พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้นจบในตอน] เธอไม่อยู่แล้วหรือ...
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: KOKURO ที่ 14-02-2012 22:25:27
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
-
ไม่รู้ว่าเอามาลงในวันวาเลนไทน์แบบนี้มันจะดีหรือเปล่า
แต่ผมว่า...ความรักมันมีหลายรูปแบบน่ะนะครับ
เศร้าๆซึ้งๆหน่อยคงไม่เป็นไรเนอะ
...
ซากุระผลิกลีบสีชมพูอ่อนรับแสงอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว กลีบดอกที่อ่อนหวานพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดมากระทบแผ่วเบา กลีบบางทิ้งตัวลงกลางสายลมนั้น บางดอกผละก้านร่วงหล่นลงมาทั้งดอก ทำให้ทิวทัศน์ที่ปรากฏแก่สายตาทั้งสวยงามและแสนเศร้า
ร่างสูงโปร่งเดินตัดขึ้นเนินเขามาตามทางเดินที่ปูลาดด้วยหิน ริมทางเดินมีต้นซากุระปลูกไว้เรียงรายเป็นระยะ ชายหนุ่มหยุดยืนบนยอดเนินพลางทอดสายตาลงไปยังเมืองที่อยู่เบื้องล่าง...เมืองที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง...และเขาคนนั้น...
มือเรียวกระชับช่อดอกไม้เล็ก ๆ ในมือ ช่อดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งใครคนนั้นเคยบอกชื่อของมันให้เขาฟังพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจความหมาย...จากตรงนี้ มองลงไปยังเห็นแมนชั่นอันเคยเป็นบ้านของพวกเขา โรงเรียนเก่า และสถานที่ที่เคยไปด้วยกัน...เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เปลี่ยนไปไม่มากนักแม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว
เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขา...ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดมา
เขายังคงเจ็บปวด...และเศร้าโศก...ทุกครั้งที่คิดถึงเขาคนนั้น
ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่...ในวันนี้...
ชายหนุ่มถอดแว่นตาดำออกเพื่อปาดเช็ดน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลลงมาอาบแก้ม พยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ ในที่สุดก็หยุดมันได้ มือเรียวสวมแว่นคืนให้ตัวเองอีกครั้ง เบือนหน้าจากทิวทัศน์ตรงหน้าแล้วก้าวต่อไปตามทางเดินที่ทอดลงจากเนิน ต่ำจากตรงนั้นลงไปอีกนิดหน่อยคือที่หมายที่เขามุ่งหน้ามา
ร่างเพรียวหยุดยืนตรงหน้าแท่นหินอ่อนสีเทา กลีบดอกไม้และใบไม้แห้งปกคลุมเหนือแท่นหินนั้นอย่างปราศจากคนดูแล มือเรียวปัดสิ่งที่ปกคลุมออกอย่างเบามือ ข้อความที่จารึกไว้ข้างใต้ค่อย ๆ ปรากฏแก่สายตา
“อิโนะอุเอะ ชิโนบุ ทอดความฝันลงที่นี่”
ละไอฝ้าร้อน ๆ เกาะเข้าที่ดวงตาอีกครั้ง ในที่สุดก็กลั่นเป็นหยดน้ำกลบให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก ปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนแท่นหินนั้น...หยดแล้ว...หยดเล่า...
กี่ปีแล้ว...ที่เวลาล่วงไป
ไม่มีอะไรสามารถเยียวยาความรู้สึกของเขาไปได้ แม้หน้าที่การงานและการดำเนินชีวิตประจำวันจะทำให้เขาไม่ได้มีเวลาคิดถึงผู้ที่ทอดกายอยู่ที่นี่มากนัก แต่ทุกครั้งที่คิดถึง...ความทรงจำที่หวนคืนมาจะชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน และทุกครั้ง...เขาก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้ คนรอบข้างบอกว่าเขาอ่อนไหวเกินไป เขารู้และพยายามจะแก้ไข หากเรื่องนี้เท่านั้น...ที่เขาทำไม่ได้
...ลืมไม่ได้...
“นั่น...คุเรฮะใช่มั้ย?”
เสียงห้าวดังขึ้นด้านหลังทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง เจ้าของเสียงคือชายหนุ่มร่างสูงผมดำยาว ในมือมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่...เขาคงตั้งใจจะมาที่นี่เช่นกัน
“จุน...” คุเรฮะลุกขึ้นพลางเช็ดน้ำตา
“นาย...มาที่นี่ทุกปีสินะ” จุนพูดพลางก้าวเข้ามาใกล้
“ฮื่อ...” รับคำเบา ๆ แล้วก้มหน้านิ่ง...วันนี้ของทุก ๆ ปี ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงมุมไหนของโลก เขาจะต้องกลับมาที่นี่...เพื่อมาพบเขาคนนั้น
“นายเป็นคนดียิ่งกว่าฉันที่เป็นพี่ของหมอนั่นอีกนะ” จุนวางช่อดอกไม้ลงเหนือหลุมศพนั้นเบา ๆ
สายลมพัดผ่านเข้ามาในความเงียบงัน ต่างก็ปล่อยให้ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับสายลมนั้น...ความทรงจำที่พวกเขาทั้งสามมีร่วมกัน...
“ยังร้องไห้อยู่อีกเหรอ?” น้ำเสียงเอ่ยถามอ่อนโยน มือใหญ่หยาบเช็ดน้ำตาให้เบามือ “ผ่านไปหลายปีแล้วนะ”
“สำหรับฉัน...มันไม่ใช่...”
“ชิโนบุไม่อยู่แล้ว...คุเรฮะ”
คุเรฮะปิดเปลือกตาลง น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม
...นายไม่อยู่แล้วงั้นหรือ...
...
“สุงิฮาระคุง มานี่หน่อยสิ” อาจารย์ประจำชั้นเรียกเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน
“ครับ? มีอะไรเหรอครับ” สุงิฮาระ คุเรฮะเดินไปหาอย่างว่าง่าย
“เธออยู่แมนชั่นเดียวกันกับอิโนะอุเอะใช่มั้ย?”
อิโนะอุเอะ...อิโนะอุเอะ...เอ...ชื่อนี้มันคุ้น ๆ ...อ้อ...เพื่อนร่วมห้องนี่เอง แต่รู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยได้เจอหน้าหมอนั่นเท่าไรนะ...อยู่แมนชั่นเดียวกันงั้นหรือ
“เอ้อ...คงงั้นละครับ” คุเรฮะแบ่งรับแบ่งสู้...จะว่าไปเขานึกหน้าอิโนะอุเอะไม่ออกด้วยซ้ำ
“งั้น...ครูมีเรื่องจะไหว้วานเธอหน่อย” อาจารย์ประจำชั้นส่งเอกสารปึกใหญ่ให้เขา “คือว่าอิโนะอุเอะเขาไม่สบาย หยุดเรียนมาหลายเดือนแล้ว ครูเห็นเธอผลการเรียนดีแล้วก็อยู่แมนชั่นเดียวกับเขาด้วย ถ้าสะดวกก็อยากให้เธอเอาชีทนี่ไปให้เขาหน่อย แล้วถ้าช่วยติวให้ด้วยก็ดีนะ ใกล้จะสอบแล้ว”
“เอ้อ...อืม...ครับ ก็ได้” มันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนักหรอก ว่าแต่หมอนั่นเป็นคนแบบไหนกันนะ
“ขอบใจมากนะ ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ”
“ครับผม”
คุเรฮะเดินครุ่นคิดไปตลอดทางกลับบ้าน...อิโนะอุเอะ...คงจะร่างกายอ่อนแอสินะถึงได้หยุดเรียนไปนานขนาดนั้น ที่จริงดูเหมือนว่าเขาจะจำได้ราง ๆ นะว่าได้เห็นหมอนั่นเดินออกจากแมนชั่นพร้อม ๆ เขาเมื่อวันเปิดเทอม แต่ก็ไม่ได้สะดุดตาอะไร...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอยู่ห้องเดียวกัน
เด็กหนุ่มสอบถามจากผู้ดูแลแมนชั่นจนรู้ว่าห้องของอิโนะอุเอะอยู่ชั้นไหน เขาค่อย ๆ เดินไล่ไปตามชั้น 6 หาไปทีละห้องจนในที่สุดก็พบ มือเรียวยกขึ้นกดกริ่งที่หน้าประตู รออยู่ไม่นานนักก็มีเสียงตอบรับจากอินเตอร์โฟน
“ใครครับ?”
“สุงิฮาระครับ เพื่อนร่วมชั้นของอิโนะอุเอะ พอดีอาจารย์วานให้เอาชีทมาให้น่ะครับ” คุเรฮะตอบกลับไป
“สักครู่นะ”
ประตูห้องค่อย ๆ ขยับและเปิดออก คนที่ชะโงกหน้าออกมาดูคือเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุเรฮะ มีเรือนผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาที่ใสราวกับลูกแก้วจ้องมองมาที่เขา
“เอ้อ...เข้ามาก่อนสิ” เสียงเบา ๆ พูดอ้อมแอ้ม
“รบกวนด้วยนะ”
ร่างเพรียวเดินตามเข้าไปในห้องชุดสำหรับครอบครัวที่มีแปลนเหมือนกับห้องของครอบครัวเขาที่อยู่บนชั้น 8 แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากอิโนะอุเอะเพียงคนเดียว...คุณพ่อกับคุณแม่คงจะทำงานนอกบ้านสินะ...ในบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน
“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวจะไปชงชามาให้” อิโนะอุเอะชี้ไปที่โซฟาหน้าโทรทัศน์
“อะ...อื้อ”
คุเรฮะรออยู่ไม่นานนักผู้เป็นเจ้าของบ้านก็กลับมา เขามองตามร่างนั้นที่เดินออกมาจากในครัว...ร่างเพรียวที่ดูมีเนื้อหนังเต็มในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนป่วยหรือร่างกายอ่อนแอสักนิด...อิโนะอุเอะวางถ้วยชาให้ตรงหน้าแล้วนั่งลงที่โซฟาอีกตัว หลังจากนั้นก็เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด
“เอ้อ...อาจารย์บอกให้ฉันเอาชีทมาให้แล้วก็...ถ้าเผื่อว่านายต้องการน่ะนะ ฉันจะติวให้ด้วย ใกล้สอบแล้วอาจารย์กลัวนายเรียนไม่ทันน่ะ” คุเรฮะทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด
“อือ...รบกวนด้วยนะ” อิโนะอุเอะตอบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูเลื่อนลอยเหมือนกับไม่เห็นความสำคัญในสิ่งที่คุเรฮะเอ่ยมา ดวงตากลมคู่นั้นไม่ได้มองที่คู่สนทนาด้วยซ้ำ
คุเรฮะลอบถอนใจ ดูท่าจะรับมือได้ยากกว่าที่คิดนะเนี่ย
“นายไม่ถนัดวิชาไหน?”
“ไม่ถนัด...เลย”
คุเรฮะชักรู้สึกจี๊ด ๆ ขึ้นหัวตะหงิด ๆ ท่าทางเบลอ ๆ ของอิโนะอุเอะมันชวนโมโหน้อยอยู่เมื่อไร ไหนจะน้ำเสียงและวิธีการพูดอีกเล่า ทั้งที่ดูเฉยเมยเย็นชา...แต่ทำไมมันถึงได้กวนโมโหขนาดนี้
“เฮ้ย เอาแบบจริง ๆ น่ะ ฉันจริงจังนะ อิโนะอุเอะ” คุเรฮะพูดด้วยเสียงเข้ม
ดวงตาสีน้ำตาลใสเหลือบขึ้นมองเพื่อนร่วมชั้นอีกครั้งแล้วก็รีบหลบตาโดยเร็ว
“ฉัน...ก็พูดจริง ๆ เหมือนกัน” เสียงแผ่ว ๆ ตอบอ้อมแอ้ม “ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียน เลยไม่รู้เรื่องสักวิชา”
คุเรฮะนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง...ก็จริงอยู่ที่ว่าอิโนะอุเอะไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนเลย คงจะอ่อนทุกวิชาจริงอย่างที่ว่า...แต่นี่แสดงว่าหมอนี่มีปัญหาเรื่องการใช้คำและการสื่อสารมากกว่าสินะ...หรือเขากันแน่ที่มีปัญหา
“เอาละ เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าอ่อนวิชาอะไรที่สุด”
“ภาษาอังกฤษ”
“งั้น...มาเริ่มกันเลยมั้ย?”
“ไปในห้องดีกว่า หนังสือกับโต๊ะเล็กอยู่ในห้องน่ะ” อิโนะอุเอะบอกพลางลุกขึ้นยืน
คุเรฮะรู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านนิดหน่อยที่มาที่นี่ครั้งแรกก็จะเข้าไปจนถึงห้องนอนเลย แต่ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนเชิญเองก็คงไม่เป็นไรมั้ง
เขาเดินตามอิโนะอุเอะไปที่ห้องนอน ทันทีที่เพื่อนร่วมชั้นเปิดประตูห้อง เด็กหนุ่มก็ยืนตะลึงงัน
ห้องส่วนตัวของอิโนะอุเอะด้านหนึ่งกรุด้วยกระจกและมีประตูกระจกเปิดไปสู่ระเบียงข้างนอก ในห้องจึงสว่างไสวด้วยแสงแดดที่สาดเข้ามาเต็มที่ดูสดใสและปลอดโปร่ง แต่สิ่งที่ทำให้คุเรฮะต้องตกตะลึงไม่ใช่สิ่งนั้น หากเป็นเฟรมผ้าใบหลายสิบแผ่นที่วางระเกะระกะอยู่ในห้อง ทุกแผ่นแต่งแต้มด้วยสีสันสวยงาม เป็นภาพของทิวทัศน์ในสถานที่ต่าง ๆ ภาพของดอกไม้ต้นไม้ ภาพของสัตว์ และภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะปรากฏอยู่ในเฟรมหลายแผ่น ทุกภาพล้วนสดใสและให้ความรู้สึกอ่อนโยน...แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“นาย...อยู่ชมรมศิลปะเหรอ?”
“เคยอยู่...” อิโนะอุเอะตอบเบา ๆ พลางเก็บเฟรมที่วางไว้เกะกะตรงกลางห้องไปพิงผนังรวม ๆ กันไว้
“ภาพสีน้ำมันเหรอ?” คุเรฮะถามต่อไปอีก เขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะมากนักแต่ก็ชอบดูภาพเขียนแบบต่าง ๆ เหมือนกัน
“สีอะคริลิคน่ะ สีน้ำมันมันเหม็น ฉันไม่ชอบ” เจ้าของห้องกางโต๊ะพับออกตั้งใกล้ ๆ กับขาตั้งเฟรมที่ยังมีภาพวาดค้างเอาไว้ โต๊ะเขียนหนังสือของเขารกไปด้วยอะไรหลายอย่างที่วางสุมเอาไว้จนใช้งานไม่ได้ในตอนนี้ ”โทษทีนะ รกไปหน่อย”
“ช่างเถอะ ภาพของนายสวยดีนะ” คุเรฮะเอ่ยปากชมแล้วนั่งลงบนเบาะรองพื้นที่อิโนะอุเอะวางให้
คนถูกชมไม่พูดอะไรนอกจากหลบตา “เอ้อ...ฉัน...จะไปเอาชามาให้อีก”
“ไม่ต้องหรอก มาเริ่มกันดีกว่า เดี๋ยวฉันมีเรียนไวโอลินตอน 6 โมง”
“เรียนไวโอลินเหรอ? งั้น...เสียงไวโอลินที่ได้ยินทุกเย็นนั่นก็ สุงิฮาระเองหรอกเหรอ?” อิโนะอุเอะหันมามองหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เอ้อ...ก็...งั้นแหละ”
“ฉันชอบมากเลยนะ” ผู้เป็นเจ้าของห้องยิ้มบาง ๆ แล้วก็ไปหยิบหนังสือเรียนจากบนชั้น
คุเรฮะมองตามไปที่ชั้นหนังสือ บนนั้นมีหนังสือเกี่ยวกับภาพเขียนและศิลปินนักวาดภาพหลายเล่ม และทุกเล่มเป็นภาษาอังกฤษ
“ไหนนายว่าอ่อนภาษาอังกฤษไง แล้วหนังสือพวกนั้นมันอะไร?”
“อ๋อ พวกนี้น่ะเอาไว้ดูแต่รูป ไม่เคยอ่านหรอก เห็นสวยดี ถูกใจก็ซื้อมา อ๊ะ!” อิโนะอุเอะคว้ากรอบรูปที่หล่นลงมาจากชั้นไว้ไม่ทัน แต่ดีที่คุเรฮะระวังตัวอยู่แล้วจึงคว้าไว้ได้ก่อนที่มันจะตกลงพื้นและแตกกระจาย
“หือ...นี่นายเล่นเบสบอล?” ภาพถ่ายนั่นเป็นภาพของอิโนะอุเอะในเครื่องแบบนักเบสบอลกำลังวิ่งอย่างเต็มที่อยู่ในสนามแข่ง
“ก็ตอนประถมเท่านั้นแหละ” อิโนะอุเอะรับกรอบรูปนั้นไปวางไว้ที่เดิม
“เอ๊ะ...หรือว่า...รันเนอร์ชิโนบุ?”
อิโนะอุเอะเบิกตากว้างหันมามองหน้าคุเรฮะอย่างหลากใจ
“นายจำได้?”
“ก็...ไปนั่งเชียร์แทบทุกแมทช์เลย นายเป็นตัววิ่งใช่มั้ยล่ะ ฉันก็จำได้แต่ชื่อนั้นแหละ ไม่รู้หรอกว่านายชื่อสกุลว่าอะไร” คุเรฮะบอกยิ้ม ๆ
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะยังมีคนจำได้” อิโนะอุเอะนั่งลงตรงข้ามคุเรฮะ
-
“พอขึ้น ม. ต้น นายก็หายไปเลย ทำไมไม่เล่นเบสบอลต่อล่ะ?”
อดีตนักเบสบอลของโรงเรียนหรุบตามองโต๊ะ “ก็...มาวาดภาพแทนไงล่ะ มาเริ่มกันดีกว่า สุงิฮาระ เดี๋ยวนายจะไปเรียนไวโอลินไม่ทันนะ”
คุเรฮะไม่ทันสังเกตอาการตัดบทของอิโนะอุเอะ เขาเริ่มต้นติวให้เพื่อนร่วมห้องตั้งแต่ต้น อิโนะอุเอะไม่ได้หัวช้าเลย แม้จะดูเหม่อลอยไปหน่อยแต่เขาก็ทำความเข้าใจสิ่งที่คุเรฮะอธิบายได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากว่าได้ไปโรงเรียนทุกวันก็ไม่มีความจำเป็นต้องติวด้วยซ้ำ
คุเรฮะเอ่ยลาเมื่อได้เวลาสมควรพร้อมกับบอกว่าจะมาติวให้อีก
“ถ้ามีเวลานายก็อ่านหนังสือล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วกัน โอเคนะ อิโนะอุเอะ”
“นี่...สุงิฮาระ เรียกฉันว่าชิโนบุก็ได้” อิโนะอุเอะบอก “ฉันชอบชื่อนั้นมากกว่า”
“เอางั้นเหรอ...ก็ได้ งั้นนายจะเรียกฉันว่าคุเรฮะแบบคนอื่น ๆ ก็โอเคนะ”
“อื้ม” ผู้เป็นเจ้าของห้องยิ้มบาง ๆ แล้วก็อุทานออกมา “อ๊ะ จุน กลับมาแล้วเหรอ?”
ผู้ที่ชิโนบุทักคือชายหนุ่มร่างสูง ผมสีทองตัดสั้นและขยี้ยุ่ง ๆ ท่าทางเหมือนเด็กเกเร เป็นชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่อยู่ในภาพวาดของชิโนบุ
“กลับมาแล้ว ชิโนบุ” คนถูกเรียกว่าจุนทักตอบพลางเหลือบมองคุเรฮะ “เพื่อนเหรอ?”
“อือ สุงิฮาระคุงเรียนห้องเดียวกันน่ะ เขามาติวให้ คุเรฮะ นี่พี่ชายฉัน ชื่อจุน” ประโยคสุดท้ายหันมาบอกกับคุเรฮะ
“พี่ชาย? รุ่นพี่โอโนเสะเป็นพี่ชายนาย?”
“รู้จักจุนด้วยเหรอ?”
“ตอนเรียน ม. ต้น รุ่นพี่โอโนเสะเรียน ม. ปลาย ที่เดียวกันนี่นา” ในเมืองเล็ก ๆ นี้มีโรงเรียนอยู่แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่วันนี้คุเรฮะรู้สึกว่าโลกมันกลมเหลือเกิน...ชิโนบุเรียนประถมที่เดียวกับเขา ส่วนพี่ชายของชิโนบุเรียนมัธยมที่เดียวกัน...ว่าแต่...อิโนะอุเอะ...โอโนเสะ...แล้วเป็นพี่น้องกัน...?
ความสงสัยของคุเรฮะคงแสดงออกทางสีหน้า ชิโนบุจึงอธิบาย
“พ่อของจุนแต่งงานกับแม่ฉันเมื่อหลายปีก่อนน่ะ”
คุเรฮะพยักหน้ารับรู้
“ชิโนบุ เข้าบ้านได้แล้ว เดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกหรอก” คนถูกเรียกว่าจุนบอกน้องชาย
“อ๊ะ อื้อ...แล้วเจอกันนะ คุเรฮะ”
“อื้ม พรุ่งนี้นะ” แล้วก็หันไปพูดกับพี่ชายของเพื่อน “ไปก่อนนะครับ รุ่นพี่โอโนเสะ”
“จะเรียกจุนเหมือนที่เขาเรียก ๆ กันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ร่างสูงบอกพร้อมกับยิ้มนิด ๆ “แล้วเจอกัน”
…
คุเรฮะไปหาชิโนบุที่บ้านหลังเลิกเรียนทุกวัน นอกจากติวหนังสือให้แล้วทั้งสองก็พูดคุยอะไรกันจิปาถะ จนกระทั่งความสนิทสนมได้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ความสนิทสนมนั้นรวมไปถึงจุนด้วย พี่ชายของชิโนบุคนนั้นทำงานพิเศษหลายอย่าง บางทีก็ต้องกลับบ้านดึกดื่นจนต้องขอให้คุเรฮะมาอยู่เป็นเพื่อนชิโนบุ ทำให้มีหลายครั้งที่คุเรฮะหอบผ้าหอบผ่อนมานอนค้างด้วยหลังเลิกเรียนไวโอลิน และอีกหลายครั้งที่ถึงกับโดดเรียนไวโอลินตอนเย็น การได้อยู่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันมันสนุกกว่าอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่และอาจารย์สอนไวโอลินที่เคร่งขรึม
“โอ๊ย~ ถูกดุอีกแล้ว” คุเรฮะบ่นเมื่อเอาตัวมาขลุกอยู่ในห้องของชิโนบุในคืนวันหนึ่ง
“ก็คุเรฮะโดดเรียนนี่นา ก็โดนดุน่ะสิ” ชิโนบุว่าพลางป้ายสีลงไปบนเฟรมผ้าใบ
“แต่ฉันก็เล่นเพลงได้นี่นา ไม่เห็นต้องดุเลย” คุเรฮะยังโอดครวญพลางกลิ้งไปบนเตียง
“แต่ก็โดดเรียน และเพราะนายโดดเรียน ฉันเลยไม่ได้ฟังเพลงที่นายเล่นเลย”
คุเรฮะผุดลุกขึ้นนั่ง “ถ้านายอยากฟัง ฉันมาเล่นให้ฟังทุกวันก็ได้นะ”
“ไม่ต้องมาถึงนี่ฉันก็ได้ฟังทุกวันอยู่แล้ว...ถ้านายเข้าเรียนน่ะนะ” ชิโนบุพูดด้วยเสียงเรื่อย ๆ ตามนิสัย
“นี่นายสอนฉันเรอะ?”
“ดุตะหาก” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็หันมายิ้มให้ “ถ้าไม่ได้ฟังเพลงที่คุเรฮะเล่นแล้วมันวาดภาพไม่ออก รู้มั้ย เพราะงั้นนายต้องไปเข้าเรียนไวโอลินทุกวัน โอเค?”
“วาดภาพอะไร หือ? ถึงได้ต้องฟังเพลงน่ะ” คุเรฮะชะโงกหน้ามาดูภาพที่ชิโนบุกำลังวาดอยู่
“วาดภาพนายไง” ชิโนบุบอกยิ้ม ๆ พลางขยับให้คุเรฮะดูภาพชัด ๆ
คุเรฮะมองภาพตัวเองบนผืนผ้าใบแล้วนิ่งอึ้งไป เขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าถูกวาดภาพเอาไว้แล้ว
“วาดแต่ภาพของจุนมานาน คราวนี้ได้วาดภาพคนอื่นบ้างละ...เสียดายก็แต่ไม่ได้วาดภาพคุณพ่อกับคุณแม่ไว้...” หางเสียงแผ่วหายไปในลำคอ
พ่อกับแม่ของจุนและชิโนบุประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน เงินประกันชีวิตทำให้ทั้งคู่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายก็จริง แต่นั่นทำให้สภาพความเป็นครอบครัวแตกสลาย จุนกับชิโนบุไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันนอกจากทางกฎหมาย แต่ที่จุนไม่ยอมแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพังเพราะเป็นห่วงที่จะทิ้งน้องชายต่างสายเลือดไว้คนเดียว และเขาหางานพิเศษทำเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้เงินที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้มากนัก เก็บมันไว้เผื่อน้องชายที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
“ชิโนบุ เดี๋ยวฉันเล่นเพลงให้ฟัง” คุเรฮะดึงชิโนบุกลับจากห้วงความคิด “ขอเวลาไปเอาไวโอลินก่อน แป๊บนึง”
ว่าแล้วคุเรฮะก็ผลุนผลันออกไปจากห้อง ทิ้งให้ชิโนบุนั่งทำตาปริบ ๆ ...ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง อยู่กับคุเรฮะแล้วเขาไม่เคยเหงาเลยจริง ๆ
…
“นายมีความฝันมั้ย คุเรฮะ?” จู่ ๆ ชิโนบุก็ถามขึ้น
“หือม์...? ก็คงเรียนจบแล้วเล่นไวโอลินต่อไปมั้ง” คุเรฮะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ “ทำไมถามแปลก ๆ ?”
“ฉันฝันนะ...ว่าสักวันฉันจะมีนิทรรศการภาพวาดของตัวเอง” ชิโนบุหยุดมือที่กำลังป้ายพู่กันลง “และจะต้องเป็นภาพของจุนกับคุเรฮะเท่านั้น”
“อย่างงั้นเลย?”
“ฉันพูดจริงนะ ลองคิดดูสิ นิทรรศการที่มีแต่ภาพของคุเรฮะกับจุนเต็มไปทั้งหอศิลป์ แล้วคุเรฮะก็เล่นไวโอลินตอนเปิดงานไงล่ะ ส่วนจุนก็...ก็...จุนทำอะไรดี...คนอย่างจุนเนี่ย...” คิ้วเรียวขมวดมุ่นพยายามคิดอย่างเอาจริงเอาจัง
“คนอย่างฉันทำไมไม่ทราบ เจ้าบ้า” จุนยืนกอดอกกระดิกเท้าอยู่หน้าประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้
“ก็อย่างจุนน่ะ...มันไม่เหมาะกับนิทรรศการภาพวาดเลยนี่นา” ชิโนบุว่าเอาตรง ๆ “ไม่เป็นไร จุนก็ไปเดิน ๆ ในงานแทนยามละกัน”
“อันนั้นเหมาะมาก” คุเรฮะเสริม
“ใช่ม้า~ สุด ๆ เลย”
“ไม่อยากกินข้าวเย็นกันใช่มั้ย ไอ้เด็กบ้าสองคนนี้นี่” จุนยิ้มเหี้ยมเกรียม
“กิน!!” ทั้งสองประสานเสียงกันตอบ
“อยากกินก็ออกมาได้แล้ว ทำเสร็จแล้ว” ร่างสูงหันหลังให้ พลันก็รู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ที่ดึงชายเสื้อไว้
“จุน แต่ฉันอยากมีนิทรรศการของจุนกับคุเรฮะจริง ๆ นะ” เสียงเบา ๆ ที่ดังขึ้นทางเบื้องหลังมีแววอ้อน...ชิโนบุมักจะกลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจอยู่เสมอ ทั้งที่เขาไม่เคยโกรธอะไรเด็กคนนี้เลย
“รู้แล้ว นายพูดให้ฟังเป็นล้านรอบแล้ว เพียงแต่รอบหลัง ๆ มันมีชื่อคุเรฮะติดมาด้วยก็เท่านั้น” จุนหันไปลูบหัวผู้เป็นน้องชายเบา ๆ “ไปกินข้าวไป๊”
“เออ อาทิตย์หน้าจะมีงานโรงเรียน ไปด้วยกันมั้ย ชิโนบุ?” คุเรฮะถามขึ้นมาในวงข้าว
ชิโนบุลอบสบตาจุน...ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉาบไว้ด้วยแววกังวล จุนถอนใจเบา ๆ
“อยากไปเหรอ?”
“...อยาก...”
“แต่สภาพร่างกายนาย...”
“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่เป็นไรตั้งนานแล้วนะ จริง ๆ นะ จุน” ชิโนบุรีบพูดขึ้นก่อนที่จะถูกขัด
“จะว่าไปแล้ว ฉันไม่เคยเห็นว่าชิโนบุจะเป็นคนป่วยตรงไหนเลยนะ จุน” คุเรฮะเสริมมาอีกคน
“เห็นมั้ย ไม่เป็นไรหรอก” ชิโนบุพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
จุนมองหน้าผู้เป็นน้องชาย ดวงตาของชิโนบุเป็นประกายอย่างที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว ตั้งแต่คุเรฮะมาคลุกคลีอยู่ด้วยชิโนบุก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจนเขาก็รู้สึกดีไปด้วย
“โอเค...อยากไปก็ไป ระวังตัวด้วยล่ะ” จุนยอมในที่สุด
“เย้! รักจุนที่สุดเลย” ชิโนบุทิ้งตะเกียบแล้วกอดหมับเข้าให้
“ไม่ต้องมากอด กินข้าวไป โตแล้วนะเฟ้ย เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
…
อาการป่วยของชิโนบุเป็นเรื่องที่คุเรฮะไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในวันงานโรงเรียนทั้งสองเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งจบงาน ทั้งคู่เดินกลับบ้านด้วยกัน แล้วชิโนบุก็พูดขึ้น
“ฉันมีที่ที่อยากให้คุเรฮะเห็นหละ”
“หือ จะแวะเหรอ แต่ดูนายเหนื่อยแล้วนะ” คุเรฮะท้วง อาจเพราะชิโนบุแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลยจึงดูเหนื่อยอ่อนกว่าคนอื่น ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง” ชิโนบุชี้ขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ ๆ “ขึ้นไปบนนั้นน่ะ”
“เอ้า ก็ได้” คุเรฮะตกลงเพราะไม่อยากขัดใจคนที่นาน ๆ จะได้ออกจากบ้านเสียทีหนึ่ง
ทั้งคู่เดินตัดขึ้นเนินเขามาตามทางเดินที่ปูลาดด้วยหิน ริมทางเดินมีต้นซากุระปลูกไว้เรียงรายเป็นระยะแต่ในตอนนี้หมดหน้าซากุระแล้วจึงมีแต่ใบสีเขียวเต็มต้น อีกด้านหนึ่งของทางเดินเรียงรายไปด้วยสุสานน้อยใหญ่
“นึกว่าจะไปไหน...ที่แท้ก็ขึ้นมาบนสุสานเนี่ยนะ”
“กลัวเหรอ?” ชิโนบุหันมาถามยิ้ม ๆ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เกาะพราวทั้งใบหน้า “ไปตรงนั้นอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
คุเรฮะส่ายหน้าแล้วก็เดินตามชิโนบุไปจนถึงยอดเนิน เรื่องกลัวนั้นเขาไม่กลัวหรอกแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นที่สุสานนี่ด้วย
“ถึงแล้ว คุเรฮะ นี่ไง ที่ที่ฉันอยากอวด” ชิโนบุผายมือออกไปตรงหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง
คุเรฮะมองลงไปจากยอดเนินนั้นแล้วอ้าปากค้าง ทิวทัศน์ตรงหน้าคือเมืองของพวกเขาทั้งเมืองซึ่งตอนนี้ต้องแสงแดดยามเย็นของฤดูร้อนย้อมให้กลายเป็นสีส้มแดงสวยงามราวกับจมอยู่ในก้อนอำพัน สายลมพัดเฉื่อยฉ่ำกระทบกิ่งและใบของต้นซากุระให้ระบัดพลิ้วส่งเสียงซู่ซ่าเหมือนจะร้องเพลง ยอดหญ้าลู่เอนตามแรงลมนั้น ภาพเมืองตรงหน้าเป็นประกายระยับต่างจากที่เคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างสิ้นเชิง
“สวยมั้ย? สถานที่ลับของฉันเลยนะ” ชิโนบุหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า
“สวยมาก...นายรู้จักที่นี่ได้ยังไงน่ะ?” คุเรฮะนั่งลงข้าง ๆ สายตายังคงจับจ้องไปที่ภาพตรงหน้า
“สุสานของคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่นี่ คุณพ่อแท้ ๆ ของฉันก็ด้วย” ชิโนบุชี้ไปทางด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย “ตอนที่ขึ้นมาไหว้สุสานแล้วบังเอิญมองลงไปเห็นน่ะ ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลินะ ที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระเลยละ แถมไม่มีคนด้วยนะ ฉันยังวางแผนกับจุนเลยว่าจะมานั่งชมดอกไม้ที่นี่กันสักครั้ง”
“ผีหลอกกันพอดี” คุเรฮะแหย่
“โหย...ถ้าแบบนั้นจะได้ชมดอกไม้กันทั้งครอบครัวเลยไง ทั้งคุณพ่อฉัน คุณแม่ แล้วก็คุณพ่อของจุนด้วย แฮปปี้จะตายไป” ชิโนบุพูดแล้วก็หัวเราะคิก ๆ ก่อนจะหันไปไหว้สุสาน “ผมล้อเล่นนะฮะ”
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลับลงทางตะวันตกอย่างช้า ๆ ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีกเป็นเวลานาน ปล่อยให้อารมณ์ล่องลอยไปกับสายลมและดื่มด่ำกับความงามของภาพตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ
“ไม่ไปเรียนไวโอลินเหรอ คุเรฮะ?” ชิโนบุทำลายความเงียบขึ้น
“โดดแล้ว” คุเรฮะตอบง่าย ๆ ทั้งที่ตั้งแต่โดนดุคราวนั้นเขาก็ไม่เคยขาดเรียนอีกเลย “อยากดูวิวที่นี่มากกว่า”
“แต่เย็นมากแล้ว...กลับกันดีกว่า” ชิโนบุใช้มือยันพื้นตั้งท่าจะลุกขึ้นแล้วก็อุทานออกมา “อ๊ะ มีดอกไม้นี่ด้วย”
“ดอกอะไรเหรอ?” คุเรฮะก้มลงมือดอกไม้ตรงมือชิโนบุ มันเป็นดอกไม้เล็ก ๆ สีฟ้าอ่อนหวาน
“ไม่รู้จักเหรอ?” ชิโนบุย้อนถามแล้วก็ได้รับการส่ายหน้าแทนคำตอบ
“Forget me not…อย่าลืมฉัน”
รอยยิ้มบาง ๆ ที่กลับมาพร้อมคำตอบนั้นถูกอาบไล้ด้วยแสงสลัวของยามพลบค่ำ
...ช่างแสนงดงาม...และแสนเศร้า...
คุเรฮะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง...ทั้งที่ชิโนบุกำลังยิ้มอยู่แท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นช่างเศร้านัก...ราวกับว่าในวินาทีต่อมา คนตรงหน้าเขาจะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างนั้นแหละ
-
หากชิโนบุไม่ได้ร้องไห้ แต่พูดออกมาเบา ๆ
“คุเรฮะ...ฉันรักคุเรฮะ”
คุเรฮะไม่ได้ตกใจหรือประหลาดใจกับคำพูดนั้น...เขารู้...เพราะที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย...ทีละน้อย...แต่ละภาพที่ชิโนบุวาด แต่ละเพลงที่เขาบรรเลงเพื่อชิโนบุ แต่ละค่ำคืนที่หลับไหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แต่ละนาทีที่อยู่ใกล้ชิดกัน...ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากขึ้นทุกขณะ และแปรเปลี่ยนเป็น “ความรัก”
...หากเขาไม่เคยพูด และชิโนบุก็ไม่เคยพูด จนกระทั่งถึงตอนนี้ ณ สถานที่แห่งความลับของชิโนบุ ถ้อยคำที่เก็บซ่อนไว้ในหัวใจจึงได้ถูกถ่ายทอดออกมา
คุเรฮะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากบางค่อย ๆ แนบลงกับเรียวปากอิ่ม...นุ่มนวล...แผ่วเบา...และแสนอ่อนหวาน แม้จะเป็นรอยจูบเพียงผิวเผิน...หากลึกล้ำในความรู้สึก
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีแดงราวกับจะแผดเผาผืนฟ้า...ความรู้สึกของพวกเขาถูกประทับลงที่นี่
...
จากวันนั้น คุเรฮะพาชิโนบุไปไหนต่อไหนอยู่บ่อย ๆ ทั้งไปดูหนังที่ชอบ ไปกินขนมร้านอร่อย หรือไปเลือกซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนและหนังสือของชิโนบุ โดยเฉพาะเนินหญ้าท่ามกลางต้นซากุระ...คุเรฮะมักจะไปเล่นไวโอลินให้ชิโนบุฟังเสมอ
ช่วงเวลาแห่งความสุขล่วงเลยผ่านไป โดยไม่มีใครรู้สึกถึงลางร้ายที่คืบคลานใกล้เข้ามา
“ชิโนบุ กินข้าวได้แล้ว” จุนเรียกน้องชายเมื่อทำอาหารเย็นเสร็จ
“อื้อ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ชิโนบุตอบรับก่อนจะเสียบพู่กันลงในกระป๋องล้างสี เขากำลังวาดภาพคุเรฮะที่กำลังสีไวโอลินค้างไว้
เด็กหนุ่มมองดูผลงานของตัวเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ ไม่รู้ว่าภาพนี้เป็นภาพที่เท่าไรของคุเรฮะแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็วาดภาพของคุเรฮะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้มันคงจะมีจำนวนมากกว่าภาพของจุนที่เขาวาดมาตลอดชีวิตแล้ว
ชิโนบุยิ้มน้อย ๆ กับภาพบนขาตั้งเฟรมแล้วลุกจากเก้าอี้ แต่แล้วเขาก็รู้สึกราวกับสองขาของตนไม่ได้เหยียบยืนอยู่กับพื้น ราวกับก้าวลงไปในอากาศอันว่างเปล่า เด็กหนุ่มทรุดฮวบลงกับพื้นห้อง เขาก้มมองขาของตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ขาทั้งสองข้างสั่นระริกราวกับเป็นตะคริว...แล้วก็หยุดนิ่ง
ชิโนบุเบิกตากว้าง...เป็นไปไม่ได้...มันไม่น่าจะเร็วขนาดนี้...
“ชิโนบุ กินข้าว” จุนเคาะประตูห้องนอนของน้องชายเมื่อเห็นว่าชิโนบุเงียบหายไปนานผิดปกติหลังจากเสียงขานตอบเมื่อครู่
หากไม่มีเสียงตอบจากในห้อง ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปอย่างสงสัย
“ชิโนบุ?”
ร่างของผู้เป็นน้องชายนั่งนิ่งอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาตื่นตระหนก เสียงที่หลุดจากปากแหบเหือดและไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
“จุน...ฉันยืนไม่ได้...”
“ชิโนบุ!?”
…
“ชิโนบุน่ะ ป่วยมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว อยู่ ๆ ร่างกายก็เหมือนไม่ฟังคำสั่งจนในที่สุดต้องไปหาหมอ หมอบอกว่าโรคของชิโนบุเป็นอาการผิดปกติทางกรรมพันธุ์ที่จะทำให้กล้ามเนื้อค่อย ๆ ฝ่อไปทีละน้อย ทีละส่วน จนสุดท้ายก็จะเคลื่อนไหวไม่ได้อีกแบบเดียวกับคนเป็นอัมพาต มันยากเสียจนฉันไม่ค่อยเข้าใจ เพราะงั้น...แม้ว่าอาการจะยังไม่ปรากฏชัดนักแต่ฉันก็ไม่ไว้ใจให้หมอนั่นไปเป็นอะไรนอกบ้าน ก็เลยไม่ให้ไปโรงเรียนอีก ซึ่งหมอนั่นก็เข้าใจดี...ชิโนบุรู้จักร่างกายของตัวเองดีกว่าใคร อาการมือชาเท้าชาที่เป็น ๆ หาย ๆ ไม่ได้ทำให้ชิโนบุไว้วางใจเลย หมอนั่นก็เลยอยู่บ้านมาตลอด...จนกระทั่งนายมา...คุเรฮะ ชิโนบุอยากออกจากบ้านอีกครั้งเพราะมีนายอยู่ด้วย แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะ...” หางเสียงของจุนขาดหายไป เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วก้มหน้านิ่ง
คุเรฮะนิ่งเงียบ...ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...ชิโนบุเดินไม่ได้แล้ว...มันไม่จริงใช่ไหม ก็เมื่อไม่กี่วันมานี้พวกเขายัง...
“แล้ว...จากนี้ไป...”
“อาการก็คงลุกลามไปเรื่อย ๆ ...สุดท้าย...หมอบอกว่า...” จุนพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ในคอ เขาเคยรับรู้และพยายามทำใจมาตลอด แต่เมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจยอมรับความสูญเสียที่ใกล้เข้ามาได้ “...สุดท้าย ปอดจะหยุดทำงาน และหัวใจของชิโนบุจะหยุดเต้นไปเอง...ไม่มีทางเป็นอื่น”
เวลานั้นยังมาไม่ถึง แต่หัวใจสองดวงของคนที่กำลังนั่งคุยกันราวกับจะแหลกสลายลงเป็นผุยผงในนาทีนั้น คุเรฮะพยายามบังคับมือของตัวเองไม่ให้สั่น แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย
“ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”
จุนส่ายหน้าช้า ๆ “เราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ชิโนบุก็รู้ดีถึงได้ไม่เข้ารับการรักษา...เพื่อที่...จะได้เก็บเงินที่พ่อกับแม่เหลือไว้ให้...ให้ฉัน”
คุเรฮะไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้หรือเปล่า แต่เขาเห็นหยาดน้ำตาที่จุนพยายามซ่อนเอาไว้หยดลงบนโต๊ะ...น้ำตาของผู้ชายที่ผ่านการสูญเสียมาครั้งแล้วครั้งเล่า จุนไม่ยอมเรียนต่อทั้งที่สามารถเรียนได้เพื่อที่จะได้มีเวลามากพอที่จะดูแลน้องชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ไม่ยอมย้ายออกไปอยู่คนเดียวเพื่อจะได้อยู่เคียงข้างชิโนบุจนถึงที่สุด...ทั้งที่จะผลักภาระนี้ให้พ้นตัวก็ได้ แต่ก็ไม่ทำ...เพื่อที่ชิโนบุจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวในช่วงสุดท้ายของชีวิต
ร่างเพรียวก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย คนที่นอนอยู่บนเตียงละสายตาจากท้องฟ้าที่มองเห็นจากหน้าต่างหันมามอง ริมฝีปากอิ่มคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ แม้สีหน้าจะยังซีดเซียว แต่ชิโนบุทำใจได้เร็วเหลือเกิน
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ คุเรฮะ ฉันยังไม่เป็นอะไรเสียหน่อย แค่เดินไม่ได้เท่านั้นเอง ยังนั่งรถเข็นได้นะ” คนป่วยเสียอีกที่เป็นฝ่ายให้กำลังใจ
คุเรฮะเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง ยกมือข้างหนึ่งของคนรักขึ้นมากุมไว้แน่น จ้องมองชิโนบุด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
“ไม่ใช่ความผิดของคุเรฮะหรอกนะ สักวันมันต้องเกิดขึ้น...ฉันแค่ไม่ได้บอกคุเรฮะ เพราะฉันไม่อยากให้คุเรฮะเป็นกังวลเหมือนที่จุนเป็น” ชิโนบุพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ ตามนิสัยก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นอีก “นี่ไง ฉันยังขยับมือได้ ยังวาดรูปได้นะ...แล้วก็ยังฟังคุเรฮะเล่นไวโอลินได้ด้วย”
คุเรฮะทำได้แค่พยักหน้า
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับบ้านไปแล้ว ฉันจะไปวาดภาพของคุเรฮะต่อ ภาพของจุนด้วย พอมีภาพของทั้งสองคนเท่า ๆ กันแล้ว เราก็จัดนิทรรศการกันนะ ต้องรีบแล้วหละ ขืนช้ากว่านี้เดี๋ยวฉันกล่าวเปิดงานไม่ไหวกันพอดี”
“นาย...พูดมากจัง...”
“ก็ซ้อมไว้ เผื่อตอนกล่าวเปิดนิทรรศการไง” ชิโนบุพูดพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ
คำพูดของชิโนบุทำให้คุเรฮะอดหัวเราะด้วยไม่ได้...แม้จะเป็นการหัวเราะที่แสนขมขื่น...แต่ในเมื่อชิโนบุยังไม่ถอดใจ แล้วเรื่องอะไรเขาจะต้องยอมแพ้ด้วย
...
อาการของชิโนบุลุกลามไปอย่างช้า ๆ อย่างที่หมอบอก แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าตกใจเท่ากับอาการเฉียบพลันในตอนแรก ทำให้จุนและคุเรฮะค่อยวางใจ
ชิโนบุใช้เวลาทั้งวันบนเก้าอี้รถเข็นเพื่อวาดภาพของจุนและคุเรฮะตามที่บอกไว้ ภาพแล้วภาพเล่า...แต่ในระยะหลังนี้คุเรฮะแทบไม่มีเวลามาพบชิโนบุเลย เพราะเขาต้องซ้อมไวโอลินอย่างหนักเพื่อไปแข่งขันระดับนานาชาติ
“ฉันไม่อยากไปเลย ไอ้การแข่งขันนี่มันไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันเสียหน่อย มันสำคัญแค่กับพ่อแล้วก็อาจารย์เท่านั้นแหละ” คุเรฮะบ่นอย่างอารมณ์เสีย
“แต่คุเรฮะเคยบอกว่าอยากเป็นนักไวโอลินระดับโลกนี่นา นี่เป็นก้าวสำคัญนะ” ชิโนบุพูดพลางเกลี่ยสีบนผืนผ้าใบ
“แต่ฉันอยากอยู่กับนายมากกว่า”
“ก็อยู่ด้วยแล้วนี่ไง...เต็มเลย” ชิโนบุใช้พู่กันชี้กวาดไปรอบ ๆ ห้องที่มีภาพของคุเรฮะวางระเกะระกะเต็มไปหมด จนถึงตอนนี้ต้องมีบางภาพระเห็จออกไปอยู่ที่ห้องโถงบ้างแล้ว
“กี่ร้อยภาพแล้วเนี่ย?...” คุเรฮะพึมพำกับตัวเอง
“ยังไม่ถึงร้อยเสียหน่อย ภาพของจุนกับคุเรฮะรวมกันยังได้ไม่ถึงร้อยเลย”
“จะว่าไป...นายไม่เคยเอาฉันเป็นต้นแบบเลยนะ แล้ววาดได้ไง?”
“ก็...” ชิโนบุหันมามองหน้าคนรัก “ภาพของคุเรฮะน่ะมันอยู่ในหัวฉันอยู่แล้ว จะต้องใช้แบบไปทำไม”
“ขนาดนั้นเลย?” คุเรฮะลุกไปโอบกอดร่างบางที่นั่งอยู่บนรถเข็นจากทางด้านหลัง
“ขนาดนั้นแหละ...ทุกอย่างที่เป็นคุเรฮะ...ทุกอย่างที่เป็นจุน ฉันจำได้ทุกอย่าง เพราะทั้งสองคนเป็นคนที่สำคัญที่สุดของฉัน” เด็กหนุ่มเอนศีรษะพิงกับอกของคุเรฮะ “คุเรฮะจะแข่งเมื่อไหร่นะ?”
“อีกสามเดือน ที่ฝรั่งเศส”
“เหรอ งั้น...พอคุเรฮะกลับมาแล้วเราจัดนิทรรศการกันนะ” ชิโนบุบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง
“โอเค จะเอาเงินรางวัลมาเป็นสปอนเซอร์ใหญ่สำหรับจัดงานให้นะ”
“เอารางวัลที่หนึ่งเลยนะ”
“อื้ม”
...อีกสามเดือน...ยังมีเวลาเหลือพอไหม...เขาวาดภาพได้ช้าลงทุกที มือของเขาเริ่มไม่ยอมขยับตามที่เขาต้องการแล้ว มันจะเชื่อฟังเขาได้อีกนานแค่ไหน...จะวาดภาพของคุเรฮะได้อีกสักกี่ภาพ...
...
“การแข่งไวโอลินนี่กินเวลาแค่ไหนนะ?” จุนถามขึ้นในขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องของชิโนบุ เขาเลิกทำงานพิเศษทุกอย่างและคอยดูแลชิโนบุที่เริ่มช่วยตัวเองได้น้อยลงตลอดเวลา
“เห็นบอกว่าอาทิตย์นึงได้น่ะ” ชิโนบุตอบ เขาลากพู่กันไปบนภาพอย่างยากลำบาก
อาการป่วยลุกลามขึ้นมามากขึ้นทุกที มีเพียงจุนเท่านั้นที่รู้...ชิโนบุลุกขึ้นนั่งเองไม่ได้แล้ว และสองแขนก็อ่อนล้าลงทุกที หากเจ้าตัวยังฝืนทนลุกขึ้นมานั่งวาดภาพทุกวัน...ภาพของคุเรฮะภาพนี้ใช้เวลาวาดมากว่าสองอาทิตย์แล้ว...และมันยังไม่เสร็จ
“เหงาแย่เลยสิ ไม่มีเสียงไวโอลินให้ฟังเสียด้วย”
ชิโนบุเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า
“จุนต่างหากที่เหงาน่ะ”
จุนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ “ฉันเนี่ยนะ เหงา...คนที่เหงาเพราะคุเรฮะไม่อยู่น่ะมันนายต่างหาก ชิโนบุ”
“ไม่หรอก ฉันอยู่กับคุเรฮะมามากพอแล้ว ฉันไม่เหงาหรอก แต่จุนน่ะ...” ชิโนบุพูดต่อโดยไม่หันมามอง “จุนน่ะ...ก็รักคุเรฮะเหมือนกันใช่มั้ย?”
“ชิโนบุ!?”
“อย่าเถียงฉัน จุน...ฉันเห็นมาตลอดนะ สายตาของจุนที่มองคุเรฮะน่ะ...อยากอยู่ใกล้ให้มากกว่านี้ อยากพูดคุยด้วยมากกว่านี้ แต่เพราะมีฉันอยู่ใช่มั้ยล่ะ จุนถึงได้กันตัวเองไว้ห่าง ๆ “
“เรื่องนั้นมัน...”
“ฉันเพิ่งนึกออก คุเรฮะใช่มั้ยที่จุนเคยพูดให้ฟังเมื่อตอนเรียน ม. ปลายน่ะ ที่ว่ามีรุ่นน้องที่น่ารักคนหนึ่งเห็นแล้วก็อยากจีบแต่จีบไม่ได้เพราะดันเป็นผู้ชายน่ะ...ใช่หรือเปล่า ฉันเดาไม่ผิดใช่มั้ย?” น้ำเสียงของชิโนบุเหมือนจะมีเสียงหัวเราะน้อย ๆ แทรกมาด้วย เสียงนั้นดูมีความสุขกับความหลังที่ได้นึกถึง “ถ้าจุนซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองกว่านี้อีกนิดนะ จุนคงได้คุเรฮะเป็นแฟนแล้วหละ”
“หมอนั่นรักนายนะ ชิโนบุ”
“อื้อ ฉันรู้ ฉันเองก็รักคุเรฮะมากเหมือนกัน แต่ว่านะจุน...” เสียงของผู้เป็นน้องชายแผ่วลง “จากนี้ไป...ฉันอยากให้จุนซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วรักคุเรฮะให้ได้อย่างที่ฉันรัก ได้หรือเปล่า?”
“พูดอะไรของนายน่ะ นายก็รักเข้าไปเซ่ คุเรฮะเป็นของนายไม่ใช่หรือไง จะมายกให้ฉันทำบ้าอะไร” จุนวางหนังสือลงข้างตัว
“ถ้าจะมีใครที่ฉันไว้ใจอยากยกคุเรฮะให้...คนคนนั้นก็มีแต่จุนเท่านั้นแหละ เพราะฉันรู้ว่าจุนสามารถรักคุเรฮะได้มากเท่าที่ฉันรัก...หรืออาจจะมากกว่าที่ฉันรัก ใช่มั้ย”
“อย่ามาพูดอะไรพิลึก ๆ แบบนี้นะ ชิโนบุ” จุนพูดด้วยเสียงเข้ม ๆ
“ในตอนที่ฉันไม่อยู่แล้ว...จุนจะดูแลคุเรฮะให้ใช่มั้ย...”
“ชิโนบุ...?”
“...ในตอนที่ฉันไม่อยู่แล้ว...”
-
น้ำเสียงสั่นพร่า พู่กันพลัดหลุดจากมือพร้อมหยาดน้ำตา ชิโนบุได้ยินเสียงผู้เป็นพี่ชายร้องเรียก อ้อมแขนแกร่งประคองร่างของเขาไว้ แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว...แขนของเขาไม่เคลื่อนไหว...นิ้วของเขาไม่ขยับ ร่างกายของเขาไม่ฟังคำสั่งอีกแล้ว...ขอเวลาอีกนิดไม่ได้หรือ คุเรฮะยังไม่กลับมาเลย...พวกเขายังไม่ได้จัดนิทรรศการด้วยกันเลย...เขายังวาดภาพของคุเรฮะไม่เสร็จเลย
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ใสราวกับลูกแก้วเอ่อท้นด้วยหยดน้ำใส ๆ ที่ค่อย ๆ ไหลรินลงอาบแก้ม...ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังภาพที่วาดค้างไว้บนเฟรม...รอยยิ้มของคุเรฮะ...รอยยิ้มที่ไม่ต้องมีต้นแบบก็ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาเสมออยู่แล้ว...แต่ตอนนี้...เขาอยากเห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง รอยยิ้มของคุเรฮะตัวจริง...ไม่ใช่จากภาพบนเฟรม...
...
เสียงโทรศัพท์ที่ปลายสายดังขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีคนรับสายจนคนโทรชักหงุดหงิด จนเมื่อคิดจะวางสายก็พอดีมีเสียงตอบกลับมา
“โมชิโมชิ...”
“ชิโนบุ! ฉันทำได้แล้วนะ ฉันชนะการแข่งขันแล้ว!” คุเรฮะพูดกรอกลงไปในหูโทรศัพท์ด้วยความยินดี หากปลายสายเงียบงันไป “...ชิโนบุ?”
“คุเรฮะ...”
“เอ๊ะ...จุนเหรอ?” เสียงจากปลายสายดูแปลกไปจนคุเรฮะเอะใจ “จุน เกิดอะไรขึ้น?”
“ชิโนบุน่ะ...”
คุเรฮะปล่อยหูโทรศัพท์หลุดมือหลังจากได้รับข่าวร้าย...เขาต้องกลับไป...เดี๋ยวนี้!
...
“มันเร็วเหลือเกิน...ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้” ร่างสูงเปิดประตูห้องผู้ป่วยพิเศษให้ร่างเพรียวก้าวเข้าไป คุเรฮะเพิ่งบินกลับจากฝรั่งเศสมาถึงเดี๋ยวนี้เอง
นักดนตรีหนุ่มก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง ใบหน้าเรียวซีดเผือดราวกับคนไร้ชีวิต...ร่างของผู้เป็นที่รักนอนนิ่งอยู่บนเตียง มีเครื่องช่วยหายใจและสายอะไรต่อมิอะไรเชื่อมต่อระโยงระยาง...ทั้งหมดมีไว้เพื่อยื้อชีวิตของชิโนบุ เขาทรุดตัวลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเอื้อมมือไปกุมมือผอมซูบที่วางอยู่ข้างตัวเบา ๆ...มือนั้นยังมีสีที่ใช้วาดรูปติดอยู่เลย...มันผอมลงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
ดวงตาของร่างที่นอนอยู่ปรอยปรือขึ้นอย่างล้าแรง ค่อย ๆ กรอกไปจับจ้องคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงช้า ๆ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม...รอยยิ้มนั้นสดใสเหมือนท้องฟ้ากลางฤดูร้อนที่อยู่นอกหน้าต่าง...หากอ่อนล้าเหลือเกิน...ชิโนบุพยายามขยับริมฝีปากเพื่อจะเอ่ยอะไรบางอย่าง มันสั่นระริก...หากไม่มีเสียงใด ๆ ลอดออกมา
...เหลือเวลาอีกเท่าไร...ก่อนหัวใจจะหยุดเต้น...
ชิโนบุพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไร้ผล...เขาอยากเรียกชื่อของผู้เป็นที่รักอีกสักครั้ง อยากบอกให้ยิ้มให้เขา...อยากบอกว่าอย่าร้องไห้เพื่อเขาเลย...เขาจะหลุดพ้นจากความทรมานนี้ในอีกไม่ช้าแล้ว
“พอแล้ว...ชิโนบุ...ไม่ต้องพยายามแล้ว...ฉันเข้าใจ...” หยาดน้ำตาหยดลงบนหลังมือที่ยกขึ้นมากุมไว้แน่น
ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน...ชิโนบุไม่รู้ว่าเพราะน้ำตาหรือเพราะดวงตาของเขากำลังอ่อนแรงลงทุกที...อย่าเพิ่งเป็นตอนนี้เลย เขายังอยากเห็นหน้าของคุเรฮะให้นานกว่านี้อีกนิด...จุนที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่นก็ด้วย...เขาอยากเห็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาทั้งสองคนให้นานกว่านี้อีกนิด เพื่อที่ภาพของทั้งสองจะได้ติดไปในความทรงจำแม้ในยามที่เขาได้พ้นไปจากร่างนี้แล้ว
ริมฝีปากขมุบขมิบเบา ๆ หากไม่มีเสียง...เขาทำได้เท่านี้เอง...ทำได้แค่เรียกชื่อของผู้เป็นที่รักอยู่ในใจ
...จุน...คุเรฮะ...
...คุเรฮะ...
มือหยาบใหญ่ของผู้เป็นพี่ชายลูบลงบนผมนิ่มแผ่วเบา มือนั้นยังอบอุ่นเสมอแม้ในตอนนี้...มันสั่นน้อย ๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่อาจควบคุมได้...เป็นแรงสะท้านจากความสูญเสียที่คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะจิต
“ไม่ต้องห่วง...ชิโนบุ...ฉันจะรักหมอนี่ให้ได้...มากกว่าที่นายรัก”
เสียงของพี่ชายราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล...เขารู้ว่าพี่ชายจะไม่มีวันผิดสัญญา...
...ยิ้มให้ฉันหน่อย...คุเรฮะ...
...อย่าลืมฉันนะ...
...คุเรฮะ...
“ชิโนบุ...ฉันรักนาย รักนายมากที่สุด...ฉันอยากอยู่กับนายมากกว่านี้...” เสียงสั่นพร่าปนมากับเสียงสะอื้น “ถ้าย้อนเวลากลับได้...ฉันอยากอยู่ข้าง ๆ นายมากกว่า...มากกว่าจะไปไล่คว้าความฝัน...นายสำคัญยิ่งกว่าความฝันไหน ๆ...ฉันรักนาย...ได้ยินหรือเปล่า...ฉันรักนาย”
ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม...หากภาพตรงหน้ามืดมัวเหลือเกิน...คุเรฮะกำลังยิ้มใช่ไหม...ในที่สุดก็ไม่ร้องไห้แล้วใช่ไหม...เสียงของคุเรฮะราวกับจะห่างไกลออกไปอีก แต่เขาได้ยินชัดเจน...
“ฉันรักนาย”
ชิโนบุระบายลมหายใจยาว ดวงตาสีน้ำตาลที่ใสเหมือนลูกแก้วค่อย ๆ ปิดพริ้มลง
...เขาไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...
...
สิบกว่าปีผ่านไปแล้ว คุเรฮะประสบความสำเร็จในชีวิตในฐานะนักดนตรีและนักแต่งเพลงระดับโลกด้วยวัยไม่ถึงสามสิบปี เป็นความสำเร็จที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้...หากความสูญเสียในครั้งนั้นกลายเป็นช่องว่างที่ไม่มีวันถมได้เต็ม...ไม่มีใครมาแทนที่ชิโนบุได้
“นายหายตัวไปตั้งแต่วันนั้น แต่ฉันก็รู้ว่านายมาที่นี่ทุกปี...แต่ไม่เคยได้เจอนายเลย” จุนพูดเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนผู้ที่หลับไหลอยู่ ณ ที่นั้น
“ไม่เจอ...ก็ดีแล้ว” คุเรฮะตอบพลางเช็ดน้ำตา
หลังจากสูญเสียชิโนบุไป คุเรฮะเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่พักใหญ่ พ่อกับแม่ต้องพาเขาย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพื่อให้พ้นจากสภาพแวดล้อมที่จะทำให้คิดถึงชิโนบุ...ก่อนที่ความเสียใจนั้นจะทำลายเขาตามไปด้วย แม้กระนั้นเขาก็เข้าออกโรงพยาบาลจิตเวชเพื่อรักษาตัวอยู่เป็นเวลานาน ถึงตอนนี้เขาจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงความหลังที่มีร่วมกันแล้ว...หัวใจก็ราวกับเสียศูนย์
เขาสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ไม่เปิดรับใครเข้ามาในชีวิต ขีดเส้นแบ่งโลกส่วนตัวไม่ให้ใครเข้ามาล่วงล้ำ...ไม่เปิดหัวใจให้ใครอีกเลย...ไม่อาจกลับไปเป็นคุเรฮะคนเดิมได้อีก
แม้จะกลับมาที่นี่ทุกปี แต่ก็ไม่เคยกลับไปยังที่ที่มีความทรงจำที่เขามีร่วมกับชิโนบุ...เขาไม่มีความกล้าพอ
ไม่กล้า...แม้แต่จะไปเจอหน้าจุน...ผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีความทรงจำร่วมกับเขา
“ถ้าตอนนั้นฉันไม่ไปแข่งไวโอลิน...ถ้าฉันอยู่ด้วย...” คุเรฮะพึมพำขึ้นเบา ๆ
“เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ คุเรฮะ...ชิโนบุไม่อยู่แล้ว นี่คือความจริง”
“แต่...”
“นายหนีความจริงมาตลอดสิบกว่าปีมานี้...จนลืมสัญญาที่ให้ไว้กับชิโนบุ”
“สัญญา...?”
“ลืมแล้วจริง ๆ เหรอ คุเรฮะ?” จุนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ออกมายื่นให้คุเรฮะ
มือเรียวรับมันมาพลิกเปิดไปทีละหน้าอย่างช้า ๆ ...บันทึกของชิโนบุ...
น้ำตาหลั่งรินลงมาอีกครั้ง...ไม่มีตรงไหนเลยที่ชิโนบุเขียนถึงความทรมานจากความเจ็บป่วยเอาไว้ ทุกหน้าทุกตอนมีเพียงความทรงจำที่แสนสุข แม้ลายมือที่เขียนจะอ่านยากเพราะชิโนบุได้พยายามบังคับมือของตัวเองอย่างเต็มที่ให้มันไม่สั่น
“คุเรฮะตกลงว่าจะจัดนิทรรศการกับฉันหลังจากกลับจากฝรั่งเศสแล้ว ไม่ต้องชนะกลับมาก็ได้ เงินน่ะมีเหลือเฟือแล้ว ขอแค่คุเรฮะกลับมาช่วยจัดงานก็พอ ฉันอยากอวดคนรักของฉันให้ทุกคนรู้จัก”
...นี่สินะ สัญญา...
