ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
The Missing Title
#เอื้อเดือน (ชื่อชั่วคราวจนกว่าเราจะหาอะไรที่แมสกว่านี้ได้)
คำโปรย:
เมื่อผมคือ ‘รุ่นน้อง’ ผู้แสนจะธรรมดา และเขาคือ ‘รุ่นพี่’ สุดแสนเพอร์เฟ็กต์จนเหมือนจะอยู่ไกลเกินเอื้อม
“เฮ้ย พี่อย่าเขียนโปรยอวยตัวเองได้ไหม”
...คนสองคนที่ต่างกันกลับโคจรมาเจอกันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งนำไปสู่เรื่องราวความรักอันแสนอบอุ่น
“อบอุ่น...อบอุ่น!? นี่เอาเรื่องของใครมาพูด”
“เอ้า เรื่องเกิดช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ไม่อบอุ่นได้ไง อุ่นจนร้อนเลยเนี่ย”
•
“เดี๋ยว หลังปกมันต้องอธิบายปมประเด็นของเรื่องสิ ไหนล่ะกบ!? ไหนล่ะคำสาป!? ”
“ปม มีไปทำไมน่ะปม นิยายแมสๆ แบบเราไม่จำเป็นต้องมีปม รักๆ กันก็จบแล้ว”
“ตกลงเรื่องนี้แมส?”
“แมส แมสจนต้องร้องขอชีวิตเลย เชื่อสิ อย่าลืมติดแท็ก #เอื้อเดือน ลงโซเชียลกันนะครับ”
“ขอเถอะ พี่ช่วยอายเขาบ้าง! นี่มันแมสซะเคอร์ (การสังหารหมู่) ชัดๆ !”
-------------------------------------------------------
ไว้เติมสารบัญค่ะ
BEFORE WE BEGIN (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3886462#msg3886462)
STAGE 1: ตัวเอกพบกัน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๑ (อีกที)
ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 (อีกที) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3886873#msg3886873)
ตอนที่ 1 (อีกที - ของจริง) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887424#msg3887424)
ตอนที่ 1 (อีกสักที (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887432#msg3887432)
TAKE A BREAK (1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887889#msg3887889)
ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887892#msg3887892)
ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887905#msg3887905)
ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887908#msg3887908)
ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3887918#msg3887918)
ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3888715#msg3888715)
STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ
ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3888716#msg3888716)
ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3894482#msg3894482)
STAGE 3: รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก
ตอนที่ 9.1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3894485#msg3894485) & 9.2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3894486#msg3894486)
ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3894487#msg3894487)
STAGE 4: มือที่สามสะกิดใจ
ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3894488#msg3894488)
ตอนที่12 (ลับ).1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3913920#msg3913920) & 12 (ลับ).2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3913921#msg3913921)
12 (ไม่ลับแล้วจ้ะ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3921756#msg3921756)
STAGE 7: เผชิญหน้าครอบครัว
13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3921758#msg3921758)
14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3921759#msg3921759)
STAGE 5: เปิดใจให้กัน
15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927723#msg3927723)
16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927724#msg3927724)
STAGE 6: อุปสรรค์พิสูจน์รัก
17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927725#msg3927725)
18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927726#msg3927726)
STAGE 8: รักกันไปวันๆ
19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927727#msg3927727)
20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927729#msg3927729)
21(1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927731#msg3927731) & 21(2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927732#msg3927732) & 21(3) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927733#msg3927733)
22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927734#msg3927734)
23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3927735#msg3927735)
STAGE I: ผู้คนมารวมตัวกัน
24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937699#msg3937699)
STAGE II: รวบรวมเบาะแส
25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937700#msg3937700)
STAGE III: ฆาตกรคือแกนั่นเอง
26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937702#msg3937702)
26 (อีกที) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937703#msg3937703)
STAGE IV: ปริศนาทั้งหมด ไขกระจ่างแล้ว (เรอะ)
26.25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937704#msg3937704)
27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937705#msg3937705)
SOMA + ULTE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68383.msg3937707#msg3937707)
(END)
เรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวจะดอง แค่ช้าเพราะต้นฉบับเราเป็นแบบบรรทัดติดกัน การเอามาลงเล้าต้องเคาะเพิ่ม เลยจะช้าหน่อยน่ะค่ะ
มีอะไรไปตามหาในทวิตเตอร์ได้นะคะ ชื่อเดียวกับยูส หรือที่เห็นเยอะๆ ในแท็ก #เอื้อเดือน นั่นแหละค่ะ 5555+
เรื่องนี้ตกลงตีพิมพ์กับสนพ.พบรักแล้ว แต่จะลงให้จบแน่นอนค่ะ ที่เพิ่มในเล่มคือตอนพิเศษ
MASS
[n.] กอง, ก้อน, ขนาด, ทั้งมวล, ปึก, มวล
[n.] ทุ่มเท, โปะ, รวม, สุม
[n.] ก้อนใหญ่
[n.] ส่วนใหญ่
[n.] ประชาชน
[n.] เทอะทะ, แน่นหนา, มากมาย, หนักแน่น, ใหญ่โต
(พจนานุกรมแปล อังกฤษ-ไทย อ. สอ เสถบุตร)
“เกรงว่าเรื่องนี้จะแมส...แมส’ซะเคอะ (การสังหารหมู่) สิไม่ว่า”
BEFORE WE BEGIN...
0
-สวัสดีครับ ผมเป็นตัวแทนศิษย์เก่าชมรมจุลสาร เนื่องในโอกาสครบรอบสิบปีของชมรม เราตั้งใจจะทำเรื่องเกี่ยวกับ LGBT ในกลุ่มของศิษย์เก่าครับ ก็เลยอยากจะขอสัมภาษณ์พี่เอื้อและพี่เดือนที่เป็นผู้ก่อตั้งชมรม แล้วก็ประธานรุ่นแรกและรุ่นที่สองครับ (Note: LGBT ย่อมาจาก Lesbian Gay Bisexual Transsexual กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในหลายบริบทมีการใช้เพื่อแทนการเรียกกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกัน)-
“ชมรมเกย์ของเรา ครบสิบปีแล้วเหรอนี่”
ผมพ่นน้ำดังพรวด “ช้าก่อน ทำไมมันเป็นชมรมเกย์วะพี่”
“เอ้า ก็ชมรมเราแม่งมีแต่เกย์ ถ้าไม่ใช่เกย์ก็เป็นสาววาย”
“เฮ้ย น้องไม่เกย์ก็มี น้องต๋งไง”
“เกย์”
-เกย์ครับ-
ผมทำตาโต “อ้าว แล้วน้องไข่มุกที่อยู่กันบ่อยๆ ล่ะ”
“...น้องเขาเป็นแฟนกับน้องมะเหมี่ยว...ก็นับว่าเกย์เหมือนกัน”
“...” ...นี่ผมอยู่ชมรมนี้มาตลอดสามปีแถมเป็นประธานอยู่สองสมัยแบบไม่ได้รู้อะไรเลยสักนิดได้ไงวะเนี่ย ผมปาดเหงื่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“เลือกเราสองคนนี่ คิดดีแล้วจริงๆ นะ” ผมมองใบหน้ายิ้มๆ ของน้องเอกคนถาม ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัว ตอนแรกที่ถูกเรียกออกมาผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก คนที่บ้านลากออกมาก็มาตามเขา
-พวกพี่คือตำนานของคณะ...ไม่สิ ของมหาวิทยาลัยเราเลยนะครับ-
“ตำนานแบบไหนวะ”
••ดอกตำลึงกับโดเบอร์แมน••
“เฮ้ย ปกติมีแต่ดอกฟ้ากับหมาวัดสิวะ” ผมหันไปมองต้นเสียง ปรากฏว่าไอ้เจ้าน้องรหัสของผมโผล่หน้ามายิ้มแป้น ส่วนคนข้างตัวผมก็พึมพำ
“กรณีนี้ดอกตำลึงกับโดเบอร์แมนนับว่าไม่ผิด...แต่เดี๋ยว ไอ้น้อง อย่างพี่ต้องแพงๆ แบบมัสทิฟฟ์สิวะ”
ผมหันกลับถลึงตาใส่เขา...คุณพี่ครับ พูดแบบนี้ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า ก่อนจะหันกลับไปหาน้องรหัสตัวเองอีกครั้งแล้วอ้าว นั่นชุดนักศึกษา “เฮ้ย ยังเรียนไม่จบอีกเหรอ”
••พี่เดือน คำถามพี่หยาบคายมากนะ••
-คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไสหัวออกไปด้วยครับ-
••เฮ้ย อะไร กูนี่ประธานชมรมนะ มึงอ่ะแหละมายืมใช้ห้อง ไอ้เด็กจบแล้ว เจียมตัวหน่อย••
หลังจากนั้นรุ่นน้องผมสองคนก็หันไปตบตีกันเองอยู่ครู่หนึ่ง ขอตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณาสักครู่
ในที่สุดน้องเอกก็เป็นฝ่ายกำชัย หันกลับมาหาพวกผมอีกครั้ง
-แค่ก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเริ่มที่คำถามแรกเลยนะครับ พวกพี่สองคน คบกันได้ยังไงหรือครับ-
“อันนี้ง่ายมาก...เออว่ะ เราคบกันได้ยังไงนะ” เขาหันมาหาผม
“เฮ้ย อะไรวะ พี่จำไม่ได้เหรอ” ผมนิ่วหน้า ขณะกำลังจะตอบด้วยความมั่นใจนั้นเอง ผมก็สำนึกอะไรขึ้นมาได้ “...เออว่ะ เราเริ่มคบกันยังไงนะ”
- พวกพี่ครับ...-
“เฮ้ย เออ คือรู้ตัวอีกทีก็คบกันแล้วเนี่ย กี่ปีแล้ววะ”
ผมยกมือขึ้นนับนิ้ว “เราเจอกันตอนนั้นผมอยู่ปีหนึ่งขึ้นปีสอง นี่ก็แปดปีได้แล้ว”
“อ้าว อาถรรพณ์เจ็ดปีผ่านไปตอนไหน”
“ก่อนพี่จะถามคำถามนั้น ประเด็นคือวันครบรอบคบกันของเราคือวันไหนดีกว่านะครับ”
พี่เอื้อนิ่งไปนานมาก ก่อนจะร้องออกมาสองพยางค์สั้นๆ “เออว่ะ”
น้องเอกก้มลงอ่านสคริปต์ของตัวเองด้วยสีหน้าแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หลังกวาดสายตาขึ้นลงไปมาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ยิงคำถามใหม่ออกมา
-งั้นเปลี่ยนคำถาม พวกพี่ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เริ่มมาคบกันได้ไหมครับ-
“...หืม เรื่องเราสองคนงั้นเหรอ...ก็ธรรมดานะ”
ผู้ชายที่อยู่ข้างตัวผมหัวเราะออกมาดังพรืด “ใครว่า เหมือนนิยายแบบที่สาวๆ เขาอ่านกันต่างหาก...ไอ้นิยาย ‘แมสๆ’ น่ะ”
-เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน คำว่าแมสนี่...หมายถึงงานที่เป็นที่นิยมในท้องตลาดใช่ไหมครับ-
“ช่าย” คนข้างๆ ผมหน้าหงึกหงัก “แบบที่ชมรมเราเอามาถกกันบ่อยๆ นั่นแหละ เอาว่าในที่นี้เรานับพวกงานที่ขายได้ขายดี เป็นกระแสนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดก็แล้วกัน เหมือนละครสูตรสำเร็จอ่ะน้อง มีนางเอก นางร้าย นางร้ายตบนางเอก พระเอกปล้ำนางเอก”
-สมัยนี้นางเอกร้ายกว่านางร้ายก็มีแล้วนะครับ-
“ไอ้นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกน่า”
“...พี่แน่ใจเหรอวะว่าเราเรียกแมส” ผมขัด
“เฮ้ย พระเอกรูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม จะไม่แมสได้ไง” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังพยายามแอ็กท่าโชว์หล่อเต็มที่
ผมจ้องคนรูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม ก่อนถอนหายใจออกมา “...ไอ้ต้นเหตุแห่งความไม่แมสทั้งมวลแม่งก็คุณพี่มึงเลยครับ”
“เฮ้ย แน่จริง เถียงสิว่าปกติเขาไม่นิยมพระเอกแบบพี่กัน”
“ได้ แมสก็แมส...แล้วจะแมสแนวไหน”
“ฟีลกู๊ด” พี่เอื้อตอบแบบไม่มีหยุดคิดสักนิด
“...แน่ใจแล้วนะ”
“เออ ฟีลกู๊ด...สไลซ์ออฟไลฟ์”
“สไลซ์ออฟไลฟ์ที่แปลว่าสไลซ์...หั่นชีวิตตัวเองเป็นชิ้นๆ ใช่ไหม”
“เฮ้ย อย่าดูถูก เชื่อไหมเรื่องของเรานี่ทำซีรีส์ได้เลย”
“ไอ้แบบที่ฉายตอนตีสองตีสามให้พี่ยามกะดึกดูใช่ป่ะ” ผมกลอกตา
น้องเอกที่แลเห็นแล้วว่าการสัมภาษณ์เริ่มออกทะเลไปเรื่อยพยายามพายกลับเข้าฝั่ง
-แล้วถ้าตำนานรักของพวกพี่เป็นนิยายจริงๆ จะตั้งชื่อว่าอะไรดีครับ-
“อืมมม เหมือนก้าวแรกของมนุษยชาติเริ่มที่ดวงจันทร์ นิยายใดๆ ก็ล้วนเริ่มที่ชื่อเรื่อง...รุ่นพี่หล่อร้ายกับนายเดือนปลอม?”
คนข้างตัวผมกลอกตาใส่ เอ้า ไหนบอกนิยายแมสๆ นี่ก็ช่วยคิดชื่อให้แล้ว แมสสุดอะไรสุด
“งั้น...ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายแมส”
“เป็นรายการทีวีหรือไง”
“อะไร ถ้ารายการทีวีงั้นต้อง เดอะมูน ค้นฟ้า คว้าเดือน”
“ถุย!”
“อะ งั้นอันนี้...อยู่ดีๆ มีกบมาหลงรัก”
“...นี่คิดดีแล้วใช่ไหม ไม่สิ นี่ผ่านสมองคิดแล้วใช่ไหม”
“รักอลวน เดี๋ยวคนเดี๋ยวกบ”
“อืมมมม...จะบอกว่าดีก็ไม่เชิง จะบอกว่าแย่ก็ไม่ใช่” คราวนี้คุณพี่คนฟังมีสีหน้าเห็นด้วย
-เดี๋ยวก่อนครับ ทำไมเป็น ‘กบ’ ได้ล่ะ-
พวกผมสองคนมองหน้ากัน ก่อนตอบ “เรื่องมันยาว”
••งั้นกบกินเดือนเลย!••
ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้น้องรหัสที่ตะโกนแทรก ส่วนคนข้างตัวผมตบเข่าฉาด “เฮ้ย คัลต์ดี เอา”
ฟังแล้วผมเลยหันไปช่วยตบเข่าพี่ท่านอีกฉาด ก่อนแยกเขี้ยวใส่น้องรหัส “ไอ้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์ กรุณาออกไปไกลๆ ตีนกูเลยนะครับ ไปเล่นข้างนอกโน่นเลยโว้ย”
••อะไรวะ พี่เดือน กบกินเดือนไม่ดีตรงไหน••
“ห่านี่...” ผมง้างขาหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปตบกบาลน้องรหัสตัวเอง “เงียบไปเลยนะ เดี๋ยวกูปั๊ดแช่งให้มึงโดนราหูอม! ทำไมเดือนต้องโดนกินวะ”
“...ไอ้นั่นคือประเด็นที่โมโหหรอกเหรอ”
หลังจากจัดการโยนตัวก่อกวนออกไป ผมก็กลับไปนั่งประจำที่
-อะแฮ่ม ขออภัยนะครับ อ่ะ ต่อ ชื่อเรื่องครับ-
“กบกินเดือนก็คัลต์ดีออก พี่ชอบ”
“...” ผมกลอกตาใส่อีกฝ่าย “แค่ชื่อก็ไม่แมสแล้ว!”
-ลองทำแบบนิยายที่กำลังฮิตดูไหมครับ เอาชื่อตัวเอกมาประกบกัน ทำแฮชแท็กทวิตเตอร์ได้ด้วยนะ-
“เป็นอะไร #เอื้อเดือน งี้เหรอ”
“...แบบนั้น #เอื้อมเดือน เพราะกว่าป่ะ...ไป พี่เอื้อการย์ ไปเปลี่ยนชื่อ”
“...ห่า ไม่คิดบ้างวะว่าชื่อตัวเองไม่เวิร์ก”
“อะไรวะ ผมเป็นเดือนเลยนะ เดือนแม่งเป็นคำทันสมัยจะตาย ตอนนี้ใครๆ ก็เป็นเดือน”
“เป็นแค่เดือนปลอม อย่ามาทำเป็นยืดหน่อยเลย” พี่เอื้อไม่พูดเปล่า เอื้อมมือมาตบกะโหลกผม ก่อนเอ่ยเสริม “ไหนๆ ก็จะให้พี่เปลี่ยนชื่อ งั้น #เอื้อมดาว ดีกว่า น้องไปเปลี่ยนชื่อซะนะครับ เป็นน้องดาว”
“เว้ย อะไรวะ เป็นเดือนก็ดีอยู่แล้วจะให้ผมเป็นดาว”
“เดือนก็เป็นดาวนะ...ดาวเคราะห์”
“แต่ดาวเคราะห์มันไม่มีแสงในตัวเองอ่า เปลี่ยนเป็นดาวฤกษ์ดีไหม”
“ตกลงจะเปลี่ยนชื่อ?” พี่เอื้อเลิกคิ้ว ก่อนทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “งั้นก็ โอบเอื้อกับเคียงเดือนเป็นไง...ไปครับน้องเดือน ไปเปลี่ยนชื่อเป็นเคียงเดือนซะนะ”
“ทำไมมีแต่ผมที่เปลี่ยนชื่อวะ แล้วชื่อเล่นผมพยางค์เดียวดีๆ อยู่แล้ว จะยัดสองพยางค์ทำไมไม่ทราบ” ผมพยายามทำท่าโมโห แต่ด้วยความที่หางตาหางคิ้วตก ดูแล้วไม่น่าจะน่ากลัว คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอียงคอมองแล้วยื่นมือมาหยิกแก้มผมเสียอย่างนั้น
“บอกผมทีว่าพี่หยิกเพราะเห็นผมน่ารักน่าเอ็นดูเลยอดใจไม่ได้” ผมกระพือขนตาที่ไม่ค่อยมีใส่เขา
“เปล่า พูดมากน่ารำคาญดี ไม่รู้สวิตช์ปิดอยู่ตรงไหน”
“...หาง” ผมตอบออกไปแบบไม่ทันคิด
“แบบโดราเอมอน?”
“เออ ตรงนั้นแหละ เว้ย! ไม่ได้ให้จับก้น!”
“เอ้า ก็บอกว่าหาง เลยจะคลำดูไง” ไม่พูดเปล่า พี่แกยังลูบก้นผมอีกรอบ “...ไม่เห็นมีเลย”
...ฆ่าทิ้งตรงนี้แม่งเลยดีไหมนะ
“งั้นชื่อย่อไหม จากคำว่าแมสงี้...แบบ My Absolutely Stupid Story”
“...”
“หรือจะ My Abnormal, Simple and Stupid (Mass) Love Story”
“...”
“หรือว่า… Might---”
...ฆ่าแม่งเลยแล้วกัน
น้องเอกรีบพยายามกลับเข้ามากู้สถานการณ์อีกครั้ง
-งั้นใช้เอื้อเดือนไปก่อนนะครับ-
“ได้ ใช้เป็นชื่อชั่วคราวจนกว่าเราจะหาชื่อที่แมสกว่านี้ได้” พี่เอื้อพยักหน้าหงึกๆ
ผมนวดขมับที่ปวดตุ้บๆ ของตัวเอง
-งั้นต่อด้วยโควตเปิดเรื่อง จะขึ้นว่าอะไรครับ-
ผมที่หมดแรงจะพูดอะไรแล้วโบกไม้โบกมือให้คนข้างตัวจัดการแทน
“แมสๆ มันต้องเริ่มด้วยบทนำคำโปรย คำคม ชิกๆ คูลๆ เสิร์ชเน็ตแป๊บ...อะ เริ่มเรื่องต้องโปรยด้วยภาษาอังกฤษ”
You have to kiss a lot of frogs before you find your handsome prince.
“อย่าลืมให้เครดิต” ผมเตือน
“ได้ เอาใหม่”
You have to kiss a lot of frogs before you find your handsome prince.
Anonymous – The Frog Prince
ผมหลุดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าชายกบเรอะ!”
“เอ้า ไม่ถูกเหรอ”
“เอ้อ ก็ไม่ผิดนะ” ...ในทางทฤษฎีแล้ว นับเป็นเจ้าชายกบก็ได้จริงๆ
-เอ๋ ยังไงก็ต้องกบหรือครับ-
“บอกแล้วไงว่าเรื่องมันยาว” พวกผมประสานเสียง
-ก็ได้ หลังโปรยแล้วบทนำจะขึ้นว่าไงดีครับ-
“เอ่อ...” ผมหันไปมองพี่เอื้อที่โบกไม้โบกมือไปมาด้วยท่าทางราวกับวาทยกรที่กำลังนำวงดนตรี พี่จะอินเกินไปหน่อยไหมวะ
•
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เจ้าหญิงน้อยได้ทำลูกบอลทองหล่นลงไปในสระน้ำที่ลึกมากเสียจนลงไปเก็บไม่ได้ มีกบตัวหนึ่งอาสาจะลงไปเก็บให้พระองค์
“กระหม่อมไม่ปรารถนาไข่มุก อัญมณี หรืออาภรณ์หรูหราของพระองค์ แต่ปรารถนาที่จะได้รับความรักของพระองค์ ใช้ชีวิตร่วมกับพระองค์ กินอาหารร่วมจานทองของพระองค์ นอนร่วมพระแท่นบรรทมของพระองค์ ติดตามพระองค์ไปในทุกๆ ที่ เช่นนั้นแล้วกระหม่อมยินดีที่จะลงไปเก็บลูกบอลทองให้พระองค์”
เจ้าหญิงทรงตกปากรับคำ หากในพระทัยไม่ทรงยินดีที่จะปฏิบัติตามสัญญาแม้แต่น้อย
แล้วเรื่องราวของเจ้าหญิงและกบก็เริ่มต้นขึ้น...”
•
“เป็นไง แมสพอหรือยัง”
“ทำไมผมเป็นเจ้าหญิงวะ”
“เอ้า ก็ต้นฉบับมาแบบนี้ มีปัญหาไปเถียงกับดิสนี่ย์เอาเอง”
“ดิสนี่ย์ใช่คนคิดเจ้าชายกบเหรอวะพี่”
“...เออ ไม่รู้ว่ะ เสิร์ชแป๊บ”
-พวกพี่ครับ...-
พวกผมสองคนหันไปมองน้องคนถามก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “น้อง นี่เรื่องสำคัญ”
น้องเอกทำท่าสูดลมหายใจ พึมพำยุบหนอพองหนอกูจะไม่ฆ่าคนตายหนอ ปล่อยให้พวกผมสองคนเสิร์ชเรื่องเจ้าชายกบ จนกระทั่งได้คำตอบที่พึงพอใจแล้วจึงเงยหน้ากลับมาหาคนสัมภาษณ์อีกครั้ง
-ตกลงจะบอกผมได้หรือยังครับว่าทำไมเกี่ยวกับกบ-
ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ฝ่ายนั้นยักไหล่ ก่อนพยักเพยิดให้ผมเป็นฝ่ายเล่า
“เห...แน่ใจแล้วนะพี่เอื้อเอ๋ย”
“ที่จริงก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง ก่อนตบปิดเอาง่ายๆ “แต่ปกตินิยายแมสนายเอกเป็นคนเล่าเรื่องอ่ะ”
...ขอพักตัดเข้าโฆษณาสักครู่
-...เอ่อ พี่ครับ-
ผมที่ถูกติดสินบนด้วยกุ้งเผาหนึ่งกิโลโปรยยิ้มพิมพ์ใจ “จะเริ่มเล่าจากตรงไหนวะ ยากนะเนี่ย...”
“เอางี้ ถ้ามันยากก็แบ่งเรื่องออกเป็นสเตจพื้นๆ ตามหลักนิยายแมสก็แล้วกัน”
“หา...”
-พี่เอื้อหมายถึง ‘สเตจนิยายแมสของจิ๊บบี้’ หรือครับ-
“ใช่แล้วน้องเอ๋ย เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน” พี่เอื้อลากกระดานไวต์บอร์ดขาพิการไปข้างหนึ่งประจำชมรมจุลสารออกมา จากนั้นก็เริ่มเขียนด้วยลายมือสวยงามอ่านง่ายประดุจพิมพ์ออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์...นี่นับเป็นสกิลพระเอกไหมวะเนี่ย
STAGE 1: ตัวเอกพบกัน
STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ
STAGE 3: รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก
STAGE 4: มือที่สามสะกิดใจ
STAGE 5: เปิดใจให้กัน
STAGE 6: อุปสรรค์พิสูจน์ใจ
STAGE 7: เผชิญหน้าครอบครัว
“นี่ ตามนี้”
ผมกวาดตามองกระดานขึ้นๆ ลงๆ ก่อนถาม “พี่แน่ใจเหรอวะว่าของเรามันใช่อะไรแบบนี้”
“เล่าไปเถอะน่า ตามนี้ๆ”
ผมมองเขาตาเขม็ง พี่เอื้อเพียงยิ้มๆ แล้วขยับปากเป็นคำว่า ‘กุ้งเผา’
ก็ได้ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับท่านผู้ชม...
•••TBC.
สวัสดีค่า กลับมาที่เล้าอีกรอบแบบใหม่เอี่ยม ไม่ได้ใช้เว็บบอร์ดนาน เงอะงะไปหมด *ปิดหน้าร้องไห้* อับอายจริงๆ ที่เรียนจบคอมพิวเตอร์มา :o12:
อนึ่ง ขอออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้มีการล้อเลียนตามสไตล์งาน parody ตลกกุ๊กกิ๊ก :o8: เรียกว่าลองมามองเรื่องที่เกิดในนิยายแนวนักฉึกฉาด้วยสายตาคนธรรมดากันบ้างแล้วกันค่ะ ฮา
ยังไงก็ฝาก #เอื้อเดือน ไว้ด้วยค่ะ อะเอื้ออออ *เสียงกระอักเลือด*
เราคิดว่าจะพยายามอัปแบบไม่ทิ้งช่วงมาก (เพราะต้นฉบับจบแล้ว) ก็อาจจะวันเว้นวันหรือสองวันนะคะ จริงๆ อยากลงทุกวัน แต่บางทีเราก็ไม่ได้ใช้เครื่อง :sad4:
STAGE 1: ตัวเอกพบกัน
จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกของเราได้เรียนรู้ว่า
นายเอกนั้นต่างจากคนอื่น
คอมเม้นต์พระเอก: สติมันพังต่างจากคนอื่น
๑
ท่ามกลางอากาศร้อนชวนให้อึดอัดของประเทศไทย ร่างบางในเสื้อนักศึกษาสีขาวพับแขนเลยช่วงข้อศอกมาราว ๑๐ เซนติเมตร และสวมกางเกงสแล็กสีดำที่หลวมเล็กน้อยทอดสายตาไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส...เขาเสยผมที่แตกปลายเล็กน้อยให้พ้นจากดวงตาคู่ที่สั้นลบศูนย์จุดห้า
ยามนี้เขาอยู่ในตึกที่ก่อจากอิฐมวลเบาสีเทาอ่อน ประดับด้วยกระจกใสสะท้อนกับท้องฟ้าสดใสที่มีเมฆประปรายอยู่ราวๆ ๒-๓ ก้อน ปลายนิ้วเรียวของร่างบางลูบไล้ไปบนพวงแก้มเนียนใสที่ยามนี้ชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อกลมกลิ้งที่ดูราวกับรอยน้ำตา...
CUT! CUT! CUT!
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยววว เดือนปลอมมมม หยุดอยู่ตรงนั้นเลย”
“หือ ทำไม”
“ร่างบางนี่อะไรวะ” พี่เอื้อย่นคิ้วขณะยกมือทำท่าปางห้ามผม
“เอ้า ก็พูดเองว่านิยายแมสไม่ใช่เหรอ ก็ต้องเล่าด้วยสำนวนแบบสมัยนิยมป้ะ นี่ผมใส่อารมณ์ในการเล่าเต็มที่เลยนะ” ว่าแล้วก็โบกโทรศัพท์มือถือที่กำลังเสิร์ชหาตัวอย่างนิยายที่กำลังฮิตในช่วงนี้เป็นหลักฐาน
“แบบบรรยายใส่คำขยายคำนามทุกตัวเนี่ยนะ โว้ย พอ...แล้วก็ไม่เอาแบบบุคลลที่สาม บุคคลที่หนึ่งดีกว่า”
“เอ๋ เอางั้นเหรอ”
“เออ เอางั้นแหละ ทำเหมือนเล่าให้คุณผู้ชมทางบ้านฟังอ่ะ”
ได้...งั้นเอาใหม่
๑ (อีกรอบ)
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงกำลังร้องแร่แห่กระเชอ นั่งไปก็สงสัยไปว่ากูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้หนอ
ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะเข้าใจความรู้สึกของผมรู้เปล่า
อยู่คนเดียวในห้องที่มีผู้คนมากมาย แต่...เหงา
เอาจริงๆ นะ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดีนัก
แต่อย่ากระนั้นเลย ก่อนอื่นให้ผมแนะนำตัวให้พวกคุณรู้จักก่อนดีกว่า
ผม...มาภา พรอาภา หรือเดือน อายุสิบเก้า กำลังกรุบๆ กรอบๆ สูงหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตร น้ำหนักเป็นความลับ เรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งกำลังจะขึ้นปีสองที่คณะไอทีแห่งหนึ่ง หน้าตาผมไม่นับว่าหล่อทะลุโลก แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด ผิวก็ไม่ได้ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ถึงกับคล้ำ ส่วนหางตา หางคิ้วล้วนลาดลงเหมือนเลขแปดในภาษาจีน (八) ดูแล้วน่าเอ็นดูเหมือนลูกหมาขอข้าวกิน ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า ‘ตะเร้กกก นัลลั้กกก’
CUT! CUT! CUT! CUT! CUT!
คราวนี้ไม่ร้องคัตเปล่าๆ พี่เอื้อมาพร้อมกับอุปกรณ์เป็นแผ่นไม้สีขาวที่ด้านบนมีลวดลายขาวดำเป็นทางซึ่งเคาะเกิดเป็นเสียงดังแป๊กๆ บนแผ่นไม้มีตัวเลขและตัวอักษรปรากฏอยู่เลือนรางจนมองไม่ออกว่าเคยเขียนอะไรไว้ ผมเห็นแล้วตกใจ “เฮ้ย นี่มันที่ตีเปรตในตำนาน!”
“เขาเรียกที่ตีสเลตโว้ย!” พี่เอื้อเอาที่ตีเปรตเคาะหัวผม
“มันเป็นที่ตีเปรตจริงๆ”
-อ้า ที่ตีเปรต-
••โฮ่ ไม่เห็นมาหลายปี นึกว่าหายสาบสูญไปแล้วซะอีก••
พี่เอื้อมองผมสลับกับรุ่นน้องสองคนด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนก้มลงมองที่ตีเปรตในมือตัวเอง อะฮ่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนพี่เอื้อเรียนจบไปแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยไม่รู้เรื่องนี้
“อ้าว ไม่รู้ซะแล้วเอื้อการย์” ผมส่ายหัวขณะยิ้มด้วยสีหน้าแบบว่าพี่นี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย “ถ้ายังไงเราเปลี่ยนไปเล่าเรื่องนี้กันแทนไหม เล่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทำไมให้อายเขา เล่าเรื่องผีดีกว่า”
พี่เอื้อนิ่วหน้า ก่อนมองผมสลับกับที่ตีเปรต ด้วยความที่คบกันมานาน ถ้าคลอดลูกได้แต่แรกคบป่านนี้ลูกอายุเท่าโคนันเจ้าหนูยอดนักสืบแล้ว ผมมองทีเดียวก็รู้แล้วว่าพี่เอื้อเริ่มหวั่นไหว ทว่าคนดับฝันผมคือน้องเอก
-ไอ้นั่นอ่านเอาในจุลสารฉบับที่สามสิบเก้าคอลัมน์ ‘ล่าท้าปี๋ (วิบัติเพราะเราตั้งใจ)’ ก็ได้ครับ ช่วยกรุณากลับไปแมสกันต่อนะครับ-
คำพูดนี้ทำให้พี่เอื้อได้สติ เขากระแอมไอ ก่อนวกกลับเข้าเรื่อง “ไอ้เมื่อกี้ที่เล่านี่มันอะไรวะ!”
ผมทบทวนอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะนึกออกว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง
“เอ้า อะไรอีก ก็ให้แล้วแบบ ‘ผมเล่า’ ก็ขึ้นมาแบบเปลี่ยวๆ เหงาๆ ใช้ผมเป็นหลัก แทรกกูแทรกมึง แล้วเรียกคนอ่านเป็นคุณ...พี่บอกผมเองว่าให้ทำเหมือนเล่ากับท่านผู้ชมอ้ะ” ผมโบกโทรศัพท์มือถือไปมา...ชาวบ้านเขาก็เล่ากันแบบนี้
“แล้วไอ้ที่แนะนำตัวนี่อะไร”
“เอ้า ก็ตัวละครก็ต้องเริ่มจากแนะนำชื่อเล่น ชื่อจริง นามสกุล อายุ ระดับการศึกษา ส่วนสูง...แต่ไม่ค่อยพูดถึงน้ำหนักกับสัดส่วน แล้วก็ตบท้ายด้วยสเตตัสหนังหน้า ส่วนมากต้องหลงตัวเองนิดๆ นี่ก็อุตส่าห์พูดความจริงแล้วนะ”
“เยอะไป! แนะนำตัวหรือจะประกวดนางงาม ไม่บอกชื่อที่อยู่กับเลขบัตรเครดิตซะเลยล่ะ แล้วไอ้ ‘ตะเร้กกก นัลลั้กกก’ นี่มันคือเชี่ยอะไรวะ!”
“บ๊ะ พี่นั่นแหละเยอะ ให้ผมเล่าแล้วยังจะเอาอะไรอีก” นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา
“เอางี้ พูดไปธรรมดาๆ”
ผมทึ้งหัวตัวเอง ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนรุ่นๆ ผมเริ่มแสดงอาการหัวล้านกันแล้ว เพื่อความปลอดภัย ผมเลยหันไปทึ้งผมคนข้างๆ แทน “เว้ย! ทึ้งหัวพี่ทำไม”
“ดูจากเจ้าคุณพ่อและ’เด็จปู่พี่แล้วพี่น่าจะไม่มียีนส์หัวล้าน ทึ้งนิดทึ้งหน่อยไม่เป็นไรหรอก”
“...”
-เอ่อ พี่ๆ ครับ-
“เอ้า ขอโทษที เล่าใหม่ก็ได้ แต่ตอนที่หนึ่งอีกแล้วอ่ะ”
“คิดซะว่าเทกก่อนๆ เป็นเลขหนึ่งไทย แล้วเทกใหม่เป็นอาราบิกแล้วกัน”
“...ตรรกะอะไรวะพี่”
“เราไม่ถามหาตรรกะจากนิยายครับน้อง เล่าใหม่”
“กั้งกระดาน” ...แค่กุ้งคงไม่พอ
“...” พี่เอื้อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าแบบเซ็งๆ
ก็ได้ คืออย่างนี้นะครับ
1
เรื่องเริ่มต้นที่บ่ายวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของปีการศึกษา ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งกำลังจะขึ้นปีที่สอง ตอนนั้นอากาศร้อนมาก นิยายเรื่องนี้จึงเป็นนิยายที่ให้บรรยากาศอบอ้าวเป็นอย่างยิ่ง อะไรนะ มีแต่อบอุ่นเหรอ อ่ะ นั่นแหละ
“สอบเสร็จแล้วว้อยยยยยยยยย” เสียงของเพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งของผมตะโกนลั่นกลางตึก มีสายตานับสิบๆ คู่จ้องมองไปที่เจ้าหมอนั่น เพียงชั่วพริบตา เพื่อนฝูงอีกประมาณโหลหนึ่งวิ่งเข้าไปหาประหนึ่งนักฟุตบอลเตะลูกเข้าประตู
บรรดาสาวๆ รอบๆ ตัวผมก็เอาแต่คุยกันเรื่องเที่ยวกับแฟนบ้าง ไปเที่ยวกับครอบครัวบ้าง ทุกคนมีสีหน้าชื่นบานประหนึ่งหลุดพ้นจากขุมนรก แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดถึงผลกรรมอันจะตามทันในไม่ช้า...เรื่องของอนาคตก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะน่า อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ปิดเทอมแล้ว
...ส่วนผม แน่นอน ตัวละครนิยายแมสๆ แบบผม จะเป็นอื่นใดไปได้
นอกจากเรียนซัมเมอร์ ฮือๆๆๆๆๆๆๆ
โอเค ขอย้อนอดีตกันไปสักเล็กน้อย ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเทอมหนึ่ง...หลังจากเห็นคะแนนอันงดงามในอีเมลแจ้งผลสอบกลางภาคแล้ว ผมก็กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั่วสรรพางค์กาย คืบคลานอย่างช้าๆ ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษา โอเค พอ ไม่เวอร์แล้วก็ได้
สุดท้ายก็ได้คำแนะนำมาพร้อมรอยยิ้มว่า “ถอนแล้วลงเรียนซัมเมอร์เถอะ มาภา”
มาภาหรือก็คือชื่อผมแปลว่าแสงจันทร์ ชื่อเล่นของผมก็น่ารักน่าเอ็นดูเป็นหนูเดือน...ความฝันวัยเด็กคือโตเป็นเซเลอร์มูนปราบปีศาจ ผลคือโตมาเป็นปีศาจที่ถูกอาจารย์ปราบแทน ฮือๆๆๆ โลกแม่งไม่ยุติธรรม
“อาจารย์ครับ...ผม...ผมไม่ไหวจริงๆ เหรอครับ”
“เธออยากดันทุรังแล้วได้ดี...อาจารย์หมายถึงเกรดดีนะ ไม่ใช่ได้ดีแบบนั้น อย่าเล่นมุกกับอาจารย์...เอาว่าเธออยากกินด็อกหรือยอมตัดใจเรียนใหม่เพื่อเอาสักบีหรือบีบวกล่ะ” อาจารย์ที่มองดาคะแนนของผมอีกรอบตอบด้วยเสียงหนักแน่น “อาจารย์แนะนำให้เธอไปติดต่ออาจารย์โอ๋แต่เนิ่นๆ เถอะ เดี๋ยวจะหมดช่วงถอนรายวิชานะ”
อาจารย์โอ๋คืออาจารย์สุดโหดเจ้าของวิชาที่คะแนนผมดูไม่ได้นั่นแหละ สุดท้าย พอบากหน้าไปหาอาจารย์โอ๋ สิ่งแรกที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะคิกคัก “มาภา คราวหน้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเขียนกลอนให้อาจารย์ก็ได้นะ”
อาจารย์ครับ! โปรดอย่ารื้อฟื้นความหลัง
บังเอิญว่าตอนสอบวิชานี้ผมนั่งมองกระดาษคำตอบขาวๆ สลับกับแผ่นหลังขาวๆ ของเพื่อนสนิทที่นั่งข้างหน้าซึ่งเขียนอะไรยิกๆ ไม่หยุด ไม่รู้มันเอาจากไหนมาเขียน สุดท้ายผมก็เลยหลับตา พยายามส่งกระแสจิตไปหาไอ้ธีเพื่อนเลิฟเผื่อมันจะตอบอะไรกลับมา... แต่ไม่ได้ผล
ผมจึงตัดสินใจร่ายกลอนลงที่จำได้ลงไปในกระดาษข้อสอบ
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง
อาจารย์โอ๋ส่ายหัว “ช่วยอย่าทำหน้าแบบนั้นใส่อาจารย์ได้ไหม เธอทำให้อาจารย์รู้สึกเหมือนกำลังย่ำยีสัตว์เล็กอยู่นะ”
ผมยกมือลูบแก้มตัวเอง ทำไมกัน ทำไมทุกคนถึงชอบพูดแบบนี้ นี่ผมก็หน้าตาปกติ แค่คิ้วตกตาตกไปหน่อยเดียวเอง
“แล้วนี่เขียนกลอนคนอื่นมาก็ไม่ให้เครดิต มันผิดหลักของอะคาเดมิค...” พอเห็นหน้างงๆ ของผม อาจารย์ก็กรุณาแปลไทยให้ “...วิชาการน่ะ ในระดับอุดมศึกษา การบอกที่มาของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญนะ อย่างน้อยเธอก็ควรเขียนชื่อผู้ประพันธ์มาสักหน่อยนะ นี่รู้ใช่ไหมเนี่ยว่าเขียนของใครมา”
ผมกะพริบตาปริบๆ “เอ่อ...สุนทรภู่?”
“ศรีปราชญ์!” อาจารย์โอ๋ส่ายหัวใส่ผมพลางหัวเราะไปด้วย
“แล้วถ้าให้เครดิตแล้วอาจารย์จะให้คะแนนผมเพิ่มไหมครับ” ผมพยายามใช้สายตาของสัตว์เล็กที่ถูกย่ำยีส่งไปหาอาจารย์ แต่ถูกอาจารย์เคาะเบาๆ ด้วยสันแฟ้ม
“จะไปได้ได้ยังไงกันเล่า!”
...ชิ
“อีกอย่าง... กลอนของศรีปราชญ์บทนี้ของเธอเนี่ย มันทำให้ดูเหมือนข้อสอบของอาจารย์เชือดเธอโดยที่เธอไม่มีความผิด แล้วเธอขอให้สวรรค์ลงโทษอาจารย์อะไรทำนองนี้นะ” อาจารย์โอ๋ส่ายหัวขณะเซ็นใบถอนรายวิชาให้ผม
“...ก็ผมจำได้บทนี้บทเดียวนี่ครับ’จารย์ ตอนประถมครูให้ท่องบทฤๅษีขี่เต่าขี่รุ้งอะไรนี่ผมก็จำไม่ได้เลยสักนิดเดียว ฮือออ”
อาจารย์โอ๋หัวเราะใส่ผม “เอ้านี่ เอาไปยื่นให้ฝ่ายการศึกษาได้แล้ว เจอกันซัมเมอร์”
ตอนที่ผมผู้ทำท่าคอตกกำลังจะยกมือไหว้อาจารย์โอ๋นั้นเอง จู่ๆ ก็มีสาวสวยคนหนึ่งเดินสวนมา ผมใช้เวลาครู่หนึ่งถึงนึกออกว่านั่นคือกุสุมาลย์หรือกิ่ง...สาวสวยเจ้าของอกคัพดี ดาวคณะรุ่นผม พออาจารย์โอ๋หันไปเห็นสาวงามคนดังกล่าวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบขณะดึงเอากระดาษคำตอบอีกชุดหนึ่งมาพลิกดู “นี่ก็อีกคน...กุสุมาลย์ นี่เธอเอาสมองและเวลาที่จำ ‘บัญญัติความแมส’ จนครบทุกข้อไปอ่านหนังสือดีไหม โน่น ไปถามนายมาภาเพื่อนเธอโน่นว่าเอาใบดร็อปได้ที่ไหน”
เหอ บัญญัติอะไรนะ
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ผมชะโงกหน้าไปดูตัวอักษรที่อัดแน่นบนหน้ากระดาษ นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่คำตอบ ผมแทบจะลงไปคารวะว่าเขียนได้ยาวขนาดนี้ได้ยังไงกัน
สุดท้ายทั้งผมและกุสุมาลย์ต่างก็ล่าถอยออกมา แม่สาวงามประจำรุ่นถามผมถึงใบดร็อป ผมก็เลยพาเธอไปเอา ระหว่างนั้นด้วยความที่เกิดบรรยากาศเดดแอร์เล็กน้อย ผมก็เลยเริ่มชวนคุย “ไอ้ บัญญัติ...อะไรนั่น มาจากไหนเหรอ”
ซึ่ง...ขอโน้ตไว้ตรงนี้เล็กน้อย นี่นับเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ในการ์ตูนนับว่าเป็นการปักเดธแฟล็กใส่ตัวเองชัดๆ (Note: เดธแฟล็ก (ธงตาย) เป็นการล้อเลียนถึงการกระทำของตัวละครที่แสดงออกชวนให้ผู้ชมคิดว่าต้องตายแน่ๆ เช่นสั่งเสียยืดยาวก่อนออกเดินทาง)
“ไม่เคยดูละครเรื่อง ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ เหรอ” แม่สาวข้างตัวผมเบิกตาด้วยความประหลาดใจ
“เอ๋ ไม่อะ” ...แต่ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นในทวิตเตอร์อยู่
จู่ๆ ดวงตาของคนข้างตัวของผมก็วาวโรจน์ จากนั้นก็หยิบเอาตั๊มไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋า “สนใจมั้ย”
ตอนนั้นไม่รู้ผีห่าซาตานยมบาลท่านใดแม่งดลใจให้ผมพยักหน้า เดธแฟล็กสำแดงเดช หลุมบนพื้นเปิดออก ธรณีสูบผมลงไป จากนั้นก็กลบทับจนมิด แต่ก็ยังอุตส่าห์มีเมตตา ปักหลอดไว้ให้ผมได้หายใจอยู่หน่อย...เปรียบเทียบซะโอเวอร์ ความจริงก็คือผมอดหลับอดนอนดูไอ้ ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ จนตาแทบหลุดออกมา
เนื้อเรื่องของซีซันแรกมีอยู่ว่านางเอกของเรื่อง พบเข้ากับคำสาป ‘คู่รักแสนวิเศษ’ ซึ่งทุกครั้งที่นางเอกมีคนมาจีบ จะปรากฏตารางมรณะขนาดเก้าคูณเก้าช่อง แต่ละช่องจะมีเงื่อนไขแต่ละอย่างที่นำไปสู่การเป็น ‘ผู้ชายสุดเพอร์เฟ็กต์’ ซึ่งถ้าผู้ชายคนนั้นไม่สามารถทำให้ตารางเกิดบิงโกได้ ก็จะตายภายในหนึ่งเดือน
ด้วยความที่เนื้อหาในตารางมรณะนั้นค่อนข้างจะตรงกับพระเอกพิมพ์นิยมในหนังสือนิยาย เช่นหล่อมาก รวยมาก จำพวกนั้นพวกแฟนๆ เลยเรียกกันเป็น ‘บัญญัติแมส’
...และนี่ก็คือการคบ เอ๊ย พบกันครั้งแรกของผมกับนางสาวกุสุมาลย์ พนธารา ที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าที่แท้แล้วมันเป็นเพื่อนของเพื่อนสนิทผม และยังเป็นพี่สาวของลูกน้อง แค่ก รุ่นน้องผมสมัยมัธยม
ถามว่าเรื่องทั้งหมดของผมเกี่ยวกับมันไหม ไม่เลยสักนิดเดียว นี่เป็นนิยายบีแอลนะ ไม่ใช่นิยายบีจี ถึงอยากจะเป็นบีจี แต่ผมก็สู้พลังพระเอกของแฟนไอ้กิ่งมันไม่ไหวหรอก ฮือออ (Note: BL = Boy’s Love นิยายชายรักชายหรือนิยายวาย BG = BoyxGirl นิยายชายหญิง)
CUT! CUT! CUT!
พี่เอื้อเคาะที่ตีเปรตรัวๆ พร้อมกับเสียงน้องเอกที่ขัดขึ้นมา
-เดี๋ยวๆๆๆ นะครับพี่เดือน ผมขอเบรกหน่อย นี่พี่เล่าไปถึงไหนแล้วครับเนี่ย-
“เดี๋ยวสิ จะเล่าเรื่องมันก็ต้องค่อยๆ ปูพื้นก่อน” ผมที่กำลังเล่าติดลมมองทั้งคู่ตาขวาง
“น้องเดือนครับ นี่ใจคอจะแนะนำเพื่อนร่วมรุ่นทีละคนเลยหรือไง”
“ไม่! ประเด็นของตอนนี้คือเรื่องที่ผมต้องเรียนซัมเมอร์ต่างหาก” ...ทำไมพี่ถึงไม่เข้าใจ
ว่าแล้วผมก็มองน้องคนสัมภาษณ์สลับกับคนข้างตัว ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ ใช่ซี่ (เสียงสูง) ไอ้สองคนนี้มันเด็กเรียนดีตัวท็อปของรุ่นนี่หว่า จะมาเข้าใจอะไรในความเจ็บช้ำของคนเรียนซัมเมอร์วะ นี่เคยต้องหอบใบถอนไปคุยกับอาจารย์บ้างหรือเปล่า ไม่เคยล่ะสิ
“งั้นก็เล่าไปสิว่าหลังสอบเสร็จวันสุดท้ายก็ต้องเรียนซัมเมอร์ต่อ”
“เอ้า ก็ตามที่ชมรมเราเคยวิเคราะห์กัน นิยายแมสๆ มันก็เหมือนไดอารี่ป่ะ เล่าเยอะๆ เป็นคุ้งเป็นแควไปเรื่อยๆ ตกลงพี่จะแมสหรือไม่แมส ต้องการอะไรกันแน่วะ”
“น้องเดือนครับ พี่มีงานมีการทำ มีเด็กต้องเลี้ยงดู...น้องนั่นแหละ อย่ามองพี่แบบนั้น” ...พี่เอื้อรีบหักเลี้ยว “ขอแบบเข้าประเด็น ไม่งั้นถ้าน้องเดือนจะเล่าขนาดนี้ น้องไม่เล่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีเลยล่ะครับ...ไปครับ กลับไปใหม่”
“ผมขอกลับบ้านแทนได้ไหม” ทำไมชีวิตมันต้องลำบากถึงเพียงนี้ ชาตินี้จะจบตอนที่หนึ่งไหม นี่ต้องเล่าติดลูปไปอีกนานแค่ไหน หรือจะเอาแบบตอนที่ ๑ ตอนที่ 1 ตอนที่ 一 ตอนที่ ก. ตอนที่ a...จนหมดเล่มแล้วไม่พ้นตอนแรกสักที
“แถมปลาคังลวกจิ้มให้ด้วยเอ้า”
“...หมึกไข่นึ่งมะนาวด้วย”
“ได้ ดีล”
ครับ...
1 (อีกที)
ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัต...ว้ากกกกกกกก
“พี่เอาที่ตีเปรตที่ผมทำไม!”
“กวนตีน! ไกลไปโว้ยยยย”
“เอ้า ก็บอกให้เล่าตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี ผมเลยว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาตั้งแต่พระเจ้าพรหมทัตเลยแล้วกัน”
“เฮ้ย กรุงศรีอยุธยานี่อย่างน้อยก็พุทธศักราชสองพันกว่า ไอ้กรุงพาราณสีอะไรนี่มันก่อนพุทธกาลไหมวะ ไกลไปแล้ว กลับมา ไม่งั้นปลาคังไม่ต้องกิน ช้อนปลาหางนกยูงหน้าบริษัทไปก่อน”
“เนื้อมันน้อย...”
แว่วเสียงน้องเอกพึมพำ...วันนี้จะได้เข้าเรื่องไหมวะกู
ผมทำตาละห้อยใส่พี่เอื้อ “คราวนี้ห้ามขัดนะ”
“...ไม่รับประกัน เล่ามาก่อน”
“ได้ เล่าปี่”
“เล่าปี่ เหล้าเก่า งั้นจงเล่าใหม่”
“...” ไอ้นี่นับเป็นมุกไหม ยังไง ตบไม่ถูกเลย เอ้า เอาเป็นว่าเล่าเรื่องต่อก็แล้วกัน ต่อไปของจริงแล้วครับ ขอเอาชื่อเจ้าคุณปู่ของพี่เอื้อเป็นเดิมพัน!
••TBC
นี่ลงให้แบบยาวๆ ชุดเดียว เกรงใจ คือคนอ่านในเดะดีนี่เจอติดลูปกันระงม
ตอนหน้าของจริงแล้วค่ะ 5555555+
เอาจริงๆ เราไม่เคยเรียนซัมเมอร์ แต่ช่วงซัมเมอร์ปีแรกเพื่อนที่ถอนไปก็หิ้วไปติวให้อะนะ คืออาจารย์เราก็แนะนำมาแบบนี้แหละว่าแทนที่จะอยู่เอา D มิสู้ถอนเรียนใหม่แล้วเอา A/B+ ดีกว่างี้อ้ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ คือนี่มือใหม่หัดขับมากจริงๆ รู้สึกแปลกถิ่น 5555+ :mew1:
1 (อีกที - ของจริง)
อ่ะ เริ่มบทที่หนึ่งใหม่ก็ได้
กลับมาที่วันสอบวันสุดท้ายอีกครั้ง
สรุปคือปิดเทอมนี้ผมต้องมามหาวิทยาลัยเพื่อนเรียนซ่อมวิชาที่ผมถอนไป เลยนั่งซบโต๊ะอ่านหนังสือแบบหมดอาลัยตายอยาก ข้างๆ ผมเป็นไอ้กิ่งดาวคณะ...ครับ ไอ้ที่มันส่งหนังเถื่อนให้ผมเมื่อกี้นั่นแหละ ส่วนตรงข้ามกันคือนายภาธีเพื่อนยาก…ไอ้คนที่ผมเห็นหลังขาวๆ ของมันตอนจ้องกระดาษคำตอบขาวๆ ของตัวเองที่พูดถึงเมื่อกี้เช่นกัน
“เห็นตารางซัมเมอร์ยัง” ไอ้กิ่งถามด้วยเสียงยานคาง
“ยัง ไหน”
ไอ้กิ่งคลำๆ ข้างในกระเป๋าถือ ก่อนดึงเอากระดาษแถวหนึ่งส่งให้ผม “แจกหน้าตู้การศึกษาเมื่อเช้า”
เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ไอ้ที่เรียกตู้การศึกษาจริงๆ คือส่วนที่ต่อเพิ่มเป็นห้องเล็กๆ ติดกระจกหน้าต่างให้ไถไปไถมา ข้างในมีพี่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาที่เอาไว้ติดต่อทุกสิ่งตั้งแต่ลาบวชยันลาออก
ผมกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว วิชาที่ผมลงซัมเมอร์ในอาทิตย์หนึ่งมีเรียนสองวัน วันหนึ่งเป็นช่วงเช้า อีกวันหนึ่งเป็นช่วงบ่าย ผมเห็นแล้วอดโอดครวญไม่ได้ “โฮกกก เรียนเช้าด้วยเหรอ”
“ใช่ไหม ปิดเทอมใครมันอยากจะตื่นเช้ากัน”
เห็นแล้วผมกับไอ้กิ่งก็กรีดร้องโหยหวนพร้อมกัน “ฮือออ ทำไมตูข้าต้องเรียนซัมเมอร์ด้วยเนี่ยยย รู้งี้ไม่น่าถอนเลย”
“ไม่ถอนพวกแกก็ตก...ต้องเรียนอยู่ดี” ภาธีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ทำให้ผมกับไอ้กิ่งพร้อมใจกันกุมอกแล้วกระอักเลือด (ในจินตนาการ) ออกมา
“แล้วนี่วิชาอื่นเป็นยังไงบ้าง”
“...” ผมกะพริบตา ก่อนจะโปรยยิ้มน้อยๆ แบบที่สมัยเด็กๆ ป้าข้างบ้านผมชอบชมว่าเหมือนรอยยิ้มตัวสล็อธ
“...” คุณได้รับ ‘สายตาหยามหยัน’ จากสหายภาธี 1 ea
“ไม่ใช่ความผิดฉันสักหน่อย ข้อสอบมันยากไปต่างหากล่ะ” ...ธรณีนี่นี้เป็นพยานเลยเอ้า!
“...” ...ภาธียังคงมองด้วยสายตาหยามหยัน
“ยากไม่ยากอย่างน้อยฉันก็จำความรู้สึกอันว่างเปล่าประดุจกระดาษคำตอบได้ผ่านการใช้ผงซักฟอกขัดจนขาว... ขาวสนิท ไม่มีรอยดินสอปากกาเลยแม้แต่นิดเดียวได้”
ไอ้กิ่งพร่ำพรรณนาพร้อมยกมือทำท่ากุมอก (คัพดี) ของมัน
ผมเลียนแบบมัน ทำท่ากุมอก (คัพเอ...เอ๊ย ไม่ใช่ แค่กๆๆ) แล้วต่อบท “ใช่ ขาว...ขาวจนอันที่จริงเขียนชื่อลงไปบนกระดาษคำตอบหรือเปล่าก็ชักจะจำไม่ได้แล้ว ตายหอง ไม่ใช่ว่ากระทั่งชื่อก็ลืมเขียนหรอกนะ โฮกกกก”
“เดี๋ยวก่อน...วิชาที่เปิดซัมเมอร์มีแต่วิชาในเทอมหนึ่งนี่หว่า” ไอ้กิ่งที่ก้มดูใบตารางสอนทำท่าเหมือนเพิ่งรู้แจ้ง
“ถูกต้อง คะแนนเทอมสองยังไม่ออก ถ้าตกก็เตรียมไปเรียนใหม่กับรุ่นน้องปีหน้าได้เลย” ภาธีเอ่ยเนิบๆ “ไปดีมาดีนะ”
พวกผมสองคนเลยประสานเสียงกรีดร้องโหยหวนหนักกว่าเดิม “...หยุดตอกย้ำได้แล้วววว”
“เอาว่า...เรียนซัมเมอร์ให้สนุกล่ะ จะปิดเทอมเผื่อ” ภาธีเอ่ยด้วยเสียงเย็นๆ คณะผมไม่เหมือนกับคณะอื่นที่มีพวกวิชาเลือกให้ลงระหว่างปิดเทอมเพื่อเร่งให้จบสามปีครึ่งได้แบบบางคณะ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องเรียนซัมเมอร์จึงวางแผนท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน
พอมองออกไปเห็นคนเหล่านั้นแล้วก็ยิ่งห่อเหี่ยวกว่าเดิม ฝ่ายไอ้กิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ผงกหัวขึ้น สายตากวาดไปมาแบบล่อกแล่กประหนึ่งจะส่งของโจร พอได้จังหวะที่ภาธีหันไปคุยกับเพื่อนที่เดินผ่านมา มันก็รีบเอาตั๊มบ์ไดรฟ์มรณะบรรจุซีรีส์ใหม่ยัดใส่ฝ่ามือผม เราสองคนสบตากัน แม้ไม่ได้ออกเสียง แต่สายตาของเราทั้งคู่ต่างสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน
ผม: นี่เราเรียนซัมเมอร์กันเพราะเอาแต่ดูละครแบบมาราธอนไม่ยอมอ่านหนังสือ ยังไม่เข็ดอีกเหรอวะ
ไอ้กิ่ง: คนเรามันต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง เรื่องนี้ต้องดู พระเอกเว้ย...พี่ฮาเดสเด็ดมาก! อย่างล่ำอ่ะมึงขา! ผัวค่ะ! บอกเลย คนนี้คือผัว!
ผม: ได้! ดู! ช่างหัวเรียนซัมเมอร์
ไอ้กิ่ง: นี่สิวะเพื่อนกันไม่ทิ้งกัน!
ภาธี: ไอ้พวกกระทั่งนอนในโลงศพก็ยังไม่หลั่งน้ำตาเอ๊ย
“ว้ากกกกกกกกก” ผมกับไอ้กิ่งผงะไปด้านหลังเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นสายตาของไอ้ภาธี ฮือออออ ขนาดใช้สายตาคุยกัน ไอ้หมอนี่ยังดักกลางทางได้ ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย
จริงๆ แล้วผมก็คิดอยู่หน่อยๆ ว่ามันไม่ใช่คน แม่ง ทำได้เกือบเต็มทุกวิชา นี่ที่ชาร์จแบตเสียบตรงไหนวะถามจริง
อันที่จริงทุกวันนี้ผมยังงงๆ อยู่เลยว่าผมกับภาธีมาเป็นเพื่อนกันได้ยังไง คือแรกเริ่มเดิมทีมันเริ่มมาจากการที่ผมมีปัญหากับเพื่อนในกลุ่มเก่าก็เลยต้องหาคนทำโปรเจ็กต์ด้วย แล้วก็ทำอีท่าไหนไม่รู้ มาจับคู่กับเจ้าพ่อภาธีที่คนอื่นไม่กล้าคู่ด้วย ตอนแรกผมก็งงๆ ว่าทำไมถึงไม่มีใครยอมคู่กับภาธีที่เรียนเก่งขนาดนี้ จนกระทั่งทำงานด้วยกันถึงได้รู้ว่าพอทำงานคู่กับภาธีแล้วจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝุ่นผง เป็นเห็บรา เป็นแค่กาฝากของมัน ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่สบายใจ แต่ด้วยนิสัยผมก็เลยโพล่งออกไปตรงๆ ผลคือภาธีมองหน้า เลิกคิ้ว แล้วก็ด่ากลับ
“บ้าเหรอ ถ้าไม่พอใจหรืออยากให้ช่วยก็จะบอกเองนั่นแหละ คิดเองเออเองกลุ้มเองทำไม นายก็ช่วยตั้งหลายอย่าง ถึงจะเขียนโค้ดไม่ได้เรื่อง เขียนรายงานไม่เอาไหนก็เถอะ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ คนเราใช่ว่าเก่งไปซะทุกอย่าง”
ภาธีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมฟังแล้วซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง...แม้จะรู้สึกว่ามันมีแอบด่าเบาๆ ก็ตาม แต่ก็เอาเป็นว่าหลังจากนั้นมิตรภาพของเราสองก็ผลิบานมาจนถึงทุกวันนี้...
CUT...
คราวนี้ไม่มีเสียงตีสเลต แต่มีเสียงร้องแผ่วเบาของน้องเอกที่เบาหวิวยิงกว่าเสียงยุงงุ้งงิ้งข้างหู
-พะ พี่เดือนครับ-
“อะไรอีกวะน้อง” ผมนิ่วหน้า กำลังเล่าเพลินๆ ขัดกันอีกแล้ว คราวนี้อะไรอีกวะ
ครั้นเงยหน้ามองน้องเอก ก็เห็นอีกฝ่ายพยายามขยิบตาให้อย่างสุดกำลังจนนึกว่าเป็นโรคอะไรบางอย่าง หลังเห็นสีหน้างงงวยของผม น้องเอ่ยก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
-พะ...พี่เดือน...หันไปมองคนข้างๆ หน่อยก็ดีนะครับ-
“หา...อะ...ไร...” ผมนิ่วหน้าก่อนจะหันกลับไปมองแบบที่ไอ้น้องเอกบอก พอหันกลับไปก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของคนข้างตัว “พะ พี่เอื้อ...”
“น้องเดือนครับ”
“คะ...ครับ”
“ตกลงพระเอกเรื่องนี้ชื่ออะไรนะครับ”
ผมที่รู้สึกได้ถึงความเย็นแล่นไปตามไขสันหลังกลืนน้ำลายดังเอื้อก “อะ...เอื้อการย์ครับ”
“ถูกต้องครับ แล้วน้องเดือนของพี่เอื้อการย์จะเล่าถึงเพื่อนชื่อภาธีอีกนานไหมครับ”
“อีกแป๊บเดียวครับ เดือนสัญญา” ผมทำท่ากระพือขนตาแล้วส่งยิ้มแบบตัวสล็อธออกไปอย่างเต็มที่
“...อืม”
ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องตอนนี้น่าจะลดลงถึงติดลบแล้ว หนาวเยือกเป็นอย่างยิ่ง “น้องเอก ลดแอร์ให้พี่หน่อยได้ไหม”
-ดะ ได้ครับพี่-
“ขอบคุณมากครับน้อง” ผมหยิบน้ำที่วางไว้มาดื่มอั๊กๆ ก่อนจะเลียริมฝีปาก
อะแฮ่ม...คือว่า...
TAKE A BREAK (1)
“โฮๆๆๆ จบตอนที่หนึ่งสักที เล่าตั้งไม่รู้กี่รอบ” ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มอั้กๆ ด้วยความเหนื่อย
-เกือบได้อีกรอบแล้วนะครับ-
“พอแล้วครับน้อง เลิกย่ำพี่ได้แล้ว”
“หึ”
...นี่ก็พอแล้ว เลิกมองด้วยสายตาทิ่มแทงได้แล้ว
“พอมาเล่าย้อนแบบนี้แล้ว รู้สึกว่ามันพิลึกๆ ชอบกล นี่เรียกว่าแมสมั้ยวะพี่ แบบว่า ‘พบกับพระเอกภายใต้สถานการณ์ไม่คาดฝัน’ อะไรแบบนี้”
“...ได้มั้ง”
-เอ้อ เดี๋ยวนะครับ ที่ล้อๆ กันเป็นกบคือตุ๊กตากบ?-
“ใช่...แต่เออว่ะ ถ้าพี่โดนสาปเป็นกบจริงจะเป็นยังไงวะเนี่ย”
“คงน่าเกลียดพิลึก...อาจจะโดนนายทับไส้ไหลตายไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วก็ได้”
“โหย ถ้าพี่เป็นกบจริงผมก็ไม่ขึ้นเตียงด้วยแล้ว บ้าเรอะ”
“ก่อนนั้นอีก จำไม่ได้เหรอ เพิ่งพูดไปเมื่อกี้ เจอกันครั้งแรกนายเหยียบฉันนะ”
“เอ๋ เออ จริงด้วย แต่เป็นกบจริงน่าจะได้ยินเสียงแพร่ดแล้วผมก็เดินจากไปตามปกติก็ได้นะ”
น้องเอกที่เห็นพวกผมเริ่มพาออกทะเลอีกรอบรีบตรงเข้ามาสกัด สีหน้าท่าทางบอกชัดว่าอยากเล่าอะไรก็แล้วแต่พวกพี่มึงเลย แค่ช่วยเล่าต่อทีเถอะ
-แล้วกลายเป็นตุ๊กตากบได้ยังไงครับ-
“เรื่องนั้น...โปรดติดตามชมตอนต่อไปไปไป...” ผมทำเสียงเอคโค่
••ตอนที่สองจะเล่าอีกกี่รอบน้อ••
ไอ้น้องรหัสผมที่นั่งเงียบอยู่นานท่าจะเหงาปากเอ่ยแทรกขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหงายหลังไปเพราะเจอผมขว้างที่ตีเปรตใส่ พอตั้งหลักได้ก็ลุกขึ้นมาโวยวายใส่ผม ส่วนน้องเอกผู้เริ่มบรรลุในธรรมทำเป็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกา มุ่งหน้ารันการสัมภาษณ์ครั้งนี้ต่อไป
-ตกลงเป็นตอนที่สองนะครับ-
คำถามนี้ทำเอาผมหันไปมองพี่เอื้อด้วยท่าทางหวาดระแวง ไม่ใช่ว่าจะให้เล่าใหม่อีกหรอกนะ
ฝ่ายพี่เอื้อที่กอดอกอยู่ก็ปรายตามองผมเล็กน้อยด้วยท่าทางแบบเจ้าพ่อหนังมาเฟีย...ก่อนจะพยักหน้ารับ ผมเลยลุกขึ้นชูสองมือร้องไชโย! ไชโย! ไชโย! หลุดพ้นจากตอนที่หนึ่งแล้วโว้ย
••TBC
STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ
จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกหรือนายเอกคนใดคนหนึ่งจะเริ่มชอบอีกฝ่าย แต่ยังไม่อยากยอมรับ
คอมเม้นต์นายเอก: ...เรามีสเตจนี้จริงๆ เหรอวะ
7
เล่าถึงไหนแล้วนะ เอ่อ ขอทบทวนก่อน อ้อ พี่เอื้อบังคับปล้ำจูบจากผมจนคืนร่างเป็นคน ทำกับข้าวให้ผมกินตอบแทนคุณหนึ่งมื้อแต่ทิ้งให้ผมล้างจานเอง แถมรสชาติก็ธรรมดาไม่ว้าว...แต่ผมชอบครับ อยากกินทุกวันเลย อย่าหยุดทำเลยนะครับ แค่กๆๆ
เอาใหม่ หลังจากพี่เอื้อทำกับข้าวแทนคุณแล้วก็จากไป ที่สลายคือใจเดือน...ถุย!
สุดท้ายแล้วผมกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ...เสียที่ไหน หลังพี่เอื้อจากไป ผมก็ไข้ขึ้นอยู่วัน...เกือบสองวันได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้เวลาเรียนซัมเมอร์แล้ว คราวนี้จู่ๆ ไข้ก็หาย อดหาเรื่องอู้เสียอย่างนั้น
จึงกลับเข้าวงเวียน เอ๊ย วงจรชีวิตนักศึกษา ที่ปกติแล้วจะเริ่มจากตื่นมาตอนสายๆ ด้วยอาการงัวเงียเพราะนอนดึก ถ้าวันไหนมีเรียนก็จะตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาวิ่งผ่านน้ำพอเป็นพิธีและวิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถเมล์หน้าปากซอย ระหว่างนั้นจะโดนแดดเผาจนสุกปานกลาง เข้าคณะปุ๊บก็ร่อนลงจอดบนม้านั่งที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงที่นั่งล้อมวงและหยิบชีตขึ้นมา จากนั้นก็พูดประโยคคลาสสิก ‘เอาของมึงมาลอกหน่อยเด๊ะ’ เป็นอันเสร็จกิจวัตรประจำวันครึ่งแรกอย่างสมบูรณ์
อะไร ไม่อยากฟัง ก็ได้ เข้าเรื่อง หลังจากสูญเสียพี่เอื้อไปจากชีวิตเพราะถูกฟันแล้วทิ้ง ผมก็เริ่มต้นการเรียนซัมเมอร์ วันหนึ่งเรียนเช้า วันหนึ่งเรียนบ่าย พวกรุ่นพี่บอกว่าส่วนมากอาจารย์โอ๋ชอบให้ส่งการบ้านในคาบเช้า และมีการบ้านแทบทุกอาทิตย์ ให้เตรียมใจไว้
แต่ปีนี้อาจารย์โอ๋มาแนวใหม่ ยังไม่ทันเริ่มเรียน อาจารย์แกก็ให้การบ้านมาล่วงหน้า...บอกให้คิดเสียว่าเป็นข้อสอบก่อนเรียน ดังนั้นพอผมเข้าไปในคณะ สิ่งแรกที่ทำจึงเป็นการยิงประโยคสุดคลาสสิกใส่เพื่อนที่กำลังนั่งล้อมวงลอกการบ้านกันอย่างเอาเป็นเอาตายในทันที
“เฮ้ย พวกมึง เห็นนั่นป่ะ หนุ่มหล่อสาวสวย” เพื่อนคนหนึ่งของผมทำเสียงกระซิบกระซาบระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านมันอย่างเอาเป็นเอาตาย... “มึงอย่าเพิ่งรบกวนได้ไหมเนี่ย ถ้าไอ้นี่ไม่เสร็จ อาจารย์โอ๋ฉีกกูเป็นชิ้นๆ แน่ๆ”
“เขาเป็นแฟนกันเหรอ โอ๊ยย พี่สาลี่แม่ง ยิ้มน่ารักอ่ะมึง” เพื่อนอีกคนทำเสียงตื่นเต้นตกใจ ผมที่ได้ยินชื่อพี่สาลี่ถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
พี่สาลี่เป็นรุ่นพี่สาวสวยประจำคณะที่บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากันน้ำลายหกติ๋งๆ ทุกครั้งที่เดินผ่าน และเป็นแฟนเก่าจำนวนหนึ่งสัปดาห์ถ้วนของไอ้ธีเพื่อนเลิฟของผม ทั้งคู่เลิกกันเพราะภาธีเหยาะซอสแม็กกี้ลงไปในไข่ดาวของตัวเองแทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศที่พี่สาลี่อยากกิน สีหน้าของไอ้ธีตอนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเปี่ยมไปด้วยความเซ็งเต็มที่
พอเงยหน้าขึ้นปุ๊บ ลูกตาผมก็แทบจะทะลักออกมา ผมเห็นใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตา
คิดว่าคงเดากันได้แล้ว... ถูกต้องนะครับ ภาธีมันไม่ได้เรียนซัมเมอร์ ไม่มีธุระอะไรกับที่คณะ ฉะนั้นหนุ่มคนดังกล่าวย่อมไม่ใช่ภาธี และที่เล่าๆ มานี่นอกจากภาธี ก็มีสิ่งมีชีวิตเพศผู้นอกจากผมอีกแค่คนเดียว แล้วมันจะเป็นใครไปได้ หือ ให้ผมเลิกออกทะเลได้แล้ว ก็ได้ คนนั้นคือพี่อะเอื้อออออออ จบ
“นั่นมันรุ่นพี่ราชาหล่อระยำนี่นา” เพื่อนที่นั่งข้างๆ ผมอุทานด้วยเสียงสองก่อนจะม้วนลิ้น “หล่อออออออว์”
“อา...คนอะไรหล่อระยำ หล่อสมควรตาย หล่อไม่บันยะบันยั้ง”
“ชาติก่อนทำบุญด้วยครีมกี่กระปุกหนอ”
“อาจจะทำบุญด้วยหมอโรงพยาบาลยัน*ปิ๊บ*ก็ได้”
“...ทำไมทำบุญด้วยหมอศัลยกรรมแล้วถึงเกิดมาหล่อวะ”
“มึงถามผิด ตรงนี้มึงควรต้องสงสัยก่อนป่ะว่าทำบุญด้วยหมอมันทำกันยังไง ยัดหมอลงบาตรไม่ได้นะเว้ย ไม่เหมือนหนีผีลงตุ่ม”
“...” ครับ คนรอบตัวผมมีแต่คนแบบนี้แหละครับ สมองดีชาติพัฒนา ได้โปรดอย่ามองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘เพราะสมองพังแบบนี้ถึงต้องมารับกรรมเรียนซัมเมอร์สุขสันต์’ สิครับ นี่มันคุยเรื่องอะไรกันอยู่ผมก็ยังไม่เข้าใจเลย แต่นิยายแมสมันก็มีกลุ่มเพื่อนที่คุยอะไรไม่รู้เรื่องแบบนี้ป่ะ
วันนี้พี่เอื้อสวมชุดนักศึกษาที่คาดว่าจะเป็นชุดราคาแพงใส่แล้วไม่คันของเขา หน้าตายังหล่อเหลาเหมือนเดิม ยิ่งบวกด้วยพี่สาลี่ที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มนั่งข้างๆ กัน ทำเอาคนเดินผ่านไปผ่านมาพากันมองตาม
ประโยคที่คนปกติที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นพูดคือ “เฮ้อ... หนุ่มหล่อสาวสวย ดูแล้วสดชื่นดีเนอะ”
ส่วนประโยคที่บรรดาเพื่อนผมพูดคือ “หนุ่มหล่อสาวสวย...มึงว่ากูฆ่าแล้วเอาหนังมาสวมดีไหม”
“...” เพื่อนกู
สุดท้ายพวกผมเสียเวลาไปกับการส่องชาวบ้านไปจังหวะหนึ่ง ทำเอาเกือบลอกการบ้านกันไม่ทัน เรียกว่าจรดปากกาลงข้อสุดท้ายตอนออดดัง วิ่งขึ้นบันไดกันแทบไม่ทัน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีตา ฟ้าจึงส่งนกต่อไปล่อซื้ออาจารย์โอ๋ เห ประโยคไม่ถูกเหรอ เอ่อ เอาว่าระหว่างเพื่อนแกล้งเอาโจทย์ไปถามอาจารย์ ผมก็เป็นหน่วยกล้าตายไถลตัวพุ่งเข้าชาร์จกองการบ้านและเสียบงานของทั้งตัวเองและต้นฉบับลงไปอย่างสวยงามท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนๆ
พออาจารย์โอ๋เดินมาเห็นกองการบ้านก็หยิบขึ้นมาดูปึกหนึ่ง หลังจากพลิกดูทีละแผ่น รอยยิ้มพิลึกๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์ “ที่จริงก็เห็นกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าอาจารย์ควรจะตรวจของพวกเธอแค่ชุดเดียวก็พอนะ ไม่สิ... แต่นี้ต่อไปอาจารย์สั่งการบ้านชุดเดียวต่อคลาสไปเลยดีไหม”
ทุกคนโปรยยิ้มเขินๆ ก่อนจะมีคนตอบ “ก็ดีนะครับ’จารย์”
“...พวกเธอ นี่ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดใช่ไหม ยังกล้าตอบว่าดีอีกเหรอออออออ”
สิ้นพระสุรเสียง... พระชนนีก็กระทืบพระบาทา ดัชนีกรีดกรายซ้ายขวาเลื่อน พระโอษฐ์เอื้อนร้องเหวยๆ อุเหม่หมาย อ้ายพวกไพร่หญ้าแพรกปัญญาสถุลยิ่งกว่าควาย ถ่อยถุนยิ่งกว่าอีถ่อยที่นอนหงายอยู่ท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์ อ้าวขอโทษที ผิดบท แบบว่าวันก่อนโดนลากไปดูลิเกเลยติดมา
หลังจากนั้นก็เข้าสู่กัณฑ์เทศน์ของ (พระ) อาจารย์โอ๋ที่ยาวเหยียดเยี่ยงเทศน์มหาชาติ ฟังจบบุญบารมีนี่แผ่ไพศาล ตายปุ๊บขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที อนุโมทนาสาธุร่วมกันนะครับท่านผู้ชม
ไอ้ตอนด่านี่ไม่ตั้งใจฟังไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในวิชา ผมก็เริ่มเอนตัวไปด้านหลังอย่างช้าๆ น่าเสียดายที่เก้าอี้ของโต๊ะเลกเชอร์มันเตี้ยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงพิงได้สบายหลังกว่านี้ เสียงของอาจารย์โอ๋เริ่มเบาลงเรื่อยๆ ตาของผมค่อยๆ... ปิด...
“กุสมาลย์!”
“ขา อาจารย์” ไอ้กิ่งเพื่อนผมดีดตัวขึ้นมาจากที่นั่งข้างๆ ทำเอาผมสะดุ้งไปกับมันด้วย...เพื่อนๆ มึงเช็ดน้ำลายก่อน ผมพยายามทำท่าบุ้ยใบ้ใส่มันก่อนจะแอบใช้แขนเสื้อเข็ดคราบน้ำลายของตัวเองบ้าง ซร้วบบบ
อาจารย์โอ๋ถามคำถามบนกระดาน ซึ่งได้รับคำตอบเป็นสายตาอันว่างเปล่าของเพื่อนสาวคนสวยของผม จริงๆ มันก็พยายามจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากผมแล้ว แต่ขอโทษด้วยนะเพื่อนเอ๋ย ถ้าตอบได้ กูจะมานั่งเรียนซ่อมกับมึงตรงนี้เหรอวะ คิดสิคิด
“เฮ้อ งั้น......มาภา”
“คะ ครับ” ผมสะดุ้งโหยงขณะมองโจทย์บนกระดานอีกครั้ง ชิบหายแล้วกู สิ่งที่เห็นนี้มันคือภาษาดาวใด ผมกวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง สุดท้ายเปลี่ยนยุทธวิธีไปเป็นพยายามส่งสายตาน่ารักของคิ้วต์บอยใส่อาจารย์ แต่ไม่เป็นผล
“มาภา...ท่านี้ใช้กับอาจารย์ไม่ได้หรอกนะ” ไม่รู้หูฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนจะได้ยินอาจารย์หัวเราะดังหึแบบเย้ยหยัน
...ฮือๆๆๆๆ ผมผิดไปแล้ววววววววว
อาจารย์ทำท่ากวักมือให้ผมนั่งลง ก่อนสุ่มเรียกผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายราย แต่ละรายล้วนสภาพเดียวกันคืออ้าปากพะงาบๆ จนผมนึกว่าที่นี่กลายเป็นบ่อปลาไปแล้ว ทุกคนพยายามจะฮุบน้ำกันใหญ่ ฝ่ายอาจารย์โอ๋เห็นแล้วก็ได้แต่กุมขมับ “นี่พวกเธออยากผ่านวิชาอาจารย์จริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”
“อยากสิครับ/คะ” ทุกคนร้องเสียงหลง ถึงหนึ่งวิชาจะมีโควตาเรียนซ้ำได้อีกหลายรอบก็เหอะ แต่นี่แค่รอบที่สองยังรู้สึกเหมือนโดนจับมานั่งทรมานขนาดนี้ ใคร้ ใครมันอยากจะเรียนอีก
อาจารย์โอ๋กวาดตาไปรอบๆ ห้อง ก่อนถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“เอาล่ะ เบรกก่อนสิบห้านาที พวกเธอไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วค่อยกลับมาเรียน”
พวกผมพากันเดินโซเซไปที่ห้องน้ำ ระหว่างทางเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเพราะอะไรก็ไม่รู้เข้าตาผม น่าจะเป็นฝุ่นจากไซด์ก่อสร้างของตึกที่เชื่อมกันด้านหลัง รู้แค่ว่าตอนนั้นผมแสบตาจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ระหว่างนั้นคว้าคนข้างหน้าได้พอดี ผมเดาจากแขนเสื้อและกล้ามแขนแน่นๆ ว่าคนที่ผมดึงอยู่น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่เดินออกมาด้วยกัน ดังนั้นจึงร้องบอก “เฮ้ย ฝุ่นเข้าตา มึงพากูไปล้างหน่อย กูลืมตาไม่ขึ้น”
อีกฝ่ายพยุงผมเข้าห้องน้ำไป มีเสียงซุบซิบดังขึ้นไล่หลัง แต่ตอนนั้นผมมัวแต่สาละวนกับการลืมตาในน้ำทั้งคืนจนเช้าเพื่อลืมเธอ~...แค่ก เอาว่าผมกำลังพยายามล้างตาด้วยท่าทางแตกตื่นเพราะตาพร่าไปหมด ตอนนั้นสมองน้อยๆ จินตนาการไปต่างๆ นานาๆ ซึ่งน่ากลัวเกินกว่าจะเผยแพร่
“อย่าขยี้สิ ตาแดงหมด นิ่งๆ เดี๋ยวดูให้” เสียงทุ้มต่ำที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดดังขึ้น อีกฝ่ายตัวสูงกว่าผมมาก ด้วยระยะสายตาของผมจึงเห็นเพียงลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง “เงยหน้า”
อีกฝ่ายสั่ง ผมค่อยๆ เงยหน้า พยายามลืมตาที่แสบร้อนอย่างยากลำบาก ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยผ่านดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน การเคลื่อนไหวของเขาเบามากเสียจนผมแทบไม่รู้สึก
“เอ้า เรียบร้อย ออกแล้ว...ล้างอีกสักที อย่าไปขยี้นะ”
ผมพึมพำขอบคุณ ก่อนลืมตาในน้ำอีกครั้ง ตอนแรกๆ ภาพยังเบลอๆ อยู่บ้าง พอกะพริบตาไปสักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สายตาก็ประสานเข้ากับใครบางคน “!”
“...เชี่ยยยย พี่อะเอื้ออออออ” สะ แสบตาเหลือเกิน สลายร่างงงง สวรรค์เอยทำไมจึงโหดร้าย จะบ้าตาย ทีจับหวยบนแผงกี่ใบๆ แม่งก็โดนแดกเรียบ นี่จับทีเดียวได้ผู้ชายเกรดพรีเมี่ยมเฉยเลย
“เอื้อเฉยๆ โว้ย ไม่ต้องอะเอื้อ” พี่เอื้อแก้ให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะบีบจมูกผม “แล้วร้องเชี่ยทำป๊ะอะไร”
“แค่ก ขอโทษที ผมลืมตัว”
หลังจากนั้นเราสองคนก็มองหน้ากัน...บังเกิดเป็นภาวะเด๊ดแอร์ นายมองฉัน ฉันมองนาย เรามองกันเป็นปลากัด สุดท้ายผมไม่รู้จะทำยังไงนอกจากส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ส่วนพี่เอื้อก็เลิกคิ้วเล็กน้อย... ฉึก!... รอยยิ้มหล่อเหลาแบบหนุ่มแบดบอยก็ปักอกผม
“...อย่าเลือดกำเดาไหลนะ ขอร้อง”
“งั้นก็พี่หยุดหล่อเดี๋ยวนี้” ผมตอบโต้ไปแบบไม่ทันคิด ก่อนจะสำนึกได้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าผมไม่ใช่ตุ๊กตากบอีกต่อไป...ตกลงทำไมจูบเดียวของผมช่วยให้คืนร่างเดิมได้ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย
“อันนั้นทำไม่ได้ มีอะไรอย่างอื่นจะสั่งเสียไหมครับน้อง”
“...กราบขอบพระคุณมากครับที่ช่วยดวงตาอันบอบบางของผมเอาไว้” ผมยกมือไหว้ท่วมหัว
เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะของพี่เอื้อดังขึ้น นี่เป็นเสียงหัวเราะที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่คราวนี้ผมสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน...หล่อระยำจริงๆ นั่นแหละ ฮือ เอฟเฟ็กต์แม่งผิดกับตอนเป็นตุ๊กตากบลิบลับ เป็นหนังโป๊คือปกกับไส้ในแม่งต่างกันโดยสิ้นเชิง อะไรนะ เปรียบเทียบไม่ถูกงั้นเหรอ แค่กๆๆ
ขณะเคลิ้มๆ ผมก็สำนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในห้องน้ำ และเพื่อนร่วมชั้นหลายคนมองมาด้วยสายตาสนอกสนใจ ผมเลยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมา ทว่าพี่เอื้อกลับก้าวตามออกมาด้วย พอเห็นสายตาหวาดระแวงของผม เขาก็หัวเราะ
“พี่ไม่ได้จะมาเข้าห้องน้ำครับ แต่พี่ถูกใครก็ไม่รู้ขอความช่วยเหลือน่ะครับ”
...ก็ขอบคุณสองรอบแล้วคุณพี่ยังต้องการอะไร เอาประกาศนียบัตรสรรเสริญคุณงามความดีด้วยเลยไหม ทว่าก่อนจะได้ขอบคุณรอบที่สามเสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม
“พี่โอบเอื้อ ทำอะไรอยู่คะ อ้าว...” เมื่อหันไปมองก็เห็นพี่สาลี่ที่มาพร้อมสายตาคมๆ ที่กวาดผ่านผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็วประดุจเครื่องบินรบกำลังล็อกเป้ายิงจนผมเกือบหลุดร้องเฮือกออกมาด้วยความอิน
พี่เอื้อส่งยิ้มที่มีฤทธิ์ทำลายสายตาของสาวๆ ที่อยู่โดยรอบในรัศมีห้าเมตรในทันที “พอดีน้องเขาถามอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”
“ผะ ผมไม่รบกวนแล้ว ขอตัวนะครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้แล้วรีบชิ่งแบบกลับไม่ค่อยจะถูกเพราะสายตาพร่ามัวจากการถูกรอยยิ้มอันเจิดจ้าของพี่อะเอื้อจู่โจมกะทันหัน พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงพี่สาลี่พูดขึ้นมา แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็นับว่าไม่เบา ผมจึงได้ยินอย่างชัดเจน
“พี่โอบเอื้อไม่รู้เหรอคะ น้องคนนั้นเขาเป็น...”
ผมถอนใจ...เอาเถอะ ร้อยทั้งร้อย ผมจะเป็นอะไรไปได้นอกจากเป็นแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ
หลังเลิกเรียน และกินข้าวกลางวันกันเรียบร้อย พวกเพื่อนก็ชวนผมออกไปหาข้าวกินและร้องคาราโอเกะที่ห้าง ด้วยความที่ผมกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำมากกว่านั่งเล่นเกมก็เลยตอบตกลง แต่เนื่องจากแต่ละคนส่วนมากอยู่หอ เลยจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกคนก็จะไปเอารถมา ผมก็เลยรออยู่ที่คณะ
ระหว่างรอไม่มีอะไรทำผมก็เลยเดินเล่นไปเรื่อย บังเอิญเดินผ่านห้องที่ถูกกั้นแยกเป็นสโมสรนักศึกษาของคณะ พอมองเข้าไปก็เห็นคนที่กำลังเท้าคางกับหน้าต่างแล้วอ่านเอกสาร อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมพอดีก็ส่งยิ้มให้ “ไง กลับบ้านเหรอ”
ผมส่ายหัวเล็กน้อย “รอเพื่อน...ครับ เดี๋ยวไปหาข้าวเย็นกินข้างนอกน่ะครับ”
พอเห็นท่าทางแบบไม่รู้จะสุภาพดีหรือไม่ดีของผม พี่เอื้อก็หัวเราะออกมา “พูดเหมือนเดิมก็ได้ เอาใหม่ กรอเทป”
“รอเพื่อนอ่ะพี่ เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นที่ห้าง”
พี่เอื้อที่มือหนึ่งถือม้วนเอกสาร อีกมือหนึ่งถือปากการ้องรับในลำคอ “ฮึ่ม ใช้ชีวิตปิดเทอมไปซะ...ไปตากแอร์ที่ห้างแทนฉันด้วย”
“พี่ไม่เปิดแอร์เหรอ” ถึงต้องมานั่งเท้าหน้าต่างรับลมแบบนี้
ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วให้กับคำถามของผม ก่อนตอบยิ้มๆ “นั่งคนเดียวเปิดแอร์เปลืองตาย”
“แล้วคนอื่นล่ะ”
“อ้อ ปีสามส่วนมากฝึกงานกันน่ะ คณะเราไม่ได้บังคับก็จริง แต่ส่วนมากก็เลือกไปฝึกงานกัน” พี่เอื้อตอบ ก่อนอธิบายเสริม “เพราะงั้นตอนนี้เลยเหลือแต่ปีหนึ่งปีสอง ซึ่งก็มีประชุมฝ่ายต่างหาก นี่พี่แค่เข้ามาจัดการเคลียร์เอกสารเทอมก่อน แล้วเดี๋ยวจะต้องเตรียมเอกสารของเทอมหน้าด้วย”
“แล้วพี่ไม่ฝึกงานกับเขาเหรอ” ผมขยับตัวขยุกขยิก เลยถูกเรียกให้นั่ง สุดท้ายเลยกลายเป็นผมนั่งบนขอบหน้าต่าง ก้มลงมองพี่เอื้อที่เท้าแขนอยู่ข้างๆ เขามีการเอื้อมมือมาดันหลังผมเบาๆ
“นั่งดีๆ ระวังตก”
“หล่นไปพี่ก็รับผมหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวหัวกระแทกแล้วจะสมองเสื่อมไปกว่านี้”
พี่เอื้อหัวเราะก๊าก “นับว่ารู้ตัว...เมื่อกี้ถามเรื่องฝึกงานใช่ไหม พี่ไม่ได้ฝึกเพราะฝึกไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วน่ะ ปีนี้ว่าจะลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง ไหนๆ ก็เป็นปิดเทอมครั้งสุดท้ายแล้ว ปีหน้าเรียนจบเริ่มทำงาน คงไม่มีโอกาสได้ว่างแบบนี้อีก”
“อ้อ” ผมตอบรับ หลังจากนั้นพวกผมก็คุยหัวข้อจิปาถะเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาและผมไม่เคยแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ มาวันนี้กลับพูดคุยเล่นหัวยิงมุกกวนตีนใส่กันหน้าตาเฉย ความสัมพันธ์มนุษย์ช่างแปลกประหลาดดีแท้หนอ
ผมคุยกับพี่เอื้อจนกระทั่งเพื่อนส่งข้อความมาตามว่าให้ยืนรอหน้าคณะ จึงกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง “งั้นผมไปก่อนนะ”
“โชคดี” พี่เอื้อยิ้มน้อยๆ ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวผมเหมือนเมื่อวานนี้
ผมอดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ก่อนจะโบกมือลา “บาย” ...และนึกถึงมารยาทขึ้นมาได้เลยยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
พี่เอื้อยกมือขึ้นรับไหว้อย่างรวดเร็ว ก่อนโบกมือให้ “บาย...คงไม่ได้พบกันอีกเร็วๆ นี้แหละนะ”
อนิจจา...พี่เอื้อหารู้ไม่ว่าช่วงเวลาที่ผมและเขาจะพบกันอีกนั้น ‘เร็ว’ อย่างยิ่ง...ยิ่งกว่ากามนิตหนุ่มเสียอีก
ผมแยกกับเพื่อนในตอนค่ำ พอกลับมาถึงก็พบว่าในบ้านมีเสียงหัวเราะของเด็ก ตอนแรกตกใจไปวูบหนึงนึกว่าผีเจ้าที่หรือกุมารทอง ก่อนสำเหนียกได้ว่าตอนนี้ปิดทอม คิดว่าอาน้อยคงเอาแตงโมมาฝากเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่รู้ทำไมทิ้งเอามาทิ้งไว้ดึกป่านนี้ พอเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ต้อนรับผมคือพื้นที่เต็มไปด้วยเศษอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายนุ่น และชิ้นส่วนตัวต่อ รวมถึงโมเดลสัตว์ประหลาดระเกะระกะไปหมด
จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงของเด็กผู้ชาย ทีแรกสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่านั่นคือน้องชะ...แฟนหนุ่มของน้องสาววัยอนุบาลของผม
“น้องชะ ยัยแตงโม นั่นทำอะไรอยู่น่ะ” ผมตะโกนถามน้องสาวคนเล็กที่น่าจะเป็นตัวการ ขณะเดินหลบหลีกหนามแหลมๆ ของเจ้าสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนไดโนเสาร์
“พวกเรากำลังปกป้องโลกจากกบวายร้ายครับ” แฟนหนุ่มของน้องสาวคนเล็กของผมตอบด้วยเสียงรื่นเริงขณะเหวี่ยงตุ๊กตากบในมือไปมา ส่วนน้องแตงโมของผมมีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ขณะมองไปทางตุ๊กตาตัวดังกล่าว
...ตุ๊กตากบ
ผมพยายามเพิ่งมองให้ดีๆ ...พระเจ้าช่วย เจ้านั่นมันกบตัวเดียวกับพี่เอื้อ เอ๊ย ไม่ ต้องเรียกอะไร ร่างเดิมของพี่เอื้อ...เอ่อ ก็ยังไม่ใช่ เอาว่ามันคือพี่เอื้อใช่ไหมนั่น!
“นะ น้องชะ” เสียงของผมสั่นน้อยๆ “...ได้...กบนั่น มาได้ยังไงน่ะ”
“ชะเห็นมันตกอยู่หน้าบ้านครับ”
...ผมเริ่มเหงื่อตก
“ซุปเปอร์สวิงทอร์นาโด... ตายซะ เจ้าจักรพรรดิกบจอมชั่วร้ายยย” แฟนน้องสาวผมผมจับตุ๊กตากบเหวี่ยงไปมา
“น้องชะครับ หยุดก่อนนนน นั่นตุ๊กตาของพี่นะ”
แฟนน้องแตงโมเอียงคอมองหน้าผม ก่อนจะเขย่าตุ๊กตากบที่ไส้ทะลักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจนนุ่นค่อยๆ ร่วงลงมากองกับพื้น สีหน้าของแฟนหนุ่มวัยอนุบาลของน้องสาวผมบ่งชัดว่าไม่เข้าใจเรื่องที่ผมพูดสักนิด ส่วนน้องสาวผมที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องห่มร้องไห้พลางกรีดร้อง “ฆ่ามัน มันขโมยจูบของแตงโม”
“...” โว้ย ยังไม่ลืมอีก
ฝ่ายน้องชะพอได้ยินแฟนสาวพูดแบบนี้ มือที่หยุดไปก็เริ่มแกว่งอีกครั้ง โฮกกก นุ่นทะลักกระจายไปหมดแล้ววววในตอนนั้นเอง ผมจึงตัดสินใจเลือกหัวข้อเจรจาที่เข้าใจกันได้ทุกเพศ ทุกวัย และไม่เกี่ยงสัญชาติ
“ไอติมลอดช่องไหม เดี๋ยวพาไปกินที่ตลาดข้างหน้า”
น้องสาวผมที่กำลังทำท่าร้องไห้พลันหยุดทันที ยัยหนูคนนี้อนาคตจะต้องเป็นดาราเจ้าบทบาทเจริญรอยตามพ่ออย่างแน่นอน
สุดท้ายผมจึงเจรจาเอาตุ๊กตากบที่สภาพอ่อนปวกเปียกคืนมาได้
“พี่ไปหยิบกระเป๋าตังค์แป๊บ” ว่าแล้วก็เผ่นตรงเข้าห้องนอนของตัวเองในทันที พอเข้าห้องได้ปุ๊บ ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“เด็กนั่นมันอะไรกันหา!”
ว่าแล้วไหมล่ะนั่น...ผมนึกอยากปิดหน้าแล้วร้องไห้
“พี่เอื้อ” ผมเกาหัวแกรกๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ไม่รู้! พอฉันกลับไปที่ห้อง อยู่ดีๆ ก็กลับไปเป็นกบอีก... กว่าจะหาทางแอบออกมาจากตึกได้แม่งโคตรยาก แถมยังต้องฝ่ารถ หมาไล่กวด หลบท่อมรณะของกทม. ทั้งหมดเพื่อกลับมาหานาย! แต่มาปุ๊บก็เจอน้องยอดมนุษย์นั่นน่ะ...ไอ้เจ้าเด็กปีศาจนั่นจู่ๆ ก็เอาสัตว์ประหลาดมารุมจู่โจมตีฉันใหญ่เลย น้องสาวนายก็เอาแต่กรี๊ด
“...” ไอ้ช่วงครึ่งหลังของเรื่องพอนึกภาพออก แต่ไอ้ที่พี่เอื้อหาวิธีมาบ้านผมได้นี่ภาพกลายเป็นการ์ตูนพิกซาร์ไปแล้ว ดีนะไม่ต้องลอดมาตามท่อระบายน้ำ
“เรื่องนั้นช่างเถอะ” ตุ๊กตากบทำท่าโบกไม้โบกมือ “เอาเป็นว่านายจูบฉันอีกทีซิ”
“ตอนนี้?”
“เออสิ”
“อ่า แต่พี่ไส้ทะลักแบบนี้ ถ้าคืนร่างเดิมแล้ว...จะ เอ่อ...” ผมไม่กล้าพูดต่อ แต่ดูเหมือนพี่เอื้อจะเข้าใจความหมายดี เพราะวินาทีต่อมาเขาก็สั่งเสียงเข้ม “เย็บฉันซะ!”
ทว่าก่อนจะได้ทำอะไร ก็มีเสียงแหววๆ ดังมาจากนอกประตู
“พี่เดือนนนน ไอติมของแตงโมล่ะ”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละๆ” ผมตะโกนบอกน้องสาว ก่อนวางพี่เอื้อซึ่งท้องยังแบะไว้บนเตียงและเอ่ยเสียงเบา “เดี๋ยวผมกลับมา”
สุดท้ายตุ๊กตากบก็กลับมาอยู่บนเตียงของผมอีกจนได้ ฮืออออ
พอกลับมาถึงบ้าน เดิมทีคิดว่าสิ่งที่รอต้อนรับผมอยู่คือตุ๊กตากบตัวหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นอาน้อยที่ยืนกอดอกแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ ผมส่งคืนเจ้าหญิงของอาให้ พลางหันไปมองน้องชะ ก่อนจะจับจูงแฟนหนุ่มน้อยของน้องสาวกลับไปส่งที่บ้าน
ก็เลยอยู่นั่งกินขนมดูซีรีส์ส่องหนุ่มร้องผัวๆ ที่บ้านน้องเขาซึ่งก็คือบ้านเพื่อนผมอยู่อีกเกือบสองชั่วโมง กว่าจะกลับถึงบ้านอีกทีก็เกือบห้าทุ่ม ด้วยความที่ขี้เกียจเปิดไฟ เห็นว่าไหนๆ ก็จะนอนแล้วก็เลยเตะเอาของเล่นที่กองเรี่ยราดให้หลบไปทางหนึ่ง จากนั้นก็ตรงไปอาบน้ำแล้วก็ขึ้นห้อง
ตอนเปิดประตูห้องนอนตัวเอง ผมถึงค่อยนึกได้ว่าลืมอะไรไป
“...ยังจำได้เหรอว่าต้องกลับบ้านน่ะ”
“พี่เอื้อ นั่นมันบทพูดของพ่อที่รอลูกสาวกลับบ้านดึกนะ”
“มาภา! นายกล้าทิ้งฉัน”
“อันนี้บทพูดของพระเอกอายุน้อยที่ถูกทิ้ง”
“...จะเพ้อเจ้ออีกนานไหมครับน้องเดือน”
“ขอโทษครับพ่อ”
“เตือนพี่ด้วยว่าติดหนี้ ‘ขาคู่’ อยู่หนึ่งคิก”
“...” ใคร้ ใครมันจะเตือน!
สุดท้ายผมอุ้มตุ๊กตากบที่แลดูจะมีสภาพจิตหดหู่ลงมาข้างล่าง จากนั้นก็เปิดไฟทั้งบ้าน พยายามเก็บนุ่นยัดกลับไปให้ครบ...ซึ่งโคตรเหนื่อย ก่อนจะเดินไปหาอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนอย่างหมดเรี่ยวแรง อันที่จริง ไม่นับเรื่องที่ฝีมือเย็บผ้าผมไม่เอาอ่าวแล้วเนี่ย ไอ้การที่ผมกัดฟันยอมเย็บพี่เอื้อก็เพราะไม่อยากเสี่ยง เกิดมีศพไส้ทะลักนอนตายกลางพื้นห้องจะให้ทำยังไงกัน
หล่อแค่ไหนก็ไม่เอาอ่ะ!
ระหว่างเริ่มกระบวนการซ่อมแซม พี่เอื้อก็เอ่ยขึ้นมาเป็นระยะๆ “นาย...ไหวไหมเนี่ย”
“พี่อย่ากวนสมาธิผม!” ผมเอ็ดเขา
จนในที่สุดผมก็เย็บเสร็จ พอมองผลงานบูดเบี้ยวของตัวเองแล้ว ผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ...พอถูไถก็เอาแล้วน่า พี่เอื้อเองก็มองสภาพแสนอนาถแล้วทำเสียงแปลกๆ เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ
“เอาล่ะ ไหนนายลองจูบฉันอีกทีซิ” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ ผมมองตุ๊กตายัดนุ่นตรงหน้าด้วยสายตาเหมือนถูกสั่งให้ไปออกรบที่ยังไงก็ตายแหงแก๋ “เอ้า เร็วเข้า แค่จูบฉันนิดเดียว ไม่ได้ส่งไปรบสักหน่อย”
...เอ่อ ไม่ได้ส่งไปรบก็จริง แต่การเจอผู้ชายหล่อเปลือยอยู่ตรงหน้านี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าส่งไปรบอีกเหอะ คิดแล้วผมได้แต่หลับตาปี๋ ก่อนจะจูบตุ๊กตากบอีกครั้ง...ฮึบ
จุ๊บ!
“อ้าว...”
ในมือของผมยังคงเป็นตุ๊กตากบเหมือนเดิม ผมกับพี่เอื้อได้แต่มองหน้ากันอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
••TBC
เธอมองฉันฉันก็มองเธอ~
บอกแล้วว่าเรื่องนี้ รักอลวนเดี๋ยวคนเดี๋ยวกบค่ะ 5555+
ขอบคุณที่แวะกันเข้ามานะคะ :mew1: :mew1: :mew1:
เดี๋ยวจะพยายามมาให้เร็วขึ้น เพราะเรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ พอดีต้นฉบับเรามันต้องมาเคาะเว้นบรรรทัดเลยเสียเวลาในการลงกว่าปกติที่โปะๆ ไปก็จบ
STAGE 3: รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก
จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกหรือนายเอกคนใดคนหนึ่งจะยอมรับความรู้สึก แต่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวจะเสียอีกฝ่ายไป
คอมเม้นต์นายเอก: ยังมีอะไรให้เสียได้อีก แล้วนี่จะจบเสตจสองเร็วไปหรือเปล่า
9
แล้ววววเวลาก็ผ่านนนนไปปปปปปป
พี่เอื้อก็ยังคงเป็นตุ๊กตากบเหมือนเดิม อากาศของประเทศไทยยังคงร้อนเหมือนเดิม และผมก็ยังคงทำหน้าที่หลับในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยซากศพเหมือนเดิม
ที่ไม่เหมือนเดิมคืออาจารย์โอ๋ที่เพิ่งกดสไลด์สุดท้าย “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ค่ะ”
บรรดาศพที่ล้วนแล้วแต่ทราบสัญชาติและทราบนามทั้งหลายพากันปรือตาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าพอแค่นี้ ช่างเป็นปฏิกิริยาน่ารักน่าชังเสียนี่กระไร และดูเหมือนอาจารย์เองก็สังเกตอาการนี้อยู่เช่นกัน เพราะจู่ๆ อาจารย์ก็คลี่ยิ้มกว้าง และเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
“อาทิตย์หน้า...เราจะมีสอบย่อยกัน เก็บสิบห้าเปอร์เซ็นต์นะคะศพๆ ทั้งหลาย”
สิ้นคำประกาศจากอาจารย์โอ๋...บรรดาซากศพในห้องพากันคืนชีพอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ร่วมกันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนประหนึ่งมีใครเอาเหล็กแหลมตอกลงกลางหัว
“ต๊าย ตื่นกันสักที ร้องอะไรกัน ขอส่วนบุญตอนนี้ไม่ทันแล้ว” อาจารย์โอ๋โบกไม้โบกมือให้พวกผม
“อาจารย์โหดร้าย!” “ใช่ อาจารย์โหดร้ายที่สุด!”
“หึ ถ้าอาจารย์โหดร้าย อาจารย์จะบอกพวกเธอล่วงหน้าทำไมกัน...เอาแบบนี้ละกัน เพื่อให้สมกับความโหดร้าย อาจารย์จะไม่บอกว่าจะสอบอะไร”
คราวนี้ระดับเสียงของเหล่าสัมภเวสีในห้องยิ่งสูงไปอีกระดับ อีกนิดเดียวห้องเลกเชอร์จะกลายเป็นโอเปร่าฮอลล์ไปแล้ว อาจารย์โอ๋ที่ทนเห็นไม่ไหวก็เลยบอกแนวการสอบมาคร่าวๆ คราวนี้ทุกคนจดกันยิกๆ และพอพูดจบอาจารย์โอ๋เดินหนีไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้พี่ผู้ช่วยอาจารย์เป็นคนเช็กชื่อแทน
หลังจากนั้นผมกลับมาถึงบ้านได้ยังไงก็จำไม่ได้แล้ว นึกออกรางๆ แค่ว่าเห็นตะวันกำลังจริงจังกับการจัดการวัชพืชอยู่ที่สวนหย่อมเล็กๆ ข้างบ้าน ดูเหมือนตะวันจะร้องทักผม แต่ผมไม่หือไม่อือกับใครเขา พอเข้าบ้านไปก็เห็นพี่เอื้อกำลังตั้งใจโทรศัพท์ เขาผงกหัวขึ้นมาโบกมือให้ผม แต่ผมก็ไม่หือไม่อือ รีบวิ่งขึ้นห้องไป
พอถึงห้อง สิ่งแรกที่ผมทำคือโทรศัพท์ไปหาโดราเอม่อน
“ภาธีเพื่อนร้ากกกกกกกก ช่วยด้วยยยยยยยย”
((ไม่!)) นี่คือคำตอบแรกที่ได้ยิน หลังจากไม่มีบทมาหลายตอน บทจะมาก็มาแบบประหยัดถ้อยคำประหนึ่งร่วมใจในแคมเปญอนุรักษ์พลังงานสมเป็นภาธีเพื่อนผมอีกตามเคย
“ตูข้าต้องการความช่วยเหลืออย่างรุนแรงเลยนะภาธีจ๋า”
((ฉันจะนอน)) ภาธียื่นคำขาดมาสามพยางค์
“ภาธี...” ผมลากเสียงออดอ้อน “ฉันมีสอบย่อยอาทิตย์หน้า แต่ฉันยังไม่เข้าใจอะไรเลยอ้ะ”
((ฉันจะนอน)) เพื่อนผมยังคงหนักแน่นกับความตั้งใจเดิม ผมเริ่มรู้สึกตะหงิดๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ภาธีมีหม้อ...”
((ฉันจะนอน)) ...โอ๊ะโอ ดูเหมือนผมพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ผมเลยลองเล่นต่อด้วยความสนุกสนาน
“ภาธี ขอยืมเงินห้าสิบล้าน”
((ฉันจะนอน))
“อับดุลเอ๊ย อับดุล”
((ฉันจะนอน))
“...โอมาเอะ วะ ชินเดะอิรุ” ...เจ้าน่ะตายไปแล้ว ผมทำเสียงเข้มเลียนแบบเคนชิโร่ (Note: โอมาเอะ วะ ชินเดะอิรุ (เจ้าน่ะตายไปแล้ว) มาจากการ์ตูนเรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ เป็นคำพูดติดปากของเคนชิโร่ (ตัวเอก))
((ฉันจะนอน))
เชี่ย เป็นอันว่าตอนนี้นายภาธีเพื่อนเลิฟของผมเปิดระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติไปแล้ว ไอ้เครื่องตอบรับเดินได้ไม่พูดอะไรมากไปกว่า ‘ฉันจะนอน’ จริงๆ ลงท้ายผมเลยต้องเป็นคนที่ยอมแพ้ไปในที่สุด เพราะคนระดับภาธี ถ้ามันจะนอน เอเลี่ยนจากดาวไหนก็ขวางมันไม่ได้ กูยอมแพ้ มึงนอนเท่าที่มึงสบายใจเลยจ้า
ดังนั้นผมได้แต่ลองโทรหาเพื่อนคนอื่นที่ไม่ต้องเรียนซัมเมอร์วิชานี้ดู สามในห้ากำลังเที่ยวอย่างสนุกสนานกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย ส่วนที่เหลือกำลังจู๋จี๋ดี๋ด๋ากับแฟนสาว...หนึ่งในนั้นมีการเยาะเย้ยถากถางเสร็จสรรพว่าไม่รู้จักหาแฟนเก่งๆ มาช่วยติวหนังสือให้อีกต่างหาก โฮ นี่มึงคิดว่าแฟนหาง่ายแบบเก็บได้ตามท้องถนนหรือยังไงกันวะ ห่า!
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรงหลังจากกระหน่ำโทรจนเหนื่อย หลังจากมองเพดานห้องตัวเองจนจะนับรอยด่างดำตลอดจนรอยน้ำหยดบนฝ้าได้ครบถ้วนแล้ว ผมก็รู้สึกหิว เลยเดินลงไปข้างล่าง
แล้วหลอดไฟบนหัวของผมก็จุดติดดังปิ๊ง...แฟนอาจจะเก็บไม่ได้ตามท้องถนน แต่ตุ๊กตากบมันก็อีกเรื่อง
คิดได้ดังนี้ผมก็เลยถลาเข้าไปอยู่แทบเท้าตุ๊กตากบที่ดูเหมือนจะสนใจการ์ตูนที่ผมทิ้งไว้บนโต๊ะรับแขก
“พี่อะเอื้อออออ... เกรดเฉลี่ยพี่อยู่ที่เท่าไหร่” เกิดร่อแร่จะรีไทร์แหล่ไม่แหล่เนี่ย ผมจะได้เปลี่ยนใจไปรบกับภาธีโหมดออโต้ไพล็อตติดที่อุปกรณ์ต่อต้านเอเลี่ยนทุกประเภทที่รบกวนเวลานอนแทน
พี่เอื้อที่กำลังอ่านการ์ตูนของผมหันมามอง “หือ? สี่จุดศูนย์ศูนย์ ทำไม?”
“...” ผมแทบจะกระอักเลือดอะเอื้อออออกมา “นี่พี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะ”
“...ถ้าตอนนี้ก็ไม่นะ” พี่เอื้อตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
...เออว่ะ ลืมไป
ผมไอโขลกก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ผมมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย วิชาอาจารย์โอ๋อ่ะ”
“ตัวไหน?” พี่เอื้อถามโดยไม่ละสายตาจากหนังสือการ์ตูนของผม ผมบอกชื่อวิชาสุดที่รักที่ตัวเองต้องลงซัมเมอร์ให้เขาฟัง
“หา...นี่คือที่นายลงซัมเมอร์เหรอ ตายหอง ถ้าตัวนั้นยังไม่ไหว ปีสองเจอวิชาต่อจะไหวไหมเนี่ย จะทำอะ... เฮ้ย”
“ติวผมซะดีๆ” ผมคว้าหมับเข้าที่ตัวพี่เอื้อ จากนั้นก็จ้องเขาเขม็ง “ถ้าพี่ไม่ติวนะ หึ! จะต้องมีศพที่ถูกทุบหัวสมองไหล คว้านพุงไส้ทะลัก จากนั้นก็ถูกเอาไปถ่วงทะเลอย่างแน่นอน”
ตุ๊กตากบในมือผมถึงกับผงะ “นี่นายโหดขนาดนั้นเลยเรอะ ฉันไปทำอะไรให้นายวะเนี่ย”
“ศพผมต่างหากล่ะ” ผมแก้ความเข้าใจผิดให้
“...อ้อ แล้วไป”
สุดท้ายไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เอื้อเห็นใจไม่อยากให้ผมกลายเป็นศพที่ถูกทุบหัวสมองไหล คว้านพุงไส้ทะลัก จากนั้นก็ถูกเอาไปถ่วงทะเลไปจริงๆ หรือแค่มีจิตใจเมตตา ในที่สุดเขาก็ยอมช่วยผมจนได้
การติวเริ่มต้นด้วยการที่ผมถูกบังคับให้ทำแบบฝึกหัดง่ายๆ ที่พี่เอื้อคิด ก่อนส่งให้เขาตรวจดู ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าพี่เอื้ออ่านถึงไหนแล้ว เพราะลูกตาของเขาเอาแต่จ้องเขม็งไม่กระดุกกระดิก
อันที่จริงถ้ามันกระดุกกระดิกก็น่ากลัวไปหน่อยแล้ว!
“นี่ เดือนปลอมเอ๊ย”
“หือ?” น้ำเสียงของพี่ฟังดูแปลกๆ ชอบกลนะ
พี่เอื้อเลื่อนชีตแบบฝึกหัดคืนมาให้ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุดขีด “นายชอบข้าวต้มกุ้งหรือกระเพาะปลา งานศพนายฉันจะได้เป็นเจ้าภาพให้ถูก”
“@#$@23#1312@$@!%” ผมตบโต๊ะดังโครมๆ พี่เอื้อก็เลยยิ่งทำท่าปลอบอกปลอบใจกว่าเดิม
“อย่าร้องไปเลยนะครับ พี่เอื้อเป็นเจ้าภาพให้เจ็ดวันเลยเอ้า”
“ใครเขาห่วงเรื่องนั้นกันวะ!”
“น้องเดือนเอ๋ย พี่ดูสารรูปน้องแล้ว เกรงว่าจะไม่ไหวจริงๆ” พี่เอื้อส่ายหัว “พื้นฐานการเขียนโปรแกรมนายน่าสงสารมาก นี่เข้าใจไหมเนี่ยว่ามีโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมไปทำไม”
“...ทำซอฟต์แวร์” ...มั้ง
พี่เอื้อที่เห็นผมทำท่าโปรยยิ้มแบบสล็อธใส่รัวๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “การเขียนโปรแกรมมันคือการแก้ปัญหา! เราโปรแกรมเมอร์มีหน้าที่คิดว่าด้วยอินพุตที่เรามี เอ้าต์พุตที่เราต้องการ ตรงกลางเราจะเขียนโปรเซสของมัน แปรรูปมันอย่างไร”
คุณได้รับสีหน้างุนงงของน้องเดือน 1 ea
เห็นแล้วพี่เอื้อก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก “เอาแบบนี้ก่อน คิดซะว่าโปรแกรมมิ่งมันคือการเดินทางแบบหนึ่ง”
“อาฮะ แล้ว?”
“สิ่งที่นายรู้คือจุดมุ่งหมายของการเดินทางว่านายต้องการไปไหน นายอยู่ที่จุดเริ่มต้น และนายสามารถเลือกวิธีการเดินทางของนายได้ ขอเพียงไปถึงจุดหมาย มันไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่เสียเวลามากหรือน้อย”
“ความรักก็เช่นกัน”
...ครับ พูดปุ๊บก็โดนตบกบาลหนึ่งฉาดปั๊บเหมือนเดิม
“เหมือนฉันจะไปเชียงใหม่ ฉันมีหลายวิธี นั่งเครื่องบิน ขึ้นรถไฟ นั่งรถบัส ขับรถไป ขี่มอ’ไซค์ ปั่นจั๊กก้า หรือไม่ก็เดิน แต่ละวิธีมีประสิทธิภาพและความเร็วไม่เท่ากัน โอกาสเสี่ยงที่จะพลาดก็ไม่เท่ากัน”
“และใช้เงินไม่เท่ากันได้” ผมแทรก
“นั่นแล” พี่เอื้อทำท่าแบมือ “ทุกอย่างมันขึ้นกับการออกแบบของนาย โปรแกรมที่ดีมากอาจจะเหมือนขึ้นเครื่องบิน แป๊บเดียวถึง ที่แพงคือสมองคนเขียนล้วนๆ ว่าจะดีไซน์งานออกมาได้ดีแค่ไหน แต่แย่หน่อยอาจจะเหมือนปั่นจักรยาน คือสักวันคงถึง แค่มันช้าเท่านั้นเอง และคนปั่นอาจจะหลงออกนอกเส้นทางงี้”
“อือฮึ แล้ว...ทำไงผมถึงจะได้ขึ้นเครื่องบิน”
“โลภไป เอาแค่บัสพอ”
“เป็นบัสเจ๊เกีxว (เซ็นเซอร์) ทำไง”
“…” พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “บัสเจ๊เกีxวคืออะไร”
“...” คราวนี้เป็นผมที่นิ่งไปแทน เวรกรรม ลูกคนรวยนั่งแต่เจ็ตส่วนตัวหรือไหงเนี่ย
หลังจากนั้นคลาสโปรแกรมมิ่งพื้นฐานของผมเลยกลายเป็นคลาสอธิบายรถทัวร์ไทยไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนพี่เอื้อที่เข้าใจแล้วว่าหมอชิตคืออะไร ท่าบขส. อยู่ตรงไหน ขนส่งสายเหนือสายใต้ต่างกันอย่างไร จึงเป็นเวลาติวผมต่อ
พอตกเย็น พี่เอื้อก็ให้ผมจูบตามปกติ แน่นอนว่าผมก็ยังคงหลับตาแน่นตามปกติ จากนั้นก็นอนเอาแรงไปงีบหนึ่งก่อนจะถูกปลุกด้วยเสียงกรอบแกรบของถุงพลาสติก เมื่อมองไปทางโต๊ะกินข้าวก็เห็นพี่เอื้อกำลังหยิบของออกจากถุง
“เอ๋” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นถุงที่มีตราของซูเปอร์แถวบ้านวางกองบนโต๊ะ “พี่ไปจ่ายตลาดมาเหรอ”
“เออสิ ตู้เย็นบ้านนายโคตรร้าง ใจคอจะกินอากาศเป็นอาหารเหรอ”
“อ๊ะ งั้นอย่าลืมจดค่าใช้จ่ายไว้นะ” ว่าแล้วผมก็กุลีกุจอไปหาสมุดมาเล่มหนึ่ง
“งั้นนายแยกพวกบิลค่าน้ำค่าไฟไว้ให้ด้วย”
“ได้”
ผมลุกขึ้นก็เห็นบนโต๊ะมีใบกะหล่ำวางเรียงกันอยู่ ส่วนพี่เอื้อเดินไปจัดการกับอะไรบางอย่างในครัว “พี่ทำอะไรอ่ะ”
“กะหล่ำปลีม้วน” พี่เอื้อตอบ ก่อนจะยกชามออกมาใบหนึ่ง “มา ช่วยยัดไส้หน่อย”
“โอ๊ทส์!” หลังจากนั้นผมก็เลยเป็นลูกมือช่วยยัดไส้ ยัดไปก็ส่งไส้เข้าปากไปด้วย เลยโดนโบกกบาลไปหลายที
“พี่ชอบทำกับข้าวเหรอ”
“เปล่า”
“อ้าว”
“แต่ทำเองมันคุมอาหารได้ดีกว่า”
“อ้อ” ...ลืมไปว่าแปดแพ็กมันไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด ใช่ไหมวะ
ระหว่างกินข้าว พี่เอื้อก็ถามขึ้นมา “นายได้แลกข้อสอบเก่าไว้บ้างหรือเปล่า”
“วิชาอาจารย์โอ๋เหรอ เปล่าอ่ะ”
“นี่เข้ากิจกรรมไหมเนี่ย”
“รับน้องใช่ไหม เข้าสิ” ผมพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วแต้มหายไปไหนหมด”
“แลกชีตอาจารย์วูดดี้ไปหมดแล้ว” ...อาจารย์วูดดี้ที่ว่าเป็นอาจารย์พิเศษที่ถูกเชิญมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองวิชาพิฆาตของคณะผมตอนปีหนึ่ง ว่ากันว่านิสิตนักศึกษาที่อาจารย์เคยแจกเอฟนี่เยอะกว่าดาวบนฟ้าเสียอีก ไม่รู้ว่าเพราะเคยทำงานที่นาซ่ามาก่อนหรือเปล่าถึงได้คิดถึงดวงดาวแบบนี้
“อ้อ” พี่เอื้อร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนถามต่อ “แล้วไม่ได้เอาข้อสอบเก่าที่แจกฟรีมาลองทำเหรอ”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ลองแล้ว...ทำไม่ได้ ก็เลยดูเฉลย ดูแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
พี่เอื้อกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ “...ฉันจะพยายาม”
หลังจากนั้นพี่เอื้อก็ทำตามคำพูด คือพยายามช่วยผมอย่างจริงจัง ถึงระหว่างกลางวันจะมีโทรศัพท์ติดต่อน้องคนนั้นพี่คนนี้บ้าง แต่ถ้าพอมีเวลาก็จะมาช่วยตรวจคำตอบและดูผมทำโจทย์
สำหรับข้อสอบย่อยรอบนี้ เท่าที่อาจารย์สปอยล์ให้ฟังคือข้อสอบให้หาที่ผิดในโค้ดตัวอย่างที่อาจารย์ให้มา และเขียนอธิบายว่าทำไมถึงผิด ต้องแก้ตรงไหน แก้อย่างไร พี่เอื้อกลับหอไปคุ้ยโจทย์มาให้ผมกองใหญ่ ผมนั่งทำไปเรื่อยๆ เวลาก็หมดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายก่อนสอบ ผมก็เริ่มเกิดอาการหวาดผวา
“พี่เอื้อ ยังไงผมก็หาไม่เจอ” ผมร้องไห้โฮ “ช่วยผมด้วย”
พี่เอื้ออึ้งๆ ไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ตัวหาร”
“หา”
“ดูให้ดีๆ ถ้าค่าส่งมาแบบนี้ ตัวหารมีโอกาสเป็นศูนย์”
“แล้ว”
“...ปกติจำนวนเต็มหารด้วยศูนย์ได้อะไร”
“...ไม่ใช่ศูนย์เหรอ”
...ดูจากที่พี่เอื้อเงียบไปสงสัยจะไม่ใช่
“งั้น...นับไม่ถ้วน อินฟิตี้เอ้า”
พี่เอื้อถอนหายใจ ก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนตักผม แล้วแตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของผม
ไม่นานนัก ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่ถูกดูดออกไป และขนนุ่มนิ่มของตุ๊กตาที่เปลี่ยนเป็นผิวเนื้อนุ่มหยุ่น...ซึ่งที่น่ากลัวคือผมกลับเคยชินกับมันมากกว่าที่คิด ทว่าครั้งนี้เนื่องจากพี่เอื้อมาไม่บอกไม่กล่าว ท่านั่งเลยล่อแหลมเป็นอย่างยิ่ง แถมมือผมบังเอิญเฉียดถูกแปดแพ็กนั่นโดยบังเอิญเข้าไปอีก...ต้องเซ็นเซอร์มั้ยวะน้องเอก
“@@#$$#%!!!” ขณะที่ผมยังช็อกอยู่ พี่เอื้อที่เดินโทงๆ ลุกไปแต่งตัวเรียบร้อยก็มานั่งขัดสมาธิตรงหน้าผมที่ยังรู้สึกว่าแก้มร้อนๆ ชอบกล
“เออ แบบนี้ค่อยสะดวกหน่อย” พูดจบเขาก็เอื้อมมือมาเขกหัวผม ก่อนจะหยิบกระดาษมาเขียนอะไรยุกยิก
NaN
“แนน?”
“Not a Number! ไม่ใช่ตัวเลข!”
“...เห”
“...” พี่เอื้อทำท่านวดขมับตัวเอง “ในทางคณิตศาสตร์ การที่จำนวนเต็มหารด้วยศูนย์ จัดเป็นอนิยาม คือไม่นิยาม เพราะมันนิยามไม่ได้ ในทางคอมพิวเตอร์ก็เลยแทนด้วยตัวนี้...เอ็นเอเอ็น Not a Number”
“แล้วทำไมมันถึงนิยามไม่ได้อ่ะ”
“ปกติหารไว้ทำอะไร”
“...แบ่งส่วน?” มั้ง
“เออ เหมือนมีแอปเปิ้ลหกลูกหารกันสามคน แบ่งหกออกเป็นสามชุด ฉะนั้นคนหนึ่งจะได้สองลูก”
ผมพยักหน้าหงึกหงักประหนึ่งหัวตัวเองเป็นแขนของแมวนางกวัก หารเลขนี่เรียนมาแต่เล็กแต่น้อย พอเข้าใจได้อยู่
“เพราะงั้น ถ้าตัวหารเป็นศูนย์ นายจะแบ่งแอปเปิ้ลหกลูกออกเป็นศูนย์ชุด นายจะแบ่งได้ยังไง แล้วสิ่งที่แบ่งได้คืออะไร”
“งั้นก็ไม่แบ่ง...”
พี่เอื้อกุมขมับ “คิดง่ายๆ นายไม่สามารถแบ่งความว่างเปล่าให้กับสิ่งที่เต็มอยู่แล้วได้”
“...ความรักก็เช่นกัน” ผมอดไม่ได้ที่จะตบมุก เลยโดยตบหัวไปอีกหนึ่งฉาด นี่ตอนนี้โดนไปกี่ฉาดแล้วเนี่ย โฮๆๆๆ
“...ฉะนั้นโจทย์ข้อนี้ ต้องใส่ If else เช็กก่อนว่าค่าที่เข้ามาเป็นศูนย์หรือเปล่า ทีนี้ตรงนี้ระวังให้ดีว่าจะครอบไว้ตรงไหน ให้ดูจากโจทย์...” พี่เอื้ออธิบายไปเรื่อย ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วกะพริบตาปริบๆ จนกระทั่งพี่เอื้ออธิบายจบและเงยหน้ามองผม ไม่ต้องรอให้ผมพูดอะไร พี่แกก็เอ่ยเสร็จสรรพ “ไม่รู้เรื่องสินะ”
“ไม่เลยสักนิดครับ”
“ชอบข้าวต้มปลาหรือข้าวต้มกุ้ง”
“ผมอาจจะไม่เหลือซากศพสมบูรณ์ไว้จัดงานก็ได้นะ ฮือๆๆๆๆ”
“ไม่เป็นไร ถึงเป็นโลงเปล่าฉันก็จะจัดงานให้”
“เป็นสิวะพี่! ฮืออออออออ”
ผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดผมก็ไล่ผ่านตาโจทย์ตัวอย่างทั้งหมดจนครบ ที่น่าเศร้าคือตอบด้วยตัวเองได้ไม่ถึงครึ่ง ระหว่างทำพี่เอื้อมีการยกข้าวต้มมาบริการด้วยจริงๆ...นี่ให้กินซ้อมก่อนงานจริงหรือเปล่า อะไรนะ ตายแล้วอดกินเหรอ บ้าจริง ฮือๆๆๆ
ฝ่ายพี่เอื้อที่ตรวจคำตอบเสร็จก็นิ่งมองผม ก่อนเอ่ยออกมาเรียบๆ พยางค์เดียว “จำ!”
“หา” จำอะไร
“ตอนนี้เยียวยาไม่ทันแล้ว เอาว่าจะสอนทริกให้ว่าถ้าเห็นคำถามแบบนี้ ให้ตอบแบบไหน ไม่เข้าใจก็ช่างแม่งก่อนตอนนี้ จำไป! ถ้าเจอโจทย์สไตล์นี้ จุดผิดมันจะมีได้แค่ไม่กี่แบบ ดูให้ดีๆ” พี่เอื้อถอนหายใจ ก่อนพลิกไปข้อต่อไปและให้ผมทำ
“จะดีเหรอ”
“อยากมีศพครบชิ้นส่วนหรือเปล่าล่ะ” พี่เอื้อทำเสียงพ่นลมหายใจ ก่อนเอ่ย “ที่ทำนี่มันก็ไม่ดีหรอก เพราะกลายเป็นว่าข้อสอบไม่ได้วัดความเข้าใจ แต่แล้วยังไง ระบบการศึกษาประเทศเรามันก็แบบนี้นี่หว่า ข้อสอบไม่ได้วัดความเข้าใจในสิ่งที่เรียนสักเท่าไหร่หรอก แต่ของ’จารย์โอ๋นี่เรียกว่าไม่เลวแล้วนะ นับว่ายังวัดความรู้อยู่”
ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ แบบไม่รู้จะตอบอะไรดี
พี่เอื้อยักไหล่ “ก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าเป็นแบบอื่นฉันคงไม่ได้สี่จุดศูนย์ศูนย์หรอก เอาว่า...อันไหนไม่เข้าใจก็จำแม่ง แต่ไม่ใช่ให้จำโง่ๆ จับแพตเทิร์นโจทย์ให้ได้ ไอ้ที่นายนั่งทำนี่ ถ้าตั้งใจดูดีๆ มันมีไม่กี่รูปแบบหรอก”
“โอ้”
“เพราะงั้น ภายในคืนนี้ จำแพตเทิร์นข้อสอบไปให้หมด”
“เห~”
“ไม่งั้นก็เตรียมเลือกวัดกับแพ็กเกจซะว่าอยากจัดงานกี่คืน”
ผมเลยได้แต่ซับน้ำตาและท่องไปเงียบๆ กระซิกๆ
ทว่าพอใกล้สี่ทุ่มผมก็เริ่มง่วง ใครใช้ให้ตั้งแต่พี่เอื้อมาอยู่กับผมแล้วไล่ผมนอนเร็วแทบทุกคืน จนตอนนี้ติดเป็นนิสัยไปแล้ว ทว่าคืนนี้ก็นอนไม่ได้! ผมตัดสินใจผุดลุกขึ้น
“จะไปไหน”
“ไปซื้อเอ็มร้อยห้าสิบ! ขวดเดียวรับรองอยู่”
“...หา”
“เพื่อนผมกินก่อนสอบทุกครั้งเลยนะ อ้อ แต่บางทีมันก็เปลี่ยนเป็นยี่ห้อกระทิงแดงนะ”
“ฟังแต่ละอย่างเหมือนนายจะไปขับสิบล้อกะดึกมากกว่าไปสอบนะ”
“แต่ว่า มันห้ามดื่มเกินวันละสองขวด เพื่อนผมมันก็เลยดื่มยี่ห้อละสองขวดอ่ะนะ”
“...เพื่อนนายยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมวะ”
“คิดว่านะ” ผมตอบขณะพยายามฝืนเปลือกตา
“พอแล้ว ไปนอน!”
“แต่...”
“นอนไม่พอจะยิ่งส่งผลต่อการสอบ ทำเพิ่มกว่านี้นายก็จำไม่ได้หรอก นอนได้แล้ว” ไม่พูดเปล่า พี่เอื้อเป็นฝ่ายหิ้วผม จากนั้นก็แบกขึ้นบ่าแล้วพาเข้าห้อง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมถูกพี่เอื้อแบกแบบนั้น เลยตกใจจนตัวแข็งทื่อไปหมด จากนั้นพี่เอื้อก็ทุ่มผมลงบนเตียง...แล้วก็ไม่มีฉากเด็กไม่ดีใดๆ แค่ตบหัวผมสองสามทีประหนึ่งหลวงพ่อเคาะด้วยที่โปรยน้ำมนต์ “ไม่ต้องกังวล นอนซะ”
(ต่อ)
STAGE 4: มือที่สามสะกิดใจ
จุดประสงค์การเรียนรู้: มีมือที่สามมาช่วยทั้งสองคนมองเห็นหัวใจของกันและกัน
คำแนะนำเสริม: เวลาเข้าใจผิด กรุณาอย่าคุยกันปรับความเข้าใจ แต่ปรับแรงมโนไปให้สุดแล้วหยุดที่ดราม่าน้ำตาท่วม
คอมเม้นต์นายเอก: ...
11
พอวันอาทิตย์มาถึงก็มีกบสะกิดผมยิกๆ ให้จูบแต่เช้า ผมสะลึมสะลือขึ้นมาจูบเขาจนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วนอนคลุมโปง มาคิดดูแล้วก็น่าภาคภูมิใจนักที่จูบจนชินจนไม่นำพาต่อแปดแพ็กอีกต่อไป แว่วเสียงพี่เอื้อถามประมาณว่าจะไม่ไปกับเขาจริงๆ หรือ แต่ผมที่ง่วงจนไม่มีสติบอกปัดเขา
นอนไปสักครู่ใหญ่ กำลังฝันถึงนาฬิกาดิจิตอลเรือนยักษ์บอกตัวเลขสองหนึ่ง...ว่าจะเอาไปตีเลขหวย ก็รู้สึกได้ว่าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงกำลังสั่นอย่างรุนแรง ผมควานสะเปะสะปะอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบมาดูด้วยดวงตาปรอยปรือ
‘ลงมาด่วน’
ผมที่สมองยังไม่ค่อยจะทำงานครุ่นคิดว่า ‘AK’ นี่มันใคร...แต่ยังไม่ทันคิดออกก็มีข้อความเข้าจาก AK คนเดิม
‘ตื่นเร็วเข้า ลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้’
ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างเชื่องช้า ระหว่างนั้นก็มีข้อความใหม่เด้งเข้ามาไม่หยุด
‘SOS’
‘คัมม่อน เบเบ๋ ลงมาเร็ว’
‘ถ้าอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนชุดแล้วลงมาดีๆ พรุ่งนี้พี่ทำกุ้งอบวุ้นเส้นให้กิน กุ้งตัวหย่ายๆ เลย’
อ่านถึงตรงนี้ผมก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาทั้งที่หัวยังหมุนติ้วๆ จากนั้นก็คว้าเสื้อผ้าเท่าที่มีแล้ววิ่งไปเดินผ่านน้ำและแปรงฟัน ก่อนจะเดินลงมาข้างล่าง ซึ่งระหว่างเดินลงมาผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงพูดคุยกัน ครั้นมองเห็นภาพของชั้นล่างชัดเจน สองเท้าของผมก็แข็งทื่อ
ที่โต๊ะกินข้าวซึ่งยามปกติจะว่างเปล่า บัดนี้กลับมีผู้หญิงสวมชุดวับๆ แวมๆ นั่งหัวร่อต่อกระซิกกับพี่เอื้ออยู่ ซึ่งที่บ้านหลังนี้ ผู้หญิงที่ว่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจาก “มะ แม่”
คนถูกเรียกปรายตามองผมเล็กน้อย ก่อนหันไปส่งยิ้มหวานให้พี่เอื้อและคะยั้นคะยอให้พี่เอื้อกินตับ เอ้อ...อ้อ แม่ผมซื้อเกาเหลาเลือดหมูมาเป็นข้าวเช้า แต่ดูเหมือนส่วนของผมจะถูกยกเป็นบรรณาการให้หนุ่มหล่อไปเสียแล้ว เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่ชอบกินเกาเหลาเลือดหมูอยู่แล้ว
ผมหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบเอาข้าวต้มโปะด้วยแซลมอนต้มซีอิ๊วที่คาดว่าพี่เอื้อจะทิ้งไว้ให้ผมกินเป็นมือเช้าเข้าไมโครเวฟไป พอเรียบร้อยก็ถือชามเดินไปนั่งข้างพี่เอื้อและจ้วงกินเงียบๆ
เนื่องจากปกติบ้านนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อรับแขก โต๊ะกินข้าวมีเก้าอี้เพียงสี่ตัว ทำให้รู้สึกคับแคบไปถนัดตา พี่เอื้อพยายามจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่ผมทำเป็นมองเลยไปยังโทรทัศน์ที่แม่หมุนให้หันมาทางโต๊ะกินข้าว บนจอกำลังฉายละครจากตั๊มบ์ไดรฟ์ เดาว่าแม่คงเอามาดูย้อนหลัง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงสนทนาอันแสนสดชื่นดังมาเป็นระยะๆ
“อ๋อเหรอ เป็นประธานสโมสรนักศึกษาเหรอคะ เก่งมาก” ...โน้ตนิด บทสนทนาทั้งหมดที่แม่ผมใช้เสียงสาม คือยิ่งกว่าเสียงสองไปอีกขั้น
“ครับ คุณแม่” ส่วนพี่เอื้อเสียงเหมือนเครื่องซักผ้ากำลังจะพัง
“ว้าย บอกแล้วไงคะว่าไม่เอา เรียกพี่อ้อยสิคะ”
ผมเคี้ยวข้าวต้มไปพลางดูคุณหญิงแม่ที่มีผมเป็นหลอดๆ กำลังส่องยิงลูกสะใภ้ด้วยปืนอัดลม นกพิราบห้าตัวบินออกไปในทิศต่างๆ กันและเริ่มร้องเป็นเพลง
ตัวผมนั้นเป็นแค่เมียเก็บ ~ ส่วนเธอก็เป็นแค่ชายชู้ ~♪
...พร้อมกันนั้นเองที่พระเอกล้มตัวลงกุมอก นางเอกกรีดร้อง นี่มันละครอะไรวะเนี่ย ผมได้แต่ดูแล้วก็สงสัย ระหว่างนั้นพี่เอื้อพยายามเตะผมใต้โต๊ะสุดชีวิต แต่ผมยังคงกินข้าวต้มอย่างไม่สะทกสะท้าน จนกระทั่งคำสุดท้ายเข้าปาก ก็ได้ยินพี่เอื้อพูด (ด้วยเสียงสอง) ว่า
“คุณ...เอ่อ พี่อ้อยผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ ไปเร็ว น้องเดือน”
“หา” น้องเดือนที่ยังเคี้ยวเอื้องเนื้อปลาคำสุดท้ายในปากหันไปมองคนเรียกด้วยสายตาประหลาด พ่อรูปหล่อตรงหน้าผมพยายามขมิบตายิกๆ ...เป็นโรคชักกระตุกหรือไงฟะ พร้อมกันนั้นเอง เพลงประกอบละครก็ดังขึ้น
เป็นแค่ชายชู้มาอาศัยอยู่บ้านเขา ก็ต้องรู้จักเจียมตัว ~♪
...เฮ้อ พ่อชายชู้นี่ หาเรื่องให้เหลือเกิน ผมกลอกตาใส่เขา ก่อนเช็ดปาก “แม่ ผมกับพี่เอื้อมีธุระ ไปก่อนนะครับ”
แม่ผมตาเอาแต่มองพี่เอื้อ ปากก็บ่นเสียดาย ก่อนจะเข้าเรื่อง “น้องเดือนมีให้แม่ยืมสักหน่อยไหม”
...ว่าแล้วว่าเกาเหลาต้องไม่ได้มาฟรีๆ ผมยิ้มเนือยๆ ขณะทำมือทำไม้ “ขอผมขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ก่อน”
ขณะเดินขึ้นห้องไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ผมก็เห็นตะวันเดินออกมาจากห้อง เลยบอกสั้นๆ “แม่มา”
ดวงตาของตะวันเบิกโพลง ก่อนใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็วิ่งลงไปข้างล่างทันที ผมเห็นแล้วได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าสตางค์และดูแบงก์ที่เหลือในกระเป๋า และดึงออกมาสองใบ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจหยิบเอากุญแจห้องของตัวเองและล็อกห้องเอาไว้ ก่อนสอดกุญแจเก็บในกระเป๋าสตางค์
ตอนลงมาข้างล่าง เห็นตะวันนั่งอยู่ข้างๆ แม่และพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่หยุด ทว่าสายตาของแม่กลับจับจ้องอยู่แต่ร่างของพี่เอื้อประหนึ่งว่าเขมือบลงท้องไปได้ก็จะทำ เห็นแล้วผมเลยต้องรีบเข้าไปกู้สถานการณ์
“แม่ ตอนนี้เดือนมีแค่นี้” พอแม่เห็นเงินแล้วก็เลยปล่อยเหยื่อ สายตาเลื่อนกลับไปดูละครแต่โดยดี ผมมองไปทางตะวันที่ยังคงพยายามจะสื่อสารกับแม่แล้วได้แต่ส่ายหัวดิก
พี่เอื้อเหลือบมองผมเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองตามสายตาของผม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเป็นฝ่ายดุนหลังของเขาให้ออกไปจากบ้าน “ไปเร็ว ชักช้าเดี๋ยวไม่ได้ออกไปอีกเลยนะ”
ได้ยินเท่านั้นพี่เอื้อก็จ้ำฝีเท้าทันที
พอพ้นรั้วบ้านปุ๊บ สีหน้าของพี่เอื้อก็เปลี่ยนไปในทันที สีหน้าของพ่อพระเอกของผมตอนนี้เหมือนนางเอกที่โดนผู้ร้ายขืนใจมา ผมยกมือขึ้นทาบอก “นี่แม่ผมทำอะไรลงไปบ้างเนี่ย”
“...นอกจากลูบก้นฉันกับเอามือล้วงเข้ามาในเสื้อฉันแล้ววนเป็นวงกลมรอบสะดือน่ะเหรอ” พูดๆ ไปพี่เอื้อก็ทำหน้าเหมือนอยากฆ่าผมขึ้นทุกที
แค่กๆๆๆ ผมขอโทษก้นและกล้ามท้องของพี่แทนแม่ที่น่าอายของผมด้วย
“...แม่ผมอาจจะอยากนวดลำไส้ให้พี่ก็ได้” ผมพยายามมองโลกในแง่ดี
“...” พี่เอื้อปรายตามองผม
“ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ออกความเห็นอะไรอีกแล้ว...แล้วตกลงลากผมออกมาด้วยทำไมเนี่ย” ผมโวยวายก่อนก้มลงมองสารรูปตัวเอง เมื่อตอนที่พี่เอื้อส่งข้อความมาเรียก ผมไม่ทันมีสมองได้คิดอะไรมากก็คว้าเสื้อเชิ้ตที่เป็นเสื้อนักศึกษาซึ่งแขวนทิ้งไว้กับเก้าอี้ลืมเอาลงตะกร้าผ้ามาสวมเข้ากับกางเกงขาสามส่วนลายดอก ขาดปีนฉีดน้ำอีกกระบอกเราก็ไปเล่นสงกรานต์กันได้เลย เสือกพลาดนิดหนึ่งตรงที่ดันใส่ผ้าใบสีขาวจั๊วมานี่แหละ
ว่าแล้วผมก็หันไปมองคนข้างตัว ที่ผ่านมาพี่เอื้ออยู่บ้านผมเป็นส่วนใหญ่ ก็สวมแค่ชุดลำลอง แต่มาวันนี้พ่อพระเอกจัดชุดใหญ่...พี่ท่านสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ แหวกให้เห็นไหปลาร้าเล็กน้อย ที่คอสวมสร้อยเงินเข้ากับสายเข็มขัดโซ่ ผมหวีปัดเสยนิดหน่อย บวกกับสีหน้าครุ่นคิดและดวงตาที่หรี่ลงทำให้เห็นแพขนตายาวงอนชัดเจน
“อา...หล่อระยำที่แท้ทรู” ผมทอดถอนใจ
“...”
“แค่ก ตกลงพี่ลากผมออกมาทำไมเนี่ย”
“ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ฉันกำลังทำข้าวไว้ให้นายกินตอนกลางวันก็เจอแม่นายเปิดประตูเข้ามา อารามตกใจก็บอกไปว่ามารับนายไปเที่ยวอ่ะเด้” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่...ดูท่าไอ้ที่ว่าเปิดประตูเข้ามาน่าจะมาแบบไม่ธรรมดา “จะให้บอกว่าเป็นชายชู้อาศัยอยู่ชายคาเดียวกันกับนายมันก็ไม่ค่อยจะดี”
“...” ยังคงยืนหยัดอยากจะเป็นชายชู้เสียเหลือเกินนะพ่อคุณ “...งั้นส่งผมลงห้างได้ไหมอ่ะ”
“ไปกับพี่เหอะ เดี๋ยวเลี้ยงค่าบัตรกับของกินด้วยเอ้า” พี่เอื้อเสนอโปรโมชัน
“...” ผมนิ่วหน้า
“ของกินชุดใหญ่”
“...ก็ได้” ผมตอบ ก่อนหาวออกมา
“ถ้าง่วงก็นอนในรถเอาแล้วกัน”
“อื้อ” ผมผงกหัวหงึกหงักแล้วเดินตามเขาไป ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “หือ รถเหรอ พี่ขับรถไปเหรอ”
“ใช่สิ นี่เมื่อวันก่อนฉันย้ายรถมาจอดทิ้งในซอยบ้านนายแล้วเนี่ย” ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่รถญี่ปุ่นที่จอดอยู่หน้าบ้านร้างในซอย ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะมองรถตรงหน้า
“เอ๋ ทำไมกัน ไม่ใช่เฟอร์รารี่ ปอร์เช่ มาเซราตีอะไรงี้อ๋อ”
พี่เอื้อพ่นหัวเราะดังพรืด “น้องเดือนครับ น้องเดือนช่วยคิดสักหน่อยครับว่าพี่ขับไปมหาวิทยาลัยเรา หลังเต่าตะลงตะลุกเยอะจะตายหอง จำกัดความเร็วที่สี่สิบอีก ใช้รถหรูไปมีประโยชน์อะไรกัน ไม่นับเรื่องที่จอดหายากอีก บางทีวันสอบพี่ยังต้องซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปเลยเหอะ”
...เออ จริงว่ะ ลืมไป เห็นพระเอกรวยๆ ในนิยายขับรถหรูจนลืมตัว
“อ๊ะ มอเตอร์ไซค์นี่บิ๊กไบก์?”
“...มอ’ไซค์วินหน้าหมู่บ้านตรงข้ามหอ”
“...” จบกันพระเอกกู
“ฮึ่ย เอาเถอะ ผมจะนอนแล้วนะ” ผมที่ขี้เกียจจะสนใจว่าพี่เอื้อจะขับรถอะไรพอเห็นเขาปลดล็อกก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยในทันที...ขับขี่ปลอดภัยครับทุกคน
“เออ นอนไป ถึงแล้วพี่ปลุก” ไม่พูดเปล่า พี่เอื้อเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มที่พับเรียบร้อยอยู่ที่เบาะหลังและส่งให้ผมซึ่งงึมงำขอบคุณ ก่อนจะรับมาคลุมตัวเองเอาไว้
เดินทีผมคิดว่าตัวเองจะหลับไปจนถึงสวนสนุก ทว่าวินาทีที่พี่เอื้อออกสู่ถนนใหญ่ ผมที่ง่วงงุนก็ตาสว่างในบัดดล
โอ้โหหหหหห ความเร็วนี้มันอะไร นี่เรากำลังเล่นฟาสต์แอนด์ฟิวเรียสภาคใหม่กันอยู่หรือเปล่า ผมที่รู้สึกว่าก้นตัวเองลอยจากเบาะเล็กน้อยมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง
“พะ พะ พะ... เพ่... พี่เอื้ออออออออ นี่พี่เคยเป็นนักแข่งฟอร์มูล่าร์วันมาก่อนหรือเปล่า” เสียงของผมสั่นระริก...
“หา...” พี่เอื้อหันขวับมาทันที
“ม่ายยยย ไม่ต้องหันมาโว้ยยยยยยยย! พี่มองถนนไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” ...อีกนิดผมว่าผมจะร้องไห้แล้ว
“เอ้า อะไร ไหนว่าจะนอน นอนไปสิ งึมงำอะไรเนี่ย...แปลกคน”
เฟรี่ยยยยยยยย ไอ้ตีนผีนรกส่งมาเกิดนี่บังอาจหาว่าผมแปลกคนงั้นเหรอ พี่ต่างหากล่ะที่ไม่ใช่คนแล้วววววววววว...มะ เมื่อกี้รถมันลอยใช่ไหมวะ ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยเดือนด้วย โฮๆๆๆๆ
ว่าแต่ทำไมถนนกรุงเทพฯ มันถึงได้โล่งโจ้งขนาดนี้หา! นี่ผมหลงอยู่ในเกมที่ตัวเอกหลุดเข้าไปในเมืองร้างหรือไงกัน รถติดเซ่ รถติด! ทีตอนที่ผมต้องการรถติด รถมันหายไปไหนกันหมดเนี่ย หรือวันนี้เป็นวันรณรงค์งดใช้น้ำมันทั่วประเทศกันล่ะหา แงงง ที่นี่ไม่ใช่บางกอกแล้วววว แวร์แอมไอ
กราบล่ะพ่อแม่พี่น้อง โปรดออกมาผลาญเงินค่าน้ำมัน ใช้รถใช้ถนนทีเถอะครับ! ไอ้พี่เอื้อจะเหยียบเกินหน้าปัดอยู่แล้ววววว ช่วยด้วยยยย กรุงเทพมหานครอมรรัตโกสินทร์ไม่มีจำกัดความเร็วเหรอ ต้องมีเซ่
“พี่เอื้ออออออ เหยียบแบบนี้เดี๋ยวคุณตำหนวดก็จับเข้าซังเตหรอก”
“หืม ไม่หรอก” พ่อคนนี้ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน มั่นหน้าเหยียบต่อไป คือถ้าจังหวะนี้แม่งหันหน้ามาบอกผมว่า ‘ฉันเร็วจนเครื่องกิ๊กก๊อกไม่มีทางจับการเคลื่อนไหวของฉันได้’ ผมก็เชื่อ
และหลังจากผมก็สวดมนต์ครบทุกบทที่รู้มาในชีวิตนี้ไปสามรอบครึ่ง กับพยายามขยับเอาอวัยวะภายในที่ดูเหมือนมันจะเคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กับเข็มที่หน้าปัดวัดความเร็วมันตีกลับให้มันเข้าที่ ผมก็มาถึงสวนสนุกบลิซฟูลวันเดอร์แลนด์จนได้
บลิซฟูลเป็นสวนสนุกสัญชาติอังกฤษที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วร่วมกับเจ้าสัวที่เป็นเจ้าของห้างใหญ่ของประเทศ ผมไม่เคยมีโอกาสได้มากับเขาสักครั้งเพราะมันไกลเกิน และถ้าเลือกได้ ผมก็ยินดีที่จะพลีกายนอนกลิ้งเกลือกเน่าตายอยู่ในบ้านมากกว่าจะออกมาผจญกับฝูงคนเช่นนี้
ทันทีที่พี่เอื้อเลี้ยวรถเข้าไปหาที่จอด ผมก็มองเห็นปราสาทขนาดใหญ่ และชิงช้าสวรรค์สีลูกกวาดที่มองเห็นเด่นชัดแต่ไกล จากนั้นก็นึกถึงโฆษณาที่ว่าชิงช้าสวรรค์ของที่นี่สูงที่สุดในโลกขึ้นมาได้ รอบบริเวณถูกตกแต่งด้วยสีสันสดใส กระทั่งลานจอดรถยังถูกทาเป็นสีสันต่างๆ ที่กั้น ป้าย ตลอดจนเสาไฟล้วนให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซี
แต่ถามว่าผมตื่นเต้นกับความอลังการงานสร้างอะไรพวกนี้ไหม...ขอโทษด้วย เมื่อกี้หัวใจผมแม่งหล่นหายไปตอน พี่เอื้อดริฟต์เข้าที่จอด ฮืออออ ต่อไปผมจะไม่เสี่ยงตายด้วยการนั่งรถไอ้เชี่ยพี่อะเอื้อนี่อีกแล้ว โฮกกกกก อันตรายชิบหาย วิญญาณเกือบพุ่งออกทางปากแล้ว แถมพอผมมองนาฬิกาลูกตาผมก็แทบจะทะลุออกจากเบ้า “...นี่พี่ต้องกำลังทำลายสถิติกินเนสบุ๊กส์ เป็นคนเสียสติที่ขับรถมาสวนสนุกได้เร็วที่สุดในโลกๆ แน่ๆ เลยอ่ะ ฮือๆๆๆๆ”
“ขอบคุณที่ชม”
ผมรีบส่ายหัวดิก “ม่ายยย ถ้านี่เป็นคำชม ที่อาจารย์บอกว่าผมควรจะถอนรายวิชาแล้วไปลงซัมเมอร์ให้โดยไวก็เป็นการบอกว่าผมจะได้เกรดเอแล้ว! จะบ้าหรือไงกัน ใครเขาชมพี่กันวะ!”
พี่เอื้อนิ่วหน้าใส่ผมขณะพาผมตรงไปยังจุดซื้อบัตร เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด คนก็เลยเยอะมากชนิดที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่คน
“โอย ผมกลับก่อนแล้วนะ” ...เห็นคนก็จะอ้วกแล้ว
“กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะมาภา... เอ๊ะ หรือมารพานะ” เขาทำท่าไม่ค่อยแน่ใจ
“มาภาน่ะถูกแล้วววว มารพาคืออะไรวะ พ่อแม่แบบไหนจะตั้งชื่อลูกแบบนี้“ ...ขนาดแม่ผมที่เป็นแม่แบบนั้นก็ยังไม่อาการหนักขนาดตั้งชื่อลูกเป็นมารพามั้ง
“ไอ้ซีรีส์ที่นายดู พระเอกยังชื่ออะไรนะ...หวงซ่าง หวงซ่างคือเชี่ยอะไรวะ”
“ฝ่าบาทไง ฝ่าบาท ไม่เคยดูละครจีนเหรอ”
“นายเปิดแต่ละครไทย ฉันจะเคยได้ยังไงวะ แล้วพ่อแม่อะไรตั้งชื่อลูกเป็นฝ่าบาทวะ”
ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พ่อแม่ที่รักหนังจีน”
พี่เอื้อดูเหมือนจะยังไม่จบกับประเด็นนี้ “แล้วเรื่องนั้นอะ ไอ้ อะไรนะ เอ้อ...ฮาเดส! พ่อแม่นี่ไหนเอาชื่อเทพเจ้าแห่งความตายมาตั้งให้ลูกวะ”
เอ่อ... “พ่อแม่ที่จูนิเบียวหน่อยๆ มั้ง” (Note: จูนิเบียว Chuunibyou แปลตรงตัวคือโรคม.2 เป็นคำแสลงในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกคนที่อาการเหมือนเด็กที่พยายามจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ และคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าชาวบ้าน ตัวอย่าง มีพลังจอมมารแห่งความมืดแฝงอยู่ในตัว)
พี่เอื้อหยุดไปหาความหมายคำว่าจูนิเบียวจากในเน็ต ก่อนกลับมาถามต่อ “แล้วที่ตั้งว่าจีซัสอ่ะ”
“พ่อแม่ที่ศรัทธาในศาสนา” ...อาเมน
“...แล้วทำไมไม่ตั้งว่าบุดด้าวะ”
“...เดี๋ยวก็โดนมหาเถระสมาคมส่งฟ้องหรอก” ...อมิตตาภพุทธ บาปกรรรม บาปกรรม
“...บ้าจริง! อ่ะ แล้วพวกตั้งชื่อลูกเป็นธาตุนั้นนี้อ่ะ ลิเธียม โซเดียม โปแตสเซียมงี้” พี่เอื้อถามต่อ...แหม พูดปุ๊บรู้ปั๊บว่าดูเรื่องอะไรเลย
“...นี่พี่ดูละครช่วงบ่ายที่ฉายให้แม่บ้านดูเรอะ” เรื่องนี้จริงๆ เป็นละครหลังข่าว แต่เอากลับมารีรันในเวลาแม่บ้าน
“น้องชายนายต่างหากที่เปิด ฉันแค่บังเอิญนั่งอยู่แถวนั้นพอดี” พี่เอื้อปฏิเสธทันควัน
“น้องพระเอกชื่ออะไร”
“อะลูมิเนียม” นี่ก็ตอบทันควัน
“...จ้า เชื่อแล้วว่าบังเอิญนั่งอยู่แถวนั้น” ผมลากเสียง เลยโดนตบกบาลไปหนึ่งที “ฮือๆ ต้องแบบนี้มันถึงจะแปลกแตกต่าง พี่ที่มีชื่อเล่นสองพยางค์นี่ก็เข้าข่ายนะ บางทีผมก็ลืมแล้วเนี่ยว่าพี่ชื่อโอบเอื้อ”
“...บางทีฉันก็ลืมเหมือนกัน”
“...”
หลังจากสนทนาไร้สาระกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดแถวของพวกผมก็ร่นจนเหลืออีกแค่ไม่กี่คนแล้ว
“...นี่ตั๋วมันแจกฟรีหรือไงเนี่ย” พี่เอื้อบ่นลอยๆ หลังจากทนเอาหน้าหล่อๆ สู้แดดมาเกินยี่สิบนาที
“ผมกลับบ้านแล้วไม่ได้เหรอ” ผมทำเสียงหมดอาลัยตายอยาก คนเยอะไปหมด เดือนทนไม่ไหวแล้วววว
อนิจจากลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าพากันเดินออกไปพอดี พี่เอื้อรีบก้าวยาวๆ ไปซื้อบัตร รู้ตัวอีกทีที่ข้อมือผมก็มีแผ่นพลาสติกประดับลวดลายเป็นตัวการ์ตูนสาวน้อยน่ารักคล้องอยู่เป็นที่เรียบร้อย
จากนั้น...
*พี่เอื้อๆๆๆๆ รับโทรศัพท์ของน้องจิ๊บเดี๋ยวนี้ๆๆๆๆ*
“!!!” พวกผมสี่คนในห้องพร้อมใจกันสะดุ้งโหยง ก่อนที่พี่เอื้อจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“จิ๊บบี้โทรมา...แม่ง แอบเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าตอนไหนวะเนี่ย”
“เชี่ย ตกใจหมด โอยยยย” ผมลูบอกตัวเอง
“พี่ออกไปรับโทรศัพท์แป๊บ...เล่าไปก่อน” พี่เอื้อลุกขึ้น ก่อนหันกลับมามองผม “เดือน รู้ใช่ไหม...”
ผมกะพริบตาปริบๆ พลางส่งยิ้มแบบตัวสล็อธให้พี่เอื้อ
“มาภา”
“จ๋า”
“...รู้ใช่ไหม”
“รู้จ้ะ”
พี่เอื้อทำเสียงพ่นลมหายใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูห้องชมรมปิด ผมก็หันไปหาน้องเอก “น้องเอก เรื่องที่พี่จะเล่าต่อจากนี้เป็นความลับอันดำมืดของพี่เอื้อ...”
-เอ่อ ไม่เล่าก็ได้มั้งครับ-
“คือแบบนี้นะ...”
-ผมไม่ได้อยากรู้จริงๆ นะครับ-
“วินาทีที่ก้าวเข้าไปในเขตของสวนสนุก...”
-พี่เดือนไม่ได้ฟังผมเลยสักนิดใช่ไหมครับ-
...ไม่เลยสักนิดจ้า
•••TBC
ช่วงหน้า...ฟามลับดำมืดของคุณพี่อะเอื้ออออ :a5: :a5: :a5:
STAGE 7: เผชิญหน้าครอบครัว
จุดประสงค์การเรียนรู้: รักของพระเอกนายเอกจะฝ่ากำแพงนี้ไปด้วยกัน
เงื่อนไขลับ: เกิดขึ้นต่อครอบครัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ส่วนมากจะไม่เกิดพร้อมกัน
คอมเม้นต์นายเอก: คัต!
คราวนี้ถึงคราวผมเคาะที่ตีเปรตรัวๆ ร้องคัตเสียงดังลั่น
“เอ้า คัตอะไรอีก”
“เดี๋ยวก่อน! นี่มันข้ามแล้วหรือเปล่า ยังไม่ทันจบสเตจสี่เลยนะ” ผมรีบเบรก
“จบแล้วนี่ไง ขี้นเสตจใหม่แล้ว”
“แล้วจากสี่ไปเจ็ดเนี่ยนะ นับเลขเป็นไหมเนี่ย”
“น้องเดือนครับ” พี่เอื้อมตบบ่าผม “ความรักอ่ะนะ มันไม่มีรูปแบบตายตัวหรอก หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วก็ไปเจ็ด แล้วค่อยย้อนกลับมาห้า หกก็ได้”
ผมหันไปหาน้องเอกที่ทำหน้าแบบพวกพี่เอาที่สบายใจเลยครับ ก่อนจะแหงนหน้ามองฝ้าเพดานชมรมจุลสารที่ทุกวันนี้ยังมีรอยแดงๆ ออกน้ำตาลของเลือดไก่ (โปรดอย่าถามว่ามันขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ไง มันเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อย) พลางถอนหายใจ “ก็ได้...”
“งั้นเชิญเล่าต่อ”
ถึงไหนแล้วนะ...อ้อ ไปกินข้าวกับพ่อแม่พี่เอื้อ เดี๋ยวๆๆๆ ไม่ใช่สิ อ้าว สปอยล์แล้วไหม เอ่อ มันก็ออกจะสปอยล์ๆ มาตั้งแต่หัวสเตจแล้วอ่ะนะ
13
เอาใหม่ ก่อนอีเว้นต์ลับนี้จะบังเกิด หลังกลับจากสวนสนุกได้สักพัก พี่เอื้อก็ได้รับโทรเลข เอ๊ย โทรศัพท์ตามตัวกลับบ้าน ผมถูกปลุกมาปล้ำจูบแต่เช้า แล้วโจรปล้นสวาทก็จากไปแบบออกไปทางประตูบ้านอย่างสง่าผ่าเผยแถมยังล็อกบ้านให้อีกต่างหาก
ผมตื่นมาอีกครั้งก็พบว่ารอบตัวสว่างจ้าไปหมด พอแหงะมองนาฬิกาก็พบว่าปาเข้าไปสิบโมงแล้ว ตอนแรกตกใจแทบสิ้นสติรีบตะกายไปอาบน้ำ ก่อนจะสำนึกได้ว่าวันนี้ไม่มีเรียน เลยค่อยๆ เดินลงไปด้านล่าง ก็พบว่าที่หน้าตู้เย็นมีโน้ตบอกว่ากับข้าวอยู่ในตู้ พร้อมแจกแจงรายละเอียดวิธีการอุ่นเสร็จสรรพ
พอกินเสร็จผมก็ไปนั่งทำแบบฝึกหัดห้าข้อของพี่เอื้อ แล้วก็เคลียร์การบ้านของอาจารย์โอ๋คลาสเมื่อวาน พอทำเสร็จหมดแล้วผมก็กลิ้งไปกลิ้งมา อา...ผมรักบ้าน ผมรักการได้กลิ้งเกลือก นอนโง่ๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นที่บ้านเหลือเกิน
หลังกลิ้งจนเบื่อ ผมก็เปิดเกมเล่น แต่เล่นได้พักหนึ่งก็เบื่อ เลยเปิดโทรทัศน์ดู...ก็พบว่ายังเบื่อ ครั้นจะขุดเอาซีรีส์ที่ดองไว้มานั่งดูก็รู้สึกว่าคงต้องดูมาราธอน ถ้าเกิดมีกบกลับมาขัดจังหวะคงเสียอารมณ์แย่ เลยตัดสินใจไม่เปิดดู ทำไปทำมาผมได้แต่นั่งจ๋องมองเพดานอยู่ครู่ใหญ่...รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ปกติชีวิตว่างแบบนี้หรือเลยเหรอ
ตอนนั้นถึงคิดได้ว่าตอนที่มีแฟนคนแรกก็รู้สึกชีวิตยุ่งๆ พอไม่มีก็นั่งจ๋องๆ เหมือนมีเวลาส่วนเกินที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
เพียงแต่...สถานะพี่เอื้อหาใช่แฟนไม่ อาการนี้อาจจะเหมือนแม่บ้านที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยออกไปอยู่หอมีชีวิตเป็นของตัวเองงี้ ว้ากกกก ตบหัวผมทำไม
อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อนพวกผมก็ไปตามล่าหาแม่มดกันที่เมืองกาญจน์ ตอนแรกพี่เอื้อจะขับรถไป แต่ผมงานนั้นหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม เลยลากพี่ท่านไปขึ้นรถไฟไทย ชมวิว นั่งร้อนกันไป คุยอะไรกันไร้สาระ และก็เหมือนเดิมคือไปชะโงกดูแม่มด...ซึ่งก็ยังไม่ใช่
“นี่นายแน่ใจว่าเห็นหน้าแม่มดจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“จริงเซ่” ...มาถึงตรงนี้ความมั่นใจก็เริ่มสั่นคลอนแล้วเนี่ย
พอเวลาเหลือ พวกเราเลยไปหาอะไรกินแบบสุ่มๆ เอาแถวนั้น ก่อนจะพากันไปเดินสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตอนเห็นสะพานคุณพี่สุดหล่อของผม...หล่อจ้า ไม่มีอะไรครับพี่เอื้อ พี่หล่อเท่าเดิม แถมเดินยันกับโมเดลเดินบนรันเวย์...คือเป็นเส้นตรงแหน็วไม่มีการว่อกแว่กมองซ้ายมองขวา
หลังจากนั้นพวกเราก็มีทริปรายวันไปเที่ยวนครปฐม วนเล่นแถวเยาวราช แวะเมดคาเฟ่ที่เกตเวย์ เที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่บางแสน ไปเดินไล่หม่ำแถวท่าพระจันทร์ มั่วซั่วถั่วเป็นยิ่งนัก...เรียกว่าปิดเทอมแทบไม่มีวันว่าง
อ่ะ นั่นแหละ สรุปผมที่ว่างงานได้แต่ดูรายการโทรทัศน์วนไปวนมาจนแทบจะหลับน้ำลายยืดคาโซฟา จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูถึงสะดุ้งตื่น พอหันไปมองก็เห็นพี่เอื้อในชุดลำลอง...หล่อมาก หล่อโคตรๆ บอกเดินออกมาจากปกนิตยสารก็เชื่อ พอเห็นผมพี่ท่านก็คลี่ยิ้มแล้วพูดหล่อๆ ออกมาหนึ่งประโยค
“พรุ่งนี้ไปกินข้าวกับที่บ้านพี่นะ”
“หา”
“อีเว้นต์นี้ผิดจังหวะหรือเปล่าพี่” เออ...มันก็คงเหมือนๆ ไอ้สเตจสี่ปุ๊บขึ้นเจ็ดเลยนี่แหละ “...เนื่องในโอกาสอะไร”
“จะกินข้าวต้องมีโอกาสอะไรด้วยเหรอ”
“...กับพ่อแม่” ผมทำมือเป็นรูปเครื่องหมายคำพูดกลางอากาศ “พ่อแม่พี่ด้วย ไม่ใช่ของผม”
“มีคนที่อยากให้นายไปดูหน่อย”
“หืม”
“คู่หมั้นฉัน”
คราวนี้ผมสำลักน้ำลาย ไอโขลกออกมาชุดใหญ่ “คู่หมั้น”
“ไม่เชิง แต่แบบว่าผู้ใหญ่เขาเคยคุยกันไว้” พี่เอื้ออธิบายขณะไปหาน้ำมาให้ผมดื่ม ก่อนเสริม “ฉันก็ไม่เคยเห็นหน้า แต่ตอนนี้รายชื่อหมดแล้ว ฉันเลยคิดว่าอาจจะเป็นคู่หมั้นฉันก็ได้ เลยอยากให้นายไปดูหน้าให้หน่อย”
ผมรีบยกมือบอกให้พี่เอื้อหยุดพูดก่อนแล้วดื่มน้ำเพราะกลัวว่ากินๆ อยู่แล้วจะเผลอพ่นออกไปเป็นเมอร์ไลอ้อน “พี่ถ่ายรูปกลับมาฝากผมไม่ได้เหรอ”
พี่เอื้อย่นคิ้ว “...ฉันจะปฏิเสธเรื่องเขา แล้วยังขอเขาถ่ายรูปเนี่ยนะ”
“ฮึ่ม...แบบว่าขอถ่ายเป็นที่ระลึกไง”
“อาหารโรงแรมหรูเลยนา” พี่เอื้อเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์
“ฮึ่มมมมม”
“ห้องอาหารมีอาหารญี่ปุ่นเป็นหลักก็จริง ถ้าไม่ชอบก็มีมุมฟิวชั่น มุมอาหารนานาชาติ...สดใหม่ไฮโซ”
“ได้” ...ข้าแพ้แล้ว
“ดี งั้นเราออกไปข้างนอกกัน”
ว่าแล้วพี่ท่านก็ลากผมออกไป จับโยนขึ้นรถให้ผมอกสั่นขวัญหาย ก่อนจะวาร์ปมาโผล่ที่ห้างดังใจกลางเมือง
“เอ่อ...เรามาทำอะไรกันที่นี่นะครับคุณพี่” ผมยืนงงๆ มองผู้คนขวักไขว่ หลังจากคดีสวนสนุกแล้วผมก็เริ่มคุ้นชินกับสายตาที่มองมาทางพี่เอื้อ กระทั่งคนเดินผ่านไปแล้วยังมีการเหลียวกลับมามองซ้ำ แล้วตรงมุมๆ นั่นมีคนถ่ายรูปอยู่ด้วย
“ซื้อเสื้อผ้าให้นาย”
“พี่ซื้อให้?”
“ช่าย”
“หวายยย จะเป็นแบบนั้นเหรอ...ที่เขาว่าอะไรนะ ‘ฉันซื้อเสื้อผ้าให้ก็เพราะอยากจะเป็นคนถอดให้เธอน่ะสิ’” ผมเอ่ยเสียงขรึม เลียนแบบพระเอกซีรีส์เรื่องดัง
“แบบนั้นฉันขโมยเสื้อผ้าทั้งตู้นายจนไม่เหลืออะไรให้ใส่ดูเข้าท่ากว่า” ว่าแล้วเขาก็ล็อกคอลากผมเข้าร้านเสื้อผ้าราคาแพงที่ปกติผมไม่แม้แต่จะชายตามอง พอพลิกป้ายดูก็พบว่าบนป้ายมีแต่ข้อความประมาณเส้นใยคุณภาพ บลาๆๆๆ แต่ไม่มีราคา...โลกนี้ต้องการอะไร ต้องการคนรวยหน้ามืดที่พร้อมรูดแบบไม่แคร์ตัวเลขงั้นเหรอ
“พี่ เราไปฝั่งตรงข้ามไหม เสื้อตัวละร้อยเก้าเก้าเอาอยู่”
“ฉันซื้อให้” พี่เอื้อย้ำความต้องการเดิมอีกครั้ง
“แต่ถ้าพี่ซื้อร้านนี้ พี่จะซื้อเสื้อให้ผมได้หนึ่งตัว ในขณะที่เงินเท่ากัน พี่สามารถซื้อเสื้อที่ฝั่งโน้นให้ผมได้ถึงสิบกว่าตัว” ผมพูดแบบมีหลักการ
“ยังไงนายก็ต้องการเสื้อผ้าชุดเดียวอยู่ดี” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ “หรือเราถอยไปเริ่มจากเลี้ยงตัวไหมเองเลยดี”
“เออ เอ้า ได้ คนเราไปต้องไปให้สุด” ...แล้วหยุดที่โรงพยาบาลบ้า
พ่นมาพ่นไป รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในห้องลองเสื้อพร้อมเสื้อผ้าจำนวนหนึ่ง บวกกับพี่เอื้อการย์ที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องลองกับผมด้วยเฉยเลย “เอ่อ คุณพี่ครับ รอข้างนอกดีกว่าไหม”
“หืม ฉันจ่าย ฉันก็ต้องได้ดูสินค้า” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ โอ้โห ประโยคแบบนี้คนหล่อพูดแล้วดูดี ถ้าผมพูดนี่น่าจะเหมือนพ่อเล้าว่ะ ถุยๆๆ
สุดท้ายผมที่ปลงตกแล้วก็เลือกหยิบเสื้อมาตัวหนึ่ง ขณะกำลังจะถอดเสื้อตัวเก่า ก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย “พี่เอื้อ...”
“หืม”
“หะ หันไปทางอื่นหน่อย”
“ทำไม อาย?” คนหล่อเลิกคิ้วใส่ ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มร้ายๆ “ปกติอยู่บ้านนายก็นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินกลับมาจากห้องน้ำบ่อยๆ บางทีไม่นุ่งด้วยซ้ำ มาอายอะไรตอนนี้”
“เฮ้ย ก็ตุ๊กตากบมัน...มันไม่เป็นอะไรไหมวะ นี่ผมโดนพี่จ้องแล้วร้อนๆ หนาวๆ ไปหมดแล้วนะ” ผมลูบแขนที่ขนลุกซู่ของตัวเอง สุดท้ายพี่เอื้อเลยยอมหันหลังให้ ผมหยิบจับไปมาก็ได้เสื้อเชิ้ตสีครีมที่ผ้านุ่มเสียจนอยากจะเอากลับไปนอนกอด ตามด้วยกางเกงสีขาว
พอเรียกให้พี่เอื้อหันกลับมาดู พ่อรูปหล่อมองผมขึ้นๆ ลงๆ สองสามครั้งก่อนส่ายหัว “ปกติมันต้องออกมาเป็นลุคเทวดาผู้ใสบริสุทธิ์อะไรทำนองนี้ไหมนะ แบบหันมาแล้วว้าววว”
“พี่ครับ จะเสื้อตัวละร้อยเก้าเก้าหรือพันเก้า หนังหน้าคนใส่มันก็ได้เท่านี้”
“เฮ้ย อย่างน้อยมันก็ต้องเหมือนในละครบ้างสิวะ เงาะป่าถอดรูปอะไรงี้”
ผมฟังเขาแล้วได้แต่กลอกตาเป็นวงกลม
“พี่เอาเงาะยัดไส้สับปะรดไปละกัน” ...ไอ้เสื้อเชิ้ตสีครีมนี่ก็เหมือนสีเนื้อเงาะอยู่
พี่เอื้อหัวเราะออกมาเสียงดัง “งั้นเอาตัวนี้”
“เอาเงาะจริงอ๋อ”
“เออ เดี๋ยวไปหาสูทสีแดงมาอีกสักตัว”
“ติดขนเขียวด้วยเลยมั้ย ถุย นี่เอาผมไปพบที่บ้านหรือพาไปเล่นตลกวะ”
“เล่นตลกให้ที่บ้านดู” พี่เอื้อตอบหน้าตาย
“...” ก็ได้
สุดท้ายผมได้เสื้อเชิ้ตสีเข้มมาตัวหนึ่งกับกางเกงดูเรียบร้อย ใส่แล้วเหมือนเด็กจบใหม่จะไปสมัครงาน แต่หนังหน้ามาได้แค่นี้คือสุด กว่านี้คงต้องพึ่งพลังเมคอัปไม่ก็ไปศัลยกรรมให้แม่งรู้แล้วรู้รอด
ตอนบ่ายๆ เกือบเย็นพี่เอื้อพาผมไปที่คอนโดหรูในเมืองของตัวเอง คราวนี้ถึงค่อยเป็นคอนโดหรูแบบในนิยายหน่อย แถมพ่อพระเอกนอนอยู่ชั้นบนสุดจริงๆ เสียด้วย
“วันนี้นอนนี่แล้วกัน จะได้มีเวลาพักผ่อนเยอะหน่อย”
“พี่ครับ ประโยคเมื่อกี้พี่ควรพูดก่อนพาผมขึ้นห้องครับ...นี่มันประหารแล้วค่อยกราบทูลอีกแล้ว”
พี่เอื้อกลอกตาก่อนดันผมเข้าห้องไป ฝ่ายผมเพิ่งเคยมาคอนโดหรูหราขนาดนี้เป็นครั้งแรกก็มองไปรอบๆ ห้องด้วยความสนอกสนใจ
“โห มีแต่หนังสือฝรั่ง พี่อ่านภาษาไทยบ้างจะสลายร่างเหรอวะ” ผมถามด้วยความสงสัยขณะดึงนั่นค้นนี่ อะไรนะ เห็นว่าสนิทแล้วเริ่มไม่เกรงใจ เออ ก็จริง ครั้งแรกที่ไปหอพี่เอื้อผมไม่ค่อยกล้าแตะอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เหรอ...ไร้ซึ่งความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีโดยสิ้นเชิง
“บ้าเรอะ หนังสือภาษาอังกฤษมันดูหรูกว่าต่างหาก แบบว่าดูเป็นปัญญาชน” พี่เอื้อตอบกลับมาจากในห้องน้ำ ตาคนนี้หลังๆ ก็เริ่มตอบอะไรไม่เกรงใจหนังหน้าตัวเองขึ้นทุกที
“...พี่อย่าพูดจาทำลายความฝันเซ่” พระเอกเขาไม่พูดกันแบบนี้
“มาถึงตรงนี้ยังเหลืออะไรให้ทำลายอีก” พี่เอื้อตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “พี่อาบน้ำก่อน เวลาน่าจะใกลหมดแล้ว ถ้าฉันเงียบไปเกินชั่วโมงช่วยมาดูด้วย นุ่นอาจจะบวมน้ำแล้ว”
ผมหัวเราะก๊าก จะว่าไปแล้วก่อนนี้มีครั้งหนึ่งกะเวลาผิด พี่เอื้อกลายเป็นตุ๊กตากบระหว่างอาบน้ำ ผมก็ไม่รู้เรื่อง จนโน่น ตอนเช้าที่ตะวันเข้าไปเก็บผ้า ถึงเห็นศพ เอ๊ย กบขึ้นอืดอยู่ตัวหนึ่ง เลยบิดน้ำออกแล้วเอามานั่งผึ่งพัดลมให้แห้ง
ทว่ารอบนี้โชคดีที่ผมไม่ต้องเข้าไปกู้ภัย พอพี่เอื้อออกมาจากห้องอาบน้ำก็เดินเข้าไปในห้องที่ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นห้องแต่งตัว และหยิบเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่กับชุดนอนให้ “เดี๋ยวนี่ไว้ใส่นอนแล้วกัน...วางไว้ให้ตรงนี้นะ เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาซะแล้วมากินข้าว”
ได้ยินคำว่าข้าวผมเลยเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ภายในห้องน้ำก็ยังถูกจัดด้วยโทนสีขาวดำ พวกขวดๆ อะไรทั้งหลายที่เรียงกันหน้ากระจกล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผมไม่เคยเห็น ผลก็คือลองกดสนุกสนาน จนสุดท้ายพ่อต้องออกมาลากไปกินข้าว ฮือ ตีผมอีกแล้ว!
แม้พี่เอื้อจะไม่ค่อยได้มาที่นี่ แต่ก็มีแม่บ้านมาคอยดูแลตลอด ทำให้ตู้เย็นยังมีอาหารให้กินบ้าง บนโต๊ะมีสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าวางรออยู่ในจานหน้าตาดูไฮโซกว่าจานที่บ้านผมเยอะ
พอกินเสร็จพี่เอื้อก็กลับเป็นตุ๊กตาพอดี...ซะที่ไหน ใครกันที่ต้องจาน ถูกต้อง ตูเอง พอล้างจานเสร็จผมเลยไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอนตัวหลอมโพรกกว่าผมเยอะ กางเกงกองจนขาลาก เรียกว่าใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวก็ได้ สุดท้ายเลยไปรื้อๆ ค้นๆ หากางเกงขาสั้นเจ้าคุณพี่มาใส่แทน เป็นอันเรียบร้อย
ตอนผมเป่าผมเสร็จและออกมาก็ไม่เห็นพี่เอื้อ พอมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางห้องนอน
“มา นอนได้แล้ว” พี่เอื้อในร่างตุ๊กตากบแล้วเอ่ยขณะตบๆ ลงบนเตียงคิงก์ไซซ์ของตัวเองที่ปูด้วยผ้าปูสีดำ ผมที่อาบน้ำและใช้เสื้อนอนพี่เอื้อต่างชุดนอนมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแสงไฟ พลันคิดขึ้นมา “พี่ ฉากตอนนี้แม่งได้”
“หา”
“เนี่ย... ตอนนี้ถ้าพี่เปลือยท่อนบน มือถือแก้วไวน์รอผมตาเยิ้มบนเตียงนะ...แล้วเตียงโรยกลีบกุหลาบแดงอีกสักหน่อย คือแม่งได้” ...ได้เสียกันแน่นอน
พี่เอื้อหัวเราะก๊าก ก่อนจะตบเตียง “พอ นอนๆ”
ผมปีนขึ้นเตียงด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ ตุ๊กตากบ พอหลับตาปุ๊บ สติผมก็หายไปราวกับถูกกดสวิตช์ปิด
หมดกันซึ่งฉากโรแมนติกสุดแมส
STAGE 5: เปิดใจให้กัน
จุดประสงค์การเรียนรู้: คนสองคนเริ่มรู้ถึงความในใจของกันและกัน
คอมเม้นต์คนสัมภาษณ์: กระโดดกันแบบนี้เลยหรือครับ
15
แล้วก็เหมือนสวรรค์ท่านเห็นใจ เพราะวินาทีต่อมาก็มีเสียงตะโกนว่า ‘เอื้อการย์’ ดังกึกก้อง ตามมาด้วยเจ้าของชื่อที่เดินออกมาจากห้องด้วยท่วงท่าประหนึ่งเดินบนรันเวย์ สีหน้าของพี่ท่านอิ่มเอิบประหนึ่งพระโพธิสัตว์บรรลุธรรมจนผมอยากจะย้ายไอ้ไฝแดงใต้ตาเขาไปอยู่บนหน้าผากแทน ให้เป็นอุณาโลมไปซะเลย ทำหน้าอิ่มบุญซะขนาดนี้
ที่เดินตามออกมาคือเจ้าคุณพ่อของพี่เอื้อที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ...ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่อยู่ดี แค่กๆ “ไปเลยนะ แล้วแกไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าจริง”
พี่เอื้อหันกลับไปมองเจ้าคุณพ่อ “พูดจริงพูดเล่นครับ”
ผมฟังแล้วเกือบหัวทิ่ม
“เออ ไปเลย แล้วเงินไม่มีอย่าซมซานกลับมาขอ!”
“ผมได้ค่าขนมจากอาเล็กมาเยอะมาก คิดว่าคงไม่ต้องซมซานกลับมาขอหรอกครับ”
เจ้าคุณพ่อหน้าเปลี่ยนไปราวๆ สามเฉดสี แดง ม่วง ขาว ก่อนจะตะโกนด่าทอเป็นชุด ฝ่ายพี่เอื้อผู้มีรอยยิ้มสว่างไสวดุจพระสังกัจจายก็เดินตรงมาทางที่ผมยืนอยู่ ก่อนมองหม่อมแม่ด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “อ้าว คุณแม่”
หม่อมแม่เองก็มองพี่เอื้ออึ้งๆ “ตาเอื้อ...คุณพ่อ...”
“ผมกับคุณพ่อมีปัญหาเรื่องความเข้าใจกันเล็กน้อย เอาไว้คุณพ่ออารมณ์เย็นค่อยคุยกันใหม่นะครับ ผมขอตัวก่อน” พี่เอื้อหันมาหาผม “เดือน สวัสดีคุณแม่แล้วเราไปกัน”
“หา” ผมกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ยกมือไหว้หม่อมแม่ของพี่เอื้อแต่โดยดี ก่อนจะถูกคนใช้มือเกี่ยวเอว พาเดินออกจากห้องอาหารไปอย่างสง่างาม
ครั้นพ้นออกมาจากโรงแรมหรู ผมก็หันกลับไปมองพี่เอื้อ “เจ้าคุณพ่อตัดออกจากกองมรดกแล้ว?”
“เก่งมาก ละครสอนมาอีกสิท่า”
“ตายหอง พี่ไม่มีเงินแล้ว ทำไงดี” ผมเอามือทาบอก ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “หรือนี่จะเป็นแผนของที่บ้านพี่ แกล้งทำเป็นจนเพื่อทดสอบความรักที่ผมมีต่อพี่”
อันนี้จริงๆ เป็นละครเรื่องใหม่ที่กำลังจะเริ่มตอนแรกคืนวันพรุ่งนี้ เรื่องมันก็ทำนองว่าพระเอกแกล้งทำเป็นจนมาก ทุกคนในโรงเรียนพากันถอยหนี มีแค่นางเอกที่จริงใจด้วย
พี่เอื้อหลุดหัวเราะดังพรืด “แล้วถ้าจนจริงน้องเดือนจะยังคบพี่ไหมครับ”
“ไม่”
“...กูว่าแล้วเชียว” พี่เอื้อกลอกตา “แต่จะแกล้งเล่นเป็นคนจนไปทำไมวะ ว่างงานเหรอ”
“คืนพรุ่งนี้สองทุ่มครึ่งนะ” จับดูละครไปเลยง่ายดี
พี่เอื้อมองผม ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันควันแบบไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า “ฝั่งโน้นมีห้าง ไปเดินเล่นมะ”
“เอาสิ” ผมพยักหน้า “ยังไงเมื่อเช้าพี่ก็สูบผมไปเยอะ นี่ยังไม่บ่ายสามเลย แต่ถ้าซวยพี่คืนร่างก็ตัวใครตัวมันนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่รู้ว่าพี่ไม่ควรหวังอะไรจากน้องเดือนอยู่แล้ว”
...ผมรู้สึกมโนธรรมเจ็บแปลบขึ้นมาหน่อยๆ ทำไมกันวะ
หลังจากนั้นพวกผมก็ไปเดินห้าง ซึ่งไอ้ที่เรียกว่าเดินห้างก็คือเดินกันไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย เรียกว่าเดินจนไม่รู้จะทำอะไรกันแล้ว “ปกติมาห้างเขามาทำอะไรกันวะพี่”
“ซื้อของ ดูหนัง กินข้าว”
“อืมมมม” ไม่รู้จะซื้ออะไร ไม่มีหนังน่าสนใจ และข้าวเพิ่งกินมาเมื่อกี้
สุดท้ายพวกเราสองคนก็นั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้างสรรพสินค้า อากาศตรงนั้นร้อนมาก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เร่งรีบเดินกันเสียจนไม่มีใครหยุดหันมามองพี่เอื้อ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับผมไม่น้อย ผมนั่งเท้าคางบนแขนที่ยันไว้กับเข่าพี่เอื้อ จากนั้นก็มองเด็กผู้ชายที่ลงไปดิ้นๆ กับพื้นเพราะอยากกินไส้กรอกทอดของร้านรถเข็นหน้าห้าง
ตอนนั้นจู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “รู้ไหม พี่เป็นคนแรกที่ทำกับข้าวให้ผมกิน...แม่ผมไม่เคยทำกับข้าวเลย ไม่รู้ทำเป็นหรือเปล่า”
“...ไอ้ที่ซื้อกินข้างทางมันก็มีใครสักคนทำให้กินนะ”
ผมคิดตามก่อนจะหัวเราะออกมา “เอ้อ จริง...หมายถึงกินที่บ้านน่ะ ที่บ้าน...เอ๊ะ แล้วอย่างบ้านพี่ต้องมีเชฟอันดับหนึ่งของโลกมาทำให้กินป่ะ”
“ดูละครเยอะไปแล้ว! แม่ฉันทำกับข้าวเก่งเถอะ แต่ก็ทำไม่ค่อยบ่อย ถ้ามีงานต้องอวดฝีมือทีก็ทำที ที่เหลือก็ป้าแม่ครัวแหละนะ แต่แม่ว่างๆ ก็ทำขนม จัดงานเลี้ยงชวนพวกสาวๆ มานั่งเม้าท์” พี่เอื้อเอียงหัวมาซบกับหัวผม “ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวตัวอย่าง พ่อไม่เจ้าชู้ แม่ที่เป็นสาวเก่ง ลูกชายคนโตหัวดี ลูกชายคนเล็กอ่อนน้อม”
“แล้วคนกลางล่ะ”
“ถูกลืม” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ฉันเกิดช่วงที่บ้านแย่ๆ พอดี ที่เคยบอกไงว่าเขาถึงตั้งชื่อว่าเอื้อการย์...แต่ก็ไม่ได้ช่วยเอื้ออะไรสักเท่าไหร่ เรียกว่าโตมากับพี่เลี้ยงมากกว่า ช่วงเด็กๆ นี่อู้คำเมืองคล่องมาก”
ผมหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเขายกตัวอย่างให้ฟัง “พี่ยังดี ผมไม่มีพี่เลี้ยง แต่ออกไปเล่นกับลูกคนงาน สมัยเด็กนี่เขมรคล่องปรื๋อ”
“ประกอบกับหวังให้พี่ชายฉันเป็นผู้สืบทอด...แบบในละครอ่ะแหละ พ่อแม่เข้มงวดกับพี่มาก แล้วพี่ชายฉันก็ตามสเต็ปหนังเป๊ะ...แต่หนังเด็กมีปัญหานะ ถูกเข้มงวดด้วยมากเกินไป...ก็เลยพัง”
ผมพยายามนึกถึงคุณพี่ชาย แต่ภาพเลือนๆ พอสมควรเพราะก่อนนี้มัวแต่กินโดยไม่สนใจชาวบ้านชาวช่อง
“จริงๆ พี่เป็นเด็กเก่งนะ ท็อประดับชั้น ระดับประเทศ แต่เพราะแบบนั้นก็เลยถูกรังแกน่ะ...แบบว่า ปกติแล้วเราจะคิดว่าคนเก่งจะได้รับความชื่นชมใช่ไหม แต่ในสังคมของเด็ก บางทีมันกลับกลายเป็นความริษยา”
“พี่ชายฉันถูกบูลลี่...ถูกพวกรุ่นพี่หัวโจกในโรงเรียนรังแกเอา แต่เพราะพี่คือลูกตัวอย่าง ก็เลยไม่กล้าบอกพ่อแม่ เพราะกลัวพ่อแม่จะผิดหวัง อ้อ ไม่สิ จริงๆ พี่ก็เคยบอกนะ แต่พ่อบอกคนจะเป็นผู้นำ ต้องรู้จักจัดการ อย่าให้เรื่องหยุมหยิมมาเป็นเรื่องใหญ่”
“ส่วนแม่ก็เอาเรื่องไปคุยกับครู ครูก็แค่หัวเราะแล้วบอกว่ามันเป็นการเข้าสังคม ถ้าไม่สามารถรับสภาวะแบบนี้ได้ ต่อไปจะไม่มีเพื่อนนะ...จะลำบากนะ แม่ก็เลยอาศัยเส้นสายในฐานะประธานสมาคมผู้ปกครองบีบบังคับทางโรงเรียน คราวนี้พอครูจับตามอง ก็เกิดการลงโทษเด็กหัวโจกอย่างรุนแรง...พวกนั้นเลยยิ่งเกลียดพี่”
“สุดท้ายพี่ก็เลยเลือกวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับตัวเอง...” พี่เอื้อหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่ารอยยิ้มกลับขึ้นไปไม่ถึงดวงตา “ตายซะง่ายดี เหมือนคอมพิวเตอร์ กดชัตดาวน์ไปเลย ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น...แต่บังเอิญถูกกู้กลับมาได้ทัน”
“ต่อมาน้องชายเกิดมาพอดี พ่อกับแม่มัวแต่ทุ่มความรักให้พี่ แล้วก็ไม่กดดันลูกแล้ว น้องชายเลยกลายเป็นพวกโหยหาความรักแทน พยายามเรียนดี เอาใจพ่อแม่ทุกอย่าง อยากให้พ่อแม่รัก”
“แล้วพี่ล่ะ”
“ฉัน? ฉันเรียนคนละชั้นกับพี่เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็เอาตัวรอดด้วยการให้พวกหัวโจกลอกการบ้าน ยอมให้พวกรุ่นพี่ใช้งาน” พี่เอื้อส่ายหัว “จริงๆ แล้วเกลียดตัวเองอยู่ตลอด ที่ยอมก้มหัวให้อะไรแบบนี้เหมือนกัน”
“จนกระทั่งรู้เรื่องพี่นี่แหละ ฉันก็เลยคิดว่า ‘ไม่เอาแล้วล่ะ ไม่ก้มหัวให้อะไรแบบนี้อีกแล้ว’ แต่ตอนนั้นทำอะไรมากไม่ได้ ก็มีโดนบอยคอตแหละนะ แต่เพราะหน้าตาดี พวกสาวๆ เลยเข้าข้าง”
“...”
“ช่วงฉันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย พี่พยายามฆ่าตัวตายอีกรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เพราะงั้นเลยเลือกเรียนที่นี่โดยแม่ไม่ได้พูดอะไรแหละนะ...เรื่องเงินก็มีเงินก้อนจากคุณอาคนเล็ก น้องสาวพ่อที่เขาค่อนข้างเอ็นดูฉัน ก็กะว่าใช้เป็นทุนให้จนเรียนจบ ไว้จบแล้วก็คงแยกตัวออกมาจากที่บ้านแหละ พ่อแม่ก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากฉันขนาดนั้น”
“ฉันเองก็ใช้ชีวิตแบบที่ไม่คิดจะยอมให้เรื่องบ้าๆ พวกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ก็ลำบากอะนะ แต่อย่างน้อยก็สบายใจกว่า” พี่เอื้อหัวเราะ
ผมนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนถามเสียงเบา “เรื่องรับน้องคณะ?”
“เรื่องรับน้องคณะนั่นแหละ” พี่เอื้อพยักหน้า “ตอนนั้นนายยังไม่เข้าเรียน ไม่อย่างนั้นรับรองว่าสนุกสนาน ฉันกับพวกไอ้ตี๋เคยต้องหลบหลังต้นไม้ย่องหนีพวกรุ่นพี่ที่ตามมารุมกระทืบเลย โคตรฮา รุ่นพี่ขี่จักรยานส่องไฟ พวกฉันก็ต้องยืนแนบไปกับต้นไม้”
ผมคิดภาพตามหัวเราะ “อะไรกัน ปกติเขาต้องเผชิญหน้าแบบแมนๆ สิวะพี่”
พี่เอื้อพ่นพรืด “ห่า มีกันอยู่ไม่ถึงสิบตีน เจอกับรุ่นพี่ล่อไปเป็นสามสี่สิบตีนได้ เปรี้ยวยังไงก็ต้องมีสตินะ”
“แต่สุดท้ายพี่ก็ทำสำเร็จนี่นา ปฏิรูประบบรับน้องของคณะเราจนได้”
“ก็ใช่” พี่เอื้อหัวเราะ “บางทีก็ยังคิดเลยว่าตัวเองบ้าหรือเปล่า เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
“ก็ยังอุตส่าห์ได้สี่จุดศูนย์ศูนย์นะ” แม่งมีวิชาแยกเงาพันร่างหรือเปล่าวะเนี่ย
คุณพี่พระเอกกลอกตาใส่ผม “ไอ้นั่นมันอยู่ที่ทบทวนบทเรียนหรือไม่ต่างหากล่ะ”
“...ครับ”
พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด “จริงๆ ตอนแรกฉันก็รับน้องไปกับเขาแหละ เขาด่าก็ให้ด่า เขาสั่งอะไรก็ทำ จนวันหนึ่งไปเยี่ยมพี่ที่โรงพยาบาล จำไม่ได้แล้วว่าคุยกันอีท่าไหน แต่ถูกตะโกนใส่ว่า ‘เป็นนายมันโคตรดีเลย ไม่ต้องแบกรับอะไรทั้งสิ้น’ ...ก็รู้หรอกนะว่าสภาพจิตพี่ไม่มั่นคง แต่ก็เจ็บแหละ โมโหด้วย แล้วก็เลยคิดว่าช่างหัวแม่ง สู้ก็สู้วะ”
“ตอนนั้นคิดแบบโง่ๆ แค่ว่าจะได้เอาไปตบหน้าพี่ชายว่าพอใจหรือยัง ทำถึงขนาดนี้เชียวนะ แต่พอทำๆ เข้าจริงก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรทำแหละ แล้วถึงจุดหนึ่งก็เลิกสนใจว่าใครจะคิดยังไงกับตัวเองแล้ว”
ผมลังเลเล็กน้อย ก่อนยืดแขนไปตบๆ หัวอีกฝ่ายเบาๆ “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา”
พี่เอื้อหัวเราะดังพรืด ก่อนทำท่าแบมือ “เอาเป็นว่าจบดราม่าประจำตระกูลก็จบลงแต่เพียงเท่านี้”
“อยากได้กอดอันอบอุ่นไหม” ผมวางสองมือลงบนมือที่หงายออกของเขา
พี่เอื้อหัวเราะ “น้องครับ อากาศร้อนขนาดนี้ แค่นั่งใกล้น้องพี่ยังร้อนเลย กอดเกิดอะไรอีกวะ”
“แล้วทำไมเราไม่นั่งตากแอร์ในห้างวะ มานั่งอะไรตรงนี้”
“เฮ้ย ก็เล่าเรื่องซีเรียสแล้วฉากหลังเป็นพระให้สรงน้ำกับเพลงวันสงกรานต์มันไหวไหม” ...เอ จะว่าไปตอนนั้นไม่รู้เป็นช่วงก่อนหรือหลังสงกรานต์ นี่ก็เล่าไปเรื่อย ไม่ได้นับวันจริงจัง เอาว่าเป็นช่วงที่ห้างนิยมเปิดเพลงแนวๆ นั้นกันน่ะ
ผมพ่นเสียงหัวเราะดังหึ “คนเราอ่ะนะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ฉากหลังจะเป็นเพลงอะไรก็ดราม่าได้”
“โว้ย พอ เข้าห้าง! ร้อนชิบหาย”
สุดท้ายสเตจเปิดใจให้กันก็จบลงดื้อๆ แต่เพียงเท่านี้เพราะพระเอกร้อน แต่พอดูเวลาเห็นว่าใกล้มื้อเย็นพอดี พี่เอื้อเลยให้ผมเลือกร้านได้ตามสบาย ผมเห็นว่าไหนๆ ก็อยู่ข้างนอกแล้ว ก็เลยลากเขาไปนั่งอาบลมร้อนต่อที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ซึ่งแน่นอนว่าพ่อคนหล่อโลกตะลึงนี่ถือเป็นวัตถุที่ไม่เข้ากับร้านข้างทางเป็นอย่างยิ่ง...พอกับไอ้ภาธี ณ ร้านโจ๊กเลย แค่ก
ระหว่างกิน ผมก็สังเกตเห็นท่ากินแสนผู้ดีของพี่เอื้อ “โอ้โห พี่แม่งพระเอกจริง ขนาดท่าดูดเส้นหมี่แม่งยังสง่างาม”
พี่เอื้อเลิกคิ้วใส่ผม ก่อนเฉลยความลับดำมืดของการเป็นพระเอกแมสออกมา “ฝึกสิวะ”
“หา”
“เออ ฝึก...สมัยเด็กมีวิชามารยาท ต้องฝึกกินข้าวหน้ากระจก” จากนั้นพี่เอื้อก็สาธยายถึงมารยาทในการกินอาหารแต่ละแบบ วิธีใช้อุปกรณ์แต่ละชนิดที่ฟังแล้วหัวหมุนไปหมด
“...” ผมดูดเส้นดังซร้วบ...เส้นทางการเป็นพระเอกแมสแม่งยากแท้ “พี่ ผมคิดอาชีพหลังเรียนจบของพี่ได้แล้ว”
“หืม อะไร”
“โค้ชเทรนพระเอกแมส พี่แม่งได้ พี่แม่งใช่”
“...”
หลังกินเสร็จพวกผมก็เดินกลับเข้าห้างไปเดินย่อย ระหว่างทางเดินผ่านร้านไอศกรีม ผมเลยนึกถึงไอศกรีมที่ตัวเองวืดวันนี้ขึ้นมาได้ พี่เอื้อเองก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ เราเลยเดินกันเข้าไปนั่งกิน
“พี่จะกินเชอร์รี่นี่หรือเปล่า” ผมถาม
“ลูกเดียวพอ” เขายักไหล่ก่อนหยิบเชอร์รี่ลูกหนึ่งส่งเข้าปากทั้งก้าน ก่อนผมจะได้ทันบอกเขาว่าก้านมันกินไม่น่าจะได้ เขาก็คายก้านเชอร์รี่ที่มัดเป็นห่วงออกมา
ผมอ้าปากค้างก่อนเอ่ยถามออกไปโดยไม่ทันได้คิด “เขาว่าคนผูกก้านเชอร์รี่เก่งคือคนจูบเก่ง จริงหรือเปล่า”
“อะไร ถูกจูบไปตั้งหลายที ยังไม่รู้อีกเหรอว่าพี่จูบเก่งไม่เก่ง” พี่เอื้อคลี่ยิ้มมุมปากส่งให้ผมและขยับตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ลองตอนนี้เลยไหม”
...แล้วผมก็ตายมันตรงนั้น
“เฮ้ยๆๆๆ น้องเดือนปลอมครับ! อย่ามาเลือดกำเดาไหลกลางห้างนะโว้ย อายเขา!”
สายไปแล้วโยม
ก่อนกลับพวกผมแวะซูเปอร์เดินจ่ายพวกของสดของแห้งไปตุน ตั้งแต่มีพี่เอื้อติดตั้งอยู่ในบ้าน คุณภาพชีวิตของผมก็ดีขึ้นทันตา จากที่ตู้มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตอนนี้เริ่มมีพวกของแห้ง ขนม แล้วตู้เย็นก็เต็มตลอดแทบไม่เคยว่าง
“พี่เอื้อ นี่ปกติพี่อยู่หอก็ออกมาซื้อแบบนี้ป่ะ”
“หอมันทำกับข้าวไม่ค่อยได้ ส่วนมากเป็นพวกของสำเร็จมากกว่า แต่ก็เน้นกินให้หลากหลายหน่อย ไม่เหมือนนาย เอะอะก็ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู”
“ก็ร้านป้าทิพย์ไปทีไรเหลือแค่เศษไก่วิญญาณหมูแล้วนี่หว่า ใครจะเหมือนพี่วะ ไปทีไรป้าเสกไก่เสกหมูออกมาได้ตลอด”
“ความหล่อมีผล ความหน้าตาดีมีผล” พี่เอื้อลูบคางตัวเอง
“...อนุโมทนาสาธุ”
ขากลับตอนแรกผมจะนั่งรถเมล์ แต่เห็นสภาพของถือที่กันพะรุงพะรัง สุดท้ายเลยเรียกแท็กซี่ นั่งไปก็อดรำพึงไม่ได้ “ขามาเรามาด้วยรถหรู ขากลับขึ้นแท็กซี่”
“จะแบบไหนก็มีคนขับให้ทั้งนั้น”
“เออ จริง”
เดิมทีผมคิดว่าวันนี้ที่เริ่มด้วยความพิลึกจะจบลงอย่างสงบสุข ทว่าใครจะรู้ พอเข้าบ้านเอาของแช่ตู้เย็น และพี่เอื้อคืนร่างเป็นกบแล้ว ผมก็พบว่าเฟซบุ๊กของตัวเองมีแจ้งเตือนตัวสีแดงเถือกเป็นจำนวนมาก แถมมีคนอีกราวๆ สิบยี่สิบคนที่พยายามแอดเฟรนด์ผมมา
“นี่มันอะไรวะเนี่ย” ผมลองกดขยายดูข้อความของแต่ละคน
Sansanee: ไอ้เดือน แย่แล้ว
Tong Tong: มาภา มึงทำอะไรลงไป!
Dadadadada: เดือนนนนนนน
ผมขมวดคิ้ว...สุดท้ายก็เลือกกดที่ไอ้กิ่ง และพิมพ์ถาม
Moony Mapha: เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย
Kusumala: ไอ้เดือน...อย่าตายนะ
Moony Mapha: เดี๋ยว มึง กรอเทป คือนี่เกิดเชี่ยอะไรขึ้น
Kusumala: ไม่รู้?
Moony Mapha: ไม่เลยสักนิด
จากนั้นไอ้กิ่งก็ส่งลิ้งก์มาให้ผม ผมนั่งรอเน็ตเต่าของตัวเองอย่างงุนงงว่าโลกนี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ตอนนั้นภาพการกำเนิดมาภา พรอาภามันไหลมาเป็นฉากๆ ทว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าตัวเองเคยไปถ่ายคลิปโป๊ไว้ที่ไหน...หรือจะบอกว่าเป็นภาพผมสมัยเป็นหัวหน้าแก๊ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความลับอะไร ผมยังเคยเอาภาพมาอัปตอนวันเด็กด้วยซ้ำไป
“...มันภาพอะไรกันแน่ฟะ”
พี่เอื้อที่นั่งอ่านการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาใหม่หันหน้ามามองผมด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือการ์ตูนต่อ...ครับ พ่อคนวางนิยายภาษาอังกฤษเต็มชั้นหนังสือตัวเองตอนนี้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นของผมเสียอย่างนั้น
ผมกดรีเฟรชอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดก็ขึ้นมา และวินาทีที่เห็นภาพ ผมก็อุทานออกมาเสียงดังลั่น
“อุต๊ะ!”
STAGE 6: อุปสรรค์พิสูจน์รัก
จุดประสงค์การเรียนรู้: เพื่อให้พระนายรู้ว่ารักนั้นสำคัญแค่ไหน
คอมเม้นต์นายเอก: นี่ด่าจุดประสงค์ว่าเสือกกับชีวิตกันทำไมจะผิดไหมเนี่ย
17
...โอ๊ะโอ
ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง ทว่าไม่ทันไร เสียงก็เงียบไป พอดูให้ดีก็พบว่าโทรศัพท์พี่เอื้อจอดับไปแล้ว “...จะว่าไปตอนก่อนพี่ตี๋โทรมามันก็ขีดแดงๆ เตือนอยู่นี่นะ”
ตุ๊กตากบหยิบเครื่องขึ้นมาดู “อ๊ะ ลืมที่ชาร์จไว้ที่คอนโด”
“ใช้เครื่องกดปุ่มสิ ไม่ก็ของผมก็ได้” แบตเหลือเฟือ
“จำเบอร์ไม่ได้”
“ถอดซิม?”
“ไม่ได้เซฟไว้ในซิม”
เราสองคนมองหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา “...จริงๆ พี่เปิดเฟซบุ๊กเอาก็น่าจะได้นะ”
พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหัว “ไม่ดีกว่า ตอนกระแสแรงแบบนี้ ทำอะไรไปก็เท่านั้น”
“งั้น...นอนไหม” ผมพอไม่มีอารมณ์เข้าไปดูอะไรในเน็ตแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่สู้นอนดีกว่า
“อื้อ นอนเถอะ”
จากอีเว้นต์ระทึกขวัญก็เลยจบด้วยการที่หนึ่งคนกับหนึ่งตัวพากันไปนอนด้วยประการละฉะนี้แล ผมมารู้ในภายหลังว่าคืนนั้นโซเชียลแทบระเบิด ข่าวฉาวข่าวคาวอะไรถูกคุ้ยกันมาให้มั่ว ลึกล้ำเลเวลทฤษฎีสมคบคิด อีกนิดหนึ่งน้องเดือนจะยึดครองโลกแล้ว
แต่ในเวลานั้น ตัวต้นเรื่องอย่างพวกผมก็หลับปุ๋ยเพราะความเหนื่อย หาได้รู้เรื่องอันใดไม่ สาธุ
เช้าวันต่อมา ผมรู้สึกว่าถูกสะกิดให้ตื่นมาจูบ ด้วยความง่วงที่ต้องจูบพี่เอื้อสามวันติด ผมก็เลยหลับเป็นตาย ตอนที่ผมลืมตาอีกครั้งก็เห็นท้องฟ้าขมุกขมัว เดิมทีจะนอนต่อแต่เพราะท้องร้องโครกครากเลยจำใจต้องตื่น ตอนที่ลงมาชั้นล่าง ผมก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กมาจากในครัว
บนโต๊ะกินข้าวของผม มีหม้อสุกี้ใบหนึ่งตั้งอยู่
“โอ้ววว กระทะทองแดงนี้ท่านได้แต่ใดมา”
“พยายมท่านถูกชะตา เลยยกให้ ถุย กระทะทองแดงอะไรวะ”
“พี่ไปเอาน้องเขามาจากไหน” ผมลูบๆ คลำๆ น้องกระทะทองแดงด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนนี้ผมเคยคิดซื้อ แต่ที่บ้านไม่มีคนร่วมกินด้วย แถมจะกินครั้งหนึ่งต้องซื้อเครื่องหลายอย่าง กินคนเดียวไม่น่าจะทัน เลยยอมตัดใจ
พี่เอื้อกลอกตาใส่ผมก่อนตอบ “ที่หอ ตอนนั้นกะว่าจะซื้อมาทำกินกันในสโมฯ แต่พอคณะมีปัญหาเรื่องหนูก็เลยโดนสั่งห้าม ทำไปทำมามันถูกทิ้งให้อยู่กับพี่เนี่ย”
“อา...นี่มันเรียกว่ายักยอกทรัพย์สินราชการหรือเปล่าขะรับท่าน”
“บ้าเรอะ ไอ้นี่เงินส่วนตัวไม่ใช่เงินสโม”
ตอนกลางวันผมก็เลยได้กินสุกี้สมใจ น้ำซุปนี่พี่เอื้อไปขอแบ่งมาจากร้านป้าลี “ทำไมมันอร่อยกว่าที่ผมเคยสั่งกินกินวะ”
“พี่หล่อ” พี่เอื้อตอบด้วยคำตอบอันเป็นสัจจะนิรันดร์ ผมฟังแล้วก็ได้แต่เขย่าเนื้อเพื่อลวกในหม้อไปอย่างเงียบๆ หมดอารมณ์จะตอบโต้
“เอาไข่ไหม ตอกให้”
“เอาๆ ใส่กับวุ้นเส้นด้วยๆ”
พี่เอื้อตอกไข่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจับวุ้นเส้นลงไปชุบแล้วใส่ลงหม้อ ส่วนผมเห็นน้ำจิ้มหมดก็เลยลุกไปหยิบมาเติม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “นี่ขาดหมี่หยกเป็ดย่างนะเนี่ย”
“ไว้มะรืนกินบะหมี่แห้งแล้วกัน” พี่เอื้อตอบ ก่อนเสริม “ตอนท้ายใส่ข้าวลงไป มีกุ้งสดอยู่ เดี๋ยวปิดท้ายด้วยข้าวต้มกุ้ง”
“เห”
พอถึงตอนที่เครื่องหมด พี่เอื้อก็หยิบข้าวที่เตรียมไว้มาเทลงไป ตามด้วยกุ้ง...กุ้งสดมากกกก กินแล้วเนื้อไม่ร่วน แน่นกำลังดี พอถามก็ได้ความว่าแม่ค้าในตลาดเห็นพี่เอื้อเลือกเครื่องทำสุกกี้ก็เลย ‘แถม’ มาให้ “กุ้งแชบ๊วยน่ะ”
“หมดนี่เลยเหรอ! ปกติเขาแถมกุ้งแชบ๊วยกันเหรอวะพี่” ...ถึงจะไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดโดยเฉพาะตลาดสด ผมก็พอจะรู้ว่าไอ้เจ้ากุ้งแชบ๊วยนี่แม่งราคาไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่ หากวัดตามมุมมองชาวบ้านแบบผม
“พี่หล่อ” ...ยังคงเป็นคำตอบเดิมไม่เปลี่ยน จนต้องบอกตัวเองว่ากูต่างหากที่ควรเรียนรู้ได้แล้วว่าไม่ควรถาม
ด้วยสูตรข้าวต้มกุ้งปิดท้าย ทำให้น้ำในน้องกระทะทองแดงงวดหมด ผมก็อิ่มจนต้องนอนลูบท้อง และภายหลังน้อง ‘กระทะทองแดง’ ใบนี้ก็ได้กลายมาเป็นสมาชิกคน เอ๊ย ใบสำคัญของบ้านนับตั้งแต่นั้น อนุโมทนาสาธุ
อ้อ และเมื่อกี้มีพูดถึงตลาดสด ภายหลังผมรู้จากเจ๊ขายหมูปิ้งที่ปกติแกจะขายในตลาดตอนเช้าๆ ว่าที่ตลาดสดตอนนี้มี ‘ราชาน้อยชมตลาด’ อยู่องค์หนึ่ง....เป็นลูกค้าที่หล่อมว้ากกกกก (เจ๊แกออกเสียงแบบนี้จริงๆ ครับ)
ผมใช้แค่นิ้วก้อยเท้าข้างซ้ายคิดก็รู้แล้วว่าเจ๊แกหมายถึงใคร
อา...เขาเรียกว่าเดินสายโปรดสัตว์โลก เอ้า อนุโมทนาสาธุกันอีกครั้ง
ครั้นกินและเก็บล้างจานชามเรียบร้อยและเดินออกมาที่ห้องรับแขก ก็เห็นพี่เอื้อที่กลับเป็นตุ๊กตากบแล้วก็นั่งอยู่บนโซฟา อ่านการ์ตูนของผมอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ตกลงพี่เลิกโทรศัพท์ตามหาแม่มดแล้วเหรอ”
“โทรจนหมดทุกคนที่นึกออกแล้ว ก็ยังไม่เจอ” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดถอนเล็กน้อย “ตอนนี้นึกอะไรไม่ออกแล้ว”
“งั้น...ดูซีรีส์กับผมไหม”
“พยายามจะล้างสมองฉันหรือไง” พี่เอื้อเหลือบมองผม “ไม่สำเร็จหรอก”
“หึ...ตอนนี้ดูถูกไปเถอะ อีกเดี๋ยวพี่จะต้องอ้อนวอนผม”
“เหอะ”
ว่าแล้วผมก็จัดการเปิดซีรีส์อันเป็นท่าไม้ตาย… ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ ตอนที่หนึ่ง
(ห้านาทีแรก)
“นี่มันอะไรกันฟะ”
(ห้าสิบนาทีต่อมา...)
“เฮ้ยยยย เล่นงี้เหรออออ”
(หนึ่งชั่วโมงต่อมา)
“อ๋ออออ มิน่าล่ะ ตอนนั้นพระเอกถึงพูดแบบนั้น”
“พ่อคุณ...จำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ออกสอบนะเว้ยพี่เอื้อ”
(ห้าชั่วโมงต่อมา)
“แผ่นต่อไป! เร็วๆ เข้า”
ไอ้ตุ๊กตากบตัวไหนมันบอกไม่อยากดูวะ...
“พี่เอื้อ ข้าวเย็นล่ะ” ผมทำเสียงละห้อยโหย
“วันนี้กินมาม่าเอาก็พอ”
“...” หลังจากดูทีท่าแล้วข้าวเย็นผมคงหนีบะหมี่ถ้วยไปไม่พ้น ผมเลยเดินไปตัดซองเทน้ำตอกไข่แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ ก่อนจะมานั่งกินข้างๆ ตุ๊กตากบที่กำลังแผดเสียงหัวเราะก๊ากให้กับฉากพระเอกเข้าใจผิด พอหันมาเห็นผมเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“กินดีๆ อย่าพ่นเส้นออกทางจมูกอีกล่ะ”
“...” เดี๋ยวปั๊ดคว่ำชามใส่แม่ง
ดังนั้นตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นสูงตอนเที่ยง ลากยาวไปจนถึงอาทิตย์ตกดิน ผมกับพี่เอื้อนั่งดู ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ จนตาเหลือก ผมกดปิดไปตอนที่เหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน
“เฮ้ย กำลังสนุกๆ เลย ปิดทำไมอ่ะ” ตุ๊กตากบข้างตัวผมโวยวายขึ้นมา
ไอ้หยา ดูเหมือนพี่จะโดนล้างสมองเข้าไปเต็มเปาแล้วนะ ฮือออออ
“ไหนบอกคนเราต้องนอนสี่ทุ่มไง นี่เที่ยงคืนแล้วนะ” ผมบ่นอุบแต่ก็หยิบแผ่นต่อไปขึ้นมา
“น่า อีกนิดเดียว แผ่นเดียวเอง!”
...รู้สึกพวกคนติดยาก็พูดแพตเทิร์นนี้นะ
พวกเราสองคนนั่งดู ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ กันไปเงียบๆ จนถึงจุดที่ผมพบว่าหนังตาบนและล่างของตัวเองทนพรากจากกันไม่ไหวอีกต่อไป พร้อมใจโผเข้าหากัน แล้วผมก็เหมือนโทรศัศน์ที่ถูกคนกดสวิตช์ปิด โลกดับมืดไปในพริบตา ตื่นมาอีกครั้งก็เห็นพี่เอื้อดูถึงซีซันล่าสุดแล้ว พร้อมกับนอกหน้าต่างมีแสงทองของเช้าวันใหม่
“เชี่ย เร็วโคตร นี่ได้นอนไหมเนี่ย” ผมกะพริบตาปริบๆ ให้กับฉากจบของซีซันขณะบิดตัวเพื่อคลายความเมื่อขบ โอยยยย หลังตู
“ข้าวกลางวันอยู่ในตู้เย็น ชั้นสองอ่ะ ดึงออกมาดู” พี่เอื้อไม่ตอบคำถามผมซะงั้น
ผมเลยเดินไปเปิดตู้เย็นตามที่บอก
“อื๋อ ขนมจีน” ผมดึงเอาถุงพลาสติกบรรจุเส้นสีขาวขึ้นมา
“เออ แกะๆ ใส่จานแล้วอุ่นแกเขียวหวานด้วย” พี่เอื้อที่เดินตามมาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนระโหย
“นึกว่าพี่จะเป็นพวกรีดเส้นต้มแกงเองซะอีก”
“ทำเองก็สำเร็จรูปอยู่ดี ยังไงคนแถวนี้ก็แยกไม่ออกอยู่แล้ว” พี่เอื้อทำเสียงพ่นลมหายใจ...ทั้งๆ ที่ไม่มีรูจมูกแท้ๆ
“ตรงนี้ผมควรตบมุกไหมว่า ‘ไม่ได้หมายถึงผมใช่ไหม’ อ่ะ” ผมถามขณะบิดตัวตั้งเวลาของไมโครเวฟ
“ตรงนี้มีแค่เราสองคน ไม่ใช่น้องเดือนแล้วจะเป็นใครครับ”
“พี่สอนผมเอง ทุกอย่างต้องมีนิยามชัดเจน คำว่า ‘แถวนี้’ ของพี่ไม่ได้ระบุขอบเขต อาจจะเป็นซอยนี้ หมู่บ้านนี้ หรือตำบลนี้ ดังนั้นอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้”
“ฉลาดมาก” พี่เอื้อโปรยยิ้มชวนแสบตา ก่อนเอ่ยต่อ “พ่อคนฉลาดครับ ถ้าฉลาดขนาดนั้นก็น่าจะพอรู้ตัวอยู่แล้วไหมครับว่าพี่หมายถึงใคร”
“ตัวพี่เองอย่างแน่นอน”
พี่เอื้อทำเสียงขลุกขลักในลำคอ “ไปล้างผัก! ไม่ ไม่ปลูกเอง ซื้อกินเอา”
“ผมยังไม่ทันถามเลย”
“ถ้าถามมันก็จะออกมาทำนองนี้ใช่ไหมล่ะ”
“ฮ่า แสนรู้”
พี่เอื้อกระโดดถีบผม ก่อนตัดมุกก่อนผมจะทันตบ “ไม่ กระเทือนยังไงไปก็ไม่โง่กว่านี้แล้ว”
“พี่ไม่ขัดผมสักหน่อยจะเป็นอะไรไหม”
“งั้นนายก็เลิกพยายามตบมุกใส่ฉันสิ”
“ยากพอๆ กับพี่เลิกหล่ออะ”
“งั้นต้องยากมากแน่ๆ”
“...”
พอกินข้าวกลางวันเสร็จ ผมก็ไปนั่งทำแบบฝึกหัดในส่วนของวันนี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาดูดฝุ่นบ้าน และถูพื้น พอทำงานบ้านเสร็จหมดก็รู้สึกว่าง เลยนั่งบนโซฟา และเริ่มเหม่อ
“เป็นอะไรไป”
“ผมเริ่มรู้สึกตัวเองหนีความจริงไปหน่อยหรือเปล่าหว่า” ผมตอบ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปเช็กโซเชียลตัวเองอีกเลย ไม่รู้ป่านนี้กล่องข้อความผมมันระเบิดไปหรือยัง
พี่เอื้อส่งเสียงเป็นเชิงรับรู้ในลำคอ แต่ไม่ได้พูดอะไร พวกเราเงียบอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ จนในที่สุดผมก็เอ่ยถามออกไป “พี่เอื้อ ถามจริง”
“ตอบตรง”
ผมกลอกตา “ตกลงเรื่องพี่สาลี่...พี่จะสลัดผมทิ้งกลางทางไหม”
“ไม่” พี่เอื้อตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์
“งั้นถ้าวันหนึ่งมีคนเข้ามา...คนที่สำคัญกับพี่มาก พี่จะสลัดผมทิ้งเลยไหม”
คราวนี้พี่เอื้อหันมามองผม “แล้วนายล่ะ ถ้าวันหนึ่งนายมีคนสำคัญขึ้นมา นายจะสลัดฉันทิ้งไหม”
“...” พวกผมสองคนต่างเงียบ จนกระทั่งพี่เอื้อกระโดดขึ้นมาบนตักผม พร้อมลากผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบผม แฮ่ม สาเหตุที่ผมเอาผ้าห่มผืนใหญ่มาไว้แถวนี้ก็เพื่อป้องกันฉากอุจาดแบบนี้นี่แหละครับ
ไม่นานนัก สัมผัสเบาโหวงนุ่มนิ่มของตุ๊กตากบบนตัวผมก็ถูกแทนที่ด้วยกล้ามเนื้อตึงแน่น...แปดแพ็กอ่ะ แปดแพ็ก เป็นตุ๊กตาไม่ค่อยมีเวลาไปออกกำลังแท้ๆ ทำไมถึงยังรักษาแปดแพ็กไว้ได้ก็ไม่รู้ ฮือๆๆๆ
ใบหน้าหล่อสมควรตายของพี่เอื้ออยู่ห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด ใกล้เสียจนมองเห็นแพขนตาได้อย่างชัดเจน ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย หล่อ หล่อเกิน...ผมรีบปิดตา
“เฮ้ย ลืมตาสิ”
“พี่อยากให้ผมพ่นเลือดกำเดาใส่พี่หรือยังไง”
พี่เอื้อหัวเราะพรืด แต่ยังคงคร่อมผมเอาไว้อยู่แบบนั้น นานจนผมเกือบถามว่าหลับไปหรือยัง พี่เอื้อถึงค่อยๆ เอ่ยเสียงเบา
“ฉัน...คิดไม่ออก”
“...” ผมลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาทันที...เอ่อ พระเอกครับ
“นายเป็นเรื่องเดียวในชีวิตฉันที่ไม่มีแผนการ มาแบบไม่มีนัดหมาย...เพราะงั้นเลยคิดไม่ออก”
“...คนที่มาแบบไม่นัดหมายคือพี่ต่างหาก”
พี่เอื้อหัวเราะ “ฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวจีบ ไม่ได้ศึกษาว่าชอบอะไร เกลียดอะไร”
“...แปลว่าไม่ใช่เป้าหมายของฆาตกรโรคจิต” ผมทำท่าถอนหายใจอย่างโล่งอก เลยโดนบิดหูไปหนึ่งที
“ที่ตลกคือทำมาทำไป ฉันเสือกรู้จักนายดีกว่าใครก็ตามในชีวิตฉันอีก” พี่เอื้อส่ายหัว “นายชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร นายมีนิสัยเสียๆ แบบไหน เวลาดีใจนายทำหน้าแบบไหน เวลาทุกข์ใจนายทำหน้าแบบไหน นายกำลังคิดอะไรอยู่...อย่างตอนนี้ นายกำลังไม่มั่นใจในตัวฉัน”
ผมกัดริมฝีปาก แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
หลังจากนั้นทั้งห้องก็เหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์ พวกผมสองคนจ้องตากันอยู่แบบนั้น เป็นปลากัดคือท้องไปแล้ว แค่ก จนกระทั่งพี่เอื้อบีบปลายจมูกผมเบาๆ “แต่พรุ่งนี้ฉันคิดว่าฉันจะยังไม่ไป มะรืนนี้ฉันก็ว่าจะยังไม่ไป รู้แค่นี้แหละ”
“อืมมม”
“แล้วนายล่ะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แค่มีพี่อยู่แบบนี้มันก็ดี” ผมตอบตามตรง ทว่าก่อนจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นก็มีเสียงโครกกกกก ของท้องผมที่ร้องเสียดังสนั่น ผมนึกอยากเอาหัวโขกอะไรแข็งๆ...แม่งน่าอายเกินไปแล้ว! ทว่าจังหวะที่จะผลักพี่เอื้อออกเพื่อลุกขึ้น ผมก็รู้สึกหน้ามืดตาลายไปหมด โอย...สงสัยจะถูกจูบมากเกินไป
พี่เอื้อหัวเราะก๊าก “กินโดรายากิไหม พี่ซื้อไว้ อยู่ในตู้”
“ฮือออ โดราเอม่อนนน ฉันรักนาย” ผมทำเสียงเลียนแบบโนบิตะ
“...โดราเอม่อนคืออะไรน่ะ ไอ้ตี๋ชอบเรียกฉันบ่อยๆ”
...เชี่ย เลเวลแย่ขนาดไม่รู้จักโดราเอม่อนเลยเหรอวะ ตายล่ะ ดังนั้นหลังจากพี่เอื้อไปหยิบโดรายากิมาให้ผม ผมก็ใช้ให้เขาไปหยิบโน้ตบุ๊กมาตั้ง จากนั้นก็เปิดหุ่นยนต์แมวสีฟ้าจากโลกอนาคตให้พ่อพระเอกผู้ตกยุคดู
“ทำไมฉันต้องมานั่งดูการ์ตูนเด็กด้วยเนี่ย”
“พี่เอื้อ การบรรลุถึงทุกสรรพสิ่ง...รู้แม่งทุกเรื่อง ก็เป็นเส้นทางของผู้ชายเพอร์เฟ็กต์นะ” ผมเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
คราวนี้พี่เอื้อเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง
หลังจากนั้นพวกผมสองคนเลยนั่งดูโดราเอมอนกัน และนี่คือปฏิกิริยาตอบรับของพี่เอื้อ หลังดูไปได้หนึ่งตอน
“ไทม์แมชชีน? การ์ตูนเด็กมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”
“เห สิ่งประดิษฐ์ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด...น่าสนใจ”
...เนิร์ดก็ยังคงเป็นเนิร์ดจริงๆ
ระหว่างนั่งๆ ดูไป ผมก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงห่อเหี่ยว
“พรุ่งนี้วันอังคารแล้ว” ...วันที่ผมต้องไปเรียนซัมเมอร์
“โอ้...ไว้ข้าวเย็นทำปีกไก่ทอดก็แล้วกัน พี่ซื้อมาแช่ในฟรีซหลายวันแล้ว ลืมไปเลย”
“...อืม เอาๆๆ” เอาวะ ชีวิตคนเราคิดแค่วันนี้จะกินอะไรก็วุ่นวายพอแล้วจริงๆ เรื่องอื่นช่างมันเถิด
STAGE 8: รักกันไปวันๆ
จุดประสงค์การเรียนรู้: ไม่ต้องเรียนรู้อะไรแล้ว เรื่องจบแล้ว ที่เหลือก็รักกันอย่างเดียว
คอมเม้นต์นายเอก: ถ้าเป็นอนิเมชันนี่มันก็ตอนฟิลเตอร์ไปเที่ยวทะเลชัดๆ
19
ความเดิมตอนที่แล้ว...พี่เอื้อพูดว่า “งั้นไปกัน”
หลังจากนั้นเขาก็ลากผมออกเดินในทันที ผมซึ่งใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะกู้ระบบความคิดของตัวเองกลับคืนมาได้ถามเขาด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ปะ ปะ ปะ ไป... นะ ไหน”
“ห้องสมุดน่ะสิ!” พี่เอื้อหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าบ่งชัดว่า ‘แค่นี้นายก็ไม่รู้งั้นหรือ’ ผมพยายามมองไปรอบๆ ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีที่ช่วยบดบังแสงแดดอันแรงกล้าของประเทศไทย ถนนปูนที่แผ่ไอร้อนออกมาชวนให้ตาลาย...นี่อากาศมันร้อนจนหูผมเพี้ยนไปแล้วหรือนี่
ทว่า ป้าย ‘หอสมุด’ ที่ตั้งหราอยู่ด้านหน้าก็ทำให้ผมได้สติ
“ระ เรามาทำอะไรกันที่นี่อ่ะ” อะ โอย แค่เข้าใกล้ผมก็รู้สึกร้อนเหมือนผีเข้าวัดแล้ว โอย โอย ข้างในนั้นมีความรู้อยู่ โอย สมองของผมจะเกรียมแล้ว อ๊ากกกก
“ก็บอกแล้วไงว่าจะติวให้” ผู้ชายรูปหล่อข้างตัวไม่สนใจอาการชักดิ้นชักงอของผมแม้แต่น้อย เขาออกแรงลากผมขึ้นบันไดไป ผมพยายามยื้อเสาเหล็กที่คว้าไว้ได้อย่างสุดความสามารถ ถึงจะรู้สึกร้อนลวกมือไปหน่อยเพราะเหล็กมันตากแดดก็เถอะ
“ม่ายยยย ผมให้ไอ้ธีติวให้ก็ได้” ไอ้ธีมันแพ็กเกจครั้งเดียว วันไนต์แสตนด์ ได้กันทีเดียวจบ แค่กๆ ผมล้อเล่น! บอกแล้วไงว่าล้อเล่น!
พี่เอื้อขมวดคิ้ว มือที่จับผมอยู่บีบแน่นขึ้นเล็กน้อย ผมเห็นเขาหายใจเข้าออกสองสามที ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“เห็นนายพูดถึงไอ้หมอนี่หลายทีแล้ว มีรูปให้ดูไหม” ว่าแล้วเขาก็ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ผมเฉยเลย ผมมองหน้าเขาสลับกับจอมือถือที่โชว์หน้าแรกของเว็บเฟซบุ๊ก สีหน้าของพี่เอื้อบอกชัดว่าพูดจริงทำจริง ผมจึงกรอกชื่อและรหัสผ่านของตัวเองลงไป จากนั้นก็เข้าไปในอัลบั้มเพื่อหาภาพเก่าๆ ที่เคยถ่ายคู่กับไอ้ธี
พี่เอื้อรับโทรศัพท์ของเขาคืน จากนั้นก็ร้องเสียงหลง “เชี่ย! ไอ้นี่คือเจ้าแว่นคูลบิวตี้ที่มีฉายานักสอยดาวนี่หว่า”
“หา นักสอยดาว?” ที่เรียกคูลบิวตี้นี่ผมพอเข้าใจ เพราะเพื่อนผมคนนี้ก็จัดเป็นหนุ่มหน้าสวยโดยแท้ แต่ที่ว่าสอยดาวนี่ผมไม่เข้าใจ
หรือภาธีมันมีความสามารถสอยดาวตามงานสมานฉันท์โอเกะ งานประชันร้องเพลงคาราโอเกะที่จัดทุกปีร่วมกันระหว่างคณะผมกับคณะวิศวะฯ หรือไง หรือหมายถึงสอยดาวงานกาชาด แต่เท่าที่จำได้ นอกจากเพื่อนผมเคยชวนไปทอดปอเปี๊ยะขายในงานกับน้ำอัดลมเพื่อหาเงินเข้าสโมสรนักศึกษาของที่คณะแล้ว ก็ไม่ยักมีอย่างอื่นนี่หว่า
“เออ ไอ้หมอนี่แหละ สุดยอดนักสอยดาวประจำคณะต่างๆ จะดาวดวงไหนพ่อก็เก็บเรียบไม่มีเหลือตั้งแต่รุ่นพี่ยันรุ่นเดียวกัน จากแหล่งข่าวของฉันคาดว่าไอ้หมอนี่จะเก็บดาวได้ครบเกือบทุกคณะแล้ว”
“โฮ่” เพิ่งรู้นะเนี่ย
“แถมเพื่อนฉันเล่าให้ฟังว่า ทุกคนเป็นฝ่ายจีบไอ้หมอนี่ก่อนด้วย! ชนิดที่ว่าดาวคณะไหนไม่เคยเป็นแฟนไอ้หมอนี่ ไม่นับว่าเป็นดาว!”
โอ้โห ภาธีเพื่อนรัก...ชื่อเสียงของมึงขจรขจายจริงๆ
ระหว่างที่ผมกำลังนึกทึ่งกับเพื่อนสนิทตัวเอง พี่เอื้อก็เหล่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ “นี่นาย...”
“หือ?” ผมมองสีหน้าของเขาอย่างงงๆ ผู้ชายรูปหล่อข้างตัวผมค่อยๆ หรี่ตาลงจ้องผม อย่างพินิจพิจารณา
“...เคยคบกับไอ้หมอนั่นหรือเปล่า”
คำถามนี้ทำเอาหูผมถึงกับอื้อไปแป๊บหนึ่ง...ภาธีเนี่ยนะ
“เฮ้ย อย่าเงียบไป อย่าบอกนะว่าเคยคบกับไอ้หมอนั่นจริงๆ” พี่เอื้อทำเสียงเข้ม
ผมรีบส่ายหัวเป็นพัลวัน พยายามกลั้นกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ให้หลุดขำออกมา
“พี่ มันสอยดาวนะ มันไม่ได้สอยเดือน” ...หรือสอยด้วยวะ บางทีดูจากหน้าสวยๆ ของภาธี ผมก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
ดวงตาคมๆ ของพี่เอื้อจ้องผมเขม็งอย่างกับพยายามจะเค้นความจริง ก่อนเขาจะพ่นลมหายใจ และทำเสียงเข้ม
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว ต่อไปห้ามติวกับหมอนี่เด็ดขาดนะ...ไม่สิ กับใครก็ห้ามทั้งนั้น”
“ทำไมอ่ะ”
พี่เอื้อยิ้มแปลกๆ เขาทำท่าคล้ายจะตัดสินใจว่าควรจะพูดดี ไม่พูดดี สุดท้ายเขาก็เลื่อนหน้าเขามาใกล้ผม จากนั้นก็กระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ที่ข้างหู
“แฟนพี่ พี่ก็ต้องเป็นคนสอนเองสิ จะปล่อยให้คนอื่นชุบมือเปิบไปได้ยังไงกัน” แล้วเขาก็หลิ่วตาให้ผม
ตูม!...ผมระเบิดพลีชีพตายเป็นรอบที่สอง พระพุทธเจ้าช่วย เมื่อกี้อากาศร้อนจนผมหูเพี้ยนอีกแล้วหรือเปล่า ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดบนใบหน้า รู้สึกว่าหัวของตัวเองตอนนี้เหมือนมะเขือเทศสุกที่กำลังจะระเบิดดังโพละ
“มาเร็ว”
ด้วยความที่เมาคำพูดประโยคเมื่อครู่ของเขา ทำให้ผมเดินตามพี่เอื้อเข้าห้องสมุดไปอย่างว่าง่าย แถมยังเดินเอียงซ้ายเอียงขวาแบบคนเมาอีกต่างหาก แก้มของผมร้อนผ่าว แถมยังยิ้มแปลกๆ ออกมาจนพี่ภารโรงในห้องสมุดถึงกับเหล่ด้วยสีหน้าแปลกๆ
ถ้าพี่เอื้อยังทำตัวแบบนี้บ่อยๆ ผมต้องตายด้วยโรคหัวใจแน่ๆ
แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด...ผมไม่ได้จะตายด้วยโรคหัวใจหรอก แต่จะตายเพราะเรียนมากไปเนี่ยแหละ
“อย่ามาโม้หน่อยเลย ไม่เคยมีใครเรียนมากจนตายสักหน่อย” พี่เอื้อทำเสียงเข้มระหว่างวงตัวแดงๆ บนแบบฝึกหัดของผมซึ่งอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ
“พี่เอื้อ ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้กันด้วย”
“คิดว่าสี่จุดศูนย์ศูนย์ของพี่มันเสกมาจากอากาศหรือไงวะ ต้องอ่านหนังสือสิเว้ย”
“โฮ้ยยยยย พวกพระเอกไม่เห็นต้องทำแบบพี่เลยอ่า จบเกียรตินิยมด้วยอ่า”
“เพ้อเจ้อ เพราะเอาแต่ละเมอพระเอกๆ อยู่เนี่ยสิ ชีวิตมันถึงเป็นแบบนี้ นี่อ่านหนังสือเตรียมตัวก่อนสอบบ้างไหมเนี่ย”
“เตรียมนะ”
“กี่วัน”
“...อาทิตย์นึง” หรือไม่ก็คืนวันก่อนสอบ แค่กๆๆๆ
“ถุย”
...โอ้โห พระเอกกู ถุยใส่หน้ากันเลยทีเดียว ปกติแมสๆ เขาไม่ทำกันแบบนี้มั้ยวะ
“แล้วพี่เตรียมตัวกี่วัน” ผมขมวดคิ้วใส่พี่เอื้อ
“...น้องครับ พี่เรียนจบกลับบ้านไปก็อ่านทวนที่เรียนเลย ก่อนสอบก็อ่านที่สรุปไว้ เตรียมตัวตั้งแต่ต้นเทอมยันสอบ ก็สักสามเดือน”
“...” คุณพี่มึงไม่เอาเกรดสี่จุดห้าไปเลยวะ แม่งทำตัวไม่แมสสัสๆ
“ปกติพระเอกต้องเข้าผับคั่วสาวคั่วหนุ่มสิวะ” ผมบ่นอุบอิบ
“ห่านี่ หล่อไม่พอ เรียนเก่งก็จะเอา กีฬาก็ต้องดี แค่เจียดเวลาไปเตะบอลบ้างก็เป็นกุศลต่อสังคมมากพอแล้ว มีกิจกรรมสโมสรนักศึกษาอีก คิดว่าไปนั่งตากแอร์กันหรือไง โปรเจ็กต์ปีหลังๆ ก็ไม่ได้ง่ายนะเว้ย จะให้แยกร่างที่ไหนไปเข้าผับวะ”
“...” ก็ได้! ผมรู้ผมผิดผมเสียใจ
เท่านั้นยังไม่พอ ไม่ใช่แค่ถูกพ่อพระเอกไม่แมสนี่จู่โจม ผมยังถูกโจมตีเสริมด้วยบรรดาสาวๆ ในห้องสมุดที่พากันมองด้วยสายตาอิจฉา อยากได้ไอ้หมอนี่นักก็เอาไปเลย ผมยกให้ แถมชีตทั้งปึกนี่ด้วยเลยเอ้า กับข้าวสารอีกกระสอบ ไม่เอาแม่งแล้วเนี่ย โฮๆๆๆ
“มัวแต่มองคนอื่นอยู่นั่นแหละ ไหนคิดข้อนี้ให้ดูซิ” ยักษ์ตรงหน้าของผมแยกเขี้ยวขู่
ฮืออออ ใครก็ได้ช่วยด้วย ผมไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว
ขณะก้มหน้าก้มตาทำโจทย์ไป ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ว่าแต่พี่เอื้อ เมื่อกี้เปิดตัวเล่นใหญ่ใช้ได้นะเนี่ย”
“เล่นใหญ่ เมื่อกี้เรียกใหญ่แล้วเหรอ?”
“อ้าว ไม่ใหญ่เหรอ”
“เหอะ เล่นใหญ่มันต้องติดป้ายขอเป็นแฟนบนรถเอ็มอาร์ทีสิวะ ไม่ก็บีทีเอสงี้”
“พี่เอื้อ มอเราไม่มีทั้งเอ็มอาร์ทีและบีทีเอสผ่าน มีแต่รถเมล์” ...ชนบทถึงเพียงนี้ ไปสารภาพไว้ที่เอ็มอาร์ทีมันจะมีใครรู้ใครเห็นวะ
“งั้นแขวนป้ายข้างหลังวินมอ’ไซว่า ‘นับมดกับพี่นะ’ แล้ววิ่งวนไปทั่วมหา’ลัยงี้?”
“พี่ไม่ส่งเฮลิคอปเตอร์มาวะ ไม่ใจเลย”
“ตกลงนี่เราคุยเชี่ยอะไรกันอยู่เนี่ย พอแล้ว อ่านหนังสือต่อโว้ย!”
วันอันแสนตื่นเต้นของผมจึงจบลงเพียงเท่านั้น ว่าแต่ทำไมนิยายแมสเปิดตัวแฟนต้องเล่นใหญ่วะ โลกต้องเสือกชีวิตอะไรกันขนาดนี้ รู้กันสองคนก็ไม่ได้ อะไรนะพี่ ผมเองก็ไปเสือกกับเพื่อนตอนมันทะเลาะกับแฟนเหมือนกันเหรอ ...แค่ก เอาว่า ความเสือกเป็นความแมสของปวงชนประการหนึ่ง ใครบ้างไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน...เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
อะไรนะครับน้องเอก น้องเอกอยากถอนคำสาปเสียที ใจเย็นๆ นะครับน้อง ขอพี่นึกก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น
STAGE I: ผู้คนมารวมตัวกัน
ข้อควรระวัง: ผู้คนมารวมตัวกัน ทว่าใครจะรู้ ในหมู่พวกเขา มีฆาตกรซ่อนอยู่
คอมเม้นต์ของคนสัมภาษณ์: เดี๋ยวครับ ทำไมมันกลายเป็นนิยายสืบสวนไปแล้ว
คอมเม้นต์ของพระเอกนายเอก: ก็นิยายรักมันจบไปตั้งนานแล้ว
24
อะฮ่า จากนิยายฟีลกู๊ดสโลว์ไลฟ์ ในที่สุดก็กลายเป็นนิยายแอ็กชัน ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที จากมหาวิทยาลัยก็กลายเป็นท้องทะเล...ไอ้ชิบหาย ทำไมจู่ๆ ก็ออกทะเลไม่รู้ ผมหันไปมองพี่เอื้อที่มีสีหน้างุนงง ก่อนจะมองออกไปเห็นคนชุดดำปิดหน้าปิดตากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ตายล่ะ เพลงขึ้น...เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น จำเลยรักมาเลยจ้า
“พี่เอื้อ บ้านพี่รวยขนาดนั้น ต้องมีกองกำลังคุ้มกัน หน่วยลับ หน่วยคอมานโดบ้างสิ”
“น้องเดือนครับ ดูหนังสายลับมากไปแล้ว”
“บอร์ดี้การ์ดล่ะ อันที่จริงพี่ควรต้องมีบอร์ดี้การ์ดนะ”
“แล้วก็จริงๆ พี่ต้องเก่งกว่าบอร์ดี้การ์ดอีกไหมวะ...ถุย เพ้อเจ้อ!” พี่เอื้อกลอกตาไปมา
“อ้าว แล้วพี่ไม่เคยโดนลักพาตัวเรียกค่าไถ่บ้างเหรอ”
พี่เอื้อทำท่านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “...น่าจะไม่มีใครกล้ามั้ง บ้านพี่เส้นใหญ่นะ”
“...งั้นก็ต้องมีหน่วยลับสิวะ” กิจการใหญ่โตถึงเพียงนี้
“ถึงมีตูก็ไม่รู้วิธีติดต่อหรอกเฟ้ย”
เหล่าชายชุดดำที่ยืนฟังบทสนทนาของพวกผมคล้ายว่าชักจะทนไม่ไหว เลยทำเสียงขู่ “เงียบ! ไม่งั้นอย่าหาว่าเราไม่เตือน”
ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน “พี่ จากนี้จะมีฉากแบบรับกระสุนแทน หรือโดนแทงหรือเปล่าวะ”
พี่เอื้อคลี่ยิ้ม...เป็นรอยยิ้มหล่อบาดตาจนผมเบลอไปชั่วขณะ ก่อนจะบรรจงตบหัวผมด้วยท่วงท่าอันแสนสง่างาม “ปัญญาอ่อน”
“ปกติพระเอกรับกระสุนใช่ป่ะ”
“เฮ้ยบ้า นายเอกสิวะ พิสูจน์รักแล้วกระโดดเข้ามารับมีดแทนพระเอก”
“นายเอกเป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอ ให้พระเอกรับไปเถอะ”
“พวกมึงไม่ต้องเกี่ยงกัน โดนแม่งทั่วถึง” หนึ่งในนั้นเอ่ย ผมถอนหายใจขณะหักนิ้วไปมา จากกระประเมินคร่าวๆ ไม่มีใครมีอาวุธ เอาว่าอัดแม่งเลยแล้วกันวะ ว่าแล้วผมก็พุ่งตรงไปเตะตัดขาชายชุดดำที่ใกล้ตัวที่สุด จากนั้นก็อัดแม่ง พอคนที่หนึ่งร่วงก็เตรียมซัดคนต่อไป ทว่าหนึ่งในนั้นรีบตะโกนพลางดึงผ้าปิดปากออก
“เดี๋ยวๆๆๆ น้องโว้ย ใจเย็นนนน พวกพี่ไม่ใช่คนร้าย”
“เฮ้ย คนร้ายแม่งก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นอ่ะพี่” ผมที่เตรียมอัดอีกฝ่ายตอบกลับเนิบๆ ทว่าเสียงของพี่เอื้อทำให้ผมชะงัก
“อ้าว พวกมึง”
ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะมองใบหน้าใต้ผ้าปิดปากของแต่ละคน...อะเอื้อ เอ๊ย อะอ้าววว นี่มันรุ่นพี่ผมทั้งนั้นเลยนี่หว่า ไอ้ชิบหาย ที่ชกไปเมื่อกี้แม่งหลานอธิการบดีมหาวิทยาลัยตัวเองเข้าไปอี๊ก ลาก่อน กูโดนไล่ออกแน่นอน
พี่เอื้อนิ่วหน้า “พวกมึงเล่นอะไรกันวะ”
“คืองี้...” ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “มึง...รู้ข่าวไอ้ตี๋ยัง”
“หา เรื่องอะไร” พี่เอื้อทำหน้างง
“อ๋อ ที่พี่ตี๋เลิกกับแฟน?”
ทุกคนรวมถึงพี่เอื้อหันมามองผมเป็นตาเดียว นอกจากพี่เอื้อแล้ว ทุกคนต่างพยักหน้าหงึกหงักเป็นแมวนางกวัก
“ทำไมถึงรู้”
“...เฟซบุ๊กสิพี่” สถานที่ประกาศให้โลกรู้ทุกสิ่งอย่างตั้งแต่จีบกันยันคลอดลูก ผมตอบพี่เอื้อแล้วก็หันไปทางพี่คนอื่นๆ “เอาว่าพี่ตี๋เลิกกับแฟนแล้วยังไงต่อนะครับ”
พวกรุ่นพี่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนใครคนหนึ่งจะเริ่มอธิบายว่าพี่ตี๋อกหักรักคุด เลยโทรมาเรียกเพื่อนไปปลอบ แน่นอนว่าเพื่อนไม่สนใจ พี่ตี๋เลยเอาความลับของแต่ละคนมาแบล็กเมล์ขู่ว่าจะแฉ...นี่พวกพี่แต่ละคนไปทำอะไรกันไว้วะ
“แล้วพวกมึงลากกูมาทำอะไร” พี่เอื้อที่ยังคงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุถาม
“ตี๋บอกไม่รู้จะขู่อะไรมึง ให้พวกกูลากไปด้วยกันเลยเนี่ยแหละ”
“...” พี่เอื้อโปรยจุด
“แล้วนี่คือไปไหน”
“พวกกูก็ไม่รู้”
“อ้าว”
“ไอ้ตี๋ไม่ได้บอกอะไร มันบอกให้ตามลูกน้องบ้านมันมาแค่นั้นอ้ะ”
“...”
พี่เอื้อแหงนมองเพดาน “เหนือเซอร์เรียล ก็ยังมีเรื่องเซอร์เรียลออกมาได้อีก ชีวิตกู”
“เฮ้อ ที่ใดมีรัก...ที่นั่นมีทุกข์ ใจขื่นขม ระทมชั่วนิรันดร์” ...เครดิตตือโป๊ยก่าย
“แม่งระทมชั่วนิรันดร์ก็ระทมไปคนเดียวสิวะ ลากกูมาระทมด้วยทำบิดามันเหรอ หา” ว่าแล้วพี่เอื้อก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่กลับพบว่าโทรไม่ติดเพราะไม่มีสัญญาณ “เชี่ย แม่ง มันย้ายไปอยู่ดาวอังคารหรือไงวะ”
“เอื้อเอ๋ย” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ย “มึงจงรับชะตากรรมกับพวกกูเสียแต่โดยดีเถิด”
“โฮกกกกก ผมยังต้องเรียนซัมเมอร์นะ!” ว่ายน้ำกลับไปได้ไหมวะเนี่ย
“ไอ้เอื้อมันเด็กโปรด’จารย์โอ๋ ไว้ให้มันไปเจรจาให้แล้วกันนะน้อง” รุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำ
“...” แบบนั้นก็ได้เหรอ
ท้ายที่สุด พวกผมก็ถูกต้อนโดยลูกน้องพี่ตี๋ให้ลงไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ก่อนที่เรือจะหนีหายไป พวกผมสิบสองชีวิตยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำสดใส ท้องฟ้าสีคราม เม็ดทรายสีขาว
ผมอ้าปากค้าง “...ที่นี่มันโลกไหนวะเนี่ย”
“เอ่อ น่าจะยังอยู่บนโลกของเรา...อันที่จริงคือน่าจะยังอยู่บนประเทศของเราแหละนะ” พี่เอื้อสะกิดผมให้หันไปดูด้านหลัง พอหันไปผมก็เห็นว่าเหนือหาดที่พวกผมยืนอยู่ในเวลานี้มีหมู่ตึกเรือนไทยขนาดใหญ่ที่ดูราวกับพระราชวัง ใครสักคนที่อยู่ใกล้ผมครางขึ้นมาสี่พยางค์
“ดาราเทวี”
ทุกคนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะร้อง “เอออออ เหมือนนนนนน” ออกมาพร้อมกัน...ทำลายบรรยากาศตึงเครียดปนตื่นเต้นเมื่อครู่ไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่นานนักก็มีพนักงานในชุดไทยประยุกต์เดินมาต้อนรับพวกเรา ที่แท้แล้วหมู่ตึกตรงหน้าเป็นโรงแรมจริงๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับดาราเทวี ดูเหมือนจะเป็นโรงแรมในเครือของบ้านพี่ตี๋ จากหาดเดินขึ้นมาก็นับว่าไกลพอสมควร แต่การตกแต่งตลอดสองข้างทางค่อนข้างน่าสนใจ ทำให้มองกันอย่างเพลิดเพลิน
ทว่าพวกเราในยามนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า ณ ที่แห่งนี้ คดีฆาตกรรมสยองขวัญกำลังรอเราอยู่...ฟีลชีวิตตอนนี้คือถ้าเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง คนเขียนคงแบบกูหมดมุกกับนิยายรัก ขอเปลี่ยน Genre ของนิยายมันหน้าด้านๆ ตรงนี้เลยจ้า
เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องในตอนนี้เป็นลูกหลานผู้มีอิทธิพล เพื่อความปลอดภัยอีกครั้ง เราจึงต้องขอทำการเซ็นเซอร์ชื่อ เอาว่าจะไล่ไป เอ บี ซี ดี อีนะครับ
หลังจากเข้าสู่ตัวโรงแรม พวกพี่เอื้อก็ดูจะผ่อนคลายความระแวดระวังกันมากขึ้น ทางเจ้าหน้าที่นำพวกผมไปยังชั้นบนสุด และแจกกุญแจให้แต่ละคน ผมได้กุญแจห้องแอล ติดกับพี่เอื้อซึ่งพักอยู่ห้องเค ตอนเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ทำคือยกโทรศัพท์ขึ้นมารัวรูป โอ้โห โรงแรมหรูเบอร์นี้ เกิดมาเคยเห็นก็แค่ในภาพถ่าย
ผมสำรวจไปรอบๆ ห้อง ก่อนสังเกตเห็นว่าที่ข้างเตียง มีตุ๊กตาไม้หน้าตาประหลาดอยู่ตัวหนึ่ง ตอนนั้นผมเพียงหยิบมาดูเล่น ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะพี่เอื้อมาตามให้ไปกินข้าวพอดี
ที่โรงแรมแห่งนี้มีห้องอาหารอยู่หลายแห่ง พวกรุ่นพี่สุมหัวกันตกลง สุดท้ายก็เลือกไปกินอาหารทะเลกัน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรนอกจากว่าโชคดีได้กินอาหารทะเล ก็มีถูกแซวจากพวกรุ่นพี่นิดหน่อยเรื่องที่ให้พี่เอื้อแกะให้หมด ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นนั้นเอง จู่ๆ รุ่นพี่คนหนึ่งก็ทำเสียงประหลาดในลำคอ ก่อนจะหมดสติไป
“พี่เอ!/ไอ้เอ!”
หลังจากนั้นก็แตกตื่นกันยกใหญ่ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้มาก รู้เพียงว่าภายในห้องอาหารเกิดความชุลมุนวุ่นวาย คนนั้นเข้าคนนี้ออก สุดท้ายพี่เอก็โดนหามออกไป
เหล่ารุ่นพี่ที่รอข่าวด้วยความกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่งก็ได้รับแจ้งจากพนักงานโรงแรมว่าพี่เอปลอดภัยดี ทุกคนก็เลยโล่งอก ตอนนั้นเองที่พี่บีบ่นว่าง่วงนอน เมื่อคืนออกไปเที่ยวโต้รุ่งกลับมายังไม่ทันได้นอนถูกพี่ตี๋ขู่ออกมาเสียก่อน เลยขอแยกตัวไปนอน
ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจจะออกไปเล่นน้ำทะเล ผมกับพี่เอื้อไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยน ไม่สิ ไม่แค่ชุดว่ายน้ำ พวกผมสองคนไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ โชคดีที่มีร้านค้าอยู่ ก็เลยหาซื้อเสื้อผ้ามาได้สองสามชุดพร้อมกางเกงไว้ลงเล่นน้ำ
ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังจะลงไปที่หาด พี่ซีก็เกิดรู้สึกไม่อยากไป เลยบอกจะไปเดินเล่นรอบๆ
...และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราทุกคนได้เห็นพี่ซีบนเกาะแห่งนี้
พี่คนอื่นที่เหลือรวมถึงผมต่างก็มุ่งตรงไปยังชายหาดซึ่งมีเจ้าหน้าที่ช่วยปักร่มคันใหญ่กันแดดไว้ให้เสร็จสรรพพร้อมโต๊ะเตี้ยที่เต็มไปด้วยของกินเล่น หนึ่งในพนักงานโค้งให้พวกผมแล้วบอกว่าถ้ามีอะไรให้สั่นกระดิ่งเรียกได้ ก่อนจะเดินหายไป
พวกรุ่นพี่แต่ละคนแยกย้ายกันไปจับจองร่มแต่ละคัน ฟีลแบบพระไปปักกลดกันมาก แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเหลือบมองน้ำทะเล แต่เอาแต่ยกมือถือถ่ายรูปตัวเอง ทว่าก่อนจะได้เอ่ยปาก พี่เอื้อก็สะกิดแล้วส่งอะไรบางอย่างให้
“แสงแดดทำร้ายดวงตา ใส่ซะ เราทำอาชีพอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ถนอมสายตาเอาไว้”
“...ขอบคุณครับ”
ผมรับแว่นกันแดดมาใส่ ก่อนหันไปมองพวกรุ่นพี่อีกครั้ง แต่ละคนยังคงเอียงซ้ายเอนขวา แชะภาพกันอย่างสนุกสนาน เห็นแล้วอดถามออกไปไม่ได้
“เอ่อ ตกลงพวกพี่มาทำอะไรกันครับ”
“ถ่ายรูปลงไอจี” ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาตอบโดยพร้อมเพรียง พี่เอื้อตบบ่าผมปุๆ แล้วจับให้นั่งลง จากนั้นก็ช่วยผมทาครีมกันแดด อันที่จริงฉากนี้ควรเป็นฉากสยิวกิ้ว แต่นี่เราพูดถึงใครอยู่ พี่เอื้อการย์ที่รักทาครีมกันแดดให้ผมแบบตั้งอกตั้งใจมากเยี่ยงกำลังบำรุงรักษาศิลปะวัตถุ ในตอนนั้นเองก็ได้ยินพี่คนหนึ่งบ่น
“อ้าว ที่นี่ไม่มีสัญญาณเน็ตเลยว่ะ”
“มึงเอาอะไรมากกับเกาะแบบนี้วะ”
“บ้า โรงแรมโคตรหรู ไม่มีเน็ตได้ไง”
แล้วพวกรุ่นพี่สองคนก็เถียงกันไปมา ผมที่เพิ่งเสร็จจากภารกิจถูกหลังพี่เอื้อและปิ่มๆ จะสาดเลือดกำเดาใส่แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา พี่เอื้อที่ดูเหมือนจะเดาความคิดผมได้หันกลับมาบีบจมูกผมเบาๆ โอ๊ย กล้ามข้างหน้าก็น่าสาดเลือดใส่จ้า
“พี่เอื้อ เราจะไม่เล่นน้ำกันจริงๆ เหรอ” ผมมองทะเลตาละห้อย พี่ๆ ที่เหลือดูจะนอนอ้อยอิ่งไม่สนใจโลกใบนี้
“อยากเล่นน้ำเหรอ”
“อยากกว่าเล่นกล้องอ่ะพี่” ผมตอบขณะมองไปยังบรรดารุ่นพี่ พี่เอื้อหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะจูงมือผมไปยังทะเล จากนั้นก็เป็นฉากฟิลเตอร์ในอนิเมชัน เล่นน้ำด้วยกันอย่างสนุกสนาน อา โลกช่างสวยงาม
จนกระทั่งตอนเย็น ผมเล่นน้ำจนเหนื่อยก็ถูกจูงกลับโรงแรม
“เฮ้ย ใครไปปลุกไอ้บีหน่อย กินข้าว...แล้วนี่ไอ้ซีหายไปไหนเนี่ย”
หลังจากเกี่ยงกันไปมา ในที่สุดพี่ดีก็เป็นคนไปตามหาพี่ซีเพราะเป่ายิ้งฉุบแพ้ ส่วนพี่เอฟก็ขึ้นไปปลุกพี่บี ทว่าสักพักพี่เอฟก็กลับมาบอกว่าพี่บีไม่อยู่ที่ห้อง
“มันคงไปเดินเล่นกันมั้ง” พี่เอฟพูดแบบไม่ยี่หระ ตอนนั้นทั้งผมและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรกันมาก
ส่วนพี่ดีที่หายไปพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมเลือดกลบมือ ที่แท้ด้านหลังโรงแรมเป็นป่า พี่ดีเดินไม่ดีเลยล้ม มือไปขูดเข้ากับเงี่ยงไม้ แล้วก็บอกว่าหาพี่ซีไม่เจอ “กูขอไปหาที่ทำแผลก่อน พวกมึงไปกินกันเลย”
“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้องๆ แผลแค่นี้ ไกลหัวใจ” พี่ดีส่ายหัว ก่อนจะเดินจากไปแบบหล่อๆ
...แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีใครเห็นพี่ดีอีกเลย จนกระทั่งกินเสร็จ ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปนอน ผมที่เล่นน้ำจนเหนื่อยก็ไม่สนใจอะไรมากมาย พอหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยไปในทันที
STAGE II: รวบรวมเบาะแส
ข้อควรระวัง: ฆาตกร...อยู่ในหมู่พวกเขาหรือเปล่านะ
คอมเม้นต์ของพระเอก: แน่นอน นิยายสืบสวนพรรค์ไหนที่ให้คนร้ายเป็นคนที่เดินผ่านมาเฉยๆ กัน
25
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกรุ่นพี่มารวมตัวกัน ปรากฏว่าพี่บี ซี ดีก็ยังไม่กลับมาที่ห้อง พวกผมเลยบอกให้เจ้าหน้าที่ช่วยตามหาให้หน่อย แต่ด้วยความที่ที่นี่เป็นโรงแรมในเครือบ้านพี่ตี๋ แต่ละคนเลยไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังกินข้าวเช้าแล้ว แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไป ผมกับพี่เอื้อตัดสินใจไปเดินเล่นรอบๆ โรงแรมที่ค่อนข้างกว้าง มีกระทั่งตลาดน้ำโบราณจำลองอยู่ด้านใน ผมกับพี่เอื้อเดินเล่นด้วยความสนุกสนาน ก่อนที่ผมจะเห็นร้านหมึกปิ้ง
“ฮว้ากกกก หมึกปิ้ง”
“เมื่อวานกินกุ้งไปตั้งเยอะ ไม่เบื่ออาหารทะเลอีกเหรอ”
“กุ้งกับหมึกมันคนละรสชาติกัน” ผมเอ่ยอย่างเป็นเหตุเป็นผล พี่เอื้อได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินไปซื้อกลับมานั่งกินด้วยกันที่โต๊ะริมน้ำ
ขณะๆ นั่งกินอยู่ ผมรู้สึกร้อนวูบวาบในอก ตอนแรกนึกว่ากินเยอะเกินไป แต่พอยกมือขึ้นคลำก็นึกได้ว่าผมสวมจี้ห้อยคอที่เอาไว้ตามหาแม่มดอยู่ และทันทีที่ได้เห็น ผมก็ร้องเสียงหลง “เฮ้ย!”
...อัญมณีบนจี้ยามนี้เปล่งแสงสีเขียวสดใสสีเขียว
พี่เอื้อที่เงยหน้าเพราะเสียงร้องของผมนิ่วหน้า “น้ำจิ้มหกแล้ว”
“หา วะ ว้ากกก” ผมเพิ่งสังเกตว่าน้ำจิ้มหมึกย่างชิ้นที่คีบอยู่หยดใส่เสื้อ พี่เอื้อรีบดึงกระดาษทิชชู่มาช่วยผมเช็ด
“กินให้ระวังๆ หน่อย”
“ไม่ช่าย พี่เอื้อ ดูนี่ก่อน อ๊ะ...”
...อัญมณีกลับกลายเป็นสีเหลืองอีกครั้ง
หลังจากนั้นพี่เอื้อกับผมก็เดินไปรอบๆ ตลาดเพื่อหวังจะให้จี้เปลี่ยนสีอีกครั้ง ทว่าไม่เป็นผล
“แต่อย่างน้อยเราก็รู้แหละนะว่าแม่มดอยู่แถวนี้”
“...หรือจริงๆ คือฝีมือไอ้ตี๋วะเนี่ย” พี่เอื้อพึมพำ
“...” ไม่ขนาดนั้นมั้ง
ครั้นวนหาจนเหนื่อย สุดท้ายผมกับพี่เอื้อก็ตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ค้นหาจึงเดินกลับมาที่โรงแรมก็พบรุ่นพี่คนอื่นๆ พี่จีบอกพวกผมว่าพี่อีถูกผึ้งต่อยตอนไปดูโรงเลี้ยงผึ้งด้วยกัน ดูเหมือนจะแพ้ ตอนนี้ทั้งแก๊งเลยเหลือแค่พี่เอฟ พี่จี พี่เอช พี่ไอ และพี่เจกันห้าคน
“นี่ถ้ากูเชื่อเรื่องผีสางกว่านี้ กูจะคิดว่าคำสาปไอ้ตี๋แล้วนะ เพื่อนแม่งค่อยๆ ร่วงไปทีละคน...ทีละคนงี้”
...นี่ก็เห็นพี่ตี๋เป็นบอสลับอีกคนแล้ว
ผมในตอนนั้นค่อยๆ นั่งคิดถึงการตาย เอ๊ย การหายตัวไปของพี่แต่ละคน พี่เอมีปัญหาตอนกินข้าว พี่บีง่วงเลยไปนอนแล้วก็หายตัวไป พี่ซีไปเดินเล่นแล้วก็ไม่กลับมา พี่ดีเดินป่าโดนเงียงไม้ตำจนเลือดออก พี่อีโดนผึ้งต่อย
“พะ พี่เอื้อ” ผมกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายที่ก้มลงมามองผมด้วยความงุนงง
“พะ...พี่ไม่คิดว่านี่มันเหมือนกับบรรยากาศในเรื่อง ‘จนศพสุดท้าย’ เหรอ”
“หา เรื่องอะไรนะ”
“จนศพสุดท้ายอ่ะ ของอกาธา คริสตี้อ่ะ!”
“อ๋อ And then there were none...” พี่เอื้อพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นชะงักงัน เขาหันกลับไปพวกเพื่อนๆ ที่ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ และหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมา
“Ten little soldier boys went out to dine; one choked his little self and then there were Nine.”
ผมหน้าซีด “ทหารน้อยสิบนายออกไปกินอาหาร คนหนึ่งสำลัก...”
“Nine little Soldier Boys sat up very late; one overslept himself and then there were Eight.”
“อีกคนนอนไม่พอจนนอนตื่นสาย”
“Eight little Soldier Boys travelling in Devon; one said he'd stay there and then there were Seven.”
“อีกคนเดินทางไปเดว่อน และอยู่ที่นั่นไม่กลับ”
“Seven little Soldier Boys chopping up sticks; one chopped himself in halves and then there were Six.”
“อีกคนตัดไม้ แต่ดันหั่นตัวเองเป็นครึ่งท่อน”
“...เฮ้ย อันนี้ไอ้ดีมันแค่มือไปโดยเงี่ยงไม้เองนะ”
“Six little Soldier Boys playing with a hive; a bumblebee stung one and then there were Five.”
“...ผึ้งนี่ใครเป็นคนชวนวะ”
“พนักงานโรงแรมแนะนำไงมึง จริงๆ ไอ้เอฟนั่นแหละที่อยากไปดูที่สุด”
“เฮ้ย กูก็แค่อยากชิมน้ำผึ้งเฉยๆ” พี่เอฟรีบส่ายหัวเป็นพัลวัน “กูว่าก็แค่บังเอิญแหละ อย่างตรงไอ้บีไอ้ซีก็ไม่เรียกว่าตรงขนาดนั้นป่ะวะ”
“...บังเอิญติดกันห้าครั้งนี่มันเยอะไปหน่อยไหมวะ”
คำถามนี้ทำเอาพวกผมพากันพวกกลืนน้ำลายดังเอื้อก ก่อนจะนั่งเงียบกันไปพักใหญ่ จนกระทั่งรุ่นพี่คนหนึ่งทำลายความเงียบขึ้นมา “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
“นั่นสินะ”
“จริงด้วย บังเอิญนั่นแหละ”
ทุกคนยังคงพยายามยืนยันเช่นนั้น ก่อนจะพร้อมใจกันไปหาอะไรกินเล่นรอตอนเย็นจะไปปิ้งบาร์บีคิวกันที่ริมหาด ระหว่างกินขนมพี่เอฟอยากไปเข้าห้องน้ำ แต่หลังจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของแต่ละคนแล้วพี่แกก็ชักปอดๆ เลยชวนพี่จีกับพี่เอชไปด้วย ส่วนพวกผมรออยู่ที่ล็อบบี้ ระหว่างนั้นพี่เอื้อนึกถึงพี่เอขึ้นมาได้เลยไปถามพนักงานโรงแรม ปรากฏว่าแต่ละคนงงงวย ไม่มีใครตอบคำถามได้เพราะพวกเขาไม่ใช่พนักงานกะเดียวกับเมื่อวาน พี่เอื้อเลยบอกปัดว่าไม่เป็นไร และตั้งใจจะถามอีกครั้งในตอนเช้า
ไม่นานนัก พวกพี่ที่ไปเข้าห้องน้ำก็กลับมา ทว่ามีเพียงพี่จีและพี่เอช
“อ้าว ไอ้เอฟล่ะ” พี่ไอถามพี่จี “ไม่ใช่โดนเก็บไปแล้วใช่ไหม”
“ห่า ไม่ใช่! เมื่อกี้มีแขกเมาแล้วลวนลามพนักงานโรงแรม ไอ้เอฟมันเข้าไปช่วย ทำไปทำมาคุยกับเขาถูกคอ มันเลยบอกเดี๋ยวตามมา ให้เราไปเล่นกันก่อนได้เลย มันอยู่กับคนอื่น ไม่น่ามีอันตรายอะไร”
ได้ยินดังนั้น แม้จะมีความไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่พวกผมก็หอบถังไฟเย็นไปเล่นกันที่ริมหาดซึ่งเริ่มมืด พนักงานริมหาดมีการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย รวมถึงตั้งกองไฟปลอมๆ ให้ได้บรรยากาศ
ทว่าเล่นไปจนถึงดึก พี่เอฟก็ยังไม่มา พวกรุ่นพี่ที่ใจไม่ดีเลยให้พี่ไอกับพี่จีไปตาม ทว่าทั้งสองคนกลับมาแล้วส่ายหัว
“...ต่อจากผึ้งต่อย มันว่าอะไรนะ”
"Five little Soldier Boys going in for law; one got in Chancery and then there were Four."
ทุกคนเงียบกริบขณะมองหน้ากัน “ไอ้ท่อน Going for law…เข้าไปช่วยสาวนี่นับไหม”
“ไม่มั้ง มันก็บิดใจความอยู่...บังเอิญแหละ”
“มันจะบังเอิญติดกันหกครั้ง...โลกนี้มีความบังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ไอ้ตี๋...กูว่าต้องเป็นฝีมือของไอ้ตี๋แน่นอน”
“เฮ้ย ไม่มั้ง ไอ้ตี๋เนี่ยนะ”
“มึง คนที่มันพ่ายรัก มันก็เหมือนหมาจนตรอก อาจจะพร้อมกัดทุกคนไม่เลือก”
“แล้วกัดกูทำไม กูยังโสดหมาหงอยอยู่เลย กัดก็ไปกัดไอ้เอื้อสิวะ!”
พี่เอื้อที่ยืนกอดอกมองพวกรุ่นพี่แตกตื่นอยู่นิ่งๆ พอได้ยินปุ๊บก็ตบกบาลเพื่อนปั๊บ “ห่า ปากมึง”
“เอาเป็นว่าหลังจากนี้พยายามอยู่เป็นกลุ่มไว้ก็แล้วกัน เอื้อ มึงอยู่กับแฟนมึงไป พวกกูแบ่งกันสามสอง”
“โฮ้ย ไร้สาระ” พี่เอื้อกุมขมับ
ในตอนนั้นเอง หนึ่งในรุ่นพี่ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เฮ้ย เห็นนั่นป่ะ”
ทุกคนพากันหันไปมองตามที่อีกฝ่ายชี้ ก่อนพบว่าที่ใจกลางผืนทะเลสีดำสนิท พลันปรากฏแสงไฟสีเขียวเรืองรอง
“กระ...กระ...กระ” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยด้วยเสียงติดอ่าง “กระสืออออออ”
พอกระสือโผล่เท่านั้นแหละ ทุกคนแตกตื่นกันทันที “เออ เชี่ย กระสือออออ”
“ม่ายยยย ไส้ของกู เครื่องในของกู”
ทันใดนั้นเอง รุ่นพี่สักคนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “Four little Soldier Boys going out to sea; a red herring swallowed one and then there were Three.”
เท่านั้นแหละ ทุกคนเกิดอาการสติกระเจิง “เชี่ยแล้ววววว ลากลงทะเลลลลล มึงงงงง มึงยอมทำตามนั้น ชิงโดดลงไปก่อนเลย เชื่อกู”
“แล้วทำไมต้องเป็นกูวะ แน่จริงมึงก็โดดลงไปเองเด้ ไหนเคยบอกว่าเป็นนักว่ายน้ำเหรียญทองไงวะ ทะเลแค่นี้สิวๆ เจอกระสือก็จีบแม่ง”
“เอาจริงเหรอวะ จีบกระสือเนี่ยนะ”
“เออ มึงต้องพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤติ จีบแม่ง”
“กูว่าประโยคเมื่อกี้มีอะไรสักอย่างที่ไม่ถูกต้อง”
ท่ามกลางผู้คนที่แตกตื่น พี่เอื้อเอียงคอน้อยๆ มองไปยังแสงไฟสีเขียวที่สว่างวูบ ก่อนขมวดคิ้ว “อะไรของพวกมึง นั่นไฟไดหมึกป่ะ”
“...” ทุกคนพร้อมใจกันเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่หนึ่งในแก๊งรุ่นพี่จะเอ่ยขึ้นมา
“กูโหวตกระสือ”
“กูก็กระสือ”
“กระสือ เชื่อกู กูเรียนมา”
“มึงเรียนคอมพิวเตอร์มากับพวกกูไม่ใช่เหรอวะ” คราวนี้ทุกคนหันไปถาม
“คอมพิวเตอร์เป็นไสยศาสตร์ประการหนึ่ง”
“เออ จริง”
“....” คุณพี่เจ้าของไฟไดหมึกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันมามองผม ไอ้กระผมในฐานะแควนหนุ่มที่ดีก็ควรจะให้ฟามมมมช่วยเหลือ (กรุณาวิบัติเพื่ออรรถรส) ดังนั้นผมจึงประกาศ
“แต่งกับชาวประมง ย่อมเป็นชาวประมง...ผมโหวตกระสือ”
พี่เอื้อเลยตบกะโหลกผมเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆ “พอแล้ว พวกมึงแม่งไร้สาระชิบหาย ไปๆๆๆ กลับไปนอน”
รุ่นพี่แต่ละคนครวญครางกันสักพัก ก่อนจะทยอยกันกลับไปนอน ผมเองก็ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอน ทว่าในตอนนั้นเอง ผมที่สะลึมสะลือก็พลิกตัวไปทางฟากที่ติดกับหน้าต่าง เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด จึงมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด ทว่าในความมืดมิดนั้น ผมเห็นแสงไฟวูบวาบจากที่ไกลๆ คล้ายบางอย่างกำลังบินวนอยู่ในบริเวณนี้
“...” ไอ้ชิบหาย!
ว่าแล้วผมก็ผุดลุกขึ้น จากนั้นก็วิ่งไปเคาะห้องข้างๆ ทันที “พี่เอื้ออออ”
เจ้าของชื่อใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนจะเปิดประตูห้อง เขายืนพิงบานประตู มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้ากับขอบประตูด้านบน ชุดนอนสีดำที่สวมอยู่เผยอเล็กน้อยอวดแผงอกล่ำๆ ผมจากกลัวๆ ผีอยู่เจอแผงอกเขาไปสมองถึงกับหยุดทำงานไปชั่วขณะ
“หือ มีอะไร เกิดอะไรขึ้น จะลักหลับพี่?”
“ไม่มีไร แค่มาเช็กความเป็นอยู่ของพี่เฉยๆ” พูดจบผมก็เผ่นหนีไปในทันที ระหว่างผีกับกล้ามท้องแปดลูก จังหวะนี้กล้ามท้องน่ากลัวกว่า
ครั้นกลับไปนอน ผมก็สังเกตว่าไฟวูบวาบเมื่อครู่หายไปแล้ว ป่านนี้คงกินพี่สักคนไปแล้วล่ะมั้ง คิดเช่นนั้นผมก็เลยหลับตาลง ทว่ายังไม่ทันจะได้หลับ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้งโหยง ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกของพี่เอื้อ “เดือน”
“พี่เอื้อ?”
“อื้อ พี่เอง เปิดประตู”
“ไม่ใช่ผีปลอมเสียงมาหลอกให้ผมเปิดประตูใช่ไหม”
พี่เอื้อที่ข้างนอกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ต่อให้พี่เป็นผีจริง ถูกถามแบบนี้พี่จะสารภาพเหรอวะ”
...เออ ก็ไม่น่า
“แล้วผมจะแน่ใจได้ไงว่าพี่เป็นตัวจริง” เอ้า อย่าดูถูก เมื่อตะกี้เราเห็นกระสือกันมาแล้ว (ใครเป็นไฟไดหมึก กระสือสิ!) ดังนั้นผมต้องไม่ประมาท ดูอย่างในการ์ตูนสยองขวัญสิ หลายครั้งที่เรายอมเปิดเพราะคิดว่าเป็นคนไว้ใจ แล้วเป็นไง โดนแดกจ้า
“อืม...ที่หลังน้องเดือน...แถวสะโพกมีลักยิ้มอยู่คู่หนึ่ง มีไฝเม็ดเล็กๆ ที่ข้างข้อมือซ้าย แล้วก็...”
ผมเปิดประตูทันที เชี่ยนี่ตัวจริงชัวร์! “พี่มีธุระอะไรรีบว่ามา ผมจะนอนแล้ว”
“...” พี่เอื้อผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ มองผม “ตอนแรกแค่จะมาเช็กความเป็นอยู่ แต่ตอนนี้...ขอนอนด้วยแล้วกัน”
“หะ หา”
รู้ตัวอีกทีผมก็ได้หมอนข้างมนุษย์มาหนึ่งชิ้น ทว่านอนๆ อยู่ผมก็มองไปที่หน้าต่างเป็นระยะๆ จนพี่เอื้อสงสัย “มองอะไรน่ะ”
ผมเลยอธิบายถึงแสงวูบวาบเมื่อครู่แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก เดิมทีคิดว่าพี่เอื้อน่าจะหัวเราะก๊าก แต่กลับถูกถามด้วยสีหน้าจริงจังกลับมาแทนเสียนี่ “...เดี๋ยว ที่บ้านก็มีผีอยู่ ทำไมยังกลัวผีอีก”
“...หมายถึงผีตะวันกับผีทะเลที่นอนอยู่ข้างๆ นี่เหรอ” ผมกลอกตา “มันไม่เหมือนกัน!”
คิ้วของผีทะเลที่นอนข้างๆ ผมขมวดแน่นกว่าเดิม “ไม่เหมือนยังไงวะ ผีมันก็ไอ้เหมือนๆ กันหมดอ่ะ”
ข้อนี้อธิบายยาก... “เอาว่าผีที่บ้านไม่น่ากลัวเท่าผีนอกบ้านก็แล้วกัน”
พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนออกแรงยกตัวผมขึ้นแล้วสลับฝั่งกัน “เอ้า ทีนี้ผีมาจากทางหน้าต่างก็ต้องเจอพี่ก่อน”
ฟังแล้วผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แล้วถ้าผีมาทางประตูอ่ะ”
พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งผมกับพี่เอื้อสะดุ้งเฮือก ก่อนจะมองหน้ากัน พี่เอื้อกระซิบ “แกล้งตายก็แล้วกัน”
“...เอาจริงเดะ”
พวกผมสองคนเลยนอนกอดกันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบละ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังแว่วมาจากห้องข้างๆ ที่เป็นห้องของพี่เอื้อ
“...คนเมาล่ะมั้ง” พี่เอื้อสรุป...เอ้า เมื่อกี้ยังแกล้งตายหนีผีอยู่เลย ทำไมกลับคำให้การมาเป็นคนเมาแล้ว
“...ก็คงงั้น” ผมได้แต่ยอมรับไป...คิดแล้วยังไงเป็นคนเมาก็ยังดีกว่าเป็นผีวะ
พวกผมสองคนยังคงกอดกันอยู่แบบนั้น...ได้อีกราวๆ ห้านาที ก่อนพี่เอื้อจะโยนผมทิ้ง จากนั้นก็บ่นอุบว่าปวดแขนและพลิกตัวเปลี่ยนท่า ทำลายความโรแมนติกย่อยยับ แต่ก็ดีแล้ว เพราะผมหายใจช้ากว่าพี่เอื้อ พอนอนกอดกับเขา กลายเป็นว่าพยายามหายใจจังหวะเดียวกัน ผลคืออึดอัดมาก เกือบสำลักอากาศเพราะหายใจเร็วเกินไปอยู่หลายรอบ...นอนไม่หลับหนักกว่าเดิม
“พี่เอื้อ”
“หือ”
“ปกติคนอื่นเขานอนกอดกันได้ยังไง”
“พลังจูนิเบียว”
“...” ไม่รู้จะปลื้มใจดีไหมที่ในที่สุดพี่เอื้อก็เข้าถึงคำว่าจูนิเบียวแล้ว
พูดกันไปมาสุดท้ายผมก็ง่วงจนแม้แต่อ้าปากก็ยังไม่ไหว ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป พี่เอื้อก็เอื้อมตัวมาจุ๊บหน้าผากผมเบาๆ “เอ้านอนได้แล้ว บ๊ายบาย ฝันดี”
...แล้วผมก็ตายตาหลับ เอ๊ย หลับเป็นตายเพราะความเหนื่อย อะไรนะ ทำไมไม่มีฉากเด็กไม่ดีน่ะเหรอ ขอโทษด้วย แว่วเสียงใครไม่รู้เปิดบทสวดมนต์ดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนี้ ยังจะเกิดอารมณ์หื่นได้อีกก็ยอมแล้ว!
STAGE III: ฆาตกรคือแกนั่นเอง
ข้อควรระวัง: จับคนร้ายได้แล้ว
คอมเม้นต์ของนายเอก: ...เคยมีจับผิดจับแพะบ้างไหม
26
เช้าวันต่อมา ผมตื่นเพราะเสียงตบประตูห้องรัวๆ “เอื้ออออ มึงอย่ามัวกกเด็ก ออกมาช่วยพวกกูเร็ว”
พี่เอื้อที่นอกจากจะไม่ได้กกเด็กแล้วยังถูกเด็กแย่งผ้าห่มค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตู ส่วนเด็กที่ไม่ได้ถูกกกก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางงัวเงียขณะหันไปมองนาฬิกา โอ้โหตีห้าครึ่ง นี่ตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันหรือไร
“มีอะไร”
“มึงงงง กูได้รับข้อความจากไอ้บีที่ตายไป”
“ฮืออออ มึงว่ามันอยากจะเอาพวกเราไปอยู่ด้วยไหม” เหล่าหางเครื่องที่เหลือร้องคร่ำครวญ
“...ไอ้บียังไม่ตายโว้ย” พี่เอื้อที่ยังคงมีสติตบกบาลเพื่อนๆ ก่อนจะรับโทรศัพท์มาดู ผมที่เดินไปสมทบกับเขาพยายามเขย่งเก็งกอยอยากดูกับเขาบ้าง ก่อนจะเห็นข้อความสั้นๆ ไม่มีที่มาที่ไป
...ข้างใต้ตุ๊กตา
ในยามนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเวลาเช้ามืดหรือผมเปิดแอร์แรงเกินไป ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ายพี่เอื้อก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย “นี่มัน...ไอ้บี?”
“เออ คืองี้...กูพยายามจะหาที่ที่มีสัญญาณเชี่ยอะไรก็ได้ เลยเดินวนไปวนมารอบโรงแรม จนได้สัญญาณมาขีดหนึ่ง พอจะส่งข้อความ ก็ได้รับข้อความนี้พอดี มึงดูเวลาดิ มันคือตอนไอ้บีหายตัวไป”
“ข้างใต้ตุ๊กตา?” พี่เอื้อพึมพำ “ตุ๊กตาอะไรวะ”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็พุ่งไปที่ข้างหัวเตียง และหยิบเอาตุ๊กตาไม้หน้าตาประหลาดขึ้นมา “ไอ้นี่หรือเปล่า”
พวกรุ่นพี่พากันกรูเข้ามาในห้อง ก่อนที่ทุกคนจะร่วมกันมุงดูสิ่งที่อยู่ในมือของผม ครั้นพลิกดูใต้ตุ๊กตาไม้ พวกผมก็เห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษปนตัวเลขอยู่สองแถวที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
“ตุ๊กตานี่มัน...มีทุกห้องเลยใช่ไหม
สิ้นคำถามดังกล่าว แต่ละคนพากันกุลีกุจอกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อเอาตุ๊กตาไม้ที่หัวเตียงมาบ้าง เมื่อพลิกดูทั้งหมดก็พบว่าอักษรสองแถวพวกนี้ไม่ซ้ำกันเลยสักชุด
“จะว่าไป ในนิยาย มันก็มีตุ๊กตาทหารน้อยสิบตัวใช่ไหม”
“เออ แล้วมันก็หายไปทีละตัว”
“ฮว้ากกกก กูจะไม่เข้าใกล้ทะเลอีกแล้ว”
“ระวังสระว่ายน้ำไว้ด้วยนะมึง”
“...” พี่เอื้อมองเหล่าเพื่อนด้วยสายตา...ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มันเหมือนเวลาเรามองเด็กอนุบาลกำลังคุยกันในหัวข้อยากๆ คือเป็นสายตาแห่งความเอ็นดูปนเวทนาในความไร้เดียงสา ประมาณนั้น
ผมแอบกระซิบถาม “ทำไมพวกพี่จำกลอนทหารน้อยกันได้แม่นจัง”
พี่เอื้อร้องอ้อ “หนังสืออ่านนอกเวลาวิชาอังกฤษหนึ่งน่ะ ตอนนั้นมีข่าวลือว่าจะออกสอบ ท่องกันใหญ่เลย”
“แล้วออกไหม”
“ไม่มี”
...โธ่
“ของปีนายใช้เรื่องอะไร”
“เอ่อ...รถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรสอะ ที่คนตายลึกลับบนรถไฟ” ก็ของอกาธา คริสตี้อีกเหมือนกัน
“โฮ่ ดีนะที่เราไม่ขึ้นรถไฟ” พี่เอื้อส่ายหัวขณะปรายตามองเพื่อนๆ ตัวเอง
“พี่ไม่กลัวเลยเหรอ”
“นิดหนึ่ง”
“แต่...”
พี่เอื้อปรายตามองผม ก่อนเอื้อมมือมาดึงแก้ม “แต่ต่อหน้าแฟน จะให้ทำตัวพึ่งพาไม่ได้ได้ยังไงกันเล่า”
ผมรู้สึกว่าหูตัวเองออกจะร้อนหน่อยๆ
สุดท้ายพี่เอื้อที่มีสติอยู่คนเดียวก็ลากเพื่อนๆ ลงไปกินข้าวเช้า กินเสร็จก็เลยไปนวดสปากัน...ตกลงพวกพี่กลัวหรือไม่กลัวกันแน่วะ หรือขอแค่ไม่เข้าใกล้น้ำก็ไม่เป็นไรแล้ว? เอาเป็นว่าผมเองก็ไม่รู้ แต่นวดสปาคือดีงามมาก หลังแข็งๆ ของผมผ่อนคลายสุดๆ
เสร็จแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป พวกรุ่นพี่เหมือนจะไปเดินเล่น ชมสวนสมุนไพร ส่วนพวกผมก็ไปเดินตลาดน้ำอีกครั้ง แต่ไม่พบร่องรอยของแม่มด ก่อนจะกลับไปหาข้าวกินชิลล์ๆ แล้วก็ไปนั่งเล่นในห้องเกม เป็นครั้งแรกที่ผมได้จับเครื่องเล่นเกมคอนโซล เลยตื่นเต้นใหญ่ ก็เล่นเกมต่อสู้กันไป ผมอัดรุ่นพี่ลงไปนอนกองรวด ก่อนจะถูกขับไล่ออกมา ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นพอดี
หลังอาหารเย็น ผมกับพี่เอื้อก็ตัดสินใจลองเดินไปเดินเล่นย่อยอาหารทางป่าด้านหลังโรงแรมดู ส่วนพวกพี่ที่เหลือกลัวจนไม่กล้าทำอะไร เลยสุมหัวกันอยู่แถวล็อบบี้โรงแรม
สองข้างทางก็ไม่มีอะไร เป็นต้นไม้ใบหญ้า อันที่จริงก็ไม่ถึงกับหนาทึบเป็นป่า แต่พอเดินกันสองคนในช่วงเวลาแสงสลัวๆ แบบนี้แล้วก็รู้สึกว่านี่มันบรรยากาศหนังสยองขวัญอยู่หน่อยๆ แถมด้วยความที่ทั้งผมและพี่เอื้อต่างไม่ใช่พวกสนใจต้นไม้ใบหญ้ามาก ไอ้ต้นไม้ที่เดินผ่านๆ กันนี่เป็นต้นอะไรบ้างก็ไม่รู้สักนิด
ทว่าขณะเดินๆ อยู่ ผมก็รู้สึกร้อนวูบในอก “พี่เอื้อ!”
จี้ที่ห้อยคอผมยามนี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผมถอดมันออกมาถือและเคลื่อนไหวไปมา “ทางนี้!”
สีเหลืองในอัญมณีค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเผชิญหน้ากับใครคนหนึ่ง
อาศัยแสงจากคบไฟปลอมที่ติดอยู่ตามต้นไม้ทำให้ผมเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งเย็นชาคล้ายรูปปั้น...และเป็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยดียิ่งกว่าใคร
“ไอ้ธี...?”
เจ้าของชื่อกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนดันแว่น “เดือน?”
ผมถอยกรูดไปด้านหลัง “ภาธี! ที่แท้แล้วแกเป็นสายของแม่มดงั้นเหรอ”
“หา” ไอ้ภาธีเพื่อนเลิฟมองผมด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนปัญญาอ่อน เอ้อ...ก็ค่อนข้างจะอ่อนนิ่มยวบยาบจริงๆ นั่นแหละ แค่ก เท่านั้นยังไม่พอ มันยังยืนดูดน้ำปั่นหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมแอ็กติ้งประหนึ่งเล่นละครเวทีอยู่คนเดียว
“ไม่ผิดแน่” ผมชูจี้ห้อยคอที่ยามนี้กลายเป็นสีเหลืองสดใสขึ้นมา “แกรู้ใช่ไหมว่าแม่มดที่สาปพี่เอื้อให้เป็นตุ๊กตากบคือใคร”
ภาธีมองผมนิ่งๆ ก่อนหันไปหาพี่เอื้อ แล้วก็ร้อง “อ้อ!” ออกมาคำหนึ่ง
นั่น...นั่นไง มันรู้ นี่มันรู้จริงๆ ด้วย โฮกกกกก เพื่อนทรยศ
จากนั้นไอ้เพื่อนทรยศก็ค่อยๆ หันมาหาผมอย่างเชื่องช้า และเอ่ยเนิบๆ “เลิกเล่นละครได้แล้ว ความแตกแล้ว”
ผมชะงัก ก่อนหันไปมองพี่เอื้อ “พี่...เอื้อ ไม่ใช่นะ คือผมอธิบายได้”
ในสายตาของพี่เอื้อยามนี้เต็มไปด้วยความระแวงสงสัยและเกลียดชัง จนร่างของผมสั่นเทิ้ม...
CUT! CUT! CUT!
“ไอ้น้องเดือนโว้ย จะเปลี่ยนบททำไมอีกแล้ววะเนี่ย” ไม่พูดเปล่า เอาที่ตีเปรตกลับมาตีหัวผมอีก
“อะ อ้าว ผมนึกว่าให้มันลึกลับนิดหน่อยสนุกกว่า จะได้แบบว่า พิสูจน์รักแท้ไง ตรงนี้พระเอกก็จะเข้าใจผิด โกรธ หนีไป วิ่งวนข้ามเขายี่สิบเอ็ดลูก แล้วผมก็จะยักคอวิ่งไล่ตาม”
-เป็นหนังอินเดียเลยนะครับ-
น้องเอกที่กำลังจิบน้ำปั่นที่ซื้อมามีสีหน้า ‘คุณพี่เมิงจะละเมอเพ้อพกแบบไหนก็เอาเลยจ้า’ ผมเลยรู้สึกผิด ก็ได้...
“เอาเรื่องจริงเนอะ”
“เออ แค่นั้นก็พอแล้ว”
“แต่มันไม่แมสอ่ะ...พระเอกยังไม่ได้เข้าใจผิดเลยสักครั้ง ไหนพี่บอกว่าเราต้องเข้าใจผิดกัน ดราม่าน้ำตาท่วมไง”
“นั่นมันเลยสเตจไปแล้วโว้ย” ไม่พูดเปล่า พ่อคุณตบกะโหลกผมไปด้วย “อีกอย่างนะน้องครับ พี่อาจจะเรียกว่าชมตัวเองสักหน่อย แต่พี่มีสมองครับ ต้องเข้าใจผิดน้องแบบโง่ๆ มั้ย”
ผมได้แต่โปรยยิ้มแบบตัวสล็อธใส่พี่เอื้อ
-แล้วจริงๆ พวกพี่มีเข้าใจผิดกันบ้างไหมครับ-
“ไม่ค่อย” ผมตอบ
“ตลอด” พี่เอื้อตอบ
ฟังคำตอบของพ่อทูนหัวแล้วผมเลยต้องหันไปมอง พี่เอื้อจึงค่อยๆ อธิบาย “คืองี้ เราสองคนจริงๆ แล้วอยู่ด้วยความเข้าใจผิดกันมาโดยตลอด ไม่ค่อยจะเข้าใจถูกสักเท่าไหร่”
“เช่นพี่เข้าใจผิดว่าผมฉลาดน้อย”
“นี่ไง เห็นไหม แค่นี้น้องเดือนก็เข้าใจพี่ผิดแล้วเนี่ย”
“...” เล่นคำเข้าไปอี๊ก
STAGE IV: ปริศนาทั้งหมด ไขกระจ่างแล้ว (เรอะ)
ข้อควรระวัง: ตรวจสอบข้อมูลให้ดี อย่าจับคนร้ายผิดนะจ๊ะ
คอมเม้นต์พระเอก: And Then There Were None
26.25
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกผมคือพี่ตี๋ที่ทุกคนลืมไปแล้ว
“พวกมึงไปอยู่ไหนกันมา” พี่ตี๋โวยวาย “กูส่งข้อความไปหาจนมือจะหงิกอยู่แล้ว ไม่เห็นมีตัวไหนออกมาเลย แถมไปเคาะห้องก็ไม่มีใครอยู่สักคน”
“...” ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ก่อนพี่เอื้อจะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ
“ก็ที่นี่ไม่มีเน็ต มือถือก็ไม่มีสัญญาณ”
“เอ้า อะไร ก็มีพ็อกเก็ตไวไฟแจกให้แล้ว พวกมึงก็พลิกดูยูสเซอร์กับพาสเวิร์ดข้างใต้ฐานเอา แค่นั้นเอง ส่วนโทรศัพท์นี่กูกำลังพยายามจัดการอยู่ เสาส่งมันมีปัญหา ตอนนี้ต้องมาหลังเกาะถึงจะมีคลื่น”
“...” ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน
“มึงหมายถึงตุ๊กตาไม้หน้าตาประหลาดๆ ในห้องเหรอ”
“เออสิวะ แล้วอย่ามาว่าประหลาดนั่นมาสคอตของบ้านกูนะเว้ย”
“...”
สุดท้ายผมกับพี่ตี๋เลยกลับไปรวมกับคนอื่นๆ ตอนแรกวนหาอยู่นานไม่เจอเลยนึกว่ามีฆาตกรต่อเนื่องอยู่จริงและทุกคนโดนสังหารโหดไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอพี่ตี๋ติดต่อไปที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ก็ปรากฏว่าพวกพี่ๆ ที่เหลือกลัวมาก เลยไล่ตื๊อพี่เจ้าหน้าที่ให้คอยคุ้มกันตัวเอง พี่ตี๋พอฟังเรื่องทั้งหมดก็หัวเราะก๊าก
พอต่อเน็ตได้ปุ๊บ พวกผมก็เห็นข้อความจากพี่เอบีซีดีอีเอฟทั้งหลายที่หายไป ที่แท้แต่ละคนพอรู้ว่าด้านหลังเกาะมีท่าเรือ สามารถออกเรือกลับบ้านได้ ก็เลยหนีพวกผมกันไปหมด มีแค่พี่บีคนเดียวที่ใจดีส่งข้อความมาบอก แต่เน็ตไม่ดีเลยมาไม่ครบ กลายเป็นดายอิ้งเมสเซจไปเสียฉิบ
อ้อ ส่วนไฟที่บนวนไปมาที่ผมเห็นผ่านหน้าต่างห้องคือโดรน ดูเหมือนจะมีแขกแอบเอาโดรนมาบินเล่น ตอนนี้โดนตักเตือนไปแล้ว
ดังนั้นคดีฆาตกรรมปริศนาทั้งหมด ก็ปิดฉากลงเช่นนี้ เหล่าทหารตัวน้อยล้วนพากันกลับบ้าน
And Then There Were None...ท้ายที่สุดก็ไม่มีสักศพ
เพียงแต่...
“พี่เอื้อ แล้วแสงเขียวๆ ในทะเลอ่ะ”
“บอกแล้วว่าไฟไดหมึก!”
...เอางั้นนะ
Final Call: SOMA + ULTE
ระหว่างกินจิ้มจุ่ม จู่ๆ น้องเอกก็เอ่ยขึ้นมา
-เอ่อ ผมมีเรื่องติดใจอยู่อย่างหนึ่ง เสื้อที่ซื้อที่สวนสนุกนี่ ใช่ที่พวกพี่สวมกันมาวันนี้หรือเปล่าครับ-
ผมกับพี่เอื้อหันมองกันและกัน “เออว่ะ”
“มันอยู่ตัวบนสุดของตู้ ก็เลยหยิบมา” พี่เอื้อตอบ ส่วนผมยักไหล่...สาเหตุมันก็ประมาณกัน
“ว่าไปเนื้อผ้ามันก็ทนดีนะ ใส่มาตั้งหลายปีก็ยังไม่เก่า” ผมชื่นชม ก่อนจะหันไปยิ้มให้คนข้างตัว “ไม่เหมือนเสื้อราคาแพงของพี่ รีดโคตรยาก”
“อะไรวะ คนรีดส่วนใหญ่คือพี่แท้ๆ ยังจะบ่นอีก”
-เอ่อ พวกพี่ครับ-
“หืม” พวกผมสองคนหันไปมองน้องเอกที่ทำท่าอยากจะพูดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้
-คือ...ผมว่ามันไม่ใช่ SOMA กับ ULTE นะครับ-
“หา”
-คือ พี่อยู่นิ่งๆ ขอผมถ่ายรูปแป๊บ-
ว่าแล้วน้องเอกก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปพวกผม ก่อนส่งคืนให้ให้พวกผม ตอนแรกพวกผมก็งงๆ ดูยังไงมันก็เป็นโสมกับสาหร่าย จวบจนถูกบอกให้มองทีละบรรทัดและอ่านต่อกัน ผมก็เลยดูใหม่ บนเสื้อยืดของพวกผม ตัวอักษรสี่ตัวถูกแบ่งออกเป็นสองบรรทัด
SO UL
MA TE
ฮ่า โซลเมต...
“อ๊ะ! เชี่ย”
“เออว่ะ”
พี่เอื้อตบเข่าฉาด “งั้นเอาชื่อนี้ SOMA + ULTE คู่แล้วไม่แคล้วกัน”
“อู้หู แมสมาก แต่ไม่เห็นเข้ากับเรื่องตรงไหนเลย”
“ใครเขาสนตรงนั้นกัน เหมือนที่ปรมาจารย์จิ๊บบี้เคยกล่าวไว้ ชื่องานสำคัญคือมันต้องจำง่ายๆ สองสามพยางค์พอ อย่างมากห้าหกงี้ คล้องจองด้วยก็จะดี แต่อย่าเยอะเดี๋ยวคนไม่จำ หรือไม่ก็จำผิด โลกไม่จำมันก็ไม่ใช่งานแมสแล้ว”
น้องเอกมองพวกผมนิ่งๆ ก่อนเอ่ย
-พวกพี่? ผมว่านิยายพวกพี่สมควรเป็นอะไรทำนอง ‘คู่มือผลิตงาน (ไม่) แมสขั้นพื้นฐาน’ มากกว่าครับ-
พี่เอื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง “เอ้อ ก็...ชื่อมันจำยากไปนิดนะพี่ว่า”
ผมที่เกาคอแกรกๆ มองซ้ายมองขวาแบบไม่มีเหตุผล ก่อนเอ่ย “เอื้อเดือนไปเถอะ ง่ายดี”
“นั่นสินะ”
สรุปแล้วก็ยังคงใช้เอื้อเดือนเป็นชื่อชั่วคราวไปก่อน...จนกว่าเราจะหาอะไรที่แมสกว่านี้ได้
ถึงไม่รู้ว่าจะหาได้เมื่อไหร่ก็ตามที
(เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้แล)
---------------------------------------------------------------------------------
ลงจบสักที *ชูสองมือ*
ขอโทษที่เลย์เอ้าต์มันป่วงๆ ไปบ้างนะคะ ไม่ไหวจะจัดจริงๆ เดี๋ยวจะค่อยๆ ทยอยกลับไปแก้ให้ OTL เรื่องนี้เป็นนิยายที่จัดฟอร์แมตยากด้วยอะน้า
สำหรับเรื่องนี้จะตีพิมพ์กับสนพ. พบรัก ในส่วนมุมมองพี่เอื้อก็จะขยายความเพิ่มเติมในเล่มค่ะ
เอาว่าขอกราบลา ขอบคุณหลายๆ ท่านที่แวะเวียนกันเข้ามาอ่านนะคะ น้อยนิดแต่ยังพอมีบ้างอะไรบ้างก็โอเค /ปาดน้ำตา เรื่องอื่นๆ นี่ยังคิดอยู่ว่าจะนำมาลงไหม ถ้ามีโอกาสก็อาจจะได้พบกันอีกค่ะ
ต้องการติดตามข่าวสารเพิ่มเติม ค้นหา flowerinshade ได้เลยค่ะ มีทั้งทวิตเตอร์และเพจเฟซบุ๊ก