พิมพ์หน้านี้ - แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: llมว_น้oe ที่ 29-06-2020 19:34:24

หัวข้อ: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 29-06-2020 19:34:24
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************





      เพราะถูกคนรักฆ่าตายอย่างเลือดเย็น ทำให้วิญญาณที่ลอยออกจากร่างได้พบกับใครอีกคนที่มีชะตาไม่ต่างกัน การแลกเปลี่ยนครั้งสำคัญจึงได้เกิดขึ้น







   เซี่ยอี้เจิน ถูกคนรักวางยาพิษตายเพราะเธอรักน้องชายของเขา วิญญาณจึงหลุดลอยออกจากร่างมาพบกับ เมิ่งอวิ๋น ผู้ชายจากอีกยุคที่เจ็บปวดทรมานจากการถูกคนที่รักสังหารให้ตายอย่างเลือดเย็น

   การแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งสองจึงได้เกิดขึ้น!

   

   

   

   “เจ้าช่วยไปใช้ชีวิตแทนข้าได้หรือไม่”

   “ครับ? คุณหมายถึงอะไร?”

   “ข้าจะขอแลกกับเจ้า เมื่อเจ้าไม่ปรารถนาจะกลับไป เช่นนั้นก็ไปอยู่แทนที่ข้า ข้าเองก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปในที่ของข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปอยู่ในที่ของเจ้าแทน”

   “เราแลกชีวิตกันได้หรือไม่ เซี่ยอี้เจิน”


   

   

   

   สำคัญมาก

   นิยายเรื่องนี้จะมีด้วยกันสองภาคค่ะ ภาคแรกเป็นของเมิ่งอวิ๋น ภาคที่สองจะเป็นของเซี่ยอี้เจิน ซึ่งภาคแรกนั้นจะเป็นจีนโบราณ ส่วนเนื้อหาของภาคเซี่ยอี้เจินจะเป็นยุคปัจจุบันจ้า แมวจะแยกสองคนนี้ออกเป็นภาคของตัวเอง แต่จะเปิดเรื่องเอาไว้ก่อนนะคะ เสร็จเมื่อไร แมวจะมาลงให้ได้อ่านกันทันทีเลยจ้าาา

   

   

   ***นิยายเรื่องนี้อัพทุกๆวันจันทร์นะคะ***

   

   

   โปรดทราบๆ แมวไม่สันทัดกับจีนโบราณมากนัก อาจมีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนก็ขอให้ทุกท่านโปรดอภัยให้นักเขียนตัวน้อย ๆ คนนี้ด้วยนะคะ


     
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) // Up. 29/06/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-06-2020 19:40:08
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น อรัมภบท (Up.29/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 29-06-2020 19:57:15
[0]

อรัมภบท…

ท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เบ่งบาน เซี่ยอี้เจิน ที่เกิดความอึดอัดในช่วงอกจนต้องยกมือขึ้นมากุมมันเอาไว้ โลหิตสีแดงสดล้นทะลักออกมาทีละน้อยทางริมฝีปากจนตอนนี้มันถูกย้อมไปด้วยสีแดง เซี่ยอี้เจินไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาพบจุดจบอันแสนเลวร้ายเช่นนี้ ใครจะไปนึกว่าคนที่รักสุดหัวใจจะกล้าลงมือวางยาให้เขาตายตกไปอย่างไม่นึกสงสาร

เซี่ยอี้เจินมองสบตากลมโตที่ไร้วี่แววการสำนึกผิดใดๆ อย่างผิดหวังและเสียใจ มือที่กุมอกเอาไว้ในตอนนี้อยากจะทุบลงไปที่ตำแหน่งหัวใจแรงๆ ให้มันได้สาสมกับความโง่งมที่เกิดขึ้น

“ทะ ทำ…ไม” อันซูเหม่ยมองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนอย่างรังเกียจ ริมฝีปากกระตุกยิ้มเย้ยหยันกับความโง่ของผู้ชายตรงหน้าของเธอเอง ผู้ชายที่เธอต้องจำใจทนกับสถานะคนรักทั้งที่ไม่เคยอยากจะเป็น

“เซี่ยอี้เจินนะเซี่ยอี้เจิน นายคิดจริงๆ หรือว่าฉันจะรักนาย?” เลือดสดๆ ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากของเซี่ยอี้เเหลือเกินนเมื่อได้ยินคำถามนั้น หัวใจที่ทรมานจากพิษยังต้องมารับฟังตำพูดที่แสนเจ็บปวดพวกนี้ด้วยหรือ เขาเพียงอยากจะรู้เหตุผลเท่านั้น ทั้งที่เขาให้เธอทุกอย่าง ทำดีกับเธอทุกๆ อย่าง

แล้วเพราะอะไรล่ะ อะไรที่ทำให้ผู้หญิงที่เขารัก ลงมือฆ่าเขาได้อย่างเลือดเย็น

“จะบอกอะไรให้รู้เอาไว้นะ ว่าคนที่ฉันรักไม่ใช่นาย แต่เป็นเซี่ยเฟิงต่างหาก!” มือบางออกแรงผลักร่างของเซี่ยอี้เจินจนล้มลงไปกับพื้น สายตามองเหยียดอย่างนึกรังเกียจไม่หาย เธอมองมือที่ใช้สัมผัสร่างของเซี่ยอี้เจินก่อนจะเช็ดมันกับผ้าที่อยู่ใกล้มือที่สุดต่อหน้าต่อตาของเซี่ยอี้เจิน

ความร้อนแล่นผ่านกระบอกตา นึกอิจฉาน้องชายของตนเองที่ได้หัวใจของอันซูเหม่ยไปครอบครองถึงขนาดที่ยอมทำร้ายเขา ลงมือฆ่าเขาให้ตายเพื่อน้องชายของเขา เซี่ยอี้เจินกระอักเลือดออกมาไม่หยุด รู้สึกได้ถึงอากาศที่ใกล้จะหมดลงไปเต็มที

“ถ้าเธอ ระ รักอาเฟิง อึก! ทะ ทำไมต้องมา คะ คบกับฉัน ดะ ด้วย” เซี่ยอี้เจินพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ หากวันนี้จะต้องตายไปก็ไม่ขอติดค้างสิ่งใดให้ต้องพานพบกันอีก ซูเหม่ยโบกมือไปมาเพื่อดับความร้อนด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ไม่สนใจร่างที่ใกล้จะตายของเซี่ยอี้เจินสักนิด

“ใครใช้ให้นายเป็นทายาทแห่งสกุลเซี่ยกันล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะอาเจิน ฉันกับอาเฟิงจะดูทุกอย่างแทนนายเอง”

“…” อันซูเหม่ยขยับยิ้มออกมาส่งให้กับเซี่ยอี้เจินอย่างสดใส พร้อมกับถ้อยคำที่บาดหัวใจของเซี่ยอี้เจินจนแทบจะขาดใจตายลงไปเดี๋ยวนั้น

“เพราะงั้น…นายช่วยรีบๆ ตายๆ ไปเสียทีเถอะ!”

ทั้งที่น้ำเสียงหวานชวนฟัง แต่ถ้อยคำกลับเป็นเหมือนมีดกรีดลงไปบนหัวใจของเซี่ยอี้เจิน เขาพ่นเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ลมหายใจค่อยๆ หมดลงไปช้าๆ พร้อมกับสายตาที่พร่าเลือนก่อนจะมืดดับไป หากเขาไม่ได้ตาฝาด ร่างของคนที่วิ่งเข้ามาเมื่อครู่คงเป็นเซี่ยเฟิง น้องชายของเขาสินะ

ความตายมันช่างหนาวเหน็บและทรมานเหลือเกิน ราวกับร่างกายจดจำทุกความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ยอมลืมเลือนมันไป

การตายของเขาคงทำให้น้องชายและคนรักของเขามีความสุขใช่ไหม

หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว แค่พวกเขามีความสุขตามที่พวกเขาต้องการก็พอ

แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความตายของตัวเขาเองก็ตาม

“น่าสงสารนัก ท่านก็ไม่แตกต่างไปจากข้า”

“ใคร? นั่นใครกัน” รอบกายไม่มีแม้แต่แสงไฟดวงเล็ก มีเพียงเสียงของใครสักคนที่พูดออกมาด้วยความปวดร้าวและทรมานใจ

“ท่านเองก็ถูกผู้ที่รักหักหลัง ถูกผู้ที่ท่านมอบหัวใจให้สังหารจนตายมิต่างจากข้า” เซี่ยอี้เจินเจ็บแปลบในหัวใจ ยิ่งอีกคนพูดถึงความเจ็บปวดจากการถูกคนรักสังหารยิ่งทำให้เขาต้องกำมือแน่นเพื่อระงับความรู้สึกขมปร่าที่ตีขึ้นมา

“คุณเป็นใครครับ ทำไมถึงรู้ล่ะว่าผมถูกคนที่รักฆ่า” ร่างของชายหนุ่มร่างบางค่อยๆ ก้าวออกมาจากความมืด ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าที่ชวนให้เซี่ยอี้เจินตกตะลึงในความงดงามของคนตรงหน้าของเขา เส้นผมสีดำยาวสลวยแต่ดวงตาคู่หวานกลับแดงก่ำและบวมช้ำ ริมฝีปากแดงระเรื่อมีรอยแตกอยู่ แม้จะสวยจนชวนมองแต่กลับสั่นหัวใจของเขาไปด้วยความสงสารจนเผลอเอื้อมมือออกไปสัมผัส

“คุณกำลังเจ็บปวด…” เสียงของเซี่ยอี้เจินแผ่วเบาราวกับขนนกเพราะกลัวว่าแม้แต่เสียงของตนจะยิ่งทำให้ความเปราะบางของคนตรงหน้าแตกสลายลงไป

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าช่างเป็นคนดีนัก ข้ามองดูเจ้าถูกหญิงผู้นั้นสังหารด้วยสองตา จิตใจของนางช่างต่ำช้า มิต่างจากคนที่ลงมือสังหารข้าอย่างเลือดเย็น” ดวงตาหวานกลมโตเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา แต่นัยน์ก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเสียใจจนเต็มอก เมิ่งอวิ๋นรู้สึกทรมานไปทั้งตัว สกปรกโสมมจนปรารถนาจะตายอีกรอบเสียด้วยซ้ำ

“เธอทำแบบนั้นเพราะรักน้องชายของผม ถ้าพวกเขาสองคนมีความสุข การตายของผมก็นับว่าไม่เสียเปล่าอะไร” เมิ่งอวิ๋นยิ้มขืน เขาเองก็อยากจะคิดให้ได้เช่นนั้นเหลือเกิน เพียงแต่ความโกรธที่มีอยู่เต็มอก ความเกลียดที่มันเพิ่มพูนขึ้นมาในหัวใจ และความไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนี้ มันกลับเป็นดั่งยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความดีงามทั้งหมดให้หายไปกับสายลม

“ข้าอยากทำให้ได้เช่นเดียวกับเจ้า แต่ข้าคงไม่อาจเป็นคนดี ปล่อยวางเรื่องของตนเองได้ง่ายดายเหมือนเจ้า”

ไม่อยากกลับไป หากกลับไปที่แห่งนั้น เขาคงจะต้องสังหารพวกมันทั้งหมดให้ตายตกไป ย้อมความรักของชายหญิงคู่นั้นด้วยโลหิตจากความแค้นเป็นแน่

“เจ้าจะกลับไปหรือไม่ หากกลับไปได้ เจ้าจะกลับไปอีกหรือไม่” เซี่ยอี้เจินยิ้มอ่อน แววตาสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ครับ ผม…คงกลับไปที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้กลับไปได้จริงๆ ผมก็คง…เลือกที่จะไม่ไป” เมิ่งอวิ๋นยิ้มออกมาด้วยหัวใจที่มีหวัง ในเมื่อเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปที่ที่เขาจากมา อีกคนก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้น…

“เจ้าช่วยไปใช้ชีวิตแทนข้าได้หรือไม่”

หากเราทั้งสองต่างไม่ปรารถนาจะกลับไปยังโลกของตนเองเช่นเดียวกัน

“ครับ? คุณหมายถึงอะไร?” เมิ่งอวิ๋นกุมมือของเซี่ยอี้เจินเอาไว้แน่น สบสายตาอย่างคาดหวังในคำตอบรับ

“ข้าจะขอแลกกับเจ้า เมื่อเจ้าไม่ปรารถนาจะกลับไป เช่นนั้นก็ไปอยู่แทนที่ข้า ข้าไม่ปรารถนาจะกลับไปในที่ของข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปอยู่ในที่ของเจ้าแทน”

เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย สิ่งที่พูดออกมาทั้งหมดคือความจริงที่เขาคิดเอาไว้ดีแล้ว เมื่อเราทั้งสองต่างก็ทรมานใจจากโลกที่เราจากกันมา หากเป็นเช่นนั้นเราก็เพียงแลกกันด้วยความเท่าเทียม

“เราแลกชีวิตกันได้หรือไม่ เซี่ยอี้เจิน” เซี่ยอี้เจินมือไม้สั่นไปหมด แลกชีวิตกัน…มันดูไม่ง่ายเลยสักนิด

“คุณจะรับมือไหวจริงๆ นะหรือ ถ้าหากผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมหมายถึง…หากพวกเขารู้ว่าผมยังไม่ตาย คุณที่ไปแทนผม จะเป็นอันตรายได้นะ” เพราะความกลัวนี้เขาจึงไม่คิดจะกลับไป หากถูกฆ่าให้ตายอีกครั้ง หัวใจของเขาคงบอบช้ำจนวิญญาณแตกสลายเป็นแน่ แต่เมิ่งอวิ๋นกลับหัวเราะเสียงเย็น แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดตอนนี้มีแต่ความคับแค้นใจอยู่เต็มอก

“ข้ามิใช่คนที่จะถูกผู้ใดรังแกได้ง่ายๆ อย่าห่วงไปเลย…ข้าไม่ยอมตายอีกครั้งอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและจริงจัง บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวของคนที่มีใบหน้าแสนงดงามคนนี้ มันช่างไม่ต่างจากบรรยากาศของพวกบอดี้การ์ดของเขาในโลกก่อน เวลาที่จะสังหารศัตรู

“แล้วผม…” เมิ่งอวิ๋นมองเห็นความลังเลในดวงตาของเซี่ยอี้เจิน และเข้าใจในสิ่งที่เซี่ยอี้เจินคิดกังวลอยู่

“หากเจ้ากังวลว่าไม่คุ้นชินกับที่นั่นก็โปรดวางใจ ที่บ้านข้ารักใคร่กลมเกลียวนัก ท่านพ่อข้าเป็นพ่อค้า พี่ชายของข้าก็ล้วนแต่รักใคร่ข้ากันทั้งสิ้น” แม้จะคิดถึงมากมายสักเพียงใด ก็ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ได้โปรด…ดูแลพวกเขาแทนข้าด้วย”

“ดะ เดี๋ยว!”

เซี่ยอี้เจินคิดจะห้ามปราม แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อเมิ่งอวิ๋นผลักอกของเขาอย่างแรงจนร่างกายกระเด็นไปด้านหลังอย่างรวดเร็วและไม่มีท่าทีจะหยุดลง ร่างกายที่แสนงดงามของเมิ่งอวิ๋นค่อยๆ ห่างออกไป มีเพียงรอยยิ้มบางเบาเท่านั้นที่ถูกส่งมาจนกว่าจะลับตาไป

เซี่ยอี้เจิน ใช้ชีวิตแทนข้า ดูแลท่านพ่อท่านแม่เและพี่ชายของข้า…แทนตัวข้าให้ด้วยเถิด






TBC



บทนำมาแล้วจ้าาา เปิดเรื่องมาน้องก็ตายเลยทีเดียว (ฮา) เรื่องนี้มีสองภาคนะคะ ภาคนี้จะเป้นของน้องเซี่ยในร่างของเมิ่งอวิ๋น เป็นยุคโบราณ หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น อรัมภบท (Up.29/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 29-06-2020 22:00:48
น่าสงสาร รอลุ้นตอนต่อไปเลยจ้า
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น อรัมภบท (Up.29/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-07-2020 17:15:33
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น อรัมภบท (Up.29/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-07-2020 21:22:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น อรัมภบท (Up.29/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 07-07-2020 10:21:31
รอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (1) 50% (Up.14/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 14-07-2020 16:39:10
เมิ่งอวิ๋น

มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยยกเว้นสิ่งรอบกายในตอนนี้ แต่เซี่ยอี้เจินไม่คิดจะนอนหลับเป็นตายราวกับคนไม่เคยนอนหรอกนะ ก่อนตายเขาเองก็เป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งสกุลเซี่ย แม้จะตายตกด้วยน้ำมือของคนที่รักและไว้ใจ แต่เขาก็ถือว่าเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ มีหน้ามีตามากมายเกินกว่าจะมาขี้เกียจสันหลังยาวได้

เซี่ยอี้เจินค่อย ๆ ขยับตัวช้า ๆ อย่างยากลำบาก ร่างกายปวดร้าวไปทั้งตัวราวกับกระดูกถูกใครมาบดให้มันแตกละเอียด สองตาแทบจะลืมขึ้นมาไม่ได้ ยังดีที่ไม่ได้ถึงขั้นปูดบวมให้เกิดความสมเพชแต่ก็ถือว่าไม่ปกติจนพอจะเห็นมันได้

“นายน้อย ฮือ ๆ บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตายจริง ๆ ฮือออ” เสียงร่ำไห้ที่ดังมาจากทางด้านข้าง เซี่ยอี้เจินที่เพิ่งจะพบเจอกับความเจ็บปวดหลังลืมตาก็เกิดความไม่เข้าใจมาสอดแทรก

สมัยนี้ยังมีคนแทนจนเองว่าบ่าวอีกหรือ?

ความสงสัยชวนให้เกิดคำถามมากมายทำให้เซี่ยอี้เจินต้องมองไปรอบกาย การตกแต่งแปลกตากับข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่สามารถหาชมได้ตามท้องตลาดทำให้เซี่ยอี้เจินเบิกตา จนต้องก้มลงมองเสื้อผ้าของตนเองและมองชายหนุ่มตัวบางที่ยังคงโขกศีรษะให้เขาอยู่ที่พื้น

“นี่ ที่นี่…” ที่ไหนกัน

“นายน้อย ฮึก นายท่านเป็นห่วงนายน้อยมากเลยนะขอรับ” เด็กหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยอี้เจิน บอกเล่าความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อเขา หวังให้นายน้อยของมันได้ฟังคำเตือนของนายท่านและฮูหยินบ้าง

ตัวเสี่ยวหลงเองก็พอจะเข้าใจในตัวของเมิ่งอวิ๋นอยู่บ้าง หากนายน้อยของมันผูกสมัครรักใคร่กับผู้ใดย่อมไม่มีทางปล่อยให้คนผู้นั้นไปชอบพอใครอื่น แต่อีกฝ่ายก็มิใช่ชาวบ้านธรรมดา เป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนแม่ทัพหลี่ที่ผู้ใดก็รู้ว่าไร้หัวใจ

เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้วยกมือบางขึ้นกุมขมับของตนเองเอาไว้ด้วยอาการปวดหนึบ ยิ่งได้ยินเสียงร่ำไห้อย่างดีใจของเสี่ยวหลงร่างบางก็พลันยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่

เซี่ยอี้เจินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับตนเองด้วยเสียงที่เบาหวิว “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“นายน้อย ท่านว่าอะไรนะขอรับ?” เสี่ยวหลงถามออกมาอย่างสงสัยเมื่อได้ยินนายน้อยของตนพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ชัดเจน

“เอ่อ ไม่ ผม ไม่ใช่สิ ข้า ข้าไม่ได้พูดอะไร” เซี่ยอี้เจินที่มองเสี่ยวหลงได้แต่นึกย้อนเหตุการณ์กลับไปอีกครั้ง ก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะหวนกลับมาจนเซี่ยอี้เจินได้แต่หัวเราะให้กับความโชคร้ายของตัวเอง

“เจ้า เอ่อ เจ้าชื่ออะไรนะ?” เสี่ยวหลงชะงักก่อนที่บ่อน้ำตาจะแตกจนหยาดน้ำตาไหลจนท่วมใบหน้า เสียงร่ำไห้สะอื้นดังขึ้นมาจนหนวกหู ศีรษะเล็ก ๆ ก้มลงโขกกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหยุด ปากก็ร้องแต่คำว่าบ่าวสมควรตาย

“โฮๆ บ่าวผิดเอง บ่าวสมควรตาย ฮืออ” ใครจะไปตายได้ตั้งหมื่นครั้งกัน เซี่ยอี้เจินเห็นภาพตรงหน้าก็เกิดความสงสาร จากที่ทำอะไรไม่ถูกก็กลายเป็นกระอักกระอ่วนใจ พยายามจะส่งเสียงห้ามปราบ

“เจ้า คือ อย่าทำเช่นนี้เลย ข้าแค่รู้สึกปวดหัวมาก ๆ นึกอะไรไม่ค่อยออก จำสิ่งใดก็ไม่ค่อยจะได้ ข้าผิดเองที่ถามเจ้าเช่นนั้น” เสี่ยวหลงรีบส่ายหน้า คลานเข่าเข้ามาหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับน้ำตาที่ไม่เหือดแห้งไปแม้แต่น้อย

“นาย ฮึก น้อยจำสิ่งใด ฮึก ได้บ้างหรือขอรับ” เซี่ยอี้เจินยิ้มเจื่อนๆ

“จำได้แค่ว่าข้าคือเมิ่งอวิ๋น” เขาจะบอกได้ยังไงว่าเขาคือเซี่ยอี้เจิน คือคนที่แลกเปลี่ยนวิญญาณกับเมิ่งอวิ๋นมาเพื่อดูแลทุกคนทดแทน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้มีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่มีคนที่ทำให้ปวดใจ

“บ่าว ฮือ บ่าวจะไปแจ้งนายท่าน นายท่านจะต้องหาหมอที่ดีที่สุดมารักษานายน้อยได้อย่างแน่นอน โฮๆ นายน้อยของบ่าว รอบ่าวก่อนนะขอรับ ฮืออออ นายท่านนนนนนนนน” เซี่ยอี้เจินตกตะลึง คนผู้นี้ช่างว่องไวและรวดเร็วเหลือเกิน บอกเขาจบไม่ทันจะถึงสิบวิก็หายไปจากเขาเสียแล้ว มีแต่เพียงเสียงเรียกนายท่านเท่านั้นที่ดังมากระทบหูอยู่เป็นระยะก่อนที่จะเงียบไป

เซี่ยอี้เจินลอบถอนหายใจออกมาเมื่อทางสะดวก เมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินพยายามไล่เลียงเหตุการณ์ที่เริ่มประดังเข้ามามีละน้อย ๆ ในหัวช้า ๆ แล้วก็พบว่าตนเองคือบุตรชายคนเล็กของพ่อค้าที่แสนร่ำรวยอย่างเมิ่งหยวน เมิ่งอวิ๋นนั้นเป็นคุณชายผู้เอาแต่ใจทว่ากลับหลงรักแม่ทัพใหญ่นามว่าหลี่เจี้ยนเฉิง หลี่เจี้ยนเฉิงที่ถูกรักกลับไม่มีใจแม้แต่น้อยต่อเมิ่งอวิ๋น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตามตื้อหรือเกาะติดยังไงก็ไม่เป็นผล หลี่เจี้ยนเฉิงไม่เพียงไม่แลแม้แต่หางตา กลับขับไล่ไสส่งเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่คิดจะไว้หน้า

เมิ่งอวิ๋นไม่เจ็บแค้น ทั้งยังทั้งรักและบูชาหลี่เจี้ยนเฉิงจนหมดหัวใจ แม้จะถูกขับไล่ออกมากี่ครั้งก็ยังคงแวะเวียนไปหาอย่างไม่ยอมหยุด แต่หลี่เจี้ยนเฉิงที่ต้องการตัดปัญหาทุกอย่างจึงได้เข้าไปยังหอฮุ่ยเหรินและได้พบกับถังเป้ยอี้ นางโลมผู้ขายเสียงพิณ ความงดงามของถังเป้ยอี้นั้นต้องตาต้องใจของหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างมาก จึงได้เข้ามาหานางบ่อยครั้งจนเมิ่งอวิ๋นทนไม่ได้

ความรักที่บดบังดวงตาทำให้เมิ่งอวิ๋นจ่ายเงินเพื่อขอใช้เวลากับถังเป้ยอี้หนึ่งคืนด้วยเงินจำนวนมาก เมิ่งอวิ๋นว่าจ้างชายแปลกหน้ากว่าสี่คนเพื่อให้กระทำการย่ำยีถังเป้ยอี้ด้วยความเกลียดชัง แต่ยังไม่ทันที่จะเหิดเรื่องน่าเศร้า หลี่เจี้ยนเฉิงก็เข้ามาช่วยถังเป้ยอี้ได้ทันเวลา พร้อมกับว่าจ้างให้เหล่าชายแปลกหน้าที่เมิ่งอวิ๋นจ้างมาลงมือย่ำยีเมิ่งอวิ๋นแทน

เมิ่งอวิ๋นถูกกระทำอย่างป่าเถื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้สายตาคู่นั้นของคนที่ตนรักหมดหัวใจ ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไปพร้อมกับภาพที่หลี่เจี้ยนเฉิงและถังเป้ยอี้โอบกอดกันออกไปทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ไร้ลมหายใจของเมิ่งอวิ๋น

แปลก…ทำไมในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นถึงมีภาพเหตุการณ์จนถึงขั้นสิ้นใจกันล่ะ?

ในเมื่อร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่ได้มีแม้แต่ร่องรอยของการถูกย่ำยีดังในความทรงจำเลย เมิ่งอวิ๋นในตอนนี้ยังคงสะอาดผุดผ่องและงดงาม ผิวกายที่เขามองเห็นอยู่ยังคงขาวนวลและดูเปล่งปลั่ง ไร้ร่องรอยอย่างที่ติดตรึงในความทรงจำที่ไหลเข้ามา ความสงสัยทำให้เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะคิดหาเหตุผลอะไรก็ไม่มีคำตอบที่สามารถอธิบายออกมาได้เลย นั่นจึงยิ่งทำให้ศีรษะที่ปวดอยู่แล้วกลับยิ่งปวดหนักขึ้นไปอีก

เมิ่งอวิ๋น…คุณคงทรมานใจมากจนไม่อยากกลับมาสินะ

คำฝากฝังที่ลอยมาตามสายลมยามที่เขาถูกผลักออกมายังคงดังก้องอยู่ในหู มันเป็นดั่งคำสั่งเสียที่เมิ่งอวิ๋นส่งมันมาให้เขา และเขาเองก็ควรจะต้องทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ คนผู้นั้นช่างโหดร้าย…เพื่อหญิงอันเป็นที่รักจึงต้องลงมือเหี้ยมโหด ให้คนชั่วช้าย่ำยีจนเมิ่งอวิ๋นสิ้นใจ

แปลบ

เซี่ยอี้เจินยกมือขึ้นมากุมอกตนเองเอาไว้ เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวที่คล้ายความทรงจำที่เคยเกิดขึ้น ทว่ายังไม่เกิดขึ้นก็ทำให้หัวใจของเซี่ยอี้เจินเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง

หลี่เจี้ยนเฉิง คนที่สังหารหัวใจและปลิดลมหายใจของเมิ่งอวิ๋นอย่างโหดร้าย

“เสี่ยวอวิ๋น เสี่ยวอวิ๋นลูกแม่”

ร่างของหญิงวัยสามสิบกว่าๆ วิ่งเข้ามาโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด นางถลาร่างเข้ามาหาเซี่ยอี้เจินในร่างเมิ่งอวิ๋นที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง มือข้างหนึ่งกุมศีรษะตนเองเอาไว้ยิ่งทำให้นางยิ่งทวีความห่วงใยต่อบุตรชายคนนี้

“ท่าน…ท่านคือ” แม้ว่าเซี่ยอี้เจินจะได้ความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นมาจนครบถ้วน รู้ได้แน่ชัดแล้วว่าคนผู้นี้คือมารดาของเมิ่งอวิ๋นแต่เพื่อการอยู่รอดอย่างกลมกลืน การเอ่ยอ้างถึงความจำที่หายไปมันก็เป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว

อู๋ชิวอิ่งมองบุตรชายของตนอย่างสำรวจตรวจตรา ยามได้ยินคำถามราวกับไม้รู้จักมักจี่กับนางก็ยิ่งปวดใจจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตรงนี้ บุตรชายที่นางทั้งรักทั้งทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเล็ก บัดนี้กลับไร้ซึ่งร่องรอยแห่งความคุ้นเคยที่มีมาตลอดสิบหกหนาว หัวใจของคนเป็นแม่ปวดร้าวจนเกินจะทนได้ไหว

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้า เจ้าอย่าได้ล้อแม่เล่นอีกเลย” เซี่ยอี้เจินหลบตาวูบด้วยความรู้สึกผิด น้ำเสียงของอู๋ชิวอิ่งยนั้นทั้งสั่นเครือระคนปวดร้าวขนคนที่วางแผนจะใช้ความจำเสื่อมเป็นตัวช่วยให้รอดพ้นจากความแปลกแยก แทบจะล้มเลิกมันเสียตรงนี้ ขอโทษด้วยนะเมิ่งอวิ๋น แต่เรื่องนี้ผมจำเป็นต้องทำจริง ๆ เซี่ยอี้เจินได้แต่ขอโทษเมิ่งอวิ๋นในใจ

“ข้า ข้าจำ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ข้าปวดหัว โอ๊ย! ข้าปวดเหลือเกิน” อู๋ชิวอิ่งเห็นบุตรชายกุมศีรษะเอาไว้พร้อมกับร้องออกมาอย่างทรมานก็พลันสงสาร ได้แต่กอดร่างของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้จนแน่นแล้วลูบหลังอย่างปลอบประโลม

“ได้ๆ เจ้าไม่ต้องคิด ลืมแล้วก็ลืมเสีย อย่างไรแม่ก็อยู่ตรงนี้ เสี่ยวอวิ๋นของแม่ แค่เจ้าปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว” เซี่ยอี้เจินถูกความรู้สึกผิดจู่โจมจนอยากจะกระอักเลือดตาย น้ำตาไหลลงบนไหล่ของอู๋ชิวอิ่งช้า ๆ อย่างคนหมดหนทางไปต่อ ในตอนนี้ความอบอุ่นของความรักที่ได้รับทำให้เซี่ยอี้เจินไม่อยากจะปล่อยให้หายไปแม้แต่วินาทีเดียว ความทรมานก่อนสิ้นใจในเวลาก่อนหน้านี้ มันถูกเลือนหายไปจนหมดเพียงถูกอู๋ชิวอิ่งโอบกอดเอาไว้ด้วยสองแขน

“ชิวอิ่ง เจ้าปล่อยเสี่ยวอวิ๋นก่อนดีหรือไม่ อย่างไรตอนนี้เขาก็เพิ่งฟื้นตัว คงจะปวดร้าวไปหมดแล้ว” ในใจของเขาประท้วงหนัก ความรักที่ไม่เคยได้รับทำให้เขาโหยหาจนไม่อยากจะปล่อยมันไป เพียงแต่หากเขาทำเช่นนั้นคงเกิดความแคลงใจหลายอย่าง ยังดีที่อู๋ชิวอิ่งเหมือนจะรู้ตัว รีบปล่อยร่างของบุตรชายแล้วถอยออกไปยืนเคียงข้างผู้เป็นสามี

“ข้าลืมไปได้อย่างไรนะว่าเสี่ยวอวิ๋นเพิ่งจะฟื้นไข้” เมิ่งหยวนส่ายหน้าน้อย ๆ ดึงมือของฮูหยินตนมากุมเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองบุตรชายบนเตียงด้วยสายตาห่วงใย

“อวิ๋นเอ๋อร์ เสี่ยวหลงบอกว่าเจ้าจำสิ่งใดมิได้เลยจริงหรือ” เซี่ยอี้เจินลอบมองใบหน้าของเมิ่งหยวนอย่างคิดคำนวณ เมื่อมองเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเพียงเอ่ยถามเพราะความห่วงใยจึงได้ตอบออกไป

“ข้า ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย”

“ไม่ได้เลยสักนิดหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าลงต่ำซ่อนพิรุธทั้งหลายเอาไว้ไม่ให้เห็น

“จำได้เพียงว่าข้าชื่อเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นขอรับ”

ยามเห็นว่าบุตรชายตัวน้อยที่เคยเอาแต่ใจก้มหน้าลงต่ำราวกับหวาดกลัวก็พลอยใจอ่อนยวบ นัยน์ตาของเมิ่งอวิ๋นยามนี้ช่างใสซื่อและเดียงสา หากว่าลืมความทรงจำเก่าจนหมดสิ้น เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่จะดียิ่งกว่าหากลืมความรักที่ให้กับคนผู้นั้นไปเสียด้วย เมิ่งลู่เหยาที่มองน้องชายตนเองก็พลันร้อนใจ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้น้องชายของเขาตกใจจนลืมเลือนทุกสิ่งไปจนหมด เขาเองก็คิดว่ามันดีแล้วไม่ต่างกัน หากเป็นเช่นนั้นก็จะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีก

“ท่านพ่อ บางทีเสี่ยวอวิ๋นอาจจะ…” เสียงของเมิ่งลู่เหยาเบาลงในตอนท้าย เพียงกระซิบข้างใบหูของผู้เป็นบิดาให้ได้ยินเบาๆ เท่านั้น เมิ่งหยวนที่ได้ฟังก็พลันยิ้มออก นัยน์ตาฉายชัดถึงความยินดีอย่างเหลือล้นที่เป็นเช่นนี้

“ดี! เช่นนั้นดียิ่งแล้ว!” เขามิเคยคิดจะห้ามบุตรชายยามชอบพอผู้ใด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นบุรุษก็ตามที แต่เหตุการณ์วันนี้นั้นกลับทำให้เมิ่งหยวนคิดตก ยอมให้บุตรชายเจ็บปวดใจเพราะแยกจาก ดีกว่าถลำลึกแล้วยากจะถอนตัว ใครจะรู้ได้เล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา คนผู้นั้นก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่…หากเกิดความรำคาญใจต่อบุตรชายของเขา คงไม่แคล้วถูก…

เมิ่งหยวนหวาดกลัวความคิดของตนเอง ยามเมื่อได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กที่เขากำลังกลัดกลุ้มจากการถูกทำร้ายฟื้นคืนสติ ทว่ากลับไร้ความทรงจำใดๆ ก็เกิดความตกใจ แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็พบว่านี่อาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้แก่สกุลเมิ่งอีกครา ให้เจ้าตัวน้อยของพวกเขาได้หลุดพ้นจากความรักที่ไร้แววสมหวังนั้นเสียที

“เสี่ยวอวิ๋น…หากก่อนนี้เจ้าลืมจนหมดสิ้นก็ช่างปะไร ข้า ไม่สิ พ่อจะแนะนำให้เจ้าได้จดจำมันไว้อีกคราก็แล้วกัน”

ใช่แล้ว คงามทรงจำเสียไปก็แค่สร้างใหม่ จากนี้เขาและสกุลเมิ่งจะไม่ยอมให้เมิ่งอวิ๋นเกี่ยวข้องกับชายผู้นั้นอีกแล้ว

“นี่คือท่านแม่ของเจ้า นามว่าอู๋ชิวอิ่ง” เซี่ยอี่เจินเหลือบมองคนที่ได้ชื่อว่าแม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะส่งเสียงเรียกออกมาอย่างแผ่วเบา

“ทะ ท่านแม่”

“ใช่! ใช่แล้วลูกรัก ข้าคือแม่ของเจ้า ฮึก” อู๋ชิวอิ่งน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ยามได้ยินคำเรียกขานอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ของเมิ่งอวิ๋น หัวใจของนางพลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ บุตรชายของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็รักทั้งสิ้น

“ข้างกายข้าคือพี่ชายของเจ้า เมิ่งลู่เหยา” เซี่ยอี้เจินหันไปมองบุรุษรูปงามร่างกายสูงใหญ่ที่ถูกแนะนำว่าเป็นพี่ชายของเขา ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ส่งให้ด้วยความรู้สึกดีจากความทรงจำ

“พี่ลู่เหยา” เมิ่งลู่เหยาแทบจะร้องไห้โฮเมื่อถูกน้องชายเรียกเสียเต็มยศ ไร้ซึ่งความสนิทสนมดังเก่าก่อน

“ปกติเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ มิใช่พี่ลู่เหยา” คนเป็นพี่เอ่ยบอกด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ จนคนที่เคยแต่เป็นพี่ชายอย่างเซี่ยอี้เจินทำตัวไม่ถูก ได้แต่รีบแก้คำเรียกที่ออกจากปากไปแทน

“พี่ พี่ใหญ่”

“ใช่ๆ เช่นนี้ล่ะถูกต้องแล้วน้องข้า” เซี่ยอี้เจินได้แต่รู้สึกขนลุกซู่ สายตาของคนหลงน้องอย่างเมิ่งลู่เหยาช่างชวนให้เสียวสันหลังเสียเหลือเกิน เขาไม่คุ้นชินกับความรักที่พี่มอบให้น้องเช่นนี้ ในชีวิตก่อนเขาเองก็เป็นพี่ใหญ่ มีน้องชายอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือเซี่ยเฟิง







50%





ครึ่งแรกกันก่อนน้าา หลังจากที่อู้มาสองอาทิตย์ คือเมื่อวานนี้แมวมีแผนจะลงให้อ่านกันค่ะ เพียงแต่แมวป่วย แค่กๆ วันนี้ก็ยังไม่หายเลย แต่เราก็ไม่ทิ้งงานนะคะ ยังมาลงเสมอ แบ่งออกมาเป็น50% นะคะ เดี๋ยววันพฤหัสแมวจะมาลงครึ่งหลังจ้าาา

ฝากติดตามทวิตเตอร์และเพจของแมวด้วยน้า


เมิ่งอวิ๋น

https://twitter.com/little_kittensY (https://twitter.com/little_kittensY)



หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (1) 50% (Up.14/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-07-2020 23:01:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (1) 50% (Up.14/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 14-07-2020 23:16:49
ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (1)100% (Up.16/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 16-07-2020 17:55:13
[1] 100%


“เอาล่ะ ต่อไปก็คือข้า เมิ่งหยวน ข้าเป็นบิดาของเจ้า เจ้าจำได้หรือยัง?” เซี่ยอี้เจินพยักหน้า แววตาใสซื่อมองบุคคลที่เป็นครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นอย่างทรมานใจ หากพวกเขารู้ว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นได้ตายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร ความรู้สึกรวดร้าวใจที่ต้องสูญเสีย มันคงไม่อาจลบล้างได้ง่ายดายนักหรอก

ริมฝีปากของเซี่ยอี้เจินเม้มแน่น ก้มหน้าลงต่ำซ่อนความร้าวรานในสายตาตนเองไม่ให้ผู้ใดได้เห็น แลกชีวิตกันเช่นนั้นหรือ เมิ่งอวิ๋นคุณทำใจทอดทิ้งพวกเขาได้จริง ๆ หรือ ความเจ็บช้ำของคุณคงมีมากเสียจนไม่อาจหายใจร่วมกับเขาผู้นั้นได้อีกต่อไปสินะ หากคุณไม่ไปรักเขาก็คงจะดี

“ท่านพ่อ ข้าจำได้แล้วขอรับ” จำได้จนขึ้นใจ พวกท่านคือคนที่เมิ่งอวิ๋นฝากฝังให้ดูแล

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ใบหน้าของเมิ่งหยวนค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มที่แสนพึงพอใจออกมา มือทั้งสองไพล่หลังเอาไว้ยืดอกขึ้นมาเหมือนในยามที่ไร้ความกังวลแล้ว

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าคงหิวแล้วใช่รึไม่ แม่จะให้เสี่ยวหลงไปยกอาหารมาให้เจ้าได้กิน”

“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ” ยามได้ยินคำขอบคุณที่ไร้คำปฏิเสธ อู๋ชิวอิ่งก็พลันลนลานรีบออกไปสั่งการให้คนยกอาหารเข้ามาเสียยกใหญ่ มีเพียงแค่เมิ่งหยวนและเมิ่งลู่เหยาเท่านั้นที่ยังคงรอดูท่าทีของเมิ่งอวิ๋นว่าจะจำคนผู้นั้นได้บ้างหรือไม่

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ท่านสองคนมองข้าด้วยเหตุใดหรือ?” แม้จะคาใจแต่เมิ่งหยวนก็ไม่ปรารถนาจะสะกิดใจต่อเมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย ด้วยกลัวว่าหากถามออกไปจะทำให้เมิ่งอวิ๋นเกิดจำชายผู้นั้นได้ขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ไม่ใช่กับเมิ่งลู่เหยา

“เจ้ายังจำผู้ใดได้อีกหรือไม่ คนที่เจ้ารู้จักหรือ…ชอบพออยู่” เซี่ยอี้เจินยิ้มซื่อแล้วส่ายหน้า ตอบกลับเสียงหนักแน่นเพื่อยืนยันว่าเขาความจำเสื่อมจริง ๆ

“ไม่เลยพี่ใหญ่ ข้าจำผู้ใดมิได้เลย หากข้าต้องจำใครสักคนได้ ข้าก็ควรจะจำพวกท่านที่เป็นครอบครัวของข้ามิใช่หรือ”

ใช่แล้ว คนผู้นั้นโหดเหี้ยมทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องตายตกไปด้วยราคี ย่ำยีทั้งร่างกายและศักดิ์ศรีจนสิ้นใจ

แล้วคนผู้นั้นมันน่าจดจำที่ตรงไหนกัน ลืมๆ ไปเสียไม่ดีกว่าหรือไร

“ดี! นี่ช่างเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง สวรรค์! ท่านเมตตาต่อสกุลเมิ่งแล้ว ฮ่า ๆ” เมิ่งหยวนมองบุตรชายคนโตที่เดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานก็พลันทอดถอนใจออกมา เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องดูกันอีกนานนัก ในยามนี้แม้เมิ่งอวิ๋นจะลืมเลือนทุกสิ่งไปจริง ๆ แต่ใครจะยืนยันได้เล่าว่ามันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

หากวันหนึ่งเมิ่งอวิ๋นจำทุกอย่างได้เล่า เขาจะทำเช่นไร

“เจ้าพักผ่อนเสียมาก ๆ เถิด พี่ใหญ่ของเจ้าก็เป็นเช่นนี้เสมอนั่นล่ะ”

“ขอรับท่านพ่อ” เซี่ยอี้เจินแสดงท่าทางอ่อนแอเข้าไว้ ลอบมองใบหน้าที่มีหนวดเคราอยู่บ้างของผู้เป็นบิดาอย่างหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้ แต่เมื่อพบว่าเมิ่งหยวนก้าวออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้วจึงได้ลอบถอนหายใจออกมาเสียงดัง ความโล่งใจยังไม่ทันจะช่วยบรรเทาความตื่นเต้นภายในใจลงไปได้ เหล่าคนแปลกหน้าในชุดเก่าๆ ก็เดินเข้ามาสองสามคน แต่ละคนต่างก็มีอาหารสองอย่างอยู่ในมือ

พวกเขาเอ่ยปากขออนุญาตก่อนจะก้าวเข้ามา เซี่ยอี้เจินมองนิ่งๆ ไม่ใช่เขาไม่ชินกับเรื่องเช่นนี้ ในชีวิตก่อนคนรับใช้สกุลเซี่ยเองก็มีมากมาย เรื่องแบบนี้เขาคุ้นชินได้ไม่ยากเย็น เพียงแต่อาหารตรงหน้ามีไม่ใช่น้อย ๆ เขาคนเดียวนั้นจะไปกินหมดได้อย่างไรกัน

“นายน้อย ของพวกนี้เป็นอาหารบำรุงที่ฮูหยินให้คนเตรียมเอาไว้ให้ท่าน ท่านก็ทานเสียหน่อยเถิดขอรับ” เซี่ยอี้เจินค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งโดยมีเสี่ยวหลงคอยพยุงขึ้นมาช้า ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนแต่ออกไปจากห้องจนหมดสิ้นแล้วตั้งแต่วางอาหารมากมายเหล่านี้ลงบนโต๊ะ เขาก้าวขาเดินไปช้า ๆ ทว่าร่างกายสิ้นไร้เรี่ยวแรงจนน่าตกใจ ยังดีที่เสี่ยวหลงคอยช่วยให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้ดีขึ้น เขาจึงสามารถมาถึงจุดหมายและนั่งลงมองอาหารเหล่านั้นได้เสียที

“นี่เป็นรากบัวตุ๋นขอรับนายน้อย ฮูหยินลงมือเคี่ยวเองเลยนะขอรับ เพื่อนายน้อยโดยเฉพาะ”

“เช่นนั้นหรือ” เพียงแค่รสชาติหวานอ่อนๆ แตะกับปลายลิ้น ในปากสัมผัสกับความอุ่นกำลังพอดีก็พลันทำให้น้ำตาคลอที่ดวงตาทั้งสองข้างได้ เซี่ยอี้เจินรู้สึกเศร้าสลดแทนเมิ่งอวิ๋นนัก รากบัวตุ๋นนี้ อย่างไรก็สามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติแห่งความห่วงใยที่ผู้เป็นมารดามีต่อบุตรของตน

เขาเองก็เคยได้สัมผัสกับรสชาติเช่นนี้เมื่อครั้งยังเป็นเซี่ยอี้เจิน แม่บ้านใหญ่สกุลเซี่ยคอยตุ๋นน้ำแกงมาให้กับเขาเสมอยามที่เขาเจ็บป่วย รสชาติที่ไม่มีวันลืมนั้น ไม่นึกเลยว่าในโลกนี้ที่เขาไม่รู้จัก…จะยังสามารถลิ้มรสมันได้อีก

ดีเหลือเกิน

เมิ่งอวิ๋น…คุณจะนึกเสียใจหรือไม่กันนะ ที่ทอดทิ้งความอบอุ่นแห่งนี้ไป

ความอบอุ่นที่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้

“นายน้อย! เหตุใดจึงร้องไห้ออกมาเล่าขอรับ หรือ หรือว่าท่านจะเจ็บปวดตรงที่ใด ให้บ่าวไปแจ้งกับนายท่านดีหรือไม่ขอรับ?” เสี่ยวหลงทั้งร้อนใจและทำอะไรมิถูก แต่เมิ่งอวิ๋นเพียงส่ายหน้า ยกมือที่สั่นเทาจับช้อนตักน้ำแกงรากบัวตุ๋นที่อู๋ชิวอิ่งตั้งใจทำมาให้คำแล้วคำเล่า

“อร่อยนัก ฮึก ข้า…ชอบมันเหลือเกิน”

“นายน้อย…”

เสี่ยวหลงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สองนายบ่าวพากันร่ำไห้ราวกับเด็กน้อย มองเมิ่งอวิ๋นที่ค่อยๆ ทานอาหารหมดไปทีละอย่างด้วยความพอใจ แต่ก่อนนายน้อยของมันมิได้ทานมากเช่นนี้ นายน้อยที่ก่อนจะไร้ความจำเลือกทานเพียงบางอย่างที่ชอบเท่านั้น แต่นายน้อยในตอนนี้ช่างแตกต่าง นายน้อยทานทุกสิ่งที่จัดมาให้ราวกับเสียดายทุกหยาดหยดของอาหารเหล่านั้น แต่สำหรับเสี่ยวหลงแล้ว การที่นายน้อยของมันรับประทานได้มากเช่นนี้ก็นับว่าดียิ่งแล้ว ร่างกายของนายน้อยจะได้ฟื้นคืนกำลัง และหายดีในเร็ววัน

เซี่ยอี้เจินวางตะเกียบลงเมื่อทุกสิ่งตรงหน้าถูกกวาดเข้าท้องของเขาจนหมด เขาเพียงแต่เสียดายความคุ้นเคยที่ได้จากอาหารเหล่านี้จนเผลอทานมันเข้าไปจนหมดอย่างไม่รู้ตัว ความคุ้นเคยที่แสนโหยหา คงเป็นรสชาติของความรักและความห่วงใยที่อู๋ชิวอิ่งผู้เป็นแม่มีต่อเมิ่งอวิ๋น เช่นที่แม่บ้านใหญ่สกุลเซี่ยมีให้เขาเช่นกัน

ไม่รู้ว่าป่านนี้เมิ่งอวิ๋นจะเป็นอย่างไรบ้าง ที่แห่งนั้น…จะถูกทั้งสองคนลงมือสังหารอีกหรือไม่

“นายน้อย…” เซี่ยอี้เจินกำมือแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ความกังวลและหวาดกลัวเพราะตนเองได้รับความรักอย่างดีจากบิดามารดาของอีกฝ่าย แต่ที่ที่เมิ่งอวิ๋นไปนั้นกลับไม่ต่างจากดงเสือเสียด้วยซ้ำ

“นายน้อยเป็นอะไรหรือขอรับ ไม่สบายตัวหรือ บ่าวจะได้…” เซี่ยอี้เจินเก็บสีหน้าแห่งความกังวลกลับไป ส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับเสี่ยวหลงแทน

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดข้าจึงได้บาดเจ็บจนจำสิ่งใดมิได้เลย…” เสี่ยวหลงเงียบลงทันตา ใบหน้ามีแต่ร่องรอยของความกังวลที่ฉายชัดออกมา แววตาสับสนราวกับคนที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำเช่นไร นั่นยิ่งทำให้เซี่ยอี้เจินนึกสงสัย เพราะในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นที่มีให้เขา ไม่มีร่องรอยของความทรงจำในตอนนี้แม้แต่น้อย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ทำไมศีรษะของเมิ่งอวิ๋นจึงได้รับบาดเจ็บ

“เจ้ารู้ใช่หรือไม่เสี่ยวหลง?”

“นายน้อย บ่าว บ่าวพูดไม่ได้ขอรับ” เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้วหนัก ความลับอะไรกันถึงพูดออกมาไม่ได้ แค่สาเหตุของการบาดเจ็บเท่านั้น มันจะเป็นความลับที่สามารถทำลายประเทศเลยหรืออย่างไร

“เช่นนั้นข้าคงต้องคิดให้ออกเองสินะว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้า คงต้องคิดจนปวดหัวมากหน่อย แต่ก็คงต้องทำ” เสี่ยวหลงหน้าซีดเผือด มองสีหน้าซีดเซียวของนายน้อยตนเองอย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้ หากก้าวถอยหลังก็ตาย เดินหน้าก็ตายเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะทำเช่นไรได้ นอกจากจะเล่าความจริง ดีกว่าเสี่ยงให้นายน้อยคิดเรื่องราวต่าง ๆ ออกแล้วนายท่านมาลงโทษเขา

เสี่ยวหลงคิดด้วยความชอกช้ำใจ น้ำตาไหลรินจนแทบเป็นสายเลือดกับการบีบบังคับของนายน้อยตนเองในตอนนี้ นายน้อยช่างมากด้วยวิธีบีบให้คนตายเสียจริง ทำเช่นนี้สั่งให้เขาโขกหัวตนเองจนตายเสียยังง่ายกว่า

“บ่าวบอกแล้วขอรับ บ่าวบอกแล้ว” ร่างบางยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เอนกายรอฟังเรื่องราวจากปากคนขี้กลัวอย่างเสี่ยวหลงด้วยอารมณ์ที่ดี

“ข้ารอฟังเจ้าอยู่”

‘โธ่…นายน้อย ท่านก็ช่างเร่งข้าเหลือเกิน’ เสี่ยวหลงได้แต่โอดครวญในใจ

“นายน้อย ท่านบาดเจ็บจากการถูกรถม้าชนขอรับ” รถม้า อา จริงสิ…ในช่วงนี้คงมีเพียงรถม้ากับเกี้ยวสินะ แต่ก็น่าแปลกใจ เมิ่งอวิ๋นเป็นบุตรชายคนเล็กของคนที่ร่ำรวยไม่น้อย แล้วเหตุใดจึงได้ถูกรถม้าชนกันล่ะ?

“ถูกชนได้เช่นไร?”

“คือ เรื่องนี้…” เสี่ยวหลงลังเลไม่น้อยเพราะกลัวว่าหากพูดออกไปจะกลายเป็นการกระตุ้นความทรงจำบางส่วนทำให้เมิ่งอวิ๋นจดจำได้ขึ้นมา

“เจ้าเล่าเถิด หยุดความคิดมากมายของเจ้า แล้วเล่าออกมาเสียที” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวหลงก็ทำได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก ก่อนจะเปิดปากเอ่ยชื่อของคนผู้หนึ่งออกมา

ชื่อที่ถูกห้ามไม่ให้เอ่ยถึงให้นายน้อยของมันได้ยิน

“เป็นเพราะนายน้อยคิดหยุดรถม้าของท่านแม่ทัพขอรับ จึงได้ถูกชนเข้า” เซี่ยอี้เจินเม้มปาก นี่คงมิใช่เรื่องบังเอิญเช่นว่าเหยียบบางสิ่งแล้วลื่นล้มลงไปจนถูกรถม้าชนกระมัง หากจะให้เดาคงเป็นชายผู้นั้นหวังชนให้เมิ่งอวิ๋นตายตกไปเสียมากกว่า จิตใจช่างโหดเหี้ยมนัก น่าสงสารเมิ่งอวิ๋นที่มอบให้เขาทั้งหัวใจ

หลี่เจี้ยนเฉิง! แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพแต่การมองไม่เห็นชีวิตคนเช่นที่ทำก็ไม่นับว่าเป็นคนดีที่น่ามอบใจให้สักนิด คนเช่นนั้น…อย่าพบเจอเลยเสียยังดีกว่า!

“เขาจงใจชนข้าสินะ” แค้นใจ! น่าแค้นใจแทนเมิ่งอวิ๋นเหลือเกิน

ยามนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย แม้ว่าหากเมิ่งอวิ๋นโชคดีรอดตายจากการถูกย่ำยี แต่ก็คงไม่อาจอยู่สู้หน้าผู้ใดได้อีก คนเช่นเมิ่งอวิ๋นคงดับชีวิตด้วยมือของตนเองเป็นแน่ เพราะแบบนั้นจึงไม่คิดอยากจะย้อนกลับมา ต่อให้รอบกายจะเต็มไปด้วยความรักมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจทดแทนหัวใจที่แหลกสลายไปเพราะคนผู้นั้นได้

“อึก!”

“นายน้อย! นายน้อยเป็นอะไรไปขอรับ!” ยามเห็นเมิ่งอวิ๋นกุมแผ่นอกของตนเอาไว้แน่น เสี่ยวหลงก็พลันตกใจจนลืมสิ้นทุกสิ่ง สิ่งที่เสี่ยวหลงกลัวคือความทรงจำของเมิ่งอวิ๋น หากมันกลับมาคงไม่เป็นการดีต่อตัวเมิ่งอวิ๋นเอง เพราะเมิ่งอวิ๋นคงวิ่งไล่ตามชายผู้นั้นต่อโดยไม่ฟังคำห้ามปรามของผู้ใด

“ไม่ ข้าเพียงนึกแค้นใจ คนผู้นั้นนึกว่าตนมีศักดิ์เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แล้วจะมองไม่เห็นชีวิตของข้าได้หรือ? ข้ามิได้ด้อยไปกว่าเขา เพียงมิได้มิมียศถาบรรดาศักดิ์ มิได้หมายความว่าชีวิตของข้าไร้ค่ากว่าชีวิตของเขา!! อึก แค่กๆ”

“นายน้อย!!!” เสี่ยวหลงส่งเสียงดังเมื่อเมิ่งอวิ๋นกระอักเลือดออกมา โลหิตสีแดงฉานไม่ต่างจากดวงตาทั้งสองข้างของเมิ่งอวิ๋น สีหน้ายามที่เจ็บแค้นเมื่อพูดคุยกับเขาก่อนนั้น เขายังจำมันได้ติดตา ความโกรธ ความเสียใจ และแค้นใจที่มีต่อหลี่เจี้ยนเฉิง มันมากมายจนไม่อาจบรรยายออกมาด้วยคำพูดใดได้

เซี่ยอี้เจินหัวเราะหนักๆ เดิมเขาเป็นคนดีก็จริงอยู่ ไม่นึกแค้นใจต่อใครก็ย่อมใช่อยู่ แต่นั่นคือคนที่เขาผูกพันด้วยมาตลอด คือคนที่เขารักมาก และน้องชายที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ทว่าบุรุษผู้นั้นมิใช่! คนชั่วช้าที่ลงมือทำร้ายจนเมิ่งอวิ๋นสิ้นใจตาย เขาไม่อาจให้อภัยได้ เขาทำไม่ได้จริง ๆ

ในยามนี้ถูกเมิ่งอวิ๋นส่งมาเพียงดูแลบิดามารดาและพี่ชาย เขาย่อมไม่คิดไปยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้ชั่วช้าผู้นั้นอย่างแน่นอน ต่อให้หัวใจเจ็บแค้นต่อคนผู้นั้นมากมายเพียงใด อำนาจ…ก็เป็นสิ่งที่ต่อกรไม่ได้ง่ายๆ เขาย่อมรู้ดี

หากเขาตายไปใครเล่าจะดูแลบิดามารดาและพี่ชายของเมิ่งอวิ๋น

และเพื่อหลีกเลี่ยงความตายนั้น หลี่เจี้ยนเฉิงชื่อนี้ ย่อมต้องหลีกหนีให้ไกล

ไม่ว่าอีกคนจะใช้ชีวิตต่ำตมกับใครก็ไม่เกี่ยวกับความต้องการของเมิ่งอวิ๋นอยู่แล้ว

“นายน้อยขอรับ อย่าหัวเราะอีกเลย อย่าหัวเราะอีกเลย ฮือ ๆ”

แต่เซี่ยอี้เจินกลับไม่อาจจะหยุดเสียงหัวเราะของตนลงไปได้ หัวใจเจ็บยอกจนระบม พลันอดคิดถึงใบหน้าของผู้ที่ตนรักสุดหัวใจไม่ได้ เธอคนนั้นวางยาฆ่าเขาเพียงเพื่อน้องชายของเขา ทำทุกอย่างแม้แต่ต้องทำลายเขาด้วยสองมือก็ไม่คิดหวาดหวั่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเย้ยหยันยังคงดังอยู่ในหัวไม่หยุด ทุกคำพูดและการกระทำติดตรึงอยู่ในวิญญาณราวกับคำสาปร้าย

มันทรมานจนอยากจะตาย แต่เพราะรู้ว่าทำไม่ได้เซี่ยอี้เจินจึงได้แต่หัวเราะและกระอักเลือดออกมาด้วยความแค้นใจ

เจ็บเพราะความรัก ถูกสังหารโดยคนที่ตนรัก จะมีสิ่งใดทรมานใจไปได้มากกว่านี้อีกเล่า

เซี่ยอี้เจินค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้รอบกายมีเพียงความมืดมิด ก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลลงไปช้า ๆ พร้อมกับความทรมานที่ไม่มีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ท่ามกลางสายตาของเสี่ยวหลงที่ร้อนรนแต่ก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ

เมิ่งอวิ๋น…ผมจะใช้ชีวิตแทนคุณให้เอง จะใช้ชีวิตอย่างดีและทำตามสัญญาอย่างแน่นอน

อย่าเป็นกังวลอีกเลยนะ





ฮรุกกก น้องงงงง เจ็บแทนน้องก็แม่นี่ล่ะค่ะ ลูกของแม่ทั้งสองคนช่างอาภัพ เขียนไปก็สงสารน้องไป หลี่เจี้ยนเฉิงงงงง แกไม่รักลูกฉันทำไมไม่บอกกันดีๆหา!! ทำร้ายลูกฉันทำไม!!! ย๊ากกกกกกก

ฝากติดตามทวิตเตอร์และเพจของแมวด้วยน้า


เมิ่งอวิ๋น



หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (1)100% (Up.16/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-07-2020 00:12:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (1)100% (Up.16/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 18-07-2020 10:26:28
คอยน้องเอาคืน
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2) 50% (Up.20/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-07-2020 22:56:53
[2] 50%

เรียนรู้ชีวิตใหม่

จวนสกุลเมิ่งในยามนี้แสนวุ่นวายอย่างที่สุดเมื่อหมอคนแล้วคนเล่าเดินเข้าออกอยู่จนแทบจะชนกันล้มเสียด้วยซ้ำไป เมิ่งหยวนที่ได้รู้ว่าบุตรชายคนเล็กที่ฟื้นคืนสติขึ้นมา บัดนี้ได้สิ้นสติลงพร้อมกับเลือดอีกกองที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากและเสื้อผ้า หัวใจของคนเป็นพ่อปวดหนึบ เจ็บแค้นในอกแต่ก็ทำอะไรมิได้

อู๋ชิวอิ่งก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ ยังดีที่มีเมิ่งลู่เหยาคอยดูแลไม่ห่าง ความห่วงใยต่อน้องชายคนเดียวของเขาย่อมมีมาก แต่หากต้องห่วงใยแต่น้องแล้วผู้เป็นมารดาเล่า ผู้ใดจะดูแล ในยามนี้มีบิดาคอยสอดส่องตามหาหมอมารักษาอย่างเต็มที่ หากหมอเพียงหนึ่งไม่อาจช่วยเหลือเมิ่งอวิ๋นได้

เช่นนั้นก็ช่วยกันทำให้น้องเขาฟื้นขึ้นมาเสียสิ อย่างไรตำราแพทย์ก็คงมิแตกต่างกันนัก

หาจะลองดูสักครั้งก็คงพอทำได้

“ฟื้นแล้วขอรับ! คุณชายเมิ่งอวิ๋นฟื้นแล้ว!”

“จริงรึ!!” เมิ่งหยวนที่ยังไม่ทันจะได้ปลอดโปร่งใจก็พลันขยับตัวถลาร่างเข้าไปหาร่างของบุตรชายที่อยู่ในห้องทันที ใบหน้าที่เคยน่ารักน่าเอ็นดูซีดเซียวลงไปทันตา ริมฝีปากแห้งผากจนแตกเป็นขุย ดวงตาหรี่ปรือด้วยอาการอ่อนแรงจนต้องพยายามฝืนให้ตัวเองยังคงสติเอาไว้ได้

เมิ่งหยวนปวดใจนักกับสภาพของบุตรชายในยามนี้ ไม่เพียงแต่เมิ่งหยวน แม้แต่เมิ่งลู่เหยาก็ไม่อาจทนมองหน้าน้องชายได้อย่างเต็มตาโดยไม่แสดงอาการปวดร้าวในใจได้เลย

“ท่าน…พ่อ พี่…ใหญ่” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกทั้งสองคนอย่างยากลำบาก

“เหตุใดเจ้าไม่รักษาตนเองเช่นนี้ ทำไมยังปล่อยให้ตนเองโกรธจน...ฮึ่ม!” เมิ่งหยวนสะบัดแขนเสื้อด้วยความคับแค้นใจ เขาได้ฟังเรื่องราวมาจากเสี่ยวหลงแล้ว จึงได้เต็มไปด้วยโทสะเช่นนี้

“ข้าขอโทษขอรับท่านพ่อ ข้าเพียงแค่…อยากทราบถึงสาเหตุที่ข้าต้องเจ็บตัวเช่นนี้” เซี่ยอี้เจินหลุบดวงตากลมสีเกาลัดลง ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็วุ่นวาย เมิ่งหยวนได้แต่ถอนหายใจออกมา แม้ว่าอยากจะโกรธบุตรชายมากมายสักเพียงใด แต่ท่าทางที่แสนน่าสงสารของเด็กชายตัวน้อย ที่เขาเฝ้าดูแลมาตั้งแต่ยังเล็กก็ทำให้เขาทำใจแข็งโกรธบุตรชายคนนี้ไม่ลง

“ช่างเถิดๆ จากนี้ไปเจ้าก็ลืมๆ มันไปเสียให้หมด มิต้องเสาะหาความจริงใดๆ อีกก็พอ เจ้ารู้หรือไม่เสี่ยวอวิ๋น…ว่าในยามนี้แม่เจ้าร่ำไห้จนแทบจะขาดใจสลบไปจนต้องพาไปพักผ่อนเพราะเป็นห่วงเจ้า!” เซี่ยอี้เจินยิ่งหดตัวลงไปอีกยามได้ฟังคำกล่าวจากปากของบิดา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของใคร

“ท่านพ่อ ข้าว่าบางทีการที่เสี่ยวอวิ๋นได้รู้มันก็ดีนะขอรับ หากได้รู้บางทีเขาอาจจะตัดใจจากคนผู้นั้นได้บ้าง” ใบหน้าที่เคร่งขรึมเหลือบมองใบหน้าของบุตรชายคนเล็กอย่างคิดประเมินในวาจาของบุตรอีกคน แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ใช้จะไม่ดีต่อเมิ่งอวิ๋น การที่เมิ่งอวิ๋นตัดใจได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ตัวเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา จะหาอำนาจไหนใดเล่ามาช่วยบุตรขายของเขาได้ หากเกิดปัญหาใดขึ้น มิเท่ากับว่าเขาต้องยืนดูบุตรชายของตน…ตายตกไปหรอกหรือ

เพียงแค่คิดเมิ่งหยวนยังสะท้านในอกราวกับว่าเหตุการณ์ที่ว่าได้เกิดขึ้นมาแล้ว มือทั้งสองสั่นจนยากจะควบคุมได้ เมิ่งหยวนสูดลมหายใจระงับความรู้สึกรวดร้าวในหัวใจที่คล้ายกับถูกกระชากดวงใจทิ้งไปอยู่เงียบๆ

“ท่านพ่อ?” เมื่อเห็นว่าบิดาเงียบลงไป สองคิ้วยังขมวดเป็นปมและสีหน้าเริ่มย่ำแย่ยิ่งทำให้เมิ่งลู่เหยาเกิดความไม่เข้าใจ

“เสี่ยวอวิ๋น”

“ขอรับท่านพ่อ” เสียงหวานขานรับไม่ดังนัก ใบหน้างดงามค่อยๆ แหงนเงยขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อสบสายตากับผู้เป็นบิดา

“หลี่เจี้ยนเฉิง…เจ้ารู้สึกเช่นไรกับชื่อนี้”

“ท่านพ่อ!”

“เจ้าเงียบเสียอาเหยา!” เมิ่งลู่เหยาที่ส่งเสียงเรียกหวังห้ามปรามบิดา แต่ไหนเลยจะคิดว่าบิดาจะสั่งให้ตนเงียบลงเช่นนี้ การบอกเล่าเหตุการณ์เลวร้ายว่าได้ว่าเป็นเรื่องสมควรที่อาจจะเป็นผลดีต่อความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นได้ แต่การถามทั้งที่ยังไม่มีเรื่องมากมายมากระทบจิตใจ เขาเองก็เกิดกลัวเช่นกันว่าเมิ่งอวิ๋นอาจจะยังรักคนผู้นั้นอยู่

“ข้ามิรู้จักเขาขอรับ จึงมิอาจมีความรู้สึกใดๆ ให้ได้บอกกล่าวต่อท่านพ่อ” ได้ยินคำตอบของบุตรชายเมิ่งหยวนก็รู้สึกว่าหัวใจปลอดโปร่งด้วยความยินดี

“เป็นเช่นนั้นย่อมดี เป็นเช่นนั้นย่อมดี” เมิ่งลู่เหยาเองก็พลันโล่งใจ ส่งยิ้มให้น้องชายตัวน้อยในสายตาเขาอย่างเอาอกเอาใจ อย่างไรเสียเมื่อครั้งยังเล็ก เมิ่งอวิ๋นก็เป็นน้องชายตัวน้อยที่คอยติดตามพี่ชายอย่างเขาต้อยๆ

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้างตอนนี้ เจ็บตรงไหนหรือไม่” เซี่ยอี้เจินส่งยิ้มบางๆ ให้กับผู้เป็นพี่ชาย หัวใจพลันรู้สึกอุ่นวาบอย่างอธิบายไม่ถูก ในชาติก่อนเขามีเพียงน้องชาย จึงมิเคยได้รับความรักและห่วงใยเช่นนี้ การถูกรักโดยผู้ที่มีฐานะเป็นพี่ มันดีเช่นนี้เองหรือ

“มิเป็นไรแล้วขอรับพี่ใหญ่ ข้าเพียงเจ็บที่อกเล็กน้อยยามที่ข้าหายใจ แต่ก็มิได้มากมายอันใดเลย ข้าสามารถวิ่งให้ท่านดูก็ได้”

“ไม่ได้นะ!” เซี่ยอี้เจินหมายความเช่นนั้นจริงๆ เขาพยายามลุกขึ้นมาจากตั่งที่ตนนอนอยู่แต่ก็ถูกหวงเลี่ยงที่เป็นหมอรีบเอ่ยห้ามปรามเสียก่อน

“หากคุณชายเมิ่งลุกขึ้นมา เกรงว่าร่างกายจะมิอาจหายดีได้”

“จริงอย่างที่ท่านหมอว่า เจ้านอนพักเสียงเถิด ไว้หายดีกว่านี้เจ้าอยากจะวิ่งเล่นที่ใดข้าก็จะให้อาเหยาพาเจ้าไป” คำกล่าวที่ว่าอยากจะไปวิ่งเล่นที่ใดก็จะให้ผู้เป็นพี่ชายพาไปนั้น ช่างเป็นคำกล่าวที่อบอุ่นหัวใจจนเซี่ยอี้เจินน้ำตาคลอเต็มสองตา เอ่ยตอบบิดาด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริก

“ขอบคุณท่านพ่อ ช้าจะรักษาตัวจนกว่าจะหายดีอย่างแน่นอนขอรับ” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งหยวนก็พอใจอย่างยิ่งจึงได้สั่งกำชับบ่าวรับใช้อีกรอบ

“ดี พวกเจ้าก็ดูแลเสี่ยวอวิ๋นดีๆ อย่าให้ลูกข้าป่วยได้อีก”

“ขอรับนายท่าน” เหล่าบ่าวรับใช้ได้แต่เพียงตอบรับ แต่ไหนเลยใครจะรู้ได้ว่าสิ่งที่คิดอยู่ในใจจะเป็นเช่นไร บ่าวรับใช้ทุกผู้น้ำตาตก พวกมันหรือจะสามารถห้ามอาการป่วยไข้ของนายน้อยของมันได้ หากมันทำได้เช่นนั้นก็ไปเป็นหมอเทวดากันเสียแล้ว

“ท่านหมอ เชิญ ข้าจะไปส่ง” หวงเลี่ยงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปรากฏรอยยิ้ม ท่วงท่าดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่งมากกว่าหมอคนใด เขามองมือที่ผายออกเชิญให้เขาเดินนำอย่างพอใจ

“ได้ คุณชายเมิ่งทั้งสองโปรดรักษาสุขภาพด้วย” เมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินขยับยิ้มส่งให้ชายวัยกลางคนเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป

“ท่านพ่อช้าขออยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวอวิ๋นได้หรือไม่ขอรับ” เมิ่งหยวนมองแววตาใสของบุตรชายคนเล็กที่ปรากฏความต้องการและยินดียามที่ผู้เป็นพี่เอ่ยขออยู่ต่อด้วยความรู้สึกหวานในอกไม่น้อย

“ได้…เจ้าอยู่ดูแลน้องไปเถิด ข้าจะออกไปส่งท่านหมอหวงเอง”

“ขอบคุณท่านพ่อ!”

หลังจากเมิ่งหยวนเดินจากไป เมิ่งลู่เหยาก็เดินเข้ามาใกล้ตั่งนอนของน้องชายด้วยความระมัดระวัง มองใบหน้าที่แทบจะไร้สีเลือดด้วยความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งอก เป็นพี่ชายแต่กลับปกป้องน้องไม่ได้เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดกัน คนผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ มีหรือที่สกุลเมิ่งจะสามารถทำสิ่งใดต่อคนผู้นั้นได้ เขาเองก็เป็นเพียงพ่อค้าที่ช่วยท่านพ่อดูแลกิจการที่มี แม้จะร่ำรวยมากด้วยเงินทองที่ต่อให้กินใช้เช่นไรก็มิมีวันหมด แต่มีเงินมิใช่มีอำนาจ เม็ดเงินให้มากกี่สิบเท่าก็ไม่อาจเท่าอำนาจในมือของสกุลหลี่ไปได้หรอก

นึกแล้วก็น่าแค้นใจยิ่งนัก! คนผู้นั้นทำให้น้องชายของเขาเจ็บทั้งกายใจ แต่มันกลับ…

ช่างชั่วช้าเสียงยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน! น่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก!

“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือ” เสียงหวานหูของเมิ่งอวิ๋นเรียกสติที่กำลังจะหายไปของเขากลับมาได้ เมิ่งลู่เหยาลูบศีรษะเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยเส้นไหมแสนสลวยสีดำสนิทอย่างเบามือ ริมฝีปากแย้มยิ้มที่อ่อนโยนออกมาให้น้องได้คลายกังวล

“มิมีอะไรให้เจ้าต้องกังวลเลยเสี่ยวอวิ๋น เจ้าในยามนี้กำลังป่วย ต้องพักผ่อนให้มากๆ ที่ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ก็เพื่อจะคอยเล่าสิ่งต่างๆ ให้เจ้าได้คลายเหงาลงบ้างเท่านั้น” เซี่ยอี้เจินหัวเราะเบาๆ ดูก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายเพียงบอกปัดออกไปให้พ้นตัวเสียมากกว่า

“ได้ๆ เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็เล่าอะไรให้ฟังหน่อยเถิด ข้าเบื่อยิ่งนัก”

“เจ้าอยากฟังอะไรเล่า พี่จะได้เล่าให้เจ้าฟังได้” เซี่ยอี้เจินแสร้งทำเป็นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง

“ข้าลืมไปหมดทุกสิ่ง เช่นนั้นเอาเป็นพี่ใหญ่เล่าเรื่องของสกุลเมิ่งของเราดีรึไม่”

“ได้ ช้าจะเล่าเอง”

เซี่ยอี่เจินขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงอก พลิกกายไปด้านข้างเพื่อรอฟังนิทานที่เป็นเรื่องจริงของเมิ่งอวิ๋นเงียบๆ โดยไม่พูดสิ่งใด คอยแต่จะจำจดเอาไว้เสียมากกว่าไม่ว่าเรื่องเล็กหรือน้อยใหญ่ใดๆ

“ท่านปู่เป็นคนพเนจรผ่านทางมาที่เมืองหลวง ก่อนจะพบรักกับท่านย่าและเริ่มใช้เงินของท่านในการเปิดเหลาอาหารและเหลาสุราขึ้นมา ต่อมาท่านปู่และท่านย่าที่ช่วยกันประคับประคองดูแลกิจการมาอย่างดีก็ได้เกิดผลกำไรขึ้นมามากมาย จากคนที่พอมีข้าวกินได้มื้อต่อมื้อ ก็กลับกลายมาเป็นคนร่ำรวยในเมืองหลวง” เมิ่งลู่เหยาดึงผ้าห่มขึ้นมาให้กับเมิ่งอวิ๋นเล็กน้อยเมื่อพบว่าน้องชายของตนกำลังตั้งอกตั้งใจฟังเหลือเกิน

“พอเวลาผ่านไปสักพัก ท่านปู่กับท่านย่าก็มีท่านพ่อออกมา ท่านพ่อยังเคยบอกเลยนะว่า ท่านปู่ชอบกล่าวตำหนิอยู่เสมอว่าท่านพ่อชอบทานอาหารในเหลามากยิ่งกว่าที่ทานในบ้านเสียอีก เพราะเป็นเช่นนั้น ท่านปู่จึงเปิดเหลาอาหารให้ใหญ่ขึ้น ขยับขยายจนเหลาอาหารของเราตอนนี้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเหลาอาหารใด ๆ เสียอีก” เซี่ยอี้เจินที่ได้ฟังก็เบิกตากว้าง ดวงตาสีเกาลัดเป็นประกายระยิบระยับน่ามองเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“พี่ใหญ่ ข้า ข้าอยากจะไปที่เหลาอาหารของพวกเราสักครั้ง”

“เจ้าก็ไปมา อา จริงสินะ เจ้าลืมมันหมดเสียแล้วนี่” ร่างบางพยักหน้าเบาๆ แต่เมิ่งลู่เหยาก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพียงแค่มองดวงตากลมๆ ของผู้เป็นน้องชายอย่างเอ็นดู เจ็บตัวเช่นนี้ก็ไม่วายอยากจะออกไปเที่ยวเล่น เพราะหลงลืมไปเสียทุกสิ่งจึงได้กลับมาเป็นเด็กน้อยให้เขาได้ชื่นใจอีกครั้งหรือ เมิ่งลู่เหยาคิด ทว่าความจริงแล้วนั้นหารู้ไม่ว่า เซี่ยอี้เจินเพียงต้องการไปลิ้มรสอาหารในสมัยนี้ก็เท่านั้น

อุตส่าห์ได้มาถึงเมืองหลวงในสมัยที่ยังไม่มีความเจริญรุ่งเรือง แถมยังมีเหลาอาหารเป็นของตระกูล ซ้ำยังเป็นเหลาอาหารอับดับหนึ่งของเมืองหลวงอีก เช่นนี้จะไม่ให้ลิ้มลองได้อย่างไร

เซี่ยอี้เจินจินตนาการถึงอาหารน่าตาน่าทานอย่างหิวกระหาย ในตอนที่ยังเป็นเซี่ยอี้เจินที่ต้องดูแลบริษัทใหญ่โต สิ่งที่ปลอบประโลมความเหนื่อยล้าของเขาได้นั้น มีเพียงแค่อาหารจากแม่บ้านสกุลเซี่ยที่ทำมาให้เขาเท่านั้น

เมิ่งลู่เหยาหัวเราะเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจในความตะกละของน้องชาย น้ำสีใสไหลออกมาจากมุมปากของเมิ่งอวิ๋นยามที่สายตาวิบวับนั้นแสดงออกถึงความต้องการที่จะกวาดต้อนความอร่อยเข้าสู่ท้องเล็ก ๆ นั่นให้หมด แค่เพียงเขาเอ่ยเล่าถึงเรื่องราวที่ท่านปู่เปิดเหลาอาหารเพียงเท่านี้…ก็สามารถทำให้เมิ่งอวิ๋นน้องชายตัวน้อยของเขาหิวโหยได้ขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เห็นจะให้ความสนใจมันเลยสักครั้ง

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ หากเจ้าแข็งแรงในเร็ววัน พี่จะพาเจ้าไปเอง ไม่ว่าที่ใดที่เจ้าอยากไป พี่ล้วนจะพาเจ้าไปทั้งสิ้น” ได้ยินเช่นนี้เซี่ยอี้เจินก็พลันปรากฏรอยยิ้มแสนไร้เดียงสา คล้ายเด็กน้อยที่ได้ของที่ถูกใจจึงแสดงอาการดีใจไร้สิ่งปกปิด เมิ่งลู่เหยาที่มองหน้าน้องชายของตนเองอยู่ก็พลันร่างกายแข็งทื่อ ตกใจจนแทบจะลืมหายใจเสียด้วยซ้ำยามที่ได้เห็นรอยยิ้มจากน้องชายตนเองเช่นนี้

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่เคยได้เห็นใบหน้าเช่นนี้ของเมิ่งอวิ๋น

รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ของน้องชายเขา มิเคยมีสิ่งใดเทียบได้

เมิ่งลู่เหยากล่าวกับตนเองอย่างหนักแน่นว่า แต่นี้ต่อไปเขาจะปกป้องรอยยิ้มอันแสนล้ำค่าของน้องชายไว้ให้จงได้ ต่อให้ทางข้างหน้าจะต้องถูกหอกหรือดาบทิ่มแทงจนตาย รอยยิ้มของเมิ่งอวิ๋นก็ไม่ควรถูกทำให้หายไป เพราะสำหรับสกุลเมิ่งแล้ว เมิ่งอวิ๋นนั้นเปรียบได้ดั่งแก้วตาและดวงใจของทุกคน ต่อให้ภายนอกจะเก่งกล้าเพียงใด แต่เมิ่งลู่เหยาย่อมรู้จักน้องชายของตนเองดีกว่าใคร ว่าเมิ่งอวิ๋นนั้น...อ่อนโยนยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก









50%





มาช้าไม่ใช่ว่าไม่มานะคะ วันนี้แค่ยุ่งๆนิดหน่อย แต่แมวก็มาแล้วววว ครึ่งหลังวันพฤหัสนะจ๊ะ รอกันได้เลย 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2) 50% (Up.20/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 21-07-2020 11:24:03
โธ่ น้อง ขนาดแค้นจนกระอักเลือดยังไม่วายห่วงกิน น่าเอ็นดูจริง
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2) 50% (Up.20/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-07-2020 22:45:17
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2) 50% (Up.20/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 22-07-2020 18:46:57
 :really2:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2)100% (Up.23/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 23-07-2020 19:01:16
[2] 100%


เซี่ยอี้เจินที่เห็นพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นเงียบลงก็นึกหวั่นใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงเอาได้ว่าตนเองไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นน้อยที่พวกเขาเฝ้าทะนุถนอมเอาไว้ เซี่ยอี้เจินจึงได้ยื่นมือออกไปช้า ๆ ลองสัมผัสมือของเมิ่งลู่เหยาเบาๆ เหมือนครั้งที่เซี่ยอี้เจินยังคงเป็นเซี่ยอี้เจิน เป็นพี่ชายที่ปลอบโยนน้องชายด้วยความจริงใจ

“พี่ใหญ่...ข้าทำอะไรผิดหรือ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นทั้งสั่นเครือและไร้ความมั่นใจ หัวใจของเมิ่งลู่เหยากระตุก นึกโกรธตนเองที่ทำให้น้องชายหวั่นใจถึงขนาดนี้

“มิใช่ๆ เจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิด พี่ผิดเอง พี่เพียงแค่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เท่านั้น” เซี่ยอี้เจินระบายยิ้มออกมา พรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใดในตัวของเขา

เซี่ยอี้เจินลอบมองใบหน้าที่เหม่อลอยของเมิ่งลู่เหยาอย่างอดสงสารไม่ได้ หากคนที่รักและเอ็นดูน้องชายอย่างเมิ่งลู่เหยาเกิดรู้ว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นได้ตายไปแล้ว ด้วยน้ำมือของผู้ชายที่เจ้าตัวรักมาก เมิ่งลู่เหยาคงใจสลาย คงเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจนอยากปลิดชีพตนเองตามไป แต่เมื่อเขามาแทนที่เมิ่งอวิ๋น ในเมื่อเมิ่งอวิ๋นไม่ปรารถนาจะพบเจอบุรุษชั่วช้าผู้นั้น เซี่ยอี้เจินก็ของให้สัญญาว่า จะไม่มีวันเฉียดเข้าไปใกล้บุรุษผู้นั้นอย่างแน่นอน

ในโลกนี้ไหนเลยจะมีความรักที่มั่นคง

เงินเท่านั้นที่เชื่อมั่นได้!

ยิ่งได้ขบคิดเซี่ยอี้เจินยิ่งอยากจะออกไปที่เหลาอาหารเสียเดี๋ยวนั้น อยากจะนำความตื่นตาตื่นใจมาให้กับลูกค้าที่มานั่งรับประทานอาหาร

ได้ชื่อว่าเหลาอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง จะมีดีเพียงอาหารได้อย่างไร

ภายในหัวของเซี่ยอี้เจินขบคิดถึงวิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อดึงดูดใจลูกค้า ก่อนตายเซี่ยอี้เจินเองก็ไม่ใช่เด็กอมมือ เขาบริหารจัดการทุกอย่างที่เป็นกิจการในเครือของตระกูลเซี่ยอย่างดี เติมโตด้วยผลกำไรมากมายก่ายกองที่ไม่ว่าใครต่างก็อิจฉา เช่นนี้แล้ว...เพียงเหลาอาหารเขาจะทำกำไรไม่ได้เชียวหรือ

หากลองขบคิดแล้ว ตัวของเมิ่งอวิ๋นก็มีความผิดที่คิดทำร้ายหญิงผู้นั้น ผู้ที่แม่ทัพใหญ่ปรารถนาสุดดวงใจ มิแปลกที่จะถูกอีกฝ่ายโมโห หากแต่ว่าต่อให้ผิดเช่นไร...การปล่อยให้ผู้อื่นชำเราจนเมิ่งอวิ๋นสิ้นใจก็นับได้ว่า

ไร้หัวใจเกินมนุษย์

เซี่ยอี้เจินถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้ จากการคิดทบทวนแล้วดูเหมือนว่าการเป็นศัตรูกับแม่ทัพผู้นี้คงมิใช่เรื่องดีเท่าใดนัก แต่จะให้เขาเข้าไปกอดแข้งกอดขาเพื่ออยู่อยากอดสู่ก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรสำหรับเขาก็นับได้ว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นได้ดับลมหายใจของเมิ่งอวิ๋นไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าความจริงในเวลานี้จะยังมิเกิดเหตุการณ์นั้นก็ตามที

ยามนึกถึงเหตุการณ์อันน่าอดสู เซี่ยอี้เจินพลันเจ็บในอกจนต้องยกมือขึ้นมาลูบมันเบาๆ เพื่อปลอบประโลม ไม่ว่าจะเคยเกิดสิ่งใดขึ้นกับเมิ่งอวิ๋นคนก่อน เขาก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตตามทางที่เมิ่งอวิ๋นเดิม ยามนี้เราแลกเปลี่ยนวิญญาณแก่กันแล้ว ชีวิตนับต่อจากนี้ไป คือของเขา ของเซี่ยอี้เจินมิใช่ของใครอีก

“เสี่ยวอวิ๋น...เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่งั้นหรือ?” เซี่ยอี้เจินหลุดออกจากภวังค์ยามได้ยินเสียงของเมิ่งลู่เหยาเรียกตน เขาเหลือบมองใบหน้าของผู้เป็นพี่ชายเล็กน้อย อยากจะบอกเหลือเกินว่าในยามนี้เมิ่งอวิ๋นจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว แต่เขาก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มที่แสนกล้ำกลืนความชอกช้ำใจไปให้

“ข้าเพียงเบื่อหน่าย อยากออกไปข้างนอกบ้างเท่านั้น”

ไม่ใช่เลย เขาเพียงแค่คิดถึงเมิ่งอวิ๋น ไม่รู้ว่าในตอนนี้ทางนั้นจะเป็นเช่นไร จะถูกน้องชายและคนรักของเขา...ลงมือสังหารอีกครั้งหรือไม่

เซี่ยอี้เจินอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันก็อาจจะเป็นได้ เพราะชีวิตของเซี่ยอี้เจินนั้นทุกข์ระทมยิ่งกว่า แต่ชีวิตของเมิ่งอวิ๋นที่เขาได้มาในยามนี้ กลับไร้ซึ่งทุกข์ใด ๆ มีเพียงความน่ากลัวที่ถูกจดจำเอาไว้จนฝังวิญญาณเท่านั้น หากแต่ครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นกลับอบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก ผิดกับชีวิตของเซี่ยอี้เจิน ที่ไม่ว่าจะมองเช่นไร...ก็มิมีความรักใคร่อยู่ในนั้น

“เช่นนั้น...พรุ่งนี้พี่จะขออนุญาตท่านพ่อพาเจ้าไปเที่ยวดีหรือไม่?” เซี่ยอี้เจินปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวทันทีที่ได้ยินว่าพี่ชายจะพาออกไปเที่ยว ดวงตาสีเกาลัดหรี่ลงพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มยิ้ม

“จริงๆ นะพี่ใหญ่!” เมิ่งลู่เหยาหัวเราะออกมาเบาๆ กับความน่าเอ็นดูของน้องชาย หากเป็นก่อนที่เมิ่งอวิ๋นจะเสียความทรงจำไป เขาคงไม่มีโอกาสแม้จะได้เห็นความเป็นเด็กเช่นนี้ของเมิ่งอวิ๋นเป็นแน่

“แน่นอน เจ้าก็รีบหายเถิด หากพรุ่งนี้เจ้ายังไม่หาย ต่อให้ข้าขอท่านพ่อเช่นไร ท่านพ่อย่อมไม่มีทางยอมให้เจ้าออกไปเที่ยวอย่างแน่นอน”

คงเป็นดั่งที่เมิ่งลู่เหยากล่าวไว้ หากวันพรุ่งนี้เขายังไม่หายดีขึ้นมาคงไม่มีทางได้ก้าวออกไปจากห้อง เซี่ยอี้เจินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำของเมิ่งลู่เหยา ขยับกายลงนอนในท่าที่สบายแล้วดึงผ้าขึ้นมาห่มก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้การพักผ่อนค่อยๆ รักษาตัวเขาให้ดีขึ้น ลบภาพความโหดร้ายที่เมิ่งอวิ๋นได้พานพบมาด้วยความฝันที่แสนหวาน ลบความกังวลทั้งหมดออกไปเสียก่อน เมื่อถึงเวลาของมัน ทุกอย่างคงได้คลี่คลาย













เซี่ยอี้เจินลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการสดชื่นแจ่มใส ในอกที่เคยปวดร้าวทรมาน บัดนี้หายไปมากกว่าครึ่ง หลงเหลือเพียงความเจ็บยอกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังพอให้รู้สึกรำคาญใจ เสี่ยวหลงเองก็คอยปลุกเซี่ยอี้เจินขึ้นมาทานยาทุกๆ สองชั่วโมง รสยานั้นมันขมยิ่งกว่าสิ่งใดที่เซี่ยอี้เจินเคยได้ลิ้มรสมาทั้งหมด เวลานี้สิ่งที่เซี่ยอี้เจินสนใจมากที่สุด คงจะเป็นการไปเที่ยวตามสัญญาของผู้เป็นพี่อย่างเมิ่งลู่เหยา

“เสี่ยวหลง เจ้าเห็นพี่ใหญ่หรือไม่?” คนถูกถามเลิกคิ้วมองใบหน้าของนายน้อยตนด้วยความแปลกใจ ร้อยวันพันปีเมิ่งอวิ๋นผู้เป็นนายของมันเคยถามหาพี่ชายคนนี้เสียเมื่อไร หากลืมตาตื่นมาแล้วนั้นมีแต่จะวิ่งออกไปหาท่านแม่ทัพเสียมากกว่า แต่ผู้ที่สวมอาภรณ์สีฟ้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของมันนามนี้กลับเอ่ยถามหาพี่ชาย มิใช่เรียกหามันเพื่อจะให้ติดตามไปที่จวนแม่ทัพหลี่ “ว่าอย่างไร เห็นพี่ใหญ่ข้าหรือไม่?”

เสี่ยวหลงคืนสติที่ตกตะลึงงงงันได้ทันที “เอ่อ อยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”

“ดี...” แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกไป เซี่ยอี้เจินก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้เสียก่อนจึงได้หันกลับมาหาเสี่ยวหลงอีกครั้ง “เจ้า...ห้องหนังสือไปทางใด?”

เสี่ยวหลงถึงกับนิ่งอึ้ง นี่มันหลงลืมไปได้อย่างไรว่านายน้อยของมันเสียความทรงจำไปแล้ว “บ่าวจะนำทางไปเองขอรับ ทางนี้ของรับนายน้อย” เสี่ยวหลงเดินนำทางให้กับเซี่ยอี้เจินอย่างแม่นยำ กล่าวตำหนิตนเองที่เผลอลืมเลือนไปได้อย่างไรว่าเจ้านายของมันนั้นถูกรถม้าชนจนสิ้นสติ ครั้งเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เปลี่ยนเป็นคนไร้ความทรงจำ น่าเห็นใจนายน้อยยิ่งนัก

เซี่ยอี้เจินหันไปมองรอบกายอย่างต้องการสำรวจ บ้านเรือนในยามนี้นั้นไม่เหมือนกับในห้วงเวลาที่เขาจากมา อากาศเองก็ช่างสดชื่น ไร้ซึ่งมลพิษใด ๆ เจือปนให้เกิดความอึดอัด คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง ร่างกายของเขาจึงได้ฟื้นตัวเร็วนัก หากเป็นเมื่อครั้งที่อยู่บ้านสกุลเซี่ย คงใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะหายดีได้

บ้านเรือนใหญ่โตถูกสร้างมาจากไม้ ไม่มีอิฐปูนดังเช่นในช่วงเวลาของเขา ทุกสิ่งมาจากธรรมชาติ อีกทั้งยังมีความเป็นอยู่อันเรียบง่าย ไม่มีการเร่งรีบจนไม่เป็นระเบียบ เซี่ยอี้เจินมองแล้วเพลิดเพลินไปกับรอบกาย

“ถึงแล้วขอรับนายน้อย นายน้อยลู่เหยาอยู่ข้างในนี้ขอรับ” เซี่ยอี้เจินมองประตูตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ขอบใจเจ้ามาก อีกเดี๋ยวข้ากับพี่ใหญ่จะออกไปข้างนอก เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?” อย่างไรเสี่ยวหลงก็เป็นคนที่คอยดูแลเมิ่งอวิ๋นมาตลอด อีกทั้งยังคอยดูแลเขาเองที่มาอยู่ในร่างของเมิ่งอวิ๋นอย่างดีด้วยเช่นกัน ถึงแม้เมิ่งอวิ๋นจะไม่ได้ใส่ใจเด็กคนนี้มากนัก แต่เมื่อเมิ่งอวิ๋นในยามนี้คือเขา เขาก็ย่อมมีสิทธิ์จะพาคนออกไปด้วยได้ ไม่น่าจะแปลกประหลาดอะไร

เสี่ยวหลงเบิกตากว้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความตกใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้งใจ คุกเข่าลงเบื้องล่างใกล้ฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย “บ่าวอยากไปขอรับนายน้อย”

เมิ่งอวิ๋นยิ้มบาง ๆ พยักหน้าเข้าใจและอดปวดใจเล็กน้อยไม่ได้ “เช่นนั้นก็รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวรอไปพร้อมกับข้าและพี่ใหญ่”

“ขอรับนายน้อย”

เสี่ยวหลงมองตามร่างของเมิ่งอวิ๋นที่เปิดประตูเข้าไปภายในเงียบๆ ประตูเพียงปิดลงหยาดน้ำตาของเสี่ยวหลงก็พลันไหลลงอาบสองแก้ม นายน้อยของมันช่างดีเหลือเกิน ดีต่อมันเหลือเกิน

เซี่ยอี้เจินเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นพี่ที่ยังคงวุ่นวายกับการค้นหาหนังสืออยู่ จนไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะเข้ามาบ้าง เขามองพี่ชายอย่างจนใจ สมาธิดีเลิศอะไรปานนั้น หรือควรจะสงสารภรรยาในอนาคตของพี่ชายคนนี้ดี หากแต่งเข้ามาแล้วพี่ชายของเขาเกิดจดจ่อกับอะไรสักอย่าง แม้แต่หน้าเมียก็คงจะลืมไปเสียด้วยซ้ำ

“พี่ใหญ่ ท่านกำลังหาสิ่งใดหรือ” เมิ่งลู่เหยาหยุดชะงักมือลงทันที หันหน้ามามองน้องชายที่ยืนอยู่ภายในห้องแทน

“อา เจ้ามาแล้วหรือ รอเดี๋ยวนะ พี่ขอหาให้พบก่อน” เซี่ยอี้เจินมองภาพพี่ชายวิ่งวุ่นหาบางสิ่งอย่างอุตลุด ริมฝีปากบางแย้มยิ้มก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้เมิ่งลู่เหยามากยิ่งขึ้น

“พี่ใหญ่ สิ่งใดกันที่ท่านกำลังหา บอกข้าเถอะ ข้าจะช่วยท่านเอง” เมิ่งลู่เหยาหยุดชะงักมือที่กำลังรื้อค้นลงกับคำพูดของเมิ่งอวิ๋น ในใจของผู้เป็นพี่เช่นเขาไหววูบ นึกเอ็นดูน้องชายเสียยิ่งกว่าก่อนเก่า ยิ่งเมิ่งอวิ๋นทำตัวดีมากเท่าใดเมิ่งลู่เหยาก็ยิ่งโกรธแค้นหลี่เจี้ยนเฉิงมากยิ่งขึ้น น้องชายของเขาดีขนาดนี้...แต่คนผู้นั้นกลับลงมือทำร้ายได้ลง นึกแล้วช่างแค้นใจ!

“พี่กำลังหากล่องไม้เก่า ๆ ถ้าเจ้าพบแล้วบอกพี่ด้วยนะ” เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาต่างก็พากันค้นหาอย่างจริงจัง ความจริงแล้วเซี่ยอี้เจินคิดจะถามเหมือนกันว่าของสิ่งนั้นสำคัญมากเลยหรือถึงต้องหาให้พบในยามนี้ อีกทั้งยังต้องค้นหาด้วยตนเองมิยอมสั่งให้ใครเข้ามาช่วย แต่ภายในกล่องไม้นั่นมีสิ่งใดอยู่กัน นั่นคือสิ่งที่เซี่ยอี้เจินได้แต่สงสัย

เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อทั้งสองก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะพบ หนังสือถูกนำออกมาทีละเล่มเพื่อดูว่าของที่หาจะอยู่ด้านหลังบ้างหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะหาเช่นไรก็ไม่พบสิ่งนั้นเลย เมิ่งลู่เหยาหัวเสีย ความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาทดแทนอารมณ์ดีก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น เซี่ยอี้เจินเห็นความไม่สบอารมณ์ของเมิ่งลู่เหยาอย่างชัดเจนก็นึกอยากจะเอ่ยปลอบสักคำ หากแต่ไม่ว่าจะปลอบเช่นไรก็ไม่อาจจะเอ่ยออกไปได้ ด้วยเพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่พี่ชายกำลังหาอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่

“พี่ใหญ่ สิ่งที่ท่านกำลังหาสำคัญมากเลยหรือ?” เมิ่งลู่เหยาถอนหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจของตนให้หมดสิ้น ก่อนจะหันมามองสบตากับเมิ่งอวิ๋นด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น

“มันเป็นของพี่ที่เก็บเอาไว้จะมอบให้แก่เจ้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะหายไปเสียแล้ว” น่าเสียดายนัก ทั้งที่ของสิ่งนั้นทั้งงดงามและเหมาะกับเมิ่งอวิ๋นที่สุด แต่เขากลับเลินเล่อ ทำหายไปเสียได้

เมิ่งอวิ๋นยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ “ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ข้าย่อมต้องชอบมันอย่างแน่นอน”

ใช่แล้ว ต่อให้มันจะเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่สำหรับเซี่ยอี้เจินนั้นมันย่อมมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

“เสี่ยวอวิ๋น...”

“พี่ใหญ่อย่าได้คิดกังวลเลย ไม่เช่นนั้นเอาเช่นนี้ดีหรือไม่ วันนี้ท่านสัญญาแล้วว่าจะพาข้าไปเที่ยว พี่ใหญ่ก็ลองหาของสักชิ้นซื้อให้ข้าก็ได้” สำหรับเซี่ยอี้เจินที่ไม่เคยมีพี่ชายมาห่วงใย มอบของให้เช่นนี้มาก่อนนั้น สิ่งนี้มันจึงพิเศษสำหรับเขามากเหลือเกิน แม้ว่าของชิ้นนั้นจะมีราคาถูกมากน้อยเพียงใด เซี่ยอี้เจินก็ไม่คิดจะบ่นมันสักคำ

เพียงแค่เขาได้สัมผัสถึงความรักที่ได้รับมาจากการเป็นน้อง...มันหอมหวานจนเซี่ยอี้เจินไม่ต้องการจะปล่อยมือจากมัน ในตอนนี้สิ่งนี้จะใช่ของเขาหรือไม่เขาไม่รู้ แต่เซี่ยอี้เจินสัญญาเลยว่า...เขาจะเป็นน้องชายที่ดีของเมิ่งลู่เหยาแทนเมิ่งอวิ๋นให้ได้ อย่างที่ได้ให้สัญญาต่อเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ ตอบแทนที่อีกฝ่ายยอมมอบชีวิตนี้ให้เขา

“เช่นนั้นก็ได้ ไปเถอะ...พี่จะพาเจ้าไปขออนุญาตต่อท่านพ่อท่านแม่เสียก่อน หากท่านพ่ออนุญาตเราจะได้ไปกัน” ดวงตากลมสีเกาลัดเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกอาการตื่นเต้นของเจ้าตัวได้อย่างดี รอยยิ้มของเมิ่งอวิ๋นช่างสดใสจนเมิ่งลู่เหยานั้นอดยิ้มตามไม่ได้ มือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะของน้องชายตนเอง ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

เมิ่งลู่เหยาที่เหลือบมองน้องชายเป็นพัก ๆ นั้นเกิดความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความเอ็นดู หากแม้ว่าท่านพ่อเกิดขัดขวางมิยอมให้เมิ่งอวิ๋นน้องชายที่รักของเขาได้ออกไป เขาเองก็คงต้องหาวิธีบีบท่านพ่อเสียหน่อยแล้ว แค่เพียงได้ยินว่าจะพาออกไปเสี่ยวอวิ๋นน้องรักของเขายังมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจราวกับเด็กน้อย แต่หากท่านพ่อมาขัดความสุขของน้องชายเขา...คงต้องได้เห็นดีกันเป็นแน่!