ในหน้าสุดท้าย มีข้อความสั้น ๆ เพียงไม่กี่บรรทัดที่ชิโนบุได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเขียนมัน
“หลักฐานของการมีชีวิตอยู่ของฉัน...คือความรักครั้งนี้”
“ฉันรักคุเรฮะนะ”
คุเรฮะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร...เขาทำอะไรไม่ได้เลย เขารักษาสัญญาไว้ไม่ได้ ไม่สามารถปกป้องสิ่งมีค่าใด ๆ ในชีวิตไว้ได้เลย...ทั้งที่รักมากถึงขนาดนี้...แต่เขากลับเอาแต่ฝังตัวเองไว้ในความเศร้าจนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง...ทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรเพื่อชิโนบุเลย
จุนโอบร่างเพรียวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไว้แนบอก ลูบผมเบา ๆ เหมือนที่เคยทำให้น้องชายตัวน้อย
“อย่าร้องไห้อีกเลย นายร้องมามากพอแล้ว...เรามาทำตามสัญญาของนายดีกว่ามั้ย?”
“...จัด...นิทรรศการน่ะเหรอ?”
“ใช่ ฉันหาแกลเลอรี่เอาไว้แล้ว หาไว้นานแล้ว แต่ขาดสปอนเซอร์รายใหญ่เพราะหาตัวไม่เจอ”
“หมายถึงฉัน...?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง
“แน่หละ ฉันจะจัดนิทรรศการของชิโนบุได้ยังไงในเมื่อไม่มีนาย จะตอบคนดูได้ยังไงว่าคนในภาพอีกครึ่งนึงของนิทรรศการเป็นใคร ในเมื่อนายไม่อยู่น่ะ” มือใหญ่เกลี่ยปอยผมที่ระลงมาบนใบหน้าและเช็ดน้ำตาให้ ”ฉันทำตามสัญญาของฉันได้แล้ว เหลือแต่สัญญาของนายนั่นแหละ”
“สัญญาของจุน...อะไรเหรอ?” มันไม่ได้มีแต่เรื่องนิทรรศการหรือไง
“สัญญาส่วนตัวของฉันกับชิโนบุ ว่าจะรักนายให้ได้มากกว่าที่ชิโนบุเคยรัก”
คุเรฮะนิ่งอึ้งไป...นี่มันหน้าหลุมศพของชิโนบุนะ...เรื่องแบบนี้...
“ฉันทำสำเร็จแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรักนายอยู่ ใช้เวลาที่จะรักนายนานกว่าที่ชิโนบุเคยรักตั้งหลายเท่า...อ๊ะ ไม่ต้องตอบอะไรก็ได้ ในสัญญาไม่ได้บอกว่านายจะต้องรักฉันตอบ” จุนใช้นิ้วแตะริมฝีปากบางเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะเอ่ยปากพูด “นายไม่จำเป็นต้องรักฉัน แต่จากนี้ไปขอให้ฉันทำสัญญาให้สมบูรณ์เสียทีได้มั้ย...ฉันยังต้องดูแลนายไปตลอดชีวิตอีกอย่างนึง...ให้ฉันอยู่กับนายได้มั้ย?”
ท่ามกลางกลีบซากุระที่โปรยปราย ไม่มีคำตอบให้กับคำถามสุดท้ายนั้น นอกจากน้ำตาที่ไหลรินและอ้อมกอดที่กระชับแน่น
สายลมพัดผ่านยอดหญ้าให้เอนไหว เกิดเป็นสำเนียงราวกับเสียงกระซิบเมื่อวันนั้นได้หวนคืนมา
“คุเรฮะ...ฉันรักคุเรฮะ”
...
เดินข้ามผ่านท้องฟ้าสีครามกับเนินเขา ตอนนี้ยังคงมองเห็นบ้านเกิดของเธอ
เธอผู้ไร้เดียงสาเมื่อสมัยที่วิ่งอย่างร่าเริงกลางทุ่งหญ้าไม่อยู่แล้วหรือ
เธอผู้แสนมีค่าที่เคยเกาะกุมมือกันไว้ไม่อยู่แล้วหรือ
เธอผู้ซึ่งไม่เคยเอ่ยถึงความเหงาไม่ว่าเวลาใดไม่อยู่แล้วหรือ
จะเอ่ยคำพูดใดได้
สิ่งมีค่าใดๆ ที่คงอยู่
จะไม่ปล่อยให้หายไป ตราบเท่าที่ยังหายใจ
แม้ในตอนนี้ก็ไม่อาจปกป้องใครได้เลยหรือ
อยากอยู่ด้วยกันบนแผ่นดินนี้ มากกว่าใช้ชีวิตไปเพื่อไขว่คว้าฝัน
กลางสายลมที่สดใส อยากพบเธอเหลือเกิน
ปรารถนาจะเดินไปด้วยกันบนถนนแห่งความเป็นจริง
เพื่อจะได้ไม่เสียใจกับฤดูใบไม้ผลิที่ไม่เคยหวนมา จะไม่ละทิ้งเรื่องราวของตัวเองไปไช่ไหม
อยากมุ่งตรงกลับไปสู่ช่วงเวลานั้น เธอไม่อยู่แล้วหรือ
เธอไม่อยู่แล้วหรือ
คนคนนั้น เธอคนนั้น
เธอที่แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ยังเชื่อมั่น ไม่อยู่แล้วหรือ
เธอที่แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ยังรัก ไม่อยู่แล้วหรือ
ไม่มีเธออยู่แล้วหรือ
Kimi wa inai ka
TOSHI : X JAPAN
...
ได้ไอเดียมาจากเพลงนี้น่ะครับ
แด่ทุกความรักบนโลกนี้ครับ
-
น้ำตาตกในหัวใจ :impress3:
-
อยากบอกว่าคนเขียนเก่งมากเลยค่ะ
ติดตามอ่านมาทุกเรื่องและชอบทุกเรื่อง
แต่เรื่องแนวนี้กลับไม่ค่อยจะมีใครสนใจเท่าไหร่
ทีเรื่องน้ำเน่าหวานเลี่ยนจนจะอ้วกแถมพล็อตก็ซ้ำๆเดิมๆ
กลับมีคนอ่านเยอะมาก---ตลกดีนะคะ
ยังไงก็ต้องขอบคุณคนเขียนนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
+ เป็ดแรกค่ะ
:L1:
-
ไม่นึกว่าจะต้องมาอ่านนิยาแกล้มน้ำตา :monkeysad:หลังวันวาเลนไทน์
เป็นเรื่องสั้นที่เนื้อหากระชับลงตัวมากจ้ะ
เป็นการใช้ภาษาง่ายๆ แต่ให้จินตภาพแจ่มชัดและสะเทือนอารมณ์สุดเลย
ต้องให้ทั้งเป็ดและ+กับคนเขียนแล้วล่ะ
:m12:ยกนิ้วให้ด้วย
-
เจ๋งอ่ะ แอร๊ๆๆๆๆๆ
เขียนได้ดีมากเลย ชอบจังอ่ะครับ
เศร้ามาก ความรู้สึกเนื้อเรื่องมันบีบรัดหัวใจมาก
บรรยากาศหนาวๆ เศร้าๆ เย็นๆ จนสัมผัสได้เลยน่ะ
สู้ๆ นะครับ
-
ยังไงๆ ก็ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกนะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีรักครั้งใหม่ไม่ได้ เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
รักแรกที่งดงามแม้ต้องตายจากกัน แต่เก็บไว้เป็นความทรงจำได้ไม่มีวันตาย
-
It's just....another form of love.
No one understsnd but people who are.
โรคเดียวกับเรื่อง บันทึกน้ำตา๑ลิตรเลย สิ่งที่น่าสงสาร(หรืออาจเป็นความโชคดี)ของคนป่วยโลกนี้ คือ แม้ร่างกายจะเสื่อมถอย แต่สมองรับรู้ทุกอย่าง ความสุ เศร้า เหงา การเปลี่ยนแปลง มิตรภาพ ความดี ความชั่ว สิ่งสวยงาม รับรู้หมด แต่ร่างกายนะนับถอยหลังตามนาฬิกาทรายเลย
เรื่องนี้ก็แปลกดีนะ เราอ่านแล้ว เรารู้สึกถึง สี แสง ความสวยงามของบรรยากาศเป็นฉากๆเลย ห้องของชิโนบุน่ะ สวยมาก แต่ฉากที่เห็นเมืองน่ะ สวยกว่า
สงสัยเราจะคอเดียวกัน...เนอะ
-
เรื่องนี้ก็แปลกดีนะ เราอ่านแล้ว เรารู้สึกถึง สี แสง ความสวยงามของบรรยากาศเป็นฉากๆเลย ห้องของชิโนบุน่ะ สวยมาก แต่ฉากที่เห็นเมืองน่ะ สวยกว่า
สงสัยเราจะคอเดียวกัน...เนอะ
ดีใจที่คุณจิกิเห็นแบบนั้นครับ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ผมตั้งใจเขียนให้เห็นภาพอย่างนั้นเลย
มาสเตอร์พีซของเรื่องสั้นของผมเลยละครับ
-
:m15: เศร้าใจ
-
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
ชอบหมดทุกอย่างเลย
ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
น้ำตาท่วมจอ
:sad4:
-
ผลงานของคุณ KOKURO มีแต่เรื่องเศร้าๆ เป็นส่วนมากนะฮับ
แต่ถึงจะเศร้ายังไงผมก็ชอบ
:mew4:
-
ชอบค่ะ น้ำตาไหลกันเลยทีเดียว :mew6: