พิมพ์หน้านี้ - ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 12-02-2020 14:43:33

หัวข้อ: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 12-02-2020 14:43:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


............ต่อให้ผมรักเขามากมายแค่ไหน คนที่เขารักก็ไม่ใช่ผมอีกแล้ว.........



    ไม่ใช่เพราะผมไม่รักเขา แต่เป็นเพราะเขารักใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม เพราะหัวใจของเขามีใครอีกคนเป็นเจ้าของ

 

ไม่ใช่ผม...อีกต่อไป

 

 

   นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนวดราม่า แต่จบแบบHappy Ending แน่นอนค่ะ ฝากหนูไมน์กับดินแดนเอาไว้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [0] บทนำ Up [12/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 12-02-2020 15:00:54
[0]


บทนำ


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราถึงได้รักใครคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ รักได้จนหมดทั้งใจ ยอมให้เขาได้ทุกอย่าง

ใครบางคนบอกว่ามันคือโชคชะตา เป็นความรักที่ถูกลิขิตมาจากคนบนฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไป

แต่บางคนก็บอกว่า…นี่คือเกมของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่ใช้มนุษย์เป็นของเล่นแก้เบื่อ สร้างความผิดหวัง ความรัก ความสุข และความเจ็บปวดให้เพื่อคลายเหงา

ผมเองก็ไม่อาจจะรู้ได้เช่นกันว่ามันเป็นเพราะสิ่งไหน แต่ถ้าหากมันเป็นเพียงเกมสำหรับคนบนฟ้าจริง ๆ

รู้ได้เลยว่าพวกคุณใจร้ายมาก! พวกคุณทำให้ผม…เจ็บปวดจนอยากจะตาย

ผมจะเล่าเรื่องราวของผมให้ฟัง เรื่องราวที่นำมาทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นเรื่องราวที่มีผมเป็นตัวร้าย เขาเป็นพระเอกและใครอีกคนเป็นนางเอกยังไงล่ะ

ผมชื่อไมน์ ผมเป็นคนพิเศษที่ได้รับการดูแลจากครอบครัวมาอย่างดี เป็นคนที่ถูกประคบประหงมมาด้วยความรัก ไม่เคยมีสักครั้งที่จะต้องถูกใครมองด้วยสายตาดูแคลน

เพราะอะไร?

หึ…เพราะผมคือทายาทหมื่นล้านยังไงล่ะ

เป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เพียงแค่เอ่ยชื่อก็จะได้นับการรับรองอย่างดีจากทุกคน ไม่ว่าจะร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ไหน ๆ นามสกุลสุทธิวรเวชก็จะเป็นที่รู้จักเสมอ

แต่ไม่ใช่กับเขา

ผมตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง เขาชื่อแดน ดินแดน โชติญาณกุล เป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมใหญ่ที่ติดหนึ่งในห้าโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ

ผมเจอเขาที่งานเลี้ยง วันนั้นผมเมาหนักมาก ถูกเพื่อนๆ แกล้งด้วยการเอาเหล้ามาให้ผมดื่ม ผมเป็นคนคออ่อน แค่กินไปไม่กี่อึกก็สามารถเมาเละเทะได้

ผมอ้วก อ้วกจนแทบจะไม่มีแรง ไม่มีใครว่างมาสนใจหรือดูแลผม มีเพียงแค่เขา มีแค่แดนที่เดินเข้ามาทักเข้ามาถามไถ่ถึงอาการ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ผม ผมจำเขาได้ดี ขำแววตาอ่อนโยนที่เขามองมา จำใบหน้าอ่อนโยนที่ประดับรอยยิ้มอ่อนๆ ได้

ทุกอย่างมันติดอยู่ในความทรงจำ

เมื่อสร่างเมาผมจึงสืบหาข้อมูลของเขา จึงได้รู้ว่าเขาคือใคร ผมระเห็จตัวเองออกจากบ้าน บ้านที่แสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ผมออกไปอยู่คอนโด เลือกที่จะซื้อห้องใกล้ๆ เขา ไม่ว่าจะต้องทุ่มเงินมากมายเท่าไหร่ ผมยินดีจ่ายมัน จนผมได้มันมาครอง

เราเริ่มทำความรู้จักกันในฐานะเพื่อนบ้าน ผมทักเขาและเขาก็ยิ้มตอบ เพียงแต่เขาลืมมันไปแล้ว เขาจำผมไม่ได้หรือบางทีผมอาจจะไม่เคยอยู่ในความทรงจำของเขาเลยก็ได้

แต่ไม่เป็นไร ผมสามารถสร้างความทรงจำของพวกเราขึ้นมาใหม่ได้

แล้วเราสองคนต่างก็เป็นของกันและกัน ผมเป็นแฟนเขา เราสองคนรักกัน มันเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด สุขเสียจนคิดว่านับจากนี้ไป…จะมีเพียงแค่เราสองคน

แค่กันและกัน







TBC



น้ำจิ้มเพื่อความสะใจของตัวเองล้วนๆ ฮ่าาาาา มันต้องแบบนี้! มันต้องแบบเน้เส๊ วะฮะ ฮ่าาาาา เรื่องนี้จะเป็นดราม่านะคะ แต่ไม่มีการตัดจบแบบแบดเอ็น จบสวยแน่นอนค่ะ พระนายต้องได้อยู่ด้วยกัน! เราสัญญา เพราะงั้น เชิญเตรียมทิชชู่ ผ้าเช็ดหน้าเอาไว้เพื่อซับน้ำตาแล้วลุ้นไปกับชีวิตของทั้งสองกันนะคะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1] พยายาม Up [15/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 15-02-2020 19:53:35
[1]


…พยายาม…

เสียงเพลงดังคลอเบาๆ ผมฮัมตามไปกับดนตรีที่แสนไพเราะนั้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ มือยังคงกวาดไปตามพื้นห้อง เก็บขยะที่ตกหล่นเอาไปทิ้งถังขยะ เผลอหลุดยิ้มเมื่อได้เห็นรูปของผมกับแดนที่วางอยู่ตรงตู้

สามปี สามปีกับการที่ได้มีเขา สองปีที่เราคบกัน และ สี่ปีที่ผมได้ออกจากบ้านมา

ผมยังคงโทรไปหาพ่ออยู่เสมอ ยังคงติดต่อแม่อยู่ตลอดเวลา ผมรู้ว่าทั้งสองห่วงผมมาก ออกปากจะส่งป้าเนียนมาดูแลผม แต่ผมก็ปฏิเสธไป ผมไม่อยากให้แดนมองว่าผมฟุ่มเฟือย ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย หรือใช้จ่ายจนเกินตัว ผมเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้ขายดีอะไรมากมายแต่มันก็พอให้ผมได้ใช้จ่ายโดยไม่ร้องขอต่อพ่อและแม่

เงินถูกโอนเข้ามาในบัญชีผมตลอดแม้ว่าผมจะบอกพวกท่านว่าผมไม่จำเป็นต้องใช้อะไร แต่ผมก็เข้าใจว่าพวกท่านกลัวผมลำบากจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ผมเก็บเงินที่พ่อและแม่โอนมาให้ผมเอาไว้ ไม่ได้เบิกออกมาใช้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ยังไงเสียเงินในร้านแสนสุขของผมก็เพียงพอใช้อยู่อย่างไม่ลำบากแล้ว

วันนี้คือวันที่17 เดือนพฤษภาคม เป็นวันสำคัญที่ผมเฝ้ารอมาเนิ่นนาน

วันเกิดของแดน…วันที่ผมจะฉลองให้เขา เหมือนอย่างที่เคย

ผมตื่นเช้ามากเพื่อมาเตรียมของทำเค้กให้เขา จนล่วงเลยเวลามาจวบจนตอนเที่ยงวัน เค้กที่ผมเพียรพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดก็เสร็จเรียบร้อย

ผมจึงลงมือเตรียมอาหารอีกสองสามอย่างเพื่อรอเขาเลิกงาน ผมทั้งยิ้มทั้งตื่นเต้นไปกับการเซอร์ไพรส์ให้เขา เค้กรูปหัวใจที่ถูกประดับด้วยช็อกโกแลตที่เขาชอบ ผมทำมันเองโดยเน้นรสชาติขมๆ ของมันให้ออกมาเด่นชัดมากขึ้น เมื่อมันถูกทานกับเนื้อเค้กและครีมวานิลลาหอมๆ จะยิ่งช่วยให้เขาหายเหนื่อยจากการทำงานได้บ้าง

เอาล่ะ เก็บขยะหมดแล้ว จัดโต๊ะเรียบร้อย อีกแค่ไม่กี่นาทีแดนก็จะกลับมา

ถ้าอย่างนั้น…ผมควรจะเอาขยะไปทิ้งเสียก่อน ใช่…เป็นความคิดที่ดี

เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมจึงมัดถุงขยะขนาดกลางแล้วยกมันออกมาจากถังขยะ พามันเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมล็อกกุญแจห้องแดน

ไม่ใช่ห้องผมครับ ห้องของแดน ผมมีกุญแจสำรองจึงสามารถเข้ามาได้ตลอดเวลา

ผมเดินไปที่ลิฟต์กดลงแล้วยืนรออยู่แบบนั้น จนเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกผมจึงเดินเข้าไป เมื่อเห็นคนในลิฟต์ผมก็ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรและเธอเองก็ยิ้มตอบผมกลับมา

“ทิ้งขยะเหรอคะ?” ผมหัวเราะเบาๆ กับคำถามของเธอ แต่ก็ยอมตอบกลับไป

“ครับ กำลังจะลงไปทิ้งน่ะครับ” เธอค่อนข้างเป็นมิตร ดูท่าทีแล้วก็ชวนให้มองอยู่ไม่น้อย

“ขยันจังเลยค่ะ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นผู้ชายลงมาทิ้งเองแบบนี้” นั่นสินะ แต่ถ้าไม่ใช่ผม แดนก็คงไม่ทำหรอก หึๆ

“พอดีแฟนผมเขาทำงานหนักน่ะครับ ผมเลยต้องจัดการให้เขา เดี๋ยวมันจะเน่าติดห้อง หึๆ” เธอชะงักก่อนจะหัวเราะออกมา เสียงของเธอก้องกังวานเหมือนเสียงกระดิ่ง มันใสและไพเราะน่าฟัง น่าเสียดายที่ผมเลือกจะรักได้แค่แดนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นผมคงจะ ชอบเธอไปเสียแล้ว

“น่าอิจฉาจังเลยค่ะ แต่แบบนี้ก็ดีออกนะคะ เขาว่าเก่งงานบ้านงานเรือนแฟนจะรักจะหลงเสียด้วยสิ คิก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิครับ ฮ่าๆ”

ติ๊ง!

ลิฟต์เปิดออกผมขยับให้เธอเดินออกไปก่อน แล้วผมจึงได้ก้าวตามเธอออกมา เธอหันมาโบกมือให้ผมน้อยๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาเพื่อนของเธอที่ยืนรอกันอยู่หน้าคอนโด ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอสดใสดีนะครับ คงจะยังเด็กพอสมควร ไม่ก็ยังเป็นนักศึกษา แต่นี่ล่ะคือชีวิต เป็นช่วงที่ยังพอจะสนุกได้

ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองออกไปแล้วเอาขยะไปทิ้งทางด้านหลังของคอนโด แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง ผมมองไปยังที่จอดรถเพื่อหารถของแดนว่ากลับมาหรือยัง แต่เท่าที่กวาดดูด้วยสายตาก็คิดว่าน่าจะยังไม่กลับมา ผมจึงขึ้นลิฟต์ไปอย่างไม่รีบร้อนอะไร

501 คือห้องของผม

502 คือห้องของแดน

เพราะรู้ว่าแดนอยู่ที่นี่ผมจึงได้หาซื้อห้องข้างๆ และเป็นโชคดีของผมเหลือเกินที่สามารถต่อรองจนเจ้าของห้องยินยอมขายมันให้ผมได้

ผมเดินยิ้มออกมาจากลิฟต์แล้วเดินตรงไปยังประตู ห้อง502ทันทีอย่างไม่ลังเล แต่เมื่อผมกำลังจะไขประตูห้อง มันกลับถูกเปิดออกมาจากด้านใน

“แดน…กลับมาแล้วเหรอ”

“อืม…” ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเขากลับมา แต่แดนกลับเพียงพยักหน้าและส่งเสียงตอบรับในลำคอ

ผมชะงักมองชุดฟรีสไตล์ของแดนด้วยความงุนงง จำได้ว่าวันนี้เขาว่างนี่ ไม่ใช่หรือ?

“แดนจะไปไหนเหรอ?” แดนมองหน้าผมไม่ถึงสิบวิแล้วเบนสายตาออกไปทันที

“กินเลี้ยงกับเพื่อนน่ะ”

ฉลองวันเกิดกับเพื่อนสินะ ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจับมือของแดนเอาไว้

“รีบไหม พอดีไมน์มีอะไรจะให้ดูน่ะ” แต่แดนกลับดึงมือออกจากมือผมไปจัดเสื้อผ้าตัวเอง มันทำให้ผมนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างอึ้งๆ แต่ก็ปรับอารมณ์ตัวเองกลับมาได้ในทันที

คิดมากไปแล้ว แดนคงแค่อยากจัดเสื้อผ้าตัวเองมากกว่า

“ขอโทษทีนะ วันนี้ไม่ว่างน่ะ” ไม่ว่างเหรอ ได้ยังไงกัน

“ตะ แต่ว่าแดน”

“ไมน์! อย่างี่เง่าได้ไหม! วันนี้ผมไม่ว่าง!” ผมหน้าซีดกับน้ำเสียงที่ติดรำคาญกับการตะคอกที่ไม่เคยได้ยินสักครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ผมก็ปรับสีหน้า ยิ้มเจื่อนๆ แล้วหัวเราะแห้งๆ ออกมา

“ระ เหรอ ขะ ขอโทษนะ ไมน์ไม่รบกวนแล้วดีกว่า แดนไปเถอะ ป่านนี้เพื่อนคงรอแย่แล้วล่ะ”

“อืม”

แดนเดินผ่านตัวผมไปทันทีอย่างรีบร้อน ส่วนผมได้แต่ยืนนิ่งค้าง ยังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้นเหมือนคนบ้า ขาทั้งสองข้างเองก็ไม่ยอมขยับเดินไปทางไหน ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้ว่าคนที่เคยอยู่ตรงหน้าจะหายไปแล้วก็ตาม

วันเกิด ของแดนปีนี้ คงไม่มีผมสินะ

ไม่สิ ไม่แน่หรอกว่าแดนอาจจะกลับมาทันก่อนเที่ยงคืนก็ได้

ใช่ ยังทัน

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ฝืนยกเท้าที่หนักอึ้งเดินเข้าไปยังห้องของแดน รอเฝ้ารอเวลาที่เจ้าของห้องจะกลับมา เค้กถูกซ่อนเอาไว้ในตู้เย็น บนโจ๊ะมีเทียนและอาหารจัดเอาไว้อย่างหรูหรา

แต่ไม่มีเจ้าของงาน มีเพียงแก้วและจานที่ว่างเปล่า และผมที่ยังเฝ้ารอ

ครืดดด ครืดดด

“แดนเหรอ” ผมเอื้อมมือกดรับแทบจะทันทีโดยไม่ต้องมองเบอร์ที่โทรเข้ามา

(ไม่ใช่…เรียกหาแต่ผัวนะมึง กูเพื่อนมึงต่างหาก) ผมเผลอปล่อยความผิดหวังออกมาทางสายตา ลอบถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นเสยผมขึ้นไป เป็นความเคยชินเมื่อตกอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด

“ว่าไงรัก” ไม่ใช่ไม่อยากคุยกับเพื่อน ผมแค่…อยากให้คนที่โทรมาเป็นแดน

(มึงอยู่ไหนตอนนี้?)

“อยู่ห้องแดน ถามทำไมวะ?” ผมขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันสนใจว่าผมจะอยู่ที่ไหน

(เปล่า…กูแค่ถามดู มึงอยู่ห้องกับมันเหรอ?)

“เปล่า แดนไปฉลองวันเกิดกับเพื่อน กูอยู่รอแดนกลับมา กะจะเซอร์ไพรส์วันเกิดนิดหน่อย มีอะไรหรือเปล่าวะ?”

(…)

แปลก ไอ้รักไม่เคยโทรมาหาผมแล้วเงียบแบบนี้ มันยิ่งทำให้ผมสงสัย เกิดความรู้สึกร้อนใจอย่างประหลาด ผมอธิบายไม่ได้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่จะคล้ายๆ กับหวิวๆ ในหัวใจ เจ็บจี๊ดๆ เหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่มแทงเล่น

อะไรที่ทำให้รักโทรมาหาผมแบบนี้ อะไรที่ทำให้รักมันเงียบไปไม่ยอมพูดออกมา

“รัก…มีอะไรกันแน่” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจออกมาเสียงดัง แต่ผมก็ไม่ได้คะยั้นคะยออะไรมันมากนัก ผมไม่อยากกดดันมัน มันอาจจะมีปัญหาแล้วไม่กล้าพูดออกมา

(ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เป็นห่วงมึงเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอมึงเลย มึงเป็นไงบ้างวะ กับไอ้แดนนั่นล่ะ ยังไปกันได้ดีไหม)

มันกำลังเป็นห่วง ผมรู้ดี ผมจึงระบายยิ้มออกมา แล้วกรอกเสียงหวานลงไปด้วยน้ำเสียงที่ร่างเริงที่สุด

“ดีสิ แดนรักกูมากเลยนะ มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

(อย่างงั้นเหรอ…)

“…”

(งั้นก็ดีแล้วล่ะ กูจะได้สบายใจว่ามึง…ไม่ได้เลือกทางผิด)

ผมเม้มปากแน่น ดวงตาไหวระริกไปด้วยความรู้สึกรวดร้าว นิ้วมือกำจนเล็กจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความห่วงใยจากเพื่อนมันทำให้ผมเกือบจะอ่อนแอ ความใส่ใจที่ได้รับยิ่งแทบจะทำลายกำแพงของผมให้ล้มครืนลงมา แต่ผมก็ยังคงกลั้นใจ พยายามผลักดันต้านความอ่อนแอเอาไว้

ไม่เป็นไร แค่นี้ไม่เป็นไร

“อื้อ! มึงสบายใจได้เลยนะ กูโอเคทุกอย่าง กินอิ่มนอนหลับและเรารักกันมาก”

เรารักกันมากหรือผมที่รักมากก็ไม่รู้ บางทีคำตอบของผมก็เหมือนชัดเจนสำหรับคนอื่น แต่ไม่เคยชัดเจนสำหรับผมเลยสักครั้ง

ผมรู้สึกได้…มันเป็นสัญชาตญาณของคนเป็นแฟน ว่าแดนกำลังแปลกไป ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนไม่เหมือนเดิม แดนหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อผมอยู่ใกล้ๆ แดนมักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ โดยอ้างว่าไปดื่มกับเพื่อน ผมไม่ซักไซ้ไม่ไล่ถามกับใคร จะอยู่เฉยๆ แล้วยิ้มให้กับแดนเหมือนทุกวัน

ต่อให้มันไม่เหมือนเดิม แต่ผมจะพยายาม

ถ้าผมพยายามมากเพียงพอ…เราสองคนอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันก็ได้

เหมือนเมื่อสองปีก่อนที่เรารักกันมาก

(…ไมน์) ผมขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้จนเจ็บ กลัวความสั่นไหวที่ตีขึ้นมาจะเปิดเผยทุกอย่าง

“ไม่ต้องคิดมากหรอก กูยังโอเคอยู่”

ใช่! ผมยังโอเคอยู่ นี่คือประโยคที่ผมใช้บอกตัวเองหรืออนุรักษ์กันแน่ผมก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมรู้คืออาการปวดหนึบและหวิวๆ ในอกเหมือนอะไรสักอย่างกำลังจะหายไปมันชัดเจนเหลือเกิน

ชัดเจนจนผมเริ่มกลัว

(…ถ้ามึงว่างั้น กูก็เชื่อมึง) น้ำเสียงของไอ้รักมันเต็มไปด้วยความห่วงใยจนผมเองที่เริ่มอ่อนแอ แต่สุดท้ายผมก็ยังคงยิ้มออกมา แม้ว่ามันจะฝืนมากมาย แต่อีฝ่ายไม่ได้รู้ด้วยเสียหน่อย เพราะงั้น…

เพราะงั้นผม…ขออ่อนแอได้ไหม

“ขอบใจนะ” ขอบใจมากจริงๆ ที่มึงยังเป็นห่วงเป็นใยกู ขอบใจที่เป็นเพื่อนที่ดีมากตลอด

ผมวางสายไป เหม่อมองออกไปที่ท้องฟ้ากว้างจากหน้าต่าง ด้านนอกมืดมิดเหลือเพียงดาวดวงน้อยที่ถูกแสงจากเมืองใหญ่กลบจนมองแทบไม่เห็น และดวงจันทร์ครึ่งดวงที่ยังคงลอยเด่นอยู่บนฟ้า ในห้องมืดมิดจนวังเวง ผมจึงลุกขึ้นเดินไปทางด้านนอกที่เป็นระเบียงแทน

เพียงแค่ปลดล็อกและเปิดออกไปยังภายนอก ลมก็พัดเข้ามาโดนใบหน้าจนผมต้องขมวดคิ้ว บรรยากาศตรงท้องถนนด้านล่างวุ่นวายกับการจราจรเช่นเดียวกันแทบจะทุกคืน ปกติแล้วผมจะไม่มายืนดูอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าการได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกและปล่อยสายตาไปตามแสงไฟดวงเล็กตามท้องถนน

บรรยากาศแสนเหงากับคนเหงาๆ

มันชวนให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับห้วงอารมณ์อ่อนไหวไปอย่างนั้น เฝ้ารอเวลาที่แดนจะกลับมาหาผม










กึก กัก

เสียงอะไรบางอย่างทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากฝันทันที นี่กี่โมงแล้วกัน ในห้องยังคงมืดเพราะผมไม่ได้เปิดไฟในห้องของแดน ผมเผลอหลับไปหลังจากที่คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งและผมได้ยินมันชัดเจนจึงได้เดินไปทางต้นตอของเสียงนั้น หน้าประตูงั้นเหรอ?

หรือว่าจะเป็น…แดน

แดนอาจจะหลับมาแล้ว เขาคงจะเลิกจากการฉลองวันเกิดแล้ว พอคิดแบบนั้นผมก็ตื่นเต้น รีบจัดตัวเองให้ดูดีแล้วเดอนไปคว้าเค้กที่แช่อยู่ในตู้เย็นออกมา ปักเทียนลงไปอย่างเร่งรีบแล้วจุดไฟก่อนที่จะเดินไปอยู่หน้าประตู รอให้แดนเปิดมันแล้วเห็นเค้กในมือผม ผมตื่นเต้นมากๆ ตื่นเต้นจนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้

แอด…

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยะ…” ผมยืนประชันหน้ากับแดนที่ถูกหิ้วปีกมาด้วยมือของแดนเอง ภูมิเป็นเพื่อนสนิทกับแดน เขาไม่ค่อยชอบผมแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมเพียงแต่เขาแสดงออกชัดเจนจนผมไม่สามารถหลับหูหลับตาไม่รับรู้ได้

“มันเมา เอามันไปนอนแล้วดูแลมันด้วย” น้ำเสียงขอภูมิไร้ความเป็นมิตร มีแต่ความไม่พอใจที่ขยับขยายออกมาจนผมเองอึดอัด แต่ผมก็ยังคงยิ้มให้กับเขาวางเค้กลงไว้ที่โต๊ะใกล้มือที่สุกแล้วรับตัวของแดนมากอดเอาไว้ พยุงร่างของเขาไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น

“ขะ ขอบคุณมากนะภูมิที่มาส่งแดน” ถึงเขาจะไม่ชอบผม แต่ภูมิเป็นเพื่อนของแดน ผมจึงต้องปล่อยผ่านไป ไม่คิดมากมายกับการแสดงออกของเขา

“ไม่ต้อง! กูแค่ช่วยเพื่อนของกู”

ปัง!!

ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงประตูที่ถูกภูมิปิดจนดังสนั่น แต่คนในอ้อมแขนของผมกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ผมพาร่างของเขาเข้าห้องไปวางไว้บนเตียงอย่างทุลักทุเล แดนเป็นคนตัวใหญ่ สูงและหนักมาก ผมที่สูงได้เพียงปลายคางของเขาเองแทบรับน้ำหนักของแดนไม่ไหว ดีหน่อยที่ห้องนอนไม่ได้อยู่ไกลนัก ผมจึงยังสามารถพาแดนมาจนถึงเตียงได้

แดนนะแดน ทั้งที่รู้ว่าจะเมาขนาดนี้ทำไมต้องดื่มไปเยอะแบบนั้นนะ

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองแล้วใบหน้าของตัวเองก็ยิ่งเศร้าสลด เข้าวันใหม่แล้ว เค้กของผมคงไม่ได้ให้แล้วสินะ ผมเดินถอยออกห่างจากแดนเล็กน้อยเพื่อเปิดไฟให้สว่าง แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเอาน้ำกับผ้าสะอาดออกมาหาเขา ผมคุกเข่าลงใกล้ๆ เตียง ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายที่วันเกิดเขาไม่ได้อยู่กับผม

แต่ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาด้วยกันอีกนาน พลาดปีนี้ ผมยังมีปีหน้าและปีต่อๆ ไปอีกมาก

“อืม…” แดนขยับหน้าหนีความเย็นจากผ้าที่ถูกชโลมน้ำจนเปียกชุ่ม ผมปัดผมเขาออกแล้วซับไปตามหน้าตาและลำคอ

“อึก อย่ามายุ่ง” มือของเขาปัดป่ายและผลักผมออก แต่ผมไม่ถือโทษหรือโกรธเขา ถึงยังไงเขาก็กำลังเมา ถ้าผมไม่ดูแลเขาแล้วใครจะดูแลกัน

“แดน ไมน์เช็ดตัวให้ จะได้นอนสบายตัวไง” ผมพยายามพูดกับแดนดีๆ แต่ดูเหมือนแดนจะไม่มีสติที่จะเข้าใจ มือเขาคอยแต่จะปัดทุกอย่างที่รบกวนการนอนหลับของเขาออก ไม่ว่าผมจะพยายามบอกเขายังไงสิ่งที่ได้กลับมาคืออาการแข็งขืนไม่ยินยอมให้ผมได้ดูแล

“อืม ออกไป อึก!”

“เดี๋ยวแดน! อย่าเพิ่งนะ” ผมดึงแดนขึ้นจากเตียงก่อนที่เขาจะ…

“อ้วกกกก”

สุดท้ายเตียงของแดนก็ไม่เปื้อนแม้แต่น้อย แต่ตัวผมกลับเปื้อนจนไม่เหลือตรงไหนให้มอง ผมค่อยๆ ขยับร่างของแดนให้นอนลงไปอีกครั้ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ถอดเสื้อออกล้างตัวแล้วเดินออกมาโดยไม่ได้ใส่เสื้อ ดีหน่อยที่กางเกงของผมไม่ได้เปื้อนไปด้วย ไม่อย่างนั้นผมก็คงจะลำบากกว่านี้

ผมเช็ดทำความสะอาดพื้นที่เปรอะอาเจียนของเขาจนสะอาด ล้างมือแล้วมาเช็ดตัวเขาอีกครั้ง คราวนี้แดนหลับสนิทไปแล้ว ผมจึงได้เช็ดใบหน้าของเขาอย่างถนัดถนี่ เส้นผมสีดำถูกผมใช้มืออีกข้างปัดมันขึ้นไปแล้วซับความเย็นลงไปให้เขาได้รู้สึกสดชื่น มองเปลือกตาที่ซ่อนแววตาแสนอ่อนโยนที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้เห็นมันในงานเลี้ยง

ริมฝีปากบางที่คอยถามไถ่ผมที่กำลังเมามายด้วยความห่วงใย กับรอยยิ้มที่ผมไม่เคยลืมมันเลยสักครั้ง ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของแดนด้วยความรู้สึกรักที่มากล้นในหัวใจ อยากจะจดจำ เก็บทุกอย่างเอาไว้ในหัวใจและสมอง อยากจะเก็บเขาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว อยากจะใช้เวลาด้วยกันทุกวัน แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

เพราะแต่ละวันแดนเองก็มีเรื่องมากมายให้ต้องทำ เขามีเพื่อนฝูงให้ต้องคบค้าสมาคม

ผมเช็ดตัวของแดนด้วยอาการเหม่อลอย อดนึกถึงเรื่องราวในช่วงที่ผมเข้าหาเขาไม่ได้ ยังนึกขำตัวเองที่กล้าทักทายเขาก่อน ยอมไปเรียนทำอาหารทั้งที่แค่จับมีดผมยังทำไม่เป็น ยอมลงทุกเรียนทำเค้กเพียงเพราะว่าอยากให้เขาได้ทานมัน และผมก็จะยิ้มทุกครั้งที่แดนชมว่ามันอร่อย ทั้งที่ความจริงแล้วมันหวานจนเลี่ยน

คิดขึ้นมาแล้วก็ขำ คนไม่ชอบหวานอย่างแดนกลับกินเค้กหวานๆ ที่ผมทำจนหมด

แต่แล้วความสุขของผมก็ถูกหยุดลง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาผมตอนนี้มันทำให้โลกของผม พังทลายลงจนป่นปี้ หัวใจดวงน้อยที่เต้นอยู่ที่อกข้างซ้ายปวดหนึบจนหายใจไม่ออก มือที่ปลดกระดุมเสื้อของแดนสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ความร้อนผ่าวไหลผ่านผิวแก้ม

รอยคิสมาร์ก และรอยลิปสติกของผู้หญิง

สิ่งนี้มันทำให้หัวใจของผมวูบไหวด้วยความปวดร้าว แต่ส่วนหนึ่งในหัวใจกลับปฏิเสธที่จะเชื่อได้ลงว่าเขาจะทำมันได้ลง ผมกัดริมฝีปาก กล้ำกลืนความสะอื้นลงไปในลำคอเพราะกลัวว่าเสียงร้องไห้ของตัวเองจะทำให้แดนต้องตื่นขึ้นมา วันนี้แดนเหนื่อยมามากแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้เขาต้องมาเห็นอาการของผม มันคงไม่ดีนักหรอก

แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้

ผมถอดเสื้อผ้าแดนออก เช็ดตัวเขาไปพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย เขาจะรู้ไหมว่าผมรักเขามากขนาดไหน เขาจะรู้ไหมว่าสิ่งที่ผมเห็นจากร่างกายเขา มันทำให้ผมทรมานใจมากแค่ไหน ตัวผมสั่น มือก็สั่นจนแทบจะติดกระดุมชุดนอนให้เขาไม่ได้ แต่ผมต้องฝืน ต้องทนทำมันเพราะกลัวเขาจะไม่สบาย กลัวว่าเขาจะป่วยถ้าไม่ใส่เสื้อผ้า

ผมยื่นมือที่สั่นไหวออกไปข้างหน้า ดวงตาพร่าไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไม่หยุดไหล ค่อยๆ ลูบผมของเขาอย่างเบามือ แต่สายตากลับไม่สามารถถอนออกจากรอยหวานที่ลำคอของเขาได้

เขาทำจริงๆ เหรอ

ทำแบบนั้นได้ จริงๆ น่ะเหรอ

ทั้งที่สมองปฏิเสธที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตา แต่หัวใจกลับยิ่งบีบรัดจนแทบจะแหลกสลาย วันนี้ วันที่เราควรจะอยู่ด้วยกัน แต่เขาเลือกจะไปกับเพื่อนผมก็ยอมเข้าใจ ยอมรับในสิ่งที่เขาตัดสินใจเลือก

แต่ทำไมล่ะ

ทำไมผมถึงต้องทรมานกับสิ่งที่เขาคืนกลับมา

เขาไม่รักผมแล้วเหรอ? เขามีคนอื่นแล้วเหรอ?

แต่คนอย่างผมแน่นอนว่าไม่กล้าแม้จะเอ่ยถามเขาอย่างแน่นอน ผมคงทำได้แค่หลับหูหลับตา กัดฟันอดทนเพื่อจะฉุดรั้งเขาเอาไว้ ไม่เป็นไร ขอแค่เขาไม่ไป แค่เขาไม่พูดว่าจะไป มันก็หมายความว่าผมยังมีโอกาส

ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร แค่มีเขาอยู่กับผมก็พอ

17 พฤษภาคม 2019

วันเกิดของดินแดนในปีนี้ที่เราสองคนไม่ได้อยู่ฉลองมันด้วยกัน





TBC



แมวคิดว่าใครหลายคนคงเคยพยายามเพื่อความรักมามาก และที่พยายามก็เพียงเพราะเหตุผลเดียวนั้นคือ เพราะรัก แต่แมวก็เชื่ออีกว่าทุกคนที่ต่างพยายามให้ความรักกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งนั้น ล้วนมีคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ยังคงยืนยันนะคะว่า...แมวยังไม่เคยมีความรัก ทุกสิ่งที่สื่อออกมาทั้งหมดทุกอารมณ์ของตัวละคร เป็นการวิเคราะห์และเรียนรู้จากคบรอบข้างค่ะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าจ้าาา

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [2] ทำดีที่สุด Up [28/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 28-02-2020 20:17:03
ทำดีที่สุด



เช้าแล้ว ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้า เหมือนทุกวัน

หน้าที่ของผม ก็คือการทำอาหารให้เขา ของที่แดนชอบที่สุดในตอนเช้า มีเพียงแค่กาแฟและขนมปังปิ้ง 2 แผ่นเท่านั้น แดนจะไม่ทานอย่างอื่น เพราะเขาจะมองว่า มันเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ผมรู้ดี เธออยู่กับเขามาหลายปีนี่นา

หลังจากที่เตรียมอาหารให้เขาเรียบร้อย ผมก็เดินมานั่งตรงข้ามเพื่อรอให้เขามาทานเหมือนทุกๆ วัน แดนเดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการตัวเองจนเรียบร้อย ผมก็เห็นเขาเดินออกมา แต่งตัว ด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงสีเดียวกัน ผมยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มแรกของวันนี้ เพราะทุกวัน ผมและเขาต่างก็จะยิ้มให้กันนั่งทานอาหารด้วยกัน เป็นเรื่องปกติของคู่รักทั่วไป

แต่แดนในวันนี้ เขากลับมองเมินรอยยิ้มของผม เลือกจะนั่งตรงข้าม แล้วจัดการอาหารที่ผมวางเอาไว้ให้เท่านั้น

แดนไม่มอง เขาทำเหมือนมองไม่เห็น เหมือนผมไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

แต่คงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมคงแค่คิดไปเอง ก็เรารักกันนี่นา

ใช่ไหม?

“เมื่อคืน…” แดนชะงักมือที่กำลังถือส้อมกับมีด แม้ว่าใบหน้าจะไม่ได้เงยขึ้นมาสบตากับผม แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็บอกได้ว่าไม่อยากจะคุย ผมกล้ำกลืนทันลงคอไป ไม่ใช่เพราะกลัวเขาโกรธ

ผมแค่ยังไม่พร้อมจะรู้ความจริง

กลัวว่าตัวเองจะแตกสลายถ้าหากแดนยอมรับว่า…หมดรักผมแล้ว

มันเป็นสิ่งที่ผมหวาดกลัวมาตลอดทั้งคืน ผมนอนไม่หลับ ดวงตาบวมและแดงก่ำกากการร้องไห้มาอย่างหนัก ทรมานกับร่องรอยที่แม้จะไม่ยอมรับแค่ไหนก็รู้ดีว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร

แดนเป็นคนที่ผมรัก เป็นผู้ชายที่ทำให้ผมเลือกจะเดินออกมาจากครอบครัว

ผมเลือกเขาแล้วก็จะจับเขาเอาไว้ให้แน่น ไม่ปล่อยมือไปจากเขา แม้ว่าเขาจะอยากไปแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อตัวเขาไม่ได้พูดมันออกมาว่าจะเลิกกัน ผมก็ยังคงถือว่าเป็นคนรักของเขา เป็นตัวจริงที่อ้างสิทธิ์พวกนั้นกับใครต่อใครก็ได้ที่เข้ามาหวังจะแย่งเขาไป

ผมไม่ยอม…จะไม่ยอมปล่อยมือของเขาเด็ดขาด

ดินแดนนี้เป็นของผม ผมไม่ยอมยกมันให้ใคร!

“แดนเมามากเลยรู้ไหม มะ ไม่ดีกับร่างกายเลยนะ” ผมยิ้มออกมาบางๆ ส่งให้เขา มอบความห่วงใยอย่างที่เคยมอบให้มาตลอดสองปี

“อืม โทษที” แดนลงมือทานอาหารเช้าต่อ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องเพียงแค่อาหารที่วางอยู่ตรงหน้า

ผมหัวเราะแห้งๆ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเราทั้งสองคน ปล่อยให้อาการปวดหนึบในหัวใจกัดกินไปเรื่อยๆ อย่างไม่อาจจะหยุดยั้งมันเอาไว้ได้

แดนยังอยู่ตรงหน้าผม กิริยาต่างๆ อยู่ในสายตาของผม

แต่ผมกลับรู้สึกว่าเราสองคน…ยิ่งห่างกันมากกว่าเก่า

เหมือนมีเส้นบางๆ มาขวางกั้นพวกเราเอาไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้กัน…

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ความห่างไกลที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาพวกเราสองคนมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเพียงไม่นานมานี้ หรือนานจนผมไม่ทันได้สังเกตกันนะ ความห่างไกลที่ทำให้หัวใจปวดร้าว มันน่ากลัวพอๆ กับการถูกมองเมินอย่างไม่มีตัวตน

แดนยังเหมือนเดิมหรือเปล่า ยังเป็นคนที่รักผมที่สุดอยู่ใช่ไหม?

คำถามพวกนี้ผมทำได้เพียงแค่ถามเขาในใจ ยอมรับว่าอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับฟังคำตอบที่น่าหวาดกลัวนั้นได้ พอมานึกย้อนดูแดนเองก็แปลกไปตั้งแต่งานวันเกิดของภูมิ

วันนั้น...

ผมนอนกุมท้องตัวเองที่ปวดจากอาหารเป็นพิษอยู่บนเตียง ริมฝีปากซีดเซียวเพราะอาการขาดน้ำ แดนรบเร้าให้ผมไปงานวันเกิดของภูมิด้วยกัน ผมรู้ดีว่าหากไม่ยอมไปมันดูเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนของแดน แต่ผมไม่ไหวจริงๆ แค่จะลุกขึ้นมานั่งยังไม่มีแรงด้วยซ้ำ

“ไหวหรือเปล่าไมน์ ให้แดนอยู่เป็นเพื่อนไหม?” ผมฝืนยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้า มึนหัวไปหมด บ้านทั้งหลังหมุนไปมาเหมือนเห็นการโคจรของโลก

“ไม่เป็นไร แดนไปเถอะ เดี๋ยวภูมิจะรอนาน ฝากแฮปปี้เบิร์ดเดย์แทนไมน์ด้วยนะ” ผมไม่อยากผิดใจกับภูมิ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะชอบผมก็ตาม ยิ่งผมไม่ไปงานวันเกิดเขา ขาก็ยิ่งจะไม่ชอบหน้าผมมากยิ่งขึ้นไปอีก

โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกกับผมเสียจริง คิดจะให้ภูมิเกลียดผมเข้ากระดูกเลยหรือไงถึงให้ผมป่วยวันไหนไม่ป่วย ดันเป็นวันสำคัญแบบนี้

“ถ้างั้นแดนจะรีบกลับ ไมน์นอนพักอย่าซนล่ะ” ผมยิ้มพยักหน้าให้เขาอย่างขบขัน

“ครับๆ ผมรู้แล้วครับคุณพ่อ” แดนหัวเราะแล้วขยี้หัวผมจนมันยุ่ง แววตาทอประกายความเอ็นดูออกมาจนเห็นได้ชัด มันอบอุ่นหัวใจยังไงไม่รู้ ผมชอบที่เขามองผมแบบนี้ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าเขารักผม

“ไปแล้วนะ แดนจะรีบกลับ”

“ครับ ขับรถดีๆ นะ”

แดนจูบหน้าผากของผมก่อนจะคว้ากุญแจห้องแล้วเดินออกไป ส่วนผมก็นอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่แอร์ที่เย็นฉ่ำทำให้ผมรู้สึกสบายจนเผลอไผลหลับไปในที่สุด

แต่เพราะอาการคอแห้งจากการกระหายน้ำ ผมจึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ครัวเพื่อจะเอาน้ำมาดื่ม จังหวะที่ผมกำลังลุกขึ้นมาผมก็เห็นนาฬิกาข้างเตียงบอกเวลาตี2กว่าเข้าไปแล้ว ผมมองหารอบห้อง แต่ไม่มีร่องรอยการกลับมาของแดน เพราะมันดึกมากแล้วผมจึงเป็นห่วง

เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า

แดนไม่เคยกลับดึกขนาดนี้ อย่างมากที่สุดก็ไม่เคยเกินเที่ยงคืน แต่นี่ตี2กว่าแดนยังไม่กลับ มันช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะคิดไปในทางร้ายๆ

หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาล่ะ หรือใครทำอะไรแดน?

ทุกอย่างเป็นการคาดเดาจากความเป็นไปได้ เพราะผมห่วยเขาจึงฝืนตัวเองหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาแดน ผมไม่เคยคิดจะโทรจิกหรือกดดันตามตัวให้เขากลับบ้าน ผมแค่เป็นห่วงเขามาก

ขอแค่ได้รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร ให้ผมได้สบายใจก็พอแล้ว

“แดน...แดนทำไมยังไม่กลับล่ะครับ?” ผมรีบถามเขาทันทีเมื่อมีการรับสายจากปลายทาง แต่เสียงที่ผมได้ยินกลับมากลับไม่ใช่แดน

(อ๊ะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีแดนเขากำลังหลับอยู่ ไม่ทราบว่านี่ใครเหรอคะ?) เสียงผู้หญิง...

เป็นไปได้ยังไง แดนไม่เคยให้คนอื่นรับสาย

“ผมเป็นแฟนแดนครับ ไม่ทราบว่า...” ผมยังไม่ทันจะได้ถามต่อ เสียงอีกฝ่ายก็ขัดขึ้นมา

(อุ๊ย แดน อย่าซนสิคะ พอแล้วนะ บัวไม่ไหวแล้วน้า บัวช้ำไปหมดแล้วค่ะ อื้อ)

เขา อึก! เขาทำ อะไรกัน

เสียงของเธอ...มันชวนให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หัวใจผมเบาหวิวจนแทบจะปลิวหายไป ความรู้สึกขมปร่าขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ

แดนทำจริงๆ เหรอ แดน...กำลังทำแบบนั้นจริงๆ น่ะเหรอ

ผมอ้าปากจะถาม แต่ปลายสายกลับตัดไปเสียก่อน ปล่อยให้ผมวนเวียนถามตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน โทรศัพท์แดนอยู่ที่เธอคนนั้น ผู้หญิงที่ชื่อว่าบัว เสียงที่บัวส่งผ่านสายมามันกระเส่า มันทำให้ใจของผมแทบจะแตกสลายถ้าหากนั่นคือความจริง

อึก! อ้วก

ผมรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ โก่งคออาเจียนออกมาจนหมดแรง น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะผมอาเจียนหรือเพราะสิ่งที่ได้ยินจากผู้หญิงคนนั้นกันแน่

อกข้างซ้ายตรงนี้มันเจ็บจนร้าวราน ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอกับความผิดหวังอันแสนคลุมเครือขนาดนี้ แดนนอกใจผมจริงๆ หรือเปล่า แดนกำลังนอนกับเธอคนนั้นจริงๆ เหรอ

“ฮึก แดน”

ทำไมล่ะแดน ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้

ทำไมล่ะ ทำไมถึงทรยศต่อความไว้ใจของผม ทำไมถึงทำร้ายผมได้ขนาดนี้

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ ทิ้งตัวพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ ปล่อยให้เสียงสะอื้นไห้ดังก้องอยู่ในนั้นเผื่อว่าความเจ็บปวดใจของผมจะลดลงไปบ้าง

ไหนล่ะที่ว่าจะรีบกลับ ที่จริงแล้วแดนห่วงผมจริงๆ หรือเปล่า

การที่ผมไม่ได้ไปกับเขามันดีสำหรับเขาแล้วใช่ไหม?

ผมอดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้ แดนทำให้ผมฟุ้งซ่านและสับสน ความอ่อนแอถูกหยดน้ำตาพาให้ออกมาทีล่ะน้อยๆ ผมอยากจะหยุด อยากจะลบคำพูดของเธอคนนั้นออกไปจากหัว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเสียงของเธอก็ยังคงวนเวียนซ้ำๆ คอยตอกย้ำให้ผมทรมานจนแทบจะบ้าตาย

แดนใจร้าย ใจร้ายเหลือเกิน

ผมสะดุ้งตื่นจากความทรงจำที่หวนกลับมาเมื่อร่างของแดนลุกขึ้นจากโต๊ะ ในจานไม่เหลืออาหารใดๆ อีกแล้ว ผมเองก็ผุดลุกขึ้นทันทีด้วยเช่นกัน แดนปรายตามองผมชั่ววินาทีก่อนจะเบนสายตากลับไป หยิบเอาเสื้อสูทของตัวเองมาถือเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ

“จะ จะไปแล้วเหรอ” แดนชะงักเท้าแต่ไม่ได้หันกลับมามองผมเพียงแค่พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับในลำคอเท่านั้น ผมกำมือแน่น บางอย่างจุกอยู่ในลำคอและเบ้าตาจนร้อนผ่าว ผมพยายามกลืนมันลงไป ให้มันลงไปให้ลึกจะได้ไม่ต้องตีตื้นขึ้นมาอีก

“วันนี้ แดนจะ...มาทานข้าวเย็นกับไมน์ใช่ไหม”

จะกลับมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม ผมอยากถามเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้า

“ยังไม่แน่ใจ” แดนเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก จนได้ยินเสียงประตูปิดลงผมถึงได้สติกลับมา

ยังไม่แน่ใจงั้นเหรอ ยังไม่แน่ใจ

ทำไมผมถึงได้หวังมากมายขนาดนั้นนะ คิดไปได้ยังไงว่าแดนจะตอบกลับมาว่าแน่นอน คิดได้ยังไงว่าแดนจะยิ้มให้ผม เดินเข้ามาจูบหน้าผากแล้วมองผมด้วยแววตาหวานซึ้งเหมือนเมื่อก่อน

ผมคิดไปได้ยังไง คิดไปได้ยังไง!!

มันไม่มีทางอีกแล้วหรือยังไงกัน ผมแค่อยากจะใช้วันเวลาร่วมกันเหมือนคนรักคนอื่นๆ ผมผิดหรือไงที่เรียกร้องในสิ่งที่คนรักกันควรจะทำด้วยกัน สำหรับแดนแล้วผมยังอยู่ที่เดิมในหัวใจของเขาหรือเปล่า ผมยังมีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาบ้างไหม

ความเจ็บปวดและเดียวดายของผม เขามองไม่เห็นมันบ้างเหรอ

ไม่สงสารผม...ที่ถูกทิ้งให้เดียวดายบ้างหรือไง

ผมไม่มีค่าให้เขาชายตามาแลเลยเหรอครับ แม้แต่หางตาเขายังไม่มองมาที่ผมเลยสักเสี้ยวนาที

“ฮะๆ ฮ่าๆ”

ทั้งที่ผมกำลังหัวเราะ ทั้งที่กำลังเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า

แต่ทำไมล่ะ...

ทำไมน้ำตาของผมถึงต้องไหลออกมาด้วย ทำไมหัวใจของผมถึงเจ็บปวดเหมือนกำลังจะตาย

















กว่าจะตั้งสติได้ก็ช่วงสายของวัน ผมอาจจะงี่เง่าเกินไปก็ได้ แดนเองก็ต้องทำงานหนัก ยิ่งเป็นธุรกิจของที่บ้านยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะแบบนั้นผมเองก็ออกจะงี่เง่าเกินไปจริงๆ ที่ไปเรียกร้องอะไรแบบนั้น

ไม่เป็นไร ผมจะเอาปิ่นโตที่เต็มไปด้วยความรักของผมไปส่งให้เขา

แดนจะได้รู้ว่าผมยังใส่ใจต่อเขาเสมอ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะห่างไกลแค่ไหนก็ตาม

ผมจะยืนอยู่ที่เดิม ให้เขารู้ว่าผมไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงรักเขามากเช่นเดิม และเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

ผมยิ้มมองปิ่นโตสีสวยในมืออย่างภูมิใจ ผมทำของชอบของเขามาทั้งนั้น แดนเคยบอกว่าอาหารที่ผมทำมันอร่อยมาก ไม่ว่าเขาจะทานมากแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อ ไม่เคยนึกจะเบื่อเลย ผมจำได้ดีว่าเขาชอบอะไร ผมจึงได้ลงมือทำทุกอย่างที่เขาชอบ ใส่ทุกสิ่งที่ควรใส่ใจให้เขาได้ทานมันให้อร่อย

ผมเดินลงไปด้านล่างของคอนโด เรียกรถแท็กซี่แล้วก้าวขึ้นนั่งด้านหลังอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าปิ่นโตจะหกเอาได้ถ้าหากผมไม่ขยับตัวให้ดีๆ

“ไปไหนครับ?” ผมยิ้มให้กับคุณลุงแท็กซี่ ลุงแกก็ยิ้มคืนมาให้ผมอย่างใจดี

“ไปโรงแรมภัทราแกรนด์ครับคุณลุง”

“โอเค...”

คุณลุงดูท่าทางใจดีมากๆ แกยิ้มให้ผมแววตามองเหมือนผมคือลูกหลานของแกคนหนึ่ง มันก็แปลกนะ ทั้งที่ผมเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็ยังดีกว่าได้รับความไม่เป็นมิตร ผมกอดปิ่นโตเอาไว้แน่น สายตาของคุณลุงก็เหลือบมองกระจกมองหลังเป็นระยะๆ คล้ายกับว่ามีบางสิ่งอยากจะพูดออกมา

“มีอะไรเหรอครับคุณลุง?” คุณลุงดึงสายตากลับไปมองท้องถนน แต่ผมเห็นว่าแกกำลังยิ้มอยู่

“เปล่าหรอก เห็นหนูแล้วลุงก็อดนึกถึงลูกชายตัวเองไม่ได้ น่าจะรุ่นๆ หนูนี่ล่ะ” น้ำเสียงของแกที่พูดมันช่างเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

“คุณลุงมีลูกชายด้วยเหรอครับ ดีจังเลย” ผมชวนแกคุยไปเรื่อยๆ ดีกว่าใช้เวลากับความเงียบงันในรถ

“ใช่แล้วล่ะ ไอ้หนูลูกชายของลุงมันเกเรไปหน่อย ตอนนี้ก็เลยไปก่อนเวลาอันควรแล้ว” ผมขนลุกซู่ ความหดหู่แผ่กระจายออกมาจนทั่วทั้งคัน

“ผม...เสียใจด้วยนะครับ” แต่คุณลุงกลับโบกไม้โบกมือ แล้วยังหัวเราะออกมา

“ไม่เป็นไรๆ มันนานมากแล้วล่ะ เพียงแต่หนูขึ้นรถลุงมาลุงเลยอดนึกถึงเจ้าคิมมันไม่ได้” ผมกำปิ่นโตแน่น สงสารลุงแกจนสุดหัวใจ เสียลูกชายไปเวลาเห็นเด็กรุ่นเดียวกันกับลูกชายตัวเองย่อมต้องนึกถึงอยู่แล้ว

“ชื่อคิมหันต์สินะครับ ฤดูร้อนก็เลยซุกซนหรือเปล่าครับเนี่ย” ผมพูดติดตลก ดึงอารมณ์ของคุณลุงให้นึกถึงแต่ช่วงเวลาความสุขมากกว่าความโศกเศร้า ซึ่งลุงแกเองก็หัวเราะไม่หยุดเช่นกัน

“ใช่ๆ ฮ่าๆ ซนที่หนึ่งเชียวล่ะ ตอนเด็กๆ นะ เจ้าคิมลูกลุงไล่ต่อยกับเด็กแถวบ้านจนใครๆ ต่างก็เรียกมันว่าลูกพี่กันหมด หนูรู้ไหม ลุงต้องไปห้องปกครองเพราะการต่อยตีของมันกี่ครั้ง ไปจนครูห้องปกครองแทบจะให้ลุงอาศัยที่นั่นเป็นบ้านเลยนะ”

ผมกับลุงหัวเราะออกมา เรื่องราวความแสบสันของคิมหันต์ลูกชายของลุงถูกถ่ายทอดมาให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข ผมรู้สึกดีที่ได้ยิน ดีใจที่คนที่อายุพอๆ กับพ่อของผมยิ้มและหัวเราะออกมาได้ มันทำให้ผมอดนึกถึงคุณพ่อไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพ่อจะยังทำงานหนักจนลืมดูแลตัวเองหรือเปล่า คุณแม่จะยังเสียใจไหมที่ผมเลือกออกมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวแบบนี้

“ถึงแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากนะ ลุงรู้สึกเหมือนได้คุยกับลูกลุงอีกครั้งเลย” ผมส่งยิ้มให้ลงขณะที่เปิดประตูออกไป

“ผมดีใจครับที่คุณลุงสนุก นี่เงินค่ารถครับ ไม่ต้องทอนนะครับ ขอบคุณคุณลุงมากๆ นะครับที่มาส่งผม” ลุงทำท่าแข็งขัน ยืดอกมือจับพวงมาลัยรถอย่างมุ่งมั่น

“แท็กซี่ไทย ยินดีให้บริการครับผม!” ผมหัวเราะแกเองก็หัวเราะ ผมโบกมือลาคุณลุงเล็กน้อยแล้วปิดประตูรถพร้อมกับเดอนไปต่อ

ตอนนี้ผมมาถึงโรงแรมภัทราแกรนด์แล้ว ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับ เพราะผมเองก็เคยมาที่นี่ครั้งแรกเลย

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สองข้างทางของโรงแรมเป็นต้นไม้น้อยใหญ่ มีดอกไม้เรียงรายอยู่ไม่น้อย ดูแล้วสบายตา ตึกของโรงแรมสูงจนต้องแหงนใบหน้าขึ้นไปมอง พนักงานต่างยิ้มแย้มให้กับลูกค้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม

สมกับที่เป็นโรงแรมที่ติดหนึ่งในห้าของโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ

ผมอดยิ้มกับมันไม่ได้ ภูมิใจแทนแดนที่มีกิจการที่ดีแบบนี้ ผมรุดหน้าเข้าไปยังภายในโรงแรม เดินเข้าไปหาพนักงานคนหนึ่งด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“สวัสดีครับ” เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มมาให้

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบต้องการห้องพักแบบไหนคะ"

“ผมมาหาดินแดนน่ะครับ คุณดินแดนอยู่หรือเปล่าครับ?” พนักงานสาวคนนั้นเธอชะงักแล้วกวาดตามองผมครู่หนึ่ง ผมเดาว่าคงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เกิดขึ้นเมื่อคนแปลกหน้าที่แต่งตัวธรรมดามาขอพบผู้บริหารโรงแรมล่ะนะ ผมไม่โกรธเธอหรอก เธอเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะมองเหยียดผมเสียหน่อย

“เอ่อ ไม่ทราบนัดไว้หรือเปล่าคะ?”

“เปล่าครับ แต่ช่วยแจ้งแดนให้หน่อยนะครับว่าไมน์มาหา”

“รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะแจ้งท่านให้”

ผมยืนรอเธออย่างที่เธอบอก ถือโอกาสมองไปรอบๆ โรงแรมอย่างสนใจ คนเยอะเหมือนกันนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติเสียมากกว่า มีคนไทยอยู่เพียงไม่กี่คน ส่วนมากก็ดูจะมาเรื่องงานเสียมากกว่าจะมาพักผ่อน จำได้ว่าที่โรงแรมของพ่อเองก็เป็นแบบนี้ แต่ก็มีความแตกต่างอยู่อย่างเห็นได้ชัด ถึงยังไงภัทราแกรนด์ก็เป็นหนึ่งในห้าโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ

แต่ลัลลาเซ็นทราเวลของพ่อผมก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในสามล่ะนะ

“ไมน์! มาทำอะไรที่นี่!” ผมหันไปหวังจะยิ้มให้กับแดนที่เดินมาหา แต่ใบหน้าคมกลับติดร่องรอยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด

“ไมน์แค่เอาปิ่นโตมาฝาก ไมน์ทำแต่ของที่แดน…”

เคร้ง!

ผมชะงักมองปิ่นโตที่ถูกปัดทิ้งจนหกเลอะเทอะบนพื้นไปหมดด้วยแววตาอึ้งๆ ผมไม่ ไม่คิดว่าแดนจะปัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่คิดว่าแดนจะ…ไม่อยากได้มันถึงขนาดนี้ กับข้าวที่ผมทำมันด้วยความใส่ใจ ไม่เหลือแม้แต่ความหวังให้ได้มองเห็น ม่านน้ำตาบดบังทุกสิ่งที่มองเห็น ภาพปิ่นโตที่หกอยู่บนพื้นมันช่างพร่าเบลอไปหมด

“อย่ามาทำแบบนี้อีก อย่ามาที่นี่ แดนไม่ชอบ มันน่ารำคาญ!”

ฮะๆ น่ารำคาญงั้นเหรอ ผม สิ่งที่ผมทำให้เขา พยายามเพื่อเขามันน่ารำคาญงั้นเหรอ ผมกัดริมฝีปากแน่น ก้มหน้าลงมองพื้นไม่กล้ามองไปรอบข้างด้วยซ้ำ สายตากี่สิบคู่กันที่มองมาที่ผม สายตากี่ร้อยคู่กันที่สมเพชผม ผมไม่อยากรับรู้หรอก แต่มีเพียงสายตาคู่เดียวเท่านั้นที่มองผมด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ คือสายตาของเขา สายตาของคนที่ผมรัก

“เดี๋ยวบัวช่วยเก็บให้นะคะ” ผมชะงักกับเสียงที่ได้ยิน ใบหน้าจึงเงยขึ้นทองโดยอัตโนมัติ

เสียงแบบนี้…เหมือนคืนนั้น คืนที่เป็นวันเกิดของภูมิ

“ไม่ต้องครับบัว ปล่อยให้คนที่เอามันมาเป็นคนเก็บ ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป! ”

“ตะ แต่ อ๊ะ!” เธอถูกแดนรั้งตัวให้เดินออกไป แต่เพียงแค่แดนหันหลังให้ผม ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอก็ปรากฏแววตาสะใจและเย้ยหยัน ราวกับว่าเธอยืนอยู่สูง เหนือผมขึ้นไปอีก

เธอสินะ คนในคืนนั้น

เธอคนนี้สินะที่แดนกำลัง…พามาแทนที่ผม





TBC



คนที่เคยใช่ ไม่สามารถกลับมาใช่ได้อีก เพราะเขาให้เราเป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน ต่อให้สิ่งที่เราทำมันจะเป็นสิ่งที่เขาเคยชอบยังไง สำหรับเขาที่มองว่าเราเป็นแค่คนที่ไม่ใช่เจ้าของหัวใจ ก็ไม่มีค่ามากไปกว่าคนน่ารำคาญ

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [3] กล้ำกลืน 50% Up [08/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 08-03-2020 15:45:56
[3]

กล้ำกลืน

สายตาของผมตอนนี้พร่าเบลอไปหมด มือของผมเอื้อมออกไปหวังจะเก็บปิ่นโตกลับมา แต่มันก็สั่นเสียเหลือเกิน สั่นจนตัวผมเองไม่สามารถหยุดมันได้ ความรักความใส่ใจถูกแดนปัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดี แววตาติดรำคาญคู่นั้นมันยังชัดเจนทั้งที่เจ้าของดวงตาไม่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมแล้วด้วยซ้ำไป

ผิดหวัง เจ็บปวดและอับอาย

มีแค่แดนเท่านั้นที่สอนให้ผมรู้จักกับมันอย่างที่ไม่เคยมีใครสอนผมมาก่อน ผมควรจะดีใจใช่ไหม ควรจะยิ้มออกมาใช่ไหมที่ได้บทเรียนบทใหม่ ผมไม่เคยเชื่อในคำพูดของใครสักคนว่าความรักจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด หากเรียนรู้จะรักแล้วมักจะได้รู้จักความเจ็บปวดเป็นของแถม ผมไม่เคยเชื่อ

แต่วันนี้ผมเชื่อแล้ว เชื่อโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ

“ฮะๆ น่าสมเพชชะมัด” ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทั้งที่ริมฝีปากมีรอยยิ้ม แต่น้ำตากลับยังคงไหลลงมาไม่ยอมหยุด หัวใจดวงนี้ที่เต้นอยู่ก็ไม่ยอมคลายความปวดร้าวไปเลยแม้แต่น้อย

“คุณคะ ดิฉันช่วยนะคะ” ผมเม้มปากที่สั่นระริก ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดความสกปรกที่ตั้งอกตั้งใจทำ เก็บความใส่ใจที่เขาเรียกมันว่าขยะลเข้าไปในปิ่นโตทุกหยาดหยด

“ขอบคุณมากๆ นะครับ” ผมบอกเธอแต่ไม่ได้เงยขึ้นมองหน้าของเธอ แต่ผมจำเสียงเธอได้ เธอคือผู้หญิงที่เป็นพนักงานคนนั้น คนที่มองสำรวจผม

แต่ในขณะที่คนอื่นมองผมแล้วนินทา เธอกลับยื่นมือเข้ามาช่วย แค่นี้ผมก็ขอบคุณเธอมากแล้ว

ผมลุกขึ้นยืน ฝืนตัวเองให้ก้าวเท้าออกไปท่ามกลางการจับจ้องของผู้คน ผมเป็นตัวประหลาด กลายเป็นคนหน้าไม่อายที่ตามมาหาผู้ชายทั้งที่เขาไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าผม ผมกระชับปิ่นโตที่เปรอะเปื้อนเข้าสู่อก กอดความใส่ใจของตัวเองเอาไว้แน่นเพื่อให้หัวใจได้จดจำความเจ็บปวดนี้บ้าง

เขาไม่รับ ก็แค่เก็บเอากลับคืนมา มันไม่มีอะไรยากเย็นเลยสักนิด

แต่ผมก็ไม่อาจห้ามความเจ็บปวดที่มีมากจนล้นหัวใจได้เหมือนกัน

ร้องไห้เหมือนเด็กๆ คำนี้จะใช้เรียกก็คงไม่ผิด แต่คนที่เพิ่งเคยรู้จักกับความทรมานนี้อย่างผม นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ สมองจึงสั่งให้น้ำตาไหลออกมาระบายเอาความทรมานออกมาเผื่อว่าหัวใจจะกลับมาดีดังเดิม

ผมเรียกแท็กซี่นั่งไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ปล่อยอารมณ์ให้มันไปตามเส้นทางที่ผ่านมา ผมไม่สนใจว่าค่ารถจะขึ้นเท่าไหร่ ผมมีปัญญาจะจ่าย เพื่อแลกกับความสบายใจและอารมณ์ที่สามารถดึงกลับมาได้ ผมบอกเลยว่ามันคุ้ม เงินทุกบาทที่ผมมี ผมพยายามอดออมมันเพื่อเขา พยายามเป็นคนที่ดีกว่าเพื่อเขา

ในเมื่อตอนนี้เขาทำให้หัวใจผมมันเจ็บจนยากจะเยียวยา ผมก็จำเป็นต้องใช้เงินซื้อยาวิเศษมาฟูมฟักมันเอง

ไกลแค่ไหนแล้วนะที่เราออกมา แดนจะรู้สึกผิดกับการกระทำนั้นบ้างไหม

“ฮึก!”

แค่คิดถึง ภาพที่เขาจูงมือของผู้หญิงคนนั้นก็แล่นเข้ามาในสมอง อยากจะลบ อยากจะเอามันออกไปแต่ผมก็ทำไม่ได้ มันติดตราตรึงใจผมมากจนตามมาหลอกหลอนผมแม้จะลืมตาอยู่ ทำไมความทรงจำของผมถึงต้องตอกย้ำหัวใจของผมเองด้วย ทำไมต้องซ้ำเติมจนผมไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้

กลไกของสมองมักจะตอกย้ำความทรงจำที่สะเทือนใจ ความทรงจำที่มีผลทางอารมณ์มากเหมือนภาพที่กำลังวนเวียนเล่นซ้ำไปมาในหัวของผม

ผมเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ

เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถเข้มแข็งพอจะต่อสู้กับผู้หญิงคนนั้นได้

เกลียดตัวเองที่เอาแต่ร้องไห้

ผมที่เคยมองคนจากจุดสูงสุด ทุกคนจะต่างพากันมาพะเน้าพะนอต่อผม เคยมองข้ามคนมากมายแต่พวกเชาก็หวังให้ผมมองไปที่พวกเขา แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นคนที่อยู่ในจุดที่ถูกมองลงมา เป็นคนที่เขาสะบัดทิ้งไม่ใส่ใจไยดีต่อการมีตัวตนของผม

ครืดดด ครืดดด

“ฮึก ฮะ ฮัลโหล” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ไม่ให้มันออกมาสร้างความอับอายให้ตัวเอง

(ไมน์…มึงอยู่ไหน) เพียงแค่คำถามสั้นๆ คำถามสั้นๆ ที่ไม่ใช่การถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง แต่เป็นการถามว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน อนุรักษ์รู้ดีว่าผมเป็นแบบไหน และควรถามผมยังไง เพราะมันคือเพื่อนรักของผม

“รัก ฮึก รักฮือๆ”

(ไมน์มึงอยู่ไหน บอกกูสิ อย่าร้องไห้) ผมปิดหน้าด้วยมือข้างเดียว หูยังคงได้ยินเสียงเรียกของรักอย่างชัดเจน

อยากพูด อยากบอกออกไป แต่ทำไม่ได้

มันทรมาน มันเจ็บจนอยากจะตาย แต่ที่ทำได้กลับมีเพียงร้องไห้อยู่อย่างคนอ่อนแอ

(ไมน์...บอกกูสิ กูจะไปรับมึงเอง บอกกูเถอะว่ามึงอยู่ที่ไหน) ผมพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงช้าๆ ค่อยๆ ปรับลมหายใจเข้าออกจนพอจะสามารถพูดคุยกับมันได้จึงได้ตอบกลับรักไป

“ยะ อยู่ ฮึก บนแท็กซี่” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของรัก รักคงจะโล่งใจที่อย่างน้อยก็ยังพอจะสอบถามอะไรผมได้บ้าง

(ถ้างั้นมึงบอกเขาเลยว่าให้มาที่คอนโด...ที่...เข้าใจใช่ไหม) ผมพยักหน้าระรัว ทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล

อยากเจอรัก อยากกอดรัก อยากระบายความเจ็บปวดออกไปกับใครสักคน

“ขะ เข้าใจแล้ว พี่ครับไป...” ผมบอกสถานที่กับคนขับ เขาตอบรับและเปลี่ยนเส้นทางทันทีที่รู้จุดหมายปลายทาง

(กูจะรออยู่ข้างล่าง มึงไม่ต้องห่วงนะ)

“อื้อ ฮึก ฮือๆ”

รักยังคงไม่ยอมวางสาย มันนั่งฟังผมที่เอาแต่ร้องไห้อยู่เงียบๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผมต้องอยู่คนเดียว ดีกว่าต้องมารู้สึกเดียวดายอย่างเมื่อกี้

หัวใจที่เจ็บปวดมาอย่างสาหัสรู้สึกได้ถึงการปลอบประโลม มันอุ่นวาบไปทั้งใจว่าจะเป็นการทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดชัดกว่าเก่า แต่มันก็ดีกว่าปล่อยให้หัวใจของผมเน่าเฟะจนเกินจะรักษา รักเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ด้วยกันมาเสมอ เป็นคนที่คอยรับฟัง คอยยืนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าผมจะพบเจอปัญหาที่ลำบากมากแค่ไหน

เพราะมีรักอยู่ ผมถึงยืนขึ้นมาได้ทุกครั้ง

เพราะมีรักอยู่ผมถึงไม่รู้สึกว่าความเจ็บปวดทั้งหลายมันหนักหนาสาหัสจนเกินรักษา

อาจจะเป็นเพราะที่บ้านของผมและรักต่างก็สนิทกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ปู่ผมกับปู่ของรักก็เป็นเพื่อนกัน พ่อผมกับพ่อรักแม้จะไม่ใช่เพื่อน แต่ก็นับได้ว่าเป็นพี่น้องที่สนิทกันและรักกันมาก ผมกับรักก็เป็นอีกรุ่นที่ได้มาผูกสัมพันธ์สานต่อความสัมพันธ์เก่าแก่ของสองตระกูล

ยิ่งผมเจอเรื่องเลวร้ายมากแค่ไหน คนที่จะคอยพยุงผมให้ยืนขึ้น ผลักผมให้เดินไปข้างหน้าก็มีแค่รักเท่านั้น

“รัก...”

(กูยังอยู่ ไม่เป็นไร) ผมกัดริมฝีปากตัวเองที่โหยหาที่พึ่งอย่างรักในเวลานี้

ผมรู้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าควรกลับไปที่คอนโดตัวเอง เคลียร์ทุกอย่างให้ชัดเจนมันถึงจะดีที่สุด

แต่ใครไม่มาเป็นผมไม่มีวันรู้หรอกว่าการที่จะได้รักใครสักคน เราก็จะรักเขาให้ถึงที่สุด เมื่อไหร่ที่ความรักมันเดินทางมาจนถึงสุดปลายทางของมัน ผมย่อมต้องเลือกที่จะไม่ยื้อมันไว้

แต่ตอนนี้มันก็แค่อารมณ์วูบหนึ่งเท่านั้น หากผมเย็นลงเมื่อไหร่...ผมก็จะกลับไปพยายามเหมือนเดิม

ผมเปล่าโง่ แค่รักแดนมากเกินกว่าจะเสียแดนไปได้

แดนไม่ได้บอกเลิกผม ต่อให้ใช้คำพูดรุนแรงแค่ไหนเขาก็ยังอยู่ในสถานะของการเป็นแฟนกันของผมและเขา ส่วนใครอีกคน...ผมจะยอมปิดตา จะยอมมองไม่เห็นแม้ว่าจะเห็นอยู่ตำตา

จะยอมบอกตัวเองว่าเข้าใจผิดไป

ยอมกลายเป็นคนโง่ๆ ที่นอนร้องไห้ทุกคืนแต่มีเขาอยู่ข้างกาย

ไม่เป็นไร ผมจะทนมันให้ได้

ไม่เป็นไร แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก





........ 50% ........





มาแล้วจ้าา มาก่อนแค่ครึ่งเดียวน้าา วันพรุ่งนี้เจอกันอีกครั้งกับครึ่งหลังนะจ๊ะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [3] กล้ำกลืน 100% Up [09/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 09-03-2020 20:43:27
[3]

รถแท็กซี่จอดลงหน้าคอนโดของรัก ผมมองเห็นรักมันยืนรออยู่จริงๆ อย่างที่พูดเอาไว้ รักวางสายแล้วเดินมาหาผม ในขณะที่ผมเอาเงินออกมาจ่ายค่ารถ พอผมออกมาแล้วปิดประตูรถลงไป รักก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น ทั้งที่เราตัวเท่ากันแท้ๆ แต่รักกลับมีแรงมากจนผมตกใจ

ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของรักมันทำให้น้ำตาของผมที่สามารถหยุดมันลงไปได้ไม่นาน ไหลออกมาอีกครั้ง ร่างกายของผมสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของรักโดยมีมือของรักลูบหลังอย่างปลอบประโลม ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย ไม่สนใจว่าหน้าตาตัวเองจะน่าเกลียดมากแค่ไหน

ผมรู้สึกได้ว่ารักเองก็ร้องไห้ไม่ต่างจากตัวผมเอง เพราะผมรู้สึกถึงแรงสั่นจากไหล่ของรัก ผมกับรักต่างกอดกันแล้วร้องไห้ มันดูเป็นภาพที่ไม่น่ามองสักนิดเดียว แต่ความเสียใจทำให้เราต่างลืมไปว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน

กว่าจะยอมปล่อยแล้วพากันขึ้นมาบนห้องก็ปวดตาไปหมด รักตาแดงพอๆ กับผม แม้ว่าผมจะดูแดงก่ำมากกว่าเพราะผมผ่านการร้องไห้มาก่อนเขาก็ตามที

“มึงจะกินอะไรไหมไมน์” ผมกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาแสนนุ่มของรักแล้วส่ายหน้าปฏิเสธจนได้ยินเสียงรักถอนหายใจออกมา

“กูรู้แล้วนะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้...” ผมจิกเล็บลงไปบนขาตัวเอง เรื่องที่ว่ารู้แล้ว หมายถึงที่ผมถูกปฏิเสธข้าวที่ส่งไปให้ใช่ไหม

“ทะ ทำไมถึงรู้” รักไม่ใช่คนในโรงแรมภัทราแกรนด์เสียหน่อย ทำไมถึงได้รู้เรื่องที่ผมเจอมาได้

“กูมีสายอยู่ข้างใน” น้ำอุ่นถูกวางลงตรงหน้าผมพร้อมกับขนมโปรดของผม แต่ผมตอนนี้กินอะไรไม่ลงจริงๆ มันตื้อไปหมด อยากอาเจียนออกมา อยากร้องไห้อีก แต่แค่นี้ผมก็ปวดหัวมากพอแล้วถ้าขืนผมยังร้องไห้ต่อไปอีกคงไม่ดีกับร่างกายของผมแน่ๆ

แต่น้ำตาก็คือน้ำตา ใครจะไปห้ามมันไม่ให้ไหลลงมาได้ล่ะจริงไหม

“สายของมึงเป็นใคร พอจะรู้ไหมว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ แดนวันนี้เป็นใคร” ต่อให้ใจหนึ่งไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะรู้ก็ตาม แต่อีกใจมันก็อยากจะรู้อยู่ดี และปากเจ้ากรรมก็ช่างเลือกที่จะถามออกไป

อนุรักษ์หรี่ตามองผม ชั่งใจอยู่นานกว่าจะยอมส่งเสียงออกมา

“แน่ใจเหรอว่าอยากฟัง?”

อึก! ผมกล้าบอกเลยว่าไม่อยาก ผมไม่ได้เข้มแข็งขนาดที่จะรับความจริงได้ในตอนนี้ ผมน่ารำคาญใช่ไหม อย่างที่แดนว่าผมเอาไว้ว่าผมมันน่ารำคาญ เพราะใจผมมันยังไม่เด็ดขาดเพียงพอ ถึงได้ประวิงเวลา ใช้ความเจ็บแลกกับการได้อยู่ใกล้ๆ แดนเอาไว้ ไม่มีใครคนไหนหรอกที่อยากจะเสียแฟนตัวเองไป ไม่มีใครหรอกที่อยากจะรับความจริงที่ว่า

แฟนนอกใจ

“กูยัง…ไม่พร้อมจะฟังตอนนี้ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องรับรู้

ใจวูบโหวงจนเหมือนว่าผมทำมันหายไป เหมือนอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจถูกบี้จนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

อนุรักษ์มันเป็นห่วงผม ผมรู้ดี แต่ผมในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะรับความเป็นจริงได้ ถ้าถามว่าผมจะทำยังไงต่อ ผมคงได้แต่บอกว่า จะอดทน เผื่อสักวันหนึ่งเขาจะหันกลับมาแล้วพบว่าคนที่เขารักจริงๆ แล้วมันเป็นผมต่างหาก ไม่ใช่เธอคนนั้นที่แดนกำลังปกป้องเอาไว้

“เอาไปดู เชื่อกูเถอะ มึงเอาไปดูซะไมน์” ผมเงยหน้าขึ้นมองรักอีกครั้ง สีหน้าและแววตามันแกมขอร้องให้ผมรับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดไปดู แต่ผมไม่กล้า ผมกลัวสิ่งที่จะได้เห็นไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามที

ผมไม่อยากรับรู้ว่าความจริงแล้วเขารักกันมากแค่ไหน

ไม่อยากรู้ว่าเขาอยู่ด้วยกันกี่คืนแล้ว

ผมไม่อยากรู้สักนิด

แต่ใจหนึ่งก็ทนต่อความเจ็บปวดที่คาใจไม่ได้ มือที่เอื้อมออกไปรับนั้นสั่นไหว ชะงักค้างอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมจับมันเอาไว้แล้วดึงเข้ามาวางไว้บนตัก ไม่กล้าจะพลิกดู ผมไม่กล้า

พรึบ!

รักยกมือถือขึ้นมาอยู่ตรงหน้าผม ผมหลับตาปี๋ทันทีไม่ยอมมองหน้าจอนั้น รักก็ยิ่งโกรธ บีบคางของผมแล้วยัดโทรศัพท์ลงมาตรงหน้าจนแนบชิด กดมันแรงๆ จนผมเจ็บจึงจำใจลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย

“เออ! ลืมตาสักที!”

มะ ไม่จริง!

แดน แดนจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

แดนจะนอกใจผมได้ยังไง ไม่จริงหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องจริง

“มันเป็นแค่คนหน้าเหมือนแน่ๆ เลย ไม่ ฮึก ไม่ใช่แดนหรอก ดะ แดนไม่มีทาง ฮืออออ ไม่มีทางนอกใจกูแบบนี้!!”

มันไม่จริง มันต้องไม่ใช่สิ ทำไมล่ะ ทำไมถึงต้องจูบกับเธอด้วย!!!

ภาพของคนสองคนนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้โซนวีไอพีโดยมีผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่บนตักของแดน ริมฝีปากของทั้งสองคนแนบชิดจรดกันเหมือนที่ผมและแดนเคยทำมัน

มือของแดนกอดรัดเอวของเธอเอาไว้ มืออีกข้างก็ประคองใบหน้าของเธอเอาไว้อย่างรักใคร่

ถ้ารักกัน ถ้าพวกเขารักกันแล้วผมล่ะ

ผมมันเป็นตัวอะไรล่ะ!!! ผมเป็นอะไรของแดนกันแน่!

ถูกด่าว่าเป็นตัวน่ารำคาญ ถูกมองว่าของที่ตั้งใจทำมาให้เป็นเพียงแค่ขยะ มันยังไม่เจ็บเท่ากับการที่ผมเห็นเขาสองคนจูบกันอย่างดูดดื่ม ยังไม่ทรมานเท่าการที่ได้รู้ว่าเขากำลังนอกใจผม

เจ็บ เจ็บเหมือนจะขาดใจตาย เจ็บเหมือนถูกใครเอามีดมากรีดหัวใจจนเหวอะหวะไปหมด

มันพังหมดแล้ว หัวใจของผมมันพังไปหมดแล้ว

“ฮืออออ” ไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากเอาแต่อ่อนแอ แต่ผมก็ทนไม่ได้ มันเจ็บมาก เจ็บมากเกินไป

รักเดินเข้ามากอดผมเอาไว้ สีหน้าของมันดูแยา แต่ผมไม่อาจจะใส่ใจอะไรได้ ผมกำลังเจ็บ กำลังทรมาน ผมไม่อยากจะงี่เง่าเดินกลับไปถามเขาตรงๆ ว่าเขานอกใจผมจริงๆ หรือเปล่า เขาทำมันลงไปได้ยังไง

ดินแดน ผู้ชายที่ผมหลงรักความอ่อนโยนของเขา ผู้ชายที่ผมยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อมาอยู่กับเขา

แต่เขากลับเป็นผู้ชายที่ทำผมเจ็บมากกว่าใครคนไหน สอนให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าเจ็บเจียนตาย

“กูไม่อยากกลับไป ฮึก กูยังไม่อยากกลับไปเลย ฮือๆ กูยังไม่พร้อม” ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเขา

ไม่อยากจินตนาการว่าเขาแอบนอนด้วยกันกี่ครั้ง ไม่อยากนึกว่าลับหลังผมเขาทำด้วยกันกี่หน จูบกันนานมากเท่าไหร่ รูปที่รักเอามาให้ผมดูผมเห็นเพื่อนๆ ของแดนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ภูมิ ฮะๆ ไม่น่าล่ะ คืนนั้นภูมิถึงพาแดนมาส่ง มิน่าล่ะถึงได้ยอมมองหน้าผมได้เต็มสายตา

ที่แท้ก็เพราะผมมันไร้ค่า กำลังถูกหลอกจากคนที่รักอยู่นี่เอง เพราะเพื่อนรักอย่างแดนไม่ได้มีผมในหัวใจอีกแล้วนี่เอง ภูมิถึงได้ยอมพูดกับผม

โง่ มึงมันโง่เหลือเกินไมน์ คิดไปได้ยังไงว่าเป็นเจ้าของดินแดนนี้ได้

คิดไปได้ยังไงว่าสามารถยึดครองพื้นที่หัวใจของดินแดนได้

ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของมึงเลยไมน์ มึงไม่เคยได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ หรอก ไม่เคยเลย คนอย่างมึงก็แค่ขยะไร้ค่าที่แดนไม่คิดจะชายตามาแล เป็นแค่คนน่ารำคาญสำหรับเขามึงได้ยินไหม!! หันจำเสียบ้างสิ! ทำไมไม่หยุดรักเขาสักที!!

ผมอยากหยุดแล้ว อยากเลิกรักเขาแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้

หัวใจของผมร่ำร้องต่อต้าน เพียงแค่คิดว่านับจากนี้ไปจะไม่สามารถยิ้มให้เขาได้อีก ไม่สามารถเจอเขาได้อีกก็ทนแทบไม่ได้อีกแล้ว หากต้องเป็นคนอื่นไกลที่แดนไม่คิดจะทักทาย ผมยอมกลายเป็นควายที่สามารถมีเขาได้ยังดีกว่า

ผมโง่ใช่ไหม…

ผมรู้ดี ผมโง่จริงๆ นั่นล่ะ ไม่มีคนฉลาดคนไหนหรอกที่เลือกจะให้แฟนตัวเองมีคนอื่น ยอมปิดหูปิดตาเพียงเพื่อรั้งสถานะที่เป็นแค่ลมปากเอาไว้ แต่ผมยอม…เพราะผมยังเลือกจะเดินจากไปไม่ได้ ผมยอมจะยืนอยู่เคียงข้างเขาแม้เขาไม่ต้องการ ดีกว่าจะเป็นคนอื่นที่เขาไม่คิดแม้แต่จะมองมา

“ถ้างั้นก็อยู่นี่ อยู่จนกว่ามึงจะพร้อม แล้วไปจบกับมันสักทีเถอะไมน์ มึงรักตัวเองบ้างได้ไหม”

“ฮึก ฮือออ”

ผมกอดรักเอาไว้จนแน่น ใช้มันพักพิงหัวใจที่บอบช้ำเพื่อจะรักษาให้หายสนิท ความเสียใจและความเจ็บปวดยิ่งมีมากมายเท่าไหร่ น้ำตาของผมก็ไหลออกมามากเท่านั้นเช่นกัน

ความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำหัวใจของผมช้าๆ จากที่เคยมั่นใจว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ในตอนนี้มันยังจะเป็นไปได้อยู่อีกไหม ผมไม่อยากหลอกตัวเอง แต่ก็ไม่อยากถอดใจ เราสองคนคบกันมาสองปี ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะหมดรักผมง่ายดายขนาดนั้น ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่ามันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ ผมจะอภัยให้เขา ขอแค่เขายอมหยุดความสัมพันธ์นั้นลง ขอแค่เขากลับมาเป็นดินแดนของผมเหมือนเดิม

ผมจะลืมทุกอย่างไป จะใช้เวลาด้วยกันอย่างเมื่อก่อน

มันจะเป็นไปได้ไหมนะ ความหวังของผมจะยังพอมีโอกาสเป็นจริงไหม

หรือแดนรักเธอคนนั้นไปแล้วทั้งใจ ถ้าเป็นแบบนั้นผมล่ะจะทำยังไง ในเมื่อหัวใจของผมยังไม่สามารถที่จะหยุดรักเขาได้ ผมจะต้องทนให้แดนนอกใจต่อไปอย่างนั้นเหรอ ผมจะทนได้จริงๆ นะเหรอ ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้เลย แค่หัวใจตัวเองผมยังไม่สามารถควบคุมมันได้ ความรู้สึกตัวเองผมยังควบคุมไม่ได้ แล้วผม…จะสามารถหยุดแดนได้ยังไงกันถ้าแดนรักผู้หญิงคนนั้นไปแล้วจริงๆ

ไม่อยากยอมแพ้ ผมคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยผมก็จะได้บอกตัวเองได้ว่าผมพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ

“ไมน์…มึงจะเอายังไงต่อไป” รักคงหมายถึงผมจะกลับบ้านไหมมากกว่า บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ ไม่ใช่คอนโดที่ผมอยู่ในตอนนี้หรอกนะ

“ไม่ได้หรอก กูยังไม่ลองพยายามเลย บางทีแดนอาจจะแค่ แค่หลงใหลผู้หญิงนั้นเป็นครั้งคราวก็ได้” ใช่ มันอาจจะไม่ใช่ความรักก็ได้ จะรู้ได้ยังไงล่ะ ก็แค่เขาสองคนจูบกัน

“เฮ้อ…มึงนี่มันดื้อจริงๆ ระวังเถอะ! กูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่มิน”

“ไม่ ไม่ได้นะ!” ถ้าพี่ชายผมรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ดีไม่ดีแดนอาจจะถูกพี่มินผมทำร้าย

รักมันรู้ดีว่าครอบครัวผมเป็นยังไง เพราะผมเป็นลูกคนเล็ก พ่อแม่และพี่มินก็มักจะโอ๋ผม ตามใจผมและปกป้องผมมากกว่าใครๆ ถ้าผมถูกรังแก พี่ชายจะเอาคืนให้เป็นเท่าตัว ขนาดครั้งนั้นที่เพื่อนผมแกล้งผลักผมจนล้ม พี่มินก็จัดการผลักมันกลับไปบ้าง ปรากฏว่าอีกฝ่ายขาหัก แต่ไม่สามารถเอาผิดพี่ชายผมได้

ถ้าร่างกายของผมบาดเจ็บ พี่กายก็จะทำให้คนที่ทำร้ายผมเจ็บยิ่งกว่าผมสิบเท่า

แต่ถ้าผมเจ็บข้างในหัวใจ แดนคงไม่แคล้วต้องตายทั้งเป็น!

“ก็ได้กูจะเก็บเป็นความลับ จะไม่ให้พี่กายรู้ กูเชื่อนะไมน์” รักขยี้เส้นผมของผมจนยุ่งเหยิง สายตาขอมันจริงจังและเต็มไปด้วยความห่วงใยของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน

“กูเชื่อว่าวันหนึ่ง มึงจะสามารถเดินออกมาจากมันได้อย่างที่มึงควรจะทำ และกูจะรอวันนั้น”

“อืม…ขอเวลาให้กูหน่อยนะ ถ้าหากว่ากูได้ลองพยายามแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป กูสัญญาว่ากูจะเดินออกมาเอง”

ผมสัญญา แต่ตอนนี้ผมต้องขอพยายามให้ดีที่สุดก่อน เพราะเมื่อมันดีที่สุดแล้วในตอนที่ผมเดอนออกมา จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจอีก







บางครั้งการเดินเข้าไปหาใครสักคนที่เราต้องการ มันไม่ยากเย็นเท่ากับการที่เราเดินออกมาจากใครบางคนที่เรารัก 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [3] กล้ำกลืน 100% Up [09/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 10-03-2020 01:32:01
เป็นกำลังใจให้นะครับ เชื่อว่าคนเราค้องใช้เวลาเพื่อที่จะ Move on  :mew2:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [4] อยู่อย่างเจ็บๆ 50% Up [10/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 10-03-2020 20:30:16
[4] 50%

อยู่อย่างเจ็บๆ

ผมอาศัยพักใจที่คอนโดของรักกว่าอาทิตย์ คอยมองดูโทรศัพท์ว่าเมื่อไหร่ที่แดนจะโทรมาหาผม ถามไถ่ว่าผมหายไปไหน หรือผมเป็นยังไงบ้าง

แต่ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าสักสาย

ไม่มีแม้แต่การตามหาจากคนที่ผมรัก

ราวกับว่าผมเป็นเพียงอากาศที่ลอยล่องไป อากาศที่ไม่มีใครเคยมองเห็น เป็นขยะชิ้นนั้นที่เขาใช้สายตามองเหยียด เป็นคนที่เขารังเกียจแม้แต่จะใช้เวลามาคิดถึง

ผมควรจะเจ็บใช่ไหม? ผมบอกได้เลยว่าผมเจ็บมากๆ เจ็บจนผมคิดว่าชาตินี้คงมีแต่เขาที่ทำให้ผมรู้สึกเจียนตายได้ บางทีก็อยากจะหัวเราะใส่ตัวเองที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหนทั้งๆ ที่เจ็บจนทรมาน แต่ผมก็ไม่สามารถถอนตัวเองออกมาจากความฝันที่เราเคยมีกันและกันได้

รอยยิ้มของเขา

ดวงตาของเขา

ความอ่อนโยนของเขา

แม้แต่ความรักของเขา ผมเองจำได้ดีทุกอย่าง

เพียงแต่ว่าวันนี้มันเป็นเหมือนกับความฝัน เหมือนทุกวันที่ผมและเขาเคยมีความสุขกันนั้นมันไม่เคยเป็นความจริงเลย ทุกสิ่งที่เคยได้รับมาจนหัวใจผมฟูฟ่อง มันก็แค่มนต์มายาทีืถูกสร้างขึ้นมาหลอกลวงผมให้หลงมัวเมากับความหอมหวานนั้น

ผมเดินกลับห้องของตัวเอง หยุดยืนหน้าประตูห้องของตัวเองแล้วมองห้องที่อยู่ข้างกันด้วยความคิดถึง แต่เจ้าของห้องจะคิดถึงผมไหม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

แกร็ก…

ผมยืนตัวเกร็งค้างเมื่อร่างของใครบางคนกำลังเดินออกมาจากห้องที่ผมกำลังมองอยู่ ร่างเดิมที่แสนคุ้นตา ร่างของคนที่ได้ชื่อว่า…แฟน

“…ไง”

ผมยิ้มเจื่อนๆ มองเขาที่มองมาทางผมเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแล้วหันไปปิดล็อกห้องของตัวเองต่ออย่างไม่คิดจะใส่ใจผมที่ยืนอยู่

ผมยังมีตัวตนสำหรับเขาอยู่ไหม

ผมยัง…ถูกเรียกว่าแฟนของเขาอยู่หรือเปล่า

เรายังเป็นคนรักกันอยู่ใช่ไหม?

“แดน…”

ผมบังคับเสียงตัวเองเอาไว้ไม่ให้มันสั่น ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาประจานความอ่อนแอโง่ๆ ของตัวเอง ต่อให้ความร้อนที่กระบอกตามันพร้อมจะระเบิดออกก็ตาม

แดนหยุดชะงักลง แม้จะไม่ได้หันมามองผมก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้เมินคำเรียกของผมไป อย่างน้อยผมก็ยังมีตัวตนในโลกของดินแดน แม้ว่ามันจะไม่เด่นชัดเหมือนเดิมก็ตาม

“มีอะไร” ผมจิกเล็บลงไปที่แขนตัวเอง พยายามระงับความโศกเศร้าเสียใจที่ตีตื้นขึ้นมาให้ได้มากที่สุด

“จะ จะไปทำงานแล้วเหรอ?”

ไม่เป็นไร อดทนเอาไว้นะ

“ใช่”

“แดนทานข้าวเช้าหรือยัง ให้เราทำ…”

“ไม่ต้องหรอก เรารีบ” แดนไม่คิดจะฟังผมพูดให้จบด้วยซ้ำ เขาเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจผมอีก ผมถลาร่างเอื้อมมือไปฉุดรั้งเขาเอาไว้ ดึงแขนของเขาไว้ทั้งที่รู้ดีว่า…ไม่ควร

“แดน แดนเรา…”

เขาไม่คิดจะฟัง เพียงแค่ผมอ้าปากจะพูดขึ้นมาเขาก็สะบัดแขนออกจากฝ่ามือของผมอย่างแรง ความอบอุ่นจากผิวกายของเขาหลุดหายไป ใจของผมเองก็พลอยหลุดหายไปด้วยเช่นกัน

แต่ผมจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้! ผมต้องพยายามอีกครั้ง ให้เขากลับมาเป็นดินแดนคนเดิม

ด้วยความรักที่ผมมี

“แดน วะ วันนี้ไมน์จะทำอาหารเย็นไว้ให้นะ จะทำสปเก็ตตี้กับไก่อบที่ไมน์เคยทำเมื่อก่อนดีไหม?”

เหมือนที่เราเคยกินมันด้วยกันในวันครบรอบปีที่แล้ว ผมอยากให้มันเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำของเราสองคน ให้ดินแดนหวนกลับไปคิดถึงวันที่เราสองคนรักกัน วันที่เรามีกันและกัน ไม่ใช่วันที่เขาเย็นชากับผม…แบบนี้

“เราจะได้ทานมันด้วยกันไง ตอนนั้นแดนเองก็บอกว่าชอบมัน แดนจำได้ไหม”

ขอร้องล่ะ จำมันให้ได้ทีเถอะ ช่วยจำมันให้ได้ทีว่าเราสองคนเคยรักกันมากมายแค่ไหน

แต่คำอธิษฐานของผมมันไม่เคยได้ผล แดนหันมาหาผมด้วยสายตาเย็นชาและหยามเหยียด มองผมที่คล้ายกับการดูแคลน ผมชาวาบไปทั้งร่าง คำพูดนับล้านที่มีไว้เพื่อเหนี่ยวรั้งเขามันจุกอยู่ในลำคอจนไม่สามารถพูดคำใดๆ ออกมาได้

“เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?”

ผมรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงกำลังจะหายไป รู้สึกราวกับว่าตัวเองหมดซึ่งทุกอย่างในโลกนี้แล้ว

“เราลืมมันไปหมดแล้วล่ะ ไมน์เอง…ก็ควรจะทำงานหาเงินบ้างนะ จะได้ไม่มัวแต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องเก่าๆ ที่มันไร้สาระแบบนี้”

จุก

ผมไม่เคยรู้เลยว่าคนเราจะสามารถเจ็บจากคำพูดของใครบางคนได้มากมายแค่ไหน วันนี้ผมรู้ซึ่งถึงความเจ็บปวดนั้นได้อย่างดี มันเจ็บจนเหมือนตายทั้งที่ผมยังคงหายใจ มันทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คำพูดจากคนที่เรารัก การกระทำจากคนที่เราแคร์

ทุกอย่างมันชัดเจนเสมอแม้จะอยู่ในความทรงจำ ต่อให้เป็นความทรงจำที่เจ็บปวดก็ตามที แต่สมองของผมก็จะกักเก็บมันเอาไว้ รักษาความทรงจำอันล้ำค่าที่เคยมีกับเขามา ต่อให้มันเจ็บและทรมานแต่มันก็มีเขาอยู่

ดินแดนคนเดิมของผมที่เคยยิ้มสดใส วันนี้ไม่มีอีกแล้วสินะ

เขาเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้เลยหรือ ผมพลาดที่ตรงไหนกัน ผมทำอะไรผิดกันเขาถึงได้เดินห่างจากผมไปแบบนี้

ผมทนไม่ได้ รู้สึกเหมือนทุกก้าวที่ขาของเขากำลังก้าวเดินออกไป มันค่อยๆ ดึงลมหายใจของผมให้หลุดหายตามไปด้วย

อย่าไป อย่าไปเลยนะ

“อย่าไปนะ แดน…”

ผมร้องเรียกเขา ส่งเสียงที่แสนเบาหวิวราวกับเสียงลมที่พัดผ่านเรียกเขาเอาไว้ไม่อยากให้ไปไหน เพราะผมรู้สึกราวกับจะขาดใจทุกครั้งที่เห็นเขากำลังจะเดินไปจากผม มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ที่คล้ายกับหวาดกลัว

ใช่ ความหวาดกลัวที่ว่า…

เขาจะไม่กลับมาอีก

“แดน…อย่า อย่าไปเลยนะ” ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะฉุดรั้งเขาเอาไว้ มีเพียงแค่เสียงที่สามารถตะโกนมันออกไปได้

อย่าไป อย่าทิ้งไมน์

“เฮ้ยไมน์! นี่เราจะไปทำงานนะ! อย่ามางี่เง่าได้ไหม ถ้าว่างมากก็ไปหางานทำ ไม่ใช่คิดแต่จะคอยตามเราแบบนี้!”

ผมกัดริมฝีปากที่สั่นระริก กำมือทั้งสองข้างเอาไว้อย่างอดทนอดกลั้น ผมกำลังอ่อนแอ อ่อนแอเพียงเพราะผู้ชายที่ชื่อดินแดนคนนี้ คนที่ทั้งชีวิตของผมรักเขามากเหลือเกิน

“แดน แดนจะกลับมาในตอนเย็นใช่ไหม” บอกไมน์สิ ให้ไมน์ได้เข้าใจ ให้ไมน์ได้มีความหวังสักนิด

“อืม”

ผมไม่รู้หรอกว่าการตอบกลับมาแบบนั้นเป็นเพียงการตัดความรำคาญจากผมหรือเปล่า แต่แค่เขาตอบมาผมก็ยินดีจะรอเขาแล้ว

ผมปล่อยให้แดนเดินจากไปส่วนตัวเองก็กลับเข้าห้องมา กลิ่นอับจากการถูกทิ้งเอาไว้หลายวันทำให้ผมย่นจมูกลง เดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายเอาอากาศภายนอกเข้ามาทดแทน ระหว่างนั้นผมก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดห้องตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เฝ้ารอให้เวลามันผ่านไปอย่างไม่รีบร้อน

เพราะแดนบอกแล้วว่าจะกลับมา แดนบอกแล้วว่าจะกลับมาอย่างแน่นอน ผมเชื่อเขา…







 
........50%........



เดินออกมาค่ะลูก เขาไม่รักก็เดินออกมาซบอกแม่ ครึ่งแรกมากแล้ว พรุ่งนี้เจอกันครึ่งหลังนะคะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [4] อยู่อย่างเจ็บๆ 50% Up [10/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 11-03-2020 01:36:01
เอาจริงๆเป็นคนเกลียดคนที่แบบอ่อนแอแบบนี้มากๆเลยครับ ละยิ่งอ่อนแอกับเรื่องความรักนี้โดยไม่รักรักตัวเองเลยเนี่ย  :mew5:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [4] อยู่อย่างเจ็บๆ 50% Up [10/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-03-2020 20:55:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [4] อยู่อย่างเจ็บๆ 100% Up [11/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 11-03-2020 21:36:37
[4] 100%

ผมเปิดประตูห้องของแดนออกด้วยกุญแจสำรองที่เชาเคยให้ผมเอาไว้ เข้ามานั่งรอเข้าในห้องอย่างเคยเหมือนทุกๆ วันที่เราคบกัน ผมทำอาหารเอาไว้หลายอย่าง วางมันเอาไว้บนโต๊ะพร้อมทานเรียบร้อย เขาจะต้องหวนนึกถึงมันอย่างแน่นอนเมื่อได้สัมผัสมันอีกครั้ง

ผมเชื่อเรื่องความคุ้นเคย เชื่อว่าคนเราเมื่อคุ้นเคยกับมันไปแล้ว จะไม่มีวันลืมมันไปได้

แต่ในตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมากนัก ห้องของดินแดนยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยสักครั้งที่จะเก็บกวาดมันด้วยตัวเอง

ผมได้แต่ส่ายหน้ากับการถอดเสื้อผ้าทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงหรืออันเดอร์แวร์ ผมไม่เคยรังเกียจที่จะตามเก็บกวาดให้เขา มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นแฟนกัน เรื่องแค่นี้…มันธรรมดามากนะสำหรับผม แม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยทำมันเลยก็ตาม แต่ผมก็เรียนรู้มันด้วยระหว่างที่พยายามเข้าใกล้กับเขา

ดินแดนทำให้ผมได้ทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ

ดินแดนทำให้ผมรู้จักหลายๆ สิ่งที่ผมไม่เคยรู้จัก

!!!

นะ นั่นมัน…

ผมยืนนิ่งค้าง มองสิ่งที่ปรากฏอยู่ในถังขยะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ผมรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดของโลกที่มีมากกว่าปกติจนทำให้ผมต้องทรุดกายลงไปกับพื้น

เขาทำมันจริงๆ หรือ? เขาทำแบบนั้นได้จริงๆ น่ะหรือ?

สิ่งที่อยู่ในถังขยะยังไม่ทำให้ผมร้องไห้ได้เท่ากับกางเกงในตัวจิ๋วของผู้หญิงที่อยู่บนเตียงของดินแดน เตียงที่เราสองคนเคยใช้มันด้วยกัน

เตียงที่เป็นความทรงจำอันมีค่าของเราสองคน เขาทำมันได้ยังไงกัน

พาใครที่ไหนก็ไม่รู้มานอนบนเตียงของเรา มาทำซ้ำรอยผมได้ยังไง!!