น้องชายของเขาน่ารักน่าเอ็นดูมากเช่นนี้ มีหรือที่จะสามารถปล่อยให้รอยยิ้มแสนน่ามองนั้นหายไปจากใบหน้า และถูกแทนที่ด้วยความเสียใจและความเศร้าสร้อย

เพียงแค่คิดเมิ่งลู่เหยาก็ทนไม่ได้ ความเสียใจใดๆ ก็ไม่เหมาะกับน้องชายของเขา น้องชายของเขาควรได้รับแต่เรื่องที่มีความสุข ควรได้พบแต่คนดี ๆ มิใช่คนชั่วช้าเช่นหลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้น ในเมื่อยามนี้เสี่ยวอวิ๋นลืมเลือนบุรุษเดนตายผู้นั้นไปแล้วอย่างหมดใจก็ดีนัก สตรีในเมืองก็มากมาย งดงามหยดย้อยยิ่งกว่าผู้ใดก็มี ถึงอย่างไรสกุลเมิ่งก็ออกจะร่ำรวย เขาไม่เชื่อหรอกว่าน้องชายของเขาจะไม่มีสตรีนางใดมาชมชอบ

หรือต่อให้น้องชายของเขามิชอบสตรีอีกแล้ว เขาก็พร้อมจะมองหาบุรุษผู้มากด้วยคุณสมบัติอันคู่ควร ทั้งรูปร่างหน้าตาและสติปัญญามากองเอาไว้ตรงหน้าของเมิ่งอวิ๋นได้อย่างแน่นอน ใต้หล้านี้เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีผู้ใดที่จะสู้หลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้นไม่ได้ ปฐพีกว้างไกลใครเล่าจะรู้ อาจมีใครสักคนที่จะเป็นของน้องชายเขาอย่างเต็มใจ เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติทั้งหลายก็ได้

คนเช่นหลี่เจี้ยนเฉิง ไหนเลยจะมาคู่ควรกับน้องชายของเขา

คนที่กล้าลงมือทำร้ายน้องชายของเขาจนสูญเสียความทรงจำ ลืมเลือนทุกสิ่งแม้แต่ตัวเขาที่เป็นพี่ชาย จะมีค่าอะไรมาคู่ควรกับเมิ่งอวิ๋น ดวงใจของสกุลเมิ่ง!





ใช่!!! คนอย่างหลี่เจี้ยนเฉิง ไม่คู่ควรกับน้องค่ะ แบนมันนนนน แค่กๆ ใจเย็นค่ะ แบนไม่ได้ นั่นพระเอกนะ ฮึ้บไว้ก่อนนนน อดทนและติดตามการเติบโตของตัวละครไปด้วยกันนะคะ ทุกอย่ามีคำตอบเสมอ อย่าเพิ่งตันสินมันจากเพียงตอนแรกนะคะ 

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2)100% (Up.23/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 23-07-2020 21:27:10
น้องจะออกไปเรียนรู้โลกใบใหม่แล้ววว
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (2)100% (Up.23/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-07-2020 21:50:31
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3) 50% (Up.27/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 27-07-2020 19:46:22
[3] 50%


เที่ยวเตร่

“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้!”

เสียงของเมิ่งหยวนเด็ดขาดและเต็มไปด้วยอำนาจจนสีหน้าของเซี่ยอี้เจินสลดไปอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตากลมโตสีเกาลัดเต็มตื้นไปด้วยความน้อยใจ ก้มใบหน้าของตนลงต่ำจนดูน่าสงสาร เมิ่งลู่เหยาที่เห็นสีหน้าของน้องชายย่ำแย่ก็เกิดความขุ่นเคืองใจ ลุกขึ้นยืนแล้วตวัดสายตามองบิดาด้วยความโกรธเคือง

“ท่านพ่อ! เสี่ยวอวิ๋นเพียงต้องการออกไปเที่ยวชมเมือง เหตุใดต้องห้ามด้วยเล่าขอรับ?” น้องชายเขาหรืออุตส่าห์มีสีหน้าดีอกดีใจ ปลาบปลื้มยินดีราวกับเด็กตัวน้อยๆ ที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งยังเยาว์ แต่ตอนนี้กลับถูกผู้เป็นบิดาเป่ามันให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังที่น่าสงสาร จะไม่ให้เขามีโทสะได้เช่นไร! เหตุใดท่านพ่อจึงได้...

คิดแล้วก็น่าโมโหนัก!

“พี่ใหญ่ช่างเถอะ ในเมื่อท่านพ่อไม่อนุญาต เช่นนั้นข้าไม่ไปก็ได้” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นช่างบีบหัวใจของคนเป็นพี่อย่างเมิ่งลู่เหยานัก ความคิดที่จะพาน้องไปเที่ยวเล่นเพื่อให้น้องชายคนเดียวของเขาได้อารมณ์เบิกบาน ได้คงรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้พังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี เมิ่งลู่เหยาโกรธจนอยากจะกระอักเลือด แต่ด้วยผู้ที่สั่งห้ามคือบิดา...เขาที่เป็นบุตรชายจะไปทำสิ่งใดได้

ในระหว่างที่ขบคิดถึงข้ออ้างหรือวิธีต่าง ๆ ที่พอจะช่วยให้เมิ่งอวิ๋นน้องชายของเขาได้ออกไปกับเขาได้ สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่จะสามารถช่วยพูดให้เขาและน้องชายได้อย่างแน่นอน ดวงตาของเมิ่งลู่เหยาสว่างวาบ เปล่งประกายไปด้วยความหวังอันล้นเปี่ยม หากเป็นคนที่กำลังเดินเข้ามาแล้วนั้น ท่านพ่อจะต้องยินยอมอย่างแน่นอน

“ท่านแม่!” เสียงเรียกของเมิ่งลู่เหยาไม่ได้เบาเลยสักนิด มันดังอย่างชัดเจนจนผู้เป็นมารดาอย่างอู๋ชิวอิ่งต้องเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ

“มีสิ่งใดกันหรือ? เหตุใดเจ้าจึงเรียกแม่เสียงดังเช่นนี้” อู๋ชิวอิ่งคิดจะเอ่ยตักเตือนบุตรชายคนโตที่ส่งเสียงดังสักหน่อย แต่แล้วสายตาของนางกลับเห็นร่างของบุตรชายอีกคนที่นั่งหน้าเศร้าอยู่ข้าง ๆ บุตรชายคนโต ดวงตากลมก็พลันแสดงออกอย่างยินดีที่สุด

“เสี่ยวอวิ๋น! ลูกแม่เจ้าหายดีแล้วหรือ?”

“ขอรับท่านแม่ ข้าหายแล้วขอรับ” เมิ่งอวิ๋นที่ก้มหน้าอยู่เอ่ยตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบาและเจือไปด้วยความเศร้าโศกจนนางต้องขมวดคิ้วแน่น

“เป็นอะไรหรือลูก เหตุใดเจ้าจึงได้เศร้าสร้อยเช่นนี้” แต่เซี่ยอี้เจินไม่ได้ตอบ เขาในตอนนี้กำลังฝืนกลืนความผิดหวังเอาไว้ในอกไม่ให้มันแสดงออกมาภายนอกให้ใครได้เห็น แต่เพราะการไม่ตอบสิ่งใดนั่นยิ่งทำให้อู๋ชิวอิ่งเริ่มร้อนรนใจ หันไปถามบุตรชายคนโตอย่างเมิ่งลู่เหยาและผู้เป็นสามีอย่างเมิ่งหยวนแทน

“ท่านพี่ลูกเป็นอะไรหรือ? อาเหยาน้องเจ้าเป็นอะไร?” เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวน้อยของนางกัน อาการบาดเจ็บมิดีขึ้น หรือมีผู้ใดทำให้บาดเจ็บหรือทุกข์ใจใด ๆ อีก? อู๋ชิวอิ่งในตอนนี้มีแต่คำถามนับร้อยพันที่ผุดขึ้นมาในหัว นางร้อนใจอย่างหนักเพราะก่อนนี้เมิ่งอวิ๋นก็เพิ่งบาดเจ็บมายังไม่ทันหายดี นางไม่ต้องการให้สิ่งใดมาทำร้ายลูกของนางอีก ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

“ท่านแม่ คือว่า...” แม้จะอยากฟ้อง แต่ด้วยอีกคนก็เป็นบิดา...ไม่ว่าอะไรดูพูดได้ยากทั้งสิ้น เมื่อเห็นเมิ่งลู่เหยาลอบมองเมิ่งหยวนทีอย่างอึกอักที อู๋ชิวอิ่งก็ยิ่งร้อนใจมากยิ่งขึ้น เมิ่งหยวนหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหันมาตอบฮูหยินของตนเองด้วยรู้ดีว่าอย่างไรเสีย อู๋ชิอิ่งก็จะต้องเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้อย่างแน่นอน

“เสี่ยวอวิ๋นคิดจะออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก แต่ข้ามิอนุญาต” ได้ยินเช่นนั้นอู๋ชิวอิ่งก็ปรากฏความดีใจขึ้นมา ก่อนที่ร่างของนางจะก้าวเข้ามาประชิดตัวของเมิ่งอวิ๋นอย่างรวดเร็ว มิคล้ายคนที่เจ็บป่วยแม้แต่น้อย

“จริงหรือ เจ้าอยากออกไปเที่ยวหรือเสี่ยวอวิ๋น เช่นนั้นแปลว่าเจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่?” น้ำเสียงของอู๋ชิวอิ่งเต็มไปด้วยความยินดีและแสนจะดีใจ ซึ่งเมิ่งลู่เหยาที่ลอบมองอยู่ก็สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังนึกกระหยิ่มในใจเพราะรู้ดีว่าอย่างไรมารดาก็จะต้องให้น้องออกไปกับตอนอย่างแน่นอน

“ใช่แล้วขอรับท่านแม่ เพียงแต่ท่านพ่อมิอนุญาต ข้าจึงคิดจะพาน้องกลับไปพักที่ห้องขอรับ” สายตาหวานซึ้งที่เคยอ่อนโยนของฮูหยินแห่งจวนสกุลเมิ่งแข็งกร้าว ตวัดสายตาจับจ้องเมิ่งหยวนด้วยความกดดันที่ไม่เคยได้พานพบ เมิ่งหยวนที่ถูกมองสะดุ้งสุดตัว เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มฝุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่แอบเช็ดออกไปเท่านั้น

“ท่านพี่! นี่ท่านห้ามลูกหรือเจ้าคะ?” ทั้งที่เป็นประโยคคำถามที่แสนจะธรรมดา แต่เมิ่งหยวนกลับรู้สึกได้ถึงคมมีดที่จ่อคอรอจะปลิดชีวิตของเขาอยู่ในตอนนี้ เมิ่งหยวนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอู๋ชิวอิ่งไม่เคยสักครั้งที่จะมีสีหน้าและแววตาเช่นนี้ น้ำเสียงที่เอ่ยถามในครั้งเก่า มีแต่ความอ่อนโยนที่เจือออกมาทั้งนั้น หากแต่คราวนี้กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร

“เอ่อ ฮูหยิน...เจ้าก็รู้ว่าเสี่ยวอวิ๋นเพิ่งจะหายเจ็บป่วย เพียงวันเดียวไหนเลยจะหายได้รวดเร็วเช่นนั้น ข้าเพียงเห็นว่าลูกอาจจะยังไม่หายดี จึงไม่ได้อนุญาตไป ข้าเป็นห่วงลูกนะฮูหยินของข้า หากว่าออกไปแล้วลูกเราไปเจอคนผู้นั้นเข้าอีก ครานี้ข้ากังวลว่าลูกจะ...” เมิ่งหยวนลอบเป่าปากถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าภรรยาของตนเริ่มคล้อยตาม แต่ก็ไม่อาจโล่งใจได้นาน เพียงแค่ดวงตาของนางหันไปมองบุตรชายสุดที่รักเท่านั้น ความคล้อยตามและเหตุผลทั้งหลายคล้ายถูกปัดทิ้งไปทั้งสิ้น

“แต่เสี่ยวอวิ๋นบอกว่าหายดีแล้วนี่เจ้าคะ? ลูกอยากออกไปเที่ยวให้สบายใจ เหตุใดท่านพี่ต้องขัดขวางกัน?”

“ไม่ใช่ข้าขัดขวางนะอิ่งเอ๋อร์ ข้าเพียงกังวลว่าลูกอาจจะไปพบกับคนผู้นั้นก็เท่านั้น” หากไปพบแล้วลืมเลือนจำสิ่งใดมิได้นั่นย่อมดี แต่ถ้าหากว่าพบเจอแล้วเมิ่งอวิ๋นเกิดจำได้ขึ้นมาล่ะ? บุตรชายของเขามิต้องเอาชีวิตไปทิ้งกับคนผู้นั้นอีกหรือ เพียงแค่คิดเมิ่งหยวนก็ไม่อาจทนปล่อยให้บุตรชายอันเป็นที่รักออกไปเผชิญโลกได้

“ท่านแม่ ท่านพ่อ เรื่องนั้นท่านมิต้องห่วง คราวนี้ข้าจะดูแลน้องเป็นอย่างดีเลยขอรับ” เมิ่งลู่เหยาเองก็ไม่ปรารถนาจะให้น้องชายไปเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นนักหรอก ตัวตนของคนผู้นั้นหากสามารถลบเลือนมันออกไปจากหัวใจของเมิ่งอวิ๋นได้มีหรือเขาจะไม่อยากทำ

เมิ่งหยวนสบตากับบุตรชายคนโตครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองพิจารณาบุตรชายคนเล็กที่ยังคงมีความเศร้าโศกบินวนอยู่รอบกายจนคล้ายจะฉุดบุตรชายให้บินออกไปจากตรงนี้ จมูกของเซี่ยอี้เจินเริ่มแดงระเรื่อจนหัวใจของผู้เป็นบิดาเริ่มอ่อนยวบ ใช่ว่าเขาจะใจจืดใจดำไม่ให้บุตรชายออกไปเที่ยวเล่นเสียเมื่อไรกัน เขาเพียงแต่ห่วงและกังวลจนไม่อาจวางใจได้ ใครจะมาเข้าใจจิตใจของเขาบ้าง หากต้องสูญเสียบุตรชายที่เฝ้าดูแลทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเล็ก หัวใจของเขาจะสามารถทานทนต่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร

เมิ่งหยวนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหัวใจของเขาถึงได้หวงแหนและห่วงใยเมิ่งอวิ๋นมากขึ้นกว่าเก่า ทั้งที่ก่อนนี้ยังไม่เป็นเช่นนี้มาก่อน แต่เขารู้สึกทรมานปานจะขาดใจลงเสีย เพียงแค่คิดว่าบุตรชายของเขาจะไปพบเจอกับคนผู้นั้น คนที่มากไปด้วยอำนาจที่ตัวเขาเองก็ไม่มีและหากเกิดสิ่งใดขึ้นมา เขาก็คงไม่อาจช่วยเหลือบุตรชายของเขาได้ เมิ่งหยวนรับรู้ถึงความสูญเสียราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน และเขาไม่อาจจะทนรับมันได้อีก

“อวิ๋นเอ๋อร์...”

“ขอรับ...ท่านพ่อ” เมิ่งอวิ๋นมิได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาของบิดา แต่ก็ยังตอบรับคำเรียกขานของบิดาเช่นทุกครั้ง

“ไม่ใช่พ่อไม่อยากให้เจ้าไปนะเสี่ยวอวิ๋น พ่อเพียงแค่ห่วงเจ้า กลัวว่าหากครานี้เจ้าได้พบกับ...อันตราย เจ้าอาจจะไม่ได้กลับมาหาพ่อกับแม่อีก” คำพูดของเมิ่งหยวนสั่นจิตใจของเซี่ยอี้เจินได้อย่างดี เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ในร่างของเมิ่งอวิ๋นที่บาดเจ็บเพียงถูกรถม้าชนเท่านั้น ทั้งที่ความทรงจำในครั้งที่ถูกย่ำยีมันยังอยู่ในสมองของเขา แต่มันก็คงเป็นสัญชาตญาณของผู้เป็นบิดาเช่นกันสินะ ที่ครั้งหนึ่งเคยสูญเสียเมิ่งอวิ๋นไปอย่างไม่มีวันกลับมา

ยิ่งคิด เซี่ยอี้เจินก็ยิ่งปวดใจ

“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ข้าเข้าใจในความกังวลของท่าน”

ใช่แล้ว เขาเข้าใจดี เข้าใจดีทุกอย่าง และเพราะเหตุนั้น...เขาจึงได้มาอยู่ตรงนี้ มาทำหน้าที่แทนเมิ่งอวิ๋นอย่างไรล่ะ

“แต่ข้าเพียงออกไปกับพี่ใหญ่ ไม่ได้ไปไกลนัก ข้าเพียงอยากจะไปที่เหลาอาหารของพวกเราเท่านั้นเองขอรับ”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้น...” เมิ่งหยวนก็ยังคงไม่อาจคลายกังวลลงไปได้ แม้บุตรชายจะบอกว่าเข้าใจในความกังวล แต่เมิ่งหยวนกลับคิดว่าเมิ่งอวิ๋นไม่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะเมิ่งอวิ๋นเสียความทรงจำไป แต่เพราะกลัวว่าจะไม่มีวันได้บุตรชายกลับคืนมามากกว่า

หากปล่อยให้ออกไปแล้วพบว่ามีเพียงแค่เมิ่งลู่เหยาที่กลับมา หัวใจของคนเป็นบิดาเช่นเขาคงไม่อาจเอาตัวเข้าไปหาคมดาบของคนผู้นั้นเป็นแน่

“ข้าให้สัญญาขอรับท่านพ่อ”

“สัญญาหรือ?” เซี่ยอี้เจินพยักหน้า ยืดอกขึ้นมานั่งตัวตรงเป็นสง่า วางท่าที่เคยทำจนติดเป็นนิสัยจากชีวิตก่อนจนเมิ่งหยวน เมิ่งลู่เหยาและอู๋ชิวอิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น

“ขอรับสัญญา....ข้าสัญญาว่าจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม หากมิใช่คำสั่งของท่านพ่อท่านแม่ ข้าจะหลีกหนีเขาให้ไกล ไม่มีวันเฉียดเข้าไปใกล้เขาอีก”

จะไม่มีอีกแล้วเมิ่งอวิ๋นที่รักหลี่เจี้ยนเฉิงจนหมดหัวใจ

ไม่มีอีกแล้วเด็กน้อยที่หลงมัวเมาในความรัก

จากนี้ไปจะมีเพียงแค่เมิ่งอวิ๋นคนใหม่ เป็นผู้ที่ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่า จะไม่เข้าใกล้แม่ทัพไร้ใจคนนั้นอีก!

คำสัญญาที่เซี่ยอี้เจินเอ่ยมันกับตนเองอยู่ภายในใจนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนคำสาบานใด ๆ เพียงแต่มันคือจุดมุ่งหมายของการมีชีวิตเพื่อเมิ่งอวิ๋น ชายคนนั้นที่แม้จะมองเห็นเพียงแผ่นหลังในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋น เขาก็รู้ดีว่าคือใคร คนที่ลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมไม่นึกถึงหัวใจของเมิ่งอวิ๋นที่มั่นรักต่อคนผู้นั้นสักนิดนั้นสารเลวยิ่งกว่า เซี่ยอี้เจินกำสองมือของตนเองจนแน่น นัยน์ตาที่หลุบซ่อนอยู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เขานั้นรู้ดีกว่าใครว่าเมิ่งอวิ๋นรู้สึกปวดร้าวและทรมานมากมายเท่าใด เพราะเขาเองก็เจ็บปวดกับการถูกคนที่รักหักหลังและลงมือฆ่าเขาอย่างเลือดเย็นไม่แตกต่างกัน และเพราะเขารู้ดี แม้ว่าเขาจะไม่โกรธน้องชายและคนรักของเขา แต่การที่ต้องมาทนเห็นเมิ่งอวิ๋นภายในความทรงจำที่โหดเหี้ยม ถูกกระทำย่ำยีจากพวกกักขฬะที่ไม่มีแม้แต่ความเห็นใจ พวกมันทำเหมือนเมิ่งอวิ๋นเป็นเพียงนางโลมที่มีเอาไว้ระบายความต้องการทางเพศ ไม่แยแสแม้แต่ลมหายใจที่รวยริน

“อึก”

มันทั้งเจ็บปวด ทั้งรวดร้าวไปหมดทั้งตัวและหัวใจ ความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นในตอนนั้นมันยังชัดเจนในความรู้สึกของเซี่ยอี้เจินราวกับยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ ยิ่งคิดถึงความทรมานของเมิ่งอวิ๋นก่อนสิ้นลมหายใจ เซี่ยอี้เจินกลับรู้สึกว่าเขายังไม่เจ็บปวดเท่าเมิ่งอวิ๋นด้วยซ้ำ เขาไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะแลกร่างกายกันกับเขา เพียงเพื่อมีชีวิตและลมหายใจต่อ ขอเพียงแค่ไม่ได้อยู่ร่วมกับบุรุษที่ไร้หัวใจคนนั้น

“ได้...เช่นนั้นพ่อจะไม่ห้ามเจ้า” เมิ่งลู่เหยาแทบจะกระโดดร้องไห้ไชโยด้วยความดีใจ ในที่สุดบิดาก็ยอมให้เขาพาน้องชายออกไปเที่ยวเสียที

“ขอบคุณท่านพ่อ!”

“เจ้าก็ดูแลน้องให้ดี หากเจอคนผู้นั้นก็จงพาน้องเจ้าหลีกหนีไปให้ไกลเสีย” คำสั่งสอนของบิดาทำให้เมิ่งลู่เหยาที่ทำหน้าราวกับเด็กก่อนหน้านี้เริ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา สองมือประสานกันอยู่ข้างหน้าตนเอง

“ข้าจะจดจำเอาไว้ขอรับ” อย่าให้น้องเข้าใกล้บุรุษผู้นั้นทำไมเขาจะจำไม่ได้ คนชั่วช้าที่มากอำนาจจนไม่อาจแตะต้องได้ เขาไม่มีวันลืมเลือน เขาจะไม่มีวันยอมให้เมิ่งอวิ๋นเป็นอันตรายอีก จะไม่มีวันให้เมิ่งอวิ๋นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น เขาจะดูแลน้องชายของเขาอย่างดี ไม่บยอมให้คลาดสายตาไปอีกอย่างแน่นอน

“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าก็อย่าได้ลืม คนผู้นั้นอันตรายมาก” เซี่นอี้เจินเหยียดยิ้ม เขารู้ดีเลยว่าคนผู้นั้นที่บิดาพูดถึงโหดเหี้ยมและเลวร้ายเพียงใด และเขาเองก็ไม่คิดจะเข้าไปใกล้คนเช่นนั้นอย่างแน่นอน

“ท่านพ่ออย่ากังวล ข้าจะไม่มีวันเข้าไปใกล้เขาอย่างแน่นอน!” ได้ยินบุตรชายพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเมิ่งหยวนก็พอเบาใจลงไปได้บ้าง แม้ว่าจะไม่มากแต่ก็เพียงพอให้เขาปล่อยมือที่ยึดบุตรชายคนเล็กเอาไว้ไม่ให้ไปไหนลงได้ เขาเพียงห่วงและหวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเมิ่งอวิ๋นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้คงกังวลมากไป เพราะในสายตาของเมิ่งอวิ๋นแล้ว ชื่อของคนผู้นั้นไร้ความหมายจะให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ

ดีนัก เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก







50%







น้องจะได้เที่ยวแล้วววววว เย้~ จะออกไปแตะขอบฟ้า~ แค่กๆ กลับเข้าเรื่องค่ะ อัพแล้วนะคะ แมววางปมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว แต่ต้องอดทนนะคะ เพราะว่าเรื่องราวจะค่อย ๆ ดำเนินไป ไม่รีบร้อนจ้าาาา 

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3) 50% (Up.27/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 27-07-2020 21:03:08
  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3) 50% (Up.27/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: VODKA ที่ 29-07-2020 18:25:18
ขึ้นเลยๆ :m31:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3) 50% (Up.27/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-07-2020 22:01:13
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3)100% (Up.30/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 30-07-2020 17:45:09
[3] 100%


ต่อตรงนี้นะคะ





“เช่นนั้นก็ไปกันเสียเถิด แต่อย่าได้เถลไถลไกลนัก”

“ขอรับท่านพ่อ!” เมิ่งลู่เหยาและเซี่ยอี้เจินต่างก็พูดออกมาพร้อม ๆ กัน ก่อนที่ทั้งสองจะหันมายิ้มให้กันด้วยสีหน้าที่มีแต่ความดีใจ ตัวอู๋ชิวอิ่งเองเมื่อเห็นบุตรชายของตนทั้งสองมีความสุข หัวใจของนางเองก็เปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นกัน นางเดินเข้ามาใกล้บุตรชายทั้งสองของนาง ก่อนจะหยิบเอาถุงเงินที่นางเตรียมเอาไว้ยามที่ต้องออกไปข้างนอกมาวางไว้ในมือของเมิ่งอวิ๋นแล้วกุมมือของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้

“เจ้าเอาเงินนี่ไปใช้นะเสี่ยวอวิ๋น อยากกินอะไร ซื้ออะไรเจ้าก็ใช้ได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวล พ่อเจ้ายังมีอีกมาก หากไม่พอเจ้าก็กลับมาเอาที่จวนนะ” เมิ่งหยวนหน้าซีด ถึงแม้เขาจะไม่ได้หวงเงินทองของนอกกายเช่นคนอื่น แต่ก็อดหวาดกลัวกับการใช้เงินของเมิ่งอวิ๋นไม่ได้

“ท่านแม่อย่ากังวล เงินนี่ก็มากมายแล้วขอรับ” เซี่ยอี้เจินแม้ไม่ได้รู้ว่าในที่แห่งนี้ของแต่ละสิ่งราคาเท่าไร แต่น้ำหนักของถุงเงินก็มิใช่จะน้อย เพราะฉะนั้นเซี่ยอี้เจินจึงมั่นใจว่าอย่างไรเสีย เงินที่ได้รับมานี่ย่อมต้องพอใช้แน่นอน อีกอย่าง...เขาเองก็อยากจะไปทานอาหารที่เหลาของตระกูล ใช่ว่าไปแล้วจะต้องจ่ายเสียหน่อย

เมิ่งหยวนได้ยินคำตอบของบุตรชายก็ลอบถอนหายใจ รู้สึกเหมือนได้ยกปัญหาใหญ่ออกไปจากอก แต่อู๋ชิวอิ่งยังไม่อาจจะวางใจได้

“ถึงเจ้าจะพูดเช่นนั้น...”

“ท่านแม่ มีข้าไปด้วยท่านอย่าห่วงไปเลยขอรับ” เมิ่งลู่เหยาเอ่ยปลอบมารดาเมื่อเห็นความกังวลที่ไม่อาจลบเลือนได้ อู๋ชิวอิ่งมองบุตรชายคนโตอย่างคลายกังวลลง ถึงอย่างไรเมิ่งลู่เหยาก็มีเงินติดตัวอยู่ คงไม่ทิ้งให้น้องต้องอดอยากหรอก

“ได้ เช่นนั้นแม่จะทำของอร่อยรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่”

“ข้าและพี่ใหญ่จะเก็บท้องรอทานอาหารของท่านแม่อย่างแน่นอนขอรับ!” อู๋ชิวอิ่งที่ได้ยินเมิ่งอวิ๋นกล่าวออกมาเช่นนั้นก็ได้แต่ระบายรอยยิ้มเอ็นดูออกมา หัวใจของนางเต็มตื้นไปด้วยความอิ่มเอมใจ เมื่อภายในใจนางเอ่อล้นไปด้วยความสุข ร่างกายที่เคยทรุดตัวมาแต่ก่อนก็แปรเปลี่ยนเป็นมีกำลังวังชาขึ้น

นางมองภาพบุตรชายทั้งสองของนางเดินจากไปอย่างห่วงใยและกังวล แม้ว่านางจะเป็นคนบอกเองว่าให้ออกไปเที่ยวเตร่ได้ แต่ในใจของนางก็มีความกังวลเฉกเช่นเดียวกับที่เมิ่งหยวนผู้เป็นสามีของนางกังวลไม่ต่างกัน เมิ่งหยวนมองใบหน้าที่สะท้อนความห่วงใยออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขาเดินเข้ามาโอบภรรยาเอาไว้ ใช้ฝ่ามือส่งผ่านไออุ่นให้ผู้เป็นภรรยาได้คลายกังวลลง

“จะไม่เป็นไรใช่ไหมท่านพี่?” ทั้งที่หัวใจมีแต่ความกังวล แต่ก็ยังยินยอมปล่อยให้บุตรชายได้ออกไปเที่ยวเล่น ช่างเป็นมารดาที่ดีเหลือเกินจริง ๆ เมิ่งหยวนถอนหายใจออกมาเบาๆ มองออกไปยังทางที่บุตรชายทั้งสองได้ผ่านออกไปเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกห่วงใยไม่ต่างกัน

“ข้าเชื่อว่าเสี่ยวอวิ๋นจะไม่มีวันเข้าใกล้คนผู้นั้นอีก และข้ามั่นใจว่าลู่เหยาจะดูแลน้องได้ดี”

ในเมื่อพ่อมั่นใจในตัวเจ้าขนาดนี้แล้ว ก็ช่วยดูแลน้องให้ดีด้วยนะ ลู่เหยา



อีกด้านหนึ่งร่างของสองพี่น้องอย่างเมิ่งลู่เหยาและเมิ่งอวิ๋นกำลังเพลิดเพลินไปกับสิ่งของมากมายรายทาง แต่ความจริงแล้วเรียกว่ามีเพียงแค่เมิ่งอวิ๋นเพียงคนเดียวเสียมากกว่าที่ดูจะตื่นตาตื่นใจ เซี่ยอี้เจินในร่างเมิ่งอวิ๋นมองข้าวของมากมายด้วยแววตาตื่นตาตื่นใจ สิ่งรอบกายที่เคยเห็นผ่านๆ ในละครมันดูไม่แตกต่างกันมากมายเท่าไร แต่การได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศจริง ๆ ด้วยตนเองแบบนี้ มันสุดยอดเสียยิ่งกว่า

เมิ่งลู่เหยาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นดวงตาของน้องชายเปล่งประกายไปด้วยความสุข ริมฝีปากบางๆ นั้นแย้มยิ้มเสียจนผู้เป็นพี่อย่างเขาเองยังอดยิ้มตามไม่ได้ หัวใจของเมิ่งลู่เหยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ทุกสิ่งรอบกายไม่มีอะไรดูขัดตาสักนิด สีหน้าที่น้องชายของเขาแสดงออกมา มันยิ่งทำให้เขารู้สึกได้ว่าการที่เขาพาเมิ่งอวิ๋นออกมาเที่ยวในวันนี้นั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

เซี่ยอี้เจินเบิกตากว้าง มองหญิงสาวใบหน้างดงามที่เดินผ่านไปมาอย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าเขาจะพอรู้มาบ้างว่าหญิงสาวในช่วงก่อนความเจริญจะเข้ามากลืนกินนั้นงดงาม แต่ไม่คิดว่าความงามของพวกเธอจะมากมายขนาดนี้ ในชีวิตก่อนนั้นของเซี่ยอี้เจินได้พบผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามมาก็มากมาย แต่ก็ยังไม่มีใครงดงามเท่ากับเธอคนที่อยู่ตรงหน้าของเขา

“พี่ใหญ่ เธอคือ เอ่อ ข้าอยากถามว่านั่นใครหรือ?” เซี่ยอี้เจินเกือบจะหลุดถามออกไปตรงๆ แล้วว่าเธอคนนั้นคือใครกัน ดีที่เขาสามารถยั้งตัวเองแล้วชี้ไปที่เธอได้ทันก่อนความจะแตก เมิ่งลู่เหยามองตามปลายนิ้วเรียวของน้องชายไปยังหญิงงามปริศนาแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง

“นั่นคือเยี่ยหนิงหลัน นางเป็นบุตรสาวของรองเสนาบดีเยี่ย เจ้าสนใจนางหรือ?” เซี่ยอี้เจินหน้าแดงก่ำ แม้ว่าตัวเขาในชีวิตก่อนเขาจะมีคนรัก แต่เขาก็ไม่เคยนอกใจหรือมองผู้หญิงที่ไหน เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มไร้ประสบการณ์เลยก็ว่าได้ การถูกเมิ่งลู่เหยาเย้าแหย่ด้วยใบหน้าที่ล้อเลียนเช่นนี้ เซี่ยอี้เจินจะไม่เขินอายได้อย่างไร

“ขะ ข้าเพียงคิดว่านางงดงามก็เท่านั้น”

เมิ่งลู่เหยาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินนำเมิ่งอวิ๋นเข้าไปหานางที่ตรึงตาตรึงใจน้องชายของเขา คุณชายใหญ่แห่งสกุลเมิ่งขยับกายด้วยท่วงท่าที่แสนน่าเคารพ รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาส่งผลให้ทุกสิ่งของเมิ่งลู่เหยาน่ามองไปเสียหมดทุกส่วน สาวใช้ข้างกายเยี่ยหนิงหลันกระซิบบางอย่างกับผู้เป็นนายก่อนที่สายตาของนางจะหันกลับมาสนใจร่างกายสูงใหญ่ของบุรุษที่กำลังเดินเข้ามาใกล้นาง

เมิ่งลู่เหยาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทายพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เยี่ยหนิงหลันเองก็ยิ้มตอบบางๆ และค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเช่นกันโดยไม่ให้น่าเกลียดนัก ทั้งสองเว้นระยะห่างกันพอควรไม่ให้ภาพที่ใครผ่านไปมาเห็นส่อไปทางไม่งาม เยี่ยหนิงหลันเหลือบมองบุรุษร่างบางที่อยู่ด้านหลังของเมิ่งลู่เหยาอย่างแปลกใจ เพราะนางไม่เคยได้เห็นใบหน้าของบุรุษใดที่งดงามหมดจรดจนชวนให้ใจเต้นขนาดนี้

งามเสียจนนางที่เป็นหญิงยังรู้สึกริษยาและใจเต้นแรง

“คุณหนูเยี่ย ไม่ทราบท่านออกมาเที่ยวชมเมืองเช่นกันหรือ?” น้ำเสียงที่เมิ่งลู่เหยาใช้เอ่ยถามนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่สายตาของเมิ่งลู่เหยากลับกำลังกระเซ้าเย้าแหย่น้องชายของตนเสียมากกว่า เยี่ยหนิงหลันมอบรอยยิ้มเบาบางให้กับเมิ่งลู่เหยาเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

“มิใช่หรอก ข้าเพียงแค่ออกมาดูของประดับเช่นสตรีนางอื่น มิได้ออกมาเที่ยวชมเมืองแต่อย่างใด” มารยาทงดงาม การวางตัวก็แสนจะอ่อนหวาน ใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มเบาบางมิได้ลดทอนความงดงามลงไปแม้แต่น้อย กลับกันเซี่ยอี้เจินกลับเห็นว่านางดูสง่างามทั้งใบหน้าและกิริยาของนางเอง

“โอ้...ข้าเองก็เช่นกัน น้องชายข้าเพิ่งหายจากอาการป่วย ของที่ข้าตระเตรียมเอาไว้ให้ก็หายไป จึงคิดออกมาดูให้เขาเสียหน่อย ไม่ทราบคุณหนูเยี่ยพอจะแนะนำของที่เหมาะกับน้องชายของข้าได้บ้างหรือไม่?” พูดไม่ทันได้ขาดคำ ร่างของเมิ่งอวิ๋นก็ถูกดันออกมายืนอยู่เบื้องหน้า สบสายตากับคนงามที่มองเขาด้วยแววตาที่สับสน หัวใจของเมิ่งอวิ๋นเต้นแรง ไม่สิ ต้องเรียกว่าหัวใจของเซียอี้เจินต่างหากที่เต้นแรงไม่ยอมหยุด

“ข้าหรือ?” เยี่ยหนิงหลันมึนงงและสับสน เพียงทักทายด้วยการสนทนาไม่ทันจะถึงสามประโยค คนที่บอกจะมาหาของให้น้องชายกลับโยนงานมาให้นางเสียอย่างหน้าไม่อาย แถมคนโยนมากลับยืนยิ้มกริ่มพึงพอใจอย่างมากจนนางเองยังไม่อาจตั้งสติได้ทัน

เยี่ยหนิงหลันมองใบหน้างามกับเส้นผมสีดำขลับด้วยความพินิจ กวาดตาไล่มองใบหน้าที่ไม่คมเข้มดั่งบุรุษทั่วไป แต่ก็ไม่อ่อนหวานเท่าสตรีนางใดอย่างครุ่นคิด ความงดงามที่ไม่อาจเทียบได้ว่าหล่อเหลาหรืองดงามดังเช่นสตรีได้นั้นทำให้เยี่ยหนิงหลันเองต้องคิดอย่างจริงจัง นางมองของประดับที่อยู่ตรงหน้าชิ้นหนึ่ง กลับมามองจ้องเมิ่งอวิ๋นอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่อาจหาของใดที่เหมาะกับคนตรงหน้าได้

ผิวขาวเนียนละเอียดลออ ดวงตาสีเกาลัดกลมโตคู่นั้น ให้จับจ้องนานๆ เช่นนี้ แม้จะเป็นสตรีที่มิเคยเขินอายกับบุรุษใด นางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งอีกฝ่ายมิได้สูงไปกว่านางนัก อีกทั้งยังหลุบสายตาราวกับไม่กล้ามองนางก็ยิ่งชวนให้หลงใหลเอ็นดู แล้วหัวใจนางที่ไร้พี่ไร้น้องร่วมมารดา จะสามารถทานทนได้อย่างไร

พี่น้องร่วมบิดานั้นนางมีมากมายนัก ทว่าแต่ละคนต่างก็ต้องการแย่งชิงความรักจากบิดาจนไม่อาจเรียกว่าพี่น้องได้เสียด้วยซ้ำ แม้นางจะเกิดจากท่านแม่ที่เป็นฮูหยินของเรือน แต่ความโปรดปรานที่ท่านพ่อมีต่อท่านแม่ไม่ได้มากมายใดๆ เลย ยังสู้อนุสาวที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่มิได้ เหตุนี้..เมื่อนางเห็นดวงตากลมสีเกาลัดที่มองตรงมาที่นางนั้น นางก็รู้สึกว่า...เขาช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน

“ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองมีนามว่าอะไรหรือ?” ถูกชะตาจึงได้เอ่ยถามทำความรู้จัก แม้รู้ว่าจะดูไม่งามนัก แต่นางเอ็นดูชายหนุ่มตัวน้อยตรงหน้าจริงๆ เมิ่งลู่เหยานัยน์ตาเป็นประกาย รีบแนะนำตนเองและน้องชายอย่างรวดเร็ว

“ข้าแซ่เมิ่ง นามว่าลู่เหยา ส่วนนี่น้องชายของข้า เมิ่งอวิ๋น ต้องขออภัยที่มิได้แนะนำตัวก่อนจนต้องให้คุณหนูเยี่ยเอ่ยปากถามเช่นนี้” เมิ่งลู่เหยาสะเพร่าจนต้องรีบเอ่ยขออภัย เพราะตัวเขาเองเดินเข้ามาทักอีกฝ่ายโดยไม่ยอมแนะนำตัว จึงต้องให้ฝ่ายหญิงถามออกมาด้วยตนเอง หากใครเอาไปพูดคงไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางนัก

“มิเป็นไร ข้าแซ่เยี่ย มีนามว่าหนิงหลัน เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าจะหาของให้น้องชายของท่านหรือ” เมิ่งลู่เหยาพยักหน้าตอบรับคำอย่างยืนยัน

“ถูกต้องแล้ว รบกวนคุณหนูเยี่ยหรือไม่?” เยี่ยหนิงหลันส่ายหน้าเบาๆ พอให้รู้ว่ามิได้รบกวน

“หากจะหา ข้าเกรงว่าที่นี่คงไม่มีของที่เหมาะกับน้องชายของท่าน แต่หากท่านไม่ว่าอะไร ข้า...สามารถช่วยท่านเลือกได้ที่ร้านของเถ้าแก่ซ่ง”

เมิ่งลู่เหยาหยักหน้าอย่างเห็นด้วยในที เมื่อมองข้าวของที่ถูกเรียงรายเอาไว้แล้วก็เป็นดังที่เยี่ยหนิงหลันพูดเอาไว้ ที่นี่ไม่มีของที่เหมาะกับเมิ่งอวิ๋นน่องชายของเขาจริงๆ ของดาษดื่นที่สามารถจับจ้องได้โดยทั่วไปไม่มีวันเหมาะสมกับเมิ่งอวิ๋นอย่างแน่นอน

“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนคุณหนูเยี่ยแล้ว” เยี่ยหนิงหลันยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะออกเดินนำไปในที่สุดพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมา เมิ่งลู่เหยาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะดึงน้องชายให้เดินตามหลังนางไปเงียบๆ

สำหรับเมิ่งลู่เหยาเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ ยามได้อยู่ใกล้กับเยี่ยหนิงหลัน หัวใจของเขาทำงานหนักกว่าปกติ มันเต้นดังเสียจนเมิ่งลู่เหยามิเคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อเห็นเยี่ยหนิงหลันมองน้องชายเขา เมิ่งลู่เหยาจึงไม่อาจคิดไปไกลกว่านี้ได้ แม้ว่าจะรู้สึกมากมายเพียงใด ต้องตานางมากเพียงใด แต่เมื่อนี่คือคนที่เมิ่งอวิ๋นสนใจ เมิ่งลู่เหยาจะยอมเปิดทางให้น้องดีกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทำให้น้องชายของเขาต้องเจ็บปวดอีกครั้ง

แต่เมิ่งลู่เหยาไม่รู้ ไม่ว่าจะสีหน้าเช่นไรล้วนถูกเมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินมองเห็นทั้งสิ้น คนเป็นน้องมองพี่ชายที่กล้ำกลืนฝืนทำทุกสิ่งเพื่อเขาทั้งที่หัวใจแท้จริงอยากจะครอบครองบุปผางามดอกนี้ แต่กลับยอมตัดใจผลักดันให้เขาได้เป็นเจ้าของบุปผาดอกนั้นแทน เมิ่งอวิ๋นอาจจะใจเต้นกับความงามของนาง อาจจะทำตัวไม่ถูกและเขินอายกับท่าทางอ่อนหวานของนาง แต่เขาไม่ได้ต้องใจนางดังที่พี่ชายของเขาคิด

บางทีอาจจะเพราะว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นเพิ่งจะเกิดอาการอกหักจากหลี่เจี้ยนเฉิง ผู้เป็นพี่ชายที่แสนดีอย่างเมิ่งลู่เหยาจึงได้เสียสละให้เขาเช่นนี้ บ่อยครั้งที่เดินไปแล้วเห็นเมิ่งลู่เหยาลอบมองเยี่ยหนิงหลันที่พูดคุยกับสาวใช้ด้วยท่าทางที่แสนสนุกสนาน รอยยิ้มที่พริ้งพรายอยู่บนใบหน้าทำให้เมิ่งลู่เหยาจับจ้องไปอย่างเหม่อลอย เมิ่งอวิ๋นจึงได้แต่ผลักพี่ชายออกไปอย่างแรง ให้เมิ่งลู่เหยาได้เข้าใจว่าความชื่นชมของเขาไม่ได้มีไว้ในเชิงชู้สาวเช่นที่เมิ่งลู่เหยารู้สึกต่อเยี่ยหนิงหลัน

“เจ้าผลักพี่ทำไมกันเสี่ยวอวิ๋น?” เมิ่งลู่เหยาหันมาถามเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่เข้าใจ เซี่ยอี้เจินส่ายหน้าอย่างระอาในความทึ่มของพี่ชาย

“พี่ใหญ่หมายตานาง มีใจต่อนาง เหตุใดไม่เข้าไปคุยกับนาง เกี้ยวพานางดังเช่นที่บุรุษควรทำเล่า?” แอบมองเช่นนี้ได้หรือ เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเมิ่งที่แสนร่ำราย แม้ไม่มากด้วยลาภยศ แต่เงินทองก็ไม่น้อยหน้าผู้ใด บารมีอาจไม่มากเท่ารองเสนาบดีเยี่ยบิดาของนาง แต่ในเมืองหลวงแล้ว เหลาอาหารของสกุลเมิ่งต่างเลื่องชื่อ เท่านี้ไม่เพียงพอให้เกี้ยวนางเชียวหรือ

“ข้าหรือ ข้ามิได้...”

“มิได้ชอบหรือ? พี่ใหญ่มองนางนานแค่ไหนรู้ตัวบ้างหรือไม่ ข้ามองอยู่ข้างๆ ยังสามารถรู้ได้ว่าท่าน...กำลังมีใจให้กับคุณหนูเยี่ย” เมิ่งลู่เหยาหน้าแดงระเรื่อ หลบสายตาน้องชายวูบใหญ่อย่างไม่ต้องการให้เห็น

“แต่เจ้า...” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจอย่างพอจะเข้าใจในประโยคที่หายไปในลำคอ แต่เจ้าชอบนางมิใช่หรือ? คำนี้สินะที่พี่ชายของเมิ่งอวิ๋นจะพูด

“ข้าเพียงชื่นชมนาง ก็นางงดงามทั้งกิริยาและใบหน้า ข้าชื่นชมนี่มิถูกหรือ?” ดวงตาของเมิ่งลู่เหยาฉายแววสับสนอย่างหนัก แรกเริ่มเขานึกคิดไปว่าเมิ่งอวิ๋นต้องใจคุณหนูเยี่ยผู้นี้ แต่ไฉนเลยจะรู้ว่า ผู้ที่ต้องใจนางนั้นจะเป็นเขาเสียเองที่ต้องตาต้องใจคุณหนูเยี่ยจนไม่อาจจะถอนตัวได้

“ถ้าหากเจ้าว่าเช่นนั้น...” ริมฝีปากของเมิ่งลู่เหยาขยับยิ้ม เซี่ยอี้เจินก็พลันยิ้มตาม

“ข้าชอบนางนะพี่ใหญ่ หากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้ ข้าคงยินดีมาก” คำตอบของเซี่ยอี้เจินทำให้เมิ่งลู่เหยายิ้มกว้างออกมา ดวงตาสั่นระริกไปด้วยความยินดีที่ได้ยินน้องชายของตนเอ่ยเช่นนั้น

“ได้ พี่จะพยายาม!” เซี่ยอี้เจินมองพี่ชายของตนที่มีความกระตือรือร้นวิ่งเข้าไปชวนเยี่ยหนิงหลันพูดคุยด้วยสีหน้าอ่อนโยนระคนหน่ายใจ รู้อยู่เต็มอกหรอกว่าพี่ชายคนนี้ของเมิ่งอวิ๋นนั้นรักน้องและเสียสละให้น้องได้ทุกสิ่ง แต่การได้มาสัมผัสกับการถูกเสียสละจากที่เคยเป็นผู้เสียสละมาก่อนนั้น มันรู้สึกตื้นตันจนล้นอก

“นายน้อย...” เสี่ยวหลงที่ติดตามมาตั้งแต่ออกจากจวนของสกุลเมิ่งเพิ่งได้มีโอกาสได้เปิดปากพูด เขาถูกความรักของพี่น้องกลืนกินเสียจนกลายเป็นเศษหญ้าที่ติดอยู่ข้างรองเท้าเสียมากกว่า เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นนายกำลังคิด

“นายน้อยมิใช่ว่าต้องใจคุณหนูเยี่ยผู้นั้นหรือขอรับ?” เซี่ยอี้เจินหันมองเสี่ยวหลงอย่างสงสัย เขาแสดงออกไปเช่นนั้นหรือทำไมทั้งเมิ่งลู่เหยาและเสี่ยวหลงต่างก็คิดว่าเขาชอบนาง

“ข้าเพียงชื่นชมความงามของนางเท่านั้น มิใช่ต้องใจอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอก” เซี่ยอี้เจินแทบจะส่ายหน้ากับความเข้าใจผิดของทั้งสอง เขาหรือเพียงแค่มองแค่สนใจ แต่กลับถูกมองว่าต้องใจเสียได้ เช่นนี้คงไม่ใช่ว่าหากเขามองผู้ใดอีกคงมิใช่ว่าเขาต้องใจพวกนางทั้งหมดหรอกนะ

“เจ้าลองมองดู พี่ใหญ่ของข้ากับคุณหนูเยี่ย เหมาะสมกันหรือไม่” เสี่ยวหลงหันมองภาพเคียงข้างกันของทั้งสองอย่างที่ผู้เป็นนายบอก และดวงตาของเสี่ยวหลงก็พลันเบิกกว้าง

“เหมาะสมกันยิ่งนักขอรับนายน้อย!”

หญิงข้างกายนามเยี่ยหนิงหลัน เป็นบุตรสาวของรองเสนาบดีเยี่ยสุ่ยนับว่างดงามทั้งการสั่งสอนและหน้าตา ส่วนเมิ่งลู่เหยาเองก็เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเมิ่งที่เลื่องชื่อเรื่องเหลาอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ร่ำรวยไปด้วยทรัพย์สินมากมาย รูปโฉมก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด เพียงเท่านี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว

“เสี่ยวอวิ๋น ระวัง!!”

ปึก!

“อ๊ะ!”

“เจ้า...” น้ำเสียงทุ้มหูดังขึ้นมาเหนือศีรษะ สองแขนอันแข็งแกร่งโอบรัดร่างกายของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้จนแน่น ความคุ้นเคยบางอย่างที่ร่างกายของเมิ่งอวิ๋นจดจำได้ ทำให้หัวใจไม่รักดีเต้นระรัวราวกับว่าผู้เป็นเจ้าของหัวใจนั้นได้กลับมาหามันแล้ว สัมผัสที่โหยหา กลิ่นที่ทำให้คิดถึงจนแทบบ้า เซี่ยอี้เจินที่รับการถาโถมของความรู้สึกที่ประดังเข้ามาแทบไม่ไหวนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมองดูว่า คนที่กระตุ้นความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นได้นั้น ตกลงแล้วคือผู้ใดกันแน่





ใคร!! ใครมา น้องชนใคร!! กระชากหนังหัวมันออกมาเดี๋ยวนี้ค่ะ ค้างอยู่ฉากนี้ไปอีกจนถึงวันจันทร์นะคะ หลบรองเท้าที่ลอยมา ไม่ได้อยากตัดจบแบบนี้เลยน้าาา สาบาน แมวเปล่าจริงๆ มารอดูกันวันจันทร์นะคะว่าคนที่น้องชน จะใช่คนที่ทุกคนคิดหรือเปล่า คิกๆ 

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3)100% (Up.30/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-07-2020 22:27:29
 :z13:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (3)100% (Up.30/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 30-07-2020 23:11:15
น้องออกเที่ยวแล้ว……ว
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (4) 50% (Up.03/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 03-08-2020 20:28:42
[4] 50%

บุรุษผู้นั้น

แม้คำพูดสักคำเซี่ยอี้เจินก็ไม่สามารถเอ่ยมันออกมาจากปากได้เลย ใบเวลานี้ได้แต่ตะลึงงันกับใบหน้าของคนในความทรงจำ บุรุษชั่วช้าที่ลงมือสังหารเมิ่งอวิ๋นให้ตายลงไป แม้มิใช่ผู้ลงมือเองแต่ก็คือผู้ที่สั่งการ เพียงเพื่อหญิงอันเป็นที่รักก็ถึงกับลงมืออย่างเหี้ยมโหมกับผู้ที่มีรักมั่นต่อเขาจนสิ้นใจ

แม้แต่ในชีวิตก่อนของเซี่ยอี้เจินที่ถูกอันซูเหม่ย แฟนสาวของตนวางยาจนถึงแก่ชีวิตเขายังไม่คิดแค้นใจ นั่นเป็นเพราะหนึ่งคือหญิงอันเป็นที่รัก สองคือน้องชายที่เขาเฝ้าดูแลมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็ไม่อาจตัดใจเคียดแค้นได้ลง

แต่นี่ไม่ใช่...

เพราะเขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋น ไม่ใช่คนที่เคยรักบุรุษใจทมิฬผู้นี้จนสุดหัวใจ เพราะงั้น...ความแค้นที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นไม่อยากแม้แต่จะกลับมามีชีวิต ต้องพลัดพรากจากบิดามารดาและพี่ชายที่รักเขามากกว่าผู้ใด ต้องทอดทิ้งความรักใคร่ห่วงใยอันหาได้ยากยิ่งนี้ไปอย่างไม่อาจหวนกลับ

เป็นเพราะความรักที่บุรุษผู้นี้มีต่อหญิงนางนั้น เพียงแค่นั้นถึงได้ลงมือโหดเหี้ยมไร้ปรานี!

เมื่อเซี่ยอี้เจินคิดได้เช่นนั้น ดวงตาก็พลันสะท้อนความโกรธแค้นออกมา สองมือผลักร่างหนาของบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ออกไปจากร่างของตนเอง ใช้มือปัดไปตามร่างกายราวกับรังเกียจแม้แต่สัมผัสเล็กน้อยที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ เสิ่นเหยาประคองร่างกายของผู้เป็นนายเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไปตามแรงผลักของเมิ่งอวิ๋น สองตาแข็งกร้าวมองหน้าของเมิ่งอวิ๋นอย่างเอาเรื่อง

“เจ้า! เจ้ากล้าทำร้ายท่านแม่ทัพหรือ!” นิ้วมือขาวชี้ไปที่ใบหน้าของเมิ่งอวิ๋น แต่คนถูกชี้หน้ากลับเพียงเชิดหน้าขึ้น หาได้มีความเกรงกลัวไม่ กลับเป็นเมิ่งลู่เหยาเสียอีกที่ต้องดึงร่างของผู้เป็นน้องมาซ่อนเอาไว้ที่ด้านหลังของตน ใช้ร่างกายของตนเองปกป้องทุกคนในที่แห่งนี้

“นายน้อย เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ ไม่บาดเจ็บนะขอรับ” เสี่ยวหลงไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าการบาดเจ็บของเจ้านายตน ก่อนนี้เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจากการถูกรถม้าของท่านแม่ทัพชน ไหนเลยจะรู้ว่าเพียงหายดีและนายน้อยของมันออกมาเปิดหูเปิดตาให้สบายใจ กลับต้องมาชนเข้ากับท่านแม่ทัพอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ชนคน มิใช่รถม้าเช่นครั้งก่อน

เมื่อมองสำรวจจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่านายของมันไม่ได้บาดเจ็บใดๆ เสี่ยวหลงก็พลันถอนหายใจออกมา ใช้ตนเองเป็นเกราะกำบังอีกชั้นให้กับเจ้านายอย่างไม่คิดกลัวตาย

“ขออภัยแทนน้องชายของข้าด้วย เขาเพิ่งหายจากการถูกรถม้าชน จึงอาจจะเลอะเลือนไปบ้าง” แม้ว่าในใจจะไม่อยากแม้แต่จะพูดขอโทษอีกฝ่าย แต่เพราะอำนาจและการชี้เป็นชี้ตายของอีกฝ่ายที่มีต่อน้องชายของเขาได้ เขาจึงจำใจต้องก้มหัวลงให้คนที่มันทำร้ายน้องชายของตน

แม้จะฝืนใจก็ต้องทำ ในเมื่อเมิ่งลู่เหยามีน้องชายที่รักยิ่งเพียงคนเดียว

“เจ้าจะบอกว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นความผิดของท่านแม่ทัพเช่นนั้นหรือ?” เมิ่งลู่เหยาขมวดคิ้ว สองมือยังคงกุมเอาไว้เบื้องหน้า ไม่เข้าใจว่าทั้งที่ตนเองกล่าวความเป็นจริง เหตุใดคนผู้นี้จึงได้คล้ายต้องการหาเรื่องตายให้แก่เขาและน้องชายนัก

“ไม่ทราบคำใดของข้าที่ขัดหูท่านหรือ? จึงได้สรุปออกมาเช่นนั้น?”

“นี่เจ้า!”

“เอาล่ะ พอที...ช่างเถิด เรื่องเพียงแค่นี้จะเป็นอันใดไป” หลี่เจี้ยนเฉิงยืดกายขึ้นมาด้วยท่วงท่างามสง่า ดวงตามองตรงไปเพียงที่ใบหน้าของเมิ่งลู่เหยาเท่านั้น เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางนอบน้อมไร้แววจะกล่าวคำเช่นที่เสิ่นหยวนพูดก็พอจะคลายหัวคิ้วลงไปได้บ้าง

ชั่ววูบหนึ่งของสายตาคู่นั้นของเมิ่งอวิ๋นแสดงออกถึงความโกรธแค้นอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเห็น เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้พบ ดวงตาคู่นั้นก็มักจะมองเขาด้วยความรักและเทิดทูน เพียงแต่ในเวลานี้ ทั้งที่มันเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วัน แววตาที่เคยสะท้อนความรักใคร่ มันไม่มีเหลืออีกแล้ว สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน คือความเกลียดชังและเจ็บแค้นเสียมากกว่า

“เช่นนั้น ข้าและน้องชายขอตัวนะขอรับ”

“อืม...”

เมิ่งลู่เหยาดึงแขนของน้องชายให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรเขาก็ไม่อยากจะมีปัญหากับบิดามารดา ด้วยกลัวว่าหัวใจของเมิ่งอวิ๋นอาจจะยังไม่อาจตัดขาดจากบุรุษผู้นี้ได้ ชายผู้ที่ไร้รักต่อน้องชายเขาแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจ ช่างไม่คู่ควรให้เมิ่งอวิ๋นไปรักเลยแม้แต่น้อย

เสิ่นหยวนเหลือบมองไปยังเมิ่งลู่เหย่าและเมิ่งอวิ๋นที่เดินห่างออกไป ท่าทีที่แสนคุกคามทางจิตใจและท่าทางหยิ่งยโสถือดีนั้น ช่างขัดหูขัดตาเสียจนอยากจะใช้ดาบบั่นคอคนให้ตายลงตรงหน้า ขนาดลมปากที่กล่าวออกมายังกล้าต่อว่าท่านแม่ทัพราวกับเป็นผู้กระทำผิด

เฮอะ! หากมิใช่น้องชายน่าตายของเจ้ารนหาที่ตายเอง มีหรือที่รถม้าจะวิ่งไปชน

มารยาเสียมากกว่า!

“ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าเมิ่งอวิ๋นผู้นี้คงหวังให้ท่านสนใจ จึงได้ทำท่าทางเช่นนั้น”

สำหรับหลี่เจี้ยนเฉิงแล้วนั้นเมิ่งอวิ๋นมิเคยอยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำไป คนผู้นี้ดีแต่เอ่ยคำหวานพร่ำเพรื่อ แววตากระหายในตัวเขาอย่างไม่ปกปิด ไร้มารยาทจนเขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะอยู่ใกล้ แม้ว่าดวงตากลมคู่นั้นจะมีความรักให้เขาอยู่จนล้น แต่คนน่ารำคาญเช่นนี้ เขาเองก็ไม่คิดจะไปวุ่นวายด้วย จึงมักเลี่ยงอีกฝ่ายมาตลอด

แต่เพียงสัมผัสร่างกายผอมบางของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แล่นเข้ามาในหัวใจจนหลี่เจี้ยนเฉิงเองยังอดแปลกใจไม่ได้

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” เสิ่นหยวนเหลือบมองสายตาของหลี่เจี้ยนเฉิงที่ก้มลงมองฝ่ามือของตนไม่ยอมละสายตาอย่างประเมินความคิด แต่เมื่อไม่อาจจะเข้าใจได้จึงได้เอ่ยตอบกลับไปตามที่ตนเองคิดเท่านั้น

“ขอรับ”

หวังให้ข้าสนใจจึงได้กระทำท่าทีเช่นนั้น เพียงเพื่อดึงดูดใจข้าหรือ

หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่เสิ่นหยวนกล่าว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอีกด้านทันที ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่นั่นไม่สำคัญสักนิด เพราะหลี่เจี้ยนเฉิงที่ไม่เคยชอบหน้าของเมิ่งอวิ๋นก็ยังคงไร้ความรู้สึกดีๆ ต่ออีกฝ่ายอยู่ดี หากจะให้สนใจท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอีกฝ่ายก็เกรงว่าจะสำคัญตนผิดไปเสียแล้ว

บุรุษที่เกาะติดเขาจนน่ารำคาญ เขาไม่เสียเวลามาให้ความสนใจหรอก

“คงเป็นดังที่เจ้าว่า”

“แต่แม้ว่าสกุลเมิ่งจะมีบุตรชายเช่นนั้น ทว่าเหลาจื่อเค่อของสกุลเมิ่งกลับรสชาติเป็นหนึ่งไม่มีสอง ท่านแม่ทัพไม่ทราบสนใจหรือไม่ขอรับ” แม้ตัวของหลี่เจี้ยนเฉิงจะไม่พึงใจในการกระทำทั้งก่อนหน้าและตอนนี้ของเมิ่งอวิ๋น แต่ทว่าเรื่องรสชาติเขาเองก็ต้องยอมรับว่าได้ยินเสียงล่ำลือมาอย่างหนาหู อีกทั้งหากจะตัดใจจากรสชาติล้ำเลิศเพียงเพราะเด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็ไม่ถูกต้องนัก หากนับว่าเมิ่งอวิ๋นที่เป็นบุตรไร้ยางอาย วิ่งไล่ตามติดบุรุษที่พึงใจอย่างเปิดเผยเป็นการกระทำที่ไม่ควรแล้วใช้มันตัดสินอาหารจากเหลาของสกุลเมิ่งก็นับได้ว่าเขาโง่เขลาเกินไปเสียแล้ว

“เช่นนั้นก็ได้ ข้าเองก็มิเคยได้ลิ้มรสอาหารของเหลาสกุลเมิ่งมาก่อน แต่ก็นับว่ามีชื่อเสียงไม่ธรรมดา” เสิ่นหยวนกระตุกยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความยินดี

“เช่นนั้นข้าจะนำทางท่านแม่ทัพไปเองขอรับ” หลี่เจี้ยนเฉิงพยักหน้า เดินไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าที่แสดงให้เห็นถึงความองอาจจนสายตาของผู้ที่จับจ้องอย่างเสิ่นหยวนยังเต็มไปด้วยความนับถือและเทิดทูน

สำหรับเสิ่นหยวนแล้ว การกระทำที่แสนโง่เขลาอย่างเมิ่งอวิ๋นนั้นเขาคงไม่ทำ สิ้นคิดสิ้นดีจึงได้โหมกระพือความโกรธของท่านแม่ทัพ ต้องใจบุรุษด้วยกันมิใช่เรื่องผิด

แต่สิ่งที่ผิดคือไม่รู้จักประมาณตน ทั้งที่เป็นเพียงบุตรชายพ่อค้า กลับกล้าหมายปองแม่ทัพใหญ่เช่นหลี่เจี้ยนเฉิง

เช่นนี้นับว่าสมควรตายแล้ว

เสิ่นหยวนปรากฏแววตาดุตาขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาเดินตามหลี่เจี้ยนเฉิงไปอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวราวกับจะติดตามไปทุกที่ไม่ว่าเป็นที่แห่งใดโดยที่ไม่รู้เลยว่า หลี่เจี้ยนเฉิงมิได้โง่ขนาดดูไม่ออก สายลมที่พัดผ่านร่างของหลี่เจี้ยนเฉิงนั้น ได้พัดเอาบรรยากาศแสนยะเยือกไปสู่เสิ่นหยวนจนขาทั้งสองข้างสั่นสะท้านอย่างไร้สาเหตุ













อีกด้านหนึ่งของเมิ่งอวิ๋นที่เดินจากเสิ่นหยวนและหลี่เจี้ยนเฉิงออกมาแล้วนั้นก็มิได้มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ด้วยความที่ตัวของว่าเซี่ยอี้เจินในชาติก่อนก็มิได้อ่อนด้อยด้านความกดดัน ประธานบริษัทที่ต้องดูแลควบคุมลูกน้องหลายพันชีวิต มีหรือจะสู้รบตบมือกับแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นมิได้ แม้ร่างกายเขาจะยังเยาว์วัย แต่ความบรรยากาศกดดันของบุรุษผู้นั้นนับว่าไม่เยาว์วัยเช่นอายุเลยสักนิด

เพียงพลั้งเผลอไปชั่วครู่กับความแค้นแทนเมิ่งอวิ๋นเขาก็ลืมตัว ผลักร่างกายของชายผู้พรากชีวิตของเมิ่งอวิ๋นไปอย่างแรงด้วยความรังเกียจ ทว่าก็ถูกบรรยากาศแสนน่าอึดอัดกลับมากดดันแทน แต่เมื่อเขาได้พบกับเหล่าผู้เฒ่าในสกุลเซี่ยก็ไร้สิ่งใดที่ชวนให้ขนหัวลุกและอัดอั้นจนหายใจไม่ออกอีกแล้ว

เมื่อสิ่งที่น่าหวั่นใจที่สุดเขาได้ผ่านมาแล้ว ความเจ็บปวดจนตายก็ผ่านพ้นมาแล้ว

แล้วจะมีสิ่งใดอีกเล่า ให้เขาคนนี้ต้องเกรงกลัว!

แม่ทัพหลี่ผู้นั้นนะหรือ…มิเคยอยู่ในสายตาของเขาแม้เพียงเสี้ยวเดียวด้วยซ้ำไป!

“เจ้าวู่วามเกินไปนะเสี่ยวอวิ๋น...” เพราะนึกห่วงว่าน้องชายจะเดือดร้อนกับการกระทำในครั้งนี้ เมิ่งลู่เหยาจึงเลือกจะเปิดปากตักเตือนเสียดีกว่านิ่งเฉยแล้วปล่อยปละละเลยไป

“พี่ใหญ่…ท่านคิดเช่นนั้นหรือ?” เมื่อเห็นน้องชายหันมาเลิกคิ้วถามเช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็พยักหน้าเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ใช่…เจ้าก็รู้ว่านั่นคือผู้ใด ท่านแม่ทัพเชียวนะเสี่ยวอวิ๋น! เช่นนี้แล้วหากเจ้าถูกเขากล่าวโทษเล่า มิเท่ากับ…” มิเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรือไร เมิ่งลู่เหยาได้แต่กลืนคำพูดลงไปอย่างเงียบๆ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยวาจาได้ นัยน์ตาคมจึงทอประกายความกังวลออกมาจนเมิ่งอวิ๋นต้องทอดถอนใจ

จริงสินะ เมื่อก่อนเขาเป็นพี่ชาย ความรู้สึกถูกห่วงใยและปกป้องไม่เคยได้รับมาก่อน จึงได้หลงลืมไปว่าการกระทำของเขาจะทำให้ผู้ใดบ้างต้องมาห่วงใย

ลืมไปเสียสนิทว่าให้สัญญาต่อเมิ่งอวิ๋นเอาไว้เช่นไร…

ขอโทษนะ…ผมจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ จะดูแลทั้งพ่อแม่และพี่ชายของคุณอย่างดี จะใช้ชีวิตที่เหลือแทนคุณเอง แม้ผมจะเกลียดผู้ชายคนนั้นที่ทำร้ายคุณมากแค่ไหน แต่ผมจะทำตามสัญญา ผมจะเลิกอาฆาตเขา จะไม่ให้การกระทำของผมนำหายนะมาสู่สกุลเมิ่งอย่างแน่นอน ผมสัญญา

เซี่ยอี้เจินหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง สองมือกำแน่นราวกับระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาไว้ในอกอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมา พร้อมกับปลดปล่อยลมหายใจออกมาอย่างแรงเช่นกัน

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ เป็นข้าที่วู่วามไป หาพบหน้าอีกครา ข้าจะขออภัยแก่เขาด้วยตนเอง” เกลียดมากเพียงใดก็ต้องเก็บมันเอาไว้ หากมิอยากให้ครอบครัวต้องพบเจอหายนะครั้งใหญ่ การนอบน้อมต่อบุรุษผู้นั้น…คงเป็นสิ่งที่ควรทำ

แม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตามที!

“เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เดิมทีเมิ่งลู่เหยายังคงกังวลใจว่าน้องชายของเขาจะยังคงไม่อาจตัดใจจากหลี่เจี้ยนเฉิงได้ แต่ดูแล้วเขาควรจะกังวลเรื่องนี้เสียมากกว่า เหตุใดน้องชายที่เคยเทิดทูนแม่ทัพหลี่ยิ่งกว่าชีวิต จึงได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์อีกฝ่ายอย่างน่าสงสัย

หรือน้องเขาจะคิดได้แล้ว?

นั่นช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนัก

“เสี่ยวอวิ๋น...” เมิ่งอวิ๋นที่ถูกเรียกก็หันมามองเมิ่งลู่เหยาอย่างสงสัย ท่าทีที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจมันชัดเจนเสียจนเมิ่งอวิ๋นเองยังสามารถมองเห็นมันได้ด้วยสองตา

“ขอรับ?”

“เจ้ายังมีใจให้แม่ทัพหลี่...อีกหรือไม่” คำถามนี้ดูเหมือนจะสะกิดหัวใจเสี้ยวหนึ่งของเมิ่งอวิ๋น จนมันรู้สึกคล้ายถูกผีเสื้อตัวน้อยบินวนไปมาอยู่ภายใน

“ข้าคงไม่อาจมีใจให้กับบุรุษผู้นั้นได้อีกแล้วพี่ใหญ่”

ใครจะไปรักคนแบบนั้นได้ลง!

“เจ้า...พูดจริงหรือ?” เมิ่งลู่เหยาที่คล้ายจะดีใจก็ไม่ใช่ สับสนก็ไม่เชิงดูแล้วช่างน่ารักจนเมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินยังอดยิ้มให้ไม่ได้

เมิ่งอวิ๋น...พี่ชายของคุณน่ารักจริงๆ







50%





คุณพี่ฟาดมากค่าาา +10ให้พี่ใหญ่เมิ่งพร้อมป้ายไฟแต่จะว่าไปแล้ว พี่ใหญ่ของเราน่ารักอย่างที่น้องว่าจริงๆนะคะ น่าเสียดายที่มีสาวงามในหัวใจซะแล้ว อกหักดังเป๊าะเลย แต่อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ รออ่านต่อครึ่งวันพฤหัสกันนะคะคนดี

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (4) 50% (Up.03/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 04-08-2020 15:38:47
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (4) 50% (Up.03/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-08-2020 21:47:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (4)100% (Up.07/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 07-08-2020 09:45:33
[4] 100%




“แน่นอน พี่ใหญ่อย่าได้ห่วง ข้าตาสว่างเลิกสนใจในตัวของหลี่เจี้ยนเฉิงแล้ว ในยามนี้ข้าเพียงอยากอยู่กับท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่มากกว่า”

“เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยพี่จะได้ไม่ต้องห่วงเจ้ามากนัก” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะเล็กน้อยแล้วตบหลังพี่ชายด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น จากรอยยิ้มกว้างก็กลับกลายเป็นความเจ้าเล่ห์ที่ชวนให้เมิ่งลู่เหยาต้องขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

“ข้าควรห่วงท่านมากกว่าหรือไม่พี่ใหญ่”

“เหตุใดต้องมาห่วงพี่ด้วยเล่า พี่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องมาห่วงกัน”

เมิ่งอวิ๋นหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา มองตรงไปข้างหน้าจับจ้องร่างบอบบางของหญิงงามนางหนึ่งซึ่งปรากฏรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่ามวลบุปผา

“เรื่องนางอย่างไรเล่า” เมิ่งลู่เหยาชะงักงัน ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย สายตาไม่อาจหลบเลี่ยงออกมาจากร่างของเยี่ยหนิงหลันได้เลยแม้เพียงเสี้ยว เมิ่งลู่เหยาเป็นบุรุษที่มิเคยเกี้ยวพาหญิงคนใดมาก่อน หากแต่ก็มิใช่ไก่อ่อนจนถึงขนาดไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องให้น้องชายของตนมาห่วงตนกับเรื่องเช่นนี้

“หากพี่ใหญ่เกี้ยวพานางมิเป็น เช่นนั้นข้าจัก...”

“พี่รู้ว่าควรทำอย่างไร เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย”

ความจริงแล้วเมิ่งอวิ๋นเพียงแค่หยอกเย้าผู้เป็นพี่เท่านั้นมิได้คิดจะสั่งสอนอะไรเลย เพราะเขาเองรู้ดีกว่าศักดิ์ศรีในเรื่องเช่นนี้จะเหยียบย่ำมิได้

“เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็รีบลงมือเถิด ความงามของนางหากข้าและพี่ใหญ่มองเห็น ก็มิใช่ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็น” แววตาของเมิ่งลู่เหยาฉายแววสับสน ก่อนที่จะพยักหน้ารับสิ่งที่เมิ่งอวิ๋นเอ่ย

“จริงดังเจ้าว่ามา หากพี่และเจ้าเห็นความงามของนาง บุรุษอื่นย่อมต้องมองเห็นด้วยเช่นกัน”

“เมิ่งลู่เหยายืดอกแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อไปยืนอยู่เคียงข้างเยี่ยหนิงหลัน ทั้งสองพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ในสายตาของเมิ่งอวิ๋นแล้วนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดียิ่งนัก ทว่าเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ในใจกลับหวนคิดถึงเมื่อครั้งที่ตนได้พบกับอันซูเหม่ย หญิงสาวที่ลงมือสังหารเขาอย่างโหดเหี้ยม

ในครั้งแรกที่เซี่ยอี้เจินได้พบกับอันซูเหม่ยนั้น เป็นเพียงการดูตัวที่ทางผู้ใหญ่จากตระกูลเซี่ยจัดขึ้นมาให้เท่านั้น เป็นดั่งการผูกมัดเขาเอาไว้ไม่ให้หลีกหนีไปไหนได้ อันซูเหม่ยที่เขาได้พบมีใบหน้างดงาม รอยยิ้มที่อ่อนหวาน ทว่ามันกลับเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อใดเขาเองก็จดจำมันไม่ได้เสียแล้ว

ในยามนี้เมื่อมาลองนึกย้อนกลับไป สิ่งที่เห็นได้ชัดคงเป็นวันที่อันซูเหม่ยและเซี่ยเฟิงได้พบกัน เมิ่งอวิ๋นได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างรู้สึกช่วยไม่ได้ แม้ความเจ็บร้าวและหน่วงในอกจะยังคงอยู่ แต่เขาก็คิดว่าอีกไม่นานมันก็คงจะหายไปเอง เสี่ยวหลงที่เห็นนายน้อยของตนมีสีหน้าเคร่งเครียดระคนปวดร้าวก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือบาดแผลจะยังไม่หายดี นายน้อยจึงได้มีสีหน้าเช่นนี้

“นายน้อย รู้สึกไม่ดีหรือขอรับ เช่นนั้นกลับกันดีหรือไม่” เมิ่งอวิ๋นเหลือบมองเสี่ยวหลงอย่างเอ็นดู เด็กคนนี้เอาแต่ห่วงว่าเขาจะยังไม่หาย คิดแต่กังวลว่าเขาจะเป็นอันตรายจนลืมปกป้องตัวเองเสียด้วยซ้ำ เหตุการณ์เมื่อครู่ที่เด็กคนนี้เอาตัวเข้ามาบังร่างของเขา ไม่ได้ต่างกับพร้อมรับคมดาบแห่งความตายเลยสักนิด

เห็นเช่นนี้...เมิ่งอวิ๋นก็เกิดความรู้สึกอุ่นวาบในใจ

“เจ้าอย่าห่วงไปเลย เจ้าเล่า มีสิ่งใดที่อยากได้หรือไม่ ข้าจะซื้อให้เจ้าเอง” เสี่ยวหลงเบิกตากว้าง ส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน

“มะ ไม่เป็นไรขอรับนายน้อย ข้า ข้าน้อยมิได้ปรารถนาสิ่งใดเลยขอรับ”

“ข้าให้เจ้าคิดอีกที”

“...” เสี่ยวหลงก้มหน้าลงต่ำ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมิ่งอวิ๋นกลับเอ็นดูเด็กคนนี้มากกว่าบ่าวรับใช้คนใด อาจเป็นเพราะความใสซื่อและจริงใจของเด็กคนนี้ก็เป็นไปได้

“เอาเถิด...เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าคิดไปก่อน หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการเพียงแค่เจ้าบอกข้า ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องชาย ไม่ว่าอะไรที่ไม่เกินกำลังของข้า แน่นอนว่าจะนำมาให้เจ้าอย่างแน่นอน”

“นายน้อย...”

เสี่ยวหลงเรียกนายของตนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แววตาทอประกายแห่งความภักดี ในใจจึงได้แต่คิดว่าหากวันหน้านายน้อยของเขาพบเจออันตรายมากมายเพียงใด เขายินดีสละชีวิตเพื่อให้นายน้อยได้หลุดพ้นจากอันตรายนั้นๆ

ต่อให้เบื้องหน้าที่นายน้อยบัญชาจะเป็นหุบเหว เขาก็พร้อมจะกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล!

“แต่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้รู้ความคิดของบ่าวรับใช้คนสนิทเลยแม้แต่น้อย ดวงตายังคงจับจ้องออกไปเบื้องหน้า มองดูความรักอันงดงามที่ผู้เป็นพี่ชายของเขากำลังเบ่งบาน รอยยิ้มหวานหยดย้อย ดวงตาพราวระยับที่มักจะเห็นได้ในยามที่ถูกมนต์แห่งความรักสะกดหัวใจ สำหรับเมิ่งอวิ๋นแล้ว...มันช่างชวนให้ยิ้มเสียเหลือเกิน

เมิ่งลู่เหยาในยามนี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้ว่าจะทำทีท่าราวกับสนใจของตรงหน้าทว่าเมิ่งอวิ๋นกลับเห็นว่าบ่อยครั้งที่เมิ่งลู่เหยาเหลือบมองคุณหนูเยี่ยผู้นี้

ดูอย่างไรก็เหมาะกันเสียเหลือเกิน

เมิ่งอวิ๋นลอบยิ้มอยู่ในทีก่อนจะขยับร่างเข้าไปใกล้คนทั้งสองอย่างไม่ให้รู้ตัวนัก เพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆ เงียบ ฟังบทสนทนาที่ราวกับมีกันอยู่เพียงสองคนเท่านั้นด้วยหัวใจที่เบิกบาน

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ไม่รู้เลยว่าคุณหนูเยี่ยเองก็คิดเช่นเดียวกับข้า...” เมิ่งลู่เหยาระบายยิ้มออกมาด้วยท่าทางน่าหลงใหลจนผิวแก้มของเยี่ยหนิงหลันพลันแดงซ่าน ความเขินอายที่ชวนมองทำให้เมิ่งลู่เหยายิ่งใจเต้นแรง

“คุณชายคงพอใจกับของที่ข้าช่วยเลือก เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องขอ...”

“คุณหนูเยี่ยไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือไม่ หากข้าและพี่ใหญ่จะเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อ” เมิ่งอวิ๋นรู้ดีว่านางกำลังคิดจะจากไปจึงได้เอ่ยปากขึ้นก่อนที่นางจะเอ่ยจบ เยี่ยหนิงหลันหันไปมองสาวใช้ข้างกายที่ฉายแววตากังวลขึ้นมาไม่น้อยก็พอจะเข้าใจได้ เห็นทีงานนี้คงไม่ง่ายนักสินะ

ยุคสมัยนี้ชายหญิงไม่อาจอยู่ใกล้กันได้มากเกินไป ไม่อาจสนิทกันจนเกินงาม จะทำสิ่งใดก็ล้วนแต่ต้องระวังและไว้ตัว แต่ยิ่งนางประพฤติตนอย่างดี เป็นกุลสตรีที่น่ามองทั้งการวางตัวและนิสัยใจคอของนาง เมิ่งอวิ๋นก็ยิ่งปรารถนาให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของตนเสียเหลือเกิน

“หากคุณหนูลำบากใจข้าต้องขออภัยด้วย” ท่าทีของเมิ่งอวิ๋นมิใช่การประชดประชันแต่อย่างใด กิริยาต่างๆ ที่แสดงออกมาคล้ายจะลุแก่โทษในตนเอง นั่นทำให้เยี่ยหนิงหลันพลันใจอ่อนลงมากกว่าครึ่ง แต่ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำตามคำขอของอีกฝ่ายได้เช่นกัน

“มิใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่ข้าแจ้งท่านพ่อท่านแม่เอาไว้ว่าจะออกมาเพียงชั่วครู่เท่านั้น” เยี่ยหนิงหลันเห็นใบหน้าผิดหวังระคนเศร้าสร้อยของเมิ่งลู่เหยาได้อย่างดี ในใจรู้สึกขบขันและชื่นชอบการแสดงออกของคนผู้นี้นัก สองพี่น้องสกุลเมิ่งช่างดูจริงใจ น่าคบหา ไม่เหมือนที่ได้ยินมาสักนิด

ดูอย่างไรเมิ่งอวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางก็ไม่คล้ายบุรุษตัดแขนเสื้อสักนิด ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ไม่คล้ายคนที่วิ่งไล่ตามบุรุษแม้แต่น้อย ข่าวลือในเมืองหลวงช่างไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด ดูอย่างเมิ่งลู่เหยาที่อยู่ตรงหน้านางสิ...สีหน้ามิได้เก็บความรู้สึกแม้แต่น้อย เห็นเช่นนี้นางก็อดรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้...น่ารักมิใช่น้อย

“เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจรั้งคุณหนูเยี่ยไว้ได้แล้ว...”

“ในเมื่อมีวาสนาได้พานพบ ก็ขอให้คุณชายคิดเสียว่าข้าเป็นพี่สาวท่านคนหนึ่งเถิด อย่าได้เรียกคุณหนูเยี่ยอีกเลย” เมิ่งอวิ๋นอยากจะหัวเราะออกมาเสียเหลือเกิน เยี่ยหนิงหลันคนนี้ช่างน่ารักเสียจริง นี่จะรู้หรือเปล่านะว่าเขาไม่ได้ปรารถนาจะให้นางเป็นพี่สาว แต่อยากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้ต่างหาก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดทางให้หนึ่งด่าน คนฉลาดเช่นเมิ่งอวิ๋นมีหรือจะไม่ตอบรับในสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้

“พี่สาว...เช่นนี้ดีหรือไม่ขอรับ?” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นนั้นกลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะ นิ้วเรียวเกาแก้มของตนเองด้วยความเคอะเขินเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากเยี่ยหนิงหลันได้อย่างดี

นี่คือข้อดีของเด็กหนุ่มอย่างเมิ่งอวิ๋น ใบหน้างดงามและความไร้เดียงสา สองสิ่งนี้ไม่ว่าผู้ใดเห็นย่อมต้องให้ความเอ็นดูอย่างแน่นอน เซี่ยอี้เจินรู้ดี จึงได้ใช้มันเรียกความเอ็นดูจากเยี่ยหนิงหลันและมันก็ได้ผลดีเสียด้วย

“มีน้องชายเช่นนี้ ข้า...อิจฉาท่านนักคุณชายเมิ่ง” เพราะนางไร้พี่น้องร่วมมารดา นางจึงปรารถนานักที่จะมีน้องชายน่ารักๆ เช่นนี้

“เช่นนั้น...คุณหนูเยี่ยไม่ทราบสนใจจะมาร่วมสกุลกับข้าหรือไม่เล่า”

“...”

“...”

ใครจะไปคิดว่าคำพูดเช่นนี้จะออกมาจากปากของเมิ่งลู่เหยาพี่ใหญ่ของเขาคนนี้ ทั้งเมิ่งอวิ๋นและเยี่ยหนิงหลันตะลึงงันตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เมิ่งอวิ๋นอ้าปากค้างนิ่งอึ้งไปจนลืมแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ ส่วนเยี่ยหนิงหลันนั้นทันทีที่ได้สติสองแก้มก็แดงซ่าน หลบสายตาคมที่จับจ้องนางด้วยความเขินอายได้แต่เอ่ยปากลา ขอตัวกลับไปอย่างอ้อมแอ้ม

กว่าที่เมิ่งอวิ๋นจะได้สติเยี่ยหนิงหลันก็เดินหายลับไปจนไกลตา ได้แต่เหลือบมองพี่ชายตัวดีที่ยืนมองไปยังทิศทางนั้นไม่ยอมวางตา

ใครจะไปคิดว่าเมิ่งลู่เหยาพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นจะมีวิธีจีบผู้หญิงแบบนี้กัน แม้แต่เขาผู้มาจากโลกปัจจุบันยังอดเขินแทนไม่ได้

“จุ๊ๆ พี่ใหญ่...ท่านนี่ไม่เบาจริงๆ”

“ก็เจ้าบอกให้ข้าเกี้ยวพานางมิใช่หรือ” ใบหน้าซับระเรื่อด้วยความเขินอาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสามารถเอ่ยออกมาได้โดยไร้ความเอียงอายใดๆ ทว่าหลังจากเยี่ยหนิงหลันจากไปเขากลับเกิดความเขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยิ่งถูกน้องชายพูดจาคล้ายล้อเลียนอยู่ในทีเขาก็ยิ่งเขินอายยิ่งขึ้น

“อ้อ...เป็นข้าผิดเองพี่ใหญ่ หึๆ”

“เจ้า! เจ้า! ฮึ่มมม!”

เมิ่งอวิ๋นมองพี่ชายเดินนำหน้าไปด้วยอารมณ์ดียิ่งนัก แม้จะหยอกเย้าพี่ชายของตนออกไปเช่นนั้นแต่ทว่าในใจกลับชื่นชมวิธีจีบสาวของเมิ่งลู่เหยาอยู่ไม่น้อย แม้ไม่ใช่วิธีที่ผู้คนมักจะใช้ แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นเกี้ยวพาสาวอย่างเมิ่งลู่เหยาก็นับได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งที่พูดออกไปเองแท้ๆ แต่กลับเขินอายจนต้องเดินหนี แบบนี้จะเขาจะได้เยี่ยหนิงหลันมาเป็นพี่สะใภ้ได้แน่หรือ

ตัวเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว แต่เมื่อหวนคิดถึงปฏิกิริยาที่เยี่ยหนิงหลันมีเขาก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น ใบหน้างดงามแดงซ่านบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังเขินอาย หากเขินอายเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าพอใจในตัวพี่ใหญ่ของเขาไม่น้อย เช่นนี้ก็ยังพอจะลุ้นไปได้อีกสักหน่อย

เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาเดินทางมายังเหลาอาหารของครอบครัว มองภาพความคึกคักในร้านอย่างพึงพอใจ แต่ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็ยังอยากให้เหลาอาหารแห่งนี้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก จนไม่มีเหลาอาหารแห่งใดสามารถโค่นล้มลงได้

ถึงแม้เขาจะไม่อาจเอาชีวิตของบุรุษผู้นั้นมาให้เมิ่งอวิ๋นได้

แต่ก็สามารถทำให้สกุลเมิ่งร่ำรวยได้ไม่รู้จบ

เมิ่งอวิ๋นหมายมั่นในใจว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ จะไม่ยอมให้ชีวิตของเมิ่งอวิ๋นที่เขา เซี่ยอี้เจินมาแทนที่ได้ซ้ำลงที่เดิมอย่างแน่นอน

บุรุษที่ไม่มีแม้หัวใจรักให้ เขาจะเอาไปทำอะไร?

เงินทองมากมายก่ายกองต่างหาก ที่สมควรมี!

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พลันระบายรอยยิ้มออกมาทันทีแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างสบายใจ โดยที่ไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่ารอยยิ้มของตนถูกใครบางคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา

หลี่เจี้ยนเฉิงไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทั้งที่เคยรำคาญเมิ่งอวิ๋นจนอยากให้หายไปเสียด้วยซ้ำ ทว่าเพียงเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายในวันนี้ เขากลับไม่สามารถถอนสายตาออกมาจากใบหน้าของเด็กหนุ่มได้แม้แต่น้อย ลมหายใจพลันสะดุดลงทันทีที่ได้เห็น หัวใจเต้นแรงจนปวดหนึบในอก แรงสั่นสะเทือนในอกทำให้เขาเลิกสนใจอาหารที่เลิศรสตรงหน้าไปในทันใด

เฝ้าแต่เพียงถามตนเองถึงสาเหตุที่หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งสาเหตุที่ตนเองไม่สามารถถอนสายตาออกมาจากร่างบางของเด็กหนุ่มคนนั้นได้เช่นกัน

สิ่งใดกันที่ดึงดูดสายตาของเขาให้ต้องจับจ้องแต่เพียงแค่คนผู้นั้น

หลี่เจี้ยนเฉิงทอดสายตามองร่างของเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่คิดจะปิดบัง แม้จะถูกอีกฝ่ายรู้ตัวเขาก็ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ทว่าความรู้สึกที่ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ไม่เพียงพอนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

หากลองย้อนคิดดูแล้วเขารู้สึกแปลกไปตั้งแต่ที่รับร่างของเมิ่งอวิ๋นที่ชนเขาจนเกือบล้มได้ทัน เพียงสัมผัสร่างกายผอมบางนั้น หัวใจเขาก็ปรากฏความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจจะมองอีกฝ่ายเช่นเดิมได้อีก

“มีสิ่งใดให้ท่านแม่ทัพสนใจหรือขอรับ?” เสิ่นหยวนจำต้องเอ่ยถามออกมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มมุมปากกับใบหน้าที่ฉายความอ่อนโยนออกมาอย่าลืมตัวของหลี่เจี้ยนเฉิง แต่ทันทีที่ถูกทักใบหน้าที่เคยอ่อนโยนก็พลันกลับกลายเป็นเรียบเฉยดุดัน

“ไม่มีอะไร” เสิ่นหยวนมองสุรารสดีที่ถูกหลี่เจี้ยนเฉิงยกขึ้นดื่มแล้วจึงคิดว่าอาจเป็นเจ้านี่หรือเปล่าที่ทำให้ท่านแม่ทัพสนใจ

“สุราเจี้ยนหนานชุน ไม่ทราบท่านแม่ทัพชอบหรือไม่ขอรับ” หลี่เจี้ยนเฉิงเหลือบตามองเสิ่นหยวนอย่างเย็นชา แต่ก็ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมใดๆ

“สุรารสดี ข้าย่อมชอบ” ได้ยินเช่นนั้นเสิ่นหยวนก็ระบายยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ ทั้งที่ตนมิได้เกี่ยวข้องกับสุราตัวนี้แม้แต่น้อย

“ข้าคิดแล้วเชียวว่าท่านแม่ทัพจะต้องชอบ” หลี่เจี้ยนเฉิงเพียงยิ้มบางๆ พร้อมกับยกจอกสุราขึ้นดื่มอย่างไม่รีบร้อนใดๆ ทว่ากลับยังคงจับจ้องสายตาไปที่ร่างกายอันบอบบางของเมิ่วอวิ๋นเช่นเดิม

ต่างก็เพียงแต่ครานี้…อีกฝ่ายก็มองสบตากลับมาเช่นกัน!









เมิ่งลู่เหยา : เช่นนั้น...คุณหนูเยี่ยไม่ทราบสนใจจะมาร่วมสกุลกับข้าหรือไม่เล่า

llมว_น้oe : ข้ายินดีร่วมสกุลกับคุณชายเจ้าค่ะ 

เมิ่งอวิ๋น : พี่ใหญ่ นั่นตัวอะไรหรือ

เมิ่งลู่เหยา : แกล้งมองไม่เห็นเสียเถิดเสี่ยวอวิ๋น สงสัยจะเป็นคนวิปลาส น่าสงสารยิ่งนัก

llมว_น้oe : QAQ  นี่แมวไง แมวเองงงงงงง

เมื่อวานนี้ไม่ได้อัพเพราะโน้ตแมเสียค่ะ ัจจุบันจิ๊กของน้องสาวมาใช้ แต่เมื่อวานนี้นางใช้ทำงาน แมวเลยไม่ได้จับ ขอโทษนะคะ แง้ แต่วันนี้แมวอัพแล้วน้าาา เดี๋ยวแมวมีเวลาจะมาอฑิบายไทม์ไลน์ของน้องเมิ่งกับน้องเซี่ยให้ดูนะคะ ช่วงนี้...ฮรุกกก ยังไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ทุกท่าน โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิด


เมิ่งอวิ๋น 

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (5) 50% (Up.11/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 11-08-2020 10:30:23
[5] 50%



เหลาอาหารอันดับหนึ่ง

“มีอะไรหรือ เสี่ยวอวิ๋น” เมิ่งลู่เหยาที่ยืนเคียงข้างเอ่ยปากถามขึ้น เมื่อน้องชายจับจ้องไปยังชั้นสองอย่างไม่ยอมละสายตา ครั้งเมื่อได้มองตามขึ้นไปจึงได้เข้าใจว่าทำไมน้องชายของตนถึงได้จับจ้องไม่วางตาเช่นนี้

แต่เมื่อสติกลับคืนมาก็ต้องเอ่ยห้ามปรามเจ้าน้องชายตัวดีเอาไว้เสียก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นมา

“เสี่ยวอวิ๋น ไหนเจ้าบอกพี่ว่าจะไม่วู่วามอย่างไรเล่า” เมิ่งอวิ๋นถอนสายตากลับมาอย่างช่วยไม่ได้ จากแววตาไม่ยินยอมก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงทันตา

“พี่ใหญ่ ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแปลกใจเท่านั้นที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น” แม้จะสงสัยเคลือบแคลงในคำพูดของเมิ่งอวิ๋น แต่เมิ่งลู่เหยาก็ไม่อาจคาดคั้นเอาคำตอบหรือความจริงจากน้องชายได้ ด้วยรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายไม่ยอมพูด อย่างไรเสียก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเปลืองแรงเอ่ยถามออกไป

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

“ขอรับ เหตุใดข้าจึงต้องไม่แน่ใจด้วยเล่า” เมิ่งอวิ๋นมองพี่ชายตนเองด้วยแววตาสงสัย นี่ตัวเขาดูคล้ายคนที่พร้อมจะเดินเข้าไปหาเรื่องตายให้ตัวเองหรือไรกัน

อีกอย่าง...ลูกค้ามายังร้านของตนเอง มีหรือเขาจะออกปากไล่ ออกจะยิ้มแย้มให้ พร้อมเชื้อเชิญให้สั่งอาหารหลายๆ อย่างเสียอีก

“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ไปเถิด เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าอยากจะชิมอาหารจากเหลาของตระกูลเรา”

“ดียิ่งนัก! พี่ใหญ่รีบไปกันเถิด ข้าหิวเต็มทีแล้ว”

เมิ่งลู่เหยาที่เห็นน้องชายของตนดวงตาวาววับราวกับเด็กๆ มือข้างหนึ่งลูบท้องมองตนด้วยท่าทางออดอ้อนแล้วก็ใจอ่อนยวบ ลืมเลือนไปเสียทุกความคิดที่ติดค้างอยู่แล้วระบายรอยยิ้มออกมา เขาเดินนำร่างของน้องชายตนเองขึ้นไปบนชั้นสองของเหลาอาหาร

เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตามองไปจนทั่ว มองภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คนที่มาทานอาหารอย่างพึงพอใจ ผู้คนที่มาที่นี่ต่างก็มีความสุข นั่นคือสิ่งที่ร้านควรมอบให้กับลูกค้า เมิ่งอวิ๋นคิดแล้วคิดอีกว่าควรจะทำอะไรดีให้ร้านยิ่งทวียอดขายยิ่งขึ้นๆ ไปอีก

ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะสุดท้ายทางฝั่งขวามือซึ่งตรงข้ามกับโต๊ะของหลี่เจี้ยนเฉิงทว่าก็ยังสามารถมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน เมิ่งอวิ๋นให้เสี่ยวหลงไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งพร้อมกับกำชับให้ผู้เป็นพี่สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ทำอาหารมาให้เสี่ยวหลงด้วยเช่นกัน เมิ่งลู่เหยาแปลกใจกับการเอาใจใส่ของน้องชาย แต่ก็ยังยินยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการอย่างไม่ลังเล ก่อนที่เมิ่งลู่เหยาจะหันไปสั่งการเสี่ยวเอ้อร์ให้ดูแลเสี่ยวหลง นำอาหารสองสามอย่างมาให้ พร้อมกับบอกให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารทุกอย่างที่ร้านมีมาให้ที่โต๊ะของตนด้วยเช่นกัน

เมิ่งอวิ๋นเฝ้ารออาหารด้วยใจที่จดจ่อ ลอบกลืนน้ำลายอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อคิดถึงอาหารต่างๆ ที่กำลังจะได้ลิ้มลอง ในชีวิตของเซี่ยอี้เจิน เขาไม่เคยได้สนใจเรื่องอาหารการกินมากนัก วันๆ ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน แก้ไขปัญหามากมายที่รุมเร้าเข้ามา อีกทั้งพวกผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยเองก็ไม่ยินยอมให้เขาได้ใช้ชีวิตตามที่ต้องการนัก

เพียงแค่หวนคิดถึงชีวิตในฐานะของเซี่ยอี้เจินแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ทุกอย่างราวกับเพิ่งจะผ่านพ้นมา ความทุกข์มานับหมื่นพัน เขาจะไม่ยอมใช้ชีวิตที่อยู่ภายใต้เงาที่ถูกใครควบคุมอีกอย่างแน่นอน

จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องจบชีวิตลงด้วยความโง่เขลา

เมื่อเมิ่งอวิ๋นให้โอกาสแก่เขาได้เริ่มใหม่อีกครั้ง เช่นนั้น...เขาก็จะใช้มันให้คุ้มค่า จะใช้ทุกวินาทีเติมเต็มความสุขให้ตนเองแทนอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

สองมือกำเข้าหากันจนแน่น แววตาหมายมาดอย่างมุ่งมั่นในสิ่งที่คิด อะไรที่เป็นปัญหาเขาจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้

ใครที่เป็นปัญหา เขาก็จะไม่เข้าไปหา

สิ่งที่เขาควรต้องทำมีแค่เพียงการดูแลคนสกุลเมิ่งให้ดี ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องและดูแลบิดามารดาและพี่ใหญ่ให้ดี นี่จึงจะเป็นการตอบแทนเมิ่งอวิ๋นได้ดีที่สุด คือการทำตามที่อีกฝ่ายขอร้องเอาไว้

ในขณะที่กำลังคิดเพลินๆ อาหารก็ถูกจัดวางลงตรงหน้าทีละจานอย่างช้าๆ จนเต็มโต๊ะ กลิ่นหอมกรุ่นลอยฟุ้งในอากาศ ดึงดูดให้สายตาของหลายคนต้องหันมามองด้วยความสนใจ

เมิ่งอวิ๋นมองอาหารตรงหน้าด้วยสายตาวาววับ รอยยิ้มถูกใจปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างลืมตัว

“พี่ใหญ่ ข้าลงมือได้หรือยังขอรับ?” ฝ่ายถูกถามได้แต่หัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้าให้กับความหิวโหยที่น้องชายเขาแสดงออกมา

เมิ่งอวิ๋นที่ได้รับการอนุญาตก็ลงมือคีบนั่นคีบนี่เข้าปากด้วยท่าทางที่แสนเปี่ยมสุข ทันทีที่เขาส่งอาหารจานแรกเข้าปากก็หลับตาพริ้ม หลงใหลไปกับรสชาติอ่อนละมุนที่ได้ลิ้มลอง

ไม่แปลกสักนิดที่อาหารของสกุลเมิ่งจะเป็นหนึ่งในเมืองหลวง ทั้งรสชาติและความสดใหม่ของวัตถุดิบถูกเลือกมาอย่างดี เพียงนำเข้าปากก็รับรู้ได้ถึงความใส่ใจในทุกขั้นตอนโดยไม่ต้องพูดออกมาให้ฟัง เขาไม่รู้หรอกว่าลูกค้าคนอื่นจะสามารถรับรู้ได้อย่างเขาหรือเปล่า อาจเป็นเพราะเขามาจากอีกยุคหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แม้ในยุคของเขาจะมีอาหารรสชาติจัดจ้านมากมาย ทว่ากลับหาความใส่ใจในรสชาติและวัตถุดิบจริงๆ อย่างเช่นที่นี่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

อีกทั้งเขาเองก็ใช้ชีวิตแทบจะคุ้นชินกับอาหารแช่แข็งที่ยามหิวก็เพียงจับใส่เข้าไปในไมโครเวฟง่ายๆ ซึ่งเมื่อได้มีโอกาสสัมผัสกับอาหารที่แสนอร่อยตรงหน้า เขาจึงจมอยู่กับมันอย่างรวดเร็ว

“เจ้าชอบหรือ?”

“แน่นอนสิพี่ใหญ่ อาหารพวกนี้ล้วนแต่รสชาติดีทั้งสิ้น มีหรือข้าจะไม่ชอบมัน” ใครไม่ชอบก็โง่เต็มทีแล้ว

“แต่ก่อนพี่ไม่เห็นเจ้าจะยอมแตะอาหารที่นี่ พี่ยังนึกว่าเจ้าไม่ชอบเสียอีก” เมิ่งอวิ๋นแทบจะสำลักอาหารที่เพิ่งคีบเข้าปากไป พร้อมกับร้องตอบในใจว่าเมิ่งอวิ๋นคนก่อนคงเอาแต่เดินตามบุรุษผู้นั้นเสียมากกว่า ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกแต่คงเป็นเพราะไม่มีเวลามาสนใจอย่างอื่น

พูดไปแล้วเมิ่งอวิ๋นก็นับว่ามั่นรักคนหนึ่ง ทำทุกอย่างได้เพื่อให้ได้รักมาครอบครอง หากมองในมุมของเมิ่งอวิ๋นที่หลงรักหลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้นจนหมดใจ แล้วได้รู้ว่าคนที่ตนรักมีใจให้หญิงอื่นที่ไม่ต่างจากนางคณิกา คงทั้งเจ็บปวดใจและแค้นใจเป็นอย่างมาก จนคิดสั้นว่าหากเพียงลงมือทำลายหญิงนางนั้นไปแล้ว บุรุษที่ตนรักจะหันมามองตนเองบ้าง

ทว่ากลับไม่เป็นอย่างที่คิดสักนิด ใครจะไปคิดเล่าว่าคนที่เมิ่งอวิ๋นรักจนหมดใจจะ...เลือกทำเช่นนั้น

ความเจ็บยอกในอกร้องประท้วงให้เจ้าของมันต้องนิ่วหน้า ความรู้สึกที่อัดแน่นของเมิ่งอวิ๋นก่อนตายคงจะฝังรากเอาไว้ลึก จนน่ากลัวว่าเขาคงจะต้องรู้สึกเช่นนี้ไปตลอดทั้งชีวิตเป็นแน่ ความจริงเซี่ยอี้เจินไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับความรู้สึกตกค้างของเมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย อาจมีบ้างที่จะรำคาญเวลาที่เริ่มแสดงอาการ แต่เขาก็พอเข้าใจมันได้ เพราะถ้าหากว่าเป็นเขา...ก็คงไม่อาจลบความรู้สึกเจ็บปวดในเสี้ยวลมหายใจสุดท้ายได้เช่นกัน

เหมือนที่เขาเองก็ถูกผู้หญิงที่รักมากฆ่าตนคายลงตรงหน้าเธอ

“เหตุใดจึงนิ่งไปเล่า หรือเจ้าไม่ถูกใจอาหารพวกนี้?” เมิ่งอวิ๋นพลันได้สติกลับมา ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้อย่างประจบประแจง

“ที่ไหนกันๆ อาหารเลิศรสเช่นนี้มีหรือข้าจะมิชอบได้”

ได้ยินคำตอบของน้องชายเมิ่งลู่เหยาก็พลอยเบาใจไปได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้วางใจเสียทีเดียว

“แต่จะว่าไปแล้ว หากจะให้ดี รสชาติอาหารข้าว่าควรจะ...”

“ชู่!” ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคเมิ่งอวิ๋นก็ถูกพี่ชายของตนปิดปากเอาไว้สนิท เหลือมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังจนเมิ่งอวิ๋นยังพลอยแปลกใจ

“พี่ใหญ่ ท่านปิดปากข้าทำไมกัน” เพราะความไม่เข้าใจเมิ่งอวิ๋นจึงได้เอ่ยถามออกไปตรงๆ เช่นนี้ แต่สำหรับเมิ่งลู่เหยาแล้วเขากลับอยากจะตีหัวเจ้าน้องชายที่แสนโง่งมของตนให้เลิกบ้าเสียที

“เจ้าโง่! มีที่ไหนกันจะเปิดปากบอกเรื่องเช่นนี้กลางผู้คนมากมาย เจ้าอยากให้ร้านเราเจ๊งหรืออย่างไร” เมิ่งอวิ๋นชะงักไป ก่อนจะรู้ว่าตนเองผิดจึงได้ลอบส่งใบหน้าออดอ้อนไปให้พี่ชายเพื่อให้อีกฝ่ายใจอ่อน

“ข้าขอโทษนะพี่ใหญ่ ข้าลืมไป” จากที่ดูแล้วก็ไม่ควรพูดออกไปจริงๆ สายตาผู้คนหลากหลายต่างจ้องมองมาที่เขาและเมิ่งลู่เหยาด้วยความสนอกสนใจยิ่ง แต่ทั้งสองไม่ได้รู้เลยว่า พวกเขาสนใจใบหน้างดงามของเมิ่งอวิ๋นที่แปรเปลี่ยนไปมาตามอารมณ์มากกว่า

ยามที่ร่างบางเพลิดเพลินไปกับรสชาติของอาหาร ใบหน้างดงามเปี่ยมไปด้วยความสุขจนคนที่ได้มองต้องใจกระตุกไปไม่รู้กี่ครั้ง

ทว่าในยามที่ถูกดุด่า ใบหน้างดงามที่แฝงความออดอ้อนก็ช่างชวนให้ลักพาตัวกลับไปนอนกกกอดเอาไว้ที่บ้านเสียเหลือเกิน ความงามที่ต้องใจผู้คนเช่นนี้ราวกับปีศาจจิ้งจอกที่มาล่อลวงผู้คนด้วยรูปลักษณ์

หากถูกคนผู้นี้ออดอ้อน เห็นทีคงได้สิ้นเนื้อประดาตัวเป็นแน่

เพราะพวกเขาคงจะหามาให้อีกฝ่ายเสียหมดทุกอย่างที่อีกฝ่ายปรารถนา

แม้จะเป็นจันทราบนฟากฟ้าก็ตามที

เสียงพูดคุยเงียบลงทันทีที่เมิ่งอวิ๋นถูกดุ ร่างบางเพียงก้มหน้าก้มตาลิ้มรสอาหารตรงหน้าอย่างตั้งใจด้วยความสุขที่แผ่กระจายมาให้เห็น หลี่เจี้ยนเฉิงไม่อยากยอมรับสักนิดว่าเขาในตอนนี้หลงใหลรอยยิ้มและท่าทางต่างๆ ของอีกฝ่าย แต่การที่เขาไม่สามารถจะถอนสายตาออกมาจากร่างบางได้ ก็เป็นการยอมรับแล้วว่า...ตัวเขานั้นถูกรอยยิ้มของเมิ่งอวิ๋นดึงดูดไปเช่นกัน

หากว่าท่าทางออดอ้อนเช่นเมื่อครู่ อีกฝ่ายใช้มันกับเขาก็คงดี

หากไม่มีผู้ใดได้ยลความงดงามของอีกฝ่ายก็คงจะดีไม่น้อย

เพียงแค่คิดเช่นนี้ในท้องก็พลันปั่นป่วนจนแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ร่างกายแทบจะขยับลุกจากโต๊ะจากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาร่างที่ชวนฝันตรงหน้า แล้วลากคนที่นั่งออดอ้อนผู้อื่นอย่างไม่รู้อะไรสักอย่างกลับไปขังเอาไว้ ไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็นอีก

!!!

นี่มัน…เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมากับตัวข้า!

หลี่เจี้ยนเฉิงมึนงงและสับสนกับตนเองจนแววตาสั่นไหว งุนงงกับความเปลี่ยนแปลงของตนเองด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนหน้าเพียงแค่ให้มองอีกฝ่าย เขายังไม่คิดจะเหลือบมองให้เสียเวลา ทว่าบัดนี้เขากลับมีความคิดที่จะกักขังคนที่เขาเองเคยคิดจะหลีกหนีไปให้ไกลเอาไว้

หวงแหนแม้แต่สายตาที่ถูกมองด้วยความริษยา!

หลี่เจี้ยนเฉิงขบคิดอยู่เงียบๆ ทว่าสองมือยังคงจับจอกสุราขึ้นดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งอารมณ์ของเขาไม่มั่นคง ร่างกายก็ยิ่งขยับไปตามใจคิด หลงลืมไปจนสิ้นว่าไม่ควรจะดื่มให้มากนัก เพราะเขาเองก็มิใช่คนธรรมดาสามัญ

“ท่านแม่ทัพ เหตุใดต้องรีบร้อนเช่นนี้เล่า มิสู้ค่อยจิบเพื่อลิ้มรสชาติ เพลิดเพลินไปกับอาหาร เช่นนี้จึงจะดีต่อท่านมากกว่านะขอรับ” ใช่ว่าเรื่องเช่นนี้หลี่เจี้ยนเฉิงจะไม่รู้ ความหงุดหงิด ความลังเลสับสนเป็นตัวบีบบังคับให้เขาไม่อาจเพลิดเพลินไปกับสิ่งใดได้

ความเป็นเจ้าของที่ตะโกนป่าวร้องอยู่ในอกดังระงมจนเขาต้องยกเหล้ารสเลิศขึ้นดื่มอย่างไม่สนใจจะจดจ่อความหวานที่แตะปลายลิ้น

ดั่งคำที่ว่า…สุรายิ่งนานวัน ยิ่งเลิศรส มิได้ผิดไปเลยสักนิด

แต่สิ่งที่แลกมากับความเลิศรส นั่นคืออาการมึนเมาด้วยเช่นกัน

หลี่เจี้ยนเฉิงยกจอกสุราขึ้นตื่มจอกแล้วจอกเล่า เมื่อหมดก็เติมใหม่ราวกับต้องการใช้มันดับอารมณ์ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

เพราะเหตุใดกันนะ เหตุใดเขาจึงได้ไม่สบอารมณ์เช่นนี้







50%





ไม่ต้องเลยนะ อย่ามาหลงรักน้องเด็ดขาดนะคนเฬวววว ฮึ! ขออภัยที่มาช้าค่ะ อย่างที่เคยบอกไป ไม่ใช่โน้ตเรา อแาศัยเขาก็ต้องทำใจ ฮรุกกก ครึ่งหลังถ้ามาทันวันพฤหัสก็ดีนะคะ แต่ถ้าไม่ทันก็จะเป็นเช้าวันศุกร์ แมวไม่ดองแน่นอนจ้า (ยกเว้นปั่นไม่ทัน) คิๆ

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (5) 50% (Up.11/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 11-08-2020 11:55:20
มาแล้ว มาแล้ว มาช้านิดหน่อยดีกว่าหายไปเลย
ตอนนี้มีคนหึงน้อง 1ea …โดยไม่รู้ตัว555
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (5) 50% (Up.11/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-08-2020 22:38:51
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (5)100% (Up.13/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 13-08-2020 11:32:09
[5] 100%



เพียงแค่เห็นใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มและแววตาออดอ้อนพี่ชายอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก อีกทั้งยังถูกสายตามากมายจับจ้องด้วยความร้อนแรง เขาก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดใจ จนไม่อาจจะดับอารมณ์นั้นลงได้ง่าย แม้แต่สุราเลิศรสยังไม่อาจช่วยบรรเทาลงได้เลยแม้แต่น้อย

“ท่านแม่ทัพ ปลาจานนี้นับว่าสดนัก”

เสิ่นหยวนพยายามชักชวนให้หลี่เจี้ยนเฉิงได้ลิ้มลองอาหารมากมายบนโต๊ะมากกว่าจะจมดิ่งไปกับรสสุราอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ อารมณ์อันแปรปรวนของหลี่เจี้ยนเฉิงนับได้ว่าแปลกตาสำหรับเสิ่นหยวนนัก ด้วยตลอดมาไม่เคยแม้สักครั้งที่จะได้เห็นท่านแม่ทัพเป็นเช่นนี้

“ท่านแม่ทัพ...หากขัดตาสองพี่น้องสกุลเมิ่ง เช่นนั้นข้าสามารถพาท่านไปเหลาอาหารอื่นได้นะขอรับ”

“ไม่ต้อง” เสิ่นหยวนถึงกับมองอีกฝ่ายด้วยความงงงวย หากไม่พอใจก็แค่เดินออกไปจากเหลาอาหารนี้

หรือจะเป็นเพราะสุราเจี้ยนหนานชุน?

“หากท่านแม่ทัพติดใจสุราเจี้ยนหนานชุนนี้ ข้าจะให้คน...”

“ไม่จำเป็น หากข้าต้องการจะดื่มสุรา ข้าจะมาที่เหลาแห่งนี้เอง”

ความหมายคือ...เจ้าอย่าได้มายุ่งวุ่นวายกับข้ามากนักเสียจะดีกว่า เสิ่นหยวนได้ยินก็เข้าใจความหมายที่แฝงมากับแววตาคมกริบนั้นในทันที เพียงแค่ถูกจับจ้องไม่นานนัก เสิ่นหยวนก็รู้สึกราวกับถูกกระบี่ฟาดฟันใส่ร่างกายเสียจนเกือบตาย หลงลืมหายใจไปเสียด้วยซ้ำ

นี่เขาเดาใจท่านแม่ทัพผิดไปหรอกหรือ?

เช่นนั้นท่านแม่ทัพขุ่นเคืองในเรื่องใดกัน? หากมิใช่ว่ารำคาญและขัดหูขัดตากับสองพี่น้องสกุลเมิ่ง จะมีสิ่งใดทำให้อารมณ์ของหลี่เจี้ยนเฉิงแปรปรวนได้เช่นนี้อีก เสิ่นหยวนคิดไม่ออกเลยสักนิด

แต่หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าเสิ่นหยวนจะคาดเดาออกไปเช่นไร ในสายตาของเขามองเห็นเพียงใบหน้าที่หลับตาพริ้มลิ้มรสอาหารอย่างสุขใจมากกว่า หัวใจพลันอ่อนระทวยลงทุกครั้งที่อีกฝ่ายมีสีหน้าสุขใจ

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่สับสนตนเองอยู่ในใจ

แม้มรสุมจะสุมอกจนหลี่เจี้ยนเฉิงแทบจะคิดไม่ตกอยู่กับตนเอง เมิ่งอวิ๋นกลับไม่ได้ให้ความสนใจสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นอาหารตรงหน้าเสียมากกว่า

ยิ่งซี่โครงหมูตุ๋นที่มีควันลอยอยู่ตรงหน้าเขายิ่งแทบจะอดใจกินมันแทบไม่ไหว ทันทีที่ฟันขาวสัมผัสกับเนื้อนุ่มก็หลุดออกจากกระดูกได้อย่างง่ายได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรด้วยซ้ำ ความนุ่มที่เปื่อยจากการตุ๋นเป็นเวลานานนั้นน่าพอใจเหลือเกิน รสหวานที่เพียงปลายลิ้นแตะแผ่ซ่านให้น้ำลายสอจนต้องกลืนลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ยิ่งทุกครั้งที่เขาเคี้ยวเนื้อที่อยู่ในปาก ยิ่งคล้ายว่าเขาลอยละล่องอยู่บนปุยเมฆนุ่มฟู ดื่มด่ำความสุขไม่รู้จบด้วยความอร่อยที่ได้จากมื้ออาหาร

ไม่เสียแรงที่เป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่ง สกุลเมิ่งช่างใส่ใจกับทุกขั้นตอนจริงๆ

เพราะขนาดเขาที่เคยชินกับอาหารแช่แข็งในยุคปัจจุบัน ทว่าแม่บ้านสกุลเซี่ยก็ไม่นับว่าฝีมือแย่อะไร รสชาติอาหารที่ได้มีโอกาสลิ้มรสมา ยังไม่อาจเทียบกับพ่อครัวของเหลาอาหารแห่งนี้

“หากเจ้ากินเข้าไปทั้งหมดนี่ พี่ว่าท่านแม่คงได้ขัดเคืองเป็นแน่”

“ทำไมเล่า? ข้ากินจนหมดมิดีหรือ?” เมิ่งลู่เหยามองน้องชายด้วยรอยยิ้มอ่อนใจ เจ้าน้องตัวน้อยเคี้ยวแก้มตุ่ยจนน่ารัก แต่ก็ยังต้องหักใจห้ามปรามเสียหน่อย มิเช่นนั้นคงได้ถูกมารดาโกรธเคืองอีกอย่างแน่นอน

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าก่อนออกมา เจ้าพูดว่าอย่างไร” เมิ่งอวิ๋นนิ่งเงียบ สองมือหยุดชะงักลงทันทีที่สมองครุ่นคิด

จริงด้วยสิ ก่อนออกมาข้างนอกเขารับปากมารดาเอาไว้ว่าจะกลับไปทานอาหารฝีมือของนาง หากเขากินจนอิ่มท้อง คงต้องถูกโกรธเคืองอย่างแน่นอน

แต่ของอร่อยเหล่านี้...

เมิ่งอวิ๋นไม่อาจตัดใจทิ้งขว้างของอร่อยมากมายบนโต๊ะไปได้ สายตาจ้องพวกมันไปมาด้วยความลังเล กลัวถูกมารดาดุก็กลัว เสียดายของก็เสียดาย เขาไม่สามารถเลือกอะไรได้สักอย่าง เช่นนี้แล้ว...เขาควรทำเช่นไรดีเล่า

“พี่ใหญ่...” น้ำเสียงของคนเป็นน้องออดอ้อนเสียจนผู้เป็นพี่อย่าเมิ่งลู่เหยาใจแทบอ่อนยวบ น้องชายเจริญอาหารเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องไม่ดีสักนิด หากแต่จะให้มารดาโกรธ เห็นทีเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ เจ้าน้องชายจอมตะกละตัวน้อยพอฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน หากมีคราใดออดอ้อนได้ก็ทำ แววตาซุกซนที่เอาแต่จะเที่ยวเล่นนั่นอีก

ยิ่งพอเห็นอาหารมากมายตรงหน้ายิ่งตาลุกวาว เขาเห็นแล้วย่อมต้องปลาบปลื้มยินดี

“เช่นนี้เป็นอย่างไร วันนี้เจ้ากับพี่กลับไปทานอาหารฝีมือท่านแม่ วันหน้า พี่จะพาเจ้ามาอีกครา คราวนี้พี่สัญญาว่าจะไม่ห้ามปราบเจ้า ให้เจ้าทานจนกว่าเจ้าจะพอใจ ดีหรือไม่?”

“ดี! ดีขอรับ” เมิ่งลู่เหยาแทบจะลอบปาดเหงื่อบนใบหน้า เมื่อน้องชายยอมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย แต่ดูแล้วคราหน้าหากจะมาที่นี่ คงต้องส่งคนมาแจ้งพ่อครัวไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว ให้เขาได้ตระเตรียมข้าวขอเอาไว้ทำให้เจ้าน้องชายจอมตะกละของเขาได้กินอิ่ม

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลง เมิ่งอวิ๋นก็ยินยอมพร้อมใจจะวางตะเกียบลงแม้ว่าสายตาที่มองอาหารเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยความเสียดายก็ตามที ทั้งสองต่างพากันเดินออกมาจากเหลาอาหารอย่างไม่หันหลังกลับ เมิ่งอวิ๋นลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าก่อนนี้ได้จ้องมองดวงตาของใครอีกคนเอาไว้

แต่แม้เมิ่งอวิ๋นจะลืม...ทว่าอีกฝ่ายมิได้ลืมเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบยังคงมองไปตามร่างบอบบางที่ก้าวออกไปจากเหลาอาหารด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่แม้เขาจะไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเอง แต่สิ่งที่เขาสามารถรู้ได้เลยนั่นก็คือ เขามาอาจจะละสายตาจากเมิ่งอวิ๋นได้แม้เพียงเล็กน้อย ราวกับว่าเขาต้องมนต์สะกดของเมิ่งอวิ๋นจนไม่อาจถอนตัวออกมาจากอีกฝ่ายได้

“ท่านแม่ทัพ มีอะไรหรือขอรับ?” ใบหน้าคมที่แสดงอาการเหม่อลอยทำให้เสิ่นหยวนต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ

“ไม่มีอะไร เจ้าคงอิ่มแล้วใช่หรือไม่”

“เอ่อ ขอรับ” แม้จะยังลิ้มรสสุราเจี้ยนหนานชุนไม่เต็มอิ่มนัก แต่เมื่อหลี่เจี้ยนเฉิงต้องการจะกลับ เขาก็ไม่อาจจะขัดใจอีกฝ่ายได้ เสิ่นหยวนจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนใจตอบรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก เหลือบมองสุราที่ยังเหลือมากกว่าครึ่งด้วยความเสียดายสุดใจ

หลี่เจี้ยนเฉิงสะกดกลั้นความปรารถนาที่สั่งให้ตนเองเดินตามร่างบอบบางของเมิ่งอวิ๋นไปอย่างสุดความสามารถ บังคับให้ร่างกายที่ถูกสุราควบคุมไปกว่าครึ่งให้เดินไปทางด้านจวนแม่ทัพของตนแทน

แต่แม้จะสามารถบังคับตนเองให้เดินกลับไปยังจวนของตนได้โดยไม่มีท่าทีจะออกนอกเส้นทาง ทว่าสิ่งที่หลี่เจี้ยนเฉิงไม่สามารถบังคับได้เลยนั่นคือหัวใจของตนเอง ภาพรอยยิ้มและใบหน้างดงามที่ปรากฏร่องรอยการออดอ้อนของเมิ่งอวิ๋นนั้นยังคงติดตาของหลี่เจี้ยนเฉิงจนไม่อาจลบเลือนมันไปได้

ยิ่งคิดหลี่เจี้ยนเฉิงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ จนต้องเร่งฝีเท้าให้กลับถึงจวนเร็วยิ่งขึ้น!







“ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้พูดออกไปเป็นอันขาดว่าพี่ให้เจ้ากินดื่มสิ่งใดไปบ้าง” เมิ่งลู่เหยายืนกำชับน้องชายของตนอยู่นอกจวนด้วยกลัวว่าน้องชายของเขาจะหลุดปากบอกว่าตัวเองกินมาเสียเต็มท้องจนไม่สามารถจะกินอะไรเข้าไปได้อีก

“ข้ารู้แล้วๆ พี่ใหญ่...ท่านพูดกับข้าเช่นนี้ตั้งแต่เราออกมาจวบจนถึงจวน ข้าฟังแล้วฟังอีกจนแทบจะท่องที่ท่านกล่าวมาได้หมดทุกคำแล้วนะ” ฟังจบเมิ่งลู่เหยาก็แทบจะค้อนให้น้องชาย มีที่ไหนฟังจนท่องคำได้เช่นนี้ เขาเพียงแค่ห่วง มิอยากให้ถูกมารดาโกรธเคืองเอา หวังดีมากมายเช่นนี้ยังจะมาทำหน้าตาเบื่อหน่ายใส่เขาอีก

“เจ้าก็เหมือนกัน! หากท่านแม่ถามก็จงบอกว่าเสี่ยวอวิ๋นมิได้ดื่มกินสิ่งใดมา เจ้าเข้าใจรึไม่?”

“ขะ ขอรับคุณชายใหญ่” เมื่อไม่สามารถใช้อารมณ์กับน้องชายตัวดีได้ เมิ่งลู่เหยาจึงหันไปเสียงดังใส่เสี่ยวหลงแทน แต่ก็ไม่วายถูกเมิ่งอวิ๋นดึงเสี่ยวหลงมาหลบซ่อนเอาไว้ด้านหลังของตน

“พี่ใหญ่!”

“ได้ๆ ข้ารู้แล้วๆ ไปเถิด ป่านนี้ท่านแม่คงตั้งโต๊ะรอนานแล้วกระมัง” เมิ่งลู่เหยายอมยกมือขึ้นอย่างพ่ายแพ้ พร้อมกับดึงแขนเล็กๆ ของน้องชายให้เดินตามเข้าไปในจวนด้วยท่าทางเร่งรีบ เมิ่งอวิ๋นก็มิได้กล่าวทัดทานอะไรมากมายนัก เพียงแค่ระบายลมหายใจออกมาอย่างแรงหนหนึ่งก่อนจะยินยอมให้ผู้เป็นพี่ลากตนเข้าไปด้านใน

และเป็นอย่างที่เมิ่งลู่เหยาคิดเอาไว้ไม่ผิด บิดามารดาต่างพร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร กับข้าวหลากหลายชนิดถูกวางเอาไว้จนเต็มโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งยั่วน้ำลายจนเมิ่งอวิ๋นมองอาหารเหล่านั้นด้วยแววตาวาววับ

กลับจากร้านของครอบครัวมาก็เจออาหารน่าทานที่บ้านอีก ข้าจะโชคดีอะไรเช่นนี้

เดิมทีเซี่ยอี้เจินมิใช่คนที่กินจุมากมาย่นนี้ ทว่าเมื่อมาอยู่ในร่างของเมิ่งอวิ๋นแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองกินเท่าไรก็ไม่อิ่มเสียที พอเจอสิ่งที่ชอบก็พลันเกิดอาการหิวขึ้นมาภายในเวลาไม่นาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็กินเข้าไปไม่ใช่น้อย

เหมือนว่าท้องของเมิ่งอวิ๋นจะเป็นหลุมดำที่เติมเท่าไรก็ไม่เต็ม

“พวกเจ้ากลับมากันแล้วหรือ มาๆ แม่เตรียมของอร่อยเอาไว้ให้เจ้ามากมายเชียว” เห็นใบหน้าของผู้เป็นมารดาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข สีหน้าของเมิ่งลู่เหยายิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปอีก เดิมทีตนก็มิใช่คนที่เก็บงำความลับใดๆ ได้อยู่แล้ว พอได้เห็นความสุขที่ล้นทะลักก็พลันรู้สึกผิดจนต้องรีบเอ่ยปากออกมา

“ท่านแม่ ความจริงแล้วข้ากับเมิ่งอวิ๋นนั้น พวกเรา…”

“พวกเราหิวมากเลยขอรับ ท่านแม่ ข้าอยากทานแล้ว” เมิ่งอวิ๋นลอบหันไปถลึงตาใส่พี่ชายอย่างห้ามปราม มีที่ไหนสั่งตนไว้ไม่ให้กล่าวว่าไปไหนมา แต่กลับจะพูดออกมาเสียเองเช่นนี้

“เช่นนั้นก็รีบนั่งลง จะได้เริ่มทานกันเสียที”

สิ้นคำของผู้เป็นใหญ่ในบ้านอย่างเมิ่งหยวนทุกคนก็รีบนั่งลงตามคำสั่งทันที อู๋ชิวอิ่งที่เห็นบุตรชายคนเล็กมองอาหารไม่วางตากับท่าทางที่ลอบกลินน้ำลายก็พลันอ่อนใจ ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู นานแค่ไหนแล้วหนอที่ตนมิได้มองบุตรชายเต็มสองตาเช่นนี้

ก่อนหน้าที่เมิ่งอวิ๋นจะตกหลุมรักแม่ทัพหลี่ผู้นั้น บุตรชายคนนี้ของนางกินเก่งเสียยิ่งกว่าใคร อาหารใดๆ ล้วนตกเข้าไปในท้องของเมิ่งอวิ๋นเสียจนหมดสิ้น เรียกเสียงหัวเราะของเมิ่งหยวนได้ทุกคราที่ได้เห็น ยังถูกกล่าวว่าสมดังที่เป็นบุตรชายของเถ้าแก่เหลาจื่อเค่อ

แต่ด้วยความรักที่ทำให้ดวงตาของบุตรชายนางมืดบอด มองสิ่งใดไม่รู้ผิดชอบนอกจากใบหน้าของหลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้น ก็พลันทำให้บุตรชายของนางต้องกลับกลายเป็นคนที่ไม่สนใจในสิ่งใด นอกจากบุรุษผู้นั้นผู้เดียว

นางชอกช้ำใจนัก คับแค้นไปทั้งอกในยามที่เห็นบุตรชายของนางถูกหอบหิ้วมาในสภาพที่เหมือนตาย ศีรษะมีเลือดออก สองตาหลับพริ้ม ริมฝีปากที่เคยแดงสดกลับซีดเซียว

คนผู้นั้นกล้าทำได้อย่างไร! นี่คือดวงใจของนางนะ! กล้าลงมือได้อย่างไรกัน!

อู๋ชิวอิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด ภาพที่บุตรชายนอนเจ็บอยู่บนเตียงยังไม่อาจลบเลือนไปจากใจนางได้เลยแม้แต่น้อย

“ท่านแม่ ท่านต้องทานเยอะๆ นะขอรับ” เมิ่งอวิ๋นที่เห็นร่องรอยความปวดร้าวในแววตาของนาง รีบตักอาหารใส่ให้นางอย่างเอาใจ อู๋ชิวอิ่งหลุดออกจากภวังค์ มองชิ้นเนื้อที่บุตรชายที่รักอุตส่าห์คีบให้ด้วยรอยยิ้ม

“ได้ แม่จะกินให้มาก เจ้าเองก็กินเสียเถิด”

“ขอรับ”

ภาพการกวาดอาหารลงท้องของเมิ่งอวิ๋นทำให้ทั้งเมิ่งหยวนและเมิ่งลู่เหยาพลอยรู้สึกอิ่มเอมในใจไปด้วยอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน แม้มือจะคีบอาหารใส่ปากราวกับมิได้สนใจใดๆ แต่สายตากลับลอบมองเมิ่งอวิ๋นอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งบางคราริมฝีปากยังกระตุกยิ้มจนบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสุข

“แม่เห็นเจ้ายังไม่หายดีนัก จึงได้ทำน้ำแกงไก่มาให้เจ้า เสี่ยวอวิ๋น เจ้าทานสักหน่อยเถิด”

“โอ้โห…หอมมากเลยนะขอรับท่านแม่”

อู๋ชิงอิ่งยิ้ม มองบุตรชายคนเล็กรับถ้วยน้ำแกงไปดื่มไม่วางสายตา

“อื้อฮือ! นี่มันรสชาติชั้นเลิศเลยนะท่านแม่ หากมิมีใครรู้ คงจะคิดว่าท่านแม่คือสุดยอดแม่ครัวเป็นแน่ ใครหนอ…จะโชคดีได้เช่นข้า”

“ดูเจ้าพูดเข้า รีบดื่มเสียเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”

“ขอรับ”

ยามได้เห็นภรรยาของตนมองใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นด้วยความรักที่เปี่ยมล้น เมิ่งหยวนก็พลันแสนสุขใจจนท่าทางที่เคร่งขรึมแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนน่าเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น เมิ่งอวิ๋นยังคงดื่มด่ำกับรสชาติหวานๆ จากเนื้อไก่ที่ถูกต้มจนนุ่ม ปลดปล่อยรสชาติของตัวตนมันออกมาในน้ำซุปจนไม่ต้องปรุงแต่งมากมายอะไรนัก ผิดกลับเมิ่งลู่เหยาที่เริ่มหมั่นไส้กับการถูกเอาใจของน้องชายตัวเอง

“ท่านแม่ แล้วข้าเล่า?” อู๋ชิวอิ่งหันมามองบุตรชายคนโตอย่างไม่เข้าใจ

“อันใดของเจ้าหรือ?”

“ท่านแม่ลำเอียงนัก เสี่ยวอวิ๋นยังได้ทานน้ำแกงไก่ แต่ข้ากลับมิได้ ช่างน่าน้อยใจเสียเหลือเกิน” อู๋ชิวอิ่งมองท่าทางแสนงอนของบุตรชายอีกคนอย่างขบขัน ก่อนจะตักน้ำแกงไก่ส่งให้บุตรชายคนโตไป

“นี่ของเจ้า…มารยาเสียจริงเชียว”

“ขอบคุณท่านแม่!” แม้จะถูกต่อว่าออกมาว่ามารยา ทว่าเมิ่งลู่เหยามิได้ขุ่นเคืองหรือน้อยใจสักนิด ในเมื่อทุกครั้งที่มารดาดุด่า รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยังมิได้ลบเลือนไป คำพูดเย้าแหย่เช่นนี้ มีหรือเขาจะสนใจ

“จริงสิท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้พี่ใหญ่ได้พบกับคุณหนูผู้หนึ่งจนต้องใจในตัวนางยิ่งนัก” เมิ่งหยวนขมวดคิ้ว มองใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อของบุตรคนโตอย่างสังเกต

“หือม์? นางเป็นใครกัน เป็นบุตรสาวของสกุลใด?”

“คือ…”

“เป็นบุตรสาวของรองเสนาบดีเยี่ยขอรับท่านพ่อ นางชื่อเยี่ยหนิงหลัน” เมิ่งลู่เหยายังไม่ทันได้เอ่ยตอบสิ่งใดก็ถูกเจ้าน้องชายตัวดีแย่งบอกไปเสียจนหมด จึงได้แต่หันไปถลึงตาใส่อย่างคาดโทษ ทว่าคนถูกคาดโทษไว้กลับไม่ได้มองมาสักนิด ยังคงพูดเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอมาเมื่อตอนออกไปเที่ยว

สุดท้ายเมิ่งลู่เหยาก็ทำได้เพียงตอบรับเป็นบางครั้งเพื่อยืนยันในสิ่งที่เมิ่งอวิ๋นบอกออกไป

เจ้าน้องชายตัวดี! มันน่าจับมาตีเสียเหลือเกิน!





TBC



อย่าห้ามน้องงง น้องหิวววว ให้น้องกินไปเถอะค่ะ มานี่มาลูก มากินที่บ้านแม่ดีกว่า ส่วนอีตาพระเอก เชิญสับสนต่อไปเถอะค่ะ สับสนไปทั้งชีวิตนั่นล่ะดี แล้วอย่ามายุ่งกับลูกฉันนนนน //โก่งตัวพองขนใส่

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (5)100% (Up.13/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 16-08-2020 15:37:07
ท่านแม่ทัพเหมือนไบโพล่าเลยนะ
พอน้องไม่สนใจก็โกรธ ก็หึง ก่อนหน้านั้นทำอะไรลงไปไม่คิด
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6) 50% (Up.17/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-08-2020 09:57:44
[6] 50%

พบหน้าสหาย

ด้วยว่าวันเวลาที่แสนน่าเบื่อก็ผ่านไปมาอย่างเงียบสงบและไร้สีสัน เมิ่งอวิ๋นที่ได้แต่อยู่ในจวนเงียบๆ ไม่ได้ออกไปที่ใดก็เกิดอาการเบื่อหน่ายจนต้องทอดถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

“นายน้อย มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือขอรับ” เมิ่งอวิ๋นก็ยังไม่คลายความรู้สึกที่แสนน่าเบื่อนี้ลง แม้อาหารในจวนจะถูกจัดมาจานแล้วจานเล่า หน้าตาน่ารับประทานแต่เมื่อทานไปแล้วหลายต่อหลายรอบ สิ่งที่น่าสนใจก็พลอยกลับกลายเป็นสิ่งธรรมดา

แรกเริ่มเดิมทีเขาเข้ามาอาศัยในร่างของเมิ่งอวิ๋นนั้นก็พอจะตื่นเต้นกับรสชาติของที่นี่อยู่บ้าง แต่เพราะเขาติดรสจัดจ้านจากฝีมือของเหล่าแม่ครัวของสกุลเซี่ย พอได้ลิ้มรสจืดจางไปนานวันเข้า เขาก็เริ่มเอียน

“ข้าเพียงแค่เบื่อหน่ายเท่านั้น มิได้กลุ้มใจเรื่องอะไร”

“เช่นนั้นอ่านหนังสือหรือไม่ขอรับ?”

หนังสือ? จะว่าไปตั้งแต่ได้มาอยู่ในร่างของเมิ่งอวิ๋นเขาเองก็ยังไม่เคยได้อ่านหนังสือเลยสักเล่มเหมือนกัน

เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้าตอบรับคำเสนอแนะของเสี่ยวหลง ด้านเสี่ยวหลงที่หลุดปากพูดเรื่องหนังสือออกไปโดยที่ลืมไปว่านายน้อยของตนไม่ชอบอ่านหนังสือ ก็ได้แต่แปลกใจระคนตื่นเต้นที่ผู้เป็นนายตอบรับ ก่อนที่ตนเองจะนำทางเมิ่งอวิ๋นไปด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น

เมิ่งอวิ๋นเองก็มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เพียงแค่เขาตอบรับจะไปอ่านหนังสือมีอะไรให้ต้องดีใจขนาดนั้นกัน? ยิ่งเมื่อไม่เข้าใจเมิ่งอวิ๋นก็พลันหยุดเดินเสียดื้อๆ จนเสี่ยวหลงต้องหันมามองอย่างไม่เข้าใจ

หรือนายน้อยของมันจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว?

“นายน้อย?” ได้ยินเสียงเรียกของเสี่ยวหลงเมิ่งอวิ๋นก็ได้สติ หันมายิ้มอ่อนให้กับเสี่ยวหลงด้วยท่าทางใจดี

“ข้าเปลี่ยนใจ เจ้าไปหยิบมาสักสองสามเล่ม เดี๋ยวข้าจะไปรอที่สวน อากาศดี ๆ เช่นนี้อ่านหนังสือข้างนอกคงดีกว่า” ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเสี่ยวหลงก็พลันเปล่งประกายความปลื้มใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง รีบตอบรับก่อนจะวิ่งออกไป

เมิ่งอวิ๋นที่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากเพิ่มเติมสิ่งใดก็เห็นร่างของเสี่ยวหลงวิ่งหายไปจนลับสายตาแล้วด้วยความรู้สึกอึ้งๆ คนยุคนี้วิ่งเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?

เมื่อหลุดออกจากความทึ่งได้เมิ่งอวิ๋นก็เดินตรงไปยังสวนที่อยู่ภายในจวนของตัวเองทันที ตัวสวนไม่ได้มีอะไรดึงดูดสายตาหรือความสนใจของเมิ่งอวิ๋นเลยสักอย่าง แต่ความร่มรื่นที่ชวนให้สบายใจกลับทำให้เมิ่งอวิ๋นไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปนั่งภายในศาลา

ที่นี่ดีจริง ๆ หากมีเรื่องไม่สบายใจ ที่นี่นับได้ว่าคลายความรู้สึกไปได้มากกว่าสามในห้าส่วนทีเดียว

สำหรับคนที่เคยเคร่งเครียดในชีวิตก่อนที่ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดกับการทำงาน เมิ่งอวิ๋นกลับมองว่าที่นี่ช่างดีเหลือเกินแล้วสำหรับเขา

ดวงตาคู่สวยทอดมองไปรอบกายอย่างสนใจ ความเขียวขจีที่รายล้อมอยู่รอบด้านไม่ได้ทำให้เบื่อหน่าย ตรงกันข้ามมันกลับบรรเทาความรู้สึกเบื่อหน่ายไปได้มากโข เมิ่งอวิ๋นจึงตัดสินใจแล้วว่าต่อไปทุกวันเขาจะออกมานั่งที่นี่ ที่ที่ดีขนาดนี้ทำไมเขาถึงจะไม่มากัน

นั่งไปพลางก็หายใจเข้าปอดเอาความสดชื่นเข้าไปข้างในด้วยความสุขไปพลาง จนรอยยิ้มถูกจุดขึ้นมาบนใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นอย่างง่ายดาย ราวกับคนที่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนหน้านี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่มาก่อน

“เฮ้อ...ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณจะเป็นยังไงบ้างนะเมิ่งอวิ๋น น้องชายกับคนที่ผมรัก...เขาทำอะไรกับคุณหรือเปล่า”

แม้จะรู้ว่าไม่ว่าจะพูดยังไงก็คงไปถึงอีกคนไม่ได้ ไม่ว่าจะเวลาหรือแม้แต่ยุคสมัยเราต่างกันทั้งสิ้น สิ่งที่เราสองคนแลกกันมาคือชีวิตและปาฏิหาริย์ แลกมาด้วยความยินยอมพร้อมใจ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอดห่วงอีกฝ่ายที่ต้องพบเจอกับผู้หญิงใจร้ายกับน้องชายของเขาไม่ได้จริงๆ

“ผมหวังว่าคุณอยู่ที่นั่นจะมีความสุขมาก มากกว่าที่นี่นะครับเมิ่งอวิ๋น”

“หือม์? เจ้ากำลังเรียกชื่อของตัวเองเช่นนั้นหรือ เจ้าช่างแปลกนัก” เสียงพูดที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะขบขันทำให้ร่างกายของเมิ่งอวิ๋นแข็งทื่อ ก่อนจะหันไปมองผู้มาใหม่อย่างช้าๆ

ชายผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเมิ่งอวิ๋นนั้นเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแต่กลับมีรอยยิ้มขี้เล่นที่ส่งเสริมให้อีกฝ่ายดูแล้วไม่ต่างจากบุรุษเจ้าสำราญเลยแม้แต่น้อย

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น แววตาที่มองมาทางเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงใย โล่งใจ และสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

คนตรงหน้าเป็นใครกันนะ ตัวเขาเองก็จำไม่ได้เสียด้วย

แต่เมื่อค้นหาความทรงจำภายในสมองได้ไม่นานนักเมิ่งอวิ๋นก็ค้นพบว่า คนที่กำลังยิ้มแย้มด้วยท่าทางเจ้าชู้นั้นคือ ติงหยุนมู่ เพื่อนที่คอยห่วงใยเมิ่งอวิ๋นเพียงคนเดียว และเป็นคนที่จริงใจที่สุดของเมิ่งอวิ๋น

น่าเสียดายที่เมิ่งอวิ๋นมัวแต่มองเห็นความรักของหลี่เจี้ยนเฉิงจึงมองข้ามความใส่ใจของติงหยุนมู่ไปอย่างไม่ไยดี

เพื่อนที่ดีเช่นนี้จะเสียไปไม่ได้!

“เจ้าเป็นใคร?” เมิ่งอวิ๋นตีสีหน้าสงสัยออกมา แม้จะมีความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถทำเป็นรู้จักอีกฝ่ายได้ เพราะมันจะดูแปลกเกินไป เพราะเขาบอกกับบิดามารดาเอาไว้ว่าจำผู้ใดมิได้สักคน

“นี่เจ้าล้อเล่นอะไรของเจ้า? จะบอกว่าจำข้าไม่ได้งั้นหรือ?” เมิ่งอวิ๋นหลบสายตา แสดงสีหน้าที่น่าสงสารออกมาราวกับว่าเขาทำผิดที่จำอะไรไม่ได้

“ข้าขอโทษด้วย ข้าได้รับบาดเจ็บ เลยจำผู้ใดไม่ได้ แล้วเจ้าเป็นใครหรือ?” ติงหยุนมู่ได้แต่คำรามลั่นในหัวใจ เจ็บปวดจนอยากสังหารคนให้ตาย

สหายของเขาต้องเป็นเช่นนี้! เขาจะทนได้เช่นไร!

ติงหยุนมู่สูดลมหายใจเข้าปอด ลอบกัดฟันและกำมือแน่นเพื่อระงับโทสะเอาไว้ในอก ก่อนจะแนะนำตนเองแต่เมิ่งอวิ๋นด้วยความปวดใจ

“ข้าแซ่ติง นามว่าหยุนมู่ เป็นสหายของเจ้า จำมิได้เลยหรือ?” เมิ่งอวิ๋นทำทีท่าเป็นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเป็นการบอกปฏิเสธในสิ่งที่ถูกถาม

“เช่นนั้นก็ช่างเถิด ต่อจากนี้ไป ข้าจะเป็นสหายของเจ้า อยู่เพื่อเจ้า ปกป้องเจ้าเอง” แม้จะเป็นคำกล่าวง่ายดาย แต่มันคือคำมั่นที่ติงหยุนมู่ให้สัตย์สาบานเอาไว้ในใจแล้ว

“สหายของข้าหรือ?”

“ถูกต้อง…”

ได้เห็นว่าสหายที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กเป็นเช่นนี้แล้ว ติงหยุนมู่ก็พูดอะไรไม่ออกจริง ๆ สีหน้าฉายชัดถึงความโศกเศร้าใจ ยิ่งได้เห็นแววตาที่มองตนเองอย่างไม่คุ้นเคยติงหยุนมู่ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี

“ช่างดีนักที่มีเจ้าเป็นสหายเช่นนี้” เมิ่งอวิ๋นที่เงียบมานานระบายยิ้มออกมาอย่างงดงาม คำพูดของเมิ่งอวิ๋นกระแทกเข้ากลางใจของติงหยุนมู่อย่างรุนแรง สายตาที่มองสหายของตนยิ่งทวีคูณความเห็นใจและเสียใจที่ตนเองไม่ได้อยู่ปกป้องในวันที่บาดเจ็บ

“เจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร”

“ข้าถูกรถม้าชนเข้า จึงได้บาดเจ็บ” ติงหยุนมู่ที่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วจนเป็นปม อยู่ดีๆ จะถูกรถม้าชนได้อย่างไร ไม่ว่าจะคิดเช่นไรก็เป็นไปไม่ได้สักนิด

“ถูกรถม้าชนหรือ?”

เมิ่งอวิ๋นพยักหน้า ใช้แววตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเป็นคำตอบแก่ติงหยุนมู่ ซึ่งคนถูกมองยิ่งฉงนใจว่าด้วยเหตุใดเมิ่งอวิ๋นจึงได้ไม่เจ็บปวดหรือเสียใจใดๆ เลยเล่า นั่นคือคนที่เมิ่งอวิ๋นรักมากมิใช่หรือ?

“ถูกชนได้อย่างไร?” เมิ่งอวิ๋นเอนตัวลงนั่ง พิงหลังอย่างไม่แยแสต่อคำถามที่แสนร้อนใจของติงหยุนมู่แม้แต่น้อย ราวกับว่านั่นมิใช่เรื่องของตนเอง

“ข้าเองก็จำไม่ได้เช่นกัน แต่ข้าก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก เพียงแค่จดจำสิ่งใดไม่ได้ก็เท่านั้น”

“รถม้าของใคร? เหตุใดมิเอาเรื่องเล่า?”

“เป็นรถม้าของแม่ทัพหลี่ เอาเรื่องได้หรือ?” ติงหยุนมู่แทบจะจุกอกด้วยโทสะจนตายเสียตรงนั้น คนเจ็บอย่างเมิ่งอวิ๋นยังมีหน้าถามตาใสว่าเอาเรื่องได้หรือ

แต่จะว่าไปแล้วก็จริงเช่นดั่งที่เมิ่งอวิ๋นว่า รถม้าของแม่ทัพหลี่ แม่ทัพหลี่เป็นผู้ใดใครบ้างไม่รู้ หากเอาเรื่องได้จริง...คงจะแปลกแล้ว

“เจ้าเป็นเช่นไรบ้างตอนนี้ รู้สึกไม่ดีหรือไม่” เมิ่งอวิ๋นเพียงยิ้มให้อย่างอบอุ่น รู้สึกถูกชะตาต่อติงหยุนมู่ไม่น้อย สหายของเมิ่งอวิ๋นผู้นี้เป็นคนดีนัก เป็นห่วงเป็นใยต่อเมิ่งอวิ๋นอย่างจริงใจหาที่ใดได้ยาก

น่าเสียดาย น่าเสียดายแทนเมิ่งอวิ๋นจริง ๆ ที่มองข้ามเพื่อนที่ดีเช่นนี้

“นายน้อยขอรับ ฮูหยินให้นำขนมและชามาให้ขอรับ” พ่อบ้านเหลยเดินนำบ่าวรับใช้ที่ถือขนมและน้ำชาเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม ใบหน้าของชายชรามีรอยยิ้มยินดีประดับอยู่บนใบหน้า สหายของนายน้อยกลับมาเยี่ยมเยือนในคราวนี้ คงจะสามารถปลอบประโลมนายน้อยของมันได้บ้าง

คิดเช่นนั้นแล้วพ่อบ้านเหลยก็นำเอาขนมกับน้ำชาวางเอาไว้บนโต๊ะ เหลือบสายตามองติงหยุนมู่ผู้เป็นสหายของนายน้อยด้วยความคาดหวัง ติงหยุนมู่เองก็พอจะเข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้นได้บ้าง จึงยิ้มตอบกลับไปพร้อมกับพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตนจะพยายามอย่างดีที่สุด

หลังจากวางของที่ถูกอู๋ชิวอิ่งสั่งมาแล้วเสร็จสิ้น พ่อบ้านเหลยก็เดินนำบ่าวรับใช้ออกไปอย่างไม่หันกลับ ปล่อยให้เมิ่งอวิ๋นและติงหยุนมู่ได้ใช้เวลาด้วยกันเพียงสองคน

ติงหยุนมู่มองเสี้ยวหน้าของสหายที่ผินหน้าไปมองรอบกายแทนที่จะให้ความสนใจกับเขา เมิ่งอวิ๋นเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน เปลี่ยนไปราวกับคนละคนเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีสักนิด แม้ว่าเมิ่งอวิ๋นที่ร้ายกาจก่อนนี้จะไม่ค่อยให้ความสนใจเขา นับตั้งแต่เจ้าตัวได้พบว่าหลงรักแม่ทัพหลี่อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วนั้น ติงหยุนมู่ก็พลอยห่างเหินกับสหายผู้นี้ เพียงแต่ก่อนนี้เขาอยู่เมืองฝูกับบิดาได้ยินข่าวจากคนของตนว่าเมิ่งอวิ๋นบาดเจ็บหนัก สหายรักเพียงคนเดียวของเขาบาดเจ็บ เขาจะนิ่งเฉยได้เช่นไร เขาจึงได้เดินทางมาทันที

“ช่วงปีที่ผ่านมา ข้ากับเจ้านับว่าไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากนัก...”

สีหน้ากล้ำกลืนของติงหยุนมู่ทำให้เมิ่งอวิ๋นเองก็พลอยรู้สึกแย่ไปด้วย เขารู้ดี...รู้ดีว่าติงหยุนมู่นั้นดีกับเมิ่งอวิ๋นมากเพียงใด สายตาคู่นั้นที่มองเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยที่หาได้ยากในยุคสมัยของเขา

เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจออกมาเสียงดังเมื่อนึกถึงสายตาของคนเหล่านั้นที่พูดว่าห่วงใยเขาแล้ว กลับไม่มีใครสักคนที่มองเขาด้วยสายเช่นเดียวกับที่ติงหยุนมู่มองเมิ่งอวิ๋น พอคิดเช่นนี้แล้ว...ดูเหมือนเขาจะเป็นเพียงคนไม่สำคัญ เป็นเพียงหมากที่ถูกวางเอาไว้รับศึกสินะ ทำไมชีวิตของเขาจึงต้องพบเจอกับเรื่องนี้ด้วย

แม้เซี่ยอี้เจินจะอยากหัวเราะมากเพียงใด ก็ทำได้เพียงแค่นยิ้มเย้ยหยันความโง่งมของตนเองเท่านั้น สิ่งที่เขากังวลในเวลานี้คือเมิ่งอวิ๋นที่ไปอยู่ที่นั่นแทนเขามากกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไร จะถูกคนเหล่านั้นใช้งานอย่างหนักเช่นที่ทำกับเขาหรือไม่ ยังมีน้องชายของเขาอีก หากว่าเมิ่งอวิ๋นถูกทำร้าย รับมือไม่ไหว เขาจะทำอย่างไร

การที่เราสลับกันมาเช่นนี้ มันถูกต้องแล้วจริง ๆ นะหรือ...

“เมิ่งอวิ๋น?”

“อ๊ะ ขอโทษนะ พอดีข้ากำลังคิดอยู่ว่าเจอเจ้าครั้งสุดท้ายเมื่อใด” เดิมทีติงหยุนมู่นึกว่าเมิ่งอวิ๋นไม่สนใจตนเอง แต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายพยายามรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับตนเองแล้วก็อดรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาไม่ได้

“แล้วเจ้านึกออกหรือไม่เล่า” เมิ่งอวิ๋นได้แต่ส่ายหน้า พยายามคงแววตาใสซื่อเอาไว้ให้ได้มากที่สุด อันที่จริงแล้วตัวเมิ่งอวิ๋นนั้นไม่จำเป็นต้องพยายามปั้นแต่งแววตาตัวเองแม้แต่น้อย เพราะแววตาของเมิ่งอวิ๋นนั้นเรียกได้ว่าใสซื่ออย่างแท้จริง เพียงแต่เจ้าตัวไม่รู้ก็เท่านั้น

“ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย ขอโทษเจ้าด้วยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เจ้าบอกข้าว่า...เป็นสหายของข้าแท้ๆ” ได้ยินเช่นนั้นแล้วมีหรือติงหยุนมู่จะทนใจแข็งอยู่ได้

“ไม่เป็นไร ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง...” ติงหยุนมู่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน แววตาทอประกายความคุ้นเคยออกมาอย่างไม่ปิดบัง



50%





ติงหยุนมู่มีความละมุนและกลมกล่อมจนน่ากลืนลงคอ แค่กๆ ตัวละครใหม่โผล่มาอีกแล้วจ้าาา คราวนี้น้องบอกว่าเป็นเพื่อนที่ดี งั้นเราก็จะเชื่อน้องค่ะ ลุยเลยหยุนมู่ ลุยยยย ว่าแต่ ลุยอะไรหว่า ฮ่าๆ

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6) 50% (Up.17/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-08-2020 23:39:11
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6) 50% (Up.17/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-08-2020 00:04:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6) 50% (Up.17/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 18-08-2020 02:22:05
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื้อหรือเปล่าน๊าาาาาาา
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6)100% (Up.20/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-08-2020 11:39:08
[6] 100%


“ข้าออกเดินทางไปเมืองฝูกับท่านพ่อเมื่อปีที่แล้วเพื่อทำการค้าที่วางแผนเอาไว้ เดิมทีกำหนดกลับนั้นคือช่วงอู่เยว่[1]ที่ผ่านพ้นมา แต่ทว่ากลับมีเรื่องเกิดขึ้น อีกทั้งข้าไปต้องใจในบางสิ่งเข้า จึงใช้เวลานานพอควร” เมิ่งอวิ๋นพยักหน้ารับฟังติงหยุนมู่อย่างตั้งอกตั้งใจ คนคนนี้นับว่าเหมือนเด็กๆ ก็ไม่ปาน ระหว่างที่ปากเล่าเรื่องราวของตนในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น มือก็คอยส่งเซาปิ่ง[2]เข้าปากไปด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ

“สิ่งใดที่เจ้าเกิดถูกใจจนต้องรั้งอยู่ต่อกัน?” เมื่อได้ยินคำถามจากปากของเมิ่งอวิ๋นเข้า ดวงตาของติงหยุนมู่ก็เกิดประกายวาววับ รีบร้อนนำของสิ่งนั้นที่กล่าวถึงออกมาให้เมิ่งอวิ๋นได้ดู

“กำไล?”

“ไม่ใช่กำไลธรรมดาเช่นที่เจ้าเห็นโดยทั่วไปหรอกนะ” ติงหยุนมู่รีบร้อนบอกแก่สหายของตนเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คล้ายจะแปลกใจไม่น้อย เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่กำไลธรรมดาเลย

“พิเศษอย่างไรหรือ?”

“นี่คือกำไลไป๋อู้ เป็นหยกขาวพิเศษที่หาได้ยาก” เมิ่งอวิ๋นเข้าใจสักนิดว่ามันพิเศษอย่างไร มือบางเอื้อมออกไปรับกำไลหยกขาวนวลมาเพ่งพินิจใกล้ๆ ก็ยังไม่อาจพบความพิเศษที่ติงหยุนมู่บอกแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามจึงฉายแววสงสัยและไม่เข้าใจออกมา

“ข้าก็เห็นมันเป็นเพียงแค่กำไลหยกธรรมดา” เมื่อได้ฟังเช่นนั้นติงหยุนมู่ก็หัวเราะออกมาในลำคออย่างแผ่วเบา ทว่าก็ยังทำให้คนข้างๆ ได้ยินมันอยู่ดี

“กำไลไป๋อู้เป็นกำไลหยกขาวพิเศษ ความพิเศษของมันจะปรากฏให้เจ้าเห็น...”

ติงหยุนมู่เหลือบมองเมิ่งอวิ๋นที่ตั้งอดตั้งใจฟังตนอยู่ไม่น้อยด้วยความพอใจ ค่อยสมกับที่เขาใช้เวลานานกว่าจะได้มาหน่อย

“ยามต้องแสงตะวัน” เมิ่งอวิ๋นที่เชื่อเพียงครึ่งเดียวก็ยกกำไลหยกขาวนวลนั้นขึ้นส่องกับแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาเพื่อพิสูจน์ เมื่อทำเช่นนั้นแล้วแววตาหวานหยดก็พลันเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อยอย่างทึ่งในสิ่งที่ได้เห็น สำหรับติงหยุนมู่แล้วการได้เห็นใบหน้าเช่นนี้ของสหายตนนั้นนับว่าน่าพอใจนัก เมิ่งอวิ๋นที่เขาได้พบก่อนจะไปเมืองฝูนั้นทั้งร้ายกาจและเย่อหยิ่ง ทว่าเมิ่งอวิ๋นในตอนนี้กลับใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับผ้าสีขาว

จะว่าไปแล้วคนตรงหน้าก็ไม่ต่างจากกำไลหยกไป๋อู้เลยแม้แต่น้อย

บริสุทธิ์ ทว่าแสนพิเศษ

“สุดยอด! ทำได้ยังไงกัน มันเป็นไปได้อย่างไร!” ใช่แล้ว กำไลหยกไป๋อู้นั้นแสนพิเศษ ความพิเศษของมันคือเมื่อยามได้ต้องแสงตะวันจะพลันเบาบางจนสามารถมองทะลุไปได้ราวกับไร้สิ่งใดขวางกั้น เมิ่งอวิ๋นพลิกมันไปมา หมุนวนมันรอบแล้วรอบเล่าอย่างตื่นตาตื่นใจ คิดไม่ถึงว่าในยุคที่ไร้ความเจริญจะมีสิ่งพิเศษเช่นนี้อยู่ด้วย

ทั้ง ๆ ที่ในโลกอนาคตที่มีความเจริญและเทคโนโลยีมากมายเกิดขึ้น ยังไม่เคยเห็นหยกขาวที่สามารถมองทะลุได้เช่นนี้มาก่อน

ของสิ่งนี้พิเศษจริง ๆ สมแล้วที่ติงหยุนมู่ใช้เวลานานเพื่อจะได้ครอบครองมัน

“กำไลหยกนี่คงจะแพงมากใช่หรือไม่”

“ใช่ ข้าใช้เงินไปเยอะ เพื่อจะได้มันมาครอบครอง แต่ก็ใช่ว่าจะหาได้ยากขนาดนั้น แต่ก็มิได้หาได้ง่ายดายเช่นกัน”

สรุปแล้วก็คือหาได้ยากนั่นละ เพียงแต่ไม่ใช่ชิ้นเดียวในโลกนั่นเอง เมิ่งอวิ๋นสรุปกับตัวเองในใจ พยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจในสิ่งที่ติงหยุนมู่กำลังสื่อออกมา

“เจ้าคงมิได้นำมาเพื่ออวดข้าหรอกใช่หรือไม่?”

“นั่น นั่นก็ใช่” เมิ่งอวิ๋นวาดรอยยิ้มออกมาพร้อมกับกำมันเอาไว้ในมือแน่น

“เจ้านำมันมา เพื่อใครกัน?” ติงหยุนมู่อึกอัก แววตาเลิ่กลั่กไปมาอย่างคนที่ตอบอะไรออกมาไม่ได้ จนทำให้เมิ่งอวิ๋นคาดคั้นติงหยุนมู่อีกครั้งหนึ่ง

“ว่าอย่างไร เจ้านำมันมาให้ใคร? บอกสหายของเจ้าคนนี้ไม่ได้เชียวหรือ?” ติงหยุนมู่ได้แค่ถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นเริ่มใช้ความเป็นสหายมากดดันตน ตลอดมาใช่ว่าเขาจะเคยมีความลับกับเมิ่งอวิ๋นมาก่อนเสียเมื่อไร เขาไม่สามารถปิดบังอะไรแก่สหายของตนเองได้หรอก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

“เฮ้อ ก็ได้ๆ ข้าบอกเจ้าแล้ว” เมิ่งอวิ๋นระบายยิ้มออกมาเมื่อสมดังที่ต้องการแล้ว

“ข้ารอฟังอยู่”

“ข้า ขะ ข้านำมันมาเป็น ของแทนใจให้คู่หมั้นของข้าเอง”

คำตอบนั้นทำให้เมิ่งอวิ๋นอดแปลกใจไม่ได้ ติงหยุนมู่มีคู่หมั้นแล้วหรือ? ตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดจึงไม่อยู่ในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นเลยเล่า?

“เจ้ามีคู่หมั้นด้วยหรือ?” ติงหยุนมู่เลิกคิ้ว ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้แล้วอธิบายกับเมิ่งอวิ๋นอย่างใจเย็น

“เจ้าไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลกนัก ในตอนที่ข้าหมั้นกับนาง เจ้ากำลังสนใจเพียงแค่ เอ่อ แม่ทัพหลี่” พอได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พลอยเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้ เพราะไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนักนี่เอง เมิ่งอวิ๋นจึงได้ไม่มีความทรงจำในส่วนนี้ เซี่ยอี้เจินได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วมองสหายของเมิ่งอวิ๋นด้วยสายตาที่ลุแก่โทษ

“ขอโทษนะ...เจ้าคงเสียใจมากที่ข้า...คล้ายจะลืมเจ้าไป” ติงหยุนมู่หัวใจเต้นแรง ลอบกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น เดิมนึกว่าพูดออกไปแล้วเมิ่งอวิ๋นจะโกรธจนอาละวาดขึ้นมาเสียอีก นี่ถึงขนาดเอ่ยคำขอโทษต่อเขามันช่างแปลกนัก แต่พอคิดถึงในตอนที่เมิ่งอวิ๋นบอกตนว่าสูญเสียความทรงจำต่างๆ ไป เขาก็พลอยโศกเศร้าไปด้วย

“เจ้าอย่าได้คิดมาก อย่างไรงานวิวาห์ของข้า เจ้าย่อมต้องมาอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เล่า”

“นั่นข้าต้องไปอย่างแน่นอน จะพลาดโอกาสดื่มเหล้ามงคลของเจ้ากับภรรยาของเจ้าได้อย่างไรกัน อย่าห่วงเลย ข้าไปแน่” เมิ่งอวิ๋นยิ้มและส่งกำไลแทนใจของติงหยุนมู่คืนไป เมื่อได้ยินเมิ่งอวิ๋นยืนยันอย่างชัดเจน หัวใจของติงหยุนมู่ก็พลันอบอุ่นและวางใจลงไปอีกเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็เชื่อว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นจะไม่มีวันผิดวาจาที่ให้กับเขาอย่างแน่นอน จึงรับกำไลหยกกลับมาด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง

ทั้งสองนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศและความอร่อยตรงหน้า แต่หากจะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่าคนหนึ่งดื่มด่ำบรรยากาศ ส่วนอีกคนดื่มด่ำกับเซาปิ่งแสนน่ากินตรงหน้าเสียมากกว่า

“เจ้า เจ้า ฮึ ๆ เจ้านี่ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง” ติงหยุนมู่ทั้งงุนงงสงสัยและอับอาย ไม่เข้าใจสักนิดว่าเขามีอะไรให้อีกฝ่ายขำเสียมากมายขนาดนั้น

“อะไรของเจ้า?”

เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ตอบ กลับยิ้มอ่อนแล้วยกมือขึ้นมาปัดเศษขนมข้างริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาไปพลาง ก็หัวเราะในลำคอไปพลางอย่างขบขัน ทว่าติงหยุนมู่นั่นกลับนิ่งค้างอยู่นาน อึ้งกับการกระทำของเมิ่งอวิ๋นจนอดใจสั่นไม่ได้

“พวกเจ้าทำอะไรกัน!!” เสียงที่ดังดุจเสียงของฟ้าที่คำรามด้วยความเกรี้ยวกราด แยกทั้งสองออกจากกันด้วยความตกใจ มีเพียงเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นที่เพียงชะงักมือแต่ไม่ได้ชักออก กลับเป็นติงหยุนมู่ที่ตกใจจนผงะถอยหลังอย่างรวดเร็วหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มองใบหน้าของผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด

“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยติงหยุนมู่คารวะแม่ทัพหลี่” ติงหยุนมู่ขยับกายประสานมือเคารพอีกฝ่ายด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อึกๆ อักๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดำทะมึน ดวงตาคมที่คล้ายจะบีบอัดอากาศให้ระเหยหายไปจนเขาขาดใจตาย เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก

ติงหยุนมู่หันไปมองเม่งอวิ๋นที่ทำท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างเรียกสติ ส่งสายตาให้อีกฝ่ายรีบทำความเคารพแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม แต่ก็ควรทำตามมารยาทเสียบ้าง เมิ่งอวิ๋นที่เข้าใจสายตาของอีกฝ่ายดีก็เหลือบมองหลี่เจี้ยนเฉิงครู่หนึ่งก่อนจะทรุดกายลงประสานมือทำตามติงหยุนมู่อย่างงดงาม

“ข้าน้อยเมิ่งอวิ๋น คารวะแม่ทัพหลี่”

ติงหยุนมู่ลอบถอนหายใจที่สหายของตนไม่หาเรื่องตาย แต่เขาไม่รู้เลยว่าเขาดีใจเร็วเกินไป เพราะไม่นานเมิ่งอวิ๋นก็เปิดปากหาเรื่องให้เขาต้องเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ทราบท่านแม่ทัพมาเยือนถึงจวนอันต่ำต้อยของข้าด้วยเรื่องอันใดหรือขอรับ?” หรืออีกนัยคือ มาทำไม ใครต้อนรับท่านไม่ทราบ

ติงหยุนมู่ได้ฟังก็พลันเข่าอ่อนไปทันตา ใช่...เขาอาจจะปรารถนาให้เมิ่งอวิ๋นตัดใจจากหลี่เจี้ยนเฉิง แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เมิ่งอวิ๋นไม่กลัวตายขนาดไปท้าทายอำนาจเช่นนี้! คนเป็นสหายกันย่อมต้องห่วงใยกัน ช่วยเหลือกัน แต่หากอำนาจอีกฝ่ายมากกว่าจะให้เขาช่วยเหลือได้อย่างไรเล่า!

ติงหยุนมู่รู้สึกคล้ายกำลังจะขาดใจตาย ทั้งกลุ้มทั้งโมโหสหายของตนจนแทบบ้า แต่เจ้าสหายตัวดีกลับลอยหน้าลอยตาไม่รู้สำนึกสิ่งใด ยังคงกล้าท้าทายอำนาจของหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอย

เมิ่งอวิ๋นดึงติงหยุนมู่ให้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตาดุดันของหลี่เจี้ยนเฉิง แต่เขาไม่ได้สนใจแม้สักนิดว่าอีกฝ่ายจะคิด จะเป็นบ้าอะไรอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลย ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย แล้วการที่อีกฝ่ายแล่นมาถึงบ้านเขาเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน

“เมื่อครู่พวกเจ้าทำอะไรกัน...” บรรยากาศกดดันของหลี่เจี้ยนเฉิงทำให้ติงหยุนมู่แทบจะยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ การถูกจับจ้องไม่วางสายตาด้วยท่าทางที่แสนจะคุกคาม ติงหยุนมู่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่พอใจเข้า จึงได้จับจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ทำ? พวกข้าทำอะไรหรือ?”

“เจ้าจะบอกว่าเมื่อครู่มิได้เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ทั้งที่พวกเจ้าเพิ่งจะ...” หลี่เจี้ยนเฉิงกัดกรามตัวเองอย่างแรงเพราะโทสะ แต่เพราะเขาไม่อาจจะพูดคำพวกนั้นออกมาได้ เขารู้สึกว่าถ้าหากเขาพูดมันออกมา ในใจเขาจะต้องเดือดดาลจนสังหารเจ้าติงหยุนมู่ผู้นี้อย่างแน่นอน

“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ท่านแม่ทัพหลี่หมายถึงได้”

เมิ่งอวิ๋นเมินสิ้นทุกความเข้าใจผิดถูกทั้งหลาย ต่อให้หลี่เจี้ยนเฉิงผู้นี้จะคิดบ้าบออะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขากันเล่า! ไม่พอใจแล้วอย่างไรกัน? ไสหัวไปเสียสิ ใครเชิญมากัน

สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของเมิ่งอวิ๋นกับความเมินเฉยที่ส่งผ่านมาทางสายตายิ่งทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงแทบจะกระชากคนมาเขย่าให้หายแค้นนัก แต่สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงระงับอารมณ์เอาไว้ ใช้ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาถนัดที่สุด

“ไม่ทราบท่านแม่ทัพหลี่มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?” หลี่เจี้ยนเฉิงลอบสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วยืดตัวขึ้นตามปกติ ใช้มือไขว้เอาไว้ที่หลังยิ่งส่งเสริมให้ดูสง่างามยิ่งกว่าผู้ใด

ภาพความงามสง่าของหลี่เจี้ยนเฉิงทำให้เมิ่งอวิ๋นอดคิดไม่ได้เลยว่า เพราะว่าอีกฝ่ายดูดีเช่นนี้เมิ่งอวิ๋นจึงได้หลงรักจนลืมเลือนความห่วงใยจากคนรอบข้าง จนสุดท้ายต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเขา ภาพลักษณ์ฆ่าคนจริงๆ

“ข้านำของบำรุงมาให้เจ้า เพราะคิดว่าถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บของเจ้าในครั้งก่อนก็เป็นความผิดของคนของข้า” เมิ่งอวิ๋นได้ฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาเสียเหลือเกิน คนผู้นี้ช่างโยนความผิดได้เก่งนัก เป็นความผิดของคนของตนหรือ กล้าพูดเสียเหลือเกิน วันนั้นอย่างไรหลี่เจี้ยนเฉิงเองก็อยู่ในรถม้าคันนั้นมิใช่หรืออย่างไร การลดทอนความผิดเช่นนี้...เป็นเรื่องปกติที่หลี่เจี้ยนเฉิงทำหรือ

ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน

อีกทั้งเขาเจ็บมาตั้งกี่วันแล้ว ผ่านมาจนแผลบนศีรษะดีขึ้นมาเพิ่งจะส่งของมาบำรุง เช่นนี้ไม่นับว่ามีจุดประสงค์ในการมาหรืออย่างไร หากรู้สึกผิดจริงดังที่ปากว่า เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่มาเล่า

“ข้าทราบซึ้งในน้ำใจของท่านแม่ทัพยิ่งนัก” หลี่เจี้ยนเฉิงพลันรู้สึกสุขในใจอย่างไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำใดได้ แต่ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปากพูดในสิ่งที่เตรียมเอาไว้ ความสุขก็พลันร่วงหล่นลงสู่พื้น พร้อมกับแตกสลายหายไปในอากาศทันที

“แต่ข้าคงไม่กล้ารับ ของสิ่งนั้นรบกวนท่านแม่ทัพโปรดนำกลับไปเสียเถอะ

ของต่อให้ดีเช่นไร ทว่าคนให้ไม่ดี ของที่ได้ก็เน่าเหม็นไม่ต่างจากคนหรอก!

หลี่เจี้ยนเฉิงแทบจะสะกดความรู้สึกเอาไว้ในใจไม่อยู่ ความเจ็บแปลบเป็นระยะในใจของเขานั้น เขาไม่เคยรู้จักมันมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด ก็ได้แต่เก็บงำมันเอาไว้เท่านั้น

“หากท่านแม่ทัพไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าและติงหยุนมู่ต้องขอตัวก่อน ไม่อาจอยู่ต้อนรับได้อีก”

“...”

“ไปเถอะหยุนมู่ ไปคุยกันในห้องของข้าดีกว่า”

“ตะ แต่...”

“ไปเถอะ...”

หลี่เจี้ยนเฉิงกำมือของตนแน่น มองเมิ่งอวิ๋นลากบุรุษผู้นั้นเดินไปด้วยแววตาคมกริบ ในใจเดือดดาลจนอยากจะสับแขนข้างนั้นของติงหยุนมู่เป็นหมื่นชิ้นให้สาแก่ใจ แต่ทว่าเขากลับทำได้เพียงยืนมองทั้งสองเดินห่างออกไปอย่างไม่อาจจะห้ามปรามได้

ไม่ได้...ไม่ว่าอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้

นั่นยิ่งทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงนับว่าแค้นใจมากที่สุด

“ท่านแม่ทัพ...” พ่อบ้านเหลยที่ยืนมองเหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นนี้โดยไม่อาจทำสิ่งใดได้ ก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ นายน้อยของเขาช่างกล้าหาญยิ่งนักจึงได้สามารถทำกิริยาเช่นนี้กับท่านแม่ทัพหลี่ได้ แม้ใจหนึ่งจะอดหวาดหวั่นแทนนายน้อยของตนไม่ได้ทว่าอีกใจหนึ่งกลับปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก ที่นายน้อยของตนสามารถหลุดพ้นจากบ่วงรักที่ผูกมัดนายน้อยของตนเอาไว้แน่น สีหน้าแปลกประหลาดของพ่อบ้านเหลยไม่ได้อยู่ในสายตาของหลี่เจี้ยนเฉิงแม้แต่น้อย

ไม่มีสิ่งใดเรียกความสนใจของเขาได้นอกจากภาพของคนสองคนที่เดินออกไปเมื่อครู่

“ไม่ต้องส่ง!”

“ขะ ขอรับ” พ่อบ้านเหลยได้แต่ก้มหน้าลงต่ำแอบมองท่านแม่ทัพใหญ่เดินออกไปด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดอย่างหวาดกลัว ยามนี้นับว่ากระตุ้นถูกจุดแล้วจริงๆ หลี่เจี้ยนเฉิงโกรธจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ ได้แต่เดินจากไปเท่านั้น ทว่าเรื่องในวันนี้ไม่จบเพียงเท่านี้หรอก เมิ่งอวิ๋น ติงหยุนมู่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเช่นไรกันแน่ เขาจะต้องสืบให้ชัดเจน!

ไม่ปล่อยให้รอดพ้นไปจากสายตาอย่างเด็ดขาด!

 

TBC

 

 

ไปเลย ชิ่วๆ น้องไม่ต้อนรับยังจะมาอีก ว้ายยย ใครไม่รู้ถูกไล่ออกไปจากจวน แค่กๆ ณ เวลานี้เราไม่ควรลำเอียงค่ะ เอาใหม่เนอะ โธ่ ท่านแม่ทัพคนดี ไม่น่าเลยค่ะ ฮึก น่าสงสารเหลือเกิน พอ! พอค่ะ เดี๋ยวอ้วกแตกเสียก่อน เรือใหม่แล่นไหม ตอนนี้ยังสรุปไม่ได้นะจ๊ะ ต้องรออ่านต่อๆไปอีกหลายๆตอน ใครจะรู้ เรืออาจจะน่าพายก็ได้นะ กรั๊กๆๆ

เมิ่งอวิ๋น


 

 

 

เชิงอรรถ

[1] เดือนพฤษภาคม
[2]  ขนมเปี๊ยะสด
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6)100% (Up.20/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 20-08-2020 23:19:08
ท่านแม่ทัพไบโพล่า หรือ เป็นโรคความจำสั้นค่ะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6)100% (Up.20/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 21-08-2020 00:38:03
ท่านแม่ทัพเป็นอาร๊ายยยยยย อย่ามาทำตัวหวงก้างน๊าาา :katai1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6)100% (Up.20/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 23-08-2020 09:24:31
งานยากแล้วจ้าท่านแม่ทัพ คนรอบข้างว่าหนักแล้ว ตัวน้องเองก็ยิ่งยากกว่าพันเท่าจ้า 
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (7) 50% (Up.25/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 25-08-2020 15:43:13
[7] 50%


ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ

หลี่เจี้ยนเฉิงเดินกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากลับมาจากจวนสกุลเมิ่งกว่าสองชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถบรรยายความสัมพันธ์ที่เมิ่งอวิ๋นและติงหยุนมู่มีต่อกันได้ ความเจ็บร้าวกระแทกเข้ามาในอกพร้อมกับความไม่ยินยอม แม้ว่าหลี่เจี้ยนเฉิงจะไม่เข้าใจอารมณ์ของตนเอง แต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะไม่รู้สาเหตุของความหงุดหงิดนี้

เมิ่งอวิ๋น ติงหยุนมู่

สองคนนี้คือสาเหตุของความไม่ชอบใจและความหงุดหงิดของเขา อาจเป็นเพราะการไม่ไว้หน้าเขา หรือการไม่ให้ความเคารพ บางทีอาจจะเป็นเพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปของเมิ่งอวิ๋นเองที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเช่นนี้

มันแปลกนัก ทั้งกังวลใจ ทั้งทรมานใจจนไม่อาจจะอยู่เฉยได้ เขาไม่เคยเป็นมาก่อน

เมิ่งอวิ๋นผู้นั้นร้อยเล่ห์เจ้ามารยา เขาไม่ควรถือสาและนำมันมาใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกหรือสิ่งใดๆ ของอีกฝ่าย แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไม

ทำไมเพียงแค่เห็นเมิ่งอวิ๋นให้ความสนิทชิดเชื้อกับผู้อื่น เขาจึงต้องมีโทสะด้วย

เมิ่งอวิ๋นจะรู้สึกเช่นไรกับผู้ใด หรือให้ความสำคัญกับใคร ทำไมเขาจะต้องไปเดือดร้อนด้วยเล่า! เขาไม่เข้าใจมันเลย!

ทั้งที่เขาไม่ควรกระวนกระวายใจ แต่ก็ไม่อาจลบภาพอันแสนบาดตาออกไปจากความคิดได้ มันร้อนรุ่มไปทั้งอก ทั้งขื่นขมและทรมานจนแทบจะบ้า ยิ่งสายตาคู่นั้นที่ครั้งหนึ่งมันเคยมีแต่เขา ทว่าบัดนี้เขาเสียเองกลับไม่อยู่ในสายตา ช่างน่าโมโหเสียเหลือเกิน!

ในช่วงที่หลี่เจี้ยนเฉิงจมอยู่กับความคิดของตนนั้น ร่างของพ่อบ้านฉางก็เข้ามาพร้อมกับร่างของนายทหารผู้หนึ่ง ใบหน้าหมดจดดูน่ามอง แต่ทว่ารูปร่างกลับสูงใหญ่ ดวงตาคมปลาบราวกับหอกดาบที่พร้อมจะพุ่งเข้าสังหารศัตรูให้สิ้นใจ ช่างไม่เข้ากับใบหน้างดงามนั้นเลยสักนิดเดียว

“นายท่าน…รองแม่ทัพฉูมาแล้วขอรับ”

หลี่เจี้ยนเฉิงหันมามองแล้วพยักหน้า พ่อบ้านฉางเองก็รู้หน้าที่ดีจึงรีบค้อมกายแล้วหันหลังเดินจากไปในทันที ฉูจุนเหลียงหรือรองแม่ทัพคนสนิทของหลี่เจี้ยนเฉิงนั้น เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์ ฝึกฝนเพลงดาบและออกรบร่วมกันมาตั้งแต่อายุเพียง15หนาว จนในตอนนี้ได้ตำแหน่งใหญ่แล้วทั้งสองก็ยังสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก

“ท่านแม่ทัพหลี่ ไม่ทราบว่าเรียกหาผู้น้อยมีสิ่งใดจะสั่งสอนหรือขอรับ?” หลี่เจี้ยนเฉิงไม่สนใจคำพูดชวนหาเรื่องที่แสนระคายหูนั่นสักนิด เขาสนใจสิ่งที่อีกฝ่ายรู้มากกว่า

“ได้ยินว่าเจ้าสนิทกับคุณชายรองตระกูลติง…” ฉูจุนเหลียงเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“เจ้าสนใจคุณชายรองสกุลติงหรือ?” เอ่ยคำจบฉูจุนเหลียงก็ได้รับสายตาคล้ายจะด่าว่าโง่กลับมาเต็มๆ จนเผลอหลุดส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

ไม่ว่าอย่างไรสหายของเขาผู้นี้ก็ชวนให้แกล้งสนุกกว่าผู้ใดจริงๆ

“เอาล่ะๆ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ฉูจุนเหลียงกล่าวออกมาด้วยท่าทางผ่อนคลาย แล้วจับจ้องไปที่ใบหน้าของหลี่เจี้ยนเฉิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง

“ไม่ถูกเสียทีเดียวที่เจ้ากล่าวมา”

“เจ้าหมายความว่าเช่นไร? ข้าได้ยินใครต่อใครต่างก็บอกว่าเจ้ากับคุณชายรองสกุลติงนั้นมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” ได้ยินเช่นนั้นฉูจุนเหลียงก็พลันหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“เจ้าเป็นถึงแม่ทัพหลี่ผู้ยิ่งใหญ่ มิรู้หรือว่าสัมพันธ์อันดีมิได้บ่งบอกว่าสนิทกัน” เมื่อถูกตอกหน้ากลับมาเช่นนั้นหลี่เจี้ยนเฉิงก็พลันหน้าตามืดครึ้มด้วยความอับอาย ถึงไม่บอกก็รู้ว่าถูกฉูจุนเหลียงหลอกด่า

“เจ้าอย่าได้เฉไฉ แค่ตอบคำถามข้าเป็นพอ!” ยิ่งได้เห็นท่าทางเดือดดาลของหลี่เจี้ยนเฉิงก็ทำให้ฉูจุนเหลียงต้องยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ ด้วยไม่อยากกระตุ้นโทสะของสหายรักไปมากเกินกว่านี้

“ขออภัยขอรับ เรียนท่านแม่ทัพตามตรง ข้าน้อยมิได้สนิทกับคุณชายรองติงแม้แต่น้อย”

ฉูจุนเหลียงระบายยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวเพิ่มเติม

“แต่เนื่องจากข้าไปมาหาสู่กับสกุลติงบ่อยๆ จึงถูกเข้าใจผิดไปเช่นนั้น”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าไปด้วยธุระอะไรกัน?” ฉูจุนเหลียงหัวเราะออกมาแล้วตบท้ายทอยของตนเองเบาๆ สหายปากหนัก ถามสิ่งใดไม่ตรงใจ เหตุใดไม่เอ่ยถามออกมาตรงๆ กันเล่า

“อาเฉิงหนออาเฉิง มิสู้เจ้าเอ่ยถามข้าตรงๆ เสียจะง่ายกว่าหรือ? เล่นไล่ไปทีละคำถามเช่นนี้ข้าดูแล้วมิใช่นิสัยเจ้าแม้แต่น้อย”

นั่นย่อมถูก หลี่เจี้ยนเฉิงเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำมันเปล่าประโยชน์ แต่ทว่าสิ่งที่อยากรู้มันกลับไม่สามารถเอ่ยถามออกมาตรง ๆ ได้ เขาจึงต้องไล่เรียงมันไปเรื่อยๆ เช่นนี้อย่างไรเล่า

“หรือเจ้ามีสิ่งใดไม่กล้าถามออกมา? กลัวข้ารู้ความในใจของเจ้าหรือ?”

จากการถูกเย้าแหย่สีหน้าของหลี่เจี้ยนเฉิงก็เย็นชาลง แววตาปรากฏรอยสังหารออกมาจนถูกฉูจุนเหลียงจับสังเกตได้ไม่ยากเย็น ความจริงแล้วเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงทำให้พอจะอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายออกได้ หากเป็นคนไม่รู้จักก็คงไม่พ้นก้มหน้าขออภัยด้วยความหวาดกลัวเพราะคิดว่าตนพูดระคายหูของอีกฝ่ายเป็นแน่

แต่นั่นไม่ใช่กับฉูจุนเหลียง...

เพราะเขารู้ดีว่าแววตาเช่นนี้ คือการปกปิดความจริงในใจต่างหาก

คิดได้เช่นนั้นฉูจุนเหลียงก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ จับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา วิเคราะห์ความรู้สึกของสหายรักอย่างไม่กลัวตาย แม้ว่าบรรยากาศที่หลี่เจี้ยนเฉิงปล่อยออกมาจะเต็มไปด้วยความกดดันก็ตามที

“ข้าพูดถูกใช่หรือไม่เล่า?”

หลี่เจี้ยนเฉิงเพียงปรายตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่คมดั่งดาบ คล้ายจะปราบให้อีกฝ่ายหุบปากเสียบ้าง แต่ฉูจุนเหลียงหรือจะเกรงกลัว ย่อมไม่มีแม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่ทำตอนนี้ล้วนแต่เป็นความสนุกสนานทั้งสิ้นต่างหาก

“นั่นสินะ...ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่า คุณชายรองติงรีบเร่งกลับมาเพราะสหายบาดเจ็บจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เห็นทีว่าจะจริงเสียแล้ว”

หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่กำมือของตนเองจนแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเป็นความผิดของเมิ่งอวิ๋นที่มาขวางรถม้า แต่เขาเองก็ทำเฉยชาปล่อยเรื่องราวครั้งนั้นไปอย่างไม่คิดใส่ใจ เพราะคิดไปว่าคงเป็นการเรียกร้องความสนใจจากเมิ่งอวิ๋นที่มีต่อเขาอีก

ติงหยุนมู่...คนผู้นั้นรีบเร่งเดินทางม้าเร็วมาเพียงเพราะเมิ่งอวิ๋นบาดเจ็บงั้นหรือ?

หากว่าไม่สำคัญ มีหรือจะต้องเร่งรีบถึงเพียงนั้น

ยิ่งทบทวนในใจหลี่เจี้ยนเฉิงก็ยิ่งขุ่นเคือง ร่องรอยความไม่พอใจแม้จะพาดผ่านแววตาไปเพียงชั่วครู่ แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาของฉูจุนเหลียงได้ เห็นเช่นนั้นฉูจุนเหลียงก็พลันเข้าใจในบางสิ่งทันที

ที่แท้แม้ทัพใหญ่หลี่เจี้ยนเฉิงผู้ไร้หัวใจคนนี้ ก็มีหัวใจเหมือนกันหรอกหรือ คิดได้เช่นนั้นฉูจุนเหลียงก็ยิ่งกระพือไฟในอกของหลี่เจี้ยนเฉิง

“จะว่าไปแล้วข้าเองก็เคยได้ยินคนเล่าลือกันอยู่เหมือนกัน”

“...” แม้ว่าสีหน้าของหลี่เจี้ยนเฉิงจะคล้ายมิได้สนใจในสิ่งที่เขาพูด แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเฝ้ารอฟังคำเล่าลือที่ว่านั้นขนาดไหน ในใจคงร้อนรุ่มจนอยากจะบีบคอให้เขารีบคายมันออกมาสิไม่ว่า

“ได้ยินว่าคุณชายรองติงหยุนมู่จะเป็น...ผู้ที่คุณชายเมิ่งอวิ๋นมีใจให้ก่อนเจ้า เจ้ารู้หรือไม่เล่า”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเรื่องเหล่านี้” หลี่เจี้ยนเฉิงยกชาขึ้นมาดื่มดับความร้อนรุ่มในหัวใจของตนเอง สายตาจับจ้องออกไปทางอื่นมากกว่าที่จะมองสบตาคู่สนทนาอย่างฉูจุนเหลียง แต่ฉูจุนเหลียงกลับตาเป็นประกาย พูดออกมาด้วยท่าทางอ่อนใจจนน่าหมั่นไส้

“เฮ้อ เห็นทีเจ้าจะไม่อยากรู้เรื่องพวกนี้สินะ เช่นนั้นข้าว่าข้าไม่พูดเสียดีกว่า”

ปึก!

“พ่อบ้านฉาง!”

“ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวสิ! เจ้าเรียกพ่อบ้านฉางทำไมกัน” ฉูจุนเหลียงตาลีตาเหลือกมองหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างตกอกตกใจ เดิมเขาคิดว่าหากพูดกระตุ้นออกไปเช่นนั้นแล้ว หลี่เจี้ยนเฉิงก็คงจะรีบเค้นคอให้เขาพูด แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าหลี่เจี้ยนเฉิงไม่เพียงไม่เค้นคอถามเขา กลับยังเรียกพ่อบ้านฉางด้วยรอยยิ้มน่าขนลุกอีก

ตาย ตายแน่ๆ

“ขอรับนายท่าน”

“ส่งแขก!”

“ทราบแล้วขอรับ ท่านรอแม่ทัพฉู เชิญ”

นี่เขา...ถูกไล่หรือ?

ฉูจุนเหลียงทั้งขันทั้งฉิว มองภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตรงหน้าด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะถูกไล่ออกไปเช่นนี้ ทุกคนต่างต้อนรับขับสู้เขาอย่างดี มีเพียงสหายของเขาผู้นี้นั่นล่ะที่กล้าออกปากไล่โดยไม่ไว้หน้า

อีกทั้งยังอยากจะหัวเราะใส่อีกฝ่ายให้หายเดือดดาล ตะโกนออกไปให้รู้ไปเลยว่า ข้าคนนี้รู้นะว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด แต่ก็กลัวว่านอกจากจะถูกไล่ออกมาจากจวนแม่ทัพแล้ว จะถูกอีกฝ่ายใช้ดาบฟันจนตายลงเสียก่อน

“เจ้า เจ้า! เจ้ากล้าไล่ข้าหรือหลี่เจี้ยนเฉิง!” แม้จะได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของฉูจุนเหลียงแล้ว แต่หลี่เจี้ยนเฉิงก็เพียงแค่จิบชาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เป็นพ่อบ้านฉางเสียมากกว่าที่ทำตัวไม่ถูก

“ไม่ได้ยินข้าสั่งหรือพ่อบ้านฉาง หากเขาไม่ยอมออกไปก็ให้คนมาลากออกไปเสีย”

“ทราบแล้วขอรับนายท่าน ท่านรองแม่ทัพฉู เชิญท่านทางนี้เถอะขอรับ” มองดูแล้วก็ยิ่งขัดเคืองใจ เมื่อฉูจุนเหลียงไม่ยอมขยับตามคำเชื้อเชิญของพ่อบ้าน ฉางหย่งก็ทำได้เพียงแค่ให้เหล่าบ่าวรับใช้มาลากสหายของผู้เป็นนายตนออกไปตามคำสั่ง ฉูจุนเหลียงที่ถูกหิ้วปีกสองข้างมองหน้าของหลี่เจี้ยนเฉิงแล้วตะโกนออกมา

“อาเฉิง! เจ้าไม่อยากรู้จริงหรือ! ข้าบอกเจ้าก็ได้นะ ถ้าเจ้ายอมปล่อยข้า!” ข้อเสนอนั้บว่าฉูจุนเหลียงถอยให้มากแล้ว แต่สำหรับหลี่เจี้ยนเฉิงมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย

“ไม่จำเป็น ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่ได้สนใจ พาคนออกไป”

“ขอรับ/ขอรับ”

“หลี่เจี้ยนเฉิงงงงงงงงงงงง”





50%



โอ๊ะ โอ...มีคนดิ้นด้วยละค่ะทุกคนนน ร้อนรนไปก็เท่านั้นนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ เพราะไม่ว่าเช่นไร ท่านแม่ทัพก็มิมีสิทธิ์ในตัวน้องอยู่ล๊าว อุวะ สะใจเบา ๆ โฮ๊ะๆๆๆ จะว่าไปแล้ว รองแม่ทัพฉูคะ นั่นข่าวมัวหรือข่าวจริง แต่ไม่ว่าอะไร ท่านรองแม่ทัพก็น่ารักอยู่ดี ปาหัวใจ

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (7) 50% (Up.25/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 25-08-2020 16:39:42
ตอนแรกอยากรู้ใจแทบขาด พอมาแบบนี้ทำนิ่งทั้งที่ใจคงเหมือนหมาโดนน้ำร้อนสาด ดิ้นไปจ้า  o18
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (6)100% (Up.20/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-08-2020 22:26:25
มาตามด้วยคนน
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (7)100% (Up.28/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 28-08-2020 18:20:43
[7] 100%


“อาเฉิง! เจ้าไม่อยากรู้จริงหรือ! ข้าบอกเจ้าก็ได้นะ ถ้าเจ้ายอมปล่อยข้า!” ข้อเสนอนั้นนับว่าฉูจุนเหลียงถอยให้มากแล้ว แต่สำหรับหลี่เจี้ยนเฉิงมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย

“ไม่จำเป็น ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่ได้สนใจ พาคนออกไป”

“ขอรับ/ขอรับ”

“หลี่เจี้ยนเฉิงงงงงงงงงงงง”

เสียงร้องเรียกนามของนายแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ดังไปตลอดทาง แต่หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ได้สนใจแม้สักนิด ไม่มองแต่หางตาเสียด้วยซ้ำ ท่าทางที่แสนเย็นชาดูแล้วน่าหวาดกลัวไม่น้อย ทว่าก็แฝงความรู้สึกให้อยากเอาชนะใจแก่หญิงสาวมากมายหลายต่อหลายคน

หลี่เจี้ยนเฉิงปรายตามองมุมมืดของจวนก่อนจะพยักหน้า เมื่อเห็นว่ารอบกายไร้ผู้คนแล้ว เมื่อหลี่เจี้ยนเฉิงพยักหน้า เงาสีดำสายหนึ่งก็ขยับออกมา

“ท่านแม่ทัพ เรื่องที่ให้ข้าสืบได้ความแล้วขอรับ”

“เป็นเช่นไร?” บุรุษลึกลับเพียงส่งเสียงตอบอย่างเบาหวิว ไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครได้รู้มากนัก ข่าวที่ถูกส่งถึงหูของหลี่เจี้ยนเฉิงนั้นทำให้อารมณ์เดือดดาลของหลี่เจี้ยนเฉิงนับว่ายิ่งทวีมากขึ้น จนมือใหญ่บีบถ้วยชาในมืออย่างแรงจนมันแตกเพล้ง ดวงตาสีดำสนิทบัดนี้แดงก่ำจนน่ากลัว ทำให้ร่างของคนส่งข่าวได้แต่ลอบหายใจอยู่เงียบๆ

“เจ้ามั่นใจหรือ?”

“ข้าสืบมาได้เช่นนั้นจริงๆ ขอรับ”

“ดี! ดีนัก! "

บุรุษลึกลับในเงามืดเพียงกลืนน้ำลายลงลำคอของตนไป ได้แต่มองผู้เป็นนายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงนั้นไม่หายไปไหน เฝ้ารอฟังคำสั่งถัดไปด้วยความจงรักภักดี หลี่เจี้ยนเฉิงแทบจะจมโทสะจนตายเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะตลอดมาเก่งเรื่องเก็บสีหน้า ป่านนี้คงไม่แคล้วแสดงออกมาจนเห็นชัดแน่นอน

“เรียนท่านแม่ทัพ ยังมีอีกเรื่อง...”

“เจ้าว่ามา!”

“ข้าสืบรู้มาว่า...คุณชายรองติงมีคู่หมั้นหมายอยู่แล้วขอรับ อีกไม่นานคงจะจัดงานมงคล”

งานมงคล? เช่นนั้นก็เท่ากับเมิ่งอวิ๋นรักคุณชายรองติงเพียงฝ่ายเดียวสินะ

หลี่เจี้ยนเฉิงรู้สึกคลายใจลงไปไม่น้อยเลย นับว่าเบาใจลงไปมากกว่าก่อนก็ว่าได้ แต่เมื่อคิดถึงสีหน้าที่เมิ่งอวิ๋นมองติงหยุนมู่ ท่าทางที่แสดงออกและความสนิทสนมก็ทำให้ในใจไม่อาจคลายความกังวลลงไปได้ เมิ่งอวิ๋นก็เคยตามติดเขา เคยไม่ย่อท้อต่อเขาที่ไม่มีใจ ถึงแม้ว่าวันนี้อีกฝ่ายจะเลิกตามติดเขาและมองเขาราวกับคนที่ไม่เคยมีใจให้มาก่อนก็ตามที

แต่เขาก็รู้ดีว่า เมิ่งอวิ๋นคงไม่ยอมล้มเลิกใจลงง่ายๆ

เช่นนั้น...เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง

“อู่เหิง...”

“ขอรับ”

“เจ้าจงติดตามดูคุณชายรองติงต่อไป มีอะไรมารายงานข้า”

“ขอรับท่านแม่ทัพ”

อู่เหิงไปแล้ว เหลือเพียงร่างของหลี่เจี้ยนเฉิงเท่านั้นที่ไม่อาจเก็บแววตาที่ล้ำลึกได้อีกต่อไป ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสงสัยว่าทำไมเขาจึงได้ติดตามคนที่ไร้ความสำคัญคนนั้น ทว่าตัวเขาเองยังไม่อาจเข้าใจหัวใจของตนเองได้เลย ว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่เห็นเมิ่งอวิ๋นจับจูงคนผู้นั้นออกไปจากสายตา เขาจึงเดือดดาลเสียจนอยากจะบั่นคอมันให้ตายได้

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หลี่เจี้ยนเฉิงไม่คิดจะสนใจมันแล้ว หากความสัมพันธ์ของทั้งสองขัดเคืองสายตามากนัก

ก็ทำลายมันทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง!

ใช่แล้ว...เท่านี้ก็จะไม่ต้องรู้สึกเช่นนี้อีก

หลี่เจี้ยนเฉิงระบายยิ้มแสนโหดเหี้ยมออกมาด้วยความพอใจ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นไม่ได้ลดความรู้สึกที่มีของตนเองลงไปได้ มันกลับเพิ่มพูนจนยากจะระงับยิ่งกว่าเดิมเสียอีก



“เจ้า...ทำเช่นนั้นลงไปจะดีหรือ?” เมิ่งอวิ๋นมองติงหยุนมู่ที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจไม่คลายไปจากก่อนที่เขาลากอีกฝ่ายออกมาต่อหน้าหลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้น ก่อนนี้ไม่ใช่ว่าติงหยุนมู่โกรธที่หลี่เจี้ยนเฉิงทำเขาเจ็บหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้ความรู้สึกจึงได้กลับเปลี่ยนไปเล่า

“มีสิ่งใดไม่ดีเล่า?”

“เจ้า เจ้าก็รู้ คนผู้นั้นคือ...”

“แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร หลี่เจี้ยนเฉิง บุรุษผู้เป็นที่หมายปองของหลายๆ คน” พูดออกมาขนาดนี้คงไม่ต้องบอกใช่หรือไม่ว่ารู้จักมากมายแค่ไหน รู้ดีถึงขนาดว่าถูกฆ่าให้ตายมาแล้วหนึ่งชาติ ไม่สิ ต้องบอกว่ารู้ดีเพราะมีคนถูกฆ่าให้ตายมาแล้วต่างหาก

บุรุษไร้ใจที่ไม่สมควรไปรัก เขาย่อมไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว

“ในเมื่อเจ้ารู้ ก็ไม่น่าจะไป...เอ่อ ยั่วโทสะของแม่ทัพหลี่” ทว่าเมิ่งอวิ๋นกลับไม่ได้รู้สึกเลยว่าตนเองทำสิ่งใดผิด การไม่ต้อนรับคนที่ยืนมองตนเองถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเขาผิดตรงไหนกัน? การที่ไม่ต้อนรับคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บนานหลายวันจวบจนหายดีแล้วเพิ่งจะโผล่หน้ามา เขาทำผิดที่ใดกัน?

ความห่วงใยจอมปลอมเช่นนั้น เขาคงไม่กล้ารับหรอก

หากรับแล้วใครจะสามารถรับรองให้เขาได้เล่าว่า เขาจะไม่ต้องแลกมันมาด้วยชีวิตของตนเองหรือคนในครอบครัว?

บอกตรงๆ เขาไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ

หลีกหนีได้เขาก็อยากหลีกหนี ไม่ต้อนรับได้เขาก็ไม่อยากจะต้อนรับ การไล่คนผู้นั้นไปด้วยท่าทางที่ไม่ปรารถนาให้อีกฝ่ายอยู่นั้น เขามองว่ามันไม่ได้ผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ

“แม่ทัพหลี่ผู้นั้นน่ากลัวขนาดไหน ไร้หัวใจเพียงไรข้ารู้ดี”

ใช่แล้ว ความทรงจำที่แสนเจ็บปวดและขื่นขมมันน่ากลัวจนเขาเองแม้อยากจะลืม ยังไม่อาจจะลืมได้

เมิ่งอวิ๋นเจ็บปวดมากแค่ไหน ดูจากความทรงจำสุดท้ายก่อนตายเขาก็พอรู้ได้แล้ว

“หากรู้ดีเช่นนั้นแล้วก็ควร...”

“ก็เพราะรู้ดีอย่างไรเล่า ข้าจึงได้ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก” ติงหยุนมู่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันที่ไม่รู้ว่าเย้ยหยันต่อผู้ใด จะเป็นชะตาของตนหรือความโง่เขลาที่ไปหลงรักคนผู้นั้นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่อาจต่อว่าสหายรักผู้นี้ได้จริงๆ

“เอาเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่อยากให้เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง” เมิ่งอวิ๋นยิ้มรับ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายห่วงใย

“ข้ารู้ ขอบใจเจ้ามาก”

“หากเป็นไปได้เจ้าก็เลี่ยงเขาเสียเถอะ ข้ากลัวแต่ว่าหากเจ้ายั่วโทสะของแม่ทัพหลี่มากๆ จะเป็นเจ้าเองที่เดือดร้อน” เมิ่งอวิ๋นมองติงหยุนมู่ที่แต่เดิมมีสายตาและรอยยิ้มของคุณชายเจ้าสำราญ ทว่าตอนนี้กลับเหลือเพียงความห่วงใยอย่างแท้จริงอยู่บนใบหน้า คิดๆ ดูแล้วคงใช้การตัดสินเพียงชั่วขณะที่ได้พบไม่ได้สินะ

“เจ้าเป็นสหายที่ดี” ติงหยุนมู่ยืดตัวตบที่อกตนอย่างแรงด้วยท่าทางที่ขึงขัง

“แน่นอน ข้าย่อมเป็นสหายที่ดีที่สุด”

“นั่นสินะ...”

“เจ้าขยับเข้ามาใกล้ข้าทำไมกัน” ติงหยุนมู่ไม่ได้หวาดกลัวสหายรักผู้นี้แม้แต่น้อย สิ่งที่เขาไม่ไว้ใจคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เล่นเอาคนถูกมองนั้นเสียวสันหลังวาบ

“ดูๆ ไปแล้วเจ้านี่ก็…น่ามองไม่น้อยเลยนะ” คำชมที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจ ซ้ำยังชวนให้ร่างทั้งร่างขนลุกชันอย่างน่าตกใจ

“เล่นบ้าอะไรของเจ้า!” เมิ่งอวิ๋นได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ สีหน้าแสดงออกเพียงว่าพึงพอใจในรูปลักษณ์ของติงหยุนมู่เท่านั้น ทำให้ติงหยุนมู่แทบจะดึงสติเอาไว้ไม่อยู่

“ใบหน้ารึก็คมคาย ดวงตาน่ามองชวนหลงใหล ริมฝีปากเจ้าก็ช่าง…”

“ช่าง ช่างอะไรของเจ้า?” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะคิกคักอย่างน่ารักน่าใคร่ แต่เสียงหัวเราะใสๆ นั่นกับคล้ายเสียงลับมีดเสียมากกว่า เมิ่งอวิ๋นขยับตัวเข้าไปใกล้ ใบหน้าก็แทบจะชิดกันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ

“หยุนมู่…”

“อะ...อะไรของเจ้า!” ติงหยุนมู่ได้แต่ขยับตัวหนีเท่านั้น จะถีบก็ไม่กล้า จะผลักออกก็กลัวสหายบาดเจ็บ อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เขาไม่ชอบมันเลยจริงๆ

“สนใจมาเป็นคนอุ่นเตียงให้ข้าหรือไม่?” พูดจบไม่นานนัก เมิ่งอวิ๋นก็รู้สึกประหลาด ร่างกายที่หงายหลังลงกับพื้น ดวงตามองเห็นเพียงท้องฟ้า เมิ่งอวิ๋นยังไม่เข้าใจจนถึงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนกลับมาของติงหยุนมู่ เขาถึงได้เข้าใจว่า ที่แท้ตนถูกสหายแสนดีผู้นั้นผลักจนหงายหลังนั้นเอง ส่วนถ้อยคำที่ติงหยุนมู่ทิ้งเอาไว้ก็คือ…

“เจ้าอุ่นของเจ้าเองเถอะ!”

และนั่นจึงเรียกเสียงหัวเราะจากเมิ่งอวิ๋นได้ดีเสียจนบ่าวในจวนยังอดยิ้มตามไม่ได้





TBC





ไม่นะ เรือนี้ไม่ควรแล่นสิ ปิดหน้าด้วยความอับอาย สงสารน้องจัง หนูเพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนผลักไม่ได้นะ ถ้าที่หลังโดนจับกด แค่กๆ หมายถึงถูกลวนลามหนูจะรู้สึกตัวตอนเขาลวนลามเสร็จแล้วไม่ได้นะคะลูกขา สติก่อนค่ะลูก มาช้าหน่อยเพราะยุ่งมากเลยค่ะ แต่แมวก็มานะคนดี ไม่ทิ้งหรือหนีหายไปไหนแน่นอน ปาหัวใจ <3

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (7)100% (Up.28/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-08-2020 21:30:53
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (7)100% (Up.28/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-08-2020 22:20:03
55555 ร้ายยย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (7)100% (Up.28/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-09-2020 07:28:09
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8) 50% (Up.07/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 07-09-2020 13:00:53
[8] 50%

หญิงผู้นั้นคือ…

เดิมทีเมิ่งอวิ๋นคิดว่าติงหยุนมู่จะโกรธเคืองเขาเสียจนไม่โผล่หน้ามาหาเขาอีกหลายวัน ทว่าใครจะไปคิดเล่าว่าเมื่อรุ่งขึ้นของอีกวัน ติงหยุนมู่จะมาหาเขาอีกครั้งที่จวน นั่นทำให้เมิ่งอวิ๋นรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายมากมายนัก ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังคงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเมิ่งอวิ๋นไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อคิดถึงใครอีกคนที่ได้ครอบครองหัวใจของเมิ่งอวิ๋นแล้ว เขากลับคิดว่าหากเป้นคนผู้นี้ยังจะดีกว่าเป็นไหน ๆ เพราะด้วยนิสัยและการห่วงใยสหายของติงหยุนมู่ ต่อให้ไม่รักจริง ๆ ก็คงไม่ใจร้ายถึงขนาดสังหารให้ตาย หรือใช้วิธีโหดร้ายที่ทำให้อยู่ไม่สู้ตายเช่นนั้น

หวนคิดถึงตรงนี้ทีไร เซี่ยอี้เจินในร่างของเมิ่งอวิ๋นก็พลันปวดใจ จนต้องยกมือขึ้นมาสัมผัสแผ่นอกของตัวเองอย่างแผ่วเบา

หัวใจดวงนี้ยังบอบช้ำนัก คงต้องใช้เวลาอีกนานเหลือเกินกว่าที่มันจะหายดี

เมิ่งอวิ๋นมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นสหายอย่างเหม่อลอย อีกฝ่ายมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ สวาปามอาหารตรงหน้าที่มารดาของเขานำมาให้ราวกับอดอยากมานานนับหลายสิบปี

ความสามารถทางการกินของติงหยุนมู่ทำให้เมิ่งอวิ๋นทั้งทึ่งและตกตะลึงได้ง่ายได้ หากไม่บอกเขาคงไม่เชื่อว่าติงหยุนมู่ผู้นี้คือคุณชายรองติง บุตรชายคนที่สองของคหบดีผู้ร่ำรวยติงกว่างอาน

หากจะให้พูดนั้น ต้องบอกว่าฐานะของสกุลเมิ่งและสกุลติงมิได้มีความแตกต่างกันนัก เดิมทีติงกว่างอานนั้นเป็นเหมือนสหายรักคนหนึ่งของเมิ่งหยวน เพราะรู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่ยังเยาว์เมิ่งอวิ๋นและติงหยุนมู่จึงได้สนิทสนมกันราวพี่น้องเช่นนี้

หากไม่ใช่เพราะเมิ่งอวิ๋นมีใจให้คนที่ไม่สมควรแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็คงไม่ต่างกับพี่น้องร่วมอุทรเป็นแน่

น่าเสียดายจริง ๆ เขาได้แต่คิด...

“เจ้าเป็นอะไรไปอีกเล่า? เหตุใดจึงต้องถอนหายใจเช่นนั้น” ทั้งที่ในปากยังคงเต็มไปด้วยอาหาร แต่ติงหยุนมู่ก็ไม่ได้คิดสนใจว่าสหายตรงหน้าจะรังเกียจหรือไม่ เขาเพียงแค่นึกห่วง ยังไม่อาจวางใจได้ว่าเมิ่งอวิ๋นจะตัดเยื่อใยไปจากแม่ทัพหลี่ผู้นั้นได้จริง ๆ

บางทีตอนนี้เมิ่งอวิ๋นอาจจะขบคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อวานที่ผ่านมานั้น ได้กล่าวถ้อยคำรุนแรงมากเกินไป

ไม่ได้ เช่นนี้ไม่ได้!

“อึก อุ แค่ก ๆ” เมื่อคิดได้อย่างรบร้อนเช่นนั้น ติงหยุนมู่ก็รีบกลืนอาหารในปากของตนลงท้อง หวังจะเอ่ยปากพาให้ความคิดของผู้เป็นสหายกลับคืนมา มิใช่จดจ่ออยู่เพียงแค่เรื่องของแม่ทัพหลี่เหมือนดั่งในตอนนี้

“คุณชายรอง! คุณชายรองขอรับ!” ทว่าเพียงแค่กลืนอาหารลงไปเท่านั้น ติงหยุนมู่ผู้ปรารถนาดีก็สำลัก ไอคอกแคกจนหน้าดำหน้าแดง ลำบากบ่าวรับใช้คนสนิทร้อนรนคอยไถ่ถามอย่างห่วงใยจนเมิ่งอวิ๋นต้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เห็นใจ

สหายของเมิ่งอวิ๋น คุณชายรองติงเจ้าสำราญ บัดนี้เหลือเพียงคุณชายรองติงที่ใกล้ตายเพียงเพราะว่าอาหารติดคอ

ด้วยความสงสารเห็นใจและห่วงใย เขาจึงได้รินน้ำชาให้อีกฝ่าย ติงหยุนมู่เองพอเห็นหนทางที่ส่องสว่างอยู่ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือทางแห่งการรอดตาย จึงไม่ลังเลที่จะคว้ามันมายกดื่มรวมเดียวจนหมดทั้งถ้วย...

“ไม่เคยพบผู้ใด…เป็นเช่นเจ้ามาก่อนจริง ๆ” ติงหยุนมู่ที่สำลักจนแทบจะขาดใจนั้น อับอายเกินกว่าจะสามารถมองใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นโดยตรงได้ เขาเองก็ไม่ได้คิดอยากจะสำลักอาหารเช่นนี้เสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะว่าคิดเรื่องของเจ้ามีหรือที่ข้าจะต้องเป็นเช่นนี้

“หากไม่เคยพบเคยเห็น เช่นนั้นก็มองเสียให้เต็มตา ข้ามิคิดเงินกับสหายหรอกนะ” แต่แทนที่ติงหยุนมู่จะแสดงความอับอายออกมา เขากลับยืดอกราวกับภูมิใจเสียหนักหนา

สมองของนายคนนี้มีปัญหาหรืออย่างไร ถึงได้มั่นอกมั่นใจในเรื่องที่ไม่ควรจะมั่นใจสักนิด

เมิ่งอวิ๋นยกพัดสีขาวขึ้นมาจนบดบังใบหน้าบางส่วน ปกปิดสายตาแปลกๆ ของตนเองเอาไว้ให้พ้นสายตาของติงหยุนมู่ ติงหยุนมู่เองทั้งที่พยายามทำตัวให้เป็นบุรุษหน้าหนาก็ยังไม่อาจทนทำหน้าเช่นนั้นต่อไปได้ ความอับอายแล่นเป็นกระจุกขึ้นมาบนใบหน้าจนต้องเสมองไปอีกด้านหนึ่ง แต่มือก็ยังหยิบเอาของกินมาเขวี้ยงใส่เมิ่งอวิ๋นที่เป็นสหาย

“นั่นขนมที่ท่านแม่อุตส่าห์ทำ เจ้าไม่กินก็อย่าทิ้งขว้าง!” แม้ใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นจะคล้ายขุ่นเคือง และถลึงตาใส่ติงหยุนมู่ ทว่าติงหยุนมู่กลับรู้ดีว่าสหายของตนเพียงหาเรื่องปกปิดความอับอายของตนเองก็เท่านั้น

“ท่านน้าชิวอิ่งทำมาให้ข้า เจ้าเดือดร้อนอะไรด้วย” ได้ยินเช่นนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็คันมือยิบๆ อยากจะจับศีรษะของอีกฝ่ายกดลงไปจนจมไปกับขนมที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน

เดือดร้อนอะไรหรือ ถามออกมาได้

ก็เดือดร้อนตรงที่มันเป็นของที่ท่านแม่ข้าทำอย่างไรเล่า

แต่เมิ่งอวิ๋นก็ไม่ได้ออกปากไปโดยตรง ได้แต่เพียงคิดอยู่ในใจก็เท่านั้น ส่วนติงหยุนมู่เมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปากก็พลันรู้สึกเบิกบานใจจนหยิบขนมตรงหน้าเข้าปากไปอีกครั้ง

“เจ้าคนตะกละ”

“ข้าได้ยินนะ!”

จะหูดีอะไรขนาดนั้นกัน ทั้งที่เขานินทาเสียงออกจะเบาแท้ๆ เจ้าคนเห็นแก่กินตรงหน้าก็ยังไม่วายได้ยินอยู่ดี เมิ่งอวิ๋นได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ภายในก็ขยับพัดในมืออย่างแรงทำไม่รู้ไม่ชี้ราวกับตนมิได้กล่าวอะไรออกไปแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งได้ยินเสียงคล้ายกลั้วหัวเราะจากทางบ่าวรับใช้คนสนิทของติงหยุนมู่เขาก็ยิ่งอดยิ้มออกมาไม่ได้

นึกขำกับสิ่งที่ติงหยุนมู่เป็น มิใช่ภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็น

ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่บุรุษเห็นแก่กิน จอมตะกละที่ผู้คนภายนอกไม่เคยได้เห็นเท่านั้น หากมีใครได้ล่วงรู้เข้า เห็นทีภาพของคุณชายรองติงผู้น่าหลงใหลคงแตกสลายเหลือเพียงคุณชายรองติงจอมตะกละเสียมากกว่า

คิดเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พลันสะดุด ใบหน้าเกิดรอยยิ้มประหลาดที่ติงหยุนมู่เห็นเข้าก็หนาวยะเยือก ตาขวางกระตุกถี่ ๆ คล้ายจะเป็นการเตือนในเรื่องร้าย

“เจ้าอย่าได้ยิ้มออกมาเช่นนี้”

“ทำไมเล่า หน้าข้า ปากข้า ยิ้มก็ของข้า จะยิ้มเช่นไรก็ย่อมเป็นเรื่องของข้า” ติงหยุนมู่เหลือบมองเมิ่งอวิ๋นเล็กน้อย

ถูกต้องแล้ว หน้าของเจ้า ปากของเจ้า รอยยิ้มของเจ้า

“จะยิ้มเช่นไรย่อมเรื่องของเจ้า นั่นย่อมหมายถึงไม่มีอะไรชั่วร้ายในหัวของเจ้าที่เกี่ยวกับข้า ไม่เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องของข้า!” เจ้าติงหยุนมู่จอมตะกละช่างมีสัญชาตญาณรุนแรงเสียจริง สามารถรับรู้ได้ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันได้ลงมือเช่นนี้ น่านับถือนัก

“อะไรกัน เจ้ามองข้า ชั่วช้าปานนั้นเชียวหรือ”

ติงหยุนมู่ไม่ได้ตอบกลับ เพียงเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ราวกับจะบอกว่า ชั่วช้า สองคำนี้ยังน้อยไปนักที่จะใช้บรรยายเจ้า อย่างเมิ่งอวิ๋นคงใช้ชั่วช้าไม่ได้

“ใครกัน? ใครต่อว่าเจ้าเช่นนั้น”

“เจ้ายังกล้าถามอีกหรือ” เมิ่งอวิ๋นโบกพัดไปมาอย่างช้า ๆ คงความสง่าของตนเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่สายตาของติงหยุนมู่กลับไม่ได้มองเช่นนั้นเลย ยามที่ได้คุยกับติงหยุนมู่ เขาก็รู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใดๆ สนุกที่ได้ต่อปากต่อคำ ได้ทำให้ติงหยุนมู่เปลี่ยนสีหน้าไปหลากหลายต่อครั้ง มันคือความสุขและผ่อนคลายที่เมิ่งอวิ๋นค้นพบในชีวิตนี้

“หากเจ้าแสนดี ชีวิตของข้าจากนี้ไปคงพบเจอแต่ภัยเสียแล้วล่ะ”

“ติงหยุนมู่!!”

“เมิ่งอวิ๋น!!”

ทั้งสองมองตากันอย่างไม่มีใครคิดยอมแพ้ ราวกับหากใครถอนสายตาออกมาก่อนจะทำให้เขาเสียหน้า อีกทั้งยังต้องยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไปโดยปริยาย ซึ่งทั้งสองต่างก็คิดเช่นเดียวกันว่า

แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!

“หากนับแล้วเจ้าอ่อนอาวุโสกว่าข้าหนึ่งปี เจ้าควรเคารพข้าเฉกเช่นพี่ชายคนหนึ่งสิ” ติงหยุนมู่ที่ไม่เห็นท่าทางที่เริ่มอ่อนลงของเมิ่งอวิ๋นก็เริ่มใช้ความอาวุโสเข้าข่ม หวังให้เมิ่งอวิ๋นยอมถอยให้เขาเสีย แต่เมิ่งอวิ๋นกลับมีสีหน้าขบขัน ไม่สนใจความอาวุโสที่อีกฝ่ายกล่าวมาแม้แต่น้อย

“ข้ามีพี่ใหญ่อยู่แล้ว เหตุใดต้องให้เจ้าเป็นพี่ชายข้าอีกเล่า”

“เจ้า ๆ ฮึ่ม! หากเจ้ายอมแพ้แก่ข้า ข้าจะพาเจ้าออกไปนอกจวน!”

ข้อเสนอที่ได้มานับว่าดึงดูดความสนใจของเมิ่งอวิ๋นไม่น้อย เดิมทีเมิ่งอวิ๋นที่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากอีก จึงคิดออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง แต่เพียงเอ่ยปากก็ถูกบิดาห้ามปรามเสียก่อน ให้เหตุผลว่าเขายังไม่หายดี ให้พักผ่อนอยู่ในจวนมากหน่อย จะได้หายดีขึ้นในเร็ววัน

ทว่าความจริงแล้วเข้ารู้ดีถึงเหตุผลที่แท้จริง บิดาเพียงแต่กลัวว่าเขาจะกลับไปหาแม่ทัพหลี่ กลัวว่าเขาจะยังไม่สามารถตัดใจได้จริง ๆ ไม่ก็คงกังวลว่าเขาเพียงเล่นละครตบตา เพื่อที่จะได้ออกไปหาแม่ทัพหลี่ได้สะดวกขึ้น

เขาอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกินว่า เขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋น เขาคือเซี่ยอี้เจิน คือเซี่ยอี้เจินที่ไม่มีวันสนใจผู้ชายที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องถึงแก่ความตายคนนั้นแน่! แต่สิ่งที่เขาทำได้คือกล้ำกลืนความอยุติธรรมในครั้งนี้เอาไว้ เพราะรู้ดีว่าหากพูดออกไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ

“ติงหยุนมู่ หากข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่” ความจริงแล้วเมิ่งอวิ๋นนั้นเพียงพลั้งเผลอเอ่ยถามออกไปก็เท่านั้น มิได้คิดจะเอาคำตอบจริง ๆ หรอก แต่สุดท้ายเสียงหัวเราะของติงหยุนมู่ก็ปลุกให้เซี่ยอี้เจินตื่นจากความฝัน

“เจ้าคือเมิ่งอวิ๋น ข้าก็เห็นว่าเป็นเมิ่งอวิ๋น จะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไร เจ้าล้อเล่นเช่นนี้ คิดให้ข้าหัวเราะจนตายใช่หรือไม่”

นั่นสินะ ใครกันจะมาเชื่อเรื่องเช่นนี้

เซี่ยอี้เจินในร่างของเมิ่งอวิ๋นได้แต่ยิ้มขื่น ยกพัดของตนขึ้นมาป้องริมฝีปากเอาไว้ ไม่อาจให้อีกฝ่ายเห็นได้ว่ามันกำลังถูกเจ้าของเม้มอย่างแรงด้วยความปวดใจ

แต่นี่คือสิ่งที่เขาและเมิ่งอวิ๋นต่างแลกกันมา มันคือสิ่งตอบแทนของการมีชีวิตอยู่ เขาต้องชินต่อมันได้แล้ว ตัวตนของเขาไม่ควรถูกเปิดเผยและเปิดเผยไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็เพื่อตัวของเขาเองทั้งสิ้น เพราะหากว่าเขาพูดมันออกไป คงถูกหัวเราะเยาะออกมาเช่นเดียวกับที่ถูกติงหยุนมู่หัวเราะใส่นั่นเอง

เมิ่งอวิ๋นดึงสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ใช้สายตาของเมิ่งอวิ๋นและความเป็นเมิ่งอวิ๋นมองติงหยุนมู่แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางที่อ่อนลง

“หากสามารถทำได้เช่นที่พูด ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพี่รองเช่นกัน”

“ดี! เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปพูดกับท่านอาและท่านน้าให้เจ้าเอง!”

เมิ่งอวิ๋นมองตามร่างของติงหยุนมู่ที่วิ่งไป ทิ้งเอาไว้เพียงบ่าวรับใช้คนสนิทที่ยังคงไม่ได้ขยับไปไหน เมิ่งอวิ๋นถอนสายตาออกมาจากแผ่นหลังของสหาย แล้วมองใบหน้าที่อ่อนวัยของบ่าวคนสนิทที่ติดตามติงหยุนมู่แทน

จะว่าไปแล้วคนผู้นี้ก็ช่างน่ามองไม่หยอกเลย ดวงหน้ากระจ่างใสแววตาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ ริมฝีปากบางสีระเรื่อ มองดูแล้วก็รูปงามไม่น้อยเลย

“เจ้าติดตามติงหยุนมู่มานานแล้วหรือ” เมื่อได้ยินคำถาม คนถูกถามก็แสดงท่าทางนอบน้อมออกมาทันที พร้อมกับน้ำเสียงหวานที่เอ่ยตอบ

“บ่าวติดตามคุณชายรองมานานแล้วขอรับ เพียงแต่ว่าส่วนมากบ่าวจะเป็นเพียงคนส่งข่าวเท่านั้น” เมิ่งอวิ๋นได้ฟังก็พยักหน้าเข้าใจ คงเป็นคนผู้นี้ที่ส่งข่าวเรื่องที่เขาถูกรถม้าชนจนได้รับบาดเจ็บไปสินะ

“คุณชายรองร้อนใจยิ่งนัก ยามที่ได้ยินว่าคุณชายเมิ่งบาดเจ็บ รีบร้อนมาด้วยความร้อนใจ”

“ข้ารู้...เขาดีกับข้ามาก” เมิ่งอวิ๋นเพียงยิ้มบาง ๆ มองตามไปยังทิศทางที่ติงหยุนมู่เดินไป เขาเข้าใจในคำพูดของบ่าวรับใช้ผู้นี้ดี บ่าวคนสนิทของติงหยุนมู่ผู้นี้คงอยากให้เขาใส่ใจกับสหายให้เท่ากับที่ติงหยุนมู่ใส่ใจต่อเขา

“หากมีสิ่งใดที่ข้าจะทำเพื่อหยุนมู่ได้ ข้าย่อมไม่มีวันปฏิเสธอย่างแน่นอน”

ได้ยินเช่นนั้นจากปากของเมิ่งอวิ๋นแล้วถูเซวียนก็พอจะคลายใจลงได้บ้าง เพราะก่อนนี้ตัวเขาเองอดห่วงเรื่องความสัมพันธ์ของผู้เป็นนายทั้งสองไม่ได้ คุณชายเมิ่งก็เหินห่างไร้ซึ่งไมตรี จนคุณชายรองของเขาต้องน้อยใจอยู่บ่อยครั้ง หากว่าครั้งนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะแตกต่างจากก่อนก็คงจะดี

ตัวเขาก็มีเพียงคุณชายรองเท่านั้นที่ไม่อาจวางใจลงได้









50%





น้องงงง หนูจะว่าเพื่อนแบบนั้นไม่ได้ลูก เขาไม่ได้ตะกละ เขาแค่... เอ่อ นึกคำพูดไม่ออกจริงๆ ใครนึกได้ก็ช่วยเม้นบอกหน่อยนะคะ อย่าให้น้องเข้าใจผิดว่าพี่มู่เขาตะกละเลย สงสารเขา ปาหัวใจ

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8) 50% (Up.07/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-09-2020 12:02:20
มาเกาะขอบรอจ้า สนุกมากๆ เลย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8)100% (Up.10/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 10-09-2020 13:44:48
[8] 100%


“เสี่ยวอวิ๋น!”

“...อะไรหรือ?” แม้จะไม่ได้ตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย ทว่าแววตาไม่น่าไว้ใจนั้นไม่นับรวมอยู่ด้วย เมิ่งอวิ๋นยังคงระแวดระวังตนเองเอาไว้อย่างดี เปิดหูรอฟังว่าคนตรงหน้าจะกล่าวอะไรออกมา

“ข้ามีที่พิเศษจะพาเจ้าไป”

พิเศษหรือ?

“ข้าว่าแค่เดินเล่นรอบเมือง แล้วตรงไปเหลาจื่อเค่อก็พอ หากตามเจ้าไป...ข้าคงต้องเดือดร้อนอีกเป็นแน่” ประโยคสุดท้ายเขาเพียงกล่าวกับตนเองเบาๆ ไม่ให้ใครได้ยินมันทั้งนั้น

สายตาคู่นั้นที่จับจ้องมาที่เขาด้วยความตื่นเต้น และสีหน้าที่ดูเช่นไรก็ผิดปกติยิ่งทำให้เมิ่งอวิ๋นไม่อยากจะตามติงหยุนมู่ไปที่ใด ๆ ที่เขากล่าวมาเลย หากจะเป็นไปได้ เขาปรารถนาจะหันหลังกลับจวน แล้วค่อยร้องขอให้พี่ใหญ่ของเขาพาออกมาดีกว่า

แต่เขาทำไม่ได้...จึงต้องอดทนยืนอยู่เช่นนี้

“มิใช่ว่าเจ้าไม่กล้าพอจะไปกับข้าหรอกหรือ? หรือแท้จริงแล้วเจ้ายังชอบคนผู้นั้นอยู่กันแน่?”

คำถามที่ถูกเอ่ยถามขึ้นมานั้นคล้ายลูกธนูปักเข้าที่ใจของเมิ่งอวิ๋น จนต้องตวัดสายตาดุร้ายมองสหายด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง

“เจ้ากล่าวอะไร! ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่าว่าลืมไปหมดแล้ว!”

เขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นเสียหน่อย จะไปมีความรู้สึกเช่นนั้นกับบุรุษไร้หัวใจเช่นนั้นได้อย่างไร คนชั่วช้าเช่นนั้นเขาหรือจะมอบใจให้! ย่อมไม่มีทาง

“แม้แต่สหายรักเช่นเจ้าข้ายังจำไม่ได้! เจ้ายังคิดว่าข้าจะมีใจให้เขาอีกหรือ!”

เมื่อเห็นว่าเพียงคำหยอกเย้าที่หวังให้เมิ่งอวิ๋นตามตนไปแต่โดยดีส่งผลร้าย ให้อีกฝ่ายต้องมีโทสะจนแทบจะระงับตนเองเอาไว้ไม่อยู่ก็พลอยรู้สึกผิดขึ้นมา

“ขอโทษ ข้าเพียงแค่เย้าแหย่เจ้าเล่นเท่านั้น” เมิ่งอวิ๋นหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจ

ความจริงแล้วติงหยุนมู่ก็ไม่ได้ผิดอะไร เป็นเขาเองที่เอามันมาเป็นอารมณ์ หากจะหาคนผิด ก็คงเป็นเขามากกว่าที่คุมอารมณ์ตนเองไม่ได้

“ช่างเถิด ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”

“เช่นนั้น...เจ้ายังไปกับข้าหรือไม่”

เห็นท่าทางน่าเห็นใจของติงหยุนมู่แล้ว เมิ่งอวิ๋นก็อดใจอ่อนกับเขาได้ จึงลอบพยักหน้าแล้วถอนหายใจออกมา ถึงจะกังวลว่าคนผู้นี้จะพาเขาไปหาความเดือดร้อน แต่จะปล่อยให้สหายที่ดีเช่นนี้ของเมิ่งอวิ๋นเศร้าโศกเสียใจก็คงไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปเสียหน่อย หากมีสิ่งใดไม่ถูกไม่ควรก็ค่อยหาทางปลีกตัวออกมา

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง ไปกันเถอะ!”

ติงหยุนมู่จับจองข้อมือของเมิ่งอวิ๋นให้เดินตามไปด้วยหัวใจที่เบิกบาน รอยยิ้มยินดีแต้มไปทั่วใบหน้า ฉีกภาพลักษณ์ที่แสนจะเจ้าชู้ให้หลุดออกไปจนเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่เมียงมองมา ต้องเป็นลมล้มพับไปกับพื้น

เมิ่งอวิ๋นมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้วครุ่นคิด หากมองให้ดีรอยยิ้มหล่อเหลาของติงหยุนมู่นับว่าฆ่าหัวใจของหญิงสาวได้จริงๆ นั่นล่ะ หากเป็นในยุคสมัยเขา คงมีสาวน้อยสาวใหญ่มาให้คั่วไม่จบไม่สิ้นแน่นอน

แต่ก็เถอะนะ ทำไมคนคนนี้ถึงได้ยิ้มสิ้นเปลืองขนาดนี้กันนะ

ตั้งแต่เจอหน้าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยิ้มมาแล้วกี่ครั้ง รอยยิ้มที่ทำให้ผู้หญิงใจเต้นแรง แต่กลับยิ้มให้เขาง่ายดายเช่นนี้ ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง

“ถึงแล้ว...”

“?” เมิ่งอวิ๋นเหลือบมองเบื้องหน้าที่เขาและติงหยุนมู่หยุดลง ป้ายที่อยู่ด้านบนเขียนคำว่า หอฮุ่ยเหริน

แล้วเจ้าสหายคนนี้พาเขามาทำบ้าอะไรที่นี่กัน!

“ไปเถิดๆ ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าจะพาเจ้าเปิดหูเปิดตา เปิดความงดงามของพวกนางเอง”

เมิ่งอวิ๋นที่นิ่งค้างอยู่นานนั้นยังไม่ได้สติ ความคิดของเขาตีกันให้วุ่นวายอยู่ภายในหัว ทั้งก่นด่าเจ้าลูกเต่าติงหยุนมู่ ทั้งตะลึงด้วยไม่คิดมาก่อนว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายหมายถึง จะเป็นหอนางโลมเช่นนี้!

คนผู้นี้มีสิ่งใดอยู่ในสมองกันแน่!

“อุ๊ย นายท่านทั้งสอง เชิญด้านในเลยเจ้าค่ะ” ร่างของหญิงงดงามผู้หนึ่งกล่าวทักทายด้วยสายตายั่วยวนและท่วงท่ากรีดกราย เสื้อผ้าเนื้อบางมองเห็นเรือนร่างน่าสัมผัสได้อย่างง่ายดายนั้น ยิ่งชวนให้ผู้คนอยากจะฉีกกระชากชุดเหล่านั้นให้ออก จนเปิดเผยร่างกายเปลือยเปล่าที่ล่อลวงผู้คนออกมา

“ไปกันเถิด”

“ดะ เดี๋ยวสิ! เจ้าจะบ้าหรือ นี่มันที่ใดเจ้าก็รู้” เขาจำต้องขืนกายเอาไว้ไม่ให้ถูกลากเข้าไปด้าน จนติงหยุนมู่หันกลับมาราวกับไม่เข้าใจว่าตนเองทำสิ่งใดผิด

“ข้าย่อมรู้ดี ข้าจึงได้พาเจ้ามาอย่างไรเล่า”

รู้! แต่ก็พามา นี่มันบ้าอะไรกัน

“เจ้ามิใช่กำลังจะแต่งงานหรือไร หากฝ่ายนั้นล่วงรู้เข้า มันจะไม่ดีต่อเจ้านะหยุนมู่!” เมิ่งอวิ๋นเหงื่อแตกพลั่ก มองหาทางหนีทีไล่ให้ตนเองหลุดพ้นจากการถูกพาเข้าไปในสถานที่เริงรมย์เช่นนี้ ยอมแม้กระทั่งยกเรื่องการแต่งงานของอีกฝ่ายขึ้นมาอ้าง

“เรื่องเช่นนี้เป็นธรรมดาของบุรุษ เหตุใดเจ้าจึงกล่าวราวกับว่ามันผิดกัน?”

“...” เมิ่งอวิ๋นแทบจะหมดคำพูด ร่างทั้งร่างอ่อนแรงจนถูกบังคับให้ก้าวเข้าไปด้านในโดยง่าย

เขาลืมไปเสียสนิทว่าในยุคสมัยของเมิ่งอวิ๋นนั้น การที่ผู้ชายเข้าไปหาความสุขในสถานที่เริงรมย์มิใช่เรื่องผิด หากแสดงท่าทีขัดขืนมากไปคงถูกมองว่ายังมีใจให้บุรุษผู้นั้นแน่ เห็นทีคงได้แต่ยินยอมเข้าไปเสียแล้ว

เมื่อเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นไม่ขัดขืนติงหยุนมู่ก็พาเขาเข้าไป ภายในของหอฮุ่ยเหรินนั้น มีทั้งเสียงหัวเราะและดนตรีไพเราะที่ขับกล่อมให้หลงใหลไปกับมัน

กลิ่นหอมหวานลอยออกมาจากตัวหญิงสาวทุกคน รอยยิ้มหวานและท่าทีที่แสนออดอ้อนก็พลอยทำให้ชายหนุ่มมากหน้าหลายตา ต้องยอมสยบลงแทบเท้าของพวกนาง ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ชั้นยอดจริง ๆ

หาได้ยากยิ่งนัก!

ติงหยุนมู่มองสหายข้างๆ ที่ตกตะลึงไป ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายชมชอบกับหญิงสาวเหล่านี้แล้ว แต่เพื่อสหายรักเพียงคนเดียวของเขา สิ่งที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นของสหายเขาอย่างแน่นอน ส่วนเมิ่งอวิ๋นนั้นตกอยู่ในภวังค์ความคิดความรู้สึกของตนจนไม่ได้สังเกตใบหน้าของติงหยุนมู่แม้แต่น้อย ติงหยุนมู่เองก็ไม่คิดขัดอารมณ์เพลิดเพลินของสหายรัก ได้แต่หันไปบอกกล่าวกับแม่เล้าถึงความต้องการ

“คุณชาย ไม่ทราบพวกท่านต้องการ...”

“ไป๋จูอยู่หรือไม่? ข้าและสหายต้องการฟังเสียงพิณของนาง” แม้จะถูกเรียกว่าหญิงงาม แต่เมื่อเป็นความต้องการของลูกค้าเช่นคุณชายตรงหน้า นางก็ได้แต่สงบใจ กดข่มความริษยาเอาไว้ก่อนจะตอบรับคำด้วยท่าทีอ่อนหวานเช่นเดิม

“เช่นนั้นเชิญคุณชายทั้งสองทางนี้เจ้าค่ะ”

ติงหยุนมู่พยักหน้าและลากสหายของตนให้เดินตามนางผู้นั้นไป เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าที่หอฮุ่ยเหรินนั้น มีความงดงามหลากหลายรูปแบบ ทั้งเขียนอักษร และดนตรี ต่างก็เป็นเลิศจนที่ใดก็ไม่อาจเทียบได้

ไป๋หลัน (ดอกกล้วยไม้สีขาว) นำทั้งสองคนไปยังห้องที่อยู่ชั้นบน เดิมทีห้องนี้นั้นมีราคาสูงมาก แต่ละครั้งที่ได้รับรองแขกที่มากด้วยทรัพย์ เงินจำนวนหนึ่งจะถูกแบ่งให้กับนางโลมผู้นั้นที่ถูกเรียกหา นางเองนั้นเดิมทีก็เคยถูกเรียกมาในห้องนี้อยู่บ้าง ทว่าแต่ละครั้งล้วนเป็นบุรุษที่แก่ราวกับเป็นบิดานาง ไม่ก็อัปลักษณ์เสียจนนางอยากจะอาเจียน

เมื่อเห็นบุรุษรูปงามทั้งสอง นางจึงได้แต่หวังว่าความงามของนางจะดึงดูดสายตาของทั้งสองได้บ้าง

แต่ใครจะคิดว่าคนที่ถูกใจคุณชายทั้งสองคนนี้จะเป็นถังเป้ยอี้ หรือไป๋จู (ไข่มุกสีขาว)

นางโลมที่มาทำงานในหอฮุ่ยเหรินจะถูกตั้งฉายาด้วยคำแรกว่าไป๋ สีขาวบริสุทธิ์ที่จะดึงดูดเหล่าบุรุษมากตัณหาเข้ามาไม่หยุด เช่นเดียวกับนางที่มีฉายาว่าไป๋หลัน กล้วยไม้สีขาวที่น่าลิ้มลองผู้นี้ แต่กลับมิเคยได้เชยชมบุรุษรูปงามแม้แต่คนเดียว!

น่าเจ็บใจยิ่งนัก!

เหตุใดสิ่งดีๆ ล้วนแต่ตกเป็นของไป๋จู หญิงที่ทะนงตนไม่ยอมขายเรือนร่างของตนเองผู้นั้นด้วย!

ไป๋หลันส่งแขกทั้งสองเข้าห้องเรียบร้อยก็เดินจากมาเพื่อไปรับแขกท่านอื่นต่อ เหลือไว้เพียงบุรุษสองคนในห้องกับอีกหนึ่งหญิงงาม ที่มีม่านบดบังเอาไว้

ทว่าเมื่อนางลงมือเล่นพิณ ร่างกายของเมิ่งอวิ๋นก็แข็งทื่อ หัวใจรวดร้าวคล้ายถูกดาบนับพันเล่มทิ่มแทงเข้ามา ความทรงจำมากมายหลั่งไหลไม่จบสิ้น เมิ่งอวิ๋นยกมือขึ้นกุมศีรษะของตนเองเอาไว้ หลับตาลงเพื่อหยุดความทรงจำมากมายที่มันประดังเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แค่เสียงพิณไม่น่าจะทำให้ร่างกายนี้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้เลย

เมื่อความสงสัยเกิดขึ้น เมิ่งอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวหลังม่านที่กำลังบรรเลงพิณด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย ใบหน้างดงามไร้ที่ติแม้จะถูกบดบังเอาไวด้วยม่านตรงหน้า ทว่าเขาจำได้ดีไม่มีวันลืม นางผู้นั้นคือคนที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องตาย

คือคนที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องมีจุดจบเช่นนี้...

คือนางในดวงใจของบุรุษไร้ใจผู้นั้น

ถังเป้ยอี้! เป็นนางจริง ๆ





                         TBC





มาโหวดกันเต๊อะ

ถังเป้ยอี้เป็นคนดี กด1

ถังเป้ยอี้เป็นคนไม่ดี กด2

ถังเป้ยอี้เป็นคนธรรมดา กด3

ถังเป้ยอี้เป็นยังไงก็ช่างเขาสิ กด4 


เมิ่งอวิ๋น



หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8)100% (Up.10/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-09-2020 15:41:57
กด 2 ไว้ก่อน55555
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8)100% (Up.10/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 10-09-2020 19:01:02
กด4 เป็นอะไรก็ได้ หนูเมิ่งเวอร์ชั่นนี้ เอาตัวรอดได้แน่นอน
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8)100% (Up.10/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-09-2020 10:04:20
กด4 ไปรัวๆ ตัวประกอบแค่มาเพื่อส่งเสริมให้คนเขารักกัน เราจะทำเป็นมองๆ ผ่านไปก็ได้
#สูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บไม้เก็บมือที่จะไม่จิกหัว
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (8)100% (Up.10/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-09-2020 01:24:06
 :m31:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9) 50% (Up.15/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-09-2020 17:26:15
[9] 50%


 

ถังเป้ยอี้

เมิ่งอวิ๋นไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ในที่สุดเขาก็ได้พบกับนาง นางผู้เป็นดวงใจของบุรุษผู้นั้นเสียที มือบางบีบถ้วยชาอย่างแรงตามอารมณ์ที่ปะทุขึ้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอถังเป้ยอี้เร็วขนาดนี้

ไม่คิดเลยจริง ๆ

ติงหยุนมู่ที่เดิมทีกำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงพิณที่แสนไพเราะ แต่แล้วกลับต้องสะดุดสายตากับแววตาและสีหน้าของเมิ่งอวิ๋นด้วยความไม่เข้าใจ เดิมทีสหายของเขาแม้จะร้ายกาจและโหดร้ายบ้างเป็นบางเวลา แต่มิใช่คนที่จะกระทำสิ่งใดโดยไม่มีเหตุผล

ยิ่งไม่มีวันจับจ้องใครอย่างน่ากลัวเช่นตอนนี้แน่นอน!

ติงหยุนมู่รู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่าง คล้ายว่าต้องลมหนาวจนร่างกายเกือบจะสั่นสะท้าน มองสหายรักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยแววตาไม่เข้าใจ สิ่งใดเกิดขึ้นกับเมิ่งอวิ๋นกัน เหตุใดบรรยากาศรอบกายจึงได้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้

“เจ้า...รู้จักกับนางงั้นหรือ?”

เดิมทีเขาเพียงหวังให้เมิ่งอวิ๋นได้เพลิดเพลินไปกับเสียงพิณและความงดงามที่เลื่องลือของอี้จี้[1] ผู้นี้ แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเมิ่งอวิ๋นจะไม่เพียงไม่เพลิดเพลิน กลับทำสีหน้าราวกับแค้นเคืองกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เห็นเช่นนี้แล้วติงหยุนมู่ก็ได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย

“ไม่รู้จัก”

ไม่รู้จัก? แต่เจ้ามองนางราวกับจะฉีกเนื้อนางน่ะหรือ?

คนไม่รู้จักที่ไหนเขามองกันเช่นนี้เล่า! ติงหยุนมู่อยากจะตะโกนใส่หน้าของสหายรักเสียเหลือเกิน เพียงแต่บรรยากาศรอบกายที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาไม่อำนวยให้เขาได้เอ่ยคำใดออกไปเลย ได้แต่ยกชาเลิศรสที่ตอนนี้ไม่อาจรู้รสได้ขึ้นมาดื่มเท่านั้น

คำว่าน่ากลัวไม่อาจใช้กับเมิ่งอวิ๋นได้

หากจะกล่าวให้ถูกคงเรียกว่า นางหวาดหวั่นเสียมากกว่า สีหน้าที่ราวกับเจอสิ่งที่ตามหาอย่างไม่คาดคิด ช่างให้ความรู้สึกอึดอัดเสียจนหายใจไม่ออกจริง ๆ

“เจ้าแน่ใจหรือ? มิใช่ว่า เอ่อ นางเคยล่วงเกินจ้าหรอกนะ” เมิ่งอวิ๋นกะพริบตาสองสามครั้ง ดวงตาที่เคยวาววับแปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างใส ไร้สิ่งใดเจือปน ถึงขนาดที่ติงหยุนมู่ที่เห็นเองกับตายังตกตะลึงและงุนงงไปครู่ใหญ่

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าเพิ่งจะเคยพบนางเป็นครั้งแรก แล้วจะถูกนางล่วงเกินได้เช่นไร”

ใช่! สำหรับเขาที่เป็นเซี่ยอี้เจินนั้นแล้วนั้น ถังเป้ยอี้ผู้นี้เขาเพิ่งได้พบครั้งแรก

ทว่า...สำหรับเมิ่งอวิ๋นแล้ว นางไม่ใช่เพียงล่วงเกิน ทั้งยังเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์บัดซบที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องสิ้นใจ!

“เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องมองนางราวกับว่าจะฉีกเนื้อนางเช่นนั้นด้วยเล่า”

ฉีกเนื้อ? หากทำได้เขาคงทำไปแล้ว แต่เมื่อทำไม่ได้คงมีแต่จะต้องอดทน ข่มความเกลียดชังที่มันมากล้นเอาไว้ภายใน

แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด นางผู้นี้สำคัญต่อบุรุษผู้นั้นมาก แม้ว่าเขาปรารถนาจะแก้แค้นแทนเมิ่งอวิ๋นมากแค่ไหน ก็ไม่อาจเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแล้วทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับเมิ่งอวิ๋น

สิ่งที่เขาจะต้องทำมีเพียงดูแลครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นให้มีความสุข ไม่ให้ทุกข์ทรมานใจกับเรื่องของเมิ่งอวิ๋น เพียงคิดถึงภาพที่ผู้เป็นมารดาและบิดาของเมิ่งอวิ๋นต้องตรอมใจ ร่ำไห้กับการสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รัก เขาก็ทนไม่ได้แล้ว ไหนจะเมิ่งลู่เหยา พี่ชายที่แสนดีที่ห่วงใยเมิ่งอวิ๋นยิ่งกว่าตนเองผู้นั้นอีก เขาจะปล่อยให้ต้องเสียใจได้อย่างไร

ไม่ว่าจะยังไง เขาก็จะต้องปกป้องดูแลทุกคนแทนเมิ่งอวิ๋นให้ได้

นั่นคือสิ่งที่เขาใช้แลกมากับชีวิตในตอนนี้ ซึ่งเขายินดียอมรับมันอย่างเต็มใจ

“เจ้าคงตาฝาดแล้วกระมัง”

“งั้นหรือ?”

“ใช่ ข้าไม่เคยพบนางมาก่อนจะมองนางเช่นนั้นไปทำไมกัน” เดิมทีติงหยุนมู่ยังไม่อาจปักใจเชื่อในคำของเมิ่งอวิ๋นได้ แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้วก็เป็นจริงดังที่สหายกล่าวมา คนไม่เคยพบกันมาก่อนจะมีเรื่องขัดเคืองใจอันใดกันได้ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เห็นทีเขาคงจะตาฝาดไปเองจริง ๆ

ทันทีที่ได้ข้อสรุป ติงหยุนมู่ก็เบิกบานใจ ฟังเสียงบรรเลงพิณได้อย่างสบายอารมณ์ หลับตาลงเพลิดเพลินไปกับมันโดยไม่รู้เลยว่า แววตากระจ่างใสของคนข้างกาย มันแปรเปลี่ยนเป็นวาววับไปแล้ว

ทางด้านของถังเป้ยอี้ที่อยู่หลังม่านนั้น สายตาของนางก็เหลือบมองลูกค้าใหม่ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น นางไม่เคยได้พบคนหนุ่มมากนัก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่นางต้องลอบมองพวกเขาแต่อย่างใด หากแต่นางรับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตร รู้สึกได้ถึงการคุกคามจนทำให้นางอดหวาดหวั่นในใจไม่ได้

นางไม่รู้จักคุณชายทั้งสองคนนี้

จะบอกว่ามีความแค้นเคืองต่อกันย่อมเป็นไปไม่ได้

ถ้าเช่นนั้นแล้วสาเหตุใดกันที่ทำให้เขามองนางด้วยแววตา ที่แม้แต่นางยังไม่เข้าใจว่านางไปทำสิ่งใดให้

ถังเป้ยอี้ยังคงไม่อาจหยุดความสงสัยในตัวของนางลงได้ นางจับจ้องไปที่บุรุษทั้งสอง แม้จะหลงใหลในรูปโฉม แต่นางก็ไม่คิดจะมีสัมพันธ์กับผู้ใด นางเพียงถูกใจความหล่อเหลาและงดงามของบุรุษแปลกหน้าทั้งสองคนเท่านั้น

ชายผู้หนึ่งหล่อเหลาดึงดูดสายตา จนหัวใจนางยังตกหลุมรอยยิ้มของเขา

บุรุษอีกผู้นั้นงดงามดูตรึงใจ ทว่าแววตาที่เขามองนางนั้น มันเต็มไปด้วยแรงอาฆาตจนนางยังสามารถรู้สึกถึงมันได้ชัดเจน แม้ว่านางจะไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางเช่นไรนัก แต่เมื่อถูกมองในระยะใกล้เช่นนี้แล้ว นางจะไม่สนใจได้หรือ

เมื่อการบรรเลงจบลง ความเงียบก็กลับเข้ามา

“คุณชายทั้งสอง ไม่ทราบพอใจกับการบรรเลงของข้าหรือไม่เจ้าคะ”

บางทีอาจจะเป็นการบรรเลงของนางก็เป็นได้ที่ทำให้บุรุษผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ

“ข้าและสหายพอใจมาก ไม่ทราบแม่นางไป๋รังเกียจหรือไม่ หากจะร่วมดื่มชากับข้าทั้งสอง” ถังเป้ยอี้ชำเลืองมองใบหน้าของบุรุษที่เคยมองนางอย่างน่ากลัว เพื่อประเมินสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าอีกคนเพียงยกชาขึ้นดื่มไร้สีหน้าและแววตาที่คุกคามต่อนาง นางจึงพอจะวางใจลงได้

“หากเป็นความปรารถนาของคุณชาย ข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ” ถังเป้ยอี้วางตัวนอบน้อมและงามสง่าจนเมิ่งอวิ๋นที่ดูคล้ายมิได้สนใจนางยังอดชื่นชมไม่ได้

ถังเป้ยอี้เดินออกมาจากหลังฉาก ใบหน้างดงามไร้ที่ติปรากฏสู่สายตาของเมิ่งอวิ๋น ดวงตาเรียวคล้ายหงส์สาว ริมฝีปากอิ่มเอิบถูกแต้มสีจนน่าหลงใหล จมูกเชิดรั้นบ่งบอกว่าเจ้าของมันถือตนมากเพียงใด เมิ่งอวิ๋นไม่ปฏิเสธเลยว่านางงดงามจนสั่นหัวใจชายคนใดก็ตามที่ได้ใกล้ชิด เพียงได้มองสักครั้งคงยากจะลืม

เขาไม่แปลกใจเลยที่หลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้นจะรักจนต้องสังเวยความรักของตนด้วยชีวิตของใครอีกคน

เมิ่งอวิ๋นดูท่าจะคาดการผิด ความรักในใจของชายผู้นั้นที่มีต่อถังเป้ยอี้ผู้นี้ คงไม่อาจเทียมกับสิ่งใดได้ ความงดงามที่สามารถเปลี่ยนผิดเป็นถูกได้เช่นนี้ สิ่งใดเล่าจะสามารถไปเทียบเคียงได้

“ไม่ทราบคุณชายทั้งสองเป็นคนเมืองใดหรือเจ้าคะ ข้าไม่เคยพบพวกท่านเลย” ติงหยุนมู่หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

“ข้าและสหายเป็นคนเมืองหลวง แต่ก็ถูกของแม่นางที่กล่าวมา ด้วยข้าและสหายนั้น ไม่เคยมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้จริงๆ”

“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ” แม้ปากจะเอ่ยถาม แต่สองมือก็ยังคอยทำหน้าที่เติมน้ำชาให้ทั้งสองอย่างเอาใจใส่

“ข้าต้องเดินทางไปดูแลกิจการนอกเมืองบ่อยครั้ง ส่วนสหายของข้านั้น...” ติงหยุนมู่หยุดนิ่ง ไม่ได้เอ่ยต่อ จะบอกได้เช่นไรว่าก่อนนี้สนใจในตัวแม่ทัพหลี่จนไม่มีดวงตาไว้มองผู้ใดอีก เมิ่งอวิ๋นเองก็พอเข้าใจ จึงระบายยิ้มบางๆ ส่งให้กับถังเป้ยอี้อย่างจำใจ

“ข้านั้นเพิ่งจะหายป่วย จึงถูกสั่งห้ามไปที่ใดคนเดียว” ถังเป้ยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้เขาทั้งสอง ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“เป็นเช่นนี้ ต้องขออภัยที่ข้าถามละลาบละล้วงพวกท่านด้วยนะเจ้าคะ” แม้สีหน้าของนางจะมีความรู้สึกผิดฉายอยู่บนนั้น ทว่าสำหรับเมิ่งอวิ๋นแล้ว ดูไม่ต่างจากการเล่นละครแม้แต่น้อย

ถังเป้ยอี้ผู้นี้ ก็คงไม่ได้งดงามบริสุทธิ์ดังที่แสดงออกมาให้เห็นสินะ เมิ่งอวิ๋นนับว่ามองคนไม่ผิดจริง ๆ

“ไม่เป็นไร ๆ เรื่องแค่นี้สหายข้าย่อมไม่ถือสาหาความกับเจ้าหรอก”

เมิ่งอวิ๋นได้แต่ค่อนขอดอีกฝ่ายในใจ คนไม่ถือสามันเจ้าหรือเปล่า ข้าไม่ถือสาได้หรือไร? แต่เพื่อเป็นการไม่หักหน้าแก่สหายที่ดีเช่นติงหยุนมู่ เมิ่งอวิ๋นจึงได้แต่ข่มกลั้นอาการอยากตอกกลับเอาไว้ในใจ แสร้งสนใจรสชาติของชาที่ดื่มมากกว่าการสนทนาที่ไร้ความจริงใจ

ไม่สิ...ต้องบอกว่ามีเพียงแค่สหายของเขาเท่านั้นที่จริงใจ ส่วนอีกคนเพียงเป่าลมออกมาเท่านั้น

เขาได้แต่มองทั้งคู่สนทนาในเรื่องต่างๆ กันเงียบๆ เก็บรายละเอียดความสนใจของนางเอาไว้ในใจไปด้วย แต่น่าเสียดายนัก นางผู้นี้ไม่เปิดเผยความสนใจออกมาอย่างชัดเจน ทำเพียงถามไปทางซ้ายเดินไปทางขวาสุดท้ายก็มาโผล่ข้างหน้า ราวกับทุกสิ่งนั้นนางไม่ได้สนใจเป็นพิเศษเลย

ติงหยุนมู่ก็ช่างใสซื่อ เห็นทีเขาจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันหญิงงามเอาไว้ให้อีกฝ่ายมาหน่อยเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ว่าความลับใดก็คงเปิดปากบอกกล่าวไปเสียหมด

ช่างเป็นสหายที่ดูออกง่ายเหลือเกินนะ

 

50%

 

ติงหยุนมู่! หนูจะหลงสาวจนบอกเขาหมดไม่ได้นะลูกกก เอ็นดูเหลือเกิน เรายังให้คุณเลือกเหมือนเช่นเคย

1 ถังเป้ยอี้เป็นคนดี

2 ถังเป้ยอี้เป็นคนไม่ดี

3 ถังเป้ยอี้เป็นคนธรรมดา

4 เรื่องของนางเถอะ


เมิ่งอวิ๋น


[1] นางโลมที่ขายศิลปะไม่ขายร่างกาย

 

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9) 50% (Up.15/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-09-2020 22:02:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9) 50% (Up.15/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-09-2020 20:27:19
 ขอกด 2 ค่ะ อยู่ในที่อโคจรแบบนั้นถ้าใสซื่อจริงคงเอาตัวเองไม่รอดหรอกค่ะ เพราะงั้นนางเป็นคนเลวค่ะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9)100% (Up.17/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-09-2020 13:02:43
[9] 100%


เมิ่งอวิ๋นและติงหยุนมู่เดินออกมาจากหอฮุ่ยเหรินด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข หากแต่มีเพียงติงหยุนมู่ผู้เดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าเช่นที่กล่าว ส่วนเมิ่งอวิ๋นนั้นมีเพียงแค่ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองจะเดินออกมาจากหอฮุ่ยเหรินแล้ว แต่เมิ่งอวิ๋นยังไม่อาจหยุดความคิดของตัวเองได้ ยิ่งได้ใกล้ชิดนางผู้นั้น ยิ่งได้ยินเสียง ได้ฟังนางหัวเราะ ในใจก็ยิ่งเจ็บแค้น แต่เขารู้ดีว่านี่คงเป็นความรู้สึกตกค้างของเมิ่งอวิ๋นเองเสียมากกว่า แต่ถึงจะเป็นการตกค้างของเมิ่งอวิ๋น เขาก็เข้าใจดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องอยู่ใกล้กับศัตรูหัวใจแบบนี้

แม้ว่าในเรื่องราวของเขาจะไม่อาจโกรธแค้นน้องชายที่เขาเฝ้าดูแลมาตั้งแต่ยังเล็กได้ แต่เสี้ยวเล็กๆ ในใจก็มีความไม่เข้าใจและไม่ยินยอมอยู่ในนั้น

อยากเห็นแก่ตัวแล้วกล่าวโทษต่อเธอที่เป็นคนรักและน้องชายที่รักของเขา

อยากจะโยนความรักและหวังดีออกไปจากหัวใจ สาปแช่งด่าทอต่อน้องชายและเธอคนนั้นให้สาแก่ใจ

แต่เขาก็ไม่สามารถทำมันได้

ใครใช้ให้เขาโตมาด้วยกัน ปกป้องน้องชายมาตลอด ทำทุกอย่างเพียงเพื่อน้องชายกันล่ะ ในเมื่อสามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างให้น้องชายได้

แค่ชีวิตตัวเองแค่นี้ทำไมจะทิ้งมันเพื่อเสี่ยวเฟิงไม่ได้

“เสี่ยวเฟิง...”

“เจินเกอ เจินเกอ ผมหิวแล้วล่ะ” รอยยิ้มของเด็กชายที่กอดตุ๊กตาตัวใหญ่เอาไว้ในอ้อมแขนมันน่าเอ็นดูเสียจนผู้เป็นพี่ชายยังอดใจอ่อนไม่ได้ เขาย่อตัวลงไปตรงหน้าเด็กน้อย

“ไม่ใช่ว่ากินขนมปังกับนมไปแล้วเหรอ หืม์?” คนถูกถามยกตุ๊กตาขึ้นมากอดเอาไว้ บดบังริมฝีปากที่ขบเม้มแน่น ใช้สายตาออดอ้อนสงไปยังผู้เป็นพี่ชายพร้อมกับน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“เจินเกอ...ผมไม่ได้กินเลยนะ อาเจาต่างหากที่กินไปจนหมด” อาเจาคือตุ๊กตาตัวใหญ่ในอ้อมกอดเด็กน้อย คนเป็นพี่อย่างเซี่ยอี้เจินได้ยินเช่นนั้นก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของน้องชายด้วยความรักใคร่เอ็นดู

“อาเจากินเข้าไปหมดทั้งสองก้อนเลยเหรอ?”

“อื้อ อาเจากินไปหมดเลย ผมไม่ได้กินเลยจริง ๆ นะ” เด็กน้อยพยักหน้า แววตากระจ่างใสราวกับไม่ได้พูดปดแม้แต่คำเดียว

“ก็ได้ ๆ ในเมื่อเสี่ยวเฟิงของพี่ไม่ได้กินขนมปังชิ้นนั้น ถ้างั้นก็เอาของพี่ไปกินเถอะ แต่ห้ามบอกคุณปู่ล่ะ เป็นความลับของเรานะ” เด็กชายตาวาวเป็นประกาย มองพี่ชายเบื้องหน้าตนด้วยความดีใจด้วยรอยยิ้มสว่างไสว

“อื้อ ผมรักเจินเกอที่สุดเลย!” ร่างของเด็กชายก็โถมเข้ามากอดผู้เป็นพี่เอาไว้เต็มรัก จนเซี่ยอี้เจินได้แต่หัวเราะชอบใจแล้วสละขนมปังก้อนนั้นที่เป็นมื้อเช้าให้แก่น้องชายของตนเองไป


เมิ่งอวิ๋นหลับตาแน่น ข่มความรวดร้าวกับน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาอย่างสุดกำลัง

เสี่ยวเฟิง...ไม่ว่าจะเมื่อไร พี่ก็ให้นายได้เสมอจริง ๆ

“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” เสียงของติงหยุนมู่ปลุกเมิ่งอวิ๋นขึ้นมาจากความฝันครั้งเก่า ติงหยุนมู่กังวลว่าเมิ่งอวิ๋นอาจจะรู้สึกแย่ขึ้นมาจากการบาดเจ็บครั้งก่อน น้ำเสียงที่เอ่ยถามจึงดูร้อนรนมากขึ้น

“เจ้ารู้สึกไม่ดีหรือ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่” เมิ่งอวิ๋นเพียงส่ายหน้า บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาเท่านั้น

“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าหายดีแล้ว เพียงแค่รู้สึกคล้ายจะนึกเรื่องในอดีตได้ก็เท่านั้น” ติงหยุนมู่ที่ได้ฟังก็ตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด ตอนไปขออนุญาตพาเมิ่งอวิ๋นออกมาจากจวนนั้น ท่านอาและท่านน้าต่างกังวลว่าเมิ่งอวิ๋นจะฟื้นความทรงจำได้ ซึ่งเขารับปากว่าจะไม่ทำให้อะไรกระทบจิตใจจนเมิ่งอวิ๋นต้องหวนคิดถึงเรื่องที่ลืมเลือนไป

แต่แล้วดูสิว่าเป็นเช่นไร เมิ่งอวิ๋นกลับบอกว่ารู้สึกคล้ายจะคิดเรื่องที่ลืมเลือนไปได้

นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด!

หาดเป็นเช่นนี้ต่อไป เมิ่งอวิ๋นคงจะต้องนึกบางสิ่งออกเป็นแน่

ไม่ได้...จะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้

“เอ่อ อวิ๋นอวิ๋น จะว่าไปแล้วแม่นางไป๋บรรเลงพิณได้ยอดเลยนะ เจ้าว่าไหม” เมิ่งอวิ๋นคิ้วกระตุก เจ้าติงหยุนมู่ จะเปลี่ยนเรื่องก็ช่างเลือกเรื่องที่เปลี่ยนได้ดีนักนะ แม่นางไป๋หรือ ไป๋จู ไข่มุกขาวแห่งหอฮุ่ยเหริน ก็เหมาะกับนางนัก

เหมาะเสียจนน่าจะจมหายลงไปในทะเลเสียจริง!

คิดเช่นนั้นแล้วมุมปากของเมิ่งอวิ๋นก็เกิดกระตุกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มจางๆ จนติงหยุนมู่เข้าใจผิดว่าเมิ่งอวิ๋นเห็นด้วยกับสิ่งที่ตนพูด และพึงพอใจในตัวแม่นางไป๋จูไม่น้อย สีหน้าของติงหยุนมู่ก็พลันเบิกบานขึ้นมาหลายเท่า

“แม่นางไป๋งดงามเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและคุณสมบัติ”

“...” เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดติงหยุนมู่จึงได้กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา แต่สีหน้าเบิกบานก็ทำให้เมิ่งอวิ๋นเข้าใจว่า ติงหยุนมู่หวังพานางเข้าประตูหลังจวน

“ท่าทางงดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังบรรเลงพิณได้ในระดับยอดเยี่ยม”

แม้จะกล่าวไปมากมายเมิ่งอวิ๋นก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ได้มีความสุขตามติงหยุนมู่แม้แต่น้อย แต่นั่นมาได้ทำให้ท่าทางที่มีความสุขของติงหยุนมู่ลดลงไปเลย สุดท้ายเมิ่งอวิ๋นก็ทนต่อไปไม่ไหว ต้องถอนหายใจออกมา

“หยุนมู่ เจ้าคิดจะรับนางเข้าหลังจวนหรือ? ข้าว่าเจ้าเลิกคิดเสียเถอะ”

“...” ครั้งเห็นติงหยุนมู่ไม่ตอบกลับ หยุดชะงักไปก็นึกว่าอีกฝ่ายเศร้าเสียใจ หวังปลอบให้ติงหยุนมู่ได้ตัดใจจากนางผู้นั้นเสีย

“นางไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถรับไปเป็นอนุได้หรอก อีกอย่าง...นางมีผู้ที่ครอบครองหัวใจอยู่แล้ว อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”

หากจะสู้กับหลี่เจี้ยนเฉิงคงเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ๆ

แต่ติงหยุนมู่ไม่ได้เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายเลยสักนิด เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการจะรู้

“ไหนเจ้าบอกว่าไม่เคยรู้จักนางมาก่อน? แล้วเหตุใดจึงรู้ได้เล่าว่านางมีผู้ที่ครองหัวใจของนางอยู่แล้ว” เมิ่งอวิ๋นที่ลืมตัวชะงักไปกับคำถามนั้น ก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า

“ข้าไม่ได้รู้จักนาง แต่ดูจากที่นางวางตัวห่างเหิน ข้าก็เดาได้ว่านางจะต้องมีผู้ที่ครองใจของนางอยู่แล้ว” แม้จะเป็นการตอบที่ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ติงหยุนมู่ก็พร้อมจะเชื่อในคำพูดของเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่สงสัย

“จริงของเจ้า นางงดงามเช่นนั้นคงมีคนที่นางชอบพออยู่แล้วเป็นแน่”

“เช่นนั้นเจ้าก็เลิกคิดเสียเถอะ เจ้ารับนางเป็นอนุมิได้หรอก”

“เฮ้! ใครบอกเจ้ากันว่าข้าจะรับนางมาเป็นอนุของข้า?” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“มิใช่หรอกหรือ?”

“จะไปใช่ได้อย่างไรกัน! ข้ากำลังจะแต่งงาน เจ้าจะให้ข้าหาเรื่องตายตั้งแต่ก่อนแต่งเลยหรืออย่างไร?”

เมื่อถูกติงหยุนมู่ถลึงตาใส่ เมิ่งอวิ๋นก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ใบหน้าหล่อเหลาที่เอาไว้หลอกล่อเหล่าหญิงสาว ยามนี้เมื่อกล่าวถึงการนอกใจว่าที่ภรรยาของตน กลับมีความหวาดกลัวและความเกรงใจอยู่หลายส่วน ใครจะไปคิดกันว่าสหายของเมิ่งอวิ๋นผู้นี้จะเป็นคนกลัวเมียเสียได้

ผิดคาดไปจริง ๆ

ติงหยุนมู่ได้แต่ยืนบื้อใบ้มองสหายของตนกุมท้องตนเองในขณะที่กำลังหัวเราะขบขัน ก็อดไม่ได้ที่อยากจะดึงดาบของใครสักคนมาแทงเมิ่งอวิ๋นให้ตายไปเสีย มีสหายดี ๆ ที่ใดกันที่มาหัวเราะไม่เกรงใจเช่นนี้

“ฮ่า ๆ ขอโทษ ๆ ข้าผิดเอง ฮ่า ๆ”

“หยุดหัวเราะเสียที เจ้านี่อย่างไรกัน ไม่รู้จักอับอายเสียบ้าง!” ถึงแม้จะตีหน้าดุใส่ มองด้วยแววตาคล้ายไม่พอใจ แต่ติงหยุนมู่นั้นเพียงแค่ปกปิดความรู้สึกปลาบปลื้มดีใจกับเสียงหัวเราะของสหายตนเองไม่ได้

“ได้ ๆ เช่นนั้น...หากไม่ใช่ว่าเจ้าหมายจะพานางไปเป็นอนุ แล้วเจ้ากล่าวชื่นชมนางเสียมากมายเพื่ออะไรกัน?” ติงหยุนมู่ถอนหายใจกับความโง่เขลาของเมิ่งอวิ๋น มาถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ

“ข้าก็หวังให้เจ้าซื้อตัวนางเข้าจวนอย่างไรเล่า”

“ข้า?” นิ้วเรียวชี้เข้าหาตนเองพร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาด

“ก็เจ้านะสิ จะเป็นผู้ใดอีก”

ดูเหมือนจะไม่ได้หูฝาดจริง ๆ

“พี่รอง...ท่านล้อข้าเล่นแล้ว” อย่างเขาหรือจะรับนางเข้ามาในจวน

รอให้ตายอีกสักรอบเขาก็ไม่มีวันเอางูพิษเข้ามาในจวนหรอก หากเขาพานางเข้ามาคงไม่พ้นถูกหลี่เจี้ยนเฉิงสังหารตายอีกรอบเป็นแน่

สหายผู้นี้ก็ช่างกระไร หาเรื่องตายมาให้เขาเก่งเสียจริง!

“ข้าล้อเล่นที่ไหนกัน”

ล้อเล่นเถอะ เขาหวังให้มันเป็นการล้อเล่นเสียมากกว่า

“น้องชาย...เจ้าฟังข้าให้ดี”

“ต้องฟังด้วยหรือ?” เขาไม่อยากฟังสักนิด หากถ้อยคำเหล่านั้นมีเอาไว้เพื่อกล่อมให้เขารับนางเข้ามาเป็นอนุ

“ต้องฟังสิ ข้าจะบอกให้ หญิงงามอาจมีมากมาย แต่หญิงที่เพียบพร้อมนั้นหาได้ยากยิ่ง”

เมิ่งอวิ๋นถูกติงหยุนมู่คล้องคอเอาไว้ก็ได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน ๆ ออกมา เขาไม่เต็มใจฟังสักนิด แม้จะเห็นด้วยที่ว่าหญิงงามมีมากแต่ความเพียบพร้อมนั้นหายากยิ่ง

ทว่า...ความเพียบพร้อมที่ว่ามานั้น ต้องไม่ใช่นางผู้นี้!

“พี่รองข้าเข้าใจความหวังดีของท่าน แต่ข้าไม่อาจรับนางเข้ามาในจวนได้”

“เพราะเหตุใดเล่า? มิใช่เจ้าชอบนางมากหรอกหรือ”

เขานี่นะชอบนาง? นี่เจ้าใช้ตาข้างใดมอง ข้าจะได้ควักมันออกมาเหยียบทิ้งเสีย!

“อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย รีบกลับเถิด ท่านพ่อท่านแม่คงห่วงข้าแย่แล้ว” ไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่น่อย หากอยู่ต่อคงไม่พ้นถูกอีกฝ่ายพูดกล่องให้รับนางเข้ามาในจวนอีกแน่ ปลายกระบี่คมดาบทั้งนั้น รอบตัวนางผู้นั้นอันตรายขนาดนี้ เขาคนนี้หรือจะอาจหาญเข้าไปแตะต้องนางได้

รับปากเมิ่งอวิ๋นเอาไว้เพียงดูแลบิดามารดาและพี่ชาย นั่นหมายความว่าไม่ควรหาเรื่องตายโดยไม่จำเป็น

เพราะฉะนั้น...

ถังเป้ยอี้...ก็เก็บเอาไว้ให้หลี่เจี้ยนเฉิงไปเถอะ!

เขาไม่เอาด้วยหรอก!





TBC



พี่รองไม่เข้าใจ รับมาน้องอาจตายได้นะพี่ อย่าโยนระเบิดให้น้องถือ สงสารพี่รองค่ะ อยากให้น้องมีเมียแต่ดันหาเมียดีๆให้ไม่ได้ พี่รองก็ดี พี่ใหญ่ก็ใช่ เลือกใครดีน้าาา

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9)100% (Up.17/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 17-09-2020 16:13:44
ไม่รู้ว่าถ้ารับเข้ามาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นนะเนี่ย ระหว่างไม่น้องก็นางตาย แต่เราว่าอาจเป็นอย่างหลัง เพราะตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังหลงน้องอยู่นะ 55555 :laugh:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9) 50% (Up.15/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-09-2020 19:19:31
ยังไงน้าาา
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9)100% (Up.17/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-09-2020 23:22:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (9)100% (Up.17/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 20-09-2020 19:16:16
นั่นสิเอาตาข้างไหนมองจะช่วยน้องเหยียบ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10)50% (Up.23/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 23-09-2020 09:10:11
[10] 50%


ลบท่านได้จนหมดใจ

หลี่เจี้ยนเฉิงส่งคนไปติดตามดูการเคลื่อนไหวและความสัมพันธ์ของติงหยุนมู่และเมิ่งอวิ๋นด้วยความสนใจ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทนไม่ได้ที่ถูกหมางเมิน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นมาก่อนแท้ๆ แต่ช่วงหลังมานี้หลังจากที่เมิ่งอวิ๋นถูกรถม้าของเขาชนเข้า เขาก็รู้สึกแปลกๆ กับอีกฝ่าย หัวใจเต้นรัว ไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้

หรือมันจะเป็นความรู้สึกผิด?

หากเป็นเช่นนั้นการที่เขานำสมุนไพรและของมากมายไปเยี่ยมเยือนอีกฝ่าย แม้จะถูกอีกฝ่ายไร้มารยาทใส่ก็ควรจะจบลงเท่านั้นสิ แต่ทำไมเขากลับยิ่งร้อนรน ทนไม่ได้ที่เมิ่งอวิ๋นจะใกล้ชิดกับใครด้วยเล่า

หรือเขาจะรู้สึกอะไรขึ้นมาจริง ๆ

หลี่เจี้ยนเฉิงสะบัดหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกไป มุ่งฝึกฝนร่างกายต่อไปเพื่อไม่ให้ตนเองเกิดความคิดพวกนี้ขึ้นมาอีก ถึงอย่างไรก็ทำสิ่งใดไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังจากปากลุกน้องของตนที่ถูกส่งออกไป

ร่างสูงตวัดดาบเป็นกระบวนท่าต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ใช้ประโยชน์จากการที่จิตใจของตนไม่สงบใส่จิตสังหารลงไป จนทุกครั้งที่ตัวดาบถูกส่งออกไปนั้นทั้งหนักแน่นและดุดัน เกิดเป็นคลื่นกระแทกหินก้อนใหญ่ตรงหน้าแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หากไม่รู้มาก่อนคงจะคิดว่าเศษหินพวกนี้คงถูกใครมือบอนขนเข้ามาเป็นแน่

บ่าวรับใช้ที่ทำงานอยู่ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้สักคน ทุกคนต่างก็ขยับถอยออกไปให้ห่างมากที่สุดด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อหลี่เจี้ยนเฉิง ขนาดก้อนหินขนนาดใหญ่ที่ใช่ว่าใครจะสามารถทำลายลงได้ ยังถูกแม่ทัพผู้เป็นเจ้าของจวนทำลายลงอย่างง่ายดาย เช่นนี้แล้วชีวิตน้อย ๆ ของพวกเขาเล่า จะมิถูกทำลายลงง่ายกว่าหรือ

หลบเลี่ยงเสียดีกว่าหากมิปรารถนาความตาย

ไม่นานลมสายหนึ่งก็พัดวูบมาพร้อมกับเงาดำที่หากไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็นความผิดปกติ แต่สำหรับหลี่เจี้ยนเฉิงที่เฝ้ารอข่าวอยู่นั้น ย่อมสังเกตเห็นมันได้อย่างแน่นอน หลี่เจี้ยนเฉิงมิได้ปรายตามองแม้แต่น้อย เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับพลังของตนเองที่ปั่นป่วนจากอารมณ์ เอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยเสียงที่ดุดัน

“ว่าอย่างไร” อู่เหิงหนาวสันหลังวาบ ทว่าก็ยังข่มความหวั่นเกรงเอาไว้ในอก ก่อนจะเอ่ยรายงานในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย

“เรียนคุณชาย เมื่อวานนี้คุณชายเมิ่งและคุณชายรองติง เอ่อ พวกเขา”

ท่าทางอึกอักของอู่เหิงยิ่งทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงอยากรู้มากยิ่งกว่าเก่า หากไม่มีสิ่งใดเหตุใดจะต้องมีทีท่าอึกอักราวกับพูดออกมาไม่ได้เช่นนี้

“พูดมา!”

“คุณชายรองติงและคุณชายเมิ่งไปที่หอฮุ่ยเหรินขอรับ!”

เปรี้ยง!

เพียงได้ยินคำตอบจากคนของตน หลี่เจี้ยนเฉิงก็ตวัดดาบส่งพลังไปจนพื้นที่เบื้องหน้านั้น เกิดความเสียหายขนาดใหญ่เป็นวงกว้าง แม้ว่าอู่เหิงจะชินกับพลังของหลี่เจี้ยนเฉิงแล้ว แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาในยามนี้ ที่สีหน้าของผู้เป็นนายนั้นเต็มไปด้วยโทสะแล้ว เขาก็อยากจะหายตัวไปเสียเหลือเกิน

“หึ! นี่ขนาดลอบไปด้วยกับในสถานที่เช่นนั้นเชียวหรือ กล้านัก!” แม้จะรู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิ์ต่อว่าหรือกล่าวโทษใด ๆ ในสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ

หากว่ากันตามความจริงแล้ว ไม่ว่าเมิ่งอวิ๋นจะไปที่ใดก็ตามแต่ เขาก็ไม่อาจว่ากล่าว หรือโกรธเคืองอีกฝ่ายได้ เขาเป็นใครในชีวิตของเมิ่งอวิ๋นกัน? ก็แค่คนที่เคยทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอุบัติเหตุที่เขาเองไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น ทว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ให้พูดเช่นไรก็เท่ากับว่าแก้ตัวทั้งนั้น

เมิ่งอวิ๋นเองก็คงไม่เชื่อ แม้แต่สกุลเมิ่งเองก็คงไม่เชื่อเช่นกัน

แต่แล้วอย่างไรเล่า เขาจะถือสิทธิ์ทั้งหมดเอาไว้ใครจะสามารถต่อว่าเขาได้

“คุณชายจะให้ข้าติดตามพวกเขาต่ออีกหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น”

มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะไปติดตามดูอะไรอีก ต่อให้ติดตามไปก็เพียงเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง อีกทั้งหัวใจของเขาก็ไม่อาจระงับให้มันสงบได้ หากไม่ได้ถามให้รู้ความ เห็นทีเขาคงจะต้องจมอยู่กับความโกรธทั้งคืนเป็นแน่ หลี่เจี้ยนเฉิงจึงได้แต่กำดาบในมือแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรงก่อนจะเอ่ยถามออกไป

“สืบได้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ถูกเรียก”

“เรียนคุณชาย เป็นนางอี้จีนามว่าไป๋จูขอรับ”

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” คนถูกถามทราบในทันทีว่าคุณชายของตนหมายถึงผู้ใด

“คุณชายเมิ่งตอนนี้อยู่ที่ถนนเอ้อหลานหยินขอรับ” คิ้วเข้มของหลี่เจี้ยนเฉิงขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

“ถนนเอ้อหลานหยิน ตลาดเอ้อหลางงั้นหรือ?”

“ขอรับคุณชาย” ตลาดที่เต็มไปด้วยอาหารละลานตานั่นนะหรือ

ยามที่ได้รู้ว่าเมิ่งอวิ๋นอยู่ที่ตลาดเอ้อหลาง ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขยามได้กัดกินอาหารตรงหน้าแล้วก็พลันรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าคมสันระบายยิ้ม บรรยายกาศรอบกายก็คล้ายจะเบาบางลงจนหลายคนที่อยู่รอบข้างยังสงสัย ว่าสิ่งใดที่สามารถลบล้างโทสะของแม่ทัพหลี่ลงได้

“เฝ้าดูไว้จนกว่าข้าจะไปถึง”

“ขอรับคุณชาย”

อู่เหิงหายไปทันทีที่ได้รับคำสั่ง หลี่เจี้ยนเฉิงเองก็เก็บดาบในมือก่อนจะเข้าไปในห้อง เขาจะต้องชำระร่างกายให้สะอาด จะไปพบเมิ่งอวิ๋นทั้งที่เนื้อกายเปรอะเปื้อนเช่นนี้คงดูไม่ดีนัก แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าต่อให้ไปด้วยสภาพในตอนนี้ เมิ่งอวิ๋นก็คงไม่มีสายตาจะมองเช่นเดิม แต่เขาก็ยังคงต้องรักษารูปลักษณ์ของตนเอาไว้อยู่ดี

“ใครอยู่ข้างนอก ยกน้ำเข้ามา ข้าจะล้างตัว”

เพียงไม่นานนักคำสั่งของหลี่เจี้ยนเฉิงก็ได้รับการปฏิบัติเรียบร้อย หลี่เจี้ยนเฉิงมองถังน้ำตรงหน้าก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนแล้วก้าวลงไป เพียงแค่นึกถึงภาพของเมิ่งอวิ๋นในครั้งที่เขาได้พบ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงได้ติดตานัก ทั้งที่ก่อนนี้เขาไม่เคยคิดจะสนใจหรือแยแสเมิ่งอวิ๋นแม้แต่ครู่เดียว

ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายถูกรถม้าของเขาชนเข้า เขาก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่เมิ่งอวิ๋นมองเขามันแตกต่างไปจากเก่าก่อน ในยามนี้ไร้ซึ่งความเทิดทูนและร่องรอยความหวาน มันมีเพียงความเฉยชาและโทสะเล็ก ๆ ในดวงตาคู่นั้น ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีตัวตนของเขาอยู่ในแววตา อีกฝ่ายกลับเป็นเหมือนเด็กชายตัวน้อยที่น่ามองยิ่งนักยามได้แย้มยิ้ม

เขาจึงได้รู้สึกสับสนในใจไม่น้อย เมิ่งอวิ๋นที่ไม่คล้ายจะเป็นเมิ่งอวิ๋น

หรือเมิ่งอวิ๋นที่พยายามทำตนให้ไม่เหมือนเดิมเพื่อเรียกสายตาจากเขากันแน่?

เขาเองก็ยังไม่อาจจะตอบคำถามที่อยู่ในใจของตนเองได้ สิ่งที่ไร้การยืนยันคงได้แต่ต้องรอเวลาพิสูจน์ แต่สิ่งที่แน่ชัดสำหรับเขาคือ เขาไม่อาจปล่อยปละเมิ่งอวิ๋นได้เช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว

หากนี่คือแผนการที่จะดึงดูดใจเขาก็นับว่าสำเร็จแล้ว

ในเมื่อทำได้สำเร็จ ก็ไม่ควรจะเล่นอีกต่อไป

หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ชอบใจนัก หากคนที่ตนเองกำลังสนใจไปให้ความสนใจกับใครอื่น ยิ่งไม่ชอบใจหากได้รู้ว่ากระทำสิ่งใดที่ไม่ควรเช่นที่เมิ่งอวิ๋นกำลังทำอยู่! เพียงแค่ติงหยุนมู่ผู้นั้นไม่พออีกหรือไร? จึงต้องเข้าไปถึงหอฮุ่ยเหริน สถานที่เช่นนั้นที่เขาเองยังไม่เคยแม้แต่ย่างก้าวเข้าไป

คิดมาถึงตรงนี้หลี่เจี้ยนเฉิงก็ได้แต่ใช้หมัดของตนกระแทกเข้ากับถังไม้ที่ตนใช้แช่ตัวอยู่อย่างแรง ระบายความโกรธที่ไม่อาจระงับเอาไว้ได้ออกมา

เขาไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป ในตอนนี้เขาจึงรีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยและแต่งตัวเพื่อจะไปพบกับเมิ่งอวิ๋นให้เร็วที่สุด



อีกด้านทางเมิ่งอวิ๋นเองก็กำลังเพลิดเพลินกับอาหารมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัว โดยที่มีเสี่ยวหลงและเมิ่งลู่เหยาคอยเดินตามไม่ห่าง ด้วยกลัวว่าคนที่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งของตรงหน้าจะหายไปอีก เสี่ยวหลงวิ่งตามร่างของนายน้อยของตนจนแก้มแดงปลั่ง หายใจหอบ ทว่าก็ไม่อาจหยุดยั้งความกระหายใคร่รู้ของผู้เป็นนายได้

ส่วนเมิ่งลู่เหยานั้นต้องเดินจ่ายเงินค่าอาหารมากมายที่ถูกน้อยชายของตนฉกชิงไปมากมายจนแทบไม่มีเวลาว่างให้ได้หายใจ

ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งลู่เหยาและเสี่ยวหลงต่างก็ได้แต่ปาดเหงื่อออกจากใบหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หนึ่งคนสนใจเพียงความเอร็ดอร่อย อีกสองคนกลับต้องมาลำบาก ช่างดูแล้วไม่ยุติธรรมสักนิด แต่ใครจะรู้ว่าแม้กายของทั้งสองจะเหนื่อยอ่อนจนแทบหมดเรี่ยวแรงก็ตามที แต่ในหัวใจนั้นกลับปลื้มปีติและเบิกบานจนอยากจะหัวเราะ

กลิ่นหอมจากแป้งสีขาวห่อหุ้มไส้ในเอาไว้ยั่วยวนจนน้ำลายสอ เมิ่งอวิ๋นที่เห็นทั้งสองต่างเหนื่อยอ่อนคล้ายจะหมดแรงเดินเข้ามาหาตรงหน้า ส่งรอยยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นพี่ชายและบ่าวรับใช้ ก่อนจะยื่นเจ้าก้อนแป้งสีขาวนุ่มมาตรงหน้าของทั้งสอง

“พี่ใหญ่ เสี่ยวหลง ลองชิมเจ้านี่สิ ทั้งหอม ทั้งนุ่ม อร่อยเหลือเกิน” แม้จะอยากปฏิเสธ ทว่ากลิ่นมันหอมหวนจนเสี่ยวหลงเองได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ หากไม่รับนั่นจึงถือว่าสมควร ทว่าเจ้าร่างกายไม่รักดีกลับสั่งการให้ยื่นมืออกไปรับมาโดยไม่ท้วงติงใดๆ ได้แต่ลอบมองผู้เป็นนายอีกคน เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ

แต่เมิ่งลู่เหยาไม่ได้สนใจเสี่ยวหลงแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาตอนนี้มันพร่างพรายไปด้วยดวงดาวนับหมื่นนับพัน เพียงได้เห็นรอยยิ้มแสนสุขของน้องชาย คนเป็นพี่มีหรือจะต้องการสิ่งใดอีก มือจึงได้เอื้อมออกไปรับก้อนแป้งสีขาวนุ่นที่ถูกเรียกว่าซาลาเปามาถือเอาไว้

“ฟู่ ฟู่ อ้าม~”

มองภาพของคนงามตรงหน้าสวาปามซาลาเปาน้อยในมือหมดด้วยการกัดเพียงสองครั้งแล้วยังไม่อาจตกตะลึงได้เท่ากับว่า แม้จะกัดคำใหญ่มากเพียงใดก็มิได้ลดทอนความน่ามองของเมิ่งอวิ๋นลงไปเลยแม้แต่น้อย

คนทั้งสามต่างนั่งลงที่ชานร้านซาลาเปา เลือกมุมที่ไม่เกะกะสายตาของใครนักเพื่อพักผ่อน ในท้องของเมิ่งอวิ๋นแม้จะเต็มไปด้วยของกินมากมาย ทว่าคล้ายกับหลุมดำที่เติมเท่าไรก็ไม่อาจเต็มได้ นั่นจึงทำให้เมิ่งอวิ๋นมีความสุขมาก ความสามารถเช่นนี้นับได้ว่าวิเศษจริง ๆ แบบนี้แล้วเขาจะกินเท่าไรก็ได้ ไม่อิ่มง่าย ๆ เช่นก่อนนี้

“เจ้าไม่เห็นต้องรีบกินเพียงนั้น เดี๋ยวก็ลวกปากเจ้ากันพอดี หากไม่อิ่มก็ไปซื้ออีกได้ พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก”

“ข้ามิได้กลัวว่าจะถูกแย่งเสียหน่อย” เมิ่งลู่เหยากัดซาลาเปาไส้เนื้อเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะถามต่อ

“เช่นนั้นเหตุใดต้องรีบกินเล่า”

“แหม...พี่ใหญ่ ความจริงแล้วมันก็มิได้มีอะไรมากมายเลย ข้าเพียงแค่รู้สึกว่ามันอร่อยนัก จึงอดไม่ได้ที่จะกินหมดในสองคำเท่านั้นเอง” เมิ่งลู่เหยาที่ตัวแข็งค้างไปแทบจะทำซาลาเปาตกพื้น ยังดีที่ประคับประคองสติเอาไว้ได้ทันท่วงที จึงไม่เสียของอร่อยไปให้เชื้อโรค

“เจ้าจะกินสักกี่ลูก มิใช่ว่าก่อนนี้เพิ่งกินของมากมายมาตลอดทางหรือ?” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถาม

“ก็ข้ายังไม่อิ่มนี่ พี่ใหญ่จะห้ามข้าหรือ?” พี่ชายเช่นเขาหรือจะห้ามความสุขของน้อง? ไม่มีเสียหรอก

“ห้ามอันใด? มิใช่ข้าหรือที่เดินตามจ่ายเงินค่าของพวกนั้นให้เจ้า เสี่ยวอวิ๋นเอ๋ยเสี่ยวอวิ๋น พี่เพียงกังวลว่าเจ้าจะปวดท้องเพราะกินมากไป”

“พี่ใหญ่อย่าห่วง ข้าย่อมรู้ลิมิตของข้าดี”

“ลิ ลิอะไรนะ?” ตายละสิ เขาลืมตัวใช้คำติดปากไปเสียได้ เมิ่งอวิ๋นแกล้งทำเป็นสำลักเพื่อกลบเกลื่อน ทำให้เมิ่งลู่เหยาที่รอคำอธิบายกับเสี่ยวหลงที่คิดจะค่อย ๆ ละเลียดชิมทีละคำเล็ก ๆ ไม่ให้หมดเร็วนัก ถึงกับตกใจยกใหญ่ พร้อมกับตบแผ่นหลังของน้องชายเบาๆ

“แค่ก ๆ”





50%



โอ๊ยยย น้องเมิ่งลูกกกก ลิมิตไม่มีใครใช้ในยุคนั้นกันนะคะลูกกกก เดี๋ยวความก็แตกหรอก ว่าแต่น้องจะเป็นยังไงน้าา ท่านแม่ทัพรู้เรื่องเข้าแล้วด้วยสิว่าน้องแอบไปเที่ยวที่ไหนมา // ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีแมวเจ็บตาเลยเปิดคอมไม่ได้ แต่ก็มาต่อให้แล้วน้าาา ชื่อตอนหมายความว่ายังไง เรื่องนี้...มีเฉลยที่ครึ่งหลังจ้า

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10)50% (Up.23/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-09-2020 19:26:09
เพิ่งเจอเรื่องนี้ ขอติดตามด้วยคนค่าา
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10)50% (Up.23/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-09-2020 22:19:29
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10)50% (Up.23/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-09-2020 00:26:14
อย่าหลุดจิๆ 5555
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10)100% (Up.24/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 24-09-2020 13:17:02
[10] 100%


“พี่ใหญ่อย่าห่วง ข้าย่อมรู้ลิมิตของข้าดี”

“ลิ ลิอะไรนะ?” ตายละสิ เขาลืมตัวใช้คำติดปากไปเสียได้ เมิ่งอวิ๋นแกล้งทำเป็นสำลักเพื่อกลบเกลื่อน ทำให้เมิ่งลู่เหยาที่รอคำอธิบายกับเสี่ยวหลงที่คิดจะค่อย ๆ ละเลียดชิมทีละคำเล็ก ๆ ไม่ให้หมดเร็วนัก ถึงกับตกใจยกใหญ่ พร้อมกับตบแผ่นหลังของน้องชายเบาๆ

“แค่ก ๆ”


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พี่บอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องรีบร้อน เจ้าก็ดื้อมิเคยฟัง” คนแกล้งสำลักรีบโบกไม้โบกมือคล้ายจะบอกว่ามิเป็นไร ทั้งสองมองใบหน้างดงามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นไม่มีอาการร้ายแรงอะไรนักจึงได้วางใจ

“นายน้อย บ่าวไปซื้อชาในร้านให้ดีหรือไม่ขอรับ?”

“แค่ก ๆ ไม่ต้อง ๆ ข้าดีขึ้นแล้ว”

“เจ้าแน่ใจหรือ?” เมิ่งอวิ๋นพยักหน้า แกล้งกระแอมไอต่อเพียงเล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าตนดีขึ้นแล้ว

“ข้าแน่ใจ พี่ใหญ่อย่าห่วงเลย”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว กลับเถิด นี่ก็ออกมานานมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่จะห่วงเอา” เมิ่งอวิ๋นหน้าหงอยลงทันตา แต่ก็ยอมพยักหน้าเห็นชอบตามที่ผู้เป็นพี่ชายกล่าว อย่างไรก็ยังมีวันหน้า แต่หากวันนี้ยังขัดขืนไม่ยอมทำตาม วันหน้าคงเลิกหวัง เมิ่งอวิ๋นรู้ดีว่าควรเลือกทางใด

เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจ เมิ่งลู่เหยาก็ลุกขึ้นยืน จ่ายเงินค่าซาลาเปาแก่เจ้าของร้านก่อนจะพาน้องชายและบ่าวรับใช้เดินจากไปจากร้าน

เดิมทีเมิ่งลู่เหยาก็ได้รู้จากบิดามาบ้างว่าเมื่อวานนี้ติงหยุนมู่มาขออนุญาตพาน้องชายของเขาออกไปข้างนอก ซึ่งตัวเขาเองก็แอบเห็นชอบนัก เมื่อก่อนนั้นเมิ่งอวิ๋นนับว่าสนิทกับติงหยุนมู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้พบกับหลี่เจี้ยนเฉิง น้องชายที่เคยสนิทกับติงหยุนมู่ก็เปลี่ยนไป ทุกวันมีเพียงแค่คนแซ่หลี่ผู้นั้น หายใจเข้าออกก็มีแต่คนแซ่หลี่

แม้แต่พี่ชายอย่างเขา...เมิ่งอวิ๋นก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา

ความเจ็บช้ำมันกัดกินจนเขาเองทุกข์ทรมานมาก แต่อย่างน้อยน้องชายคนดีของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ได้ แม้จะมองไม่เห็นหนทางที่จะสมหวังก็ตามที

ระหว่างที่เดินกลับไปเรื่อย ๆ สายตาของเมิ่งลู่เหยาเฝ้ามองพิจารณาใบหน้าของผู้เป็นน้องชายเงียบ ๆ ยิ่งได้มองก็ยิ่งรู้สึกว่างดงามยิ่งกว่าผู้ใด แม้แต่ทวยเทพยังต้องลงมาคุกเข่าร้องขอความรักจากเมิ่งอวิ๋นด้วยซ้ำ แต่เจ้าคนแซ่หลี่ช่างตาไร้แววนัก ถึงได้มองไม่เห็นความงดงามของน้องชายเขาเช่นนี้ ก็สมควรแล้วที่น้องเขาจะลืมอีกฝ่ายจนสิ้น

“เจ้ามีคนที่เจ้าพอใจบ้างแล้วหรือยังเล่า?” เมิ่งอวิ๋นไม่คิดว่าจะถูกถามเรื่องนี้ในยามนี้ เพิ่งผ่านพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ไม่ทันจะครบเดือน พี่ชายผู้เป็นห่วงน้องก็จะรีบให้น้องมีคนรักใหม่แล้วหรือ? อะไรจะรวดเร็วทันใจได้ปานนั้น

“ข้ายังไม่มีผู้ใดให้ถูกใจเลยสักคน อาจเป็นเพราะข้าไม่ได้ออกไปที่ใดมากนักกระมัง” เมิ่งอวิ๋นมีหรือจะปล่อยให้เรื่องดีงามเช่นนี้หลุดลอยไปได้ง่ายๆ หามีหนทางให้เขาได้ออกมาเที่ยวเล่นจากจวนได้ เขาย่อมต้องรีบคว้าเอาไว้

“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนเจ้าก็สามารถหาคนถูกใจได้” เมิ่งอวิ๋นได้ยินก็แทบจะหุบยิ้มลงทันควัน เรื่องดีงามกลับกลายเป็นเรื่องร้ายไปเสียได้ เขาคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ

“ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว”

“จะได้อย่างไร พี่กำลังหาทางให้เจ้าได้พบคนที่ถูกใจ มิดีหรอกหรือ?” คนฟังได้แต่หน้างอด้วยความไม่ชอบใจ ทั้งที่ความจริงแล้วนั้นเขายังไม่อาจลืมความเจ็บปวดครั้งก่อน ที่ถูกคนที่รักหักหลังได้

“เช่นนี้ดีหรือไม่ พี่จะไปคุยกับท่านแม่ ให้ท่านแม่เร่งหาแม่สื่อ เจ้าจะได้แต่งงานเสียที”

ไม่ดี!

แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ในที่สุดพวกเดินมาจนถึงชานจวนสกุลเมิ่งและในจังหวะนั้นเอง เมิ่งอวิ๋นก็เห็นใบหน้าของใครบางคนยืนรออยู่ สายตาคมคู่นั้นมองมาทางเขา ทั้งที่เขาคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาจะต้องพูดคุยกับคนผู้นี้อีกแล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องมาพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนรอเขาอยู่

เขามองผู้เป็นพี่ชายที่เดินอยู่ข้างเพื่อดูปฏิกิริยาของพี่ชาย ทว่ากลับไร้สิ่งใดให้กังวล นั่นย่อหมายความว่าเมิ่งลู่เหยาไม่เห็นแม่ทัพหลี่ ซึ่งนั่นดีที่สุดแล้ว

“พี่ใหญ่ ข้าขอเดินเล่นรอบจวนสักครู่ได้หรือไม่” เมิ่งลู่เหยาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะพยักหน้า

“เอาสิ พี่จะเดินเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

“เอ่อ พี่ใหญ่ ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า ข้าเพียงอยากจะคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวสักพักเท่านั้น” ตัวเมิ่งลู่เหยานั้นไม่เต็มใจสักนิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งอวิ๋นแล้วจะใจแข็งปฏิเสธออกไปก็ทำได้ลำบากนัก สุดท้ายเมิ่งลู่เหยาก็ทำได้เพียงตอบตกลง

“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าอย่าไปไกลนัก รับข้าจวนด้วยเล่า ท่านแม่จะห่วงเจ้าเอาได้” ใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มกว้าง พยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับรับคำอย่างมั่นเหมาะ

“ข้าทราบแล้ว”

ในที่สุดเมิ่งลู่เหยาก็ถอนหายใจออกมาแล้วเดินเข้าไปในจวนพร้อมกับเสี่ยวหลง แม้ว่าเสี่ยวหลงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเมิ่งอวิ๋นใจแทบขาด แต่เมื่อผู้เป็นนายปรารถนาจะอยู่เพียงลำพัง เสี่ยวหลงก็ได้แต่ต้องทำตามเท่านั้น

หลังจากที่ทั้งสองคนเดินกลับเข้าไปในจวนแล้ว เมิ่งอวิ๋นก็หุบยิ้มลงใบหน้ามีแต่เพียงความเย็นชาที่พาดผ่านเท่านั้น หลี่เจี้ยนเฉิงเดินออกมาจากมุมที่ตนยืนอยู่ ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน จนแทบจะแผดเผาร่างของคนถูกมองให้มอดไหม้ แต่เมิ่งอวิ๋นกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด

น้ำเสียงที่เอ่ยถามมันทั้งเย็นชาและไร้ความรู้สึก

“ท่านมาทำอะไรที่นี่?” ประโยคแรกที่เอ่ยต้อนรับก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่ต้อนรับอีกฝ่ายสักนิด แต่คนหน้าทนก็ยังคงมา ทั้ง ๆ ที่รู้เช่นนั้น!

“เจ้าไปที่หอฮุ่ยเหริน จริงหรือไม่?” ได้ยินคำถามเช่นนั้นคิ้วสวยก็อดเลิกขึ้นมาไม่ได้

ไม่ใช่สงสัย ทว่าแปลกใจ

เรื่องของเขาสำคัญเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?

“ข้าไม่คิดว่า นั่นจะใช่เรื่องที่ท่านแม่ทัพควรใส่ใจมิใช่หรือ?”

“ข้าถาม เจ้าก็แค่ตอบข้ามา!” เสียงดุดันตะคอกออกมาเมื่อเมิ่งอวิ๋นไม่ยอมตอบในสิ่งที่เขาถาม ท่าทางคุกคามที่หลี่เจี้ยนเฉิงแสดงออกมานั้น ยิ่งทำให้เมิ่งอวิ๋นเพิ่มความไม่เป็นมิตรทั้งแววตาและสีหน้า

“ถูกต้อง ข้าไปที่หอฮุ่ยเหรินมา”

คงไม่ใช่ว่ามาหาเรื่องเพราะเขากับหยุนมู่ไปนั่งฟังนางในดวงใจของอีกฝ่ายบรรเลงพิณหรอกนะ

“เจ้า!” เมิ่งอวิ๋นมองอีกฝ่ายที่หดนิ้วเรียวที่ชี้หน้าเขา เข้าไปกำเอาไว้ในฝ่ามือ หลับตาลงสูดลมหายใจราวกับกำลังระงับโทสะที่กำลังแล่นไปทั่วทั้งร่าง

“ในเมื่อท่านแม่ทัพหลี่ไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าก็ขอตัว” ทว่ายังไม่ทันได้หันหลังกลับ แขนข้างหนึ่งของเมิ่งอวิ๋นก็ถูกมือใหญ่กระชากเอาไว้ ไม่ยอมให้เดินหนีเขาไปได้ อารมณ์คุกรุ่นที่พยายามระงับเอาไว้มันยิ่งปะทุ เหตุใดคนคนนี้จึงไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด

ว่าเหตุใดเขาจะต้องมาดักรอถึงตรงนี้ เสียเวลายืนรออีกฝ่ายเพื่ออะไร

ทำไมไม่ยอมเข้าใจเสียที!

“ปล่อยข้าจะดีกว่านะขอรับท่านแม่ทัพ”

เมิ่งอวิ๋นปรายตามองมือใหญ่ที่จับยึดแขนของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สีหน้าเรียบตึงมีความไม่พอใจกระจายอยู่ชัดเจน ที่ต่อให้หลี่เจี้ยนเฉิงโง่งมเพียงใดก็จะต้องเข้าใจบ้าง ก่อนที่ริมฝีปากเมิ่งอวิ๋นจะกระตุกยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

“คงไม่ดีนักที่บุรุษสองคนจะถูกเนื้อต้องตัวกันเช่นนี้”

“...”

“ท่านแม่ทัพคงไม่ปรารถนาข่าวลือใช่หรือไม่ หากยังจับข้าเอาไว้เช่นนี้ คงไม่แคล้วถูกมองว่า เป็นบุรุษตัดขนเสื้อ เหมือนดังที่รังเกียจ” น้ำเสียงหวานทั้งเหยียดหยามและเย้ยหยัน ทว่าหลี่เจี้ยนเฉิงก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ กลับกัน เขายิ่งดึงร่างบางของเมิ่งอวิ๋นเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

“เจ้ากล่าวมากมายเพื่ออะไร จะเล่าลือกันเช่นไรข้าไม่เคยสนทั้งสิ้น! ข้าต้องการรู้แค่ว่าเหตุใดเจ้าจะต้องเข้าไปในที่เช่นนั้นด้วย!”

“จะที่เช่นไร เข้าไปที่ใดมันก็เรื่องของข้า! เกี่ยวอันใดกับท่านด้วยเล่า! หรือเพราะข้าเลือกนาง ท่านจึงได้เดือดร้อนเช่นนี้?”

“เกี่ยวอันใดกับนาง?” เมิ่งอวิ๋นได้แต่เหยียดยิ้ม ปกป้องกันดีเหลือเกิน แม้แต่กล่าวถึงยังทำไม่ได้ คงจะรักมากกระมัง

หากเป็นเช่นนั้นก็ดีนัก นับว่าเขาและคนผู้นี้คงไม่ต้องพบเจอกันอีก

“หากท่านไม่พอใจเพียงบอกกล่าวข้าดี ๆ ก็พอ ข้าจะไม่ไปรบกวนนางให้ท่านขุ่นเคืองใจท่านอีก”

เขายอมถอยให้ขนาดนี้แล้ว ก็รีบ ๆ กลับไปเสียที!

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า! หยุดกล่าวคำพูดเหลวไหลเสียที!” เมิ่งอวิ๋นก็สุดจะทนแล้วเช่นกัน จึงได้ดึงแขนตนออกจากมือใหญ่อย่างแรง

“เช่นนั้นก็กลับไปเสียที! ข้าเองก็ไม่อยากจะพูดสิ่งใดกับท่านอีกแล้ว!” หลี่เจี้ยนเฉิงตาวาว โทสะแล่นขึ้นมาจนจุกอก โมโหจนต้องกัดฟันเพื่อระงับอารมณ์เอาไว้ ยิ่งอีกฝ่ายหันหลังหวังเดินจาก ยิ่งหงุดหงิดเสียจนยากจะควบคุมตัวเอง

“ใจเจ้าเปลี่ยนง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือไร มิใช่เคยกล่าวว่าชอบข้าหรือ”

นั่นทำให้เมิ่งอวิ๋นชะงักฝีเท้าลงได้ ร่างบางนิ่งเงียบฟังสิ่งที่หลี่เจี้ยนเฉิงพูดโดยไม่กล่าวสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงได้ใจ กระตุ้นให้เมิ่งอวิ๋นนึกถึงความรู้สึกเช่นนั้นอีกครั้ง

เขาไม่เชื่อหรอกว่าเมิ่งอวิ๋นจะจำมันไม่ได้ ไม่เชื่อหรอกว่าจะตัดใจจากเขา

หากมันคือแผนการก็ควรหยุดเสียที เพราะตอนนี้เขาก็สนใจอีกฝ่ายแล้วอย่างไรล่ะ

“เจ้ารักข้า ติดตามข้า หวังให้ข้ามองเห็นในความรักของเจ้า มิใช่ว่าเจ้ารักข้าหรอกหรือ!”

“หึ! ท่านเคยเห็นหัวใจของเมิ่งอวิ๋นด้วยหรือ?”

คำถามที่ออกมาจากปากของเมิ่งอวิ๋นนั้นราวกับใบมีดที่กรีดลงในหัวใจของหลี่เจี้ยนเฉิง เพราะนั่นคือความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าก่อนนี้เขาไม่เคยมองเห็นหัวใจของอีกฝ่ายจริง ๆ

“แม้แต่ตัวท่านเองยังมองไม่เคยเห็นมัน จะต่างอะไรเล่าหากวันนี้จะไม่มีมันอีกแล้ว ท่านกลับไปเสียเถอะ หัวใจของข้าในวันนี้ ไม่มีความรักให้ท่านอีกต่อไป”

ไม่! เป็นไปไม่ได้ จะเป็นได้อย่างไร

หลี่เจี้ยนเฉิงในเวลาไม่อาจยอมรับสิ่งที่เมิ่งอวิ๋นกล่าวออกมาได้ จะเป็นความจริงหรือคำลวง หลี่เจี้ยนเฉิงไม่อาจคิดคำนวณได้อีกแล้ว เมิ่งอวิ๋นกำลังจะเดินจากไป และนั่นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีความหมายที่จะเหนี่ยวรั้งอารมณ์ของเขาอีกต่อไป!

“อ๊ะ ท่าน อื้อ!”

ริมฝีปากถูกครอบครองปิดผนึกแน่นจนต้องเบิกตากว้าง ความตกใจยังไม่เท่าความรู้สึกเปียกแฉะที่กลีบปากของตน มันพยายามจะชอนไชเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของเขา ยิ่งทำให้ร่างกายของเมิ่งอวิ๋นต่อต้านอย่างหนัก

สองมือทุบไปตามไหล่กว้าง ทั้งเตะทั้งต่อย ทำทุกทางให้คนที่ตะบี้ตะบันจูบเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ถอนริมฝีปากออกไปเสียที! เมิ่งอวิ๋นแต่เดิมเคยแต่จับมือผู้หญิงเท่านั้น อย่าว่าแต่จูบเลย แต่หอมแก้มเมิ่งอวิ๋นคนนี้น่ะ ก็ยังไม่เคยทำมันด้วยซ้ำ

แล้วผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงมาฉวยโอกาสแบบนี้!

เมิ่งอวิ๋นรวบรวมแรงทั้งหมดผลักหลี่เจี้ยนเฉิงออกห่างตัวเอง หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะจุมพิตร้อนแรงที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาหายใจ สายตาสีเกาลัดวาววับด้วยความโกรธ

“หลี่เจี้ยนเฉิง! เจ้าทำบ้าอะไรกับข้า!” ทั้งหมดมันไม่ควรเกิดขึ้น คนคนนี้ไม่ควรทำแบบนี้กับเขาสิ!

มันไม่ถูกต้อง!

“พิสูจน์กับเจ้าอย่างไรเล่า ว่าหัวใจของเจ้าจะไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปแน่หรือ? เท่าที่ข้าเห็น อย่างไรเสียมันก็เป็นของข้า” ฝ่ามือหนาวางทาบลงที่แผ่นอกเล็ก จับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวในอกด้วยสีหน้าพอใจยิ่งนัก แต่เมิ่งอวิ๋นไม่ชอบใจ! เขาปัดมือหนาทิ้งอย่างไม่ไยดี จับจ้องใบหน้าหล่อด้วยความเกลียดชัง

“หากจะนับว่าข้าใจเต้นแรงกับบุรุษที่ข้าจุมพิตด้วยเป็นการพิสูจน์” เมิ่งอวิ๋นที่ถูกยั่วให้โกรธจัดไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้วนอกจากหักหน้าผู้ชายที่มั่นอกมั่นใจนี่ให้ย่อยยับลง

“เจ้าคงต้องไปหาบุรุษอีกหลายคนมาทดลองจุมพิตกับข้าเสียเล่าล่ะ ว่าจะใจเต้นดังที่เป็นกับเจ้าหรือไม่!”

“เมิ่งอวิ๋น! อย่าได้กล้าเชียว!” ถูกข่มขู่ด้วยแววตาดุดัน สองแขนจับรั้งให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ แต่เมิ่งอวิ๋นรู้ทัน จึงหลบเลี่ยงไปไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาถึงตัว

“ข้ากล้าได้มากกว่านี้”

ทั้งสองมองตากันด้วยความไม่ยินยอม คนหนึ่งโทสะคุกรุ่นจนยากจะดับ อีกคนกลับโกรธเกรี้ยวจนอยากจะจับคนตรงหน้ามาลงโทษเสียให้รู้สำนึก ว่าแท้จริงแล้วควรฟังคำพูดของใคร

“ท่านแม่ทัพหลี่ อย่าหาว่าข้ากล่าวรุนแรงเลยนะ”

“...”

“แต่ท่านกำลังไล่หาในสิ่งที่ท่านไม่เคยสนใจและไม่คิดจะสนใจ”

“...” รอยยิ้มมุมปากของเมิ่งอวิ๋นนั้นงดงามนัก ทว่าคำพูดกลับค่อย ๆ เชือดเฉือนหัวใจของคนฟังไปทีละน้อย

“ท่านแม่ทัพ ท่านไม่คิดว่ามันออกจะ...ตลกไปหน่อยหรือ?”

ในเมื่อไม่เคยเห็นความรักที่เมิ่งอวิ๋นเคยทุ่มเทให้ แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้องหามันในวันที่สายไปแล้ว? คนที่วิ่งไล่คว้าสายลมทั้งที่ปล่อยให้มันพัดผ่านไปโดยไม่สนใจไยดี

หึ! คนโง่ที่มองข้ามเมิ่งอวิ๋น ก็คือคนโง่อยู่ดี

“...ข้าอาจทำผิด แต่เรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น”

“เรื่องนั้นข้าต้องขอบคุณท่านต่างหาก...”

“...”

“เพราะมันทำให้ข้าลบท่านได้จนหมดใจ

ใช่แล้วหลี่เจี้ยนเฉิง เพราะการกระทำของเจ้าที่ทำให้ข้าและเมิ่งอวิ๋นได้แลกเปลี่ยนกัน เพราะความไร้หัวใจของเจ้าเองนั่นล่ะ ที่ทำให้เจ้า...เสียคนที่รักเจ้าหมดหัวใจไป





TBC





“ใจเจ้าเปลี่ยนง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือไร มิใช่เคยกล่าวว่าชอบข้าหรือ” งุ้ย ทำไมใจเราสั่นเมื่อท่านแม่ทัพพูดคำนี้คะ โอ้ย แพ้ค่ะแพ้ แต่ยังไม่ยกน้องให้หรอกนะ ฮึ! ไม่ให้หรอก น้องเป็นของเรา ของแมวคนเดียว // ปักป้ายห้ามหลี่เจี้ยนเฉิงเข้ามา

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10) 100% (Up.24/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-09-2020 22:00:01
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10) 100% (Up.24/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-09-2020 22:38:23
จุกๆไปเลยยย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10) 100% (Up.24/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 25-09-2020 10:30:50
ในวันที่เขาไล่ตาม ตัวก็ทำกับเขาจนไม่เป้นผู้เป็นคน
มาตอนนี้เรียกร้องอะไรกัน ลงเรือโสดแบบเริ่ดๆ ดีมั้ยเนี่ย LOL
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (10) 100% (Up.24/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-09-2020 11:51:16
เป็นไงล่ะจุกเลยซิท่านแม่ทัพ
หัวข้อ: Re:แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 50% (Up.29/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 29-09-2020 21:22:41
[11] 50%

หม้อแตกย่อมคู่กับฝาหม้อแตก

หลังจากประโยคนั้นที่เขาได้พูดกับหลี่เจี้ยนเฉิง เขาก็ได้รู้แล้วว่าคำพูดหากอีกคนไม่ใส่ใจ มันก็เป็นเพียงลมปากที่ลอยไปได้ไกลลับตา เมิ่งอวิ๋นเบื่อหน่ายกับการกระทำของหลี่เจี้ยนเฉิงที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมหยุดเสียที

เช่นเดียวกับในตอนนี้ที่เขาและเสี่ยวหลงเดินออกมานอกจวน

เมิ่งอวิ๋นเดินด้วยท่วงท่าที่ราวกับไม่ได้สนใจสิ่งใด แต่เสี่ยวหลงนั้นไม่ใช่เลย ร่างกายของเสี่ยวหลงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ สายตาคู่หนึ่งจากทางด้านหลังทิ่มแทงจนแผ่นหลังของเขาแทบจะเป็นรู เสี่ยวหลงไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หรือนายน้อยของเขาไปทำอะไรให้คนผู้นั้นโกรธอีก?

“ยังตามอยู่อีกหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเอ่ยถามเสียเบา ไร้อารมณ์ที่ควรจะมีคล้ายกำลังถามในเรื่องที่ไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อย เสี่ยวหลงเหลือบมองไปทางด้านหลัง เมื่อสายตาประสานเข้ากับดวงตาคมกล้าที่ดุดันก็สะดุ้งเฮือก ตัวสั่นระริกด้วยความกลัวจนต้องรีบหันกลับมา

“ยะ ยัง ยังติดตามมาเช่นเดิมขอรับ” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็ยิ่งโมโหจนต้องกางพัดในมือออกมา โบกสะบัดมันอย่างแรง

“ไม่รู้จะตามมาทำไมนัก”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ครั้งแรกอาจเป็นความบังเอิญที่จะพบเจอกันได้ เพราะอย่างไรเขาและอีกฝ่ายก็อยู่เมืองเดียวกัน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน จะคิดเช่นไรได้หากไม่ใช่ว่าหลี่เจี้ยนเฉิงผู้นี้ ‘จงใจ’

เสี่ยวหลงแม้จะหวาดกลัวสายตาที่กดดันมาทางเขามากมายเพียงใด แต่ก็ยังห่วงใยนายน้อยของเขามากกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าแม่ทัพหลี่ผู้นั้นคิดจะทำเช่นไรกับนายน้อย หากคิดจะสังหารเล่า? เช่นนี้แล้วนายน้อยของเขาจะเอาสิ่งใดไปสู้ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยพ่ายศึกใด แต่นายน้อยของเขาเป็นเพียงคุณชายธรรมดา แม้จะมีนิสัยร้ายกาจอยู่บ้าง แต่ตั้งแต่เสียความทรงจำไป คุณชายของเขาก็กลายเป็นคนที่ยิ้มแย้ม เป็นคนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาถึงเขาเสมอ

เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะไม่กังวลได้อย่างไร

ใบหน้าของเสี่ยวหลงพลันเครียดขึง สองตาเริ่มแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่

“นายน้อย...ให้บ่าวไปแจ้งแก่นายท่านดีหรือไม่ขอรับ หากเกิดอันตรายใด ๆ ขึ้น จักได้...” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะออกมาน้อย ๆ ริมฝีปากเพียงกระตุกขึ้นมาคล้ายจะไม่เต็มใจ แต่สายตาที่ใช้มองเสี่ยวหลงนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“อย่าได้กังวลไป ข้ามีวิธีให้เขาเลิกติดตามแล้ว” เสี่ยวหลงขมวดคิ้ว เอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างไม่เข้าใจ

“วิธีใดหรือขอรับ?”

เมิ่งอวิ๋นมิได้เอ่ยตอบเพียงใช้พัดในมือปิดปากของตนเองเอาไว้ ซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น ความคิดที่สว่างวาบเข้ามาในหัวนั้นนับว่าดีนัก การจะทำให้คนหน้าทนด้านหลังที่เดินตามเขามาหลายวัน หยุดติดตามเสียทีไม่ได้ยากเย็นเลย

เมิ่งอวิ๋นหยุดเดิน หันหลังกลับมามองสบสายตากับหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างไม่เกรงกลัว อีกคนก็ไม่มีความรู้สึกอยากจะหลบสายตาเช่นกัน เสี่ยวหลงที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความวุ่นวายนี้นั้น ขาแทบจะอ่อนจนล้มไปกองกันพื้น ทั้งที่ทั้งสองคนอยู่ห่างกันไกลพอสมควร แต่สายตาที่ฟาดฟันกันกลับไม่ได้ลดทอนความรุนแรงลงไปเลย

“เสี่ยวหลง...”

“ขอรับนายน้อย” เมิ่งอวิ๋นละสายตาจากหลี่เจี้ยนเฉิงมามองบ่าวรับใช้ข้างกายแทน เขาวางฝ่ามือนุ่มลงบนศีรษะของเสี่ยวหลง ก้มใบหน้าลงมาเล็กน้อยแล้วพูดกับเด็กหนุ่มข้างกายด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเบาหวิว

“เจ้าไปรอข้าที่ประตูทางออกของ...”

“นายน้อย! ท่านจะไปที่...” เสี่ยวหลงนั้นเบิกตากว้าง รีบถามออกมาอย่างตกใจในสิ่งที่ผู้เป็นนายต้องการ แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค เมิ่งอวิ๋นก็เอื้อมมือมาปิดปากของเด็กหนุ่มเอาไว้

“ชู่! เจ้าอย่าเสียงดังไป ฟังข้าให้ดี ไม่เกินสองเค่อข้าจะไปเจอเจ้าที่นั่น เข้าใจหรือไม่” เมื่อไม่อาจพูดได้ เสี่ยวหลงจึงเลือกที่จะพยักหน้าแทน สายตาของเสี่ยวหลงเหลือบไปมองบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มอย่างหวาดกลัว เพราะดวงตาที่จับจ้องมาที่ตนนั้น มันทั้งน่าหวั่นเกรงและน่าหวาดกลัวจนร่างกายของเสี่ยวหลงสั่นไปหมด

นั่นทำให้เสี่ยวหลงวิ่งไปอย่างไม่คิดจะเหลียวหลัง ในเมื่อนายน้อยวางแผนจะที่นั่นย่อมคิดดีแล้วเป็นแน่ อีกทั้งคนในหอฮุ่ยเหรินเองก็มีไม่น้อย แม่ทัพหลี่คงไม่ลงมือทำอะไรนายน้อยของเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้นหรอก คำครหามากมายจะตามมาจนเกิดปัญหาหากท่านแม่ทัพทำอันใดนายน้อยของเขาจริง ๆ

เมื่อเสี่ยวหลงวิ่งหายไปจากสายตา เมิ่งอวิ๋นก็ไม่คิดจะสนใจหลี่เจี้ยนเฉิงอีก เขาเพียงเดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนใดๆ สายตากวาดมองสิ่งรอบกายคล้ายว่าสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่

หลี่เจี้ยนเฉิงที่ติดตามมาตั้งแต่ร่างเล็กออกนอกจวนนั้นหงุดหงิดเสียจนต้องกำมือทั้งสองเอาไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความไม่พอใจอยู่หลายส่วนทั้งที่โดยปกติแล้ว เขาจะเป็นคนที่เก็บสีหน้าและอารมณ์ได้ดีมาก เดิมทีหลี่เจี้ยนเฉิงคิดจะมาคุยกับอีกฝ่ายให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง ทว่าเมิ่งอวิ๋นไม่เปิดโอกาสให้เขาเลย หากข้างกายไม่มีเจ้าเด็กรับใช้คนนั้น ก็จะต้องมีเมิ่งลู่เหยารึไม่ก็ติงหยุนมู่

หากจะหาช่วงเวลาที่อีกฝ่ายอยู่ลำพังก็แสนยากเย็น ในคราวนี้เมิ่งอวิ๋นยังจงใจเมินเขาราวกับเขาไร้ตัวตนในสายตา หลี่เจี้ยนเฉิงยอมไม่สวมชุดอย่างเป็นทางการ แต่งกายเป็นเพียงคุณชายธรรมดาแต่ก็ไม่อาจปกปิดรัศมีความหล่อเหลาของอีกฝ่ายไว้ได้ สายตาของคนทั่วไปจงได้จับจ้องมองเขาราวกับจะทอดสะพานให้ แต่บุรุษตรงหน้ากับไร้เยื่อใย ไม่สนใจไมตรีจากผู้ใดเลย

“เดินตามเขาเช่นนี้จะมีสิ่งใดเปลี่ยนไปได้หรือ?” ฉูจุนเหลียงโปรยรอยยิ้มให้เหล่าหญิงงามอย่างไม่คิดหวงแหน โบกมือให้พวกนางจนพวกนางม้วนอายไปหลายตลบ

“เจ้าเห็นสายตาของเขาหรือไม่? เขามิได้สนใจเจ้าอีกต่อไปแล้ว นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาหรอกหรืออาเฉิง”

หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ตอบคำถาม ในใจเขาแย้งกับไปมาอยู่สองฝั่ง ใช่...แม้แต่เดิมเขานั้นปรารถนาให้เมิ่งอวิ๋นหยุดติดตาม หยุดความรู้สึกอันน่ารังเกียจนั้นลงเสีย แต่ในเวลานี้กลับเป็นเขาเสียเองที่เรียกร้องหามันอย่างคนที่บ้าคลั่ง รสหวานจากริมฝีปากของเมิ่งอวิ๋นยังติดตรึงอยู่ในใจเขาตลอดเวลา

เมื่อครั้งหนึ่งเคยได้ลิ้มรส ย่อมปรารถนาจะมีครั้งที่สองและต่อ ๆ ไป

แต่จะทำเช่นไรเล่า ในเมื่อเจ้าของรสหวานกลับปั้นปึ่งไม่ยินยอมให้เขาเข้าไปใกล้ แม้แต่สายตายังไม่ปรารถนาจะมองเขาเสียด้วยซ้ำ เป็นดังที่ฉูจุนเหลียงกล่าวมาทั้งหมด เมิ่งอวิ๋นในยามนี้ มิได้สนใจอะไรเขาอีก และนั่นทำให้เขายิ่งไม่พอใจนัก!

“เมิ่งอวิ๋นผู้นี้นับว่าแปลกนัก ข้าเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับตัวเขามา ทว่าเขากลับมิได้เป็นดังที่ข้าเคยได้ยินมา”

“เจ้าได้ยินมาเช่นไร” ฉูจุนเหลียงมองแผ่นหลังบอบบางที่อยู่ห่างไกลอย่างครุ่นคิด

“เจ้าอารมณ์ ร้ายกาจและหยิ่งผยอง” หลี่เจี้ยนเฉิงกระตุกยิ้ม หากจะกล่าวกันตามตรงก็ใช่ เมิ่งอวิ๋นที่คอยแต่ตามเขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมิ่งอวิ๋นที่หยิ่งผยอง ร้ายกาจและเอาแต่ใจ เขาไม่เคยนึกชอบอีกฝ่าย มีแต่ความรำคาญให้เสียด้วยซ้ำไป

แต่ไม่ใช่กับเมิ่งอวิ๋นในตอนนี้

ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน ทว่ากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“แล้วตอนนี้เล่า เขาเป็นเช่นไร” เสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอของฉูจุนเหลียง สายตาของเขาพราวระยับและแฝงไปด้วยความชื่นชม

“หยิ่งผยอง ทว่ากลับชวนให้มอง เด็ดเดี่ยวและน่าเอ็นดู อีกทั้งยังยิ้มแย้มจนสั่นคลอนใจคนมองได้เชียวล่ะ” ใบหน้านั้นที่ยิ้มกว้างให้กับภาพเด็กเล็กวิ่งเล่นกันมันสะกดสายตาของเขาได้จริง ๆ หลี่เจี้ยนเฉิงไม่อาจปฏิเสธคำพูดของสหายของตนได้เลย ทว่าความไม่พอใจกลับปะทุขึ้นมาเมื่อคิดถึงความหมายในถ้อยคำที่ฉูจุนเหลียงเอ่ยชม

“เจ้าคงไม่คิดจะไล่ตามเขาหรอกนะ?” ฉูจุนเหลียงผู้เลื่องชื่อด้านความเจ้าชู้ ยามเจอของชิ้นงามที่ไม่ถูกจับจอง มีหรือจะปล่อยให้หลุดมือไป

“เจ้าคิดว่าเช่นไรเล่า? ตัวของเขามิดีพอให้ข้าลงสนามแข่งกับเจ้าหรอกหรืออาเฉิง?” คำยั่วยุของฉูจุนเหลียงนั้นได้ผลดีนัก หลี่เจี้ยนเฉิงโกรธเสียจนปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาเสียจนฉูจุนเหลียงยังหนาวไปทั้งกระดูก ลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก

สงสัยจะแกล้งมากเกินไปเสียแล้ว

“เจ้าคงหายใจมานานเกินไปแล้วกระมัง”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ข้ายังไม่มีลูกไม่มีเมีย จะให้รีบตายก็ออกจะเกินไปนะอาเฉิง” ฉูจุนเหลียงหน้าซีด รีบเสมองไปอีกด้านอย่างช่วยไม่ได้

เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะต้องจริงจังเช่นนี้เลย

“เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวสิ่งใดออกมาพล่อย ๆ อีก!”

“ได้ ๆ ข้าผิดเอง” เพื่อรักษาชีวิตอันดีงามของตนเอาไว้ ฉูจุนเหลียงจึงได้ยอมแพ้ลงแต่โดยดี นั่นทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงยอมเก็บความกดดันที่แผ่ขยายออกมาเข้าไปในตัวเช่นเดิม

พวกเขายังคงเดินตามร่างของเมิ่งอวิ๋นไปไม่ห่างนัก แม้หลี่เจี้ยนเฉิงไม่คิดจะเข้าไปทักทายหรือพูดคุย แต่ฉูจุนเหลียงกลับรู้สึกขัดใจ ไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าการที่หลี่เจี้ยนเฉิงมาติดตามใครสักคนมันคงจะสนุกนัก ทว่าแท้จริงแล้วมันกลับทั้งน่าเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา จนเขาอยากจะแยกตัวออกไปด้วยซ้ำ

“โอ้! นั่นมัน...ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นั่นเขาเดินเข้าไปที่นั่นจริง ๆ หรือ?” เรื่องน่าสนุกเกิดขึ้นแล้ว ดวงตาของฉูจุนเหลียงเบิกกว้างและพราวระยับอย่างตื่นเต้น เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสหายข้างกายที่บัดนี้สีหน้าดำทะมึนเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ตัว

หลี่เจี้ยนเฉิงขบกรามแน่นด้วยความโกรธ นี่อีกฝ่ายไม่เข้าใจจริง ๆ ใช่หรือไม่ ทั้งหมดที่เขาทำ ล้วนแต่ไม่อาจเข้าไปอยู่ในใจของเมิ่งอวิ๋นได้เลยหรือ!

“อะ อ้าว อาเฉิง! รอข้าด้วยสิ อาเฉิง!”

หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ได้หันกลับมามองหรือสนใจฉูจุนเหลียงแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาถูกโทสะบดบังเหตุผลใดๆ ทั้งหมดไปแล้ว เขาเพียงต้องการเข้าไปหยุดเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น

ไม่ได้...เมิ่งอวิ๋นจะมีสัมพันธ์กับใครไม่ได้ทั้งนั้น!

ทันทีที่ก้าวเข้าไปทางด้านในหอฮุ่ยเหริน หญิงงามมากมายที่เห็นบุรุษรูปงามใบหน้าคมสัน ก็ต่างแย่งกันมาหวังจะได้หลี่เจี้ยนเฉิงเป็นแขก แต่สายตาของหลี่เจี้ยนเฉิงกลับมองหาเพียงคนที่เขาต้องการพบเท่านั้น เมื่อไม่พบใครในใจยิ่งร้อนรนและเดือดดาล บรรยากาศรอบกายกลายเป็นความกดดันที่ดูอันตราย ทว่าเหล่าหญิงคณิกาพวกนี้กลับไม่ได้หวาดกลัว กลับกันพวกนางยิ่งปรารถนาในบุรุษผู้นี้ยิ่งขึ้นไปอีก

“นายท่านเจ้าขา ให้ข้า...ไป๋หลิงดูแลนายท่านเถอะเจ้าค่ะ ข้านั้นทั้งอ่อนนุ่ม ทั้งหอมหวาน หากนายท่านได้ลิ้มลองสักครั้งจักต้องติดใจเป็นแน่” คำพูดที่ออกมาไม่มีสิ่งใดไม่น่าฟัง แต่มันไม่ได้เข้าหูหลี่เจี้ยนเฉิงเลยแม้แต่คำเดียว

“นายท่านเจ้าขา ไป๋เหลียนยินยอมพร้อมใจจะเป็นของนายท่านนะเจ้าคะ”

“นายท่าน...”

“นายท่าน...” และอีกมากมายต่างรุมล้อมเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสได้ผละออกไปสักนิด หลี่เจี้ยนเฉิงที่เดือดดาลอยู่ก่อนแล้วในยามนี้แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา มือหนาคว้าแขนของนางผู้หนึ่งเอาไว้ ดวงตาดุดันพร้อมจะฉีกร้างนางเสียตรงนั้น จนนางถึงกับเข่าอ่อนแทบจะกองลงไปกับพื้น

“เจ้า...บอกมา เมิ่งอวิ๋นไปที่ใด บุรุษชุดสีขาวที่ก้าวเข้ามาเมื่อครู่อยู่ที่ใด!” น้ำเสียงคุกรุ่นไปด้วยโทสะ นางคณิกาที่ได้ยินเข้าก็พลันนึกกลัวจนหัวหด ได้แต่หลบฉากถอยไปยืนอยู่ไกลพอควร

“ชะ ชั้นสองเจ้าค่ะ ห้อง ห้องที่สามทางขวามือ” ดวงหน้างามซีดเผือด ทว่าก็พยายามอย่างยิ่งที่จะตอบคำถามของบุรุษผู้นี้ นางกลัวเหลือเกินว่าหากนางไม่ตอบ ลมหายใจของนางจะถูกปลิดทิ้งไป

“กับผู้ใด!”

“กะ กับไป๋จูเจ้าค่ะ ฮึก นะ นายท่าน โปรดไว้ชีวิตของไป๋เหลียนด้วย” นางน้ำตาไหลพราก หวาดกลัวต่อบุรุษตรงหน้าเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แม้จะหล่อเหลาทว่าแฝงไปด้วยอันตรายนั้นนางมิได้กลัวสักนิด แต่คนที่มีแววตาพร้อมจะสังหารตนให้ตายเสียตรงนี้ต่างหากที่นางไม่ปรารถนาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

หลี่เจี้ยนเฉิงปล่อยนางอย่างแรง ไม่นึกถนอมเนื้อตัวของนางแม้แต่น้อยจนนางล้มลงกับพื้น เขาก็ยังไม่ได้สนใจ สายตาจับจ้องไปที่ห้องชั้นสอง ห้องที่สามทางขวามือตามที่อีกฝ่ายบอก เพียงแค่มีความคิดว่าเมิ่งอวิ๋นกำลังทำสิ่งใดอยู่ภายในห้องนั้นหลี่เจี้ยนเฉิงก็แทบบ้า

ฝีเท้าของเขาถูกสั่งให้ไวขึ้น เมื่อก้าวขึ้นไปถึงชั้นสองก็พลันได้ยินเสียงไพเราะของดนตรีดังลอยมาแต่ไกล สองมือยิ่งกำแน่น ดวงตามืดมนลงอย่างไม่รู้ตัว เขากำลังจะขาดสติ แต่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้รับรู้ด้วยถึงอันตรายที่ย่างกรายเข้าใกล้ตนเอง หลี่เจี้ยนเฉิงเอื้อมมือออกไปผลักประตูออก ภาพที่เห็นคือเมิ่งอวิ๋นนั่งดื่มชาหลับตาพริ้มฟังการบรรเลงอย่างพึงพอใจ

เมื่อถูกรบกวนเช่นนี้เมิ่งอวิ๋นก็หันมาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยกยิ้มให้อีกฝ่าย

“ท่านแม่ทัพหลี่นี่เอง เชิญเลย ๆ” เมิ่งอวิ๋นลุกขึ้นยืน ผายมือออกกว้างให้อีกฝ่ายได้ก้าวเข้ามา และหลี่เจี้ยนเฉิงก็ไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย ทว่าเขาไม่ได้นั่งลง เพียงยืนจ้องมองใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นเท่านั้น

“แม่นางไป๋จู สะดวกหรือไม่หากจะออกมาสักครู่”

“เจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นจากหลังฉาก เดินก้าวออกมาอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางที่แสนอ่อนช้อย ดึงดูดสายตาของคนมองได้อย่างดี หลี่เจี้ยนเฉิงมองใบหน้าของนางไม่วางตา ถังเป้ยอี้นางเองก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่นั้น นางจึงชำเลืองมองผู้มาใหม่อย่างไว้ที

เพียงได้สบสายตาคู่คมนั้นหัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ความเขินอายตีตื้นขึ้นมาบนใบหน้าจนสองแก้มแดงก่ำไปด้วยสีเลือด ความหล่อเหลาของคนผู้นี้นับว่าไม่เป็นสองรองใครจริง ๆ แม้นางจะพบคนมามากมาย แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่จะมีใบหน้าเช่นกับคนตรงหน้าของนาง อีกทั้งกลิ่นอายของบุรุษผู้นี้ยังทำให้นางปรารถนาไม่สิ้นสุด นางจึงหลงลืมไปว่าไม่ควรมองผู้ใดนานเกินไปนัก

“อะแฮ่ม แม่นางไป๋จู นี่คือแม่ทัพหลี่ นามเจี้ยนเฉิง ท่านแม่ทัพ นี่ไป๋จูขอรับ” เมิ่งอวิ๋นทำหน้าที่อย่างดี แนะนำให้คู่รักที่ครองรักกันมาหนึ่งภพชาติได้ทำความรู้จักกันเสีย

ทางด้านถังเป้ยอี้นึกพึงพอใจในรูปโฉมของอีกฝ่ายอยู่แล้วจึงมีทีท่าเย้ายวน คล้ายบุปผาที่ส่งกลิ่นหอมชวนให้หมู่ภมรได้ดอมดม ย่อตัวลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพแก่หลี่เจี้ยนเฉิง

“ข้าน้อยไป๋จู คารวะท่านแม่ทัพหลี่เจ้าค่ะ” สุ้มเสียงหวานเอ่ยออกมาดังกังวานในหู หากเป็นผู้อื่นคงหวั่นไหวกับนางไปแล้ว แต่เมิ่งอวิ๋นไม่ใช่ เขาจดจำได้ดีว่าเพราะอะไรเมิ่งอวิ๋นจึงได้ตายไป และเพราะใครที่ทำร้ายหัวใจของเมิ่งอวิ๋นให้แหลกลาญ

“เจ้า...” เขากระตุกยิ้มเมื่อได้ยินหลี่เจี้ยนเฉิงเรียกอีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่ละสายตา

นี่คงจะหลงรักไปแล้วสินะ

ดี! อย่างไรเสีย...หม้อแตกก็ย่อมคู่กับฝาหม้อแตกอยู่แล้ว

“เจ้ามาอยู่กับนางหรือ?” คำถามนี้เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ตอบแก่หลี่เจี้ยนเฉิง เขาเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับถังเป้ยอี้แทนด้วยท่าทางของสุภาพชน ทั้งที่ความจริงแล้วในใจนั้นชิงชังทั้งสองเสียเหลือเกิน

“แม่นางไป๋จู เดิมข้ามาพบท่านวันนี้มีเรื่องสองเรื่องจะบอกแก่เจ้า” ถังเป้ยอี้ส่งยิ้มอ่อนหวานให้เมิ่งอวิ๋น ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหวานหู

“เชิญคุณชายกล่าวได้เลยเจ้าค่ะ”

“เรื่องแรกคือข้ามาเป็นพ่อสื่อให้ท่านกับแม่ทัพหลี่ เจ้าคงอาจจะไม่รู้ แต่เขาชมชอบเจ้านัก”

“เมิ่งอวิ๋น!” แม้จะถูกเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน แต่เมิ่งอวิ๋นไม่เพียงไม่หวาดกลัว เขายังคงยิ้มและกล่าวต่อ

“ส่วนอีกเรื่องคือข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นอี้จี ไม่ขายร่างกาย ทว่าหากท่านพึงใจในตัวแม่ทัพหลี่เช่นกัน ก็โปรดยินยอมให้เขาซื้อตัวเจ้าออกไปจากที่นี่เถิด”

“เจ้ากล่าวอันใด!!” หลี่เจี้ยนเฉิงเดือดดาลจนตัวแทบจะระเบิด ทั้งอึ้งและไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเมิ่งอวิ๋นกำลังเล่นอะไรอยู่ แต่ถังเป้ยอี้ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อ นางก้มหน้าลงอย่างเอียงอายแล้วตอบกลับไปด้วยความเต็มไป

“ข้าน้อย...ยินดีเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพจะซื้อตัวข้าออกไป”

“ดี! เช่นนั้นเจ้าก็ตกลงกันเองก็แล้วกัน ถือเสียว่าข้าทำทุกอย่างไปหมดแล้ว เช่นนั้นขอตัวลา!”

เมิ่งอวิ๋นก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจว่าสิ่งใดต่อไปที่จะเกิดขึ้นภายในห้องนั้นต่อ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอีกต่อไปแล้ว เมิ่งอวิ๋นก้าวลงมาชั้นล่างด้วยสีหน้าที่ติดรอยยิ้มเอาไว้ ภายในหอฮุ่ยเหรินนั้นมากมายไปด้วยนางคณิกา พวกนางล้วนแต่งดงามใบหน้าหวานและท่าทางอ่อนช้อยอย่างที่สุด

หากไม่ใช่เพราะเขาเคยถูกคนที่รักสุดหัวใจฆ่าให้ตาย เขาคงไม่ปฏิเสธพวกนางอย่างแน่นอน

ยิ่งก้าวเดินหัวใจของเมิ่งอวิ๋นยิ่งร้าวราน มันบีบรัดจนเมิ่งอวิ๋นยังต้องนิ่วหน้าลง สองตาคล้ายจะมีหยดน้ำคลออยู่ นี่ยังรู้สึกกับเขาอยู่อีกหรือ...เมิ่งอวิ๋นยังคงปักใจรักบุรุษผู้นั้นอยู่อีกหรือ

ทั้งที่เขาทำชั่วช้าเลวทรามกับตนเองขนาดนั้นแท้ๆ แต่หัวใจดวงนี้ที่เคยเป็นของเมิ่งอวิ๋นกลับยังไม่อาจหยุดความรักที่มีต่อเขาได้ การที่เขาทำแบบนั้นจึงสร้างความเจ็บปวดให้กับเมิ่งอวิ๋นใช่หรือไม่?

อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ คุณร้องไห้เพราะเขามามากพอแล้ว ปล่อยวางเถอะครับ ผมจะดูแลร่างกายนี้ให้คุณเอง





50%





เชิญไปได้กันต่อในนรกเลยค่ะ รักกันให้ตายกันไปเลยนะคะ ลูกฉันไม่สนใจแกแล้วววว เปิดรับสมัครพระเอกคนหมะ- แอ่ก! ใครปาอะไรมาใส่หัวแมวเนี่ยยย มาอัพแล้วจ้าา มาดึกหน่อยแต่ก็มาน้าทุกคน แล้วพบกันวันพฤหัสนะจ๊ะ

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 500% (Up.29/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-09-2020 00:40:02
 :katai5:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 500% (Up.29/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 30-09-2020 00:43:46
เปิดรับพระเอกใหม่เป็นความคิดที่ดีค่ะ LOLLLLL
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 500% (Up.29/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-09-2020 10:53:06
สนับสนุนให้รับพระเอกใหม่ค่ะ อยากรู้ตอนต่อไปแล้วว่าพระเอกเราจะทำยังไงต่อไป จะไถ่ตัวนางออกมาหรือไม่ไถ่ออกมาน้าาาาา
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 500% (Up.29/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-09-2020 23:21:05
รีบมาน้าาาา
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 100% (Up.01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 01-10-2020 12:19:54
[11] 100%

อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ คุณร้องไห้เพราะเขามามากพอแล้ว ปล่อยวางเถอะครับ ผมจะดูแลร่างกายนี้ให้คุณเอง

เมิ่งอวิ๋นทำได้เพียงลูบแผ่นอกข้างซ้ายเบาๆ เอ่ยปลอบประโลมในใจด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นจนความปวดร้าวในหัวใจค่อยๆ คลายตัวลง และกลับมาเป็นปกติในที่สุด เศษเสี้ยวหนึ่งของเมิ่งอวิ๋นคงปวดร้าวไม่น้อย และคงคาดหวังมากจนไม่อาจรับความผิดหวังได้ ความรักที่เมิ่งอวิ๋นมีให้กับหลี่เจี้ยนเฉิงนั้นมาล้นจนเขาไม่คิดว่าในชีวิตนี้ หลี่เจี้ยนเฉิงจะพบใครที่รักตัวของเขาได้เท่าเมิ่งอวิ๋นอีกแล้ว

“อุ๊ย คุณชายเมิ่งนี่เอง” เหม่ยจีหรือเถ้าแก่เนี้ยแห่งหอฮุ่ยเหรินเอ่ยทักทายเมิ่งอวิ๋นด้วยแววตาที่ทอประกาย ใครบ้างไม่รู้ว่าคุณชายเมิ่งผู้นี้นั้นร่ำรวยมากขนาดไหน แม้กิจการหลักจะเป็นเหลาจื่อเค่อ แต่ในในเมืองอื่นอีกเล่า กิจการที่เกือบจะครอบคลุมทุกสิ่งของสกุลเมิ่งนับว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดก็ว่าได้

“เถ้าแก่เนี้ย...”

“ทำไมกลับเร็วนักเล่าเจ้าคะ? หรือไป๋จูดูแลท่านไม่ดี ข้าจะได้จัดหาเด็กคนอื่นให้ไปดูแลคุณชาย” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธ

“มิใช่ๆ พอดีว่าไป๋จูกำลังสนทนากับท่านแม่ทัพหลี่น่ะ ข้าจึงคิดว่าจะกลับก่อน”

“เอ๊ะ แม่ทัพหลี่มาด้วยหรือเจ้าคะ?” นางยังคงงุนงงมาก ด้วยนางไม่เห็นทหารหรือคนของทางการคนใดในหอนี้เลยสักคน

“เขามากับข้าเอง ตอนนี้กำลังสนทนากับแม่นางไป๋จูอยู่ อย่างไร ข้าจะจ่ายเงินเอาไว้ให้แทนเขาก็แล้วกัน” เมิ่งอวิ๋นพูดก่อนจะล้วงถุงเงินถุงใหญ่ออกมาจากอก เหม่ยจีตาวาววับ ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปกปากแล้วหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วรับเงินไปอย่างรวดเร็วไม่มีอิดออด

“เช่นนั้นข้าจะดูแลให้เองเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชายเมิ่งมากนะเจ้าคะ”

“เช่นนั้นข้าคงต้องกลับก่อน”

“เจ้าค่ะ”

เมิ่งอวิ๋นไม่สนใจเหม่ยจีอีกต่อไป แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเดินไปนั้น มือของใครบางคนก็มาดึงเขาเอาไว้ไม่ยอมให้เขาเดินจากไป เมิ่งอวิ๋นหันไปมองอย่างอดไม่ได้ ใบหน้างดงามฉายชัดถึงความสงสัยและไม่เข้าใจ คนดึงมืออีกฝ่ายไว้จึงได้แต่ปลดออกอย่างเสียไม่ได้

“ไม่ทราบว่ามีอะไรกับข้าหรือ?” ฉูจุนเหลียงได้สติ เกาหลังคอตนเองด้วยความเขินอาย

“เอ่อ ขออภัย ข้าเพียงจะถามเจ้า ไม่ทราบอาเฉิง ข้าหมายถึงแม่ทัพหลี่อยู่ที่ใดหรือ” เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ไม่อยากฟัง ร่างกายของเขาก็เริ่มมีปฏิกิริยาอีกครั้ง หัวใจเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดและหวิว ๆ ขึ้นมา แต่เมิ่งอวิ๋นก็ยังคงยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“ท่านเป็นสหายของท่านแม่ทัพหลี่หรือ?”

“ใช่แล้ว ไม่ทราบเขาอยู่ที่ใดหรือ?”

“ข้าว่าท่านอย่าเสียเวลารออีกเลย ไม่แน่ว่าคืนนี้เขาอาจไม่กลับก็ได้” ฉูจุนเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็พลันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ?”

“ตอนนี้เขาอยู่ในห้องกับ...แม่นางไป๋จู ข้าคิดว่าคุณชายคงเข้าใจไม่ยาก” เมิ่งอวิ๋นระบายรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา นั่นทำให้ฉูจุนเหลียงเข้าใจในความหมายนั้นทันที ทว่าเขายังไม่อาจปักใจเชื่อได้ จะเชื่อได้เช่นไรในเมื่อก่อนนี้เขาและหลี่เจี้ยนเฉิงยังเดินตามเมิ่งอวิ๋นอยู่ด้วยกันอยู่เลย

“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัว”

“ดะ เดี๋ยว”

ทว่าไม่ทันเสียแล้ว เมิ่งอวิ๋นไม่คิดจะรอให้อีกฝ่ายถามสิ่งใดอีก เขารีบก้าวออกไปจากหอฮุ่ยเหรินไปยังประตูทางออกที่มีเสี่ยวหลงรออยู่

ในตอนนี้เมิ่งอวิ๋นไม่อาจบังคับหัวใจของเมิ่งอวิ๋นได้อีกแล้ว ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ความปวดร้าวรุมเร้า ซึมซับความทรมานใจเอาไว้เงียบ ๆ ทุก ๆ ย่างก้าว อดทนท่องเอาไว้ว่าในตอนนี้ตนทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว หวังให้หัวใจดวงน้อยที่มั่นคงในความรัก ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

ไม่ว่าอย่างไรเขาสองคนก็ได้คู่กัน แม้เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง อย่างไรเขาก็เป็นของกันและกันอยู่แล้ว

เพราะงั้นเจ้าช่วยเข้าใจข้าหน่อยเถอะนะ อย่าทำร้ายตนเองเช่นนี้เลย

ข้าเองก็ปวดใจไม่ต่างไปจากเจ้าหรอก

“นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ” เมิ่งอวิ๋นมองร่างกายบอบบางของเสี่ยวหลงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เพียงแค่นี้จะนับว่าเป็นอะไรได้

แม้ว่าความจริงแล้วหัวใจเขาแทบจะขาดรอนๆ ก็ตาม

“ข้าจะเป็นอะไรได้เล่า เจ้าก็ช่างถามนัก” เสี่ยวหลงมองแววตาของผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้

“เช่นนั้นกลับกันเลยดีหรือไม่ขอรับ นายท่านกับฮูหยินคงจะห่วงแย่แล้ว”

“เอาสิ”

คิดถึงความห่วงใยของครอบครัวแล้วหัวใจที่เคยรวดร้าวก็พลันผ่อนคลาย เมิ่งอวิ๋นระบายยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน หากว่าเป็นไปได้เขาเพียงปรารถนาให้สกุลเมิ่งไม่ต้องพบเจอกับเรื่องราวเลวร้าย เพราะแบบนั้นเขาจึงได้เลี่ยงการปะทะกับหลี่เจี้ยนเฉิงโดยสิ้นเชิง ทั้งที่ความจริงเขาปรารถนาจะชกหน้าหล่อ ๆ นั้นให้หายแค้นใจ แต่เพื่อความปลอดภัยของสกุลเมิ่งแล้ว เขาไม่ควรแตะต้องอีกฝ่าย

หากยอมได้ก็ต้องยอม

เช่นเดียวกับที่เขายอมให้สกุลเซี่ยโขกสับเสมอมา

เพียงเพื่อคำว่า...ครอบครัว



สองคนยืนอยู่ในห้องด้วยความเงียบงัน สองมือของหลี่เจี้ยนเฉิงลอบกำอยู่ในแขนเสื้อของตนเอง แม้สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ไม่แม้แต่จะเปิดปากพูด ทว่าภายในใจของเขานั้นมันเดือดดาลจนไม่อาจควบคุมได้

ผิดกับถังเป้ยอี้ นางลอบมองบุรุษรูปงามตรงหน้าอย่างพึงพอใจนัก คนผู้นี้ไม่ว่าใครก็เทียบไม่ได้ ในใจใฝ่ฝันจะได้ก้าวเข้าสู่อ้อมแขนของอีกฝ่าย หากนางถูกแขนแข็งแรงคู่นี้กอดกัดเอาไว้ในอกคงจะดี

หากนางได้ครอบครองหัวใจของชายที่เป็นถึงแม่ทัพ...ชีวิตของนางคงจะสุขไม่น้อย

“ท่านแม่ทัพดื่มชาก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” แม้อยากเอ่ยปากถามเรื่องที่คุณชายผู้นั้นกล่าวเอาไว้ แต่ด้วยความที่นางเป็นหญิงคงจะไม่เหมาะนักหากจะเป็นผู้กล่าวออกมาเสียเอง

“เรื่องที่เมิ่งอวิ๋นกล่าวนั้น ความจริงข้า...”

“ข้าน้อยทราบดีเจ้าค่ะว่าไม่อาจเป็นแต่งเข้าเป็นฮูหยินของท่านได้ ขอเพียงท่านแม่ทัพเมตตาข้าน้อย จะให้เป็นเพียงอนุ...ข้าน้อยก็ยินดี” ใบหน้างามแดงก่ำ ดวงตาคู่หวานหลุบลงมองพื้นยิ่งทำให้ดูแล้วน่าทะนุถนอมยิ่ง

หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่ยืนนิ่งงัน พยายามเค้นสมองหาคำกล่าวที่ไม่หักหาญน้ำใจนางมากนัก เพราะเดิมทีนี้เป็นการละเล่นของเมิ่งอวิ๋นที่เขาถูกดึงมาเกี่ยวโยงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ด้วยความที่ตนเป็นบุรุษ การจะกล่าวออกไปตรงๆ ก็ดูจะโหดร้ายเกินไป เพราะนางเองก็มิได้ทำสิ่งใดผิด

“ไม่ ข้าไม่ได้จะหลู่เกียรติเจ้าเช่นนั้น...”

“แต่ข้าน้อยเป็นหญิงในหอนางโลม ย่อมไม่อาจแต่งให้ท่านได้ แม้ท่านจะปรารถนา แต่ข้าน้อยไม่อาจให้ท่านถูกครหาได้จริง ๆ เจ้าค่ะ” คำพูดของนางทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงไม่มีคำพูดใดจะกล่าวออกมาอีก ทำได้เพียงถอนหายใจและกล่าวความจริงออกไปเท่านั้น หากไม่เช่นนั้นแล้วนางคงไม่ยอมเข้าใจ

“บอกเจ้าตามตรง ข้าไม่มีความคิดจะรับอนุ...” แต่ถังเป้ยอี้ไม่เพียงไม่เข้าใจในความหมายที่เขาแผงเอาไว้ให้ กลับใจเต้นและตื้นตันเหลือเกินที่อีกฝ่ายทำเพื่อนางขนาดนี้

“ท่านแม่ทัพช่างดีกับข้าน้อยเหลือเกิน...”

“และไม่คิดซื้อตัวเจ้าออกจากที่นี่” นั่นทำให้ถังเป้ยอี้ชะงักไปนานพอสมควร เดิมนางคิดว่าหากได้ครอบครองหัวใจของชายตรงหน้า นางคงเป็นสุขที่สุด แต่เมื่อตอนนี้เจ้าของความฝันของนางทำให้มันแตกสลายลงไปด้วยคำพูดเพียงหนึ่งประโยค ทำให้นางอับอายยิ่งนัก

“ข้าไม่ได้อยากจะกล่าวตรง ๆ เช่นนี้ แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยจริง ๆ”

“มิ มิเป็นไรเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ” ทั้งที่นางเฝ้าฝัน แต่กลับบอกว่าเข้าใจผิดเช่นนั้นหรือ นางได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ หากแต่ใบหน้าระบายรอยยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นเดิม

“ขอโทษเจ้าแทนเขาด้วย ข้าขอตัวก่อน”

หลี่เจี้ยนเฉิงไม่อยากให้นางวางตัวไม่ถูกจึงได้ออกไปจากห้องทันทีที่กล่าวจบ ทิ้งให้ถังเป้ยอี้กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปที่ฝ่ามือของนาง ดวงตาวาววับไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ลุกโชน โดยมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากคนในเงามืดที่ขบขันกับสิ่งที่ได้ยินมา

ถังเป้ยอี้ไม่หันไปมองแม้แต่หางตา ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างถือตนจนดูคล้ายเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่อาจลดทอนความงดงามของนางไปได้เลย

“เจ้าคงหวังไปไกลใช่หรือไม่เล่าเป้ยอี้” นางมองคนมาใหม่ด้วยหางตา เห็นเพียงเส้นผมสีดำที่ต้องลมกับชายชุดสีเขียวเท่านั้นก็รู้ได้ว่าเป็นใคร ก่อนที่นางจะเหยียดรอยยิ้มออกมา

“คนเช่นข้า หากปรารถนาแล้ว...จะต้องได้”

“หน้าที่ของเจ้าคืออะไร คงไม่ลืมใช่หรือไม่?”

“ข้ามิใช่คนเลอะเลือน ย่อมต้องจำได้ดี” น้ำเสียงที่ตอบกลับนั้นแข็งกระด้างและหยิ่งยโส ทว่าคนฟังกลับไม่ใส่ใจต่อมันแม้แต่น้อย

“ข้ามองเห็นเพียงว่า คุณชายที่มาก่อนหน้าต่างหากที่เป็นปัญหา” ในสายตาของเขา แววตาของแม่ทัพผู้นั้นยามมองคนบุรุษร่างบางก่อนนี้นั้น มันเต็มไปด้วยร่องรอยของความหึงหวง ไม่ว่าจะดูเช่นไร ผู้กุมดวงใจของแม่ทัพผู้นี้เอาไว้ก็ไม่ใช่ถังเป้ยอี้

“หึหึ ความงามของเจ้าดูจะใช้ไม่ได้ผลนะเป้ยอี้” ถังเป้ยอี้ที่ได้ยินย่อมเดือดดาล ในแววตามีแต่ความไม่ยินยอมแม้แต่น้อย

“เจ้ารอดูต่อไปเถิด...แม่ทัพหลี่จะต้องเป็นของข้าแน่นอน!”

“หึ...แล้วข้าจะรอดู”

จะมีใครเล่าไม่หมายปองบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหลังและอำนาจ นางเองก็เช่นกัน...ต่อให้ต้องลำบากฝ่าฟันเช่นไร

เขาก็ต้องเป็นของนาง!



ฉูจุนเหลียงไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนหลี่เจี้ยนเฉิงภายในห้อง เพราะเขาไม่รู้เลยว่าในตอนนี้หลี่เจี้ยนเฉิงกำลังสุขสำราญกับหญิงพวกนั้น หรือกำลังขุ่นเคืองใจกันแน่ หากว่าสิ่งที่เมิ่งอวิ๋นพูดมานั้นเป็นจริง แล้วเขาเข้าไปขัดความสุข คงไม่พ้นถูกสังหารจนตาย เขาจึงเลือกที่จะยืนรอยอมถูกห้อมล้อมไปด้วยหญิงคณิกาหน้าตางดงามมากมายนิ่ง ๆ เพียงระบายยิ้มบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น ได้แต่หวังเพียงว่าหลี่เจี้ยนเฉิงจะออกมาเสียที

และสิ่งที่เขาภาวนาเอาไว้ก็เป็นจริง หลี่เจี้ยนเฉิงก้าวออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่สามารถเดาอารมณ์ของสหายตนเองได้เลยในตอนนี้ แม้จะมองบรรยากาศก็ไม่อาจรู้ได้ ทุกสิ่งนิ่งสงบ แต่ยิ่งมันสงบนิ่งเช่นนี้ฉูจุนเหลียงก็ยิ่งกังวล

“อาเฉิง เอ่อ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่เจี้ยนเฉิงปรายตามองร่างของฉูจุนเหลียงเพียงครู่เดียวเท่านั้น สาวน้อยมากมายที่เคยรายล้อมกลับหลบไปด้านหลังของเขาด้วยความกลัว

“อา เอ่อ ข้าต้องไปก่อนแล้ว ขอตัว”

พูดจบฉูจุนเหลียงก็รีบตามหลังหลี่เจี้ยนเฉิงออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่เข้าใจในอารมณ์ของสหายนัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังน่าห่วงอยู่ดี

ฉูจุนเหลียงลอบมองใบหน้าเรียบเฉยของสหายตนอย่างอึกอัก ใจจริงของเขาอยากจะเอ่ยปากถามออกไปเสียมากกว่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตกลงแล้วสหายของเขาถูกใจใคร นางโลมที่ชื่อไป๋จู หรือคุณชายเมิ่งอวิ๋นคนนั้น หากไม่ได้สนใจในตัวของเมิ่งอวิ๋นแล้วเหตุใดจึงได้อยู่กับนางผู้นั้นเสียนานแสนนาน หรือแท้จริงแล้ว...หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ได้พึงใจต่อเมิ่งอวิ๋นดังที่คาดเอาไว้

ยิ่งขบคิดและคาดเดาฉูจุนเหลียงก็ยิ่งปวดหัว ครั้นจะเอ่ยถามออกไปก็เกรงจะยิ่งกระตุ้นโทสะที่หลับใหลอยู่ภายใน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าในตอนนี้สหายของเขากำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ใดกันแน่

“อาเฉิง...”

“กรอด! ข้าน่าจะจัดการเขาเสีย!” ฉูจุนเหลียงสะดุ้งด้วยความตกใจ สีหน้าทั้งหวาดหวั่นและงุนงงไปพร้อม ๆ กัน ด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่หลี่เจี้ยนเฉิงพูดแม้แต่นิดเดียว

“เอ่อ เจ้าหมายถึงผู้ใดหรือ”

“เขาอย่างไรเล่า ทั้งที่ข้าเฝ้าติดตามมาตั้งนาน แต่เขากลับทำกับข้าเช่นนี้!” อา ไม่ต้องเดาอีกต่อไป เช่นนี้เห็นทีหลี่เจี้ยนเฉิงคงโกรธแค้นเมิ่งอวิ๋นเข้าให้แล้ว ฉูจุนเหลียงคลายสีหน้าลงแล้วช่วยพูดสนับสนุน

“อาใช่ ๆ เจ้าหรืออุตส่าห์ติดตามเขามาตั้งนาน แต่เขากลับกล้าทำเช่นนี้นับว่าไม่กลัวตาย”

“...” พูดไปก็ชำเลืองมองหลี่เจี้ยนเฉิงเป็นระยะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าโกรธเคืองจึงได้กล่าวต่อ

“เช่นนั้นหาข้อหาให้เขาแล้วนำตัวให้ทางการดีหรือไม่? เจ้าจะได้สังหารเขาได้...”

“เจ้ากล่าวอันใด!” หลี่เจี้ยนเฉิงโมโหจนอยากจะบีบคอของฉูจุนเหลียงให้หักคามือตนเองนัก คิดบ้าอะไรอยู่จึงได้เอ่ยเช่นนั้นออกมา เขาหรืออยากจะฆ่าเมิ่งอวิ๋น หากจับมาตีสักทีสองทีก็อาจจะใช่

แต่ให้สังหาร เขาย่อมไม่ทำแน่!

“อา เอ่อ ข้านึกว่าเจ้า...ชอบแม่นางไป๋จู”

นี่เขาเดาผิดไปหรอกหรือ จะกลับลำเสียตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเสียด้วย

“ข้า ได้ยินจากคุณชายเมิ่งว่า เอ่อ” สายตาคมดุดันที่คอยกดดันจากหลี่เจี้ยนเฉิงทำเอาฉูจุนเหลียงไม่กล้ากล่าวต่อแม้แต่คำเดียว แต่การที่ไม่เอ่ยคำออกมาเช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงเดือดดาล

“สิ่งใด! บอกข้ามา!”

“เอ่อ บอกว่าเจ้ากำลังเสพสุขอยู่กับแม่นางไป๋”

ฉูจุนเหลียงที่เมื่อกล่าวจบแล้วอยากจะย้อนเวลาแล้วกลืนคำพูดพวกนี้ลงท้องไปเสียจริง ๆ เหตุใดเขาจึงได้กล้าหาเรื่องตายกล่าวคำพวกนี้ออกมากันหนอ แล้วยังคุณชายเมิ่งผู้นั้นอีก ไม่เห็นหรือว่าสหายของเขามิได้ต้องใจนางแม้แต่น้อย เหตุใดยังกล่าวให้เขาคิดไปไกลเช่นนั้น หากมิใช่คำพูดที่ชวนคิดของเมิ่งอวิ๋นมีหรือเขาจะกล่าวออกมาเช่นนี้

คุณชายเมิ่งนะคุณชายเมิ่ง เจ้าทิ้งหายนะไว้ให้ข้าเก็บกวาดจริง ๆ

“สักวัน สักวันข้าจะทำให้เจ้าได้สำนึกเมิ่งอวิ๋น!”

อารมณ์เดือดดาลของหลี่เจี้ยนเฉิงไม่อาจดับได้โดยง่าย ฉูจุนเหลียงคาดเอาไว้แล้วว่าเมื่อกลับไปถึงจวนแม่ทัพ เขาคงถูกบังคับให้เป็นคู่ซ้อมอย่างแน่นอน ร่างกายของเขาแข็งแรงมากก็จริง แต่ก็เจ็บยอกเป็นเช่นผู้อื่น แต่หากแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ไม่ได้ระบายมันออกมา ก็ไม่รุ้ว่าจะมีผู้ใดเดือดร้อนอีก ไม่แน่ว่าหลี่เจี้ยนเฉิงอาจจะลอบเข้าไปที่จวนสกุลเมิ่งและลงมือกับเมิ่งอวิ๋นก็เป็นได้

เอาเถิด เพื่อความสงบของเมืองหลวง เพื่อชาวบ้าน

เขาจะยอมสละร่างกายช่วยให้อีกฝ่ายระบายอารมณ์ก็แล้วกัน





TBC





สำนึกอะไรคะ มีอะไรให้สำนึกกัน ตัวเองนั่นละโดนน้องปฏิเสธไปแล้วยังไม่สำนึกอีก จะว่าไปแล้วฉูจุนเหลียงกับเมิ่งอวิ๋นก็เคมีเข้ากันอยู่น้าาา ลงเรือดีไหมหนอออ 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 100% (Up.01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-10-2020 00:39:21
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 100% (Up.01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-10-2020 14:09:01
ยังดีที่รู้จักปฏิเสธนึกว่าไม่กล้าทำร้ายน้ำใจหญิงจนต้องรับเป็นอนุซะอีก 5555
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 100% (Up.01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-10-2020 00:34:35
มีตัวละครเพิ่มหลอ แย่ๆ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 100% (Up.01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 13-10-2020 13:01:50
มานั่งรออย่างเป็นเด็กดี ฮือออ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (11) 100% (Up.01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-10-2020 09:42:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 50% (Up.14/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 14-10-2020 18:23:08
[12] 50%

ความเจ็บปวดของหัวใจดวงน้อย

จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายเดือนเสียแล้ว เมิ่งอวิ๋นทั้งรู้สึกสงบและสบายใจเสียจนหยิบจับสิ่งใดก็มีรอยยิ้ม การเป็นพ่อสื่อให้คนสองคนก็สนุกดีไม่หยอก เขาชักจะติดใจขึ้นมาเสียแล้ว แม้ว่าในช่วงหนึ่งนั้น หัวใจที่มันว่างเปล่าของเขาจะปวดร้าวมากก็ตาม แต่การได้หักดิบ บีบบังคับให้หัวใจของเมิ่งอวิ๋นต้องเจ็บช้ำเพื่อที่จะได้หยุดรักเขา มันก็เป็นวิธีที่ดี

เพราะบางครั้งนั้น การที่เราเจ็บปวดจนทนต่อไปไม่ไหว

เราก็จะตัดสิ่งที่เจ็บปวดออกไปจากความสนใจเสีย

นั่นคือสิ่งที่เขาหวัง แม้จะรู้ว่ามันไม่ง่ายดายก็ตาม

เมิ่งอวิ๋นผินหน้ากับกรอบหน้าต่าง มองหยาดฝนโปรยปรายที่พัดเอากลิ่นหอมของพื้นดิน และกลิ่นอายของฝนลอยมาแตะจมูกอย่างเหม่อลอย ความคิดส่วนใหญ่ของเขาล้วนแต่เป็นเรื่องราวในชีวิตก่อนทั้งสิ้น ยิ่งได้กลิ่นที่กระตุ้นความทรงจำส่วนลึก ก็ยิ่งทำให้เมิ่งอวิ๋นจมอยู่กับมัน

“เจินเกอ…ฝนตกอีกแล้ว” เซี่ยอี้เจินหันมองน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม ยกฝ่ามือขึ้นมาวางบนศีรษะของเซี่ยเฟิง

“ไม่ดีหรือ? ” เซี่ยเฟิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันมาสบตากับผู้เป็นพี่ชาย

“ฝนตกแล้วผมก็ต้องเป็นหวัด มันลำบาก ผมไม่ชอบเลย หายใจไม่ออกด้วย” เสียงบ่นของเซี่ยเฟิงทำให้เซี่ยอี้เจินหัวเราะออกมาในที่สุด เพราะเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เหตุผลจริง ๆ หรอก

“จริงๆ ก็แค่เสียดายที่ไม่ได้ไปเล่นข้างนอกใช่ไหม”

“ที่ไหนกัน...”

แม้จะพูดแบบนั้นแต่สายตาของเซี่ยเฟิงกลับหลุบลงมองพื้น ไม่กล้าสบตากับผู้เป็นพี่ชายอีก ทำให้เซี่ยอี้เจินต้องระบายยิ้มจนแก้มปริ นับวันน้องชายของเขาก็ยิ่งเติบโตขึ้น แต่ความเป็นเด็กก็ยังไม่หายไปจากตัวของน้องชายเขาเลย

“ต่อให้ออกไปเล่นกับเพื่อนไม่ได้ ผมก็มีเจินเกออยู่”

ใช่แล้ว…ไม่ใช่ว่าเขาเหลือตัวคนเดียวเสียเมื่อไรกัน เขายังมีพี่ชายยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน

เซี่ยอี้เจินเงียบลงไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองน้องชายด้วยแววตาพราวระยับพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ไปเล่นน้ำฝนกันดีไหม? ”

“เล่นน้ำฝนหรือ? ” เซี่ยเฟิงแปลกใจไม่น้อยที่ถูกชักชวนแบบนี้ ใครจะไปคิดว่าพี่ชายของเขาจะมีความคิดที่จะลากเขาออกไปเล่นฝนที่ตกหนักข้างนอกนั่น

“ใช่…ไปไหม? ” เซี่ยเฟิงมีความลังเลไม่น้อยเลย เขาไม่เคยคิดจะทำแบบนี้มาก่อน

“แต่เจินเกอ คุณปู่บอกว่าถ้าผมตากฝนผมจะไม่สบาย พอไม่สบาย คุณปู่ก็จะลงโทษเจินเกออีก” ชั่ววินาทีหนึ่งแววตาของเซี่ยอี้เจินนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ก่อนมันจะกลับมาเป็นความสดใสที่น่ามองเหมือนเดิม

“เจินเกอ…” เมื่อเห็นว่าพี่ชายเงียบลง เขาจึงส่งเสียเรียกอีกครั้ง และมันได้ผล…พี่ชายของเขาได้สติกลับมาทันที

“ลงโทษแค่นั้นพี่ไม่เป็นอะไรหรอก…ขอแค่เสี่ยวเฟิงของพี่สนุกก็พอแล้ว” เมื่อได้รับคำตอบแบบนั้นเซี่ยเฟิงก็พลันยิ้มกว้าง วิ่งออกไปนอกประตูใหญ่พร้อมกับจูงมือของพี่ชายตัวเองออกไปพร้อมกัน สองพี่น้องวิ่งไล่กันกลางสายฝน ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว


เมิ่งอวิ๋นคล้ายจะเห็นร่างของตนเองวิ่งไล่กับเซี่ยเฟิงน้องชายของเขาอยู่กลางสายฝน แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงอารมณ์ที่ตกค้างจากความคิดถึงของเขาเท่านั้น หัวใจดวงน้อยบีบรัดตัวด้วยความเจ็บปวด สองตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำที่ไม่อาจปล่อยให้มันไหลรินได้

ความสุขที่ได้ในวันนั้นย่อมแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่สาสมเช่นกัน

“คุณปู่ ฮึก อย่าทำเจินเกอเลยนะ ผมผิดเอง” เด็กชายวัยเจ็ดขวบมองหน้าผู้เป็นปู่อย่างอ้อนวอน ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แต่เสียงหวดไม้ลงที่บั้นท้ายของเซี่ยอี้เจินก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เซี่ยหลี่ซั่วถอนหายใจ สายตาที่เคยจับจ้องเซี่ยอี้เจินด้วยความดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ทันทีที่หันมามองหลานชายคนเล็ก

“เสี่ยวเฟิงของปู่เป็นเด็กดี อย่าร้องไห้เลยนะ เดี๋ยวจะไม่สบายหนักไปกว่านี้” เซี่ยอี้เจินที่ถูกไม้เรียวตีลงมาจนเจ็บ แต่ก็ไม่เจ็บเท่าภาพของคนเป็นปู่ที่ปลอบโยนหลานอย่างห่วงใย เขารู้ตัวว่าผิดที่พาน้องออกไปตากฝนจนเจ็บป่วย แต่ทำไมมีเพียงเขาที่ถูกมองเมิน เขาไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด

“30ครั้ง ห้ามขาดห้ามเกิน และงดข้าวเย็นสองอาทิตย์!”

“ฮึก คะ คุณปู่ ฮึก เจินเกอ ไม่ผิดนะ ฮึก” เด็กชายสะอื้นอยู่บนบ่าของเซี่ยหลี่ซั่วจนตัวโยน โดยมีเซี่ยหลี่ซั่วตบหลังและปลอบโยนด้วยความรัก

ส่วนเซี่ยอี้เจินได้แค่กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ดวงตาของเด็กน้อยเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาและแฝงไปด้วยความน้อยใจ อดคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้คนเป็นปู่ไม่รักขาเท่าที่รักน้องชาย

เซี่ยอี้เจินที่ถูกตีจนครบจำนวนได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องอย่างเศร้าใจ น้ำตายังคงหลั่งไหลลงมาจนเปียกหมอน ภายในห้องเย็นฉ่ำแต่ในใจของเด็กน้อยนามเซี่ยอี้เจินกลับสุมไปด้วยไฟแห่งความอิจฉา น้อยใจเสียจนต้องกำผ้าห่มเอาไว้แน่น

เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามา เซี่ยอี้เจินลอบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกพยายามที่จะเก็บความเสียใจและน้อยใจของตัวเองลงไปแล้วเผชิญหน้ากับคนในห้องด้วยความเด็ดเดี่ยว แต่เด็กที่มีอายุเพียงสิบห้าจะสามารถสะกดกั้นอารมณ์ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังไม่อาจทำได้ได้อย่างไรกัน

“คุณชายใหญ่...” น้ำเสียงที่คุ้นเคยกับความรักที่เอ่อล้นออกมาทางแววตาทำให้เซี่ยอี้เจินอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกรอบ

“ฮึก ป้า ป้าหวง ฮือ ๆ”

หวงหลินเห็นท่าทีที่แสนเปราะบางของเซี่ยอี้เจินก็ถลาร่างเข้ามากอดร่างเล็กๆ ของเซี่ยอี้เจินเอาไว้ มือของหญิงวัยสี่สิบกว่าลูบไล้เส้นผมนุ่มอย่างเบามือ ในใจรวดร้าวยามได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเด็กชาย เจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้ตามเสียด้วยซ้ำ ทว่าเธอมาเพื่อปลอบโยน ไม่ใช่ทำให้คุณชายของเธอร้องไห้มากไปกว่านี้

“คุณชายใหญ่เจ็บตรงไหนคะ ให้ป้าดูหน่อยนะ” แต่เซี่ยอี้เจินส่ายหัวปฏิเสธ มือป้ายหยาดน้ำตาบนหน้าออก

“ผมไม่เจ็บ แต่ ฮึก ผมไม่เข้าใจ”

เขาไม่เข้าใจเลยกับการกระทำของคุณปู่ ทำไมคุณปู่ถึงได้...

“ทำไมคุณปู่ไม่รักผมครับป้าหวง ฮือ ๆ ผม ฮึก ไม่ใช่หลานของคุณปู่หรือครับ คุณปู่ถึงไม่รักผมเลย” ยินเช่นนั้นหวงหลินก็ได้แต่เบิกตากว้าง รีบลูศีรษะปลอบใจเสียยกใหญ่

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ไม่ใช่เลย คุณท่านเพียงแค่เป็นห่วงและหวังดี ไม่อยากให้คุณชายใหญ่ทำผิดเท่านั้นเองนะคะ”

หวงหลินทั้งรักทั้งสงสารคุณชายใหญ่ของตนเป็นอย่างมาก เด็กอายุเพียงเท่านี้กลับต้องมาทุกข์ใจกับความลำเอียงของผู้ใหญ่ ตนที่เป็นเพียงแม่บ้านสกุลเซี่ยมีหรือจะออกหน้าใดๆ ได้ อีกทั้งยังถูกห้ามกินอาหารเย็น...เธอที่ได้รู้มาทั้งเจ็บใจและแค้นใจ แต่ก็ไม่มารถทำสิ่งใดได้

หวงหลินทั้งรักและเอ็นดูเซี่ยอี้เจินจนไม่อาจวางเฉยกับเรื่องนี้ได้ สิ่งที่เธอพอจะทำให้คุณชายใหญ่ได้มีเพียงแค่การแอบนำสิ่งของขึ้นมาให้โดยพยายามหลีกเลี่ยงสายตาของคนรับใช้คนอื่นเท่านั้น

“คุณชายใหญ่ รีบทานนะคะ แล้วอย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด ป้าอุ่นมันมาให้แล้ว รีบทานตอนยังร้อนๆ แล้วรีบเข้านอนแต่ค่ำนะคะ จะได้ไม่หิว” ทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่อาจทวงถามต่อใครได้ สิ่งที่เธอทำไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงเห็นใจเด็กที่กำลังจะโตเท่านั้นเอง การสั่งงดอาหารเย็นสำหรับเด็กวัยนี้เธอคิดว่ามันออกจะเกินไปเสียหน่อย แต่นั่นคือเจ้านาย เธอจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ แล้วแอบนำซาลาเปาไส้เนื้อมาให้พร้อมกับนมอีกหนึ่งกล่อง

“แต่ ถ้าคุณปู่รู้ ป้าหวงจะไม่โดนไล่ออกหรือครับ” เซี่ยอี้เจินได้แต่ปาดน้ำมูกน้ำตาออกจากใบหน้าพร้อมกับถามอย่างห่วงใย หากเกิดเรื่องนั้นขึ้นจริงๆ เขายอมอดข้าวดังที่ถูกสั่ง ดีกว่าจะให้ป้าหวงต้องถูกไล่ออก

“ถ้าคุณชายใหญ่ไม่บอก และรีบทานก็ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ รีบทานเถอะนะคะ” เธอรู้ด้วยสายตาดีว่าเด็กคนนี้หิวมากแค่ไหน ร่างกายถูกตีมาสามสิบครั้งยังไม่เท่ากับถูกปล่อยให้อดข้าว เซี่ยอี้เจินลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรีบหยิบเอาซาลาเปาไส้เนื้อที่แสนอร่อยขึ้นมากัดกิน

หากคุณปู่ห่วงเขาเช่นที่ป้าหวงห่วงเขาคงดีไม่น้อย


แม้ว่าเรื่องมันจะผ่านมานานมากแล้ว แต่เขาก็ยังจำมันได้ดีราวกับว่ามันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ทุกความเศร้าโศกเสียใจทุกวันนี้เขาเองก็ยังเป็นอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มันจะจบลงเสียที สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจมากที่สุดคงเป็นคำเรียกขานของเสี่ยวเฟิง น้องชายของเขาเองมากกว่าคำว่าเจินเกอ ยามน้องชายเรียกเขามันดูราวกับว่าเขาเป็นที่เคารพ เป็นพี่ชายที่น้องชายอย่างเซี่ยเฟิงรักและให้ความสำคัญ แต่เมื่อไรกันนะที่คำเรียกถูกเปลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ เมื่อไรกันที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไป

เขาเองก็จดจำมันไม่ได้เสียแล้ว

เมิ่งอวิ๋นนั้นได้แต่ทอดถอนใจออกมา แม้พายุฝนจะหยุดพัดกระหน่ำจนเหลือเพียงเม็ดฝนที่โปรยปราย แต่ในใจของเมิ่งอวิ๋นในยามนี้ล้วนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและทุกข์ใจ แม้จะอยู่กันคนละชาติภพ แต่ความรักที่มีต่อน้องชายของเขาไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย มันยังคงมีความกังวลและห่วงใย เช่นที่เขามีให้เมิ่งอวิ๋นที่ในตอนนี้เข้าไปแทนที่ของเขาอยู่เต็มเปี่ยม

ถ้าหาก...เป็นเขาที่กลับไป จะถูกลงมือสังหารให้ตายลงตรงหน้าเช่นเดิมอีกหรือไม่

คิดแล้วเขาก็ได้แต่หัวเราะเยาะตนเองในใจด้วยความดูแคลน เขาหรือที่จะเดินกลับเข้าไปอีก ในเมื่อที่ตรงนั้นมันไม่มีเอาไว้สำหรับเขาอีกแล้วเขายังจะกลับไปอีกทำไม

เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงสะกดกลั้นความเสียใจที่ตีตื้นขึ้นมาเอาไว้ในอก แม้ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว อดีตนั้นไม่ควรนำมาใส่ใจ ใช้เป็นเพียงแค่บทเรียนก็เพียงพอแล้ว แต่ชีวิตตรงหน้าต่างหากที่เป็นหน้าที่ของเขา ต้องคอยดูแลไม่ให้เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ขึ้นมากับครอบครัวของเมิ่งอวิ๋น ไม่เช่นนั้นตายไป เขาก็คงไม่มีหน้าไปพบกับอีกฝ่ายแน่

“เฮ้อ...เมิ่งอวิ๋น คุณจะรู้ไหมนะว่าตอนนี้ข้าพยายามอย่างหนัก ให้เขาเลิกทำร้ายเจ้าและครอบครัว”

แม้ว่าเขาที่พูดถึงจะเป็นแม่ทัพหลี่ที่ยังไม่ได้ลงมือกับเขา แต่เขาก็ไม่อาจวางใจให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ได้ อันตรายที่คนผู้นั้นมีต่อคนสกุลเมิ่งและต่อเมิ่งอวิ๋นเอง ล้วนแต่ถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น

เช่นนี้แล้ว...ตัดเสียตั้งแต่เริ่มยังดีกว่า

เพราะเหตุนี้เขาจึงได้วางอุบายให้อีกฝ่ายตามเขาไปที่หอฮุ่ยเหริน ให้ได้พบกับคนที่ครอบครองหัวใจของหลี่เจี้ยนเฉิง เพียงแค่นั้นเขาก็จะได้หลุดพ้นจากคนแซ่หลี่เสียที

เมิ่งอวิ๋นเอง...ก็จะได้ตัดใจจากเขาเสีย

คิดแล้วเมิ่งอวิ๋นก็ส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องของตนเองทันที เขาตรงไปหาเมิ่งลู่เหยาด้วยเหตุสำคัญ หวังให้เรื่องวุ่นวายใหม่ๆ ลบความคิดถึงอดีตของทั้งเขาและเมิ่งอวิ๋นเสียที

“นายน้อย...จะไปที่ใดหรือขอรับ” เมิ่งอวิ๋นหันมองเสียงที่ไม่คุ้นหู หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น พยายามคิดใคร่ครวญว่าคนตรงหน้าคือใคร แต่ท่าทีนอบน้อมและรอยยิ้มใสซื่อนี้กลับไม่คุ้นสายตาเขาเลย

“เจ้าคือ?” เมื่อถูกผู้เป็นเจ้านายถามไถ่ ฉีฉีก็ได้แต่ตอบด้วยท่าทางแสนสุข

“บ่าวมีนามว่าฉีขอรับ เป็นบ่าวรับใช้ในสกุลเมิ่งคนใหม่ขอรับนายน้อย” เมิ่งอวิ๋นเพียงคลายหัวคิ้วพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

“เช่นนั้นเสี่ยวฉี...เจ้ามีอะไรกับข้าหรือ” บ่าวรับใช้ในจวนล้วนแต่มีบิดาของเขาเป็นผู้รับเข้ามา ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าห่วงอยู่แล้ว เพียงแต่เมิ่งอวิ๋นยังไม่เข้าใจว่าเสี่ยวฉีเรียกเขาทำไม

“บ่าวเพียงเห็นนายน้อยจะเดินตากฝนออกไป กลัวนายน้อยจะไม่สบายจึงได้เรียกถามขอรับ” เมิ่งอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองจุดที่ตนยืนอยู่จึงพบว่า หากก้าวไปอีกสองก้าวก็จะพ้นชายคาแล้ว เขาคงจะเปียกไปทั้งตัวเป็นแน่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้มีทีท่าทางอ่อนลงไปไม่น้อย มองเสี่ยวฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้าดีขึ้นมากกว่าเดิม

“สงสัยข้าจะมัวแต่เหม่อ ไม่เป็นไร รอฝนหยุดตกก่อนก็ได้ ข้าเพียงแค่จะไปหาพี่ใหญ่เท่านั้น” ฝนตกอยู่เช่นนี้คงไปลำบาก ร่างกายของเมิ่งอวิ๋นก็อ่อนแอเกินไป แม้ว่าจะเที่ยวซนไปทั่วไม่ต่างจากเขา แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าร่างกายของเขาในชาติก่อน หากถูกลมเย็นถูกฝนมากไปก็จะป่วยไข้ได้ง่าย

“นายน้อยคิดจะไปที่ห้องหนังสือใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่แล้ว เจ้ารู้หรือ?” เสี่ยวฉีไม่ได้ตอบคำถาม เพียงส่งยิ้มให้กับเมิ่งอวิ๋นแล้วพูดต่อ

“หากนายน้อยหมายจะไปพบคุณชายใหญ่ เวลานี้คงอยู่ในห้องมากกว่านะขอรับ ที่ห้องหนังสือไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นเลยขอรับนายน้อย” เมิ่งอวิ๋นเงยหน้ามองหยาดฝนที่ไร้ทีท่าว่าจะหยุด ก่อนจะหันมามองบ่าวรับใช้คนใหม่ของจวนด้วยแววตาขอบคุณ

“เช่นนั้นหรอกหรือ ขอบใจเจ้ามาก จะว่าไปแล้ว เจ้าเห็นเสี่ยวหลงบ้างหรือไม่?” เมิ่งอวิ๋นมองหาเท่าไรก็ไม่พบร่างของบ่าวคนสนิทข้างกาย จึงต้องเอ่ยถาม

“หากนายน้อยหมายถึงบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายนายน้อยมาตลอด ยามนี้คงจะออกไปข้างนอกขอรับ” เมิ่งอวิ๋นมองอีกฝ่ายคล้ายจะถามหาความแน่ใจ

“ฝนตกเช่นนี้หรือ?” บ่าวรับใช้คนใหม่เพียงแค่หัวเราะน้อยๆ แล้วตอบความสงสัยของเมิ่งอวิ๋นไป

“ขอรับ เพราะออกไปตั้งแต่ฝนยังไม่ทันจะตกเลยขอรับ หากนายน้อยมีสิ่งใดจะใช้ก็บอกบ่าวได้เลยขอรับ บ่าวจะรีบไปจัดการให้”

เมิ่งอวิ๋นโบกไม้โบกมือพร้อมทั้งยังส่ายหน้าพัลวัน ดูแล้วน่ามองไม่น้อย ความงามของใบหน้านั้นนับวันยิ่งมากล้นจนดึงดูดสายตาของผู้คนได้ไม่ยากเย็น แม้แต่ฉีฉีเองยังไม่อาจละสายตาจากผู้เป็นนายได้

“ไม่เป็นไร ข้าเพียงไม่เห็นเสี่ยวหลงจึงได้ถามหาเท่านั้น”

“เช่นนั้นให้บ่าวนำทางไปที่ห้องของคุณชายใหญ่หรือไม่ขอรับ?”

“ไม่เป็นไร ข้าเดินไปเองดีกว่า เจ้ามีอะไรทำก็ไปทำเถิด”

เสี่ยวฉีไม่ได้คัดค้านหรือพยายามยัดเยียดตัวเองมากนัก จึงค้อมกายแล้วเดินจากไปทิ้งให้เมิ่งอวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปอีกทางเช่นกัน

เมื่อเมิ่งอวิ๋นหันหลังเดินออกไป เสี่ยวฉีก็หันกลับมามองแผ่นหลังของเมิ่งอวิ๋นด้วยดวงตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาใสซื่อเช่นเดิม พร้อมกับเดินจากไปอย่างรวดเร็ว







50%



เสี่ยวฉีเขาเป็นใครกันนะ เป็นใครกันหนอ มีใครเดาได้ไหมน้าาาา มาอัพแล้วนะคะ ขอถือโอกาสขายของด้วยเลย นิยายเรื่อง คลินิกรัก(ษ์) บำบัดไข้(ใคร่) เปิดขายในรูปแบบE-Book แล้วนะคะในราคาพิเศษ สองวันสุดท้ายแล้วน้าาา ใครยังไม่มีอย่าลืมไปพาเหล่าคุณหมอมาพักในโทรศัพท์นะจ๊ะ 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 50% (Up.14/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-10-2020 00:05:03
 :katai2-1:


ส่งสายสืบมาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 50% (Up.14/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-10-2020 01:06:50
เนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 50% (Up.14/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 16-10-2020 14:09:30
ส่งคนมาสืบเหรอออ!
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 50% (Up.14/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-10-2020 15:18:49
สายสืบแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 100% (Up.20/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-10-2020 09:46:56
[12] 100%


เมิ่งอวิ๋นเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคย ไม่นานนักก็พบกับห้องของเมิ่งลู่เหยา เขายืนมองประตูที่ปิดสนิทอยู่ครู่หนึ่ง ลังเลใจว่าจะเคาะดีหรือไม่ ด้วยกลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเมิ่งลู่เหยาเข้า แต่ไม่นานเมิ่งอวิ๋นก็ตัดสินใจเคาะประตูทันที

“พี่ใหญ่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” เมิ่งลู่เหยาที่อยู่ภายในห้องเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ แต่ทว่าก็ตอบน้องชายออกไปอยู่ดี

“เข้ามาสิ”

เมิ่งอวิ๋นได้ยินคำอนุญาตก็ใจชื้นขึ้น ลอบเป่าปากก่อนจะผลักประตูไม้เข้าไปด้านใน เขามองพี่ชายที่เปิดตำราค้างเอาไว้ แต่ดวงตากลับมามองมาที่เขาด้วยความรู้สึกเกรงใจไม่น้อย เมิ่งลู่เหยาพอจะคาดความคิดของเมิ่งอวิ๋นได้จึงชิงปิดตำราแล้วเอาไปวางไว้ ก่อนจะเดินเข้ามาหาน้องชายคนเดียวของเขาแทน

“เจ้ามีอะไรกับพี่หรือเสี่ยวอวิ๋น?” เมิ่งอวิ๋นถูกฝ่ามือใหญ่ที่แสนอบอุ่นของเมิ่งลู่เหยาทำให้ใจไขว้เขว จนต้องกัดริมฝีปากของตนเองเอาไว้

“พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากรบกวนพี่ใหญ่”

“รบกวนอะไรกัน มีอะไรให้พี่ช่วยเจ้าก็บอกมาเถอะ ไม่ได้รบกวนอะไรพี่หรอก” เมิ่งอวิ๋นได้แต่กำมือแน่น ยิ่งได้เห็นว่าเมิ่งลู่เหยามีความรักให้เขาเท่าไร หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น เพราะสิ่งที่เขามองเห็นตรงหน้า คือภาพของตัวเขาเองในอดีตที่รักเซี่ยเฟิงเช่นเดียวกัน

“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นงานมงคลของอามู่แล้ว...”

“แล้วอย่างไรหรือ?” เมิ่งอวิ๋นอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองใบหน้าของเมิ่งลู่เหยาแล้วพูดขึ้น

“คือข้ายังไม่รู้ว่าจะหาสิ่งใดไปเป็นของขวัญ ไม่ทราบพี่ใหญ่พอจะรู้จักร้านใดในเมืองหลวงที่ข้าพอจะหาผ้าเนื้อดี หรือของติดกายให้อามู่ได้บ้างหรือไม่” เมิ่งลู่เหยาลอบถอนหายใจในใจตนเองเงียบๆ เดิมเขาคิดว่าจะเป็นเรื่องของหลี่เจี้ยนเฉิงเสียอีก เมื่อเป็นเรื่องนี้เขาย่อมยินดียิ่ง และอดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่น้องชายเลือกจะมาปรึกษาเขา

นั่นย่อมหมายความว่าเสี่ยวอวิ๋นของเขาคิดจะพึ่งพาเขาบ้างแล้ว

เมิ่งลู่เหยายืดกายขึ้น ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีจนลิ้นปรี่

“เรื่องผ้าเนื้อดีเจ้าคงจะลืมไปแล้วไม่แปลกอะไรนัก แต่สกุลเมิ่งของเรา หาได้มีเพียงเหลาอาหารจื่อเค่อเท่านั้นหรอกนะที่เลื่องชื่อ” เมิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นราวกับจะถามว่า ยังมีอย่างอื่นอีกหรือก็ไม่ปาน

ส่วนเมิ่งลู่เหยาที่มองเห็นท่าทางและสีหน้าเช่นนั้นก็พลอยหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใครว่าน้องชายของเขาไม่น่ารักกัน ดูใบหน้างดงามในยามนี้ที่ไม่ปกปิดความแปลกใจสิ มันทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก

“สกุลเมิ่งเปิดร้านมากมาย ทว่ามีเพียงเหลาจื่อเค่อเท่านั้นที่เปิดอยู่ในเมืองหลวง”

หมายความว่ายังไงกัน?

“สกุลเมิ่งยังมีการค้าอย่างอื่นอีกหลาก เช่นการค้าผ้า ไข่มุก อัญมณีและอีกมากมายหลายอย่างนัก”

“ร้านพวกนั้นอยู่ที่ใดหรือพี่ใหญ่”

“ถูกกระจายไปเปิดตามเมืองอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามองมากเกินไป” เมิ่งอวิ๋นได้รับรู้ถึงความร่ำรวยไม่มีที่สิ้นสุดของสกุลเมิ่งก็เกิดความสงสัย

“เช่นนั้นผู้ใดดูแลเล่า ในเมื่อท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่และข้าล้วนแต่อยู่ที่เมืองหลวง” เมิ่งลู่เหยาลูบศีรษะของเมิ่งอวิ๋นด้วยความเอ็นดู พร้อมกับแถลงไขข้อสงสัยของน้องชาย

“ย่อมเป็นสกุลเมิ่งคนอื่นในสายรองอย่างไรเล่า เหลาอาหารจื่อเค่อคือสิ่งที่ท่านปู่มอบให้ท่านพ่อ ส่วนกิจการอื่นๆ นั้นก็ล้วนแต่เป็นของท่านพ่อเช่นกัน”

“...”

“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่าท่านพ่อจะใจร้ายใจดำ ไม่มอบสิ่งใดให้ท่านอาทั้งหลายเลย จึงได้ให้พวกเขาควบคุมดูแลโดยที่จะต้องขึ้นตรงต่อท่านพ่อ”

“เช่นนั้น...จะไม่มีการคดโกงหรือพี่ใหญ่” เมิ่งลู่เหยาที่ได้ยินคำถามก็ได้แต่หัวเราะออกมาเสียงดัง

“ย่อมมี แต่ท่านพ่อมิใช่คนโง่ เจ้าคิดว่าจะไม่มีผู้ใดเป็นมือเป็นเท้าให้ท่านพ่อเชียวหรือ?”

เมิ่งอวิ๋นเบิกตากว้าง เล่ห์เหลี่ยมพวกนี้ในวงธุรกิจของเขานั้น เขาได้พบเจอมามาก สิ่งที่เรียกว่าไส้ศึกหรือหนอนบ่อนไส้ที่คอยสอดส่องและนำความลับมาบอก เขาย่อมต้องเคยพบเจอ

เพียงแต่เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า...บิดาของเมิ่งอวิ๋นจะใช้วิธีนี้เช่นกัน

เก่งกาจเกินไปแล้ว!

เห็นเมิ่งอวิ๋นอ้าปากค้างตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยินเมิ่งลู่เหยาก็ยิ่งเพิ่มความเอ็นดู มาลองคิดดูแล้วเพราะท่านพ่อของเขาและเมิ่งอวิ๋นร้ายกาจมิใช่หรือ เมิ่งอวิ๋นจึงได้มีนิสัยไม่ต่างจากบิดานัก แต่สิ่งที่แตกต่างกันคงจะเป็นประสบการณ์เสียมากกว่า เพราะเมิ่งหยวนนั้นผ่านร้อนหนาวมามาก แต่เมิ่งอวิ๋นอายุเพียงแค่สิบกว่าหนาว จะมีเล่ห์เหลี่ยมเช่นบิดาได้อย่างไร

เมิ่งอวิ๋นคิดถึงจุดนี้แล้วก็ตกใจยิ่งนัก

“อย่าห่วงเลย เรื่องนี้พี่จะไปบอกกล่าวแก่ท่านแม่เอง รับรองว่าของขวัญที่เจ้าจะให้ติงหยุนมู่ไม่น้อยหน้าผู้ใดอย่างแน่นอน”

เมิ่งอวิ๋นมองพี่ชายด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ ความเอาใจใส่และรักใคร่น้องชายของเมิ่งลู่เหยามันช่างชวนให้อิ่มเอมใจเหลือเกิน เป็นเช่นนี้แล้วเมิ่งอวิ๋นช่างโชคดีนัก เพราะแม้แต่ตัวเขา...ยังไม่อาจได้รับสิ่งนี้จากใครนอกจากป้าหวง คิดเช่นนั้นแล้วเขาก็ได้แต่กลืนความเจ็บช้ำลงไปในลำคอ

“ขอบคุณพี่ใหญ่ ข้า...”

แม้อยากจะพูดอะไรที่มากไปกว่านี้ หรือบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นน้องชายแท้ๆ ของอีกฝ่าย แต่เขาก็ทำใจพูดมันออกไปไม่ได้ สีหน้าและแววตาจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและคิดไม่ตก ส่วนเมิ่งลู่เหยานั้นไม่ได้รู้เลยถึงความคิดของเมิ่งอวิ๋น เพียงแค่เห็นว่าน้องชายนิ่งเงียบไปจึงอดห่วงไม่ได้จนต้องใช้หลังมือแตะที่หน้าผากเล็ก เพื่อตรวจดูว่าร่างกายของน้องชายไม่ได้ร้อนด้วยพิษไข้

“เจ้าป่วยหรือ? ไม่สบายที่ใด เหตุใดจึงได้ทำสีหน้าเช่นนี้” เมิ่งอวิ๋นจับมือที่แสนอบอุ่นเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้า

“ข้าสบายดี เพียงอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้ที่พี่ใหญ่ รักและดีต่อข้ามาเสมอ”

แม้ว่าเมิ่งอวิ๋นจะทำตัวร้ายกาจเพียงใด พี่ชายคนนี้ก็ไม่เคยต่อว่า ยังปกป้องด้วยทุกอย่างที่มี

คนดีเช่นนี้...เขาจะไม่ดูแลได้อย่างไร

“เด็กโง่...เจ้าเป็นน้องชายของพี่ หากไม่ดีต่อเจ้า พี่จะไปดีต่อใครได้อีกเล่า จริงหรือไม่?” เมิ่งลู่เหยาระบายยิ้มออกมา โยกศีรษะของน้องชายด้วยความเอ็นดู

เมิ่งอวิ๋นยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น ทั้งที่ในอกมันทั้งหวานล้ำและขมขื่นไปพร้อมกัน ความอิจฉาที่ไม่อาจเป็นครอบครัวของเมิ่งลู่เหยาได้มันตีตื้นขึ้นมา อิจฉาเมิ่งอวิ๋นที่มีครอบครัวที่รักใคร่ ในขณะที่เขา...ไม่มีใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่หรือแม้แต่น้อยชายตัวเอง ขนาดคนที่รักยังลงมือฆ่าเขาให้ตายได้อย่างเลือดเย็น

หรือชีวิตของเขา...ไม่ควรได้พบกับความสุข

ไม่ควรได้รับความรักกัน

“เอาล่ะ เจ้ากลับไปที่ห้องเถิด พี่จะไปคุยกับท่านแม่ให้”

“ข้าฝากพี่ใหญ่ด้วยนะขอรับ”

เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะมีของติดมือไปฝากสหายอย่างติงหยุนมู่แน่นอน เมิ่งอวิ๋นก็เดินออกมาจากห้องของเมิ่งลู่เหยา ในตอนนี้เขายังไม่สามารถทำสิ่งใดตอบแทนเมิ่งลู่เหยาได้

ร่างบางเดินตรงกลับไปที่ห้องของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการครุ่นคิด ขนาดเดินก้าวเข้ามาถึงภายในห้องยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ในขณะที่เมิ่งอวิ๋นกำลังจะหย่อนตัวลงนั่งบนตั่งของตนเอง เสี่ยวหลงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน เนื้อตัวเปียกปอนจนหนาวสั่น แต่ก็ไม่อาจทำให้เสี่ยวหลงหยุดความตื่นรตระหนกกับสิ่งที่ได้รับรู้มาลงไปได้

“นายน้อยขอรับ นายน้อย!” เมิ่งอวิ๋นเด้งตัวขึ้นจากตั่งทันที สีหน้ามีความร้อนใจอยู่ในเห็นเมื่อได้เห็นเสี่ยวหลงเป็นเช่นนี้

“มีสิ่งใด เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“เมื่อครู่บ่าวไปตลาดมา ได้ยินข่าวเกี่ยวกับแม่นางในหอฮุ่ยเหรินและ เอ่อ” เมิ่งอวิ๋นขมวดคิ้ว มองเห็นความลังเลในสีหน้าและแววตาของเสี่ยวหลง

“เจ้าพูดมาเถิด”

“กับท่านแม่ทัพหลี่ขอรับ”

หัวใจดวงน้อยของเมิ่งอวิ๋นหล่นลงสู่พื้น ทั้งที่รู้ดีว่านี่คืออาการตกค้างของความรู้สึกที่เมิ่งอวิ๋นทิ้งเอาไว้ แต่เขาก็ยังไม่อาจหยุดความรู้สึกที่มีนี้ได้ เมิ่งอวิ๋นเพียงแค่นยิ้มออกมา เอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“ได้ยินมาว่าอย่างไร” เสี่ยวหลงก้มใบหน้าลงต่ำ เพราะมันไม่กล้ามองแววตาที่ฉายความเจ็บปวด และสีหน้าอันทุกข์ทรมานของผู้เป็นนายได้ แม้ตนจะเป็นผู้นำข่าวในครั้งนี้มาบอกกล่าวเอง แต่ก็เพียงเพราะ...ปรารถนาให้นายน้อยของมันได้ตัดเยื่อใยต่อแม่ทัพหลี่ผู้นั้นเสียที

“บ่าวได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพพาแม่นางผู้หนึ่งจากหอฮุ่ยเหรินไปที่จวนขอรับ”

“...” งั้นหรือ...คงจะลงเอยกันดังที่ควรเป็นแล้วสินะ

สิ่งที่ได้ยินมาไม่ได้ทำให้เมิ่งอวิ๋นแปลกใจแม้แต่น้อย เดิมทีทั้งสองก็รักกันมาเหลือเกินอยู่แล้ว แต่เพราะมีเมิ่งอวิ๋นเป็นตัวขัดขวางความรัก ทุกอย่างจึงได้หยุดชะงักลงไป เมื่อเมิ่งอวิ๋นทำร้ายดวงใจของหลี่เจี้ยนเฉิง อีกฝ่ายก็ไม่คิดปรานีใดๆ ต่อเมิ่งอวิ๋นอีก

โทษทัณฑ์ของเมิ่งอวิ๋นจึงเป็นการอยู่ไม่สู้ตาย

“นายน้อย...”

สีหน้าของท่าน...มันแสดงออกว่าเจ็บปวดอยู่นะขอรับ

ทั้งที่ปรารถนาเพียงให้นายน้อยของตนตัดใจเสีย แต่ตัวของเสี่ยวหลงเองก็ลืมคิดไปว่าสิ่งที่จะมาก่อนการตัดใจ คือความเจ็บปวดที่ไม่อาจได้รับหัวใจจากคนที่รักได้

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าห่วงเลย”

ต่อให้หัวใจบีบรัดจนรวดร้าวก็ตามที

“บอกข้าหน่อย นางผู้นั้นมีนามว่าอะไร” เสี่ยวหลงเริ่มไม่อยากจะบอกสิ่งใดต่อนายน้อยของตนอีกแล้ว แต่เมื่อถูกถามมาเช่นนี้ ก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากตอบออกไปตามความจริง

“บ่าว บ่าวได้ยินว่านางคือไป๋จูจากหอฮุ่ยเหรินขอรับ”

เป็นนางจริงๆ

เมิ่งอวิ๋นได้แต่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทั้ง ๆ ที่เขาเพียงอยากจะหัวเราะให้กับชะตาและความรักของชายหญิงคู่นั้น แต่เสียงที่เปล่งออกมามันกลับเต็มไปด้วยความเศร้า ความเสียใจ และความปวดร้าวจนใครที่ได้ฟังล้วนแต่ต้องปวดใจตาม

“เจ้า อึก เจ้าออกไปก่อน”

“แต่นายน้อย...”

“ข้า อยากอยู่ลำพัง”

ในตอนนี้ร่างกายและความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นนั้น นับว่าใกล้จะถึงขีดสุดเต็มที น้ำตากำลังเอ่อล้นขึ้นมาจนแทบจะไหลริน หัวใจก็เจ็บปวดราวกับว่ามันได้แตกสลายลงไปเสียแล้ว เสี่ยวหลงมองใบหน้าของผู้เป็นนายอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูลงเพื่อไม่ให้ผู้ใดเห็นสภาพของนายน้อยในตอนนี้

เสี่ยวหลงดวงตาแดงก่ำ ใช้หลังมือเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มด้วยความปวดใจและคับแค้นใจ ท่านแม่ทัพช่างใจร้ายยิ่งนัก ทั้งที่นายน้อยของมันรักและเทิดทูนบูชาขนาดนี้ กลับไม่ยอมชายตาแลแม้แต่ความรักสักเศษเสี้ยวหนึ่ง นายน้อยก็เช่นกัน ทั้งที่ไร้ความทรงจำแต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึก เป็นเช่นนี้แล้ว...จะสามารถลืมเขาได้จริง ๆ หรือ

ส่วนเมิ่งอวิ๋นเมื่อเห็นว่าประตูปิดลงไปแล้วก็ปลดปล่อยให้หัวใจของเมิ่งอวิ๋น ได้หลั่งน้ำตาและความเสียใจออกมาให้เต็มที่ มือบางกดลงที่ตำแหน่งของอกข้างซ้าย พยายามควบคุมการบีบรัดตัวของมันทั้งที่เขาเองก็รู้ดีว่าทำไปก็เปล่าประโยชน์

ตอนนี้เมิ่งอวิ๋นกำลังเจ็บปวดเพราะเขาคนนั้น กำลังร่ำร้องตะโกนออกมาอย่างน่าสงสาร

เขาที่เป็นเจ้าของร่างคนใหม่ ก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ความรู้สึกของเจ้าของเดิมได้ปล่อยออกมาพร้อมกับปลอบใจ

“เมิ่งอวิ๋น ผมรู้ ว่าคุณเสียใจ”

“ผม ฮึก เข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ ผมเข้าใจทุกอย่าง ถึงได้อยากให้คุณตัดใจจากเขา”

ทั้งที่รู้ว่าเมิ่งอวิ๋นไม่มีวันได้ยินเสียงของเขา แต่เขาก็ยังคงพูดมันออกมา อย่างน้อย...หัวใจที่กำลังทำงานหนักและแหลกสลายอยู่ในตอนนี้ ก็ได้ยินเสียงของเขาชัดเจน

“คุณต้องเจ็บอีกแค่ไหน ต้องทรมานเพราะเขาอีกเท่าไรหรือครับ...”

เขา ทิ้งตัวทรุดกายลงกับพื้นทั้งที่มือข้างหนึ่งยังไม่อาจละออกไปจากอกข้างซ้ายของตัวเองได้

“คุณถึงจะหยุดรักเขา แล้วรักตัวเองเสียที”

“เมิ่งอวิ๋น...หยุดรักเขาเถอะนะ ผมขอร้อง”

บางที...เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจจะทำให้หัวใจที่มั่นคงในรักดวงนี้ ได้ตัดใจจากผู้ชายคนนั้นจริง ๆ เสียที





TBC





ความจริงจากเหตุการณ์น่าเป็นห่วงของประชาชนในตอนนี้แมวเองคิดว่าจะแจ้งหยุดอัพนิยายด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้หลีกทางให้ทุกคนได้เรียกร้องประชาธิปไตยไปก่อน แต่เนื่องจากมันค้างอยู่ที่50% แมวเลยคิดว่า เอาวะ! ลงให้มันจบตอนก่อน แต่อีกใจแมวก็คิดว่าถ้าทุกคนเครียดแล้วจะหาความบันเทิงจากที่ไหน พอคิดแบบนี้ก็อยากลงนิยาย 55555 ลำบากใจเลย

ปล. เรื่องนี้มันมีเหตุและผลแต่พวกคุณต้องอดทนรอนะคะ อย่าเพิ่งเทเรา อย่าเพิ่งทิ้งแมวและน้องเมิ่งนะ อย่าเพิ่งงงงง 
 

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 100% (Up.20/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 20-10-2020 11:51:14
ปวดใจไปด้วยเลย สงสารน้องงงง
ยังไงก็ยังเจ็บปวดอยู่ดีซินะ
ท่านแม่ทัพถ้าไม่รีบสร้างผลงาน แม่ยกจะไม่เชียร์แล้วเน้อ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 100% (Up.20/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-10-2020 01:16:05
จะมารอต่อไปเรื่อยๆน้า อย่าลืมมาลงให้กันก้อพออ

สู้ไปด้วยกัน
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (12) 100% (Up.20/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-10-2020 23:48:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 50% (Up.05/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 05-11-2020 17:10:05
[13] 50%


วันสำคัญของติงหยุนมู่

วันนี้คือวันสำคัญของสหายสนิทที่เขาเฝ้ารอคอยมันด้วยความตื่นเต้นยินดี แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเมิ่งลู่เหยาผู้เป็นพี่ชายรับปากอย่างดิบดีแล้ว ว่าจะถามไถ่มารดาและนำของขวัญที่จะมอบให้ติงหยุนมู่มาให้แก่เขา ทว่าเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสิ่งที่ได้มานั้นคือสิ่งใด จึงทำให้เมิ่งอวิ๋นเริ่มค้นหาบางสิ่งในห้องของตนเอง

ชุดสีอ่อนที่ถูกเสี่ยวหลงเลือกมาให้นับว่าไม่ได้ดูเลวร้ายนัก แต่ด้วยตัวเขาไม่ชื่นชอบสีเช่นนี้นัก จึงได้แต่ยอมรับมันมาสวมบนร่างอย่างไม่เต็มใจ

เมิ่งอวิ๋นเดินไปซ้ายทีขวาทีด้วยท่าทางที่แสนจุวุ่นวาย ดวงตาสีเกาลัดเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าครุ่นคิดเพียรพยายามนึกถึงความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นว่ามีสิ่งใดที่พอจะใช้เป็นของขวัญแก่สหายคนนี้ได้บ้างหรือไม่ แม้เขาจะร่ำรวยเงินทองมากมาย แต่ของบางอย่างในห้องนี้ก็ไม่เคยถูกนำมาใช้งานสักครั้ง อีกทั้งยังปล่อยเอาไว้ให้ฝุ่นจับ

“นายน้อย นายน้อยหาสิ่งใด โปรดบอกบ่าวเถิดขอรับ บ่าวจะค้นหาให้เอง” เสี่ยวหลงที่ยืนมองผู้เป็นนายเดินวนไปมาด้วยอาการที่อยากถลาร่างเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก่อนนี้กลับถูกห้ามปรามเอาไว้ จึงได้แต่ยืนนิ่งมองร่างของนายน้อยหาของด้วยตนเอง

“ข้าเคยมีของสิ่งใดที่ไม่เคยแตะต้อง หรือของสำคัญที่ไม่เคยใช้หรือไม่?” เมื่อไม่อาจหาเองได้ เมิ่งอวิ๋นถึงปลงใจและหันมาสอบถามกับเสี่ยวหลงแทน ใบหน้าของเสี่ยวหลงนั้นคล้ายกระรอก จะฉายแววยินดีทุกครั้งที่ถูกใช้งานราวกับได้รับของอร่อย

“หากของที่นายน้อยมีแต่มิเคยใช้ ส่วนใหญ่บ่าวจะเก็บเอาไว้ในหีบขอรับ”

“หีบนี่นะหรือ?” เมิ่งอวิ๋นชี้ไปที่หีบใบใหญ่ที่ถูกปิดเอาไว้สนิท

“ใช่ขอรับ แต่หากจะเป็นพวกของประจำตัวนายน้อย หรือของสำคัญที่นายน้อยต้องการให้เก็บรักษาเอาไว้ บ่าวจะแยกเอาไว้ที่ช่องใต้ตั่งของนายน้อยขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็มองหีบใบใหญ่ก่อนจะเบนสายตาไปอีกด้านซึ่งเป็นตั่งนอนของตน ใต้ตั่งดูจะเป็นที่เก็บเล็ก ๆ หากจะดูควรมองหีบใบใหญ่เสียก่อนจะดีกว่า

เมิ่งอวิ๋นคิดเช่นนั้นจริงๆ จึงคิดจะเดินเข้าไปหาหีบใบใหญ่ทางซ้ายของตน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดที่เมิ่งอวิ๋นกลับไม่สามารถเดินเข้าไปหามันได้ ในใจคัดค้านและรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากอยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ทั้งสองที่ที่เสี่ยวหลงบอกมา แต่กลับเป็นหลังตู้ใบสูงริมสุดทางขวา

เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ใบหน้าขมวดคิ้วจนเป็นปมพยายามคิดว่าสิ่งใดที่อยู่ตรงนั้น เมื่อเดินมาจนถึงหน้าตู้ เมิ่งอวิ๋นก็เอื้อมมือออกไปหวังจะคว้าสิ่งที่ถูกเก็บงำเอาไว้บนตู้ใบใหญ่ออกมา

“นายน้อย!”

เสี่ยวหลงร้องเรียกผู้เป็นนายด้วยความตกใจใบหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าสิ่งที่นายน้อยของตนหวังจะคว้ามาคือสิ่งใด เดิมทีตัวเสี่ยวหลงเองก็ลืมเลือนไปเสียแล้วว่าก่อนที่นายน้อยของตนจะจำสิ่งใดไม่ได้นั้น นายน้อยของตนได้เก็บสิ่งหนึ่งเอาไว้อย่างดี เพียงเพื่อจะมอบให้แก่...

หรือนายน้อยจะจดจำได้ขึ้นมาบ้างแล้ว?

“นายน้อยขอรับให้บ่าวหยิบให้เถอะขอรับ” หากตัวของเสี่ยวหลงเป็นผู้หยิบลงมาให้อย่างน้อยก็สามารถหยิบเอาสิ่งอื่นลงมาให้นายน้อยของตนได้ แต่หากนายน้อยเป็นผู้หยิบเองเขาก็เกรงว่าจะหยิบเอาสิ่งนั้นลงมาจริงๆ

“ไม่เป็นไร อ๊ะ! เจอแล้ว”

เจอแล้วหรือ! แย่แน่

ในใจของเสี่ยวหลงคล้ายมีสัตว์นับสิบตัววิ่งเล่นอยู่ในนั้น มันทั้งหวาดกลัวและร้อนใจจนอยากจะแย่งชิงของในมือของนายน้อยออกมาแล้วดูเสียทีว่าจะใช่ของสิ่งนั้นที่เขากำลังคิดหรือไม่ แต่หากทำเช่นนั้นขึ้นมาย่อมต้องเป็นสิ่งน่าสงสัยแน่ ถ้าหากนายน้อยของตนไม่ได้จดจำสิ่งใดได้ ก็จะเท่ากับว่าเขาเป็นคนไปสะกิดบางสิ่งขึ้นมาเสียเอง

เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี

เมิ่งอวิ๋นไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนใจของเสี่ยวหลงเลยแม้แต่น้อย เขายังคงมองกล่องไม้ในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเปิดมันออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ภายใน ทันทีที่เปิดออกสิ่งของด้านในก็ปรากฏ

ป้ายหยกที่สลักอักษรคำว่าเป่า (宝[1]) หยกสีขาวเนื้อดีที่ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็งดงามไร้ที่ติ

เสี่ยวหลงนั้นหน้าซีดปากสั่น ร่ำร้องในใจแต่คำว่าตายแน่ ในขณะที่เมิ่งอวิ๋นกลับลูบไล้มันอย่างทะนุถนอมรักใคร่ ชั่ววินาทีที่เขาจับต้องมัน ความรู้สึกบีบคั้นในหัวใจก็กลับเข้ามา แต่กลับน้อยมากเสียจนเขาเกือบจะไม่ใส่ใจ

“เสี่ยวหลง...”

“ขะ ขอรับนายน้อย” เสียงของเสี่ยวหลงนั้นสั่นจนเกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้ ยังดีที่นายน้อยของตนสนใจเพียงป้ายหยกตรงหน้าจึงไม่ได้ใส่ใจในความผิดปกติ

“ป้ายหยกนี่...ของข้าหรือ?” เสี่ยวหลงที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ต้องลอบกลืนน้ำลายลงไปเงียบ แต่จะให้โกหกตัวเขาเองก็ทำไม่ได้

“ขอรับ เป็นของที่นายน้อยซื้อมาด้วยตนเอง”

แต่มิได้คิดจะใช้เอง คำพูดนี้เสี่ยวหลงมิได้กล่าวออกไป

“ให้ผู้ใด” เมื่อคำถามนั้นออกมาจากปากผู้เป็นนาย เสี่ยวหลงก็เลือกที่จะก้มหน้าเงียบปากลงคล้ายจะต้องการบอกว่าไม่อยากจะตอบ เสี่ยวหลงได้แต่หลั่งน้ำตาในใจเงียบๆ หวังให้นายน้อยของตนลืมเลือนมันไปเสียแล้วไม่มาสนใจอีกว่ามันจะเป็นของผู้ใด เพื่อผู้ใด เพราะตัวเขาไม่ปรารถนาจะตอบคำถามที่จะกระตุ้นความทรงจำของนายน้อยจริง ๆ

“ว่าอย่างไรเล่า ข้าถามเจ้าอยู่นะเสี่ยวหลง”

“ให้ เอ่อ ให้ท่านแม่ทัพขอรับ” จบคำเสี่ยวหลงก็ได้แต่ร่ำไห้เงียบๆ พลันคิดไปว่าจบแล้วชีวิตนี้ เรื่องนี้จะต้องทำให้นายท่านและฮูหยินโกรธจนสั่งโบยตนจนตายแน่ เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินเองก็เผลอกำป้ายหยกในมือแน่น คล้ายต้องการจะบีบมันเสียให้พังลงไป ทว่าแรงของเมิ่งอวิ๋นไม่อาจทำให้มันเสียหายได้ อีกทั้งเขายังยับยั้งใจเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะใส่แรงเพิ่ม

เมิ่งอวิ๋นอาจซื้อมันเพื่อส่งให้กับหลี่เจี้ยนเฉิง

แต่เขามิใช่เมิ่งอวิ๋นเสียหน่อย ของดี ๆ เช่นนี้ จะนำไปให้บุรุษผู้นั้นเพื่ออะไรกัน เสียดายของ

คิดได้เช่นนั้นใบหน้าก็พลันมีรอยยิ้มออกมา มือบางปิดกล่องไม้ลงไป แล้วเดินมาหาเสี่ยวหลงพร้อมกับยื่นกล่องไม้ไปให้เสี่ยวหลงที่ยังคงก้มหน้าอยู่

“เจ้านำสิ่งนี้แล้วติดตามข้าไปที่จวนสกุลติง” เสี่ยวหลงที่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมาทันที แววตาฉายชัดถึงความไม่เข้าใจ มิใช่ว่าจะนำไปให้ท่านแม่ทัพหรอกหรือ?

“เจ้าคงจะสงสัย ว่าเหตุใดข้าจึงให้เจ้านำมันไปพร้อมกับข้าที่จวนสกุลติง มิใช่จวนแม่ทัพ”

“บ่าว บ่าว...” แม้จะแก้ตัวยังไม่อาจพูดออกมาได้ ด้วยเขาสงสัยเช่นนั้นจริงๆ ตัวของเสี่ยวหลงรู้ดีว่าไม่ควรเอ่ยถามเรื่องของเจ้านาย ทว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเสี่ยวหลงที่ไร้พิษภัยจะสามารถกักเก็บความสงสัยเอาไว้ได้อย่างไร

“ไม่เป็นไร การสงสัยนั้นถือเป็นสิ่งดี ข้ามิได้จะตำหนิเจ้า” เห็นนายน้อยส่งยิ้มมาให้อย่างใจดี เสี่ยวหลงก็พลอยรู้สึกปลาบปลื้มใจนัก

“บ่าวสงสัยเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ” และเมิ่งอวิ๋นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแย่ใดๆ ผู้ใดที่ใกล้ชิดเมิ่งอวิ๋นย่อมต้องสงสัยอยู่แล้ว หากไม่สงสัยสิถึงจะเรียกได้ว่าแปลกนัก

“เจ้าบอกข้าเองว่าข้าซื้อมันมาเพื่อมอบให้แก่เขา”

“ใช่ขอบรับ”

“แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เหตุใดจะต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย นำของขวัญชิ้นงามนี้ส่งให้เขาด้วยเล่า?” เสี่ยวหลงมองภาพของเมิ่งอวิ๋นตรงหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีปรีดา

“นายน้อยกล่าวได้ถูกต้อง ของชิ้นนี้นับว่าไม่เหมาะจะมอบให้แก่ท่านแม่ทัพอย่างยิ่ง”

“และไม่มีของสิ่งใดของข้าที่เหมาะกับเขาเช่นกัน เพราะฉะนั้น...ก็อย่าหวังว่าข้าจะมอบสิ่งใดให้อีก”

“ขอรับนายน้อย!” เสี่ยวหลงได้ยินเช่นนั้นก็พลันรู้สึกเบิกบานใจจนรีบกลับรับคำพูดนั้นของเมิ่งอวิ๋น ใบหน้าของเสี่ยวหลงในยามนี้ไร้ซึ่งแวววิตกกังวลใด ๆ อีก ถือกล่องไม้ในมืออย่างหวงแหนและระมัดระวังเป็นพิเศษ หากกล่องใบนี้คือของขวัญสำหรับคุณชายรองติงแล้วละก็ เขายินดีปกป้องมันด้วยชีวิตเลย

เสี่ยวหลงนั้นจำได้ดีว่าป้ายหยกชิ้นนี้นั้นมีราคามากขนาดไหน นายน้อยของตนต้องเสาะหาไปทุกร้ายเพียงเพื่อให้ได้หยกเนื้อดีที่สุดมาเป็นของขวัญให้แก่ท่านแม่ทัพหลี่ผู้นั้น แต่ด้วยอุบัติเหตุในวันนั้นทำให้นายน้อยลืมเลือนทุกสิ่งไป และลืมเลือนของชิ้นนี้ไปเช่นกัน

เมิ่งอวิ๋นยกยิ้มด้วยความพอใจ อย่างน้อยในตอนนี้หัวใจของเมิ่งอวิ๋นก็เงียบสงบกว่าเก่าก่อนมาก จนไม่มีความเจ็บปวดในยามที่เอ่ยถึงหรือหวนคิดถึงความทรงจำครั้งเก่าอีก เขาจึงสามารถเลือกจัดการกับป้ายหยกชิ้นนี้ได้ มันยังไม่เคยถูกใครจับจองเป็นเจ้าของมาก่อน ไม่เคยถูกส่งมอบให้แล้วโดนปฏิเสธมา เช่นนั้นก็คงไม่เป็นอะไร หากเขาจะนำมันไปเป็นของขวัญวันสำคัญของสหาย

อีกอย่าง…เขาเองก็คิดว่า ป้ายหยกชิ้นนี้เหมาะกับติงหยุนมู่มากกว่าคนแซ่หลี่เสียอีก

หากเขาไม่ยอมให้คนแซ่หลี่เสียอย่าง อีกฝ่ายเองก็ไม่เคยรู้ว่าเมิ่งอวิ๋นเตรียมของดีเช่นนี้ไว้ให้ ในเมื่อไร้หลักฐานและพยานยังเป็นคนของเขา มีหรือของชิ้นนี้จะถูกคนผู้นั้นจับจ้องได้

คิดเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็ยิ้มเย็น แววตาเต็มไปด้วยความพอใจอยู่หลายส่วน นี่นับว่าความรู้สึกก้าวหน้าไปมากนัก ไร้ความเจ็บปวดบีบรัดของหัวใจในอกซ้าย เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกที่ตกค้างได้มลายหายไปเสียแล้ว ต่อไปหากพบกับบุรุษแซ่หลี่นามเจี้ยนเฉิง เขาคงไม่ต้องรู้สึกอันใดอีก คงสามารถมองอีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้าได้อย่างเต็มตาเสียที

 

 

 

เมิ่งอวิ๋นและเสี่ยวหลงเดินมาจนถึงบริเวณหน้าประตูจวนที่เปิดอยู่ นอกจวนมีรถม้าจอดรอท่าพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งยังมีเหล่าบ่าวรับใช้หลายคนช่วยกันยกหีบขนาดใหญ่ขึ้นไปเก็บมองเห็นเช่นนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็อดฉงนใจไม่ได้ เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าสิ่งใดที่อยู่ภายในหีบเหล่านั้น จึงได้หันไปถามกับเมิ่งลู่เหยาผู้เป็นพี่ชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลแทน

“พี่ใหญ่ ไม่ทราบสิ่งใดอยู่ภายในหีบเหล่านั้นหรือ?” เมิ่งลู่เหยาหันมามองน้องชาย ก่อนตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หีบเหล่านั้นล้วนบรรจุไปด้วยผ้าไหมเนื้อดีที่ท่านแม่หามาให้”

"ผ้าไหมเนื้อดี?" เมิ่งอวิ๋นขมวดคิ้ว ช่วงนี้ก็ไม่เห็นว่ามารดาจะไปมาที่ใด แล้วเช่นนี้จะหาผ้าไหมเนื้อดีมาจากที่ใดกัน? ความสงสัยยังไม่ถูกคลายออก เหล่าบ่าวรับใช้ก็ขนทุกสิ่งขึ้นรถม้าเสร็จสิ้นเสียหมดแล้ว

“คุณชายใหญ่ นายน้อย ทุกอย่างพร้อมแล้วขอรับ” เมิ่งลู่เหยาพยักหน้าพร้อมกับส่งสายตาให้พวกบ่าวรับใช้กลับเข้าไปด้านใน ก่อนจะหันมายิ้มให้เมิ่งอวิ๋นที่มีสีหน้างุนงงอยู่ข้างกาย

“ไปเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”

เมิ่งอวิ๋นพยักหน้า พร้อมกับส่งมือให้เมิ่งลู่เหยาช่วยประคองให้ก้าวขึ้นรถม้าได้สะดวกขึ้น เมื่อช่วยให้น้องชายตนก้าวขึ้นไปแล้ว เมิ่งลู่เหยาก็พาตัวเองก้าวขึ้นไปในรถม้าคันเดียวกันและนั่งเคียงข้างน้องชายด้วยท่าทางที่สง่างาม นับได้ว่าพี่ชายของเขามีความหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครในเมืองหลวงแห่งนี้

“พี่ใหญ่ ผ้าไหมเนื้อดีมากมายเช่นนี้ จะไม่ดูโอ่อ่าไปหรือ?” สำหรับเขาแล้วแม้ว่าผ้าไหมจะไม่ได้ดีเลิศเลออะไรปานนั้น แต่ด้วยตัวเขาย่อมรู้ดีว่าในยุคนี้ผ้าไหมเองก็นับว่าเป็นของดีอย่างหนึ่ง เดิมทีในชาติก่อนของเขา เขาเองก็นำของขวัญราคาแพงไปงานต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เสียเกียรติ ยิ่งมีมูลค่ายิ่งยกระดับของผู้ให้มากเท่านั้น

แต่สิ่งที่เขาสงสัยคือ...จำเป็นต้องขนไปเยอะขนาดนี้ด้วยหรือ?

เมิ่งลู่เหยาคล้ายไม่เข้าใจในความหมายของน้องชายตน ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ กับเสียงหัวเราะในลำคอคล้ายขบขัน แต่ทว่าแฝงไปด้วยความเอ็นดูเสียมากกว่า อีกทั้งยังยกมือขึ้นมาโยกศีรษะของน้องชายเล่น

“โอ่อ่า คำนี้นับว่าดีนัก แต่พี่จะบอกอะไรเจ้าให้”

“...”

“ยิ่งเรายกของขวัญไปมากมายเท่าไร นั้นยิ่งเป็นการดีกับความสัมพันธ์” เมิ่งอวิ๋นเลือกคิ้วขึ้นอย่างฉงนใจอยู่ในที

“หากข้านำข้าวของไปให้ติงหยุนมู่น้อยเกินไป เขาจะมินับข้าเป็นหายหรือ? หากเป็นเช่นนั้น วันใดข้าไร้เงินตรามากมายรายล้อมตัว เขาคงมิเห็นข้าเป็นสหายกระมัง” แต่ด้วยเขารู้ดีว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ เดิมทีติงหยุนมู่เป็นคนเช่นไรใช่ว่าความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นจะไม่มีบอก คนผู้นั้นจริงใจและเต็มใจช่วยเหลือ เป็นเมิ่งอวิ๋นเองต่างหากที่ห่างหาย จนความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้น ค่อยๆ มลายไป

"เจ้านี่ช่าง..." เมิ่งลู่เหยาได้แต่ถอนหายใจออกมา แต่ไม่ได้เกิดความขุ่นเคืองใจหรือรำคาญใจใดๆ กลับกัน...เขากลับมองว่าน้องชายของเขาใสซื่อบริสุทธิ์และน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

“เพราะเป็นสหายอย่างไรเล่าจึงต้องนำไปให้มากหน่อย อย่างไรเสียก็ไม่ควรให้น้อยหน้าสกุลหลี่” ได้ยินชื่อสกุลที่เมิ่งลู่เหยาเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาหวานก็ทอประกายยะเยือก จับจ้องไปอีกฝั่งโดยไม่ให้ผู้เป็นพี่ชายได้สังเกตเห็น

 

50%

 

เชิงอรรถ

^ 宝 อ่านว่า เป่า แปลงว่า สิ่งล้ำค่าหรือทรัพย์สมบัติ
 

 

 

ฮัลโหลลล เรากลับมาอัพแล้วจ้าาา หายไปสองสามอาทิยต์คือเขียนไม่ออก (ฮา) แต่ตอนนี้พอเขียนได้เราก็มาอัพแล้วนะ ขอบคุณทุกคนที่ยังไม่ทิ้งกัน ยังอยู่ด้วยกันนะคะ พรุ่งนี้เราจะมาอัพครึ่งหลังเนอะๆ สันสำคัญของอามู่ด้วยสิ คิกๆๆ

เมิ่งอวิ๋น


หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 50% (Up.05/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-11-2020 17:52:46
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 50% (Up.05/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-11-2020 22:26:44
รีบมาอีกน้า รอออ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 100% (Up.09/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 09-11-2020 17:05:49
[13] 100%


“เพราะเป็นสหายอย่างไรเล่าจึงต้องนำไปให้มากหน่อย อย่างไรเสียก็ไม่ควรให้น้อยหน้าสกุลหลี่” ได้ยินชื่อสกุลที่เมิ่งลู่เหยาเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาหวานก็ทอประกายยะเยือก จับจ้องไปอีกฝั่งโดยไม่ให้ผู้เป็นพี่ชายได้สังเกตเห็น

“สกุลหลี่มาด้วยหรือนี่”

“ย่อมต้องเชิญ อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นขุนนางขั้นสูง เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ สกุลติงย่อมต้องไว้หน้ามากหน่อย”

“...” เห็นน้องชายของตนนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวเมิ่งลู่เหยาเองก็ขมวดคิ้วตนเข้าหากัน ระแวงสงสัยว่าน้องชายกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

“หากเจ้าไม่อยากไปพี่จะให้...”

“ข้าจะไป มีเหตุผลใดจึงไปไม่ได้กัน อย่างไรข้ากับแม่ทัพหลี่ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น” เมิ่งลู่เหยามองน้องชายของตนอีกครั้งอย่างเต็มตา เมื่อเมิ่งอวิ๋นหันใบหน้ากลับมาจับจ้องด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว คล้ายไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆ ให้คนที่กล่าวถึงอีก

“อีกอย่างหลายวันมานี้พี่ใหญ่ก็น่าจะได้ยินมาบ้าง ข่าวลือที่ว่า แม่ทัพหลี่รับหญิงงามจากหอฮุ่ยเหรินเข้าจวน” เมิ่งลู่เหยาอึกอัก คล้ายไม่รู้จะตอบคำถามนี้เช่นไร ก่อนจะลอบพยักหน้าอย่างแผ่วเบา

“เรื่องนั้นพี่ย่อมได้ฟังมาไม่น้อย เพียงแต่…” เมิ่งลู่เหยาลอบมองใบหน้าของน้องชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย อีกทั้งยังคงมีความกังวลไม่น้อยว่าความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นนั้น จะปวดร้าวมากเพียงใดยามได้ยินข่าวในครั้งนี้ แม่ทัพหลี่ผู้นั้นก็ช่างกระไร! หากอยากรับสาวงามเข้าจวนเหตุใดต้องทำให้มีเสียงเล่าลือ หรือกลัวว่าน้องชายของเขาจะเสียใจไม่มากพอ!

ยิ่งคิดเมิ่งลู่เหยาก็ยิ่งนึกแค้นใจ จนอยากจะสังหารหญิงชายคู่นั้นให้ตายด้วยน้ำมือตน

“เดิมตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาจากครานั้น บอกพี่ใหญ่ตามตรงข้าหาได้มีความรู้สึกใดๆ กับเขาอีกแล้ว หัวใจของข้าในตอนนี้มันนิ่งสงบ ไม่คล้ายว่าข้ากำลังพูดถึงคนที่ข้ารัก แต่กำลังพูดถึงคนไม่รู้จักคนหนึ่ง”

“เจ้าพูดจริงหรือ!”

“ข้าพูดจริง”

เมื่อได้ยินคำยืนยันพร้อมกับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เมิ่งลู่เหยาก็พลันปลาบปลื้มยินดีเสียจนอยากจะกระโดดลงจากรถม้า แล้ววิ่งกลับไปที่จวนเพื่อบอกข่าวดีเช่นนี้ให้บิดามารดาได้ฟัง ในที่สุดเมิ่งอวิ๋นผู้เป็นน้องชายของเขาก็ตัดใจจากคนผู้นั้นได้จริง ๆ เสียที นับจากนี้ไปเขาคงไม่จำเป็นจะต้องห่วงสิ่งใดอีกแล้ว ในเมื่อหัวใจของน้องชายเขา มันได้หยุดเต้นเพื่อบุรุษผู้นั้นเสียที

น่ายินดียิ่งนัก!

ด้วยความดีใจและสุขใจ เมิ่งลู่เหยาจึงได้ชักชวนให้เมิ่งอวิ๋นพูดคุยเรื่องเก่าก่อน ในสมัยที่เขาและน้องชายต่างก็ยังเด็กด้วยกันทั้งคู่ เสียงหัวเราะพูดคุยดังออกมาจากตัวรถม้าจนเสี่ยวหลงที่อยู่ด้านนอกรถม้า ยังอดยิ้มตามไม่ได้ อีกทั้งยังใช้สองมือปาดไล่น้ำตา ภาวนาอยู่ในใจให้เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงนี้ อย่าได้หายไปอีกเลย

ไม่นานนักรถม้าก็หยุดลงที่หน้าจวนสกุลติง บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความยินดีที่มีให้กัน คนสกุลติงยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน เหล่าแขกเหรื่อทั้งหลายก็พากันเข้ามาพร้อมข้าวของในมือ

เมิ่งอวิ๋นก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางแสนงามสง่า รูปโฉมสะดุดตาจนไม่ว่าผู้ใดต่างก็ต้องหันมามองอย่างเสียไม่ได้ แต่เมิ่งอวิ๋นมิได้สนใจสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาเคยชินกับมันจนไม่จำเป็นต้องอึดอัดที่ถูกจับจ้อง กลับกันมันกลับยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับเมิ่งอวิ๋นเสียอีก

เมิ่งอวิ๋นรุดหน้าเข้าไปทางด้านใน ติดรอยยิ้มอ่อนน้อมไว้บนใบหน้าเมื่อมาพบผู้ใหญ่ อย่างไรนี่ก็มิใช่ครั้งแรกที่ได้พบบิดามารดาของติงหยุนมู่ เพียงแต่เขาที่เป็นครั้งแรกเท่านั้น ส่วนร่างของเมิ่งอวิ๋นย่อมเคยพบปะมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งมีเมิ่งลู่เหยานำมาเป็นทัพหน้า ยิ่งไร้สิ่งใดจะต้องกังวล

“ท่านลุง ท่านป้า หยุนมู่ ยินดีกับงานมงคลครั้งนี้”

“โอ้ อาเหยาเองหรอกหรือ ไม่ได้พบเสียนาน ป้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้เสียแล้ว” ฮูหยินติงหรือ อี๋ชิงเหลียน มารดาของติงหยุนมู่ยิ้มกว้างอย่างยินดี หัวเราะน้อย ๆ แต่พองามกับหลานชายที่ไม่ได้พบหน้ามาเสียนานหลายปี เมิ่งอวิ๋นได้แต่ค้อมกายประสานมือร่วมกับพี่ชายเงียบๆ มองใบหน้าของฮูหยินติงมารดาของสหายตนด้วยความแปลกใจไม่หยอก แต่นั่นก็ทำให้อี๋ชิงเหลียนรับรู้ถึงดวงตากลมสีเกาลัดพร้อมกับหันมามองเมิ่งอวิ๋นแทน

“เสี่ยวอวิ๋นหรือนี่?” เมิ่งอวิ๋นพลันรู้สึกตัว ก้มหน้าซ่อนความอับอายของตนลง แต่กลับยิ่งทวีความน่าเอ็นดูในใจของอี๋ชิงเหลียนเสียมากกว่า

“ขอรับท่านป้า ท่านป้าสบายดีหรือไม่ขอรับ”

“ป้าสบายดี เจ้าเล่า? ได้ยินว่าบาดเจ็บ หายดีแล้วหรือ” เมิ่งอวิ๋นช้อนสายตาขึ้นมองอี๋ชิงเหลียนเล็กน้อย

“ข้าหายดีแล้วขอรับ ขอบคุณท่านป้าที่ห่วงใย” เมิ่งลู่เหยาพยักหน้าให้เหล่าบ่าวรับใช้ขนหีบมากมายมาไว้ด้านใน พร้อมกับเอ่ยขึ้น

"นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าและเสี่ยวอวิ๋นนำมาให้ หวังว่าท่าลุงท่านป้า และหยุนมู่จะไม่รังเกียจ"

“ของมากมายเช่นนี้เลยหรือ ความจริงเจ้าทั้งสองเพียงมาแต่ตัวก็เพียงพอแล้ว ลุงกับป้าไหนเลยจะว่ากล่าว”

ติงกว่างอานเห็นน้ำใจของสกุลเมิ่งแล้วก็พลันอ่อนใจ แม้ว่าจะเคยได้ยินข่าวที่ว่าเมิ่งอวิ๋นชมชอบแม่ทัพหลี่ เขาก็คิดจะให้บุตรชายถอยห่างออกมา ไหนเลยจะคิดว่าเพียงได้ยินข่าวว่าเมิ่งอวิ๋นถูกรถม้าชนจนได้รับบาดเจ็บ บุตรชายของตนจะรีบเร่งเดินทางมาเยี่ยมเยียนเช่นนี้ แต่เมื่อได้เห็นหน้าผู้เป็นหลานวันนี้แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เด็กน้อยน่ารักที่คอยหัวเราะยิ้มแย้มอยู่กับบุตรชายของเขานั้น น่ารักน่าเอ็นดูเสียจนโกรธเคืองไม่ลงจริง ๆ

“เพียงของเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” เมิ่งอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจจนคนได้มองก็อ่อนใจไปตามๆ กัน

“อาเหยา เจ้าไปกับลุงดีกว่า ลุงมีใครอยากแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก”

“ขอรับ”

เมิ่งลู่เหยาลอบส่งสายตาให้น้องชายครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามหลังของติงกว่างอานไป จึงเหลือเพียงอี๋ชิงเหลียน ติงหยุนมู่และเมิ่งอวิ๋นเท่านั้น ติงหยุนมู่มองใบหน้าของมารดาก่อนจะเอ่ยขออนุญาตพาเมิ่งอวิ๋นออกไปคุยเป็นการส่วนตัว ซึ่งอี๋ชิงเหลียนก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น จึงปล่อยให้ทั้งสองเดินจากไป ก่อนที่ตนเองจะเดินไปอีกทางเพื่อสั่งบ่าวรับใช้ให้นำหีบของขวัญไปเก็บไว้

เมิ่งอวิ๋นถูกดึงมาทางด้านหน้าของสวน แม้จะมีคนอยู่แต่ก็ไม่มากเกินไปจนวุ่นวาย ติงหยุนมู่มองหน้าของเมิ่งอวิ๋นอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนที่เมิ่งอวิ๋นจะหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางของอีกฝ่ายที่ทำราวกับว่า เขาจะมาล้มงานมงคลในครานี้

“เจ้ามองอะไรข้ากัน เห็นข้าเป็นผู้ร้ายหรือ?” ติงหยุนมู่พ่นลมออกมาจากปาก นึกหงุดหงิดใจกับตนเองที่ไม่ชินเสียทีกับเมิ่งอวิ๋นคนใหม่นี้ ยังคงนึกถึงเมิ่งอวิ๋นที่แสนร้ายกาจ ผู้ชื่นชอบการกลั่นแกล้งผู้อื่นคนนั้นเสียเหลือเกิน

“ไม่มีอะไร เจ้ามาก็ดีอยู่หรอก แต่รู้ใช่หรือไม่ว่ามีใครบางคนมางานของข้าเช่นกัน” เมิ่งอวิ๋นอยากจะกลอกตาเสียเหลือเกิน ทำไมใครต่อใครจะต้องมากังวลกับเรื่องนี้ด้วยนะ

“อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่ใช่มารเสียหน่อย จะได้ควักหัวใจคนผู้นั้นออกมากิน” ด้วยท่าทางที่คล้ายกับลูกเสือตัวน้อยที่ข่มขู่แง้วๆ ทำให้ติงหยุนมู่หลุดหัวเราะออกมาจนต้องป้องริมฝีปากเอาไว้ด้วยกำปั้น

“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าจะได้วางใจว่างานของข้าจะไม่ล่มเพราะเจ้า” ใบหน้างดงามง้ำงอลงทันที

“หากจะล่มจริงคงไม่ใช่เพราะข้าหรอก เพราะข้ากับคนผู้นั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว หัวใจของข้าในยามนี้...ลบเขาออกไปจนหมดสิ้นแล้ว”

“จริงหรือ?”

“แน่นอน อา จริงสิหยุนมู่ ข้ามีของจะให้เจ้าด้วย”

ติงหยุนมู่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย มองเมิ่งอวิ๋นที่ส่งสายตาเรียกบ่าวรับใช้ให้นำบางสิ่งมาให้ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ของขวัญมิใช่ว่าให้มาแล้วหรือ? ยังมีของสิ่งอื่นอีกหรือนี่ ช่างน่าตื่นเต้นนัก

เป็นเวลาเดียวกับเสี่ยวหลงที่เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ใบขนาดสองฝ่ามือ เขาส่งให้กับผู้เป็นนายก่อนจะล่าถอยออกไปอย่างรู้งานดี เมิ่งอวิ๋นรับกล่องไม้มาแล้วยิ้มกว้าง ยื่นมันไปให้กับติงหยุนมู่ที่ยังคงงุนงงอยู่

“นี่ของขวัญจากข้าให้เจ้า”

“ให้ข้าหรือ?”

“ใช่...เจ้าลองเปิดดู” ติงหยุนมู่เองก็อยากจะรู้ว่าสิ่งใดอยู่ในกล่องไม้จึงเลือกที่จะเปิดออกดูตามคำบอกของเมิ่งอวิ๋น เพียงแค่เปิดออกสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในนั้นทำให้ติงหยุนมู่นิ่งงัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างอย่างพอใจระคนยินดีออกมา

“เยี่ยม! นี่เป็นของที่ข้าชอบนัก ขอบใจเจ้ามาก”

“ไม่เป็นไร เจ้ากับข้าเป็นสหายกัน มอบสิ่งที่ดีให้เจ้าย่อมเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว” ติงหยุนมู่ถูกคำกล่าวนั้นจู่โจมหัวใจจนสั่นไหว ริมฝีปากคล้ายจะเผยอออกเพื่อกล่าวบางสิ่งแต่ก็ไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดออกมา

“คุณชายรอง เกี้ยวเจ้าสาวเดินทางมาถึงแล้วขอรับ” ติงหยุนมู่เก็บคำพูดลงคอ พยักหน้าให้แก่บ่าวที่มาแจ้งก่อนจะหันมามองเมิ่งอวิ๋นอีกครั้ง

“ไปกันเถอะ สุรามงคลของเจ้า...ข้ารอดื่มมันอยู่”

“ได้...”

ทั้งสองเดินไปยังด้านหน้าเพื่อรับตัวเจ้าสาวและเริ่มพิธี โดยที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจรู้ได้เลยว่าติงหยุนมู่อยากจะกล่าวสิ่งใดออกมากันแน่ แต่ก็คงจะเป็นคำขอบคุณ ถึงอย่างไรก็นับเป้นสหายกันมานาน อีกทั้งเมิ่งอวิ๋นเองก็แทบจะไม่เคยให้สิ่งใดกับติงหยุนมู่มาก่อน ไม่แปลกนักที่ติงหยุนมู่จะเกิดอาการตื้นตันเช่นนี้

พิธีถูกจัดขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางรอยยิ้มของใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับเมิ่งอวิ๋น ชุดพิธีการสีแดงสดงดงามกลับไม่ต่างจากเข็มนับพันเล่มที่แล่นมาปักลงบนหัวใจ หากเขาไม่ถูกฆ่าให้ตาย อีกไม่นานก็คงเป็นเขาที่ได้ยืนอยู่ในชุดเช่นนั้น คงได้มีโอกาสกราบไหว้ฟ้าดินกับอันซูเหม่ยไปแล้ว

หากแต่เวลานี้...คงเป็นน้องชายของเขากระมังที่จะได้สวมมันเข้าพิธี

ความเจ็บปวดถูกบดบังด้วยรอยยิ้ม เมื่อถึงเวลาที่ติงหยุนมู่จะต้องถูกมอมเหล้าก่อนเข้าหอ ด้วยการกลั่นแกล้งเช่นนี้ ติงหยุนมู่จึงถูกดึงไปให้ดื่มสุราคนแล้วคนเล่าจนอีกฝ่ายหน้าแดงก่ำไปด้วยความมึนเมา แม้แต่จะก้าวเดินยังไม่อาจเดินให้ตรงทางได้

เมิ่งอวิ๋นมองส่งสหายเข้าสู่ห้องหอจนลับสายตา ก่อนที่ตนจะถือไหสุราใบเล็กเดินออกมาจากจวน ความปวดร้าวยังคงเต็มตื้นอยู่ในดวงตา เหมือนที่ความเสียใจยังคงเต็มอยู่ในหัวใจของเขา

ทั้งที่เขาควรจะยินดีที่น้องชายและคนรักต่างได้มีความสุขกัน

ทั้งที่เขาไม่ควรเลยที่จะต้องมานั่งคิดถึงมันอีก แต่เขาก็ยังไม่อาจห้ามตนเองได้

สุรารสแรงถูกยกขึ้นดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดิมตามเขามาตั้งแต่ออกจากจวนสกุลติง เขายังคงมอมเมาไปกับความโศกเศร้าในหัวใจและรสชาติขมปร่าของสุราในปากไม่รู้จบ

ทั้งที่เขาเป็นคู่หมั้นของเธอ เป็นคนที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วย

แต่ทำไมกัน ทำไมถึงได้ทำกับเขาแบบนี้

แค่บอกเขาว่าไม่ต้องการแต่งงานกับเขา มันก็สามารถจบเรื่องทุกอย่างได้แล้ว

แต่เธอก็ยังเลือกที่จะฆ่าเขา ยังเลือกวิธีเลือดเย็นเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันกับน้องชายที่เขารักมาก

เมิ่งอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น น้ำตาไหลลงอาบสองแก้มทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังผิดหวัง หรือว่าเขากำลังเสียใจในเรื่องใดกันแน่ แต่เพราะทุกครั้งที่เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากจะทนต่อมันอีก เขาก็ได้แต่ยกสุราขึ้นมา แล้วดื่มเพื่อหวังให้ลืมมันเสียที

เมิ่งอวิ๋นที่เมามายจนยากที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า หยุดฝีเท้าลงพิงร่างกายกับสะพาน มองลงไปด้านล่างที่เป็นสายน้ำ แต่ไม่อาจปล่อยให้ความทุกข์ไหลผ่านพ้นไปได้เช่นเดียวกับมัน

เขาเลือกจะปีนขึ้นไปบนสะพานนั้น ยืนอยู่บนนั้นด้วยร่างกายที่โงนเงนไม่มั่นคง ใบหน้างดงามแหงนขึ้นมองฟ้าที่มีจันทราลอยเด่นอยู่ไม่ไกล

ทั้งที่เขายังคงทำดีตลอดมาแต่กลับต้องตายลงเช่นนี้

“บอกผมหน่อย...ความรักมันคือการหักหลังงั้นหรือ”

“หรือความรักคือการที่ผมจะต้องเสียสละให้เขาทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน!”

เสียงร้องไห้ดังออกมาพร้อมกับคำถาม ไม่ว่าจะนานมากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยได้คำตอบ ไม่ว่าสวรรค์หรือเทพองค์ใด ก็ไม่อาจตอบคำถามในใจของเขาได้สักคน

“เจ้า!”

จังหวะที่เขายังคงตัดพ้อต่อโชคชะตา ร่างกายที่ไม่มั่นคงก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปช้าๆ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินกลับคุ้นหูและน่าหงุดหงิดใจ

คนแซ่หลี่...อย่ามายุ่งกับข้าอีกเลย

แล้วเมิ่งอวิ๋นก็จมลงไปกับห้วงนิทราโดยไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ร่างกายของเขา ถูกใครบางคนฉุดรั้งเอาไว้ได้ทันก่อนจะตกลงไปจากสะพานที่กำลังยืน ใบหน้าหวานผิวแก้มแดงซ่านต้องแสงจันทร์ ช่างเป็นภาพที่งดงามจับใจคนมองเหลือเกิน หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน สายตาจับจ้องเพียงความงดงามที่อยู่ตรงหน้าราวกับกลัวว่าหากกะพริบตาแล้วนั้น ความงดงามที่แสนตรึงใจจะมลายหายไป





TBC



ได้แต่ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนั้น ไม่ได้ลำเอียงเลยนะคะ เรารักทุกตัวละครเท่ากัน จริงจริ๊งงงงง มาอัพช้าจริงๆ ค่ะ แมวยอมรับผิด อาทิตย์นี้จะมาต่อตอนที่14 แน่นอน คราวนี้เราจะไม่ผิดคำสัญญา รอกันได้เลยจ้า 

เมิ่งอวิ๋น 

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 100% (Up.09/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-11-2020 00:00:20
หึหึ โง่จิง
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 100% (Up.09/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-11-2020 17:47:17
พระเอกค่าตัว 2 บาทโผล่มาแล้ว
พร้อมหินในมือแม่ๆ ที่พร้อมจะปาถ้าทำอะไรน้อง
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (13) 100% (Up.09/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-11-2020 22:51:50
 :hao7:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (14) 50% (Up.12/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 12-11-2020 16:58:47
[14] 50%


ติดหนี้บุญคุณ

แสงแดดแรกรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามารบกวนการนอนของเมิ่งอวิ๋นจนต้องขยับกายหนี ใบหน้าที่แสนงดงามทว่าแฝงไปด้วยความเกียจคร้านนั้นถูไถไปกับหมอนก่อนจะหยุดนิ่งลง เมื่อหาจุดสบายตัวของตนเองได้แล้ว เมิ่งอวิ๋นขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับมาบริเวณช่วงเอว

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นความง่วงก็ทำเมิ่งอวิ๋นเลือกที่จะไม่ลืมตาขึ้นมา แต่ใช้มือของตนเองกวาดไปสิ่งนั้น เพื่อจะดึงมันออกไปไม่ให้รบกวนการนอนของเขา

เมิ่งอวิ๋นจับไปตามสิ่งแปลกปลอมที่ยังคงกดทับลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหลบหลีกไปเรื่อย ๆ จนเมื่อสัมผัสเจอกับนิ้วมือเข้า เมิ่งอวิ๋นจึงรีบลืมตาขึ้นมา

สิ่งที่เห็นนั้น มันทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก สิ่งที่รบกวนการนอนของเขาคือแขนของใครคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นแขนของบุรุษ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจเท่ากับว่า เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ห้องแล้ว เขากลับพบว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของตน และคนที่กำลังกดเขาอยู่ในตอนนี้ก็แน่นอนว่า ย่อมไม่ใช่พี่ชายของเขา

เช่นนั้น...ใครเล่าที่กำลังกอดเขาอยู่

ด้วยความสงสัยทำให้เมิ่งอวิ๋นหันกลับไปมองทางด้านหลังอย่างยากลำบาก แต่นั่นไม่ได้ลดความต้องการที่จะรู้ของเขาเลยแต่น้อย ภาพที่ปรากฏค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมาจนเมิ่งอวิ๋นต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้เห็น

ทำไมถึงเป็นเขาไปได้

เมิ่งอวิ๋นตะลึงไปกับสิ่งที่ได้เห็น สมองวนเวียนคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงแค่ภาพที่เขาแหงนใบหน้ามองจันทราที่บนสะพาน จากนั้นทุกอย่างก็คล้ายจะดับวูบเป็นมืดสนิท เมิ่งอวิ๋นยกมือขึ้นมานวดขมับของตน ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งปวดหัว แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดมากเท่าไรก็ไม่อาจหาความจริงที่เกิดต่อจากนั้นได้เลย

“อืม...”

เมิ่งอวิ๋นตัวแข็งทื่อเมื่อคนที่หลับใหลอยู่ทางด้านหลังขยับกายแนบชิดตน แขนที่วาดมากอดเขาค่อยๆ รัดร่างกายของเขาให้เข้าไปสู่อ้อมอกของอีกฝ่าย จนเมิ่งอวิ๋นต้องผลักไสวงแขนนั้นออกไป หวังจะหลุดออกจากการถูกอีกฝ่ายกอดรัดเสียที

“เจ้า!” เมิ่งอวิ๋นเดือดดาลจนอยากจะอาละวาดให้วอดวายกันไปข้างหนึ่ง แต่ที่ทำได้คือการสูดลมหายใจระงับโทสะของตนเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยเรียกให้คนหลับใหลได้สติ

“แม่ทัพหลี่ ปล่อยข้า” เมิ่งอวิ๋นพยายามผลักและดันแขนของคนข้างกายออก แต่มันทั้งหนักและแข็งแรงจนเขายังไม่สามารถนำมันออกไปจากช่วงเอวของตนเองได้

“เจ้าจะรีบตื่นทำไมกัน นอนต่ออีกหน่อยเถิด”

ทั้งที่เอ่ยคำพวกนั้นออกมา แต่กลับไม่ยอมลืมตาตื่นมามองแม้แต่น้อย เมิ่งอวิ๋นทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด อีกทั้งยังปวดหัวจากอาการเมาค้าง ความไม่พอใจจึงทบเท่าทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีกมันแทบจะระเบิดออกมา

“หลี่เจี้ยนเฉิง หากท่านปรารถนาจะนอนก็จงนอนไปคนเดียว ข้ามิใช่อนุหรือคนอุ่นเตียงของท่าน! อย่าได้หลู่เกียรติของข้ามากไปกว่านี้!” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นนั้นมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง จนหลี่เจี้ยนเฉิงได้ยินคำกล่าวหาของอีกฝ่ายต่อตนเองเช่นนั้นจึงได้ลืมตาขึ้นมา หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจกับสิ่งที่เมิ่งอวิ๋นพูด

“ข้าหลู่เกียรติของเจ้าหรือ?”

“ใช่!” เมิ่งอวิ๋นรีบตอบกลับไปอย่างไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย

“ข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวง ผู้มีความดีความชอบมากมาย หญิงมากมายในเมืองล้วนแต่ปรารถนาจะทอดกายให้ข้า เจ้าว่าข้าหลู่เกียรติเจ้าอย่างไร?” คนมากมายอยากขึ้นเตียงก็ไปหาคนมากมายเหล่านี้สิ มันเกี่ยวกับเขาตรงไหนกัน

“แล้วสิ่งที่เจ้าทำกับข้าในตอนนี้ไม่นับว่าหลู่เกียรติของข้าหรือท่านแม่ทัพ” หลี่เจี้ยนเฉิงกวาดสายตามองร่างของเมิ่งอวิ๋นที่เหลือเพียงชุดตัวในเบาบาง ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมา

“เจ้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว”

“เข้าใจผิด?” หลี่เจี้ยนเฉิงยอมดึงวงแขนของตนกลับมาอย่างง่ายดาย พร้อมกับหยัดกายขึ้นมานั่ง ในขณะที่เมิ่งอวิ๋นเองก็ขยับตัวถอยออกมานั่งห่างจากอีกฝ่ายเช่นกัน

“ถูกต้อง ข้ามิได้หลู่เกียรติของเจ้าแม้แต่น้อย กลับกัน...ข้าต่างหากที่ช่วยชีวิตของเจ้าเอาไว้”

“ช่วยชีวิตข้า? ไม่ทราบท่านกำลังล้อเล่นเรื่องอะไรอยู่หรือ?” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นเต็มไปด้วยความขบขันและเย้ยหยัน หากจะพูดกันตามตรงแล้ว คนเช่นหลี่เจี้ยนเฉิงหรือที่จะช่วยชีวิตของเขาเอาไว้?

มิใช่ปรารถนาจะลงมือฆ่าตายหรอกหรือ?

หลี่เจี้ยนเฉิงกลับไม่ถือสาหาความกับน้ำเสียงและแววตาของเมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย เขายังคงใจเย็นอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เมิ่งอวิ๋นฟัง

“ข้าไปพบเจ้าที่กำลังเมามายและร่วงหล่นลงมาจากสะพานที่เจ้ายืนอยู่ จึงได้ช่วยชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้ทัน หากไม่แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรเล่าในตอนนี้” เขาเหลือบมองปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นช้าๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจำสิ่งใดไม่ได้เลย แต่คงจะพอรู้ได้บ้างแล้วว่าเขามิได้กล่าวความเท็จออกมาแต่อย่างใด

“ไม่เช่นนั้นแม้แต่จะลืมตาตื่นขึ้นมา เจ้าก็คงไม่มีโอกาส”

ถูกต้อง...เมิ่งอวิ๋นกำลังหน้าซีดเมื่อได้ยินคำบอกเล่าต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา หากไม่ได้หลี่เจี้ยนเฉิงที่ดึงขึ้นมาจากสะพาน ป่านนี้เขาคงจะต้องกลายเป็นศพ คงไม่อาจดูแลครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นได้ดังที่สัญญาเอาไว้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมิ่งอวิ๋นก็ก้าวลงจากเตียงใหญ่ มองหาเสื้อผ้าของตนแล้วหยิบมันขึ้นมาสวมใส่ แม้ว่าบนเสื้อผ้าจะมีกลิ่นสุรามากมายติดอยู่ แต่มันก็ยังดีกว่าจะอยู่ในสภาพที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้

“คงต้องขอบคุณท่านแม่ทัพแล้ว ที่กรุณาช่วยชีวิตของข้าเอาไว้” เมิ่งอวิ๋นค้อมกายลงเล็กน้อยพร้อมกับสองมือที่กำแน่นเอาไว้เบื้องหน้า บุญคุณย่อมต้องตอบแทน ไม่อาจลืมเลือนความช่วยเหลือในครั้งนี้ไปได้

“ขออภัยที่ข้าเข้าใจท่านผิด”

ถึงแม้ปากจะกล่าวคำขอโทษแต่แววตากลับไม่ยินยอมแม้แต่นิดเดียว คนที่กล้าเอื้อมมือมากอดร่างของเมิ่งอวิ๋นทั้งที่สองมือคู่นั้น เคยเปื้อนหยาดโลหิตของเมิ่งอวิ๋น เขาไม่อาจ...อภัยให้ได้ และไม่อาจยอมรับได้จริงๆ

หลี่เจี้ยนเฉิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเดินเข้ามาหาเมิ่งอวิ๋นช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าของเมิ่งอวิ๋น ดวงตาคมจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา สองตาสอดประสานกันต่างความรู้สึก หนึ่งนั้นคือความขุ่นเคืองและเกลียดชัง อีกหนึ่งคือความรักใคร่ปรารถนา

ร่างสูงใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามหางตาของเมิ่งอวิ๋นช้า ๆ แววตาที่มองล้วนแต่มีความหลงใหล ทว่ายังคงเจือไปด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ แต่เมิ่งอวิ๋นก็เบี่ยงใบหน้าหลบคล้ายไม่ต้องการสัมผัสของอีกฝ่ายแต่น้อย

“ก่อนนี้ข้าไม่เคยเห็นเจ้าในสายตามาก่อน...” เมิ่งอวิ๋นยกยิ้มแล้วเอ่ยตอบ

“ก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ” และมันควรเป็นเช่นนั้นต่อไป

“แต่ในยามนี้ข้ากลับไม่อาจละสายตาจากเจ้าไปได้”

“ท่านแม่ทัพคงสนุกกระมัง ที่ได้เห็นข้าวิ่งเล่นอยู่กลางฝ่ามือของท่านเอง เมื่อข้าคิดหลีกหนี ท่านจึงได้สนใจข้าขึ้นมา”

คนหนึ่งมอบรักแต่กลับถูกทำลายจนป่นปี้ อีกหนึ่งไร้รักกลับได้รับรักที่ไม่ต้องการกลับมา

“บอกท่านตามตรง หลังถูกรถม้าชนก็ไม่อาจจำสิ่งใดได้อีก แม้กระทั่ง...ความรักที่มีต่อท่านก็เช่นกัน”

เมิ่งอวิ๋นคิดเพียงอยากตัดสัมพันธ์ใดๆ ก็แล้วแต่ที่ผูกเขาและบุรุษผู้นี้เอาไว้ให้สิ้น ไม่ปรารถนาจะมองหน้าอีกฝ่าย และไม่ปรารถนาจะพูดคุยกับอีกฝ่ายเช่นกัน ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นอดีต เช่นนั้นก็ให้มันเป็นอดีตไปเสียยังดีกว่า เขาจะยอมปล่อยวางแล้วใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับชีวิตรักของหลี่เจี้ยนเฉิงอีกต่อไป

“เมื่อข้าฟื้นขึ้นมา ข้าก็ได้รู้ว่าอาการบาดเจ็บของข้า มีท่านเป็นต้นเหตุ”

“นั่นเป็นอุบัติเหตุ ข้ามิได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เป็นเจ้าที่มาขวางรถข้า”

“อ้อ เป็นข้า”

“ไม่ ข้าไม่ได้คิดจะโทษเจ้า เมื่อเจ้าบาดเจ็บ ต่อให้ผู้ใดผิดตั้งแต่ต้น ก็ย่อมเป็นข้าที่ผิดอยู่ดี” เมิ่งอวิ๋นส่ายหน้า เขาไม่ได้สนใจเรื่องรถม้าด้วยซ้ำ เพราะนั่นไม่ได้ทำให้เมิ่งอวิ๋นตายลง แต่เป็นเพียงการบาดเจ็บ สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจอยู่ใกล้คนผู้นี้ได้ นั่นคือ ความโหดเหี้ยมต่อคนที่รักเขาหมดหัวใจ ความโหดเหี้ยมที่เขามอบให้เมิ่งอวิ๋นจนต้องตายไปนั่นต่างหาก

“ช่างเถิด ข้าเพียงอยากให้ทุกอย่างจบสิ้นเสียก็พอ” เมิ่งอวิ๋นหันหลังหวังจะเดินออกไปแล้วกลับจวนของตน แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงเอาไว้เสียก่อน

“ข้ามองเห็นความเกลียดชังในแววตาของเจ้า...มันเป็นเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่”

เมื่อถูกกระตุ้น ความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นก็ย้อนกลับมา ภาพที่แสนทรมานจากการถูกหันหลังให้ ยังไม่เท่าถูกชายอันเป็นที่รักปล่อยให้ชายอื่นย่ำยีตนเอง

นั่นต่างหาก คือความเกลียดชังที่เขามีต่อหลี่เจี้ยนเฉิง

“เช่นนั้นสิ่งใดเล่า ข้าทำอันใดให้เจ้าขุ่นใจอีกหรือ?”

“สิ่งที่ทำให้ข้าเกลียดชังท่าน...ท่านแม่ทัพ มันไม่มีสิ่งใดมาลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงได้หรอก”

เพราะคุณเปลี่ยนอดีตที่เกิดกับเมิ่งอวิ๋นไม่ได้

เมิ่งอวิ๋นต้องหลับตาลงระงับความโกรธเกลียดในหัวใจลงไป แม้ว่าสิ่งที่เมิ่งอวิ๋นทำเองจะดูไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงคนนั้น แต่การที่เมิ่งอวิ๋นถูกทำเช่นนั้นเองก็ไม่เป็นธรรมเช่นกัน

“หรือแท้จริงแล้วเพราะเจ้ามีใจให้ผู้อื่น!” แรงบีบที่แขนเพิ่มขึ้นจนเมิ่งอวิ๋นนิ่วหน้า ก่อนจะหันมามองดวงตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“นั่นมันเรื่องที่ท่านล้วนแต่คิดเอง ปล่อยข้าได้แล้วกระมัง”

“เป็นติงหยุนมู่ใช่หรือไม่!” เมิ่งอวิ๋นมองแขนของตนที่ถูกยึดไว้ไม่ยอมปล่อยแล้วก็ขมวดคิ้วกับการกระทำที่ไร้เหตุผลของคนผู้นี้

“เป็นเพราะเขาใช่หรือไม่ที่ทำให้เจ้าต้องเมามาย เพราะเขาแต่งกับผู้อื่นใช่หรือไม่เล่า!” เขาไม่พอใจอย่างมากจึงกระชากแขนของตนเองออก ไม่สนแม้แต่น้อยว่าจะต้องเจ็บมากมายเท่าไร ดีกว่ายืนอยู่ให้คนผู้นี้เอ่ยถามด้วยคำถามที่ไม่ชวนให้สบอารมณ์

“ไม่ใช่เรื่องของท่าน!”



50% 





น้องจ๋าพูดภาษาบ้านเราสิคะลูก บอกเขาไปตรง ๆ ด้วยคำนั้นเลยค่ะ ไหนแม่ ๆ ทั้งหลายรู้ไหมคะว่าคำนั้นในสมัยเรา ๆ เรียกว่าอะไร ช่วยบอกท่านแม่ทัพหน่อยเร้ววววว

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (14) 50% (Up.12/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-11-2020 00:38:15
 :katai2-1:


หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (14) 100% (Up.15/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-11-2020 10:06:29
[14] 100%


“ไม่ใช่เรื่องของท่าน!”

“เมิ่งอวิ๋น!” เมิ่งอวิ๋นหันหลังก้าวยาว ๆ โดยไม่สนใจเสียงเรียกที่ดังมาจากเบื้องหลังของตน มือทั้งสองข้างผลักประตูออกแล้วก้าวเดินออกไป ในใจเพียงคิดจะหลบหลีกให้ไกลจากคนผู้นี้เท่านั้น

คนผู้นี้ไร้เหตุผลสิ้นดี

ในใจของเมิ่งอวิ๋นเต็มไปด้วยความโกรธที่จุกอก สองเท้าเร่งก้าวไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องการให้หลี่เจี้ยนเฉิงตามมาทันและหยุดยั้งตนเอาไว้ด้วยเหตุผลไร้สาระนั่นอีก ไม่ว่าวันนี้หรือวันวานเขาล้วนแต่ไม่ปรารถนาจะพูดคุยกับคนผู้นี้เลยสักคำ

หากหลีกหนีได้ก็จะหลีก หากไม่พบเจอได้ก็จะทำ

ทุกสิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่ชีวิตที่แสนเรียบง่ายกับครอบครัวอย่างเป็นสุข ไม่ปรารถนาจะมายุ่งเกี่ยวกับคนที่สามารถ ลงมือสังหารคนที่มีรักมั่นคงให้เขาเช่นเมิ่งอวิ๋นได้หรอก

เมิ่งอวิ๋นดวงตาแดงก่ำ สองมือกำเแน่นพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มเอาไว้ด้วยความรู้สึกมากมายที่ถูกเขาอดกลั้นเอาไว้ คนผู้นี้ไม่ควรได้รับแม้เศษเสี้ยวความรักของเมิ่งอวิ๋นเลย ไม่ควรแม้แต่จะถูกเมิ่งอวิ๋นชายตามองด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่เมิ่งอวิ๋นทำ ทุ่มเทให้เขา เขาไม่เพียงมองไม่เห็นกลับยังรู้สึกระคายสายตา คล้ายกับว่าเห็นก้อนหินมาขวางทางเดินของเขา คนเช่นนี้หรือที่เมิ่งอวิ๋นควรจะมอบหัวใจให้!

ช่างน่าขัน!

“ว้าย!”

“อ๊ะ!”

เพล้ง

ร่างของใครบางคนชนเข้ากับร่างกายของเมิ่งอวิ๋นจนล้ม เสียงบางสิ่งหล่นแตกยังไม่เท่ากับความร้อนที่สาดลงมาที่แขนข้างขวา เมิ่งอวิ๋นนิ่วหน้าด้วยอาการเจ็บแสบ แต่เขาก็ไม่ปริปากร้องออกมาแม้ครึ่งคำ มีเพียงเสียงอุทานด้วยความตกใจเท่านั้นที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเมิ่งอวิ๋น

ครั้นเมื่อมองพินิจคนตรงหน้าให้ดีก็พบว่าตนไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นนางอยู่ที่นี่ ในเมื่อข่าวลือก่อนหน้าก็หนาหูพอให้ได้ยินกันไปทั่วอยู่แล้ว และยิ่งไม่ประหลาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้เช่นกัน เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตาลงมองแขนข้างขวาของตนเองอย่างประเมินการ คาดว่าอีกฝ่ายคงรีบร้อนไปหน่อย ไม่เช่นนั้นแล้วคงสามารถราดเขาได้ทั้งตัว ไม่ใช่เพียงแขนข้างเดียว

“คุณชายเมิ่ง ข้า ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” ถังเป้ยอี้เอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายกับพยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเองหลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดความสามารถ เมิ่งอวิ๋นหรี่ตามองนางอย่างประเมิน นับว่ามีความสามารถไม่น้อย เช่นนั้นจึงอดแปลกใจไม่ได้ที่ในอดีตของเมิ่งอวิ๋นนั้น นางผู้นี้ดูอ่อนแอและใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งกว่าดอกบัว

“มีเรื่องอะไรกัน!”

“ว้าย เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ แม่นางถัง” น้ำเสียงทรงพลังของหลี่เจี้ยนเฉิงเรียกสายตาน่าสงสารของถังเป้ยอี้ได้อย่างดี อีกฝ่ายใช้ใบหน้างดงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่เป็นธรรม ทำให้เมิ่งอวิ๋นตกเป็นจำเลยไปทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าบ่าวรับใช้ทั้งหญิงชายในจวนนี้จะรู้จักเมิ่งอวิ๋นเป็นอย่างดี เพราะสายตาที่ส่งมาหาเขา ล้วนแต่มองว่าเขาเป็นคนกลั่นแกล้งให้นางผู้อยู่ตรงหน้าได้รับบาดเจ็บ

“มีอะไรกัน” หลี่เจี้ยนเฉิงเอ่ยถามอีกครั้ง ใจจริงแล้วเมิ่งอวิ๋นอยากจะเดินออกไปจากที่นี้โดยไม่สนใจอะไรแม้แต่การถูกมองว่าทำผิด แต่ทางออกจากจวนนี้ถูกสาวใช้และบ่าวในจวนแม่ทัพขวางกั้นเอาไว้ ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีความผิดที่ทำ

ช่างน่าตลกเสียจริง!

“เรียนนายท่าน แม่นางถังตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่งเพื่อเคี่ยวน้ำแกงเอาไว้ให้นายท่าน แต่ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใด จึงได้หล่นลงพื้นเช่นนี้เจ้าค่ะ” กล่าวได้ดีนัก พูดมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากกล่าวหาว่าเขากลั่นแกล้งคนหรอก แววตานางก็กระไร เขาจะเอาตัวเองไปรับน้ำแกงร้อน ๆ นั่น เพียงเพื่อจะทำให้นางผู้นี้รู้สึกอดสูหรือ? มันออกจะดูเหมือนละครไปหน่อยไปพี่สาว

เมิ่งอวิ๋นยังคงนิ่งเงียบ ในสายตาของเหล่าสาวใช้และบ่าวรับใช้ล้วนแต่คิดว่าเขาจนด้วยหลักฐานจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่ากับหลี่เจี้ยนเฉิงไม่ใช่ เขาเฝ้ารอให้อีกฝ่ายแก้ตัวออกมา ทว่าเมิ่งอวิ๋นก็ยังไม่พูดสิ่งใดแม้สักคำ ยังคงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าราวกับไม่รู้สึกรู้สากับเหตุการณ์นี้

“ไม่ใช่ความผิดคุณชายเมิ่งหรอก เป็นข้าที่ซุ่มซ่ามเอง ข้าจะเก็บเดี๋ยวนี้ละเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคุณชายเมิ่งจะบาดเจ็บเอาได้” เมิ่งอวิ๋นกลอกตายามที่ร่างของถังเป้ยอี้ก้มลงพยายามจะเก็บเศษของถ้วยน้ำแกงที่แตกกระจายอยู่ในตอนนี้ อีกประเดี๋ยวคงถูกบาดเข้าและร้องออกมาเป็นแน่

“โอ๊ย!” นั่นปะไร คิดผิดเสียที่ไหน คนในยุคนี้เป็นเช่นไรไม่รู้ แต่การกระทำเช่นนี้ในชีวิตก่อนของเขา มันน้ำเน่าและมีอยู่เพียงในละครเท่านั้น ไม่คิดว่าจะสามารถมาเห็นด้วยตาตนเองได้

“แม่นางถัง พอเถอะเจ้าค่ะ บาดเจ็บจนเลือดไหลแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้นามอาจูลอบมองเขาด้วยความไม่พอใจ ราวกับเขาเป็นผู้เหยียบย่ำลงบนมือของถังเป้ยอี้ให้เกิดบาดแผล ทั้งที่จริงก็เป็นถังเป้ยอี้เองต่างหากที่ริอ่านอยากจะทำตัวเช่นนี้

“เจ้าจะว่าอย่างไร” เพียงหลี่เจี้ยนเฉิงออกปากถาม เมิ่งอวิ๋นถูกจับจ้องจากทุกสายตาคล้ายจะรอฟังคำตอบ

ประโยคที่ไร้ชื่อใช่นั้น พูดกับเขาหรือ?

“คุณชายเมิ่ง นายท่านถามท่าน เหตุใดจึงมิตอบเล่า?” เมิ่งอวิ๋นปรายตาไปมองข้างหลังเพียงชั่วครู่ พร้อมกับความเย็นชาที่ไม่ลดลงไปแม้แต่น้อยบนใบหน้า อาจูถามพร้อมกับพยุงร่างกายบอบบางของถังเป้ยอี้ขึ้นมา

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าควรตอบคำถามเมื่อครู่ ไม่ทราบท่านแม่ทัพต้องการคำตอบเช่นไรเล่า?” น้ำเสียงหวานคล้ายเย้ยหยันกับความโง่เขลาที่อีกฝ่ายมี แต่หลี่เจี้ยนเฉิงหาได้สนใจไม่ เขาก้าวเข้ามายืนเคียงข้างเมิ่งอวิ๋นแล้วมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์

“ข้าต้องการความจริง” โง่งม เมิ่งอวิ๋นยิ้มเยาะพร้อมทั้งด่าอีกฝ่ายในใจเงียบ ๆ แล้วเชิดใบหน้างามขึ้นสูงราวกับถือศักดิ์

“เช่นนั้นคงต้องบอกว่า ข้ามิได้ทำสิ่งใด แต่ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือไม่ พวกเจ้าและท่าน ล้วนแต่ไร้หลักฐานที่จะเอาผิดข้า” จะเป็นคนดีไปทำไม อ่อนแอแล้วได้สิ่งใดกัน? คนเช่นเขามิใช่จะปล่อยให้ผู้ใดรังแกได้โดยง่าย ความแสบร้อนที่แขนขวาจะถือเสียว่าเรียนรู้อสรพิษตัวหนึ่ง วันหน้าหากได้พบ จะได้ระวังตัวเอาไว้ให้มากเสียหน่อย

คำพูดของเมิ่งอวิ๋นนับว่าสร้างความโกรธให้กับผู้ที่ได้ยินมากนัก แต่แล้วอย่างไรในเมื่อก่อนนี้ก็มิได้มีผู้ใดสนใจในตัวเมิ่งอวิ๋นอยู่แล้ว เมิ่งอวิ๋นเองก็มีชื่อเสียงเช่นนี้มาตั้งแต่แรก และเขาไม่ใช่คนที่ถูกรังแกแล้วจะเอาแต่ร้องไห้ หรือโกรธจนทำอะไรโง่ๆ ลงไป

เช่นที่นางผู้ยืนอยู่ตรงหน้าทำ

อยากเกลียดข้าหรือ...พวกเจ้าก็เกลียดไปเสียสิ

ข้าสนใจความรู้สึกของพวกเจ้าเสียเมื่อไรกัน?

แม้สีหน้าของทุกคนจะมีความไม่พอใจฉายชัดอยู่บนนั้น แต่สำหรับถังเป้ยอี้ แววตาของนางคล้ายกับมีความพอใจอยู่ในนั้นครู่หนึ่ง ทว่าเพียงครู่เดียวมันก็หายไปเสียแล้ว แต่เมิ่งอวิ๋นก็เห็นมันได้ชัดเจน

“ไม่ทราบต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่ หากหมดเรื่องแล้วก็หลีกทางเสีย เพราะพวกเจ้ากำลังเกะกะข้า!” เพียงได้ยินเสียงที่คล้ายแฝงไปด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น เหล่าบ่าวรับใช้และสาวใช้คนอื่น ๆ ล้วนแต่ไม่กล้าขวางทางเมิ่งอวิ๋นเอาไว้แม้แต่คนเดียว แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมายังไม่กล้าเสียด้วยซ้ำ เมิ่งอวิ๋นปรายตามองคนข้างกายอย่างดูแคลน ก่อนจะก้าวออกไปโดยไม่สนใจผู้ใดอีก

หลี่เจี้ยนเฉิงเองเมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นก้าวออกไปแล้วก็ปรายตามองถังเป้ยอี้ครู่หนึ่งไม่ได้ ก่อนจะก้าวตามหลังเมิ่งอวิ๋นไปเช่นกัน แต่ถังเป้ยอี้นั้นนางตัวสั่นอยู่กับอาจูที่เป็นสาวใช้ นางพยายามอดกลั้นความโกรธและโทสะของนางเอาไว้ เพราะกลัวว่าท่านแม่ทัพหลี่จะเห็นเอาได้ จึงก้มหน้าลงซ่อนแววตาเกลียดชังเอาไว้ ขบริมฝีปากนึกแค้นใจและหมายมาดเอาไว้ว่าสักวัน นางจะฆ่าคนผู้นั้นให้ตายด้วยมือนางเอง!

หลี่เจี้ยนเฉิงเดินตามเมิ่งอวิ๋นมาจนถึงหน้าจวนของตนเอง โดยที่เมิ่งอวิ๋นเองก็รับรู้ได้ว่าถูกใครบางคนเดินซ้อนหลังตนมาไม่ห่าง ทว่าเพียงเขาไม่คิดหยุดยั้งตนเอาไว้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนหนี้อื่นๆ คงต้องตบแทนวันหลัง

“ข้ามีเรื่องหนึ่งจะต้องบอกกล่าวกับท่านตรง ๆ” หลี่เจี้ยนเฉิงจับจ้องใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นไม่ยอมละสายตา

“เจ้าพูดมาเถอะ” เมิ่งอวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ทว่าในแววตาคู่นี้กลับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ต่อเขามากไปกว่าคำว่าเกลียดชัง นั่นทำให้หัวใจของหลี่เจี้ยนเฉิงปวดร้าวเกินกว่าจะบรรยายได้

ทำเช่นไร เขาจึงจะได้หัวใจของคนผู้นี้อีกครั้งกัน

“หากมีคราวหน้า ไม่สิ แม้ว่าข้าจะมั่นใจว่าคงไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกในวันหน้า แต่ก็จะต้องบอกกับท่านเอาไว้เสียก่อน...”

“...” เมิ่งอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าปอด พร้อมกับเอ่ยคำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาจนหัวใจของหลี่เจี้ยนเฉิงแทบจะทนรับมันไม่ได้

“หากวันหน้าท่านพบข้าเมาอยู่ที่ใดก็ตาม วานท่านช่วยส่งข้ากลับจวน อย่าได้พามาที่จวนของท่านอีก”

“เดี๋ยวก่อน...” หลี่เจี้ยนเฉิงไม่อาจทำใจปล่อยเมิ่งอวิ๋นไปได้ เขาไม่รู้ว่าควรใช้เหตุผลใดยื้ออีกฝ่ายเอาไว้ ไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใดเพื่อให้ยังสามารถมองใบหน้าที่ตราตรึงหัวใจของเขาได้นานกว่านี้ แต่เพียงแค่เขาคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อหยุดยั้ง ร่างบางก็สะดุ้งด้วยความเจ็บ ฝ่ามือของเขารู้สึกได้ถึงความร้อนผ่านผิวผ้า จนต้องดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อเปิดออกดู

“ทำอะไรของท่าน!” หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ได้สนใจ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความดุดันและโทสะที่กดดันใครต่อใครมามากมาย ยามที่ดวงตาคมได้เห็นรอยแดงจากการถูกลวกของความร้อนก็ทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงบดกรามด้วยความโมโห แต่เมิ่งอวิ๋นไม่สนใจว่าเขาจะโกรธเรื่องอะไร เขากระชากแขนตัวเองออกมา ลูบผิวที่แสบร้อนเบา ๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้มันเจ็บน้อยลง

“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวลา”

“เจ็บ...ใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่หลี่เจี้ยนเฉิงใช้ถามมันแผ่วเบาและหวีดหวิวจนน่าใจหาย แต่ใบหน้าจะแสดงออกมาเช่นไรย่อมไม่อาจรู้ เมื่อในยามนี้เมิ่งอวิ๋นหันหลังให้เขาไปแล้ว

เมิ่งอวิ๋นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หัวใจที่กำลังเต้นในอกสั่นเบาๆ แต่ไม่นานมันก็หายไป เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของหลี่เจี้ยนเฉิง

“อีกไม่นานมันก็หาย” บาดแผลที่ถูกทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็สามารถรักษาได้ เขาไม่เคยหวาดกลัวต่อมัน

“เหตุใดเจ้าไม่บอกเล่าว่าเจ้าเจ็บ”

“ข้าเป็นบุรุษ จำเป็นด้วยหรือที่บุรุษจะต้องบอกผู้อื่นว่าตนกำลังเจ็บ ท่านอยากให้ข้าได้รับความสงสารหรือ? ข้ามิได้อ่อนแอเช่นนั้นหรอกนะท่านแม่ทัพ”

หลี่เจี้ยนเฉิงกำฝ่ามือของตนเอาไว้แน่น มองแผ่นหลังบอบบางที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหันกลับมาหาเขาอย่างอาลัย

“หากเจ้าบอกข้าสักคำ...”

“ท่านจะตีนางหรือ...” ตีนางเช่นที่ให้คนทำร้ายเมิ่งอวิ๋นจนตายหรือไม่เล่า จะตัดใจตีได้ลงเชียวหรือนางผู้นั้น? ซึ่งเขาไม่เคยคิดหวัง หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ได้ตอบ แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยโทสะมากมายจนไม่อาจสะกดมันเอาไว้ได้

“หากข้าบอกไปจะมีสิ่งใดเปลี่ยนเล่า? ข้าจะได้รับความสงสารมากกว่านาง? หรือความผิดที่ถูกกล่าวหาจะลดลง?”

“...”

“ไม่ว่าสิ่งใดข้าล้วนไม่ใส่ใจต่อมันทั้งสิ้น”

“...”

“บาดแผลเพียงแค่นี้หรือแม้แต่คำครหาของพวกท่าน...สำหรับข้ามันไม่ได้ทำให้ข้าสูญค่าในตัวเอง ข้าลา”

หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่ตกตะลึงในคำกล่าวของเมิ่งอวิ๋น หัวใจที่อยู่ในอกพลันเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสี้ยวหน้าเพียงนิดที่ได้มองนั้น คล้ายทำให้เขาเสพติดเสียจนปรารถนาจะได้จับจ้องทุกคืนวัน แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ความคิดของเมิ่งอวิ๋นจะเป็นเช่นนี้มาก่อน ในยามนี้สายตาคู่นั้นที่ทอดมองแผ่นหลังที่ห่างไกลออกไปก็แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

ไม่ว่าจะคำครหาหรือความเจ็บปวด สำหรับเมิ่งอวิ๋นแล้วล้วนไม่ได้ลดค่าของเขาลงไปแม้แต่น้อย

และใช่...กลับเพิ่มคุณค่าในสายตาของหลี่เจี้ยนเฉิงมากขึ้นเช่นกัน





TBC 





ปี๊บๆ พบคนหลงน้องหนึ่งอัตราค่ะ ว่าแต่เป้ยอี้...เธอตอแหลให้ใครดูคะ? ถ้าเป็นแมวนะจะตบซ้ำเอาให้หน้าชาไปเลย บังอาจมาทำลูกฉันเจ็บ แกต้องตายเท่านั้น ย้า!!! แต่น้องสวยมากค่ะลูกขา จะบาดแผลหรือคำควรหา ล้วนไม่สามารถลดค่าของน้องลงได้ อุ๊ย อีแม่หลงรักสุด ๆไปเลยค่ะน้องเมิ่ง กรี๊ดดดด

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (14) 100% (Up.15/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Brithday ที่ 15-11-2020 11:03:51
 :o12: อ่านไปน้ำตาไหลไปสงสารน้อน
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (14) 100% (Up.15/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-11-2020 22:42:46
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (14) 100% (Up.15/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-11-2020 22:09:51
โง่จิงง
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 50% (Up.18/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 18-11-2020 17:25:38
[15] 50%


สิ่งแลกเปลี่ยนที่ไม่เต็มใจ

เมิ่งอวิ๋นกลับมาถึงจวนด้วยความแสบร้อนบริเวณแขนขวาที่ยังไม่หายไป แต่เขาก็ไม่ได้ร้องโอดครวญให้เป็นที่อับอาย ใบหน้าเพียงฉายแววอ่อนล้า ยามเมื่อก้าวเข้ามาในจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหล่าทุกคนในจวนสกุลเมิ่งกำลังร้อนรนเพียงเพราะการหายตัวไปของเมิ่งอวิ๋น เมิ่งหยวนและเมิ่งลู่เหยาสั่งบ่าวรับใช้ให้ออกตามหาเมิ่งอวิ๋นเสียยกใหญ่ โดยมีฮูหยินเมิ่งหรืออู๋ชิวอิ่งร้อนใจจนแทบจะเป็นลม

เมื่อเมิ่งอวิ๋นปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของประตู ทุกสายตาที่จับจ้องไปล้วนแต่เต็มไปด้วยความโล่งใจระคนห่วงใยไม่น้อย เมิ่งอวิ๋นเพียงส่งยิ้มให้อย่างลุแก่โทษก่อนจะก้าวเข้ามาด้านใน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว” เมิ่งหยวนทั้งโล่งใจทั้งโกรธเกรี้ยวจนอยากจะสั่งโทษเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายคล้ายจะอ่อนเพลียอยู่มาก ก็ใจอ่อนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้จนต้องหันใบหน้าหนี

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าไปไหนมา รู้หรือไม่ว่าแม่ห่วงเจ้ามากเพียงใด” อู๋ชิวอิ่งไม่สนใจจะโกรธบุตรชายคนเล็กด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ ในหัวใจของคนเป็นแม่เขาห่วงเสียมากกว่าว่าเมื่อคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับบุตรชายของเขาหรือไม่ เหตุใดอยู่ดี ๆ จึงหายไปจากงานวิวาห์ แล้วกลับมาในตอนสายของอีกวัน

“ข้าเมามากไปหน่อย จึงได้หลับอยู่ข้าวสะพานขอรับท่านแม่ ข้าขอ...”

“ไม่...” เมิ่งอวิ๋นที่กำลังจะกล่าวคำขอโทษกลับถูกมารดาห้ามปรามเอาไว้ เมามายย่อมเป็นเรื่องธรรมดา จะกล่าวขอโทษกันไปไย

“เจ้าจะห้ามเสี่ยวอวิ๋นไปทำไมกัน ทำผิดแล้วรู้จักขอโทษจึงจะนับว่าเป็นบุตรชายสกุลเมิ่ง” แต่อู๋ชิวอิ่งกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น นางหันขวับไปจ้องหน้าสามีของตนอย่างไม่พอใจนัก เมิ่งหยวนที่ไม่ได้หันมามองจึงไม่รู้เลยว่าในยามนี้นั้น ภรรยาของตนกำลังมีสีหน้าเช่นไร

สำหรับนาง บุตรจึงจะมาอันดับหนึ่ง สามีนะหรือ...ลืมไปเสียเถิด!

“ท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? บุตรชายของข้าเพียงเมามายและหลับไปข้างนอกเท่านั้น หรือนี่ก็ถือว่าทำผิดไปเสียแล้ว” เมิ่งหยวนที่ได้ยินจึงหันกลับมามองภรรยาของตนแต่กลับต้องสะดุ้งด้วยสายตาฟาดฟันจากนาง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็นับว่าผิดอยู่ดี เขาจึงข่มความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยบอกไปตามที่คิด

“เมามายย่อมไม่ผิด แต่เสี่ยวอวิ๋นผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่ห่วงลูกหรืออิ่งเอ๋อร์”

“ท่านพี่! ...”

“ท่านแม่ ท่านพ่อ อย่าทะเลาะกันเพราะลูกเลย ลูกผิดจริงดังที่ท่านพ่อพูดมาขอรับ ลูกต้องขอโทษท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ด้วยนะขอรับ ที่ทำให้เป็นห่วง”

เมิ่งหยวนพยักหน้ารับอย่างพอใจเมื่อบุตรชายเข้าใจในความหมายของตน สีหน้าจึงคลายความไม่พอใจไปหลายส่วน แม้แต่น้ำเสียงที่ใช้กล่าวก็นุ่มนวลลงไปมาเช่นกัน

“เจ้ารู้ผิดถูกเช่นนี้พ่อก็ดีใจ ไปเถิดอาเหยา เจ้าพาน้องไปพักผ่อนเสียเถิด”

“ขอรับท่านพ่อ” เมิ่งลู่เหยารับคำ พร้อมกับดันแผ่นหลังของน้องชายให้รีบเดินออกมา เพื่อจะได้หลบฉากเสียให้บิดาได้ทำการง้อมารดาที่กำลังไม่พอใจอยู่

“เสี่ยวอวิ๋น ประเดี๋ยวแม่จะตุ๋นน้ำแกงไปให้เจ้าที่ห้องนะลูก” เมิ่งอวิ๋นนั้นรู้สึกอุ่นวาบจนต้องระบายยิ้มออกมา

“ขอรับท่านแม่”

“ไปเถิด เนื้อตัวเจ้ามีแต่กลิ่นสุรา รีบกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสียดีกว่า” เมิ่งอวิ๋นพยักหน้ารับคำของเมิ่งลู่เหยา แอบยกแขนตนขึ้นมาดมแล้วก็ต้องยอมรับว่า กลิ่นสุราติดกายมาตั้งแต่เมื่อคืนจริง ๆ และมันก็คละคลุ้งจนชวนเวียนหัวเสียด้วย

เมื่อเดินมาไกลพอสมควรแล้ว เมิ่งอวิ๋นก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมกับหันไปหาผู้เป็นพี่ชาย จนเมิ่งลู่เหยาที่ถูกมองยังสงสัยว่ามีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่กัน

เดิมทีเมิ่งอวิ๋นคิดเอาไว้ว่าจะไม่พูดกับเมิ่งลู่เหยาในเรื่องนี้ และคาดว่าแผลนี้มันคงจะหายเองได้ แต่ด้วยอาการแสบร้อนที่ยังคงมีอยู่ อีกทั้งเขายังแอบเปิดดูแขนของตนก็พบว่าน้ำแกงที่ถังเป้ยอี้ตระเตรียมมานั้น คงร้อนมากเสียจนแขนของเขาขึ้นรอยแดงจนน่ากลัว

“มีอะไรหรือเสี่ยวอวิ๋น” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ก่อนจะยกแขนขวาขึ้นมาแล้วใช้มือข้างซ้ายเลื่อนชายแขนเสื้อขึ้น เมิ่งลู่เหยามองตามเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฏก็พลันตกใจ จนต้องรีบจับแขนของน้องชายเอาไว้แน่น

“นี่มันอะไร? เกิดอะไรขึ้น เหตุใดแขนของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้!”

“ตอนตื่นมา ข้ามึนหัวนิดหน่อยจึงเดินไปชนพ่อค้าเข้า น้ำร้อนจึงลวกแขนข้า เดิมทีข้าคิดว่าไม่นานคงหาย แต่จนถึงจวนข้าก็ยังคงเจ็บ จึงได้อยากจะถามพี่ใหญ่ว่าพอจะมียาที่ช่วยให้บรรเทาความเจ็บนี่หรือไม่” แขนของเมิ่งอวิ๋นนั้นขาวมาก เพียงรอยแดงเพียงเล็กน้อยยังสามารถเห็นได้ชัดเจน แต่รอยปื้นแดงยาวเช่นนี้ ไม่ควรจะมาอยู่บนแขนของน้องชายเขาแม้แต่น้อย เมิ่งลู่เหยาได้แต่ขบฟันแน่น นึกขุ่นเคืองพ่อค้าผู้นั้นจนอยากจะฆ่าเสียให้ตาย

เมิ่งอวิ๋นไม่ได้บอกกล่าวความจริงแก่เมิ่งลู่เหยา เพราะหากพูดความจริงไปคงจะเป็นเรื่องใหญ่เสียยิ่งกว่านี้ ด้วยนิสัยของพี่ชาย อย่างไรก็คงไม่ยอมจบเพราะแผลเล็ก ๆ นี่เป็นแน่ คงจะต้องตามไปเอาความถึงจวนแม่ทัพ แต่การจะไปเอาเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเพราะแผลแค่นี้ ก็ดูจะไร้เหตุผลมากเกินไป ชาวบ้านคงนินทากันเสียสนุกปาก อีกทั้งยังลดเกียรติของพี่ชายของเขาโดยใช่เหตุเช่นกัน

“พี่ใหญ่...” เห็นเมิ่งลู่เหยาเงียบไปเสียนาน เมิ่งอวิ๋นจึงเรียกอีกครั้งเพราะต้องการคำตอบ

“พี่จะให้คนไปตามหมอ”

“ไม่ได้!”

“เพราะเหตุใดจึงไม่ได้” เจ็บขนาดนี้ยังไม่ยอมตามหมอ น้องชายของเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน หากรักษาไม่ทันจนเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมา จะทำเช่นไร

“พี่ใหญ่ เพียงแค่ข้าไม่กลับจวนเมื่อคืนก็นับว่าสร้างความเป็นห่วงให้ท่านพ่อท่านแม่มากแล้ว ข้าไม่อยากให้พวกท่านทั้งสองต้องมากังวลเพียงเพราะแผลนี่อีก” แม้สิ่งที่เมิ่งอวิ๋นพูดมานั้นเขาก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นแขนของเมิ่งอวิ๋นเป็นเช่นนี้ ใจคนเป็นพี่ย่อมห่วงกว่า

แล้วเช่นนี้เขาควรจะทำอย่างไร

เมิ่งอวิ๋นเห็นพี่ชายกำลังเคร่งเครียด ขบคิดอย่างเงียบขรึมจึงได้เข้าใจแล้วว่าเมิ่งลู่เหยาเข้าใจในความหมายของเขา และเห็นด้วยอย่างชัดเจนจึงได้วางใจลง และเสนอแนวทางให้อีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“พี่ใหญ่ ไม่เช่นนั้นเรียกเสี่ยวหลงมาแล้วให้ไปซื้อยาตามอาการข้าดีหรือไม่?”

นั่นดียิ่ง!

“แต่เสี่ยวหลงยังไม่กลับมา ข้าและท่านพ่อให้คนออกไปตามหาเจ้าเสียส่วนใหญ่ ป่านนี้คงวิ่งวุ่นไปทั้งเมืองกันเสียแล้ว” เช่นนั้นทำอย่างไรดี เมิ่งอวิ๋นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงใครผู้หนึ่งขึ้นมาได้

“วันก่อนข้าพบกับบ่าวรับใช้ใหม่ที่ท่านพ่อรับเข้ามา ข้ามองแล้วเขาดูเข้าทีนัก คิดว่าน่าจะใช้การได้”

“ผู้ใดเล่า...”

“เสี่ยวฉีขอรับ”

เมิ่งลู่เหยาไม่รู้จักบ่าวรับใช้คนนี้ แต่เมื่อน้องชายเขาบอกว่าใช้การได้ เช่นนั้นก็ใช้การได้แน่นอน จึงได้ให้บ่าวใกล้ ๆ ไปตามเสี่ยวฉีมาพบเมิ่งอวิ๋น เดิมทีเมิ่งอวิ๋นแทบจะลืมคนผู้นี้ไปเสียแล้วด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะจำได้ว่าเสี่ยวฉีเป็นบ่าวมาใหม่ และบ่าวมาใหม่ย่อมต้องอยู่ทำงานในจวนมากกว่าที่จะถูกใช้ไปนอกจวน

ไม่นานเสี่ยวฉีที่ถูกเรียกตัวก็มา ใบหน้าของเสี่ยวฉีนั้นนับว่าพอทำเนาอยู่บ้าง เนื้อตัวอาจไม่สะอาดสะอ้านเพราะต้องทำงานหลายอย่าง แต่ก็ไม่มอมแมมเสียจนดูไม่ได้เช่นบ่าวคนอื่น หากเป็นบ่าวรับใช้ประจำตัว เนื้อตัวย่อมสะอาดหมดจรด แต่เสี่ยวฉีเป็นบ่าวในจวน ย่อมต้องทำงานทั่วไปตามคำสั่ง เนื้อกายจึงมีเปรอะเปื้อนไปบ้างตามงานที่ต้องทำ

“นายน้อย คุณชายใหญ่ เรียกบ่าวหรือขอรับ”

“ใช่ ข้ามีเรื่องจะวานเจ้าเสียหน่อย” เสี่ยวฉีค้อมกายลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่สายตาเหลือบมองรอยแดงที่แขนของเมิ่งอวิ๋นก่อนจะเก็บสายตาลงไปไม่ให้ใครเห็น

“เรื่องใดหรือขอรับ” เมิ่งอวิ๋นนึกขึ้นได้จึงดึงแขนของจากมือของเมิ่งลู่เหยาเบาๆ แล้วใช้ชายแขนเสื้อปกปิดรอยแผลเอาไว้เช่นเดิม

“ข้าต้องการให้เจ้าที่ร้านยา ซื้อยาทาแผลที่ดีที่สุดมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด” ไม่ต้องบอกก็ย่อมรู้ว่าเสี่ยวฉีเข้าใจได้ดีว่าแผลอะไร เมิ่งอวิ๋นหยิบเงินออกมาแล้วส่งให้เสี่ยวฉีไปจำนวนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับมา กลับถามคำถามต่อเมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาแทน

“นายน้อย คุณชายใหญ่ บ่าวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ใหม่ ไม่อาจออกไปนอกจวนได้ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นรู้ดีจึงได้ยื่นป้ายหยกของตนที่ติดกายอยู่เสมอให้กับเสี่ยวฉีแทน

“ป้ายหยกของข้า หากถูกขวางไว้ให้บอกไปว่าข้าไหว้วานให้เจ้าออกไปทำงานให้ จากนี้ไปเจ้าก็ถือว่าเป็นบ่าวข้างกายข้าก็แล้วกัน”

“ขอบคุณนายน้อยที่เมตตา” เสี่ยวฉีคุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้น ก่อนจะรับทั้งเงินและป้ายหยกมาไว้ในมือ ก่อนจะรีบออกไปเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายมา

เมิ่งลู่เหยามองแผ่นหลังของเสี่ยวฉีที่จากไปก็พลันขมวดคิ้ว ความรู้สึกที่วุ่นวายใจแปลกๆ นี่มันคืออะไรกัน คล้ายว่าใจจะไม่สงบสักนิด มีความสงสัยบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าคือสิ่งใดนั้น มันกวนใจเขาเหลือเกินจนไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี

“พี่ใหญ่เป็นอะไรไปหรือ?”

“เสี่ยวฉีผู้นั้น...”

“พี่ใหญ่แคลงใจในตัวของเสี่ยวฉีหรือ?”

“นั่น...ก็ใช่” เมิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยตอบ

“หากไว้ใจได้ก็ถือว่าข้าเจอคนดี แต่หากไว้ใจไม่ได้...คนเช่นนี้ เอาไว้ใกล้ตัวมิใช่ว่าจะเห็นง่ายกว่าหรือ พี่ใหญ่ท่านไม่คิดเช่นข้าหรือ?”

“แต่ว่า...”

“พี่ใหญ่อย่าได้ห่วงไปเลย หากเขาคิดร้ายหรือเป็นภัยต่อข้า ข้าจะจัดการกับเขาเอง” เมิ่งลู่เหยามองน้องชายตนอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ในคำพูดของเมิ่งอวิ๋น

จริงอยู่ว่าเขาสงสัยในตัวเสี่ยวฉี แต่บิดาเขาไม่น่าจะรับคนมาโดยที่ไม่ตรวจสอบ อีกทั้งโดยส่วนใหญ่หากเป็นคนที่ถูกรับเข้ามาใหม่โดยผ่านบิดาของเขาแล้วนั้น ย่อมหาความผิดปกติไม่ได้แน่นอน เสี่ยวฉีผู้นี้จะต้องไม่คิดร้ายกับเมิ่งอวิ๋น นั้นคือสิ่งที่เขามั่นใจได้

แต่อะไรกันล่ะ...ที่มันคาใจเขา

คนผู้นี้แปลกที่ตรงไหนกันนะ

เมิ่งลู่เหยาประคองน้องชายเดินกลับห้องทั้งที่ในหัวยังไม่อาจละทิ้งความสงสัยไปได้ แม้ใบหน้าจะไม่ได้ปรากฏร่องรอยความคิดใด ๆ ออกมา ทว่าภายในกลับขบคิดเสียวุ่นวายยกใหญ่ ว่าสิ่งใดกันแน่ที่เขามองข้ามมันไป แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นไร เมิ่งลู่เหยาก็ไม่ได้คำตอบนั้นเลย



50%





พี่ใหญ่คือรักน้องมากจริง ๆ ค่ะ แต่เสี่ยวฉีแปลกตรงไหนกันน้าาา ตรงไหนกันหนอออ ไหนใครพอจะรู้ไปบอกพี่ใหญ่หน่อยค่ะ พี่ใหญ่เขาหาไม่เจอจริง ๆ

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 50% (Up.18/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-11-2020 20:13:10
 :L2: o13
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 50% (Up.18/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-11-2020 00:45:07
มีแต่งูพิษ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 50% (Up.18/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-11-2020 22:22:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 100% (Up.27/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 27-11-2020 20:42:20
[15] 100%



เวลานับว่าล่วงเลยไปนานพอควร เมิ่งอวิ๋นนั่งฟังเมิ่งลู่เหยาบ่นเสียจนหูชา แต่เขาไม่มีทีท่าจะรำคาญใจแม้แต่น้อย กลับน้อมรับฟังและตอบรับอย่างเห็นด้วยในคำทุกคำ จนเมิ่งลู่เหยาที่อยากจะบ่นต่อก็ทำได้แค่ถอนหายใจ อย่างไรก็ถือว่าเมิ่งอวิ๋นรับรู้และรับปากเขาเอาไว้แล้ว

แม้จะไม่อยากบ่นต่อ แต่สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความห่วงใย รอยแดงขนาดใหญ่ที่ที่แขนของเมิ่งอวิ๋นนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจมากที่สุด จะบอกผู้ใดก็ไม่ได้ เชิญหมอมาก็ไม่ได้อีก ด้วยเขาเองก็ไม่ปรารถนาให้บิดามารดาต้องมากังวลเพิ่มไปด้วย หากเรื่องบางเรื่องสามารถจัดการด้วยตนเองได้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไร จะต้องบอกให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองต้องคิดมาก

“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ายังรู้สึกเช่นเดิมอยู่หรือไม่?” ความร้อนใจส่งผลให้ทุกหนึ่งเค่อ เมิ่งลู่เหยาจะเอ่ยปากถามซ้ำ ๆ ด้วยคำถามเดิม ๆ ออกมาราวกับคนความจำเลอะเลือน เมิ่งอวิ๋นเพียงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่ก็ตอบกลับไปเช่นเดิมกับก่อนนี้

“ข้ายังรู้สึกเช่นเดิมพี่ใหญ่ ท่านใจเย็นแล้วนั่งลงก่อนเถิด” หากให้ยืนอยู่ต่อไป เขาคงได้เวียนหัวกับการอยู่ไม่เป็นสุขของผู้เป็นพี่ชายแน่

เมิ่งลู่เหยาลังเลแต่ก็ยอมนั่งลงตามที่เมิ่งอวิ๋นบอก แม้ว่าเขาจะยอมนั่งลงกับเก้าอี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในใจเขาจะสงบลงไปเลย สายตาของเมิ่งลู่เหยามองไปที่ประตูอยู่ตลอดเวลา เฝ้ารอว่าเมื่อไรเสี่ยวฉีจะกลับมาเสียที นี่มันก็นานพอสมควรแล้วด้วย

หรือเจ้านั่นจะคิดไม่ซื่อ!

“พี่ควรออกไปตาม...”

“อย่าเลยพี่ใหญ่ นี่เพียงผ่านมาไม่นาน รอก่อนเถิด” จะให้รอได้อย่างไร เมิ่งลู่เหยามองความเจ็บปวดที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนแขนของน้องชายด้วยแววตารวดร้าว ผิวขาวลออของเมิ่งอวิ๋นแต่ไหนแต่ไรมิเคยมีแม้แต่ร่องรอยให้คนในบ้านต้องปวดใจ แต่มาครานี้กลับมีรอยสีแดงพาดไปบนแขนขวา คนเป็นพี่เช่นเขาเห็นแล้วยังทุกข์ทรมานใจเช่นนี้ หากท่านพ่อท่านแม่รู้ คงไม่พ้นต้องไปเอาความกับคนทำแน่

“พี่น่าจะจับมันมาคุกเข่าต่อหน้าเจ้า ให้มันได้สำนึกในสิ่งที่ทำเสียบ้าง” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะออกมากับท่าทางที่แสนใหญ่โตของเมิ่งลู่เหยา แต่เพียงแค่คิดว่าพี่ชายจะไปเอาเรื่องถึงจวนแม่ทัพ ความขบขันก็มลายหายไปในอากาศทันที

“คนผู้นั้นไม่สามารถเอาเรื่องได้”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร มิใช่เป็นเพียงพ่อค้าหรอกหรือ?” เมิ่งอวิ๋นพลันนึกได้ว่าตนมิได้กล่าวความจริงออกไป เห็นสายตาสงสัยและจับผิดเมิ่งอวิ๋นจึงต้องยิ้มบาง ๆ ให้แก่พี่ชายแทน

“ย่อมเป็นพ่อค้า หากมิใช่พ่อค้าจะมีผู้ใดเล่าที่สามารถนำของร้อนๆ มาลวกแขนข้าได้อีก” แม้ว่าคำพูดของน้องชายจะมีส่วนที่แปลกไปบ้าง แต่เหตุผลที่ถูกยกมาถามก็ทำให้เมิ่งลู่เหยาคิดหาผู้อื่นไม่ได้จริง ๆ ได้แต่ยอมรับกับความเป็นไปได้ที่ไม่ชวนให้เชื่อนั้นไปก่อน

“เจ้าเสี่ยวฉีนั่น คงมิใช่ว่าขโมยเงินแล้วหนีไปหรอกนะ แถมเจ้ายังให้ป้ายหยกประจำตัวของเจ้าไปอีก” ยิ่งความร้อนใจมีมากเท่าไร เมิ่งลู่เหยาก็ยิ่งคิดในทางร้าย ๆ กับเสี่ยวฉีคนนั้นมากยิ่งขึ้น เดิมเพราะเขายังคงตงิดใจกับบ่าวรับใช้ที่ชื่อเสี่ยวฉีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะระแวงไปต่าง ๆ นานา ยิ่งอีกฝ่ายชักช้ากับการเจ็บปวดของน้องชายเขา เขาก็ยิ่งไม่ไว้ใจในตัวคนผู้นั้นเข้าไปอีก

“พี่ใหญ่ใจเย็นก่อน บางทีอาจจะมีคนมากมายรอซื้อยาจึงทำให้เขามาช้า” เมิ่งลู่เหยาทั้งหงุดหงิดใจและร้อนใจ ทว่าเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องนั่งรอต่อไป

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น หากไม่แล้ว ข้าจะเป็นคนไปลากเขากลับมาเอง”

เมิ่งอวิ๋นเพียงส่ายหน้ากับอาการของผู้เป็นพี่ชาย นึกขบขันในความขึงขังที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ก่อนจะมองไปที่ประตูอีกครั้งเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้มั่นใจในตัวของเสี่ยวฉีมากนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายคงไม่ทำเช่นที่เมิ่งลู่เหยากังวล แต่จะเป็นคนดีหรือไม่นั้น เขายังไม่อาจสรุปได้ง่ายๆ

จริงอยู่ว่าเสี่ยวฉีแม้จะคล้ายน่าสงสัยแต่ก็ไม่คล้ายจะเป็นเช่นนั้น หากจะให้พูดคนผู้นี้ดูเหมือนจะเงียบกว่าบ่าวรับใช้ทั่วไป ไม่สุงสิงกับผู้ใดเกินจำเป็น แต่เมื่อเจอเขากลับทำดีด้วย แต่นั่นก็ไม่นับว่าแปลกอะไรในเมื่อเขาเองก็ถือว่าเป็นเจ้านายคนหนึ่ง

เช่นนั้นแล้วอะไรกันเล่าที่แปลก?

เมื่อมาคิดดูดี ๆ แล้วเมิ่งอวิ๋นก็หาความแปลกของอีกฝ่ายไม่เจอจริง ๆ แต่เขากลับยังไม่คลายใจกับความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายแปลกไปได้เลย ทั้งที่มันไม่มีเหตุแต่เขากลับรู้สึก นี่ต่างหากที่แปลกนัก

“นายน้อย บ่าวกลับมาแล้วขอรับ”

“เข้ามา!” เมิ่งอวิ๋นไม่ทันอ้าปากเอ่ยเรียก เมิ่งลู่เหยาก็ชิงตัดหน้าเอ่ยปากเรียกคนเข้ามาอย่างรวดเร็วเสียจน เมิ่งอวิ๋นต้องหุบปากเก็บคำกลับเข้าไปแทบไม่ทัน

เสี่ยวฉีเปิดประตูเข้ามาข้างในด้วยท่าทางนอบน้อม ศีรษะก้มต่ำตลอดเวลาและมีทีท่าคล้ายว่าจะทำตัวไม่ถูก เมิ่งลู่เหยาที่ร้อนใจอยู่แล้วยิ่งรำคาญสายตาจนอยากจะสั่งโบยบ่าวเชื่องช้าผู้นี้เสีย แต่เมิ่งอวิ๋นกลับไม่ใช่ เขามองสิ่งที่เสี่ยวฉีแสดงออกมาอย่างสนใจ พร้อมกับเอ่ยถาม

“เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดเถิด” เสี่ยวฉีเหลือบมองเมิ่งอวิ๋นเล็กน้อย ก่อนจะล้วงนำเงินเท่าจำนวนเดิมที่ได้ไปมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ทำให้เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยางุนงง

“ไม่ได้ซื้อยามาให้ข้าหรอกหรือ?” เมิ่งอวิ๋นถาม

“นี่เจ้าไปเสียตั้งนานกลับไม่มียากลับมาให้น้องข้า เจ้าอยากถูกโบยใช่หรือไม่!” เสี่ยวฉีคุกเข่าลงพื้นอย่างร้อนรน ละล่ำละลักอธิบายอย่างหวาดกลัว

“มิ มิใช่นะขอรับ”

“พี่ใหญ่ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ฟังเขาก่อน” เมื่อน้องชายออกปาก เมิ่งลู่เหยาก็ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยอมฟังคำของน้องชาย

“ได้! เจ้ารีบพูดมา!”

“บะ...บ่าวเดินออกไปจากจวนตามคำสั่งของคุณชายใหญ่และนายน้อย ตะ แต่ยังไม่ทันจะถึงร้านยา บ่าวก็พบกับ เอ่อ” เมิ่งอวิ๋นมุ่นคิ้ว แต่เมิ่งลู่เหยานั้นไม่ใจเย็นพอจะคิดตาม

“พบผู้ใด!” เมิ่งอวิ๋นมองเสี่ยวฉีเม้มปากอยู่ตรงพื้นอย่างเห็นใจ จึงปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“เจ้าเล่าเถิด ไม่มีผู้ใดเอาผิดเจ้าหรอก พี่ใหญ่และข้าล้วนแต่รอฟังคำของเจ้าอยู่” เสี่ยวฉีจึงนำของบางสิ่งออกมา ก่อนจะวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้กับเงินที่ถูกวางเอาไว้ก่อนหน้า สิ่งที่ปรากฏคือตลับสีเงินไร้ลวดลายสวยงาม เพียงตลับที่หยาบกระด้างไม่คล้ายของที่เคยพบเห็น เมิ่งอวิ๋นมองอย่างไม่เข้าใจ แต่เมิ่งลู่เหยากลับหยิบมันขึ้นมาเพ่งพินิจดูและเปิดมันออก

สิ่งที่อยู่ภายในคือขี้ผึ้งสีเหลืองอ่อน เพียงเมิ่งลู่เหยายกขึ้นมาสูดดมก็รู้ทันทีว่าเป็นของดีราคาไม่น้อย นั่นยิ่งทำให้เมิ่งลู่เหยาสงสัยมากขึ้น

“เจ้าเอามาจากผู้ใด”

“บ่าวได้มาจากบุรุษผู้หนึ่งขอรับ เป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา แต่บ่าวไม่ทราบชื่อของเขาจริง ๆ”

“ไม่รู้จักชื่อ ทว่ากลับนำของเข้ามาในจวน นี่เจ้า!” เมิ่งอวิ๋นยกมือขึ้นมาห้ามปรามพี่ชายของตนเอาไว้ พร้อมกับถามอย่างสนใจ

“ทำไมเจ้าจึงนำมาให้ข้าเล่า ในเมื่อเจ้าเองก็ไม่รู้จักเขา”

“เดิมทีบ่าวจะไม่รับ แต่บ่าวสู้คนผู้นั้นไม่ได้ขอรับ เขานำของสิ่งนี้มายัดใส่มือของบ่าว แล้วยัง...”

“ยังอะไร?”

“เขา เขายังนำเอาป้ายหยกของนายน้อยไปเป็นของแลกเปลี่ยนขอรับ!”

“เจ้า! นี่เจ้า!” เมิ่งลู่เหยาโกรธจนแทบบ้า ร่างสูงลุกขึ้นชี้หน้าของเสี่ยวฉีพร้อมกับหอบหายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“พี่ใหญ่...”

“ได้! ข้ายกให้เจ้าจัดการ!” เมิ่งอวิ๋นเห็นพี่ชายตนทิ้งกายลงนั่งด้วยท่าทางไม่เต็มใจก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปจับจ้องที่เสี่ยวฉีอีกครั้ง

“เจ้าบอกว่าเขานำป้ายหยกขอข้าไปหรือ?”

“ขอรับนายน้อย”

“ทำไมเจ้าถึงยอมยกให้เขาโดยง่ายเล่า”

“นายน้อย คุณชายผู้นั้นเขานำคนขอทางการมาด้วย บ่าว บ่าวไม่กล้าไม่ให้ขอรับ นายน้อยโปรดอภัย บ่าวผิดไปแล้ว!” เสี่ยวฉีโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงหลายครั้ง แต่คำตอบที่เสี่ยวฉีบอกกลับยิ่งทำให้เมิ่งอวิ๋นมุ่นคิ้วหนักขึ้น แม้แต่เมิ่งลู่เหยาเองยังไม่ต่างกันเท่าใดนัก เมื่อได้ยินว่าคนที่มาแลกตลับขี้ผึ้งชั้นดีนี้กับป้ายหยกของเขา นำคนของทางการมาด้วยเช่นนั้นเป้นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจะต้องยึดเอาของที่เป็นของเขาไปแลกเปลี่ยน อีกทั้งคนผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการสิ่งนี้

หรือคนผู้นั้นจะเป็น...

“คนที่เจ้าว่ามา เขาฝากคำพูดใดมาถึงข้าหรือไม่” เสี่ยวฉีก้มหน้าหยุดโขกศีรษะทว่ายังตอบกลับทุกคำ

“ขอรับ”

“ว่าอย่างไร”

“คุณชายผู้นั้นกล่าวว่า ป้ายหยกนี้เขาจะถือเป็นของแลกเปลี่ยน ส่วนตลับยานี้ช่วยรักษาแผลของนายน้อยให้หายได้ในเร็ววัน หากปรารถนาอยากได้ป้ายหยกคืนก็ให้ไปหาเขาที่จวนแม่ทัพขอรับ” เมิ่งอวิ๋นหน้าเครียด แม้แต่เมิ่งลู่เหยาเองก็ยิ่งเครียดหนัก ใบหน้าหล่อบัดนี้มืดครึ้มเสียจนไม่น่ามองสักนิด จวนแม่ทัพ กล่าวมาเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดอื่นอีกแล้วนอกจากคนผู้นั้น

“เสี่ยวอวิ๋น เขารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าถูกน้ำร้อนลวก คงมิใช่เขาหรอกใช่ไหมที่ทำร้ายเจ้า!” เดิมทีเมิ่งลู่เหยาก็ไม่ปักใจเชื่อเรื่องพ่อค้าที่ทำน้ำร้อนลวกเมิ่งอวิ๋นอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเรื่องเช่นนี้เมิ่งลู่เหยายิ่งคาดเดาว่า เพราะเมิ่งอวิ๋นยังคงรักและห่วงใยในตัวของคนผู้นั้น จึงไม่อยากให้เขาเอาความกับหลี่เจี้ยนเฉิง

เจ้าคนชั่วช้านั่น! กล้าทำร้ายน้องชายเขาอีกครั้งแล้วงั้นหรือ!

“เขาทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่!!”

“พี่ใหญ่ ท่านกำลังเข้าใจผิดแล้ว” เมิ่งอวิ๋นพยายามอธิบาย แต่เมิ่งลู่เหยาเดือดดาลเสียจนแทบจะควบคุมสติของตนเอาไว้ไม่ได้

“เจ้ายังจะปกป้องเขาอีกหรือ ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่รู้สึกอันใดกับเขาแล้ว ทำไมยังปกป้องเขาอีก!” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ยกมือขึ้นมานวดขมับของตนเองไปด้วยท่าทางเคร่งเครียด

“เสี่ยวฉีเจ้าออกไปได้แล้ว จากนี้ไปเจ้าเป็นบ่าวข้ากายข้า ไปหาเสี่ยวหลงเถิด เขาจะช่วยเจ้าเอง”

“ขอบคุณขอรับนายน้อย บ่าวจะตั้งใจทำงานดูแลนายน้อยอย่างดีที่สุดขอรับ”

“ไปเถิด”

เมิ่งอวิ๋นรอจนเสี่ยวฉีจากไปแล้วและมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ อีกจึงได้ดึงพี่ชายให้นั่งลง การที่พี่ชายจะเสียงดังใส่น้องชายอย่างเขาย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร แต่เขาก็ไม่อยากให้เหล่าบ่าวรับใช้คนใดมารับรู้การกระทำนี้ เพื่อไม่ให้เกิดข่าวลือร้ายๆ จนทำให้พี่ชายของเขาต้องมัวหมอง ต้องป้องกันเอาไว้เสียก่อนย่อมดีกว่ามานั่งแก้ไข

“เมิ่งอวิ๋น!!”

“พี่ใหญ่ ท่านใจเย็นๆ ก่อน ข้าไม่ได้ถูกเขาทำร้ายจริง ๆ และข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาอีกแล้ว พี่ใหญ่ท่านไม่เชื่อข้าหรือ” เมิ่งลู่เหยาหอบหายใจด้วยความโกรธที่เต็มอก แต่จะให้ระบายกับน้องชายที่เพิ่งจะเจ็บแขนมาก็ทำไม่ลง สิ่งที่ทำได้จึงมีแต่ต้องกลืนความโกรธนี้เอาไว้ในอกตน ดูน้องชายตีหน้าเศร้าใช้ดวงตากลมมองมาที่เขาด้วยแววตาน่าสงสารแล้วก็รู้สึกจนใจ

“เจ้าก็เป็นเช่นนี้เรื่อย พอเป็นเรื่องของคนผู้นั้นเจ้าก็บ่ายเบี่ยง ไม่เคยเป็นความผิดของเขาสักครั้ง แล้วอย่างไร เจ้าผิดเองหรือที่ถูกน้ำร้อนลวกใส่?” เมิ่งอวิ๋นได้ยินคำประชดประชันก็หัวเราะออกมาในลำคออย่างขบขัน นับว่าบรรยากาศดีขึ้นมามากกว่าเก่า เช่นนี้คงคุยง่ายขึ้น

“นั่นก็ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่ข้าได้พบเขาจริง ๆ แต่ข้าถูกพ่อค้าทำน้ำร้อนลวกข้าจริงเช่นกัน พี่ใหญ่...หากเป็นความผิดของเขาจริง ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นนี้แน่ ข้าสาบานต่อฟ้า หากข้าเจ็บเพราะน้ำมือของเขา ข้ายอมติดตามเอาคืนจนกว่าจะสาสมแน่นอน!” น้ำเสียงหนักแน่นดุจภูผาทำให้หัวใจของเมิ่งลู่เหยาสั่นไหว เขาไม่ได้ปรารถนาเช่นนั้น เพียงไม่อยากให้น้องชายของเขา เอาแต่ปกป้องบุรุษที่ไม่เคยมองเห็นค่าของในตัวของน้องชายเขาเช่นคนผู้นั้น

เขาเพียงห่วงใย กลัวว่าหากวันใดถูกสังหารด้วยน้ำมือคนผู้นั้นแล้ว เมิ่งอวิ๋นจะไม่อาจรับความจริงได้

“พี่ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น พี่เพียงไม่อยากให้เจ้า เอาความสำคัญไปให้กับคนที่ไม่เห็นค่าในตัวเจ้า เขาไม่คู่ควรแม้แต่น้อย” เมิ่งอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่สุด คนผู้นี้นับว่าไม่คู่ควรต่อความรักของเมิ่งอวิ๋นเลยแม้แต่นิดเดียว คนที่ไม่อาจปกป้องเมิ่งอวิ๋นได้ ซ้ำยังเป็นคนผลักให้ลงไปจมอยู่กับนรกที่ทรมานยิ่งกว่าตายนั้น....

ไม่คู่ควรต่อความรักมั่นคงที่เมิ่งอวิ๋นมีเลย

“ข้าไม่รักเขาอีกแล้วพี่ใหญ่ หัวใจของข้าในตอนนี้ไม่ได้มีหลี่เจี้ยนเฉิงอยู่ในนั้นอีกต่อไปแล้ว พี่ใหญ่สบายใจได้”

คำยืนยันกับดวงตาสีเกาลัดที่เคร่งขรึมจริงจังกว่าทุกครั้ง มันกำลังทำให้ความหวังเล็กน้อยในหัวใจของผู้เป็นพี่ชายอย่างเขา จุดประกายดวงไฟขึ้นมาจนโชติช่วงลุกลามจนกลายเป็นกองไฟ หากว่าคำที่เมิ่งอวิ๋นกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง เช่นนี้เขาก็คงไม่ต้องห่วงอีกแล้วว่าเมิ่งอวิ๋นจะทำอะไรบ้า ๆ เพื่อคนผู้นั้นอีกเท่าไร

เพียงเท่านี้หัวใจของคนเป็นพี่ก็ปล่อยวางได้เสียที

แต่ทว่าเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของเมิ่งลู่เหยากำลังจะระบายรอยยิ้มออกมาก็พลันมืดครึ้มลงไปอีกครั้ง หากเป็นเช่นที่เมิ่งอวิ๋นว่ามาแล้วเหตุใดหลี่เจี้ยนเฉิงจึงได้ตามราวีน้องชายของเขาไม่เลิกเล่า? และเมิ่งอวิ๋นเองก็พอจะรู้ว่าพี่ชายตนคิดสิ่งใดอยู่จึงเริ่มเปิดปากพูด

“ข้าว่าเขาคงเห็นว่าข้าไม่สนใจเขาอีกแล้ว จึงแปรเปลี่ยนท่าทีมาเพื่อให้ข้ากลับไปจมปลักอยู่กับความรู้สึกที่มีต่อเขาอีก”

“นั่น...”

“แต่พี่ใหญ่อย่าได้ห่วงไปเลย ข้าเมิ่งอวิ๋น เมื่อเจ็บแล้วย่อมจำ ไม่มีวันกลับไปย่ำอยู่บนความเจ็บปวดนั่นอีกแน่” ในเมื่อตอนนี้เมิ่งอวิ๋นตัวจริงกำลังเริ่มชีวิตใหม่ที่ไม่มีคนผู้นี้ เช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นคนใหม่อย่างเขาย่อมไม่จำเป็นต้องเห็นคนไร้ความสำคัญเช่นนั้นอยู่ในสายตา

“แล้วป้ายหยก...”

“ข้าจัดการได้ ตอนนี้ข้ายังมีหนี้ติดค้างต่อเขา ย่อมต้องรอเวลาชดใช้คืนก่อน เรื่องอื่นนั้นจำต้องรอไปก่อน” เมื่อเป็นเช่นนี้เมิ่งลู่เหยาก็จนปัญญาจะทำอะไร ได้แต่ปล่อยให้น้องชายจัดการกับเรื่องพวกนี้เอง แต่เขาที่เป็นพี่ชายจะคอยระวังหลังไว้ให้ ไม่ยอมให้ทางข้างหลังของน้องชายเป็นผาสูงไร้ก้นให้มองเห็นแน่นอน

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า มาเถิด พี่จะใส่ยาให้เอง”

แม้จะรังเกียจคนมากเพียงใด แต่ของที่มาจากจวนแม่ทัพย่อมต้องดีกว่าของทั่วไปที่เขาให้คนไปหาซื้อ เมิ่งลู่เหยารู้ดีกว่ามันดูขัดแย้งต่อสิ่งที่เขาคิด แต่เพื่อความเจ็บปวดที่ผิวกายของน้องชาย เขาย่อมต้องกัดฟันและหยิบมันมาใช้ ถึงอย่างไรเสียของสิ่งนี้ก็ใช่ว่าจะได้มาโดยไม่ชอบเสียเมื่อไร ในเมื่อเจ้าของเขาแลกกับป้ายหยกของน้องชายเขา เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาซื้อขายมันอย่างถูกต้องแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ของดีตรงหน้าจะไม่ใช้ได้หรือ เมิ่งลู่เหยาพึงพอใจในความคิดของตนเอง และค่อยๆ ป้ายขี้ผึ้งเย็นลงไปที่ผิวแขนของน้องชายตนอย่างเบามือ โดยไม่รู้เลยว่าในใจของเมิ่งอวิ๋นนั้นขุ่นเคืองต่อเจ้าของตลับเงินนี้มากเพียงใด



TBC







มายงมายึดของเขาไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะอาเฉิง เคลียร์ตัวเองก่อนดีไหมคะพ่อพระเอก อยากจะแหมใส่เหลือเกิน 

เมิ่งอวิ๋น

หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 100% (Up.27/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-11-2020 12:28:02
นิสัยยยย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (15) 100% (Up.27/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-11-2020 21:53:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 50% (Up.03/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 03-12-2020 16:34:23
[16] 50%


ปัญหาต้องช่วยกันแก้

ยามซื่อ (09.00 - 10.59 น.) เมิ่งอวิ๋นถูกพี่ชายลากตัวไปยังเหลาจื่อเค่อ ด้วยเพราะว่าในช่วงนี้นั้นมีเหลาอาหารมากมายต่างมาเปิดใหม่ ผู้คนจึงได้ใช้โอกาสนี้ไปทดลองลิ้มรสรสชาติที่ต่างออกไปจากเดิมอย่างช่วยไม่ได้ เมิ่งอวิ๋นที่ถูกบังคับให้ไปด้วยไม่ได้มีท่าทางต่อต้านแต่อย่างใด เดิมทีเขาก็คิดจะเข้าไปดูที่ร้านอยู่แล้วด้วย จึงไม่อิดออดยามถูกเมิ่งลู่เหยาบังคับให้ติดตามมา

ในหัวของเขาขบคิดไปถึงวิธีการมากมายที่จะดึงดูดเหล่าลูกค้าหน้าเก่าและหน้าใหม่ ทำเช่นไรกิจการจึงจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ แม้ว่ารสชาติของเหล่าจื่อเค่อจะเป็นเลิศในเมืองหลวง ทว่าก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเมิ่งอวิ๋น

แต่ไม่ใช่สำหรับเมิ่งลู่เหยา เขากังวลในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าอีกไม่นานผู้คนเหล่านั้นจะกลับมายังเหลาจื่อเค่อก็ตาม แต่ด้วยความที่เขาเองก็ยังมีความกังวลว่า หากรสชาติของที่อื่นดีกว่าเล่า หากความชอบของผู้คนที่เป็นลูกค้าต่างพากันติดใจในรสชาตินั้น แล้วเหลาอาหารของตระกูลจะเป็นเช่นไร

ยิ่งคิดเมิ่งลู่เหยาก็ยิ่งวุ่นวายใจ

“พี่ใหญ่ เรื่องมิได้ร้ายแรงเหตุใดต้องกังวลขนาดนี้ด้วยเล่า?” อย่างไรเขาก็มั่นใจว่ารสชาติฝีมือของพ่อครัวประจำเหลาจื่อเค่อ ย่อมเป็นหนึ่งในเมืองหลวงแน่นอน

เมิ่งลู่เหยาได้แต่ถอนหายใจ ตัวเขาใช่จะไม่รู้ว่ากำลังกังวลจนเกินเหตุ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้

“พี่เพียงหวาดกลัวเท่านั้น หากว่าพวกเขาติดใจจนลืมเลือนอาหารของเราเล่า เหลาจื่อเค่อจะอยู่ได้อย่างไร”

“แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่เชื่อในฝีมือของพ่อครัวของเรา เช่นนี้แล้วจะมีใครเชื่อในรสชาติของเราอีกเล่า พี่ใหญ่ ท่านใจเย็นก่อนเถิด” เมิ่งลู่เหยาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาฉายแววสับสนและไม่แน่ใจ ปรากฏแม้แต่ความว้าวุ่นที่พยายามปกปิดเอาไว้ จนเมิ่งอวิ๋นยังอดเครียดตามไปด้วยไม่ได้

“จริงของเจ้า แต่...”

“อย่าเพิ่งคิดอะไรให้มากเลย ข้าว่าเมื่อเราไปถึงที่นั่นคงสามารถมองเห็นสถานการณ์และคิดวิธีแก้ได้อย่างแน่นอน”

เมิ่งลู่เหยาแม้จะยังไม่อาจวางใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับคำของผู้เป็นน้องชาย ด้วยรู้ดีว่าแม้เขาจะครุ่นคิดไปในยามนี้ก็ไม่ช่วยอะไรจริง ๆ อย่างไรก็จะต้องรอให้ไปถึงที่หมายก่อน ไปดูว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรแล้วจึงค่อยคิดกันอีกที

เมิ่งลู่เหยาเหลือบมองน้องชายอย่างตะลึงงัน นี่น้องชายของเขาสุขุมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย ท่าทางที่แสนสบายทว่าแฝงความน่าเคารพเกรงขามเอาไว้นั้น ช่างไม่แตกต่างจากบิดาของเขาแม้แต่น้อย ยามได้มองหรือรับรู้ถึงบรรยากาศรอบข้าง แววตาของเมิ่งลู่เหยาก็พลันเต็มตื้นไปด้วยความชื่นชม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจในตัวของน้องชายคนนี้

“เจ้าโตขึ้นแล้วสินะเสี่ยวอวิ๋น”

“พี่ใหญ่ ท่านว่าอะไรนะขอรับ?” เมิ่งลู่เหยาพลันได้สติก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ตบไหล่ของเมิ่งอวิ๋นสองสามครั้งไม่แรงนัก

“ไม่มีสิ่งใด พี่เพียงคิดว่าเจ้าวางตัวได้ดียิ่ง”

อีกทั้งยังน่าชื่นชมเหลือเกิน

เมิ่งอวิ๋นไม่ได้เข้าใจความคิดของเมิ่งลู่เหยาแม้แต่น้อย เพียงแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเมิ่งลู่เหยา เขาก็พลันยิ้มตามแล้วพยักหน้ารับคำ อย่างไรก็ดีกว่าให้พี่ชายของตนเดินไปยังเหลาจื่อเค่อด้วยใบหน้าอมทุกข์ เป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน เขาจึงไม่ได้สนใจจะสืบสาวหาความใด ๆ ต่อ

ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงยังจุดหมายปลายทาง เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในเหลาจื่อเค่อ เมิ่งอวิ๋นก็ขมวดคิ้วจนแน่น กวาดสายตามองจำนวนคนที่น้อยนิดอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ก่อนนี้ที่เขามาแม้คนในเหลาจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็ไม่ได้น้อยจนสามารถนับได้ด้วยตาเปล่าเช่นนี้

ลดน้อยลงไปมากเหลือเกินจริง ๆ

“พี่ใหญ่...นี่เป็นเพราะมีเหลาอาหารมาเปิดใหม่จริง ๆ หรือ?” เมิ่งลู่เหยาพยักหน้าแล้วอธิบายแก่น้องชายเพิ่ม

“ใช่ เดิมทีพี่ก็คิดว่าคงไม่นานนัก พวกเขาก็คงกลับมาหาเหลาของเรา ทว่าผ่านไปสามสี่วันแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา พี่เองก็จนปัญญาจึงได้ชักชวนเจ้ามาช่วยพี่คิดหาทางแก้อย่างไรเล่า” เมิ่งลู่เหยาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ใกล้ตัว ยกฝ่ามือขึ้นมาลูบใบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน แววตาคล้ายคนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรอีกต่อไปดี

เมิ่งอวิ๋นเห็นเช่นนั้นก็เดินไปยังภายในเหลาอาหาร กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ บรรยากาศไม่ได้นับว่าดีเลิศแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร มีความสบายตา เข้ามาภายในก็มีลมเย็นพัดผ่านให้คลายร้อนได้ สถานที่เช่นนี้ก็นับว่าดีแล้ว เช่นนั้นก็อาจเป็นที่รสชาติ

“เจ้า...” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งแทบจะตกตะลึงเมื่อถูกเมิ่งอวิ๋นชี้ตัว

“ขอรับคุณชาย”

“ยกอาหารมาให้ข้าสองอย่าง จานผักหนึ่งอย่าง จานเนื้อหนึ่งอย่าง อ้อ! แล้วไม่ต้องบอกเล่าว่าของข้า” เสี่ยวเอ้อร์มองเขาอย่างสงสัย ทว่าไม่อาจไม่รับคำ

“ทราบแล้วขอรับคุณชาย”

เมิ่งอวิ๋นนั่งรอเสี่ยวเอ้อร์ไปจัดการตามคำสั่งของเขา หากบอกว่าเป็นอาหารที่นำมาเพื่อให้เขากินมัน ย่อมต้องได้รับของดีที่สุด เช่นนั้นหากไม่บอกออกไปย่อมสามารถตรวจสอบได้ดีกว่า เมิ่งลู่เหยามองน้องชายอย่างไม่เข้าใจ ในเวลาเช่นนี้ยังกินลงได้อีกหรือ?

“เจ้าหิวหรือเสี่ยวอวิ๋น” เมิ่งอวิ๋นยิ้มบาง ๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“เช่นนั้นเหตุใดต้องสั่งอาหารด้วยเล่า มิใช่เรามาเพื่อหาทางแก้หรอกหรือ?”

“เพราะเรามาเพื่อหาหนทางแก้อย่างไรเล่าพี่ใหญ่ เราจึงต้องตรวจสอบทุกอย่าง” เมิ่งลู่เหยามองใบหน้าของน้องชายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเบิกกว้าง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“เจ้า เจ้าคิดว่ารสชาติอาหารของเรางั้นหรือที่เป็นปัญหา”

“บอกพี่ใหญ่ตามตรงข้าเองก็ไม่มั่นใจ รอลิ้มรสก่อนก็คงจะรู้”

เมิ่งลู่เหยาแม้จะไม่อาจเข้าใจได้แต่ก็ไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อนว่ารสชาติอาจมีปัญหา เมื่อถูกสะกิดให้ฉุกใจคิดใบหน้าของเมิ่งลู่เหยาจึงฉายชัดถึงความไม่พอใจ หากว่ารสชาติผิดเพี้ยนไปอย่างที่น้องชายเขากำลังตรวจสอบจริง ก็นับว่าเป็นเขาที่สะเพร่าไม่ดูแลเหลาอาหารแห่งนี้ให้ดี เขาคงต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่แรกอีกครั้งกับบิดา

ไม่นานนักอาหารสองจานก็ถูกยกมา เสี่ยวเอ้อร์วางลงบนโต๊ะที่เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยานั่งอยู่ก่อนจะขยับออกไปยืนห่างๆ รอปรนนิบัติอยู่เงียบๆ แทน เมิ่งอวิ๋นมองไอความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากอาหาร สูดดมกลิ่นเข้าไปในปอดแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรแย่ จากนั้นจึงได้ลืมตาขึ้นแล้วใช้ตะเกียบคีบผักตรงหน้าเข้าปาก

เพียงเคี้ยวไปสองสามครั้งเมิ่งอวิ๋นก็นิ่งไป ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบจานเนื้อที่ถูกยกมาเข้าไปในปากแทน เมิ่งลู่เหยาที่มองน้องชายนิ่งเงียบไปก็ร้อนใจ รีบจับตะเกียบแล้วคีบอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจความร้อนของมัน ความกลมกล่อมที่แตะปลายลิ้นนั้นพอจะคลายสีหน้าของเมิ่งลู่เหยาจากก่อนนี้ได้หลายส่วน เขาลอบถอนหายใจด้วยซ้ำที่สาเหตุไม่ได้เกิดมาจากรสชาติหรือฝีมือของพ่อครัว นั่นย่อมหมายความว่าเขามิได้บกพร่อง

แต่เช่นนั้นเพราะอะไรกันเล่าจึงทำให้ลูกค้าหดหายไปมากมายขนาดนี้

“รสชาติมิใช่ปัญหา”

“เช่นนั้นสิ่งใดกันที่เป็นปัญหา” เมิ่งอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาเสี่ยวเอ้อร์อีกครั้ง

“เจ้าชื่ออะไร” เสี่ยวเอ้อร์เริ่มคุ้นชินกับเจ้านายทั้งสองจนสงบใจได้บ้างแล้ว จึงเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม

“เรียนคุณชาย ข้าน้อยมีนามว่าเจียวฝางขอรับ”

“สองจานนี้ราคาเท่าไร?” เสี่ยวเอ้อร์ไม่เข้าใจ ราคานี้มิใช่คุณชายและสกุลเมิ่งเป็นผู้ตั้งหรอกหรือ แต่ก็ยังคงตอบไปตามความจริง

“จานผักยี่สิบอีแปะ จานเนื้อห้าสิบอีแปะขอรับ” คำนวณแล้วก็นับว่าแพงอยู่มากจริง ๆ เมิ่งอวิ๋นมองเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่อาจพูดออกไปได้ ด้วยเมื่อลิ้มรสชาติก็พอจะรู้ได้ว่า เหลาจื่อเค่อนั้นใช้วัตถุดิบชั้นดีมาทำ การจะตั้งราคาแพงกว่าเหลาอาหารแห่งอื่นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

“หากเจ้ามิใช่คนใน เจ้าจะเข้ามากินที่เหลาแห่งนี้หรือไม่”

“เอ่อ...” คำถามนี้ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ไม่อาจตอบได้ ทำได้เพียงแค่อึกอักไม่อาจเอ่ยคำใดออกไปจากปาก แต่เมิ่งอวิ๋นเข้าใจในความคิดของเสี่ยวเอ้อร์คนนี้เป็นอย่างดี จึงระบายยิ้มออกมาอย่างใจดี อีกทั้งยังกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่ถามเจ้าเท่านั้น จะไม่มีใครไล่เจ้าออกจากเหลาจื่อเค่อแน่นอน” แม้ว่าจะยังมีความไม่มั่นใจอยู่ แต่เมื่อเมิ่งอวิ๋นผู้ที่ถือเป็นเถ้าแก่คนหนึ่งของเขา เจียวฝางก็ค่อยวางใจไปได้หลายส่วน

“เรียนคุณชายตามตรง ข้าน้อยไม่มีปัญญาเข้ามาที่เหลาแห่งนี้ขอรับ” เมิ่งลู่เหยาเกือบจะโมโหจนหน้าดำหน้าแดง แต่ติดที่ถูกมือของเมิ่งอวิ๋นดึงแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน จึงได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจไปทางเจียวฝางเท่านั้น ซึ่งอีกฝ่ายที่ถูกมองกลับก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาน่ากลัวนี้

“เจ้าไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วง หากใครจะไล่เจ้าออกในความผิดนี้ ให้บอกชื่อข้าไปได้เลย”

“ขอบคุณคุณชาย” เจียงฝางไม่รอช้ารีบหายหน้าไปในทันที ตอนนี้จึงเหลือเพียงเมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาเท่านั้น คนหนึ่งใจเย็นดุจสายน้ำ อีกคนร้อนใจราวกับไฟ แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปากขึ้นมาก่อน เมิ่งอวิ๋นเฝ้ารอให้ผู้เป็นพี่เอ่ยถามถึงสาเหตุจึงยกชาขึ้นมาดื่มดับกระหาย และในที่สุดเมิ่งลู่เหยาก็ทนไม่ได้จริง ๆ

“เจ้าถามเช่นนั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่ มันกล่าวเช่นนั้นออกมาแล้วเหตุใดไม่ไล่มันออกไปจากร้านอีกเล่า? เจ้าใจอ่อนเกินไปแล้วนะเมิ่งอวิ๋น!”

“พี่ใหญ่ ท่านไม่เข้าใจหรือ?” เมิ่งลู่เหยาโกรธจนไม่ได้สนใจ ท่าทางยังคงฟึดฟัดด้วยความขุ่นเคือง

“จะให้พี่เข้าใจอะไรอีก สิ่งที่เจ้าทำมันไม่เกิดผลใดๆ เลย เจ้าดูสิ อาหารพวกนี้รสชาติเป็นเลิศ แล้วไหนเล่าสาเหตุที่ทำให้เหลาตระกูลเราต้องตกต่ำเช่นนี้” เมิ่งอวิ๋นไม่โกรธท่าทีของผู้เป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเข้าใจดีว่าเมิ่งลู่เหยาเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเหลาจื่อเค่อขนาดไหน

“พี่ใหญ่ท่านสงบใจก่อนเถิด ที่ข้าถามเพื่อให้ท่านได้มองเห็นชัดขึ้นอย่างไรเล่า”

“หมายความว่าอย่างไร” เมิ่งลู่เหยาไม่เข้าใจในความหมายของผู้ที่เป็นน้องชายแม้แต่น้อย

“ในเมืองหลวงนี้ใช่ว่าจะมีผู้ที่ร่ำรวยเช่นเรามากมายนัก ขุนนางหรือจะมากเท่ากับราษฎร” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็พลันเงียบลง หัวใจสงบนิ่งขบคิดถึงสิ่งที่น้องชายบอกอย่างละเอียดอีกครั้ง

“ความหมายของเจ้าคือ...” เมิ่งอวิ๋นยิ้มร่า โบกพัดในมือไปมาอย่างพอใจเมื่อเมิ่งลู่เหยาคล้ายจะเดาความหมายเหล่านั้นออก

“ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่ว่าอาหารของเราไม่ดี แต่เพราะมันดีเกินไปต่างหาก” เมื่อเห็นว่าเมิ่งลู่เหยายังคงเงียบไม่เอ่ยคำ เมิ่งอวิ๋นก็อธิบายต่ออย่างใจเย็น

“เดิมทีเหลาอาหารของเราใช้วัตถุดิบชั้นเลิศเพื่อทำอาหาร ทำให้ราคาจึงสูงขึ้นตามไปด้วย และด้วยเหตุนั้นจึงทำได้เพียงรองรับลูกค้าจากตระกูลชั้นสูง ไม่สามารถเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วไปเข้ามาที่นี่ได้”

“แต่เราก็มิได้ห้าม เพียงแต่ว่า...”

“เพียงแต่ว่าจะต้องสามารถจ่ายได้ใช่หรือไม่ นั่นคือสาเหตุอย่างไรเล่าพี่ใหญ่” เมิ่งลู่เหยายังไม่เข้าใจทั้งหมด หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากัน และพูดไปตามที่ตนคิด

“ก่อนนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ขายในราคานี้เสียเมื่อไร เพิ่งจะมาเป็นช่วงเวลานี้ไม่เท่ากับเจ้าเดาสุ่มหรือ”

“ก่อนนี้ยังสามารถจับจ่ายได้อย่างสบายใจ แต่พี่ใหญ่ เงินที่ใช้ไปอย่างไรก็มีวันหมด พี่ลองคิดตามข้า หากข้ามีเงินอยู่สิบกอง ข้าใช้ไปเสียสี่กอง แล้วข้าสามารถหาได้เพียงวันละสองกอง เช่นนี้ส่วนที่ขาดหายไปอีกสองกองเล่าจะทำเช่นไร?”

“...”

“หากใช้ไปเรื่อยๆ ย่อมมีส่วนที่หักลบแล้วเกิดความไม่เท่ากัน ต่อให้ข้าสามารถหาได้สองแล้วอย่างไร ในเมื่อข้าใช้ไปถึงสี่กอง เช่นเดียวกับราคาอาหาร หากเราตั้งราคาไว้สูง คนที่ไม่อาจหาได้เท่าราคาที่กินไป เขาก็จะไม่มา พี่ใหญ่เข้าใจความหมายของข้าหรือยัง” เมิ่งลู่เหยาเบิกตากว้าง ตกตะลึงกับความจริงที่ได้รู้ แววตาที่ใช้มองเมิ่งอวิ๋นก็แปรเปลี่ยนไป จากที่เคยชื่นชมนั้นก็กลายเป็นแววตาที่คล้ายจะพบเจอเรื่องมหัศจรรย์เข้าให้

“เช่นนี้พี่ควรทำอย่างไรเล่า” เมิ่งอวิ๋นยิ้ม

“ง่ายมาก เพียงพี่ใหญ่จัดอาหารใหม่ ใช้วัตถุดิบสองแบบ แบบแรกคือวัตถุดิบชั้นดี และสองคือวัตถุดิบชั้นกลาง”

“เช่นนั้นมิสิ้นเปลืองหรอกหรือ หากว่าไม่มีอะไรดีขึ้น” เสียงหัวเราะของเมิ่งอวิ๋นสดใสน่าฟัง ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ไปด้วย

“นั่นเพียงแค่ไม่กี่วันแรกเท่านั้น เมื่อเราสามารถรู้ได้แน่ชัดแล้วว่าจำนวนที่ขายได้ต่อวันมีเท่าใด เราก็จะจัดสรรสิ่งของได้ง่ายขึ้น” เมื่อลองคิดตามที่เมิ่งอวิ๋นพูดแล้วเขาก็พยักหน้ารับ

“จริงของเจ้า” การจัดการปัญหาด้วยวิธีนั้นนับว่าดีแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างก็ตาม

“ลองทำตามนี้ก่อน ข้าว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปมากกว่าก่อน แต่ก่อนนั้นเราควรจะดึงลูกค้ากลับมาด้วยการจัดเมนูหรือของพิเศษ ไม่ทราบพี่ใหญ่มีความคิดอะไรหรือไม่” เมิ่งอวิ๋นถามเพื่อให้เมิ่งลู่เหยาได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างไรถึงจะเป็นพี่น้อง แต่การเสนอความคิดแบบออกหน้าออกตามากเกินไป เขาก็ย่อมต้องกังวลว่าจะถูกมองไม่ดี หากพี่ชายคนนี้ไม่ชอบเขาขึ้นมาตัวเขาเองจะมีปัญหา

“เรื่องนี้...พี่จะไปหารือกับท่านพ่อก่อน อย่างไรท่านพ่อน่าจะคุ้นเคยกว่าพี่”

“ได้ แต่พี่ใหญ่ ข้าอยากไปหาหยุนมู่” เมิ่งลู่เหยาหันขวับมา ลงมือเขกหัวน้องชายด้วยความหมั่นไส้ จนเมิ่งอวิ๋นร้องโอ๊ย พร้อมกับใช้มือลูกศีรษะบริเวณนั้นด้วยท่าทางน่าเอ็นดู





50%



ไปทำไมลูก อามู่เพิ่งแต่งงานไปนะคะ ให้เวลาเขาสวีทกับแฟนหน่อยคนดีอยู่กับพี่ใหญ่เมิ่งไปก่อนน้าา มาอัพแล้วนะคะมาช้านิดหน่อยแต่ก็มาน้าาา

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 50% (Up.03/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-12-2020 17:16:02
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 50% (Up.03/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-12-2020 00:31:48
เอาอีกกก
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 50% (Up.03/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-12-2020 01:30:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาคเมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 100% (Up.06/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 06-12-2020 20:28:21
[16] 100%

“เจ้านี่มันจริง ๆ เชียว ไม่รู้หรือว่าตอนนี้หยุนมู่ของเจ้าเพิ่งจะแต่งงาน จะไปหาได้อย่างไร!” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็หน้ามุ่ยลง แววตาเศร้าสร้อยคล้ายเด็กน้อยไม่ประสาที่ถูกขัดใจ เมิ่งลู่เหยาใจสั่นกับท่าทางของน้องชาย ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีสักครั้งที่น้องชายของเขาจะมีท่าทางเช่นนี้ เมื่อได้เห็นจึงต้องตกใจและหวั่นไหวเป็นธรรมดา เช่นนั้นใจของเมิ่งลู่เหยาจึงอ่อนลง

“บอกพี่หน่อย เจ้าจะไปหาหยุนมู่เพื่ออะไร เจ้าคงมิได้...” สายตาที่มองเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ และระแวงสงสัย หากไม่ใช่ว่าน้องชายคนนี้ของเขาเคยมีใจให้แม่ทัพหลี่ที่เป็นบุรุษมาก่อน เขาก็คงไม่มีความคิดระแวงเช่นนี้

ทว่าเมิ่งอวิ๋นไม่ได้เข้าใจในสายตาและความหมายที่แฝงอยู่ในดวงตาของเมิ่งลู่เหยาแม้แต่น้อย เขายังคงมองผู้เป็นพี่ชายด้วยความสงสัย ใบหน้างดงามเอียงไปข้างหนึ่งอย่างไม่เข้าใจในคำถามที่ขาดหายไปนั้น

“มิได้อะไรหรือ” แววตาที่สับสนและลังเลยังคงมีอยู่ไม่จางหาย ทว่าริมฝีปากกลับไม่กล้าจะเอ่ยถามออกไปเสียเฉยๆ

“ไม่มีอะไร ตกลงแล้วเจ้าจะไปหาหยุนมู่ทำไมกัน?”

“ข้าติดค้างคนผู้หนึ่งอยู่ จึงคิดหาของพิเศษเพื่อนำไปลบล้างหนี้ที่ค้างกับเขา ข้าคิดว่าหยุนมู่น่าจะสามารถหาของพิเศษชิ้นนั้นให้ข้าได้”

“พิเศษ? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“พิเศษ อืม จะว่าอย่างไรดี ของที่ใช่ว่าจะสามารถหาได้ทั่วไปหรือเป็นของหายาก ของที่มีค่ามากพอเมื่อเทียบกับชีวิตของข้า พี่ใหญ่...ท่านหาให้ข้าได้หรือไม่” เมิ่งลู่เหยาคล้ายไม่เข้าใจในคำพูดของเมิ่งอวิ๋น

“เหตุใดต้องนำของนอกกายเช่นนั้นมาเทียบเคียงกับชีวิตของเจ้าด้วย หากเป็นพี่แล้ว ชีวิตเจ้ามิอาจเทียบกับสิ่งใดได้ ต่อให้กองทรัพย์สินเงินทองไว้ตรงหน้า ก็แลกกับเจ้าที่เป็นน้องชายคนเดียวของพี่ไม่ได้” คำพูดนั้นไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่คำเดียว เมิ่งลู่เหยาคิดเช่นนั้นจริง ๆ ต่อให้ใครจะมองน้องชายของเขาเช่นไร แต่สำหรับเขาที่เป็นพี่ชายแล้วนั้น ย่อมไม่มีทางมองเมิ่งอวิ๋นด้อยค่าลงไปแน่

เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินคำพูดและสีหน้าจริงจังก็พลันตื้นตันขึ้นมา แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกนี้ เมิ่งลู่เหยามอบให้กับเมิ่งอวิ๋นตัวจริง ไม่ใช่เขาที่เข้ามาใช้ชีวิตแทนก็ตาม แต่หัวใจของเขาที่เคยแห้งเหี่ยวลงไปจากการถูกปฏิบัติอย่างแตกต่าง ก็เต็มตื้นไปด้วยความอิ่มเอมและความสุขจนแทบจะล้นใจ

“พี่ใหญ่...” เห็นเมิ่งอวิ๋นมองด้วยแววตาตื้นตันเช่นนั้นคนเป็นพี่ก็เริ่มวางตัวไม่ถูก ได้แต่โบกมือเป็นไปมาอย่างช่วยไม่ได้

“ได้ๆ พี่จะหาให้เจ้าเอง ของแค่นี้มีหรือพี่จะหาไม่ได้” อาการเคอะเขินทำให้เมิ่งลู่เหยาจำต้องตัดใจยอมตกปากรับคำออกไปอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียก็แค่ของที่มีค่ามากๆ ชิ้นหนึ่ง คงไม่เกินความสามารถของเขาเท่าใดนักหรอก

“ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุด!” เมิ่งอวิ๋นโผเข้ากอดเมิ่งลู่เหยาจนแนบแน่นด้วยความดีใจ ริมฝีปากฉีกยิ้มจนแก้มปริ คนถูกกอดอย่างเมิ่งลู่เหยาได้แต่หน้าแดงก่ำ ท่าทางอึกอักคล้ายทำอะไรไม่ถูกที่ถูกน้องชายทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน แม้เขาจะอุ่นวาบในหัวใจ ขวยเขินที่ถูกน้องชายกอดเสียแน่น แต่ก็ยังต้องใจแข็งดันร่างของน้องชายออกไป

“อะแฮ่ม เจ้า เจ้าไม่ควร เอ่อ ทำเช่นนี้นอกจวน” เมิ่งอวิ๋นมองเห็นริ้วสีแดงบนแก้มของพี่ชายก็เกิดความรู้สึกอยากจะแกล้งขึ้นมา นัยน์ตาจึงวาววับอย่างเจ้าเล่ห์

“เช่นนี้...หากเป็นที่จวนข้าทำได้ใช่หรือไม่”

“เจ้านี่มัน!” แม้จะถลึงตาใส่น้องชาย แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเขินอายบนใบหน้าได้ เมิ่งอวิ๋นที่เห็นชัดเจนเต็มสองตาก็พลันหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ

“ข้าพี่ล้อเล่นเท่านั้นเองพี่ใหญ่ ท่านอย่าถือจริงจังไปเลย” เมิ่งลู่เหยาได้แต่ส่ายหน้ากับความซุกซนของเมิ่งอวิ๋น คนมากมายในเมืองต่างมองน้องชายเขาเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ แต่เขาก็ยังเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาต่อโลกและความรัก ใครบ้างไม่อยากมีความรัก หากเกิดความรักขึ้นมาในหัวใจ มีหรือที่จะสามารถหยุดยั้งตนเองไม่ให้ไล่ตามคนที่รักได้

น้องชายของเขาก็เช่นกัน

“แต่ข้าอยากไปเยี่ยมหยุนมู่จริง ๆ นะพี่ใหญ่” คนถูกออดอ้อนได้แต่กลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“เจ้านี่นะ พี่บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ได้”

“ข้าก็เพียงแค่ไปเยี่ยม ไปคุยเล่นด้วย มิได้จะไปแย่งชิงหยุนมู่กับใครเสียหน่อย” น้ำเสียงกระเซ้าติดความแง่งอนอยู่ในนั้นทำให้เมิ่งลู่เหยาเครียดหนัก น้องชายเขาไม่เข้าใจจริง ๆ

“เจ้าก็รู้ว่าหยุนมู่แต่งงานแล้ว การที่เจ้าซึ่ง...ครั้งหนึ่งถูกมองว่าชมชอบบุรุษ เจ้าคิดว่าคนภายนอกจะนินทากันว่าอย่างไรเล่า”

“ข้าเพียง...”

“บุตรชายคนเล็กของสกุลเมิ่งบุกไปหาคุณชายรองติงตั้งชุดวิวาห์ยังไม่ทันถอดหรือ?” เมิ่งอวิ๋นก้มหน้าลง ซ่อนความไม่ยินยอมเอาไว้ในแววตา แต่นั่นไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของเมิ่งลู่เหยาแม้แต่น้อย

“เมิ่งอวิ๋น ไม่ใช่พี่หรือท่านพ่อท่านแม่รังเกียจที่เจ้าชื่นชอบบุรุษ แต่การที่เจ้าดื้อดึงจะไปหาหยุนมู่ในเวลานี้ ล้วนมีแต่เจ้าที่เสียหาย พี่ไม่อยากให้ใครพูดจาว่าร้ายเจ้าอีก” ฝ่ามืออบอุ่นถูกวางลงบนศีรษะของเมิ่งอวิ๋น ขยับลูบมันอย่างแผ่วเบาจนเมิ่งอวิ๋นเองก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับพี่ชาย ก่อนจะยอมพยักหน้ารับอย่างปลงตก

“เป็นข้าที่ทำให้พวกท่านลำบาก”

เมิ่งอวิ๋นคงปรารถนาจะเอ่ยคำนี้ แต่เขาจะเป็นคนพูดในคำที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจพูดมันออกมาได้ สิ่งที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจทำได้อีก เขาจะเป็นคนช่วยทำให้เอง จะลบล้างคำครหาที่กล่าวว่าเขาชอบบุรุษ ในเมื่อเขาในตอนนี้ไม่เคยชอบบุรุษคนใดเลยสักครั้ง เขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่ปรารถนาคนรักที่จริงใจ และอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า

“ไม่มีใครโทษเจ้า เรื่องพวกนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หากเจ้าชอบบุรุษ พี่และท่านแม่ก็จะเฟ้นหาบุรุษรูปงาม มากไปด้วยความรู้ความสามารถมาไว้ตรงหน้าเจ้า”

เมิ่งอวิ๋นอ้าปากค้าง อยากจะบอกเหลือเกินว่าตนไม่ได้ชื่นชอบบุรุษ หากแต่ชอบสตรีต่างหาก แต่เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของเมิ่งลู่เหยา เขาก็พูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ รู้สึกราวกับว่าไม่ควรทำลายความหวังดีที่พี่ชายมีต่อเขาทิ้งเสีย จึงได้แต่ยกยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างไม่เต็มใจ

“หากพี่ใหญ่ว่าเช่นนั้น...”

“เรื่องในร้านก็นับว่าจบไปแล้ว รอพี่ไปปรึกษากับท่านพ่อก่อนก็คงจะได้เรื่อง ไปเถิด กลับจวนกัน”

“ขอรับ...”

เมื่อจบสิ้นปัญหาทั้งหมด ทั้งสองก็เดินออกจากร้านไปทันที สีหน้าของเมิ่งลู่เหยานับว่าดีขึ้นมากว่าครั้งเมื่อออกมาจากจวน ยามเมื่อก้าวออกจากร้านใบหน้าจึงติดรอยยิ้มเอาไว้ชวนให้เหลียวมอง เหล่าหญิงสาวมากมายต่างก็จับจ้อง บ้างก็เขินอายอยู่ริมทาง บุตรชายสกุลเมิ่งผู้หล่อเหลา มากไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมายที่ไม่ว่าจะใช้เท่าใดก็ไม่มีวันหมด เป็นบุรุษที่รอสืบทอดอำนาจต่อจากเมิ่งหยวนผู้เป็นบิดา

บุรุษเช่นนี้มีหรือที่พวกนางจะไม่ปรารถนา

แต่ความเพ้อฝันย่อมไม่อาจเป็นจริง เมื่อพวกนางต่างก็รู้ดีว่าเมิ่งลู่เหยาผู้นี้ไม่เคยชายตาแลพวกนางแม้แต่น้อย หัวใจของบุรุษผู้นี้นั้นว่างเปล่า ไม่มีความรักหยิบยื่นให้พวกนางสักคน แม้แต่อนุในจวนยังไม่มี เช่นนี้พวกนางจึงยังคงเฝ้ารอและเพ้อฝัน หวังว่าสักวันบุรุษตรงหน้าจะหันมามองพวกนางบ้าง

“โอ๊ะ!”

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าเจ็บหรือไม่”

ร่างของเมิ่งอวิ๋นชนเข้ากับบางสิ่งจนล้มลงไปกับพื้น ก้นของเขากระแทกอย่างแรงจนอดนิ่วหน้าไม่ได้ เมื่อมองขึ้นไปจึงพบกับบุรุษแปลกหน้า ท่าทางเย่อหยิ่ง ดวงตาคมปลาบที่สามารถสังหารคนให้ตายได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว เมิ่งอวิ๋นหยุดตัวเองราวกับถูกสั่ง หลงลืมแม้กระทั่งวิธีหายใจจนเมื่อเมิ่งลู่เหยาเข้ามาพยุงขึ้นจึงได้สติ และมองอีกฝ่ายอีกครั้ง

“ขออภัย ข้ามองไม่เห็นท่าน” เดิมทีเมิ่งลู่เหยานึกเคืองขุ่นจนอยากจะหันไปต่อว่า ติดเสียแต่คนผู้นี้ชิงส่งยิ้มโบกสะบัดพัดในมือเล่นพร้อมกับเอ่ยขอโทษด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความจริงใจ คนเป็นพี่เห็นน้องชายถูกหาเรื่องเช่นนี้มีหรือจะทนได้ เขาเตรียมจะก้าวขึ้นไปเอาความอีกฝ่าย ทว่ากลับถูกเมิ่งอวิ๋นห้ามเอาไว้

เมิ่งอวิ๋นระบายยิ้มออกมาราวกับไม่ถือสาหาความใดๆ เอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นไม่หนักไม่เบาและไม่รีบร้อน ทุกคำล้วนแต่สงบนิ่งคล้ายกับสายธารที่ไหลริน

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่ทันระวัง” เมิ่งอวิ๋นปัดชุดตัวเองอย่างเงียบสงบ มีเพียงเมิ่งลู่เหยาที่หน้าแดงก่ำเพราะความโกรธที่ไม่ได้ระบายออกมา คนแปลกหน้าตรงหน้าเลิกคิ้วมองเมิ่งอวิ๋นอย่างสนใจ แววตาที่เย็นชาไม่ปรากฏความหมายนั้น แต่ภายในกลับซ่อนความสนใจอีกฝ่ายเอาไว้เงียบๆ

เมื่อเมิ่งอวิ๋นกำลังจะเดินจากไป เขาก็ดึงแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมให้จากไปโดยง่าย เดือดร้อนเมิ่งลู่เหยาต้องมาจับแขนของชายคนนั้นเอาไว้อย่างคุกคาม

“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยน้องข้าเดี๋ยวนี้!” ชายแปลกหน้าไม่เพียงไม่ยอมปล่อยมือ กลับไม่สะทกสะท้านต่อแรงของเมิ่งลู่เหยาด้วยซ้ำ

“เจ้าชื่ออะไร”

“นี่!!” เมิ่งลู่เหยาเดือดดาลทว่าเมิ่งอวิ๋นไม่ได้สนใจคนแปลกหน้าสักนิด แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังตนเอง ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดต้องหวาดกลัวการเอ่ยนามตน

“ข้าแซ่เมิ่ง นามว่าอวิ๋น ไม่ทราบคุณชายมีสิ่งใดกับข้าหรือ”

“เจ้าไม่คล้ายกับที่ข้าได้ยินมาแม้แต่น้อย” เมิ่งอวิ๋นกระตุกยิ้ม ดึงแขนของจากฝ่ามือของอีกฝ่าย แต่ทว่ากลับสู้แรงของคนแปลกหน้าผู้นี้ไม่ได้

“ข้าไม่ทราบว่าคุณชายได้ยินมาเช่นไร แต่ไม่ว่าจะเช่นไรก็คงไม่ควรกระมังที่จะรั้งข้าไว้เช่นนี้” ริมฝีปากของชายแปลกหน้าเผยรอยยิ้มชวนขนลุก

“หึ เจ้าไม่เป็นเช่นที่เขาว่าจริง ๆ” เมิ่งอวิ๋นเริ่มรำคาญจนอยากจะไปให้พ้นจากคนคนนี้เสียที

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าไม่จำเป็นต้องเสวนากับคนผู้นี้”

“ไม่เป็นไรพี่ใหญ่ ไม่ทราบคุณชายได้ยินเรื่องข้ามาเช่นไรเล่า” หลังจากเอ่ยปลอบพี่ชายแล้ว เมิ่งอวิ๋นก็เอ่ยถามกับชายแปลกหน้าที่ยังยึดแขนของเขาเอาไว้ทันที

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบบุรุษ หากหลงใหลแล้วจะติดตามเสียจนน่ารำคาญ” เมิ่งอวิ๋นตาวาววับ แค่นยิ้มออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

“เช่นนั้นคงเป็นโชคดีของคุณชายแล้ว ที่ใบหน้าขอท่านไม่สามารถทำให้ข้าหลงใหลได้ ปล่อยสักที!” จบคำเมิ่งอวิ๋นไม่สนใจความเจ็บปวดใดๆ กระชากแขนออกมาจากอุ้งมือของชายคนนั้นจนหลุด เขาไม่ใช่คนใจเย็นมากพอที่จะมายืนฟังคำวิจารณ์ตนเองแล้วยังยิ้มได้

ฝั่งของชายแปลกตากลับพอใจในสิ่งที่ได้เห็น เขาไม่ได้สนใจบุรุษอีกคนข้าง ๆ เมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย สายตาของเขามีเพียงใบหน้าและปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นที่ดึงความสนใจ

“โอ้ สหายข้ามาพอดี ว่าอย่างไรเล่าอาเฉิง คนผู้นี้ใช่หรือไม่บุรุษไร้ยางอายที่คอยติดตามเจ้า” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาต่างหันไปมองบุคคลด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง

เป็นเขาอีกแล้วหรือ คนเช่นนี้ทำไมจะต้องพบเจอบ่อยนักนะ

“ว่าอย่างไรล่ะอาเฉิง ใช่เขาหรือไม่?” หลี่เจี้ยนเฉิงมองเมิ่งอวิ๋นด้วยแววตาที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์

“เกรงว่าคุณชายคงจำผิดแล้วกระมัง ข้าหูตาสว่างแล้ว มีหรือจะไปติดตามท่านแม่ทัพได้”

เห็นเมิ่งอวิ๋นคล้ายจะหัวเราะด้วยความเย้ยหยันในใจของหลี่เจี้ยนเฉิงก็พลันกระตุก ร้อนรนจนปรารถนาจะแก้ไขความเข้าใจผิดในครั้งนี้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งๆ เท่านั้น

“โอ้...เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? แม่ทัพหลี่...เจ้าว่าอย่างไร”

“เป็นความเข้าใจผิด เรื่องเช่นที่ว่ามาล้วนไม่เป็นความจริงเลย” ชายแปลกหน้าเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับจะเอ่ยถามให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะหมดความสนใจในตัวของหลี่เจี้ยนเฉิงไปโดยปริยาย

“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าเข้าใจผิดไปเองหรอกหรือนี่”

“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว ข้ากับพี่ชายขอตัว ไม่ว่างอยู่ร่วมสนทนา” หลี่เจี้ยนเฉิงรีบคว้าแขนของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไปได้

“ไม่ทราบท่านแม่ทัพมีสิ่งใดกับข้าอีกหรือ?”

“แขนเจ้า...เป็นเช่นไรบ้าง” เมิ่งอวิ๋นดึงแขนของตนออกจากมือใหญ่ นัยน์ตาหวานเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ กับคนตรงหน้า เอ่ยตอบออกไปคล้ายขอไปที

“หายแล้ว ขอตัว”

เมิ่งอวิ๋นดึงแขนของพี่ชายที่ยังคงจับจ้องไปที่ท้องสองคนไม่วางตาให้เดินตามมาอย่างรวดเร็ว เกลียดชังสิ่งใดล้วนแต่พบเจอสิ่งนั้นจริงๆ คนเช่นหลี่เจี้ยนเฉิงคงมีมากนักในเมืองหลวงแห่งนี้ นับว่าเป็นเข้าเองที่ไม่ดูทางให้ดี สะดุดคนเลวเข้าเสียได้ อย่างไรก็ช่างเถิด หลุดพ้นจากคนพาลย่อมเป็นเรื่องดีกว่า ครั้งหน้าแค่ต้องระวังตัวมากขึ้นอีกหน่อย จะได้ไม่ต้องพบเจอกันอีก

หลี่เจี้ยนเฉิงและชายแปลกหน้ามองแผ่นหลังของเมิ่งอวิ๋นจนลับสายตา พัดสีขาวลดลายงดงามถูกยกขึ้นมาบดบังริมฝีปาก เก็บซ่อนรอยยิ้มร้ายกาจเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของคนข้างกาย

ช่างเป็นคนที่น่าสนใจแท้ๆ น่าเสียดายที่ไม่อาจเล่นด้วยได้

“อย่าได้คิดเชียว ฝ่าบาทคงไม่คิดว่ากระหม่อมจะยอมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจี้ยนเฉิงปรายตาคมดุจคมดาบเข้าหาคนข้างกาย คนผู้นี้คือหยางหย่งเสียนหรือก็คือองค์รัชทายาทผู้น่าเกรงขามของเหล่าขุนนาง

“ข้าคิดสิ่งใดเล่า ไหนเจ้าลองบอกข้าหน่อย”

“คนผู้นี้แม้จะเล่นด้วยสนุก แต่สำหรับกระหม่อมเขาคือคนสำคัญ” หยางหย่งเสียนเลิกคิ้วคล้ายไม่เข้าใจในความหมายนั้น

“เช่นนั้นหรือ?”

“แม้เป็นสหายก็ไม่อาจยกให้ได้ เขามิใช่สิ่งของหวังว่าฝ่าบาทจะเข้าใจความหมายของกระหม่อม” หยางหย่งเสียนหัวเราะลั่น ตบไหล่ของหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างไม่ออมแรงสองสามครั้ง

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไหนเลยข้าจะมาสนใจคนผู้นั้น คนที่ข้าต้องการจริง ๆ เจ้าหาเขาพบแล้วหรือยัง” หลี่เจี้ยนเฉิงกลับมาสู่สีหน้าปกติอีกครั้งเมื่อหยางหย่งเสียนไร้แววหยอกล้อเช่นก่อนนี้

“อีกไม่นาน กระหม่อมจะต้องนำตัวมาให้ฝ่าบาทได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ริมฝีปากของหยางหย่งเสียนกระตุกยิ้ม แววตาเข้มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

“อย่าให้นานนักเล่าอาเฉิง หากข้ายังไม่อาจได้ตัวเขาในเร็ววัน ข้าอาจจะเปลี่ยนใจ...มาเล่นกับเมิ่งอวิ๋นผู้นั้นก็ได้” ฝ่ายหลี่เจี้ยนเฉิงได้ยินกลับไม่สะทกสะท้าน แววตาที่มองสบกลับไปนั้นล้วนแต่ดำมืดไม่แตกต่างกัน

“หากเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงต้องเล่นกับเขาแทนเช่นกัน” แววตาทั้งสองคู่ต่างฟาดฟันกันราวกับมิใช่สหาย ก่อนที่หยางหย่งเสียนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแทน พร้อมกับหันหลังเดินจากไปทิ้งให้หลี่เจี้ยนเฉิงยืนอยู่ที่เดิมเพียงผู้เดียว







TBC



พี่หลี่ต้องหาใครให้องค์รัชทายาทกันนะ เอ๊ะ? สำคัญยังไงนะ เอ๊ะ?? ยังไม่เฉลยนะจ๊ะทุกคน ยังคงเป็นปริศนา ฮุๆๆ

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 100% (Up.06/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-12-2020 22:37:28
อะ ตัวละครเพิ่มมมมม
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 100% (Up.06/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-12-2020 23:02:10
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (16) 100% (Up.06/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Brithday ที่ 18-12-2020 10:59:47
 :hao7: เมื่อไหร่จะมาต่อ :hao7:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 50% (01/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 01-01-2021 11:58:12
[17] 50%


เรื่องแปลก

นับจากวันที่เขาเสนอความคิดออกไปเมิ่งอวิ๋นก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนอีกเลย ด้วยตนรู้สึกว่าคล้ายจะถูกติดตามอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งไม่ว่าเมื่อไรที่ย่างเท้าออกไปจากจวน จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นให้เขาต้องมีโทสะ เขาจึงตัดสินใจหยุดตนเอาไว้ในจวนเท่านั้น อยู่กับความเบื่อหน่ายที่ผ่านพ้นไปในทุกวัน

เช่นเดียวกับในวันนี้ที่ไร้ซึ่งสีสันให้เขาได้สนใจ หนังสือกองแล้วกองเล่าที่ถูกเปิดผ่านๆ ไปนั้น ทำให้เสี่ยวหลงที่เห็นนึกเห็นใจนายน้อยของตนสุดหัวใจ ใบหน้างดงามที่บัดนี้ไถลไปกับโต๊ะ ดวงตาฉายชัดถึงความเบื่อนั้นเป็นภาพที่ดึงดูดหัวใจใครที่ได้พบเห็นไม่น้อย แต่สำหรับเสี่ยวหลงแล้วกลับไม่อาจทนมองได้แม้แต่น้อย ใครจะเข้าใจนายน้อยของเขาไปได้ดีกว่าเขากัน นายน้อยของเขานั้นทั้งร่าเริงและใจดี รักสนุกที่จะได้เที่ยวเล่นไปตามที่ต่าง ๆ การที่ต้องมาทนอยู่แต่ในจวนล้วนแต่เป็นการทำร้ายนายน้อยทั้งสิ้น

เช่นนี้...จะให้เขาทนได้อย่างไร

“นายน้อย ออกไปข้างนอกกันดีหรือไม่ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นชายตามองเสี่ยวหลงด้วยความเกียจคร้านก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ใช่ว่าข้าไม่อยากไป แต่ข้าไม่อยากพบเจอปัญหาอีก” แต่การที่นายน้อยอยู่แบบเบื่อหน่ายเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้จวนนี้ไม่มีความสุขไปด้วย ทั้งที่อยากจะบอกออกไปให้นายน้อยของตนได้รับรู้ แต่เสี่ยวหลงก็เพียงอ้าปากแล้วหุบปากลงเช่นเดิม

ตอนนี้นายน้อยรู้สึกเช่นไรนั้นเขาเองคงไม่อาจรู้ได้โดยละเอียด วันนั้นที่ออกไปกับคุณชายใหญ่เกิดสิ่งใดขึ้น เขาเองก็ไม่รู้เลย เพราะไม่ได้ตามไปดูแลนายน้อยด้วย เสี่ยวหลงคิดแล้วก็เจ็บใจตนเองนัก หากวันนั้นเขาดึงดันจะติดตามไปด้วยป่านนี้คงรู้สาเหตุที่ทำให้นายน้อยไม่ยอมออกจากจวนเป็นแน่ หากรู้แล้วก็คงหาวิธีแก้ไขได้ ไม่ใช่การเดาทางอยู่เช่นนี้

“เฮ้อ...เวรกรรมอะไรของข้ากันนะ”

เสี่ยวหลงที่ได้ยินคำบ่นที่คล้ายเสียงกระซิบเต็มสองหู ในใจปรากฏความคิดดีเยี่ยมอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ หากเป็นที่แห่งนั้นนายน้อยของตนต้องยอมไปอย่างแน่นอน คิดแล้วเสี่ยวหลงก็ระบายยิ้มออกมาแล้วเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“นายน้อย เช่นนั้นไปวัดกันดีหรือไม่ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นที่หลับตาอยู่ก่อนด้วยความเบื่อหน่ายนั้น รีบลืมตาขึ้นมามองเสี่ยวหลงด้วยความสนใจ

“วัดหรือ ที่นี่มีวัดด้วยหรือ?”

“มีแน่นอนขอรับ อยู่ไม่ห่างจากจวนมากเท่าใด หากนายน้อยสนใจบ่าวจะเร่งไปแจ้งแก่ฮูหยิน” เมิ่งอวิ๋นยิ้มพร้อมกับพยักหน้าด้วยอารมณ์ที่ยินดียิ่ง

“ดีๆ เจ้ารีบไปบอกท่านแม่เร็วเข้า!”

“ขอรับ บ่าวจะรีบไปแจ้งเดี๋ยวนี้”

เสี่ยวหลงรีบพาร่างของตนวิ่งออกจากประตูห้องของนายน้อยตนไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง เมิ่งอวิ๋นตั้งแต่มาที่นี่ได้หลายเดือนแล้วยังไม่เคยได้ไปไหว้พระสักที เห็นทีคราวนี้จะได้เข้าไปเห็นกับตาเสียแล้วว่าวัดในยุคนี้เป็นเช่นไร อีกทั้งอยู่ในเขตวัดวาอาราม คงไม่มีตัวขัดโชคอะไรเข้าไปทำให้เขาขุ่นเคืองได้หรอก

คิดเช่นนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็พลอยเบิกบานใจไปอย่างอารมณ์ดี เหยียดแขนขาออกเพื่อยืดเส้นยืดสายก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปิดประตูห้องออกไปภายนอกดื่มด่ำกับแสงแดดและกลิ่นรอบกายของตน ก่อนจะสาวเท้าเดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคย เพื่อมุ่งหน้าไปหามารดา

อู๋ชิวอิ่งนั้นยามได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กของตนต้องการจะไปวัด ยังมีท่าทางตกอกตกใจถึงขนาดทำถ้วยชาหล่นแตกเสียด้วยซ้ำ ครั้งเมื่อได้สติก็พออกพอใจยิ่งนัก แม้ว่าจะรู้ดีว่าเมิ่งอวิ๋นชื่นชมบุรุษมากกว่าสตรี แต่หากได้ลองพบเหล่าหญิงงามที่เดินทางไปสักการะเหล่าไต้ซือทั้งหลาย ย่อมต้องเปลี่ยนใจแน่นอน เมื่อมองเห็นความเป็นไปได้ตรงนี้ในใจก็ยิ่งเบิกบาน รีบออกคำสั่งให้คนตระเตรียมของมากมายเพื่อจะไปที่วัดกับบุตรชาย

เมื่อจิตใจเบิกบานร่างกายก็คล้ายจะเยาว์วัยลงไปด้วย อู๋ชิวอิ่งที่กำลังเพลิดเพลินไปกับความคิดตนก็พลันหันมาเห็นเมิ่งอวิ๋นที่ยืนอยู่พอดี ใบหน้าที่เดิมทีนั้นอ่อนโยนต่อเขาอยู่แล้ว กลับยิ่งทวีความอ่อนโยนยิ่งขึ้นไปอีกจนเมิ่งอวิ๋นยังแปลกใจกับความรู้สึกที่ได้รับ

“ท่านแม่ยุ่งอยู่หรือขอรับ”

“ที่ไหนกัน แม่เพียงสั่งให้พวกเขาตระเตรียมของเพื่อไปวัดกับเจ้าอย่างไรเล่า” เมิ่งอวิ๋นพยักหน้าอย่างเข้าใจ สายตากวาดมองไปจนทั่วก็ไม่เห็นเสี่ยวหลง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจนักด้วยคิดว่ามารดาของตนคงสั่งให้เตรียมข้าวของอยู่เช่นกัน

“ท่านแม่ เราต้องเตรียมของไปมากหรือขอรับ เช่นนั้นจะเดินไปได้หรือ” อู๋ชิวอิ่งนึกเอ็นดูกับคำถามที่ฟังอย่างไรก็คล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่ง กำลังตั้งคำถามเพราะปรารถนาให้มารดาเอ่ยตอบตน มือของนางจึงเอื้อมออกไปลูบเส้นผมบนศีรษะของเมิ่งอวิ๋น มองด้วยแววตารักใคร่และเอ็นดู

“หากเดินไปไม่ได้ก็นั่งรถม้าไปก็ได้นี่ เจ้าอย่าห่วงไปเลย ของพวกนี้ล้วนนำไปเพื่อทำบุญทั้งนั้น” เมิ่งอวิ๋นนิ่งคิด ก่อนจะเห็นด้วยกับมารดา

“จริงของท่านแม่ เช่นนั้นเราเตรียมของมากหน่อยก็ดีนะขอรับ ข้าไม่เคยได้ทำบุญสักที” ฮูหยินของบ้านหัวเราะออกมาเสียงดังจนเมิ่งลู่เหยาที่กำลังเดินผ่านอยู่ด้านนอกต้องเข้ามาร่วมสนทนาด้วย

“ใครกันทำให้ท่านแม่อารมณ์ดีได้เช่นนี้”

“ก็น้องเจ้านะสิอาเหยา จะมีใครทำให้แม่เป็นเช่นนี้ได้อีก” เมิ่งลู่เหยามองใบหน้างุนงงของน้องชายแล้วนึกเอ็นดูขึ้นมา จึงหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา

“พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ นะ” ยิ่งแก้ตัวออกไปก็ยิ่งเพิ่มเสียงหัวเราะของทั้งสองมากขึ้น เมิ่งอวิ๋นก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าตนทำสิ่งใดให้พี่ชายและมารดาได้ขบขัน

“แล้วนี่ท่านแม่จะไปที่ใดหรือขอรับ จึงให้คนเตรียมของมากมายเช่นนี้” อู๋ชิวอิ่งลูบเส้นผมของบุตรชายคนเล็กอย่างเบามือ พร้อมกับเอ่ยตอบบุตรชายคนโตออกไป

“เสี่ยวอวิ๋นบอกแม่ว่าอยากไปวัด แม่จึงให้คนเตรียมของมากหน่อยจะได้ไปกับน้อง”

ไปวัด? เมิ่งอวิ๋นจะไปวัดหรือ? เมิ่งลู่เหยาเลิกคิ้วมองน้องชายอย่างแทบไม่เชื่อหู

“เจ้าจะไปด้วยหรือไม่เล่าอาเหยา” เมิ่งลู่เหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง นับว่าตอนนี้ตนเองก็ว่างอยู่แล้ว ติดตามไปดูแลมารดาและน้องชายย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ

“ข้าไปขอรับ”

“ดี ๆ วันนี้วันดีนัก ฟางเอ๋อร์” เสียงเรียกของอู๋ชิวอิ่งนับว่าไม่ดังมากนัก แต่ผู้ถูกเรียกก็ยังได้ยินและก้าวออกมาหาผู้เป็นนาย

“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะฮูหยิน”

“เจ้าไปบอกให้พวกเขาเตรียมของเพิ่มอีก เร่งมือเข้าด้วยเล่า” ทั้งที่เป็นคำสั่งแต่ฟางเอ๋อร์กลับระบายยิ้มออกมาราวกับว่านั่นคือคำชม ก่อนจะเอ่ยตอบรับ

“เจ้าค่ะ บ่าวจะเร่งไปสั่งการ”

ฟางเอ๋อร์ไม่กล้าชักช้าจึงพาตัวเองออกไปสั่งตามที่ได้รับคำสั่งมา เหลือไว้เพียงหนึ่งมารดากับสองบุตรชายที่ยังคงพูดคุยสนุกสนาน เป็นภาพแสนสุขของครอบครัวที่ใครหลายคนต่างก็ปรารถนา เมิ่งอวิ๋นมองรอยยิ้มของมารดาและพี่ชายอย่างอิ่มเอมใจ ชีวิตของเขาเติมเต็มด้วยความรักของครอบครัวแล้ว เขาไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกแล้วนับจากนี้ ขอเพียงเขาและครอบครัวได้เป็นสุขเช่นนี้ตลอดไปก็พอแล้ว เขาขอเพียงเท่านี้จริง ๆ



เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างสนใจ ผู้คนมากมายต่างเดินเข้าออกสถานที่ที่เรียกว่าวัดด้วยใบหน้าสงบ มองดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าคนเหล่านี้นั้น ล้วนมาด้วยความนับถือจริง ๆ เมิ่งอวิ๋นฟังอู๋ชิวอิ่งมาตลอดทางว่า เหล่าผู้คนในเมืองหลวงหากไม่ใช่มาเพื่อขอพรก็จะมาเพื่อกราบไหว้พระเท่านั้น เมิ่งอวิ๋นเองก็พอเข้าใจได้ ในยุคนี้ไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนดั่งในช่วงชีวิตเก่าของเขา ผู้คนก็ล้วนดูแล้วจริงใจมากกว่า เล่ห์เหลี่ยมมีเพียงหยิบมือส่วนคนใสซื่อล้วนมุ่งแต่จะทำมาหากิน

อารามตรงหน้าดูแล้วไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่า ทว่ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้ใจสงบจนเขายังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าปอด กลิ่นธูปที่ลอยคละคลุ้งไม่ได้ทำให้รู้สึกเวียนหัวเลยแม้แต่น้อย

“ผู้คนล้วนแต่มาก็เพื่อขอพร เจ้าอยากจะไปขอพรกับแม่บ้างหรือไม่เล่า” เมิ่งอวิ๋นลอบมองเข้าไปภายใน เห็นเหล่าหญิงสาวต่างอายุผลัดกันเดินเข้าออกแล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้ม

“ข้าขอเดินรอบๆ ดีกว่าขอรับท่านแม่” อู๋ชิวอิ่งเห็นใบหน้าบุตรชายคนเล็กแล้วก็พอเข้าใจ จึงหันไปถามกับบุตรชายคนโตแทน

“เจ้าเล่าอาเหยา จะเข้าไปกับแม่หรือไม่” น้องชายยังไม่เข้าไป มีหรือที่เมิ่งลู่เหยาจะเข้าไป แน่นอนว่าไม่! เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงชัดเจน

“ข้าจะอยู่กับเสี่ยวอวิ๋นขอรับ น้องยังจำสิ่งใดไม่ค่อยได้นัก ข้ากลัวว่าน้องจะหลงทาง” อู๋ชิวอิ่งได้ยินเช่นนั้นก็พอใจไม่น้อย พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวมีมารดาคนใดบ้างไม่ภูมิใจ นี่คือสิ่งที่นางอยากเห็นที่สุด มากยิ่งกว่าบุตรชายของนางสอบติดจอหงวนเสียอีก

“เช่นนั้นก็ได้ พวกเจ้าก็อย่าไปไกลกันนัก แม่จะรีบออกมา”

"ขอรับ / ข้าทราบแล้วท่านแม่” สองพี่น้องตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าฉายชัดถึงความเชื่อฟังจนนางอดไม่ได้ที่จะเห็นภาพของบุตรชายในวัยเยาว์ซ้อนทับ

“ฟางเอ๋อร์ ดูแลท่านแม่ให้ดี” นั่นคือคำสั่งจากปากของเมิ่งลู่เหยา ฟางเอ๋อร์ที่ได้ยินระบายยิ้มอ่อน เอ่ยตอบด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุด

“เจ้าค่ะคุณชายใหญ่”

“ดูเจ้าสิ ห่วงแม่เกินไปแล้ว” ใบหน้าของอู๋ชิวอิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจพองโตจนคับอก ความปลาบปลื้มใจมันไม่อาจจะหายไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว การได้ยินบุตรชายนางกำชับคนของนางให้ดูแลนาง นั่นยิ่งเท่ากับบอกว่าบุตรชายของนางกตัญญูต่อนางมากเพียงใด ในใจของนางจึงเต็มไปด้วยความยินดี

เมื่อเห็นมารดาและสาวใช้ข้างกายจากไป เมิ่งอวิ๋นก็มองพี่ชายของตนอย่างสงสัย ใช่ว่าจะออกมาเองครั้งแรกเสียเมื่อไร การไม่ยอมเข้าไปกับท่านแม่แล้วอ้างเขาเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ากลัวอะไรกระมัง

“พี่ใหญ่ห่วงข้าจริงหรือ?”

“เหตุใดเจ้าถามพี่เช่นนั้น เจ้าเป็นน้องชายคนเดียวของพี่ พี่ต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่แล้ว” เมิ่งอวิ๋นได้แต่แสยะยิ้ม เอ่ยถามกระเซ้าอีกครั้งอย่างจงใจ

“มิใช่ว่ากลัวท่านแม่จะจับคู่ให้หรอกหรือ?”

“เฮ้อ...เหตุใดวันนี้จึงได้ร้อนนักนะ” เมิ่งลู่เหยาไม่ตอบกลับเฉไฉไปเรื่องอื่นราวกับไม่ได้ยินคำถามของน้องชายตน ส่วนผู้ที่เอ่ยถามก็ได้แต่หัวเราะไม่ออก พี่ชายเล่นเมินคำถามตนเช่นนี้ดูอย่างไรก็ชัดเจนอยู่แล้ว เช่นนั้นการที่ท่านแม่ชวนเขาเข้าไปก็คงหวังให้เขามองสตรีสักคนสินะ

แม้แต่ในวัดก็จับคู่ได้หรือ?

เมิ่งอวิ๋นรีบส่ายศีรษะเมื่อรู้ตัวว่าความคิดตนคล้ายจะนำบาปมาเข้าตัวเอง หากมารดามิได้คิดเช่นนั้นจะเป็นเขาเองที่บาปหนัก ช่างมันเสียก็ได้ จะอย่างไรหากได้พบคนที่ชอบก็ดี ไม่พบก็ช่าง เรื่องเช่นนี้ให้วาสนาพาไปก็พอแล้ว โชคชะตาช้าเร็วก็ต้องนำคู่มาให้ ไม่มีผู้ใดต้องอยู่คนเดียวหรอก เขาเชื่อเช่นนี้

“พี่ใหญ่ เหลาจื่อเค่อเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อน้องชายเปลี่ยนคำถาม เมิ่งลู่เหยาก็พร้อมจะกลับมาคุยด้วยเช่นเดิม

“นับว่าดีขึ้นมาแล้ว ความคิดเจ้าเยี่ยมยอดนัก ท่านพ่อเองเมื่อได้ยินแล้วก็พอใจมาก” เมิ่งอวิ๋นขมวดคิ้ว กังวลว่าจะถูกพี่ชายเกลียดชังเข้าหรือไม่กับการแสดงความสามารถทางความคิดเช่นนี้ เขาไม่อยากสูญเสียความรักที่พี่ชายมีต่อเขาไป

“พี่ใหญ่ ข้าอยากจะอธิบายให้ท่านเข้าใจ ความดีความชอบใดๆ ข้าล้วนไม่เคยอยากได้ ข้าเพียงไม่อยากให้เหลาอาหารของตระกูลเราต้องทรุดโทรมลงไปเท่านั้น” เมิ่งลู่เหยาขมวดคิ้ว มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของน้องชายอย่างครุ่นคิด

“ความดีความชอบเป็นของเจ้า เหตุใดจึงบอกว่าไม่อยากได้?” เมิ่งอวิ๋นไม่ตอบเพียงหลุบตาลงมองพื้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น คล้ายกำลังหวาดกลัวสิ่งใดสักอย่างแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ เมิ่งลู่เหยามองน้องชายอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่นานก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ การที่เมิ่งอวิ๋นกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาคงมีเรื่องเดียวเท่านั้นให้ต้องกังวล

นั่นคือกลัวเขาจะไม่พอใจ

คิดได้เช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็ระบายยิ้ม วางฝ่ามือลงบนศีรษะของน้องชาย โยกมันไปมาราวกับคนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยเมื่อครั้งอดีต

“เจ้านี่นะ คิดอะไรอยู่กันแน่ คงมิใช่กำลังคิดว่าพี่ชายเจ้าคนนี้จะนึกอิจฉาและเกลียดชังจนขึ้นมาหรอกนะ”

“พี่ใหญ่...” แววตากลมโตใสแจ๋วชวนให้นึกเอ็นดูไม่น้อย ยิ่งในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความออดอ้อนด้วยแล้ว มีหรือที่เมิ่งลู่เหยาจะทนได้ เขาลดใบหน้าลงมาจนใกล้กับน้องชายตนเอง ห่างกันเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือแล้วยี้มออกมา

“พี่ชายของเจ้าคนนี้ยินดียิ่งนักที่เจ้ามีความสามารถ”

“...”

“ไม่เคยนึกน้อยใจจนพาลเกลียดเจ้าแต่อย่างใด”

“...”

“ต่อให้เจ้าจะเป็นเมิ่งอวิ๋นคนเดิมที่แสนร้ายกาจ หรือจะเป็นเมิ่งอวิ๋นแสนอ่อนโยนเช่นในยามนี้”

“...”

“พี่ก็ยังคงรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง” เมิ่งอวิ๋นมองรอยยิ้มสว่างไสวที่เปล่งประกายความหล่อตรงหน้าอย่างลืมตัว หัวใจของเขาอิ่มเอมและเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก ความอ่อนโยนที่เมิ่งลู่เหยามอบให้นั่น ยิ่งทำให้พี่ชายของเขาผู้นี้...หล่อเหลายิ่งกว่าผู้ใด





50%





ไม่นะ เรือบาปไม่ควรแล่นสิ มันไม่ควรนะคะ ทุกคนจะลงเรือนี้ไม่ได้นะ แมวเตือนคุณแล้วววว สวัสดีปีใหม่นะคะทุุกคน ขอให้ปีนี้มีแต่สิ่งดี ๆ มีความสุขความเจริญรุ่งเรือง สมหวังดังปรารถนาทุุกประการ และมีรอยยิ้มตลอดทั้งปีนะคะ 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 50% (01/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2021 14:16:35
 :pig4:
 :3123:
สวัสดีปีใหม่2564ค่ะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 50% (01/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-01-2021 16:39:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 50% (01/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-01-2021 22:30:17
ง่าา รออออ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 100% (19/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-01-2021 15:11:19
[17] 100%


“พี่ใหญ่ ขอบคุณนะพี่ใหญ่”

ขอบคุณจริง ๆ ที่ไม่ทิ้งเมิ่งอวิ๋นไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม

“ฮ่า ๆ ขอบคุณอะไรกัน ข้ามีเจ้าเป็นน้องชายคนเดียวนะเสี่ยวอวิ๋น เรื่องแค่นี้ข้าหรือจะเก็บเอามาใส่ใจ” บางครั้ง...เขาก็อิจฉาเมิ่งอวิ๋นที่มีครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว ในขณะที่ตัวเขาเอง...ไม่มีใครสักคน หากว่าต้องถูกกระทำเช่นเขา เมิ่งลู่เหยาผู้นี้จะยังคงยิ้มและรักน้องชายได้อยู่อีกไหมนะ

“พี่ใหญ่...ข้า...ถ้าหากว่า”

“หืม?” เมิ่งอวิ๋นกัดริมฝีปาก คำถามเช่นนั้นคงถามออกไปไม่ได้แน่

“ไม่มีอะไร ข้าว่าจะไปเดินเล่นทางนั้น พี่ใหญ่จะไปกับข้าหรือไม่” เมิ่งอวิ๋นชี้ไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งเมิ่งลู่เหยาก็มองตาม แต่อีฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่า เจ้าไปเถอะ แต่อย่าไปไหนไกลเล่า” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะเมื่อได้ยินการกำชับเหมือนเช่นทุกครั้ง

“ข้ารู้แล้วพี่ใหญ่”

เขาทั้งสองต่างแยกกันเดินไปคนละทิศทาง เมิ่งอวิ๋นเดินไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ ในความเป็นจริงวัดแห่งนี้นับว่ามิได้แตกต่างจากในยุคก่อนของเขาแต่อย่างใด อาจจะมีบางจุดที่แตกต่างไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนจนต้องตกตะลึง เมิ่งอวิ๋นจึงก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างสบายใจ

เมิ่งอวิ๋นคิดว่าการได้มาที่นี่คือเรื่องดีสำหรับเขาจริง ๆ การที่เขาและเมิ่งอวิ๋นต่างแลกเปลี่ยนกันมาในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วมันคุ้มค่าจนรู้สึกว่าตนเองนั้นติดหนี้บุญคุณต่อเมิ่งอวิ๋นเหลือเกิน จนอดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาโยนภาระอันหนักอึ้งของตนเองให้เมิ่งอวิ๋น เหมือนเขาสลัดทิ้งความเหนื่อยยากที่แสนทรมานออกให้กับเมิ่งอวิ๋น ซึ่งเขารู้สึกแย่กับตัวเองไม่น้อย

หากว่าครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นได้รู้เข้าว่าเขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นตัวจริง เขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ จะยังได้รับรอยยิ้ม ได้รับความเอ็นดูและความรักจากทุกคนอยู่อีกหรือไม่

ความกลัวส่งผลให้เมิ่งอวิ๋นชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินลง หยุดตัวเองอยู่กับที่ราวกับเวลาทุกอย่างถูกหยุดลง เมิ่งอวิ๋นแหงนใบหน้าขึ้นมององค์พุทธรูปองค์ใหญ่ตรงหน้า นึกภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี วิงวอนให้เมิ่งอวิ๋นตัวจริงอย่าได้พบเจอความลำบากใด ๆ เลย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจวางใจได้จริง ๆ

เขาถอนหายใจแล้วเดินวนอยู่รอบวัดอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็เห็นแผ่นหลังของเมิ่งลู่เหยาที่หยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้า เขาคิดจะเอ่ยปากเรียกพี่ชาย ทว่าเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ไหวไปเบื้องหน้าทำให้เมิ่งอวิ๋นชะงัก ขมวดคิ้วมองแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปหาพี่ชาย ทว่าเบื้องหน้าของพี่ชายกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน มีเพียงใบหน้าของเมิ่งลู่เหยาเท่านั้นที่เคร่งขรึมขนเมิ่งอวิ๋นยังต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือ?” เมิ่งลู่เหยาเพียงหันมายิ้มให้เมิ่งอวิ๋นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้กำลังขบคิดสิ่งใด

“พี่ไม่เป็นไร”

“เมื่อครู่...พี่ใหญ่คุยกับใครหรือ”

“พี่จะคุยกับใครได้เล่า” เมิ่งลู่เหยาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินออกมาก่อนเมิ่งอวิ๋น เขาได้แต่ขมวดคิ้วกับท่าทีแปลกประหลาดของเมิ่งลู่เหยา หากสายตาเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรคนที่หายไปเมื่อครู่นั้น น่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายของเยี่ยหนิงหลัน คุณหนูเยี่ยที่เขาได้พบในวันนั้น คนที่กุมหัวใจของพี่ชายของเขาเอาไว้

เมิ่งอวิ๋นได้แต่หันไปมองด้านหลังของตนในทิศทางที่เงาสายนั้นพาดผ่านไป แต่ก็ไม่ได้คิดจะติดตามไปแต่อย่างใด เขาหันกลับมาและเดินตามหลังพี่ชายของตนไปโดยไม่เข้าไปใกล้นัก อย่างไรก็ควรเว้นระยะให้พี่ชายของเขาได้คิดและใคร่ครวญให้มากหน่อย บางทีเมิ่งลู่เหยาอาจจะมีปัญหาอะไรอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่ยอมบอกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ต้องปล่อยให้พี่ชายของเขาคิดไปเพียงลำพัง

เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยากลับมายืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอมารดาที่ขึ้นไปไหว้พระขอพรกลับไปด้วยกัน ฝ่ายของอู๋ชิวอิ่งนั้นเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายทั้งสองก็ระบายยิ้มออกมาอย่างสุขใจ ในใจของนางนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขที่แทรกซึมไปทั่วทั้งหัวใจ จนนางไม่อาจห้ามริมฝีปากตนเองไม่ให้ฉีกยิ้มได้เลย

พูดคุยกันอยู่ไม่นานผู้เป็นมารดาและบุตรชายทั้งสองก็พากันกลับ ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยสีหน้าที่ติดรอยยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่เมิ่งลู่เหยาก็เช่นกัน เมิ่งอวิ๋นลอบมองเมิ่งลู่เหยาเป็นพัก ๆ ด้วยความกังวลใจจึงไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้แต่ก็ไม่อาจก้าวก่ายเช่นกัน จึงทำได้เพียงเฝ้าสังเกตเท่านั้น

“ท่านแม่ขอรับ”

“มีอะไรหรืออาเหยา” เมิ่งลู่เหยาลอบกำมือทั้งที่ริมฝีปากยังระบายยิ้ม ดวงตากักเก็บความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้จนมิด แทนที่มันด้วยความสุขที่ได้อยู่พร้อมหน้า

“ก่อนนี้เสี่ยวอวิ๋นให้ลูกค้นหาบางอย่างที่พิเศษเพื่อนำไปตอบแทนให้ใครบางคน”

“บางอย่าง? เจ้าต้องการอะไร เหตุใดไม่ยอมบอกแม่เล่าเสี่ยวอวิ๋น” เมิ่งอวิ๋นงุนงงกับการเปิดประเด็นขึ้นมาของเมิ่งลู่เหยา แต่ก็ยังเอียงคอและตอบคำถามออกไปไม่คิดปิดบัง เว้นเพียงว่าผู้ที่จะได้รับมันเป็นใครเท่านั้น ที่เขาจะไม่เอ่ยมันออกมา

“ของชิ้นนี้หากยากนักขอรับท่านแม่ ข้าจึงวานให้พี่ใหญ่ค้นหาให้” อู๋ชิวอิ่งขมวดคิ้ว ความจริงแล้วของต่อให้หายากเช่นไรนางเองก็ย่อมต้องมีเก็บเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นนางจึงเปิดปากจะกล่าวบางสิ่ง แต่ก็ถูกเมิ่งลู่เหยาขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ท่านแม่อย่าห่วงเลยขอรับ เดิมทีลูกคิดจะถอดใจแล้วแต่ไม่นานมานี้ ลูกได้ยินข่าวถึงของสิ่งหนึ่งที่นับว่าล้ำค่ายิ่งนัก”

“เช่นนั้นหรือ”

“ขอรับ เพียงแต่...”

“มีอะไร เงินของเจ้าไม่พอหรือ เช่นนั้นแม่จะ...”

“มิใช่ขอรับ เพียงแต่ลูกจะต้องเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง ของล้ำค่าเช่นนี้ลูกไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นไปแทนได้” เมิ่งอวิ๋นไม่อาจมองเห็นความผิดปกตินั้นด้วยตาเปล่า เพียงแต่หัวใจของคนเป็นน้องชายอย่างเขากลับร้องเตือนอย่างประหลาด ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่อาจสงบใจลงได้

“เจ้าจะไปที่ใดหรืออาเหยา” เมิ่งลู่เหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก

“เมืองเอ้อหู ตรงชายแดนระหว่างแคว้นของรับ”



ตกค่ำเมิ่งอวิ๋นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของตนอย่างคนคิดไม่ตก เดิมทีเขาคิดเอาไว้แต่แรกว่าจะขอให้ติงหยุนมู่ช่วยเป็นธุระหาให้เขา แต่ด้วยความที่ติงหยุนมู่สหายของคนผู้นั้นกำลังอยู่ในช่วงหวานชื่นกับภรรยา เขาเองก็ไม่อยากจะไปรบกวนนัก เช่นที่พี่ชายบอกกับเขาจึงต้องวานพี่ชายอย่างเมิ่งลู่เหยาให้เป็นธุระให้แทน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นลำบากลำบนต้องเดินทางไกลถึงเพียงนี้

แม้จะไม่ได้กางแผนที่เมืองมาดูก็รู้ได้ไม่ยากว่ามันจะต้องไกลมากนักจากเมืองหลวง เมิ่งอวิ๋นร้อนใจราวกับมีไฟมาเผาอยู่ภายใน ขบคิดซ้ำ ๆ ว่าจะทำเช่นไรดี เมื่อคิดไม่ตกจึงผลักประตูออกไป สาวเท้าเร่งเดินไปยังห้องของเมิ่งลู่เหยาด้วยหวังจะพูดคุยให้เข้าใจมากกว่าเดิม

เขาไม่ปรารถนาให้เมิ่งลู่เหยาต้องไปในที่ห่างไกลจากบ้านเพื่อเขา เพราะเขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นในใจของพี่ชาย ไม่ใช่คนที่ถูกอุ้มชูฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก ความผูกพันทางเลือดเนื้ออาจจะใช่ แต่ทางวิญญาณนั้นไม่ใช่เลย

แล้วเขาจะกล้าหรือ กล้าให้ผู้ชายแสนดีที่เป็นพี่ชายที่ดีที่สุดคนนี้ ต้องไปยังที่ห่างไกลเพื่อเขาหรือ

ย่อมไม่อยู่แล้ว

เมิ่งอวิ๋นมาถึงหน้าห้องของเมิ่งลู่เหยาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจมารยาทใด ๆ อีก แต่สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเมิ่งอวิ๋นพลันขมวดคิ้ว พี่ชายของเขากำลังสะพายห่อผ้าสัมภาระเตรียมตัวจะเดินทางเสียแล้ว

หากเขาไม่มาเล่า จะไปล่ำลาเขาบ้างหรือไม่

คิดแบบนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็ปรากฏความน้อยใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“พี่ใหญ่ท่านจะไปไหน” แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่เข้าฝใจตัวเองเช่นกันว่าเหตุใดจะต้องเอ่ยถามออกไปอีก

“พี่ต้องรีบเร่งเดินทาง เจ้าหลบทางให้พี่เถอะ” เมิ่งอวิ๋นไม่เพียงไม่หลบทาง อีกทั้งยังขยับขวางทางยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าเมิ่งลู่เหยาจะขยับไปซ้ายหรือขวา เขาก็จะขยับตามไปทางนั้นเช่นกัน

“เสี่ยวอวิ๋น...เจ้ากำลังถ่วงเวลาพี่อยู่นะ” เมิ่งลู่เหยาถอนหายใจและเอ่ยกับน้องชายด้วยท่าทางอ่อนใจ

“พี่ใหญ่ เหตุใดต้องรีบร้อนเพียงนี้ ของชิ้นนั้นข้าไม่เอาแล้วก็ได้ อย่าไปเลยนะพี่ใหญ่” ความไม่สบายใจที่เกาะกุมหัวใจของเมิ่งอวิ๋นทำให้เขาต้องเอ่ยออกไปเช่นนั้น เขายอมติดหนี้บุญคุณนานอีกหน่อยก็ได้ ขอเพียงพี่ชายไม่ไป คนแซ่หลี่ผู้นั้นนับเป็นตัวอะไร

“เสี่ยวอวิ๋น ของชิ้นนี้สำคัญมาก ไม่ใช่แค่กับเจ้ากับข้าก็เช่นกัน”

“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร” เมิ่งลู่เหยาหลับตาแน่น เม้มริมฝีปากของตนเองเอาไว้ ดวงตาสะท้อนความรู้สึกแปลกๆ ที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจเข้าใจในความหมายของมันได้ แต่เพียงคู่เดียวมันก็หายไป

“เชื่อพี่ อย่างไรพี่ก็ต้องไป เจ้า...ดูแลท่านพ่อท่านแม่แทนพี่ด้วย”

นี่ไม่ปกติ ไม่ปกติเลยสักนิด

แต่ที่ใดเล่า? สิ่งใดที่มันแปลกกัน เมิ่งอวิ๋นเองก็ยังไม่อาจจะตอบตนเองได้

“พี่ใหญ่...ท่านจะไปนานเพียงใดหรือ”

นานเท่าใด เมิ่งลู่เหยาเองก็ไม่รู้ จะได้กลับมาเมื่อไร เมิ่งลู่เหยาเองก็ตอบไม่ได้

“ไม่ไปได้หรือไม่ ของชิ้นนั้นข้าไม่เอาแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดย่อมไม่สำคัญเท่าท่านเลยนะ พี่ใหญ่หากท่านไปแล้วข้าเล่า ข้า...ท่านไม่กลัวข้าถูกรังแกหรือ หากพวกเขาทำร้ายข้าเล่า ท่านจะมาช่วยข้าได้หรือ” เมิ่งอวิ๋นหมดสิ้นหนทางเหนี่ยวรั้ง ได้แต่เอ่ยอ้างความอ่อนแอราวกับเหยื่อตัวน้อยที่ต้องการการปกป้องจากผู้แข็งแกร่ง หวังเพียงมันจะช่วยดึงใจของพี่ชายให้อยู่ต่อได้ ล้มเลิกความคิดที่จะไปเสียให้หมดแล้วอยู่กับเขาที่นี่ต่อไป

เมิ่งลู่เหยามองดวงตากลมสีเกาลัดของน้องชายก็ใจอ่อน แต่ถึงอย่างไรเมื่อได้ตัดสินใจไปแล้วก็ย่อมต้องทำ ความตั้งใจอย่างแรงกล้าของเขาไม่อาจสั่นคลอนให้ล้มลงได้โดยง่าย

“เจ้า เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลยเสี่ยวอวิ๋น พี่จำเป็นต้องไป”

ไม่ว่าจะเอ่ยคำใดหัวใจของเมิ่งลู่เหยาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ของในห่อผ้าบรรจุเงินและเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง แต่ในสายตาของเมิ่งอวิ๋นนั้นมันช่างไม่เพียงพอเลย

เมื่อกล่อมพี่ชายไม่ได้เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ ล้วงเอาตั๋วเงินในอกตนออกมาแล้วยื่นให้พี่ชายแทน หากไม่อาจห้ามปรามก็ได้แต่ช่วยเป็นกำลัง ถึงอย่างไรพี่ชายก็ไปเพื่อเขา เพื่อให้เขาเอาของมาตัดสะบั้นบุญคุณที่เขาไม่เคยคิดอยากจะมีต่อคนผู้นั้นเสียให้ขาด จบเรื่องเมื่อไรจะได้ลาขาดกันเสียที

“เช่นนั้นพี่ใหญ่เอานี่ไปด้วยเถิด” เมิ่งลู่เหยารับมาถือไว้แล้วคลี่ออกดู

“เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้”

“ระยะทางเท่าไรก็ไม่รู้ อุปสรรคข้างหน้าอาจมีมากจนพี่ใหญ่เหนื่อยล้า ข้าที่เป็นน้องชาย จะทนให้พี่ใหญ่เงินขาดมือได้อย่างไร” เมิ่งอวิ๋นก้มใบหน้าลงซ่อนความไม่ยินยอมให้ไปในดวงตาเอาไว้ แต่คนตรงหน้าของเมิ่งอวิ๋นกลับเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดึงร่างของน้องชายคนเดียวเข้ามากอดจนแนบแน่น เอ่ยคำขอบคุณอย่างแผ่วเบาออกมา

“ขอบคุณ เจ้าเป็นน้องชายที่ดีของพี่เสมอ” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ใช้มือตบหลังพี่ชายเบาๆ สองสามครั้งเป็นการปลอบ

“ปล่อยข้าได้แล้วพี่ใหญ่”

“จริงของเจ้า พี่ควรรีบไปได้แล้ว”

ทั้งสองเงียบใส่กันอยู่ครู่ใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรเพียงมองสบตากันเท่านั้น เมิ่งอวิ๋นไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้ออกมาตรงนี้ หรือควรจะยิ้มอำลาให้พี่ชายดี ใบหน้าของเขาจึงดูบิดเบี้ยวอย่างประหลาดนัก

ส่วนเมิ่งลู่เหยาเห็นใบหน้าของน้องชายที่ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดีก็พลันรู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา แต่ในอกมันตื้นตันจนน้ำตาเริ่มจะไหลลงมา เขาจำต้องกลั้นมันเอาไว้ภายใน ไม่ให้เมิ่งอวิ๋นต้องเป็นห่วงเขามากนัก

“เสี่ยวอวิ๋น”

“พี่ใหญ่...” ทั้งสองเอ่ยเรียกอีกฝ่ายพร้อมกัน จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เจ้าพูดก่อน”

“ไม่...พี่ใหญ่พูดก่อนเถิด” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็พยักหน้าเอ่ยออกมาก่อนเป็นคนแรก

“พี่ไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลท่านพ่อท่านแม่ให้ดี อีกทั้งเรื่องเหลาจื่อเค่อก็เช่นกัน เจ้าจะต้องเข้าไปดูแลบ้าง อย่างไรเจ้าก็คือบุตรชายคนหนึ่งของสกุลเมิ่ง”

“ข้ารู้ ข้าจะไปดูแลเหลาจื่อเค่อแทนพี่ใหญ่ รอจนพี่ใหญ่กลับมาข้าจะกลับไปเที่ยวเล่นอีกครั้ง” เมิ่งลู่เหยาหัวเราะ ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของน้องชายด้วยความเอ็นดู เขาอยากจะให้ทุกอย่างหยุดลงที่ตรงนี้ไม่เดินหน้าไปไหนต่อ แต่ก็ทำไม่ได้ อีกนานแค่ไหนถึงจะได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกก็ไม่รู้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ

“พี่ต้องไปแล้ว” เมิ่งอวิ๋นอาวรณ์ต่อสัมผัสนั้นมาก เขาไม่อยากให้มันหายไปแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจรั้งเอาไว้

“พี่ใหญ่เดินทางดีๆ นะ นี่ก็มืดมากแล้วระวังตัวด้วย”

“ได้...”

แผ่นหลังของเมิ่งลู่เหยาค่อย ๆ ห่างออกไปทีละน้อย พี่ชายคนเดียวของเขากำลังจะไปแล้ว หัวใจที่กำลังเต้นในอกพลันเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ใช่ความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นที่ตกค้าง แต่เป็นความรู้สึกของเขาที่แสดงออกมาเอง

พี่ใหญ่...ท่านเองก็เป็นพี่ชายที่ดีเช่นกัน ขอบคุณที่ทำเพื่อข้าแม้ข้าจะไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นก็ตาม







TBC



เอ๊ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ไหนใครรู้บอกแมวหน่อยสิ มากระซิบข้างๆหูแมวเลยเร็ว // ทำให้ทุกคนรอนานมากใช่ไหมคะ แง้ จะบอกว่าก่อนหน้านี้แมวเพิ่งจะติดเรื่องย้ายบ้านค่ะ แต่ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว เย้! 

เมิ่งอวิ๋น 
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 100% (19/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-01-2021 15:24:37
 :katai1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (17) 100% (19/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-01-2021 00:22:43
ไม่เอาน้าาา ห้ามเจ็บห้ามตาย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (18) 50% (26/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 26-01-2021 14:52:40
[18] 50%


เรื่องใหญ่

หลังจากที่เมิ่งลู่เหยาออกเดินทางไป เมิ่งอวิ๋นก็พลอยนอนไม่หลับไปด้วย เกือบทั้งคืนที่เขาเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมาไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ความกังวลใดก็ไม่ทราบที่รบกวนจิตใจของเขา ทำให้เขาต้องอดหลับอดนอนก็ยังไม่อาจรู้คำตอบที่ค้นหาได้

เช้าวันนี้เมิ่งอวิ๋นจึงดูอิดโรยเป็นพิเศษ ความง่วงไม่ได้เข้ามาจู่โจมแม้แต่น้อย กลับเป็นอาการปวดศีรษะเสียมากกว่าที่ทำให้เขาต้องกุมขมับและไม่ปรารถนาจะลุกขึ้นจากตั่งนอน

เสี่ยวหลงมองใบหน้างดงามที่ซีดเซียวของผู้เป็นนายด้วยความร้อนใจ ครั้งเมื่อเอ่ยปากจะไปบอกกล่าวแก่นายท่านและฮูหยิน นายน้อยของตนก็ออกปากห้ามเอาไว้ ไม่ยอมให้ไปแจ้งอาการนี้แก่ผู้ใด เสี่ยวหลงจึงมีสีหน้าไม่ดีนัก แต่ก็จนด้วยปัญญาที่จะทำสิ่งใดได้

ทางด้านเสี่ยวฉีเองก็เพียงนำอ่างน้ำมาให้เมิ่งอวิ๋นได้ล้างหน้าล้างตา หวังจะบรรเทาอาการปวดศีรษะของเมิ่งอวิ๋นได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่เสี่ยวหลงไม่อาจวางใจ หากป่านนี้คุณชายใหญ่ยังอยู่ที่จวน คงจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้นายน้อยเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการ

“นายน้อย...”

“เจ้าอย่าพูดเลย ข้าเพียงปวดหัวเท่านั้น เหตุใดต้องทำหน้าราวกับข้าใกล้ตายด้วยเล่า” เสี่ยวหลงได้ฟังถึงกับตาโต ละล่ำละลักแก้คำของผู้เป็นนายแทบไม่ทัน

“นายน้อยเหตุใดกล่าวเช่นนั้นขอรับ เอ่ยถึงเรื่องตายได้อย่างไร ไม่ได้ บ่าวจะไปเรียนฮูหยิน”

“หากเจ้าไป...ข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีก”

“นายน้อย!” เสี่ยวหลงแทบจะร่ำไห้ออกมาให้เสียงดังลั่น นายน้อยของตนข่มขู่มาเช่นนี้มีหรือที่เสี่ยวหลงจะกล้าขยับตัวออกไปจากห้อง หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าไม่อยากอยู่ใกล้ชิดนายน้อยอีกต่อไปแล้ว เสี่ยวหลงทนไม่ได้

“เสี่ยวฉี...เจ้าก็เช่นกัน หากเรื่องนี้ไปถึงหูท่านพ่อท่านแม่ข้า เจ้าก็เตรียมกลับไปทำหน้าที่เดิม”

“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ”

เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ใบหน้าที่ติดจะดุหน่อย ๆ ของเมิ่งอวิ๋นก็คลายลง เขาเอนแผ่นหลังไปพิงกับตั่งนอนอย่างผ่อนคลาย หลับตาลงช้า ๆ คล้ายกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ เสี่ยวหลงเห็นผู้เป็นนายหลับตาก็ได้โอกาสสะกิดเสี่ยวฉี เอ่ยกระซิบกับอีกฝ่าย

“เจ้าดูนายน้อยเอาไว้ ข้าจะไปแจ้งแก่พ่อบ้านเหลย” เสี่ยวฉีปรายตามองร่างของเมิ่งอวิ๋นบนตั่งครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้งเสี่ยวหลงออกมา

“ข้าไม่คิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดีนัก นายน้อยสั่งเอาไว้แล้วว่ามิให้บอกแก่ผู้ใด เจ้าไม่กลัวว่านายน้อยจะไม่พูดกับเจ้าอีกต่อไปหรือ” เสี่ยวหลงหรือจะไม่กลัว ริมฝีปากบางเม้มแน่นออกคล้ายจะร่ำไห้เสียให้ได้เรียกสายตาเอ็นดูของเสี่ยวฉีได้เป็นอย่างดี แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นสายตาของเสี่ยวฉีก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นเดิม

“แล้วเจ้าจะให้ข้าปล่อยนายน้อยไว้เช่นนี้หรือ เจ้าไม่ห่วงนายน้อยเลยใช่หรือไม่” เป็นบ่าวรับใช้ยังไงกัน นายป่วยเช่นนี้กลับไม่ทุกข์ร้อน ใช่สิ...คนผู้นี้เพิ่งจะติดตามนายน้อยได้ไม่นานนัก มีหรือจะรู้สึกรักใคร่ห่วงใยนายน้อยจากใจจริงเช่นเขา ที่เฝ้าดูแลเติบโตมาพร้อมกันกับผู้เป็นนาย

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เสี่ยวหลงจึงตวัดสายตาดุร้ายคล้ายกับลูกแมวตัวกลมที่พองขนรอสู้กับศัตรูตรงหน้า

เสี่ยวฉีไม่อยากยอมรับจริงๆ ว่าเขาชื่นชอบท่าทางของคนตรงหน้าเป็นอย่างมากจนอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากขึ้นมา แม้คนตรงหน้าจะไม่ได้งดงามราวกับหญิงสาว ไม่ได้หล่อเหลาเหมือนอย่างเมิ่งลู่เหยา แต่สีหน้าที่เปลี่ยนได้ตามอารมณ์ของคนผู้นี้ดึงดูดให้สายตาของเขาจับจ้องไม่หลบหลีก

ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งปรารถนาจะเห็นมากขึ้น ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก ทุกสีหน้า

ล้วนแต่น่าสนใจสำหรับเสี่ยวฉีทั้งสิ้น

“ข้าหิวแล้ว” จู่ ๆ เมิ่งอวิ๋นก็พูดขึ้นมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท เสี่ยวหลงที่กำลังข่มขู่อีกคนด้วยท่าทางน่ากลัว เปลี่ยนการแสดงออกเป็นกระตือรือร้นแทบจะทันที

“นายน้อย อยากกินอะไรหรือขอรับ”

เห็นไหมเล่า...เปลี่ยนง่ายจนน่าสนใจ

เสี่ยวหลงไม่ได้รู้สึกถึงความคิดของเสี่ยวฉีแม้แต่น้อย เพราะเขาให้ความสนใจไปที่ผู้เป็นนายมากกว่าคนข้างกาย จึงปล่อยให้สายตาของคนข้าง ๆ จับจ้องตนต่อไปโดยไม่คิดจะห้ามปรามใดๆ

“เจ้าลองไปถามที่ห้องครัวดูว่ามีสิ่งใดบ้าง สิ่งใดน่ากินเจ้าก็ยกมาเถอะ”

“ขอรับ บ่าวจะรีบไป”

เพียงขยับตัวไม่นานเสี่ยวหลงก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ควรปล่อยให้นายน้อยของตนอยู่ลำพังกับเสี่ยวฉี เสี่ยวหลงจึงหรี่ตามองท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเสี่ยวฉี แล้วออกปากสั่งให้อีกคนไปแทน

“เจ้าว่างนี่ ข้าจะอยู่ดูแลนายน้อยเอง เจ้าไปที่ห้องครัว ทำตามคำสั่งของนายน้อยเสีย” เมิ่งอวิ๋นแทบจะหลุดขำออกมากับการสั่งการของเสี่ยวหลง บ่อยครั้งที่เห็นเสี่ยวหลงร้อนใจในเรื่องของตน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นเสี่ยวหลงใช้งานผู้อื่น ริมฝีปากของเมิ่งอวิ๋นจึงอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้

“ได้...” เสี่ยวฉีไม่คิดขัด จึงเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ทั้งห้องเหลือเพียงเสี่ยวหลงที่คอยดูแลเมิ่งอวิ๋นต่อไป อย่างไรนี่ก็คือคำสั่งของผู้เป็นนาย จะให้ผู้ใดไปก็ไม่ต่างกัน

เสี่ยวหลงมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย คอยรินน้ำชาให้นายน้อยของตนจิบเป็นระยะ เฝ้ามองดูอาการของผู้เป็นนายไม่ห่าง แต่ใบหน้าอิดโรยของผู้เป็นนายก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย นั่นทำให้เสี่ยวหลงไม่สามารถคลายความร้อนใจลงไปได้เลย เสี่ยวหลงขยับตัวอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเมื่อเมิ่งอวิ๋นไม่มีทีท่าว่าจะหายในเวลาอันรวดเร็วเสี่ยวหลงก็ยิ่งขยับตัวมากยิ่งขึ้น จนทำให้เมิ่งอวิ๋นที่ยังหลับตาอยู่รู้สึกทนไม่ไหว

“เจ้าหยุดสักทีเถอะ”

“ขอรับ?” เสี่ยวหลงไม่เข้าใจในคำพูดของนายน้อยตน

“เจ้าหยุดเดินไปเดินมาเสียที มันยิ่งทำให้ข้าปวดหัวมากกว่าเดิมเสียอีก” เสี่ยวหลงหยุดฝีเท้าลงนิ่งสงบในทันที นึกโทษตัวเองที่ทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกแย่กว่าเก่า เขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง

“เจ้าไปดูเสี่ยวฉีเถอะ ข้าอยู่คนเดียวได้”

“แต่...”

“ไปเถิด เผื่อว่าข้าได้อยู่คนเดียวแล้วข้าจะดีขึ้น”

เมิ่งอวิ๋นไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นทำให้เสี่ยวหลงเศร้าลงทันตา ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีแต่ความโศกเศร้าและเสียใจ นึกน้อยใจที่ผู้เป็นนายมองว่าไม่มีตนแล้วจะหายเร็วขึ้นมากกว่าการที่มีตนอยู่ น้ำเสียงสั่นเครือจึงเอ่ยตอบรับอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่ก็ชัดเจนพอให้เมิ่งอวิ๋นได้ยิน

“ขอรับ”

เสี่ยวหลงหันหลังให้ผู้เป็นนาย เดินไหล่ตกออกไปจากห้องด้วยอารมณ์น้อยใจ เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นก็ทบทวนคำพูดตนอยู่เงียบๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาที่ประตูห้องกำลังจะปิดลง

“เสี่ยวหลง”

“ขอรับ...” เสี่ยวหลงชะงักมือที่จะปิดประตูลง โผล่ใบหน้ามาเพียงเสี้ยวหนึ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย

“เจ้า...อย่าถือคำข้าเลย บางครั้งข้าพูดออกไปมันก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นหรอกนะ ข้าเพียงแค่...อยากพักผ่อน ไม่ได้มองว่าเจ้าน่ารำคาญ หรือการมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าจะทำให้ข้าแย่ลง เจ้าเข้าใจข้าใช่ไหม”

“นายน้อย...” เสี่ยวหลงน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ นายน้อยของตนเอาใจใส่ขนาดนี้จะว่ากล่าวเขาได้อย่างไร เป็นตัวของเขาเองต่างหากที่คิดชั่วช้า น้อยใจในคำพูดที่นายน้อยมิได้มีความหมายใดแอบแฝง อีกทั้งยังทำให้นายน้อยของตนต้องฝืนตนเพื่ออธิบายให้เขาฟัง

เขามันแย่เสียจริง!

“บ่าวจะรีบไปดูเสี่ยวฉีให้นำแต่ของอร่อยที่น่ากินมาให้นายน้อย จะยกมาให้นายน้อยเยอะๆ เลยขอรับ นายน้อยพักผ่อนเถิด อย่าห่วงเลย บ่าวจะจัดการทุกอย่างเอง” เมื่อพบว่าน้ำเสียงของเสี่ยวหลงร่าเริงขึ้น เมิ่งอวิ๋นก็พอจะวางใจส่งยิ้มไปให้เสี่ยวหลงพร้อมกับพยักหน้ารับคำ และมองเสี่ยวหลงปิดประตูออกไปเงียบๆ

เมื่อประตูถูกปิดลง เมิ่งอวิ๋นก็ถอนหายใจออกมา เขาป่วยหรือเปล่าไม่รู้ แต่อาการปวดหัวเช่นนี้ทำให้อดคิดไปถึงเรื่องเก่าก่อนไม่ได้จริง ๆ การที่ต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีเมิ่งลู่เหยาผู้ให้ความรู้สึกแบบพี่ชาย มันทำให้เขาหวาดกลัว กลัวว่าจะต้องกลับไปเป็นเหมือนในชาติก่อน

เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาต้องโดดเดี่ยว

มันตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เขาและเสี่ยวเฟิงต้องห่างไกลกัน ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เสี่ยวเฟิงไม่มองเขาด้วยแววตานับถืออีกต่อไปแล้ว

มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็จำไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาจำได้ดีคือ...ไม่ว่าจะถูกมองด้วยสายตาเช่นไร สำหรับเขาแล้ว เสี่ยวเฟิงก็คือเสี่ยวเฟิง คนที่วิ่งออกไปตากฝนกับเขาในวันนั้น

เสี่ยวเฟิงยังคงเป็นน้องชายที่เขารักมากที่สุดอยู่ดี

เมิ่งอวิ๋นปล่อยให้น้ำตารินไหลลงสองแก้ม พร้อมกับภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ที่ฉายวนเวียนซ้ำ ๆ ให้หัวใจของเขามันได้เต้นเป็นจังหวะที่ทรมาน





50%



บรรยากาศมันพาไป ฉากต่อไปคืออดีตนะจ๊ะ รออ่านกันได้เลย 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (18) 50% (26/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-01-2021 23:37:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (18) 50% (26/01/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-01-2021 01:27:21
รอเลยยยยย
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (18) 100% (03/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 03-02-2021 09:52:36
[18] 100%


หลังจากที่กลับมาจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ไกลจากบ้าน เซี่ยอี้เจินก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาเรียนหนักมาก ทุ่มเทให้กับมันจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อจะเป็นเรี่ยวแรงช่วยดูแลทุกอย่างในตระกูล ลดความเหนื่อยยากของคุณปู่ที่บัดนี้ได้แก่ชราลงไปมากแล้ว

ดวงตากลมหันมองหาร่างของน้องชายที่เขาคิดถึงแต่พบเพียงความว่างเปล่า จึงหันไปส่งกระเป๋าเสื้อผ้าให้กับหวงหลินผู้เป็นแม่บ้านและเอ่ยถามแทน

“ป้าหวงครับ เสี่ยวเฟิงละ?” หวงหลินยิ้มบาง ๆ ให้กับคุณชายของบ้าน

“อยู่ที่ห้องค่ะ คุณชายใหญ่จะขึ้นไปหาคุณชายเล็กก่อนหรือจะอาบน้ำล้างตัวก่อนดีคะ”

“ผมไปหาน้องก่อนดีกว่าครับ ไม่ได้เจอกันมาตั้งสองปี ผมอยากจะคุยกับน้อง”

ได้ยินเช่นนั้นแม่บ้านหวงนามว่าหลินก็ยิ้มเอ็นดู พร้อมกับเดินถือกระเป๋าของเซี่ยอี้เจินไปเก็บไว้ที่ห้อง ส่วนเซี่ยอี้เจินก็เดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของน้องชาย แล้วเคาะประตูเรียก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เสี่ยวเฟิง พี่เองนะ อยู่หรือเปล่า” ไม่นานนักประตูก็เปิดออก ใบหน้าของน้องชายที่โตขึ้นจากสองปีก่อนทำให้เซี่ยอี้เจินประหม่าไม่ได้ ทว่าแววตาของเซี่ยอี้เจินยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ความดีใจที่ได้พบหน้าน้องนั้นทำให้เขาต้องยิ้มกว้างออกมา ทว่าสายตาเย็นชาจากน้องชายและคำถามราวกับคนไกลห่างทำให้เซี่ยอี้เจินยิ้มค้าง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เซี่ยอี้เจินพยายามสูดลมหายใจ ปลอบตัวเองว่าน้องเพียงห่างจากเขาไปนานจึงมีอาการเช่นนี้

“พี่กลับมาแล้ว เสี่ยวเฟิงเป็นยังไงบ้าง” เขาเอื้อมมือออกไปหวังจะสัมผัสศีรษะของน้อง แต่เซี่ยเฟิงกลับถอยหลัง มองเขาอย่างดุร้ายด้วยแววตาที่แข็งกร้าว นั่นทำให้เซี่ยอี้เจินชะงัก มองความเย็นชาไม่เป็นมิตรนั่นอย่างไม่เข้าใจ

“เสี่ยวเฟิง...”

“ขอโทษด้วย ผมไม่ชอบให้ใครแตะต้อง พี่คงจะเหนื่อยจากการเดินทาง ไปพักเถอะ ผมไม่ค่อยว่าง”

“ดะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนสิ” แต่เซี่ยเฟิงไม่ได้รอฟัง เขาปิดประตูลงทันทีที่ตนเองพูดจบ ทิ้งให้เซี่ยอี้เจินยืนปวดใจอยู่ด้านนอก ทิ้งความโดดเดี่ยวเอาไว้ในหัวใจของเซี่ยอี้เจินจนเขาขยับก้าวขาไปไหนไม่ได้

ไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาทำอะไรผิดหรือน้องชายถึงไม่อยากคุยกับเขา

“เสี่ยวเฟิง...” น้ำเสียงหวานได้แต่เอ่ยเรียกน้องอยู่หน้าประตูอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือแม้อยากจะสัมผัสประตูตรงหน้าก็ไม่กล้าพอแม้แต่จะเอื้อมออกไป หัวใจดวงน้อยกำลังค่อย ๆ แหลกสลายลงไปอย่างช้า ๆ ในทุกวัน


เมิ่งอวิ๋นกำมือของตนเอาไว้แน่นก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้า ๆ นัยน์ตาคู่สวยยังคงเจือไปด้วยร่องรอยของความโดดเดี่ยวและปวดร้าว เขาเองไม่เข้าใจและไม่เคยได้เข้าใจในเหตุผลนั้น ว่าทำไมน้องชายของเขาจึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เขาจำได้ดีว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาและเสี่ยวเฟิงก็ไม่เคยได้พูดคุยกันเหมือนช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็กอีกเลย บางทีอาจจะเพราะเวลาที่ทำให้เราสองคนห่างกันไป

หรืออาจจะเพราะเขา...ไม่คู่ควรกับการเป็นพี่ชายของน้องชายอีกแล้ว

“นายน้อย! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” เสียงของเสี่ยวหลงดังมาตั้งแต่ไกล ก่อนที่ประตูจะเปิดออกเสียด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องใหญ่ ใจของเมิ่งอวิ๋นที่ไม่สงบอยู่แล้วก็ยิ่งปั่นป่วนมากยิ่งขึ้น เขากลัวที่สุดคือข่าวร้าย หากว่ามีคนส่งข่าวมาบอกว่าพี่ชายของเขาเกิดเรื่องเล่าจะทำเช่นไรดี หากเป็นเรื่องถึงแก่ชีวิตเขาจะช่วยเหลืออย่างไรดี เมิ่งอวิ๋นกระวนกระวายใจอย่างมาก เมื่อร่างของเสี่ยวหลงโผล่เข้ามาเขาจึงรีบเอ่ยถามทันที

“มีเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้นเจ้ารีบพูดมา” ความร้อนใจทำให้เมิ่งอวิ๋นเร่งเร้าเสี่ยวหลงที่หอบหายใจหน้าซีดเผือดอยู่หน้าประตู

“มะ มี มี” เสี่ยวหลงละล่ำละลักพูดติดขัดจนเมิ่งอวิ๋นนึกขุ่นเคือง

“มีอะไรเจ้าพูดมาให้ชัดเร็ว ๆ เข้า!” เสี่ยวหลงพลันสะดุ้งกับน้ำเสียงของผู้เป็นนายจนต้องรวบรวมสติแล้วเอ่ยบอกกล่าวออกอีกครั้ง

“มีคนจากทางการมาถามหาคุณชายใหญ่ที่หน้าจวนขอรับนายน้อย!” เมิ่งอวิ๋นไม่เข้าใจ ทำไมคนจากทางการจะต้องมาถามหาพี่ชายของเขาด้วย

“ถามหาไปทำไม? พี่ข้าออกไปนอกเมือง มีเรื่องอะไรกันแน่”

“เรื่องนี้บ่าวได้ยินมาไม่แน่ชัด แต่จากที่ฟังมาจวนของรองเสนาบดีเยี่ยแจ้งทางการว่าบุตรสาวได้หายตัวไปขอรับ!”

“แล้วเกี่ยวอันใดกับพี่ใหญ่ข้า?”

“รองเสนาบดีเยี่ยให้การว่าคุณหนูเยี่ยหนิงหลันถูกคุณชายใหญ่ลักพาตัวออกไปขอรับ”

ปึง!

“กล้าดียังไงมากล่าวหาพี่ใหญ่ของข้าเช่นนี้!” เมิ่งอวิ๋นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทุบกำปั้นลงบนตั่งนอนอย่างแรงโดยไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดสักนิด พี่ชายเขาคือบุรุษผู้แสนดีที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางเทียบได้ การกล่าวเอ่ยคำออกมาเช่นนี้มิเท่ากับใส่ความกันหรอกหรือ!

เมิ่งอวิ๋นไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ฟังจนฝืนกายไม่สนใจอาการปวดศีรษะก่อนนี้ของตนแม้แต่น้อย ลุกจากตั่งพร้อมกับเดินตรงไปยังร่างของเสี่ยวหลง

“นายน้อยจะไปที่ใดขอรับ”

“ข้าจะไปคุยกับทางการที่มาให้รู้เรื่อง เรื่องใหญ่เช่นนี้มิเท่ากับหาเรื่องตายให้พี่ใหญ่ของข้าหรอกหรือ!”

เมิ่งอวิ๋นรีบสาวเท้าออกไปจากห้องโดยไม่สนใจผู้ใดอีก ในเวลานี้เขาขบคิดเพียงคำถามเดิมซ้ำๆ ว่านี่ใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ เดิมทีเขาก็กังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเรื่องของพี่ใหญ่ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะมีเรื่องเกิดขึ้นมาจริง ๆ เขายังแปลกใจว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงรีบไปนัก แต่การที่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นเขาย่อมไม่กล้าปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของพี่ชายของเขา

จะเป็นไปได้อย่างไร พี่ชายของเขาเหตุใดจะต้องลักพาตัวคุณหนูเยี่ยด้วย ในเมื่อทั้งสองต่างมีใจให้กัน

เรื่องนี้จะต้องไม่เป็นความจริง พี่ชายของเขาย่อมไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ เขามั่นใจ!

เมื่อเห็นว่าร่างของคนมากมายอยู่ภายในจวนล้วนแต่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เมิ่งอวิ๋นจึงรีบเร่งเดินเข้าไปหาหวังจะถามไถ่เรื่องราวความจริงให้กระจ่าง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบกับคนที่คุ้นตาเสียก่อน

“ไม่ทราบพวกท่านนำทหารเข้ามาในจวนของสกุลเมิ่งเช่นนี้ มีเรื่องอะไรกันหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเอ่ยถามอย่างสุภาพ ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย ยิ่งคนที่เมื่อเห็นเขาก็ก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้าเขายิ่งแล้วใหญ่ คนผู้นี้ยิ่งทำให้ความเป็นมิตรของเมิ่งอวิ๋นติดลบไปในทันที

“ข้ามาหาเมิ่งลู่เหยา อยู่หรือไม่”

“พี่ชายข้าออกเดินทางไปต่างเมืองตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ทราบต้องการพบด้วยเรื่องอันใด” เสิ่นหยวนมองใบหน้าเย่อหยิ่งของเมิ่งอวิ๋นด้วยความไม่ชอบใจ คนผู้นี้ถือดีอะไรมาชูหน้าชูตาอยู่ตรงหน้าเขา เป็นเพียงบุตรชายของพ่อค้า กลับกล้ายืนอยู่ตรงหน้าขุนนางเช่นเขา คนไร้ศักดิ์ต้อยต่ำเช่นนี้น่ารังเกียจเหลือทน!

“ไปต่างเมืองหรือ มิใช่หนีความผิดลักพาตัวบุตรสาวท่านรองเสนาบดีเยี่ยไปด้วยกระมัง” น้ำเสียงติดเย้ยหยันและสีหน้าดูแคลนของเสิ่นหยวนนั้น ไม่ได้ทำให้เมิ่งอวิ๋นมีโทสะหรืออะไรทั้งสิ้น กลับมองว่าคนผู้นี้น่าสมเพชกว่าผู้อื่นถึงขนาดต้องเหยียบย่ำผู้คนให้ตนรู้สึกสูงกว่า ช่างน่าขัน

เมิ่งอวิ๋นเพียงยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางแสนสง่า มือทั้งสองไขว้เอาไว้ที่ทางด้านหลังพร้อมกับใบหน้าที่เชิดสูง

“กล่าวออกมาเช่นนี้ ความหมายของท่านคงไม่พ้นกล่าวหาว่าพี่ชายข้ากระทำความผิดกระมัง”

“แล้วมิใช่หรือ? พี่ชายของเจ้าลักพาตัวคุณหนูเยี่ยไปจากจวนของท่านรอเสนาบดี เช่นนี้มิใช่ทำผิดหรืออย่างไร” เมิ่งอวิ๋นกระตุกยิ้ม มองสบดวงตาเย้ยหยันของเสิ่นหยวนอย่างไม่คิดจะหลบ

“คุณชายเสิ่น...ท่านกล่าวแรงเกินไปแล้ว”

“แรงไปหรือ? ข้าว่าไม่กระมัง ข้าเพียงบอกว่าพี่ชายเจ้าลักพาตัวคนอื่นนี่แรงไปอย่างไร”

“เช่นนั้นขอถามคุณชายเสิ่น ไม่ทราบมีหลักฐานหรือไม่ว่าพี่ชายข้าเป็นผู้ลักพาตัวคุณหนูเยี่ยไป?” เสิ่นหยวนที่แต่เดิมมีรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่บนใบหน้านิ่งค้าง รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าพร้อมกับดวงตาเกลียดชังไม่ปิดบังมาแทนที่ เมิ่งอวิ๋นเข้าใจได้ในทันทีที่ได้เห็นสีหน้าของคนตรงหน้า จึงปรากฏรอยยิ้มที่เหนือกว่าข่มอีกฝ่ายให้จมลง

“หากมีหลักฐานก็เชิญท่านนำมาให้ข้าเห็นเป็นบุญตาหน่อยเถิด เพราะหากไม่มีหลักฐานแล้ว ข้าคงอดคิดไม่ได้ว่าพวกท่านใช้อำนาจรังแกคน!”

เมิ่งอวิ๋นไม่คิดจะให้เรื่องจบง่ายเพียงนั้นอยู่ก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่เล่นแหกันมาเยอะมากมายขนาดนี้ อย่างไรจวนสกุลเมิ่งย่อมถูกนำไปนินทาเสีย ๆ หาย ๆ คนพวกนี้รับผิดชอบไหวหรือ? ความจริงยังไม่มีสิ่งใดแน่นอน หลักฐานอะไรหรือก็ไม่มีแต่คิดจะมาคุมตัวพี่ชายของเขาไป มิเท่ากับหาเรื่องกันหรืออย่างไร

“หรือท่านเห็นว่าสกุลเมิ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิช จะกระทำเช่นไรก็ไม่จำเป็นต้องเห็นหัว ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติใช่หรือไม่

“เจ้า! หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!” เมิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจว่าตนทำสิ่งใดผิด เหยียดยิ้มเยาะเย้ยออกไปบ้างอย่างคนที่เหนือกว่า

“ทำไมข้าจะต้องหยุดพูด ในเมื่อท่านไร้หลักฐานแต่กลับนำคนมาค้นจวนของข้า เช่นนั้นทำไมข้าจะพูดออกไปบ้างไม่ได้”

เสิ่นหยวนทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นมองเมิ่งอวิ๋นก่อความวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะออกคำสั่งเด็ดขาดให้จัดการกับเมิ่งอวิ๋น

“จับตัวเมิ่งอวิ๋นเอาไว้! แล้วนำไปโบยเสีย!”

“อย่าคิดจะทำร้ายนายน้อยของข้าได้” เหล่าทหารคล้ายจะขยับตัวแต่เสี่ยวฉีและเสี่ยวหลงที่เห็นเหตุการณ์อยู่ก่อนแล้ว ได้ขยับตัวมาขวางทางเอาไว้ ปกป้องเมิ่งอวิ๋นอยู่ด้านหลังแทน

“จับตัวพวกมันสองคนไปโบยด้วย! เอาตัวไปให้หมด!” เสิ่นหยวนโกรธจนขาดสติ สั่งการเสียงดังลั่นจนเมิ่งอวิ๋นต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง

“คุณชายเสิ่นช่างกล้าหาญดีแท้ ไม่ทราบข้าไปเป็นบ่าวรับใช้ในเรือนของท่านตั้งแต่เมื่อไรหรือ? จึงสั่งคนให้โบยข้าเช่นนี้”

“ข้าใช้กฎหมายสั่งการ เจ้าก่อความวุ่นวายย่อมต้องได้รับโทษ” เสิ่นหยวนยังคงเชิดหน้าขึ้นกล่าวราวกับตนไร้ความผิด เมิ่งอวิ๋นมองเขาด้วยแววตาดุดันก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา

“เช่นนั้นคุณชายเสิ่นที่มาก่อความวุ่นวายในจวนของข้าเล่าควรถูกโบยสักกี่ไม้ดี?” เสิ่นหยวนตาวาววับด้วยโทสะ ชี้หน้าเมิ่งอวิ๋นด้วยปลายนิ้วที่สั่นไปตามอารมณ์

“เจ้ากล้าเรอะ!” แต่เมิ่งอวิ๋นหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยไม่ กลับเดินก้าวเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าของเสิ่นหยวนอย่างไม่กลัวตาย ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยโทสะจับจ้องจนเสิ่นหยวนที่เคยดูแคลนเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ยังนิ่งงัน ตัวแข็งทื่อขยับกายไปไหนไม่ได้

“กับเจ้า...ข้าไม่ต้องใช้ความกล้าใดๆ เลย”

“...”

“เจ้าอาจไม่รู้ว่าโลกนี้ย่อมมีสิ่งที่แตะต้องไม่ได้อยู่”

“...”

“และสำหรับข้าคือครอบครัว หากวันใดเจ้ากล้าเอื้อมมือมาทำให้ครอบครัวของข้าเจ็บปวดแม้เพียงปลายเล็บ”

“จะ...เจ้า...เจ้าจะทำอะไร” เมิ่งอวิ๋นยิ้มพร้อมก้มใบหน้าลงมาแทบจะชิดกับคนตรงหน้า ในขณะที่เสิ่นหยวนตัวสั่นไปทั้งร่าง

“พูดไปไหนเลยจะรู้ได้ มิสู้คุณชายเสิ่นลองพิสูจน์ดูดีกว่ากระมัง”





TBC



กรี๊ดดดดดด ผัวมากค่ะลูก หนูผัวมาก แมวใจเต้นแรงไปแล้ว เรื่องนี้ยืนยันว่าพระเอกคือท่านแม่ทัพ ความเกลียดที่ทุกคนมีสาเหตุมาจากเรื่องร้ายๆในช่วงที่เมิ่งอวิ๋นคนเก่ามีชีวิตอยู่เราบอกได้เลยว่ามันเป็นปมนะคะ เราจะมีเฉลยปมแน่นอน เพราะงั้นกัดเนื้ออีแม่ทัพไปเลยค่ะแรงๆ พอเฉลยปมค่อยช่วยนางทำแผล (ฮ่าๆ) 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (18) 100% (03/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-02-2021 01:06:55
ดุหลอออหนู
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (18) 100% (03/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-02-2021 01:10:32
 :mc4:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (19) 100% (10/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 10-02-2021 13:15:14
[19] 100%


ไร้หลักฐาน

เสิ่นหยวนมองใบหน้าที่เกือบจะชิดตนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ผงะร่างถอยห่างพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ด้านหน้าอย่างคาดโทษ

“เจ้า...เจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้นะเมิ่งอวิ๋น ข้าชื่นชอบสตรีไม่มีทางเปลี่ยนใจมาเป็นเช่นเดียวกับเจ้าแน่” น้ำเสียงของเสิ่นหยวนดังลั่นไปทั่วทั้งจวน ทว่าเมิ่งอวิ๋นกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่เสิ่นหยวนพยายามบอกสักนิด เขาเองก็ชอบสตรี...เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่เป็นเช่นเดียวกับเขา? ความงุนงงทำให้ใบหน้างามพริ้มพรายเอียงศีรษะไปด้านข้าง มองเสิ่นหยวนด้วยความฉงนสนเท่ห์

“เจ้าพูดอะไร?”

“เจ้า เจ้า เจ้ามัน...”

“ข้ามัน?”

“เจ้ามันปีศาจจิ้งจอก!”

“หา?” ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกเช่นนี้เมิ่งอวิ๋นยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีก สรุปแล้วเขาทำอะไรให้อีกฝ่ายกัน ทำไมเสิ่นหยวนผู้นี้จึงกล่าวคำแปลกประหลาดออกมาทำให้เข้าไม่เข้าใจสักคำ ครั้งจะหันไปมองเสี่ยวหลงก็เห็นเพียงว่าเสี่ยวหลงนั้นซบใบหน้าลงกับฝ่ามือตนเอง ส่วนเสี่ยวฉีนวดขมับของตนราวกับกลัดกลุ้ม ไม่มีผู้ใดไขความกระจ่างให้แก่เขาได้สักคนเดียว

“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรอารมณ์ของเขาก็ยิ่งคุกรุ่นเท่านั้น

“เจ้าคือปีศาจจิ้งจอกแน่ๆ ปีศาจจิ้งจอกมักจะใช้รูปโฉมล่อลวงผู้คน ข้าไม่มีวันหลงกลเจ้าหรอก ไม่มีวัน!!”

“อะ อ้าว” เสิ่นหยวนกล่าวจบก็สะบัดร่างหนีหายไปจากจวนทันตา ทิ้งให้เหล่าทหารทั้งหลายต่างพากันมองหน้ากันเอง ก่อนจะตัดสินใจล่าถอยออกไปจากจวนสกุลเมิ่ง เมิ่งอวิ๋นที่ยังไม่อาจเข้าใจความหมายของเรื่องทั้งหมด จึงทำได้เพียงทำหน้าตาสงสัยอยู่ที่เดิม

“นี่มีแต่ข้าหรือเปล่าที่ไม่เข้าใจคุณชายเสิ่น?” เสี่ยวหลงทนมองไม่ไหวจึงเดินออกมาหาคุณชายของตน ใบหน้านี้ช่าง...นำพาแต่ความยุ่งยากมาให้ผู้เป็นนายของตนจริง ๆ จะอธิบายออกไปอย่างไรเล่าว่าคุณชายเมื่อครู่ถูกความงดงามนี้ล่อลวงไปเสียแล้ว

“นายน้อย กลับเข้าห้องเถิดขอรับ”

อย่าให้มีใครต้องหลงใหลใบหน้างดงามของท่านอีกเลย เพียงเท่านี้ก็วุ่นวายพอแล้ว

“แต่ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ เมื่อครู่ข้าเพียงต้องการขู่เขาเท่านั้น”

“ขอรับ ๆ บ่าวเข้าใจดี” เมิ่งอวิ๋นเพียรคิดใคร่ครวญดูอีกครั้งก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างของตน

“ข้ารู้แล้ว! คุณชายเสิ่นจะต้องหวาดกลัวจนวิ่งหนีไปแน่ ดีนัก! ต่อไปจะได้ไม่ต้องมากล่าวหาพี่ใหญ่ของข้าอีก”

เสี่ยวหลงได้แต่ยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเองเอาไว้เท่านั้น เพราะไม่กล้าจะมองใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของผู้เป็นนายตน จะมีสักกี่คนที่คิดได้เช่นนี้กัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคุณชายเสิ่นผู้นั้นถูกใบหน้าของนายน้อยของตนล่อลวงจนต้องรีบหนีไป หากแต่คนล่อลวงเช่นนายน้อยของตนกลับไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป เสี่ยวหลงเหลือบมองนายของตนเองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไร้ความกังวลราวกับเด็กไร้เดียงสาก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้แต่เสี่ยวฉีเองก็ไม่ต่างกัน

เมิ่งอวิ๋นในอารมณ์อันแสนสุขเดินกลับเข้าจวนด้วยท่าทางที่ไร้ความกังวล ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องห่วงหรือพะวงอีกต่อไปแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง คิดจะกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็ชะงักเท้าลงเสียก่อนแล้วหันมามองบ่าวข้างกายทั้งสอง

“จะว่าไปเสียงดังขนาดนี้เหตุใดข้าไม่เห็นท่าพ่อท่านแม่ออกมาเลย” เสิ่นหยวนผู้นั้นนับว่ามาไม่เบาเลย เข้าออกจวนด้วยท่าทางคุกคามทำเสียงดังคล้ายกลัวว่าชาวประชาจะไม่รู้ ว่าจวนสกุลเมิ่งกำลังมีเรื่องให้ได้เล่าลือกันออกไป

“นายท่านและฮูหยินออกไปตรวจร้านจื่อเค่อตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ” เมิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น

“ออกไปตั้งแต่เมื่อใด?”

“ก่อนคุณชายเสิ่นจะมาไม่นานขอรับ นายน้อยมีอะไรแปลกหรือขอรับ?” เมิ่งอวิ๋นคิดวนไปวนมาซ้ำ ๆ ก็ยังไม่อาจหาคำว่าแปลกมาอธิบายได้

นั่นสิ มีอะไรที่แปลกหรือเปล่านะ

“นายน้อย บ่าวคิดว่าคุณชายเสิ่นคงหวังเพียงมาก่อกวนจวนสกุลเมิ่ง และกลั่นแกล้งนายน้อยเท่านั้นขอรับ มิได้คิดการใหญ่ใด ๆ ให้ต้องกังวล” เมื่อเสี่ยวฉีพูดมาเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พอจะคลายหัวคิ้วลงไปได้บ้าง

“เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือ?”

“ขอรับ ดูจากท่าทีวันนี้คงคิดจะมาก่อความวุ่นวายให้สกุลเมิ่งอับอาย แต่คุณชายเสิ่นคงคาดไม่ถึงว่านายน้อยจะมากความสามารถเช่นนี้”

ความสามารถที่ใช้ใบหน้างดงามหลอกล่อจนอีกฝ่ายต้องถอยไปเองอย่างไม่เต็มใจ ก็นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกันกระมัง เสี่ยวฉีได้แต่คิดทว่าไม่กล้าเอ่ยออกไปแม้ครึ่งคำ

เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยืดอก หัวเราะเริงร่าอย่างภูมิใจแล้วตบที่แผ่นอกของตนเองไม่เบามือนัก เสียงหวานดังกังวานให้ความรู้สึกคล้ายสายลมอ่อนพัดพามาให้คล้ายความร้อน ทั้งเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีต่างก็ก้มใบหน้าลงต่ำ อดยิ้มมุมปากตามไม่ได้

นายน้อยที่เป็นเช่นนี้ดีนักในสายตาของเสี่ยวหลง เพราะเสียงหัวเราะที่น้อยครั้งเขาจะได้ยิน ทำให้หัวใจดวงเล็ก ๆ ของบ่าวรับใช้อย่างเขาอิ่มเอมไปหมดทั้งหัวใจ

เสียงหัวเราะยังไม่เงียบลง มันยังคงดังไปตลอดทางจวบจนเมิ่งอวิ๋นกลับเข้าห้องของตนไปแล้ว เสียงหัวเราะจึงได้เงียบลง

ในวันนี้เองที่ทุกคนได้รู้แล้วว่า บุรุษตัดแขนเสื้อหรือบุตรชายคนเล็กของสกุลเมิ่งนั้น หาได้รังแกได้ง่ายไม่ ทั้งฝีปากและคารมทุกสิ่งล้วนแต่เยี่ยมยอดทั้งนั้น หากใครกล่าวว่าเขาไร้ความสามารถ เอาแต่ไล่ตามบุรุษก็นับว่าไร้ตาเสียแล้ว ทว่าคำกล่าวเหล่านี้...มีเพียงเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นที่ไม่รู้



ทางด้านเมิ่งหยวนที่ได้ยินเสียงร่ำลือมาจากเหล่าชาวบ้านก็รีบตรงกลับจวนอย่างรวดเร็ว ในใจของเมิ่งหยวนทั้งกังวลและร้อนใจอย่างหนัก ไม่ต่างจากอู๋ชิวอิ่งที่ทั้งร้อนใจจนอยากจะหายตัวไปพบบุตรชายที่จวนในตอนนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าบุตรชายของนางยังสบายดี มิได้เสียใจหรือเศร้าโศกใด ๆ

เมื่อมาถึงจวนเมิ่งหยวนก็รีบตรงไปหาบุตรชายแทบจะทันที โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าอู๋ชิวอิ่งจะตามมาด้วยหรือไม่ แต่อู๋ชิวอิ่งมีหรือจะปล่อยความกังวลในครั้งนี้ไป นางย่อมรู้ดีว่าสามีของนางกำลังไปที่ใด และนางย่อมต้องตามไปอย่างแน่นอน หากมีสิ่งใดกระทบใจของบุตรชาย นางจะได้เอ่ยปลอบได้ทันเวลา เพียงไม่นานทั้งสองก็เดินมาพบกับบุตรชายของตนที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ กับเรื่องร้ายแรงนี้

“เสี่ยวอวิ๋นของแม่!” เสียงเรียกของมารดาเรียกให้เมิ่งอวิ๋นหันหน้าไปพบกับบิดาและมารดา ทันทีที่ได้เห็นเมิ่งอวิ๋นก็ยิ้มออกมาอย่างน่าเอ็นดู ใจคนแม่เป็นมีหรือจะไม่อ่อนลง ยิ่งมองสำรวจแล้วว่าบุตรชายมิได้รับบาดเจ็บหรือมีสิ่งใดกระทบกระเทือนจิตใจ นางก็ยิ่งวางใจได้หลายส่วน

“ท่านพ่อท่านแม่ กลับมาแล้วหรือขอรับ” เมิ่งหยวนมองบุตรชายคนเล็กด้วยแววตาคมกริบ จับจ้องใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นไม่วางตาราวกับต้องการจะมองให้เห็นถึงภายในจิตใจ คนถูกมองอย่างเมิ่งอวิ๋นเองยังอดเย็นวาบไม่ได้ เพียงแต่ตนต้องข่มใจเอไว้มิให้แสดงสิ่งใดออกมา

“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง แม่ได้ยินว่า...”

“เมิ่งอวิ๋นเจ้ามีปัญหากับคนของทางการงั้นรึ” ยังไม่ทันที่อู๋ชิวอิ่งจะทันได้กล่าวจบ น้ำเสียงเข้มที่แฝงความดุดันเอาไว้ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน เมิ่งอวิ๋นนึกอยู่แล้วว่าเรื่องราวคงเล่าลือไปไกลเป็นแน่ ทว่าไม่คิดเลยว่าจะเร็วปานนี้

“ว่าอย่างไร ข้าถามเจ้าอยู่!” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ก่อนจะยอมรับออกมาอย่างไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น

“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับท่านพ่อ”

คำตอบของเมิ่งอวิ๋นนั้นทำให้เมิ่งหยวนโกรธเสียจนอยากจะสั่งลงโทษบุตรชายคนนี้เสีย มีที่ไหนรนหาที่ด้วยการหาเรื่องกับคนของทางการ เช่นนี้มิเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองหรอกหรือ? ผู้ใดเขาต่างก็รู้ว่าขุนนางและเหล่าผู้มีอำนาจนั้น ไม่ควรสักนิดที่จะมีปัญหาด้วยเพราะหากถูกหมายหัวเอาไว้แล้วละก็ คงไม่พ้นหนทางข้างหน้าถูกคนเหล่านี้ขัดขวางหาทางเอาคืนอย่างแน่นอน

คิดถึงตรงนี้แล้วเมิ่งหยวนทั้งโกรธทั้งเครียดเสียเหลือเกิน

“เจ้า! เจ้านี่ช่าง!” เมิ่งอวิ๋นมองนิ้วมือของบิดาที่ชี้มาตรงหน้าของตนอย่างมั่นคง แววตาไร้ความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงความหยิ่งผยองถือดีอันเป็นนิสัยของเมิ่งอวิ๋นเท่านั้น

“หากข้าถอยให้พวกเขา มิเท่ากับปล่อยให้พวกเขารังแกหรือขอรับท่านพ่อ?”

ถึงแม้จะไม่ได้คิดจะให้ใครรังแก แต่การที่เมิ่งอวิ๋นมุทะลุไม่ยอมถอยแม้สักก้าว เป็นเช่นนี้แล้วมิเท่ากับชักปัญหาเข้ามาในจวนเสียมากกว่าหรือ เมิ่งอวิ๋นนั้นไม่ได้เข้าใจความคิดของเมิ่งหยวนผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย หากแต่เขายังคงยึดมั่นในความคิดตน ในเมื่อตนไร้ความผิด สกุลเมิ่งมิได้ทำสิ่งใดขัดต่อบ้านเมืองหรือผู้ใดให้เดือดร้อน แล้วเหตุใดเขาจะต้องถอยด้วยเล่า นั่นเขาไม่มีวันยอมทำ!

เมิ่งอวิ๋นเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือดี กล่าวบอกบิดาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย “ท่านพ่อคงไม่ทราบว่าพวกเขามากันด้วยเรื่องอันใด”

“จะเรื่องใดก็มิใช่เหตุผลที่สมควรให้เจ้า…”

“เช่นนั้นเรื่องของพี่ใหญ่ก็ไม่สมควรหรือขอรับ?” เมิ่งอวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ชอบใจนัก เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาล ไม่ว่ายุคสมัยใดผู้มีอำนาจก็ย่อมใหญ่เสียจนคับฟ้า ทว่าในกาลข้างหน้าอำนาจเงินเองก็สูงส่งไม่แพ้กัน หากสกุลเมิ่งในยามนี้อยู่ในยุคสมัยที่เขาจากมา คงไม่ต้องเกรงกลัวทางการเหล่านั้นหรอก

“การที่คนของทางการบุกเข้ามารื้อค้นจวน เพียงเพราะคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไร้ซึ่งหลักฐานที่บ่งบอกว่าพี่ใหญ่ทำผิด”

“...”

“เช่นนี้แล้วข้าควรยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามารื้อค้นจวนของเราหรือขอรับท่านพ่อ”

“...”

“หากว่าข้ายอมถอยจึงจะถือว่าถูกต้องหรือขอรับ?”

“...”

“หากวันนี้คนที่ยืนรับหน้าคนของทางการเป็นท่านพ่อ ท่านพ่อจะปล่อยให้เขาเข้ามาใช่หรือไม่”

“...”

“แม้ว่าคนที่ถูกตราหน้าว่ากระทำผิดจะเป็นบุตรชายของท่านก็ตาม ท่านก็จะปล่อยให้พวกเขาทำเพียงเพราะเกรงกลัวอำนาจของพวกหรือขอรับ?”

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้ากล่าวเช่นนี้กับบิดาของเจ้าได้อย่างไร รีบขอโทษท่านพ่อของเจ้าเร็วเข้า!”

“ข้าพูดผิดหรือท่านแม่ ในเมื่อท่านพ่อโกรธเพียงเพราะข้าไม่ยอมถอย โดยไม่สนใจสักนิดว่าต้นเหตุคือสิ่งใด ข้าเพียงถามกลับไปเท่านั้น”

“เสี่ยวอวิ๋น...”

“ท่านแม่...หากข้าผิดที่ปกป้องชีวิตของพี่ใหญ่ ปกป้องพี่น้องของข้า เช่นนั้นข้าก็คงผิดจริงขอรับ แต่ข้าไม่เสียใจแม้แต่น้อย เพราะสำหรับข้าแล้ว สิ่งที่ข้าทำไปนั้นถูกต้องที่สุด แม้จะผิดในสายตาของผู้ใดก็ตาม”

เมิ่งอวิ๋นกลืนความรู้สึกผิดในแกเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าไม่ควรทำกิริยาเช่นนี้กับบิดามารดาของเมิ่งอวิ๋น ทว่าเขาก็ไม่อาจมองความอยุติธรรมที่มีต่อพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นได้ คนเหล่านั้นบุกมายังจวนสกุลเมิ่งอย่างไม่มีความเกรงใจ เอิกเกริกเสียจนคนทั่วเมืองต่างก็เล่าขานเรื่องราวในวันนี้ไปทั่ว ทั้งยังกล่าวหาความผิดต่อพี่ชายของเขาร้ายแรงเช่นนี้ เขาจะทนนิ่งเฉย หดหัวเกรงกลัวในอำนาจได้อย่างไร

ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน!

“หากท่านพ่ออยากลงโทษข้าก็ทำเถิดขอรับ ข้าจะยินยอมให้ท่านลงโทษแต่โดยดี” แม้จะถูกลงโทษก็ไม่เป็นไร ในตอนนี้เขาเชื่อว่าทำถูกต้องแล้ว ความผิดที่ไร้หลักฐานนั้นคือการใส่ร้าย และการใส่ร้ายในครั้งนี้...เขาไม่ยอมรับ!

“ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถหรือ? เป็นบิดาที่ขี้ขลาดตาขาวปล่อยบุตรชายของข้าให้ตายเพียงเพราะความกลัวหรือ? เจ้ามองพ่อเช่นนั้นหรือเมิ่งอวิ๋น”

เมิ่งอวิ๋นมองความปวดร้าวในแววตาของเมิ่งหยวนออก หัวใจของเขากระตุกวูบกับคำถามนั้นจึงได้แต่นิ่งเงียบ ทบทวนในคำพูดของตนเมื่อครู่อีกครั้ง ทว่าท่าทีก่อนนี้ของท่านพ่อมิใช่ว่าต้องการให้เขาถอยหรอกหรือ

“แต่ท่านพ่อบอกให้ข้าถอย ท่านพ่อโกรธที่ข้ามีปัญหากับคนของทางการมิใช่หรือขอรับ” เมิ่งหยวนสูดลมหายใจเข้าแล้วหลับตาลงซ่อนความรู้สึกเอาไว้ภายใน ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก

“ใช่ ข้ายอมรับว่าโกรธที่เจ้าไม่ยอมถอย นั่นเพราะพ่อเป็นห่วงเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าอำนาจในมือพวกเขาทำเช่นไรกับเจ้าได้บ้าง”

“ทราบขอรับ”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมิให้พ่อโมโหหรือ? เจ้าจะให้พ่อยิ้มรับที่เจ้าเอาตัวเข้าไปปะทะคมดาบหรืออย่างไร ในสายตาเจ้าแล้ว พ่อควรจะหัวเราะใช่หรือไม่!”

“ท่านพี่ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ เสี่ยวอวิ๋นยังเด็กย่อมไม่รู้ความ อย่าโกรธเคืองลูกเลยนะเจ้าคะ” เมิ่งอวิ๋นหน้าชา สมองกลั่นกรองความหมายของคำพูดของผู้เป็นบิดาอีกครั้งอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่อู๋ชิวอิ่งพยายามอย่างสุดความสามารถให้สามีของตนอภัยในความเยาว์วัยของบุตรชายของนาง

“ท่านพ่อ ข้า ข้ามิได้ ข้าขอโทษขอรับ” เมิ่งอวิ๋นทิ้งตัวลงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายคนจะร่ำไห้ มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่าสงสารเหลือเกิน

“ลุกขึ้น ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว” เมิ่งหยวนโบกมือเอ่ยปากสั่งให้บุตรชายของตนลุกขึ้นเท่านั้น มิได้ว่ากล่าวใด ๆ เขาเป็นพ่อ ย่อมรู้ดีว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นร่างกายไม่แข็งแรงมากนัก ปล่อยให้คุกเข่านาน ๆ อาจจะทำให้ล้มป่วยอีกก็เป็นได้ แม้ในใจจะยังคงมีความน้อยใจอยู่ แต่ก็ไม่อาจใจแข็งโกรธบุตรชายคนนี้ได้นาน ทำได้เพียงแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมกับถอนหายใจออกมา

“รองเสนาบดีเยี่ยกล่าวหาว่าพี่ใหญ่ลักพาตัวคุณหนูเยี่ยหนิงหลันไป ทางการบุกเข้ามารื้อค้น หวังจับพี่ใหญ่ไปลงโทษ ข้าจึงทนไม่ได้ที่พี่ใหญ่ถูกใส่ความเช่นนั้น” เมิ่งอวิ๋นนึกแล้วก็เจ็บแค้นใจ แม้ว่าเขาจะถูกใจเยี่ยหนิงหลันผู้ที่เขาหมายตาอยากจะได้มาเป็นพี่สะใภ้ ทว่าบิดาของคุณหนูเยี่ยผู้นี้กลับกล่าวหาพี่ชายเขา หมายให้ตายเช่นนี้แล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกเช่นไรดี

“เอ๊ะ แต่พี่เจ้าเดินทางไปเมืองเอ้อหูมิใช่หรือ?” อู๋ชิวอิ่งไม่เข้าใจ บุตรชายคนโตของนางเดินทางไปเมืองเอ้อหู เหตุใดจึงถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวคุณหนูสกุลเยี่ยได้เล่า

“เพราะพี่ใหญ่ไปเมืองเอ้อหู ข้าจึงไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามา กล่าวหาพี่ใหญ่ทั้งที่ไร้หลักฐาน เช่นนี้เท่ากับใส่ความสกุลเมิ่งของเรา ข้าจะทนได้อย่างไร” เมิ่งอวิ๋นคิดแล้วก็นึกโกรธเคืองยิ่งนัก ไม่เข้าใจเลยว่าด้วยเหตุใดรองเสนาบดีเยี่ยจึงได้ใส่ความพี่ใหญ่ด้วย

“ก่อนนี้แม่เคยให้แม่สื่อติดต่อไปที่สกุลเยี่ย แต่ไม่คิดเลยว่ารองเสนาบดีเยี่ยจะไม่ไว้หน้าเราแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะที่สกุลเมิ่งเราไปสู่ขอบุตรสาวของเขาอีก” เดิมทีเรื่องนี้นับว่าน่าขายหน้านัก นางเองก็ไม่อยากจะเล่าให้ผู้ใดฟัง แต่เพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีสิ่งใดแย่ไปกว่านี้

“พ่อเองก็ได้ยินมาว่า รองเสนาบดีเยี่ยคิดจะให้บุตรสาวคนโตแต่งเป็นฮูหยินรองของขุนนางผู้หนึ่ง ทว่าไม่ได้ฟังชัดเจนนัก รู้เพียงว่าอายุของขุนนางผู้นั้นไม่น้อยไปกว่าบิดาของนางเลย”

เมิ่งหยวนคิดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เรื่องนี้ดูจะไม่ง่ายเสียแล้ว อย่างไรคนก็ไม่อยู่ที่จวน อีกฝ่ายเองก็ไร้ซึ่งหลักฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงได้แต่ต้องรอ รอให้บุตรชายของเขาติดต่อมา จะได้สอบถามได้ชัดเจน

“หากเป็นเช่นนั้นก็คือการบังคับแต่งงานใช่หรือไหมขอรับท่านพ่อ”

“จะเรียกว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก เดิมทีการแต่งงานของบุตรย่อมเป็นพ่อแม่จัดการ แต่ถ้าหมายถึงจิตใจของคุณหนูเยี่ยก็คงใช่” เมิ่งอวิ๋นนึกถึงรอยยิ้มของนางก็ให้ความรู้สึกหดหู่ใจนัก เป็นเช่นนี้แล้วเขาคิดว่าคุณหนูเยี่ยคงไม่ปรารถนาจะแต่งงานกับขุนนางผู้นั้น จึงได้หนีออกจากจวน แต่ผู้หญิงคนเดียวทำเช่นนี้นับว่าอันตรายมาก

“ข้าสงสารนางเหลือเกินท่านพ่อ ข้าปรารถนาอยากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้เหลือเกิน”

“หากมีวาสนา พี่ชายเจ้ากับนางคงจะสมหวัง” แต่จากที่มองแล้ว ไม่ว่ายังไงก็คงจะยากนัก บุตรชายคนโตของเขาเองก็รักคุณหนูผู้นี้เหลือเกินเสียด้วย หากรู้เข้าคง...

ทั้งสามต่างจมอยู่กับความคิด คาดหวังเพียงขอให้จบลงในเร็ววัน มิฉะนั้นคงมีคนทุกข์ใจมากกว่าสองเป็นแน่



TBC



ผัวอยู่ตอนเดียวตอนนี้กลับมานุ่มนิ่มอีกแล้วนะอวิ๋นน้อย! โอ้ย! หนูจะตกผู้ชายเพิ่มไม่ได้แล้วนะคะลูก แม่ไม่ได้วางเรื่องให้มันฮาเร็ม อย่าสอยผู้ชายในเรื่องแบบนี้สิคะ /ดมยาดม

เนื่องจากตอนนี้ค่อนข้างจะสั้นแมวจึงลงรวดเดียวไปเลยไม่มีการแบ่งพาร์ทนะคะ และจะมาอัพอีกครั้งในอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขมาก ๆ นะคะ 新正如意 新年发财 ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ค่ะทุกคน


เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (19) 100% (10/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-02-2021 22:43:45
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (19) 100% (10/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-02-2021 00:37:30
สู้ๆน้ะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 50% (19/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-02-2021 15:47:18
[20] 50%


ความจริง

นับจากวันที่ถูกเมิ่งอวิ๋นทำให้อับอายเสิ่นหยวนและเหล่าทางการก็ไม่มีใครเข้ามาก่อกวนเมิ่งอวิ๋นให้รำคาญใจอีก ข้อหาที่กล่าวหาว่าเมิ่งลู่เหยาลักพาตัวบุตรสาวคนโตของรองเสนาบดีเยี่ยนั้น ล้วนแต่ถูกเมิ่งอวิ๋นทำให้กลับกลายเป็นเพียงคำกล่าวหาที่ไร้น้ำหนักทั้งสิ้น หลายวันมานี้จึงมีแต่ความเงียบสงบเกิดขึ้นในสกุลเมิ่ง ไร้เภทภัยให้ต้องกังวลใจ

เมิ่งอวิ๋นเดินทอดสายตามองไปตามรายทาง แม้จะถูกสายตาจากหลายคนจับจ้องก็ไม่ได้ทำให้เมิ่งอวิ๋นรู้สึกวางตัวลำบากเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลับชินชาต่อมันไปเสียแล้ว

เมิ่งอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างรู้สึกสบายใจและสบายกายเป็นที่สุด หลายวันที่ผ่านมานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของพี่ชายเท่านั้นที่ทำให้เขาพอใจต่อท่าทีของเหล่าทางการ ยังมีคนแซ่หลี่ผู้นั้นอกีที่หายหน้าหายตาไปราวกับปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ซึ่งสำหรับเมิ่งอวิ๋นแล้วนั้นมันช่างน่ายินดีเหลือเกินเพราะการไม่เจอหน้าคนผู้นั้นคือความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา แม้ว่าช่วงหลังมานี้หัวใจดวงน้อยของเมิ่งอวิ๋นจะไร้ซึ่งความรู้สึกตกค้างที่มีต่ออีกฝ่ายไปอย่างสิ้นเชิง แต่การไม่พบเจอกันย่อมไม่ก่อให้เกิดประกายไฟเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มันลุกโชนขึ้นมา

นี่จึงจะเป็นเรื่องดีที่เขาพอใจ

“นายน้อย...ข้างหน้าคือร้านลู่เมิ่งขอรับ”

ร้านลู่ เขาไม่เคยได้ยินร้านนี้ และไม่เคยได้ก้าวเท้าเข้าไปเช่นกัน

“เจ้ามีสิ่งที่อยากได้หรือเสี่ยวหลง?” เสี่ยวหลงที่ถูกถามสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ รีบร้อนปฏิเสธและอธิบายให้เมิ่งอวิ๋นฟัง

“มิใช่ขอรับนายน้อย! ร้านลู่เมิ่งนับเป็นอีกร้านหนึ่งของสกุลเมิ่ง เป็นร้านที่นายน้อยน่าจะเข้าไปตรวจตรา ไปดูแลระหว่างที่คุณชายใหญ่ไม่อยู่” เมิ่งอวิ๋นหรี่ตามองท่าทางอึกอักของเสี่ยวหลงแล้วเกิดความเข้าใจขึ้นมา ทว่าสิ่งที่เสี่ยวหลงกำลังคิดนั้นไม่น่าพอใจเลยสักนิดจึงทำให้เมิ่งอวิ๋นที่เดิมดีกำลังสบายใจแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียดขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงติดเย็นชาจนคนฟังหนาวสะท้านไปทั้งร่าง

“เจ้าคงมิได้คิดจะให้ข้าแย่งชิงสิ่งที่สมควรจะเป็นของพี่ชายข้ากระมัง?”

“บ่าว...” เห็นท่าทางอึกอักของเสี่ยวหลงเขาก็พอเข้าใจ จึงแสยะยิ้มออกมา

“ข้าเมิ่งอวิ๋นจะบอกเจ้า ต่อให้สิ้นไร้ไม้ตอก ตกระกำลำบากสักเพียงใดก็จะไม่แย่งชิงสิ่งใดก็ตามที่เป็นของพี่ข้าอย่างชอบธรรม แม้ว่าคนที่นำมันมากองไว้ให้ข้าจะเป็นท่านพ่อเองก็ตาม! อย่าได้คิดเช่นนั้นอีกเข้าใจรึไม่!”

“บ่าวมิกล้าแล้วนายน้อย บ่าวเลอะเลือน นายน้อยโปรดยกโทษให้บ่าวด้วยขอรับ”

“ฮึ!” เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ตอบกลับแต่ก็ยังเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจตราร้านลู่เมิ่งของสกุลเมิ่งดังที่เสี่ยวหลงว่า แต่เจตนาของเมิ่งอวิ๋นชัดเจนมาตั้งแต่แรกที่ได้ลืมตาตื่น นั้นคือปกป้องดูแลสกุลเมิ่งอย่างดี มิให้เกิดเรื่องใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสกุลเมิ่ง ในชีวิตก่อนเขาเองก็เฝ้าดูแลทุกอย่างในตระกูลเซี่ยแม้จะไม่เคยได้รับคำชม ต้องโหมร่างทำงานหนักแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีที่ได้ทำเพื่อคุณปู่และน้องชายของเขา

เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงสูดลมหายใจเพื่อขับไล่ความทรงจำเก่า ๆ ที่ไหลเวียนเข้ามาในสมองระงับอาการบ้าบอที่เกิดขึ้นมาไม่ดูเวล่ำเวลานี้ลงไปเสีย แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ

“ร้านลู่เมิ่งไม่นับว่าเป็นร้านติดอันดับของเมืองหลวง ทว่าก็มิได้ด้อยค่าไร้ราคานะขอรับนายน้อย” เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็พยักหน้ารับคำของเสี่ยวหลง เสี่ยวหลงที่เดิมยังเกรงกลัวว่านายน้อยของตนจะขุ่นเคืองก็พลอยโล่งใจไปด้วยจึงกระตือรือร้นเล่าต่อ

“ความจริงสกุลเจียงเป็นร้านหยกอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่หยกของสกุลเมิ่งนั้นไม่นับว่าเป็นรอแต่อย่างใด เพียงแต่สกุลเจียงมีเส้นสายขุนนาง บุตรชายของสกุลเจียงนามว่าเจียงซือเป่าเป็นขุนนางอยู่ในกรมโยธาขอรับ” คราวนี้เป็นเสี่ยวฉีที่เอ่ยขึ้นมาแทน

“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือเสี่ยวฉี” เสี่ยวฉีพลันตัวแข็งทื่อก่อนจะเอ่ยตอบเพื่อเลี่ยงปัญหาใหญ่

“บ่าวเพียงได้ยินมาเล็กน้อยขอรับ มิได้รู้มากมายอะไรเลย”

“โอ้...” เมิ่งอวิ๋นไม่เชื่อแม้แต่น้อย ทว่าก็ไม่มีปัญญาจะตรวจสอบได้ว่าคนผู้นี้เป็นใครและเข้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด แต่เขารู้เพียงหนึ่งอย่างคือเสี่ยวฉีตรงหน้าย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บ่าวรับใช้สกุลอื่นในบรรดาเหล่าขุนนางอาจรู้จักกรมโยธาและกลมอื่น ๆ นั้นไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไรแต่บ่าวในจวนสกุลเมิ่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องขุนนางกลับรู้เรื่องเช่นนี้ ไม่นับว่าธรรมดาเสียแล้ว

เมิ่งอวิ๋นแม้จะวางท่าทางคล้ายไม่สนใจความเป็นมาของเสี่ยวฉี คล้ายว่าไม่ติดใจกับสิ่งที่เสี่ยวฉีนั้นแสดงออก แต่ความจริงแล้วในใจเต็มไปด้วยความสงสัยและรอบสังเกตคนผู้นี้อยู่เงียบ ๆ ส่วนเสี่ยวฉีกลับไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อยกลับลอบถอนหายใจออกมา เพราะคิดว่าเมิ่งอวิ๋นมิได้ติดใจสงสัยในตน

“นายน้อย...”

เสียงเรียกที่ไม่คุ้นหูทำให้เมิ่งอวิ๋นหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่เมิ่งอวิ๋นเองก็ไม่แน่ใจว่าตนรู้จักคนผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด หรือคนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเมิ่งหรือไม่ทำให้เมิ่งอวิ๋นที่แม้จะยิ้มรับทว่าหัวคิดกลับขมวดเข้าหากัน

“ท่านลุง ท่านเรียกข้าหรือ?” ลุงหลู่เดิมทีเพียงคิดจะยื่นของให้นายน้อยตามคำสั่ง กลับถูกทักทายด้วยคำเรียกที่แสนเกรงใจนั้นทำให้คนชราเช่นเขารีบร้อนบอกกล่าว

“นายน้อย บ่าว บ่าวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ไหนเลยจะกล้าให้นายน้อยเรียกขานเช่นนั้นกันขอรับ”

“เช่นนั้นท่านลุงเป็นบ่าวรับใช้สกุลเมิ่งหรือ เหตุใดข้ามิเคยพบท่าน”

“บ่าวมีนามว่าหลู่ เป็นบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลคุณชายใหญ่ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นได้ยินก็เบิกตากว้าง มือไม้เย็นเฉียบแต่รอยยิ้มกลับกว้างขึ้นมา

“คนของพี่ใหญ่หรือ เช่นนั้นแล้วพี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่ใดกัน?” ท่าทางร้อนรนอยากพบหน้าพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นทำให้ลุงหลู่เพียงเหลือบมองซ้ายขวาแล้วยื่นบางสิ่งออกมาตรงหน้า

“นี่อะไรหรือ?” เมิ่งอวิ๋นถามทว่าก็ยื่นมือออกไปรับของชิ้นนั้นมา

ของที่รับมาคือกล่องไม้ธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาใด ๆ แต่เมิ่งอวิ๋นก็ถือมันเอาไว้อย่างทะนุถนอม ไม่คิดจะปล่อยหรือส่งให้เสี่ยวหลงหรือแม้แต่เสี่ยวฉีถือให้ เขาเต็มใจจะถือมันเอาไว้เอง

“นี่คือของที่คุณชายใหญ่ให้บ่าวนำมาส่งให้นายน้อยขอรับ อีกทั้งยังกำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือท่าน และบอกกล่าวแก่ท่านหนึ่งประโยค”

“ประโยคใดหรือลุงหลู่” ลุงหลู่ที่รู้ดีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลับตาลงยืนอกพร้อมกับสูดลมหายใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาจึงเอ่ยคำที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้เมิ่งอวิ๋นฟัง

“ขอโทษนะ”

เมิ่งอวิ๋นแข็งค้างไปทั้งร่างนึกวนไปมาถึงสาเหตุของคำขอโทษนี้คือสิ่งใด แต่สมองกลับไม่ทำงานเสียอย่างนั้นจึงกลายเป็นว่า เมิ่งอวิ๋นเพียงยืนเงียบ ๆ คล้ายกำลังเฝ้ารออะไรบางสิ่งซึ่งลุงหลู่ก็กระอักกระอ่วนไม่น้อย

“แล้วตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าเล่า อยู่ที่ใดกัน” ลุงหลู่เห็นแววตาเลื่อนลอยของเมิ่งอวิ๋นก็นึกเห็นใจ

“คุณชายใหญ่บอกบ่าวเอาไว้ว่า หากนายน้อยเอ่ยถามเรื่องนี้ ให้แจ้งแก่นายน้อยว่า มิได้อยู่ไกลห่าง แต่ยังไม่อาจกลับมาได้ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปากแววตาสั่นระริก

“ลุงหลู่...ท่านไปเถิด”

“นายน้อย...รักษาตัวด้วย”

เมิ่งอวิ๋นมองแผ่นหลังของลุงหลู่ที่กำลังจะเดินห่างออกไปทีละก้าวอย่างคนเหม่อลอย ก่อนจะนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้จึงเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งดี

“เดี๋ยวก่อน...”

“นายน้อยมีสิ่งใดหรือขอรับ” เมิ่งอวิ๋นมองใบหน้าชราของลุงหลู่แล้วหลบสายตาลงมองพื้น เอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียนัก

“พี่ใหญ่สบายดีใช่หรือไม่” ลุงหลู่ระบายยิ้มออกมากล่าวบอกอย่างจริงจังไม่ปิดบัง

“คุณชายใหญ่สบายดีขอรับ มิได้ทุกข์กายหรือใจแม้แต่น้อย มีเพียงแต่คิดถึงนายน้อยและบิดามารดาเท่านั้น” เมิ่งอวิ๋นเพียงหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น เดินเข้าไปหาลุงหลู่แต่ไร้ท่าทีคุกคาม มือบางสอดเข้าไปใต้แขนเสื้อ นำของสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้แก่ลุงหลู่ไป

“นี่เป็น...ไม่สิ...ฝากลุงหลู่มอบให้พี่ใหญ่ด้วย บอกเขาให้ข้าทีว่าข้าไม่เคยโกรธเคืองเขา ไม่เคยแม้สักวันเดียว” ลุงหลู่มองกระดาษที่ถูกส่งมาให้อย่างตกตะลึง ก่อนจะรีบเก็บเอาไว้อย่างมิดชิด สิ่งที่ถูกส่งมาให้คือตั๋วเงินมากมายหากไม่เก็บให้ดีคงไม่อาจไปถึงมือของคุณชายใหญ่แน่ น้ำใจจากนายน้อยนั้นทำให้คนแก่อย่างเขาซึ้งใจยิ่งนัก

“บ่าวจะแจ้งทุกคำ ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวแน่นอนขอรับ นายน้อยโปรดรักษาตัวด้วย”

“ลุงหลู่ ท่านก็เช่นกัน...ลำบากท่านแล้ว”

“เป็นหน้าที่ของบ่าว หาได้มีความลำบากอันใด นายน้อยบ่าวขอตัวนะขอรับ”

เมิ่งอวิ๋นพยักหน้า มองลุงหลู่เดินออกไปจนลับตาแล้วก็กลับมาทิ้งสายตาของตนลงที่กล่องไม้ในมือแทน เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้กล่องไม้อย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าหากใช้แรงมากเกินไปจะทำให้มันแตกสลายได้ เมิ่งอวิ๋นรู้สึกแน่นไปทั้งอกขอบตาร้อนผ่าวเสียจนควบคุมตัวเองแทบจะไม่ได้

เขารู้แล้ว รู้อยู่แล้วแต่ไม่อยากจะยอมรับ

สิ่งที่เกิดขึ้นเมิ่งอวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร ทว่าลึก ๆ ในใจนั้นไม่อยากจะยอมรับก็เท่านั้น เขาเพียงแค่ปฏิเสธความจริงที่ประดังเข้ามา อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเชื่อมั่นนั้นมันคือความจริง

“นายน้อย...” เสี่ยวหลงมองใบหน้าที่ปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของผู้เป็นนายตนด้วยความร้อนใจและกังวล ทว่าเมื่อคิดจะเอ่ยปากปลอบใจกลับถูกเสี่ยวฉีดึงแขนของตนเอาไว้แล้วส่ายหน้าไม่ให้เข้าไปยุ่ง เสี่ยวหลงแม้ในใจจะไม่ยินยอมเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าช่วงเวลานี้เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งจริง ๆ

ทั้งสองเพียงมองไปรอบ ๆ กาย หวังเพียงไม่ให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นว่านายน้อยของตนในยามนี้อ่อนแอมากเพียงใด หากสามารถซ่อนผู้เป็นนายน้อยของตนเอาไว้ได้ด้วยแผ่นหลัง เขายินดีจะยืดอกปกป้องความเปราะบางนี้เอาไว้สุดความสามารถ ท่าทางที่นายน้อยของตนกอดกล่องไม้ในมือเอาไว้แน่นนั้นทำให้เสี่ยวหลงปวดใจยิ่งนัก แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมนายน้อยของตนจะต้องเศร้าใจขนาดนั้นด้วย

คุณชายใหญ่มิใช่สบายดีหรอกหรือ เหตุใดนายน้อยจะต้องเศร้าโศกเสียใจขนาดนี้กัน เรื่องนี้เสี่ยวหลงไม่เข้าใจแต่ก็ไม่อาจเอ่ยปากถามสิ่งใด ทว่าเมื่อหันไปมองเสี่ยวฉีกลับพบว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งความสงสัย หรือแม้แต่ความใส่ใจต่อเรื่องนี้ก็ยังไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย

“โอ้...ดูสิว่าข้าพบใครเข้า”

เมิ่งอวิ๋นหันไปมองคนมาใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้เช็ดร่องรอยน้ำตาบนใบหน้า ทำให้เสิ่นหยวนที่ยังเจ็บใจจากเหตุการณ์ครั้งก่อนหวังเดินเข้ามาเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายชะงักไป ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเหยียดหยามต้องหุบลงแทบไม่ทัน หัวใจที่ครั้งก่อนถูกคนตรงหน้าทำให้หวั่นไหวเอนเอียงไปไม่น้อยในเวลานี้กลับเต้นระรัวไม่ยอมสงบลง ผิวแก้มของเสิ่นหยวนแดงก่ำท่าทางอึกอักคล้ายทำตัวไม่ถูกยามถูกเมิ่งอวิ๋นจับจ้องนั้นให้ความรู้สึกตลกเสียจนเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“จะ...เจ้า...ร้องไห้ทำไมกัน!” เมิ่งอวิ๋นไม่เข้าใจสักนิด เห็นเสิ่นหยวนที่ยืนหน้าแดงถลึงตาใส่ตนก็เกิดความไม่เข้าใจ

เมิ่งอวิ๋นปาดไล่น้ำตาบนใบหน้าของตนลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ แม้บนใบหน้าจะไร้คราบน้ำตาแล้ว แต่สองตาที่มีรอยแดงกับริมฝีปากอิ่มสีแดงจากการถูกขบกัดเพื่อข่มความเสียใจกลับดูยั่วยวนเสียจนเสิ่นหยวนเกือบจะทนมองอีกต่อไปไม่ได้

“ไม่ทราบคุณชายเสิ่นมีสิ่งใดกับข้าหรือ?”

คุณชายเสิ่น คำเรียกนี้ช่างห่างเหินนัก

เพียงคิดได้แค่นั้นเสิ่นหยวนที่กำลังน้อยอกน้อยใจก็พลันตกใจกับความคิดตนเอง แม้แต่ความรู้สึกตัดพ้อในอกก็ไม่อาจจะเชื่อว่านี่คือความรู้สึกของตน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าปีศาจจิ้งจอกตรงหน้าเขาทำสิ่งใดต่อเขา ร่ายมนตร์สะกดใดกันจึงทำให้เขาเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้...

เสิ่นหยวนกัดริมฝีปากเอาไว้ ทั้งที่ไม่อยากยอมรับแต่ฝีเท้ากลับก้าวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้ปลายนิ้วของตนเช็ดหยาดน้ำตาที่คลออยู่ที่กระบอกตาเบา ๆ “คนโง่เช่นเจ้าร้องไห้ก็ยิ่งดูโง่”

เมิ่งอวิ๋นนิ่งค้างไปกับการกระทำของเสิ่นหยวนแม้แต่เสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีเองก็ชะงักไปอย่างคิดไม่ถึงเช่นกัน เดิมทีเสี่ยวหลงคิดว่าเสิ่นหยวนผู้นี้คงไม่แคล้วมาหาเรื่องนายน้อยของตนเป็นแน่ ยิ่งเห็นนายน้อยของตนกำลังอ่อนแอ ร้องไห้ออกมาเช่นนี้คงจะต้องเยาะเย้ยใส่อย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่าคุณชายเสิ่นผู้นี้จะใช้ปลายนิ้วของตนเกลี่ยหยาดน้ำตาออกให้กับนายน้อย

นี่มันจะต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน!

“เจ้า?” เห็นเมิ่งอวิ๋นนิ่งค้างไปสายตาคู่สวยนั้นจับจ้องใบหน้าของตนเสิ่นหยวนก็เพียงเชิดใบหน้าขึ้น ข่มความเขินอายเอาไว้ภายในใจ

เจ้าทำอะไร? เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?

ไม่ว่าจะเป็นคำถามใด ๆ ก็หาได้ทำให้เสิ่นหยวนสนใจไม่

เพราะในตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจ มีเพียงปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหากที่น่าสนใจ

“ข้าทำไม เฮอะ! ใครให้เจ้ามีหน้าตาน่าเกลียดกันเล่า หากไม่เช็ดออกคนเขาคงได้ตกใจกันหมด” ทั้งที่เอ่ยปากออกไปเช่นนั้นทว่าความจริงแล้ว เสิ่นหยวนเพียงกลัวว่าความงดงามของเมิ่งอวิ๋นจะทำให้ใครอื่นตกหลุมรัก ยิ่งกับคนที่เมิ่งอวิ๋นเคยมีใจ...เขายิ่งกังวล





50%





ปุกาศจ้า ปุกาศ มีคนตกหลุมรักน้องอีกคนแล้วจ้าาา ปากนี่ต่อว่าน้องแต่การกระทำนั้น แหมมมมม อยากจะแหมซะเหลือเกิน น้องอวิ๋นของเราอยู่เฉย ๆ ก็ตกผู้ชายได้อีกแล้ว งื้ออ แมวอิจฉาแล้วน้าาา ว่าแต่พี่ใหญ่ฝากอะไรมาให้น้องกันนะ รอลุ้นกันพรุ่งนี้นะคะ 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 50% (19/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-02-2021 20:32:48
 :pig4:
:katai2-1:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 50% (19/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: Brithday ที่ 19-02-2021 20:48:21
 :o12: :o12:พี่ใหญ่รีบกลับมานะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 50% (19/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-02-2021 21:44:08
 :hao5:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 50% (19/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-02-2021 00:53:08
อะะะ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 22-02-2021 17:28:51
[20] 100%


“ข้าทำไม เฮอะ! ใครให้เจ้ามีหน้าตาน่าเกลียดกันเล่า หากไม่เช็ดออกคนเขาคงได้ตกใจกันหมด” ทั้งที่เอ่ยปากออกไปเช่นนั้นทว่าความจริงแล้ว เสิ่นหยวนเพียงกลัวว่าความงดงามของเมิ่งอวิ๋นจะทำให้ใครอื่นตกหลุมรัก ยิ่งกับคนที่เมิ่งอวิ๋นเคยมีใจ...เขายิ่งกังวล

หากเป็นไปได้เขาก็ไม่ปรารถนาให้แม่ทัพหลี่ได้มองเห็นความงามจากคนตรงหน้าเลยสักนิด เขาเพียงอยากเก็บงำสิ่งนี้เอาไว้เพียงผู้เดียว

เสิ่นหยวนตกใจกับความคิดของตนอีกครั้ง เหตุใดเขาจึงได้มีความคิดชั่วช้าเอนเอียงไปหาอีกฝ่ายขนาดนี้กัน นี่จะต้องเป็นเพราะเจ้าปีศาจจิ้งจอกตรงหน้าร่ายมนตร์สะกดเขาเป็นแน่ มิเช่นนั้นมีหรือเขาจะ...เขาจะ...

เสิ่นหยวนมองเมิ่งอวิ๋นอีกครั้งแล้วกัดริมฝีปาก สองมือกำแน่นอยู่ในแขนเสื้อของตน บรรยากาศที่อีกฝ่ายกำลังเป็นรอง มองเช่นไรเมิ่งอวิ๋นผู้นี้ก็กำลังอ่อนแอ มันยิ่งทำให้เสิ่นหยวนอยากจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแล้วปลอบประโลม ทว่าก็ไม่กล้าเอื้อมมือออกไปตรงหน้า จึงได้แต่ยื่นสิ่งหนึ่งออกไปตรงหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น

“นั่นอะไร?” เมิ่งอวิ๋นไม่อาจปล่อยวางความระแวงสงสัยไปได้ หรี่ตามองของในมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

เสิ่นหยวนเองก็ไม่คิดจะพูดอะไรมากนัก แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เข้าใจก็จะอธิบายเสียหน่อยก็ได้ “นี่คือกำไลหยกที่ข้า...อะแฮ่ม...ช่างเถิด เอ้า รับไปเสียสิ”

เมิ่งอวิ๋นยังไม่อาจลดความระแวงลงแม้แต่น้อย กลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะแข็งกร้าว “เจ้าเอามาให้ข้าทำไมกัน คิดจะทำอะไรกันแน่!”

เสิ่นหยวนทั้งนึกฉุนทั้งอ่อนใจจนต้องถลึงตาใส่เมิ่งอวิ๋นก่อนจะดึงมือเมิ่งอวิ๋นออกมาแล้วสวมมันเข้าไปไว้ที่แขนของเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่สนใจในแรงขืน “คนโง่เช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...แค่รับเอาไว้ก็พอแล้ว”

เมิ่งอวิ๋นอยากจะถอดทิ้งเสียตรงนั้น เขาไม่เคยรู้สึกดีกับคนตรงหน้าเลย เสิ่นหยวนผู้นี้นับว่าเป็นอะไรได้ วันก่อนยังมาหาเรื่องเขาถึงในจวนทว่าวันนี้กลับเอาของมาให้ นี่ไม่แปลกเกินไปหรือ จะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่! นั่นยิ่งรับไม่ได้ใหญ่

เสิ่นหยวนไม่สนใจปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย หลังจากจับมืออีกฝ่ายเอาไว้เรียบร้อยก็เพียงลูบไล้หลังมือของเมิ่งอวิ๋นเบาๆ สีหน้าของเสิ่นหยวนในสายตาของเมิ่งอวิ๋นในตอนนี้นั้นคล้ายเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังพึงพอใจกับการได้ลูบหลังมือของเขา เล่นเอาเมิ่งอวิ๋นกับเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีนิ่งงันตกใจจนแทบจะอ้าปากค้าง

เสิ่นหยวนไม่ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเมิ่งอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย “เหมาะกับเจ้าจริง ๆ”

เสิ่นหยวนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ขอชิ้นนี้เขาใช้เวลานานกว่าจะเลือกออกมาได้สักชิ้นหนึ่ง คิดอยู่นานแสนนานว่าสิ่งใดจะเหมาะกับคนตรงหน้า แม้ราคาจะไม่ได้สูงหรือมีค่ามากมายเช่นของชิ้นอื่น แต่เพราะความเกลี้ยงเกลาของมันและเนื้อในสีขาวทำให้เสิ่นหยวนนึกถึงเมิ่งอวิ๋นขึ้นมา ช่างเหมาะกับเมิ่งอวิ๋นจริง ๆ ดังที่คาดเอาไว้

หลังจากลูบจนพอใจเสิ่นหยวนก็ปล่อยมือของเมิ่งอวิ๋นแล้วสะบัดแขนเสื้ออย่ายโส “ข้าให้เพราะเห็นว่ามันเหมาะกับเจ้า หากไม่พอใจก็จงบอกมาเสีย”

หากเจ้ากล้าบอกว่าไม่ชอบหรือคิดจะคืนให้ข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น! แต่เสิ่นหยวนเพียงคิดในใจเท่านั้น ไม่อาจเอ่ยคำออกไปให้อีกฝ่ายฟังได้

เมิ่งอวิ๋นหลุดออกจากอาการตกใจแล้ว ก้มลงมองกำไลที่อยู่บนข้อมืออีกครั้งแล้วก็ถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณชายเสิ่นมาก ของขวัญชิ้นนี้ข้าย่อมยินดีรับไว้แน่นอน”

เสิ่นหยวนดีใจจนหัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากอก ทว่าก็ยังคงเชิดใบหน้าขึ้นอย่างยิ่งยโส แค่นเสียงออกมาคำหนึ่งแล้วเดินจากไป เพียงแค่หันหลังในเมิ่งอวิ๋นริมฝีปากที่เอ่ยคำไม่น่าฟังก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง ยิ่งทำให้ใบหน้าของเสิ่นหยวนนั้นหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิมเสียอีก น่าเสียดายเหลือที่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้เห็นใบหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ของเสิ่นหยวน

ลับตาจากเสิ่นหยวนเมิ่งอวิ๋นก็พลันขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ลอบมองเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีทว่าทั้งสองคนยังไม่อาจตื่นขึ้นมาจากความตกใจที่พบก่อนนี้ได้

“นี่คงไม่ใช่ว่า...” เมิ่งอวิ๋นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“นายน้อย...”

“เสิ่น...เสิ่นหยวนผู้นั้นคงมิได้” เสี่ยวหลงกลั้นหายใจแม้แต่เสี่ยวฉีเองก็เฝ้ารอคำพูดของผู้เป็นนายอย่างใจจดใจจ่อ “เขาคงมิใช่ว่าชอบข้าหรอกนะ...ใช่ไหม”

เสี่ยวหลงรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดนายน้อยของตนก็เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเสียที “มิใช่หรอกขอรับ นี่อาจจะเป็นเพียงของที่แทนคำขอโทษก็ได้นะขอรับนายน้อย” ทว่าเมื่อคิดจะเอ่ยปากบอกความเห็นตามความจริง กลับถูกเสี่ยวฉีชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน จนเสี่ยวหลงต้องตวัดสายตาหันไปมองทันทีที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น

เพราะนั่นไม่จริงเลยสักนิด หากใครได้เห็นต่างก็รู้ว่าคุณชายเสิ่นมีใจให้นายน้อยทั้งนั้น คนผู้นี้ตาบอดหรืออย่างไรจึงได้โง่จนมองไม่ออก

“เจ้าคิดว่าเช่นนั้นหรือ?” เมิ่งอวิ๋นได้แต่จับจ้องกำไลหยกที่ข้อมือตนอย่างไม่แน่ใจนัก ทว่าเสี่ยวหลงก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขัดใด ๆ ก็ถูกเสี่ยวฉีเอ่ยตอบนายน้อยกลับไปเสียก่อน

“ขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พลันยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้น คุณชายเสิ่นผู้นั้นหรือจะมาชอบข้า เป็นไปได้อย่างไร...ฮ่า ๆ”

กล่าวจบเมิ่งอวิ๋นก็หันหลังกลับจวนอย่างสบายใจโดยไม่ได้สนใจจะมองใบหน้าเคร่งเครียดของเสี่ยวหลงแม้แต่น้อย เสี่ยวฉีก็เพียงยิ้มบาง เอ่ยรับคำอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเดินตามหลังผู้เป็นเจ้านาย แต่กลับถูกเสี่ยวหลงที่ยังไม่เข้าใจดึงแขนของเสี่ยวฉีเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยว...”

เสี่ยวฉีหยุดเดินหันกลับมามองเสี่ยวหลงอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ?”

“เจ้า...เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคุณชายเสิ่นมีใจให้นายน้อย เหตุใดเจ้ากล่าวคำโกหกเช่นนั้นกัน” คิ้วของเสี่ยวหลงขมวดเข้าหากันอย่างเคลือบแคลงสงสัย

แต่สำหรับเสี่ยวฉีแล้วความสงสัยของคนผู้นี้ไหนเลยสำคัญ “ข้าโกหกหรือ...” เสี่ยวฉีเพียงตีหน้าคล้ายไม่เข้าใจในคำพูดของเสี่ยวหลง “ข้าเห็นเช่นนั้นจริง ๆ นี่ คุณชายเสิ่นก็เพียงรู้สึกผิดที่มาหาเรื่องนายน้อย เจ้าจะบอกว่าข้าโกหกได้อย่างไร”

ในเมื่อเสี่ยวหลงเองก็ไม่มีสิ่งใดมายืนยันเสียหน่อยว่าเสิ่นหยวนมีใจให้กับเมิ่งอวิ๋น เช่นนั้นก็คงไม่ผิดที่เขาจะปัดปัญหาที่จะนำความวุ่นวายมาให้แก่เมิ่งอวิ๋นนั้นทิ้งไปเสียก่อน “เรื่องเช่นนี้หากกล่าวออกไปมั่วๆ มิเท่ากับหาเรื่องให้นายน้อยเดือดร้อนหรอกหรือ?”

“เจ้า!”

เสี่ยวฉีไม่สนใจเสี่ยวหลงที่ยังคงยืนกัดฟันกรอดอย่างอับจนคำพูดอยู่ตรงนั้น ทิ้งให้อีกฝ่ายยังคงคับแค้นใจอยู่ที่เดิมส่วนตนก็เพียงเดินติดตามนายน้อยกลับจวนอย่างไม่รู้สึกอะไร เสี่ยวหลงทั้งเจ็บแค้น ทั้งขุ่นเคือง แม้จะไม่อยากยอมรับแต่สิ่งที่เสี่ยวฉีพูดมานั้นไม่ผิดเลยสักนิด เรื่องบางอย่างหากไม่รู้ให้แน่ใจแล้วพูดไปก็จะเท่ากับหาเรื่องใหญ่ให้นายน้อยของตนเสียเปล่า ๆ

แต่เขาเจ็บใจ!

เจ็บใจทั้งที่เขาเองอยู่ข้างกายนายน้อยมาก่อนกลับทำพลาดไปได้!

เจ็บใจเหลือเกิน!



เมิ่งอวิ๋นกลับมาถึงจวนด้วยใบหน้าที่ติดจะครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย สองคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปมทั้งที่ในมือถือกล่องไม้เอาไว้อย่างหวงแหน ในสายตาของผู้คนในจวนนั้นมีแต่ความห่วงใยทั้งสิ้น กลัวแต่ว่านายน้อยของจวนสกุลเมิ่งจะเจอเรื่องใดที่กระทบกระเทือนจิตใจเข้า

เสี่ยวหลงรีบเร่งฝีเท้าเดิมตามหลังของนายน้อยของตนอย่างรีบร้อน โดยไม่สนใจว่าเสี่ยวฉีจะเดินตามมาหรือไม่ด้วยซ้ำ ในตอนนี้หลังจากที่เดินกลับมาได้ครึ่งทางใบหน้าของนายน้อยก็พลันเศร้าหมองลง ก่อนจะเคร่งเครียดเมื่อใกล้จะถึงจวน ทำให้เสี่ยวหลงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

“นายน้อย...” เมื่อเสี่ยวหลงก้าวเข้ามาในห้องก็พบว่าเมิ่งอวิ๋นซบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความเหนื่อยล้า “นายน้อย ให้บ่าวเตรียมน้ำร้อนดีหรือไม่ขอรับ”

เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจแล้วพลิกใบหน้าลงให้หน้าผากของตนแตะลงกับโต๊ะ “เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”

“แต่...ขอรับนายน้อย” เสี่ยวหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดริมฝีปากแล้วตอบรับคำอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเดินออกจากประตูไป

เมิ่งอวิ๋นเมื่อรับรู้ถึงการจากไปของเสี่ยวหลงก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปที่กล่องไม้ด้วยแววตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เขายืดตัวขึ้นมาก่อนจะยื่นมือออกมาจับกล่องไม้ตรงหน้าแล้วเลื่อนมันเข้ามาใกล้ตัว

ลวดลายใด ๆ ไม่มีปรากฏอยู่บนตัวกล่อง ทั้งที่มันก็ดูมีราคา...ทว่าก็คล้ายจะไร้ราคาอยู่เช่นกัน หากผ่านมาพบเห็นคงไม่สนใจคิดว่าเป็นกล่องไม้ธรรมดาไม่มีค่าให้มอง แต่ของเช่นนี้ก็นับว่าตบตาพวกโจรได้ดี คิดว่าพี่ใหญ่คงจะคิดมาดีแล้วจึงเลือกกล่องไม้ชิ้นนี้

มือของเมิ่งอวิ๋นเลื่อนฝากล่องออกอย่างช้า ๆ ในใจก็อดลุ้นไม่ได้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ด้านในตัวกล่องไม้นี้ ของที่พี่ใหญ่ส่งมาให้เขานั้น เขาย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ของของเขาโดยตรง แต่เป็นสิ่งที่เขาเคยร้องขอให้พี่ใหญ่หาของบางอย่างเพื่อนำไปทดแทนบุญคุณของหลี่เจี้ยนเฉิง เพราะฉะนั้นแล้วแม้เขาจะลุ้นกับของภายในมากเท่าใด ก็อดเสียดายไม่ได้ว่าจะต้องมอบมันให้กับคนผู้นั้น

ทันทีที่ฝ่ากล่องถูกเปิดออก สิ่งที่เมิ่งอวิ๋นเห็นคือกระดาษแผ่นหนึ่งและหยกพกชิ้นหนึ่งลวดลายคล้ายวิหคสยายปีก เพียงได้จับจ้องหนึ่งครั้งก็ไม่อาจละสายตาออกมาได้

งดงามเกลี้ยงเกลาเช่นนี้นับว่าถูกใจไม่น้อย

เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตามองไปจนทั่ว แม้แต่เชือกที่ใช้ร้อยหยกพกเส้นนี้ก็ดูมีราคาไม่ต่างจากตัวหยกเอง แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญการมองหยกถึงเพียงนั้น อย่างไรก็ไม่อาจตีราคาของมันได้ แต่ในใจก็เกิดความสงสัยว่าของชิ้นนี้จะเพียงพอแน่หรือกับการตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ เมิ่งอวิ๋นจึงวางหยกลงในกล่องเช่นเดิม แล้วเลือกหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่านแทน

‘เสี่ยวอวิ๋น...พี่ชายของเจ้าผู้นี้นำของสิ่งนี้มอบให้เจ้าตามที่เจ้าเคยร้องขอแก่ข้าแล้ว แม้ว่าหยกชิ้นนั้นอาจจะดูไม่ต่างจากหยกธรรมดานัก แต่หยกที่พี่มอบให้นั้นมีชื่อว่านัยน์ตาวิหค หากเจ้าชมชอบจะเก็บไว้เองก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียของมีค่าเช่นนี้พี่ก็ปรารถนาให้เจ้าครอบครองมันเสียยิ่งกว่าการยกให้คนอื่น แต่หากเจ้าไม่สบายใจก็ไปที่ร้านลู่เมิ่งเถิด ถึงไม่แม้ว่าความล้ำค่าไม่อาจเทียบเท่ากับหยกนัยน์ตาวิหคที่พี่ให้เจ้า แต่ก็ไม่ด้อยค่าไปกว่าสิ่งอื่นแน่นอน

เดิมทีพี่ไม่คิดจะสร้างความลำบากให้เจ้าและท่านพ่อหรือท่านแม่แม้แต่น้อย แต่พี่คาดว่าหลังจากพี่จากมาย่อมเกิดเรื่องตามหลังพี่มาอย่างแน่นอน ในตอนนี้พี่ทำได้เพียงขอโทษเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าเจ้าจะอภัยให้พี่ แม้จะรู้ว่าทำผิดต่อท่านพ่อท่านแม่ ทำผิดต่อเจ้ามากมายสักเพียงใด แต่พี่และคุณหนูเยี่ยรักกันด้วยใจจริง พี่ไม่อาจทนมองนางต้องแต่งกับบุรุษเช่นนั้นได้ พี่ทนไม่ได้จริง ๆ ’

“เจ้าพี่โง่ คิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ นะหรือ ฮึ!” เมิ่งอวิ๋นยิ้มมุมปากอย่างคลายอารมณ์ นัยน์ตาหวานสะท้อนเพียงความอ่อนโยนและอ่อนใจต่อพี่ชายของตนเหลือเกิน

‘หากสักวันหนึ่งเราสองคนสามารถกลับไปยังเมืองหลวงได้ พี่จะกลับไปให้เจ้าเล่นงานจนสมแก่ความโกรธที่เจ้ามี ขอเพียงเจ้ายังไม่หันหนีพี่ไปก็พอ พี่หวังเพียงเจ้าและท่านพ่อท่านแม่จะสบายดี ไม่ถูกคนพาลหรือผู้ใดมารังแกเพราะเรื่องที่ข้าก่อ’

“พี่ใหญ่...ท่านนี้ช่าง...ข้าเดือดร้อนไปแล้วนะท่านรู้หรือไม่” ทั้งที่หยอกเย้าอยู่กับจดหมาย แต่น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่แสดงความปวดร้าวหัวใจออกมาให้เห็น แต่ห้องของเขามีเพียงแค่เขาที่อยู่ภายใน ใครเล่าจะมาเห็นได้อีก

เมิ่งอวิ๋นมองจดหมายที่อ่านจบอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองมันเนิ่นนานสักเท่าใดก็คล้ายจะไม่พอให้เขาวางใจจึงวางจดหมายลง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทอดสายตามองไปไกลแสนไกล พี่ใหญ่ของเขาอยู่ไกลออกไปเท่าใดก็ไม่อาจรู้ ดูท่าว่าเมืองที่พี่ใหญ่เคยบอกว่าจะไปก็คงเป็นเพียงคำลวงเท่านั้น ในตอนนี้คงไม่อาจจะรู้ได้ว่าพี่ใหญ่ของเขาและคุณหนูเยี่ยหนิงหลันไปอยู่ที่ใด แต่ไม่ว่าจะที่ใดก็ยังดีกว่าที่นี่ เขายังคงปรารถนาให้ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

เพราะบางที...มันอาจจะดีกว่าได้อยู่ในเมืองหลวงก็ได้

เมิ่งอวิ๋นผ่อนคลายความกังวลลงเหลือเพียงความเรียบเฉยบนใบหน้า ในเมื่อสัญญาแล้วว่าจะปกป้องสิ่งใดที่เป็นความสุขเขาก็จะปกป้อง หากนั่นคือทางที่พี่ชายของเมิ่งอวิ๋นเลือกเขาเองก็พร้อมจะสนับสนุน

เมื่อคิดเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็หันกลับมามองจดหมายที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่เข้มขึ้น มือบางคว้างมันขึ้นมาแล้วเดินตรงไปยังเทียนที่ถูกจุดเอาไว้มุมหนึ่ง กระดาษในมือถูกเปลวไฟกลืนกินไปทีละน้อยอย่างช้า ๆ ก่อนจะกลืนกินไปจนหมดสิ้น

เมื่อมันเหลือเพียงเศษซากของเถ้าถ่านเมิ่งอวิ๋นจึงวางใจ หันหลังเดินออกไปไม่หวนกลับมามองมันอีก หากแต่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้รู้เลยว่าอีกมุมหนึ่งของความมืดนั้นได้มีร่างของใครบางคนซ่อนอยู่พร้อมกับกระดาษที่ไม่แตกต่างจากแผ่นที่ถูกเผาไปเมื่อครู่เลยสักนิด แววตาของคนในความมืดซุกซ่อนความเงียบเชียบเอาไว้ ก่อนจะหลบเข้าไปในเงาอีกครั้งและหายตัวไป







TBC



เอ๊ะ!! ใครคะ ใครรรร ใครมาขโมยจดหมายของน้องงง พร้อมตบมาก แต่เสี่ยวฉีลูก โกหกน้องทำไมมมม น้องก็ช่างเชื่อไปได้นะคะ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคุณชายเสิ่นเขาชอบหนู กรี๊ดดดดด ลูกชายเนื้อหอมแม่ปลื้มค่ะ จะเป็นลม ปล. พระเอกจะมาตอนหน้าแล้วนะคะ พระเอกที่ถูกแช่งให้สะดุดอากาศจนหัวฟาดพื้นตายยังไม่ยอมลงจากตำแหน่งพระเอกค่ะ โปรดกัดนางแรงๆ แล้วค่อยไปช่วยทำแผลตอนเฉลยปมนะคะ 

เมิ่งอวิ๋น
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-02-2021 23:49:04
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-02-2021 23:39:20
 :m16:


เสี่ยวฉี !!
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-02-2021 23:01:53
หึหึ
หัวข้อ: Re: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 14-10-2021 16:34:59
 :ped149: :110011: :z7: