
เป็นสาวเป็นนางยุคโบราณแท้ๆ ยังมาเฝ้าไป๋ที่โรงน้ำชา
รุกหาหนุ่มไป๋ตลอด ไม่ผิดธรรมเนียมเลยหรือไง  o22 :really2: :เฮ้อ:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 13-01-2019 19:31:35
เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น กลัวใจฮ่องเต้เหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 13-01-2019 19:46:07
โธ่ สุดท้ายก็ใจแข็งเป็นท่อนไม้ไม่ไหว
เรื่องราวเข้มข้นขึ้นทุกที
บทสรุป จื่อฟางจะต้องหนีไปไหม
สุดท้ายไป๋ผู้อวี้จะไปกับจื่อฟางไหม
รอชมค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-01-2019 19:46:40
จ้า ประโยคสุดท้าย คุณชายช่างร้ายนัก

ไม่อยากเป็นท่อนไม้ เพราะน้อง ฮ่า ๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 13-01-2019 20:35:35
 :jul1: เป็นไงล่ะ โดนท่อนไม้ไปกี่ท่อนเล่า จื่อฟาง

รักคนเขียนมากกก :กอด1: ตอนนี้มันเกินความคาดหมายยย :o8: อรั้งงง ฟินนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Warapich ที่ 13-01-2019 21:09:18
เจ้มจ้นมาก เอนซีดุเว่อ พี่ไป๋ไม่ใช่ท่อนไม้อีกต่อไป ฮ่องเต้นี่จะเอายังไงเอ๊ะๆ น้องจื่อฟางน่าสงสารอ่ะ ต้องมาแก้ปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ รอภาพปกนะคะ ตอนนี้อ่านจุใจมาก สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 13-01-2019 23:44:06
โถ่วเว่ยหลงน่าสงสาร​ คิดมากจนผมร่วง​ เนื้อเรื่อง​เข้มข้น​เข้าไปทุกทีๆแล้ว​ ท่อนไม้​ไม่ท่อนไม้แล้ว​
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 14-01-2019 00:57:42
น้องจื่อกับพี่ไป๋ โอ้ย คู่สวรรค์สร้าง


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 15-01-2019 06:58:40
ท่อนไม้ไป๋ตายไปพร้อมกับบทอัศจรรย์ nc แล้วจ้าาา

ชอบความสัมพันธ์ของหยางชวีกับจื่อฟางอ่ะ มันให้ความรู้สึกเพื่อนที่รู้ใจอ่ะ

ส่วนกับไป๋ผูอวี้ คือคนที่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
รอว่าเมื่อไหร่จะบอกความจริงคืออยากรู้ว่าไป๋ผูอวี้จะทำยังไง จะชอบจื่อฟางที่จิตใจ หรือชอบเพราะหน้าตา(ในร่างจิ้งเฟย)

ส่วนคู่ของจิ้งเฟย(ในร่างเจาเฟิง) ตอนนี้คือเหมือนจิ้งเฟยจะรักพี่ฟู่เทียนสือแหละ แต่กับฮ่องเต้คือเหมือนบังคับตัวเองว่าต้องเกลียดฮ่องเต้ แต่เราว่าลึกๆจิ้งเฟยก็รู้สึกดีกับฮ่องเต้ ต้องรอลุ้นอ่ะ ว่า รักสามเส้า จะจบยังไง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 17-01-2019 07:43:37
เจ้าแค่นอนเฉยๆก็พอ
 :-[
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 18-01-2019 04:57:48
ท่อนไม้อะไรร้อนขนาดนี้กัน​ :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบ: สนทนายามวิกาล P.18 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 19-01-2019 08:04:21
 
บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน


ฮ่องเต้เจี่ยผิงนั่งอ่านฎีกาและหนังสือกราบทูลอยู่ในห้องทรงพระอักษร ภายในห้องมีขันทีใหญ่เส้ากงกงถวายงานรับใช้ พร้อมด้วยหัวหน้าคณะบัณฑิตเกาจวีถังที่พ่วงตำแหน่งที่ปรึกษานั่งเดินหมากล้อมอยู่ที่มุมห้อง ร่างนั้นมีใบหน้าสุขุม สวมหมวกบัณฑิตท่าทางเหมือนคนแก่เรียนและยังเป็นสหายคนสนิทของฮ่องเต้ ถนัดบุ๋นไม่ถนัดบู๊ จากที่เจ้าแผ่นดินอนุญาติให้ฝ่ายนั้นร่วมห้องทรงพระอักษรโดยไม่สนตำแหน่งบรรดาศักดิ์ก็บ่งบอกแล้วว่าเป็นสหายคนสำคัญ

“กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทร่างราชโองการลดทอดอำนาจแคว้นอ๋องหรือ”เกาจวีถังเอ่ยถามเสียงนุ่มราวปุยนุ่น ท่าทางคล้ายคนเลื่อนลอย

“ถูกต้อง เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวก็กล่าวมาในยามที่เรายังอารมณ์ดี”เจี่ยผิงหยักยิ้มด้วยอารมณ์ดียิ่ง เรื่องการลดหย่อนอำนาจการปกครองแคว้นอ๋องคืนสู่ราชสำนักส่วนกลางถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงก้าวใหญ่ เดิมทีอ๋องครองแคว้นมีอำนาจการปกครองในนครของตนอยู่หลายส่วน ยามนี้เมื่อถูกลดทอนอำนาจตำแหน่งอ๋องจึงคล้ายกับเป็นเพียงตำแหน่งประดับบารมีเท่านั้น แม้จะถูกอัครเสนาบดีหลี่ลั่วหวั่นคัดค้านว่าเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนจนเกินไป แต่เจี่ยผิงหาได้ฟังไม่ ชายหนุ่มหยักยิ้มเมื่อนึกถึงน้องชายต่างมารดาหลิวอ๋องเจี่ยซิน เจ้าผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้หนุ่มนึกอยากชมดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายนัก

“กระหม่อมไม่มีสิ่งใดว่ากล่าว เพียงแค่คิดว่าพระองค์เดินหมากเร็วนัก”แม้จะเป็นสหายคนสนิท แต่ที่ปรึกษาเกาจวีถังยังต้องระวังคำพูด

“เร็วรึ เราว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ ที่ปรึกษาเกาไม่ต้องกังวล เราไตร่ตรองดีแล้ว”ฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินเอ่ย ระหว่างที่กวาดสายตาอ่านฎีกาเรื่องโรคเจ็บป่วยของชาวบ้านที่เกิดขึ้นในทุกช่วงเหมันต์ ปีนี้อากาศถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก แต่กลับมีคนเจ็บป่วยล้มตายมากกว่าเมื่อปีกลาย เป็นไปได้อย่างไร? เจี่ยผิงเคยปลอมตัวเป็นคุณชายสูงศักดิ์ออกไปนอกวังอยู่บ่อย ๆถึงได้รู้ว่าปากท้องของราษฎรยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะชนชั้นชาวนา ราชสำนักจึงไม่ได้เพิ่มการเก็บภาษีอากรมาหลายสิบปี แต่ปัญหาก็ยังเป็นเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าการลดหย่อนภาษีไม่ได้ช่วยให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น หากไม่รีบเร่งแก้ไขเจี่ยผิงกลัวว่าชาวบ้านจะต่อต้านการปกครองของเขา

“กระหม่อมมิได้กังวล”เกาจวีถังหมุนตัวหมากในมือเล่น นึกหาคำพูดอยู่เงียบ ๆ  ร่างสูงสง่าในชุดสีขาวละสายตาจากกระดานหมากล้อม “ฝ่าบาทยังจำเรื่องที่กระหม่อมเคยกราบทูลได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เจี่ยผิงเลิกคิ้ว สีหน้าเรียบนิ่ง รอยยิ้มคลุมเครือปรากฏอยู่บนใบหน้า “ความจำของเรายังดีอยู่”คนผู้นี้กำลังผลักดันเรื่องการสอบเคอจวีให้โปร่งใสเที่ยงธรรมเพื่อคัดเลือกขุนนางมีฝีมือมิใช่เส้นสายเข้าสู่ราชสำนัก ขุนนางสายเลือดใหม่อย่างนั้นรึ ลึก ๆแล้วเจี่ยผิงก็เห็นด้วยแต่การขุดรื้อสิ่งที่ปฏิบัติมานานย่อมเกิดเรื่องยุ่งยาก อีกทั้งสถานการณ์ชายแดนยังไม่สู้ดี ขุนนางบางส่วนจึงเห็นว่าในยามนี้การคัดเลือกแรงงานทหารจำเป็นมากกว่านัก

“เช่นนั้นพระองค์คงได้ยินชื่อของไป๋ผูอวี้มาบ้างกระมัง”เกาจวีถังเปรยถึง

“ที่ปรึกษาเกาต้องการเอ่ยอันใดรึ”เจี่ยผิงละสายตาจากฎีกาตรงหน้ามองไปยังที่ปรึกษาด้วยสายตาจริงจัง

“กระหม่อมต้องการบอกว่าไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวผิดแปลกอย่างที่พระองค์กำลังสงสัย แม้คนผู้นั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสอวิ๋นก็ตาม”ชายหนุ่มทราบมาว่าไป๋ผูอวี้ได้ประมือกับองครักษ์ของฮ่องเต้ ด้วยเพราะรู้จักกับเจ้าแผ่นดินมานานจึงคาดเดาว่าอีกฝ่ายต้องสั่งให้คนไปสืบข่าวเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้เป็นแน่

“เจ้าดูรู้เรื่องของคนแซ่ไป๋ดีนัก”เจี่ยผิงละการพูดคุยอย่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางทิ้ง ขยับไหล่ที่ปวดเมื่อย พลางเอื้อมหยิบฎีกาแผ่นใหม่มาอ่าน

“กระหม่อมมีคนให้ข้อมูล”เกาจวีถังเห็นคิ้วของอีกฝ่ายเลิกขึ้นจึงกล่าวเสริม “บุตรชายของเสนาบดีกรมพระคลังไม่ใช่คนเรื่อยเปื่อยอย่างที่คิด มองคนที่ปกหนังสือเพียงอย่างเดียวมิได้หรอก”ชายหนุ่มกล่าว นึกถึงคุณชายจ้าวก็ยกยิ้ม เจี่ยผิงจดจำบุตรชายของเสนาบดีกรมพระคลังได้อย่างเลือนลาง เมื่อพินิจดูดี ๆเขากลับเห็นว่าสหายของตนมีลักษณะอุปนิสัยคล้ายกับบุตรชายของเสนาบดีจ้าวอยู่บ้าง ดูเป็นคนเลื่อนลอยดูน่าเบื่อหน่ายเหมือนๆกัน

“คนแซ่ไป๋ติดต่อกับตาเฒ่าอวิ๋นเซียนหลาง เจ้ามีเหตุผลใดมากล่อมให้ข้าคิดว่าการกระทำของเขาไม่น่าสงสัยเล่าเจ้าอาจเป็นสหาย เป็นที่ปรึกษา แต่ใช่ว่าข้าต้องคล้อยตามเจ้าเสมอ”เจี่ยผิงเอ่ย ต้องการย้ำเตือนอีกฝ่ายไปด้วย ตั้งแต่ลืมตาดูโลกในฐานะองค์ชายรอง เขาถูกพร้ำสอนว่าอย่าไว้วางใจผู้ใด กระทั่งสหายรัก คนนอนร่วมเตียง ผู้ร่วมสายเลือดเดียวกันก็ไม่เว้น ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทด้วยอายุเพียงสิบปีทำให้เขาได้เปิดตารับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้ เช่นหูเหม่ยเหรินเป็นสนมเอกที่เสด็จพ่อทรงรักปักใจอย่างสุดซึ้ง เสด็จแม่ของเขาเป็นถึงฮองเฮาก็ยังไม่เคยได้รับความรักอย่างแท้จริง เรื่องยุ่งยากซับซ้อนในราชสำนักหล่อหลอมให้เจี่ยผิงเข้มแข็งเย็นชาแบกรับความคาดหวังความกดดันและความเกลียดชังไว้บนบ่า เมื่อได้ครองบนบัลลังก์มังกรแม้อยู่เหนือคนใต้หล้าก็ยิ่งรับรู้ถึงความโดดเดี่ยวราวกับยิ่งสูงผู้คนก็เอื้อมไม่ถึง ยังจำคำของเสด็จแม่ได้ขึ้นใจ

‘ลูกผิง ในวังหลวงแห่งนี้เรื่องฟุ้งเฟ้อเช่นความรักเป็นสิ่งไม่จำเป็น อำนาจต่างหากเล่าที่ทำให้คนอยู่รอด หากวันใดเจ้าได้ครองบัลลังก์มังกรเจ้าจะเข้าใจเอง’

กับเสิ่นจิ้งเฟย…เป็นความรักหรือต้องการครอบครองเขาก็ไม่แน่ใจนัก

เจี่ยผิงกระพริบตาเมื่อรู้สึกว่าตนเองใจลอย มองสหายที่นั่งอยู่หน้ากระดานหมากรุก ชั่วครู่หนึ่งคล้ายกับเห็นแววเศร้าหมองในดวงตาของที่ปรึกษาเกาแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“กระหม่อมทราบดีว่าไม่สามารถชี้แนะให้ฝ่าบาทคล้อยตามได้ กระหม่อมเพียงอยากชี้แจงว่าไป๋ผูอวี้มีเจตจำนงเดียวกับพวกเราชาวบัณฑิต เขาติดต่อกับผู้อาวุโสอวิ๋นก็เพียงเพราะไม่ทราบความเคลื่อนไหวที่แท้จริงของคนผู้นั้น”

เจี่ยผิงไม่ได้กล่าวสิ่งใด รู้ดีว่าตนเองรู้สึกขุ่นเคืองต่อคนแซ่ไป๋แต่เขาเป็นเจ้าแผ่นดินจะตัดสินคนด้วยอารมณ์ส่วนตัวไม่ได้เด็ดขาด คนเช่นไป๋ผูอวี้เป็นคนซื่อตรง มีคุณธรรม ย่อมต้องไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้อาวุโสอวิ๋น ยามที่องครักษ์มารายงานด้วยเรื่องนี้ เขายังคิดสงสัยกับตัวเองว่าไป๋ผูอวี้รู้หรือไม่ว่าถูกผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางตบตา คนผู้นั้นเคยตบตาได้แม้กระทั่งเสิ่นฉินอี้ แสร้งทำเป็นกล่าววาจาสนับสนุนแสดงจุดยืนต้องการยกตำแหน่งอัครเสนาบดีให้ การกระทำเช่นนั้นมีแต่ทำให้สกุลหลี่คิดลงมือจัดการสกุลเสิ่น ภายใต้หน้ากากคนดีมีคุณธรรมแท้จริงแล้วตาเฒ่าอวิ๋นสนับสนุนเจ้าคนเถื่อนช่างอิ่นเช่นเดียวกับเสด็จพ่อ

หากหูเหม่ยเหรินไม่ถูกจับได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินกองพระคลัง เสด็จพ่อก็ยังคงยืนยันให้ช่างอิ่นขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินด้วยเหตุผลไร้สาระ เรื่องเขายังเยาว์วัยเกินกว่าเป็นองค์รัชทายาท แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ ฮ่องเต้หนุ่มเคยคิดกำจัดตาเฒ่าอวิ๋นเซียนหลางให้พ้นทางตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแต่กลับลงมือไม่ง่ายนักเพราะบารมีที่เคยสั่งสมมายามเป็นอัครเสนาบดี ทั้งยังเคยเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับยิ่งทำให้เป็นเรื่องยาก

“กระหม่อมคาดหวังในตัวไป๋ผูอวี้ อยากให้เขาเข้าร่วมสภาบัณฑิต น่าเสียดายที่เขาไม่คิดเข้าร่วมราชสำนักในเร็ววันนี้”เกาจวีถังถอนหายใจอย่างเสียดาย ไป๋ผูอวี้เป็นได้ทั้งบู๋และบุ๋นหากได้มาใช้งานย่อมเป็นผลดีต่อราชสำนัก

“เหลวไหล”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวเสียงหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะไม่อยากได้ตัวไป๋ผูอวี้ เขาไม่ปฏิเสธความสามารถของคนผู้นั้น แต่ให้เอาคนมีวรยุทธไปขลุกอยู่กับพวกแก่เรียน วัน ๆเอาแต่ต่อบทกวีถกปัญหาก็น่าเสียดายนัก เกาจวีถังเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอกลับไปสนใจกระดานหมากต่อ ไม่อยากทำให้ฝ่าบาทอารมณ์เสีย แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องทรงพระอักษรเป็นจังหวะ

“กระหม่อมเฮ่อเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”เสียงขององครักษ์คนสนิทดังขึ้น

“เข้ามาได้”เจี่ยผิงขานรับ ส่งสายตาไปยังเส้ากงกงขันทีชั้นผู้ใหญ่ แม้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดแต่เส้ากงกงย่อมรู้ความเนื่องจากรับใช้ฝ่าบาทมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ดังนั้นกงกงจึงรีบถอยออกไปนอกประตูพร้อมกับปิดประตูตามหลังสั่งการให้บ่าวรับใช้ทุกคนถอยห่างออกไปหลายสิบก้าวอย่างรู้หน้าที่ ส่วนตนเองเฝ้าอยู่ด้านหน้ารอรับคำสั่งจากฝ่าบาท เกาจวีถังไม่ได้ลุกจากที่นั่งในเมื่อฮ่องเต้ไม่ได้ไล่ออกปากไล่ เฮ่อเจ๋อสืบเท้าเข้ามาในห้องอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่แม้แต่ปรายตามองเกาจวีถังราวกับเป็นธาตุอากาศ ที่ปรึกษาไม่ได้แสดงท่าทีมีโทสะเพียงแค่วางหมากลงบนกระดานเงียบๆ องครักษ์คุกเข่าคาราวะไปยังทิศที่เจ้าเหนือหัวประทับอยู่

“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”

“ลุกขึ้นเถอะ”เขาสะบัดมืออย่างไม่มีพิธีรีตองมากนัก “ว่าอย่างไร เรื่องที่เรามอบหมายไป เจ้าได้ตรวจสอบแล้วหรือยัง”เขาเอ่ยถามเฮ่อเจ๋อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นทุกครา ส่งสายตาคมกริบไปยังสหาย ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากรู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของไป๋ผูอวี้ให้กระจ่าง

“กระหม่อมตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท สกุลไป๋แต่เดิมมาจากเมืองหลานโจว พวกเขาสืบทอดวิทยายุทธจากอาจารย์แซ่หย่งมาหลายชั่วรุ่น วรยุทธของหย่งสือไม่ได้เป็นที่เผยแพร่มากนัก เพราะสืบทอดกันเองในรุ่น ศิษย์เอกคือไป๋ผูอวี้ ศิษย์รองนามว่าเว่ยหลง ผู้ติดตามของเขา ศิษย์น้องนามว่าซูเหลียนฮวา ฉายานางมารหมื่นพิษ นางมีชื่อโด่งดังอยู่ในเมืองหลานโจว ยามนี้เป็นนางคณิกาอยู่ที่หอผูเยว่พ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรายงาน ได้ประมือกับนางมารหมื่นพิษเล็กน้อย ฝีมือของนางก็สมกับคำเล่าลือ เสียดายที่เขาไม่มีเวลาเล่นด้วยจึงละจากมาก่อน

“อืม”บุรุษหนุ่มพยักหน้า กล่าวถึงผู้เฒ่าหย่งสือ เจี่ยผิงจำได้ว่าวันที่เสิ่นฉินอี้ถูกวางยาพิษ กู้หมิงองครักษ์อีกคนมารายงานว่าผู้เฒ่าหย่งสือได้ลอบเข้าไปในจวนสกุลเสิ่นเพื่อช่วยเหลือเสิ่นฉินอี้แต่ว่าไม่ทันการ ไม่ทันได้สืบค้นความหลังผู้เฒ่าก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่คิดว่าคนจากสกุลไป๋จะรู้จักขุนนางใหญ่เช่นเสิ่นฉินอี้ เรื่องที่น่าแปลกใจคงไม่พ้นเรื่องที่ไป๋อู่เหยียน พ่อค้าคหบดีผู้นั้นรู้จักกับใต้เท้าเฉินฉางเซียงขุนนางเก่าที่วางมือจากราชสำนักไปหลายปี ช่วงที่ใต้เท้าเฉินพำนักอยู่ที่จวนเสนาบดีเสิ่น ใต้เท้าเฉินได้มีการติดต่อกับไป๋อู่เหยียนอยู่บ่อยครั้ง เจี่ยผิงให้คนจับตามองการเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่พบสิ่งใดน่าสงสัยเป็นเพียงการนัดพบเยี่ยงมิตรสหายทั่วไป

“ที่ปรึกษาเกา เจ้ารู้หรือไม่ว่าไป๋อู่เหยียนรู้จักกับอดีตขุนนางเก่าชั้นผู้ใหญ่อย่างใต้เท้าเฉินฉางเซียง”เจี่ยผิงกล่าวขึ้นจ้องมองสหายแก่เรียน ร่างนั้นยังคงมีสีหน้าคงเดิมพยักหน้าตอบคำสองสามครั้ง

“เป็นเรื่องแปลกใช่หรือไม่ กระหม่อมรู้ยังอดประหลาดใจไม่ได้ เหตุใดสกุลไป๋ที่ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับบุคคลมีอำนาจถึงได้รู้จักมักจีกับขุนนางเก่าทั้งยังเป็นขุนนางมีฝีมืออีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น…”เกาจวีถังคล้ายกลับกำลังสนุกเหมือนได้เล่านิทาน เฮ่อเจ๋อขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักระหว่างที่รอฟังว่าฝ่ายนั้นจะกล่าววาจาใด

“ไป๋อู่เหยียนยังเคยรู้จักอดีตเสนาบดีเสิ่นฉินอี้อีกด้วย”ที่ปรึกษาเกาสบตากับเจ้าแผ่นดิน ฮ่องเต้เจี่ยผิงเก็บงำกิริยาไว้ไม่อยู่ เสิ่นฉินอี้…จะว่าไปเขาคิดถึงตาแก่ผู้นั้นอยู่ไม่น้อย หากเวลานั้นเจี่ยผิงเข้าไปช่วยเหลือก็คงทันเวลาแต่มานึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

“เสิ่นฉินอี้น่ะหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกัน”เขาพึมพำอย่างฉงน หากตาแก่เสิ่นรู้จักกับสกุลไป๋เขาย่อมสืบจนทราบ

“พวกเขาไม่ได้รู้จักกันที่เมืองหลวงแต่รู้จักกันที่หลานโจวเมื่อหลายปีก่อน”ที่ปรึกษาเกากล่าว หลานโจวหรือ ขุนนางเก่าทั้งสองเคยไปเมืองหลานโจวด้วยอย่างนั้นหรือ เจี่ยผิงนิ่งงันไป ควานหาความทรงจำ ดวงตาสีเข้มเป็นประกายเมื่อนึกบางอย่างออกเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว เสิ่นฉินอี้เคยเปรยเอาไว้ว่าเคยไปพักผ่อนที่เมืองหลานโจวกับใต้เท้าเฉินฉางเซียงระหว่างทางถูกโจรป่าดักปล้นลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บ แต่ได้คนจิตใจเมตตาช่วยเหลือไว้ ฮ่องเต้หนุ่มอาจจะลืมไปแล้วก็ได้หากโจรป่าที่ว่าไม่ใช่ชาวหู ชาวหูเป็นชนเผ่านอกด่าน ต้นตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายใหญ่ เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดีงามกับราชสำนักเพราะบุตรสาวของผู้นำชนเผ่าได้ถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหริน(สนมเอก) แต่เมื่อหูเหม่ยเหรินถูกไต่สวนว่าเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินพระคลังจนถูกปลดจากตำแหน่งอยู่ได้ไม่กี่ปีก็สิ้นพระชน ชาวหูก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

พวกเขาลุกฮือต่อต้านเมื่อองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาท จนเสด็จพ่อต้องนำกำลังทหารเข้าปราบปรามจนราบคาบ จากนั้นเจี่ยผิงจึงถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท แม้เสด็จพ่อจะปลดองค์ชายใหญ่แต่ก็ยังเอ็นดูเจี่ยอี้อยู่มาก ไม่ได้ลงโทษสถานหนักเพียงแค่กักขังอยู่ในวังองค์ชายเท่านั้น เมื่อเสด็จพ่อสวรรคต เจี่ยผิงได้ขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว เขาไม่ต้องการให้เจี่ยอี้เป็นเสี้ยนหนามแต่ไม่อยากฆ่าพี่น้องจึงสั่งถอดยศองค์ชายพระราชทานนามใหม่ว่าช่างอิ่น ย้ายตัวไปคุมขังในคุกหลวง ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีก็เกิดเหตุจลาจลที่แถบชายแดน เหตุการณ์รุนแรงเพราะพวกโจรป่าเถื่อนเหล่านั้นจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน ปล้นสะดม กว่าทหารกำลังเสริมจากเมืองข้างเคียงจะมาถึงราษฎรก็ล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันช่างอิ่นก็ถูกช่วยเหลือออกจากคุกหลวงไปได้ ทหารองครักษ์ของเจี่ยผิงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ด้วยวิธีการป่าเถื่อนเฉกเช่นฝีมือชาวหู ดูท่าจะยังเหลือรอดจากการปราบปรามครั้งนั้น ช่างอิ่นหนีรอดไปได้และกำลังซ่อนตัวแก้แค้นเจี่ยผิง

“ฝ่าบาท…”เสียงเรียกของเกาจวีถังทำให้ชายหนุ่มเหลือบมอง

“ข้าแค่นึกถึงเรื่องที่เสิ่นฉินอี้เคยเล่า”เจี่ยผิงพึมพำ “ตาแก่นั่นเคยบอกว่าถูกโจรป่าที่เหมือนชาวหูทำร้ายที่หลานโจวแต่ได้ผู้ใจดีช่วยเหลือ”

“เช่นนั้นไป๋อู่เหยียนก็ช่วยชีวิตทั้งคู่ไว้น่ะหรือ จุ๊ๆ จะว่าไปบิดากับบุตรชายไม่ต่างกันจริง ๆ”เกาจวีถังพูดถึงพวกคนสกุลไป๋ ไหนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้มีอำนาจอย่างไร แต่ทั้งไป๋อู่เหยียนและไป๋ผูอวี้กลับผิดคำพูดด้วยกันทั้งคู่

ฮ่องเต้เจี่ยผิงลูบคางอย่างใช้ความคิด เบนสายตามององครักษ์ที่ยังคุกเข่าอยู่เช่นเดิม “เจ้าพูดต่อเถิด”

“กระหม่อมได้สืบค้นจนลึกไปสิบชั่วโคตรถึงได้รู้ว่าสกุลไป๋เคยข้องเกี่ยวกับราชสำนักมาก่อน แต่เพราะมีวรยุทธที่เก่งกาจจึงกุมอำนาจด้านการทหารไว้มากจนองค์ฮ่องเต้ในรัชสมัยเจี่ยจงตี้เกิดระแวงหักหลังสกุลไป๋จนแทบสูญสิ้น พวกเขาจึงมีกฎว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักหรือขุมอำนาจใดอีก แต่ทว่าไป๋ผูอวี้กลับทำผิดกฎ”

ที่ปรึกษาเกาพยักหน้าตามช้า ๆ รู้ว่าเฮ่อเจ๋อจะรายงานเรื่องใดต่อ

“หลังจากที่สอบได้ซิ่วไฉอันดับหนึ่งไป๋ผูอวี้ได้พบกับที่ปรึกษาเกาจวีถังในสำนักศึกษาหลวง เขาเริ่มรวมกลุ่มบัณฑิตนัดพบกันที่สวนลู่เป็นประจำ ทั้งยังสนิทสนมกับจ้าวเซียวชิงบุตรชายเสนาบดีกรมพระคลัง จากนั้นไม่นานผู้เฒ่าหย่งสือก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ล่าสุดมีผู้พบเห็นเขาอยู่ทางตอนเหนือพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรายงาน

“เจ้าเอาข้อมูลพวกนี้มาจากผู้ใดหรือ”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยถาม สายตามองปราดไปที่องครักษ์ของฮ่องเต้ เฮ่อเจ๋อรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้เพราะจับตัวบ่าวไพร่ที่ทำงานในเรือนของไป๋ผูอวี้มา‘ซักถาม’ บ่าวผู้นั้นก็พอมีวรยุทธอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ทนการ‘ซักถาม’ ของเฮ่อเจ๋อไม่ไหว พอดีกับนางมารหมื่นพิษมาขัดจังหวะเสียก่อน

เจี่ยผิงรู้ดีว่าองครักษ์ของตนทำงานเช่นไรจึงทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของสหาย กล่าวขึ้นมาแทน “ถึงเจ้าจะบอกว่าเขาไว้ใจได้แต่อย่างไรข้าก็ยังไม่วางใจจนกว่าจะรู้แน่ชัด”ฮ่องเต้หนุ่มหยักยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้สหายผู้แก่เรียนก่อนหันไปสั่งองครักษ์เสียงเข้ม

“เฮ่อเจ๋อ ให้คนจับตาดูไป๋ผูอวี้ต่อไป เรายังไม่อยากเร่งด่วนตัดสิน แต่หากเขามีท่าทีส่อแววว่าเข้าร่วมการก่อกบฏก็ลงมือจัดการเสีย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”องครักษ์รับคำสีหน้าเด็ดเดี่ยวเย็นชา เกาจวีถังเพียงแค่วางตัวหมากลงบนกระดาน ไม่ได้แสดงท่าทีโต้แย้ง รู้ดีว่าไม่ควรเร่งร้อน ฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินไม่ใช่คนที่ไว้ใจผู้ใดง่ายๆ สหายเช่นเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไว้ใจกี่ส่วนกันเชียว คิดแล้วก็เศร้าใจอยู่ไม่น้อย

“ทางด้านหลิวอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”เจี่ยผิงเปลี่ยนคำถามหยักยิ้มพอใจเมื่อนึกถึงน้องชายต่างมารดา

“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ อ๋องสามยังไม่ได้ติดต่อกับคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย”ฮ่องเต้พยักหน้า หากจะลงมือจัดการเจี่ยซิน เขาต้องการหลักฐานที่แน่ชัด เพราะหลิวอ๋องมีชื่อเสียงภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาขุนนางน้อยใหญ่ ชาวบ้านต่างก็ชื่นชอบท่านอ๋องผู้จิตใจดี ส่วนเขานั้นเป็นฮ่องเต้ขี้ระแวงคิดลงมือก็ต้องมีหลักฐานมัดตัว อีกทั้งเขาไม่อยากให้ชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏจึงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม

‘เดิมทีคิดว่าต้องสะสางกับเจี่ยอี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่คิดว่าเจี่ยซินจะเข้ามาสร้างเรื่องปวดหัวให้อีกคน’

“ดี เช่นนั้นส่งม้าเร็วไปยังหัวเมืองสำคัญ ให้เตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่สงบที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ”

“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรับคำแล้วถอยออกไปนอกห้องอย่างไร้สุ้มเสียง ภายในห้องทรงพระอักษรจึงมีเพียงเสียงวางหมากของเกาจวีถังดังเบา ๆ ฮ่องเต้หนุ่มกลับไปใส่ใจฎีกาบนโต๊ะอีกครั้ง แม่ทัพเมิ่งประจำเมืองอี้โจวในเขตชายแดนทางเหนือกล่าวถึงการปราบชนเผ่าเหลียนที่ลุกฮือต่อต้านทหารราชสำนักทำให้มีราษฎรได้รับบาดเจ็บไปด้วย ที่ผ่านมาชนเผ่าเหลียนไม่เคยมีทีท่าแข็งข้อมาก่อน แสดงว่าต้องมีผู้ปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง เป็นฝีมือของผู้ใด หลิวอ๋องหรือช่างอิ่น? แต่ไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด หากชนเผ่าเหลียนลุกฮือเข้าร่วมก่อจลาจลจนยึดเมืองอี้โจวได้ล่ะก็เหตุการณ์จะยิ่งบานปลาย แต่ยามนี้เงินกองพระคลังเริ่มเหลือน้อยเพราะการลดหย่อนภาษีอากร หากส่งกำลังทหารไปที่ชายแดนอีกจะยิ่งเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองและเสบียง

“ที่ปรึกษาเกา เหตุจลาจลที่เมืองอี้โจวยังไม่สงบ เราควรส่งกองกำลังไปเพิ่มดีหรือไม่”เจี่ยผิงเอ่ยถามหัวคิ้วขมวดมุ่น

“กระหม่อมเห็นสมควรว่าส่งกำลังทหารไปดีที่สุด เมืองอี้โจวติดชายแดนหากชนเผ่าเหลียนรุกรานเข้ามาในแผ่นดินเจี่ยจะยิ่งสร้างปัญหา แต่ยามนี้เงินกองพระคลังเหลือน้อยเต็มที หากนำออกมาสนับสนุนกองทัพ เกรงว่าคงอยู่ไม่ถึงวสันต์ฤดู จำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน เรื่องนี้คงต้องหารือกับเหล่าขุนนางอย่างละเอียด

เจี่ยผิงนวดขมับ นี่เป็นวิธีที่เขาอยากหลีกเลี่ยงที่สุด การเรียกเก็บภาษีจะทำให้มีชาวบ้านบางส่วนเกิดอาการไม่พอใจอย่างแน่นอน เดิมทีพวกเขาก็มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมากอยู่แล้ว ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งเดินไปผลักบานหน้าต่างเปิดออก ทำให้อากาศหนาวเย็นต้องใบหน้า แต่เขาไม่ได้สนใจนัก ทอดสายตามองออกไปยังตำหนักหยุนเอี้ยน ตำหนักของชายงามเจาเฟิง แม้มองไม่เห็นตัวคนแต่ชายหนุ่มก็ยังมองหลังคาตำหนักเหล่านั้น หลายวันก่อนเสิ่นจิ้งเฟยร้องขอฝึกยิงธนู เขาจึงให้องครักษ์ดูแลอย่างใกล้ชิด

‘จิ้งเฟยเจ้าคงไม่ได้ฝึกเพื่อยิงข้าหรอกกระมัง’ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มน้อย ๆเมื่อนึกถึงคุณชายรูปงามที่ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของผู้ใดก็สร้างเรื่องให้ได้เสมอ

“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วฝ่าบาทยังคงดำเนินตามแผนการเดิมหรือ”เกาจวีถังกล่าวด้วยเสียงเลื่อนลอยอีกครั้ง รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของเจี่ยผิงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

“อืม”เขาส่งเสียงหนักแน่น

~•~


เข้าสู่เดือนสอง อากาศยังคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก หิมะยังคงตกหนัก ช่วงหลังมานี้จื่อฟางจึงไม่สามารถอาบน้ำได้บ่อย ๆ เพียงแค่ใช้น้ำอุ่นลูบผมพอให้หายเหม็นเท่านั้น ได้แต่ภาวนาให้หมดหน้าหนาวเร็ว ๆ กับไป๋ผูอวี้ก็ไม่ได้ค่อยเจอหน้ากันนัก เพราะฝ่ายนั้นบอกว่าไป๋อู่เหยียนเริ่มมีท่าทีสงสัยจึงไม่อยากลอบเจอที่จวนสกุลเสิ่นบ่อย ๆ นัดพบที่ด้านนอกก็เป็นเรื่องประหลาด เด็กหนุ่มเห็นด้วยเพราะไป๋ผูอวี้กับเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ญาติดีกันถึงขั้นนัดเจอพูดคุยกันด้านนอก ที่นอกเหนือไปจากโรงน้ำชาหลิวซื่อ จึงทำได้แต่เพียงเขียนจดหมายโต้ตอบเท่านั้น แต่กว่าเจ้าท่อนไม้ไป๋จะตอบกลับก็ผ่านไปเจ็ดแปดวัน ทำให้จื่อฟางนึกถึงโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่น่าอึดอัดใจอีกเรื่องก็คือเรื่องของคุณหนูฉินเซียงอิน ได้ยินว่านางไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อย ๆจนทำให้เกิดคำครหา เสนาบดีฉินไม่พอใจมากที่ลูกพ่อค้าอย่างสกุลไป๋ทำให้ชื่อเสียงของบุตรสาวแปดเปื้อน จื่อฟางแน่ใจถ้าหากไป๋ผูอวี้เป็นคุณชายมีตำแหน่งล่ะก็ ฝ่ายนั้นคงรีบเร่งจัดงานแต่งตามประเพณีไปแล้ว แต่มาคิดๆดูนี่อาจเป็นแผนของฉินเซียงอินก็ได้!

“คุณชาย ช่างไม้ชุนเหลียงมาขอพบขอรับ”จางต้าขานบอกจากนอกห้อง ในระหว่างที่เขาอ่านตำราอยู่บนเตียง

“เดี๋ยวข้าไป”เขาก้าวลงจากเตียงอย่างกระตือรือร้น เพราะหมกตัวอยู่ในจวนจนรู้สึกเบื่อ เด็กหนุ่มออกไปที่ห้องรับรองที่อยู่ถัดไป ช่างไม้กำลังดื่มชา สาวใช้คุ้นหน้าตรวจกระถางไฟอยู่ในห้อง นางหลบสายตาของเขา ร่างบางจึงขมวดคิ้ว ตั้งแต่ไป๋ผูอวี้มาหาคราวนั้นก็ทำให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนมีท่าทีแปลกๆ เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักเพียงแค่กำชับว่าห้ามนำเรื่องไปแพร่งพรายต่อภายนอก โดยเฉพาะเสิ่นมู่หยาง แถมยังต้องใช้เงินปิดปากพวกบ่าวไพร่ในเรือนด้วย

“คุณชายเสิ่น”ช่างไม้ลุกจากที่นั่งมาทักทายตามมารยาท จื่อฟางไม่ค่อยใส่ใจมากนักรีบพยักเพยิดให้อีกฝ่ายนั่งลง

“ท่านมีเรื่องใดหรือ”เขาเอ่ยถามคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องกิจการร้านค้า เด็กหนุ่มนั่งลงระหว่างที่มองคนตรงหน้าหยิบม้วนกระดาษออกมากาง

“ข้าปรับปรุงแบบก่อสร้างใหม่ เชิญคุณชายเสิ่นตรวจดูว่าพอใจหรือไม่”เด็กหนุ่มกวาดตามองก็พบว่าอีกฝ่ายปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเพื่อปรับให้เข้ากับยุคสมัย

“ข้าอยากได้แบบที่ข้าร่างไว้ ถึงจะดูแปลกๆไปบ้าง แต่ร้านของข้าต้องไม่เหมือนผู้ใด”

“ขอรับๆ”ช่างไม้รีบตอบ แม้ในใจจะคิดอีกอย่าง แน่ล่ะ จะเหมือนผู้ใดได้อย่างไร ร้านค้าของคุณชายเสิ่นจะบอกว่าเป็นโรงน้ำชาก็ไม่ถูก เป็นร้านหนังสือก็มิใช่ ทั้งยังไม่ใช่หอดนตรี ศิลปะ แบบร่างร้านค้าของคุณชายคล้ายกับหอคณิกาเสียด้วยซ้ำ สีสันฉูดฉาดคงเป็นร้านค้าที่สะดุดตาที่สุดในตรอกซีหมานแล้วกระมัง ชุนเหลียงไม่เข้าใจความคิดของเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ

“เจ้ามีปัญหารึ”จื่อฟางเลิกคิ้วเพราะเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของช่างไม้

“เปล่าขอรับ ย่อมไม่มี ข้าเพียงสงสัยว่าคุณชายต้องการทำร้านค้าแบบใดกันแน่”ชุนเหลียงถามเสียงเบาอย่างลังเลใจเพราะกลัวคุณชายรูปงามมีโทสะ

“บอกกล่าวไปท่านก็ไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าเป็นร้านค้าสำหรับพักผ่อนหย่อนใจก็แล้วกัน”เด็กหนุ่มหัวเราะให้กับสีหน้าสับสนของช่างไม้

“ขอรับ”อีกฝ่ายรับคำ “ข้าคาดการณ์แล้ว หากอากาศเริ่มอุ่นจะรีบดำเนินการทันที”

“ดีมาก”เด็กหนุ่มพยักหน้า พูดคุยอีกไม่กี่ประโยคช่างไม้ก็ขอตัวจากไปด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ เขาหยิบขนมในจานเข้าปาก ในขณะที่บ่าวคนสนิทเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา

“คุณชาย มีจดหมายมาถึงขอรับ”จางต้าล้วงจดหมายออกมาจากอกเสื้อส่งให้ผู้เป็นนาย

“จากไป๋ผูอวี้รึ”เขารีบรับจดหมายมาอย่างกระตือรือร้น

“ไม่ทราบเช่นกันขอรับ”บ่าวรับใช้ตอบ เด็กหนุ่มกวาดตามองจดหมายที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อจึงคลี่แกะอ่านอย่างใคร่รู้ ภาพวาดขนาดเล็กปลิวตกอยู่บนตัก เขาหยิบมาพินิจมอง เป็นภาพเส้นทางคดเคี้ยว ท้องฟ้าสีหม่น ล้อมรอบด้วยป่าไม้เขียวชะอุ่ม เบื้องหลังคือภูเขาทะมึน บ่งบอกว่าคนผู้นี้ก็พอมีฝีมือวาดภาพอยู่ไม่น้อย ที่แท้จดหมายก็มาจากฟู่เทียนสือ


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 19-01-2019 08:04:42
 ‘ถึงน้องเสิ่น ยามนี้ข้าหยุดพักอยู่ที่จุดพักม้าที่อำเภอซานซื่อ เมื่อได้ออกเดินทางเข้าจริง ๆถึงได้รู้ว่าหนทางไปภูเขาเหลียวตงนั้นยังอีกยาวไกลนัก ข้าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าเป็นระยะจนกว่าจะถึงปลายทาง แต่ก็ไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะถึงฉางอันเมื่อใด อ้อ อีกประการข้าออกเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้กลัวว่าหากเกิดเรื่องแล้วจะกลับไปช่วยเหลือเจ้าไม่ทัน ข้าจึงสั่งการให้คนสนิทของข้านามว่าเจียงฉวี่ต้าคอยเป็นผู้จัดเตรียมเรื่องนี้แทน หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เจ้าก็ไปพบเขาที่ตรอกเหวิน เขาจะพาเจ้าหลบหนีไปเอง น้องเสิ่นคงจำเขาได้กระมัง ข้าหวังว่าจะกลับไปฉางอันทันเวลา รักษาตัวด้วย ไว้พบกัน’

 

จื่อฟางอ่านจดหมายจบก็ถอนหายใจ ได้แต่หวังว่าการเดินทางของฟู่เทียนสือจะเป็นไปอย่างราบเรียบ เจียงฉวี่ต้าอย่างนั้นหรือ ค่อยให้หยางชวีไปตรวจสอบดู พูดถึงหยางชวีเขาก็นึกถึงงานที่มอบหมายไปให้

 

“ดูเหมือนว่านายท่านจะกลับจากราชสำนักแล้วขอรับ”จางต้าเปรยเมื่อเห็นว่าคุณชายอ่านจดหมายจบแล้ว

 

“หยางชวีไปสอดแนมแล้วหรือยัง”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น บ่าวคนสนิทพยักหน้าหงึกหงัก เด็กหนุ่มหยักยิ้ม ยกจอกชาดื่มช้า ๆ เนื่องจากต้องการรู้ความเคลื่อนไหวในราชสำนักเวลาที่เสิ่นมู่หยางกลับมา เขาจึงให้ผู้ติดตามคอยสอดแนม เพราะหากไปถามตรง ๆคนผู้นั้นไม่มีทางบอกแน่ ถึงได้ส่งหยางชวีไป คิดดูแล้วก็น่าตลกนัก เด็กหนุ่มยังจำวันแรกที่เข้ามาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยได้ เสิ่นมู่หยางยังดุด่าบุตรชายที่ไม่เอาไหนไม่สนใจเรื่องบ้านเมือง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

 

“นี่จางต้า...”จื่ดฟางชวนคุยระหว่างที่รอให้หยางชวีกลับมารายงาน “เจ้าคิดว่าที่ผ่านมาข้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”

“คิดสิขอรับ!แต่ก่อนคุณชายใจร้ายกับข้าจะตาย”บ่าวรับใช้บ่นพึมพำ ทำหน้ามุ่ยแต่เมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดออกมาก็ยกมือปิดปาก เข้ามากอดขาออเซาะผู้เป็นนายที่ยามนี้มีรอยยิ้มปริศนากระจายอยู่บนใบหน้าหมดจด

“คุณชาย ข้าแค่หยอกเล่นเท่านั้น อย่าลงโทษข้าเลย!”

“ข้าจะลงโทษเจ้าทำไม ข้าไม่ถือสา”จื่อฟางอยากบอกความจริงกับจางต้า กับหยางชวีเขาไม่รู้สึกตะขิดตะขวนใจด้วยเพราะไม่ได้รู้จักมักจีมาก่อนหน้านี้ แต่จางต้ารับใช้เสิ่นจิ้งเฟยมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่เหมือนกัน

“จริงหรือขอรับ”บ่าวรับใช้ถอนหายใจโล่งอก กลับไปสำรวมท่าทีตามเดิม จางต้ามองคุณชายเสิ่นอย่างใช้ความคิด

“ข้าน้อยสงสัยว่าคุณชายป่วยจนความจำหายไปจริงหรือแค่แกล้งพูดเล่นกันแน่”บ่าวรับใช้เอ่ยในสิ่งที่สงสัยมานาน

“ความทรงจำของข้าหายไปจริง แต่ยามนี้เริ่มกลับมาทีละเล็กละน้อยแล้ว”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลอบถอนหายใจ อยากให้จางต้าได้พบกับเสิ่นจิ้งเฟย คงเป็นภาพที่แปลกพิลึก เสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิง ...ว่าแล้วก็อยากรู้ว่าฝ่ายนั้นอยู่ในวังหลวงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

“ยามซวี(19.00 น. - 20.59 น.)เตรียมรถม้าให้ข้าด้วย”เด็กหนุ่มออกคำสั่งเมื่อนึกขึ้นได้

“ขอรับ”บ่าวรับใช้คนสนิทตอบรับ ห้ามความอยากรู้ไว้ไม่ไหว จึงพลั้งปากเอ่ยถามออกไป “คุณชายจะไปที่ใดหรือ”

คุณชายเสิ่นไม่โกรธที่เขาถามวุ่นวายทั้งยังตอบด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น “ข้าก็ออกไปที่หอผูเยว่น่ะสิ ไม่ได้ไปเยี่ยมชมคนงามลู่เจียงนานแล้ว”ได้ยินคำตอบของผู้เป็นนายจางต้าจึงแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา

“คุณชาย...ข้าน้อยคิดว่ากระทำเช่นนี้ไม่สมควรขอรับ”จางต้าทำใจกล้าเอ่ยแย้ง ในใจรู้สึกสงสารคุณชายไป๋นัก...แม้มีสัมพันธ์กับคุณชาย แต่คุณชายกลับยังคิดไปหาแม่นางน้อยที่หอผูเยว่ หรือเป็นเพราะคุณชายไป๋หายหน้าหายตาไปเสียหลายสิบวัน จนคุณชายรู้สึกเปลี่ยวเหงาถึงต้องทำเช่นนี้ แต่มิเป็นการใจร้ายไปหน่อยรึ

“ทำไมถึงไม่สมควรเล่า”จื่อฟางหยักยิ้มอย่างนึกสนุก ที่ต้องการไปหอผูเยว่ก็เพราะต้องการพูดคุยกับลู่เจียงเรื่องแผนการหลบหนี อย่างน้อยก็บอกกล่าวให้นางได้รู้ หากเกิดเรื่องขึ้นจะได้ได้ทันการ

“ก็คุณชายกับไป๋ผูอวี้...เอ่อ”บ่าวรับใช้พูดจาติดขัด

“ข้าคือใคร เสิ่นจิ้งเฟยแห่งฉางอัน แม้แต่หญิงงามยังครอบครองหัวใจข้าไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนแซ่ไป๋ผู้นั้น”เจ้าคนแซ่ไป๋ที่พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้า นึกแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ถ้าหากอยู่ในยุคของเขาล่ะก็ เขาคงคิดว่าตัวเองถูกฟันแล้วทิ้งเป็นแน่ แม้จะเขียนจดหมายหากันแต่ไม่เจอหน้าก็ให้ความรู้สึกห่างเหินชอบกล บวกกับกระแสข่าวลือของคุณหนูฉินก็ยิ่งทำให้เขากระสับกระส่าย เด็กหนุ่มเหลือบมองดูสีหน้าตระหนกตกใจของจางต้าก็ยกยิ้ม เจ้าเด็กนี่แกล้งสนุกดีจริง ๆ

“คุณชาย…”จางต้าทำเสียงอ่อย คิดว่าต้องส่งจดหมายถึงเจ้าคนแซ่เว่ยเสียแล้ว พักนี้คุณชายไม่ได้ออกไปนอกจวน เขาที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้จึงไม่มีโอกาสได้ออกไปเช่นกัน จื่อฟางได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอยู่ด้านนอก พักนี้เจ้าคนหน้าตายบอกว่าลมปราณของเขาเริ่มไหลเวียนดีขึ้น เด็กหนุ่มจึงเริ่มได้ยินเสียงที่อยู่ห่างออกไปแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ลี้แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

“คุณชาย ข้าน้อยเข้าไปนะขอรับ”หยางชวีเอ่ยก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของผู้ติดตามปรากฏอยู่ในห้อง 

“ได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง”เขาเอ่ยถามทันที

หยางชวีลอบถอนหายใจ การไปสอดแนมนายท่านทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของคุณชายเสิ่นก็คิดว่าจำเป็นต้องทำ เพราะคุณชายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเกินตัว เขาก็เห็นด้วยหากล่วงรู้ความเป็นไปในราชสำนัก แต่แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของเขาหลบซ่อนไปจากการรับรู้ของศิษย์พี่หานตงไม่ได้   

 ‘เจ้าทำสิ่งใดอยู่’ศิษย์พี่เอ่ยถาม วันแรกที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานของนายท่านเสิ่น ศิษย์พี่ก็จับได้อย่างรวดเร็ว

‘ข้าล่วงรู้ความตั้งใจที่แท้จริงของตัวเองแล้ว ข้าตัดสินใจรับใช้คุณชายเสิ่น’

‘เจ้าถึงได้กล้ามาสอดแนมนายท่านอย่างนั้นรึ’

‘ข้าไม่ได้คิดร้ายใดต่อนายท่าน ไม่แม้แต่สกุลเสิ่น แต่หากข้าบอกเหตุผลกับศิษย์พี่ คุณชายเสิ่นคงไม่มีวันไว้ใจข้าอีก’คำตอบของเขาทำให้ศิษย์พี่หานตงไม่เข้ามาวุ่นวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นนี้ได้อีกนานเท่าไร


หยางชวีสบตากับคุณชายรูปงามตรงหน้า ก่อนรายงานในสิ่งที่ได้ยินมา “ฮ่องเต้เจี่ยผิงประกาศราชโองการลดอำนาจแคว้นอ๋องแล้วขอรับ”หยางชวีไม่ได้ออกความเห็น เรื่องพวกนี้เหนือความสามารถของเขา

“ลดอำนาจแคว้นอ๋อง...อยากรู้นักว่าหลิวอ๋องคิดเห็นอย่างไร”จื่อฟางพึมพำหลังจากที่นิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนฮ่องเต้เจี่ยผิงทำอย่างที่พูดจริง ๆ เด็กหนุ่มลุกเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าบ่าวรับใช้ คิดสงสัยว่าทำเช่นนี้ไม่เป็นการบีบคั้นหลิวอ๋องเกินไปหรือ อ๋องอีกเจ็ดคนที่ร่วมมือก่อกบฏจะทำอย่างไร ราชโองการนี้คล้ายออกมาเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของพวกเขา การเคลื่อนไหวของหลิวอ๋องยังคาดเดาไม่ออก จากความทรงจำของร่างนี้บอกว่าจะลงมือโจมตีหัวเมืองสำคัญหรือฝ่ายท่านอ๋องกำลังรอเวลา ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มให้หยางชวีทำทีไปซื้อหนังสือที่ร้านเถ้าแก่จางเพื่อตรวจดูว่ามีจดหมายสั่งการใดจากท่านอ๋องมาบ้างหรือไม่ แต่ฝ่ายนั้นก็ยังไม่เคลื่อนไหวเช่นเดิม หากไม่ติดต่อมาในเร็ว ๆนี้ ท่านอ๋องคงไม่คิดใช้งานเสิ่นจิ้งเฟยแล้วกระมัง ซึ่งทำให้เขาหวาดหวั่นอยู่ในอก หมากที่ไม่คิดใช้งาน…จุดจบคงไม่ต้องสืบ

“ไม่แน่หลิวอ๋องอาจหวาดเกรงอำนาจของฮ่องเต้”หยางชวีออกความเห็นราวกับเดาความคิดของจื่อฟางออก เขาปรายตามอง

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ ข้ากลัวว่าท่านอ๋องกำลังวางแผนจัดการข้ามากกว่า”แม้จะซ่อนสีหน้าหวาดกลัว แต่ผู้ติดตามก็มองออก คุณชายหวาดกลัวก็ถูกแล้ว เพราะพักนี้เขาไม่รู้สึกถึงคนของฮ่องเต้ที่เฝ้าอยู่นอกจวน

“มีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางให้ผู้ใดทำร้ายคุณชายได้แม้แต่ปลายก้อย”หยางชวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ตัวตายเขาก็มีหน้าที่ปกป้องคุณชาย

จื่อฟางกระแอม ไม่อยากให้บรรยากาศกดดันจนเกินไปเพราะจางจางต้ามีสีหน้าเหมือนคนใกล้ร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เจ้านี่อายุเท่าไหร่กันนะ?คงไม่มากไม่น้อยไปกว่าเสิ่นจิ้งเฟย

“จากที่ได้ยินนายท่านเสิ่นปรึกษากับสหายในกรม ข้าคิดว่าฮ่องเต้กำลังเตรียมการบางอย่างอยู่ องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกจวน มักหายไปบ่อย ๆ”หยางชวีไม่อยากรายงานเรื่องนี้นักเพราะไม่อยากทำให้คุณชายกลัว แต่ส่วนหนึ่งในใจก็คิดว่าดีแล้ว เขาไม่ชอบให้มีคนนอกมาเกาะติดที่จวนสกุลเสิ่น แม้จะเป็นคนของฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ตาม

จื่อฟางหยุดเดิน คนของฮ่องเต้ไม่ค่อยอยู่อย่างนั้นหรือ?ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือแย่ คิดว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเตรียมกำลังคนไว้รับมือกับการก่อกบฏที่กำลังเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เด็กหนุ่มมองเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของหยางชวี

“เจ้ามีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกข้าใช่หรือไม่”เขาเอ่ยถาม กอดอกมองผู้ติดตาม

“เรื่องนี้…”เป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจที่จะเอ่ยกับคุณชาย ชายหนุ่มกระแอม “เป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้…”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ สีหน้ากังวลปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณชายเสิ่น ร่างผอมบางหยุดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าคุณชายมีไรหนวดขึ้นบาง ๆที่เหนือริมฝีปาก แม้จะเป็นเพียงขนอ่อนบางแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก คุณชายเสิ่นปล่อยตัวเกินไปแล้ว หยางชวีย่นคิ้ว ก่นด่าว่าตัวเองที่ยังมีเวลามาคิดเรื่องไร้สาระ

“ไป๋ผูอวี้ทำไม เขาเป็นอะไรหรือ”จื่อฟางถามอย่างว้าวุ่น เขายังไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากไป๋ผูอวี้ นี่ก็ล่วงเลยมานานถึงสิบวันแล้ว ถ้าไม่กลัวผู้คนสงสัยเขาคงแล่นไปหาถึงคฤหาสน์สกุลไป๋

“คุณชายคงได้ยินเหตุการณ์ลุกฮือของชนเผ่าเหลียนที่เมืองอี้โจวมาบ้าง ข้าได้ยินนายท่านเอ่ยว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งไป๋ผูอวี้ไปต่อกรกับชนเผ่าเหลียนที่เมืองอี้โจวขอรับ”หยางชวีบอก หลุบสายตาต่ำ คราแรกเขาก็ไม่เชื่อ แต่มาคิดดูเขาไม่ได้พบหน้าเว่ยหลงมานานแล้ว กับนางมารหมื่นพิษก็เช่นกัน ปกติหากคุณชายไม่ได้ออกไปทีใด เขาจะเจียดเวลาไปประมือกับนางมารหมื่นพิษ แต่นางไม่ได้อยู่ที่หอคณิกา

“เจ้าว่าอะไรนะ บ้าไปแล้วหรือ ไป๋ผูอวี้ไม่ใช่ทหาร เขาจะไปได้อย่างไร”จื่อฟางถูกข้อมูลของอีกฝ่ายโจมตีจนนิ่งงันไปหลายนาที ไป๋ผูอวี้จะยอมทำเช่นนั้นหรือ แล้วเรื่องที่สกุลไป๋ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเล่า

“การตัดสินใจครั้งนี้ก็ยังเป็นเรื่องถกเถียงในหมู่ขุนนางฝ่ายบู๊ แต่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าสกุลไป๋มีฝีมือ ข้าได้ยินว่าเหตุการณ์วุ่นวายที่เมืองอี้โจวยิ่งบานปลาย แม่ทัพที่ประจำการอยู่ร้องขอความช่วยเหลือมาแต่ฝ่าบาทไม่อยากเสี่ยงส่งกองกำลังไปเพิ่ม”ชายหนุ่มเอ่ยตามที่ได้ยิน ไม่เข้าใจฮ่องเต้ผู้นี้นัก เหตุใดไม่ส่งทหารของตัวเองไปเล่า แต่การที่พระองค์ส่งไป๋ผูอวี้ไปเป็นกองเสริมต้องมีเหตุผล

จื่อฟางยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมานัก “สกุลไป๋ไม่มีทางเข้าร่วมกับราชสำนัก…”เขาเริ่มเดินไปเดินมาอีกครั้ง จางต้าได้แต่หุบปากเงียบไม่อยากเอ่ยแย้งออกไปว่าคุณชายรู้จักไป๋ผูอวี้เท่าใดกัน?

“คุณชายไม่คิดว่าแปลกหรือ…ที่ไม่ได้พบเจอไป๋ผูอวี้มานานแล้ว อีกทั้งเขายังตอบจดหมายของคุณชายช้านัก”หยางชวีเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก คุณชายเหมือนอยากเอ่ยวาจาโต้ตอบ แต่ก็หุบปากฉับเหมือนคนที่ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ก่อนจะนิ่งเงียบไปนาน

“บ้าไปแล้ว ฮ่องเต้คิดอยากส่งใครไปก็ได้อย่างนั้นหรือ”จื่อฟางไม่เข้าใจ บางทีอาจยังไม่อยากเชื่อว่าไป๋ผูอวี้จะยอมร่วมมือกับฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่เมื่อมาคิดดูผู้ใดจะต่อต้านเจ้าแผ่นดินได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ พวกทหารยอมรับคนนอกได้หรือ ในระยะแรกย่อมมีเสียงครหาต่อต้าน เพราะไป๋ผูอวี้ไม่ได้ผ่านการสอบคัดกำลังทหาร อยู่ ๆก็โผล่มาแสดงฝีมือ แต่ถ้าหากไป๋ผูอวี้ทำผลงานได้ดีเสียงเล่านี้ย่อมลดน้อยลง และอาจลดการต่อต้านของพวกทหาร ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดใช้งานไป๋ผูอวี้ ฝ่าบาทบอกว่าสนใจสกุลไป๋นี่นะ…

ความเงียบปกคลุมอยู่ในห้อง เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลง รู้สึกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง ไป๋ผูอวี้ไม่คิดจะบอกเขาสักนิด แต่จื่อฟางพยายามเข้าใจว่าเจ้านั่นอาจไม่อยากให้เขาเป็นกังวล แต่คิดอย่างไรก็คิดได้เพียงว่าเจ้าท่อนไม้ยังไม่ไว้ใจเขา เรื่องของผู้อาวุโสอวิ๋นก็ยังไม่กระจ่างชัด มีเพียงตัวเขาที่เปิดเผยกับฝ่ายนั้น

“เจ้าว่าข้าเปิดเผยกับไป๋ผูอวี้มากไปหรือไม่”เด็กหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ จางต้าเหลือบมองผู้ติดตามหน้าตายอีกคน แต่พบว่าเจ้านั่นไม่ได้สบตาเขา ยังคงก้มมองหาเศษฝุ่นอยู่นั่น บ่าวคนสนิทจึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบ

“คุณชายเสิ่น ข้าคิดว่าคุณชายไป๋มีเหตุผล หากเขากลับมาก็ลองพูดคุยกันดีหรือไม่ อย่างน้อยก็ร่วมเตียงกันแล้ว”พูดจบก็รู้สึกกระแสดำทะมึนที่มาจากหยางชวี

“เจ้าบ้า”จื่อฟางพ่นลมหายใจ “ช่างเถอะ”เขารู้ดีว่าคนอย่างไป๋ผูอวี้ไม่มีทางตัดสินใจอะไรโดยไม่ระวัง ‘ไม่ต้องกังวล’ที่คนผู้นั้นบอกหมายถึงเช่นนี้เองหรือ ไม่ต้องกังวลแต่ไม่บอกให้ข้ารู้เลยน่ะหรือ เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา มัวตัดพ้อเป็นหญิงสาวรำพึงถึงคนรักอยู่ได้! นึกถึงไป๋อู่เหยียนขึ้นมา ฝ่ายนั้นจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของบุตรชายหรือไม่หนอ จื่อฟางนั่งเหม่ออยู่นานสองนาน กว่าจะลุกเดินกลับเข้าไปในห้องก็กินเวลาสองเค่อ(สามสิบนาที) เด็กหนุ่มนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบพู่กันตั้งใจส่งจดหมายถึงไป๋ผูอวี้ แต่ก็หยุดมือ ขว้างพู่กันทิ้ง กลับมาค่อยซักถามดีกว่า

“ข้าอยากดื่มสุรา”เขาหันไปทางจางต้าที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก กลอกตาเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนมีคนตายของอีกฝ่าย

“แต่ว่าคุณชาย…”

“ข้าจัดการอารมณ์ของตัวเองได้น่า หากไม่ได้ก็มานอนเล่นเป็นเพื่อนข้าจะเป็นไรไป”เด็กหนุ่มเอ่ยแกล้ง จางต้าพลันหน้าซีดรีบลุกออกไปนำสุรามาให้คุณชาย ในห้องจึงเหลือเขากับหยางชวีที่ยืนเป็นต้นไม้อยู่ในเงามืด เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก

“ข้าเข้าใจว่าคุณชายเป็นห่วงไป๋ผูอวี้ แต่ถ้าคิดมากไป คุณชายจะป่วยเอา”หยางชวีเอ่ยเตือน

“ขนาดนั้นเลยหรือ”จื่อฟางพึมพำ ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยนี่มันจริง ๆเลย

หยางชวีไม่เอ่ยสิ่งใด จางต้านำสุราฤทธิ์อ่อนถูกคอคุณชายเสิ่นมาวางบนโต๊ะ จื่อฟางสั่งให้ทั้งสองคนดื่มเป็นเพื่อน แต่ทั้งจางต้าและหยางชวีตอบปฏิเสธไม่ยอมร่วมโต๊ะด้วย

“นี่ มาดื่มสาบานกันหน่อยเป็นไร”เด็กหนุ่มกล่าวชวน ดื่มสุราคนเดียวจะไปสนุกอะไร

“คุณชาย…บ่าวมิบังอาจ”จางต้ายืนยันเช่นเดิม

“ยามดื่มสุราไม่มีคุณชายข้ารับใช้อะไรทั้งนั้น ถือว่าเป็นสหายกัน เร็วเข้ามานั่งนี่”เขาเรียกหยางชวี แต่ร่างนั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง จึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา อยากไล่ไปให้พ้นหน้าเสีย เจ้าพวกนี้มันจริง ๆเลย เขารู้สึกว่าอยากงอแง แต่ก็ไม่รู้จะไปทำกับใคร แถมยังดูทุเรศ จึงได้แต่รินสุราใส่จอก นั่งหันหลังให้ทั้งสองคน

“จะดื่มสุราข้าก็ยังไม่มีเพื่อน”จื่อฟางได้แต่แสร้งทำเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร หยางชวีจ้องมองแผ่นหลังบอบบางของคุณชายที่สั่นอยู่น้อย ๆ ไม่รู้ว่าแสดงละครหรือไม่ แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนวูบหนึ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงสั่งน้ำมูกดังมาจากร่างนั้นถึงได้แน่ใจว่าคุณชายเสิ่นล้อเล่นอีกแล้ว ท่านทำเรื่องหนักใจให้ผู้อื่นได้ดีนัก

“คุณชายเสิ่น”จางต้าเอ่ยเสียงอ่อย ยอมหยิบจอกสุรามาดื่ม จื่อฟางหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เลื่อนสายตามองหยางชวีที่ยังคงไม่กระดุกกระดิกแม้แต่เส้นผม สบสายตากันอยู่นานร่างนั้นก็ยอมมาร่วมดื่มด้วย

“ดีมาก”เขายกยิ้ม ยกจอกสุราดื่มจนหมดเช่นกัน เป็นสุรารสอ่อน คล้ายกับน้ำเปล่าผสมกลิ่นเหล้าเท่านั้น เด็กหนุ่มดื่มเพียงจอกเดียวเพราะต้องไปพบกับลู่เจียงที่หอผูเยว่ รู้สึกโง่งมที่อยู่ ๆก็ทำตัวเช่นนี้

~•~

ยามซวี(19.00 น. - 20.59 น.)มาถึง เด็กหนุ่มให้หยางชวีติดตามไปเพียงคนเดียว ส่วนจางต้าให้รับหน้าอยู่ที่จวน ระหว่างทางไปหอผูเยว่มีแต่ความเงียบ จนกระทั่งได้ยินเสียงโวยวายดังอยู่ที่สองข้างทางจึงแง้มเปิดบานหน้าต่างมองลอดออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น มองเห็นกลุ่มคนแต่งชุดมอซอจำนวนหนึ่งรวมกลุ่มยืนอออยู่หน้าร้านขายยาสมุนไพร ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวผ่านไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหันมาเห็นว่าเด็กหนุ่มลอบมองก็โกยหิมะปาใส่รถม้า เขาปิดบานหน้าต่างแทบไม่ทัน

“พวกบ้า”เด็กหนุ่มพึมพำอย่างหงุดหงิด หยางชวีเหลือบมอง สายตาเป็นประกายขบขัน ตั้งแต่ทราบเรื่องของไป๋ผูอวี้คุณชายเสิ่นก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง พอได้เห็นอีกฝ่ายกลับสู่ท่าทีเช่นเดิมก็เบาใจ รถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าหอผูเยว่ โคมไฟสีแดงส่องแสงสว่าง เมื่อเปิดประตูลงไปก็พบว่ามีขอทานมาเฝ้ารอขอเงินจากพวกเศรษฐีทั้งหลาย แม้จะมีเด็กรับใช้คอยนำไม้กวาดมาไล่ตีหรือนำน้ำเย็นมาสาดพวกขอทานก็ยังไม่ไปเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูนักจนต้องปล่อยเลยตามเลย 

จื่อฟางลงจากรถม้าได้ก็รีบเดินผ่านประตูชั้นในเข้าไป หญิงงามร่างน้อยอ้อนแอ้นเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มยั่วยวน

“คาราวะคุณชาย”นางยอบกายต้อนรับ เขากวาดตามองไปรอบบริเวณ ในห้องโถงกลางมีเสียงกู่เจิงบรรเลงคลอบรรยากาศเปลี่ยวเงียบ เป็นหญิงงามใบหน้าคมเข้มนั่งอยู่หน้าแท่นกู่เจิง สวมชุดสีแดงเย้ายวนอวดทรวดทรงอย่างไม่เหนียมอาย ลู่เจียงนั่นเอง รอบกายมีนางรำร่างกายอ่อนช้อยเคลื่อนไหวราวเทพธิดา ลู่เจียงเงยหน้าสบตากับเขาครู่หนึ่ง รู้สึกไม่ถูกอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าสายตาของบุรุษน้อยใหญ่ต่างก็จับจ้องไปที่นางเหมือนเหยี่ยว แต่ลู่เจียงไม่ได้มีสีหน้าอับอาย ใบหน้างดงามของนางไม่มีสีหน้าใด เขาเหลือบมองหยางชวีที่ปั้นหน้าตายอยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องมาที่ร่างผอมของเด็กหนุ่ม

“หากเจ้าไม่ชอบ รออยู่ด้านนอกก็ได้”

“คุณชายเสิ่น!”แม่เล้าเถาฮวารีบรุดเดินมาหาราวกับมีเรดาห์คอยสอดส่องเขาอย่างไรอย่างนั้น ข้างกายร่างอวบอิ่มของนางมีดรุณีน้อยสองนางก้าวตามมาด้วย ดูแล้วอยู่ในวัยไม่น่าเกินสิบสี่สิบห้าปี ดรุณีน้อยต่างก็ใช้สายตากวาดมองเขาและผู้ติดตามอย่างเปิดเผย หยางชวียังคงทำสีหน้าเย็นชา ปล่อยรังสีทะมึนออกมาจนแม่นางทั้งสองตัวสั่น หลบไปอยู่เบื้องหลังแม่เล้าเถาฮวา

“ไม่ได้เจอคุณชายเสียนาน สาวงามที่หอผูเยว่เหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว”นางกล่าวเย้าหยอก ส่งสายตาล่วงรู้มาให้ ปรายตามองไปยังสาวงามลู่เจียงที่ดีดบรรเลงกู่เจิงด้วยมือเรียวงดงาม

“คุณชาย คืนนี้ลู่เจียงรับรองแขกผู้อื่นแล้ว…เกรงว่า…”

“ข้าต้องการลู่เจียงเท่านั้น”จื่อฟางกล่าวหนักแน่น ทำให้แม่นางน้อยทั้งหลายที่พยายามอวดเรือนร่างต่างก็พากันทำหน้ามุ่ย ลอบสบตากันอย่างเสียดาย พวกนางอยากลองขึ้นเตียงปรนนิบัติคุณชายรูปงามผู้นี้สักคราดูว่าจะดีอย่างที่เล่าลือกันหรือไม่ มีเพียงลู่เจียงและหญิงคณิกาชั้นสูงของหอผูเยว่เท่านั้นที่เคยปรนนิบัติคุณชายเสิ่นผู้นี้

“คุณชายเสิ่น เกรงว่าจะมิได้”แม่เล้าเถาฮวากล่าวอย่างลำบากใจ ก่นด่าอยู่ในใจว่าเหตุใดคุณชายงามท่านนี้มาสร้างเรื่องให้นาง จื่อฟางมองตามสายตาของแม่เล้า สายตานั้นหยุดอยู่ที่โต๊ะดื่มสุราในมุมมืดใกล้กับเสาต้นใหญ่ที่ประดับด้วยม่านสีแดงสด มีตาเฒ่าไว้เคราแพระคนหนึ่งนั่งกระดกจอกสุราลงคอ แต่สุรานั้นหกเลอะเทอะเสื้อผ้าเพราะสายตาเอาแต่จับจ้องไปที่ลู่เจียง ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกรังเกียจ

“ลู่เจียงต้องรับแขกแบบนี้น่ะหรือ เจ้าน่าจะคัดเลือกหน่อยนะ ตาเฒ่านั่นจ่ายค่าตัวนางเท่าใด ข้าจ่ายเพิ่มให้สองเท่า”จื่อฟางกล่าวพอให้ตาเฒ่าที่พูดถึงได้ยิน มิใช่ว่าอยากเอาชนะ แต่พอมองเห็นว่าผู้ใดที่เป็นแขกของนางก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ตาเฒ่านั่นแก่เกินกว่าจะมาทำเรื่องพรรคนี้แล้ว ควรจะอยู่เล่นกับลูกเมียที่บ้านมากกว่า จากหางตาเขามองเห็นว่าร่างนั้นหันมามองด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“อะแฮ่ม ใต้เถ้าเซียงมิได้จ่ายเป็นจำนวนเงิน”แม่เล้าเถาฮวารู้สึกพูดยากอยู่บ้าง ความจริงนางก็ไม่ได้พอใจมากนัก แต่คนผู้นั้นเป็นขุนนางเก่า จึงไม่กล้าโต้แย้ง จื่อฟางเลิกคิ้วพลันเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องมีอำนาจพอตัว

“อ้อ เช่นนั้นก็ดีคนผู้นั้นยังไม่จ่ายเงิน ก็ถือว่ายังไม่มีสิทธิในตัวลู่เจียง”เด็กหนุ่มเอามือไพล่หลัง เสียงบรรเลงกู่เจิงของลู่เจียงยังคงดังเบาๆอยู่เบื้องหลังแต่ท่วงทำนองเปลี่ยนเป็นบาดหูยิ่งนัก เขาเหลือบมองหญิงคณิกา นางสบตาเขา ใบหน้าคมฉายแววไม่เข้าใจ

ปัง!

ตาเฒ่าเซียงกระแทกไหสุราลงกับโต๊ะ บ่าวรับใช้ก้าวตามต้อย ๆอยู่เบื้องหลัง กล้ามโตเหมือนพวกนักเลง วัดจากสายตาน่าจะพอมีฝีมือพอตัว ตาเฒ่าเซียงสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเดินกร่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าจื่อฟาง สายตานั้นโกรธเกรี้ยวแต่ก็คล้ายกับโลมเลียไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม จนเขารู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง หยางชวียิ่งปล่อยกระแสกดดันออกมา

“คุณชายเสิ่น เจ้าช่างไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเลย ขนาดพ่อท่านยังต้องเกรงใจข้าอยู่หลายส่วน”ตาเฒ่าเซียงกล่าวเสียงดัง 

“ใต้เท้าเซียง อย่าโกรธเคืองคุณชายเสิ่นเลยเจ้าค่ะ”แม่เล้าเถาฮวาปั้นยิ้ม หันไปยอบกายคาราวะ

“ใช่แล้ว ท่านอย่าโกรธเคืองเลย เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเอา”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวังดี คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหลังแม่เล้าเถาฮวา นางหันไปถลึงตาใส่

“เสิ่นจิ้งเฟย!เจ้าเสียมารยาทมากไปแล้ว”

“ข้าเปล่า ท่านก็อายุมากแล้วเหตุใดถึงได้วางตัวเช่นนี้เล่า ซื้อของยังต้องจ่ายเงิน แม้พวกนางเป็นหญิงคณิกาแต่ก็ยังมีราคาค่าห้อง ท่านทำเช่นนี้ไม่อายผู้คนบ้างหรือ”จื่อฟางไม่อยากพูดเช่นนี้ ความจริงอยากซื้อตัวลู่เจียงออกมาจากหอผูเยว่ แต่ไม่อยากให้หลิวอ๋องสงสัยเพราะนางเป็นสายของท่านอ๋องในหอคณิกาแห่งนี้

“ก็ได้ ๆ เจ้าไม่ยอมให้ลู่เจียงกับข้า…”สายตาของตาเฒ่าเป็นประกาย มือเหี่ยวๆลูบเคราแพะ “หรือเจ้าจะมาปรนนิบัติข้าแทนเล่า”

ตึง!

จื่อฟางยังไม่ทันได้อ้าปากเถียง หยางชวีก็เคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว เพียงวูบเดียวก็กระแทกตาเฒ่าลงไปกองกับพื้น เสียงกระดูกลั่นดังกรอบ เกิดเสียงวีดร้องดังขึ้น ลู่เจียงหยุดบรรเลงกู่เจิง เงยหน้ามองเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้า ในใจคิดว่าคุณชายเสิ่นไปกินอะไรผิดสำแดงมากัน นางรู้ว่าคุณชายท่านนี้เปลี่ยนไปราวคนละคน แต่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ถึงกับยอมเอ่ยวาจาช่วยนาง

จื่อฟางถอยหลบให้พ้นทาง มองผู้ติดตามของตาเฒ่าเข้ามารับมือกับหยางชวี แต่มีหรือจะรับมือคนฝีมือดีอย่างหยางชวีได้นาน เพียงไม่กี่นาทีผู้ติดตามของตาเฒ่าเซียงก็เหนื่อยหอบ

 “หยุดเถิดเจ้าค่ะ อย่าสร้างความวุ่นวายให้แขกเหรื่อ”แม่เล้าเถาฮวาอยากกรีดร้องนัก นางส่งสายตาเรียกคนงานมีฝีมือมาห้ามทัพ แต่ดูจากตาเปล่า คนของคุณชายเสิ่นมีภาษีมากกว่า นางส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยระหว่างที่เงาดำสองร่างปรากฏตัวขึ้น  ‘ดูท่าจะจัดการได้ไม่ง่าย’

“คุณชายเสิ่น เล่นสนุกพอได้แล้วกระมัง”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแต่แฝงแววตักเตือน ใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยเหลียวมองนาง วูบหนึ่งมองเห็นความเย็นชาแฝงอยู่ทำให้ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน นางเคยเห็นสายตาเช่นนี้ของคุณชายรูปงามราวสตรีมาก่อน เมื่อครั้งที่นางยังเป็นเพียงหญิงคณิกาชั้นต่ำ คุณชายเสิ่นไม่เคยเห็นนาง แต่มาม่าคนก่อนเคยส่งหญิงไม่เป็นงานเข้าไปปรนนิบัติทำให้คุณชายเสิ่นจิ้งเฟย‘ถูกกัด’เข้า คุณชายท่านนี้ถึงกับสั่งให้คนตัดลิ้นนางออก แม่เล้าเถาฮวาจึงรู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนเอาไหนไม่ได้ความอย่างที่เห็น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 19-01-2019 08:05:07
นางเอ่ยเตือนท่านอ๋องอยู่หลายคราว่าไม่ควรดึงเสิ่นจิ้งเฟยมาเกี่ยวข้อง แต่ท่านอ๋องก็มิฟัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด หลิวอ๋องแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจพวกรักชอบบุรุษ นางเดาใจคนผู้นั้นไม่ถูก บางคราเขาเหมือนจะเอ็นดูเสิ่นจิ้งเฟย บางคราก็เกลียดชัง เป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยคงที่นักอย่างพวกคนเก็บกด

“อ้อ ขออภัยด้วย หยางชวี พอได้แล้ว”จื่อฟางร้องเรียก ยกยิ้มที่คิดว่าหวานเยิ้มส่งให้ผู้ติดตาม ร่างนั้นหยุดมือ ถอยกลับมายืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนาย คนของหอผูเยว่มีบาดแผลตามใบหน้า มุมปากเลือดออก ทั้งสองหายร่างจากไปทันที เหลือผู้เฒ่าเซียงที่ยังคงนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น

“โอย…พวกเจ้า…พาข้าไปโรงหมอ!”ตาเฒ่าเซียงเอ่ยสั่งข้ารับใช้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมเช่นกัน

“ท่านคงไม่โกรธเคืองข้ากระมัง ท่านเอ่ยวาจาไม่ถูกหูข้า แต่ข้าจะไม่เอาความ”จื่อฟางถอนหายใจ แค่นี้ก็ถือว่าไว้หน้าตาแก่มากแล้ว หญิงงามที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างก็พากันซุบซิบ

“คุณชายเสิ่น เชิญท่านไปรอในห้องรับรองเถิด”แม่เล้าเถาฮวากัดฟันบอก ไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวาย จื่อฟางยิ้มรีบหมุนตัวไปที่ห้องรับรองห้องเดิม สืบเท้าไปตามเฉลียงทางเดินคุ้นตา เขาไม่ได้ตาฝาดแน่ที่เห็นสายตาแหลมคมของแม่เล้า นางต้องมีแผนไม่ดี บางทีหลิวอ๋องอาจสั่งให้นางจับตาดูเขา แต่เมื่อครู่ นางกลัวเขาหรือ? เสิ่นจิ้งเฟยเคยทำอะไรไว้อีกหนอ หยางชวีได้แต่เดินตามมาเงียบ ๆ

“คุณชายเสิ่น แม่เล้านางนั้น…ให้ข้าจัดการหรือไม่”

“อะไรนะ”จื่อฟางหยุดเดินทันที หันมองอีกฝ่ายตาโต จังหวะในอกเต้นระรัว

“ข้ารู้สึกว่านางมีแผนร้ายต่อคุณชาย”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา จื่อฟางเม้มปาก เจ้านี่... มาบอกว่าจะฆ่าแม่เล้าเถาฮวาในที่ของนางเนี่ยนะ เขาไหวไหล่ “เอาไว้ก่อน”ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาไม่กล้าสั่งฆ่าคน

 
“หากลงมือช้า นางจะลงมือก่อน คุณชายเข้าใจความหมายของข้าน้อยดี”ชายหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านี้ เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องรับรองก็เอ่ยเสริม

“ข้าน้อยรออยู่ด้านนอก”จื่อฟางได้แต่พยักหน้า ผลักประตูหนาหนักเข้าไป นั่งรอเกือบหนึ่งเค่อ ลู่เจียงก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับสาวน้อยที่นำไหสุรากับของทานเล่นเข้ามา ลู่เจียงส่งสายตาไล่ เมื่อประตูปิดลงอยู่กันสองคน นางก็สืบเท้ามานั่งข้าง ๆ มองหน้าเขาด้วยสีหน้าแววตาไม่เข้าใจ

“คุณชายเสิ่นไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”นางเอ่ยเสียงแผ่ว เอื้อมมือมาจัดแต่งปกเสื้อที่ไม่เรียบร้อยให้เด็กหนุ่ม

“ข้าแค่ไม่ชอบหน้าตาแก่นั่นอยู่แล้ว ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าเสียหน่อย”เด็กหนุ่มเอ่ยลอบถอนหายใจ หญิงคณิกาไม่ได้กล่าวโต้ตอบเพียงยืดตัวกลับไปนั่งเงียบๆ รินสุราใส่จอกให้ จื่อฟางมองแต่ไม่ได้ยกดื่ม

“ที่ข้ามาก็เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย”จื่อฟางเล่าถึงแผนการหลบหนีที่ตกลงไว้กับฟู่เทียนสือคร่าว ๆแม้จะยังไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน แต่ลู่เจียงกลับมองหน้าเขาอยู่นานสองนาน ในดวงตามีน้ำเอ่อคลอ

“ลู่เจียงซึ้งใจนัก”นางกระซิบเบา ๆ เม้มปากเหมือนกำลังคิดเรื่องใดอยู่ เขาวางจอกสุราลงดังกึก

“ลู่เจียง...ข้าไม่แน่ใจว่าเคยถามเจ้ามาก่อนหรือเปล่า เจ้ามาจากนอกด่าน เป็นคนชนเผ่าใดรึ”เขาเอ่ยถามเพื่อหาเรื่องคุย หญิงคณิกามองเขาก่อนยิ้มน้อย ๆ

“คุณชายกลัวข้าวางยาพิษท่านรึ ถึงไม่กล้าดื่ม”ลู่เจียงมองเขาก่อนจะหยิบจอกสุราที่เขาเพิ่งวางยกดื่มจนหมด ดวงตาดำสนิทจับจ้องเขานิ่งงัน

“คุณชายช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่มีทางคิดร้ายต่อท่าน”นางเอ่ยเสียงหม่น เอื้อมมาจับแขนข้างที่ถูกหลิวอ๋องกรีดข้อมือ นางเลิกชายเสื้อ ฝามือเรียวลูบลอยแผลจางเบา ๆ

“ข้าสัญญาว่าจะรับใช้คุณชายด้วยชีวิต”ลู่เจียงมองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง จื่อฟางไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้ต้องเจอเรื่องราวใดมาบ้าง จึงได้แต่มองหน้านางอย่างประดักประเดิก ร่างบางยกยิ้มขบขัน

“ข้าไม่ไว้ใจแม่เล้าเถาฮวา”เด็กหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ลู่เจียงหยักหน้า “มาม่า ไม่ไว้ใจคุณชายเช่นกัน คุณชายแน่ใจหรือว่าไม่เคยสร้างเรื่องให้นางมาก่อน”

“…ไม่นี่”จื่อฟางย่นคิ้ว หรือว่าเคยกันนะ

“ข้าตอบคุณชาย ข้ามาจากชนเผ่าเหลียน”นางกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ข้าถูกขายมาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี ไม่มีความผูกพันธ์ใดกับคนพวกนั้น”แววตากระจ่างไม่ได้มีร่องรอยเคียดแค้น ดูคล้ายกับว่าไม่สนใจเรื่องราวภายนอก

“คนพวกนั้น?”จื่อฟางเลิกคิ้ว

“คุณชายคงได้ยินข่าวเหตุวุ่นวายที่เมืองอี้โจว เป็นฝีมือของพวกเขา”หญิงคณิกาเล่า คีบเนื้อแห้งใส่ปากจื่อฟาง เขาอ้าปากเคี้ยวอย่างยากลำบาก เนื้อพวกนี้แข็งอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ตากอากาศมากี่วัน เขาเคี้ยวจนรู้สึกปวดกราม เมืองอี้โจว ชนเผ่าเหลียน เมืองชายแดนที่ไป๋ผูอวี้ถูกส่งไปจัดการสินะ

“พวกเขามีฝีมือหรือไม่”เขาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ กลัวว่าไป๋ผูอวี้จะเจอกับของแข็ง

“ส่วนน้อย ผู้ที่มีฝีมือจริง ๆมีไม่มากนัก ข้าถึงได้แปลกใจที่ได้ยินว่าพวกเขาลุกฮือต่อต้านราชสำนัก”ลู่เจียงสบตากับเขาอย่างมีความนัย

“เหตุการณ์ที่เมืองอี้โจว ลำพังแค่พวกชาวเหลียนไม่มีทางคิดต่อกรกับทหารราชสำนักได้แน่ ข้าคิดว่ามีคนนอกคอยปั่นชักจูงและช่วยพวกเขาอยู่ ข้าไม่คิดว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางร่วมมือกับคนแผ่นดินเจี่ย คนที่ช่วยย่อมต้องเป็นฝีมือของชนเผ่าอื่น”ลู่เจียงไม่รู้รายละเอียดมากนัก จื่อฟางจิบสุรา รสชาติแปร่ง ๆไหลลงคอ เขาวางจอกลง นึกถึงองค์ชายใหญ่ เคยอ่านเจอในตำราจึงทราบมาว่ามารดาของเจี่ยอี้เป็นชาวหู การแทรกซึมครั้งนี้เป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่หรือไม่?

“เรื่องในราชสำนักข้าไม่เข้าใจนัก แต่คุณชายโปรดระวังตัวด้วย”ลู่เจียงเอ่ยเตือน หลิวอ๋องยังไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก

“เจ้าก็ด้วย เจ้าอยู่ที่นี่คงรู้จักนางคณิกาที่ชื่อซูเหลียนฮวากระมัง อยู่ใกล้นางไว้ก็ดี”เด็กหนุ่มบอก แม้ยามนี้จะค่อนข้างแน่ใจว่านางมารหมื่นพิษไม่ได้อยู่ที่หอผูเยว่ หากไป๋ผูอวี้ถูกส่งไปที่เมืองอี้โจว ไม่มีทางที่นางจะไม่ตามติดไปด้วย เขาจำได้ว่านางคือศิษย์น้องของเจ้าท่อนไม้ไป๋

“ข้าไม่เห็นพี่ซูมาพักใหญ่แล้ว มาม่าเถาฮวาโกรธมาก”ลู่เจียงพึมพำ นึกถึงหญิงคณิกาชั้นสูงผู้นั้น นางไม่ขายเรือนร่างแก่ผู้ใด ยกเว้นแต่คนที่นางถูกใจแต่ครั้งหนึ่งเคยมีคุณชายใบหน้านิ่งที่ไม่ใช่หยางชวีมาพบพี่ซู ท่าทางนางดูถูกใจมากทีเดียว

“หากนางกลับมา ก็อยู่ใกล้นางไว้”เด็กหนุ่มเอ่ยย้ำ ลู่เจียงเลิกคิ้วเรียวงาม ยกยิ้มน้อย ๆ “คุณชายกลัวข้าตายรึ”มองคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดก็รู้สึกแปลกตา

“เอาเถิด ข้าจะระวัง แต่…ข้าขออภัย จำเป็นต้องทำเพื่อความสมจริง มาม่าเถาฮวานางมีสายตาแหลมคมนัก”ลู่เจียงพึมพำตอบ จื่อฟางตีหน้างุนงงว่านางจะทำอะไร แต่ร่างนั้นยื่นริมฝีปากแดงประทับลงบนซอกคอของเขาแรงพอจนทำให้เกิดรอยชาดสีแดงเปื้อนติดอยู่ จัดเสื้อผ้าให้หลวมหลุดลุ่ยเล็กน้อย กลิ่นน้ำหอมของนางติดอยู่ตามเสื้อผ้าของเขาไปด้วย เวลาล่วงเลยจนถึง(ยาม ไฮ่ 21.00 น. - 22.59 น.) จื่อฟางคิดว่าน่าจะพอแล้วจึงกล่าวคำลากับลู่เจียง

“ข้าต้องกลับแล้ว รักษาตัวด้วย”เขาเอ่ยบอก นางยกยิ้มก่อนพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มผลักบานประตูออกไปแสร้งทำสีหน้าแช่มชื่นอย่างคนที่เพิ่งใช้เวลาหาความสุข หยางชวียืนเฝ้าอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้านิ่งสงบ ร่างนั้นกวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลง ๆ

“กลับเถอะ”จื่อฟางยิ้ม สืบเท้ามาถึงห้องโถงที่ยามนี้กลับมาคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะต่อกระซิกของหญิงสาว เสียงกู่เจิงบรรเลงเคล้าคลอลอยก้อง แม่เล้าเถาฮวาเยื้องกายเดินมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตากวาดมองไปทั่วร่างของจื่อฟางอย่างสำรวจ หยางชวีหยิบเงินมาสองตำลึงทองยัดใส่มือของนาง

“ขอบพระคุณมากคุณชายเสิ่น ข้าหวังว่าคุณชายจะแวะมาบ่อยๆ...”แม่เล้าแสร้งยอบกายคาราวะ คุณชายรูปงามผละออกห่างคล้ายไม่อยากเสวนาด้วย รีบเร่งออกมาจากห้องโถง ทิ้งกลิ่นสุรากลิ่นถุงหอมไว้เบื้องหลัง หยางชวีก้าวตามมาเงียบ ๆ อากาศหนาวเย็นด้านนอกต้องใบหน้า แต่ออกมาได้ไม่ทันไร พวกขอทานที่ยังทนต่อการถูกน้ำสาดก็เข้ามาเกาะชายเสื้อของเขาไม่พูดไม่จา จื่อฟางก้มมองชายรูปร่างผอมแห้งน่าเวทนา หันมองหยางชวีครู่หนึ่ง

“เอาเงินให้พวกเขา ข้าอยากได้คนไว้ใช้งาน”เด็กหนุ่มกระซิบ ผู้ติดตามพยักหน้าโดยไม่เอ่ยสิ่งใด จื่อฟางก้าวเข้าไปในรถม้าก่อน ระหว่างที่รอหยางชวีจัดการธุระให้เสร็จ ขณะที่รอก็นึกถึงไป๋ผูอวี้

เจ้าอยู่ที่นี่ก็ดีน่ะสิ

~•~

 ยามโฉ่วแล้ว(01.00 น. - 02.59 น.) แต่จื่อฟางยังนอนไม่หลับ เรื่องของแม่เล้าเถาฮวา หลิวอ๋องและไป๋ผูอวี้ยังรบกวนจิตใจจนข่มตาไม่ลง เขานอนมองแสงโคมไฟที่แขวนอยู่ข้างเตียง พยายามสะกดให้ตัวเองหลับแต่กลับทำไม่ได้ง่าย ๆ ยามทีได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่นอกห้องจึงทำให้เขาเด้งตัวลุกจากเตียงอย่างระแวดระวัง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งเข้ามาในเขตเรือน จื่อฟางเม้มปาก มองหาของป้องกันตัวเมื่อแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินไม่ใช่ไป๋ผูอวี้หรือคนในจวน เงาร่างที่ผลักประตูเข้ามาในห้องคือคนในชุดคลุมสีดำไม่คุ้นตา จื่อฟางอ้าปากหมายร้องตะโกนแต่ร่างนั้นเร็วกว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็เข้าถึงตัวพร้อมกับปลายมีดแหลมคมจ่ออยู่ที่ปลายคาง แสงจากโคมไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเมื่อจำใบหน้านั้นได้ “ท่านอ๋อง”

“ใช่ ข้าเอง”หลิวอ๋องแสยะยิ้มมอง ยังคงไม่ละมีด จื่อฟางยังคงสบตาอีกร่างจนกระทั่งฝ่ายนั้นลดมีดลงเอง

“ผู้ติดตามของเจ้าฝีมือดีไม่น้อย คนของข้าต้องใช้กระบี่หยุดเขา”เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง หลิวอ๋องโบกมือไล่ “แค่ขู่ ไม่ได้ฆ่า แปลกนะที่วันนี้เจี่ยผิงไม่ได้ให้คนเฝ้าเจ้า”หลิวอ๋องกระซิบ แววตาวาวโรจน์

“สวมเสื้อคลุมแล้วตามข้ามา วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องสนุก”เจี่ยซินกล่าว มองผ่านแสงไฟไปยังร่างบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่ได้เจอเกือบหนึ่งเดือน คุณชายรูปงามผู้นี้ดูจะมีน้ำมีนวล เจี่ยซินละสายตาออกมานึกหงุดหงิดตัวเองอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนวิปริตอย่างพี่ชาย เขามีพระชายา มีอ๋องน้อย เขาไม่มีวันเหมือนคนผู้นั้น

“ท่านอ๋องจะพาข้าไปที่ใด”ร่างนั้นเอ่ยถาม หยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมใส่ เจี่ยซินไม่ได้เอ่ยตอบทันที เขาดึงผ้าคลุมปิดหน้า ร่างนั้นจึงควานหาผ้าคลุมในหีบมาใช้เช่นกัน เจี่ยซินนึกรำคาญนักที่คุณชายรูปงามยังมีเวลามาควานหาของใช้ จึงส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายตามมาเงียบ ๆ เปิดประตูออกไปก็พบร่างของผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟยนั่งคุกเข่า ที่ลำคอมีเลือดไหลซึมเพราะกระบี่ขององครักษ์ของเขาจ่ออยู่ ชายหนุ่มลอบมองเสิ่นจิ้งเฟย แต่ร่างนั้นไม่ได้เผยท่าทีใดออกมา แต่เขามองออกว่าอีกฝ่ายฝืนมองผ่านรอยแผลบนลำคอของบ่าวรับใช้

พรึบ

เงาดำอีกร่างปรากฏตัว เป็นคนของเสิ่นมู่หยาง

“เจ้าเป็นผู้ใด…!”หานตงดวงตาเป็นประกายอย่างมีโทสะ กวาดมองผู้บุกรุกและคุณชายเสิ่น

“อย่าเอะอะไป”จื่อฟางรีบเอ่ยบอก เขาจะแสดงท่าทีแปลกไปต่อหน้าหลิวอ๋องไม่ได้เด็ดขาด หานตงปรายตามองเขาก่อนหยุดที่หยางชวีและองครักษ์ของหลิวอ๋อง

“คุณชายเสิ่นท่านทำเรื่องใดอยู่”หานตงขบฟันกรอด อยากเข้าไปตบหน้าคุณชายเสิ่นให้ได้สติสักฝามือ แต่รู้ดีว่าทำไม่ได้

“เจ้าวางใจเถอะ อย่านำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายกับผู้ใด หยางชวีเข้าใจสิ่งที่ข้าทำดี”เขาส่งเสียงเย็นชา มองไปที่ผู้ติดตามครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หลิวอ๋องจับจ้องเขาก่อนหยักยิ้ม พยักหน้าเรียก ร่างนั้นหมุนตัวไปทางกำแพงจวนหยุดรอเขาท่าทางเช่นนั้นคล้ายกลับบอกให้เร่งรีบ จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมมองผู้ติดตามทั้งสอง

“พวกเจ้าห้ามตามมา ข้าออกไปกับสหาย เข้าใจหรือไม่!”ให้ตายเถอะ จื่อฟางไม่สบสายตาน่ากลัวของหานตง มองหยางชวีครู่หนึ่งแล้วรีบหมุนตัวจากมา ร่างสูงใหญ่ของหลิวอ๋องกระโจนไปบนกำแพงจวน องครักษ์อีกคนโผล่มาประกบเขาเหมือนวิญญาณร้าย เด็กหนุ่มรู้สึกถูกหนีบที่เอว ร่างนั้นพาเขากระโจนไปที่กำแพงจวน ก่อนจะเหยียบสัมผัสผืนดิน คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด

บริเวณโดยรอบจึงเงียบสงัดจื่อฟางมองกำแพงจวนของสกุลเสิ่นก่อนหันมองหลิวอ๋องที่ก้าวหายเข้าไปในเงามืดของตรอก เขาไม่ได้เอ่ยถามเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อเดินเลยมาเกือบสุดตรอกก็พบรถม้าจอดอยู่ อาชาสีดำสนิทหายใจเป็นไอขาว  เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปในรถม้า องครักษ์ปิดประตูตามหลังดังกึก

ภายในรถจึงมีเพียงแสงที่ส่องลอดมาจากหน้าต่างฉลุลายเท่านั้น หลิวอ๋องเจี่ยซินนั่งอยู่บนตั่งนั่ง ร่างนั้นเชื้อเชิญให้นั่งที่พื้นด้านล่างอย่างบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง จื่อฟางนึกถึงท่าทีของเสิ่นจิ้งเฟยจึงแสดงละครตบตาไปเช่นนั้น แสร้งส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นอย่างซวนเซเพราะอาชากระชากรถม้าไปด้านหน้า มุ่งไปยังที่ใดก็ไม่ทราบได้

‘ท่านอ๋องจะฆ่าข้าหรือ’ สายตาของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับถามมาเช่นนั้น เจี่ยซินเอนกายพิงผนังรถม้า สายตาจดจ้องคุณชายรูปงามที่นั่งต่ำกว่า วูบหนึ่งที่เขารู้สึกอยากบดขยี้คุณชายผู้นี้ให้แหลกคามือ ชายหนุ่มไล่ความคิดไร้สาระออกไป

อาชาสีดำสนิทพาพวกเขาออกห่างจากจวนสกุลเสิ่นเรื่อย ๆ หลิวอ๋องจับจ้องจนจื่อฟางจนเกร็งไปหมด เหงื่อชื้นเต็มฝามือ

 
“ท่านอ๋องคงไม่ได้ทำร้ายบ่าวในเรือนของข้ากระมัง”เขาเอ่ยถามทำลายความเงียบ ท่านอ๋องเอนตัวมาใกล้

“ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย”ร่างนั้นกล่าว ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ช่วยทำให้ดูดี แสงจันทร์ส่องลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายทำให้ดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

“ท่านอ๋องจิตใจเมตตา คงไม่คิดทำร้ายบ่าวไพร่ไม่รู้ความ”ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เจี่ยซินก็หัวเราะในลำคอ

“อีกห้าวันจะถึงวันคล้ายวันเกิดข้า เจ้าก็เล่นละครให้สมจริงหน่อยก็แล้วกัน วันนั้นเจี่ยผิงก็มาด้วย”เจี่ยซินกล่าวเบาๆ ‘ถ้าหากว่าเจ้ามาได้…’   รถม้ายังคงมุ่งตรงไปยังสำนักศึกษาหลวง เป้าหมายแรกของการก่อกวน เสิ่นจิ้งเฟยมองเขาด้วยดวงตาคู่งามที่มีแววใคร่รู้ปรากฏอยู่ แสงสว่างค่อนข้างน้อยเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าทั้งหมดของเสิ่นจิ้งเฟย

“ข้าทราบแล้ว”จื่อฟางได้แต่ตอบเช่นนั้น วันเกิดหลิวอ๋องก็ต้องจัดขึ้นที่วังอ๋อง เช่นนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงก็มา เขาจะได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยหรือเปล่านะ อย่างน้อยฮ่องเต้ต้องนำคนมาด้วย เขาหวังว่าจะเป็นเสิ่นจิ้งเฟยหรือเจาเฟิง

“ท่านอ๋องจะพาข้าไปที่ใดหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางเงยหน้ามองอีกฝ่าย สะดุ้งเมื่อพบว่าหลิวอ๋องห่างออกไปไม่กี่คืบ จื่อฟางกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นมือแกร่งก็จับคางของเขาพร้อมกับริมฝีปากเย็นประกบแตะ จื่อฟางตอบโต้ด้วยการผลักอีกฝ่ายออก อารมณ์ขุ่นเคืองจากเจ้าของร่างทำให้เขาลืมตัวเผลอถลึงตาใส่ร่างนั้น

“รสชาติก็ไม่เห็นดีที่ตรงไหน เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้หลงไหลเจ้านัก”หลิวอ๋องมองอย่างใคร่รู้ ปรายตามอฃใบหน้าโกรธขึงของคุณชายเสิ่นก็แค่นเสียงในลำคอ แค่แตะริมฝีปากชายหนุ่มก็ขนลุกซู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรังเกียจหรืออย่างไรกันแน่

“เจี่ยผิงส่งคนมาเฝ้าเจ้าที่จวน ข้าจึงอยากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ก็เท่านั้น”เจี่ยซินเอ่ย ระหว่างที่รถม้ายังคงแล่นไปยังจุดหมาย เขาใช้ถนนอีกสายเพื่อหลีกเลี่ยงทหานเวรยาม คืนนี้เป็นคืนสะดวกที่เขาจะลงมือสร้างความปั่นป่วน

“ข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจ ข้าเกลียดฝ่าบาท”เสิ่นจิ้งเฟยนัยน์ตาลึกวาวอยู่ในความมืดไม่คล้ายกับเล่นละคร ชายหนุ่มยกยิ้ม

“ดีแต่ข้าไม่ต้องการคำพูด ข้าต้องการสิ่งยืนยันที่แน่ชัด ที่ที่ข้าพาเจ้าไปคือสำนักศึกษาหลวง ข้าต้องการให้เจ้าเผาหอตำราเจี่ยซาน”

คำสั่งของหลิวอ๋องกล่าวทำเอาจื่อฟางตกตะลึง หอหนังสือเจี่ยซานอยู่ในสำนักศึกษาหลวง และก็เป็นหอหนังสือที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงทรงสั่งให้สร้าง เด็กหนุ่มไม่มีเวลาให้ลังเล

“ตกลง ข้าจะทำหากเป็นสิ่งที่ทำให้หลิวอ๋องเชื่อ”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงหนีกแน่นแม้จะสงสัยว่าจะเข้าไปในสำนักศึกษาหลวงได้อย่างไร หลิวอ๋องคล้ายกับเดาความคิดของเขาออก ร่างนั้นโน้มตัวมาใกล้ เด็กหนุ่มเอนตัวออกห่างจากแรงกดดัน

“องครักษ์ของข้าจัดการทหารยามแล้ว คืนนี้ทางสะดวกสำหรับเจ้า น้องชาย”ชายหนุ่มเรียกขานคำที่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ตั้งแต่เอ่ยคำสาบานเป็นพี่น้องมีไม่บ่อยที่เขายอมเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้ เสิ่นจิ้งเฟยเคยเรียกเขาว่าพี่ซินเมื่อนานมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องของเสิ่นฉินอี้

“อืม”จื่อฟางส่งเสียงในลำคออย่างเก้อกระดาก เบนสายตาออกไปทางอื่น คนผู้นี้ประหลาดจนน่ากลัว ครู่หนึ่งทำตัวร้ายกาจ ครู่หนึ่งก็มาทำตัวเป็นคนดี เขาบ้าไปแล้วรึ! จื่อฟางกลัวคนนิสัยเช่นนี้ พวกแสร้งทำเป็นคนดีแต่มีอีกตัวตนซ่อนอยู่

รถม้าหยุดลงแล้ว เด็กหนุ่มจึงก้าวออกมา ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ไม่มีเสียงใดให้ได้ยินรอบบริเวณเงียบสงัด เขากระชับเสื้อคลุมและผ้าปิดหน้าให้เรียบร้อย กวาดมองรอบตัว มีเพียงองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย ส่วนหลิวอ๋องรอคอยอยู่ในรถม้า องครักษ์ส่งแท่งเชื้อไฟมาให้ จื่อฟางรับมาถือด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ ถึงเวลาเล่นบทร้ายแล้วสินะ องครักษ์ไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้าตัวเขาพาดบ่ากระโจนไปที่กำแพงสูงเบื้องหน้า อากาศหนาวเย็นทำให้เขาชาไปตามใบหน้า เอี้ยวตัวมองก็พบว่าหอสมุดขนาดกลางตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ตัวอักษรงามวิจิตรสีทองสะท้อนอยู่ในความมืด ร่างหนึ่งนอนกองเป็นเงาทะมึนอยู่หน้าขั้นบันได

วูบ

องครักษ์พาเขามาถึงหน้าประตู จากนั้นก็ปล่อยเขาลง จื่อฟางไม่รอช้าแม้จะกลัวอยู่มากแต่ยามนี้รอเวลาไม่ได้ ไม่อยากทำแต่ไม่ทำก็ตาย เขามีชีวิตเดียวและยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับไป๋ผูอวี้ เขาจะตายก่อนไม่ได้เด็ดขาด!เด็กหนุ่มเปิดบานประตูหนักๆเข้าไป ภายในหอหนังสือมืดสนิทมีเพียงแสงสีแดงเรืองรองจากแท่นเชื้อไฟในมือเท่านั้น กลิ่นเหม็นอับหนังสือลอยเข้าจมูก

จื่อฟางมองหาจุดอับที่สามารถติดไฟได้ดี เขารีบสืบเท้าไปยังชั้นหนังสือเลือกมาเล่มหนึ่ง ลอบเปิดบานหน้าต่างเอาไว้ ก่อนจะเป่าแท่งเชื้อไฟขนไฟสว่างวาบ เขาจุดไฟจนติด รอให้ไฟลุกลาม เด็กหนุ่มก็ปีนออกทางหน้าต่าง อาจจะเพราะความกลัวถึงได้ไม่กลัวเจ็บ ร่างของเขาหล่นตุบลงมากองกับพื้น ได้กลิ่นกระดาษไหม้ลอยแตะจมูก จื่อฟางเงยหน้ามอง ไม่คิดว่าไฟจะติดไวมากถึงเพียงนี้ แต่อากาศหนาวและแห้งยิ่งทำให้ไฟติดง่าย

ร่างบางลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว

“ผู้ใดน่ะ!”เสียงตวาดดังขึ้น จื่อฟางไม่ทันได้อ้าปากร่างของบรรณารักษ์ก็ล้มกองกับพื้น หานตงผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางปรากฏกายพร้อมกับกระบี่ในมือ ใบหน้าของร่างนั้นไม่ปรากฏอารมณ์ใด เยียบเย็นจนชวนให้เข่าอ่อน ผู้ติดตามเข้ามาคว้าเอวเขาก่อนจะพาออกไปจากหอตำรา ลมหนาวพัดโกรก หานตงไม่ได้เอ่ยถาม จื่อฟางรู้ตัวว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูเสิ่นมู่หยางแน่จึงทำใจแต่ตอนนี้

หลิวอ๋อง…คิดปล่อยให้เขาหาทางออกมาเอง ร้ายนัก!

เมื่อมาถึงจวนสกุลเสิ่นร่างกายของจื่อฟางก็ไร้ความรู้สึกแล้ว หานตงปล่อยเขาลงที่หน้าเรือน ควันไฟปรากฏให้เห็นเลือนลาง เด็กหนุ่มสบตากับหานตง สีหน้าของอีกฝ่ายเย็นชาและน่าหวาดเกรง จื่อฟางจ้องมองอย่างไม่ลดละ

“คนผู้นั้นเป็นใคร ท่านทำเรื่องใดกันแน่เหตุใดต้องเผาหอหนังสือเจี่ยซานด้วยรู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร”หานตงกระซิบด้วยเสียงที่อดกลั้น คุณชายเสิ่นเป็นคนที่ทำให้เส้นอดทนของเขาขาดสะบั้น กระบี่ในมือยังคงเปื้อนเลือด

“หยางชวีเล่า”จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบแต่ถามคำถามแทน เขามองไปรอบกายก็ไม่พบผู้ติดตาม

ตึง ตึง ตึง

เสียงตีกลองดังแหวกความเงียบของยามอิ๋น(03.00 น. – 04.59 น. )ก้องไปทั้งฉางอัน จื่อฟางเงยหน้ามองท้องฟ้ามืด มีแสงควันไฟมาจากอีกจุดหนึ่ง เขาหรี่ตาหมายความว่าอย่างไร จุดนั้นคือทางตรอกซีหมาน

“คุณชาย สกุลเสิ่นไม่สำคัญต่อท่านเลยรึ”หานตงเอ่ยถาม สืบเท้าเข้ามาใกล้ กระบี่ถูกเก็บอยู่ในฝักแล้ว เด็กหนุ่มเม้มปาก ไม่ได้เอ่ยตอบ ก้าวถอยหลัง จางต้าโผล่มาจากเงามืดมายืนขวางระหว่างเขาและผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยาง บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็ตื่นเพราะเสียงตีกลองเตือนภัย

“เจ้าจะทำอะไร”จางต้ากล่าวเสียงแข็ง จื่อฟางกวาดตามองบ่าวรีบใช้ที่มายืนออในลานบ้านด้วยสายตาตื่นตระหนกและงุนงง งุนงงกับภาพที่เห็นตระหนกกับเสียงตีกลอง

“พวกเจ้ากลับไปนอนเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้”จื่อฟางกล่าวขึ้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา บ่าวไพร่ทั้งหลายมีท่าทีอิดออดแต่ก็ค่อยทยอยกลับไปตามคำสั่ง หานตงยังคงมีสีหน้าน่ากลัว

“ท่านพ่ออยู่ที่ใด เสียงดังเช่นนี้ยังไม่ตื่นอีกหรือ”เขาเอ่ยขึ้น ร่างของหานตงกระตุกเล็กน้อย เห็นแค่นั้นเขาก็เข้าใจ ยกยิ้มหยัน

“เจ้าก็กลับไปเถอะหานตง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับข้าอีก หากมีเรื่องอยากสั่งสอนก็ไปกล่าวกับพ่อข้า…อ้อ คำถามที่เจ้าถาม สกุลเสิ่นสำคัญกับข้าไหมน่ะหรือ สำคัญสำหรับพวกเจ้า ไม่ใช่ข้า”จื่อฟางกล่าวเสียงเย็นชา ใช้สายตาเยียบเย็นมองอีกฝ่าย ร่างจางต้าที่อยู่เบื้องหน้าแข็งเกร็งเล็กน้อย ไหล่ตกลู่ เขามองผู้ติดตามเบื้องหน้า คนผู้นี้ต่างจากหยางชวีลิบลับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือความจงรักภักดี แม้เสิ่นมู่หยางทำสิ่งที่ผิดก็ยังคงทำตามไม่ได้กล่าวแย้ง ใบหน้าของหานตงยังคงไร้ความรู้สึกแต่แววตาสั่นไหว

“ศิษย์พี่…”เสียงของหยางชวีดังขึ้น รีบรุดมาหา เด็กหนุ่มหันมองก็เบิกตาโต ดีนักที่พวกบ่าวไพร่คนอื่นไม่อยู่เพราะยามนี้ทั้งร่างของหยางชวีเปื้อนไปด้วยเลือด เขาอ้าปากค้างน้อยๆ จางต้าหน้าไร้สีเลือด

“จะ เจ้า ไปทำอะไรมา”บ่าวคนสนิทถามเสียงอ่อน ขาอ่อนยวบจนล้มกองกับพื้น

“หึ หยางชวี เจ้ามันน่าผิดหวังนัก แทนที่จะห้ามคุณชายเสิ่น เจ้ากลับส่งเสริมเขา…”หานตงปรายตามองศิษย์น้องที่ฝึกสอนเองกับมือด้วยสายตาผิดหวัง

 “ยามนี้…ข้ารับใช้คุณชายแล้ว ศิษย์พี่คงทราบดี ในฐานะบ่าวรับใช้หากต้องลงนรกก็ย่อมลงนรกไปกับผู้เป็นนาย”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ สบตากับผู้ที่ได้ชื่อว่าศิษย์พี่ ร่างนั้นผ่อนลมหายใจมองปราดไปที่คุณชายเสิ่นก่อนจะหมุนตัวออกไปจากเขตเรือนคุณชาย

“คุณชายเสิ่น…ข้าน้อยไปจัดการเรื่องที่ต้องจัดการ”ผู้ติดตามพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ เป็นครั้งแรกที่จื่อฟางรับรู้ว่าคนผู้นี้น่ากลัว เขากวาดมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและชุดเปื้อนเลือด

“เจ้าหมายถึง….”เขากลัวคำตอบเหลือเกิน

“ทำลายหอผูเยว่ หลังจากที่จัดการนางแม่เล้านั่น ข้าก็จุดไฟเผา เช่นเดียวกับที่หลิวอ๋องสั่งให้คุณชายลงมือ ครานี้เขาได้ระแวงจนหัวหมุนแน่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด”

“หยางชวี…”เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว

ตึง ตึง ตึง

เสียงกลองยังคงดังก้องไปทั้งฉางอัน

 

----------------------

ตอนนี้ไม่ได้จ่ายค่าตัวไป๋ผูอวี้ เจอกันตอนหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ยกให้หยางชวี ยาวหน่อย ทั้งน้ำทั้งเนื้อเยอะแยะไปหมด  :hao5: อาจหายไปปั่นต้นฉบับนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-01-2019 08:34:03
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-01-2019 08:46:35
แง้ น่ากลัวจริงๆ  ลุ้นมากมาย กำลังเข้มจ้น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 19-01-2019 12:40:40
อ่านไปอ่านมาปมยิ่งแย่นขึ้นเรื่อยๆ จื่อฟางจะรอดมั้ยเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 19-01-2019 13:21:12
โง้ยยย เนื้อเรื่องตึงเครียดมากแงง กลัวใจแทนน้องง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-01-2019 16:05:05
ฮื้ออออ ตื่นเต้น
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-01-2019 17:29:18
หยางชวี นายเท่มากกกกก  เอาใจไปเลย   ❤❤❤❤❤   
จางต้า ก็โดนจื่อฟางเย้าหยอก น่าเอ็นดูจริงๆ  :mew1:

มีเงื่อนงำ สลับซับซ้อนมากกกกกกกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คุณชายไป๋ ข่าวคราวเงียบหาย......♪ ♩ ♭ ♪ ไปหลายๆ.... ♬ ♫ ♬
......ที่แท้ฮ่องเต้ ใช้ไปต่อกรกับพวกกบฏ ฉลาดนะ...เต้

หลิวอ่อง เริ่มสับสนกับจื่อฟางแล้วสินะ มีอยากขยี้ให้ย่อยยับไปกับมือ  :ling1:
มีเข้าไปจูบ อะจ๊ากกกกก  นี่....... ขนาดมีเมีย  มีลูก แล้วนะ......เสน่ห์จื่อฟาง เกินห้ามใจเจงๆ  :o8:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 19-01-2019 17:46:16
เอาแล้ว
ยังไงละทีนี้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-01-2019 18:57:15
เข้มข้นเกินไปแล้ว  :ling1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 19-01-2019 20:52:56
อ่านแล้วตื่นเต้นมากๆ
ทุกผู้ ช่างกล้านัก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 20-01-2019 10:49:18
ตื่นเต้นนนนนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 20-01-2019 12:23:41
บทบรรยายเยอะมาก เราไม่ท้อ อ่านครบทุกตัวอักษร  ลุ้นมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 20-01-2019 23:16:15
เป็นนิยายที่สนุก ควรค่าแก่การติดตามมาก จะอ่านเรื่องนี้จนจบแน่นอน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-01-2019 23:20:29
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 21-01-2019 03:41:54
ขอสารภาพเลยว่าอ่านไปไม่กี่ตอนเรากดโหวตไปว่าขอดูก่อนเพราะคิดว่านิยายก็คงจะพีเรียดทั่วไปขอดูก่อนแล้วกันว่าจะโอเคแค่ไหน แต่เมื่อเราได้อ่านมันจนถึงตอนล่าสุดเรากลับบอกตัวเองได้คำตอบเลยว่านิยายแบบนี้คงต้องได้มาครอบครองแล้ว พีเรียดมีหาอ่านได้ทั่วไปแต่พีเรียดที่ทำให้รู้สึกประทับใจและอยากที่จะกดอ่านๆเรื่อยๆหายากมากและนี่คือหนึ่งในเรื่องที่เราขอยกขึ้นหิ้งในใจเลยในตอนนี้ เราชอบการมีเหตุผลของทุกๆตัวละครที่อยู่ในเรื่อง จื่อฟางที่อยู่ในร่างจิ้งเฟยผู้ที่รับกรรมมากที่สุดคือตัวละครที่เรารู้สึกว่าเขาสู้มากเลยนะสู้กับสภาวะที่เปลี่ยนไป สู้กับแรงกดดัน สู้กับเรื่องที่ซับซ้อนและก็ผ่านมาได้แบบวิถีเรื่อยๆไม่ใช่คนที่เก่งกาจแต่ก็ปรับสภาพตัวเองได้เก่งมาก ไป๋ผูอวี้ตัวละครที่สำหรับเราก็มีความซับซ้อนแต่ไม่ซับซ้อนพอสมควร เราสัมผัสได้ว่าตัวละครนี้มีความเก่งและเด็ดขาดในความอ่อนโยนและซื่อตรง ไม่รู้ว่าจะน่าเป็นห่งไหมในภายภาคหน้ากับนิสัยแบบซื่อของตัวละครนี้ แต่อีกสิ่งที่สัมผัสได้อีกอย่างคือคนๆนี้เจ้าเล่ห์นะดูมีอะไรน่าจะมีอะไรให้ตัวละครนี้ปล่อยของอีกเยอะเลยเรากำลังรอติดตามอย่างใจจดใจจ่อ เราเชื่อว่าไป๋ผูอวี้จะปกป้องจื่อฟางได้ และน่าจะเป็นตัวพลิกเกมได้ของอีกหลายตัวละครเลยทีเดียว จิ้งเฟยตัวละครที่เราสงสารมากที่สุดและเราตัวละครนี้มากทั้งที่ออกมาได้ไม่กี่ตอน แม้อยู่ในร่างคนอื่นแต่เราชอบความยโสในความเป็นตัวเองของตัวละครนี้มาก น่าสงสารที่แม้แต่บิดายังให้คำมั่นสัญญาจอมปลอม แม้แต่คนที่คิดว่าเคยไว้ใจได้อย่างฮ่องเต้ก็ยังหลอกล่อ ตอนนี้ที่เราคาดเดาคือจิ้งเฟยคงจะประทับใจและตกหลุมรักความเป็นสุภาพบุรุษและจิตใจดีของฟู่เทียนสืออยู่ไม่น้อย แต่ในความรักนี้ยังไม่สิ่งกวนใจที่เรียกว่าเจี่ยผิงตอนแรกเราคิดว่าคงฝืนทนกับตัวละครนี้ไม่น้อยคงไม่น่าใช้ความรักแต่พออ่านๆไปเรากลับคิดว่าจิ้งเฟยมีความรักให้กับคนๆนี้อยู่นะอาจจะอยู่ลึกสุดของหัวใจไม่ได้ถูกเปิดเผย พอมีเรื่องปู่ก็เกลียดชังแต่พอความจริงเปิดเผยกลับเริ่มสองจิตสองใจจนตอนนี้เราก็คิดว่าน่าจะเป็นตัวละครนี้จะเป็นตัวละครที่ร่วมฝ่าฟันไปกับฮ่องเต้ในหลายๆเรื่องพอสมควร ฮ่องเต้เจี่ยผิงตัวละครที่เหมือนจะรู้ว่าความรักคืออะไรแต่ไม่ยอมรับนี่ว่าชัดเจนนะว่ารักจิ้งเฟยแต่เพราะเคยถูกสอนแต่การครอบครองไม่ใช่ความรักเลยตีค่าความรักคือการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่อยากให้ตัวละครนี้ตายไปเฉยๆเลยเราเสียดายในความไร้เดียงสาในแง่ของรัก ดูหวงไปหมดอยากครอบครองไปหมดควรได้รับบทเรียนอีกเยอะ เราเอนเอียงไปทางเจี่ยผิงจิ้งเฟยมากเรากลับมองว่าสองคนนี้ควรคู่กันและได้เรียนรู้กันมากกว่านี้เคมีสองคนนี้มันดีมาก เราชอบทุกฉากที่เขียนถึงสองคนนี้การบรรยายสื่อถึงความรักที่ฮ่องเต้มีให้จิ้งเฟยก็ดูไม่ธรรมดาเพราะตอนสองตอนล่าสุดยิ่งดูชัดเจนนะแม้จะบอกว่าสนใจครอบครองร่างเก่าของจิ้งเฟยแต่พอเอาจริงๆกลับดูห่งจิ้งเฟยที่เป็นจิตวิญญาณจริงๆชัดเจนมาก เราภาวนาให้รู้ใจตัวเองสักวัน จางต้าและหยางชวีขอซูฮกในความเป็นสหายที่แท้จริงถ้าขาดสองคนนี้ไปบอกเลยว่าจื่อฟางในร่างนี้คงจะตายไปนานแล้วสองคนนี้นิยามคำว่าเป็นคนคู่คิดคู่ใจได้ดีมาก คนหนึ่งแม้ไม่เก่งแต่พร้อมเคียงข้าง อีกคนเก่งกาจพร้อมออกหน้าแทนนับว่าเป็นโชคดีอีกชั้นของจื่อฟางนอกจากไป๋ยังมีเพื่อนที่ดีนับรวมคุณชายจ้าวอีกคนออกมาน้อยแต่น่าประทับใจมาก ส่วนอ๋องกับคุณชายใหญ่เจี่ยซินเจี้ยอี้เรากำลังรอดูการเดินหมากของสองคนนี้ดูจะสนุกมากแต่ก็โหดเหี้ยมมากพอควร อ๋องนางมีความลุ่มหลงในร่างของจิ้งเฟยพอสมควรจากอ่านๆมา เราว่านางคงมีปมในใจพอสมควรถึงอยากครอบครองอำนาจขนาดนี้ ส่วนเจี่ยอี้ไม่รู้จะพูดยังไงนางผิดในความไม่ผิด ผิดที่คนโกงแบบนั้น แต่ก็ต้องโทษใหญ่โตไปมากจริงๆนางคงแค้นใจไปทุกอย่าง แต่เราว่าตัวละครนี้ไม่คู่ควรกับการเป็นฮ่องเต้เลยนะ ดูมุทะลุพอควรจากการจะฆ่าจิ้งเฟย และดูเลือดเย็น เราทีมเจี่ยผิงชัดเจนสินะได้แต่คิดในใจโดนตัวละครนี้ตกไปแล้ว เราหวังว่าผู้เขียนจะไม่ใจร้ายจนเกินไปกับตัวละครนี้นะ ให้เขาได้เรียนรู้ความรักที่ดีจากคนที่เขารอคอยที่เถอะ ส่วนคู่จื่อฟางกับท่อนไม้ไป๋เราหวังว่าผู้เขียนจะไม่ใจร้ายเกินไปทำให้ต้องมีกรรมเลวร้ายกับสองตัวละครนี้นะให้ได้จบหวานชื่นเสียเถอะ ตัวละครสองตัวนี้ดูเหนื่อยทั้งเรื่องมาก จื่อฟางควรมีชีวิตที่ดีและสงบกับคนรักไป๋ของเขามากจริงๆ เราพิมพ์ไปเยอะมากอาจจะไม่ตรงกับนิสัยตัวละครที่ผู้เขียนวางไว้แต่อันนี้มาจากมุมของเราที่เรารู้สึกกับแต่ละตัวละครจริงๆมีอีกหลายตัวละครเลยที่เราอยากเขียนถึงแต่ตอนนี้ขอทำความรู้จักกับอีกหลายๆตัวละครไปก่อน รวมถึงตัวละครที่ได้เขียนถึงไป รอคอยสำหรับนิยายตอนต่อไปและหนังสือของเรื่องนี้นะคะ ถ้ามี e-book ยิ่งจะดีมาก ขอกราบผู้เขียนอย่าเทเรื่องนี้ด้วยจะปราบปลื้มมาก ขอบคุณมากจริงๆค่ะที่รังสรรค์นิยายดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเอ็ด :เสียงกลองที่ก้องไปทั้งฉางอัน P.19 19/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-01-2019 16:36:14
อ่านแล้วก็ไม่ชอบพ่อของเสิ่นจือฟางเลย ถ้ารักษาคำพูดไม่ได้ก็ไม่ควรที่จะให้สัญญาเพื่อให้คนเป็นลูกต้องมารู้สึกเสียใจแบบนี้เลย
เนื้อเรื่องตอนนี้เข้มข้นมาก ๆ เลย หยางชวีเท่มาก ชอบมาก ส่วนท่อนไม้ไป๋หายไปเลยไม่รู้ว่าไปทำอะไรแต่หวังว่าจะดีกับจือฟางนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 21-01-2019 21:45:52
 
 
 บทยี่สิบสอง: หวนคืน


เสียงโหวกเหวกที่ดังอยู่ด้านนอกทำให้จื่อฟางสะดุ้งตื่น เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องอย่างตื่นตระหนก บานประตูถูกผลักเข้ามาก่อนที่จางต้าจะพรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเผือดซีด

“คุณชาย!เกิดเรื่องแล้ว”เสียงร้องของอีกฝ่ายทำให้เขาใจหล่นวูบ ก้าวลงจากเตียงทันที

“มีอะไร”เขาใจเต้นแรงเพราะนึกถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่หอหนังสือเจี่ยซานที่ตนเองเป็นผู้ลงมือ “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”เด็กหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เห็นสีหน้าของบ่าวคนสนิทก็พอจะเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี

“นายท่านเสิ่นมู่หยางถูกนำตัวไปไต่สวนที่ศาลหลวงขอรับ”จางต้ารายงาน จื่อฟางเบิกตากว้างด้วยความตระหนก ไต่สวน? เขามองบ่าวคนสนิทด้วยสีหน้ามึนงง เขาคาดหวังว่าจะได้ยินข่าวเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นทั้งสองแห่งในเมืองฉางอันแต่กลับได้ยินข่าวของเสิ่นมู่หยางถูกนำตัวไปไต่สวนแทนจึงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อ”เขาถามอย่างร้อนใจ ระหว่างที่เร่งฝีเท้าออกไปนอกห้อง พบว่าบ่าวไพร่ต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจไม่แพ้กัน 

“ข้าน้อยก็ไม่รู้แน่ชัด ทหารที่มานำตัวนายท่านออกไปบอกว่าเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่และเหตุการณ์เพลิงไหม้”จื่อฟางชะงักกึก สองเรื่องที่ว่ามานั่นมันเกี่ยวข้องกันตรงไหน ดูเหมือนจางต้าจะเดาใจเขาออกจึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมา

“รอฟังจากหยางชวีดีกว่าขอรับ”บ่าวคนสนิทพึมพำ เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างไม่สบายใจนัก ได้แต่เดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ

“คุณชายกลับไปรอในห้องเถิด”จางต้าเอ่ยบอกอย่างเป็นห่วง จื่อฟางถอนหายใจกลับเข้าไปนั่งรอในห้องตามคำบอกของอีกฝ่าย บ่าวคนสนิทเห็นเช่นนั้นจึงยกอ่างล่างหน้ามาให้คุณชาย รอคุณชายล้างหน้าล้างตาบ้วนปากจนเสร็จแล้วค่อยยกถ้วยยาสมุนไพรบำรุงโลหิตมาให้ เด็กหนุ่มค่อยๆดื่มยาจนหมด จากนั้นก็รอคอย เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หยางชวีก็ปรากฏตัว

“เกิดอะไรขึ้น”เขาเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า ร่างสูงใหญ่ของผู้ติดตามสืบเท้าเข้ามาใกล้ รอยแผลตามร่างกายได้รับการรักษาแล้วแต่ก็ยังเหลือร่องรอยฟกช้ำให้เห็น

“คุณชายไม่ต้องตื่นตระหนก เรื่องนี้นายท่านเสิ่นไม่น่าเดือดร้อน เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากเพลิงไหม้หอหนังสือเจี่ยซานขอรับ”แค่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับการวางเพลิงที่ตัวเองเป็นผู้ก่อจื่อฟางก็หายใจไม่ทั่วท้อง

“ข้าไปสอบถามศิษย์พี่หานตงได้ความมาว่าทหารเวรยามที่เข้าไปช่วยดับเพลิงพบป้ายหยกของอัครเสนาบดีหลี่ลั่วหวั่นตกอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่อัครเสนาบดีปฏิเสธว่าไม่ได้มีเหตุเกี่ยวข้อง ทั้งยังบอกว่ามีคนเข้ามาลอบทำร้ายถึงภายในบ้านพักและขโมยป้ายหยกไป อัครเสนาบดีหลี่จึงสงสัยว่ามีคนต้องการใส่ความเขา ประจวบกับที่นายท่านเสิ่นไม่ได้อยู่ที่จวน อัครเสนาบดีจึงกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของนายท่านที่ต้องการแก้แค้นสกุลหลี่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงสั่งให้มีการสืบหาความจริงและสอบสวนอย่างเร่งด่วนเพื่อความยุติธรรมแก่สองขุนนางขอรับ”หยางชวีเอ่ยด้วยเสียงสงบ เล่าตามที่ทราบมาจากศิษยิ์พี่หานตง ศิษยิ์พี่ยังคงมีโทสะจากเรื่องเมื่อคืน แต่ก็ยอมบอกรายละเอียดเรื่องของนายท่านเสิ่นให้เขารับรู้ ผู้เป็นศิษย์น้องเช่นเขาจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก

จื่อฟางอ้าปากน้อย ๆถูกข้อมูลที่อีกฝ่ายนำมาถาโถมใส่จนมึนงง ทำป้ายหยกตก?คงมีแต่คนบ้ากระมังที่ทำของสำคัญตกในที่เกิดเหตุ พวกเขาเชื่อหลักฐานไร้สาระเช่นนี้ด้วยหรือ ร่างบางกัดริมฝีปาก มีคนจงใจเล่นงานสกุลหลี่แน่ ๆ หรือที่หลิวอ๋องให้เขาลงมือวางเพลิงหอหนังสือก็เพราะต้องการจัดฉากใส่ความอัครเสนาบดีหลี่? หลิวอ๋องใส่ร้ายอัครเสนาบดีเพื่อเหตุใดกัน หลี่ลั่วหวั่นเป็นขุนนางขั้นหนึ่งเป็นผู้อยู่ใต้หนึ่งเหนือหมื่น อำนาจบารมีไม่ต้องกล่าวถึงแต่หลิวอ๋องก็ยังกล้าเล่นงานด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ แถมยังขโมยป้ายหยกซึ่งๆหน้าอีก บ้าบิ่นเกินไปแล้ว

ไม่แปลกที่หลี่ลั่วหวั่นจะหวาดระแวงคิดว่าเป็นฝีมือของคนสกุลเสิ่น เพราะทั้งสองสกุลมีเรื่องราวกันมาก่อน แต่ถ้ากคิดให้ดีจะมีผู้ใดกล้าลงมือซึ่งๆหน้า จื่อฟางรู้ดีว่าเสิ่นมู่หยางไม่มีทางทำเช่นนั้น แม้คืนเกิดเหตุเสนาบดีเสิ่นจะไม่ได้อยู่ที่จวนก็ตาม เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายเพียงแค่หายไปพบปะอนุเช่นเคย บิดาผู้นี้ไม่ได้คิดแค้นเคืองสกุลหลี่ แม้แต่การตายอันคลุมเครือของเสิ่นฉินอี้บิดาของตัวเองแท้ๆ เสิ่นมู่หยางยังไม่คิดแก้แค้น แล้วจะกล้าลงมือกับหลี่ลั่วหวั่นในเวลานี้ได้อย่างไร หรือนี่เป็นเพียงเกมส์การเมืองจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

“…เมื่อคืนท่านพ่อไม่ได้กลับจวนไม่ใช่รึ ท่านพ่อจะเดือดร้อนหรือไม่”เด็กหนุ่มรีบเอ่ยถาม หักห้ามไม่ให้รู้สึกหวาดกลัว

“ข้าคิดว่าไม่เป็นไรขอรับ ถึงอย่างไรนายท่านก็ต้องบอกความจริงเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ต่อหน้าศาล แต่...นายท่านอาจจะต้องอับอายผู้คนในการไต่สวน…”ผู้ติดตามไม่ได้กล่าวจนจบ เพราะรู้สึกละอายแก่ใจ ต่างก็รู้กันดีว่าเสิ่นมู่หยางไปที่ใด จื่อฟางหยักยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ หากต้องการยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุวางเพลิงและสกุลหลี่ เสิ่นมู่หยางต้องบอกความจริง เขาอยากหัวเราะเยาะนัก ท่านก็ขายหน้าไปเถิด ขุนนางใหญ่มีอนุไม่ผิด แต่ลักลอบมีทั้งยังไม่แต่งตั้งเข้าสกุล เสิ่นมู่หยางจะเอาหน้าไปไว้ทีใด

“ฮ่องเต้มีท่าทีต่อเหตุการณ์เพลิงไหม้อย่างไรบ้าง”ร่างบางกระซิบถาม รู้สึกไม่สบายใจนักเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ลงมือกระทำความผิดอีกทั้งสกุลหลี่ดันมารับเคราะห์แทน

“เกิดเรื่องวุ่นวายใต้จมูกฮ่องเต้ พระองค์ย่อมมีโทสะ ฝ่าบาทสั่งให้มีการสืบค้นอย่างเคร่งครัด เหตุการณ์เพลิงไหม้ทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนก เรื่องหอผูเยว่นอกจากแม่เล้าเถาฮวาและคนงานชายบางส่วน นางคณิกาเกือบทั้งหมดหนีรอดออกมาได้ขอรับ ข้าพาลู่เจียงไปพำนักที่บ้านเล็ก ๆนอกเมืองตามที่นางต้องการ นางบอกว่าถ้าสงบจิตใจได้แล้วจะมาเยี่ยมคุณชายเสิ่น”ผู้ติดตามกล่าวเสียงเรียบราวกับไม่ได้เป็นผู้ลงมือเผาหอผูเยว่เสียเอง แม่เล้าเถาฮวากลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับหอคณิกา เท่ากับว่าสถานที่นัดพบของหลิวอ๋องถูกกำจัดทิ้งไป จื่อฟางกลับรู้สึกโล่งอกไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะมีท่าทีอย่างไร

“ขอบใจมาก”เขาพึมพำเหตุการณ์เมื่อคืนคล้ายกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง 

“ข้าน้อยยินดี”หยางชวีก้มหน้าตอบ พอไม่มีเรื่องกวนใจจื่อฟางก็พลันรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา หนังตาเริ่มหนักอึ้ง เด็กหนุ่มสู้กับความอ่อนเพลียไม่ไหวจึงทิ้งตัวลงนอนต่อ รับรู้ว่าจางต้าเข้ามาช่วยจัดผ้าห่มให้เรียบร้อยก่อนออกไปจากห้องปล่อยให้เขาพักผ่อน


……

เขาตื่นอีกครั้งในช่วงยามเซิน (15.00 น. - 16.59 น.)เพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากนอกเรือน  คิ้วเรียวงามย่นเข้าหากัน นอนฟังเสียงโต้ตอบก็จับใจความได้ว่าเป็นจางต้า หยางชวีและเสิ่นมู่หยาง เขาลืมตาในทันที เสิ่นมู่หยางกลับมาจากการไต่สวนแล้วหรือ

“นายท่านเสิ่น บ่าวขอร้อง คุณชายไม่ได้สร้างเรื่องอะไรทั้งนั้นขอรับ!อย่าลงโทษคุณชายเลย”เสียงอ้อนวอนของจางต้าดังแว่วมา จื่อฟางเหวี่ยงผ้าห่มออกจากร่าง รีบจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“หลบไปให้พ้น บ่าวไพร่ออกไปจากเรือนเสิ่นจิ้งเฟยให้หมด!ข้าจะเข้าไปหาไอ้เด็กสารเลวนั่น!”เสิ่นมู่หยางตะโกนเสียงดัง ได้ยินเสียงบ่าวไพร่ในเรือนตอบรับพร้อมกับเสียงฝีเท้าพากันออกไปจากเรือน เด็กหนุ่มเพิ่งเดินพ้นออกมานอกฉากกั้น ร่างสูงใหญ่ของเสิ่นมู่หยางก็สืบเท้าเข้ามาในห้อง

“เสิ่นจิ้งเฟย!”เสียงราวฟ้าผ่าดังกึกก้องทำร่างบางสะดุ้งโหยง หานตงก้าวตามมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเย็นชา ผู้ติดตามของบิดาสบตาเขาเพียงครู่เดียวก็ก้มหลบ ยืนแผ่รังสีกดดันอยู่ที่กรอบประตูกันจางต้าและหยางชวีไว้ด้านนอก เด็กหนุ่มเริ่มจะเข้าใจเรื่องราว หานตงคงบอกความจริงกับเสิ่นมู่หยางแล้วกระมัง

“ท่านพ่อมีเรื่องใดหรือ ข้าได้ยินว่าท่านถูกนำตัวไปไต่สวน เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นห่วงแทบแย่”จื่อฟางตีหน้าซื่อยิ่งทำให้เสนาบดีเสิ่นเดือดดาลเมื่อนึกถึงการไต่สวนที่น่าอับอาย

“เจ้า…!”เสิ่นมู่หยางชี้หน้าบุตรชายอย่างโกรธเคือง อารมณ์โกรธที่กักแน่นอยู่ในอกมีมากเสียจนคิดว่าคงระเบิดออกมา 

“สร้างเรื่องให้ข้าแล้วยังมาทำหน้าระรื่นอีกรึ เจ้ามันไม่รักดี”เสิ่นมู่หยางโกรธมากจนใบหน้าแดงก่ำไปด้วยโทสะ แววตาคุกรุ่นมีทั้งความผิดหวังอับอายและเสียใจปะปนกัน หานตงบอกเขาหมดแล้ว เรื่องเพลิงไหม้ที่หอหนังสือเป็นฝีมือของบุตรชาย อีกทั้งยังมีคนปริศนาพามันออกไปอีก เป็นเรื่องราวใดกันแน่ ไม่คิดว่ามันจะใจกล้าทำเรื่องเช่นนี้

“ท่านอับอายเรื่องการไต่สวนก็เลยมาลงกับข้า ทำแบบนี้ถูกที่ไหน”แม้จื่อฟางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ต่อหน้าศาลหลวงเขาไม่คิดว่าเสิ่นมู่หยางจะกล้าโกหก นอกจากต้องบอกความจริงไปว่าทิ้งจวนออกไปกกอนุภรรยาที่ยังไม่แต่งตั้งตามธรรมเนียม  เสิ่นมู่หยางได้ยินก็ปรี่เข้ามาหา แต่ไม่กล้าลงมือทุบตีบุตรชาย ได้แต่ถลึงตาใส่อย่างดุดัน

“เจ้าอยากเห็นข้าอกแตกตายนักหรือไร”เสิ่นมู่หยางเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจก่อนหยุดยืนมองหน้าบุตรชาย

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ก็เพราะคิดต่อต้านฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ”ผู้เป็นบิดากระซิบถามแผ่วเบา แทบอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ใบหน้ายิ่งดำคล้ำจนจื่อฟางกลัวว่าคนตรงหน้าจะมีโทสะจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน จื่อฟางไม่ตอบ คำพูดของอีกฝ่ายเข้าใกล้ความจริงมากสุดแล้วกระมัง เสนาบดีเสิ่นไม่เอ่ยถามมากความอีกต่อไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้กลม นวดขมับที่ปวดตุบ ๆ

“ไปเอาชาดำมาให้ข้าที”เสนาบดีเสิ่นสั่งกับบ่าวรับใช้ จางต้ารีบผลุนผลันออกไปทันที

“เป็นความผิดของข้าเอง”เสิ่นมู่หยางพึมพำ เขารู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาปฏิบัติกับบุตรชายไม่ดีเท่าที่ควร หากใส่ใจเสิ่นจิ้งเฟยมากกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่อง คงห้ามบุตรชายทำเรื่องสิ้นคิดได้ทันเวลา แต่มาคร่ำครวญเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว 

“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”จื่อฟางตอบ มองเห็นสีหน้าซับซ้อนบนใบหน้าเครียดเขม็งของอีกฝ่ายก็สงสัยว่าคนผู้นี้คิดอะไรอยู่

“ตอนที่เจ้าวางเพลิงหอหนังสือมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามออกมาในที่สุด เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงคืนก่อเหตุ จำได้เพียงร่างไร้ชีวิตของยามหน้าหอหนังสือ 

“ไม่มี...แค่คิดว่าเป็นคืนที่เงียบสงบผิดปกติ ท่านพ่อมีความคิดใดหรือ”เขาเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคลายโทสะบ้างแล้วจึงเอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน เสิ่นมู่หยางจับจ้องบุตรชายด้วยสายตาแหลมคม ช่วงหลังมานี้ใช่ว่าจะไม่สังเกตุท่าทีของหยางชวี เจ้านั่นถึงกับลอบมาสอดแนมในเรือนของเขา เจ้าหยางชวีคนอกตัญญูนั่น!คิดแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด มิใช่ว่าเขาเป็นเจ้านายมันรึเหตุใดถึงได้เชื่อฟังเสิ่นจิ้งเฟยราวกับสุนัขแสนเชื่องตัวหนึ่ง แต่เสิ่นมู่หยางไม่ได้โกรธเคืองหนักหนา มิเช่นนั้นคงลงโทษหยางชวีไปแล้ว อย่างน้อยมันก็ปกป้องบุตรชายของเขาได้

“เหตุการณ์ครั้งนี้...ผู้ที่ออกไปกับเจ้าเป็นผู้ใด บอกข้ามา เพราะเขาอาจเป็นคนจัดฉากใส่ร้ายสกุลหลี่”อีกฝ่ายเอ่ยถาม จื่อฟางนั่งลงที่เก้าอี้กลมอีกตัว พอดีกับจางต้านำถาดน้ำชาและขนมมาวางบนโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างสองพ่อลูก เด็กหนุ่มรินน้ำชาให้อีกร่างและตัวเอง คิดว่าถึงเวลาพูดกับเสิ่นมู่หยางแล้ว อีกทั้งคนผู้นี้ก็รู้เรื่องราวในราชสำนักมากกว่าเขา จื่อฟางเหลือบมองบ่าวรับใช้ทั้งสองคนที่แสดงสีหน้าต่างกันออกไป 

“หากข้าบอก ท่านสาบานกับข้ามาก่อนว่าจะไม่จับข้าเข้าคุกหลวง”เขายังมีอารมณ์มาเอ่ยล้อเล่น

“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวรึ”เสนาบดีเสิ่นหรี่ตาลง ทำใจไว้แล้วส่วนหนึ่งหลังจากที่หานตงมารายงานเรื่องของบุตรชาย เขาก็คิดมาค่อนคืน การเคลื่อนไหวของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ แต่ตัวเขาไม่อยากคิดเช่นนั้น เฟยเอ๋อร์จะกล้าทำเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ขุนนางใหญ่ถอนหายใจ ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ฟังเหตุผลผู้อื่นเสียเมื่อไหร่ เขาสบตามองใบหน้างามหมดจดของบุตรชายที่ย้ำเตือนถึงโหยวหลัน

“ถึงข้าจะเป็นบิดาที่ไม่เอาไหนสำหรับเจ้า แต่ก็ไม่คิดส่งบุตรชายตัวเองเข้าคุกแม้ว่าเจ้าจะทำเรื่องผิดจริงก็เถอะ”เสิ่นมู่หยางกล่าว จะดีเลวอย่างไรเขาก็ตัดขาดไม่ลง

“ข้าร่วมมือกับหลิวอ๋อง”จื่อฟางเอ่ยเสียงเบา มองดูท่าทีของเสนาบดีเสิ่นที่คล้ากับถูกหมัดที่มองไม่เห็นเหวี่ยงใส่จนนิ่งงัน สีหน้าเดือดดาลปรากฏให้เห็น ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ บ่าวของเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีท่าทีตื่นตระหนก มีเพียงหานตงที่สูดลมหายใจเข้าเสียงดัง ร่วมมือกับหลิวอ๋อง จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร คุณชายท่านนี้ไม่คิดถึงคนร่วมสกุลเลยรึ หากอยากก่อเรื่องเหตุใดต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย ข้าติดตามนายท่านเสิ่นมานานหลายปี จะต้องมาตายเพราะความเลินเล่อของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยน่ะหรือ เป็นเรื่องตลกใดกัน  หานตงได้แต่คิดอย่างเจ็บปวด เขวี้ยงสายตาเย็นชาไปยังศิษย์น้อง เหตุใดถึงไม่ห้ามคุณชายของเจ้า แต่หยางชวีก็คือหยางชวี นอกจากทำสีหน้าตายก็ไม่สบสายตาผู้ใด

จื่อฟางกวาดตามองไปรอบห้องที่เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจอย่างตื่นตระหนกของเสิ่นมู่หยาง

“เจ้า...กับท่านอ๋องวางแผนก่อกบฏ?”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเสียงแหบแห้ง เบาจนแทบไม่ได้ยิน เหงื่อไหลย้อยมาจากหน้าผาก กบฏบุตรชายของเขาข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้ก็ว่าร้ายแรงแล้วแต่นี่ยังข้องเกี่ยวกับหลิวอ๋องเจี่ยซินผู้นั้นอีก ถึงแม้ในยามนี้สกุลเสิ่นจะไม่ได้มีอำนาจในราชสำนักเท่ากาลก่อน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีมิตรสหายเก่าแก่ไว้หนุนหลังช่วยเหลือ จึงพอรู้มาบ้างว่าหลิวอ๋องมีใจคิดเป็นอื่น เขาถึงได้รู้สึกอึดอัดใจทุกครั้งยามที่เข้าใกล้ท่านอ๋องผู้สุภาพหล่อเหลาผู้นั้น รับรู้ได้กลายๆว่าท่านอ๋องมีบางอย่างผิดแปลก จะว่าไปพวกสกุลเจี่ยต่างหากที่ผิดแปลก 

เจ้าเฟยเอ๋อร์ไปเอาความบ้าบิ่นมาจากที่ใดกัน จากท่านรึ ตาแก่เสิ่นฉินอี้ เสิ่นมู่หยางก่นว่าอยู่ในใจ เมื่อเห็นบุตรชายพยักหน้าตอบรับ ก็ลุกพรวดเดินไปเดินมาก่อนจะหยุดตรงหน้าร่างของหยางชวี สาดชาดำใส่ด้วยความโมโห

“เจ้า! เหตุใดถึงไม่นำเรื่องมารายงานข้า”เสิ่นมู่หยางกัดฟันกรอด โกรธเสียจนมือสั่น

“นายท่านงานยุ่ง อยู่ไม่ติดจวน ข้าน้อยหาจังหวะรายงานไม่ได้ขอรับ”หยางชวีตอบกลับเสียงเรียบ จื่อฟางอ้าปากค้างอีกรอบ หยางชวีต่อปากต่อคำกับเสิ่นมู่หยางเช่นนี้ หายากนัก หานตงและจางต้าต่างก็แสดงสีหน้าคาดไม่ถึง เสิ่นมู่หยางมองหน้าผู้ติดตามของบุตรชายราวไม่เคยเห็นมาก่อน มิใช่เขาหรือที่ขุดดึงมันมาจากโคลนตม เสนาบดีเสิ่นหน้าขาวซีด รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง หยางชวีไม่ได้มองหน้าเขาอีก เพียงแค่คุกเข่าโขกศีรษะเสียงดังหลายที

“ข้าน้อยปากไม่ดี นายท่านลงโทษข้าเถอะ”หยางชวีหน้าผากแดงเถือก ราวกับใกล้ปริแตก จื่อฟางได้แต่นั่งมองเหตุการณ์ด้วยความตกใจ แต่นี่เป็นเรื่องของหยางชวีและเสิ่นมู่หยางจึงไม่อยากเข้าไปสอด

“หุบปาก!”เสิ่นมู่หยางไม่อยู่ในอารมณ์มาโต้เถียง หันมองทางบุตรชายตัวดี

“เจ้าคิดก่อกบฏ ไม่ใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน และไม่ใช่แค่ตัวข้า แต่เป็นทั้งสกุลเสิ่น เจ้าเข้าใจรึไม่ว่าเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ทำไมถึงทำเรื่องไม่คิดเช่นนี้”เสิ่นมู่หยางลดเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่ทำได้ จื่อฟางก้มหน้าไม่พูดไม่จา รู้ดีว่าการกระทำของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่เรื่องถูก คาดความยั้งคิดอยู่มาก แต่เรื่องสกุลเสิ่นเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจมากนัก นอกจากคนในจวนแห่งนี้ พวกสกุลเสิ่นที่เหลือก็ไม่เคยเห็นหน้า

“เรื่องก็เกิดไปแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดแก้ตัว”เขาเอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง จนเกิดความเงียบงันขึ้นอีกระลอก

“เฟยเอ๋อร์ ไยเจ้าถึง...เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้”

“เป็นเพราะเรื่องท่านปู่ด้วยส่วนหนึ่ง”จื่อฟางเอ่ยตอบ ผู้เป็นบิดาได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็อยากโวยวายลั่นห้องอยู่หรอก แต่ทำไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดจึงได้แต่สงบสติอารมณ์ เขาเคยคิดหวังให้บุตรชายเปลี่ยนแปลงตัวเอง สนใจเรื่องราวบ้านเมืองอย่างผู้อื่นบ้าง แต่พอมาวันนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปหมด!

“แล้วอีกส่วนหนึ่งเล่า”เสิ่นมู่หยางถาม แต่ก็พอจะคาดเดาคำตอบที่เหลือได้ ...ฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของบุตรชายไปเสียแล้ว และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะหลุดพ้นได้หรือเปล่า

“ครั้งนี้เจ้าสร้างเรื่องใหญ่นัก”เสนาบดีเสิ่นยังคงเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านใจ เด็กหนุ่มถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองจนอึดอัด จึงเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อจะบอกว่าผู้ที่ใส่ความอัครเสนาบดีหลี่คือหลิวอ๋องอย่างนั้นรึ เขามีเหตุผลใดต้องทำเช่นนั้น”

เสิ่นมู่หยางย่นคิ้วอย่างใช้ความคิดชั่งใจว่าจะบอกบุตรชายดีหรือไม่ ในตอนแรกเขาเอนเอียงไปทางฮ่องเต้เจี่ยผิง เพราะสกุลหลี่คานอำนาจของฮ่องเต้มานาน แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลงมือกำจัดหลี่ลั่วหวั่น แม้ว่าอำนาจของสกุลหลี่จะมากอย่างไรแต่ก็ยังอยู่ภายใต้ฮ่องเต้ดังคำกล่าวใต้หนึ่งเหนือหมื่น เว้นแต่ว่าพระองค์อยากคุมอำนาจไว้ในมือเพียงลำพัง

พอคิดว่าบุคคลปริศนาที่พาเสิ่นจิ้งเฟยออกไปคือหลิวอ๋อง เสิ่นมู่หยางก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวที่ทราบมา เขาไม่อยากให้บุตรชายเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักแต่ในเมื่อมันเอาตัวเข้ามาเกี่ยวเต็มๆก็ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องปิดบัง ควรจะบอกกล่าวให้บุตรชายระวังตัวไว้จะดีกว่าในเมื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้แล้ว

“บอกเจ้าตามตรง ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้…”เสนาบดีกรมพิธีการมีสีหน้าหนักใจ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้กลมอีกครั้ง

“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น หากเป็นหลิวอ๋องก็คิดได้เพียงว่าเขาตั้งใจเล่นงานผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางผ่านทางหลี่ลั่วหวั่น เพราะผู้อาวุโสให้ไป๋ผูอวี้คอยสืบเรื่องการก่อกบฏของหลิวอ๋อง ท่านอ๋องรู้เข้าคงไม่พอใจเท่าไหร่ เจ้าคงรู้สินะว่า‘สหาย’ของเจ้าทำงานให้กับตาเฒ่านั่น”เสิ่นมู่หยางกล่าว ปรายตามองร่างบางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ตั้งใจเอ่ยคำว่า‘สหาย’ออกไป และก็เห็นได้ชัดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีท่าทีผิดแปลกเพราะคำพูดนี้ 

“ข้าพอทราบมาบ้าง”จื่อฟางตอบพึมพำ พยายามซึมทราบข้อมูลที่ได้รับ

“หากกำจัดสกุลหลี่และผู้อาวุโสอวิ๋นได้ในคราวเดียว ก็ถือว่ากำจัดคนขององค์ชายใหญ่ไปด้วย”เสิ่นมู่หยางยกจอกชาดื่มช้า ๆ ใช้สายตาสื่อความนัยมองบุตรชาย แปลกพิลึก...ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขามานั่งถกปัญหาการเมืองกับเสิ่นจิ้งเฟย

“คนขององค์ชายใหญ่...”เด็กหนุ่มพึมพำอย่างคาดไม่ถึง สกุลหลี่กับผู้อาวุโสเป็นคนขององค์ชายใหญ่ ที่แท้ผู้อาวุโสนั่นก็มีความเคลื่อนไหวเช่นนี้เอง ไป๋ผูอวี้คงไม่รู้เรื่องกระมังถึงได้ร่วมมือด้วย ไม่คิดว่าคนอย่างไป๋ผูอวี้จะพลาด จื่อฟางนึกถึงเรื่องที่ใต้เท้าเฉินฉางเซียงเคยบอก เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง มีคนช่วยหนีรอดออกไปได้ อย่าบอกนะว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คืออัครเสนาบดีหลี่และผู้อาวุโสอวิ๋น ร่างบางใจเต้นแรง ยกจอกชามาจิบบ้าง แต่ก็แทบอ้วกกับรสชาติอันไม่คุ้นชิน

“ท่านพ่อทราบเรื่องราวเยอะพอดู”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆ แปลกใจอยู่บ้างเพราะเสนาบดีกรมพิธีการผู้นี้ดูไม่ค่อยเล่นพรรคเล่นพวกเท่าใด เสิ่นมู่หยางหัวเราะในลำคอ

“ใช่ว่าสกุลเสิ่นจะหมดอำนาจไปโดยปริยาย ข้าก็ยังพอมีเส้นสายให้ใช้อยู่บ้าง มิเช่นนั้นไอ้กิจการร้านค้าที่เจ้าอยากทำ จะเป็นไปได้ด้วยดีอย่างนี้หรือ ใช่ว่าจะรื้อถอนก่อสร้างในตรอกซีหมานได้ตามใจชอบเสียเมื่อไหร่ หากเป็นคนธรรมดาพวกมือปราบคงมาถามหาเจ้าแล้ว”เสิ่นมู่หยางกล่าวเสียงห้วน

“ข้าขอบพระคุณมาก”จื่อฟางส่งยิ้มหวานให้อย่างเอาใจ เรื่องไหนที่คนผู้นี้ทำดีก็ต้องชม

“เฟยเอ๋อร์ การก่อกบฏครั้งนี้เจ้ามั่นใจหรือว่าหลิวอ๋องจะชนะ หากเขาทำสำเร็จเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาไม่คิดกำจัดเจ้า แล้วถ้าหากไม่สำเร็จเจ้าจะทำอย่างไร รู้ดีไม่ใช่รึว่าโทษถึงตาย”เสนาบดีกรมพิธีการมีใบหน้าตึงเครียด บรรยากาศภายในห้องกลับมากดดันอีกครั้ง 

“หากข้าบอกท่าน ก็อย่าโวยวายไป ข้ารู้ตัวว่าร่วมมือกับหลิวอ๋องเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด จึงพยายามแก้ไขด้วยการร่วมมือกับฮ่องเต้เจี่ยผิง พระองค์ถึงได้ส่งคนมาเฝ้าข้าที่จวน”เด็กหนุ่มตัดสินใจเอ่ยขึ้น ไม่อยากตอบว่าวางแผนหนีออกจากฉางอันไว้แล้ว เสิ่นมู่หยางเหมือนถูกเหวี่ยงหมัดใส่ซ้ำ ๆจนมึนงง ได้แต่กวาดตามองบุตรชายราวไม่เคยเห็นมาก่อน เรื่องวันนี้เสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาประหลาดใจจริง ๆ นึกถึงคำพูดของท่านนักพรตที่บอกว่ามีวิญญาณร้ายเข้าสิงร่างบุตรชายก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าเชื่อ เขาสะบัดความคิดไร้สาระทิ้ง

“ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่จะไว้ใจผู้ใดง่าย ๆแม้แต่กับเจ้าก็เถอะ”เขาไม่คิดว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะยอมร่วมมือกับบุตรชายง่าย ๆ

“เจ้าเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายมากถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงช่วยเหลือเจ้าแสดงว่าต้องมีแผนใดเป็นแน่ ไหนจะหลิวอ๋อง...”เสิ่นมู่หยางรู้สึกหมดเรี่ยวแรง อยากจะดุด่าว่าสิ้นคิดนัก แต่ก็หุบปากฉับเมื่อคิดได้ว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวเขาเองทั้งนั้นที่ปล่อยให้ฮ่องเต้เข้าใกล้บุตรชายได้ถึงเพียงนี้ เสิ่นจิ้งเฟยที่เปลี่ยวเหงามาเจอคำพูดล่อลวงของคนผู้นั้นจะไม่หลงกลได้อย่างไร

“ขอบใจท่านพ่อที่เป็นห่วง ข้าเองก็ระวังอยู่เช่นกัน”จื่อฟางยิ้มน้อย ๆ เกิดความเงียบระลอกใหญ่เมื่อต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิด

“แล้ว...จะเกิดอะไรขึ้นกับสกุลหลี่หรือ”เขาเอ่ยถามเมื่อนึกถึงหลี่ฮุ่ยจือที่ไม่รู้เรื่องราวใด ยังจำคำพูดของอีกฝ่ายที่โรงเตี๊ยมวันนั้นได้ เจ้าหื่นกามนั่นบอกว่าหลี่ลั่วหวั่นคิดจัดการกับเขา 

“พวกคนสกุลหลี่ยังคงถูกสอบสวน ถูกกักตัวอยู่ในจวนจนกว่าจะสืบหาความจริงได้แน่ชัด ถึงแม้หลี่ลั่วหวั่นจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่มีป้ายหยกอยู่ในที่เกิดเหตุก็ยากปฏิเสธ แถมเจ้านั่นก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าถูกคนมาชิงป้ายหยกไปจริง ตอนเกิดเรื่องก็ไม่ได้พักอยู่ที่จวนสกุลหลี่ น่าแปลกนัก ฤดูเหมันต์เช่นนี้เขาจะออกไปพักที่อื่นทำไม”เสิ่นมู่หยางบอกเล่าด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด ยังจำเหตุการในห้องไต่สวนได้ ไม่ว่าเหตุผลของอัครเสนาบดีคืออะไร นอกจากบ่าวคนสนิทก็ไม่มีผู้ยืนยัน คำให้การไม่มีน้ำหนักเช่นนี้ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ค่อยพอพระทัยนัก แม้จะมีขุนนางที่สนิทสนมกับอัครเสนาบดีหลี่มาประท้วงร้องเรียนที่หน้าประตูจั่วซุ่นก็ตาม



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: กลับคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 21-01-2019 21:47:17
ฮ่องเต้กล่าวเพียงว่า ‘เราต้องการความชัดเจน อัครเสนาบดีหลี่จะถูกไต่สวนและถูกคุมขังอยู่ในจวนจนกว่าความจริงจะกระจ่าง’เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดแล้ว เสิ่นมู่หยางรู้สึกว่าพระองค์พอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ บางทีอาจจะถือโอกาสลิดลอนอำนาจสกุลหลี่ก็เป็นได้

จื่อฟางขมวดคิ้ว “แต่ว่าเรื่องนี้ก็มองออกอย่างชัดเจนว่ามีคนใส่ความสกุลหลี่...”

“ผู้ใดก็มองออก แต่พูดออกไปได้หรือในเมื่อไม่มีหลักฐาน หลี่ลั่วหวั่นเองก็ทำตัวน่าสงสัย นอกจากบ่าวรับใช้ก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดมาชี้แจ้งว่าคืนนั้นไม่ได้ออกไปเพ่นพ่านด้านนอก”เหมือนท่านที่ไปหมกอยู่บ้านอนุกระมัง เด็กหนุ่มโต้ตอบอยู่ในใจ ไม่อยากรื้อฟื้นให้บรรยากาศเสีย

“หลี่ฮุ่ยจือจะโดนลงโทษด้วยหรือไม่”เขาถามอย่างสนใจ แม้เขาจะไม่ชอบคนหื่นกามนั่นแต่ถ้าหากคุณชายท่านนั้นโดนทำโทษเพราะตัวเขาเป็นต้นเหตุก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน

เสิ่นมู่หยางส่ายศีรษะไปมา แต่สีหน้าดูพอใจที่สกุลหลี่ตกที่นั่งลำบาก “ผู้ใดแซ่หลี่ย่อมไม่มีข้อยกเว้น เอาเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล ไม่มีผู้ใดสาวถึงเจ้าก็ดีแล้ว ยามนี้อย่าเพิ่งทำเรื่องเสี่ยงอันตรายก็พอ”พอคิดถึงเรื่องที่บุตรชาก่อกบฏก็ยิ่งพบว่าน่าปวดหัว จะเกิดอะไรขึ้นอีก เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าไม่เหมือนบุตรชายที่ข้าเคยรู้จักจริง ๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว”จื่อฟางรับคำแต่โดยดี เหลือบมองบ่าวรับใช้ในห้องอีกสามคน พวกนั้นมีสีหน้าตึงเครียดไม่ต่างกัน แม้แต่หยางชวีและหานตงที่ปกติจะทำหน้านิ่ง หัวคิ้วของคนทั้งคู่ย่นเข้าหากัน เป็นภาพที่ทำให้เขาหัวเราะ ศิษย์พี่กับศิษย์น้องช่างคล้ายกันเสียจริง แต่เขาชอบความยืดหยุ่นของหยางชวีมากกว่า

“เฟยเอ๋อร์ ข้าถามเจ้าจริง ๆ เจ้ารู้สึกเช่นไรกับฝ่าบาท”ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายเริ่มผ่อนคลาย

“ข้า...”จื่อฟางขมวดคิ้ว ยังต้องถามอีกเหรอ เขานึกถึงเสิ่นจิ้งเฟย ความรู้สึกของเจ้านั่น...“ค่อนข้างซับซ้อน แต่ข้าไม่ได้ต้องการเป็นชายงามของเขา”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเมื่อคิดใคร่ครวญดีแล้ว

“ดี ข้าได้ยินมาว่าพระองค์ทรงโปรดปรานชายงามเจาเฟิงมากนัก ถึงกับปลดชายงามออกไปเกือบหมดตำหนัก”เสิ่นมู่หยางเล่า มองปฏิกิริยาของร่างงามไปด้วย แต่บุตรชายของตนกลับพยักหน้าเงียบ ๆรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหมดจด

“อ๋องสามเล่า เจ้าคงไม่ได้มี...เอ่อ...”เสิ่นมู่หยางอึกอัก เมื่อรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเกี่ยวข้องกับหลิวอ๋องก็เป็นกังวล คนผู้นั้นไม่เหมือนฮ่องเต้ก็จริง เขาไม่ได้มีท่าทีชอบชายงาม แต่เฟยเอ๋อร์ของเขารูปงามเกินบุรุษ กลัวว่าหากเข้าใกล้จะทำให้ท่านอ๋องสับสน 

“ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ชอบคนอายุห่างขนาดนั้น”จื่อฟางลอบถอนหายใจ แม้หลิวอ๋องจะไม่ได้อายุขึ้นเลขสามและยังดูหล่อเหลาเหมือนคนหนุ่ม แต่คนอย่างท่านอ๋องน่ากลัวเกินไป บอกตามตรงว่าพี่น้องสกุลเจี่ยไม่มีผู้ใดน่าเข้าใกล้สักคน เขาไม่เคยเห็นองค์หญิงคนอื่น แต่นิสัยคงไม่ต่างกันหรอกกระมัง

“อะแฮ่ม แล้วหลี่ฮุ่ยจือเล่า”เสิ่นมู่หยางยังคงถามต่อ

“เหตุใดท่านต้องยกบุรุษพวกนี้มาถามด้วย หากข้าชื่นชอบจริง ท่านรับได้รึ”จื่อฟางแกล้งหยอกกลับ อยากรู้ท่าทีของอีกฝ่าย ไม่ใส่ใจหยางชวีที่ยืนส่ายศีรษะให้วูบหนึ่งอยู่เบื้องหลัง

เสิ่นมู่หยางขมวดคิ้ว เรื่องรักชอบบุรุษไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกโดยเฉพาะกับพวกชนชั้นสูง เขาพบเห็นมาจนชินตา อีกทั้งบุตรชายก็งดงาม ถูกเข้าใจผิดก็หลายครั้ง เขาไม่ได้รังเกียจพวกรักชอบบุรุษ แต่หากเกิดขึ้นกับเสิ่นจิ้งเฟยก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เขาปรายตามองอีกฝ่าย พอจะรู้ว่าเพราะเหตุใดร่างตรงหน้าถึงได้เอ่ยถาม เรื่องไป๋ผูอวี้ทำให้เสนาบดีเสิ่นคาใจนัก ที่ผ่านมาบุตรชายก็ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับสกุลไป๋ แม้อาจจะพูดคุยกันได้เพราะฝ่ายนั้นมาสอนหนังสือ แต่เขามองอย่างไรก็ว่าแปลก จึงให้หานตงไปสืบมา ถึงได้รู้ว่าไป๋ผูอวี้ลอบมาหาเสิ่นจิ้งเฟยถึงในจวน เสิ่นมู่หยางกระแอม

“หากเจ้าแค่เล่นสนุกข้าไม่ว่า แต่ถ้าคิดจริงจังเจ้าไม่ควร หญิงงามมีมากมายเหตุใดไม่สนใจมองเล่า เจ้าเป็นชายสมควรมีทายาทให้สกุลเสิ่นถึงจะถูก”เขากล่าวไปเช่นนั้นเพราะยังไม่อยากบังคับบุตรชายมากเกินไป ไม่รู้ว่าสองคนนั่นรักชอบกันจริงหรือไม่ อีกอย่างเจ้าเฟยเอ๋อร์ก็เอาแต่กังวลกลัวว่าเขาจะจับได้ จนลืมนึกไปกระมังว่าไป๋อู่เหยียนต่างหากที่น่าห่วง สกุลไป๋เหมือนพวกคุณธรรมค้ำคอจนน่าหัวร่อ จะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้หรือ 

เล่นสนุก อย่างนั้นหรือ จื่อฟางคิด มุมปากกระตุกเล็กน้อย เท่านี้ก็ถือว่าดีแล้วแม้จะไม่อยากใช้คำว่า‘เล่นสนุก’กับไป๋ผูอวี้ก็ตาม สายตาของเสิ่นมู่หยางยามเอ่ยเรื่องนี้ราวกับอ่านใจเขาออก เด็กหนุ่มจึงกระแอมกระไอเบา ๆ

“ถ้าหากข้าเล่นสนุกกับไป๋ผูอวี้ท่านก็อนุญาตหรือ”จื่อฟางยังไม่เปลี่ยนเรื่อง จางต้าเม้มปากส่ายศีรษะไปมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เสิ่นมู่หยางรู้สึกว่าเส้นความอดทนค่อยๆขาด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หากเขาออกปากห้าม จะห้ามได้หรือ “เจ้าอยากเล่นสนุกก็เล่นไป แต่อย่าให้เกิดคำครหา เจ้ายังต้องมีทายาทสืบสกุล”ถึงอย่างไรเขาก็คาดหวังให้เสิ่นจิ้งเฟยมีทายาทสืบสกุล แม้จะมีบุตรอีกคนกับอนุ แต่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นบุตรชายคนโตไม่เปลี่ยนแปลง จื่อฟางไม่ได้โต้แย้ง ยังไงก็ไม่อยู่ทำหลานให้เสิ่นมู่หยางอยู่แล้ว สำหรับเขาคิดว่าดีที่อีกฝ่ายยังมีบุตรอีกคนให้หวังพึ่ง แต่เสิ่นจิ้งเฟยคงคิดตรงกันข้าม

ไป๋ผูอวี้ ข้าหวังว่าจะได้เล่นสนุกกับเจ้าบ่อย ๆ 

~•~


เข้าวันที่สามหลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ มีเทียบเชิญจากวังหลิวอ๋องส่งมาที่จวนสกุลเสิ่น วันคล้ายวันเกิดของหลิวอ๋องเจี่ยซินจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันที่จะถึงนี้ จื่อฟางจึงสั่งให้สาวใช้ตัดชุดใหม่ หวังว่าจะได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงด้วย อยากพูดคุยสักเล็กน้อย ขณะที่กำลังเลือกพัดอยู่นั้น จางต้าก็เร่งรุดเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเปล่งประกายรอยยิ้มเต็มหน้า

“คุณชายเสิ่นขอรับ”

“มีอะไร ทำเสียงดังหนวกหูนัก”จื่อฟางใจกระตุก แม้สีหน้าของบ่าวรับใช้จะเต็มไปด้วยความยินดีแต่เขาก็ยังหวาดหวั่น เรื่องเผาหอหนังสือเจี่ยซานยังทำให้เขาระแวงจนหลับไม่สนิทเพราะกลัวว่าจะถูกคนจับได้

“ไป๋ผูอวี้กับกองทัพที่ไปต่อกรกับพวกชาวเหลียนกลับมาแล้ว อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงประตูเมือง คุณชายไปดูด้วยกันสิขอรับ”จางต้าเอ่ยชวน รู้ดีว่าคุณชายเสิ่นอยากพบหน้าของไป๋ผูอวี้แค่ไหน

“จะให้ข้าไปต้อนรับ เหมือนพวกหญิงสาวเนี่ยนะ”จื่อฟางเอ่ยเสียงแข็งแต่ซ่อนรอยยิ้มบนหน้าไม่ได้อยู่ดี จึงเม้มปาก ก้มมองพัดในมือ หลายสิบวันที่ไม่ได้เจอหน้าเจ้าท่อนไม้ไป๋ ทำให้เขารู้ว่าคิดถึงเจ้านั่นอยู่ไม่น้อย แม้ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ เขายังมีเรื่องต้องคุยกับไป๋ผูอวี้ ถ้าทำได้ก็อยากกระโดดไปหาที่คฤหาสน์สกุลไป๋เสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ

“ก็ได้ๆ ข้าไปก็ได้ รอเดี๋ยว ข้าไม่อยากให้คนเห็น”เด็กหนุ่มมองเงาสะท้อนในคันฉ่อง ถอดเปลี่ยนชุดสีน้ำเงินออก จนเหลือเพียงชุดตัวกลางสีขาว ควานหาเสื้อผ้าก้นหีบ หยิบเสื้อคลุมสีเหลืองอ่อนปักลายหงส์สวยงามออกมาสวม ใช้หวีสางผมยาวสยายถึงกลางหลัง นำผ้ามาคลุมปกปิดใบหน้า มองไปคล้ายหญิงงามผู้อ่อนหวาน จื่อฟางเบ้หน้า หมุนตัวไปหยิบพู่กันที่โต๊ะเขียนหนังสือ นำหมึกมาแต้มเป็นจุดใหญ่ๆที่แก้มขวาเหมือนปานอัปลักษณ์ เท่านี้ใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยก็เปลี่ยนไปแล้ว

“คุณชาย...”จางต้าอ้าปากค้าง สายตากวาดมองเสิ่นจิ้งเฟยที่บัดนี้เหมือนหญิงสาวในวัยแรกแย้มผู้หนึ่งถึงแม้จะมีแต้มสีดำน่าเกลียดอยู่ที่แก้มก็ตาม

“งดงามมากจริง ๆ”บ่าวคนสนิทนัยน์ตาเป็นประกาย จื่อฟางขึงตาใส่ “งดงาม? ข้าเติมจุดดำแล้วยังไม่พออีกหรือ”เขายื่นไปหยิบพู่กันหวังจะแต้มจุดลงบนหน้าผาก แต่บ่าวรับใช้รีบดึงออก
“พอแล้วขอรับ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา ข้าน้อยเตรียมรถม้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”จางต้ากระซิบกระซาบอย่างมีความนัย รีบจูงมือเขาออกมาจากห้อง บ่าวไพร่ที่ปัดกวาดเช็ดถูต่างก็มองเป็นตาเดียว จื่อฟางเกิดกระดากอายขึ้นมา ความมั่นใจลดฮวบ
“จางต้าทำแบบนี้จะดีจริงเหรอ”เขาเอ่ยถามระหว่างที่ถูกบ่าวคนสนิทพาวิ่งไปตามเฉลียงทางเดิน จื่อฟางวิ่งได้ไม่นานก็หอบแฮ่ก แข็งขาเริ่มอ่อนแรง ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของหยางชวีเข้าพอดี แต่ร่างนั้นคว้าแขนของเขาไว้จึงไม่หงายหลังล้มไปเสียก่อน
“…คุณชายเสิ่น…”หยางชวีมึนงงไปครู่ใหญ่กวาดตามองขึ้นลง “จะไปที่ใด”เขาได้สติก็เอ่ยถามจนจบประโยค
“พาคุณชายออกไปนอกจวนที ข้าจะไปทางประตูหน้า”จางต้าพึมพำจบก็วิ่งไปตามทาง หยางชวีไม่เอ่ยมากความจับร่างของเขาพาดบ่าแล้วกระโดดไปบนกำแพงจวน จื่อฟางเบิกตากว้าง ความสูงทำให้เวียนหัว

“นี่...”เด็กหนุ่มพึมพำ ผู้ติดตามกระโจนลงมาบนผืนดินอย่างนุ่มนวล แต่เขายังเวียนหัวไม่หาย ชายหนุ่มพาเขามาที่จุดรอรถม้า ปล่อยร่างของเสิ่นจิ้งเฟยลง คุณชายก็รีบผลุบหายเข้าไปในรถม้าทันทีราวกับกลัวมีผู้คนพบเห็น แต่หากเจอยามนี้ก็คงไม่มีผู้ใดจำได้หรอกกระมัง จื่อฟางถอนหายใจเมื่อเข้ามานั่งในรถม้าแล้ว รู้สึกโชคดีที่หยางชวีเป็นคนหน้าตายโดยธรรมชาติ จางต้าเพิ่งวิ่งออกมาจากหน้าประตูจวนหอบจนตัวโยน มองผู้ติดตามหน้าตายที่ยืนมองรถม้าด้วยสีหน้าโง่งม

“คะ คุณชายเสิ่น ไปกันเถอะ”จางต้าหอบ โบกมือไล่หยางชวี เข้าไปนั่งในรถม้าพร้อมปิดประตูตามหลังกันอากาศหนาวเย็น อาชาสีน้ำตาลอ่อนออกวิ่งกระชากรถม้าไปเบื้องหน้า จื่อฟางไม่ทันได้ตั้งตัวจึงหัวโขกกับผนังรถเสียงดังโป๊ก

“โอ๊ย”เขาใช้มือถูหน้าผาก คาดว่าอีกไม่นานต้องเป็นรอยแดงน่าเกลียด บวกกับแต้มดำบนแก้มคงลดความงามของร่างนี้ได้บ้าง เขาจึงยิ้มอย่างพอใจ

“คนเยอะรึไม่ ข้ากลัวมีคนจำได้”เด็กหนุ่มเอ่ยถามบ่าวรับใช้ จางต้ายังคงใช้สายตาเป็นประกายจ้องมองอย่างชื่นชม

“คุณชายงามเหมือนสตรีแรกแย้มเช่นนี้ ผู้คนจำไม่ได้หรอก”บ่าวคนสนิทตอบอย่างไม่คิด

“เจ้ากล่าววาจาเวอร์วังเกินไปแล้ว”เด็กหนุ่มได้แต่พึมพำเบา ๆ

“คุณชายว่าอะไรนะขอรับ”จางต้าได้ยินคำแปลก ๆที่คุณชายพูดออกมาก็ทำสีหน้าฉงน หรือเขาหูฝาดไปเอง

“เปล่า แค่บอกว่าเจ้าพูดจาเกินจริง”จื่อฟางทำสีหน้าเรียบนิ่ง เผลอพูดจาสมัยใหม่ไปเสียได้ อาชาเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองอย่างกระฉับกระเฉงราวกับรับรู้จิตใจของผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้า

~•~
   
 
 
ไป๋ผูอวี้มองท้องฟ้าครึ้มแดดครึ้มฝนเบื้องบนด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายไปกว่าครึ่ง อาชาสีขาวแข็งแรงควบฝ่าสายลมหนาวมุ่งหน้าไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่เริ่มมองเห็นเป็นรูปร่าง ประตูเมืองฉางอันอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เหล่าทหารของแม่ทัพเมิ่งควบม้าตามมาติด ๆ เขาเหลือบมองเว่ยหลง ซูเหลียนฮวาและคนของสกุลไป๋อีกจำนวนหนึ่งที่ควบอาชาตามมาห่าง ๆ คิดว่าดีนักที่ผู้ติดตามเหล่านี้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ แค่เพียงชายหนุ่มเอ่ยบอกว่าจะร่วมมือกับทหารราชสำนักจัดการชนเผ่าเหลียนที่เมืองอี้โจว พวกเขาก็ยินดีร่วมศึกโดยไม่เอ่ยถามมากความ ชายหนุ่มนึกไปถึงความทรงจำยามเผชิญหน้ากับฮ่องเต้เจี่ยผิง
   
ภายในห้องดื่มชา อวลไปด้วยกลิ่นชา คุณชายสูงศักดิ์ใบหน้าหล่อเหลาสวมชุดผ้าแพรชั้นดีนั่งจิบชาอุ่นร้อนอย่างช้า ๆ ใบหน้านิ่งสงบ หลับตารับรสชาติหอมละมุนลิ้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าของร่างจะลืมตามองบุตรชายสกุลไป๋ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย

ไป๋ผูอวี้เป็นเพียงบุตรชายคหบดี บรรดาศักดิ์ไม่อาจเทียบได้ สายตาจึงหลุบต่ำไม่ได้มองผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า

“ไม่ต้องมากพิธี”ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวเชื่องช้าแต่เป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอยเสียมากกว่า เจ้าแผ่นดินแสดงชัดเจนว่าพอใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ที่เบื้องหลังเขามีองครักษ์นามว่าเฮ่อเจ๋อตามติดมาเช่นทุกครา ไป๋ผูอวี้ต้องข่มกลั้นความโกรธที่มีต่อองครักษ์ผู้นั้น บ่าวในเรือนของเขาเกือบตายเพราะการข่มขู่ทรมานให้ได้ข้อมูลของอีกฝ่าย แต่เฮ่อเจ๋อคล้ายกับล่วงรู้ความในใจ ใบหน้าภายใต้การปกปิด หันมองเขาเพียงนิด ดวงตาสีดำเป็นประกายท้าทาย   

“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีรับใช้ ยินยอมไปรบที่ชายแดน แต่กระหม่อมมีเรื่องบังอาจร้องขอ...”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเปรย รู้ดีว่าเป็นเรื่องเสี่ยงเพียงไหน

“ร้องขอ? เจ้าคงไม่ได้หมายถึงเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยหรอกกระมัง”ใบหน้าสูงศักดิ์ของฮ่องเต้เจี่ยผิงมีประกายความโกรธแผ่ซ่าน ร่างสง่าลุกจากที่นั่ง ยืนไพล่หลังก้มมองร่างของบุตรชายสกุลไป๋ด้วยสายตาเยียบเย็น ในขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างไม่ได้เงยหน้าสบตา ยังคงคุกเข่าด้วยท่วงท่าองอาจอยู่เช่นเดิม ใบหน้าของไป๋ผูอวี้ไม่ปรากฏอารมณ์ใด ความรู้สึกเหมือนกลืนลูกเหม็นลงคอ เขาไม่เคยคุกเข่าให้ผู้ใดมาก่อน ยกเว้นกับท่านพ่อและท่านอาจารย์หย่งสือ เพราะเหตุนี้กระมังเขาถึงสองจิตสองใจว่าอยากเป็นขุนนางหรือไม่ ศักดิ์ศรีของสกุลไป๋ค้ำคอ เขาพยายามท่องบทสอนของอาจารย์หย่งสือ

‘ลูกผู้ชาย ศักดิ์ศรีสำคัญเท่าชีวิต แต่หากมีชีวิตที่สำคัญกว่า ก็จงปกป้องจนตัวตายให้เท่ากับศักดิ์ศรีที่อยากรักษา’

เพราะมีสิ่งที่ต้องปกป้อง เขาจึงกล้ำกลืนคำว่าศักดิ์ศรีลงคอ และไป๋ผูอวี้รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงจะไม่พอใจฮ่องเต้แต่ก็ไม่โง่ทำเสียกิริยาต่อหน้าเจ้าแผ่นดิน

“ไป๋ผูอวี้ เจ้ามิใช่คนโง่งม คงไม่ได้คิดต่อรองกับเราหรอกกระมัง ฐานะของเจ้ากับเราต่างกันราวฟ้าเหว ยังคิดกล้าต่อรองอีกหรือ”เสียงของฮ่องเต้เจี่ยผิงก้องกังวานอยู่ในห้องดื่มชา ไร้ความรู้สึกชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่ายามนี้โอรสสวรรค์รู้สึกเช่นไร

“กระหม่อมทราบดี แต่ก็ยังยืนยันเช่นเดิม กระหม่อมยินดีช่วยเหลือแผ่นดินเจี่ย ยินดีรับใช้ฝ่าบาท เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยชายงามเพียงคนเดียวคงไม่มีทางสำคัญกว่าเรื่องแผ่นดิน กระหม่อมกล่าวถูกหรือไม่”ชายหนุ่มกล่าว ยังคงก้มหน้า มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมขององค์ฮ่องเต้ เฮ่อเจ๋อยืนฟังอยู่ในมุมมืด ครุ่นคิดว่าไป๋ผูอวี้กล่าวออกมาเช่นนี้ถือว่าใจกล้ามากทีเดียว เป็นสิ่งที่เขาเห็นด้วยแต่ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกไป เสิ่นจิ้งเฟยก็แค่ชายงามผู้หนึ่ง ฮ่องเต้มิจำเป็นต้องใส่ใจยกมาเทียบเท่างานแผ่นดิน

ไป๋ผูอวี้ใจเต้นระรัวอยู่ในอก รับรู้ถึงกระแสกดดันจากฮ่องเต้เจี่ยผิงที่แผ่ออกมาลึกๆก็หวั่นใจว่าฮ่องเต้จะไม่สนใจคำพูดของเขา เขาเป็นผู้ใดเล่า?ก็แค่เก่งกาจวรยุทธมากกว่าผู้อื่น ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำ แต่เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้วางแผนใช้คนสกุลไป๋ไว้อย่างไร ไป๋ผูอวี้ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ตนเอ่ยจะไม่เป็นการกระทบโทสะของฮ่องเต้

“เจ้าช่างพูดนัก ที่ปรึกษาเกาคงสอนมาดี”เจี่ยผิงกล่าวเบา ๆ ฮ่องเต้หนุ่มมองไม่เห็นสีหน้าของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจึงไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้คิดสิ่งใด แม้จะอยู่ที่ต่ำกว่าชายหนุ่มก็ยังสัมผัสได้ถึงความถือดีของคนแซ่ไป๋

“ไป๋ผูอวี้ เราไม่คิดว่าเจ้าจะยอมแหกกฎสกุลไป๋เพราะเสิ่นจิ้งเฟย เราประทับใจนัก”น้ำเสียงนั้นมีร่องรอยประชดประชัน สำหรับเจี่ยผิงแม้ว่าจะชอบคนงามมากเพียงใด แต่แน่นอนว่างานแผ่นดินย่อมสำคัญกว่าชายงามผู้หนึ่ง เขารู้ดีว่าไป๋ผูอวี้กำลังต่อรองกับตนด้วยการนำสิ่งที่เขาต้องการมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน ช่างโง่เขลาและกล้าบ้าบิ่น แต่ฮ่องเต้หนุ่มกลับพบว่าตนเองพอใจอยู่น้อย ๆ

ไป๋ผูอวี้ผู้นี้ไม่รู้ความจริงที่เขารู้ แม้ว่าเจี่ยผิงจะต้องการร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยมากเพียงไหน แต่ในยามนี้เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่กับเขา เรื่องของจื่อฟางค่อยจัดการทีหลัง ยามนี้เขาต้องการกำลังของคนสกุลไป๋ไว้รับมือกับการก่อกบฏของหลิวอ๋อง ส่วนกำลังทหารมีฝีมืออีกส่วนหนึ่งจะนำมาป้องกันอารักขาเมืองหลวงต้อนรับการมาของช่างอิ่น

“เจ้าต้องการขอสิ่งใดก็ว่ามา”ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสไร้ความขุ่นหมอง แต่ไป๋ผูอวี้กลับฟังออกว่าเป็นสัญญาณอันตราย ฮ่องเต้มีแผนอยู่ในใจ เขาต้องระมัดระวังคำพูด...

“คำร้องขอของกระหม่อมเป็นเรื่องง่าย กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาทยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป ผู้คนมิใช่สิ่งของ เสิ่นจิ้งเฟยก็เช่นกัน เขามิใช่นกน้อยในกรงทองของท่าน เขามีความคิดมีความรู้สึก”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยเสียงตั้งมั่น หัวคิ้วขมวดมุ่นน้อย ๆ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนเว่ยหลงยามที่ทำเรื่องสิ้นคิด ผู้ติดตามของเขามักห้ามอารมณ์ตนเองไม่อยู่ ชอบพูดจายั่วโทสะผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง การทำตัวโง่เง่ารู้สึกเช่นนี้เองหรือ

“เจ้าบังอาจนัก กล้ากล่าววาจาสั่งสอนเราหรือ ไป๋ผูอวี”เจี่ยผิงขบฟัน กวาดตามองร่างตรงหน้าด้วยสายตาแผดเผา ‘ยึดติดรึ เจ้าไม่รู้เรื่องใดเลยต่างหาก ไป๋ผูอวี้ เจ้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องของเรา’

“กระหม่อมมิกล้า เพียงแค่บอกเล่าให้พระองค์ฟัง”ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยวาจาร้องขอไปตรง ๆแต่คิดว่าฝ่าบาทคงเข้าใจความนัยของการร้องขอครานี้ถึงได้มีโทสะ การปล่อยเสิ่นจิ้งเฟยมีอิสระไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฮ่องเต้เจี่ยผิง

“หึ เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เราสงสารเจ้านัก เสิ่นจิ้งเฟยมิใช่คนเดิมที่เจ้ารู้จัก  หากเขาเป็นอีกคนเจ้าจะยังต้องการเขาอยู่หรือ ไป๋ผูอวี้”เจี่ยผิงข่มอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า

“ความต้องการของกระหม่อมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นอย่างไร เขาจะหน้าตาอัปลักษณ์ กระหม่อมก็ไม่เปลี่ยนใจ กระหม่อมชื่นชอบในตัวตนของเขา”ไป๋ผูอวี้ตอบ ครั้งนี้เงยหน้าสบตากับเจ้าแผ่นดินวูบหนึ่ง มองเห็นสีหน้าราบเรียบของฮ่องเต้เจี่ยผิงที่ดูแปลกตาไป คล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฮ่องเต้ยังคงไม่ขยับเขยื้อน

“ชื่นชอบที่ตัวตนอย่างนั้นหรือ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงหัวเราะเย็นชาดังตามมา ร่างของคุณชายสูงศักดิ์หมุนตัวออกไปจากห้องดื่มชาโดยไม่บอกไม่กล่าว  สองวันต่อมาฮ่องเต้เจี่ยผิงปรากกายที่โรงน้ำชาหลิวซื่ออีกครั้งบิดาของเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่มองมาด้วยท่าทางสงสัย ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอามือไพล่หลังกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“เราให้เวลาเจ้าปราบชนเผ่าเหลียนครึ่งเดือน หากเจ้าทำสำเร็จ เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเสิ่นจิ้งเฟย”

ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่ามีช่องว่างในคำพูดของฝ่าบาท คนผู้นั้นไม่ได้เอ่ยจำเพาะเจาะจง แต่เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เขาให้คำสัญญากับเสิ่นจิ้งเฟยไว้ หากจัดการเรื่องสกุลไป๋เสร็จจะพาหนีไปด้วยกัน เขาได้แต่ภาวนาให้เรื่องวุ่นวายจบลงในเร็ววันเสียที

“กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น เรื่องของบ้านเมืองย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัว คนผู้นั้นต้องการกำลังของสกุลไป๋ ต้องการความภักดีของเขา ชายหนุ่มไม่ชอบฮ่องเต้ผู้นี้ แต่เรื่องบ้านเมืองจะให้ความรู้สึกส่วนตัวมาชี้นำไม่ได้ เขาละทิ้งอคติต่อเจ้าแผ่นดิน คาราวะฮ่องเต้ด้วยจิตใจที่ไร้ความรู้สึก



“ไป๋ผูอวี้ ท่านคงเหนื่อยไม่น้อย”แม่ทัพเมิ่งกล่าวขึ้น เมื่ออาชาของฝ่ายนั้นหยุดรอเขาก้าวหนึ่งจนอาชาสีขาวของไป๋ผูอวี้ตามทัน ผู้ร่วมศึกทั้งสองจึงควบม้าเคียงกัน เป็นเรื่องดีที่แม่ทัพเมิ่งไม่ใช่พวกแบ่งพรรคแบ่งพวก ไป๋ผูอวี้จึงไม่มีปัญหาในการร่วมศึก แม่ทัพเมิ่งไม่เหมือนพวกขุนนางในราชสำนัก เขาทำเพื่อแผ่นดินเจี่ยอย่างแท้จริง เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ส่งคนมาช่วยเหลือก็ไม่ได้ว่ากล่าวมากความ รีบบอกถึงสถานการณ์ที่ชาวบ้านบางกลุ่มไม่พอใจราชสำนักจนร่วมมือกับชนเผ่าเหลียน

ไป๋ผูอวี้ไม่ต้องการให้มีราษฎรได้รับบาดเจ็บเพิ่ม จึงใช้สันติวิธีให้พลทหารนำความไปบอกแก่ชาวบ้าน หากผู้ใดที่ไม่คิดร่วมมือกับชนเผ่านอกด่าน ให้นำผ้าขาวมาแขวนที่หน้าประตูบ้าน เหตุนี้จึงลดความสูญเสียบาดเจ็บของราษฎร อีกทั้งแม่ทัพเมิ่งเองก็มีฝีมือ ให้พลทหารส่วนหนึ่งประจำการณ์อยู่ที่เมืองอี้โจว ไป๋ผูอวี้คิดว่าการลุกฮือต่อต้านราชสำนักไม่ใช่เรื่องธรรมดานอกจากชนเผ่าเหลียนแล้วยังมีคนของชนเผ่าหูชักจูงอยู่เบื้องหลัง ชนเผ่าหูเกี่ยวข้องถึงอดีตองค์รัชทายาทเจี่ยอี้

“แม่ทัพเมิ่งก็เช่นกัน ข้าเพียงแค่มาเสริมกำลังให้พวกท่านเท่านั้น”ชายหนุ่มกล่าวถ่อมตัว ยังคงภาพลักษณ์คุณชายผู้สุขุมไว้อยู่ แม้ว่ายามนี้เขาจะไม่เหมือนคุณชายที่ชื่นชอบดื่มชาเล่นหมากอีกต่อไปแล้ว เส้นผมของเขาถูกรวบเป็นมวย ใบหน้าคล้ำแดด มีรอยแผลจากการสู้รบ ร่างกำยำขึ้นหลายส่วน ท่วงท่าอย่างนักรบผู้องอาจมาแทนที่ แม่ทัพเมิ่งสังเกตเห็นและรู้ดีว่าไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ฝึกได้ในไม่กี่วัน ไป๋ผูอวี้คุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้ เขาได้ยินว่าบุตรชายสกุลไป๋มีวรยุทธที่เก่งกาจ แม่ทัพเมิ่งเห็นคนผู้นี้จับกระบี่ก็ไม่มีข้อสงสัย อีกไม่นานคนผู้นี้คงมียศตำแหน่งด้านทหาร ด้วยฝีมือแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังขา ยกเว้นพวกขุนนางในวังหลวงจะเข้ามาสอด

“ข้าหวังว่าจะได้พบท่านอีก”เมิ่งอู่หลันกล่าวก่อนจะกระตุกบังเหียนม้านำหน้าไปหลายก้าว ไป๋ผูอวี้เพียงหยักยิ้ม เขาไปสมทบที่เมืองอี้โจวใช้เวลาต่อกรกับพวกชนเผ่าเหลียนเพียงยี่สิบวันเท่านั้น ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดวางเขาไว้ที่ตำแหน่งใดก็ไม่ทราบได้ นึกถึงที่ปรึกษาเกาจวีถังก็ถอนหายใจ คงไม่พ้นถูกบ่นอีกกระมัง หัวหน้าคณะบัณฑิตผู้นั้นต้องการให้เขาเข้าร่วมสภาบัณฑิต ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบด้าน เขาควบม้ามานานหลายชั่วยามแล้วจึงรู้สึกเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง เมื่อเห็นประตูเมืองฉางอันอยู่เบื้องหน้าก็ปล่อยลมหายใจออกมา   



~•~


รถม้าของจื่อฟางใช้เวลาหนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) กว่าจะมาถึงประตูเมือง ร่างบางเลิกม่านออกไปมองด้านนอกพบว่ามีชาวบ้านยืนออเป็นแถวยาวเพื่อรอดูท่านแม่ทัพเมิ่งผู้กล้าหาญและคนสกุลไป๋ที่เพิ่งกลับมาจากชายแดนทางเหนือ จางต้าสวมใส่ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเช่นกัน ร่างของบ่าวคนสนิทช่วยพยุงเขาลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าเหมือนประคองสตรีรูปร่างบอบบางก็ไม่ปาน

ทันทีที่เขาก้าวลงจากรถ สายตาของผู้คนก็จ้องมองมาทันที หญิงแรกแย้มสวมชุดสีเหลืองอ่อนสบายตา นางปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำทำให้ดูลึกลับ ดวงตากระจ่างแฝงแววถือดีมองกวาดไปทั่ว แม้จะมีรอยปานสีดำที่ข้างแก้มแต่ก็มองออกว่าเป็นแม่นางน้อยผู้งดงามคนหนึ่ง จื่อฟางถูกคนจ้องจนเหงื่อตก กระซิบกับจางต้า

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีคนจำข้าได้”เด็กหนุ่มไม่มั่นใจเอาเสียเลย ลมหนาวพัดโกรกมาวูบใหญ่พาให้หนาวสั่น จื่อฟางรีบจับรวบผ้าคลุมที่เปิดออกเล็กน้อย มือเรียวขาวซีดปรากฏให้เห็น ใบหน้าคุ้นตาทำให้ยิ่งถูกจ้องมอง เขาจึงก้มหน้าปล่อยให้บ่าวคนสนิทดึงชายเสื้อไปยังแถวที่มีชาวบ้านยืนออกันอยู่

“หลบหน่อย ๆ แม่นางของข้าไม่ค่อยสบาย”เขาได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อเจ้าบ่าวคนสนิทพูดจาไร้สาระ แต่เวลานี้ทำอะไรไม่สะดวก จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผู้คน

“นี่ แล้วข้าจะเห็นเขาเหรอ”จื่อฟางพึมพำจับผ้าคลุมหน้าไว้เมื่อลมหนาวพัดมาอีกวูบหนึ่ง

“เห็นสิขอรับ”จางต้ากระซิบดึงดันจนพาเด็กหนุ่มมายืนอยู่แถวหน้าสุด เสียงกีบม้าดังแว่วมาไกล ๆ จื่อฟางใจเต้นกระหน่ำ เก้อกระดากขึ้นมาเมื่อนึกถึงหนังจีนโบราณที่มีฉากนางเอกเฝ้ารอคอยพระเอกที่เป็นแม่ทัพกลับมาจากการสู้รบ จึงเม้มปาก ใบหน้าร้อนไปกับความคิดไร้สาระ น่าอายจริง ๆ เขาไม่น่าลำบากมาเลย อากาศหนาวเย็นซ้ำยังต้องคอยระวังผ้าคลุมหน้า ไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้จะจำได้หรือเปล่า
 

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: กลับคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 21-01-2019 21:53:03


“มาแล้ว ๆ”เสียงชาวบ้านด้านหน้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงกู่ร้องยินดีของชาวบ้านที่มารอต้อนรับ จื่อฟางเอาแต่ก้มหน้าเพราะฝุ่นที่ฟุ้งจนเข้าหน้าเข้าตาทำให้สำลักไอสองสามครั้ง แม่ทัพเมิ่งควบม้านำหน้าสวมชุดเกราะสกปรก ใบหน้าหล่อเหลาแบบชายชาตรีเขียวครึ้มไปด้วยนวดเครา จื่อฟางน้ำตาไหลเพราะฝุ่นเข้าตา กวาดสายตามองหาไม่นานก็พบกับร่างคุ้นตา จางต้ากระตุกชายเสื้อของเขารัว ๆไปด้วย

เจ้าบ่าวคนนี้ เด็กหนุ่มขึงตาใส่จางต้า ก่อนมองคนบนหลังม้าให้ชัด ไป๋ผูอวี้ควบอาชาสีขาวตัวใหญ่สวยงามตัวหนึ่ง ร่างนั้นสวมชุดเสื้อกางเกงยาวสีดำ ไม่คล้ายคุณชายผู้สุภาพสุขุมอีกต่อไป ร่างนั้นอย่างน้อยก็กำยำกว่าเดิมหลายส่วน ใบหน้าหล่อเหลามีไรนวดขึ้นจางทำให้ดูดุดันสมกับเป็นนักรบ ดวงตาสีดำมองตรงไปด้านหน้า เบื้องหลังมองเห็นเว่ยหลงและซูเหลียนฮวาควบม้าตามมาไม่ห่าง นางมารหมื่นพิษแต่งตัวอย่างบุรุษ จื่อฟางเผลอยกมือโบกอย่างลืมตัวเมื่ออาชาสีขาวเข้ามาใกล้

โอ๊ะ

เด็กหนุ่มรีบหดมือกลับทันที เพราะมีสายตาหลายคู่จ้องมองมา ไป๋ผูอวี้สบตากับเขา

ตึกตัก ตึกตัก

เจ้านี่จะจำเขาได้หรือไม่นะ ม้าของไป๋ผูอวี้หยุดอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มบนหลังม้าก้มมอง สายตาเป็นประกาย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็น ทำเอาหญิงงามที่มายืนต้อนรับมองเป็นตาเดียว

“คุณชาย...”เสียงของซูเหลียนฮวาลอยเข้าหู จื่อฟางสบตากับนางครู่หนึ่ง พบว่าใบหน้าที่แต่งแต้มเหมือนบุรุษหน้าหวานมีรอยยิ้มหยอกล้อ เขาจึงเบนสายตามองไป๋ผูอวี้อีกครั้ง ชายหนุ่มบนหลังอาชายื่นมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลมาให้

“แม่นาง...”เสียงทุ้มต่ำของร่างนั้นคล้ายกับดังอยู่ข้างหู

กรอดด ไป๋ผูอวี้เรียกเขาว่าแม่นาง! แต่ยามนี้เขาก็คือแม่นางนี่นะ

จื่อฟางเงยหน้ามองผ่านผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง เอื้อมจับมือหนาหยาบกร้านกว่าเดิมของอีกฝ่าย อ้อมแขนนั้นดึงรั้งตัวเขาขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างนุ่มนวล ร่างของเขาจึงอยู่ภายในอ้อมแขนแกร่งของไป๋ผูอวี้ แผ่นหลังผอมบางสัมผัสกับหน้าอกกำยำของร่างด้านหลัง เสียงเกรียวกราวของเหล่าชาวบ้านที่มองดูยิ่งสร้างความเขินอายแก่เขานัก บ้าไปแล้ว!ฉากแบบนี้มันอะไรกัน เขาเม้มริมฝีปาก อยากมุดแผ่นดินหนี

“นั่งนิ่ง ๆ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”ไป๋ผูอวี้กระซิบ กระตุกบังเหียนเบา ๆ อาชาสีขาวจึงควบไปเบื้องหน้า จื่อฟางปล่อยเสียงอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ข้าจะตกแล้ว!”เด็กหนุ่มคว้าท่อนแขนของไป๋ผูอวี้ไว้ เขาไม่ได้ขี่ม้ามานานมากแล้ว ยิ่งร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะปวดเมื่อยตามตัวไปอีกกี่วัน

“ชู่ววว”ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคอราวกับมีความสุขนักหนา จมูกจรดใกล้กับเส้นผมของร่างบางในอ้อมแขนที่สั่นน้อย ๆตามการเคลื่อนไหวของอาชา

“เจ้าไม่ตอบจดหมายข้า”จื่อฟางพึมพำ ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนเมื่ออาชาควบผ่านตรอกแห่งหนึ่ง แม้จะหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีผู้คนแล้วก็ยังไม่พ้น

“ข้าขอโทษ เรื่องยาวนัก ไว้ข้าจะเล่าให้ฟัง เวลานั้นค่อยดุด่าข้าดีหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเบา มือข้างหนึ่งรวบเอวบางของคุณชายรูปงามไว้ จื่อฟางไม่กล้าเงยหน้ามองรอบข้าง “เจ้าไม่กลัวผู้คนเอาไปพูดหรือ”

“คนเอาไปพูดก็คงบอกเพียงว่าบุตรชายสกุลไป๋พาแม่นางใบหน้ามีตำหนิผู้หนึ่งออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ได้เจอหลายวันก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เปลี่ยนไป ท่วงท่าอย่างคุณชายดูจะหายไปด้วย ไม่รู้ว่ายามอยู่เมืองหลานโจวไป๋ผูอวี้เป็นคนเช่นไร หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นี้

“เจ้าเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ระหว่างที่ม้าควบพาไป๋ผูอวี้มุ่งหน้าไปยังตรอกซอกซอยห่างไกลจากตรอกซีหมาน

“ไม่รู้สิ”แม้มองไม่เห็นสีหน้า เขาก็คิดว่าคนด้านหลังคงยกยิ้มอยู่ “ไหนเจ้าบอกว่าจะพาข้ากลับบ้านอย่างไร”จื่อฟางมองไปรอบตัวเมื่ออาชาหยุดอยู่หน้าเรือนสี่ประสานขนาดพอเหมาะหลังหนึ่ง

“นี่เป็นบ้านของข้า”ไป๋ผูอวี้กล่าว เหวี่ยงขาลงจากม้า กระโดดลงด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง เมื่อลงมาแล้วก็ยื่นมือออกไปรวบเอวของคุณชายเสิ่นมาอุ้มในท่วงท่าของหญิงสาว คุณชายรูปงามขึงตาใส่อย่างหงุดหงิด เขาอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เห็นหน้าของคุณชายท่านนี้สิบกว่ากลับรู้สึกเหมือนผ่านไปนานนัก

“บ้านของเจ้า หมายความว่าอย่างไร”จื่อฟางขมวดคิ้ว สูดดมกลิ่นกายบุรุษ ไป๋ผูอวี้ที่เคยหอมกลิ่นชาอ่อน ๆไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“ข้าซื้อบ้านหลังนี้ไว้นานแล้ว เอาไว้นัดพบสหาย คุณชายเสิ่นเข้าใจหรือยัง”ชายหนุ่มกระโจนขึ้นไปผ่านกำแพงบ้าน อย่างชำนาญ เมื่อเท้าสัมผัสผืนดินก็ก้าวฉับ ๆ เข้าไปในเรือน ลานบ้านปลูกต้นเหมยไว้สามสี่ต้น เพราะเป็นช่วงเหมันต์หิมะตกหนักมาก่อนหน้านี้ ดอกเหมยจึงร่วงหล่นช้ำเกลื่อนพื้นดูไม่สวยงามเฉกเช่นทุกที

“ไป๋ผูอวี้เจ้ามีความลับเยอะนัก คิดจะปกปิดข้าไปถึงเมื่อไหร่”จื่อฟางเอ่ยพึมพำ ขณะที่ชายหนุ่มร่างกำยำพาเขาเข้าไปในห้องรับรอง บรรยากาศอุ่นสัมผัสร่างกายเย็น ไป๋ผูอวี้ปล่อยร่างของเขาลง เด็กหนุ่มจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มองการเคลื่อนไหวรวดเร็วของอีกร่างจุดกระถางไฟในห้อง พร้อมกับนำเครื่องมือชงชาออกมา เด็กหนุ่มนั่งลงบนตั่งขณะกอดอกมองร่างของชายหนุ่มอีกคน ไป๋ผูอวี้หมุนกลับมาเผชิญหน้า รอยยิ้มสุภาพคุ้นตากระจายบนใบหน้าหล่อเหลา

“ข้าจะบอกเจ้า”ไป๋ผูอวี้ก้าวไปใกล้ เอื้อมปลดผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าของคุณชายร่างบางออก ใช้สายตาสำรวจมองอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ 

“เจ้ามองจนพอใจหรือยัง”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายจ้องนานเกินไปแล้ว ไม่กลืนข้าลงท้องเลยเล่า

จื่อฟางกระแอม “เจ้าดูสบายดี คงไม่ได้รับบาดเจ็บกลับมากระมัง”

“ตรวจดูไหมเล่า”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหยอกพร้อมกับแหวกสาบเสื้อบริเวณหน้าอกให้เห็น แผ่นอกแข็งแรงเผยให้เห็น

“ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้า”จื่อฟางทำเสียงเข้ม รู้ดีว่าความโกรธเคืองที่มีต่อคนตรงหน้ามอดดับไปตั้งแต่สบตากันที่ประตูเมืองแล้ว

“เหตุใดฮ่องเต้ถึงไว้ใจเจ้า แล้วเจ้ายอมร่วมมือกับฝ่าบาทได้อย่างไร ไหนว่าสกุลไป๋ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย”จื่อฟางซักถามอย่างข้องใจ มองไป๋ผูอวี้หยิบเอาห่อใบชาแห้งออกมาจากอกเสื้อ จัดเตรียมชงชา ชายหนุ่มเงยหน้ามองเสิ่นจิ้งเฟยก่อนยกยิ้ม รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่คุ้นชินกับตนในสภาพทะมัดทะแมงเช่นนี้ นี่คือตัวตนของชายหนุ่มยามอยู่หลานโจว แต่เมื่อมาลงหลักปักฐานที่ฉางอันเมืองหลวงอันมั่งคั่ง ย่อมต้องทำตามผู้อื่น คุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบนับถือ เขาจึงสวมบทบาทนั้น ยามที่อยู่เมืองอี้โจวจึงรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเก่า 

“ฮ่องเต้เจี่ยผิงมาพบข้าที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ เอ่ยเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณชายเสิ่นฟัง แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายลึกลับเมื่อเล่าถึงองครักษ์ของฮ่องเต้ที่ทรมานบ่าวในเรือนของเขาอย่างทารุณเพื่อซักถาม จื่อฟางขนลุกที่ท้ายทอยเมื่อเห็นสายตานั้นของอีกฝ่าย  ดูท่าจะไม่ใช่การซักถามธรรมดาเสียแล้ว เขาจ้องร่างสูงกำยำชงชาด้วยท่วงท่าคุ้นตา คุณชายไป๋ที่สุภาพนุ่มนวลกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มยกยิ้มจาง นั่งลงข้างกายเขา ในมือกุมจอกชากลิ่นอ่อนยื่นส่งให้ร่างบาง จื่อฟางไม่คิดดื่มแต่ก็รับมาถือแก้หนาวตามมารยาท

 “เดิมทีสกุลไป๋เคยข้องเกี่ยวกับราชสำนักเป็นเรื่องนานมาแล้วกระทั่งท่านพ่อก็ยังไม่เกิด แต่เพราะฮ่องเต้ในสมัยนั้นหวาดระแวงสกุลไป๋ที่คุมกำลังด้านทหารจึงวางแผนกำจัดสกุลไป๋ เรื่องครานั้นทำให้สกุลไป๋หลบหนีไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองหลานโจว ตั้งแต่นั้นมาคนสกุลไป๋จึงถูกพร่ำสอนว่าอย่าได้ข้องเกี่ยวกับพวกราชสำนักและคนมีอำนาจ คงมีท่านพ่อกับข้ากระมังที่ละเมิดกฎ”ไป๋ผูอวี้ยิ้มหยัน ละเลียดดื่มชาด้วยมาดของคุณชาย จื่อฟางได้แต่กวาดตามองคนใกล้ตัวอย่างละเอียด ใบหน้าของร่างนั้นคล้ำแดด มีรอยแผลรอยเล็ก ๆกระจายอยู่ใกล้หางคิ้ว 

“ข้าถึงได้รู้เรื่องผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ เขามองคนผิดไปจริง ๆ ตอนพบเจอกันครั้งแรกท่านผู้อาวุโสบอกว่าทำงานให้กับฮ่องเต้เจี่ยผิง ต้องการให้เขาสืบเรื่องการก่อกบฏของหลิวอ๋อง ชายหนุ่มเป็นคนนำเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยร่วมมือกับท่านอ๋องไปรายงานเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็รู้สึกว่าโง่เขลานัก

“ไปเมืองอี้โจว ฮ่องเต้ไม่ได้บังคับ ข้าเต็มใจไปเอง แต่ข้าเอ่ยขอกับฝ่าบาทเรื่องหนึ่ง…”ชายหนุ่มถอนหายใจ สบตากับเสิ่นจิ้งเฟยอย่างสื่อความนัย เด็กหนุ่มเบิกตาโต พอจะรู้ว่าเรื่องที่ไป๋ผูอวี้ร้องขอคือเรื่องใด

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดถึงร้องขอเขา เจ้าไม่ควรทำเช่นนั้น”จื่อฟางพึมพำ ไม่ชอบความคิดที่อีกฝ่ายต้องก้มหัวขอร้องฮ่องเต้เจี่ยผิง ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มมองเขาด้วยสายตาจริงจังจนหัวใจเต้นแรงอย่างไม่เอาไหน

“ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องการ”

“เขายอมหรือ…”จื่อฟางเม้มริมฝีปาก ฮ่องเต้กล่าวชัดเจนว่าต้องการ‘ทั้งหมด’ของเสิ่นจิ้งเฟย คนผู้นั้นดีแต่เหนี่ยวรั้งผู้คนให้อยู่ด้วยอำนาจ ไม่รู้จักกับความรัก บางทีฮ่องเต้อาจรู้สึกรักเสิ่นจิ้งเฟยอยู่บ้าง แต่คงแยกไม่ออก คิดถึงฮ่องเต้ก็ทำให้เขาปวดหัวทั้ง ๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“เรื่องแผ่นดินกับชายงาม ถ้าหากฝ่าบาทยังเลือกชายงาม ข้าว่าเขาก็ไม่ควรเป็นเจ้าแผ่นดินอย่างที่หลิวอ๋องคิด”ไป๋ผูอวี้พึมพำ

“เจ้าจะบอกว่าเจ้ายอมละเมิดกฎสกุลไป๋เพราะข้า?”จื่อฟางมองคนใกล้ตัวอย่างตกตะลึงปะปนกับความซาบซึ้งใจ ความอบอุ่นคืบคลานเข้ามาในอก

“ข้าทำตามความต้องการของตัวเอง ข้าต้องการเจ้า”ไป๋ผูอวี้สบตากับคุณชายรูปงามที่ใบหน้ามีรอยหมึกสีดำแต้มอยู่ที่ข้างแก้ม ชายหนุ่มไม่ได้ใช้มือเช็ดออก โคลงศีรษะมอง คิดว่าก็ไม่น่าเกลียดเท่าไรนัก

“ไป๋ผูอวี้เจ้ารู้หรือไม่...ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมง่าย ๆ ที่เขายอมก็เพราะ...”เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก ตั้งใจจะบอกความจริง แต่ก็ยังหวาดกลัวกับท่าทีของอีกฝ่าย

“เพราะอันใด”ชายหนุ่มรอฟังเงียบ ๆรู้ดีว่าคุณชายท่านนี้มีเรื่องสำคัญจะกล่าว ร่างบางผ่อนลมหายใจ มองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส

“ไป๋ผูอวี้ ข้ามิใช่เสิ่นจิ้งเฟย”

ชายหนุ่มยกจอกชาดื่ม “เจ้าเคยบอกแล้ว…ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”

จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ บิดมือไปมาอย่างเป็นกังล “ข้าคือ…ร่างที่เจ้าเห็นคือเสิ่นจิ้งเฟย แต่วิญญาณของข้าไม่ใช่ ชื่อของข้าคือจื่อฟาง”เขากลั้นใจบอกออกไป ในห้องเกิดความเงียบอยู่นาน เด็กหนุ่มจึงหันมอง ไป๋ผูอวี้จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตานิ่งงัน เดาไม่ออก จื่อฟางเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้ง

“เจ้าว่าอย่างไร”

“เจ้าคือจื่อฟาง?”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทวนช้า ๆ คุณชายท่านนี้มักพูดจาชวนงุนงงอยู่บ่อยครั้ง วิญญาณหรือ…“จื่อฟางผู้นั้นเป็นชายในฝันของเจ้าไม่ใช่หรือไร”

“ความจริงก็คือตัวข้าจื่อฟางเป็นวิญญาณผู้หนึ่ง เข้ามาอยู่ในร่างของคุณชายไม่เอาไหนเสิ่นจิ้งเฟย”เด็กหนุ่มอธิบายช้า ๆ มองร่างตรงหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าคือดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้ถาม ต้องการคำตอบที่แน่ชัด

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ข้าไม่รู้ว่าร่างของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ข้าไม่ได้มาจากโลกนี้ ข้ามาจากที่อื่น สถานที่ที่ใกล้มาก”

“เจ้าหมายถึงปรโลก…เจ้าตายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้ยื่นมือมาจิ้มแก้มเขาเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายวาบไหว

“ไม่ใช่!”จื่อฟางลุกพรวดอย่างขัดใจ เหตุใดถึงมาทำตัวโง่งมเอาตอนนี้ “เจ้าจำได้หรือไม่ ข้าชนกับเจ้าที่นอกหอผูเยว่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้ามาโลกนี้ เข้าร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ภาพวาดที่ข้าบอกว่าเป็นชายในฝันคือร่างจริงของข้า ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง...ยามนี้อยู่ในร่างชายงามของฮ่องเต้นามว่าเจาเฟิง”จื่อฟางกล่าวช้า ๆ กลั้นหายใจบอกความจริงทั้งหมด จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ไม่ได้ละสายตาออกไปจากชายหนุ่มตรงหน้า

ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วน้อย ๆ สิ่งที่ได้ยินเหนือความคาดหมายของเขา ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ มีเรื่องแบบนี้เกิดด้วยหรือไร แต่เมื่อมาคิดดูแล้วคุณชายท่านนี้เปลี่ยนไปราวคนละคนก็นับแต่วันนั้น ก็เพราะเหตุนี้เอง

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แม้จะไม่ได้รู้สึกขบขัน “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

“เจ้าเชื่อข้าหรือเปล่า ข้าพูดความจริง”เด็กหนุ่มถามซ้ำ ไป๋ผูอวี้ดื่มชาจนหมดก่อนวางจอกชาลงบนโต๊ะ มองเขาด้วยสีหน้าใคร่รู้

“ข้ายังจำวันที่พบเจ้าที่นอกหอผูเยว่ได้ดีนัก เจ้าดูสับสนมึนงง มาคิดดูเจ้าไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยที่ข้ารู้จัก ลายมือของเจ้าต่างจากของเขา หรือว่า...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจ้าไม่ยอมบรรเลงกู่เจิงให้ข้าฟัง”ชายหนุ่มกระจ่างแจ้งในบัดดล ทุกสิ่งอย่างที่ผิดแปลกของร่างนี้เริ่มเค้าเข้า ไป๋ผูอวี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากทีเดียว แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว คุณชายท่านนี้ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก

“ถูก”จื่อฟางยอมรับ กระแอมเล็กน้อย “ร่างจริงของข้าไม่ได้งดงาม ไม่มีฝีมือบรรเลงกู่เจิงไพเราะ ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เจ้าคง...ชอบข้าอยู่กระมัง”เด็กหนุ่มพบว่าการสบสายตาของชายอีกคนเป็นเรื่องที่ยากนักจึงเบนสายตามองเครื่องใช้ในห้องแทน

“ข้าขอเวลาไตร่ตรองสักครู่”ไป๋ผูอวี้กล่าวจบก็ก้าวออกจากห้องไป ทิ้งให้จื่อฟางว้าวุ่นอยู่เพียงลำพัง ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ เขากัดริมฝีปากก่อนสืบเท้าตามออกไปด้านนอก บรรยากาศเย็นต้องร่าง ไป๋ผูอวี้ยืนกอดอกมองต้นเหมยด้วยท่าทางเหม่อลอย เขามองไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าร่างนั้นมีรอยยิ้มที่มุมปาก ไป๋ผูอวี้หรี่ตามองคุณชายร่างบางทางหางตา ดูท่าเขาจะแกล้งได้ผล

ไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยรึ เขาลองนึกภาพตนเองตีสนิท จุมพิตทำเรื่องบนเตียงกับคุณชายเสิ่นคนเดิม ก็ขมวดคิ้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เขาไม่มีทางทำลงเด็ดขาด ต่อให้หลับตาก็ตาม และคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยที่ตนรู้จักไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่ เรื่องที่เสิ่น--ไม่สิจื่อฟางบอกมาเป็นเรื่องเหลือเชื่ออยู่บ้าง วิญญาณเข้าร่าง?ฟังดูน่าสับสน เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่ใกล้ฮ่องเต้ น่าสงสารนัก แต่เขาว่าจื่อฟางน่าสงสารมากกว่า เข้ามาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยโดยที่ไม่รู้เรื่องใดรอดมาได้นานถึงเพียงนี้ก็ดีแล้ว

“ไป๋ผูอวี้ เจ้า…ยอมรับไม่ได้หรือ”จื่อฟางเอ่ยถามไม่เต็มเสียง

“ข้าอยากฟังเจ้าบรรเลงกู่เจิง”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นช้า ๆ สายลมหนาวพัดมาอีกระลอก พาให้หนาวสั่น เขาจึงหมุนตัวหันมองคุณชายร่างบางที่ใช้แขนผอมบางโอบกอดรอบตัว สีหน้าหวาดหวั่นชวนให้เวทนา ไป๋ผูอวี้แกล้งอีกฝ่ายมากไปหรือไม่

“ข้าบรรเลงไม่ได้ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย”เด็กหนุ่มกำมืออยู่ในแขนเสื้อจนรู้สึกเจ็บ

“ข้าไม่ได้พูดถึงเสิ่นจิ้งเฟย ข้าหมายถึงเจ้า ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้ก้าวมาประชิดตัว ร่างสูงใหญ่บดบังลมหนาวที่พัดเอื่อยมาเป็นระลอก

ฟางเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ เด็กหนุ่มเม้มปาก รู้สึกงุ่นง่านไปหมด

“ข้าฝีมือไม่ดี”เขาพึมพำ

“ข้าอยากฟัง หูของข้าทนได้”ชายหนุ่มกล่าวหยอกล้อ จนร่างบางขึงตาใส่ ก่อนเบนสายตาหลบหนีมองต้นเหมยในลานบ้านแทน แต่ฝามือหนาของชายหนุ่มจับใบหน้าของเขาให้หันกลับมาสบตา

“จื่อฟาง เจ้าฟังข้า ข้าไม่ได้ชอบเสิ่นจิ้งเฟย ตั้งแต่แรกข้าสงสัยมาตลอดว่าการกระทำที่ของเสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนไป  ผู้ที่ทำให้ข้าสนใจก็คือเจ้า หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม ข้าไม่มีวันเหลียวมองเขา ข้าชอบตัวตนของเจ้า ต่อให้เป็นคนอัปลักษณ์ ข้าก็ยืนยันเช่นเดิม”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงหนักแน่นจนในอกสั่นไหว อยากเอาหน้ามุดแผ่นดินเพราะสายตาพลุ่งพล่านทของอีกฝ่าย

“ข้า…ข้าก็ชอบเจ้าเช่นกัน”จื่อฟางสารภาพความในใจออกไปตรง ๆ ถือว่าครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ในโลกปัจจุบันเขาไม่เคยเอ่ยปากบอกชอบใคร ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้น”ไป๋ผูอวี้เอียงศีรษะมอง

“เวลาข้าอยู่กับเจ้า ข้าจะเรียกชื่อจริงของเจ้า ดีหรือไม่ ฟางเอ๋อร์”ชายหนุ่มมองเห็นว่าจื่อฟางหูแดงก่ำ จึงเอื้อมไปบีบนวดเบา ๆ เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก สูดหายใจเข้าลึก ๆก่อนโน้มตัวไปจุมพิตที่ริมฝีปากของชายหนุ่มตรงหน้า เพราะความสูงที่ต่างกันจึงต้องเขย่งเท้า ไป๋ผูอวี้ยึดต้นคอของเขาไว้ก่อนจะจูบละลาบละล้วงไม่เกรงใจราวกับอดอยากมานานปี ชายหนุ่มบดเบียดริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนกลีบปากนุ่ม ปลายลิ้นสอดกวาดอย่างห่วงหา ร่างของจื่อฟางถูกสองแขนแข็งแรงรวบกอด ฉุดดึงเบา ๆเพียงนิดแผ่นหลังของเขาก็แนบติดกับผนังห้อง แม้อากาศภายนอกจะเย็นแต่ร่างกายกำยำของไป่ผูอวี้ร้อนผ่าว กักเขาอยู่ในอ้อมแขนจนแทบหลอมละลายไปด้วย

“เจ้าหายไปไม่บอกไม่กล่าว”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายผละริมฝีปากออกมาพรมจูบทั่วใบหน้าเล็ก “คราวหลังอย่าทำเช่นนี้อีก”เขากล่าวเตือน ริมฝีปากเลื่อนมาสัมผัสกันอีกครั้ง ไป๋ผูอวี้เลื่อนมือโอบแผ่นหลังคนในอ้อมแขน  อีกมือหนึ่งเลื่อนต่ำลงมาวางที่บั้นท้าย จื่อฟางขยับตัวอย่างไม่คุ้นชินกับสัมผัสหนักแน่นจากฝามือนั้น ใจเต้นตึกตัก ทำไมไป๋ผูอวี้ถึงห่างไกลจากคำว่าท่อนไม้เข้าไปทุกทีเล่า

“ข้าจะไม่ทำอีก”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ร่างบางแค่นเสียงในลำคอ สายตาของชายหนุ่มปราดมองลำคอขาวตรงหน้าก่อนประทับจูบที่ซอกคอเบา ๆ ริมฝีปากอุ่นขบเม้ม ปลายลิ้นลากวนอย่างหยอกล้อ ได้ยินเสียงร้องเบา         ๆดังเครืออยู่ในลำคอ จื่อฟางโอบกอดอีกฝ่าย ซบหน้าลงกับบ่าแข็งแรง กอดแนบชิดอยู่เช่นนั้นอยู่นานจนกระทั่งรู้สึกถึงส่วนนั้นของไป๋ผูอวี้ที่ตอบสนองต่อสัมผัสเมื่อครู่ เขาผละมองหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าร้อนผ่าว ๆ

“ขออภัยคุณชาย ข้าอยู่ในสนามรบ ไม่มีเวลาทำเรื่อง…”ไป๋ผูอวี้โคลงศีรษะ แววตาเป็นประกายจ้องมองเด็กหนุ่มในอ้อมแขน

“ไม่เหมือนเจ้า มีเวลาไปหาความสุขที่หอผูเยว่”ชายหนุ่มคลายอ้อมกอด ดันร่างของจื่อฟางกลับเข้าไปในห้องเพราะตากอากาศเย็นอยู่นานแล้ว จื่อฟางก้าวเดินตามแรงดันจากชายหนุ่ม

“เจ้ารู้มาจากผู้ใด”เขาเอ่ยถามหน้าเผือดซีด นึกได้ว่าหอคณิกาแห่งนั้นเหลือเพียงเถ้าถ่าน เถ้ากระดูกของแม่เล้าเถาฮวาก็คงปะปนอยู่เช่นกัน เขานั่งลงอย่างอ่อนแรง รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง   

“จางต้าเขียนจดหมายถึงข้า”ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ บ่าวคนสนิทของเสิ่นจิ้งเฟยช่างน่าขำนัก แต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีที่ฉายชัดเจนของอีกร่างจึงเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องใดขึ้นที่หอผูเยว่ สีหน้าของเจ้าไม่ค่อยดียามที่พูดถึง”จื่อฟางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในฉางอันให้ฟัง รวมทั้งเรื่องหลิวอ๋อง การใส่ร้ายสกุลหลี่ เมื่อเล่าจบไป๋ผูอวี้ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ฝามือหยาบหนาลูบแก้มข้างที่มีปานดำปลอม ๆแต่งแต้มอยู่ เด็กหนุ่มเอียงหน้าหนีฝามือหยาบชวนจั้กจี้นั้น

“ข้าไม่ได้อยู่ช่วยเหลือเจ้า”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ

“เจ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”บทสนทนาของเขากับเจ้านี่เริ่มแปลกๆเข้าไปทุกที

“หยางชวีดูแลเจ้าได้ดีนัก”น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้จื่อฟางต้องเลิกคิ้วมอง “เจ้าหึง?”

“เปล่า”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าชอบหยอกล้อเขาอยู่เรื่อย หากเขาคิดจริงจังขึ้นมาเล่า เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าหยางชวีเป็นพวกเก็บซ่อนความรู้สึกเก่ง ไม่มีทางทำเรื่องผิดต่อจื่อฟาง เขาถอนหายใจอีกรอบ

“เจ้าไม่ต้องไปพบฮ่องเต้หรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ ใช้มือลูบริมฝีปากของตัวเองอย่างเหม่อลอย คล้ายกับว่าสัมผัสของอีกฝ่ายยังคงอยู่ ไป๋ผูอวี้จ้องมองตามนิ้วมือเรียวที่ลูบไปตามกลีบปากอ่อนนุ่มแต่ก็ต้องหักห้ามใจตัวเองเป็นการใหญ่ 

“เอาไว้คราวหลัง ตอนนี้ข้ายังมิใช่ทหารใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาท”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบ ลูบเส้นผมดำขลับยาวสยายของร่างบาง แววตามีประกายสงสัยวาบผ่าน

“จื่อฟาง ตัวจริงของเจ้าไม่ได้ไว้ผมยาวหรือ”เขาจำภาพวาดของจื่อฟางได้ ใบหน้าไม่ได้หล่อเหลาสะดุดตาเช่นคุณชายสูงศักดิ์ ผมสั้นสีดำเข้มยาวระต้นคอ แต่ดวงตาของร่างนั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูด

“ใช่ ในโลกที่ข้าจากมา ไม่ได้เป็นเช่นยุคนี้ ขนบธรรมเนียมต่างกัน ชายหญิงแตะต้องกันไม่ผิด หลับนอนก่อนแต่งงานก็ไม่ผิด โลกนี้...ข้าเรียกว่ายุคโบราณ”ทั้งความคิดคนและยุคสมัย จื่อฟางตอบ ไป๋ผูอวี้คล้ายกับนิ่งงันไป

“ทำไมรึ”

“ตัวเจ้า ในโลกที่เจ้าจากมามีคู่ครองหรือยัง”ชายหนุ่มอยากรู้ กวาดตามองร่างตรงหน้าขึ้นลง นึกถึงเรื่องหวาบหวามบนเตียงเมื่อคราวก่อนก็คิดว่าคนผู้นี้ดูเชี่ยวชาญไม่เหมือนคนที่ไม่เคย 

“ข้าไม่มีคู่ครอง แต่เคยผ่านคู่นอนร่วมเตียงมาบ้าง”จื่อฟางตอบตามตรง ร่างกายผ่อนคลาย ไม่ต้องแสร้งแสดงละครต่อหน้าไป๋ผูอวี้อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มได้ยินคำตอบจากอีกร่างก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ   

“หมายความว่าอย่างไร”

“ก็หมายความว่าข้า เอ่อ มีสัมพันธ์ทางกายกับผู้อื่นก่อนมาเจอเจ้า แต่ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก”จื่อฟางไม่ค่อยอยากพูดถึงมาก เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนว่าไป๋ผูอวี้มีเรื่องที่อยากเอ่ยถามมากมาย

“เอาไว้ข้ากลับไปจวนสกุลเสิ่นเมื่อใด ข้าจะวาดภาพเปลือยของตัวเองให้เจ้าดูดีหรือไม่ จะได้เห็นว่าเรือนร่างที่แท้จริงของข้าเป็นอย่างไร”เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกสนุก หัวเราะเบา ๆเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนกระแอมกระไอ “เจ้าบ้าหรือ”

“รูปร่างของข้า ไม่ได้อ้อนแอ้นเหมือนหญิงอย่างเสิ่นจิ้งเฟย เกรงว่าเจ้าจะผิดหวังเสียมากกว่า”จะว่าไปเขาก็ถือเป็นคนแข็งแรงคนหนึ่งเพราะต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ร่างกายจึงค่อนข้างแตกต่างจากร่างนี้มาก 

“ข้าไม่คาดหวัง”ชายหนุ่มพึมพำ ทำให้คุณชายร่างบางหรี่ตามอง ไป๋ผูอวี้ยิ้มจาง รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้นานแล้ว ราวกับได้กลับบ้านเก่า แต่รอยยิ้มก็จางหายเมื่อนึกถึงเรื่องวุ่นวายที่ต้องเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของเขา ชายหนุ่มไม่ได้ละทิ้งสกุลไป๋เพื่อคนผู้หนึ่ง บุรุษคนหนึ่งจะปกป้องสิ่งมีค่าพร้อม ๆกันไม่ได้เชียวหรือ เขาจะปกป้องจื่อฟางและสกุลไป๋

“ท่านพ่อของเจ้าว่าอย่างไร”จื่อฟางเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายก็ถามขึ้น

“เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าทำ บิดาโกรธข้ามากทีเดียว”ไป๋ผูอวี้ไม่อยากนึกถึงว่าท่านพ่อจะมีท่าทีอย่างไรหากทราบเรื่องของเขาและจื่อฟาง
   
‘ไป๋ผูอวี้ ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก ข้าเคยบอกกล่าวกับเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าได้ข้องเกี่ยวกับราชสำนัก เหตุใดถึงไม่ฟังคำสอยของข้า’ไป๋อู่เหยียนมองมาที่บุตรชายด้วยแววตาไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาบุตรชายเช่นเขาไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียแก่วงส์สกุล ยึดมั่นเดินตามขนบธรรมเนียมเสมอมา

‘ยามที่ท่านพ่อช่วยเหลือเสิ่นฉินอี้และใต้เท้าเฉินที่หลานโจวคราวนั้น ท่านมีเหตุผลใดลึกซึ้งหรือไม่เล่า’ไป๋ผูอวี้ย้อนถามกลับ

‘เรื่องของข้ากับเจ้าเทียบกันได้หรือ สถานการณ์ต่างกันมากนัก เจ้าละเมิดกฏจนท่านอาจารย์หนีไปยังไม่พออีกหรือไร ยังทำเช่นนี้ข้าถามเจ้าในฐานะบิดา หากเจ้าสร้างเรื่องจนตัวตาย คิดบ้างหรือไม่ว่าสกุลไป๋จะเหลือสิ่งใด กว่าจะตั้งหลักได้ก็ผ่านมาหลายสิบรุ่น เจ้ากลับทำลายทิ้งเพราะความต้องการของตนเอง’

‘ข้าทำในสิ่งที่ต้องการ’

‘เจ้าต้องการสิ่งใดกันเล่า ข้าสงสัยนัก ถามตัวเจ้าให้ดี’ไป๋อู่เหยียนทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น 

ท่านพ่อมิน่าถาม สิ่งที่ข้าต้องการคือเส้นทางที่ต่างจากท่านและสิ่งที่สกุลไป๋ขีดเส้นไว้
ไป๋ผูอวี้เสียใจที่ทำผิดต่อสกุลไป๋ แต่เส้นทางที่เขาเลือกเดินไม่อาจย้อนกลับ ก่อนจะได้เจอกับจื่อฟาง เขาก็เดินเข้ามาลึกมากแล้ว เรื่องของคณะบัณฑิต ที่ปรึกษาเกา ผู้อาวุโสอวิ๋นและฮ่องเต้เจี่ยผิง ไม่ใช่เรื่องผิวเผิน เขาไตร่ตรองดีแล้ว


“ข้าไม่ได้คิดหันหลังให้สกุลไป๋ ไม่ช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดเรื่อง”ไป๋ผูอวี้ปวดขมับจี๊ด ๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องกลับไปเผชิญที่คฤหาสก์สกุลไป๋ เหตุนี้เขาถึงได้พาคุณชายรูปงามมาพูดคุยอย่างเปิดอกที่บ้านหลังนี้ก่อน ได้เจอคนผู้นี้ถือว่าเป็นการเติมพลังอย่างหนึ่ง 

“หวังว่าเรื่องจะไม่ร้ายแรงไปกว่านี้”จื่อฟางพึมพำเบา ๆ 
 
 
------------------------------------
ไป๋ผูอวี้กลับมาแล้วว เจอกันตอนหน้าค่ะ

 



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-01-2019 23:39:12
ไป๋ผูอวี้ ข้าหวังว่าจะได้เล่นสนุกกับเจ้าบ่อย ๆ 
นั่น...ก็คือความต้องการของคนอ่าน ......เช่นกัน   :z3: :z3: :z3:

ไป๋ เปิดเผยความต้องการจื่อฟางต่อฮ่องเต้  :katai2-1:
จื่อฟาง ก็บอกความจริง ตัวตนของตัวเองให้ไป๋รู้  :mew1:
เต้.........นายจะเอาหมดคนเดียวได้ยังไง แฟร์ๆ นะเต้  o18
ชอบบบบบ  ที่ไป๋ พาจื่อฟางสภาพหญิง ขึ้นม้าตัวเดียวกัน   :impress2:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-01-2019 00:13:54
อ่านวนตอนพาขึ้นม้าหลายรอบ ฮือออ ละมุน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-01-2019 01:31:48
แนบชิดสนิทแน่นกันแล้ววววว  :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-01-2019 01:47:38
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:


 o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-01-2019 07:08:03
ฟินเลยนะฟางเอ๋อร์
น่ารักมากๆเลยฮรือออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 22-01-2019 12:36:54
เป็นตอนที่น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 22-01-2019 21:07:10
เครียดแต่ก็ยังมีช็อตให้แอบเขิน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Fer.lentz ที่ 22-01-2019 21:20:14
ดีใจที่น้องจื่อในทีี่สุดก็ได้บอกความจริงซักที~
แต่พี่ไป๋นี่ ช่วงหลังไม่เหลือความเป็นท่อนไม้ล้าว กลายเป็นไม้เลื้อยอย่างเดียวเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 22-01-2019 23:35:24
รอตอนต่อไปใจจดใจจ่อเลยจ้าาาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 22-01-2019 23:40:04
เจ้าท่อนไม้​รู้​ความจริง​แล้ว​ ฉากรอกลับจากไปรบเหมือนเมียมารอผัวเลย​ เขินมากค่ะ​ จื่อฟางจะได้กลับโลกปัจจุบัน​มั้ยคะ​
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 23-01-2019 08:41:45
สนุกมาๆ  คีะ  ละมุนละไมหวานมาก

ติดตาม
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 23-01-2019 10:03:44
นึกว่าจะได้สนุกกันซะอีก
5555ไม่ได้เสียดายที่ไม่มี
แต่แค่รอคอยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 23-01-2019 11:43:11
โงยย น่ารักก  :mew3: :katai1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 24-01-2019 12:58:26
จื่อฟางจะวาดภาพเปลือยให้ท่อนไม้ไป๋ไว้ดูเฉยๆ เหรอ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-01-2019 14:41:32
แอบเครียดนิด ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-01-2019 12:22:46
อ่านวนตอนขึ้นม้าหลายรอบมากค่ะ เขินไปหมด ฮือ ความจริงคุณไป๋ลุคนี้แบบเผ็ชไปสามบ้านแปดบ้านเร้าใจที่สุด อ่านไปสูดยาดมไป จะล้ม ใจบางไปหมด อยากช่วยตรวจดูว่าเป็นแผลไหม มาเปิดเสื้อตรงนี้ค่ะ แค่กๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-01-2019 14:41:40
สนุกมาก :sad4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 27-01-2019 09:02:14
บรรยายรายละเอียดออกมาเป็นภาพเลยค่ะ จินตนาการงี้โลดแล่นนนนนน

เจ้าหนุ่มหยางชวีจะมีคู่ไหมค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 27-01-2019 22:04:49
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นมาก อยากให้ทั้งสองคนหนีไปด้วยกันเร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสอง: หวนคืน P.19 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 28-01-2019 16:45:51
บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว

ณ จวนสกุลเสิ่น

มืดค่ำแล้วแต่คุณชายเสิ่นยังไม่กลับ สร้างความร้อนใจให้กับจางต้าอย่างมาก ถือว่าดีที่นายท่านยังไม่ทราบเรื่องที่คุณชายเสิ่นออกไปรับไป๋ผูอวี้ที่ประตูเมือง ตั้งแต่ฟ้าแจ้งจนยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เขาจึงถูกเจ้าคนหน้าตายหยางชวีซักถามไม่หยุดจนรู้สึกรำคาญ

“ข้าถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย คุณชายเสิ่นไปที่ใด”ผู้ติดตามเอ่ยถามเสียงนิ่ง คิ้วขมวดมุ่นคล้ายหมดความอดทน ช่วงนี้สถานการณ์ในราชสำนักไม่ค่อยดี จางต้าปล่อยให้คุณชายหลุดรอดสายตาไปได้อย่างไร

“ข้าบอกว่าไม่รู้อย่างไรเล่า!”จางต้ากัดฟันตอบ บอกเจ้าคนหน้าตายไปตั้งสองสามรอบแล้ว เหตุใดไม่ฟังกันบ้าง อีกอย่างหากเป็นผู้อื่นที่พาคุณชายออกไป เขาคงไม่นิ่งนอนใจเช่นนี้

“ไม่รู้ได้อย่างไร หากเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณชาย เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”หยางชวีไม่เข้าใจจริง ๆว่าบ่าวผู้นี้เซ่อซ่าหรือโง่กันแน่

“คุณชายเสิ่นไปกับไป๋ผูอวี้”บ่าวรับใช้จำต้องพูดออกมา “คนผู้นั้นดูแลคุณชายได้”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขารังแกคุณชาย”หยางชวีมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่อยากพูดถึงนัก

“อา!”จางต้าส่งเสียงร้องอย่างนึกรำคาญขณะที่สาวเท้าหนีห่างจากอีกฝ่าย “เหตุใดวันนี้เจ้าพูดมากนัก เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้พาคุณชายเสิ่นไปทางไหน”ร่างของจางต้าชะงักกึก หมุนตัวไปมองใบหน้าเรียบเฉยของหยางชวีอีกครั้ง
“อ้อ นึกออกแล้ว!เจ้าลองไปถามเว่ยหลงดูสิเขาอาจจะรู้ก็ได้”จางต้าเสนอ คิดว่าอย่างน้อยผู้ติดตามบ้ากำลังนั่นน่าจะรู้ หยางชวีนิ่งไปอย่างใช้ความคิด เมื่อประมวลผลแล้วว่าคำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผลจึงแค่นเสียงหึในลำคอ ปรายตามองทีหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไปโดยไม่บอกกล่าว

จางต้าถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สลัดเจ้าคนหน้าตายออกไปได้เสียที เขาตั้งใจจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนแต่สายตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่ยืนอยู่บนกำแพงจวนเสียก่อน บ่าวรับใช้ชะงัก จ้องมองไปที่ร่างนั้น แม้มองจากที่ไกลก็ยังบอกได้ว่างดงามราวสตรี เงาร่างปริศนาสวมใส่ชุดสีม่วงปักลายสง่าที่ทำให้จางต้านึกถึงคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย แต่พักนี้ไม่ค่อยเห็นคุณชายใส่เสื้อผ้าหรูหราเช่นนั้นมากนัก เขากระพริบตาพบว่าร่างนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว จางต้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม เป็นผู้ใดกันนะ?หรือฮ่องเต้ส่งคนงามผู้นี้มาเฝ้าจวน บ่าวรับใช้ขบริมฝีปากความกังวลคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดแต่ยามนี้เมืองหลวงมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บ่าวรับใช้จึงคิดว่าค่อยรายงานคุณชายเสิ่นทีหลัง เมื่อคิดได้ดังนั้นก็กลับเข้าไปในเรือน

…...

ร่างของชายงามเจาเฟิงกระโดดลงมาจากกำแพงสกุลเสิ่นด้วยท่าทางทุลักทุเล ฮ่องเต้เจี่ยผิงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยรับไม่ให้ร่างนั้นล้ม แต่เสิ่นจิ้งเฟยก้าวออกห่างส่งสายตาเย็นชามาให้ ไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ผู้มาเยือนอีกร่างก็ปรากฏ เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี

“พวกเจ้า...”หานตงจ้องเขม็งไปที่ร่างของชายงามครู่หนึ่งเป็นความงามที่แตกต่างจากคุณชายเสิ่น แต่สายตาที่จับจ้องมาให้ความรู้สึกคุ้นชินยิ่ง ชายหนุ่มมองเห็นเจ้าของร่างสูงยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก รอบตัวคนผู้นั้นคล้ายกับแผ่ความสูงศักดิ์ออกมาจนเขาไม่กล้าสบตามอง หานตงผงะไปด้วยความตกใจรีบคุกเข่าคาราวะ เขาเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมากพิธี เราแค่มาเดินเล่น”ฮ่องเต้หนุ่มไม่อยู่ในอารมณ์พูดคุยกับผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยาง เขาจึงมองปราดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ คว้าข้อมือเล็ก ๆของเสิ่นจิ้งเฟย เดินนำกลับไปที่รถม้าที่จอดห่างออกไปไม่ไกล

หานตงยังคงก้มหน้ารับรู้ถึงแรงกดดันขององครักษ์ที่มองไม่เห็นกาย เมื่อรถม้าคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมา นึกถึงเมื่อครั้งที่ได้เผชิญหน้ากับหลิวอ๋องก็บ่นอยู่ในใจ เหตุใดเขาต้องโผล่มาในสถานการณ์เช่นนี้ทุกที หานตงเหม่อมองไปทางทิศที่รถม้าเพิ่งจากไป ชายงามเมื่อครู่...สายตายามที่จดจ้องเขาช่างคุ้นเคยนัก หานตงได้ยินนายท่านเอ่ยถึงฮ่องเต้ ระยะนี้ฝ่าบาทโปรดปรานชายงามเจาเฟิงมากเป็นพิเศษ เรื่องนี้ทำให้นายท่านหวังว่าฮ่องเต้จะลดความสนใจไปจากคุณชายเสิ่น หานตงรู้สึกคลุมเครือ ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงมาเฝ้าดูคุณชายก็แสดงว่าความลุ่มหลงยังไม่หมดไป แม้ว่าจะมีชายงามที่โปรดปรานข้างกายก็ตาม หานตงได้แต่ทำสีหน้าไร้ความสึก เรื่องของเจ้าแผ่นดินไม่คิดอยากกล่าววาจาเรื่อยเปื่อย


…….

รถม้าเคลื่อนตัวออกห่างจวนสกุลเสิ่นเข้าไปทุกขณะแต่ความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ในอกยังไม่จางหาย เมื่อครู่เสิ่นจิ้งเฟยได้พบกับจางต้า เจ้าบ่าวขี้แย ‘คงสบายดีสินะ’ เขายกยิ้มจางเมื่อนึกถึงเรื่องขำขันของบ่าวผู้นั้น รอยยิ้มลดลงเมื่อคิดถึงผู้ติดตามของบิดา หานตง...แต่ไหนแต่ไร เด็กหนุ่มก็มิเคยคิดชื่นชอบเจ้านั่น คนผู้นั้นมักใช้สายตาสั่งสอนมองมาที่เขาเสมอทั้งยังชอบทำตัวสะเออะเรื่องผู้อื่น แต่เมื่อได้พบเจออีกครั้งก็อดรู้สึกถึงความหลังมิได้ แม้จะบอกว่าเกลียดเสิ่นมู่หยางจนไม่อาจให้อภัยแต่เขาก็ยังมีความรู้สึกเป็นห่วงอยู่เล็กน้อยเมื่อครั้งที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายถูกนำตัวไปไต่สวนที่กรมอาญา เสิ่นจิ้งเฟยสะบัดความคิดทิ้งเมื่อรู้สึกว่าถูกสายตาของคนข้างกายจ้องมอง ฝามืออุ่นของฮ่องเต้ยังคงกอบกุมข้อมือไว้จนแน่น

“ปล่อย”เขาเอ่ยเสียงห้วนอย่างไม่เกรงกลัว

“แค่จับข้อมือเจ้า ก็ไม่ได้หรือ”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ มือนั้นลูบข้อมือของเขาเบา ๆก่อนละจากไป ผิวเนื้อบริเวณนั้นร้อนวูบวาบจากการสัมผัสของอีกฝ่าย เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้วใช้แขนเสื้ออีกข้างเช็ดให้ความรู้สึกดังกล่าวหายไป

“เห็นเจ้ารังเกียจข้าเช่นนี้แล้วเศร้าใจนัก นึกถึงวันวานที่เจ้ามักมาคลอเคลียข้างกาย”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อแกล้งเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น รู้ดีว่าเรื่องไหนทำให้ชายงามมีโทสะได้ และก็ได้ผลทันตาเพราะชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาเย็นชาที่อาบไปทั้งร่าง

“พูดเรื่องเก่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ดีแต่ทำให้ข้ารังเกียจท่านเสียเปล่าๆ”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำ มองออกไปนอกหน้าต่างฉลุลวดลาย

“ไม่เห็นเป็นไร จะมากหรือน้อยเจ้าก็รังเกียจข้าอยู่ดี”เจี่ยผิงไหวไหล่ สายตาจับจ้องร่างของชายงามไม่วางตา เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายร้องขอตนด้วยเรื่องใดจึงกล่าวขึ้น “ว่าอย่างไร จื่อฟางไม่อยู่หรือ”

“ไม่อยู่”ชายงามตอบเสียงเบา สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องใด เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ยอมทำตามคำขอของเขาโดยไม่มีเรื่องอื่นมาต่อรอง เขาอยากออกมานอกวังหลวงส่วนหนึ่งก็เพราะอยากพูดคุยกับจื่อฟาง อีกส่วนก็เพราะเบื่อหน่าย

“เจ้าอยากคุยกับเขาคงไม่ใช่เพราะหารือวิธีฆ่าเราหรอกกระมัง”ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อแต่สีหน้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เสิ่นจิ้งเฟยหันมอง เลิกคิ้วน้อย ๆ

“หากข้าอยากฆ่าท่าน ข้าทำไปนานแล้ว”เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา จะกล่าวให้ถูกคือไม่มีจังหวะเสียมากกว่าเพราะสุนัขของฮ่องเต้วนเวียนอยู่นอกตำหนักตลอดเวลา เจี่ยผิงโคลงศีรษะ รอยยิ้มผุดน้อย ๆ

“อืม...ข้าตายด้วยน้ำมือเจ้าคงมีความสุขกว่าใต้น้ำมือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน”บุรุษหนุ่มนึกถึงการก่อกบฏที่ใกล้จะเกิดขึ้นเร็ว ๆนี้ เขารู้สึกได้ เหตุการณ์วุ่นวายที่เมืองอี้โจวก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ให้แม่ทัพเมิ่งและไป๋ผูอวี้กลับมาก็เพราะต้องการให้อีกฝ่ายตายใจ หากเขาแสดงท่าทีว่าล่วงรู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นก็เกรงว่าจะทำให้หลิวอ๋องและช่างอิ่นเปลี่ยนแผน  หลิวอ๋องกำลังหาจังหวะเวลาลงมือ  ช่างอิ่นก็เช่นกัน กำลังรอให้หลิวอ๋องเพลี้ยงพล้ำแล้วเข้ามาแทรกแซงโจมตี

“สายเลือดเดียวกัน?พวกท่านดูไม่ใคร่กลมเกลียวกันเท่าใดนัก”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขึ้น ย้อนนึกไปยามที่ได้พบปะท่านอ๋องและองค์ชายใหญ่ ทั้งสองคนล้วนต้องการให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญสิ้น ส่วนคนผู้นี้...ก็ยังถือว่าพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากลงมือกับพี่น้องอีกสองคน หากฮ่องเต้ตัดใจกำจัดองค์ชายใหญ่ตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา

เจี่ยผิงไม่ได้เอ่ยตอบคำ เพียงถอนหายใจหลับตาไปครู่หนึ่ง ความเงียบคืบคลานครอบงำภายในรถ เสิ่นจิ้งเฟยมองออกไปด้านนอกอีกครั้งเพื่อตรวจดูว่าอาชามุ่งไปทางใด

“ท่านจะไปที่ใด”ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อมองเห็นเส้นทางที่ไม่คุ้นตา

“ข้าตั้งใจจะไปพูดคุยกับไป๋ผูอวี้เล็กน้อย”ฮ่องเต้ตอบสั้นๆ แม่ทัพเมิ่งกลับมารายงานสถานการณ์แล้ว แต่เขายังไม่ได้เจอกับคนแซ่ไป๋ เวลานี้หลิวอ๋องไม่อยู่เขาถึงได้จังหวะออกมานอกวัง เห็นว่าสบโอกาสแวะเวียนไปสนทนากับไป๋ผูอวี้ รายงานของแม่ทัพเมิ่งกล่าวชื่นชมถึงคนผู้นั้นไม่น้อย ทำให้ที่ปรึกษาเกาจวีถังค่อนข้างหงุดหงิดเพราะคาดเดาความคิดของเขาออก

“...เขาไม่อยู่”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงลังเล เมื่อครู่ได้ยินบ่าวรับใช้พูดคุยกันว่าจื่อฟางถูกคนแซ่ไป๋พาตัวไปที่ใดสักแห่ง ส่วนลึกของจิตใจพลันรู้สึกถึงความริษยา หากเป็นตัวเขาจะมีผู้ใดยอมช่วยเหลือหรือไม่ ไป๋ผูอวี้เป็นคนซื่อตรงยึดมั่น หากคนผู้นั้นออกปากว่าจะช่วยเหลือก็ย่อมทำตามนั้น สหายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีผู้ใดที่ช่วยเหลือได้ ยกเว้นยกบารมีอำนาจของบิดามาพูดคุย เด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกริษยานิด ๆ จื่อฟางดูจะมีความสุขในร่างของเขา

“ไม่อยู่รึ”ฮ่องเต้หนุ่มเลิกคิ้ว...จื่อฟางเองก็ไม่อยู่ที่จวนหรือทั้งคู่...จะออกไปด้วยกัน อารมณ์คุกรุ่นไม่ทราบที่มาปั่นป่วนอยู่ในอก เจ้าเด็กนั่นดื้อด้านนัก ร่างของเสิ่นจิ้งเฟย...เจี่ยผิงจ้องมองชายงามข้างกาย แต่เสิ่นจิ้งเฟยก็อยู่ตรงนี้กับเขาไม่ใช่หรือ แม้ร่างกายจะเป็นของเจาเฟิง นึกถึงคำกล่าวของไป๋ผูอวี้ ‘ชื่นชอบที่ตัวตน’ ตัวตน จิตวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยอยู่กับชายหนุ่ม เขาบอกกับคนแซ่ไป๋ว่าจะให้อิสระกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่การปล่อยวางสิ่งที่ตั้งมั่นมานานปีไม่ใช่เรื่องง่าย คำพูดของเขาจึงมีช่องว่างมากมายเพราะอยากใช้ช่องวางมาต่อกรกับไป๋ผูอวี้ในภายภาคหน้า คนมีฝีมือเช่นนั้นเขาไม่คิดปล่อยไปง่าย ๆ ถ้าเห็นว่าใช้งานได้ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า บุรุษหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์โกรธ

เสิ่นจิ้งเฟยกำมือพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของคนข้างกาย เมื่อไหร่คนผู้นี้จะปล่อยวางได้ เมื่อไหร่จะเข้าใจ คงเพราะเกิดมาก็ได้แต่สิ่งที่ต้องการกระมัง

“เจ้ามีที่ใดอยากไปหรือไม่”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอ่ยถาม ยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ในอก

“ไม่มี”เสิ่นจิ้งเฟยตอบ แม้จะมีสถานที่อยู่ในใจแต่หากต้องไปกับฮ่องเต้สองคน เขาไม่ไปเสียดีกว่า

“บอกข้ามา อีกเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้เที่ยวสนุกแล้ว”

“ท่านแน่ใจเหรอ”

“แน่นอน แต่หากเจ้าอยากไปหอผูเยว่ ข้าต้องบอกว่าเสียใจด้วย หอคณิกานั่นเหลือเพียงเถ้าถ่านเสียแล้ว”เจี่ยผิงยกยิ้ม รู้สึกว่าดีนักที่มีคนเผาทำลายไปได้ นอกจากจะเป็นสถานที่โปรดของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วยังเป็นจุดพบเจอของหลิวอ๋อง ฮ่องเต้หนุ่มเฝ้ามองปฏิกิริยายาของชายงาม ใบหน้าแฝงแววเย็นชาเผือดซีดด้วยความตระหนก

“ถ้าอย่างนั้นผู้คนที่หอผูเยว่ก็ตายหมดเลยรึ”

“มีเพียงมาม่าและคนงานอีกจำนวนหนึ่ง”เขาตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก

“อ้อ…”เสิ่นจิ้งเฟยถอนหายใจ แม่เล้านั่นไม่อยู่ในความสนใจของเขาเท่าใดนัก นางตายก็ดีตอนที่ยังอยู่นางชอบพูดจาเยาะหยันเขากลาย ๆ มิรู้ว่าไปกินรังแตนที่ใดมาหรือนางเคยปรนนิบัติรับใช้หลิวอ๋องก็ไม่ทราบได้ เด็กหนุ่มนึกถึงลู่เจียง แม้จะเคยปรนนิบัติบนเตียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็ยังจำนางได้ รู้สึกก่ำกึ่งระหว่างดีใจกับเศร้าใจ ดีใจที่นางไม่ตาย เศร้าใจที่นางยังอยู่รอด ถ้าเป็นเถ้าถ่านไปด้วยก็คงดี เสิ่นจิ้งเฟยไม่ต้องการตัวถ่วงอีกคนมาเกี่ยวข้อง

“เจ้าอยากไปที่ใด”อีกฝ่ายย้ำถามทำเสียงคล้ายรำคาญใจ แต่แรกเสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ได้อยากไปหอผูเยว่อยู่แล้วจึงเอ่ยชื่อสถานที่หนึ่งที่อยู่ในใจออกไป ชายงามกลั้นหายใจเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศเงียบงันที่เกิดขึ้น กดดันเสียจนหายใจไม่สะดวก ฮ่องเต้เจี่ยผิงเคลื่อนไหววูบเดียวก็ประชิดตัวกดร่างของเขาไว้ด้วยร่างกายสูงใหญ่ เสิ่นจิ้งเฟยออกแรงดิ้น แม้ร่างกายนี้ไม่ได้อ่อนแอแต่ก็สู้กำลังของคนด้านบนไม่ได้ เด็กหนุ่มถลึงตาใส่อย่างดุร้ายไม่เผยท่าทีอ่อนแอออกไปให้อีกฝ่ายเห็นแม้แต่เสี้ยวเดียว

“เจ้าบอกว่าอยากไปหอร้องรำสกุลฟู่?”เจี่ยผิงก้มมองชายงามใต้ร่างด้วยแววตาเยียบเย็น เหตุใดคนผู้นี้ชอบล้อเล่นกับโทสะของเขานัก เขามิใช่คนใจกว้าง เสิ่นจิ้งเฟยน่าจะรู้จักเขาดี

“ก็ท่านถามความต้องการของข้าไม่ใช่หรือ”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำ เบนสายตาออกจากใบหน้าเดือดดาลของฮ่องเต้ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยโทสะ วูบหนึ่งมีประกายเจ็บปวดสะท้อนให้เห็น เสิ่นจิ้งเฟยกลืนน้ำลาย เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

“แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเอ่ยออกมาได้ตามใจชอบ จิ้งเฟย เจ้าคาดหวังให้ข้ายินดีรึ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก ความต้องการฉีกกระชากคุณชายผู้นี้ยิ่งมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว แต่เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับความรู้สึกไว้ในส่วนลึก เขาจะไม่ผิดคำพูด ในเมื่อบอกว่าจะไม่บังคับล่วงเกินก็จะไม่ทำ มิเช่นนั่นเสิ่นจิ้งเฟยก็จะยิ่งอยากบินหนีไปจากเขา ชั่วครู่หนึ่งฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกเกลียดชังเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งนัก เกลียดที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ เขาเป็นถึงโอรสสวรรค์ ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่คนเร่ร่อนสกุลฟู่ผู้นั้น แต่ชายหนุ่มจำต้องรักษาท่าที เขาผละออกจากอีกร่าง ปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยหายใจได้สะดวก

“ฟู่เทียนสือไม่อยู่ในเมืองหลวง เขาออกเดินทางไปท่องเที่ยว ครั้งล่าสุดเขามาหาจื่อฟางที่จวนเพื่อบอกลา หากเป็นแต่เดิมเขาจะสนใจเจ้าหรือ ที่ผ่านมาก็หายหน้าเป็นเวลานาน จิ้งเฟย เจ้าไม่เข้าใจรึ ตั้งแต่แรกก็มีแต่ข้ากับเจ้า เจ้ากับเขาไม่มีทางบรรจบกัน”

ภายในรถม้ามีแต่ความเงียบงันที่น่าอึดอัด เสิ่นจิ้งเฟยยังคงหายใจไม่สะดวกจากบรรยากาศกดดันรอบตัว ในอกเต้นระส่ำ มองเห็นฮ่องเต้เจี่ยผิงมองออกไปนอกหน้าต่าง สองมือกำแน่น ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ

‘ลูกผิง จงจำเอาไว้ ในวังหลวงแห่งนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่รักเจ้าจากใจจริง หากเจ้าได้อำนาจเมื่อใด ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือของเจ้า’

อยู่ในกำมือของข้าอย่างนั้นหรือ...เสด็จแม่ตรัสถูกแล้ว เจี่ยผิงลืมตาก้มมองมือที่กำแน่นจนเจ็บของตน จึงคลายออก จ้องมองฝามืออันว่างเปล่าด้วยสายตาเรียบนิ่ง หากข้าปล่อยมือ ทุกอย่างก็จะว่างเปล่าใช่หรือไม่

~•~


จื่อฟางยังไม่อยากกลับจวนสกุลเสิ่นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่สำรวจบ้านหลังเล็กอย่างรวดเร็ว บ้านหลังนี้เป็นเรือนสี่ประสานแบบชาวบ้านสามัญทั่วไป มีเพียงลานบ้าน ห้องโถงกลาง เรือนปีกซ้ายขวา แต่ห้องนอนใหญ่ถูกลั่นกลอนไว้ เขาเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออกจึงปล่อยผ่าน เด็กหนุ่มใช้นิ้วถูเสาบ้านก็พบว่ามีฝุ่นเกาะแสดงว่าเรือนแห่งนี้ไม่ค่อยได้ใช้นัก เทียบกับจวนสกุลเสิ่นหรือคฤหาสก์สกุลไป๋ไม่ติด แต่บ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกจับต้องได้มากกว่า  ไป๋ผูอวี้บอกว่าเป็นที่นัดพบสหาย คงเป็นพวกบัณฑิตที่น่าเบื่อเหล่านั้นกระมัง ร่างบางเดินวนกลับมาที่ลานบ้าน พบว่าไป๋ผูอวี้กำลังผ่าฟืนเพื่อจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่เจ้าม้าสีขาว

“ม้าดีตัวนี้ชื่ออะไรรึ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้เอื้อมมือไปลูบขนแผงคอของเจ้าม้าเบา ๆ

“เสวี่ยไป๋”ไป๋ผูอวี้ตอบ ยืดตัวมองอีกฝ่าย

“ขาวราวหิมะ ก็เหมาะสมดี”จื่อฟางพยักหน้าช้า ๆ เสวี่ยไป๋หายใจดังฟืดฟาดในอากาศราวกับกำลังโต้ตอบ เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ไป๋ผูอวี้สำรวจมองจื่อฟางด้วยสายตาใคร่รู้ ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายบอกว่าตนเองคือจื่อฟางไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ได้รักษาท่วงทีอย่างคุณชายอีกต่อไป ไม่ได้ดูเหมือนคนที่ต้องระวังท่าทีตลอดเวลา ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดจึงขมวดคิ้ว

“เจ้าไม่กลับจวนสกุลเสิ่นหรือ”ท่าทางดั่งคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกกลับมาอีกครั้ง

“ข้าอยากค้างที่นี่”จื่อฟางตอบหน้าซื่อ

“เจ้าล้อเล่นแล้วกระมัง”ไป๋ผูอวี้ปรายตามองนิ่งงัน หากคุณชายท่านนี้ไม่กลับจวนสกุลเสิ่นเกรงว่าจะเกิดเรื่องเข้า เมืองหลวงกำลังเกิดคลื่นลูกใหญ่ เสนาบดีเสิ่นคงไม่นิ่งนอนใจ 

“ข้าพูดจริง มิได้ล้อเล่น”ร่างบางยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของชายอีกคน เอาเท้าเขี่ยเศษท่อนฟืนไปด้วย “ดูเหมือนเสิ่นมู่หยางจะอนุญาติให้ข้าเล่นสนุกกับเจ้าได้”ระหว่างที่พูดแววตาของจื่อฟางเปล่งประกายซุกซน ชายหนุ่มเบื้องหน้าเลิกคิ้วน้อย ๆ ไม่คิดว่าเสนาบดีเสิ่นจะยอมให้บุตรชายมาข้องเกี่ยวกับเขา แต่เมื่อมานึกดูอีกที ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเสียทีเดียวเพราะรอบตัวเสิ่นจิ้งเฟยก็มีแต่บุรุษที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไป๋ผูอวี้ย่นคิ้วเมื่อนึกถึงบุคคลเหล่านั้น แต่คำว่าเล่นสนุกทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย คนอย่างเขาไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ในเมื่อถลำลึกมาถึงเพียงนี้ ย่อมคิดจริงจังแล้ว

“จื่อฟาง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใช่พวกเล่นสนุก”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ แม้จะยังไม่คุ้นกับชื่อเรียก แต่ก็อยากเอ่ยชื่อนี้ให้ชินปาก เขาไม่ได้มองร่างตรงหน้า สายตาจับจ้องไปยังเสวี่ยไป๋ที่หายใจเป็นไอขาวออกมา

“ถ้าข้าชอบเล่นสนุก คงไม่ปล่อยให้เจ้าพามาไกลถึงขั้นนี้”จื่อฟางเอ่ยตอบ สายตาจริงจังของฝ่ายนั้นหยุดลงที่ร่างของเขา ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังเกิดขึ้นอยู่นอกประตู เป็นเสียงของชายสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกัน ก่อนที่เงาร่างคุ้นตาสองร่างจะปรากฏ เว่ยหลงและหยางชวีโผล่มาพร้อมกับลมหนาวเย็น เว่ยหลงมีสีหน้ารำคาญใจ บนแผ่นหลังแบกห่อของบางอย่างมาด้วย ส่วนผู้ติดตามของเขายังคงมีสีหน้าเช่นเดิม แม้ว่าหัวคิ้วจะย่นน้อย ๆ

“คุณชายเสิ่น เหตุใดท่านถึงหายตัวมาอยู่ที่นี่ หากนายท่านทราบเรื่องจะเป็นห่วงเอา”ผู้ติดตามไม่ได้ชายตามองไป๋ผูอวี้ราวกับมองไม่เห็น เว่ยหลงทำเสียงฮึดฮัด ก้าวมาด้านหน้า

“คุณชาย ข้านำใบชาแห้งและของที่คุณชายต้องการมาส่งแล้วขอรับ”ชายร่างกำยำรายงาน กวาดตามองเสิ่นจิ้งเฟยครู่หนึ่ง พบว่าคุณชายรูปงามดูแปลกตาไปไม่น้อย คงเพราะรอยเปื้อนสีดำที่แก้ม การแต่งตัวที่ละม้ายคล้ายสตรี หยางชวีที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงกระแอมกระไอ

“เจ้ากลับไปเถอะหยางชวี คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่”จื่อฟางบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คัดค้าน

“อะไรนะขอรับ”หยางชวีอ้าปากหมายเอ่ยเตือน แต่เว่ยหลงทำสีหน้าหงุดหงิดส่งเสียงในลำคอขัดจังหวะ

“ศิษย์น้อง เหตุใดต้องทำเหมือนว่าคุณชายของเจ้าเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนด้วย เขาเป็นบุรุษซ้ำยังขึ้นเตียงกับคุณชายของข้าแล้ว ถ้าหากเป็นที่หลานโจว คุณชายเจ้าคงได้แต่งเข้าสกุลไป๋”เว่ยหลงไม่ใช่คนพูดจาอ้อมค้อมจึงกล่าวออกไปตรง ๆ ที่เมืองหลานโจวก็มีผู้ที่ชื่นชอบบุรุษ นายบำเรอรูปร่างงดงามยังเคยได้แต่งเป็นอนุให้กับพวกเศรษฐีมาแล้ว แม้ว่าเว่ยหลงจะยังรู้สึกตะขิดตะขวนใจเกี่ยวกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่เขาก็ยอมปล่อยผ่าน ในเมื่อคุณชายไป๋ชื่นชอบอีกฝ่ายถึงขั้นพามาที่แห่งนี้ทั้งยังยกเรื่องนั้นมาพูดก็ต้องทำใจ

“เจ้า…!พูดจาเหลวไหลต่อหน้าคุณชายเสิ่นได้อย่างไร”หยางชวีที่เคยหน้าตายถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ จื่อฟางรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบไปกับคำพูดของเว่ยหลง เจ้าบ้านั่นพูดจาตรงไปแล้ว เขาเหลือบมองชายหนุ่มข้างกายที่ยังคงท่วงท่าสุภาพบุรุษไว้ได้ แต่มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกายวิบวับ 

“เว่ยหลง เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงเรียบ เว่ยหลงเพียงไหวไหล่ รู้อยู่แก่ใจว่าคุณชายไป๋พอใจกับคำพูดของเขา จะว่าไปคุณชายของตนก็น่าตีนัก

“ข้ากล่าวผิดไปแล้ว”เขาเอ่ยเสียงห้วน หันมองหยางชวีครู่หนึ่ง เจ้านั่นกลับมาใช้สีหน้าเช่นเดิม แต่ยังคงดูไม่พอใจ

จื่อฟางกระแอมเบา ๆ “หยางชวี ข้าไม่เป็นไร เจ้าก็ได้ยินที่ท่านพ่อพูด คืนนี้ข้านอนค้างที่นี่ ดูสิ ข้าปวดเมื่อยไปหมด”เด็กหนุ่มบิดเอวไปมา เริ่มรู้สึกว่าปวดเมื่อยตามท่อนแขนท่อนขาเข้าแล้วจริง ๆ

“แต่ว่า…”

“เอาล่ะ เข้าไปด้านในเรือนเถิด อากาศเริ่มเย็นแล้ว”ไป๋ผูอวี้เอ่ยขัด จื่อฟางเห็นด้วย ไม่อยากยืนเถียงกับผู้ติดตามอีกจึงรีบสืบเท้าเข้าไปผิงไฟในห้องรับรอง หยางชวีตามเข้ามาอย่างเสียไม่ได้ ภายในห้องจุดกระถางไฟเรียบร้อยแล้ว ไป๋ผูอวี้เริ่มจัดการแกะห่อชาแห้งเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย พบว่าเว่ยหลงนำใบชาเตียนหงมาด้วย ชายหนุ่มเหลือบมองผู้ติดตามพลางก่นด่าอยู่ในใจว่าเจ้าคนผู้นี้รู้ดีเกินไปแล้ว ชาเตียนหงเหมาะสำหรับคนสุขภาพอ่อนแออย่างเสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชายเสิ่น มีจดหมายถึงท่านขอรับ”หยางชวีโพล่งออกมาราวกับเพิ่งนึกออก อันที่จริงเขาก็ลืมไปครู่หนึ่งเพราะได้เจอคนน่ารำคาญเช่นเว่ยหลง ระหว่างทางไปคฤหาสน์สกุลไป๋ เขาพบนายทหารจากกรมอาญาผู้หนึ่งบอกว่ามีจดหมายสำคัญถึงคุณชาย ชายหนุ่มหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อส่งให้เสิ่นจิ้งเฟย

“จากผู้ใดรึ หรือจากฟู่เทียนสือ”จื่อฟางรับจดหมายมาด้วยสีหน้าใคร่รู้

“ข้าน้อยคิดว่าไม่ใช่ขอรับ”ผู้ติดตามส่งเสียงตอบ ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วเงยหน้ามองมาจากที่นั่งของตนเมื่อได้ยินชื่อนั้น ‘ฟู่เทียนสือ’ เขาไม่รู้จักคนผู้นี้เป็นการส่วนตัว แต่สกุลฟู่เป็นคณะร้องรำที่โด่งดัง มักเดินทางไปแสดงต่างเมืองไม่หยุดพัก แต่ละเมืองสกุลฟู่จะหยุดพักไม่นาน ยกเว้นเมืองฉางอันที่มีหอร้องรำของสกุลฟู่มาตั้งกิจการ แม้คนดูแลจะมิใช่ฟู่เทียนสือ แต่คณะร้องรำทั้งหมดเป็นผู้ร่ำเรียนจากสกุลฟู่โดยตรง มีเจียงฉวี่ต้าคนสนิทของฟู่เทียนสือเป็นเถ้าแก่ดูแลแทน

“เจ้ารู้จักเขา?”ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“อืม ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ข้าเคยรู้จักฟู่เทียนสือ เขาเป็นสหายเก่าแก่ของข้า”จื่อฟางสบตากับชายอีกคนเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าเสิ่นจิ้งเฟยต่างหากที่เป็นสหาย จะว่าไปเขาก็ไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับไป๋ผูอวี้เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างพูดยาก ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ส่งผลต่อความคิดที่เขามีต่อฟู่เทียนสือ แต่มันรบกวนจิตใจมากกว่าแสดงให้เห็นว่าเจ้าคนแซ่ฟู่มีความสำคัญระดับหนึ่งกับเสิ่นจิ้งเฟย

เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ซักถามมากความจื่อฟางก็คลี่จดหมายอ่าน ตัวอักษรสวยงามขีดเขียนเป็นจังหวะเร่งรีบ มีรอยหมึกหยดกระจายอยู่ทั่ว รอยเปื้อนบนกระดาษบ่งบอกว่าผู้เขียนไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีนัก

‘เสิ่นจิ้งเฟย ข้าหลี่ฮุ่ยจือเอง ที่ข้าเขียนจดหมายถึงเจ้า เจ้าคงรู้ดีกระมังว่าเกิดเรื่องใดกับบ้านข้า ดูเหมือนฝ่าบาทจะคิดลงดาบกับสกุลหลี่แล้ว! ข้าไม่มีส่วนรู้เห็นใดกับบิดาของข้าทั้งสิ้น จิ้งเฟยเจ้าก็รู้จักข้ามานาน ข้าขอร้องเจ้า ช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ นำความไปบอกพระองค์ให้ข้าที เจ้าจำได้รึไม่ที่โรงเตี๊ยมครานั้น ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการบอกพระองค์ก่อนจะสายเกินไป’

จื่อฟางกวาดตาอ่านด้วยจิตใจที่สั่นไหว ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดจะทำอะไรกับสกุลหลี่กันแน่ ในยามนี้พวกสกุลหลี่ถูกกักขังอยู่ในจวนมิใช่หรือ? เขากัดริมฝีปากเงยหน้ามองคนในห้อง

“ข้าอยากเขียนจดหมาย หากระดาษหมึกพู่กันให้ที”จื่อฟางบอกกับไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นหันไปสั่งเว่ยหลงอีกที ชายร่างกำยำรับคำก่อนหายออกไปจากห้องโถง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกระดาษซวนจื่อ จานหมึกและพู่กัน เด็กหนุ่มกางกระดาษลงบนโต๊ะ เขียนจดหมายถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง

‘ฝ่าบาท กระหม่อมทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระหม่อม แต่กระหม่อมมีเรื่องร้องขออยากให้ท่านละโทษให้หลี่ฮุ่ยจือได้หรือไม่ ถือว่าเห็นแก่เสิ่นจิ้งเฟย’

จื่อฟางกวาดตามองตัวอักษร ไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้จะยอมฟังคำขอของตนและก็ไม่รู้ว่าการอ้างชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยจะช่วยได้หรือไม่ เจ้านั่นอาจจะไม่ได้รู้สึกใดกับหลี่ฮุ่ยจือ หรือไม่ได้เห็นเป็นสหายด้วยซ้ำเช่นเดียวกับเขา แต่...จะให้เขาอยู่เฉยต่อคนรู้จักก็ดูใจร้ายเกินไปหน่อย เด็กหนุ่มจรดพู่กันเขียนต่อ 

‘หลี่ฮุ่ยจือมิใช่คนเช่นเดียวกับบิดาของเขา กระหม่อมอยากให้พระองค์ไตร่ตรองดูให้ดี  ลองคุยกับเขาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ’


จื่อฟางคงช่วยได้แค่นี้ ถอนหายใจระหว่างที่แต่งแต้มภาพวาดการ์ตูนตาหวานเล็ก ๆใส่ไปด้วย เมื่อเขียนเสร็จเขาก็นำจดหมายของหลี่ฮุ่ยจือและจดหมายของเขาพับรวมกัน ครุ่นคิดว่าส่งผ่านให้ผู้ใดจะเร็วกว่า ยามนี้ก็ไม่รู้ว่าคนของฮ่องเต้อยู่ที่จวนหรือไม่ ร่างบางหันมองชายอีกคน

“ไป๋ผูอวี้ เจ้ารู้จักกับที่ปรึกษาเกาคนสนิทของฮ่องเต้สินะ เช่นนั้นเจ้าช่วยหาคนนำจดหมายฉบับนี้ส่งให้ฮ่องเต้ได้หรือไม่ ด่วนที่สุด”เด็กหนุ่มยื่นจดหมายส่งให้ชายอีกคน ร่างนั้นรับจดหมายไปโดยไม่เอ่ยถามก่อนหันไปทางเว่ยหลง

“เจ้านำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้คุณชายจ้าว บอกเขาว่าเป็นเรื่องด่วน”ชายหนุ่มกระชับสั่งผู้ติดตาม ผู้ติดตามเอ่ยรับคำหมุนตัวจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง จื่อฟางถอนหายใจ 
 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 28-01-2019 16:51:31
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะเร่งจัดการกับสกุลหลี่”เขาเอ่ยเปรย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงรับในลำคอ ได้ฟังที่เด็กหนุ่มอีกคนเล่าถึงสถานการณ์ในฉางอันก็พอจะทราบ อีกทั้งหลิวอ๋องเริ่มเคลื่อนไหวใช้งานเสิ่นจิ้งเฟย ก็ยิ่งบอกชัดว่าเร็วๆนี้กำลังมีเรื่องเกิดขึ้น ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องที่คิดไว้ ทีแรกยังเห็นด้วยกับเว่ยหลงว่าเร็วเกินไป แต่หากรอช้ากว่านี้ เขากลัวว่าจะไม่ทันการ ไป๋ผูอวี้กลับมาสนใจคุณชายรูปงาม นึกถึงหลี่ฮุ่ยจือทีไรก็คิดได้เพียงว่าคนผู้นี้สมควรกับการลงโทษแล้ว มิใช่เพราะเขาแตะต้องเสิ่นจิ้งเฟย แต่ถ้านำเรื่องผิดที่คนผู้นั้นกระทำแล้วหนีรอดมาได้เพราะอำนาจของบิดา ถูกขังคุกก็ไม่ถือว่ามากไป

“เหตุใดเจ้าถึงต้องการช่วยหลี่ฮุ่ยจือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก

“เขาอาจไม่ใช่สหายที่ดีเท่าไหร่นักแต่...ข้าไม่อยากอยู่เฉย ในเมื่อเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของบิดาก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดด้วย”จื่อฟางตอบ กฎหมายในยุคสมัยนี้ต่างจากปัจจุบันนัก เด็กหนุ่มไม่อยากกล่าวถึงมาก  หากคนใดคนหนึ่งในสกุลทำผิดคนที่เหลือย่อมโดนไปด้วย เขาเองก็ไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีหลี่ทำอะไรไว้ แต่เขาเดาว่าคงไม่พ้นเรื่ององค์ชายใหญ่ ฮ่องเต้ถึงไม่ยอมปล่อยไปโดยง่าย ตามความคาดเดาของจื่อฟาง เวลานี้คนสกุลหลี่ถูกคุมขังอยู่ในจวนหรือเปล่าก็มิแน่ใจ จดหมายของหลี่ฮุ่ยจือค่อนข้างสกปรก ราวกับว่าเขาถูกคุมขังอยู่ในคุก ไม่รู้ว่าใช้ข้ออ้างกับเงินจำนวนเท่าใดจดหมายฉบับนี้ถึงได้ถึงมือเขา

“เขาเคยคิดล่อลวงคุณชาย คนผู้นั้นไม่สมควรได้รับน้ำใจจากท่าน”หยางชวีกล่าวแทรกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แม้แต่ไป๋ผูอวี้ก็มีสีหน้าทำนองเดียวกัน เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยถามความเห็นเพราะเกรงว่าจะได้รับคำตอบอย่างเดียวกันกลับมา เขาจึงกวาดสายตามองห่อของที่ยังไม่ได้แกะแล้วเกิดนึกสงสัยขึ้นมา

“เจ้านำอะไรมาด้วยหรือ”จื่อฟางถาม บุ้ยใบ้ไปยังห่อที่วางกองอยู่ ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย

“อีกไม่นานเจ้าก็รู้”ไป๋ผูอวี้ตอบเช่นนั้น ยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ยังไม่ทันได้เอ่ยถามให้แน่ชัดก็มีเสียงควบม้าและเสียงหอบหายใจดังมาจากด้านนอก ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วลุกยืนจากที่นั่ง จังหวะเดียวกับร่างหนึ่งที่ผลุนผลันเข้ามาในห้อง จื่อฟางจำได้ว่าคือกุ้ยตาน บ่าวรับใช้ที่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน

“คุณชายไป๋ แย่แล้วขอรับ นายท่าน...นายท่านเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางกลับเมืองหลานโจวแล้วขอรับ”กุ้ยตานรายงาน เขารีบเร่งขี่ม้ามาบอกข่าวกับคุณชาย ไป๋ผูอวี้สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว

“เช่นนั้นหรือ ท่านพ่อคงโกรธมากจริง ๆถึงได้เตรียมกลับเมืองหลานโจว” ทั้ง ๆที่จากมาเพราะเรื่องสุขภาพแท้ๆ

“ไป๋ผูอวี้...เจ้าไปเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะนั่งรถม้าตามไป” จื่อฟางบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลราวกับตัดสินใจไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้ฟังแล้วน่าจะร้ายแรง เขาอยากรอฟังข่าวอย่างใกล้ชิด แม้ว่าร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มปวดเมื่อยแต่ก็ไม่อยากขี่ม้าไปกลับ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ มองเขาอยู่ครู่หนึ่งคล้ายอยากเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด

“เช่นนั้นไว้พบกัน”อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนออกไปจากห้อง หยางชวีได้แต่พ่นลมหายใจออกมา ดูท่าไป๋อู่เหยียนจะคิดเห็นแตกต่างจากไป๋ผูอวี้

“ข้าน้อยจะไปจัดเตรียมรถม้า คุณชายรอสักครู่”หยางชวีออกไปจากห้องเพื่อหารถม้าให้เสิ่นจิ้งเฟย ใช้เวลาสักพักถึงจะได้เพราะตรอกแห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลผู้คนต้องเดินไปจนสุดตรอกเมื่อพบตรอกใหม่ก็พบเจอรถม้ารับจ้าง

จื่อฟางไม่ลืมสวมผ้าคลุมปิดหน้าออกมาจากบ้านของไป๋ผูอวี้ รีบก้าวฉับ ๆเข้าไปในรถม้าทันที ก้มหน้าหลบสายตาใคร่รู้ของคนงานที่ยืนมองดูอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตรอกแห่งนี้คือที่ใด แต่ใช้เวลาสองเค่อกว่าจะถึงคฤหาสน์สกุลไป๋ ด้านนอกกำแพงจวนพบรถม้าห้าคันจอดเรียงราย บ่าวไพร่ต่างก็ยกห่อของมาใส่ในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ จื่อฟางร้องบอกให้คนขับจอดรถห่างจากออกมาเล็กน้อยก่อนเลิกม่านมองดูสังเกตการณ์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ประตูเรือนปิดสนิท หยางชวีเห็นเสิ่นจิ้งเฟยกังวลจึงกระแอมเบาๆ

“ข้าจะไปสอดแนมให้ขอรับ”ผู้ติดตามเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ฝากด้วย”เขากระซิบอย่างขอบคุณ มองร่างของผู้ติดตามหายไปจากรถม้า

……….


ไป๋ผูอวี้ยืนเผชิญหน้ากับไป๋อู่เหยียน ผู้เป็นบิดากำลังออกคำสั่งกับบ่าวไพร่ให้ตรวจดูห่อใบชาให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าสุขุมถึงแม้จะไม่แสดงออกแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบิดากำลังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่น 

“ท่านพ่อ...”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกทำให้ผู้เป็นบิดาเหลือบมองจากหางตา ยังคงหันหลังให้

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้ายังเห็นข้าเป็นบิดาอยู่”ไป๋อู่เหยียนกล่าวผ่านกรามที่ขบแน่น ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของไป๋ผูอวี้ เขาก็มองบุตรชายด้วยสายตาเช่นเดิมไม่ได้อีก เขารู้มาว่าเจ้าเด็กหัวแข็งผู้นี้รู้จักกับหัวหน้าคณะบัณฑิตเกาจวีถัง และยังนำกำลังคนสกุลไป๋เข้าร่วมกับราชสำนัก เรื่องทุกอย่างดูจะวุ่นวายไปหมด โรงน้ำชาหลิวซื่อแทบแตก มีผู้คนแวะเวียนมาถามคำถามไม่ขาดปาก บ้างก็บอกว่าบุตรชายของเขาตั้งใจเข้าร่วมเพราะอยากเอาใจเสนาบดีฉินที่ยังไม่พอใจฐานะอันต่ำต้อยของสกุลไป๋ ไป๋อู่เหยียนยอมรับว่าเคยคิดให้ไป๋ผูอวี้ผูกสัมพันธ์กับคุณหนูฉิน แต่เมื่อได้ยินบิดาของนางกล่าววาจาดูถูกสกุลไป๋ก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

“ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ก็เพราะโกรธที่ข้าร่วมมือกับฮ่องเต้หรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า ไป๋อู่เหยียนถอนหายใจเอามือไพล่หลัง

“ในฐานะบิดา ข้าคิดว่ายังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ เจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้” ร่างนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเอ่ยกระแทกเสียงในประโยคถัดมา

“ข้าเคยคิดว่ามีบุตรชายฉลาดรู้ความแต่ข้ากลับคิดผิด ราชสำนักหักหลังสกุลไป๋ก็เพราะอำนาจทางการทหารแต่บุตรชายไม่รู้ความของข้ากลับเข้าร่วมการศึก จะให้ข้ารู้สึกอย่างไร”ไป๋อู่เหยียนไม่ต้องการให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก มีเสียงเล่าลือเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิงมากมาย แม้จะมีทั้งสนมและชายงามแต่หากเป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเด็ดขาดคนผู้นั้นก็ไม่คิดลังเล แต่ถึงกระนั้นบุตรชายก็ยังร่วมมือกับฮ่องเต้

“ข้าไตร่ตรองดีแล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวแต่เพียงเท่านี้ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ผู้เป็นบิดารู้สึกเหมือนหูอื้ออึงไปด้วยความโกรธ สายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมอวลอยู่ในอากาศ ร่างงดงามของซูเหลียนฮวาปรากฏขึ้น นางกวาดตามองรอบเดียวก็เข้าใจเรื่องราวจึงคุกเข่าลงตรงหน้านายท่านไป๋

“ข้าน้อยคาราวะนายท่าน”นางกล่าวด้วยเสียงรื่นหู นางลอบมองคุณชายไป๋ที่ยังคงยืนด้วยท่าทีนิ่งสงบอย่างที่เคยแม้นางจะรู้ดีว่าภายในคงไม่ใช่เช่นนั้น นางคิดอยู่แล้วว่าไป๋อู่เหยียนต้องไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเรื่องหัวหน้าคณะบัณฑิตเกา ผู้อาวุโสอวิ๋นที่นางต้องคิดบัญชีภายหลังโทษฐานหลอกใช้คุณชาย ฮ่องเต้เจี่ยผิง และที่สำคัญยิ่งคือเสิ่นจิ้งเฟย

“ซูเหลียนฮวา ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเห็นด้วยกับไป๋ผูอวี้ ช่างน่าผิดหวังนัก”ไป๋อู่เหยียนปรายตามองบรรดาข้ารับใช้ที่มาจากเรือนบุตรชายด้วยสายตาไร้ความรู้สึก บ่าวพวกนี้ต่างก็คุกเข่ายอมรับผิดที่ร่วมเดินทางไปเมืองอี้โจวกับไป๋ผูอวี้   

“พวกเจ้าทุกคนไม่เห็นหัวข้าเลยหรือ”

“เรื่องทั้งหมดข้าเป็นคนคิด หากท่านพ่อจะลงโทษก็ลงโทษลูกเถิด”ไป๋ผูอวี้นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าบิดาเมื่ออีกฝ่ายไม่โต้ตอบก็กล่าวต่อ “ข้าทำเช่นนี้เพื่อความต้องการของตัวเอง ข้าไม่อยากนิ่งเฉยต่อสหายบัณฑิตเหล่านั้น จึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับที่ปรึกษาเกา ท่านพ่อรู้จักข้าดี หากคิดทำสิ่งใดข้าย่อมทำให้สำเร็จ เส้นทางของข้าแตกต่างจากสกุลไป๋  ข้ารู้ว่าความตั้งมั่นของตัวเองอาจทำให้สกุลไป๋เดือดร้อนแต่ข้าก็ยังทำในสิ่งที่ต้องการ”ไป๋ผูอวี้ยังไม่มองหน้าบิดารู้ดีว่าเรื่องนี้ตนเองมีส่วนผิดและเขายังมีความดื้อดึงอยู่มาก 

“เจ้ารู้ตัวว่าทำเช่นนี้ย่อมเดือดร้อน เจ้าก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกหรือ ฮ่องเต้เจี่ยผิงหวังใช้กำลังของสกุลไป๋เท่านั้น เจ้ากลับเอาคอไปขึ้นเขียงเสียเอง”ผู้เป็นบิดาแม้โกรธจัดแต่ก็ลดเสียงลงกวาดตามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง ไป๋ผูอวี้รู้สึกว่าถูกจับตามอง แต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกับเว่ยหลงและซูเหลียนฮวาก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

‘หยางชวีหรอกรึ เช่นนั้นจื่อฟางก็มาแล้ว’

ชายหนุ่มหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าเข้าใจหากท่านพ่อจะโกรธ ความต้องการของข้าอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการสอบ ทำเช่นนั้นจำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือ ข้าไม่ต้องการเป็นผู้มีคุณธรรมแต่ปาก ถึงได้ข้องเกี่ยวกับหัวหน้าคณะบัณฑิตเกา”

“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใด?หากเจ้าพลาดพลั้งสกุลไป๋คงจบสิ้น ไตร่ตรองดีแล้ว เฮอะ เจ้าผายลมใดออกมา เจ้าไตร่ตรองถึงตัวเองมากกว่า”ไป๋อู่เหยียนหายใจกระฟัดกระเฟียด บุตรชายไม่เอ่ยตอบความก็เสมือนเป็นการยอมรับกลายๆ

“อย่าพูดเรื่องคุณธรรมไร้สาระกับข้า ที่เจ้าทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการชื่อเสียงให้ผู้คนยกยอใช่หรือไม่ เจ้ามันคนใฝ่สูง ไม่เจียมตนเอง”

“ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนมายกยอ ข้าไม่อยากให้สกุลไป๋เป็นเพียงพ่อค้า หากท่านไม่อยากให้สกุลไป๋พบเจอเรื่องวุ่นวาย เหตุใดถึงย้ายมาอยู่เมืองหลวงเล่า เหตุใดถึงยังสอนให้คนในสกุลไป๋ร่ำเรียนวรยุทธ พวกเขามีความสามารถให้มาชงชาแบกของก็เสียเปล่า ท่านเอาแต่พร่ำบอกให้ภูมิใจในสกุลไป๋ แต่สิ่งที่ท่านทำกลับตรงกันข้าม ก่อนจะเกิดเรื่องกับสกุลไป๋แต่เดิมพวกเราก็ทำงานรับใช้แผ่นดินมาโดยตลอด แม้ข้าจะไม่ชอบฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่หากเกิดเรื่องเดือดร้อนกับแผ่นดินบ้านเกิด มีความสามารถแต่ยังหลบซ่อน ให้ทำเช่นนั้นข้าทนไม่ได้”ไป๋ผูอวี้รู้ว่าตนเพียงปั้นแต่งคำพูดเพื่อยกมาเป็นเหตุผลกับไป๋อู่เหยียนเท่านั้นจึงรู้สึกประหลาดอยู่เล็กน้อย 

“ข้าทำผิดกฎสกุล ข้าน้อมรับผิด”

“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของเจ้า!”ผู้เป็นบิดาตวาดร่างสั่นเทิ่มด้วยโทสะ เพราะรู้ดีว่าบุตรชายไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เรื่องแผ่นดินอะไรนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักเสียด้วยซ้ำ ไป๋อู่เหยียนเป็นคนมีเหตุผลใจเย็นเสมอแต่เรื่องน่าละอายเช่นนี้ ผู้นำสกุลไป๋เช่นเขาไม่มีทางยอมรับได้ เห็นบุตรชายคุกเข่าสีหน้าแววตาไม่ลดละก็รู้ดีว่าเจ้าลูกคนนี้ไม่ยอมลามือแน่ 

“เจ้า...เจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”ไป๋อู่เหยียนกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก สายตาสอดส่องมองบ่าวไพร่ที่ลานบ้านกลัวว่าจะมีคนได้ยิน ไป๋ผูอวี้ได้แต่หวาดหวั่นอยู่ภายใน ที่แท้ท่านพ่อก็ทราบเรื่องแล้ว ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ 

“ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องการปิดบังอีกต่อไปแล้ว ข้ารู้สึกดีกับคุณชายเสิ่น เขามิใช่อย่างที่ท่านคิด…”

ไป๋อู่เหยียนกำมือ มองบุตรชายอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “เหตุใดเจ้าถึงได้หลงผิดไปไกลขนาดนี้ เจ้าทำให้ข้าอับอายนัก เช่นนี้แล้วข้าจะกล้าสู้หน้าบรรพบุรุษได้อย่างไร บุตรชายคนเดียวของข้า อนาคตผู้นำสกุลไป๋กลับรักชอบบุรุษ ซ้ำยังเป็นคุณชายเสิ่นผู้นั้น เจ้าถูกใบหน้างามนั่นล่อลวง กลับมาจากชายแดนแทนที่จะพูดคุยกับข้า แต่เจ้าเลือกเสิ่นจิ้งเฟย ทั้งยังพาไปที่บ้านหลังนั้น  เจ้าไม่มีความละอายเลยรึ”ไป๋อู่เหยียนเอ่ยวาจายาวเหยียดเพราะอดกลั้นไม่ไหว เริ่มเดินไปเดินมาอย่างวิตกจริต

“ความรู้สึกของข้ามิใช่การหลงผิด การที่ข้าชอบเสิ่นจิ้งเฟยเป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับท่านพ่อที่มอบให้ท่านแม่”ไป๋ผูอวี้กล่าวจริงจังสบสายตากับบิดา ไม่คิดจะละความพยายาม คาดการณ์ไว้แล้วว่าท่านพ่อไม่มีทางยอมรับง่ายๆ

ผู้เป็นบิดาหมุนร่างมองบุตรชายด้วยสายตาแข็งกร้าว “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อย่าเอาความรักของข้ากับแม่เจ้าไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราวของพวกเจ้าสองคน”

“ไยท่านดูถูกความรู้สึกของข้าเช่นนี้เล่า แต่ช่างเถิดตั้งแต่แรกข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะยอมรับได้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ ข้าชอบเสิ่นจิ้งเฟย”ไป๋ผูอวี้ไม่อ้อมค้อม เขาไม่อยากหลบซ่อนปิดบังต่อบิดาเหมือนพวกลักขโมย เขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิด  ไป๋อู่เหยียนได้แต่ยืนนิ่งงัน ส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่ยอมรับเอาแต่พึมพำกับตัวเองเบาๆว่าเหลวไหลไม่หยุด

“แม้ว่าข้าจะกลับหลานโจว เจ้าก็ยังยืนยันเช่นเดิมรึ”

“ลูกผู้ชายย่อมไม่หนีปัญหา บุตรยังมีเรื่องต้องรับผิดชอบ…”ชายหนุ่มตอบเพียงเท่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของจื่อฟางแต่ยังมีเรื่องของฮ่องเต้เจี่ยผิง ได้ยินเสียงหัวเราะข่มขื่นดังเบาๆมาจากบิดา

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย”ไป๋อู่เหยียนยังทำใจยอมรับไม่ได้โดยง่าย พลันนึกถึงเรื่องล้อเล่นที่เสิ่นฉินอี้เคยกล่าวไว้ ‘หากเจ้าเจอหลานข้าแล้วยังยืนยันคำเดิม ข้ายินดีดองกับเจ้า’ โชคชะตาเล่นตลกเกินไปแล้ว เขาได้แต่คิดไปว่าไม่น่าช่วยเหลือเสิ่นฉินอี้แต่แรก แต่ผู้นำสกุลไป๋รู้ดีหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ยังคงทำเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คนบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าไม่ช่วยได้หรือ

ไป๋ผูอวี้อยากพูดแบบเดียวกับบิดานัก อยากรู้ว่าท่านพ่อตกใจเท่านี้หรือไม่ตอนที่รู้ว่าหลานของเสิ่นฉินอี้เป็นชายมิใช่หญิง เขาเกือบได้หมั้นหมายกับคุณชายเสิ่นแล้วเชียว ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ไม่สิ ดีแล้วที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย เพราะเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่จื่อฟาง 

ไป๋อู่เหยียนเงียบไปเป็นนานก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็ไม่คิดอยู่ฉางอันอีกต่อไป ไป๋ผูอวี้เจ้าคิดทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด แต่หากวันใดเจ้าทำสกุลไป๋เดือดร้อน ข้าจะมาจัดการกับเจ้า”ไป๋อู่เหยียนเหนื่อยแล้ว และไม่อยากถกเถียงกับบุตรชายในยามนี้ เขากวาดสายตามองบ่าวรับใช้ที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา เงาวูบหนึ่งทำให้ลมพัดอากาศเย็นต้องร่าง เว่ยหลงปรากฏกายอย่างไร้สุ้มเสียงก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆซูเหลียนฮวา

“นายท่าน บ่าวน้อมรับความผิด แต่บ่าวไม่สามารถละทิ้งคุณชายไป๋ได้ บ่าวจะอยู่รับใช้คุณชายจนกว่าชีวิตจะมอดดับ”ผู้ติดตามร่างกำยำโขกศีรษะบนพื้นเสียงดังก้องไปทั้งคฤหาสน์อันเงียบสงบ

 “นายท่านสั่งสอนข้าน้อยได้ถูกต้องไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยน แต่ข้าน้อยสาบานเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับคุณชาย ข้าน้อยไม่สามารถละทิ้งคุณชายไป๋ได้เช่นกัน นายท่านโปรดเข้าใจด้วย”ซูเหลียนฮวาก้มโขกศีรษะอย่างไม่ลังเล หน้าผากมนเริ่มเป็นรอยแดงช้ำจากการโขกติด ๆกัน บ่าวไพร่อีกหลายคนต่างก็ยอมรับความผิดลงมือโขกศีรษะตามๆกันสร้างเสียงระคายหูแก่ผู้ฟังยิ่งนัก

ไป๋ผูอวี้ไม่อาจยอมรับได้ ในเมื่อเป็นความผิดของตน เขาก็จะรับไว้เอง “พวกเจ้าพอได้แล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ข้าผู้แซ่ไป๋จะรับไว้เอง”ชายหนุ่มไม่อยากให้ผู้อื่นมารับเคราะห์ในสิ่งที่ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจ พวกเขาทำตามเพราะความจงรักภักดี เขาจึงตัดสินใจโขกศีรษะเป็นการขอโทษบิดา เป็นครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้

“คุณชาย พอเถอะขอรับ”เว่ยหลงส่งเสียงอย่างร้อนใจ แต่คุณชายไป๋ไม่หยุด

“คุณชายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”ซูเหลียนฮวากล่าวอย่างร้อนใจ เมื่อได้ยินเสียงโขกหนักๆของผู้เป็นนาย หน้าผากเริ่มมีรอยสีแดงช้ำก่ำเลือด ‘หากท่านจะโขกศีรษะก็โขกเบาๆหน่อยไม่ได้หรือ’

“พอได้แล้ว”ไป๋อู่เหยียนทนมองดูอยู่นานก็เอ่ยขึ้น สะบัดชายเสื้อหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด รู้ดีว่าแผลแตกเท่านี้ไม่ทำให้บุตรชายถึงตาย แต่เสียงร้องของพวกบ่าวไพร่ช่างระคายหูนัก ผู้เป็นบิดาก้าวมาเบื้องหน้าบอกกล่าวให้พวกบ่าวไพร่ได้ยิน

“ผู้ใดอยากติดตามข้าก็เก็บข้าวเก็บของ แต่หากผู้ใดใคร่อยู่รับใช้ไป๋ผูอวี้ก็เชิญ ข้าไม่ชอบบังคับฝืนใจผู้ใด บ่าวไพร่ไม่มีใจภักดีต่อกันก็ไร้ประโยชน์”กล่าวจบร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวจากไปโดยไม่หันมอง ทิ้งไป๋ผูอวี้และบ่าวไพร่อีกหลายสิบคนไว้เบื้องหลัง บุตรชายของเขาช่างดื้อด้านนัก

“ข้าไม่มีทางละทิ้งสกุลไป๋ ข้าจะจดจำคำสั่งสอนของท่านพ่อให้ขึ้นใจ”เสียงของบุตรชายดังแว่วมา ไป๋อู่เหยียนได้แต่ส่งเสียงเหอะอยู่ในใจ ไม่ทิ้งสกุลไป๋ แต่บุตรชายกลับเลือกเข้าร่วมราชสำนัก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดแต่การตัดสินใจเช่นนี้ไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายรูปงานท่านนั้น  เสิ่นฉินอี้ ท่านรู้หรือไม่ หลานชายท่านสร้างเรื่องให้สกุลไป๋บ่อยครั้งนัก

ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจเมื่อร่างของบิดาหายไปจากสายตา เขาทำผิดต่อท่านพ่อมากมายนัก ใช้คำว่าอกกตัญญูยังได้ คุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนก็ไม่รู้ว่าจะลบล้างความผิดได้หรือไม่ ชายหนุ่มไม่ได้เป็นคนดีมากคุณธรรมอย่างที่ผู้คนคิด เขาก็แค่มนุษย์เดินดินธรรมดามิใช่หรือ มีรัก  โลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัว เพราะเขาอยากทำตามในสิ่งที่ตนต้องการ แม้กระทั่งสกุลไป๋เขาก็ยังนำมาเสี่ยง

“คุณชาย ท่านเป็นไรหรือไม่”เว่ยหลงรีบเข้ามาคุกเข่าข้างกายใช้สายตาสำรวจมองอย่างเป็นห่วง ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ส่ายศีรษะ รับรู้ว่าหน้าผากปวดตุบ ๆ น่าจะมีเลือดไหลจากแผลแตก ผู้ติดตามทำท่าจะเช็ดให้ แต่เขาโบกมือ

“ไม่ต้อง จื่อ--เสิ่นจิ้งเฟยรอข้าอยู่”เขากล่าวเช่นนั้น เว่ยหลงมีสีหน้างุนงง

“อ้อ คุณชายจะเอาไปเรียกความสงสารจากคุณชายรูปงามผู้นั้นรึ จุ๊ๆ คุณชายไป๋ เหตุใดท่านเป็นคนเช่นนี้”ซูเหลียนฮวาเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ผู้ติดตามถึงได้เข้าใจ ไม่คิดว่าคุณชายจะยอมโขกศีรษะแรงๆเพื่อการนี้ ท่านไม่ลงทุนไปหน่อยหรือ?

“แต่คุณชาย ทำเช่นนี้จะดีหรือ นายท่านท่าทางจะมีโทสะมาก”เป็นครั้งแรกที่กระทำการอุกอาจเช่นนี้จึงรู้สึกผิดยิ่งนัก 

“ข้ารู้จักท่านพ่อดี เขาคิดทำสิ่งใดย่อมไม่เปลี่ยนแปลงในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับหลานโจวก็ให้เขากลับเถอะ ทีแรกตั้งใจจะส่งเจ้าไปดูแลท่านพ่อเสียด้วยซ้ำ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้า ๆถอนหายใจให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เว่ยหลงหน้าเผือดสีทันที รีบขยับคลานเข้ามาหา

“ไม่ได้นะคุณชาย ข้าต้องการอยู่ดูแลท่าน...”

“ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ได้ตั้งใจฟังหรือ คุณชายไป๋บอกว่าทีแรก ก็หมายความว่ายามนี้ไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว ข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่าให้ใช้สมองบ้างก่อนที่ท่านจะกลายเป็นพวกกล้ามโตแต่ไร้สมอง”นางมารหมื่นพิษกล่าวออกไปตามตรง ใช้สายตาตักเตือนอย่างเป็นห่วง แต่กลับทำให้เว่ยหลงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

“เจ้ากล้าว่าข้าหรือ!”

“ข้าพูดอยู่กับท่านมิใช่หรือไร”

“พวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว กลับไปที่บ้านของข้า จัดเตรียมเรื่องนั้นให้พร้อม ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”ชายหนุ่มออกคำสั่งแทรกการถกเถียงของทั้งคู่ เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาสงบปากสงบคำในทันที

“เรื่องนี้ปุบปับเกินไป ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เตรียมใจเก้อ”ซูเหลียนฮวาเอ่ยเตือน ส่งสายตาเป็นกังวลให้ร่างตรงหน้า

“ข้าไม่แน่ใจ”ไป๋ผูอวี้กล่าวตามตรง ยังมีสิ่งที่ต้องพิสูจน์อีกมาก “แต่ข้าคิดดีแล้ว”

“ข้าจะไปจัดการตามนั้นขอรับคุณชาย แล้ว...คนผู้นั้นเล่า”เว่ยหลงพึมพำส่งสายตาไปทางกำแพงจวน รู้ดีว่ามีผู้ใดมาลอบสังเกตุการณ์

“ข้าจัดการเอง หากเป็นข้าอธิบายคงใช้เวลาไม่นาน...ไม่เหมือน…”นางยกยิ้มให้ศิษย์พี่รองอย่างมีความนัย ผู้ติดตามร่างกำยำถลึงตาใส่

“ได้เช่นนั้นจะดีมาก”ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนที่ร่างของซูเหลียนฮวาจะเร่งรีบออกไป เว่ยหลงคาราวะ สบสายตากับเขาครู่หนึ่งจากไปอย่างเร่งรีบเช่นกัน ไป๋ผูอวี้ลุกยืนกวาดตามองข้ารับใช้กลุ่มเดิมที่ไม่คิดขยับตัวไปที่ใดก็ยกยิ้ม

“ขอบใจมาก พวกเจ้ากลับไปพักได้ หากมีเรื่องใดข้าจะให้คนไปตาม”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ ผ่อนคลายท่าทีอย่างคุณชาย กับคนพวกนี้เว้นช่องว่างมากไปก็ไม่ดี เขาต้องการให้พวกเขายึดถือตนดั่งสหายร่วมศึกมิใช่บ่าวและข้ารับใช้เพียงอย่างเดียว

“ขอรับคุณชาย”กุ้นตานรับคำ พาพวกที่เหลือออกไปจากลานบ้าน ข้ารับใช้บางส่วนที่ขนของของไป๋อู่เหยียนออกไปด้านนอกต่างก็หลบตาชายหนุ่มเป็นที่วุ่นวาย ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าท่านพ่อยังคงอยู่ในเรือนหลัก จึงตั้งใจจะคุกเข่าสำนึกผิด แต่สองหูได้ยินเสียงโวยวายของบ่าวไพร่ด้านนอกประตูดังขึ้นพอดี เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นก้าวเร็ว ๆ เข้ามาในลานบ้าน แม้ใบหน้าจะถูกผ้าคลุมปกปิดแต่สายตาเป็นห่วงคู่นั้นกลับเผยชัดเจน

“ท่านเข้ามาไม่ได้นะขอรับ”บ่าวคนหนึ่งกางแขนห้าม แต่เมื่อกุ้ยตานเข้าไปคุยอะไรสักอย่างบ่าวคนนั้นก็หลีกหนีไปอีกทาง เมื่อจื่อฟางเห็นว่าทางสะดวกจึงรีบก้าวมาหยุดอยู่ข้างกายไป๋ผูอวี้ ก่อนจะนั่งคุกเข่า

“เจ้าทำอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเข้มทันที

“ข้าจะคุกเข่าเป็นเพื่อนเจ้า”เขาตอบ เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดังมาจากในจวนจึงคิดเข้ามาดูเพราะหยางชวีหายไปนานเกือบสองเค่อแล้ว เด็กหนุ่มทนรอไม่ไหวจึงถือโอกาสช่วงที่ยังวุ่นวายเข้ามาในคฤหาสน์สกุลไป๋ จื่อฟางกวาดมองหน้าผากแดงช้ำของอีกฝ่าย แผลแตกนั้นมีเลือดไหลซึมออกมาทำให้ดูน่ากลัว

“ร่างกายเจ้ารับไม่ไหวหรอก”ชายอีกคนคัดค้านอย่างไม่เห็นด้วย เขาไม่ต้องการให้คุณชายท่านนี้มาลำบากเดือดร้อนไปกับตน

ร่างบางขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ร่างกายข้าอ่อนแอก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเปราะบางจนทนเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ในเมื่อท่านพ่อของเจ้ารู้เรื่องของข้าแล้ว ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ารับผิดแต่เพียงผู้เดียว”เด็กหนุ่มกล่าว เมื่อครู่ได้ยินบ่าวที่ขนของออกมาด้านนอกพึมพำเรื่องของไป๋ผูอวี้

“จื่อฟาง...”อีกฝ่ายตั้งท่าจะแย้งแต่จื่อฟางยกนิ้วแตะริมฝีปากของอีกคน ร่างนั้นจ้องมองเขาไม่วางตา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากหน้าผากให้อย่างเบามือ

“เจ็บหรือไม่”เขาเอ่ยถาม มองเห็นรอยแผลของไป๋ผูอวี้ก็ต้องขนลุกวูบ เหตุใดเจ้านี่โขกศีรษะแรงถึงเพียงนี้

“เจ็บ”ชายหนุ่มตอบเสียงเบา ร่างบางเลิกคิ้วคล้ายไม่อยากเชื่อนัก “แต่พอเห็นหน้าเจ้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง”เขาเอ่ยหยอกไม่อยากให้อีกคนต้องเครียดจนเกินไป คุณชายรูปงามขึงตาใส่ เช็ดหน้าผากให้จนเสร็จก็ทำสีหน้าบึ้งตึง

“หากข้าไม่เข้ามา เจ้าก็จะปล่อยให้ข้ารออยู่ด้านนอกทั้งคืนหรือ”

“ให้เจ้ารอด้านนอกก็ยังดีกว่าให้เจ้าคุกเข่าเช่นนี้”

“แต่...คนรักกันย่อมต้องรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่หรือ”จื่อฟางกลั้นใจกระซิบกล่าวออกไป มองไปรอบกายอย่างกังวล “นี่ เจ้าท่อนไม้...”เขาเอ่ยเรียก ยกมือป้องปากเอนร่างเข้าไปใกล้ ไป๋ผูอวี้หรี่ตามอง ยกยิ้มน้อย ๆ

“เจ้ายังว่าข้าเป็นท่อนไม้อยู่อีก...”

“ข้าจริงจังอยู่”เขากระซิบดุกล่าวต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายหุบยิ้มเปลี่ยนมาทำสีหน้าจริงจัง “ข้าได้ยินบ่าวด้านนอกพูดคุยเรื่องของเจ้ากับข้า...เกรงว่าจะทำให้คนภายนอกได้ยินแล้วนำไปนินทา เจ้าจะทำอย่างไร”จื่อฟางกัดริมฝีปากอย่างเป็นกังวล ขยับหัวเข่าเล็กน้อยเพื่อนั่งคุกเข่าในท่าที่สบายมากขึ้น

“จะทำอย่างไรได้เล่า ก็แค่คำพูดของผู้คน”ไป๋ผูอวี้ไหวไหล่ โคลงศีรษะ “หรือหากเจ้ากลัวชื่อเสียงแปดเปื้อน ข้าแต่งเจ้าดีหรือไม่”อีกฝ่ายกล่าวเย้าหยอก จื่อฟางรีบยกมือแตะที่ริมฝีปากเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเบาเสียงลง อยู่ต่อหน้าเรือนของไป๋อู่เหยียน เจ้านี่ยังกล้าทำเช่นนี้อีก

“ข้าขอโทษ ไม่คิดว่าท่านพ่อจะรู้เรื่องเร็วถึงเพียงนี้ ลำบากเจ้าแล้ว”ไป๋ผูอวี้เองก็เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ไม่อยากนึกภาพหากมีคนนำเรื่องนี้ออกไปป่าวประกาศจะเป็นเช่นไร นอกจากสกุลเสิ่น เขากังวลฮ่องเต้เจี่ยผิงมากที่สุด เขาถอนหายใจแต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาไม่อยากหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองร่างบางข้างกาย เมื่อเห็นว่าจื่อฟางนั่งด้วยท่วงท่าไม่สบายตัวก็ถอดเสื้อคลุมมาช่วยรองที่หัวเข่าของอีกฝ่าย 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 28-01-2019 16:55:38
ผ่านไปสองชั่วยาม ฟ้ามืดกว่าเดิม อากาศเริ่มเย็นแต่ไม่มากจนทนไม่ไหว จื่อฟางเดาว่าน่าจะประมาณยามไฮ่ (21.00 น. - 22.59 น.) ไป๋อู่เหยียนถึงได้ออกมาจากเรือน ใบหน้านิ่งสงบจ้องมองมาที่ร่างของเขาและบุตรชายด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ออก เด็กหนุ่มถูกสายตาของอีกฝ่ายอาบไปทั้งร่างจนรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาไม่ได้พบเจอคนผู้นี้บ่อยนัก ที่ผ่านมาก็มีแต่ความทรงจำที่ไม่ค่อยดี เขาไม่แปลกใจหากไป๋อู่เหยียนจะไม่ชอบหน้าตน 

“เถ้าแก่ไป๋ ข้าขออภัยที่ทำเรื่องเดือดร้อนให้ท่านมาตลอด แต่ข้าจริงจังต่อไป๋ผูอวี้จริง ๆ ท่านอาจไม่สังเกตแต่ข้ามิใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิมแล้ว”จื่อฟางทำใจกล้ากล่าวออกไป

“พวกเจ้าออกไปจากเรือนของข้า”ไป๋อู่เหยียนเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนทันที ข้างกายได้ยินไป๋ผูอวี้ถอนหายใจเบา ๆ

“ท่านพ่อข้าก็เป็นเช่นนี้ ให้เวลาเขาสักระยะ...”ชายหนุ่มเองก็ไม่แน่ใจว่าท่านพ่อจะใช้เวลานานเท่าใด บางทีอาจจะทั้งชีวิตเลยก็เป็นได้

“เจ้าแน่ใจนะว่าทำเช่นนี้ดีแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องแตกหักกับสกุลไป๋”จื่อฟางเอ่ยอย่างกังวล ไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะยอมทำเช่นนี้

“ข้าไม่ได้แตกหัก ถึงแม้ในยามนี้ท่านพ่อจะยังไม่ยอมรับ ข้าก็ไม่มีทางละทิ้งสกุลไป๋ ต่อให้ถูกไล่ก็ตาม เจ้าวางใจเถอะ”ไป๋ผูอวี้ลุกยืน เด็กหนุ่มค่อยๆลุกบ้าง บิดร่างกายไล่ความปวดเมื่อยสองสามที แต่ยืนได้ไม่นานร่างแข็งแกร่งตรงหน้าก็ยกร่างของเขาพาดบ่า จื่อฟางชินเสียแล้วจึงไม่ได้อ้าปากบ่น


ร่างสูงใหญ่พาเขาออกมาจากคฤหาสน์สกุลไป๋กระโดดลงมาอยู่ข้างอาชาสีขาวอย่างเงียบงัน เสวี่ยไป๋ก้มๆเงยๆ อยู่ที่ข้างกำแพงอีกฝั่ง ท่าทางเหมือนอดรนทนไม่ไหวที่จะได้เคลื่อนย้ายออกจากที่คับแคบแห่งนี้ ไป๋ผูอวี้ดันร่างของจื่อฟางขึ้นไปบนหลังม้า เขาโอบรอบคอเสวี่ยไป๋อย่างระมัดระวังระหว่างที่จัดท่านั่งให้เรียบร้อย ไป๋ผูอวี้นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง   

“กลับไปที่บ้านเจ้าหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามเมื่อถูกคนด้านหลังโอบเอว มือข้างหนึ่งกระตุกบังเหียนม้าเบา ๆ เขาผ่อนร่างกายเอนพิงหน้าอกของอีกฝ่ายระหว่างที่เสวี่ยไป๋ควบไปด้านหน้าช้า ๆ 

“อืม บ้านเรา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยแก้ ไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำเสียงนั้นทำให้ขนด้านหลังลุกเกรียว จื่อฟางรู้สึกเหมือนเกิดภาพฉายซ้ำเมื่อตอนบ่ายขณะขี่ม้ากลับไปที่บ้านหลังเล็กอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้เขาผ่อนคลายกว่ามากไม่ได้เกร็งไปทั้งตัวอย่างคราวก่อน และได้สังเกตถนนหนทาง เส้นทางที่อีกฝ่ายใช้มาทางเดียวกับตรอกเหวินแต่แยกออกไปอีกสายหนึ่ง เข้าสู่บ้านคนที่ไม่ร่ำรวยนัก ถนนริมทางเริ่มมีแต่ฝุ่น 

“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่ออาชาควบไปตามตรอกซอกซอยอันคุ้นตา

“นิดหน่อย”เด็กหนุ่มตอบ แกล้งลูบหลังมือคนด้านหลังที่โอบเอวของตนอยู่เบาๆ ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดต้นคอ ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำเบา ๆ

“คืนนั้น...เจ้าตั้งใจทำสิ่งใดหรือ”อีกฝ่ายเอ่ยถามผ่านลมที่พัดวีดหวิวจนต้องก้มหน้าหลบความหนาวเย็น

“คืนไหน”ร่างบางใจเต้นตึกตัก คล้ายจะเดาออกว่าคืนใด

“คืนที่เจ้าบอกว่าจะแสดงตัวตนให้ข้าดู คืนนี้แสดงให้ดูอย่างที่เจ้าพูดได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้กระซิบ ริมฝีปากแตะอยู่ที่หลังใบหู จื่อฟางเม้มปาก ลำคอร้อนวูบวาบ หยิกหลังมือของเจ้าท่อนไม้กลายพันธ์ไปหนึ่งที

“หรือเจ้าทำไม่ได้”

จื่อฟางขมวดคิ้ว อยากหันไปมองหน้าคนด้านหลังนัก แต่ก็ทำไม่ได้ “คอยดูเถอะ”

“ข้าจะรอชม”ไป๋ผูอวี้กระซิบ รู้สึกว่าการควบของอาชาจะเร็วขึ้น จื่อฟางได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟย คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง วันนี้เขาแค่ขี่ม้าสองรอบ คุกเข่าอีกหลายชั่วยาม อะแฮ่ม ทำเรื่องแบบนั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอก!

แต่เขาคิดผิด   

~•~

“เกิดอะไรขึ้น…”จื่อฟางอ้าปากน้อย ๆ เมื่อก้าวผ่านประตูชั้นในเข้ามาในลานบ้านที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดงจนแทบจำไม่ได้ ตามมุมต่าง ๆห้อยด้วยโคมสีแดง ต้นเหมยในลานบ้านทั้งสี่ทิศผูกด้วยผ้าแพรสีแดงเข้าหากันราวกับกระโจมงดงาม ทั้งยังมีผู้คนยืนรอต้อนรับ เป็นข้ารับใช้ของไป๋ผูอวี้ กุ้ยตาน นอกจากนั้นยังมีเว่ยหลง ซูเหลียนฮวา และหยางชวีที่ใบหน้าบูดบึ้งท่าทางคล้ายกับไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้างกายคือจางต้าที่ยังคงดูตื่น ๆ แต่บนหน้ามีรอยยิ้มโง่ ๆเฉกเช่นทุกคราที่มีเรื่องเกิดขึ้น เด็กหนุ่มกวาดตามองร่างสูงในชุดสีน้ำเงินปักลายหรูหรา คุณชายจ้าวเซียวชิงที่แม้ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนแต่ดวงตาเป็นประกายวิบวับ พอเห็นสายตาของเขาก็ยกพัดโบกให้ทีหนึ่ง เขากระพริบตา นี่มันเรื่องอะไรกัน? 

“คาราวะคุณชายไป๋ คุณชายเสิ่น”หญิงงามผู้ถูกขนานนามว่านางมารหมื่นพิษเอ่ยทัก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์มากเสน่ห์ของนางกระจายอยู่บนดวงหน้าเรียว เสียงของนางยังคงหวานไพเราะเช่นเคย การไปเมืองอี้โจวทำให้ผิวขาวราวหยกเนื้อดีของซูเหลียนฮวาคล้ำขึ้น  แม้ว่าวันนี้นางจะสวมใส่ชุดคลุมสีแดงสดปักลายกระจ่างตาก็ตาม

 ‘แปลก…’ลางสังหรณ์ของจื่อฟางเริ่มทำงาน เขาหันมองไป๋ผูอวี้ที่บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มสุภาพปรากฏอยู่ทำให้ดุด่าไม่ลง

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “นี่มันเรื่องใด”เขาเอ่ยถาม 

“ข้าให้คนนำจดหมายไปส่งให้ฮ่องเต้แล้ว”จ้าวเซียวชิงกล่าวขึ้นมาทำลายความเงียบ มุมปากยกน้อย ๆ จื่อฟางเลิกคิ้วแต่รอยยิ้มเช่นนั้นมันคืออะไร เป็นรอยยิ้ม ‘รู้กัน’ของสหาย เด็กหนุ่มมองทุกคนที่อยู่ในลานบ้านสลับไปมา

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงพาคนมาเยอะแยะ มีงานเลี้ยงอะไรกันรึ”เด็กหนุ่มดูเอื่อยเฉื่อยก็จริงแต่ลางสังหรณ์ของเขาก็ยังพอมีอยู่ คุณชายจ้าวหันมองร่างบางก่อนก้าวมาหาพร้อมกับเอ่ยกระซิบเบา ๆใกล้ใบหู

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจัดเตรียมของขวัญมาให้เจ้าแล้ว”คุณชายที่จ้าวโอบบ่าเขา พร้อมรอยยิ้มซุกซนกระจายอยู่บนใบหน้า

“เจ้าพูดถึงเรื่องใด...”จื่อฟางเริ่มรู้สึกหัวหมุน แม้จะเริ่มคาดเดาได้ลาง ๆ มองคนนู้นคนนี้ทีอย่างต้องการคำอธิบาย

“คุณชายไป๋ ท่านยังไม่ได้บอกคุณชายเสิ่นอีกหรือ ทำเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ หากไม่ได้ถามความเห็นของผู้อื่นก็เท่ากับว่าเป็นการบังคับฝืนใจ”ซูเหลียนฮวามองตรงไปที่ไป๋ผูอวี้แสร้งทำใบหน้าเศร้าเสียใจ เครื่องหน้างดงามแต่งแต้มด้วยสีสันฉูดฉาดรับกับใบหน้า นางทำเสียงฟืดฟาด  เขาจึงหันมองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาที่ต้องการความจริง

“บอกข้ามา”เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม

“ที่ข้าจะบอกก็คือ...”ไป๋ผูอวี้สืบเท้ามาหาคุณชายรูปงามช้า ๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาประชิดตัว ร่างสูงใหญ่ปรายตามองผู้คนที่อยู่ภายในลานบ้าน พวกนั้นต่างก็หายตัวไปทันทีโดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ยกเว้นหยางชวีที่ต้องให้ซูเหลียนฮวาและเว่ยหลงฉุดกระชากลากดึงออกไป จื่อฟางกระพริบตาเริ่มรู้สึกว่าลึกลับเข้าไปทุกที

“เจ้า...คิดทำสิ่งใดกันแน่ หากไม่บอกกล่าวข้าจะกลับจวนแล้ว”ร่างบางเอ่ยอย่างหัวเสีย เลียริมฝีปากอย่างเป็นกังวล

“ข้าไม่รู้ว่าเอ่ยตอนนี้สมควรแล้วหรือไม่แต่จื่อฟาง…ข้ากับเจ้า...”คนตรงหน้าก้มมองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง ดวงตาสีดำมีเพียงความซื่อตรง หลังจากเอ่ยคำพูดก็เงียบไปเป็นนาน เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ส่งเสียงเรียก “มีอะไร”

“ข้ากับเจ้า พวกเราแต่งงานกันเถิด...”สิ้นคำพูดของอีกคน ความเงียบระลอกใหญ่ก็ครอบงำเป็นเวลานาน จื่อฟางเบิกตาโต คำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแทบไม่อยู่ในสาระบบความคิด แต่งงานอย่างนั้นเหรอ ไม่เร็วเกินไปหรือไร ความคิดมากมายแล่นวนอยู่ในหัว คนผู้นี้กินของผิดสำแดงมาใช่หรือไม่ เขาได้แต่จ้องหน้าชายหนุ่มตัวสูงกว่าราวคนโง่งม เหมือนไม่เข้าใจสารที่อีกฝ่ายส่งมา

“เจ้าว่ากระไรนะ”กว่าเด็กหนุ่มจะควานหาเสียงเจอก็ผ่านไปหลายเค่อ

“พวกเราแต่งงานกันเถิด”ไป๋ผูอวี้กล่าวย้ำอีกครั้ง ในใจสั่นไหวเล็กน้อยเพราะกลัวว่าคุณชายท่านนี้จะเอ่ยปฏิเสธกับการกระทำรวดเร็วของตน เขารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้จะเร่งรีบไม่ได้อีกทั้งก็ผิดธรรมเนียมปฏิบัติอยู่มาก แต่หากไม่ใช่ยามนี้อาจจะไม่มีเวลา ชายหนุ่มรู้สึกได้ รู้สึกถึงคลื่นที่กำลังก่อตัวก่อนที่พายุจะมา อีกไม่นาน...แผ่นดินเจี่ยจะวุ่นวาย เขาไม่รู้ว่าจะหลุดรอดจากอำนาจของฮ่องเต้หรือไม่ คนผู้นั้นย่อมไม่คิดใช้เขาเพียงเรื่องเดียว ถ้าต้องแลกความเป็นอิสระของเสิ่นจิ้งเฟย...ไม่สิ…จื่อฟางด้วยการตกอยู่ในวังวนอำนาจของคนผู้นั้น ไป๋ผูอวี้ก็ยอม แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยน เขาต้องการทำเรื่องสำคัญที่อยากทำเสมอมา แต่งงาน ท่านพ่อมักเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆเสมอ เขาเป็นบุตรอกตัญญูอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะหากคิดจริงจังกับจื่อฟางเขาย่อมมีบุตรไม่ได้ แต่การมีบุตรไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกันเสียหน่อย แม้ว่าเรื่องนี้ไป๋ผูอวี้จะผิดต่อคนหลายคนก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเสิ่นมู่หยางและไป๋อู่เหยียน


“แต่งงาน...”คำคำนี้ห่างไกลจากจื่อฟางมากนัก เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน แม้ว่าจะอยู่ในยุคโบราณที่ต้องรีบแต่งรีบมีบุตรใช้ก็เถอะ เขาไม่ใช้คนที่จะสละชีวิตส่วนตัวเพื่อใช้ชีวิตคู่ในตอนที่ยังใช้ชีวิตได้อีกนาน แต่ยามนี้สถานการณ์ค่อนข้างเปลี่ยน เขาจึงไม่แน่ใจ

“แต่ว่า...ตอนนี้น่ะเหรอ ข้างุนงงไปหมด”

“ข้ารู้ แต่เจ้าคงคาดเดาได้ว่าอีกไม่นานการก่อกบฏจะเกิดขึ้น ข้าไม่อยากเสียเวลา แต่หากเจ้าไม่ต้องการข้าก็ไม่ฝืนใจ”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เพิ่งเริ่มต้นแต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าเลือกไม่ผิด เขาเลือกจื่อฟางผู้นี้ไม่ใช่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยอย่างที่ทุกคนเข้าใจ จื่อฟางสบตากับร่างตรงหน้า เม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เขาหวาดหวั่นกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เอาเถิด เกิดมามีชีวิตเดียวก็ต้องใช้ให้คุ้ม ...แต่งงาน...แม้ความรู้สึกของเขาที่มีให้ไป๋ผูอวี้จะยังไม่ไกลถึงขั้นนั้นก็ตาม ในเมื่อไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง หากวันหนึ่ง...หากวันหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เด็กหนุ่มก็ยังมีความทรงจำเรื่องนี้ เขาได้แต่งงานกับไป๋ผูอวี้ เจ้าของฉายาท่อนไม้ไป๋ที่พัฒนาการไปไกลกว่าท่อนไม้

“ตกลง ข้าแต่งกับเจ้า”จื่อฟางตอบออกมาในที่สุด ใจเต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้ สีหน้าอย่างคนที่คิดไตร่ตรองมาดีแล้ว เขารู้ดีว่าไป๋ผูอวี้เป็นพวกยึดมั่นคุณธรรมซื่อตรงแต่กลับเลือกแต่งงานในตอนนี้ ทั้งที่ผิดหลักพิธีการมากมาย แสดงว่าไป๋ผูอวี้คาดเดาว่าการก่อกบฏจะร้ายแรงสินะ หรือเพราะฮ่องเต้กัน

“ข้าขออภัย พิธีแต่งงานของข้ากับเจ้าไม่ได้ถูกต้องตามหลักหกพิธีการ มีเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน เข้าห้องหอเท่านั้น”ชายหนุ่มกล่าวด้วยรู้สึกผิด จื่อฟางส่ายศีรษะอย่างไม่คิดมากเพราะไม่ใช่คนยุคนี้ สำหรับเขาแต่งหรือไม่แต่งก็มีค่าเท่ากัน ในบางยุคสมัยที่บ้านเมืองวุ่นวายก็ไม่ได้ทำตามพิธีการอย่างเคร่งครัดด้วยซ้ำ

“ก็แค่แต่งงานไม่ใช่หรือ เรื่องอื่นช่างมันก่อนเถอะ”พูดถึงห้องหอ เด็กหนุ่มนึกถึงเมื่อตอนที่เดินสำรวจบ้านแห่งนี้นึกถึงห้องนอนที่บานประตูเปิดไม่ออก หรือว่า...คนผู้นี้คิดไว้แต่แรกแล้ว

“ไป๋ผูอวี้ เจ้าแน่ใจนะว่าอยากแต่งกับข้าจริง ๆ ยังมีหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่ล่วงรู้ อีกทั้งข้าทำอาหารไม่อร่อย...”จื่อฟางเอ่ยอย่างว้าวุ่น

“ข้าแน่ใจ เรื่องพวกนี้ข้าอยากเรียนรู้ไปพร้อม ๆกับเจ้า อย่าเพิ่งคิดมากเลย ฟางเอ๋อร์”จื่อฟางพยักหน้าเหมือนคนต้องมนต์บางทีอาจเป็นเช่นนั้น นี่เขากำลังจะแต่งงานจริงๆหรือเนี่ย

“คุณชายเปลี่ยนชุดเถอะขอรับ”จางต้าก้าวออกมาจากหลังประตูเมื่อคาดเดาว่าการพูดคุยจบลงด้วยดี ไม่ได้ยินเสียงโวยวายจากคุณชายแม้แต่น้อย และคุณชายก็ไม่ได้ถูกบังคับอย่างที่หยางชวีคาดเดาด้วย แม้ว่าจางต้าจะไม่เห็นด้วยกับพิธีแต่งงานที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย แต่เมื่อคิดว่าคนทั้งสองเป็นบุรุษหากแต่งงานอย่างโจ้งแจ้งก็คงถูกบิดาของทั้งสองสกุลแย้งแน่อยู่แล้ว บางทีนี่อาจจะดีที่สุดก็เป็นได้ จางต้าไม่ต้องการเห็นคุณชายที่โดดเดี่ยวอีกแม้ยังมีเรื่องที่ต้องคิดอีกมากแต่หากคุณชายมีความสุขเขาก็ยินยอม หยางชวีก้าวมาโผล่ข้างกายด้วยใบหน้าดำคล้ำ เดาได้อย่างเดียวว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ 

“คุณชายเสิ่น หากท่านไม่ต้องการ….”

“ข้าเต็มใจ”จื่อฟางตอบสั้น ๆแต่ชัดเจน ทำให้ผู้ติดตามชะงัก สีหน้าซับซ้อนเผยออกมา

“แต่หากท่านทำเช่นนี้เป็นการผิดธรรมเนียมนะขอรับ นายท่านเสิ่นยังไม่ได้อนุญาต หากท่านรู้เข้าจะว่าอย่างไร คุณชายลืมไปแล้วหรือว่ามีหน้าที่ต้องสืบทอดสกุลเสิ่น”หยางชวีกล่าวเสียงนิ่ง ความรู้สึกตีกันวุ่นวาย เจ้าคนแซ่ไป๋สมองกลับไปแล้วรึ

“อีกอย่างไป๋ผูอวี้ มีฐานะเทียบคุณชายไม่ได้….”ขาดหกพิธีการยังเรียกว่าพิธีแต่งงานได้อีกหรือ

“ข้าไม่ได้มีฐานะใดทั้งนั้น ข้าเป็นคนธรรมดาสามัญ ถ้าเทียบกันจริง ๆ แล้วบอกตามตรงข้าต่างหากที่ฐานะเทียบไป๋ผูอวี้ไม่ได้”จื่อฟางเอ่ยเสียงเบา แม้จางต้าจะไม่ได้ยืนอยู่ใกล้นักแต่ก็ยังได้ยิน เมื่อครู่คุณชายว่าอย่างไรนะ?ฐานะเทียบลูกพ่อค้าอย่างไป๋ผูอวี้ไม่ได้อย่างไร หยางชวีจ้องมองคุณชายรูปงามนิ่งงัน ‘หมายความว่าอย่างไร คนผู้นี้ กำลังบอกใบ้กับข้ารึ’

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นความรับผิดชอบของท่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าคุณชายคือบุตรคนโตของสกุลเสิ่น ท่านร่ำเรียนหนังสือก็น่าจะรู้ความ ท่านขงจื๊อกล่าวไว้บุตรที่ดีย่อมกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา…แต่งงานกับผู้ที่สมควรมีบุตรสืบทอด”

“หยางชวี หากเจ้าจะสั่งสอนข้าก็กลับไปเสีย ข้าไม่ต้องการ เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของข้า หากเจ้าอยากขัดขวางก็เอาเถิด เจ้าจะทำลายความสุขเดียวของข้าก็เชิญเลย ข้าอนุญาตให้เจ้านำความไปบอกท่านพ่อ”เด็กหนุ่มรู้ดีว่ากล่าวเช่นนี้เป็นการบีบคั้นหยางชวีเกินไป คนผู้นี้ต้องการทำหน้าที่ผู้ติดตามที่ดีเท่านั้นและที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก หากยึดตามยุคนี้ เขาเป็นฝ่ายผิดข้อหาอกตัญญูต่อบิดาเต็มๆ 

“คุณชาย...ท่านทำแบบนี้ข้าลำบากใจนัก”หยางชวีกล่าวเสียงอ่อน ได้แต่ตวัดสายตาไปทางไป๋ผูอวี้ เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้ชอบเข้ามาแทรกแซงความคิดของคุณชายเสิ่น

“หยางชวี ข้ารู้ดีว่าเจ้าหวังดีต่อเสิ่นจิ้งเฟย ถูกอย่างที่เจ้าว่า ข้าเป็นบัณฑิตควรรู้ว่าสิ่งที่กระทำอยู่นั้นผิดต่อขนบธรรมเนียม การตัดสินใจครั้งนี้วู่วาม แต่ข้าไม่อยากรอช้าไปกว่านี้ ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ แต่อย่าขัดขวางเราได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงนุ่ม เขาชื่นชอบหยางชวีและรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ถึงแม้เจ้าตัวจะยังคงไม่เข้าใจก็ตาม

ขัดขวาง? หยางชวีย่นคิ้ว แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องบ้าบอพวกนี้แต่ชายหนุ่มไม่อยากทำลายความสุขของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายว่าเป็นความสุขเดียวอย่างนั้นหรือ วันเวลาในจวนสกุลเสิ่นคงเป็นฝันร้ายของคนผู้นี้ แม้หยางชวีจะเข้าใจแต่ก็ไม่อยากยอมรับ

“หากนี่เป็นความต้องการและเป็นความสุขของคุณชายเสิ่น...ข้าน้อยไม่คิดขัดขวาง”หยางชวีกัดฟันตอบก้มหน้าต่ำ ไม่อยากเปิดเผยสีหน้าให้ผู้ใดเห็น ข้าเคยบอกท่านว่ามิใช่คนยากหยั่งถึง แต่จะเปิดให้หยั่งหรือไม่ก็อีกเรื่อง ท่านคงเข้าใจแล้วกระมัง

จื่อฟางหายใจไม่ทั่วท้องแม้ผู้ติดตามจะก้มหน้า แต่เขาก็ยังทันมองเห็นอยู่ดี

“อะแฮ่ม คุณชายเสิ่น หากท่านพร้อมก็ตามข้ามา ข้าจัดเตรียมชุดไว้ให้ท่านที่ห้องปีกซ้ายแล้ว คุณชายไป๋เองก็รีบเปลี่ยนชุดเถิดเจ้าค่ะ”การปรากฏกายของซูเหลียนฮวาคล้ายกับช่วยชีวิตเขา เด็กหนุ่มมองหยางชวีอีกครั้งก่อนเดินจากมา ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ที่ทิ้งคนหน้าตายไว้กับไป๋ผูอวี้ จางต้ารีบก้าวตามมาติด ๆ ภายในห้องปีกซ้ายแขวนโคมไว้สองดวง กระจกบานหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะแต่งตัว ชุดสีแดงปักลวดลายสีทองสะดุดตาวางพาดอยู่กับเก้าอี้ เด็กหนุ่มใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เทียบกับเพื่อนในชั้นเรียนเขาคงเป็นคนแรกที่ได้แต่งงานก่อน! อา ว่าแล้วก็คิดถึงพ่อกับแม่จริง ๆ สองคนนั่นจะทำสีหน้าอย่างไรนะ

“จุ๊ๆ เจ้าคนหน้าตายนั่น….”ซูเหลียนฮวาพึมพำก่อนถอนหายใจ คิดว่าต่อให้เสิ่นจิ้งเฟยแต่งงานมีบุตรกับคุณหนูสกุลใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ความรู้สึกของตัวเองกระมัง ศิษย์พี่หานตงอะไรนั่นนอกจากสอนวรยุทธแล้วไม่ได้สอนเรื่องอื่นเลยหรือไร

“เขาไม่เป็นไรแน่หรือ”จื่อฟางเอ่ยถามเมื่อนึกถึงผู้ติดตาม เขาไม่เคยเห็นหยางชวีแสดงสีหน้าเช่นนั้นมาก่อน คล้ายกับความหมองเศร้าของคนที่ถูกสะบั้นรัก แม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้กระมังว่าทำสีหน้าแบบใดออกมา หยางชวีถ้าหากว่านี่คือนิยายฮาเร็มล่ะก็ข้าคงรับเจ้ามาไว้ในอ้อมอกอีกคนโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวนใจแล้ว

“คุณชายเสิ่นไม่ต้องห่วง หยางชวีก็เหมือนเด็กไม่รู้ความ เจ้าคนโง่นั่นอาจจะเงียบไปบ้าง แต่อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเอง”นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มจาง

“ข้าก็คิดเช่นนั้น คุณชายไม่ต้องห่วงเจ้าคนหน้าตายนั่นไปหรอก มา ข้าจะช่วยท่านแต่งตัว”จางต้าเอ่ย ซูเหลียนฮวาจึงถอยออกไปนอกฉากกั้น เอาล่ะ นี่คือพิธีแต่งงานของเขา จะคิดมากเรื่องผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด แค่คืนนี้ที่เขาจะคิดเรื่องตัวเองเท่านั้น จางต้าดันร่างของจื่อฟางไปที่หน้าโต๊ะ บ่าวรับใช้ช่วยเขาสวมชุดแต่งงานสีแดงโดยไม่เอ่ยสิ่งใด เขามองลวดลายหงส์ที่ปักอย่างเรียบง่ายแต่หรูหราสะท้อนอยู่ในกระจกขับผิวขาวของเสิ่นจิ้งเฟยให้เด่นชัดราวไข่มุก เด็กหนุมไม่ได้ใช้ผ้าคลุมหน้าเพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิง เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ซูเหลียนฮวาก็เข้ามาหวีสางผมให้ นางอมยิ้มเล็กน้อยสีหน้าเหมือนกำลังสางผมให้น้องสาวอย่างไรอย่างนั้น เขากลอกตามอง

“เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขนัก”เขาห้ามใจไม่ไหวเอ่ยถามออกไประหว่างที่นางใช้ผ้าเกล้ามัดผมให้ที่กลางศีรษะ 

“ท่านคงจำเรื่องลูกไหนได้ คุณชายไป๋พูดจากลับกลอกยิ่งนัก เขาบอกว่าไม่อยากกินลูกไหนแต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่”นางมารหมื่นพิษกล่าวพร้อมหัวเราะไปด้วย จื่อฟางนึกย้อนไปถึงคราวนั้นก็ยิ้มออกมา ซูเหลียนฮวาอารมณ์ดียิ่งนัก คุณชายของนางตัดสินใจถูกแล้วหากไม่แต่งยามนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำเพราะอย่างไรทั้งสกุลเสิ่นและสกุลไป๋ก็ไม่มีทางให้บุตรชายร่วมเตียงเคียงหมอนกันแน่ โดยเฉพาะนายท่านไป๋  แค่รู้เรื่องที่คุณชายเข้าร่วมกับราชสำนักนายท่านก็โกรธจนไม่พูดไม่จา หากรู้ว่าที่คุณชายทำไปส่วนหนึ่งก็เพื่อคุณชายรูปงามท่านนี้ล่ะก็คงได้เป็นลมหงายตึง

“เรื่องนี้ไป๋ผูอวี้คิดนานหรือไม่ เขาคงไม่อยู่ ๆก็นึกอยากแต่งงานกับข้าหรอกกระมัง”เขาเอ่ยถามระหว่างที่มองเงาสะท้อนของเสิ่นจิ้งเฟยในกระจก คนผู้นี้งดงามนัก แม้จะเกลียดคำว่างดงามแต่ก็ต้องยอมรับ เด็ดหนุ่มพยายามนึกถึงใบหน้าของตัวเองแต่ก็นึกได้อย่างเลือนลาง ไม่อยากให้ตัวตนของเขาต้องหายไป

ซูเหลียนฮวานึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณชายเอ่ยถึงเมื่อครั้งที่ไปเมืองอี้โจว คราแรกที่ได้ฟังข้าคิดว่าคุณชายอ่านบทละครจากสกุลฟู่มากไปเสียอีก”นางยกยิ้มจัดแต่งเส้นผมของเขาจนแล้วเสร็จ จื่อฟางสำรวจความเรียบร้อยอีกเล็กน้อย จางต้ากวาดตามองคุณชายก็รู้สึกเหมือนอย่างร่ำไห้ ดูแลคุณชายเสิ่นมาตั้งแต่ยังเล็กยามนี้คุณชายกำลังจะแต่งงาน เป็นการแต่งงานที่ผิดธรรมเนียมเสียด้วย แต่สีหน้าและแววตาของคุณชายเป็นสิ่งที่ไม่โกหก จางต้าไม่คิดเอ่ยแย้ง หากเป็นความต้องการของคุณชาย   

กึก ๆ

“เร็ว ๆได้หรือไม่ อย่าให้คนแก่ต้องรอนาน”จื่อฟางสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเคาะไม้เท้าของใต้เท้าเฉิน ไม่ผิดแน่ เสียงเช่นนี้ต้องเป็นเฉินฉางเซียง

“ท่านอาจารย์!”เขารีบก้าวออกมาจากห้องทันที รอยยิ้มกว้างเต็มหน้าเมื่อก้าวออกไปพบกับใต้เท้าเฉินยืนอยู่สวมชุดสีแดงอันเป็นมงคล ห่างออกไปเป็นร่างสูงของไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มจ้องมองจนเสียกิริยา ชุดตัวยาวสีแดงบนร่างของชายอีกคนขับให้คนใส่หล่อเหลาขึ้นเป็นเท่าตัวแม้ว่าลวดลายที่ปักอยู่บนชุดจะเรียบง่ายแต่ก็งดงามเหมาะสมกับไป๋ผูอวี้ หยางชวีและคนอื่นกลับมารวมตัวที่ลานบ้านอีกครั้ง ต่างก็มองมาที่บ่าวสาวทั้งสองด้วยสายตาชื่นชม  คุณชายจ้าวจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยท่าทางสนใจจนจื่อฟางทำตัวไม่ถูก บริเวณลานบ้านจัดโต๊ะสำหรับพิธีคำนับฟ้าดินไว้อย่างเรียบง่าย เทียนสีแดงส่องประกายในความมืด

“เอาล่ะ ๆ เลิกมองหน้ากันได้แล้ว ไม่คิดจริง ๆว่าตาแก่เช่นข้าต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ แต่จะว่าไปก็ตรงตามความต้องการของเสิ่นฉินอี้ เขาเคยพูดว่าอยากดองกับสกุลไป๋”ใต้เท้าเฉินกล่าวเบาๆ ด้วยดวงตาเป็นประกายน้ำวิบวับ แม้จะเป็นเพียงการเอ่ยล้อเล่นแต่ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะได้มาเป็นพยานแก่เด็กหัวรั้นทั้งสองคน มองเสิ่นจิ้งเฟยและไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาชื่นชม กระแอมกระไอเล็กน้อยเมื่อหลุดท่าทีออกไป

“ข้าจะเริ่มพิธีแล้ว”ตาแก่ถอนหายใจรู้สึกว่ามือเหี่ยวๆของตนชื้นเหงื่อ นี่เขาสนับสนุนให้เด็กพวกนี้มันทำเรื่องผิดธรรมเนียมหรอกรึ หากมีคนรู้เข้าคงถูกนินทาเป็นแน่

“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน”ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จื่อฟางใจเต้นกระหน่ำอยู่ในอก ครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานอีกทั้งกับไป๋ผูอวี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ร่างบางสบตากับชายหนุ่มข้างกายก่อนจะก้มตัวคาราวะดวงจันทร์ที่ส่องแสงเบื้องบน

“สอง คำนับบิดามารดา”ทั้งเขาและไป๋ผูอวี้หันไปคาราวะทางทิศที่เสิ่นมู่หยางและไป๋อู่เหยียนอยู่ ถอนหายใจน้อย ๆ เด็กหนุ่มนึกถึงหน้าพ่อกับแม่อยู่ในใจ

“สาม”ใต้เท้าเฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกระแอมกล่าวต่อ “สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน”จื่อฟางกับไป๋ผูอวี้หันหน้าเข้าหากัน เขาไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่ายนักจำต้องเสมองติ่งหูของร่างตรงหน้าก่อนจะก้มคาราวะอีกฝ่าย การแต่งงานระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้ไม่ได้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนมากนัก แต่เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะใจลอยไปถึงห้องหอเนื่องจากอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเริ่มเล่นงาน จางต้า เว่ยหลงและกุ้ยตานเริ่มดื่มสุราอย่างไม่รอช้า มีเพียงหยางชวีทียังคงทำสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนท้องผูก ใต้เท้าเฉินเคาะไม้เท้าเป็นจังหวะเริ่มเล่าเรื่องราวเก่าๆให้ผู้ใดก็ตามที่อยู่ใกล้ๆฟัง

“จื่อฟาง เจ้าคงไม่ลืมกระมัง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยกระซิบเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องหอ ดวงตาสีดำเหมือนมีไฟสุม เด็กหนุ่มแค่นเสียงในลำคออยากฟาดสักหลายที  ประตูเรือนนอนมีอักษรซวงสี่(มงคลคู่)สีแดงติดอยู่ เมื่อบานประตูเปิดออก คุณชายจ้าวเป็นผู้ถือโคมไฟเข้าไปวางบนหัวเตียงด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“เดี๋ยวก่อน”จื่อฟางกางมือห้ามไป๋ผูอวี้ที่อยู่ข้างกาย เขาเคยได้ยินความเชื่อในพิธีแต่งงานไม่รู้ว่าในอดีตเหมือนกันหรือไม่แต่ก็คุ้มที่จะลอง

“มีอะไรหรือ”ชายหนุ่มอีกคนถาม เขาจึงกางแขนค้ำตรงประตูส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายก้มตัวลอดเข้าไป เป็นความเชื่อที่ว่าหากเจ้าสาวลอดแขนเจ้าบ่าวที่หน้าประตูห้องหอจะทำให้เจ้าสาวอยู่ในโอวาทเชื่อฟังสามี จื่อฟางไม่สนว่าใครเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่หากแต่งงานกันแล้วก็ต้องเชื่อฟังกัน!ไป๋ผูอวี้ทำสีหน้างุนงงแต่ก็ยอมลอดใต้แขนของเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องหอ ร่างบางจึงยิ้มกริ่มก้าวตามเข้าไป คุณชายจ้าวขยิบตาให้คู่แต่งงาน

“ข้ายินดีกับพวกเจ้าทั้งสองด้วย ร่วมกันให้สนุก”กล่าวจบก็หัวเราะรีบออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตูตามหลัง

เมื่อประตูหนาหนักปิดลงความเงียบก็คืบคลานเข้ามา จื่อฟางกวาดตามองอาหารบนโต๊ะที่มีคนจัดเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็นอาหารมงคลสำหรับพิธีแต่งงานสิบอย่าง นอกจากสุรามงคลยังมียาบำรุงร้อนๆหนึ่งถ้วยใหญ่ รู้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของจางต้าแน่  เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบนั่งลงที่เก้าอี้ เขาหิวจะตายอยู่แล้วตั้งแต่ไปรับไป๋ผูอวี้ที่หน้าประตูเมืองก็มิได้หยุดพัก ยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักก้อน เมื่อเห็นอาหารหลากหลายตรงหน้าจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจอีกคนในห้อง ชายหนุ่มนั่งลงข้างกายไม่ได้แตะอาหารเพียงแค่มองดูอีกฝ่ายคีบผัดหมี่เข้าปากคำโต ไป๋ผูอวี้จึงหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลาใส่ถ้วยให้อีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ ยกยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นคุณชายร่างบางไม่ได้รักษามารยาทอย่างที่เคย 

“เจ้าไม่หิวเหรอ”จื่อฟางชวนคุยหลังจากที่รู้สึกว่ากินรองท้องพอแล้วจึงยกยาสมุนไพรมาดื่ม ตามด้วยตักขนมหวานล้างปาก 

“อีกเดี๋ยวข้าก็ได้กินแล้ว”เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 28-01-2019 16:57:40
“เจ้า…”เด็กหนุ่มเม้มปาก เจ้าท่อนไม้ไป๋กล้าดีอีกแล้ว จื่อฟางเปลี่ยนมายิ้มอย่างรักษาท่าที “ข้าจะป้อนขนมอี้ให้”กล่าวจบก็ลุกจากที่นั่งหยิบถ้วยขนมอี้เดินไปนั่งบนตักของชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึงแต่ก็กลับคืนสู่ท่าทีได้อย่างรวดเร็ว ร่างบางที่นั่งอยู่บนตักยื่นช้อนที่ตักขนมคำเล็ก ๆจ่อที่ริมฝีปากพร้อมเอ่ยเสียงหวาน

“สามี อ้าปากสิ”จื่อฟางแสร้งเอ่ยหยอก ยกช้อนจ่อปากอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงเอาแต่จ้องมองตน ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจาง ไม่รู้ว่าอยากกินสิ่งใดมากกว่ากัน ชายหนุ่มไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคุณชายรูปงามแม้แต่เสี้ยววิทำให้มือของจื่อฟางสั่นน้อยๆก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะอ้าปากกลืนขนมที่อีกร่างป้อนให้ ร่างบางเอี้ยวตัวหยิบจอกสุราส่งให้ชายหนุ่มก่อนร่วมดื่มสุรามงคลเงียบ ๆ ฝามือใหญ่ของเขาวางแหมะอยู่ที่รอบเอวเล็ก ลูบไล้ขึ้นลงเบา ๆจนทำให้อีกร่างรู้สึกจั้กจี้ จื่อฟางเห็นว่าบนโต๊ะยังมีไหสุราจึงเทใส่จนเต็มจอก  ยกดื่มเป็นจอกที่สองอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมึนเมา คืนนี้เขาไม่จำเป็นต้องยับยั้งอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

“ข้าไม่อยากให้เจ้าเมา”เสียงกระซิบของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ข้างหู ก่อนที่จมูกได้รูปจะกดสูดดมกลิ่นหอมอ่อนจากซอกคอของร่างบาง เด็กหนุ่มย่นคอ แต่ริมฝีปากอุ่นนั้นไม่ลดละกลับขบเม้มพรมจูบไปจนถึงกกหูก่อนอ้าปากงับเบาๆ อีกมือวางอยู่ที่ต้นขา ความร้อนจากฝามือนั้นแผ่ซึมผ่านผ้าแพร 

“ข้าไม่เมาหรอก”จื่อฟางเอ่ยอย่างดื้อดึง วางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนักจนได้ยินเสียงเพล้งดังตามมา เขาพยายามแกะเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกอย่างยากลำบาก เสื้อผ้ายุคนี้ยุ่งยากเสียจริง ไป๋ผูอวี้หัวเราะขบขัน

“เจ้าใจร้อนนัก”

“ข้าจะแสดงตัวตนให้เจ้าดูอย่างไร”จื่อฟางดูดเม้มปากที่ยังมีรสชาติสุราฟุ้งกระจาย ชายหนุ่มอีกคนจ้องมองเขา เอื้อมมือไปที่โต๊ะอาหารด้านหลังหยิบไหสุรามากระดกอึกใหญ่ เด็กหนุ่มจ้องมองลูกกระเดือกของร่างนั้นขยับขึ้นลงจึงใช้มือลูบไล้ ไป๋ผูอวี้วางไหสุรา โน้มใบหน้ามาใกล้ มือหนาคว้าปลายคางของเขาก่อนประทับจูบ มือข้างนั้นบีบกรามเขาเบา ๆเพื่อให้เปิดปากออกรับสุรากลิ่นหอมจากอีกฝ่าย จื่อฟางหายใจสะดุด รับรู้ว่าสุราไหลออกจากมุมปากระหว่างที่ริมฝีปากอุ่นร้อนของอีกฝ่ายจูบเร่งร้อนแนบชิดมากขึ้น รสสุรากระจายฟุ้งหอมอวลอยู่ในปาก ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างจับลำคอก่อนบดเบียดริมฝีปากหนาเข้าใกล้ดูดเม้มจนเจ็บแสบ กระทั่งจื่อฟางยอมให้เรียวลิ้นซุกซนของอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาอย่างจาบจ้วง มืออีกข้างที่ลูบเอวอยู่เปลี่ยนมาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังบาง

เด็กหนุ่มผละออกมาหายใจ ลากปลายนิ้วมือไปตามสันกรามของอีกฝ่าย สัมผัสราวขนนกทำให้ไป๋ผูอวี้ร้อนผ่าวไปทั้งร่าง อารมณ์รุนแรงคุกรุ่นแต่ก็ไม่อยากเร่งร้อน คืนนี้เขามีเวลาทรมานอีกฝ่ายทั้งคืน  เมื่อริมฝีปากของทั้งสองผละออก ต่างก็ใช้เวลาแกะดึงเสื้อผ้าท่อนบน ใช้เวลาไม่นานทั้งสองร่างก็เปล่าเปลือย จื่อฟางกวาดตามองแผ่นอกกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอีกฝ่าย สีผิวที่เข้มขึ้นยิ่งทำให้รู้สึกว่าน่าขบกัด เขาทำตามอย่างที่คิดโน้มตัวไปประทับจูบตามกล้ามเนื้อแกร่ง ปลายลิ้นเลื่อนหยอกล้อยอดอกของร่างนั้น ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงต่ำเบา ๆในลำคอ สองมือแกร่งเลื่อนมาขยำบั้นท้ายเบา ๆ เด็กหนุ่มส่งเสียงในลำคอระหว่างที่จูบย้ำอยู่ที่ลาดไหล่ ฝามือนุ่มลูบไปตามแผ่นอกกำยำเลื่อนต่ำลงไปที่ท้องน้อย ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจดึงมือของอีกคนออกจากจุดอันตราย ริมฝีปากของจื่อฟางประทับจูบเบาๆที่ซอกคอ มุมปากฉีกเป็นรอยยิ้ม

จื่อฟางเบียดร่างกายเข้าหาเนื้อตัวท่อนบนเปล่าเปลือยสัมผัสกันและกันแนบชิดจนอารมณ์พลุ่งพล่าน รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของบุรุษที่เขานั่งกดทับอยู่ เด็กหนุ่มนึกอัศจรรย์ใจว่าคนผู้นี้ควบคุมตัวเองได้ดีเกินไปแล้ว ยังทรงตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไร้พนักในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงอยู่ในลำคออีกครั้งมือแกร่งลูบคลำบริเวณบั้นท้ายของเขา ส่วนริมฝีปากพรมจูบไปทั่วลำคอขาว จื่อฟางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนขยับตัวเลื่อนลงมาจากตักของอีกฝ่าย ร่างนั้นย่นคิ้วคล้ายกับไม่พอใจกับช่องว่างที่เกิดขึ้น ฝามือหนากระตุกผ้าเกล้าผมของร่างบางออก เส้นผมสีดำราวม่านราตรีหล่นสยายมาถึงกลางหลัง จื่อฟางสบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตางดงามมีประกายเร่าร้อนจากเพลิงอารมณ์ที่รุกโหม มือเล็กยื่นมากระตุกเชือกมัดกางเกงออก ก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้ใช้ริมฝีปากสัมผัสความแข็งแกร่งผ่านผ้าแพรนุ่ม ไป๋ผูอวี้ปล่อยเสียงครางออกมาอย่างระงับไม่อยู่ ขยุ้มเกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

กลิ่นกายบุรุษทำให้จื่อฟางใจเต้นแรง เหลือบตามองชายอีกคนที่ก้มมองเขาด้วยดวงตาสีดำเข้มที่เต็มไปด้วยความปราถนา เด็กหนุ่มไม่คิดแกล้งอีกจึงดึงกางเกงของอีกฝ่ายลงจนความเป็นบุรุษอันแข็งแกร่งปรากฏให้เห็น ฝามืออ่อนนุ่มกอบกุมความใหญ่โตไว้ เริ่มขยับมือขึ้นลงช้า ๆ ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกหนึ่งของอีกร่าง

“ฟางเอ๋อร์...”ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงเรียกผ่านฟันที่ขบแน่นอย่างอดกลั้น หากอีกฝ่ายยังคงหยอกล้อเขาอยู่เช่นนี้ ชายหนุ่มคิดว่าอีกไม่นานเส้นความอดทนคงได้ขาดสะบั้น เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยังคงรักษาท่วงท่าทีสุขุม จื่อฟางมองเห็นประกายอันตรายในแววตาอีกฝ่ายจึงไม่อยากเสี่ยงแกล้งอีก รีบก้มใช้ริมฝีปากแตะกับความใหญ่โตนั้น เรียวลิ้นลากสัมผัสทุกสัดส่วน ไป๋ผูอวี้ขยับตัวจนเสียงเก้าอี้ลากครูดดังอยู่ในห้อง มือหยาบเลื่อนมานวดคลึงติ่งหูของเขาเบา ๆ ระหว่างที่หอบครางในลำคอ จื่อฟางผ่อนลมหายใจ ค่อยๆอ้าปากดูดกลืนส่วนนั้นช้าๆ ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงออกมาอย่างทนไม่ไหว ริมฝีปากอ่อนนุ่มครอบส่วนนั้นจนเขาแทบหลอมละลาย ก้มมองร่างบางที่ทรมานตนอยู่ด้วยดวงตาล้ำลึก มองริมฝีปากแดงเรื่อที่เลื่อนขยับขึ้นลงตามความเป็นชายของตน ภาพนั้นมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว เส้นความอดทนขาดผึง อารมณ์ปั่นป่วนในท้องน้อยเพิ่มขึ้น เขาจับต้นคอของอีกฝ่ายจากนั้นเป็นผู้ควบคุมจังหวะเอง ร่างบางส่งเสียงครางเบาๆอยู่ในลำคอ มือเล็กจับต้นขาของเขาไว้ ลมหายใจขาดห้วง ใบหน้าขาวๆแดงก่ำ ชายหนุ่มหอบครางรู้สึกเหมือนแทบระเบิดแต่ก็อดกลั้นไว้ เขาต้องการลิ้มรส ต้องการให้สัมผัสนี้อยู่นานอีกหน่อย

จื่อฟางพยายามสุดความสามารถ แม้จะเริ่มรู้สึกเมื่อยจากความคับแน่นแต่ก็ค่อยๆขยับศีรษะเป็นจังหวะ อาการมวนท้องเริ่มทำให้เขาเร่งจังหวะ นึกอยากให้เจ้าท่อนไม้พอใจเร็ว ๆจึงแกล้งส่งเสียงครางเบาๆ เป็นการกระตุ้นอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ลูบมือหยาบกร้านตามลำคอของเขาก่อนจะยกบั้นเอวสวนเข้ามาจนเด็กหนุ่มส่งเสียงขลุกขลัก กระทำเช่นนี้อีกไม่กี่ครั้งก็รับรู้ว่าความแข็งแกร่งของชายหนุ่มร้อนผ่าว ร่างบางรีบผละริมฝีปากออกมาก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะปลดปล่อยธารอารมณ์ แต่ก็ไม่ทันของเหลวที่อีกฝ่ายปลดปล่อยเปรอะเปื้อนตามแผ่นอกและใบหน้าของเขา จื่อฟางอยากกรีดร้อง รีบเอาใบหน้าถูไถกับท่อนขาอีกคน นั่งพักให้ลมหายใจคงที่ หน้าผากแนบอิงอยู่กับท่อนขาของไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มไม่รอให้เขาได้ตั้งตัวก็ฉุดดึงร่างให้มานั่งคร่อมทับบนตักอีกครั้ง ริมฝีปากหนาพุ่งเข้ามาประกบจูบบนเรียวปากเล็กของจื่อฟางอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ เด็กหนุ่มลูบไล้ฝามือไปตามหน้าอกแกร่ง ส่วนนั้นของชายหนุ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะแรงอารมณ์หรือฤทธิ์สุราที่มีสิ่งอื่นปนมาด้วย ไป๋ผูอวี้รู้ว่าซูเหลียนฮวาเป็นคนจัดเตรียมสุรามงคลและนางก็ไม่มีทางนำสุราธรรมดามาใช้ในงานแต่งของตนแน่

“ไป๋ผูอวี้ ใจเย็นๆ”จื่อฟางพึมพำ ใช้มือดันหน้าอกอีกคน เมื่อฝ่ายนั้นพยายามสอดใส่ความแข็งแกร่งเข้ามาบริเวณช่องทางคับแคบ

“อย่าเพิ่งสิ”เขาน้ำตาแทบไหล หมอนี่จะอดทนไม่ได้หรือไร ทำเขาปวดเมื่อยกรามไม่พอยังจะดันทุรังทำเช่นนี้อีก

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบแห้งยิ่งทำให้เขาใจเต้นกระหน่ำ กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ “รออีกนิด”เด็กหนุ่มยื่นหน้าขบกัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย ปลายลิ้นเกี่ยวพันกันชั่วครู่ก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะเลื่อนริมฝีปากซุกไซร้ลำคอขาวเป็นรอยช้ำอย่างไม่เบามือ ไป๋ผูอวี้เจ้ามันเป็นปีศาจร้ายจริง ๆ

เด็กหนุ่มอมนิ้วมือในปาก ยกบั้นท้ายเล็กน้อยก่อนจะใช้นิ้วมือทำให้คุ้นชิ้น ส่งเสียงร้องตะโกนเบาๆเมื่อไป๋ผูอวี้ใช้มือหนายกขาเขาข้างหนึ่ง ทำให้เขาต้องใช้ขาอีกข้างทรงตัวจับบ่าของอีกฝ่ายไว้เพื่อกันล้ม นิ้วมือของชายหนุ่มสอดเพิ่มเข้ามาด้วย จื่อฟางเม้มริมฝีปาก บิดเอวเมื่อนิ้วมือนั้นคว้านเข้ามาจนลึกก่อนเริ่มขยับเข้าออก ไป๋ผูอวี้กวาดสายตามองร่างตรงหน้าที่คล้ายกับถูกเขาย่ำยีจนแดงก่ำไปทั้งตัว จื่อฟางสบตากับอีกคนระหว่างที่ร่างนั้นสอดนิ้วมือเข้าออก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มมุมปากยื่นอีกมือมาสัมผัสกอบกุมส่วนกลางลำตัวของร่างบาง เมื่อถูกฝามือหยาบกระตุ้น ท้องน้อยยิ่งบีบรัด จื่อฟางครางเบาๆ ขาสั่นจนต้องเอนพิงชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้ปล่อยท่อนขาเรียวของร่างบางลง ก่อนเปลี่ยนมาโอบกอดหลวม ๆ เมื่อคิดว่าเด็กหนุ่มสามารถรองรับความแข็งแกร่งของตนได้ก็ค่อยดันส่วนนั้นเข้าไปที่ช่องทางช้า ๆ นวดคลึงบั้นท้ายของร่างนั้นไปด้วยก่อนจะออกแรงกระทั้นเอว

“อา”จื่อฟางซุกหน้ากับลาดไหล่แกร่ง เมื่อปรับลมหายใจจนเข้าที่ บทรักก็เริ่มขึ้น เขาใช้สองมือเกาะบ่าร่างใหญ่ก่อนจะขยับเอว ภายในห้องหอมีเพียงเสียงหอบคราง เสียงขาเก้าอี้ครูดกระแทกพื้นและเสียงน่าอายของผิวกายยามกระทบกัน  เด็กหนุ่มออกแรงเกร็งร่างโยกเอวสอดรับจังหวะของชายอีกคน ส่งเสียงครางเครือ รู้สึกว่าร่างกายเริ่มรับไม่ไหวจึงผ่อนแรงลง ไป๋ผูอวี้จึงยกร่างบางไปที่เตียงวิวาห์ วางร่างนั้นลงอย่างเบามือ

“ฟางเอ๋อร์ ข้าเป็นสามีเจ้าแล้ว”ชายหนุ่มกระซิบ พรมจูบลงบนไหล่มน จื่อฟางได้แต่เอียงหน้าไปอีกทางเพราะเรียวลิ้นลากเลียมาที่ลำคอก่อนจะขบจูบเบา ๆ เขายกท่อนขาโอบเอวแกร่ง ไป๋ผูอวี้โถมตัวมาหา เคลื่อนกายเข้าออกตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่น อาการบิดมวนในท้องน้อยเริ่มก่อตัวบีบเค้นให้เร่งจังหวะ ชายหนุ่มกระทั้นกายจนกระทั่งคนใต้ร่างเริ่มบิดร่างขยับเอวโต้ตอบ จื่อฟางเม้มปากปล่อยให้อีกฝ่ายคุมจังหวะ ท้องน้อยปั่นป่วนไปด้วยแรงอารมณ์ ชายหนุ่มเปลี่ยนท่วงท่ากดแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาจนสุด เสียงครางต่ำดังอยู่ในลำคอ ผิวกายกระทบกันอย่างน่าอาย ร่างบางร้องครางอย่างกลั้นไม่ไหวเมื่อร่างกำยำขยับเข้าออกรวดเร็วกว่าจังหวะก่อนหน้า

    “ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางขยำเส้นผมอีกฝ่ายกระตุกเป็นเชิงบอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงสรวงสววรค์ ไป๋ผูอวี้จึงเลื่อนฝามือกอบกุมส่วนกลางลำตัวของอีกร่างกระตุกเป็นจังหวะ เด็กหนุ่มใต้ร่างโอบกอดร่างด้านบนแนบแน่นระหว่างที่อารมณ์ไต่ถึงจุดสูงสุด ฝังหน้าลงกับลำคอหนา หอบหายใจ เมื่อธารอารมณ์พลั่งพรูออกมา จื่อฟางถูกอีกฝ่ายทรมานเกือบทั้งคืน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปเพราะความเหนื่อยล้าก็ตาม คุณชายรูปงามตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าไป๋ผูอวี้ยังคงตักตวงจากเรือนร่างของเขาไม่หยุด สติเริ่มจับเป็นรูปร่าง รับรู้ว่าช่องทางยังคงคับแน่นไปด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มบิดเอวครางเบา ๆเมื่อถูกกระทั้นกายเข้ามาซ้ำๆ

“เจ้าฟื้นแล้ว”ไป๋ผูอวี้ชะโงกหน้ามาหา ก้มประทับจูบที่แก้มขาว ร่างบางหรี่ตามอง

“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ”เขาถามเสียงเครือ คนด้านหลังใช้ฝามือลูบไล้ที่ซอกขาด้านใน ก่อนจะจับท่อนขายกขึ้น ขยับสอดความแข็งแกร่งเข้าออก จื่อฟางกัดริมฝีปากซุกใบหน้ากับท่อนแขนอ่อนแรงของตัวเอง ไป๋ผูอวี้ปัดเส้นผมชื้นเหงื่อออกจากใบหน้าและลำคอขาว ประทับจูบไปทั่วใบหน้าของอีกคน เลื่อนมาที่ลำคอสองแขนแกร่งโอบรอบเอวก่อนจะเบียดกายจนลึกขยับเข้าออกกระทั่งร้อนผ่าววูบวาบไปทั้งร่าง สัมผัสใกล้ชิดยิ่งเรียกเสียงครางดังมาจากเด็กหนุ่ม กระทั้นความแข็งแกร่งเข้ามาในความคับแคบอีกไม่กี่หนไป๋ผูอวี้ก็ปลดปล่อยความต้องการจนแทบหมดแรง จื่อฟางลืมตารู้สึกราวกับว่าร่างกายเหือดแห้งจากการที่ปลดปล่อยมาไม่รู้กี่ครั้ง ชายหนุ่มด้านหลังยังคงกอดก่ายอยู่ไม่ห่าง เขาเอี้ยวตัวไปหา จุมพิตลงเบาๆที่ปลายคางของอีกฝ่าย

“ไป๋ผูอวี้ ยามที่ข้ามาอยู่ในโลกนี้ ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก ยามนี้มีเจ้ามาช่วยแบ่งเบาภาระหนักอึ้ง ข้าดีใจยิ่งที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”จื่อฟางเอ่ยเสียงแผ่วอย่างง่วงงุ่น

“ข้าดีใจที่ได้พบเจ้า”ชายหนุ่มโน้มตัวปิดริมฝีปากของอีกฝ่าย “นอนเถอะ”ค่ำคืนร่วมหอจึงผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อย

คนที่อยู่ด้านนอกใช้เวลาก่อกวนอยู่หน้าประตูได้ไม่นานก็เขินอายเสียจนพากันหนีไปร่ำสุรา จางต้าหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงคุณชายของเขาถูกเจ้าคนแซ่ไป๋ทรมานจนแทบขาดใจ หยางชวีได้แต่นั่งเหม่ออยู่นอกลานบ้านถือไหสุราข้างตัว จางต้าไม่ค่อยเข้าใจเจ้านั่นมากนัก คิดว่าคงเป็นห่วงคุณชายเสิ่นเช่นเดียวกับตน แต่คงเป็นความห่วงที่แตกต่างกัน เว่ยหลง กุ้ยตาน คุณชายจ้าวนั่งฟังเสียงดีดพิณของซูเหลียนฮวาด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนคนเมากึ่งง่วงนอน ส่วนใต้เท้าเฉินพอเสร็จธุระก็ขอตัวกลับที่โรงเตี๊ยมบอกว่าไม่อยากข้องเกี่ยวอีกแต่ก็มอบทองจำนวนหนึ่งให้แก่เสิ่นจิ้งเฟยและไป๋ผูอวี้ จางต้ายกจอกสุราดื่มจนหมดเงยมองท้องฟ้ามืดเบื้องบน แสงจันทร์ทอแสงนวล เป็นค่ำคืนที่งดงามเงียบสงบในเรือนหลังเล็กแห่งนี้

……….

จื่อฟางได้สติอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็นของอีกวัน ไป๋ผูอวี้ยังคงอยู่ข้างกายไม่ห่าง เมื่อเห็นว่าเขาตื่นก็รีบนำถ้วยยาร้อน ๆมาป้อนดื่ม ร่างนั้นช่วยประคองเขาลุกนั่งรีบนำหมอนมารองแผ่นหลัง

“เวลาใดแล้ว”เขาเอ่ยถาม นวดขมับที่ปวดตุบๆ ร่างกายก็ปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะช่วงเอวและบริเวณต้นขา สงสัยออกแรงและเกร็งมากไป

“ยามซวี(19.00น - 20.59น.)”ไป๋ผูอวี้ตอบระหว่างที่รับถ้วยยาที่หมดแล้ววางลงที่โต๊ะข้างเตียง จื่อฟางรู้สึกแปลกๆกับการถูกปรนนิบัติพัดวี จึงไม่ได้สบสายตากับชายหนุ่มอีกคน

“เหตุใดไม่มองหน้าข้าเล่า ภรรยา”

“ข้า...ข้าไม่คุ้นชิน เจ้าทำตัวปกติไม่ได้รึ”เขาขึงตาใส่ให้กับสีหน้าหยอกล้อของอีกฝ่าย ร่างนั้นหัวเราะเบาๆ

“ข้าเป็นสามีเจ้าแล้ว กระทำเจ้าจนเป็นเช่นนี้ก็ต้องรับผิดชอบมิใช่หรือ”ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงนุ่ม ลูบเส้นผมดำขลับของอีกฝ่ายไปด้วย ร่างบางเอนเข้าหาสัมผัสของเขา

“ข้าอยากอาบน้ำ ต้องรีบกลับจวนสกุลเสิ่นข้าจากมานานแล้วเกรงว่าคนทางนั้นจะเป็นห่วง”จื่อฟางบอก แม้ว่าจะเสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับไป๋ผูอวี้อีก เขาปัดเส้นผมยาวสยายไปด้านหลังอย่างนึกรำคาญหากจบเรื่องวุ่นวายแล้วเขาไม่มีทางเก็บผมยาวๆไว้แน่ ไป๋ผูอวี้พยักหน้าเห็นด้วยเข้ามารวบร่างบางอุ้มในท่าหญิงสาว อ้อมแขนแกร่งโอบรอบให้ความรู้สึกว่าพึ่งพิงได้

“ให้ข้าช่วยเจ้าเถิด”ไป๋ผูอวี้ก้มมองคุณชายรูปงามในอ้อมแขน อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักเขาจึงพาร่างนั้นเดินอ้อมฉากกั้นพาไปที่อ่างน้ำอุ่นที่บ่าวรับใช้เพิ่งยกเข้ามาเมื่อสักครู่ยังคงอุ่นร้อน เขาวางเรือนร่างเปล่าเปลือยลงในน้ำอุ่น พับแขนเสื้อของตนขึ้น ระหว่างนั้นก็ใช้ไยบวบช่วยขัดถูแผ่นหลังขาวอย่างเบามือ

“เจ้าเจ็บปวดที่ใดหรือไม่”ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเขินอาย

“ไม่เจ็บปวด ข้าสบายดี”จื่อฟางตอบ ร่างกายผ่อนคลายเมื่อรับรู้ว่านิ้วมือยาวของอีกคนเกลี่ยผิวบริเวณต้นคอของเขา เชื่อว่าที่ตรงนั้นมีรอยช้ำแดงจากการถูกขบกัด

“ตรงนี้เล่า?”

“ไม่เจ็บ”เขาพึมพำตอบ ริมฝีปากของอีกฝ่ายประทับจูบแผ่วเบาก่อนที่ร่างนั้นจะใช้ไยบวบขัดถูร่างให้เขาอย่างตั้งใจ ไม่ได้ทำการล่วงเกินใดอีก หลังจากที่อาบน้ำเสร็จชายหนุ่มก็ช่วยเขาสวมเสื้อผ้า เขาเลือกชุดสีน้ำเงินอมฟ้าปักลายกระเรียนคู่สง่างามเข้ากับชุดที่ไป๋ผูอวี้สวมใส่

ไป๋ผูอวี้ให้กุ้ยตานจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มไม่ชอบให้คนปรนนิบัติ มื้ออาหารจึงผ่านไปอย่างเรียบง่าย จางต้าทำอึ่งคี้ตุ๋นไก่ดำเพื่อจื่อฟางโดยเฉพาะเพื่อบำรุงร่างกาย หลังจากที่อิ่มท้อง เด็กหนุ่มออกมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกลานบ้านระหว่างที่ไป๋ผูอวี้ให้นางมารหมื่นพิษมาตรวจร่างกายของเขา ผ้าแพรสีแดงยังคงอยู่ กลิ่นสุราเหม็นคลุ้งอวลอยู่ในอากาศ ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนี้ดื่มหรืออาบสุรากันแน่ เขาไม่เจอจ้าวเซียวชิงแต่คนผู้นั้นมอบพัดหายากให้เขา จื่อฟางชอบมากแต่อยากใช้พัดของไป๋ผูอวี้จึงได้แต่เก็บไว้ในหีบอย่างเสียดาย

เขาอ้าปากหาวหวอด ๆกระพริบตามองซูเหลียนฮวาตรวจชีพจรและลมปราณให้ตนเองมาครู่หนึ่งแล้ว นางมีรอยยิ้มที่ไม่น่ามองนัก ส่วนไป๋ผูอวี้กำลังชงชาเหียนตงอยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย เขาปรายตามองนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็หน้าร้อน คนผู้นี้ปีศาจชัด ๆ! ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ ตอนที่เปิดประตูห้องออกมาก็พบจางต้าเฝ้าอยู่หน้าประตูกอดไหสุราต่างหมอนทำเอาจื่อฟางคิดวุ่นวายว่าเจ้าบ่าวรับใช้ได้ยินเสียงที่พวกเขาสองคนทำหรือไม่ เด็กหนุ่มจ้องมองจนชายหนุ่มรู้ตัวเงยมองด้วยสายตาเปื้อนรอยยิ้ม เขารีบเบนสายตาไปทางอื่น พบว่าจางต้าและหยางชวีต่างก็จ้องมองมาที่เขากับไป๋ผูอวี้ตาไม่กระพริบ

“ว่าอย่างไรบ้าง”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม กระแอมกระไอเบา ๆ ไป๋ผูอวี้รินชาใส่จอกเลื่อนส่งมาให้ เขารับมาถือเป็นการอุ่นมือ

“คุณชายแข็งแรงขึ้นมาก ชีพจรคงที่ลมปราณก็ดีขึ้น แม้ต้องรับมือกับคุณชายของข้าจนเกือบรุ่งสางก็ยังไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี”นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาขึงตาใส่พยายามไม่ใส่ใจเว่ยหลงและกุ้ยตานที่กวาดลานบ้านอยู่ไม่ไกลนัก 

“เช่นนั้นก็ดี”เขาตอบเสียงเรียบ

“คุณชาย ข้าคิดว่าเราควรกลับจวนสกุลเสิ่นได้แล้วขอรับ”หยางชวีเอ่ยเตือนเมื่อได้จังหวะ ใบหน้าของผู้ติดตามไร้ความรู้สึก เขาพยักหน้าจิบชาเล็กน้อยก่อนหันมองไป๋ผูอวี้

“เจ้าไปเถิด ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน”
 
“อืม เช่นนั้น หากมีโอกาสค่อยเจอกัน ข้าไปล่ะ ”จื่อฟางรีบโน้มตัวไปจุมพิตที่แก้มของอีกคนแล้วเร่งรีบสืบเท้าจากมาโดยไม่หันมอง ได้ยินเสียงเว่ยหลงกระแอมกระไอ จื่อฟางบิดมือในแขนเสื้อไม่ได้มองหน้าบ่าวรับใช้ รีบก้าวเข้าไปในรถม้าที่จอดรออยู่ทันที จางต้ายกมือถูจมูก นั่งขดตัวอยู่ใกล้ๆหยางชวีที่ยังคงไม่เอ่ยวาจาออกความเห็นเรื่องการแต่งงาน แต่เขาก็เข้าใจหากเจ้าคนหน้าตายจะไม่เห็นด้วยแค่ไม่เอาไปบอกเสิ่นมู่หยางก็ถือว่าดีแล้ว รถม้าแล่นกลับจวนสกุลเสิ่นอย่างเร่งรีบ จื่อฟางใจลอยเมื่อคิดได้ว่าวันพรุ่งนี้คืองานคล้ายวันเกิดของหลิวอ๋อง ความกังวลบางอย่างก็เริ่มก่อตัว

“จางต้า ชุดใหม่ของข้าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง”เขาเอ่ยถามทำลายความเงียบ บ่าวคนสนิทรีบตอบรับทันที “เรียบร้อยแล้วขอรับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ามองออกไปนอกบานหน้าต่าง กว่าจะถึงจวนสกุลเสิ่นก็กินเวลาพักหนึ่ง เขารีบลงจากรถม้า จางต้าจ่ายเงิน เขากับหยางชวีรีบสืบเท้าผ่านเข้าไปในประตูชั้นใน  เสิ่นมู่หยางนั่งดื่มชาอยู่ในสวนเมื่อรู้ว่าบุตรชายที่หายหน้าหายตาไปสองวันเต็มกลับมาก็รีบรุดออกมาเจอ เสิ่นจิ้งเฟยกำลังเดินกลับเรือนของตัวเองพอดี

“เฟยเอ๋อร์ เจ้าหายไปที่ใดมา”เสนาบดีเสิ่นถามอย่างเป็นกังวล สีหน้าเคลือบแคลงใจฉายชัด

“ข้าไปหาลู่เจียงที่นอกเมือง”จื่อฟางเอ่ยตอบอย่างไม่มีพิรุธใด เนื่องจากคิดคำตอบไว้แล้ว เสิ่นมู่หยางกวาดตามองร่างของเสิ่นจิ้งเฟยขึ้นลง มงดูจากสภาพที่ดูไม่ได้ของมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

“ลู่เจียง?หญิงคณิกาจากหอผูเยว่น่ะหรือ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะชอบใจนางถึงเพียงนี้”เสิ่นมู่หยางพึมพำ มองบุตรชายก่อนถอนหายใจ “เจ้าเองก็ควรระวังตัวหน่อย ยามนี้สถานการณ์ในฉางอันไม่ค่อยสูดีนัก”

“ข้าทราบดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบ

เสิ่นมู่หยางแค่นเสียงในลำคอ เมื่อได้ยินคำตอบอวดดีจากร่างนั้น “วันรุ่งขึ้นที่วังหลิวอ๋อง ฝ่าบาทอย่างไรก็ได้รับเชิญแน่อยู่แล้วเจ้าก็อยู่ห่าง ๆพระองค์ไว้ล่ะ”เขากล่าวเตือน ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าชายงามเจาเฟิงจะมาด้วยหรือไม่ หากมาชายงามผู้นั้นคงผูกใจฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ บางทีบุตรชายของตนอาจเป็นอิสระ

“ขอบใจท่านพ่อที่เป็นห่วง ข้าจะอยู่ห่างๆฮ่องเต้”ไม่ต้องบอกจื่อฟางก็ทำเช่นนั้น แต่เขาอยากคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย ไม่รู้ว่าจะสามารถหลบเลี่ยงได้หรือไม่

“ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน”พูดจบเขาก็รีบหมุนตัวจากมา เดินไปตามเฉลียงทางเดินเพื่อกลับไปที่เรือนของตน บ่าวรับใช้ยังคงทำงานกันอย่างขมักเขม้น บางคนก็นั่งจับกลุ่มนินทาแต่เมื่อเห็นคุณชายเสิ่นก็รีบแยกย้ายทันที

“หยางชวี เจ้าโกรธข้ารึ”เขาได้โอกาสเอ่ยถามระหว่างที่เข้ามาในห้องหนังสือ คืนนี้ว่าจะวาดรูป ออกปากบอกไป๋ผูอวี้ไว้แล้วว่าจะวาดภาพเปลือยของตนเองให้ดู ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย เขาไม่ได้มองว่าเป็นภาพอนาจาร

“ข้าน้อยมิกล้า”ผู้ติดตามตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา จื่อฟางเงยหน้ามองจากโต๊ะเขียนหนังสือ ระหว่างที่คัดเลือกสีสังเคราะห์ในจานหมึก

“ข้าไม่ได้อยากรู้ว่าเจ้ากล้ารึไม่กล้า”

“ข้า...”หยางชวีมีสีหน้าลังเล “ข้าน้อยไม่รู้”

เด็กหนุ่มเดาะลิ้นเบา ๆ ท่าทางเจ้าคนหน้าตายจะสับสนมากทีเดียว เขาไม่ได้เอ่ยถามอีก ลงมือวาดรูปอย่างเงียบเชียบ ผู้ติดตามนั่งมองอยู่เงียบ ๆเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นวาดรูปใดก็กระแอมเสียงดัง ใบหน้าร้อนผ่าวแต่ยังคงปราศจากความรู้สึก

“คุณชาย...เหตุใดวาดรูปพวกนี้เล่า”เขาเอ่ยถาม เอียงศีรษะมองก็พบว่าคนในรูปคือชายในฝันที่คุณชายเคยเอ่ยถึง

“ข้าอยากวาด ทำไมรึ”

“เป็นภาพโป๊เปลือย ดูมิดีมิงาม”หยางชวีถอนหายใจ เรื่องเท่านี้ต้องให้บอกด้วยหรือ จื่อฟางเลิกคิ้วหัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้าไปมาก่อนกลับไปสนใจวาดภาพต่อ ใช้เวลาหลายชั่วยามก็ยังไม่เสร็จ

“ข้าจะนอนที่ห้องหนังสือ”เด็กหนุ่มเอ่ยบอกกับบ่าวรับใช้ วางพู่กันลง บิดเนื้อบิดตัวไปมา รู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนักจึงรีบคลานกลับไปที่หลังฉากกั้น หยางชวีมองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาอ่อนใจแต่ก็มีรอยยิ้มขบขัน นึกถึงไป๋ผูอวี้ก็ได้แต่แค่นเสียงเย็นชา ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณชายถึงยอมทำเรื่องผิดขนมธรรมเนียมเช่นนี้ เรื่องบุรุษแต่งงานกันมิเท่าไหร่ แต่ลอบทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้มันถูกต้องหรือไร หากนายท่านเสิ่นมู่หยางสืบรู้เข้าจะเป็นอย่างไร ไป๋ผูอวี้คงถูกนายท่านเล่นงานเป็นแน่ แต่เจ้าคนแซ่ไป๋...เขานับถือความเด็ดเดี่ยวตั้งมั่นของคนผู้นั้น หากเป็นเขาให้เลือกระหว่างทำผิดกฎสกุลมาแต่งงานกับคุณชายเสิ่นเขาย่อมไม่ทำ แต่ไป๋ผูอวี้...นึกถึงถ้อยคำที่ได้ยินจากคฤหาสน์ก็ทำให้เขาได้แต่ส่ายศีรษะ เขายอมให้บิดากลับเมืองหลานโจวเพื่อแลกกับการเข้าร่วมราชสำนัก อีกทั้งเหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย  หยางชวีไม่เข้าใจจริง ๆ แต่เมื่อคิดดูแล้ว ตนเองก็ยอมละทิ้งเป้าหมายในการตอบแทนบุญคุณของนายท่านเสิ่นมารับใช้คุณชายผู้นี้...มันแตกต่างหรือไม่เล่า?


-----------
กรี๊ดดดด //หวีดร้อง ปิดหน้าขวยเขิน ตอนหน้าก่อกบฏแล้วนะคะ (อิ_อิ) หนักใจนิดนึง เขียนฉากอารมณ์ไม่ค่อยออก T.T ยืนยันว่าจบแฮปปี้ และก็ไม่ปลายเปิดด้วย

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม :กอด1:
 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 28-01-2019 18:28:03
จะเครียดก็เครียดไม่สุดจะฟินก็ฟินไม่สุด อุแงง ท่อนไม้ไป๋อะไรรเดี๋ยวนี้มีแต่เจ้าปีศาจ เฟยเอ๋อร์ก็ไปสุดมากลูกก  :katai1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-01-2019 19:02:17
เครียด  :katai1:  แต่ฟิน  :hao6:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-01-2019 20:41:06
พายุใหญ่หลังลมสงบแน่ๆ เลยแง แต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณไป๋คือปีศาจในร่างคุณชายมาก น้องสลบอีกแล้ว !! เขินตอนเรียกว่าภรรยา บิดจนไม่ไหวแล้ววว แง  :hao5:  :impress2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2019 21:25:32
ยินดีกับคู่สมรส ไป๋  จื่อฟาง  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ท่อนไม้ไป๋ ชื่นชอบมากกกกก  ไม่เหน็ดเหนื่อยเลย  :z1: :pighaun: :haun4:
ไม่นึกเลยว่าจื่อฟางจะมาถึงขั้นนี้ได้ มันยอดมากกกกกกกกกก   :hao5:  :sad4: :heaven
เอ็นดูหยางชวี เด็กน้อยขัดใจเจ้านาย  :mew1:
สงสารเสิ่นมู่หยาง กับไป๋อู่เหยียน ตกในสภาพเดียวกัน  :mew2:
แม้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าลูกของตัวเอง ถึงขั้นแต่งงานกัน  :m20: :laugh:

ไป๋ จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 29-01-2019 01:21:33
หวานชื่น โรแมนติกกันได้ไม่นาน. เรื่องเครียดจะมาแล้ว  :ling1:

ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 29-01-2019 09:27:14
ขอให้มีความสุขนะ คู่บ่าว สาว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 29-01-2019 10:03:13
รอติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-01-2019 11:33:28
Godddd พี่ไป๋ เรากลายร่างจากต้นไม้ไปแล้ว

เก็บทุกเม็ด หนักหน่วงจนน้องสลบ แต่ก็ยินด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 29-01-2019 14:33:15
ไหนใครบอกว่าเป็นท่อนไม้
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
 :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 29-01-2019 15:09:34
กรี้ดดดด :heaven
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-01-2019 19:53:28
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-01-2019 20:06:01
อวสานท่อนไม้ไป๋ตั้งแต่วันนั้นแล้ว
กลายร่างเป็นไม้เลื้อยเต็มรูปแบบในวันเขเาหอ
นางน่ารักตรงเซอไพร้ซ์ไว้ก่อนแล้วตั้งแต่รบเสร็จ โอ้โห ฟินแล้วก้อบูู๊ต่อเลย
สงสารร่างบอบบางของฟางเอ๋อร์จริงๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 30-01-2019 11:11:23
แอบฮาบทที่ว่าจื่อฟางให้ไป๋ลอดแขนเข้าหออ่ะ
ส่วนพี่ไป๋ก็บอกน้องว่าไม่หิว แต่รอกินน้องอยู่
คือแบบ ใครร้ายกาจกว่ากันคะ เลือกไม่ถูกเลย

แอบสงสารหยางชวี หาคู่ให้น้องหน่อยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 30-01-2019 23:55:32
สนุก น่าติดตาม ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 31-01-2019 01:39:59
จื่อฟาง นางแซ่บเกินไปแล้ว
คุณชายไป๋ก็อหมือนกัน เห็นเงียบๆ นางดุมากกกกด
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 31-01-2019 04:52:13
กรี๊ด ท่านไป๋มิใช่ท่อนไม้อีกต่อไป แต่เป็นปีศาจไม้เลี้อย น้องฟางก็อึดดีแท้ ตอนนี้หวานไปก่อน ตอนหน้าเครียดแน่
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 31-01-2019 20:52:11
ตอนนี้ดีงามมากเจ้าท่อนไม้มีวิวัฒนาการ​ล้ำเลิศจนได้ลงเอย​เป็นสามีภรรยากับฟางเอ๋อ​กันแล้ว​ ตอนหน้าก่อกบฏ​ตื่นเต้น​เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว P.20 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 31-01-2019 23:58:49
หยางน้อยยยเจ้าเด็กขี้หวงงงง 5555555 เอ็นดูนางงง พายุลูกใหม่กำลังจะถาโถมเข้ามาแล้วสินะ ฮ่องเต้กับคนงามของเขาก็ไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น แต่ฮ่องเต้กก็แอบเข้าใจความรักมากขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2019 01:37:49
บทยี่สิบสี่: พลิกผัน


ฮ่องเต้เจี่ยผิงมาเยือนคุกหลวง เขาสวมใส่ชุดตัวยาวธรรมดา มือไพล่หลังด้วยท่าทีสงบ เบื้องหน้าของเขาคือบุตรชายสกุลหลี่เสื้อผ้าที่เคยใหม่เอี่ยมเปื้อนไปด้วยฝุ่น ร่างซูบผอมหมอบกราบอยู่แทบเท้าเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจี่ยผิงมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กจื่อฟางคิดอย่างไรถึงได้อยากช่วยคนผู้นี้ หลี่ฮุ่ยจือมิใช่มิตรสหายด้วยซ้ำ กระทั่งตัวเสิ่นจิ้งเฟยเองยังไม่ใคร่ใส่ใจนัก 

ยามที่ชายหนุ่มได้รับจดหมายฉบับนี้จากที่ปรึกษาเกา เขาได้เปรยถามความเห็นของเสิ่นจิ้งเฟย ชายงามตอบเพียงว่าแล้วแต่การตัดสินใจของเขา เจี่ยผิงยอมเสียเวลามาพบเจอบุตรชายสกุลหลี่ก็เพราะอยากรู้ถึงเรื่องเร่งด่วนตามที่เนื้อความในจดหมายบอกไว้

“เจ้ามีเรื่องใดต้องการบอกเราหรือ หลี่ฮุ่ยจือ”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เด็กหนุ่มที่หมอบกราบตรงหน้าขยับร่างเล็กน้อย ศีรษะยังคงก้มต่ำ

“กระหม่อมต้องการบอกถึงแผนการร้ายของหลี่ลั่วหวั่นพ่ะย่ะค่ะ”หลี่ฮุ่ยจือตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนเบาอย่างไม่แน่ใจนัก เขาไม่ได้ใช่คำว่าบิดา เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับท่านพ่อมากอยู่แล้ว การตัดสินใจของคนผู้นั้นไม่เกี่ยวกับเขา เมื่อนึกถึงเสิ่นจิ้งเฟยก็น้ำตารื้นไม่คิดว่าคุณชายรูปงามผู้นั้นจะยอมออกปากช่วยเหลือตนจริง ๆ มาคิดดูแล้วที่ผ่านมาหลี่ฮุ่ยจือก็สร้างเรื่องงามหน้าให้กับอีกฝ่ายไม่น้อย

“แผนการร้าย?”ฮ่องเต้หยักยิ้ม“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ”กู้หมิงยกเก้าอี้มาให้โอรสสวรรค์นั่งเพราะรู้ดีว่าฝ่าบาทเริ่มสนใจการสนทนาครั้งนี้ เจี่ยผิงยกชายเสื้อนั่ง จ้องมองไปที่หลี่ฮุ่ยจือด้วยสายตาเยียบเย็น

“กระหม่อมบังเอิญได้ยินหลี่ลั่วหวั่นพูดคุยกับสหาย พูดถึงการลอบเข้ามาในเมืองหลวงขององค์ชายใหญ่ และพวกชาวหูที่ตั้งใจจะบุกมาจากเขตชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”

“น่าเสียดายนักที่เรื่องพวกนี้เรารู้หมดแล้ว”บุรุษหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแต่กลับสนใจสหายที่อีกฝ่ายกล่าวถึงมากกว่า “สหายที่เจ้าว่าคือผู้ใด”

หลี่ฮุ่ยจือเลียริมฝีปาก ใจเต้นรัวแรง “กระหม่อมมิรู้จัก แต่เขาชื่อแม่ทัพเจิ้งพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หนุ่มเลิกคิ้ว แม่ทัพสกุลเจิ้ง คงมีเพียงผู้เดียว คนผู้นี้ไม่เห็นด้วยกับการคุมขังอัครเสนาบดีหลี่ อีกทั้งยามนี้ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ชายหนุ่มทบทวนอยู่ในใจ คงต้องให้คนรีบส่งม้าเร็วไปเตือนกำลังพลที่ซุ่มโจมตีอยู่ที่เมืองลั่วหยางให้ระวังแม่ทัพเจิ้งไว้

“เท่านี้รึ”ฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังบอกกล่าวไม่หมดคงไม่กล้าแทรกวาจาขัดจังหวะความคิดของเขา

“ยะ ยังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ”บุตรชายสกุลหลี่รีบโพล่งออกมา สบตาเขาวูบหนึ่งก่อนรีบก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “หลี่ลั่วหวั่นยังกล่าวอีกว่าในคืนก่อนวันคล้ายวันเกิดของหลิวอ๋องเจี่ยซินจะมีเหตุจลาจลเกิดขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งก็คือคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่ฮุ่ยจือบอกออกไปแล้ว จำได้ว่าคืนนั้นตนเมาสุรามากเสียจนเข้าไปนอนสลบที่ห้องชั้นในหลังฉากกั้นห้องหนังสือของบิดาโดยบังเอิญ เมื่อสะดุ้งตื่นก็ได้ยินท่านพ่อกำลังสนทนากับแม่ทัพผู้หนึ่งด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด นึกแล้วก็โล่งอกที่วันนั้นเขาไม่โดนจับได้ ไม่รู้เช่นกันว่าท่านพ่อจะจัดการกับเขาอย่างไร เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าออกช้า ๆไม่กล้าสบพระพักต์ของเจ้าแผ่นดิน ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าข้อมูลของตนจะเป็นประโยชน์พอให้รอดออกจากคุกหลวงแห่งนี้

ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ฟังก็นิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด ลงมือก่อความวุ่นวายในคืนนี้อย่างนั้นหรือ เขาได้แบ่งกำลังทหารและหน่วยมีฝีมือไว้คอยป้องกันตามหัวเมืองต่าง ๆเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในเมืองหลวงก็วางกำลังป้องกันไว้ อีกส่วนหนึ่งปกป้องวังหลวงอย่างหนาแน่น หากจะมีคนกล้าก่อความวุ่นวายในวังหลวงก็คงเป็นเพียงฝีมือของคนในเท่านั้น คนที่ยังพอใช้งานและไว้ใจได้ก็มีเพียงองครักษ์ที่ส่งไปจับตาดูจื่อฟางที่จวนสกุลเสิ่น คงต้องให้สองคนนั่นคอยระงับเหตุการณ์ร้ายแรงในจุดที่บุตรชายสกุลหลี่บอก เขาไม่อยากเรียกใช้นายทหารเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ามีการเคลื่อนไหว

“เจ้าคงรู้ว่าควรทำสิ่งใด”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวส่งสายตาสื่อความนัยไปทางเฮ่อเจ๋อ  ร่างนั้นรับคำทำความเคารพก่อนหมุนตัวออกไปจัดการตามคำสั่งทันที เขาเบนสายตากลับมาที่บุตรชายสกุลหลี่ จะว่าอย่างไรดี เขาไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอย่างจื่อฟางเสียด้วย เจ้าคนผู้นี้เคยล่วงเกินเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อนหากไม่ทรมานเล่นสักเล็กน้อยก็น่าเบื่อแย่

เจี่ยผิงลุกจากเก้าอี้ จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ข้อมูลของเจ้าน่าสนใจ แต่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอให้เราลดโทษให้แก่เจ้า แต่หากว่าเจ้าอดทนผ่านการลงทัณฑ์ของเราได้เกินสามวัน เราสัญญาว่าจะปล่อยตัวเจ้าออกจากคุงหลวง”แต่ปล่อยไปที่ใดนั้น ยังไม่ตัดสินใจ เจี่ยผิงหยักยิ้มก้มมองร่างผอมซูบที่ตัวสั่นงันงกอย่างห้ามไม่อยู่

“เจ้าคิดว่าคำขอของชายรูปงามผู้หนึ่งจะเปลี่ยนความคิดเราได้อย่างนั้นหรือ”อีกทั้งผู้ร้องขอก็มิใช่เสิ่นจิ้งเฟย

“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้เกี่ยวข้องใดกับการกระทำของบิดา โปรดเมตตากระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หลี่ฮุ่ยจือโขกศีรษะร้องขออย่างสิ้นหวัง เจี่ยผิงปรายตามองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินออกมาจากคุกหลวง ทิ้งให้บุตรชายสกุลหลี่ทรุดอยู่เช่นนั้น หลี่ฮุ่ยจือรู้สึกว่าอยากร่ำไห้แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่หวังว่าตนจะมีชีวิตรอดจากการลงทัณฑ์


~•~


จื่อฟางทิ้งหยางชวีไว้ด้านนอก ปล่อยให้เจ้าคนหน้าตายนั่นตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนเข้านอนเด็กหนุ่มแขวนโคมไฟทิ้งไว้ที่ฉากกั้นเช่นทุกครา นึกไปถึงโคมไฟบนหัวเตียงที่บ้านหลังเล็กของไป๋ผูอวี้ก็ยิ้มออกมา โคมไฟต้องจุดไว้ให้ครบสามวันนับแต่วันเข้าหอห้ามให้ดับ แต่จะว่าไปไม่อยากเชื่อว่าตนแต่งงานแล้ว เขาสะบัดความคิดเพ้อเจ้อออกไปจากหัว จัดหมอนให้เรียบร้อยก่อนล้มตัวนอน หยางชวีถอยออกไปเฝ้าด้านนอกห้องเช่นเคยยังคงครุ่นคิดเรื่องของคุณชายเสิ่น จางต้าเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของผู้เป็นนายพลันนึกถึงเรื่องเมื่อวานตอนเย็นได้พอดีจึงกระแอมกระไอเบาๆ

“คุณชาย ข้าน้อยเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งได้ เมื่อวานตอนค่ำๆ ข้าเห็นคนผู้หนึ่งที่กำแพงจวน”จางต้าบรรยายถึงลักษณะท่าทางให้คุณชายเสิ่นฟัง ทีแรกคุณชายก็นอนดี ๆแต่พอเขาเล่าว่าคนผู้นั้นมีใบหน้างดงามราวสตรีแต่เป็นความงามที่เหมือนอาบยาพิษคุณชายเสิ่นก็พลิกตัวหันมามองหน้าเขาเขม็ง

“เอ่อ…มีอะไรหรือขอรับ หรือคนผู้นั้นเป็นผู้ร้าย”จางต้าได้แต่สงสัยว่าตนพูดผิดไปที่ใดหรือไม่

“เปล่าหรอก เขาเป็นสหายข้า เจ้าไม่ต้องกังวลไป”จื่อฟางพึมพำบอก มองร่างของบ่าวรับใช้ด้วยสายตาครุ่นคิด ไม่ผิดแน่ จากคำบรรยายของอีกฝ่ายคนงามผู้นั้นต้องเป็นเจาเฟิง เสิ่นจิ้งเฟยมาที่จวนสกุลเสิ่น มาเพราะเหตุใดกัน หรือเพราะมาดูจางต้า ความคิดนี้ทำให้เขาอมยิ้มน้อย ๆ

 บ่าวคนสนิทมองคุณชายอย่างไม่เข้าใจนัก คิดไปว่าคงเป็นเรื่องของไป๋ผูอวี้กระมังคุณชายถึงได้ยิ้มเช่นนี้

“นอนเถิดขอรับ”จางต้าจัดผ้าห่มบนตัวของผู้เป็นนายให้เรียบร้อย

“ขอบคุณมาก”จื่อฟางรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้ก็มีจางต้านี่แหละที่คอยดูแลไม่ห่างไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เคยเอ่ยบ่น(ให้ได้ยิน) จางต้าได้ยินคุณชายรูปงามเอ่ยเช่นนั้นก็เกาหัวแกรกๆ ออกมาล้มตัวนอนที่นอกฉากกั้น จื่อฟางหัวเราะขำกับสีหน้าของอีกฝ่ายแม้จะอ่อนเพลียแต่ก็ข่มตานอนหลับไม่ได้ง่ายๆ นึกถึงวันรุ่งขึ้น เขาต้องไปวังหลิวอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ได้ไปที่นั่นจึงรู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มนอนคิดเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งความอ่อนล้าเอาชนะได้ในที่สุด 

เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืนเสียงตีกลองบอกเวลาดังก้องไปทั้งฉางอัน หยางชวีที่อยู่นอกห้องออกมายืนมองท้องฟ้าดำมืดที่ลานบ้าน มีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะแรงกดดันขององครักษ์ทั้งสองที่ด้านนอกจวนหายไปแล้ว ผู้ใดเป็นผู้ลงมือ หลิวอ๋องหรือคนขององค์ชายใหญ่ ผู้ติดตามยังคงยืนมองไปยังที่ห่างไกลออกไป กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เหลือบมองก็พบจางต้าขยี้ตาอย่างง่วงงุ่น

“เจ้าออกมาทำไม”

“ข้าปวดฉี่น่ะสิ”บ่าวเซ่อซ่าตอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน ทันใดนั้นท่ามกลางความเงียบมีเสียงแปลกๆดังขึ้น เสียงผิวปากที่คล้ายกับเสียงนกร้อง แต่หยางชวีรู้ดีว่าไม่ใช่ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณมากกว่า ชายหนุ่มยืนตัวตรงด้วยท่าทีระแวดระวัง ดวงตาสีดำสอดส่องไปในความมืด ขยับกระบี่ที่อยู่ในมือ จางต้าสะดุ้งโหยงมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายนำออกมาตั้งแต่เมื่อใด

“เจ้าได้ยินหรือไม่หยางชวี”บ่าวรับใช้มองไปรอบ ๆอย่างขลาดกลัว เสียงผิวปากหวีดหวิวดังขึ้นอีกครั้ง

“จางต้า เจ้าไปถามศิษย์พี่หานตงที่เรือนของนายท่านว่ามีเรื่องแปลกเกิดขึ้นหรือไม่ ข้าจะอยู่ดูคุณชายเสิ่นเอง”ชายหนุ่มเอ่ยสั่งเสียงจริงจัง เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ไอ้อาการหนาวเย็นไปถึงกระดูกสันหลังคล้ายกับว่าถูกจับตามอง หยางชวีไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ มันทำให้เขาเหมือนตกเป็นเหยื่อในขณะที่ผู้ล่ากำลังซุ่มสังเกตการณ์

“อืม”จางต้าไม่เอ่ยมากความแม้จะหวาดกลัวแต่ก็รีบสาวเท้าออกไปที่เรือนด้านหน้าทันที หยางชวีมองเงาร่างของฝ่ายนั้นหายไปจากกรอบสายตา สายลมพัดเอื่อย เขาจึงเงียหูฟังเสียงบางอย่าง คิดว่าได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ทันใดนั้นเงาร่างสามร่างก็ปรากฏตัว หยางชวีรับมือการจู่โจมดุดันของชายปริศนาทั้งสามคนในคราวเดียว

แย่แล้วหยางชวีเหลือบมองเห็นบ่าวรับใช้ในเรือนที่หูดีหน่อยออกมาดูที่ลานบ้าน ชายปริศนาจึงพุ่งร่างไปหา บ่าวผู้นั้นร่วงกองกับพื้นราวกับตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง แต่เขาไม่มีเวลามาห่วงผู้อื่นเพราะต้องรับมือกับชายชุดดำมากฝีมือถึงสองคน ในใจห่วงคุณชายเสิ่นที่นอนหลับอยู่ในห้อง เพราะไป๋ผูอวี้แท้ๆที่ทำให้คุณชายอ่อนเพลียขนาดนั้น

หยางชวีหลบริ้วกระบี่ได้เพียงหนึ่ง อีกคมดาบก็พุ่งแทงมาที่ท้องน้อย ชายหนุ่มขบฟัน ได้ยินเสียงมาจากเรือนของนายท่านเสิ่นมู่หยาง ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่เรือนของคุณชายเท่านั้นที่ถูกลอบโจมตี ในตอนนี้คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าสกุลเสิ่นถูกเล่นงานเข้าแล้ว!หยางชวีพยายามต้านชายปริศนาทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่คนชุดดำอีกคนไปจัดการบ่าวไพร่ในเรือนไม่ให้ส่งเสียง

‘คุณชายเสิ่น!’ หยางชวีหมุนตัวมุ่งหน้าไปห้องหนังสือแต่คู่ต่อสู้ไม่ปล่อยให้เขาหนี กลับต้อนโจมตีให้ออกห่างจากห้องหนังสือมากเข้าไปทุกที อาการบาดเจ็บของชายหนุ่มยิ่งเพิ่มจากหนึ่งเป็นสองและดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาจะสู้จนตัวตาย

จื่อฟางสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกห้อง เขาลืมตากวาดมองในความมืด ใจกระตุกวูบเมื่อพบกับใบหน้าร้ายกาจของหลิวอ๋องเจี่ยซินที่อยู่ในระยะประชิด มือหนาของร่างนั้นเอื้อมมาปิดการร้องตะโกนด้วยความตกใจของเขา
 
“ชู่วว อย่าส่งเสียง”หลิวอ๋องกระซิบอย่างมุ่งร้าย จ่อมีดสั้นแหลมคมมาที่ลำคอของเขาอย่างข่มขู่ โคมไฟที่แขวนอยู่ส่องแสงริบหรี่ ทำให้มองเห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดสีดำทั้งร่างเฉกเช่นวันที่ลอบเข้ามาในจวนสกุลเสิ่นครั้งก่อน เด็กหนุ่มใจเต้นแรง เสียงด้านนอกห้องยังคงดังให้ได้ยิน เขามั่นใจว่าเป็นเสียงของการต่อสู้ หลิวอ๋องปล่อยมือออกจากริมฝีปากของอีกร่าง ออกแรงกดปลายมีดที่ลำคอของเด็กหนุ่มเป็นการข่มขู่

“ท่านคิดทำสิ่งใด”เด็กหนุ่มถามเสียงแหบแห้ง เลียริมฝีปากที่แห้งผาก ใจเต้นแรงอย่างตื่นตระหนก “ข้ารับใช้ของข้าเล่า”เขาถามแม้จะเริ่มคาดเดาสถานการณ์ได้ส่วนหนึ่ง เสียงการต่อสู้ที่ด้านนอกนั่นต้องเป็นของหยางชวีแน่อยู่แล้ว ไหนจางต้าที่ไม่ได้อยู่ในห้องนอกฉากกั้นเช่นทุกที ความคิดนี้ทำให้เขาไม่สบายใจนัก

หลิวอ๋องแสยะยิ้ม “ผู้ติดตามของเจ้าฝีมือดี ข้าจึงต้องหาคนฝีมือดีกว่ามาจัดการเขาให้พ้นทาง คิดว่าเขาคงบาดเจ็บไม่น้อย พ่อเจ้าก็เช่นกัน เจ้าอยากไปจากที่แห่งนี้ไม่ใช่หรือ น้องเสิ่น ข้ามากำจัดเขาให้เจ้าแล้วอย่างไร งานของเราจะได้ง่ายขึ้น”หลิวอ๋องเอ่ยวาจาอย่างเย็นชา แววตาดำมืด จื่อฟางถูกคำพูดของท่านอ๋องจู่โจมจนตื่นตระหนก กำจัดเสิ่นมู่หยาง ไม่นะ เขาไม่ต้องการเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเสิ่นจิ้งเฟย และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับคนผู้นั้น แต่คนในจวนสกุลเสิ่นแห่งนี้เปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเขาไปแล้วกระทั่งจางต้าก็เหมือนน้องชายคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการให้หลิวอ๋องฆ่าคนเหมือนผักปลา

“ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้”จื่อฟางกระซิบเสียงเบาอย่างร้อนใจ ตั้งใจจะขยับตัวแต่หลิวอ๋องเลื่อนมีดแหลมคมจ่อมาที่ใบหน้าของเขาอย่างอันตราย หลิวอ๋องคิดวางแผนใด เขาเริ่มรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี 

“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าบอกข้าเองว่าเกลียดเสิ่นมู่หยาง อยากไปจากจวนสกุลเสิ่นแห่งนี้...หรือเจ้าคิดเปลี่ยนใจเสียแล้ว ต้องการเล่นบทบุตรชายผู้ใฝ่ดี”ดวงตาของเจี่ยซินเป็นประกายมาดร้าย คืนนี้เขามาหาเสิ่นจิ้งเฟยเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตัดสินใจว่าจะเก็บคุณชายรูปงามผู้นี้ไว้ใช้งานหรือไม่ ชายหนุ่มพร้อมลงมือแล้ว ยามนี้ไม่สามารถชักช้าได้อีกต่อไปเพราะหากเขาไม่เร่งลงมือ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงได้จัดการเขาก่อน องค์ชายใหญ่อาจจะลงมือเมื่อใดก็ได้

“ข้ามิคิดเปลี่ยนใจ ครั้งก่อนก็ยืนยันแล้วไม่ใช่หรือ”จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เพราะปลายมีดแหลมคมสัมผัสกับแก้มของเขาเบา ๆ ดูท่าหลิวอ๋องจะติดโรคขี้ระแวงสงสัยมาจากฮ่องเต้เจี่ยผิง

“ถ้าเช่นนั้นก็เลือกมาว่าจะร่วมมือกับข้าหรือไม่ คืนนี้ข้าจะเดินทางออกจากฉางอันก่อนที่เจี่ยผิงจะปิดตายเมืองหลวง”หลิวอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงคั่งแค้น คนผู้นี้บีบคั้นเขาทุกทาง เพราะราชโองการลิดลอนอำนาจอ๋องทำให้มีอ๋องครองแคว้นหลายคนไม่กล้าลงมือ จากเจ็ดเหลือเพียงสี่เท่านั้น  แต่ในเมื่อลงเรือมาลำเดียวกันเจี่ยซินไม่มีทางให้อ๋องอีกสามคนกระโดดหนีลงเรือไปก่อน จึงใช้การข่มขู่ให้เข้าร่วม เป้าหมายของเจี่ยซินคือเมืองเสียนหยาง อ๋องที่เหลือแยกย้ายไปตามแผนที่วางไว้และต้องปรับเปลี่ยนเพราะเจี่ยผิงลอบวางกำลังพลไว้ซุ่มโจมตีระหว่างทาง

“คืนนี้เลยน่ะหรือ ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าออกไปจากประตูเมืองได้”จื่อฟางกล่าวเตือนสติ หลิวอ๋องมองมาด้วยแววตาข่มขู่ ร่างของบุรุษด้านบนกดน้ำหนักลงมาจนหายใจไม่สะดวก  เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าหงึกหงักเมื่อเห็นสัญญาณเตือนของอีกฝ่าย ขณะที่สมองคิดหาทางเอาตัวรอด

เสียงการต่อสู้ด้านนอกเงียบลงแล้ว  หยางชวีตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย เขายังได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากที่ไกลออกไปไม่มากนัก...เสียงนั้นคล้ายดังมาจากเรือนของเสิ่นมู่หยาง ในใจของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หลิวอ๋องเล่นงานสกุลเสิ่นจริง ๆน่ะหรือ! ม่านที่ปกคลุมเตียงไหวเล็กน้อยเพราะแรงลม แสดงว่าบานหน้าต่างถูกเปิดออก

“ข้าร่วมมือกับท่านตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือพี่เจี่ยซิน”จื่อฟางกลั้นใจเอ่ยชื่อนี้ออกไป เป็นชื่อที่อยู่ลึกในความทรงจำของร่างนี้ นานมาแล้วที่ไม่ได้หยิบยกมาใช้ คนด้านบนมีสีหน้าอ่านไม่ออก ดวงตาดำลึกเป็นประกาย ร่างขององครักษ์สองคนโผล่เข้ามาพร้อมกลิ่นคาวเลือดฉุนอยู่ในห้อง กระบี่แหลมคมของพวกเขาส่องประกายอยู่ในความมืด ท้องไส้ของจื่อฟางบิดมวนรู้สึกเหมือนป่วยไข้ เลือดบนปลายดาบมาจากหยางชวีและคนในเรือนของเขาสินะ ในอกของเด็กหนุ่มพลันบีบรัดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

“เหตุใดต้องทำร้ายคนในจวนข้า”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม หลิวอ๋องเจี่ยซินยกยิ้มเยือกเย็น หันมองคนสนิทอย่างสื่อความนัย จื่อฟางออกแรงดิ้นไปมาเมื่อคาดเดาเรื่องราวออก หลิวอ๋องตั้งใจจะฆ่าปิดปากเขา?ทันใดนั้นดาบยาวในมือของชายชุดดำคนหนึ่งวางพาดอยู่ที่ลำคอของเขา ชายอีกคนถือแท่นจุดไฟอันคุ้นตาอยู่ในมือ ดวงตาของคนผู้นั้นเป็นประกายมุ่งร้าย ระหว่างที่เป่าแท่งจุดไฟจนเกิดเปลวเพลิงลุกวาบจากนั้นก็โยนใส่ชั้นหนังสือเบื้องหลัง ไฟค่อยๆลามเลียจุดติดอย่างง่ายดาย

“ข้าคิดทำลายสกุลเสิ่นอย่างไรเล่า งานของเราจะได้ง่ายขึ้น”คืนนี้เจี่ยซินเป็นฝ่ายเดินหมากก่อนย่อมได้เปรียบ เขาส่งสายตาไปทางองครักษ์ ชายชุดดำเคลื่อนไหวรวดเร็ว ใช้ผ้าอุดปากของเด็กหนุ่มจนเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังอู้อี้อยู่ในลำคอ  มัดมือของเขาด้วยเชือก ร่างบางออกแรงดิ้นด้วยความตระหนกแม้ดาบยาวจะบาดลึกที่ลำคอ น้ำตาเอ่ออย่างห้ามไม่ได้ เหลือบตามองเห็นเปลวเพลิงค่อยๆลามเลียไปตามฉากกั้น

 ความหวาดกลัวกัดกินอยู่ในจิตใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใกล้ความตายมากขนาดนี้ อยู่ ๆใบหน้าของพ่อกับแม่ก็วาบเข้ามาในใจ ทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรบ้าง หากจื่อฟางตายจะได้เจอพวกท่านอีกหรือไม่ เขาเริ่มตระหนักถึงความเป็นจริงอันน่าเจ็บปวด ที่นี่คือโลกนิยาย โลกที่ไม่มีอยู่จริง แม้แต่ไป๋ผูอวี้ก็เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้น ตัวเขาเองยังไม่มีร่างที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งคิดเช่นนี้ก็ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งออกแรงดิ้น ร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่ในหัวอย่างสิ้นหวัง

“เจ้าหวาดกลัวหรือ ไม่ต้องห่วง อีกนิดเดียวเจ้าก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”เจี่ยซินฉีกยิ้มเป็นมิตร ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มราวกับต้องการปลอบโยน

“ไฟไหม้ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่น!”เสียงบ่าวคนหนึ่งตะโกนลั่นแหวกความเงียบก่อนที่เสียงร้องลั่นด้วยความตระหนกจะดังตามมา

“ละ เลือด!มีคนลอบทำร้ายสกุลเสิ่น…”คำพูดเงียบหายไปตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเพียงครึ่งคำจากนั้นก็ได้ยินเสียงของหนักหล่นกระทบพื้นดังตุบ จื่อฟางนอนฟังด้วยความหวาดกลัว บ่าวคนนั้นคงถูกฆ่าตาย ผิดคาดจริง ๆ เขาคิดว่าคนผู้นี้จะลงมือในงานวันคล้ายวันเกิดของตนเสียอีก เสียงจากเรือนของเสิ่นมู่หยางยิ่งดังมากขึ้น เปลวไฟยิ่งลุกลามในห้องหนังสือจนความร้อนอาบไปทั่วร่าง นี่เขาต้องถูกย่างทั้งเป็นจริง ๆน่ะเหรอ!ตอนจะตายเลือกสภาพศพไม่ได้จริง ๆ 

ไป๋ผูอวี้ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาเจ้า นึกถึงพิธีแต่งงานอันรวดเร็วที่คล้ายความฝันตื่นหนึ่งก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากร้องไห้ ร่างบางหมุนพลิกตัวพยายามหลีกหนีความตาย แต่หลิวอ๋องยิ่งออกแรงกดกดปลายมีดที่แก้มจนกระแสเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่าง

“เสิ่นจิ้งเฟย ไว้พบกันคราวหลัง”หลิวอ๋องยกยิ้ม เด็กหนุ่มเห็นปลายมีดแหลมคมอยู่ตรงหน้า รับรู้ว่าถูกกรีดที่แก้ม เขากรีดร้องลั่นอยู่ในลำคอด้วยความเจ็บปวด ร่างกายเกร็งกระตุก เปลวไฟโหมลุกอยู่ในห้องจนร้อนอบอ้าว

ใครก็ได้ช่วยที! เขานึกถึงไป๋ผูอวี้ นึกถึงหยางชวี แม้กระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิง ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ใจเต้นกระหน่ำ อาการเจ็บแปลบทำให้น้ำตาไหลอาบใบหน้างาม ปนเปื้อนไปกับเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากบาดแผลตรงข้างแก้ม จื่อฟางตัวสั่นไปทั้งร่าง มองเห็นหลิวอ๋องเจี่ยซินโน้มตัวเข้ามาใกล้ พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ยิน ภาพตรงหน้าเริ่มดำมืด ครู่หนึ่งจื่อฟางคล้ายกับมองเห็นภาพหลอน เป็นภาพขาด ๆ เกินๆราวกับวิทยุที่หมุนไม่ตรงคลื่น ในหัวมองเห็นผนังห้องสีขาวสะอาดตา  เขากระพริบตาเพ่งมองภาพให้ชัด จังหวะการเต้นในอกถี่รัวเมื่อมองเห็นเงาร่างหนึ่งเด่นชัด

“จื่อฟาง นาย...”ร่างนั้นมีสีหน้าตื่นตระหนก ก้มเข้ามาใกล้จนเห็นภาพชัดเจน จื่อฟางเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นทรงผมที่ตัดสั้นตามยุคสมัย ร่างที่มีใบหน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวสิ แต่ร่างกายของเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกดึงกระชาก ภาพของชายตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน เจ็บปวดไปทั้งตัว ภาพขาดๆเกินๆเหล่านั้นหายไป ก่อนที่สติจะดับวูบ จื่อฟางได้ยินเสียงร้องตะโกนเป็นที่วุ่นวายของบ่าวไพร่ในจวนสกุลเสิ่นห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือเปลวไฟลามเลียอยู่รอบตัว

ไป๋ผูอวี้…


~•~


เสิ่นจิ้งเฟยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ที่ริมหน้าต่างจากตำหนักหยุนเอี้ยน แม้จะเข้าสู่ปลายเดือนสอง อากาศไม่เย็นมากนัก แต่นางกำนัลก็ยังคะยั้นคะยอให้เขาสวมผ้าคลุมขนสัตว์ที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงสั่งตัดให้เป็นพิเศษเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจฝ่าบาท ชายงามย่นคิ้วให้กับความคิดนั้น เขาไม่เคยเอาอกเอาใจฮ่องเต้และคิดว่าไม่มีวัน เสิ่นจิ้งเฟยปรายตามองร่างของเจ้าแผ่นดินที่นั่งอ่านตำราอยู่ที่ตั่งนอนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คืนนี้คนผู้นี้มาค้างที่ตำหนักของเขาอีกแล้ว

“เจ้ามองข้านานแล้ว”เจี่ยผิงเอ่ยโดยไม่ละสายตามาจากตัวอักษรงดงามตรงหน้า เขากำลังอ่านจดหมายจากชายแดนเมืองอี้โจว ดูเหมือนว่าช่างอิ่นกำลังลงมือแล้ว ชายหนุ่มยกยิ้ม

‘เร็วเข้า เจี่ยซิน เจี่ยอี้ เราอยากจบเรื่องนี้เสียที’

“ข้าแค่กำลังคิดว่าท่านเคยสนใจฮองเฮากับองค์รัชทายาทบ้างหรือเปล่าก็เท่านั้น”เสิ่นจิ้งเฟยยิ่งรู้สึกไม่ชอบน้ำหน้าเจี่ยผิง ฝ่าบาททำเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับที่เสิ่นมู่หยางทำกับเขา รัชทายาทจะว่าอย่างไรที่บิดาผู้เป็นเจ้าแผ่นดินมาหลงไหลชายงามผู้หนึ่งจนไม่ยอมแวะเวียนไปที่ตำหนัก

คำถามของอีกฝ่ายทำให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงนิ่งงันไปอย่างไตร่ตรอง จริงอยู่ที่เขาไม่ได้แวะไปที่ตำหนักฮองเฮา แต่เขาไม่ได้ละเลยรัชทายาท ยังคงให้บัณฑิตหลิวเซียนฟางไปช่วยสอนหนังสือบุตรชายอยู่บ่อยครั้งแม้ว่าช่วงหลังบัณฑิตหลิวจะสุขภาพไม่ค่อยดี ทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ

“เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสอด”เจี่ยผิงจงใจเอ่ยด้วยถ้อยคำรุนแรง ต้องการให้อีกฝ่ายรู้แม้ว่าถูกโปรดปรานแต่ก็ใช่ว่าจะเอ่ยอย่างที่ใจคิดได้ทุกเรื่อง ชายงามจ้องหน้าเขาอยู่ครู่ใหญ่ แค่นเสียงในลำคอก่อนจะเหม่อมองท้องฟ้าด้านนอกต่อไป ฮ่องเต้หนุ่มปิดตำราก้าวลงจากตั่ง สืบเท้าไปหาคนงาม เสิ่นจิ้งเฟยเหมือนอยากถอยหนีแต่เพราะถูกร่างของชายหนุ่มกักขังจึงยืนตัวแข็งอยู่เช่นนั้น

“เจ้าโกรธข้า?”เขาแสร้งเอ่ยถามยื่นมือไปแตะแผ่นหลังของร่างนั้นเบาๆ เสิ่นจิ้งเฟยปรายตามองอย่างเยียบเย็นจนเจี่ยผิงหวาดหวั่น ชายงามผู้นี้ส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไป

“ท่านรู้ว่าข้าถูกบิดาปฏิบัติเช่นไร แล้วไยยังกระทำกับรัชทายาทเช่นเดียวกันไม่เห็นหรือว่าข้าเป็นอย่างไร”เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยากยุ่งเรื่องครอบครัวของเจี่ยผิงนัก เป็นเรื่องใหญ่เกินไปสำหรับเขา พอคิดเช่นนี้แล้วก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเส้นทางของเขากับฮ่องเต้ไม่มีทางบรรจบกัน คนผู้นี้มีฮองเฮา มีโอรส อีกทั้งยังมีสนมงาม เหตุใดท่านมักมากเช่นนี้!

“ข้าไม่มีวันทอดทิ้งรัชทายาท”เจี่ยผิงกล่าวเบาๆ ไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้ ชายหนุ่มมองออกว่าเรื่องนี้เป็นบาดแผลใหญ่ของเสิ่นจิ้งเฟย มองร่างบางตรงหน้าแล้วเขาก็รู้สึกว่าอยากโอบกอด

“ข้าขอกอดเจ้าได้หรือไม่”น่าขันจริงเชียว แค่กอดชายงามผู้หนึ่งก็ยังต้องออกปากขอ เขาเป็นเจ้าแผ่นดินมิใช่หรือ คิดอยากทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้เอ่ยตอบ ไม่สบตากับอีกคน พักนี้เขาค่อนข้างเหนื่อยฝันประหลาดอยู่บ่อยครั้ง ราวกับว่ามีอีกโลกหนึ่งอยู่ในความฝัน เสิ่นจิ้งเฟยได้สติเมื่อถูกอ้อมแขนของชายหนุ่มด้านหลังโอบกอด ร่างบางออกแรงดิ้นแต่อ้อมแขนนั้นกลับยิ่งรัดแน่น

“ขออยู่แบบนี้แค่ครู่เดียว”เจี่ยผิงพึมพำเบา ๆ ซบหน้าลงกับไหล่เล็ก ร่างของเจาเฟิงมีเนื้อหนังมากกว่าร่างผอมแห้งของเสิ่นจิ้งเฟย เวลากอดจึงรู้สึกเต็มไม้เต็มมือมากกว่า

“ท่านไม่คิดว่าเปิดเผยความรู้สึกมากเกินไปหรือ”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขึ้นเบา ๆ ลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มร่างใหญ่เป่ารดอยู่ที่ซอกคอจนให้ความรู้สึกหวาบหวิวจนต้องขบฟันห้ามความทรงจำเก่า ๆ แต่ก่อนก็จำได้ว่าถูกกอดเช่นนี้ แต่คนผู้นั้นมักบอกว่าเป็นกอดเช่นพี่ชายน้องชาย ‘ข้าช่างไร้เดียงสาจนเข้าขั้นโง่’

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของอีกร่าง เปิดเผยมากไปงั้นหรือ มิใช่ว่าเขาแสดงออกมาตลอดหรือไร? เขาปล่อยร่างของเจาเฟิง ยืดกายด้วยท่าทีสงบ ข่มกลั้นความรู้สึกต้องการเอาไว้ เขารอมานานหลายปี ต่อให้ต้องรออีกซักหลายเดือนก็ทนได้ เสิ่นจิ้งเฟยทอดสายตามองท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินฮ่องเต้ก้าวกลับไปนั่งที่ตั่งยาวเช่นเดิมก็ผ่อนไหล่ที่ตึงเครียดลง

“จื่อฟาง…”


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2019 01:38:12
 
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเกร็งเขม็งขึ้นมา เสียงเรียกนี้ดังหลอกหลอนมานานหลายคืน เสียงปริศนาร้องเรียกชื่อของจื่อฟางช่างคุ้นหู เขาไม่รู้ว่าจื่อฟางผู้นี้เป็นใครมาจากที่ไหนจึงคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะเช่นนี้จึงอยากไปพูดกับเจ้านั่น เสิ่นจิ้งเฟยหลับตา พยายามไล่เสียงประหลาดออกไปจากหัว ก่อนก้าวไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องดนตรี จรดมือลงบนกู่เจิงบรรเลงบทเพลงเบา ๆ

ฮ่องเต้หนุ่มเงยหน้ามองเมื่อได้ยินบทเพลงอันคุ้นหูเป็นบทเพลงที่เขาจำได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยแต่งขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นเพียงองค์รัชทายาท....หรือฟู่จวิ้น เจี่ยผิงยกยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่เคยเย็นชาของเจาเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบระหว่างที่มือเคลื่อนไหวอยู่บนกู่เจิง เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้เล่นบทเพลงนี้เพื่อเอาใจผู้ใดเพียงแค่นึกอยากเล่นเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว เด็กหนุ่มเล่นไปได้สักพักก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับถูกฉุดกระชากด้วยมือที่มองไม่เห็น 

“โอ๊ย”เสิ่นจิ้งเฟยยกมือกุมหน้าอก ใจเต้นถี่รัว อาการเช่นนี้ไม่ใช่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขาแน่นหน้าอกที่หอผูเยว่ก่อนที่ตนจะเข้าร่างของเจาเฟิง หรือว่า…หรือว่าเขาจะกลับร่างเดิม? ระหว่างที่ปวดรวดร้าวไปทั้งร่างก็มองเห็นฮ่องเต้เจี่ยผิงรีบก้าวมาหา พริบตาเดียวก็มาอยู่เบื้องหน้า

“จิ้งเฟย เจ้าเป็นอะไร”เจี่ยผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาปราดสายตามองไปนอกประตู “เส้ากงกง เรียกหมอหลวงชวีมาที่นี่ด่วน!”

“จิ้งเฟย เจ้าอดทนก่อน อย่าเพิ่ง…”อย่าเพิ่งไปจากข้า!ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ใช้สองมือประคองใบหน้าเล็กของชายงามที่เผือดซีด ดวงตาคู่งามเลื่อนลอยไม่ได้จับจ้องมาที่เขา

“…ฟะ”เสิ่นจิ้งเฟยพยายามร้องเรียก แต่ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว อยากขยับร่างแต่ก็ทำไม่ได้ ราวกับความคิดไม่สอดคล้องกับร่างกาย ความหวาดกลัวในส่วนลึกแผ่กระจาย เด็กหนุ่มไม่อยากกลับไปที่ร่างเดิม!เขาไม่ต้องการร่างอ่อนแอน่าสมเพชนั่น จื่อฟาง เจ้าอยู่ที่ใด เกิดอะไรขึ้น!เสิ่นจิ้งเฟยรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเอ่ยคำพูดออกมา

“ฟู่จวิ้น”เด็กหนุ่มเรียกชื่ออันแสนคุ้นเพราะต้องการฟู่จวิ้นคนเดิม มิใช่ฮ่องเต้ผู้เห็นแก่ตัวมองไม่เห็นผู้ใดนอกจากตัวเอง ก่อนที่เขาจะจากร่างนี้ไป ฝ่าบาทท่านจะคิดได้หรือไม่ว่าท่านไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ใดทั้งนั้น

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าอยู่นี่”เจี่ยผิงตอบเบา ๆเขย่าร่างบางที่เริ่มเย็นเฉียบอย่างน่าใจหาย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ต้องไม่ใช่เรื่องดี เขามองดวงตาของอีกฝ่ายก็ไม่เห็นร่องรอยมีชีวิตชีวาของเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในนั้น ราวกับเป็นเพียงร่างว่างเปล่า เขาเม้มปากมองออกไปด้านนอกรู้สึกงุ่นง่านเหลือกำลัง

 “หมอหลวงชวียังไม่มาอีกหรือ!ไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอกเลยรึไง ไปตามหมอหลวงมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”ฮ่องเต้หนุ่มตวาดลั่นในอกแผดร้อนเรากับมีไฟแผดเผา เขาหวาดกลัวจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

“จื่อฟาง”เสียงเดิมร้องเรียก คนผู้นั้นเอ่ยชื่อของเจ้าคนโชคร้ายที่อยู่ในร่างของเขา ภาพปรากฏให้เห็นเป็นห้องแปลกตาห้องหนึ่ง… สีขาวสะอาด มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาคุ้นตา เส้นผมสีดำตัดสั้น ชายหนุ่มที่โน้มตัวอยู่ตรงหน้าคล้ายกับไป๋ผูอวี้แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เสิ่นจิ้งเฟยตะเกียกตะกายหลีกหนีสุดกำลัง มองเห็นภาพบางอย่างเข้ามาในความทรงจำ ภาพที่ไม่ใช่ของเขา วิญญาณคล้ายกับถูกกระตุก

“ข้าไม่…อยากไป”เด็กหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งรอบตัวแล้ว จึงได้แต่พึมพำอย่างมืดบอด เขาไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ใด ไปยังสถานที่แปลกตานั่นหรือร่างเดิม อา…ที่ไหนเขาก็ไม่อยากไปทั้งนั้น ความรู้สึกของเขาช่างสับสนนัก แต่ต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางยอมรับ จนกว่าเจี่ยผิงจะได้รับบทเรียน!

“ข้าไม่ให้เจ้าไป จิ้งเฟยเจ้าต้องอยู่กับข้า”เจี่ยผิงกอดร่างเย็นเยียบในอ้อมแขนแน่น ไม่อยากให้เสิ่นจิ้งเฟยไปที่ใดทั้งนั้นแต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้คนในอ้อมแขนไม่เป็นไร

“เฮ่อเจ๋อ ไปที่จวนสกุลเสิ่นดูว่าจื่อฟาง ไม่สิ เสิ่นจิ้งเฟยยังอยู่ดีหรือไม่”ฮ่องเต้กล่าวอย่างเร่งร้อนไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้างามเพียงนิด ในตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะอยู่ในร่างผู้ใด เขาแค่ต้องการเสิ่นจิ้งเฟย เฮ่อเจ๋อรับคำก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นจิ้งเฟยหอบหายใจ อาการเจ็บปวดร้าวไปทั้งร่างคล้ายถูกบีบรัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ฮ่องเต้เจี่ยผิงปรากฏชัดเดี๋ยวก็พร่ามัว เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้าตื่นกลัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าโอรสสวรรค์

ท่านก็เจ็บปวดเป็นด้วยหรือ “ฟู่จวิ้น…”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกกระตุกดึงเป็นครั้งสุดท้าย

“เชิญท่านแก่เฒ่าไปผู้เดียวเถิด”เขายกยิ้มเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบากก่อนที่รอบกายจะดำมืด มองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของฮ่องเต้เจี่ยผิงเป็นสิ่งสุดท้าย

“เสิ่นจิ้งเฟย!”ชายหนุ่มร้องเรียก เขย่าร่างบางที่อ่อนปวกเปียกไร้สติอยู่ในอ้อมแขน เอามือแตะที่ปลายจมูกของอีกคนทันที ลมหายใจจากร่างนั้นยังมีอยู่แต่ก็บางเบาจนน่าใจหาย เจี่ยผิงร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่ฟื้น จนกระทั่งหมอหลวงชวีรีบเร่งเข้ามา ชายหนุ่มรีบวางร่างของเสิ่นจิ้งเฟยลงบนเตียง จากนั้นก็รอหมอหลวงตรวจอาการ เดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่น

‘เชิญท่านแก่เฒ่าไปผู้เดียวเถิด’คำพูดนี้ทำให้เขาเจ็บแปลบในอก สู้บอกว่าเกลียดข้ายังดีกว่าพูดคำนี้ ชายหนุ่มกำมือแน่นตวัดสายตามองหมอหลวงชวี ชายชราพลันรับรู้ถึงสายตาเยียบเย็นของฮ่องเต้ที่อาบร่างของตนก็เหงื่อแตก จับชีพจรของชายงามจนแน่ใจแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นเผือดซีดด้วยความหวาดกลัว จะให้บอกเจ้าแผ่นดินที่อยู่ในอารมณ์ผีเข้าผีออกอย่างไรเล่าว่าชายงามผู้นี้ตายแล้ว!ชายชราได้แต่ตัวสั่นมองเห็นประตูปรโลกเปิดกว้างทุกที

“ว่าอย่างไร”ชายหนุ่มเร่งถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของชายมากอายุ หวาดกลัวกับคำตอบที่จะได้รับ

“ทูลฝ่าบาท...ชายงามเจาเฟิง…ไม่มีลมหายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงชวีก้มหน้าเอ่ยคุกเข่าด้วยร่างสั่นเทิ้ม รู้ดีว่าชายงามเจาเฟิงเป็นผู้ที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงโปรดปรานมากที่สุดในขณะนี้ เจี่ยผิงได้ยินก็โกรธจัดสืบเท้ามาอยู่เบื้องหน้าหมอหลวง

“เจ้าพูดอะไรออกมา!เมื่อครู่เขายังดีอยู่แท้ๆ เขาจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!”ฮ่องเต้หนุ่มไม่อยากยอมรับ ยิ่งมองเห็นร่างสั่นเทาของหมอหลวงก็มีแต่ทำให้โทสะพวยพุ่งจึงถีบร่างนั้นจนกระเด็น

“ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมทูลกล่าวตามความจริง ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าจะช่วยเขามิได้”หมอหลวงทรุดหมอบแทบเท้าเจ้าเหนือหัว ไม่กล้าบอกกล่าวไปตามที่คิดว่าร่างของชายงามผู้นี้แปลกนัก เย็นเฉียบราวกับคนที่ตายไปนานแล้ว

ฮ่องเต้เจี่ยผิงใบหน้าซีดเผือด ดวงตาดำลึกมีประกายโทสะ “นำตัวหมอหลวงชวีไปโบยร้อยไม้”ชายหนุ่มไม่มองร่างของตาแก่นั่นอีก ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกรีบเข้ามานำตัวหมอหลวงชวีออกไปทันที ชายชราร้องขอความเมตตาแต่ฮ่องเต้ก็ไม่คิดชายตามอง

เจี่ยผิงเบนสายตามองร่างไร้สติของเจาเฟิง สืบเท้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เอื้อมมือไปสัมผัสผิวกายเย็นเยียบ เจ้าตายหรือ?เรื่องตลกอันใด ข้ารู้ว่าเจ้าออกจากร่างนี้ไปเท่านั้น เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้น

ที่หน้าประตูตำหนักร่างของเฮ่อเจ๋อปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน เจี่ยผิงไม่ได้หันไปมองเพียงพยักหน้าให้กับองค์รักษ์คนสนิท

“ฝ่าบาท เกิดเหตุที่จวนสกุลเสิ่นพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีกรมพิธีการถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บ และยังมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นที่ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย ยามนี้ยังไม่สามารถนำร่างของเขาออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อรายงานเสียงเรียบ รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องเยียบเย็นลง องครักษ์คนสนิทไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าสบพระพักต์ของเจ้าแผ่นดิน

“เพลิงไหม้…จิ้งเฟย”เจี่ยผิงมองร่างเจาเฟิง ถูกความจริงกระแทกใส่จนมึนงง ร่างจริงของเสิ่นจิ้งเฟยติดอยู่ในเพลิงไหม้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยจะไปที่ใดเล่า ฮ่องเต้สับสนไปหมด คราแรกคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะกลับร่างเดิมจึงรู้สึกเหมือนเห็นภูเขาพังทลายต่อหน้าต่อตา ร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง

 ‘สวรรค์ มิใช่ว่าท่านเข้าข้างข้าหรอกหรือ เหตุใดถึงทำเรื่องวุ่นวายเช่นนี้’

“เกิดเรื่องใดขึ้น!จู่ๆจะมีคนเข้ามาทำร้ายสกุลเสิ่นได้อย่างไร คนที่ข้าส่งไปมัวทำอะไรอยู่เหตุใดไม่ช่วยเขา!”ฮ่องเต้สืบเท้ามาหาเฮ่อเจ๋อ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะอันน่าหวาดกลัว เฮ่อเจ๋อรีบคุกเข่าทันที

“ฝ่าบาท เกิดเหตุวุ่นวายที่อีกฝั่งของเมืองฉางอัน พระองค์อาจหลงลืมว่าทรงถ่ายทอดคำสั่งให้องครักษ์สองคนนั้นเข้าไปหยุดสถานการณ์…จวนสกุลเสิ่นจึงถูกคนโจมตี ที่หน้าประตูเมืองก็เช่นกัน ทหารถูกฆ่าตายหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะแต่มีชาวบ้านพบเห็นว่ามีรถม้าต้องสงสัยมุ่งหน้าออกไป”

เจี่ยผิงกัดฟันกรอด นัยน์ตาวาวโรจน์ อยากระเบิดความโกรธแค้นที่คั่งอยู่ในอกออกมา เหตุวุ่นวายที่อีกฝั่งของฉางอันเป็นแผนการของหลี่ลั่วหวั่นจริง รึเป็นเพียงแผนการหลอกล่อให้คนเข้าไปก่อเรื่องในจวนสกุลเสิ่น เป็นเช่นนี้เจี่ยผิงค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นฝีมือของเจี่ยซิน เขามาจัดการฆ่าเสิ่นจิ้งเฟยด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับที่เขาวางแผนใส่ร้ายสกุลหลี่

“เจี่ยซิน เจ้าเอาคืนได้เจ็บแสบนัก ประเสริฐ เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนข้ออีก”ฮ่องเต้พึมพำ ใบหน้าปรากฏแววกระหายเลือด ออกคำสั่งกับองครักษ์ “ส่งคนไปที่จวนสกุลเสิ่น ตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุให้แน่ชัด แล้วนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยมาที่นี่”เขาต้องการเห็นกับตาให้แน่ใจ

“พ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อจากไปอีกครั้ง ทิ้งกู้หมิงเฝ้าระวังความปลอดภัยของฮ่องเต้ เจี่ยผิงกลับไปเฝ้าร่างไร้ชีวิตของเจาเฟิงเช่นเดิม คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว ถ้าหากร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกทำลาย แล้วเจ้าเด็กจื่อฟางนั่นเล่า ไปที่ใด ฮ่องเต้หนุ่มนั่งมองร่างของชายงามที่บัดนี้เริ่มแข็งตัว เขาหลับตาลง ความรู้สึกยิ่งชัดเจน ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งก่อนยื่นมือสัมผัสใบหน้านั้นเบาๆ เจี่ยผิงรู้มาตลอดว่าตนต้องการสิ่งใด ตั้งแต่ต้นเขาก็ต้องการเสิ่นจิ้งเฟย ทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ แต่ในยามนี้...แม้แต่วิญญาณก็ไม่หลงเหลือ ในกำมือของเขาเหลือเพียงความว่างเปล่า 

‘เชิญท่านแก่เฒ่าไปผู้เดียวเถิด’

ข้าไม่ยอมหรอกจิ้งเฟย ต่อให้เจ้าตาย ร่างของเจ้าก็ต้องฝังไปพร้อมกับข้า


~•~

ไป๋ผูอวี้รู้สึกไม่ดีนักที่โคมไฟบนหัวเตียงดับลงทั้ง ๆที่ไม่ได้เปิดหน้าต่าง ทั้งที่ไม่มีลมใดหลุดรอดเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มจุดโคมอีกครั้ง ก่อนกลับมากวาดตามองแผนที่ของเมืองฉางอันอย่างครุ่นคิด ตามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงบอก เจ็ดอ๋องที่ก่อกบฏต่างก็กำลังเคลื่อนไหวไปโจมตีเจ็ดเมืองสำคัญ ฮ่องเต้ส่งกำลังฝีมือดีไปที่เมืองอื่นแล้ว มีเพียงเมืองใกล้เคียงฉางอันที่คนสกุลไป๋ต้องรับมือ ได้แก่เมืองเสียนหยางและลั่วหยาง

“คุณชายไป๋!”เว่ยหลงกระแทกประตูเข้ามาในห้องอย่างไม่มีพิธีรีตอง สีหน้าตื่นตระหนกของผู้ติดตามทำให้ไป๋ผูอวี้ไม่ออกปากต่อว่า แสดงว่ามีเหตุร้ายแรง ในอกกระตุกวูบอย่างลางไม่ดี

“มีเรื่องใด”

“สกุลเสิ่นถูกโจมตี…เสิ่นจิ้งเฟยติดอยู่ในเพลิงไหม้…”เว่ยหลงยังพูดไม่ทันจบ ไป๋ผูอวี้ก็สืบเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เว่ยหลงรีบก้าวตามไปติด ๆ ในใจรู้สึกสงสารผู้เป็นนายยิ่งนัก เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อวานยังจัดพิธีแต่งงานอยู่เลยมิใช่หรือ กระทั่งที่ลานบ้านก็ยังไม่ได้เอาผ้าแพรแดงออก

ไป๋ผูอวี้กระโจนขึ้นหลังอาชา กระตุกบังเหียนมุ่งหน้าไปที่จวนสกุลเสิ่นทันที เขาตกใจมากจนไม่ได้คิดสิ่งใด ความคิดมีเพียงต้องไปช่วยจื่อฟางเท่านั้น ทุกก้าวจังหวะย้ำเตือนถึงโอกาสรอดของผู้ที่ได้ชื่อว่าภรรยาของเขา ที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่เคยหวาดกลัวความตายมาพรากคนรักไปจากตน เขามีแต่หวาดกลัวคนเป็น กลัวว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะมาแทรกกลาง เขาช่างโง่นัก ที่คิดว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ไป๋ผูอวี้มองไม่เห็นรอบกายคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องไปถึงจวนสกุลเสิ่นให้เร็วที่สุด หากเกิดเหตุร้ายขึ้นแสดงว่าหยางชวีได้รับบาดเจ็บหรือแย่กว่านั้น…ไป๋ผูอวี้ขบฟันรู้ดีว่าผู้ติดตามหน้าตายไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่     

เว่ยหลงควบม้าตามผู้เป็นนายมาติด ๆเอ่ยรายงานสถานการณ์ไปด้วย “ข้าให้ซูเหลียนฮวาล่วงหน้าไปก่อน หากมีเรื่องด่วนจะได้ให้นางรักษาได้ทันท่วงที”ไม่รู้ว่าคุณชายไป๋จะได้ยินที่ตนรายงานหรือไม่ เพราะเบื้องหน้ามองเห็นควันไฟและเปลวเพลิงเด่นชัดในท้องฟ้ามืดมน เสียงโวยวายจากจวนสกุลเสิ่นดังมาให้ได้ยิน ไป๋ผูอวี้ใจหล่นวูบไม่คิดว่าเปลวเพลิงจะรุนแรงเช่นนั้น เขากำสายบังเหียนจนเจ็บ ได้แต่เรียกชื่อจื่อฟางซ้ำ ๆ

รอข้าก่อน ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ไม่ว่าร่างที่ติดอยู่ในกองไฟจะใช่ร่างของเจ้าหรือไม่ก็ตาม


……………..


จวนสกุลเสิ่นเกิดเหตุเพลิงไหม้  ควันไฟสีเทาหม่นพวยพุ่งลอยอยู่ในอากาศ จุดเกิดเหตุอยู่ที่ห้องหนังสือชั้นในของคุณชายเสิ่น และที่สำคัญร่างของเสิ่นจิ้งเฟยยังอยู่ในนั้น บ่าวรับใช้จากเรือนของเสิ่นมู่หยางที่ยังหลงเหลืออยู่รีบพากันนำถังน้ำมาดับไฟเป็นที่วุ่นวาย ทหารเวรยามเข้ามาตรวจสถานการณ์ต่างก็ช่วยดูแลความปลอดภัยของจวนสกุลเสิ่น บางส่วนมาช่วยดับไฟ แต่ก็ทำได้ยากลำบาก ยังไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าเปลวเพลิงนำร่างของคุณชายเสิ่นออกมา เกิดเรื่องร้ายแรงกับสกุลเสิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในเขตเรือนของคุณชายพบร่างไร้ชีวิตของบ่าวไพร่นอนเกลื่อน

ปัง!

เกิดเสียงกระแทกดังขึ้น บานประตูห้องหนังสือถูกกระแทกเปิดออก พวกบ่าวไพร่ที่เหลือพยายามเข้าไปให้ถึงห้องชั้นในแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังผ่านความเงียบยามค่ำคืน พวกเขาต่างก็ใช้สายตาหวาดกลัวกวาดมองไปที่ด้านในฉากกั้นที่ไฟโหมลุกอย่างรุนแรง ไม่กล้าฝ่าเปลวเพลิงเข้าไป  เดิมทีพวกเขาบ่าวไพร่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาด้านในเรือนของคุณชายเสิ่นและที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ

มีเพียงบ่าวคนสนิทและผู้ติดตามหน้าตายมักจะคอยเฝ้าดูแลคุณชายเสิ่นเสมอแต่ยามนี้ทั้งจางต้าและหยางชวีต่างก็ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิต ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แม้จะมีหมอทหารเข้ามาช่วยรักษา เรือนของนายท่านเสิ่นมู่หยางก็ถูกบุกรุกโจมตีเช่นกัน พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดก่อน จวนสกุลเสิ่นถูกโจมตี ความเสียหายครั้งนี้ ดูท่าจะประเมินไม่ได้

“คุณชายเสิ่น”ร่างซวนเซของหานตงโผล่มาด้วยสภาพได้รับบาดเจ็บ แขนข้างหนึ่งถูกกระบี่บาดลึกจนเนื้อเปิด เลือดไหลทะลักท่วมร่าง สายตาเรียบเฉยกวาดมองไปรอบบริเวณมองเห็นร่างของหยางชวีจมกองเลือดมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ซูเหลียนฮวาหญิงที่มีฉายาว่านางมารหมื่นพิษผู้นั้นพยายามห้ามเลือดอย่างสุดความสามารถ หานตงหันมองเปลวเพลิงเบื้องหน้า แม้จะไม่แสดงออกแต่ภายในใจของเขาสั่นไหว สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณชายเสิ่นจะยังมีชีวิตรอด

“รีบช่วยกันดับไฟ”หานตงเอ่ยสั่ง ไม่อยากให้กำลังใจของบ่าวไพร่หดหาย ชายหนุ่มยกมืออีกข้างกุมบาดแผล แววตาเป็นประกายคั่งแค้น เขาจำองครักษ์ที่จู่โจมนายท่านเสิ่นได้เพราะเคยเห็นเมื่อครั้งก่อน คนของหลิวอ๋อง แม้จะโกรธเคืองที่คุณชายร่วมมือกับคนผู้นั้นก่อกบฏจนเกิดเรื่องเช่นนี้ แต่เขาไม่เคยต้องการให้เสิ่นจิ้งเฟยตาย ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้านายที่เคยเห็นมาแต่เล็ก หานตงพยายามฝ่าเปลวไฟเข้าไปแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายซวนเซเพราะอาการบาดเจ็บ เขาพยายามฝืนร่างกายให้คงสติไว้อย่างยากเย็น บ่าวไพร่ที่ใจกล้าพากันยกถังน้ำเข้าไปสาดดับไฟถึงด้านในเปลวเพลิงจึงดับวูบไปบางส่วน

ทันใดนั้นร่างสูงโปร่งในชุดสีเทาสง่าก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าไร้สีเลือด กลิ่นชาอ่อน ๆติดตัวมาด้วย ไป๋ผูอวี้จ้องมองเปลวเพลิงเบื้องหน้า ตามมาด้วยเว่ยหลงที่ดูตื่นตระหนกกับภาพที่เห็นเช่นกัน ไป๋ผูอวี้รู้สึกร่างกายชาไปครู่หนึ่งคว้าถังน้ำมาจากบ่าวที่วิ่งผ่าน ถอดเสื้อคลุมชุบน้ำจนเปียก เอาผ้าคลุมร่างก่อนจะพุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงดั่งคนโง่ แต่เว่ยหลงคว้าแขนของเขาไว้

“ไม่ได้นะคุณชาย เปลวเพลิงเช่นนี้….เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางรอด”เว่ยหลงรีบกล่าวเรียกสติผู้เป็นนาย แม้ว่าจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาจำเป็นต้องพูดตามจริง เขามองเห็นดวงตาที่เคยนิ่งสงบของคุณชายมีคลื่นเจ็บปวดถาโถม ชายหนุ่มก้าวถอยหลังเล็กน้อย ข่มกลั้นธารอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ในอก สวรรค์ท่านเล่นตลกมากเกินไปแล้ว ไม่คิดให้เขามีความสุขนานกว่านี้หน่อยหรือ พิธีแต่งงานที่เพิ่งเกิดขึ้นราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง อยู่ ๆก็เกิดเรื่องเช่นนี้ ท่านพ่อออกเดินทางกลับเมืองหลานโจวไปแล้ว หากเขายังปล่อยให้จื่อฟางไปอีกคน...

“เหลวไหล เจ้าปล่อยข้า ข้ารู้ดีว่าเขา...”ไป๋ผูอวี้พูดไม่ออก แม้จะเข้าใจแต่ยังไม่อยากยอมรับ เขากัดฟันเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“จะปล่อยให้เขามอดไหม้ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ได้อย่างไร”ผู้ที่เจ็บปวดเป็นจื่อฟางไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย เขาจะนำจื่อฟางออกมาไม่ว่านั่นจะเป็นร่างของผู้ใดก็ตาม เว่ยหลงพูดไม่ออก จึงปล่อยมือจากคุณชายไป๋ กวาดสายตามองไปรอบ ๆเพื่อมองหาร่างคุ้นตาของซูเหลียนฮวา นางกำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายที่มีบาดแผลหลายแห่ง

                “คุณชายไป๋ มีบานหน้าต่างที่สามารถเข้าไปได้ขอรับ”บ่าวคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมารายงาน แม้จะไม่รู้จักบุตรชายร้านน้ำชาผู้นี้มากนัก แต่ก็ดูจะเป็นคนเดียวที่พอช่วยเหลือคุณชายเสิ่นได้ ไป๋ผูอวี้ได้ยินก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้าตามบ่าวผู้นั้นไปทันที เดินอ้อมไปไม่นานก็พบกับบานหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่เล็กน้อย เขาไม่เสียเวลาคิดรีบกระโจนร่างเข้าไปทันที

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงร้องเรียกตามหลัง คิดว่าคุณชายใจร้อนเกินไปแล้ว ผู้ติดตามได้แต่รออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจ หันมองหานตงที่ดูคล้ายจะล้มตึงไปได้ทุกเมื่อ ทันใดก็ได้ยินเสียงของเสิ่นมู่หยางดังแว่วมา

“เฟยเอ๋อร์”เสนาบดีเสิ่นมีบ่าวไพร่ช่วยพยุงซ้ายขวา ขาข้างซ้ายมีผ้าพันแผลพันไว้ ใบหน้าเผือดซีด แม้จะเจ็บปวดจากบาดแผลถูกแทงแต่ยามนี้เขาเป็นห่วงบุตรชายเกินกว่าจะมาใส่ใจ เมื่อมองเห็นเปลวเพลิงลุกท่วมห้องหนังสือก็แทบซวนเซ เพลิงไหม้แดงฉานเช่นนั้น เสิ่นจิ้งเฟยจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เขากวาดตามองพบว่าหยางชวีได้รับบาดเจ็บ ในใจยิ่งเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว เสิ่นมู่หยางเริ่มแสบเคืองนัยน์ตา มองเห็นผู้ติดตามของไป๋ผูอวี้ที่ยืนเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ แสดงว่าเจ้าคนแซ่ไป๋อยู่ที่นี่ เขาบอกกับตัวเองว่ายังพอมีหวัง หานตงรีบเข้าไปประคองผู้เป็นนายไม่ให้ล้ม เสิ่นมู่หยางถูกแทงที่ต้นขา ดีที่เส้นเอ็นไม่ถูกตัดขาดยังพอรักษาให้เดินกลับเป็นปกติได้ พวกบ่าวไพร่ต่างก็มองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าขลาดกลัว

“เหตุใดเจ้าไม่ช่วยบุตรชายข้า!”เสิ่นมู่หยางเห็นผู้ติดตามของตนก็คว้าคอเสื้อแน่น หลังจากที่ถูกโจมตี หานตงห้ามเลือดบาดแผลของเขาเสร็จ เสนาบดีเสิ่นก็ไล่ให้มันไปดูบุตรชายก่อน

“ข้าน้อยมาถึงเปลวเพลิงก็ลุกท่วมแล้วไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย”หานตงได้แต่ยืนก้มหน้ารับผิด

“เจ้ามัน…”

ท่ามกลางความเงียบ ร่างของไป๋ผูอวี้ก็กระแทกบานหน้าต่างออกมา ใจของผู้เป็นบิดากระตุกวูบเมื่อปราดมองไปที่ชายหนุ่ม ในอ้อมแขนมีเสื้อคลุมห่อร่างหนึ่งไว้ แขนขาวซีดห้อยตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง กลิ่นไหม้ของผิวเนื้อลอยอวลอยู่ในอากาศ ไป๋ผูอวี้วางร่างในอ้อมแขนลงบนพื้นอย่างเบามือ ชายหนุ่มเงยหน้ามองเว่ยหลง แม้ไม่เอ่ยสิ่งใดแต่ผู้ติดตามก็รีบเข้ามาใกล้ ถอดเสื้อคลุมออกมาปกปิดร่างส่วนที่เหลือ

ไป๋ผูอวี้จัดผ้าคลุมปกปิดร่างที่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก แต่มือกลับสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาดำลึกมีประกายคลื่นวูบหนึ่ง ยามที่เข้าไปร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกเปลวไฟเผาทำลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะส่วนใบหน้า เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นจึงใช้ผ้าคลุมไว้ ไป๋ผูอวี้เจ็บแปลบในอกที่ต้องเห็นภาพเช่นนี้ เขาเคยเห็นคนตายมาหลากหลายรูปแบบแต่จื่อฟางทำให้เขาเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้ไม่อยู่

“ไป๋ผูอวี้ บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”เสนาบดีเสิ่นรีบก้าวไปหาไป๋ผูอวี้เท่าที่ขาอ่อนเปลี้ยจะเอื้ออำนวย แม้ส่วนลึกในใจจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม ร่างบุตรชายที่ถูกผ้าคลุมไว้ดูอย่างไรก็ไม่น่ามีชีวิตอยู่ ยิ่งทำให้เขาไร้เรี่ยวแรง ผู้ติดตามข้างกายได้แต่ประคองไม่ให้ผู้เป็นนายเป็นลม ไป๋ผูอวี้ยังคงมองร่างไร้วิญญาณของจื่อฟางไม่ไหวติง แม้ผิวหนังของเขาจะแสบร้อนเพราะถูกความร้อนลวกผิวแต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ยกเว้นที่ในอก เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน อาการปวดหนึบทำให้เขาอยากร่ำไห้แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ความเจ็บปวดที่ไม่มีบาดแผลย่อมต้องทนได้

แต่ไป๋ผูอวี้เสียใจยิ่งนักที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นภรรยาของเขา ฟางเอ๋อร์จากไปแล้ว เหลือเพียงร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น ภรรยาของเขาจากไปอย่างน่าเวทนา โคมไฟในห้องหอยังจุดไม่ครบสามวันเลยด้วยซ้ำ เจ้าคนผู้นี้ก็รีบหนีเขาไปเสียแล้ว ความทรงจำสุดท้ายคือภาพที่จื่อฟางหอมแก้มของเขา ไป๋ผูอวี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก

 “คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเสียงแหบแห้ง พอมาได้เห็นเสิ่นผู้เคยงดงามตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ เสิ่นจิ้งเฟยเพิ่งเข้าห้องหอกับคุณชายของเขาได้เพียงวันเดียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ช่างอับโชคยิ่งนัก

                “ไป๋ผูอวี้ ว่าอย่างไร!ข้าถามเจ้า”เสิ่นมู่หยางร้อนใจเสียจนอยากร่ำไห้ ข่มความเจ็บปวดที่บาดแผลไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 

“ตายแล้ว”ไป๋ผูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ก่อนจะเงยหน้ามองเสนาบดีเสิ่นด้วยดวงตาดำลึก “บุตรชายของท่านตายแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยย้ำเพื่อบอกกล่าวย้ำเตือนกับตนเองด้วย

“ไม่จริง เจ้าโกหก”เสิ่นมู่หยางตะโกนตั้งใจจะโถมตัวไปดูร่างบุตรชายแต่ท่อนขาก็ฝืนทนต่ออาการบาดเจ็บไม่ไหวทำให้ซวนเซล้มลง

“นายท่าน”หานตงเอ่ยเรียก รีบประคองร่างนั้นด้วยสีหน้าเศร้าหมองดูเหมือนนายท่านเสิ่นจะไม่เหลือแรงแล้ว เขามองไป๋ผูอวี้ขยับประคองอุ้มคุณชายเสิ่นไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพาร่างของคุณชายกลับไปยังเรือนนอน เขาเคยแคลงใจเรื่องไป๋ผูอวี้ แต่บัดนี้กระจ่างแจ้งแล้ว อย่างไรก็ต้องยอมรับ บุตรชายสกุลไป๋ผู้นี้กล้าฝ่าเปลวเพลิงนำร่างของคุณชายเสิ่นออกมาอย่างไม่กลัวตาย

“เฟยเอ๋อร์ ข้าผิดเอง”เสิ่นมู่หยางน้ำตาไหลอย่างไม่คิดอับอายผู้ใด หรือนี่เป็นเวรกรรมของเขา หานตงอยากปลอบใจผู้เป็นนายแต่รู้ดีว่าไม่ถนัดเรื่องเช่นนี้ จึงทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ข้างกาย

         เว่ยหลงเร่งฝีเท้าตามคุณชายไปที่เรือนนอนของเสิ่นจิ้งเฟย มองแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของคุณชายก็ได้แต่ถอดถอนใจ ยามนี้เอ่ยปลอบอย่างไรคงไม่ได้ผล ไป๋ผูอวี้บรรจงวางร่างของเสิ่นจิ้งเฟยลงที่เตียงนอนอย่างระมัดระวัง เอื้อมมือที่ยังคงสั่นน้อย ๆ เปิดผ้าที่คลุมส่วนใบหน้าออก ชายหนุ่มไม่หวาดกลัวบาดแผลไหม้บนใบหน้างาม เดิมทีเขาก็ไม่ได้มองอีกฝ่ายเพราะความงามอยู่แล้ว แต่เห็นเช่นนี้เขาก็ยังเจ็บปวดเมื่อคิดถึงว่าจื่อฟางจะทรมานมากเพียงใด เขาลูบใบหน้านั้นเบา ๆ จ้องมองจนพอใจก่อนจะใช้ผ้าคลุมตามเดิมไม่ให้มีส่วนใดหลุดรอดออกมาให้คนเห็น

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกอย่างเป็นกังวล คุณชายของเขาดูเลื่อนลอยไปชั่วขณะ เอื้อมมือไปเขย่าไหล่ของผู้เป็นนาย แต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังคงเหม่อมองร่างไร้วิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟย เขานึกถึงเรื่องหนึ่ง ในเมื่อร่างนี้ไม่ใช่ร่างของจื่อฟางแล้วตอนนี้วิญญาณของจื่อฟางอยู่ที่ใด จะวนเวียนอยู่ที่นี่หรือกลับไปยังที่ที่จากมา คิดดูแล้วก็ยิ่งโกรธตัวเองไป๋ผูอวี้ไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยสักนิด เรื่องบ้านเกิดของจื่อฟางเป็นอย่างไร

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ รีบก้าวไปหยิบภาพวาดของจื่อฟางมาดู เว่ยหลงยืนมองอยู่เงียบ ๆ ไม่เข้าใจการกระทำของผู้เป็นนายมากนัก เหตุใดคุณชายต้องมองรูปชายอื่นด้วยสายตาเศร้าหมองเช่นนั้นด้วยเล่า?



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-02-2019 01:38:41
 
 

มีเสียงดังอยู่หน้าประตูก่อนที่ร่างของเสิ่นมู่หยางจะปรากฏให้เห็น ชายหนุ่มรีบเก็บซ่อนสีหน้า หานตงพยุงร่างของเสิ่นมู่หยางเข้ามาในห้องช้า ๆ

“ไป๋ผูอวี้”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเรียก ควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้ว สายตามองปราดไปที่ร่างบนเตียงก็แสบเคืองนัยน์ตา “ข้าขอบคุณเจ้าจากใจที่นำร่างเฟยเอ๋อร์ออกมา”เสนาบดีเสิ่นทันมองเห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของอีกฝ่ายจึงคิดได้เพียงว่าคนผู้นี้คงมีความรู้สึกดี ๆให้บุตรชายไม่น้อย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงก้มศีรษะให้เท่านั้น เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากดุด่าผู้ใดอีกจึงปล่อยเลยตามเลย ก้าวไปหาเสิ่นจิ้งเฟยบนเตียง กลั้นใจเปิดผ้าคลุมเพื่อบอกลาบุตรชาย พอเห็นร่างที่เคยงดงามของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้ก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่

เว่ยหลงรู้สึกกระดากอายยิ่งจึงถอยออกมานอกห้อง เพื่อไปตรวจดูด้านนอก พบหมอทหารกำลังรักษาบาดแผลให้จางต้าที่นอนไม่ได้สติใบหน้าไร้สีเลือด ชายหนุ่มก้มเอามือแตะที่ปลายจมูกพบว่ายังมีลมหายใจแต่บางเบา จึงควักเอาห่อยาในอกเสื้อออกมา ใช้มืองัดริมฝีปากของอีกฝ่ายเต็มแรง

“เจ้าทำอะไร”ทหารผู้นั้นมองเขาด้วยสายตาเหมือนเห็นคนบ้า เว่ยหลงไม่ตอบแต่กรอกยาใส่ปากอีกฝ่ายจนหมด เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บภายในที่ซูเหลียนฮวาคิดค้นและให้เขาพกติดตัวไว้ ชายหนุ่มใช้สองมือแตะเส้นชีพจรที่ลำคอของจางต้าเมื่อพบว่าเริ่มเต้นเป็นจังหวะมั่นคงก็หยักยิ้มให้ทหารตรงหน้า เคลื่อนกายมองหานางมารหมื่นพิษ ดูท่าเจ้าคนหน้าตายนั่นบาดเจ็บหนักไม่น้อย   

 หยางชวีประคองสติอย่างยากลำบาก รับรู้ว่าถูกคนผู้หนึ่งรักษาบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าท้องให้อย่างเบามือ แต่ผู้ติดตามไม่ได้สนใจนัก เขาพยายามขยับร่าง และพยายามเปิดเปลือกตาเพื่อสำรวจความเสียหาย ได้ยินเสียงรอบตัววุ่นวายไปหมด บ่าวไพร่ร้องตะโกนวิ่งพล่านไปไม่หยุด กลิ่นเผาไหม้ลอยอวลอยู่ในอากาศเย็น คุณชายเสิ่นติดอยู่ในห้องหนังสือ!เขาต้องไปช่วย ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คุณชายเป็นเถ้าถ่านอยู่ในที่นั้น

“เจ้าอยู่นิ่งๆ”น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น หยางชวีเปิดริมฝีปากที่แห้งแตก รับรู้ว่าถูกกำลังภายในแข็งแกร่งดันเม็ดยาหลายสิบเม็ดเข้ามาในลำคอ ซูเหลียนฮวา…ถ้าเช่นนั้น ไป๋ผูอวี้ก็คงมาด้วย ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอย่างไม่ง่ายนัก ลมหายใจยังคงติดขัด เจ็บปวดไปทั้งร่างเกินกว่าจะขยับได้ คิดว่าคงตายไปแล้วหากไม่ได้นางมารหมื่นพิษรักษา

“คะ คุณชายเสิ่น…ช่วย”เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก ทิ้งศีรษะลงบนพื้นดิน กลอกตาไปยังทิศที่เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้แต่ก็อ่อนกำลังลงมาก เวลาผ่านไปเท่าใดแล้ว?

“คุณชายไป๋ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยออกมาได้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ”ซูเหลียนฮวาบังคับให้ตนทำเสียงเฉกเช่นปกติ ไม่เผยสีหน้าใด ยังคงยกยิ้มเช่นทุกทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าคุณชายไป๋ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยออกมาได้หรือยัง แต่เห็นเปลวเพลิงที่เผาไหม้ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่น มองอย่างไรก็ไม่สามารถมีชีวิตรอด แม้คุณชายไป๋จะเข้าไปช่วยก็ตาม

“เจ้าไม่ต้องห่วง ผ่อนคลายร่างเสีย”หญิงสาวไม่อยากเอ่ยโกหก แต่จำเป็นต้องทำ รู้ดีว่าหากหยางชวีรู้ว่านางโกหกคงถูกโกรธไปทั้งชาติ แต่หากนางบอกความจริงเรื่องคุณชายเสิ่นไปตอนนี้เกรงว่าหยางชวีจะไม่อยากคิดมีชีวิตอยู่อีก คนผู้นี้ยอมละทิ้งเป้าหมายเพื่อมาติดตามเสิ่นจิ้งเฟย แต่กลับช่วยเหลือผู้เป็นนายไว้ไม่ได้ เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่แล้ว เจ้าคนหน้าตายคงไม่คิดอยากทำสิ่งใด นางรู้จักหยางชวีดี ในฐานะข้ารับใช้ที่ช่วยเหลือเจ้านายไม่ได้ อีกฝ่ายคงไม่อยากมีชีวิตอยู่

หญิงสาวยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อร่างของหยางชวีเริ่มผ่อนคลาย ผู้ติดตามพอได้ยินว่าผู้เป็นนายไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความผิดพลาดของเขาไม่ได้ทำให้คุณชายเสิ่นบาดเจ็บไปด้วย ชายหนุ่มฝืนประคองสติมานานจึงสลบไปทันที ซูเหลียนฮวาจึงเผยสีหน้าหมองเศร้าออกมา เงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้

“เจ้าโกหกเขา”เว่ยหลงนั่งยอง ๆลงข้างกายเจ้าคนหน้าตาย ส่ายศีรษะน้อย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนสกุลเสิ่นเป็นเรื่องใหญ่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่ไว้ชีวิตผู้ที่ลงมือฆ่าชายงามที่หมายตามานานปี ร่างกำยำยื่นมือไปกดนวดที่หัวคิ้วของหยางชวี แม้ยามไม่ได้สติก็ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด คนผู้นี้ไม่เมื่อยหรือไร ซูเหลียนฮวาผลักมือของเขาออก ก่อนจะตรวจวัดชีพจร เมื่อเห็นว่าคงที่แล้วก็ถอนหายใจ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากมน

“คุณชายไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”นางไม่รู้ว่าคุณชายรับเรื่องเช่นนี้ได้ดีแค่ไหน ยามที่มารดาของคุณชายจากไป คุณชายของนางก็เงียบไม่พูดไม่จากับผู้ใดไปหนึ่งเดือน แต่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นภรรยาของคุณชาย…แม้จะแต่งได้วันเดียวก็ตาม นางมองควันไฟที่พวยพุ่งจากจวนสกุลเสิ่นก็ใจหาย รู้สึกว่าน่าเศร้ายิ่งนัก 

“ดูเหม่อลอย ทั้งยังมองรูปชายอื่นด้วยสายตาเศร้าหมอง ข้ากลัวว่าคุณชายจะ…”เว่ยหลงไม่ได้กล่าวออกมา เพราะถูกสายตาแผดเผาของนางมารหมื่นพิษเขวี้ยงใส่ แต่เขาเป็นกังวลจริง ๆ คุณชายไม่เคยทำผิดกฎสกุลไป๋มาก่อน แต่ก็ยอมแหกกฎทุกอย่างเพื่อเสิ่นจิ้งเฟย อีกฝ่ายมาจากไปเช่นนี้ ทั้งเป็นการจากไปที่น่าสงสาร เขาไม่คิดว่าคุณชายจะทำใจได้ในเร็ววัน

“คุณชายไป๋มิใช่คนอ่อนแอ”ซูเหลียนฮวาพึมพำ แม้รู้ดีว่าหากเป็นเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายจะไม่เป็นตัวของตัวเองเสมอ

‘สวรรค์ท่านไม่ใจร้ายไปหน่อยรึ ให้เวลาคุณชายของข้ามีความสุขมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไร’ หญิงสาวได้แต่หวังว่าก่อนจากไปเสิ่นจิ้งเฟยจะไม่เจ็บปวดมากนัก หญิงสาวและเว่ยหลงยืดตัวตรงเมื่อรับรู้กระแสกำลังภายในแข็งแกร่งมุ่งตรงมาที่จวนสกุลเสิ่น ร่างขององครักษ์ในชุดดำปกปิดใบหน้าปรากฏตัวขึ้น คนผู้นั้นกวาดมองไปรอบบริเวณ บ่าวไพร่ในจวนมีท่าทีตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในเรือนของคุณชายอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นทหารบางส่วนทำความเคารพคนผู้นั้นก็ไม่กล้าแม้แต่กระดิกตัว คิดว่าเป็นคนสำคัญ

 องครักษ์ของฮ่องเต้สืบเท้าเข้ามาในห้องของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างถือวิสาสะ เสิ่นมู่หยางที่ยังคงนั่งอยู่ข้างกายบุตรชายปราดตามองทันที ไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจมากนัก

“ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีรับสั่งให้นำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยไปที่วังหลวง”เฮ่อเจ๋อเอ่ยเสียงเรียบผ่านผ้าคลุมหน้า คำพูดดังกล่าวคล้ายกับกระแทกใส่เสนาบดีเสิ่น

“ว่าอะไรนะ”เสิ่นมู่หยางบีบเค้นเสียงออกมาจนได้ เขาขบกรามพยุงร่างลุกยืนอย่างทุลักทุเล หานตงเข้ามาประคองช่วยทันที

“นี่เป็นร่างของบุตรชายข้า ข้าไม่ยอมให้ผู้ใดเอาไปทั้งนั้น”เสนาบดีกรมพิธีการลืมตัวไปชั่วขณะ ห้ามคำพูดไว้ไม่ทัน แม้แต่ร่างของบุตรชายเขาก็ยังเก็บไว้ไม่ได้เลยหรือ เหตุใดฝ่าบาทถึงได้มาสั่งผู้อื่นเช่นนี้

“เป็นคำสั่งของฝ่าบาท หากท่านขัดขืน ข้าจะไม่เกรงใจ”เฮ่อเจ๋อกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์  เสิ่นมู่หยางได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยโทสะ ผู้ติดตามวางมือลงบนแผ่นหลังของผู้เป็นนายเบาๆเป็นการเอ่ยเตือน เขาจึงหลับตาเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ที่คุกรุ่นไม่ให้ปะทุออกมา

ไป๋ผูอวี้ปรายตามององครักษ์ เดิมทีคิดปฏิเสธ แต่เมื่อคิดได้ว่าต่อต้านในตอนนี้จะยิ่งส่งผลเสีย อีกทั้งร่างไร้ชิวิตก็มิใช่ร่างที่แท้จริงของจื่อฟาง ฮ่องเต้อยากได้ก็เอาไปเถิด คนที่ตายไปแล้วยังจะอยากครอบครองอีกหรือ ชายหนุ่มยอมปล่อยให้องครักษ์ก้าวเข้ามาที่เตียงยกอุ้มร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกไป ชายหนุ่มข่มอาการปวดหนึบในอกเมื่อแขนไร้สีเลือดข้างหนึ่งห้อยตกออกมาจากผ้าคลุม มีรอยเผาไหม้ให้เห็น องครักษ์ใช้ผ้าคลุมอย่างเบามือไม่อยากให้ฮ่องเต้พิโรธหากร่างของคุณชายผู้นี้เป็นรอยช้ำ ยิ่งไร้ชีวิตยิ่งช้ำง่าย เฮ่อเจ๋อคิดว่าดีนักที่เสิ่นจิ้งเฟยและชายงามเจาเฟิงนั่นตายไปได้ก็ดี จะให้พวกรูปงามแต่ไร้สมองรบกวนจิตใจของฮ่องเต้ได้อย่างไร

เสิ่นมู่หยางทิ้งร่างนั่งลงอย่างอ่อนแรง คิดถึงโหยวหลันก็ลำคอตีบตัน เฟยเอ๋อร์เจ้าคงได้พบมารดาแล้วกระมัง เสนาบดีกรมพิธีการนึกไปถึงพวกสกุลโหยวก็ปวดขมับ คนพวกนั้นคงยิ่งเกลียดตนเข้ากระดูกดำ มีหวังได้ตัดขาดกันอย่างถาวรเป็นแน่ เสิ่นมู่หยางเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ นึกถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นี้แม้แต่ความตายก็ไม่คิดปล่อยบุตรชายของเขา อย่างน้อยเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ต้องติดอยู่ในกรงขังของท่าน

ค่ำคืนนี้จึงเป็นฝันร้ายสำหรับผู้คนในจวนสกุลเสิ่น



~•~
             
             จื่อฟางมองเห็นแสงสว่างเป็นเส้นแนวยาวอยู่ที่เบื้องหน้า จึงยื่นมือออกไปไขว่คว้า ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งร้องเรียกชื่อของตนซ้ำ ๆ

จื่อฟาง...จื่อฟาง

เสียงเรียกช่างคุ้นหูจนต้องยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม แต่ร่างกายของเขาคล้ายกับหินผา ยกแขนขาแทบไม่ขึ้นกระทั่งเปลือกตายังเปิดไม่ได้ แต่เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้มากจนเขาอยากร้องตอบ  ข้าอยู่นี่ เสียงเรียกนั้นราวกับดังอยู่ข้างใบหู ทั้งยังมีกระแสโล่งอกปะปนอยู่ด้วย

จื่อฟางได้ยินเสียงรอบกายชัดเจนมากขึ้น แม้จะยังลืมตาไม่ได้แต่ประสาทสัมผัสเริ่มทำงาน รับรู้ได้ว่าบนใบหน้าคล้ายกับมีของบางอย่างกดทับ จังหวะการเต้นหัวใจยังคงดังตึก ๆ บ่งบอกว่าเขายังไม่ตาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?หรือกลับมาในยุคปัจจุบัน โลกปัจจุบันที่เป็นโลกของเขา โลกที่เขามีตัวตนอยู่จริง ๆไม่ต้องอาศัยยืมร่างผู้ใด ภาพใบหน้าของไป๋ผูอวี้วาบเข้ามา ไป๋ผูอวี้...นึกถึงชื่อนี้ทำให้ลมหายใจติดขัด แต่ไป๋ผูอวี้ก็เป็นแค่ตัวละครในโลกนิยาย ไม่ได้มีตัวตนจริง ๆ ราวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงโลกในจินตนาการของเขา เป็นเพียงความฝัน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากลืมตา ถ้าหากว่าเป็นความฝันเขาก็ไม่อยากตื่น ไป๋ผูอวี้ ฉันยังไม่ได้บอกลานายเลย 

“จื่อฟาง นายรู้สึกตัวแล้วใช่ไหม”เสียงเดิมยังคงดังอยู่ใกล้ๆ แม้จังหวะการพูดจะแตกต่างแต่ก็คุ้นอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มสูดดมกลิ่นรอบตัว เป็นกลิ่นเฉพาะที่ทำให้คุณรู้ได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นของโรงพยาบาล เขาอยู่ที่โรงพยาบาล รู้สึกดีเล็กน้อยที่ไม่ได้ติดแหง็กอยู่ในหอแคบ ๆของตัวเอง หรืออยู่ในโลงศพถูกฝังอยู่ในสุสาน

“พยักหน้าหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้ว่านายไม่ได้เส้นกระตุก”เสียงนั้นยังคงพูดต่อไป จื่อฟางขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักสองสามครั้ง ได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากคนพูด

“ฟื้นแล้วจริง ๆสินะ ฉันมาเยี่ยมตลอดเลยรู้ไหม ขนาดฉันยังแปลกใจกับตัวเองเลย เราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย”ร่างนั้นยังคงพึมพำต่อไป น่ารำคาญจริง ๆ แต่เสียงแบบนี้...หรือจะเป็นเพื่อนในคลาสที่หน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ เขาจำได้ว่าแทบไม่เคยคุย ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำ จื่อฟางหยุดความคิดวุ่นวายเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักมือวางอยู่ที่ศีรษะก่อนที่มือนั้นจะลูบไปมา

จื่อฟางคิดว่าไม่ได้การควรลืมตาสักหน่อย จึงค่อยๆเปิดตาช้า ๆ ภาพเบื้องหน้าแจ่มชัดเสียจนต้องหลับตาลงก่อน เขาเปิดเปลือกตามองอีกครั้งแม้จะระคายเคืองบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหา เด็กหนุ่มกระพริบตาเหม่อมองฉากสีขาวสะอาดเบื้องหน้า รับรู้ว่าใส่ที่ครอบช่วยหายใจ ปลายเตียงมีเครื่องวัดจังหวะการเต้นของหัวใจ เขามองเห็นโซฟาหนังสีดำที่ฝั่งตรงข้าม ภาพวาดเด็กน้อยยิ้มเห็นฟันหลอจ้องมองมาที่เขา ที่นี่คือห้องพักผู้ป่วยพิเศษ

‘พ่อกับแม่มีเงินพอด้วยหรือ’

เด็กหนุ่มคิดอย่างมึนงง ยังคงยกแขนไม่ขึ้น จึงเบนสายตามองคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แทน จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อซึมซับความจริง ร่างที่เห็นสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงยีนส์สีซีด เขาค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปเรื่อย ๆจนกระทั่งถึงใบหน้า เป็นใบหน้าที่คล้ายกับไป๋ผูอวี้ แต่ความหล่อและความสง่าแตกต่างกันเล็กน้อย สิ่งที่เหมือนกันคือกลิ่นชาอ่อนๆจากร่างนั้น

หมอนี่คือ…

“ไป๋อี้เสวี่ย”ร่างนั้นเอ่ยตอบราวกับคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไป๋อี้เสวี่ย ชื่อนี้นี่เอง บ้าจริง ก่อนหน้านี้ทำไมเขาจำชื่อเพื่อนในคลาสไม่ได้นะ เด็กหนุ่มพยายามจะพูดแต่ที่ช่วยหายใจยังอยู่ ไป๋อี้เสวี่ยมองเครื่องวัดที่ปลายเตียงเมื่อไม่เห็นสัญญาณผิดปกติก็เอื้อมมาเลื่อนออกไว้ที่ปลายคาง นิ้วมือของอีกฝ่ายถูกผิวกายของเด็กหนุ่มทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบ จื่อฟางคิดว่าแปลกนัก เขาไม่ได้รู้จักมักจีกับคนๆนี้ แต่ทำไมยังรู้สึกประหลาด ๆด้วย

เขากระแอมกระไอก่อนเอ่ยคำ “เจ้า...”

เสียงของจื่อฟางแหบแห้ง อีกทั้งยังเอื้อนเอ่ยคำโบราณออกมาอีกไป๋อี้เสวี่ยคงคิดว่าสมองเขามีปัญหาแน่ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนโน้มตัวมาช่วยปรับเตียงให้พอดี เอื้อมมาหยิบขวดน้ำที่โต๊ะข้างเตียง รินน้ำใส่แก้ว หยิบหลอดใส่แก้วน้ำก่อนนำมาจ่อใกล้ริมฝีปากของเขา การกระทำของไป๋อี้เสวี่ยเป็นธรรมชาติเสียจนจื่อฟางไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน ความรู้สึกแปลก ๆ ทำให้เขาหลบสายตา ดูดน้ำช้า ๆ เพิ่งรู้ว่าร่างกายกระหายน้ำแค่ไหนก็ตอนที่ดูดจนหมดแก้วทำให้เกิดเสียงดังท่ามกลางความเงียบ

ระหว่างนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับคุณหมอในชุดกาวน์และพยาบาลอีกสองคนเร่งรีบเข้ามาในห้อง คุณหมอมีใบหน้าหล่อเหลาจะว่าไปก็หน้าตาคล้ายไปทางไป๋อู่เหยียน อย่าบอกนะว่านี่คือพ่อของไป๋อี้เสวี่ย  เขามองคนทั้งคู่สลับไปมาก็ยิ่งเห็นถึงความคล้ายของทั้งสองคน

“คุณจื่อรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ คุณหลับไม่ได้สติไปเกือบสามวัน มีอาการผิดปกติใดหรือเปล่า”คุณหมอถามคำถาม ระหว่างที่ตรวจดูม่านตาของเขาไปด้วย จื่อฟางนิ่งงันไปพักใหญ่ สามวันกับเรื่องที่เกิดในโลกนิยายนั่นน่ะเหรอ จะว่าไปก็แปลก

“คุณจื่อ”คุณหมอเรียก “คุณจื่อฟางครับ”เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบ ๆ ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

“ข้า...เอ่อ ผมสบายดีครับ”เสียงของเขายังคงแหบแห้ง รู้สึกหน้าร้อนวูบเพราะยังติดคำโบราณ คุณหมอจะคิดว่าสมองเขาเพี้ยนรึเปล่าเนี่ย

“เขาพูดคำโบราณ”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยแทรกขึ้นมาแทน จื่อฟางกลอกตามอง คุณหมอเพียงพยักหน้ารับรู้ ระหว่างที่พยาบาลตรวจเช็คเครื่องที่ปลายเตียง ตรวจสายน้ำเกลือด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“คุณจื่อสลบไปนานอาจทำให้เกิดความสับสน…”คุณหมอเอ่ย จื่อฟางรู้ดีว่าคำพูดต่อมาคืออะไรจึงรีบเอ่ยแทรก

“ผมปกติดีครับ แค่…มึนงงจากความฝันเล็กน้อย”เขาตอบไม่อยากเข้าเครื่องสแกนให้ทรมานตัวเองเปล่า ๆเพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้เป็นอะไร คุณหมอยกยิ้มหันมองไปทางไป๋อี้เสวี่ยก่อนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นหากผ่านไปหลายวันคุณจื่อยังไม่หายมึนงงก็คอยตรวจสแกนสมองก็แล้วกันครับ”อีกฝ่ายเอ่ยพูดเหมือนคุยกับเด็กน้อย

จื่อฟางได้แต่กลอกตา เขาไม่ได้เพี้ยนหรือเป็นอะไรเสียหน่อยเรื่องหลังจากนั้นเขาก็ถูกตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแขนและขาว่ายังใช้ได้ปกติหรือไม่ ในส่วนนี้ไม่มีปัญหาแค่ยังอ่อนแรงเพราะนอนติดเตียงมาหลายวันจึงรู้สึกปวดเมื่อย ได้ทำกายภาพก็น่าจะไม่มีปัญหา คุณหมอจึงสรุปว่าให้ทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูห้าวัน จื่อฟางได้แต่พยักหน้าตอบครับๆ อย่างเดียว ว่าอย่างไรก็ตามนั้น เริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงหลับตาเอนกาย นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนิยาย ความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้คือหลิวอ๋องให้คนจุดไฟเผาห้องหนังสือ

ถ้าอย่างนั้น…ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นเถ้าถ่านไปแล้วน่ะสิ จะเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยเล่า หากร่างจริงถูกทำลาย หรือติดอยู่ในร่างของเจาเฟิงตลอดไป?เป็นคำถามที่เขาไม่รู้คำตอบ เขานึกถึงไป๋ผูอวี้จึงพลิกตัวหันหลังให้กับไป๋อี้เสวี่ย ขยี้ตาที่เริ่มแสบเคือง ไป๋ผูอวี้คงคิดว่าเขาตายไปแล้วสินะ เด็กหนุ่มเม้มปากไม่อยากร้องไห้ในขณะที่มีคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง รับมือกับเรื่องนี้ยังไง คิดว่าดีจริง ๆที่ตัวเองบอกความจริงกับไป๋ผูอวี้ไม่อย่างนั้นเจ้านั่นก็คงคิดว่าเขาคือเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางขบกัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไร

ไป๋ผูอวี้ไม่มีอยู่จริง ไป๋ผูอวี้ไม่มีอยู่จริง

“นายร้องไห้ทำไม”ไป๋อี้เสวี่ยชะโงกตัวมามอง สีหน้าเฉยชานั้นแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนไม่ได้เก็บซ่อนเช่นท่อนไม้ไป๋นั่น ทำอย่างไรดี จากมาได้ไม่นานเขาก็คิดถึงเจ้าท่อนไม้นั่นซะแล้ว จื่อฟางเอาหน้าซุกหมอนไม่ได้เอ่ยตอบ รับรู้ว่าถูกสายตาของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าจ้องมอง

“ฉันโทรบอกพ่อกับแม่ของนายแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมา”ฝ่ายนั้นตอบ โอ้…เขานอนสลบไปสามวัน หมอนี่ก็รู้จักเบอร์พ่อแม่เขาแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันกับโลกทางนี้กันแน่ จื่อฟางเริ่มเหน็ดเหนื่อย

“อือ”เขาส่งเสียงในลำคอ อยากสอบถามมากกว่านี้แต่เปลือกตาเริ่มหนัก ความมืดครอบงำจนงีบหลับไปอีกรอบ ข้างเตียงยังคงมีไป๋อี้เสวี่ยเฝ้าอยู่เช่นเคย



------------------------------------------
มาแล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่เรากังวลมาก จากนี้ก็จะเฉลยในส่วนโลกปัจจุบันว่ามีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวทางไป๋ผูอวี้ก็ยังดำเนินต่อไปปป เสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางจะเป็นยังไงต่อไปฝากติดตามด้วยนะคะไม่จบเศร้าแน่นอน เจอกันตอนหน้าค่ะ ลงช้า ๆเล็กน้อย  ปั่นต้นฉบับไม่ทันแล้วววว (ความผิดตัวเองต้องรอให้ไฟลนก้น) ช่วงนี้ชีวิตจึงติดกาแฟดำมาก
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ :กอด1: ในโซเชี่ยลเราได้อ่านตลอด แต่ไม่ค่อยได้เข้าไปเล่นเท่าไหร่ ดีใจที่มีคนตามอ่านและชอบนิยายเรา ทุกคอมเม้นและยอดอ่านเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก ๆค่ะ   (ทำไมเขียนยาว ฮ่าๆ)
 




หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-02-2019 02:25:07
จะกลับไปได้อย่างไรกันนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 01-02-2019 03:20:01
อุแงคิดไว้แล้วว่าต้องมีตอนที่ก่อกบฏแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ สงสารทั้งคู่อุแงงง  :katai1: :katai1: ยังไงก็แล้วแต่ขออย่าให้คุงไป๋ในโลกนิยายคู่กับคุณหนูฉินเลยย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-02-2019 09:57:48
เป็นตอนที่ลุ้นระทึกมาก
เขียนให้ทุกตัวละครต่างมีบทบาทจริงๆ
เก่งมากๆ

รอตอนต่อไปค่ะ

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-02-2019 11:02:04
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-02-2019 11:14:03
อ้าวแล้ว คุณชายท่อนไม้ในนิยายจะทำไงต่อไปล่ะ รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 01-02-2019 11:14:30
ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 01-02-2019 14:49:11
ต้องกลัยไปอ่านนิยายเรื่องเดิม

ถึงจะกลับไปได้
ใช่ไหมนะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 01-02-2019 15:34:16
เป็นกำลังใจให้จ้า  o13
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Prince-Faluke ที่ 01-02-2019 19:37:01
ไม่นะ  สงสารฮ่องเต้กับคุณชายไป๋
ที่สุดคือสงสารตัวเอง  ค้างคามาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 01-02-2019 19:51:35
รอเฉลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-02-2019 22:22:45
พีคมากตรงพี่ไป๋มาแล้ว
มาค่ะรีบๆจีบน้องจื่อ งื้อลุ้นนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 02-02-2019 00:30:43
สุดยอดดดดดด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 02-02-2019 00:43:45
โลกนิยายยี่สิบสี่ตอน โลกปัจจุบัน กี่ตอนดี จื่อฟางฟื้นแล้ว แต่ยังคิดถึงเจ้าท่อนไม้ด้วย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-02-2019 11:27:52
ฮื้ออ คุณท่อนไม้จะเป็นไง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 02-02-2019 14:09:22
ไป๋อี้เสวี่ยก็ดูแลจื่อฟางดีนะ

แต่เราคิดถึงท่อนไม้ไป๋กับหยางชวี

ไหนจะรักสามเส้าของจิ้งเฟย ฮ่องเต้ ฟู่เทียนสืออีก

อยากให้เคลียร์ในอดีตแล้วค่อยกลับมาปัจจุบัน

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 02-02-2019 22:08:02
แงงงน้องจะกลับไปยังไงง TvT
เครียดอ่าาาา :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-02-2019 23:40:53
ไม่ทันได้เตรียมใจเลยค่ะ เราไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ สงสารทุกคนในนิยายเลย ฮือ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 03-02-2019 19:25:20
ผิดคาดมาก  :a5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-02-2019 01:36:20
 :hao7: :a5: :hao7:



 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 04-02-2019 23:14:34
กงะบมาแบบไม่อยากให้กลับเลย จากกันแบบนี้ ไม่ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 06-02-2019 22:30:58
เห็นใจไป๋ผูอวี้มากๆและสงสารจื่อฟาง เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อเนี่ย

นักเขียนสู้สู้นะ อย่าดื่มกาแฟเยอะ กินข้าวให้ตรงเวลา  :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบสี่: พลิกผัน P.21 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 07-02-2019 00:57:11
สงสารท่อนไม้ไป๋
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-02-2019 03:51:28
บทยี่สิบห้า : เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1)



ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วยามแต่ไป๋ผูอวี้ยังคงอยู่ในเรือนของเสิ่นจิ้งเฟย จ้องมองไปที่ภาพวาดของจื่อฟางซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่ย้ำเตือนว่าคนผู้นี้เคยมีอยู่จริง เขาไม่รู้ว่าวิญญาณของจื่อฟางได้กลับไปยังบ้านเกิดหรือไม่ หากได้กลับไปจะอยู่ดีหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดเรื่องความคิดมากมายก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด หากจื่อฟางได้กลับไปยังที่ที่จากมาชายหนุ่มก็อยากให้เจ้าเด็กนั่นพบเจอแต่เรื่องสงบสุขไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวในร่างของผู้อื่น   

“คุณชายไป๋”เสียงของหานตงดังอยู่นอกประตู พร้อมกับร่างกำยำที่ปรากฏอยู่หน้าห้อง ผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ดูจากสีหน้าที่ดีขึ้นบาดแผลคงได้รับการรักษาแล้ว

“ท่านมีเรื่องใดหรือ”ชายหนุ่มละสายตามาจากภาพวาด เก็บงำสีหน้าที่ปรากฏอารมณ์ไว้ได้ทันท่วงที ความจริงเสิ่นมู่หยางมีสิทธิ์ไล่เขาออกจากเรือนของบุตรชาย แต่น่าแปลกที่คนผู้นั้นไม่ได้เข้ามาวุ่นวาย หลังจากที่องครักษ์ของฮ่องเต้นำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยกลับไปที่วังหลวง เสนาบดีเสิ่นก็กลับไปที่เรือนของตน หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเวลานาน

“เรื่องผู้บุกรุกจวนสกุลเสิ่น”หานตงเอ่ยเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋สมควรล่วงรู้ ทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ย ร่างนั้นก็มีท่าทีเคร่งเครียด ดวงตาสะท้อนแววคาดเดาไม่ออก

“ท่านคิดเห็นอย่างไร”ไป๋ผูอวี้สอบถามอย่างสุภาพ แม้หานตงจะเป็นผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางแต่เขานับถือผู้มีฝีมือและคนผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา ส่วนหยางชวี...ยังต้องฝึกฝนอีกมาก ถ้าหากคนหน้าตายนั่นมีใจอยากฝึกฝนต่อ เรื่องของจื่อฟางเป็นบาดแผลที่ใหญ่เกินกว่าจะรักษาได้ในเร็ววัน สายตาของเขาตกลงที่ภาพวาดในมืออีกครั้ง ได้ยินเสียงกระแอมของหานตงถึงได้รู้สึกตัวว่าเหม่อลอย

“ว่ามาเถอะ”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ม้วนภาพวาดเก็บ หานตงถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ได้เผยสีหน้าใด ดูท่าคนผู้นี้จะมีใจให้คุณชายเสิ่นจริง

“ผู้บุกรุกเป็นคนของหลิวอ๋อง ข้าจำวิธีการต่อสู้ของพวกเขาได้เพราะครั้งก่อนที่ท่านอ๋องบุกเข้ามาข้าได้ประมือเล็กน้อย”พูดถึงหลิวอ๋องก็ได้แต่กำหมัดแน่น คนผู้นั้นทำลายสกุลเสิ่นจนย่อยยับ ศิษย์น้องของเขาได้รับบาดเจ็บหนัก อาการคงแย่หากไม่ได้ซูเหลียนฮวาช่วย

ไป๋ผูอวี้คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือของหลิวอ๋องจึงไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกไป เขาหยักยิ้มจาง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ฝ่าบาทให้คนสกุลไป๋รับมือการก่อกบฏของท่านอ๋อง…”ชายหนุ่มสบตากับผู้ติดตามอีกคน ต่างก็เข้าใจในความหมาย ไป๋ผูอวี้มีเรื่องต้องชำระความต่อคนผู้นั้น ท่านอ๋องต้องชดใช้ต่อการจากไปของจื่อฟาง เขารู้ดีว่าอีกไม่นานฮ่องเต้เจี่ยผิงต้องเรียกใช้งานตนเพื่อรับมือกับการก่อกบฏที่จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

“ขอบคุณมากที่นำร่างของคุณชายเสิ่นออกมา”หานตงเอ่ยเบาๆเพียงเท่านี้ก่อนจะรีบหมุนตัวออกมาจากห้องของเสิ่นจิ้งเฟยทันทีราวกับกลัวว่าจะเผยความรู้สึกใดออกมา ไป๋ผูอวี้มองเงาร่างของอีกฝ่ายจากไปเงียบ ๆ ก่อนเอนพิงเสาเตียง ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งลง รู้สึกว่าไม่อยากขยับตัวไปที่ใด เสียงวุ่นวายด้านนอกสงบลงแล้ว ดูท่ามีขุนนางเข้ามาคุมสถานการณ์ได้ ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เป็นเว่ยหลงและซูเหลียนฮวา ทั้งสองร่างหยุดที่หน้าประตูห้อง หญิงสาวเพิ่งตรวจดูอาการบาดเจ็บให้จางต้าและหยางชวี ทั้งสองคนอาการคงที่แล้ว แต่หยางชวียังคงต้องรักษาตัวอีกนาน บาดแผลของอีกฝ่ายค่อนข้างสาหัส นางยังไม่ได้บอกความจริงเรื่องเสิ่นจิ้งเฟย คิดว่ารอให้อีกฝ่ายอาการดีขึ้นอีกสักเล็กน้อยก่อน

“คุณชาย ข้าคิดว่าเราควรกลับคฤหาสน์สกุลไป๋เพื่อเตรียมตัว”นางเอ่ยเปรย รู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่จบลงง่าย ๆ หลังจากได้พูดคุยกับหานตงก็พอรู้มาบ้างว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง ฮ่องเต้คงไม่นิ่งดูดาย นางลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงของเสิ่นจิ้งเฟย ใบหน้านั้นแฝงแววเหนื่อยอ่อน ดวงตาสีดำไม่มีความรู้สึกใด คุณชายของนางปกปิดท่าทีได้ดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก

“อืม”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ แต่ยังไม่ได้ขยับกายไปที่ใด เว่ยหลงจึงก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อ กระซิบกระซาบกับคุณชายเบา ๆ

“นี่เป็นจดหมายที่ตกค้างของเสิ่นจิ้งเฟย คนขับรถม้าที่ชื่อหนานอิงเป็นคนเก็บไว้ขอรับ”ผู้ติดตามส่งจดหมายให้ชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้จำคนขับรถม้าของสกุลเสิ่นได้ ครั้งหนึ่งคนผู้นั้นยังเคยเข้าใจว่าเขาเป็นคนรักของคุณชายเสิ่น เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเก่าๆของจื่อฟางก็รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็เก็บซ่อนความรู้สึกอ่อนแอไว้ในส่วนลึก คลี่จดหมายเปิดดู ภาพวาดใบหนึ่งหล่นลงมา เป็นภาพวาดนกที่โผบินในผืนฟ้ากระจ่าง 

‘น้องเสิ่น ข้าออกเดินใกล้กับเขตชายแดน การเดินทางราบรื่นดี อีกทั้งยังได้ร่ำเรียนบทเพลงขลุ่ยของชาวเผ่าเซียนปี้กลับมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่คนในพื้นที่แถบนี้เล่าลือกันว่าชาวหูกำลังรวบรวมชนเผ่าที่มีความแค้นต่อแผ่นดินเจี่ยกลับมาแก้แค้นฮ่องเต้เจี่ยผิง เหตุความวุ่นวายในเมืองอี้โจวก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนั้น ข้ารู้สึกไม่สบายใจนักอยากให้เจ้าระวังตัว แต่หากมีเรื่องผิดปกติ เจียงฉวี่ต้าพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ ข้าคิดว่าต้นเดือนสามก็คงถึงเขาเหลียวตง  ช่วงนั้นคงเข้าวสันต์ฤดู หากถึงที่หมายข้าจะวาดภาพส่งให้เจ้าดูก่อน ดีหรือไม่ ข้าจะรอพบเจ้าที่เหลียวตง รักษาตัวด้วย ไว้พบกัน’

ไป๋ผูอวี้กวาดตาอ่านจดหมายของฟู่เทียนสือ สัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ช่วยเหลือเสิ่นจิ้งเฟยจากใจจริง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของคนสกุลฟู่ที่มีต่อคุณชายเสิ่นเป็นเพียงมิตรสหายหรือมากกว่านั้น ฟู่เทียนสือจะสังเกตเห็นความแตกต่างที่เปลี่ยนไปของเสิ่นจิ้งเฟยหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรยามนี้ไม่มีเสิ่นจิ้งเฟยอีกแล้ว ไป๋ผูอวี้จ้องมองจดหมายในมือ ไม่คิดว่าจื่อฟางนัดแนะฟู่เทียนสือไปที่เหลียวตงด้วย ที่เจ้าต้องการหนีไปเหลียวตงก็เพราะเช่นนี้เองหรือ เกรงว่าฟู่เทียนสือคงไปถึงเหลียวตงเพียงลำพังเสียแล้ว 

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นผู้เป็นนายเดี๋ยวก็ทำสีหน้าเศร้าอีกเดี๋ยวก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ได้แต่ลอบมองนางมารหมื่นพิษ หวังว่าคุณชายไป๋จะไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน ซูเหลียนฮวาขึงตาใส่ศิษย์พี่รองเมื่อล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย

“กลับคฤหาสน์สกุลไป๋เถิด ยังมีเรื่องต้องจัดการ”ไป๋ผูวี้พับจดหมายเก็บไว้ ก้าวออกมาจากเรือนของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นเวลานี้เขามีเพียงเป้าหมายเดียว อีกไม่นานหรอกจื่อฟาง ข้าจะจัดการหลิวอ๋องให้เจ้า 

…………..


เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในจวนสกุลเสิ่นผ่านไปได้เพียงสามวันแต่เรื่องราวก็ยังไม่คลี่คลาย โรงน้ำชาหลิวซื่อยังคงมีผู้คนแวะเวียนเช่นปกติ แม้ว่าไป๋อู่เหยียนจะขนข้าวของและพาบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งกลับไปเมืองหลานโจวแล้วก็ตาม ผู้คนภายนอกได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆนาๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองพ่อลูกสกุลไป๋ บางคนก็คิดว่าเกี่ยวข้องกับคุุณหนูฉิน

ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องดื่มชาส่วนตัวห้องเดิม รอคอยคำสั่งจากฮ่องเต้เจี่ยผิงที่ในตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหว คงเพราะได้รับข่าวสะเทือนใจถึงสองต่อ หนึ่งคุณชายรูปงามที่หลงไหลมาด่วนจากไป สองชายงามเจาเฟิงที่เป็นผู้โปรดปรานก็จากไปเช่นกัน  เขาคลี่ยิ้มเย็นชากับตัวเอง มิใช่ว่านั่นคือร่างที่เสิ่นจิ้งเฟยอาศัยอยู่หรือ ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำเบาๆ

“ยามนี้เจ้าคงลงปรโลกแล้วกระมัง เสิ่นจิ้งเฟย”

ไป๋ผูอวี้มอบหมายงานส่วนใหญ่ให้กับพ่อบ้านจัดการ ในห้องดื่มชาแห่งนี้ชายหนุ่มยังจำจุมพิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นได้ ยังคิดว่าแปลกนักที่ตอนนั้นคุณชายรูปงามไม่มีทีท่าตกใจหรือรังเกียจ อยู่ที่นี่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงการได้ยินชื่อของเสิ่นจิ้งเฟย พวกชาวบ้านที่มาโรงน้ำชาหลิวซื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้กันทุกชั่วยาม การโจมตีสกุลเสิ่นจึงสร้างคลื่นความหวั่นวิตกให้กับราษฎรเพราะยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ อีกทั้งในคืนเดียวกันยังเกิดเหตุเพลิงไหม้อีกจุดหนึ่งในเมืองฉางอัน

ทหารหน้าประตูเมืองถูกฆ่า ผู้ก่อเหตุหลบหนีออกไปได้ มีเสียงเล่าลือกันว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋องเจี่ยซิน หลิวอ๋องที่มีจิตใจดีงามไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียผู้นั้นก่อกบฏ ชาวเมืองต่างก็คิดว่าเป็นการใส่ร้ายเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับอัครเสนาบดีหลี่ที่ยามนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ แต่เมื่อทหารบุกค้นวังหลิวอ๋อง กลับไม่พบตัวพระชายาและอ๋องน้อย คาดว่าหลบหนีไปพร้อมกัน ทหารและเหล่ามือปราบต่างก็ตรวจตรารอบเมืองฉางอันเป็นที่วุ่นวาย มีผู้ก่อกบฏย่อมหมายถึงสงคราม หากครั้งนี้เกิดสงครามอีกแผ่นดินเจี่ยคงลุกเป็นไฟ ราษฎรย่อมตกที่นั่งลำบาก จึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้เจี่ยผิงกระจายไปทั่ว ราชสำนักยิ่งตึงเครียด แต่ฮ่องเต้ยังไม่คิดทำสิ่งใด

ไป๋ผูอวี้ตั้งใจเขียนจดหมายถึงบิดา คิดว่าไป๋อู่เหยียนน่าจะถึงเมืองหลานโจวแล้ว เขาจรดพู่กันลงบนกระดาษไตร่ตรองว่าควรเขียนสิ่งใดลงไป

‘ท่านพ่อ สบายดีหรือไม่ ท่านคงได้ยินข่าวของเสิ่นจิ้งเฟย ข้าควรทำอย่างไรดี ยามที่ท่านแม่จากไป ท่านทำเช่นไรถึงผ่านพ้นมาได้’

ชายหนุุ่มวางพู่กันพับจดหมายอย่างประณีตส่งให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่มุมห้อง “กุ้ยตาน นำจดหมายฉบับนี้ส่งถึงหลานโจว”

กุ้ยตานรับคำและจากไปโดยไม่เอ่ยวาจาใด ไป๋ผูอวี้เหม่อมองกู่เจิงคันเก่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะวางเครื่องดนตรีที่ไม่ได้แตะนานแล้ว ชายหนุ่มลุกเดินไปนั่งหน้ากู่เจิงเริ่มบรรเลงบทเพลงไปที่จื่อฟางเคยเป่าขลุ่ยให้ฟัง ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงดังแว่วมาจากภายนอก พยายามเมินเฉยแต่เมื่อเสียงเหล่านั้นดังมากขึ้นทุกทีเขาก็จำต้องหยุดมือ จำเสียงพูดคุยนั้นได้ เป็นเสียงของเสนาบดีฉินจื่ออวี้ บิดาของคุณหนูฉิน

“ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่ได้ คุณชายไป๋ไม่สะดวกพบผู้ใด”เว่ยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแม้จะมีกระแสไม่ชอบใจเจืออยู่จาง ๆ

“แม้แต่ข้าน่ะหรือ!”เสนาบดีกรมขุนนางมีโทสะทันที เขาเองไม่ได้อยากมาที่นี่นักแต่เพราะบุตรสาวตัวดีป่วยไข้หนักยืนยันว่าต้องการพบไป๋ผูอวี้ เขาเกลี้ยกล่อมนางอย่างไรก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามคำของของฉินเซียงอินทั้งที่ตนอยากดื่มยาพิษตายให้รู้แล้วรู้รอด มีบุตรสาวเอาแต่ใจไม่รักษากิริยาเช่นนี้ หากใครล่วงรู้เข้าคงได้ดุด่าถึงบรรพบุรุษ น่าอายจริง ๆ 

“เสนาบดีฉิน หากท่านมีเรื่องคุยเชิญด้านในเถิด”ไป๋ผูอวี้ยืนอยู่หน้าห้อง จำต้องละจากเครื่องดนตรีออกมาพบกับขุนนางใหญ่ที่ใบหน้าแดงก่ำ สายตาคู่นั้นปราดมองมายังเขามีแววไม่ชอบใจปะปนอยู่ด้วย แต่ชายหนุ่มเลือกมองไม่เห็น เชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในห้องดื่มชาอย่างมีมารยาท เสนาบดีฉินเหลียวตัวมองรอบกาย แต่ก็หนีไม่พ้นพวกสอดรู้

“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”ฉินจื่ออวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อก้าวเข้ามาด้านในแล้ว ร่างสูงใหญ่ของไป๋ผูอวี้ยังคงมีท่าทีสุขุมนุ่มลึกเช่นเคยแม้ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายคนอดหลับอดนอน ร่างนั้นชงชาให้เสนาบดีอย่างคล่องแคล่ว แต่อยู่ ๆก็หยุดนิ่งไปมือคีบถ้วยชาค้างอยู่เช่นนั้น  ฉินจื่ออวี้เพิ่งเคยเห็นคนผู้นี้ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ในฉางอันมีกระแสข่าวลือแปลกๆมากมาย เรื่องที่เขาได้ยินมาคือเรื่องรักต้องห้ามของไป๋ผูอวี้และคุณชายรูปงามที่เพิ่งจากไป เดิมทีเสนาบดีฉินคิดว่าไร้สาระ แต่มาเห็นไป๋ผูอวี้เป็นเช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ อีกทั้งคนผู้นี้ก็ไม่สนใจบุตรสาวผู้งดงามของเขา

“อะแฮ่ม ข้าไม่ได้อยากรบกวนเจ้านักหรอก แต่เพราะเป็นเรื่องของบุตรสาวข้า...”เสนาบดีกรมขุนนางกระแอมเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เขาเป็นถึงขุนนางขั้นสองแต่ต้องมาออกปากร้องขอบุตรชายคหบดีผู้หนึ่งก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะลูกสาวตัวดีเพียงคนเดียว หากเขาไม่มานางว่าจะไม่ยอมดื่มยา

ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจางเมื่อได้ยิน ตั้งแต่แรกก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ คนอย่างเสนาบดีฉินไม่มีทางมาหาเขาอยู่แล้ว

“คุณหนูฉินเป็นอะไรหรือ”เขาเอ่ยถามตามมารยาทระหว่างที่รินชาใส่จอกให้ผู้มาเยือน

เสนาบดีฉินพลันใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออับอาย บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง “ฉินเซียงอิน นางไม่ค่อยสบาย ต้องการพบเจ้า ข้าไม่ได้บังคับหรืออะไรหรอกนะ...”ฉินจื่ออวี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้บุตรสาวของตนเสียหาย โชคดีที่คนแซ่ไป๋ผู้นี้เป็นพวกไม่แสดงสีหน้าออกมาตามที่ใจคิด ไม่เช่นนั้นเสนาบดีฉินคงได้เอาหน้ามุดแผ่นดิน

“เช่นนี้เอง ข้าหวังว่านางจะไม่ป่วยหนัก เห็นแก่ที่เอ็นดูคุณหนูฉินดั่งน้องสาว ข้าจะไปเยี่ยมนางสักครา”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มสุภาพ ชายหนุ่มคิดว่าควรทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียที หากการกระทำของเขายังไม่เพียงพอก็สมควรพูดต่อหน้าให้เข้าใจกัน

“ดี ๆ”เสนาบดีฉินไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะตอบตกลงจึงได้แต่ตอบไปเช่นนั้น ทั้ง ๆที่ในใจอยากร้องตะโกน ไม่อยากให้บุตรสาวมาข้องเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้

ชายหนุ่มมาเยือนจวนสกุลฉินเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้มีบ่าวไพร่อยู่ในห้องรับรองอยู่หลายคนเพราะเสนาบดีฉินกลัวว่าจะมีคนนำไปพูดให้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย จึงมีฉากกั้นกลางเพื่อความเหมาะสม เขารอคุณหนูฉินได้ไม่นาน เด็กสาวในชุดสีชมพูอ่อนสบายตาก็ถูกสาวใช้คนสนิทประคองซ้ายขวาเข้ามาในห้อง ฉินเซียงอินผอมลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงเรื่อจากพิษไข้ ไป๋ผูอวี้พินิจมองผ่านฉากกั้น ได้แต่ครุ่นคิดว่าอาการป่วยของแม่นางน้อยเป็นของจริงหรือไม่แต่เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนักจึงเป็นฝ่ายเอ่ยคำก่อน 

“คุณหนูฉิน ข้าได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า มีเรื่องใดหรือ”

“ข้าแค่อยากเจอท่าน”เสียงใสกังวานของนางดังผ่านฉากกั้น แต่เพราะมีบ่าวไพร่ของฉินจื่ออวี้เฝ้าอยู่ เด็กสาวจึงพบหน้าไป๋ผูอวี้ตรง ๆ มิได้ กว่านางจะอ้อนวอนบิดาได้ก็ใช้เวลาเสียหลายวัน

ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ ลุกจากที่นั่งเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางจริงจัง ไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลย
“ข้ามีเรื่องอยากบอกท่านพอดี คุณหนูฉิน ท่านตัดใจจากข้าเถิด ข้ามีคนรักอยู่แล้วและไม่คิดจะรักผู้ใดอีก”เขากล่าวเสียงแผ่ว ฉินเซียงอินได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็ไม่เข้าใจ คิดเอ่ยแย้ง นางไม่ได้ยินว่าคุณชายไป๋สนใจหญิงงามผู้ใด แล้วคนรักที่ว่ามาจากไหน หรือเขาเพียงพูดเพื่อปฏิเสธนาง   

“ข้ามิได้โกหกท่าน ข้าพูดความจริง ตอนนี้ข้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากพูดคุยยาว ๆ ข้าเพิ่งเสียคนรัก ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท”ชายหนุ่มเอ่ยเสริมก่อนที่คุณหนูฉินจะได้เอ่ยแย้ง สองสามวันมานี้ไป๋ผูอวี้ไม่ได้พูดจาเป็นประโยคยาวกับผู้ใด เมื่อได้คุยกับคุณหนูฉินก็รู้สึกว่าเหนื่อย

“เสียคนรัก?ท่านหมายถึงผู้ใดกัน”คุณหนูฉินเอ่ยถามเสียงสั่น

“ยามนี้ฉางอันมีข่าวการตายของผู้ใดเล่า”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ คิดว่าสนทนาพอแล้ว

“ท่านหมายถึง...ผู้ใด”นางยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ ยามนี้ก็มีเพียงข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้นที่เลื่องลือไปทั้งฉางอัน บางทีอาจดังไปถึงเมืองใกล้เคียงด้วยเพราะได้ข่าวว่าสกุลโหยวนั่งรถม้ามาถึงจวนสกุลเสิ่นภายในวันเดียว

“ข้าคิดว่าท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด ข้าบอกท่านมาหลายครั้ง ข้าจะเอ่ยเป็นหนสุดท้าย ข้าเห็นท่านเป็นดั่งน้องสาวมาตลอด โปรดตัดใจจากข้าเถอะ บุรุษเช่นข้าไม่เหมาะสมกับท่านหรอก” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบแม้จะดูใจร้ายไปบ้างที่ต้องกล่าววาจาตรง ๆกับฉินเซียงอิน แต่ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้นางก็ไม่มีทางรามือ

“แต่ท่านกับ...คนผู้นั้น...เป็นไปได้อย่างไร”ฉินเซียงอินรู้แล้วว่าไป๋ผูอวี้หมายถึงผู้ใด สาวใช้ข้างกายจึงส่งสายตามองนางคล้ายกับบอกว่า’ข้าบอกท่านแล้ว’ เด็กสาวเม้มปาก

“เขาตายแล้ว….”ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้นางใจหายอยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็เคยรู้จักพูดคุยกันมาก่อน 

“ใช่ เขาตายแล้ว แต่เขายังอยู่ในใจข้าเสมอ”ไป๋ผูอวี้ไม่กลัวว่าผู้ใดจะได้ยินแล้วนำไปป่าวประกาศ ความเงียบระลอกใหญ่เกิดขึ้นในห้องรับรอง บ่าวไพร่ในห้องต่างก็ลอบชายตามองกันอย่างไม่อยากเชื่อหู 

“ข้าขอตัว”ชายหนุ่มคิดว่าเพียงพอแล้ว

ฉินเซียงอินได้แต่ยืนกำหมัดร่างกายบอบบางสั่นน้อย ๆ ได้แต่มองเงาร่างของไป๋ผูอวี้จากไป

“คุณหนู...”สาวใช้ได้แต่ลูบหลังปลอบโยนอย่างอับจนคำพูด เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตวัดสายตามองบ่าวไพร่ในห้อง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“เรื่องในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”ที่นางกล่าวออกไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นการรักษาหน้าของไป๋ผูอวี้หรือตัวนางเองกันแน่


เว่ยหลงรอผู้เป็นนายอยู่ข้างรถม้า ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ที่ต้องมารอคุณชายตัดน้ำใจคุณหนูฉิน ครั้งแรกที่พบเจอนาง ชายหนุ่มคิดว่าได้เจอฮูหยินไป๋แล้วซะอีก แต่คุณชายกลับเลือกเสิ่นจิ้งเฟย ผู้ติดตามยืดร่างขึ้นเมื่อมองเห็นร่างของคุณชายไป๋เดินเอื่อย ๆกลับมาที่รถม้า คุณชายยังคงทำทุกอย่างเช่นปกติแต่เขารู้ดีว่าคุณชายไม่ได้เป็นเช่นเดิม ไม่รู้ว่าคุณชายจะรู้ตัวหรือไม่ว่ามีอาการเหม่อลอยบ่อยๆ

“กลับคฤหาสน์สกุลไป๋เลยหรือไม่ขอรับ”เขาเอ่ยถาม

“ไปจวนสกุลเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกผู้ติดตามก่อนจะเข้าไปนั่งในรถม้า ทิ้งให้เว่ยหลงมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็รีบดึงสติกลับไปนั่งประจำที่พร้อมกระตุกสายบังเหียนให้อาชามุ่งหน้าออกไปจากตรอก ไม่นานนักรถม้าก็มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเสิ่นที่เงียบสงบ ปกติจวนสกุลเสิ่นก็เงียบเป็นทุนเดิม มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นจึงเหมือนป่าช้า จวนรอบนอกมีหารเดินเวรยาม บ่าวไพร่บางส่วนในเรือนเสิ่นมู่หยางที่ยังคงเก็บกวาดลานบ้าน ไป๋ผูอวี้ลงจากรถม้าก็ให้บ่าวคนหนึ่งนำทางเข้าไป เสิ่นมู่หยางยังคงพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ งานราชการจึงพักไว้ก่อน  ได้ยินว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งของบำรุงมาให้ไม่ขาด

“ข้าน้อยจะไปเยี่ยมดูหยางชวีกับจางต้า”เว่ยหลงกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายมุ่งหน้าไปที่ห้องรับรองทางฝั่งเรือนหลักด้านหน้า ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงรับรู้ เป็นห่วงทั้งสองคนเหมือนกัน แต่ยาของซูเหลียนฮวาน่าจะช่วยรักษาอาการไม่มากก็น้อย ชายหนุ่มเดินตามบ่าวด้านหน้าไปเงียบ ๆ หลังเกิดเรื่องเขาไม่ได้แวะมาอีกจึงไม่รู้ว่าเรือนของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นอย่างไรแล้วบ้าง 

“นายท่านพักอยู่ด้านในขอรับ”บ่าวรายงานก่อนคาราวะจากไป ถือเป็นเรื่องแปลก เขาสังเกตว่าพวกบ่าวรับใช้แสดงท่าทีนอบน้อมต่อเขาเป็นพิเศษหรือเป็นเพราะว่าเขาช่วยนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกมาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ ไป๋ผูอวี้ก้าวเข้าไปในห้องรับรอง พบว่าเสิ่นมู่หยางนั่งอยู่ที่ตั่งยาว ขาข้างหนึ่งพันผ้าไว้มีรอยเลือดซึมให้เห็น เสนาบดีเสิ่นมีสีหน้าเหมือนคนพักผ่อนไม่พอ

“ไป๋ผูอวี้ ไม่คิดว่าเจ้าจะมา”เสิ่นมู่หยางขยับนั่งให้ถนัดถนี่ หานตงปรากฏกายอยู่หน้าประตูรอคอยรับใช้เจ้านาย

“รบกวนท่านแล้ว ข้ามาด้วยเรื่องกิจการของจื่อ--คุณชายเสิ่นจิ้งเฟย”เขาแสร้งกระแอมเบาๆเมื่อเกือบหลุดชื่อที่แท้จริงของจื่อฟางออกไป แต่เสนาบดีเสิ่นคล้ายจะไม่ได้สังเกต

“อ้อ ร้านค้านั่นน่ะเหรอ ทำไมรึ”เสิ่นมู่หยางได้เห็นแบบร่างแล้ว ดูประหลาดจนมองไม่ออกว่าบุตรชายของเขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่ก่อนเขาคิดห้าม ยามนี้เฟยเอ๋อร์ไม่อยู่ก็ไม่อยากขัดขวางอีก

“ข้าอยากสานการก่อสร้างให้สำเร็จ ข้าจะซื้อร้านค้าของคุณชายเสิ่น เรื่องค่าเช่าที่ดิน ช่างไม้ ข้าจะดูแลเอง จึงอยากมาขออนุญาตท่านเสนาบดี”ชายหนุ่มเอ่ยช้า ๆอยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ไว้ 

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นความต้องการของเฟยเอ๋อร์ ข้าไม่ห้าม เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ”เสิ่นมู่หยางไม่คิดขัดใจความต้องการบุตรชายอีกทั้งไม่อยากให้มีสิ่งใดค้างคา เสนาบดีกรมพิธีการยกถ้วยชาจิบช้า ๆระหว่างที่ทอดสายตามองสำรวจคนแซ่ไป๋  เจ้าเด็กคนนี้ดูจริงจังเรื่องบุตรชายของเขาเหลือเกินหรือมีเรื่องใดที่เขาไม่รู้

“ไป๋ผูอวี้ เจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคนรักกันหรือ”เขาอดไม่ไหวเอ่ยถามออกไปในที่สุดยังจำสีหน้าในคืนนั้นของบุตรชายสกุลไป๋ได้ดี

“เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้นเล่า”ไป๋ผูอวี้กล่าว คิดว่าสายตาของคนผู้นี้มองได้ไม่ผิดพลาด แต่เขาไม่คิดเอ่ยตอบ เกรงว่าอีกฝ่ายจะตกใจไปเสียเปล่า ๆเรื่องพิธีแต่งงานเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมจนเขาไม่กล้าหยิบยกมาพูด ชายหนุ่มคิดได้ว่าไม่เคยได้สัมผัสจับต้องร่างจริงของภรรยาตัวเอง ยังดีที่เขามีรูปวาดของจื่อฟางแทนตัว

เสิ่นมู่หยางหรี่ตาลงเมื่อมองเห็นไป๋ผูอวี้ใจลอยไปชั่วขณะ รู้ดีว่าบุตรชายซุกซ่อนไว้อีกมาก หรือเสิ่นจิ้งเฟยจะไม่ได้คิดแค่ ‘เล่นสนุก’กับคนผู้นี้ แต่อย่างไรก็ช่างตอนตายก็อยากให้บุตรชายมีความสุข แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้จากไปอย่างมีความสุข!บุตรชายรูปงามของเขาถูกเผาไหม้ทั้งเป็น ยิ่งคิดถึงหลิวอ๋องจิตใจก็เจ็บแค้น 

“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทคิดใช้คนสกุลไป๋รวมศึก หลิวอ๋องยามนี้หลบหนีออกไปจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าไปตั้งหลักอยู่ที่ใด”เสนาบดีเสิ่นเอ่ยขึ้น สายตามองตรงที่ไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มผงกหัวเล็กน้อย เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ รู้ดีว่าเรื่องการศึกไม่ใช่เรื่องของเขา

“คิดว่าคงไม่ไกลจากเมืองหลวง ตามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงคาดการณ์ไว้”ต้องขอบคุณจื่อฟางมากกว่า ที่นำแผนการของหลิวอ๋องและองค์ชายใหญ่ไปบอกฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว

“เสนาบดีเสิ่น ข้าขอบคุณท่านมากที่ไม่คัดค้านเรื่องร้านค้า หวังว่าท่านจะหายโดยเร็ววัน”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าควรสนทนาด้วยเรื่องใด ทั้งเขาและอีกฝ่ายก็มิใช่ว่าจะพูดคุยกันได้ถูกคอ ขุนนางกรมพิธีการคล้ายกับมีเรื่องที่อยากพูดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาทำเพียงหยักหน้ารับ ชายหนุ่มค้อมกายก่อนออกมาจากห้องรับรอง พบเว่ยหลงยืนรออยู่นอกเรือนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเจอเรื่องไม่ดีมา คงเป็นเรื่องข้ารับใช้ทั้งสองคนของเสิ่นจิ้งเฟย   

“หยางชวีกับจางต้าเป็นเช่นไร”เขาเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปตามเฉลียงทางเดิน มุ่งไปสู้ประตูหน้าอันเงียบเชียบ บ่าวไพร่ในเรือนพากันหลบหลีกเป็นที่วุ่นวาย

“ไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าสองคนนั่นจะรู้ความจริงเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยแล้วอาการถึงไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าตายนั่นไม่ยอมให้ซูเหลียนฮวารักษา”เว่ยหลงเดินตามหลังผู้เป็นนายได้แต่ส่ายศีรษะ นึกไปถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้น

ยามที่เขาไปเยี่ยมข้ารับใช้ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้า หยางชวีอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก บาดแผลยังคงไม่ดีขึ้น สีหน้าเผือดซีดไร้ชีวิตชีวาพอเห็นว่าเป็นเขามาเยี่ยมก็แสร้งทำเป็นนอนหลับ ส่วนจางต้านอนจ้องผนังห้องเหมือนมีอะไรน่าดู ดวงตาแดงก่ำทั้งยังบวมเป่งบ่งบอกว่าร้องไห้มาทั้งคืน เว่ยหลงเกาจมูก เขาไม่ถนัดกล่าววาจาปลอบคนเสียด้วย!กลิ่นยาสมุนไพรยังคงอวลอยู่ในห้อง

“คิดจะตายตามเสิ่นจิ้งเฟยหรือไง”เขาเอ่ยลอย ๆ ปรายตามองหยางชวีที่ยังคงนอนหลับตา แต่มือที่วางอยู่ข้างตัวกำแน่น จางต้าขยับศีรษะมองเว่ยหลงด้วยดวงตาเหมือนลูกหมา ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเป็นคนแก่ นั่งลงที่ข้างเตียง 

“นี่เจ้าลูกหมา ทำตัวเช่นนี้คิดว่าคุณชายของเจ้าจะชอบหรือ”เขาไม่ได้เอ่ยเจาะจงกับผู้ใด จึงก้มหน้ามองบ่าวที่มักทำตัวเซ่อซ่า

“ถ้าหากเจ้าอยากมีชีวิตต่อ หายดีแล้วข้าจะช่วยฝึกวิชาให้”เว่ยหลงหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้านี่คิดอยากทำสิ่งใดต่อไปอีกหรือไม่

“แต่เอาเถอะ ถ้าอยากตายก็ตายเสีย อีกไม่นานข้าจะร่วมทัพไปปราบกบฏกับคุณชายไป๋ ไว้ข้าจะแก้แค้นเผื่อเจ้าเองก็แล้วกันนะหยางชวี ถึงอย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์น้องคนสุดท้ายของข้า”เว่ยหลงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็รีบหมุนตัวออกมาจากห้องไม่ได้มองดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดได้บ้างหรือไม่

ไป๋ผูอวี้ก้าวออกมาจากจวนสกุลเสิ่นได้ไม่นานก็พบว่ากุ้ยตานยืนรออยู่ที่รถม้าด้วยสีหน้าเร่งร้อน

“คุณชายไป๋ ฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเข้าเฝ้าขอรับ”ฟังอีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นเบื้องบน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิ้มออกมาจากใจ

“ได้เวลาเสียที”เขารู้สึกเหมือนมีแรงได้ก้าวเดินต่อ

~•~

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-02-2019 03:51:50
 

ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงอยู่ในตำหนักหยุนเอี้ยน สายตาจ้องมองไปยังสองร่างที่นอนอยู่ในโลงแก้ว เป็นร่างไร้วิญญาณทั้งคู่ เพียงแค่ร่างหนึ่งเผือดซีดราวกับกำลังนอนหลับ ส่วนอีกร่างมีเพียงครึ่งซีกเท่านั่นที่ไม่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ เจี่ยผิงไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจหรือพะอืดพะอมกับภาพที่เห็น กลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าที่ต้องมองเห็นเสิ่นจิ้งเฟยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงหัวเราะในลำคอเมื่อคิดได้ว่าไป๋ผูอวี้ก็สูญเสียเช่นเดียวกับเขา ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าคนที่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยคือจื่อฟาง

รักที่ตัวตนอย่างนั้นหรือ เจี่ยผิงคล้ายได้ลิ้มรสชาติฝาดเฝื่อนมองใบหน้าที่เคยงดงามของเสิ่นจิ้งเฟย เขาไม่เคยแสดงออกถึงสิ่งอื่นใดนอกจากความต้องการ แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นเล่า?  ก่อนจากไปเสิ่นจิ้งเฟยเรียกเขาว่าฟู่จวิ้น แต่ฟู่จวิ้นผู้นั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว หากเขายังครองบัลลังก์เขาก็เป็นเจี่ยผิง ในตอนนี้เขามีหลายสิ่งที่แบกรับไว้บนบ่า ไม่สามารถทิ้งได้โดยง่าย เจี่ยผิงคิดว่าแปลกนัก เมื่อคิดว่าหากสูญเสียรัชทายาทไป เขาจะเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้หรือไม่? 

“ทูลฝ่าบาท ไป๋ผูอวี้มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู้หนึ่งส่งเสียงร้องมาจากหน้าประตู ชายหนุ่มจึงละสายตามาจากโลงแก้ว จัดเสื้อผ้าลายมังกรให้เรียบร้อย ข่มความรู้สึกว่างเปล่าไว้ในส่วนลึกก่อนเอ่ยคำ

“ให้เขาเข้ามา”เจี่ยผิงเอ่ย เดินออกมานอกฉากกั้น ยืนเอามือไพล่หลังรอคอย จ้องมองชายหนุ่มในชุดตัวยาวสีเทาเรียบง่ายเช่นทุกครา แต่ผู้เป็นฮ่องเต้สังเกตว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป ดวงตาของไป๋ผูอวี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่พบกัน หรือเขาเสียใจเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยจนเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้ดีว่าไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีความภักดีต่อตน อีกฝ่ายยอมร่วมศึกส่วนหนึ่งก็เพราะจื่อฟาง แต่ยามนี้ทุกอย่างสูญสิ้นไปหมด เหตุผลเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งเดียวที่ทำให้ไป๋ผูอวี้ต้องการร่วมศึกก็คือหลิวอ๋อง 

ไป๋ผูอวี้เข้ามาในตำหนักที่ไม่คุ้นตา เส้ากงกงยืนอยู่ใกล้กับโต๊ะทรงอักษร ในห้องมีฉากกั้นบดบังห้องชั้นใน ชายหนุ่มคุกเข่าถวายบังคมไปทางเจ้าแผ่นดินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงเรียบไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่แข็งกร้าวจนเกินไป ร่างขององครักษ์ของฮ่องเต้ปรากฏตัวอยู่ในห้อง เฮ่อเจ๋อและกู้หมิง

“บังอาจ กล้ากล่าวกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เจ้าอยากโดนบั่นคอรึ”เฮ่อเจ๋อส่งเสียงมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงแค่นเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา ยังจดจำเรื่องที่อีกฝ่ายทำกับบ่าวไพร่ในเรือนของตนได้

“บั่นคอ?ในยามนี้น่ะหรือ”ชายหนุ่มรู้ดีว่ายามนี้กำลังรบเป็นสิ่งสำคัญ ฮ่องเต้ถึงได้เรียกตนมา

“ช่างเถิด เราไม่ได้ใส่ใจ ในยามนี้มีเรื่องเร่งด่วนกว่ามาก”เจี่ยผิงสะบัดมืออย่างไม่ถือสานัก ถึงอย่างไรไป๋ผูอวี้ก็อยู่ภายใต้อำนาจของเขา ชายหนุ่มมองแผนที่บนโต๊ะที่วงกลมจุดแดงไว้อยู่หลายจุด

“เจ้าคงจำได้กระมังว่าเราต้องการให้เจ้าและสกุลไป๋รับมือกับการก่อกบฏของหลิวอ๋อง”เจี่ยผิงกล่าวเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าบุตรชายสกุลไป๋ “แต่ก่อนอื่น ข้าต้องทำให้เหล่าทหารที่ร่วมทัพไปกับเจ้าอยู่ในบังคับบัญชา”ฮ่องเต้หนุ่มปรายตามองราชเลขาธิการก่อนเอ่ยบอก

“ถ่ายทอดบัญชาของเรา ไป๋ผูอวี้มีคุณงามความดีเมื่อครั้งไปช่วยการศึกที่ชายแดนเมืองอี้โจวจนสงบเรียบร้อย สมควรแต่งตั้งไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพ สองวันหลังจากนี้มีคำสั่งให้นำกองกำลังทหารห้าพันนายไปปราบกบฏหลิวอ๋องตามเส้นทางหลบหนี”

“พ่ะย่ะค่ะ”ราชเลาขาธิการจรดพู่กันลากเขียนอย่างรวดเร็ว จนเขียนราชโองการเรียบร้อยหนึ่งฉบับ

“ประกาศในท้องพระโรงในวันรุ่งขึ้น”เจี่ยผิงเอ่ยสั้น ๆ เมื่ออ่านทวนจนจบ ราชเลขาธิการค้อมกายก่อนจะถอยออกไปจากตำหนักเมื่อเจ้าแผ่นดินสะบัดแขนเสื้อไล่ ไป๋ผูอวี้ยังคงก้มหน้าเอ่ยตอบ

“ฝ่าบาททรงมีเมตตา กระหม่อมน้อมด้วยเกล้า ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”ไป๋ผูอวี้ถวายบังคมตามพิธีการ ฮ่องเต้เจี่ยผิงยกยิ้มจาง ดวงตาดำลึกคู่นั้นจดจ้องจนชายหนุ่มหนาวเย็นไปทั้งร่าง ในมือของผู้เป็นเจ้าแผ่นดินคือป้ายคำสั่งลงตราลัญจกรส่งมอบให้เขา

“รองแม่ทัพไป๋ ยามนี้แผ่นดินเจี่ยเดือดร้อนต้องการกำลังของท่าน เราหวังว่าเจ้าไม่ทำให้เราผิดหวัง”ฮ่องเต้หนุ่มส่งมอบป้ายคำสั่งให้แก่ไป๋ผูอวี้ มองเห็นองครักษ์ทั้งสองขยับร่างเล็กน้อยคล้ายกับไม่เห็นด้วยแต่ไม่ได้เอ่ยคัดค้านสิ่งใด

“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋ผูอวี้รับป้ายคำสั่งมาถือเหมือนเป็นของหนักก่อนก้มทำความเคารพอีกครั้ง ยามนี้เป้าหมายของเขามีเพียงปราบปรามพวกหลิวอ๋อง เรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากัน 

“ลุกขึ้นเถอะ มาสนทนาพาทีเฉกเช่นมิตรสหายดีกว่า”ฮ่องเต้หนุ่มยกมือให้ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ลุกขึ้น โบกมือไล่เส้ากงกงออกไปนอกห้อง ไป๋ผูอวี้ยืดร่างเมื่อฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินนำที่ฉากกั้นฉลุลาย ด้านในมีโลงแก้วสองโลงบรรจุร่างสองร่างไว้ ไป๋ผูอวี้ลมหายใจสะดุดเมื่อมองเห็นร่างไร้ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยที่ดูคล้ายกับนอนหลับแต่เพราะบาดแผลที่ถูกเผาไหม้ทำให้ดูเป็นการนอนหลับที่ไม่สงบนัก ส่วนอีกร่างคือชายงามผู้หนึ่ง เขาเคยเห็นคนงามมามากแต่ชายงามผู้นี้นับว่าโดดเด่น

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นคนนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกมา”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยขึ้นแต่คล้ายกับเอ่ยเปรยกับตัวเองมากกว่า

“พ่ะย่ะค่ะ”เขาตอบเบาๆมองฮ่องเต้หมุนตัวไปที่โต๊ะด้านในมีไหสุราและจอกสองใบวางอยู่ เจี่ยผิงรินสุรากลิ่นหอมลงจอกทั้งสอง ก่อนส่งให้อีกฝ่าย

“ข้ากับเจ้าต่างก็สูญเสียเช่นเดียวกัน”ฮ่องเต้เจี่ยผิงรำพึง มองแม่ทัพใหญ่ที่เพิ่งแต่งตั้งรับจอกสุราไปจากตนด้วยใบหน้าราบเรียบ ท่าทีนอบน้อมของร่างตรงหน้าชวนให้ขัดหูขัดตา เจี่ยผิงรู้ดีว่าเป็นเพียงการสวมหน้ากากเข้าหากันเท่านั้น ชายหนุ่มอยากรู้นักหากเขามิใช่เจ้าแผ่นดิน คนสกุลไป๋จะพูดจากับตนเช่นไร

“เจ้ารักเสิ่นจิ้งเฟย?”ฮ่องเต้เอ่ยถาม เขย่าสุราในจอกเบา ๆลอบมองท่าทีของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้เพียงยกจอกสุราดื่มอย่างละเมียดละไมมีผู้ใดดื่มสุราเหมือนดื่มชาบ้าง

“กระหม่อมมิได้รักเสิ่นจิ้งเฟย…”ชายหนุ่มกล่าวเชื่องช้า สบตากับผู้เป็นฮ่องเต้ “คนที่กระหม่อมรักคือจื่อฟาง”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้ว ที่แท้คนผู้นี้ก็ทราบตัวตนของจื่อฟาง สายตาของเขาตกลงที่ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยอีกครั้ง

“แต่เจ้าชอบจื่อฟางก็เพราะเขาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย…”

“กระหม่อมเคยบอกฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมรักเขาที่ตัวตน หากกระหม่อมชอบความงามของเสิ่นจิ้งเฟยก็คงมีใจให้เขาตั้งแต่แรกที่มาฉางอัน”

เจี่ยผิงนิ่งงันไปกับคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะยกจอกสุราดื่มจนหมด คิดว่าถึงเวลาคุยเรื่องจริงจังแล้ว ไป๋ผูอวี้ดื่มจนหมดจอกเช่นกัน นึกดูแล้วชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยก็ถือว่าน่าสงสาร ต้องถูกผูกติดอยู่กับคนผู้นี้ แต่เขากลับสงสารไม่ลงเมื่อนึกถึงปัญหาที่คุณชายท่านนี้ทิ้งให้จื่อฟางรับมือ ฮ่องเต้หนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้กลม เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ พยักเพยิดให้ชายหนุ่มนั่งที่เก้าอี้ว่างเช่นกัน

“เจ้าคงทราบกระมังว่าเหตุเพลิงไหม้เป็นฝีมือของหลิวอ๋อง”นัยน์ตาของฮ่องเต้วูบไหว “คนของเรารายงานว่ามีชาวบ้านพบเห็นรถม้ามุ่งออกจากเมืองหลวงหลังจากที่เกิดเหตุวุ่นวายที่จวนสกุลเสิ่น คาดว่าเป็นหลิวอ๋อง คนของเขาฆ่าทหารเฝ้าประตูเมืองอย่างอุกอาจ เราจึงให้สั่งคนนำกำลังติดตามไป พวกเขารายงานกลับมาว่ามีรอยรถม้าแยกออกไปสี่ทางจึงนำกำลังพลแยกตามหา ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติม”

ไป๋ผูอวี้มุ่นคิ้วอย่างใช้ความคิด “ฝ่าบาทคิดว่าเส้นทางพวกนั้นเป็นกับดักหรือพ่ะย่ะค่ะ”แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่หลิวอ๋องจะนำกำลังพลซุ่มโจมตี

“ข้าคิดเช่นนั้น แต่ข้าเชื่อว่าเจี่ยซินไม่ได้นำพระชายาและอ๋องน้อยไปยังที่หลบหนีเดียวกัน”เจี่ยผิงยกยิ้มหยันขึ้นมา เจี่ยซินคิดเล่นอะไรอยู่ 

“เมืองลั่วหยางถูกอ๋องแคว้นเกาโหยวยึดไว้ได้แล้ว ข้าจะส่งกองทัพใกล้เคียงไปจัดการ ส่วนเจ้านำกำลังไปสมทบกับแม่ทัพเมิ่งที่ค่ายทหารอำเภอซินเฉิงค่อยมุ่งหน้าไปยังเมืองเสียนหยาง ข้าเชื่อว่าเจี่ยซินไม่ตั้งกองทัพห่างจากเมืองหลวง หลิวอ๋องก่อกบฏถือเป็นความผิดร้ายแรง รองแม่ทัพไป๋จัดการตามที่เห็นสมควร”ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋ผูอวี้รับคำ เมื่ออีกฝ่ายไม่มีเรื่องใดแล้ว ชายหนุ่มจึงถวายบังคม รีบเร่งออกไปจากตำหนักหยุนเอี้ยน ไม่ได้เหลือบตามองร่างไร้วิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยแม้แต่น้อย

เมื่อเงาร่างของไป๋ผูอวี้หายไป เจี่ยผิงก็ลุกไปทอดมองร่างไร้วิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟย

“สถานการณ์ที่ชายแดนเมืองอี้โจวเป็นอย่างไร ช่างอิ่นลงมือหรือยัง”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ รู้ดีว่าคนของตนไม่ได้ไปไหนไกล

“ยามนี้กองกำลังลับได้ประจำเส้นทางรอซุ่มโจมตีองค์ชายใหญ่เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”กู้หมิงตอบเจ้าแผ่นดิน ฮ่องเต้พยักหน้าช้า ๆอย่างพอใจ  สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าที่เคยงดงามที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง

“ฝ่าบาท...มอบป้ายคำสั่งแก่ไป๋ผูอวี้เช่นนี้...”เฮ่อเจ๋อกลั้นใจเอ่ยขึ้น เขาไม่คิดไว้ใจคนผู้นั้นหลังจากที่เคยสืบทราบมาว่าสกุลไป๋เคยกุมอำนาจทหารในมือจนฮ่องเต้ในสมัยนั้นต้องตัดสินใจตัดกำลัง

“เจ้าสงสัยในการตัดสินใจของเราหรือ ”ฮ่องเต้หนุ่มตวัดสายตามอง องครักษ์ถึงได้สงบปากสงบคำก้มหน้าลงอย่างเจียมตัว เจี่ยผิงเข้าใจที่อีกฝ่ายกังวลแต่เขาค่อนข้างแน่ใจว่าคนเช่นไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงนั้น ที่เข้าร่วมการศึกแต่แรกก็เพราะต้องการแลกเปลี่ยนกับอิสระของเสิ่นจิ้งเฟย...ไม่สิจื่อฟาง ไป๋ผูอวี้คนเดิมคล้ายกับจะหายไปพร้อมกับวิญญาณของจื่อฟาง

“เฮ่อเจ๋อ เรียกเสนาบดีเสิ่นมาที่นี่ เราอยากให้เขาได้ลาบุตรชายก่อนที่เราจะจัดการเก็บร่างของเสิ่นจิ้งเฟย”

“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จากไปอย่างไร้สุ้มเสียง  เจี่ยผิงเหม่อมองออกไปนอกตำหนักหยุนเอี้ยน ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท แต่เขารู้ดีว่าภายนอกกำแพงเมืองฉางอัน หลิวอ๋องและช่างอิ่นกำลังเตรียมตัวจู่โจม   

เช้าวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้เข้าประชุมท้องพระโรง ขุนนางได้แต่ยืนเรียงรายแน่นขนัดอย่างสับสัน พระองค์เพียงมีบัญชาให้คนมาประกาศพระราชโองการเท่านั้น ฉบับแรกปลดอัครเสนาบดีหลี่ออกจากตำแหน่ง และคุมขังในคุกหลวงเนื่องจากซ่องสุมกำลังก่อกบฏ ฉบับที่สองแต่งตั้งไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพนำกำลังทหารห้าพันนายไปหนุนกำลังที่ค่ายซินเฉิงเพื่อปราบกบฏ

พระราชโองการอันน่าตกใจทั้งสองฉบับแผ่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แต่งตั้งบุตรชายสกุลไป๋เป็นรองแม่ทัพก็น่าตกใจแล้ว แต่เรื่องอัครเสนาบดีหลี่ทำให้มีขุนนางไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงรวมตัวเขียนหนังสือร้องเรียนประท้วงอยู่ที่หน้าประตูจั่วซุ่น ทำให้เจ้าแผ่นดินมีโทสะสั่งโบยขุนนางที่ประพฤติตนขัดราชโองการที่นอกประตูอู่

………….

คฤหาสน์สกุลไป๋มีแขกมาเยือนมิใช่คนอื่นคนไกลเป็นใต้เท้าเฉินฉางเซียงที่ไม่ทันได้กลับเมืองเสียนหยางก็ได้ยินข่าวอันน่าตกใจของเสิ่นจิ้งเฟยเข้า เพิ่งไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแต่งงานที่เรือนหลังเล็กนั่นแท้ ๆ…ชายชราถอนหายใจแก่โชคชะตาอันอับโชคของเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อพบหน้าไป๋ผูอวี้ที่นับได้ว่าเป็นลูกหลานคนหนึ่งก็ไม่ได้เอ่ยถึงการจากไปของเสิ่นจิ้งเฟยให้ฝ่ายนั้นช้ำใจ เพียงแค่มองหน้าไป๋ผูอวี้ด้วยแววตาหมองเศร้า ไป๋ผูอวี้ที่บัดนี้คือรองแม่ทัพคิดว่าดีแล้ว เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเอ่ยปลอบหรือมีคนมาพูดตอกย้ำเรื่องเดิมอยู่บ่อย ๆ

“ข้าได้ยินว่าเจ้าได้เป็นถึงรองแม่ทัพนำกำลังไปหนุนที่ค่ายซินเฉิงเพื่อโจมตีเมืองเสียนหยาง ไม่รู้ว่าไป๋อู่เหยียนได้ยินจะกระอักเลือดหรือไม่”เฉินฉางเซียงกล่าวหยอกล้อระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องรับรองด้วยท่วงท่าสงบ แม้มือที่ยกดื่มชาจะสั่นน้อย ๆ เรื่องเสิ่นจิ้งเฟยสะเทือนใจชายแก่เช่นเขาพอสมควร ไม่คิดว่าเจ้าเด็กโง่รั้นนั่นจะต้องไปก่อนวัยอันควร 

ไป๋ผูอวี้ได้แต่ยกยิ้ม“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดไม่น้อย”

“ที่ข้ามาหาเจ้าก็ไม่ได้มาตัดสินว่าเจ้าทำผิดหรือไม่ผิด”ใต้เท้าเฉินวางจอกชา รู้ดีว่าพวกคนสกุลไป๋คิดเห็นต่อราชสำนักเช่นไร เขาหยิบกระดาษที่ยับย่นออกมาจากอกเสื้อส่งให้บุตรชายสกุลไป๋ “นี่เป็นแผนผังของเมืองเสียนหยาง ตอนที่ข้าเกษียณจากราชการได้สำรวจดูจนถี่ถ้วน หากว่าหลิวอ๋องไปตั้งทัพที่เสียนหยางจริง ข้าก็คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับเจ้า”

ไป๋ผูอวี้รับแผนผังเมืองมาคลี่ดูราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นแผนผังเมืองที่ค่อนข้างละเอียดและอ่านง่าย ชายหนุ่มไม่เคยสอบถามอีกฝ่ายมาก่อนว่าครั้งที่ยังเป็นขุนนางนั้นอยู่ในตำแหน่งใด รู้แต่เพียงว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น

“ท่านคิดเห็นเช่นไรหรือ”เขาถือโอกาสไต่ถาม ใต้เท้าเฉินทำเป็นลูบคางใช้ความคิด ทั้ง ๆที่คิดเตรียมการไว้แล้ว

“เมืองเสียนหยางสำคัญก็จริง แต่ข้าคิดว่าหลิวอ๋องไม่น่าทิ้งเมืองลั่วหยาง แม้ว่าเกาโหยวอ๋องจะรับมืออยู่ที่นั่น แต่เขาอาจไปสมทบกับเกาโหยวอ๋องได้ทุกเมื่อ เจ้าดูที่ตรงนี้ ข้าเคยไปสำรวจมาแล้ว”เฉินฉางเซียงชี้ไปที่จุดนอกเมืองเสียนหยางติดกับชายป่า “พบว่าเส้นทางนี้สามารถเดินทางไปเมืองลั่วหยางได้โดยไม่ต้องผ่านเส้นค่ายทหารซินเฉิง ตรงนี้เป็นพื้นที่ติดกับชายป่า ปกติไม่มีผู้ใดใช้เพราะการเดินทางในป่าค่อนข้างลำบาก ทั้งยังต้องข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากแต่เพื่อความรอบคอบ เจ้าควรนำกำลังคนไปตั้งค่ายดักเส้นทางไว้”เฉินฉางเซียงกล่าวพร้อมเคาะนิ้วไปที่เส้นทางดังกล่าว

“ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่ชี้แนะ”ไป๋ผูอวี้ค้อมกาย  เฉินฉางเซียงโบกมืออย่างไม่ถือสา จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นานสองนาน

“ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาจากการศึกอย่างปลอดภัย”

ไป๋ผูอวี้ก็หวังว่าเช่นนั้น ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าอยู่ในสนามรบย่อมไม่มีคำว่าปลอดภัย 

“ข้าหมดธุระกับเจ้าแล้ว”ใต้เท้าเฉินไม่อยากอยู่รบกวนคนสกุลไป๋นานจบเรื่องแล้วก็ขอตัวกลับ ชายหนุ่มลุกไปส่งที่หน้าประตูมองส่งจนเงาร่างของชายชราหายไป จึงกลับไปในเรือนเพื่อจัดเตรียมของใส่หีบ นำของที่จื่อฟางเคยมอบให้ติดตัวไปด้วย ปิ่นไม้ที่อีกฝ่ายมอบให้เขาใต้ต้นเหมย พัดกระดาษรูปนกกระเรียนเก็บอย่างประณีตใส่กล่องไม้และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือม้วนภาพวาดของจื่อฟาง

“ข้าจะออกเดินทางแล้ว”


…………...


ไป๋ผูอวี้สวมชุดนักรบทั้งร่างนำกองทัพทหารกว่าห้าพันนายออกเดินทางในช่วงยามเหม่า(05.00 น. - 06.59 น.)แบ่งเป็นทหารราบ ทหารม้า และรถม้าศึก ชาวบ้านบางส่วนมาซุ่มมองตามแนวประตูเมือง เสวี่ยไป๋อาชาสีขาวควบทะยานไปข้างหน้าอย่างตื่นตัว เป็นอีกครั้งที่เขาเดินทางนำทัพ เบื้องหลังของชายหนุ่มมีซูเหลียนฮวา เว่ยหลงและคนสกุลไป๋อีกสองร้อยกว่าคนควบม้านำหน้าขุนพลทหารที่ตั้งแถวเป็นหน่วยละลานตา   

“คุณชายไป๋”ซูเหลียนฮวากล่าวเรียก เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายทั้งยังเป็นศิษย์พี่ของนางเหม่อลอยจนไม่ทันได้สังเกตร่างกำยำที่อยู่บนหลังม้าหน้าประตูเมือง ร่างนั้นดูคุ้นตาและคล้ายกับพยายามทรงตัวอย่างยากลำบากอยู่บนอาชาสีดำมันวาว เมื่อเคลื่อนขบวนเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็นหยางชวี ใบหน้าของร่างนั้นเผือดซีด คิ้วขมวดมุ่น ขบฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดท่าทางฝืนทนจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี

“เจ้าได้รับบาดเจ็บ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยสั้น ๆ รู้ถึงเหตุผลของอีกฝ่ายดีว่ามารออยู่ที่หน้าประตูเมืองเพราะเหตุใด หยางชวีอยู่ในสภาพเช่นนี้จะให้เขายอมพาไปร่วมศึกอย่างนั้นหรือ ผู้ติดตามพยายามควบคุมลมหายใจ แม้บาดแผลที่หน้าท้องจะปิดสนิทแล้ว แต่ภายในของเขาบอบช้ำจากการต่อสู้ ชายหนุ่มพยายามไม่เผยอาการเจ็บปวดออกไปแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ในใจคิดแค้นเคืองตัวเองยิ่งนัก เพราะความอ่อนแอของเขาคุณชายถึงได้...

หยางชวีขบฟันมือกำสายบังเหียนจนเจ็บ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกปรากฏแววคั่งแค้นวูบหนึ่ง เขาไม่ได้มองผู้ใดนอกจากไป๋ผูอวี้ที่ยามนี้มียศตำแหน่ง ยามปกติเขาคงต้องก้มหัวให้ 

“ข้าต้องการไป มิใช่เพื่อคุณชายเสิ่นเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อตัวข้าด้วย ท่านรองแม่ทัพ ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของข้า หากข้าตายก็ให้ตายด้วยความตั้งใจของข้าเองถึงจะสมกับเป็นผู้ติดตาม”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เจ็บแค้นตนเองยิ่งนักที่ปล่อยให้หลิวอ๋องเข้ามาทำร้ายคุณชายถึงในจวน ไม่ใช่แค่คุณชาย แต่ยังมีนายท่านและพวกบ่าวไพร่ของสกุลเสิ่น เขาช่วยเหลือคุณชายไม่ได้ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บหนักเสียจนต้องให้นางมารหมื่นพิษมาช่วย หากไม่ได้ยาสมุนไพรของนาง เขาคงไม่มีโอกาสรอด ชายหนุ่มโกรธยิ่งนักที่ซูเหลียนฮวาไม่บอกความจริงกับเขา ถ้าหากนางบอก หยางชวีก็คงได้เห็นคุณชายเสิ่นเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในสภาพเช่นไรเขาก็ไม่หวาดกลัว ขอแค่ให้ได้บอกลา   

“คุณชายให้เขาไปเถอะ”เว่ยหลงเอ่ยขึ้น พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาพอจะกระตุ้นให้หยางชวีฮึดสู้ได้บ้างแม้หมายถึงการที่เจ้านั่นลากสังขารมาขอร่วมทัพไปด้วย แต่การต่อสู้มีหลายแบบสู้เพื่อชัยชนะกับสู้เพื่อศักดิ์ศรี ผู้ติดตามหน้าตายคงเป็นอย่างหลัง

“หากข้าให้เจ้าไป หลังจากนี้เจ้าต้องมีชีวิตรอด ยกโทษให้ตัวเอง เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียทีเดียว จื่อฟางคงไม่อยากเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ทำได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้มองอีกฝ่ายไม่ละสายตา จงใจเอ่ยชื่อจื่อฟางออกไป

หยางชวีใจกระตุกเมื่อได้ยินไป๋ผูอวี้เอ่ยชื่อที่ไม่คุ้นหูออกมา นึกไปถึงถ้อยคำคลุมเครือของคุณชายเสิ่นยามที่เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ใดกันแน่

‘หากข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยแล้วอย่างไร ข้าก็ยังเป็นคนเดิมที่เจ้ารู้จัก’
คุณชายของเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย คนที่เขารับใช้มาตลอดคือจื่อฟาง

“จื่อฟาง...”ชายหนุ่มพึมพำ รู้สึกโล่งอกในที่สุดเขาก็ได้ทราบชื่อจริงของคนผู้นี้เสียที   

“หยางชวี เจ้าทำตามที่ข้าขอได้หรือไม่ หากเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็ไม่ให้เจ้าไป”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้นเพื่อเรียกสติของอีกคนที่ดูจะเหม่อลอยไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าหยางชวีรู้เรื่องของจื่อฟางมากน้อยแค่ไหน แต่เดาจากสีหน้าที่คล้ายกับปลดภาระบางอย่างก็พอจะเดาได้ จื่อฟางไว้ใจคนผู้นี้มากพอดู อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกประหลาดอยู่ในอกแต่ก็รีบไล่สะบัดความคิดไร้สาระทิ้ง

หยางชวีสูดลมหายใจเข้า เอ่ยคำออกไป “ข้าทำได้ ข้าจะไม่ตาย และหากจบการศึกข้าจะไม่โทษตัวเอง”

ชายหนุ่มยกยิ้มหยัน ไอ้เรื่องตายหรือไม่ตายทำได้ยากนัก ในสนามรบคาดการณ์ได้ด้วยหรือ หยางชวีถูกสายตาเดาไม่ออกของไป๋ผูอวี้อาบไปทั้งร่างก็รู้สึกหนาวเย็นอยู่ลึกๆ คนผู้นี้ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปในกองเพลิงเพื่อนำร่างของคุณชายจื่อฟางออกมา เขานับถือ แต่เขามีความรู้สึกว่าไป๋ผูอวี้เปลี่ยนไป การกระทำของอีกฝ่ายยังคงเช่นเดิม แต่ดวงตาที่เคยมีความมุ่งมั่นกลับหายไป บางทีคนผู้นี้คงเบื่อหน่ายชีวิตแล้วกระมัง ถือว่าเป็นเรื่องเดียวที่หยางชวีพอจะเข้าใจ เขาเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อมากนัก ในเมื่อเป้าหมายของเขาหายไปแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี”ไป๋ผูอวี้คล้ายจะพอใจแล้ว

“ท่านรองแม่ทัพก็เช่นกัน อย่าตายในสนามรบ”หยางชวีพึมพำเบา ๆให้ชายอีกคนได้ยิน ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม หันมองเบื้องหลังก็คิดว่าเสียเวลานานแล้วจึงกระตุกบังเหียนม้าทีหนึ่ง มองข้ามสายตาสงสัยของเว่ยหลงและซูเหลียนฮวา เรื่องตัวจริงของจื่อฟาง เขายังไม่ได้บอกทั้งสองคน คิดว่ารอให้การจลาจลในเมืองฉางอันจบลงก่อนค่อยว่ากันทีหลัง

ขบวนกองทัพนำโดยรองแม่ทัพไป๋มุ่งหน้าออกจากประตูเมืองเป็นเส้นสายพร้อมเสียงทัพม้าดังกึกก้อง ที่บนกำแพงเมืองมีร่างของคุณชายสูงศักดิ์ยืนมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ข้างกายมีบัณฑิตสองคนยืนอยู่ห่างออกไป คนหนึ่งมีรูปร่างสง่า อีกคนมีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไฝเม็ดเล็กๆเหนือริมฝีปากข้างซ้าย

“ท่านแย่งไป๋ผูอวี้ไปจากข้า”เกาจวีถังพึมพำด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่พอใจแต่ดวงตาไม่ได้จริงจังนัก

“ที่ปรึกษาเกาก็มี บัณฑิตหลิวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่างรองแม่ทัพไป๋ไม่เหมาะกับสภาบัณฑิตของท่านหรอก”เจี่ยผิงกล่าวตอบ ยังคงทอดมองไปยังเส้นทางนอกประตูเมือง บัณฑิตข้างกายส่งเสียงไอสองสามครั้ง ร่างผอมแห้งสั่นน้อย ๆ

“บัณฑิตหลิว ท่านมิควรออกมาตากอากาศ อาการป่วยของท่านยังไม่ดีขึ้น”เกาจวีถังมองสหายด้วยสายตาอับจนคำพูด หลิวเซียนฟางมีอาการป่วยมาหลายเดือน แต่เดือนนี้มีอาการหนักกว่าทุกครั้ง แม้จะได้ยาดีจากแม่นางซูเหลียนฮวาก็ยังไม่เห็นผล

“ข้าแค่อยากมาดูรองแม่ทัพไป๋ เขาเข้าร่วมคณะบัณฑิตแต่ข้ากลับไม่เคยถกปัญหาต่อบทกวีด้วยจึงคิดว่าน่าเสียดายนัก ไม่รู้ว่าข้ากับเขาผู้ใดจะตายก่อนกัน”บัณฑิตหลิวเซียนฟาง ใช้ผ้าผืนเล็กซับหน้าผาก ใบหน้าเกลี้ยงเกลามีเหงื่อผุด ชายหนุ่มมองเห็นแววตาเช่นนั้นของไป๋ผูอวี้ก็ถอดถอนใจ ได้แต่หวังว่าคนผู้นั้นจะกลับมาสานต่อเรื่องระบบการสอบเคอจวีที่เกาจวีถังและที่คณะบัณฑิตกำลังผลักดัน

เจี่ยผิงส่งสายตามองบัณฑิตที่ยังคงไออยู่หลายที “บัณฑิตหลิว เรื่องที่เราให้ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”ชายหนุ่มเอ่ยถาม ละสายตามาจากกำลังทหาร หมุนตัวมองไปยังวังหลวงที่เห็นอยู่ไกล ๆแทน 

“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”บัณฑิตหลิวป้องปากตอบ เรื่องที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวถึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัชทายาทเจี่ยอิงต้า พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจึงขอให้เขานำองค์รัชทายาทและเจาฮองเฮาไปพำนักที่วัดซิงเจียวที่อยู่ห่างออกไปจนเกือบนอกเมือง มีองครักษ์ลับจำนวนหนึ่งเฝ้าอารักขา

“ผู้อาวุโสอวิ๋นเล่า”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยถามเสียงเบา ไม่คิดว่าท่านผู้นั้นจะมีใจคิดเป็นอื่น

ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่เอ่ยตอบทันที เขาเพียงรอจังหวะ อีกทั้งผู้อาวุโสอวิ๋นก็ไม่เคลื่อนไหวมาระยะหนึ่งแล้ว จึงหาโอกาสเล่นงานไม่ง่าย “ข้าคิดว่าเขาคงอยากเจออัครเสนาบดีหลี่”

สองบัณฑิตขั้นสูงเพียงมองหน้ากัน คิดว่าคงถึงเวลาโละตัวหมากเก่าๆออกไปจากกระดานเสียที



~•~

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-02-2019 03:52:45
 
-   ปัจจุบัน


จื่อฟางตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าไป๋อี้เสวี่ยไม่ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง เด็กหนุ่มกระพริบตาดันร่างลุกนั่งมองเห็นร่างของเพื่อนร่วมชั้นเรียนนอนอยู่ที่โซฟาปลายเตียง เสียงน้ำไหลดังอยู่ในห้องน้ำ ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างผอมบางของเฉิงเค่อลี่ผู้เป็นแม่ของจื่อฟางปรากฏให้เห็น หญิงวัยสี่สิบกว่าปีถือจานองุ่นที่เพิ่งล้างน้ำออกมา

“ตื่นแล้วเหรอ หลับไปตั้งสามวันทำเอาที่บ้านตกใจหมด”แม่ส่งเสียงบ่นพร้อมเดินเข้ามาใกล้ จื่อฟางเม้มปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเหลือบมองไปที่ไป๋อี้เสวี่ยพบว่าร่างนั้นยังคงนอนหลับสนิท

“พ่อล่ะครับ”เขาเอ่ยถาม เมื่อมองไม่เห็นหน้าดุๆของฝ่ายนั้น

“มาตอนที่แกหลับ ตอนนี้กลับไปทำงานแล้ว”เฉิงเค่อลี่ตอบก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้พร้อมกับหยิบองุ่นเข้าปาก ครอบครัวของเขาก็เป็นแบบนี้

“เพื่อน...เอ่อ เขามานานหรือยัง”จื่อฟางมองไปที่ร่างของไป๋อี้เสวี่ย พบว่าเรื่องนี้แปลกมาก เขาไม่ได้สนิทกับไป๋อี้เสวี่ย ในห้องเรียนก็แทบไม่เคยคุยกัน เดินผ่านยังไม่เคยมองแล้วตอนนี้กลับทำตัวเหมือนว่าสนิทกันแต่ชาติปางก่อน เด็กหนุ่มชะงักกับความคิดตัวเอง ถ้าในโลกนิยายเรียกว่าชาติก่อนได้น่ะนะ

“ตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ยักรู้ว่าแกสนิทกับคนรวยๆด้วย เห็นมาเฝ้าตั้งแต่วันแรกที่แกเข้าโรงพยาบาล บอกว่าจะออกค่าใช้จ่ายให้...”

“ว่าอะไรนะครับ”จื่อฟางตาโต ไป๋อี้เสวี่ยมายุ่งอะไรกับเรื่องเงินๆทองๆของบ้านคนอื่น “แม่เล่ามาซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ไง”

เฉิงเค่อลี่มองลูกชายด้วยสายตาเป็นกังวล “แกจำไม่ได้เหรอ ก็เมื่อสามวันก่อนแม่ติดต่อแกไม่ได้ ก็เลยไปหาที่ห้อง แต่เรียกยังไงแกก็ไม่ตอบก็เลยไปขอกุญแจสำรองที่เจ้าของหอพัก”นางเฉิงถอนหายใจเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าจื่อฟางนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงท่าทางอย่างกับคนตาย

“ตอนพาแกมาหาหมอที่นี่ ก็เจอเข้ากับไป๋อี้เสวี่ยพอดี เขาบอกว่าเป็นเพื่อนแกก็เลยจะช่วยดูแล...แล้วพ่อเขาก็เป็นคุณหมอที่นี่บอกว่าอยากดูอาการอย่างใกล้ชิด”นางเฉิงรู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้เล็กน้อย ตั้งแต่ลูกชายเข้าเรียนที่ม.ซี้เตี้ยนก็ไม่เคยเห็นเล่าถึงเพื่อนคนนี้มาก่อน อีกทั้งนางได้เห็นเด็กคนนี้มาเยี่ยมจื่อฟางบ่อย ๆ สีหน้าและแววตาดูยังไงก็น่าสงสัย นางคงไม่คิดมากหากไม่รู้ถึงรสนิยมของลูกชายตัวเอง

“ดูแล?แม่ให้คนแปลกหน้าออกเงินให้เหรอ”จื่อฟางรู้สึกบอกไม่ถูก หญิงตรงหน้าพลันชักสีหน้ายกมือคล้ายกับจะเขกหัวเขา เด็กหนุ่มเอนตัวออกห่างตามสัญชาติญาณทันที

“แกเห็นฉันเป็นคนยังไง ถึงจะลำบากแค่ไหนฉันกับพ่อแกก็ไม่มีทางให้เด็กที่ไม่รู้จักมาออกเงินให้หรอก”เฉิงเค่อลี่ถอนหายใจอีกรอบ คิดแล้วก็ปวดจี๊ดในอกเมื่อนึกถึงเงินค่าห้องผู้ป่วยพิเศษที่ต้องจ่าย ยังดีที่เจ้าเด็กนี่หลับไปแค่สามวันร่างกายไม่มีสิ่งผิดปกติ ยกเว้นครึ่งวันก่อนหน้านี้ที่อยู่ ๆจื่อฟางก็หยุดหายใจไปเสียดื้อๆ จนต้องใส่ที่ช่วยหายใจ

จื่อฟางได้ฟังที่ผู้เป็นแม่บอกก็โล่งใจเหลือบมองไป๋อี้เสวี่ยที่ยังคงหลับอยู่หรือแกล้งทำเป็นหลับเพราะเด็กหนุ่มมองเห็นเปลือกตาที่สั่นไหวคล้ายจะลืมอยู่ครู่หนึ่งของอีกฝ่ายแต่เพราะไม่อยากตื่นมากลางการสนทนาทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนล่ะมั้ง เขากำลังคิดคำนวณว่าต้องเสียเงินไปอีกกี่พันหยวนก็รู้สึกว่าถูกแม่จ้องมองจนทำตัวไม่ถูก

“แม่มีอะไรรึเปล่า”

“แกเป็นเพื่อนกับไป๋อี้เสวี่ยแน่นะ”นางเฉิงไม่อยากบีบคั้นมากนักเพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างพูดยาก 

“เป็นเพื่อนสิ”จื่อฟางรู้สึกแปลกๆที่อยู่ ๆแม่ก็ถามเรื่องนี้หวังว่าคงไม่ได้คิดอะไรไปไกล ไป๋อี้เสวี่ยคงสมองเพี้ยนไปแล้วแน่เขากับหมอนั่นเรียกว่าเพื่อนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“จะยังไงก็เถอะ อย่าให้พ่อแกรู้ก็แล้วกัน”

จื่อฟางไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงได้แต่เงียบ แม่อยู่คุยอีกไม่นานก็รีบกลับเพราะมีงานต้องทำต่อ เขาได้แต่ถอนหายใจเอนพิงหมอนมองไปยังคนที่นอนอย่างไม่สบายตัวบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“นี่ ตื่นได้แล้ว”เขาส่งเสียงเรียก รู้สึกว่าอยากกลับห้องของตัวเอง ไม่อยากพักอยู่ที่โรงพยาบาลนานเพราะจะยิ่งเปลืองค่าใช้จ่าย ไป๋อี้เสวี่ยตื่นนานแล้วพอได้ยินก็ลืมตาขึ้น แสร้งยกมือขยี้ตา ยืดแขนขาอยู่บนโซฟาที่แทบไม่พอดีกับตัว เด็กหนุ่มลุกนั่งเลื่อนสายมองไปที่ร่างบนเตียงซึ่งเจ้าตัวมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว

“ฉันจะออกค่าห้องให้”เขาเอ่ยทำลายความเงียบ ไม่ได้ต้องการจะสร้างความลำบากให้ใครแค่รู้สึกว่าอยากช่วยเหลือเท่านั้น ทั้ง ๆที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักจื่อฟาง ต้องบอกว่าตั้งแต่เพื่อนร่วมห้องคนนี้นอนหลับไม่ได้สติ เขาก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆเพราะความฝันประหลาด

“ไม่ต้องหรอก”จื่อฟางรีบตอบ

“งั้นนายก็วาดรูปมาขายให้ฉันตกลงไหม ฉันจะซื้อเอง”ไป๋อี้เสวี่ยยังคงไม่ละความพยายาม ในตอนที่เกิดความฝันแปลกๆเขาก็เริ่มสนใจเรื่องของเพื่อนร่วมห้องคนนี้จึงพอจะรู้ว่าจื่อฟางวาดรูปขายในเว็บ

คนบนเตียงไม่เอ่ยตอบทั้งยังมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ ไป๋อี้เสวี่ยไม่โทษอีกฝ่าย “ฉันต้องการคุยกับหมอ ฉันอยากกลับบ้าน”จื่อฟางรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรทั้งนั้น ภายในห้องเกิดความเงียบอันน่าคุ้นชิน บทสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านี้ ไป๋อี้เสวี่ยทำตามคำขอของเขา

คุณหมอไป๋มาซักถามอาการของเขาอีกพักใหญ่พร้อมทั้งบอกเหตุผลว่าต้องการติดตามอาการหลังจากนี้ของเขาไว้เป็นกรณีศึกษา เรื่องค่าใช้จ่ายอีกฝ่ายจะรับไว้ในความดูแลเอง เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยแย้งทั้งยังลอบรู้สึกโล่งใจ คิดว่าติดตามอาการของเขาไปก็เท่านั้นเขาไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย

“ฉันจะไปส่งนายที่หอพัก”ไป๋อี้เสวี่ยกล่าวขึ้นหลังจากที่พ่อของตนออกไปจากห้องแล้ว ทั้งยังส่งสายตาที่ทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิดงุ่นง่านใจมาให้อีก เรื่องที่อยู่ ๆเขาก็มาสนใจจื่อฟางสร้างความสงสัยให้พ่อของเขามาก 

“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องตอบแบบนี้จึงเตรียมคำโต้ตอบไว้แล้ว เอ่ยเสริมไปว่า “นายยังไม่ได้ทำกายภาพบำบัดฉันกลัวว่านายจะแข้งขาอ่อน ให้ฉันไปส่งนี่ล่ะดีที่สุดแล้ว”

จื่อฟางปรายตามองคนร่างสูงอย่างสงสัย “ฉันกับนายรู้จักกันดีขนาดนั้นเลยหรือไง”เขารู้สึกบอกไม่ถูก คงเพราะเพื่อนร่วมห้องคนนี้เป็นต้นแบบคาแรคเตอร์ของไป๋ผูอวี้ เขาถึงไม่อยากเข้าใกล้เพราะทำให้นึกถึงคนที่อยู่อีกโลกหนึ่ง ร่างนั้นถอนหายใจ

“อันที่จริงฉันมีเรื่องที่อยากคุยกับนาย ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอึดอัด”
เขาไม่ได้ปฏิเสธ คิดว่าก็ดีเหมือนกันจะได้หายข้องใจที่อยู่ ๆ หมอนี่ก็มาทำตัวสนิทสนม


จื่อฟางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กลับมาที่หอพักนานเป็นชาติ แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม เขาถอนหายใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปมองเห็นห้องพักอันคุ้นตาของตัวเอง
 
“คับแคบหน่อยนะ”จื่อฟางบอกคนด้านหลังก่อนจะหลีกทางให้ร่างสูงเข้ามา  รีบเก็บหนังสือนิยายที่กองอยู่กับพื้นเข้าที่ให้เรียบร้อย เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบ ๆห้อง กระทั่งขยะที่ยังไม่ได้ทิ้งก็ยังเหมือนเดิม

“ฉันไม่ถือ”ไป๋อี้เสวี่ยตอบหน้านิ่ง นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอมระหว่างที่มองไปรอบ ๆ เป็นห้องที่ไม่ได้กว้างมากนัก เตียงชิดริมผนังทางขวา โต๊ะเขียนหนังสือที่ปลายเตียง ครัวแคบ ๆเท่าแมวดิ้นทางซ้ายมือ  เขามองเจ้าของห้องเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ จื่อฟางหยุดชะงักมองกระดานสเก็ตขนาดเอสามวางพิงผนังห้องอยู่จำได้ว่าเป็นภาพทิวทัศน์ที่เขาร่างค้างไว้ตั้งแต่คืนที่หลุดเข้าไปในโลกนิยาย รู้สึกเหมือนจากไปเป็นแรมปี ทั้ง ๆที่เหตุการณ์ในโลกนิยายผ่านไปเกือบหกเดือนเท่านั้นแต่ในโลกปัจจุบันกลับเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก

ไป๋อี้เสวี่ยกระแอมกระไอเบาๆทำให้จื่อฟางหันไปมอง “นายคงคิดว่าแปลกที่ฉันเข้ามาพูดด้วยแบบนี้”อีกฝ่ายเกริ่น

“แน่ล่ะ ฉันคิดว่านายเกิดเพี้ยนขึ้นมา”เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ นั่งลงที่ปลายเตียงค่อยๆใช้เท้าดันตะกร้าถุงเท้าเล็ก ๆให้พ้นสายตา ก่อนพินิจมองคนแซ่ไป๋ด้วยสายตาสำรวจ สีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้ไป๋ คล้ายแต่ก็มีส่วนที่แตกต่าง

“เพี้ยน?ก็ไม่แน่ เพราะเรื่องที่ฉันจะบอกนาย มันก็เพี้ยนจริง ๆ”ไป๋อี้เสวี่ยเกาศีรษะ จื่อฟางได้ยินก็เริ่มสนใจ 

“เล่ามาเถอะ ฉันเจอเรื่องเพี้ยนมาเยอะแล้ว”จื่อฟางเตรียมตัวเตรียมใจเต็มที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะบอกเล่าเรื่องอะไรออกมา 

“จะเริ่มยังไงดี”ร่างนั้นหยุดพูดไปนานจนทำให้ในห้องเกิดความเงียบจนได้ยินเสียงนาฬิกาเก่าๆของเขาเดิน

“ฉันฝันแปลกๆถึงนาย”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยสั้น ๆ สบตาร่างที่นั่งอยู่ปลายเตียงเป็นครั้งแรก เขารู้ดีว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกมาอาจทำให้จื่อฟางลำบากใจ แต่เรื่องนี้รบกวนจิตใจของเขามาตลอดสามวัน ถึงแม้จะแค่สามวัน แต่ความฝันเดิม ๆมักจะรบกวนเขาเสมอ ราวกับมีโลกอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่

“ฝัน?”จื่อฟางทำสีหน้างุนงง เจ้าไป๋คนนี้ฝันถึงเขา?เป็นความฝันแบบไหนกัน แต่มองจากสีหน้านิ่งงันของอีกร่างก็เดาไม่ออก

“อย่าเพิ่งคิดไกล ฉันไม่ได้คิดทำนองนั้นกับนาย”ไป๋อี้เสวี่ยรีบเอ่ยแก้ตัวด้วยท่าทางร้อนรน จื่อฟางเลิกคิ้ว

“ฉันแค่สงสัยว่านายฝันแบบไหน อีกอย่างฉันก็ไม่มีทางมองนายหรอกถ้านายไม่ได้หน้าเหมือนแฟนฉัน”เขาโพล่งออกมาอย่างอึดอัด จะว่ายังไงดี หมอนี่ไม่ได้หน้าเหมือนไป๋ผูอวี้แต่เป็นต้นแบบ ไป๋ผูอวี้ในนิยายคล้ายกับคนๆนี้ แต่ก็แค่คล้ายเท่านั้น 

“แฟน?”ไป๋อี้เสวี่ยถูจมูกไปมา 

“ถึงนายจะหน้าเหมือนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะชอบนายซะหน่อย”จื่อฟางพ่นลมหายใจออกมา เริ่มรู้สึกว่าตาไป๋คนนี้ขัดลูกหูลูกตานัก 

“โทษที พอดีพักนี้มีแต่คนพูดจาไม่เข้าหู…ฉันแค่ไม่อยากให้นายลำบากใจน่ะ”ไป๋อี้เสวี่ยพึมพำ มองเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของอีกร่างก็รู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก จึงกล่าวเข้าเรื่องก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

“ความฝันที่ว่าเป็นความฝันที่ค่อนข้างแปลก เพราะฉันอยู่ในยุคโบราณ ในความฝันมีแค่ฉันกับนาย”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ย ทุกครั้งความฝันนั้นมักจบลงที่ใต้ต้นดอกเหมย บางครั้งก็บนเตียง…ทำกิจกรรมของคู่รัก แต่เขากลับรู้สึกเหมือนคนนอกที่ดูเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างไม่คาดคิด ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะฝันถึงยุคโบราณที่ฟังดูเหมือนนิยายกลรักอะไรนั่น ทั้งยังเป็นตัวเขากับอีกฝ่ายด้วย

“นายเคยอ่านนิยายเรื่องกลรักหญิงงามหรือเปล่า”อดถามไม่ได้

“ไม่เคย แต่ว่ามีคนส่งข้อความมาในเว่ยป๋อนานแล้วบอกว่ายืมคาแรคเตอร์ของฉันไปแต่งนิยาย ไม่คิดว่าจะทำจริงๆ”อีกฝ่ายพูดจบเขาก็ส่งเสียงดังอ้อในลำคอ แต่ว่าคนในฝันคือไป๋อี้เสวี่ยหรือไป๋ผูอวี้กันแน่?

“นายบอกว่าฝันเห็นฉันกับนาย นายหมายถึงตัวฉันที่เป็นฉันจริง ๆน่ะเหรอ”เขาถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

“ฉันพูดถึงคนอื่นหรือไง"ไป๋อี้เสวี่ยพึมพำเมื่อถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองก็กระแอม "อืม นายที่เป็นนาย หน้าเหมือนกันทุกอย่างยกเว้น….”ไป๋อี้เสวี่ยตอบสงสัยว่าจื่อฟางมีปัญหาอะไร นึกถึงรายละเอียดที่เห็นในความฝัน

“ยกเว้นไฝที่เหนือริมฝีปากข้างซ้าย นายสวมใส่ชุดโบราณสีเย็นตา สวมหมวกบัณฑิต”ในความฝันจื่อฟางมักนั่งอ่านตำราและมีตัวเขา--หรือว่าคนที่เหมือนตัวเขานั่งอยู่เคียงข้าง แม้จะบอกว่าเป็นความฝันแต่ก็เหมือนจริงมากและเขายังรับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆ…ที่ทำให้อยากเข้าใกล้จื่อฟาง 

ไป๋อี้เสวี่ยเคยเปรยเรื่องนี้กับพ่อ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายพินิจมองบอกว่าสิ่งที่เขาฝันถึงเป็นเพียงภาพปรุงแต่งจากความต้องการของจิตใต้สำนึกเท่านั้น แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่รู้จักจื่อฟางด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเคยเบื่อหน่ายในคาบบรรยายจนสายตาตกไปที่ร่างนั้นเป็นบางครั้งก็เถอะ แต่ไป๋อี้เสวี่ยยืนยันว่าไม่ใช่ความต้องการของจิตใต้สำนึกอย่างแน่นอน 

“อย่างนั้นเหรอ…”จื่อฟางพึมพำ ในอกเต้นระรัว ยังคงไม่เข้าใจความฝันของอีกฝ่าย “นายฝันนานหรือยัง”คำถามพวกนี้ฟังดูทางการชะมัด

“ตั้งแต่วันที่นายไม่ได้สติ ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ๆทำไมถึงฝันเรื่องพวกนี้…เพี้ยนอย่างที่ฉันบอกใช่ไหมล่ะ”เป็นสามวันที่ทำให้เขานอนไม่ค่อยพอ ไป๋อี้เสวี่ยเอนพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย รอยยิ้มกระจายอยู่บนใบหน้าเมื่อเห็นว่าจื่อฟางไม่ได้แตกตื่นและมองว่าเขาบ้าอย่างที่คิด จื่อฟางเหม่อมองอีกคนอยู่ครู่หนึ่งเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้นึกถึงรอยยิ้มของไป๋ผูอวี้ เขากระพริบตา เจ้าท่อนไม้ไป๋รบกวนจิตใจของเขามากเกินไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ

ไป๋อี้เสวี่ยมองข้ามสายตาที่อีกคนมองมา ได้แต่สงสัยอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจื่อฟางกันแน่ ฝ่ายนั้นไม่ได้สติไปสามวันเหมือนแค่นอนหลับไปเท่านั้นจนกระทั่งช่วงหนึ่งหยุดหายใจไปเสียดื้อ ๆโดยที่ไม่มีอาการผิดแปลกแทรกซ้อนใด เขายังจำสีหน้าและสายตาตอนที่จื่อฟางฟื้นได้ดี บางทีคนๆนี้อาจจะฝันเหมือนๆกับเขาก็ได้?

เขาถือโอกาสมองสำรวจร่างที่นั่งอยู่ปลายเตียง จื่อฟางไม่ใช่คนหน้าตาน่าเกลียด หน้าตาพบเห็นได้ทั่วไป แค่ไม่เหมือนพวกไอดอลจีนตามสมัยนิยม จื่อฟางมีดวงตาที่น่ามองเพราะใบหน้ากระจ่างใส พอมีดวงตาที่น่ามองก็ทำให้เป็นจุดเด่นชัด ไป๋อี้เสวี่ยกระพริบตา นี่เขาบ้าไปแล้วหรือถึงได้มานั่งวิเคราะห์หน้าตาคนอื่น 

“ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพียงความฝันธรรมดา แต่มันเหมือนเป็นภาพความทรงจำก็เลยคิดว่ามาคุยกับนายน่าจะได้รู้อะไรบ้าง”เขาพูดเสริม ไม่กล้าถามตรง ๆว่าจื่อฟางฝันเหมือนกันรึเปล่า   

จื่อฟางไม่อยากบอกว่าตัวเองเข้าไปในนิยายที่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งเพราะมันเหลือเชื่อเกินไป อีกทั้งก็อยากให้เป็นเรื่องระหว่างเขาและไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“ตอนที่ฉันไม่ได้สติไปสามวัน ฉันฝันถึงเรื่องยุคโบราณเหมือนนาย บางทีคนเขียนนิยายเรื่องนี้อาจจะใช้พวกเราเป็นต้นแบบตัวละคร ก็เลยเกิดเรื่องเพี้ยนๆขึ้นล่ะมั้ง”เขาเพียงเอ่ยล้อเล่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียด

“ฉันกับนายอาจจะเกิดประสาทหลอนพร้อมกันก็ได้”ไปอี้เสวี่ยได้แต่เอ่ยอย่างนึกขัน เป็นเรื่องแปลกทั้งยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ด้วย

“นายรู้จักคนเขียนรึเปล่า เห็นว่าเคยติดต่อนายมานี่”น่าจะเป็นคนในชั้นเรียนเดียวกันถึงได้นำรูปลักษ์และนิสัยมาใช้ แต่จะว่าไปจื่อฟางก็ไม่รู้ว่าใครคือต้นแบบคาแรคเตอร์ของเสิ่นจิ้งเฟย แค่นิสัยของตัวละครคล้ายๆเขาเท่านั้น

ไป๋อี้เสวี่ยส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่รู้จัก”เขาถอนหายใจคิดว่าถึงเวลากลับแล้ว พอได้พูดคุยกับจื่อฟางทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง

“ฉันไม่รบกวนนายแล้วดีกว่า ยังไงก็เจอกับที่ห้องเรียนนะ”เขาบอกลา ยืนขึ้นอย่างเก้ ๆกัง ๆ บรรยากาศระหว่างเขากับอีกฝ่ายมักเป็นแบบนี้ตลอด

“แล้วเจอกัน”จื่อฟางเดินไปส่งที่หน้าประตู ยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินจากไปก็หุบรอยยิ้มปิดประตูตามหลังเบา ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจ คิดว่าเรื่องราวซับซ้อนกว่าที่คิด เด็กหนุ่มกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์เก่า ๆระหว่างที่รอโหลดเข้าหน้าเดสก์ท็อป ในใจก็หวนคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนจากมา พยายามจดจำรายละเอียดของคืนนั้น ก่อนที่จะกลับมายังโลกปัจจุบัน จื่อฟางไม่แน่ใจนักเพราะตอนนั้นหวาดกลัวมาก หลิวอ๋องพูดบางอย่างกับเขา แต่เขาฟังไม่ออกเพราะถูกดึงกลับมาก่อน ความเจ็บปวดที่ข้างแก้มสมจริงเสียจนทำให้เขาต้องยกมือลูบใบหน้าตัวเอง จื่อฟางลูบต้นคอที่ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ   

 
“เอาล่ะ ในเมื่อกลับมาแล้วก็ต้องอ่านนิยายให้จบ”จื่อฟางพึมพำระหว่างที่เสิร์จหาชื่อนิยายนิยายกลรักหญิงงาม  เลื่อนคลิกตอนที่อ่านค้างไว้ถึงกลางเรื่อง


เสิ่นจิ้งเฟยยืนมองเปลวเพลิงที่ลุกไหม้หอหนังสือเจี่ยซานอยู่ที่มุมตรอก เขาลงมือทำตามที่หลิวอ๋องสั่งเพื่อพิสูจน์ตนเองว่าต้องการทำเช่นนี้จริง เด็กหนุ่มสวมใส่ชุดดำทั้งร่างเพื่อพรางตัว แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของคนผู้หนึ่ง คุณชายรูปงามสะดุ้งเมื่อรับรู้ว่ามีสายลมพัดวูบ หมุนร่างไปมองก็พบกับชายร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดสีขาวมองเห็นเด่นชัดท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มขบฟัน แค่นเสียงเอ่ยชื่อของคนตรงหน้า


‘ไป๋ผูอวี้’เหตุใดคนผู้นี้ต้องคอยขัดขวางเขาไปเสียทุกเรื่อง


‘คุณชายเสิ่น…ท่านทำเช่นนี้คิดดีแล้วหรือ’ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถอนหายใจเบา ๆ เบนสายตามองเพลิงไหม้เบื้องหลังของเสิ่นจิ้งเฟย เนื่องจากทำงานให้กับผู้อาวุโสอวิ๋น เขาจึงรู้การเคลื่อนไหวไม่ชอบมาพากลของคุณชายท่านนี้มาตลอด เขาไม่ได้เกลียดชังคุณชายเสิ่นจึงไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตัดสินใจผิด ๆ


‘อย่ามาสอดเรื่องของข้า’เสิ่นจิ้งเฟยกระซิบผ่านผ้าคลุมหน้า เขานำมีดสั้นติดตัวมาด้วย ไม่คิดว่าจะสู้ไป๋ผูอวี้ได้ ความสามารถของสกุลไป๋เป็นที่รู้กัน แต่ยามนี้จำเป็นต้องเอาตัวรอดมิเช่นนั้นก็เป็นเขาที่จบสิ้น เสิ่นจิ้งเฟยหยิบมีดสั้นที่เหน็บเอวออกมาก่อนจะพุ่งร่างไปหาไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลบหลีกการพุ่งแทงไร้จังหวะของคุณชายรูปงามได้โดยง่าย เขาคว้าข้อมือผอมบางของเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะออกแรงบิดจนเสิ่นจิ้งเฟยส่งเสียงเจ็บปวด มีดสั้นในมือหล่นสะท้อนในตรอกมืด


‘อีกเดี๋ยวมือปราบก็จะมาที่นี่ ข้าให้ท่านไตร่ตรองให้ดี…ล้มเลิกความคิดซะ’


‘เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!’เจ้าคนน่ารำคาญนี่พูดมากเหลือเกิน


ไป๋ผูอวี้ไม่มีทางเลือก ตั้งใจจะส่งตัวคุณชายเสิ่นไปให้ผู้อาวุโสแต่คนของฮ่องเต้เจี่ยผิงมาถึงก่อน นำตัวของเสิ่นจิ้งเฟยไปขังคุกหลวงเพื่อรอรับโทษ ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่คาดคิดว่าคุณชายรูปงามที่ตนหลงใหลจะมีใจคิดเป็นอื่นจึงเกิดโทสะสั่งลงโทษแขวนคอในวันรุ่งขึ้นรวมไปถึงคนสกุลเสิ่นทั้งหมด หลิวอ๋องเห็นว่าท่าไม่ดีจึงตัดสินใจลงมือ นำพระชายาและองค์ชายหลบหนีออกจากเมืองฉางอันไปตั้งหลักที่เมืองเสียนหยาง อ๋องอีกเจ็ดแคว้นเคลื่อนพลโจมตีหัวเมืองสำคัญเช่นกัน หลิวอ๋องไม่ได้ใช้กำลังบังคับผู้คนในเมืองเสียนหยางให้สยบต่อตนเองแต่ได้บอกกล่าวอย่างมีเหตุผล


‘ตั้งแต่ฮ่องเต้เจี่ยผิงปกครองแผ่นดิน พวกท่านมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่ แม้กระทั่งชายงามต่ำต้อยของฝ่าบาทยังอยู่กินดีกว่าพวกท่าน ข้ามิได้ต้องการเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด แต่ข้าทำเพื่อแผ่นดินเจี่ย เพื่อราษฎร’


คำพูดของหลิวอ๋องเจี่ยซินทำให้ชาวบ้านบางส่วนในเมืองเสียนหยางเห็นด้วยจึงไม่ได้คิดต่อต้านและเข้าร่วมการกำลังพลของท่านอ๋องเพื่อโค่นล้มเจี่ยผิง ฮ่องเต้จึงส่งไป๋ผูอวี้ออกไปรับมือ แบ่งกองกำลังทหารส่วนหนึ่งคอยป้องกันเมืองหลวง อีกส่วนเดินทางไปกับไป๋ผูอวี้


จื่อฟางอ่านจบตอนก็ถอนหายใจ แม้กระทั่งในนิยายฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ยังหลงใหลในความงามของเสิ่นจิ้งเฟย แถมยังดูไร้จิตใจกว่าคนที่เขารู้จักซะอีกถึงขั้นสั่งแขวนคอ…หากเป็นฮ่องเต้อีกคนคงไม่ทำเช่นนี้ บางทีอาจจับขังไว้ก่อน เด็กหนุ่มนึกห่วงไป๋ผูอวี้ของเขา มิใช่ของคุณหนูฉิน เนื้อหาช่วงนี้นางไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก เด็กหนุ่มจึงอ่านได้อย่างสบายใจ แต่พอเลื่อนอ่านความเห็นก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา 


ยูสเซอร์หนึ่ง:ฮ่องเต้รักเสิ่นจิ้งเฟยมาตลอด เพราะรักมากถึงแค้นมากสินะ ฉันสงสัยจังว่าในตอนหน้าน้องเสิ่นของเราจะถูกแขวนคอจริง ๆหรือเปล่า คนเขียนโปรดเมตตาข้าด้วย


ยูสเซอร์สอง: คุณไป๋!ท่านทำร้ายคุณชายร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ยังเรียกว่าผู้มีคุณธรรมได้อีกหรือ! ถ้าหากว่าใครต้องการอ่านฟิคชั่นของทั้งคู่ก็เข้ามาเยือนที่บล็อคของฉันได้นะคะ ขอโทษคนเขียนที่มาโฆษณาบล็อคตัวเองที่นี่ แต่ฉันคิดว่าคุณไป๋เป็นคนดีเกินกว่าจะคู่กับคุณหนูฉิน! ปักธง


ยูสเซอร์สาม: อะไรกัน ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นนิยายเฮฮากุ๊กกิ๊กธรรมดาเสียอีก ที่ไหนได้ซับซ้อนกว่าที่คิด เสิ่นจิ้งเฟยช่างน่าสงสาร แต่บทพระรองก็ได้เท่านี้แหละ ถึงยังไงคุณหนูฉินน่ารักเหมาะสมกับคุณชายไป๋ มองบนใส่ความเห็นด้านบน 


คนอ่านพวกนี้มันอะไรกัน จื่อฟางอมยิ้มเมื่อเห็นว่ามีสงครามย่อมๆเกิดขึ้น แต่ก็กดเข้าไปดูบล็อคที่ยูสเซอร์นั้นแปะลิ้งค์ไว้ เป็นเรื่องราวตลกขำขันของพระเอกและพระรอง เขาเลิกสนใจเรื่องอื่นกลับมาอ่านนิยายต่อให้จบ


‘เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า’เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามหญิงสาวผู้ได้ฉายานางมารหมื่นพิษ นางอาศัยจังหวะชลมุนที่เกิดขึ้นในวังหลวง ลอบเข้ามาช่วยเหลือตนออกจากคุก ช่วยเหลือเขาออกมาเพียงคนเดียวปล่อยให้สกุลเสิ่นที่เหลือรับกรรม


‘เหตุใดถึงนำข้าออกมาคนเดียว’


‘เพราะข้าชอบท่าน’ซูเหลียนฮวาสารภาพความในใจ


เสิ่นจิ้งเฟยมองหญิงตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง จากนั้นก็เป็นฉากอารมณ์ เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกผิดที่เข้าร่วมก่อกบฏจนทำให้สกุลเสิ่นต้องตาย มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังรอด จึงไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ จึงฆ่าตัวตายตามสกุลเสิ่นที่เหลือ ซูเหลียนฮวาจึงละทิ้งสกุลไป๋ออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างไร้จุดหมาย



อะไรนะ จื่อฟางถึงกับหยุดอ่าน อ้าปากค้างน้อย ๆ เสิ่นจิ้งเฟยฆ่าตัวตาย ไม่จริงน่า เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างอินไปกับนิยายเรื่องนี้เกินเหตุ แต่ก็เพราะว่าตนได้อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถึงได้รู้ว่าต่อให้ตาย เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางจบชีวิตตนเองแน่ หรือว่านี่เป็นการเขียนหลอก เขากลับไปอ่านต่ออย่างตั้งใจ บทถัดมาเริ่มต้นที่ไป๋ผูอวี้รับมือกับหลิวอ๋องที่เมืองเสียนหยาง


แม้คนสกุลไป๋จะมีฝีมือแต่เจอกองกำลังทหารหลายพันคนก็รับมือไม่ได้ง่ายนัก แต่ไป๋ผูอวี้มีสกิลพระเอกจึงควบอาชาอย่างองอาจใช้กระบี่จ้วงแทงไปที่หลิวอ๋องจนเลือดกระฉูด ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้มีคำสั่งจับตาย ไป๋ผูอวี้จึงนำตัวท่านอ๋องกลับเมืองหลวง  แต่อยู่ ๆก็มีกำลังพลของชนเผ่านอกด่านรุกรานข้ามมาฆ่าฟันชาวเมืองที่อาศัยติดชายแดน ทำให้ฮ่องเต้ต้องเร่งออกคำสั่งปราบพวกชนเผ่าทั้งหลาย เปิดช่องให้องค์ชายใหญ่ที่เคยถูกใส่ร้ายเข้ามาซุ่มโจมตีด้วยการร่วมมือกับอัครเสานาบดีหลี่ให้นายทหารที่เป็นสายเผาวังหลวงจนเกิดความแตกตื่น จากนั้นก็สั่งให้กองกำลังชาวหูเขนฆ่าคนที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้เจี่ยผิงให้หมด ผู้อาวุโสอวิ๋นร่วมมือกับองค์ชายใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ตาเฒ่าจับองค์รัชทายาทเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับตราลัญจกรลงนามราชโองการปลดฮ่องเต้


‘เจ้าคิดว่าข้าสนใจหรือ รัชทายาทอย่างไรก็แต่งตั้งใหม่ได้’เจี่ยผิงเอ่ยอย่างเย็นชา ไม่ยอมเสียบัลลังก์ให้ผู้ใด องค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากผู้ที่เป็นสายเลือดของตัวเอง แต่องครักษ์ลับของฮ่องเต้เคี้ยวไม่ง่าย เข้ามาช่วยชีวิตของรัชทายาท จากนั้นการต่อสู้นองเลือดก็เริ่มต้นขึ้น เจี่ยอี้ถูกสยบด้วยองครักษ์ลับกลุ่มหนึ่งล้อมปลายกระบี่คมกล้าวางพาดอยู่ที่ลำคอ


‘หากเจ้ายอมแพ้เราจะไม่โกรธเคือง’ฮ่องเต้เผยสีหน้าเศร้าหมอง ร่างกายมีบาดแผลที่ถูกช่างอิ่นใช้กระบี่แทง


‘ถุย มารดาเจ้าเถอะ คิดว่าข้าจะเชื่อหรือ’องค์ชายใหญ่โพล่งออกมาอย่างโกรธแค้น


ฮ่องเต้เปล่งเสียงหัวเราะเย็นชา ‘นั่นสินะ...แต่เราไม่อยากทำร้ายเจ้าจริง ๆ’


เฮ่อเจ๋อเป็นองครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้ย่อมรู้ดีว่าเจ้าแผ่นดินคิดเห็นอย่างไร จึงตัดสินใจใช้ดาบบั่นคอกบฏตรงหน้าเสีย เขาไม่ต้องการให้คนผู้นี้กลับมาแก้แค้นฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก ไป๋ผูอวี้นำกองกำลังกลับมาพร้อมหลิวอ๋อง ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังเมตตาไว้ชีวิตส่งไปคุมขังในคุกหลวงอย่างแน่นหนา แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นชะตากรรมของหลิวอ๋องก็ไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่มากนัก


ผลงานครั้งนี้ทำให้ไป๋ผูอวี้ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพคนแรกของสกุลไป๋หลังจากที่ขาดไปสิบชั่วรุ่น เสนาบดีฉินไม่มีข้ออ้างมาขัดขวางการแต่งงานระหว่างบุตรสาวและแม่ทัพไป๋อีก ทั้งคู่จึงได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข แต่ด้วยนิสัยพระเอกมากคุณธรรมจึงอยากผลักดันบัณฑิตสายเลือดใหม่เข้าสู่ราชสำนักจึงร่วมมือกับที่ปรึกษาเกาและบัณฑิตหลิวเซียนฟาง ปรับเปลี่ยนระบอบการสอบเคอจวีจนสำเร็จ ล้างระบบการสอบราชการใหม่ ตอนจบเรื่องคุณหนูฉินตั้งท้องแฝด สร้างความยินดีแก่คนสกุลฉินและสกุลไป๋ เมื่อนางคลอดบุตร ไป๋ผูอวี้ก็พาครอบครัวเดินทางไปยังเหลียวตง อาศัยอย่างสงบสุขและเปิดโรงน้ำชาอยู่ที่นั่น


สามปีต่อมาก็แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก รัชสมัยเจี่ยผิงตี้จบลง องค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินองค์ใหม่โดยบีบคั้นให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงลงจากบัลลังก์มังกร เจี่ยผิงที่ร่างกายเริ่มอ่อนแอทั้งยังเหลือผู้สนับสนุนไม่มาก เขาจึงยอมสละบัลลังก์แต่โดยดีออกมาจากวังหลวงมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองห่างไกล ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยกลับไม่ตายเพราะซูเหลียนฮวาช่วยชีวิตไว้ เขาซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกใช้ชีวิตอย่างสงบเพียงลำพัง


 

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 07-02-2019 03:53:09
เสิ่นจิ้งเฟยที่น่าสงสาร…จื่อฟางอ่านอย่างละเอียด เหตุการณ์ในหนังสือและในโลกนิยายแตกต่างกันมากจริง ๆ ในบทนิยายคุณชายจ้าวเซียวซิงไม่ได้มีบทมากนักแค่บอกว่าเป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟยจากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ทั้ง ๆที่อีกโลกหนึ่งสนิทกับไป๋ผูอวี้ แต่บทของคุณชายจ้าวถูกบัณฑิตที่ชื่อหลิวอะไรสักอย่างมาแทนที่ ไหนจะฟู่เทียนสือและหยางชวีที่ไม่มีตัวตน ว่าไปแล้วก็คิดถึงจางต้ากับคนหน้าตายนั่น ไม่รู้ว่าตอนนี้โลกทางนั้นหลิวอ๋องจะก่อกบฏหรือยัง ฮ่องเต้เจี่ยผิงจะถูกรัชทายาทแย่งบัลลังก์หรือเปล่า ไป๋ผูอวี้…จะเป็นยังไง อยู่ดีไหม?แล้วคุณหนูฉินเล่า  คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว


จื่อฟางล้มตัวนอนด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง


‘แต่ไป๋ผูอวี้ไม่มีจริง’เสียงในหัวดังขึ้น ‘แต่ถ้าได้กลับไป ไป๋ผูอวี้ก็มีจริง’


เด็กหนุ่มอยากจะหัวเราะกับความเพ้อพกของตัวเอง เริ่มเห็นด้วยกับรัฐบาลที่สั่งห้ามไม่ให้มีละครข้ามมิติ เพราะวูบหนึ่งเขาคิดอยากวิ่งไปให้รถชนเผื่อจะกลับเข้าไปได้อีก แต่ว่านั่นมันการข้ามมิติ แต่จื่อฟางเข้าไปในนิยายออนไลน์ หรือต้องนั่งอ่านนิยายทั้งวัน จะทางไหนเขาก็เหมือนคนบ้า ต่อจากนี้เขาคงใช้ชีวิตในเมืองซีอานอย่างเดิมไม่ได้อีก สถานที่โบราณพวกนั้นมีแต่ทำให้เขานึกถึงอีกโลกหนึ่ง จื่อฟางไม่เคยคิดเสียเงินไปดูกำแพงเมืองมาก่อนแค่เคยเดินผ่านไปมาเท่านั้น ในตอนนี้เขากลับนึกถึงว่ากำแพงนั่นกำลังปกป้องไป๋ผูอวี้และคนที่เขารู้จักจากพวกคนร้ายที่จะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


จื่อฟางไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาต้องอยู่ในโลกความจริงสิ แต่โลกความจริงไม่มีไป๋ผูอวี้ มีแต่ไป๋อี้เสวี่ย







---------------------------------


ใกล้จบแล้วค่ะ ในอีกสองสามตอนที่จะถึง T^T แต่ยังไม่จบเรื่องราวหนังสือจะแบ่งเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกออกงานหนังสือ (ส่วนอีกพาร์ทปั่นไม่ทันจริง ๆ ค่อนข้างยาววว ไม่ซับซ้อนเท่านี้ (*-*) อาจจะพักไปแป๊ปนึงก่อนด้วย ปั่นต้นฉบับตาแฉะ)รายละเอียดยังไงจะแจ้งอีกทีนะคะ :กอด1:

 

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 07-02-2019 05:59:31
หลิวเซียนฟางคือคนที่หน้าเหมือนจื่อฟางแน่ๆ
เซียนฟางจะป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิตมั้ยอ่ะ
ถ้าถึงขั้นนั้นก็อยากให้  จื่อฟางสลับวิญญาณมาใช้ชีวิต
อยู่กับท่อนไม้ไป๋

ส่วนหลิวเซียนฟางก็มาอยู่ในร่างปัจจุบันของจื่อฟาง
แล้วก็คู่กับไป๋อี้เสวี่ยเพราะคนที่อยู่ในฝันของอี้เสวี่ย
คือเซียนฟาง

วอนคุณนักเขียนหาคู่ให้หยางชวีด้วยนะคะ

ส่วนจิ้งเฟยกับฮ่องเต้กับฟู่เทียนสือ
อยากให้มีต่อจังเลยแต่ไม่รู้ว่าหาทางออกให้ยังไงเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 07-02-2019 08:48:56
ฮืออยากให้จื่อฟางกลับไปแล้ว :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 07-02-2019 10:44:28
สนุกมากๆ อ่านแล้วต้องคิดตามตลอด ลับสมองสุดๆ

ได้อ่านความเห็นของคุณ Ramnoii ด้านบน แอบเห็นความเป็นไปได้ ...

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-02-2019 12:29:07
 o13


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-02-2019 12:31:49
ไป๋อี้เสวี่ย คล้ายไป๋ผูอวี้.....
โผล่มาตอนใกล้จบ  o22 :really2:
อย่างนี้จื่อฟางคงไม่ได้กลับไปแล้ว  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-02-2019 15:25:02
จื่อฟางต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-02-2019 20:41:15
แง เศร้าง่า   :mew4:
จื่อฟางในโลกของความจริงทั้งรักและอาลัยต่อไป๋ผู่อวี้คนเดียว
ความเศร้าในใจของสองคนนี้ก็มีไม่ต่างกัน ผิดกับไป๋อี้เสวี่ยที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับความเศร้าอาลัยเลย มีแต่ความชอบพอนิดหน่อยที่ดึงดูดมาหาจื่อฟาง

เรายังสงสารทุกคนในนิยายนะ แต่ขอล่ะยัยคุณหนูฉินไม่ต้องตามมาในภพผัจจุบันนะยะ หมั่นไส้  หยางชวี จางต้า มาเหอะ มาเรียนม.เดียวกันกับจื่อฟาง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-02-2019 23:22:31
ขอโอกาสให้น้องได้กลับไปเจอคุณไป๋คนนั้นทีค่ะ แง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 07-02-2019 23:48:42
ตอนนี้ยาวมากชอบ เขียนได้ละเอียดมาก
อยากให้ไป๋ผูอสี้กับจื่อฟางได้คู่กันจังเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-02-2019 02:43:29
จะได้เจอกันไหมหนอ ลุ้นๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 08-02-2019 04:19:01
ยาวมากกกก คนเขียนคงเหนื่อยไม่น้อย เป็นกำลังใจให้นะคะ ใกล้จะจบแล้วแต่ยังเดาตอนจบไม่ออกเลย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบห้า :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1) P.22 07/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 08-02-2019 13:28:14
จื่อฟางจะกลับในพาร์ท 2 หรือป่าวหนอออ สู้ ๆ นะค๊า คนเขียนน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-02-2019 04:13:31


บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2)




ณ ค่ายทหารอำเภอซินเฉิง

ทัพของไป๋ผูอวี้เดินทางมาถึงค่ายทหารได้เกือบสามเดือนแล้ว เขาให้กุ้ยตานนำกำลังส่วนหนึ่งไปตั้งค่ายกลดักเส้นทางตามคำชี้แนะของใต้เท้าเฉิน ในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย หลิวอ๋องสามารถยึดเมืองเสียนหยางไว้ในการปกครองพร้อมทั้งปิดตายทางเข้าออกมิให้ผู้ใดผ่าน กองกำลังทหารจากเมืองใกล้เคียงถูกปราบราบคาบ หลิวอ๋องคุมอำเภอเล็กยิบย่อยอยู่ในอำนาจปกครองได้หมดจดทั้งยังเกลี่ยกล่อมชาวบ้านบางส่วนให้แปรพักต์เข้าร่วมด้วยการวิพากษ์การทำงานของฮ่องเต้เจี่ยผิง   
กองกำลังทหารยังคงปะทะกับฝั่งหลิวอ๋องที่ด่านอู๋เสียซึ่งเป็นด่านหน้าเมืองเสียนหยางอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะมีชาวบ้านจำนวนมากเป็นตัวประกันทำให้ไม่สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยามนี้อ๋องทั้งเจ็ดต่างก็โจมตีเมืองสำคัญที่หมายตาไว้ เป็นหัวเมืองหรือเมืองท่าสำคัญ แม้จะไม่ตรงตามคาดการณ์ทั้งหมดของฮ่องเต้เจี่ยผิงแต่ก็ยังถือว่าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แม้จะมีบางพื้นที่ที่คุมไม่อยู่

กำลังพลของราชสำนักที่รอดักซุ่มโจมตีได้ปะทะกับกบฏเจ็ดอ๋อง แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มจนมุมก็มีอ๋องสามแคว้นขอยอมแพ้ ไม่คิดต่อสู้ อันได้แก่ผิงอันอ๋อง จิ้นอ๋อง กวางหลิ่งอ๋อง พวกเขาทั้งหมดถูกจับตัวไปกักขังที่คุกหลวงรอการตัดสินโทษ ช่วงที่อยู่ในค่ายซินเฉิงไป๋ผูอวี้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกระโจมแม่ทัพเมิ่งหารือเรื่องการศึก เวลาที่เหลือก็ฝึกพลทหารที่ต้องการเรียนรู้วรยุทธ์ของสกุลไป๋ กิจวัตรของเขาวนเวียนอยู่เช่นนี้ทำให้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นใดจนกลายเป็นคนพูดน้อยไปโดยปริยาย

เขาไม่ได้พูดคุยกับเว่ยหลงและซูเหลียนฮวามากนัก ส่วนหยางชวีตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ หมอยาของค่ายซินเฉิงมีฝีมือ ผู้ติดตามหน้าตายจึงไม่ต้องพึ่งยาของซูเหลียนฮวา หยางชวีไม่มีท่าทีว่าจะหายโกรธนางง่าย ๆ แต่แทนที่รักษาแล้วอาการบาดเจ็บจะหาย กลับได้รับบาดแผลไม่มากก็น้อยเพิ่มมาตลอดเพราะหยางชวีร่วมทัพไปปะทะที่ด่านอู๋เสียเสมอ

ภายในกระโจมใหญ่ ไป๋ผูอวี้และแม่ทัพเมิ่งหารือเรื่องหลิวอ๋องเจี่ยซินต่างก็เห็นตรงกันว่าควรลงมือบุกเสียนหยางเสียที

“รองแม่ทัพไป๋ เราจะบุกโจมตีด่านอู๋เสียให้แตกก่อนช่วงยามอิ๋น(03.00 น. - 04.59 น.) ข้าคิดว่าเราประนีประนอมมามากแล้ว หากหลิวอ๋องอยากปิดประตูเมืองนัก พวกเราก็นำกำลังไปกดดันเสีย”เมิ่งอู่หลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ไป๋ผูอวี้แม้ไม่อยากทำร้ายชาวบ้านที่แปรพักต์แต่ก็ทำสิ่งใดมากไม่ได้ในเมื่อฮ่องเต้ประกาศราชโองการออกมาแล้วว่าผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับหลิงอ๋องเจี่ยซินให้ถือว่าเป็นกบฏไม่สมควรไว้ชีวิต

ช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงและเมืองที่ถูกโจมตีระส่ำระส่ายอย่างหนักแม้มีการป้องกันตลอดเวลาแต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนแอบหนีลงใต้เพื่อหลบหนีสงครามจนทำให้กระแสต่อต้านการปกครองของฮ่องเต้เจี่ยผิงลุกลามราวกับไฟไหม้

“ท่านรองแม่ทัพ มีจดหมายมาถึงขอรับ”เว่ยหลงส่งเสียงมาจากนอกกระโจม ชายหนุ่มมองไปทางแม่ทัพเมิ่ง ฝ่ายนั้นพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เขาจึงเลิกม่านกระโจมออกไปด้านนอก พบเว่ยหลงยื่นจดหมายมาให้ด้วยรอยยิ้มกระจายบนหน้า ไป๋ผูอวี้เพียงรับมาเงียบๆก่อนเดินไปที่ร่มไม้ห่างไกลจากผู้คน ระหว่างที่ชายหนุ่มคลี่จดหมายอ่าน เว่ยหลงก็นั่งยอง ๆอยู่ไม่ไกล มือดึงหญ้าแห้งเล่น คุณชายไป๋ของเขาเปลี่ยนไปราวคนละคน ไม่ได้ดูเหม่อลอยเศร้าหมองเรื่องของคุณชายเสิ่นอีก แต่วันหนึ่งแทบไม่คุยกับผู้ใดนอกจากออกคำสั่งทำนู่นทำนี่ เว่ยหลงไม่ชอบที่คุณชายเป็นเช่นนี้แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน

คุณชายเสิ่นท่านเห็นหรือไม่ คุณชายของข้ากลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้ว

ไป๋ผูอวี้นิ่งงันไปเมื่อกวาดตามองเห็นตัวอักษรในจดหมาย แค่มองครู่เดียวก็จำได้ว่าเป็นลายมือของผู้ใด เป็นจดหมายตอบกลับจากบิดา เขาจำใจความในจดหมายที่เขียนถึงได้ดี

‘ท่านพ่อ สบายดีหรือไม่ ท่านคงได้ยินข่าวของเสิ่นจิ้งเฟย ข้าควรทำอย่างไรดี ยามที่ท่านแม่จากไป ท่านทำเช่นไรถึงผ่านพ้นมาได้’

มีเพียงข้อความตอบกลับสั้นๆ

‘มีชีวิตอยู่ต่อให้ดี อย่างไรสักวันเจ้าก็ต้องได้พบเขา’

สักวันต้องได้พบอย่างนั้นหรือ นั่นสินะ...สักวันเขาต้องได้พบจื่อฟาง บางทีอาจในโลกที่เอื้อมไม่ถึง เขาคิดถึงจื่อฟาง ไม่ว่าจะทำตัวยุ่งหรือเหนื่อยล้าเพียงใด ในซอกหลืบความฝัน ไป๋ผูอวี้มักพบจื่อฟางนั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมย จื่อฟางที่เป็นจื่อฟาง มิใช่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นกล่าววาจาเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องราวที่น่าสนุก ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่าร่างนั้นพูดถึงเรื่องใด พยายามฟังมากเท่าไหร่ก็ฟังไม่ได้ยิน 

ไป๋ผูอวี้ทิ้งแขนข้างหนึ่งตกข้างลำตัว สัมผัสเข้ากับพัดกระดาษที่ห้อยเหน็บไว้ที่เอวราวกับเป็นป้ายหยก ภาพนกกระเรียนหนึ่งตัวท่ามกลางหมู่สนช่างเหมือนกับตัวเขานัก ตัวอักษรลากเลื้อยประหลาดที่เขาอ่านไม่ออกตวัดเขียนอยู่ที่มุมพัด เมื่อนึกถึงความทรงจำหนึ่ง เรื่องราวต่อมาก็พลั่งพรูเหมือนทำนบแตก 

“ท่านรองแม่ทัพ”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นคุณชายของตนนั่งลงใต้ต้นไม้ เขามองไม่เห็นสีหน้าของร่างนั้น เห็นเพียงแผ่นหลังแข็งแก่รง ผู้ติดตามหยุดมือที่ดึงต้นหญ้าได้แต่ถอนหายใจเบาๆ รู้ดีว่าคุณชายไม่มีทางลืมเสิ่นจิ้งเฟยง่ายๆ

“ท่านก็อย่าเป็นเช่นนี้สิ เขาคงไม่ชอบท่านในสภาพนี้หรอก คุณชายท่านกลายเป็นคนเถื่อนไปแล้วหรือ”อันที่จริงก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากว่าให้คุณชายของเขาไปเดินในตลาดที่ตรอกซีหมานล่ะก็เกรงว่าผู้คนคงจำไม่ได้ คิดว่าโจรที่ไหน ไป๋ผูอวี้ที่เคยสวมชุดสะอาดเรียบง่าย สุขุมนุ่มลึกไม่มีอีกต่อไปมีเพียงชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแดด สวมใส่เสื้อผ้าทะมัดทะแมง และไว้นวดเครา ใช่แล้ว ไว้หนวดเครา!ถึงแม้จะมิใช่นวดเครารุงรังก็เถอะ แต่คุณชายไป๋ของเขาจะไว้หนวดไม่ได้

ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยตอบเพียงแต่เหม่อมองไปไกล จะบุกเมืองเสียนหยางแล้ว เขาจะได้พบหลิวอ๋องเจี่ยซิน บางทีหากลงมือฆ่าคนผู้นั้นด้วยน้ำมือของตัวเอง คงคลายความทุกข์ในอกได้บ้าง ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา ข้าเป็นคนมีความคิดแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด?เขาหลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกลับคืนสู่ท่าทีเช่นเคย ร่างสูงยืดตัวขึ้นก่อนก้าวกลับไปในกระโจมแม่ทัพเมิ่งไม่พูดไม่จาทิ้งให้เว่ยหลงนั่งยองอยู่เช่นนั้น

ไป๋ผูอวี้กลับมาหารือกับเมิ่งอู่หลันอีกครั้ง ครานี้มีหัวหน้ากุนซือและนายทัพมีฝีมือเข้าร่วมด้วย แม่ทัพเมิ่งมองเห็นแววตาเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไร ยามอยู่เมืองหลวงเขาเคยได้ยินเรื่องซุบซิบของไป๋ผูอวี้มาบ้าง เขาได้แต่ฟังผ่านๆ ไม่ได้สนใจเรื่องของผู้อื่นมากนัก แต่เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายก็เริ่มรู้สึกว่าเข้าเค้า เมิ่งอู่หลันมักเห็นไป๋ผูอวี้ทอดสายตามองพัดกระดาษลวดลายสวยงามเสมอเป็นพัดที่ไม่เข้ากับคนผู้นี้และยังมีปิ่นไม้ปักผมประดับด้วยไม้ดอกเล็ก ๆ มองอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นของเจ้าตัว

แม่ทัพเมิ่งไม่ใช่ไม่เข้าใจเรื่องความรักในวัยหนุ่มสาวจึงทำเป็นมองผ่าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงผู้นำทัพร่วมศึก เรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องก้าวก่าย แต่ครั้งนี้ไป๋ผูอวี้ดูจะเก็บงำสีหน้าและแววตาไม่เก่งเหมือนเคย

“รองแม่ทัพไป๋ ท่านแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”เขาเอ่ยทัก ทำให้ร่างนั้นปรายตามองสร้างความกดดันให้เขาอย่างไม่รู้ตัว สิ่งหนึ่งที่เมิ่งอู่หลันชื่นชอบในการทำงานกับไป๋ผูอวี้ก็เพราะคนผู้นี้ไม่ยึดติดกับยศตำแหน่ง อำนาจที่ตนได้รับ ทั้งๆที่มีป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ จะนำมาวางอำนาจกับเขาก็ยังได้แต่อีกฝ่ายก็ไม่ทำราวกับเห็นเป็นเพียงป้ายไม้ธรรมดาเท่านั้นทำให้เหล่านายทหารต่างก็ชื่นชอบรองแม่ทัพผู้นี้อย่างรวดเร็วแม้ว่าเจ้าตัวจะทำเสมือนท่อนไม้ไม่พูดจากับผู้ใดก็ตาม

“ข้าสบายดี”ร่างนั้นเอ่ยตอบสั้น ๆ กลับมาสนใจการสนทนาต่อ     

กุนซือมู่กงจึงกล่าวต่อเหมือนไม่ได้ยินการสนทนาเมื่อครู่ “อย่างแรกตีด่านอู๋เสีย ให้กุ้ยตายนำกำลังเข้าโจมตีจากเส้นทางชายป่าพร้อมกัน จากนั้นพังประตูเมืองเข้าไป พลทหารของแม่ทัพเมิ่งโจมตีก่อน คนของรองแม่ทัพไป๋ถนัดวรยุทธ์เฉพาะตัวก็ให้เป็นทัพหนุนโจมตีภายหลัง”กุนซือชี้นิ้วไปตามเส้นลากของแผนที่ ไป๋ผูอวี้ปักหมุดลงบนพื้นที่ใกล้กับเมืองเสียนหยาง คิดอยู่ในใจว่าได้พบกับหลิวอ๋องเจี่ยซินเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

ยามซวี(19.00 น. - 20.59 น.)กองทัพของเมิ่งอู่หลันเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังด่านอู๋เสีย ใช้เวลาเคลื่อนย้ายมายังหน้าด่านเป็นเวลาหนึ่งวัน กว่าจะถึงก็เข้าสู่วันใหม่แล้ว ม้าศึกต่างแผดเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ไป๋ผูอวี้กวาดตามองด่านอู๋เสียที่มีกองกำลังของหลิวอ๋องตั้งรับถือทวนและโล่ตั้งเป็นกำแพงเรียงรายรอรับมือก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง 

“รองแม่ทัพไป๋”เสียงของซูเหลียนฮวาแว่วมาตามสายลม ชายหนุ่มหยุดม้าเหลียวมองหญิงงามที่สวมใส่ชุดเกราะแต่งตัวเป็นชาย เว่ยหลงและหยางชวีควบม้าอยู่ไม่ห่าง เขาไม่ได้สนทนากับหยางชวีเช่นเดียวกับผู้อื่น แต่เพราะคนผู้นี้มีใบหน้าไร้อารมณ์และพูดน้อยเป็นทุนเดิม ยามได้พบหน้าก็พานทำให้คิดว่าไม่ได้เจอกันนานเป็นแรมปี   

“ว่าอย่างไร”เขาส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงกังวาน

“ข้าเรียกท่านตั้งนานสองนานแล้ว เหม่อลอยเช่นนี้จะนำทัพได้หรือ”ซูเหลียนฮวาเอ่ยหยอก แผ่นหลังบอบบางของนางตั้งตรง ใบหน้างามนั้นมองมาที่เขาด้วยสายตากระจ่างราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน เมื่อได้พบหน้าคนสกุลไป๋ที่เหลือก็รู้สึกว่าตนทำตัวเฉยชาห่างเหินกับพ้องพวก ทั้งที่คนเหล่านี้ยังคงมองเขาด้วยดวงตาเชื่อมั่นภักดีเช่นเคย ใบหน้าคมคายมีนวดเคราขึ้นเห็นเป็นไรจางถอนหายใจกับตัวเอง

“เจ้าสงสัยในความสามารถของข้า?”ไป๋ผูอวี้ย้อนตอบ ได้แต่คิดว่าตนทำให้นางเป็นกังวลขนาดนั้นเชียวหรือ

“ข้ามิกล้า แต่ข้าขอเอ่ยอย่างศิษย์พี่ศิษย์น้องได้หรือไม่”หญิงงามสบตาไป๋ผูอวี้ด้วยดวงตาเป็นประกายแรงกล้า

“ว่ามาเถิด”ชายหนุ่มหยักยิ้มน้อย ๆเมื่อเห็นท่าทางเหมือนแม่เสือของอีกฝ่าย

“ข้าหวังว่าคุณชายไป๋จะทำเช่นเดียวกับที่บอกหยางชวี ท่านคงไม่ได้มีความคิดอยากตายเพื่อไปพบกับเสิ่นจิ้งเฟยหรอกกระมัง”ซูเหลียนฮวาควบม้าเข้าใกล้อาชาสีขาวยิ่งขึ้น นางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของคุณชายไป๋ผูอวี้ที่ยังมีสีหน้าคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หญิงสาวคิดอยู่ในใจว่าท่านเก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีนัก

“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนคลั่งรักถึงเพียงนั้นเลยรึ ข้าเพิ่งรู้จักกับเขาได้ไม่นาน ข้าไม่ยอมตายเพื่อไปเจอกับเขาหรอก”ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคออย่างไร้อารมณ์ขัน ชายหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันถ้าหากว่าวิธีเช่นนี้ทำให้พบกับจื่อฟางได้อีกครั้งจะยอมทำหรือไม่ แต่หากตายแล้วจะได้เจอจื่อฟางแน่หรือ?

“ใครจะไปทราบได้เล่า ท่านคิดทำสิ่งใดเหนือความคาดหมายเสมอ หากนำความไปบอกผู้คนในฉางอันว่าท่านแต่งงานกับเสิ่นจิ้งเฟยก็คงไม่มีใครเชื่อ”นางมารหมื่นพิษขมวดคิ้ว รู้ดีว่าตนวิตกกังวลมากเกินไป 

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่คิดตายในเร็ววันนี้แน่นอน”ไป๋ผูอวี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม กระตุกบังเหียนให้อาชาควบไปด้านหน้าออกห่างจากนางมารหมื่นพิษ

การศึกที่ด่านอู๋เสียเริ่มขึ้น พลทหารของหลิวอ๋องชำนาญในการใช้ทวนยาว พวกเขาตั้งกำแพงป้องกันทหารม้าได้ส่วนหนึ่ง ทัพของไป๋ผูอวี้ใช้พลธนูยิงซ้ำ ภายในสองชั่วยามด่านอู๋เสียก็แตกพ่าย แม่ทัพเมิ่งสั่งการให้มุ่งหน้าต่อไปที่ประตูเมืองเสียนหยาง เมื่อกองกำลังเข้าใกล้กำแพงเมืองก็เจอห่าลูกศรพุ่งกรูมาจากช่องลม เสียขุนพลทหารไปไม่น้อย การปะทะเริ่มดุเดือดเสียงทัพม้าดังกึกก้องจนฝ่าเข้าประตูเมืองเสียนหยางเข้าไปได้ ไป๋ผูอวี้บังคับอาชาพุ่งไปด้านหน้าใช้กระบี่จ้วงแทงผู้ใดก็ตามที่คิดขวางทาง

ขุนพลทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน โลหิตพุ่งสาดกระจายเต็มพื้นดิน หยางชวีคล้ายกับวิหกที่ได้กางปีกตวัดกระบี่คมกล้าไปข้างหน้าราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ ไป๋ผูอวี้กวาดสายตามองโดยรอบ การสู้รบโกลาหลอลม่านไปทั่วบริเวณ มองเห็นผ้าขาวผูกติดอยู่ตามบ้านคนและกลุ่มชาวบ้านที่เกาะกลุ่มกันอยู่ตามตรอกซอกซอยด้วยท่าทางหวาดกลัว ทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปต้อนผู้คนมารวมตัวกันเพื่อกันออกจากสนามรบ เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาพลิกกายลงจากหลังม้าเมื่อการต่อสู้เริ่มเป็นไปอย่างยากลำบากจนทหารม้าเสียเปรียบเพราะพื้นที่คับแคบ

“แยกย้ายค้นหาหลิวอ๋อง เจ้าไปอีกทาง ข้าจะนำคนไปทางนั้น”แม่ทัพเมิ่งเอ่ย ใบหน้ามีคราบเลือดเปื้อนเป็นทาง ไป๋ผูอวี้พยักหน้าตกลง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงของแหลมคมพุ่งผ่านอากาศ ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบคมหอกไม่ทันจนถูกแทงเข้าที่เกราะ  แรงสั่นสะเทือนทำให้เขาข่มฟัน คลื่นความเจ็บปวดแผ่ซ่าน

“ท่านรองแม่ทัพ!”พลทหารใกล้เคียงร้องเรียก ไป๋ผูอวี้ใช้แรงทั้งหมดกระชากด้ามหอกออก พลิกตัวตวัดกระบี่ใส่  อาชาแผดเสียงร้องโหยหวนเมื่อเจ้านายบนหลังถูกบั่นศีรษะลอยอยู่ในอากาศ เลือดสาดกระจายเปื้อนไปทั้งร่าง เสียงคมดาบปะทะและเสียงกู่ร้องของพลทหารดังก้องไปทั้งเมือง ควันไฟลอยในอากาศ เสียงเป่าเขาสัตว์ดังกึกก้อง ทหารราชสำนักหลายพันนายทำการสู้รบกับกองกำลังกบฏที่เมืองเสียนหยางจนราบคาบ 

“ตามหาตัวหลิวอ๋องให้พบ”ชายหนุ่มออกคำสั่งกับขุนพลที่เหลือ มองเห็นหยางชวี เว่ยหลง ซูเหลียนฮวารวมตัวอยู่กับขุนพลทหารอีกกลุ่มใหญ่ ไป๋ผูอวี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวางแผนอย่างไร แต่หากคนผู้นั้นต้องการทางหลบหนีก็มีทางออกเดียว ไป๋ผูอวี้ควบอาชามุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที หยางชวีไม่ต้องรอให้เขาบอกซ้ำ กองพลทหารกรูตามมาเหมือนผึ้งที่โกรธแค้น เขาควบอาชามาจนถึงชายป่า พลิกตัวลงจากหลังม้าตรวจสอบรอบบริเวณพบว่ามีร่องรอยเหยียบย่ำของม้าศึก

“รองแม่ทัพไป๋ ดูเหมือนว่าพวกกบฏจะลอบหนีออกไปจากเมืองเสียนหยางแล้ว”ขุนพลจางเอ่ยขึ้นจากอีกจุดหนึ่ง ไป๋ผูอวี้ยืดกายมองเข้าไปในป่าลึก ยกยิ้มเล็กน้อย

“ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น”คิดได้อย่างเดียวว่าหลิวอ๋องไปสมทบกับเกาโหยวที่เมืองลั่วหยาง เส้นทางนั้นมีกุ้ยตานดักรออยู่

“กระจายกำลังค้นหาในป่า ตามติดพวกกบฏอย่าให้หลุดรอดไปได้”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว กองกำลังที่เหลือส่งเสียงดังกึกก้อง ไม่นานนักแม่ทัพเมิ่งก็เร่งควบอาชามาสมทบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“แม่ทัพเมิ่งเกิดอะไรขึ้น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามระหว่างที่โหนตัวขึ้นหลังอาชาอย่างคล่องแคล่ว

“ม้าเร็วนำสารน์ลับบอกว่าศึกที่เมืองลั่วหยางกินเวลายาวนานกว่าที่คาด เกาโหยวอ๋องมีฝีมือนำทัพอยู่ไม่น้อยจนทำให้ทัพเมืองใกล้เคียงที่เราส่งไปช่วยเหลือพ่ายแพ้ กำลังพลของฮ่องเต้จึงทำได้เพียงยันสถานการณ์ไว้เพื่อกันไม่ให้เกาโหยวอ๋องออกมานอกพื้นที่เมืองลั่วหยาง”เมิ่งอู่หลันกล่าวจบความตื่นตระหนกก็แผ่กระจายไปทั่ว หากเกาโหยวอ๋องสู้กับกำลังพลของฮ่องเต้เจี่ยผิงแสดงว่าสถานการณ์ร้ายแรงจนแม่ทัพที่ส่งไปรับมือไม่อยู่ หากกองทัพยันไม่ไหว เกาโหยวอ๋องคิดบุกเมืองฉางอันก็ย่อมทำได้

ชายหนุ่มสบตากับกองกำลังทหารที่เหลือ ต่างก็เข้าใจโดยพร้อมกันว่าสถานการณ์กำลังตึงเครียด ต้องเร่งส่งกำลังเสริมไปที่เมืองลั่วหยางอย่างเร่งด่วน หากเดินไปตามเส้นทางกว่าจะถึงก็กินเวลาไปสามวันไม่รู้ว่ากองทัพฝั่งนั้นจะยันกบฏไหวหรือไม่ แต่ในตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น คิดว่าแม่ทัพฝั่งนั้นน่าจะรู้ดีเช่นกันว่าจะให้เกาโหยวอ๋องผ่านไปไม่ได้ ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการของหลิวอ๋องหรือไม่ที่หลอกล่อให้เชื่อว่าสถานการณ์อันตรายคือเมืองเสียนหยาง แต่แท้จริงแล้วคือการนำทัพของเกาโหยวอ๋องต่างหาก 

“ท่านแม่ทัพเมิ่ง ข้าขอรบกวนด้วย ท่านผ่านการศึกมามากกว่าข้า เช่นนั้นท่านเร่งนำกำลังไปหนุนทัพทางฝั่งเมืองลั่วหยาง ส่วนข้าจะติดตามหลิวอ๋องไปในป่าลึกเอง”ไป๋ผูอวี้นำป้ายคำสั่งของฮ่องเต้เจี่ยผิงออกมาถือ ออกคำสั่งกับแม่ทัพเมิ่งเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นตกใจให้แก่นายทหารที่ได้ยินยิ่งนัก เมิ่งอู่หลันขบฟัน เขารู้ว่าคนเช่นไป๋ผูอวี้ไม่ใช่พวกทำผลงานเอาหน้าแต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงการตายของเสิ่นจิ้งเฟย

แม่ทัพเมิ่งพยายามไม่คิดโกรธเคืองแต่ด้วยศักดิ์ศรีของคนเป็นแม่ทัพจึงเจ็บปวดไม่น้อยที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนออกคำสั่งใส่ต่อหน้าลูกน้อง ชายผู้นี้ต้องการจัดการกับหลิวอ๋องด้วยตัวเองเพราะเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างนั้นหรือ

“ทราบแล้ว ข้าหวังว่าจะได้พบรองแม่ทัพไป๋ที่เมืองลั่วหยาง”แม่ทัพเมิ่งกล่าว มองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาสื่อความนัย ตั้งแต่คนผู้นี้มาที่ค่ายซินเฉิงก็เปลี่ยนไปราวคนละคน ได้แต่หวังว่าคนผู้นี้จะไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อแก้แค้นหลิวอ๋องให้คนรัก ไป๋ผูอวี้เพียงหยักยิ้มมาให้เขา แม่ทัพเมิ่งถอนหายใจสั่งเคลื่อนกำลังพลที่เหลือมุ่งหน้าไปยังลั่วหยาง ทิ้งขุนพลที่ไว้ใจได้คุมสถานการณ์ที่เมืองเสียนหยางต่อไป

ไป๋ผูอวี้แบ่งกำลังสกุลไป๋กับกองกำลังทหารที่เหลืออยู่กว่าห้าร้อยนายกระจายเข้าไปในป่าลึกติดตามทัพหลิวอ๋อง แสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างวาบไปรอบบริเวณ ชายหนุ่มควบอาชาผ่านสมทบพุ่มไม้และเนินดินอย่างยากลำบาก จนฟ้าสว่างการมองเห็นถึงดีขึ้น แต่ไปได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดพักม้าเสียครึ่งวัน

“รองแม่ทัพไป๋มีแผนใดหรือไม่”เว่ยหลงเอ่ยถามระหว่างที่นั่งพัก

“แผนของเราคือตามหาหลิวอ๋องให้เจอ ไม่เช่นนั้นก็ติดอยู่ในป่าลึก ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่ก็อย่ายอมแพ้เด็ดขาด”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงทุ้มกังวานดังให้ได้ยินทั้งกองพล

“ท่านรองแม่ทัพบ้าไปแล้วหรือ พาพวกเราเข้ามาทั้ง ๆที่ไม่มีแผนเนี่ยนะ”นายทหารผู้หนึ่งตะโกนอย่างขุ่นเคืองเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เดิมทีพวกเขาบางส่วนก็ไม่ชอบใจที่บุตรชายสกุลไป๋ได้แต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพทั้ง ๆที่ไม่ได้คัดเลือกทหารแบบพวกตน แค่ไปทำผลงานที่ชายแดนก็ได้เป็นรองแม่ทัพแล้ว ฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินทำเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรม แต่เขาก็ทำได้เพียงบ่นอยู่ในใจเท่านั้น

“เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร ข้าไม่อยากรอเวลา หากหลิวอ๋องไปถึงเมืองลั่วหยางก่อนแม่ทัพเมิ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อกองทัพของเราที่กำลังเสียเปรียบ”ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่ากระทำการเสี่ยงแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เขาไม่อยากรอให้กองกำลังของหลิวอ๋องเจอเข้ากับกุ้ยตานซึ่งไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร กระจายกำลังค้นหาถือว่าดีที่สุด และต้องใช้เวลาในเร็ววันด้วย แม้เป็นขุนพลทหารกล้าแกร่งแต่เรื่องกำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญในสนามรบ อีกทั้งลึกๆแล้วไป๋ผูอวี้ต้องการจัดการกับหลิวอ๋องด้วยน้ำมือตัวเอง สิ้นคำพูดชายหนุ่มก็กวาดตามองไปโดยรอบเพื่อดูว่ามีผู้ใดขัดค้านอีกหรือไม่ เมื่อไม่มีก็แย้มรอยยิ้ม

“ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกท่าน”รองแม่ทัพกล่าวเช่นนี้เหล่ากองทหารก็ส่งเสียงฮึดสู้ จากนั้นก็เคลื่อนพลต่อ เส้นทางค่อนข้างรกร้างคดเคี้ยว เต็มไปด้วยป่าไผ่ ไป๋ผูอวี้เริ่มรู้สึกว่าเหมือนถูกจ้องมองจึงส่งสายตาเตือนเว่ยหลง หยางชวีและซูเหลียนฮวา เหล่าพลทหารมีฝีมือก็รับรู้เช่นกัน หยางชวีกระตุ้นอาชาเข้าใกล้ผู้ที่เป็นรองแม่ทัพ

“ข้าคิดว่าเป็นกำลังลับของหลิวอ๋อง”ชายหนุ่มกำสายบังเหียนจนเจ็บ ความรู้สึกเช่นนี้เป็นดั่งคืนนั้นในจวนสกุลเสิ่น กำลังลับของหลิวอ๋องมีฝีมือและไม่รู้ว่ามีมากเท่าใด ทันใดนั้นเองไป๋ผูอวี้ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว กลุ่มคนพุ่งผ่านอากาศมุ่งตรงมาหาขบวนทัพ ชายหนุ่มส่งสัญญาณเตือนให้กำลังพลเบื้องหลังรับรู้ ก่อนพลิกเหินกายลงจากหลังอาชา

เนื่องจากเส้นทางในป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหินขรุขระไม่เหมาะกับม้าศึก เขาถึงได้จัดกองกำลังเป็นหมู่ ผสมกองกำลังเข้าด้วยกัน คมกระบี่ฟาดฟันดังไปทั่ว ชายหนุ่มเคลื่อนไหวดั่งสายลมแม้จะสวมชุดเกราะ กวาดตามองโดยรอบระหว่างที่ตวัดปลายกระบี่ใส่ชายชุดดำที่ปกปิดใบหน้า เขาพบว่ากำลังของสกุลไป๋กระจายตัวอยู่กับขุนพลทหารร่วมมือกันใช้ง้าวทวนสองคมโจมตีสอดประสานเป็นหน่วยเดียวกันใส่กองกำลังกบฏชุดดำหลายร้อยนาย

หยางชวีรู้แต่เพียงว่าต้องจัดการคนพวกนี้ให้ราบคาบให้สมกับที่ทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา กระทั่งบาดแผลภายในก็ยังไม่หายดี ในใจของเขาว่างเปล่ากัดฟันใช้วรยุทธ์ปะทะคมกระบี่กับชายชุดดำตรงหน้า เป็นการต่อสู้ที่กินเวลาไปหลายชั่วยามกำลังของหลิวอ๋องมีฝีมือมากทำให้สูญเสียพลทหารไปหลายส่วนแต่พวกกบฏก็แทบไม่เหลือรอดเช่นกัน รู้ดีว่าจับตัวมาเค้นถามย่อมไม่ได้อะไร ไป๋ผูอวี้หยุดทัพเพื่อให้ซูเหลียนฮวารักษาขุนพลที่ได้รับบาดเจ็บ หยิบแผนผังเมืองเสียนหยางออกมาคลี่ดูส่วนที่ตนอยู่

กวาดตามองอย่างละเอียดก็พบว่าอีกไม่ไกลจะถึงแม่น้ำสายเชี่ยวกรากที่ใต้เท้าเฉินเคยกล่าวถึงเพื่อข้ามฝั่งไปยังลั่วหยาง รอช้าไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มออกคำสั่งเร่งเดินทัพต่อ เว่ยหลงและหยางชวีควบม้าตามมาโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง ส่วนซูเหลียนฮวาจะตามมาสมทบภายหลังเมื่อรักษาอาการบาดเจ็บเสร็จ เหล่ากองกำลังที่เลือดกายเดือดพล่านจากการปะทะกรูตามกันมาเป็นสายยังคงกระจายเป็นหมู่ตามคำสั่งของเขา

ไป๋ผูอวี้ได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมปะทะกับใบหน้า ได้ยินเสียงสายน้ำไหลเชี่ยวกรากจึงยกมือส่งสัญญาณเตรียมพร้อมให้กับกองกำลังด้านหลัง ผ่านไปครู่ใหญ่จนผ่านป่าไผ่และพุ่มไม้ปรากฏเป็นบริเวณลานกว้าง เสียงอาชาร้องดังอยู่เบื้องหน้าทหารม้ากลุ่มใหญ่ล้อมวงอารักขาคนผู้หนึ่ง สายตาของไป๋ผูอวี้กวาดมองคนที่อยู่บนหลังอาชา ร่างสูงใหญ่สวมชุดเกราะอาบไปด้วยความสูงศักดิ์ที่ไม่สามารถลบล้างได้ แม้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีแต่บนใบหน้าของท่านอ๋องสามก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ทำให้ไป๋ผูอวี้อยากใช้กระบี่เปื้อนเลือดในมือตนเฉือนทิ้งเสีย 

“เจ้ากบฏชั่วช้า ยอมแพ้เสีย!”ขุนพลผู้หนึ่งโพล่งออกมาอย่างโกรธจัด ไป๋ผูอวี้ได้แต่มองตรงไปด้านหน้า รับรู้ว่าเลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อมองเห็นร่างผอมบางคุ้นตาในชุดสีดำปกปิดใบหน้าอยู่บนหลังอาชาใกล้กับหลิวอ๋อง

“ไป๋ผูอวี้ ข้ารอเจ้าอยู่พอดี เจ้าคิดถึงคนผู้นี้มิใช่หรือ”เจี่ยซินยกยิ้มหยัน กล่าวจบก็คว้าลำคอของร่างผอมบางไว้ในกำมือ ชายหนุ่มออกแรงเพียงนิดก็ได้ยินเสียงหอบหายใจติดขัดของอีกฝ่าย หยางชวีสังเกตเห็นว่าร่างนั้นดูคุ้นตาเช่นกันจึงได้แต่กำบังเหียนจนแน่น หลิวอ๋องส่งสายตาให้องครักษ์ข้างกายปลดผ้าคลุมหน้าของร่างผอมบางออก ไป๋ผูอวี้คล้ายกับหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อมองเห็นใบหน้างดงามคุ้นตาของคนผู้หนึ่งแต่ทว่าที่ข้างแก้มด้านซ้ายกลับมีรอยแผลยาว ในอกบีบรัดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกุมขย้ำซึ่งไม่เกี่ยวกับบาดแผลจากคมหอกที่เขาได้รับ 

เสิ่นจิ้งเฟย

เสิ่นจิ้งเฟยตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้าเขา เกิดเสียงสูดลมหายใจเข้าจากคนที่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟยดังอยู่รอบกาย โดยเฉพาะหยางชวีที่แทบร่วงหล่นจากหลังม้า ไป๋ผูอวี้ได้แต่จ้องมองอย่างตื่นตะลึง สมองคล้ายถูกค้อนใหญ่ทุบตีจนมึนงง ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง

“คุณชาย ท่านยังไม่ตาย ข้าดีใจยิ่งนัก!”หยางชวีโพล่งออกมา คิดอยากลงจากหลังม้าวิ่งไปหา แต่ถูกเว่ยหลงยกมือกางแขนห้าม

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”เว่ยหลงถลึงตาใส่อีกฝ่าย ก่อนควบอาชาเข้าใกล้คุณชายของตน

 

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-02-2019 04:15:38
“รองแม่ทัพไป๋ เสิ่นจิ้งเฟยตายไปในกองเพลิงแล้ว ท่านเป็นคนนำร่างเขาออกมาเองกับมือ”เว่ยหลงกัดฟันเอ่ยขึ้นแม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวก็ตามแต่ว่าต้องมีบางอย่างผิดแปลกเกิดขึ้น เหตุใดคนที่ตายไปแล้วถึงได้มีชีวิตอยู่ได้?เป็นภูติผีหรือไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในยามนี้คือสนามรบ เสิ่นจิ้งเฟยอยู่กับพวกก่อกบฏ ไม่สิ แต่แรกคุณชายรูปงามท่านนี้ก็ร่วมมือกับหลิวอ๋องเจี่ยซินมาตลอดอยู่แล้วมิใช่หรือ

คำพูดของเว่ยหลงดึงเรียกสติของไป๋ผูอวี้ นั่นสินะ เสิ่นจิ้งเฟยตายไปแล้ว เขามองเห็นร่างนั้นมอดไหม้อยู่ในกองเพลิงกับตาตนเองด้วยซ้ำทั้งยังเป็นคนนำร่างไร้วิญญาณออกมา…ในใจของไป๋ผูอวี้เต้นอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกบังคับให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยากจดจำ กลิ่นไหม้คล้ายกับยังติดจมูก เขาจ้องเขม็งไปที่เสิ่นจิ้งเฟยบนหลังอาชาเบื้องหน้า คุณชายรูปงามไม่ได้สบตากับเขา สายตาคู่นั้นหลุบต่ำ สองมือกำบังเหียนสั่นน้อย ๆ คนบนหลังม้าซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้…มีชีวิตอยู่จริง ๆแล้วร่างที่นอนไร้ชีวิตในโลงแก้วนั่นเล่าคืออะไร

“เสิ่นจิ้งเฟยตายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงเย็นชาแม้ในใจจะยังสับสน  เสิ่นจิ้งเฟยในร่างของเจาเฟิงก็ตายไปแล้ว…เช่นเดียวกับร่างที่เขานำออกมาจากกองเพลิง แล้วเสิ่นจิ้งเฟยจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มยังคงจ้องมองใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นข้างแก้มด้านซ้ายไม่วางตา ทันใดนั้นความจริงอย่างหนึ่งก็พุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างที่เขานำออกมาจากกองเพลิงไม่มีรอยแผลที่แก้ม เป็นคนละคนกันอย่างนั้นหรือ?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในใจไป๋ผูอวี้เกิดความสับสนจึงลังเลที่จะจู่โจม ชายหนุ่มขบฟันเมื่อบาดแผลของเขาเริ่มปวดตึง ยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่าเพิ่งแสดงอาการอ่อนแอออกมา

“เสิ่นจิ้งเฟย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเรียก เสียงแหบแห้งของเขาดังสะท้อนอยู่ในอากาศ “เจ้าคือเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆน่ะหรือ”คำถามที่อยากถามคือ เจ้าใช่จื่อฟางของข้าหรือไม่? เจี่ยซินหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นความสับสนจากกลุ่มทหารเบื้องหน้า แผนการของเขาได้ผลจริง ๆ

“ท่านว่าอย่างไร มองตาข้าแล้วท่านมองเห็นเป็นผู้ใดหรือ”เสิ่นจิ้งเฟยเอื้อนเอ่ยช้า ๆ ไป๋ผูอวี้หายใจสะดุด เมื่อได้ยินท่วงทำนองการพูดที่ไม่ได้ยินมานาน มองเห็นความดื้อดึงอวดดีในดวงตาคู่นั้น แน่ใจแล้วว่าคุณชายรูปงามตรงหน้าไม่ใช่จื่อฟางของเขา ความรู้สึกโล่งใจปนความข่มขื่นอาบไปทั่วร่าง โล่งใจที่จื่อฟางไม่ต้องทรมานจากการติดอยู่ในกองเพลิง ข่มขื่นกับความจริงที่ตอกย้ำว่าจื่อฟางไม่อยู่แล้ว วินาทีที่ได้เห็นร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเขากลับหวังลมๆแล้งๆ 

“นี่คือเสิ่นจิ้งเฟยคนรักของเจ้าอย่างไรเล่า จำไม่ได้แล้วรึ ไป๋ผูอวี้ ข้าจะไม่เอ่ยซ้ำ ถอยทัพกลับไปซะ ไม่อย่างนั้นครานี้ข้าจะฆ่าเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ”ชายหนุ่มออกแรงกดมือที่ลำคอบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นพยายามดิ้นหนีให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมจนอาชาที่แบกร่างเจ้านายขยับก้าวขาไปมา เจี่ยซินปรายตามอง พร้อมยิ้มหยัน อ่อนแอเกินไปแล้ว…

ถอยทัพกลับอย่างนั้นหรือ

เกิดเสียงฮือด้วยความโกรธแค้นก่อนที่พลทหารจะพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ยั้งคิด ไป๋ผูอวี้กำมือจนเจ็บรู้สึกถึงความเกลียดชังไหลเวียนอยู่ในกาย กำลังพลของกุ้ยต้านมาถึงที่แม่น้ำอีกฝั่งพร้อมกับกลุ่มลูกศรที่ถล่มยิงเป็นสายบวกกับกำลังทหารที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มกบฏของหลิวอ๋องทำให้ม้าศึกอารักขาของกบฏแตกกระเจิง หลิวอ๋องขบฟันอย่างมีโทสะคาดไม่ถึงว่าจะมีกำลังของไป๋ผูอวี้ดักอยู่อีกทาง เขาตวัดปลายกระบี่ปัดธนูที่พุ่งตรงเข้าหา ฝามือยังคงบีบเค้นลำคอของเสิ่นจิ้งเฟย

ชั่วจังหวะนั้นคุณชายรูปงามก็คว้ามีดสั้นออกมาจากอกเสื้อปักแทงลงที่หลังมือของหลิวอ๋องอย่างไม่เกรงกลัว หลิวอ๋องส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดตวัดมือใส่ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยเต็มแรงจนร่างนั้นพลิกตกจากหลังอาชา ไป๋ผูอวี้จึงใช้ช่วงจังหวะนี้พุ่งกายไปหาหลิวอ๋องทันที

“รองแม่ทัพไป๋”ซูเหลียนฮวาที่เพิ่งตามมาสมทบเอ่ยเรียกก่อนจะรับมือกับการปะทะ นางมองร่างของเสิ่นจิ้งเฟยที่นอนหมอบอย่างขาดกลัวอยู่ที่ผืนดินด้วยแววตาตื่นตะลึง คุณชายเสิ่นมีชีวิตรอดได้อย่างไร?แม้นางจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวแต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาลังเลจึงควบอาชาเข้าไปใกล้ออกแรงฉุดดึงร่างผอมบางขึ้นหลังม้าอย่างง่ายดาย

“ปล่อย ข้าต้องจบเรื่องที่สร้างไว้”ร่างนั้นเอ่ยเป็นประโยคติดขัดเพราะความเจ็บปวดบนใบหน้า เลือดกบอยู่ในปากที่เจ็บจนชาย้ำเตือนว่าร่างนี้ยังมีชีวิต

“เงียบ!”นางมารหมื่นพิษถลึงตามองร่างในอ้อมแขน นางพอจะเข้าใจแล้ว คุณชายท่านนี้...กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ท่วงทำนองการพูดที่ไม่ได้ยินมานานแตกต่างจากคุณชายเสิ่นคนก่อนอย่างเห็นได้ชัด หยางชวีควบอาชาพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อเห็นว่าร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกนางมารหมื่นพิษช่วยไว้ได้

กำลังพลทหารกรูปะทะกับกำลังกบฏของหลิวอ๋องเป็นที่วุ่นวาย ไป๋ผูอวี้มุ่งตรงไปหาร่างของเจี่ยซินที่กระตุกม้าถอยกลับไปยังชายป่าด้านข้าง เพราะอีกฝั่งของแม่น้ำมีกองทัพโจมตีด้วยห่าธนูไม่ขาดสาย ลุกธนูที่คลุ้มคลั่งไม่สนใจว่าจะยิ่งถูกฝ่ายตัวเองด้วยหรือไม่ ขอแค่โดนตัวกบฏก็เพียงพอ ทหารม้ารอบตัวล้อมอารักขาหลิวอ๋องเจี่ยซิน การต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย เสียงกีบม้าและร้องตะโกนของทหารทั้งสองฝ่ายดังก้อง ไป๋ผูอวี้พยายามยามฝ่าวงล้อมเข้าไปหาหลิวอ๋อง ได้แต่แค่นเสียงอย่างหงุดหงิดเมื่อทำไม่ได้

“ไม่ต้องไว้ชีวิตพวกกบฏ”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่งเย็นชา กวาดตามองซูเหลียนฮวาที่ถอยห่างออกไปพร้อมกับเหนี่ยวลูกดอกอาบยาพิษไปที่กลุ่มอาชาเบื้องหน้า เมื่ออาชาถูกยิงก็แผดเสียงร้องห้อตะบึงพาคนบนร่างตกแม่น้ำเชี่ยวกราก องครักษ์ของหลิวอ๋องนำกำลังส่วนหนึ่งอารักขาผู้เป็นนายกลับเข้าไปในชายป่า ไป๋ผูอวี้เร่งอาชาตามติดอย่างไม่ลดละ เขาร่วมศึกเพื่อเป้าหมายเดียวเท่านั้น

...หลิวอ๋อง

กำลังพลส่วนหนึ่งตามหลิวอ๋องกลับเข้าไปในป่า ส่วนที่เหลือต่อสู้อยู่ที่ริมแม่น้ำ สองข้างกายของไป๋ผูอวี้ประกบด้วยเว่ยหลงและหยางชวี คนสกุลไป๋มาป้องกันตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้เขาจึงเก็บกระบี่

“ส่งมาให้ข้า”ไป๋ผูอวี้คว้าคันธนูมาจากคนของตน มองเห็นช่องยิงคนผู้นั้นแล้ว ยิ่งเจ็บแค้นที่เจี่ยซินเป็นคนสร้างเรื่องวุ่นวายทั้งหมด ไม่ว่านั่นคือเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงหรือไม่แต่จื่อฟางจากโลกนี้ไปแล้วจริง ๆ ไป๋ผูอวี้หรี่ตาเล็งเป้าไปยังร่างของหลิวอ๋อง คนผู้นั้นควบอาชามุ่งตรงไปตามทางหนทางที่เต็มไปด้วยหินอย่างยากลำบาก กองกำลังกบฏส่วนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาโจมตี องครักษ์มีฝีมือปกป้องท่านอ๋องไปอีกเส้นทาง

คนสกุลไป๋เปรียบเสมือนกำแพงรอบกาย เขาเหนี่ยวสายธนูจนเจ็บมือเมื่อเล็งเปาหมายได้ก็ปล่อยลูกดอกแหลมคมทันที มีเสียงแหวกอากาศ ลูกดอกพุ่งตรงไปที่แผ่นหลังของหลิวอ๋องแต่องครักษ์คนหนึ่งเห็นว่าเหวี่ยงดาบปัดให้พ้นทางมิทันจึงใช้ร่างบัง ลูกธนูของเขาถึงปักเข้ากลางศีรษะของคนผู้นั้นแทน 

“ข้าไม่มีเวลาล้อเล่นกับพวกเจ้า”กล่าวจบก็ตวัดกระบี่ใส่ศัตรูอย่างมีโทสะ เขาบอกแล้วอย่างไรว่าเป้าหมายเดียวคือหลิวอ๋อง!

“ข้าน้อยจัดการเอง”เว่ยหลงส่งเสียงปรากฏกายรับมือกับกลุ่มกบฏที่เข้าปะทะ แม้ว่าเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยยังคงทำให้มึนงงก็ตาม คุณชายไป๋ไม่มีท่าทีดีใจที่ได้เห็นคนรักสักนิด แต่ยามนี้ต้องกำจัดศัตรู พลธนูยิงลูกดอกใส่อาชาของฝั่งนั้นราวห่ากระสุน เสียงแผดร้องดังไปก้องทั้งป่า ไป๋ผูอวี้มองหยางชวีที่เลือดเปื้อนเต็มชุดเกราะ ใบหน้าไร้อารมณ์มีเพียงความว่างเปล่า


“เจ้ามากับข้า”ชายหนุ่มเอ่ยบอกเร่งเคลื่อนตัวหาหลิวอ๋อง มองเห็นองครักษ์อารักขาอยู่กลุ่มใหญ่จึงพุ่งเข้าไปหาอย่างไม่คิดชีวิต หยางชวีรับมือพวกองครักษ์ ส่วนเขาพลิกกายลงจากหลังอาชาง้างธนูใส่ม้าของหลิวอ๋องจนเจ้าสัตว์สี่ขาพาร่างของเจ้านายล้มลงไปด้วย ไป๋ผูอวี้ไม่รอช้าพุ่งกระโจนไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่ายทันที คนผู้นั้นหัวเราะเสียงต่ำโต้กลับด้วยการฟาดฟันคมกระบี่ใส่ หลิวอ๋องมีฝีมือไม่ธรรมดา เหตุใดไม่เอาไปใช้ทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ ชายหนุ่มขบกรามประมือกับหลิวอ๋องจนบาดแผลที่หน้าอกปวดแปลบ มองเห็นปลายกระบี่แหลมคมพุ่งผ่าน ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไม่ทันจึงใช้แขนตั้งรับ รับรู้ถึงความเจ็บปวดแผ่ซ่าน 

“เกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นจิ้งเฟยกันแน่”ไป๋ผูอวี้ไม่ได้สนใจบาดแผลมากนัก รอบตัวยังคงมีการต่อสู้ หยางชวีถูกรุมล้อมโจมตี ชายหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดฝังคมกระบี่ผ่านชุดเกราะของหลิวอ๋องจนร่างนั้นซวนเซพลิกกายหลบหนีทันท่วงที

“ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยหรือ”เจี่ยซินแค่นเสียงอย่างคั่งแค้น แผนการของเขาใกล้สำเร็จอยู่แล้วเชียว เกาโหยวอ๋องบุกไปเกือบถึงเมืองหลวงแล้ว เขายังไม่คิดยอมแพ้ คว้ากระบี่แทงใส่ไป๋ผูอวี้แต่คนผู้นั้นรับไว้ได้ ขณะที่การต่อสู้กำลังวุ่นวายก็ได้ยินเสียงโห่ร้องแปลกประหลาดที่ทำให้ขนหลังคอตั้งชัน ไป๋ผูอวี้เหวี่ยงคมกระบี่ปัดอาวุธของหลิวอ๋องไปให้พ้นทางก่อนถอยไปตั้งรับ หยางชวีร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือดของศัตรู ปรากฏกายอยู่เคียงข้าง กำลังพลของหลิวอ๋องส่วนหนึ่งมาคุ้มครองผู้เป็นนายเช่นกัน

ทางด้านเว่ยหลงและซูเหลียนฮวาที่พยามนำร่างอ่อนแรงของเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วยกำลังถูกรุมโจมตีจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย มองจากการแต่งกาย พวกเขาเป็นพวกชนเผ่านอกด่านอย่างไม่ต้องสงสัย นางมารหมื่นพิษกำมือแน่น นางยิงธนูจนมือเจ็บไปหมด เคยได้ยินเรื่องราวขององค์ชายใหญ่มาก่อนหรือคนกองกำลังพวกนี้…

“พวกเจ้าหนีไป…”คุณชายเสิ่นพึมพำ พยายามทรงตัวอยู่บนหลังอาชา

“หุบปากไปซะเจ้าเต่า!”เว่ยหลงตวาด คำว่าเจ้าเต่าหลุดออกมาอย่างลื่นไหล คำนี้ไม่ได้ใช้เอ่ยเรียกคุณชายรูปงามไม่เอาไหนมานานแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลามาแปลกใจเพราะต้องรับมือกับกองกำลังป่าเถื่อนตรงหน้า แย่แล้ว แย่แล้ว

ไป๋ผูอวี้ตวัดสายตามองกลุ่มกองกำลังที่บุกโจมตีเข้ามาอย่างน่าเกรงขาม แค่ปราดตามองก็รับรู้ได้ว่าคนพวกนี้ชำนาญการฆ่าฟันยิ่งนัก หยางชวีหอบหายใจอยู่ข้างกาย

“พวกชาวหู”ผู้ติดตามข่มฟัน หลิวอ๋องได้รับบาดเจ็บจึงถอยหลบอยู่ท่ามกลางกองอารักขา ไป๋ผูอวี้มองหน้าหยางชวี “อย่าตายล่ะ”

สิ้นคำพูดก็หมุนตัวหลบการลุกฮือโจมตีของชนเผ่า ร่างของไป๋ผูอวี้แผดร้อนไปทั้งร่าง อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องฝืนทนปะทะคมกระบี่ องค์ชายใหญ่ลงมือแล้วเช่นนี้ แสดงว่าทางฝั่งวังหลวงก็ย่อมลงมือเช่นกัน ชายหนุ่มได้แต่หลบหลีกการโจมตี มองหาอาชาของตนที่ทิ้งไว้ แต่เสวี่ยไป๋ถูกคมดาบแทงจนไม่สามารถลุกหนีได้อีกแล้ว ไป๋ผูอวี้กำด้ามกระบี่จนเจ็บมือเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่กำยำมีนวดเคราพุ่งมาหา จึงทำได้เพียงหลบหลีกตั้งรับเท่านั้น

เคร้ง!

คมกระบี่ของหยางชวีอยู่เบื้องหน้า ผู้ติดตามหน้าตายใช้ร่างรับการโจมตีของศัตรู “ท่านต่างหากที่อย่าตาย คุณชายจื่อคงไม่ชอบที่เห็นท่านเป็นเช่นนี้”

ไป๋ผูอวี้ใช้เท้าวาดเตะหยางชวีออกไปให้พ้นทาง “ข้ารู้”

ชายหนุ่มเริ่มหอบหายใจ พวกชนเผ่าต่อสู้ดุดันยิ่งจนกำลังของหลิวอ๋องไม่สามารถรับมือได้ แต่ม้าศึกใช้การไม่ได้อีกแล้วจึงทำได้เพียงสู้จนตัวตาย หลิวอ๋องเจี่ยซินแค้นเคืองทั้งไป๋ผูอวี้และองค์ชายใหญ่ยิ่งนัก เหตุใดต้องมาขัดขวางข้า!เขาจะจัดการเจี่ยผิงได้อยู่แล้วเชียว ได้ยินว่าความตายของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้คนผู้นั้นร่างกายผอมซูบ น่าสมเพชจริง ๆ เป็นถึงเจ้าแผ่นดินแต่กลับปล่อยให้ความรู้สึกมาครอบงำเช่นนี้ยิ่งไม่สมควรครองบัลลังก์

“รองแม่ทัพไป๋!”ทหารอีกหลายพันนายกรูเข้ามาช่วยเหลือ นำโดยกุ้ยตานที่ฝ่าข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากมาได้อย่างยากลำบาก เขานำกองทัพมาได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาบาดเจ็บเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้ทรุดมอบอยู่บนหลังม้า แม้ว่าคนสกุลไป๋จะเชี่ยวชาญวิทยายุทธแต่เมื่อต้องรับมือกับกองกำลังทหารและชนเผ่านอกด่านหลายพันนายก็ไม่สามารถต้านไหว นี่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัวเพียงอย่างเดียว

เสิ่นจิ้งเฟยถูกขุนพลทหารสามนายบังคับให้หลบซ่อนอยู่ที่หลังพุ่มไม้ แม้พวกทหารยศต่ำต้องการฆ่าทิ้ง แต่เขาเคยได้ยินเรื่องราวรักต้องห้ามของไป๋ผูอวี้มาก่อน คุณชายรูปงามท่านนี้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เจี่ยผิง!แม้จะไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างไรแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนก่อกบฏของหลิวอ๋อง หากพวกเขาสามารถรอดชีวิตนำคุณชายเสิ่นกลับไปที่วังหลวงได้ ฮ่องเต้อาจตกรางวัลให้อย่างงาม

ไป๋ผูอวี้เห็นว่ามีกองกำลังมาเสริมส่วนหนึ่งก็ถอยไปตั้งหลัก กวาดตามองหาหลิวอ๋องทันที หยางชวีได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว นึกถึงเสิ่นจิ้งเฟยที่มีชีวิตก็ปวดแปลบในอก คุณชายมีชีวิตจริง ๆหรือ?เหตุใดแววตาคู่นั้นถึงไม่คุ้นเคย ได้สติอีกครั้งก็พบว่าตนเหม่อลอยจนถูกเกาทัณฑ์พุ่งใส่ที่หน้าท้องซ้ำกับบาดแผลเก่าที่เพิ่งหาย ร่างกายทรุดกองกับพื้นอย่างอ่อนแรง 

‘ข้าช่างอ่อนแอนัก’ชายหนุ่มหลับตา ชั่วขณะคิดอยากย้อมแพ้ แต่ร่างสองร่างปรากฏมาหิ้วปีกหลบหนีได้ทันท่วงที

“เจ้าโง่!สิ่งที่ข้าบอกไม่เข้าหัวเจ้าเลยหรือ”เว่ยหลงกัดฟันตวาด ในขณะที่หญิงงามฉายานางมารหมื่นพิษและเขาพยายามยกร่างอันหนักอึ้งของหยางชวีออกมาจากสนามรบนองเลือด พวกเขาทั้งสามคนต้องกลืนคำว่าศักดิ์ศรีมาหลบซ่อนอยู่หลังกอไผ่ 

“คุณชายไป๋!ข้าต้องไปช่วยคุณชาย”เว่ยหลงพลันรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดพลาด ท่ามกลางความแปลกใจของซูเหลียนฮวาและตัวเขา หยางชวีคว้าคอเสื้อของตนไว้

“คนโง่เช่นท่านอย่าได้คิดมาสั่งสอนข้าอีก”กล่าวจบก็กระแทกกำหมัดใส่หน้าท้องของชายหนุ่มจนส่งเสียงดังอั้กออกมา ซูเหลียนฮวาแม้อยากไปช่วยคุณชายไป๋แต่ยามนี้รังแต่จะเป็นภาระมากกว่า พวกเขาทั้งสามไม่สามารถต่อสู้ในสนามรบได้อีกแล้ว อีกทั้งยามนี้กุ้ยตานก็นำกำลังมาเสริม คงสามารถยันพวกชนเผ่าออกไปก่อนได้ นางหยิบห่อสมุนไพรออกมาคลี่ตรวจดู เหลือเพียงครึ่งห่อเท่านั้น

ทางด้านสนามรบ กำลังทหารของกุ้ยตานต่างก็เลือดกายเดือดพล่านพร้อมสู้รบเนื่องจากไม่ได้ทำสิ่งใดมาหลายสิบวัน จึงสามารถรับมือต่อกรกับชาวหูได้อย่างสูสี ไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายเข้าหาหลิวอ๋องที่ยามนี้กำลังหาทางหลบหนีอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มตวัดกระบี่ทะลุร่างของผู้ที่พุ่งเข้ามาหา การต่อสู้ระหว่างเขาและท่านอ๋องเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของหลิวอ๋องเปื้อนไปด้วยเลือดแห้งกรัง แววตาดุดันชิงชัง คมกระบี่ของไป๋ผูอวี้เฉียดใบหน้าของหลิวอ๋องไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด องครักษ์ของหลิวอ๋องพุ่งเข้ามาหาแต่กลับถูกขุนพลจำนวนหนึ่งเข้ามารับมือ เกาทัณฑ์ห่าใหญ่พุ่งผ่านอากาศใส่ชนเผ่านอกด่าน แม้จะถูกยิงจนล้มตายจำนวนมากแต่ก็ยังกรูเข้ามาต่อสู้ราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือด   

ไป๋ผูอวี้ข่มอาการบาดเจ็บที่แขนและที่หน้าอกฟาดฟันกระบี่ใส่หลิวอ๋องอย่างไม่คิดรามือ ฝ่ายนั้นใช้แรงงัดกระบี่ของเขาออก แต่ชายหนุ่มพลิกกายหลบเมื่อเห็นว่าหลิวอ๋องเผยช่องโจมตีก็แทงกระบี่ไปเบื้องหน้าสุดกำลัง ปลายแหลมคมแทงเข้าที่ช่วงตัวของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดลังเล ร่างนั้นทรุดลงแต่ดวงตายังฉายแววไม่ยอมแพ้พยายามดึงคมกระบี่ออกจากร่าง ไป๋ผูอวี้เสือกแทงเข้าไปมากกว่าเดิม จนหลิวอ๋องร้องครางอย่างเจ็บปวดเลือดไหลทะลักจากบาดแผล เขาหยักยิ้มมองร่างที่หมดทางชนะ

“ท่านแพ้แล้ว พวกอ๋องที่ร่วมมือกับท่านก็เช่นกัน”

เจี่ยซินหายใจสะดุด ปล่อยเสียงหัวเราะคล้ายกับไม่เกรงกลัวความตายที่มารออยู่เบื้องหน้า “ไป๋ผูอวี้ ข้าเห็นเจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยลอบพบกัน ท่าทางรักกันนักหนา เจ้าไม่ดีใจหรือที่เขายังไม่ตาย”

ไป๋ผูอวี้เพียงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแฝงแววเยาะหยัน “ก่อนที่ท่านจะตายด้วยคมกระบี่ของข้า ข้าจะบอกท่านก็แล้วกัน แท้จริงแล้วเสิ่นจิ้งเฟยร่วมมือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงมาตลอด เขานำแผนของท่านไปบอกฮ่องเต้ ท่านอ๋องน่าจะรู้ว่าไม่ควรไว้ใจคนเช่นเสิ่นจิ้งเฟยง่ายๆ…”ชายหนุ่มเอ่ย ออกแรงกดกระบี่ช้า ๆตามทุกคำพูด

“ท่านอ๋อง การตัดสินใจของท่านนำความเดือดร้อนไปสู่เส้นทางที่ไม่อาจอภัยได้ ท่านคิดหรือว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะไว้ชีวิตพระชายาและท่านอ๋องน้อย”ไป๋ผูอวี้จงใจกล่าวจบก็ดึงกระบี่ออกมา ยกยิ้มบอกลาให้กับสีหน้าตื่นตกใจและหวาดกลัวของหลิวอ๋อง เงื้อคมกระบี่ปลิดชีพหลิวอ๋องเจี่ยซินในดาบเดียว โทสะและความหวาดกลัวในดวงตาคู่นั้นดับมอดไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบบริเวณ พบว่ากำลังเสริมของกุ้ยตานมาช่วยได้ทันเวลาพอดี จึงสามารถปราบกบฏหลิวอ๋องและชาวหูได้แต่ก็เป็นชัยชนะที่ไม่สวยหรูนัก เพราะมีทหารล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ไป๋ผูอวี้หลับตาถอนหายใจ ทิ้งกระบี่ในมือลง

“ท่านรองแม่ทัพชนะแล้ว!”เสียงโห่ร้องยินดีของพลทหารที่ตามมาสมทบดังเป็นระลอก แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความรู้สึกนั้นราวกับอยู่คนละโลก เรื่องที่ต้องทำก็สำเร็จลุล่วงไปแล้วแม้จะปราบหลิวอ๋องได้แต่ความหนักอึ้งยังคงอยู่ในใจ ซูเหลียนฮวาปรากฏข้างกาย

“คุณชายได้รับบาดเจ็บ…”นางเอ่ยเสียงอ่อนเมื่อเห็นบาดแผลลึกที่แขนและคมหอกที่ช่วงหน้าอกของคุณชาย

“เจ้าไปช่วยดูทหารผู้อื่นก่อนเถอะ”ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวนั่งบนก้อนหินเปื้อนเลือด

“อาการของท่านสำคัญกว่า”นางมารหมื่นพิษเอ่ยอย่างดื้อดึง ลำพังตัวนางเองยังทรงตัวไม่ค่อยไหวแต่ตอนนี้ต้องรักษาบาดแผลของคุณชายของนางก่อน หญิงงามเหลือบมองเว่ยหลงและหยางชวีที่พยุงร่างออกมาจากที่กำบัง เว่ยหลงพอเห็นว่าคุณชายไป๋ได้รับบาดเจ็บก็รีบเข้ามาหาทันที

“ท่านไม่เป็นอะไรนะขอรับ”

“ข้ายังไม่ตาย”เขายกยิ้มมองไปที่หยางชวี ร่างตรงหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเคย

“คุณชายพูดอะไรอย่างนั้น เสิ่นจิ้งเฟยยังมีชีวิตอยู่…แต่เขาร่วมมือกับหลิวอ๋องก่อกบฏ…”เว่ยหลงเงียบลงเมื่อเห็นสายตาเยียบเย็นของคุณชายจึงยอมหุบปากเงียบ ผู้ติดตามได้แต่คิดไปว่าเป็นเพราะตนพูดจาย้ำเตือนความจริงกับอีกฝ่ายกระมัง   

“เสิ่นจิ้งเฟยอยู่ที่ใด…”ชายหนุ่มกวาดตามองหาโดยรอบ หยางชวีเคลื่อนกายออกไปค้นหา เมื่อจำได้ว่าครั้งสุดท้ายพบเห็นคุณชายเสิ่นถูกนายทหารดึงลงจากหลังอาชา ซูเหลียนฮวารักษาบาดแผลของไป๋ผูอวี้เสร็จก็ช่วยดูแลเหล่าทหารเท่าที่ร่างกายของนางยังพอทำได้

“นำกำลังพลและคนเจ็บกลับไปตั้งหลักในเมืองเสียนหยาง”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่งกับกุ้ยตานที่คุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ เลื่อนสายตามองไร้ชีวิตของหลิวอ๋อง “จัดการเก็บร่างของหลิวอ๋องให้ดี เหตุการณ์สงบค่อยส่งกลับวังหลวง”

“ขอรับ ท่านรองแม่ทัพ”กุ้ยตานรับคำเสียงเข้มก่อนจะนำกองกำลังและขุนพลที่ได้รับบาดเจ็บออกไปจากป่าลึก ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งอยู่ที่หินก้อนใหญ่ นึกถึงเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังไม่คลี่คลาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นอยากทำสิ่งใดนัก เกิดเสียงโวยวายดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เงยหน้ามอง พบว่าทหารสามนายกำลังกึ่งดึงกึ่งลากร่างผอมบางคุ้นตาเข้ามาใกล้

….เสิ่นจิ้งเฟย….ร่างนั้นอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก ใบหน้าข้างซ้ายมีรอยกรีดที่เห็นได้ชัดและมีรอยบวมช้ำบนหน้า ทั้งสงอย่างเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง หยางชวีก้าวตามมาติดๆด้วยสีหน้าราบเรียบ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าคุณชายเสิ่นผู้นี้ไม่เหมือนคนเดิม นึกไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้…ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายที่เขารู้จักไม่ได้อยู่ในร่างนี้อีกแล้ว

“ท่านรองแม่ทัพ”นายทหารสามนายก้าวเข้าใกล้ เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาสนใจ อยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

“ปล่อยตัวเขา”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่งเสียงแข็งกร้าวพร้อมกับส่งสายตากดดันให้นายทหารทั้งสามคน กระบี่เปื้อนเลือดที่ใช้ปลิดชีพหลิวอ๋องยังคงอยู่ข้างกาย ทหารจึงยอมปล่อยตัวเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นทรุดกองกับพื้นทันที ซูเหลียนฮวาเข้าไปช่วยประคองร่างผอมบางของคุณชายรูปงามจึงเป็นภาพที่แปลกตายิ่งนัก

“แต่คนผู้นี้เป็นกบฏ ท่านคงไม่คิดปล่อยเขาเพราะความเสน่หาหรอกกระมัง”ทหารผู้หนึ่งเอ่ยแย้งอย่างไม่เกรงกลัว

“ข้าเป็นรองแม่ทัพ ข้าจัดการเอง อีกอย่างคุณชายเสิ่นเป็นชายงามที่องค์ฮ่องเต้โปรดปราน พวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็นชา ทำให้นายทหารจึงยอมถอยออกไปอย่างหมดคำโต้แย้ง คิดอย่างไม่พอใจว่าไป๋ผูอวี้แย้งเนื้อชิ้นดีของพวกตนไป

 “เสิ่นจิ้งเฟย ท่านจะบอกได้หรือยังว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเสียงเรียบ คุณชายรูปงามที่นั่งทรุดอยู่บนพื้นดินเงยหน้าสบตากับไป๋ผูอวี้เป็นครั้งแรก ใบหน้าที่ถูกทำลายยังคงงดงามแม้จะลดน้อยลงแต่ก็ยังคงเดิม เฉกเช่นเดียวกับคนที่เขาเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว บรรยากาศรอบตัวของคุณชายท่านนี้เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยคนที่ตนพยายามผูกมิตรด้วย ริมฝีปากบางบนดวงหน้าขาวซีดยกเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตาคู่งาม

“ทั้งหมดเป็นแผนของหลิวอ๋อง ร่างที่พวกท่านเห็นเป็นเพียงคนหน้าเหมือนข้าเท่านั้น ในเมื่อถูกไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่งผู้คนย่อมมองไม่ออกจริงหรือไม่”เสิ่นจิ้งเฟยฝืนยิ้มออกมา ยกมือลูบใบหน้าที่เป็นรอยแผลเป็นช้า ๆ ไม่อยากเชื่อว่าตนจะกลับเข้าร่างอ่อนแอร่างเดิม มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้แต่ดวงตาไร้ชีวิตชีวาก็เข้าใจได้อย่างเดียวว่าจื่อฟางไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แน่สิ คนโชคร้ายคนนั้นอาศัยอยู่ในร่างของเขา แต่ตอนนี้เขากลับร่างแล้วจะไปอยู่ที่ใด สถานที่แปลกตานั่นน่ะเหรอ?

“คนหน้าเหมือน”เว่ยหลงพึมพำ เริ่มเข้าใจเรื่องราว เช่นนั้นเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังไม่ตายจริง ๆ แต่เหตุใดคุณชายไป๋ถึงได้มีสีหน้าไม่สู้ดี เจ้าหยางชวีก็ด้วย

เสิ่นจิ้งเฟยหัวเราะเบาๆเมื่อมองเห็นสีหน้าของไป๋ผูอวี้ เหลือบมองร่างของผู้ติดตามไม่คุ้นหน้าแต่รู้ดีว่าคนๆนี้เป็นข้ารับใช้ของจื่อฟาง ใบหน้าของชายตรงหน้าไม่มีความรู้สึกใด แต่ดวงตาสีดำที่จ้องมองมากลับมีแวววูบไหวด้วยคลื่นอารมณ์บางอย่าง เสียใจล่ะสิ?เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกข่มขื่นอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับคนพวกนี้ ไม่มีผู้ใดรอเขา คุณชายรูปงามกำมือแน่น พยายามไม่เปิดเผยอารมณ์ใดออกไป แม้กระทั่งจางต้า เด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจนักว่าเจ้านั่นจะยังอยากรับใช้ตนอยู่หรือไม่ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเจ้าบ่าวเซ่อซ่านั่นดีเท่าไหร่

เสิ่นจิ้งเฟยนึกย้อนไปถึงยามที่ฟื้นกลับร่างเดิม สิ่งแรกที่รับรู้คือเจ็บปวดที่ข้างแก้มจนร่างสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ รับรู้ว่าน้ำตาไหลอาบแก้ม ผู้ที่อยู่เหนือร่างคือหลิวอ๋อง

‘ทิ้งเสิ่นจิ้งเฟยคนเก่าไว้ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่’หลิวอ๋องกล่าวเช่นนั้น ในกรอบสายตาเขามองเห็นองครักษ์คนหนึ่งอุ้มร่างคนที่มีใบหน้าคล้ายกับเขา ถูกมัดมือมัดเท้าและมีผ้าอุดปาก แต่งกายคล้ายกับเสิ่นจิ้งเฟยทุกระเบียบนิ้ว

‘เหมือนหรือไม่ กว่าข้าจะหาคนมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มาเถอะน้องชาย ไปจากจวนสกุลเสิ่นแห่งนี้’

เปลวเพลิงรอบกายเริ่มโหมไหม้แรงขึ้น องครักษ์คว้าร่างอ่อนแรงของเขาพาดบ่า นำร่างปลอมวางไว้บนเตียง คนผู้นั้นยังมีสติ ทำได้แต่กลอกตาไปมาอย่างหวาดกลัว   


 

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-02-2019 04:17:25

เสิ่นจิ้งเฟยกระพริบตา รวบรวมสติกล่าวอีกครั้ง “ข้าฟื้นขึ้นมาในกองเพลิง องครักษ์ของหลิวอ๋องพาข้าออกไปจากห้องหนังสือผ่านทางบานหน้าต่าง ข้ามองเห็นร่างผู้อื่นที่มีใบหน้าที่คล้ายกับตัวเองทั้งยังถูกมัดอยู่บนเตียงก็พอเข้าใจเรื่องราว หลิวอ๋องต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าข้าตายแล้ว”เด็กหนุ่มนึกไปถึงผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือทั้งแผ่นดิน ทอดสายตาแหลมคมมองไป๋ผูอวี้ แย้มยิ้มที่เหมือนดอกไม้งามอาบยาพิษชวนให้ผู้คนหนาวไปถึงสันหลัง โดยเฉพาะเว่ยหลงที่คล้ายได้เห็นเจ้าเต่าคนเดิมที่เคยแวะเวียนมาหาเรื่องคุณชายไป๋ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ

“ท่านรองแม่ทัพจะจัดการกับข้าอย่างไรเล่า หากต้องการส่งตัวข้ากลับไปให้ฮ่องเต้เจี่ยผิง ท่านลงมือฆ่าข้าเถิด”เขาไม่ต้องการถูกกักขังอีกต่อไปแล้ว แต่ไป๋ผูอวี้ในยามนี้เขาเดาความคิดไม่ออก ตั้งแต่ในแต่ไรมาเขาก็แพ้อีกฝ่ายมาตลอด ครั้งนี้ก็คงแพ้เช่นกัน 

“หากท่านช่วยข้าหลบหนี ข้าจะเล่าเรื่องราวชีวิตของคนๆนั้นให้ฟัง ข้ารับรู้ความทรงจำของเขาทุกอย่าง”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าว เขาได้รับความทรงจำของจื่อฟางมาจริง คำพูดของเขาทำให้ไป๋ผูอวี้และเจ้าคนหน้าตายมีปฏิกิริยา ซูเหลียนฮวาจ้องมองเขาด้วยสายตาคมกริบ เขาเคยได้ยินว่านางชอบบุรุษรูปงาม อยู่ ๆความคิดนี้ก็ทำให้เขาขนลุก

“คนผู้นั้น คุณชายเสิ่นพูดถึงเรื่องใด”เว่ยหลงเอ่ยแทรก เสิ่นจิ้งเฟยปรายตามอง คนผู้นี้ก็ยังเช่นเดิม มีกล้ามเนื้อมากกว่าสมอง

ไป๋ผูอวี้ได้ยินที่คุณชายเสิ่นพูดก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง แม้จื่อฟางจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว เขายังต้องการทราบเรื่องราวของอีกฝ่าย แต่เขาต้องไตร่ตรองให้ดี ยังมีนายทหารที่ร่วมศึกปะทะที่ริมแม่น้ำได้เห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีชีวิตอยู่ เขาเป็นถึงรองแม่ทัพหากกระทำโดยพละการจะเป็นเรื่องเข้า ชายหนุ่มไม่อยากให้มีทหารต่อต้าน

“ข้าก็อยากปล่อยตัวคุณชายเสิ่นให้เป็นอิสระ แต่ในยามนี้เกรงว่าจะไม่ได้”ชายหนุ่มตอบ หยางชวีเพ่งมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจเช่นเดียวกับเว่ยหลง เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง อยากร้องไห้ยิ่งนัก 

 

………………

ไป๋ผูอวี้กลับมาที่เมืองเสียนหยาง ชนเผ่าหูที่รุกรานเข้ามาทำให้เขาไม่สบายใจ อยากนำกองทัพกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเพราะยังไม่ทราบข่าวคราวจากฉางอัน ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่ได้นำกำลังบุกที่นั่นหรือไม่ อีกทั้งที่ฝั่งลั่วหยางก็ยังไม่คลี่คลายชายหนุ่มจึงสั่งให้กุ้ยตานนำกองกำลังส่วนหนึ่งที่ตั้งค่ายดักเดินทางไปสมทบที่ลั่วหยางก่อน แบ่งกำลังไว้ให้กว่าพันนาย ส่วนขุนพลที่ยังได้รับบาดเจ็บจำต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่ก่อน แม้จะไม่สบายใจแต่ไป๋ผูอวี้ต้องปักหลักอยู่ที่เสียนหยางเพราะยังมีชาวเมืองที่ไม่ได้ร่วมก่อกบฏเสียขวัญเป็นจำนวนมาก จึงจัดแบ่งกำลังทหารหมุนเวียนเฝ้าระวังรอบเมือง นำขุนพลมีฝีมือไปตั้งกำลังที่ด่านอู๋เสีย ป้องกันไม่ให้พวกชนเผ่านอกด่านบุกเข้ามาอีก

ไป๋ผูอวี้ตรวจความเรียบร้อยอยู่ที่ป้อมสังเกตการณ์ ระหว่างนั้นก็เขียนสารน์ลับถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงรับทราบ

“ท่านรองแม่ทัพกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดขอรับ พวกข้าจะเฝ้าระวังอย่างสุดความสามารถ”ขุนพลแซ่จางที่อยู่ในกองทัพของเขาเอ่ยขึ้น คนผู้นี้ก็รอดชีวิตจากการเข้าปะทะกับหลิวอ๋องและชาวหู ชายหนุ่มจดจำใบหน้าของขุนพลแซ่จางก่อนพยักหน้า

“หากพบเห็นสิ่งผิดปกติก็รีบมารายงานข้า”ไป๋ผูอวี้ตอบ คิดกลับไปพักผ่อนสักสองชั่วยามแล้วค่อยมาตรวจความเรียบร้อย

“ขอรับ!”นายทหารรับคำเสียงฮึกเหิม

กว่าชายหนุ่มจะจัดการตรวจตรากองทัพและความเรียบร้อยของประตูเมืองจนเสร็จสิ้นก็ล่วงเลยมาถึงยามโฉ่ว(01.00 น. - 02.59 น.) เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ มีนายทหารเห็นคุณชายรูปงามยังมีชีวิต ต่างก็ลงความเห็นให้ฆ่าทิ้งเสีย แต่ชายหนุ่มหยิบยกเรื่องความโปรดปรานของฮ่องเต้เจี่ยผิงที่มีต่อเสิ่นจิ้งเฟยมาอ้าง เวลานี้เสิ่นจิ้งเฟยจึงถูกคุมขังอยู่ที่คุกกรมอาญา ถึงอย่างไรเขาก็มีแผนจะช่วยเหลือ เขาไม่คิดส่งตัวอีกฝ่ายกลับไปอยู่ใต้เงื้อมมือของฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก ชายหนุ่มยังมีเรื่องที่ต้องการสนทนา เรื่องของจื่อฟาง

ไป๋ผูอวี้ควบอาชากลับมาที่โรงเตี๊ยมไม่ไกลจากประตูเมืองมากนัก บรรยากาศในเมืองเงียบสงัด โคมไฟถูกแขวนตามตรอก ทหารเวรยามเดินตรวจตราตามถนน เว่ยหลงกระตุ้นม้าตามมาเงียบ ๆยังคงจมอยู่ในห้วงความคิด

“คุณชาย ท่านจะไม่ไปเยี่ยมคุณชายเสิ่นหน่อยหรือ”เขาอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ จะอย่างไรมันก็น่าแปลก คุณชายไป๋อาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งนัก แต่ในเวลานี้กลับทำเหมือนคนไม่รู้จัก ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ นำอาชาไปเก็บที่โรงเลี้ยงม้า จากนั้นก็ไปพักผ่อนในห้องที่นายทหารจัดเตรียมไว้ให้ซึ่งอยู่ชั้นสองเป็นห้องริมสุด เขาจงใจเลือกห้องที่มีบานหน้าต่างเปิดปิดได้

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบกับซูเหลียนฮวาและหยางชวีรออยู่ ทั้งสองคนสวมใส่ชุดใหม่แสดงว่ารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เว่ยหลงยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดได้แต่มองผู้เป็นนายทุกย่างก้าว  ไป๋ผูอวี้ทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้กลมรู้สึกว่าเหนื่อยล้ายิ่งนักแต่ก็ยังพักไม่ได้ เขานวดหว่างคิ้วไปด้วยระหว่างที่มองไปยังหยางชวีที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึกกลับคืนสู่ตัวตนเดิมเฉกเช่นที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก ผู้ติดตามทราบความจริงแล้วว่าคุณชายเสิ่นที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่จื่อฟางคนที่รู้จัก ชายหนุ่มจึงรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก   

ไป๋ผูอวี้กวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ไม่มีความรู้สึกหิวแม้แต่น้อยจึงคว้าไหสุรายกดื่มไปอึกใหญ่ กลิ่นสุราหอมอวลไปทั้งห้อง ชายหนุ่มนั่งดื่มสุราเงียบ ๆจนหมดไหจึงใช้ชายเสื้อเช็ดริมฝีปาก ลุกไปเดินหยิบม้วนภาพวาดมานั่งเหม่อมองอยู่หนึ่งเค่อ คนที่อยู่ในห้องได้แต่ลอบมองหน้ากันอย่างอับจนคำพูด ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยสิ่งใด แต่ในหัวคิดไปต่าง ๆนาๆ เว่ยหลงสงสัยว่าเหตุใดคุณชายถึงมองม้วนภาพคนผู้นี้อีกแล้ว ทั้ง ๆที่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตายแต่คุณชายไป๋ก็ยังหมองเศร้า

เสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกลับมามีนิสัยเช่นเดิม เว่ยหลงไม่แน่ใจนักว่าจะทำใจยอมรับอีกฝ่ายในฐานะภรรยาของคุณชายไป๋ได้หรือไม่ สายตาและคำพูดเช่นนั้นทำให้เขานึกถึงเสิ่นจิ้งเฟยคนเก่า ว่าแต่มีเสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่ด้วยหรือไร?อา!ทำไมวันนี้เขาขี้สงสัยนัก?เขาพยามเค้นสมองอย่างหนักแต่ผู้ติดตามร่างกำยำก็ยังไม่เข้าใจจริง ๆ

ซูเหลียนฮวาคิดทบทวนอยู่เงียบๆ นางพอจะเข้าใจเรื่องราวแม้ไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร แต่ดูเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยที่คุณชายของนางมีใจให้จะมิใช่คุณชายเสิ่นที่มีตัวตนอยู่ในยามนี้ มาคิดดูแล้วเสิ่นจิ้งเฟยนิสัยเปลี่ยนไปราวคนละคน เทียบกันตอนนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัด คนในม้วนภาพวาดนั่น...คือผู้ใดกันหนอ นางมองเห็นเพียงคุณชายรูปร่างหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่ง รูปหน้าพบเห็นได้ทั่วไปยกเว้นที่ดวงตาที่ทำให้คนผู้นั้นดูน่ามองขึ้นมาเล็กน้อย

หยางชวีไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองนัก ในใจนึกสงสารไป๋ผูอวี้ที่ไม่มีวันได้คุณชายจื่อกลับมา ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องสงสารตัวเองด้วยกระมัง คุณชายเสิ่นที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เขาต้องการปกป้องด้วยชีวิต แต่เขายังจำคำสั่งของนายท่านใหญ่ตั้งแต่แรกได้ ‘ติดตามและดูแลเสิ่นจิ้งเฟยให้ดี’ ชายหนุ่มเลือกติดตามคุณชายจื่อแต่ยามนี้ไม่มีคนผู้นั้นให้ติดตามแล้วเป้าหมายของเขาว่างเปล่า

ชีวิตของหยางชวีจะดำเนินต่อไปเช่นไร เขาต้องการทำอะไร? ส่วนลึกเขายังต้องการตอบแทนบุญคุณของนายท่านใหญ่ ทั้งยังรู้สึกผิดไม่หายที่พลาดท่าปล่อยให้คนของหลิวอ๋องเข้ามาทำลายสกุลเสิ่น ในเมื่อยามนี้เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงที่เขาต้องรับใช้ตามหน้าที่กลับมาแล้ว เขาก็สมควรจะทำหน้าที่ผู้ติดตามต่อไป แม้จะยังไม่มีความภักดีอย่างที่มอบให้จื่อฟางก็ตาม ชายหนุ่มนึกถึงจางต้า บ่าวเซ่อซ่าผู้นั้นคงยินดี   

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงกล่าวขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เหตุใดท่านถึงดูไม่มีความสุขเล่า ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตาย”ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากม้วนภาพวาดผืนนั้น

“เขาไม่ใช่คนที่ข้ารัก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยขึ้นเบา ๆ คิดว่าควรบอกให้ผู้ติดตามทราบบ้าง ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆเมื่อมองเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเว่ยหลง   

“คุณชาย ท่านเมามากแล้วกระมัง”เว่ยหลงนั่งมองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตางุนงง ช่วงที่ผ่านมาคุณชายของเขายังอาลัยอาวรณ์ถึงคุณชายเสิ่นผู้นั้นไม่ว่างเว้น

“พวกเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่เรื่องที่ข้าจะเล่า เป็นเรื่องจริงทั้งหมด...”ไป๋ผูอวี้บอกเรื่องจื่อฟางและการสลับวิญญาณระหว่างเสิ่นจิ้งเฟยให้ฟังคร่าวๆจนจบ เกิดความเงียบระลอกใหญ่ เว่ยหลงหน้าซีดเผือด

“คุณชายหมายถึงคนในม้วนภาพนี่...เป็นวิญญาณ”

“อืม”

“ผีเข้าสิงร่างน่ะเหรอ?”

“มิใช่ผี เขาเป็นเพียงวิญญาณ เวลานี้คงกลับไปที่บ้านเกิด”เขาบอกได้เท่านี้เพราะไม่รู้ถึงเรื่องราวฝั่งนั้นของจื่อฟาง เว่ยหลงยิ่งหวาดกลัวเพราะฟังอย่างไรก็เหมือนผีสิง ที่ผ่านมามีวิญญาณของจื่อฟางอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย อา...ก็ว่าทำไมคุณชายท่านนั้นถึงได้นิสัยไม่เหมือนเดิม ไป๋ผูอวี้มองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเว่ยหลงก็นึกขันว่าผู้ติดตามของตนคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มลูบใบหน้าของคนในม้วนภาพไม่สนใจสายตาวูบไหวของเว่ยหลงที่จับจ้องมองตนอยู่ เขาเก็บภาพวาดไว้ในหีบเช่นเดิมก่อนหันมองผู้คนในห้อง

“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย ไม่อยากให้เขาถูกส่งตัวไปรับโทษที่เมืองหลวง”ชายหนุ่มเอ่ยเปรย ทุกคนในห้องต่างก็รู้ถึงความหมายของคำพูดประโยคดังกล่าว คุณชายไป๋ต้องการช่วยเสิ่นจิ้งเฟย แต่คุณชายท่านนั้นเป็นกบฏเอาตัวไปเสี่ยงย่อมไม่เป็นผลดี เว่ยหลงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณชายไป๋พวกเขาก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย

“ท่านรองแม่ทัพแน่ใจแล้วหรือว่าจะไม่เป็นเรื่องเดือดร้อนในภายหลัง”เว่ยหลงเอ่ยเตือนสติ ยามนี้คุณชายมิใช่บุตรชายโรงน้ำชาหลิวซื่อธรรมดาๆอีกต่อไปแล้วแต่มียศตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพ ช่วยให้กบฏหลบหนีย่อมมีความผิดร้ายแรง

“เดือดร้อนอันใด ข้าแค่อยากไปพูดคุยกับคุณชายเสิ่นเท่านั้น”ไป๋ผูอวี้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน หยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมเตรียมตัวออกไปที่คุกกรมอาญา

“แต่ว่าพวกทหารเวรยามเล่า”ผู้ติดตามส่งเสียงค้าน

“ลืมข้าไปแล้วหรือไร”ซูเหลียนฮวาเอื้อนเอ้ยเสียงใส ยกยิ้มจาง นางไม่ได้เล่นสนุกมานานแล้วเหมือนกัน หยางชวีตัดสินใจได้แล้ว

“ข้าจะไปด้วย อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายสกุลเสิ่น เขายังเป็นเจ้านายของข้า”คำพูดของชายหนุ่มหน้าตายทำให้ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม เว่ยหลงไม่ได้เอ่ยคัดค้านอีก ในเมื่อคุณชายว่ากล่าวเช่นนี้ก็ตกลงตามนั้น

“เจ้ารออยู่ที่นี่ เผื่อมีเรื่องใดเกิดขึ้น”

“ขอรับ”ผู้ติดตามรับคำ ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยมากความอีกจึงดับโคมไฟก่อนจะกระโจนออกไปทางบานหน้าต่างที่เปิดอ้า เว่ยหลงได้แต่ถอนหายใจส่ายศีรษะน้อย ๆ ยืนมองส่งคุณชายไป๋ ซูเหลียนฮวาและหยางชวีหายลับไปในม่านราตรี

…………

เสิ่นจิ้งเฟยนั่งซุกตัวอยู่ในมุมมืดของคุกสกปรกแห่งกรมอาญามีเพียงหญ้าฟางรองนั่งเท่านั้น คุณชายรูปงามหลับตาเอนพิงผนังเย็น ๆพยายามไม่สนใจเสียงน่ารำคาญของพวกทหารด้านนอก ยังเป็นนายทหารยศต่ำสามคนที่บังคับให้เขาหลบซ่อนในพุ่มไม้ สนามรบในตอนนั้นกำลังวุ่นวายถ้าหากได้หลบหนีไปก็ยังทันไม่ต้องติดแหง็กอยู่ในคุกแห่งนี้ แต่หลบหนีไปที่ใดเล่า?

“นี่เจ้ามีดีอย่างไรถึงทำให้ท่านรองแม่ทัพติดใจอาลัยอาวรณ์หรือ เสิ่นจิ้งเฟย”นายทหารคนหนึ่งส่งเสียงหยอกล้อแต่สายตาจากร่างนั้นทำให้เด็กหนุ่มขยะแขยงชอบกล

“เจ้าร่วมมือกับหลิวอ๋องความจริงมีโทษถึงตาย ไม่อยากเชื่อว่าแค่ร่วมหลับนอนกับรองแม่ทัพไป๋ก็สามารถละเว้นโทษได้ เจ้าคงมีรสชาติดีน่าดูกระมัง”ทหารอีกนายเอ่ยเสริม ดวงตาแวววาวอยู่ในความมืดคล้ายสัตว์ร้าย เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ตั้งแต่ถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้เขาก็ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่ต้องการกลับไปที่เมืองหลวง หากกลับไปครั้งนี้เขาคงไม่มีทางหลบหนีฮ่องเต้เจี่ยผิงพ้นแน่ ยังจำสีหน้าของคนผู้นั้นก่อนที่เขาจะจากร่างของเจาเฟิงได้ดี

ตกตะลึงและเจ็บปวด เสิ่นจิ้งเฟยอาจตาฝาดไปก็ได้ที่เห็นภาพเช่นนั้น บางทีถ้าเป็นฟู่จวิ้นคนเดิมอาจเป็นไปได้ รอยยิ้มอย่างเปิดเผยมีชีวิตชีวา ของคนผู้นั้นยังคงฝังติดตาม แต่เด็กหนุ่มเข้าใจและรู้ดีว่าฟู่จวิ้นที่ตนต้องการไม่มีทางกลับมาได้อีก เจี่ยผิงคือตัวตนของคนๆนั้น ฮ่องเต้มีสิ่งที่ต้องแบกรับเกินกว่าที่เขาจะร้องขอ เรื่องระหว่างเขากลับฮ่องเต้จบลงแบบนี้อาจเป็นหนทางดีที่สุดแล้ว อีกทั้งเสิ่นจิ้งเฟยต้องการให้เจี่ยผิงได้รับรู้ว่าเขาไม่ใช่สิ่งของสวยงามที่อยากครอบครองเมื่อใดก็ได้ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในกำมือของท่านเสมอ

เสิ่นจิ้งเฟยกอดร่างกายผอมบางเพื่อให้ความอบอุ่น ร่างกายอ่อนแอไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เขาจะทำอะไรได้ในร่างนี้ ยามอยู่ในร่างของเจาเฟิงเขายังสามารถหยิบจับธนู แต่ร่างนี้...แค่ฆ่าไก่ยังไม่ได้เลยกระมัง ได้แต่หวังว่าไป๋ผูอวี้จะเปลี่ยนใจยอมช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนักเพราะเขาเป็นคุณชายไม่เอาไหนผู้เป็นกบฏคนหนึ่งเท่านั้น

“จื่อฟาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำกับตัวเอง น้อยครั้งนักที่เขาจะนึกถึงคนโชคร้ายผู้นั้น แต่ภาพความทรงจำของจื่อฟางทำให้เขานอนไม่หลับ ไม่ใช่ความทรงจำระหว่างไป๋ผูอวี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นภาพฝันร้าย แต่ความทรงจำที่เด็กหนุ่มเห็นเป็นสถานที่แปลกประหลาด ครอบครัวของเจ้านั่นไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ท่านแม่นามว่าเฉิงเค่อลี่ที่ชอบบ่นเป็นประจำแต่เขามองออกว่านางรักเอ็นดูบุตรชายอยู่ไม่น้อยแม้จะไม่เอ่ยพูดออกมา มีท่านพ่อนามว่าจื่อชุนซิงที่ค่อนข้างเข้มงวดกวดขันไม่ได้ตามใจผ่อนปรนเหมือนบิดาของเสิ่นจิ้งเฟย

ทั้งยังชอบบังคับจื่อฟางให้ทำในสิ่งที่ไม่ได้มีใจรัก ชีวิตของจื่อฟางค่อนข้าง...จืดชืด ในบางช่วงเขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าจื่อฟางไม่มีความสุข แต่ท่านพ่อของจื่อฟางก็ยังรักท่านแม่ ไม่ได้มีหญิงอื่นมากมายเหมือนบุรุษที่นี่หรือดินแดนประหลาดแห่งนั้นต่างกันกับแผ่นดินเจี่ย อีกทั้งนิสัยของจื่อฟางมีส่วนคล้ายเขาอยู่มากแม้มีใบหน้าไม่โดดเด่นแต่ก็มีบุรุษและหญิงสาวเข้ามาหยอกล้อด้วย คนพวกนั้นมิใช่นางคณิกาหรือนายบำเรอเหตุใดถึงยอมมีสัมพันธ์หลับนอนก่อนแต่งเล่า? เสิ่นจิ้งเฟยนึกถึงใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่เหมือนกับไป๋ผูอวี้ก็ขมวดคิ้ว แม้แต่ในโลกนั้นไป๋ผูอวี้ก็ยังตามติดจื่อฟางไปอีก พวกมีความรักตั้งมั่นช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง

เคร้ง!

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เสิ่นจิ้งเฟยกวาดสายตาไปในความมืด ยามนี้คุกกรมอาญาว่างเปล่าแต่เขาได้ยินเสียงบางอย่างแว่วมา ทหารเวรยามก็ได้ยินเช่นกันจึงมีท่าทีระแวดระวังกลัวว่าจะเป็นพวกกบฏที่ยังเหลือรอด เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มีร่างในชุดสีดำสองร่างเคลื่อนไหวราวสายลมสกัดจุดตามร่างกายของทหารเวรยามในพริบตาเดียว เสิ่นจิ้งเฟยแตกตื่นไปชั่วขณะเพราะการแต่งกายคล้ายกับคนของหลิวอ๋อง หรือว่าคนของหลิวอ๋องยังรอดมาได้

“ช่วย….อุ๊บ”ร่างปริศนาพังประตูคุกได้ก็พุ่งเข้ามาหาก่อนจะแตะมือเข้าที่ลำคอของเด็กหนุ่ม อาการเจ็บแปลบแล่นผ่านร่างก่อนที่รอบกายจะดำมืด

…………


“เสิ่นจิ้งเฟย…”เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงเขย่าที่หัวไหล่ คุณชายรูปงามพลันรู้สึกตัว เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างตื่นตระหนกพบกับความมืด มีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์ที่ทอแสงอยู่บนผืนฟ้าเบื้องบน ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยมีผ้าคลุมขนสัตว์เนื้อหยาบปกคลุมร่าง เขารีบดันร่างลุกนั่งมองไปรอบกายพบว่าตนอยู่บนรถม้าศึกคันหนึ่งที่จอดอยู่ในตรอกมืด มีกล่องหีบและห่อของอีกหลายห่อวางกองอยู่ เขามองเห็นเพียงเงาร่างของคนสามคนปรากฏให้เห็น ร่างบางสะดุ้งถอยห่างอย่างตื่นกลัว

“พวกเจ้าเป็นคนของหลิวอ๋องหรือ”

“ฆ่าตายไปหมดแล้วจะมาได้อย่างไร”เสียงคุ้นหูดังขึ้น ไป๋ผูอวี้...คนผู้นี้มาจริง ๆ จื่อฟางคงติดอยู่ในใจของอีกฝ่ายไปทั้งชีวิตกระมัง เสิ่นจิ้งเฟยรับรู้ว่าร่างของเขาและคนผู้นี้เคยมีสัมพันธ์กันทั้งยังจัดพิธีแต่งงานด้วย เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องราวพวกนี้ไม่ควรเอ่ยถึงและควรปล่อยให้ลืมเลือนไปเสียเป็นทางดีที่สุด เขาเองก็ไม่ได้ชอบใจนักที่ร่างนี้ต้องแปดเปื้อนด้วย…น้ำมือของไป๋ผูอวี้

แต่ช่างเถิด ร่างของเจาเฟิงก็ใช่ว่าใสบริสุทธิ์ ร่างสูงใหญ่จุดเทียนเล่มเล็ก แสงสว่างเผยให้เห็นร่างของไป๋ผูอวี้ในอาภรณ์สีเข้ม หญิงงามซูเหลียนฮวาฉายานางมารหมื่นพิษที่เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างยืนอยู่ไม่ไกล และผู้ติดตามของจื่อฟางที่ชื่อว่าหยางชวี คนผู้นี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก จ้องมองเขาด้วยแววตาแข็งทื่อ

“ข้ามีเวลาไม่มากนักก่อนที่ทหารเวรยามจะรู้ตัว”ไป๋ผูอวี้เอ่ยพร้อมกับหยิบของบางอย่างมาจากอกเสื้อ เอื้อมมาพลิกจับข้อมือของเขา เสิ่นจิ้งเฟยเกร็งไปทั้งร่าง แต่มือหยาบกร้านของอีกฝ่ายยัดจดหมายฉบับหนึ่งมาใส่ในมือ เด็กหนุ่มก้มมองค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน แสงเทียนยังพอทำให้มองเห็นได้ ทันทีที่เห็นตัวอักษรสวยงาม ใจก็เต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง

ลายมือของฟู่เทียนสือ เป็นเจ้าคนแซ่ฟู่นั่น เสิ่นจิ้งเฟยเหลือบมองไป๋ผูอวี้ที่มองเขาเงียบ ๆด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เด็กหนุ่มจึงก้มอ่านจดหมายอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเจ้าคนแซ่ฟู่จะเดินทางไปเหลียวตง จื่อฟางเคยบอกไว้ว่าท่านปู่เตรียมสถานที่หลบหนีไว้ให้ ฟู่เทียนสือบอกว่าจะรอพบอยู่ที่นั่น เขารู้สึกว่าลำคอตีบตัน อย่างน้อยก็ยังมีคนผู้หนึ่งรอเขาอยู่ คนที่อยากพบเสิ่นจิ้งเฟย

“ท่านต้องการไปพบเขาหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยอ่านจดหมายจบแล้ว ร่างผอมบางพับจดหมายเก็บ เหลียวตง...แต่สถานที่นั้นไกลนัก เขาไม่หวาดกลัวความโดดเดี่ยว แต่ที่แห่งนั้นใกล้กับพวกโกคูรยอ

“ข้าไม่รู้ว่าจะไปถึงเพียงลำพังได้อย่างไร”เด็กหนุ่มยอมรับเสียงแผ่ว

“คุณชายเสิ่นต้องการพบฟู่เทียนสือที่เหลียวตงใช่หรือไม่”ไป๋ผูอวี้ถามซ้ำ เสิ่นจิ้งเฟยตวัดสายตามอง “ข้ายังตอบไม่ชัดเจนอีกรึไง”

“ไปหรือไม่ไป”ชายหนุ่มย้ำเสียงเข้ม

“ไป”เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ชอบที่อีกฝ่ายมาออกคำสั่งกับตน

“ท่านไม่คิดถึงสกุลเสิ่นหรือ อย่างน้อยนายท่านใหญ่ก็เป็นบิดาของท่าน คุณชายเสิ่นอาจไม่ทราบแต่นายท่านใจสลายเมื่อคิดว่าเห็นร่างของท่านอยู่ในเพลิงไหม้”หยางชวีเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขารู้ดีว่านายท่านทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยกับคุณชายท่านนี้แต่ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ ทิฐิของคุณชายท่านนี้ช่างสูงนัก

เสิ่นจิ้งเฟยเม้มริมฝีปากบาง “ข้าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับสกุลเสิ่นอีก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นกบฏไม่อยากให้เดือดร้อนไปถึงผู้อื่นในสกุล ให้เชื่อว่าข้าตายไปก็ดีแล้ว”คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก แม้ว่านัยน์ตาจะวิบวับสะท้อนกับแสงไฟ หยางชวีได้แต่ถอนหายใจ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ 

“แล้วเรื่องของข้า ท่านจะจัดการอย่างไรในเมื่อมีคนรู้แล้วว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”เด็กหนุ่มหันไปเอ่ยถามไป๋ผูอวี้ที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมาครู่ใหญ่

“ก็ปล่อยให้เป็นข่าวลือเช่นนั้น”ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง รู้ดีว่าไม่สมควรเข้าไปสอดเรื่องของผู้อื่น ได้แต่หวังว่าหากพระองค์ทราบเรื่องจะไม่ส่งคนไปตามคุณชายรูปงามผู้นี้กลับมาอยู่ในวังหลวง ชายหนุ่มไม่รู้เรื่องราวระหว่างทั้งสองคนมากนัก ยามที่มีจื่อฟางมาเกี่ยวข้องก็รู้แต่เพียงว่าครั้งหนึ่งฮ่องเต้เจี่ยผิงเคยปลอมตัวหลอกลวงเสิ่นจิ้งเฟย

“ข้า…ต้องการเขียนจดหมายถึงจางต้า”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขอ หญิงงามที่ยืนฟังการสนทนามาตั้งแต่ต้นจึงขยับตัวนำพู่กันและหมึกที่ติดตัวออกมา ร่างผอมบางใช้เนื้อที่กระดาษจดหมายด้านหลังของฟู่เทียนสือเขียนตัวอักษรสวยงาม เป็นตัวหนังสือที่เขียนหวัด ๆแต่ลายเส้นแข็ง ต่างจากลายมือของจื่อฟางที่จะลื่นไหลกว่ามาก เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามเขียนสั้น ๆ เป็นคำที่เขาไว้ใช้เรียกจางต้าโดยเฉพาะ

‘ข้ายังไม่ตายหรอกนะ เจ้าบ่าวขี้แย หากมาพบข้าที่เหลียวตง ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง’

เสิ่นจิ้งเฟยเขียนเสร็จก็พับจดหมายส่งให้ไป๋ผูอวี้

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเหลียวตงได้อย่างไร”

“ข้าน้อยจะพาคุณชายเสิ่นไปเอง”หยางชวีเอ่ยขึ้นเมื่อมองเห็นสีหน้าอับจนหนทางของคุณชาย “ข้าชื่อหยางชวี นายท่านใหญ่มอบหมายให้ข้าติดตามดูแลท่าน”

“มิน่าเจ้าถึงยึดติดกับสกุลเสิ่นนัก แต่หากเจ้าฝืนใจก็ไม่จำเป็นต้องทำ ข้าไม่ชอบให้คนคร่ำครวญถึงผู้อื่น”เสิ่นจิ้งเฟยเปรยด้วยน้ำเสียงจริงจัง รู้ดีว่าผู้ติดตามผู้นี้มีความผูกพันกับจื่อฟางไม่ใช่เขา

“ข้าน้อยไม่ได้ฝืนใจ จะอย่างไรก็เป็นหน้าที่ ข้าน้อยต้องการตอบแทนสกุลเสิ่น อีกอย่างข้าก็ไม่ได้คิดติดตามท่านทั้งชีวิต แค่ไปส่งคุณชายเสิ่นถึงเหลียวตงอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”ผู้ติดตามกล่าวด้วยเสียงเป็นงานเป็นการและเด็ดขาด เสิ่นจิ้งเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า มองอีกฝ่ายด้วยสายตาพินิจ ยามนี้เป็นเวลาเอาตัวรอดไม่ใช่อวดดี

ระหว่างทางไปเหลียวตงยังอีกยาวไกลไว้ค่อยทำความรู้จักหยางชวีผู้นี้ก็ยังไม่สาย นึกถึงฟู่เทียนสือจิตใจก็ยินดี เสิ่นจิ้งเฟยยอมรับว่ามีความรู้สึกดีต่อคนผู้นั้น แม้การกระทำจะตรงกันข้ามก็ตาม แต่…ความรู้สึกดังกล่าวแตกต่างที่มีต่อฮ่องเต้เจี่ยผิง เด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจนัก หากได้พบกับคนแซ่ฟู่บางทีอาจจะกระจ่างชัด

ไป๋ผูอวี้กระแอมเบาๆ “เรื่องของจื่อฟาง...ท่านคงไม่ลืมกระมัง”

“ข้าไม่ลืม”เช่นเดียวกับท่านที่ไม่มีทางลืมเขา “ท่านคงรู้ว่าจื่อฟางเป็นเพียงวิญญาณ เขามีร่างจริงของตัวเอง ก่อนที่ข้าจะจากร่างของเจาเฟิง ข้ามองเห็นสถานที่หนึ่ง เป็นสถานที่แปลกประหลาดอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เขากลับไปยังโลกเดิมที่จากมา เป็นดินแดนสวรรค์แห่งหนึ่ง”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยเล่า ความทรงจำของบ้านเรือนแปลกตาพรั่งพรูในห้วงความคิด แม้กระทั่งรถม้าก็เป็นของแปลก

คุณชายรูปงามกระพริบตาเมื่อรู้สึกว่าคนทั้งสามตั้งใจในสิ่งที่ตนพูดอย่างจดจ่อ จึงรู้สึกแปลกพิกล ปกติแล้วไป๋ผูอวี้มักชอบทำเหมือนเห็นเขาเป็นคนพาลที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ซูเหลียนฮวามีสีหน้าฉงนสงสัย ส่วนหยางชวีตั้งใจฟังเสียจนคิ้วขมวดมุ่น เด็กหนุ่มจึงเริ่มผ่อนคลายท่าทีตึงเครียดบอกกล่าวความทรงจำทั้งหมดของจื่อฟางที่ตนเห็นให้พวกเขาฟัง ยกเว้นเรื่องที่มีบุรุษหน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ในโลกนั้น

เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่ในอารมณ์อยากแกล้งผู้ใด คิดว่าไป๋ผูอวี้รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์เกรงว่าจะคิดมากเสียเปล่าๆ เขาไม่ได้เล่นบทคุณชายแสนดี แต่ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่อีกฝ่ายยอมช่วยเหลือ ไป๋ผูอวี้ได้ฟังแล้วก็ไม่คลายความกังวล เพราะจากที่คุณชายเสิ่นเล่า จื่อฟางไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดี ยังต้องเล่าเรียนหนังสือ ทำงานไปด้วย ครอบครัวก็ไม่ได้รักใคร่กันมากนัก คุณชายท่านนี้ใช้คำว่า ‘ทะเลาะโต้เถียง’ ฟังไปท่านพ่อของจื่อฟางเหมือนคนเจ้าอารมณ์และค่อนข้างดุ เป็นเช่นนี้เขาจะวางใจได้อย่างไร

“คุณชาย จื่อฟางกลับไปยังโลกของเขา ท่านเองก็ไม่ควรจมปลัก ก้าวต่อไปเป็นสิ่งที่สมควรทำ หากสวรรค์เมตตาสักวันท่านอาจได้พบกับจื่อฟางอีกก็ได้”ซูเหลียนฮวาเอ่ยปลอบคุณชายของนางที่มีสีหน้าเป็นกังวล หากรู้แล้วจิตใจว้าวุ่น เลือกไม่รู้ย่อมดีกว่า 

“ข้าแค่เป็นห่วง อยากให้เด็กนั่นมีความสุข”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ รู้ดีว่าตนไม่มีทางช่วยเหลือจื่อฟางได้ ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องหนึ่งได้จึงหันมองเสิ่นจิ้งเฟย

“เขามีคู่ครองหรือไม่”

“ไม่มี แต่ก่อนเขาค่อนข้างเป็นคุณชายเจ้าสำราญ”เสิ่นจิ้งเฟยตอบไปเช่นนั้นแม้จะไม่ได้มีคนเข้าหาจื่อฟางมากมายก็ตาม  รับรู้ว่าถูกสายตาของหยางชวีตวัดมองอย่างไม่เชื่อนัก

“ข้าคิดว่าได้เวลาแล้ว น่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้มีโอกาสเล่นสนุกกับคุณชายคนงาม”ซูเหลียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่รอยยิ้มของนางคล้ายกับยาพิษเช่นเดียวกับฉายา เสิ่นจิ้งเฟยโคลงศีรษะ หยักยิ้มไปให้หญิงงามที่มองเขาเหมือนเห็นขนมหวาน หยางชวีได้แต่ปรายตามองหญิงสาว รู้ดีว่านางเคยถูกใจคุณชายเสิ่น แต่ว่าที่ผ่านมานางก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจเข้าหา   

เสิ่นจิ้งเฟยยกมือลูบรอยแผลเป็นข้างแก้ม นางออกปากบอกว่าจะรักษาให้ แต่เขาปฏิเสธต้องการเก็บไว้เป็นตราบาปย้ำเตือนว่าตัวเองเคยตัดสินใจทำเรื่องโง่ลงไป “ข้าไม่ได้มีใบหน้างดงามอีกแล้ว ฟังแล้วแสลงหู”



 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 09-02-2019 04:18:01


“จากกันตรงนี้ก็แล้วกัน คุณชายเสิ่น รักษาตัวด้วย ข้าหวังว่าสักวันจะได้พบกันอีก”ไป๋ผูอวี้ก้มศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนเหม่อมองท้องฟ้าดำมืดเบื้องบน แผนการพาเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีมีหยางชวีเต็มใจร่วมด้วย ต้องใช้เส้นทางนอกเมืองที่ไม่ผ่านประตูหลัก นั่นหมายถึงต้องผ่านชายป่าลึกแต่เขาเชื่อว่าหยางชวีสามารถดูแลความปลอดภัยแก่เจ้านายได้

ผู้ติดตามหน้าตายหันมองไป๋ผูอวี้และนางมารหมื่นพิษ ความจริงเขายังไม่หายโกรธแต่อย่างไรนางก็มีส่วนช่วยให้บาดแผลของเขาหายดีจึงพยักหน้าให้นางมารทีหนึ่ง

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตายไปเสียก่อน คุณชายเสิ่นผู้นี้ไม่ใช่คุณชายจื่อของเจ้า”ซูเหลียนฮวาเอ่ยเตือน นางรู้ดีว่าเจ้าคนหน้าตายไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด แต่เจ้านี่ยังเหมือนเด็กไม่รู้ความในเรื่องของความรัก นางไม่มีโอกาสได้ถามตรง ๆว่าหยางชวีชอบจื่อฟางที่ตรงไหน หากเป็นที่หน้าตา จะไม่สับสนกับเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงผู้นี้หรือ?  นางมารหมื่นพิษคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา 

“ข้ารู้”หยางชวีมองหน้าอีกฝ่ายที่คล้ายกับนึกถึงเรื่องสนุกๆอยู่ หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับเขากระมัง

“ถ้าเช่นนั้นไว้พบกัน”ชายหนุ่มบอกกับไป๋ผูอวี้ เสียงกระซิบของเขาก้องกังวานอยู่ในตรอกอันเงียบสงัด

ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจาง “ภายภาคหน้าข้าหวังว่าจะได้เจอเจ้าในฉางอัน”

การสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ หยางชวีค้อมกายไปยังทิศเมืองหลวง ได้แต่หวังว่าศิษย์พี่หานตงจะไม่เข้มงวดกับตนเองมากเกินไป เจ้าบ่าวเซ่อซ่านั่นด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ทำใจได้หรือยัง ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองคุณชายเสิ่นที่นั่งอยู่บนรถม้าศึกไม่พูดไม่จา

“ข้าน้อยฝากตัวด้วยขอรับ”หยางชวีคาราวะก่อนเหินกายขึ้นหลังอาชาคู่ใจ กระตุกบังเหียนเบา ๆ สายลมเย็นปะทะใบหน้าเมื่อม้าศึกพุ่งทะยานไปในม่านราตรีที่ปกคลุมเมืองเสียนหยาง เสิ่นจิ้งเฟยมองเงาร่างของไป๋ผูอวี้

“ขอบคุณ”คุณชายรูปงามเอ่ยกับสายลมหนาวเย็น ระหว่างที่ม้าศึกตะบึงออกไปตามตรอกมืดสนิท หยางชวีนึกถึงคุณชายจื่อฟางที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่มีวันได้พบกันอีกจึงถอนหายใจยาว

“ล่าก่อน คุณชาย”ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ มุ่งหน้าไปยังประตูทางออกอีกฝั่ง เตรียมตัวรับมือกับทหารเวรยามที่ต้องปะทะเพื่อมุ่งหน้าออกไปยังดินแดนห่างไกล


………….

ไป๋ผูอวี้กลับมาที่ห้องพักของตนอย่างไร้สุ้มเสียง เว่ยหลงเมื่อเห็นว่าเขากลับมาโดยไม่มีร่องรอยขีดข่วนก็โล่งใจสามารถงีบหลับได้เสียที ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออก เพิ่งล้มตัวนอนหลับได้ไม่เท่าไหร่ นายทหารด้านนอกก็เคาะประตูร้องเรียกเสียงดัง

“รองแม่ทัพไป๋!แย่แล้วขอรับ”เสียงนั้นเร่งร้อน คาดเดาว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มตีสีหน้าเคร่งเครียดพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด

“มีอะไรรึ”เขาเดินไปเปิดประตูต้อนรับขุนพลผู้นั้น เบื้องหลังอีกฝ่ายมีทหารเวรยามถือคบเพลิงสีหน้าเครียดเขม็งไม่ต่างกัน “ผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟยได้บุกด่านนอกประตูเมืองออกไปแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นก็ส่งกำลังค้นหา”เขาแสร้งทำสีตกใจก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเข้มงวดเผยแววเจ็บปวดเล็กน้อยเพื่อความสมจริง

“ขอรับ!”ขุนพลรับคำพร้อมนำกำลังออกไปติดตาม ไป๋ผูอวี้ได้แต่หวังว่าหยางชวีจะเอาตัวรอดได้ไม่เช่นนั้นที่ทำไปก็เสียเปล่า

วันรุ่งขึ้นข่าวจึงแพร่สะพัดออกไปว่าผู้ติดตามที่แสนจงรักภักดีได้บุกเข้าไปนำตัวเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีออกจากคุกอาญา นายทหารบางส่วนต่างก็พูดกันว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ทหารที่โดนโจมตีไม่ได้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเพียงแค่ทำให้หมดสติไปทั้งคืน ส่วนกำลังที่ส่งไปตามติดผู้หลบหนียังไม่ได้กลับมาไม่รู้เป็นตายร้ายดีเช่นไร ไป๋ผูอวี้ตีมึนได้อย่างแนบเนียนเมื่อมีผู้มาสอบสวนก็ตอบได้อย่างไม่ติดขัด ชายหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูแม่ทัพเมิ่งและฮ่องเต้เจี่ยผิง เขาได้แต่หวังว่าหยางชวีจะไปได้ไกลพอ 

    ไป๋ผูอวี้ปักหลักอยู่ที่เมืองเสียนหยางนานสิบสองวันเพื่อรอให้กองทัพทหารฟื้นกำลัง ในเวลานั้นเองก็มีข่าวสารจากเมืองลั่วหยางและค่ายซินเฉิง ฉบับแรกบอกว่ากำลังของสกุลไป๋จำนวนหนึ่งได้มาสมทบกองกำลังของแม่ทัพเมิ่งช่วยให้สถานการณ์ที่บีบคั้นดีขึ้น เกาโหยวอ๋องยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ขวัญกำลังใจของทหารฝ่ายนั้นย่อมลดลงตามลำดับเมื่อรู้ว่าหลิวอ๋องถูกรองแม่ทัพปราบได้ 

“ท่านพ่อยอมช่วยเหลือราชสำนัก?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อรู้ข่าวจากกุ้ยตาน มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับใต้เท้าเฉินชอบกล หากจะมีคนที่ท่านพ่อฟังก็มีแต่ชายแก่ผู้นั้น 

“นายท่านใหญ่เป็นคนจิตใจมีเมตตา ย่อมต้องช่วยเหลือเมื่อเกิดเรื่องเดือดร้อน”เว่ยหลงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงในลำคอเบา ๆ บิดาของเขาไม่มีทางยอมช่วยราชสำนักเด็ดขาด หรือว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ชายหนุ่มคลี่สารน์จากค่ายซินเฉิงด้วยสีหน้าราบเรียบ เป็นข้อความสั้น ๆที่ทำให้เขาใจกระตุก

‘ชาวหูบุกมาถึงกำแพงเมืองฉางอัน ฮ่องเต้เจี่ยผิงเปิดศึกรับมือ!’


   --------------------------------

   เจอกันตอนหน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-02-2019 05:38:07
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง รอตอนต่อไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-02-2019 07:14:55
เข้มข้นเหลือเกิน เราเจอนักเขียนหลอก อิอิ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 09-02-2019 07:31:03
คุณชายไป๋ทางนี้ต้องโดดเดี่ยวน่าสงสารจัง 
คุณชายไป๋ทางโน้นจะสานต่อกับจื่อฟางไหม
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 09-02-2019 08:22:55
ยกนิ้วให้เลยค่ะ เรื่องเข้มข้นจิงๆ อยากให้ทุกคนในเรื่องมีความสุข
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 09-02-2019 11:12:19
สุดดดดดยอดดดดด
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-02-2019 12:20:57
เข้มข้น เข้มข้น เข้มข้น นิยายรัก นิยายรัก ท่องไว้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 09-02-2019 13:30:25
จะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เจ้าทอนไม้ไป๋สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2019 13:39:10
ลุ้น :ling1: :ling1: :ling1:

คิดถึงจื่อฟาง   :z3:
น่าจะได้กลับมาอีกครั้ง  :impress2:
ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 09-02-2019 15:30:20
ลุ้นระทึกมาก


 :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-02-2019 17:45:29
โหหไม่คิดว่าเสิ้นจิ้งเฟยตัวจริงจะยังไม่ตาย สงสารคุณไป๋กับหยางชวีมาก  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 09-02-2019 22:40:16
เป็นตอนที่สนุกมากๆ เคลียร์ไปได้คนนึงยังต้องรับมือต่ออีก สุดยอด

เป็นกำลใจให้ท่อนไม้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 10-02-2019 00:19:44
สงสารคุณชายเสิ่่นเหมือนกันนะสะเทือนใจกับประโยคไม่มีใครรอข้าอยู่ อุแงง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 10-02-2019 00:26:53
ความสัมพันของจิ้งเฟยนี่ซับซ้อนดีจริงๆ
ส่วนตัวเราคิดว่าจิ้งเฟยรักฮ่องเต้
ส่วนพี่ฟู่เทียนสือคือเพื่อนที่ไว้ใจ
ที่พึ่งพาได้

รอวันที่ท่อนไม้ไป๋จะได้เจอกับจื่อฟางไม่ไหวแล้ว
มันต้องมีเหตุการณ์ให้จื่อฟางต้องมาอยู่ในร่างหลิวเซียนฟางแน่ๆ

ปราบหลิวอ๋องไปแล้ว  1 ราย
คราวนี้ก็องชายใหญ่สินะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2) P.22 09/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-02-2019 15:14:56
เจ้มจ้นสุดดดด
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 10-02-2019 21:56:42
 
บทยี่สิบเจ็ด : สู่บทเริ่มต้น



ณ เมืองหลวง ฉางอัน

ยามเหม่า(05.00 น. - 06.59 น.)บนป้อมปราการปรากฏเห็นร่างสองร่างยืนสังเกตการณ์มองไปยังพื้นที่ห่างไกลเบื้องหน้า ในกรอบสายตามองเห็นคบเพลิงเรียงรายจนเป็นแสงสว่างกลุ่มใหญ่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงสวมใส่ชุดนักรบทั้งร่าง สองมือจับธนูเหนี่ยวรั้งสายก่อนจะปล่อยเกาทัณฑ์พุ่งไปในอากาศ ปักทะลุเกราะของชนเผ่านอกด่านที่วิ่งกรูอยู่ในสนามรบ ร่างของเจ้าแผ่นดินองอาจอาบไปด้วยความสูงศักดิ์แม้จะผ่ายผอมไปจากเดิม ที่ปรึกษาเกาจวีถังยืนอยู่ข้างกายในมือถือสารน์จากเมืองลั่วหยาง

“มีข่าวจากลั่วหยาง”ที่ปรึกษาเกาเอ่ย ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มลดคันธนูลง รับสารน์มาจากอีกฝ่าย คิ้วขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักที่ฝั่งลั่วหยาง เกาโหยวอ๋องยึดเมืองไว้ได้ในตอนนี้ไม่รู้ว่ากำลังทหารจะต้านไว้ได้หรือไม่ การศึกที่เข้ามาทั้งสองทางทำให้เจี่ยผิงเครียดจนนอนหลับไม่สนิท น่าเสียดายนัก...เกาโหยวอ๋องมีฝีมือด้านการศึกแต่กบฏอย่างไรก็คือกบฏ ฮ่องเต้เจี่ยผิงเปิดสารน์อ่านด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ในใจเต็มไปด้วยความกังวล ผู้ส่งมาจากแม่ทัพเมิ่งประจำค่ายซินเฉิงได้บอกเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่นำทัพบุกด่านอู๋เสียจนแตกพ่ายจนสามารถเข้ายึดเสียนหยางได้ดังเดิม แต่กำลังของหลิวอ๋องหลบหนีไปยังเส้นทางชายป่า รองแม่ทัพไป๋นำกำลังเข้าติดตาม

เจี่ยผิงยกยิ้มเมื่ออ่านถึง ไป๋ผูอวี้ต้องการจัดการหลิวอ๋องจริง ๆ เนื้อความที่เหลือเล่าสถานการณ์ที่เมืองลั่วหยางที่นำกำลังเข้าช่วยเหลือโจมตีเกาโหยวอ๋อง สีหน้าของเจ้าแผ่นดินแฝงความยินดีระคนแปลกใจ ปราบกฏได้แล้ว สกุลไป๋ส่งกำลังเข้าช่วยเหลือ ชายหนุ่มอ่านสารน์จบก็ได้แต่ครุ่นคิดอย่างแปลกใจ ไป๋อู่เหยียนยอมส่งคนมาช่วยเหลือเช่นนี้เหนือความคาดหมายของเขานัก

“ข่าวดี?”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยถาม

“สถานการณ์ที่เมืองลั่วหยางคลี่คลายแล้ว แม่ทัพเมิ่งคุมสถานการณ์ไว้ได้ ผู้นำสกุลไป๋ส่งกำลังมาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวช้า ๆ เหลือแต่เพียงเมืองเสียนหยางที่หลิวอ๋องเจี่ยซินไปปักหลัก ยามนี้ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดจากรองแม่ทัพไป๋ เขาจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

“สกุลไป๋?”ที่ปรึกษาเกาแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แม้จะไม่เคยได้พานพบกับไป๋อู่เหยียนแต่ก็ทราบมาจากไป๋ผูอวี้ว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่อยากร่วมมือกับราชสำนักจนถึงขั้นขนของกลับเมืองบ้านเกิด

“คนสกุลนี้ออกจะแปลก ท่านว่าหรือไม่”ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวพึมพำ สายตาทอดมองไปยังด้านนอกกำแพงเมืองฉางอันที่กองกำลังทหารฝั่งตนเริ่มจัดทัพออกไปปะทะกับพวกชนเผ่าด้านนอก เขาประกาศให้ราษฎรอยู่ในความสงบอย่าได้แตกตื่น นำกำลังทหารตรวจตราทั้งคืน ตรอกซีหมานที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนยามนี้เงียบสงบ มีเพียงโรงน้ำชาหลิวซื่อที่มีพ่อบ้านและคนสกุลไป๋ราว ๆร้อยกว่าคนที่ยังไม่ได้ย้ายหนีไปที่ใด ชายหนุ่มเหนี่ยวรั้งสายธนูอีกครั้ง เกาทัณฑ์แหลมคมพุ่งปักทะลุชุดเกราะของศัตรูร่วงกองกับพื้น

“สหายเกา ท่านก็จับธนูเป็นเพื่อนเราเถิด”ชายหนุ่มเหนี่ยวสายธนูอีกครั้ง

เกาจวีถังได้แต่ถอนหายใจ “กระหม่อมไม่มีฝีมือ”เขาเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๊นไปสู้รบกับพวกคนป่าเถื่อนไม่ได้หรอก ฮ่องเต้หนุ่มออกคำสั่งให้นายทหารยิงธนูใส่พวกชนเผ่านอกด่านต่อไปเรื่อย ๆ เจ็บแค้นอยู่ในใจลึก ๆ ช่างอิ่นรวบรวมพวกชนเผ่าที่เคยถูกปราบในรัชสมัยก่อนมาเป็นปรปักษ์กับราชสำนักได้สำเร็จได้แก่พวกแคว้นปาสูชนเผ่าซือ แคว้นหนานเอี้ยนเผ่าเสียนเป่ย แคว้นเหลียงเผ่าตี หลังจากจบการศึกเจี่ยผิงต้องจัดการพวกชนเผ่าเหล่านี้ให้อยู่ในอำนาจราชสำนักอย่างเบ็ดเสร็จ

การศึกนอกประตูเมืองฉางอันกินเวลายืดเยื้อถึงหนึ่งเดือน กำลังพลของช่างอิ่นตั้งค่ายอยู่รอบนอกกดดันฮ่องเต้เจี่ยผิง กำลังทหารรับมือกับเหล่าชนเผ่าที่มีกำลังนับหมื่นได้ไม่ง่ายนักจึงทำได้เพียงสู้ประวิงเวลาไม่ให้ทัพของช่างอิ่นผ่านเข้ามาในกำแพงเมือง แม่ทัพเมิ่งและรองแม่ทัพไป๋ยังคงปักหลักอยู่ที่ลั่วหยางแม้จะปราบเกาโหยวอ๋องลงได้ แต่เหตุการณ์ทางนั้นยังไม่สงบเพราะชนเผ่านอกด่านได้บุกเข้ามาสร้างความวุ่นวาย สถานการณ์ภายในเมืองหลวงก็ไม่ต่างกันนัก รังแต่จะเข้าใกล้เส้นอันตรายเพราะถูกกองทัพของช่างอิ่นปิดทาง สิ่งที่เป็นปัญหาคือเสบียงอาหาร แม้ว่าฮ่องเต้จะลดอาหารการกินในวังหลวงแต่ก็ยังไม่เพียงพอ  ในเมืองจึงมีเหตุปล้นชิงเสบียงเป็นที่วุ่นวาย เดือดร้อนกันถ่วนหน้า

เสนาบดีเสิ่นมู่หยางที่ยังไม่ได้กลับเข้าราชสำนักไม่รู้นึกครึ้มอย่างไรออกมาตั้งกระโจมแจกจ่ายเสบียงอาหารให้แก่ชาวบ้านที่ไม่มีอันจะกิน ฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงเรียกประชุมท้องพระโรงเร่งแก้ปัญหา ชายหนุ่มนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สายตากราดมองไปยังเหล่าขุนนางที่ยืนแออัดกันแน่นไปหมดด้วยสายตาเยียบเย็น 

“กองกำลังทหารของเราจะยันพวกชนเผ่านอกด่านได้อีกนานเท่าใด”เจี่ยผิงเอ่ยถาม ไม่คิดว่าช่างอิ่นจะกดดันตนได้มากถึงเพียงนี้ ยังคงปักหลักตั้งค่ายอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองฉางอัน ก่อนหน้านี้สามวันชายหนุ่มเพิ่งได้รับรายงานว่ากองกำลังที่ส่งไปซุ่มโจมตีช่างอิ่นกลับเป็นฝ่ายถูกพวกเผ่าเสียนเป่ยลอบโจมตีเสียเอง

“กระหม่อมคิดว่าได้อีกไม่เกินหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะ หากยืดเยื้อนานกว่านี้กระหม่อมเกรงว่าจะต้านกำลังของพวกชนเผ่าไม่ไหว”เสนาบดีกรมทหารกล่าวตอบเสียงสั่น ไม่กล้าสบพระพักต์ของฮ่องเต้

“กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทประทับที่ตำหนักกุ้ยลี่เพื่อความปลอดภัย ในยามนี้ให้พวกกระหม่อมรับมือกับสถานการณ์จะเป็นการดีกว่า”ที่ปรึกษาเกาเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงนาบเนิบ ตำหนักกุ้ยลี่อยู่ห่างไกลจากประตูเมือง ประทับอยู่ที่นั่นย่อมปลอดภัยกว่า ขุนนางน้อยใหญ่ได้แต่ส่งเสียงเห็นด้วย คงมีเพียงที่ปรึกษาท่านนี้ที่กล้าออกปากในยามที่สถานการณ์ตึงเครียด ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ยินก็หัวเราะลั่น เสียงหัวเราะไร้ซึ่งอารมณ์ขันสะท้อนก้องอยู่ในท้องพระโรงสร้างความอกสั่นขวัญหายให้แก่เหล่าขุนนางใหญ่ยิ่งนัก

“ท่านจะบอกให้เราหลบหนี? เราไม่คิดหนี เราจะร่วมการศึก เส้ากงกงเตรียมชุดเกราะให้เราเดี๋ยวนี้”สิ้นคำกล่าวของฮ่องเต้เจี่ยผิง เหล่าขุนนางใหญ่และขันทีต่างก็คุกเข่าหมอบกราบคัดค้านเป็นการใหญ่

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท โปรดถนอมพระองค์ด้วย เรื่องนี้…เรื่องนี้กระหม่อมจะหาทางแก้ไขสถานการณ์เองพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดคิดไตร่ตรองอีกทีเถิด”เสนาบดีกรมทหารคุกเข่าโขกศีรษะเสียงดังก้อง น้ำตาไหลเปื้อนหน้า มิใช่เพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะตาย แต่เพราะกลัวว่าหัวของตนจะหลุดจากบ่าต่างหาก เป็นที่รู้กันว่าช่างอิ่นหรือพระนามเดิมเจี่ยอี้สายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นชาวหูย่อมชำนาญการบ พวกเขาจะปล่อยให้ฮ่องเต้กระทำการเสี่ยงได้อย่างไร เหล่าขุนนางต่างก็รู้ดีว่าฝ่าบาทกำลังทำการข่มขู่ 

“เราจะไม่ยอมให้มีพวกคนเถื่อนนอกกำแพงมาเขนฆ่าราษฎรในเมืองหลวงเด็ดขาด ฉะนั้นจัดการช่างอิ่นที่นอกกำแพงเมืองให้ได้!”เจี่ยผิงประกาศกดดัน กล่าวจบก็ลงจากบัลลังก์มังกรออกไปทางประตูข้างโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนาง ที่ปรึกษาเกาจวีถังได้แต่เดินตามออกไปเงียบ ๆ

“ฝ่าบาท กดดันพวกเขาไปก็เปล่าประโยชน์ กองทัพยันพวกชาวหูและเผ่านอกด่านได้ถึงเพียงนี้ก็เต็มกลืนแล้ว”เกาจวีถังกล่าวเสียงนุ่ม แต่กลับยิ่งทำให้เจ้าแผ่นดินมีโทสะ ในอกคล้ายกับถูกแผดเผา เจี่ยผิงไม่คิดว่ากำลังของราชสำนักจะอ่อนแอจนสู้คนเถื่อนไม่ได้ ต้องมีบางอย่างผิดพลาด ทหารที่เขาส่งไปนับหมื่นจะทำพวกนั้นไม่ได้เลยหรือ?ยิ่งนึกถึงกองกำลังที่ถูกเผ่าเสียนเป่ยซุ่มโจมตีก็ยิ่งโกรธแค้น

“เราจะไปตรวจสถานการณ์ที่ป้อมปราการณ์”

“ฝ่าบาท สถานการณ์หน้าประตูเมืองไม่ดีนัก กระหม่อมเกรงว่า...”เส้ากงกงส่งเสียงแย้ง แต่ชายหนุ่มหาได้ฟังไม่ ยามนี้เขาต้องหาที่ระบายอารมณ์ พวกคนเถื่อนที่อยู่นอกกำแพงนั่นอย่างไร ฮ่องเต้เจี่ยผิงสวมชุดนักรบมาถึงกำแพงเมืองฉางอันก็มุ่งตรงไปที่ป้อมตรวจการณ์ทันที เหล่าทหารต่างก็คุ้มกันอย่างเคร่งครัด บรรยากาศยิ่งตึงเครียด สีพระพักต์ของฮ่องเต้บ่งบอกแล้วว่าสถานการณ์ในยามนี้เข้าขั้นวิกฤติ มองเห็นกองกำลังโรมรันสู้รบอย่างไม่ยอมแพ้ ห่างออกไปมองเห็นกระโจมใหญ่ของช่างอิ่นผู้นั้นก็ได้แต่กำมือแน่น หยิบคันธนูจากนายทหารมาเหนี่ยวยิง

“ทางด้านบัณฑิตหลิวเป็นอย่างไร”ฮ่องเต้ปรายตามองร่างขององครักษ์กู้หมิง แม้จะส่งองครักษ์มีฝีมือไปเฝ้าที่วัดซิงเจียวแต่เขาก็ยังเป็นห่วงรัชทายาทและฮองเฮา ส่วนเฮ่อเจ๋อยังไม่กลับจากการสอดแนมศัตรูที่ด้านนอก

“ปกติดีพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินกู้หมิงบอกชายหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

“ฝ่าบาท กลับเข้าไปด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เส้ากงกงร้องขออย่างเป็นกังวล ร้อนใจยิ่งที่เจ้าแผ่นดินไม่ยอมหลบหนี

“หากท่านได้รับบาดเจ็บ ราษฎรจะยิ่งเสียขวัญ”เกาจวีถังที่อยู่ข้างกายเอ่ยเสริมบ้าง เจ้าแผ่นดินรู้สึกเหมือนได้ฟังบทสวดบางอย่างจึงยกยิ้มขึ้น

“เรื่องแค่นี้คิดว่าเราไม่รู้หรือ เรามิได้จะลงไปร่วมในสนามรบเสียหน่อย”ชายหนุ่มเอ่ย เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ในท้องพระโรงก็ยกยิ้มขึ้น เขาเพียงต้องการข่มขู่ให้ขุนนางพวกนั้นตื่นตัว ฮ่องเต้หนุ่มย่อมรู้ดีว่าในยามนี้ตนจะเป็นอะไรไม่ได้

“เจี่ยผิง ท่านดื้อด้านนัก”เป็นครั้งแรกที่เกาจวีถังเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเช่นมิตรสหาย แม้แต่ก่อนองค์ฮ่องเต้จะไม่ถือยศข่มอำนาจกับที่ปรึกษาแต่เขาก็ไม่เคยคิดกล่าววาจาสนิทสนม ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ยินชื่อของตนจากสหายก็ลดคันธนูลงเล็กน้อย

“คงมีแต่ท่านกระมังที่ทนได้”ฮ่องเต้หวนนึกไปถึงคุณชายรูปงามที่ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว มีเพียงร่างกายว่างเปล่าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

ล่วงเลยไปอีกสิบวันฮ่องเต้เจี่ยผิงและที่ปรึกษาเกามาตรวจดูเหตุการณ์นอกกำแพงฉางอันที่ป้อมปราการณ์เกือบทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้กระแสการต่อต้านของชาวบ้านเริ่มลดน้อยลง ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้แต่ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเมื่อที่ปรึกษาเกาเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ที่ฝ่าบาทดื้อดึงในท้องพระโรงก็เพราะอยากให้เป็นเช่นนี้เองงั้นหรือ”เกาจวีถังลืมนึกถึงเรื่องกระแสต่อต้านการปกครองของอีกฝ่ายไปเสียสนิท เพราะการศึกที่กินเวลานาน เหลือเพียงอ๋องอีกสองคนเท่านั้นที่ยังเหลือรอด แต่จากสายสืบรายงานมาว่าทั้งสองคนได้หลบหนีออกจากเมืองท่าที่ยึดไว้ กำลังคนของฮ่องเต้กำลังไล่ตามเพื่อนำกลับมารับโทษ เขาไม่มีวันปล่อยให้พวกกบฏหนีรอดเด็ดขาด

“ฝ่าบาท”เส้ากงกงนำจดหมายมาส่ง ชายหนุ่มรับมาคลี่ดูมิใช่จดหมายเร่งด่วนหรือสารน์ลับใด แต่เมื่อกวาดสายตาอ่านจนจบก็ได้แต่นิ่งงัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เหล่าทหารที่อยู่รอบบริเวณต่างก็ลอบมองหน้ากันอย่างแปลกใจ เสียงหัวเราะที่สะท้อนก้องเป็นเสียงหัวเราะอย่างเปิดเผยอย่าง เกาจวีถังได้แต่พินิจมองอีกฝ่าย นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของคนผู้นี้

“มีเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”ที่ปรึกษาเอ่ยถามอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

“เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตาย…”ฮ่องเต้เจี่ยผิงพึมพำเบา ๆราวกับยังไม่อยากเชื่อ ในอกคล้ายกับมีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่“เขายังไม่ตาย”ชายหนุ่มกวาดตามองจดหมายในมืออีกครั้ง

‘เสิ่นจิ้งเฟย ยังมีชีวิต ร่างที่อยู่ในกองเพลิงเป็นเพียงคนหน้าเหมือน ยามนี้ผู้ติดตามได้พาหลบหนีออกไปจากเสียนหยางแล้ว’

“จริงหรือ...ข้า...กระหม่อมยินดีด้วย”ที่ปรึกษาเกาได้แต่เอ่ยไปเช่นนั้น สีหน้ามีแววงุนงงชัดเจน แม้จะยังมึนงงว่าเป็นไปได้อย่างไร แล้วร่างที่อยู่ในโลงแก้วนั่นเล่า?แต่หากว่ามีจดหมายมาจากสายสืบเช่นนี้ก็แสดงว่ามีเรื่องราวเบื้องหลัง ได้แต่คิดสงสัยว่าพระองค์จะทำเช่นไรต่อ

ผู้เป็นฮ่องเต้รู้สึกราวกับน้ำหนักที่กดทับอยู่บนอกปลิวหายไปกับสายลม เขาพลิกจดหมายในมือเล่น “เขามีชีวิตอยู่ แต่ดูเหมือนไม่อยากเจอเรา ช่างเถิด เราอยากให้เวลาเขาท่องเที่ยว เรายังมีเรื่องที่ยังอยากสนทนาค้างคากับจิ้งเฟย”หากจบการศึกกับช่างอิ่นแล้วค่อยว่ากัน

“นำร่างในโลงแก้วไปเผา”เขาเอ่ยสั่งกับเส้ากงกงด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก นึกแล้วก็แค้นเจี่ยซินนักให้เขาอาลัยอาวรณ์ร่างของผู้อื่นมาหลายเดือน

สถานการณ์ในสนามรบด้านนอกกำแพงเมืองฉางอันยังคงสงบนิ่ง ทั้งสองฝ่ายกำลังดูเชิง ทันใดนั้นได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ดังไปก้องทั่วบริเวณ กำลังพลกลุ่มใหญ่เห็นเป็นเงาทะมึนเคลื่อนตัวมาใกล้ กองทัพนำโดยท่านแม่ทัพเมิ่งและรองแม่ทัพไป๋มาสมทบกำลังทหารที่เริ่มอ่อนแรงได้อย่างทันเวลาทำให้สถานการณ์เปลี่ยน

ทางด้านค่ายของอดีตองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ ภายในกระโจมใหญ่ชายหนุ่มกำลังหารือกับกุนซือทัวป๋าฉงเมื่อเห็นว่ากำลังเสียเปรียบก็คิดว่าถึงเวลาใช้แผนนั้นแล้ว   

“คุณชายอี้จะให้เขาลงมือเลยงั้นหรือ”หัวหน้าแคว้นเหลียงชนเผ่าตี เล่อไห่ผิงเอ่ยถาม การร่วมศึกครั้งนี้เขายังลังเลอยู่มาก แม้เคยถูกแผ่นดินเจี่ยรุกรานจนราบคาบ แต่ที่ผ่านมาราชสำนักก็ดูแลไม่ขาดตกบกพร่องจึงไม่ใคร่สบายใจนัก เล่อไห่ผิงกำลังดูทิศทางลมหากคุณชายอี้ท่านนี้มีลางจะแพ้สงคราม เขาจะนำกำลังหลบหนี ไม่อยู่รอให้ฮ่องเต้แผ่นดินเจี่ยมาตามฆ่าตน

“ข้าไม่ต้องการให้สถานการณ์ตกเป็นรอง”เจี่ยอี้เอ่ยตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาจะทำลายเจี่ยผิงช้า ๆ ได้ข่าวว่าเสิ่นจิ้งเฟยชายที่ทรงโปรดคนนั้นตายไปแล้ว หากมีคนตายอีกสักคน บุรุษเช่นเจี่ยผิงจะไม่สั่นสะเทือนเลยก็เป็นเทพเซียนแล้ว เขายกยิ้มเมื่อนึกถึงแผนของตน

เจี่ยผิง ข้าจะให้ท่านได้รับรู้รสชาติของการถูกตลบหลัง

……...
วันรุ่งขึ้นช่างอิ่นคุมกำลังต่อสู้กับทหารราชสำนักตั้งแต่ยามอิ๋น(03.00 น. - 04.59 น.) เสียงม้าศึกกับเสียงกู่ร้องประหลาดดังแว่วให้ได้ยิน พาให้ผู้คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงเมืองหวาดหวั่น ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงสังเกตการณ์อยู่ที่ป้อมเช่นเคย ที่ปรึกษาเกาอยู่เคียงข้างพร้อมด้วยเส้ากงกง 

“ฝ่าบาท!”เฮ่อเจ๋อที่ออกไปสอดแนมกลับมาด้วยสีหน้าเร่งร้อน ทั้งยังมีร่องรอยของการต่อสู้ตามร่างกาย ฮ่องเต้หนุ่มหมุนกายมองทันที  “เกิดเรื่องใดขึ้น”

“วัดซิงเจียวถูกโจมตี องค์รัชทายาทถูกจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์คนสนิทรายงาน เจี่ยผิงใจกระตุกวูบรีบสาวเท้าไปหาชายในอาภรณ์สีเข้มทันที

“แล้วฮองเฮาเล่า”

“ยังไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อได้แต่ก้มหน้าคุกเข่าตัวสั่นงันงก ที่ปรึกษาเการับรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น นึกเป็นห่วงสหายของตนแต่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยถามเพราะเรื่องของฮ่องเต้ย่อมสำคัญกว่า 

“ผู้ใดลงมือ”เจี่ยผิงเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ มือกำแน่นด้วยโทสะ 

“กระหม่อมกำลังให้กองกำลังลับเร่งตรวจสอบ…”เฮ่อเจ๋อตอบคิดว่าเรื่องนี้มีกลิ่นแปลกๆ “คาดว่ามีคนในร่วมมือด้วยขอรับ”

“หรือจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสอวิ๋น…”ที่ปรึกษาเกาพึมพำ เฮ่อเจ๋อไม่ได้เอ่ยตอบในทันทีนึกไปถึงสภาพการบุกรุกก็พบว่าฝีมือของคนผู้นั้นช่างคุ้นตายิ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าสบพระพักต์เจ้าแผ่นดินเป็นครั้งแรก

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเป็นกู้หมิง”เกิดความเงียบอันน่าหวาดกลัวเกิดขึ้น เจี่ยผิงคิดว่าตนหูฝาดไป รอบตัวคล้ายหยุดนิ่ง กู้หมิงองครักษ์ของเขาน่ะหรือร่วมมือกับช่างอิ่นผู้นั้น ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

“กู้หมิง...เขามีเหตุผลใดให้ร่วมมือกับพวกนั้น มิใช่ว่าเขาอยู่กับเรามาตั้งแต่สมัยยังเป็นรัชทายาทหรือ”ฮ่องเต้หนุ่มไม่เข้าใจ กวาดตามองไปยังสนามรบด้านนอกกำแพงเมืองด้วยจิตใจเย็นเยียบ ทหารยังคงสู้รบ สถานการณ์ฝั่งเขากำลังดีขึ้น ช่างอิ่นก็เลยใช้วิธีนี้กดดันอย่างนั้นหรือ จับตัวองค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไปมีเหตุผลเดียวเท่านั้น ความหวาดหวั่นกัดกินอยู่ในจิตใจ

“ฮ่องเต้เจี่ยผิง…”เกาจวีถังเอ่ยเรียก ไม่ทันได้พูดสิ่งใด เสียงความวุ่นวายจึงดังก้องไปทั่วบริเวณกำแพงเมือง มองไปรอบตัวจากด้านบนก็พบว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายล้อมป้อมปราการณ์ไว้ ควันไฟพวยพุ่งจากจุดที่ไกลออกไปเป็นทิศที่วัดซิงเจียวตั้งอยู่ ชาวบ้านต่างก็ส่งเสียงโวยวายเมื่อกองกำลังป่าเถื่อนบุกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทหารราชสำนักต่างก็กรูมาปกป้องราษฏรเป็นที่วุ่นวาย การบุกโจมตีไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นภายใน

เฮ่อเจ๋อผิวปากเรียกกองกำลังลับคุ้มครององค์ฮ่องเต้ทันที เจี่ยผิงกำมือแน่นเมื่อมองเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเอง มีผู้บุกรุก?หรือเป็นฝีมือของกู้หมิงจริง ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ให้อภัยไม่ได้ กองกำลังทหารกลุ่มใหญ่ต่างก็ตั้งรับการโจมตีบริเวณทางขึ้นกำแพงเมืองฉางอัน  เวลานี้ฮ่องเต้เจี่ยผิงตรวจดูสถานการณ์อยู่บนป้อมปราการณ์ นายทหารต่างก็รู้ดีว่าจะให้ผู้บุกรุกเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด ว่าแต่ผู้ใดบังอาจกล้าสร้างความวุ่นวายในเวลานี้? เมื่อกลุ่มนายทหารเห็นว่าผู้บุกรุกอย่างอุกอาจเป็นผู้ใดก็ตกตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีเข้มเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้เจี่ยผิงผู้หนึ่งนามว่ากู้หมิง ร่างนั้นนำกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกทำร้ายชาวเมือง มีคำอธิบายได้อย่างเดียว...กบฏ

“องค์รัชทายาท!”ทหารผู้หนึ่งร้องเรียกด้วยความตระหนก เมื่อเห็นว่ามีชายชราผู้อยู่ในกลุ่มกองกำลังนั้นผลักร่างองค์ชายรัชทายาทมาเบื้องหน้า รัชทายาทเจี่ยอิงต้าในวัยสิบเอ็ดปีถูกจับมัดมือไพล่หลังเดินโซเซอย่างอ่อนแรง คมดาบจ่ออยู่ที่ลำคอเล็ก แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ยอมเผยให้เห็น ดวงตาคู่นั้นกลอกมองไปรอบ ๆอย่างตื่นตัว

“ปล่อยตัวองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้!”เสียงตวาดของเฮ่อเจ๋อดังขึ้นที่กำแพงเมืองด้านบน ร่างสูงศักดิ์ของฮ่องเต้เจี่ยผิงปรากฏกาย คล้ายกับมีบรรยากาศกดดัน องครักษ์ลับคุ้มกันอย่างแน่นหนา 

“เสด็จพ่อ ช่วยลูกด้วย”องค์ชายเจี่ยอิงต้าส่งเสียงอย่างอ่อนแรง ตนถูกพาเดินทางมาจากวัดซิงเจียวค่อนข้างไกล กบฏพวกนี้ปฏิบัติต่อเขาราวเชลยศึก รัชทายาทรู้สึกลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในวัดซิงเจียว เสด็จแม่และท่านอาจารย์ต่างก็ถูกคนชั่วทำร้าย…

เจี่ยผิงรู้สึกว่าเลือดกายในร่างเดือดพล่าน เมื่อมองเห็นเจี่ยอิงต้าถูกมัดมืออยู่ในสภาพอ่อนแอ เขาปรายตามองกองกำลังของช่างอิ่นด้วยความโกรธแค้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่กู้หมิงอยู่นาน สายตาคู่นั้นราวกับต้องการฉีกเนื้อของอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ เฮ่อเจ๋อได้แต่ข่มความโกรธแค้นผิดหวังอยู่ในส่วนลึก มองกู้หมิงเช่นกัน ไม่นึกว่าสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายคอยปกป้ององค์ฮ่องเต้แท้จริงแล้วจะภักดีต่อคนเถื่อนช่างอิ่นมาโดยตลอด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ

ที่ปรึกษาเกาแม้หวาดหวั่นแต่ก็ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ยังคงท่าทีสง่าเช่นเคย สังเกตกองกำลังของฝ่ายนั้นพบว่ามีราว ๆห้าร้อยคน หากรัชทายาทถูกจับตัวมาได้เช่นนี้หลิวเซียนฟางสหายของตนจะยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ แต่ไม่ทันได้คิดร่างหนึ่งที่นำกำลังทหารมาด้วยก็ปรากฏกายเรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าทหาร หลี่ลั่วหวั่น เกาจวีถังรู้เย็นเยียบไปทั้งร่าง รู้อย่างนี้ยอมให้ฮ่องเต้มอบสุราพิษให้แก่คนผู้นี้เสียก็ดี

“ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกท่านจนตรอกถึงต้องใช้วิธีนี้กดดันเรา”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน กวาดตามองกำลังพลของช่างอิ่นที่ล้อมรอบอย่างขู่ขวัญ 

“จนตรอกหรือ กระหม่อมคิดว่าใช้คำนี้ไม่ถูกนัก”ผู้อาวุโสอวิ๋นก้าวมาเบื้องหน้า รอยยิ้มอย่างชายชราผู้ใจดีปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น

“ฝ่าบาท ลงมาเจรจาด้วยคำพูดไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องมีผู้ใดเจ็บตัว”อวิ๋นเซียนหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม 

เจี่ยผิงปรายตาเฒ่าและหลี่ลั่วหวั่นด้วยสายตาเย็นชา “เราไม่มีเรื่องใดจำเป็นต้องเจรจา ปล่อยตัวรัชทายาทมิเช่นนั้น…”ชายหนุ่มหยุดพูด ใจกระตุกวูบเมื่อมองเห็นกู้หมิงที่กดปลายดาบลงบนลำคอของเจี่ยอิงต้ามากขึ้น รัชทายาทเม้มริมฝีปาก ใบหน้าซีดเผือด มองจากตรงนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าร่างกายสั่นเทา

“เวลานี้กระหม่อมไม่คิดว่าพระองค์จะมีสิทธิ์ต่อรอง ทำตามที่กระหม่อมร้องขอเถิด”ผู้อาวุโสอวิ๋นกล่าวเสียงนุ่ม

“หุบปาก!ปล่อยตัวองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้!”เฮ่อเจ๋อคำรามอย่างแค้นเคือง

“การเจรจาย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงกระจ่างแจ้งดี กระหม่อมอยากร้องขอให้พระองค์ทรงเปิดประตูเมืองต้อนรับองค์ชายใหญ่และเหล่าสหาย จะได้ไม่ต้องมีพลทหารและราษฎรเจ็บตัว”ชายชราเอ่ยซ้ำเน้นย้ำทุกคำพูดราวกับต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างชัดเจน ฮ่องเต้ปล่อยเสียงหัวเราะเย็นชา 

“เจรจา?ผู้อาวุโสอวิ๋นได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียวเช่นนี้เราไม่นับว่าเป็นการเจรจา อีกอย่างท่านคงลืมไปแล้วกระมังว่าเราปลดช่างอิ่นออกจากตำแหน่งองค์ชายแล้ว เขาเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ คิดวางแผนการอยู่เงียบๆว่าจะนำตัวรัชทายาทออกมาได้อย่างไร กู้หมิงมีฝีมือ คงไม่ปล่อยให้คนมาชิงตัวเจี่ยอิงต้าได้ง่ายๆ ให้เขาเลือกระหว่างชีวิตราษฏรกับโอรสของตนเองมันไม่เป็นตัวเลือกที่ลำบากไปหน่อยหรือ เจี่ยอิงต้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงเพียงนั้น ...แต่หากยอมเปิดประตูเมืองย่อมหมายถึงยอมแพ้ แม้อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินแต่เจี่ยผิงก็ยังมีความหวาดกลัว

“ฝ่าบาท หากท่านไม่ยอมตัดสินใจ กระหม่อมไม่แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะปลอดภัยหรือไม่”สิ้นคำพูดของฝ่ายนั้น ทหารองครักษ์ต่างก็เครียดเขม็งไปทั้งร่าง รอคอยคำสั่งของเจ้าแผ่นดิน เจี่ยผิงยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยแม้ในใจจะถูกแผดเผาไปด้วยความร้อนรน

รัชทายาทที่อดทนมานานเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ “เสด็จพ่อ”เจี่ยอิงต้าร้องเรียก แต่ก็รีบหยุดปากเมื่อรับรู้ถึงคมมีดกดที่ผิวกาย ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงนิ่งเฉย เหล่าทหารต่างก็พากันกลั้นหายใจอย่างอกสั่นขวัญหาย

“ฝ่าบาท…”ที่ปรึกษาเกาเรียกเบา ๆรู้ดีว่ายามนี้เจี่ยผิงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หากยอมให้พวกชนเผ่านอกด่านเข้ามานั่นหมายถึงหายนะ ไม่มีที่สำหรับผู้แพ้ ชายหนุ่มกวาดตามองสนามรบด้านนอก ยามนี้กำลังทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังคงสลับรุกรับเข้าปะทะวุ่นวาย

ฮ่องเต้เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ เขาจะต้องเลือกจริงๆน่ะหรือ?ยิ่งมองเห็นสีหน้าและแววตาจององค์รัชทายาทก็ยิ่งทำให้ตัดสินใจได้ยาก

~•~
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 10-02-2019 21:57:21
 

 

‘ทิ้งเสิ่นจิ้งเฟยคนเก่าไว้ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่’


จื่อฟางสะดุ้งตื่นด้วยเหงื่อโทรมกาย กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่ายังนอนอยู่ในหอพักของตนอยู่เช่นเคยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“…ฝันแบบนี้อีกแล้ว”เด็กหนุ่มพึมพำพลิกตัวเอาหน้าซุกหมอน หลิวอ๋องตามหลอกหลอนในความฝันมาหลายสิบวัน น่ากลัวจริง ๆแต่ก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้ว่าท่านอ๋องวางแผนทำให้ผู้คนคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยตาย อันที่จริงเขาน่าจะฝันถึงไป๋ผูอวี้มากกว่าน่าแปลกตั้งแต่กลับมาก็ที่เขาไม่ได้ฝันถึง มีเพียงความคิดยามมีสติเท่านั้นที่วนเวียนถึงคนที่อยู่อีกโลกหนึ่ง

เด็กหนุ่มพลิกตัวลงจากเตียง มองเวลาก็พบว่าเกือบสี่โมงเย็นแล้วจึงรีบเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย มีสถานที่หนึ่งที่เขามักยอมเสียเงินไปทุกอาทิตย์ กำแพงเมืองซีอาน จื่อฟางแค่อยากไปนั่งเหงาๆยามเย็นเท่านั้นแม้บางครั้งนักท่องเที่ยวจะเยอะจนรบกวนอารมณ์ เขามักนำกระดานสเก็ตติดตัวเข้าไปด้วย เขาเลิกหวังลมๆแล้งๆถึงไป๋ผูอวี้เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแค่ยังคิดถึงไป๋ผูอวี้อยู่บ่อย ๆเวลาเจอหน้าไป๋อี้เสวี่ย

เรื่องของไป๋อี้เสวี่ยก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เวลาเจอในห้องเรียนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ารู้จักกันเขาได้คุยกับฝ่ายนั้นเฉพาะช่วงที่ไปตรวจอาการกับคุณหมอไป๋หยางจิงเท่านั้น เด็กหนุ่มขอข้อมูลเว่ยป๋อของคนเขียนนิยายแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนเขียนมีคนติดตามเยอะไม่รู้ว่าจะเห็นข้อความของเขาหรือเปล่าแต่ทักไปพูดคุยก็เท่านั้น

จื่อฟางแต่งตัวเสร็จก็คว้ากระดานสเก็ตและกระเป๋าเป้ใบใหญ่นั่งรถบัสไปลงที่กำแพงเมืองซีอานกว่าจะถึงก็เป็นเวลาห้าโมงเย็น แสงอาทิตย์สาดส่องไปตามกำแพงโบราณที่ทิ้งร่องรอยประวิติศาสตร์ไว้ในเมืองอันวุ่นวายเขากวาดตามองรอบ ๆก็นึกถึงบรรยากาศเก่าๆอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มเดินทอดน่องไปตามทางช้าๆ ผ่านผู้คนที่เดินผ่านไปมา  มองเห็นม้านั่งว่างอยู่ก็รีบเข้าไปจับจองทันที เริ่มลงมือร่างภาพในจินตนาการเช่นทุกครั้ง ใช้เพียงดินสออีอีขีดร่างเป็นเส้นหวัด ย้ำแสงเงาเป็นบางจุด ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงถึงเสร็จ

เขากวาดตามองภาพในกระดาษมีเงาร่างของคนสองคนในชุดโบราณมองพระอาทิตย์ตกบนกำแพงเมือง ทุกครั้งที่วาดเสร็จเขาก็ลงขายในเว็บ ไป๋อี้เสวี่ยเป็นลูกค้าประจำ จื่อฟางนั่งกอดเข่ามองท้องฟ้าที่ยังคงกระจ่าง เส้นแสงสีทองสาดตกมาตามช่องกำแพง สายลมพัดเอื่อย ๆต้องหน้า มองภาพถนนสมัยใหม่และตึกสูงปะปนไปกับตัวเมืองโบราณที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เขารู้สึกว่าถูกจ้องมองจึงหันไปทางซ้ายมือพบกับร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนอยู่ไม่ไกลนัก ชั่วครู่หนึ่งที่เขาคิดว่าเป็นไป๋ผูอวี้จึงเผลอลุกยืนด้วยความดีใจ รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า

แต่เมื่อร่างนั้นก้าวเข้ามาใกล้ก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา ไป๋อี้เสวี่ย รอยยิ้มจึงลดลงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองอย่างห้ามไม่ได้ ไป๋อี้เสวี่ยยืนมองเขาท่ามกลางแสงอาทิตย์ก่อนตัดสินใจก้าวเข้ามาใกล้กับเก้าอี้ที่เขาจับจองอยู่

“นายมานั่งเหม่อที่นี่อีกแล้ว”ร่างนั้นเอ่ยทัก จื่อฟางได้แต่ทิ้งตัวนั่งเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง

“เวลานายเห็นฉัน ชอบทำหน้าเหมือนเห็นผีทุกที”ไป๋อี้เสวี่ยพึมพำ รู้ดีว่าจื่อฟางทำสีหน้าแบบนี้เพราะอะไร เพราะเป็นสีหน้าแบบเดียวกับเมื่อตอนที่ฟื้นในโรงพยาบาล อีกฝ่ายคาดหวังว่าจะได้เห็นใคร

“ไม่มีอะไร”จื่อฟางตอบสั้นๆ รู้สึกฝาดเฝื่อนในลำคอชอบกล

“คิดว่าฉันเป็นแฟนของนายหรือไง”อีกฝ่ายบอกว่าเขาหน้าเหมือนแฟน แฟนเก่าล่ะมั้งเพราะไป๋อี้เสวี่ยไม่เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้จะคบกับใคร

 ดูเหมือนคำพูดของไป๋อี้เสวี่ยจะจี้ใจดำเพราะอีกคนนิ่งเงียบไปดวงตาคล้ายกับมีประกายน้ำ แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำตัวไม่ถูก

“เฮ้ย นายอย่าร้อง…”คนตัวสูงรีบนั่งลงข้างๆ

“ฉันไม่ได้ร้อง”จื่อฟางพึมพำเมื่อกี้…เขานึกว่าเป็นไป๋ผูอวี้จริง ๆ ได้แต่ถอนหายใจทอดสายตามองรถที่วิ่งผ่านถนนไปมาอย่างไร้จุดหมาย

ไป๋อี้เสวี่ยเหลือบมองกระดานสเก็ตก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยมานาน

“ทำไมนายไม่เรียนอาร์ตน่าจะสนุกกว่ามานั่งหลับในห้องบรรยาย”

“คำสั่งจากเบื้องบน”เด็กหนุ่มตอบติดตลกไป๋อี้เสวี่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เคยพบผู้ใหญ่ทั้งสองมาก่อนจึงพอจะรู้ว่าครอบครัวของจื่อฟางเป็นแบบไหน โดยเฉพาะคนพ่อที่ค่อนข้างดุ แค่เขาบังเอิญเจออีกฝ่ายเพราะมาส่งจื่อฟางหลังกลับจากโรงพยาบาล นายจื่อชุนซิงถึงกับจ้องหน้าเขาจนรู้สึกกระอักกระอ่วน จื่อฟางได้แต่บอกกลายๆว่าพ่อเป็นคนหัวโบราณ

“นี่ ไป๋อี้เสวี่ย ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ”อยู่ ๆจื่อฟางก็เอ่ยถาม สายตายังคงทอดมองท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสง

“ว่ามาสิ”เขามองหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย สายลมที่พัดมาเอื่อย ๆทำให้เส้นผมยาวประบ่าของร่างนั้นระใบหน้า เด็กหนุ่มต้องกำมือพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เอื้อมไปปัดเส้นผมออก

“ถ้าเป็นนายนายจะเลือกอยู่ในความฝันที่เหมือนความจริงหรือเปล่า”

“….ความฝันที่เหมือนความจริง?ตอบยากเหมือนกันนะ”เขายกยิ้มเมื่อนึกถึงความฝันของตัวเอง เขายังคงฝันประหลาดอยู่บ่อย ๆและทุกครั้งที่ฝันก็ยิ่งเพิ่มระดับความเรตมากขึ้นไปอีกจนเด็กหนุ่มไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกอันน่าสับสนได้อย่างไรจึงทำได้แค่อยู่ห่าง ๆจื่อฟาง ยกเว้นวันนี้ที่มีความรู้สึกว่าต้องมาที่นี่

“ว่ายังไงดีล่ะ คนที่อยากอยู่ในโลกของความฝันก็คงมีแต่คนที่ไม่มีความสุขกับชีวิตจริง ถ้าหากว่าฉันไม่มีความสุข ฉันก็คงเลือกอยู่ในความฝันล่ะมั้ง”ไป๋อี้เสวี่ยหันมองคนข้างกายที่คล้ายจะนิ่งงันไปจึงยกยิ้ม

“นายล่ะ อยากอยู่ในความฝันเพราะตอนนี้นายไม่มีความสุขเหรอ”คำถามของไป๋อี้เสวี่ยกระแทกใจของจื่อฟางเข้าอย่างจัง ตอนนี้นายมีความสุขหรือเปล่า? แม้จะรู้คำตอบดีแต่เขาไม่ได้เอ่ยตอบ จื่อฟางได้ชีวิตของตัวเองกลับมา ไม่มีเรื่องเสี่ยงตาย ไม่ต้องเจอคนน่ากลัวอย่างหลิวอ๋อง แต่ว่าในโลกนั้นเขามีจางต้า มีหยางชวีแล้วก็มีไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างนึกเสียใจ เสียใจที่ตัวเองตัดใจจากโลกนั้นอย่างเด็ดขาดไม่ได้ซักที หากว่าเขาได้เอ่ยลากับอีกฝ่ายก่อนจากมาสักนิด ได้ใช้เวลาร่วมกันมากๆโดยไม่ต้องมีเรื่องกวนใจ จื่อฟางก็คงไม่คิดฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้

ไป๋อี้เสวี่ยเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ตอบก็ถอนหายใจ เอ่ยถามอีกคำถาม “แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ ก่อนที่นายจะมีความฝันที่เหมือนจริง นายมีความสุขหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้”ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาพบว่าเป็นคำตอบที่ยากก็คงกึ่งๆมีความสุขและไม่มีความสุขปะปนกัน ชีวิตคนก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ว่าแต่ทำไมต้องมาพูดคุยปัญหาชีวิตกับเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่สนิทใจคนนี้ด้วย

“ช่างเถอะ”

“นายแค่ไม่อยากตอบ”คนข้างกายเอ่ยขึ้นเบาๆทำให้ถูกมองขวางใส่

“แล้วนายล่ะ รู้สึกชอบความฝันที่เห็นไหม”จื่อฟางถามกลับบ้าง ครั้งนี้ไป๋อี้เสวี่ยเป็นฝ่ายที่ชะงักบ้าง ตั้งใจจะตอบว่า‘ไม่รู้’แต่ก็กลัวว่าจะถูกย้อนด้วยคำพูดของตัวเองจึงไม่ได้เอ่ยตอบไปพักหลังมานี้ส่วนใหญ่ก็ฝันแต่เรื่องบนเตียง ไม่สิ บางทีก็ใต้ต้นดอกท้อ ดอเหมย ประหลาดชะมัด แต่เขาอาจจะประหลาดกว่าที่มองเห็นผู้ชายสองคนทำเรื่องอย่างว่าแล้วเกิดอารมณ์พิศวาสขึ้นมา หรือว่าไป๋อี้เสวี่ยต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปปรึกษากับพ่ออีก เขาก็เริ่มสับสนแล้วเหมือนกัน

“…”

“…”

เกิดความเงียบอันอีกครั้ง เขากับคนตัวสูงข้างกายนั่งมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดเงียบๆ ไฟจากหอระกลองและหอระฆังส่องแสงละลานตา แม้จะมีเสียงพูดคุยของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติดังแว่วเข้ามาแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำลายบรรยากาศ

“นายฝันถึงเรื่องอะไรกันแน่”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยออกมาในที่สุด

“บอกไปนายก็คงไม่เข้าใจ”

“นายไม่บอกฉันก็ไม่มีทางเข้าใจ”เขามองร่างอีกคนแม้จะนั่งอยู่ข้างกันแต่ก็คล้ายกับมีกำแพงบาง ๆขวางกั้น “ที่นายไม่ยอมคุยกับฉันก็เพราะเรื่องความฝันน่ะเหรอ หรือเพราะฉันหน้าเหมือนแฟนเก่านาย”ไป๋อี้เสี่ยเอ่ยขึ้น ทุกครั้งที่จื่อฟางเห็นเขาแล้วทำสีหน้าแบบนั้น…ไป๋อี้เสวี่ยบรรยายความรู้สึกออกมาไม่ถูก เขาก็คือเขา มีคนมามองเป็นคนอื่นย่อมรู้สึกแปลกๆ

“ไม่ใช่แฟนเก่า”จื่อฟางขู่ฟอด

“ก็ไม่เห็นนายคบใคร”ไป๋อี้เสวี่ยหัวเราะน้อย ๆกับท่าทางของอีกฝ่าย

“งั้นฉันถามนายบ้าง นายเข้ามาคุยกับฉันก็เพราะเรื่องความฝันนั่นใช่ไหมล่ะ”

ถูกอีกฝ่ายตอกกลับมาแบบนี้ไป๋อี้เสวี่ยก็อับจนคำพูดเพราะว่าก็เป็นความจริง “ดูเหมือนความฝันนั่นจะให้ผลต่างกันล่ะมั้ง อย่างที่ฉันเคยบอกบางทีฉันกับนายอาจเกิดเพี้ยนขึ้นมาพร้อมกันก็ได้”

จื่อฟางก็ชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าตัวเองยังสติปกติดีอยู่หรือเปล่า

………

กว่าจะกลับมาที่หอพักฟ้าก็มืดแล้ว เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อพบว่ามีถุงบางอย่างแขวนอยู่หน้าประตู พอหยิบมาดูก็พบว่าเป็นกล่องหนังสือเรื่องกลรักหญิงงามมีโน้ตติดอยู่แปะว่า ‘ถึงคุณจื่อฟาง จากคนเขียนนิยายเรื่องกลรักหญิงงาม’ เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อม นั่งลงบนเตียงแกะหนังสือออกมาดู หยิบข้าวโพดคั่วที่ค้างคืนมาหนึ่งวันจนเหนียวหนืดเข้าปาก  เป็นหนังสือนิยายสองเล่มจบ หน้าปกเป็นรูปวาดแบบหญิงโบราณอย่างที่เห็นได้ทั่วไป จื่อฟางข้ามไปเปิดอ่านตอนพิเศษในเรื่องเท่านั้น ไม่อ่านเรื่องของไป๋ผูอวี้และคุณหนูฉิน มีตอนสั้นๆที่กล่าวถึงเสิ่นจิ้งเฟยบอกว่าได้ใช้ชีวิตอยู่กับซูเหลียนฮวาและทั้งสองคนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่นางไม่ชอบใบหน้างดงามของตัวเองจึงมักเอาดินมาทาหน้าให้ขี้เหร่ จื่อฟางเลิกคิ้วอ่านดูแล้วเหมือนจะได้เห็นหนังสือภาคต่อเลยแฮะ

บางทีอาจจะถูกจับคู่กับลูกแฝดของไป๋ผูอวี้และคุณหนูฉิน จื่อฟางจึงเปิดไปอ่านตอนพิเศษของคู่พระนางพบว่าฉินเซียงอินตั้งท้องอีกรอบ เขาแค่นเสียงหึท้องหลายรอบเหลือเกิน ไม่สิ มีสติหน่อยจื่อฟางนี่เป็นแค่นิยายเท่านั้น เขารีบพลิกเปลี่ยนหน้าก็มีภาพร่างขาวดำเล็ก ๆหล่นลงมา เขาหยิบมาดูเป็นภาพวาดของชายในชุดบัณฑิตสีฟ้าอ่อน ๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคล้ายกับจื่อฟาง ต่างกันตรงที่มีไฝเม็ดเล็กๆที่เหนือริมฝีปาก มีตัวอักษรจีนโบราณเขียนกำกับไว้ ‘หลิวเซียนฟาง’ โน๊ตสั้นๆบรรยายอยู่เบื้องล่าง

‘ถึงคุณจื่อฟาง ฉันส่งรูปเล่มหนังสือมาเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับต้นแบบตัวละครบัณฑิตหลิว แต่ว่าฉันเติมไฝเข้าไปเพื่อเพิ่มความโดดเด่น หวังว่าจะไม่เคืองกันนะ ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่ฉันจินตนาการเอาเอง หยิบยืมนิสัยของคุณมาเท่านั้น คุณคงสังเกตว่าบัณฑิตหลิวเป็นตัวละครที่ใส่เพิ่มเข้ามาภายหลังก็เพราะว่าฉันอยากให้คุณอยู่ในนิยายเรื่องกลรักหญิงงามด้วย หวังว่าจะชอบนิยายของฉันนะ แต่ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร’

จื่อฟางอ่านจบก็กระพริบตา ค่อนข้างมั่นใจว่าคนเขียนนิยายเป็นคนในห้องเรียนนั่นแหละแต่เขาหมดความกระตือรือร้นที่จะตามหานานแล้ว เด็กหนุ่มกวาดตามองหน้าปกนิยายอย่างครุ่นคิด ไม่คิดว่าจะมีตัวละครของตัวเองในโลกนิยายด้วย อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตหลิว หลิวเซียนฟาง…จำได้ว่าเป็นตัวละครที่ออกมาไม่บ่อยนัก เขารีบเปิดอ่านหนังสืออ่านตั้งแต่ต้นว่าตัวละครของเขาออกที่บทไหนอีก ตอนอยู่ในโลกนิยายไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ในโลกนั้นบางอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เช่นหยางชวีเป็นตัวละครที่อยู่ดี ๆก็โผล่มา บางทีตัวละครของเขาอาจจะเป็นแบบเดียวกันก็ได้

เขาพลิกมาจนเกือบกลางเรื่อง อ่านอย่างละเอียดก็พบว่ามีบทที่บรรยายถึงอยู่บ้าง บัณฑิตหลิวเป็นคนนิสัยเอื่อยเฉื่อย นิยมชมชอบดื่มชา เป่าขลุ่ยยามว่างและวาดภาพเขียนกวี เขาเป็นหนึ่งในสภาบัณฑิต รู้จักกับที่ปรึกษาเกาจวีถัง ไป๋ผูอวี้ไม่เคยได้เจอหน้ากันตรง ๆ เพราะส่วนใหญ่บัณฑิตหลิวจะอยู่ในวังหลวง ฮ่องเต้เจี่ยผิงให้มาสอนหนังสือรัชทายาท แต่ไม่ได้แต่งตั้งเป็นราชครู เมื่อไป๋ผูอวี้ผลักดันเปลี่ยนระบบการสอบเคอจวีจนสำเร็จมีกล่าวถึงเล็กน้อยว่าลาออกจากสภาบัณฑิตเพราะเรื่องสุขภาพ มาเอื่อยเฉื่อยในหอตำราแทน ดูแล้วเป็นคาแรคเตอร์ของจื่อฟางจริง ๆยกเว้นเรื่องความฉลาด

“เป็นตัวประกอบจริง ๆ”เขาพึมพำเมื่อหาบทพูดระหว่างตัวประกอบหลิวเซียนฟางและพระเอกของเรื่องไม่เจอ แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในเรื่องเดียวกับไป๋ผูอวี้ เขาเก็บหนังสือไว้บนชั้นก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงคิดอยู่ว่าไป๋อี้เสวี่ยจะได้หนังสือด้วยหรือเปล่า แต่ยิ่งคิดก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้ง ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะนอนหลับได้เร็วกว่าทุกวัน หลับได้ไม่นาน เขาก็ได้กลิ่นดินอับชื้น...รู้สึกว่าหายใจไม่ออกด้วย เด็กหนุ่มพลันรู้สึกถึงลมพัดเอื่อย ๆต้องร่าง ประสาทสัมผัสเริ่มรับรู้ได้ดีขึ้น เขาพลิกหน้าออกจากผืนดินอับชื้นเพื่อหายใจให้สะดวกแล้วค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ แต่เพราะแสงแดดส่องจนแสบตาจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อความรู้สึกเวียนหัวหายไปก็ลืมตาขึ้นใหม่

จื่อฟางมองเห็นท้องฟ้ากระจ่าง มีเสียงดังอื้ออึงแว่วอยู่ห่างออกไป เมื่อฟังดีๆถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่คำพูดเหล่านั้นเป็นคำโบราณ เสียงควบม้าดังสะเทือนไปทั้งร่าง เด็กหนุ่มขยับยันกายลุกนั่ง ในอกเต้นกระหน่ำเมื่อมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกาย เขากึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บริเวณทางรกร้างใกล้ชายป่าเบื้องหลังคือวัดโบราณ เด็กหนุ่มบิดร่างกายที่ปวดเมื่อย ได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ   

เดี๋ยวนะ...จื่อฟางเบิกตามองไปรอบ ๆ ใจเต้นแรงเสียจนคล้ายจะระเบิดออกมา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของตัวเองแต่ให้ความสึกคุ้นเคยแล่นเข้ามาในห้วงความคิดไม่หยุด ที่นี่คือโลกโบราณ โลกนิยาย!เขาคือบัณฑิตหลิวเซียนฟางคนนั้น เด็กหนุ่มก้มมองร่างตัวเองพบว่าชุดตัวยาวสีฟ้าอ่อนมีรอยเลือดเปื้อนดวงใหญ่บริเวณหน้าอก จับๆดูก็พบว่ามีบาดแผลแห้งแต่ไม่มีความรู้สึกเจ็บแล้ว จึงลองหยิกแขนตัวเองแรงๆหนึ่งทีความเจ็บแปลบทำให้เขาต้องลูบแขนไปมา สิ่งหนึ่งที่รู้คือเขายังไม่ตาย ร่างนี้ยังไม่ตาย เขาจะได้เจอไป๋ผูอวี้แล้ว!

“ฮ่า ๆ”จื่อฟางรู้สึกอยากร้องไห้และหัวเราะไปพร้อม ๆกัน ใบหน้าของพ่อกับแม่พลันแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิด ฟังดูเหมือนเป็นลูกอกตัญญูแต่เขาคิดถึงโลกนิยายที่มีไป๋ผูอวี้จริง ๆ หากว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้จนไม่มีสิ่งใดค้างคา เขาเชื่อว่าต้องได้กลับไปที่โลกปัจจุบันอีก นึกถึงร่างของตัวเองที่นอนหลับอยู่ในห้องก็ลงมือหยิกตัวเองอีกครั้งว่าฝันไปหรือเปล่า แต่ร่างนี้จับต้องได้และเจ็บได้ด้วย รอยแผลน่ากลัวที่หน้าอกในตอนนี้เริ่มจะมีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนชอบกลจนเขาโอดครวญเบาๆ ร่างของเขาอยู่ในห้องนอน หากสลบไม่ได้สติอีกก็หวังว่าคนที่เข้าไปเจอคราวนี้จะไม่ใช่แม่อีก อา ครั้งนี้เขาจะนอนหลับไปนานเท่าไหร่? นึกถึงคุณหมอไป๋คงได้เอาร่างของเขาเข้าเครื่องสะแกนอย่างละเอียดแน่

…ไป๋อี้เสวี่ย…ฉันหวังว่านายจะช่วยดูแลร่างของฉันนะ

จื่อฟางนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ยังคงไม่สนิทก็ปวดขมับตุบ ๆยกมือสัมผัสดูกลับพบว่าบวมเป่ง ก่อนอื่นเขาต้องกลับเข้าไปในเมืองฉางอัน เพราะบริเวณที่เขาอยู่คือวัดซิงเจียวซึ่งอยู่นอกเมือง ความทรงจำของบัณฑิตผู้นี้ทำให้รับรู้ว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงให้เขานำองค์รัชทายาทและเจาฮองเฮามาพำนักที่นี่แต่กลับถูกกลุ่มกบฏบุกเข้ามาชิงตัวองค์ชายรัชทายาทไป หลิวเซียนฟางพยายามต่อสู้จนเป็นที่มาของบาดแผลถูกแทง เด็กหนุ่มยังคงไม่ได้ก้าวไปที่ใดเพราะความทรงจำที่ยังคงประดังประเดเข้าไม่หยุด เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยแบเบาะยันตอนโต

ที่น่าตกใจคือบิดาและมารดาของร่างนี้มีใบหน้าเหมือนพ่อแม่ของจื่อฟางและใช้ชื่อเดียวกันยกเว้นแซ่ของพ่อ เฉิงเค่อลี่และหลิวชุนซิง สกุลหลิวแต่ก่อนมีฐานะยากจน มารดาเปิดร้านขายตำราอยู่ในตรอกซีหมาน ส่วนท่านพ่อเปิดเหลาสุรา มีนิสัยค่อนข้างดุ หลิวเซียนฟางอายุได้เพียงยี่สิบเอ็ดปีแต่ก็เฉลียวฉลาดถึงขั้นได้เป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ(มหาบัณฑิตมีหน้าที่สอนหนังสือ)แตกต่างจากจื่อฟางราวฟ้าเหว โชคดีที่หลิวเซียนฟางยังสนใจเรื่องการศึกษามากกว่าการแต่งงานมีบุตร ทั้งยังมีคนที่แอบชอบอยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพียงการแอบชอบฝ่ายเดียวเท่านั้น จื่อฟางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากไม่เข้าใจอยู่เรื่องเดียวเหตุใดต้องเข้ามาอยู่ในร่างเจ็บป่วยออด ๆแอดๆด้วย แต่อาการป่วยของบัณฑิตหลิวส่วนหนึ่งน่าจะมาจากอาการเครียดและนอนน้อย อ่านตำราเยอะขนาดนั้นไม่ป่วยก็บ้าแล้ว

เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ จื่อฟางจึงรออยู่สักพักค่อยเดินทางกลับไปยังวัดซิงเจียวที่เปลวไฟลุกไหม้ วัดค่อนข้างใหญ่โตจนเขาไม่รู้ว่าหากต้องหาตัวเจาฮองเฮาต้องไปที่ใด เด็กหนุ่มไม่มีอารมณ์เข้าไปสำรวจภายในวัดหากพวกกบฏจับรัชทายาทเป็นตัวประกันเป้าหมายก็คือฮ่องเต้เจี่ยผิง เด็กหนุ่มก้าวเดินอย่างระมัดระวัง มองเห็นท่อนไม้ขนาดเหมาะมือก็ใช้เป็นที่ค้ำยันระหว่างเดิน ร่างกายนี้ยังไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่ จื่อฟางกุมบาดแผลที่หน้าอกแม้ไม่มีเลือดไหลแต่ก็ยังรู้สึกปวดแปลบยามที่ขยับร่าง

ร่างผอมเดินมาจนถึงประตูทางออกลวดลายงดงาม สายลมพัดกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดต้องจมูก มีร่างไร้ลมหายใจของชาวบ้านนอนเกลื่อน ควันไฟปรากฏให้เห็นหลายจุด แถบนี้พบเจอแต่ความเงียบสงัดและเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวด เขาก้าวเดินไปตามถนนจนปวดเท้า บาดแผลที่หน้าอกทำให้ไม่สามารถเดินได้เร็วกว่านี้ เบื้องหน้าคือทางแยก ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังแว่วเข้าหู ชาวบ้านหลายสิบคนพากันหลบซ่อนอยู่ในตรอกลึก ยังมองไม่เห็นทหารเข้ามาช่วยเหลือ จื่อฟางกลัวว่าจะเจอกับพวกกบฏจึงเลือกเดินผ่านตรอกแคบ ๆ โผล่หน้าออกไปเมียงมองสังเกตการณ์ พบเห็นเพียงร่างชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บนอนสลบอยู่เท่านั้น

แต่เขาจะไปถึงประตูเมืองได้อย่างไร?บริเวณที่เขาอยู่ค่อนข้างไกลมากโข ยังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเคยนั่งรถม้าสำรวจเมือง เด็กหนุ่มพยายามนึกเส้นทางให้ออกแต่ในตอนนี้สมองยังคงมึนงงว่าทางไหนคือที่ใด เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงควบม้าหลายตัวดังแว่วมา พร้อมกับเสียงลากบางอย่าง เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาก่อนจะรีบหลบซ่อนที่กำแพงใกล้ๆกลัวว่าจะเป็นศัตรู

“บัณฑิตที่อยู่ตรงนั้น รีบขึ้นมาบนรถม้าเร็ว!”เสียงกระโชกดังขึ้น เมื่อหันมองก็เห็นว่าคนที่อยู่บนหลังม้าแต่งกายอย่างข้ารับใช้ แต่พวกข้ารับใช้ขี่ม้าได้ด้วยหรือทั้งยังเป็นม้าชั้นดีด้วย สัตว์สี่ขาตัวสูงใหญ่จนต้องก้าวถอยหลัง รถม้าสองคันบรรทุกชาวบ้านที่บาดเจ็บอยู่แออัด

“ข้าคือบัณฑิตหลิวเซียนฟาง พวกกบฏจับตัวองค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไป พวกเจ้ารีบนำกำลังไปสมทบที่ประตูเมืองเร็ว”จื่อฟางรีบบอก แปลกใจที่ได้ยินเสียงพูดนุ่มลึกของตัวเอง คนบนหลังม้ากวาดตามองเขาขึ้นลง คิดว่าเป็นบัณฑิตที่ดูจะมีตำแหน่งถึงได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับรัชทายาทจึงพยักเพยิดไปทางรถม้า

“ท่านบัณฑิตหลิวขึ้นไปบนรถม้าเถอะ หน้าที่ของพวกเรามีเพียงช่วยเหลือราษฎรเท่านั้น”คนบนหลังอาชาสีน้ำตาลอ่อนเอ่ย

“อะไรนะ พวกเจ้าคิดเมินเฉยต่อองค์รัชทายาทได้อย่างไร”เด็กหนุ่มขึ้นเสียง กล่าวออกไปอย่างลื่นไหล อารมณ์โกรธของร่างนี้ทำให้เขาตัวสั่นเพราะร่างกายเริ่มทรงตัวไม่ไหว บาดแผลที่หน้าอกทำเขาร้อนไปทั้งร่าง อันที่จริงเรื่องรัชทายาทก็ไม่ใช่เรื่องของเขา เวลานี้จะไปที่ประตูเมืองให้ลำบากไปทำไม สู้หลบซ่อนตัวไม่ดีกว่าหรือ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าฝั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงจะเอาชนะเจี่ยอี้ได้ง่าย ๆ จากความทรงจำของบัณฑิตหลิว ในยามนี้ดูเหมือนว่ากองทัพเจี่ยกำลังเสียเปรียบ กบฏจ่ออยู่หน้าประตูบ้าน อีกทั้งยังถูกทำลายจากภายใน จื่อฟางก็กลัวตายเหมือนกัน เขายังไม่อยากกลับโลกปัจจุบันทั้ง ๆที่ยังไม่ได้เจอไป๋ผูอวี้

“พวกเราสกุลไป๋ไม่ได้รับใช้ราชสำนัก”หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงแข็ง ใบหน้าฉายแววไม่พอใจชัดเจน จื่อฟางเบิกตาโตเมื่อได้ยินแซ่คุ้นหู

“สกุลไป๋ ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้า...”เด็กหนุ่มยั้งตัวเองได้ทัน เมื่อเกือบจะเอ่ยถามถึงไป๋ผูอวี้ ความทรงจำส่วนหนึ่งของหลิวเซียนฟางไม่มีข่าวคราวจากการศึกนอกกำแพง รู้แค่เพียงว่าไป๋ผูอวี้ถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพนำทหารกว่าห้าพันนายไปสมทบที่ค่ายซินเฉิงเพื่อปราบกบฏหลิวอ๋อง เขารู้สึกบอกไม่ถูกเหตุผลส่วนหนึ่งที่ท่อนไม้ไป๋ยอมทำผิดกฎสกุลก็เพราะจื่อฟาง แต่ไป๋ผูอวี้จะเป็นอย่างไรในเมื่อคิดว่าจื่อฟางไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว เขาต้องส่งจดหมายให้ถึงอีกฝ่าย แต่จะทำได้อย่างไรในเมื่อยามนี้การศึกกำลังตึงเครียด

จื่อฟางเงียบไปครู่หนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เห็นคนสกุลไป๋จ้องมองด้วยสายตารำคาญจึงชี้ไปที่อาชา “ถ้าอย่างนั้นข้าขอยืมอาชา ข้าจะไปหน้าประตูเมืองเอง”ข้ารับใช้สกุลไป๋ต่างก็มองหน้ากันไปมา ควันไฟสีหม่นพวยพุ่งอยู่หลายจุดที่ห่างออกไป ทำให้จื่อฟางนึกไปถึงคืนเพลิงไหม้ที่ห้องหนังสือในจวนสกุลเสิ่น เผลอยกมือลูบแก้มซ้ายโดยไม่รู้ตัว ยังจดจำความรู้สึกที่ถูกคมมีดกรีดผ่านได้

ชายที่มีท่าทีสุขุมกระแอมกล่าวขึ้น “กำลังของสกุลไป๋บางส่วนเร่งมือไปที่ประตูเมืองก่อนแล้วเป็นคำสั่งของศิษย์พี่ซูเหลียนฮวา ส่วนพวกเราเพียงแค่มาช่วยเหลือชาวบ้านเท่านั้น บัณฑิตเช่นท่านไปสู้รบไม่ได้หรอก ขึ้นรถม้าเถิด พวกข้าจะพาไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋เพื่อรักษาบาดแผล”ชายหนุ่มพยักเพยิดไปทางรถม้า ปราดมองรอยเลือดที่หน้าอกของเขา คิดสงสัยว่าบัณฑิตผู้นี้ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร ทั้ง ๆที่มีแผลเปิดขนาดนั้น ชายคนหนึ่งเปิดประตูรอม้ารอ

“ข้าทราบแล้ว”จื่อฟางไม่คิดเอ่ยแย้งเพราะที่อีกฝ่ายพูดมามีเหตุผล อีกทั้งกลับไปคฤหาสน์สกุลไป๋เป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก หากเขาไปที่กำแพงเมืองแล้วจะทำอะไรได้ หยิบจับอาวุธก็ไม่เป็น หากเป็นบัณฑิตหลิวตัวจริงก็คงยอมไปช่วยเหลือ เด็กหนุ่มมองหน้าข้ารับใช้สกุลไป๋ก่อนค้อมกายเป็นการขอบคุณ รีบก้าวเข้าไปในรถม้าอย่างเงียบเชียบ คนสกุลไป๋บนหลังอาชาต่างก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วข้ารับใช้เช่นพวกเขามักไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

จื่อฟางนั่งซุกตัวอยู่ด้านใน ระหว่างที่รถม้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋ เขาพยายามมองลอดช่องฉลุลายเล็ก ๆเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวผ่านจวนสกุลเสิ่น เขาไม่ได้เป็นห่วงเสิ่นมู่หยาง แต่ห่วงจางต้า ไหนจะหยางชวีป่านนี้สองคนนั่นจะเป็นยังไงบ้าง เด็กหนุ่มถอนหายใจ ละสายตามาจากช่องลม หลับตาเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาไม่ควรให้เรื่องราวเก่าๆมาเหนี่ยวรั้ง เรื่องเป็นเช่นนี้แล้วนอกจากไป๋ผูอวี้ก็ไม่คิดอยากบอกเรื่องวิญญาณเข้าร่างกับผู้ใดอีกโดยเฉพาะจางต้า รถม้าจอดลงช้า ๆจนหยุดอยู่ที่คฤหาสน์สกุลไป๋ที่ยามนี้เหลือเพียงบ่าวรับใช้ที่ยอมอยู่กับไป๋ผูอวี้

“พวกท่านลงมาเถอะ ผู้ใดบาดเจ็บก็เร่งรักษา หากเหตุการณ์สงบก็ค่อยกลับไปยังที่จากมา”เสียงของข้ารับใช้สกุลไป๋ดังอยู่ด้านนอก ก่อนที่ประตูรถม้าจะเปิดออก เด็กหนุ่มใจเต้นแรงด้วยความคิดถึง ไม่ได้มาที่คฤหาสน์แห่งนี้นานแล้ว เขารีบก้าวลงจากรถม้า เดินตามข้ารับใช้ผ่านประตูชั้นในเข้าไปที่ลานกว้าง พบว่ามีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งถูกพามาพักฟื้นที่นี่

“ท่านบัณฑิต บาดแผลของท่านดูท่าจะร้ายแรง ท่านหมอกู้รักษาเขาก่อนเถิด”ข้ารับใช้คนหนึ่งดันร่างผอมตรงไปอีกทางที่หมอกู้ประจำสกุลเสิ่นนั่งอยู่ เดิมทีสกุลเสิ่นแทบไม่คบค้ากับสกุลไป๋แต่เพราะเรื่องของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย เสนาบดีเสิ่นมู่หยางถึงได้ยอมส่งท่านหมอมาช่วยเหลือเพราะรู้ดีว่าเหตุการบ้านเมืองยังคงไม่สงบ แต่บ่าวรับใช้บางส่วนรู้ดีว่าที่สกุลเสิ่นยอมญาติดีด้วยก็เพราะคุณชายไป๋และคุณชายเสิ่นต่างก็มีใจให้กัน บุตรชายรูปงามราวสตรีของจวนนั้นจากไปก็ไม่คิดขวางทางใดอีก

จื่อฟางได้ยินชื่อหมอกู้ก็ใจกระตุกมองเห็นร่างของท่านหมออันคุ้นตา ท่านหมอจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจ  หยิบมีดสั้นออกมา ตัดเสื้อบริเวณที่มีรอยเลือดออกดังแควกจนเขาสะดุ้งแต่ก็พยายามรักษาท่าทีอันสุขุมไว้ ท่านหมอกู้มองบาดแผลที่ถูกแทงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ปากอ้าค้างน้อย ๆ

“ท่านบัณฑิตรอดชีวิตมาได้อย่างไร”หมอกู้ทำเสียงจุ๊ ๆ ตรวจบาดแผลอย่างละเอียด ใบหน้าเหี่ยวย่นปรากฏอารมณ์หลากหลาย

“ข้าเป็นพวกตายยากน่ะ”เขาเอ่ยตอบระหว่างที่ท่านหมอทายาสมุนไพรบางอย่างลงบนบาดแผลที่แห้งแล้ว จื่อฟางเม้มปากข่มกลั้นอาการเจ็บแสบที่แผ่กระจาย



 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 10-02-2019 22:01:36



“ท่านรอดชีวิตมาได้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งนัก บาดแผลของท่านดูอย่างไรก็ผ่านมาหลายชั่วยาม คนปกติคงเลือดออกจนหมดตัวแล้ว”หมอกู้พึมพำ สายตาจดจ้องอยู่รอยเปื้อนเลือดเป็นวงใหญ่บนร่างของเขา จื่อฟางไม่เอ่ยตอบเพียงนั่งให้อีกฝ่ายปิดบาดแผลด้วยการพันผ้ารอบแผ่นอกให้อย่างเบามือ เด็กหนุ่มถือโอกาสสำรวจมองร่างกายของตัวเอง แม้จะผอมจากการเจ็บป่วยแต่ก็ไม่ถือว่าบอบบางอย่างร่างเก่า สรีระคล้ายกับตัวเขาในโลกปัจจุบัน พอนึกเช่นนี้แล้วก็พานคิดว่าตอนนี้จะมีคนเจอร่างเขาหรือยัง ได้แต่หวังว่าคนที่ไปเจอจะเป็นไป๋อี้เสวี่ยไม่ใช่แม่ของเขา

“ท่านมีอาการเจ็บป่วยอยู่ ทานยาสมุนไพรบำรุงสักเล็กน้อย…คุณชายบ้านข้าเคย…”หมอกู้หยุดชะงัก มือเหี่ยวย่นสั่นน้อย ๆ จื่อฟางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเห็นใจ ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยคงสะเทือนใจของคนหลายคน

“มิใช่บัณฑิตหลิวหรอกหรือ?”เสียงทักคุ้นหูดังอยู่เบื้องหลัง จื่อฟางใจกระตุกหมุนกายไปมองเพียงนิด พบเห็นร่างของคุณชายที่มีใบหน้าคล้ายคนง่วงนอนอยู่ในชุดผ้าแพรทั้งร่าง     

“คุณชายจ้าว”เด็กหนุ่มเอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้มสุภาพ พยายามซ่อนความแปลกใจเอาไว้ เขารู้มาว่าจ้าวเซียวชิงสนิทกับไป๋ผูอวี้แต่ก็ไม่คิดว่าสามารถเข้ามาในคฤหาสน์สกุลไป๋ได้ ที่น่าตกใจคือคุณชายจ้าวที่ดูไม่เอางานเอาการคนนี้รู้จักกับที่ปรึกษาเกาจวีถังสหายคนสนิทของฮ่องเต้ ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาแสร้งทำสีหน้าปกติ เพราะกับคุณชายผู้นี้ก็รู้จักกัน

“ข้าขอคุยกับบัณฑิตหลิวสักครู่ได้หรือไม่”จ้าวเซียวชิงมองร่างของบัณฑิตหลิวด้วยสายตาเคร่งเครียด ชายหนุ่มทราบมาว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงให้หลิวเซียนฟางนำรัชทายาทและฮองเฮาไปพำนักซ่อนตัวที่วัดซิงเจียว แล้วเหตุใดถึงมาหลบภัยอยู่ที่สกุลไป๋?อีกทั้งได้รับบาดเจ็บย่อมบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าสถานการณ์ทางนั้นมิใช่เรื่องดี

“ย่อมได้”จื่อฟางรับคำ เหลียวมองไปรอบตัวด้วยดวงตาเป็นประกายวูบไหว คฤหาสน์สกุลไป๋เงียบสงัดผิดปกติ แต่บรรยากาศผ่อนคลายและกลิ่นใบชาแห้งก็ยังคงเดิม แต่หมอกู้ยืนยันว่าเขาต้องดื่มยาสมุนไพรจนหมดถ้วยก่อนค่อยไป คุณชายจ้าวรออยู่ที่ศาลาใกล้กับต้นไผ่ เป็นศาลาที่เขากับไป๋ผูอวี้เคยนั่งเมื่อครั้งที่จื่อฟางมาที่นี่เป็นครั้งแรก

“เกิดอะไรขึ้น”ฝ่ายนั้นเอ่ยถามทันทีเมื่อออกมาห่างไกลจากผู้คน เด็กหนุ่มมองแววตาที่เปิดเผยอย่างซื่อตรงของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ แสร้งทำสีหน้าหมองเศร้า

“เป็นความผิดของข้าเอง….”จื่อฟางเริ่มแสดงบทของหลิวเซียนฟางอย่างไม่ติดขัด

…….

บริเวณกำแพงเมืองฉางอันยังคงเงียบสงัด เหล่าทหารและกบฏต่างก็รอคอยคำตอบของฮ่องเต้เจี่ยผิง พวกตนต่างทราบดีว่ารัชทายาทเจี่ยอิงต้าสำคัญอย่างไร เพราะพระองค์เป็นโอรสเพียงองค์เดียวทั้งยังเฉลียวฉลาดเกินวัย ส่วนอีกพระองค์เป็นองค์หญิง จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับฮ่องเต้เจี่ยผิง องค์รัชทายาทหลับตาด้วยความหวาดกลัวแข็งขาที่อ่อนแรงเริ่มรับความกดดันไม่ไหวส่งเสียงร้องไห้อย่างน่าสงสาร ยิ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินมีโทสะเลือดขึ้นหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผูกพันรักใคร่ลึกซึ้งกับรัชทายาท แต่อย่างไรนั่นก็คือเลือดเนื้อที่เกิดมาจากตน แต่ช่างอิ่นคิดใช้วิธีเช่นนี้กดดันเขาอย่างนั้นหรือ?

“ผู้อาวุโสอวิ๋นย่อมรู้คำตอบของเราดี”แม้จะเจ็บปวดที่ต้องกล่าวออกไปเช่นนี้ แต่เจี่ยผิงไม่สามารถเปิดประตูเมืองฉางอันได้จริง ๆไม่ใช่แค่ราษฎรที่ตกอยู่ในอันตราย แต่รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจี่ยผิงทั้งหมด ฮ่องเต้หนุ่มถอนหายใจกับการตัดสินใจของตน ได้แต่หวังว่าเจี่ยอิงต้าจะเข้าใจการกระทำของเขา ชายหนุ่มเหลือบตามองเฮ่อเจ๋อเป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายลงมือ พริบตาเดียวกำลังทหารและกบฏก็พุ่งปะทะกัน

“จัดการรัชทายาท!”อวิ๋นเสียนหลางร้องสั่ง กู้หมิงขยับมือหมายจะบั่นคอเจี่ยอิงต้าแต่เกาทัณฑ์แหลมคมก็พุ่งแหวกอากาศเฉียดร่างของกู้หมิงไปเส้นยาแดงผ่าแปด รัชทายาทรีบดิ้นหลุดออกจากการเกาะกุม รับรู้ว่าปลายคมดาบบาดเข้าผิวกายจนร่างกายสะท้านทรุดลงเหมือนหุ่นไร้ชีวิต

“รัชทายาท”เฮ่อเจ๋อพุ่งร่างเข้าไปป้องกัน ช้อนร่างที่ไม่ได้สติอุ้มไว้ในอ้อมแขน เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ลำคอเล็ก ๆนั้น องครักษ์คนสนิทกวาดสายตามองก็พบว่าบาดแผลไม่ลึกแต่เลือดที่ไหลไม่หยุดเป็นปัญหาสำคัญ เจี่ยผิงตัวชาวูบเมื่อมองเห็นบาดแผลและเลือดที่ไหลมาจากลำคอของรัชทายาท ทหารต่างโกรธแค้นพุ่งตัวเข้าปะทะกับกบฏเป็นที่วุ่นวาย เจี่ยผิงคว้าคันธนูเหนี่ยวยิงไปที่หลี่ลั่วหวั่นจนถูกร่างอีกฝ่ายเข้าพอดี ในช่วงจังหวะที่กำลังวุ่นวายกำลังส่วนหนึ่งของสกุลไป๋ก็เข้าร่วมการศึก พวกเขาไม่ได้ปกป้องราชสำนักเพียงแค่ทำตามคำสั่งของศิษย์พี่ซูเหลียนฮวาเท่านั้น ‘กำจัดตาเฒ่าอวิ๋นเสียนหลาง’ เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ห่าลูกศรก็พุ่งไปยังทิศของร่างของผู้อาวุโสอวิ๋น

เฮ่อเจ๋อส่งตัวองค์รัชทายาทที่ได้รับบาดเจ็บให้องครักษ์ลับผู้หนึ่งรีบพาตัวกลับรักษาไปในวังหลวงอย่างเร่งด่วน ด้านบนกำแพงเมืองฮ่องเต้เจี่ยผิงถูกอารักขาอย่างแน่นหนา

“ฝ่าบาททรงหลบหนีไปที่ตำหนักกุ้ยลี่ก่อนเถิด ทางนี้ให้ทหารราชสำนักจัดการดีกว่า”เกาจวีถังกล่าวอย่างเร่งร้อนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์พลิกผันกลายเป็นดี จึงออกแรงฉุดดึงแขนของเจ้าแผ่นดินอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป ฮ่องเต้หนุ่มเพียงปรายตามอง เขาทราบดีในยามนี้หากตนเป็นอะไรไปย่อมเสี่ยงต่อราชบัลลังก์ บาดแผลของรัชทายาทดูแล้วหนักหนา เขากำมือแน่น

“ฆ่าพวกมันให้หมด”ฮ่องเต้หนุ่มประกาศกร้าว แต่ก่อนจะลงจากกำแพงเมืองก็เหนี่ยวยิงเกาทัณฑ์ใส่กู้หมิง แต่ร่างนั้นใช้กระบี่ปัดออกได้ทันท่วงที เฮ่อเจ๋อจึงรับหน้าที่ต่อกระโจนเข้าใส่เต็มกำลัง ไม่มีเวลามาให้นึกถึงคำว่าพี่น้อง ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกเส้นทางที่ไม่อาจให้อภัยได้

“นำกำลังค้นหาวัดซิงเจียว หาเจาฮองเฮาให้พบ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงออกคำสั่งกับองครักษ์ส่วนหนึ่ง

“พ่ะย่ะค่ะ!”พวกเขารับคำแล้วจากไป องครักษ์ที่เหลืออารักขานำทางฮ่องเต้เจี่ยผิงและเหล่าขุนนางขั้นสูงไปหลบภัยที่ตำหนักกุ้ยลี่ด้วยจิตใจระส่ำระส่าย ขณะที่เฮ่อเจ๋อ ทหารและองครักษ์ลับต่อกรกับคนทรยศ เนื่องเพราะการปรากฏตัวเหนือความคาดหมายของสกุลไป๋ทำให้สามารถเปลี่ยนจากตั้งรับมาบุกรุกได้ ทหารจึงโจมตีเป็นหน่วยเดียวอย่างมีแบบแผนที่เรียกว่าการตั้งค่ายกล กำลังกบฏกว่าสองร้อยนายถูกจับตัวไว้ได้ที่เหลือถูกฆ่าทิ้ง หลี่ลั่วหวั่นแม้ถูกเกาทัณฑ์ของฮ่องเต้แต่ยังไม่ตาย ยกเว้นกู้หมิงที่ถูกเฮ่อเจ๋อบั่นคออย่างไม่ลังเล แต่เดิมก็มิใช่พวกอาลัยอาวรณ์อยู่แล้ว ส่วนผู้อาวุโสอวิ๋นถูกสกุลไป๋จัดการได้ภายในพริบตาเดียว พวกเขาจัดการเสร็จก็กลับไปอย่างรวดเร็วดั่งยามปรากฏกาย

ฮ่องเต้เจี่ยผิงออกสั่งให้นำตัวเหล่าผู้ก่อกบฏไปที่กำแพงเมือง ลงทัณฑ์แล่เนื้อทีละส่วนจนกว่าจะสิ้นลม พร้อมทั้งเสียบประจารร่างไว้เช่นนั้น สถานการณ์วุ่นวายในเมืองฉางอันจึงเริ่มสงบ แม้ผ่านไปสามวันแต่ข่าวสารก็ถูกแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง เรื่องอดีตอัครเสนาบดีหลี่เป็นกบฏ องค์รัชทายาทถูกจับเป็นตัวประกันได้รับบาดเจ็บหนัก โรงน้ำชาหลิวซื่อจึงแน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือ อีกทั้งข่าวเรื่องการต่อสู้ของสกุลไป๋ก็เป็นที่สนใจ พวกชาวบ้านต่างก็ใคร่รู้ว่า เหตุการณ์เป็นแบบนี้แล้วฮ่องเต้จะจัดการอย่างไรกับสกุลไป๋

ที่ตำหนักกุ้ยลี่ หมอหลวงมีฝีมือกว่าสิบคนพยายามช่วยเหลือองค์ชายรัชทายาทเจี่ยอิงต้าอย่างสุดความสามารถ แต่พระอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทำได้เพียงประคองอาการวันต่อวันเท่านั้น เจี่ยผิงนั่งอยู่ที่นอกฉากกั้นทำได้เพียงภาวนาให้รัชทายาทฟื้นตัวในเร็ววัน สามวันที่ผ่านมาชายหนุ่มเครียดเสียจนไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เขามีรัชทายาทเป็นโอรสเพียงองค์เดียว ความจริงข้อนี้มีเพียงหมอหลวงประจำตัวเท่านั้นที่ล่วงรู้ปัญหาของฮ่องเต้เจ้าแผ่นดิน

ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เจี่ยผิงไม่สามารถให้กำเนิดโอรสหรือธิดาได้อีก มิแน่เจาฮองเฮาและพระสนมขั้นสูงบางคนที่ฉลาดอาจคาดเดาออก ชายหนุ่มหยิบยกเรื่องชมชอบชายงามมาเป็นข้ออ้าง แม้จะเป็นเรื่องเสียพระเกียรติแต่เรื่องที่ฮ่องเต้มีทายาทยากเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกว่ามากนัก ในยามนี้ความเป็นความตายของเจี่ยอิงต้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเสิ่นจิ้งเฟยยังมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้เขาเป็นบ้าไปเสียก่อน

“จิ้งเฟย หากเจ้าอยู่ใกล้ๆก็ดีสิ อย่างน้อยเสียงกู่เจิงของเจ้าก็ทำให้ข้าจิตใจสงบ”เจี่ยผิงนวดขมับ อยากนอนพักแต่ก็ทำไม่ได้ การศึกที่นอกประตูเมืองยังไม่รู้ผล เขาข่มตาไม่ลง

ที่ปรึกษาเกาได้แต่คอยปลอบพระทัย หลายวันมานี้มีเรื่องกวนจิตใจเจ้าแผ่นดิน ทหารพบตัวเจาฮองเฮาแล้ว พระนางหลบซ่อนตัวอยู่ในวัดซิงเจียว เวลานี้ยังคงรักษาตัวอยู่ในตำหนัก แต่กลับไม่พบเงาร่างของบัณฑิตหลิว คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าสหายของตนไม่รอดชีวิต

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าหญิงคณิกาที่เป็นคนของสกุลไป๋เก่งกาจเรื่องยาสมุนไพร แม้นางจะไม่ใช่หมอมากฝีมือ แต่กระหม่อมคิดว่ายาของนางอาจช่วยได้ไม่มากก็น้อย”ชายหนุ่มออกความเห็น ร่างสูงสง่ายังคงมีใบหน้าเคร่งขรึมชวนให้ผู้คนวางใจ 

“ที่ปรึกษาเกาหมายถึงนางมารหมื่นพิษ?”เฮ่อเจ๋อที่รับฟังอยู่ในห้องกล่าวขึ้นอย่างกระทันหันทำให้ที่ปรึกษาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ คิดว่าองครักษ์ผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก

“ใช่แล้ว”ชายหนุ่มพยักหน้า เฮ่อเจ๋อจึงหมุนกายไปทางเจ้าแผ่นดินอย่างนอบน้อม

“กระหม่อมเคยประมือกับนางมาก่อน ที่ปรึกษาเกาจวีถังกล่าวได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ นางมีฝีมือ”องครักษ์คนสนิทก้มหน้าต่ำรอรับคำสั่งจากฮ่องเต้ เจี่ยผิงเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนางผู้นี้มาบ้าง บางทีไม่แน่ว่านางอาจจะช่วยเจี่ยอิงต้าได้

“เช่นนั้นส่งสารน์เร่งด่วนไปที่ทัพด้านนอกให้นำหญิงนามว่าซูเหลียนฮวากลับเมืองหลวงเพื่อมารักษาอาการของรัชทายาทโดยด่วน”เจี่ยผิงออกคำสั่งกับเส้ากงกง ขันที่ใหญ่รับคำสั่งก่อนรีบค้อมกายเร่งรีบออกไปจากตำหนัก ได้แต่หวังว่าทัพด้านนอกจะเร่งรีบจัดการเด็ดหัวช่างอิ่นมาให้ตนเสียที สถานการณ์ที่นอกกำแพงดูคล้ายจะพลิกผันตลอดเวลา ฮ่องเต้ส่งกองกำลังอีกพันนายออกมาตั้งรับที่หน้าประตู ทำให้แคว้นเหลียงชนเผ่าตีมองเห็นว่าอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อกำลังเสริมของทหารราชสำนักจึงนำกำลังส่วนหนึ่งหลบหนีไป ทำให้ทัพของช่างอิ่นอ่อนกำลังลง

 …….

จื่อฟางกลับมาพักอยู่ในเรือนของหลิวเซียนฟาง บ้านของบัณฑิตหลิวอยู่ไม่ห่างจากรั้ววังหลวง เป็นเรือนที่ไม่ใหญ่เกินไปและไม่เล็กจนคับแคบ ยามที่กลับจากการพักฟื้นที่คฤหาสน์สกุลไป๋ก็พบว่าในเรือนไม่มีบ่าวไพร่อยู่ คงเพราะหวาดกลัวกำลังของพวกกบฏจนหลบหนีไปซ่อนตัวกระมัง ดีที่บัณฑิตมัธยัสถ์ผู้นี้ไม่ได้อาศัยร่วมกับบิดามารดา เพราะจากภาพความทรงจำคนทั้งสองช่างมีนิสัยที่คล้ายกับพ่อแม่ของเขายิ่งนัก เขายังไม่พร้อมรับมือกับโคลนนิ่งบุพการีของตน

เขาล้วงเอากุญแจจากในอกเสื้อ เข้ามาในเรือนได้ก็มุ่งหน้าเดินไปตามเฉลียงทางเดินอันเงียบสงบอย่างเร่งรีบ บาดแผลของเขาหายดีแล้วยิ่งสร้างความแปลกใจให้หมอกู้ เหตุการณ์วุ่นวายที่กำแพงเมืองจบลง เขาก็โล่งอก คนสกุลไป๋ทำงานได้รวดเร็วฉับไวยิ่งนัก เรื่องการสังหารผู้อาวุโสอวิ๋นจึงคล้ายกับเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง เด็กหนุ่มไปยังห้องเขียนหนังสือ ร่างชะงักเล็กน้อยเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ความทรงจำสุดท้ายในห้องหนังสือยังตามหลอกหลอนไม่จางหาย เขาปรับลมหายใจให้เป็นปกติ กวาดสายตามองไปรอบห้อง ฉากฉลุลายกั้นเตียงนอนด้านใน รสนิยมของหลิวเซียนฟางช่างไม่ได้เรื่อง แก่เรียนแล้วยังคร่ำครึยิ่งนัก เด็กหนุ่มเปิดบานประตูทั้งหมดจนแสงสว่างส่องเข้ามาภายในห้อง เขาทิ้งร่างนั่งที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ กางกระดาษซวนจื่อออก

ฝนหมึกอย่างเร่งรีบ ก่อนจรดพู่กันลงบนกระดาษ เขาต้องการเขียนจดหมายถึงไป๋ผูอวี้หรือในตอนนี้ที่ต้องเรียกว่ารองแม่ทัพไป๋ ยามที่พักฟื้นอยู่ในคฤหาสน์แห่งนั้น เด็กหนุ่มได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับตัวไป๋ผูอวี้และเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างคุณชายรูปงามเสิ่นจิ้งเฟยไม่ขาด ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับชายหนุ่มผู้มีรักมั่นคงเฉกหินผา อาการที่เขาได้ยินใช้คำว่า‘ท่อนไม้เดินได้’มาบรรยายก็คงไม่ผิดนัก ในเมื่อเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองฉางอันสงบลงแล้ว จื่อฟางต้องการส่งจดหมายไปให้คนในสนามรบได้รับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

เจ้าท่อนไม้จะได้มีกำลังใจฮึดสู้กลับมาหาเขาที่ฉางอัน  คนที่หมดหวังในชีวิตความคิดไตร่ตรองย่อมไม่เหมือนเดิม เด็กหนุ่มรู้ดีว่าท่อนไม้ไป๋มิใช่คนที่คิดอยากตายตามคนรัก แต่เท่าที่ฟังคนสกุลไป๋นินทาอาการของเจ้านั่นก็เอาเรื่องอยู่ เด็กหนุ่มหยุดมือ มุ่นคิ้วระหว่างที่คิดว่าควรเขียนสิ่งใดลงไปดี

‘ถึงท่านรองแม่ทัพไป๋ ข้าชื่อว่าจื่อฟาง ในยามนี้รอท่านอยู่ที่อีกฝั่งของกำแพง ท่านคงเคยได้เห็นภาพวาดตัวจริงของข้า ยามนี้ข้าได้มีร่างเป็นของตัวเอง มีใบหน้าเป็นของข้า ข้าหวังว่าท่านจะจำได้ หากท่านกลับมาอย่างปลอดภัยไว้จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เอาชนะช่างอิ่นเร็วๆเข้าเถิด ท่อนไม่ไป๋! ข้าอยากเห็นหน้าท่านแต่งงานกันแล้วย่อมต้องเชื่อฟังข้า ลูกไหนสุกแล้วหากรอนานกว่านี้เกรงว่าจะบูดเน่าเอา รีบกลับมา ท่านรองแม่ทัพรักษาตัวด้วย จากจื่อฟางภรรยาที่กลับมาแล้วของท่าน’

จื่อฟางจงใจเอ่ยถึงคำว่าท่อนไม้และลูกไหนเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของจริง เพื่อความแน่ชัดเขาจึงลงชื่อเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย พร้อมกับวาดภาพของตัวเองประกอบไปคร่าวๆ เท่านี้คงทำให้ไป๋ผูอวี้เชื่อได้แล้วกระมัง เด็กหนุ่มพับจดหมายเก็บสองชั้น หากให้นายทหารธรรมดานำจดหมายไปส่งในยามที่มีการศึกอยู่นอกกำแพงเมืองคงเป็นไปไม่ได้ เขาจึงต้องใช้คนที่มียศตำแหน่งสูง คนแรกที่นึกถึงคือที่ปรึกษาเกาจวีถัง จื่อฟางยกยิ้มเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสุภาพ มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง ร่างนี้เหมือนเขาทุกระเบียดนิ้ว ยกเว้นไฝเหนือริมฝีปาก แม้จะมองดูแล้วขัดลุกตาแต่ก็ต้องยอมรับว่าทำให้ร่างนี้ดูโดดเด่นขึ้นมาบ้าง เขาจัดหมวกบัณฑิตให้เรียบร้อย หยิบป้ายหยกแสดงตนว่าเป็นบัณฑิตปั๋วซื่อมาห้อยติดตัว สถานการณ์เช่นนี้ที่ปรึกษาเกาย่อมอยู่ข้างกายฮ่องเต้ จื่อฟางจึงมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ที่ประตูข้างเมื่อเห็นว่าเขาคือบัณฑิตหลิวผู้สอนหนังสือแก่รัชทายาทจึงสั่งทหารชั้นผู้น้อยนำเกี้ยวเข้าไปที่ตำหนักกุ้ยลี่ เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างไกล จื่อฟางเอนพิงเกี้ยวที่โขยกเขยกตามการเคลื่อนไหวไปตลอดทางก็แทบอยากได้ยาหอมเพราะมึนหัว ไม่นานนักเกี้ยวก็มาถึงห่างจากตำหนักหลายสิบเมตร ทหารในอาภรณ์สีเข้มเข้ามาประชิดตัวทันทีเมื่อร่างของเด็กหนุ่มโผล่ออกมาจากเกี้ยว

“ข้าบัณฑิตหลิว”จื่อฟางเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงอย่างผู้มีการศึกษา ขยับกายให้เห็นป้ายหยกข้างเอว ทหารจึงยอมปล่อยให้เขาผ่านเข้าไปในตำหนักกุ้ยลี่ เดินเท้าอีกพักใหญ่กว่าจะถึงหน้าตำหนัก องครักษ์ลับที่แต่งตัวคล้ายกับพวกที่มาเฝ้าจวนสกุลเสิ่นปรากฏกายให้เห็น เนื่องจากปกปิดใบหน้ากันทุกคนจึงไม่รู้ว่ามีคนคุ้นหน้าคุ้นตาหรือไม่

“ข้าต้องการพบที่ปรึกษาเกา”เด็กหนุ่มเอ่ย องครักษ์จึงนำเข้าไปรอที่ศาลาด้านนอกไม่อยากให้มีผู้รบกวนฮ่องเต้เจี่ยผิง รอไม่นานร่างสง่าของเกาจวีถังก็มาถึงอย่างเร่งร้อน เจ้าของใบหน้าสุขุมมีดวงตากระจ่างเปิดเผยมีสีหน้าผ่อนคลายเมื่อมองเห็นร่างของสหาย แต่ร่างนั้นดูซูบเซียวจากเดิม คล้ายมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปแต่เกาจวีถังบอกไม่ถูก

“สหายหลิว ท่านทำข้ากลัดกลุ้มยิ่ง ทหารที่ไปตรวจตราวัดซิงเจียวบอกว่าไม่พบร่างของท่าน ข้าคิดว่า…”ที่ปรึกษาไม่พูดออกมาทั้งหมดแต่จื่อฟางเข้าใจประโยคถัดมาของอีกฝ่ายจึงรีบโบกมือ แสร้งลูบหน้าอกบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เล่นบทอ่อนแอสักเล็กน้อย ร่างกายของหลิวเซียนฟางไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยแม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ทำให้นอนซมป่วยไปอีกหลายวัน ได้มีร่างกายอย่างคนปกติแม้จะมีอาการป่วยออดแอดแต่ก็ถือว่าดีแล้ว

เขามองเห็นสายตาตั้งคำถามของที่ปรึกษาเกา จึงบอกเล่าไปตามตรง ยกเว้นเรื่องที่เป็นวิญญาณเข้ามาในร่างนี้  “ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก ระหว่างทางได้เจอคนสกุลไป๋ พวกเขาไม่ยอมให้ข้ามาช่วยเหลือองค์รัชทายาท!”จื่อฟางแสร้งเข้าถึงบทบาทบัณฑิตผู้มีใจภักดีต่อรัชทายาทเจี่ยอิงต้าที่พร่ำสอนหนังสืออยู่บ่อยครั้ง แม้ส่วนมากในความทรงจำ รัชทายาทจะไม่ค่อยเชื่อถือบัณฑิตอายุน้อยเท่าไหร่ เจี่ยอิงต้าสนใจเรื่องการทหารมากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนเจี่ยอี้ผู้เคยเป็นองค์ชายใหญ่แต่รัชทายาทมีความฉลาดเฉลียวติดมาด้วย ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะคิดแย่งบัลลังก์ฮ่องเต้เจี่ยผิงเหมือนในนิยายหรือไม่

“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่ต้องกังวลไปรัชทายามเจี่ยอิงต้าย่อมปลอดภัย ยามนี้กำลังให้คนนำซูเหลียนฮวามาตรวจดูอาการ”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยคำพูดเช่นนี้อยู่หลายคราจนกล่าวออกมาอย่างคล่องปาก ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าของบัณฑิตหลิวเมื่อมองเห็นสีหน้าสับสนของสหาย สมองของจื่อฟางคล้ายกับหมุนติ้ว หรือว่าจะส่งผ่านทางซูเหลียนฮวาจะง่ายกว่า?แต่นางจะได้ออกไปนอกกำแพงฉางอันเมื่อใด เขาตัดสินใจไม่ถูก ที่ปรึกษามองเห็นว่าบัณฑิตหลิวมีท่าทีกระวนกระวายใจจึงเอ่ยถาม

“ท่านมีเรื่องใดในใจหรือ บอกข้ามาเถอะ”ยามนี้เขาไม่มีอะไรทำ ช่างน่าเบื่อหน่ายนัก

“ท่านยังจำคำที่ข้าเอ่ยที่กำแพงเมืองได้หรือไม่ เรื่องของไป๋ผูอวี้ ข้ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ต่อบทกลอนกับเขาอีก น่าเสียดายนัก”จื่อฟางแสร้งส่งเสียงไอค่อกแค่ก ย่นใบหน้าราวกับกำลังเจ็บปวดทรมาน

“บัณฑิตหลิวมิต้องห่วง กองทัพของเราย่อมเอาชนะกบฏได้”ที่ปรึกษาไม่อยากได้ยินคำพูดท้อแท้มาจากอีกฝ่าย อีกทั้งบัณฑิตหลิวไม่เชื่อมั่นในกำลังของราชสำนักตั้งแต่เมื่อใด ดูเหมือนอาการบาดเจ็บจะส่งผลกระทบต่อหลิวเซียนฟาง ร่างผอมเพียงส่ายหน้าไปมา รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา

“ข้าเกรงว่าตัวเองจะจากไปก่อนต่างหากเล่า บาดแผลที่ข้าได้รับส่งผลกับร่างกายโดยตรง…”แน่ล่ะ เป็นเรื่องโกหก แต่เวลานี้ต้องยอมทำเพื่อส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปให้ได้ เด็กหนุ่มแสร้งตีหน้าเศร้า หยิบผ้าผืนเล็กมาปิดปากส่งเสียงไอค่อกแค่ก

“พูดอะไรอย่างนั้น ท่านยังอยู่ได้อีกนาน”เกาจวีถังตวัดสายตามอง คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดของสหาย กวาดสายตาไปทั่วร่างของบัณฑิตหลิว แม้ว่าเกาจวีถังจะไม่ต้องการคิดในแง่ร้าย แต่อาการป่วยของหลิวเซียนฟางยังไม่ดีขึ้น เวลานี้ยังได้รับบาดเจ็บจากการก่อกบฏอีก

“บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“เบาแล้ว แต่ก็ต้องทานยาสมุนไพรไปเรื่อยๆ”ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ จื่อฟางได้แต่เล่นละครให้แนบเนียน

“ดีนัก”เกาจวีถังตบหลังของบัณฑิตหลิว มองออกว่าอีกฝ่ายต้องการร้องขออะไรบางอย่าง

“ที่ปรึกษาเกา ถือว่าทำเพื่อข้าเถอะ ส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปให้รองแม่ทัพไป๋ที่นอกกำแพงได้หรือไม่”เด็กหนุ่มหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่จงใจทำให้สั่นเทา

“ย่อมได้ ข้าจะส่งองครักษ์ออกไป”สุดท้ายก็เอ่ยออกมาเช่นนี้เพราะเห็นท่าทางน่าเวทนาของหลิวเซียนฟาง

“ขอบคุณมาก ข้าเข้าไปเยี่ยมดูรัชทายาทได้หรือไม่”จื่อฟางไม่อยากข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่ตอนนี้ยังต้องเล่นบทของหลิวเซียนฟางต่อไป เขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือแก่เจี่ยอิงต้าหากไม่เอ่ยถึงเลยเกรงว่าจะน่าสงสัย

“รอสักครู่”ที่ปรึกษาเกานำความไปทูลฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในห้อง เมื่อเจ้าแผ่นดินอนุญาติจื่อฟางก็เดินก้มหน้าก้มตาเข้าไป สิ่งแรกที่ได้กลิ่นคือยาสมุนไพรที่ฟุ้งปะทะกับจมูกจนแทบหายใจไม่ออก หมอหลวงยังคงอยู่ด้านในฉากกั้น ตรวจดูอาการขององค์รัชทายาทตลอดเวลา เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่เหลือบมองฮ่องเต้เจี่ยผิง รีบคุกเข่าถวายบังคม

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”เขาได้แต่จ้องมองชายเสื้อคลุมของร่างตรงหน้า

“บัณฑิตหลิว เราได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ อาการเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเพียงเอ่ยถามเพราะไม่อยากคิดเหม่อลอยฟุ้งซ่าน

“กระหม่อมดีขึ้นเป็นลำดับพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาเยี่ยมองค์รัชทายาท…”จื่อฟางเอ่ยตอบด้วยจิตใจสั่นไหว เป็นครั้งแรกที่ได้พบอีกฝ่ายในฐานะเจ้าแผ่นดินและข้ารับใช้ ในใจจึงหวาดกลัว ฮ่องเต้ในยามนี้ช่างแตกต่างยามที่พูดจากับเขาในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยทำเด็กหนุ่มอกสั่นขวัญหายไปหมด รับรู้ว่าฝามือชื้นไปด้วยเหงื่อเมื่อมองเห็นร่างของเจ้าแผ่นดินลุกเดินมาหยุดที่เบื้องหน้า

“เราสั่งให้เจ้าดูแลรัชทายาทและฮองเฮาให้ดี เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่กระแสเย็นเยียบที่รู้สึกยิ่งทำให้จื่อฟางหวั่นวิตก เหตุใดท่านมาพาลใส่ข้าเล่า?

“กระหม่อม…”ต้องพูดว่าอะไรนะ แต่ก่อนฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้กล่าววาจากับเขาอย่างเป็นทางการ พอเป็นเช่นนี้สมองก็คล้ายกับว่างเปล่า “กระหม่อมยินดีรับโทษที่ไม่สามารถช่วยเหลือองค์รัชทายาท…”

 “ฝ่าบาท บัณฑิตหลิวจะทำอะไรได้”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยขัดเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงในเวลานี้ยังคงอารมณ์ไม่คงที่ จื่อฟางได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ เหลือบมองไปทางฉากกั้นครู่หนึ่งแต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากเสียงหมอหลวงพูดคุยกันอย่างตึงเครียด   

“ช่างเถิด”ฮ่องเต้สะบัดชายเสื้อนั่งลงที่ตั่งอีกครั้ง พยายามระงับอารมณ์ที่คุกรุ่น จื่อฟางได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งผู้เป็นฮ่องเต้ได้ออกปากเอ่ยชวนเขาและที่ปรึกษาเกาออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก เขาซ่อนความยินดีออกนอกหน้าไว้เพราะในห้องแห่งนี้เหม็นกลิ่นสมุนไพรยิ่งนัก หากให้อยู่นานกว่านี้คงเป็นลม

สวนในตำหนักกุ้ยลี่ไม่ใหญ่โตมากนัก ไม่มีดอกไม้ใดให้ชมเนื่องจากเป็นเดือนแปด คิมหันต์ฤดู อากาศจึงร้อนยิ่ง เห็นเพียงดอกบัวบานเต็มสระน้ำช่วยให้เย็นตาได้บ้าง จื่อฟางหยิบผ้าผืนเล็กมาซับหน้าระหว่างที่เดินตามฮ่องเต้ เขาคิดไว้แล้วหากบ้านเมืองสงบ เขาจะลาออกจากราชสำนัก ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับเขา

“บัณฑิตหลิว เห็นด้วยหรือไม่…”เสียงของฮ่องเต้ลอยมาตามสายลม จื่อฟางถึงได้รู้ตัวว่าเหม่อลอยไปนาน

“ฝ่าบาทว่ากระไรนะพ่ะย่ะค่ะ”เด็กหนุ่มได้เผลอไผลย้อนถาม จนร่างที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าหยุดชะงัก หมุนกายมองด้วยดวงตาที่คาดเดาไม่ออก ที่ปรึกษาเกาจ้องมองสหายด้วยสายตาครุ่นคิด หาได้ยากที่หลิวเซียนฟางจะไม่อยู่กับร่องกับรอย

“เราคิดว่าท่านยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ”อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะหงุดหงิดอยู่มากที่บัณฑิตหลิวไม่เป็นตัวเอง แต่ก็พอเข้าใจได้ สถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้คน

“กระหม่อม…”

“เอาเถิด เราไม่ถือสา”เจี่ยผิงกล่าวซ้ำ มองเห็นสีหน้าตื่นตกใจของบัณฑิตหลิวก็มุ่นคิ้ว คนผู้นี้เคยทำสีหน้าเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดถึงคุ้นตานัก?

“ฝ่าบาท!”ร่างของเส้ากงกงปรี่มาหา

“เกิดอะไรขึ้น”เจี่ยผิงกังวลถึงรัชทายาทที่อยู่ด้านในทันที

“กองกำลังของช่างอิ่นถอนทัพกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงของขันทีใหญ่ก็เกิดความเงียบ จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าเจี่ยอี้คนนั้นจะยอมถอยทัพ แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนผู้นั้นไม่มีทางวางมือโดยง่าย ในเมื่อยามนี้ไม่เห็นหนทางชนะย่อมต้องกลับไปตั้งหลัก หากดื้อดึงจุดจบคงไม่สวยงาม ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างพร้อมหัวเราะเบา ๆ

“ดูเหมือนช่างอิ่นจะยอมผ่อนปรน เขายืดหยุ่นกว่าแต่ก่อนนัก”ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำ ขันทีใหญ่ค้อมกายส่งสารน์ให้กับร่างเบื้องหน้าด้วยความนอบน้อม

“นี่เป็นสารน์จากรองแม่ทัพไป๋พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดนั้นเรียกความสนใจจากจื่อฟาง พยายามไม่แสดงสีหน้าใดออกมาฮ่องเต้เจี่ยผิงกวาดสายตาอ่านสารน์ในมือด้วยสีหน้าสงบเนื้อความบอกว่ารองแม่ทัพไป๋ปราบกบฏที่เมืองเสียนหยางได้หมดสิ้น หลิวอ๋องเจี่ยซินตายแล้ว ชายหนุ่มจ้องมองสารน์อยู่ครู่หนึ่งความรู้สึกบางอย่างก่อตัวอยู่ในอก เจี่ยซินไปแล้วจากนี้ก็เหลือเพียงแค่ช่างอิ่น ฮ่องเต้หยักยิ้มไร้ความรู้สึกพับจดหมายเก็บอย่างประณีต

“เช่นนั้นให้กองทัพปักหลักอยู่นอกกำแพงเมืองอีกหนึ่งเดือนเพื่อดูท่าทีว่าช่างอิ่นถอยทัพจริงหรือไม่ จากนั้นค่อยเรียกทัพกลับมา”เจี่ยผิงรับรู้ อาการหนักอึ้งที่แยกรับไว้เบาลง แม้ช่างอิ่นจะยอมถอยในตอนนี้ แต่ในภายภาคหน้าคนผู้นั้นย่อมกลับมาเอาคืน การศึกที่นอกกำแพง ช่างอิ่นไม่ได้เป็นผู้นำทัพด้วยซ้ำ

‘เจี่ยอี้ เหตุใดท่านตายยากตายเย็นนัก’



--------------------------------

ตอนหน้าจบแล้วนะคะ แล้วก็ลงตอนพิเศษ :กอด1: เรื่องของทางไป๋อี้เสวี่ยจะกล่าวถึงเล็กๆน้อย ๆ
แล้วค่อยไปเจอกันที่พาร์ทสอง(จะไม่วุ่นวายเท่านี้แล้ววว)

 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-02-2019 22:58:58
 :L2: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 10-02-2019 23:43:26
พาร์ทแรกจะจบแล้ว ยิ่งใกล้จบยิ่งลุ้นไปอีก รอตอนหน้าค่ะ จะขยันเริ่มเก็บเงินรอเล่มแล้ว  :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 10-02-2019 23:46:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:สุดยอดดดดดด
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-02-2019 00:13:47
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-02-2019 01:15:30
สนุกและลุ้นทุกบรรทัดเลยยยย ชอบมากขึ้นไปอีกกก ตอนนี้คุณไป๋ไม่ได้ออกมาเลย จ่ายค่าตัวให้สำหรับตอนหน้าได้ไหมคะ คิดถึงงง ดีใจที่จื่อฟางกลับมาแล้ว ส่วนบัณฑิตหลิวน่าจะไปอยู่ในร่างนู้นคู่กับไป๋อีกคนหรือเปล่านะ ลุ้นมากค่ะ ตื่นเต้นนน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 11-02-2019 05:49:17
คืดถึงท่านรองแม่ทัพ
รอตอนหน้าค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-02-2019 07:10:02
อ๋อออออ   แบบนี้นี่เอง โอ้ยคุณนักเขียน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 11-02-2019 11:29:42
กลับมาเร็วๆนะท่อนไม้ไป๋
คิดถึงมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-02-2019 16:25:41
อยากใก้ถึงตอนหน้าไวๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 11-02-2019 16:35:48
พาร์ทแรกจะจบแล้ว ยิ่งใกล้จบยิ่งลุ้นไปอีก รอตอนหน้าค่ะ จะขยันเริ่มเก็บเงินรอเล่มแล้ว  :z2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 11-02-2019 20:03:47
กรี๊ดดดด เดาถูกด้วย จื่อฟางสลับร่างกับหลิวเซียนฟาง

ท่อนไม้ไป๋รีบมาเร็วๆ หยางชวีด้วย
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 11-02-2019 20:25:42
รอเขาสองคนเจอกัน ภรรยากลับมาแล้ว!!!
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-02-2019 20:51:36
ลุ้นนนนน............ ให้จดหมายถึงมือไป๋ไวๆ   :z3:
ให้จื่อฟาง เจอไป๋ ซักที   :-[
ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4:  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦บทยี่สิบเจ็ด:สู่บทเริ่มต้น(1) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chaiyabut26 ที่ 13-02-2019 07:21:21
สนุกแบบมันหยุดอ่านไม่ได้เลยค่ะ อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดละ ลุ้นมากตอนจื่อฟางกลับมาเป็นท่าบัณฑิตหลิว คนเขียนแบบเก่งอ่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:เนื้อเรื่องสำหรับเราลวตัวไปหมดลง ไม่ขัดใจวักตอนเลยคิดดู แม้กระทั่งคำผิดยังน้อยมาก แงง เป็นกำลังใจให้น้าา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 13-02-2019 10:39:18

บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2)





จื่อฟางยังมีเรื่องของหลิวเซียนฟางที่ต้องจัดการ จึงกลับไปอาศัยอยู่ที่เรือนของบัณฑิตหลิว เขาได้ซื้อตัวบ่าวไพร่มาสิบสามคนเป็นสาวใช้ห้าคนไว้คอยดูแลงานบ้าน คนหนึ่งเป็นพ่อบ้านแซ่เฟิงไว้ทำอาหาร คนรับใช้ข้างกายชื่ออาฉีและสือโม่ ผ่านมาสามวันยังไม่ได้ข่าวคราวจากไป๋ผูอวี้ เขาไม่รู้ว่าที่ปรึกษาเกาให้คนเอาจดหมายไปส่งหรือยัง แต่มีข่าวจากในวังหลวงว่าองค์รัชทายาทพระอาการดีขึ้นตามลำดับเพราะยาของซูเหลียนฮวา เขายังไม่มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมเพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะยังมีโทสะเรื่องที่ไม่ดูแลฮองเฮาและรัชทายาท บทบัณฑิตหลิวจึงไม่ค่อยได้เล่นนักเพราะช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาเก็บตัวอยู่ในเรือน นำข้ออ้างเรื่องสุขภาพมาใช้จึงไม่ต้องไปร่วมถกปัญหากับสภาบัณฑิตที่กำลังเคร่งเครียด

วันเวลาเอ้อระเหยของจื่อฟางหมดลงเพราะวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเขาเข้าเฝ้า ความจริงมิใช่แค่เขาแต่มีที่ปรึกษาเกาและบรรดาสมาชิกบัณฑิตบางส่วนคาดว่าต้องการถกเรื่องการสอบเคอจวี จื่อฟางจึงเปลี่ยนสวมชุดสีเทาเข้ม สวมหมวกบัณฑิต ใช้พัดนกกระเรียนสร้างภาพสุขุมน่าเชื่อถือให้กับตนเอง ออกมาขึ้นเกี้ยวที่รออยู่นอกประตู สือโม่เป็นบ่าวทำหน้าที่ติดตามเข้าไปในวังหลวง

ระหว่างนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าท้องพระโรง จื่อฟางก็นึกไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ฉางอันเริ่มเข้าร่องเข้ารอย ฮ่องเต้เริ่มทำการล้างไพ่ราชสำนัก ยุบตำแหน่งอัครเสานาบดี เหลือเพียงสามฝ่าย หกกรม เสนาบดีทั้งหกขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ เหตุการณ์กบฏทำให้อ๋องครองแคว้นไม่สามารถคุมกำลังทหารโดยตรงได้อีกแต่ยังสามารถปกครองเมืองในแคว้นได้โดยที่อำนาจขึ้นกับราชสำนักส่วนกลาง

ส่วนสกุลหลี่ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด ยกเว้นหลี่ฮุ่ยจือที่ได้รับการยกเว้น คุณชายหื่นกามผู้นั้นถูกส่งไปใช้แรงงานที่เมืองห่างไกลชื่อเวินโจว จื่อฟางได้แต่สงสารเห็นใจ ไม่รู้ว่าจะออกปากช่วยอย่างไร ฐานะของเขาในตอนนี้คงไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจะเป็นปั๋วซื่อ แต่รัชทายาทยังเจ็บป่วยก็ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะพอใจตนนัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เขาไม่อยากเป็นอาจารย์สอนเจี่ยอิงต้า ไม่อยากไปเข้าใกล้คนสกุลเจี่ยอีก

เกี้ยวหยุดลงเมื่อถึงทางเข้าประตูข้าง มาถึงท้องพระโรงถือป้ายหยกที่บอกตำแหน่งอย่างนอบน้อม ยืนรวมกับที่ปรึกษาเกาและสมาชิกบัณฑิตอีกยี่สิบกว่าคน นอกจากนั้นยังมีเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย ไม่นานหลังจากนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ก้าวขึ้นบัลลังก์สายตากวาดมองขุนนางและบัณฑิตน้อยใหญ่ผ่านม่านมาลาบนหมวกว่าราชการ เหล่าขุนนางยืนอยู่คนละฝั่งกับสภาบัณฑิตที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมบ่อยนัก เพราะคณะบัณฑิตมีเกาจวีถังเข้าร่วมท้องพระโรงอยู่แล้ว แต่ยามนี้สีหน้าไม่พอใจปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าย  เจี่ยผิงขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญกับการโต้วาจาอย่างสุภาพแต่แฝงแววจิกกัดของเหล่าบัณฑิต สายตาของฮ่องเต้หนุ่มตกอยู่ที่บัณฑิตหลิวที่ดูคล้ายเหมือนคนง่วงนอนและไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยเท่าไหร่นัก

“ฝ่าบาท ยามนี้การศึกยังไม่แน่นอน ยังจัดการกับพวกชนเผ่านอกด่านไม่หมด กระหม่อมคิดว่าควรเร่งสนับสนุนกองทัพมากกว่าเรื่องการสอบเคอจวี่ กระหม่อมคิดว่ายามนี้ราชสำนักต้องการทหารมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางผู้หนึ่งถือป้ายงาช้างค้อมกายเอ่ยขึ้น ที่ปรึกษาเกาได้ยินแล้วก็ปรายตามองอย่างไม่พอใจนัก

“ครั้งก่อนท่านก็พูดเช่นนี้ อิดออดนักหรือพวกท่านกลัวว่าจะเสียผลประโยชน์”เกาจวีถังเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว รู้สึกรำคาญกับการกล่าววาจาอ้อมค้อมของพวกขุนนางเช่นกัน

“ที่ปรึกษาเกา ระวังวาจาด้วย”เสนาบดีฉินกรมขุนนางกล่าวเสียงเข้ม จื่อฟางกวาดตามองเหล่าขุนนางขั้นสองไปถึงขั้นสี่ที่เข้าร่วมประชุม มองไปที่เสิ่นมู่หยางโดยไม่ตั้งใจ คนผู้นั้นร่างกายผ่ายผอมกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นและดูเหมือนจะยืนไม่ค่อยถนัด เหมือนจะจำได้ว่าเสนาบดีผู้นี้ได้รับบาดเจ็บที่ขา ร่างของขุนนางใหญ่ขยับชายเสื้อราวกับรับรู้ถึงสายตาจ้องมองของเด็กหนุ่ม จึงตวัดมองจื่อฟางด้วยสายตากดดัน

“บัณฑิตหลิวมีความคิดเห็นอย่างไรหรือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามบ้าง ลอบมองไปยังทางบัลลังก์มังกรเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มิได้คัดค้านที่ตนกล่าวแทรกก็เบาใจ

“กระหม่อมเห็นด้วยว่าการทหารสำคัญ”เด็กหนุ่มเอ่ยทำให้บัณฑิตที่เหลือมองอย่างไม่ยากเชื่อหู เขาจึงยกยิ้ม “แต่ที่เราพูดกันอยู่คือเรื่องการแก้ระบอบการสอบ บัณฑิตก็สำคัญเช่นกัน ขุนนางอย่างเราๆต่างก็ต้องผ่านการสอบเคอจวีกันทุกคน แต่ไม่น่าแปลกใจหรือเหตุใดราชสำนักถึงเป็นเช่นนี้ บัณฑิตบางส่วนที่มีความรู้บางคนไม่สามารถผ่านการสอบเข้ามาได้เพราะการทุจริตเล่นเส้นสายของขุนนางกังฉิน การรื้อแก้ปรับระบบตั้งแต่ต้นถือเป็นเรื่องดี

ตามที่กระหม่อมเห็นมีบรรดาขุนนางที่ใช้เส้นสายเพื่อให้บุตรธิดาเครือญาติสอบผ่าน หากสอบบัณฑิตยังมีการคดโกงตั้งแต่เริ่ม แล้วจะเป็นขุนนางที่ดีได้อย่างไร หากขุนนางไม่ดีราชสำนักย่อมไม่ดี เช่นนี้ก็รับใช้องค์ฮ่องเต้มิได้แล้ว หากไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนี้ อีกกี่ปีจะได้เริ่มต้นเล่า”จื่อฟางค้อมกายอย่างสุภาพ กล่าวไปอย่างที่ใจคิดแต่เพียงใช้น้ำเสียงสภาพน่าเชื่อถือ เขาไม่รู้เรื่องราวพวกนี้มากนักแต่คิดว่าคงทำไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดถึงอย่างไรก็มีขุนนางที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าควรรีบเร่งแก้ปัญหาส่วนนี้ ไม่เช่นนั้นราชสำนักของเราจะวนเวียนอยู่เช่นนี้ พระองค์อยากได้ขุนนางแบบใด กระหม่อมคิดว่าหากยังไม่สามารถปรับได้ทั้งหมดก็ค่อยเป็นค่อยไปพ่ะย่ะค่ะ”บัณฑิตหลิวที่มักจะไม่ค่อยออกโรงกล่าวขึ้น ที่ปรึกษาเกาหยักยิ้ม แม้แปลกใจแต่ก็กล่าวเสริมสหาย

“กระหม่อมเห็นด้วยกับที่บัณฑิตหลิวกล่าวทุกประการ ฝ่าบาทไตร่ตรองให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อหัวหน้าคณะบัณฑิตส่งเสียงสนับสนุน สมาชิกบัณฑิตที่เหลือก็ร่วมส่งเสียงด้วย ขุนนางอีกฝั่งรีบส่งเสียงแย้งเป็นที่วุ่นวาย ฮ่องเต้เจี่ยผิงนั่งตัวตรง คิ้วขมวดมุ่น

“เงียบ”ชายหนุ่มกล่าวเสียงดังรู้สึกว่าอ่อนเพลียยิ่ง พักนี้...ไม่สิต้องบอกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยและการศึกเขาก็ไม่เคยนอนหลับได้สบายนัก

“เราเห็นด้วยกับบัณฑิตหลิว จัดการตามนั้น”เดิมทีเขาก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ยังมีขุนนางที่ไม่สนับสนุน เหตุผลล้วนเดาง่าย หากปรับการสอบเคอจวีให้ตรวจสอบได้ย่อมทำให้ขุนนางที่ต้องการผลักดันบุตรหลานโดยใช้เส้นสายตกที่นั่งลำบาก

“หัวหน้าคณะบัณฑิตเการ่างหนังสือปรับแก้ข้อการสอบเคอจวีมาให้เราพิจารณาแต่หากทำไม่ได้จริง ก็ย่อมต้องพักไว้ก่อน พวกท่านทั้งหลายคงทราบดีว่าไม่สามารถทำได้โดยง่าย”ฮ่องเต้กล่าวช้า ๆ เรื่องนี้อย่างไรย่อมมีผู้ที่ไม่ต้องการให้ขุดคุ้ย ชายหนุ่มทำได้เพียงลอบส่งสายตาเตือนให้เกาจวีถังและบัณฑิตหลิว แม้จะยังขุ่นเคืองหลิวเซียนฟางแต่รัชทายาทอาการดีขึ้นมากจึงไม่อยากเก็บมาใส่ใจ

เจี่ยผิงรู้สึกว่าเหนื่อย หรือว่าตนจะเริ่มแก่เสียแล้ว

“จบการหารือเพียงเท่านี้”ชายหนุ่มถอนหายใจ ไม่รอช้ารีบก้าวลงจากราชบัลลังก์ออกทางประตูข้างทันที เหล่าขุนนางและบัณฑิตต่างก็พากันหมอบถวายบังคม เมื่อเงาร่างของเจ้าแผ่นดินพ้นสายตาก็พากันออกมาจากราชสำนัก

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินไปตามเฉลียงทางเดิน เห็นว่าเฮ่อเจ๋อและองครักษ์ลับคนใหม่ก้าวตามาเงียบๆ ชายหนุ่มปรายตามอง ส่งเสียงถามเบาๆ

“สืบทราบหรือยังว่าเสิ่นจิ้งเฟยไปที่ใด”

“จากการตรวจสอบเส้นทางรถม้าศึก น่าจะมุ่งหน้าไปยังเขตภูเขา...กระหม่อมไม่แน่ใจนัก”เฮ่อเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในใจหวาดหวั่นว่าจะถูกเจ้าแผ่นดินบันดาลโทะ ชายหนุ่มคงทำเช่นนั้นแต่ก้าวเดินต่อได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกวิงเวียน หากไม่ได้องครักษ์เข้ามาพยุงร่างก็คงล้มลงแล้ว

“ฝ่าบาท!”องครักษ์คนสนิทตั้งใจจะร้องเรียกหาหมอหลวงแต่บุรุษหนุ่มรีบยกมือห้าม ใช้สายตาราบเรียบมองเส้ากงกง

“อย่าแตกตื่น เส้ากงกงตามหมอหลวงมาเงียบ ๆอย่าให้ผู้ใดทราบเด็ดขาด”แม้ยามนี้สถานการณ์ในราชสำนักจะไม่ดุเดือดดั่งสนามรบ กำจัดพวกที่คิดล้มบัลลังก์เขาไปได้หมดสิ้นแต่เจี่ยผิงยังไม่วางใจ จึงไม่อยากให้มีผู้ใดนำเรื่องสุขภาพของตนมาเป็นช่องเล่นงาน

“พ่ะย่ะค่ะ”เส้ากงกงค้อมกายออกไปด้วยสีหน้ากังวลแต่ก็รีบซ่อนไว้ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เจี่ยผิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพียงก้าวเดินต่อ คิดกับตนเองว่าเพราะนอนไม่ค่อยหลับจากความเครียดร่างกายจึงเป็นเช่นนี้ บางทีเขาควรปล่อยวางเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ความคิดนี้กลับทำให้หายใจไม่สะดวก เขาไม่ต้องการนำตัวเสิ่นจิ้งเฟยกลับมา หากทำเช่นนั้นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงไม่อยากพบหน้าเขาไปทั้งชีวิต กระทั้งตอนนี้ เพียงแค่รู้ว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตเขาก็ดีใจ แต่ชายหนุ่มอยากไปพบหน้าสักครั้ง

“พวกเจ้าเคยจับผีเสื้อใส่ขวดหรือไม่ เพราะมันสวยงามมากจึงไม่อาจตัดใจปล่อยไป แรกๆมันก็บินไปที่ใดไม่ได้ จากนั้นไม่นานมันก็ใกล้ตาย เราจึงปล่อยมัน แต่ในใจยังห่วงหายิ่งนัก หากเป็นพวกเจ้าจะทำเช่นไร”เจี่ยผิงเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยเชื่อย  เฮ่อเจ๋อไม่ได้ตอบกล่าวเพียงแค่ก้มหน้าเดินตามเจ้าแผ่นดินเงียบ ๆ รู้ดีว่าฝ่าบาทเอ่ยถึงผู้ใด แต่องครักษ์ลับหน้าใหม่กลับเอ่ยตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไม่ควรจับมันมาแต่แรก”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงหยุดชะงัก “นั้นสินะ แต่หากไม่จับ มันก็บินไปที่อื่นสิ”เขายังมีใจถามต่อ

“ผีเสื้อไม่ใช่สัตว์เลี้ยง กระหม่อมเชื่อว่าสิ่งใดที่มิใช่ของเราย่อมไม่ใช่ แต่หากว่าสิ่งนั้นใช่ อย่างไรก็ต้องกลับมาหาพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างนั้นรึ เจ้าคิดง่ายนัก”เจี่ยผิงไม่ได้เอ่ยถามต่อ ก้าวขึ้นราชรถกลับไปยังตำหนักของตน                                                                                                   

~•~


คำสั่งของฮ่องเต้เจี่ยผิงถูกป่าวประกาศไปทั้งกองทัพ พลทหารจึงปักหลักอยู่ที่นอกกำแพงเมืองฉางอันเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าทัพชนเผ่านอกด่านของช่างอิ่นจะถอยทัพกลับไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ขุนพลทหารสบายใจแม้แต่น้อย พวกเขาต่างรู้ดีว่าเป็นเพียงการถอยไปตั้งหลักเท่านั้น เขตแดนชาวหูอยู่นอกชายแดนการบุกไปยังแถบนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเพราะในตอนนี้มีกำลังทหารได้รับบาดเจ็บ ฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงประกาศราชโองการคัดเลือกทหารเพื่อรับการศึก

ไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ด้วยท่าทางสงบ เสียงขลุ่ยเป็นทำนองบาดลึกดังก้องไปทั่วบริเวณค่ายทหาร จิตใจของผู้เป่าล่องลอยไปหาคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ห่างจนไม่สามารถได้ยินบทเพลงนี้ ไป๋ผูอวี้สวมใส่ชุดตัวยาวสีน้ำตาลเข้ม ท่วงท่าของคุณชายไป๋ผู้สุขุมไม่หลงเหลืออยู่ เสียงเป่าขลุ่ยที่ดังลอยมาตามสายลมต่างก็สร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าพลทหารยิ่งนัก ยามไม่มีการศึก พวกเขาอยู่ว่างๆก็ยิงธนู ปาเป้า ไม่มีพลทหารผู้ใดเล่นดนตรี แต่เดิมพวกเขาก็ไม่ได้มาจากชนชั้นที่ใช้ความรู้ พอเจอกับรองแม่ทัพไป๋ที่ถนัดศิลปะชงชาและการดนตรีก็ลอบชื่นชมแม้จะมีบางส่วนจะไม่ชอบใจกับตำแหน่งรองแม่ทัพของไป๋ผูอวี้ ยิ่งสกุลไป๋นำกำลังเข้าช่วยเหลือเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงกระแสข่าวลือ‘คนโปรด’ของฮ่องเต้ก็แพร่สะพัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รองแม่ทัพกลับทำหูทวนลม ไม่สนใจกับข่าวลือใด

ไป๋ผูอวี้ลืมตา ลดขลุ่ยลงเมื่อได้ยินเสียงควบม้าดังแว่วมาตามสายลม ชายหนุ่มหรี่ตามองผ่านแสงแดดแรงจ้ามองเห็นร่างของทหารนายหนึ่งควบอาชามาหยุดอยู่ที่หน้าค่าย ทหารผู้นั้นรีบพลิกกายลงจากหลังม้า สาวเท้าตรงมาหาไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มจึงยืนขึ้น คิดว่าสงสัยว่ามีเรื่องใดอีก เมื่อสามวันก่อนมีสารน์ด่วนจากองค์ฮ่องเต้มีคำสั่งให้นำตัวซูเหลียนฮวากลับไปในเมืองหลวงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของรัชทายาทเจี่ยอิงต้า

 “ท่านรองแม่ทัพ มีจดหมายจากเมืองหลวงขอรับ”ทหารตรงหน้านำจดหมายส่งให้ชายหนุ่ม เขารับมาถือ หากเป็นจดหมายธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ฝามือหนาชะงักระหว่างที่กำลังคลี่จดหมาย เขาตวัดสายตาคมดุมองทหารที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าบอกกลายๆว่าให้ออกไป นายทหารรีบทำความเคารพหมุนตัวออกมาจากใต้ร่มไม้ด้วยใจที่เต้นผิดจังหวะสายตาของรองแม่ทัพไป๋ช่างชวนหนาวสั่นไปถึงกระดูก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ส่ายศีรษะ กลับมาสนใจจดหมายที่ได้รับ จดหมายดังกล่าวถูกพับมาสองชั้น ชายหนุ่มได้แต่เลิกคิ้วสงสัยว่าผู้ใดส่งมา

เมื่อคลี่เปิดออกก็มองเห็นตัวอักษรเรียงรายตรงหน้า เป็นตัวอักษรอันคุ้นตา ท่วงจังหวะการเขียนลื่นไหล กวาดตาอ่านจนจบชายหนุ่มก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ในการประมวลผล จดหมายจากจื่อฟาง...เป็นไปได้หรือ?ในอกบีบรัดไปด้วยความหวัง ไป๋ผูอวี้มองเห็นภาพวาดด้วยลายเส้นแปลกตาและตัวอักษรประหลาดลากเลื้อยที่ตนเคยเห็นมาก่อน เขาจึงรีบหยิบพัดกระดาษที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกมาคลี่เปิดเพื่อเทียบตัวอักษร มือสั่นเล็กน้อยเมื่อพบว่าเป็นอักษรชุดเดียวกัน

ตึกตัก ตึกตัก

ใจของเขาเต้นแรงเสียจนคิดว่าจะกระเด็นออกมา จากจื่อฟางภรรยาที่กลับมาแล้วของท่าน ถ้อยคำบนจดหมายทำให้เขาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่กักกั้นมานานหลายเดือน จื่อฟางกลับมาแล้ว? กลับมาแล้วจริง ๆน่ะเหรอ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เป็นไปได้จริงๆน่ะหรือ เสิ่นจิ้งเฟยบอกว่าจื่อฟางกลับไปยังบ้านเกิด ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นแล้วจะกลับมาได้อย่างไร เขาอ่านทวนจดหมายอยู่หลายรอบ ถ้อยคำในจดหมายเอ่ยถึงเรื่องราวเก่าๆ ลูกไหน ท่อนไม้ไป๋ ไป๋ผูอวี้พับจดหมายเก็บทอดสายตามองไปยังกำแพงเมืองฉางอันที่เห็นอยู่ไกล ๆ ถ้าหากว่านี่เป็นเรื่องจริง จื่อฟางอยู่ที่เบื้องหลังกำแพงนั่น

เว่ยหลงนั่งสนทนาพาทีกับขุนพลด้านนอกมองเห็นคุณชายไป๋ยืนเหม่อมองไปทางกำแพงเมืองด้วยสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าเช่นนั้นของคุณชายทำให้ผู้ติดตามลุกเดินเข้าไปหาทันที

“รองแม่ทัพไป๋...”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้อย่างนึกเป็นห่วง คุณชายของเขาเป็นอะไรไปอีกแล้ว?

“เว่ยหลง ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการในเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน เจ้าตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะรีบกลับ”คำพูดของไป๋ผูอวี้ออกมาคล้ายคนเลื่อนลอย ใจส่วนหนึ่งอยู่ที่อีกฝั่งของกำแพงเมืองเรียบร้อยแล้ว เขารู้ดีว่าตนเป็นรองแม่ทัพไม่ควรทำเรื่องที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่ความต้องการพบจื่อฟางมีมากเสียจนห้ามไม่ได้ เขาต้องไปดูให้เห็นด้วยตาถึงจะเชื่อว่าคือจื่อฟางจริง จื่อฟางของเขาที่มีร่างกายเป็นของตัวเอง ภาพวาดผืนนั้นคล้ายกับเด่นชัดอยู่ในใจ

“ว่าอะไรนะขอรับ ไยต้องไปเมืองหลวง เกิดเรื่องใดกับสกุลไป๋งั้นหรือ”เว่ยหลงยังคงมึนงง รีบเดินตามร่างสูงของคุณชายตรงหน้า ในเมืองหลวงมีเรื่องด่วนใดต้องจัดการอีก ไป๋ผูอวี้ไม่มีเวลาอธิบาย นำร่างแกร่งไปที่โรงม้าเมื่อมาถึงก็ลูบอาชาสีดำเข้มเป็นการทักทายก่อนที่ร่างของรองแม่ทัพจะพลิกกายขึ้นนั่งบนหลังอาชาอย่างคล่องแคล่ว

“ท่านรองแม่ทัพจะไปที่ใด”เว่ยหลงอ้าปากค้าง ไม่เคยเห็นคุณชายไป๋เป็นเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่จื่อฟางไม่อยู่คุณชายก็กลายเป็นคนไม่กระตือรือรือร้นจะทำเรื่องใดนอกจากการศึก

“เมืองหลวง ฝากเจ้าบอกแม่ทัพเมิ่งด้วย หากเขามีปัญหาค่อยคุยกับข้าทีหลัง”ชายหนุ่มกล่าวจบก็เอาเท้ากระทุ้งไปที่ท้องม้าให้ออกวิ่งทันที

“คุณชาย…”เว่ยหลงได้แต่มองตามอย่างอับจนคำพูด ขุนพลที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน รองแม่ทัพพูดน้อยคำผู้นั้นเร่งรีบไปในเมืองหลวงด้วยเหตุผลใดกัน ทั้งยังไม่บอกกล่าวกับแม่ทัพเมิ่งก่อนอีก คนผู้นั้นเสียสติไปแล้วหรือ? ฝุ่นควันตลบฟุ้งมองเห็นเพียงแผ่นหลังแกร่งบนหลังอาชาเท่านั้น ไป๋ผูอวี้ควบอาชาไปตามเส้นทางอย่างเร่งร้อน รับรู้ถึงแรงสะเทือนไปทั้งร่างเมื่ออาชาเร่งฝีเท้าอย่างคึกคัก สายลมแรงปะทะเข้าใบหน้าทำให้เส้นผมสีเข้มที่มวยอยู่กลางศีรษะหลุดลุ่ยบางส่วน มองเห็นป่าไม้รอบตัวเป็นภาพมัว เขาคิดทบทวนเมื่อมองเห็นกำแพงเมืองฉางอันเข้าใกล้ทุกขณะ ในจดหมายของจื่อฟางไม่ได้บอกว่ารออยู่ที่ใด เขาจะหาตัวคนผู้นั้นได้อย่างไรเล่า

“หยุดก่อน”ทหารเฝ้าหน้าประตูส่งเสียงเรียกเมื่อร่างบนหลังม้าเข้าใกล้จนอยู่ในระยะได้ยิน ทหารผู้นั้นไม่ทันได้เอ่ยซักถาม ไป๋ผูอวี้ก็ดึงสายบังเหียนม้าสั่งให้หยุดก่อนยกป้ายคำสั่งของฮ่องเต้ยื่นใส่ตรงหน้าของอีกฝ่าย

“ผะ ผ่านเข้าไปได้”นายทหารรีบส่งเสียงร้องบอก สั่งให้ทหารเปิดบานประตูให้ท่านรองแม่ทัพไป๋เข้าไปในเมืองฉางอัน ชายหนุ่มควบม้าไปตามเส้นทางสายหลัก ชาวบ้านในเมืองยังคงหวาดหวั่นกับการศึกที่ผ่านมาจึงไม่ได้ออกมาเดินวุ่นวาย ถนนหนทางจึงค่อนข้างเงียบ ไป๋ผูอวี้หยุดม้า ครุ่นคิดว่าจะหาตัวจื่อฟางได้จากที่ใด คฤหาสน์สกุลไป๋?ก็ไม่น่าใช่ หรือว่าจะเป็น…เขากระตุ้นให้อาชาควบเดินมุ่งหน้าไปยังตรอกซีหมาน สถานที่หนึ่งเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ โรงน้ำชาหลิวซื่อ

ไป๋ผูอวี้ควบม้ามาถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ตรอกซีหมานมีผู้คนเดินผ่านบางตาแต่โรงน้ำชาสกุลไป๋ยังคงเนื่องแน่น เขาไม่ได้มาที่แห่งนี้เป็นเวลานานหลายเดือนก็พาให้รู้สึกคิดถึง ชายหนุ่มพลิกกายลงจากหลังอาชา เด็กรับใช้เข้ามาต้อนรับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มผิวกายคล้ำแดด สวมชุดอาภรณ์เนื้อหยาบ เส้นผมเป็นมวยกลางศีรษะหลุดลุ่ยชวนให้ไม่น่าเข้าใกล้ ใบหน้าหล่อเหลามีนวดเคราขึ้นเป็นไร ร่างนั้นกวาดตามองไปทั่วร้านพลางจัดแต่งเส้นผมให้เรียบร้อยราวกับรู้ตัวว่าสารรูปดูไม่ได้

มองไปแล้วคนผู้นี้ก็ให้ความรู้สึกคุ้นตา ชาวบ้านที่นั่งดื่มชาอยู่ด้านในต่างก็จับจ้องด้วยสายตาระแวดระวัง คนพวกนี้คงไม่คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋เช่นเขาเป็นโจรผู้ร้ายหรอกกระมัง นึกไปถึงคำพูดของเว่ยหลงที่บอกว่าเขาไม่เหมาะกับนวดเคราก็มุ่นคิ้ว

“คุณชายไป๋?”เด็กรับใช้เอ่ยเรียกเมื่อจ้องมองอยู่นานจนแน่ใจ สืบเท้าเข้ามาใกล้ กวาดสายตามองขึ้นลงอยู่หลายครั้งเพราะภาพลักษณ์ที่ไม่ชินตา คุณชายไป๋ผู้สุภาพสุขุมผู้นั้นคงถูกทิ้งไว้กลางสนามรบแล้ว

“ที่แท้ก็เป็นท่าน ข้าตกใจหมด….”เด็กรับใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอกตั้งใจเชื่อเชิญคุณชายเข้าไปในห้องดื่มชาส่วนตัว แต่ไป๋ผูอวี้ไม่มีเวลาเอ่ยทัก เขาไม่ได้มาตรวจกิจการแต่มาหาคนผู้หนึ่ง ชายหนุ่มเดินผ่านเด็กรับใช้ที่อ้าปากค้างไม่ทันได้เอ่ยวาจาใดไปยังขั้นบันไดที่ทอดสู่ชั้นสอง เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วก้าวฉับมาถึงห้องดื่มชาห้องเดิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ในอกก็พลันเต้นเป็นจังหวะถี่รัว เขาเดินอย่างเชื่องช้าหยุดอยู่หน้าม่านลูกปัด ได้กลิ่นชาผู่เอ่อร์ที่มักดื่มดับร้อนลอยแตะจมูก ไป๋ผูอวี้แหวกม่านลูกปัดเคลื่อนกายเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ พบร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียวน้ำทะเลสีสันสบายตา เจ้าของร่างนั้นนั่งหันหลังให้เขา มือเคลื่อนไหวตวัดพู่กันลงบนผืนผ้าไหมสำหรับวาดภาพอย่างคล่องแคล่ว 

ไป๋ผูอวี้เดินเข้าไปหา คล้ายกับมองไม่เห็นสิ่งใด “เจ้าคือ…”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แผ่นหลังตรงหน้าสะดุ้งด้วยความตกใจจนทำพู่กันหล่นกระทบพื้นเสียงดังแกร๊ก อีกฝ่ายหมุนกายมองดวงตาเบิกกว้างก่อนจะกระพริบตา ความยินดีแผ่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไป๋ผูอวี้สาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วจนร่างนั้นไม่มีโอกาสได้ขยับตัว เขายกฝามือกอบกุมใบหน้าเล็กไว้ในอุ้งมือ

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเอ่ยเรียก รับรู้ถึงความอุ่นร้อนที่สองแก้ม ยินดีจนพูดไม่ออกจึงได้เงยหน้าสบตามองร่างสูงใหญ่ที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าคุณชายไป๋คนเดิม ชายตรงหน้าคุกเข่านั่งลงอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

“เป็นเจ้าจริง ๆเหรอ”ไป๋ผูอวี้กระซิบถาม ใช้นิ้วมือเกลี่ยข้างแก้มของจื่อฟาง สัมผัสอ่อนนุ่มย้ำเตือนว่าร่างตรงหน้ามีอยู่จริง เขาใช้นิ้วโป้งเลื่อนปิดไฝที่เหนือริมฝีปากของอีกฝ่าย ไล่สายตามองเค้าโครงใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว จมูก ดวงตา ริมฝีปากทุกอย่างเหมือนกับคนในม้วนภาพวาดที่ตนเฝ้าฝันถึงมานานหลายเดือน ไม่ผิดแน่ ใบหน้าเช่นนี้…

“อืม ข้ากลับมาหาเจ้าแล้ว”จื่อฟางตอบกลับมองชายหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา ไป๋ผูอวี้จึงโน้มใบหน้าเข้าใกล้ประกบริมฝีปากลงกับเรียวปากอิ่มอย่างโหยหา ขบเม้มอย่างไม่ออมแรง ฝามือหนาเลื่อนมาจับกุมอยู่ที่ต้นคอ กึ่งบังคับให้จื่อฟางต้องเอียงใบหน้าในมุมที่ถูกดูดเม้มจนเจ็บแสบ ทำได้แค่ตอบรับจูบรุนแรงของร่างใหญ่ ส่งเสียงร้องเตือนอยู่ในลำคอเมื่ออีกฝ่ายขบฟันลงบนริมฝีปากจนเจ็บแปลบ ไป๋ผูอวี้ผละมามองหน้าเขาครู่หนึ่ง

“ข้าคิดถึงเจ้ามาก”ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่เหมือนถูกบีบเค้น จื่อฟางพยักหน้าไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกริมฝีปากของนั้นไล่ต้อนจนต้องเปิดรับเรียวลิ้นที่สอดเข้ามา คนทั้งสองจุมพิตอยู่ครู่ใหญ่ให้สมกับความคิดถึง ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ลูบใบหน้าของจื่อฟาง ยังรู้สึกว่าเหมือนเป็นความฝัน

“ข้าดีใจที่ได้กลับมาอยู่กับเจ้า”จื่อฟางเอ่ยบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาจูบอีก เขาบีบหลังมือของอีกคนเบาๆ

ไป๋ผูอวี้จ้องมองเขานิ่ง “ห้ามเจ้าจากไปอีก ไม่มีเจ้าแล้วน่าเบื่อนัก”ชายหนุ่มพูดจบก็สวมกอดร่างตรงหน้า อ้อมแขนแข็งแรงโอบรอบตัวของอีกฝ่ายจนแทบจมไปทั้งตัว

“ข้าไม่ไปที่ไหนอีกแล้ว”จื่อฟางพูดตามที่ใจคิด กดจมูกลงบนผิวกายที่จับต้องได้ กลิ่นอายของคนชิดใกล้ทำให้เขาหวนถึงเรื่องเก่า ๆ จึงผุดยิ้มออกมา ที่ผ่านมามีเวลาอยู่ร่วมกันเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็ยังจดจำได้ทุกสัมผัส

“เจ้าสัญญาแล้ว หากผิดคำพูด ต่อให้ลงปรโลกข้าก็จะตามไปลงโทษเจ้า”ชายหนุ่มทำสีหน้าดุดันก่อนออกแรงกอดร่างในอ้อมแขน ซุกจมูกที่ลำคอของเด็กหนุ่มแต่ร่างนั้นย่นคอส่งเสียงค้านเบาๆเพราะไรหนวดที่ชวนให้จั๊กจี้ ไป๋ผูอวี้จึงแกล้งซุกไซร้มากกว่าเก่า คนในอ้อมกอดจึงคล้ายกับอ่อนปวกเปียกไปครู่หนึ่ง ซุกกอดกันอยู่นานจนร่างของจื่อฟางรู้สึกชาไปทั้งตัวจึงขยับแข้งขาแต่ไป๋ผูอวี้ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากรอบเอว ใบหน้าจึงอยู่ห่างกันเพียงคืบ

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดอยู่ ๆเจ้าก็กลับไปยังบ้านเกิด…ทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว”ผู้เป็นรองแม่ทัพมิวายกล่าวถึงเรื่องนี้อีก เขาจะพูดซ้ำ ๆจนอีกฝ่ายไม่กล้าทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว จื่อฟางเพียงยกมือลูบใบหน้าของชายอีกคน รู้ดีว่าเหตุการณ์ทางฝั่งไป๋ผูอวี้นักหนากว่าเขามาก

“ข้าก็ไม่แน่ใจ…”เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เขาจะพูดออกไปอย่างไรดี เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องหนังสือเพราะความเจ็บปวดหรือเปล่าที่ฉุดดึงเขาออกจากร่าง แต่เสิ่นจิ้งเฟยแค่ถูกกรีดใบหน้าเท่านั้น หรือเพราะร่างกายอันอ่อนแอจะมีส่วน

“ช่างมันเถอะ รู้แค่ว่าต่อจากนี้ข้าจะไม่ไปไหนอีก”ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อคิดว่าคงเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนเสียจนพูดไม่ได้ จื่อฟางจับมือของไป๋ผูอวี้มาดู ฝามือนั้นหยาบกร้านและมีรอยบาดแผล เจ้านี่ปล่อยให้ร่างกายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ไม่แน่ใจว่าเพราะเรื่องของตนหรือเพราะถูกการศึกเคี่ยวกรำจนไป๋ผูอวี้เปลี่ยนไปกันแน่

“เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”เขาเอ่ยถาม ชายตรงหน้าถอนหายใจก่อนเล่าเรื่องราวตั้งแต่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในจวนสกุลเสิ่นจนถึงเรื่องราวการศึกนอกกำแพงเมือง เมื่อรู้ว่าหยางชวีตัดสินใจพาเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงไปยังเหลียวตงเขาก็โล่งอก ในเมื่อตอนนี้เขามีร่างเป็นของตัวเอง จื่อฟางไม่ต้องการให้เจ้าคนหน้าตายนั่นยึดอยู่กับเขา เขาไม่ใช่คุณชายหรือเป็นบุตรเสนาบดีไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตาม หากมีวาสนาต่อกันย่อมได้เจอกันอีก ส่วนจางต้าหลังจากที่เหตุการณ์ในฉางอันสงบก็ออกเดินทางไปกับเจียงฉวี่ต้าคนสนิทที่ฟู่เทียนสือทิ้งไว้ เขายินดีที่เจ้าเด็กนั่นตัดสินใจติดตามรับใช้เจ้านายตัวจริง ถึงแม้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะชอบแกล้งบ่าวคนสนิทแต่ความผูกพันที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กย่อมไม่เสื่อมหายโดยง่าย เขารับรู้ได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยก็มีความห่วงไยเจ้านั่นอยู่บ้าง
 
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 13-02-2019 10:40:19
 

“หากบ้านเมืองยังไม่สงบ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่มีทางปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้น แต่แรกเขาเข้าร่วมการศึกก็เพราะจื่อฟางส่วนหนึ่ง แต่ในยามนี้เขาเพียงทำตามหน้าที่ของรองแม่ทัพเท่านั้น

นั่นสินะ...จื่อฟางน่าจะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยคนสกุลไป๋ไปโดยง่าย “หมายความว่าหากกำจัดองค์ชายใหญ่ได้ ข้ากับเจ้าถึงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรือ”เขาพึมพำ ชายหนุ่มอีกคนไม่เอ่ยตอบเพียงสบตาเขาเงียบ ๆ

เขาถอนหายใจ“ร่างนี้ชื่อบัณฑิตหลิวเซียนฟาง ข้าคิดไว้ว่าจะวางแผนลาออกจากราชสำนัก”อีกทั้งบัณฑิตหลิวยังมีภาระให้ต้องจัดการ ลาออกราชสำนักมีข้ออ้างง่ายๆที่น่าเชื่อถือ ใช้เรื่องสุขภาพของคนผู้นี้มาอ้างเท่านี้ก็คงไม่มีผู้ใดสงสัย

ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว เมื่อคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “บัณฑิตหลิว…หลิวเซียนฟางที่เป็นปั๋วซื่อน่ะรึ”

“เจ้ารู้จัก?”

“อืม ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านจากที่ปรึกษาเกาจวีถังเท่านั้น ไม่คิดว่าบัณฑิตชั้นสูงผู้นั้นจะมีใบหน้าเหมือนเจ้า”ไป๋ผูอวี้ไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าเกลี้ยงเกลา มุ่นคิ้วอย่างใคร่ครวญ

“ฟางเอ๋อร์ ข้าว่าสภาบัณฑิตไม่น่ายอมให้เจ้าลาออกโดยง่าย ลืมไปแล้วหรือว่าคณะบัณฑิตกำลังผลักดันเรื่องการเปลี่ยนระบบการสอบ เจ้าเองก็มีส่วนร่วม”รองแม่ทัพกล่าวเตือน นึกถึงเรื่องที่เคยหารือกับเหล่าบัณฑิตที่สวนลู่ จื่อฟางส่งเสียงดังอา ยอมรับว่าลืมไปเสียสนิท แต่เมื่อคิดว่าต้องอยู่เผชิญกับฮ่องเต้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที ไม่ง่ายเลยจริง ๆทั้งเขาและไป๋ผูอวี้ต่างก็ยังมีเรื่องราวที่ต้องสะสาง

“ออกไปข้างนอกเถิด ข้ามีเรื่องอยากเล่าให้เจ้าฟังอีกเยอะ”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มเอ่ยชวนเมื่อเห็นจื่อฟางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ชายหนุ่มกระตุกแขนดึงให้ร่างตรงหน้ายืนขึ้น ระยะห่างของทั้งสองคนยิ่งชิดใกล้ ลมหายใจหนักร้อนของเขาเป่ารดใบหน้าของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ไม่อยากทำตัวเช่นคนหื่นกาม แต่กลับห้ามความรู้สึกที่อยากจับต้องสัมผัสคนตรงหน้าไม่ได้ จึงเอื้อมมือช้อนปลายคางของร่างเล็กโน้มจุมพิตลงบนกลีบปากอย่างบังคับใจตัวเองไม่อยู่ อีกมือหนึ่งสัมผัสแผ่นหลังบางโอบกอดจนร่างแนบชิด กดย้ำจูบรุกรานเอาแต่ใจมากขึ้นจนจื่อฟางเริ่มหายใจติดขัด แต่ก็ไม่ยอมแพ้ให้แก่ชายหนุ่มตรงหน้า

จุมพิตเริ่มลึกซึ้งจนร่างกายร้อนวูบวาบ ปลายลิ้นยั่วเย้าของอีกคนทำให้ต้องส่งเสียงในลำคอเบาๆ ฝามือหนาเลื่อนต่ำลงจนวางอยู่ที่สะโพก ร่างกายแข็งแกร่งตรงหน้าเบียดความอุ่นร้อนที่เปิดเผยชัดเจนว่าต้องการสิ่งใดเข้าใกล้ จื่อฟางถึงได้สติว่าอยู่ในห้องดื่มชา ด้านนอกยังมีชาวบ้านที่จับเจ่าคุยกัน เด็กหนุ่มจึงละริมฝีปากออกห่างแต่ร่างตรงหน้าขบกัดอย่างอ้อยอิ่งจนริมฝีปากชาหนึบ ดวงตาดำลึกของคนร่างสูงมีประกายหยอกล้อที่ไม่ได้เห็นมานาน เขากลืนน้ำลาย ใจเต้นเร็วขึ้น กระแอมเบา ๆขยับถอยห่างจากไป๋ผูอวี้ที่ยามนี้คล้ายกับหมาป่าที่โหยหากระต่ายตัวจ้อย จื่อฟางพบว่าตัวเองขาสั่นเล็กน้อยจึงแสร้งจัดชายเสื้อให้เรียบร้อย

“ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยลือกันในวงเหล้า บอกว่าเป็นความรักต้องห้ามที่ชวนให้ปวดใจยิ่งนัก”เขายกยิ้มเมื่อนึกถึง หยิบม้วนภาพวาดมาเก็บอย่างเบามือ เป็นภาพเงาร่างของคนสองคนยืนอยู่บนกำแพงเมือง รับรู้ได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายยังจับจ้องไม่ห่าง

“เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ไม่กลัวคนจะเอาไปลือหรือ”เขาเอ่ยจนจบประโยคเก็บซ่อนอาการประหม่าไว้ ไป๋ผูอวี้คงไม่เห็นมือที่สั่นน้อยๆของเขาหรอกกระมัง เด็กหนุ่มชายตามองอีกคนที่หยักยิ้มจ้องมองอยู่ จื่อฟางยังกังวลเรื่องของสกุลเสิ่นเล็กน้อยเพราะเสิ่นมู่หยางดูจะยอมเปิดใจให้แก่ไป๋ผูอวี้ ถ้าหากรู้เข้าว่ารองแม่ทัพไป๋ที่เคยอาลัยอาวรณ์บุตรชายเปลี่ยนใจไปมีคนใหม่จะว่าอย่างไร

“เหตุใดต้องใส่ใจ ข้าไม่กังวลเรื่องใดทั้งนั้น เสนาบดีเสิ่นจะคิดอย่างไรก็ช่าง”ชายหนุ่มล่วงรู้ความคิดของร่างเล็กตรงหน้า “แต่เดิมข้ากับเขาก็ไม่ได้ญาติดีกัน หากจะมีเรื่องบาดหมางข้องใจกันอีกก็คงไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่มีเจ้าเข้ามาระหว่างข้าและเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นได้เพียงคนไม่ชอบหน้าเท่านั้น เป็นเช่นนี้ถือว่าดีแล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างสงบ ใบหน้าที่มีไรหนวดเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ดูแล้วขัดหูขัดตาพิกล จื่อฟางหรี่ตามอง ไม่กล้าเข้าไปแตะต้องอีกฝ่ายในยามนี้เพราะเกรงว่าจะไปจุดประกายไฟในร่างของท่อนไม้เข้า

“เจ้าโกนหนวดไม่ได้หรือ”

“เจ้าไม่ชอบ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เลื่อนมือลูบไรหนวดของตัวเอง ในเมื่อยามนี้เขาเป็นรองแม่ทัพก็ต้องสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามเสียหน่อย

“ข้าว่าไม่เหมาะกับเจ้า”เด็กหนุ่มทำเสียงดื้อรั้น รู้ดีว่าหากเรื่องของช่างอิ่นยังไม่คลี่คลาย อีกฝ่ายก็ออกจากตำแหน่งรองแม่ทัพไม่ได้ คงยากที่จะได้ไป๋ผูอวี้ผู้สุขุมนุ่มลึกคนเดิมกลับคืนมา

“อย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าชอบเสียอีก”กล่าวจบก็สืบเท้าเข้าใกล้โน้มเอาใบหน้าที่มีไรหนวดมาถูไถบริเวณซอกคอของร่างตรงหน้า จื่อฟางได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นใจไม่ส่งเสียงใดออกมา พยายามไม่ให้ร่างอ่อนปวกเปียกน่าอาย เขาดันร่างของชายร่างใหญ่ออกตวัดสายตามองอย่างขุ่นเคืองแต่ร่างนั้นกลับหัวเราะลั่นเอื้อมมาหยิกจมูกเขาเบา ๆ

“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ”ไป๋ผูอวี้หยักยิ้ม สายตาเป็นประกาย เด็กหนุ่มขึงตาใส่กระแอมกระไอเรียกสติกลับคืนมา

“ข้าจะรอเจ้าที่หน้าโรงน้ำชาก็แล้วกัน”พูดจบก็หมุนกายออกจากห้องดื่มชา ยังคงท่าทีอย่างบัณฑิตผู้คร่ำเคร่งไว้ได้ ชาวบ้านที่นั่งจิบชาพูดคุยอยู่ที่โต๊ะด้านนอกหันมองอย่างสนใจเพราะได้ยินเสียงหัวเราะมีชีวิตชีวาของไป๋ผูอวี้ก็เกิดสงสัยว่าเป็นผู้ใดที่ทำให้รองแม่ทัพผู้ไม่สนใจโลกหัวเราะได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มไม่ได้ใส่ใจนัก รีบลงไปที่ชั้นล่างจ่ายเงินให้กับพ่อบ้านแซ่กวงที่โต๊ะด้านหน้า

จื่อฟางออกมานอกโรงน้ำชา ช่วงบ่ายของวันนี้ท้องฟ้ากระจ่าง อากาศร้อน สายลมนิ่งเอื่อย เขาจึงคลี่พัดกระดาษลวดลายดอกเหมยออกมากระพือ ออกเดินช้าๆไปตามเส้นทางเพราะคิดว่าไป๋ผูอวี้น่าจะอยากอยู่คุยกับพ่อบ้านและเด็กรับใช้สกุลไป๋ก่อนออกมา เวลานี้ตรอกซีหมานมีผู้คนบางตา มีเพียงรถม้าที่นำชายชราผู้หนึ่งวิ่งไปตามถนน เมื่อหลายวันก่อนฮ่องเต้เจี่ยผิงได้มีการนำเสบียงมาแจกจ่ายราษฎรที่เดือดร้อนและยังยอมมอบที่ดินส่วนหนึ่งให้ชนชั้นชาวนาเพาะปลูกทำการเกษตร ที่พระองค์ยินยอมก็เป็นเพราะพระอาการของรัชทายาทเจี่ยอิงต้าดีขึ้นสามารถฟื้นสติได้แล้ว ยาสมุนไพรของซูเหลียนฮวามีส่วนช่วยอย่างมาก ผู้คนจึงมาเอาอกเอาใจสกุลไป๋โดยเฉพาะที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ ข่าวลือที่ว่าไป๋ผูอวี้เป็นทหารคนโปรดของฮ่องเต้จึงเลื่องลือออกไป

จื่อฟางย่างกรายมาถึงพื้นที่ก่อสร้างที่เดิมทีเป็นร้านของเถ้าแก่ชวี มองเห็นเป็นร้านค้าสูงสามชั้นที่เกือบแล้วเสร็จ เป็นร้านที่เขาอยากทำ เด็กหนุ่มกวาดตามองอย่างละเอียด พบว่าทำได้ออกมาตามแบบที่เขาต้องการ ไป๋ผูอวี้บอกว่าเป็นคนรับมาสานต่อ แสดงว่าเขาก็มีสิทธิ์ในร้านค้าแห่งนี้ เงินของสามีย่อมเป็นของภรรยาเช่นกัน เขาเคาะพัดกับมืออย่างเห็นด้วยกับความคิดของตน

“ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเรียกจากบนหลังอาชาเมื่อมองเห็นว่าจื่อฟางมองร้านค้าที่เขารับช่วงต่อ ชายหนุ่มหยุดอยู่ข้างร่างในชุดสบายตา

“ร้านของเจ้า อยากทำต่อหรือไม่”

“ทำสิ”เขาพยักหน้า รู้สึกอุ่นวาบในอกที่คิดว่าอีกฝ่ายยังสานต่อความต้องการของเขาแม้ว่าตอนนั้นตัวเขาจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

“หากมีข่าวออกไปว่าเป็นร้านของบัณฑิตหลิว ข้าอยากเห็นสีหน้าของเสนาดีเสิ่นยิ่งนัก”แม้ไป๋ผูอวี้จะบอกว่าไม่สนใจ แต่ก็กลัวว่าเสิ่นมู่หยางจะยกเลิกไม่ให้มีการสร้าง แต่คนผู้นั้นเป็นขุนนางย่อมรู้ดีว่าในตอนนี้เขาไม่ใช่บุตรชายสกุลไป๋ที่สามารถมาเบ่งอำนาจข่มกันได้อีกแล้ว

“เสิ่นจิ้งเฟยไม่คิดจะกลับมาสะสางปัญหาหน่อยหรือ”จื่อฟางพึมพำออกมาอย่างอดไม่ไหว จะว่าไปก็อยากมีเรื่องพูดคุยกับเจ้านั่น

“ช่างเถอะ”เขาปัดความคิดกวนใจทิ้ง หันมองไป๋ผูอวี้ที่อยู่บนหลังอาชา ร่างนั้นยื่นมือมาให้เป็นการเชื้อเชิญ เขาแสร้งทำสีหน้าไม่พอใจ

“ตั้งแต่เป็นรองแม่ทัพ เจ้าก็เอาแต่ใจตัวเองยิ่งนัก”เขาเหลียวมองรอบกายกลัวว่าจะมีคนเห็นแต่อีกฝ่ายกลับลงจากหลังม้า อุ้มยกร่างของจื่อฟางขึ้นไปบนหลังอาชาอย่างว่องไวจนเขาร้องลั่น เจ้าบ้านี่ทำแบบนี้อีกแล้ว จื่อฟางได้แต่เม้มปากพยายามไม่ตื่นตกใจรักษาหน้าตัวเอง ไป๋ผูอวี้หัวเราะออกมาดังๆรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก เป็นฝ่ายกระตุ้นให้ม้าออกเดินช้า ๆ ร่างที่อยู่บนหลังอาชาจับสายบังเหียนเพื่อพยุงตัว

“รองแม่ทัพไป๋ ได้รับจดหมายของข้าก็คงรีบเร่งมาเลยกระมัง”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น จับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ใกล้ ๆ ผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของต่างก็มองอย่างสนใจ

“ข้ารีบมาก็เพราะต้องการพิสูจน์ว่าเจ้าใช่ภรรยาตัวจริงของข้ารึเปล่า”ไป๋ผูอวี้แสร้งใช้สายตาที่อยากกลืนกินมองร่างของอีกคน ใบหน้าของจื่อฟางไม่นับว่าโดดเด่น แต่คนผู้นี้มีดวงตากระจ่างมีชีวิตชีวาชวนมองยิ่ง

“เจ้าเป็นรองแม่ทัพทิ้งค่ายทหารมาแบบนี้ดีแล้วหรือ”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิระหว่างที่อาชาใต้ร่างพาเดินออกมาจากตรอกซีหมานช้า ๆ ไป๋ผูอวี้หยุดเดินเมื่อออกมาจากตรอกได้พักใหญ่ เมื่อมองไม่เห็นผู้ใดก็พลิกกายขึ้นนั่งซ้อนหลังร่างเล็ก ใช้เท้ากระทุ้งท้องม้าเบาๆ จนอาชาออกวิ่งไปยังตรอกอีกฝั่ง ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวร่างตรงหน้ารู้สึกว่าเต็มไม้เต็มมือกว่ามาก

“ข้ามิได้ทิ้ง เรื่องแผ่นดินสำคัญก็จริง แต่เรื่องครอบครัวสำคัญกว่า”ไป๋ผูอวี้เอาคางเกยไหล่อีกฝ่ายก่อนกระซิบบอก ระหว่างทางก็เล่าถึงเรื่องราวในค่ายทหารที่ค่ายซินเฉิงและเมืองเสียนหยาง รวมไปถึงเรื่องที่เว่ยหลงหวาดกลัววิญญาณของจื่อฟาง เด็กหนุ่มนั่งฟังเงียบ ๆเมื่อไป๋ผูอวี้เล่าจบ จื่อฟางก็เล่าถึงชีวิตเรื่อยเปื่อยของตนเองบ้าง อาชาก้าวเหยาะไปตามเส้นทางที่คุ้นตา ผู้คนในตรอกมีน้อยนิดแต่เมื่อเห็นบุรุษสองคนอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกันทั้งยังสนิทแนบชิดถึงเพียงนั้นย่อมทำให้ถูกจ้องมอง แต่คนทั้งสองกลับไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

“ข้าพบคนผู้หนึ่ง…”จื่อฟางเริ่มเล่าเรื่องของไป๋อี้เสวี่ยให้อีกฝ่ายฟัง ข้ามรายละเอียดเรื่องโลกนิยายทิ้ง ชายหนุ่มด้านหลังได้ยินก็หรี่ตาลง ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่ามีบุรุษที่หน้าตาคล้ายกับตัวเองอยู่ในโลกของจื่อฟาง…

“เจ้าชอบไป๋อี้เสวี่ยไหม”

“ไม่ได้ชอบ แม้ว่าเขาจะหน้าตาเหมือนเจ้า เขาเป็นเพียงสหายของข้าเท่านั้น”ร่างเล็กเอ่ยตอบทันที ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ไม่รู้ว่าว่านั่นใช่ตัวเขาในอีกภพหนึ่งหรือเปล่า แต่จื่อฟางเป็นภรรยาของเขาเพียงคนเดียว ย่อมไม่อยากให้คนหน้าเหมือนหรือผู้ใดเข้าใกล้

จื่อฟางรู้สึกว่าคนด้านหลังเงียบไปจึงใช้ศอกกระทุ้งเบา ๆ “เป็นไรไปแล้ว เจ้าหึง?”

“เจ้าแต่งงานกับข้าเพียงคนเดียว ข้าย่อมอยากให้เจ้าอยู่กับข้า”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหนักแน่นกระตุกบังเหียนไปทางซ้ายมือเพื่อบังคับให้อาชาเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่จะถึง

“เจ้าคงรู้ว่าข้าพามาที่ใดกระมัง”

“อือ”เขาพยักหน้าหงึกหงักเส้นทางนี้คือบ้านหลังเล็กของไป๋ผูอวี้ บ้านที่จัดพิธีแต่งงานอย่างเร่งด่วน

“ข้าอยากจุดโคมไฟคืนเข้าหอให้ครบสามวัน”ไป๋ผูอวี้กล่าวพร้อมกับหยุดม้าเมื่อมาถึงประตูบ้านอันคุ้นตา ร่างด้านหลังลงจากหลังม้าด้วยการเคลื่อนไหวนุ่มนวลก่อนจะอุ้มร่างของจื่อฟางพาดบ่าพาเข้าไปในบ้านอย่างไม่มีพิธีรีตอง เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องโวยวายเพียงแค่ทิ้งตัวเหมือนคนไร้กระดูก กระตุกดึงเส้นผมที่หลุดลุ่ยของไป๋ผูอวี้เล่น ภายในบ้านเงียบสนิท แม้กระทั่งผ้าแพรแดงก็ยังไม่ได้ดึงออก เนื่องจากผ่านเวลามาเนิ่นนานจึงดูเก่าจางไปถนัดตา จื่อฟางกวาดตามองไปรอบลานบ้านด้วยใจเต้นแรง

“เจ้าอยู่กับข้าได้กี่วันหรือ”เขาเอ่ยถามระหว่างที่ถูกร่างสูงใหญ่พามาที่เรือนนอนด้านหน้า เดี๋ยวนะ...นี่มันยังกลางวันแสกๆอยู่เลย ไป๋ผูอวี้คิดจะ...

“ห้าวัน”ร่างนั้นตอบสั้นห้วน เลื่อนฝามือมาลูบคลำบั้นท้ายของเขาอย่างไม่อายฟ้าดิน

“เจ้าไม่กลัวโดนลงโทษหรือ”เขาพูดตะกุกตะกัก ถึงอย่างไรเจ้านี่ก็เป็นรองแม่ทัพยังต้องเกรงใจแม่ทัพใหญ่ ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ตอบทันทีเดินมาถึงประตูห้องที่มีอักษรมงคลแปะติดอยู่ตัวอักษรจางลงเล็กน้อย ชายหนุ่มใช้เท้าเตะประตูเปิดออก

“ถ้าแม่ทัพเมิ่งอยากลงโทษข้าก็ยอมรับ แต่ในตอนนี้ข้าอยากทำเรื่องพิธีเข้าหอให้สมบูรณ์ ข้ากับเจ้าเพิ่งจุดโคมได้วันเดียวเอง ข้าจะเข้าห้องหอใหม่กับร่างจริงของเจ้า”ประตูปิดตามหลังดังกึก ไป๋ผูอวี้ยังคงไม่ปล่อยร่างเขาลง แต่เดินไปจุดโคมที่หัวเตียง ภายในห้องไม่ได้ทำความสะอาดจึงมีฝุ่นจางๆลอยอยู่ในอากาศยามที่ร่างกายแข็งแรงเดินผ่าน จื่อฟางตระหนกเล็กน้อย

“ไป๋ผูอวี้”เด็กหนุ่มร้องเรียกเมื่ออีกฝ่ายวางร่างเขาลงบนเตียง “ตอนนี้เลยหรือ รอให้ค่ำก่อนดีกว่าไหม”

“รอทำไม เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากลัวลูกไหนบูดเน่า”ไม่พูดเปล่ากับดึงเชือกคาดเอวของตัวเองออก เสื้อผ้าที่สวมไม่กี่ชั้นเปิดออกเผยให้เห็นร่างกายกำยำแข็งแรงอย่างคนที่ใช้กำลังตลอดเวลา จื่อฟางกวาดตามองอย่างสนใจ เปลี่ยนมายันตัวนั่ง ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้างจนเหลือเพียงชั้นในบางเบา ไป๋ผูอวี้มองดูเงียบ ๆ สายตานั้นคล้ายกับแผดเผาไปทุกอณูทำให้รู้สึกว่าอากาศในห้องยิ่งอบอ้าว เมื่อร่างกายเปลือยเปล่า ชายหนุ่มอีกคนก็โถมร่างเข้ามาโอบกอดแล้วพรมจูบไปทั่วแก้มและซอกคอ ไรหนวดถูกผิวกายจนคันยุบยิบได้แต่เอียงคอหนี แต่ไป๋ผูอวี้กดร่างของอีกฝ่ายไม่ให้ขยับหลบ กดริมฝีปากครอบครองอย่างอุกอาจ จูบย้ำลงบนกลีบปากเพื่อให้ร่างนั้นเผยอรับปลายลิ้น

จื่อฟางได้แต่ควบคุมลมหายใจจูบตอบแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนมาขบเม้มหนักหน่วงเมื่อถูกฝามือหยาบกร้านลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ฝามือนั้นหยุดลงตรงรอยแผลกลางหน้าอก จึงละริมฝีปากมาพรมจูบแผ่วเบา จื่อฟางหลับตาครางเสียงแผ่วเลือดในกายเดือดพล่านไปด้วยแรงอารมณ์ ไป๋ผูอวี้เลื่อนมือลูบซอกขาด้านใน ขยับแยกออกก่อนจะทาบทับมาทั้งร่าง ผิวกายสัมผัสบดเบียดก่อให้เกิดอารมณ์หวาบหวิว เขาลูบมือผ่านแผ่นอกแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนด้านบน เลื่อนมือกอบกุมความแข็งแกร่งของไป๋ผูอวี้ เจ้าตัวหายใจถี่กระชั้นก้มมาทาบทับริมฝีปากทันที

เป็นการเข้าหอกลางวันแสก ๆและไม่ง่ายนักเพราะท่อนไม้ติดไฟแล้วก็ดับยากทั้งยังไม่ยั้งคิด พยายามเบียดแทรกกายเข้ามาอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าร่างของเขาจะกรีดร้องไม่ยอมรับสิ่งที่รุกรานเข้ามา

“เจ้าเจ็บหรือไม่”คนด้านบนเอ่ยถาม เหงื่อไหลหยดลงบนหน้าอกของเด็กหนุ่มอีกคน

“ทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้”จื่อฟางข่มกลั้นความเจ็บแปลบที่เหมือนถูกฉีกกระชาก มาได้ครึ่งทางแล้วจะให้ถอยกลับก็ลำบากใจกันทั้งคู่

“ข้าขอโทษที่เร่งร้อน ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ”แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่ร่างด้านบนก็ยังขยับกายเข้ามาช้า ๆ เด็กหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจ ดึงฝามือหนาของอีกฝ่ายมากอบกุมส่วนนั้น ชายหนุ่มจึงขยับมืออย่างรู้หน้าที่ อารมณ์เร่าร้อนเริ่มจุดติดอีกครั้ง จื่อฟางจึงเริ่มขยับสะโพกเป็นฝ่ายดูดกลืนตัวตนของไป๋ผูอวี้เข้ามา คนด้านบนครางต่ำกดแทรกกายเข้าหาความคับแน่นเต็มแรง ร่างกายเริ่มขยับเคลื่อนไหวตามแรงปรารถนา เขาเปิดเผยความรู้สึกทุกอย่าง ต้องการให้คนใต้ร่างรับรู้ถึงตัวตนของกันและกันได้ชัดเจน

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางร้องเรียกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง อารมณ์ไต่สูงเมื่อถูกจังหวะหนักแน่นเน้นย้ำที่จุดเดิม ชายหนุ่มก้มมองลูบฝามือไปที่ท้องน้อยของอีกคนก่อนจะกระทั้นกายฝังความต้องการไปจนสุดจนได้ยินเสียงหอบครางดังมาจากริมฝีปากอิ่ม ไป๋ผูอวี้โน้มกายก้มขบกัดที่ยอดอกเด่นชัดตรงหน้า ขยับสะโพกเข้าออกจนความรู้สึกคุ้นเคยก่อตัวในท้องน้อย เขาละริมฝีปากมาขบจูบเร่งเร้าระหว่างที่เร่งจังหวะรักจนร่างเล็กเบียดกายเข้าหาอย่างต้องการ ร้องครางเมื่อธารอารมณ์พังทลาย ไป๋ผูอวี้ควบคุมลมหายใจยังคงต้องการอยู่แม้ว่าจะปลดปล่อยไปแล้ว อีกฝ่ายคล้ายกับรับรู้จึงโน้มร่างมาขบเม้มที่ริมฝีปาก กระซิบเบาๆที่ข้างหู

“ข้าต้องการเจ้า”จื่อฟางมองเห็นแววตาดั่งหมาป่าของอีกฝ่ายก็รีบพลิกกายหันหลังให้ ขยับท่อนขาแยกออก รับรู้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวเอื้อมมือกอบกุมส่วนนั้นของคนด้านหลัง ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจที่สั่นเครือ โน้มกายแนบชิดก่อนประทับจูบไปทั่วแผ่นหลังบาง ลากปลายลิ้นไปตามลำคอ ไล่มาตามไหปลาร้า ใช้ฟันขบกัดอย่างหมั่นเขี้ยว กดจมูกซุกไซร้ที่ลำคอแดงเถือกของร่างนั้น จื่อฟางตัวสั่นน้อยๆกับความรู้สึกสุขสมที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง มือหนาลูบคลำสะโพกเนียนก่อนจะฝังความแข็งแกร่งเข้าหาช่องทางอุ่นร้อนที่เปิดรับอย่างยินยอม คนด้านหลังกอดรัดช่วงเอว ออกแรงขยับกระทั้นกายเชื่องช้า ฝามือข้างหนึ่งเลื่อนมากอบกุมความต้องการของจื่อฟางขยับขึ้นลงระหว่างที่บดบั้นเอวใส่หนทางอุ่นร้อน

“ข้าต้องการเจ้ามากกว่า รู้สึกหรือไม่”ชายหนุ่มกระซิบถาม จื่อฟางได้แต่หลับตาปล่อยเสียงครางเครือเมื่อรับรู้ว่าความแข็งแกร่งของชายอีกคนขยับสอดแทรกไปถึงส่วนลึก ร่างแกร่งโน้มตัวจูบที่ริมฝีปาก เรียวลิ้นพัวพันกันอย่างเร่าร้อนตามแรงอารมณ์ที่ไต่สูง จื่อฟางพยายามทรงตัวขยับสะโพกสอดรับตามบทรักแม้ว่าจะเจ็บหัวเข่ามากก็ตาม  ไป๋ผูอวี้กดสะโพกเข้าออกจนสร้างความรู้สึกหวาบหวิว เด็กหนุ่มจึงนอนราบไปกับเตียงปล่อยให้คนด้านหลังกระทำตามใจชอบ รับรู้ว่าสะโพกถูกบีบเค้น ร่างกำยำด้านหลังกระทั้นกายครั้งสุดท้ายเมื่อห้วงอารมณ์ถูกปลดปล่อย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงพอใจเบาๆก้มมากดจูบลงที่ข้างแก้ม ค่อนถอนกายออกก่อนล้มตัวนอนโอบกอดหลวมๆ แต่จื่อฟางเหนอะหนะไปทั้งตัวอีกทั้งอากาศในห้องค่อนข้างอบอ้าว

“ข้าร้อน”เขาพึมพำบอก ชายอีกคนตอบรับในลำคอเลื่อนมือบีบนวดเฟ้นไปตามเรือนร่างเปล่าเปลือยของจื่อฟาง ยังคงคลอเคลียอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะลงจากเตียงด้วยร่างกายที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้า เดินไปเปิดบานประตูให้อากาศระบายเข้ามาในห้อง

“เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก”จื่อฟางหน้าร้อนวูบให้กับการกระทำอุกอาจนั้น แต่ก็กวาดตาตามองตามกล้ามเนื้อที่ขยับบนร่างสูงใหญ่

“จะมีผู้ใดเล่า นอกจากเจ้ากับข้า”อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่เหนียมอาย กลับมานั่งลงที่ข้างเตียง

“ดื่มน้ำหรือไม่”คำถามธรรมดาแต่กลับทำให้จื่อฟางคิดไปไกล ชายหนุ่มตรงหน้าถามด้วยสีหน้าปกติ แต่เขากลับคิดไปถึงเรื่องใต้สะดือ จึงกระแอมเบา ๆ

“อืม เจ้าก็สวมใส่เสื้อผ้าก่อน”เด็กหนุ่มพึมพำ ไป๋ผูอวี้หัวเราะโน้มตัวเอาใบหน้าที่มีไรหนวดนั่นมาซุกซอกคอจนเจ็บก่อนจะจงใจสวมใส่เสื้อคลุมอย่างเชื่องช้า สายตาตกอยู่ที่ใบหน้าของเขา จื่อฟางเลิกคิ้ว กวาดตามองร่างกายของชายหนุ่มขึ้นลง ในเมื่ออยากโชว์เขาก็จะมอง ไป๋ผูอวี้มัดผ้าคาดเอวหลวมๆ ก่อนที่เงาร่างนั้นจะหายไปจากห้อง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับกาน้ำ

“ข้าจะไปเตรียมน้ำอาบให้เจ้า”

“ข้าหิว”เขาเอ่ยหลังจากที่ดื่มน้ำไปจนหมดจอก ลูบท้องน้อยแห้งๆที่ยังไม่มีอะไรตกตั้งแต่เช้าไปด้วย ไป๋ผูอวี้ได้ยินก็หยักยกมุมปากเล็กน้อย เผยแววเจ้าเล่ห์ ดวงตาจับนิ่งไปที่คนบนเตียง

“เมื่อครู่ยังไม่อิ่มหรือ ข้าก็เหมือนกัน”เขากล่าวหยอกเท่านั้นเพราะยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกห้าวันจะเคี่ยวกรำจนอีกฝ่ายหมดแรงก็ยังได้

“ข้าหมายถึงหิวข้าว!”เด็กหนุ่มทำเสียงดัง ไม่คิดว่าเจ้านี่จะคิดลามก ชายอีกคนหัวเราะ

“รอสักครู่ ข้าจะไปหามาให้”แม้เป็นรองแม่ทัพออกคำสั่งแก่ทหารนับหมื่นก็ยังต้องยอมให้กับคนๆเดียว จื่อฟางคว้าเสื้อตัวยาวมาสวม นั่งรอไป๋ผูอวี้ยกถังน้ำเข้ามาในห้องเมื่อฝ่ายนั้นยกเทน้ำจนเต็มถังเขาก็ออกปากเอ่ยชวนคนที่เหงื่อไหลเต็มหน้าผากมาอาบน้ำด้วยกัน แต่ไป๋ผูอวี้ปฏิเสธบอกว่าจะไปหาซื้ออาหารมาให้ ท่อนไม้ไป๋นำอาชาออกไปหาซื้อกับข้าวที่ตรอกใกล้เคียง ส่วนจื่อฟางก็ชำระตัวอย่างสบายอารมณ์ ดีว่าที่แห่งนี้ยังมีเสื้อผ้าของไป๋ผูอวี้ติดตู้อยู่สองสามตัว เด็กหนุ่มแต่งกายจนเสร็จ ผ่านไปสองเค่อไป๋ผูอวี้ถึงได้กลับมาพร้อมกับกระต่ายและปลาตัวหนึ่ง

เขานั่งมองร่างสูงใหญ่หยิบจับนู่นนี่อยู่ในห้องครัวอย่างทะมัดทะแมง ปากก็เล่าให้เขาฟังว่าตอนที่อยู่ในค่ายทหารเคยออกไปล่าสัตว์ต่าง ๆนาๆ จื่อฟางได้แต่เท้าคางฟัง เคลิ้มหลับเป็นช่วง ๆจนกระทั่งได้กลิ่นเนื้อกระต่ายย่างหอม ๆ กลิ่นน้ำแกงและกลิ่นปลานึ่ง ไป๋ผูอวี้ตักข้าวที่ควันขึ้นฉุยใส่ถ้วยให้ รู้สึกแย่เล็กน้อยที่ต้องให้อีกฝ่ายจัดเตรียมให้ทุกอย่าง

“ข้าขอโทษที่ช่วยงานครัวไม่ได้”เขาเอ่ยถามระหว่างที่คีบเนื้อปลาใส่จานให้ไป๋ผูอวี้ไปครึ่งซีก

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่คิดติดใจ มองร่างเล็กใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากด้วยความหิวก็ยกยิ้มจาง แปลกจริงเรื่องเท่านี้ก็ทำให้เขามีความสุขได้แล้ว มื้ออาหารเย็นผ่านไปอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่ได้มีความกระอักกระอ่วนใด จื่อฟางคอยคีบกับข้าวให้อย่างเอาใจ

เมื่อท้องอิ่มจื่อฟางก็อยากทำตัวมีประโยชน์บ้าง “ข้าเก็บเอง เจ้าไปอาบน้ำเถอะ”เขาเอ่ยขัดขึ้นเมื่อชายตรงหน้าจะเก็บถ้วยจานบนโต๊ะกลม ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาแต่ก็ยอมปล่อยให้ทำอย่างว่าง่าย ร่างนั้นจึงปลีกตัวไปอาบน้ำชำระตัว

ตกเย็นจื่อฟางนำโต๊ะเขียนหนังสือออกมาตั้งที่ลานบ้าน วาดรูปบอกเล่าเรื่องราวถึงสิ่งทันสมัยในโลกปัจจุบันให้ไป๋ผูอวี้ดู ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ใกล้ๆ เป่าขลุ่ยเป็นบทเพลงคุ้นหู เขาจำได้ว่าเป็นบทเพลงของชนเผ่าที่ฟู่เทียนสือเป็นคนสอน เขาเคยเป่าให้อีกคนฟังเพียงครั้งเดียว ไม่คิดว่าจะสามารถจดจำได้ จึงเผลอจ้องมองใบหน้าคมอยู่นาน

“มีอะไรหรือ ฟางเอ๋อร์”เจ้าของร่างเอ่ยถาม ยังคงเป่าขลุ่ย แต่สายตากวาดมองทั่วใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกคน

“ข้าแค่คิดว่าโชคดีนักที่มีเจ้า”

เป็นคืนที่เงียบสงบในช่วงคิมหันต์ฤดูแต่ห่างไกลออกไปจากเมืองหลวงมุ่งสู้เส้นทางคดเคี้ยวในเขตป่าทึบ เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเนื้อหยาบนอนซุกอยู่ในรถม้า ใบหน้าแดงก่ำเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ไหสุราสองไหกลิ้งอยู่บนพื้น คนที่นั่งทำตาขวางอยู่ด้านนอกคือชายวัยสามสิบกว่าๆ เส้นผมถูกรวบตึงเป็นหางม้า เอ่ยตวาดขึ้นคำหนึ่ง

“เจ้าหุบปากได้หรือไม่”อา ไอ้เด็กนี่มันหนวกหูนัก!

“ก็เจ้า...ฮึก เจ้าขโมยความบริสุทธิ์ของข้า!”จางต้าไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้ เขาเพียงต้องการเดินทางไปหาคุณชายเสิ่นที่เหลียวตงเท่านั้น!

“ข้าบอกว่าไม่ได้ทำอะไรเจ้าอย่างไร”เจียงฉวี่ต้าตวาด กำมือเป็นกำปั้นต่อยใส่อากาศระบายอารมณ์หงุดหงิด

“จะไม่ได้ทำได้อย่างไร!ข้าเจ็บก้น แถมที่คอของข้าก็มีรอยจ้ำแดง ข้าเคยเห็นรอยแบบนี้มาก่อน”จางต้าตวาดกลับเช่นกัน เขาเคยเห็นคุณชายเสิ่นมีอาการเช่นนี้หลังจากถูกไป๋ผูอวี้รังแก เด็กหนุ่มเกาต้นคอที่มีรอยแดงเป็นจ้ำเล็กแกรกๆ แถมเขาก็ยังปวดระบมที่บั้นท้ายด้วย

“เจ้าถูกยุงป่ากัด แถมยังเมาสุราจนตกรถม้า จะไม่ให้เจ็บได้อย่างไร ข้าจะบอกอีกทีว่าข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า”เจียงฉวี่ต้าขู่ นึกก่นด่าคุณชายฟู่ที่ทำให้ตนต้องมีชะตาเช่นนี้

“ตะ แต่ว่า...ฮือ ๆ”จางต้าไม่เชื่อนัก

“หากยังแหกปากร้องข้าจะโยนเจ้าทิ้งกลางทางแน่”คำขู่นั้นทำให้บ่าวรับใช้หุบปากฉับ แต่ก็ยังส่งเสียงสะอึกสะอื้นทำลายความเงียบเชียบในคืนเดือนกระจ่าง เมื่อคิดว่าต้องรับมือกับเจ้าเซ่อซ่านี่ไปอีกครึ่งเดือนเจียงฉวี่ต้าก็ปวดขมับ อยากโยนเจ้าเด็กนี่ลงรถม้าให้รู้แล้วรู้รอด

คุณชายฟู่ ข้าทำเวรทำกรรมใดมาหรือ!

…………..



หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 13-02-2019 10:40:37
 
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครบห้าวันไป๋ผูอวี้ก็กลับไปประจำค่ายที่นอกกำแพงเมืองตามเดิม เขากับอีกฝ่ายตกลงกันแล้วว่าจะเขียนจดหมายติดต่อจนกว่าจะนำทัพกลับ เว่ยหลงกลายเป็นสารถีส่งจดหมายให้แก่เขาและไป๋ผูอวี้ไปเสียแล้ว ทุกสามวันยามเหม่า(05.00 น. - 06.59 น.)สือโม่จะไปส่งจดหมายที่ประตูเมือง  เว่ยหลงจะรอนำจดหมายกลับไปที่ค่ายทหาร วันแรกที่สือโม่นำจดหมายกลับมา ผู้ติดตามนั่นฝากข้อความมาถึงเขาด้วย

‘คุณชายไป๋อยู่ในช่วงสติไม่คงที่ เขาเห็นท่านเป็นเพียงตัวแทนของคนรักเพราะบัณฑิตหลิวมีใบหน้าเหมือนคนรักเก่าของคุณชาย ข้าไม่อยากให้ท่านเสียใจ เลิกติดต่อคุณชายข้าเถอะ ถือว่าข้าเตือนแล้ว’

ตอนที่เขาอ่านข้อความนั่นก็หัวเราะลั่น สงสัยว่าไป๋ผูอวี้บอกกับเว่ยหลงว่าอย่างไร อีกทั้งยังบอกเล่าอีกว่ามีทหารผู้หนึ่งพยายามนำเรื่องที่ไป๋ผูอวี้มาเมืองหลวงไปฟ้องแม่ทัพเมิ่ง แต่ท่านแม่ทัพทำเพียงกล่าวตักเตือนเท่านั้น อ่านจบจื่อฟางก็พับจดหมายเก็บ ยกยิ้มเล็กน้อยดูเหมือนว่าสกุลไป๋จะมีความสำคัญอย่างมาก เวลานี้มีแต่ผู้คนสอพลอ แม้จะหวาดหวั่นอยู่ลึกๆแต่เขาเชื่อว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเข้าใจจิตใจของไป๋ผูอวี้ดี

“นายท่าน หลิวฮูหยินมาพบขอรับ”อาฉีรายงานอยู่นอกประตูระหว่างที่จื่อฟางใช้เวลาวาดภาพชุนกงฮว่า(ภาพอีโรติค)คนที่อยู่ในภาพในท่วงท่าชวนให้เขินอายคือเขากับไป๋ผูอวี้ เขาตั้งใจวาดส่งให้อีกฝ่ายเป็นการเย้าแหย่เท่านั้น ไม่อยากให้ท่านรองแม่ทัพต้องเปล่าเปลี่ยว จื่อฟางได้ยินบ่าวรายงานก็รีบเก็บภาพวาด จัดเสื้อผ้าสีสันลายตาที่ค่อนข้างไม่ตรงลักษณะนิสัยของหลิวเซียนฟางอย่างเป็นกังวล แต่ช่างเถอะ เด็กหนุ่มปั้นท่าทีอย่างบัณฑิตเดินออกไปพบท่านแม่ด้วยจิตใจสงบ

เฉิงเค่อลี่รออยู่ที่ห้องรับรองปีกข้าง นางดื่มชาคลายร้อน เมื่อจื่อฟางเข้ามาในห้องก็ยกจอกชาค้างอยู่เช่นนั้นสายตากวาดมองขึ้นลง

“ท่านแม่”เขาเอ่ยเรียกระหว่างที่นั่งลงข้างกายอีกฝ่าย นางเฉิงยังคงมองบุตรชายไม่วางตา

“เหตุใดเจ้าถึงเก็บตัวเงียบเช่นนี้อาการป่วยไม่ดีขึ้นหรือ พ่อเจ้าบ่นข้าเสียจนหูชา แต่ก็ไม่ยอมมาดูเจ้าด้วยตัวเอง”นางเฉิงเอื้อมมาจับใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มกลั้นอารมณ์วูบไหวไว้ในส่วนลึก

“ข้าสบายดี แค่อยากพักสักเล็กน้อย”เฉิงเค่อลี่พยักหน้ารับรู้ ใจจริงมีเรื่องที่อยากถามเพราะผู้คนในตรอกซีหมานต่างก็ซุบซิบถึงเรื่องนี้ ดีว่าที่หลิวชุนซิงยังไม่ได้ยิน ไม่เช่นนั้นคงแล่นมาหาหลิวเซียนฟางถึงเรือนก่อนนางเป็นแน่

“ลูกหลิว”นางเอ่ยเปรย คว้ามือของบุตรชายมาตบที่หลังมือเบา ๆ “แม่ได้ยินผู้คนในโรงน้ำชาหลิวซื่อพูดกันว่าเจ้ากับ...รองแม่ทัพไป๋มีสัมพันธ์ลับกัน”จื่อฟางได้ยินก็กระพริบตา ไม่คิดว่าข่าวลือจะเร็วถึงเพียงนี้ เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะตอบอย่างไรนางก็เอ่ยเสริม

“ตัวข้าไม่ได้มีปัญหาเท่าไหร่ เจ้าเองก็เป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ ดูแลตนเองได้แล้ว แต่ท่านพ่อเจ้าเนี่ยสิคงไม่ยอมรับโดยง่าย”นางเฉิงกล่าวเบา ๆ ความจริงเรื่องที่บุตรชายของนางรักชอบบุรุษก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แม้แต่เจ้าแผ่นดินยังหลงไหลชายงาม บุตรชายของนางจะชมชอบบุรุษจะมีคนว่าได้อีกหรือ หลิวฮูหยินพอจะเดาได้เพราะในวัยเยาว์หลิวเซียนฟางชอบไปขลุกอยู่กับท่านอาจารย์บ่อยเสียจนนางเป็นกังวล ดีว่าอาจารย์ที่ว่าย้ายไปอำเภออื่นแล้ว 

“ท่านแม่...”จื่อฟางเม้มปาก ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านในอก หญิงผู้นี้เหมือนกับแม่ของเขาจริงๆ บทสนทนานี้ทำให้นึกย้อนไปถึงเมื่อตอนที่คุยกันเรื่องของไป๋อี้เสวี่ย

“ข้านำตำราที่เจ้าต้องการมาให้”นางไม่อยากให้มีบรรยากาศแปลกๆจึงเปลี่ยนหัวข้อคุย นำห่อตำราส่งให้บัณฑิตหลิว

“ขอบคุณท่านแม่มาก”เขาเอ่ยตอบยังคงดูเหม่อลอย นางเฉิงอยู่สนทนาไม่นานจากนั้นก็ขอตัวกลับทิ้งให้จื่อฟางจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มกลับไปในห้องเพื่อวาดภาพต่อแต่ก็พบว่าสือโม่เข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยในห้อง ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นดูเก้อกระดาก ใบหน้าแดงน้อย ๆมาคิดๆดูแล้วเจ้านี่น่าจะอายุราว ๆสิบแปดปีเท่านั้น

“อีกสองวันค่อยเอาไปส่งที่เดิม”เขาเอ่ยบอก ภาพวาดชุนกงฮว่าหลายสิบแผ่นเสร็จเรียบร้อย สือโม่พยักหน้า เข้าใจได้ในทันที แม้จะรู้เรื่องราวระหว่างรองแม่ทัพและบัณฑิตหลิวแต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นหรือเอาไปพูดนินทาบ่าวข้างกายไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของเจ้านาย 

หลังจากนั้นจื่อฟางก็ต้องวุ่นกับเรื่องปรับระบอบการสอบ ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะตัดสินใจเร็วถึงเพียงนี้ แต่ก็ถือว่าดีแล้วที่ไม่ได้แสดงท่าทีมีพิรุธออกไป การประชุมท้องพระโรงเขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างกว่าจะประชุมเสร็จก็ผ่านไปหลายชั่วยาม เด็กหนุ่มออกมาจากท้องพระโรงด้วยความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวต้องมายืนหลายชั่วยามเป็นการทรมานกันดีๆอย่างหนึ่ง บัณฑิตสองสามคนเข้ามาเอ่ยวาจาสำบัดสำนวนด้วยประปราย เขาทำเพียงยิ้มรับด้วยท่าทางสุภาพ ร่างในชุดบัณฑิตก้าวไปตามทาง เกาจวีถังรายล้อมไปด้วยบัณฑิตผู้เลื่อมใส รูปร่างสง่าใบหน้าที่คล้ายกับคนไม่สนใจสิ่งใดให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายจ้าวเซียวชิงผู้นั้น จื่อฟางไม่ได้เอ่ยสนทนากับผู้ใดมากนัก ก้มหน้าก้มตาเดินออกไปเงยหน้ามองเห็นร่างของขุนนางใหญ่ของเสิ่นมู่หยางเดินเข้ามาใกล้ 

“เสนาบดีเสิ่น”เขาเอ่ยทัก พยักหน้าทักทายเล็กน้อย

“บัณฑิตหลิว ข้ามีเรื่องที่อยากคุยซักเล็กน้อย เชิญทางนี้ได้หรือไม่”เสนาบดีเสิ่นกล่าวด้วยเสียงราบเรียบสีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์แต่สายตาที่จ้องมองร่างของบัณฑิตหลิวกลับทำให้รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย   

“ท่านเสนาบดีมีเรื่องใดหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อร่างตรงหน้าหยุดลงที่จุดห่างออกมาจากกลุ่มทหารและบัณฑิตขุนนางผู้อื่นที่ทยอยออกมาจากท้องพระโรง เกาจวีถังมองมาด้วยสายตาใครรู้ก่อนจะออกไปพร้อมสภาบัณฑิต 

“อะแฮ่ม ข้าแค่มีเรื่องอยากถาม พักนี้มีข่าวลือจากทหารเฝ้าประตูเมือง...”พออีกฝ่ายเกริ่นเช่นนี้ จื่อฟางก็รู้ได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องใด คงไม่พ้นเรื่องของไป๋ผูอวี้กระมัง

“ทหารพวกนั้นบอกว่าเจ้าส่งจดหมายโต้ตอบกับรองแม่ทัพไป๋”เสิ่นมู่หยางไม่สะดวกใจนักที่เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยเรื่องนี้ แต่การกระทำของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาไม่เข้าใจ เขายังจำสีหน้าของอีกฝ่ายยามนำร่างไร้ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยออกมาจากกองเพลิงได้ดี ไหนจะยังมาขอเรื่องร้านค้าแปลกประหลาดนั่นอีก คนในตรอกทางฝั่งทิศตะวันตกบอกว่าเห็นหลิวเซียนฟางสนิทแนบชิดกับไป๋ผูอวี้ ตอนแรกเขาไม่อยากเชื่อนักเพราะไป๋ผูอวี้ดูเศร้าเสียใจกับการตายของเสิ่นจิ้งเฟย

จื่อฟางยังคงตีสีหน้าเช่นเดิม พยายามนึกหาคำพูดดีๆมาใช้ แต่เมื่อคิดว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องรู้จึงตัดสินใจเอ่ยบอกไปตามตรง

“เสนาบดีเสิ่น ข้าจะบอกท่านตามตรงเลยก็แล้วกัน ถึงอย่างไรท่านก็ต้องทราบอยู่ดี สิ่งที่ท่านถามเป็นความจริง ข้ากับรองแม่ทัพไป๋มีความรู้สึกดี ๆต่อกัน ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ทำผิดต่อเสิ่นจิ้งเฟย คนที่มีชีวิตอยู่ต้องก้าวเดินต่อไปไม่ใช่หรือ เสนาบดีเสิ่นคงทราบดีเพราะท่านก็ทำอย่างเขา”เด็กหนุ่มหมายถึงเรื่องของโหยวหลันมารดาที่จากไปของเสิ่นจิ้งเฟย จึงไม่แปลกใจนักที่เห็นเสิ่นมู่หยางมีสีหน้าโกรธเคืองที่เขาหยิบยกเรื่องนี้มากล่าว

“บัณฑิตหลิว...”

“ข้าขอตัว”เขายิ้มเมื่อเห็นสีหน้าอันคุ้นเคยของอีกฝ่าย ค้อมกายให้ท่านเสนาบดีก่อนจะหมุนกายก้าวออกไปยังประตูทางออกด้านข้าง อาฉียืนรออยู่ข้างเกี้ยว จื่อฟางถอนหายใจก้าวเข้าไปนั่งในเกี้ยว คิดว่าอีกไม่นานข่าวลือเรื่องของเขาและไป๋ผูอวี้คงกระจายออกไป รองแม่ทัพไป๋จะถูกกล่าวถึงเช่นไรนะ?ไหนจะบัณฑิตหลิวเซียนฟางผู้คร่ำครึ คิดถึงเรื่องนี้ก็หัวเราะออกมาดังๆ                                                                                                   

กว่าจะกลับมาถึงเรือนเวลาก็ล่วงเลยเกือบบ่าย พ่อบ้านแซ่เฟิงเตรียมอาหารไว้ได้ทันเวลา จื่อฟางจึงจัดการในเวลาไม่ถึงก้านธูปเมื่อผ่านพ้นมื้ออาหาร เด็กหนุ่มก็มานั่งงีบในสวนเล็ก ๆ ดื่มชาคลายร้อน สาวใช้ร่างน้อยอวบอิ่มโบกพัดให้ผู้เป็นนาย เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าหนังตาปรือ ระหว่างที่เกือบเคลิ้มหลับนั้นก็รับรู้ว่ามีลมแรงพัดมาวูบหนึ่งจนทำให้เศษฝุ่นและใบไม้กระจาย ข้ารับใช้ต่างก็พากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจ เมื่อลืมตามองก็พบร่างของหญิงงามแสนคุ้นตา กลิ่นหอมอวลอยู่ในอาการ เขายกยิ้มเป็นการทักทาย

“แม่นางซู เหตุใดไม่เข้าทางประตูหน้าเล่า”จื่อฟางขยับตัวนั่งหลังตรง โบกมือไล่ข้ารับใช้

“พวกเจ้าออกไปก่อนนางเป็นคนรู้จักข้า”เมื่อกล่าวเช่นนี้อาฉีและสือโม่ก็พากันนำสาวใช้ออกไปจากลานบ้าน  ซูเหลียนฮวาไม่เอ่ยมากความก้าวฉับๆมาหาผู้ที่สวมชุดบางเบาสบายตาการแต่งกายเช่นนี้ให้ความรู้สึกว่าคุ้นชิน นางเอื้อมมือช้อนปลายคางของอีกฝ่ายเอียงไปมา สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วใบหน้าเกลี้ยงเกลา หน้าตาธรรมดาๆเช่นนี้…นางเคยเห็นมาก่อน จากม้วนภาพวาดของคุณชายไป๋

“หน้าเหมือนคุณชายจื่ออย่างที่ศิษย์พี่รองว่า ต่างกันตรงที่เจ้ามีไฝ อีกคนไม่มี”ซูเหลียนฮวาพึมพำ ใช้นิ้วสะกิดไฝบนหน้าของเด็กหนุ่มจนสะดุ้งโหยง ชายร่างเล็กปัดมือของนางออก

“ไฝบนหน้าข้าเป็นของจริง ว่าแต่ใครคือคุณชายจื่อ?ท่านหมายถึงคนรักของไป๋ผูอวี้น่ะหรือ”จื่อฟางกล่าว จิ้มซีกแตงโมเข้าปากด้วยท่าทางสบายอารมณ์ หญิงงามตรงหน้ากวาดสายตามองเขาไม่วางตา เดินวนอยู่สองสามรอบ เด็กหนุ่มได้แต่มองอย่างนึกสงสัยคิดว่านางเกิดเพี้ยนอะไรอีก

“แปลกจริง ๆ ข้ารู้จักคุณชายไป๋ดี เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจจากผู้ใดโดยง่าย”หญิงที่ได้ฉายาว่านางมารหมื่นพิษขมวดคิ้วแน่น บัณฑิตท่านนี้หน้าตาไม่โดดเด่นพอให้คุณชายเปลี่ยนใจ แต่นางรู้ว่าคุณชายไม่ใช่พวกที่มองคนจากรูปลักษณ์ หรือจะเป็นที่นิสัย?

“หรือคุณชายไป๋เห็นบัณฑิตท่านนี้หน้าเหมือนคุณชายจื่อ...”นางมารหมื่นพิษพึมพำกับตัวเองแต่นางก็คิดว่าไม่ใช่ ไป๋ผูอวี้เป็นคนที่แยกแยะได้ ไม่มีทางเอาผู้อื่นมาแทนที่คุณชายจื่ออย่างแน่นอน

“ข้าคือจื่อฟาง”ร่างตรงหน้าเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง แต่สีหน้าคล้ายกับหงุดหงิด ซูเหลียนฮวาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้กลมตรงข้ามกับอีกร่าง หัวเราะเบาๆในลำคอ กลิ่นกายหอมเป็นเอกลักษณ์ลอยของนางคงต้องจมูกของอีกฝ่ายเข้า

“ท่านล้อเล่นแล้ว”

“ข้าเจอเจ้าครั้งแรกที่หอคณิกาชั้นสูง อา ชื่อว่าอะไรนะ จำไม่ได้แล้ว แต่เจ้าช่วยข้าจากหลี่ฮุ่ยจือ ด้วยการทำให้เขาสลบ”จื่อฟางเล่าเรื่องเก่าๆด้วยรอยยิ้ม มองปฏิกิริยาของหญิงงามด้วยสายตาขบขัน เขาไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน นางมารหมื่นพิษเบิกตาตื่นตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อหู ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่านางจะได้สติ ที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้ว และไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งมีเพียงนาง คุณชายไป๋ เสิ่นจิ้งเฟยไม่สิวิญญาณของคุณชายจื่อและหยางชวีเท่านั้น 

“ท่านคือคุณชายจื่อ…เป็นไปได้อย่างไร”นางไม่รู้ว่าสมควรกลัวจื่อฟางดีหรือไม่ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในร่างคนอื่นอีกแล้วเล่า ทั้งเรื่องเล่าจากเสิ่นจิ้งเฟยและบัณฑิตท่านนี้ ไม่แปลกใจหากเว่ยหลงจะหวาดกลัว

“นี่เป็นร่างที่เหมือนกับข้าใช่หรือไม่ ในโลกที่ข้าอยู่ ข้าก็มีหน้าตาเช่นนี้ ยกเว้นที่ไฝ”ร่างในคราบบัณฑิตยกยิ้มอย่างนึกขัน ซูเหลียนฮวาเริ่มตั้งสติได้   

“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อนัก มิน่าเล่าคุณชายไป๋ถึงขั้นหลบหนีกลับมาที่เมืองหลวง หากไม่ใช่คุณชายจื่อ คนผู้นั้นก็ไม่มีทางทำเรื่องแหกกฎแน่”นางรำพึง สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของบัณฑิตตรงหน้าก่อนเอ่ยถาม

“คุณชายเป็นเทพเซียนรึ?”ซูเหลียนฮวาสมองหมุนติ้วไปหมด เหตุใดถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น?

“เทพเซียน?เจ้าล้อเล่นแล้ว ข้าหน้าตาธรรมดาเช่นนี้จะเป็นเทพเซียนไปได้อย่างไร”จื่อฟางก็คิดว่าเรื่องวิญญาณเข้าร่างเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคนยุคโบราณไม่แปลกที่เว่ยหลงจะคิดว่าเขาคือผีสิงร่าง แม้แต่ซูเหลียนฮวาก็ยังมีท่าทีไม่เป็นตัวเอง น้อยครั้งนักที่หญิงสาวนางนี้จะทำสีหน้าโง่งม

“คุณชายไป๋คงชอบอะไรจืดๆ แต่จากท่าทีกระฉับกระเฉงของคุณชาย ข้าว่าเจ้าคงไม่จืดชืดอย่างที่ตาเห็นหรอกกระมัง”นางทำสายตาแพรวพราว นึกอยากเอ่ยหยอกเรื่องนี้กับไป๋ผูอวี้นัก เมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆคุณชายบอกว่าไม่ชอบลูกไหนไม่ใช่หรือ  ตอนนี้ก็มาแอบกินอย่างที่นางเคยว่าไว้ด้วย

“ไป๋ผูอวี้ต่างหากที่ไม่เป็นอย่างที่เห็น”เด็กหนุ่มพึมพำให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียว

“คุณชายจื่อฟาง ข้าดีใจที่ท่านกลับมาแล้ว ยามไม่มีท่านคุณชายของข้าไร้ชีวิตชีวา ข้าไม่อยากเห็นคุณชายไป๋เป็นอย่างตอนนั้นอีก”ซูเหลียนฮวายกยิ้มกล่าวจากใจจริง นึกถึงเจ้าคนหน้าตายที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องของจื่อฟางเช่นกันก็ลดรอยยิ้มลง   

“คุณชายไม่คิดอยากเจอหยางชวีอีกหรือ เจ้าหน้าตายนั่นคงดีใจหากรู้ว่าท่านกลับมา”นางไม่รู้ว่าป่านนี้หยางชวีจะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง รับใช้เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่เรื่องง่าย

“ไม่ดีกว่า หากได้เจอก็คงเจอเอง”เขาส่ายหน้าก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “อาการขององค์รัชทายาทดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

“ข้ารักษาเท่าที่ทำได้ แม้ตอนนี้จะพ้นอันตรายแล้วแต่หมอหลวงก็ต้องตรวจดูตลอดเวลา”นางเอ่ยตอบ คิดว่าถึงเวลาที่ตนต้องกลับวังหลวงแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะเบื่อหน่ายแต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้าแผ่นดินก็ปฏิเสธไม่ได้ ยังดีว่าได้ประมือแก้เซ็งกับเฮ่อเจ๋อ หญิงงามยกยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาสนุกกับองครักษ์ผู้นั้น

“ข้าขอตัวก่อน บัณฑิตหลิว”ร่างนั้นจงใจเอ่ยหยอกก่อนจะหมุนกายจากไปทางกำแพงจวน จื่อฟางได้แต่มองตาม ครุ่นคิดว่าหนึ่งในวิชาของสกุลไป๋รวมการปีนกำแพงบ้านผู้อื่นด้วยหรือเปล่า
~•~

อีกฝากฝั่งของเส้นทางที่เรียกว่าเหลียวตง ท่ามกลางป่าเขามีบริเวณลานกว้างมีหมู่บ้านเล็ก ๆแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ เวทีขนาดกลางปรากฏร่างคุณชายรูปงามมีไฝเสน่ห์ใต้ดวงตาคม ร่างนั้นดีดบรรเลงกู่เจิงด้วยท่วงท่าสะกดสายตาผู้ชม แม้จะมีนางรำร่างอ่อนช้อยสี่คนเคลื่อนไหวร่างกายงดงามดุดัน แต่ส่วนใหญ่ผู้ชมจะเป็นหญิงวัยขบเผาะต่างก็จ้องไปที่คุณชายฟู่ ชายหนุ่มชายตามองทีหนึ่งหญิงพวกนั้นก็เขินอายจนหน้าแดง เบื้องหลังเวทีมีกระโจมใหญ่ตั้งอยู่ ภายในมีผู้ติดตามหน้าตายคนหนึ่งผู้มีคิ้วขมวดมุ่นและคุณชายผู้มีใบหน้างดงามแต่ที่แก้มข้างซ้ายกับมีรอยแผลเป็นยาวปรากฏอยู่ แต่ร่างนั้นหาได้ใส่ใจหาสิ่งใดปกปิด กลับมวยผมสูง เผยดวงหน้ายาวกระจ่างตา

“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยทำไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าเองก็อยากลองมิใช่รึ”เสียงนั้นแฝงแววหยอกล้อแต่ก็เจือความเยาะหยันอยู่ในที

“…ข้าไม่มีฝีมือ”

“วางหมากเร็วๆเข้า”เสิ่นจิ้งเฟยตวัดสายตามองอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อผู้ติดตามผู้นี้ยังคงลีลาชักช้า กะอีแค่วางหมากมันยากตรงที่ใด เล่นกับจางต้าบ่าวเซ่อซ่านั่นยังสนุกกว่านักอย่างน้อยก็ยังมีปฏิกิริยาที่น่าหัวร่อ ที่คั่นกลางระหว่างทั้งสองคนคือกระดานหมาก

“ขอรับ”หยางชวีตอบเสียงเรียบ ในใจก่นด่าคุณชายเสิ่น มิน่าเล่าจางต้าถึงได้เอาแต่บ่นถึงท่านให้ข้าได้ยิน ตั้งแต่ได้ร่วมเดินทางมายังเหลียวตงกับคุณชายผู้นี้ ชายหนุ่มก็ได้เรียนรู้เรื่องราวหลายอย่าง เช่นว่าจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกมิได้ การติดตามคุณชายเสิ่นไม่ได้แย่อย่างที่ตัวเขาจินตนาการไว้ แม้ว่าคนผู้นี้จะชอบทำเหมือนไม่เห็นหัวผู้อื่นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เขาทนได้

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะโง่งมเช่นนี้ เห็นทำสีหน้าสุขุมก็น่าจะมีไม้ตายบ้างสิ”เสียงของคุณชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามดังแว่วมาทำให้ผู้ติดตามนึกอยากเปลี่ยนความคิดเมื่อครู่

“เจ้าคงด่าข้าอยู่กระมัง”เสิ่นจิ้งเฟยยกยิ้มอย่างนึกขัน

“ข้าน้อยมิกล้า”คนผู้นี้ไม่เหมือนคุณชายจื่อเลยสักนิด…ร่างของเขาเกร็งชะงักไปเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ แน่ล่ะจะเหมือนได้อย่างไรมิใช่คนเดียวกันย่อมไม่เหมือนอยู่แล้ว ยกเว้นนิสัยบางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงคุณชายที่อยู่ห่างไกลออกไป

“คงไม่ได้นึกถึงจื่อฟางอยู่หรอกกระมัง”เสิ่นจิ้งเฟยใช้สายตาสำรวจร่างของผู้ติดตาม คนผู้นี้แม้จะทำเป็นไร้ความรู้สึกแต่ภายในกลับซ่อนเอาไว้มากมาย ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่สังเกตหากว่าเขาทำเรื่องใดที่คล้ายกับจื่อฟาง หยางชวีจะชะงักไปเสียทุกครั้ง

“…”ผู้ติดตามไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแค่วางหมากสีขาวลงลนกระดานเงียบๆ เสิ่นจิ้งเฟยกวาดตามองตัวหมากที่ถูกวางในตำแหน่งที่จับกินได้โดยง่าย นอกจากไป๋ผูอวี้ที่สามารถเล่นได้อย่างสูสีแล้วก็มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ทำให้เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง นึกไปถึงเรื่องหนึ่งที่เคยถูกถามเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในร่างของเจาเฟิง

‘จิ้งเฟย เจ้ารู้จักข้ามานาน ไม่รู้สึกชมชอบข้าบ้างเลยหรือ’เป็นคำถามใดกัน เขาเพียงปรายตามองอย่างเฉยชา

‘เหตุใดข้าต้องชมชอบท่านด้วย ท่านมีสนมชายงามมากมาย ข้าไม่จำเป็นต้องชอบท่านหรอกกระมัง’เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักก้มหน้าอ่านตำราในมือ

‘หากข้าปลดชายงาม เจ้าจะยอมพูดดีๆกับข้าสักครั้งได้หรือไม่’ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนักสายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขา เป็นสายตาที่ทำให้ขนอ่อนที่ลำคอลุกชัน

‘ท่านอยากให้ข้าพูดดีด้วย?ง่ายนักแค่ยอมปล่อยข้าไปก็พอ…’ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เขาเห็นเพียงความต้องการอยากได้ครอบครองของอีกฝ่ายเท่านั้น ยามที่คนผู้นั้นเป็นฮ่องเต้เจี่ยผิงเขาไม่รับรู้ความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ฟู่จวิ้นมี ท่านใช่คนเดียวกันแน่หรือ?

ร่างนั้นหยุดชะงักไปกับคำพูดของเขา ‘หากข้าปล่อย เจ้าจะคุยดีกับข้าได้อย่างไร ถึงเวลานั้นเจ้าคงหนีข้าไปไกลแล้วกระมัง’


“คุณชายเสิ่น!”หยางชวีเอ่ยเรียกอยู่หลายครั้งเมื่อเห็นเสิ่นจิ้งเฟยเอาแต่จ้องตัวหมากอย่างเหม่อลอย

“ว่าอย่างไร”เด็กหนุ่มกระพริบตา เสียงกู่เจิงด้านนอกเงียบลงแล้ว เมื่อเงยมองไปที่ปากกระโจมก็พบว่าร่างสง่าของฟู่เทียนสือปรากฎอยู่ จังหวะการเต้นในอกของเขาผิดจังหวะไปเล็กน้อย ยังคงมีความรู้สึกวูบไหวอยู่บางประการ บางทีเขาอาจมองคนแซ่ฟู่เป็นดั่งรักแรกพบ?เสิ่นจิ้งเฟยย่นคิ้ว ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ความรู้สึกยามที่ได้พบหน้าของฟู่เทียนสือมีเพียงความยินดี ยินดีที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มไม่ได้อยากเข้าไปโอบกอด ไม่เหมือนยามที่ต้องจากร่างของเจาเฟิง ในตอนนั้นมีความคิดบางอย่างที่ไม่อยากยอมรับวาบเข้ามา

‘เจ้ารักเจี่ยผิงหรือ’เสียงหนึ่งเอ่ยถาม

‘ไม่ได้รัก...’เขาไม่ได้รัก บางทีคนเช่นเขาคงรักผู้ใดไม่ได้ แม้แต่ร่างกายตัวเองเขาก็ยังเกลียด แต่หากถามว่ารู้สึกใดกับคนผู้นั้นหรือไม่ ตอนที่อยู่ด้วยก็มีเพียงความรู้สึก...เกลียดชัง?เขารู้สึกเกลียดคนผู้นั้นที่มักมาก เกลียดที่หลอกลวง เกลียดที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยมากถึงเพียงนี้ ในความทรงจำเกือบทั้งหมดก็มีแต่คนผู้นั้น ตั้งแต่ตอนเด็ก ยันตอนอยู่ที่วังหลวง

“น้องเสิ่น เจ้าเหม่อลอยอีกแล้ว”ฟู่เทียนสือก้าวเข้ามาในกระโจม สายตาปราดมองกระดานหมาก ดูท่าหยางชวีจะแพ้ เขาเบนสายตามองเสิ่นจิ้งเฟย จะว่าไปคุณชายเสิ่นยามนี้ค่อยคล้ายกับคนที่เขาเคยรู้จัก ชายหนุ่มก้มมองจดหมายที่ถืออยู่ในมือ คิดว่าจะแกะอ่านคราวหลังแต่ทั้งเสิ่นจิ้งเฟยและหยางชวีต่างก็มองเป็นตาเดียว คุณชายสกุลฟู่จึงจำต้องคลี่เปิดอ่าน สีหน้าตกใจครู่หนึ่งแต่ก็เปลี่ยนเป็นคงเดิม

“เกิดอะไรขึ้น”เสิ่นจิ้งเฟยถาม อยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดบ้างหลังจากเกิดเรื่องกบฏ เขาเห็นกำลังของเจี่ยอี้บุกเสียนหยาง แน่นอนว่าต้องบุกเมืองหลวงด้วย

“จดหมายตกค้างของเมื่อเดือนก่อน บอกว่ากองทัพชาวหูและชนเผ่านอกด่านบุกถึงกำแพงเมืองฉางอันแล้ว ฮ่องเต้เจี่ยผิงเตรียมรับศึก”ฟู่เทียนสือกล่าว มองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องกำลังชนเผ่าที่ถึงประตูเมืองหรือเรื่องของฮ่องเต้เจี่ยผิง เขาได้ยินข่าวลือมากมาย แต่ก็ไม่อยากเอ่ยถามคุณชายท่านนี้ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องที่ตนเข้าไปแตะต้องได้ แต่หากเสิ่นจิ้งเฟยพร้อมบอกเมื่อใดเขาก็ยินดีรับฟัง

“ข้าตัดสินใจแล้ว”หยางชวีเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ในใจหวนคิดไปถึงนายท่านใหญ่และศิษย์พี่ “หากจางต้าเดินทางมาถึง ข้าจะกลับฉางอัน”

“เจ้าก็รู้ว่าการเดินทางค่อนข้างไกล ไม่ร่วมเดินทางไปกับคณะสกุลฟู่เล่า”ฟู่เทียนสือใช้เวลาการเดินทางเกือบสองเดือนเพราะมากับคณะร้องรำของสกุลฟู่ เขามีแผนจะพำนักอยู่ที่เหลียวตงเพียงเดือนเดียวเท่านั้นก่อนจะออกเดินทางเลียบแม่น้ำไปยังพื้นที่ตอนใต้แล้วค่อยกลับเมืองหลวง ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยจะพักอยู่ที่นี่หรือเดินทางไปกับเขา เจ้าตัวยังไม่ได้ตัดสินใจ หยางชวีเร่งเดินทางจากเมืองเสียนหยางมาถึงเหลียวตงภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆระยะที่นานถึงเพียงนั้นกว่าจะไปถึงเมืองหลวงเหตุการณ์ฝั่งนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วไม่มีทางรู้ได้

แต่จากการที่คลุกคลีอยู่กับชนเผ่าเซียนปี้ พวกชาวหูเก่งกาจด้านฆ่าฟัน หากได้แม่ทัพดีก็มีความเป็นไปได้ในการโจมตีฉางอัน เขาได้ยินว่าช่างอิ่นองค์ชายใหญ่ผู้ถูกปลดผู้นั้นไม่ได้นำทัพเองเพียงแค่ติดตามไปดูกำลังของทหารทัพเจี่ย เขาได้ส่งสารน์ไปกับขบวนสิ้นค้าที่เข้าเมืองหลวงเพื่อบอกข่าวกับเสนาบดีเสิ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด

“ถึงอย่างไรข้าก็อยากกลับไปดูว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงใด”หยางชวีตอบอย่างหนักแน่น หันมองไปทางคุณชายเสิ่น

“คุณชาย ท่านคงไม่ว่ากระมัง”

“การตัดสินใจของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า”เสิ่นจิ้งเฟยตอบเพียงเท่านี้ ก่อนจะกลับมาสนใจกระดานหมากอีกครั้ง

“แต่ท่านก็ควรสนใจผู้อื่นบ้าง”หยางชวีเผลอตัวเอ่ยออกไปอย่างไม่ทันคิด เสิ่นจิ้งเฟยชะงักมือ สีหน้าเดาไม่ถูก ฟู่เทียนสือไม่อยากให้มีเรื่องยุ่งจึงกระแอมเบาๆ

“ข้าน้อยขออภัย”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงนิ่ง

“ช่างเถอะ”คุณชายเสิ่นถอนหายใจ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก นึกไปถึงเรื่องจดหมายของคนแซ่ฟู่ ลึกๆแล้วเขาก็ยังเป็นห่วงเสิ่นมู่หยาง ยามนี้คงอยู่กับหานตง แม้จะยังโกรธเคืองแต่เขาก็ไม่ได้อยากเห็นบิดาของตนตกอยู่ในอันตราย ได้แต่สงสัยว่าท่านพ่อแต่งตั้งอนุนางนั้นหรือยัง

“น้องเสิ่นเล่า อยากกลับไปกับหยางชวีหรือไม่”ฟู่เทียนสือเพียงถามหยอกล้อเท่านั้น และก็ได้ผล ร่างผอมบางตวัดสายตาคมกริบมอง

“ข้าจะอยู่เหลียวตง”เสิ่นจิ้งเฟยตอบสั้น ๆ แผนการเดิมของเขาคือเมืองเวินโจวบ้านเกิดของคนแซ่ฟู่ แต่ยามนี้ในเมื่อมาถึงเหลียวตงก็ไม่อยากเดินทางบ่อยครั้ง เด็กหนุ่มคิดจะอยู่ที่นี่ครึ่งปี แล้วค่อยเดินทางท่องเที่ยวอย่างที่อยากทำ ลังเลใจเล็กน้อยว่าควรฝากจดหมายไปกับหยางชวีดีหรือไม่ คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว

บางคำถามก็ไม่มีคำตอบ บางคำตอบก็รู้ได้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยถาม


หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 10/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 13-02-2019 10:41:06
 
~•~

เป็นวันฟ้ากระจ่าง อากาศร้อนเริ่มจางหายสารทฤดูกำลังมาเยือน จื่อฟางสั่งให้บ่าวส่วนหนึ่งไปทำความสะอาดที่เรือนเล็กของไป๋ผูอวี้เพราะใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้วเหลือเพียงพ่อบ้าน อาฉีและสือโม่คอยดูแล ช่วงสายๆเขาจึงนั่งอยู่ในลานบ้านกำลังคัดลอกกฎใหม่สำหรับการสอบ แต่บรรยากาศแบบนี้มักทำให้เคลิ้มหลับได้ง่าย จื่อฟางรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ความรู้สึกที่คล้ายกับถูกจ้องมองทำให้ต้องเปิดเลือกตาขึ้นแต่พอลืมตาก็พบกับร่างสูงใหญ่ของคนที่สมควรจะอยู่ที่ค่ายทหารนอกกำแพง

“ไป๋ผูอวี้”เขายืดตัวขึ้น ใจเต้นเร็วอย่างไม่เอาไหนแค่เพียงเห็นหน้าก็ทำให้เป็นเช่นนี้แล้ว เด็กหนุ่มก้าวไปหาร่างสูงโอบกอดอย่างคิดถึง ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบา ๆ มองเห็นบ่าวในเรือนเมียงมองมาแต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็พากันหลบหลีกอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มตบแผ่นหลังของจื่อฟางเบา ๆ

“ท่านรองแม่ทัพแอบมาหาข้าอีกแล้วหรือ”เขาผละออกมาจากอ้อมกอดของอีกคน

“ข้ามาเข้าเฝ้าฮ่องเต้”ไป๋ผูอวี้ตอบ อันที่จริงการเข้าเฝ้าก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก ส่วนใหญ่แม่ทัพเมิ่งเป็นคนรายงาน ไม่ได้เจอฮ่องเต้เจี่ยผิงตั้งแต่นำทัพไปที่เสียนหยางพบว่าคนผู้นั้นผ่ายผอมไปจากเดิมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยหรือเรื่องปัญหาบ้านเมือง ชายหนุ่มได้เจอซูเหลียนฮวานางดูจะมีความสุขดีแม้ว่าจะมีท่าทางเบื่อหน่ายแต่นางยังคงต้องเฝ้าดูอาการของรัชทายาทอย่างใกล้ชิด

“เรียบร้อยดีหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามกลัวว่าฮ่องเต้จะสั่งเพิ่มการเฝ้าระวังทำให้การพบเจอกับไป๋ผูอวี้ยืดออกไป

“เรียบร้อยดี อันที่จริงข้าอยากเจอหน้าเจ้ามากกว่า”อีกฝ่ายเอ่ย ก้มมองด้วงดวงตาวิบวับจึงต้องกระแอมเบาๆ แก้อาการเก้อกระดาก

“เจ้าส่งภาพวาดใดมาให้ข้าหรือ ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้ก้มมองศีรษะเล็ก ๆของอีกฝ่าย รู้สึกว่าหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก ภาพวาดนั้นสวยงามจนไม่สามารถมองเป็นภาพโป๊เปลือยแต่เว่ยหลงที่ผ่านมาเห็นไม่ได้คิดเช่นนั้น บอกว่าน่าเกลียดแต่ก็จับจ้องตาถลนอย่างใคร่รู้ทำให้เขาพานคิดว่าเว่ยหลงอายุเท่าใดแล้ว มีแม่นางน้อยในใจหรือยัง

“ข้ากลัวว่ารองแม่ทัพไป๋จะเปล่าเปลี่ยว”จื่อฟางพึมพำบอกฝังหน้าลงกับหน้าอกแกร่งแต่ริมฝีปากผุดเป็นรอยยิ้ม

“อืม…”อีกฝ่ายลากเสียงในลำคอจนเขาเดาความคิดไม่ออกจึงเงยหน้ามอง ชายหนุ่มจึงก้มจุมพิตที่หน้าผากของเขาเบา ๆตั้งแต่เกิดเรื่องกับจื่อฟาง คนผู้นี้ก็ยิ่งเปิดเผยจนเป็นอันตรายต่อใจเขานัก ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน กลุ่มคนท่าทางเหมือนอันธพาลใช้ไม้พองพังประตูเข้ามาอย่างอุกอาจ จื่อฟางขมวดคิ้ว อาฉีและสือโม่รีบออกมาดู คราแรกก็ตื่นตระหนกที่มีคนท่าทางเหมือนพวกอันธพาลบุกเข้ามาถึงเรือน แต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพไป๋ก็คลายใจ ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไป๋ผูอวี้หมุนกายมองกลุ่มคนอันธพาลที่เข้ามาถึงในลานบ้านก็ขมวดคิ้ว คนพวกนี้คิดอย่างลองดีกับตนอย่างนั้นหรือ

“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ปรากฏอารมณ์ จื่อฟางได้แต่มองเงียบๆ ไม่ได้หวาดหวั่นเพราะรู้ดีว่าไป๋ผูอวี้รับมือได้เพียงแค่กลัวจะเกิดเรื่องวุ่นวาย

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปมาหาสู่บัณฑิตหลิวเช่นนี้”ลูกน้องคนหนึ่งโพล่งออกมา จื่อฟางจ้องมองกลุ่มคนตรงหน้าพูดจาเช่นนี้ย่อมต้องเป็นคนรู้จักของร่างนี้ เขาครุ่นคิดอยู่นานก็รู้สึกว่าคนพวกนี้หน้าตาคุ้นนัก

“เขาเป็นภรรยาข้า”เสียงพูดของไป๋ผูอวี้คล้ายกับจ่ออยู่ที่ใบหู ใบหน้าของจื่อฟางร้อนวูบวาบ  คำพูดของรองแม่ทัพไป๋สร้างความตื่นตระหนกให้แก่กลุ่มอันธพาลยิ่งนักรวมไปถึงภรรยาที่ถูกเอ่ยถึงด้วย

“เจ้าบ้ารึ”เขาหันไปขึงตาใส่ “ใช่เรื่องมาพูดตอนนี้ไหมเล่า”

“ผายลมแล้ว!บัณฑิตหลิวไม่ใช่ภรรยาเจ้า”คนอันธพาลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย บัณฑิตหลิวเป็นชายจะเป็นภรรยาได้อย่างไร

“พวกเจ้าจะทำอะไร”จื่อฟางเอ่ยออกไปเพื่อดูท่าทีของคนอันธพาล หนึ่งในนั้นหยุดชะงัก เหลือบมองไปทางด้านหลัง

“บัณฑิตหลิว เหตุใดท่านถึงทำตัวเช่นนี้”

“เจ้ารู้จักคนพวกนี้?”ชายหนุ่มผู้เป็นรองแม่ทัพเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนปราดมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนัก ต่อให้เขาไม่ได้เป็นรองแม่ทัพ อันธพาลพวกนี้จะเอาสิ่งใดมาสู้กับบุตรชายสกุลไป๋ผู้เป็นวรยุทธ์

“ข้าไม่รู้จัก แต่…”เด็กหนุ่มประสานสายตาสื่อความนัยไปให้รู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องของหลิวเซียนฟาง

“ไม่รู้จัก!?บัณฑิตหลิวท่านถือตัวจนไม่อยากนับพี่น้องกับเราแล้วหรือ”หนึ่งในนั้นกระชากเสียงตอบ จื่อฟางอ้าปากงุนงง พยายามเค้นความทรงจำถึงคนพวกนี้ ปรากฏภาพลางๆของเหลาสุราแห่งหนึ่ง …เหลาสุรา เขาพลันใจเต้นแรง รับรู้ว่าไป๋ผูอวี้ก้าวไปด้านหน้า

“ข้ากับพวกท่านพูดคุยกันดีๆได้หรือไม่”ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่อยากสร้างเรื่อง

“ถ้าจะพูดคุยก็ต้องพูดคุยกับข้าเท่านั้น”ร่างหนึ่งปรากฏกายให้เห็น คนผู้นั้นเดินเอามือไพล่หลังเข้ามา จื่อฟางใจกระตุกเพราะใบหน้าคุ้นตานั้น จึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย

“ท่านพ่อ?”เขาเอ่ยเรียก ยามนี้คงต้องเป็นหลิวชุนซิงมิใช่จื่อชุนซิง ผู้ถูกเรียกชื่อใช้สายตาดุดันน่ากลัวจ้องมอง เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างเป็นกังวล หากคนๆนี้นิสัยเหมือนพ่อของเขาในโลกปัจจุบันล่ะก็…จบไม่ดีแน่

ไป๋ผูอวี้สังเกตการณ์อยู่จึงเข้าใจเรื่องราวได้ทันที ชายวัยกลางคนตรงหน้ามีร่างกายผอมแห้ง เค้าใบหน้าบางส่วนไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ มีเพียงกลิ่นสุราอ่อนจางจากร่าง บิดาของบัณฑิตหลิวเซียนฟางสินะ

“เถ้าแก่หลิว”พวกคนท่าทางอันธพาลรีบเข้าไปหานายจ้างทันที จื่อฟางรับรู้ถึงสายตาโกรธเคืองจากหลิวชุนซิงก็หวาดกลัวขึ้นมารีบก้าวหลบอยู่ด้านหลังไป๋ผูอวี้ สายตาแบบนี้เหมือนเวลาที่พ่อของเขาโกรธ

“บัณฑิตหลิว เจ้ากระทำไม่เหมาะสมเช่นนี้ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยรึ”หลิวชุนซิงกล่าวขึ้นยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองที่บุตรชายมาข้องเกี่ยวกับรองแม่ทัพไป๋ เขาคิดว่าเคยเข้าใจเรื่องรักชอบบุรุษ ในเหลาสุราก็พบเจอนายบำเรอมากหน้าหลายตาเข้ามาออเซาะลูกค้า แต่เมื่อมาเกิดขึ้นกับหลิวเซียนฟางก็ทำใจยอมรับได้ยาก เขาได้ยินเสียงผู้คนกระซิบเล่าลือว่าพบเห็นไป๋ผูอวี้และบัณฑิตหลิวที่ตรอกซีหมานทั้งยังสนิทแนบชิดยิ่ง คราแรกก็ไม่อยากเชื่อจนมาเห็นด้วยตาตนเอง จะให้หลิวชุนซิงทำใจยอมรับได้อย่างไร บุตรชายของตนเป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ สอนหนังสือให้แก่รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไปไหนมาไหนผู้คนยังต้องเกรงใจ หรือเป็นเพราะคลุกคลีกับเจ้าแผ่นดินมากเกินไป?

“ข้าไม่มีเรื่องใดต้องละอาย”จื่อฟางกลั้นใจตอบ   

“หลิวเซียนฟาง ข้าคิดว่าเจ้ามีหัวคิดมากกว่านี้เสียอีก เจ้าเป็นบัณฑิตร่ำเรียนคำสอนจากขงจื๊อย่อมรู้ดีว่ากำลังทำเรื่องผิดศีลธรรม”เขาสั่งสอนบุตรชายประหนึ่งได้ร่ำเรียนมาด้วย

“ขงจื๊อไม่ได้พูดถูกไปเสียทุกอย่าง”จื่อฟางโพล่งออกมาอย่างอึดอัด ไป๋ผูอวี้ไม่อยากให้มีการโต้เถียงบาดหมางเกิดขึ้นจึงก้าวไปเบื้องหน้าค้อมกายให้แก่หลิวชุนซิงอย่างมีมารยาท

หลิวชุนซิงเห็นแล้วก็หงุดหงิดงุ่นงานใจ “ท่านรองแม่ทัพ!เหตุใดท่านถึงมายุ่งเกี่ยวกับบุตรชายข้า”เถ้าแก่หลิวตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจนัก เขาไม่เคยได้ยินหลิวเซียนฟางกล่าววาจายอกย้อนตนมาก่อน แล้วทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้

“หรือท่านล่อลวงเจ้าเซียนฟาง”คำพูดของเถ้าแก่หลิวทำให้ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบาๆ เพิ่งเคยโดนต่อว่าเช่นนี้ ปกติผู้คนมองเห็นเขาเป็นเพียงบุตรชายสกุลไป๋ผู้สุภาพรักสงบเท่านั้น

“ข้ามิได้ล่อลวงผู้ใด ข้ากับบุตรชายของท่านมีใจรักต่อกัน”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่คิดปิดบังถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องเปิดเผย ในเมื่อจื่อฟางมีร่างเป็นของตน เขาก็ไม่อยากหลบซ่อน เพราะคิดว่าความรักของเขาไม่ใช่เรื่องผิด

“มีใจรัก?กับคุณชายเสิ่นท่านคงบอกเช่นนี้เหมือนกันกระมัง”หลิวชุนซิงหยิบยกเรื่องนี้มาพูด เขายังเคยได้ยินเรื่องราวของไป๋ผูอวี้ เหตุการณ์เพลิงไหม้จวนสกุลเสิ่นทำให้คนผู้นี้อาลัยอาวรณ์จนเปลี่ยนเป็นคนละคน  คำพูดนี้ของเขาทำให้หลิวเซียนฟางขยับตัวอย่างไม่สบายใจ

“คุณชายเสิ่นจากไปแล้ว ชีวิตคนย่อมก้าวต่อ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบเรียบ ๆแม้ว่าก่อนหน้านี้การกระทำของตนจะขัดกับคำพูด ตอนที่เขารู้ว่าจื่อฟางไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้สึกอยากทำสิ่งใด

“ท่านพ่อ ข้ารักไป๋ผูอวี้”จื่อฟางตัดสินใจเอ่ยออกมา แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่พิลึกพิลั่นก็ตาม ลูกน้องที่ถือไม้พองได้ยินก็ส่งเสียงฮึ่มๆ

“บัณฑิตหลิว ท่านหลงผิดไปไกลแล้ว”

หลิวชุนซิงได้ยินก็เลือดขึ้นหน้า อยากเข้าไปทุบตีบุตรชายนัก แต่เพราะร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของไป๋ผูอวี้บดบังอยู่เสมือนโล่ชั้นดีจึงทำได้เพียงจ้องมองด้วยสายตาดุดันเท่านั้น

“เถ้าแก่ โปรดให้อภัยแต่ข้ามิได้คิดล้อเล่นกับบัณฑิตหลิว”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างใจเย็นรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้อาจจะทำให้คนเป็นบิดาทำใจได้ยาก เห็นแบบนี้ก็นึกถึงไป๋อู่เหยียน ท่านพ่อของตนก็ยังไม่หายเคือง

“คิดว่าเป็นรองแม่ทัพแล้วจะทำได้ตามใจชอบหรือ บุตรชายของข้าเป็นถึงบัณฑิตการศึกษาสูงส่ง…”เถ้าแก่หลิวแค่นเสียง ความจริงก็อยากหัวร่อนักเดิมทีเขาเป็นพวกแบกหามเท่านั้นหากบุตรชายไม่ได้เป็นบัณฑิตก็คงลำบาก จึงไม่อยากจะพูดเรื่องการศึกษาให้มันเข้าตัว   

“ข้าไม่ได้ถือตนว่ามีตำแหน่งใดทั้งนั้น เถ้าแก่หลิวโปรดอย่าขัดขวางข้ากับหลิวเซียนฟางเลย ข้าสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเขาด้วยชีวิต”ไป๋ผูอวี้คุกเข่าตรงหน้าชายอีกคนอย่างไม่คิดลังเล

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเรียกอย่างตกใจแต่ก็รีบนั่งคุกเข่าขอร้องด้วยเช่นกัน เถ้าแก่หลิวและลูกน้องที่เหลือต่างก็ทำสีหน้าไม่ถูก ไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมกับพ่อค้าเหลาสุราเช่นเขา

“ท่านพ่อ ข้ารู้ตัวว่าเป็นบุตรไม่ดี แม้ว่าข้าจะมีหลานให้ท่านไม่ได้แต่กระนั้นข้าก็ไม่คิดอกกตัญญู”จื่อฟางเอ่ยเสียงอ่อน

“พวกเจ้า…”หลิวชุนซิงรู้สึกอยากร้องตะโกนยิ่งนัก จึงก้าวเดินไปมาอย่างงุ่นง่านใจ “พวกเจ้าเป็นบุรุษรักกันไม่อับอายหรือ”

“ข้าไม่อับอาย”จื่อฟางตอบกลับโดยไม่ต้องคิด

 “เถ้าแก่หลิว ข้าแค่รักกับบุตรชายท่าน ไม่ได้ฆ่าคนตาย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้าๆแฝงแววจิกกัดอยู่ในที เด็กหนุ่มได้ยินคนข้างกายพูดก็ตวัดสายตามอง ใช่เวลามาพูดเช่นนี้รึ

“ดีๆ เช่นนั้นท่านรองแม่ทัพไป๋ก็มาวัดกับข้าสักตั้ง หากเอาชนะข้าได้ ข้ายอมให้เจ้ารักกัน!”ดูซิทันจะกล้าทำร้ายข้าหรือไม่ หลิวชุนซิงคิดอย่างโกรธแค้น คว้าไม้พองมาจากคนงานใกล้ตัว

“เถ้าแก่หลิว..”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ คนผู้นี้เปรียบเสมือนท่านพ่อตาของตนจะให้ลงมือได้อย่างไร?แต่บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจาง

“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรออกมา”จื่อฟางกำมือแน่น ไป๋ผูอวี้ไม่มีทางทำร้ายคนที่ข้องเกี่ยวกับตัวเขา แม้คนที่ว่าจะเป็นข้องเกี่ยวกับหลิวเซียนฟางก็ตาม อีกทั้งหลิวชุนซิงก็มีอายุ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดหาทางออกก็เห็นร่างของไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวก็สามารถใช้ฝามือกระแทกเข้าที่หน้าท้องของเถ้าแก่หลิว เพียงหมัดเดียวก็ทำร่างนั้นล้มตึง

“ไป๋ผูอวี้…”จื่อฟางอ้าปากค้าง รีบเข้าไปดูร่างที่นอนไม่ได้สติทันที เจ้าคนต้นเรื่องยังคงยืนเอามือไพล่หลังเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น พวกคนงานที่เหลาสุรารีบกรูมาอยู่ข้างเจ้านายทันที

“เถ้าแก่หลิว!”

“อย่าเพิ่งตายนะขอรับ ข้ายังไม่ได้ค่าจ้างเลย”

“เถ้าแก่ยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย!”

เสียงโวยวายยังคงดังอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มเข้าไปผลักพวกคนโวยวายออกไปให้พ้นทางพร้อมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มองเห็นอาฉีและสือโม่ทำสีหน้าไม่ถูก

“นี่ เจ้ามาดูซิ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”จื่อฟางทั้งอยากดุด่าและอยากหัวเราะออกมาพร้อม ๆกันนัก ไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายมานั่งข้างเถ้าแก่หลิวอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เขากวาดตามองสำรวจชายที่นอนสลบก่อนยกมือตรวจจับชีพจร

“บิดาของท่านเพียงหมดสติไปเท่านั้น”ชายหนุ่มตอบ มองหน้าของอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองตนด้วยสีหน้าตื่นๆ จึงเอื้อมมือไปหยิกดึงแก้มเบาๆ

“วางใจเถอะ”

“วางใจอะไรเล่า ข้าว่าเขายิ่งไม่ชอบหน้าเจ้า”แต่เด็กหนุ่มก็ยกยิ้มอย่างนึกขัน

“เจ้าคนชั่ว”ชายคนหนึ่งส่งเสียง แต่เมื่อถูกสายตาของไป๋ผูอวี้จ้องมองก็รีบถอยห่าง

“พวกท่านคนไหนมีปัญหาอีกหรือไม่”ชายหนุ่มแย้มยิ้มด้วยท่าทางสุภาพ เมื่อไม่มีผู้ใดเอ่ยก็ยืดกายขึ้น

เหตุการณ์วุ่นวายสงบลงเมื่อนำร่างของหลิวชุนซิเข้าไปในเรือน ลูกน้องของเถ้าแก่หลิวติดตามมาด้วย ทำให้ภายในห้องคับแคบไปถนัดตาพวกเขายังคงทำท่าฮึ่มๆใส่ไป๋ผูอวี้แต่ก็ยอมนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม ส่วนหลิวชุนซิงยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ที่ตั่งยาวในห้องรับรอง

“เจ้าคงไม่ได้ลงมือรุนแรงหรอกกระมัง”จื่อฟางถามระหว่างที่มองไป๋ผูอวี้ทายาแก้ฟกช้ำตรงบริเวณหน้าท้องของท่านพ่อ

“ข้าออมแรงไปตั้งเยอะ ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่เป็นอะไร”ชายหนุ่มตอบ แกล้งออกแรงกดที่รอยช้ำเบาๆ รู้ดีว่าเถ้าแก่ผู้นี้ได้สติแล้ว

“โอย…”เสียงครวญครางดังขึ้น ร่างในชุดสีสันสดใสจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยเรียกเบาๆ

“ท่านพ่อ”

“เจ้า!”เก้าแก่หลิวลืมตาเห็นบุตรชายก็ถลึงตาใส่ รีบยันร่างลุกนั่งทันที แต่ก็ร้องโอดโอย มองเห็นร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของรองแม่ทัพไป๋อารมณ์ขุ่นเคืองก็ยิ่งมากขึ้น

 “เจ้า…ถึงกับกล้าลงมือกับข้าเชียวหรือ”

“หากท่านรักษาคำพูดข้าก็ยอมทำ”เคยเสียคนรักไปครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ยอมให้มีผู้ใดมาขัดขวางอีก

“ต่อให้ฆ่าข้าน่ะรึ!”เถ้าแก่หลิวได้แต่เดือดดาลอยู่ในอก ไป๋ผูอวี้ช่างน่ากลัวเสียจริง ผู้ใดว่าคนผู้นี้สุขุมสุภาพกัน

“เถ้าแก่หลิวก็ไม่ได้ตายเสียหน่อย”ชายหนุ่มยกยิ้ม ส่งมอบยาแก้ฟกช้ำให้กับอีกร่าง จื่อฟางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่นั่งมองเงียบๆ  หลิวชุนซิงกวาดตามองบุตรชายและคนข้างกายก็ยิ่งมีโทสะ ก้าวลงจากตั่งยาวออกไปจากห้องพร้อมความขุ่นเคือง

“เด็ก ๆกลับร้าน”กล่าวเท่านั้น พวกเขาก็พากันออกไป ภายในไม่กี่ก้านธูปความสงบก็กลับมาดั่งเดิม จื่อฟางถอนหายใจชายตามองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในห้อง เรื่องเถ้าแก่หลิว เขาไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะยอมรามือโดยง่าย คงต้องรับมือกับคนผู้นั้นอีก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มเหมือนคาดเดาความคิดออก เอาเถิด เขาพร้อมรับมือเสมอ   

“หิวหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถาม คิดว่าพ่อบ้านเฟิงน่าจะมีอาหารจำพวกน้ำแกง ผัดผักและเนื้อเหลืออยู่แต่ป่านนี้อาหารคงเย็นชืดหมดแล้ว ไป๋ผูอวี้เพียงโน้มกายมาจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกร่างแผ่วเบา สองมือจับใบหน้าบดจูบลึกซึ้งมากขึ้น จื่อฟางคิดว่าหากเป็นเช่นนี้คงไม่ได้กินข้าวจริงๆแน่จึงรีบผละออกมา

“ข้าจะอุ่นอาหารให้”กล่าวจบก็ขยับตัวเดินไปที่บริเวณทำครัว พ่อบ้านเฟิงรีบเข้ามาช่วยแต่เขาไล่ออกไปบอกว่าจะทำเองอย่างน้อยเขาก็อยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง จื่อฟางจุดไฟในเตาอย่างไม่ชินมือแต่ก็สามารถผ่านไปได้ เขาสั่งให้ไป๋ผูอวี้นั่งรอด้านนอก แต่ชายอีกคนไม่ฟัง ยืนกอดอกมองเขาหยิบจับนู่นนี่ สายตาจับจ้องของอีกฝ่ายทำให้เขาประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ลอบมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังแต่ก็สะดุ้งตกใจเมื่อร่างนั้นโผล่มาอยู่ใกล้ๆ เขาจึงเทแกงเนื้อตุ๋นหกเลอะออกมานอกหม้อไปครึ่งหนึ่ง เสียงหัวเราะของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ใกล้ ๆ

“ทำไมเจ้ากวนใจข้านัก”จื่อฟางขมวดคิ้ว ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ภายในโรงครัวเริ่มร้อนอบอ้าว

“เจ้าส่งภาพวาดมาแกล้งข้าก่อน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบ ดวงตาเป็นประกายแม้ว่าภาพวาดพวกนั้นจะสวยงามแต่เขาก็พิจารณาอย่างละเอียด รู้สึกว่าจื่อฟางของเขามีฝีมือวาดภาพมาก บางท่วงท่าเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มกระแอมล้วงที่อกเสื้อ ยกยิ้มเมื่อเห็นสายตาของอีกคนมองตาม เขาจึงดึงม้วนภาพออกมา

“ข้าแปลกใจ เจ้าวาดได้ละเอียดจนข้าสงสัยว่าเจ้าเอาเวลาใดไปสังเกตหรือ”ร่างของอีกฝ่ายชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามของเขา เขาไม่ได้คิดเกินเลยใดแค่สงสัยใคร่รู้

“ข้า…”ข้าไม่ได้เห็นของเจ้าคนเดียวเสียหน่อย “ข้ามีความสามารถ”จื่อฟางตอบสั้นห้วนเพื่อตัดปัญหา ความร้อนอบอ้าวทำให้รู้สึกงุ่นงานใจ คิดหมุนตัวหยิบถ้วยแต่ร่างสูงๆของอีกฝ่ายก็ขวางทางไปหมด

“ส่งถ้วยมาให้ข้าหน่อย”ไป๋ผูอวี้เอี้ยวตัวหยิบถ้วยใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้อีกคนที่ดูจะหงุดหงิด เขาจึงไม่ได้เอ่ยแกล้งอีก แต่ยังคงยืนมองร่างนั้นอุ่นอาหารไม่วางตา ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อถึงจัดเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จ จื่อฟางใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดหน้าที่เป็นมันบ่นอยู่ในใจว่าแค่อุ่นอาหารยังใช้เวลานานถึงเพียงนี้เป็นเพราะไป๋ผูอวี้คนเดียวที่มายืนขวางทางเต็มพื้นที่คับแคบจนหยิบจับลำบาก

“เจ้าไม่หิวหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายจับตะเกียบ ทำเพียงยกถ้วยแกงดื่มเท่านั้น ร่างนั้นส่ายหน้าตอบรู้สึกว่าความหิวสลายไปแล้ว

“ไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวข้าป้อนเจ้าเอง”ชายหนุ่มไม่รอช้า คีบผักในจานจ่อไปที่ริมฝีปากของอีกคนก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ

“กิน”จื่อฟางไม่กล้าเถียงได้แต่อ้าปากกลืนผักลงคออย่างไร้รสชาติ ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มอย่างพอใจ คีบอาหารเข้าปากตัวเองคำหนึ่ง ป้อนภรรยาคำหนึ่งจนหมด หลังจากท้องอิ่มบ่าวไพร่ก็มาเก็บจาน พอฟ้ามืดไป๋ผูอวี้ก็เอาแต่ซักถามถึงเรื่องภาพวาด สงสัยนู่นนี่นั่นมากมายอย่างเช่นว่าทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ จื่อฟางขี้เกียจอธิบายมากความจึงถือโอกาสแสดงให้ดูอย่างละเอียด


~•~

เวลาผันผ่านจากคิมหันต์เข้าสู่สารทฤดูผู้คนในเมืองฉางอันยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นเดิม ในส่วนลึกยังคงหวาดหวั่นเรื่องการรุกรานของชนเผ่านอกด่าน แต่ไม่นานก็ถูกลบเลือน ทัพจากนอกกำแพงฉางอันได้เคลื่อนกลับมา แต่ยังมีกำลังทหารวางกำลังคุ้มกันอยู่โดยรอบมิได้ผ่อนปรน ในวังหลวงก็ยังเฉกเช่นเดิม  ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงแวะเวียนมาที่ตำหนักหยุนเอี้ยน ตำหนักเก่าร้างของชายงามเจาเฟิง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้ง ปัญหาสุขภาพของฮ่องเต้หนุ่มไม่หนักหนานักแต่ก็กัดกินร่างกายจนผ่ายผอมไปหลายส่วน เขายืนมองใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ในศาลา

เสียงกู่เจิงแผ่วเบาของหญิงงามดังแว่วให้ได้ยิน ซูเหลียนฮวามีฝีมือด้านดนตรี แต่ให้ไพเราะเช่นไรก็เทียบฝีมือของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ ชายหนุ่มปรายตามองร่างของหญิงที่ได้ฉายาว่านางมารหมื่นพิษ นางดีดกู่เจิงอยู่ที่ศาลาลมเล็กๆห่างออกไป ข้างกายมีเฮ่อเจ๋อนั่งโง่งมจับจ้องอยู่ ใช่ว่าเจี่ยผิงไม่สังเกตว่านางเข้าได้ดีกับเฮ่อเจ๋อ บางทีอาจจะตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาสั่งให้ไปสืบเรื่องของสกุลไป๋ เจี่ยผิงหยักยิ้มบาง เอาเถิด เขาก็ไม่ได้อยากให้องครักษ์คนสนิทของตนต้องแห้งเหี่ยวเช่นเดียวกับตน อีกทั้งยังทำให้สกุลไป๋อยู่ในสายตาของเขา ลมเย็นพัดเข้ามาต้องใบหน้า ม่านผ้าแพรวูบไหวตามแรงลมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเย็นสบายแต่จิตใจของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“ทูลฝ่าบาท”เส้ากงกงค้อมกายอยู่นอกศาลา บุรุษหนุ่มเหลียวมองเพียงนิด “มีจดหมายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้วสงสัยอยู่ในใจว่าจดหมายจากผู้ใดอีก เขารับจดหมายมาจากขันทีใหญ่ รอให้ร่างนั้นถอยห่างออกไป ชายหนุ่มถึงได้คลี่จดหมายอ่าน ตัวอักษรงดงามปรากฏให้เห็นคล้ายได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากกระดาษในมือ เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆนึกไปถึงบทสนทนาหนึ่ง 

‘เจ้าจะยอมพูดดีๆกับข้าสักครั้งได้หรือไม่’

‘ท่านอยากให้ข้าพูดดีด้วย?ง่ายนักแแค่ยอมปล่อยข้าไปก็พอ’


ชายหนุ่มกวาดตามองตัวอักษร เป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่สั่นไหวจิตใจของเขาจนต้องทิ้งร่างนั่งลงบนตั่งช้า ๆ

‘เป็นอย่างไร’

เป็นอย่างไรงั้นหรือ?

“ข้ายังไม่ตาย”เขาพึมพำ ลูบตัวอักษรบนกระดาษเบาๆ ผู้เป็นฮ่องเต้หลับตานึกวาดภาพคนผู้นี้จรดพู่กันอยู่ในห้วงความคิด องครักษ์ของตนยังสืบไม่พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีไปที่ใด มือของเขาจับกระดาษแผ่นนั้นแรงเสียจนเป็นรอยยับย่น ปีนี้รัชทายาทจะมีชันษาครบสิบสอง เรื่องของช่างอิ่นยังไม่ได้จัดการ ยามนี้เขาเหนื่อยยิ่งนักแต่เจี่ยผิงก็ยังไม่สามารถวางใจได้ ความเคร่งเครียดรบกวนการนอนหลับกระทั่งยามตื่นเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่หวาดระแวง เจี่ยผิงได้แต่เอ่ยถามซ้ำ ๆอยู่ในหัว

‘หากข้าเป็นฟู่จวิ้น เจ้าจะยังรอข้าหรือไม่’


~•~


“ขอทางหน่อยๆ”ร่างสมส่วนที่ดูเล็กไปบ้างเบียดแทรกผู้คนที่รายล้อมอยู่หน้ากำแพงเมืองอย่างยากลำบาก ร่างนั้นสวมชุดสีเขียวสดใส ลวดลายดอกไม้วาดอย่างประณีตมองปราดเดียวก็รับรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี เจ้าของร่างมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาและไฝเม็ดเล็กๆเหนือริมฝีปาก เขาเบียดผู้คนมาอยู่ด้านหน้าสุด คลี่พัดปกปิดรอยยิ้มกว้างที่แผ่กระจายอยู่บนใบหน้า

หนึ่งเดือนแล้ว ทัพทหารที่ปักหลักอยู่นอกกำแพงเมืองได้เวลาเคลื่อนขบวนกลับ เป็นอีกครั้งที่จื่อฟางมารอไป๋ผูอวี้ที่หน้าประตูเมืองแบบนี้ ความทรงจำจากครั้งก่อนวูบไหวเข้ามาในห้วงความคิด ครั้งนี้เขาอยู่ในร่างของตัวเอง ร่างที่เป็นของเขา ยืนอย่างเปิดเผยไม่หลบซ่อนจากสายตาของผู้คน เด็กหนุ่มจดจ่อไปที่ขบวนทัพม้าศึกที่เรียงรายเข้ามาไม่ขาดสาย  ไม่ต้องกวาดตามองซ้ำเขาก็จำไป๋ผูอวี้ได้ภายในพริบตาเดียว

ชายหนุ่มบนหลังอาชาสวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างตา ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีไรหนวดขึ้นแต่ตอนนี้เข้มกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นมาก จื่อฟางได้แต่มุ่นคิ้ว คิดว่าถึงเวลาบังคับให้เจ้าท่อนไม้เชื่อฟังคำพูดของตนบ้างแล้ว ร่างนั้นยิ่งคล้ำแดด กำยำอีกหลายส่วน สายลมเย็นพัดพาให้ปกเสื้อเปิด มองเห็นหน้าอกแกร่งวับๆแวม ๆแม่นางน้อยที่มารอรับต่างก็มองเป็นตาเดียว  ไป๋ผูอวี้มีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าควบอาชาเข้าไปใกล้ร่างของจื่อฟาง ร่างนั้นเงยหน้าประสานสายตากระจ่างใสจ้องมอง

“กลับบ้านเรากันเถอะ”ชายร่างสูงกล่าวพร้อมยื่นมือมาให้ ราวกับเห็นภาพซ้ำร่างของเขาถูกดึงขึ้นบนหลังม้า แต่ครั้งนี้จื่อฟางไม่ได้ร้องตกใจเพราะคาดเดาไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มเพียงนั่งพิงแผ่นอกแกร่ง มือหนาของคนด้านหลังจับเอวเขาไว้หลวมๆ เขาส่งสายตาวิบวับไปให้แม่หญิงที่มองตาค้างทั้งหลาย รู้สึกว่าน่าขันนัก คนนี้สามีข้าต่างหากเล่า!

“ฉางอันคงได้บทละครบทใหม่แล้วกระมัง”เสียงของเว่ยหลงแว่วมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมจากร่างเบื้องหน้า ระหว่างที่อาชาควบเยาะไปตามเส้นทางคุ้นเคย แม้ว่าเรื่องขององค์ชายใหญ่กับชนเผ่านอกด่านยังไม่คลี่คลายแต่หากได้ตายอยู่ข้างคนรักเขาก็ไม่หวาดกลัว




-จบภาคต้น-



ในที่สุดดดดดดดด เจอกันตอนพิเศษค่ะ ท่อนไม้ไป๋กลับบ้านที่หลานโจว

เจอกันที่ภาคปลายนะคะ เรื่องราวของน้องจื่อพี่ไป๋ยังมีให้เขียนอีกเยอะ

เรื่องของตัวละครบางตัวจะขยายในภาคนั้น ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด :กอด1:









หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 13-02-2019 11:28:17
เอาจริงแอบอยากรู้ว่าคุณหลิวไปเจอกับไป๋อี๋เสวี่ยในโลกผัจจุบันรึเปล่าน้า อยากมห้มีภาคต่อจัง55555555 สนุกมากๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 13-02-2019 12:35:59
ยิ้มได้อย่างมีความสุขสักที หลังจากที่หม่นเศร้าไปหลายตอน :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 13-02-2019 12:49:26
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก  ๆค่ะ

รอติดตามภาคต่อไปนะคะ

 :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-02-2019 14:16:26
โอ้วววววววว จบแลเวหรอ ไวมากๆเลยอ่า
ขอบคุณมากๆๆๆค่า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-02-2019 16:31:41
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-02-2019 18:54:52
หนทางยังยาวไกล ท่อนไม้ไป๋  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 13-02-2019 20:26:05
 :mew1:  ลุ้นตอนเจอกันนนน คุณหมอต้องดูออกแน่เลย ว่าคนละคน
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 13-02-2019 20:40:54
ชื่นชอบมากนะคะ
ตามมาตลอด
แะจะติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 13-02-2019 21:32:05
ขอบคุณมากๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 13-02-2019 22:35:49
ไปๆมาๆก็เอาใจช่วยฮ่องเต้แล้วค่ะ
สนุกมากกกกกก
รออ่านภาคต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-02-2019 22:39:13
ไม่รู้จะพูดอะไรเลย อยากบอกว่าชอบมากรักมาก รออ่านต่อไป แล้วก็เตรียมตังไว้เปย์เล่มแล้วค่ะ รักคุณไป๋น้องจื่อมากๆๆๆๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: TongRung ที่ 13-02-2019 23:17:40
 :กอด1:  ขอบคุณค่า สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 14-02-2019 00:00:18
รออ่านภาค 2 อย่างใจจดใจจ่อเลยค่า~ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 14-02-2019 06:09:16
ชอบความห่วงหลัวของน้องจื่อ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ รอภาคปลายนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: naplatoo ที่ 14-02-2019 06:47:24
อยากรู้ว่าเรื่องของฮ่องเต้กับเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นยังไงต่อ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-02-2019 23:14:15
รออ่านต่อไป
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 15-02-2019 04:42:26
จื่อฟางร้ายไม่เบาอ่ะ ส่งภาพ18+ไปยั่ว คุณไป๋จะทนได้ไง ก็ต้องถ่อมาหาถึงบ้านเท่านั้น!
อ้างถึง
พอฟ้ามืดไป๋ผูอวี้ก็เอาแต่ซักถามถึงเรื่องภาพวาด สงสัยนู่นนี่นั่นมากมายอย่างเช่นว่าทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ จื่อฟางขี้เกียจอธิบายมากความจึงถือโอกาสแสดงให้ดูอย่างละเอียด
ชัดเลยมาเพื่อสิ่งนี้!
โอ๊ยจินตาการไม่ถูกเลยว่าเค้าทำอะไรกันบ้าง แอร๊ย
จบภาคต้นเราหวังเหลือเกินว่าต่อจากนี้เสิ้นจิ้งเฟยจะยอมลงใจอ่อนให้ฮ่องเต้ อุตส่าห์ส่งข้อความมาหา เราใจชื้นละ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 15-02-2019 22:52:39
ตามต่อแน่นอนจ้าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 16-02-2019 01:21:40
กรี๊ดดดดด ฉากสุดท้ายก็คือ
ชะนีร้องไห้แปป บ้านเธอไม่มีไป๋ผูอวี้สินะ

รอหยางชวีกลับมาหาจื่อฟาง หาคู่ให้หยางชวีแปป
คู่สือโม่ดีมั้ย คิคิ

อยากให้ฮ่องเต้สมหวังกับจิ้งเฟยยยย

หวังว่าจะมีฉบับขยายของโลกปัจจุบันของ
อี้เสวี่ย กับ หลิวเซียนฟางด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-02-2019 08:27:23
จื่อฟางร้ายไม่เบาอ่ะ ส่งภาพ18+ไปยั่ว คุณไป๋จะทนได้ไง ก็ต้องถ่อมาหาถึงบ้านเท่านั้น!
อ้างถึง
พอฟ้ามืดไป๋ผูอวี้ก็เอาแต่ซักถามถึงเรื่องภาพวาด สงสัยนู่นนี่นั่นมากมายอย่างเช่นว่าทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ จื่อฟางขี้เกียจอธิบายมากความจึงถือโอกาสแสดงให้ดูอย่างละเอียด
ชัดเลยมาเพื่อสิ่งนี้!
โอ๊ยจินตาการไม่ถูกเลยว่าเค้าทำอะไรกันบ้าง แอร๊ย
จบภาคต้นเราหวังเหลือเกินว่าต่อจากนี้เสิ้นจิ้งเฟยจะยอมลงใจอ่อนให้ฮ่องเต้ อุตส่าห์ส่งข้อความมาหา เราใจชื้นละ

ตลกตรงนี้เหมือนกัน อ่านวนหลายรอบมาก สาธิตอะไรน้อ อ่อ ท่าทำรักต่างๆตาที่วาดมังงะให้ท่อนไม้ไป๋ดูใช่ป่าว หุหุ
ขี้ยั่วขี้อ่อยที่สุดในฉางอันก้อจื่อฟางนี่แหละ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-02-2019 09:00:19
รอค่าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 19-02-2019 20:43:25
 :katai4: รอตอนต่อไปค่าา. จื่อฟางงงง เจ้าช่างใจกล้านัก สามีอยากรู้ก็แสดงให้ดูเลยยย 5555
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 20-02-2019 22:42:03
รอภาคปลายต่อ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Evilkun ที่ 28-02-2019 08:04:37
สนุกกก อ่านแล้ววางไม่ลงเลย :katai4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 09-03-2019 00:18:24
ขอสอบถามทีค่ะ จบภาคต้นคืออะไรหรอคะ? มีภาคต่อใช่มั้ยคะ แล้วรวมเล่มจะมีภาคปลายขายพร้อมเลยรึเปล่าคะ? ขอบคุณค่าาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 09-03-2019 12:31:42
ชอบมากๆๆๆเลยค่ะ อยากอ่านตอนพิเศษ งื้อออออออ :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สุดยอดสู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Sevenny ที่ 17-04-2019 17:45:32
สุดยอดดดดด เราชอบมากเลยค่ะ รอติดตามต่อไปน๊าาาา แอบอยากรู้เรื่องของจางต้าด้วยอ่ะ อิอิ ชีวิตรักของคู่นั้นคงจะน่าปวดหัวน่าดู ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ จะคอยสนับสนุนต่อไปนะคะ :pig4:  :mew1: ปล.อยากอ่านภาคต่อแล้ววว :serius2:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 19-04-2019 19:44:35
อ่อยเก่งทั้งคู่  o18
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 20-04-2019 10:30:54
"รู้ดีว่าความโกรธเคืองที่มีต่อคนตรงหน้ามอดดับไปตั้งแต่สบตากันที่ประตูเมืองแล้ว"
โอเค....เพลงยอมตั้งแต่หน้าประตูก็มาจ้าา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: gibari ที่ 20-05-2019 11:19:50
สนุกมากมายเลยค่ะ แม้ะทุลักทุเลกับชื่อตัวละครมากก็ตาม 555555

อ่านไปไม่เท่าไหร่ พอรู้ว่าเล่มออกแล้วรู้เลยว่านิยายแบบนี้มันต้องมีขึ้นชั้นแล้วนะ

รอภาคสองอย่างใจจดจ่อเลยค่าาาา
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 20-05-2019 16:12:10
รอค่าาาาาาาา กรี๊ดดดดดดด ช่างไม่สนใดๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 24-05-2019 20:25:11
ติดตามม่นาน มากๆ อิ่มเอม สุดๆ รอออออออ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-05-2019 20:31:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-06-2019 14:19:07
อ่านยาวเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รายละเอียดเยอะมากเลย
อ่านได้เข้าใจ และลุ้นมากทุกตอนเลยค่ะ

แต่ก็ยังอยากรู้นะ ว่า เค้าสลับร่างกันไปมาได้ไง
แล้วเจาเฟิงตัวจริงไปอยู่ที่ไหนแล้ว ยังอยู่หรือตายไปแล้ว
บัณฑิตหลิวไปเจออีกโลกแทนจื่อฟางไหมน้า

โอ๊ยย ใจบางมากคะ คนอะไรส่งภาพวาดลึกซึ้งไปหยอกยั่ว
ร้ายไม่เบานะจื่อฟาง ก็ทำไมล่ะ สามีข้า แบบนี้หรอ
รองแม่ทัพก็ไม่ธรรมดานะ มาไวเหลือเกิน อยากรู้เยอะมาก
เป็นไปคะ ลึกซึ้ง เข้าใจถ่องแท้เลยไหม ตอนนี้

สงสารฮ่องเต้นะคะ อยู่บนที่สูงก็ต้องเลือกสิ่งที่ต้องเป็น
แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจ คิดว่าจิ้งเฟยยังรอนะ ไม่งั้นไม่ส่งจดหมายมาหรอก

ตลกจางต้า แค่เจ็บตัว แต่ตอนนี้คิดไปเองเลยเจ็บใจ
หยางชวีจะกลับมาฉางอันแล้ว จะได้เจอจื่อฟางไหมนะ
คนซื่อไม่รู้ตัวว่ารัก ก็น่าเอ็นดูไม่หยอก

รออ่านตอนพิเศษค่ะ และรอลุ้นภาคสองจ้า
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: mijimaria ที่ 24-07-2019 04:40:10
 :hao5: ฮือออ สนุกมากๆเลยค่ะ คุณนักเขียนอ่านตั้งแต่ สามทุ่มจนจะตี 5 แล้ว รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้แล้วว่าหยางชวีถ้ามาที่ฉางอันแล้วจะเป็นไงต่อ :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-07-2019 10:01:05
ปลื้มปริ่ม.....ดีต่อใจ......มึความสุขมาก  :mew1:  :mew1: :mew1:
แต่คงมึความสุขมากกว่านั้  ถ้าได้อ่านตอนพิเศษ กับอ่านภาค ๒   :z3: :z3: :z3:
รอไรท์นะ  :mew1:
อยากอ่านเรื่องของจางต้า หยางซวี  เสิ่นจิ้งฟาง ฮ่องเต้   :ling1: :z10: :serius2:
ไป๋ผูอวี้  หลิวจื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: BabyGB ที่ 01-08-2019 13:06:36
สนุกมากกกกก เรื่องยาวๆแต่น่าติดตามทุกตอน ตื่นเต้นตลอด อ่าน3-4วันจบ รอติดตาทภาคปลายนะคะ ขอบคุณ​สำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: KXXM04 ที่ 07-08-2019 22:12:23
สนุกมากๆเลยค่ะ แต่ละตอนยาวจุใจมาก เป็นบางเรื่องนี่แอบปิดไปแล้ว แต่เรื่องนี้สนุกมาก ปิดไม่ลง แงงง55555 รอติดตามภาค2นะคะ อยากเห็นคุณท่อนไม้เลื้อยแร้วว
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 25-08-2019 20:26:19
สนุก ครบรสมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ รอภาคต่อไปไม่ไหวแล้วว แงงง น้อนจื่อฟาง
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 29-09-2019 08:46:55
 :mew1:  สนุกมากค่ะ......
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-10-2019 01:17:41
เพิ่งเข้ามาอ่าน ถึงกับติดหนึบ
สนุกมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 10-10-2019 05:06:51
รอภาคปลายค่ะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 31-01-2021 22:17:06
 :impress2:เพิ่งจะมีโอกาสได้มาอ่านเรื่องนี้ รวดเดียวจบ  สนุกมาก ๆ ค่ะ  จะรอติดตามภาคต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 13-02-2021 00:46:32
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 14-01-2023 02:19:16
เนื้อเรื่องภาคปลายต่อจากภาคต้น (ไม่นับรวมตอนพิเศษในเล่มที่ถือเป็นการสปอยเนื้อเรื่องในอนาคต)

-ความเดิม-
“กลับบ้านเรากันเถอะ” ชายร่างสูงกล่าวพร้อมยื่นมือมาให้ ราวกับเห็นภาพซ้ำร่างของเขาถูกดึงขึ้นบนหลังม้า
“ฉางอันคงได้บทละครบทใหม่แล้วกระมัง” เสียงของเว่ยหลงแว่วมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมจากร่างเบื้องหน้า ระหว่างที่อาชาควบเยาะไปตามเส้นทางคุ้นเคย แม้ว่าเรื่องของช่างอินกับชนเผ่านอกด่านยังไม่คลี่คลายแต่หากได้ตายอยู่ข้างคนรักเขาก็ไม่หวาดกลัว


ภาคปลาย บทหนึ่ง:เริ่มต้นบทใหม่

รัชศกซิงผิง (ความสงบรุ่งเรือง) ที่๑ในรัชสมัยของจักรพรรดิเจี่ยผิง

วสันต์ฤดูพัดพาสายลมเย็นปกคลุมเมืองฉางอัน ท้องฟ้ากระจ่างใส หมู่เมฆบางตา แต่กระนั้นก็ทำให้ผู้คนที่ทอดสายตามองอดรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในที การศึกกับชนเผ่านอกด่านยังคงสร้างความหวาดวิตกลึกๆ ให้กับชาวเมือง แม้วันเวลาล่วงผ่านไปนับเดือน มองจากภายนอกเมืองหลวงแห่งนี้คล้ายจะสงบสุขดังชื่อรัชศก แต่ภายใต้กระแสลมบางเบา คลื่นพายุกำลังเริ่มก่อตัว

องค์ฮ่องเต้เจี่ยผิงในชุดคลุมตัวยาวสีม่วงเอนกายพิงกรอบหน้าต่างในตำหนัก ทอดสายตามองท้องฟ้ากระจ่าง จิตใจล่องลอยไปไกล ความคิดมากมายก่อตัวช้าๆ

เสมือนยาพิษที่ค่อยกระจายตัว จากการบำรุงรักษาของหมอหลวง ยามนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงและสมบูรณ์มากกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนนัก จะมีก็แต่อาการทางใจที่ดูท่าจะบำรุงอย่างไรก็มิสามารถหายดี บุรุษหนุ่มนึกไปถึงบุตรชายก็เป็นต้องคิดหนัก เจี่ยอิงต้า นับว่ารู้ความแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสามากพอ

เขารู้ดีว่าเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยสร้างรอยร้าวช้าวให้กับรัชทายาท เขาพยายามเยียวยาตอบแทนด้วยการเอาใจใส่รัชทายาท แต่ยังมีเรื่องหนึ่ง ที่เขาข้องใจอย่างประหลาด

บัณฑิตหลิวเซียนฟางผู้นั้นช่างแปลกนัก นับแต่หายป่วย พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ฮ่องเต้ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อนกพิราบสื่อสารบินโฉบเข้ามาเกาะกรอบหน้าต่าง กระพริบตามองเขาอย่างรู้ความ บุรุษหนุ่มเอื้อมมือแกะกระดาษที่ผูกติดกับข้อเท้าของสัตว์ปีกด้วยใคร่รู้ เขาคลี่กระดาษช้าๆ กวาดสายตาอ่านตัวอักษรบรรจงด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ออก

‘พบเบาะแสเชื่อมโยงไปถึงตัวตนของช่างอินที่เมืองผิงชาง…พวกเรารอคำสั่งจากท่าน’

ข้อความสั้นๆ กลับทำให้บุรุษหนุ่มใจเต้นกระหน่ำรัว เป็นเวลาหลายเดือนที่ข่าวคราวของพี่ชายผู้ก่อกบฏเงียบหายไป เจี่ยผิงยอมรับว่านอกจากความยินดียังมีความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

ถึงเวลาต้องลงมือแล้วสินะ ก่อนอื่นก็ต้องดำเนินไปตามแผน ฮ่องเต้เจี่ยผิงครุ่นคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว เขาผละมาจากหน้าต่างเดินมานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ จรดพู่กันลงบนกระดาษ

‘จับตาดูให้ดี ถึงเวลาเราจะสั่งการเอง’
หมากตานี้ เขาจะเดินก่อน

******

อีกฝากฝั่งของเมืองเสียงบรรเลงกู่เจิงติดๆ ขัดๆ ดังมาจากศาลาลมในตำหนักบูรพาสร้างความระคายหูให้แก่ผู้คนที่ได้ยินยิ่งนัก ยกเว้นเพียงองค์ชายรัชทายาทวัยสิบสองปีที่อยู่บนตั่งนอนกำลังหัวเราะอย่างขบขันราวกับเจอเรื่องถูกใจแม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอย่างคนเพิ่งหายป่วยแต่ดวงตากลับเป็นประกายสดใส ผู้ที่บรรเลงกู่เจิงเป็นบัณฑิตหนุ่มในวัยยี่สิบเอ็ดปี

จื่อฟางสวมชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนกระจ่างไร้ลวดลาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปรากฏแววจริงจังเคร่งเครียด และเขาใกล้หมดความอดทนเต็มที เขาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงทำให้ไฝเม็ดเล็กเหนือริมฝีปากเด่นชัด มือทั้งสองข้างจรดลงบนสายกู่เจิงด้วยท่วงท่าที่ทะมัดทะแมง บทเพลงกู่เจิงนี้จึงไม่ใช่บทเพลงอ่อนหวาน เส้นผมที่อยู่ภายใต้หมวกบัณฑิตหลุดลุ่ยน้อยๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก หน้าผากปรากฏเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ

‘ขนาดเข้ามาในร่างหลิวเซียนฟางยังลำบากเรื่องดนตรีอีก’

เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด ขนาดว่าอยู่ในร่างชองเสิ่นจิ้งเฟยเขายังไม่เคยสนใจฝึกดีดกู่เจิงเลยด้วยซ้ำ เขาเหลือบมอง หญิงสาวข้างกาย รูปร่างอรชร ใบหน้าที่แต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางสีอ่อนไม่ปรากฏอารมณ์ใด เว้นเพียงแต่คิ้วโก่งขมวดมุ่นน้อยๆ ซูเหลียนฮวา หรือนางมารหมื่นพิษเฝ้ามองอยู่ไม่ละเว้นสายตาก็ยิ่งทำให้จื่อฟางเครียดเกร็ง ยามที่ดีดสายเครื่องดนตรีผิดเพี้ยน มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกดึงน้อย ๆ อันว่าความทุกข์ของผู้อื่นช่างหอมหวานนัก

ซูเหลียนฮวายกพัดโบกลมให้บัณฑิตผู้เคร่งเครียด นึกสงสารอยู่ไม่น้อย “บัณฑิตหลิวผู้นี้ ท่านเกร็งเกินไปแล้ว”

นางมารหมื่นพิษโน้มตัวเข้าใกล้ ใช้ด้ามพัดเคาะเบาๆ ที่หัวไหล่ของจื่อฟาง นางรู้จักคนผู้นี้ดี แม้ภายนอกต้องเรียกขานด้วยชื่อหลิวเซียนฟางก็เถอะ ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ แต่คุณชายจื่อเป็นเพียงดวงวิญญาณที่เข้าร่างของบัณฑิตหลิวและยังต้องสวมบทบาทเป็นเจ้าของร่างเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับเสิ่นจิ้งเฟยคนงามไม่เอาไหนแห่งฉางอัน

อีกฝ่ายเพิ่งเริ่มหัดเล่นกู่เจิงได้ไม่ถึงครึ่งเดือน เรื่องราวนี้ลือไปถึงหูขององค์รัชทายาทเข้า ด้วยความใคร่รู้องค์ชายน้อยจึงอยากรับฟังบ้าง

“เช่นนี้ถึงจะดี” ซูเหลียนฮวาออกแรงกดพัดเล็กน้อยให้จื่อฟางผ่อนคลายไหล่ที่ตึงเครียด

“ข้า...พยายามผ่อนคลายแล้ว” จื่อฟางขบฟันเอ่ยเบาๆ รู้สึกว่ายากยิ่งนัก ทั้งยังมีเสียงหัวเราะขององค์รัชทายาทก่อกวนมิหยุด เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ ทิ้งไหล่ที่เกร็งเขม็งลงให้เป็นธรรมชาติ เหลือบมองเห็นสีหน้าสนุกสนานของเจี่ยอิงต้าก็รู้สึกคันร่างยุบยิบ มิรู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่บัณฑิตหลิวตั้งใจศึกษาเพียงตำรามิได้สันทัดด้านดนตรี จึงไม่แปลกที่บัณฑิตหลิวผู้นี้จะเล่นกู่เจิงไม่เก่ง
รัชทายาทเดิมทีก็เบื่อหน่ายที่ต้องอุดอู้อยู่ในตำหนักบูรพา ได้ยินเรื่องที่บัณฑิตหลิวผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ของตนฝึกเรียนดนตรีก็อยากให้เขาแสดงฝีมือเสียหน่อย

“อาจารย์หลิว หากกู่เจิงของท่านสามารถฆ่าคนได้ ข้าว่าพวกชนเผ่าป่าเถื่อนที่นอกด่านนั่นคงตายไปเสียครึ่ง” รัชทายาทเจี่ยอิงต้าส่งเสียงวิจารณ์อย่างขบขัน จื่อฟางส่ายศีรษะ หยุดมือที่จรดอยู่บนสายไหม หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาซับหน้าผาก นี่นับว่าเป็นเรื่องตลกยิ่งนักเพราะยามอยู่ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยสิ่งของติดมือคือพัด แต่ยามนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ของเขาคือผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเอาไว้คอยซับเหงื่อที่เวลาหวาดวิตก ภายในศาลาเงียบสงบสบายหูไปครู่ใหญ่ องครักษ์และนางในที่เฝ้ารับใช้อยู่โดยรอบต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกโล่งใจไปตามๆ กัน

“องค์รัชทายาท กล่าวเช่นนี้บัณฑิตเช่นกระหม่อมละอายใจยิ่งนัก” จื่อฟางยกยิ้มน้อยๆ สวมท่าทีของบัณฑิตหลิวผู้แก่เรียนอย่างแนบเนียน

เจี่ยอิงต้าเพียงไหวไหล่ “ก็ท่านน่าหน่ายนัก ให้ข้าอ่านบทกวีจืดชืดอยู่ได้ มิสู้ออกไปฝึกธนูมิดีกว่าหรือ อย่างไรเสียนางมารหมื่นพิษก็อยู่ที่นี่แล้ว”

รัชทายาทสนใจเรื่องการทหารและวรยุทธ์มากกว่าสนใจเรื่องการอ่านตำรา จื่อฟางกังวลอยู่ไม่น้อยเพราะเขาจำเรื่องราวของรัชทายาทผู้นี้ได้ ในนิยายไม่ได้เล่าอยากละเอียดแต่คำว่า บีบคั้นให้ลงจากบัลลังก์ก็ตีความได้หลายอย่าง

“เห็นทีจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทยังมีอาการไม่สู้ดี กระหม่อมเกรงว่า....”

“เจ้ามันหนอนหนังสือน่าเบื่อ” มิรู้เพราะเหตุใดหมู่นี้องค์รัชทายาทถึงได้มีอารมณ์หงุดหงิดบ่อยครั้งจนต้องมาลงที่เขา บางทีอาจเป็นเพราะฮ่องเต้เจี่ยผิงมิได้เอาใจใส่เหมือนเช่นก่อน กล่าวถึงฮ่องเต้ พระองค์ทรงหวาดระแวงยิ่งนัก ถึงขั้นวางกำลังลับไว้ในเมืองหลวงและตำหนักบูรพา ทางด้านกบฏช่างอิ่นยังไม่เคลื่อนไหว เขาไม่สันทัดเรื่องสงคราม แต่เดาเอาว่าอีกฝ่ายคงหนีไปได้ไม่ไกลและกำลังรอเวลาเท่านั้น

ภายนอกมองดูเหมือนเหตุการณ์สงบแต่คนในวังหลวงไม่มีผู้ใดวางใจ ถ้าหากเรื่องของกบฏช่างอิ่นยังไม่คลี่คลายเสียที เหล่าขุนนางและแม่ทัพต่างแวะเวียนหารือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงเป็นระยะ รวมไปถึงไป๋ผูอวี้ที่ยังคงรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพก็ต้องเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง ทั้งยังมีคำสั่งให้รัชทายาทพักผ่อนอยู่ในตำหนักบูรพา

“กระหม่อมขออภัยที่ทำให้พระองค์เบื่อหน่าย แต่ใบหน้ากระหม่อมก็เป็นเช่นนี้...” บุรุษหนุ่มเอ่ยตอบอย่างใจเย็น ในความทรงจำของหลิวเซียนฟางยามที่องค์รัชทายาทโกรธเคือง บัณฑิตหลิวผู้นี้จึงคล้ายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเจี่ยอิงต้า แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ดูจะผูกพันกันอยู่ไม่น้อย

“กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ไม่ชมชอบอุดอู้อยู่ในตำหนัก แต่ร่างกายของพระองค์ยังต้องบำรุงอีกมาก” จื่อฟางพูด ท่องไม่รู้ต่อกี่ครั้ง

“ข้ารู้ แค่อยากบ่นเท่านั้น” เจี่ยอิงต้าถอนหายใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนราวกับนึกเรื่องหนึ่งได้ “ข้าได้ยินว่าอาจารย์หลิวยื่นหนังสือขอไปประจำที่สำนักศึกษาหลวง ทำไมเล่า ท่านระอาข้าแล้วรึ”

“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เขาแสร้งกระกระอักไอ รับรู้ถึงสายตาของซูเหลียนฮวาอาบร่าง นางคงชื่นชมฝีมือการแสดงของเขาอยู่แน่

ข้าพัฒนากว่าแต่ก่อน ใช่หรือไม่

นึกถึงเมื่อคราวอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก มิรู้ว่าป่านนี้คุณชายรูปงามผู้นั้นจะมีชะตาเช่นใด ไหนจะจางต้าและหยางชวีที่ติดตามไปด้วยกัน เขารู้สึกใจหายอยู่บ้าง

“เพียงแต่ร่างกายของข้า ไม่สามารถอยู่ชี้แนะองค์รัชทายาทได้อีก” จื่อฟางเปรย ทำสีหน้ามองเศร้าเล็กน้อย เป็นความจริงอยู่บางส่วน

“เอาเถอะ ข้าจะทำเป็นลืมไปก็แล้วกันว่าครั้งหนึ่งท่านสัญญาว่าจะช่วยเหลืองานราชกิจ” เจี่ยอิงต้าแกล้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แม้ในใจจะผิดหวังที่บัณฑิตหลิวผิดคำพูดแต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลิวเซียนฟางมิคล้ายเป็นท่านอาจารย์ที่เขารู้จัก บางทีอาจจะป่วยจนเลอะเลือนไปจริง ๆ เขาเคยถามนางมารหมื่นพิษ อีกฝ่ายบอกว่ามีความเป็นไปได้เพราะอาการบาดเจ็บเมื่อครั้งที่วัดซิงเจียวทำให้บัณฑิตหลิวดูเลอะเลือนไปบ้าง

“องค์ชายก็ทราบดีว่าอาการป่วยของกระหม่อมไม่ใคร่ดีนัก”

“อาการป่วย คงไม่ได้มาจากรองแม่ทัพไป๋กระมัง” รัชทายาทเจี่ยอิงต้าเลิกคิ้ว จ้องมองท่าทางกระสับกระส่ายของอีกฝ่ายก็รู้สึกบอกไม่ถูก ถึงเขาจะชันษาเพียงสิบสองปีแต่เขาไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาเรื่องรักใคร่ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม ตอนที่ได้ยินข่าวลือว่าบัณฑิตหลิวมีสัมพันธ์กับรองแม่ทัพไป๋ก็รู้สึกคาดไม่ถึงระคนแปลกใจ

เขามั่นใจว่าอาจารย์หลิวไม่กล้าทำเรื่องผิดธรรมเนียมทั้งที่ยังเป็นปั๋วซื่อ เจี่ยอิงต้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ นึกแล้วก็ทำให้ขุ่นเคืองอยู่ในใจ เพราะทำให้เขานึกไปถึงเรื่องของเสด็จพ่อและบุรุษงามผู้นั้น

“รัชทายาทไม่ต้องเป็นห่วง รองแม่ทัพไป๋ไม่กล้าทำเรื่องไม่ดีกับข้าอยู่แล้ว” จื่อฟางตอบด้วยรอยยิ้ม เห็นใจองค์รัชทายาทอยู่ไม่น้อย เขาไม่โทษที่อีกฝ่ายจะรู้สึกไม่ดีด้วย ถึงอย่างไรฮ่องเต้เจี่ยผิงก็มีเรื่องชายงามที่คนล่วงลือไปทั่ว

“หึ” องค์รัชทายาททำได้แค่แค่นเสียงในลำคอ ซูเหลียนฮวาคงสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจนักที่รัชทายาทพูดถึงนายท่านไป๋ด้วยน้ำเสียงดูแคลนก็ตาม แต่เด็กน้อยผู้นี้เปรียบเสมือนลูกแมวน้อยที่กำลังโกรธก็เท่านั้น

จื่อฟางไม่รู้ว่าต้องเอ่ยกล่าวสิ่งใดอีก ก็ประจวบกับมองเห็นร่างของเส้ากงกง ขันทีผู้ใหญ่ประจำกายฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินมุ่งหน้ามายังศาลาแห่งนี้ องค์ชายรัชทายาทพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน กระแสยินดีวาบผ่านแต่ก็ครู่เดียวเท่านั้น กงกงผู้นั้นเดินมาถึงก็ค้อมกายคำนับรัชทายาทก่อนหันกายมาทางชายหนุ่ม รัชทายาทขมวดคิ้ว หัวไหล่ตกเมื่อเห็นว่าเส้ากงกงไม่ได้นำเรื่องมาหาตน

จื่อฟางยืดตัว มีลางสังหรณ์ไม่ดีชอบกล เส้ากงกงมาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

“เส้ากงกง ไม่ได้พบท่านนาน สบายดีหรือ” เขาเอ่ยถามตามมารยาท

“สบายดี” กงกงตอบ ใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน ก่อนเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “ฝ่าบาทมีคำสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า”

มีเรื่องใดอีกนะ “…”

จื่อฟางหันมององค์รัชทายาทก็เห็นว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มดูหม่นหมองนัก “เสด็จพ่อได้ฝากอะไรมาถึงข้าหรือไม่”

“ทูลรัชทายาท ฝ่าบาทไม่ได้มีคำสั่งใดต่อรัชทายาทเป็นพิเศษ อีกทั้งฝ่าบาทมีราชกิจล้นมือ ทำให้ไม่อาจมาเยี่ยมเยียนได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสูงวัยตอบเสียงนุ่มปลอบประโลมอยู่ในที รัชทายาทได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ

“ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยเอ่ยกับเสด็จพ่อให้ข้าหน่อย ทูลขอให้ข้าออกไปเดินเที่ยวเล่นนอกตำหนักได้หรือไม่” เจี่ยอิงต้าโน้มตัวเข้าไปกระซิบเสียงเบากับบัณฑิตหลิว เขารู้ดีว่าโอกาสที่เสด็จพ่อจะอนุญาตมีน้อยแต่เขาก็อยากจะลองดู

“องค์รัชทายาท...” จื่อฟางมีสีหน้าลำบากใจ ถ้าหากรัชทายาทเคยเอ่ยขอกับเจ้าแผ่นดินแล้วทรงไม่ได้ผล นับประสาอะไรกับเขา พระองค์ยังคงไม่พอพระทัยเขาด้วยเรื่องรัชทายาทและฮองเฮาที่วัดซิงเจียว

“นะๆ ท่านอาจารย์ ข้าแค่อยากออกไปเดินเล่นเท่านั้น ท่านก็รู้ว่าข้าอุดอู้อยู่ในตำหนักมาตั้งงหลายเดือนแล้ว”

“กระหม่อมจะลองดู” สุดท้ายเขาก็ต้องตกปากรับคำอย่างช่วยไม่ได้ เจี่ยอิงต้าพลันมีรอยยิ้มประดับบนดวงหน้าซีดเซียว ก่อนจะยอมรามือ


***********

ภายในห้องทรงอักษรอวลไปด้วยกลิ่นชาอู่หลงอ่อน ๆ จื่อฟางยืนค้อมกายถือป้ายงาช้างอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของฮ่องเต้เจี่ยผิง เขากล่าวรายงานกิจวัตรประจำวันขององค์รัชทายาทด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนเสร็จ เขารู้สึกว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกตัวเข้าเฝ้าในวันนี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องของรัชทายาทเท่านั้น อย่างไรพระองค์ก็ทรงทราบเรื่องจากองครักษ์ใกล้ตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงเตรียมใจพร้อมรับมือกับอีกฝ่าย เรื่องที่เขาสลับเข้ามาอยู่ในร่างของบัณฑิตหลิวนอกจากผู้ติดตามของสกุลไป๋ไม่กี่คนก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกและเขาก็ไม่มีทางจะบอกกับร่างตรงหน้า

ในห้องทรงอักษรยังมีเกาจวีถังผู้รั้งตำแหน่งที่ปรึกษาและหัวหน้าคณะบัณฑิตนั่งอยู่ตรงมุมห้องกำลังเดินหมากด้วยสีหน้าสุขุมเฉกเช่นทุกครา จากหางตาเขามองเห็นชายเสื้อคลุมสีเหลืองขยับไหวไปตามย่างก้าว ฮ่องเต้หยุดเหม่อมองตำหนักร้างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ไกลๆ จากนอกหน้าต่างอยู่เป็นนาน

‘มีอะไรจะพูดก็พูดเถอะ ข้ายืนจนขาแข็งหมดแล้ว’ บุรุษหนุ่มได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจ

“อาการเจ็บป่วยของท่านเป็นอย่างไรแล้วบ้างบัณฑิตหลิว” ฮ่องเต้เจี่ยผิงตรัสถามขึ้น ราวกับรายงานก่อนหน้าของเขาเป็นเพียงสายลมที่ลอยเข้าหูเท่านั้น

“ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หมอหลวงต้องการให้กระหม่อมพักอีกสักระยะหนึ่ง” เขาเอ่ยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ที่กล่าวมาเป็นความจริงทั้งสิ้นเนื่องเพราะนั่งอ่านตำราติดกันเป็นเวลานาน ระยะหลังมานี้จื่อฟางปวดหลังจนแทบลุกไม่ขึ้น ชายหนุ่มรับรู้ถึงสายตาใคร่รู้ของฮ่องเต้ก็เหงื่อซึมเล็กน้อย ที่ผ่านมาเขาใช้อาการป่วยเป็นข้อหลีกเลี่ยงเผชิญหน้าต่อเจ้าแผ่นดินมาตลอดจึงไม่ได้สนทนาเป็นการส่วนตัวกับเจ้าแผ่นดินบ่อยนัก

“อืม เรากับเกาจวีถังเองก็เห็นด้วยว่าท่านควรพัก” ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวช้าๆ จื่อฟางเก็บซ่อนสีหน้าแปลกใจที่ได้ยินชื่อของเกาจวีถังแต่ก็แสร้งทำมือสั่นน้อยๆ ราวกับกำลังสะเทือนใจนักหนา ที่ปรึกษาเกาขยับตัวอย่างไม่สบายใจทำให้เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่สบายใจกับบทสนทนาในวันนี้ ฮ่องเต้ถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ

“ที่ผ่านมาท่านดูแลรัชทายาทได้อย่างดียิ่ง” ฮ่องเต้เจี่ยผิงหยักยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายวูบหนึ่งราวกับรำลึกถึงเหตุการณ์กบฏเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา “เรื่องที่แล้วมาก็ให้มันผ่านไป เราไม่ใจแคบโกรธเคืองท่าน”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงน่ะหรือไม่ใจแคบ เขาอยากจะหัวเราะดังๆ

“บอกท่านตามตรง เรายังคงกังวลเรื่องของรัชทายาท เรามองว่าเขายังไม่เติบโตพอจะรับราชกิจใดได้”

จื่อฟางแอบเห็นด้วยอยู่ในใจ เขาเพียงพยักหน้าน้อย ๆ ฮ่องเต้ปรายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง “ในยามนี้เรามองว่าร่างกายของเจี่ยอิงต้าเป็นเรื่องสำคัญ แม้อาการป่วยจะดีขึ้น แต่เรายังไม่วางใจ เราต้องการให้รัชทายาทได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่เสียก่อน”

“ฝ่าบาทมีความคิดอันใดหรือ” บุรุษหนุ่มไม่รอช้าเอ่ยถามหลังจากฟังเจ้าแผ่นดินร่ายยาวมานาน ที่ปรึกษาเกาจวีถังอมยิ้มน้อย ๆ ดวงตาเผยแววขบขัน ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีสีฟน้าคล้ายรำคาญใจ ตวัดสายตามอง

“เรามาคิดดูแล้วหน้าที่สอนหนังสือของท่านคงต้องละเว้นไว้ก่อน เราเห็นว่าบัณฑิตหลิวควรพักสักหน่อย แต่ท่านอย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเราผลักไสท่าน เรื่องอาการป่วยของท่านก็ไม่สมควรมองข้ามเช่นกัน” บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างลื่นไหลพร้อมเผยรอยยิ้มมีเมตตา แต่จื่อฟางรู้ดีกว่านั้น ที่ปรึกษาเกาจวีถังได้แต่ก้มมองกระดานหมาก หัวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย

“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขารับคำสั่ง เขาไม่มีเรื่องใดต้องเสียใจ รู้สึกยินดีด้วยซ้ำ หากจำไม่ผิดคงใกล้ถึงเวลาที่เกาจวีถังจะเข้ามาดูแลรัชทายาทแทนแล้ว นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเขาและเจี่ยอิงต้า หากถูกสั่งสอนในทางที่ถูกที่ควร บางทีรอยร้าวระหว่างฮ่องเต้และรัชทายาทอาจจะไม่นักหนา อีกทั้งช้าหรือเร็ว จื่อฟางก็คิดวางแผนถอนตัวออกจากราชสำนักไว้อยู่แล้ว

เพียงแค่รู้สึกผิดต่อเจ้าของร่างนี้เท่านั้น แม้จะได้ความทรงจำของหลิวเซียนฟางมาทั้งหมดแต่ก็มีสิ่งที่เลียนแบบมิได้ นั่นก็คือความฉลาดปราดเปรียว บัณฑิตหลิวศึกษาตำรามาตั้งเท่าไหร่ ความฉลาดไม่ต้องกล่าวถึง ผู้คนย่อมต้องเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน กระนั้นเขาก็ยังต้องศึกษาตำราอ่านบทกวีเข้าไว้

‘หลิวเลอะเลือน’ จึงกลายเป็นชื่อที่จื่อฟางได้ยินบัณฑิตผู้อื่นพูดถึง บ้างก็ว่าบัณฑิตหลิวศึกษาตำราจนสมองไม่รับรู้สิ่งใด บ้างก็บอกว่าบัณฑิตหลิวเพี้ยนไปเอง ทั้งยังมีเรื่องรักใคร่ระหว่างบุตรชายสกุลไป๋ ที่คุยอย่างไรก็ไม่จบสิ้น นานครั้งจะมีชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยคุณชายรูปงามโผล่มาด้วย แต่เนื่องเพราะหวาดกลัวต่อเจ้าแผ่นดิน หัวข้อนี้จึงคล้ายกับสายลม ประเดี๋ยวมาประเดี๋ยวไป

“อืม...เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังในวันรุ่งขึ้น” ฮ่องเต้เจี่ยผิงโบกมือ คงหมายถึงการประชุมท้องพระโรงและเรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนขององค์รัชทายาท เกาจวีถังมีสีหน้าไม่สบายใจนัก จื่อฟางค่อนข้างโล่งอก ถึงอย่างไรตัวหลิวเซียนฟางก็ยังมีตำแหน่งปั๋วซือบัณฑิตขั้นสูงติดตัวอยู่ดี ชายหนุ่มยังคงยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม เริ่มปวดเอวแปลบๆ แต่ก็ไม่กล้าขยับตัว ช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาค่อนข้างปรับตัวกับพิธีการต่างๆ ของวังหลวงได้แล้ว

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่อยากร้องขอพ่ะย่ะค่ะ” จื่อฟางเอ่ยขึ้นเมื่อได้จังหวะ นึกไปถึงคำขอขององค์รัชทายาท

“ว่าอย่างไร”

“ช่วงนี้องค์รัชทายาทรักษาตัวอยู่แต่ในตำหนักบูรพา กระหม่อมทรงมองออกว่าพระองค์ค่อนข้างเหงา จึงอยากขอฝ่าบาทอนุญาติให้พระองค์ออกไปเดินเล่นนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยไปก็กลั้นใจไป

เจี่ยผิงได้ยินคำขอของบัณฑิตหลิวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ช่วงนี้เขาค่อนข้างหวาดระแวงจึงเข้มงวดกับเจี่ยอิงต้าไปไม่น้อย อีกทั้งก็ใช้เวลาร่วมกับโอรสน้อยยิ่งนัก

“อืม เราอนุญาต” ฮ่องเต้กล่าว

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” จื่อฟางแปลกใจแต่ก็ตอบรับอย่างยินดี

ผู้เป็นฮ่องเต้เห็นบัณฑิตหลิวมีใบหน้าเปล่งปลั่งทันตาก็อดจะกระตุกยิ้มไม่ได้ แผนการบางอย่างเริ่มก่อร่างในความคิด เขาเอ่ยเสริม “เรามาคิดดูแล้ว น่าจะเป็นการดีหากให้รัชทายาทออกไปพบปะราษฎรแจกจ่ายอาหารแห้งดูสักครา”

“ฝ่าบาทแน่ใจแล้วหรือ” เกาจวีถังเอ่ยแย้งขึ้นเบาๆ ระหว่างนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินไปหยิบหมากสีดำวางบนกระดานของที่ปรึกษา

“แน่ใจสิ อย่างน้อยก็เป็นสร้างความมั่นใจให้กับราษฎร” เจี่ยผิงรู้ดีว่า เหตุการณ์กบฏสร้างความหวาดหวั่นต่อชาวเมืองเช่นไร ความนิยมของเราก็เริ่มสั่นคลอน ส่งรัชทายาทออกไปพบปะภายนอกก็นับว่าเป็นเรื่องดี แม้จะยังหวาดระแวงเรื่องเกลือเป็นหนอนก็ตาม

“ถ้าหากท่านแน่ใจ...กระหม่อมคงเปลี่ยนใจพระองค์ไม่ได้” เกาจวีถังถอนหายใจอย่างไม่ปิดบัง ภายในห้องทรงอักษรเกิดความเงียบอีกระลอกหนึ่ง มีเพียงเสียงวางหมากบนกระดานสองสามตาเท่านั้น

“จะว่าไป ท่านได้ยินเรื่องที่ผู้คนภายนอกพูดถึงท่านหรือไม่ บัณฑิตหลิว” น้ำเสียงของของฮ่องเต้แฝงแววบางอย่าง สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน

“กระหม่อมสนใจเพียงศึกษาตำรา มิได้สนใจเรื่องราวอื่นใด” เป็นคำตอบที่เสแสร้งโดยแท้ แต่จื่อฟางไม่อยากพูดถึงข่าวซุบซิบของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลอันตรายผู้นี้ เรื่องนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปของหลิวเซียนฟางถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด หากโอรสสวรรค์จะระแคะระคายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกฝ่ายจะเดาออกหรือไม่เขาไม่แน่ใจนัก

“ฮ่า ๆ เช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งเสียงหัวร่อราวกับเห็นเป็นเรื่องน่าขำ จื่อฟางลอบมอง ทันเห็นฮ่องเต้ยิ้มจางแต่เป็นรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตาทำเอาเด็กหนุ่มเสียวสันหลังวูบหนึ่ง เกาจวีถังขมวดคิ้วเข้าหากัน สีหน้าแคลงใจปรากฏให้เห็น

“มีสิ่งใดน่าขำหรือฝ่าบาท” เกาจวีถังเอ่ยถาม มีเพียงที่ปรึกษาสหายคนสนิทที่กล้าเอ่ยกับเจ้าแผ่นดินโดยไม่ต้องระวังกิริยา บุรุษหนุ่มวางหมากสีขาวลงด้วยรอยยิ้ม แค่ตัวหมากเดียวก็เปลี่ยนสถานการณ์บนกระดานได้ ทำให้ฮ่องเต้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อีกฝ่ายสะบัดแขนเสื้ออย่างนึกรำคาญ

“เราเพียงแปลกใจ เหตุใดบัณฑิตหลิวผู้เป็นปั๋วซือถึงได้มีเวลาผูกใจรักกับรองแม่ทัพไป๋ บัณฑิตหลิวท่องตำรา ส่วนรองแม่ทัพไป๋อยู่นอกกำแพง ช่างน่าแปลกโดยแท้ ข้าจำได้ว่าท่านเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ยิ่งนัก หรือที่ผู้คนว่าท่านเลอะเลือนจะเป็นความจริงเสียแล้ว” เจ้าแผ่นดินกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงแววหยอกล้อ มือลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด

“หากบัณฑิตหลิวเลอะเลือนจริง เหล่าบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงมิกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญากันหมดเลยหรือ” ที่ปรึกษาเกาส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

“ท่านไม่จำเป็นต้องมีโทสะ บัณฑิตหลิวยังไม่ว่ากล่าวสิ่งใดเลย” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่ใส่ใจนักระหว่างพิจารณากระดานหมากครู่ใหญ่ ดูแล้วจะพลาดท่าให้กับที่ปรึกษาเกาเข้าจริงๆ

“ท่านคิดอย่างไรเล่า ท่านเลอะเลือนอย่างที่ผู้คนว่าหรือไม่” ฮ่องเต้หันมาสบตากับจื่อฟาง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและแววประกายบางอย่างในดวงตาทรงอำนาจคู่นั้น

“ฝ่าบาท…” เกาจวีถังส่งเสียงปรามแต่จื่อฟางจับได้ถึงน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ของอีกฝ่าย เกาจวีถังเป็นสหายที่รู้จักกับหลิวเซียนฟางตั้งแต่สมัยร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง สหายเป็นคนเช่นไร อีกฝ่ายย่อมต้องรู้ดี

“ทูลตามตรง กระหม่อมไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด แม้จะรู้จักรองแม่ทัพไป๋ด้วยช่วงเวลาที่ไม่ปกติ…” เขาแสร้งสูดลมหายใจเข้าเพื่อความสมจริง เรื่องไป๋ผูอวี้หมดใจแก่คุณชายเสิ่นผู้ล่วงลับเป็นที่พูดถึงไปทั่ว เขาเองก็ยอมรับว่าฟังดูแปลกสำหรับคนนอก

“กระหม่อมพูดไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสม ฝ่าบาทโปรดอย่าถือสา” จื่อฟางค้อมตัวน้อยๆ

“เอาละ เราไม่ได้มีเจตนาจะว่ากล่าวท่าน อย่างไรเสียเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเรา” ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีสีหน้าเรียบเฉยคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

“เช่นนั้นท่านกลับไปพักผ่อนเสียเถอะ เราไม่มีเรื่องใดจะคุยกับท่านแล้ว” ฮ่องเต้โบกมือไล่อย่างไม่ไว้หน้านัก “หากมีเรื่องใช้เราจะเรียกหาท่าน”

“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มค้อมตัวหลายๆ ที ถอยออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยจิตใจที่เต้นระส่ำ

“รักษาตัวด้วย บัณฑิตหลิว” ที่ปรึกษาเกาส่งยิ้มลำบากใจมาให้
หัวข้อ: Re: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2) P.23 13/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 14-01-2023 02:23:47


เมื่อออกนอกตำหนักจื่อฟางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ องครักษ์ยังคงอารักขาหนาแน่นอยู่รอบบริเวณ เขาเดินไปตามทางอย่างเชื่องช้า อาภรณ์สีน้ำเงินพลิ้วไหวตามจังหวะย่างก้าว ยังคงรักษามาดของบัณฑิตหลิวไว้ เขาเดินกลับไปที่ตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทกอดอกรอคอยด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นร่างของเขาเดินผ่านพ้นตำหนักประตู ก็รีบปรี่มาหา บ่าวรับใช้วิ่งตามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เกรงว่ารัชทายาทจะสะดุดล้มเข้า

“ท่านอาจารย์ ว่าอย่างไร เสด็จพ่ออนุญาตหรือไม่” สีหน้าท่าทางของเจี่ยอิงต้าเหมือนกับเด็กผู้หนึ่งทำให้เขายกยิ้ม

“ฝ่าบาทอนุญาต” จื่อฟางกล่าวถึงเรื่องที่ฮ่องเต้คิดไว้ให้อีกฝ่ายฟัง องค์รัชทายาทมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้างแต่ก็เก็บอาการได้อย่างรวดเร็ว

“ท่านว่าจริงหรือที่เสด็จพ่อจะให้ข้าออกไปทำราชกิจ” เจี่ยอิงต้าอดถามขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นล้นพ้น หมายความว่าเสด็จพ่อทรงไว้ใจเขา

“พ่ะย่ะค่ะ” จื่อฟางพยักหน้า อาการป่วยเซื่องซึมของเด็กหนุ่มคล้ายจะปลิวหายไปกับสายลม

“รัชทายาทปรีชาสามารถ ฝ่าบาทย่อมต้องมองเห็น” บ่าวรับใช้จอมประจบสอพลอกล่าวขึ้นมา จื่อฟางไม่ชอบใจนักขันทีเหล่านี้จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด ตามประวัติศาสตร์ผู้ปกครองแผ่นดิน เสียท่าไปตั้งเท่าไหร่ หากเกาจวีถังได้รับหน้าที่ดูแลเจี่ยอิงต้าอย่างเป็นทางการเขาต้องส่งต่อความกังวลให้อีกฝ่ายรับรู้

“อืม” ดวงหน้าของรัชทายาทเปล่งประกายไปด้วยความหวัง

จื่อฟางยอมถูกรัชทายาทลากจูงไปเดินเล่นในสวนอยู่นาน กว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้เขากลับ ตะวันก็เคลื่อนตรงศีรษะ บุรุษหนุ่มฮัมเพลงในลำคอเบาๆ เดินมาถึงประตูข้าง เขาก็ทิ้งไหล่อย่างโล่งใจ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่หน้าผากก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามบ่ายที่กระจ่างใสไร้ปุยเมฆ นึกอยากออกไปท่องเที่ยวยิ่งนักแต่เขายังมีสิ่งที่ต้องจัดการอีกหลายเรื่อง

ทั้งภารกิจของตนและงานของหลิวเซียนฟาง ไม่มีเวลาเอ้อระเหยเหมือนครั้งที่อยู่ในร่างเสิ่นจิ้งเฟย ยังมีพายุที่คอยตั้งเค้าอยู่ภายนอก ช่างอินที่ยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไหนจะชนเผ่านอกด่านที่ยังเป็นปัญหาค้างคาที่ต้องแก้ไข จื่อฟางก้าวพ้นประตูข้างของวังหลวงก็พบกับสือโม่ บ่าวรับใช้นำรถม้าคันเล็กมาจอดรอรับอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่าทางแปลกพิกลของอีกฝ่ายทำให้เขารู้ว่าต้องมีเรื่องใดแน่

“มีเรื่องใด” เขาเอ่ยถามเมื่อก้าวเข้าไปใกล้จนถึงระยะที่ได้ยินเพียงสองคน

“เอ่อ เปล่าขอรับ” สือโม่ยิ้มแห้งแต่สายตาเหลือบมองไปยังรถม้า บ่าวรับใช้ก้มหน้างุดก่อนจะยกเก้าอี้เล็กมาวางให้เขาก้าวขึ้นไปนั่ง ชายหนุ่มเลิกคิ้วแต่ไม่ได้ถามต่อ แม้จะอยู่ด้วยกันร่วมสองเดือนแต่สือโม่ก็ยังรับมือกับนิสัยแปลกประหลาดบางอย่างที่ติดมาจากยุคปัจจุบันของเขาไม่ได้

จื่อฟางเข้าไปนั่งด้านในก็พบกับร่างสูงใหญ่อันคุ้นตา เขาคลี่ยิ้มกว้างก่อนทิ้งตัวนั่งลงข้างร่างนั้น

“ฮ่องเต้ทำเรื่องลำบากใจให้เจ้าหรือไม่” ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม เจ้าตัวสวมใส่ชุดลำลองของกรมทหาร สีแดงเข้มทะมัดทะแมง ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีไรหนวดจาง ผิวกายคล้ำแดดจากการฝึกยุทธ์

“หากคนผู้นั้นทำแล้วเจ้าจะจัดการเขาให้ข้าหรือไร” จื่อฟางกระซิบเสียงแผ่ว เผยสีหน้าเหนื่อยล้าให้เห็น

“เหนื่อยมากเลยหรือ” ไป๋ผูอวี้ถามด้วยใบหน้าที่คล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม แต่ก่อนจื่อฟางอยู่ในร่างของคุณชาย ไม่มีงานใดให้ทำ การใช้ชีวิตไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้

“เหนื่อยเดินเสียมากกว่า” เขาตอบยิ้มๆ เอนกายพิงลาดไหล่แกร่ง “เขาดูสงสัยในตัวข้าอยู่ไม่น้อย” จื่อฟางกล่าวต่อระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนเส้นสายคุ้นตา

บุรุษข้างกายเงียบไปอย่างครุ่นคิด เขารู้ดีว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงมิใช่คนโง่ เรื่องเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นอีกฝ่ายที่ล่วงรู้ก่อน ความไม่สบายใจก่อตัวอยู่ในอก หากฮ่องเต้รู้ว่าจื่อฟางอยู่ในร่างของหลิวเซียนฟาง เขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะว่าอย่างไร เจ้าแผ่นดินหมกมุ่นยึดติดกับเสิ่นจิ้งเฟยอย่าวแปลกประหลาด จนเขาเกรงว่าอะไรที่เคยข้องเกี่ยวกับเสิ่นผู้นั้นจะทำให้ฮ่องเต้สนใจ

“เจ้าต้องระวังตัวไว้หน่อย คนอย่างฮ่องเต้เจี่ยผิงมิอาจมองข้ามโดยง่าย ข้าเชื่อว่าพระองค์อาจระแคะระคายบ้าง เจ้ามิใช่บัณฑิตหลิวนี่นะ” ไป๋ผูอวี้อดไม่ได้ต้องถอนหายใจ

“อืม ข้ายังต้องทำเรื่องของบัณฑิตอีกแหน่ะ” จื่อฟางขมวดคิ้วเมื่อนึกถึง บทของหลิวเซียนฟางไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเมืองในราชสำนักโดยตรง ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากไปข้องเกี่ยวแต่เป็นเรื่องของชุมนุมบัณฑิตที่ครั้งหนึ่งไป๋ผูอวี้ก็เคยเข้าร่วมมาก่อน แต่ก่อนการชุมนุมมีจุดประสงค์เกี่ยวกับงานบ้านเมือง แต่ณเวลานี้หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ออกกฎชัดเจนถึงขอบเขตเรื่องการวิจารณ์

การชุมนุมจึงเป็นเพียงการพบปะของบัณฑิตทั่วไป ถกบทกวี พูดคำคมที่ดูฉลาดสักหน่อย จากนั้นก็ดื่มชา มักจัดขึ้นที่โรงเตี๊ยมเสวียนหรงในทุกวันที่สิบของทุกเดือน ในยามเซิน (15.00-16.59 น.) ซึ่งตรงกับวันนี้ ตั้งแต่สวมบทบัณฑิตหลิว จื่อฟางได้มีโอกาสไปร่วมงานเพียงสี่ครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่เขาเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า หากจวนตัวเข้าจริง ๆ ก็ใช้ความจำจากตำราและความรู้งูๆ ปลาๆ จากยุคปัจจุบันมาใช้เอาตัวรอด

การสวมบทบัณฑิตหลิวของเขาจึงยังไม่นับว่าน่าเกลียดนัก อย่างไรเสียในตอนนี้เขาก็เป็นเพียงแค่หลิวเลอะเลือนเท่านั้น ฉายาบ้าบอพวกนี้ก็ได้มาจากการชุมนุมบัณฑิตนี่ละ

“เจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง” จื่อฟางเอ่ยถาม แหงนหน้ามองบุรุษข้างกาย ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสังเกตเห็น ท่อนไม้ไป๋แสร้งตีหน้าได้แนบเนียน คงเพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล เท่าที่จื่อฟางทราบมาเส้นทางของไป๋ผูอวี้ในกองทัพหลวงไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ตำแหน่งรองแม่ทัพที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงมอบให้ดูเหมือนจะเป็นดาบสองคม

ทหารในกองทัพบางส่วนไม่พอใจที่บุตรสกุลไป๋ผู้นี้อยู่ ๆ ก็ได้เข้ามาอยู่ในกองทัพด้วยตำแหน่งสูง เพราะเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งทำให้ม่านไหวสะบัด เขาย่นจมูกครั้นได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ มาจากอีกฝ่าย

“เกิดเรื่องใดขึ้น” จื่อฟางเอ่ยถามกวาดตามองบุรุษหนุ่มขึ้นลง มองหาร่องรอยบาดเจ็บ เขากดมือไปตามแผ่นอกแกร่ง เมื่อเลื่อนลงต่ำบริเวณท้องน้อย กล้ามเนื้อของไป๋ผูอวี้พลันหดเกร็ง สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สีหน้าเจ็บปวดวาบผ่านให้เห็น

“ท่านบัณฑิต...ไยทำเรื่องลามกแต่หัววันเล่า” ผู้เป็นรองแม่ทัพแสร้งกล่าวหยอกล้อ วางมือลงบนมือที่กำขยุ้มอยู่บนสาบเสื้อ

จื่อฟางถลึงตาใส่ “เจ้าได้รับบาดเจ็บ! ยังจะมาล้อเล่นอยู่อีก ถอดเสื้อให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

ไป๋ผูอวี้ยังคงตีหน้าไม่รู้ความ บุรุษหนุ่มจึงออกแรงดึงผ้าคาดเอวของอีกฝ่ายออกอย่างไม่ออมมือนัก อีกฝ่ายลูบหลังมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะยอมปล่อยให้จื่อฟางเปลื้องผ้าท่อนบนออกแต่โดยดี หากมีคนมองลอดผ่านม่านเข้ามาคงกลายเป็นเรื่องน่าดูชม ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้จะได้ยินคำหยอกของไป๋ผูอวี้หรือไม่ แต่ใครสนล่ะ ชื่อเสียงของบัณฑิตหลิวและไป๋ผูอวี้แปดเปื้อนจนไม่เหลือคุณความดีแล้ว
จื่อฟางมองเห็นผ้าพันแผลบริเวณท้องน้อยซึมไปด้วยเลือด เขาก็สูดหายใจเข้าเสียงดัง ดูแล้วไม่ใช่บาดแผลเพียงเล็กน้อย เขาใช้มือลูบแผ่วเบาเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้รับความเจ็บปวด คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน พอจะเดาได้ว่าผู้ใดเป็นต้นเหตุของบาดแผลนี้

“แม่ทัพใหญ่ซ่งผู้นั้นประมือกับเจ้าอีกแล้วรึ”

รถม้ายังคงเคลื่อนโขยกเขยกไปยังถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ถนนสายนี้มุ่งสู่ตรอกซีหมานอันคุ้นตา ไป๋ผูอวี้มองเห็นความกังวลและความขุ่นเคืองบนใบหน้าหมดจดของคนรักก็ตบหลังมือของเจ้าตัวเบาๆ ยกยิ้มเล็กน้อย

“แม่ทัพซ่งประมือกับข้าหนักไปหน่อย” พูดไปเช่นนั้น ไป๋ผูอวี้ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเก็บมาแค้นเคือง ซ่งอวิ๋นเซิงเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวง กรมกลาโหมเพิ่งแต่งตั้งเข้ามาเมื่อเดือนก่อนเพราะผลงานการปราบกบฏในเมืองหลวงทำให้อีกฝ่ายได้รับความไว้ใจจากฮ่องเต้ แค่หลับตาข้างเดียวผู้คนก็มองออกว่าแม่ทัพซ่งไม่พอใจเขาอย่างยิ่ง

คนผู้นั้นชอบนักที่ได้ฉีกหน้าเขาต่อหน้าพลทหาร เดิมทีไป๋ผูอวี้ก็เตรียมใจไว้แล้วว่า ไม่ได้มีแต่ผู้ที่ชมชอบเขา เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ บุรุษหนุ่มก็มองว่าการเข้ามาของเขาในทัพหลวงก็ออกจะไม่ยุติธรรมเสียหน่อย มีเพียงพลทหารเก่าที่ติดตามเขามาตั้งแต่การศึกคราก่อนต่างก็ขุนหมองไม่ชอบแม่ทัพซ่ง

ยามที่ว่างจากการหารือทัพ ซ่งอวิ๋นเซิงมักท้าประลองกับไป๋ผูอวี้เพื่อฝึกมือด้านยุทธวิธีทางทหาร เขามิใช่คนน้ำเต็มแก้วยินดีรับการสั่งสอนเสมอ ไป๋ผูอวี้จึงมีรอยคมดาบอยู่บนร่างไม่น้อย คนผู้นี้นับว่ามีฝีมือเหมาะสมกับตำแหน่ง มีข่าวลือหนาหูว่าหากองค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าร่างกายแข็งแรง ฮ่องเต้คิดทาบทามแม่ทัพซ่งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาการต่อสู้ให้แก่รัชทายาท

“เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก แม่ทัพซ่งผู้นั้นแค่มือหนักไปหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าเขาไม่ได้คิดร้าย” ไป๋ผูอวี้เข้าใจเจตนาของแม่ทัพซ่ง

“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น” จื่อฟางรู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้ เขาจัดแจงเสื้อผ้าท่อนบนของไป๋ผูอวี้ให้เรียบร้อยอีกครั้ง

“ข้าเพียงรู้สึกเหมือนคนสองหน้า แต่ก่อนข้าเคยต่อต้านระบบพวกพ้องของราชสำนัก แต่ในตอนนี้ข้ากลับเป็นเสียเอง หรือเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางต้นหลิวลู่ลมก็เลยต้องเอนเอียงตามไปด้วย” บุรุษหนุ่มอดไม่ได้ต้องเอื้อนเอ่ยออกมา

“หันหางเสือตามลม” จื่อฟางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ไม่ได้ว่ากล่าวตามที่ใจคิด ในโลกที่เขาจากมา ไม่มีผู้ใดที่ดีงามโดยไม่หมองหม่น คนเช่นนั้นคงมีอยู่ในเพียงเทพนิยาย ไป๋ผูอวี้ยังคงมีนิสัยอย่างพระเอก ก็คือมองโลกในแง่เดียว เป็นเส้นตรงจนเกินไปย่อมขาดได้ง่าย

“ต่อให้เจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ก็ห้ามเรื่องเช่นนี้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยกระซิบเบา ๆ ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ เหมือนอยากเอ่ยแย้ง แต่ก็ถอนหายใจเบา ๆ อีกฝ่ายรู้ดีว่าเขามีความคิดไม่เหมือนคนที่นี่ เขาทอดสายตามองร้านรวงสองข้างทางผ่านม่านที่สะบัดตามแรงลม ชาวเมืองออกมาเดินจับจ่ายซื้อของตามปกติจนเขานึกอิจฉา

“เจ้าจะไปตรวจดูเรือนฉิงเหมยหรือ” บุรุษข้างกายถาม เมื่อรถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่ตรอกซอยคุ้นตา เรือนฉิงเหมยคือร้านที่จื่อฟางลงทุนไว้เมื่อครั้งที่ยังเป็นเสิ่นจิ้งเฟย ซึ่งบัดนี้สร้างเสร็จแล้ว หากยังจำกันได้ว่าไป๋ผูอวี้เคยไปหารือกับเสนาบดีเสิ่นเรื่องที่ดิน ว่าต้องการสร้างกิจการต่อไปเพื่อทำตามความต้องการของเสิ่นจิ้งเฟยที่ (ผู้คน) คิดว่าล่วงลับไปแล้วจากเหตุไฟไหม้ แต่กลายเป็นว่ายามนี้ร้านค้านั้นกลับตกเป็นของบัณฑิตหลิวที่ผู้คนเข้าใจว่าเป็นคนรักใหม่ของไป๋ผูอวี้

“ข้าต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยเสียหน่อย ไม่ได้แวะไปดูนานหลายวันแล้ว” จื่อฟางมีสีหน้าพิลึกพิลั่นก่อนเหลือบมองคนข้างตัว

“เจ้าจะไปกับข้าหรือ”

“ใช่ ข้าเองก็อยากแวะไปดูโรงน้ำชาหลิวซื่อบ้าง ปล่อยให้ท่านอาดูแลเสียนาน” ไป๋ผูอวี้มอบหน้าที่ดูแลให้แก่ไป๋เหวินโม่ ผู้เป็นอา
“ทำไมหรือ เจ้ากลัวชื่อเสียงบัณฑิตแปดเปื้อนหรือไร” บุรุษหนุ่มกล่าวเย้าหยอก

“ชื่อเสียงของเจ้าต่างหากที่กู่ไม่กลับ” จื่อฟางพึมพำ รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น

“อีกเดี๋ยวผู้คนก็ลืมเลือน” ไป๋ผูอวี้ออกจะขบขันเสียมากกว่า เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ภาพลักษณ์ดีงามของบุตรชายสุกลไป๋ป่นปี้ไปตั้งแต่บิดาของเขาขนข้าวของย้ายกลับไปที่หลานโจว ไป๋ผูอวี้กลายเป็นบุตรอกตัญญู ไม่รู้คุณไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย

เรื่องของเรือนฉิงเหมยยิ่งเพิ่มพูนความบาดหมางระหว่างเขาและเสิ่นมู่หยาง ดูแล้วคงไม่มีวันผสานรอยร้าวได้อีก ไป๋ผูอวี้ได้แต่นึกอย่างสะท้อนใจ บางทีคงเป็นโชคชะตากระมัง แต่แรกสกุลไป๋และสกุลเสิ่นก็ไม่มีทางญาติดีกัน จนกระทั่งจื่อฟางเข้ามาเปลี่ยน และก็เป็นจื่อฟางที่ทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนที่ควรเป็น

เรื่องเหล่านี้ไม่ทำให้โรงน้ำชาหลิวซื่อขาดผู้คน กลับเนืองแน่นดั่งแต่ก่อน พวกท่านคิดดูเอาเถอะ ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นหัวข้อในร้านน้ำชาหลิวซื่อไปกี่วัน มิมีผู้ใดไม่ชมชอบเรื่องฉาวโฉ่ของผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องของไป๋ผูอวี้

จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบ ขนาดเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยผู้คนยังไม่ลืมเลือนเสียที “ข้าต้องไปที่โรงเตี๊ยมเสวียนหรงอีก วันนี้มีงานชุมนุม”

“เจ้างานยุ่งน่าดู” ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบา ๆ “ขอให้สนุกล่ะ บัณฑิตเหล่านั้นคงทำให้เจ้าปวดหัวไม่น้อย”

โดยเฉพาะจ้าวเซียวชิง

“ถึงแล้วขอรับ” สือโม่ร้องเรียกจากด้านนอกเมื่อรถม้าหยุดลง จื่อฟางจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อย ถอดหมวกบัณฑิตออก จัดแจงมวยผมให้ดูไม่เป็นการเป็นงานมากนัก เขาก้าวลงมาจากรถม้าตามด้วยไป๋ผูอวี้ เรือนฉิงเหมยของเขายามนี้นับว่าเป็นดาวเด่นแห่งตรอกซีหมาน เพราะออกแบบด้วยสีสันฉูดฉาด มีชีวิตชีวาตรงข้ามกับโรงน้ำชาหลิวซื่อ บรรยากาศสบาย ดนตรีไพเพราะจึงเป็นสถานที่ส่วนมากลูกคุณหนูและเหล่าคุณชายแวะเวียนมาบ่อย ๆ

จื่อฟางมองข้ามสายตาสอดส่องของผู้คนรอบกาย ไป๋ผูอวี้ทอดมองไปยังโรงน้ำชาหลิวซื่อที่ตั้งเยื้องห่างออกไปอีกฝั่ง ดวงตาลึกล้ำเป็นคลื่นไหวราวกับนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ชาวเมืองคุ้นชินกับเรื่องเล่าลือของไป๋ผูอวี้และบัณฑิตหลิว แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่ดี

“ที่ตรงนั้นแต่เดิมเป็นของคุณชายเสิ่นมิใช่หรือ ได้ข่าวว่าคิดการเสียยกใหญ่” ใครคนหนึ่งพูด

“จะไม่ให้เสนาบดีเสิ่นมีโทสะได้อย่างไร บุตรชายตายได้ไม่นาน ไป๋ผูอวี้ก็พาคนรักใหม่มาทับรอยเสียแล้ว”

“อืม...ท่านว่าเรื่องนี้มันคุ้นๆ ใช่หรือไม่ เสนาบดีเสิ่นก็ใช่ย่อยนา เวรกรรมที่ทำกับเสิ่นฮูหยินกระมัง”

“พวกท่านก็พูดไป”

ทั้งไป๋ผูอวี้และจื่อฟางต่างก็นิ่งเงียบ ผู้คนในฉางอันยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จื่อฟางคุ้นชินกับคำนินทาเสียแล้ว ก็เลยไม่ได้ใส่ใจเสียงพูดคุยรอบตัวอีก ต่างจากสือโม่ที่ใบหน้ากลายเป็นเขียวปัดเหมือนอยากเอ่ยพรุคำเผ็ดร้อนออกมา เขาถอดสายตามาจากบ่าวรับใช้ ในบางครั้งก็อดนึกถึงจางต้าอยู่เล็กน้อย

“บัณฑิตหลิว รองแม่ทัพไป๋ เชิญทางนี้” อวี้หลันปรี่เข้ามากล่าวทักทาย หญิงสาวนางนี้คือผู้จัดการร้านที่เขาแต่งตั้งไว้ ร่างบางค้อมกายกล่าวทักทายคนทั้งคู่พร้อมเดินนำพวกเขาไปตรวจดูเรือนฉิงเหมยอย่างกระตือรือร้น ทิ้งสือโม่เฝ้าอยู่ที่รถม้า บ่าวรับใช้ได้แต่ส่งสายตาขุ่นเคืองใส่ชาวบ้านรอบตัว

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเรือนฉิงเหมยกลิ่นสุราและกลิ่นผลไม้ดองอวลติดจมูก

“บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจความคิดของเจ้าเอาเสียเลย” ไป๋ผูอวี้พึมพำกวาดสายตามองเรือนฉิงเหมย หากจะบอกว่าเป็นโรงน้ำชาก็มิใช่ ร้านสุราก็มิเชิง ทั้งยังเหมือนร้านอาหารอีก

จื่อฟางหัวเราะ ตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ”

อวี้หลันเชิญให้พวกเขานั่งลงที่โต๊ะรับรองชั้นสอง “เป็นอย่างไรแล้วบ้าง มีเรื่องใดติดขัดหรือไม่” จื่อฟางเอ่ยถามเข้าเรื่องทันที

“ถ้าไม่นับว่าถูกคนของเสนาบดีเสิ่นมาตะโกนก่อกวนฟน้าร้านก็นับว่าราบรื่นดีเจ้าค่ะ” อวี้หลันตอบ ก่อนที่นางจะนำสมุดบัญชีมากางให้เขาดูพร้อมกับชี้แจงรายละเอียดต่างๆ ไป๋ผูอวี้ยืนเอามือไพล่หลัง กวาดมองรูปภาพที่เขาวาดประดับห้อง ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แม้จะมีดรุณีน้อยเข้ามาวางน้ำชา นางเมียงมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านที่มุมห้องด้วยสายตาใคร่รู้ จื่อฟางลอบมองทางหางตา เขาไม่แปลกใจที่แม่นางน้อยใหญ่ต่างก็ยังมีความหวังกับไป๋ผูอวี้ อีกฝ่ายยังไม่แต่งงาน ตำแหน่งอนุก็ยังว่าง

“นี่นังหนู เสร็จแล้วก็ออกไป” อวี้หลันโบกมือไล่อย่างรู้ทัน ก่อนกระซิบกับเขา “ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ นางเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่วัน”

“มิเป็นไร” จื่อฟางยกยิ้ม เขาเลือกคนมาไม่ผิดจริง ๆ ชายหนุ่มเหลือบมองไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นหันใบหน้ามามอง แต่มุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มขบขัน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าคู่กายออกมาซับเหงื่อที่หน้าผากมน ร่างกายของบัณฑิตหลิวจะว่าไปก็คล้ายกับร่างเก่าไม่น้อย ชายหนุ่มถามไถ่อวี้หลันอีกสองสามประโยคก็เดินตรวจเรือนฉิงเหมยก่อนแวะเวียนไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ

แม้ไป๋ผูอวี้จะไม่ว่างมาดูแลแต่เขาก็ไม่ได้ละเลย ผู้ติดตามอย่างเว่ยหลงถึงแม้ติดตามไปกับไป๋ผูอวี้แต่ก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูง เป็นเพียงพลทหารเท่านั้น ยามนี้คงเวรยามอยู่ที่ประตูเมือง เขามองออกว่าเว่ยหลงไม่พอใจนัก เขาไล่ให้มาดูแลโรงน้ำชาและจวนก็ไม่ยอมออก บอกว่าต้องการอยู่ใกล้ๆ กับเขา ไป๋ผูอวี้กับจื่อฟางมาถึงโรงน้ำชาอันครึกครื้นก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ

“รองแม่ทัพไป๋” ไป๋เหวินโม่ร้องทักเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าไปในร้าน เสียงเรียกทำให้ลูกค้าหลายคนหันมองเป็นตาเดียว แต่บุรุษหนุ่มก็ชินชาจนได้แต่ปล่อยผ่าน แค่เห็นว่าโรงน้ำชาหลิวซื่อยังคงยืนหยัดอยู่ได้เขาก็สบายใจยิ่งนัก เขาหันมองร่างเล็กกว่าของจื่อฟาง เจ้าตัวมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นทุกที เพราะบัณฑิตหลิวก็เป็นเช่นนั้น แต่ในใจคงบ่นอุบกระมัง

“บัณฑิตหลิว” ไป๋เหวินโม่ทักทายอย่างมีมารยาท ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมามากเมื่อได้พบเจอตัวจริงก็ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“เถ้าแก่ไป๋” จื่อฟางค้อมศีรษะน้อยๆ อย่างมีมารยาท หลายครั้งก็พบว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะบัณฑิตขั้นสูงเช่นหลิวเซียนฟาง ไม่ได้ค้อมคำนับพ่อค้าง่ายๆ ที่แปลกคือเขาเป็นบัณฑิตมิใช่หรือ ตอนที่เขาค้อมศีรษะทักทายเถ้าแก่ร้านอื่น ก็พบว่าหลายคนมีท่าทีแตกตื่น

ไป๋เหวินโม่ไม่รอช้านำคนทั้งคู่ไปที่ห้องส่วนตัว จะได้สะดวกในการพูดคุย ไป๋ผูอวี้กว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนโรงน้ำชาก็เดือนละครั้ง เขาย่อมต้องถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของอีกฝ่าย

“อาเหวินโม่ สบายดีกระมัง” บุรุษหนุ่มเอ่ยถาม

“สบายดีๆ ข้าได้คุยกับพ่อเจ้า ดูท่าจะยังห่วงโรงน้ำชาหลิวซื่อ อย่างไรเสียก็ตัดไม่ขาดหรอก อีกไม่นานอาจจะกลับมาที่ฉางอันก็ได้” ผู้เป็นอาบอกอย่างไม่ปิดบัง

“ข้าทำผิดกับท่านพ่อไว้มาก อีกอย่าง...ข้าก็ไม่อยากให้ท่านพ่อกลับมาฉางอันในเวลาอันใกล้นี้” ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเบา ระหว่างที่ท่านอายกกาน้ำชาเทใส่ถ้วยให้เขาและจื่อฟาง ชายหนุ่มพลันผ่อนคลายเมื่อได้กลิ่นชาหอมกรุ่นแสนคุ้นเคย ห้องนี้...เป็นห้องที่เขาเคยพบเจอกับจื่อฟางในร่างของคุณชายไม่เอาไหน เขายกยิ้มน้อย ๆ กับความทรงจำครานั้น จื่อฟางเองก็กวาดตามองรอบๆ ราวกับนึกถึงเรื่องเดียวกัน ร่างนั้นเคี้ยวขนมเปี๊ยะสดไปพลางทำให้ดูเหมือนเด็กหนุ่มไม่ประสา

“เพราะเหตุใดรึ”

“ชื่อเสียงของข้าไม่เหมือนก่อน ท่านพ่อมาเกรงว่าจะตกเป็นเป้าความสนใจเสียมากกว่า” ไป๋ผูอวี้ตอบไปเช่นนั้น แม้ความจริงแล้ว จะมีเหตุผลอื่น

“อืม นั่นสินะ” ไป๋เหวินโม่เกาคาง กระทั่งเขาก็ยังไม่คุ้นชินเสียที

ไป๋ผูอวี้ควรเขียนจดหมายบอกกล่าวบิดาที่หลานโจวว่าอย่าเพิ่งกลับฉางอันในเร็ววัน เพราะจากการหารือกับฮ่องเต้เจี่ยผิง ดูเหมือนว่าจะพบเบาะแสของช่างอินที่เมืองผิงชาง แต่เจ้าแผ่นดินวางแผนไว้อย่างไรเขาก็ไม่อาจล่วงรู้เพราะการศึกระหว่างช่างอินครานี้ ดูเหมือนจะเป็นหมากของฮ่องเต้

จื่อฟางนั่งฟังบทนสนทนาของสองอาหลานเงียบๆ จนกระทั่งเสียงคุ้นหูของเว่ยหลงดังแว่วมาจากชั้นล่าง เขามุ่นคิ้วอย่างสงสัยเพราะเวลานี้ย่อมเป็นเวรยามของอีกฝ่าย เขาสบตากับไป๋ผูอวี้ อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกใจระคนใคร่รู้เช่นกัน

“นั่นเสียงเว่ยหลงมิใช่—” ไป๋เหวินโม่พูดไม่ทันจบประโยค ร่างของผู้ติดตามเว่ยหลงก็เข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว ร่างนั้นค้อมกายคำนับคนอายุมากกว่า

“ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท พอดีมีเรื่องด่วนขอรับ” เว่ยหลงกล่าวไปก็พ่นลมหายใจพรูออกมา เขากวาดตามองบัณฑิตหลิวเซียนฟางครู่หนึ่ง แม้จะยังไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่ได้ทำหน้าเหมือนพบเจอวิญญาณร้ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว ไป๋เหวินโม่ขอตัวออกจากห้องไปก่อนอย่างรู้เวลา

“เจ้ามีเรื่องด่วนใดรึ ถึงได้ละทิ้งหน้าที่มาเช่นนี้” ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม ถึงแม้ผู้ติดตามของเขาจะไม่เต็มใจเป็นพลทหารภายใต้องค์ฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เคยละเว้นปฏิบัติหน้าที่

“พอดีข้าเจอกับ...” เว่ยหลงปรายตามองมาที่จื่อฟาง เขาจึงเลิกคิ้ว

“ว่ามาสิ”

“เจอกับหยางชวีขอรับ”

“...” จื่อฟางไม่รู้ว่าทำสีหน้าใดออกไป แต่ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ว่ากันตามตรงเขาก็คิดถึงเจ้าคนหน้าตายอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนเคยมีอีกฝ่ายคอยคุ้มกัน

“หยางชวีหรือ ไม่ใช่ว่าออกเดินทางไปเหลียวตงกับเสิ่นจิ้งเฟยแล้วหรือไร” เขาอดรำพึงออกมาไม่ได้

เว่ยหลงเพียงส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ได้ทักทายมากความ พอข้าเห็นเขาที่ประตูเมือง ก็รีบปรี่มารายงานรองแม่ทัพไป๋โดยด่วน”
“อืม ขอบใจเจ้ามาก อันที่จริงเจ้าไม่จับเป็นต้องรีบร้อนมาก็ได้ หยางชวีจะไปมาฉางอันไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เสียงนุ่มหูของไป๋ผูอวี้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกคันไปตามร่างกาย จื่อฟางขยับตัวไปมา กระแอมเบาๆ

“นั่นสิ”

“เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องไปติดต่อกับหยางชวี เขากับเจ้า...ในร่างนี้ไม่รู้จักกัน”

“อืม” เขาพยักหน้าหงึกหงัก ลอบมองไป๋ผูอวี้ บุรุษหนุ่มยังคงสีหน้าสุขุมนุ่มลึก ดงวงตาสีดำเรียบนิ่งจ้องมองมาที่จื่อฟาง อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าท่อนไม้น่ากลัวนัก ทำให้เขานึกไปถึงยามที่อีกฝ่ายเป็นเพียงคุณชายไป๋เท่านั้น



TBC
ตอนแรกมาลงแล้วค่ะ ขอบคุณนักอ่านที่ยังสนับสนุนเสมอมานะคะ ครั้งนี้จะลงเรื่อยๆ อาจจะไม่บ่อยเพราะเรื่องงาน