“ฮึก ฮือๆ”

แดน ทำได้ยังไง ทำกับไมน์แบบนี้ได้ลงคอจริงๆ หรือ ใจร้ายเหลือเกิน

“อื้อ พอแล้วนะ ไมน์ไม่ไหวแล้ว” ผมร้องห้ามเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่ไต่ลงมาจากลำคอและเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ แดนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาหวานฉ่ำ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมบนหน้าของผมออก

“ไมน์หวานนี่นา เราจะพอแค่นี้ได้ยังไงกัน” ผมยิ้มเขิน ขยับหันไปด้านข้างเพื่อให้เราสองคนได้มองหน้ากัน

“เรายังมีเวลาอีกตั้งนานนี่นา ใช่ว่าเราจะเลิกกันพรุ่งนี้เสียหน่อย”

แดนหัวเราะดึงมือของผมไปกุมแก้มของเขาเอาไว้ ใช้ริมฝีปากจูบเบาๆ ที่ฝ่ามืออย่างเอาอกเอาใจ ผมยิ้มให้เขา ผมชอบเวลาที่เขาแสดงให้เห็นว่ารักผมขนาดไหน มันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงยิ่งขึ้นและไม่มีทีท่าจะสงบลงได้ง่ายๆ

ดวงตาของแดน ผมไล่นิ้วไปตามเปลือกตาของเขา สัมผัสมันอย่างแผ่วเบาเพื่อจดจำไว้ด้วยความรู้สึก

จมูกของแดน ผมเลื่อนลงมาลูบไล้สันจมูกและปลายจมูกของเขาอย่างอ่อนโยน โดยที่มีแดนทำเพียงมองผมเอาไว้นิ่งๆ

ริมฝีปากของแดน มันเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด เพราะเขามักจะยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม ชอบที่เขาเรียกชื่อผมทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ชื่อของผมถูกเอ่ยออกมาด้วยริมฝีปากนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด

“ถ้ายังลูบอีก เราจะต่อรอบสองแล้วนะ”

“อ๊ะ! บ้าๆ” ผมอุทานเมื่อถูกเขาแกล้งด้วยการงับเอานิ้วของผมเข้าไปในปาก ใช้ฟันที่เรียงตัวสวยครูดมันเบาๆ เพื่อยั่วเย้าผม

แต่นี่มันครั้งแรกของผมนะ ให้ต่ออีกรอบคงไม่ไหวแล้วล่ะ แค่นี้ผมก็เจ็บไปทั้งตัวแล้ว

“ไมน์…แดนรักไมน์นะ” ผมย่นจมูกใส่คำบอกรักเสียงแหบพร่าของเขา

“ฮึ! จะรักได้นานขนาดไหนกัน” ผมแกล้งเย้าแหย่เขาบ้าง เหมือนแดนจะรู้ทันจึงได้ดึงผมเข้าไปกอดไว้จนแน่น

“จะรัก…ตลอดไป รักจนกว่าไมน์จะไม่อยากเป็นของแดน” ผมหัวเราะคิกคักกับคำตอบของเขา หัวใจดวงน้อยในอกพองฟูขึ้นมาแทบจะทันที เก่งจริงๆ เชียวเรื่องที่ทำให้ผมดีใจแบบนี้ ปากหวานก็ไม่มีใครเกิน

“จะเชื่อได้เหรอ?”

แดนลูบศีรษะของผมเบาๆ มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็รักผมไม่น้อย สายตาและจังหวะการเต้นของผมใจมันไม่เคยโกหก และผมเห็นและได้ยินมันอย่างชัดเจน

ดินแดนรักผมไม่ใช่เรื่องโกหก และผมเองก็รักเขามากเกินกว่าจะโกหกได้เช่นกัน

“เชื่อได้สิ แดนรักไมน์แค่คนเดียวเท่านั้นนะรู้ไหม”

คำว่ารักที่ถูกพูดออกมาทำให้ผมอดหน้าแดงไม่ได้ เป็นการบอกรักที่แสนหวาน แม้ว่าจะเพิ่งเสร็จจากเรื่องบนเตียงก็ตามที แต่ผมเชื่อเขา เชื่อคำว่ารักที่เขาบอก เชื่ออย่างไม่มีวันกังขาในคำพูดนั้น

“ห้องนี้เป็นของแดนนะ ถ้าวันหนึ่งแดนพาใครเข้ามา เราจะรู้ได้ยังไงกัน?” ดินแดนหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือออกไปยังโต๊ะข้างเตียงฝั่งตนเอง เลื่อนลิ้นชักแล้วหยิบบางสิ่งออกมา แดนดึงมือของผมออกมาข้างหนึ่งก่อนจะวางบางสิ่งนั้นเอาไว้ในมือของผม

มันคือกุญแจ แต่กุญแจอะไรกันล่ะ?

“นี่คือ?” แดนยิ้ม

“กุญแจสำรองห้องนี้ไง แดนให้ไมน์ ไมน์จะได้เข้ามาได้ตลอด จะได้รู้ว่าแดนไม่มีวันพาใครเข้ามายังห้องนี้อีกเด็ดขาด” ผมมองกุญแจในมือยิ้มๆ รู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตาอย่างบอกไม่ถูก

มันตื้นตัน มันดีใจ

“แดนสัญญา…ห้องนี้จะมีแค่เราสองคน ไม่มีทางเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน”

ทุกความรู้สึกที่ได้รับมันเอ่อล้นขึ้นมาจนทำให้น้ำตาของผมไหลไม่ขาดสาย

“ขอบคุณ ฮึก นะ” ปลายนิ้วของแดนเกลี่ยไล่หยาดน้ำตาที่รินไหลของผมให้ออกไปจากใบหน้า หน้าผากของแดนขยับเข้ามาจนชิดเข้ากับหน้าผากของผม

“ขอบคุณทำไมกัน เราเป็นแฟนกันนี่ครับ”

แฟนกัน ในที่สุดเราก็ได้เป็นแฟนกัน ผมดีใจมากที่ได้ใช้คำคำนี้กับแดน ผู้ชายที่ผมรัก ดีใจที่เขาใช้มันกับผมเช่นกัน เราสองคนเป็นแฟนกัน และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป

“เราเป็นแฟนกัน ฮือออ”

“อ้าวๆ ขี้แยเสียแล้วแฟนเรา”

“อยะ อย่าแซ็วเรา ฮึก นะ” แดนกลั้วหัวเราะในลำคอ ดึงแก้มของผมเบาๆด้วยความเอ็นดู

“ใครจะไปกล้าครับ รักขนาดนี้”

“รัก ฮึก รักไมน์จริงๆ นะ ฮือๆ” หน้าผากของผมถูกแดนจรดริมฝีปากลงไปแผ่วเบา

“รักสิ รักที่สุดเลยล่ะ”

ผมถูกแดนเย้าแหย่กับความขี้แยในครั้งนี้อยู่นาน ใช้เวลานอนมองหน้ากันแทบจะทั้งคืน ค่อยๆ เรียนรู้กันและกันมากขึ้นจากการสัมผัสด้วยหัวใจและร่างกาย ใช้การมองและการพูดคุยในการสื่อสารความรู้สึกต่อกัน มันดีเหลือเกินสำหรับผม ทุกอย่างในตอนนี้ดีจนผมคิดว่าถ้าหากเป็นความฝัน ผมก็ไม่ขอตื่นขึ้นมาอีกจะดีกว่า


อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ ในช่วงเวลาที่เราสองคนต่างก็มีกันและกันไว้ตลอดไป

แต่แล้ววันนี้ วันที่ผมฝันสลาย วันที่ดินแดนคนนั้นไม่อาจทำตามคำพูดที่เคยบอกผมได้อีกแล้ว

นี่น่ะหรือไม่มีวันพาใครเขามาอีกแล้ว นี่น่ะหรือคือคำสัญญาที่เขาให้เอาไว้กับผม นี่น่ะหรือคือความรักที่เรามีให้กันมาตลอดสองปี ช่างให้ความรู้สึกที่ทรมานดีเหลือเกิน

คนผิดสัญญา คนไม่รักษาสัญญา

ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมกลับไม่สามารถถอยห่างออกมาจากเขาได้ ทั้งๆ ที่เห็นกับตาถึงเศษซากความหอมหวานของพวกเขาทั้งคู่ แต่ผมก็ทำได้แค่ยืนยันจะรักเขาต่อไป แม้ว่าจะทรมานมากกว่านี้อีกมากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็เดินไปจากเขาไม่ได้อยู่ดี

ไปไม่ได้…

ผมไปจากเขาไม่ได้ เพราะผมยังตัดใจไม่ลง

ผมรู้ดีว่าตัวเองโง่งมแค่ไหน รู้ดีว่าตอนนี้หัวใจพังลงไปเท่าไหร่ แต่ผมยังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะไปจากเขา ไม่พร้อมจะต้องเสียเขาไป ความทรงจำทุกอย่างที่มีเขาอยู่มันดีมากเหลือเกิน ความสุขที่เคยได้รับมาจากเขา มันทำให้ผมโง่งมงาย ยังคงเฝ้ารอให้เขาเดินกลับมารักกันเหมือนดังครั้งก่อน

ให้เหมือนตอนที่เรามีกันและกัน

ผมทิ้งตัวลงกอดตัวเองแน่น หลับตากัดฟันกับภาพความทรงจำต่างๆ ที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด ตอกย้ำความรักที่แสนโง่งมของผมให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ทุกครั้งที่ผมเจ็บปวดจนอยากจะตัดใจ จะถูกรักษาด้วยความทรงจำที่เราสองคนรักกัน

รอยยิ้ม แววตา เสียงหัวเราะ

ทุกสิ่งที่สมองสามารถนำมันออกมาจากจิตสำนึกได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันถูกฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมอยากจะตายๆ ไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด

ทั้งที่สมองปลดปล่อยความทรงจำต่างๆ ออกมารักษาความเจ็บปวด ร่างกายก็ปลดปล่อยน้ำตาออกมาเพื่อให้ความเจ็บปวดลดน้อยลงไป

มีเพียงแค่หัวใจของผมที่ไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดไว้ได้ ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมทุกสิ่งที่ผมทำให้เขามันถึงไม่มีค่า ทำไมเป็นผมที่ถูกทิ้งให้เดียวดาย

ผมผิดที่ตรงไหนกัน?

หรือผมผิดที่รักเขามากเกินไปจนไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดในใจตัวเองได้ ผิดที่ทนกับความทุกข์ใจที่ต้องรับในตอนที่รักเขาไม่ได้กัน? ผมผิดที่ตรงนั้นใช่ไหม?

แล้วผมควรจะทำยังไง ผมควรจะทำแบบไหนถึงจะสามารถ…เสียเขาไปได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องหยุดหายใจ

ใครก็ได้ช่วยบอกผมที ว่าผม…ต้องทำยังไง





การนอกใจไม่ว่าเหตุผลมันจะเป็นอะไร ก็ลบล้างการนอกใจไม่ได้อยู่ดี บีบหัวใจกันรัวๆทั้งที่เพิ่งเริ่มเรื่องมาได้แค่สี่ตอน โอ๊ย อยู่ด้วยกันก่อนนะคะทุกคนนนน 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [4] อยู่อย่างเจ็บๆ 100% Up [11/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 12-03-2020 00:57:50
มูฟออนจ้า ของตายยังมีค่ามากกว่าไมซ์อีกตอนนี้
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 50% Up [12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 12-03-2020 19:27:09
[5] 50%


หัวใจที่บอบช้ำ

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจ็บปวดได้มากขนาดนี้มาก่อน สิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้และเข้าใจมันในตอนนี้ช่างเป็นความทรมานที่แสนยาวนาน เป็นความทรมานที่ผมเป็นคนเลือกและยึดเหนี่ยวมันเอาไว้เองไม่สามารถโทษใครได้ เป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่สามารถอยู่ให้ได้เมื่อขาดแดน

ถ้าหากผมสามารถเดินออกไปจากเขาได้มันคงจะดี

แต่เมื่อไหร่ที่ผมปรารถนาจะเดินออกไปจากเขา สมองของผมจะหลั่งไหลภาพความทรงจำดีๆ ระหว่างเราออกมา ทุกสิ่งที่เราสองคนเคยมีด้วยกัน ช่วงเวลาอันแสนสุขที่เราสองคนต่างก็ใช้มันด้วยกัน

มันไม่เคยลบเลือนไปเลยด้วยซ้ำ

ผมมีโอกาสไหมที่จะทิ้งแดนไป?

มีสิ มีมากมายหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่ผมต่อสายโทรศัพท์ไปที่บ้าน บอกความต้องการตัวเองว่าอยากกลับไป ผมว่าไม่ถึง10นาทีพ่อและพี่ชายของผมคงส่งพี่ชาติมารับผมถึงที่

คิดแล้วก็ตลก ทำไมผมถึงยอมทิ้งชีวิตที่สุขสบาย ชีวิตที่มีทุกๆ อย่างที่ทุกคนปรารถนาจะมีออกมาเพื่อความรักด้วย คำถามข้อนี้ผมไม่เคยตอบตัวเองด้วยตรรกะใดๆ ได้ เพราะคำตอบที่ผมมักจะตอบออกมาทุกครั้งก็คือ

ผมรักเขา ผมรักแดนมากพอจะยอมทิ้งทุกๆ อย่าง

แต่แดนคงรักผมไม่มากพอสินะ

ผมอยาก…เดินออกไปจากจุดนี้ อยากเป็นอิสระจากความเจ็บปวด

แต่เพราะตัวผมยังไม่สามารถเข้มแข็งได้มากขนาดนั้น ผมจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ยืนรับความเจ็บปวดที่ถูกทำร้ายจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหัวใจเกือบจะแตกสลายไปแล้วด้วยซ้ำ

ผมรู้ดีว่าตัวเองอ่อนแอ รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเพราะผมเองเพียงคนเดียว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมอดทนยอมรับความเจ็บปวดมากมายที่ถูกเขากระทำ มันคือ…ความหวัง เป็นความหวังที่ผมใช้มันหล่อเลี้ยงหัวใจเอาไว้ เป็นตัวเยียวยาชั้นดีที่จะทำให้หัวใจของผมยังคงเต้นต่อไปได้

ความหวังที่ว่า สักวันดินแดนจะหันกลับมารักผมเหมือนเดิม

ความโง่งมที่พวกเขาเรียกผม คนโง่เง่าที่เอาแต่ยึดติดอย่างที่เพื่อนของดินแดนเรียกผมนั้น มันไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดมากไปกว่าเดิมเลย

ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการได้รู้ว่า…คนที่ตัวเองรักนอนกับคนอื่นอีกแล้ว

“ดินแดน…”

ผมเรียกเขาทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ควรจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร คนอย่างดินแดนไม่มีทางมาหาผม ต่อให้ผมกำลังจะตายไปก็ตามที

“ไมน์! มึงฟื้นแล้วเหรอ!” ผมไม่อยากลืมตาขึ้นมาพบกับความจริงหรอก แต่เสียงที่เจือไปด้วยความห่วงใยจากอนุรักษ์มันทำให้ผมต้องฝืนลืมตาขึ้นมามองอย่างช่วยไม่ได้

“ที่นี่…” ห้องสีขาวสะอาด กับสายน้ำเกลือ

ฮึ! นี่ผมคงน็อกไปอีกแล้วสินะ

“โรงพยาบาล มึงเป็นยังไงบ้าง” เป็นยังไงหรือ…

“กูหิวน้ำ…” รู้สึกเหมือนตัวเองขาดน้ำไปนานจนคอแห้งผาก

“ได้ๆ น้ำ น้ำๆ” อนุรักษ์มันเดินหันซ้ายหันขวา มิงหาน้ำเพื่อจะเอามาให้ผมได้ดื่ม นิสัยของมันก็แบบนี้ เวลาผมเจ็บ มันเองก็เป็นคนที่เจ็บไปด้วยกันกับผม

เคร้ง!

“โว้ย ใครตั้งโต๊ะไว้ตรงนี้วะแม่ง!” ผมอยากจะหัวเราะกับความซุ่มซ่ามของมัน แต่ผมดันไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือขนาดนั้น โต๊ะมันก็ต้องวางอยู่ตรงนั้นตลอดอยู่แล้ว ใครจะไปเคลื่อนย้ายมันกันล่ะ เป็นเพราะมันใจร้อนนี่ล่ะถึงได้เจ็บตัว

รักค่อยๆ เดินกะเผลกๆ มากหาผมช้าๆ ในมือถือแก้วน้ำเอาไว้พร้อมกับหลอดที่จะให้ผมดื่ม เห็นมันทำเพื่อผมขนาดนั้นมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่เป็นมันทุกครั้งที่จะเป็นคนดูแลผม คอยห่วงใยเอาใจใส่ผม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว มันไม่ต้องทำก็ได้

ขนาดแฟนผม ยังไม่มาสนใจไยดีอะไรผมเลยสักนิด ฮะๆ

“ได้แล้ว มึงค่อยๆ นะ” ผมยกศีรษะขึ้นเพื่อจะดูดน้ำจากหลอด โดยมีรักที่ทำหน้าที่คอยประคับประคองผมเอาไว้ไม่ให้ฝืนแรงมากเกินไป

“รัก…อยากกินน้ำเย็น” อนุรักษ์หน้าตึง จิกตาใส่ผมชนิดที่แทบจะตบหัวผมด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าป่วย

“แดกน้ำนี่ล่ะ รอมึงหายค่อยกินน้ำเย็นอะไรนั่น!” ว่าแล้วไหมล่ะ มันไม่ยอมให้ผมกินจริงๆ ด้วย

“แล้วนี่กูมาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไง มึงพากูมาหรือ?”

อนุรักษ์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของผม สีหน้าของมันดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร รู้แค่รักไม่เคยเป็นแบบนี้ให้เห็นได้บ่อยนัก ส่วนมากรักจะเพียงแค่โวยวายเสียมากกว่าตามนิสัยของมัน

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” รักถอนหายใจออกมาเสียงดัง แววตาที่ใช้มองผมเปลี่ยนมาเป็นจริงจังจนผมเองยังแอบตกใจไม่หาย

“กูว่ามึงกลับบ้านเถอะไมน์ มึงอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรมันดีขึ้นมาหรอก” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มที่แสนอ่อนแรงไปให้มัน

ผมรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ผมยังไม่พร้อมจะเดินจากไปก็แค่นั้น

“มึงไม่เข้าใจรัก กูไปไม่ได้”

“มึงจะดื้ออยู่กับมันไปถึงไหนวะไมน์ มึงไม่เห็นหรือไงว่ามัน…ฮึ่ย!”

“ว่ามันมีคนอื่นไปแล้วใช่ไหม คำนี้สินะที่มึงจะพูด” ผมทั้งจุกทั้งเจ็บ ทั้งรวดร้าวไปหมด แต่สิ่งที่ทำได้คือฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ต่อหน้าเพื่อน เพื่อให้มันสบายใจไปบ้าง

“ไมน์…กูขอเถอะ มึงเลิกกับมันสักทีเถอะนะ กู…จะทนมองเพื่อนตัวเองถูกทำร้ายจิตใจขนาดนี้ได้ยังไงวะ!” ผมได้แต่ทอดสายตาขึ้นไปมองเพดานสีขาว

เลิกหรือ…ทำไมผมจะไม่อยาก

เพียงแต่ผมทำไม่ได้ ผมยังไม่เข้มแข็งเพียงพอจะเดินออกมาจากแดน

“กูยังเลิกกับแดนไม่ได้” มันไม่เข้าใจ

“ทำไมวะไมน์ ทั้งๆ ที่มึงเจ็บขนาดนี้ มึงต้องเจ็บไปอีกแค่ไหน มึงถึงจะยอมเลิกกับมันสักที!” ผมรู้ รู้ดีว่ารักมันห่วงผม เพราะเราเป็นเพื่อนกัน มันถึงอยากให้ผมเลิกกับแดน

แต่ไม่ใช่ว่าผมดื้อดึงอะไร ผมแค่…ยังไม่สามารถอยู่ได้ถ้าขาดแดนไป

ผมไม่สามารถใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ได้ถ้าไม่มีแดนอยู่ในช่วงเวลานั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง ควรจะต้องทำแบบไหน เพราะทุกสิ่งที่ผมวางแผนเอาไว้ มันมีแต่แดนเท่านั้นที่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผม

ชิ้นส่วนสำคัญที่ผม…ไม่มีไม่ได้เด็ดขาด

“มึงไม่เข้าใจรัก ไม่เข้าใจว่ากูเดินออกมาจากที่ที่กูยืนอยู่ตอนนี้ไม่ได้” ผมไปไม่ได้ ผมไปจากเขาไม่ได้จริงๆ

“บ้าเอ๊ย!” รักสบถอย่างหัวเสีย มันหงุดหงิดงุ่นง่านด้วยความไม่พอใจ แต่ผมไม่โทษมันต่อให้มันจะด่าว่าผมโง่อีกสักกี่ครั้ง ให้มันมองผมด้วยสายตาดูแคลน ผมก็ไม่มีวันโกรธรัก

“มึงรู้ไหมไมน์ มึงรู้ไหมว่าคุณลุงคุณป้าเขาคิดถึงมึงขนาดไหน?”

“…” ผมเอียงใบหน้าหนี ไม่คิดจะสบตากับรักในตอนนี้

“มึงรู้ไหมว่าพวกท่านรอวันแล้ววันเล่า รอคอยให้มึงกลับบ้าน มึงรู้บ้างไหม!”

“…” ผมหลับตานิ่งๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงช้าๆ

รู้สิ รู้ดีว่าทำแบบนี้มีกี่คนที่กำลังรอคอยให้ผมกลับไปอยู่

“แต่มึง…มึงกลับเอาแต่คิดถึงมัน ไอ้เหี้ยที่มันไม่เคยแม้แต่จะเห็นค่าของมึง กกกอดอยู่กับผู้หญิงคนนั้นจนมึงต้องมาล้มป่วยแบบนี้! มึงกลับเอาแต่คิดถึงมันมากกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงมึงมา!!”

“ฮึก ฮือ”

“ทำไมวะไมน์ ทำไมมึงถึงต้องยอมทิ้งทุกอย่างมาแบบนี้ด้วย” ผมยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทั้งที่มันกำลังสั่น ผมคิดถึงพ่อกับแม่นะ แต่ผมก็ยังกลับไปไม่ได้อยู่ดี

“มึงไม่เข้าใจ ฮึก ฮืออ”

“ใช่สิวะ กูถึงถามมึงอยู่นี่ไงว่ามึงจะยอมทนไปอีกนานแค่ไหน! อีกแค่ไหนมึงถึงจะยอมทิ้งมันสักที!” อนุรักษ์เสยผมขึ้นไปด้วยอาการหงุดหงิดของตัวเอง ผมรู้ว่ามันกำลังโมโห และมันกำลังปรับอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงมากพอที่จะรอคำตอบจากผมได้

“บอกมาไมน์ อีก นาน แค่ ไหน!”

“กู ฮึก กูไม่รู้ ฮือๆ”

“ไมน์ นี่มึง! ....” ผมส่ายหน้าอย่างแรง สบสายตาของรักอย่างเว้าวอนให้มันรอฟังผมสักนิด

“ไม่ ฮึก ไม่ใช่นะ! กูแค่ ฮือ แค่อยากพยายามให้ถึงที่สุด ถ้าหาก ฮึก ถ้าหากว่ากูพยายามจนพอแล้ว ฮึก ฮืออ กูจะกลับบ้านด้วยตัวกูเอง”

เมื่อถึงวันนั้นที่หัวใจผมมันไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้อีกแล้ว ผม…จะกลับไปที่บ้าน

กลับไปกอดพ่อและแม่ กอดพี่ชายที่ผมรักอย่างเต็มใจ

“มึงพูดเองนะไมน์”

“กู…สัญ ฮึก สัญญา”

“เฮ้อออ”







..........50%..........



ไมน์! ทำไมหนูดื้อแบบนี้คะลูก /ต่อสายหาคุณพี่ชายให้ส่งคนมาเก็บดินแดน แค่กๆ ไม่ได้ค่ะไม่ได้ นั่นพระเอก เราจะทำร้ายพระเอกตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลานั้นนนนน แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้กับครึ่งหลังนะคะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 50% Up [12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 13-03-2020 01:01:51
ขยี้อยู่ที่เดิมมา​นานละนะ
ปมคือรักมากไม่อยากจากไป
และต้องรอให้มีไคลแมกซ์​สำคัญก่อนถึงจะไปได้... รอวนไป
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 50% Up [12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 13-03-2020 01:49:12
เบื่อความเวิ่นเว้อของนายเอกมาก ตื่นได้ละะะะะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 50% Up [12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 13-03-2020 05:37:30
ไมน์ก็แค่กลับบ้านmove on จากผู้ชายเฮงซวยซะที
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 100% Up [13/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 13-03-2020 21:05:25
[5] 100%


รักค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว มันคว้าตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ เราสองคนกอดกันแน่น มันลูบหลังของผมอย่างปลอบประโลมเบาๆ ใช้ความอ่อนโยนที่คุ้นชินพยายามให้ผมค่อยๆ หยุดร้องไห้ลง ผมรักอนุรักษ์นะครับ เพราะเราคบกันมานานมากและรักเป็นคนที่ผมสนิทด้วยที่สุด เราสองคนต่างก็เติบโตมาด้วยกัน เพราะงั้น…สำหรับรักแล้ว ผมก็คงไม่ต่างจาก น้องชายคนสำคัญ

“รัก…มึงโกรธกูไหม” โกรธไหมที่เพื่อนคนนี้โง่เกินกว่าจะยอมตัดใจได้

“โกรธ!” ผมหน้าหงอยลงทันตา รักดันผมออกจากอ้อมกอด มันมองใบหน้าของผมทีืเริ่มแดงจากการร้องไห้แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมอย่างไม่ออมแรง

“โอ๊ย เจ็บนะ!”

“ก็จิ้มให้เจ็บไงล่ะ!”

“ตกลงมึงโกรธกูจริงๆ หรือ?” รักกลอกตาไปมาแล้วถอนหายใจ

“ตั้งแต่รู้จักกันมา กูเคยโกรธมึงจริงๆ หรือไง” ผมส่ายหัวอย่างแรง เท่าที่จำได้รักมันก็ไม่เคยโกรธผมจริงๆ นั่นล่ะ

“ไม่เคย…”

“ก็รู้นี่!” ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ยังไงเสียรักก็ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ปี อนุรักษ์เพื่อนผมก็จะเป็นเพื่อนที่ไม่เคยโกรธผมจริงๆ นั่นล่ะ

“ขอบใจนะ…ว่าแต่ตกลงกูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” รักมันชักสีหน้าใส่ผม กระแทกหลังเข้ากับเก้าอี้อย่างไม่ชอบใจ ดูก็รู้ว่ามันไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำไป

แต่ยังไงผมก็ยังจำเป็นต้องรู้อยู่ดี

“เจ้าของห้องมันเอามึงมาทิ้ง”

เอามาทิ้งงั้นหรือ จะบอกว่าอาการเจ็บป่วยที่ผมเป็น การที่เขามาเห็นผมสลบไปในห้องของเขามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยงั้นหรือ ไม่มีความเสียใจ ความสงสารหรือแม้แต่ความรัก จะบอกผมว่าเขาสามารถตัดสินใจแบกผมเอามาทิ้งไว้ได้จริงๆ นะหรือ

ผมยกมือที่สั่นระริกขึ้นมาลูบตรงอกข้างซ้ายไปมาเพื่อบรรเทาความปวดร้าวที่กำลังเล่นงานหัวใจของผม หวังให้การปลอบโยนที่ผมทำไปจะสามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดนี้ลงไปได้บ้าง ผมเจ็บกับการที่เขาไม่แคร์ เจ็บกับการที่เขามองไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญ

แต่ที่เจ็บกว่าคือเขาไม่เหลือความรักให้ผมอีกแล้วแม้แต่เศษเสี้ยวของหัวใจ

นั่นต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บปวด

ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากจะเดินออกไปแล้วทิ้งตัวดิ่งลงมาบนพื้นดินจากชั้นสูงๆ อยากลองประชดชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเองแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ผมทำได้เพียงแค่อดทนกับสิ่งที่กำลังเผชิญ บอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงการทดสอบความรักระหว่างเราสองคนเท่านั้น ทั้งที่ความจริงผมไม่รู้ด้วย

ไม้รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไง หรืออควรจะรู้สึกแบบไหน

หัวใจของผมมันร้าวรานจนหาความรู้สึกอื่นใดนอกจากความทรมานไม่เจออีกแล้ว

“เขาคง…งานยุ่ง” มันคงเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่รู้ว่าเสียงที่ส่งออกไปอย่างเบาหวิวมันใช้ยืนยันต่อตัวผทเอง หรือบอกเล่าให้กับรักได้ฟัง

ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้ดีคือเราสองคนต่างก็รักกันมาก สิ่งที่ผมจำได้คือผมกับเขาเราสองคนต่างก็มีความสุขเมื่อมีกันและกัน แต่มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วสินะ…

ไม่ใช่ผมอีกแล้วที่เขาให้ความสำคัญ

“มึงควรจบมันลงไปได้แล้วนะไมน์…” ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างช้าๆ ปล่อยความเจ็บปวดที่กำลังทำร้ายหัวใจของผมผ่านม่านน้ำตา มือของผมกำเข้าหากันจนแน่น ทั้งที่มันกำลังสั่นอย่างช่วยไม่ได้ จิกเล็บเข้าที่ฝ่ามืออย่างแรงเพื่อลดความทรมานในหัวใจ

ผมเคยได้ยินมา เขาบอกกันว่าหากร่างกายได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเดียวกับที่เรากำลังเจ็บปวดทางจิตใจ มันจะสามารถลดความเจ็บทางจิตใจลงไปได้มาก

ผมไม่เคยลองมาก่อน แต่วันนี้มีโอกาสผมยอมรับเลยว่า…

ทุกอย่างมันจริง การระบายควาทเจ็บปวดไปกับร่างกายมันทำให้หัวใจของผมทรมานน้อยลงไปมากเลย มันทำให้ผมไม่ต้องทุกข์ทรมานจนเจียนตาย แม้จะลดลงไปไม่ได้มากขนาดที่จะลบมันออกไป แต่ก็มากพอให้ผมสามารถหายใจต่อไปได้ด้วยตัวเอง

“มันไม่ง่ายแบบนั้น…”

“มึงก็แค่ปล่อยมือที่มึงจับมันเอาไว้…” ผมก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง ปล่อยให้หยาดน้ำตาค่อยๆ หยดลงไปบนหลังมือของตัวเอง

น้ำตาของเราร้อนดีนะครับ ร้อนจนรับรู้ได้ง่ายๆ เลย

“มือของกูงั้นหรือ?” ทำไมต้องเป็นมือคู่นี้ด้วยที่ต้องปล่อยไป ทำไมไม่เป็นใครอีกคนบ้างล่ะที่ควรจะปล่อยไป ทั้งๆ ที่ผมมาก่อน ทั้งๆ ที่ผมคือคนที่อยู่ในสถานะแฟน

แต่ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นผมที่ต้องยอมแพ้

ทำไมถึงต้องเป็นผมด้วยที่ต้องยอมเสียแดนไป

“ใช่แล้วไมน์ มือของมึง” ไม่อยากปล่อยสักนิด ผมอยากดึงรั้งแดนเอาไว้ อยากจะยึดแดนเอาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน ผมอยากเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไร้ความรู้สึก อยากเป็นคนที่แม้จะเจ็บมากมายแค่ไหนก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด

ผมอยากเป็นคนแบบนั้น แต่สิ่งที่ผมเป็นคือคนที่รักเขามากมายจนการกระทำของเขามันตอกย้ำผมอยู่ทุกลมหายใจ ว่าเขาไม่มีผมอีกต่อไปแล้วในหัวใจดวงนั้น

“ฮึก…” ผมมันอ่อนแอ ทั้งที่ไม่ควรจะฟูมฟายกับความรัก แต่กลับไม่สามารถหยุดตัวเองได้

“ไมน์…”

ผมถูกรักดึงเข้าไปกอดจนแน่น น้ำเสียงของมันดูทรมานไม่ต่างไปจากผม สีหน้าและแววตาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเจ็บปวดเหลือเกิน ผมซบหน้าลงกับไหล่ของอนุรัก ใช้ไหล่ของมันเป็ยที่พักพิงให้กับหัวใจที่อ่อนแอใกล้แตกสลาย

“ปล่อยมันไปเถอะนะไมน์ กูไม่อยากเห็นมึง…เจ็บอีกต่อไปแล้ว”

ผมรู้ว่ามันหวังดีต่อผมเอง แต่ผมก็ไม่สามารถหักห้ามหัวใจ หยุดความคิดถึงที่มีต่อแดนไปได้ สิ่งที่ผมทำได้คือรักมัน รักผู้ชายใจร้ายที่ย่ำยีหัวใจของผมอย่างไม่ปรานี ใช้ความรักของผมเป็นสิ่งที่ทำร้ายผมกลับมา ให้ผมได้ลืมตาตื่นขึ้นมามองความเป็นจริงว่า…คนที่เขาเลือกนั้นเป็นใคร

“กูเจ็บ ฮึก รัก กูเจ็บจังเลย”

“กูรู้…กูรู้ว่ามึงทรมานมากถ้าต้องปล่อยมือมัน”

“ฮึก…”

“มึงอาจจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดมันไป กูรู้ข้อนี้ดี”

“ฮือๆ” ผมคงขาดใจตาย ถ้าไม่มีแดน

“แต่รู้ไหมไมน์…ชีวิตของมึงไม่ได้มีแค่มันคนเดียวหรอกนะ” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองรักผ่านม่านน้ำตา รักมันยิ้มเศร้า รอยยิ้มแสนเศร้าที่เต็มไปด้วยความทรมานนั้นผมเห็นมันมาเสมอ ถ้าหากมันเป็นเรื่องของผม

“มึงยังมีกู ยังมีพี่มิน ยังมีพ่อกับแม่ของมึง มึงยังมีพวกเขา”

ใช่สินะ ผมยังมีคนที่รักผมอีกมากมาย แต่ทำไมหัวใจของผม มันถึงไม่ยอมเข้าใจเสียที

“เพราะงั้นอย่ากลัวว่ามึงจะไม่มีใคร มึงแค่ปล่อยมันไปแค่คนเดียวไมน์ แค่มันคนเดียวไม่ได้ทำให้มึงไม่เหลือใคร”

รักจับมือของผมเอาไว้แน่น บีบมันเบาๆ แล้วประสานสายตามาที่ผมด้วยความรู้สึกหลากหลาย

“อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยว่ะ กูขอร้อง”





เพิ่งสังเกตุเหมือนกันว่าเรื่องมันดำเนินไปช้าจนเหมือนเล่นปมเดิมซ้ำๆไม่เดินหน้าไปไหน ตอนเขียนแมวเขียนไปทีเดียวจนจบเลย ตอนนั้นอาจจะดำดิ่งไปกับมันมากไปจนไม่ทันได้ทบทวน

 แมวขอน้อมรับคำติชมและจะนำไปปรับปรุงเนื้อเรื่องระหว่างนี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามและให้ข้อเสนอแนะค่ะ

ปล.รักไมน์ แค่กๆ เรือนี้ลงไม่ได้นะ ไม่เปลี่ยนพระเอกนะคะขอยืนยัน ห้ามลงเรือผิดนะ ห้าม!! ตอนหน้าลับมีดรอไว้เลยนะคะ เพราะคุณอาจต้องใช้ 


เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 100% Up [13/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 13-03-2020 22:14:40
เหมือนจะตาสว่าง แต่ก็ยังเหมือนเดิม กับผู้ชายเฮงซวสแบบนี้
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 100% Up [13/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 14-03-2020 17:22:15
อาจเป็นเพราะคุณนักเขียนทยอยลงคราวละ​ 50% ทำให้เรื่องที่ช้าอยู่แล้วยิ่งดูช้าไปอีก​

ช่วงต้นนี้​ ลองลงเต็มๆ​ ตอน​ บ่อยหน่อย​ หรือถ้าจะสัปดาห์ละหนก็ลงสัก​ 2​ ตอนติดกันไหมคะ​ ในกรณีถ้ามีสต็อกเรื่องอยู่แล้ว

ถ้าคนอ่านเห็นความคืบหน้าแล้ว​ จะทยอยลง​50% ก็ได้

ลองดูค่ะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [6] เจียนตาย 50% Up [14/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 14-03-2020 19:22:37
[ุ6] 50%


เจียนตาย
[/b]

พอถูกทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียวในห้องผู้ป่วยผมเองก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งถูกความเงียบที่มีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ก็ยิ่งทำให้ผมคิดไปไกล หวนนึกถึงเรื่องของเราสองคนอย่างควบคุมไม่ได้ สมองของผมหลั่งไหลเหตุการณ์ต่างๆ มาไม่หยุด อดคิดไม่ได้ว่าการที่ดินแดนทำผิดคำสัญญานั้นมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรือเปล่า

ผมคิดไปต่างๆ นานา คิดไปถึงขนาดที่ว่าหากดินแดนเดินเข้ามาขอโทษผม วิงวอนให้ผมอภัยให้เขาแล้วเราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกไหม

ซึ่งผมตอบตัวเองไม่ได้

ผมจะไม่โกหกว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่! มันไม่ใช่เลย ผมเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกรุนแรง

รักแรง โกรธแรงและเกลียดแรง

เมื่อมีความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้ ผมที่เป็นลูกชายคนเล็ก ถูกคนที่บ้านโอ๋มาตั้งแต่เด็กมีหรือที่จะทนกับเรื่องพวกนี้ได้? ไม่! ที่จริงแล้วผมทนไม่ได้ แต่ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ทั้งที่ความอดทนหมดไปนานแล้วนั้นเป็นเพราะผมรักดินแดนมากเหลือเกิน

แต่ในขณะที่ผมยังคงจมอยู่กับเรื่องบ้าๆ ในสมอง เฝ้าถามตัวเองอย่างไร้ซึ่งคำตอบอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันที ตามมาด้วยร่างของใครบางคนที่ผมคุ้นตา

ร่างของคนที่ผมรักเขามากกว่าตัวเอง ดินแดนก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่แสนสง่างาม ใบหน้านิ่งเฉยไร้วี่แววโศกเศร้าเสียใจที่ควรจะมีให้เห็น เขามีเพียงแววตาไร้อารมณ์ที่จับจ้องมาที่ผม มองผมด้วยความรู้สึกไม่เหมือนเดิม และมันช่างสั่นใจผมได้ดีเหลือเกิน

ผมกำผ้าห่มข้างตัวเอาไว้นิ่งๆ มองใบหน้าของคนผมรักอย่างต้องการคำอธิบาย

ผมอยากรู้…เขาผิดสัญญากับผมจริงๆ ใช่ไหม?

เขาลืมมันจนหมดแล้วจริงๆ หรือกับวันเวลากว่าสองปีของเราสองคน มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาเลยหรือยังไงกัน เขาจึงได้เมินเฉยต่อผมในทุกๆ วินาที

“ไง…” เสียงของผมเอ่ยทักออกไปเพื่อทำลายความเงียบที่แสนน่าอึดอัดนี้ ดินแดนเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวมันมั่นคงและหนักแน่น ดึงดูดสายตาของผมเสมอมาไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน

“แดนมารับไมน์กลับบ้านหรือ? เสียดายจังไมน์ยังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวันน่ะ คุณหมอไม่ยอมให้ไมน์กลับตอนนี้นะสิ” มันฝืน ผมกำลังฝืนทั้งรอยยิ้มและน้ำเสียงสดใส ฝืนทำมันทุกอย่างเพื่อเขา เพื่อไม่ให้เขาต้องจากไป

สุดท้ายไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน เพียงแค่เห็นหน้าของแดน หัวใจของผมก็ไม่เคยตัดแดนออกไปได้จริงๆ

“เพราะงั้นวันนี้…”

“ไมน์…” ผมชะงักคำพูดลงทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ ผมหลบตาของแดนเพราะไม่สามารถห้ามความอ่อนแอเอาไว้ได้ ไม่อยากจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเขา ผมพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอ กะพริบตาไล่ความร้อนที่แล่นขึ้นมา

“อืม…” ผมหลบตา แต่ยังรู้สึกได้ว่าดินแดนกำลังจับจ้องผมอยู่ไม่วางตา เขายังคงมองผมเช่นทุกวันที่มีเรา เพียงแต่ความรู้สึกที่เขามองผมในคราวนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“หมอว่ายังไงบ้าง” ผมเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นระริกทั้งที่หัวใจเต้นโครมคราม

แดนกำลังห่วงผม เขาเป็นห่วงผมใช่ไหม?

“ไม่ ไม่เป็นไรแล้ว หมะ หมอบอกว่าพักผ่อนน้อยเท่านั้นเอง” ผมยิ้มกว้าง ความดีใจแล่นพล่านไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ จนผมไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มเอาไว้ได้

ผมยังมีหวัง ความหวังยังไม่หมดไปจากเราสองคน

“ไม่ต้องเป็…”

“ไม่ได้เป็นห่วงหรอก แค่ไม่ชอบให้คนอื่นมาหาว่าเราทำร้ายไมน์”

ผมชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน รอยยิ้มที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความยินดีค่อยๆ จางลง ดวงตาผมไหวไปตามอารมณ์ที่ดิ่งลงเหว หัวใจบีบรัดจนรวดร้าวและทรมาน

เขาไม่ได้เป็นห่วงผม ผมไม่ได้ถูกห่วงใย

เขาเพียงแค่…กลัวคำกล่าวหา

นั่นสินะ นั่นคงเป็นเรื่องที่เขากลัวที่สุด ไม่ใช่อาการของผม ไม่ใช่ความเจ็บป่วยที่ผมเป็น เขาไม่ได้สนใจไยดีว่าผมจะเป็นหรือตาย

เจ็บจัง หัวใจของผมต้องทนเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ

“แดน…”

“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ตัวสั่นไปกับแรงสะอื้นที่แสนเจ็บปวด แววตาของดินแดนไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย มันเรียบเฉยและเย็นชาจนผมที่ถูกมองต้องปลดปล่อยความปวดร้าวออกมา

ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่ใช่ความห่วงใยที่ชวนให้โล่งใจ

แต่เป็นประโยคตัดความรำคาญที่เขามอบมันให้ผม ดินแดนคนนี้ ใจร้ายดีเหลือเกินนะ จะต้องให้ผมเจ็บช้ำกับเขาไปอีกมากมายแค่ไหน

ทำไมเขาถึงเย็นชากับผมขนาดนี้!

ผมเป็นแฟนเขานะ!

“แดนคะ ไปกันหรือยังคะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกชื่อแฟนผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานผ่านม่านน้ำตา เธอคนนั้น…ผู้หญิงที่ถูกแดนดึงไปในวันที่ผมเอาอาหารไปที่โรงแรม ผู้หญิงที่มองผมด้วยรอยยิ้มและแววตาเย้ยหยัน ผู้หญิงที่ผมเห็นเธอผ่านรูปที่เธอและแดนกำลังจูบกัน

ผมจดจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ทั้งหน้าตาและรูปร่างของเธอ จดจำจากความเจ็บปวดที่แดนเป็นคนมอบให้ เธอคือคนนั้นสินะ คนที่ได้ครอบครองพื้นที่ในหัวใจของแดน เป็นคนที่ทำให้คนรักของผมผิดสัญญา

“ครับบัว ผมกำลังจะออกไปครับ” น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนที่ครั้งหนึ่งเคยมีมันไว้เพื่อผม วันนี้กลับมีไว้เพื่อใครอีกคน

ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นน้ำตาและเสียงสะอื้น ผมมันอ่อนแอ พ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้กลับไปด้วยซ้ำ เธอคนนั้นเพียงแค่เพิ่งมาใหม่ ผมกับแดนต่างก็ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งรอยยิ้ม ความสุขและความรักที่เราต่างมีให้แก่กัน

เธอเป็นใครกับถึงมาทำลายมันในวันนี้

เธอเป็นใครถึงได้มีสิทธิ์มีเขาข้างๆ แทนที่ผม!

“อุ๊ย! คุณไมน์ ขอให้หายป่วยไวๆ นะคะ” ทั้งที่เธอส่งยิ้มมา แต่ผมกลับมองว่ามันคือการเยาะเย้ยที่เธอส่งมาให้ คำที่เอ่ยออกมาราวกับห่วงใยกลับคล้ายการตอกย้ำซ้ำเติมให้ผมต้องทรมานยิ่งกว่าเก่า

ผมกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ มองเธอด้วยสายตาไม่ยินยอม ไร้ซึ่งความเป็นมิตรใดๆ ทั้งสิ้น สายตาของผมไม่ละไปจากเธอ

ผมเกลียดเธอที่เข้ามาทำให้เราห่างกันไป

ผมเกลียดเธอที่มาแย่งดินแดนไปจากผม ทั้งๆ ที่เรารักกันดี แต่เพียงแค่มีเธอเข้ามาเท่านั้น ดินแดนก็เปลี่ยนไป…

“ออกไปซะ เธอเป็นใครถึงมาเพูดกับแดนแบบนี้!” ผมคุมตัวเองไม่ได้ ความโมโห ความไม่ยินยอมมันบังคับให้ผมต้องตอบโต้เธอกลับไป

“ไมน์!”

ไม่ยอม ผมไม่ยอมหรอก

แดนน่ะ…เขาเป็นของผมต่างหาก!

“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ออกไป!!” ผมตะคอกออกไปจนเสียงดังไปทั้งห้อง มองภาพที่เธอคนนั้นตัวสั่นระริก แววตาและใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างขยะแขยง

โกหกชัดๆ ดูก็รู้ว่าเธอแค่เล่นละครตบตา! เธอคนนั้นไม่เคยกลัวผม เธอไม่เคยแม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำว่าผมจะเป็นยังไงรู้สึกแบบไหน

เธอแค่อยากแย่งแดนไปจากผม

ไร้ยางอายสิ้นดี! แดนเห็นอะไรดีในตัวผู้หญิงคนนี้กันถึงขนาดที่สามารถลืมเลือนวันเวลาดีๆ ที่เรามีด้วยกันมาไปได้ เธอพิเศษกว่าผมตรงไหน ผมสิ! ผมต่างหากที่รักเขามากที่สุด ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าด้านคนนั้น!

“ขะ ขอ ฮึก ขอโทษค่ะ บะ บัวจะ ฮึก ฮือ ออก ปะ ไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ ฮือๆ”

ตอแหล! เธอกำลังตอแหล แกล้งบีบน้ำตาทำตัวน่าสงสารทั้งที่ทำร้ายผมสารพัด!

ทำไมล่ะแดน! ทำไมถึงดูไม่ออกว่าเธอคนนี้มารยาสาไถยขาดไหน ทำไมถึงมองไม่เห็นเสียที!

“หยุดได้แล้วไมน์! ใบบัว ไม่ต้องไปครับ อยู่กับผมนี่ล่ะ!” ผมได้แต่มองดินแดนดึงเธอคนนั้นเข้ามากอดเอาไว้แนบอก ปลอบโยนเธอราวกับสิ่งมีค่าที่ต้องหวงแหน ภาพการเอาใจใส่ที่แดนมีต่อเธอมันทำให้หัวใจของผมแทบจะแหลกสลายจนต้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงเพื่อระงับความเสียใจและโกรธเกรี้ยวเอาไว้

อ้อมกอดของแดน ทั้งๆ ที่มันเป็นของผมแท้ๆ แต่เธอกลับได้มันไป

กล้าดียังไงแย่งเขาไปจากผม!!

“ปล่อย อย่าไปกอดนะ แดนปล่อยสิ ปล่อยมันเดี๋ยวนี้!!!!” ผมก้าวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว กระชากร่างของแดนออกจากเธอ แยกทั้งคู่ไม่ให้กอดกันต่อหน้าต่อตาผม ผมทนไม่ได้ ผมทนมองมันไม่ได้

“ไมน์! หยุดบ้าได้แล้ว!”

หยุดได้ยังไง จะหยุดได้ยังไง ถ้าผมหยุด ผมก็จะต้องเสียแดนไป ผมหยุดไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ร่างกายและหัวใจของผมสั่งการทุกอย่าง ผมพุ่งตัวเข้าไปหาเธอ ดึงสายน้ำเกลือของตัวเองออกโดยไม่สนใจว่าเลือดมันจะไหลออกมาหรือเปล่า กระชากไหล่เธอแล้วกุมมันเอาไว้ทั้งสองข้างอย่างแรง เขย่าเธอโดยไม่สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บแค่ไหน เพราะผมไม่คิดว่าในที่แห่งนี้…จะมีใครเจ็บไปมากกว่าผม

“คุณไมน์ บัวเจ็บค่ะ ฮึก อย่าทำบัวเลย” ยิ่งเธอทำท่าทางอ่อนแอเหลือเกินผมก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ ฝ่ายมือของผมยกขึ้นหมายจะตบเธอ แต่แล้วผมกลับถูกดินแดนคว้าแขนเอาไว้แล้วบีบข้อมือของผมอย่างแรง แววตาที่เขาใช้มองผมมันดูเลวร้าย ราวกับว่าผมคือฆาตกรที่ถูกตามล่า ทำความผิดมามากมายทั้งที่ผมเพียงแค่…ทำร้ายผู้หญิงของเขา

“ไมน์! คิดจะทำอะไรบัว!”

ปึก!







...........50%..........





เสียงอะไรคะ เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!! รอชมต่อได้ในวันพรุ่งนี้นะคะ คิกๆ
ปล. อยากให้ทุกคนอดทนรอกันอีกนิดนะคะ เพราะน้องใกล้แล้วจริงๆ อดทนอีกหน่อยน้าาา


เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [6] เจียนตาย 50% Up [14/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 15-03-2020 07:51:19
คนอ่านก็จะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันอึดอัดจริงๆเมื่อไหร่ไมน์จะออกมาจากตรงนี้สักที
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [6] เจียนตาย 100% Up [15/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 15-03-2020 20:02:24
[6] 100%

“ไมน์! คิดจะทำอะไรบัว!”

ปึก!


ผมถูกผลักจนศีรษะกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ แดนไม่สนใจผมแม้แต่น้อย เขาเอาแต่สำรวจใบหน้าของเธอคนนั้นเพื่อหาบาดแผล ในขณะที่ผมล้มอยู่ที่พื้น เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลลงมาจากศีรษะลงสู่แก้มอย่างช้าๆ กลิ่นคาวของเลือดลอยฟุ้งอยู่ในอากาศจนผมได้กลิ่นมันอย่างชัดเจน

ผมยกมือที่สั่นระริกขึ้นแตะบริเวณหน้าผากของตัวเอง มองของเหลวสีแดงที่เปื้อนปลายนิ้วอย่างร้าวราน มันเจ็บจนผมไม่อาจอธิบายได้ บาดแผลที่ผมได้รับมันไม่ได้ทำให้ผมอ่อนแอ แต่เป็นเพราะผมถูกทำร้ายจากเขาต่างหาก นั่นต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บปวดจนอยากจะตาย

“ฮะ ฮะๆ”

เจ็บดีจัง เจ็บจนรู้สึกได้ถึงความตายที่อยู่ตรงหน้า

ผมหัวเราะพร้อมกับสบตากับดินแดนที่มองมายังเลือดสีสดบนใบหน้าของผม แววตาของเขาสะท้านวูบไหวไปครู่หนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่แทบไม่ทันสังเกตเห็น ก่อนที่มันจะเรียบเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในหัวใจ ผมยิ่งเจ็บปวดกว่าเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นว่าเขาขยับเธอคนนั้นไว้ทางด้านหลัง แสดงออกชัดถึงการปกป้อง

ปกป้องเธอด้วยการทำร้ายผม นั่นสินะสิ่งที่เขาเลือกจะทำ

“ไมน์…”

อย่ามาเรียกชื่อของผม! อย่ามาทำเหมือนว่าผมเป็นคนที่ผิดในทุกอย่าง ทั้งที่เขาต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ! เขาต่างหากที่ทรยศต่อความรักที่ผมมีให้!

เขาต่างหากที่ทำ!

“หายไวๆ นะ”

“ห้ามไปนะ! ห้ามไปกับเธอนะ!”

อย่าไปจากผม อย่าทิ้งผมไปนะ

“ปล่อย ไมน์ปล่อยเดี๋ยวนี้!!” ผมส่ายหน้ากอดแขนของเขาเอาไว้แน่น แม้ว่าจะถูกอีกคนรังเกียจมากแค่ไหน แต่ผมไม่สามารถปล่อยเขาไปได้

ขอร้องล่ะ

โลกใบนี้…ผมต้องการแค่เขา

แต่คำวิงวอนร้องขอของผมช่างไร้ผล ดินแดนไม่สนใจผมสักนิด เขาสะบัดแขนออกจากผม ใช้มือที่เคยโอบกอดผมข้างนั้นโอบเอวของเธอออกไปจากห้อง ผมทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง มองร่างของแดนที่เดินจากไปพร้อมกับเธอคนนั้น ผู้หญิงที่ชื่อใบบัว

ไม่! ผมไม่ยอมหรอก!

ผมตัดสินใจลุกขึ้นวิ่งออกไปตามทางที่แดนเพิ่งจะก้าวไป กวาดสายตามองหาร่างของคนที่ผมรักสุดหัวใจด้วยความหวัง เมื่อผมได้เห็นแผ่นหลังของเขา ความลังเลใดๆ ก็หายไปจนหมดสิ้น ผมออกตัววิ่งไปที่เขาทันที โถมร่างกอดแผ่นหลังของดินแดนเอาไว้จนแน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครมองสักกี่คน จะถูกจับจ้องด้วยสายตาแบบไหน

ขอเพียงรั้งเขาไว้ได้ ผมก็ยอมทำทั้งนั้น

“อย่าทิ้งไมน์ไปเลยนะแดน…อยู่กับไมน์เถอะนะ ไมน์ ฮึก รักแดนนะ แดนไม่รักไมน์แล้วหรือ” ผมโอบแขนรัดรอบร่างกายของเขา กระชับความอบอุ่นกอดเก็บเอากลิ่นกายที่แสนคุ้นเคยเอาไว้

ผมเสียเขาไปไม่ได้ ถ้าหากผมเสียเขาไป เท่ากับผมเสียเหตุผลที่จะหายใจไปด้วย

“ปล่อย…เราว่าไมน์ควรจะเข้าใจได้แล้วนะ” ผมส่ายหน้า ไม่ยอมรับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งคำปฏิเสธหรือแม้แต่สิ่งที่เขากระทำ ผมรักเขา เราสองคนรักกัน นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมั่น

“แดนจำได้ไหม ไมน์เคยบอกแดนแล้วว่าไมน์จะรักแดนตลอดไป เราสองคนจะรักกันตลอดไป ฮือ ทำไมล่ะ ทำไมแดนถึงลืมมันไป” แดนสลัดตัวผมออก สายตาและสีหน้ามีเพียงความเย็นชาที่ส่งมาให้ผม ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความรักที่มีให้ผม

ผมทรุดกายลงกับพื้น กอดขาของแดนเอาไว้จนแน่นไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ผมไม่เคยทำขนาดนี้เพื่อใครมาก่อน แต่ผมยอมทำเพื่อเขาเพียงคนเดียว

ศักดิ์ศรีใดๆ ผมก็ยอมแลกได้ ขอเพียงได้มีเขาต่อไปก็เพียงพอ

“ขอโทษนะ…เราลืมมันไปหมดแล้วล่ะ”

“ละ ลืมหมดแล้ว ฮึก ลืมแล้วจริงๆ หรือ ฮือออ”

เขาลืมมันไปหมดแล้วจริงๆ หรือ เขาลืมความรักที่เราสองคนมีให้กันไปจนหมดแล้วได้จริงๆ นะหรือ ทั้งๆ ที่ผม…ไม่เคยลืมมันไปได้เลยสักวัน แต่เขากลับลืมมันลงไปได้ง่ายๆ

“ใช่! ลืมไปหมดแล้ว”

ผมหมดเรี่ยวแรงจะฝืนดึงรั้งเขาเอาไว้อีก มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปช้าๆ ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าว ทุกๆ ก้าวที่เขาเดินจากไปเหมือนมีดที่กรีดลงมาบนตัวผมช้าๆ ย้ำจนแน่ใจแล้วว่าผมทรมานเกินกว่าจะตายลงไปได้ ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่สนใจพยาบาลที่เข้ามาไถ่ถามอาการของผมด้วยซ้ำ ไม่ได้สนใจแม้แต่ความเจ็บปวดจากการถูกรักษาแผลบนใบหน้าและข้อมือ

เพราะไม่มีสิ่งไหนที่เจ็บไปกว่าใจของผมอีกแล้ว

ลืมหมดแล้ว…ลืมมันไปจนหมดแล้ว จริงๆ สินะ ผมไม่มีวันเป็นคนเดิมที่ได้ยืนเคียงข้างเขาอีกแล้วใช่ไหม ไม่มีวันที่ผมจะได้อยู่ในชีวิตเขาอีกแล้วใช่ไหม อนาคตที่เคยมีเรา ต่อจากนี้ไป…มันคงไม่เหลือเราอีกแล้ว

แล้วทำไมผมถึงทำใจยอมรับมันไม่ได้สักทีกะนล่ะ ทำไมเสียงร้องไห้และน้ำตาของผมมันถึงได้ไหลไม่ยอมหยุดแบบนี้ ทำไมผมถึงต้องเป็นคนที่เจ็บปวดมากกว่าใคร ทำไมล่ะ...ทำไมผมถึงต้องจดจำทุกๆ อย่างได้

ทั้งที่เขา…ลืมมันไปแล้ว

“วันนี้อยากกินอะไรล่ะแดน”

“กินไมน์…ได้ไหมครับ”


ลืมมันจนหมดแล้วสินะ ในวันที่เราสองคนกอดกัน

“หนาวหรือ?”

“ใช่ หนาวมากเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก แดนสัญญาว่าจะกอดไมน์ตลอดไป หนาวเมื่อไหร่ แดนจะกอดไมน์เอาไว้เอง”


ทั้งที่ผมไม่เคยลืมมันได้เลยสักวัน แต่ทำไมล่ะแดน ทำไมถึงพูดออกมาว่าลืมมันไปแล้วอย่าง่ายดาย ความทรงจำของเราสองคนมันไม่มีค่าให้จดจำขนาดนั้นเลยหรือ มันเป็นเศษส่วนที่ไม่สมควรเก็บเอาไว้ในส่วนไหนเลยจริงๆ หรือ ผมเป็นเพียงแค่คนที่ไร้ค่าในสายตาของเขาจริงๆ ใช่ไหม

“ไมน์!!!” ผมเงยหน้าขึ้น หันกลับไปมองด้านหลังอย่างเหม่อลอย ดวงตาพร่าเลือนไปหมดจนมองแทบไม่เห็น รับรู้เพียงใครบางคนกำลังวิ่งตรงมาหาผม ดึงเอาตัวของผมเข้าไปกอดเอาไว้ ใช้ความอบอุ่นจากร่างกายถ่ายทอดมันมาให้ผมที่กำลังจะจมลงไปในทะเลอารมณ์

“พี่…มิน” อ้อมกอดของพี่มินกระชับแน่นขึ้น ร่างกายของพี่มินกำลังสั่น ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่

พี่มินกำลังร้องไห้ พี่ชายของผม…กำลังเจ็บปวด

แต่เพราะอะไรกันล่ะ เพราะอะไรพี่ชายของผมถึงต้องร้องไห้ด้วย ผมไม่เข้าใจ

“ใช่ๆ พี่เอง ไมน์…พี่เอง” เสียงของพี่มินสั่นเครือไปหมด ผมยิ่งถูกกอดรักจนแน่นขึ้นไปอีกเมื่อผมคอยแต่เรียกพี่ชายตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด

ผมเหนื่อยจังเลย อยากลองหยุดหายใจดูบ้าง ถ้าหากว่าผมตายไป แดนจะเสียใจไหม ถ้าหากว่าผมหายไปจากโลกของเขา เขาจะจดจำผมได้สักเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำไหม ถ้าหากว่าผม…ปล่อยเขาไป ผมจะถูกเขาลืมไปใช่ไหม เขาจะไม่มีผมอยู่ในความทรงจำอีกต่อไปแล้วใช่หรือเปล่า

“พี่…มิน” อย่าลืมผมนะแดน อย่าทิ้งผมออกไปจากความทรงจำของคุณเลยนะ ผมรักคุณมากเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจ ผมอยู่ไม่ได้ถ้าหากต้องสูญเสียคุณไป แต่การถูกคุณลืมไปกลับยิ่งเป็นการฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

“ไมน์ หนูไมน์…กลับบ้านกันเถอะนะ กลับไปที่บ้านของพวกเรากันนะครับคนเก่ง”

“ฮึก พี่มิน ฮืออออออ”

บ้านของพวกเรา บ้านที่มีพ่อ แม่ และพี่มิน บ้านที่ผมจะยิ้มและมีความสุข บ้านที่มีแต่ความทรงจำอันแสนสุข

บ้าน…ของเรา





แดน!! แกกล้าทำน้องเหรอย๊ะ! ย้ากกกก!!! (รู้สึกเหมือนกำลังจะกลายเป็นฆาตกร 555) เอาล่ะค่ะ มารอลุ้นกันว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อ แต่บอกเลยว่า หึๆ อีกไม่นาน ไม่นานเกินรอ ไม่นานเราจะอยู่ในจุดที่จะหัวเราะไปด้วยกัน ฮ่าๆๆๆ

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [7] หัวใจที่แตกสลาย Up [16/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 16-03-2020 20:09:37
หัวใจที่แตกสลาย

ผมทอดสายตาออกไปทางหน้าต่างด้วยอาการเหม่อลอย ความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งมันทำให้ตัวผมเองไม่อยากจะสนใจในสิ่งไหนอีก ได้แต่จมอยู่กับภาพของดินแดนที่เดินเคียงข้างเธอคนนั้น ภาพแผ่นหลังของคนที่ผมรักกำลังค่อยๆ เดินจากผมไป ผมกอดขาตัวเองเอาไว้อย่างต้องการสิ่งยึดเหนี่ยว มันทรมานและปวดร้าวจนผมไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีก

“ไมน์…ดูสิใครมาเยี่ยม” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก แต่ความสนใจกลับไม่ได้ไปตามสายตาแม้แต่น้อย

ในสมองของผมว่างเปล่าเกินกว่าจะสามารถรับรู้อะไรได้ การถูกเรียกแล้วผมยังสามารถหันไปได้ มันเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติจากร่างกายของผมเพียงเท่านั้น เพราะความจริงแล้วผมยังไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากภาพติดตานั้นได้

เขาเลือกจะทิ้งผมเอาไว้ตรงนี้ เลือกที่จะไปกับใครอีกคน…มากกว่าผมที่เป็นคนรัก

ความจริงแล้วผมควรจะยอมรับและเข้าใจมันได้เสียที แต่ผมก็ยังคงรอคอยและคาดหวังเอาไว้ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะเดินกลับมาหาผม แล้วเราสองคนจะกลับไปรักกันอีกครั้ง ผมมีเขาอยู่ในชีวิตและหัวใจ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของทั้งร่างกายและหัวใจของผม

ทั้งที่เราสองคนต่างก็รักกันมาก ไม่สิ ต้องบอกว่า…ทั้งที่ผมรักเขามากต่างหาก เพราะตัวเขาไม่ได้รักผมอีกแล้ว เขาลืมเลือนทุกสิ่งที่เป็นผมออกไปจากใจของเขาแล้ว มันไม่มีคำว่าเราสองคนอีกแล้ว ชีวิตนี้ต่อไป…เหลือเพียงแค่ผมเพียงคนเดียว แค่ผมที่ไม่มีดินแดน

“ไมน์…พ่อกับแม่มาเยี่ยมนะครับ” เสียงของพี่มินปลุกผมจากความเหม่อลอย เพราะคำว่าพ่อกับแม่มันกระแทกเข้ามาตรงกลางใจผมอย่างแรง

น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่บอบช้ำ ผมปล่อยให้มันไหลรินอย่างไม่คิดจะหยุดมันเอาไว้ ให้มันได้แสดงความอ่อนแอที่ผมมีออกมาให้จนหมด เพราะเพียงแค่เห็นหน้าของพ่อกับแม่ ผมก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณแล้วว่า จากนี้ไม่ว่าผมจะอยากอ่อนแอสักเท่าไหร่ ก็จะไม่มีใครเหยียบย่ำผมอีก เพราะพวกเขา…ครอบครัวของผมจะคอยปกป้องผมเอาไว้จนสุดกำลังที่มี

“พ่อครับ แม่ครับ ฮึก ฮือ”

“โธ่…ไมน์ลูกแม่” แม่สวมกอดผมแนบอก กดศีรษะของผมให้ซบลงไปที่อกอันอบอุ่นของแม่ มือของแม่ค่อยๆ ลูบหัวผมเบาๆ ถ่ายเทความรู้สึกที่ถูกรักมาให้ผมจนล้นเหลือ

ผมบังคับร่างกายที่สั่นระริกให้ยกมือขึ้นกอดตอบร่างของแม่ไป ซบใบหน้าร้องไห้อยู่ไม่ห่างไปไหน ผมอ่อนแอ ผมกำลังพ่ายแพ้ ผมจึงร้องไห้อย่างหนักเมื่อจับต้องความรู้สึกรักใคร่ที่หายไปนาน ผูกคนมองมาที่ผม พี่มินและพ่อต่างก็มองภาพที่ผมร้องไห้ไม่หยุด ส่งเสียสะอื้นราวกับจะขาดใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อนุรักษ์ก็เมินหน้าหนีไปทั้งที่สายตาของมันเองก็มีแววปวดร้าวอยู่เช่นกัน

ผมไม่รู้ว่าถูกปลอบประโลมด้วยคำว่าไม่เป็นไรนะลูกอยู่นานเท่าไหร่ ผมรู้แค่เพียงว่าเพียงแค่คำคำนี้ก็สามารถทำให้ผมปลดล็อกตัวเอง ปล่อยความเจ็บปวดออกมาเป็นน้ำตาจนหมดสิ้น ส่งเสียงสะอื้นไห้อย่างไม่คิดจะอายใครจนเสียงดัง

ไม่มีใครเข้าใจผม มีแค่ครอบครัวของผมเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่เคียงข้างผมในตอนนี้

“แม่ ฮึก ผมคิด ฮือๆ ถึงแม่จังเลย ฮือออ”

คิดถึง คิดถึงที่สุด

ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองคิดถึงความรักที่เคยได้รับมาตั้งแต่เด็กจนโตขนาดนี้ ไม่เคยรู้เลยจนถึงตอนนี้ว่าความรักที่เคยได้รับมามันดีมากมายแค่ไหน

“ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงพี่มิน ฮึก ทุกคนเลย ฮือๆ” ทุกคนในบ้านสุทธิวรกุลต่างก็รักและเป็นห่วงผมกันทั้งสิ้น ผมคิดถึงทุกคน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะคิดถึงสิ่งที่เคยมีได้ขนาดนี้ ในวันที่ผมล้มจนลุกขึ้นมาไม่ไหว มีเพียงแค่เพื่อนและครอบครัวเท่านั้นที่พาผมให้ยืนขึ้นมา

คิดถึงที่สุด คิดถึงจนผมไม่เคยคิดว่าตัวเองอยู่มาได้ยังไงในวันที่ไม่มีพวกเขา

“อย่าร้องไห้ไปเลยนะลูก” ผมส่ายหน้ากับอกของแม่ ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ พ่อขยับเข้ามาหาผมช้าๆ ยื่นมือออกมาลูบหัวผมอีกคน ใบหน้าของพ่อแม้จะเรียบเฉย แต่แววตาที่มองมาที่ผมกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง

“เป็นลูกผู้ชาย เรื่องแค่นี้มันไม่เป็นไรหรอกนะไมน์”

“ฮึก แต่ผม ฮึก เจ็บตรงนี้ครับพ่อ ฮึก เจ็บตรงนี้” ผมชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง บอกตำแหน่งที่ทำให้ผมเจียนตายอยู่ตอนนี้ให้พ่อได้รับรู้ ว่าผมเจ็บมากเหลือเกิน

ทุกคนต่างเงียบเมื่อเห็นว่าผมทรมานมากมายแค่ไหนจากแววตาและจำนวนน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล ผิวแก้มเปียกชุ่ม ชุดผู้ป่วยที่ผมใส่ก็เปียกไปด้วยเช่นกัน ความเงียบมันยิ่งทำให้เสียงสะอื้นของผมได้ยินจนชัดเจน พี่มินกำมือตนเองแน่น เม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ แววตากร้าวจนน่ากลัวไม่ต่างจากพ่อผม

“เขาสำคัญขนาดนั้นเลยหรือลูก ทำไมต้องเอาหัวใจไปให้เขาเหยียบเล่นด้วยคะ” ผมยิ้มทั้งน้ำตา สบตาแม่ด้วยความรวดร้าวที่มีมากเหลือเกินในหัวใจของผม

“ผมไม่รู้ครับว่าเขาสำคัญมากไหม ฮึก แต่แค่เขาเดินไปจากผม ผมก็แทบไม่อยากจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว” ผมรู้ว่าไม่ควรพูดออกไปแบบนี้ แต่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ แดนสำคัญไหม คงไม่มากเท่าครอบครัวของผม แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งของผมอยู่ที่เขา หัวใจของผม และลมหายใจ มันถูกเขายึดเอาไว้ในกำมือ แต่สำหรับเขา…มันคงไม่สำคัญ

“ไมน์…ทำไม ฮึก ทำไมพูดแบบนี้ละคะลูก”

“แม่ครับ ผมขอโทษ ฮือๆ” ผมไม่ได้อยากให้แม่ร้องไห้ ไม่ได้อยากให้แม่เจ็บปวดสักนิด ผม แต่ผมกำลังเจ็บปวดจริงๆ ผมแทบไม่อยากจะหายใจอีกต่อไปด้วยซ้ำ

“ไมน์ แค่มันคนเดียวเอง แค่มันเท่านั้น ไมน์จะแลกชีวิตกับมัน โดยไม่สนใจพี่กับพ่อแม่เลยหรือ? ไม่สงสารพวกเราหรือไมน์…”

“…ฮึก…”

“เราบอกว่าอยู่ไม่ได้โดยไม่มีมัน แล้วพี่กับพ่อแม่ล่ะ จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเรา” ผมกระชับอ้อมกอดของแม่แน่นขึ้น ได้แต่สะอื้นกับความจริงที่พี่มินพูดออกมา

ผมอยู่ไม่ได้โดยไม่มีแดนจริงๆ แต่ผมคงเสียใจยิ่งกว่าถ้าทุกคนอยู่ไม่ได้เพราะผม

“กลับบ้านเราเถอะ คนแบบนั้น…อย่าไปสนใจอีกเลย” ผมกำเสื้อของแม่จนยับ ในหนึ่งผมอยากกลับไป อยากโผเข้าไปซบอ้อมกอดอันอบอุ่นที่บ้านสุทธิวรกุล บ้านที่ผมเติบโตมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกใจหนึ่งก็คัดค้าน ยังคอยหวังว่าดินแดนจะกลับมาหาผม แม้จะรู้ดีว่าไม่มีวันนั้นก็ตาม

ผมรู้ดีว่าควรตัดใจ รู้ดีว่าควรจะลืมไปได้แล้วเหมือนที่เขาลืมผม แต่ผมก็ยังไม่สามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ มันอ่อนแอ มันคอยแต่เรียกหาเพียงดินแดนเท่านั้น ทั้งที่สมองไหลเวียนความทรงจำอันปสดร้าวออกมาตอกย้ำหัวใจที่ไม่รักดี แต่ถึงจะเจ็บปวดมากจนแทบจะขาดใจ หัวใจของผมก็ยังคงต่อต้าน ไม่ยอมรับความจริงสักที

ไม่ยอมลืมวันเวลาที่เราเคยรักกันว่ามันช่างแสนสุขมากแค่ไหน

“ไมน์…กลับบ้านเรากันเถอะนะคะลูก” ผมยังคงเงียบ ไม่อาจให้คำตอบกับความคาดหวังของพ่อแม่และพี่มินได้ ผมยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้นนานพอควร มันลังเล มันยังไม่อาจเดินจากแดนไปได้เต็มร้อย ผมไม่ได้เป็นคนเจ็บไม่จำ แต่คนอย่างผมอยากลองเดินไปให้สุดทาง ถ้ามองไม่เห็นทางจะไปต่อ ถ้าผมหมดแล้วซึ่งความหวัง ผมคงจะยอมเดินกลับมาที่นี่ ที่ที่เรียกว่าบ้าน

“ผม…” สายตาของผมเต็มไปด้วยความลังเล

“ไมน์…” ทุกคนกำลังเฝ้ารอคำตอบของผม คำตอบที่มันไม่ชัดเจนมากนัก แต่แน่ชัดแล้วว่าผมคงจะตอบรับไม่ได้

“ขอโทษครับ ผมเป็นลูกที่แย่ เป็นน้องที่ไม่เอาไหน ฮึก ผมยังอยากลองเริ่มจากการห่างเขาทีละน้อย”

ให้มันคุ้นชินและได้จดจำเอาไว้ว่าเขาไม่รักผมอีกต่อไปแล้ว

“เมื่อถึงวันที่ผมแน่ใจ ผม…จะกลับบ้านนะครับ” ทั้งที่รู้ว่าถ้าผมกลับไปที่บ้าน ทุกอย่างมันคงมีแต่เรื่องดีๆ ผมคงไม่ต้องทรมานใจ ไม่ต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ แต่ผมก็ยังดื้อรั้น ยังคงยอมเดอนกลับเข้าไปหาความเจ็บปวดเพียงเพราะยังไม่พร้อมจะไม่มีเขาจริงๆ

อีกสักนิดเถอะนะ ขอเวลาให้ผมอีกนิด เมื่อหัวใจของผมเข้าใจมันอย่างชัดเจนแล้ว ผมจะกลับไปเองอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น…ผมจะไม่เหลือความค้างคาใจใดๆ อีก คงจะยอมปล่อยมือผู้ชายที่ชื่อดินแดนไปเสียที















กว่าจะหายดีมันก็ผ่านไปสามวัน พ่อและพี่มินไม่ยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลเด็ดขาดจนกว่าจะแน่ใจว่าผมโอเคแล้วทุกอย่าง แม่เอาแต่พูดเกลี้ยกล่อมให้ผมเปลี่ยนใจ แต่อย่างที่ผมบอกออกไป ผมในตอนนี้ยังกลับไปไม่ได้ ผมต้องการย้ำให้หัวใจตัวเองได้เข้าใจอย่างชัดเจนเสียทีว่าไม่มีทางอีกแล้ว

ผมตั้งมั่นกับตัวเองเอาไว้ว่า ผมกับแดนจะเป็นเพียงเพื่อร่วมคอนโดกันธรรมดา รอจนถึงวันที่ผมคุ้นชินกับการมองเขาอยู่ห่างๆ ผมจะไปจากเขาเองอย่างไม่ลังเลใดๆ จะยอมปลดปล่อยพันธนาการที่ผูกมัดหัวใจตัวเองเอาไว้แล้วจากไป กลับไปในที่ที่ผมควรจะอยู่มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ดื้อรั้นจะอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของเรา

สำหรับรักเองก็ดูจะไม่ชอบใจกับทางเลือกของผมสักเท่าไหร่นัก สีหน้าและแววตาของมันเต็มไปด้วยความขัดใจ แต่รักก็คือรัก รักยังคงไม่ขัดผมแม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม รักจะให้ผมทำตามทุกอย่างที่ต้องการเพราะรักรู้ดีว่าเมื่อผมเจ็บจนเกินจะทนแล้ว ผมจะยอมเดินออกมาอย่างไม่เสียดายอะไรอีก

“มึงแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?” ผมหัวเราะกับอาการห่วงมากเกินไปของเพื่อนผมคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใช่ว่าผมจะไม่ได้อยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ผมก็พอเข้าใจในสิ่งที่รักเป็นห่วงผม คงกลัวว่าถ้าผมต้องออกมาเจอแดนกับผู้หญิงคนนั้น ผมอาจจะเกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาก็ได้

“ได้สิ กูก็อยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว” ตั้งแต่เมื่อไรก็จำไม่ได้ รู้เพียงว่าหลังจากที่ดินแดนเริ่มหายไปจากผมช้าๆ ผมก็ต้องอยู่คนเดียวมาเสมอ อาจจะมีการเข้าไปในห้องของเขาบ้าง เพื่อจะได้หลอกตัวเองต่อไปว่าเรายังคงเป็นเราอยู่เช่นเดิม

“บอกกูหน่อยสิไมน์” ผมกอดอกพิงกับประตูห้องตัวเองอย่างรอคอยในคำถาม

“อะไรล่ะ?”

“มึงคิดดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม?” ผมหลุบตาลงมองพื้น สองมือที่เพิ่งกอดอกลดลงข้างลำตัวแทบจะทันที

“ไม่รู้สิ แต่ถ้ากูกลับไปที่บ้านตอนนี้ กูว่าสักวันกูก็คงออกมาหาแดนอีกอยู่ดี มึงก็รู้จักนิสัยกู”

“หึ กูรู้สิ รู้ดีเลย” ผมยิ้มเศร้ากับคำตอบรับของรัก มันเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี แต่เรื่องนี้ผมต้องตัดใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวผมเองว่าควรจะต้องทำยังไง วิธีการตัดใจของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะหลบหน้าหลบตา ไปอยู่ที่อื่นเพื่อจะลืม บางคนหาคนอื่นมาแทนที่จะได้ลืมคนคนนั้น แต่ผมไม่ใช่

คนอย่างผมมันต้องเจ็บจนเจ็บอีกไม่ไหว ผมถึงจะเดินออกไปจากแดนได้

เพราะถ้าผมเจ็บจนถึงขนาดนั้น บางทีผมอาจจะรักตัวเองขึ้นมาบ้าง

“สัญญากับกูหน่อยว่ามึงจะไม่ทำอะไรโง่ๆ” ผมชอบคำนี้นะ แต่คำว่าโง่ของมันนี่จำกัดความไว้แค่ไหนกันล่ะ

“สัญญาครับ” ผมหัวเราะในลำคอพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วคล้ายกับการปฏิญาณตนจนอนุรักษ์มองค้อนผม

“ถ้าเจอไอ้เหี้ยนั่นอยู่กับผู้หญิงก็ห้ามฆ่าให้ตาย”

“ฮ่าๆ ถ้ากูทำจริงๆ มึงอย่าลืมไปประกันตัวกูด้วยนะ” ผมตอบติดตลกออกไปจนรักมันแทบจะแยกเขี้ยวใส่ผมขึ้นมาอยู่หลายที แต่สุดท้ายรักก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด ค่อยๆ เอื้อมมือออกมาตบไหล่ผมสองสามครั้งราวกับเป็นการให้กำลังใจ

“กูกลับก่อนนะ มีอะไรโทรมา กูจะมาทันที”

“ได้ กลับดีๆ นะ”

อนุรักษ์พยักหน้าแล้วเดินจากไป ผมปิดประตูทันทีที่ลับร่างของเพื่อนไปจากสายตา เปิดไฟห้องให้สว่างแล้วมองทุกอย่างในห้องด้วยแววตาที่เจ็บปวด รูปคู่ของเราสองคน ของขวัญที่เขาให้ผม มันยังอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือความรู้สึกของเขา มีแต่ผมที่ยังคงเหมือนเดิมมาตลอด

ทั้งที่อีกคนเขาลืมไปแล้ว แต่ผมกลับยิ่งจำมันจนฝังใจ ไม่อาจจะลบเลือนมันออกไปได้

ผมหยิบเอากล่องลังใบใหญ่ที่ไปขอมาจากนิติบุคคลด้านล่างตอนก่อนขึ้นมาข้างบน มาวางไว้ตรงหน้าข้าวของเหล่านั้น อยากลองเริ่มห่างจากเขา ผมต้องเริ่มจากการค่อยๆ เก็บของของเขาออกไป

ผมหยิบเอารูปของแดนที่ถูกใส่กรอบเอาไว้ขึ้นมามองมันครั้งสุดท้าย ใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามโครงหน้าหล่อเหลาที่ฉีกรอยยิ้มเสียกว้างให้ผมอยู่ตอนนี้ ก่อนจะประทับจุมพิตลงไปด้วยความรักแล้วนำมันใส่ลงไปในกล่องแล้วหยิบของชิ้นอื่นๆ ขึ้นมาทำแบบเดียวกัน

ยิ่งเป็นของที่สำคัญมาก ผมก็ยิ่งต้องเก็บมันลงไป บางทีการไม่เห็นมันอาจจะดีกว่าก็ได้ ถ้าต้องมาทนเห็นแล้วปวดใจ สู้มองไม่เห็นมันเลยคงดีที่สุด ของบางชิ้นผมก็นำมันใส่เอาไว้เพื่อรอวันนำไปคืนเจ้าของ ถึงแม้เจ้าของของพวกนี้จะนำมันไปทิ้งขยะ แต่ผมก็ยังถือว่าได้คืนเขาไปแล้ว แบบนั้นมันจึงจะดีกว่า

อา…ผมร้องไห้อีกแล้วสิ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ครับ!” ผมตอบกลับเสียงเคาะประตูไปทันที ยกมือขึ้นปาดไล่หยดน้ำตาบนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปที่ประตูและเปิดมันออก

สิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม มันคล้ายกับเดจาวูที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว และกำลังวนเวียนซ้ำอย่างไม่รู้จบ

“หมอนี่เมาน่ะ” ผมเม้มปาก แววตาสับสนในท่าทีของภูมิที่มีต่อผม ครั้งก่อน…ตอนงานวันเกิดของแดนที่เขาเมากลับมา ภูมิก็มาส่งแดนแบบนี้ แต่ท่าทีของเขาตอนนั้นมันต่างกันมาก ตอนนั้นผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภูมิเกลียดผม เขาไม่ชอบผม แต่ตอนนี้มันต่างออกไป สายตาของเขาดูละอายใจ ดูเหมือนคนที่ไม่กล้าสู้หน้าผม

“ห้องของแดน…อยู่อีกห้องนะ” จำผิดหรือเปล่าผมอยากจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ดูท่าทางเก้ๆ กังๆ ของภูมิก็ไม่อยากจะบีบคั้นเขามาก แต่คำพูดที่พูดออกไปแล้วมันเอาคืนมาไม่ได้ เห็นสีหน้าย่ำแย่ของภูมิผมเองก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที

“มันเมา แค่อยากให้มีคนดูแลมัน ไม่อยากให้มันอยู่คนเดียว” ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตู

“ห้องแดนก็แล้วกัน” ภูมิมองผมอย่างขอบคุณ แล้วแบกร่างของดินแดนตามหลังผมมา ผมทำหน้าที่ไขประตูห้องด้วยกุญแจสำรองที่ติดตัวอยู่ พอล็อกถูกปลด ผมก็เปิดประตูออกกว้างๆ ให้ภูมิเป็นพาเขาเข้าไปในห้อง วางเขาไว้บนเตียงอย่างไม่เบามือนัก

ผมกับภูมิยืนอยู่ตรงหน้ากันและกัน เขาดูกระดากอาย ดูรู้สึกผิดอย่างมาก เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรและเรื่องอะไรที่เขารู้สึกผิดกับผม เขาเอาแต่ยืนนิ่งมองผมด้วยแววตาที่อ่อนลงไปมากโขจนผมเองที่รู้สึกไม่ชิน ก่อนหน้านี้ผมเคยอยากให้เขามองผมแบบนี้ ในตอนที่ผมกับแดนเรารักดันดี แต่มันเป็นไปไม่ได้ เวลานี้ผมได้สายตาแบบที่ต้องการมาแล้ว แต่ผมกับแดนกลับต้อง…

“เฮ้ออ…มีอะไรก็พูดเถอะภูมิ” ผมเพิ่งหายป่วย อารมณ์ไม่คงที่เพราะเพื่อนตัวดีของเขาทำผมเจ็บปวดจนแทบจะกระอักเลือด ผมคงไม่สามารถยืนอดทนรอเขาได้ทั้งคืนหรอก

“เราขอโทษนะ” นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้

“เรื่องอะไรหรือ? ทำไมต้องขอโทษเราด้วยล่ะ?”

“ตอนแรกเราไม่ชอบไมน์ บอกตามตรงเราคิดว่าไมน์มา เอ่อ เกาะไอ้แดนมัน” ผมอยากจะขำนะครับ แต่พอดีผมขำไม่ออกเสียด้วย ผมเลยทำได้แค่เหยียดยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันตัวเอง นี่ผมตกต่ำขนาดกลายเป็นคนที่ต้องเกาะคนอื่นเขากินไปแล้วหรือ ดีจริงๆ

“ช่างมันเถอะ” มันผ่านไปแล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก

“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าไมน์ไม่ได้เป็นแบบนั้น เรา…อยากให้ไมน์อยู่ข้างๆ แดน” ผมยกมือขึ้นมานวดหัวตาตัวเองเมื่อความร้อนแล่นผ่านขึ้นมา ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในอกและลำคอจนยากจะกลืนมันลงไป

“ภูมิ เราไม่ได้โกรธหรอกนะ อาจจะเป็นเราเองที่ไม่ชัดเจน ทำตัวเหมือนเป็นแบบนั้นทำให้ภูมิคิดไป เราไม่โทษภูมิแต่…” ภูมิขมวดคิ้วแน่น มองสบตากับผมอย่างไม่ละสายตา

“แต่?” ผมยิ้มเบาบาง ดวงตาเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเศร้าที่ต้องยอมแพ้

“ภูมิก็รู้ดี…น่าจะรู้ดีกว่าเรา” อย่างที่คิด เขารู้ดีจริงๆ ด้วย เพราะภูมิหลบสายตาไปจากผม เขาหลุบตาลงมองพื้นไม่ยอมสบตากับผมอีก ผมหรือไม่อยากจะอยู่ข้างๆ แดน แต่เขาเองต่างหากที่ไม่อยากให้ผมอยู่

“ขอโทษนะ” ผมส่ายหน้าแล้วส่งรอยยิ้มไปให้เขา เป็นห่วงเพื่อนผมเข้าใจเรื่องนี้ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่โกรธเขา

“ไม่เป็นไรหรอก ภูมิกลับเถอะดึกแล้ว เดี๋ยวเราจะดูแดนให้เอง”

“อืม…”

ภูมิพยักหน้า แต่สายตากลับคล้ายอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมส่งภูมิที่หน้าห้องแล้วเดินกลับมา จัดการหาผ้าผืนเล็กชุบน้ำเช็ดไปตามเนื้อตัวของแดน กลิ่นเหล้าลอยคละคลุ้งไปหมดทั้งห้องจนผมต้องเบือนหน้าหนี

“อื้อ…” แดนส่ายหน้าปฏิเสธความเย็นจากผ้าที่เปียก มือเขาปัดป่ายไปมาอย่างขัดเคืองใจ

หมับ!

“อ๊ะ!” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของแดนดึงกระชากข้อมือเข้าไปจนร่างของผมล้มลงไปทาบทับตัวของเขา กลิ่นกายผสมกับกลิ่นเหล้าลอยเข้ามาในจมูกจนผมอดนิ่วหน้าไม่ได้ แดนยังไม่ลืมตา เขาหลับตาอยู่เหมือนเดิม แต่ฝ่ามืออีกข้างกลับลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของผมจนผมตัวแข็งทื่อ

“แดน ตื่นสิ อย่าทำแบบนี้” ผมพยายามขยับร่างกายหนี แต่กลับถูกแดนพลิกร่างจนตัวผมเองที่ต้องอยู่ใต้ร่างของเขา ดินแดนพึมพำอย่างไม่อาจจับใจความได้อยู่ในลำคอ ใบหน้าของเขาซุกไซร้ไปตามลำคอของผม ดูดดึงผิวเนื้อจนเจ็บ

“แดน แดนอย่านะ!” ผมทั้งผลักทั้งดันร่างของแดนออก หวังให้ดินแดนมีสติและปล่อยผมออกจากอ้อมกอดของเขา แต่มันก็เปล่าประโยชน์

“อื้อ!” ผมถูกแดนแนบริมฝีปากลงมา ดูดดึงกลีบปากของผมอย่างรุนแรงราวกับกระหายในรสชาติ เขาพยายามสอดปลายลิ้นเข้ามา แต่เมื่อผมไม่ยินยอมเปิดรับเขาก็เปลี่ยนมาเป็นขบกัดกลีบปากของผมอย่างแผ่วเบา ใช้ฝ่ามือลูบไล้จากเอวของผมขึ้นมาอย่างช้าๆ

“แดน อืม!” ผมตกใจเมื่อเขาไม่ยอมหยุด เมื่อผมเปิดปากเอ่ยชื่อเขาก็ถูกปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ เขาดูดดึงปลายลิ้นของผมอย่างแรง กวาดต้อนจนผมมึนงงไปหมด เรี่ยวแรงที่ใช้ขัดขืนก็ลดลงไปกับสัมผัสอันแสนคุ้นเคย

“อืม บัว”

!!!

ผมตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างมองดวงตาที่หลับพริ้มอย่างตกใจ ความปวดร้าวแล่นเข้าสู่หัวใจจนทรมาน น้ำเสียงแหบพร่าที่พร่ำเอ่ยเรียกชื่อของใครอีกคนในขณะที่กำลังจูบผมมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ผมปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงสู่แก้มทั้งสองข้าง สองมือทุบอกกว้างของแดนอย่างทรมาน ความเสียใจประดังเข้ามาจนแทบจะรับไม่ไหว

อยากพอแล้ว อยากหยุดมันแล้วทุกอย่าง ผมในตอนนี้ไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว

ทั้งที่ผมมีเรี่ยวแรงมากมาย แต่กลับคล้ายกับว่าไร้เรี่ยวแรงใดๆ เสื้อผ้าหลุดออกจากร่างไปทีละชิ้น ถูกริมฝีปากของคนที่ผมรักปรนเปรอจนร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง แต่ผมกลับหยุดร้องไห้ไม่ได้

ผมนอนนิ่งๆ ให้เขาทำตามใจ แดนจับแขนของผมทั้งสองข้างไว้ข้างลำตัว พรมจูบไปตามร่างกายของผมจนทั่วทั้งร่าง กดย้ำตีตราร่องรอยสีแดงไว้ราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของ

เพียงแต่คนที่เขาอยากประกาศไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผมที่นอนอยู่ตรงนี้

“บัว อืม บัวหวานเหลือเกิน”

“ฮึก ฮือๆๆ”

ผมหันหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น นอนฟังเสียงของคนรักพร่ำเพ้อเรียกหาใครอีกคนอย่างปวดร้าวใจ ถูกย้ำชัดด้วยสัมผัสจากเขาถึงความจริงที่ได้รับในตอนนี้

มันไม่ใช่ความฝัน ไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกแล้วว่ามันไม่ใช่ความฝีน

ยอดอกถูกดินแดนขบเม้มและดูดดึงจนแดง ปลายลิ้นของเขาตวัดหยอกล้อกับมันอย่างสนุกสนาน ดวงตาทั้งสองยังคงหลับพริ้มอยู่ในห้วงความฝันที่แสนสุข สำหรับเขาคนที่เขากำลังปรนเปรออยู่คือผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่ผมที่ได้รับความรัก รสชาติของน้ำตามันขมจนผมอยากจะอาเจียน ร่างกายถูกเล้าโลมไปจนทั่ว สองขาถูกแยกออกกว้างมากขึ้นจนสะโพกของผมลอยขึ้นจากเตียง

“แดน หยุดเถอะ ข้อร้องล่ะ ฮึก ไมน์ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นนะ!!”

แม้ผมจะส่งเสียงออกไปดังแค่ไหน ดินแดนก็ไม่เคยได้ยินมันเลย เขายังคงหลงใหลไปกับภาพลวงที่เข้าใจว่าได้ร่วมรักกับผู้หญิงของเขา ผมขยับตัวหนีอย่างไม่ยินยอม ทั้งทุบทั้งตีพยายาททุกทางเพียงเพื่อจะได้ไปให้พ้นๆ จากตรงนี้เสียที ความเจ็บปวดมันถาโถมเข้ามาไม่ยอมหยุด เพียงแค่คิดว่าต้องเป็นตัวแทนของใคร หัวใจของผมก็แทบจะแหลกสลายไปแล้ว

“หยุดนะ ฮึก หยุดเดี๋ยวนี้ ฮือออ”

ดินแดนกดร่างผมให้หยุดนิ่ง มือใหญ่จับจ่อตัวตนของตัวเองเข้ามาที่ช่องทางเล็กๆ กดแทรกมันเข้ามาโดยไม่สนใจความเจ็บปวดของผมเลยสักนิด เขาโถมร่างเข้าใส่อย่างรุนแรง ขยับเข้าออกด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่คิดอะไร หากเป็นเมื่อก่อนผมคงยินยอมให้เขาทำแม้ว่าผมจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม

แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เขาเรียกใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ชื่อของผม

“บัว บัวจ๋า”

ผมหลับตารองรับแรงกระแทกที่ถูกสอดใส่โดยไม่ได้เตรียมพร้อม ความเจ็บปวดที่ร่างกายกลับไม่ได้ทรมานเท่าความเจ็บปวดที่หัวใจ ร่างกายของผมเคลื่อนไหวไปตามแรกกระแทก ถูกคนที่รักกอดด้วยความรุนแรงตามอารมณ์ แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีสักนิด ใบหน้าส่ายไปมาอย่างไม่ยอมรับ ช่องทางที่โอบรัดตัวตนของเขาบีบรัดจนแน่น

“อา บัวครับ บัว แน่นเหลือเกิน”

“พอแล้ว ฮึก พะ พอได้แล้ว ฮืออ”

ความรักของผม หัวใจของผมมันไม่มีค่าเลยใช่ไหม

มันไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องใส่ใจเลยใช่ไหม ผมต้องเจ็บเจียนตายไปอีกนานแค่ไหน

พอเถอะ พอสักที!!!

แค่นี้ผมก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว หยุดเรียกชื่อของเธอทั้งๆ ที่กำลังรักกับผมได้ไหม ผมไม่ใช่ตัวแทนของใครนะ ผมชื่อไมน์ เป็นผู้ชายที่รักคุณนะดินแดน ไม่ใช่ใบบัว

“รัก แดนรักใบบัว”

ผมปล่อยแขนลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตาเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล รัก คำว่ารักที่เคยพร่ำบอกกับผม ในวันนี้ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป หัวใจของดินแดนไม่มีผมอีกต่อไปแล้ว ผมได้แต่ยิ้มออกมาอย่างสมเพชตัวเอง หัวเราะออกมาทั้งที่ยังคงสะอื้นไห้ หัวเราะให้กับความรักที่พังทลาย และหัวใจที่ถูกเหยียบจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของคนที่ผมรัก

“อือ อา!” ความอุ่นร้อนฉีดเข้ามาในร่างกายของผม เขาถอนตัวตนของเขาออกไปอย่างช้าๆ เอนกายลงนอนลงเคียงข้างผม โอบกอดผมเอาไว้ราวกับรักและหวงแหน ยิ่งถูกริมฝีปากของเขากดจูบแผ่วเบาลงบนหน้าผาก ผมยิ่งเจ็บปวดจนแทบอยากจะตายเสียตรงนี้

ขอบคุณที่ทำให้ผมเจ็บจนทนไม่ไหวอีกต่อไป

ขอบคุณที่สอนผมมาตลอด ว่าความรักที่ฝืนทน มันไม่เคยยั่งยืน







ไมน์ลูกกก กลับมาหาแม่มา แม่จะกอดหนูเอง วันนี้พามาเต็มๆตอนเพราะพรุ่งนี้ เราจะงดอัพนะจ๊ะ ใครทีมน้องไมน์เตรียมตัวไว้ได้เลยจ้า จากนี้น้องจะ... หึๆ ไม่บอกดีกว่า รอลุ้นๆ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [7] หัวใจที่แตกสลาย Up [16/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 16-03-2020 20:41:55
 :katai1: :katai1: โมโหแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [7] หัวใจที่แตกสลาย Up [16/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 18-03-2020 02:00:51
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 50% Up [21/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 21-03-2020 11:09:13
[8] 50%


ยอมแพ้

ผมจัดการร่างกายตัวเองในห้องน้ำอยู่นาน ทำความสะอาดทุกอย่างเพื่อให้สัมผัสที่แสนเจ็บปวดหายไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี แต่มันไม่ได้ผล ผมลืมไปได้ยังไงว่าสัมผัสที่เจ็บที่สุดมันอยู่ในความทรงจำ อยู่ในหัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย เขาพร่ำเรียกหาชื่อของใครคนนั้น เฝ้าบอกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งคืน คอยจูบซับน้ำตา กอดปลอบประโลมทั้งที่มันไม่ใช่ของผม

และนั่นยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดมากเหลือเกิน

ผมปล่อยให้เขาหลับไปในห้วงนิทราอันแสนหวาน ส่วนตัวเองนั่งคิดวนเวียนไปมากับเรื่องนี้ เฝ้าถามตัวเองว่ายังทนได้อีกไหม ยังจะฝืนยืนอยู่เคียงข้างเขาได้อีกต่อไปหรือเปล่า และคำตอบที่ผมตอบตัวเองคือ…

ผมทนรับความเจ็บปวดที่เขามอบให้ไม่ได้อีกแล้ว ผมพอแล้ว

หัวใจผมมันไม่เหลือชิ้นดีแล้วในเวลานี้ ผมเลือกแล้ว วันนี้มันจะจบลงด้วยการที่ผม…จะปล่อยเขาไป

“อืม…บัว”

ผมยืนมองเขากวาดมือหาร่างของคนในความคิดถึงอย่างปวดร้าว สายตาของผมทอดความทรมานออกมาไม่ให้เขาเห็น เมื่อเขาลืมตาขึ้น ผมจึงเก็บความอ่อนแอและความทุกข์ใจเอาไว้ข้างในอย่างมิดชิด ใช้ความเฉยชามองเขาอย่างที่เขาเคยมองผม

แดนลุกขึ้นมองไปรอบห้องอย่างงุนงง มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองแรงๆ แล้วกุมศีรษะเอาไว้ ผมไม่สนใจว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกแย่? จะรู้สึกยังไงหรืออะไร เพราะคนที่ผมต้องเป็นห่วงคือตัวผมเอง เขามีคนห่วงใยมากมายพอแล้ว เขามีคนที่จะคอยดูแลแล้ว ผมควรจะรักตัวเองได้เสียที

“ไมน์หรือ” น้ำเสียงของเขามันช่างดูแปลกใจ ดูเหมือนเขาจะจำไม่ได้ แต่ก็ช่างมัน ผมเองก็ไม่ได้คิดให้เขามารู้สึกผิดหรืออะไรแบบนั้นอยู่แล้ว

ผู้ชายที่ชื่อดินแดน ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“ผมเอง” แดนดูชะงักไปกับการแทนตัวของผม แววตาของเขาดูสับสน เขามองสบตากับผมอย่างไม่เข้าใจ แววตาและสีหน้าที่คุ้นเคยมันทำให้ผมเกือบจะเก็บแววตาตัดพ้อเอาไว้ไม่ได้ ยังดีที่ผมรู้สึกตัวได้ทันและเก็บกักมันเอาไว้

ผมเหนื่อยมากพอแล้วกับการวิ่งไล่ตามความรักของเขาที่เขาลืมมันไป ผมจะเลิกวิ่งเสียที

ถึงเวลาที่ผมควรจะเดินออกมาในเส้นทางที่มันดีกว่า เส้นทางที่ผมควรจะเลือกมันตั้งแต่แรก

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ไม่มีเราสองคน

“มีอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงแดนดูอ่อนลงทั้งที่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น เขาทั้งเย็นชาและทำร้ายผมด้วยวาจาโหดร้ายสารพัด แต่ตอนนี้มีเพียงแค่ความแปลกใจและน้ำเสียงนุ่มหูที่เคยบอกรักผม ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอไป กลืนมันลงไปให้ลึกจนไม่สามารถจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้อีก กะพริบตาไล่ความร้อนที่หัวตาออกไป

ความอ่อนแอในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่อยากได้ความเห็นใจจากเขา เพราะผมเลือกทางของตัวเองแล้ว

“วันนี้…คุณว่างหรือเปล่า” แดนชักสีหน้าใส่ผม แววตาคมกริบตวัดมองผมอย่างไม่พอใจ

“เราเคยพูดกันแล้วนี่ไมน์! เราบอกไมน์แล้วไงว่าเรา…”

“ผมแค่ขอเวลาคุณไม่นานหรอกครับ ไม่ได้อยากจะรบกวนคุณมากมายขนาดนั้น” ผมแค่นยิ้มออกมา เหยียดยิ้มที่บ่งบอกออกไปว่าผมไม่ได้อยากจะยื้อความสัมพันธ์บ้าๆ ที่เขาว่ามาเลย

ก่อนหน้านี้ ผมอาจจะดื้อรั้น พยายามดึงดันดึงความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

แต่ในวันนี้…ผมจะปล่อยมือคู่นี้เสียที

“เราว่าง” ผมไม่ได้สนใจว่าเขากำลังมองผมแบบไหน ต่อให้เขามีความคลางแคลงใจแล้วยังไงล่ะ ผมในตอนนี้แค่รักษาหัวใจตัวเองยังไม่ได้ ไม่มีเวลาไปสนใจความทรมานหรือความสงสัยของใครหรอก

ผมไม่ได้ใจดีขนาดนั้น

“วันนี้เที่ยงตรง ผมรบกวนเวลาคุณสัก10นาทีนะครับ รับรองได้ว่ามันคุ้มค่าอย่างแน่นอน” แววตาของเขาที่มองมามันไหวระริก มันเต็มไปด้วยความสับสนเพียงแต่ผมไม่สนใจ เขาจะเป็นยังไงมันเกี่ยวอะไรกับผมกัน แค่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวดทุกวันนี้มันก็เพราะเขาไม่ใช่หรือ?

“ทำไมไม่คุยตอนนี้” ผมหันหลังให้กับแดนทันที ไม่คิดจะมองใบหน้าที่สั่นคลอนหัวใจของผมอีก ยิ่งได้เห็นหน้าเขา หัวใจผมยิ่งทวีความเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่ง

“แค่10นาทีมันคงไม่เสียเวลาคุณมากเท่าไหร่หรอกครับ สละมันมาบ้างเถอะ ผมไม่ได้ขอร้องคุณนะดินแดน แต่ผมกำลังเรียกร้องมันจากคุณต่างหาก กรุณาเข้าใจใหม่ด้วยนะครับ”

ผมไม่ได้ขอร้องแต่มันคือสิ่งที่เขาต้องให้มันกับผม ผมเรียกร้องมันเป็นครั้งสุดท้าย แค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ผมเรียกร้องมัน ตลอดเวลาที่เราคบกัน ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาแม้กระทั่งเวลา ไม่เคยเรียกร้องในสิ่งที่ผมสมควรจะได้แม้แต่หัวใจ เพราะคิดว่ามันเป็นของผมอยู่แล้ว

แต่วันนี้ผมจะเรียกร้อง จะขอเรียกร้องเวลาเพียงแค่10นาทีจากผู้ชายที่ตอนนี้ยังคงมีสถานะชัดเจนว่าเป็นแฟนของผม แต่หลังจากนี้ผมจะคืนสถานะนี้ให้เขาเอามันไปมอบให้คนที่เขารัก แล้วผมจะไม่รับรู้อีกต่อไปว่าเขาจะมอบมันให้ใคร อะไร ยังไง เพราะผมกับเขา เราจะจบกันและกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน

“ไมน์…” หัวใจผมสะท้านวูบ น้ำเสียงที่คล้ายกับการออดอ้อนมันทำให้หัวใจของผมสั่นไหวได้อย่างดีจนผมต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น ใช้ความเจ็บปวดทางกายดึงสติกลับมาไม่ให้ตัวเองหลงมัวเมาไปกับความเคยชินที่เขาเพียงแค่เผลอไผลแสดงมันออกมาเท่านั้น

อย่า อย่านะไมน์ แค่นี้ก็เจ็บเกินพอแล้วไม่ใช่หรือ แค่นี้หัวใจยังพังไม่พออีกหรือยังไง อย่าหลงไปกับสิ่งที่ได้รับรู้ อย่าเดินเข้าไปในวังวนที่แสนทรมานนั่นอีกเลย

“เที่ยงตรง ที่…นะครับ ผมหวังว่าคุณจะสละเวลามาได้ เพราะมันสำคัญมาก”

ผมเดินออกมาจากห้องของแดนโดยไม่หัวกลับไปมอง พยายามก้าวเดินกลับไปยังห้องของตนเองด้วยสองขาที่สั่นเทา หยดน้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาช้าๆ ผมต้องกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้เพื่อระงับเสียงสะอื้นที่อาจจะหลุดออกมา ผมเดินเข้าห้องมาอย่างยากลำบาก เพียงแค่ปิดประตูลงขาทั้งสองข้างก็หมดแรงจนต้องทรุดกายลงกับประตู ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลา9โมงเช้าด้วยสายตาพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตา

ยังเหลือสิ่งที่ต้องเก็บอีกมาก ยังมีเวลาก่อนที่จะถึงเวลานัด ผมจะต้องเก็บทุกอย่างให้หมด ไม่ให้หลงเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ว่าสิ่งของชิ้นไหนที่ทำให้นึกถึงเขา ผมจะเก็บมันลงไปในกล่อง จะไม่ให้มันมาตอกย้ำความทรมานของตัวเองอีก

ผมปาดน้ำตาออกแล้วเดินตรงไปยังกล่องใบใหญ่ที่ยังเก็บค้างเอาไว้จากเมื่อคืน ค่อยๆ หยิบของทีละชิ้นด้วยมือที่สั่นระริก ไม่ว่าผมจะหยิบชิ้นไหน น้ำตามันก็ยิ่งไหลออกมา ร่างกายสะอื้นขึ้นลงอย่างปวดร้าว แต่ผมต้องแข็งใจวางมันลงไปในกล่องทั้งที่ใจจริงของผมในตอนนี้ ยังไม่อาจตัดความรักที่มีต่อเจ้าของของพวกมันได้

ผมยังรักดินแดน รักมาก

แต่ผมคงไม่สามารถวิ่งไล่ตามเขาต่อไปได้อีกแล้ว ใจของผมมันพังไปแล้ว

กำลังใจและกำลังกายที่เคยถูกปลุกขึ้นมาด้วยความทรงจำอันแสนมีค่า ด้วยรอยยิ้มและความสุขที่เรามีด้วยกัน มันถูกแทนที่ด้วยเสียงครวญครางยามเรียกชื่อของผู้หญิงคนอื่นทั้งที่กำลังรักผม ถูกแทนที่ด้วยคำพูดโหดร้ายที่เขาใช้มันกับผม ถูกแทนที่ด้วยแผ่นหลังที่ค่อยๆ หายลับไปพร้อมกับคนที่ได้หัวใจของเขา

ผมไม่มีเรี่ยวแรงอะไรจะไปยื้อเชาไว้อีกแล้ว ผมยอมแพ้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ยอมให้เขาไปใช้ชีวิตกับคนที่เขาเลือก ยอมเป็นคนที่จะเดอนออกมาแม้ว่าผมจะเจ็บเจียนตายก็ตามที

ผมปิดกล่องลงเมื่อของทุกชิ้นถูกใส่ลงไปจนหมดแล้ว ปิดมันลงเช่นเดียวกับหัวใจของผมที่จะปิดตัวลงไปเช่นกัน บางทีการได้มีโอกาสรักเขาอยู่ไกลๆ มันอาจจะดีกว่าได้ครอบครองเขาในเวลาสั้นๆ แต่แสนทรมานใจ

ผมรู้ดีแล้วว่าการได้ครอบครองอะไรสักอย่างมาเป็นของตัวเอง ยึดถือมันเอาไว้อย่างเป็นเจ้าของ เมื่อวันหนึ่งที่ความจริงปรากฏว่าของสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา มันทำให้เราเจ็บปวดกว่าการไม่เคยได้ครอบครองมันเลยหลายเท่า ถ้าหากโลกนี้มีการย้อนเวลา ผมว่ามันคงดีกว่าถ้าเราไม่เคยเจอกัน

มันคงดีกว่าจริงๆ ถ้าเราสองคนไม่เคยรักกันเลย









..........50%..........



ดีแล้วลูก ดีแล้วที่หนูตัดใจ ครึ่งแรกมาแล้ว รอพบกับครึ่งหลังวันพรุ่งนี้นะคะ มาดูกันว่าดินแดนจะทำอย่างไรต่อไป

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 50% Up [21/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 21-03-2020 11:38:46
หนู​ทำถูกแล้วลูก​เอ๊ย​ เอามือลูบหัว​ รักตัวเองให้เท่าที่รักดินแดนนะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 50% Up [21/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 22-03-2020 00:19:08
เด็ดขาดสักที มูฟออน
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 100% Up [22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 22-03-2020 10:27:05
[8] 100%

หลังจากที่จัดการของทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินเข้ามาในห้องน้ำ ยืนนิ่งๆ อยู่ใต้สายน้ำที่ไหลลงมา สิ่งที่ผมชอบที่สุดของการอกหักแล้วร้องไห้เวลาอาบน้ำ คือต่อให้ผมร้องไห้มากมายแค่ไหน สายน้ำและน้ำตาของผมมันจะรวมกันเป็นสายเดียว มันเหมือนกับผมไม่ได้ร้องไห้ออกมา ไม่ได้เสียน้ำตาเลยแม้แต่น้อย

อีกไม่นานก็จะถึงเวลานัด หัวใจของผมยิ่งบีบรัดกับการจะจบความสัมพันธ์ของเราในครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่เคยต้องการ ไม่เคยแม้แต่อยากจะให้มันมาถึง แต่สุดท้ายผมก็ฝืนไม่ได้ เวลาย่อมเดินไปข้างหน้าไม่อาจถอยกลับ เช่นเดียวกับผมที่ควรจะเดินต่อไปข้างหน้า

ผมจัดการทุกอย่างจนเสร็จ ปิดน้ำและแต่งตัวในเวลาเพียงไม่นานเพราะไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ อีก20นาทีจะถึงเวลานัด ผมไม่ได้พิถีพิถันอะไรในการแต่งตัว ตอนนี้ผมไม่มีเวลามากพอมาสนใจว่าตัวเองดูดีแค่ไหน แต่ความเคยชินย่อมมีอยู่กับตัวเอง ตัวผมแม้จะรีบร้อนแค่ไหนก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดูแย่ ทุกการแต่งตัวมันจะต้องดูดีเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

ผมสวมเสื้อสีเทาที่สกรีนตัวอักษรภาษาอังกฤษตัว M ตัวใหญ่ๆ ไว้ที่อกเสื้อ พร้อมกับกางเกงยีนแนบร่างที่มีร่องรอยการขาดตรงช่วงต้นขาและหัวเข่า ผมชอบความสบายของมัน อะไรที่ผมใส่แล้วสบายผมย่อมต้องใส่ ผมไม่จำเป็นต้องใส่สูทไปหาแดนเพียงเพื่อจะจัดการเรื่องราวที่ค้างคาของพวกเรา

น้ำหอมขวดหรูที่พี่มินซื้อมาฝากจากฝรั่งเศสถูกหยิบเอามาใช้ในกรณีพิเศษนี้ ทั้งที่มันถูกเก็บไว้นานแล้วแท้ๆ ผมเก็บมันเอาไว้เพราะไม่อยากให้แดนมองว่าผมติดหรู ต้องใช้ของแบนด์เนม เพราะน้ำหอมขวดนี้คนอย่างดินแดนย่อมต้องรู้ราคา ผมไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแย่ๆ

แต่ผมมักจะลืมไปว่า…ต่อให้ผมทำตัวดีแค่ไหน สายตาของแดนก็สามารถมองผมแย่ได้เสมอ ถ้าเขาไม่ได้รักผมอีกแล้ว

คิดถึงกลิ่นหอมก่อนนี้จริงๆ ผมจำได้ว่าชอบมันมากถึงขนาดรบเร้าให้พี่มินซื้อมาฝากทุกครั้งที่ต้องบินไปติดต่องานที่นั่น ความหอมเย้ายวนที่แฝงความผ่อนคลายเอาไว้ยามได้กลิ่น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนทุกคนยืนอยู่ข้างๆ ผม ในช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญกับความเสียใจ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อยู่หลายครั้ง พยายามเรียกกำลังแรงใจสุดท้ายเพื่อจะได้ไปจบปัญหาเสียที พร้อมๆ กับการไล่น้ำตาและความอ่อนแอที่คอยแต่จะไหลออกมาให้มันถูกฝังลึกลงไปเสียก่อน

ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมจะไม่อ่อนแอก่อนไปเจอเขา มันต้องไม่เกิดขึ้นในตอนที่ผมกำลังจะเข้มแข็ง

ผมเดินออกมาจากห้อง ปิดประตูลงกลอนเอาไว้อย่างดีก่อนจะเหลือบไปมองห้องข้างๆ ภาพที่ผมเคยกอดกับเขาอยู่หน้าประตูปรากฏขึ้นมาให้ได้เห็น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความรักที่เราเคยมีให้กัน เป็นเหมือนความทรงจำที่สวยงามมากเกินกว่าที่ผมจะสามารถลบเลือนมันออกไปจากหัวใจได้จริงๆ

อาการปวดหนึบที่หัวใจทำให้ผมต้องถอนสายตาออกมาจากการมองห้องของดินแดน ผมเลือกที่จะเดินต่อไปข้างหน้า ก้าวออกไปเพื่อได้จบเรื่องราวที่แสนยืดเยื้อ ปลดปล่อยเขาออกไปจากตัวผมเช่นเดียวกับที่ผมจะปลดปล่อยหัวใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดเช่นกัน

“เชิญครับคุณหนู” พี่ชาติเปิดประตูด้านหลังให้ผมอย่างเคย เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผมต้องการจะออกไปไหน พี่ชาติคือคนขับรถที่พ่อกับแม่หามาให้ผมเพื่อให้ผมไปไหนได้สะดวก พี่ชาติเป็นลูกชายของป้าเนียนคนสนิทของแม่ผม เป็นคนที่คอยดูแลผมกับพี่มินมาตั้งแต่ยังเด็ก

ผมส่งยิ้มให้พี่ชาติก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านใน พี่ชาติปิดประตูลงแล้ววิ่งกลับไปอีกฝั่งด้านคนขับ ผมทอดสายตาออกไปด้านนอกมองภาพเคลื่อนไหวยามที่รถออกตัวด้วยสายตาเหม่อลอย ผมอดคิดไปมากมายไม่ได้ สิ่งที่ผมกำลังคิดแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องของดินแดนกับผู้หญิงคนนั้น

ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าเขาสองคนจะไปกันได้นานแค่ไหน จะคบกันได้ยืดยาวจนแก่เฒ่าเลยหรือเปล่า หรือว่าผมจะมีโอกาสได้รับการ์ดเชิญงานแต่งงานของพวกเขาไหม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว ผู้หญิงอย่างใบบัวผมเห็นมามากมาย สังคมของผมไม่ใช่คับแคบ คิดว่าครอบครัวผมที่มีชื่อเสียงและเงินทองมากมาย คนอย่างผมจะไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างเธอเลยงั้นหรือ

ที่ผมตลกที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ดินแดนตกหลุมพรางกับดักที่โง่เง่าแบบนั้นไปได้ยังไง ทั้งที่เขาเก่ง เขาอ่อนโยน และเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง ไม่น่าจะถึงขนาดมองมารยาของเธอไม่ออก

แต่ก็นั่นล่ะครับ มันไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว อีกไม่กี่อึดใจผมและแดนก็จะต้องหยุดความสัมพันธ์ของพวกเราลง ผมหวังว่าเขาจะมีความสุขกับคนที่เขาเลือก ผมจะคอยอวยพรให้เขาทั้งสองคน ให้รักกันนานๆ ให้มีความสุขมากกว่าที่ผมเคยมี และหวังอย่างยิ่งว่า…ผมจะไม่ต้องเห็นเขามานั่งเสียใจทีหลัง

“พี่ชาติจอดรอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ถ้าหากว่าไม่อยากอยู่ในรถ ผมอนุญาตให้พี่ออกไปหาอะไรทานก่อนได้ครับ นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย” พี่ชาติยิ้มให้ผม

“ไม่ต้องห่วงครับคุณหนู ผมรอได้ครับ เรื่องอาหารเที่ยง หากคุณหนูไม่ว่าอะไร ขอผมทานในรถได้ไหมครับ”

“เต็มที่เลยครับ ผมไม่บอกป้าเนียนแน่นอน”

ผมกับพี่ชาติต่างหัวเราะให้กันเพราะเราสองคนต่างรู้ดีว่าแม่ของพี่ชาติหรือป้าเนียนนั้นเข้มงวดแค่ไหนกับเรื่องพวกนี้ ป้าเนียนไม่ชอบและไม่ยินดีเลยหากว่าพี่ชาติจะทานอาหารบนรถ เพราะมันจะมีกลิ่นตกค้างอยู่ ไหนจะเศษอาหารและเรื่องมารยาท อันที่จริงผมคิดว่าป้าเนียนคงกลัวว่าผมกับพี่มินไม่ชอบเสียมากกว่า คงห่วงว่าผมจะรู้สึกแย่ ถึงได้ออกปากห้ามเอาไว้ก่อน

ผมก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ ไม่มีการก้มหน้าหรือแววตาเสียใจมดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น ผมเลือกนั่งที่ที่เขาจะสามารถหาผมเจอได้ง่ายๆ สั่งลาเต้เย็นมาหนึ่งแก้วพร้อมกับเค้กชิ้นเล็กๆ พอเป็นพิธี ผมมองนาฬิกาจากโทรศัพท์แทบจะทุกๆ นาที ผมอยากให้มันจบเร็วๆ ยิ่งจบได้เร็วเท่าไหร่ผมก็จะยิ่งสามารถเดินออกไปได้เร็วเท่านั้น

เชื่อไหมครับว่าทั้งๆ ที่ผมนั่งรอเขาเพื่อยุติเรื่องของเราสองคน ในใจของผมก็ยังคงหวังเอาไว้ว่าเขาจะสามารถกลับตัวกลับใจ กลับมาเป็นเราได้อีกสักครั้ง แม้ว่าเรื่องพวกนั้นมันจะมีความเป็นไปได้เกือบจะเท่ากับศูนย์ แต่หัวใจของผมก็ยังคงหลอกตัวเองไม่เลิกรา

น่าตลกนะครับ ทั้งที่ถึงเวลาที่ควรจะตัดใจแล้วแท้ๆ แต่ตัวผมเองก็ยังคงเฝ้ารอด้วยความหวังเล็กๆ ในเศษเสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังคงไม่เลิกหวังเสียที

ผมมองผู้คนที่เดินเข้าออกร้านด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เฝ้ารอร่างอันคุ้นตาปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า…แต่ไม่ว่าจะรอเท่าไหร่ เขาก็ไม่มาเสียที จะหนึ่งนาที สองนาที ห้านาที หรือสิบนาที ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ แดนก็ไม่เคยให้มันกับผมได้สินะ ทั้งที่ผมเรียกร้องเวลาจากเขาเพื่อจะจบมันลงให้เขา แต่เขากลับปล่อยให้ผมนั่งรอแล้วรอเล่า รออย่างไร้วี่แววว่าเขาจะมา แล้วผมจะเฝ้ารอต่อไปเพื่ออะไรล่ะ?

“หึ ฮ่ะๆ”

ผมไม่ควรรอมาตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ผมควรจะรู้ว่าคนอย่างดินแดนคำเรียกร้องที่มาจากปากของผมมันไม่เคยมีความหมายใดๆ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความสนใจที่จะได้จากเขา

สมกับเป็นแดนจริงๆ ใจร้ายได้แม้กระทั่งวินาทีสุดท้าย ทำผมเจ็บปวดได้แม้กระทั่งวันที่ผมจะไป

ผมลุกขึ้นวางเงินลงที่โต๊ะโดยไม่สนใจเศษเงินที่ต้องทอน ตัดสินใจเดินออกไปจากร้านหยิบเอาแว่นตาสีชาออกมาสวมเอาไว้เพื่อปกปิดร่องรอยความผิดหวังของผมเอาไว้ ซ่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากสายตาของคนอื่นๆ แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่ผมเดินออกมาจากร้าน สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่ากลับมาอยู่ตรงหน้าเสียได้

ผมชะงักค้าง ยืนอยู่หน้าประตูร้านด้วยอาการนิ่งอึ้ง มองร่างของดินแดนโอบประคองผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางรักใคร่อย่างปวดใจ

เวลาที่ผมเป็นคนเรียกร้อง คงสู้เสียงออดอ้อนของเธอไม่ได้สินะ

ผมน่าจะรู้ ควรจะรู้ได้แล้วว่าเขาไม่มีวันมาตามที่นัดไว้ ความสำคัญของผมมีค่าเท่ากับศูนย์ นั่นจึงทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายที่ต้องอดทนรออยู่เสมอ ผมเสยผมสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองขึ้นด้วยความผิดหวังและเสียใจ ในเมื่อเวลาแค่10นาที เขายังให้ผมไม่ได้ ถ้างั้นคงไม่มีอะไรให้ผมต้องรออีกต่อไป

มันควรได้เวลาที่ผมจะเดินออกไปอย่างจริงจังเสียที ผมเหนื่อยและเจ็บปวดมามากพอแล้วกับสิ่งที่ดินแดนมอบให้ ผมผิดหวังกับเขามามากจนเกินกว่าจะตั้งความหวังไว้ได้ไหวอีก สิ่งที่ดินแดนทำลายลงไปคือหัวใจของผมและความรักที่มีให้เขา ผมว่าเราสองคนควรจะพอมันได้แล้ว ความรักในครั้งนี้เป็นผมที่ดื้อรั้นจะมีมัน ผมก็จะปลดปล่อยมันให้เขาเอามันไปให้คนอื่นที่เขาต้องการ

“คุณหนูครับ…” อา ทำคนอื่นเป็นห่วงเสียดาย ผมนี่แย่จริงๆ ผมดันแว่นตาสีชาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าก่อนหน้านี้ความรู้สึกใดๆ ก็ไม่ได้อยู่บนหน้าของผมเลย

“ออกรถเถอะครับพี่ชาติ” ผมคงจะอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ ภาพที่เขายังคงมีความสุขกับเธอโดยที่ไม่สนใจเวลานัดของเรามันทำให้ผมอดเสียความรู้สึกกับดินแดนไม่ได้

“ได้ครับ คุณหนูจะไปที่ไหนต่อครับ?”

ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยดวงตาให้จดจ่ออยู่กับภายนอกอย่างเผลอไผล กอดเก็บความเสียใจเอาไว้เงียบๆ พยายามฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาจากการบาดเจ็บที่แสนสาหัสนี้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีเขา ไม่จำเป็นต้องมีเรา

เพราะจากนี้ไปจะมีเพียงแค่ ไมรวี สุทธิวรเวช เท่านั้น จะไม่มีไมน์ เด็กน้อยที่ตกหลุมรักดินแดนจนหมดหัวใจอีกแล้ว จะไม่มีคนอ่อนแอที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หัวใจของเขาอีกแล้ว

“กลับไปคอนโดก่อนนะครับพี่ชาติ ผมมีเรื่องที่ต้องทำนิดหน่อย”

“ได้ครับคุณหนู”

พี่ชาติขับรถออกจากร้านมาอย่างเงียบๆ แม้จะไม่ได้เอ่ยทักหรือถามไถ่อะไรผม แต่ผมก็พอจะรู้ตัวว่าถูกพี่ชาติมองผ่านกระจกบ่อย ผมเข้าใจว่าพี่ชาติเป็นห่วงผม ยังดีที่พี่ชาติปล่อยให้ผมใช้ความคิดไปเรื่อยๆ โดยไม่ทักถามอะไร ดีที่พี่ชาติปล่อยให้ผมจมอยู่กับตัวเองแบบนี้

ผมว่ามันควรจะจบแล้วจริงๆ ถึงเวลาที่ผมควรจะถอยออกมาจากดินแดนเสียที เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คนที่เขาเลือกไม่เคยใช่ผมอยู่แล้ว เพราะงั้น…ก็ไม่จำเป็นต้องมีผมก็ได้

เพราะผมเองก็จะอยู่ให้ได้โดยไม่มีเขา

ผมดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขออกไปอย่างคุ้นเคยแม้จะไม่ได้โทรออกไปนานมากแล้วก็ตาม ผมเฝ้ารอเสียงจากปลายสายอย่างใจเย็นและหมดเรี่ยวแรง ปล่อยตัวให้จมอยู่กับเบาะรถ พิงศีรษะกับกระจกโดยไม่สนใจว่าผมจะโดนกระแทกจากการขับรถของพี่ชาติหรือเปล่า

“พี่มิน…”

[หนูไมน์ มีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น] น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยมันทำให้น้ำตาของผมพานจะไหลออกมาอีกแล้ว ผมนี่มันอ่อนแอเหลือเกิน

“พี่ครับ…ช่วยพาผมกลับบ้านที ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” ผมขอกลับไปในที่ที่เขามองเห็นค่าของผมดีกว่าอยู่กับคนที่ผมรักแต่กลับไม่เคยมองเห็นผมในสายตา

ผมได้เรียนรู้แล้วว่า ยิ่งผมดึงรั้งคุณเอาไว้มากแค่ไหน มือของผมก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะหากฝ่ายหนึ่งฝืนดึง อีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะจากไป ฝ่ายที่ดึงไว้ต้องใช้แรงมากและเจ็บปวดมากกว่าฝ่ายที่เดินจากไปอย่างแน่นอน

เพราะงั้น...ผมจะปล่อยมือแล้วนะครับ ผมจะไม่ดึงคุณเอาไว้อีกแล้ว

ผมเจ็บที่คุณเดินจากไป แต่ผมว่าคงดีกว่าต้องเจ็บต่อไปกับการรั้งคุณ..





น้องกลับบ้านแล้ว!!! จุพลุฉลองกันเร๊ววววววว ในที่สุดน้องก็ตัดใจแล้ว มารอดูต่อกันไปว่า นังแดนจะทำยังไง ลูกฉันจะเลิกรักแกแล้วนะย๊ะ!!

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 100% Up [22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 22-03-2020 17:59:32
อย่ารักใครมากกว่ารักตีวเองนะ ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 100% Up [22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 22-03-2020 21:41:09
ต้องเอาคืนด้วย  o18
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [8] ยอมแพ้ 100% Up [22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 23-03-2020 01:48:19
...

เป็นอีกเรื่องที่ยังดูไม่ออกว่าดินแดนจะเป็นคนดีได้อย่างไร.

ไมน์น่าสงสารมากกกก.

ทำม้ายยยย กลับมาอ่านเนี่ยมีแต่เรื่องที่สงสารนายเอกเป็นที่สุด

รักเขามาก ทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง แต่ชีวิตกลับดิ่งเหว ตกหน้าผาลึกกันทั้งน้านนนนเลย

.......


 :hao5:  :hao5: :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

 :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:


...
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [9] กลับสู่อ้อมกอด 50% Up [24/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 24-03-2020 11:18:58
[9] 50%


กลับสู่อ้อมกอด

ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องของเขา หน้าประตูห้องที่ปิดสนิทของดินแดน เขายังไม่กลับมาหรอกครับ ผมเพียงแค่เลือกใช้เวลาที่เขายังไม่มาในการส่งของคืนให้เขา ผมวางกล่องที่บรรจุความทรงจำต่างๆ ของเราเอาไว้หน้าห้องของเขา ที่จริงผมจะทิ้งมันไปก็ได้ เพราะเขาเองก็อาจจะไม่ต้องการมันด้วยซ้ำไป เพียงแต่ผมกลับคิดว่า การที่ผมเป็นฝ่ายส่งคืนให้คงดีกว่า ต่อให้เขารับไปแล้วเอามันไปทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว

สิ่งที่ผมทำในตอนนี้ไม่ใช่การคืนของ แต่เป็นการ’ คืน’ ความรู้สึกให้เขากลับไปต่างหาก

คืนความรักที่เขาเคยให้ผม คืนความเจ็บช้ำที่ผมต้องทนรับ และคืนความทรงจำของเราสองคนกลับไป

จากนี้…ผมจะไม่อยู่เป็นคนที่ขัดหูขัดตาเขากับคนที่เขารักอีกแล้ว ได้เวลาที่ผมควรจะกลับบ้านของผมเสียที

บนกล่องมีกระดาษสีขาวที่ผมลงมือเขียนข้อความเอาไว้ให้เขาได้รับรู้อยู่ด้วย มันไม่ใช่ข้อความยาวๆ เป็นจดหมายลาหรืออะไรจำพวกนั้น ผมเพียงแค่เขียนเอาไว้สั้นๆ ใจความง่ายๆ ที่เขาอ่านก็คงจะเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าตัวผมจะอาลัยอาวรณ์ความทรงจำพวกนั้นที่อยู่ภายในกล่องมากมายแค่ไหน แต่ผมว่าผมเลือกแล้วก็จำเป็นต้องทิ้งทุกสิ่ง กำจัดทุกอย่างที่จะดึงผมกลับไปยืนในจุดเดิม

ผมเหนื่อยที่ต้องมีเขาโดยที่เขาไม่เคยมีผมอยู่ในทางเดินของเขา

และผมเจ็บมากที่อนาคตของผมมีเขาอยู่ในนั้น ทั้งๆ ที่อนาคตของเขากลับไม่ใช่ผมที่ยืนเคียงข้าง

“ไมน์…พี่ให้คนขนของออกไปหมดแล้วนะ เราพร้อมหรือยัง”

พร้อมหรือ? ผมไม่เคยพร้อมหรอก

จนถึงตอนนี้คำว่าพร้อมไม่ได้อยู่ในหัวของผมเลย แต่ผมกลับจำเป็นที่จะต้องพร้อม เพื่อเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง เพื่อรักษาความทรมานที่ได้รับมาเนิ่นนานจากเขา ปล่อยให้เขาได้มีความสุขกับชีวิตที่อิสระและปราศจากผมที่คอยวนเวียนกวนใจเขา

มันถึงเวลาที่จะหยุดแล้วเดินไปทางใหม่เมื่อเส้นทางที่เดินมานั้นมันไม่สามารถไปต่อได้

ดินแดน ดินแดน ดินแดน

ทุกเสียงหัวใจที่เต้นกี่ครั้งก็ยังคงเป็นชื่อของเขา

ทั้งที่เจ็บปวด ทั้งที่ทรมาน

แต่มันก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกได้…เหมือนที่ผมไม่สามารถหยุดการเต้นของหัวใจได้

“ครับ ผมพร้อมแล้ว”

ต้องไปแล้วนะดินแดน ไมน์ต้องไปจากดินแดนที่แสนรักแห่งนี้แล้ว จากนี้ไปขอให้คุณมีความสุขเสียทีนะครับ อย่างน้อย…ก็ช่วยมีความสุขให้มากๆ ให้สมกับที่คุณเลือกที่จะทิ้งผมไป

ผมหันกลับมามองพี่มินด้วยรอยยิ้มแสนเศร้า พี่ชายของผมคงเข้าใจความรู้สึกที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ จึงได้เดินเข้ามาโอบไหล่ของผมเอาไว้ ฝ่ามือถูไหล่ของผมสองสามครั้งอย่างปลอบใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยไม่มีเขาที่เป็นหัวใจ ก็ขอมีพี่ชายและครอบครัวที่เป็นดังลมหายใจก็ยังดี

“คุณพ่อกับคุณแม่รอเราอยู่นานแล้วนะรู้ไหม” ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้กับคำพูดที่คล้ายกับจะตำหนิก็ไม่เชิงของพี่มิน

“ผมว่าผมเก็บของเร็วแล้วนะครับพี่มิน ยังช้าอยู่อีกหรือ?” พี่มินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังก้องไปทั่วทั้งคอนโด เฮ้อ…จะโดนด่าว่าไม่รู้จักมารยาทไหมนะ

“พี่หมายถึง…รอวันนี้มานานแสนนานต่างหากล่ะไอ้ตัวแสบ” ศีรษะของผมถูกมือของพี่มินขยี้อย่างแรงจนผมสีน้ำตาลเกือบจะเสียทรง ผมยกมือขึ้นมาป้องกันเอาไว้ หลบเลี่ยงเท่าที่ทำได้แต่ก็เท่านั้น ผมไม่เคยสู้แรงของพี่มินได้สักที

“อย่าสิพี่! ผมยุ่งหมดแล้ว” นั่นกลับยิ่งทำให้พี่มินได้ใจเข้าไปอีก มือของพี่มินยิ่งขยี้ลงไปหนักๆ บังคับให้ผมยินยอมด้วยการล็อกคอผมเอาไว้

ผมอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ บอกตามตรงผมรู้สึกแปลกๆ ที่จะได้กลับบ้าน เพราะผมอยู่ที่นี่มาสามปีย่อมต้องมีความคุ้นชินและผูกพัน แต่ตอนนี้ผมกลับจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว นั่นล่ะที่ทำให้ผมอดรู้สึกหวิวๆ ในใจไม่ได้

เหมือนกำลังต้องพรากจากของรัก เหมือนผมกำลังลืมสิ่งสำคัญไป

แต่เพราะรู้ดีว่ามันคืออะไร ผมจึงต้องแข็งใจแล้วเดินจากไปให้ได้อยู่ดี เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้ดินแดนเปลี่ยนใจกลับมารักผมอีกครั้ง ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถดึงรั้งผมเอาไว้ให้อยู่ต่อไป

“ความจริงไม่ต้องขนมาหมดก็ได้นะ”

“หือ?” ผมที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้นในลิฟต์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

“พี่พูดจริงๆ ยังไงบ้านของเรา ห้องของไมน์ก็มีของอยู่ครบทุกอย่าง เอาไปก็รก สู้ทิ้งไปให้หมดไม่ดีกว่าหรือ” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดที่สมกับเป็นลูกชายคนรวยจริงๆ

ตัวผมเองติดการใช้เงินแบบที่ไม่สุรุ่ยสุร่ายมาตั้งแต่คบกับดินแดนไปแล้ว มันเลยทำให้ผมอดเสียดายของพวกนั้นไม่ได้ ทุกอย่างคือเงินที่ผมได้กำไรมาจากร้านอาหารที่คุณแม่จัดการไว้ให้ผม ผมคอยควบคุมดูแลบัญชี คอยดูรายรับรายจ่ายอยู่เสมอ ถึงแม้จะไม่ได้เลิศหรู ไม่ได้เป็นที่สนใจมากมาย แต่มันก็ไม่ได้ดูแล้วจะขาดทุน อาจจะเพราะทำเลที่คุณแม่ของผมเลือกให้มันดี อยู่ในจุดที่ทำการค้าได้ดี แต่จากนี้ไปผมคงต้องปรับปรุงมันอย่างจริงจังเสียที

ที่จริงผมสะดุดใจตั้งแต่วันที่ดินแดนพูดกับผมเรื่องที่ควรออกไปหางานทำ บางทีผมอาจจะเอ้อระเหยลอยชายมากเกินไปจนทำให้เขามองว่าผมเป็นคนไม่มีหลักแหล่งอะไร เพราะงั้นผมควรจะทำอะไรให้มันจริงจังเสียหน่อย ไม่ใช่เพื่อลบคำกล่าวหาที่เหมือนหลักลอย แต่เพื่อตัวผมเองที่จะได้มีความมั่นคงในชีวิตที่เป็นของผมเอง

“พี่มิน ของพวกนั้นผมไม่ได้จะเอาไปไว้ที่บ้านของเราหรอกครับ”

“หืม? หมายความว่ายังไง ถ้าไม่ได้จะเอาไปไว้ที่บ้าน แล้วเราจะเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ?” ผมอมยิ้มน้อยๆ แต่ในใจกลับขมขื่นเหลือทน

“ผมอยากได้คอนโดสักแห่ง ที่ไหนก็ได้ ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินสดให้พี่ แต่ถ้าผมขายห้องนี้ได้เมื่อไหร่ ผมจะคืนให้พี่แน่นอน” ผมพูดจริง ผมต้องการคอนโดเพราะผมอยากจะอยู่คนเดียวเหมือนเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะแยกตัวออกมา เพียงแต่ผมจะแบ่งเวลาไว้อย่างชัดเจนว่าวันไหนที่ผมจะกลับไปอยู่บ้านกับครอบครัว

“ไมน์ ไหนบอกว่าจะกลับไปอยู่บ้านด้วยกันไงล่ะ?” พี่มินเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ จะพูดให้ถูกคือไม่ยินยอมเสียมากกว่า

“ผมจะอยู่ที่บ้านครับพี่ แต่เป็นช่วงสามวันสุดสัปดาห์”

“เพราะหมอนั่นหรือ?” ผมหลบสายตาจากพี่มินที่จับจ้องมาอย่างรอคอยในคำตอบ ความจริงไม่ใช่เพราะดินแดนหรอก ผมเพียงแค่…อยากใช้เวลารักษาตัวเอง

“ไม่ใช่หรอกครับพี่ ไม่ใช่เลย…”

“ถ้างั้นทำไมล่ะ ทำไมไม่อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

“เพราะหัวใจของผมตอนนี้มันยังไม่หายดี…พี่เข้าใจไหมครับ ผมถึงอยากได้เวลาให้ตัวเอง”

พี่มินดูจะเข้าใจผมนะครับแม้ว่าสีหน้าและแววตาจะเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและต่อต้านก็ตาม ผมสบตากับพี่มินอย่างขอร้องอ้อนวอน ผมแค่อยากมีที่ของผมเองที่เมื่อไหร่ที่ผมปวดร้าวจนทรมาน อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้ผมหลบมาพักหัวใจตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรอีก

“โอเค ก็ได้ๆ” ในที่สุดพี่ชายของผมก็ยอมตอบตกลงแล้ว ผมส่งยิ้มขอบคุณให้กับพี่มินด้วยใจจริง

“ขอ…”

“แต่พี่จะไม่ซื้อให้เราใหม่หรอกนะตัวแสบ เพราะพี่มีคอนโดอยู่แล้วห้องหนึ่ง ยังไงก็แค่ช่วยเพื่อนซื้อเอาไว้ไม่ได้คิดจะเข้าไปอยู่ เอาของพี่ไปก็แล้วกัน ส่วนเงินที่ขายห้องนี้ได้ ก็เก็บเอาไว้เถอะ เอาไว้เผื่อเสียใจหนักๆ จะได้ไปหาขนมกินให้หายเศร้า” ผมคิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ นี่พี่มินคิดว่าผมอายุเท่าไหร่กันแน่ สามขวบหรือ? เวลาเสียใจถึงได้คิดแต่ให้ไปซื้อขนมมากิน แล้วคอนโดของผมราคาใช่จะถูกๆ เสียเมื่อไหร่ ใครเขาบอกให้เอาเงินเกือบสิบล้านไปซื้อขนมกินกันบ้างเล่า!

แต่จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนผมก็มองมันเป็นแค่เศษเงินจริงๆ ด้วยสิ เงินจำนวนแค่นี้ส่วนมากผมก็แค่เอาไปใช้ฆ่าเวลาเล่นๆ เวลาเบื่อหรือเหงา ก็ไม่ผิดที่พี่ชายผมจะพูดแบบนั้น

เฮ้อ…คงต้องปรับตัวใหม่เสียแล้วสิ ดันติดนิสัยคิดก่อนใช้มาแบบนี้ ผมถึงได้ไม่ชินกับพี่ชายที่ใช้เงินแก้ปัญหาทุกๆ อย่างแบบนี้





..........50%..........





ชูป้ายไฟ พี่มินนนนน เปย์มาทางนี้ค่ะพี่ขาาาาา ใช้เงินแก้ปัญหาเหรอคะ แมวชอบบบบบบบบ รอติดตามต่อครึ่งหลังในวันพรุ่งนี้นะคะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [9] กลับสู่อ้อมกอด 100% Up [26/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 26-03-2020 18:19:47
[9] 100%

“จะว่าไปช่วงนี้เหมือนคุณพ่อจะบ่นๆ มาเหมือนกันนะ” ผมก้าวเดินออกจากลิฟต์พร้อมๆ กับพี่มิน เดินเคียงข้างไปในขณะที่ยังคงพูดคุยกันไม่หยุด

“เรื่องอะไรครับ เรื่องของผมหรือ?” พี่ชายผมส่ายหน้าแล้วหัวเราะในลำคอ

“จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง คุณพ่ออยากให้เราเข้าไปช่วยงาน คงกลัวว่าเราจะหายไปไหนอีกนั่นล่ะ ถึงได้พยายามยัดงานเข้ามาให้เยอะๆ จะได้ไม่ว่างหอบเสื้อผ้าหนีไปไหนอีก”

ผมหลุดขำพรืดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แน่ล่ะ…ก็พี่ชายผมเล่นพูดจาด้วยสีหน้าง้ำงอแบบนั้น ดูก็รู้ว่าคงไม่ใช่แค่คุณพ่อหรอกครับที่บ่นและคิดจะยัดเยียดงานให้ผมทำ ผมว่าคงเป็นพี่มินเองด้วยนั่นล่ะที่กลัวผมจะหอบเสื้อผ้าหนีไปอีก ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลมือกุมท้องเอาไว้เพราะหัวเราะมากเกินไป โดยมีพี่มินยืนมองด้วยสายตาหมั่นไส้เหลือเกิน

“หึ…หัวเราะได้เสียทีนะเรา” นั่นสิ นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้หัวเราะ

“เอาล่ะ หัวเราะก็หัวเราะแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลากลับบ้านกันจริงๆ สักที พี่ว่าป่านนี้คุณพ่อกับคุณแม่คงนั่งรอเรากลับไปจนแทบจะไม่ไหวแล้วล่ะ”

ผมหัวเราะน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปในรถที่ถูกพี่ชาติเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้วอย่างไม่อิดออด จะว่าไปผมไม่ได้กลับบ้านมานานเหมือนกัน คิดถึงทุกคนที่บ้านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทุกคนจะสบายดีกันอยู่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็คงจะดีพอสมควร ไม่งั้นพี่มินก็คงบอกผมแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

พี่มินก้าวเข้ามานั่งเคียงข้างผม คุณชายมินวรุตม์พี่ชายของผมคนนี้เป็นผู้ชายที่สาวๆ หมายตาและคลั่งไคล้สุดๆ ทั้งดาราและนางแบบหรือแม้แต่นางงามจากเวทีระดับโลกเองยังต้องส่งสายตาเว้าวอนต่อความหล่อเหลาของพี่ชายผม

ความจริงเคยมีการจัดอันดับหนุ่มหล่อในฝันอยู่เหมือนกันนะครับ ผมยังเคยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ถือนิตยสารเล่มนั้นไปโยกโชว์ตรงหน้าไอ้รักอยู่เลย มันยังเหม็นขี้หน้าผมเพราะความเห่อพี่ชายของผมไปพักใหญ่ ก็แหม…ผมดีใจนี่ พี่ชายคนเดียวของผม ติดอันดับหนึ่งของผู้ชายที่สาวๆ เฝ้าฝันหาแบบนี้ ผมที่เป็นน้องชายย่อมต้องเห่อเป็นธรรมดา

จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นก็มีชื่อของดินแดนเหมือนกันนะ รู้สึกว่าจะอยู่อันดับที่สองรองจากพี่ผม แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะไม่ได้รู้จักเขา ไม่ได้พบความอ่อนโยนที่เขามอบให้

อา…เจ็บหัวใจอีกแล้วสิ

เพราะผมเพิ่งจะผ่านพ้นมันมาถึงยังไม่ชินสินะ คงต้องรอ ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าหัวใจของผมจะกลับมาเต้นอย่างปกติ กว่าที่ผมจะสามารถอยู่ได้โดยไม่มีผู้ชายที่ชื่อดินแดน

“กลับบ้านเลยหรือเปล่าครับคุณมิน คุณหนู” พี่มินพยักหน้าโดยไม่สนใจว่าผมอยากจะไปที่ไหนหรือเปล่า เอาเถอะ ถึงอย่างไรผมก็ไม่ได้คิดจะไปไหนต่ออยู่แล้ว กลับบ้านก็ดีเหมือนกัน

“ตรงกลับบ้านเลยชาติ”

“ครับคุณมิน”

พี่ชาติออกรถทันทีที่ได้รับคำตอบ ตัวรถค่อยๆ เคลื่อนออกไปตามถนนใหญ่อย่างช้าๆ เป็นธรรมดากับการจราจรในช่วงเวลาแบบนี้ มันเป็นเวลาเลิกงาน ซึ่งรถจะติดก็ไม่แปลก ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ปล่อยสายตาออกไปตามท้องถนนมองผู้คนที่พลุกพล่านยามเลิกงาน สีหน้าของพวกเขาดูมีความสุข รอยยิ้มและการพูดคุยที่มองออกได้ทางสีหน้าและสายตา มันช่างน่ามองไปหมด

ผมเผลอปล่อยสายตาไปกับสิ่งที่ได้เห็น มองออกไปอย่างเหม่อลอยกับความสดใสของโลกใบนี้ นั่นสินะ ดินแดนเองก็คงกำลังยิ้มและหัวเราะไปกับคนที่เขารัก เขาคงกำลังมีความสุขกันอยู่ในตอนนี้ เขาสองคนคงกำลังมีชีวิตที่ดีขึ้น มอบความรักให้แก่กัน รอยยิ้มที่มีเพื่อกันและกัน เขาคงจะมีความสุขอย่างที่ควรมีมานาน ผมยินดีกับเขาเหลือเกินจากใจจริง

แต่ทำไมล่ะ ทำไมน้ำตาของผมถึงยังไหลลงมาไม่หยุดสักที

นี่ผมกำลังอ่อนแออีกแล้วใช่ไหม ผมไม่ชอบเลย















“ไมน์…” ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนจนเกินจะฝืนได้ คงเพราะก่อนลงจากรถผมเพิ่งจะหยุดร้องไห้ จมูกและดวงตาของผมยังคงแดงจากเรื่องนั้น

“คุณแม่ครับ” ผมสวมกอดคุณแม่เอาไว้แน่น สูดดมกลิ่นของคุณแม่ที่ผมไม่ได้เจอมานานอย่างคิดถึง ผมหลับตาลงปล่อยให้หัวใจที่เกือบจะพังค่อยๆ ดูดซับความรักและความห่วงใยจากผู้ให้กำเนิดช้าๆ เพื่อนำมารักษาตัวเองให้ดีขึ้น

ผมกลับมาถึงแล้ว ในที่สุดผมก็กลับมาบ้านตัวเองแล้ว กลับมาพักหัวใจที่ร้าวรานลงอย่างหมดเรี่ยวแรง

“กลับมาแล้วสินะลูก อย่าไปไหนอีกนะคะ คุณแม่คิดถึงมากรู้ไหม” ผมหลับตาแน่นและเม้มริมฝีปาก ข่มความรู้สึกทรมานหัวใจเอาไว้จนมิด กระชับอ้อมกอดของคุณแม่เข้ามาจนแนบแน่น

“ขอโทษครับคุณแม่ ผมทำให้คุณแม่เสียใจ ทำให้คุณแม่ผิดหวัง ผมมันเป็นลูกที่แย่เหลือเกิน” น้ำเสียงของผมสั่นไหวจนคุณแม่ดันร่างของผมออก สีหน้าของคุณแม่ที่มองผมเต็มไปด้วยความห่วงใยและใจดี คุณแม่ยิ้มให้ผม ใช้ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นนั้นกุมแก้มของผมเอาไว้

“ไม่เลยไมน์ แค่ลูกกลับมามันก็ดีมากพอแล้ว ไม่มีอะไรที่ลูกจะต้องรู้สึกผิดหรือเสียใจเลยนะ” ผมแนบแก้มลงไปบนฝ่ามือของคุณแม่อย่างซาบซึ้งใจ คิดถึงเหลือเกินความรู้สึกที่ถูกรักแบบนี้ รู้สึกได้เลยว่าตัวเองขาดมันไปนานเหลือเกิน

แต่จะไปโทษใครได้ล่ะ ในเมื่อผมเองที่เลือกจะไป

แต่อดีตก็คืออดีต ผมหันไปมองมันได้ ใช้เป็นบทเรียนได้แต่ไม่สามารถแก้ไขมันได้ สิ่งที่ผมต้องทำคือทำใจอยู่กับมันเสีย ใช้ชีวิตโดยมีมันเป็นเหมือนกับข้อสอบที่เราได้เคยทำมา เรียนรู้มันแล้วทำวันต่อๆ ไปให้ดียิ่งขึ้น

จะได้ไม่ทำพลาดเหมือนครั้งก่อน ไม่มานั่งเสียใจเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

ผมมองพร้อมกับส่งยิ้มที่ทางด้านหลังของคุณแม่ ป้าเนียนหรือก็คือคุณแม่ของพี่ชาติยืนอยู่ตรงนั้น น้ำตาคลออยู่เต็มดวงตาทั้งสองข้าง ป้าเนียนยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ทั้งที่ตัวสั่นเล็กน้อย

คนแก่นี่อ่อนไหวกันจริงๆ เลย

“ป้าเนียนร้องไห้เพราะเสียใจที่ผมกลับมาที่บ้านหรือเปล่าครับ?” ผมถามติดตลก แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่เสียงหัวเรา แต่เป็นอ้อมกอดที่ถูกโถมเข้าใส่อย่างแรงจนผมเซถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวแล้วโอบร่างท่วมของป้าเนียนเอาไว้

“ป้า ฮึก ป้านึกว่าจะไม่ได้ ฮึก เจอคุณหนูแล้ว” ผมยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่ละคนก็ช่างเหลือเกิน แบบนี้ผมยังจะกล้าไปไหนได้กันล่ะ?

“เจอสิครับ ยังไงผมก็จะกลับมาหาป้าเนียนกับคุณแม่แน่ๆ”

ก็ผมน่ะ คิดถึงทุกคนจะตายไป คิดถึงอยู่เสมอเลยทุกนาที แต่พูดไปใครจะเชื่อผมกันล่ะ ผมเป็นคนเดินออกไปเอง เป็นคนเลือกทางเดินนี้ เลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อความรักโง่ๆ ที่ผมคิดไปเองว่า…มันเป็นของผม เพราะความจริงแล้ว ความรักที่ผมเห็นมันไม่ต่างจากดาวตกที่ส่องสว่างเพียงไม่กี่วินาทีแล้วดับไป

เขาส่องแสงใหม่แต่ไม่ใช่เพื่อผม เพียงแต่ผมคิดว่ามันเป็นของผมอยู่ผมจึงได้แย่งชิงมันกลับมา เป็นผมที่หลอกตัวเองอยู่ ไม่ใช่เขาหรอกที่ทำร้านผม

มันเป็นเพราะผมเองที่ไม่ยอมรับความจริง ฝืนเหนี่ยวรั้งหัวใจของคนที่หมดรักให้กลับมาเป็นดังเดิมให้ได้

“ป้าดีใจนะคะ ดีใจมากๆ ที่คุณหนูเลือกกลับมาอยู่ด้วยกันกับคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงและคุณมินอีก”

“ผมเองก็ดีใจครับ” ผมดีใจที่ได้กลับมาเป็นคนในครอบครัวอีกครั้ง ได้กลับมาถ๔กโอบล้อมด้วยความรักความเอาใจใส่ ไม่ต้องคอยเหงาอีก

“อย่าไปไหนอีกเลยนะคะคุณหนู รู้ไหมคะว่าคุณผู้หญิงต้องคอยเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่คุฯ หนูจะกลับมา”

“ครับ” ผมชะงักเมื่อได้ยิน ส่งเสียงออกไปอย่าลืมตัว แม่เฝ้ารอผมกลับมาหรือ เวลาสามสี่ปีที่ผมไป แม่ยังคงเฝ้ารอทุกวันเลยงั้นหรือ? แบบนี้มัน…ไม่เท่ากับว่าผมทำบาปหรือครับ

“เอาล่ะๆ คุณก็ปล่อยให้ลูกชายของเราไปพักผ่อนเสียก่อนเถอะ ให้เขาได้อาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาทานอาหารเย็นไงล่ะ” คุณพ่อเดินเข้ามาโอบไหล่ของคุณแม่เอาไว้ คำพูดที่ดึงสติทุกคนของคุณพ่อทำให้คุณแม่เบิกตากว้างอย่างลืมตัว

“ตายจริง นี่ฉันก็ลืมไปเลยค่ะ ถ้างั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานข้าวกันนะคะลูก” ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับคำของคุณแม่โดยไม่อิดออดใดๆ

“วันนี้แม่เราเขาลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเลยนะ เพราะลูกกลับมาที่บ้านนี่ล่ะ พ่อถึงได้กินฝีมือของแม่เขาไปด้วย” คุณพ่อของผมพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะจนโดนคุณแม่หยิกเข้าที่หน้าท้อง เรียกเสียงหัวเราะจากคนในบ้านได้อย่างดี ไม่เว้นแม้แต่ผม

นี่คือความคุ้นเคยที่แสนสบายใจ มันคือทุกอย่างที่ผมมีมาตั้งแต่แรกและเป็นของผมเสมอไป

“คุณแม่ครับ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นผมอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหมครับ น่าน้อยใจเหลือเกิน” พี่มินหลุบสายตาลง ทำสีหน้าราวกับน้อยใจเหลือเกินได้สมจริงจนผมแทบจะไปกวาดรางวัลมาให้ เล่นเก่งเล่นเนียนแบบนี้ ไม่มีใครแล้วล่ะครับนอกจากพี่ผม

“โธ่ หนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของแม่มาน้อยใจแบบนี้ สาวๆ ทั้งประเทศคงต้องอยากมาปลอบใจแน่ๆ เลย แบบนี้แม่คงไม่สำคัญแล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ” ถูกคุณแม่ถามกลับด้วยประเด็นเดียวกันพี่มินของผมก็พลันขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่ต้องเป็นข่าวเมื่อปีก่อนอย่างแน่นอน ถ้าผมจำไม่ผิดคุณแม่เคยโทรมาหาผมเรื่องที่พี่มินไปหลงใหลผู้หญิงคนหนึ่งจนไม่กลับบ้าน กว่าจะกลับมาได้ก็กินเวลานานถึง4เดือน เจ้าตัวเองก็ได้แต่หัวเราะกลับมาแต่ก็ไม่มีแม้เงาของผู้หญิงคนไหนจะถูกพี่ชายของผมพาเข้าบ้าน คุณแม่เองก็เอ่ยปากถามแต่พี่มินก็ไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงจริงๆ หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่อาจจะรู้ได้ เมื่อพี่ชายของผมเลือกจะเก็บเงียบเอาไว้

“มีที่ไหนครับคุณแม่ ลูกชายของคุณแม่คนนี้รักคุณแม่ที่สุดแล้วครับ จะมีสายตาที่ไหนไปมองสาวได้” ผมเองก็อดหัวเราะกับความขี้ประจบประแจงที่กลัวความผิดของพี่มินไม่ได้ จะว่ากลัวความผิดหรือร้อนตัวกลัวคุณแม่โกรธด้วยเรื่องเก่าๆ ดีล่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร นั่นก็เพียงพอให้พี่ชายผมทั้งออดทั้งอ้อนคุณแม่เสียยกใหญ่

“ถ้างั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่ พี่มิน”

“ได้ ไปเถอะ”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากพ่อ ผมก็ยิ้มแล้วเดินขึ้นไปข้างบนทันที ทุกอย่างมันเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน รูปครอบครัวที่ถูกแขวนเอาไว้ด้านข้างก็ยังไม่ถูกถอดเปลี่ยนไปไหน แจกันใบสีฟ้าแกะสลักลวดลายงดงามที่คุณแม่ประมูลมาในงานเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ยังวางอยู่ตำแหน่งเดิม ผมมองความคุ้นตาที่พาตัวเองเดินกลับมองมาอย่างรู้สึกสบายใจแปลกๆ มันอบอุ่นและพองฟูไปด้วยความละมุนที่อยู่ในหัวใจ

ผมเปิดประตูที่สามทางขวามือออก ประตูห้องของผมที่ผมอาศัยนอนมาตั้งแต่ยังเด็กจนโต ภายในห้องที่ปรากฏในสายตาสะอาดสะอ้านและไร้กลิ่นอับ มีเพียงกลิ่นของผมที่ตลบอบอวลอยู่ในห้องเหมือนเมื่อก่อนที่ผมจะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ นี่หมายความว่าห้องของผมถูกทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมเพื่อวันที่ผมจะได้กลับมาสินะ คุณแม่คง…รอผมอยู่ทุกวัน

ผมเงยหน้าขึ้นสูง กะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เริ่มจะคลอเบ้าออกไป ริมฝีปากขยับยิ้มออกมาอย่างแสนเศร้า แต่หัวใจของผมกลับอุ่นวาบไปทั้งใจ มันดีเหลือเกินที่ได้กลับมา ดีเหลือเกินที่ได้กลับมาหาทุกคนที่นี่ ผมมองไปรอบๆ ห้อง กวาดสายตามองของทุกชิ้นที่ผมยังคงจดจำมันได้ดีถึงคืนวันที่ได้รับมา นี่คือบ้านของผม ที่นี่คือที่ของผม

ใช่แล้ว…ตอนนี้ผมกลับบ้านแล้ว

กลับมาอยู่ในที่ของตัวเองเสียที







น้องกลับถึงบ้านแล้วววววว เย้~ เวลาที่เสียใจ ผิดหวัง ที่เดียวที่จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น นั่นคือบ้านของเรานะคะ ไม่ว่าจะเจออะไรที่ย่ำแย่แค่ไหน กลับมาบ้านเรากันเถอะค่ะ ไม่มีใครเขาต่อว่าหรอก ต่อให้คุณแพ้ใครมา คนที่บ้านก็พร้อมปลอบใจเสมอ เราจะสู้และผ่านพ้นโควิด19 ไปด้วยกันนะคะ ช่วงนี้อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัย พกเจลล้างมือ ทางที่ดี หลีกเลี่ยงคนหมู่มากจะดีกว่า สู้ๆนะคะทุกคน เราต้องผ่านมันไปได้!

ปล. นิยายของแมวแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอนค่ะ เพียงแต่...แมวแต่งมันจบไปแล้ว และโฟกัสดินแดนเป้นตัวหลักเอาไว้ คงเปลี่ยนพระเอกไม่ได้หรอกค่ะ แง้ แต่...ถึงจะไม่ใช่แบบที่คุณคาดหวัง ก็อย่าทิ้งแมวเลยนะคะ แมวตั้งใจแต่งมันออกมาให้อ่านกันจริงๆ  

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [9] กลับสู่อ้อมกอด 100% Up [26/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 27-03-2020 02:04:28
มันมีเรื่องที่จริงอยู่อย่างนึงนะว่าต่อให้โลกจะโหดร้ายกับเราแค่ไหนครอบครัวก็จะดีกับเราเสมอ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [10] เปลี่ยนแปลง 50% Up [30/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 30-03-2020 21:52:19
[10] 50%


เปลี่ยนแปลง
[/b]

วันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนย่างเงียบงัน ทุกสิ่งในชีวิตผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหมือนก่อนหน้าที่ผมจะได้พบเจอกับดินแดน ผมถูกเอาใจทุกวี่วัน ถูกจับตามองราวกับของมีค่าที่กลัวจะสูญหายไปอีกครั้ง มันตลกดีนะครับสำหรับผม ผมมองว่าเป็นความห่วงใยที่ทุกคนมอบมันให้ผม

และผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกคนต่างก็แสดงออกเพื่อผมขนาดนั้น

ผมเดินลงมาอย่างไม่เร่งรีบ มือซ้ายจับราวบันไดเพื่อก้าวลงไปเรื่อยๆ วันนี้ไม่สำคัญอะไร เพียงแต่ผมได้นัดหมายใครบางคนเอาไว้แล้ว

ใครคนนั้นกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่อย่างสบายอารมณ์ ขาข้างหนึ่งไขว้อยู่กับอีกข้าง วางท่ามาดคุณชายผู้หล่อเหลาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ผมส่ายหน้าอย่างระอา หมอนี่จะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อต้องมาในที่ที่ถูกจับจ้อง และคนที่จับจ้องก็ไม่ใช่ใคร เป็นพี่ชายของผมเอง

พี่มินหรี่ตากอดอกพิงโซฟาอย่างจับผิด มองท่วงท่าที่ไม่แยแสต่อการถูกจับตามองอย่างไม่ค่อยจะชอบใจนัก จนผมอดคิดไม่ได้ว่าตกลงแล้วสองคนนี้มีเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า

“ทำอะไรกันครับ?” พี่มินกะพริบตาลงแล้วหันมามองผม สายตาที่ใช้จับจ้องอนุรักษ์เพื่อนผมเอาไว้ก่อนหน้าหายไปจนหมด เหลือเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของพี่ชายที่ใช้มองน้องชายเท่านั้น ผมขยับตัวเดินลงไปจนถึงโซฟา มองอนุรักษ์ที่นั่งนิ่งริมฝีปากติดรอยยิ้มเล็กๆ เอาไว้ด้วยความยียวน

“ไมน์ จะไปไหนหรือวันนี้ แต่งตัวเสียหล่อเชียว” สายตาของพี่ชายกวาดมองเสื้อผ้าหน้าผมของผม คงจะแปลกอยู่มาก ผมเองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน เสื้อผ้าในตู้ของผมแทบจะล้น เรียกได้ว่าไม่มีทางจะใส่ได้หมด พอนึกย้อนไปในเวลาก่อน ผมเป็นคนที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเสียจริง ไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรต่างๆ

แต่แล้วยังไงล่ะ? ประหยัดไปแล้วได้อะไร ทำดีแล้วมีใครมองเห็นไหม

ขนาดผมทำดีแทบตาย…ดินแดนยังเลือกคนอื่น ไม่ใช่ผม

ผมจึงตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไป ผมจะกลับเป็นคนเดิม อะไรที่เป็นความสุข ผมจะทำ อะไรที่ผมพอใจ ผมจะทำ ผมจะไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น จะเป็นไมน์คนที่เขาไม่รู้จัก เป็นไมน์อีกคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็น

ผมอาจจะถนัดใช้เงินมาตั้งแต่เกิดก็ได้ แต่ใช่ว่าผมจะไม่รู้จักค่าของเงิน ทุกสิ่งที่หามาด้วยความยากลำบากผมย่อมต้องถนอมมันไว้ แต่คนอย่างผมต่อให้ใช้ไปเท่าไหร่ผมเองก็จะหามาให้มากกว่าเท่าตัว ผมส่งยิ้มให้พี่มินน้อยๆ ก้มลงมองตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าตัวเองเมื่อสี่ปีก่อนอย่างพอดีตัว

“ครับ ผมนัดกับรักเอาไว้ว่าจะไปเที่ยวกันสักหน่อย” พี่มินเมื่อได้ยินคำว่าไปเที่ยวของผมสายตาก็พลันทอประกายอ่อนโยนโยนและยินดีอย่างสุดซึ้ง

“งั้นหรือ…ดีแล้วล่ะ อยากไปที่ไหนก็ไปเถอะ เรื่องคอนโดพี่ให้คนจัดการเก็บของต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว อยากเข้าไปวันไหนก็เข้าไปได้เลย” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ มองพี่มินอย่างขอบคุณจากใจจริง

“แล้วนี่มีเงินพอหรือเปล่า?” ผมหลุดหัวเราะกับคำถามของพี่ชายที่ทำเหมือนผมอายุสี่ห้าขวบ

“พี่มิน ผมน้องชายพี่นะครับ เป็นลูกชายคนเล็กของบ้านสุทธิวรเวช ถ้าผมไม่มีเงิน พี่เอกก็คงไม่มีเหมือนกันนั่นล่ะ”

ครอบครัวเราร่ำรวยมากมายเท่าไหร่ ติดอันดับต้นๆ ของประเทศด้วยซ้ำแล้วผมจะไม่มีเงินเที่ยวได้ยังไงกัน พี่มินก็ช่างพูดไปเรื่อยจริงๆ

“จริงด้วยสินะ ทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้น้องชายคนนี้ของพี่ออกไปอยู่คนเดียวแบบนั้น พี่ก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วสิ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พยักหน้ารับคำพูดที่ดูเหมือนจะกึ่งเขินอายกึ่งขึงขัง ผมรู้…ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่หรอกนะครับที่คอยส่งเงินให้ผมเป็นระยะๆ เพราะพี่มินพี่ชายของผมคนนี้เองก็คอยส่งมาเสมออยู่เช่นกัน ทุกคนต่างกลัวว่าผมจะอยู่อย่างลำบาก กลัวว่าผมจะใช้ชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้น

ยังไงมันก็คือความหวังดี ผมเพียงแค่ยอมรับ แต่ไม่ได้นำออกมาใช้ อาจจะมีบ้างในยามที่จำเป็นเช่นเมื่อผมไม่สบายหนักๆ ผมก็ต้องไปหาหมอ และค่ารักษาก็ไม่ใช่น้อยๆ

“ผมรู้ครับ ผมรู้แล้ว” พี่มินลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา ดวงตาฉายแววความปวดใจอยู่ไม่น้อยเลยเมื่อพูดถึงเรื่องที่ผมจากไป

มันเป็นความผิดของผมเองที่เดินออกไป

“เอาเถอะๆ ยังไงก็จะไปเที่ยวใช่ไหม ก็ไปเถอะไมน์ เที่ยวให้สนุกล่ะ” ผมส่งยิ้มกว้างให้พี่มินอย่างประจบประแจง

“ครับพี่ พี่ก็ทำงานให้สนุกนะครับ ไปกันเถอะรัก”

“ได้…สวัสดีครับคุณ”

อนุรักษ์ยกมือขึ้นไหว้พี่ชายของผมตามปกติ ว่าแต่ทำไมบรรยากาศของสองคนนี้มันถึงได้แปลกๆ กันนะ เพราะตั้งแต่จำความได้ เราสองคนพี่น้องก็สนิทและวิ่งเล่นกันกับรักมาตลอด ขนาดช่วงที่ผมยังไม่ได้ออกจากบ้านไปพี่มินกับรักก็ยังดูเป็นพี่เป็นน้องกันดีๆ อยู่เลย

เวลาเพียงแค่สามสี่ปีสามารถทำให้คนที่สนิทสนมราวกับพี่น้องเป็นคนแปลกหน้าไปได้หรือ?

ถึงแม้ว่าจะเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้องเดินตามหลังของเพื่อนรักไปอย่างช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาสืบสาวราวเรื่องอีกมาก แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องไปจัดการ นั่นคือการเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่

ผมนอนคิดมาหลายคืน รูปลักษณ์ของผมตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่อาจจะตัดดินแดนออกไปจากใจของผมได้ ผมอยากจะลอง ลองทำสิ่งใหม่ๆ ลองทำตัวเองให้เปลี่ยนไป แม้สักนิดบางทีผมอาจจะสามารถดึงจิตใจที่เข้มแข็งของตัวเองออกมาได้บ้าง เพราะงั้น…ผมจึงได้โทรไปหาอนุรักษ์และนัดหมอนี่เพื่อจะให้หมอนี่ช่วยผมในเรื่องนี้

“มึงแน่ใจนะไมน์?” อนุรักษ์ถามผมอย่างไม่แน่ใจเมื่อเข้ามานั่งในรถ ผมจึงพยักหน้าให้หมอนั่นได้มั่นใจขึ้นมากับการตัดสินใจของผม

“แน่ใจสิ” รักถอนหายใจออกมากับคำตอบของผมแต่ก็ยินยอมออกรถแต่โดยดี สายตาของรักจับจ้องไปยังท้องถนน แต่ผมคิดว่ารักคงมีบางอย่างอยากจะพูดออกมาแต่ไม่ยอมพูด

หึ…ดูจากสีหน้าก็รู้

“เฮ้อ…มีอะไรก็พูดมาเถอะว่ะ” ผมไม่ค่อยชินกับทางที่อยากจะเอ่ยอะไรออกมาแต่กลับเก็บงำเอาไว้ของอนุรักษ์ หมอนี่เคยเป็นแบบนี้ที่ไหน เวลาปกติเอาแต่บ่นเอาแต่พูดๆ ด้วยซ้ำ

“ความจริงแล้วกูแค่…ไม่อยากให้มึงศัลยกรรม”

เดี๋ยว! ใครจะไปทำศัลยกรรมนะ?

ผมอึ้งจนแทบจะอ้าปากค้าง จริงอยู่ที่ผมบอกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำตัวเองให้เป็นคนใหม่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากทำศัลยกรรมเสียหน่อย นี่เพื่อผมมันใช้อะไรคิดครับ หรือผมพูดอะไรออกไปไม่เคลียร์กัน? จากความเข้าใจผิดที่รักพูดออกมาทำให้ผมหลุดขำพรืดออกมาเสียยกใหญ่ จนเจ้าตัวที่ถูกผมหัวเราะใส่เริ่มชักสีหน้า มองด้วยแววตาดุๆ ราวกับว่าน่ากลัวเสียเหลือเกิน

“ขำอะไรหนักหนา?”

“ขอโทษๆ ฮ่าๆ ก็มึงพูดออกมาแบบนั้นกูก็เลยอดไม่ได้จริงๆ” ก็มันจริงนี่นา ผมแค่อยากตัดผม อยากเปลี่ยนสีผมเปลี่ยนแปลงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้คิดจะทำหน้าใหม่แบบที่รักเข้าใจเสียหน่อย มันก็เลยทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

อนุรักษ์หน้าตึง ตวัดสายตามองค้อนผมเสียยกใหญ่เมื่อเสียงหัวเราะของผมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ผมปาดน้ำตาออกจากหางตาตัวเองเมื่อผมหัวเราะมากจนเกินไป อนุรักษ์ขับรถตรงไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆ โดยมีเสียงเพลงเคล้าคลอเบาๆ ไปตลอดทาง น่าแปลกที่อารมณ์ผมไม่ค่อยจะย่ำแย่เหมือนก่อนหน้านี้ เพราะหากว่าเป็นก่อนหน้าผมคงจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็เอาแต่ร้องไห้

บางทีอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้เจอ ไม่ได้ข่าวคราวของดินแดนหัวใจของผมจึงเหมือนอยู่ในช่วงจำศีล ความเจ็บปวดทรมานจึงได้หายไปจากผม ผมหลับตาร้องคลอไปกับเพลงอย่างสบายอารมณ์จนถูกอนุรักษ์แซ็วเสียยกใหญ่

“สบายเหลือเกินนะ นี่ทำใจเรื่องมันได้แล้วสิ?” ผมลืมตาขึ้นมา แม้จะไม่ได้เจ็บปวดแต่พอถูกทักจากคนข้างๆ ก็อดรู้สึกหวิวๆ ในอกไม่ได้

“ไม่รู้สิ กูเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าการได้ห่างจากมันแบบนี้ ไม่นาน…กูคงจะทำใจได้” ผมก้มหน้าลงมองปลายนิ้วที่เกี่ยวกันเล่นของตัวเองระบายรอยยิ้มออกมาอ่อนๆ เหมือนคนที่ไม่สามารถหาคำตอบอะไรให้กับเพื่อนได้ อนุรักษ์ถอดถอนหายใจ หันมามองผมชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหันกลับไป

“ขอโทษที กูผิดเอง”

“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก”

ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ความผิดของมันเลย ผมก็แค่อ่อนไหวไปเองก็เท่านั้น

“สรุปแล้วที่มึงบอกว่าอยากเปลี่ยนตัวเองนี่คืออะไรกันแน่?” ผมหัวเราะเบาๆ กับอาการสนอกสนใจของรักที่มีต่อเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยวาง

“ก็แค่ตัด เปลี่ยนสีผม กูไม่ได้คิดจะไปทำนงทำหน้าอะไรที่มึงคิด” ได้ยินแบบนั้นอนุรักษ์ก็ถอนหายใจใส่ผมอย่างโล่งอก ใบหน้าดูดีขึ้นมาหลายส่วนจนคลายคิ้วที่เคยขมวดลงไปได้

“แบบนั้นกูก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย”

“เพราะงั้นกูถึงโทรนัดมึงออกมาไง”

“ทำไมวะ?” อนุรักษ์เหลือบมองผมเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ

“กูอยากไปร้านพี่หนูเล็ก” พี่หนูเล็กคือช่างตัดผมฝีมือดีขนาดที่คนดังทั้งหลายยังต้องโทรเข้าไปจองคิว ซึ่งให้บังเอิญว่าพี่หนูเล็กคนนี้เป็นคนรู้จักมักจี่ หรือจะเรียกว่าสนิทชิดเชื้อกับแม่ของอนุรักษ์ก็ได้ เพราะงั้นอนุรักษ์เพื่อนที่แสนดีคนนี้จึงเป็นเหมือนกับใบเบิกทางสำคัญที่จะทำให้ผมลัดคิวเข้าไปได้ ผมยิ้มน่ารักใส่มันแต่มันกลับกลอกตาใส่ผมราวกับเบื่อหน่ายการใช้ประโยชน์จากคนของผมเหลือเกิน

ผมผิดตรงไหนเล่า ก็ผมอยากไปร้านพี่หนูเล็กนี่!

“ครับๆ ทราบแล้วครับคุณหนูไมน์…”

ผมไม่สนใจเสียงประชดประชันของมันหรอก ผมเอนตัวนั่งอย่างสบายอารมณ์ ฮัมเพลงต่อไปโดยไม่สนใจคนข้างๆ อีก อนุรักษ์กลับรถแล้วขับต่อไปตามเส้นทางที่เจ้าตัวคุ้นเคย ผมไม่ได้ไปบ่อนนัก แทบจะนับครั้งได้จึงจำเส้นทางไม่ได้เหมือนรักมัน เพียงไม่นานนักรถก็เคลื่อนมาจอดสนิทอยู่หน้าร้านเป็นที่เรียบร้อย







..........50%..........







อนุรักษ์ผู้ไม่เคยปฏิเสธเพื่อนได้ อยากมอบโล่ดีเด่นให้น้องเหลือเกินค่ะ ว่าแต่ หนูคิดได้ยังไงคะลูกกกกก ว่าน้องจะไปศัลย์หน้า โถๆๆ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [10] เปลี่ยนแปลง 50% Up [30/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 31-03-2020 01:18:41
 :z3: :z3: อย่าเปลี่ยนอะไรเยอะจนลืมตัวตนของเรานะไมน์
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [10] เปลี่ยนแปลง 50% Up [30/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: t152_rakjai ที่ 31-03-2020 01:47:51
ดินแดน :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [10] เปลี่ยนแปลง 100% Up [31/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 31-03-2020 18:30:09
[10] 100%



ผมกับอนุรักษ์ลงจากรถทันที ท่าทางของเพื่อนผมมันก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร คงมีแต่ผมเสียมากกว่าที่เร่งรีบไปเอง ความตื่นเต้นเริ่มเข้ามาในหัวใจ รู้สึกวูบวาบชวนให้อยากเข้าห้องน้ำเสียเหลือเกินตอนนี้ แต่ผมก็สูดลมหายใจเรียกความกล้าพร้อมกับเดินต่อไปยังร้านด้านหน้า

L&J

นั่นคือร้านที่ทุกคนอยากจะเข้าไป และแน่นอนว่าราคาย่อมไม่ถนอมกระเป๋าแม้แต่น้อย

แล้วผมสนหรือครับ? ผมมีเงินเสียอย่าง แพงแค่ไหนผมก็จะทำ

“ต๊าย สวัสดีค่ะน้องรัก ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะคะเนี่ย” อนุรักษ์คิ้วกระตุกยิกๆ ปากก็ปั้นแต่งรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าฝืนออกมาให้ผู้ชายตัวเล็กที่พูดคะขาอยู่ตรงหน้า

“สวัสดีครับพี่หนูเล็ก พอดีเพื่อนผมอยากจะให้พี่ช่วยทำผมให้หน่อย วันนี้พี่หนูเล็กพอมีเวลาว่างไหมครับ?” แม้จะพยายามพูดออกมาให้ผม แต่ดูก็รู้ว่ารักมันฝืนอยู่มากๆ สีหน้าของมันย่ำแย่จนน่าขำ ผมจำได้ดีวันนั้นที่มันวิ่งร้องไห้มาหาผม ร้องห่มร้องไห้ว่าถูกพี่ชายข้างบ้านที่รู้จักกันจับมาเป็นตุ๊กตาเพราะว่ามันน่ารัก ซึ่งผมเองยังเด็กเลยไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดูท่าจะยากลำบากพอควร

เพราะตุ๊กตาของพี่หนูเล็กคงไม่ใช่หุ่นยนต์ตัวใหญ่แน่ รักมันคงถูกจับใส่กระโปรงกับติดโบว์สีชมพูเสียมากกว่า

“เอ๋ ปกติร้านพี่ต้องนัดเวลาล่วงหน้านะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อน้องรักพี่ยอมแหกกฎ ทำให้เพื่อนตัวน้อยของน้องรักก่อนเลย” ผมฉีกยิ้มกว้าง ในใจรู้สึกยินดีจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่

“ขอบคุณครับพี่ ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรนัด” เพราะผมอยากจะทำมันเพื่อลืมใครบางคน

ประโยคนั้นผมไม่ได้พูดออกไป พยายามฉีกยิ้มเต็มที่สะกดกั้นความรู้สึกแย่ๆ ที่คิดจะกลับเข้ามาในหัวใจเอาไว้จนไม่สามารถแสดงตัวได้อีก

พี่เล็กยิ้ม มองผมอย่างประเมินงาน เดินวนรอบตัวผมอย่างครุ่นคิดแล้ววกกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง

“จะว่าไปคุณน้องนี่ผิวพรรณดีจังเลยนะคะ หน้าตาก็ดูจิ้มลิ้มน่ารัก ปากแดงตาโต แก้มก็น่าฟัดสุดๆ” สายตาที่จ้องมาวาววับจนผมกับอนุรักษ์แทบจะยืนกอดกันตัวสั่น ไม่เอานะ ผมไม่อยากเล่นเป็นตุ๊กตาเหมือนอนุรักษ์มัน!

“คะ ครับพี่ พะ ผมอยากจะตัดผมกับเปลี่ยนสีครับ อยากลองเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ ดู” เผื่อเรื่องเก่าๆ จะหายไปบ้างเมื่อผมเปลี่ยนตัวเอง ผมยิ้มเศร้าอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มปกติที่ผมใช้มันกับทุกคน

“อืม…พี่ว่าผมหนูก็ไม่ได้ยาวนะคะ ถ้าตัดไปพี่คิดว่าใบหน้าหนูอาจจะไม่รับกับทรงน่ะสิ” ผมจับหน้าตัวเอง ขมวดคิ้วคิดตามคำพูดของพี่หนูเล็กแล้วหันไปมองกระจก

มันก็จริงที่ผมของผมไม่ได้ยาว เพียงแค่ระต้นคอเท่านั้น ผมด้านหน้าที่ปรกลงมาจนถึงช่วงหน้าผากก็ยิ่งเสริมให้ตัวผมดูเล็กและน่ารัก

เดี๋ยวสิ ผมไม่ควรชมตัวเองใช่ไหม

“แล้วพี่คิดว่าผมควรทำอะไรดีครับ?” เพราะผมไม่อยากจะเป็นคนเดิมอีกแล้ว อยากลองเปลี่ยนตัวเองดูใหม่ อะไรๆ มันอาจจะดีขึ้นมาก็ได้

“พี่ว่าเล็มๆ เอาก็พอค่ะ ส่วนเรื่องสีผม หนูคิดไว้ว่าจะเอาสีไหนคะ” สีไหนหรือ…นั่นสิ ผมควรจะใช้สีไหนดี ชั่ววินาทีนั้นผมหันไปเจอนิตยสารฉบับหนึ่งที่วางเอาไว้ นายแบบบนปกทอดสายตามองตรงมาที่ผม รอยยิ้มของเขาคล้ายกับแสงตะวันที่เจิดจ้า ผมของเขา ผมของเขาคนนั้นเป็นสีออกเทาดูดึงดูดสายตาไม่ใช่เล่น

และมัน…ถูกใจผมเหลือเกิน

“ผม…อยากได้สีนั้นครับ” ผมชี้ไปที่ปกนิตยสารเล่มนั้นให้พี่หนูเล็กหันไปมอง พี่เขามีสีหน้าตกอกตกใจแล้วหันมามองผมอีกครั้ง

“เลิศมากค่ะ! รสนิยมหนูดีมากเลยค่ะลูก มาค่ะ เดี๋ยวพี่จะทำให้หนูดูดีจนคนต้องมองเหลียวหลังเชียวล่ะ”

อนุรักษ์ที่หลุดออกจากความสนใจของพี่หนูเล็กก็ลอบถอนหายใจและเลือกที่จะไปนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือรอผมแทน ส่วนผมก็ถูกพี่หนูเล็กดึงไปจัดการทำนั่นทำนี่ตามที่ผมบอกความต้องการเอาไว้

หวังว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะพอช่วยให้ผม…ลืมเขาได้บ้าง











“เรียบร้อยละ แล้ว กรี๊ดดดดดด!” ผมที่กำลังจะหลับเพราะการทำผมครั้งนี้ใช้เวลานานพอสมควรก็ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงกรีดร้องของพี่หนูเล็ก

“อะไรๆ เกิดอะไรขะ ขึ้น…” อนุรักษ์ชะงักกึก มองผมด้วยสีหน้าและแววตาตกตะลึงปนทึ่งราวกับไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ผมเกิดความงุนงงกับท่าทีของทั้งสองคน คนหนึ่งดีดดิ้นส่งเสียงร้องทั้งที่ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ อีกคนยืนนิ่งเป็นหุ่นอ้าปากค้าง มันทำให้ผมสงสัยจนต้องหันไปมองกระจกแทบจะทันที เพราะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ผมดูแย่ขึ้นไปอีก

“นะ นี่มัน!”

ไม่อยากเชื่อ! นั่น นั่นคือผมจริงๆ เหรอ

ผมนั่งตะลึงในความสามารถของพี่หนูเล็ก แม้ว่าจะได้ยินชื่อเสียงของพี่หนูเล็กมานานแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนผมได้แบบนี้ เส้นผมสีเทาอ่อนๆ ยิ่งขับผิวขาวละออของผมให้เด่นยิ่งขึ้น ผิวแก้มสีอ่อนจากเลือดฝาดยิ่งทำให้ตัวผมหยุดมองตัวเองไม่ได้

ผู้ชายในปกนิตยสารนั้นว่าดูดีจนหยุดมองไม่ได้แล้ว

แต่ผมกลับ…

“พี่หนูเล็กครับ นั่น นั่นคือผมหรือครับ” ไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

“ใช่ค่ะ โอ๊ยเป็นบุญของพี่เหลือเกินที่ได้ทำผมให้หนู”

“พี่เก่งเกินไปแล้วครับ เปลี่ยนสีผมจนผมแทบจะจำตัวเองไม่ได้” จากผู้ชายหน้าตาไทยๆ ตอนนี้ผมดันหน้าตาอินเทรนด์ไปทางเกาหลี แบบนี้ไม่เรียกว่าเก่งจะเรียกว่าอะไรได้ล่ะครับ ผมหันกลับไปหาพี่หนูเล็กที่กำลังยืนชอบอกชอบใจกับผลงานที่ออกมา ส่วนอนุรักษ์เพื่อนของผมก็ยังไม่ได้หลุดออกจากภวังค์เลยแม้แต่น้อย

“พี่ที่ไหนกันละคะ ถ้าเบ้าหน้าหนูไม่ดี ถึงเป็นพี่ก็ไม่ได้ขนาดนี้หรอกค่ะ ทำไมหนูสวย ไม่สิ หล่อ ไม่ใช่ๆ น่ารัก โอ๊ย! พี่ใช้คำเรียกหนูไม่ถูกแล้วค่ะตอนนี้ แต่หนูอปป้ามากเลยค่ะลูก ไม่นะ! อย่าทำสายตาแบบนั้นกับพี่ หัวใจพี่มีให้แค่หนุ่มหล่อกล้ามใหญ่เท่านั้น พี่จะไม่หวั่นไหวกับเด็กชายตัวน้อยๆ แบบนี้ กรี๊ดดดด!”

ผมเกิดอาการใบ้กินขึ้นมากะทันหัน ผมก็แค่หลุบสายตาลงมองเศษซากเส้นผมที่ถูกพี่หนูเล็กเล็มมันทิ้งไปว่าเท่าไหร่ ก่อนจะค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าของพี่หนูเล็กอีกครั้งเอง ทำไมพี่หนูเล็กต้องเอามือไปกุมหัวใจแล้วเดินเซไปมาเหมือนคนไม่มีแรงจะยืนด้วยกันล่ะ?

“รัก ไอ้รัก!”

“หะ หา ขอโทษที กูไม่นึกว่ามึงจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ เชี่ย…กูใจเต้นเลยว่ะ” ผมกลอกตาใส่มันอย่างเบื่อหน่าย พูดก็พูดเถอะมันเคยใจเต้นกับผมที่ไหน อนุรักษ์มันเป็นพวกตายด้าน ผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมันก็ไม่สนหรอกครับ ความจริงตอนสมัยเป็นเด็ก อนุรักษ์มันติดพี่ชายผมเสียยิ่งกว่าอะไร พอโตขึ้นมานี่ล่ะถึงได้เปลี่ยนมาติดผมแทน อาจจะเป็นเพราะเราอายุเท่ากัน อีกทั้งยังเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่เล็กจนโต นั่นก็เป็นธรรมดาที่มันจะสนิทสนมกับผมมากกว่าพี่มิน

“ไม่ต้องมาพูด กูเชื่อมึงก็ควายแล้วล่ะ พี่หนูเล็กครับ ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ?” ผมเลิกสนใจเพื่อนตัวเองแล้วหันไปสอบถามราคาที่ต้องจ่ายกับพี่หนูเล็กแทน แต่พี่หนูเล็กกลับยกมือขึ้นมาโบกไปมาเพื่อปฏิเสธ

“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้องๆ พี่เก็บเงินกับหนูไม่ลงจริงๆ แต่ถ้าหากหนูอยากตอบแทนพี่ พี่ขอหน้าหนูมาโปรโหมดร้านได้ไหมคะ” ผมหัวเราะเสียงใส พยักหน้าตอบรับพี่หนูเล็กอย่างว่าง่าย เพราะสิ่งที่พี่หนูเล็กขอมันไม่ได้มากมายอะไร อย่างที่ชีวิตผมก็ถูกเปลี่ยนไปเพราะพี่หนูเล็ก จากคนที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เป็นคนที่แทบจะสะกดทุกสายตาให้มองมา เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะให้พี่หนูเล็กไม่ได้

เมื่อตกลงกันได้ผมก็นั่งเป็นแบบให้กับพี่หนูเล็กเก็บรูปของผมเพื่อเอาไปโปรโหมดร้านให้อย่างที่พี่หนูเล็กต้องการอย่างไม่อิดออด แถมยังยิ้มกว้างให้เสียด้วยซ้ำ ตอบแทนที่พี่หนูเล็กทำให้ผมดูดีได้ขนาดนี้

จากนั้นผมกับอนุรักษ์ก็เดินออกมาจากร้านแล้วตรงไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ระหว่างที่เดินออกจากร้านมา ผมถูกสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่ผมไม่ลดละ จับจ้องผมจนต้องหันไปมองรอบข้างตัวเองเพราะไม่คุ้นชิน แต่ก็เป็นเพราะพี่หนูเล็กเปลี่ยนแปลงผมครั้งใหญ่นี่ล่ะครับ ทุกคนถึงจ้องมองผมกันขนาดนี้

“จะไปไหนต่อวะ?” ผมยืนนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบไปอย่างมั่นใจ

“กูอยากไปที่ร้านตัวเอง”

ทิ้งงานมานานเกินไป ยังไงก็ต้องไปตรวจดูเสียบ้าง อย่างน้อยก็โผล่หน้าไปให้พวกน้องๆ ได้เห็นหน้าผมบ้าง เดี๋ยวจะคิดว่าผมตายไปแล้ว









มูฟออนแล้วเดินตอ่ไป น้องทำถูกแล้วค่ะลูก ว่าแต่ว่าพี่หนูเล็กคะ รบกวนขอพิกัดร้านได้ไหมคะ แมวอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง (สาเหตุหลักคือจะไปขโมยรูปลูกชาย) ใครรออ่านพาร์ทคนใจร้ายอยู่บ้างงงง ตอนหน้าจะได้อ่านแล้วน้าาาา

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 50% Up [01/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 01-04-2020 19:30:58
[11] 50%

บางสิ่งที่หายไป
[/b]

DinDan’ s Part

ไมรวี ชื่อนี้เป็นชื่อของผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าคนรักของผม ซึ่งมันก็ใช่ สำหรับผมก่อนหน้านี้ไมน์เป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุขมาก รู้สึกเหมือนได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต ไมน์น่ารัก ยิ้มง่ายและมักจะคอยดูแลผมเสมอมาไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ช่วงหลังมานี้ ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ไมน์ทำมันดูควบคุมผมมากเกินไป คุกคามผมในพื้นที่ส่วนตัวของผมเองจนผมทนไม่ได้

แต่คนที่ทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งนี้คือเธอ

ผู้หญิงที่ผมเริ่มต้นจากความผิดพลาดมาเป็นความรัก

ใบบัว

วันนั้นเป็นงานวันเกิดของไอ้ภูมิ เพื่อนของผมที่จัดงานขึ้นและผมจะต้องไปร่วมงานด้วย เพียงแต่วันนั้นไมน์ป่วยหนัก ผมไม่อยากทิ้งไมน์ไส้คนเดียวแต่เป็นไมน์เองที่คะยั้นคะยอให้ผมไปร่วมให้ได้ เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุของการผิดใจกันของผมกับภูมิ

ภูมิไม่ชอบไมน์

เรื่องนี้ผมรู้มานานแล้วเพราะตัวของภูมิเองก็เอาแต่บ่นว่าผมไม่ควรคบกับไมน์ เป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมใหญ่จะมาคบกับคนระดับนี้ได้ยังไง ดูก็รู้ว่าไมน์เจตนาไม่ดีต้องการจะมาเกาะผม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่อยากโต้เถียงกันจนทะเลาะกับมัน วันงานวันเกิดก็เหมือนทุกครั้ง ภูมิก็ยังคงบอกให้ผมหาคนอื่น บอกผมว่าไมน์ไม่ดีพอสำหรับผม เข้ามาในชีวิตของผมเพียงเพื่อจะเกาะผมกินเท่านั้น และผมเองก็ทำเช่นเคยคือการฟัง แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป

ผมกับเพื่อนดื่มกันจนเมา เมาหนักจนจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนก่ายกอดใครบางคนในร่างเปลือยเปล่า ผู้หญิงที่สะกดกั้นความเสียใจเอาไว้ บอกว่าไม่โทษผมที่ทำกับเธอแบบนั้นเพราะผมเมา เธอฝืนยิ้มให้ผม แต่ผมดันเห็นรอยเลือดที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ทางร่างกายของเธอ มันยิ่งเหมือนถูกตีแสกหน้าเพราะผมเป็นคนแรกของเธอ

ผมรู้สึกผมอย่างมาก ทั้งกับไมน์และกับใบบัว เธอไม่เรียกร้องจากผม ไม่แม้แต่จะต่อว่าต่อขานหรือเข้ามาในชีวิต กลับเป็นเพราะความบังเอิญเสียอีกที่เล่นตลก ส่งเธอมาเป็นเลขาคนใหม่ของผม ความใกล้ชิดทำให้ผมเห็นเธอน่ารัก นิสัยดีของเธอที่ชวนให้อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเป็นคนติดดิน ไม่ฟุ่มเฟือยเหมือนคนอื่นๆ และผมเองก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าไมน์เองยังไม่สามารถทำได้อย่างเธอ

ผมหลบหน้าไมน์ เพราะไม่สามารถมองคนรักของตัวเองด้วยสายตาแบบเก่าได้อีกแล้ว

ผมในตอนนี้…กลายเป็นคนลังเล เป็นคนที่ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่ไมน์ในระยะหลังยิ่งทวีความน่ารำคาญใจมากขึ้น ในขณะที่ใบบัวกลับยิ่งน่ารักขึ้นทุกวัน หัวใจของผมสั่นไหว ยิ่งมองใบบัวผมก็ยิ่งอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ ใบบัวทำงานเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถ และเป็นคนที่ชวนให้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจยิ่งกว่าไมน์

ใบบัวเธอเอาใจเก่ง น้ำเสียงหวานหูน่าฟัง ขี้อายจนผมอดเย้าแหย่เธอบ่อยครั้งไม่ได้ หัวใจของผมพองโต นับวันยิ่งรู้สึกชอบใบบัวมากยิ่งขึ้น ผมชอบที่มีเธออยู่ข้างกาย จนวันหนึ่งผมจึงได้ตัดสินใจ…ที่จะมีเธอตลอดไปแทนที่ไมน์

ผมเริ่มห่างจากไมน์ เริ่มใส่อารมณ์ให้ไมน์หยุดทำทุกอย่างที่ทำให้ผมในตอนนี้ จากความรักก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความรำคาญใจ ผมเองก็ไม่เข้าใจ แต่ผมทนไม่ได้อีกต่อที่จะมีไมน์อยู่ข้างๆ

จากวันเป็นเดือน นานจนเหมือนกับว่าเป็นปี นับวันไมน์ก็ยิ่งเหนื่อยและท้อจนผมรู้สึกได้ จนวันนั้นที่ผมจงใจพาใบบัวเข้าไปนอนที่ห้องของผม แต่ไม่คิดว่า สิ่งที่ไมน์จะเข้าไปพบจะเป็นเรื่องจนถึงขั้นที่ไมน์จะสลบไป จนผมต้องพาไมน์ไปที่โรงพยาบาล และปล่อยทิ้งไว้ให้เพื่อนของไมน์เป็นคนดูแลต่อเอง

ผมไปเยี่ยมไมน์กับใบบัว จงใจพาใครอีกคนไปเพื่อให้ไมน์ได้เข้าใจเสียทีว่าผมต้องการจบความสัมพันธ์ ไมน์ยังคงร้องห่มร้องไห้ แววตาเจ็บปวดเจียนจะขาดใจที่มองมาที่ผมมันบีบหัวใจของผมมาก แต่ผมก็ยังคงหลับหูหลับตา เลือกสิ่งที่ผมคิดว่าใช่ที่สุดอย่างไม่สนใจอะไร

แต่เพียงแค่ไมน์เห็นใบบัว เห็นคนที่มากับผม ไมน์ก็เหมือนคนขาดสติ กรีดร้องด่าทออย่างที่ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อน แววตาเหยียดหยามและดูแคลนที่ไมน์ใช้มันมองใบบัว ผู้หญิงที่ผมเลือกยิ่งทวีความไม่ชอบใจของผมให้หนักขึ้นไปอีก มันช่วยไม่ำด้ที่ผมจะรู้สึกแบบนั้น ไมน์เป็นใครถึงได้กล้าใช้สายตาแบบนั้นดูถูกคนอื่น แบบนี้มันไม่ถูกต้อง

ผมก็แค่ปกป้องผู้หญิงที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

ผมหันหลังเดินออกมาทั้งที่ไมน์วิ่งตามมาโดยไม่สนใจว่าร่างกายตัวเองกำลังย่ำแย่แค่ไหน เขาพยายามเหนี่ยวรั้งผม พูดเรื่องเก่าๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ของเราสองคนขึ้นมาใหม่ ผมจึงได้จับมือของใบบัวเอาไว้จนแน่น พูดอย่างเลือดเย็นออกไปว่า ผมลืมมันไปหมดแล้ว

ไมน์คงเสียใจมาก ผมรู้ว่ามันแย่ที่พูดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่อยากให้เขายึดติดกับผมอีก ผมจึงได้เมินเฉยทุกความเจ็บปวดของไมน์ ปล่อยให้คนอื่นปลอบใจเขาไป

หลังจากวันที่ผมพาเธอไปเยี่ยมไมน์พร้อมกับผม ใบบัวก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่มากมายแต่ก็พอจะเห็นได้ชัดเจน จากที่เคยว่าง่าย ยังไงก็ได้ตามใจผม ในตอนนี้เธอกลับงอแง เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องของจากผมไม่น้อย แต่เพราะผมยังคงชอบเธอมาก และไม่รู้สึกแย่อะไร ผมก็ให้เธอตามที่เธอเองต้องการ

จนวันก่อนที่ผมตื่นเช้าขึ้นมาหลังจากเมาหนัก ร่างกายของผมเมื่อยไปทั้งตัว แต่ผมเห็นร่างของไมน์ยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของผม แววตาของไมน์เฉยชา ขอบตาแดงก่ำจากการร้องไห้ สีหน้าที่เรียบเฉยต่างจากที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ

ไมน์ร้องขอให้ผมไปพบเขาในตอนเที่ยงวัน เรียกร้องขอเวลากับผมจนผมหลุดอาการเหวี่ยงใส่เขาไป แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบ ไมน์กลับตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและกดดัน บอกว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องให้แก่เขา เขาไม่ได้กำลังขอร้อง แต่กำลังเรียกร้องมันจากผม ผมจึงได้ตอบตกลงไปทั้งที่ตัวเองแทบจะหาสติไม่เจอ

ผมแต่งตัวออกไปทำงาน มองนาฬิกาอยู่ตลอดเวลาว่าถึงเวลาที่นัดเขาหรือยัง แต่เมื่อเหลืออีกสิบนาที เพียงแค่ผมก้าวออกไปจากห้องทำงาน ผมก็เจอใบบัว เธอเช้ามากอดผม ยิ้มหวานให้กับผมแล้วชักชวนให้ผมไปเที่ยวกับเธอ ผมบอกเธอไปว่าติดธุระ แต่เธอกลับบอกว่าวันนี้ผมไม่มีนัดและเริ่มทำตัวเอาแต่ใจ งอนผมยกใหญ่จนผมต้องยอมตกลงไปกับเธอ

ผมคิดเพียงว่า เอาน่า…สายสักหน่อยไมน์คงไม่ว่าอะไร เพราะยังไงไมน์ก็รอผมได้เสมออยู่แล้ว

แต่เปล่าเลย นั่นไม่ใช่ความจริง ผมปลีกตัวออกมาจากใบบัวได้ก็บ่ายโมงกว่า ผมไปตามสถานที่นัดพบ มองหาร่างที่แสนคุ้นตากลับไม่พบเจอ เดินเข้าไปถาม เอารูปของไมน์ที่ยังอยู่ในโทรศัพท์ของผมให้พนักงานได้ดู เขาบอกเพียงว่ามาที่ร้านตอนเที่ยง แต่ไม่นานก็ออกไป

ผมเดินออกมาจากร้านอย่างมึนงงและสับสน ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เฝ้ารอผมได้มาตลอด ไม่ว่าจะสายหรือผมจะผิดนัดยังไงก็ไม่เคยโกรธผม วันนี้เขาจะเดินออกไปโดยไม่คิดจะรอผมอีกแล้ว ผมสะกดกั้นความรู้สึกแปลกๆ ในใจเอาไว้แล้วกลับไปทำงาน ผมไม่มีสมาธิเลยสักนิด รอเพียงว่าเมื่อถึงช่วงเย็นของวันนี้ เมื่อผมเลิกงานผมจะไปคุยกับเขา อาจจะขอโทษเขาที่ปล่อยให้รอเสียหน่อยก็คงไม่เป็นไร

แต่เมื่อผมกลับไปถึงห้อง สิ่งที่ผมเจอกลับเป็นกล่องกระดาษใบใหญ่วางเอาไว้หน้าห้องของผม มีซองสีขาวอยู่ด้านบนผมจึงได้รีบเปิดมันดู กุญแจสีเงินร่วงลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดังก้อง ผมจำมันได้ดีเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมยื่นให้กับไมน์ด้วยตัวเอง กุญแจสำรองที่ผมให้เขา วันนี้เขาคืนมาให้ผมแล้ว

นั่นย่อมหมายความว่าเราสองคน…จะตัดขาดกันจริงๆ เสียที

หัวใจผมเบาหวิวราวกับว่ามันกำลังหายไป ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเดินมาที่หน้าห้องของไมน์ ไม่รู้ว่าทำไมต้องเคาะประตู ถ้าหากไมน์เปิดออกมาผมจะพูดอะไรล่ะ? จะบอกหรืออธิบายหรือผมจะเหวี่ยงอารมณ์ใส่เหมือนที่ผ่านมา ผมเองก็ตอบคำถามที่เกิดขึ้นมาไม่ได้ แต่ผมรู้เพียงว่าในตอนนี้นั้น…แค่ไมน์เปิดประตูออกมาก็พอ ผมขอแค่นั้น แค่ได้เห็นหน้าไมน์ก็พอแล้ว

ช่วยเปิดออกมาหาผมสักครั้งหนึ่งเถอะ







..........50%..........

เนื่องจากวันนี้เป้นวันโกกโลก แต่แมวเห้นคนโกหกมาเยอะแล้ว เพราะงั้น...เรามาดูความจริงกันบ้างดีกว่าาาา ลงให้เป็นพิเศษเลยน้าาาา รอลุ้นครึ่งหลังพรุ่งนี้นะคะทุกคน

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 50% Up [01/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 01-04-2020 21:00:29
น้ำตาจิไหลลลลลล มาอัพแล้วววว
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 50% Up [01/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 02-04-2020 01:45:26
ช้าไปแล้ว หึ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 100% Up [02/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 02-04-2020 20:14:20
[11] 100%



ความหวังของผมช่างริบหรี่เหลือเกิน ก่อนไปทำงานทุกเช้าผมจะเคาะประตูบานนั้นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เวลากว่าหนึ่งเดือนที่ทั้งเช้าและเย็นของผมจะต้องทำเรื่องเดิมๆ คือการเคาะประตู หวังให้ใครสักคนเปิดประตูออกให้ผม แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่ประตูบานนี้จะเปิดออก ผมเฝ้ารอจนดึก หวังว่าไมน์อาจจะแค่ออกไปข้างนอก แค่ไม่อยากเจอหน้าผมจึงได้หลบเลี่ยงแล้วกลับมาในตอนดึกๆ

แต่ผมก็ได้แค่รอ รอจนหลับไปทุกๆ คืน

แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว วันนี้ห้องของไมน์มีเสียงดังลอดออกมา มันทำให้ผมใจเต้นแรง ผมลืมเรื่องของใบบัวไปจนหมด ไม่ได้ใส่ใจเธอมากเท่ากับแต่ก่อน ผมในตอนนี้มีแต่เรื่องของไมน์ที่ต้องคิด กล่องใบใหญ่ที่ถูกบรรจุไปด้วยของในความทรงจำของเราสองคนถูกไมน์ส่งคืนมา มันยิ่งทำให้ผมอดทนต่อไปไม่ได้ พยายามหาทางที่จะคุยกับเขา

และวันนี้ผมจะต้องได้คุย เราจะต้องได้คุยกัน

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของไมน์ เสียงภายในยังคงดังออกมาไม่ขาดหาย มือของผมสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ผมเอื้อมมือไปเคาะและรอคนที่อยู่ด้านในให้เปิดมันออก

ถ้าไมน์เปิด ผมจะพูดกับเขาดีๆ จะพยายามยิ้มให้เขา ไม่ใส่อารมณ์กับเขาอีก

“มะ…”

ไม่ใช่ไมน์ คนคนนี้ไม่ใช่ไมน์ เขาเป็นใครกัน

“ครับ?” คนตรงหน้าผมเป็นผู้ชายอายุสามสิบที่ดูดีและภูมิฐานพอตัว ผมลอบมองเข้าไปด้านในก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชวนให้สงสัย

“เอ่อ ผมมาหาไมน์ ไมน์อยู่ไหมครับ?” อีกฝ่ายขมวดคิ้วใส่ผม ก่อนจะสบตาของผมอย่างไม่เข้าใจ

“ผมไม่รู้จักคนชื่อนี้นะครับ จำห้องผิดหรือเปล่าครับ?” จะผิดได้ยังไง ในเมื่อสองสามปีมานี้ผมมาที่นี่บ่อยครั้ง มาจนจำทุกอย่างภายในห้องได้แท้ๆ ผมเม้มปากกำมือแน่น ก่อนจะคลายมันออกเมื่อปรับอารมณ์ของตัวเองลงไปได้

“เขาชื่อไมรวีครับ คุณ…ไม่รู้จักเขาเลยหรือ” อยากพบ อยากเจอ อยากพูดคุย แต่เหมือนคว้ามาได้เพียงแค่อากาศและภาพติดตาที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

“อ๋อ เจ้าของห้องคนเก่า พอดีผมซื้อต่อห้องนี้มาจากคุณไมรวีน่ะครับ”

ซื้อต่อมา ไมน์ขายห้องนี้แล้วหรือ? ทำไมกันล่ะ?

“ครับ ขอโทษด้วยนะครับ”

ผมเดินกลับมาอย่างคนที่ไร้วิญญาณ หัวใจของผมกำลังลอยห่างออกไปไกลแสนไกลจนแทบจะมองไม่เห็น ผมกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง มือหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ นำเอากุญแจสำรองที่ถูกคืนกลับมาให้แล้วมองมันอย่างเหม่อลอย

ภาพความเจ็บปวดของไมน์หลั่งไหลเข้ามาจนแทบจะควบคุมไม่ได้ ผมต้องทนรู้สึกผิดซ้ำๆ กับการกระทำอันเลวร้ายของตัวเองอย่าไงไม่รู้จบ

ไมน์จะร้องไห้มากแค่ไหนกันนะ

จะเสียใจแค่ไหนกันกับสิ่งที่ผมทำลงไปแบบนั้น

ผมปาดไล่น้ำตาออกอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ในใจได้แตาคาดหวังให้คนที่เคาะเป็นร่างของคนที่แสนคุ้นตา คนที่ในตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ผมพยายามหาทางติดต่อเขา แต่ก็ไม่มีแม้สักทางที่จะสามารถติดต่อหาเขาได้ ผมเคยคิดแม้กระทั่งว่าอีกไม่นานเขาคงจะเดินกลับมา เหมือนทุกครั้งที่เขาทำ แต่มันก็เป็นความหวังที่แสนเลือนราง เพราะความเป็นจริงแล้วไมน์ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้ผมเจอด้วยซ้ำ

“แดนคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณหายเงียบไปเลย”

ใบบัว…คนที่ผมเคยรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับเธอ ชอบความน่ารักของเธอ

แต่ตอนนี้ผมกลับ…ไม่อยากเจอเธอสักนิด

ผมรู้ว่าตัวเองเลว เป็นคนโลเลที่นำแต่ความเจ็บปวดมาให้เธอ แต่ผมก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกลงได้ ผมกำลังเฝ้ารอไมน์ในขณะที่ผมมีใบบัวอยู่เคียงข้าง มันแย่ที่ผมไม่สามารถตัดใครออกไปได้อย่างจริงจัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตกับใบบัว แต่ตอนนี้เพียงแค่ไมน์หายไปจากชีวิตของผม ผมกลับร้อนรนจนทนไม่ได้ กลับขวนขวายหาทางพบไมน์ไม่ว่าจะทางไหน

ผมรักใครกันแน่? ใครกันแน่ที่ผมต้องการอย่างแท้จริง?

“ผมไม่ค่อยสบายน่ะ คุณหลับไปก่อนเถอะ”

ผมกำลังจะปิดประตูลง แต่กลับถูกใบบัวคว้าเอาไว้แล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างไม่พอใจ สายตาของเธอกวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสะดุดตากับของที่ถูกวางเอาไว้ในตู้ มือของเธอกำแน่น ตวัดสายตามองผมอย่างไม่พอใจโดยที่ผมไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เธอที่เคยอ่อนหวานกลายเป็นคนแบบนี้

“นั่นอะไรคะ? ครั้งก่อนที่บัวมามันไม่มีขยะพวกนี้อยู่นี่!” ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของผมไม่น้อย ขยะที่เธอว่าคือสิ่งที่ผมลงมือทำมันให้กับไมน์ เป็นความทุ่มเทที่ผมเคยทำมันออกมาด้วยตัวเอง ไมน์ยิ้มรับมันอย่างยินดี กอดมันเอาไว้อย่างรักใคร่ แต่เธอกลับบอกว่ามันเป็นขยะ

บอกว่าความพยายามของผมเป็นขยะชิ้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ!

“ออกไปก่อน ผมไม่มีอารมณ์จะคุยกับคุณ” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้มันกระด้างจนเกินไป พยายามไม่ใส่อารมณ์ที่ตีวนกันให้วุ่นในตัวออกมาให้เธอได้รู้ เพราะผมจะต้องรักษามารยาทเสมอกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กับเธอเอง

“แดน! คุณกำลังไล่บัวนะคะ!”

“คุณมาที่นี่ต้องการอะไร?” ใบบัวกอดอก เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนหยิ่งผยอง

“ก็คุณไม่มาหาบัวเลย เวลาเลิกงานคุณก็เอาแต่รีบกลับบ้าน เพื่อนๆ ของบัวอยากเจอคุณ คุณก็ไม่ไป เอาแต่บอกว่าไม่ว่าง ไหนจะเรื่องที่เราคุยกันไว้ว่าคุณจะพาบัวเข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ของคุณอีก ทำแบบนี้เหมือนคุณไม่สนใจบัว คุณเบื่อบัวแล้วใช่ไหมคะ!” เรื่องของเธอมันไร้สาระเหลือเกิน เวลาผมไปเจอเพื่อนเธอก็ต้องเป็นร้านอาหารดังๆ เป็นสถานที่หรูหราที่แม้ว่าผมจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาบ่อยแบบนี้

ผมปล่อยให้เธอควบคุมทุกอย่างในเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ผมตามใจเธอให้ทุกสิ่งที่เธออยากได้ไม่เคยขัดใจ นับวันเธอก็ยิ่งใส่อารมณ์ ยิ่งเอาแต่ใจจนผมแอบถามตัวเองเหมือนกันว่า…นี่คือผู้หญิงที่ผมเคยรู้สึกดีด้วยคนนั้นจริง ๆ หรือ?

“แต่ละครั้ง…ไม่ว่ากี่ครั้งทำไมเพื่อนๆ ของคุณต้องนัดเราที่ร้านแบบนั้นด้วย” ใบบัวกัดริมฝีปาก เชิดหน้าขึ้นสูงราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

“มันก็แค่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ทำไมคุณต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วยละคะ? โรงแรมคุณก็ออกจะใหญ่โต กำไรต่อปีก็มากมายมหาศาล แค่เลี้ยงเพื่อนของบัวสักหมื่นสองหมื่นมันจะทำให้คุณล่มจมหรือยังไงกัน!” ผมอยากจะหัวเราะเยาะตัวเองเหลือเกิน นี่หรือคือผู้หญิงที่ติดดิน นี่นะหรือคือคนที่ผมเคยคิดว่าดีกว่าไมน์ไม่รู้กี่เท่า

นี่นะหรือคือคนที่ผมตัดสินใจเลือกมา ผมมันตาบอดได้อย่าง

“ไม่เอาสิคะแดน คุณไม่เคยคิดมากเรื่องแบบนี้นี่คะ อีกอย่าง…พรุ่งนี้ก็งานวันเกิดเพื่อนบัวด้วย บัวกำลังคิดว่าเราควรจะเป็นเจ้ามือจัดงานให้เธอนะคะ คุณคิดว่าไงคะ”

“บัว คุณกลับไปเถอะ ผมอยากพักผ่อน” ผมคว้าแขนของเธอเอาไว้ ลากเธอไปยังประตูที่เปิดอยู่ แต่เธอทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัว ส่งเสียงโวยวายราวกับแม่ค้าในตลาดจนผมรู้สึกอับอายเหลือเกิน

“แดน! ปล่อยนะ ทำกับบัวแบบนี้ได้ยังไงคะ! บอกมาสิว่าคุณไปติดอีหน้าไหน” ใครมันกล้าแย่งผัวบัว แดน แดน!!”

ผมปิดประตูลงกลอนแทบจะทันที ปล่อยให้เธอส่งเสียงกรีดร้องอยู่ด้านนอกโดยไม่สนใจว่าใครจะมองผมแบบไหน ตอนนี้ผมเหนื่อยล้าจนเกินกว่าจะสนใจอะไรได้ ผมทรุดตัวลงกับพื้น แผ่นหลังพิงประตูอย่างหมดซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ ภาพไมน์ที่เคยเดินไปมายังคงมีให้ผมเห็นทุกครั้งที่หันไปมอง

สายตาของผมมองไปยังครัวที่บ่อยครั้งจะมีร่างของไมน์อยู่ในนั้น ก่อนที่กลิ่นหอมของอาหารจะลอยตลบอบอวลออกมาให้ผมรู้สึกหิว อาหารของไมน์อร่อยเสมอ รสชาติที่คุ้นเคยมันทำให้ผมคิดถึง เสียงท้องยังคงร้องประท้วงอยู่เป็นระยะ ทั้งที่ผมหิวเหลือเกิน แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

ไมน์ที่ใส่ผ้ากันเปื้อน คอยเก็บทำความสะอาดห้องให้ผมและเสียงบ่นที่ตามหลังมาไม่หยุดว่าผมไม่ยอมดูแลห้องตัวเอง ผมมักจะกอดไมน์ไว้ กดจูบที่ริมฝีปากสีแดงนั่นเพื่อหยุดเสียงบ่นที่กำลังต่อว่า มันได้ผลเสมอ นั่นจึงเป็นความทรงจำที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ง่ายที่สุด

“แดน ทานข้าวได้แล้วนะ”

“แดน…ทำไมไม่เอาผ้าใส่ตะกร้าเอาไว้ล่ะ แบบนี้ไมน์เหนื่อยนะ”

“บอกแล้วไงว่าให้ทิ้งลงถังขยะ ไมน์ต้องตามเก็บให้ทุกทีเลย”

“แดน…ไมน์รักแดนนะ”

“แดนยิ้มหน่อยสิ ยิ้มมมม”


ทุกอย่าง ผมทำลายทุกอย่าง ผมเป็นคนที่ทำให้ไมน์ต้องเจ็บปวดและเสียใจ ผมทำให้คนที่ได้ชื่อว่าแฟนต้องร้องไห้ ผมเป็นคนพาความเจ็บปวดเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ของเรา เป็นผมเองที่โลเลไม่หนักแน่นพอ เป็นผมเองที่โง่งม คิดว่าสิ่งที่อยู่ในมือคือของธรรมดาและคนที่ผมอยู่ตรงหน้าคือของล้ำค่า ทั้งที่ความจริงแล้ว…ไม่มีใครดีได้เท่ากับไมน์อีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว

ผมปรารถนา อยากได้ของรักที่ผมปล่อยมือไปกลับมา แม้ว่าของสิ่งนั้นจะบอบช้ำจนไม่มีชิ้นดี ผมก็ยินดีจะรักษาจนกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติ

ผมรู้ว่าตัวเองทำเรื่องเลวร้ายมากมายแค่ไหน สายตาของไมน์ที่ทอดมองมายามที่ผมทำร้ายจิตใจของเขายังคงติดตาผมไม่หาย เสียงร้องไห้ที่ราวกับจะขาดใจในวันนั้นที่ผมหันหลังเดินจากเขามา กลับยังชัดเจนราวกับมันกำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้

“ไมน์…”

คิดถึง

ผมอยากบอกเขาเหลือเกิน อยากให้เขาได้ฟังมันสักครั้งว่าผมเสียใจ ผมอยากเจอเขา ขอร้องอ้อนวอนเขาให้กลับมาหาผม อยากให้เขาอภัยให้คนโง่ๆ อย่างผมสักครั้ง อยากจะเรียกสิ่งที่เรียกว่าหัวใจคืนมา เพราะผมรู้แล้วว่าไม่สามารถขาดเขาไปได้

ผมคิดถึงเขา อยากมีเขาอยู่ข้างๆ

ผมอยากกินอาหารของเขา จะไม่มีวันปัดมันทิ้งอย่างวันนั้นอีก ผมจะไม่ทำให้เขากลายเป็นคนที่เลวร้ายในสายตาใคร จะถนอมเขาเอาไว้ราวกับสิ่งมีค่าที่เปราะบาง จะรักษาเขาเอาไว้ไม่ให้ต้องทรมานใจอีก

ขอแค่เพียงเขายอมกลับมา ยอมให้อภัยคนที่ตามืดบอดอย่างผมสักครั้ง

ให้เขายอมกลับมารักผม…

ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ผมยอมทุกอย่าง

ขอเพียงได้มีไมน์ ไม่ว่าต้องสูญเสียอะไร มันก็คุ้ม

เพราะไมน์คือหัวใจของผมที่ผมทำมันหายไป







อ๋อออ เพิ่งรู้ตัวเหรอว่าน้องคือหัวใจ แล้วแกทำร้ายน้องแบบนั้นทำม๊ายยยยยยย ขึ้น! ขึ้นมาก วันนี้พาพาร์ทสุดท้ายของพระเอกในคราบตัวร้าย (เอ๊ะถูกใช่ไหม) มาฝากค่ะ ขอออกตัวนิดหนึ่งนะคะว่าแมววางเรื่องนี้ไว้ให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ เนื้อเรื่องของเราจะไม่ได้จบลงที่ง้อคืนดีแล้วจบปิ้งง ไม่ใช่เลยยยย มันมีอะไรมากกว่านั้น รอลุ้นเอานะคะทุกคนนน

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 100% Up [02/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-04-2020 22:00:04
โอ๊ยย รู้ตัวช้าไปไหมอีแดน อีควายยย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 100% Up [02/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 02-04-2020 22:49:37
คบกันมา 2-3​ ปี​
โดยไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายอย่างจริงจังเลย
ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบางยิ่งนัก
ไม่มีอนาคตอย่างที่สุด...

พูดว่ารัก... แต่ไม่รู้จักรัก
=_=
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 100% Up [02/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 03-04-2020 07:44:04
จะบ้าตายรายวัน
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [11] บางสิ่งที่หายไป 100% Up [02/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-04-2020 13:03:24
มาต่อเร็วๆนะ  :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [12] ลืมเธอไม่ลง... 50% Up [06/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 06-04-2020 18:15:40
[12] 50%


ลืมเธอไม่ลง…แต่กลับไปไม่ได้
[/b]

อนุรักษ์จอดรถลงที่หน้าร้านแสนสุข ร้านอาหารที่ผมเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว ผมมองร้านที่ถูกเปิดตามปกติอย่างเหนื่อยใจ นี่ตัวเองละเลยร้านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ คงตั้งแต่ที่ผมมีเรื่องของดินแดนให้ได้คิดและต้องพยายามเหนี่ยวรั้งหัวใจของเขาเอาไว้กับตัวผมเอง

จะว่าไปถ้าผมรู้ตัวเร็วกว่านี้ ไม่สิ ต้องเรียกว่าถ้าผมยอมรับความจริงได้เร็วกว่านี้ก็คงดี

ผมลอบถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเหมือนเช่นทุกครั้ง อนุรักษ์จัดการล็อกรถแล้วก็เดินตามผมมา เพียงแค่ประตูเปิดออก เพียงแค่ผมก้าวเข้าไปด้านใน หัวใจของผมก็หล่นวูบลงสู่พื้นราวกับถูกกระชากอย่างแรงก่อนมี่มันจะเต้นแรงจนผมเองยังกลัวว่าใครจะมาได้ยิน

เขาไม่ควรมาที่นี่ ผมไม่ควรที่จะเจอเขาอีก

มันต้องไม่ใช่เขาสิ ต้องไม่ใช่…

“ไมน์…”

ก็ในเมื่อผมกับเขา เราเลิกกันไปแล้ว

ใบหน้าของผมกำลังซีดเซียว ทั้งที่ตลอดมาผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อลืมเขาไป ปลดปล่อยเขาออกไปจากพันธนาการที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ผมปล่อยเขาเป็นอิสระแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมหยุด ไม่ยอมปล่อยให้ผมหายไปเสียที จะตามมาเจอผมถึงที่นี่เพื่ออะไรกัน!

ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้นไม่ใช่หรือ…แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงยังเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแบบนั้น

ผมเม้มริมฝีปากแน่น กำมือจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือของตัวเอง ดวงตาของผมไหวระริกไปด้วยความรู้สึกเดิมๆ อาการวูบไหวของหัวใจผสมปนเปไปกับความรวดร้าวที่ค่อยๆ คลืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กัน ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หายไปนาน ในตอนนี้มันกลับมาแล้วพร้อมกับคำตอบที่ว่า

ผมยังลืมเขาไปไม่ได้ ผมยังรักเขาอยู่

“สวัสดีครับคุณดินแดน” ผมต้องเข้มแข็ง ต้องไม่พ่ายแพ้ให้ต้องเจ็บปวดซ้ำอีก แค่ยิ้มออกไป แค่ปล่อยสายตาให้เขาได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ตอนนี้…ผมเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

ไมน์ที่รักและเทิดทูนเขาไม่มีอีกต่อไป

ผมสบสายตาเข้ากับดวงตาคมที่จับจ้องมาตลอดเวลา แววตาของดินแดนมันสั่นไหว เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและตัดพ้อต่อผมจนผมต้องหลบสายตาออกไปพร้อมกับเม้มริมฝีปากตัวเอง

มองแบบนั้นทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย

มันควรจะต้องเป็นผมต่างหากที่มองเขาด้วยแววตาแบบนั้น

ผมหลับตานิ่ง ทำใจแข็งจ้องมองกลับไปราวกับไม่รู้สึกอะไรทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหัวใจมันกำลังเปิดเผยทุกอย่างให้เขาได้รู้ ดินแดนเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ท่ามกลางสายตาของคนในร้านไม่ว่าจะลูกค้าหรือพนักงานของผมเอง พวกเขาจับจ้องมาที่เราราวกับเป็นศูนย์กลางขอโลกใบนี้

“ไมน์…เป็นยังไงบ้าง” นั่นสินะ ก็เขาไม่ได้เจอผมเลยตั้งแต่วันนั้น ทั้งที่ผมเรียกร้องเขาเพียงแค่เวลา10นาที แต่เขากลับไม่คิดจะให้มันกับผม

แล้วจะให้ผมเป็นยังไงได้ล่ะ

ผมเหยียดยิ้มออกมาอย่างคนที่ต้องการจะเยาะเย้ยตัวเองและคำถามของเขา

“สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” เขาไม่ควรมาพบผม เราสองคนไม่ควรมาเจอกันอีก และผมมั่นใจมากว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะตัวเขาเองรู้ดีว่าร้านแสนสุขมันเป็นร้านของผม

“เรา…อยากขอโทษ” ขอโทษ? จากปากคนอย่างเขานี่นะหรือ คนอย่างดินแดนเอ่ยคำขอโทษต่อผมมันเป็นไปได้ด้วยหรือ ผมอดแปลกใจไม่ได้จริงๆ ยิ่งได้มองหน้าของเขาเพื่อหาเศษเสี้ยวของการโกหก ผมกลับยิ่งพบว่าเขากำลังพูดความจริง

หัวใจของผมมันเต้นระรัวทว่ากลับมีความปวดร้าวที่อยู่ในนั้นด้วย ยิ่งเขาทอดมองอย่างรู้สึกผิดจริงๆ จากหัวใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกทรมานในใจ รู้สึกราวกับว่าอยากจะเข้าไปทุบตีและด่าทอให้สมกับความร้ายกาจที่เขาทำมันกับผม ให้สมกับที่เขาเคยเหยียบย่ำมันด้วยความรักที่เขามีต่อใครอีกคน

“เรื่องไหนหรือ?” ผมกอดอกเลิกคิ้วมองเขาอย่างไม่รู้ว่าเขากำลังขอโทษผมเรื่องอะไร ดินแดนถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ เขาสบตากับผมนิ่งๆ แต่ในแววตาของเขากลับมีความคุ้นเคยอยู่ในนั้น สายตาที่เขาใช้มองผมในตอนนี้ มันคือสายตาที่ผมต้องการมาตลอดในวันที่ผมพยายามอย่างหนัก ทำทุกวิถีทางให้เขากลับมามองผมแบบนี้อีกครั้ง

แต่เขาจะมองผมแบบนีัทำไมในวันที่ผมตัดใจไปแล้ว

เขาจะให้สิ่งที่ผมต้องการทำไมในเมื่อวันนี้…ผมเลือกที่จะเดินออกมาจากชีวิตของเขา

“ขอโทษนะที่ผิดนัด ทั้งๆ ที่รับปากแล้วว่าจะไปแต่…”

“หึ แต่ก็ไม่ได้มา” ผมพูดออกมาแทนเขา อดไม่ได้ที่จะตอกย้ำมันกับตัวเองเมื่อหัวใจของผมกำลังดีใจกับคำขอโทษที่เขามอบให้

“ใช่” แดนสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับต้องการเรียกความกล้าและกำลังใจให้แก่ตัวเอง

“แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะผิดนัดไมน์เลยนะ วันนั้นเรา…”

“กำลังพาแฟนไปเที่ยว” ผมอดเจ็บแปลบไม่ได้เมื่อหวนคิดถึงวันนั้น ภาพที่เขาเดินเคียงข้างกัน สนุกสนานและส่งยิ้มให้กันอย่างมีความสุข มันบีบหัวใจของผมเหลือเกิน

เขาปล่อยให้ผมรอ…เหมือนตลอดมา

เพียงเพราะว่าผมไม่สำคัญเท่าเธอคนนั้น

“ไมน์…” สีหน้าแบบนั้นไม่คิดว่าผมจะรู้สินะ ผมแค่นยิ้มเย้ยหยันตัวเองและเขา ตอกย้ำความเจ็บปวดให้มันได้ชาชินเสียที เมื่อถึงเวลาจากนี้ไปจะได้ไม่ต้องทรมานกับมันอีก ผมเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องมารักษาบาดแผลในใจของตัวเอง และเหนื่อยยิ่งกว่าเมื่อเขาเป็นคนก้าวเข้ามาตอกย้ำบาดแผลมันซ้ำ ๆ

“มัน วันนั้นเรา…”

“…” ผมรอฟังคำแก้ตัวที่ไร้ค่าของเขา แต่รอแล้วรอเล่าก็ไร้เสียงใดเอ่ยออกมาจากปากของผู้ชายที่ชื่อดินแดน ไม่ปฏิเสธเพราะมันคือความจริง เป็นความจริงที่ผมรู้ดีเพราะเห็นมากับตา

“ขอโทษนะ วันนั้นที่เรานัดกัน ไมน์คงรอเรานานมากใช่ไหม”

ใช่แล้ว…ผมรอเขามานาน นานจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจก้าวเดินออกมาจากตรงนั้น ยอมปล่อยมือที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้ให้เขาได้จับมือใครอีกคนตามที่เขาต้องการ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือสาอะไรอีกแล้วล่ะ”

ใช่ มันจบลงไปแล้ว

ผมเลือกจะมองเมินความรู้สึกทุกอย่างที่เขาพยายามส่งมันมาให้ เดินผ่านร่างเขาไปราวกับว่าเขาไม่เคยเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตผมมาก่อน ผมมองเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่ง มองว่าเขาคือคนที่เดินเข้ามาเพื่อรับประทานอาหารจากร้านของผมเท่านั้น เพราะหากผมคิดแบบนั้น อย่างน้อยความดีใจที่แสนหลงระเริงอาจจะหายไปได้บ้าง

ดินแดนคว้าแขนของผมเอาไว้ เขาไม่ยอมให้ผมเดินจากไปต่อหน้าต่อตา ความร้อนจากฝ่ามือของเขามันส่งผ่านมายังข้อมือของผมจนผมอดหวั่นไหวกับความคุ้นเคยนี้ไม่ได้

“ปล่อยผมเถอะ มันคงไม่ดีนักที่คุณจะทำแบบนี้” ผมพยายามดึงข้อมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา แต่ไม่ว่าจะใช้เรี่ยวแรงมากมายแค่ไหนก็ไร้ความหมาย หัวใจที่อ่อนแอมันสั่งให้เรี่ยวแรงในร่างกายของผมหดหายไปทีละน้อย ราวกับเสียดายและกลัวว่าความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาจะหายไป

“ไมน์…ขอร้องล่ะ คุยกันหน่อยได้ไหม?” ผมเม้มปาก เผลอตัดพ้อดินแดนผ่านแววตาไปชั่วครู่ ทว่ายังดีที่ผมกำลังหันหลังให้เขา ยังดีที่เขามองไม่เห็นว่าผมมันอ่อนแอแค่ไหน

ทั้งที่พูดว่าจะปล่อยไป กลับยังรู้สึกมากมายเพียงแค่ได้เห็นหน้าของเขา

“เรายังเหลืออะไรให้คุยกันอีกหรือแดน…ไม่ใช่ว่าคำตอบที่แดนให้ไมน์มา มันชัดเจนมากพอแล้วหรือ”

หัวใจของผมมันบีบรัดจนเจ็บไปทั้งใจ ยิ่งได้เห็นแววตาอ้อนวอนจากเขาผมก็ยิ่งปวดร้าวในใจไม่หยุด ดินแดนดึงผมเข้าไปใกล้ ร่างกายที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงถูกเขาดึงเข้าไปหาอย่างไม่อาจจะขัดขืน มีเพียงแรงจากใครอีกคนที่ฉุดรั้งผมเอาไว้ ไม่ให้หลงเข้าไปในวังวนเก่าๆ

อนุรักษ์

“ปล่อยไมน์” รักแยกเขี้ยวขู่ ดวงตากร้าวอย่างไม่ชอบใจ น้ำเสียงที่เอ่ยลอดไรฟันมันน่าหวาดหวั่นจนผมต้องหันไปมอง รักเพียงจับผมเอาไว้ เป็นหลักยึดตัวผมไม่ให้ถูกดินแดนดึงรั้งกลับไปได้ง่ายดายแม้ว่าเรี่ยวแรงของอนุรักษ์ไม่มีทางสู่ดินแดนได้ แต่อย่างน้อยผมก็พอมีแรงบังคับหัวใจให้ร่างกายได้มีเรี่ยวแรงอีกครั้ง

“เราอยากคุยกับไมน์ ได้ไหม ไมน์ไปคุยกับเราเถอะนะ”

“เหอะ! วันก่อนยังเดินกับเมียมึงอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ผ่านไปไม่นานมึงก็กลับมาเรียกร้องขอคุยกับเพื่อนกู?”

อนุรักษ์เหยียดยิ้ม ก้าวขึ้นมาบังร่างของผมเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของดินแดน ใช้สายตาดูแคลนกวาดมองแดนตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ทีวันที่เพื่อนกูเรียกร้องขอคุยกับมึง กูไม่เห็นมึงจะให้เวลากับเพื่อนกูบ้างเลยนี่!”

“...”

“มึงไม่คิดว่ามันดูเหี้ยเกินไปหน่อยหรือวะ? หน้ามึงจะด้านไปถึงไหน”





..........50%..........





อูยยย เจอรักด่าไปนี่แมวจุกแทนดินแดนเลยค่ะ ว่าแต่ว่า แดนจ๋า หน้าหนาจริงไหมคะ อุ๊ย ไม่ได้สิเนอะ พระเอกนี่นา เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเป็นพระเอก ทำตัวเป็นตัวร้ายมานานเกินไปแล้วนะลูก กลับมาทำหน้าที่พระเอกได้แล้ว เขาจะสาปส่งหนูกันหมดแล้วนะแดนนนนน 

เป้นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [12] ลืมเธอไม่ลง... 50% Up [06/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-04-2020 19:20:21
โดนด่าแค่นี้น้อยไปมากๆ จัดไปชุดใหญ่ๆเลย ให้สาสมกับที่ทำไว้กับไมน์
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [12] ลืมเธอไม่ลง... 100% Up [07/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 07-04-2020 17:33:46
[12] 100%

หมายเหตุ หากใครต้องการเพิ่มอรรถรสในการอ่าน แนะนำให้เปิดเพลง กรรมตามสนองไปพร้อมๆกับการด่านังแดนนะคะ





“ทีวันที่เพื่อนกูเรียกร้องขอคุยกับมึง กูไม่เห็นมึงจะให้เวลากับเพื่อนกูบ้างเลยนี่!”

“...”

“มึงไม่คิดว่ามันดูเหี้ยเกินไปหน่อยหรือวะ? หน้ามึงจะด้านไปถึงไหน”

คำพูดของรักกระแทกเข้ากลางอกอย่างจัง เจ็บจนจุกไปหมดจนต้องกลืนเอาความเจ็บช้ำลงไปอย่างยากลำบาก ผมมองไม่เห็นดินแดน ไม่รู้ว่าเขามีสีหน้าแบบไหน แต่ผมตอนนี้ไม่สามารถเก็บแววตาร้าวรานและผิดหวังเอาไว้ได้อีกแล้ว ผมกำเสื้อที่ด้านหลังของเพื่อนตัวเองจนแน่น พิงศีรษะกับหลังของมันอย่างไร้ที่พึ่ง

เพราะเราสองคนไม่มีอะไรที่ต้องพูดกันอีก ผมถึงเดินออกมาไม่ใช่หรือ

แล้วตอนนี้ผมกำลังรออะไรล่ะ?

ผมกำลังคาดหวังอะไรกับเขาคนนี้? คนที่เพียงแค่เวลาสิบนาทียังให้ผมไม่ได้

แล้วผมจะยังหวังอะไรจากเขาได้อีก?

“ไมน์! ไมน์เราขอร้อง! คุยกับเราหน่อยนะ เราขอโทษ!”

ผมหันหลังเดินโดยไม่ได้มองดินแดนอีก แม้จะไม่ได้เห็น แต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เสียงของเขาที่ปวดร้าว เสียงของคนที่ปรารถนาเหลือเกินในการให้อภัย ปรารถนาในสิ่งที่ไม่อาจจะมีได้อีกต่อไป นั่นคือความรู้สึกเดียวกันกับผมในวันนั้น วันที่เขาเลือกจะจับมือเธอและหันหลังเดินไปจากผม

ผมมองไปรอบๆ ร้านอย่างนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้ร้านยังเปิด กลัวว่าเสียงและเรื่องราวของผมกับเขาจะเป็นเรื่องสนุกปากในการพูดคุย แต่ผมก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ตอนนี้ในร้านไม่มีใครนอกจากพนักงานของผม พวกนั้นรู้ดี…จึงได้เข้าไปด้านในไม่ยอมออกมา

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระและเดินเข้าไปด้านในครัว ปล่อยให้ดินแดนเผชิญหน้ากับอนุรักษ์แทนตัวของผมเอง เพียงแค่ประตูครัวถูกเปิดออก พวกเขาที่ทำตัวให้วุ่นๆ ทั้งที่ไม่มีลูกค้าก็พลันชะงักมือและหันมามองผมกันเป็นตาเดียว

“คุณไมน์สวัสดีครับ/ค่ะ” ทุกคนยกมือขึ้นไหว้ผม ซึ่งผมเองก็รับไหว้พวกเขาตามปกติ ผมปรับสีหน้าตัวเองมาบ้างแล้วจึงไม่เหลือแววตาที่ทอประกายความเจ็บปวดออกมาให้ใครได้เห็น

“สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เข้ามาดูเท่าไหร่” ผมยิ้มอย่างใจดีให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาเองก็ดูจะกระอักกระอ่วนใจพอสมควร ความจริงแม้ว่าผมจะไม่เข้ามาที่ร้านแต่บัญชีรายการหรือยอดต่างๆ ผมก็เช็กดูอยู่ตลอดเวลา ถึงยังไงในนี้ก็มีคนที่ถูกคุณแม่ของผมส่งมาให้ตรวจตราและดูแลในช่วงที่ผมไม่อยู่บ้าง แต่ผมก็เป็นเจ้าของ การไม่เข้ามามันก็ดูจะ…ไม่เอาการเอางานจริงๆ

เพราะแบบนั้น ดินแดนถึงได้ออกปากบอกให้ผมไปทำงาน จะได้ไม่มีเวลาไปฟุ้งซ่านคิดเรื่องไร้สาระ

-ไม่ครับๆ ไม่เป็นไรเลยครับ ฮ่าๆ” ร้านของผมมีพนักงานทั้งหมด 5คน พ่อครัวและแม่ครัวสองคน พนักงานเสริฟอีกสองคน ส่วนคนสุดท้ายคือคนของแม่ผม ทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ควบตำแหน่งผู้จัดการร้านและจิปาถะมากมายตามที่แม่ผมสั่ง ผมมองพวกเขาทีละคนอย่างครุ่นคิด หรือท่าทีที่ทุกคนมีในตอนนี้จะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่ผมกับดินแดนต่างคุยกัน ไม่ใช่เพราะผมหายหน้าหายตาไปนาน

“ผมว่าพวกคุณควรจะออกไปข้างนอกกันได้แล้วนะครับ เกิดลูกค้าเข้ามาไม่เจอพนักงานจะกลับกันไปหมดเพราะนึกว่าร้านปิด”

“อ๊ะ จริงด้วยค่ะ! จะออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะคุณไมน์” คนนี้คือพี่กมล เป็นคนของแม่ผม ทุกคนต่างเชื่อฟังเธอเพราะเธอเป็นงาน ทำทุกอย่างได้เนียบและถูกต้องรวดเร็ว เมื่อพี่กมลเดินอีกไป อีกสองคนก็เดินตามหลังไปโดยที่เขาก้มหัวให้ผมน้อยๆ ตอนที่เดินผ่าน แสดงออกถึงความเคารพนับถือที่มีต่อผมไม่น้อย ผมเดินตามพวกเขาไป อดแปลกใจไม่ได้ที่ไร้เสียงของดินแดนและอนุรักษ์ที่ในตอนแรกโต้เถียงกันอยู่

หรือเขาจะกลับไปแล้ว?

ไม่ๆ กลับไปแล้วก็ดีสิ แบบนั้นจะได้สบายใจทั้งผมและพนักงาน

แต่ผมคิดง่ายเกินไป อนุรักษ์เดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าบูดบึ้งและไม่พอใจสุดๆ ท่าทางฟึดฟัดชวนให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่ผมเข้าไปด้านใน

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงโมโหแบบนั้น?”

“มัน...ไป” เสียงของอนุรักษ์เบาหวิวจนผมฟังไม่ถนัด

“หือ อะไรนะ?” รักมันตวัดสายตาคมที่วาววับไปด้วยโทสะมาให้ผม จับจ้องเหมือนกับอยากจะฉีกผมเป็นร้อยๆ ชิ้นด้วยมือของตัวเอง

“กูบอกว่ามันไม่ยอมไป!! ได้ยินชัดไหม!!” ผมขมวดคิ้วเอามือลูบหูตัวเองเมื่อถูกเสียงที่ดังกว่าโทรโข่งลอดผ่านเข้ามาภายในหู

“เออ! ได้ยินแล้ว!” ผมกัดริมฝีปากกับความขัดใจ ทำไมดินแดนถึงได้ดื้อด้านแบบนี้กันนะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมถึงต้องมานั่งกังวลกับเรื่องนี้ด้วย ก็แค่ไม่ไป ก็ช่างเขาสิ

“แล้วนี่ ดินแดนอยู่ไหนล่ะ?” อนุรักษ์ร้องเฮอะออกมาแล้วชี้ปลายนิ้วไปยังมุมหนึ่งของร้านที่นับได้ว่าสวยที่สุด ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่มองด้านนอกอย่างดื้อดึง ความดื้อรั้นแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าจนมองเห็นได้ชัดเจนจนผมต้องลอบถอนหายใจออกมา

“เดี๋ยวกูจัดการเอง”

ผมเดินตรงไปหาเขาอย่างไม่รีบร้อน สะกิดไหล่ของเขาเบาๆ สองสามครั้งหวังให้รู้สึกตัวและหลุดออกจากภวังค์ แต่ดินแดนไม่เพียงไม่ยอมหันมาก ผมยังเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจมองเมินเสียงเรียกของผม มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะบ้าตายกับความดื้อรั้นของเชา

ในวันที่มันสายไป เขาจะมาหาผมอีกทำไมกัน

“กลับไปเถอะ เราคงไม่ได้คุยกันแล้วล่ะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย” ผมพยายามลูบเขาด้วยน้ำเย็น แม้ว่าจะรักเขามากแต่ผมก็พอรู้ว่าในตอนนี้หัวใจของเขาไม่ใช่ของผมอีกแล้ว มันไม่เหลืออะไรที่เราสองคนจะต้องมานั่งคุยกันอีกต่อไปแล้ว เราสองคนต่างก็หลุดออกมาจากบ่วงที่รัดแน่นจนอึดอัดนั้นได้ ผมก็ยินดีที่เขาได้อยู่กับคนที่เขาเลือกจริงๆ เสียที

“ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยนะ…ทำไมเราไม่เคยมากินข้าวด้วยกันที่นี่เลยล่ะ?” ผมได้แต่กลอกสายตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ไม่เพียงไม่ฟังคำของผม เขายังเปลี่ยนเป็นการตั้งคำถามเองอย่างรวดเร็ว

แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาถามมาผมก็จะตอบ และมันก็คือคำตอบที่เขาเองก็ควรจะจำมันได้

“อาจจะเป็นเพราะมันทั้งเก่าทั้งเล็ก ไม่มีอะไรดีเลยมั้งครับ แต่ต่อไปนี้ผมจะบูรณะมันขึ้นมาใหม่ อย่าห่วงเลยครับ ถ้าคุณอยากได้ดินเนอร์สุดหรู บรรยากาศหวานๆ ระหว่างคุณกับแฟน ร้านแสนสุขนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว” แดนถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมามองผมเพื่อหาร่องรอยของการประชดประชัน แต่ไม่เจอหรอก คนอย่างผมไม่มีวันเอาความอ่อนแอของตัวเองมาประจานให้คนอื่นเขาดูถูก

“ไมน์…เรื่องนี้เราอยากจะ…”

ปึง!!

“เมนู จะสั่งไหม? ถ้าไม่แดก ก็ออกไปจากร้านเพื่อนกูเสียที!” อนุรักษ์วางเมนูลงจนเกิดเสียงดัง มันทำให้ทั้งผมและดินแดนสะดุ้งน้อย ๆ เพราะเราสองคนต่างก็ตกอยู่ในวังวนแห่งอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขได้

“งั้นก็ตามสบายแล้วกันนะ กูฝากด้วยนะ ดูแลลูกค้าดีๆ เดี๋ยวกูไปดูงานกับพวกเขาก่อน” รักพยักหน้าแล้วปรายตามองดินแดนอย่างมีโทสะ

“ได้! จะดูแลอย่างดีเชียวล่ะ”

ผมปล่อยให้เขาอยู่ด้วยกับอีกครั้ง ผมตอนนี้แค่พูดคุยออกมาได้อย่างปกติทั้งๆ ที่ปวดใจขนาดนั้น นั่นก็นับว่าผมใช้ความอดทนไปมากมายเหลือเกินแล้ว ผมจึงเดินตรงไปหาทั้งสามคนที่อยู่อีกฝั่งเพื่อสอบถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับช่วงที่ผมไม่ได้มา

“คุณคนนั้นใครหรือครับคุณไมน์ ดูเหมือนคุณไมน์จะ…ไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่” ผมฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ ไม่ชอบหรือ ไม่ใช่หรอก เพราะชอบมากต่างหากถึงเป็นแบบนี้

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง ลูกค้าเข้ามาเยอะมากไหม” พี่กมลส่ายหน้า สีหน้ามีแต่ความหนักใจอย่างไม่ปิดบัง

“คนน้อยมากค่ะคุณไมน์ นับวันยิ่งน้อยลงทุกที นี่พี่เองก็พยายามสุดๆ แล้วนะคะ ยังได้กำไรมาเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น” ผมยิ้มให้พี่กมลและคนอื่นๆ ที่ก้มหน้าก้มตากลัวว่าจะถูกผมด่า แต่ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ลูกค้าคือมนุษย์นะ เราจะไปบังคับให้เขาเข้ามาทั้งๆ ที่เขาไม่อยากเข้าได้ยังไงกัน

“ไอ้ไมน์! ให้คนมารับออเดอร์โต๊ะเหี้ยนี่หน่อย” เสียงเรียกของอนุรักษ์เรียกให้ผมหันไปมอง สีหน้าของมันย่ำแย่จนแทบจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายได้ด้วยซ้ำ ผมจึงพยักหน้าส่งพันโท เด็กเสริฟในร้านให้ไปรับออเดอร์แทน

“ความจริงแค่ไม่ขาดทุนผมก็ว่าทุกคนเก่งแล้วล่ะครับ เดี๋ยวไว้ผมจะลองหาวิธีดู เผื่อว่าจะสามารถทำให้ยอดขายของร้านดีขึ้นมาได้บ้าง”

“แม่ง! กวนตีนฉิบหายมึงรู้ไหมไมน์! ไล่มันออกจากร้านไปเลยก็ได้นี่ ทำไมต้องให้มันอยู่ต่อเป็นลูกค้าด้วย?”

นั่นสินะ

แต่จะว่าไป…ดินแดนเป็นหนุ่มหล่อไฮโซที่มีคนติดตามอยู่มากมาย

ถ้าหาก…เขาถ่ายร้านของผมลงโซเชียล บางทีความนิยมร้านผมอาจจะไปได้สวยกว่านี้ก็ได้

ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงข้อนี้ได้ แม้ว่าจะรู้ดีว่ามันเป็นเหมือนข้ออ้างของตัวเองที่จะเข้าไปใกล้และพูดคุยกับเขา แต่ผมว่ามันคงไม่ดีนักถ้าผมจะปล่อยให้ร้านย่ำแย่ต่อไปแบบนี้ มันอาจจะถึงขั้นปิดร้านและพวกพนักงานของผมเองก็อาจจะตกงานกันหมดเลยก็ได้

คิดแบบนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่ต้องไล่พวกเขาออกแล้ว ดินแดนก็แค่เพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ให้เขาชดใช้เรื่องในวันนั้นที่เขาปล่อยให้ผมรอ…ก็คงจะได้สินะ

“แดน” ผมตัดสินใจเดอนเข้าไปหาดินแดนที่มุมนั้นอีกครั้ง เลื่อนเก้าอี้ออกตรงข้ามเขาแล้สนั่งลงประชันหน้า แววตาของแดนไหวระริก มันมีความยินดีและดีใจที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ มันทั้งรู้สึกผิด รู้สึกดีใจ รู้สึกตื่นเต้นตีรวนกันเต็มไปหมดจนผมแยกไม่ออก

“ไมน์…ไมน์ยอมคุยกับเราแล้วหรือ?” ผมหลับตาลงช้า ๆ หายใจเข้าจนสุดปอดแล้วพ่นลมออกมาก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“เรื่องวันนั้นผมไม่โกรธหรอกนะที่คุณไม่มา ผมเข้าใจว่าคุณต้องเลือกแฟนของคุณก่อนอยู่แล้ว” ดินแดนได้ยินก็หน้าเสีย หลบสายตาของผมไปวูบใหญ่และนั่นจึงยิ่งทำให้หัวใจของผมบีบตัวจนเจ็บ

“ไมน์รู้หรือ แต่เราไม่ได้…ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไมน์รอจริงๆ นะ เรา…” คำแก้ตัวต่างๆ นานามันไร้ประโยชน์สำหรับผมในตอนนี้ ผมยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาอธิบายต่อและตรงเข้าประเด็นที่ตัวเองต้องการ

“ผมไม่ได้มาเพื่อฟังเหตุผลร้อยแปดพันก้าวของคุณหรอกครับ ผมมาเพื่อให้คุณไถ่โทษเรื่องวันนั้นให้ผม เวลาสิบนาทีที่คุณไม่ได้ให้ผมมา” ดินแดนยืดตัวขึ้น ท่าทางที่แสนสง่าปรากฏสู่สายตาของผมจนต้องห้ามหัวใจของตัวเองไว้ไม่ให้มันเต้นดัง

“ได้สิ ไมน์พูดมาเถอะ เราจะฟัง” ผมยิ้มบาง ๆ แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง

“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้จะขอมันเพื่อพูดคุยกับคุณ” แดนขมวดคิ้วแน่น ใบหน้ามีแต่ความไม่เข้าใจเต็มไปหมด

“อ้าว? งั้นอะไรคือสิ่งที่เราต้องชดใช้ล่ะ?” ผมเคาะนิ้วไปบนโต๊ะเป็นจังหวะ มองดินแดนด้วยแววตาจริงจังที่สุดที่เคยมองเขา

“10นาที กับการช่วยถ่ายรูปอาหารและบรรยากาศในร้านของผมลงโซเชียลของคุณหน่อย”

แค่10นาทีเท่านั้น ผมไม่ได้อ้อนวอนขอเขาตลอดไป แล้วจากนี้จะไม่มีการติดค้างใดๆ กันอีก

“คุณทำให้ผมได้ไหมครับ” ดินแดนนิ่งเงียบก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตากับผม ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและทรงพลัง

“ได้สิ…ต่อให้มากกว่านี้ แค่ไมน์ขอ เราก็จะให้ไมน์ทุกอย่าง”

ผมไม่กล้าขอหรอกครับ กลัวว่าสิ่งที่ขอมาจะไม่ใช่ของผม ฝันที่ถูกปลุกให้ตื่นมันเจ็บนะครับ เพราะวิธีตื่นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความฝันที่ยิ่งดีมากมายเท่าไหร่ เวลาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาก็ยิ่งเจ็บมากมายเท่านั้น

เรื่องนี้…ผมเรียนรู้มันมาแล้ว ด้วยหัวใจของผมเอง

“ถ้าหากเรื่องนี้จบ…เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันอีกแล้วก็ได้นะ” บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่สมควรทำมากที่สุดในชีวิตของผมก็ได้

นั่นคือการตัดเขาออกไปจากชีวิตของผมเสียที









“ถ้าหากเรื่องนี้จบ…เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันอีกแล้วก็ได้นะ”  ถ้าแมวเป็นแดน ประโยคนี้ของไมน์ทำให้เจ็บแทบตายเชียวล่ะค่ะ เพราะในวันที่เขาทั้งอ้อนวอน ทั้งพยายามเหนี่ยวรั้ง ตัวเองกลับไม่ไไยดี แต่ในวันนี้ที่ตัวเองเกิดรู้สึกตัว เขากลับไม่อยากจะเป็นแม้แต่คนรู้จัก แดนจ๋า แม่ขอมอบเพลง กรรมตามสนองให้หนูนะคะลูก หนูสมควรได้รับมันค่ะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [12] ลืมเธอไม่ลง... 100% Up [07/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-04-2020 18:26:18
เอาอีกๆๆๆ ยังไม่ซะใจเลย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ 50% Up [09/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 09-04-2020 18:52:16
[13] 50%


ยิ่งหวั่นไหวยิ่งปวดใจ

“นี่ไงร้านนี้ล่ะที่ดินแดนถ่ายลงแล้วเช็กอิน บรรยากาศดีมากเลยแถมอาหารก็อร่อย” ผมนั่งฟังลูกค้าพูดคุยเกี่ยวกับร้านของตัวเองอย่างเพลิดเพลินใจ ดินแดนทำตามที่พูดเอาไว้ทุกอย่างที่ผมร้องขอ เขาไม่เพียงแค่ถ่ายรูปอาหารของผม เขายังเช็กอินร้านลงไปด้วย พร้อมกับบรรยายมากมายถึงความอร่อยของอาหารในร้าน ทำให้กว่าสองอาทิตย์มานี้นั้น มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีหยุดหย่อน

“ตกลงแล้วเธอมาเพราะอาหารอร่อยหรือบรรยากาศที่ดี หรือว่าเพราะผู้ชายนะ!” ลูกค้าสาวมองค้อนเพื่อนเสียวงใหญ่ ใบหน้าขึ้นสีแดงเมื่อถูกจับได้ด้วยความอาย

“ก็แหม! ฉันก็ไปทุกทีที่ดินแดนเคยไปนั่นล่ะ” ถ้าไปทุกที่จริง ผมว่าป่านนี้เธอคงจะไม่น่าจะมีเงินเหลือแล้วล่ะ

จริงอยู่ที่ดินแดนไม่ใช่คนติดหรู มีเงินมากมายแต่ไม่ใช่คนที่ใช้จ่ายไม่มีหัวคิด เพียงแต่ช่วงหลังมานี้ผมเห็นจากที่อนุรักษ์เอารูปมาให้ผมดูว่า ดินแดนไปทานอาหารและช้อปปิ้งร้านแบรนด์เนมดังๆ หลายๆ อย่าง จึงเดาว่าเขาคงจะเอาใจแฟนของเขา ถึงได้พาเธอไปที่นั่นมากกว่า

แต่ก็ช่างเถอะครับ อย่างที่บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับผมแล้ว

ตอนนี้ดินแดนชดใช้มันให้กับผมแล้ว และผมพอใจกับสิ่งที่ได้มา

“จะว่าไปช่วงนี้ฉันว่าดินแดนเขาก็แปลกๆ นะ”

“ยังไงล่ะที่ว่าแปลกของเธอ” ผมขมวดคิ้ว แม้ไม่ได้อยากจะสนใจแต่เมื่อหูได้ยินผมก็อดสนใจไม่ได้

“ก็ปกติดินแดนไม่ใช่คนที่จะมาทานอะไรที่เดิมซ้ำๆ แต่นี่…มาร้านนี้ทุกวันจนจะเข้าอาทิตย์ที่สามแล้ว ฉันถึงบอกไงล่ะว่าแปลก”

คำพูดของเธอทำผมสะดุ้งอยู่เงียบๆ ในใจ เป็นจริงอย่างที่เธอพูดทุกอย่าง ดินแดนมาที่นี่ทุกวัน แม้จะไม่เป็นเวลาแต่ก็มาไม่เคยขาด เขาจะสั่งอาหาร นั่งนานอย่างพอใจ สีหน้าอิ่มเอมในรสชาติจนปรากฏรอยยิ้มออกมา

ไม่สิ ผมไม่ได้สนใจขนาดนั้นเสียหน่อย ผมไม่ควรจะรู้ละเอียดขนาดนี้

“หรือว่าเทพบุตรของเธอจะเกิดปิ้งใครในร้านเข้า!” ลูกค้าคนที่สองยกมือขึ้นปิดปากตัวเองตาโต กระซิบถามอย่างสงสัยแต่เพราะผมอยู่ไม่ห่างจากพวกเขาผมจึงได้ยินคำถามนั้นเป็นอย่างดี

เดาผิดแล้วล่ะคนสวย

ดินแดนเขามีคนรักอยู่แล้ว…และเขาสองคนก็รักกันมากเสียด้วย

ผมนิ่วหน้าขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นนวดอกข้างซ้ายเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจตัวเอง ไม่ว่าจะใช้เวลามากมายหรือเนิ่นนานเท่าไหร่ ผมก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเจ็บนี้ลงไปได้เลยสินะ ผมต้องถอยออกไปมากมายแค่ไหนที่พอจะเยียวยาหัวใจของตัวเองได้บ้าง ผมยกมือขึ้นเสยผมขึ้นไปด้านหลัง ริมฝีปากพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ไป

เหมือนถูกใครบางคนผูกติดเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมก้าวออกไปข้างหน้ามากไปกว่านี้

“กรี๊ด! ฉันไม่อยากยอมรับ! ไม่เอานะ!”

ผมจมดิ่งลงไปกับความคิดของตัวเอง พยายามหางหนทางที่จะรักษาหัวใจและระยะห่างของผมกับดินแดนเอาไว้ให้มากๆ แต่เหมือนมันจะไม่ง่ายเลย เพราะดินแดนในตอนนี้ช่างมีอิทธิพลจ่อหัวใจของผมมากมายเหลือเกิน เพียงแค่เขาเดินเข้ามาในร้าน แค่เขามองมาที่ผมและส่งยิ้มให้เหมือนเช่นเมื่อก่อน ผมก็แทบจะหยุดหัวใจเอาไว้ไม่อยู่

ทั้งที่ผมไม่ได้อยากเจ็บปวดซ้ำๆ กับมันอีกต่อไปแล้ว

“อ๊ะ! แก!! เทพบุตร! เทพบุตรของแกเขามาแล้ว!!” เธอหันไปมองตามนิ้วมือของเพื่อนเธอที่ชี้ไปยังทิศทางของประตู ที่ตอนนี้มีร่างของดินแดนกำลังก้าวเข้ามาอยู่ ภาพตรงหน้าราวกับถูกใครบางคนทำให้มันช้าลง ทุกย่างก้าวมันทำให้ผมมองเห็นรายละเอียดของเขาได้อย่างง่ายได้

เส้นผมสีดำ ดวงตาเรียวคม คิ้วเข้มที่โค้งสวย กับริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆ ก็พลันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงได้ไม่ยากเย็นเลย ดินแดนเดินเข้ามาช้าๆ สายตาของเขาจับจ้องมาทางที่ผมอยู่แต่ผมเองก็ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังเดินตรงมากหาผม แม้ว่าหัวใจของผมมันจะคิดเช่นนั้นไปแล้วก็เถอะ แต่ผมไม่กล้าที่จะยอมรับมันหรอก เพราะกลัวว่าหากไม่ใช่อย่างที่คิด มันจะเป็นตัวของผมเองที่จะเจ็บปวด

“สวัสดีครับ” ผมกะพริบตา มองใบหน้าหล่อที่ยังแย้มยิ้มอย่างไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้ารับการเอ่ยทักของเขา

“ครับ สวัสดีครับคุณลูกค้า”

ผมบอกไปแล้วนี่ว่าเราจะไม่รู้จักกันอีก บอกไปแล้วว่าจะตัดเขาออกไปจากชีวิต

แล้วทำไมเขายังเดินเข้ามาทักทายผมแบบนี้?

“ผมมาร้านนี้ก็หลายวันแล้ว ผมชอบอาหารของคุณมาก นี่เป็น…ของขวัญจากผมนะครับ” ผมเอื้อมมือออกไปรับดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกริบบิ้นสีแดงผูกเอาไว้ที่ก้านของมัน ผมทั้งอึ้งทั้งสับสนจนเผลอตัวทำตามความต้องการของหัวใจไปเสียได้

ดินแดนมอบรอยยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ในแววตาเจือไปด้วยความยินดีอย่างสุดใจที่เห็นผมรับเอาดอกไม้ของเขาเอาไว้ ผมก้มลงซ่อนอาการสั่นไหวในแววตาของตนเองให้พ้นจากสายตาของดินแดน ความเผลอไผลแบบนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผมได้แต่มองดอกไม้ที่แสนสวยในมืออย่างปวดร้าว ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นแบบครั้งนี้ เป็นของขวัญที่เขามอบมันมาให้ผม เพียงแต่ในครั้งนั้นผมได้เป็นช่อดอกไม้ แต่ครั้งนี้ผมได้ดอกไม้เพียงดอกเดียว

ผมเม้มริมฝีปาก มองดินแดนที่นั่งลงประจำจุดที่เขาชื่นชอบดังเช่นทุกวัน ซึ่งตัวเขาเองไม่อยากจะทำแต่ก็ยังต้องใจแข็งทำมัน เพราะหากผมยังเป็นแบบนี้ต่อไป…ผมคงใจอ่อนกับเขาและให้อภัยกับเขาอีกอย่างแน่นอน

ผมไม่อยากจะเจ็บซ้ำๆ กับเรื่องเดิมๆ ใครจะรับประกันให้ผมได้กันล่ะว่าเขาจะไม่ทำให้ผมเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง ใครจะรับประกันว่าเขาจะมีเพียงแค่ผมคนเดียวนับจากนี้ไป

ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยจับมือใครอีกคนแล้วเดินไปจากผม ใครจะรับประกันมันว่าผมจะไม่พบเจอเรื่องนั้นอีก?

หึ…แน่นอนว่าไม่มี ก็คงมีแต่ผมที่ต้องเดินเข้าไปและใช้หัวใจตัวเองเป็นสิ่งพิสูจน์อีกครั้ง

และนั่น…ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะยอมรับมันได้

“แก! แกเห็นใช่ไหม เห็นเหมือนฉันใช่ไหม” เสียงเอ่ยถามดังขึ้นจากโต๊ะหนึ่งในร้าน มือยังคงเขย่าเพื่อนตัวเองยิกๆ เร่งเอาคำตอบจากอีกฝ่ายให้ได้

“หะ เห็นสิยะ! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเทพบุตรของแกจะ กรี๊ดด! ฉันเขินแทนเขา”

ดินแดนอมยิ้มเกาต้นคอด้วยท่าทางเขินอาย สายตาคมลอบมองผมเป็นระยะๆ ราวกับว่าอายเกินกว่าจะกล้าสบตากับผม ผมมองกุหลาบขาวในมือด้วยแววตาเจ็บปวด ทั้งที่เขามอบมันให้กับผมด้วยมือของเขาเอง แต่ผมกลับเจ็บปวดเกินกว่าจะรับมันด้วยหัวใจที่หลงระเริงได้

ความเจ็บปวดในอดีตมันคอยตอกย้ำจนผมไม่สามารถเชื่อเขาได้ลง สิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้อาจจะเป็นเพียงความสนใจชั่วคราว หรืออาจจะเป็นเกมที่เขาใช้มันมาเล่นกับหัวใจของผมอีก ผมไม่อยากที่จะดีใจในตอนนี้…แต่ต้องมานั่งเสียใจอีกครั้งในวันที่เขาจบเกมลง

“พันโท…” ผมเรียกพันโทที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยเสียงแหบแห้ง

“ครับคุณไมน์” ผมกำดอกกุหลาบในมือแน่นก่อนจะยื่นไปตรงหน้าของพันโท

“เอาไปทิ้งให้ผมด้วยนะ”

ใบหน้าของทุกคนแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้างราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ผมยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เยาะเย้ยความโง่ของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา แต่ผมในตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว…ผมไม่ใช่คนโง่คนนั้นที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายๆ เพียงเพราะดอกไม้ดอกนี้ หรือรอยยิ้มของเขาที่ส่งมา

ไม่มีอะไรที่เป็นของผม ทุกอย่างมันก็แค่ภาพลวงตาที่ถูกสร้างมาบดบังความจริงที่แสนเลวร้าย

ว่าดินแดนไม่ใช่ของผมอีกแล้ว











..........50%..........





ปรบมือ!! ลูกฉันใจแข็งไหมล่ะเธอออ ไงล่ะๆ หงอยเลยสิเจอลูกฉันทิ้งดอกไม้เน่าๆของเธอ เฮอะ!! สมน้ำหน้าาาา  

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ 50% Up [09/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-04-2020 21:15:42
โอ๊ยยย สะใจเอาอีกๆ ต่อเรื่อยๆเลยนะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ 50% Up [09/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 09-04-2020 21:34:53
......

 :z6: :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:

สะใจยิ่งนัก. ใจแข็งไว้นะเธอ

ให้บทเรียนคนนอกใจซะมั่ง

.......

หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ 50% Up [09/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-04-2020 22:56:10
ดีมากลูกใจแข็ง​ๆเข้าไว้นะคะ​ ให้แดนง้อให้สมกับที่ทำอะไรไม่รักษา​น้ำใจกัน
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ100% Up [10/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 10-04-2020 19:26:49
[13] 100%


ผมก้าวลงจากรถหรูด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน ใจจริงผมเองไม่ได้อยากจะได้รถคันนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะคุณพ่อคุณแม่และพี่มินที่เป็นตัวตั้งตัวตีซื้อมาให้ผมพร้อมกับบังคับให้ผมใช้งานมัน ความจริงแล้วผมสามารถขึ้นแท็กซี่เองก็ได้ ใช่ว่าตลอดมาผมจะไม่เคยใช้เสียเมื่อไหร่กัน

ผมล็อกรถแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้ามั่นคงไม่รีบร้อน ตอนนี้ผมย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดของพี่มินที่ยกให้ผมจากการร้องขอให้พี่มินซื้อให้ผมครั้งก่อน ดีหน่อยที่ผมหาคนซื้อคอนโดเก่าได้แล้ว จึงได้เอาเงินไปยัดใส่มือพี่มินได้บ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้าเข้ามาอยู่ที่นี่แน่ๆ

ความสะดวกสบายนับว่าไม่เลวเลยด้วยซ้ำ ระยะห่างจากร้านของผมกับที่นี่ก็ไม่ไกล ขับรถไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง แต่เสียดายก็เพียงแค่ช่วงเวลาที่ผมปิดร้านยังถือว่าเป็นเวลาที่รถติดอยู่ ผมกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่ผมอาศัย ยืนรอจนประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการจึงได้ก้าวออกไปต่อ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทั้งลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและตัวของใครบางคนที่ขยันเข้ามาหาผมที่ร้านทุกวี่วัน ขนาดผมให้คนเอาดอกไม้ของเขาไปทิ้ง เขาก็ยังดื้อรั้น…ถือมันมาให้ผมทุกวันราวกับไม่สนใจว่าผมจะยินดีรับมันไหม

คิดถึงความดื้อดึงของดินแดนแล้วผมก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขาทำแบบนี้ผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะใจอ่อนต่อเขา จะกลับไปยืนอยู่ในจุดที่รู้ดีว่าจะต้องเจ็บปวดและทรมานอีก แต่ผมก็หมดปัญญาจะไล่เขาออกไปจากชีวิต ทั้งที่ผมยอมถอย ยอมออกมาจากชีวิตของเขาแล้ว แต่เขากลับเอาตัวเองเข้ามาในชีวิตของผมเสียเอง

ผมก้าวออกมาจากลิฟต์ที่เปิดออก มือควานหากุญแจห้องโดยไม่ได้สนใจรอบข้างจนผมเผลอเดินชนกับใครบางคนเข้าอย่างแรง

“อ๊ะ! ขอโทษครับ” ผมเกือบจะเซล้ม ยังดีที่อีกฝ่ายใช้วงแขนประคองผมเอาไว้ได้ทัน

เกือบไปแล้วสิ

“ไม่เป็นไร” ผมขมวดคิ้ว สายตาของผมอยู่ระดับแผ่นอกของเขา แต่มันช่างคุ้นตาเหลือเกิน น้ำเสียงทุ้มที่แสนนุ่มหูก็ช่างคุ้นหูราวกับได้ยินมาหลายต่อหลายครั้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาจากตัวเขามันก็ชวนให้ใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ไล่สายตาขึ้นจากแผ่นอกไปยังลำคอและสันกราม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

ดินแดน

ผมขืนตัวออกจากวงแขนของเขาแทบจะทันที ริมฝีปากเม้มแน่นทั้งที่ดวงตาไหวระริกกับอาการหวั่นไหวที่เข้ามาจู่โจม

เขามาได้ยังไง รู้จักที่นี่ได้ยังไง

ผมเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ เงียบๆ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ใจจริงผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามาเพราะผม มาที่นี่เพราะผมอาศัยอยู่ที่นี่ แต่แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านนั่นลงไปเพราะไม่อยากจะคาดหวังกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ผมและดินแดนมองหน้ากันและกันนานครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเป็นผมเองที่หลบเลี่ยงสายตาของเขา หวังเดินไปข้างหน้าเพื่อจะจบบรรยากาศแสนอึดอันนี้เสียที

“นี่! หลบสิ” แต่ใครจะไปคิดว่าดินแดนจะเป็นฝ่ายก้าวมายืนข้างหน้าผมอีกครั้ง ไม่ว่าผมจะขยับไปทางซ้ายหรือขวา เขาก็จะตามมาไม่ลดละ

“คุณพักอยู่ห้องไหนหรือครับ?” ผมตวัดสายตามองคนหน้าด้านที่ไม่ยอมหลีกทางให้ผมไม่พอยังจะกล้ามาถามอีกว่าผมอยู่ห้องไหน ผมสะกดอารมณ์โมโหตัวเองเอาไว้ พยายามเรียกเอาความใจเย็นที่แทบไม่หลงเหลืออยู่ออกมาให้มากที่สุด

“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของผมนะครับ!” แต่ดินแดนกลับยิ้มขำ สองเท้ายังคอยขยับตามทิศทางที่ผมเดินไปอย่างไม่คิดจะปล่อยผม

“ผมเพียงแค่อยากทำความรู้จักกับคุณก็เท่านั้น” เฮอะ! ผมได้แต่กลอกตาใส่ดินแดนที่ยังคงยิ้มแย้มอย่างยินดีและพึงพอใจมาก

“ผมชื่อแดนครับ ดินแดน โชติญาณกุล ห้อง708 ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ผมชะงักเมื่อได้ยินหมายเลขห้องจากปากของดินแดน ผมจะไม่ตกใจสักนิด หากว่าผมไม่ได้อยู่ห้อง703ที่เป็นห้องตรงข้ามกัน เรื่องบังเอิญไม่ควรเกิดขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ ฟ้าเองก็ไม่ควรเล่นตลกส่งเขามาให้ผมในวันที่ผมตัดสินใจหันหลังให้กับเขาแล้ว เพราะมันยิ่งทำให้ผมทรมานยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

“ผม…ขอตัว”

“เดี๋ยวสิครับ!” ผมกัดริมฝีปากของตัวเอง ห้ามปรามหัวใจที่กำลังอ่อนไหวอย่างสุดกำลัง ดึงข้อมือออกจากการถูกกอบกุมเอาไว้ออกมาทันที

“มีอะไรครับ” ผมอยากรีบๆ ออกไป อยากจะหายไปจากคนตรงหน้า ไม่ใช่เพราะขี้ขลาดหรืออ่อนแอ

แต่เพราะกลัวว่าหัวใจของผมจะคิดเข้าข้างตัวเองจนกลับไปจมปลักในจุดเดิม

“ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลยตั้งแต่เช้า ถ้าไม่เป็นการรบกวน…อยากจะขอข้าวทานสักมื้อ จะได้ไหมครับ?”

ข้าวสักมื้องั้นหรือ

ผมยิ้มเยาะออกมา ปล่อยเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่แสนกังวานออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น อยากให้ผมทำอะไรให้เขากิน เขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเคยทำอะไรกับผมเอาไว้

ลืมไปแล้วหรือว่าวันนั้นเรียกมันว่าอะไร

“ขยะ…”

“ว่าอะไรนะครับ?” ผมยิ้มเย่ะ เงยหน้าขึ้นสบตากับดินแดนที่ยังคงงุนงงกับน้ำเสียงและคำพูดของผม

“ขยะที่ถูกทำขึ้นมาด้วยมือของผม คงไม่เหมาะจะให้ทายาทโชติญาณกุลได้ทานหรอกครับ” ลืมมันไปแล้วหรือเรื่องวันนั้น วันที่เขาเลือกจะมองเห็นค่าของอาหารที่ผมทำ เป็นเพียงขยะที่แสนไร้ค่า ถึงเขาจะลืม แต่ผมไม่เคยลืมมันไปได้เลยสักวัน มันยังคงตอกย้ำอยู่ในใจผมให้เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่หวนคิดถึง

ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป! ผมไม่เคยลืมมันเลยสักคำเดียว เพราะงั้น อย่าเสียเวลาอันมีค่าของคุณมารอทานขยะของผมเลยครับ มันไม่มีค่าพอให้รอหรอก

ผมปล่อยให้แดนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ส่วนตัวเองก็เดินออกมาไขกุญแจเพื่อเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยหัวใจที่ปวดร้าวและสั่นไหวอย่างรุนแรง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาลืมมันหรือเปล่า แต่คนอย่างผมคงลืมความอับอายและเสียใจในวันนั้นไม่ได้

คุณพูดถูกแล้วล่ะครับดินแดน ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป…เพราะงั้นช่วยปล่อยมือที่แสนสะอาดของคุณ ออกจากขยะที่คุณโยนทิ้งไปทีเถอะ ก่อนที่ผมจะทนใจแข็งไม่ไหวอีกต่อไป

ถือว่าผมขอร้องคุณก็ได้ ช่วยกลับไปหาเพชรที่แสนล้ำค่าของคุณเสียที













ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เริ่มรู้สึกว่าท้องมันว่างเกินไป อาการหิวเริ่มส่งเสียงประท้วงออกมาให้ได้ยิน ผมเดินไปในครัว เปิดตู้เย็นเพื่อดูของสด ถึงแม้ว่าจะย้ายออกมา แต่คุณแม่ก็ยังคงให้คนซื้อของมาเติมไว้ให้ในตู้เย็นเสมอ ผมเองก็ชอบทำอาหารไปแล้ว มันเคยชินจนต้องทำกินเองตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่ผมเข้าไปที่ร้านแสนสุขผมถึงไม่ต้องทำอะไร

อาหารสองสามอย่างที่ไม่ใช้เวลามากมายถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ หน้าตาน่าทานอย่างที่เคยทำมาเสมอ ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ชั่วครู่หนึ่งหัวใจก็พลันบีบตัวอย่างรุนแรงอยู่ในอก อาการปวดหนึบๆ กลับมาอีกแล้ว คงเป็นเพราะผมหวนคิดถึงวันนั้นที่ดินแดนทำลายความตั้งใจของผมลงด้วยสองมือ มองความปรารถนาดีที่ผมให้ว่าเป็นเพียงแค่ขยะ

ผมเงยหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาให้หายไป นั่งลงที่เก้าอี้หวังจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายให้ออกไปจากหัว เอื้อมมือออกไปหวังจะจับช้อนแต่มันก็ต้องชะงักลงก่อนที่จะเอื้อมไปถึง

ถ้าหาก…เขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าจริงๆ ล่ะ?

ไม่สิ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ปล่อยให้เขาหิวหรอก ยังไงคนรักกันเขาคงไม่ปล่อยให้แฟนตัวเองต้องอดอยากจริงๆ ดินแดนเองก็คงไม่ทรมานตัวเองขนาดนั้น แม้ว่าผมจะคิดแบบนั้น แต่ในใจก็อดถามไม่ได้ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ แค่ความคิดของผมจะเป็นความจริง หรือผมจะแค่หลอกตัวเองกันแน่

ผมพยายามหลายครั้งที่จะหยิบช้อนขึ้นมา แต่ทุกครั้งใจผมก็ไม่เคยสงบ…มันยังคงคอยคิดเพียงแค่ว่าดินแดนจะทานข้าวไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า

มันคาใจจนผมต้องหลับตาลงกำมือของตัวเองแน่น ผมตัดสินใจในช่วงนาทีสุดท้ายนี้แล้วว่าจะลองลุกขึ้นไปเปิดประตูดูว่าดินแดนยังอยู่ข้างนอกหรือเปล่า เพราะกว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวทำอาหารเรียบร้อยก็กินเวลาไปนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว เพราะแบบนั้นผมจึงคิดว่าเขาอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ ใครจะโง่นั่งรออยู่หน้าห้องของคนที่ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูออกมาอีกไหมกันล่ะ

ใช่…คงไม่อยู่แล้วล่ะ

ผมตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูสีน้ำตาล ยืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือออกไป เปิดประตูและก้าวออกไปเพื่อมองหาร่างคุ้นตา

ผมยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ตรงหน้าประตู ขายังไม่ทันจะพ้นประตูสายตาของผมก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ห้องของผม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซบอยู่ที่แขนของตนเองอย่างน่าสงสาร หัวใจของผมอ่อนยวบกับท่าทางน่าสงสารของเขาจนต้องเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า เม้มปากและกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองลง ปรับสีหน้าและแววตาให้ดูไร้ความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่าหัวใจของผม…จะอ่อนไหวมากแค่ไหนก็ตาม

เอาเถอะ…อย่างน้อยก็ถือเสียว่าทำบุญ

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ” ผมส่งเสียงถามเขาออกไป ก็ตรงนี้มันบริเวณห้องของผม เขาเงยหน้าขึ้นมาจากแขนตัวเอง แววตาที่ดูไร้แสงมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง

แววตาที่ครั้งหนึ่ง…ผมเคยใช้มองเขา

“ขอโทษนะ เดี๋ยวจะไปแล้วล่ะ” ดินแดนดันร่างของตัวเองขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางอ่อนแรง เขาส่งรอยยิ้มที่แสนเศร้าสร้อยมาให้ผม ซึ่งผมยอมรับเลยว่ามันปวดใจยังไงก็ไม่รู้

ผมรู้ดีว่าเขาใจร้ายมากมายแค่ไหน จำได้ดีว่าเขาทำอะไรกับผมเอาไว้บ้าง

ผมไม่เคยลืมมันไปเลยสักวัน มันยังคงตอกย้ำหัวใจของผมอยู่เหมือนเดิม

แต่เพียงแค่ผมเห็นสีหน้าที่เจ็บปวด กับแววตาที่ลุแก่โทษของเขา ผมกลับไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้มันอ่อนไหวไปกับสิ่งที่เห็นได้ เขาเลวไหม ใช่ เขาเลวเหลือเกินที่นอกใจผม เขาร้ายกับผมหรือเปล่า แน่นอนว่าใช่ เขาทั้งทำร้ายจิตใจผมสารพัด ผิดคำมั่นสัญญาของเรา มองผมเป็นเพียงคนน่ารำคาญคนหนึ่ง เลือกจะเดินจับมือไปกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม และนั่น…ผมเองก็ไม่เคยลืม

เพียงแต่ผม…ไม่สามารถปล่อยให้เขาจากไปทั้งแบบนี้ได้ ผมทำไม่ได้จริงๆ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมมันขึ้นมาอีกครั้ง จับจ้องแผ่นหลังของเขาที่กำลังจะห่างออกไปเรื่อยๆ

“เข้ามาสิครับ”

ไม่เป็นไรหรอก แค่ข้าวสักมื้อ ถึงยังไงมันก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

“ผมทำอาหารเอาไว้เยอะ มีคุณเข้ามาทานอีกสักคน มันคงไม่เป็นไร” ดินแดนชะงักฝีเท้า เขาค่อยๆ หันมาอย่างช้าๆ มองหน้าผมด้วยความหวังที่ราวกับว่าผมเป็นคนมอบมันให้เขาได้ใช้มันต่อชีวิต

อย่ามองผมแบบนั้น ผมไม่อยากกลับไปรักคุณอีกแล้วดินแดน

เพราะผมรู้ดีแล้วว่า หัวใจของคุณ…ไม่ใช่ของผม

ดินแดนไม่เคยเป็นของไมรวี ไม่ว่าแต่ก่อนหรือตอนนี้ก็ตาม









น้องไม่ใจอ่อนนะคะ แค่ทำทานให้คนอดอยากเท่านั้น อย่าเพิ่งด่าน้องงงง รออ่านตอนต่อไปกันก่อนนนนน  :serius2:  :ling3:

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ100% Up [10/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-04-2020 20:47:01
โอ๊ยย น้องใจอ่นแระ. อีดินแดนก็เนาะรู้ได้ไงว่าไมน์อยู่ที่ไหน
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [13] ยิ่งหวั่นไหวยิ่งฯ100% Up [10/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 11-04-2020 01:29:34
ถ้าจะวนเข้าลูปเดิมก็ไม่ไหวนะ
คนอ่านทำใจไม่ได้ มันรู้สึกอินไม่ลงกับการกระทำที่ผ่านๆมา จะมาพร้ำเพ้ออยู่ตลอดก็ไม่ใช่ คนเราต้องรู้จักการปล่อยวางและก้าวหน้าต่อไป
เอาจริงๆไม่ชอบลักษณะตัวละครของนายเอกเลย
ดูไร้ค่า บูชาความรักจนลืมและมองข้ามทุกสิ่งกระทั่งเลือกผู้ชายมาก่อนครอบครัวตัวเอง
อ่านแล้วสะเทือนใจมาก
ยิ่งมาตอนนี้ทำทีท่าเหมือนจะเริ่มๆจากทำความรู้จักกันใหม่ยิ่งไม่ไหวเลย
จริงๆเขาไปที่ร้านทุกวันวิธีแก้ไม่ยากเลยก็ไม่ต้องเข้าร้านก็จบปกติก็ไม่เคยเข้าอยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาตัวเองไปวนเวียนอยู่ใกล้ๆเขาทำไม
/เป็นอินเลย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ 50% Up [13/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 13-04-2020 18:23:19
[14] 50%


คำว่ารักในวันที่สายไป

บรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัดกำลังบีบอัดอากาศรอบด้านไปจนไม่มีความรู้สึกให้ควรอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย ดินแดนนั่งอยู่ตรงข้ามผม แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก เขาไม่ได้รู้สึกแย่หรืออึดอัดใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาติดรอยยิ้มอยู่เหมือนเคย แววตาทอประกายหวานล้ำราวกับผมคือสิ่งล้ำค่าที่ต้องจับตามอง

แต่ผมไม่ใช่

เขาเคยตีค่าผมเป็นเพียงแค่คนน่ารำคาญ แล้วคนที่น่ารำคาญจะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าไปได้อย่างไร มันคงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ผมอดยิ้มเยาะตัวเองออกมาไม่ได้ ก้มใบหน้าลงซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยันของตนเองเอาไว้ไม่ให้เขาได้เห็น ผมหยิบช้อนขึ้นมาปรับเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้าเสียที ดินแดนเองเมื่อเห็นว่าผมที่นั่งนิ่งเงียบยอมทานอาหาร เขาเองก็ลงมือเช่นกัน

ดินแดนตักกับข้าวจากจานใกล้มือเขามาใส่ในจานของผมอย่างใส่ใจ ผมไม่ได้อิดออดเขี่ยมันทิ้งไปอย่างที่ควรจะทำ เพราะอาหารทั้งหมดผมเป็นคนทำเองไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องปฏิเสธอาหารที่ผมเป็นคนลงมือทำด้วย ดินแดนมองผมที่ยอมทานสิ่งที่เขาตักมาให้อย่างดีใจ ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความยินดีอย่างเหลือล้นนั้นจนผมแทบไม่ต้องมองหามันก็มองเห็นได้

บรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มลดลงไปอย่างไม่รู้ตัว ผมว่าคงเป็นความเคยชินเสียมากกว่า เพราะเมื่อก่อนในวันนั้นที่เรายังรักกัน ผมกับดินแดนเองก็เคยร่วมทานอาหารกันเช่นวันนี้

มันจึงไม่มีอะไรแปลกประหลาดไปกว่าเดิม

“อร่อย…ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะ” ผมเม้มริมฝีปาก สองมือชะงักไปกับคำชมที่ออกมาจากปากของดินแดน

“ขอบคุณที่ชมครับ แต่ผมคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าอาหารที่แฟนของคุณทำให้ทานหรอกครับ” ผมเปล่าประชดประชัน เพียงแต่ผมไม่อยากตกอยู่ในห้วงรักของดินแดนอีก ทุกคำที่ผมพูดออกมาจากปากของผม เป็นเหมือนคำที่ช่วยย้ำเตือนให้หัวใจของผมได้ประมาณตน ไม่คิดอะไรที่มันเป็นการทำร้าวหัวใจของตนเอง

“ไมน์…” ดินแดนเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างกับผม เพียงแต่ผมตอนนี้ คงไม่จำเป็นต้องฟังเขาก็ได้จริงไหม

“ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวมันจะเย็นเสียก่อน”

ดินแดนมองผมครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแต่ก็ยอมหยุดพูดและลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าไปเงียบๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกัน ดินแดนก็ยังคงไม่หยุดที่จะตักอาหารให้ผมไม่ขาด เราสองคนต่างคนต่างก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถเดินด้วยกันได้อีกแล้ว

เขามีคนของเขาแล้ว และคนคนนั้นไม่ใช่ผม ผมยังจดจำรสชาติของน้ำตาที่เคยไหลได้ดีว่ามันเจ็บมากแค่ไหน มันขมขื่นมากเพียงใดกับการเฝ้ารอและไม่เคยถูกเขาเลือก ขนาดวันสุดท้าย…

ผมหลับตาลงข่มความทรมานที่เริ่มจู่โจมหัวใจของผมอีกระลอก กำมือจนแน่นเพื่อระงับความปวดร้าวที่ตีตื้นขึ้นมาให้ผมต้องแสดงความอ่อนแอ ผมในตอนนี้จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าหัวใจของผมยังไม่สามารถตัดเขาออกไปได้ ผมกลัว ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจของผมอีกครั้ง แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะยอมกลับไปหาเขาด้วยความเต็มใจ

ทั้งที่รู้ดีว่าหัวใจของผมจะต้องเจ็บช้ำเช่นเดิม

“อิ่มแล้วหรือไมน์?” ผมหลุดออกจากภวังค์ ก้มลงมองจานอาหารที่มีข้าวเหลืออยู่ แต่กลับถูกผมเขี่ยไปมาอย่างเหม่อลอย

“ครับ ผมอิ่มแล้ว”

ผมไม่ชอบความคุ้นเคยที่เป็นอยู่ มันทำให้หัวใจของผมสั่นไหว ส่วนลึกในจิตใจยังคงโหยหาสิ่งที่ผมไขว่คว้ามาตลอด ทั้งที่ผมควรจะรู้และจดจำให้ขึ้นใจได้แล้วว่าไม่มีวันได้หัวใจของดินแดนมาครอบครอง แต่เสี้ยวเล็ก ๆ นั้นก็ยังคงคาดหวัง แม้ว่าความหวังครั้งนี้…ผมจะเมินมันไปก็ตาม

“เดี๋ยวผมเก็บให้เอง” ผมไม่ยื้อแย่ง ปล่อยให้เขาเก็บจานชามทั้งหมดไปล้างอย่างไม่คัดค้านใด ๆ เขาทำเพื่ออะไรผมรู้ดี เพียงเพื่อให้ได้อยู่ตรงนี้ต่ออีกสักวินาทีไม่ว่าอะไรก็ตาม ดินแดนยอมทำมันทั้งนั้น แต่ผมเพียงแค่คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเขา ผู้ชายที่เป็นคุณชาย เป็นลูกชายคนที่สองของโชติญาณกุลจะยอมมายืนล้างจานในห้องของผม ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เห็นสนใจจะทำมันด้วยซ้ำ

ผมเบือนหน้าหนีภาพแผ่นหลังของผู้ชายที่ได้หัวใจของผมไป เลือกที่จะเดินออกมายังระเบียงกว้างมองท้องฟ้าที่มืดแต่ก็ยังพอมองเห็นดวงดาวได้อยู่บ้าง ภาพกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนมันสวยงามสว่างไสวไปด้วยไฟต่าง ๆ ผู้คนคึกคักและสนุกสนานไปกับราตรีที่น่าลุ่มหลง แต่กับผมมันก็เป็นเพียงสีสันที่ชวนให้มองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่ากับดาวดวงน้อยบนฟากฟ้าด้วยซ้ำไป

มันสวยงาม แม้จะเล็กแต่ก็ยังคงส่องแสงด้วยตนเอง

ผมก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง อยากเข้มแข็งและลบเขาออกไปจากใจได้เสียที

“มายืนอะไรตรงนี้” ผมสะดุ้งเมื่อถูกโอบกอดจากทางด้านหลัง ร่างกายค่อยๆ แข็งขืนเพื่อแสดงความไม่ยินยอมออกไปให้เขาได้รับรู้

แต่ดินแดนไม่เพียงไม่ปล่อย เขายังกระชับอ้อมแขนมากยิ่งขึ้นอีก

“ปล่อย…คุณกอดผมไม่ได้!”

ไม่ได้ จะกอดผมแบบนี้ไม่ได้นะ หัวใจของผมมันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น

“ทำไมล่ะ ทำไมผมถึงกอดไมน์ไม่ได้”

ผมขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แม้ว่าหัวใจจะร่ำร้องเรียกหาไออุ่นของเขาสักเท่าไร ผมก็ไม่อาจจะทำตามที่ใจปรารถนาได้อีกต่อไปแล้ว ผมยังจดจำความจริงที่ถูกโยนใส่หน้าได้ดี ความจริงที่บอกว่าเขาไม่ใช่ของผมอีกต่อไป

“ดินแดน ความจริงเรื่องนี้ผมว่าเราคุยกันแล้วนะ” ผมเบื่อเหลือเกินที่ต้องวนเวียนพูดมันซ้ำ ๆ เขาไม่รู้หรือยังไงว่าผมเองก็ทรมานจนเจียนตายแล้ว ทำไมจะต้องทำเหมือนเรายังรักกันทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ดี…ว่าเขาเป็นของใคร

“ไมน์...ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อผมไหม ไม่รู้ว่าวันนี้มันจะยังมีค่ากับคุณอยู่หรือเปล่า”

“…”

“แต่ผมรักคุณนะครับไมน์ ผมรักคุณมาก”

รักผม? รักผมอย่างนั้นหรือ?

มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อแต่ก่อนนั้นผมอยากได้มันจนแทบคลั่ง พยายามทำทุกอย่างให้เขาพูดมันออกมาในวันที่เรายังคงเป็นเรา เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่ทำลายมันลงไป เป็นเขาไม่ใช่หรือที่มีใครมาแทนที่ผม เป็นเขาอีกไม่ใช่หรือไรที่บอกว่าเรื่องของเรา…เขาลืมมันไปจนหมดแล้ว

แล้ววันนี้ วันที่ผมเดินออกมาจากความเป็นเรา ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าของเราเอาไว้ข้างหลัง ปล่อยมือออกจากมือของเขา ยอมให้เขาได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขารัก ส่งเขาให้กับคนที่ได้ครอบครองหัวใจของเขาไป

แล้ววันนี้จะมาบอกรักผมทำไมกัน มันไม่สายไปหน่อยหรือ?

“คุณจำวันนั้นได้ไหมแดน”

“...” ผมพยายามเม้มริมฝีปากที่สั่นระริกเอาไว้ ไม่อยากหวนคิดถึงมันสักนิดแต่ก็ต้องทำให้ตัวผมและเขาได้จำมันให้ขึ้นใจ

“วันที่คุณปกป้องคนของคุณด้วยการทำร้ายผม คุณจำมันได้ไหม”

“ไมน์...”

“เพราะผมไม่เคยลืมมันได้เลยสักวัน คุณมองดูสิ ร่างกายผมเองยังคงทิ้งบาดแผลที่คุณทำกับผมไว้อย่างชัดเจน มันชัดเจนทั้งบาดแผลและความเจ็บปวดที่ผมรู้สึก

“...”

“แล้วมาวันนี้คุณกลับบอกผมว่า คุณรักผม? คุณจะมาเล่นอะไรของคุณอีกดินแดน! หยุดเล่นกับหัวใจของผมได้แล้ว ผมไม่เหลืออะไรให้คุณทำลายอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันพังทลายตั้งแต่วันที่คุณเลือกเขา! ไม่ใช่ผม!”

“ไมน์ ฟังผมก่อนได้ไหม ผมขอร้อง ผมขอโทษ แต่ผมรักคุณจริง ๆ”

"คุณเคยได้ยินไหมครับที่มีคนเคยบอกว่า คำบางคำไม่อาจทำให้รู้สึกดีถ้ามันสายไป"

"แต่ผมรักคุณจริง ๆ นะไมน์" ดินแดนยังคงย้ำชัดถึงคำคำนั้น เขาจับมือของผมเอาไว้ บีบมันเพื่อส่งความจริงใจมาทางสัมผัสและแววตา

"ในวันที่ผมอยากฟังที่สุด คุณกลับบอกผมด้วยคำร้ายกาจมากมาย แต่วันนี้ที่ผมยอมปล่อยมือจากคุณตามคำเรียกร้อง ทำไมคุณถึงคิดว่าผมยังอยากฟังมันล่ะครับ? " ผมยิ้มอ่อน แววตาอ่อนล้าเหลือเกินทั้งที่ในหัวใจทั้งเจ็บปวดและทรมานกับคำพูดคำนี้

"ผมรู้สึกตัวช้า ข้อนี้ผมรู้ตัวเองดี ก่อนหน้านี้ผมทำเลวกับคุณสารพัด ผมไม่ขอแก้ตัวใด ๆ แต่คำพูดที่ผมบอกคุณออกไปมันเป็นเพียงแค่ความในใจของผู้ชายคนหนึ่งที่รักคุณมาก"

"..." ผมหลบสายตาของเขา ยิ่งได้มองผมยิ่งไม่สามารถหยุดความรู้สึกของตัวเองลงไปได้ กลัวเหลือเกินว่าความเข้มแข็งของผมมันจะไม่หลงเหลืออีกต่อไป

"เพราะงั้นต่อให้คุณปฏิเสธที่จะฟังมันผมก็ไม่โกรธ ไม่ต่อว่าคุณเลย เพียงแต่คุณรู้ไหมไมน์...วันนี้ผมได้รู้แล้วว่าหัวใจของผมมันเป็นของใคร และผมอยากจะบอกคุณเพียงว่า...หัวใจของผมมันเป็นของคุณมาเสมอ และจะมีคุณเป็นเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

"..."

"ดินแดนคนนี้เป็นของไมน์นะครับ เป็นของคุณเพียงคนเดียว" ดินแดนกดริมฝีปากลงบนหลังมือของผม ดวงตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอนต่อผม แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่คำพูดและแววตาของเขานั้น มันทำให้ผม…ใจสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

ผมดึงมือออกทันทีที่เขาถอนริมฝีปากออกจากหลังมือของผม ความร้อนผ่าวของริมฝีปากนั้นยังติดตรึงอยู่ที่ผิวหนังของผม แต่ผมรู้ดีว่ามันคงติดตรึงไปถึงหัวใจของผมเช่นกัน สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ ดวงตาของผมเต็มไปด้วยความสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่อยากเชื่อเขา แต่หัวใจของผมก็เชื่อมันไปแล้ว

“เจ็บมากใช่ไหมไมน์” ผมหลบวูบเมื่อเขาเอื้อมมือมาเพื่อจะแตะต้องบาดแผลที่ถูกเขาสร้างเอาไว้

“ผมไม่รู้ว่าควรขอโทษคุณแบบไหน แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ผมยอมให้คุณทำทั้งนั้น”











..........50%..........





คุณอยากให้น้องลงโทษดินแดนอย่างไร 

1 แทงมันให้ตายแล้วโยนศพทิ้ง

2 โทรหาพี่มินเรียกเหล่าแม่ยกน้องไมน์มาช่วยกันรุมกระทืบ

3 ......... ไม่รู้คิดไม่ออก


เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ 50% Up [13/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-04-2020 18:45:06
ถูกทุกข้อ 555
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ 50% Up [13/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 13-04-2020 20:06:04
ร้องไห้ได้ให้กับเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ 50% Up [13/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 13-04-2020 22:46:23
 :z6: ข้อ2 ค่ะ :z6:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ 50% Up [13/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 14-04-2020 00:06:17
ไปเคลียร์กับคนของตัวเองก่อนแดน
เอาให้ตัวเองเคลียร์ก่อนเถอะ เด๋วก็มีปัญหาอีก
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ 50% Up [13/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 14-04-2020 11:24:45
อยากให้ห่างออกมาแล้วไม่ต้องไปเจออีกเลย ยังน้อยๆทิ้งเวลาไปอีกหน่อย ถ้าเป็นปีๆจะไม่ว่าอะไรเลน
นี้อะไรแค่แปปเดียวถึงเดือนหรือเปล่าจะไปหวั่นไหวอีกแล้ว
กลับไปนอนบ้านก็ได้ไม่ต้องอยู่แล้วคอนโด
เพิ่งโดนทิ้งมาเองจะกลับไปแล้วหรอ เร็วจังความเสียใจจะไม่มีค่าอะไรเลย ถ้ายังหวั่นไหวง่ายๆเหมือนเด็กป.3แบบนี้
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ100% Up [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 14-04-2020 18:38:25
[14] 100%


“เจ็บมากใช่ไหมไมน์” ผมหลบวูบเมื่อเขาเอื้อมมือมาเพื่อจะแตะต้องบาดแผลที่ถูกเขาสร้างเอาไว้

“ผมไม่รู้ว่าควรขอโทษคุณแบบไหน แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ผมยอมให้คุณทำทั้งนั้น”


.

.

.

เพียะ!

“...” ผมฟาดมือลงไปบนซีกหน้าเขาอย่างไม่คิดจะออมแรงจนใบหน้าของเขาสะบัดไปตามแรงที่ผมใส่

เพียะ! เพียะ! เพียะ!

มันไม่หายเจ็บแม้แต่น้อย ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังคงทำมันซ้ำ ๆ ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่จะระบายความทรมานของผมได้

ดินแดนไม่หลบมันแม้แต่ครั้งเดียว ไม่แม้แต่พยายามจะหยุดผม เขาปล่อยให้ผมระบายอารมณ์กับเขาจนกว่าผมจะหยุด ยืนนิ่งๆ ให้ผมทำร้ายเขาจนกว่าผมจะพอใจ หัวใจของผมมันก็สั่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

เพียงแต่ความสับสนก็เข้ามาเพียงไม่นานก็ถูกกำจัดออกไปด้วยความทรงจำสุดท้าย ภาพที่ผมเดินออกจากร้าน มองเห็นรอยยิ้มอละเสียงหัวเราะของเขาและเธอคนนั้นมันยังติดอยู่ในความทรงจำไม่หายไปไหน แม้แต่ภาพที่เขา…ผู้ชายที่ผมมอบหัวใจให้ จับจูงใครอีกคนแล้วเดินหันหลังทิ้งผมไปในวันที่ผมกำลังอ่อนแอ มันยิ่งวนเวียนมาตอกย้ำให้หัวใจของผมเจ็บปวดอีกครั้ง ฉุดรั้งสติของผมกลับมาจนมองเห็นความจริงที่ไม่ใช่ความฝัน

ผมควรตื่นเสียที หัวใจของดินแดนไม่ใช่ผมที่เป็นเจ้าของ

หัวใจของเขาเป็นของเธอคนนั้นต่างหาก ไม่ใช่ผม

“กลับไป…” ไม่มีอะไรมาลบล้างความเจ็บปวดของผมได้หรอก ไม่มี

“ไมน์ ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อ” ผมปรายตามองเขา สายตาที่ทอประกายความปวดร้าวนั้นมันช่างบีบรัดหัวใจของผมเสียเหลือเกิน

“คุณคงลืมไปว่าคุณเลือกไปแล้ว”

ใช่ ดินแดนเลือกไปแล้วในวันนั้น เขาเลือกเธอคนนั้น ไม่ใช่ผม เขาทิ้งให้ผมรอ…ในขณะที่เขาสองคนต่างสนุกสนานและมีความสุขกันสองคน เขาเลือกจะทิ้งปมเอาไว้อย่างคนไร้ค่า

แล้ววันนี้จะมาเรียกร้องหาของไร้ค่าชิ้นนี้ไปเพื่ออะไร

ในเมื่อเขาเป็นคนปล่อยมือคู่นั้นไปเอง

“คุณเลือกเธอไงครับ เธอที่เป็นคนรักของคุณ ไม่ใช่ขยะที่ถูกทิ้งขว้างอย่างผมคนนี้

“ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น” ผมเบือนหน้าหนีเมื่อหยาดน้ำตาเริ่มจะคลออยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง

ไม่อยากให้เห็นว่าผมอ่อนแอแค่ไหน

“ช่างเถอะครับ มันเป็นเรื่องของคุณกับเธอ”

ไม่อยากรับรู้อีกแล้ว ผมเหนื่อยมามากพอแล้ว อยากจะหยุดมันลงเสียที

“ไม่ว่าจะยังไงคุณก็เลือกเธอไปแล้ว ผมเองก็อวยพรให้กับคุณทั้งสองคน คำว่ารักที่คุณพูดกับผม ผมมองว่าคุณคงให้มันผิดคนแล้วละครับ”

“ไม่ ไมน์ ฟังผมก่อน” ผมก้าวเข้าไปยืนอยู่เบื้องหน้าเขายิ่งกว่าเดิม ลดระยะห่างของเราลงไปอีกนิด ให้เขาได้มองเห็นผมชัดๆ เต็มสองตา

“คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของคุณตอนนี้คือผม ไมรวีครับ ไม่ใช่ใบบัว อย่าทับซ้อนผมกับใครอีกเลยนะครับ ผมเจ็บมากพอแล้ว” ดินแดนหยุดชะงักและนิ่งงัน ผมมองเห็นความปวดร้าวในดวงตาของเขา แต่ปมก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปกอดปลอบเขาได้ ในเมื่อผม…ไม่มีสิทธิ์นั้นอีกแล้ว

มันหมดลงไปนานแล้ว

“ดึกแล้ว…ผมว่าคุณควรกลับเสียทีนะครับดินแดน เดี๋ยวแฟนคุณเขาจะห่วงคุณเสียเปล่าๆ” ผมก้าวเดินไปข้างหน้า ผ่านร่างกายที่สูงใหญ่ของคนที่ครั้งหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนรักไปอย่างเย็นชา ผมหยุดลงที่หน้าประตูแล้วเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว

ในสายตาใคร ๆ ผมอาจจะใจร้ายที่ไล่เขาออกไป ที่ทำกับเขาแบบนี้

แต่ไม่มีใครเข้าใจ หากไม่ได้พบเจออย่างผม เพราะงั้นผมจะไม่วิงวอนให้ใครมาเข้าใจในตัวผม เพราะผมเองก็จะไม่ทำตามความเห็นของใครเช่นกัน หัวใจของผม…มันกำลังจะดีขึ้น และมันจะหายดีในวันหนึ่ง ดินแดนเดินมาหยุดลงที่หน้าประตู เขาหันมามองผมอย่างคนที่เจ็บปวด แต่ผมเองต่างหากที่เจ็บกว่า

“ผม…มาหาไมน์อีก ได้ไหม” น้ำเสียงของแดนคล้ายคนที่กำลังขอร้องและอ้อนวอน

“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากให้แฟนคุณเข้าใจผมผิด” ตัดให้ขาดไปเลยคงดีกว่า การที่เรายังยืดเยื้อความสัมพันธ์ไปมาแบบนี้ มีแต่จะทรมาน

“เรา ผม…เลิกกับใบบัวแล้ว”

“ผมคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นนะครับ” รู้ไปก็มีแต่จะทำให้หัวใจของผมคาดหวังลมๆ แล้งๆ ไม่รู้เลยเสียยังจะดีกว่า ดินแดนถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“ผมจะมาใหม่ ตอนที่ไมน์อารมณ์เย็นลง”

“ไม่ต้องมาอีกแล้วครับ ผมไม่ว่างต้อนรับ” ผมปิดประตูลง แต่กลับถูกมือหนาของดินแดนดันมันเอาไว้ไม่ยอมให้ปิดลง

“จะมา ผมจะมาทุกวัน จะมาจนกว่าไมน์จะกลับมารักผมอีกครั้ง”

“อย่าทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์เลยครับคุณดินแดน ผมว่าชีวิตของคุณน่าจะทำเรื่องที่มีค่ามากกว่านี้” ดินแดนผลักประตูให้เปิดออก ดึงร่างของผมเข้าไปกอดจนแน่น ผมที่ตกใจตะลึงค้างอย่างคิดไม่ถึงก็ลืมแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำไป เสียงทุ้มกระซิบข้างหู น้ำเสียงที่นุ่มนวลและเต็มไปด้วยความออดอ้อนค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ

“ไมน์คือสิ่งที่มีค่าที่สุดของผม แล้วผม…จะมาหาไมน์อีก ผมรักไมน์นะ”

ผมอึ้งและคาดไม่ถึง คำพูดของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหู ดังก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับถูกตั้งให้เล่นวนซ้ำ ๆ กว่าจะได้สติร่างของดินแดนก็หายเข้าไปยังห้องของตนเองไปแล้ว ผมจึงได้ค่อยๆ ปิดประตูลง ยกมือขึ้นกุมหัวใจของตัวเองเอาไว้ พยายามระงับจังหวะที่ระรัวอยู่ในอกอย่างสุดความสามารถ

ห้ามกลับไปนะ อย่าใจอ่อน

แกจะรักเขาอีกครั้งไม่ได้เด็ดขาดนะไมน์!

ผมพาตัวเองเข้าห้องมานอนหลับตาลงบนเตียงใหญ่ อุณหภูมิจากแอร์เย็นฉ่ำจนผมรู้สึกว่ามันอ้างว้างแปลกๆ ทั้ง ๆ ที่ผมก็นอนแบบนี้มาโดยตลอด แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม มันหนาวเหลือเกินจนผมต้องกอดตัวเองเอาไว้อยู่บนเตียง ซึมซับไออุ่นที่หลงเหลืออยู่ของใครบางคนจนมันฝังรากลึก

ร่างกายของผมโหยหาไออุ่นของเขาจนน่ากลัว มันจดจำและเรียกร้องจนผมทรมานเหลือเกินในตอนนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ต้องนอนอยู่คนเดียวนั้นมันจะน่ากลัวขนาดนี้

ความเหงาฆ่าคนได้หรือเปล่า?

หากทำได้…ผมว่าผมคงจะต้องตายเสียแล้วล่ะ















ผมไปที่ร้านตามปกติเหมือนที่ทำอยู่บ่อย ๆ ในช่วงนี้ เพราะมีอะไรมากมายให้ต้องเข้าไปจัดการ ไหนจะเรื่องที่ลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น ข่าวลือที่แพร่สะพัดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมและดินแดน ทั้งที่มันเป็นข่าวเก่า แต่สิ่งที่พวกเขาเอาไปพูดกัน คือดินแดนมาจีบผมต่างหาก ไม่ใช่เราสองคนเป็นแฟนกัน

ผมเป็นตัวร้าย เพราะเป็นสั่งให้คนเอาดอกไม้ของพระเอกไปทิ้งท่ามกลางสายตาของใครหลายคน แต่ไม่มีใครเข้าใจผมหรอกว่าความรู้สึกของคนที่เคยเจ็บเจียนตาย เป็นคนที่ไม่มีค่าในสายตาของคนที่เรารักนั้นมันทรมานมากแค่ไหน

สิ่งที่ผมทำลงไปมันไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวของความโหดร้ายของเขาที่มีให้ผมหรอก

แต่ดินแดนคนนั้นทำอย่างที่เขาบอกเอาไว้จริงๆ เขาเข้ามาในชีวิตของผม ไม่ยอมออกห่างหรือปล่อยให้ผมได้ไปเจอใครที่ไหน

เขาคอยมองผม คอยเอาใจผมอยู่ห่างๆ ทั้งที่ผมไม่ต้องการ เล่นเอาไอ้รักเพื่อนผมหัวร้อนจนอยากจะเข้าไปต่อยหน้าดินแดนด้วยซ้ำไป

เพียงแต่ผมไม่ได้สนใจ ต่อให้เขาหยิบยื่นอะไรมาให้ผมก็จะรับมันมา แล้วทิ้งมันไปอย่างไม่สนใจไยดี ทุกอย่างมันเป็นการเอาคืน ยิ่งเขาทำเหมือนรักผมมากแค่ไหน ผมก็จะทำให้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดของการถูกมองเมิน การถูกมองว่าไร้ค่าทั้งที่อู่ในสายตานั้น ว่ามันเป็นยังไง

“ดอกไม้...ผมให้ไมน์” ผมมองดอกกุหลาบสีขาวในมือเขา มันเป็นเช่นเดิม ดอกกุหลาบหนึ่งดอกผูกโบสีแดง เหมือนทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามาที่ร้านของผม มันเป็นภาพที่ชินตา แต่ไม่เคยชินเลยในใจของผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับมันมาถืออย่างไม่ใส่ใจนัก หากแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เขายึดข้อมือของผมเอาไว้แน่น ทอดสายตามองผมด้วยความเว้าวอนแกมขอร้อง

“ไมน์”

“...”

“อย่าทิ้งเลยได้ไหม ไม่ทิ้งมันได้ไหมครับ”

ผมยกยิ้มเย้ยหยันขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง สบสายตาเข้ากับดินแดนที่ในแววตายังคงเต็มไปด้วยการขอร้องผม

ไม่ให้ทิ้งหรือ? ก็พูดง่ายดีนี่

แล้วทีอาหารที่ผมตั้งใจทำ ทำไมเขาถึงทิ้งมันได้ลงคอกัน!!

“ไม่อยากให้ผมทิ้งหรือ?”

“ใช่...ไมน์ อย่าทิ้งเลยนะ”

ขยะก็ควรอยู่ในถังไม่ใช่หรือครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิด? ” ดินแดนสะอึกอึ้งไปพักใหญ่ แววตาของเขานิ่งงันราวกับคนไร้วิญญาณ ผมเอียงคอถามเขาไปอย่างไม่เข้าใจ ใช้แววตาที่แสนใสซื่อมองเขาอย่างคนที่แปลกใจว่าตนเองกำลังทำอะไรที่ผิดไปหรือยังไง? เขาคิดหรือว่าจะมีเพียงแค่ผู้หญิงของเขาหรือที่เล่นละครเก่ง

เขาคงลืมไปแล้วว่าผมนามสกุลอะไร การอยู่ในสังคมชั้นสูงต้องใส่หน้ากากไว้หนาแค่ไหน

แค่เพราะผมรักเขาจนไม่ใส่มันเข้าหา ไม่ได้หมายความว่ามารยาพวกนี้ ผมจะไม่มี

“เก็บดอกไม้กลับไปเถอะ แล้วไม่ต้องเอามันเข้ามาที่นี่อีก เพราะไม่งั้นมันก็จะลงไปอยู่ในถังขยะเหมือนเดิม”

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก เพราะผมไม่สามารถลืมความเจ็บปวดที่เขาทำไว้กับผมได้ แม้ว่าหัวใจของผมจะยังไม่อาจหยุดรักเขาได้ก็ตามที

แม้ว่าในส่วนลึกของหัวใจจะยังคาดหวังต่อเขา จะอยากกลับไปหาเขามากมายแค่ก็ตาม

ดินแดนหลบตาลงมองพื้น ผมเห็นร่องรอยความเจ็บปวดจากแววตาของเขาวูบหนึ่งที่เขากำลังจะหลุบตาลง แม้จะเพียงแค่พริบตาแต่ก็สามารถสั่นไหวหัวใจของผมได้ไม่น้อยเลย จนผมเองยังต้องยกมือขึ้นมาลูบแผ่นอกของตัวเองเบาๆ ปลอบและเตือนให้มันเข้มแข็งอย่าได้ยอมกลับไปหาเขาง่ายๆ

อาจเป็นเพราะเขาได้ผมมาอย่างง่ายดาย เขาจึงทำร้ายผมได้อย่างเลือดเย็น

แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ความทรมานของผมก็คือของจริง น้ำตาทุกหยดของผมก็เป็นของจริง

ไม่ว่าเหตุผลมันคืออะไร...ผมก็เจ็บปวดมาแล้วจริง ๆ

“เราทำผิดมากจนไมน์อภัยให้ไม่ได้เลยใช่ไหม?” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับอาการรวดร้าวที่แล่นขึ้นมาจุกอกเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แผ่วเบาชวนให้สงสารของดินแดน

“ต่อให้เราทำมากมายแค่ไหน...ก็ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่เราทำกับไมน์ได้เลยสินะ”

“ใช่”

“...”

“ไม่มีอะไรมาลบล้างมันไปได้หรอก”

“นั่นสินะ ฮ่ะๆ”

ผมใจหล่นวูบเมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันจากริมฝีปากของเขา ทั้งที่สองตาแดงก่ำและคลอไปด้วยหยาดน้ำตา มันบีบหัวใจของคนที่ยังไม่อาจลืมเขาได้อย่างผมเหลือเกิน มันเหมือนกับผมในวันนั้น เหมือนผมเห็นตัวเองที่พยายามมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจ...ดึงหัวใจของเขากลับมาได้

ผมเบือนหน้าหนีเมื่อสองตาเริ่มร้อนผ่าว กลัวเหลือเกินว่าจะมองเขาต่อไปอีกไม่ไหว มันทรมานและเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องเห็นเขาเป็นแบบนี้ แต่ผม...ก็ไม่สามารถ ห้ามตัวเองได้เช่นกัน

ทั้งที่หัวใจของผมตะโกนออกไปให้ตัวเองหยุดทุกคำพูดที่โหดร้าย หยุดร่างกายที่ทำให้เขาต้องเจ็บ แต่บางสิ่งในตัวผมกลับไม่ยอมฟัง มันยังคงตอกย้ำความเจ็บปวดต่อคนตรงหน้าอีกต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่งที่ผมหรือเขา จะทนไม่ไหวไปเอง

“ความรู้สึกที่เจ็บจนพูดไม่ออก มองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า...”

“...”

“ครั้งหนึ่งไมน์เองก็เคยรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม”

ผมไม่กล้าสบตาของเขา สายตาคู่นั้นที่ทอประกายความรู้สึกมากมายที่ล้นออกมา สายตาที่มันทิ่มแทงผมจนหัวใจที่บอบช้ำ ต่อต้านร่างกายของผมเอง

“ต่อให้พยายามมากมายแค่ไหนก็ไม่มีวันได้มันมา วันนี้ผมได้รู้สึกถึงมันแล้วไมน์”

“...”

“อึก ว่าการไม่ถูกเห็นค่าทั้งที่ยืนอยู่ในระยะสายตา มันเจ็บมากแค่ไหน”

“...” อย่าใจอ่อน ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะ! ลืมไปแล้วหรือว่าต้องเจ็บมากแค่ไหน! ทำไมถึงใจง่ายขนาดนี้!

“วันนี้ ผมรู้แล้วครับ ผมขอโทษนะครับ...ที่ทำร้ายไมน์มากมายขนาดนั้น ขอโทษนะครับ...ที่ความรักของผมมันไม่เท่ากับที่ไมน์มี”

“...” ผมกอดไหล่ตัวเองเอาไว้ พยายามข่มความรู้สึกที่ตีขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ

“ขอโทษจริงๆ นะครับ...ที่ผมรักไมน์ช้าไป ผมขอ...โทษ”

ดินแดนปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างคนที่รู้สึกผิด ความรู้สึกแค้นเขาก่อนหน้านี้ ความรู้สึกโกรธที่เขานอกใจผม เวลานี้...มันหายไปหมดสิ้นจนอยากจะเอื้อมมือออกไปหาเขา อยากจะบอกเขาว่าผมยังรักเขามากแค่ไหน แต่ผมกลับทำไม่ได้

“แต่เพราะผมผิดเองทั้งหมดผมจึงพร้อมจะยอมรับความเจ็บปวดนี้...”

เขายิ้มให้ผมอย่างเคย ทั้งที่แววตาสั่นไหว มีหยาดน้ำตาร่วงหล่นลงสู่ผิวแก้มอยู่ตลอดเวลา

“แต่จะไม่ยอมเสียไมน์ไปอีกครั้งแน่นอน ผม...จะรับความโกรธและเกลียดของไมน์เอาไว้ในหัวใจ”

“...”

“หวังว่าเมื่อความโกรธและเกลียดที่ไมน์มีทั้งหมดมันหายไป ไมน์จะหันมารักผมได้อีกครั้งนะ”

“...”

“ไม่ว่านานแค่ไหน ผมก็รอไมน์ได้เสมอ ถ้าเพื่อไมน์แล้ว ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ผมก็จะรอไมน์กลับ” ผมเหมือนคนที่เป็นใบ้ ไม่สามารถอ้าปากพูดอะไรออกมาได้ ได้แต่มองเขาอยู่เงียบท่ามกลางสายตาของใครๆ หลายคนที่จับจ้องมาที่เราสองคน

ดินแดนเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะใช้สองแขน โอบกอดเอาร่างกายของผมเข้าไปที่อกของเขา กลิ่นหอมที่คุ้นเคย ไออุ่นที่เคยสัมผัส มันกำลังสั่นคลอนหัวใจของผมให้อ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้สึกถึงแรงสะอื้นเบาๆ จากร่างกายของเขา

ตัวของเขากำลังสั่นทั้งที่เขากอดผมเอาไว้

“อย่าเพิ่งไปรักใครเลยนะ อย่าเพิ่งลบผมออกไปจากหัวใจของไมน์เลยได้ไหม ผม...ทนไม่ได้จริงๆ”

ผมปล่อยให้ตัวเองถูกเขากอดอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ แต่ผมหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้นในอ้อมกอดของเขาอย่างที่ไม่รู้ตัว ร่างกายที่ถูกคนที่รักทั้งหัวใจโอบกอดเอาไว้ด้วยไออุ่น มันช่างชวนให้ผมโหยหาและคิดถึงเหลือเกิน

วันเวลาที่เราสองคนต่างก็รักกัน

















วันนี้เป็นวันจันทร์ …ข้อตกลงของผมกับที่บ้านคือศุกร์-อาทิตย์ ผมจะค้างมี่คอนโด ส่วนจันทร์-พฤหัสบดีนั้นผมจะนอนค้างที่บ้าน เป็นสัญญาที่รู้กันทั่ว ผมเดินเข้ามาในบ้านอย่างทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ผมมีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของดินแดน

ผมไม่ได้อยากจะคิดเรื่องของเขา แต่ผมไม่สามารถสลัดเขาออกไปจากหัวได้ สมองเอาแต่ร้องหาคำตอบจากสิ่งที่เขาพูด คอยแต่ตั้งคำถามว่าจริงหรือ เชื่อได้หรือ ผมได้ยินเสียงในหัวถามมันซ้ำ ๆ ราวกับอยากให้ปมเอ่ยตอบ แต่ผมเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือความจริง อะไรคือคำโกหกหลอกลวง ผมในตอนนี้ยังเชื่ออะไรดินแดนได้อีก

ผมก้าวเข้ามาในตัวบ้านอย่างเหม่อลอย ก่อนจะสะดุดตากับภาพพี่ชายของผมที่นั่งหน้าหงิกงออยู่บนโซฟาตัวใหญ่ อะไรทำให้พี่ชายผมเป็นไปได้ขนาดนี้ แค่หน้าตาปกติก็เย็นชาจนไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะกลัวกันยังไงแล้ว นี่ใครไปทำให้พี่มินโมโหอีก จากความเย็นชาถึงได้กลายเป็นเย็นยะเยือกแบบนี้

“พี่มิน เป็นอะไรครับ?” ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ พี่มิน ก่อนจะเหลือบไปเห็นบางอย่างในมือถือของพี่ชายตัวเอง กระทู้ข่าวหรือ พี่ชายปมสนใจของแบบนี้ด้วยงั้นหรือ?

“มีข่าวอะไรหรือเปล่าครับที่ทำให้พี่ไม่สบายใจ”

“ไม่ ไม่ใช่พวกข่าวอะไรนี่หรอก พวกนี้พี่แค่อ่านฆ่าเวลาเท่านั้น”

“ถ้างั้น…อะไรที่ทำให้พี่ชายผมถึงกับเครียดแบบนี้ละครับ?” พี่มินเสยผมของตัวเองขึ้นไปอย่างหงุดหงิด ผมมองเห็นแววตาที่ขัดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว

“ก็จะมีอะไรล่ะ คุณพ่อนะสิ ดันไปคุยกับทางโรงแรมภัทราแกรนด์เอาไว้ว่าจะเข้าไปร่วมทุนด้วย”

!!!

ภะ ภทัราแกรนด์ โรงแรมในเครือของบ้านดินแดน โรงแรมที่ผม…เคยต้องอับอายขายหน้าในครั้งนั้น

“ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อก็รู้ว่ามัน! ฮึ่ม!!” ผมก้มหน้าลงมือฝ่ามือของตัวเอง จมอยู่ในห้วงความคิดที่ต้องร่วมงานกับบ้านโชติญาณกุล ทำไมยิ่งผมหลีกหนีมากเท่าไรกลับกลายเป็นว่าผมยิ่งต้องเข้าไปใกล้

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมล่ะ…ทำไมต้องเล่นตลกกับชีวิตของผมด้วย

“แล้วพี่ต้องเข้าไปคุยกับพวกเขางั้นหรือครับ” ผมถามทั้งที่อารมณ์สับสนและเจ็บปวดตีกันให้วุ่นวาย ผมเห็นสายตาของพี่มินถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกระแทกแผ่นหลังเข้ากับโซฟาอย่างแรง

“ไม่ใช่แค่พี่นะสิที่ต้องไป” หมายความว่าไงกัน? ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของพี่ชายคนเดียวของผม

“คุณพ่อก็ไปด้วยหรือครับ?” พี่มินขบกรามแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมโทสะของตัวเองจนทำให้ผมยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมพี่มินถึงต้องโกรธขนาดนั้น

“ไม่ใช่…ไม่ใช่คุณพ่อ”

อย่าบอกนะว่า…

“ผม ผมงั้นหรือครับ?”

“ใช่” ผมเบิกตากว้างเมื่อคำตอบที่ได้ยินไม่ใช่คำปฏิเสธดังที่หวังเอาไว้ ผมไม่อยากไป ไม่อยากพบเขาอีกแล้ว แค่ตอนนี้ในชีวิตผมก็มีเขามาวนเวียนวุ่นวายจนแทบจะหักห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ ทำไมผมจะต้องไปร่วมงานกับเขา ต้องเข้าไปในสถานที่ที่ผมเองไม่คิดจะกลับเข้าไปอีก

“ผม…ไม่อยากไป” น้ำเสียงของผมอ่อนแรงและแหบแห้ง ดวงตาที่ปรารถนาจะไม่ไปสบเข้ากับดวงตาคมของพี่มินอย่างเรียกร้องให้ช่วยเหลือ แต่พี่มินยิ่งเห็นก็ยิ่งหลบสายตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมแต่กลับทำอะไรไม่ได้

“พี่ก็ไม่อยากให้เราไป แต่พี่…ทำอะไรไม่ได้” ผมอ่อนแรงลงอย่างมาก หมดเรี่ยวแรงพยุงร่างกายขึ้นมาจากเรื่องเลวร้ายแทบจะไม่ไหว ทำไมสวรรค์ไม่เห็นใจผมบ้างนะ ในวันที่ผมฉุดรั้งเขาเอาไว้ทำไมไม่คืนเขามาให้ผม แต่ในวันนี้ที่ผมปล่อยมือ กลับหยิบยื่นเขาคืนมา

ผม…ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว

“ต้องไปเมื่อไรครับ” ไม่ยินยอม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ผมกัดฟันถามออกไปอย่างแผ่วเบา

“อีกสองอาทิตย์”

สองอาทิตย์งั้นหรือ อีกสองอาทิตย์สำหรับการพบหน้ากันอย่างเป็นทางการ ในฐานะลูกชายคนเล็กของครอบครัวสุทธิวรเวช อีกสองอาทิตย์สำหรับการเปิดเผยตัวจริงของผมที่เขาคนนั้นยังไม่เคยรู้

อีกสองอาทิตย์…ที่ผมและเขา จะยิ่งใกล้กันมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าผมจะไม่ต้องการมันก็ตาม






เริ่มรู้สึกกลัวการลงนิยายแล้วสิคะ เหมือนว่าดินแดนจะเลวมากจนแมวยังกลัวว่าสิ่งที่ลงโทษแดนไป มันจะพอต่อการลบล้างความเกลียดในใจพวกคุณไหม แต่ถึงจะกลัวก็ยงจะลงนะคะ ขอแค่...ทุกคนอย่างทิ้งนิยายเรื่องนี้ อย่าทิ้งดินแดนกับหนูไมน์และเหล่าตัวละครในเรื่องนี้เลยนะคะ แมวกราบบบบ

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ100% Up [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-04-2020 18:52:47
คุณพ่อไมน์คิดไรอยู่นะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ100% Up [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 14-04-2020 22:02:13
เราว่าอาจจะเพราะระยะเวลามันเร็วไปละ มันไม่ทิ้งห่างไม่ทิ้งช่วง หรือมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาขั้นกลางเลย อารมณ์เหมือน เพิ่งเลิกกันวันจันทร์แดนรู้ใจตัวเองกลับมาง้อกันวันพุธ อารมณ์มันเลยไม่ได้จริงๆที่จะทำให้คิดไปได้ว่าสาสมกับสิ่งที่แดนทำ
ช่วงระยะเวลามันสั้นไปจริงๆ
ปล.ตอนนี้ คำผิดคำว่า ปม(ผม) เยอะมากเลยแทบทุกครั้งที่ใช้คำแทนตัวว่า ผม จะเป็น ปอปลาหมดเลย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ100% Up [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 14-04-2020 22:09:43
ถึงเค้าจะเลวแต่เค้าก็ตาสว่างแล้วถ้าเป็นเราเราจะกลับไปมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [14] คำว่ารักในวันที่ฯ100% Up [14/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 15-04-2020 08:01:05
รอจ้า :3123:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 16-04-2020 17:57:50
[15] 50%


คนคุ้นเคย

วันนี้ผมก็ได้เข้ามาที่นี่อีกครั้ง เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาก็รู้สึกกดดันตัวเองแปลกๆ พี่มินที่เห็นสีหน้าของผมไม่สู้ดีก็เอื้อมมือมาแตะลงบนแผ่นหลังของผม ราวกับว่ากำลังประคองให้ผมยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไป ผมหันไปมองใบหน้าด้านข้างของพี่ชายตัวเองอย่างนึกขอบคุณ ถ้าไม่มีพี่มิน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีเรี่ยวแรงมากพอให้เดินไปข้างหน้าไหวหรือไม่

สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมและพี่มินเป็นจุดเดียวกัน เสียงรอบข้างเงียบลงจนน่าตกใจ แต่เพียงครู่เดียวมันก็ถูกแทนที่ด้วยคำนินทาที่แสนเบา แม้ผมจะไม่ได้ยิน แต่ผมก็พอจะเดาได้จากความรู้สึกว่าคงมีผมเป็นหัวข้อสำคัญนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างบอบบางที่คุ้นตาตรงหน้า ส่งรอยยิ้มไปให้เธอเมื่อจำได้ดีว่าเธอคือคนเดียวที่ยอมมาช่วยผมเก็บขยะที่ถูกดินแดนปัดมันทิ้งอย่างไม่เห็นค่า เธอเองก็ส่งรอยยิ้มตอบกลับมาในทันทีเช่นกัน

ผมแสยะยิ้มกับตนเองไม่ให้ใครเห็นเมื่ออดคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นไม่ได้ ดินแดนช่างโหดร้ายกับผมได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ ทำให้ผมต้องอับอายอย่างไม่น่าให้อภัย ในตอนนั้นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างผม ยอมให้เขาได้ยังไงกันนะ

“ไม่เป็นไรใช่ไหมไมน์” น้ำเสียงที่ถามผมเต็มไปด้วยความห่วงใย ผมฝืนฉีกยิ้มให้กับพี่มินแล้วตอบกลับไปอย่างไม่เต็มเสียง

“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว”

ไม่จริงเลย ผมไม่ไหว ผมอยากออกไปจากที่นี่ ภัทราแกรนด์ไม่มีอะไรที่น่าจดจำสักนิดสำหรับผม ยิ่งไม่อยากจะเข้ามาเหยียบด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเลี่ยงมันไม่ได้ผมก็ทำได้แค่ต้องยอมรับและเดินหน้าต่อไป ผมมองตรงไปยังร่างของดินแดนที่สวมสูทสีเข้มเคียงข้างกับผู้ชายที่ผมสามารถเห็นได้จากงานสังคมต่างๆ บ่อยๆ

“โอ้! มาแล้วหรือหลานชาย มาๆ ยินดีต้อนรับทั้งสองคนเลย” เสียงของคุณพ่อดินแดนเอ่ยทักผมและพี่มินขึ้นมาอย่างใจดี มีเพียงสีหน้าที่ดำทะมึนของดินแดนเท่านั้นที่ออกอาการไม่พอใจนัก มันก็ไม่แปลก ครั้งก่อนเขาก็บอกเองว่าผมน่ารำคาญที่ตามเขามาถึงที่นี่ บางทีเขาก็อาจจะคิดว่าผมมาหาเขาอีกก็ได้

“สวัสดีครับคุณอา โรงแรมสวยมากเลยครับ” พี่มินมอบรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนให้กับคุณอาสมภพแต่แววตาของพี่ชายผมกลับตวัดจ้องมองใบหน้าของดินแดนด้วยความไม่พอใจ

ผมมองเห็นความยุ่งยากที่จะตามมานี้ยังไงก็ไม่รู้ พี่มินไม่ชอบดินแดน และดินแดนเองก็ดูแล้วไม่ต่างจากพี่มินด้วยซ้ำไป สายตาคมของทั้งคู่ต่างจับจ้องกันและกันไม่วางสายตา ผมดึงแขนของพี่มินให้หันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนที่ผมจะส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้หยุดสิ่งที่ทำอยู่ลงไป ยังไงเราก็มาเพื่อเจรจาแทนคุณพ่อ ไม่ใช่มาเพื่อหาเรื่องกับใคร

“อา ยังไงก็เข้าไปคุยกันที่ห้องประชุมใหญ่ดีกว่านะ อาให้คนเตรียมเอกสารไว้เรียบร้อยแล้ว มินลองไปดูก่อนเถอะ” คงมีเพียงคุณอาสมภพที่ดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ชวนให้อึดอัดนี้ พี่มินหันมาหาผม วางฝ่ามือลงบนศีรษะของผมแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบาด้วยความอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม

“เราจะรอที่นี่หรืออยากเข้าไปด้วยล่ะ หื้ม?” ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบอย่างเต็มเสียง

“รอที่นี่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากเข้าไปข้างในเท่าไร” ให้ไปนั่งข้างในแม้จะเป็นการพูดคุยเพื่อร่วมงานกัน แต่ต้องถูกสายตาของดินแดนจับจ้องผมเองก็คงไม่โอเคเท่าไร พี่มินนิ่งไปก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับผม พี่มินเองก็คงไม่อยากให้ผมเข้าไปเจอดินแดนจับจ้อง สู้ให้ผมรออยู่ด้านนอกคงจะดีกว่าในสายตาของพี่มิน

“ถ้างั้นคุณอิงอรเข้าไปกับผม ส่วนคุณนารถ…ผมฝากดูแลไมน์หน่อย” คุณอิงอรเป็นเลขาส่วนตัวของพี่ชายผม เธออายุสามสิบกว่าแล้วแต่ยังคงความสาวราวกับเด็กมหาวิทยาลัย ซึ่งผมทึ่งมากตอนที่รู้ความจริงเรื่องอายุของเธอ

“ได้ค่ะคุณมิน” ผมหันไปยิ้มให้พี่นารถที่ถูกส่งมาจากทางคุณแม่เพราะกลัวว่าผมจะถูกรังแกจากคนที่นี่ ท่านจึงส่งเลขาฝีปากกล้าคนนี้ที่ชื่อนารถมาให้เป็นเกาะคุ้มภัยให้กับผม

ยังไงเรื่องที่ผมร้องไห้และเข้าโรงพยาบาลก็ไม่สามารถลบออกไปจากใจของคุณแม่ได้เลย ยิ่งท่านรู้ว่าคุณพ่อรับปากจะร่วมมือลงทุนกับพวกโชติญาณกุลก็ยิ่งปรี๊ดแตกจนถกเถียงกันอยู่เกือบทั้งวัน สุดท้ายเมื่อเถียงคุณพ่อไม่ได้จึงได้แต่ส่งยันต์คุ้มภัยหรือหน่วยรับมือหายนะมาให้ผมแทน พูดง่ายๆ ก็คือ

ถ้าใครเข้ามาหาเรื่องกับผม ก็จัดการได้ไม่ต้องยั้งมือ คุณหญิงราตรี สุทธิวรเวชจะรับผิดชอบเอง

ผมมองส่งพี่มินที่เดินตามพวกเขาไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะต้องหุบยิ้มลงเมื่อถูกบดบังสายตาจากร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่ชื่อดินแดน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ผมจำเป็นต้องถาม เพราะไม่ต้องการให้เขามาแสดงท่าทีอะไรมากมายให้เป็นที่สนใจ ที่จริงเขาควรเดินเข้าไปพร้อมๆ กับคุณอาสมภพและพี่ชายของผมไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยังอยู่อีกล่ะ?

“หมอนั่น…เป็นอะไรกับนาย” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ มองความไม่พอใจในแววตาของเขาอย่างเฉยชา ผมเลิกคิ้วขึ้นกวนอารมณ์ของเขาด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ดิ้นตามกลับเอาแต่มองกดดันและคาดคั้นคำตอบจากปากของผม พี่นารถที่มองสลับไปมาระหว่างผมและดินแดนกลับเป็นคนที่เปิดปากตอบคำถามนั้นเสียเอง

“คุณมินเป็น…”

ยังไม่ทันที่คำตอบจะหลุดออกจากปากของพี่นารถ เสียงเรียกจากคุณอาสมภพก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ดินแดนทั้งลังเลและลำบากใจ ราวกับว่าเขาไม่อยากจะเดินออกไปจากตรงนี้แม้แต่วินาทีเดียว ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เดินไปตามเสียงของคุณอาอยู่ดี ผมอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เมื่อดินแดนจากไป มันรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นและผ่อนคลายขึ้นมามากจนผมต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ผมมองหาที่ว่างเพื่อจะนั่งรอพี่มินจึงเดินเข้าไปที่จุดพักผ่อนและนั่งลงบนโซฟาตัวสวยโดยมีพี่นารถนั่งลงไม่ไกลจากผมนัก

ผมได้รับการอำนวยความสะดวกมากขึ้น ทั้งน้ำและของว่างถูกเสิร์ฟมาไม่ขาดสาย แต่ทุกอย่างมีแต่ของโปรดของผมทั้งนั้นมันจึงทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้ พี่มินใส่ใจขนาดแจ้งกับพนักงานโรงแรมให้จัดมาให้ผมแบบนี้ สงสัยต้องหารางวัลพี่ชายดีเด่นให้เสียหน่อยแล้วสิ

คิดไปผมก็ขำไป แต่อย่างคนว่าไว้ ความสุขมันอยู่ไม่นานนัก

ซ่า!

ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองที่เปียกโชกไปทั้งตัว เงยหน้าขึ้นมองตัวการที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสภาพนี้อย่างไม่ชอบใจมากๆ พี่นารถที่ตกอกตกใจก็รีบมาดูผม หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอด้วยความห่วงใย

ใบบัว เธอมันไม่เคยหยุดเลยสินะ!

“ทำบ้าอะไรของคุณ! คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือ? ภัทราแกรนด์จ้างคนวิกลจริตมาทำงานที่นี่ช่างดีเหลือเกินนะคะ!” เสียงพี่นารถดังขึ้นเมื่อเก็บความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ เธอยืนขึ้นชี้หน้าด่าใบบัวอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ แต่ตัวใบบัวเองก็ไม่ได้เกรงกลัวเช่นกัน เธอยังคงเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือดีและหยิ่งผยอง เหยียดสายตามองผมราวกับขยะเน่าเหม็นที่กองอยู่บนพื้น

“ทำไมยะ? ฉันก็แค่สาดน้ำใส่ตัวน่ารังเกียจที่ตามเกาะติดแฟนชาวบ้านอย่างหน้าไม่อาย ทั้งๆ ที่เขาไม่เอานี่มันผิดตรงไหนไม่ทราบ” พี่นารถโมโหจนตาลุกวาว น้ำเสียงของใบบัวมันเต็มไปด้วยความดูหมิ่นและเหยียดหยามอย่างที่ไม่เคยมีใครใช้มันกับผมมาก่อน

อ๋อใช่! ยกเว้นดินแดน

“คราวนี้พาใครมาคะ วันก่อนถูกแดนไล่ตะเพิดออกไปไม่เข็ดอีกหรือ? วันนี้ถึงได้หน้าด้านพาคนอื่นเข้ามาที่นี่ด้วย หรือมาเร่ขายเพราะไม่มีใครเอาแล้วล่ะ?”

เพียะ!

เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าของใบบัวดังก้องไปทั้งล็อบบี้ ผมไม่ได้สั่งให้พี่นารถตบเธอเพราะมันคงไม่ดีถ้าหากพนักงานทะเลาะวิวาท แต่ผมไม่ใช่…ผมคือใครที่มีอำนาจเหนือกว่าที่คนอย่างใบบัวจะมาดูหมิ่นเหยียดหยามแบบนี้ได้ ทันทีที่ถูกผมตบ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างคิดไม่ถึง แน่ล่ะ…ผมไม่ได้อยากตบเธอเสียหน่อย แค่อยากจะช่วยเคาะเอาความคิดหมาๆ ออกไปจากหัวของเธอบ้างก็เท่านั้น

“กะ กรี๊ดดด!! แก! แกกล้าตบฉันหรือ!!” ผมยิ้มเยาะใช้มือข้างที่ตบเธอเช็ดกับผ้าเช็ดหน้าของพี่นารถด้วยความรังเกียจ

“พี่นารถครับ ผ้าผืนนี้ทิ้งเถอะครับ ไว้ผมจะให้คุณแม่หามาคืนให้ใหม่ ติดเสนียดจนสกปรกแบบนี้แล้ว คงใช้ต่อไม่ได้ต้องทิ้งอย่างเดียว” ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษ เป็นเพียงแค่ผู้ชายที่ไม่ยอมถูกดูถูกและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีโดยคนที่ไม่มีค่าแม้แต่จะเป็นฝุ่นที่ลอยมาติดรองเท้าของผมด้วยซ้ำ









..........50%..........







ตบไปแล้วค่าาาาาา ตบไปแล้วววว สะใจอีแม่มาก พี่นารถคือสุดยอดแล้วค่ะ แต่จริงๆน่าจะซ้ำอีกสักหลายๆทีนะคะ เอาให้หน้าแหกกันไปเลยจะได้ไม่มาแว้ดๆใส่น้องอีก เบื่อเสียงนาง! ผู้ชายเขาไม่เอายังมาร้องหาอยู่ได้ ชิ!

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-04-2020 18:08:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:   ตบๆอีกเลยจ้า แค่นี้มันน้อยไป
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 16-04-2020 22:49:34
เอาให้หน้าแหกไปเลยค่ะ ทั้งผู้ชายใจโลเล  และผู้หญิงหน้าไม่อาย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 16-04-2020 23:08:32
ตบมันยังไม่สาสมใจอีช้อย ต้องขยี้
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-04-2020 23:39:13
แปะไว้ก่อน
เจอแล้วแนวดราม่า
ชอบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 17-04-2020 00:04:40
ทำได้ดี อ่านมาทุกตอน รู้สึกชอบตอนนี้สุด
แต่คิดใว้แล้วและว่าเรื่องต้องเป็นยังงี๊ เลยยิ่งถูกใจเลย 555
ปล.ตอนนี้สั้นมากมาต่อเร็วๆน้า อยากเห็นคนหน้าแตก
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 50% Up [16/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-04-2020 01:40:56
เมื่อรู้ว่าจริงๆ แล้วคนใหม่ไม่ดี
ก็จะหวนกลับมาหาคนเก่าที่ทิ้งไป
ทั้งๆที่ ก่อนจะทิ้งก็เคยบอกว่าเค้าไม่ดี
โฮะ..โฮะ เมิงเป็นพระเอกของเรื่องนี้ จริงอ่ะ.จริงๆหราาาาา ไอ่แดน
ผู้ชวยเฮงซวยห่วยแตกมาก โคตรจะเฮี่ยเลย

ไอ่กาดอ เลี่ยมทอง ดอกทองมาก
นั่นน่ะปาก หรือดากหมา ไอ่ห่าเอ๋ย
คนอย่างเมิง ชั่วช้า สันดานเคย
ไอ่ฆวยเอ้ย ชาติหมา หน้าไม่อาย

กลอนนี้แต่งให้ไอ่แดน..คนเดียวเล้ยยยย
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 17-04-2020 18:39:42
[15] 100%


“แก!! ใครก็ได้มาลากตัวมันออกไปสิ! เอาตัวสองคนนี้ออกไปจากภัทราแกรนด์เสีย! อยากโดนไล่ออกกันหรือยังไง!” ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ เหลือเกิน นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงมีอำนาจสั่งการให้มาลากตัวผมออกไปจากที่นี่ได้ ผมมองเห็นความสับสนในแววตาของเหล่าพนักงาน ผมจึงยกมือขึ้นมากอดอกแล้วมองเธอด้วยแววตาท้าทาย

เอาสิ ถ้าคิดว่าทำได้ก็มาลากผมออกไปได้เลย

“ใครกล้าก็เข้ามาได้เลยครับ ผมจะยืนรอเฉยๆ ให้ลากแต่โดยดี ไม่ตอบโต้แน่นอน”

ใช่…ไม่ตอบโต้แน่ๆ แต่ถ้าพี่ชายของผมออกมาก็เตรียมตัวได้เลยนะครับ เพราะมันไม่จบแค่คำขอโทษแน่นอน

“ว่าไงครับ จะมาพาผมออกไปไหม” ใบบัวหันมองรอบด้านเมื่อทุกคนยังมีสีหน้าลังเลไม่ยอมเข้ามา เธอก็ยิ่งโมโหจนกรีดร้องเสียงดังลั่นไปหมด

“มาลากมันไปสิยะ! หรือจะรอให้ดินแดนมาไล่พวกแกออก!!” เมื่อได้ยินคำว่าไล่ออกบางคนก็เดินตรงมาหาผมโดยไม่สนใจอะไรอีก สีหน้าของใบบัวปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา เธอกวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความดูหมิ่น

“ใครกล้า!”

พี่นารถเดินมาขวางด้านหน้าของผม บดบังไม่ยอมให้พวกเขาได้แตะต้องผมแม้แต่ปลายก้อย แต่ผมดึงพี่นารถออกแล้วก้าวออกไปหาพวกเขาแต่โดยดี ไม่คิดอิดออดใดๆ ให้เสียเวลา

“ไม่เป็นไรครับพี่นารถ ในเมื่อเขาอยากไล่ผมออกไปก็ให้เขาทำเถอะครับ” ผมยืนรอให้ชายสามคนเดินเข้ามาใกล้ๆ พวกเขาเอื้อมมือออกมาหมายจะหิ้วตัวผมออกไปด้านนอก แต่เสียงที่ก้องกังวานและทรงพลังกลับมาหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดลงเสียก่อน

“ทำอะไรกัน!! ”

“ดะ แดน แดนคะ ฮึก ช่วยบัวด้วยค่ะ คุณไมน์เขาตบบัว หาว่าบัว แย่งแดนไปจากเขา ฮือๆ” ผมมองน้ำตาที่ไปไหลออกมาราวกับสั่งได้ของเธออย่างทึ่งในความสามารถ เธอควรจะไปเป็นนักแสดงนะครับ ตีบทแตกเก่งเหลือเกินจนผมยังต้องยกนิ้วให้

ดินแดนไม่ได้พูดอะไร สายตาคู่คมดุดันมองพนักงานทั้งสามอย่างไม่พอใจนัก แต่ไม่แม้แต่จะมองใบบัวเลยด้วยซ้ำแม้แต่หางตา ดินแดนจับเส้นผมของผมอย่างเบามือ สัมผัสความเปียกชื้นก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าตัวเองออกมาเช็กให้ผม แต่ผมจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะทันได้สัมผัสเส้นผม

“ทำอะไรครับ?” ดินแดนมองผมอย่างอ่อนโยน สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีจนมากล้น

“จะเช็ดผมให้ อยู่นิ่งๆ สิครับ” น้ำเสียงที่ตอบกลับผมมันอ่อนหวานจนใจสั่น แต่เพียงแค่เห็นเขาและเธอยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกัน อาการใจสั่นก็หายไปอย่างรวดเร็ว มันถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดเหมือนวันเก่าๆ

“อย่าดีกว่าครับ เดี๋ยวมันจะเปื้อนผ้าเช็ดหน้าของคุณเปล่าๆ” พี่มินหายไปไหนนะ ทำไมดินแดนถึงเป็นคนที่ออกมา ไม่ใช่พี่มินกัน ผมไม่ได้อยากได้ความช่วยเหลือจากดินแดน ผมอยากหาพี่มินมากกว่า

“มองหาใคร ทำไมต้องมองขนาดนั้น?” ดินแดนกระชากเสียงถามผมด้วยอารมณ์ ที่หงุดหงิด สายตาจับจ้องและคาดคั้นอย่างต้องการคำตอบในคำถามที่ถูกเอ่ยถามออกมา ผมไม่สนใจเขา ยังคงมองหาหวังว่าพี่ชายของผมจะออกมาแล้วหยุดความน่าอึดอัดที่ผมกำลังเผชิญอยู่

“แดนคะ แดนดูสิ ฮือๆ แก้มของบัวเจ็บไปหมดแล้ว” ผมปรายตามิงร่างบอบบางของใบบัวที่มือหนึ่งกุมแก้มข้างที่โดนผมตบของตัวเองเอาไว้ อีกมือก็เกาะแขนดินแดนแน่นซบหน้าลงกับแขนของแดนอย่างน่าสงสาร

ผมก็คงสงสาร หากว่าก่อนนี้ไม่ได้เห็นตัวจริงของเธอ

“ใบบัว ปล่อยผม!”

“ไม่ค่ะ แดนดูสิ เห็นแก้มบัวไหม คุณไมน์ทำร้ายบัวนะ” ละครแสนเศร้าที่ถูกแสดงด้วยผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอก กับผู้ชายที่ไร้ความซื่อสัตย์ไม่เห็นจะน่าดูสักนิด ผมขยับร่างหวังจะเดินออกไปจากตัวโรงแรม ถึงด้านนอกจะร้อนเพราะแดด ก็ยังดีกว่าที่ผมต้องทนหายใจร่วมกับเธอคนนี้

น่ารังเกียจ น่ารังเกียจจนผมอยากจะอ้วก!

“ไมน์ ไมน์คุณจะไปไหน” แขนของผมถูกฉุดรั้งให้หยุดเดิน ผมหันกลับมองเขาอย่างเฉยชา ดึงแขนของตัวเองออกอย่างแรง

“ข้างนอกครับ ในเมื่อภัทราแกรนด์ไม่ต้อนรับผม ผมเองก็คงไม่หน้าด้านอยู่ต่อดีกว่าครับ ขอบคุณมาก” แต่ไม่ทันที่ขาของผมจะขยับได้ถึงสองก้าว ดินแดนก็เอื้อมมือจับมือผมเอาไว้ แล้วหันไปมองคนรอบกายด้วยสายตาที่คมกริบจนทุกคนต่างก็สะดุ้งและก้มหน้าลงหลบสายตา

“ใครไม่ต้อนรับแขกของผม! พวกคุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้กล้าไล่แขกของโรงแรมเราออกไปแบบนี้!!” ทุกคนตัวสั่น แม้แต่ใบบัวก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกขวัญและกำลังใจของตัวเองกลับมาได้

“พะ พวกผมไม่ได้ตั้งใจครับคุณดินแดน คุณใบบัวเธอสั่ง…” พนักงานคนหนึ่งที่เดินมาจะลากผมออกไปตามคำสั่งของเธอคนนั้นพยายามอธิบาย แต่เมื่อได้สบตากับดินแดนก็พลันนิ่งเงียบ ก้มใบหน้าลงไปอย่างเก่า

ผมยืนรอชมฉากที่จะดำเนินต่อจากนั้นอย่างตั้งใจ อยากจะรู้เหมือนกันว่าดินแดนจะทำยังไงกับผม จะเลือกโยนผมออกไปตามที่คนรักของเขาต้องการหรือคิดจะปกป้องผมกันแน่ ผมไม่ได้ถือดีเป็นตัวเลือกที่สำคัญอะไร ผมเพียงแค่ถือตัวเพราะผมก็ไม่ใช่ใครที่เขาคิดจะไล่ผมก็ไล่ออกไปได้เสียเมื่อไร ผมเองก็ถือว่าเป็นสุทธิวรเวชคนหนึ่งเหมือนกัน มีสิทธิ์ในทุกการตัดสินใจในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว

ถ้าผมไม่ยอมร่วมลงทุน…ใครจะค้านผมได้ล่ะ?

“เกิดอะไรขึ้น ไมน์! เป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไร?” พี่มินที่เห็นผมตกอยู่ในการจับกุมของเขาก็รีบวิ่งมาทางผมโดยไม่สนใจเลยว่าจะเสียภาพลักษณ์ของผู้ชายที่สาวๆ ใฝ่ฝันหรือเปล่า ใบหน้าของพี่มินดำทะมึน กวาดสายตาไปจนทั่วอย่างไม่พอใจ คุณอาสมภพเองก็รีบเดินเข้ามาใกล้ มองเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าด้วยแววตาเย็นยะเยือก

“คุณนารถ เกิดอะไรขึ้นกับไมน์?” พี่นารถสบตากับพี่มินพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ออกมาอย่างฉะฉาน ไร้ความหวาดกลัวหรือกังวลใดๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเธอสาดน้ำใส่คุณไมน์ค่ะ เธอใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าคุณไมน์ด้วยค่ะ บอกว่าคุณไมน์มาเร่ขายเพราะไม่มีใครเอา คุณไมน์เธอก็เลยตบหน้าสั่งสอนไปหนึ่งครั้งโทษฐานที่ปากดีไม่ดูตาม้าตาเรือ” พี่นารถเน้นย้ำทุกใจความสำคัญจนพี่มินที่ได้ฟังตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ ขบกรามแน่าจนขึ้นเป็นสันแผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

“พอถูกคุณไมน์ตบเธอก็ร้องกรี๊ดๆ เหมือนตัวอะไรสักอย่างที่ใกล้จะขาดใจตาย ชี้นิ้วสั่งพนักงานให้มาลากคุณไมน์ออกไปด้านนอก บอกว่าถ้าไม่ลากคุณไมน์ออกไป คุณดินแดนจะไล่พวกเขาออก”

“ปะ เปล่านะคะแดน พะ พวกมันใส่ร้ายบัว มันไม่จริงเลยนะคะ” ใบบัวที่ถูกจับจ้องจากทุกสายตาทั้งคุณอาสมภพและดินแดนตัวสั่น รีบละล่ำละลักแก้ตัวออกมา บีบเค้นน้ำตาออกมาเรียกความสงสาร แต่ผมไม่สนใจจะดูมันอีกแล้วล่ะ ในเมื่อพี่ชายของผมออกมาแล้วนั่นย่อมหมายความว่าการเจรจาทุกอย่างจบลงแล้ว

“พี่มิน ไมน์อยากกลับแล้วครับ มันหนาว” ล็อบบี้โรงแรมนี้แอร์ก็เย็นเหลือเกิน คนที่ใส่เสื้อยืดสีขาวบางๆ แถมโดนน้ำสาดจนเปียกแบบผมเลยต้องยืนกอดตัวเองที่สั่นเอาไว้ พี่ชายที่นึกขึ้นได้ก็ถอดเสื้อสูทตัวนอกออก แต่ยังไม่ทันจะหลุดออกจากร่างกาย ตัวของผมก็ถูกเสื้อของใครอีกคนมาคลุมเอาไว้เสียก่อน

พรึบ!

“คลุมเอาไว้ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” ผมเม้มริมฝีปาก ไม่อยากรับความช่วยเหลือ แต่ร่างกายของผมกลับยิ่งสั่นกับความร้อนที่ติดอยู่ในเนื้อผ้า แผ่กระจายความร้อนเข้ามาในร่างกายของผมจนมันเรียกร้องหาเจ้าของ หัวใจที่เคยนิ่งสงบเต้นระรัวจนผมยังหวาดกลัวว่าเขาจะได้ยิน

ไม่ควร…ไม่ควรเลยสักนิด มันไม่ควรจะเต้นแรงขนาดนี้สิ

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เสื้อของผมก็มี ไมน์น่ะ…ผมดูแลเองได้ อย่าลำบากเลยครับ เอาเวลาไปดูแลคนของคุณเถอะ!”

ผมหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อซ่อนความอ่อนไหวในแววตา ก่อนจะลืมตาขึ้นมาด้วยแววตาที่เฉยชา…ทั้งที่หัวใจของผม กำลังหลุดลอยออกไปหาเขาอย่างช้าๆ ถูกเขายึดพื้นที่ในหัวใจคืนไปได้เพียงแค่ความใจดีเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ

ผมมันอ่อนแอ ไม่เคยเข้มแข็งพอจะลืมเขาได้

“ขอบคุณมากครับ แต่ผมใช้ของพี่มินดีกว่า คุณเก็บเอาไว้เถอะครับ ขอบคุณสำหรับความหวังดี” ที่มาช้าไป ผมมองสบตากับเขาด้วยความรู้สึกที่ชัดเจน ถ่ายทอดความรู้สึกที่ว่า มันสายไปให้กับเขาโดยไม่หลบสายตา เสื้อสูทตัวสีดำที่ผมเคยสวมให้เขามาเสมอ ผมยื่นมันคืนไปให้เขาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว มองเขาที่ยื่นมือมารับอย่างช้าๆ มองเห็นความทรมานและเจ็บปวดในสายตาของเขาได้ชัดเจน

“ไปกันเถอะไมน์ ผมลานะครับคุณอา สวัสดีครับ” เสื้อสูทสีน้ำเงินสวมทับที่ร่างกายผมแทนที่ความร้อนจากร่างกายของดินแดนด้วยความร้อนและอบอุ่นจากพี่ชายของผม มันอุ่นร่างกายก็จริง แต่มันกลับหนาวเย็นเหลือเกินในหัวใจของผม

“โอเคหลานชาย เรื่องวันนี้อาต้องขอโทษด้วย หวังว่าหลานจะมางานเลี้ยงเย็นนี้ด้วยนะ”

“ได้ครับ แล้วพบกันที่งานเลี้ยงนะครับคุณอา ผมลาล่ะครับ”

“สวัสดีครับ”

ผมยกมือขึ้นไหว้คุณอาสมภพเมื่อถึงเวลาต้องกลับเสียที คุณอาเองก็ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ยกมือรับไหว้ตามปกติ ผมว่าคุณอาสมภพใจดีนะครับ ดูจากแววตาคู่นั้นแล้วคงจะชื่นชมพี่มินของผมไม่น้อยเลย

“ทำไมต้องไปโอ๋มันขนาดนั้นด้วยละคะแดน! มันก็แค่ผู้ชายง่ายๆ ต่ำๆ ที่กระโดดขึ้นเตียงใครก็ตามที่มีเงินเยอะหน่อย ดูสิคะ พอคุณทิ้งมัน มันก็ไปคว้าคุณมินวรุตม์แทบจะทันทีเลย!!” ผมและพี่มินพร้อมกับคุณอิงอรและพี่นารถหันหลังเดินจากมา เพียงแค่ก้าวเดินไปไม่เท่าไร เสียงดังที่มาจากใครบางคนก็ดังพอให้เราทั้งสี่คนหยุดชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปมอง สีหน้าพี่มินย่ำแย่มาก ผมว่าถ้าเธอยังไม่หยุดปาก พี่ชายผมคงได้พุ่งเข้าไปกัดเธอจนตายแน่ๆ

“ขอประทานโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ?” พี่นารถหันหลังกลับไปจ้องหน้าเธออย่างน่ากลัว แววตาเรียบเฉยทว่าเต็มไปด้วยความกดดันที่มากมาย ใบบัวเชิดใบหน้าขึ้นสูง มองเหยียดพี่นารถด้วยแววตาที่น่ารังเกียจ

“ฉันหรือ? ฉันคือเลขาส่วนตัวของคุณดินแดน และเป็นแฟนคนปัจจุบันด้วย จำเอาไว้ให้ดีล่ะ คนกระจอกๆ อย่างเธอคงไม่มีวันมาเทียบฉันได้หรอก!”

“คุณใบบัว!! ผมจำได้ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันนะครับนอกจากเจ้านายกับเลขา!” เสียงของดินแดนตอบกลับทันทีที่ได้ยินคำอ้างของใบบัว ใบหน้าของเขาตึงด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงที่พูดจึงขุ่นมัว พี่นารถแสยะยิ้ม กวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าของใบบัวอย่างเหยียดหยาม

“แหม…จะอ้างอะไรสักอย่างก็ปรึกษาคนที่คุณลากมาเกี่ยวข้องบ้างนะคะ หรือหน้าด้านมากจนไม่รู้สึกอายอะไรเลย อ๋อ…เป็นแบบนี้นี่เอง ถึงว่าสิคะ ตอนคุณไมน์ตบไป แทนที่หน้าคุณจะแดงแต่กลายเป็นมือคุณไมน์เสียอีกที่แดง ที่แท้ก็หน้าด้านมากนี่เอง”

“นี่แก!!”

“อีกเรื่องนะคะคุณใบบัว ก่อนจะด่าใครว่าต่ำ โปรดเช็กด้วยว่าเขาเป็นใคร ไม่ใช่กล่าวหาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ!”

“ทำไมยะ! ก็แค่ผู้ชายที่เกาะดินแดนกิน ทำไมฉันจะด่ามันว่าง่าย ว่าต่ำไม่ได้ มันวิเศษมาจากไหนกัน!!” พี่นารถยกยิ้มเย็นส่งไปให้ใบบัว ในขณะที่พี่มินกอดไหล่ผมเอาไว้และผมก็เพียงแค่ยืนมองความวุ่นวายตรงหน้าที่กำลังจะสนุกยิ่งขึ้น

“นี่คือคุณไมรวี สุทธิวรเวช หรือก็คือลูกชายคนเล็กของเจ้าสัววรรักษ์และคุณหญิงราตรี ทีนี้…รู้หรือยังคะว่าใครกันแน่ ที่มันต่ำ! ”

อา ในที่สุดก็มีคนตกใจกับเรื่องนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่แค่ใบบัวหรือพนักงาน ดูเหมือนดินแดนเองก็อึ้งไม่น้อย แน่ล่ะ ก็ผมคนนี้ก่อนหน้าที่จะเลิกกันเขายังเป็นแค่ไมรวีเจ้าของร้านอาหารแสนสุขเล็กๆ เท่านั้นเองนี่นา ไม่ใช่คนสำคัญที่เป็นลูกชายคนเล็กของโรงแรมอันดับสองของประเทศ

คราวนี้ ผู้หญิงคนนั้นคงเจียมตัวบ้าง จะได้ไม่เผยอขึ้นมาเทียบกับผมให้ระคายสายตา!






เชิดหน้าเลยจ้าลูก เชิดหน้าใส่เลยค่าาาา วันนี้ลูกชายแมวเจิดจรัสมากกกก เป็นปลื้มมมมม

ปล. เสาร์ อาทิตย์ไม่อัพนะจ๊ะ รอเจอกันวันจันทร์จ้าาา


เป็นเจ้าของ 
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-04-2020 19:12:49
เอาอีกๆ ยังไม่ซะใจเลย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 17-04-2020 19:33:03
ฟาดอีก ฟาดเข้าไป ฟาดให้ตายไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 17-04-2020 20:26:55
ติดตามนะคะ ฟาดไปค่่่ะ แต่ก็อยากให้ดีกันเร็วๆๆ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-04-2020 21:52:47
นี่หรือคือความพยายาม
มาของ้อให้คืนดีแล้วเหรอ
จริงง่ะ หึหึ

ทั้งๆที่ยังเห็นทนโท่อยู่เต็มสองลูกตาว่า เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ทุกวี่วัน
อ้อ..เป็นแค่เพียงเจ้านายกับเลขา เท่านั้นตามที่บอก ฮ่าฮ่า เชื่อ..เชื่อแล้วจ้า(ควายยยยยไม่ปนอื่นเลย)

ถ้าไมน์ใจอ่อนนะ..เหลวไหลสิ้นดี
จะเป็นนายเอกทั้งที ดีแต่ต้องไม่โง่นะ
------------------------------------------

กรูอยากขำ คะมำหัว ให้หัวร่อ
คนอะไร ควายยังขอ คำนับหัว
ปากบอกว่า รู้ตัวแล้ว แค่ลืมตัว
หลงเมามัว คนยั่วกาม ทำตามใจ

อยากกลับตัว มัวรอ อะไรอยู่
ยังคบค้า ใกล้กับชู้ อยู่จริงไหม
แล้วมีหน้า มาออดอ้อน ขอกลับไป
ไอ่จัญไร รีบไปหา หมีห้อยคอ

ไม่อภัยอ่ะ..ไม่มีสำนึกเลย
ใครยอมวะ..ก็ยังมีชู้เป็นเลขาเมิงอยู่ดี
เฮี่ยยยยยยยยยยย

+1 ให้จ้า..หนุกมาก อ่านแล้วถูกใจ
ขอจุ้บคนแต่ง อิอิ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 17-04-2020 22:10:40
หน้าหมานไปเลย ถ้าไม่ไล่ออกนี้แปลกมากเลยนะ อิใบบัวเนี้ย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [15] คนคุ้นเคย 100% Up [17/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 18-04-2020 21:20:26
ชูคอสูงๆเลยลูก จัดหนักเลย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 50% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 20-04-2020 18:08:30
[16] 50%

ความพยายามของดินแดน

เสื้อผ้าที่ดูหรูหราของผู้คนในงานมันชวนให้ผมรู้สึกไม่ต่างจากสี่ปีก่อน งานเลี้ยงหรูหรา การพบปะพูดคุยกันของคนที่มีหน้ามีตาที่ทุกคนต่างก็สวมหน้ากากเข้าหากัน เสียงเพลงคลอเบาๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะจากใครหลายๆ คนไม่ไกลไปจากจุดที่ผมยืน

ผมแกว่งน้ำสีฟ้าในมือเล่นอย่างเบื่อหน่าย ใช้สายตาโฟกัสไปที่การกระเพื่อมของน้ำสีสวยในมือเสียมากกว่ารอบข้าง บรรยากาศอันคุ้นเคยที่ผมมักเจอมาตลอดเวลาที่คุณพ่อคุณแม่หรือพี่มินต้องออกงานสังคม ผมก็มักจะถูกติดสอยห้อยตามมาด้วยเสมอ ลูกชายลูกสาวของเหล่าสังคมไฮโซ ผมพบเจอมาจนแทบจะเอียนด้วยซ้ำ มีออกจะหลายครั้งที่ผมถูกคุณแม่พาไปพบ แนะนำให้ได้รู้จักกับลูกสาวเพื่อนๆ ของท่าน เพียงแต่ผมที่ยังไม่พบกับดินแดน ยังไม่มีใครครอบครองหัวใจนั้น แน่นอนว่าต้องลองเดทกับพวกเธอเป็นธรรมดา

น่าเสียดายที่ไม่มีใครสักคนที่สามารถสั่นคลอนหัวใจของผมได้

เพราะงั้นเมื่อผมได้พบกับดินแดน ผมจึงตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดาย เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้หัวใจของผมเต้นต่างไปจากจังหวะเดิมๆ

บ้าจริง ผมเผลอคิดถึงมันอีกแล้ว!

ผมยกค็อกเทลสีฟ้าขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว ดับอารมณ์ที่ตกค้างและไม่น่าคิดถึงนั้นไปจากหัวใจและสมอง ผู้ชายคนนั้นแม้จะไม่ได้โกหกผมเรื่องที่เลิกกับเธอคนนั้นแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเลือกเธอไม่ใช่ผม ความรักที่ผ่านๆ มาของเรา ไม่สิ ต้องบอกว่าของผมมันสู้เธอคนนั้นที่มาทีหลังไม่ได้ แล้วจะให้ผมเชื่องั้นหรือว่าเขาเลิกกับเธอเพราะรักผม? ทั้งที่ในวันสุดท้าย…เขายังเลือกเธอก่อนผม

ผมยังไม่ใช่คนแรกของเขา ไม่ใช่คนที่เขาจะเลือกเสมอ

“ไมน์…เบื่อหรือเปล่า” ผมยิ้ม อยากจะบอกออกไปอยู่หรอกครับว่าเบื่อ แต่ความเบื่อของผมคงสร้างปัญหาแน่ถ้าเกิดพี่มินรู้มันเข้า เขาคงเลือกจะพาผมออกไปจากตรงนี้แน่นอน ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าต้องเกรงใจผู้ใหญ่คนไหนบ้าง

“ไม่ครับ มันก็สนุกดี” ผมวางแก้วเปล่าลงแล้วหยิบแก้วใหม่จากบริกรที่เดินผ่านมาถือเอาไว้ คราวนี้ผมไม่ยกดื่มรวดเดียวหมด เพียงแค่จิบมันช้าๆ เท่านั้น สีหน้าของพี่มินยังคงไม่ลดความห่วงใยลงไปแม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้นกว่าเก่าจนผมต้องเอ่ยปลอบใจ

“อย่าคิดมากเลยครับพี่ ตอนนี้ใครๆ ก็รู้แล้วว่าผมเป็นใคร เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่องผมอีกแน่”

พี่นารถเล่นประกาศความยิ่งใหญ่ของผมเสียดังลั่นภัทราแกรนด์ขนาดนั้น ไม่มีใครรู้สิแปลก ขนาดดินแดนที่ได้รู้ยังอึ้งจนไม่ขยับเขยื้อน ผมไม่ได้โกหกเขา แต่เป็นเขาต่างหากที่นิดมันไปเอง ใครบอกกันล่ะว่าเป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมอันดับสองของประเทศและธุรกิจอื่นๆ ในเครือจะต้องเข้าไปควบคุมดูแลทุกอย่าง ใครๆ ก็เอาแต่บอกให้ผมเที่ยวเล่นให้สนุก ให้ผมใช้ชีวิตให้เต็มที่ แม้แต่พี่มินเองยังรับงานหนักทั้งหมดไปไว้ที่ตัวเองคนเดียว

ถึงแม้ว่าในวันที่ผมจะก้าวออกจากบ้านมาแล้วคุณแม่จัดการเรื่องร้านอาหารให้ผมได้มีเอาไว้เป็นแหล่งรายได้เพราะผมปฏิเสธเงินจากที่บ้านก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยบอกนี่ว่าผมเป็นแค่นั้น ผมไม่เคยปิดบังตัวตน

แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ไม่เคยเห็นผมมีตัวตน บัตรประชาชนมันก็ลงนามสกุลเอาไว้เด่นชัดขนาดนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมัน แต่แล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร แล้งผมผิดหรือที่เขาไม่รู้เอง

“พี่มิน…พี่ไม่มีแฟนเลยหรือครับ?” ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าผม แต่กลับยังโสด ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่กลับไม่มีคนรักมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน พี่มืนเพียงแค่ยกไวน์ในแก้วขึ้นมาจิบพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ถูกบดบังเอาไว้ เมื่อไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ผมถามออกไปผมก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้อีก นิสัยพี่มินต่อให้บีบและเค้นคอถามให้ตายยังไง ถ้าไม่อยากคายมันออกมามันก็เท่านั้น เสียเวลาเปล่า

เอาเถอะ พี่มินเองก็โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอจะตัดสินใจเลือกเองได้ คงไม่คว้าผู้หญิงเหมือนใบบัวคนนั้นมาหรอก

“พี่มิน…”

“หื้ม?”

“ไม่เอาพี่สะใภ้แบบผู้หญิงคนนั้นนะครับ” ผมพยักหน้าไปทางด้านซ้ายของพี่มินที่ผู้หญิงที่ชื่อใบบัวยืนอยู่ เธอกำลังพยายามยกตัวเองขึ้นมาให้เข้าสู่สังคมชั้นสูง พยายามคบค้าสมาคมกับพวกลูกคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย พี่มินมองตามไปทางต้นทางที่ผมบอก แววตาของพี่ชายผมก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นเฉียบ คมกริบจนแทบจะบาดร่างของเธอให้กลายเป็นเศษเนื้อ

“ไม่มีทาง ผู้หญิงที่มีดีแค่หน้าแต่ไร้สมองแบบนั้น พี่ไม่มีทางตาต่ำไปคว้ามา”

อา พูดแบบนี้ก็น่าสงสารดินแดนแย่ เพราะดันตาต่ำไปคว้ามากินแถมยังยกสถานะให้เสียด้วยสิ

ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กลั้วหัวเราะในลำคอแล้วยกค็อกเทลสีฟ้าขึ้นมาดื่มต่อ จะว่าไปใบบัวเธอเองก็จัดว่าสวย ทรวดทรงองค์เอวดูแล้วน่ามองไม่หยอก หน้าอกที่ล้นทะลักออกมาจากชุดสีดำแหวกจนแทบจะเปิดเผยทุกสัดส่วนก็เรียกสายตาจากใครได้หลายคน ขาเรียวขาวที่โผล่พ้นออกมาจากรอยแยกของกระโปรงยิ่งชวนให้ผู้ชายหลายคนหลงใหล ไม่แปลกใจสักนิดที่ดินแดนจะชอบเธอ

“เราเถอะ อย่าไปใกล้หมอนั่นมากนักล่ะ อย่าลืมว่ามันทำให้เจ็บมาขนาดไหน” ผมมองตามสายตาของพี่มินไปก็พบว่าดินแดนกำลังมองมาทางผมและพี่มิน ทว่าแววตาที่เคยมีความไม่พอใจในตอนนี้เหลือเพียงคนที่ลุแก่โทษเท่านั้น เขายืนอยู่กับภูมิเพื่อนของเขาที่ผมรู้จักดี

ขนาดวันนี้เขาก็ยังหล่อเหลาสมกับที่ได้หัวใจของผมไป เพียงแค่ได้สบตากับเขาหัวใจของผมก็เริ่มทำงานหนักอีกแล้ว ไม่ว่าจะเจ็บปวดมามากมายแค่ไหนผมก็ไม่สามารถสั่งให้หัวใจเลิกรักเขาไปได้เลยจริงๆ ผมดึงสายตากลับมาเมื่อรู้ตัวว่าสบตากับอีกฝ่ายนานเกินไป ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าผมสนใจเขามาก ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่าปมรักเขาจนสามารถทนต่อความโหดร้ายที่เขามอบให้ได้อีก

“ผมไม่ลืมหรอกครับ”

จะไปลืมได้ยังไงกันเพราะทุกวันนี้แม้มันจะลดลง แต่ก็ใช่ว่าหัวใจของผมจะหายดีเสียเมื่อไหร่

“ไม่มีทางที่จะลืมแน่นอน” นั่นคือสิ่งที่ผมตอบพี่มินและเป็นการย้ำเตือนตัวเองไปด้วยเช่นกัน

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว เพราะพี่ดูสายตาของมันออก หมอนั่น…ไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆ หรอกนะไมน์ สำหรับพี่ พี่คิดว่าดินแดนอะไรนั่น…กำลังพยายามเอาน้องคืน” ผมหัวเราะเบาๆ เย้าแหย่พี่มินเล่นอย่างไม่จริงจังนัก แม้ว่าคำพูดของพี่มินจะทำให้หัวใจของผมจั๊กจี้ราวกับคาดหวังก็ตาม

“เอาคืนผมหรือเปล่าครับ พี่มินอาจจะใช้คำผิด” แล้วผมก็โดนเขกศีรษะเบาๆ เป็นการตอบแทนความยียวนของผม ไม่ได้แรงขนาดเจ็บมากมายอะไร เป็นความรู้สึกเหมือนถูกสะกิดเสียมากกว่าอีก แต่ปมก็ยังยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองเอาไว้ แกล้งร้องโอดครวญราวกับว่าเจ็บปวดมากมายเหลือเกิน

“โอ๊ย~ ผมเจ็บจังเลย จะบวมไหมนะ จะมีเลือดหรือเปล่า คุณแม่ต้องตกใจแน่ๆ เลย” พี่มินกลอกตาใส่ผม มือใหญ่ยกขึ้นเตรียมจะเขกหัวผมอีกครั้ง

“อีกสักทีดีไหม หื้ม!” ผมหัวเราะจนตัวงอ เราสองคนต่างก็เล่นกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ผมชอบที่เราได้คุยกันแบบนี้ บางทีผมก็รู้สึกว่าพี่มินเข้าใจผมมากที่สุด ถึงภายนอกจะไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย แต่ความหวงน้องของพี่มินไม่ได้มีน้อยๆ นะครับ แต่มันเพิ่งจะออกมาก็ตอนที่ผมเจ็บปวดจากความรักของดินแดน และอาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวดครั้งนั้นที่ทำให้พี่มินต้องคอยจับตามองและดูแลผมยิ่งขึ้นก็ได้

ผมเผลอหันไปสบตากับดินแดนเข้าอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้เก็บรอยยิ้มออกไปจากหน้า เมื่อรู้สึกตัวผมจึงรีบหุบยิ้มลง ทันที ดินแดนขยับเท้าเข้ามาหาผมเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณแม่กำลังเรียกผมพอดี

“ผมไปหาคุณแม่ก่อนนะครับ”

ผมเลือกจะเดินหนีไปหาคุณแม่แทนที่จะอยู่รอให้ดินแดนเดินเข้ามาหาผม ผมยังไม่พร้อม ไม่อยากคุยกับเขาในตอนนี้ ผมอาจจะขี้ขลาดก็ได้ ในใจเองก็หวั่นและกลัวว่าเขาจะโกรธ จะรับไม่ได้เมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้วผมเป็นใคร แต่อีกใจก็คิดว่าเราสองคนมันจบลงไปแล้ว เขาจะคิดอะไรยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผมอีกต่อไป ต่อให้นับจากนี้เขาจะเกลียดผมก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับผม

แต่สุดท้ายผมก็เดินหนีออกมา เพราะยังไม่สามารถเผชิญกับความจริงที่คิดว่าเขาอาจจะเกลียดผมได้ ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ระบายยิ้มออกมาบนใบหน้าพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาคุณแม่อย่างรวดเร็ว

“ว่าไงครับคนสวยของผม คิดถึงผมแล้วหรือครับถึงเรียกมาแบบนี้” ผมใช้แววตาพราวระยับหยอกเย้าคุณแม่จนถูกตีลงที่ท่อนแขนไม่แรงมากนัก แต่บรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายก็พากันอิจฉากันถ้วนหน้า

“เดี๋ยวเถอะ มารู้จักกับคุณหญิงสิตาสิคะลูก ส่วนนั่นคือหนูวุ้น ลูกสาวของคุณหญิงสิตาเพื่อนแม่เองค่ะ” ผมหันไปยิ้มให้กับคุณหญิงสิตากับน้องวุ้นด้วยความจริงใจพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่

“สวัสดีครับคุณน้า สวัสดีครับน้องวุ้น” คุณหญิงสิตายิ้มให้ผมอย่างเอ็นดูส่วนน้องวุ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหน้าแดงซ่าน บิดซ้ายขวาพอเป็นพิธีให้ไม่ดูน่าเกลียดมากนัก เรียกว่าเป็นความเขินอายที่ดูน่ารักน่ามองก็ได้

“สวัสดีจ้ะ แหมคุณพี่คะ ลูกชายหล่อขนาดนี้ไม่ใช่ว่าถูกจับจองหัวใจไปแล้วหรือคะนี่” จับจองหัวใจหรือครับ จะว่าไปหัวใจของผมมันก็ไม่ว่างจริงๆ นั่นล่ะ แต่ก็คงต้องรอดูว่าคุณแม่คนสวยของผมจะตอบไปว่ายังไง

“นี่ก็เพิ่งอกหักมานี่ละค่ะคุณน้อง พี่ก็หวังแต่ว่าลูกชายของพี่จะพบคนดีๆ ที่ช่วยเขารักษาแผลใจได้บ้าง พี่ล่ะสงสารลูกชายเหลือเกิน” ผมยิ้มอ่อนกับการเล่นใหญ่ของคุณหญิงราตรี เหลือบมองร่างของดินแดนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลได้ชัดเจน

ดินแดนกำมือแน่นกัดฟันกับประโยคที่ได้ยินจากคุณแม่ของผมด้วยความไม่พอใจและเสียใจ นัยน์ตาของดินแดนมันหลากหลายอารมณ์จนคาดเดาไม่ออก ผมรู้เพียงว่าตัวเองเผลอไผลไปกับการแสดงออกมาของเขา เผลอตัวคาดหวังความหวังที่ลมๆ แล้งๆ ไปกับเขาอีกครั้ง เผลอดึงดินแดนที่ควรเป็นเหมือนของต้องห้ามมาเป็นยารักษาหัวใจอีกครั้งเสียแล้ว ผมนี่มันไม่เข็ดไม่จำเลยจริงๆ ทั้งที่ถูกทำให้เจ็บปวดขนาดนั้นกลับยังจดจำได้แต่เพียงเขา







..........50%..........
[/b]







กำมือไปเถอะจ่ะ เธอก็ทำได้แค่นั้นแหละ กล้าก็เดินเข้าไปเส้!! เอาเด้ๆ กล้าเปล่าาาา โด่~

เป็นเจ้าของ 
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 50% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-04-2020 18:27:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 50% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 20-04-2020 18:32:17
บทหวานอย่าเพิ่งมานะ ยังทำใจไม่ได้
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 50% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-04-2020 18:35:52
ความรู้สึก ทิ่มแทง แสลงอยู่
ความหดหู่ เสียใจ ยังทับถม
ความเจ็บปวด ทบเท่า ร้าวระบม
ความรักจม คมบาด ยังปาดใจ

หายเจ็บได้แต่อย่าลืมนะว่าใครเป็นคนทำกับเราไว้
กอดให้กำลังใจ..ไมน์
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 50% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 20-04-2020 21:37:32
กำมือแน่นๆนะดินแดน เพราะจะต้องกำมืออีกนาน
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 100% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 21-04-2020 17:17:58
[16] 100%


“แหม…แบบนี้ก็แย่เลยสิคะ ใครกันคะที่ทำร้ายใจหนูไมน์ลูกชายคุณพี่ได้ลง”

“ก็…ใครก็ช่างเถอะค่ะ ถ้าเขาโง่ขนาดทิ้งขว้างลูกชายพี่แบบนั้น พี่ก็อวยพรให้เขาเจอคนดีๆ ที่เขาต้องการ ส่วนลูกชายสุดหล่อของพี่คนนี้…พี่ว่าคงหาใหม่ไม่ยากเย็นอะไร คุณน้องว่าจริงไหมคะ” รอยยิ้มของคุณแม่ของผมเป็นเหมือนกับดอกไม้เคลือบยาพิษดีๆ นี่เอง ทั้งจิกกัด ทั้งบอกทางอ้อมกับดินแดนว่าขอให้โชคดี ส่วนผมคุณแม่จะจัดการหาคนที่ดีกว่าให้เอง ผมว่าถ้าดินแดนคิดจะแย่งผมคืนอย่างที่พี่มินว่า คงกระอักเลือดจนแทบจะตายแล้วล่ะ

“จริงมี่สุดค่ะ น้องวุ้นหนูหิวแล้วใช่ไหมคะลูก”

“เอ๊ะ? อ๊ะ! ใช่ค่ะคุณแม่” คุณหญิงสิตาหันมาหาผม มอบรอยยิ้มอ่อนหวานให้อย่างเกรงอกเกรงใจ

“จะรบกวนไหมคะ ถ้าน้าจะฝากให้หนูไมน์ช่วยพายัยวุ้นลูกสาวน้าไปหาอะไรทานเสียหน่อย พอดีแกเพิ่งกลับมาจากอังกฤษเลยไม่ค่อยรู้จักใครเลย” ผมหันไปมองคุณแม่ที่พยักหน้าให้ผมเบาๆ ผมจึงได้แต่ต้องพาน้องไปเท่านั้น

“ไม่รบกวนเลยครับ น้องวุ้นเชิญทางนี้ได้เลยครับ พี่จะพาไปหาอะไรทานเอง”

“ค่ะพี่ไมน์”

ผมและน้องวุ้นพากันเดินออกห่างจากผู้ใหญ่ไปอีกทางที่เป็นจุดวางอาหารเอาไว้ วันนี้อาหารมากมายถูกเรียงรายให้ได้เลือกทาน ผมเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรมาเช่นเดียวกัน เมื่อได้กลิ่นได้มองหน้าตาที่น่าทานของพวกมันก็เริ่มหิวไม่ต่างจากน้องวุ้นเลยแม้แต่น้อย

น้องวุ้นหยิบจานมาสองใบ ส่งมาให้ผมใบหนึ่งอย่างมีน้ำใจ ผมรับมาแล้วส่งรอยยิ้มกับคำขอบคุณไปให้ หากว่ากันตามจริงน้องวุ้นก็น่ารักไปอีกแบบ ตัวเล็กผิวขาวอมชมพูขนาดผิวแก้มยังแดงปลั่งไปด้วยเลือดฝาด หากไม่ใช่ว่าผมมีดินแดนที่อยู่ในใจ ผมอาจจะขอน้องเดทก็ได้

น้องวุ้นมองอาหารตรงหน้าอย่างชั่งใจ ผมว่าเธอคงอยากจะทานมันทุกอย่างแต่ดูจากขนาดตัวของเธอ ผมว่าคงไม่สามารถทานได้หมดแน่ๆ

“น้องวุ้นอยากทานอะไรครับ?”

“วุ้นเลือกไม่ถูกเลยค่ะพี่ไมน์ มันน่ากินไปหมดทุกอย่างเลย” ผมส่ายหัวเบาๆ ได้แต่ยิ้มเอ็นดูวุ้นอย่างที่พี่ชายเห็นน้องสาวตัวน้อย วุ้นไม่มีจริตหรือการตบตาเล่นละครแบบสาวๆ สมัยนี้ น้องดูสดใสน่ารักคล้ายกับเด็ก มันเลยเป็นอารมณ์เหมือนผมเอ็นดูน้องเสียมากกว่า

“ถ้างั้นพี่ขออนุญาตเลือกให้นะครับ” น้องนิ่งไปครู่หนึ่งก็จะส่งยิ้มให้ผมอย่างช่วยไม่ได้

“แบบนั้นก็ได้ค่ะ เพราะถ้าให้วุ้นเลือกเองวันนี้ก็คงไม่ได้ทานแน่ๆ”

ผมหัวเราะไปกับน้องทำให้บรรยากาศรอบตัวคลายเครียดลงไปมาก ผมเลือกตักอาหารอ่อนๆ ให้น้องสองสามอย่างพร้อมกับผักเล็กๆ น้อยๆ เพราะดูจากสีหน้าแล้วเจ้าตัวคงจะไม่ค่อยชอบ แต่ผมที่มองวุ้นเป็นน้องก็อยากให้ทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ในจังหวะที่เลือกอาหารให้ตัวเองผมก็เหลือบไปเห็นภาพความสนิทสนมกันของดินแดนและใบบัว

ถึงแม้อีกฝ่ายจะออกปากอย่างขัดเจนว่าเลิกกันแล้วก็ตามที แต่หากว่ายังคงถึงเนื้อถึงตัวและยังคงแสดงความขัดเจนเท่าคำพูดไม่ได้ ผมว่าผมคงไม่สามารถปล่อยให้หัวใจเข้าไปเสี่ยงกับเขาได้อีก ผมกลัวว่าคนที่จะต้องเจ็บปวด จะกลายเป็นผมอีกครั้งหนึ่ง

“น้องวุ้นเลือกไปก่อนนะครับ ถ้าหากว่าพอแล้วก็เดินกลับไปหาคุณน้าสิตาก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่ขอไปหาอะไรดื่มสักครู่นะครับ” ผมแค่อยากเดินออกไปให้ห่างจากภาพที่ทำให้ผมเจ็บ

“ได้ค่ะ”

ผมหันหลังเดินออกมาจากจุดที่น้องวุ้นยืนอยู่ เดินเลี่ยงไปอีกด้านจนถึงจุดวางเครื่องดื่มทั้งหลาย ผมมองสีสันของน้ำที่อยู่ในแก้วอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มเพื่อดับความรู้สึก ผมกลืนไวน์ลงคอจนหมด หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาและหันไปมองภาพที่แสนบาดตาบาดใจอีกครั้งหนึ่ง

ผมคว้าอีกแก้วขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ มองเขายิ้มให้เธออย่างปวดร้าวในหัวใจ จะว่าไปเขาสองคนเวลายืนคู่กันก็ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน บางทีสวรรค์อาจจะสร้างเขาสองคนให้มาคู่กันก็ได้ การที่ผมอยู่ระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขานั้น มันผิดมาตั้งแต่แรก แม้ว่าผมจะมาก่อนเธอก็ตาม

อารมณ์ที่บัดนี้ทั้งเจ็บปวดระคนเสียใจยิ่งทำให้ผมยกไวน์ในแก้วดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างลืมตัว ยิ่งมองผมก็ยิ่งเจ็บ เมื่อยิ่งเจ็บผมก็ยิ่งดื่มมันเข้าไปเพื่อสะกดอารมณ์ที่แสนทรมานเอาไว้

อยากจบงานแล้วกลับบ้าน ผมไม่อยากอยู่มองเขาสองคนมีความสุขกัน ผมยังไม่เข้มแข็งมากพอจะยืนส่งยิ้มราวกับไม่รู้สึกอะไรได้

เพราะผมยังรู้สึกเจ็บอยู่ในหัวใจอยู่

ยิ่งไม่สามารถหยุดรักเขาได้ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ตาม

ผมเริ่มรู้สึกถึงอาการวิงเวียนศีรษะ โลกทั้งใบเริ่มหมุนคว้างไปมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ผมเดินโซซัดโซเซเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยของเก่าออกมาจนแทบจะหมดท้อง ทว่ามันกลับไม่ได้ดีขึ้นสักนิด ผมขยับตัวนั่งลงนิ่งๆ หลับตาลงเพื่อพักสักเล็กน้อยก่อนจะฝืนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปที่กระจก

มือของผมเอื้อมออกไปเปิดน้ำและใช้มันล้างหน้าล้างตาหวังให้มันพอจะบรรเทาความทรมานในตอนนี้ได้

ผมพยุงตัวเองเดินออกมานอกห้องน้ำช้าๆ ใช้มือจับผนังด้านข้างไปตลอดทาง พอถึงตอนนี้ผมถึงได้รู้แล้วว่าตัวเองฝืนดื่มเข้าไปมากเกินไปและเร็วเกินไป ผมจึงได้เมาจนเละเทะแบบนี้ ขืนให้คุณแม่เห็นมีหวังผมคงถูกด่าเสียยับเยินแน่นอน จะว่าไปพี่มินหายไปไหนกันนะ ผมอยากกลับบ้านเหลือเกิน

“เป็นอะไรไหม” ผมเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับฝืนยิ้มให้เขาทั้งที่สายตาเริ่มโฟกัสอะไรไม่ได้อีกแล้ว

“ไม่ครับ ไม่ ไม่เป็นไร”

ฉากนี้…มันทำให้ผมคิดถึงคืนนั้นเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับคุณ”

“ขอบคุณครับ ผมไม่เป็นไร”


ทั้งๆ ที่มันก็แค่ความประทับใจแรกเห็นทำไมผมถึงไม่สามารถลืมมันไปได้เสียที ผมดันร่างของตัวเองเพื่อออกเดินไปอีกครั้ง แต่กลับเซจนเกือบจะล้มลงไป

“ไมน์ แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”

!!!

ผมไม่คิดว่าจะเป็นเขา ร่างกายของผมเกร็งไปทุกส่วน พยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขาที่รองรับร่างของผมเอาไว้ก่อนที่จะล้มลงไป

ทำไมเป็นเขาล่ะ ทำไมต้องเป็นเขาอีกแล้ว

ผมเม้มริมฝีปากที่สั่นระริกแน่น ถูกฝ่ามือที่บัดนี้เย็นเฉียบแตะลงบนผิวแก้มอย่างแผ่วเบา จนแทบจะไล่ความร้อนจากไวน์ที่กำลังเล่นงานผมออกไปจนหมด ผมเบือนหน้าหนีเขา ไม่อยากให้เขารู้ได้ว่าหัวใจของผมในตอนนี้มันกำลังเต้นระรัวเพราะตัวเขาที่ไม่เคยเปลี่ยนไป

ดินแดนยังคงเป็นดินแดน ห่วงใยผู้อื่นเสมอ…ที่ไม่ใช่ผม

“ปล่อย ปล่อยครับ ผมจะกลับไปหาพี่มิน” มันไม่จำเป็นเขา ผมมีคนคอยดูแลตั้งมากมาย พี่มินพี่ชายของผมเองก็ยินดีที่จะห่วงใยผม

“ไหวแน่หรือ อย่าดื้อเลย เดี๋ยวผมจะพาไปนั่งพัก”

ไม่ ผมไม่อยากไปกับเขา ถ้าหากผมไป ผมคง…ใจอ่อนแน่นอน

ผมส่ายหน้าทั้งที่สองตาเริ่มร้อนผ่าว อารมณ์ความเสียใจและเจ็บปวดมันกำลังแสดงตัวออกมาในเวลาที่ผมอ่อนแอ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมกัดฟันดันร่างของเขาออก ต่อให้ปมเดินต่อไม่ไหวผมก็จะฝืน จะไม่ยอมหลั่งน้ำตาต่อหน้าเขาอีกแล้ว มันน่าสมเพชเกินกว่าจะเป็นสุทธิวรเวช

“ไมน์! เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“พี่ พี่มิน” ผมเรียกพี่ชายตัวเองเสียงสั่นเมื่อพี่มินวิ่งเข้ามาหาผมอย่างรีบร้อน ใบหน้าของผมเริ่มแดงก่ำ นัยน์ตาทั้งสองข้างรื้อไปด้วยหยาดน้ำตาที่เกือบจะไหล ผมเกาะแขน ซุกใบหน้าเข้าไปที่ท่อนแขนของพี่ชายอย่างต้องการพึ่งพิง

“ไมน์…กินไวน์มาหรือเรา เด็กขี้เมาเอ๊ย” ผมออดอ้อนพี่มินอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ หางตาผมมองเห็นดินแดนกำหมัดแน่นอย่างไม่ชอบใจ แต่ผมในตอนนี้อยากหนีไปจากเขา ไม่อยากให้เขามองเห็นความอ่อนแอจากตัวผม

“กลับบ้านกันพี่มิน ไมน์ปวดหัว โลกหมุนติ้วๆ เลย” ผมชี้มือขึ้นไปเหนือศีรษะทั้งที่ใบหน้ายังไม่ได้ออกมาจากแขนพี่ชายแม้แต่น้อย จนได้ยินเสียงหัวเราะจากพี่มินไม่เบานัก

“หึหึ ได้ครับ กลับบ้านกันนะ เดินไหวไหม หรือจะให้พี่อุ้มล่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มกว้างเหมือนตอนเด็กๆ กางมือออกทั้งสองข้างเพื่อรอให้พี่ชายของผมรวบตัวผมเข้าไปอุ้มอย่างที่ทำในเวลาที่ผมง่วงนอนมากๆ ตอนยังเป็นเด็ก

“อุ้มนะ ไมน์ปวดหัว”

“ตามบัญชาครับคุณหนู หึๆ”

ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้น สองแขนจึงกอดรัดลำคอของพี่ชายตัวเองจนแน่นด้วยกลัวว่าจะตกลงไป ผมซบหน้าลงกับแผ่นอกของพี่มินที่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นจมูก แต่อาการปวดหัวและมึนๆ นั้นทำให้ปมไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าการนอน

“เดี๋ยวสิไมน์ เรา…เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม”

ผมไม่อยากตอบ ได้แต่กดใบหน้าตัวเองเข้าไปที่เสื้อของพี่มินมากยิ่งขึ้น ผมไม่อยากคุยกับเขา อยากกลับบ้านไปนอน ผมปวดหัวคิดอะไรไม่ออก ทำไมต้องมาถามอะไรให้ต้องคิดด้วยนะ พี่มินกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ปรายตามองดินแดนอย่างดุดัน

“น้องชายผมเมา คงตอบคำถามของคุณไม่ได้หรอกครับ ขอตัว!”

“ผมไม่ยอมแพ้หรอก! ผมรักไมน์ และจะทำให้ไมน์รักผมอีกครั้งให้ได้ ต่อให้มันจะยากเย็นแค่ไหน ให้คุณขัดขวางสักเท่าไรก็ตาม!” นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ปมได้ยินก่อนที่สติของปมจะดับมืดไปราวกับถูกใครปิดลง

ดินแดนจะรู้ไหมว่ากำลังทำให้ผมใจอ่อน ตั้งแต่ที่ได้เห็นหน้าเขาในวันนั้นแล้ว









อีกไม่กี่ตอนเขาจะดีกันแล้วนะพวกเธออออ ใครที่รู้สึกว่า เฮ้ยยย ทำไมไม่สะใจเลย ทำไมดีกันง่ายจังเธอ! คือแมวก็ไม่รู้นะว่าคนอื่นเข้าใจไหม แต่...เวลาที่เราชอบหรือรักใครสักคน มันอาจจะเป็นการบอกเลิก แต่ความจริงแล้วในใจก็ไม่ได้เลิกรักเขาหรอก เสี้ยวหนึ่งในหัวใจยังคงให้อภัยคนที่รักได้เสมอ ต่อให้เดินออกมาจากจุดที่เคยยืน แต่เศษเสี้ยวของใจก็ยังอยากจะกลับไปยืนอยู่ตรงนั้น แมวว่า...คนแบบนี้มีไม่น้อย แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรนะคะ แง้ แมวแค่อยากจะบอกว่า นิสัยน้องเป้นแบบนี้ อย่าผิดหวังนะคะถ้ามันไม่ออกมาเป็นอย่างที่พวกคุณหวัง แมวพยายามฉุดๆ แย้ววว

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 100% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-04-2020 19:27:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ6] ความพยายามของฯ 100% Up [20/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-04-2020 20:04:08
ขอถามชื่อตอน
ความพยายามของ...

ความพยายามของใครอ่ะ
อ่านจบ 100% แล้ว ยังไม่เจอความพยายามของใคร ตรงไหนเลย

แต่ที่มั่นใจ มั่นใจเลยว่าต้องไม่ใช่ของไอ่แดน แน่ๆ
ยังไม่เห็นจะตรงไหน (กำมือบ่อยอ่ะหรอ 555)

ไม่ว่าอะไรนะจ๊ะ คนแต่ง ถ้าจะให้มันสมหวังอ่ะ
ยังไงก็จะอ่านต่อจนจบ ไม่เครียดนาจา อิอิ

แต่ก็ยังคงสเตปเดิม...พระเอกมันห่วย ตัวซวยมากเกิ้นนนน
กร๊ากกกกกกกก

ให้กำลังใจคนแต่ง +1 ฮะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 50% Up [23/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 23-04-2020 18:51:55
[17] 50%

คือคุณในความทรงจำ
[/b]

Din Dan’ s Part

“นี่คือคุณไมรวี สุทธิวรเวช หรือก็คือลูกชายคนเล็กของเจ้าสัววรรักษ์และคุณหญิงราตรี ทีนี้…รู้หรือยังคะว่าใครกันแน่ ที่มันต่ำ!”

ผมตัวชาวาบอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ความจริงของไมน์ในวันนี้ตีแสกหน้าผมจนอับอาย ทุกคำพูดและการกระทำของผมก่อนหน้านี้ที่มีต่อไมน์ในช่วงเวลาที่เราคบกัน เป็นผมเองที่ตาต่ำมองไม่เห็นว่าเขาสูงค่าขนาดไหน ไอ้ภูมิเคยบอกว่าไมน์เข้ามาเพื่อเกาะผมกิน ผมเคยแอบเอนเอียงไปตามสิ่งที่ภูมิพูด แต่วันนี้สิ่งที่ผมเคยเชื่อมันผิดหมด

เป็นผมเองต่างหากที่ไม่เคยเอะใจกับนามสกุลของเขา

กว่าที่ผมจะได้สติทั้งไมน์และพี่ชายของเขาก็หายไปจากสายตาของผมแล้ว ครั้งแรกที่เห็นไมน์ยืนอยู่กับใครที่ผมรู้จักดีจากนิตยสารต่าง ๆ ลูกชายคนโตของเจ้าสัววรรักษ์มีหรือที่ผมจะไม่รู้จัก แต่ที่ผมแค้นใจคือที่ตรงนั้นข้างๆ ไมน์มันควรเป็นของผม เป็นผมต่างหากที่ต้องยืนอยู่เคียงข้างเขา

ก่อนเข้าไปเจรจากับคุณมินผมสั่งให้พนักงานจัดเตรียมน้ำและของว่างมากมายที่เขาชอบให้สั่ง กำชับอย่างดีว่าให้ใส่ใจและดูแลไมน์ให้ดี หากว่าเขาต้องการอะไรก็จัดการให้เขา

แต่ผมไม่คิดว่าระหว่างการเจรจาอยู่จะได้ยินเสียงดังโวยวายมา ผมที่ร้อนใจลุกออกจากการพูดคุยโดยไม่สนใจว่าจะเสียมารยาทแค่ไหน

ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมโมโหจนอยากจะไล่พวกคนที่กล้าแตะต้องคนของผมออกไปให้หมด ร่างกายของไมน์เปียกโชก เสื้อสีขาวบางจนแนบเนื้อผมก็ยิ่งร้อนใจหวังจะช่วยจึงได้ยื่นผ้าเช็ดหน้าออกไปให้ แต่ใครจะคิดว่าไมน์ไม่เพียงไม่รับ กลับตอกกลับผมจนสะอึกด้วยคำพูดที่ผมเคยต่อว่าเขา

ครั้งหนึ่งเขาเคยพาปิ่นโตมาให้ผม ความดีของเขาที่ผมมองไม่เห็นในวันนั้นมันกลับมาตอกย้ำหัวใจให้ผมเจ็บปวด ผมรู้ว่าไม่มีสิทธิ์น้อยใจ รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นเพราะผมเองที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ผมจึงยอมให้เขาเอาคืนจนกว่าเขาจะพอใจ และเมื่อถึงวันนั้นผมหวังว่าเขาจะยอมให้อภัยและยอมกลับมารักผมอีกครั้ง

“แดน! ทำไมมองบัวแบบนั้นคะ คุณต้องปกป้องบัวสิ ไม่ใช่มองเหมือนบัวน่ารังเกียจแบบนี้นะ!”

น่าตลก นี่เธอยังคิดว่าเราเป็นแฟนกันอยู่อีกหรือ ในเมื่อผมบอกเลิกเธอไปแล้วอย่างชัดเจน แม้ว่าผมจะยังให้เธอลอยหน้าลอยตา ทำงานอยู่ในโรงแรมแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะมีความรู้สึกให้เธอเหมือนที่ผ่านมา

ผมปฏิบัติกับเธออย่างเหินห่างด้วยซ้ำ วางเธอเป็นเพียงพนักงานทั่วไปเหมือนคนอื่นๆ เพราะคนสำคัญที่ผมจะปฏิบัติด้วยดีนั้นมีเพียงแค่คนที่เพิ่งจะก้าวออกไปพร้อมกับหัวใจของผม เมื่อเห็นสายตาและคำพูดของเธอ ผมก็ยิ่งรังเกียจจนไม่อาจเก็บสีหน้าของตัวเองได้ ระบายรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

“ก็ผมรังเกียจคุณจริงๆ นี่!”

“ดินแดน!”

“ทำไม? หรือผมพูดอะไรผิด?”

ผมหัวเราะออกมา พร้อกับกวาดสายตามองเธอทั้งตัวตั้งหัวจรดเท้า

“ผู้หญิงอย่างคุณ แค่คำว่าน่ารังเกียจมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ...ต้องเรียกว่าขยะแขยงจะถูกกว่า”

“กรี๊ดดดดดดดด!!!”

“พอๆ พอได้แล้ว! ที่นี่มันโรงแรมของฉัน ไม่ใช่โรงละครสัตว์ให้ใครมากรีดร้อง”

ใบบัวเงียบลงทันทีที่ถูกพ่อของผมพูดกระทบ ผมเห็นเธอใช้สายตาราวกับลูกสัตว์ถูกรังแกขึ้นมามองพ่อของผม แต่คุณพ่อของผมไม่ใช่คนที่ตามืดบอดแบบผมหรอกนะ ท่านไม่ใช่คนที่จะถูกหน้ากากราคาถูกๆ หลอกเอาได้หรอก

“คุณพ่อคะ ฮึก แต่บัวถูก...”

“ฉันจำได้ว่าฉันกับภรรยา ไม่เคยมีลูกสาว”

“...” พ่อผมปรายตามองเธออย่างดูถูก ในขณะที่เธอนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง

“หรือเธอไม่มีพ่อแม่เป็นของตัวเอง? ถึงเที่ยวมาเรียกคนอื่นว่าพ่อ”

ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็ดูจะไม่สมควรนัก ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน สายตาของทุกคนต่างก็ทิ่มแทงใบบัวจนเธอต้องกำมือแน่น กัดริมฝีปากทั้งที่ร่างกายสั่นระริกไปด้วยความโกรธ

“อย่าเที่ยวป่าวประกาศอะไรที่ลูกชายฉันไม่ได้รับรู้กับตัวเธอด้วย จะอ้างตัวว่าเป็นคนรัก เป็นแฟน?”

“...”

“เธอมีดีกว่าคนอื่นตรงไหนหรือ? เท่าที่ฉันมอง...ก็แค่ผู้หญิงราคาถูกที่อยากจะปีนขึ้นเตียงลูกชายฉันนี่”

“...”

“ฉันไม่เห็นว่าเธอจะวิเศษตรงไหนเลย”

“แต่บัว บัวเป็นเมียของคุณแดนแล้วนะคะ คุณลุงคง...”

“อย่ามานับญาติกับฉัน! ฉันไม่รู้จักเธอ!” คำพูดของคุณพ่อทำให้ใบบัวสะอึกจนหน้าม้าน ก่อนที่เธอจะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้ววางท่าทางสูงส่งฃ

“ก็ได้ค่ะ แต่เรื่อวที่บัวเป็ยเมียคุณแดนก็ไม่เปลี่ยนหรอกนะคะ”

“เป็นเมีย?”

“ค่ะ เป็นเมีย!”

“ถามลูกชายฉันหรือยัง ว่ามันนับเธอเป็นเมีย หรือแค่จ่ายเงินซื้อเธอกิน”

“ท่านประธาน!”

“ว่าไงเจ้าแดน...นี่เมียแกหรือ?” ผมปรายตามองเธอแล้วส่ายหน้า พูดออกมาอย่างชัดเจนจนไม่คิดว่าตัวเองจะชัดเจนได้ขนาดนี้

“ไม่ใช่ครับ เธอไม่ใช่เมียผม”

“ได้ยินชัดแล้วนะ อย่าคิดจะมาอ้างอะไรลอยๆ อีกล่ะ หน้าไม่อายจริงๆ”

วันนี้ผมรู้สึกรังเกียจผู้หญิงที่ชื่อใบบัวเหลือเกิน ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองหลงไปชื่นชมเธอได้ยังไง ใบบัวที่ผมเคยมองว่าอ่อนหวาน วันนี้ทั้งน่ารังเกียจและเลวร้ายจนผมแทบไม่อยากจะมองด้วยสายตา เธอใช้อำนาจอะไรมาไล่ไมน์ออกไปจากโรงแรมของผม เราสองคนเลิกกันไปแล้ว ทุกวันนี้ที่เธอยังอยู่ในฐานะของเลขาเป็นเพียงความสงสารของผมเท่านั้น ไม่งั้นแม้แต่หน้า ผมก็ไม่มีวันมอง

“เจ้าแดน…เข้าไปคุยกับพ่อในห้องหน่อยสิ” ย้ำเสียงของคุณพ่อเรียบเฉย แววตาคมกริบกดดันให้ผมตอบรับไม่ใช่ปฏิเสธ

“ครับ คุณพ่อ” ผมหันกลับไปมองประตูที่ไมน์เพิ่งจะถูกโอบกอดออกไป ผมอยาก…จะวิ่งตามเขาออกไป อยากจะดึงตัวเขามากอดประโลมไม่ให้เขาต้องรู้สึกแย่

ผมยกสองมือที่สั่นเทาขึ้นมามอง มือคู่นี้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้โอบกอดร่างกายของไมน์เอาไว้ แต่เป็นสองมือนี้ที่ทำร้ายไมน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมหลับตาลงกำมือแน่นจนเจ็บ แต่มันกลับไม่เท่าหัวใจที่กำลังทรมานกับการถูกเขารังเกียจ เขากีดกันผมออกไปจากความช่วยเหลือทุกทาง ต่อให้เขาหกล้มและบาดเจ็บมากมายแค่ไหน เขาก็จะไม่มีวันให้มือคู่นี้ของผม ปลอบประโลมและประคองเขา

ในวันที่มีเขาอยู่เคียงข้างผมกลับมองไม่เห็นคุณค่า แต่ในวันนี้ที่ผมไม่มีเขาอีกต่อไป วันมี่เขาเลือกจะปล่อยผมไปตามที่ผมต้องการ ผมกลับอยากจะดึงเขากลับมา

กลับเป็นผมเองที่ยอมให้เขาไปไม่ได้

ผมหลันหลังกลับ ตวัดสายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจให้กับใบบัว แม้จะไม่สามารถโทษเธอได้ทั้งหมด แต่หากไม่มีเธอ ผมกับไมน์ก็คงไม่ต้องเลิกกัน

แต่ผมก็ยอมรับว่าตัวผมเองก็ผิดที่ไม่มั่นคงจนต้องสูญเสียไมน์ไป

ผมก้าวตรงไปยังห้องทำงานของคุณพ่ออย่างช่วยไม่ได้ พยายามเลิกคิดเลิกสนใจภาพที่ติดตาที่ไมน์ถูกคนอื่นโอบกอด ใช้เสื้อของคนอื่นคลุมตัวออกไป แม้ว่านั่นจะเป็นพี่ชายของเขาแต่ผมก็อยากเป็นคนเดียวที่ได้สัมผัสเขา หัวใจของผมทั้งร้อนรนและกระวนกระวายในหัวใจ มันอดคิดไม่ได้ว่าไมน์เองก็คงจะเจ็บปวดมาก ในวันที่ผม…เลือกจะจับมือของใบบัว

“คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถูกสายตาคู่นั้นจับจ้องมาอย่างกดดัน

“ลูกคบกับเลขาคนนั้นอย่านั้นหรือ” ผมถอนหายใจออกมากับความน่าอึดอัดใจ แววตาของคุณพ่อไม่ได้ยินดียินร้าย แต่เป็นแววตาของคนที่กำลังถามความมั่นใจจากผมเสียมากกว่าว่าจะเลือกผู้หญิงคนนี้จริงๆ ใช่ไหม

“ผมเคยคบครับ แต่เพียงแค่เวลาสั้นๆ อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ผมกับเธอเราเลิกกันไปแล้วครับ” และจะไม่มีวันที่ผมจะกลับไปเลือกเธออีก ผมมองคุณพ่อที่ใช้แววตาถามไถ่ความจริงจังของผมด้วยความจริงจังไปเช่นกัน

“แล้วกับลูกชายคนเล็กของตระกูลสุทธิวรเวชล่ะ? เป็นเพื่อนกันหรือ”

“ไม่ครับ ผมไม่ใช่เพื่อนของเขา!” คุณพ่อเลิกคิ้วขึ้นเมื่อผมใส่อารมณ์รีบตอบกลับไปอย่างไม่คิด ผมไม่ใช่เพื่อนของไมน์และไม่มีวันยอมเป็นแค่เพื่อนเพื่อมองเขาไปมีความสุขกับคนอื่น

ผมทนไม่ได้

“งั้นทำไมลูกต้องดูแลเขาดีขนาดนั้น ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกันก็อย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้นเลย เดี๋ยวจะเสียมาถึงธุรกิจที่จะทำ” ให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับไมน์งั้นหรือ ฆ่าผมให้ตายยังจะง่ายเสียกว่า ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน เจ็บในหัวใจจนแทบจะหมดลมหายใจ รู้สึกราวกับถูกใครกระชากเอาหัวใจออกไปทั้งที่ยังหายใจ

“ขอโทษครับ ผม…ทำไม่ได้”

“พ่อเชื่อว่าแดนมีเหตุผลเสมอ เพราะงั้น…พ่อขอเหตุผลที่จะทำให้พ่อหยุดความคิดนั้นที”

“คนที่คุณพ่อบอกให้ผมเลิกยุ่ง เขาเป็นอดีตคนรักของผมเองครับ เราสองคนเพิ่งจะเลิกกันไป” ผมหลุบตาลงซ่อนความร้าวรานในดวงตาไม่ให้ใครเห็น ผมไม่อยากให้เรื่องมันจบลงแค่นี้ ผมรักไมน์ แค่ไมน์เท่านั้นที่จะเป็นเจ้าของหัวใจของผม

“อ้อ! เลิกกันแล้ว” ผมสะอึกกับคำพูดของคุณพ่อที่ราวกันเหล็กร้อนๆ นาบลงบนหัวใจ คล้ายกับว่าผมถูกตอกย้ำตรงแผลเก่าที่ยังไม่หายดี ถูกสะกิดความจริงที่ไม่อยากยอมรับ

“คุณพ่อครับ ผมรักไมน์ ผมจะทำให้เขายอมรับรักของผมอีกครั้ง ผมจะไม่มีวันทำผิดพลาดไปอีก” นั่นเป็นคำสัญญาที่ผมอยากจะส่งไปถึงเขา แต่ตอนนี้ผมคงทำได้เพียงพูดออกมาเพื่อให้คุณพ่อของผมได้มั่นใจ สายตาของคุณพ่อที่มองผมมันดูเรียบเฉยและเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ต้องหาที่ถูกสอบสวนความผิด

“แล้วเลขาคนนั้นของลูกล่ะ ดูแล้วเธอคงไม่ยอมเลิกกับลูกง่ายๆ หรอกนะ” ผมเองก็กังวลไม่ต่างจากคุณพ่อ สิ่งที่ผมเห็นวันนี้คือใบบัวเป็นเหมือนชะงักที่ติดหลังผมอยู่ เป็นความผิดที่ยังยืนอยู่ตรงหน้า มันคงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไมน์ไม่แม้แต่อยากจะเข้าใกล้ผม

คิดแล้วผมก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจจนต้องยกมือขึ้นมาลูบปลอบโยนมันเบาๆ

“ผม…ควรทำยังไงดีครับคุณพ่อ ผมในตอนนี้…ขาดไมน์ไปไม่ได้จริง ๆ ผมทนมองไมน์รักใครที่ไม่ใช่ผมไม่ได้ ทนมองเขาไปกับใคร หัวเราะกับใครที่ไม่ใช่ผมไม่ได้เช่นกัน”

ผมแค่นยิ้มออกมา ฉายความอันตรายออกมาทางแววตาเมื่อคิดภาพที่ไมน์จะมีใครที่ไม่ใช่ผม

“ผมคงเห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ”

“มันก็เป็นธรรมดา ยิ่งรักมากเท่าไหร่ความรู้สึกเป็นเจ้าของก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน พ่อเองก็เข้าใจความรู้สึกของลูก แต่เคยคิดไหมว่าเขาอาจจะกำลังไม่มั่นใจมากพอจะมอบโอกาสให้ลูกอีกครั้ง”

ผมรู้ รู้ดีว่าผมในตอนนี้ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าผมจะไม่กลับไปทำผิดซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ผมเลิกกับใบบัวแล้วแต่ก็ยังให้เธออยู่ข้างๆ ผมเป็นเหมือนคนที่ไม่มีความชัดเจนอะไรให้ไมน์ได้มั่นใจในตัวของผมเลย ผมรู้ดี…

แต่ผมไม่เคยมั่นใจในตัวเองมากกว่าครั้งไหน ๆ ไม่เคยสักครั้งที่จะคิดว่าเสียงหัวใจที่ร่ำร้องบอกผมในตอนนี้เป็นเรื่องบ้าๆ ผมเฝ้าคอยถามตัวเองตลอดเวลาว่าผมรักไมน์จริง ๆ หรือเพียงแค่รู้สึกผิด แต่ทุกอย่าง ทั้งอาการหัวใจเต้นแรง ทั้งความโกรธเมื่อไมน์ยืนอยู่เคียงข้างคนอื่น ทั้งอาการหงุดหงิดที่มีต่อผู้ชายแปลกหน้าข้างๆ ไมน์มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกชัดเจน คนที่รู้สึกผิด คงไม่มีใครอยากจะฆ่าผู้ชายคนนั้นแบบผมเพียงแค่เขาแตะต้องไมน์

“ผมคงต้องพยายามมากกว่านี้สินะครับ” มันเป็นความผิดของผมที่ทำให้ไมน์ปล่อยมือไป แม้ว่าผมจะคว้าเอาไว้แต่เป็นแค่ผมที่ยึดจับ เมื่อไมน์ในตอนนี้ไม่คิดจะยึดติดกับผมอีกแล้ว

นั่นยิ่งทำให้ผมกลัว ว่าเขาจะเลิกรักผม

“ทำตัวเองให้ชัดเจน…ความชัดเจนเป็นสิ่งที่จะทำให้เด็กคนนั้นมั่นใจ” พ่อตบไหล่ของผมอย่างให้กำลังใจ ในขณะที่ผมไม่มั่นใจในตัวเองเลยแม้แต่น้อย ถึงจะบอกให้ผมชัดเจน แต่ความชัดเจนมันควรจะมากแค่ไหนกันล่ะ ในเมื่อสิ่งที่ผมคิดว่าผมแสดงออกชัดเจน เขากลับไม่ได้มองว่ามันชัดเจนด้วยซ้ำไป

แต่ไม่ว่ามันจะยากเย็นหรือสาหัสเพียงใด ผมก็จะทำมันให้ได้

ขอเพียงได้หัวใจของไมน์คืนมา







..........50%..........








คุณพ่อขาาาา กรี๊ดดดด หนูชูป้ายFCเลยค่ะ คุณพ่อคือเดอะเบสแล้วค่ะ หนูกราบแทบอกพร้อมแบมือขอเศษเงินสักสิบยี่สิบล้านได้หมคะ อยากกินหนม แค่กๆ ใบบัว เธอเป็นใคร มาเรียกคนอื่นว่าพ่อ ไม่มีพ่อเป็นของตัวเองเหรอ? กรั๊กๆๆๆๆๆ (หัวเราะอย่างชั่วช้า)

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 50% Up [23/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-04-2020 19:01:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 50% Up [23/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 23-04-2020 20:20:37
พ่อแดนก็ร้ายใช่เล่น
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 50% Up [23/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-04-2020 21:39:30
เอิ่มมมมม..ก็นะ
หุหุ

ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
..แล้วแต่..



----------------------------------------
ขอให้อยู่แต่ในความทรงจำ..ตลอดไป
ไม่มีวันนั้นที่เป็นจริง 55
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 100% Up [24/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 24-04-2020 18:38:59
[17] 100%


ช่วงกลางคืนเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นมาในโรงแรมของผมเอง เป็นการฉลองการร่วมทุนกันของสองตระกูลอย่างโชติญาณกุลและสุทธิวรเวช พนักงานส่วนใหญ่มีหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนในงาน แต่มีคนหนึ่งที่ขัดตาผมจนอยากจะจับเธอโยนออกไปให้ไกลเสียด้วยซ้ำ ติดอยู่เพียงแค่ว่าในงานคนมากเกินไป ผมไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้งานเลี้ยงร่วมทุนของเราสองตระกูลดูแย่ลง

ถึงจะเกลียด จะรังเกียจและขยะแขยงจนอยากจะลบเธอออกไปจากโลกนี้แค่ไหน

ก็ทำได้แค่อดทน ทนไปจนกว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะจบลง

วันพรุ่งนี้ ผมวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะง้อไมน์อย่างไร จะใช้วิธีไหนพิสูจน์ความจริงใจที่ผมมีต่อไมน์ให้เขาได้รู้ ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ ต่อให้พรุ่งนี้เขาอาจจะยังไม่มั่นใจในตัวผมมากพอ แต่ผมก็จะอดทนและพิสูจน์ให้เขาเห็น

ถ้าหากเวลาแค่หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปีไม่เพียง

ผมก็จะขอใช้เวลาทั้งชีวิต...เพื่อทำให้เขาเชื่อใจผมอีกครั้ง ว่าผมรักไมน์เพียงคนเดียว

ผมชะเง้อคอ คอยมองหาว่าเมื่อไรที่ไมน์จะก้าวเข้ามาในงาน แม้ว่าภายในงานจะครึกครื้น เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเหล่าสาวสวยมากมาย แต่ผมกลับไม่สนใจจะมองสักนิด สายตาของผมยังคงมองหาเพียงไมน์เท่านั้น

หรือเขาจะไม่มา? หรือเขาจะไม่อยากเจอผมแล้ว

พอคิดแบบนั้นผมก็ปวดหัวใจเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไร แต่ผมต้องการเพียงแค่ได้เจอหน้าไมน์ หากว่าเขาก้าวเข้างานมา ผมก็อยากจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นเขา ต่อให้ข้างกายของเขาไม่อาจจะมีผมยืนอยู่แล้วก็ตาม

“รอใครอยู่วะ ไมน์หรือเปล่า” ผมหันกลับไปมองภูมิที่แตะมือลงบนไหล่ของผม สีหน้าของภูมิเองก็นับว่าย่ำแย่พอๆ กันกับผม ครั้งหนึ่งผมเคยถูกภูมิพูดกรอกหูในวันที่ผมกับไมน์คบกัน มันคอยแต่บอกว่าไมน์จะมาเกาะผมกิน ลอกว่าที่ไมน์มาคบกับผม...มันก็เพียงเพื่อเงินเท่านั้น และผมเองก็หูเบา ถึงแม้จะไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่ก็หวั่นไหวกับคำพูดของมัน

แต่แล้ววันนี้ความจริงกลับมาตบหน้าเราสองคน

ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัววรรักษ์ มหาเศรษฐีอันดับที่สามของประเทศ แล้วไมน์จะมาเกาะผมกิน จะมาคบกับผมเพื่อเงินไปทำไม

ผมเจ็บปวดกับความจริงมากมายที่ประดังเข้ามาไม่หยุด ตอนที่ผมบอกกับภูมิถึงความจริงนี้ ตัวภูมิเองก็หน้าซีดตัวสั่น แววตาที่มองผมเต็มไปด้วยคำขอโทษ แต่มันสายไปแล้ว

วันนี้ผมไม่มีไมน์อีกต่อไปแล้ว เขาเดินออกไปจากชีวิตของผมแล้ว

ผมไม่โทษเขา ไม่เคยโทษเพื่อนตัวเอง เพราะคนที่ผมกล่าวโทษคือตัวของผมเองที่โง่งมมองไม่เห็นตัวตนที่แสนดี ยิ่งคิดผมก็ยิ่งแย่ ยิ่งผิดต่อไมน์มากเท่าไรผมก็ยิ่งเครียดที่ต้องหาวิธีเอาชนะใจของไมน์ ตอนนี้เราสองคนยังรักกันอยู่ไหมผมไม่รู้ แต่ผมยังรักไมน์ รักไม่เคยเปลี่ยน แม้แต่ตอนที่ผม…ทรยศไมน์ไปคบกับใบบัวก็ตาม ผมก็ยังรักไมน์ รักทั้งหัวใจ

“รอไมน์” จะรอเสมอและรอตลอดไป ต่อให้ทั้งชีวิตของผม ผมก็พร้อมจะรอ

ไมน์เดินเข้ามาในงานพร้อมกับพี่ชายของเขา วันนี้ไมน์ดูน่ารัก และดึงดูดสายตาของใครต่อใครเหลือเกิน ดูดีจนผมอยากจะเก็บไมน์เอาไว้คนเดียวไม่ให้ใครได้เห็น ไมน์ยิ้มแย้มกับพี่ชายของเขา กล่าวทักทายแขกหลายคนอย่างเป็นธรรมชาติ คุณหญิงราตรีและเจ้าสัววรรักษ์เองก็มาด้วยเช่นกัน มันยิ่งทำให้ผมรู้ว่าโง่แค่ไหนที่เชื่อคำพูดลอย ๆ ไร้มูลของเพื่อนตัวเอง

ไมน์ของผมทั้งสูงส่งและงดงาม รอยยิ้มเจิดจรัสจนแสบตา หัวใจของผมเต้นรัวทุกครั้งที่ได้มองมัน และเจ็บปวดทุกครั้งที่มันไม่ใช่ของผม

ผมเห็นไมน์พูดคุยกับพี่ชายของเขา หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน เห็นพี่ชายของเขาลงไม้ลงมือด้วยความเอ็นดูและได้รับรอยยิ้มของเขา มันก็ยิ่งทำให้ผมทรมานใจ แต่เพียงชั่วขณะที่เขาลืมตัว หันมาหาผมทั้งที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มก็ทำให้ผมใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้มันจะเป็นความเผลอลืมของเขาที่ไม่นานเมื่อเขารู้ตัวมันก็หายไป แต่หัวใจของผมกลับเก็บภาพนั้นเอาไว้ไม่มีวันลืม

“มึงจะไปไหนวะแดน” ภูมิดึงแขนผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมก้าวออกไปตามที่หัวใจของผมสั่ง

“ปล่อย กูจะเข้าไปหาไมน์” ไมน์ ผมอยากคุยกับเขา อยากอยู่ใกล้ๆ เขา ผมทนไม่ได้ถ้าไม่มรเขา ทนไม่ได้ที่ถูกเมินทั้งที่ใครต่อใครก็ได้รับความสนใจ ผมอิจฉา ใช่แล้วผมกำลังอิจฉา

“มึงจะบ้าเหรอ มึงเห็นไหมว่าไมน์ไปหาคุณหญิงราตรี” ผมเม้มปากกำมือของตัวเองแน่น ได้แต่มองไมน์ตาละห้อย มองไมน์ที่ยืนส่งยิ้มให้กับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ แถมเธอยังเขินอายเล็กน้อยแบบนั้นมันไม่ดีกับผมเลย

ไมน์เป็นของผมต่างหาก เป็นของผมคนเดียว!

ผมได้แต่รอ เฝ้ารอจังหวะที่จะได้เข้าไปหาเขาอย่างใจจดจ่อ แต่เมื่อเขาแยกตัวไปกับเด็กสาวคนนั้น ผมก็ขยับเดินตามไป แต่คราวนี้ผมก็ยังถูกดึงรั้งเอาไว้ ทั้งที่โอกาสมาถึงแล้วแต่ผมก็ถูกจัดขวางอยู่อีกเช่นเคย

“อะไรอีกวะภูมิ!”

ผมเริ่มหงุดหงิดที่ถูกภูมิมันขัดขวาง แต่เมื่อหันกลับไปสิ่งที่ผมเจอกลับไม่ใช่ภูมิเพื่อนของผม แต่เป็นผู้หญิงน่ารำคาญที่เป็นเหมือนป้ายประกาศความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของผม

“ใบบัว คุณเองหรือ” ผมที่เดิมทีหงุดหงิดเพราะนึกว่าเพื่อนตัวดีออกมาขัดขวางอีก แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ดึงผมเอาไว้เป็นใบบัว ผู้หญิงที่ในวันนี้ผมรู้สึกขัดตาจนอยากจะไล่เธอไปให้ไกล

“แดนคะ คุณกำลังจะไปไหน” เธอใช้น้ำเสียงแสดงความเป็นเจ้าของกับผม สายตาจับจ้องไปที่ด้านหลังของผมอย่างไม่ชอบใจ

“คุณกำลังจะไปหามันงั้นหรือคะ? คุณไปไม่ได้! บัวไม่ยอมให้ไป!” ผมสะบัดแขนออกมาจากการถูกเธอจับเอาไว้ ยิ่งนานวันผมยิ่งเกลียดตัวเองที่ไปหลงใหลกับเธอจนทิ้งหัวใจตัวเองไป ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดี เธอใช้ความอ่อนหวานและการไม่เรียกร้องมาดึงดูดผม มอมเมาผมด้วยภาพลวงตาที่แสนบริสุทธิ์ ทั้งที่แท้จริงแล้วเธอทั้งสกปรกและโสโครกกว่าใคร

ผมขยับยิ้มเหี้ยม ใช้แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังทั้งหมดมามองเธอ ผมอยากจะฆ่าเธอให้ตายนัก! ทั้งที่แม้จะไล่เธอออกผมยังทำไม่ได้! ผมพยายามหาความผิดของเธอ พยายามมากมายเพื่อจะเอาเธอออกไปให้ไกลตัวของผม แต่มันกลับทำให้ผมมืดไปทุกทาง ผมทำอะไรเธอไม่ได้เลย! มันน่าแค้นใจเหลือเกิน!

“คุณมีสิทธิ์มาแสดงท่าทีแบบนี้กับผมงั้นหรือครับคุณใบบัว อย่าลืมสิครับว่าผมเป็นเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ!” ผมเห็นเธอเม้มริมฝีปาก แววตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมที่ฉายชัดยิ่งกว่าแสงไฟ

“ฉันเป็นเมีย! เป็นเมียของคุณนะแดน! ไม่ใช่พนักงาน!” เธอหวังปีนป่ายขึ้นมาจากจุดต่ำสุดสู่จุดสูงสุด อยากจะมีทุกสิ่งโดยที่ไม่ได้รักผมด้วยซ้ำ

“ซินเดอเรลล่าไม่ได้เป็นกันง่ายๆ และผมคิดว่าคงไม่มีนางฟ้าแม่ทูลหัวคนไหนเสกสรรชุดให้กับคุณหรอก”

“ดินแดน!!” ผมยิ้มเยาะกับการคาดเดาง่ายดายของเธอ ภูมิดูผิดไปมาก คนที่คบกับผมเพียงเพราะผมรวยไม่ใช่ไมน์เลย เป็นเธอคนนี้ต่างหาก เป็นใบบัวที่ยังไม่อาจจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้

“ทำไม ผมพูดผิดหรือ แล้วท่าทางแสนบริสุทธิ์หายไปไหนเสียแล้วละครับ? ไม่ใส่หน้ากากต่อแล้วหรือ”

ผมใจร้ายกับไมน์ ทำร้ายหัวใจตัวเองไปมากเท่าไร

ผมจะทำมันกับเธอคนนี้กว่าร้อยเท่า!

“เอาเถอะผมไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะเสแสร้งแบบไหน เพราะตอนนี้ผมชัดเจนกับคุณไปแล้วว่าเราสองคน เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง หวังว่าคุณยังพอจะฟังคำพูดผมเข้าใจนะครับ พูดกันง่ายๆ จะได้ไม่ต้องถึงขั้นที่ผมต้องเลว”

“คุณกล้าหรือ!!” ผมยิ้มเย็น ก้าวเข้าไปใกล้เธอช้า ๆ ย้ำชัดทุกคำให้เธอฟังอย่างเข้าใจ

“หรืออยากจะลองดีล่ะ ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลยแบบคุณ กับลูกชายเจ้าของภัทราแกรนด์ ใครจะมีอำนาจมากกว่ากัน” ผมไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมากดตัวเองให้ต่ำ ทั้งที่ผมยังยืนอยู่ในจุดที่มองคนอื่นจากข้างบน ปกติผมไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะอวดอ้างตัวเองด้วยนามสกุล

แต่ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะลืมไปจริง ๆ นะว่าผมเป็นใคร ผมไม่ใช่ไก่อ่อน ไม่ใช่หมูที่ยืนโง่ๆ ให้เธอฆ่า ผมเป็นเสือ เป็นสัตว์นักล่าที่ต้องเผชิญเรื่องราวมากมายอย่างที่เธอไม่เคยคาดคิด ผมไม่ใช่คนดีสักนิด ไม่ใช่เลย

“เข้าใจแล้วใช่ไหม” เมื่อเห็นผมไม่เหมือนเดิม ใบบังเธอก็เปลี่ยนไป ใบหน้าและแววตาที่เคยแข็งกร้าวแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานและบอบบาง

“แดน แดนคะ ถ้าบัวทำให้คุณโกรธบัวขอโทษนะคะ แต่บัวรักคุณมากนะ เราสองคนรักกันนี่คะ” เธอดึงมือของผมไปกุมเอาไว้ ซึ่งผมเองก็ดึงมันออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ภาพลวงตาอาจจะใช้ได้ผลสำหรับผมคนก่อน แต่เมื่อผมตาสว่างแล้วมีหรือจะมองมันไม่ออก

“เราสองคนไม่เคยรักกันครับ ผมไม่เคยรักคุณ ผมรักแค่ไมน์ รักเขาเท่านั้น”

“ดินแดน!!!”

ผมไม่คิดจะสนใจเธออีก ตอนนี้ผมต้องการมองหาร่างกายที่แสนคุ้นตาเท่านั้น ไมน์หายไปจากสายตาของผมอีกแล้ว หายไปเพราะผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ยิ่งเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเกลียดเธอ เกลียดชังใบบัวจนสุดหัวใจ ขยะแขยงจนไม่อาจจะอยู่ใกล้ ผมเดินเข้าไปหาพี่ชายของผมที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากคุณพ่อนัก

“อ้าวแดน มีอะไรหรือเปล่า” สายตาของผมยังคงสอดส่องมองหาร่างของไมน์อยู่ตลอด ทั้งเป็นห่วงแงะหวงเขาเหลือเกิน ยิ่งวันนี้เขาดูดีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งหวงเขามากขึ้นเท่านั้น

“พี่เขต พี่เห็นไมน์ไหมครับ” พี่ผมหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความล้อเลียนที่ชวนให้รู้สึกเคอะเขิน

“น้องสะใภ้พี่หรือเปล่า ใช่ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัววรรักษ์ใช่ไหม” ผมเลิกมองหา หันกลับมามองพี่ชายของผมจนเต็มสองตาทันที

“ใช่ ใช่ครับ พี่เขต พี่เห็นหรือ”

“เห็นสิ…” ทำไมพี่ชายของผมถึงท่าเยอะแบบนี้นะ ผมเริ่มร้อนรนในใจ ยิ่งผมอยากรู้มากเท่าไรพี่เขตก็จะยิ่งอมพะนำไม่ยอมบอกผมง่ายๆ จนพ่อของผมต้องออกตัวห้ามปราม

“เลิกแกล้งเจ้าแดนได้แล้วอาณาเขต” นั่นล่ะครับพี่เขตถึงได้หัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะชี้ไปทางที่ไมน์อยู่

“พี่เห็นเดินไปทางห้องน้ำ ลองไปดูสิ”

ผมรีบวิ่งออกไปทันทีโดยไม่คิดอะไรอีก ไม่คิดจะขอบคุณด้วยเพราะพี่ชายของผมคนนี้ถ้าคุณพ่อไม่ห้ามขึ้นมา ก็ไม่ยอมบอกผมออกมาแบบนี้หรอกนะครับ

ร่างของไมน์ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางน่าเป็นห่วงจนผมต้องเร่งฝีเท้าเข้าไป ผมกลัวว่าเขาจะถูกใครที่ไหนลากไปเสียก่อน ท่าทางที่ดูไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะล้มลงกับพื้นทำให้ผมต้องรีบเข้าไปหา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามออกไปทั้งที่คิ้วทั้งสองยังขมวดอยู่

มันคุ้นเคยราวกับเป็นเดจาวู เหมือนครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ไม่ครับ ไม่ ไม่เป็นไร”

เสียงของไมน์ดูไม่ดีนัก อาการของเขาคงเป็นอาการของคนเมาสินะ แบบนั้นผมค่อยโล่งใจลงไปได้หน่อย ผมห่วงว่าเขาจะป่วยจากน้ำเมื่อตอนกลางวันเสียอีก

“ไมน์ แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”

เขาดูตกใจมากที่เห็นผม ร่างกายบาง ๆ ที่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงขยับตัวหนีผมที่ประคองร่างเขาอยู่อย่างแรง แต่ผมที่มีสติดีย่อมมีเรี่ยวแรงมากกว่า

ไมน์เม้มริมฝีปากที่สั่นระริกแน่น ผมแตะฝ่ามือที่บัดนี้เย็นเฉียบลงบนผิวแก้มอย่างแผ่วเบา เขาเบือนหน้าหนีผม ราวกับว่ารังเกียจที่จะต้องถูกผมสัมผัสแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม

เขายังโกรธผม อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เกลียดผม แค่นั้นก็พอทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมากแล้ว

“ปล่อย ปล่อยครับ ผมจะกลับไปหาพี่มิน” ผมไม่ได้ปล่อยเขาตามที่เขาเรียกร้อง เพราะรู้ดีว่าหากผมปล่อยเขาในตอนนี้ตัวเขาเองจะทรุดลงกับพื้น เขาเมาเกินไป

“ไหวแน่หรือ อย่าดื้อเลย เดี๋ยวผมจะพาไปนั่งพัก”

ผมแค่ห่วงเขา แค่เป็นห่วงว่าเขาจะเดินไม่ไหว และผมก็อยากจะอยู่ใกล้ไมน์ให้นานกว่านี้ อีกสักนิดก็ยังดี

แต่สุดท้ายเวลาของผมก็หมดลงไป

“ไมน์! เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“พี่ พี่มิน” เขาถลาตัวเข้าไปหาพี่ชายอย่างดีใจ ผมได้แต่ปล่อยให้เขาไปเมื่อมีคนที่ผมสามารถวางใจได้มารับเขา แม้ว่ามันจะเจ็บปวดที่ไม่อาจจะอยู่ใกล้เขามากกว่านี้ แต่ก็ยังดีกว่าที่ผมไม่ได้อะไรเลย

“ไมน์…กินไวน์มาหรือเรา เด็กขี้เมา” น้ำเสียงหยอกล้อมันยิ่งทำให้ผมอิจฉา ผมอยากยืนอยู่ตรงนั้น เป็นคนที่เขาออดอ้อนแทนพี่ชายของเขาเอง แต่เป็นผมเองที่พลาด ทำร้ายเขาจนต้องสูญเสียเขาไป

“กลับบ้านกันพี่มิน ไมน์ปวดหัว โลกหมุนติ้วๆ เลย” ไมน์เหมือนเด็กน้อยขี้เมาที่แสนน่าเอ็นดู หัวใจของผมกระตุกยามได้มองภาพตรงหน้า อยากจะดึงรั้งเขามากอดเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครได้มองเห็นเขาอีก

“หึหึ ได้ครับ กลับบ้านกันนะ เดินไหวไหม หรือจะให้พี่อุ้มล่ะ” แววตาของพี่ชายไมน์มีความหยอกเย้าน้องชายตัวน้อยของตนเอง ผมเห็นไมน์มองพี่ชายตัวเองตาแป๋ว ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับออดอ้อนให้อีกฝ่ายเข้าใจ

“อุ้มนะ ไมน์ปวดหัว”

“ตามบัญชาครับคุณหนู หึ”

ผมอิจฉา อิจฉาจนร้อนไปทั้งหัวใจ แค่มองภาพที่ไมน์กำลังจะถูกอุ้มห่างออกไปจากผมโดยที่ผมไม่อาจจะคว้าไว้ ผมก็ทรมานจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะต้องแยกจากกันในวันนี้ ผมเองก็ติดใจอยู่เรื่องหนึ่ง

“เดี๋ยวสิไมน์ เรา…เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม”

เขาไม่ตอบผม ไม่แม้แต่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา มีเพียงแค่พี่ชายของเขาเท่านั้นที่มองผมด้วยสายตาเย็นชา

“น้องชายผมเมา คงตอบคำถามของคุณไม่ได้หรอกครับ ขอตัว!”

ไมน์ถูกพาไปแล้ว เขากำลังจะห่างจากผมไปอีกแล้ว ผมทั้งปวดร้าว ทั้งทรมานจนอยากจะตาย แต่ผมจะมายอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ไมน์คือหัวใจของผม ผมจะทวงมันคืน จะทำให้ไมน์กลับมารักผมอีกครั้ง

“ผมไม่ยอมแพ้หรอก! ผมรักไมน์ และจะทำให้ไมน์รักผมอีกครั้งให้ได้ ต่อให้มันจะยากเย็นแค่ไหน ให้คุณขัดขวางสักเท่าไรก็ตาม!”

ไม่ยอม จะไม่ยอมสูญเสียไมน์ไปเด็ดขาด

เพราะว่าไมน์…คือหัวใจ คือโลกทั้งใบของผม





ในมุมของน้องที่โกรธเขาอยู่ เสียใจกับการที่ดินแดนเคยรักกับผู้หญิงคนนี้ พอเห็นดินแดนคุย ยิ้มกับใบบัวเลยกลายเป็นภาพบาดตาที่ทำให้คิดไปว่าเขายิ้มกัน ตอนนี้แมวยังยืนยันนะคะว่า เขาไม่ได้ดีกันแล้วจบเรื่องราวทั้งหมด มันยังไม่จบง่ายๆหรอกนะพวกเธอเอ๋ยยยยยย รอดูผลแห่งกรรมในวันที่มีใจได้เลยค่ะ



เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 100% Up [24/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-04-2020 20:36:35
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 100% Up [24/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-04-2020 21:08:38
คนดี ชอบแก้ไข
คน(อะไร) ชอบแก้ตัว

(คนจัญไร)
555

ปลดไม่ได้..ก็ย้ายสายงานได้ ไม่ใช่หรอ
เป็นผู้บริหาร คิดแค่นี้ก็ไม่ได้(จริงหรอ)

หรือว่ายังอยากจะเอาไว้ใกล้ตัว
ทั้งวัน ทั้งคืน หราาาาาาาาา
โง่จริง หรือ แกล้งโง่ กันแน่
หุหุ

เหตุผลของคุณ ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
ตรรกะป่วยมาก ซื่อหรือโง่กันแน่

จะรอดู รออ่านความพยายามของพระเอก(หราาาา)
เรื่องนี้กันต่อปายยยยย  ยาว..ยาว
อิอิ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 100% Up [24/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: งงปะ ที่ 25-04-2020 03:37:30
อะรอให้โอกาส
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ7] คือคุณในความฯ 100% Up [24/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 26-04-2020 19:41:59
ความรู้สึกช้าจริงๆต้องไปมั่วกับผู้หญิงก่อนถึงจะตาสว่างหรอ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 50% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 29-04-2020 09:11:31
[18] 50%

หัวใจเต้นได้เพื่อเขาคนเดียว

อาการปวดหัวรุมเร้าอย่างหนักจากการเมามายเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมจำได้ชัดเจนทุกอย่าง ทุกความหมายของสายตาที่ใครอีกคนมองผม ทุกคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาหรือแม้แต่คำถามที่เขาถามผมเอาไว้

เราเคยเจอกันมาก่อนใช่หรือเปล่า

ใช่ เราเคยเจอกัน และคำถามของเขามันก็กระตุกหัวใจของผมไม่น้อย เดิมผมคิดว่าอย่างไรเขาก็คงไม่มีวันจำวันนั้นได้แล้ว เพราะเขาใจดีต่อทุกคนไม่ใช่เพียงแค่ผม คนแปลกหน้าที่เพียงแค่บังเอิญเข้ามา เขาจะจำมันได้อย่างไร…

แต่เพราะคำถามที่ออกมาจากปากของเขามันก็อดทำให้ผมคิดไม่ได้ว่า เขาอาจจะจำมันขึ้นมาได้จริงๆ แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมันจะเป็นช่วงเวลาแสนสั้น แต่ผมคนนี้กลับจำมันได้ดีกว่าความทรงจำไหนๆ ใครๆ ต่างก็บอกว่าความทรงจำที่เราจดจำไม่ใช่ความทรงจำที่สวยหรู แต่เป็นเพราะเราประทับใจเหตุการณ์ในวันนั้นมากต่างหาก

ผมขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง พาตัวเองเข้าไปจัดการในห้องน้ำจนเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วจึงเดอนออกมา เลือกเสื้อผ้าที่จะสวมเพื่อนออกไปข้างนอกอีกครั้ง วันนี้เป็นวันที่ผมต้องเข้าไปที่ร้านแสนสุข และผมก็หวังเหลือเกินว่าจะไม่ต้องพบหน้าของดินแดนอีกครั้งที่นั่น เพราะผมเองก็ทิ้งช่วงไม่เข้าไปหลายวันเพื่อให้เขาคิดว่าผมไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว หรือคิดว่าผมอาจจะแค่เข้าไปนานๆ ครั้งก็ได้

“เฮ้อ”

คิดถึงดินแดนทีไรใจผมก็สั่นไหวมากยิ่งขึ้นทุกที สายตาที่เขาใช้มองมาที่ผมมันช่างเหมือนครั้งที่เราเคยรักกันไม่มีผิดเพี้ยน คงต่างออกไปก็ตรงที่ผมในตอนนี้ไม่ใช่คนรักของเขาอีกแล้ว แต่คำว่ารักที่เขาใช้บอกมันกับผมในวันนั้นผมเองยังจำได้ดี เพียงแต่ว่าผมยังไม่มั่นใจนักหรอก บอกตรงๆ ว่าผมเองยังรักเขา ยังไม่อาจจะลืมเขาออกไปได้ แม้ว่าต่อหน้าเขาผมจะทำตัวเข้มแข็งและเย็นชาราวกับในหัวใจไม่มีเขาอยู่ยังไงก็ตาม

แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่มันยังตามตอกย้ำหัวใจทุกครั้งที่ได้เจอเชา

ว่าผม…รักเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง

กาลเวลารักษาได้ทุกสิ่งมันไม่จริงเลยสักนิด อย่างน้อยกาลเวลาที่ว่าก็ไม่สามารถรักษาหัวใจของผมได้ ผมยังคงจมปลักรักเขาเหมือนเช่นวันวาน เพียงแค่ตอนนี้ผมเว้นระยะออกมาจากการอยู่ใกล้ๆ เขาเสียมากกว่า กาลเวลาอาจมีไว้ให้ใครคนอื่น แต่คงไม่ได้ผลกับผมเสียแล้ว แบบนี้คงไม่มีทางใดที่จะทำให้ผมลืมเขาและเลิกรักเขาไปได้จริงๆ

ผมอยากจะลองให้โอกาสเขา แต่อีกใจหนึ่งผมก็หวาดกลัวว่าเขาอาจจะทำให้ผมเจ็บช้ำอีกครั้ง เขาเป็นรักแรกของผม เป็นความรักครั้งเดียวที่ผมมีอยู่ เพราะแบบนั้นในวันที่เขาเลือกที่จะจับมือใครคนอื่น ผมจึงเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมากจนเจียนตาย ผมจึงได้ลังเลไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าคำว่ารักที่เขาใช้บอกมันกับผม อาจจะเป็นความจริงที่ออกมาจากหัวใจของเขาก็เป็นไปได้

ความหวาดระแวงต่างๆ มันก็มาจากความไม่แน่นอนของใจดินแดนเอง ผมเพียงแค่เคยเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว การจะระวังหัวใจเอาไว้ก่อนย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ในตอนนี้ผมเพียงแค่อยากจะรอดูอีกสักหน่อย หากดินแดนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ คำว่าโอกาส…ผมก็พร้อมจะมอบมันให้กับเขาอย่างไม่ลังเล

ผมเดินลงมาด้านล่างเพื่อใช้เวลาช่วงเช้ากับครอบครัวของผม คาดว่าเวลานี้ทุกคนคงอยู่ที่โต๊ะทานอาหารกันหมดแล้ว เป็นเพราะเมื่อคืนผมเผลอดื่มหนักไปจึงได้ตื่นสาย ไหนจะอาการปวดหัวที่แล่นผ่านเป็นระยะๆ อีก มันชวนให้รู้สึกหงุดหงิดแต่เช้าจริงๆ

“คุณพ่อคุณแม่ อรุณสวัสดิ์ครับ” ผมเอ่ยทักทายคุณพ่อคุณแม่เมื่อพวกท่านกำลังนั่งรอทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ คุณพ่อตอนนี้กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนคุณแม่ท่านก็กำลังคุยอยู่กับป้าเนียน

“อ้าว มาแล้วหรือ นั่งสิไมน์ แม่เราเอาแต่รอไม่ยอมให้พ่อทานสักคำเดียว” ได้ยินคำพูดที่คุณพ่อใช้หลอกคุณแม่เล่น ผมก็หลุดขำออกมา คุณแม่เองพอได้ยินแบบนั้นก็ค้อนเสียวงใหญ่

“ก็ต้องรอทานพร้อมกันสิคะคุณ ลูกชายเราทั้งคนนะคะ”

“แล้วพี่มินละครับคุณแม่ ยังไม่ลงมาหรือครับ” โต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันก็จริง แต่ก็ขาดพี่ชายคนดีของผมไปอยู่ดี ไม่รู้ทำไมวันนี้พี่ชายผมถึงได้ตื่นสายนัก ทั้งที่ผมดื่มหนักจนเมากว่าพี่มินด้วยซ้ำไป แต่ผมก็ตื่นก่อนเสียอีก

“เจ้ามินออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เหลือแต่เรานั่นล่ะ วันนี้จะไปไหนหรือเปล่า”

“ขอบคุณครับป้าเนียน วันนี้ผมคิดว่าจะเข้าไปดูที่ร้านเสียหน่อยครับ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง” ประโยคแรกผมพูดกับป้าเนียนที่ตักข้าวต้มหอมๆ มาให้ผม ก่อนจะตอบคำถามที่คุณพ่อถามผมออกมา

ถึงแม้จะไม่อยากไปก็ตาม

วันนี้ผมไม่ได้นัดกับอนุรักษ์ไว้ เพราะไม่อยากจะรบกวนมันมากนัก ตัวมันเองทุกวันนี้ก็แทบจะไม่ได้ทำงานทำการของตัวเองแล้วเพราะเอาแต่มาอยู่กับผม ผมรู้ครับว่ารักมันเป็นห่วง และทราบซึ้งใจมากๆ จนแทบอยากจะเปิดคลังไวน์ที่คุณพ่อผมสะสมเอาไว้ให้มันกินจนหมด แต่ถ้าผมทำแบบนั้นผมคงนอนตายในวันต่อมาที่คุณพ่อรู้แน่ๆ ใครๆ ในบ้านก็รู้ดีว่าคุณพ่อของผมท่านหวงไวน์พวกนั้นยิ่งกว่าลูกในไส้เสียอีก

ผมลองวาดแผนการในหัวอยู่เงียบๆ ระหว่างที่ทานอาหารไปด้วย ว่าวันนี้หากเจอดินแดนผมจะทำยังไง หากว่าเจอหน้าเขาแล้วผมจะพูดประโยคไหน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สายตาที่เคยมองดินแดนอย่างเย็นชามันเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง เพราะหัวใจของผมมันสั่นตั้งแต่คำพูดที่เขาทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมเมื่อคืนนี้แล้ว

ถ้าเขารักผมจริงๆ ล่ะ? มันจะโอเคหรือเปล่า

เราจะยังกลับไปยืนอยู่ในจุดเดิมไหม หรือผมจะต้องกลับไปช้ำใจอีกครั้ง?

ทุกอย่างมันกลายเป็นความหวาดกลัว คำถามมากมายที่ประดังเข้ามาในหัวผมมันคือความกังวลใจที่ผมมีต่ออนาคตของเรา เมื่อเราสองคนกลับมารักกัน

ใช่…ผมยังคงรัก และแน่นอน! ผมคาดหวังให้เราคบกันได้อีก

แต่ก็นั่นล่ะ ใช่ว่าความคาดหวังจะสุขสมหวังดังที่คิดเสมอไป ถ้าผมยังไม่สามารถมั่นใจในตัวของเขาได้ ผมก็คงไม่อาจจะตอบตกลงหรือรักเขาอย่างไม่มีความกังขาได้หรอก

“ไมน์…”

ถ้ามีสิ่งที่ยืนยันให้ผมได้ว่าเขาจะเป็นของผมคนเดียวจริงๆ ก็คงดี ผมคงไม่กังวลมากขนาดนี้

“ไมน์ลูก!!”

“ครับคุณแม่! ขอโทษครับ…พอดีผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ” ผมหลบสายตาของคุณแม่ลงอย่างรู้สึกผิด คุณแม่คงเรียกผมหลายครั้งแล้วแต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงของท่าน เพราะเอาแต่คิดนั่นคิดนี่…ไม่ได้สนใจคนที่อยู่ใกล้ตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ แม่แค่จะถามว่าอิ่มหรือยัง แม่เห็นลูกทานจนหมดแล้วแต่ยังไม่ยอมวางช้อนลง ให้ป้าเนียนเติมอีกหน่อยดีไหมคะ” ผมชะงักไปก่อนจะก้มลงมองชามที่อยู่ตรงหน้า เป็นอย่างที่คุณแม่บอก ผมทานมันจนหมดแล้วจริงๆ แต่จะให้เติมก็คงไม่ไหวแล้ว ขืนทานเข้าไปอีกท้องผมคงแตกแน่ๆ

“ไม่ดีกว่าครับคุณแม่ แค่นี้ท้องผมก็แน่นไปหมดแล้ว” คุณแม่หัวเราะเบาๆ แต่ก็ยอมหยุดคิดที่จะเติมเนื้อหนังของผมต่อแต่โดยดี ท่านหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาที่จริงจังจนผมต้องนั่งตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว

“ผู้ชายคนเมื่อคืนนี้…”

“ครับ? คุณแม่พูดถึงใครกันครับ” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปากของคุณแม่ ผมเองก็กดดันไปด้วยเมื่อเป็นแบบนั้น

“แม่ไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออก คนคนนั้นใช่คนที่ทำให้ลูกเจ็บใช่ไหมคะ” ผมเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ กลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเมื่อถูกถาม

ความเงียบคือสิ่งที่ผมใช้ตอบคุณแม่ แต่เหมือนว่าความเงียบก็ไม่อาจตอบคุณแม่ได้ดีเท่ากับร่างกายและสีหน้าของผมที่เครียดขึงขึ้นมา

“ถึงลูกจะไม่พูด แม่ก็รู้อยู่ดีนะไมน์ ลูกจะปิดบังแม่จริงๆ นะหรือ?” ผมส่ายหน้าน้ำตาคลอเบ้า มองใบหน้าของคุณแม่อย่างขอความเห็นใจ

“ผมแค่ไม่อยากให้ทุกคน…เกลียดเขา” ผมกลัว กลัวว่าถ้าคุณพ่อรู้ คุณแม่รู้ ทุกคนรู้จะเกลียดเขาขึ้นมา

“ทำไมต้องกลัวว่าทุกคนจะเกลียดเขาด้วยละคะ ในเมื่อลูกกับเขาเลิกกันไปแล้ว”

ผมเจ็บแปลบเมื่อถูกคุณแม่พูดความจริงออกมาให้ผมฟัง ผมรู้ว่าตัวเองตอกย้ำมันอยู่ทุกๆ วัน แต่การได้ยินมันจากปากของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผมเอง มันเจ็บมากจริงๆ นะครับ เจ็บจนไม่อยากจะยอมรับว่านั่นคือความจริง

“คุณแม่ครับ…” ผมได้แต่เรียกคุณแม่ด้วยเสียงที่เบาหวิวพอๆ กับหัวใจของผม มันปวดร้าวและทรมานมาก

“แม่พูดถูกไหม คำว่าเลิกกันก็หมายความว่าลูกกับเขาต่างก็เป็นคนอื่น ถ้างั้นทำไมจะต้องกลัวล่ะ ทำไมต้องกลัวว่าแม่และคนอื่นจะเกลียดเขาด้วย นอกจากว่า…” เสียงของคุณแม่หายไป ดวงตาของท่านหรี่ลงมองผมอย่างจับผิด ผมที่ถูกจับจ้องจึงขยับตัวไม่ออก ร่างกายเกร็งไปหมด จนในที่สุดผมก็เลือกจะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา ยังไงคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือคุณแม่ ท่านย่อมรู้จักนิสัยของผมดีที่สุด และย่อมต้องรู้ทันผมอย่างแน่นอน

“ครับ เป็นอย่างที่คุณแม่คิดนั่นล่ะครับ ผม…ยังรักเขาอยู่” ผมยิ้มโง่ๆ ออกมาอย่างสมเพชตัวเองที่ตัดเขาออกไปไม่ขาด หวั่นไหวเพียงแค่คำว่ารักที่เขาให้มันมากับผมทั้งที่ก่อนนี้เขาทำร้ายผมสารพัด

แต่หัวใจของผมก็ยัง…เลิกรักเขาไม่ได้เสียที

ราวกับว่าหัวใจของผมนั้น…มันเต้นอยู่เพื่อดินแดนคนเดียว

“ผมคงรักเขามากเกินไป ถึงไม่เคยสามารถลบเขาออกไปจากหัวใจได้เลย เพียงแค่เขาพูดกับผมว่ารักผม หัวใจของผมมันก็ทรยศกลับไปเต้นเพื่อเขาอีกครั้งแล้ว”

ทั้งที่อยากจะตอกย้ำให้ตัวเองได้จดจำว่าเจ็บมามากมายแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เคยทำมันได้เลย หัวใจขอผม…มันไม่ใช่ของผมอีกแล้ว

มันเป็นของดินแดน และเป็นมาเสมอ











...........50%...........





หายไปสองวัน เพราะอาการหวาดกลัวบ้าบอของตัวเองค่ะ ยิ่งนิยายใกล้จบ ยิ่งกลัวการลงนิยาย แต่ก็ยังลง! ฮึ้บไว้ๆ มาลงให้แล้ว ตอนเย็นจะมาลงครึ่งหลังนะคะ

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 50% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-04-2020 10:38:18
ต้องให้ผู้หญิงร้ายใส่ก่อน ถึงจะบอกตาสว่าง แล้วถ้าผู้หญิงคนที่นอกใจไปหา ดีแล้วถึงใจ ไม่งี่เง่าจะกลับมาหรือรู้ตัวว่ารักไมน์ไหม หึหึ 555555 ตลก แล้วไมน์เองก็นะ เหลือเกินจริงๆ เกินเยียวยาใจ ทำขนาดนั้นที่ผ่านมายังจะไปหัวใจเต้นหวั่นไหวไม่เคยลืมอีก อะไรว่ะ เจ็บแล้วไม่จำคือควายดีๆนี่เอง 5555 เราอาจไม่เข้าใจกับความรักแนวนี้เองละ บูชาความรักอะไรเทือกๆนั้น เลยแบบเอ๊ะๆ ทำไมยังคิดรักต่อ เป็นเราเองที่ไม่เก็ทกับไมน์ 555 แต่จะว่าไปแล้วสองคนนี้ก็เหมาะสมกันดีนะ อูเรๆ ถ้ากลับมารักกันได้ เราจะมาอวยพรอีกทีนะ 555555 แต่งได้อินดีจริงที่ทำให้เราไม่อินในความรักความทุ่มเทพยายามของดินแดนเลยและรักที่จมปลักของไมน์ แต่งเก่งนะ แต่งดี อ่านแล้วอินในตัวละคร รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 100% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 29-04-2020 18:48:54
[18] 100%


“ทั้งที่เขาทำเลวร้ายขนาดนั้นนะหรือไมน์?” ผมบีบมือตัวเองบนตักจนแน่น ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าไม่ควรให้อภัย ผมเพียงแค่…ห้ามมันไม่ได้

“ครับ ทั้งที่เขาทำร้ายผมให้เจ็บจนแทบบ้า ทรมานจนแทบจะตายลงไปด้วยซ้ำ”

ภาพความเลวร้ายค่อยๆ ไหลเวียนกลับเข้ามาให้ผมมองเห็นมันชัดเจน แต่ผมก็ทำได้เพียงแค่หลับตาลง สะกดเอาความพลุ่งพล่านของหัวใจที่ขัดแย้งกับสมองเอาไว้ กลไกของร่างกายย่อมปกป้องหัวใจเอาไว้ด้วยการปล่อยความทรมานที่สุดออกมา ตอกย้ำให้มันได้จำ แต่หัวใจของผมมันดื้อดึง ไม่ว่าสมองจะส่งภาพความรวดร้าวมาเท่าไหร่ หัวใจก็จะดึงภาพที่เขาบอกรักผมออกมา ดึงสายตาและความห่วงใยออกมาลบล้างมัน

“แต่หัวใจของผมก็ยังรอคอย ยังคงหวังว่าวันหนึ่ง…เราจะกลับไปมีกันและกันเหมือนที่เคยเป็น”

ผมไม่รู้ว่าคุณแม่จะเข้าใจมันหรือเปล่า แต่ผมไม่อยากให้ใครเกลียดดินแดน ไม่อยากให้ความรักของเราที่จะเริ่มขึ้นมาใหม่ต้องมีครอบครัวของผมเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำให้เราต้องแยกจากกัน

“คุณแม่…เข้าใจผมใช่ไหมครับว่าผม รักดินแดน” ผมสบตาและบอกความรู้สึกของผมออกไปอย่างมั่นคงและแน่วแน่ แสดงความจริงในหัวใจให้คุณแม่ได้เห็นว่าคนคนนั้นคือที่สุดในหัวใจของผม ต่อให้ตอนนี้ผมจะยังไม่สามารถเชื่อเขาได้สนิทใจ ไม่สามารถคบกับเขาได้ในตอนนี้ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกของผมที่มีต่อดินแดนเลย มันกลับชัดเจนกว่าทุกสิ่ง

คุณแม่เงียบไปจนน่ากลัว ผมที่เปิดเผยทุกสิ่งออกไปได้แต่นั่งนิ่งๆ เฝ้ารอสิ่งที่คุณแม่จะพูดออกมา จะต่อว่า ห้ามปรามหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่โทษคุณแม่แม้แต่น้อย ผมรู้ดีว่าตัวเอง…รักดินแดนมากกว่ารักตัวเอง และจะยอมรับมันหากคุณแม่โกรธผมเพราะเรื่องนี้ ขอแค่คนที่ถูกโกรธ ถูกเกลียด ไม่ใช่ดินแดนก็พอแล้ว ให้เป็นผมก็ได้ไม่เป็นไร ผมจะรับความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้เอง

“ไมน์…”

ยอมรับทุกสิ่ง ต่อให้วันนี้คุณแม่จะสั่งห้ามผมไม่ให้ออกไปไหนเหมือนทุกครั้งที่สั่งลงโทษก็ตาม ผมยอม…

“แล้วถ้าหากแม่…ไม่ยอมล่ะ”

!!!

ผมรู้สึกตัวชาวูบ รู้สึกเหมือนถูกตีหัวอย่างแรงทั้งที่ยังนั่งอยู่ ความอึดอัด ความทรมานในใจมันประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน ผมนึกแล้ว นึกแล้วว่าคุณแม่คงไม่ยอม

นึกแล้วเชียว!

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ดวงตาสิ้นหวังอย่างที่สุด หัวใจเต้นเบาอย่างหมดเรี่ยวแรง

“ผมก็คง…อยู่ไปโดยไร้หัวใจ มีชีวิตเพียงลมหายใจเท่านั้นครับ” หากต้องลาจาก หากว่าต้องไม่มีเขาก็คงไม่ต่างจากผมได้ตายลงไป มีเพียงร่างกายที่มีลมหายใจ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เหลืออีก

ปึง!!

“ไมรวี!” ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะมองหน้าของคุณแม่ ได้แต่นั่งอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มเดิมๆ กับสายตาเช่นเดิม ไร้ชีวิตชีวา มีเพียงแค่หัวใจที่เต้นไปตามหน้าที่ มีลมหายใจที่ไม่อาจหยุดมันได้

เป็นตุ๊กตาที่มีชีวิต แต่ไร้วิญญาณ

“แม่แค่ล้อเล่นแค่นี้ลูกถึงกับซังกะตายเชียวหรือ หืม?” ใช่สิ จะไม่ให้ผมซังกะตายได้ยังไง ก็คุณแม่ หืม? ล้อเล่นหรือ?

“ล้อเล่นหรือครับ? คะ คุณแม่แค่ล้อผมเล่นงั้นหรือครับ!!” ผมเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย จับจ้องใบหน้าที่ฉายชัดถึงความหมั่นไส้ผมออกมาของคุณแม่ ให้ตายเถอะ! ผมก็นึกไปว่า…

บ้าจริงเชียว!

“ก็ใช่นะสิ! มันน่าตีจริงๆ เลยนะเรานี่ มีที่ไหนมาถอดใจง่ายๆ แบบนี้คะ รู้ไหมว่าสมัยแม่นะ ถ้าหากคุณตาคุณยายไม่ยอมให้แม่คบแล้วละก็ แม่จะอาละวาด จะทำทุกวิถีทางให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่ยอมแพ้แบบที่ลูกทำหรอกค่ะ” ผมฉีกยิ้มกว้าง รีบถลาร่างไปกอดคุณแม่เอาไว้แน่นๆ ต่อให้ตอนนี้คุณแม่จะเชิดหน้าใส่ผมจนคอแทบจะเคล็ด แต่ผมก็ยังรักและเคารพคุณแม่ไม่เปลี่ยน

“ผมรักคุณแม่ที่สุด รักๆๆๆๆๆ รักมากกว่าใครๆ เลยครับ!”

“ค่ะๆ รักก็รัก แต่ไม่คิดบ้างหรือคะลูกว่าทำไมแม่ถึงถาม” ผมชะงักแล้วปล่อยคุณแม่ออกจากอ้อมกอด เปลี่ยนมาเป็นคุกเข่าอยู่ที่ข้างๆ เก้าอี้ของคุณแม่แทน เพราะแบบนั้นความสูงของผมกับคุณแม่จึงไม่ต่างกันนัก

“นั่นสินะครับ แล้วทำไมคุณแม่ถึงถามผมละครับ หรือพี่มินเป็นคนมาบอกคุณแม่หรือเปล่าครับ?” เพราะถ้าใช่ ผมจะถามไปตัดขาใต้กางเกงของพี่มินเอง เอาให้สูญพันธุ์ไปเลย!

“ไม่ใช่ค่ะ” ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่เมื่อคุณแม่ส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ผมถาม หากไม่ใช่พี่มิน อีกคนก็คงเป็น…

“อนุรักษ์หรือครับ?” คุณแม่หัวเราะคิกๆ แต่ก็ยังส่ายหน้าให้ผม ผมขมวดคิ้วคิดทบทวนว่าใครกันที่พูดเรื่องนี้ออกมา ซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้ เพราะคนที่รู้เรื่องของผมสองคนถูกตัดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยเสียแล้ว

ถ้าอย่างนั้นใครกัน? ใครที่เป็นคนพูดเรื่องของผม?

“คิดอะไรมากมายคะลูก บางครั้งลองหยุดคิดบ้างก็ได้นะคะ นานๆ ที…ลองฟังบ้างก็ได้ค่ะ ลูกอาจจะเข้าใจอะไรมากกว่าการคิดไปเองเพียงคนเดียว”

“ถ้างั้น…ทำไมคุณแม่ถึงถามผมแบบนั้นละครับ?” คุณแม่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อผมยอมนิ่งลง เลิกคิดมากมายไปเองแล้วรอฟังคำตอบจากปากของคุณแม่เอง

แต่คุณแม่ไม่ได้ตอบผมด้วยคำพูด คุณแม่เพียงเลื่อนโทรศัพท์เครื่องสวยมาข้างหน้าผม ราวกับต้องการจะบอกว่าให้ผมหยิบมันไปดู ผมไม่เข้าใจจึงได้เอื้อมมือออกไปหยิบมันมาดู แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมสิที่ทำให้ผมต้องตกใจจนเบิกตากว้างออกมา

ดินแดน ดินแดนนี่!

แล้วเขาไปทำบ้าอะไรที่กลางห้างแบบนั้นกันเล่า!!

ผมเม้มปากแน่น หัวคิ้วขมวดกันจนแทบจะเป็นปมเมื่อภาพของดินแดนที่ยืนอยู่กลางห้างดังกลางเมือง ชูป้ายขึ้นเหนือศีรษะ ป้ายที่มีข้อความอันชวนให้หัวใจสั่นไหวจนไม่สามารถควบคุมได้

บ้าจริง! แดนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ใครกันจะบ้ามาง้อคนอื่นกลางห้างให้ประชาชนถ่ายรูปลงโซเชียล

ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หลุดยิ้มออกมา แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกินที่จะบังคับได้ เชาทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยหรือ ไม่อายหรือไรที่ต้องยืนอยู่ท่ามกลางสายตาคนมากมายขนาดนั้น ตลอดเวลาที่เราเคยคบกันมา ผมไม่เคยรู้เลยว่าดินแดนจะกล้าทำอะไรพวกนี้ นี่เขาเป็นคนโรแมนติกตั้งแต่เมื่อไร

“เห็นแล้วใช่ไหมคะ” ผมกัดริมฝีปากที่กำลังยิ้มออกมาเอาไว้แล้วพยักหน้าให้กับคุณแม่ ยิ่งมองผมก็ยิ่งอยากจะหัวเราะ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับอยากมองมันอีก มองมันอย่างนั้นไม่อยากละสายตาไปไหน มองชื่อของผมบนป้ายกับใบหน้าของเขาที่ถ่ายทอดความเว้าวอนมาหาผมผ่านรูปถ่าย

น่ารัก ดินแดนจะน่ารักเกินไปแล้วนะ!

“ทีนี้คงรู้แล้วนะคะ ว่าแม่ถามไมน์ทำไม”

“ครับ ผม ผมรู้แล้วครับคุณแม่”

ใจผมอยากจะบันทึกภาพนี้ลงโทรศัพท์เหลือเกิน ติดที่ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของคุณแม่ ไม่ใช่ของผม แม้จะไม่อยากละสายตา แต่ก็คงต้องไปค้นหาเอาจากโทรศัพท์ตัวเองคงจะดีกว่า ต่อให้มีรูปสักร้อยรูป ผมก็จะบันทึกมันลงไปโดยไม่ลังเลแน่นอน

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ค้นหา เพียงแค่จับโทรศัพท์ตัวเองก็มีสายเข้ามาแล้ว เบอร์โทรที่ไม่คุ้นตาทำให้ผมต้องมองพร้อมกับทบทวนไปว่าช่วงนี้ผมได้ให้เบอร์ใครไปบ้างหรือเปล่า แต่เมื่อคิดว่าไม่มีก็มีแต่ต้องลองรับสายดูเท่านั้นจึงจะรู้ได้

“สวัสดีครับ”

‘ไมน์! ไมน์ใช่ไหม?’ เสียงที่คุ้นหูทำให้ปมขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแสนสุภาพ

“ครับ ผมไมน์ครับ ไม่ทราบว่านั่นใครหรือครับ?”

‘เราเอง ภูมิ เพื่อนของแดน ไมน์จำเราได้หรือเปล่า’ ผมคลายสีหน้าลงเป็นนิ่งเฉย เมื่อได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร ผมผ่อนลมหายใจลงเล็ก ก่อนจะหลบเลี่ยงคุณแม่ไปที่ห้องโถงใหญ่ทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่วงท่าสบายๆ

“จำได้สิ ภูมิสบายดีนะ”

‘เราสบายดี แต่เราอยาก…เอ่อ ช่างเถอะ เอาเรื่องของแดนก่อนแล้วกัน ไมน์เห็นรูปในโซเชียลหรือยัง’ อา…คงหมายถึงรูปของดินแดนที่ถือป้ายที่บอกรักผมไว้เหนือศีรษะสินะ

“เห็นแล้วล่ะ ภูมิมีอะไรหรือเปล่า?” ผมออกจะไม่เข้าใจนะครับว่าภูมิต้องการจะบอกอะไรกันแน่

‘แล้วคลิปล่ะ? เห็นคลิปไหม?’

“เราเห็นแค่รูปนะ คลิปยังไม่เห็นเลย” ผมบอกไปตามความจริง ซึ่งดูเหมือนภูมิจะนึกเอาไว้แล้วจึงได้ถอนหายใจออกมา

‘ไมน์…เราจะส่งคลิปไป ไมน์ช่วยดูหน่อยนะ’

“…” ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป ใช้ความเงียบสงบสยบทุกสิ่งเอาไว้ไม่เปิดเผยให้อีกคนรู้ว่าผมกำลังใจเต้นแรงแค่ไหน

‘ดูแล้วไมน์จะเอายังไงก็ตอบมันเองแล้วกันนะ เพื่อนเราที่ชื่อดินแดน รอคำตอบจากไมน์อยู่’






เอ๊ะ? เอ๊ะ?? เอ๊ะ???? คลิปอะไรคะภูมิ ขอแมวดูด้วยสิ แมวก็อยากรู้นะ ทำไมปิดบังแมวแบบนี้!! ว่าแต่ว่า คุณแม่ขาา คุณแม่ทำแมวใจหายไปพักหนึ่งเลยนะคะ นี่แมวก็นึกว่าคุณแม่จะขัดขวางเสียอีก โธ่~

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 100% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-04-2020 19:25:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 100% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-04-2020 23:43:17
ขอโทษที่เข้าไปเป็นมะริ่งกิ่งก่อง
สะระน๊องก่องแก่งมะน่องมะแน่งมั๊บ
ปะล่องป่องแป่งง้องแง้งง้องแง้งในชีวิตเธอ
ขอโทษที่เข้าไปเป็นมะริ่งกิ่งก่อง

 :katai3:
ไม่รู้ว่าจะเม้นท์จะพูดอะไรดี
หึหึ

คนแต่งเก่งนะ..ทำเราซะอึ้ง ไปไม่เป็นทางเลย
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 100% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 30-04-2020 12:39:31
ค้างอะ ลุ้นสุด
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ8] หัวใจเต้นได้ฯ 100% Up [29/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-04-2020 15:21:11
ไม่ว่าจะคลิปเดียวกันไหมที่ทำให้ใจเต้นแรงหรือคลิปที่จะทำให้ใจสลาย ไมน์ก็บ่หยั่น ไม่มีอะไรในสามโลกที่จะมาทำให้ไมน์เลิกรักดินแดนได้หรอก เจอมากว่านี้ยังรัก นับประสาอะไรแค่คลิปหรืออุปสรรคอื่น หึหึ 55555555555 เออๆเอาเข้าไปทั้งคู่อ่ะ เหมาะกันจริงๆนะ ยิ่งดูยิ่งเหมาะสมกัน ไมน์ดินแดน (ฮา) ขอบคุณที่มาอัพต่อนะคะ รอตอนต่อไปจะเกิดไรขึ้นบ้าง  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 50% Up [30/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 30-04-2020 18:37:42
[19] 50%


โอกาส
[/b]

เอี๊ยด!!

“คุณหนู ถึงแล้วครับ”

“ขอบคุณครับพี่ชาติ ขอบคุณมากๆ นะครับ” ผมปิดประตูลงทันทีที่ขอบคุณพี่ชาติเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ได้อยู่ฟังคำตอบกลับมา สองเท้าออกวิ่งอย่างรวดเร็ว หวังเหลือเกินว่าจะสามารถไปทันทีเขาจะยังอยู่ ยังรอผมอยู่อย่างที่เขาบอก

หัวใจของผมทำงานอย่างหนัก อึดอัดจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ที่แผ่นอก แต่ทั้งๆ ที่ผมกำลังอึดอัดจนแทบจะตาย แต่ริมฝีปากกลับแต้มรอยยิ้มกว้างออกมาแบบนี้ ผมทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น ทุกสิ่งมันคือความหวังของผมที่กำลังเป็นจริง อยากเห็นหน้าเขา อยากมองเขาด้วยสายตาคู่นี้ว่าสิ่งที่เขาบอกมานั้น มันออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ ใช่ไหม

ความรักของเรา ความผูกพันที่เรามีต่อกัน มันไม่ใช่เรื่องที่ผมคิดไปเองคนเดียวสินะ

เพียงแค่ผมเห็นคลิปที่ถูกส่งมาผ่านทางไลน์ของภูมิ หัวใจของผมก็เต้นแรง น้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย เสียงร่ำร้องภายในหัวใจบอกกับผมว่าให้รีบมาหาเขา รีบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่โหยหา ความคิดถึงและดีใจทำให้ผมไม่เหลือมาดที่เคยวางเอาไว้

ทุกสิ่งถูกผมทิ้งมันไปจนหมด ให้เหลือเพียงแค่หัวใจของเราสองคน

“ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้มันจะออกมาดีไหม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไมน์จะหายโกรธผมหรือเปล่า” ผมเม้มปากแน่นในขณะที่มองดินแดนที่ปรากฏตัวอยู่ในคลิป

“ผมเพียงหวัง หวังว่าครั้งนี้ผมจะยังไม่หมดโอกาสที่จะได้รับจากไมน์”

“ผมไม่ขอแก้ตัวใด ๆ ในสิ่งที่ผมทำลงไป...” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับความขมขื่นที่พร้อมจะไหลลงมาอาบสองแก้ม

“แต่ผมจะขอแก้ไขได้ไหม ให้เราได้เป็นเราอีกครั้ง และครั้งนี้ผมสัญญาต่อหน้าทุกคน ว่าผม ดินแดนคนนี้ จะไม่มีวันทำให้ไมน์เสียใจอีก จะไม่มีวันทำให้หัวใจของไมน์ต้องเจ็บช้ำเพราะความโลเลของผมอีก” ดินแดนค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่มันกลับดึงดูดสายตาของผมได้อย่างดี แม้แต่ป้ายที่เขาถือเอาไว้ มันก็ยังตรึงใจของผม

“ผมพลาดที่เคยพาใครอีกคนมาทำให้ไมน์เจ็บ พลาดที่ตัวเองเลวจนไมน์ไม่อาจทนอยู่กับผมได้อีกต่อไป แต่ผมก็ทนไม่ได้จริงๆ ที่ต้องเสียคุณไปไมน์ การไม่มีคุณอยู่ข้างๆ ผม การที่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าผมได้เสียคุณไปแล้ว” แววตาของเขาสั่นไหวเจือไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“มันน่ากลัวจนผมไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถฝืนลืมตาขึ้นมาได้อีกนานแค่ไหน...”

“เพราะงั้นผมจะรอนะ จะรออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน จะรอจนกว่าไมน์จะมา ไม่ว่านานแค่ไหนก็ตาม” ผมหลับตา มือคิดจะปิดคลิปลงแต่กลับต้องชะงักลงด้วยคำพูดประโยคสุดท้าย

“ผมรักไมน์ ไมน์จะเป็นเจ้าของดินแดนคนนี้เพียงผู้เดียว ผมเป็นของไมน์นะครับ”


ยิ่งนึกถึงคลิปที่ได้ดูผมก็ยิ่งหุบยิ้มไม่ได้ เขาบอกว่าเป็นของผม ผมเป็นเจ้าของเขา เราสองคนเป็นของกันและกันเหมือนครั้งก่อน คำสัญญาที่จะไม่ทำให้ผมเสียใจ ผมรู้ว่ามันง่ายเกินไปที่จะเชื่อเขา แต่ผมก็อยากจะลองมัน อยากจะลองเชื่อเขาดูอีกสักครั้ง แม้ว่าครั้งนี้มันอาจจะจบด้วยความเจ็บปวดเช่นเดิม แต่อย่างน้อยผมก็ได้ลอง

ผมไม่รู้ว่าดินแดนเขาอยู่ตรงจุดไหน ห้างนี่ไม่ใช่เล็กๆ แถมในคลิปไม่ได้ถ่ายจุดเด่นใดๆ เอาไว้อีกด้วย เขาบอกเพียงแค่สถานที่ หรือก็คือห้างแห่งนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าคือจุดไหน ชั้นอะไร ผมจึงได้แต่วิ่งวนไปจนทั่ว

ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

ผมไม่ละความพยายามที่จะพบเขา ไม่ว่าใครจะมองว่าผมบ้ายังไงก็ตาม ผมเพียงแค่…ไม่สามารถห้ามความรู้สึกตัวเองได้อีกแล้ว ร่างกายกับหัวใจของผมในตอนนี้มันรวมกันเป็นหนึ่ง เลือกที่จะสั่งการให้ตามหาดินแดนให้พบ กอดเขาให้แน่นแล้วไม่พรากจากกันอีก

หลังจากดูคลิปจนจบ ผมก็เรียกพี่ชาติให้ขับรถพาผมมา ต่อให้ต้องใช้ความเร็วมากแค่ไหน เสียเงินเท่าไรเพื่อจะมาให้ถึงเร็วขึ้นผมไม่สนใจ เงินไม่ใช่ปัญหาของผมเลย

ขอเพียงมาหาเขาได้เร็วขึ้น ผมยอมทั้งนั้น

“แฮ่กๆ”

อยู่ที่ไหนนะ อยู่ตรงไหนกันแน่

ผมกวาดสายตามองหาร่างของดินแดน หาฝูงชนที่มีมากมายแต่ก็ยังไม่พบ ผมวิ่งต่อไปเรื่อยๆ มองหาทั้งซ้ายขวาไม่ให้สิ่งใดรอดพ้นไปจากสายตา ผมเริ่มร้อนใจ กลัวว่าเขาจะเลิกรอ กลัวเขาจะถอดใจแล้วกลับไป กลัวเหลือเกินว่าจะไปไม่ทัน เพราะหากเป็นอย่างนั้นผมคงขาดใจตาย รู้แบบนี้ตอนภูมิโทรมาถามจุดที่ดินแดนอยู่เสียก็ดี

ภูมิ! จริงด้วยสิ! ถ้าโทรไปถามภูมิก็คงจะรู้แน่

ผมตัดสินใจได้ก็หยิบเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดเบอร์ที่โทรเข้ามาล่าสุดออกไป เฝ้ารอให้อีกฝ่ายรับสายอย่างร้อนใจ แม้ว่าจะไม่นาน แต่สำหรับผมมันก็นานอยู่ดี

“ภูมิ!!”

‘ไมน์ มีอะไรหรือ?’ ผมพยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะจากการวิ่งไปวิ่งมาที่แสนเหนื่อย ควบคุมน้ำเสียงและทุกอย่างเอาไว้

“ดินแดน…ตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือ?”

ผมอยากรู้ เขายังรออยู่ตรงนั้นไหม แต่ผมไม่กล้า ไม่กล้าจะถามออกไปตรงๆ

กลัวว่าคำตอบที่ได้กลับมาจะทำให้ผม…หมดเรี่ยวแรง

‘ห้าง…ชั้น4 ตรงลานใหญ่ๆ ไมน์รู้จักใช่ไหม?’ ตรงนั้นนั่นเอง ผมขยับริมฝีปากตอบกลับเขาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและดีใจ

“ขอบคุณมากนะ…”

‘ไมน์…’ ผมที่กำลังจะวางสายกลับได้ยินเสียงเรียกของภูมิเสียก่อน น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูลำบากใจมากๆ จนผมที่คิดจะออกตัววิ่งตรงไปยังจุดหมายต้องชะงักเท้า ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง

“มีอะไรหรือภูมิ?” ภูมิเงียบไปสองสามวินาที ก่อนผมจะได้ยินเสียงของเขาที่แผ่วเบา

'เราขอโทษนะ ขอโทษที่เคยมองไมน์ไม่ดี ขอโทษ…ที่คำพูดของเราทำให้ไมน์กับแดนต้องมีปัญหากันแบบนี้’

ผมเม้มริมฝีปาก แววตาที่ก้มลงมองพื้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ผมไม่ได้โกรธภูมิ แต่ก็เสียใจที่เราสองคนไม่เคยเข้ากันได้ เสียใจที่เขาไม่เคยชอบผมทั้งที่ผมพยายามต่างๆ นานา แต่ภูมิเหมือนมองผมเป็นคนที่ไม่ควรอยู่ในชีวิตของดินแดน

แต่ผมไม่คิดว่าเขาทำผิดอะไรหรอกนะครับ เพราะถ้าเป็นผม เพื่อนผมคบกับใครที่ไม่แน่ชัด

ผมก็คงทำไม่ต่างกัน นั่นคือการระแวดระวัง

“ไม่หรอก…”

‘…’ ไม่เลย ไม่ใช่ มันไม่ใช่ความผิดของภูมิเลย

“เรื่องนี้มันผิดที่เรากับแดนมากกว่า เราผิดที่ไม่ชัดเจนในเรื่องฐานะของเรา ซึ่งการไม่พูดก็เท่ากับโกหก แต่เราว่าแดนคงไม่ได้เลิกกับเราเพราะเรื่องนี้หรอกนะภูมิ เราสองคนไม่ได้เลิกกันเพราะภูมิสงสัยว่าเรามาเกาะดินแดนหรอก” เพราะตัวใบบัวเองก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ดินแดนก็ยังเลือกเธอ

เพราะงั้น...มันย่อมใช่เรื่องของฐานะอย่างแน่นอน

‘....’ ผมรู้สึกแย่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ถึงผมจะไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใครออกไปจริง ๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบังตัวตนของผมเลย ดินแดนเองก็ไม่ใช่คนที่จะมองใครที่ฐานะ เขาก็แค่...ชอบเธอที่เป็นเธอ ไม่ใช่เพราะเธอสูงหรือต่ำ แต่คงเพราะอะไรบางอย่างในตัวของเธอที่ทำให้ดินแดน ถูกใจ

“แต่ภูมิ...ภูมิก็คงรู้จักนิสัยของแดนดี คนอย่างแดนไม่มองใครที่ฐานะหรอกนะ เธอคนนั้น...ได้หัวใจของแดนไป ภูมิคงรู้ดี”

‘เราแค่...อยากให้ไมน์กับดินแดนดีกันอีกครั้ง อยากขอโทษ ถึงแม้ไมน์จะบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับคำพูดของเราหรือสิ่งที่เราคิด แต่เราก็ยังอยากจะขอโทษอยู่ดี เพราะงั้น...เราขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ’

ผมสูดลมหายใจก่อนจะพ่นมันออกมา ผมเองก็ดีใจที่ภูมิหันกลับมาพูดกับผมตรง ๆ เมื่อเข้าใจผิดก็ขอโทษออกมาอย่างไม่คิดจะถือตัวยิ่งใหญ่ คงเพราะนิสัยแบบนี้ ดินแดนถึงได้สนิทกับภูมิ

“เรารับคำขอโทษและให้อภัย ภูมิอย่าคิดมากอีกเลยเรื่องนี้ มันผ่านมาแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว คิดถึงมันไปก็เท่านั้น”

‘ขอบใจนะ ขอบใจมากจริง ๆ’ ผมได้แต่ยิ้มกับความรู้สึกจริงใจที่ภูมิส่งมันมาให้ผม

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก เราต้องไปแล้ว แค่นี้ก่อนนะ ไว้คุยกันใหม่”

ผมกดวางสายแล้วออกตัววิ่งไปยังจุดหมายที่ได้รู้จากภูมิ ภาวนาให้เขายังคงรอผมอยู่ ให้เขายังยืนอยู่ตรงนั้น เพื่อผมจะได้หมดความค้างคา และให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนกลับมาเป็นคนที่รักกันอีกครั้ง สองเท้าของผมยิ่งเร่งความเร็วเมื่อภาพตรงหน้าคือเหล่าฝูงชนที่ยังคงล้อมวงอยู่ตรงนั้น

หัวใจของผมเต้นแรง ลมหายใจหอบเล็กน้อยจากความเหนื่อย แต่ไม่มีอะไรหยุดผมลงได้จากสิ่งที่กำลังคาดหวัง ผู้คนที่รุมล้อมต่างแหวกทางออกให้ผมได้มองเห็นเขา หลายคนที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายพวกเราสองคน ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ระยะห่างที่เพียงไม่กี่ก้าวเราสองคนก็จะสามารถจับมือกัน ผมสั่นไปทั้งร่าง น้ำตาก็พานแต่จะไหลอยู่ตลอดเวลา ดินแดนค่อยๆ หันมาหาผมช้า ๆ เขาถือป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า...

ผมรักไมน์

เหมือนที่ผมได้เห็นในรูปที่ถูกแชร์ผ่านโซเชียล

ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้างเมื่อได้เห็นหน้าผม ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา จากรอยยิ้มที่เบาบางก็กลายเป็นยิ้มกว้างที่บ่งบอกได้ถึงความดีใจ

เขาดีใจที่ได้เจอผม แค่เห็นหน้าผมเขาก็ดีใจแล้วหรือ







..........50%...........
[/b]





บอกตามตรงนะคะ ตอนนี้เป็นอะไรที่หั่นยากมาก เพราะหาคำว่าครึ่งไม่เจอออออ ปาดเหงื่อ เขาเจอกันแล้วววว จะเป้นยังไงต่อรออ่านกันพรุ่งนี้นะคะ อดทนเอาไว้นะทุกคนนนน

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 50% Up [30/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 30-04-2020 19:40:29
และแล้วเขาสองคนก็รักกันอีกครั้ง
หุหุ

ส่วนใบบัวได้ตายห่าไปแล้ว(ไม่ต้องกล่าวถึงอีก)
ฮ่าฮ่า

เรียบร้อยดี๊ดี
อิจฉาพระเอก..บ่องตง
 :hao4:

+1 ให้เล๊ยยยยยย
กร๊ากกกกกก
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 50% Up [30/04/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-04-2020 21:17:49
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 100% Up [01/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 01-05-2020 19:23:23
[19] 100%


ผมรู้สึกหวานล้ำอยู่ในอก อยากจะยิ้มตอบออกไปให้เขา แต่มันก็หนักอึ้งจนทำไม่ได้ ทั้งที่ก่อนที่ผมจะมาถึงจุดนี้ผมกลับยิ้มออกมาอย่างไม่คิดจะอายใคร ๆ แต่เพียงแค่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ผมกลับไม่สามารถจะส่งยิ้มนั้นให้กับเขาได้ มันอาจจะเป็นความค้างคาใจที่ผมยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ถ้าหากว่าผมทำลายความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจลงไปได้ เราสองคนก็คง...กลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนเมื่อครั้งวันวาน

“ไมน์...ไมน์มาแล้ว” ผมหลับตาลงอย่างต้องการอาการสั่นไหวในหัวใจ สะกดกลั้นรอยยิ้มที่มันจะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเอาไว้ เสียงรอบข้างเงียบลงราวกับเฝ้ารอให้ผมได้พูดออกไป

“คุณทำอะไร...ไม่อายหรือที่ทำแบบนี้” เสียงที่ผมใช้เอ่ยถามไม่ได้แข็งกระด้าง ไม่ได้เบาหวิวจนไม่อาจได้ยิน เพียงแค่มันสั่นระริกอยู่ในนั้น

“ไม่ ไม่เลย ให้ทำยิ่งกว่านี้ก็ได้ แค่ผมได้พบไมน์”

หัวใจเจ้ากรรมดันไม่ยอมสั่งคำสั่ง เต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ผมยกมือขึ้นลูบมันให้ได้สงบลงแม้สักน้อย แต่มันไม่ได้ผลเลยสักนิด ไม่ใช่เพียงคำตอบที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง แต่ทั้งแววตา น้ำเสียง รอยยิ้ม ทุกอย่างที่รวมเป็นดินแดน มันทำให้ผมไม่สามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่มันก็เป็นเช่นนี้มาเสมอ

“อยากพบผมทำไมกัน คุณเองไม่ใช่หรือที่บอกว่าลืมมันไปจนหมดแล้ว เรื่องของเรา” ผมเปล่าอยากจะรื้อฟื้น แต่คำพูดที่เขาใช้มันทำร้ายผม มันยังคงตามหลอกหลอนผมไม่มีที่สิ้นสุด สีหน้าของดินแดนเศร้าลง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อผม

“ผมขอโทษครับ เพราะความโง่ของผม เป็นเพราะผมที่ไม่มั่นคงต่อความรักของเรามากพอจึงได้ทำให้ไมน์ต้องเจ็บ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง” ผมต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหล แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย เมื่อสองแก้มของผมรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้น

ผมกำลังร้องไห้ มันเป็นเพราะอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจ ความเสียใจ ผิดหวัง หรือความรักที่ได้รับการเยียวยา

“ดินแดน...คุณแน่ใจหรือว่าคุณรักผม บางที...คุณอาจจะแค่รู้สึกผิดต่อผมเฉยๆ ก็ได้”

ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็อย่าเลย ผมน่ะรักคุณมากเกินกว่าจะทนเจ็บปวดได้อีก

ผมสบตากับดินแดน ให้เขาคิดทบทวนมันให้ดี ผมไม่อยากจะเจ็บอีกแล้ว หากว่าเราสองคนรักกันจริง ๆ ผมก็อยากได้ความมั่นใจ อยากจะแน่ใจว่าหากเขาได้หัวใจของผมไปครั้งนี้ เขาจะถนอมมันอย่างดี ไม่ทำให้มันแหลกสลายอีกเหมือนในครั้งก่อน

“ผมแน่ใจ...ผมไม่เคยแน่ใจมากเท่านี้มาก่อน” ผมยืนนิ่ง สบตาของเขามองหาความจริงข้างในดวงตาคู่นั้น ดินแดนขยับเข้ามาหาผมช้า ๆ ทุก ๆ ก้าวที่เขาก้าวเข้ามาเขาจะหยุดลง ก้าวหนึ่งก้าวแล้วหยุดลงหนึ่งก้าวราวกับว่าต้องการขออนุญาตที่จะเข้ามาหาผม ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไปด้วยคำพูด ไม่ได้ก้าวหนีเขาในจังหวะที่เขาก้าวเข้ามา จนในที่สุด เขาก็มายืนอยู่เบื้องหน้าของผม

ยืนอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต้นไปพร้อมกัน ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงตรงหน้าของผมทันที

“ผมรักไมน์ นั่นคือความจริงที่ผมได้รู้ในวันที่เสียไมน์ไป”

“ทำอะไร! ลุกขึ้นมานะ จะบ้าหรือไง!” ผมพยายามจะดึงเขาขึ้นมา แต่เขาไม่ยอม ยังคงดึงดันจะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นต่อ

“ไม่...ผมจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ คุกเข่าให้กับคนที่ผมรัก ไมน์...ช่วยฟังผมหน่อยนะ”

“...”

“ผมเคยคิดว่าไม่ว่าผมจะสายแค่ไหน จะนานสักเท่าไร...ไมน์ก็จะอยู่ตรงนั้น จะรอผมอยู่เหมือนทุกวัน”

ผมเคยรอเขา เคยเฝ้ารอโดยไม่สนใจว่าจะนานแค่ไหน แต่วันสุดท้ายที่ผมเลือกจะไม่รอเขาอีกแล้ว เป็นวันที่ผมรู้สึกได้ว่า...หัวใจของผม มันบาดเจ็บเกินกว่าจะทนอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป

“วันที่ผมมองไม่เห็นไมน์ วันที่ไม่ว่าจะมองหาทางไหนก็ไม่เจอคุณ ผม...ถึงได้รู้ตัวว่า ผมขาดไมน์ไม่ได้”

“...”

“ชีวิตของผมมันต้องมีไมน์อยู่เคียงข้าง ต้องไมน์เท่านั้น ไม่ใช่คนอื่น”

“ฮึก” น้ำตาหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย ร่างกายของผมถูกเขาดึงเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย ซึมซับอุ่นไอจากอ้อมกอดของดินแดนเอาไว้ ในที่สุด...ผมก็ได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง อีกครั้งที่เรากลับมาเป็นของกันและกัน

ดินแดนดันร่างของผมออก เขาส่งยิ้มมาให้ผม ใช้ปลายนิ้วเข็ดหยาดน้ำตาออกไปช้า ๆ ปาดไล่ความทุกข์ทั้งหลายของผมออกไปจากหัวใจด้วยความรักที่แสนอ่อนโยน หัวใจดวงน้อยที่เคยเจ็บจนแหลกสลาย ถูกรักษาด้วยคนที่ทำมันพังลงไปเอง บางที...คนที่ทำมันพังก็คงเป็นคนที่ซ่อมมันได้ดีที่สุด

คนที่ทำเราเจ็บ ก็คงเป็นคนที่รักษาความเจ็บปวดได้ดีที่สุดเช่นกัน

เสียงกรี๊ดรอบด้านทำให้เราสองคนต้องหันไปมอง ทุกคนต่างก็แสดงความยินดีต่อเราสองคนด้วยใจจริง รอยยิ้มและการแสดงออกที่แสนจริงใจสามารถมองเห็นได้อย่างดี ผมส่งยิ้มให้พวกเขาทั้งที่ยังไม่สามารถหยุดน้ำตาที่กำลังไหลได้เลย แต่ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเสีย...น้ำตาพวกนี้ก็เป็นน้ำตาที่แห่งความยินดี

ยินดีที่ได้ความรักกลับมา

“ไมน์ให้โอกาสผมนะ ไม่ต้องให้ผมแก้ไขความผิดพลาด ขอแค่ให้โอกาสผมได้รักไมน์อีกครั้ง ผมสัญญา...ผมจะไม่มีวันปล่อยไมน์ไปอีก ไม่มีวันอย่างแน่นอน” เขาจับมือของผมไปแนบที่ผิวแก้มของเขา ใช้แววตาออดอ้อนเพื่อขอโอกาสอีกครั้งจากผม พร้อมกับเสียงตะโกนจากรอบข้าง

“ให้โอกาส! ให้โอกาส! กรี๊ดดดด!!!!” ผมอดหัวเราะกับเสียงเชียร์ที่ดังมาไม่ได้ ถึงยังไงผมก็แพ้สายตาของเขาอยู่แล้ว ผมไม่เคยชนะดินแดนเลยสักครั้ง ผมแพ้เขามาเสมอ แพ้เพราะหัวใจของผมที่รักเขา

“ครับ”

โอกาสครั้งที่สองที่เราจะรักกัน

















เราสองคนต่างก็เคอะเขินไปเล็กน้อยกับการที่ได้กลับมาเดินจับมือกันอีกครั้ง ดินแดนยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข ในขณะที่ผมได้แต่ก้มหน้าปล่อยให้เขาจับจูงต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ขอเพียงมีเขาอยู่ ผมก็ยอมไปกับเขาทั้งนั้น ผมมองมือคู่นี้ที่ได้มีโอกาสจับมันอีกครั้ง

ไม่อยากปล่อย อยากมีเราตลอดไป ผมโลภไปหรือเปล่า

แต่ผมอยากจะมีดินแดนอยู่ด้วยกันตรงนี้จริง ๆ นะครับ อยากมีเขาอยู่กับผมตลอดไป อยากให้เราเป็นเราอย่างที่เคยเป็นมาตลอด

การได้เดินจับมือกันอีกครั้งแบบนี้ บอกตามตรงผมรู้สึกดีมากจนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน เราสองคนกลับมารักกันอีกครั้ง แบบนี้มันชวนให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจริง ๆ แม้ว่าคนรอบข้างจะมองเราด้วยสายตาแบบไหน แต่ดินแดนก็ไม่คิดจะปล่อยมือของผม และผมก็ไม่ปล่อยมือไปจากเขา แบบนี้...เราสองคนก็จะจับมือกันตลอดไป

แผ่นหลังของดินแดนที่ผมไม่อยากมองมันอีกหลังจากวันที่เขาทิ้งผมไปกับเธอคนนั้น วันนี้กลับเป็นแผ่นหลังที่จะไม่มีวันเดินเคียงไปกับใครคนไหน จะไม่มีวันทอดทิ้งให้ผมต้องมองเพียงด้านหลังของเขา

“แดน เราจะไปไหนกัน?” ผมขืนตัวเอาไว้เมื่อไม่รู้จุดหมายที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ผมไม่ได้กลัว ไม่เลยสักนิด สำหรับดินแดนไม่ว่าที่ไหนผมก็จะไป แต่ผมอยากจะรู้ว่าเราจะต้องเดินกันไปอีกนานแค่ไหนมากกว่า

“ไปทานข้าวครับ ผมอยากทานข้าวกับคุณ คุณแฟน”

ฉ่า!

ความร้อนแล่นขึ้นสู่ผิวแก้มทันทีที่ถูกเรียกแบบนั้น เสียงทุ้มที่แสนนุ่มหูเอ่ยเรียกคำหวานต่อผมขนาดนี้มีหรือที่หัวใจของผมจะทนได้ไหม ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้จนแน่น รู้สึกอายเกินกว่าจะให้ใครได้เห็นสีหน้าของผมในตอนนี้ ดินแดนหัวเราะในลำคอ พยายามแกะมือของผมออกจากใบหน้าพร้อมกับน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่

“ไมน์ อย่าเอามือปิดหน้าสิครับ ทำแบบนั้นผมก็ไม่ได้เห็นหน้าคุณพอดี” ผมส่ายหน้า ไม่ยอมปล่อยมือออกแม้แต่วินาที

บ้า แดนบ้า ทำแบบนี้ผมไม่เขินก็เก่งเกินไปแล้ว

“ไม่เอา แดนแกล้งผม” ผมกลายเป็นคนงอแงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าคนตรงหน้าไม่ได้รำคาญแม้แต่น้อย กลับหัวเราะชอบเสียอีกที่ได้ยินผมงอแงใส่เขา

“หึ ๆ ให้ผมมองหน้าไมน์เถอะนะ ไมน์ไม่อยากมองหน้าผมหรือ?”

ขี้โกง แดนขี้โกงที่สุด ไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาชนะความงอแงของผมด้วยความน้อยใจแบบนี้ สุดท้ายผมจึงทำได้เพียงแค่ค่อยๆ ลดฝ่ามือลงจากใบหน้า เผยความร้อนที่ทำให้สองแก้มแดงปลั่งให้เขาได้เห็น สายตาของดินแดนวาววับไปด้วยความต้องการ

“ไม่อยากกินข้าวเสียแล้วสิ”

“ทำไมล่ะ หรือว่าเพราะไมน์ชักช้าเกินไป” ดินแดนหัวเราะเบาแล้วส่ายหน้า เขาขยับเข้ามาจนใกล้กับผม เราสองคนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน มันน่าอาย แต่ผมก็อยากรู้คำตอบมากกว่า ผมมองแววตาพราวระยับของดินแดนอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง จับจ้องความร้อนแรงที่แผ่ออกมาด้วยหัวใจที่สั่นไหว

“ผมอยากกินไมน์มากกว่า”

“บ้า!!”

ผมหันหลังให้แดนทันทีที่เขาพูดจบ ความรู้สึกเคอะเขินยิ่งมีมากขึ้นเพราะตัวผมเองเข้าใจดีว่าเขาต้องการอะไร แม้ว่าผมเองก็ต้องการเขามากมายแค่ไหน แต่เราก็ไม่ควรมาพูดกันในที่แบบนี้ มันน่าอายรู้บ้างไหม

“หึ ๆ ไปกันเถอะครับ มีใครบางคนรออยู่นานแล้ว”

“ใครหรือแดน?”

แดนไม่ตอบคำถามของผม เขายังคงจับจูงผมให้เดินเคียงข้างไปกับเขาอย่างไม่รีบร้อนใด ๆ เราสองคนต่างก็โหยหากันและกันมา เมื่อได้สัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่ายจึงไม่อยากจะทำสิ่งใดนอกจากสัมผัสให้มากยิ่งขึ้น ผมไม่อยากปล่อยมือไปจากเขา เช่นเดียวกันกับที่เขาเอวก็ไม่อยากจะปล่อยมือของผม เราสองคนจึงจับมือกันแน่นมากยิ่งขึ้น ให้แน่ใจว่าใครคนหนึ่งจะไม่ปล่อยมือ

ดินแดนพาผมเดินเข้ามาที่ร้านแห่งหนึ่ง ภายในร้านมีการตกแต่งที่ดูเรียบแต่กลับน่ามอง บรรยากาศมีความสบายในอารมณ์ทุกครั้งที่ได้กวาดสายตาไป ผมไม่รู้ว่าใครที่รอเราอยู่ แอบกลัวเหมือนกันว่าจะเป็นเธอคนนั้นอีกหรือเปล่า เพราะถ้าหากใช่ ผมกลัวว่าตัวเองจะเลือกวิ่งหนีออกมา แทนการรอฟังความจริง

เมื่อเจ็บมาจนไม่อาจทนไหว ตัวผมเองย่อมมีการป้องกันตัวไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บ จริงอยู่ที่ผมตอบตกลงให้โอกาสดินแดน ยอมกลับมาเป็นแฟนกันอีกครั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมเลือนสิ่งที่เขาเคยทำไว้ มันเป็นเหมือนบทเรียนเพื่อให้ผมเรียนรู้ถึงการแสดงออก หากวันใดดินแดนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมจะได้รู้มันให้ทันเวลา และเอาตัวเองออกมาก่อนที่จะเจ็บ

“มาแล้วสินะ”

เสียงของผู้ชายตนหนึ่งดังขึ้นมาทำให้ผมต้องหันไปมอง ใบหน้าของคนคนนี้แทบจะเหมือนดินแดนทุกอย่าง ต่างก็ตรงที่ผู้ชายคนนี้มีลักยิ้มอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง ใบหน้าหล่อเหลาจนผมแทบจะอ้าปากค้าง จริงอยู่ที่พี่ชายผมเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาอันดับหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็...หล่อกว่าพี่มินอยู่ดี!!

ใคร คนคนนี้เป็นใครกัน หล่อขนาดนี้ทำไมผมถึงไม่เคยเห็นในการจัดอันดับ ให้ตายเถอะ พี่มินรู้เข้าต้องอกแตกตายแน่!

“นี่นะหรือคนที่บอก” บอก? บอกอะไร?

“ครับพี่ คนนี้ล่ะครับที่ผมบอกพี่” ผมได้แต่ยืนงงอยู่ท่ามกลางบทสนทนาของเขาทั้งสองคน หันไปทางไหนก็เจอแต่ความไม่เข้าใจ ดินแดนหันมาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำเสียงทุ้มหูที่เอ่ยแนะนำ

“นี่ไมน์แฟนของผมครับ”

“...” ผมยกมือขึ้นไหว้เขาทันทีที่ถูกแนะนำ แล้วก็ต้องอึ้งกับสถานะของคนตรงหน้าที่นั่งหล่ออยู่พร้อมกับแก้วกาแฟ

“ไมน์ครับ นี่คือพี่อาณาเขต พี่ชายของผมเอง

ไม่จริงน่า!! ดินแดนมีพี่ชายด้วยหรือ มีตั้งแต่เมื่อไรกัน!









เขาก็มีมาตั้งแต่เกิดนั่นล่ะค่าน้องไมน์ พี่ชายนะคะลูก ไม่ใช่ไฝ จะได้เพิ่งจะมีตอนโต ดินแดนคุกเขาขอโทษ พร้อมกับสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่ทำให้น้องเสียใจ แบบนี้แล้ว...แม่ๆพร้อมให้อภัยได้หรือยังเอ่ยยย อยากเดินออกไปกลางสี่แยกแล้วตะโกนออกไปว่า เขาดีกันแล้วจ้าาาาาาาาา

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 100% Up [01/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-05-2020 20:32:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 100% Up [01/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 01-05-2020 23:55:35
น้ำเน่าได้มั้ย 555 อ่านแล้วมีความสุข
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 100% Up [01/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-05-2020 15:02:17
เธอตายไปแล้วจริงๆ ใบบัว
หุหุ

ปล่อยให้สองคนนี้เค้าครองรักกันอย่างมีความสุข
ฮ่าฮ่า

นิยายเรื่องนี้บอกว่า "ไมน์" คือ ของตาย
เพราะไม่ว่าจะสาย หรือจะนานขนาดไหน
พระเอกก็ยังมั่นใจว่า จะไปไหนไม่ได้อยู่ดี

ดินแดนแม่งทำบุญมาด้วยอะไรหว่า
ถึงได้ "เชืี่ย" แต่ยัง "โชคดี" ได้ขนาดนี้

เรื่องเวรเรื่องกรรม ช่างหัวแม๋มสิ
ใครสน..อิอิ
 :seng2ped:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 100% Up [01/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 03-05-2020 06:16:31
 :เฮ้อ: อ่านแล้วอิน เพราะเคยมีคนรู้จัก ก็แบบนี้อะ รักจนโง่ไปเลย ... ให้อภัยง่ายไปนิด
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [1ุ9] โอกาส 100% Up [01/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-05-2020 13:34:37
 :3123:
  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 50% Up [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 05-05-2020 18:01:21
[20] 50%


ข่าวร้าย...

“ไมน์ครับ นี่คือพี่อาณาเขต พี่ชายของผมเอง”

ได้ยินประโยคนั้นผมเองก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก พี่ชายคนนี้ของดินแดนหน้าตาดีมาก แต่ติดเงียบขรึมท่าทางน่าเกรงขาม ผิดกับพี่ชายของผมเองที่ไร้ความเงียบขรึม คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าจนหมด นึกเปรียบเทียบแล้วผมก็ดันหดหู่ในใจเองเสียอย่างนั้น

แต่ไม่สิ พี่ชายของผมต้องดีที่สุดอยู่แล้ว ใครก็สู้พี่ชายของผมไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ ฮึ!

“อะ สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” สายตาเย็นๆ ที่มองมาทางผมเล่นเอาขนลุกซู่จนต้องหลุดออกมาจากภวังค์ อาณาเขต ผู้ชายคนนี้ดูแล้วอันตรายมากเหลือเกิน อันตรายจนผมไม่อยากเข้าไปยุ่ง

“พี่เขต! อย่ามองแฟนผมแบบนั้นสิพี่”

“หึๆ ขอโทษที พี่ล้อเล่นน่ะ” ผมยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้กับพี่ชายดินแดน

ล้อเล่นที่ไหนกัน จ้องผมเหมือนกับจะกินเลือดผมแบบนั้น

ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ถ้าพี่มินอยู่ด้วยก็ดี อย่างน้อยก็มีที่ให้ผมได้หลบสายตาน่ากลัวคู่นี้ สีหน้าเรียบเฉยกับแววตาที่คมยิ่งกว่าใบมีด เหมือนของคุณอาสมภพไม่มีผิด

“นั่งสิ”

ดินแดนเลื่อนเก้าอี้ออกให้กับผม ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้างๆ กับผม มือของเราจับกันอยู่ใต้โต๊ะ ดูเหมือนว่าดินแดนจะเข้าใจความรู้สึกของผมดี เขาจึงได้มีท่าทีแบบนี้ เขาคงพยายามจะปลอบโยนผม พอได้รับไออุ่นของดินแดนผ่านทางฝ่ามือ หัวใจของผมก็พอสงบลงไปได้บ้าง อย่างน้อยดินแดนก็ยังห่วงใยผม

“เรื่องที่ผมขอให้พี่ช่วย พี่ว่ายังไงครับ?” ผมมองพี่อาณาเขตที่ไร้ความร้อนอกร้อนใจใดๆ เอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับยกกาแฟขึ้นมาจิบไปด้วยอย่างไม่เข้าใจ

เขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน?

“เรื่องนั้นฉันตกลงอยู่แล้ว แต่นี่คงไม่ใช่ว่าวางแผนเพื่อจะหนีไปเที่ยวกับแฟนหรอกใช่ไหม?” ดวงตารีเรียวค่อยๆ หรี่ลงอย่างจับผิด ซึ่งผมเองก็หันมองหน้าของดินแดนด้วยเช่นกัน ดินแดนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ มีเพียงแค่แววตาที่จริงจังส่งตอบกลับไปเพียงเท่านั้น

“ผมอยากให้เธอออกไปจากชีวิตของผมกับไมน์ ผมพลาดเองที่ดึงเธอเข้ามา”

ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างรู้ในคำตอบ ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมในร้านอีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมเองก็พอยอึดอัดไปด้วยเพราะเพิ่งเคยพบกับพี่ชายของดินแดนครั้งแรก ผมเองก็ไม่ใช่คนเก่งกาจที่สามารถสนิทกับใครได้ในพริบตา ยิ่งคนแบบพี่อาณาเขตแล้วด้วย บอกเลยว่าสนิทด้วยยาก! ผมคงไม่มีหน้าไปสนิทด้วยหรอกครับ มองครั้งหนึ่งก็เหมือนรู้ไปทุกอย่างว่าคิดอะไร คนแบบนี้ผมไม่อยากยุ่งด้วยสักเท่าไร

ดินแดนหันไปเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหาร ผมไม่ได้เป็นคนเลือก เพราะความเกรงใจจึงส่งให้พี่ชายของดินแดนและตัวของดินแดนเองเป็นคนเลือกมัน เรารอให้อาหารมาเสิร์ฟอยู่พักหนึ่ง ระหว่างนั้นมีแต่ความเงียบที่เข้ามากลืนกินจนผมแทบจะจิตตก อยากจะวิ่งออกจากร้านไปแล้วด้วยซ้ำ

“ว่าแต่พี่เถอะพี่เขต ไม่คิดจะหาลูกสะใภ้ให้คุณพ่อสักทีหรือ?” ผมนั่งฟังการสนทนาระหว่างสองพี่น้องเงียบๆ ยกน้ำแตงโมปั่นขึ้นมาดื่มไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการดูจดจ่อต่อเรื่องของพวกเขามากเกินไป แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่าผมจะพบเจอกับ...

“ไมรวี!!”

พรวด!!

“แค่กๆ พะ พี่มิน”

โธ่เอ๊ย นี่มันวันโลกแตกอะไรกันครับ ผมเพิ่งจะดีกับดินแดนได้ไม่ถึงสองชั่วโมง ทำไมพี่ชายของผมถึงโผล่มาที่นี่ได้ล่ะ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะอยากหลบหลังพี่มินเพื่อให้อดจากสายตาของนักล่าอย่างพี่อาณาเขตก็ตาม แต่มาแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ หน้าตาขึงขังจนน่ากลัวแบบนี้ ถึงจะเป็นพี่มิน ผมก็กลัว

“มะ มา มาได้ยังไงครับ แล้วงานของพี่ล่ะ” ทำไมทิ้งงานมา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้!!! ผมจะได้คบกับดินแดนอย่างมีความสุขไหมนี่! พี่มินถลึงตาใส่ผมเหมือนที่ทำทุกครั้งเวลาผมไม่ฟังคำพูดของพี่มิน

“งานเงินอะไรช่างมันสิ! รู้หรือเปล่าว่าพี่รู้สึกยังไงตอนที่เปิดโซเชียลแล้วเจอภาพของเรากอดอยู่กับหมอนี่!” สีหน้าของพี่มินดูไม่พอใจอย่างมาก ทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าหดตัวลงให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้

“พี่มิน สวัสดีครับ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อ...”

“ไม่ต้อง!! ผมไม่ได้อยากรู้จักคุณ!” ใครจะไปคิดว่าพิ่ชายผมจะแหกหน้าคนแบบนี้ ผมได้แต่บีบมือของดินแดนเอาไว้อย่างให้กำลังใจ

“ถ้าไม่อยากรู้จักน้องชายฉัน กับฉัน นายคงพอจะยอมทำความรู้จักสินะ มิน” พี่มินปรายตาไปหาพี่ชายของดินแดน ก่อนที่ดวงตาของพี่ชายผมจะฉายแววตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ

อะไรกัน สองคนนี้รู้จักกันด้วยหรือ? ตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย

“ไอ้เหี้ยเขต!!”

ผมกับดินแดนสะดุ้งเบาๆ กับสรรพนามใหม่ที่พี่อาณาเขตถูกใช้เรียก ต้องสนิทกันมากขนาดไหนพี่ผมถึงจะพ่นคำหยาบคายแบบนั้นออกมาจากปาก แต่แทนที่พี่เขตจะโกรธ กลับกันพี่เขตกลับเอาแต่ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ลุกขึ้นยืนเทียบความสูงกันอย่างไม่ยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันในคนละความหมาย

พี่มินมองพี่เขตด้วยสายตาที่เรียกว่าอาฆาตแค้น ประหนึ่งว่าเคยถูกสอยร่วงกลางสี่แยกมาก่อน แต่พี่เขตนั้น ผมกลับตีความหมายของสายตาคู่นั้นไม่ออก สิ่งที่ชัดเจนคือความรู้สึกอันตรายและอาการขนลุกแปลกๆ มันทำให้ผมอยากจะลากพี่ชายผมไปเก็บไว้ที่บ้าน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีหรือเปล่า”

“ฮึ่ม!” พี่มินแทบจะถลาเข้าไปต่อยพี่เขตด้วยซ้ำ ติดก็ตรงที่สติพี่มินดีมาก ระงับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว จากการเข้าไปต่อยหรือฆ่าให้ตาย เหลือเพียงแค่การชี้หน้าแทน ในระหว่างที่ทั้งสองคนยังคงจับจ้องกันอย่างไม่ยอมแพ้ ผมจึงหันไปกระซิบถามแดนที่เป็นน้องชายแทน

“แดน พี่ชายแดนรู้จักพี่มินด้วยหรือ?” ดินแดนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับไมน์”

ประเด็นนี้จึงทำได้เพียงหาคำตอบจากการพูดคุยและท่าทางที่มีต่อกันเท่านั้น พี่มินไปรู้จักพี่ชายของดินแดนตอนไหน ผมคงต้องรอซักฟอกถามพี่มินที่บ้านเสียแล้ว ยังไงมันก็สำคัญสำหรับผม เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงไม่เล็กน้อยหรอก ถ้าดูจากความแค้นที่มีอยู่เต็มสายตาของพี่มินในตอนที่มองหน้าพี่เขต ยังไงก็คงต้องหาทางเคลียร์ให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้น อนาคตของผมกับดินแดนคงดับวูบ จากที่พี่มินไม่ชอบดินแดนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากพี่ชายดินแดนเป็นศัตรูอีก คงเกลียดแดนจนไม่ยอมให้ผมกับแดนคบกันแน่นอน

“พี่เขต พี่รู้จักพี่ชายของแฟนผมด้วยหรือ?”

“น้องผมไม่ใช่แฟนคุณ!!”

“พี่กับมินสนิทกันมาก”

“ตัวเหี้ยอย่างคุณผมไม่เสียเวลาไปสนิทด้วยหรอก!”

ผมมองสงครามขนาดกลางๆ ที่กำลังปะทุอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่อธิบายอะไรไม่ได้ สรุปแล้วคือสนิทกันหรือแค้นเคืองกันอยู่กันแน่ ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งไม่เข้าใจ ดินแดนเองเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ของทั้งสองคนก็ยิ่งทวีความไม่เข้าใจ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความสงสัยจนอยากจะเอ่ยถามให้หายคาใจ

“ออกจะสนิทกันแท้ๆ” พี่มินกัดฟันกรอด จะว่าไปพอยืนเทียบกันแล้ว พี่ชายผมเตี้ยกว่าอยู่เล็กน้อย รูปร่างก็ต่างกันพอควร ถ้าต่อยกันขึ้นมา ฟันธงเลยว่าพี่ผมแพ้ยับแน่นอน

“สนิทกับพ่อคุณนะสิ ไอ้สารเลว!” ผมรีบหันไปมองดินแดนทันทีที่พี่มินหลุดด่าผู้ให้กำเนิดที่...มีแฟนของผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

“ดะ แดน เอ่อ” แต่ดินแดนกลับส่ายหน้าแล้วหันมายิ้มให้ผม มือของเขาบีบกระชับมือของผมราวกับจะบอกว่าไม่ต้องคิดมาก ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดีขึ้นมาหน่อยที่ดินแดนไม่คิดอะไร ผมไม่อยากจะต้องเป็นตัวกลางการห้ามมวยระหว่างพี่แฟน แฟนผมและพี่ชายของผมเอง

“มิน เล่นพ่อฉันแบบนี้ ระวังจะไม่จบแค่ปากแตกนะ”

พี่ชายผมตัวสั่น กัดฟันอย่างโมโหจนผมเองยังแปลกใจ ไม่เคยเห็นพี่มินโมโหขนาดนี้มาก่อนเลย ครั้งนี้เรียกได้ว่าพี่มินแพ้ทางพี่เขตทุกอย่าง บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนนี้สิ้นสุดลงอย่างง่ายดายเมื่อพี่ชายของผมทิ้งตัวลงนั่ง ไม่สนใจว่าใครจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมหันไปมองพนักงานที่ถืออาหารรออยู่พักใหญ่แล้วแต่ไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เอากับข้าวร้อนๆ สาดใส่กันจนเป็นเรื่อง

“ทำไม? ผมจะนั่งทานข้าวกับน้องชายผมไม่ได้หรือไง?” ดินแดนหันไปมองพี่ชายตัวเอง แต่เมื่อเห็นพี่เขตกระตุกยิ้มร้ายๆ แล้วนั่งลงตามก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก พนักงานเองเมื่อมองเห็นพายุความวุ่นวายที่สงบลงก็เดินเข้ามาเสิร์ฟอาหาร โดยเอาอาหารจำพวกที่เป็นน้ำซุปร้อนๆ ไว้ทางฝั่งผมกับดินแดนเสียมากกว่า จะว่าไปร้านนี้ก็ใส่ใจลูกค้าดีเหมือนกันนะ









...........50%..........





เอ๊ะ เหมือนมีนกรู้ ไหนใครจิ้นพี่เขตกับพี่มินมาแสดงตัวดี๋ยวนี้!! ฮาาาา ว่าแต่พี่อาณาเขตขาาา สนิทกันขนากไหนเหรอคะ มากพแจะพาขึ้นเตียงไหม แค่กๆ เมื่อวานไม่ได้ลง เลยมาลงวันนี้แทน ครึ่งหลังเจอกันพรุ่งนี้นะคะ รักน้าาา

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 50% Up [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-05-2020 18:47:27
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 50% Up [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-05-2020 10:58:15
เห็นทีทั้งพี่ทั้งน้องบ้านนี้
จะไปเป็นสะใภ้บ้านนู้นกันหมด
หุหุ

ลูกชายสองบ้านนี้ เคมีตรงกันจริงจริ๊ง
ใครได้ดุล ใครเสียดุล
55
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 50% Up [05/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 06-05-2020 11:09:35
ได้โอกาสใหม่แล้วก็ขอให้พิสูจน์ให้เห็นกันยาวๆนะแดน
ที่ผ่านมาทำอ่านด่ามาตลอด คงไม่หยุดด่าง่ายๆ
และแอบลุ้นกับฝั่งพี่มินค่ะ คู่นี้น่าจะฮา เป็นสีสัน 555
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 100% Up [06/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 06-05-2020 21:21:15
[20] 100%


การรับประทานอาหารดำเนินไปอย่างเงียบๆ โดยที่ผมและดินแดนต่างก็ต้องคอยระวังไม่ให้ภูเขาไฟสองลูกนี้เกิดปะทุขึ้นมาอีก

“ไมน์ครับ ทานนี้นะ กุ้งแม่น้ำที่ไมน์ชอบ” ผมยิ้มรับให้กับดินแดนที่เขายังคงจดจำได้ว่าผมชื่นชอบอะไร

“ขอบคุณมากนะแดน” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตักมันเข้าปาก จู่ๆ พี่มินก็ยื่นมือมาตักเจ้ากุ้งตัวโตออกไปจากจานของผมแล้วเอาเข้าปากตัวเองแทนเสียอย่างนั้น แถมยังเคี้ยวเหมือนมันเป็นศัตรูมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

“พี่มิน!! นั่นกุ้งของไมน์นะ ของไมน์!!” ผมโวยวายอย่างงอแง กุ้งตัวนั้นดินแดนตักมาให้ผมครั้งแรกในรอบปี ตั้งแต่ที่เราทะเลาะกัน แต่พี่ชายผมกลับ...แย่งมันไปกินหน้าตาเฉย

แบบนี้มันใจร้ายเกินไปแล้ว!

“เอา พี่ตักให้ใหม่แล้ว กินสิ” ผมมองเจ้ากุ้งแม่น้ำที่ถูกตักมาใหม่ในจานอย่างหมดคำจะพูด นี่พี่ชายผมไม่เข้าใจจริงๆ หรือแค่กำลังกวนอารมณ์ของผมอยู่กันแน่ มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!

“อยากกินกุ้งทำไมไม่บอก เอานี่! ...จะได้ไม่ต้องไปแย่งของน้อง” ผมอยากจะอ้าปากค้างกับความใส่ใจของพี่ชายดินแดนที่มีต่อพี่ชายของผมมาก กุ้งตัวโตถูกตักไปวางในจานของพี่ชายผมอย่างรวดเร็ว แต่พี่ผมนะหรือจะทาน ไม่มีทางเสียหรอก

เห็นไหม...เขี่ยทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

“ไม่ต้อง ผมตักเองได้!” แต่แทนที่พี่เขตจะหยุด แต่เปล่าเลย พี่เขตยังคงดื้อดึงตักของมากมายให้กับพี่ชายของผม แต่แปลกนะ แต่ละอย่างที่ส่งไปในจานของพี่มินล้วนแต่เป็นของโปรดพี่มินทั้งนั้น หรือว่าพี่มินจะสนิทกับพี่เขตจริงๆ

“นี่ของชอบนายไม่ใช่หรือ” ผมมองเนื้อปลาสีขาวที่อยู่ในจานของพี่มินอย่างสนใจ แต่สีหน้าที่เย็นชาของพี่มินกลับน่าสนใจยิ่งกว่า ดวงตาทั้งสองของพี่ชายผมมันสะท้อนอารมณ์ที่ผมมองไม่ออกไปวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกลบหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ของที่เคยชอบ ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบอยู่” ปลาชิ้นนั้นถูกเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดีต่อความรู้สึกของคนให้แม้แต่น้อย ผมรู้สึกเหมือนเห็นหัวใจดวงหนึ่งกำลังร่วงหล่น เหมือนเห็นตัวเองในวันที่ดินแดนทำให้ผมเจ็บปวดจนต้องถอยออกมา

มันเหมือนกับผมในวันนั้นจริงๆ ความเอาใจใส่ของดินแดนในวันที่สายไป

“วันนี้ผมชอบอย่างอื่นไปแล้ว คุณไม่รู้ย่อมไม่แปลก เพราะงั้นไม่ต้องแสดงความหวังดีต่อผม ผมไม่ต้องการมัน” ผมได้แต่กลืนข้าวที่ยังไม่ทันจะเคี้ยวให้ละเอียดลงคอไปอย่างฝืดเคือง ประโยคที่พี่มินพูดออกมาผมว่ามันฟังดูแปลกๆ ฟังยังไงก็คล้ายๆ …คำพูดที่คนรักเก่าเขาใช้พูดใส่กัน

ไม่ๆ ผมไม่ควรคิดอะไรบ้าๆ แบบนั้น พี่มินกับพี่อาณาเขตนี่นะ จะเป็นคนรักเก่ากัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ผมเหลือมองสีหน้าของพี่เขตอีกครั้งว่าไม่ได้มีสีหน้าที่อยากจะฆ่าพี่ชายของผมให้ตายไปใช่ไหม แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้นมีแต่ความหน่ายใจ คล้ายกับอาการเอาแต่ใจของเด็กดื้อเสียมากกว่า ผมอดแปลกใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่มินกับพี่เขตเป็นแบบไหนกันแน่ จะคนรักก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง ศัตรูที่ไหนเขาตักอาหารให้กันแบบนี้ คิดไปคิดมาสติก็หล่นหายไปจากหัวผมเพราะทุกอย่างมันไร้คำตอบไปหมด ผมเชื่อมโยงอะไรไม่ได้เลย

“ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ” เสียงบ่นของพี่เขตไม่ได้เบาสักนิด ดูก็รู้ว่าจงใจให้พี่ชายของผมได้ยิน และแน่นอนว่าพี่มินต้องได้ยินเต็มสองหู มือที่จับช้อนอยู่ถึงได้กำช้อนจนแน่นราวกับต้องการจะหักมันให้ได้ด้วยสองมือ

“คุณพูดอะไรของคุณ!” พี่เขตไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อความไม่พอใจของพี่มินแม้แต่น้อย ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะยิ่งดูยียวนให้คนที่ได้ยินต้องสติแตก

“ก็แค่บอกว่า นิสัยนายยังเด็กเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ฉันพูดผิดตรงไหน?” ผมอยากจะปรบมือให้กับความเก่งกล้าของพี่เขตมากๆ แต่ก็อยากจะกราบกรานพี่เขตในเวลาเดียวกันว่าให้รีบหยุดเถอะ ก่อนที่ความสัมพันธ์ของผมและดินแดนมันจะดิ่งลงเหวมากไปหว่านี้

“คุณมันก็เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน” พี่มินกัดฟันพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ ผมเห็นพี่เขตผงกหัวรับอย่างเต็มใจราวกับว่านั่นคือคำชม

“สารเลวยังไง ก็ชั่วช้าอย่างนั้น คงเส้นคงวาดีนะครับ สันดานของคุณ”

หน้าของผมนี่ซีดแล้วซีดอีก รู้สึกเหมือนกับว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ชายของผมจะปากหมาได้ขนาดนี้ พี่มินที่แสนดีของผมหายไปไหน ทำไมเจอพี่เขตแค่ไม่กี่นาที พี่ผมถึงได้คุมตัวเองไม่อยู่เสียแล้ว

ผมคิดจะอ้าปากเอ่ยเรียกสติของพี่มิน แต่ดินแดนกลับกระตุกมือของผมจนผมต้องหันไปมองเขา เขาเพียงแค่ทำสีหน้าปลงตก ส่ายหน้าห้ามไม่ให้ผมสอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ความจริงผมควรจะหยุดพี่มินนะครับ ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายใหญ่โต ยังตอนนี้ครอบครัวของเราสองฝั่งก็กำลังดำเนินธุรกิจร่วมกัน การที่จะต้องมามีเรื่องขัดแย้งกันเอง ผมว่ามันคงดูไม่ดีเท่าไรในสายตาของคนอื่น

“นายคงลืมไปแล้วสินะมินวรุตม์ ว่าครั้งสุดท้ายที่นายปากดีกับฉัน…มันจบลงยังไง” แววตาของพี่มินวูบไหวไประลอกหนึ่งก่อนจะที่จะเปลี่ยนเป็นเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้น เลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายอย่างยียวน

“พอดีผมมันเป็นพวก…เลือกจำเสียด้วยสิ คนไม่สำคัญ ผมไม่จำมันให้รกสมองหรอกนะครับ คุณอาณาเขต” คราวนี้ผมว่าชะตาพี่มินขาดแน่ๆ เพราะสายตาของพี่เขตที่เปลี่ยนจากเหนื่อยหน่ายใจกลับกลายเป็นแววตาที่วาวโรจน์และแข็งกร้าวไปด้วยความไม่พอใจ

ผมคิดจะลุกขึ้นไปดึงพี่มินแล้วเอ่ยขอโทษพี่เขตสักสองสามครั้ง แต่ติดตรงที่ดินแดนไม่ยอมให้ผมขยับตัวไปไหน เขาไม่ยอมให้ผมสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของพี่ชายของเรา มันทำให้ผมไม่เข้าใจ แต่ความร้อนใจยิ่งมีมากกว่า เมื่อพี่เขตใช้สองมือคว้าแขนทั้งสองข้างของพี่มินเอาไว้จนแน่น

“ปล่อย!” พี่มินสั่งเสียงเข้ม สีหน้าฉายความเจ็บจากแรงบีบออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังพอให้มองเห็นบ้าง

“พี่ พี่อาณาเขตครับ ผมขอโทษแทนพี่ชายของผมด้วย ปล่อยพี่ผมเถอะนะครับ” ผมพยายามประนีประนอมเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนพี่เขตจะโกรธเกินกว่าจะสนใจผมกับดินแดนอีกแล้ว

“ไปขอโทษมันทำไม คนอย่างอาณาเขตนะหรือ อย่าไปเสียน้ำลายพูดด้วยเลยจะดีกว่า”

“พี่มิน!!” ผมเรียกเพื่อให้พี่มินหยุดพูด แต่พี่มินไม่สนใจสิ่งที่ผมพยายามแสดงออก พี่เขตยกยิ้มเหี้ยมออกมา สองมือยิ่งบีบแขนของพีามินจนแน่นเข้าไปอีก พี่ชายผมได้แต่ดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างไม่มีทางหนี คนเป็นน้องอย่างผมยิ่งเห็นก็ยิ่งปวดใจ

“ดีนี่! ปากเก่งขึ้นเยอะเลยนะมิน ฉันชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่า…อย่างอื่นนายจะเก่งขึ้นด้วยหรือเปล่า มานี่!”

“พี่มิน! แดน แดนช่วยพี่ชายไมน์ด้วย ช่วยห้ามพี่อาณาเขตหน่อย!” ผมพยายามให้ดินแดนช่วย แต่แดนกลับได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับยืนขึ้นวางเงินไว้ที่โต๊ะแล้วพาผมเดอนออกมา

ผมและแดนพยายามตามหาว่าพี่อาณาเขตไปทางไหน แต่ก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า ใครต่อใครต่างเดินสวนทางเราสองคนไปมากมาย แต่ไม่มีสักคนที่จะใช่พี่ชายของเราสองคน ผมร้อนใจหนัก...กลัวแต่ว่าพี่อาณาเขตจะทำร้ายพี่มิน กลัวว่าพี่มินจะเป็นอะไรไป

ทำไงดี คลาดกันไปแล้ว ผมควรทำยังไงดี!

“ไมน์ ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวผมจะโทรหาพี่เขตเอง มันไม่มีอะไรหรอกเชื่อผมสิ”

“ไมน์เองก็หวังอย่างนั้นนะ”

ดินแดนตบหลังมือของผมเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะลอบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขหาพี่ชายของเขา รออยู่ไม่นานนัก พี่อาณาเขตก็รับสาย

“พี่เขต พี่เอาตัวพี่แฟนผมไปไหน?” ผมเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ มองสีหน้าเคร่งเครียดของดินแดนที่ค่อยๆ คลายออก จนเหลือเพียงความแปลกใจก็เกิดสงสัยขึ้นมาบ้าง

“เอางั้นหรือ ก็ได้ เดี๋ยวผมจะบอกไมน์เอง ได้พี่ อย่าลืมเรื่องนั้นด้วยล่ะครับ ขอบคุณครับพี่”

“แดน พี่อาณาเขตว่าไง พี่มินล่ะ? พี่มินอยู่ไหน?” ผมถามทันทีที่ดินแดนวางสายไป ผมร้อนใจจนแทบบ้าอยู่แล้ว

“พี่เขตพาพี่มินไปเคลียร์ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นน่ะ ผมเองก็ไม่รู้ละเอียกนัก รู้แค่ว่าพี่ชายเราสองคนกำลังเข้าใจผิดกันอยู่” ผมค่อยเบาใจลงได้เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าที่เคร่งเครียดก็คลายลงไปมาก ถึงแม้ว่าจะหายกังวลแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ท่าทางตอนพี่มินที่ตัวสูงแต่ถูกกระชากตัวให้เดินตามโดยที่ขัดขืนไม่ได้ มันช่าง…น่าเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้

“เอาไงต่อดีครับไมน์ ไมน์อยากไปไหนต่อหรือเปล่า?” นาทีนี้ผมก็เริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน แต่ผมยังไม่อยากที่จะแยกจากเขาเร็วแบบนี้ อยากยื้อเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่วันสุดท้ายก็ตาม แต่ผมก็อยากจะอยู่กับเขาอยู่ดี

“ไมน์คิดไม่ออกเลย แต่ไมน์ยังอยากอยู่กับแดนต่อ อยากใช้เวลาด้วยกันอีก ยังไม่อยากกลับ” นั่นเป็นความจริง ผมคิดแบบนั้นจริงๆ

ดินแดนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ กระชับอุ้งมือที่จับกันอยู่จนแน่นราวกับกลัวว่าใครสักคนจะมาพรากเราสองคนออกจากกัน ผมยิ้มให้ดินแดนเหมือนที่ดินแดนเองก็ยิ้มให้ผม เราสองคนต่างก็มีรอยยิ้มเดียวกัน นั่นคือรอยยิ้มแห่งความสุข

สุขที่ได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา ความสุขที่ครั้งหนึ่งเราเคยทำหล่นหายไป

แต่โชคดีแค่ไหนที่เราต่างก็ได้มันคืน

“แหม! น่าอิจฉาจังเลยนะคะ คู่รักคู่ใหม่ที่ใครๆ ก็จับตามอง” น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากทางด้านหลังจนเราสองคนต้องหันกลับไปมอง ร่างบอบางของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

“ใบบัว” ใช่แล้ว ผู้หญิงที่เป็นคนทำลายความสัมพันธ์ของเราสองคนให้ขาดสะบั้นลง ผู้หญิงที่ผม…ไม่เคยชอบเธอเลย

“ดีใจจังเลยค่ะที่ยังจำกันได้ บัวละปลื้มเหลือเกิน” ดินแดนขยับร่างมาบดบังผมออกจากการมองเห็น ใช้แผ่นหลังอันอบอุ่นปกป้องผมไว้จากเธอคนนั้น

“คุณมาทำไม?” ใบบัวยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะก้าวเข้ามาหาเราสองคนอย่างช้าๆ จนหยุดอยู่เบื้องหน้าของดินแดน

“ก็มาทวงคุณคืนไงคะแดน ทวงคนที่กำลังได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกบัวคืนจากผู้ชายคนนี้ไงล่ะ!”

“!!!!”

“ใช่แล้วค่ะ บัวกำลังท้อง ท้องลูกของคุณไงคะ ดินแดน”






ข่าวร้ายจริงๆด้วยค่ะทุกคนนนนน เธอบอกว่าท้องงั้นเหรอ ท้องได้ยังไงกันย๊ะ เธอท้องกับใคร หาาาา ใบบัววววว ความจริงนิยายเรื่องนี้ไม่ได้ยาวอะไรเลยค่ะ ใกล้จะจบแล้วด้วยซ้ำ มาดูกันว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปในวันพรุ่งนี้นะคะ 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 100% Up [06/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 07-05-2020 10:22:49
ข่าวร้าย มันต้องดักตบ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 100% Up [06/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-05-2020 13:52:10
ขอให้ใบบัวท้องจริงๆที่เถิ๊ดดดดด
ดินแดนไปรับผิดชอบด่วนเลย

กล้าทำ..กล้ารับนะรู้เปล่า
แมนๆ

ส่วนไมน์ต้องปล่อยไป
ไม่ขาดใจตายหรอก เรื่องมนุษยธรรม

เป็นนิยายที่ไม่อยากเชียร์ให้พระเอกสมหวังกับนายเอกอ่ะ
เรื่องแรกเลยนะ ตั้งแต่เข้าเล้าเป็ดนี้มา นานนนนนนนนน
ฮ่าฮ่า

+1 คนแต่งเก่งอ่ะ..เราน่ะอ่านแล้วอินเกิ๊นนนนนนนนนน
หุหุ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 100% Up [06/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-05-2020 18:39:01
ท้องลมหรือท้องกะผู้ชายอื่นนะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [20] ข่าวร้าย... 100% Up [06/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-05-2020 00:26:17
จะท้องกับดินแดนไหม ยังไงไมน์ก็บ่หยั่นจ้า ก็ยังจะรักต่อไป ถึงขนาดที่ว่าถ้าดินแดนไปรับผิดชอบเป็นพ่อของลูกก็จะไม่เลิกกันจ้าา ฮูเร รักเรามั่นค๊ง มั่นคง (ประชดไมน์ล้วนๆ555) มันมาแนวผู้หญิงต้องร้ายแล้ว ไม่แน่ว่าจะเป็นใบบัวโป๊ะแตก ต้องรอดูต่อไป สนุกๆ โอเคเลย รรรร  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [21] ไม่อาจ... 50% Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 08-05-2020 14:34:43
[21] ฉบับเต็ม


ไม่อาจ..

“ใช่แล้วค่ะ บัวกำลังท้อง ท้องลูกของคุณไงคะ ดินแดน”

ผมรู้สึกชาไปทั้งร่างราวกับไม่สามารถขยับร่างกายได้ตามที่นึกคิด เสียงร่ำร้องในใจล้วนมีแต่คำถาม ใบบัวเธอบอกว่ากำลังตั้งท้องลูกของดินแดน เธอกำลังจะมีลูกให้เขา

ความรู้สึกแน่นอกจนหายใจไม่ออก เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะพังทลายลงมาช้า ๆ โดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย หัวใจของผมบีบตัวอย่างรุนแรง สองขาอ่อนล้าขนาดจะยืนยังยากลำบาก แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงแรงที่บีบอยู่ที่ฝ่ามือ ดินแดนมองผมด้วยแววตาคมกริบ เป็นเหมือนกับคำเตือนต่อผมว่าไม่อนุญาตให้ผมปล่อยมือออกจากเขา

เขาไม่ยอมให้ปล่อย ผมเองก็ไม่อยากจะปล่อย แต่ถ้าหากว่าผมยังดื้อที่จะจับมือเขาต่อไป

ไม่เท่ากับผมเห็นแก่ตัว ทำร้ายเด็กตาดำๆ ที่กำลังจะลืมตาดูโลกหรือ?

“คุณบอกว่าท้องกับผม มันจะเป็นไปได้ยังไง คุณมีหลักฐานหรือ?” ใบบัวหน้าชา แววตาที่หันมามองผมเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งที่ประโยคเมื่อครู่ ดินแดนต่างหากที่เป็นคนพูดมัน ไม่ใช่ผมแต่สิ่งที่เธอส่งมาให้ผมคือความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่ไม่ว่าใครก็มองเห็นได้ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ตาม

“ผลตรวจมันยืนยันไม่ได้อีกหรือคะแดน ฉันมีคุณแค่คนเดียวนะ ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ออกมา!” เธอโกรธจนหน้าแดงก่ำ เสียงที่ดังขึ้นทำให้รอบข้างเริ่มหันมาสนใจพวกเรา

“แดน แดนใจเย็นก่อน ตอนนี้เราไม่ควรมาคุยกันอยู่ตรงนี้นะ ไมน์ว่าเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ ไปคอนโดไมน์ก็ได้” ผมพยายามสงบอารมณ์ของทุกคนเอาไว้ก่อน ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ไม่ว่ามันจะจบลงยังไงก็แล้วแต่ ขอเพียงตอนนี้ทุกคนยอมย้ายสถานที่พูดคุยกัน ไม่ให้ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นไปมากกว่านี้ ทั้งผมและดินแดน พวกเราต่างก็มีหน้ามีตา ไม่ควรจะต้องมาทะเลาะกันในเรื่องคาวๆ ให้คนอื่นต้องรับรู้ด้วย

“ได้ ไปคอนโดผม” ดินแดนดึงมือผมให้เดินตามไป แต่ใบบัวเธอก็เดินเข้ามากระชากมือของดินแดนเอาไว้ไม่ยอมให้เดินต่อไป

“แดน! คุณต้องไปกับบัว บัวท้องอยู่นะ จะให้บัวนั่งแท็กซี่ไปหรือไง!” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากดินแดน ดูเหมือนแดนเองก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเช่นกัน

“แดน เอาแบบนี้นะ เดี๋ยวไมน์ให้พี่ชาติขับตามไปเอง แดนไปกับเธอเถอะ ยังไงก็ดีกว่าเราต้องมายืนถกเถียงกันอยู่ตรงนี้นะ”

“แต่...”

“นะแดน”

“เฮ้อ...ก็ได้ครับ ถ้างั้นรีบตามมานะ ผมไม่อยากห่างคุณนาน”

ผมมองบรรยายกาศที่แสนน่าอึดอัดนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ มองดินแดนตวัดสายตาที่คมกริบมองใบบัวที่เชิดหน้าไม่สนใจสายตาของดินแดนแม้แต่น้อย ผมรอจนทั้งสองคนเดินจากไปแล้วจึงได้เดินแยกไปอีกทางบ้าง

ผมไม่รู้ว่าใบบัวเธอท้องจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าเธอเกิดท้องจริง ๆ นั่นหมายความว่าระหว่างพวกเราทั้งสามคน จะมีคนที่สี่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร และเด็กคนนั้นเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของดินแดน นิสัยใบบัวดูก็รู้ว่าคงไม่ยอมอะไรง่ายๆ อย่างแน่นอน ผมเองคงต้องเป็นคนที่เย็นที่สุด รอฟังทั้งสองฝ่ายแม้ว่าหัวใจของผมจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม

แม้ว่าเรื่องจะจบลงด้วยการที่ผมจะต้องเดินออกมาก็ตามที ผมก็จะต้องเป็นคนจบทุกอย่างด้วยตัวเอง

“คุณหนู กลับบ้านเลยใช่ไหมครับ” ก้าวเข้าไปนั่งที่ด้านหลังเมื่อพี่ชาติเปิดประตูให้ รอจนพี่ชาติปิดประตูและก้าวขึ้นมาประจำที่ของคนขับผมจึงได้เอ่ยตอบไปอย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง

“พี่ชาติช่วยขับรถตามคันหน้าไปหน่อยนะครับ เปิดเพลงให้ไมน์ด้วยนะ ไมน์เหนื่อย” ผมเอนหลังพิงกับเบาะรถ ปล่อยความอ่อนล้าทั้งหมดเอาไว้ที่ตรงนี้

“ครับ คุณหนู”

พี่ชาติเปิดเพลงให้ผมตามที่สั่ง เสียงเพลงคลอไปเบาๆ กับอารมณ์ที่ไม่คงที่ของผม ในหัวใจของผมตอนนี้มันมีแต่ความหวาดกลัว กลัวที่จะต้องเป็นคนเดินออกมาเอง กลัวความจริงที่จะได้รู้ ผมกลัวไปทุกอย่าง...เพราะความรักที่ผมมีให้ดินแดนมันมากมายนัก มากกว่าที่ผมรักตัวเองเสียอีก

ลมหายใจของผมเป็นของเขา หัวใจของผมเป็นของเขา

แต่ผมกลับอดรู้สึกเหมือนโดนหักหลังไม่ได้

ถ้าใบบัวท้องจริง ๆ ละ ถ้าหากว่าดินแดนไม่ยอมรับ ผมจะทำใจเป็นคนชั่วที่จะแย่งพ่อของเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้หรือ ผมเลวได้ขนาดนั้นจริง ๆ ใช่ไหม

คำตอบคือไม่ ผมไม่สามารถทำได้ ผมทำได้เพียงแค่ปล่อยมือของเขา ให้เขาจับมือของเธอคนนั้นเอาไว้ สร้างครอบครัวที่มีกันพร้อมหน้าพร้อมตา ต่อให้ผมจะเป็นคนที่ต้องเจ็บปวด แต่อย่างน้อยผมก็จะไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรในสิ่งที่ทำ

ผมปาดไล่เอาน้ำตาที่มันไหลออกไปจากใบหน้า กอดตัวเองที่กำลังสั่นเอาไว้จนแน่น คอยแต่ปลอบตัวเองเอาไว้ ว่าความจริงมันยังไม่ออกมา อาจจะยังมีหวัง เธอคนนั้นอาจจะไม่ได้ท้องจริง ๆ อาจจะเป็นแค่คำโกหกที่เธอสร้างขึ้นมา นั่นคือคำปลอบใจและคำภาวนาของผมที่แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีวันเป็นจริง

“คุณหนู...กลับบ้านเรากันดีไหมครับ ถ้าไม่ไหว” ผมสบตากับพี่ชาติผ่านกระจก รับรู้ถึงความห่วงใยที่พี่ชาติมีให้มาตั้งแต่ยังดีเด็ก พี่ชาติก็ห่วงผมเหมือนที่พี่มินห่วง แต่เรื่องนี้...ผมต้องจัดการมันให้จบ ไม่อย่างนั้นมันจะหลอกหลอนผมตลอดไป

“ไม่ได้ครับ ไมน์ต้องไป” พี่ชาติถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าเมื่อผมตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจของผมได้

“ถ้างั้นก็ได้ครับ ถึงแล้วครับคุณหนู” ผมมองเบื้องหน้าที่เป็นตึกสูงอย่างฉงนใจ แอบแปลกใจไม่น้อยที่ความหมายของคำว่า คอนโดผมที่ดินแดนหมายถึง จะเป็นคอนโดเก่า ไม่ใช่คอนโดที่ผมกำลังอยู่ในตอนนี้

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าจนหมด พยายามเรียกความเข้มแข็งมาไว้ในหัวใจ ก่อนจะเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับความจริงที่รออยู่ ดินแดนก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เช่นเดียวกับที่ใบบัวเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เมื่อเห็นหน้าผม ใบบัวก็ปรากฏสีหน้าราวกับว่าอยู่เหนือกว่าผมออกมา ผมเบื่อเต็มทนกับเรื่องพวกนี้ อยากจะจบมันไปให้เร็วที่สุด

เราสามคนเดินขึ้นไปจนถึงบนห้องของดินแดน ที่ผมจำได้ดีในทุกสิ่ง ข้าวของต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ถูกจัดวางเอาไว้ไม่ต่างจากตอนที่ผมยังอยู่ข้างๆ เขา เพียงแค่สิ่งที่ต่างออกไปนั้น มีเพียงแค่ของที่ผมเคยนำใส่กล่องมาคืนเขาในวันนั้น วันนี้มันถูกเอามาจัดเรียงเอาไว้ ไม่ใช่ถูกโยนทิ้งไปเหมือนที่ผมเคยคิดและจินตนาการ

“ทีนี้ คุณอยากจะโวยวายเสียงดังแค่ไหนก็เชิญ” น้ำเสียงของดินแดนไม่แยแสต่อความรู้สึกของใบบัวสักนิด ตรงกันข้าม ท่าทางของดินแดนกลับยิ่งดูถูกและเหยียดหยามเธอด้วยซ้ำ ใบบัวสั่นไปด้วยความไม่พอใจ สีหน้าย่ำแย่จนถึงขีดสุด ก่อนที่เธอจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วปามันใส่ดินแดนอย่างแรง

ผมก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วคลี่ออก ทันทีที่สายตาของผมกวาดไปตามตัวอักษรต่าง ๆ ร่างกายและหัวใจของผมก็คล้ายกับไร้เรี่ยวแรงค้นมาจริง ๆ

มันคือผลตรวจการตั้งครรภ์ของใบบัว

ในที่สุด สิ่งที่ผมหวาดกลัวมันก็เกิดขึ้นมาจริง ๆ เธอกำลังตั้งท้องกับดินแดน ผู้ชายที่ผมรัก

ผมไม่รู้ว่าอะไรที่มันเจ็บปวดมากกว่ากัน ระหว่างความจริงที่ได้รับรู้ในตอนนี้ว่าเขากำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ หรือผม...ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ในชีวิตของเขาอีกต่อไป

“เห็นแล้วใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วก็ไสหัวไปสิ อย่ามาทำให้ครอบครัวของฉันต้องพังลงแบบนี้”

ไม่...ผมไม่ได้อยากทำลายครอบครัวของใครทั้งนั้น ผมก็แค่รักเขา รักคนที่ผมได้พบเขาก่อน

แต่คำว่ามาก่อนไม่เคยให้สิทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่ามาก่อนเป็นเพียงแค่สถานะที่บ่งบอกว่าเราเป็นคนมาถึงจุดนี้คนแรก ไม่ใช่คนสุดท้าย ดินแดนก็เช่นกัน ผมอาจจะพบเขาก่อนเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะพบเขาเป็นคนสุดท้าย เมื่อเธอเองต่างหากที่ได้รับสิทธิ์นั้นไป

สิทธิ์ของความเป็นแม่ของลูกของเขา

“ไมน์ อย่าไปเชื่อเธอ เธอกำลังโกหก เด็กในท้องนั่นไม่ใช่ลูกของผม ผมป้องกันทุกครั้งที่นอนกับเธอ!”

“ทุกครั้งจริง ๆ หรือแดน?” ดินแดนสะอึก มือที่กำลังเอื้อมออกมาจับมือของผมชะงักค้างไปเมื่อผมทอดสายตาที่ต้องการคำยืนยันอย่างชัดเจน

แต่สิ่งที่ผมได้มากลับเป็นสิ่งที่ผมได้รับมันมาทุกครั้ง เขาไม่ตอบ เบี่ยงหลบสายตาไปจากผมอย่างไม่มั่นใจ แค่นั้นมันก็ทำให้ผมสรุปได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเองก็ไม่สามารถยืนยันมันได้เช่นเดียวกัน ผมอยากจะหัวเราะให้กับหัวใจที่ต้องแตกสลายลงไปอีกครั้ง ความรักต้องพังลงเป็นครั้งที่สองเพราะเธอคนนี้

ถามว่าผมเลวพอจะแย่งเขามาจากการเป็นพ่อ เป็นสามีของใครไหม

แน่นอนว่าผมทำไม่ได้ และต่อให้ผมจะทำได้ ผมก็คงไม่ทำ

“ไมน์ เธอเองก็มีฐานะ มีหน้ามีตา มีเงินมากมาย ขอร้องนะคะ อย่าพรากพ่อ ไปจากเด็กคนนี้ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกเลยนะคะ ฉันขอร้อง” ใบบัวใช้มือข้างหนึ่งลูบที่หน้าท้องของเธอเบาๆ ราวกับต้องการจะบอกให้ผมรู้ว่า เด็กคนนั้นในท้องของเธอกำลังต้องการพ่อเพื่อมีชีวิตอยู่

แล้วผมจะหน้าด้านทวงสิทธิ์อะไรได้อีก ในเมื่อตอนนี้...มีอีกหนึ่งชีวิตที่เขาไม่ได้รู้อะไรด้วยกำลังจะเกิดขึ้นมา

“หยุดพูดสักทีใบบัว!!”

“บัวไม่หยุด! ทำไมคะ บัวพูดผิดตรงไหน ก็เด็กคนนี้เขาต้องการพ่อ และคุณก็คือพ่อของลูกบัว บัวพูดผิดตรงไหนที่บอกให้เขาหยุดแย่งพ่อของลูกบัวไปเป็นของตัวเอง!!” ผมสะอึกกับคำโต้เถียงกันของทั้งสองคน เจ็บปวดที่เหมือนอยู่ระหว่างความถูกต้องกับหัวใจของตัวเอง

ผมไม่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม? ผมควรจะเดินออกไปใช่หรือเปล่า?

“คุณจะมาอ้างกับผมเพียงเพราะท้องหรือ ความจริงคุณก็แค่ยังอยากจะเกาะผมต่อไปเรื่อยๆ จึงได้อ้างเด็กที่ไหนไม่รู้มาเหนี่ยวรั้งผมม่กกว่า หยุดสร้างความร้าวฉานให้กับเราสองคนเสียที! คนอย่างผม ดินแดน โชติญาณกุล ชาตินี้จะมีหัวใจรักให้แค่ไมน์คนเดียวเท่านั้น!”

“แล้วเด็กในท้องนี่ล่ะ คุณจะบอกว่าคุณไม่รักลูกหรือไงคะแดน! ลูกของเราทั้งคนนะ!”

ทั้งที่รู้คำตอบในทุกคำถามดีอยู่แล้วว่าควรจะทำยังไง แต่ร่างกายผมกลับไม่สามารถขยับไปได้ตามที่ใจต้องการ สองขาเหมือนถูกก้อนหินขนาดใหญ่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้ก้าวเดิน หนักอึ้งจนไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้

ผมอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ อยากจะต่อว่าต่อขานให้สมกับความเจ็บปวดที่ผมได้รับ แต่มันจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายโดยเฉพาะอารมณ์ที่แสนอ่อนไหวของคนที่กำลังจะเป็นแม่

ดินแดนไม่ได้ผิดเพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็คบหากับใบบัว

ใบบัวเธอก็ไม่ได้ผิดที่ตั้งท้อง ในเมื่อเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของดินแดน

แล้วผมล่ะ ผิดตรงไหน?

ก็คงเป็นตรงที่ผมดันเข้ามาในเวลาที่ไม่สมควร เมาเป็นตัวปัญหาของคนที่เขากำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกัน

ผมคงผิดที่รักเขามากเกินไป

ผมยืนก้มหน้า ฟังเสียงต่อว่ากันของทั้งสองคนเงียบๆ กลืนความปวดร้าวที่ทรมานจนแทบบ้าลงไปในลำคอ พวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะตายยังไง ไม่เคยรู้เลยว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้เฉยชาจนไร้ความรู้สึก ไม่ได้เข้มแข็งจนไม่หลั่งน้ำตา แต่มันเจ็บจนร้องไห้ไม่ออกอีกแล้ว หัวใจปวดหนึบและร้าวราน ไม่มีใครเข้าใจผม ไม่มีเลยสักคนด้วยซ้ำ

ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ทั้งเหตุการณ์ตรงหน้า หรือแม้แต่หัวใจและความคิดของผม ไม่มีอะไรเลยที่มันสงบ ผมต้องทนกับเสียงในหัว ต้องทนกับเสียงที่เขาสองคนทะเลาะกัน โต้เถียงกันในเรื่องของเด็กในท้อง ราวกับไม่สนใจว่าเด็กคนนั้นจะสามารถรับรู้ได้หรือไม่ จะเข้าใจอารมณ์ของพวกเราหรือเปล่า

ทำไมไม่หยุดสักที ทำไมไม่ยอมหยุดกันเสียที!!!

“หยุดได้แล้ว!!! พอสักทีเถอะ เดี๋ยวผมไปเอง!!”

ไม่ใช่ไม่เจ็บปวด ไม่ใช่ว่าอยากจะไป

แต่ผมทนไม่ได้ที่ต้องเป็นคนที่ทำลายครอบครัวของใคร

ในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลงเสียที ทั้งดินแดน หรือแม้แต่ใบบัวเธอเองก็เงียบไปเช่นกัน ความเงียบปกคลุมไปทั้งห้อง มีเพียงแค่ผมที่หอบหายใจอย่างทรมาน มันทรมานมากจริง ๆ ผมเจ็บที่หน้าอกจนแม้แต่จะหายใจก็ยังทรมาน แต่อย่างน้อย เสียงด่าทอและต่อว่ากันก็เงียบลงในที่สุด เจ้าตัวน้อยในท้อง จะได้ไม่ต้องรองรับอารมณ์ที่ไม่สมควรพวกนี้

“ผมจะไปเอง ผมจะเป็นคนเดินจากไปเอง ไม่ต้องห่วงนะครับใบบัว” เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการเรียกชื่อของเธอมันช่างยากเย็นและแสนทรมาน เป็นครั้งแรกที่ผม...ไม่อาจจะมองหน้าพวกเขาทั้งสองคนได้

ความรัก ความเกลียดชัง ปัญหาที่ผู้ใหญ่เป็นคนเริ่มมัน ไม่ควรต้องให้เด็กคนนั้นต้องมารับรู้ด้วย

ผมหลับตาลงพยายามควบคุมหัวใจที่ยิ่งทวีความเจ็บปวด พยายามกลืนก้อนสะอื้นทุกครั้งที่มันเอ่อล้นขึ้นมา กลืนมันลงไปเมื่อไม่อยากจะจากลากับคนที่ได้ครอบครองหัวใจของผมต้องมาเห็นหยุดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา

“ไมน์...” เสียงของเขาราวกับคนที่หมดกำลัง หมดแล้วซึ่งทุกสิ่งอย่างที่จะฉุดรั้งให้ยังหายใจ

แต่ผมล่ะ ผมที่ต้องเสียเขาไป ผมที่ต้องหลีกทางให้กับความถูกต้อง ไม่เจ็บยิ่งกว่าเขาอีกหรือ?

ความทรมานของใครผมไม่อยากมองมันทั้งนั้น ไม่อยากรู้ว่าคนอื่นเจ็บปวดหรือสุขใจแค่ไหน เพราะแค่ความทรมานของตัวเองมันก็หนักหนาเพียงพอให้ผมไม่อยากจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว

ผมเหนื่อย... เหนื่อยที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ เหนื่อยที่ความผิดถูกโยนไปมา

ผมจะสามารถรักเขาอีกต่อไปได้ยังไงกัน ในเมื่อตอนนี้ ผม...ไม่มีสิทธิ์นั้นอีกต่อไปc] h;

“ไมน์ไม่ได้ทำเพราะไม่รักแดน ไม่เชื่อใจแดน”

เจ็บจัง ผมเจ็บยิ่งกว่าในวันที่เดินออกมาจากเขา

“แต่ไมน์รักแดนมาก เพราะงั้นถึงได้ยอมเดินออกมา”

ไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะรักมากจึงได้เดินจากไป ยอมเป็นคนที่เจ็บที่สุดเพื่อให้เขาได้ไปต่อ

“ไมน์รักแดนมากเกินกว่าจะให้ใครประณามแดนด้วยถ้วยคำเลวร้าย ว่าแดนไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ” ผมพยายามใจแข็งหันไปมองดินแดนที่มีสีหน้าไม่ต่างจากผม

เราสองคนกำลังทรมานเจียนตาย แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้ผิด ในเมื่อเขาเป็นลูกของดินแดน เขาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่จะปัดความรับผิดชอบแบบนี้ ผมจะไม่อยู่เป็นเหตุผลให้เขาทิ้งเธอและลูก

“ไมน์ ไมน์อย่าไปนะ ผมอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีไมน์” ผมปลดมือเขาออกจากการจับกุม แข็งใจจากลาในตอนนี้คงดีที่สุดแล้ว

“เขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่มีแดน”

ผมสบตากับดินแดน เขามีแต่แววตาขอร้องอ้อนวอนต่อผม แต่ผมไม่สามารถให้เขาได้ ไม่สามารถใจอ่อนได้ในเรื่องนี้ เขาต้องรู้ถึงมัน ว่าผมเองก็ทรมานไม่แพ้กันเลย

“เด็กคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด...”

ทำร้ายเขาไม่ได้ เขาบริสุทธิ์

“เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะแดน แดนจะใช้หัวใจตัดสินไม่ได้อีกแล้ว เขา...เด็กคนนั้น ต้องการพ่อนะแดน”

“ผมก็ต้องการไมน์เหมือนกันนะ!! ผมจำเป็นต้องมีไมน์!” ผมส่ายหน้า ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างเว้นระยะ

“ไม่ใช่เลยแดน เด็กต่างหากที่จำเป็นต้องมีพ่อ แต่เราไม่จำเป็นต้องมีกัน

ไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกสักวินาทีเดียว ผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะทำตัวเข้มแข็งต่อไปได้ไม่ไหว กลัวว่าตัวเองจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ดินแดนเห็น และใช้มันยึดเหนี่ยวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เหมือนที่ผมเอง ก็ไม่อยากจะปล่อยมือของเขา ทั้งที่ผมและเขาเพิ่งจะได้จับมันด้วยกันเป็นครั้งแรก ทั้งที่เราเพิ่งจะมีความสุขกัน

แต่เวลาแห่งความสุขมันก็ช่างแสนสั้น เพียงไม่ถึงวันก็พรากมันไปจากผมอย่างโหดร้าย

ผมก้าวเข้าไปหาใบบัวช้า ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอ มองเธอที่ยังคงมีสีหน้าถือดีพร้อมกับรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ ที่ถูกส่งมาให้ผม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะสนใจ ต่อให้เธอจะทำหน้าตาหรือความรู้สึกแบบไหนต่อผมก็ช่าง เธอไม่ใช่คนที่ผมจะให้ความสำคัญ ไม่ใช่เลย

เด็กในท้องต่างหากที่ผมใส่ใจ ไม่ใช่เธอที่อุ้มท้องเขาอยู่

“อย่างที่ผมบอกไป ผมจะเป็นคนเดินจากไปเองครับ อย่าห่วงไปเลย”

“อย่านึกว่าฉันจะซาบซึ้งหรือขอบคุณนะ เพราะนี่มันเป็นสิทธิ์ของฉัน สิทธิ์ที่แกมาแย่งฉันไป” น้ำเสียงของใบบัวเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่แม้ว่าเธอจะใช้คำพูดจิกกันผมแค่ไหน จิกเรียกผมยังไง ผมก็จะไม่ตอบโต้

ไม่ใช่การยอมแพ้ ผมแค่ยอมปล่อยวาง

“คุณคงเข้าใจผิดนะครับใบบัว”

“อะไร? ฉันเข้าใจผิดตรงไหน ดินแดนเป็นสามีของฉัน เป็นพ่อของลูกฉัน สิทธิ์พวกนี้มันก็เป็นของฉัน แกต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย!” ผมได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ เธอไม่เข้าใจจริง ๆ สินะ

“ไม่ใช่เลยครับ ทุกอย่างที่ผมยอมสละให้ ไม่ใช่ให้คุณครับคุณใบบัว ผมให้เด็กคนนั้นต่างหาก” ผมชี้ไปที่หน้าท้องของเธอ บอกให้เธอรู้ว่าคนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผไม่ใช่เธอเลย แต่เป็นเด็กที่กำลังจะเกิดมา เป็นเพราะลูกของดินแดนต่างหากผมจึงได้ยอมถอยให้เธอ

ใบบัวขึงตาใส่ผม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมสักนิด เพียงแต่ผมไม่คิดจะสนใจเธออีกต่อไป ผมก้าวเดินเข้าไปหาดินแดนที่ไม่ต่างจากคนหมดเรี่ยวแรง เห็นคนที่รักเป็นแบบนั้นมีหรือที่ผมจะไม่ทรมานใจ ผมจะไม่ปวดใจ แต่ผมต้องเลือกทางที่ถูกต้อง จะใช้ความเห็นแก่ตัวของใครสักคนไม่ได้

แม้แต่ของผมเอง

“ดินแดน...” อยากจะบอกว่ารัก รักเขามากเหลือเกิน แต่ผมไม่สามารถพูดมันออกมาได้ อยากจะกอดเขาเอาไว้ให้แน่น แต่อ้อมกอดของเขาไม่ได้มีเอาไว้เพื่อผมอีกแล้ว

“ไมน์...อย่า อย่าไป...จากผม” ไม่ได้ ผมจะทำแบบนั้นไม่ได้

“แดน แดนรักไมน์ไหม รักไมน์บ้างไหม?” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ทั้งที่พยายามเก็บความเจ็บปวดเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ออกมาจนได้ ทั้งที่ผมอยากจะเข้มแข็ง แต่เมื่อมาอยู่ตรงหน้าเขา ผมกลับอ่อนแอเหลือเกิน

“ผมรักไมน์ รักไมน์เสมอ ไม่มีวันไหนที่ผมไม่รักไมน์ ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”

แค่นั้นก็พอแล้ว แค่ได้รู้ว่าเขารักผม มันก็เพียงพอให้ผมได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

“ถ้างั้นแดนรับปากไมน์นะ รับปากไมน์ว่าจะรักลูกที่กำลังจะเกิดมา รักเขาให้เหมือนที่แดนรักไมน์” แดนหลบสายตาลงต่ำ แต่ผมก็ยังมองเห็นความไม่ยินยอมในแววตาของเขา ความเกลียดชังที่กำลังก่อตัวอยู่เงียบๆ

“ผมจะรักได้ยังไง ในเมื่อมัน...ทำให้ผมถึงต้องเสียไมน์ไป” ผมกัดริมฝีปากจนเจ็บ ไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้นเลย เด็กคนนั้นน่าสงสาร ผมไม่อยากให้ดินแดนทอดทิ้งเขา

“ถ้างั้นแดนไม่ต้องรักไมน์ก็ได้...” ถ้าหากการรักผมทำให้เขาเกลียดเด็กคนนั้น

“ไมน์! ทำไมพูดแบบนี้ ทำไมถึงพูดแบบนี้” น้ำเสียงของแดนแหบแห้ง ดวงตาแดงก่ำราวกับเขากำลังจะร้องไห้

“ถ้าหากว่าการที่แดนไม่รักไมน์ จะสามารถทำให้แดนรักเด็กคนนั้นได้ ไมน์ยอม” ความรักของเขาตอนนี้ไม่ควรเป็นของผมอีกแล้ว มันควรเป็นของเด็กที่กำลังจะเกิดมา

“ไมน์กำลังทำให้แดนยิ่งเกลียดมัน” ผมเอื้อมมือออกไป ใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มของเขา จดจำมันเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้าแดนรักไมน์ ก็เอาความรักที่แดนให้ไมน์ มอบให้เขาเถอะนะ รักเขาให้เหมือนกับที่แดนรักไมน์ แดนทำให้ไมน์ได้ไหม”

ไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่เขาจะไม่รักลูกของเขาไม่ได้เด็ดขาด

“ผม...” ดินแดนกำหมัดกัดฟันแน่น ดวงตาแม้จะมีความไม่ยินยอมแต่ก็ยอมรับปากผม ผมยิ้มให้เขา ยิ้มสุดท้ายที่ผมจะสามารถให้กับเขาได้

“ผมจะทำ...แม้ว่าผมจะไม่อยากทำก็ตาม”

“ดีแล้ว แบบนี้ดีแล้ว”

“ผมทน..ไม่ได้ ผมไม่อยากสูญเสียไมน์ไป ผมทำใจไม่ได้ ไมน์ไม่ไปจากผม ได้ไหมครับ” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา แม้ว่าเราสองคนจะรักกันมากแค่ไหน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ในเมื่อเราสองคนไม่อาจจะอยู่ในสถานะของคนที่สามารถรักกันได้อีก

บางทีความรักของเราสองคนคงมีเอาไว้เพียงแค่รู้สึก

ไม่ใช่การครอบครอง

“หยุดนะ! อีบ้า! ดินแดนเป็นของฉันกับลูกนะ หยุดเดี๋ยวนี้”

ผมโน้มใบหน้าของดินแดนที่ฉายชัดถึงความเสียใจลงมาช้าๆ จรดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเขาที่เคยเฝ้าเว้าวอนว่ารักผมมากแค่ไหน ดูดดึงริมฝีปากของเขาเบาๆ ทั้งที่สองแก้มของผมเปียกชื้น ไม่สนใจแม้แต่แรงกระชากหรือทุบตีของใบบัวแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่หัวใจของผมมันกำลังพังทลายลงไปอย่างช้าๆ จนแทบไม่เหลือชิ้นดี

ครั้งนี้ไม่ใช่การจากกันเพราะเราหมดรักกัน

แต่เป็นเพราะเรารักกันไม่ได้...ผมจึงต้องเดินออกมา

“ปล่อยสิยะ! ปล่อยดินแดนของฉันนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”

ดินแดนกอดกระชับผม บดจูบลงมาอย่างรุนแรงราวกับไม่ต้องการให้ผมหายไป ร่างกายของดินแดนสั่นสะท้าน ลมหายใจติดขัดด้วยความทรมาน แต่มันไม่ใช่เพราะความปรารถนา แต่เพราะส่วนลึกในหัวใจของเขามีผมอยู่ในนั้นมากจนถึงขนาดที่เขาสามารถทรมานได้เมื่อต้องเสียผมไปอีกครั้ง ผมถอนริมฝีปากออกจากเขาช้าๆ ใช้ปลายนิ้วเช็ดหยาดน้ำตาจากดวงตาของเขาก่อนที่มันจะไหลลงมา ไม่อยากให้เขาต้องร้องไห้ เพียงเพราะเราสองคนต้องแยกจากกัน

“ดูแลลูก ฮึก ดีๆ นะแดน จากนี้ไป...ไมน์จะไม่อยู่กับแดนแล้วนะ แดนต้อง...ดูแลตัวเองกับลูกดีๆ นะครับ”

“รีบไปเลย ไสหัวแกไปซะ! ผัวฉัน ลูกฉัน ฉันดูแลเองได้ ไม่ต้องให้คนนอกอย่างแกมาห่วงหรอก!”

“ใบบัว หยุดบ้าสักที! ถึงผมจะรับผิดชอบลูก ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเป็นของคุณ ชีวิตของผม หัวใจของผม เป้นของไมน์คนเดียวเท่านั้น มันไม่มีวันเป็นของคุณ”

“กรี๊ดดดดด!!”

แดนไม่ปล่อยมือของผม ใช้ร่างกายบดบังผมจากสายตาของเธอคนนั้น ทั้งที่วันนี้เขาปกป้องผมแล้วไม่ใช่เธอเหมือนในวันก่อน แต่ในวันนี้ที่ผมสุขใจ กลับเป็นวันที่ผมต้องเสียใจและทรมานใจที่สุด เพราะผม...ต้องเสียเขาไปอย่างไม่มีวันได้เขาคืน

ผมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมือคู่นั้นอย่างช้าๆ ในระหว่างที่เขาและใบบัวกำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ผมก็ถอยหลัง เดินออกมาจากเขาทั้งสองคนให้เบาและเงียบที่สุด ผลกระทบที่เกิดจากความผิดพลาดมันมากมาย แต่สิ่งที่เป็นความสวยงามกำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกนี้ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ผมรัก ผมควรยินดีให้กับดินแดน ควรจะหยุดสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเขาไม่ให้ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อ

แต่ผมจะเก็บมันเอาไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำอันแสนมีค่า ความทรงจำที่ปวดร้าว หรือแม้แต่ความทรงจำที่เราสองคนผ่านมาด้วยกันทั้งหมด ผมก็จะไม่มีวันลืมมัน

ความรักของเขา ความรักของเรา

ผมจะเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จะไม่ลืมว่าเขาคือลมหายใจของผม

ผมจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด

ผมขยับตัวถอยออกมาจากทั้งสองคน มองภาพของคนที่ผมรักสุดหัวใจอีกครั้งให้เต็มตา เก็บความภาพของเขาเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุด เป็นความรักที่มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้ดีว่า...มันดีแค่ไหน

แล้วจากนี้ไป...จะไม่มีไมรวีในชีวิตของดินแดนอีกแล้ว ไม่มีเจ้าของหัวใจของผมอีกต่อไปแล้ว แม้ว่านับจากวันนี้มันจะเป็นเช่นนั้น

แต่ผมก็จะรัก รักเขาตลอดไป ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรืออีกกี่ปีข้างหน้า

สำหรับผม...เขาคือคนที่ได้ครอบครองหัวใจของไมรวี สุทธิวรเวช ตลอดไป









ลงเต็มๆเลยนะคะ แมวจะลงวันละตอนไปเลย เด็กที่เกิดมาไม่ได้ทำอะไรผิดใช่ไหมคะ อย่างที่น้องไมน์บอกเอาไว้ เด็คนนั้นจำเป้นต้องมีดินแดน แต่แดน ไม่จำเป็นต้องมีไมน์ ยอมถอยดีกว่าฝืนไปต่อ ไม่มีอะไรถูกต้องชัดเจน อยู่ที่มุมมองนะคะ
 
เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [21] ไม่อาจ... 50% Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-05-2020 16:14:23
จะทนได้กี่วันกัน ที่จะไม่วิ่งกลับไปหาเขา ขอเย้ยไว้ก่อนนะไมน์ 55555 อะเธอคนนี้ พอได้มาครอบครอง เขาก็ไม่สนใจดูแลไม่แคร์อะไรทั้งนั้น จนเหนื่อยและท้อ แล้วยอมรับความจริงว่าพวกเขานั้นรักกันมาก เลยหลีกทางให้ ท้ายที่สุดกลับไปง้ออีก อะ กลับมาคืนดี รักกัน จบปิ๊ง อย่างนี้ป่ะไมน์ (ชอบประชดไมน์จริงๆ) 555555 ถถถถถเศร้าเลย หัวใจแตกสลายอีกครั้ง ผุๆพังๆไปหลายรอบ เอาน่า ชินได้แล้วมั้ง 55555 อ่านแล้วหมั่นไส้ดีแท้ ทุกคนเลย แต่งเก่งๆ รรรรตอนต่อปายย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [21] ไม่อาจ... 50% Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-05-2020 17:32:08
ใบบัว..เธอกลับมาแล้ว
ตั้งสติดีดี เอาใหม่นะ
พยายามนึกนะ..ว่าตอนนั้นเราน่ารักขนาดไหน
ที่ทำให้ผู้ชายมาหลงรักเราได้ซะหัวปักหัวปำ
ใจกล้าถึงขนาดว่าทิ้งเมียตัวเองที่คบกันมาตั้งหลายปีได้ลงคอ

ทำเลย..ใบบัว เราเชียร์
ทำให้เค้ากลับมาเป็นของเรา รักเรา หลงเรา ให้ได้อีกครั้ง

บอกแล้วไงว่าไม่เชียร์
ให้ไมน์กับแดน ได้ครองรักกันอีก

ฮ่าฮ่า
ไม่เชียร์อ่ะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [21] ไม่อาจ... 50% Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-05-2020 18:59:59
คือไม่มีความเด็ดขาดแต่แรกละ อ่อนแอมากๆ ผู้ชายแบบดินแดน เป็นถึงผู้บริหารแต่โง่เพราะผู้หญิงคนเดียว ผู้หญิงร้ายกับมีนกี่ครั้งแล้วไม่เคยจัดการอะไรเลย เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [22] อยู่กับตัวฯ(ฉบับเต็ม) Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 08-05-2020 20:46:29
[22] (ฉบับเต็ม)


อยู่กับตัวเอง
[/b]

ผมหอบหัวใจที่แหลกสลายกลับมาที่บ้านอีกครั้ง มันเป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมร้องไห้อย่างหนัก จนทุกคนต้องคอยเป็นห่วงผมไม่จบไม่สิ้น ผมเจ็บจนรวดร้าวไปทั้งหัวใจ สูญเสียคนที่ผมรักสุดหัวใจไปทั้งที่เรายังคงรักกัน มันทรมานจนผมไม่อยากแม้แต่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แต่ถ้าผมตาย...ทุกอย่างคงย่ำแย่ลงไปกว่านี้

อย่างน้อยก็มีมากกว่าหนึ่งคนที่ต้องเสียใจกับการตายของผม

ผมขดตัวอยู่บนเตียง เมินทุกเสียงที่เรียกผมอยู่ข้างนอกประตูนั้น ความบอบช้ำที่ผมได้รับมันมากจนในตอนนี้มันมากเหลือเกิน มากจนเกินกว่าจะสามารถพบหน้าใครได้ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคุณแม่หรือพี่มินก็ตาม

สองวันที่ผ่านมากับการอยู่โดยไม่มีดินแดน แม้มันจะเป็นเหมือนทุกวัน แต่ผมกลับทรมานยิ่งกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะหัวใจของผมตอนนี้ดื่มด่ำความสุขที่ได้รับในช่วงเวลาอันแสนสั้น ในตอนนี้จึงได้เจ็บปวดเพราะไม่อาจได้รับความสุขนั้นอีก

ดินแดนกำลังทำหน้าที่ ผมเองก็มีหน้าที่ของผมเช่นกัน

หน้าที่ของเขา คือการรับผิดชอบและดูแลชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลก...

หน้าที่ของผม คือการหยุดเข้าไปในชีวิตของเขาเสียที

แม้จะคิดถึงเขามากแค่ไหนก็ได้

ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนล้ากำลังและแรงใจ เหนื่อยและหมดเรี่ยวแรงจะทำทุกสิ่ง ผมปรารถนาให้เขามีความสุข หวังว่าเด็กคนนั้นจะทำให้เขามีรอยยิ้มขึ้นมาได้ ให้เขาได้หลุดพ้นจากความขมขื่นที่เป็นอยู่

แกร็ก...

“ไมน์...ทำไมไม่ออกไปทานข้าวละคะลูก” ใบหน้าของผมยังคงซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่ แต่เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้ผมรู้ดีว่าใครที่เข้ามา

“แม่ให้ป้าเนียนทำข้าวต้มปลามาให้ลูก ทานเสียหน่อยเถอะนะลูกนะ” ศีรษะของผมถูกมืออันแสนอบอุ่นลูบปลอบประโลมอย่างใจดี น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งค่อยๆ ไหลลงมาอีกครั้ง ไหล่ของผมสั่นไหวไปตามแรงสะอื้น

ทำไมผมถึงอ่อนแอขนาดนี้ ทำไมผมถึงได้ไม่มีความเข้มแข็งบ้างเลย

“คุณแม่ครับ ผม...เจ็บมากเลย” ผมบอกกับคุณแม่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ สองมือกำหมอนจนแน่นเพื่อระบายความทรมานที่กำลังกัดกินหัวใจของผม

“ฮึก ผมทรมาน หัวใจของผม...เหมือนจะแตกสลายเลยครับคุณแม่” ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะตัวผมที่เดินออกมาจากดินแดนในครั้งก่อนมันเป็นการตัดใจแล้วว่าเขาไม่รักผม

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้...คือเราจากกันทั้งที่ยังรักกันอยู่

คุณแม่ถอนหายใจออกมา แต่มือของคุณแม่ก็ยังคงลูบศีรษะของผมอยู่ตลอดเวลา ความอบอุ่นและเอาใจใส่ของคุณแม่มันยิ่งทำให้ผมแสดงความอ่อนแอออกมา

ผมต้องทำ ต้องทนความเจ็บปวดครั้งนี้เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์ของเด็กคนนั้น เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องขาดความรักของพ่อหรือแม่ไป

“แล้วทำไมถึงเลือกเดินออกมาล่ะไมน์”

“...ฮึก...”

“ถ้าลูกเสียใจและเจ็บปวด แล้วทำไมถึงทิ้งเขาไปละคะ”

ไม่ใช่ว่าผมอยากจะทำ แต่ผมไม่มีทางเลือกต่างหาก สิ่งที่ผมทำคือความถูกต้องที่ต้องแลกกับความทรมานที่แสนสาหัส

“ผม เพราะผมไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้ครับ”

“เพราะอะไรคะ ทำไมลูกถึงบอกว่าเป็นความเห็นแก่ตัว” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหมอน ผมรู้สึกได้ถึงดวงตาที่มันคงแดงก่ำและช้ำมาจากการร้องไห้

“เพราะเธอกำลังท้องครับคุณแม่ เธอกำลัง ฮึก ท้องลูกของเขา ลูก ฮือ ของผู้ชายที่ผมรัก” ผมเจ็บปวดและทรมานมากมายเหลือเกิน หัวใจรวดร้าวราวกับจะขาดใจเสียตรงนั้น

ดวงตาปรือฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้น มันไหลลงมาอาบสองแก้มไม่มีหยุด ทุกอย่างพังทลายลงไปแล้ว ทั้งความรัก ความฝัน มันได้สูญสลายไปจากหัวใจของผมแล้ว

โลกของผมที่ไม่มีเขา มันก็เหมือนกับความมืดที่ไร้แสงสว่าง

“ผม ฮึก ฮืออ ผมถึงจำเป็นต้องเดินออกมา ทั้งที่เราสองคนรักกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น ฮึก แต่ผมก็ไม่อยากปล่อยมือเขาเลยสักนิด”

“...”

“ผมอยากเห็นแก่ตัว แต่ผม ฮืออ ผมก็ทำไม่ลงจริง ๆ ครับ ผมแย่งเขา ฮึก มาจากเด็กคนนั้นไม่ได้ ฮือ ๆ” ไม่ได้ ผมทำไม่ได้

“โธ่ ลูกแม่” คุณแม่ดึงผมเข้าสู่อ้อมกอด ใช้ความอบอุ่นของความเป็นแม่ปลอบประโลมผมเอาไว้ ความอ่อนโยนที่แสนคุ้นเคยกอดกักความอ่อนแอของผมเอาไว้ในอ้อมแขนราวกับว่าผมคือเด็กตัวเล็ก ๆ ที่คุณแม่ต้องปกป้องเอาไว้

ผมกระชับอ้อมกอดของคุณแม่แน่นขึ้น ใช้ความรักของคุณแม่มาลบความเจ็บปวดและทรมานในหัวใจตัวเอง แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย แต่ผมก็จะยึดทุกความหวัง เหนี่ยวรั้งทุกสิ่งที่จะทำให้ตัวผมเจ็บปวดได้น้อยลง ผมเองก็รู้ว่าแม่ทรมานใจที่เห็นผมเป็นแบบนี้ เจ็บปวดกับการที่ผมเอาแต่ร้องไห้ ทรมานตัวเองด้วยการไม่ยอมทานข้าว

“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกร้องไห้เถอะนะคะไมน์ ถ้าลูกยังคงเศร้าเสียใจอยู่แบบนี้ เกิดเขาคนนั้นรู้เข้า เขาก็คงทิ้งทุกความรับผิดชอบ เพื่อมาปลอบโยนลูกของแม่”

ผมรู้... แต่ผมก็ไม่สามารถห้ามความเสียใจของตัวเองได้

ไม่สามารถสั่งหัวใจให้เลิกเจ็บปวดได้เลยสักครั้ง

ผมอยากเก่งให้ได้เหมือนปากที่พูดออกไปว่าจะยอมปล่อยเขา อยากจะทำได้ในทุกอย่างที่ดูเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเช่นเดียวกับวันนั้น แต่ใครจะไปรู้ดีกว่าตัวของผมเอง ว่าผมกำลังเสียใจมากมายแค่ไหน เจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร อยากจะร้องไห้ อ้อนวอนให้เขามาหาผม แต่ผมกลับต้องอดทน ต้องยอมกอดเอาความทรมานนี้ไว้กับตัวเอง เพื่อความถูกต้อง

“ลูกอยากให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่าคะ?” ผมส่ายหน้ากับอกของคุณแม่

“ไม่เลยครับ ถึงแม้ผมอยากจะรักเขามากมายแค่ไหน ผมก็ไม่เคยคิดจะแย่งเขามา”

ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ ผมไม่ได้ติดตามข่าวคราวของพวกเขาเลย โทรศัพท์ของผมถูกปิดลงตั้งแต่วันที่ผมเลือกจะเดินออกมาจากเขาทั้งสองคน ปิดรับทุกการติดต่อจากดินแดนโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะพยายามโทรเข้ามาที่บ้านของผมกี่ครั้ง เพราะต่อให้เขาโทรเข้ามาอีกสักพันครั้ง ผมก็จะไม่มีวันคุยกับเขา

เพื่อตัวเขาเอง และหัวใจของผมเอง

ผมไม่ใช่คนดีมากมายนักหรอก หากว่าต้องคุยกับเขาต่อไป ผมเองก็กลัวว่าจะใจอ่อนเข้าสักวัน ยอมกลายเป็นคนเลวที่แย่งพ่อของเด็กตาดำๆ คนหนึ่งเพราะความเห็นแก่ตัว ต่อให้เราสองคนจะรักกันมากมายแค่ไหน จะยิ้มให้กันสักกี่ครั้ง ผมก็ควรจะเก็บมันเอาไว้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ ทำตัวเป็นแค่อดีตที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นคนที่รักกันมาก

คลิปถูกแชร์ในโลกโซเชียลต่อ ๆ กันหลายแสนครั้ง ผมได้แต่ดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูพร้อมกับหยดน้ำตาและหัวใจที่ถูกบีบให้เจ็บช้ำ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งที่ผมเองก็รู้ว่ามันจะเจ็บมาก แต่ผมก็ยังไม่อยากจะหยุด คลิปนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าความรักของเขายังไม่ได้หายไปไหน มันเป็นเหมือนของขวัญที่เขามอบมันให้ผม เป็นเหมือนของขวัญชิ้นสุดท้ายก่อนที่เราจะไม่มีกันและกันอีกต่อไป

ชีวิตที่ไม่มีเขามันไม่มีอะไรง่ายดาย เพราะแค่หลับตาภาพของเราสองคนก็ถูกฉายซ้ำ ๆ ให้ได้เห็น แต่ในความฝันก็ยังมีเขาอยู่ในนั้นไม่เคยหายไป ยิ่งลืมตา...ผมก็ยิ่งคิดถึงเขา คิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนต่างมีด้วยกัน

มันไม่ง่ายเลยที่ไม่มีเขา ไม่ง่ายเลยที่จะไม่ใช่เราอีกต่อไป

จากนี้ไปจะมีแค่ผม แค่ผมเพียงคนเดียว

ไม่มีดินแดนของไมน์อีกต่อไป



วันเวลาผสานไปอย่างเชื่องช้าราวกับหนึ่งวันของทุกคนเท่ากับหนึ่งปีของผม ตอนนี้เวลาผ่านไปห้าเดือนแล้ว ลูกของดินแดนก็คงจะใกล้คลอดเต็มที ผมใช้เวลาในแต่ละวันกับการเข้าไปที่โรงแรม ใช้เวลาไปกับการช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็มีพี่มินเป็นคนดูแลทุกอย่างอยู่แล้ว ผมเพียงถูกดึงให้ไปช่วยงานเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมาก

ดินแดนติดต่อผมมาตลอด ทุกช่องทางที่จะทำได้ ผมเองก็หลบเลี่ยงเขาทุกทางเช่นเดียวกันเพื่อที่เขาจะได้ลืมผม และมอบความรักให้เด็กคนนั้นอย่างเต็มที่

พี่มินโกรธจัดหลังจากที่หายไปเป็นอาทิตย์ พอกลับมาแล้วรู้ว่าผมร้องไห้เสียใจเพราะดินแดน พี่มินแทบจะขับรถออกไปเพื่อต่อยหน้าเขาด้วยซ้ำ แต่ผมดึงพี่มินเอาไว้ อธิบายเรื่องทุกอย่างให้พี่มินได้ฟังจนสุดท้าย พี่มินก็ต่อสายหาใครสักคน ทะเลาะและด่าทอจนเสียงดัง ผมไม่รู้ว่าพี่มินโทรหาใคร แต่พอจะคิดได้ว่าคงไม่ใช่ดินแดนอย่างแน่นอน

ผมนั่งอยู่ในสวนหน้าบ้าน ชิงช้าตัวน้อยที่ครั้งหนึ่งผมเคยชอบมัน เป็นสิ่งที่คุณพ่อซื้อมาไว้ให้ผมและพี่มินได้เล่นมันด้วยกัน เวลาผ่านไปหลายสิบปี แม้แต่สวนภายในบ้านก็ถูกจัดใหม่หลายครั้ง จนต่างออกไปจากความทรงจำ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือความรู้สึก ผมยังรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย เพราะผมอยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน

อากาศแสนบริสุทธิ์ที่ถูกเจือไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่อยู่ไม่ไกล มันยิ่งชวนให้ผมนึกถึงวันที่ดินแดนไปง้อผมที่ร้านอาหาร ทั้งที่ถูกผมบอกว่าเราไม่รู้จักกันอีกแล้ว เขายังถือดอกกุหลาบมาง้อผม ยิ่งได้กลิ่น...ก็ยิ่งคิดถึง

“อยู่นี่เอง” เสียงของใครสักคนดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองเขา เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นใคร ผมก็ทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มไปให้เท่านั้น

“มึงมายังไงวะ” อนุรักษ์นั่งลงข้างๆ ผม สีหน้าของมันยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มาก ทำให้มันเป็นห่วงไม่จบไม่สิ้นเสียที

“ขับรถมาสิ”

นั่นสินะ ผมเองก็ไม่น่าจะถามอะไรโง่ๆ ออกไปเลย

“มึงเป็นยังไงบ้าง...” ผมหลุบตาลงมองสองมือที่จับกันไว้ของตัวเองบนตัก ขยับปลายนิ้วถูกกันไปมาเล่นอย่างเบื่อหน่าย

“เหมือนเดิม”

ยังคิดถึงมันเหมือนเดิม

“นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ มึงยังไม่เลิก...” รักเงียบลง ผมหันไปมองจึงได้เห็นว่ามันเองก็กล้ำกลืนถ้อยคำลงคอไปอย่างยากลำบากไม่น้อย สีหน้าที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จะปลอบแบบไหนยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่เพราะต้องให้คนอื่นมาเป็นห่วง

“ยังไม่เลิกคิดถึงแดนนะหรือ?” ในเมื่อมันไม่พูด ผมจะเป็นคนพูดออกมาเอง

“ใช่...” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแหบแห้งเหลือเกิน ผมไม่ได้มองหน้าของมันแล้วว่ามันกำลังมีสีหน้าแบบไหน ผมเจ็บปวดเพราะความรักมากเกินพอที่จะต้องมาเจ็บปวดเรื่องอื่นอีก

“ยัง และคงเลิกไม่ได้ เหมือนที่กูไม่เคยเลิกรักเขา”

ต่อให้ตอนนี้ดินแดนกำลังทำหน้าที่พ่อของลูก กำลังรับผิดชอบต่อครอบครัวที่มีกันพร้อมหน้า แต่หัวใจของผมก็ยังคงไม่ลืมเขา ไม่เคยเลิกรักเขาได้เลยแม้สักวินาทีเดียว ผมยังคงจดจำความรักของพวกเราเอาไว้ในหัวใจ ยังคงมีแต่เขาที่เป็นเจ้าของหัวใจของผมเรื่อยมา ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน

“มึงกำลังรอหรือเปล่าไมน์ รอว่าวันหนึ่งมึงจะได้กลับไปคบกับมัน”

นั่นสินะ ผมเองก็ถามตัวเองทุกวันว่าผมกำลังรออยู่หรือเปล่า

แต่ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่การเฝ้ารอเลยกับสิ่งที่ผมกำลังทำ

“เรียกว่าห่วงดีกว่านะ กูแค่ห่วงเขาอยู่ในจุดที่กูยืนอยู่ จุดที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย”

“มึงกำลังยึดติด” ผมได้ยินการวิเคราะห์ของมันก็เกิดรอยยิ้ม แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองท้องห้าที่ถูกเมฆสีขาวเป็นปุยนุ่มปกคลุมอยู่

“ก็อาจจะใช่...”

การยึดติดของแต่ละคนต่างก็ไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมเองก็อาจจะยึดติดเขาเอาไว้ แต่ไม่ใช่การครอบครอง

“กูอาจจะยึดติดกับดินแดน เหมือนที่ดินแดนเองก็ยังยึดติดกับกู”

“แล้วมันดีแล้วหรือที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามึงกับมันต่างก็ทรมานหรือ เพราะไม่สามารถรักกันต่อไปได้” ผมส่ายหน้าให้กับอนุรักษ์

“กูยึดติดเพราะกูรักแดนนะรัก แต่ไม่ใช่การครอบครอง”

“มันต่างกันตรงไหน ไม่ว่าจะอะไร กูก็เห็นมึงเจ็บเพราะมันอยู่ดี”

“...”

“ลืม...ไม่ใช่สิ่งที่มันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือวะไมน์ การลืมมันไป อาจจะทำให้มึงเองเริ่มต้นใหม่ได้ง่ายกว่าหรือเปล่า” ลืมงั้นหรือครับ นั่นสิ การลืม...ย่อมเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว

แต่อนุรักษ์คงลืมไปเช่นกันว่า การลืม...ไม่ใช่การลบ ไม่มีใครลืมมันไปได้จริงๆ หรอก

“มึงพูดถูก...ลืมไปคงทำให้อะไรดีขึ้นอีกมาก” อนุรักษ์ยิ้มออกเมื่อได้ยินผมพูดออกมาแบบนั้น

“ถ้างั้น...”

“แต่มึงอย่าลืมนะว่า ไม่มีใครลืมทุกอย่างได้ไปตลอด สักวัน...สิ่งที่เราลืมหรือพยายามลืม มันก็ต้องกลับมาอยู่ดี”

“...”

“มึงบอกให้กูลืมแดน ลืมความรัก ความผูกพันของกูกับแดน”

“...”

“มึงกล้ายืนยันไหมว่า ถ้ากูบังเอิญเจอแดน บังเอิญได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคย ได้ไปในที่ที่กูกับแดนต่างก็เคยไปมา กูจะไม่กลับมาจำมันได้ ไม่กลับมาเจ็บปวดทรมานกับมันอีก มึงกล้าพูดได้เต็มปากหรือเปล่ารัก”

“...” ผมบอกแล้วไง การลืมไม่ใช่การลบทุกสิ่งออกไป เราแค่สร้างกลไกการป้องกันตัว เลือกจะสั่งให้สมองไม่ไปยุ่งกับความทรงจำนั้น แต่ถ้าหากถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่คุ้นเคย ไปยังสถานที่คุ้นตา ความทรงจำที่เราคิดว่าลืมมันไป ย่อมต้องกลับมาอีกครั้งแน่นอน เพราะสมองของคนเราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ที่จะสามารถลบทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ

“ถ้ามึงสามารถบอกกูได้เต็มปากว่าเมื่อกูลืมมันแล้ว กูจะไม่มาเสียใจอีกถ้าเจอแดน กูจะลืมมันให้มึงเอง”

“ไมน์...กูแค่เป็นห่วงมึง มึงไม่เข้าใจหรือ?” ทำไมผมจะไม่เข้าใจ เพราะผมเข้าใจดีถึงความหวังดีของมัน ผมถึงได้พูดกับรักตรง ๆ บอกความจริงว่าสิ่งที่มันคิดนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ผมหายจากความเศร้าได้ถาวร

“กูรู้รัก กูรู้ว่ามึงห่วงกูมาเสมอ กูรู้ดี”

และเพราะรู้ดีถึงทำไม่ได้ เพราะรู้ดีถึงได้ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยสักนิด

“เฮ้อ! เอาเถอะ ยังไงกูก็เป็นเพื่อนมึงเสมอ ต่อให้มึงจะเลือกทางที่ทำให้มึงเจ็บกว่านี้ กูก็จะอยู่ข้างมึง” อนุรักษ์ก็แบบนี้ เป็นแบบนี้มาเสมอ คอยห่วงผมมาตลอดไม่ว่าเมื่อไร

“ขอบใจนะ” ผมดีใจมากที่มีมันเป็นเพื่อน ดีใจมากที่ได้รู้จักมัน

“จริงสิ...กูมาที่นี่เพราะเรื่องของดินแดน”

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมรีบหันหน้าไปมองรักทันที หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ผมจะร้อนรนทุกครั้งถ้าเป็นเรื่องของดินแดน เป็นห่วงทุกอย่างที่เขาต้องเผชิญมัน

“มึงรู้ใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ ช่วงที่มึงตัดสินใจออกมาจากความสัมพันธ์ของมึงกับมัน มันพยายามติดต่อมึงทุกทาง แม้แต่กับกู” ผมหลุบตาลง เรื่องนั้นผมรู้ดีกว่าใครเลยล่ะ เพราะผมเป็นคนบอกกับอนุรักษ์เองว่าไม่ให้บอกว่าผมอยู่ไหน เป็นยังไง ไม่ให้ส่งข่าวคราวใด ๆ ของผมไปถึงดินแดน

“อืม กูรู้”

“หลังจากที่มันไม่สามารถหาทางติดต่อมึงได้ ไม่สามารถรู้ได้ว่ามึงเป็นยังไง เหมือนตัวมันจะถอดใจ ตัดสินใจตัดขาดกับครอบครัวตัวเอง บอกว่าจะไม่ยอมให้ใครได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้ของโชติญาณกุล นอกจากมึง”

“....” ผมเม้มปาก นัยน์ตาไหวระริกอย่างหวั่นใจ หัวใจของผมก็ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ แต่ก็ยังดีใจ ไม่ควรเลยสักนิด

“ได้ยินว่าเมีย ขอโทษที กูหมายถึงผู้หญิงคนนั้นน่ะ โกรธมันมาก ทะเลาะกันแทบจะทุกวัน”

เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสุข ดินแดนไม่มีความสุขเลยสักนิด ผมได้แต่หลับตาลง กำมือทั้งสองข้างจนแน่น ระงับความต้องการที่จะเรียกร้องเขาคืนมาก

ไม่ ไม่ใช่เรื่องของผมอีกต่อไปแล้ว มันเป็นเรื่องของครอบครัวของดินแดนแล้ว

“แล้วทางครอบครัวของดินแดน ยอมให้ดินแดนออกมาแบบนั้นงั้นหรือ?” คุณอาสมภพกับพี่อาณาเขต ยอมให้ดินแดนออกมาลำบากเพียงคนเดียวหรือ?

“ยอมดิวะ เห็นว่าทางพี่ชายของดินแดนไม่ยอมรับผู้หญิงคนนั้นเลยปล่อยให้มันตัดขาดออกไป” ความเป็นห่วงที่อยู่ในหัวใจยิ่งท่วมท้น ปวดใจแต่กลับช่วยอะไรคนที่ผมรักไม่ได้เลย

“แต่กูว่า...คงเป็นแผนที่ทางนั้นใช้บีบผู้หญิงคนนั้นมากกว่า ดูก็รู้ว่าอยากขึ้นมาชูคอเป็นสะใภ้โชติญาณกุลขนาดไหน แต่อย่างว่า...ทำตัวเองทั้งนั้นนี่”

ผมไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจะคือแผนหรืออะไร ถึงผมจะรู้ดีว่าดินแดนเอาตัวรอดจากความยากลำบากหรือความจน เริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นได้เสมอ แต่ผมก็ยังกลัวและห่วงเขาอยู่ดี ดินแดนไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย แต่ใบบัวไม่ใช่...ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางทนกับการอดออมได้แน่นอน

แล้วไหนจะเด็กในท้องอีก ถ้าหากว่าเธอเอาแต่โมโห เอาแต่หงุดหงิด เด็กในท้องก็จะไม่เป็นผลดี ทุกอย่างมีแต่จะแย่ไปหมด ผมเป็นห่วงว่าเธอจะคิดทำอะไรบ้า ๆ ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมาอีก

“กูได้ยินมาจากพี่มิน ว่ามึงจะบินไปอังกฤษ...จริง ๆ งั้นหรือ?”

“จริง กูจะไปพรุ่งนี้แล้ว” ผมยิ้มอ่อน ไม่ได้คิดจะปิดบังเพื่อนคนเดียวของผมเลยสักนิด

“มึงไปเพราะเรื่องของดินแดนหรือเปล่าไมน์”

“ไม่ใช่...” จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะใช่ก็ใช่

“ถ้างั้นมึงไปทำไมวะ ถ้าอยากไปเที่ยวทำไมไม่เห็นชวนกูสักคำ” ผมอดหัวเราะกับการกระเง้ากระงอดของอนุรักษ์ไม่ได้ เห็นความน้อยใจในแววตาของมันก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้เหมือนกัน

“แม่กูอยากจะไปชอปปิ้ง กูเลยจะไปเป็นเพื่อนแม่เสียหน่อย ถือโอกาสให้ตัวเองได้พักผ่อนด้วย เผื่อว่าไปที่นั่นกูอาจจะคิดถึงเรื่องของดินแดนน้อยลง”

ถ้าหากอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่พ้นผมต้องหาทางไปหาเขาสักวัน ตอนนี้แค่ได้ยินว่าเขาตัดขาดจากครอบครัวผมก็ห่วงเขาใจจะขาด อยากจะไปหาดินแดนเสียมันตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ติดก็ตรงที่ผมยังสามารถห้ามหัวใจตัวเองเอาไว้ได้ ผมไม่อยากผิดคำพูด บอกว่าจะถอยก็คือถอย ผมยอมหลีกทางเพื่อเด็กที่เป็นลูกของดินแดน เพราะงั้น...ผมจะไปพบเขาไม่ได้เด็ดขาด

“มึงจะไปนานแค่ไหน” ปมทอดสายตาขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีเพียงสีฟ้าเท่านั้น ไร้ก้อนเมฆมาบดบังความสว่างของมัน บางทีธรรมชาติก็ดูสวยงามน่ามองเหมือนกัน

“คงสักระยะ จนกว่ากูจะพร้อมมาเจอความจริง”

“มึงไม่อยากเห็นหน้าลูกของดินแดนใช่ไหม กูถามจริง ๆ ที่มึงต้องไปเพราะมึงทนรับความจริงที่ว่ามันกำลังจะมีลูกไม่ได้ใช่ไหมไมน์” ผมถอนหายใจออกมาก

“ถ้ากูจะรับไม่ได้ มันก็ควรจะตั้งแต่วันที่ใบบัวบอกว่าท้องกับแดนแล้วไหมวะ ที่กูไม่อยากอยู่ในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพราะกูรับไม่ได้ แต่กูทำใจไม่ได้ต่างหาก”

รับไม่ได้หรือ? ไม่ใช่เลย แต่ผมทำใจไม่ได้ต่างหากที่ต้องยินดีกับเขา ต้องยิ้มให้เขา

“มึงจะกลับมาใช่ไหมวะไมน์...”

“กลับสิ ยังไงที่นี่ก็บ้านกู หัวใจของกู...อยู่ที่นี่ กูต้องกลับมาอยู่แล้ว” แค่ขอเวลาเท่านั้น ขอเวลาให้หัวใจของผมได้เข้มแข็งพอจะเผชิญหน้ากับเขาในวันที่เขามีกันพร้อมหน้า

“กูจะรอมึงกลับมา”

“อืม...”

ผมจะกลับมาอย่างแน่นอน เมื่อผมมั่นใจแล้วว่าวันไหนที่เจอหน้าของดินแดน ผมจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าเขาอีก

วันนั้น...ผมจะกลับมายืนยิ้มให้เขา แสดงความยินดีที่ลูกของเขาเกิดมา

ไม่นานหรอกนะดินแดน ไม่นานหรอกไมน์จะเข้มแข็งขึ้นเอง







น้องไปแล้วค่ะ หลบไปพักใจยาวๆเหมือนกับแมว แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวน้องก็กลับมาาาา อีกไม่กี่ตอนเราก็จะจบกันแล้วนะคะกับเรื่องราวความรักของไมน์กับดินแดน แต่บทสรุปจะเป็นยังไง ก็ต้องมารอดูต่อไปค่ะ สำหรับแมวที่วางเรื่องมาก แมวรู้สึกว่ามันมเหตุสมผล สมตัวละครตามนิสัยของพวกนางที่สุดแล้ว อาจจะไม่ตรงใจของใครหลายๆคน แต่ก็ขอให้มันเป้นเหมือนมุมมองหนึ่งเอาไว้เตือนตัวเอง อย่าก้าวพลาดเหมือนตัวละครของแมวนะคะ กราบแทบอกทุกคนค่ะ  

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [22] อยู่กับตัวฯ(ฉบับเต็ม) Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-05-2020 20:57:25
เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [22] อยู่กับตัวฯ(ฉบับเต็ม) Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-05-2020 22:19:29
 :z3:
ไร้หนทางจะเดินต่อไปจริงๆ

เครียดว้อยยยยยย
 :ling3:

+1 ให้จ้า..คนแต่ง
มีให้ลุ้นทุกตอนเลย
หุหุ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [22] อยู่กับตัวฯ(ฉบับเต็ม) Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-05-2020 23:33:32
สู้ๆนะไมน์ หอบใจพังๆไปพักนะ ว่าไปแล้วก็แอบสงสารอยู่นะ เพราะช่างทำตัวน่าสงสารซะ กี่ครั้งแล้วอะเธอออออ 5555555 ยืนให้ได้ เข้มแข็งไว้ ปากก็บอกนะว่าจะไม่ร้องไห้ตอนเจอหน้าอีก โถ! อย่าร้องไห้ตอนไปเห็นหน้าลูกเขาด้วยละ ลูกของคนรักกับกิ๊ก ตื้นตันใจไม่ไหวแล้ว 55555555 อะจะเป็นยังไงต่อไป บทสรุปของสองคนนี้ เดาไม่ถูกแหะ จะ...... หรือจะ........ รรรตอนต่อปายยาวๆ ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [22] อยู่กับตัวฯ(ฉบับเต็ม) Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 10-05-2020 17:12:26
พักใจยาวๆเลยหนูเอ้ย
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [22] อยู่กับตัวฯ(ฉบับเต็ม) Up [08/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 10-05-2020 17:15:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [23] กลับบ้าน (ฉบับเต็ม) Up [11/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 11-05-2020 21:18:01
[23] (ฉบับเต็ม)


กลับบ้าน
[/b]

หนึ่งปีผ่านไป...

“ไมน์! ไมน์! ทางนี้ๆ!” ผมเดินออกมาจากทางช่องผู้โดยสารขาออก ถอดแว่นตาสีชาออกจากใบหน้าแล้วโบกมือกลับไปให้

ผมจากที่นี่ไปหนึ่งปีเต็มๆ คุณแม่ชอปปิ้งจนสบายใจกลับมาตั้งแต่เดือนแรกแล้ว มีแต่ผมที่ยังคงจะอยู่ต่อเพียงคนเดียว ความจริงมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมายหรอกครับ ผมเพียงแค่อยากจะลองพบเจอคนใหม่ๆ ลองใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ที่เคยทิ้งไปเพื่อเขาเท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะเจอใครคนไหน พูดคุยกับใครมากมายเท่าไร หัวใจของผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างนั้นได้ขาดหายไป มันไม่เต็มอิ่ม ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น จะกินหรือนอน ทำอะไรผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองหลงลืมบางอย่างที่แสนสำคัญไป จนในที่สุดผมก็ทนมันต่อไปไม่ไหว ต้องบินกลับมาที่เมืองไทย

กลับมาไม่ใช่เพราะพร้อม แต่ผมไม่สามารถไปจากเขาแบบนี้ได้

“โทษทีวะ เครื่องล่าช้าไปครึ่งชั่วโมงเลยกว่าจะออก” ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของอนุรักษ์ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าของคนตรงหน้าผมเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ผมรู้สึกได้ว่ารักมันเปลี่ยนไป เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนกัน

“ช่างมันเถอะ มึงกลับมาก็ดีแล้ว กูก็นึกว่ามึงจะติดใจที่โน่นจนไม่กลับมาที่นี่แล้วเสียอีก” ฟังอนุรักษ์พูดแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้

“จะไม่กลับมาได้ยังไงกันเล่า...” ในเมื่อหัวใจของกูยังอยู่ที่นี่

ผ่านไปหนึ่งปี ไม่รู้ว่าดินแดนจะเป็นยังไงบ้าง ลูกของดินแดนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ครอบครัวจะเป็นสุขดีไหม เข้ากับแม่ของลูกได้หรือยัง ผมมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ แต่ก็ไม่อาจจะถามออกไปได้ในเมื่อเป็นผมเองที่เลือกจะไม่เจอกับเขา ตลอดเวลาหนึ่งปี ผมคุยกับอนุรักษ์เสมอไม่เคยขาดการติดต่อ เพียงแต่ข่าวคราวของดินแดนมีน้อยมาก ตัวดินแดนเองก็เหมือนจะยอมรามือ เลิกขวนขวายหาทางติดต่อผมในที่สุด

ผมควรจะดีใจ ที่เขาปล่อยวางและลืมผมได้...

แต่ผมกลับปวดใจ เมื่อคิดว่าเขากำลังมีความสุขอยู่เป็นครอบครัว

ทุกวันที่ผมใช้เวลาท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ เลือกผลาญเวลาที่มีอยู่มากมายไปกับสิ่งที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผมได้ แต่มันไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะใช้ไปสักเท่าไร ความรู้สึกของผมก็ยังคงโหยหาดินแดนจากก้นบึ้งของหัวใจ ทั้งที่เราทั้งสองคน...ไม่มีวันเป็นไปได้อีกต่อไป แต่ผมก็ยังคงไม่อาจเลิกรักเขา ไม่อาจจะลืมเลือนเขาไปจากหัวใจ

“ว่าแต่...ที่ร้านเป็นยังไงบ้างวะ?” ผมปล่อยให้อนุรักษ์จัดการกับสัมภาระของผม ส่วนตัวเองก็เดินตัวเปล่าอยู่ข้างๆ ความเหนื่อยล้าที่ชวนให้ง่วงนอนไม่ใช่ปัญหาเลยในตอนนี้ สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือร้านอาหารที่ผมฝากอนุรักษ์ช่วยดูแลให้ในตอนที่ผมไม่อยู่เมืองไทยมากกว่า ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจเพื่อน ผมไว้ใจอนุรักษ์แน่นอน แต่ความเป็นห่วงกับความไว้ใจมันไม่เกี่ยวกัน

“ไปได้ดีเลยล่ะ จำที่กูเสนอให้มึงเปิดดาดฟ้าช่วงเย็นได้ไหม”

“เออ จำได้” จะจำไม่ได้ได้ยังไงกัน ในเมื่อวันนั้นอนุรักษ์มันโทรทางไกลหาผมแบบรีบร้อนจนผมที่เพิ่งข่มตานอนได้ไม่นานต้องแหกขี้ตาขึ้นมาฟังมันร่ายความดีของชั้นดาดฟ้าที่อยู่ในจุดรับแสงได้ดี มองเห็นดวงจันทร์ได้ด้วยตาเปล่า จนเหมือนจะบินออกไปลอยอยู่กับดาวเคราะห์น้อยแล้ว และเพราะผมอยากจะนอนต่อ ผมจึงได้ตกปากรับคำไปอย่างรำคาญ

แต่ดูเหมือนการกระทำที่เกิดจากความรำคาญของผมจะออกผลมาอย่างดีสินะ

“ตอนนี้คิวจองโต๊ะตอนเย็นของร้านมึง ยาวไปถึงปีหน้าเลยนะ อีกนิดเดียวก็จะแตะสิ้นปีหน้าแล้วด้วยซ้ำ” ผมเลิกคิ้วอย่างอดประหลาดใจไม่ได้ เพียงแค่ดาดฟ้าจะสามารถดึงดูดคนได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?

“มึงไม่อยู่ไทยคงไม่รู้ พวกเพจดัง ๆ มันมาทำรีวิวร้ายเราเพราะบรรยากาศกับรสชาติอาหาร ทุกคนชอบกันใหญ่เลย” ผมชะงักตัวหยุดเดิน อนุรักษ์เองก็หยุดลงตามผม สีหน้าของมันเป็นกังวลอยู่บ้าง

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“รัก...”

“มีอะไรวะ?” หรือมันจะไม่รู้จริง ๆ

“มึงไม่รู้จริง ๆ หรือว่าพวกนั้นมาเพราะเรื่องของกูกับดินแดน” อนุรักษ์เงียบลง ไม่ใช่ไม่รู้สินะ สีหน้าแบบนี้คือรู้ดีที่สุดเสียมากกว่า คนพวกนั้นที่มารีวิวให้เพราะกระแสของผมกับดินแดนในช่วงแรกๆ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าร้านของเราบรรยากาศดีอาหารอร่อย ผมว่าจุดนี้จึงทำให้พวกเขายังคงมาอย่างต่อเนื่อง

“มึงไม่โอเคกับมันหรือเปล่าวะ?” ผมส่ายหน้าแล้วเดินต่อโดยมีอนุรักษ์เคียงข้างไม่ห่าง

“ไม่หรอก ยังไงก็เป็นผลดีกับร้าน กูต้องโอเคอยู่แล้วสิ”

ก็แค่...ในอกมันหวิว ๆ เท่านั้นเอง

“ใช่! ตอนนี้ร้านมึงมีกำไรเป็นกอบเป็นกำเลยนะ คนอยากมาสมัครงานร้านมึงก็โคตรจะเยอะ” ผมหันไปหาอนุรักษ์ที่เดินอยู่ข้าง ๆ

“มึงไม่ได้รับใครเพิ่มเข้ามาใช่ไหม?” ผมไม่ได้หวงเงินเดือน ไม่ได้หวงพื้นที่ร้านหรืออะไร ไม่ใช่ว่าผมจ่ายเงินเดือนไม่ไหว แต่ผมไม่อยากให้รับใครสุ่มสี่สุ่มห้า อยากจะคัดแยกออกมาด้วยตัวเองมากกว่า

“ไม่ ไม่ใช่กูหรอก คุณหญิงแม่ของมึงต่างหากที่จัดการเรื่องนี้ มึงไม่รู้จักนิสัยของแม่มึงหรือ? เนี้ยบกว่าสีทาบ้านกูเสียอีก”

อนุรักษ์ได้แต่ทำท่าทางขนลุกขนพอง ลูบแขนตัวเองเป็นพัก ๆ กับใบหน้าที่ฉายความสยดสยองออกมาอยู่ตลอด ผมว่ามันตลกดี คุณแม่ของผมเป็นคนใจดีนะครับ แต่เรื่องการรับคนเข้ามาทำงานนี่...ต้องยอมรับเลยว่าท่านโหดมาก ถ้ามีพิรุธ แสดงความรู้สึกที่ไม่ชอบมาพากล คุณแม่ผมจะโยนออกไปโดยไม่คิดจะหันมามองแม้แต่หางตา เพราะงั้นเรื่องที่อนุรักษ์พูดจึงไม่ได้โอเว่อร์เกินไปหรอกครับ เพราะนั่นล่ะ คือแม่ของผมเอง

ผมกับรักเดินมาจนถึงจุดที่มันจอดรถเอาไว้ อนุรักษ์จัดการเอากระเป๋าเดินทางของผมเข้าไปใส่ที่หลังรุ ปลดล็อกประตูให้ผมขึ้นไปนั่งรอเฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร ปมปิดประตูทันทีที่ก้าวขึ้นมานั่งบนรถสำเร็จ คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอนหลังลงไปแนบชิดกับเบาะ หลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

“แล้วมึงจะไปไหนก่อนดี กลับบ้านหรือจะเข้าไปที่ร้านก่อนเลย?”

“กลับบ้านก่อนดีกว่า วันนี้กูอยากพัก กูเหนื่อย” อนุรักษ์พยักหน้าไม่ได้เซ้าซี้ผมต่อ ก่อนที่ตัวรถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้าและนิ่มนวลที่สุด พร้อมกับเพลงที่ถูกเจ้าของรถเปิดคลอเบา ๆ ให้ผมได้ผ่อนคลายอารมณ์

เหนื่อย...แต่ก็คิดถึงเหลือเกิน

อยากไปเจอ...แต่ก็ทำไมได้

สิ่งที่ผมทำได้คือการปล่อยให้อารมณ์ล่องลอยไปกับเสียงเพลงที่ดังคลอออกมา ปล่อยให้ความคิดถึงล่องลอยไปกับสายลมที่พัดผ่านไป หวังให้มันได้เอ่นกระซิบข้างๆ หูของคนที่ผมไม่วามารถมีเขาอยู่ได้ในชีวิต มีสิทธิ์เพียงแค่เก็บเขาเอาไว้ในความทรงจำ

ว่าคิดถึง คิดถึงเขาเหลือเกิน













ผมกลับมาถึงบ้านด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ทันทีที่รถจอดผมก็ไม่สนใจอะไรอีก แม้แต่จะเอ่ยลาอนุรักษ์ที่มันอุตส่าห์ไปรับผมยังไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำ ผมหอบร่างของตัวเองก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ แล้วไปจบที่ห้องนอน ทิ้งตัวลงนอนหลับเป็นตายทันทีที่หัวถึงหมอน

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กระเป๋าเสื้อผ้าจะถูกนำออกมาแขวนเอาไว้ในตู้จนหมด ทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้อย่างดี ผมกวาดสายตาที่ยังคงมีอาหารง่วงหลงเหลืออยู่ไปรอบห้อง

หนึ่งปีที่ผมจากไปแต่ของทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยน แม้แต่สีของผ้าปูเตียงหรือผ้าห่ม มันก็ยังคงเป็นสีเดิมเช่นเดียวกับวันที่ผมจากไป เพียงแต่กลิ่นในห้องกลับหอมสะอาด ไม่ใช่กลิ่นอับที่ห้องถูกปิดเอาไว้มาเนิ่นนาน

คงเป็นคุณและป้าเนียนที่สั่งให้เปิดระบายและทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาสินะ คงเตรียมเอาไว้เพื่อผมในวันที่ผมพร้อมจะกลับมา

สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเอาใจใส่และความรักที่คุณแม่กับทุกคนมีให้ผม ซึ่งสำหรับผมแล้วมันดีเหลือเกิน ดีจนในอกของผมรู้สึกได้ถึงความหวานละมุน

ผมขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเข้าไปจัดการอาบน้ำทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนเรียบร้อย ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว จะว่าไปคุณแม่คุณพ่อและพี่มินก็คงจะอยู่กันพร้อมหน้าแล้วเหมือนกัน ผมคิดถึงทุกคน อยากจะเจอหน้าทุกคนให้หายคิดถึง ไม่รู้ว่าพี่ชายของผมจะเป็นยังไงบ้างหนึ่งปีมานี้ ผมไม่ค่อยได้คุยกับพี่มินเลย เพราะติดต่อไม่ได้เสียส่วนใหญ่ ขนาดโทรเข้ามาที่บ้านก็ยังไม่ค่อยอยู่ ไม่รู้ว่าหายไปไหน

จะว่าไปตั้งแต่ที่พี่มินเจอกับพี่อาณาเขต ผมก็เห็นว่าพี่มินหายไปบ่อย ๆ บ้างก็สามวัน บ้างก็อาทิตย์หรือเป็นเดือนๆ ก็มี แถมเวลากลับมาสีหน้าก็มีแต่ความหงุดหงิด ถามอะไรก็ไม่ค่อยจะตอบ ผมก็เลยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เอาล่ะ...ลงไปข้างล่างดีกว่า ป่านนี้ทุกคนคงกลับมาถึงบ้านกันหมดแล้ว

ผมเดินออกจากห้องลงบันไดไปอย่างสบายอารมณ์ บ้านของผมที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมก็ยิ่งทำให้ผมสบายใจที่ได้กลับมา มันแตกต่างจากตอนที่ผมต้องอยู่ที่โน่นคนเดียว ถึงแม้ว่าทุกอย่างมันจะเป็นระเบียบ เพื่อนดีมีมากมาย แต่ผมก็ยังคงอยากกลับมาที่นี่มากกว่า สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าบ้านของผมอีก

“ไมน์...ตื่นแล้วหรือคะลูก” ผมหันไปยิ้มให้กับคุณแม่แล้วเดินเข้าไปใกล้เพื่อนั่งลงเคียงข้างท่าน ผมใช้สองแขนโอบกอดร่างกายของคุณแม่เอาไว้อย่างเอาใจ ใช้ศีรษะซบลงที่ไหล่ของคุณแม่เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโต

“คิดถึงคุณแม่จังครับ นี่ผมรีบกลับมาเลยนะครับเนี่ย”

“ค่ะ คงคิดถึงแม่มากเลยนะคะถึงกลับมาหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งปี” โดนคุณแม่ค้อนสายตาใส่แบบนี้ผมยิ่งออดอ้อนเขาไปใหญ่ คุณแม่กำลังงอนผม ผมรู้

“ไม่เอาสิครับคุณแม่ ไมน์ไม่ได้อยากกลับช้าเสียหน่อยนี่นา คุณแม่ก็รู้ว่าผมน่ะ รักกกกกกคุณแม่มากขนาดไหน” คุณแม่ค่อยหันมาหาผมช้า แล้วใช้สองมือหยิกแก้มของผมด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ไหนคะ บอกแม่สิว่ารักแม่มากขนาดไหน” ผมยิ้มจนตาหยี ก่อนจะทำมือกว้างๆ อย่างเอาอกเอาใจ

“เท่าฟ้าเลยครับ ผมรักคุณแม่เท่าฟ้าเลยยยย” และนั่นก็ทำให้คุณแม่ของผมหัวเราะเสียยกใหญ่ เอาแต่บอกว่าผมไม่รู้จักโตทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่ใช่จะเด็กแล้ว แต่ถึงจะบ่นแบบนั้น คุณแม่กลับลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน

นี่คือสิ่งที่ผมเองก็คิดถึง ความอบอุ่นของมือคู่นี้มันช่างชวนให้คิดถึงอยู่เสมอ

“โอ๊ะ! พี่มินนนนนน” ผมรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นพี่ชายคนเดียวเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่เมื่อได้ยินเสียงของผมและร่างของผมที่กำลังวิ่งถลาเข้าไปหา พี่มินก็เปลี่ยนสีหน้าแทบจะทันที เพราะตอนนี้นอกจากความดีใจ...ผมก็มองไม่เห้นอย่างอื่นอีกเลย

“ไมน์! ไอ้ตัวแสบ!”

หมับ

ผมโผเข้ากอดพี่มินจนแน่นโดยที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ต่างกัน ความคิดถึงของผมและพี่ชายต่างก็มีมากพอ ๆ กัน เราสองคนจึงได้ต่างคนต่างก็ไม่มีใครอยากจะผละออกจากอ้อมกอดของกันและกันแบบนี้ พี่มินดึงผมออกช้า ๆ ใช้มือข้างขวาขยี้ลงบนผมของผมอย่างแรงจนมันยุ่งเหยิงไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องอมยิ้มกลับเป็นรอยยิ้มของพี่มินเสียมากกว่า เพราะตอนนี้...พี่ชายของผมก็ยังไม่หุบยิ้มลงเลยด้วยซ้ำ

“อย่าสิพี่มิน ผมไมน์ยุ่งหมดแล้วนะ” ผมพยายามปัดป้องมือของพี่มินออกแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก พี่มินยิ่งเห็นผมทำท่าทีห่วงผมของตัวเองแบบนั้นก็ยิ่งลงมือแกล้งผมหนักยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังไม่ยอมเลิกขยี้หัวผมเสียที

“ทำไมเพิ่งจะกลับมา ไม่รู้หรือไงว่าพี่...” เป็นห่วง สองคำนี้ถูกพี่ชายของผมกลืนลงคอไป สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น ยิ่งถูกมองก็ยิ่งเจ็บปวดในใจ

“ผมเอง...ก็อยากกลับมาครับ” อยากกลับมาใจจะขาด แต่ก็ทำไม่ได้

“แล้วทำไมไม่กลับมาล่ะ ทำไมถึงต้องรอให้เวลามันผ่านไปนานขนาดนี้ หนึ่งปีเชียวนะไมน์ ที่พี่ไม่ได้เจอ” ใช่แล้ว เวลาหนึ่งปีมันยาวนานสำหรับคนที่รอเสมอ ผมก้มหน้าลงซ่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเอาไว้

“ผมแค่ยังไม่พร้อม ยังเข้มแข็งไม่มากพอถึงได้อยู่ต่อ” แค่เพราะหัวใจของผมยังไม่แข็งแรงมากพอ ผมถึงเลือกที่จะไม่กลับมาที่นี่ ทั้งที่รู้ดีว่า...มีคนเฝ้ารอผมอยู่มากแค่ไหน

“แล้วตอนนี้เข้มแข็งแล้วหรือ”

ผมส่ายหน้า แววตาฉ่ำรื้อไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ ทั้งสองข้างมองพี่ชายอย่างเจ็บปวด ความเข้มแข็งไม่ได้มีมากขึ้นเลยสักนิด กลับกันหัวใจของกลับทวีความอ่อนแอลงมากขึ้นๆ ทุกวัน ความคิดถึงและโหยหาที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ ยิ่งทำให้ผมไม่อาจจะทนอยู่ที่นั่นได้อีก

“ถ้าไม่ได้เข้มแข็งขึ้น แล้วทำไมถึงยอมกลับมาล่ะ”

“...” นั่นสิ ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงยังกลับมาทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ผมแค่ยิ้มออกมาเพราะต้องการเยาะเย้ยตัวเองที่ทำไม่ได้

“ทำไมเราถึงตัดสินใจแล้วว่า...การกลับมาคงดีที่สุด”

“คงเพราะผมคิดถึงเขา คิดถึง...ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าต่อให้กลับมาที่นี่แล้ว ก็ไม่สามารถจะไปเจอเขาได้อยู่ดี” ความทรมานจากความคิดถึงเป็นแบบนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาจะไปพบ แต่ก็ทำได้แค่ห้ามตัวเองเอาไว้

มันช่างเป็นความทรมานที่ผมต้องกล้ำกลืนลงไปอย่างยากเย็น

“เอาล่ะๆ เลิกคิดมากได้แล้ว แบบนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะ” ผมฝนส่งยิ้มให้กับพี่มิน ไม่อยากใครเป็นห่วงกลัวว่าผมจะอยู่ไม่ได้หรืออะไรแบบนี้ แม้ว่าความจริงแล้วหัวใจผมมันกำลังทุกข์ทรมานกับความคิดถึงที่เป็นดั่งพิษร้ายคอยกัดกร่อนหัวใจผมไปอย่างช้า ๆ

สิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ต่างจากเมื่อหนึ่งปีก่อนในวันที่ผมเดินออกไปจากเขา ความเจ็บปวดทรมานไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย เวลาไม่ใช่สิ่งที่จะเยียวยาทุกอย่าง วันนี้ผมได้รับรู้ถึงมันแล้ว ความปวดร้าวในใจที่ไม่ได้ลดน้อยลงนั้น เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่ามันเสียเปล่า

หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นตัวพิสูจน์ให้ผมได้อย่างดี เพราะมันไม่เคยทำให้ผมเลิกคิดถึงดินแดนได้เลย ความเจ็บปวดที่มีในทุกครั้งที่คิดถึงเขา มันก็ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ไม่เลือนหาย

“อยากรู้ข่าวไหมล่ะ ข่าวของคนคนนั้น” คำถามของพี่มินทำให้ตัวผมชะงักค้าง แข็งเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ข่าวของคนคนนั้นที่ว่า คือดินแดนสินะ พี่มินรู้ข่าวของดินแดนด้วยอย่างนั้นหรือ? ผมแปลกใจและคาดไม่ถึงว่าพี่ชายของผมจะถามผมออกมาแบบนี้

ผมได้แต่หันไปมองใบหน้าของพี่มินที่จับจ้องผมอยู่แต่แรกแล้วด้วยความไม่เข้าใจ แววตาของผมฉายความสับสนที่แสนว้าวุ่นออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวด แต่ผมกลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจะรู้จริง ๆ

“ถ้าหาก...”

“หืม?”

“ถ้าหากว่าผมอยากรู้...พี่จะบอกผมหรือครับ”

ถ้าหากผมพูดออกไปว่าอยากฟัง ผมต้องการรู้เรื่องของดินแดนว่าเขายังสุขสบายดีหรือเปล่า เขา...มีความสุขอยู่ใช่ไหม พี่มินจะบอกผมงั้นหรือ? ถ้าผมพูดความต้องการในหัวใจของผมออกไป พี่ชายของผมคนนี้...จะยอมบอกมันกับผมงั้นหรือ ในเมื่อพี่มินไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวกับดินแดนอีก

“แล้วเราอยากรู้จริง ๆ หรือเปล่าล่ะ...” ผมก้มหน้าลง สายตาจับจ้องปลายเท้าของตัวเอง ถามตัวเองอยู่ในใจว่าควรรู้หรือเปล่า หากรู้แล้วผมจะยิ่งเจ็บช้ำกว่าเดิมไหม แล้วถ้าหาก...อยู่อย่างไม่รู้แบบนี้ ผมทรมานมากกว่าการที่ต้องรู้หรือเปล่า

คำถามของผมที่เฝ้าถามกับตัวเองนั้น มันไม่มีคำตอบอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เพราะงั้นผมถึงต้องเลือกมันเอง เลือกเองว่าจะฟังข่าวของคนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ หรือจะปล่อยไป ไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีก...

“ว่าไงตัวแสบ อยากจะฟังหรือเปล่า ข่าวของผู้ชายคนนั้น” ผมเม้มริมฝีปากจนแน่น ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดีในเมื่อผมเองในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า ทางเลือกไหนที่เจ็บน้อยกว่า

“ถ้าผม ถ้าผมเลือกจะรู้ ผม...จะเจ็บกว่าการไม่รู้ไหมครับ” ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่มินด้วยแววตาที่เจ็บปวดจนพี่ชายของผมผงะไป ก่อนจะถอนหายใจออก

“นี่คือสิ่งที่ไมน์จะต้องตัดสินใจ เลือก...ในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

สิ่งที่จะทำให้ผมไม่เสียใจภายหลังงั้นหรือ ถ้าผมเลือกจะไม่รับรู้ข่าวสารของดินแดน ผมคง...ต้องทรมานใจจนไม่อาจจะมีความสุขได้ แต่ถ้าเลือกที่จะรู้ ผมเองก็กลัวว่าตัวเองจะเจ็บกับข่าวที่ได้รู้ แต่...อย่างน้อยมันก็เป็นความสบายใจว่า ในตอนนี้...ดินแดนมีความสุขดีแล้ว เขามีครอบครัวที่สมบูรณ์ไปแล้ว ผมอาจจะ...พอตัดใจได้บ้าง

“ผมอยากรู้ครับพี่มิน...” ผมสูดลมหายใจแล้วตัดสินใจเลือกหนทางนี้ออกไป

ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว แม้ว่าอาจจะเจ็บ แต่ก็จะได้รู้ว่าเขาสบายดีหรือเปล่า

อย่างน้อยก็ได้รู้...

“ได้...ในเมื่อน้องชายของพี่อยากจะรู้ พี่ก็จะบอก”

ผมเม้มปากกำมือจนแน่น พยายามระงับหัวใจตัวเองไม่ให้มันเต้นแรงนัก พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่ให้ร่างกายเกร็งจนเกินไปกับการรอฟังเรื่องของดินแดน

“ไอ้หมอนั่น ตอนนี้ได้ลูกชาย” ลูกชายหรือ ดี ดีแล้ว แบบนี้ดีแล้วล่ะ

“งะ งั้นหรือครับ” อา ทำไมหัวใจของผมมันถึงปวดหนึบแบบนี้กันนะ เด็กคนนั้นคงจะต้องเหมือนดินแดนแน่ ๆ คงจะต้องรูปหล่อเหมือนที่ดินแดนเป็น คงมีแววตาอ่อนโยนคล้ายพ่อของเขา

แต่ทำไมผมถึงได้...เจ็บปวดขนาดนี้กันล่ะ? ทำไมกัน

“ส่วนเมียของมัน...”

ผมกลั้นหายใจเมื่อได้ยินพี่มินกำลังจะพูดถึงใบบัว ความจริงผมก็เตรียมใจฟังมาบ้างแล้ว ถ้าต้องการจะรู้ข่าวของดินแดน ยังไงก็คงหนีไม่พ้นต้องฟังข่าวของเธอด้วยเช่นกัน

“พี่ได้ข่าวมาว่า หลังจากคลอดลูกได้สามสี่เดือนก็หอบเสื้อผ้า ทิ้งลูกทิ้งมันไปหาผัวใหม่แล้ว ตอนนี้เห็นควงๆ อยู่กับเสี่ยกำจร”

ทิ้ง! ทิ้งดินแดนกับเจ้าตัวเล็กหรือ? ได้อย่างไรกัน!

“แล้ว อึก! แล้วตอนนี้...” ตอนนี้ดินแดนเป็นยังไงบ้าง ลำบากมากหรือเปล่า เขา...เหนื่อยมากไหม ผมอยากจะถามออกไปมากมายนับร้อยพันคำ แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของผมได้กลับไม่มีสักคำ ผมพูดไม่ออก มันทรมานใจแทนดินแดน ลูกยังเล็ก ดินแดนจะดูแลยังไงเพียงคนเดียว เขาจะได้พักผ่อนเพียงพอไหม ผม...ห่วงเขาเหลือเกิน

“ตอนนี้เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงลูกตัวคนเดียว”

ห่วง ผมห่วงเขาเหลือเกิน อยากไปหาเขา อยากพบเขา อยากดูแลเขา แต่ผม...ไม่มีสิทธิ์นั้น

ผมเสียสละ ยอมเดินออกมาจากพื้นที่มันเป็นของผม เสียสละให้เธอได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้นเพื่อดูแลดินแดนและเด็กในท้อง แต่เธอกลับทอดทิ้งเขา ปล่อยให้เขาลำบากอยู่เพียงคนเดียวในการเลี้ยงลูก ถ้าเธอไม่รักเขา จะมาทวงสิทธิ์ที่ไม่อยากได้ไปเพื่ออะไรกัน

“แล้วที่บ้านดินแดนละครับพี่มิน ทั้งพี่อาณาเขต คุณอาสมภพ ไม่มีใครเลยหรือครับที่จะ...”

“รับกลับเข้าบ้านน่ะหรือ?”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำ บีบมือของตัวเองเอาไว้อย่างปลอบโยนตัวเองไม่ให้ห่วงดินแดนมากจนเกินไป เพราะผมกลัวว่าตัวเองจะวิ่งออกไปตามหา และแย่งชิงหน้าที่การดูแลที่ไม่ใช่ของผมอีกแล้วกลับมา

“มีสิ แต่เจ้าตัวเองนั่นล่ะที่ไม่ยอมกลับ”

“...” พี่มินปรายตามองผมเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของผม

“และพี่เชื่อว่าไมน์คงรู้ดีใช่ไหม ว่าทำไมดินแดนถึงไม่ยอมกลับเข้าบ้านตัวเอง” รู้สิ ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อทั้งหมดมันชัดเจนอยู่แล้ว ดินแดนไม่อยากให้ใบบัวกลับมาทวงตำแหน่งของความเป็นแม่ กลัวว่าเธอจะกลับมาในชีวิตอีกครั้ง ดินแดนชิงชังเธอ ผมเห็นมันอย่างชัดเจนในวันที่ผมเลือกเดินออกมา แต่ไม่คิดว่าในวันนี้ที่ผ่านมาหนึ่งปี เขา...จะยังคงรู้สึกเช่นเดิม

แล้วความรู้สึกที่มีให้ผมล่ะ จะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า?

เรื่องนี้...ผมคงไม่สามารถถามพี่มินได้สินะ เพราะคนที่จะตอบมันได้มีเพียงแค่คนเดียว

นั่นคือ...ดินแดน





เอาให้สุดค่ะ ให้ทุกคนผิดหวังกับนิยายเรื่องนี้ให้มันสุดๆไปเลย หวังเพียงว่าจะมีคนเข้าใจสักนิดก็พอ ขอให้ทุกคนมองมันเป็นเพียงแค่นิยายนะคะ ขอให้มองเป็นหนึ่งมุมสะท้อนที่เอาไว้เตือนใจ หรือเป็นมุมมองที่เราอาจจะไม่มีวันเป้น หรืออาจจะเป็นได้ในสักวันหนึ่ง แต่แมวอยากให้ทุกคนรู้นะคะ ว่าตอนนี้เราอยู่ในมุมของที่เห้นทุกอย่าง รับรู้ว่าจิตใจของใครคนไหนเป้นแบบไหน แต่สำหรับตัวละครของแมวเป็นเหมือนคนหนึ่งคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครคิดอย่างไรในจิตใจ ความผิดพลาด การกระทำที่โง่เขลา ปัจจัยหลายๆอย่างมันเป็นตัวกำหนด ที่แมวจะบอกก็คือ ทุกอย่างมีเหตุและผลของมันในการกระทำนั้นๆค่ะ เข้าใจค่ะว่าผิดหวังกับมัน แต่อย่าเพิ่งทิ้งนิยายที่แมวลงมือสร้างเลยนะคะ พลีส

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [23] กลับบ้าน (ฉบับเต็ม) Up [11/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-05-2020 21:28:28
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [23] กลับบ้าน (ฉบับเต็ม) Up [11/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-05-2020 01:03:31
ความผิดพลาด อาจดูเหมือน สะเทือนจิต
การกระทำ ไม่ยั้งคิด ผิดมหันต์
มันกระทบ จุดจบตาม ความสัมพันธ์
ถึงดื้อรั้น มั่นใจหมาย ให้คลายลง

แต่จิตใจ มันเต็มเปี่ยม ด้วยเลือดเนื้อ
โดนแล่เถือ ซ้ำเกลือป่น จนผุยผง
ยากจะกลับ ให้คืนดี เหมือนใจจง
รังจะแต่ ดำดิ่งลง คงใกล้ตาย

เจ็บอะไรไม่เท่าเจ็บที่ใจ
และอยู่ที่ใครเป็นคนทำ

รักมากก็แค้นมากเว้ยยยยยย
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [24] "You" (ฉบับเต็ม) Up [12/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 12-05-2020 18:37:42
[24] (ฉบับเต็ม)



“You”

ผมเขี่ยข้าวในจานอย่างหมดอารมณ์ที่จะกินต่อ เหม่อมองออกไปนอกร้านอย่างไม่มีจุดหมาย คำพูดของพี่มินยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผม คำพูดแล้วคำพูดเล่าไม่มีทางสลัดมันออกไปได้ไม่ว่าจะทำยังไง ในตอนนี้มีแต่ความห่วงใย คอยแต่คิดถึงความลำบากที่อาจจะเป็นไปได้ว่าดินแดนจะต้องพบเจอ

ผมได้แต่ถอนหายใจกับความคิดของตัวเอง อยากจะสลัดเรื่องของดินแดนออกไปจากหัว แต่ผมทำไม่ได้...

“เป็นอะไรวะ ไม่อร่อยหรือ?”

“อร่อยสิ” แค่กินไม่ลง

“แล้วทำไมมึงถึงได้เขี่ยข้าวแบบนั้นล่ะ” อนุรักษ์มองผมด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ แต่ผมเพียงก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่ว้าวุ่นเอาไว้ไม่ให้เพื่อนรักคนเดียวของผมเห็น ยิ่งได้เห็น รักมันก็ยิ่งเป็นห่วง แบบนั้นมันเป็นการสร้างความกังวลใจให้กับคนอื่นเสียเปล่า ๆ ยิ่งเป็นคนที่ผมแคร์ ผมยิ่งไม่อยากให้มาเครียดไปกับตัวผมด้วย

แม้ว่าตัวผมเองจะกำลังคิดมากแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่คิดจะให้ใครรับรู้

“กูแค่อิ่ม” แม้จะบอกไปแบบนั้นแต่ดูเหมือนอนุรักษ์ไม่ได้คิดจะเชื่อผมเลยสักนิด ผมขยับช้อนวางลงไปในที่สุด ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวสายตาที่จ้องจับผิดของมัน แต่ผมแค่...ไม่รู้ว่าจะถือมันไปทำไมในเมื่อผมไม่ได้คิดจะกินอะไรเข้าไปอีก อนุรักษ์เองเมื่อเห็นว่าผมวางช้อนลง ตัวเขาเองก็วางช้อนลงเช่นกันก่อนจะหันมาจ้องผมอย่างจริงจัง สายตากดดันผมอย่างทุกครั้งที่เขาต้องการเค้นเอาความหนักใจหรือเรื่องราวในใจที่ผมเก็บเอาไว้ไม่ยอมบอก

“ได้ อิ่มแล้วใช่ไหม?” ผมพยักหน้า มองเพื่อนตัวดีของผมยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

อาหารที่เหลือเกินครึ่งตรงหน้า ยิ่งทำให้ผมสะท้านใจ อดคิดถึงดินแดนไม่ได้ ไม่รู้ว่าในตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง จะได้กินอิ่มนอนหลับเหมือนที่ผมเป็นหรือเปล่า แล้วลูกชายของดินแดนล่ะ? จะได้ทานอะไรหรือยัง มันคือความกังวลใจที่คอยแต่จะกัดกินและบั่นทอนจิตใจของผมลงไปเรื่อย ๆ

“งั้นตอนนี้ก็มาคุยกัน” ผมขมวดคิ้วเมื่ออนุรักษ์เอนตัวพิงกับเก้าอี้พร้อมกับสองแขนที่ยกขึ้นมากอดอกเอาไว้

“คุย? คุยเรื่องอะไรล่ะ?” รักไม่ยิ้มแม้แต่น้อย สายตาและท่าทางเต็มไปด้วยความจริงจังจนผมเริ่มใจไม่ดี

มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ ทำไมเพื่อนผมคนนี้จึงได้เคร่งเครียดแบบนี้

“มึงรู้แล้วสินะ เรื่องของดินแดน”

“...” ผมเงียบลงไปทันที ริมฝีปากที่ขยับยิ้มก็หุบลงทันตา สายตาหลุบลงมองขาของตัวเองแทนการสบตาไปตรง ๆ กับมัน

“มึงรู้เรื่องดินแดนด้วยหรือวะ?” ไม่ใช่การตอบคำถาม แต่เป็นการถามกลับไปเพราะความไม่เข้าใจมากกว่า

“ใช่ กูรู้เรื่องของดินแดนแล้ว” คำตอบของมันยิ่งทำให้ผมเม้มริมฝีปากของตัวเอง

“เมื่อไร? ตั้งแต่เมื่อไรวะรัก” ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันรู้เรื่องนี้ ก่อนผมกลับมา หลังผมกลับมา หรือว่า...

“กูรู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว รู้มาตลอดเวลา”

มันรู้มาตลอด รู้มาตลอดว่าดินแดนเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่คิดจะบอกผม มันยังหัวเราะ ยังยิ้มได้เหมือนทุกวันราวกับว่าไม่มีอะไร ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะรู้ข่าวของดินแดนใจแทบขาด แต่มันกลับไม่เคยบอกอะไรผมเลย

“ทำไม...” ผมไม่สามารถถามออกไปได้เต็มคำ เสียงที่เอ่ยถามทั้งแหบแห้งและเบาหวิว มันเจือไปด้วยความเสียใจที่ถูกอีกคนปิดบังเอาไว้

“เพราะกูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมันอีกไงไมน์ มึงเห็นตัวเองไหม มึงต้องหนีไปเมืองนอกเพราะมันอยู่ที่นี่ เพราะมันกำลังมีครอบครัว ทั้งหมดนี่ก็เพราะมัน แล้วมึงจะให้กูบอกมึงอีกหรือ? เพื่อให้มึงต้องเจ็บซ้ำ ๆ แล้วก็ไปจากที่นี่อีกหรือไงวะ!” มันโกรธที่ผมไปอังกฤษสินะ โกรธที่ผมไปนานเกินกว่าที่คิดไว้ เพราะผมทิ้งมันใช่ไหม เพราะผมปล่อยให้มันเหงาใช่หรือเปล่า แต่เรื่องนี้มันก็ควรจะเข้าใจไม่ใช่หรือ ว่าผมเอง...ก็แค่อยากได้เวลา ไม่ใช่ว่าจะไปแล้วไม่กลับ

“กูขอโทษ ถ้าสิ่งที่กูเลือกหรือสิ่งที่กูทำมันทำให้มึงเสียใจ เสียความรู้สึก”

“เฮอะ!” อนุรักษ์แค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ แน่นอนว่าผมเข้าใจดี มันจะโกรธก็คงไม่แปลก ผมกับมันรู้จักกันมานานขนาดไหน ยิ่งเป็นเพื่อนกันมานาน การที่ผมเลือกเดินไปในจุดที่ไม่มีมันย่อมน่าโมโหเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ผมเข้าใจดี

“แต่มึงไม่เข้าใจรัก มึงไม่เข้าใจกู ว่าสำหรับกูแล้วมึงคือเพื่อนที่กูรักมาก ๆ”

มากจนผมเองยังสามารถตายแทนมันได้

“แต่ดินแดนคือหัวใจของกู เป็นความรักและโลกทั้งใบที่กูมี มึงเข้าใจไหมรัก เข้าใจกูหรือเปล่า”

ผมไม่ใช่คนที่เห็นคนที่รักสำคัญกว่าสิ่งใด แต่การที่อนุรักษ์ตัดขาดผมออกจากสิ่งที่ผมอยากจะรู้ ก็ไม่ต่างจากการแย่งชิงอากาศที่ผมใช้หายใจไปจากผม ผมเห็นรักสำคัญเหมือนที่เห็นครอบครัวของผมสำคัญ แต่ความสำคัญไม่ได้หมายความว่าควรมาตัดสินในสิ่งที่ผมควรจะเลือกได้ เพราะงั้น...ผมจึงมองว่าคราวนี้อนุรักษ์ทำเกินไป แม้จะมาจากความหวังดีก็ตาม

“ชิ! กูจะพูดอะไรได้อีกล่ะ เฮอะ!” ท่าทางที่แสนงอนของอนุรักษ์ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา จากสีหน้าที่แสดงความไม่ยินยอม แต่การแสดงความขัดใจออกมาตรง ๆ แบบนี้ผมกลับคิดว่าเป็นความจริงใจที่ผมเห็นแล้วสบายใจมากกว่า อย่างน้อยรักมันก็เข้าใจแล้วว่าไม่ได้มีแค่ดินแดนที่สำคัญสำหรับผม เพราะตัวของรักเองก็สำคัญ

เป็นเพื่อนคนสำคัญคนเดียวของผม

“มึงคงสงสัย ทำไมกูถึงเลือกที่จะพามึงมากินข้าวที่นี่ ทั้งที่ทุกอย่างไม่ใช่ความชอบของกูและมึง” ผมสบตากับอนุรักษ์ที่จู่ ๆ ก็พูดเรื่องบรรยากาศ รสชาติ และความชอบขึ้นมา

“อา ก็ใช่ แต่ก็นึกว่ามึงอยากจะลองอะไรใหม่ๆ” ไม่ใช่หรอกหรือนี่ ถ้างั้นทำมันล่ะ

“เพราะที่นี่มีสิ่งที่มึงมองหา...” ผมมองตามสายตาของอนุรักษ์ไปยังนอกร้านแล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่ผมได้เห็น ภาพของใครคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา ทว่าในตอนนี้เขากลับต่างออกไปจากเดิม คนที่ทำให้ผมปั่นป่วนหัวใจ ห่วงใยจนไม่สามารถข่มตานอนได้

“กูอาจจะปิดบังข่าวคราวของมันไม่ให้มึงได้รู้...”

คนที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของผม

“แต่กูจะเป็นคนพาโลกทั้งใบมากองเอาไว้ตรงหน้ามึงอีกครั้ง ให้มึงได้เลือกเองว่าจะอยู่ในโลกใบนั้นต่อ หรือจะเดินออกมาแล้วสร้างโลกใหม่”

“ฮึก...” ผมยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงร่ำไห้ต้องเล็ดลอดออกมา ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้มทั้งสองยามที่มองภาพของคนที่ผมรัก หอบข้าวของมากมายทั้งที่อุ้มเด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่งเอาไว้ เสื้อผ้าหน้าผมที่ขาดการดูแล สีหน้าที่แสนอิดโรยชวนให้ผมปวดใจนั้น มันคือความคิดถึงที่สุดของหัวใจ

“ถึงเวลาที่มึงต้องเลือกแล้วนะไมน์ ว่าจะปล่อยมันไป...หรือจะไปกับมัน” ผมปาดความเปียกชื้นออกจากใบหน้า หันมามองใบหน้าของเพื่อนรักเพียงคนเดียวของผมอย่างเต็มตา ด้วยความรู้สึกที่สุขจนล้นใจ

ผมเลือกได้สินะ ถ้าอยากจะเลือกดินแดน ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าเราจะมีกันและกันอีกครั้ง

“ขอบคุณนะรัก ขอบคุณมาก ฮึก จริง ๆ”

ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นั้นให้ใครอีกแล้ว ขออีกครั้งให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างที่เราสองคนปรารถนา

อีกสักครั้งที่หัวใจของผมจะได้รับความสุขอย่างที่เคยเป็น ผมขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว

“แดน!!” ผมวิ่งออกมาจากร้านอาหาร วิ่งตามหลังเขามาก่อนจะส่งเสียงเรียกเขาเมื่อร่างของดินแดนล้มลงกับพื้นเพราะถูกรถคันหนึ่งพุ่งเข้าใส่ หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้น ภาพของเขาที่โอบประคองร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่มันบีบหัวใจของผมเหลือเกิน

“แดน แดน เป็นอะไรไหม เจ็บ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ความร้อนใจทำให้ผมรัวคำถามใส่เขาโดยไม่ได้มองเลยว่าเขาจะตกใจมากแค่ไหนที่ได้เจอผม สายตาของผมกวาดมองไปทั่วทั้งร่างของดินแดน มองหาบาดแผลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยความเป็นห่วง

“ไมน์...”

“เดินยังไงวะ! อยากตายนักหรือไง!” เสียงที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวดังขึ้นเมื่อคนที่ขับรถคันนั้นเดินออกมา ผมตวัดสายตาโกรธเกรี้ยวไปยังคนที่บังอาจทำร้ายดินแดน

“เดินยังไงหรือ มันต้องถามทางนั้นต่างหากว่าขับรถภาษาอะไร!” ผมตะคอกเสียงถามอย่างโมโห ทางนั้นขับรถไม่มองทางแล้วมีหน้ามายืนด่า เสียงข่มขวัญให้คนอื่นกลัว แบบนี้มันได้หรือไงกัน เสียงร้องของเด็กชายในอ้อมแขนของดินแดนยิ่งกระตุกหัวใจของผม พัดให้ความโกรธของผมยิ่งโหมกระพือมากขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด

“พูดบ้าอะไร ทางฉันน่ะขับรถมาดี ๆ มีแต่สองพ่อลูกนี่ต่างหากที่อยากจะตาย เดินมาให้ฉันชน เฮอะ! อยากตายก็ไปตายที่อื่นไป สกปรกรถฉันหมด”

สกปรกหรือ กล้าดียังไงกัน

“รถราคาไม่กี่แสน อย่าทำมาพูดดีเหมือนรวยล้นฟ้าดีกว่า เดี๋ยวจะอับอายเอาทีหลังนะ” เสียงของอนุรักษ์ที่ดังขึ้นมาดึงสติของผมได้ดี ผมปล่อยให้อนุรักษ์จัดการผู้ชายคนนั้น ส่วนตัวเองก็พยุงร่างของดินแดนขึ้นมา

“ไมน์ ไมน์จริง ๆ หรือ” ผมรู้สึกปวดใจเหลือเกินเมื่อได้ยินเสียงของดินแดนที่เต็มไปด้วยความดีใจ สับสน ไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเอง ผมเม้มริมฝีปากแน่น กัดมันเอาไว้เพื่อสะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่ใกล้จะไหลริน

“ไมน์เองแดน แดน ฮึก เป็นยังไงบ้าง” ไม่ไหว ผมไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ผมคิดถึง โหยหาและรักเขาเหลือเกิน ความรู้สึกอันท่วมท้นล้นทะลักออกมาจนอาบสองแก้ม ร่างกายสั่นระริกจากแรงสะอื้น

“ไม่ ไม่เป็นไร ไมน์...อย่าร้องไห้สิครับ อย่าร้องไห้แบบนี้ หัวใจของผม มันทนมองไมน์ร้องไห้แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงของดินแดนยังคงเจือไปด้วยความรวดร้าวราวกับใจจะขาดลงเสียจริง ๆ กับการที่ต้องทนมองผมร้องไห้แบบนี้ แต่ผมคิดถึงเขา คิดถึงจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

“ผมจะเอาเรื่องพวกคุณ! นี่คงเป็นขบวนการเดียวกันสินะ ที่คิดจะมาเรียกร้องค่าเสียหายล่ะสิ!”

ไอ้บ้านี่มันหลุดมาจากไหนถึงกล้าวางท่าทางใหญ่โตขนาดนี้

ผมโมโหจนแทบจะถลาเข้าไปชกหน้าและปากสั่ว ๆ นั่นให้มันได้เลือดออกมาล้างปากของมันเสียสักทีสองที แต่กลับถูกอนุรักษ์ดึงแขนของผมเอาไว้เสียก่อน

“ห้ามทำไมรัก มึงไม่เห็นมันพูดหรือวะ!” อารมณ์ของผมในตอนนี้มันเกินกว่าจะมานั่งห่วงหน้าตาของตัวเองอีกแล้ว

“รอก่อน นายด้วย รอก่อน รออีกเดี๋ยวรับรองว่านายได้ระบายอารมณ์อย่างดีแน่นอน”

“เฮอะ! ให้รออะไร นี่คิดจะพาพวกมาทำร้ายฉันล่ะสิ พวกอันธพาลเอ๊ย!”

“ไอ้...” ผมคิดจะด่าออกไปด้วยถ้อยคำที่แสนหยาบคาย แต่มือของอนุรักษ์กลับปิดปากของผมเอาไว้ ทำไมกัน จะต่อยมันผมก็ทำไม่ได้ จะด่ามันก็ยังทำไม่ได้อีก แบบนี้คือผมต้องอดทนอย่างเดียวหรือไง ผมไม่ใช่คนที่จะทนอะไรแบบนั้นหรอกนะ!

“รอก่อนไมน์ มึงรอก่อน กูเรียกมาแล้ว มึงรอสะใจได้เลย” ผมหยุดชะงักไปกับคำพูดของอนุรักษ์ ถ้าหากว่าเพื่อนผมพูดออกมาแบบนี้ นั่นหมายความว่ามีคนที่จะมาจัดการให้แล้ว แต่จะเป็นใครล่ะ พี่มินหรือ?

หรือว่าจะเป็น...

“นั่นไง มานั่นแล้ว” ผมหันไปมองตามสายตาของอนุรักษ์แล้วก็พบกับผู้ชายใส่สูทตัวหรูที่เนี้ยบทั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่าแววตาของคนที่กำลังเดินเข้ามากลับชวนให้เสียวสันหลังวาบ

“พี่อาณาเขต!”

ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่อาณาเขตจะมาด้วยตัวเอง แต่ที่ไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่าคือทำไมอนุรักษ์เพื่อนของผมถึงมีเบอร์ติดต่อพี่อาณาเขตด้วยล่ะ ไปสนิทหรือรู้จักกันตอนไหน

“นายหรือที่เป็นคนขับรถชน?” หมอนั่นไม่ได้สำนึกแม้แต่น้อย ไม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของพี่อาณาเขตเลยสักนิด เพราะเขายังเอาแต่แสดงสีหน้าว่าเหนือกว่าในทุกอย่างโดยไม่ได้มองอะไรเลย

“ใช่! คอยดูสิ ฉันจะฟ้องพวกแกให้หมดทุกคนเลย แล้วนี่อะไร ทนายงั้นหรือ เฮอะ!” นั่นสายตาหรือส้นเท้า มองลูกชายคนโตของคุณอาสมภพ โชติญาณกุลว่าเป็นทนายงั้นหรือ ถึงมันจะตลกมาก แต่ผมไม่กล้าขำหรอกครับ กลัวถูกฆ่าตายแบบหาศพไม่เจอ

“อุ๊บ ฮ่า ๆ ทนายสินะ ทนายสินะ ฮ่า ๆ” ผมหันไปมองคนข้างหลังของพี่อาณาเขตแล้วยิ่งตกใจ ทำไมพี่ชายของผมถึงมาด้วยล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พี่มินจะต้องมาเลยนี่นา

“จะฟ้องใช่ไหม ใจกล้าดี ถ้างั้นก็เอานามบัตรนี่ไปนะ แล้วสั่งฟ้องให้ถูกชื่อด้วยล่ะ ฉันจะรอรับหมายเรียก” ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นรับนามบัตรไป สีหน้าที่เคยหยิ่งผยองก็ซีดเผือด แข้งขาอ่อนลงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ก็สมควรแล้วล่ะ ตัวเองผิดที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือเอง แต่กลับมาโทษดินแดนว่าเดินไม่ดูทาง หาว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อทำให้รถสกปรก แค่นี้มันยังน้อยไป

“อะ อาณาเขต โชติญาณกุล” พี่เขตยิ้มเย็น สองมือล้วงกระเป๋าอย่างใจเย็น

“ใช่ ถ้าจำได้แล้วก็ช่วยส่งมาเร็วๆ ด้วยล่ะ หมายเรียกตัว” อีกฝ่ายหน้าซีดตัวสั่น มองมาที่ดินแดนสลับกับพี่อาณาเขตอย่างไม่เข้าใจ

“ทะ ทำไมต้องช่วยเขาด้วยล่ะครับ ก็เขาเดินไม่ดูทาง ผมไม่ได้อยากจะหาเรื่องเสียหน่อย” ไม่อยากจะหาเรื่องเสียหน่อยนี่คงหมายถึง ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับพี่อาณาเขตเสียหน่อยสินะ

“นั่นน้องชายฉัน ถ้านายจะฟ้องก็จดชื่อลงไปสิ ดินแดนโชติญาณกุล แต่ถึงจะจำไม่ได้ นายฟ้องฉันก็ได้นะ มันไม่ต่างกันนักหรอก” ความรวยที่เรืองไปด้วยอำนาจของพี่อาณาเขตเริ่มทำให้ผมรู้สึกเหม็นขี้หน้าขึ้นมาตุ ๆ เสียแล้วสิ ทำไมถึงได้อวดอ้างความรวยและอำนาจของตัวเองได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้กันนะ

“นะ น้องชาย!” ดวงตาที่เคยมองเหยียดหยามดินแดนเบิกกว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึง

“ใช่ รีบๆ ไปแจ้งความดำเนินคดีเสียล่ะ ฉันว่างจนแทบจะรอรับหมายเรียกจากนายแทบไม่ไหวแล้วสิ” ความน่าหมั่นไส้นี้ผมควรรู้สึกยังไงกับมันดี

ผมไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นอีก คนที่ผมให้ความสนใจในตอนนี้คือพี่มินกับพี่อาณาเขตมากกว่าว่าทำไมถึงมาที่นี่ได้ แต่พี่อาณาเขตไม่เท่าไร พี่มินพี่ชายของผมนะสิ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

แต่ไม่ทันได้ถามอะไรให้หาคาใจ พี่อาณาเขตก็ลากพี่มินออกไปทั้งที่พี่ชายผมยังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังไม่ยอมหยุด คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่กวนโมโหอีกฝ่ายได้ดีที่สุด ทิ้งผมและดินแดนกับอนุรักษ์ให้มองตามอย่างห้ามปราบอะไรไม่ได้ ผมจึงต้องหันไปมองหน้าเพื่อนรักของผมแทนว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“โทษที กูเรียกพี่เขตมาเอง แต่พี่มินน่าจะอยู่ด้วยกันกับพี่เขตนะ ถึงมาด้วยกัน” สรุปแล้วคือสองคนนั้นมาด้วยกันสินะ ผมยังคงมึนและสับสนอยู่เล็กน้อย แต่ก็พอจะปล่อยมันไปก่อนได้ เรื่องพวกนี้คงถามกับเพื่อนผมไม่ได้ คงต้องไปถามกับพี่ชายของผมเองมากกว่าว่ามันเป็นยังไงกันแน่ ผมเห็นอนุรักษ์ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาแล้วมีสีหน้าเคร่งเครียด

“กูมีประชุมต่อ มึงจะเอาไง”

ผมหันมองดินแดนที่ก้มเก็บของทั้ง ๆ ที่ยังอุ้มลูกชายเอาไว้ในอกอย่างปวดใจ ผมไม่อยากจะปล่อยมืออีกแล้ว บางทีผมก็แค่หวังเอาไว้ว่าครั้งนี้มันจะไปได้สวย ทั้งผมและเขา ถ้าเราสองคนลองมันด้วยกันอีกครั้ง ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นมาก็ได้ แค่อยากให้ครั้งนี้ ที่เราทั้งสองคนจะไม่ปล่อยมือออกจากกันอีกเป็นครั้งที่สาม

เมื่อตัดสินใจได้ผมจึงยิ้มแล้วหันไปหาอนุรักษ์ที่ยืนรอคำตอบของผมอยู่ จะไม่เสียใจอีกแล้ว ผมจะทำตามหัวใจของตัวเอง เพื่อที่หัวใจของผมจะได้ไม่เจ็บปวดอีก เพื่อให้โลกทั้งใบกลับมาเป็นโลกของเรา

“กูจะไปกับดินแดน มึงไปเถอะ ขอบใจมากนะ”

ขอบคุณที่พาโลกของผมมาวางไว้ตรงหน้า ของคุณที่ทำเพื่อผมมาตลอด

“เออ! กูขออย่างเดียว ช่วยอย่าหนีไปเมืองนอกอีกก็แล้วกัน กูไม่ได้รวยขนาดเอาเงินไปจองตั๋วได้บ่อย ๆ หรอกนะ” ผมหัวเราะกับคำพูดแดกดันและสายตาที่มองค้อนผมมาเสียวงใหญ่

“กูสัญญา”

สัญญาว่าถ้าครั้งนี้มันไปไม่รอด ผมจะไม่ทิ้งใครไปที่ไกล ๆ อีก จะรักษาแผลใจอยู่ที่นี่ ที่บ้านของผมเอง

ผมโบกมือส่งให้อนุรักษ์ไหวๆ แล้วหันมามองดินแดนข้างๆ กายผมอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่พองฟูจนแน่นคับอก อาการตกหลุมรักเขาอีกครั้งมันช่างชวนให้หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน แม้ว่าดินแดนในตอนนี้จะไม่ได้ดูดีเหมือนครั้งที่เราคบกัน แต่สำหรับผมแล้ว ดินแดนที่มีเด็กชายตัวน้อยที่สะอาดสะอ้านและตัวอ้วนกลมกลับน่ามองยิ่งกว่า

เพราะนั่นบอกผมได้ดีเลยว่า เขารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผม

สัญญาที่จะรักเด็กคนนี้ให้เท่าที่เขารักผม

“แดนจะไปไหนต่อหรือ?” ดินแดนมองของในมือครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ

“คงกลับห้องน่ะ เอาของพวกนี้ไปเก็บ”

“อะ อ๋อ”

แล้วผมควรพูดอะไรต่อดีล่ะ ห่างกันมาเกือบจะสองปีแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มความสัมพันธ์ของเราจะตรงไหน ขอไปกับเขาหรือ แล้วถ้าเขาปฏิเสธล่ะ? ผมจะทำยังไง ต่อให้ตอนนี้นั้นดินแดนจะไม่มีใครอยู่ในชีวิตอีกแล้ว แต่เขาก็ยังมีเด็กชายคนนั้นในอ้อมแขนอยู่ เด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนดินแดนไม่มีผิด ความอ่อนโยนที่ฉายออกมาจากดวงที่จับจ้องมาทางผม มันคุ้นเคยจนผมเองยังนึกเอ็นดู

“ไปด้วยกันไหมไมน์ ถ้าไม่รังเกียจว่าผมมีลูกติด ไปที่ห้องผมกับพวกเราได้ไหม”

ผมไม่เคยนึกรังเกียจ ไม่เคยเลยสักครั้ง ผมรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความลำบากมากมายขนาดไหน สีหน้าที่อิดโรยกับดวงตาที่เริ่มคล้ำลง มันยิ่งสะกิดใจของผมให้เกิดความรู้สึกผิด

ผิดที่หนีหายไป ไม่ยอมอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือเขาในเวลาที่เขาต้องการ

“เอ่อ ถ้าไมน์รังเกียจก็ไม่เป็นไร ผมแค่...”

“ไม่ใช่นะ! ไมน์ไม่ได้รังเกียจแดนนะ ฮึก แดนอย่า อย่าพูดแบบนี้สิ ฮืออ” เพราะผมรู้สึกผิดเหลือเกินที่ตัวเองทิ้งเขาไป ผมรักเขามากจนไม่อยากเขามองว่าผมในตอนนี้จะรังเกียจเดียดฉันท์เขาที่เป็นคุณพ่อลูกติด ผมไม่เคยรังเกียจเขากับลูกเลย ไม่มีเลยสักครั้งที่มันจะอยู่ในหัวของผม

ผมยังรักเขาและคิดถึงเขา ทุกวันนี้มีแต่รักและคิดถึงเท่านั้น

“ขอโทษนะ ผมจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว ไมน์อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ ผมปวดใจเหลือเกิน” ดินแดนรวบตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น ผมรู้สึกได้ถึงความโหยหาที่สิ้นสุดลง มันอิ่มตัวจนไม่อยากจะได้สิ่งใดอีกแล้ว แต่ในระหว่างที่ผมซึมซับเอาความอบอุ่นจากดินแดน ผมกลับรู้สึกได้ถึงฝ่ามือเล็ก ๆ ที่เอื้อมออกมาแตะที่ไหล่ของผม

“อยากปลอบคุณอาหรือครับ โอ๋ๆ ลูกปะป๊าเก่งจังเลย” เสียงเย้าแหย่ของดินแดนที่มีให้กับเจ้าตัวน้อยมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน

“ฮึก ลูกชายของแดนชื่ออะไรหรือ ไมน์ยังไม่รู้เลย” ดินแดนยิ้มกว้าง ใช้มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของผมออกอย่างอ่อนโยน

“ยูครับ เด็กคนนี้ชื่อว่ายู ผมตั้งชื่อของเขา เพื่อไมน์ เพื่อย้ำเตือนเสมอว่าผมเป็นของใคร”







ไหนใครสงสารดินแดนกับน้องยูบ้างคะ เด็กน้อยตัวเล็กๆที่เกิดมาจากความโง่ของดินแดน เป้นผลกรรมที่อยู่ติดตัว ที่จริงเรื่องนี้แมววางเนื้อเรื่องการท้องและการที่ไมน์ยอมเดินออกมาเพื่อเป็นผลกรรมที่ทำให้ดินแดนต้องยอมรับสภาพ และเสียใจกับมันโดยไม่มีน้อง โดยที่คิดว่าจะไม่มีวันได้เจอน้องอีก ช่วยมองมันเป็นผลกรรมนะคะ มองมันเป็นเหตุผลของคนคนหนึ่งที่ตัดสินใจทำด้วยเหตุผลของตัวเอง มองตัวละครทุกตัวอย่างมีชีวิต เหมือนเขามีชีวิตอยู่จริงๆ ช่วยมองในมุมของดินแดนและไมน์ด้วยน้าาา 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [24] "You" (ฉบับเต็ม) Up [12/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-05-2020 21:12:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [24] "You" (ฉบับเต็ม) Up [12/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-05-2020 21:32:36
น้ำตาจะไหลอะ น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [24] "You" (ฉบับเต็ม) Up [12/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-05-2020 22:03:28
 :undecided:


 :o10:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [24] "You" (ฉบับเต็ม) Up [12/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-05-2020 01:20:23
และแล้วเราก็จะได้กลับมารักกันรอบที่ ที่ ที่เท่าไหร่นะ 55555 รักกันเป็นครอบครัวสุขสันต์ บราโว่~~  ก็พอจะรู้ว่าเชื่อคำพูดไมน์ไม่ได้ซักอย่างทำไม่ได้จริงอย่างที่พูดซักครั้ง เตรียมใจมาแล้วเลยไม่แปลกใจและไม่ได้อะไรมาก 55555 แค่อยากจะบอกว่าอย่าให้พวกเขาไปรักไปอยู่กับใครเลย อย่าแยกเขา เราเหมาะสมกันสุดแล้ว ไปๆช่วยกันเลี้ยงลูก ไปชงนมไป๊ 555555 อ่านแล้วสนุกดีเว้ย รอตอนต่อไป คุณพ่อไมน์คุณป๊าแดนแอนด์น้องยู (ฮ่าๆ)  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [24] "You" (ฉบับเต็ม) Up [12/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 13-05-2020 19:42:38
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [14/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 14-05-2020 16:00:34
[25] ฉบับเต็ม


บทส่งท้าย

หลังจากลงจากแท็กซี่มา ผมก็เป็นฝ่ายดึงของมากมายที่ดินแดนถือเอาไว้มาถือมันเสียเอง เพื่อให้เขาได้อุ้มน้องยูได้อย่างถนัดถนี่ เด็กคนนั้นน่ารัก ส่งเสียงอ้อแอ้ราวกับกำลังพูดคุยกับคนเป็นพ่ออยู่ มันทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ สายตาที่ดินแดนมองลูกชายของตนเองอ่อนโยนกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ปลายนิ้วที่เกลี่ยพวงแก้มยุ้ยสีชมพูนั้นแผ่วเบาราวปุยนุ่น คล้ายกลัวว่าผิวแก้มอันบอบบางของลูกนั้นจะเป็นรอย

น้องยูยิ้มและหัวเราะคิกคักทุกครั้งที่ดินแดนสัมผัส ผมมองแล้วกลับรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ ดินแดนรักเด็กคนนั้นจากใจจริง รักเหมือนที่คนเป็นพ่อทุกคนรักลูกของตัวเอง

ผมเดินเข้ามาที่ห้องของดินแดน กวาดสายตามองข้าวของมากมายที่ถูกใส่กล่องเอาไว้ไม่แกะออกมา มีเพียงของส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกจัดวางอยู่ ห้องที่เคยเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ตอนนี้มีเหลือเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ดินแดนวางน้องยูลงบนเบาะที่มีคอกกั้นเด็กล้อมอยู่แล้วเดินมาหาผมเพื่อช่วยผมเก็บของ

“แดน ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไมน์เก็บเอง แดนไปดูน้องยูเถอะ” ของแค่นี้ไม่ได้มากมายอะไร ที่จริงผมเองเก็บคนเดียวก็หมด

“ไม่เป็นไรหรอก ยูน่ะ...ลองได้อยู่บนเบาะตัวโปรดแล้ว ไม่มีทางคลานไปซนที่ไหนอีกแล้วล่ะ ให้ผมช่วยไมน์เถอะนะ” เมื่อดินแดนยืนยันแบบนั้นผมจึงไม่ขัดข้อง แบ่งข้าวของให้เขาได้จัดการด้วยตัวเอง

ผมกวาดตามองไปรอบห้องอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเกือบสองปีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จะให้ถามตอนนี้ก็ดูจะไม่ใช่เวลาเท่าไหร่ ผมถอนสายตากลับมาแล้วเลือกเอาของสดบางส่วนใส่ไว้ในตู้เย็น พอหันกลับมาก็พบว่าของชิ้นอื่น ๆ ถูกดินแดนจัดเข้าที่จนหมดแล้ว ดินแดนเดินเข้ามาใกล้ผม จับมือของผมแล้วดึงให้เดินตามไปนั่งที่โซฟา

เราสองคนต่างก็สบตากันและกัน สื่อความรู้สึกกันผ่านทางสายตามากกว่าคำพูด ทั้งที่ผมเองก็มีมากมายหลากหลายอย่างที่อยากจะพูดคุยกับเขา แต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกไปได้สักคำ ผมไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เราสองคนจึงได้แต่เงียบใส่กัน แต่บรรยากาศกลับไร้ความอึดอัดใจ

ครั้งหนึ่งมือคู่นี้ที่ผมได้จับ ผมยอมปล่อยมันเพื่อเด็กตัวน้อย...

วันนี้มือคู่นี้กลับมาจับกับผมอีกครั้งพร้อมกลับมือน้อย ๆ อีกคู่หนึ่ง ถ้าผมจะโลภมาก ไม่ยอมปล่อยไปเป็นครั้งที่สามคงจะเป็นไปได้ใช่ไหม

ผมคง...ไม่ผิดใช่ไหมที่อยากได้ทั้งสองคน

“ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง แดนสบายดีใช่ไหม” น้ำเสียงของผมสั่นเครือ มันขื่นขมที่ต้องเดินจากเขาไป ไม่สามารถรับรู้ข่าวคราวของเขาได้

“ผมสบายดี อาจไม่เท่าที่เคยมีไมน์ แต่ผมก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มียูอยู่ข้าง ๆ ให้ผมได้ดูแล” ผมเม้มริมฝีปากกับคำตอบของเขา มันดีเหลือเกินที่เขาสบายดี ดีเหลือเกินที่วันนี้ได้เจอกันอีกครั้ง

“ดีแล้ว แดนสบายดีก็ดีแล้ว” ดีแล้วที่ไม่เป็นไร ดีแล้วที่ดินแดนยังยิ้มได้แม้จะไม่มีผม

“ผมทำตามสัญญาแล้วนะไมน์” จู่ ๆ ดินแดนก็กระชับมือของผมแน่นขึ้น ใบหน้าที่อิดโรยเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่าสิ่งที่สู้อดทนมาบรรลุผลสำเร็จด้วยดีแล้ว

“สัญญาหรือแดน?”

“ใช่แล้วสัญญา สัญญาที่ผมให้ไว้ว่า จะรักยูให้เหมือนกับที่รักไมน์ ผมทำให้ไมน์แล้วนะ” หยาดน้ำตารื้ออยู่เต็มทั้งสองตา เขายังจำมันได้ คำสัญญาในวันที่เราทั้งสองต้องจากลา คำสัญญาที่ผมร้องขอต่อเขาเอาไว้ ว่าให้เขารักเด็กคนนี้ให้เท่ากับที่รักผม รักเขาให้เหมือนกับที่ดินแดนรักผม เขายังจำมันได้...

“อื้อ ไมน์เห็นแล้วล่ะ แดนทำได้ดีมากเลยนะ แดนเป็นพ่อที่ดีมากเลย” ยิ่งเห็นว่าน้องยูน่ารักและอารมณ์ดีมากแค่ไหน ผมก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าดินแดนนั้นทั้งทุ่มเทและมอบความรักให้เจ้าตัวกลม ที่ตอนนี้คลานเล่นของเล่นอยู่อย่างสนุกสนานมากมายแค่ไหน

คำสัญญาครั้งหนึ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้ครั้งหนึ่งว่าจะมีแค่ผมเพียงคนเดียวนั้น เขาทำมันไม่ได้ เขามีคนอื่นเข้ามาในชีวิตของเราสองคน และสุดท้ายก็จบลงด้วยการที่ผมต้องเจ็บและผิดหวัง แต่วันนี้...เขาพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า ครั้งนี้เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมอย่างแน่นอน

และเขาก็ทำมันได้สำเร็จ

“จะว่าไป ห้องแดนดูโล่งๆ นะ ไมน์จำได้ว่าของในห้องมีมากกว่านี้นี่” นาฬิกาที่ผมเคยซื้อเป็นของขวัญให้เขามันก็หายไป ทั้ง ๆ ที่ก่อนนี้มันเคยแขวนเอาไว้ให้เห็นได้ชัดแท้ ๆ ดินแดนถอนหายใจกับเรื่องที่ผมถาม ใบหน้าดูหมองหม่นจนน่าสงสาร

เกิดอะไรขึ้นกับเวลาที่ผ่านมากันนะ

“ไมน์อาจจะไม่รู้ แต่ผมตัดขาดความช่วยเหลือทุกอย่างกับคุณพ่อและพี่เขตไปแล้ว” จะว่าไปเรื่องนี้ผมรู้ รู้ตั้งแต่ก่อนจะไปอังกฤษด้วยซ้ำไป

แต่เหมือนว่าผมทำเป็นไม่รู้จะดีกว่าสินะ

“เหตุผลเพราะผมรู้ดีว่าใบบัวคาดหวังอะไรจากผม ผมจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบากลำบน ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง” ผมบีบมือของดินแดนในระหว่างที่ฟังดินแดนเล่าด้วยสีหน้าเย้ยหยันที่ผมไม่รู้เลยว่ามีไว้ให้ตัวเองหรือใบบัวกันแน่ แต่ที่ผมรู้คือความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางน้ำเสียงนั้น มันช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน

“แล้วผมก็คิดถูก ใบบัวเธอเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ เราทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ผมไม่ได้ทะเลาะด้วยหรอกนะ ผมแค่ปล่อยให้เธอพูดของเธอไปจนกว่าเธอจะพอใจ”

“แล้วทุกอย่างมันดีขึ้นไหมแดน” เคยได้ยินว่าชีวิตคู่นั้นมาพร้อมกับความอดทน ในเมื่อฝ่ายหนึ่งร้อน อีกฝ่ายหนึ่งเย็น ทุกอย่างมันก็ควรจะจบลงด้วยดี ดินแดนส่ายหน้าให้กับผม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ไม่เลยไมน์ ไม่ว่าผมจะเงียบลงไปกี่ครั้ง อดทนต่อคำด่าทอของเธอมากเท่าไร มันก็เป็นเพียงการระบายความโกรธของเธอเท่านั้น”

ดินแดนหลับตาลงช้า ๆ ราวกับว่าเขาต้องการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากร่างกายและหัวใจของเขา

“เมื่อเธอทนไม่ไหวกับการที่ต้องลำบากไปกับผม เธอก็ไป ผมดีใจที่เธอไปจากผม แต่ที่ดีใจยิ่งกว่าคือการที่เธอไม่หอบยูไปด้วย เพราะผมคิดว่าผมคง...อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลูก และคงไม่มีหน้าไปเจอไมน์ได้อีก” ผมเอนตัวลงซบศีรษะลงที่ไหล่ของดินแดน จับมือของเขาเอาไว้จนแน่นไม่ยอมปล่อย ผมมีความสุข สุขที่เขานึกถึงลูกและผม ไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจ

“ไม่เป็นไรหรอกนะแดน ตอนนี้ไมน์อยู่นี่แล้ว น้องยูเองก็อยู่กับแดนนะ ไม่มีใครหายไปไหนทั้งนั้น”

ไม่ว่าจะเป็นผมหรือลูกของเขา พวกเราทั้งสองคนก็ยังอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ กายเขาไม่ไปไหน

“ไมน์...”

“หืม?”

“น้องยูเป็นลูกของแดนจริง ๆ ไมน์รับได้หรือเปล่า” ผมยกศีรษะขึ้น สบสายตากับเขาที่มีความกังวลอยู่เต็มหัวใจ

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะแดน” ดินแดนกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ผมกลัวว่าน้องยูจะกลายเป็นความผิดที่มีตัวตน กลัวไมน์จะรังเกียจเพราะผม...นอกใจไมน์” จริงอยู่ที่น้องยูเป็นลูกชายของแดนกับผู้หญิงที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนที่ต้องเดินออกมาจากคนที่ผมรัก แต่ผมรักดินแดน นั้นย่อมหมายความว่า ผมรักลูกชายของเขาด้วยเช่นกัน

เด็กคนนั้นน่าสงสารเหลือเกิน เกิดมาไม่ทันจะเท่าไร แม่ก็ทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี แบบนี้ผมหรือจะสามารถเกลียดเขาได้ลง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แม้ว่าการที่ผมถูกเขานอกใจนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม แต่อดีตก็คืออดีต ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด มันขึ้นอยู่กับว่าคนที่ทำผิดไปนั้น เขาตั้งใจจะแก้ไขตัวเองบ้างหรือเปล่า แต่สำหรับดินแดนผมเห็นแล้วว่า เขาพร้อมจะชดใช้ความผิดให้ผมทุกอย่าง พร้อมจะแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

อย่างน้อย ๆ ตอนนี้...เขาก็เป็นพ่อที่ดีของน้องยู นั่นก็ดีมากมายแล้ว

“ไม่เลย ไมน์ไม่เคยรังเกียจน้องยูเลยนะ ยังไงเขาก็คือลูกของแดน เป็นคนที่ไมน์ยอมหลีกทางเพื่อให้เขาเกิดมา”

เพราะเขาคือคำตอบสำคัญที่สุดในชีวิตของดินแดน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของดินแดนครึ่งหนึ่ง มันก็ไม่ต่างกับตัวดินแดนเอง ผมรักดินแดน...แล้วผมจะเกลียดครึ่งหนึ่งของดินแดนอย่างยูได้ยังไง

“ถ้างั้นมันเป็นไปได้ไหม...”

“อะไรหรือ?” ดินแดนดึงมือทั้งสองข้างของผมขึ้นมากุมเอาไว้แน่น จรดริมฝีปากลงไปอย่างเชื่องช้า แตะสัมผัสที่ร้อนผ่าวลงบนหลังมือของผมเบาๆ

“ผมรักไมน์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงต่อให้เวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร หัวใจของผมก็ยังเป็นของไมน์เสมอ”

ฝ่ามือของผมถูกดึงเอาไปวางลงที่แผ่นอกตรงตำแหน่งของหัวใจจนสามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในร่างกายของดินแดน

“ถ้าหากไมน์ยังไม่มีใครและไม่รังเกียจคุณพ่อลูกอ่อนอย่างผม” ผมไม่เคยรังเกียจดินแดนสักครั้ง

“...”

“ช่วยมาเติมเต็มเราสองคนพ่อลูกได้ไหมครับ” ผมปรารถนาสุดหัวใจ ว่าเราจะมีวันนั้นด้วยกันได้มาตลอด

“...”

“มาเป็นคนรัก เป็นคุณพ่อของลูกชายผมอีกคนได้ไหม” สีหน้าของดินแดนเต็มไปด้วยความเว้าวอน ขอร้องให้ผมอย่าได้ปฏิเสธเขาอย่างใจร้าย

“...” น้ำตาของผมคลออยู่เต็มสองตา มันค่อยๆ ไหลรินเมื่อประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการอันแรงกล้า

“มาอยู่โลกใบเดียวกันอีกครั้งได้ไหมครับ”

เป็นของกันและกัน มีเขามีผมและมีเจ้าหนูน้อย เป็นครอบครัวที่จะไม่มีใครมาพรากเราจากกันอีก ความสุขที่ผมเฝ้ารอคอยมานานในวันนี้มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว ทางเลือกของผมไม่เคยมีคำว่าไม่มาตั้งแต่แรก สิ่งที่ผมอยากจะบอกเขาออกไปในตอนนี้คือ...

“ฮึก ครับ ฮือออ”

เนิ่นนานเหลือเกินกว่าจะสามารถมีวันนี้ได้ ความเจ็บปวดที่ผ่านมามันเทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่ผมได้รับอยู่ในเวลานี้ เวลาที่พวกเรามีกันและกันนับจากนี้ไป











หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป...

“ฮึก แง้!!!!” ผมวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งห้องพร้อมกับเสียงร้องไห้โวยวายของเจ้าตัวกลมในอ้อมแขนของดินแดน วันนี้น้องยูผิดปกติ ร้องไห้งอแงอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมา แม้ว่าดินแดนจะอุ้มขึ้นมาโยกตัวเบาๆ เพื่อกล่อมให้น้องหยุดร้อง แต่น้องก็ยังไม่ยอมหยุด กลับยิ่งร้องดังขึ้น ทั้ง ๆ ที่หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา น้องยูยิ้มแย้มแจ่มใสแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนี้กันนะ

“แดน หรือน้องยูจะป่วย พาไปหาหมอดีไหม?” ผมพูดกับดินแดนทั้ง ๆ ที่อีกมือหนึ่งยังคงโบกเจ้าตุ๊กตาตัวโปรดไปมาเพื่อล่อหลอกให้น้องอารมณ์ดี

“ตัวก็ไม่ร้อนนะ ไม่น่าจะป่วย แดนว่าแกอาจจะงอแงเฉยๆ” ผมไม่รู้นะว่าคนมีลูกเขารู้สึกยังไงบ้าง หรือรู้ได้ยังว่าลูกป่วยหรือเปล่า แต่ผมตอนนี้กำลังลนลานเพราะไม่รู้ว่าอาการของน้องยูที่ร้องไห้อย่างหนักนั้นเกิดมาจากสาเหตุอะไร

ผมห่วงน้องยู รักแกเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง ยิ่งเห็นแกร้องไห้จนหน้าแดง ผมก็ยิ่งปวดใจ

“แต่น้องกำลังร้องไห้นะแดน” เพราะเด็กไม่สามารถพูดออกมาให้เรารู้ได้ว่าเขาเป็นอะไร สิ่งที่แกทำได้ก็มีแต่ร้องไห้เท่านั้น ถ้าแกไม่เจ็บ ไม่ปวด แกก็คงไม่งอแงแบบนี้

ทำยังไงดี ผมเองก็ไม่เคยมีลูกเสียด้วย ทำไงดีนะ ใครจะช่วยได้บ้าง

ไม่สิ คนที่เคยเลี้ยงลูกที่ผมรู้จักก็มีนี่นา คุณแม่ยังไงล่ะ!!

ผมตัดสินใจโทรออกไปยังเบอร์ของคุณแม่ทันทีโดยไม่คิดจะปรึกษาดินแดนก่อนแต่อย่างใด ยังไงเสียน้องยูก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว ปล่อยให้เด็กตัวน้อยร้องไห้ไม่หยุดจนหน้าตาแดงก่ำขนาดนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ ขนาดผมที่โตแล้วร้องไห้มากหน่อยยังปวดตา ปวดหัว คัดจมูก แล้วน้องยูจะไม่ทรมานยิ่งกว่าหรือ

รับแล้ว!

“คุณแม่ครับ”

(ไมน์ ตายจริง โทรหาแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าเงินไม่พอ) ไม่ใช่สิ ทำไมการที่ผมโทรหาคุณแม่ถึงกลายเป็นการขอเงินไปได้ล่ะ ไม่ๆ ก่อนอื่นเรื่องของน้องยูสำคัญกว่า

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ พอดีน้องยู ผมหมายถึงลูกชายของแดน แกเป็นอะไรไม่รู้ครับ เอาแต่ร้องไห้ใหญ่เลย” ผมกลัวว่าน้องจะเจ็บตรงไหนแล้วเราไม่รู้ กลัวว่าน้องจะเจ็บมากขึ้นทั้งที่เราได้แต่มอง

(ร้องงอแงหรือ เจ้าตัวน้อยหิวหรือเปล่าคะ?) ผมหันหน้าไปปรึกษาดินแดน แต่ดินแดนส่ายหน้าเพราะไม่ว่าจะนมหรืออะไรเขาก็ไม่กินทั้งนั้น

“ไม่น่าจะใช่นะครับ เขาไม่ยอมทานอะไรเลย”

(อืม ลองดูที่แพมเพิสหรือยังคะ น้องอาจจะรู้สึกเปียกชื้นไม่สบายตัวก็ได้นะ) ดินแดนที่ได้ยินก็จับแพมเพิสน้องอ้าออก สอดมือเข้าไปสัมผัสดูว่าเป็นอย่างที่คุณแม่ของผมบอกหรือเปล่า

“ไม่ครับคุณแม่ น้องไม่ได้เปียกหรือระคายอะไรเลย คุณแม่ครับ น้องเป็นอะไร” น้ำเสียงของผมร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด จนคุณแม่ต้องเอ่ยปลอบผม

(ใจเย็นๆ นะคะน้องไมน์ เดี๋ยวแม่คิดก่อน จริงสิ ลองเปลี่ยนคนอุ้มหรือยังคะ บางทีน้องอาจจะโยเยอยากให้คนอื่นอุ้ม อย่างตอนน้องไมน์ก็เหมือนกันนะคะ เวลาที่คุณแม่อุ้มบ่อยเกินไปแล้วตัวหนูอยากให้คุณพ่ออุ้มก็จะร้องไห้โยเยหนักมากเลยล่ะค่ะ)

“งั้นเดี๋ยวผมจะลองดูนะครับคุณแม่ แดนครับ ส่งน้องยูมาหาไมน์เถอะ” ผมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้ดินแดนแล้วรับน้องยูมาอุ้มเอาไว้แทน ไม่นานนักเสียงร้องไห้ที่ดังระงมก็เบาลงจนเหลือเพียงความเงียบ ดวงตากลมๆ ของเจ้าตัวน้อยมองผมตาแป๋ว ริมฝีปากระบายยิ้มน้อย ๆ แล้วเบียดซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของผม

มันอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ รู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว ผมเคยคิดว่าคนที่เขามีลูกเวลาได้อุ้มลูกของตัวเองเขาจะรู้สึกยังไงกันบ้าง เคยแต่จินตนาการไปแต่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับตัวแบบนี้

วันนี้ผมได้รู้แล้ว ว่ามันสุขจนล้นใจ แม้ว่าน้องยูจะไม่ใช่ลูกของผม แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าแกเองก็รักผมเช่นกัน หัวใจของผมยิ่งกว่าพองฟู มันเต้นระรัวมากเหลือเกิน

“คุณแม่สวัสดีครับ ผมดินแดนนะครับ ดูเหมือนลูกชายของเราจะหยุดร้องแล้วล่ะครับ” ผมไม่ได้สนใจเลยว่าดินแดนจะเป็นฝ่ายพูดคุยกับแม่ของผมยังไง ในตอนนี้สายตาของผมมีแต่ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของน้องยู หูได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวกลมในอ้อมแขน

“ครับ ได้ครับคุณแม่”

ตากลมๆ รอยยิ้มแป้นๆ ที่น่ารักนี่มันช่าง...ชวนให้ผมหลงลืมแต่หายใจ

“ไมน์ ไมน์ครับ คุณแม่จะคุยด้วย”

ดินแดนส่งโทรศัพท์คืนมาให้กับผมแล้วดึงเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของผมไป เจ้าตัวยุ่งขมวดคิ้ว ส่งเสียงฮือ ๆ อย่างขัดใจ สองมือก็ดึงรั้งเสื้อของผมไว้ไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยก่อนสิครับยู อย่าดื้อสิ เดี๋ยวป๊ะป๋าพาไปเล่นของเล่นนะครับ” ดินแดนพยายามดึงตัวเองออกมาจากอกของผม แต่เจ้าตัวน้อยได้แต่ส่ายหน้า เบ้ปากราวกับจะร้องไห้อีกครั้งเมื่อถูกดินแดนดึงตัวออกไปจากผมได้สำเร็จ

“น้องยู เดี๋ยวไมน์มานะ อยู่กับป๊ะป๋าก่อนนะครับ แป๊บเดียวน้า”

“ฮึกก ฮึกก” ดูเหมือนเจ้าตัวยุ่งจะไม่ยอม มือป่ายๆ ได้แขนเสื้อผมก็กำเอาไว้แน่น ผมเองก็ไม่กล้าแกะ เพราะกลัวว่าน้องจะเจ็บ

“ฮัลโหลครับคุณแม่ น้องหยุดร้องแล้วครับ”

(คิกๆ ลูกของเรา~ แหม...แม่ฟังแล้วก็อดเขินแทนไม่ได้เลยนะคะ) ฟังคุณแม่พูดแซ็วแล้วผมเองก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าจึงขึ้นสีระเรื่อ สองแก้มแดงก่ำจากความขวยเขิน

“คุณแม่ครับ!” เสียงหัวเราะของคุณแม่ยิ่งดังขึ้น ผมเหลือบตามองดินแดนที่ยิ้มกริ่ม กลับดวงตาของน้องยูที่จ้องมาตาแป๋วแล้วน่าตีจริง ๆ ทั้งสองคนเลย

(โอเคค่ะแม่ไม่แซวแล้วก็ได้ งั้นฟังแม่นะคะ) ผมถอนหายใจออกมา ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่คุณแม่ของผมจะพูด

“ครับ”

(แม่คิดว่าเด็กคนนั้นคงโหยหาความรักความอบอุ่นของคนเป็นแม่ที่เขาขาดไป)

“...” ผมหลุบตาลงมองเจ้าแก้มแดงที่ยังไม่ยอมปล่อยมือไปจากผมแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ ต้องการความรักความอบอุ่นจากแม่ แต่แม่ของเด็กคนนี้กลับไม่เคยมาดูดำดูดีแกเลยสักครั้ง แล้วจะให้ไปหาความอบอุ่นจากที่ไหนมาให้กันล่ะ

(เพราะแบบนั้น เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นมาอยู่ในบ้านของเขา เขาเลยคิดว่า...นั่นคือแม่ของเขาไง)

“ครับ?” ผมกำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินออกมาจากปากของคุณแม่ อะไรคือคิดว่าคนแปลกหน้าคือแม่กัน

(ไมน์ลองคิดดูนะคะ ก่อนนี้น้องมีกันอยู่แค่สองคน คือดินแดนกับน้องใช่ไหม จากนั้นก็มีไมน์มาอยู่ มาคอยดูแลเขา เอาใจใส่เขา เขาจึงได้คิดว่า นี่คือคุณแม่ของเขา มาเติมเต็มความโหยหาที่เขาไม่มีไงคะ หนูเข้าใจหรือเปล่าคะลูก)

“แต่ คุณแม่ครับ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมไม่ใช่นี่นา การสมอ้างตามความเข้าใจของเด็กแบบนี้ ฝ่ายที่จะเจ็บในวันที่น้องรู้ความจริงมันเป็นผมนะครับ ไม่ใช่ใคร

(แม่เข้าใจนะคะไมน์ แต่ลูกจะปล่อยให้เด็กคนนี้ ขาดความรักต่อไปหรือคะ? ลูกจะใจร้ายดึงมือของเขาออกในเวลาที่เขากอดลูกหรือคะ?) ผมหลับตาลงนึกภาพตามที่คุณแม่บอก

ถ้าหากน้องกอดผมเอาไว้แล้วผมต้องดึงมือน้องออก น้องก็จะต้องเสียใจ จะต้องร้องไห้เพราะผม

ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองบีบรัดแน่น ถูกความเจ็บปวดกระแทกเข้ามากลางหัวใจอย่างจังจนแทบจะประคองสติเอาไว้ไม่ได้ ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน จะทำร้ายหัวใจของเด็กคนนั้นได้ยังไง ผมทำไม่ได้หรอก

“ผม ผมทำไม่ได้ครับคุณแม่”

(ดีแล้วค่ะที่ไมน์ทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าลูกของแม่อ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจ มีความรักที่เต็มหัวใจอยู่ เพราะงั้น...คงไม่มากมายอะไรใช่ไหมคะ ถ้าลูกจะแบ่งมันให้กับเด็กคนนั้นบ้าง)

“แล้วถ้าวันหนึ่งเขาเกิดรู้ขึ้นมา...” ว่าผมไม่ใช่แม่ของเขา เป็นเพียงคนที่ฉกฉวยเอาที่ยืนตรงนี้มา เขาจะเกลียดผมหรือเปล่า

(น้องไมน์คะ เด็กน่ะ บริสุทธิ์นะคะลูก ถ้าเรารักเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ ยังไงเขาก็ไม่มีทางมองเราเป็นอย่างอื่นหรอกค่ะ นอกจากคนที่รักเขา) ผมยิ้มออกมาในที่สุด วางฝ่ามือลงบนศีรษะเล็ก ๆ ของน้องยูที่ตอนนี้ยังคงมองผมไม่วางตา

“ผมเข้าใจแล้วครับคุณแม่ ขอบคุณมากนะครับ”

ขอบคุณที่รักผม ที่เลี้ยงผมมาได้ดีขนาดนี้ ขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ ขอบคุณครับที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเป็นลูกของแม่

(จ้า ยังไงก็พาหลานมาหาแม่บ้างนะคะ แม่อยากเห็นเสียแล้วสิ) ผมอดหัวเราะไม่ได้กับคำหยอกเย้าของคุณแม่

“ได้สิครับ ไว้ผมจะพาดินแดนกับลูกไปเยี่ยมนะครับ สวัสดีครับ” ผมวางสายไปด้วยหัวใจที่เต็มล้นไปด้วยความรู้สึกที่ยินดี ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมน้องยูถึงเอาแต่จ้องผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมพาตัวเองเข้ามาในดินแดนที่เป้ยของเขากับแดน หรือแม้แต่ตอนนี้ เป็นเพราะเขากำลังสงสัย ว่าผมจะใช่...แม่ของเขาหรือเปล่า

แต่ถึงผมจะไม่ใช่ แต่ผมยินดีจะมอบความรักให้เขาเช่นเดียวกับดินแดน จะไม่ปล่อยให้เขารู้สึกว่าขาดความรักไปแม้แต่น้อย

เพราะผมเองก็รักเขาไม่น้อยไปกว่าใคร

“มาหาไมน์ไหมครับยู ไมน์อุ้มดีไหม?” ผมตบมือแปะๆ เป็นการลองเชิงว่าเจ้าตัวน้อยจะมาหรือเปล่า แต่เจ้าตัวอ้วนกลับตาโต รีบตะกายตัวของผู้เป็นพ่อมาหาผมอย่างรวดเร็ว

“แอ้ มา มา”

ผมชะงักค้างกลางอากาศ รู้สึกเหมือนถูกน้องเรียกชื่อ หรือว่าผมมโนไปเอง?

“มามะๆ ไมน์อุ้มน้าคนเก่ง”

“คิกกก มามา คิกๆ มา” โอ้ย ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว ยิ้มจนแก้มแทบจะปริเมื่อเจ้าตัวกลมกอดคอผมแน่น โดนผมซุกหน้าเข้ากับซอกคอจนหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่

“นี่โดนเรียกชื่อ หรือเรียกหม่าม้ากันนะ ผมเริ่มไม่แน่ใจแทนไมน์แล้วสิ” ผมมองค้อนใส่ดินแดนที่แซ็วอะไรน่าอายแบบนี้ออกมา

ผมเล่นกับน้องยูจนเจ้าตัวตาปรือลง เห็นได้ชัดว่าง่วงนอนจนแทบจะทนไม่ไหว แต่สองมือกลับยังกำเสื้อของผมเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไป ผมเองก็เสียพลังงานไปมาก ยิ่งเมื่อเจ้าตัวยุ่งเริ่มส่งเสียงครางเบาๆ ราวกับเพลงขับกล่องมันยิ่งทำให้ผมอดง่วงตามไม่ได้

ดินแดนโอบผมเข้าไปให้เอนตัวพิงกับอกของเขา ในขณะที่น้องยูยังคงนอนลงซุกอยู่กับอกของผมมันจึงกลายเป็นเราสองคนถูกดินแดนกอดเอาไว้ทั้งคู่ ดินแดนโยกตัวเบาๆ เพื่อกล่อมให้น้องยูได้เข้าสู่ห้วงนิทราและกล่อมตัวผมไปพริ้มๆ กัน ผมรู้สึกถึงริมฝีปากของดินแดนที่กดจูบลงมาที่ศีรษะ มือข้างหนึ่งลูบแขนของผมเบา ๆ จนผมรู้สึกเบาสบาย จวบจนเมื่อผมใกล้เข้าสู่ห้วงของนิทรา กลับได้ยินเสียงที่ดังมาใกล้ ๆ แต่คล้ายจะไกลแสนไกล

“ขอบคุณที่มาเป็นโลกทั้งใบของพวกเรานะครับไมน์”

และคำพูดนั้นก็ทำให้ผมระบายยิ้มออกมาพร้อมกับฝันดี






The End





ขอบคุณที่มาเป็นโลกทั้งใบของพวกเรา กรี๊ดดดดด แมวเขินนนนน ว่าแต่ว่า...น้องเรียกอะไรคะลูก หม่าหม้าหรือไมน์ไมน์ บทสรุปของนิยายเรื่องนี้ออกมาแล้ว สำหรับแมว แมวว่ามันสวยงามในแบบของมันและลงตัวมากที่สุดแล้วค่ะ แต่ก็อาจจะมีคนคิดต่างออกไป ซึ่งแมวเข้าใจนะคะว่าดินแดนอาจจะเลวระยำมากไปจนไม่มีใครอยากให้นางไม่ต้องพบเจอความสุข 555 ไม่ว่ากันค้าาาา ถ้าหากแมวแต่งเรื่องใหม่จบ จะมาลงให้อ่านอีกน้าาาา 

เป็นเจ้าของ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [14/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-05-2020 18:52:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [14/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-05-2020 23:04:14
จบบริบูรณ์ แฮปปี้ครอบครัวสุขสันต์กันถ้วนหน้า อะจ้าาา 555 ดีแล้ว เออ!!มารักมาอยู่ด้วยกันให้มันจบๆเสร็จเรื่องสิ้นราวสักทีเถอะ รอวันนี้มานาน คลาดกันมาหลายรอบละ ปักหลักละนะทีนี้ 555555 ขอบคุณนะคะที่แต่งจบจน แต่งเก่ง ยอมรับ แม้เราจะชอบประชดตัวละครก็เถอะ เพราะอินไง 5555 รอตามผลงานหน้าแน่นอนจ้า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [14/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 17-05-2020 19:13:52
 โอ๊ย.......อยากมีลูก555
ขอบคุรสำหรับนิยายค่า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [14/05/63]
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 19-05-2020 15:06:55
อ่านถึงบทที่5ที่นายเอกเข้ารพ. ก็คือเหมือนคนเขียนต้องการขยี้ปมดึงคนอ่านให้ดำดิ่งกับความดราม่าของนายเอก พยายามขยี้ๆเข้าไปเพื่อให้รอดูว่าต่อไปพระเอกจะทำยังไง เข้าใจนะคะ แต่ก็แบบ...เห้อ เออ ชีวิตจริงมันก็มีคนแบบนี้อยู่จริง ขอไปอ่านต่อก่อน ถ้าอ่านจบจะมาเม้นเพิ่มนะคะ

น้องมูฟออนแล้ว จะรอดูเหตุผลของคนเลวนะคะ หวังว่าคนเขียนจะหาเหตุผลมาซัพพอร์ตเขาได้มากพอ


-------------------------------------------------
อ่านจบแล้ว อ่านไปก็ท่องไว้ในใจว่าชีวิตนี้เคยเจอคนที่บูชาความรักแบบไมน์
แต่คนที่เราเจอในชีวิตจริงเขามีเหตุผลซัพพอร์ตว่าทำไมเขาถึงรักคนที่ทำร้ายจิตใจเขาได้มากขนาดนี้ นั่นเพราะตัวเขาไม่เคยได้รับความรักจากครอบครัวเลย เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ การปกป้อง ความห่วงใยที่มาในรูปแบบนี้เขาเลยลงรักลงหัวใจไปกับใครอีกคนหนักมาก อันนี้เลยเข้าใจได้ จนตอนนี้เขาก็ยังมูฟออนออกมาแบบ100%ไม่ได้ เพราะใครคนนั้นหลอกให้เขาหลงรักจมอยู่กับความจอมปลอมที่สร้างขึ้นมา เราก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ

ซึ่งต่างจากไมน์ ดินแดนเข้ามาหาไมน์ในวันที่ไมน์โดนกระทำ(?) แต่ไมน์มีเบื้องหลังทางครอบครัวดีมาก พ่อแม่รัก พี่ก็รัก คือครอบครัวคนรวยที่ดูอบอุ่นครอบครัวหนึ่งเลย แต่ไมน์กลับโหยหามันทั้งหมดจากดินแดน(อันนี้ไม่เข้าใจ) รักครั้งนี้ของไมน์เริ่มจาก  100 ไป 1000 เพราะไมน์รู้สึกกับดินแดนก่อน แล้วพยายามพาตัวเองเข้าไปหาดินแดนจนท้ายสุดก็คบกัน

ตลอด3ปีที่เขาคบกันมาอันนี้สงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักเบื้องหลังกันและกันเลย สามปีนั้นเขตหายไปไหนในเมื่อไมน์ก็รู้จักว่าครอบครัวดินแดนทำอะไร ส่วนดินแดนคนเราจะไม่สงสัยว่าพ่อแม่ของคนที่เราคบด้วยคือใครเลยเหรอ สามปีเลยนะ แล้วนามสกุลอีก ไหนว่าไมน์เป็นนามสกุลดังเป็นคนรวยอันดับต้นๆ ตัวเองเป็นถึงผู้บริหารทำไมถึงไม่รู้ทั้งที่อยู่ในวงการเดียวเดียว อันนี้คือส่วนที่ เอ๊ะ! มากๆ

ต่อมาเรื่องตำแหน่งดินแดนซึ่งเป็นที่มาของคำว่าอิหยังวะในตัวพระเอกที่สุด ดินแดนมีใบบัวเป็นเลขาใช่มั้ย แต่กลับให่เลขายืนแสดงกิริยาไม่ดีใส่ตนเองต่อหน้าลูกน้องเนี่ยนะ แถมพ่อก็ยืนอยู่ตรงนั้น ซึ่งมันพลาดมากกับการจัดการอะไรแบบนี้ แสดงว่าเขาไม่มีอำนาจจัดการอะไรได้เลย ตำแหน่งผู้บริหารที่ได้มาเลยดูไม่น่าเชื่อถือ ส่วนเรื่องที่มีเม้นว่าทำไมไม่ย้ายงานของใบบัวเสียอันนั้นเห็นด้วยมากๆ การกระทำของดินแดนไม่ใช่คนดีตั้งแต่แรกถ้าจะโยกย้ายงานของใบบัวก็ได้นี่ แต่ไม่ทำเพราะอะไร คำตอบก็เหมือนเดิม เพราะอำนาจในตำแหน่งดูไม่มั่นคงเลย

ส่วนใบบัว คนแต่งปูทางมาให้ผู้หญิงในเรื่องดูร้ายมากๆ ปูมาเพื่อให้คนอ่านอย่างเรารู้สึกได้ว่าข้อผิดพลาดมันไม่ได้ผิดที่พระเอกฝ่ายเดียวแต่เป็นตัวนางร้ายที่ทำตัวเองด้วย เหมือนเป็นตัวช่วยคลี่คลายการขยี้ปมความเสียใจ การนอกใจ การมามีอะไรกับแฟนตอนเมาแต่เรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นมันดูซอฟต์ลง ซึ่งเราไม่รู้สึกคล้อยตามเพราะยังไงคนผิดในเรื่องนี้คือดินแดนเต็มๆ

ทั้งเรื่องที่อ่านมาเลยรู้สึกว่าคนที่สูญเสียและต้องวิ่งตามทุกอย่างคือไมน์ อาจเพราะได้อ่านแค่มุมมองฝั่งไมน์เป็นส่วยใหญ่ด้วยมั้ง ถึงแม้จะมีมุมมองของดินแดนเสริมมาแต่ก็ไม่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้สูญเสียอะไร การที่มาง้อมาขอคืนดีก็ไม่รู้สึกว่าการกระทำของดินแดนมันควรค่าแก่การให้อภัยแล้ว แต่ก็อย่างว่าไมน์รักและเทิดทูนบูชาความรักขนาดนี้ ต่อให้ดินแดนทำเลวกว่านี้ไมน์ก็ให้อภัยได้

มีอีกหลายอย่างที่อยากแสดงความเห็นแต่มันตีกันไปหมดจนได้แค่ถอนหายใจ นี่คืองานเขียนที่คนแต่งต้องการสร้างมาเราอยู่ในมุมผู้เสพก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แค่ทำความเข้าใจกับตัวนิยายและตัวละครที่คนเขียนต้องการสื่อ ทำให้ต้องกลับมาคิดซ้ำว่า ชื่อเรื่อง 'เป็นเจ้าของ' นี่หมายความว่ายังไง

ไมน์เป็นเจ้าของดินแดน ในที่นี่ตอนแรกเหมือนจะแค่กล่อมตัวเองไปเรื่อยๆว่าตัวเองคือเจ้าของผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ดินแดนนั้นไม่เคยทำตัวเป็นของไมน์เลย
ส่วนดินแดนในตอนหลังพยายามทำตัวให้ตัวเองถูกเป็นเจ้าของโดยไมน์ ก็ไม่รู้สึกว่าควรถูกครอบครองอยู่ดีเพราะชนักที่ติดหลังมันใหญ่หลวงมากนะสำหรับคนนอกอย่างเรา

สุดท้ายก็คือขอบคุณที่คนแต่งเลือกจะเอามาลงให้เราได้เสพงานเขียนนะคะ ในเรื่องของสำนวนภาษาอ่านแล้วเข้าใจง่ายค่ะ คำผิดมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่เยอะจนถึงกับขัดอารมณ์เวลาอ่าน และขอชื่นชมในความตั้งใจในการแต่งนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ่งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กสาวในชุดสีฟ้า ที่ 24-05-2020 10:08:16
     
แจ้งข่าวค่ะ แทนคำขอบคุณ
[/b]

สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่นิยายเรื่องนี้จบ แมวก็ได้กลับมาอ่านคอมเม้นต่างๆแล้ว รุ้สึกขอบคุณทุกคนมากๆที่สนใจในนิยาย ไม่ว่าจะถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี และแมวได้เห็นถึงความเห้นหลายๆความเห็นที่ยอมรับกับการตัดสินใจในเนื้อเรื่องตอนจบของแมว แมวจึงขอมอบคำขอบคุณให้แก่ทุกคนด้วยการ...

แต่งตอนจบออกมาสองแบบ

ใช่แล้วค่ะ ตอนจบแบบแรกนั้นแมวได้ลงให้อ่านไปแล้ว แต่สำหรับใครที่ เกลียดนังแดน เกลียดนังใบบัว จนไม่สามารถยอมรับให้เขากลับมาอยู่ด้วยกันได้ แมวจึงได้แต่งตอนจบแบบพิเศษ นั่นคือ Bad End นั่นเอง แต่แมวจะไม่ลงในหน้านิยายนะคะ ตอนจบแบบพิเศษจะลงในเพจของแมวเท่านั้น ใครที่สนใจสามารถกดเข้าไปอ่านในเพจได้เลยนะคะ แต่ก่อนไปอ่าน แมวอยากให้ทุกคนอ่านตอนที่ 22 อีกครั้ง เพราะตอนจบพิเศษของแมว จะเริ่มตั้งแต่ตอนที่23 เป็นต้นไปค่ะ 

ขอบคุณสำหรับการติดตามด่า(ตัวละคร) และชื่นชม(ตัวละครและแมว)มากๆนะคะ นี่เป็นของขวัญเพียงอย่างเดียวที่แมวจะให้ทุกคนได้ หวังว่าเราทั้งสองฝ่าย (มีไหม) จะสุขไปกับนิยายเรื่องนี้น้าาาาา

ปล. จะเริ่มลงทีละตอนช่วงเย็นนะคะ


https://www.facebook.com/PassionateFiction (https://www.facebook.com/PassionateFiction)



หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 25-05-2020 18:56:24
 :z13:  :jul1:  o13
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 30-05-2020 01:19:17
เป็นอีกมุมมองของชีวิต
ติดตามต่อไป ส่งกำลังใจให้
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 30-05-2020 15:49:12
 o13
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 10-08-2020 23:53:07
ขอบคุณนักเขียนที่สร้างสรรค์เรื่องนี้ขึ้นมานะครับ สนุกมาก แรกๆ อยากจะกระโดดถีบดินแดนมาก :z6: :z6: :z6: สงสารน้องไมน์มากๆ แต่โดยรวมสรุปสุดท้ายก็แฮปปี้เอนดิ้ง   o13
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ่งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-08-2020 23:14:34
     
แจ้งข่าวค่ะ แทนคำขอบคุณ
[/b]

สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่นิยายเรื่องนี้จบ แมวก็ได้กลับมาอ่านคอมเม้นต่างๆแล้ว รุ้สึกขอบคุณทุกคนมากๆที่สนใจในนิยาย ไม่ว่าจะถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี และแมวได้เห็นถึงความเห้นหลายๆความเห็นที่ยอมรับกับการตัดสินใจในเนื้อเรื่องตอนจบของแมว แมวจึงขอมอบคำขอบคุณให้แก่ทุกคนด้วยการ...

แต่งตอนจบออกมาสองแบบ

ใช่แล้วค่ะ ตอนจบแบบแรกนั้นแมวได้ลงให้อ่านไปแล้ว แต่สำหรับใครที่ เกลียดนังแดน เกลียดนังใบบัว จนไม่สามารถยอมรับให้เขากลับมาอยู่ด้วยกันได้ แมวจึงได้แต่งตอนจบแบบพิเศษ นั่นคือ Bad End นั่นเอง แต่แมวจะไม่ลงในหน้านิยายนะคะ ตอนจบแบบพิเศษจะลงในเพจของแมวเท่านั้น ใครที่สนใจสามารถกดเข้าไปอ่านในเพจได้เลยนะคะ แต่ก่อนไปอ่าน แมวอยากให้ทุกคนอ่านตอนที่ 22 อีกครั้ง เพราะตอนจบพิเศษของแมว จะเริ่มตั้งแต่ตอนที่23 เป็นต้นไปค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามด่า(ตัวละคร) และชื่นชม(ตัวละครและแมว)มากๆนะคะ นี่เป็นของขวัญเพียงอย่างเดียวที่แมวจะให้ทุกคนได้ หวังว่าเราทั้งสองฝ่าย (มีไหม) จะสุขไปกับนิยายเรื่องนี้น้าาาาา

ปล. จะเริ่มลงทีละตอนช่วงเย็นนะคะ


https://www.facebook.com/PassionateFiction (https://www.facebook.com/PassionateFiction)

เราเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้มากๆ

อ่านแล้วแบบทำไมนายเอกโง้โง่ พระเอกก็เช่นกันค่ะ โง้โง่เรื่องผู้หญิง
เหมาะสมกกันดี55555
หัวข้อ: Re: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [5] หัวใจที่บอบช้ำ 50% Up [12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 24-08-2020 16:57:44

“แต่มึง…มึงกลับเอาแต่คิดถึงมัน ไอ้เหี้ยที่มันไม่เคยแม้แต่จะเห็นค่าของมึง กกกอดอยู่กับผู้หญิงคนนั้นจนมึงต้องมาล้มป่วยแบบนี้! มึงกลับเอาแต่คิดถึงมันมากกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงมึงมา!!”

 
ไม่น่าสงสารเลย ปล่อยพ่อแม่ไม่ดูแล หลงผู้ชายหัวปักหัวปำ :z3: