พิมพ์หน้านี้ - Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ทะเล) [11/10/2021]| จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: biOmos ที่ 25-08-2019 23:21:18

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ทะเล) [11/10/2021]| จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 25-08-2019 23:21:18
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



Homicide : รับจ้างฆาตกรรม


เรื่องราวความรักของฆาตกรเลือดเย็นที่มีหัวใจไว้หลงรักปีศาจกินวิญญาณ


(https://images-wixmp-ed30a86b8c4ca887773594c2.wixmp.com/f/32ce6327-493e-42c5-9a84-ebed9e621876/defp6zw-9281b76b-73dd-4e01-9a38-4b6fab039cfe.png/v1/fill/w_900,h_1277,q_80,strp/commission_160___novel_cover__colored_sketch__by_devil_nutto_defp6zw-fullview.jpg?token=eyJ0eXAiOiJKV1QiLCJhbGciOiJIUzI1NiJ9.eyJzdWIiOiJ1cm46YXBwOiIsImlzcyI6InVybjphcHA6Iiwib2JqIjpbW3siaGVpZ2h0IjoiPD0xMjc3IiwicGF0aCI6IlwvZlwvMzJjZTYzMjctNDkzZS00MmM1LTlhODQtZWJlZDllNjIxODc2XC9kZWZwNnp3LTkyODFiNzZiLTczZGQtNGUwMS05YTM4LTRiNmZhYjAzOWNmZS5wbmciLCJ3aWR0aCI6Ijw9OTAwIn1dXSwiYXVkIjpbInVybjpzZXJ2aWNlOmltYWdlLm9wZXJhdGlvbnMiXX0.KLBt5dABs3mbjcNkubr4LbpGMxHN9hUrQ_NXSYxSU6E)
วาด: devil-nutto (https://devilnutto.wixsite.com/commission)
(คนอ่านสามารถดูภาพปกนิยายแบบเต็ม ๆ ไม่มีลายน้ำได้ที่เว็บ ReadAwrite กับ Fictionlog โดยพิมพ์หาชื่อนิยาย Homicide : รับจ้างฆาตกรรม ได้นะครับ)


คำเตือน

     เนื้อหาในเรื่องค่อนข้างรุนแรงครับ มีการเผยให้เห็นมุมมืดความเห็นแก่ตัวที่หลบซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ครับ ทุกการกระทำและความคิดของตัวละครไม่ควรนำเป็นเยี่ยงอย่างเด็ดขาดครับ หากไม่นิยมสามารถปิดอ่านได้ หากใครชื่นชอบ เพียงแค่แสดงความคิดเห็นอะไรเล็กน้อย หรือคอมเมนต์ด้วยภาพเคลื่อนไหวgif ก็ขอขอบพระคุณมากแล้วครับ

     สุดท้ายหากมีส่วนใดพิมพ์ผิดหรือบรรยายไม่เข้าใจรบกวนผู้ผ่านมาอ่านแจ้งด้วยนะครับ


ฝากติดตามด้วยนะครับ ขอบคุณครับ





#Hฆาตกรรม


สารบัญ
(หากสารบัญไม่พาไปหน้ากระทู้ของบทนั้น ๆ ลองตรวจสอบส่วนท้ายของURL หากลงท้ายด้วย &gsc.tab=0 ให้ลบออกแล้วลองกด Enter ใหม่อีกครั้ง)

บทที่ 0 เลือดนก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999571#msg3999571)
บทที่ 1 โนอาร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999576#msg3999576)
บทที่ 2 ขอบคุณ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999585#msg3999585) บทที่ 2 ขอบคุณ(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056149#msg4056149)
บทที่ 3 ตอบแทน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999588#msg3999588) บทที่ 3 ตอบแทน(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999589#msg3999589)
บทที่ 4 ซื่อสัตย์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999594#msg3999594) บทที่ 4 ซื่อสัตย์(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999595#msg3999595)
บทที่ 5 เฝ้ามอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999597#msg3999597)
บทที่ 6 โอกาส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4000827#msg4000827) บทที่ 6 โอกาส(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4000828#msg4000828)
บทที่ 7 กินข้าว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4002795#msg4002795)
บทที่ 8 รู้สึก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4004094#msg4004094) บทที่ 8 รู้สึก(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4004095#msg4004095)
บทที่ 9 ลองดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4008040#msg4008040) บทที่ 9 ลองดี(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4008043#msg4008043)
บทที่ 10 ไม่ชอบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4009294#msg4009294)
บทที่ 11 ลักซ่อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4010437#msg4010437) บทที่ 11 ลักซ่อน(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4010438#msg4010438)
บทที่ 12 ตามหา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4011714#msg4011714) บทที่ 12 ตามหา(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4011715#msg4011715)
บทที่ 13 ปกป้อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4013596#msg4013596) บทที่ 13 ปกป้อง(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4013597#msg4013597)
บทที่ 14 ดูแล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4020473#msg4020473) บทที่ 14 ดูแล(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4020479#msg4020479)
บทที่ 15 ต้อนรับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4027414#msg4027414)
บทที่ 16 คนนอก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4029894#msg4029894) บทที่ 16 คนนอก(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4029897#msg4029897)
บทที่ 17 ความชอบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4033352#msg4033352) บทที่ 17 ความชอบ(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4033353#msg4033353)
บทที่ 18 กังวล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4036814#msg4036814)
บทที่ 19 รักเจ้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4037414#msg4037414) บทที่ 19 รักเจ้า(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4037417#msg4037417)
บทที่ 20 กลั่นแกล้ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4039208#msg4039208) บทที่ 20 กลั่นแกล้ง(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4039209#msg4039209)
บทที่ 21 เย้ยหยัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4040859#msg4040859) บทที่ 21 เย้ยหยัน(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4040861#msg4040861)
บทที่ 22 ทักทาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4045484#msg4045484) บทที่ 22 ทักทาย(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4045487#msg4045487)
บทที่ 23 คารม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4046032#msg4046032) บทที่ 23 คารม(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4046034#msg4046034)
บทที่ 24 ครอบครัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4047316#msg4047316) บทที่ 24 ครอบครัว(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4047318#msg4047318)
บทที่ 25 ควบคุม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4048422#msg4048422)
บทที่ 26 ล่วงรู้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4049403#msg4049403) บทที่ 26 ล่วงรู้(ต่อ1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4049404#msg4049404) บทที่ 26 ล่วงรู้(ต่อ2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4049407#msg4049407)
บทที่ 27 พี่ชาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4050819#msg4050819) บทที่ 27 พี่ชาย(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4050825#msg4050825)
บทที่ 28 ตกต่ำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4051526#msg4051526) บทที่ 28 ตกต่ำ(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4051527#msg4051527)
บทที่ 29 ค่ำคืน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4051528#msg4051528) บทที่ 29 ค่ำคืน(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4051529#msg4051529)
บทที่ 30 เด็กน้อย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4052964#msg4052964) บทที่ 30 เด็กน้อย(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4052966#msg4052966)
บทที่ 31 นักฆ่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4053216#msg4053216) บทที่ 31 นักฆ่า(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4053217#msg4053217)
บทที่ 32 เอทอส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4053943#msg4053943) บทที่ 32 เอทอส(ต่อ1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4053944#msg4053944) บทที่ 32 เอทอส(ต่อ2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4053945#msg4053945)
บทที่ 33 ภาคิน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056146#msg4056146) บทที่ 33 ภาคิน(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056147#msg4056147)
บทที่ 34 หนทาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056836#msg4056836) บทที่ 34 หนทาง(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056837#msg4056837)
บทที่ 35 สีคราม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4057080#msg4057080) บทที่ 35 สีคราม(ต่อ1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4057081#msg4057081) บทที่ 35 สีคราม(ต่อ2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4057082#msg4057082)
บทสุดท้าย เวลา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4057414#msg4057414) บทสุดท้าย เวลา(ต่อ1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4057415#msg4057415) บทสุดท้าย เวลา(ต่อ2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4057416#msg4057416)


>>> บทเสริม/บทพิเศษ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4060036#msg4060036) <<<




หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 0 เลือดนก]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 00:21:51

   แสงแดดรำไรลอดผ่านเหล่ากิ่งไม้ของผืนป่า ไร้เสียงจิ้งหรีดเรไรหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด บรรยากาศเงียบงันวังเวงไม่มีใครพึงปรารถนาจะมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้

   “ฉึก... ฉึก... ฉึก...”

   เสียงจอบขุดดินดังเป็นจังหวะเรียบเรื่อยไม่ทำให้บริเวณโดยรอบน่าอยู่ขึ้นแม้แต่น้อย

   “ฉึก... ฉึก!”

   เสียงสุดท้ายเป็นของเครื่องมือสิ้นสุดหน้าที่ถูกปักลงกองดินใกล้หลุมลึกขนาดใหญ่ เสียงเดินของใครบางคนตามด้วยเสียงลากวัตถุน้ำหนักมาก เป็นเสียงต่อมาหลังจากเสียงจอบเงียบหายไป

   “แซก... แซก...”

   “ตุ้บ!!”

   เสียงวัตถุหนักถูกโยนลงไปในหลุม ของเหลวหนืดไหลออกจากสิ่งนั้นค่อยๆ ย้อมก้นหลุมจากสีน้ำตาลให้กลายเป็นแดง อุปกรณ์ทำสวนกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ตักกองดินลงหลุมฝังความลับให้ผืนธรณีช่วยปกปิดตลอดกาล
   เมื่อกองดินและหลุมกว้างรวมเป็นพื้นดินเรียบเหมือนเก่า เจ้าของจอบถืออุปกรณ์คู่กายเดินย้อนกลับไปทางเข้าป่าโดยไม่เหลียวมองผลงาน ใบหน้าแสดงถึงความเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

   น่าเบื่อ จะใจเสาะรีบตายทำไม ยังไม่ทันได้สนุกเลย

   ความคิดบิดเบี้ยวบ่งบอกถึงจิตใจอำมหิตเลือดเย็นของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี คนอันตรายเช่นนี้ไม่ควรอยู่ในสังคม เหตุผลที่ไม่ถูกจับเข้าคุกหรือรับโทษนั้นง่ายแสนง่ายคือ ไม่รู้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผู้เคราะห์ร้ายโดนนั้นมันไม่ใช่อุบัติเหตุหรือโรคร้าย แต่ถึงฉลาดพอรู้ว่าเป็นการฆาตกรรม ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะหาหลักฐานหรือเบาะแสจากที่ใด หลายคดีเกิดขึ้นและเลือนหายไร้ผู้กระทำผิด ปริศนายังคงเป็นเช่นนั้นไร้ผู้ไขกระจ่าง ความลับที่ว่าทุกคดีเกิดจากคนเพียงคนเดียวจึงไม่มีใครล่วงรู้



   “อั่ก..”

   ฝีเท้าหยุดลงกะทันหันเมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในผืนป่า เสียงเหนื่อยหอบทรมานแผ่วเบามากซะจนไม่ได้ยินเป็นแน่ถ้าอยู่ภายนอกไม่ใช่ข้างในป่าเงียบสงัดเช่นนี้
   รอยยิ้มมุมปากเอกลักษณ์ของเจ้าตัวพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าของจอบ บ่นไม่ทันไรก็มีของเล่นใหม่มาแก้เบื่อ ปลายเท้าเบี่ยงทิศทางมุ่งตรงไปหาแหล่งกำเนิดเสียง ยิ่งเข้าใกล้เสียงหอบหนักยิ่งดังขึ้น ยิ่งทำให้ใจเขาเต้นระรัว จนในที่สุดก็เห็นต้นตอ
   ร่างสูงใหญ่ชโลมไปด้วยเลือด ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ที่หนักสุดคงเป็นแผลลึกบริเวณแผ่นอกกว้างที่ถูกกรงเล็บมือขนาดใหญ่พยายามกั้นห้ามเลือดไว้

   ใช่แล้วอ่านไม่ผิดหรอก กรงเล็บ

   สิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าดูเหมือนมนุษย์แต่ไม่ใช่ ผิวกายสีน้ำตาลแดงไม่มีใครคนไหนในโลกที่จะมีสีผิวแบบนี้ ฝ่ามือใหญ่ประกอบด้วยกรงเล็บสีดำทั้งสองข้าง เพียงแค่เห็นก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง หากถูกมือนั้นจับศีรษะออกแรงบีบ กะโหลกคงแตกกระจาย เลือดและมันสมองต้องไหลเยิ้มติดมือแกร่งนี้แน่ หูแหลมยาวกับผมแหลมหนาสีนิลลู่ไปทางด้านหลังคล้ายหนามของเม่นที่ยังไม่พองขน

    องค์ประกอบทั้งหมดบ่งบอกชัดว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าหาใช่มนุษย์
    แต่เป็นปีศาจ

   ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้หลายคนในยุคนี้ต่างปฏิเสธว่าภูตผีปีศาจไม่มีจริงเป็นเรื่องไร้สาระ หลายสิ่งได้รับการพิสูจน์แล้วแต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ยังเป็นปริศนา คนเหล่านั้นบอกว่าเป็นเพราะวิทยาการและความรู้ตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ต่อไปในอนาคตทุกเรื่องนั้นจะถูกไขด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์
   เจ้าของจอบนึกถึงคำพูดเหล่านั้นได้แต่นึกขำ อยากรู้จริงๆ หากพวกนั้นเห็นสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเขา จะแถเป็นสัตว์สายพันธุ์อะไร เหตุผลที่เขาไม่เชื่อตามสมัยนิยมเป็นเพราะสิ่งที่คนยุคนี้พยายามปฏิเสธ เขาล้วนสัมผัสมาแล้วทั้งสิ้น นอกจากนั้นในโลกมืดที่เขาอยู่ยังรู้จักกลุ่มคนที่มีความสามารถในการควบคุมวิญญาณหรือกำจัดปีศาจ ช่วยตอกย้ำว่าคนที่ไม่ยอมรับถึงการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ไร้สาระ

   ถึงแม้สิ่งที่พบเจอเป็นปีศาจไม่ใช่คนอย่างที่หวังไว้ ก็ไม่ทำให้มนุษย์หนึ่งเดียวรู้สึกเสียอารมณ์แม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะเป็นคนหรือปีศาจ

   เสียงกรีดร้องทรมาน แววตาตื่นผวาหวาดกลัว มันก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน

   
   เสียงของบางสิ่งใกล้เข้ามาทำให้ปีศาจที่นั่งพิงต้นไม้หอบหายใจหนักจากอาการบาดเจ็บเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน มนุษย์พร้อมจอบในมือขวากำลังย่างก้าวมาหาเขาไร้ซึ่งความหวาดหวั่น กลิ่นอายชั่วร้ายแผ่กระจายออกมาจากเจ้าตัวเป็นตัวบ่งบอกชั้นดีว่ามนุษย์ผู้นี้มีจิตใจเป็นเช่นไร
    การมาของมนุษย์ผู้นี้ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดพอดี เขาเป็นปีศาจกินวิญญาณ ในสภาวะที่ร่างกายบาดเจ็บหนัก วิญญาณเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ปัญหาคือตอนนี้เขาไม่เหลือแรงพอที่จะดับลมหายใจของเหยื่อและช่วงชิงดวงวิญญาณมา เห็นทีจากตำแหน่งผู้ล่ากับเหยื่อคงสลับกันแล้ว

    ฝ่ายปีศาจจ้องมนุษย์เขม็งดูท่าทีเหยื่อที่ตอนนี้ได้สวมบทผู้ล่าจะทำอะไรกับตน ส่วนฝ่ายมนุษย์ที่ใจเต้นระรัวเพราะของเล่นใหม่เหมือนใจกระตุกไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะค่อยๆ เต้นแรงขึ้นด้วยจังหวะที่หนักหน่วงเมื่อได้สบตากับปีศาจตนนั้น
    ดวงตาสีเลือดนกจดจ้องมาที่เขา แววตาฉายความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวไม่กลัวตาย ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจนักเพราะของเล่นบางชิ้นก็มีสายตาเช่นนี้ แต่ที่ทำให้เขาใจเต้นในจังหวะที่เปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนคือ ความนิ่งสงบเยือกเย็นในส่วนลึกของนัยน์ตาคู่นั้น
    ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นนี้เขารู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นความรู้สึกที่บ้าและไร้สาระมากสำหรับเขา เขาไม่เคยปรารถนาที่จะมีหรือได้รับความรู้สึกพวกนั้น แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นเขาก็จะยอมรับ ไม่คิดผลักไสหรือปฏิเสธความรู้สึกเหมือนพวกโง่เง่าเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันจะไปยากอะไรก็แค่ความรู้สึกที่ว่า

    ตกหลุมรักปีศาจตรงหน้าเข้าแล้ว


    เมื่อความรู้สึกเปลี่ยนไปเป้าหมายย่อมผันตาม ปีศาจตรงหน้าไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงของเล่นแก้เบื่ออีก จากที่ตั้งใจใช้จอบในมือฟาดให้ปีศาจสิ้นฤทธิ์ เปลี่ยนเป็นเข้าไปประคองพยุงปีศาจ

   “เจ้าจะทำอะไร” ปีศาจเอ่ยถามเมื่อการกระทำราวกับช่วยเหลือของมนุษย์ขัดแย้งกับกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาโดยสิ้นเชิง
   “จะพาไปรักษา”
   “หึ ให้พูดใหม่จะไปรักษาหรือจะพาไปฆ่า”
   “ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าตอนแรกผมจะเอาคุณไปเล่นแล้วค่อยกำจัดทิ้ง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว” มนุษย์ใจบาปหันไปพูดกับปีศาจขณะพยายามพยุงร่างยักษ์ยืนขึ้น

   ปีศาจยังคงไม่เข้าใจการกระทำมนุษย์ ยิ่งแววตาที่มองมานั้นเปลี่ยนไป ยิ่งไม่เข้าใจความคิดของมนุษย์ตรงหน้า

    “...ทำไม?”

    รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยคำตอบออกไป

    “เพราะผมรักคุณ”
   


บท0 สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 1 โนอาร์]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 00:32:17
   บ้านสองชั้นขนาดกลางตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลผู้คน เพื่อนบ้านหลังที่ใกล้สุดอยู่ห่างออกไปเกือบสองกิโลเมตร ถนนเส้นหนึ่งตัดผ่านหน้าบ้านไร้รถยนต์สัญจร มีเสาไฟสลัวส่องสว่างพอให้เห็นทางข้างหน้า บรรยากาศเปลี่ยวเงียบงันพาให้ผู้หลงเข้ามาขนลุกชัน ยิ่งขับผ่านหน้าบ้านไร้ผู้อาศัยที่ตั้งอยู่โดดๆ ก็พานให้คิดว่าเป็นบ้านผีสิง รีบเหยียบคันเร่งหนีด้วยความกลัวว่าจะเห็นสิ่งไม่ควรเข้า
   แม้บ้านหลังนี้จะไม่ใช่บ้านผีสิงอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่การพยายามออกห่างสถานที่นี่นั้นเป็นสิ่งที่ควรแล้ว หากได้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ

   รั้วเหล็กหน้าบ้านค่อยๆ เลื่อนเปิดอัตโนมัติ เมื่อเซนเซอร์ตรวจจับได้ว่ารถยนต์ของผู้เป็นนายกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ ไม่นานรถสีดำขลับก็มาถึง เลี้ยวเข้าบ้านจอดสนิทในตำแหน่งประจำ ประตูรั้วเลื่อนกลับมาปิดสนิทดังเดิมพร้อมกับไฟบ้านที่เปิดสว่างขึ้นอัตโนมัติ
   ร่างของเจ้าของบ้านเปิดประตูลงจากรถฝั่งคนขับ เดินไปส่วนของที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง นำพาร่างยักษ์ของปีศาจเข้าบ้าน คอยประคองจนถึงโซฟาในห้องนั่งเล่น ให้ปีศาจบาดเจ็บนั่งตรงนั้น แล้วจึงเดินหายไปในส่วนหนึ่งของตัวบ้าน ก่อนกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผล นั่งลงข้างปีศาจ ลงมือปฐมพยาบาลโดยไม่พูดสิ่งใด

   “เจ้าคิดว่าการรักษาแบบมนุษย์มันใช้กับข้าได้อย่างนั้นหรือ” ปีศาจที่มองอยู่เงียบๆ พูดขึ้นเมื่อเห็นเจ้ามนุษย์นำยาชุบใส่สำลีเช็ดรอบปากแผล
   “ผมไม่รู้ แล้วต้องทำยังไงถึงจะหาย” มนุษย์หยุดมือ เงยหน้าขึ้นตอบปีศาจก่อนตามด้วยคำถาม
   “รู้ไหมว่าข้าเป็นอะไร”
   “ปีศาจ”
   “แล้วเป็นปีศาจอะไร”
   “ไม่รู้” มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
   “หึ ข้าเป็นปีศาจกินวิญญาณ แผลแค่นี้ไม่เท่าไรหรอกถ้าข้าได้กิน เจ้าอยากให้ข้าหายนิ ยอมเป็นอาหารให้ข้าไหมล่ะ” ปีศาจพูดพร้อมมองปฏิกิริยาของมนุษย์ สิ่งที่ได้รับยังคงเป็นสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิม ไม่มีท่าทีตกใจหรือวิตกแต่อย่างใด
   “คุณไม่กินผมหรอก”

   เจ้าของบ้านตอบก่อนก้มหน้าเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้ากล่องตามเดิมเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นไร้ประโยชน์ ประคองร่างยักษ์ลุกยืน พยุงขึ้นบันไดบ้าน พาไปห้องนอนที่อยู่ข้างห้องของตน ค่อยๆ ประคองร่างปีศาจลงนอนบนเตียงกว้าง และเดินออกจากห้องไปโดยไร้ซึ่งคำพูดเช่นเคย ปีศาจกินวิญญาณมองตามหลังมนุษย์ด้วยแววตาสงสัยไม่เข้าใจการกระทำของมนุษย์ผู้นี้

   หลังส่งแขกเข้านอนเรียบร้อย เจ้าของบ้านไม่ได้ไปไหนไกล เดินเข้าห้องที่อยู่ข้างกัน วางสัมภาระต่างๆ ที่พกติดตัวประจำลงบนโต๊ะทำงาน แล้วจึงเดินหายไปในห้องน้ำ
    สายน้ำหลั่งไหลจากฝักบัวที่ฝังติดกับเพดานด้านบน มนุษย์ยืนนิ่งปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัว ในใจยังคงคิดวกวนถึงคำพูดของปีศาจ

   เวลาผ่านไปสักพักใหญ่เสียงของน้ำไหลจึงหยุดลง ตามมาด้วยร่างของเจ้าของบ้านในชุดคลุมอาบน้ำ เดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาคนที่นึกถึง

   [ฮัลโหล]
   “อยากได้ของที่ใช้เก็บวิญญาณได้” ไม่คิดจะทักทายตอบ สวนกลับด้วยเหตุผลที่โทรหาทันที
   [ฮะ? เอ่อ..นี่เล่นตลกอะไรหรือเปล่าครับคุณ ของแบบนั้นมันมีที่ไหน แล้วนี้คุณเป็นใคร? โทรมาก่อกวนดึกดื่นแบบนี้ ผมแจ้งความนะคุณ]
   “โนอาร์”

   ปลายสายได้ฟังเสียงบอกชื่อเรียบเรื่อยถึงกับเงียบหายไป ก่อนจะตามด้วยเสียงโครมครามชุดใหญ่และเสียงดังตอบกลับที่แทบเรียกได้ว่าเสียงตะโกน

   [โนอาร์!!!! ไม่อยากจะเชื่อว่านายจะโทรหาฉัน ให้เบอร์แล้วก็เงียบหายไปเลยนึกว่าเอาไปทิ้งแล้วซะอีก เบอร์นี้ของนายเหรอ ต้องรีบเม็มไว้แล้ว $%^%%#$#$!#$^]

   เสียงพูดตื่นเต้นของปลายสายพร้อมคำบ่นมากมายที่ฟังแทบไม่ทัน เริ่มทำให้คิ้วของคู่สนทนาผู้รับฟังขมวดเข้าหากันทีละน้อย

   “รำคาญ”
   [อะ.. โทษที ดีใจไปหน่อย ว่าแต่โทรมาเรื่องอะไรนะ อ้อ! ที่เก็บวิญญาณ จะเอาไปทำอะไรเหรอ?]
   “...”

   ปลายสายพูดเองเออเองก่อนถามถึงเหตุผลของการใช้สิ่งนั้น เสียงตอบกลับคือเสียงของความเงียบ ทำให้คู่สนทนารู้ตัวว่าตนกำลังยุ่งเรื่องของอีกฝ่ายมากไป เลยรีบเปลี่ยนคำถามใหม่เพื่อให้การพูดคุยสามารถดำเนินต่อได้

   [เอ่อ..แล้วจะเก็บวิญญาณของคนเป็นหรือคนตายเหรอ? ที่ถามเพราะมันใช้คนละชนิดกันน่ะ จะได้แนะนำได้ถูก]
   “คนเป็น”
   [ที่เก็บวิญญาณของคนเป็น เป็นแบบหลอดแก้วมีน้ำเป็นสื่อนำอยู่ในตัวหลอด เวลาใช้ให้เป้าหมายสัมผัสกับน้ำนั้นโดยตรง จะด้วยวิธีกินหรือหยดใส่ก็ได้ แต่อย่าใช้หมดนะ ไม่งั้นวิญญาณจะไม่ถูกดึงเก็บเข้าหลอดเพราะไม่มีตัวสื่อ อ้อ เป้าหมายที่โดนต้องวิญญาณออกจากร่างภายในหนึ่งวันหลังโดนน้ำสื่อนำนะ ส่วนวิธีการเอาวิญญาณออกจากร่างนายคงรู้ดีอยู่แล้ว ฉันคงไม่ต้องแนะนำ]
   “ทั้งหมดเท่าไร”
   [ทั้งชุดก็หลอดละห้าแสน]
   
   ดูเหมือนคนขายจะไม่เข้าใจคำถาม ลูกค้าจึงถามใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนักกว่าเดิม

   “ทั้ง หมด เท่าไร”
   [ทั้งหมด? จะเอาทั้งหมดเลยเหรอ!! แป๊บนะ เดี๋ยวขอนับของก่อน อย่าเพิ่งวางสายนะ!]

   เสียงโครมครามชุดใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง ปลายสายได้ยินเสียงแว่วนับจำนวนเบาๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงกุกกักตามด้วยเสียงแจ้งจำนวนของ

   [ตอนนี้มี 5 ลัง ลังละ 12 หลอด ทั้งหมดก็ 30 ล้าน ฉันลดให้เหลือ 25 ล้านเลย สำหรับลูกค้ารายใหญ่]
   “ไม่จำเป็น เที่ยงพรุ่งนี้เอาของมาให้ที่XXX ตรวจของเรียบร้อยจะโอนเงินให้ และถ้าของมาใหม่ ก็โทรมาบอก”
   [โอเคๆ พรุ่งนี้เจอกัน]

   กดตัดสายทันทีโดยไม่เอ่ยลา วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะตามเดิม ทิ้งตัวลงที่นอนหลับตา เพียงครู่เดียวก็ลืมตาตื่นเด้งตัวออกจากห้องไปทันที เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งสำคัญที่ลืมไป
   ร่างเจ้าของบ้านหยุดอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ เตรียมจะเปิดประตูเข้าไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ เนื่องด้วยเห็นว่าตอนนี้ดึกมากแล้วจะเป็นการรบกวนเสียเปล่า เลยเปลี่ยนเป้าหมายจากปีศาจข้างในเป็นประตูหน้าห้องแทน

   “ราตรีสวัสดิ์”




   รุ่งอรุณแห่งวันใหม่มาเยือน ปีศาจกินวิญญาณลุกขึ้นจากที่นอน แผลตอนนี้ไม่มีเลือดออกแล้วแต่ยังคงเจ็บอยู่ทุกครั้งที่ขยับตัว ที่บาดเจ็บถึงขนาดนี้ก็ยอมรับส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาประมาทคู่ต่อสู้มากเกินไป อีกทั้งยุคสมัยนี้นักล่าปีศาจเลือกกำจัดเฉพาะปีศาจร้าย ไม่ได้สักแต่ฆ่าเหมือนในอดีต และเขาก็ไม่ได้ทำร้ายใคร ทำตัวกลมกลืนกับพวกมนุษย์ตามปกติ ไม่คิดว่าจะถูกเล่นงานเช่นนี้
   ครั้งที่ต่อสู้ เขาพยายามถามถึงเหตุผลระหว่างการปะทะก็ไร้ซึ่งคำตอบ จนตัวเองพลาดท่าถูกเล่นงานหนัก ต้องหนีหลบเข้าไปอยู่ในป่า และได้เจอกับมนุษย์ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายแต่การกระทำนั้นแตกต่างในที่สุด

   คงเป็นพวกมือใหม่ร้อนวิชา แต่ถ้ามีครั้งหน้าคงไม่เอาไว้เหมือนกัน

   คิดเช่นนั้นก่อนค่อยๆ เดินพาร่างกายที่ยังไม่หายดีออกจากห้องไป

   ลงมาชั้นล่างก็พบเจ้าของบ้านกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัว กลิ่นอาหารลอยฟุ้งเข้าจมูกปีศาจ ยืนนิ่งจับสังเกตมนุษย์ตรงหน้า ไม่นานเจ้ามนุษย์ก็รู้สึกตัว หันกลับมามองปีศาจ แล้วจึงเอ่ยประโยคแรกของวันที่ทำให้ปีศาจกินวิญญาณถึงกับขมวดคิ้ว

   “อรุณสวัสดิ์”
   “นี่เจ้าตกลงเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ กลิ่นอายจากตัวเจ้ามีแต่ความชั่วร้ายไร้ความบริสุทธิ์เจือปน แต่สิ่งที่เจ้าแสดงต่อข้า... มันต่างออกไป”

   คนฟังยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นก่อนตอบคำถาม

   “ผมเป็นคนดี.. แค่กับคุณ”
   “นอกจากวิญญาณแล้ว คุณกินอะไรได้อีกบ้าง อาหารมนุษย์กินได้ไหม”

   ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายถามต่อ มนุษย์หนึ่งเดียวในบ้านถามพลางหันกลับไปทำส่วนที่ค้างไว้หน้าเตา ปีศาจเห็นเช่นนั้นก็เก็บความสงสัยไม่ซักไซ้ต่อ ตอบคำถามของมนุษย์เมื่อครู่นี้
   นอกจากวิญญาณ เขาสามารถกินอาหารของมนุษย์ได้ ปกติเขากินอาหารมนุษย์เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็มีบางช่วงที่ร่างกายต้องการอาหารแบบปีศาจ เขาจึงจำเป็นต้องออกล่าหรือจับวิญญาณเร่ร่อนกินบ้าง
   พูดถึงเรื่องออกล่า เขาเลือกจัดการเฉพาะคนบาปที่มีกลิ่นอายชั่วร้าย พวกคนดีหรือคนธรรมดามีกลิ่นอายบริสุทธิ์เขาไม่เคยฆ่ากินเลยสักครั้ง พานรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อนึกถึงการถูกเล่นงานไม่ต่างจากพวกปีศาจเลว ยิ่งมองภาพมนุษย์ที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นมากที่สุดที่เคยเจอมากำลังหันซ้ายหันขวาหยิบจับอุปกรณ์ทำครัวปรุงอาหาร ยิ่งไม่เข้าใจ
   สุดท้ายเลยดับความคิดมากมายในหัวด้วยการไปนั่งรอมนุษย์เอาอาหารมาเสิร์ฟตรงโต๊ะกินข้าว


   แฮมเบคอนไข่ดาวและขนมปังปิ้ง เป็นอาหารเช้าสำหรับหนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบงันไร้บทสนทนา ต่างฝ่ายต่างนั่งกินของตัวเอง ความจริงไม่ใช่สักทีเดียว ที่ถูกคือหนึ่งกินอาหารของตัวเองส่วนอีกหนึ่งคอยแอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

   “มีอะไร?” ปีศาจเอ่ยถามหลังจากทนอยู่เฉยให้มนุษย์ที่นั่งตรงข้ามลอบมองสักพักใหญ่
   “อร่อยไหม”
   “ก็ไม่แย่”

   คำตอบจากปีศาจเรียกรอยยิ้มมุมปากให้กับมนุษย์หนึ่งเดียวในบ้าน ก่อนก้มหน้ากินต่อโดยไม่แอบมองอีก


   “วันนี้ผมออกไปทำงานข้างนอก อาหารผมทำไว้ให้แล้วในตู้เย็น หรือจะทำเองก็ใช้อุปกรณ์ได้เลยตามสะดวก อยู่ว่างๆ จะเปิดโทรทัศน์หรือเล่นคอมแก้เบื่อก็ได้ โน้ตบุ๊กอยู่ในห้องผม รหัสคือXXXXXX ผมจะกลับไม่เกินเที่ยงคืน”

   เจ้าของบ้านพูดกับปีศาจกินวิญญาณก่อนขับรถออกไป ทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังในบ้านที่มีทรัพย์สินมากมายอย่างไม่กลัวถูกขโมย เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน มนุษย์นั่นไว้ใจเขาถึงขั้นกล้าบอกรหัสโน้ตบุ๊กส่วนตัวเช่นนี้เลยหรือ
   ความรู้สึกสับสนไม่เข้าใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังมองส่งมนุษย์ออกไปทำงาน ปีศาจจึงเริ่มลงมือสำรวจบ้าน เผื่อจะพบเจอสิ่งใดช่วยคลายความสงสัยได้บ้าง



   ขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายเมื่อคืน เมื่อไปถึงพบว่าอีกฝ่ายมารออยู่ก่อนแล้ว หลังลงจากรถ ผู้ซื้อถามถึงของที่สั่งไว้ทันที ฝ่ายคนขายนำทางไปส่วนกระโปรงหลังของตัวรถ ในนั้นมีกล่องสีดำเรียบไม่มีเครื่องหมายใดๆ บ่งบอกถึงผู้ผลิต สุ่มเปิดหนึ่งกล่อง หยิบหลอดแก้วขึ้นมาพิจารณา
   ตัวหลอดแก้วคล้ายคลึงกับหลอดทดลองที่มักเห็นในห้องแล็บวิทยาศาสตร์ มีจุกไม้อุดกันของเหลวสีใสที่บรรจุอยู่ภายในประมาณครึ่งหลอดไหลหกออกมา หน้าตาโดยรวมเหมือนหลอดแก้วใส่น้ำไร้ราคา แต่หากรู้มูลค่าจริงๆ คนทั่วไปได้หาว่าโง่โดนหลอกขายเป็นแน่ ซึ่งนั่นไม่ใช่กับเขา และเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าหลอกขายแน่นอน

   “จะรู้ได้ยังไงว่าวิญญาณเข้ามาในนี้แล้ว” ถามคนขายโดยสายตาไม่ละออกจากหลอดแก้วในมือ
   “น้ำที่เหลือในหลอดจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ถ้าหากเปิดจุกออกแล้วน้ำเปลี่ยนเป็นสีดำแสดงว่าวิญญาณออกไปแล้ว”
   “อืม”

   เมื่อได้รับคำตอบผู้ซื้อเก็บหลอดในมือใส่กระเป๋าเสื้อ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่าง สักพักเกิดเสียงแจ้งเตือนขึ้นที่มือถือของคนขาย เป็นข้อความบอกยอดเงินโอนเข้าจำนวนแปดหลัก คนรับเงินยิ้มหน้าบาน รีบขนสินค้าทั้งหมดไปไว้กระโปรงหลังของรถอีกคันตามคำสั่งของผู้ซื้อ

   หลังเสร็จสิ้นธุระซื้อขาย เขาขับรถไปยังสถานที่นัดหมายถัดไป เมื่อไปถึงก็พบลูกค้าของตนกำลังนั่งรออยู่แล้วเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้ สำหรับเขาไม่ว่าเรื่องอะไร ฝ่ายเฝ้ารอย่อมไม่ใช่เขา หากมาถึงแล้วไม่พบคนที่นัดเจอ เขาจะกลับทันที และคิดวิธีจัดการกับผู้ผิดนัดภายหลัง
   ถ้าเป็นลูกค้าคงแค่ปฏิเสธการรับงานอีก แต่ถ้าเป็นนัดเจรจาแบบเมื่อครู่ มีให้เลือกสองทางว่าจะให้ของเขาฟรีๆ หรือจะกลายเป็นของเล่นเขาแทน

   “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายเมื่อคนที่ตนเฝ้ารอมาถึงแล้ว
   “สวัสดีครับ ต้องการให้จัดงานแบบไหนครับ” เขาตอบรับคำทักทาย ก่อนเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
   “เอาแบบให้ทุกคนรู้ไปเลยค่ะ”
   “แบบเซอร์ไพรส์นะครับ แล้วคุณลูกค้าต้องการให้สถานที่จัดงานเป็นที่ไหนดีครับ”
   “เรื่องสถานที่เอาตามคุณเห็นสมควรดีกว่าค่ะ”
   “ครับ แล้วต้องการให้จัดงานวันไหนครับ”
   “สิ้นเดือนนี้ค่ะ”
   “ต้องการฝากของให้ผู้รับไหมครับ”
   “เป็นคำพูดได้ไหมคะ ฉันอยากฝากว่า ‘หลับให้สบายนะจ๊ะ นาง ตัว ดี’ อุ้ย ขอโทษที่หยาบคายนะคะ”
   “ไม่เป็นไรครับ ขอสรุปตามนี้นะครับ จัดงานแบบเซอร์ไพรส์ให้คุณใหม่ ในวันสุดท้ายของเดือนนี้ ไม่กำหนดสถานที่ ของฝากคือข้อความเมื่อครู่นี้ ผมขอเขียนใส่กระดาษให้แทนการพูดต่อหน้านะครับ มีอะไรแก้ไขหรือเพิ่มเติมไหมครับ”
   “ไม่มีค่ะ”
   “ค่าตอบแทนรบกวนโอนก่อนวัน-”

   ยังไม่ทันพูดจบ เกิดเสียงแจ้งเตือนจากมือถือในกระเป๋ากางเกง หยิบขึ้นมาเช็กพบว่าเป็นข้อความแจ้งเงินเข้า ที่แปลกคือยอดเงินมากกว่าที่ตกลงกันไว้
   สัมผัสจากมืออีกข้างที่วางอยู่บนโต๊ะ เรียกสายตาให้ผู้รับงานเงยหน้าขึ้นมามอง หญิงสาวยิ้มหวานพลางใช้นิ้วลูบวนที่หลังมือของเขา นัยน์ตาหวานส่งสายตาเชิญชวน

   “โอนเงินให้เร็วขนาดนี้ แถมให้ทิปเพิ่มอีก จะเป็นอะไรไหมคะ ถ้าขอรบกวนให้คุณไปส่งฉันที่คอนโด”
   “แน่ใจนะครับที่ขอแบบนี้ คงไม่ลืมนะครับว่าผมทำอะไร”
   “แน่ใจสิคะ ฉันถูกใจตั้งแต่ที่คุณก้าวเข้ามาในร้านแล้วล่ะค่ะ คุณ นัก ฆ่า”

   เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน ก่อนเอ่ยตอบรับคำเชื้อเชิญ

   “ตกลงรับงานครับ”




   ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถยนต์สีดำขลับเคลื่อนตัวออกจากคอนโดหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ขับตรงไปยังสถานบันเทิงขึ้นชื่อในย่านนี้
   กำหนดการเดิมคือ การไปรับของแล้วต่อด้วยการเจรจากับลูกค้า หลังจากนั้นก็รอจนถึงช่วงค่ำ เพื่อจัดงานตามที่ตกลงกับลูกค้าคนก่อน ช่วงน่าเบื่อระหว่างรอเวลากลับถูกแทรกด้วยกิจกรรมพิเศษ พอทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

   ใช้เวลาไม่นาน รถยนต์ก็จอดสนิทในส่วนพื้นที่สำหรับลูกค้าที่แวะเวียนมาใช้บริการ นั่งรออยู่ในรถเงียบๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ ชายหนุ่มในชุดเสื้อสีกรมซึ่งเป็นเจ้าภาพงานของเขาก็ปรากฏกาย เดินคลอเคลียสาวเข้ามาในลานจอดรถ
   ช่วงเวลาเหมือนเป็นใจ บริเวณนี้มีเพียงเจ้าภาพและหญิงสาวที่เดินมาคู่กัน เขาลงจากรถพร้อมผ้าเช็ดหน้าในมือ เดินตรงไปหาคนคู่นั้นจากทางด้านหลัง ใช้สันมือสับลงบริเวณท้ายทอยหญิงสาว ส่งผลให้ร่างล้มลงหมดสติในทันที ฝ่ายชายหันมาถูกผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก ปิดปากไม่ทันได้ส่งเสียง สักพักร่างของชายหนุ่มก็สิ้นฤทธิ์ ก่อนจะถูกนำร่างขึ้นรถสีดำแล้วขับหายไป



   เมื่อฟื้นคืนสติ คนถูกลักพาตัวพบว่าตนอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย มือและเท้าทั้งซ้ายขวาถูกเชือกขึงตึง ตัวชิดกับกำแพงไม่สามารถขยับได้ มีแสงจากหลอดไฟด้านบนคอยให้ความสว่าง ลองมองไปโดยรอบจึงรู้ว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นโกดังเก่าแห่งหนึ่ง

   “ตึก ตึก ตึก” เสียงย้ำเท้าของใครบางคนใกล้เข้ามา เกิดเป็นเงาเลือนรางก่อนปรากฏเป็นร่างชายที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสติจางหาย
   “มึงเป็นใคร! จับกูมาต้องการอะไร!!” คนถูกขึงตะคอกใส่ชายตรงหน้า แต่ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ มีเพียงใบหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
   “ตุ้บ! เคร้ง..” เสียงของถุงบรรจุบางอย่างหล่นกระแทกพื้นเมื่อเจ้าของปล่อยมือ แรงสะเทือนส่งผลให้บางส่วนของวัตถุภายในถุงโผล่ออกมาส่องประกายล้อกับแสงภายนอก

   “มะ.. มะ มึงจะทำอะไรกู”

   เมื่อเห็นสิ่งของภายในถุง พานทำให้คนปากกล้าเมื่อครู่หน้าถอดสี แววตาตื่นตระหนก ร่างกายเริ่มสั่นสู้ความหวาดกลัว ปฏิกิริยาเหล่านี้ค่อยๆ ทำให้หัวใจของผู้ที่ถูกเรียกว่านักฆ่าเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น

   “มีคนว่าจ้างให้ผมจัดงานให้คุณครับ”
   “งาน งานอะไร?”
   “งานฉลองส่งคุณไปโลกหลังความตาย”
   “ไอ้เหี้ย!!! ปล่อยกู!! ไอสัด!!”

   เมื่อได้ยินคำตอบ ร่างที่ถูกขึงพลันดิ้นหนีสุดแรงพร้อมส่งเสียงร้องด่าทอต่างๆ นานา ผู้เฝ้ามองไม่สนใจ ก้มลงหยิบของบางอย่างในถุง
   สิ่งที่ติดมือมาคือค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ ส่งผลให้เสียงร้องและแรงดิ้นยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าตัว ข้อมือและข้อเท้าเริ่มถลอกอันเนื่องจากแรงเสียดสีกับเส้นเชือก
   ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ ทำให้สองหัวใจเต้นระรัว ดวงหนึ่งเต้นด้วยความระทึก ส่วนอีกดวงหนึ่งสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น ด้ามค้อนในสองมือถูกกำแน่น ก่อนยกเหวี่ยงฟาดใส่ขาด้านขวาของเหยื่ออย่างไร้ความปรานี

   “อ๊ากกกกกกก!!!!!!”

   เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นติดกำแพง ไม่อาจทำให้คนถือค้อนหยุดมือได้ เสียงทุบผสมเสียงร้องดิ้นพล่าน น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินนองหน้า คำพูดด่าทอในตอนแรก บัดนี้เหลือเพียงคำขอร้องอ้อนวอนให้ชายตรงหน้าเมตตาตน
   โชคร้าย... กว่าคำอ้อนวอนจะส่งไปถึงคนตรงหน้า ขาด้านขวาของเขาก็แหลกละเอียดไม่เหลือเค้าโครงเดิมเสียแล้ว

   “ฮึก... ฮึก.. ฮืออ มะ มึงปล่อยกูเถอะ กุ กูยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง แฮ่ก.. แฮ่ก.. มึงอยากได้อะไรมึงบอกกูมาเลย กูสัญญาจะหามาให้”
   “ไม่จำเป็น” ผู้ลงทัณฑ์ปล่อยค้อนทิ้งลงพื้น ก่อนจะเดินกลับไปรื้อค้นหาอะไรบางอย่างในถุง
   “มึง มึงบอกมีคนจ้างมึงมาใช่ไหม มันให้เท่าไร กูให้ได้มากกว่านั้นอีก ขอแค่มึงปล่อยกู กูจะเอาเงินมาให้ แล้วไม่เอาผิดมึงเลย”

   คนถูกทำร้ายพยายามรวบรวมสติ ข่มความเจ็บปวด ควบคุมน้ำเสียงเพื่อให้ถ้อยคำที่เปล่งออกมาฟังชัดที่สุด เอ่ยเจรจาต่อรองขอชีวิตต่อคนเบื้องหน้า
   เป็นอีกครั้งที่เสียงดูเหมือนจะไม่ไปถึงคนใจบาป เมื่อเขาเดินกลับมาพร้อมกับมีดเงาวาวสะท้อนภาพใบหน้าซีดเผือดของผู้ร้องขอ

   “มึง มึง กุ กูมีเงินจ่ายมึงจริงๆ นะ มึงเชื่อกูสิ กูรู้ว่ามึงรู้ว่ากูเป็นลูกใคร กูพูดจริงไม่ได้หลอกมึงนะ มึง! มึง!! อย่า!! กูขอร้อง!! ยะ อย่า...  อ๊ากกกก!!!!”

   ถ้อยคำวิงวอนเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องทรมานอีกครั้ง เมื่อปลายมีดแหลมแทรกลึกลงบริเวณข้อมือซ้ายที่โผล่พ้นมัดเชือกที่ตรึงแขน คมมีดค่อยๆ ลากกรีดไปเป็นทางยาวจนไปถึงแผ่นอก เลือดไหลทะลักชุ่มเสื้อเชิ้ตสีกรมไปซีกหนึ่ง บางส่วนไหลลงมาตามกำแพงผสมรวมกับกองเลือดจากขาข้างขวาบนพื้น

   ผู้เคราะห์ร้ายหายใจรวยริน ไร้แรงต่อต้าน ภายในใจเหลือเพียงคำขอให้หลุดพ้นจากความทรมานนี้เสียที

   “ตุ้บ!”

   ร่างบอบช้ำร่วงกระแทกพื้นเนื่องจากเชือกที่ใช้พันธนาการถูกตัดขาด พยายามเงยหน้าขึ้นมองผู้กระทำด้วยสายตาอ่อนล้า

   “ผมจะปล่อยคุณ ถ้าคุณดื่มหมดแก้วนี้”

   คนใจบาปกระชากคอเสื้อให้คนหมดหนทางนั่งพิงกำแพงสีโลหิต ยื่นแก้วใบหนึ่งบรรจุของเหลวข้นหนืดสีเดียวกับกำแพงมาให้ ก่อนเอ่ยเสนอทางออกราวกับรู้สึกเห็นใจเมตตาคนตรงหน้า

   “ไม่ต้องสงสัย นี่เลือดของคุณเอง ดื่มสิ แล้วจะเป็นอิสระ” พูดดักอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร
   “..สะ.. สัญญานะ...”
   “ผมไม่เคยโกหก”

   เมื่อได้ยินดังนั้น มีหรือจะไม่คว้าโอกาสไว้ ค่อยๆ ใช้มือสั่นเทาอีกข้างที่ไม่บาดเจ็บรับแก้วจากมือผู้ปรานี จำใจยกขึ้นดื่ม กลิ่นคาวเลือดประกอบกับรสชาติน่าสะอิดสะเอียนชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ แต่ก็ต้องกั้นใจดื่มต่อไป จวบจนหมดแก้วเป็นเวลาพอดีกับที่ร่างกายรับไม่ไหว อาเจียนทุกสิ่งอย่างออกมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มมึนเมาที่กินเข้าไปก่อนหน้า หรือแม้กระทั้งสิ่งที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่นี้
   รีบเงยหน้ามองเจ้าของแก้ว พยายามอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตนไม่ได้ตั้งใจ ร้องขอโอกาสใหม่อีกครั้งพร้อมกับแก้วเปล่าที่ยื่นส่งให้ แต่เหมือนแสงแห่งความหวังริบหรี่ลงเรื่อยๆ เมื่อคนตรงหน้าลุกขึ้นหันกลับไปโดยไม่รับแก้วคืน

   “ปึก!” เสียงไม้ค้ำยันถูกโยนมาข้างตัวผู้พยายามร้องขอโอกาส
   “ออกไป ผมปล่อยตามสัญญา จะรอดหรือตายข้างทางก็เรื่องของคุณ”

   พูดจบคนใจดีก็เดินไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมหนึ่งที่เพิ่งสังเกตว่ามีอยู่ หยิบหลอดทดลองจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาพลิกไปมาไม่สนใจเขาอีก คนรอดตายรีบใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงร่างขึ้น ค่อยๆ พาร่างกายบาดเจ็บสาหัสไปที่ประตูทางออกของโกดัง รอยเลือดจากเศษซากขาขวาไหลลากเป็นทางยาว
   จนถึงประตูทางออกที่ปิดสนิทอยู่ พิงไม้ค้ำยันกับประตูด้านหนึ่ง ก่อนพยายามเค้นแรงดันประตูให้เลื่อนออก

   “เอี๊ยด...”

   เมื่อประตูเลื่อนออก ส่งผลให้กับดักหน้าประตูทำงาน เคียวที่ติดตั้งอยู่ส่วนบนของประตู ดีดตัวเหวี่ยงเข้ามาในโกดังอย่างรวดเร็วด้วยแรงจากสปริงขนาดใหญ่

   “ฉัวะ!!!”

   ปลายเคียวแหลมเสียบแทงทะลุศีรษะ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ เหยื่อผู้น่าสงสารสิ้นใจในทันที ทิ้งร่างไร้วิญญาณให้ห้อยอยู่กับเคียวที่รั้งส่วนหัวไว้


   “ผมบอกแล้วนะว่าจะรอดหรือตายข้างทางก็เรื่องของคุณ”

   คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดขึ้นลอยๆ โดยไม่เหลียวมองสิ่งที่เกิดขึ้น ของเหลวใสในหลอดแก้วค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าตามคำบอกเล่า เก็บหลอดแก้วนั้นใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิม ก่อนลุกขึ้นเก็บของกำจัดหลักฐานเตรียมกลับบ้านไปหาปีศาจที่นึกถึง




   รถยนต์สีดำขลับแล่นเข้าจอดในบ้านก่อนเที่ยงคืนประมาณห้านาที หนึ่งมนุษย์ลงจากรถเดินเข้าบ้าน พบปีศาจนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ยอมนอน พานให้หัวใจเต้นในจังหวะต่างออกไป ช่วงจังหวะนี้มีเพียงปีศาจตรงหน้าเท่านั้นที่ทำได้

   “ทำไมยังไม่นอน” มนุษย์ถามพลางเดินเข้าไปหา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ปีศาจ

   ปีศาจกินวิญญาณไม่ตอบ ยังคงนิ่งเงียบมองมนุษย์ตรงหน้า คิ้วเข้มของปีศาจเริ่มขมวดแน่น เมื่อมนุษย์หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

   “วิญญาณมนุษย์ เจ้าเอามาจากไหน?”

   เอ่ยถามเจ้าของหลอดแก้วสองหลอดที่ยื่นส่งมาให้ แต่ละหลอดบรรจุวิญญาณอยู่หนึ่งดวง ดวงหนึ่งเป็นเพศหญิงแผ่กลิ่นอายชั่วร้าย แต่ไม่เข้มข้นเท่ามนุษย์ที่นั่งอยู่ข้างตัว ส่วนอีกหนึ่งเป็นของเพศชาย แม้จะมีกลิ่นอายชั่วร้ายเช่นเดียวกัน แต่ก็มีกลิ่นของความบริสุทธิ์ชัดมากกว่า แสดงให้เห็นว่าเจ้าของดวงวิญญาณนี้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป หาใช่คนชั่วร้ายจิตใจดำมืด

   “นี่เจ้า... เป็นนักฆ่าใช่ไหม? โนอาร์”

   ข้อสันนิฐานพลันเกิดขึ้น เมื่อนำสิ่งที่มนุษย์หามาให้ผสมรวมกับอีเมลจ้างวานในโน้ตบุ๊ก ในนั้นระบุรายละเอียดเป้าหมายพร้อมเสนอราคาค่าหัว ทุกฉบับกล่าวถึงชื่อผู้รับคนเดียวกัน ทำให้ปีศาจกินวิญญาณรู้ว่ามนุษย์ตรงหน้านี้ชื่ออะไร
เจ้าของบ้านไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อยที่ถูกสืบประวัติ กลับดีใจเสียอีกที่ปีศาจใส่ใจอยากรู้เรื่องของตน คะยั้นคะยอให้ปีศาจรับดวงวิญญาณไป แล้วจะตอบคำถามทุกอย่าง
   ฝ่ายปีศาจยอมรับข้อเสนอ เปิดจุกหลอดแก้วออก จับดวงวิญญาณทั้งสองส่งเข้าปากแล้วกลืนหายไป มนุษย์ที่ไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ อาศัยมองของเหลวในหลอดแก้วเปลี่ยนเป็นสีดำ บวกกับลูกกระเดือกตรงลำคอแกร่งเคลื่อนไหว พานให้อนุมานว่าปีศาจตรงหน้ารับวิญญาณที่หาให้ไปแล้ว
   รอยยิ้มมุมปากจึงปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าของมนุษย์หนึ่งเดียวในบ้าน

   “คนส่วนมากมักเรียกผมว่านักฆ่า นักฆ่าคือคนที่รับจ้างกำจัดคนตามใบสั่ง แต่สำหรับผมการรับจ้างเป็นแค่งานอดิเรก ผมฆ่าได้ทุกคนถ้าพอใจ แม้คนคนนั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวผมเลยก็ตาม เลยคิดว่าคำนิยามถึงตัวผมควรเป็นฆาตกรมากกว่า”
   “ส่วนเรื่องวิญญาณเป็นผลพลอยได้จากสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว ดวงหนึ่งมาจากงานวันนี้ ส่วนอีกดวงเป็นของผู้ว่าจ้างผมเอง ตามจริงผมไม่คิดจะฆ่าหรอก ถ้าหล่อนไม่เชิญชวนให้ผมไปนอนด้วย แน่นอนผมไม่ได้นอนกับเธอนะครับ แค่ไปจัดการเอาวิญญาณมาให้คุณเท่านั้นเอง”

   เมื่อได้ยินคำตอบไขข้อสงสัยทั้งหมด ปีศาจไม่แปลกใจเลยทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงมีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งค้างคาใจ

   “ทำไมถึงไม่ฆ่าข้าเหมือนอย่างที่เจ้าชอบล่ะ”
   “ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมรักคุณ คุณมีค่ามากกว่าจะมาเป็นของเล่นของผม”
   “...”
   “คุณถามผมเยอะแล้ว ผมขอถามเรื่องของคุณบ้าง เริ่มด้วยอย่างแรก...”
   “...”
   “คุณชื่ออะไร?”


บท1 สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 2 ขอบคุณ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 00:45:17
   เป็นอีกวันที่ปีศาจกินวิญญาณจับจ้องมนุษย์ผู้กำลังทำอาหาร กลิ่นหอมจากกระทะลอยกระจายทั่วทั้งบริเวณ ท่าทางคล่องแคล้วราวกับเชฟชื่อดังที่มักโชว์ฝีมือผ่านรายการโทรทัศน์ หากบอกใครคงไม่เชื่อว่าสองมือใช้หยิบจับเครื่องครัวในตอนนี้ เป็นมือเดียวกันกับใช้ดับลมหายใจคนมาแล้วนับไม่ถ้วน

   “อรุณสวัสดิ์ เอทอส” เอทอส ชื่อของปีศาจกินวิญญาณ เป็นคำตอบของหนึ่งในไม่กี่คำถามเมื่อคืนก่อน เนื่องจากจำเลยปฏิเสธให้สัมภาษณ์เพิ่มด้วยการเดินหนีขึ้นห้อง

   คำทักทายถูกเอ่ยโดยไม่จำเป็นต้องหันมอง เขารู้ตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงลงบันไดของอีกฝ่ายแล้ว ที่ยังนิ่งเฉยเป็นเพราะอยากรู้ว่าปีศาจจะทำอะไรต่อ
   ความเงียบคือสิ่งที่ได้รับ มนุษย์หนึ่งเดียวมั่นใจว่าปีศาจไม่ได้หายไปไหน คงกำลังแอบมองเขาเหมือนอย่างที่ชอบทำ ผ่านไปสักพักใหญ่ ความอดทนของเจ้าบ้านก็เป็นอันสิ้นสุด ยอมเปิดปากเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

   “อืม”

   เสียงขานรับเรียบสั้นตอบกลับจากเจ้าของชื่อ เป็นเหมือนคำตัดบทเมื่อเจ้าตัวไม่คิดจะพูดอะไรต่อ บวกกับมนุษย์ผู้แทบไม่สนทนากับใครนอกจากเรื่องงาน ไม่แปลกที่การพยายามพูดคุยหัวข้อทั่วไปจะจบลงแค่นี้

   
   เวลาผ่านไปจวบจนพ่อครัวทำอาหารเสร็จ หันกลับมาพร้อมมื้อเช้า พบสายตาปีศาจยังคงมองพิจารณาตนอยู่เช่นเดิม

   “ผมยกไปให้ ไปรอที่โต๊ะ”

   ปีศาจไม่ฟังคำ เดินตรงมาหามนุษย์พร้อมแย่งจานจากสองมือนั้นมาถือเอง ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะกินข้าว สั่งทิ้งท้ายให้คนในครัวหยิบน้ำดื่มตามออกมา


   หลังทานอาหารเรียบร้อย สองชีวิตในบ้านโดดเดี่ยวอยู่ตามมุมของห้องนั่งเล่น ปีศาจเอนหลังอ่านหนังสือที่หยิบมาจากชั้นบน มนุษย์ทำงานด้วยโน้ตบุ๊กเหลือบมองสลับระหว่างหน้าจอกับร่างสูงใหญ่
   บาดแผลกว้างกลางอกของปีศาจจวนหายเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ ที่เคยบอกยิ่งได้กินยิ่งฟื้นฟูคงเรื่องจริง แผนการหาวิญญาณมากมายมาสังเวยปีศาจเบื้องหน้าจึงถูกคิดขึ้น หากแต่ติดปัญหาเล็กน้อย...

   ช่วงขณะที่ปีศาจกำลังอ่านหนังสือฆ่าเวลา กลับสัมผัสได้ถึงแรงยวบของโซฟาข้างตัว มนุษย์นั่งขยับใกล้พร้อมยื่นโน้ตบุ๊กมาให้ ซึ่งภายในจอนั้นแสดงภาพบุคคลหลากหลาย แม้ไร้ญาณวิเศษทว่าเอทอสก็พอทำนายได้ว่าคนในรูปล้วนชะตาใกล้ถึงฆาตในอีกไม่ช้า

   “อะไร?” น้ำเสียงทุ้มต่ำจากร่างยักษ์เอ่ยถามมนุษย์
   “คนไหนชั่ว?”

   พอได้ฟัง ปีศาจพลันรู้ในทันทีว่าเหตุผลของคำถามแปลก ๆ นี้อาจเป็นอิทธิพลของคำพูดเขาครั้งก่อนว่าชอบกินวิญญาณบาปมากกว่า เรื่องนั้นเป็นความจริง และถือเป็นการช่วยเหล่าคนธรรมดาบริสุทธิ์ไม่ให้อายุสั้นเร็วนัก เพราะจากการสังเกตมนุษย์ผู้นี้ดูใส่ใจเขาค่อนข้างมาก หากลองบอกหรือสั่งอะไร คงทำตามโดยไม่เกี่ยงงอน
   แต่ที่เขาไม่ห้ามอีกฝ่ายฆ่าคนเป็นเพราะเขานั้นรู้สึกละอายใจ กับผู้ที่เคยฆ่าเพื่อกินวิญญาณอย่างเขา แม้พวกนั้นเป็นคนเลว คงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามคนอื่นฆ่าใคร

   หลังปีศาจพอคาดเดาถึงสาเหตุพฤติกรรมมนุษย์ นัยน์ตาดุแดงเลือดนกจึงใช้เวลาดูรูปสักพักก่อนหันมองหน้ามนุษย์ข้างกาย แล้วจึงตอบคำถามเมื่อครู่

   “เจ้า”

   ฝ่ายมนุษย์ไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ถึงกับหลับตาสูดหายใจเข้าควบคุมอารมณ์ หากผู้ที่พูดด้วยเป็นคนอื่น ฟันคงถูกคีมเลาะหมดปาก แต่กับปีศาจตรงหน้า ทำได้เพียงถามใหม่อีกครั้งโดยให้เลือกเฉพาะในรูป

   “ไม่มีปีศาจตนไหนสามารถสัมผัสกลิ่นอายชั่วร้ายได้เพียงแค่มองรูป เจ้าเข้าใจที่ข้าสื่อใช่ไหม”
   “งั้นคุณไปทำงานกับผม”
   “ไม่ใช่เรื่องของข้า”

   มนุษย์กำมือแน่น ก่อนดึงโน้ตบุ๊กเดินกลับมานั่งที่ของตน ใบหน้าบูดบึ้งที่พยายามคุมให้เรียบนิ่ง สร้างความสำราญใจให้ปีศาจได้เล็กน้อย


   ถึงแม้จะหงุดหงิดกับคำพูดคำจาของปีศาจ แต่ก็ยังคงดูแลคอยทำอาหารให้กินเหมือนเดิม มนุษย์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทน เขาผู้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่เคยถูกขัดหรืออยู่ใต้อำนาจใคร แล้วทำไมถึงต้องยอมให้กับปีศาจตนนี้
    ความคิดอยากฆ่าอยากทรมานต้นตอความฉุนเฉียวมีเต็มหัว แต่ไม่สามารถลงมือทำจริงได้ ไม่ใช่เพราะแข็งแกร่งเกินกว่าจะจัดการ แต่เป็นเพราะเขาเองที่ไม่มีความกล้าพอทำตามใจคิด เมื่อเป้าหมายเป็นปีศาจที่ชื่อว่า เอทอส



    ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน บรรยากาศอึมครึมจากเจ้าบ้านยังคงไม่เลือนหาย ทุกอย่างอยู่ในสายตาของปีศาจ
    การเฝ้ามองตลอดวันบอกปีศาจว่า มนุษย์ผู้นี้ความสามารถจัดการอารมณ์นั้นต่ำเตี้ย เรื่องเล็กน้อยไม่มีใครเก็บมาคิดจวนระเบิดแบบเจ้าตัว หากปล่อยไว้อาจหาวิธีระบายอารมณ์ได้เอง และนั่นเป็นปัญหา
    คนที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าตนคือฆาตกร วิธีผ่อนคลายจะมีสักเท่าไร เขาไม่อยากเป็นเหตุให้ใครตายเพราะเรื่องแค่นี้


    “ก๊อก ๆ ๆ”

    เสียงเคาะประตูเรียกให้คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จออกไปเปิด ปีศาจยื่นแก้วนมอุ่นๆ มาให้โดยปราศจากคำพูด

    “ผมไม่ใช่เด็ก” ถึงบอกแบบนั้น แต่ก็รับแก้วมาถือ
    “เหรอ”

    คำตอบพร้อมสายตามองมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียกเรียวคิ้วให้ขมวดแน่น สองมือกำแก้วนมเจียนร้าว คนความอดทนต่ำพยายามสงบกลั้นอารมณ์ ก่อนเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ของปีศาจ

    “นอกจากเอานมมาให้ มีอะไรอีกไหม”
    “ไม่”
    “อืม ขอบคุณสำหรับนมแก้วนี้” มนุษย์พูดพร้อมดันประตูปิด
    “โนอาร์”

    เสียงเรียกชื่อครั้งที่สองจากปีศาจ ทำให้หัวใจมนุษย์เต้นในจังหวะที่ต่างไปอีกครั้ง บานประตูหยุดนิ่งเมื่อเจ้าของไม่ออกแรง มัวแต่ยืนสบตากับปีศาจ
    นัยน์ตาสีเลือดนกเหลือบมองแก้วในมือมนุษย์เล็กน้อย ก่อนพูดประโยคสาปให้ฆาตกรกลายเป็นรูปสลักหินแข็งค้างอยู่แบบนั้น ส่วนตัวผู้ร่ายก็เดินหายไปในห้องข้างกัน

    “มันทำให้เจ้าหลับสบาย ราตรีสวัสดิ์”


    หลังการร่ำลาหน้าห้อง มนุษย์นั่งตรงขอบเตียง ในมือถือแก้วนมว่างเปล่า รอยยิ้มมุมปากแรกของวันปรากฏยามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทุกความหงุดหงิดพลันมลายด้วยคำพูดเดียวของปีศาจ ฟังดูไร้สาระ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว
    โนอาร์ที่อารมณ์กลับมาสงบดังเดิมวางแก้วบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนเหลือบมองชุดข้างตัวที่เตรียมไว้ก่อนเข้าห้องน้ำ พร้อมนำกลับไปเก็บเข้าตู้ตามเดิม เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องออกไปข้างนอกอีก เสร็จเรียบร้อยจึงกลับมาเอนตัวลงนอนบนผืนเตียงกว้างเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรา โดยคาดว่าคืนนี้คงหลับฝันดี



   วันต่อมา แม้ภายนอกมนุษย์ดูไม่ต่างจากเมื่อวาน แต่ปีศาจสัมผัสได้ว่าฆาตกรนั้นกำลังอารมณ์ดี เพราะเรียวคิ้วไม่ขมวดบวกกับการลอบมองเขาเป็นระยะ

   “ของในตู้ใกล้หมดแล้ว เย็นนี้ผมว่าจะออกไปซื้อเพิ่มก่อนไปทำงานช่วงค่ำ คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” การถามเขาเช่นนี้ก็เป็นตัวบ่งชี้อีกอย่างหนึ่ง
   “ข้าชอบกินเนื้อ”
   “เป็นสเต็กไหม”
   “อืม”

   และที่สำคัญสุดคือรอยยิ้มมุมปากเมื่อครู่ ช่วยยืนยันว่าสมมติฐานของปีศาจนั้นถูกต้อง

   “โนอาร์” ปีศาจเรียกมนุษย์ให้หันมาอีกครั้ง
   “ว่า?”
   “ข้าอยากใช้โทรศัพท์”
   
   มือถือถูกปลดล็อกแล้วยื่นให้ตามคำขอ ปีศาจรับมาก่อนเดินแยกไปเพื่อความเป็นส่วนตัว แล้วกดเบอร์โทรหาใครบางคน

   [สวัสดีครับ]
   “ฉันติดธุระคงไม่ได้เข้าสักสองอาทิตย์ ฝากดูแลความเรียบร้อยด้วย”
   [...ครับนาย ครั้งหน้าให้ผมติดต่อผ่านเบอร์นี้หรือเบอร์นายครับ] ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนตอบกลับเมื่อจำต้นเสียงได้
   “ไม่ต้อง ฉันทำโทรศัพท์หาย ได้เบอร์ใหม่แล้วจะบอก”
   [แล้วเบอร์...]
   “ของคนรู้จัก ห้ามโทรกวน ไม่ว่าอะไรก็ตาม” จะให้ลูกน้องเขาคุยกับเจ้าของเบอร์อันตรายขนาดนี้ไม่ได้เด็ดขาด
   [ครับนาย เมื่อวันก่อนมีคนมาถามถึงนายครับ]
   “ใคร?”
   [ผู้ชายผมสีเงิน ชื่อภาคินครับ]

   ภาคิน เขามั่นใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ แต่ถ้าผมสีเงินก็พอนึกออกอยู่คนหนึ่ง

   “ถ้าคนนั้นมาอีก ให้บอกว่าฉันจะติดต่อไปเอง”
   [ครับนาย]

   เมื่อคุยธุระเสร็จ ร่างสูงใหญ่จึงเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น มนุษย์มองปีศาจด้วยแววตาสงสัย รับโทรศัพท์คืนพลางแสดงท่าทีคล้ายอยากถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เก็บเงียบ เพราะเกรงว่าหากถามไป นอกจากไม่ได้คำตอบแล้ว จะพานให้อารมณ์เสียเปล่า ๆ

   “ไม่ต้องหา ข้าลบประวัติทิ้งหมดแล้ว”

   เสียงเรียบเรื่อยจากปีศาจ ทำให้นิ้วเรียวซึ่งกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์หยุดชะงัก ก่อนทำเป็นวางลงข้างตัวไม่สนใจอีก



   เวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็น รถสีดำขลับเคลื่อนตัวออกจากบ้าน ทุกการกระทำถูกเฝ้ามองผ่านสายตาสองคู่บนมอเตอร์ไซค์ที่จอดห่างออกไป คนซ้อนท้ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร ไม่นานก็มีคนรับสาย

   “ลูกพี่มันออกไปแล้ว”
   [แน่ใจนะว่ามันอยู่คนเดียว]
   “แน่สิพี่ พวกผมเฝ้ามันเป็นอาทิตย์ไม่เห็นมีใครเลยนอกจากมัน”
   [ดี พวกมึงไปเตรียมตัวแล้วมาเจอกันที่เดิม กูจะลงมือคืนนี้]
   “ครับลูกพี่”

   หลังวางสาย คนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่ตบไหล่คนขับเป็นสัญญาณ รถมอเตอร์ไซค์จึงเริ่มวิ่งออกห่างจุดสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ จนลับสายตา ส่งผลให้พื้นที่รอบบริเวณกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง


   กลิ่นหอมของเนื้อคุณภาพระดับพรีเมียม เรียกน้ำย่อยปีศาจที่นั่งรอตรงโต๊ะกินข้าวได้เป็นอย่างดี สเต็กเนื้อมีเดียม แรร์ พร้อมเครื่องเคียงถูกจัดวางอย่างสวยงามบนจานกว้าง ยกเสิร์ฟโดยเชฟฆาตกรหาตัวจับยากมีนามว่า โนอาร์
   สายตาพึงพอใจของปีศาจ สร้างความประทับใจให้กับคนทำเป็นอย่างมาก รอยยิ้มมุมปากจึงคงอยู่จวบจนเวลาของมื้อเย็นสิ้นสุด

   “ยิ้มอยู่นั่น โรคจิตหรือไร” แม้ถูกว่า ก็ไม่อาจลบเลือนความสุขที่ฉายชัดผ่านใบหน้าได้


   “ผมอาจกลับเกือบเช้า ไม่ต้องรอผม” มนุษย์บอกกับปีศาจระหว่างใส่รองเท้าเตรียมออกไปทำงาน
   “ทำไมข้าต้องรอเจ้า” ปีศาจขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ
   
   มนุษย์ยิ้มเล็กน้อยไม่ตอบคำถาม ทิ้งท้ายบอกราตรีสวัสดิ์ปีศาจตรงหน้าประตู ก่อนเดินขึ้นรถขับหายไป ปล่อยให้ปีศาจที่ยังคงสับสนอยู่บ้านเพียงลำพัง

(เนื้อหาต่อบทที่2 คลิก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056149#msg4056149))
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 3 ตอบแทน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 00:58:49
   คฤหาสน์หรูออกแบบตามสถาปัตยกรรมตะวันตก ตัวบ้านห้อมล้อมด้วยสวนสวยสร้างความร่มรื่น เสริมต้นไม้ใหญ่ปลูกติดแนวรั้วเพิ่มความเป็นส่วนตัว บริเวณหน้าบ้านเป็นลานน้ำพุคล้ายวงเวียนขนาดย่อม ให้รถยนต์สามารถจอดรับและขับวนออกได้สะดวก หลังบ้านเป็นสระว่ายน้ำใหญ่พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเหมาะแก่การจัดงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้ริมสระ
   ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวจากผลตอบแทนทางธุรกิจ เจ้าของคฤหาสน์เป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่มีสาขาย่อยมากมายทั้งในและนอกประเทศ เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการที่ใครต่อใครต่างอยากทำธุรกิจด้วย แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา
   การจะเป็นใหญ่นอกจากอำนาจเงินยังต้องมีอำนาจสั่งการคอยหนุน ดังนั้นอีกด้านของเจ้าสัวจึงเป็นนายทุนใหญ่ผู้อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศแลกกับการที่เจ้าหน้าที่ปิดตาไม่รู้ไม่เห็นกับธุรกิจมืดมากมาย อาทิเช่น การค้ายาเสพติดข้ามชาติ การฟอกเงิน ร่วมไปถึงการค้ามนุษย์ที่กำลังเป็นข่าว

   “ปึง!”

   เสียงกำปั้นทุบโต๊ะรับประทานอาหาร เมื่อเจ้านายอ่านข่าวหน้าหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ คุณหญิงที่เคยเห็นหน้าเห็นตาถูกฆาตกรรม แต่นั้นไม่น่าสนใจเท่ากับการพบหลักฐานการค้ามนุษย์จำนวนมาก ซึ่งนั้นอาจสาวมาถึงตัวเขาได้ต่างหากที่ทำให้เจ้าของคฤหาสน์กำลังหงุดหงิด

   “ไปตามสืบว่าใครเป็นคนทำและปิดปากมันซะ ส่วนหลักฐานนั่นจัดการอย่าให้เรื่องมาถึงฉัน” ผู้เป็นนายเอ่ยคำสั่งโดยไม่หันมองลูกน้องสองคนที่ยืนห่างออกไปด้านหลัง
   “ครับท่าน”



   ณ หมู่บ้านจัดสรรร้างที่ถูกละทิ้งให้ต้นหญ้าวัชพืชเลื้อยขึ้นปกคลุมรกชัฏ สถานที่สุดหลอนที่มักมีกลุ่มผู้ลองดีมาท้าพิสูจน์สิ่งเหนือธรรมชาติอยู่เสมอ และคืนนี้ก็เช่นกัน
   
   “แกะ.. แกกลับกันเถอะ” หญิงสาวคนหนึ่งกระตุกชายเสื้อเพื่อนที่เดินนำด้านหน้า
   “อะไรของแกวะ นี่แค่หน้าหมู่บ้าน ถ้ากลัวนักก็ไปรอในรถ” เพื่อนสาวห้าวหันกลับมาไล่ด้วยท่าทีรำคาญ
   “ไม่ๆ ไม่เอา ฉันไม่อยู่ในรถคนเดียวแน่”
   “งั้นก็ตามมา พูดมากอยากเรียกผีมาหรือไง”

   หญิงสาวถูกเพื่อนสนิทปากร้ายขู่ตัวสั่นง็อกง็อก เป็นที่น่าสงสารจนแฟนหนุ่มข้างกันต้องดึงมากอดปลอบพลางกล่อมว่ามีเขาอยู่ด้วยไม่ต้องกลัว ก่อนจะจูงมือกันเดินตามเพื่อนสามคนเข้าไป

   กลุ่มนี้ประกอบด้วยเพื่อนห้าคนที่รู้จักกันในมหา’ลัย คนแรกคือหญิงห้าวประจำคณะผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดและเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ อีกคนเป็นสาวน้อยร่างเล็กขี้กลัวซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของสาวห้าวเมื่อครู่ ประกบด้วยแฟนหนุ่มที่มาด้วยความจำใจ ตามจริงเขาไม่เห็นด้วยที่แฟนของตนมาสถานที่แบบนี้ แต่ถูกเพื่อนสนิทแฟนพูดจาดูถูก สุดท้ายจึงต้องเลยตามเลย ส่วนอีกสองคนเป็นชายเพื่อนสนิทของแฟนหนุ่มที่รู้เรื่องแล้วอยากตามมาด้วย
   ทั้งห้าคนเดินเกาะกลุ่มกัน แต่ละคนมีไฟฉายคนละกระบอก ค่อยๆ เดินไปตามทางถนนในหมู่บ้านร้างที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง เกิดเสียงกรอบแกรบทุกครั้งเมื่อย่างก้าว สองข้างทางเป็นบ้านร้างเก่าเรียงรายตลอดทาง ทุกหลังถูกถอดประตูและหน้าต่างออกจนหมดเหลือไว้เพียงช่องกลวงมองทะลุถึงภายใน ยิ่งคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ส่งผลให้บรรยากาศวังเวงน่ากลัวขึ้นเป็นอย่างมาก

   “กรี๊ดด!!!!” เสียงกรี๊ดลั่นจากคนรั้งท้ายทำให้ทั้งกลุ่มสะดุ้งโหยง รีบหันซ้ายหันขวาสาดส่องไฟรอบตัว
   “อะไร!” สาวห้าวถามกลับ เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ
   “ฉะ.. ฉะ.. ฉันได้ยินเสียงคนร้องช่วยด้วย แกฉันไม่ไหวแล้ว กลับกันเถอะ”

   สาวน้อยน่าสงสารตัวสั่นหนักกว่าเก่า น้ำตาคลอหน่วยพลางกอดแฟนแน่น เอ่ยคำขอตะกุกตะกักให้เพื่อนเปลี่ยนใจไม่ไปต่อ
   
   “เฮ้ย กลับเถอะ มิวไม่ไหวแล้วนะ” ชายหนุ่มมองแฟนสาวด้วยความสงสาร ก่อนหันบอกเพื่อนในกลุ่ม
   “อะไร ป๊อดแล้วหรือไงไอ้วุฒิ” เพื่อนชายคนหนึ่งยุคนห่วงแฟน
   “เออ ถ้าแฟนกูต้องเป็นแบบนี้ กูยอมป๊อดก็ได้ มามิวเดี๋ยววุฒิพากลับรถนะ”

   เมื่อพูดจบ แฟนดีเด่นก็ประคองสาวขี้กลัวเดินย้อนกลับทางเดิม ปล่อยให้เพื่อนสามคนท้าพิสูจน์ต่อไป


   “ชะ... ช่วย... ช่วยด้วย...”

   เสียงร้องขอความช่วยเหลือแหบแห้งแผ่วเบา ลอยออกมาจากบ้านที่ทั้งสามคนหยุดมอง เมื่อส่องแสงไฟพบว่าบ้านหลังนี้ค่อนข้างต่างจากหลังที่ผ่านๆ มา เพราะมีหน้าต่างบางส่วนไม่ถูกถอดออก แต่ที่เหลือล้วนเป็นเศษซากบานหน้าต่างผุพัง มีเศษกระจกคมติดตามขอบและหล่นกระจายตามพื้น ประตูไม้เก่าเบี้ยวตกวงกบเปิดแง้มเล็กน้อยเหมือนเชื้อเชิญให้เข้าไป และแน่นอนเสียงมาจากหลังประตูนั้น
   หัวใจสามดวงของผู้ท้าทายเต้นระส่ำ ยืนเกาะกลุ่มกันใกล้ชิด ก่อนค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปในตัวบ้าน

   “แอ๊ด...”

   สัมผัสแรกที่รับรู้คือกลิ่นเหม็นอับรุนแรงเข้าปะทะทันทีเมื่อเข้ามาในบ้าน ภายในนั้นโล่งไร้เครื่องเรือน กำแพงกั้นห้องบางส่วนพังทลายเห็นปูนเปลือย กวาดตามองโดยรอบไร้สัญญาณชีวิตโดยสิ้นเชิง
แล้วเสียงมาจากไหน?

   “ตึง!!”
   “เชี้ย!!!”

   เสียงบางอย่างล้มอย่างแรงจากชั้นสอง ทำให้ทั้งสามคนสะดุ้งสุดตัว ก่อนพยายามรวบรวมสติค่อยๆ เดินตามเสียงจนพบบันไดไม้ผุนำทางขึ้นไปด้านบน
   ส่องไฟนำทางขึ้นไปก่อน... ไม่พบสิ่งใด หญิงห้าวในตอนแรกกลับอยู่ท้ายสุดของกลุ่มในตอนนี้ เอ่ยกระซิบสั่งคนด้านหน้าให้รีบเดิน

   บันไดส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งเมื่อเท้าเหยียบขั้นถัดไป ยิ่งใกล้ถึงชั้นบนกลิ่นสนิมยิ่งฉุนจมูก แสงไฟฉายสาดไปทั่วแม้ผู้ถือจะยังไปไม่ถึง ก่อนแสงไฟจะหยุดชะงักเมื่อสาดใส่บางสิ่งเข้าโดยไม่ตั้งใจ

   “ทำไมไม่เดินต่อวะ”

   คนด้านหลังกระซิบถามคนนำที่นิ่งค้างไป แต่ก็ไม่ได้อะไรตอบกลับมา เหลือบมองทางข้างหน้าผ่านไหล่คนนำ พบแสงจากกระบอกไฟฉายนิ่งค้างอยู่ตรงสิ่งหนึ่ง สิ่งที่เรียกได้ว่า... ขาคน
   คนใจกล้าพยายามใช้มือสั่นจับไฟฉายให้มั่น ก่อนส่องไฟสูงขึ้น...

   เสื้อขาวมอมแมมเต็มไปด้วยคราบดำ... และคราบเลือด...

   สูงขึ้น...

   เลือดสีแดงสดกำลังไหลผ่านลำคอ... ย้อมคอเสื้อให้เป็นสีเลือด...

   สูง...

   “อ๊ากกก!!!! เหี้ยย!!!”
   “ตุบ!!”
   “ตุบ!”
   “ตุบ! ตึง!!”

   เหล่าคนกล้าร้องเสียงหลง วิ่งหนีกระเจิงออกจากบ้าน เมื่อร่างชายเปื้อนเลือดพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนกลางบันได เสียงร้องโวยวายพร้อมเสียงฝีเท้าตึงตังค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงไฟฉายที่ถูกเจ้านายทอดทิ้งกลิ้งหมุนอยู่บนพื้น ก่อนหยุดนิ่งสาดแสงเป็นภาพเงาบนกำแพงเก่าข้างฝา ภาพร่างชายวัยรุ่นพลัดตกบันไดคอหัก


   “เหมือนคนช่วยจะกลับกันหมดแล้ว”

   เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นพลางมองของเล่นที่ตนผลักลงบันไดไปเมื่อครู่ด้วยสายตาเฉยเมย ก่อนหันมองกลุ่มเงาของคนในความมืดถูกเชือกมัดแน่นหนา

   “ต่อไปเราจะเล่นอะไรกันดี ผมมีเวลาให้ทั้งคืน”

   เสียงตอบรับคือเสียงอื้ออึงของเหล่าผู้ตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดที่ถูกผ้าปิดปาก คนกล้าส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือก่อนหน้า บัดนี้เหลือเพียงร่างไร้ชีวิตตรงชั้นล่าง แสงแห่งความหวังเมื่อครู่หายลับเหมือนแสงจันทร์ในคืนนี้ กลุ่มของเล่นเบียดเสียดชิดกันราวกับเพื่อนรัก หากสังคมเห็นภาพนี้คงต้องหลั่งน้ำตา เมื่อความบาดหมางนั้นเปลี่ยนเป็นความสามัคคี

   “เกมหมอกระดูกแล้วกัน” เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยพร้อมย่างสามขุมเข้าหาเหล่าของเล่นที่พยายามหนีสุดชีวิต
   “อื้อ! อื้อ!! อื้อ!!!!”



   รถสีเทาเมทัลลิกป้ายแดงขับมาตามทางเปลี่ยวไร้รถร่วมสัญจรในยามก่อนรุ่งสาง หักเลี้ยวลงข้างทางมุ่งเข้าไปในป่าอย่างไม่กลัวรถใหม่เกิดรอย ขับลึกจนสุดทางที่สามารถไปได้ หาที่จอดอำพรางไว้ ก่อนลงจากรถเดินต่อหายไปในป่า

   ใช้เวลาไม่นาน ทางเบื้องหน้าปรากฏเป็นบ้านไม้หลังไม่เล็กไม่ใหญ่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สูงช่วยปิดบัง ห่างไม่มากนักมีลำธารน้ำใสสะอาดไหลผ่าน สามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ แสงตะเกียงหน้าบ้านส่องสว่างให้ความรู้สึกอบอุ่น
บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของปีศาจซึ่งกำลังนอนซมอยู่ด้านใน

   “อรุณสวัสดิ์เอทอส ตื่นมากินวิญญาณก่อนแล้วค่อยนอนใหม่”

   มนุษย์หนึ่งเดียวเดินเข้าไปในห้องหนึ่งพร้อมตะเกียง วางอุปกรณ์ให้แสงสว่างลงบนโต๊ะ ก่อนช่วยประคองปีศาจนั่งพิงหัวเตียงแล้วจึงค่อยนั่งข้างกัน หยิบหลอดแก้วสีฟ้าเกือบสิบหลอดออกจากกระเป๋า ของในมือมนุษย์นั้นสร้างความประหลาดใจต่อปีศาจเป็นอย่างมาก
   ทุกดวงเป็นวิญญาณชายมีกลิ่นอายบริสุทธิ์และชั่วร้ายผสมกัน แต่กลิ่นอายอย่างหลังสัมผัสได้ชัดกว่า แม้จัดได้ว่าเข้ากับลักษณะวิญญาณที่เขาเคยบอก แต่การสามารถหามาได้ขนาดนี้ในครั้งเดียวเป็นเรื่องช่างน่าสงสัย

   “เจ้าไปหามาจากไหนมากมายเช่นนี้”
   “ผมแค่ปล่อยข่าวว่าคู่อริกำลังกบดานวางแผนบางอย่าง และรอให้นักเลงวัยรุ่นจากทั้งสองฝั่งเดินมาเป็นของเล่นผมเอง ทุกคนสมัครใจไม่ได้ถูกบังคับมาแม้แต่น้อย”

   หลังฟังกลของฆาตกรใจบาป ปีศาจถึงกลับพูดอะไรไม่ออก เป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า การจะเข้ามาในกับดักนี้ได้ แสดงว่าต้องหวังทำร้ายศัตรูแค้นอยู่แล้ว ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนเอาตัวมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ ทุกอย่างเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวทั้งสิ้น เว้นแต่เพียงการกลายเป็นของเล่นนั้นคือของแถมที่ไม่อาจปฏิเสธได้

   “อย่าสนใจเรื่องปลีกย่อยเลย รีบกินจะได้หายไวๆ”

   มนุษย์พูดพลางยื่นหลอดหนึ่งมาให้ ปีศาจค่อยๆ เปิดจุกดึงวิญญาณจากข้างในก่อนกลืนหายลงท้อง โดยมีมนุษย์คอยเก็บหลอดที่กินแล้วรวมไปทิ้ง
   จวบจนกินหมด มนุษย์ส่งปีศาจเข้านอนอีกครั้งเพราะตอนนี้ยังไม่สว่างดี และจึงถือตะเกียงกับหลอดแก้วที่ของเหลวภายในเปลี่ยนเป็นสีดำเดินออกจากห้องไป
 

   การที่หนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจมาอยู่บ้านกลางป่าเช่นนี้หาได้เป็นเพราะพยายามหนีคดี แต่เป็นเพราะฆาตกรรู้สึกเกือบสูญเสียของรักเลยกล่าวโทษทุกสิ่งอย่าง โทษบ้านที่ควรเป็นสถานที่ปลอดภัยแต่ไม่สามารถปกป้องปีศาจได้ จึงเผาทิ้งไปพร้อมศพโจร โทษรถสีดำขลับที่ช้าเกินไปจนไม่สามารถช่วยปีศาจได้ทัน ตอนนี้จึงถูกบี้เป็นก้อนเศษเหล็กอยู่ในสุสานรถ
   หลังระบายอารมณ์กับการเผาบ้าน ถึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีที่ที่ตนสามารถอาศัยร่วมกับปีศาจได้เหลืออยู่แล้ว เพราะเพนท์เฮ้าส์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งที่อยู่ ไม่สามารถพาปีศาจเข้าไปได้โดยไม่มีใครเห็น หรือจะหาบ้านใหม่ตอนนี้ก็คงไม่ทันการณ์ ปีศาจร่างกายอ่อนล้าในยามนั้น จึงต้องช่วยแก้ปัญหาบอกทางบ้านลับกลางป่า และนั่นทำให้มนุษย์เดินสำรวจบ้านปีศาจเป็นครั้งที่ห้าของวัน เนื่องด้วยเหตุผลง่ายๆ

   อยากรู้จัก อยากรู้เรื่องของเอทอสมากขึ้น


   “บ้านข้าไม่มีของให้ขโมยเหมือนบ้านเจ้า” ปีศาจเอ่ยหลังทนมองมนุษย์เปิดนู้นดูนี่มาสักพักใหญ่
   “จะออกมา ทำไมไม่เรียกผม”

   มนุษย์ไม่สนใจคำพูดปีศาจ เดินเข้าไปช่วยประคองอีกฝ่ายมานั่งบนเก้าอี้ไม้ใหญ่กลางบ้าน ก่อนเดินหายไปในส่วนครัว กลับมาพร้อมชามข้าวต้มสองชาม

   “เวลามนุษย์ป่วยให้กินของอ่อนๆ ผมว่าปีศาจคงคล้ายกัน” ว่าพลางเป่าเบาๆ ให้หายร้อน ก่อนยื่นช้อนจ่อปากปีศาจ
   “อะไรของเจ้า”

   ปีศาจหันหน้าหนี ก่อนดึงช้อนและชามมาถือไว้เองแล้วจึงตักเข้าปาก มนุษย์เห็นดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือชามตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าเก้าอี้มากินบ้าง สองชีวิตกินมื้อเช้าร่วมกันในบ้านกลางป่าผืนกว้างเงียบสงบ โดยมีมนุษย์คอยลอบมองปีศาจข้างกายเช่นเดิม



   เสียงเคาะประตูห้องทำงาน ก่อนตามด้วยคำอนุญาต ลูกน้องคนสนิทเข้ามารายงานความคืบหน้าเรื่องที่ได้รับหมอบหมาย

   “เรื่องจัดการหลักฐานเรียบร้อยดีครับท่าน ส่วนเรื่องตามตัวคนทำเกิดปัญหาเล็กน้อยครับ”
   “อะไร?”
   “ร่องรอยเบาะแสถูกลบหายจนไม่สามารถตามสืบได้เลยครับ ผมเลยลองสืบผ่านประวัติคุณหญิง พบว่าก่อนหน้านี้คุณหญิงเคยถูกชายคนหนึ่งพยายามดำเนินคดีเรื่องนั้น แต่ไม่สำเร็จครับ”
   “อืม... ไปถามดูว่ารู้เห็นอะไรไหม แล้วมารายงาน”
   “ครับท่าน”

   ลูกน้องรับคำสั่งก่อนขอตัวออกจากห้องไป การถามที่ว่าไม่ใช่การถามธรรมดาเหมือนรูปประโยค แต่เป็นการจับตัวมาเค้นคำตอบแล้วค่อยปิดปาก ส่วนจะปิดด้วยเงินหรือชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับความร่วมมือของอีกฝ่าย ซึ่งมักเป็นอย่างหลังมากกว่า



   หลายวันหลังจากปีศาจได้กินวิญญาณของกลุ่มวัยรุ่น มนุษย์ใจบาปยังคอยหาดวงวิญญาณมาบรรณาการอยู่ไม่ขาด เป็นดวงเดียวบ้าง สองดวงบ้าง ตามโอกาสจะอำนวย จึงไม่แปลกที่บาดแผลกลางอกของปีศาจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จนสามารถเดินรอบบ้านโดยไม่สะเทือนบาดแผลให้รู้สึกเจ็บ

   ในตอนนี้มนุษย์และปีศาจกำลังอยู่ในห้องเก็บสะสมของ เหตุเพราะหลายวันมานี้ปีศาจผู้คอยสังเกตพฤติกรรมมนุษย์อยู่เสมอ เห็นอีกฝ่ายดูสนใจของภายในห้องนี้เป็นพิเศษ เมื่อตนอาการดีขึ้นจวนหายเป็นปกติ จึงอยากตอบแทนมนุษย์บ้าง โดยเรียกอีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ก่อนอนุญาตให้เลือกหยิบของที่ต้องการได้ตามใจชอบ
   ของในนี้ไม่ได้มีมูลค่าใดๆ เป็นเพียงของสะสมที่เขาเก็บรวบรวมเล่นเป็นงานอดิเรก เช่นพวกเขาสัตว์หายาก หินสีลวดลายแปลกตา รวมไปถึงของทำมือต่างๆ
   มนุษย์เดินดูของสักพัก ก่อนหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาแล้วหันไปขอกับผู้เป็นเจ้าของ

   “ผมขอมีดเล่มนี้”

   สิ่งที่มนุษย์ขอเป็นมีดสั้น ด้ามจับทำจากไม้เนื้อแข็งสีดำสนิท แกะสลักด้ามจับให้โค้งเว้าสามารถถือจับได้ถนัดมือ ตัวมีดทำจากแร่สีขาวหายาก ค่อยๆ ฝนอย่างประณีตจนแร่เกิดคม ก่อนนำทั้งสองส่วนประกอบเข้าด้วยกัน เป็นหนึ่งในของทำมือที่ปีศาจสร้างขึ้นในเวลาว่าง

   “เอาสิ แต่หาปลอกใส่เอง ข้าไม่ได้ทำไว้”
   “คุณทำขึ้นมา?” มนุษย์เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนก้มมองพิจารณามีดในมืออีกรอบ
   “ถ้าใช่แล้วทำไม”
   “เปล่า มันสวยดี ยิ่งคุณบอกว่าเป็นคนทำผมยิ่งชอบ”

   พูดพลางยิ้มเล็กน้อยขณะมองมีด ก่อนนำเก็บช่องใส่มีดด้านหลังของเข็มขัดอาวุธที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ช่วงรอบเอวฆาตกรซึ่งเผยให้เห็นชั่วครู่ก่อนจะถูกชายเสื้อปกปิดนั้นประดับไปด้วยอาวุธมากมาย ทั้งปืนพกสองกระบอกพร้อมกระเป๋าใส่กระสุนปืน มีดสั้นมีดปาจำนวนหลายเล่ม และดิ้วเหล็กสองอัน
   ปีศาจมั่นใจว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากอาวุธทั้งหมดที่ฆาตกรแอบซ่อน

   “นี่เจ้าพกของพวกนี้ติดตัวตลอดเลย?”
   “เอาไว้เล่นกับของเล่นตอนหาอุปกรณ์ไม่ทันน่ะ”

   มนุษย์ตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปากตามแบบฉบับเจ้าตัว ก่อนเปลี่ยนเรื่องถามว่าวันนี้อยากกินอะไร เพราะต้องออกไปซื้อข้างนอก เนื่องจากบ้านหลังนี้ไม่มีไฟฟ้า จึงไม่มีตู้เย็นแช่ของสดสำหรับทำอาหารเหมือนเมื่อก่อน

   ‘อะไรก็ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะแสนรู้’ เป็นคำตอบจากปีศาจ มนุษย์เพียงหันหลังโบกมือลาพลางเดินออกจากบ้าน ก่อนหายลับไปในป่า ระหว่างทางพยายามไม่สนใจคำกวนยั่วโมโหเมื่อครู่ ควบคุมอารมณ์อยู่นาน จนกระทั้งเดินถึงรถที่จอดอำพรางไว้ อารมณ์จึงกลับมาเป็นปกติ


   การเดินเลือกซื้อของในตลาดชุมชนมีข้อดี คือสามารถทราบข่าวหรือหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่กำลังเป็นประเด็นในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก๊งนักเลงวัยรุ่นที่หายหน้าหายตาไป หรือข่าวดังในช่วงสองสามวันก่อนของหญิงสาวถูกฆาตกรรมในห้องคอนโดหรู หลายเรื่องถูกเล่าปากต่อปาก แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ฆาตกรในคราบของประชาชนธรรมดารู้สึกสนใจ

   “ป้าว่าใครตามหาอะไรนะครับ” คนตัวการแสร้งถามแม่ค้าขายเนื้อถึงเรื่องเมื่อครู่
   “ก็คดีฆาตกรรมทางรถไฟนั่นไงพ่อหนุ่ม ช่วงนี้มีคนมาถามหาว่ามีใครพอพบเบาะแสหรือเห็นตัวคนร้ายบ้าง เขาให้ค่าตอบแทนหลักหมื่นเลยนะ”
   “งั้นก็มีคนไปให้ข้อมูลเต็มเลยสิครับ”
   “ใครจะไปกล้าล่ะ เขาขู่ว่าถ้าใครคิดให้ข่าวปลอมจะซ้อมให้หนักแล้วจับส่งตำรวจข้อหาหลอกลวง”
   “เขาแต่งตัวยังไงเหรอครับ”
   “ธรรมดาๆ แหละ ตัวใหญ่หน่อย... นั่น! คนนั้นไง” ป้านึกก่อนเหลือบเห็นคนที่กำลังนินทา จึงรีบกระซิบชี้ตัวให้ดู
   “อ๋อ... ขอบคุณครับ”
   “แล้วพ่อหนุ่มถามถึงทำไมเหรอ”
   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ป้าครับผมเอาเนื้อนี้สองโล”

   ฆาตกรบอกปัดเปลี่ยนเรื่องหลังทราบข้อมูลครบถ้วนแล้ว ระหว่างเดินซื้อของเพิ่มเติมใช้สายตาลอบมองคนรนหาเรื่องใส่ตัว เมื่อเห็นเป้าหมายเดินหายไปในมุมหนึ่งซึ่งปลอดคน เพชฌฆาตจึงเดินตามทันที
คนถูกหมายหัวหันหลังยืนคุยโทรศัพท์รายงานเบาะแสที่พอหาได้ จวบจนวางสาย หันกลับมาพบชายคนหนึ่งถือถุงกับข้าวเต็มสองมือกำลังยืนจ้องหน้าตนอยู่

   “เบาะแสตัวคนร้าย ผมรู้ดีเลยล่ะครับ”


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 3 ตอบแทน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 01:01:30
(ต่อ)

   ท้องฟ้ามืดมิดบ่งบอกถึงยามราตรี ปีศาจกำลังจุดตะเกียงให้แสงสว่าง มนุษย์หายไปตั้งแต่ช่วงบ่ายป่านนี้ยังไม่กลับมา ไม่ใช่เหตุเรื่องถูกเขากวนใส่ก่อนออกจากบ้านแน่ เพราะฆาตกรหัวร้อนง่ายพยายามปล่อยไม่สนใจคำพูดไม่เข้าหูได้บ้างแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ มีผู้เคราะห์ร้ายกำลังตกเป็นเหยื่อ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นเขาก็พอสบายใจได้เปราะหนึ่งว่า คนดวงกุดไม่มีทางเป็นชาวบ้านธรรมดาน่าสงสารแน่นอน
   ไม่นานคนบาปในความคิดของปีศาจก็กลับถึงบ้าน เดินมาทักเล็กน้อยว่ากลับมาแล้ว ก่อนเดินเข้าไปในส่วนครัวเตรียมทำอาหารหนึ่งมื้อตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ ทุกครั้งที่มนุษย์กลับช้ามักมีวิญญาณติดไม้ติดมือมาด้วย ซึ่งไม่ใช่กับคราวนี้

   “เจ้าไปไหนมา” ปีศาจถามหลังเวลาอาหารจบลง
   “ไม่ได้ไปไหน แค่จัดการปัญหานิดหน่อย”
   “ปัญหาอะไร?”
   “ผมขอบอกคุณพรุ่งนี้ รอให้ทุกอย่างชัดเจนก่อนนะครับ”
   “อืม”

   ปีศาจเพียงตอบรับในลำคอและไม่ถามเพิ่ม จากการอยู่ด้วยกันมาสักพักใหญ่ทำให้ปีศาจรู้ว่า ‘ครับ’ จากปากฆาตกร จะพูดกับเขาแค่สองกรณีคือ พยายามอธิบายบางอย่างที่เขาอาจเข้าใจอีกฝ่ายผิด หรือพยายามปกปิดเรื่องที่ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้
   ที่บอกว่าในตอนนี้ เพราะเมื่อถึงเวลาฆาตกรจะเป็นคนเปิดปากพูดกับเขาทั้งหมดเอง โดยที่เขาไม่ต้องทวงถาม ดังนั้นค่ำคืนนี้จึงจบลงด้วยสองชีวิตนอนข้างกันบนเตียงไม้ขนาดยักษ์ มีลมธรรมชาติคอยพัดทางหน้าต่างแทนเครื่องปรับอากาศ มีตะเกียงแทนโคมไฟให้แสงอ่อนๆ ขับกล่อมให้ทั้งคู่หลับใหลอย่างเป็นสุข


   เมื่อรุ่งสางมาถึง มนุษย์เป็นผู้ตื่นก่อน พยายามก้าวเดินอย่างระวังไม่ให้พื้นไม้ลั่นเกิดเสียงรบกวนปีศาจที่นอนอยู่ เข้ามาในส่วนครัวเตรียมมื้อเช้าให้อีกฝ่าย ขนมปังแซนด์วิชกับกาแฟร้อนๆ หนึ่งแก้วถูกวางบนโต๊ะกินข้าว หลังจากนั้นจึงไปอาบน้ำตรงลำธารและเดินออกจากบ้านไป



   บริเวณป่าหลังหมู่บ้านร้างที่ใครต่อใครชอบท้าพิสูจน์ มีชายพร้อมจอบในมือเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนพบท่อPVC เส้นหนึ่งตั้งปักกับผืนป่าอย่างผิดธรรมชาติ ผู้มาเยือนหยุดยืนห่างไม่มากนัก ก่อนลงมือขุดดินโดยรอบท่อนั้นออก

   “ฉึก.. ฉึก.. ฉึก..”

   เสียงขุดแซะดินยังคงดังต่อเนื่อง แม้พื้นที่นี้จะกลายเป็นหลุมลึกมากแล้ว กลิ่นเน่าเหม็นคล้ายซากศพเริ่มส่งกลิ่นโชยทุกครั้งที่หน้าดินถูกขุดออกไป

   “ปึก!”

   เสียงตัวจอบกระทบกับบางอย่าง ผู้ขุดค่อยๆ เกลี่ยดินออกจนพบแผ่นไม้เก่า ต้นตอของท่อPVC ที่โผล่พ้นจากพื้นดิน คนพบเจอโยนจอบขึ้นไปบนปากหลุม ก่อนหยิบค้อนที่เหน็บไว้ด้านหลังงัดตะปูตอกฝาไม้นั้นออก แรงสะเทือนทำให้บางสิ่งในนั้นส่งเสียงร้องอื้ออึงพร้อมแผ่นไม้สั่นไหวอย่างรุนแรง

   ทันทีที่ฝาไม้ถูกเปิด กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพกระจายตัวคละคลุ้งทั่วบริเวณ ด้านในเป็นชายร่างใหญ่ถูกเชือกมัดมือมัดเท้าปิดปากสนิท พยายามร้องและดิ้นหนีกับสิ่งตรงหน้าสุดชีวิต คนโดนมัดถูกจับให้นอนคว่ำหน้านอนทับศพวัยรุ่นเน่าเฟะ มีหนอนขึ้นยั้วเยี้ยชอนไชเต็มทั่วทั้งร่าง บางส่วนขึ้นคลานไต่ตามตัวชายถูกมัด ใบหน้าศพเละแทบจำเค้าโครงไม่ได้ แต่จะไม่มีใครจำได้เลยจริงหรือไม่ คงต้องให้คนที่นอนจ้องหน้าศพทั้งคืนนั้นเป็นผู้เฉลย

   “ประสบการณ์นอนโลงสะเดาะเคราะห์หนึ่งคืนเป็นยังไงบ้างครับ”
   “อื้ออออ!!!! อื้อ!!! อื้อ! อื้อ!!”

   คนโดนมัดถูกลากขึ้นปากหลุมมานั่งพิงต้นไม้ไว้ ใบหน้าคมดุในวันก่อน ตอนนี้เหลือเพียงใบหน้าแสดงความหวาดกลัวสุดขีด ผมตั้งชี้ไม่เป็นทรง ดวงตาแดงก่ำที่เบิกโพลงอยู่แล้วนั่นเบิกกว้างขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเมื่อสบตากับผู้ที่ทำให้ตนพบเจอเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ น้ำตาที่คิดว่าเหือดหายไหลนองหน้า พยายามดันตัวถอยห่างพร้อมส่งเสียงร้องลั่นหวาดกลัว จนคนฟังยอมเมตตาตัดเชือกมัดปากออก

   “อ๊ากกกก!!! อย่า!!!! กลัว!!! กลัวแล้ว!! กลัวแล้ว!!”

   เมื่อได้รับอิสระในการส่งเสียงอีกครั้ง คนเสียสติร้องลั่นก้มหน้าหนีไม่กล้าสบตา พยายามยกมือที่ถูกมัดขึ้นไหว้คนตรงหน้าทั้งที่กลัวตัวสั่นไปทั้งร่าง

   “บอกผม ใครส่งคุณมา”

   คนถูกถามไม่อาจเลี่ยงสายตาคนใจร้ายได้อีกต่อไป เมื่ออีกฝ่ายใช้มีดที่เพิ่งตัดเชือกช้อนคางขึ้น พร้อมกดปลายมีดลงเป็นการขู่ว่าอย่าขยับ

   “กลัว.. กลัวแล้ว ฮึก.. อย่า.. อย่าทำ.. อย่าทำฉันเลย.. กลัวแล้ว...กลัวแล้ว..”

   คนเสียสติเพ้อพูดถ้อยคำเดิมซ้ำๆ ไม่ได้ฟังคำถามแม้แต่น้อย คนรอคำตอบจึงต้องถามใหม่ พร้อมกดคมมีดกรีดลำคอจนเลือดซึมเล็กน้อย

   “ทะ.. ทะ..ท่านนิรัช กลัว.. อย่าทำฉัน.. กลัวแล้ว...”

   คนฟังนั้นรู้จักชื่อนี้ดี นักธุรกิจและนายทุนใหญ่ของประเทศ ประกอบธุรกิจหลากหลายทั้งด้านสว่างและด้านมืด การที่ส่งคนมาตามสืบมีความเป็นไปได้ว่า หนึ่งในธุรกิจมืดคือการค้ามนุษย์ จึงต้องการปิดปากผู้ที่มีส่วนรู้เห็นทั้งหมด เพื่อไม่ให้ปัญหาไปถึงตน
   เป็นความคิดที่รอบคอบ เพราะหากเป็นเขาคงทำเช่นกัน ทุกคนที่สอดรู้ต้องถูกกำจัดทิ้ง แม้อีกฝ่ายจะมีอำนาจบาตรใหญ่ เขาจะแสดงให้เห็นเองว่าของพวกนั้นมันไร้ค่า เมื่อคิดต่อกรกับเขา

   “ดีที่ยอมตอบ นี่คือรางวัล”

   ตัดเชือกที่มัดมือให้หลังเอ่ยจบ คนถูกปลดพันธนาการเหมือนไม่ดีใจเท่าที่ควร มัวแต่เอาแขนกอดเข่าตัวเองตัวสั่น พูดคำวนซ้ำว่า อย่า กลัวแล้ว อยู่แบบนั้น

   “ต่อมาลองสารภาพบาปทุกอย่างที่ทำให้ฟังหน่อย”

   คนไร้สติเหมือนโดนสะกดจิต ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังมองไปที่ไหนสักแห่ง แม้ความจริงกำลังสบตากับคนถามอยู่ เสียงเรียบเอื่อยและคำสารภาพบาปมากมายพรั่งพรูจากปาก ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการขโมยเงิน จนถึงเรื่องใหญ่อย่างการเสพยาและยิงคน
   เหตุผลของคำถามไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่ต้องการเช็กว่าคนนี้เหมาะแก่การเก็บวิญญาณไปฝากปีศาจหรือไม่แค่นั้น

   หลังสิ้นคำสารภาพ คนฟังสวมกอดคนทำผิดราวกับให้กำลังใจ แต่แท้จริงแล้วคือต้องการรัดไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นหนี

   “อ๊ากกก!!! ฮืออ.. อย่า.. ยอมแล้ว.. อย่า...”

   คนถูกกอดร้องผวา เมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งปักลงมากลางหลังของตน พยายามดิ้นร้องผลักออกก็ไม่เป็นผล จนผู้กระทำปล่อยพร้อมลุกขึ้นยืนถอยห่างไปเอง คนโดนทำร้ายจนกลายเป็นคนบ้าเสียสติ รีบก้มหน้ากอดเข่าตัวเองพลางพึมพำถ้อยคำเดิมๆ อยู่คนเดียว

   สักพักร่างของคนตัวสั่นก็ค่อยๆ ไถลลงกับพื้นดินราวกับไร้กระดูก เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง แววตาฉายชัดถึงความตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้

   “ผมรู้ว่าคุณได้ยินเสียงผมอยู่ ยาที่ฉีดให้คุณเป็นยาอัมพาตทำลายระบบประสาทอย่างถาวร ไม่นานคุณจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หัวใจหยุดเต้นและหลับไป”
   “...”
   “ผมจะพาคุณไปนอนดีๆ”

   หลังพูดจบ ฆาตกรก้มจับขาเหยื่อก่อนลากร่างนั้นไปลงหลุมใหญ่ ปล่อยทิ้งให้ร่างไร้แรงไถลตกลงไปนอนเคียงศพวัยรุ่นตามเดิม ต่างตรงที่คราวนี้เงยหน้าขึ้น
   ของเหลวใสจากหลอดแก้วถูกเทราดใส่หน้าคนเป็นอัมพาตเล็กน้อย คนทำเก็บหลอดก่อนหยิบขวดแก้วใบใหญ่บรรจุของเหลวใสคล้ายกันออกมา แล้วเปิดฝาเทราด
   ทันทีที่น้ำจากขวดแก้วสัมผัสผิวเนื้อของผู้เคราะห์ร้าย พลันเกิดปฏิกิริยากัดกร่อนเผาไหม้ใบหน้าและลำคออย่างรุนแรง ควันสีขาวลอยคลุ้งปิดบังแผลฉกรรจ์ที่เละเทะไม่ต่างจากศพใต้ร่าง

   ฆาตกรเลือดเย็นโยนขวดแก้วเปล่าลงไปในโลงเป็นของต่างหน้า ก่อนหยิบค้อนตอกฝาโลงใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้เป็นการปิดอย่างถาวร ท่อPVC สำหรับส่งอากาศให้หายใจไม่จำเป็นอีกต่อไป ถูกจอบฟาดหักกระเด็นล้มกลิ้งบนฝาโลง
   หลังตอกตะปูปิดเรียบร้อย ฆาตกรปีนขึ้นปากหลุม ใช้จอบเกลี่ยกองดินด้านข้างกลบหลุมกว้างฝังอีกหนึ่งความลับให้จมลึกอยู่ใต้ดินชั่วนิรันดร์



   คนบาปตัวสกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินและกลิ่นศพติดตามเสื้อ รีบเดินไปอาบน้ำตรงลำธาร ก่อนขึ้นบ้านทำตัวตามปกติเหมือนไม่ได้ไปฆ่าคนมา ปีศาจรับหลอดแก้วใส่วิญญาณมาจากมนุษย์ช่วงที่เดินสวนกัน คำถามที่สงสัยว่าอีกฝ่ายไปไหนในตอนเช้า บัดนี้ได้รับคำตอบแล้ว


   ช่วงเวลาล่วงเลยจนมืดค่ำ มนุษย์หนึ่งเดียวเสนอไอเดียก่อกองไฟทำมื้ออาหารหน้าบ้าน ปีศาจไม่ขัด เดินไปขนฟืนไม้จากหลังบ้านมาให้ สองชีวิตกินปลาย่างสุกข้างกันหน้ากองไฟ ก่อนแยกไปคนละมุม หนึ่งปีศาจนอนเอามือไพล่ประสานรองศีรษะ เงยหน้ามองดวงดาวบนฟ้าส่องสว่างเต็มท้องนภาแบบที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในเมือง หนึ่งมนุษย์ใช้โน้ตบุ๊กบนตักทำงานหาข้อมูล ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ากลางป่าห่างไกลเช่นนี้จะมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แม้จะอ่อนมากก็ตาม

   “งานหนักหรือไง” ปีศาจพูดขึ้นหลังสังเกตมนุษย์เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างมาตลอดวัน
   “พอสมควร”
   “...”
   “เรื่องที่จะบอกเมื่อวานคือ มีคนสอดรู้พยายามตามสืบเรื่องของผม คนนั้นเป็นนายทุนใหญ่ผู้มีอิทธิพล ผมต้องใช้เวลามากกว่าปกติสักหน่อยในการจัดการ อาจกลับมาหาคุณได้อีกทีวันมะรืนหน้า”
   “อืม... ถ้าไม่ไหว เจ้าก็หนีหัวซุกหัวซุนมาหลบหลังข้าแล้วกัน”

   แม้คำพูดจากปีศาจฟังดูคล้ายถ้อยคำถากถางดูถูกมนุษย์ ว่าคงไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ แต่คนฟังสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงลึกๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง รอยยิ้มมุมปากจึงปรากฏขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นข้างในใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
มนุษย์พับจอโน้ตบุ๊กลงแล้ววางไว้กับพื้น ค่อยๆ เดินมาทิ้งตัวลงนอนข้างร่างยักษ์ของปีศาจ เงยหน้ามองดูดาวบนฟากฟ้าร่วมกัน สายลมอ่อนและเสียงใบไม้พลิ้วไหวบางเบาสร้างบรรยากาศเงียบสงบผ่อนคลาย

   “ผมจะหนีมาหาคุณ”


บท3 สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 4 ซื่อสัตย์]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 01:11:12
   “ผัวะ! พลั่ก!”
   “จะบอกไม่บอก!”
   “แฮ่ก..เฮ่ก..แฮ่ก.. ไม่..”
   “ผัวะ! อั่ก!”

   เสียงการทำร้ายทารุณเพื่อให้อีกฝ่ายยอมคายความลับยังคงดังต่อเนื่อง แม้จะผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถูกจับมัดมือไว้เหนือศีรษะ สภาพตามตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ โดยเฉพาะใบหน้าที่บวมปูดเนื่องจากถูกชกต่อยอย่างหนักตลอดหลายวัน


   ก่อนหน้าจะถูกลักพาตัวมา เขาเป็นเพียงคนธรรมดาอยู่คนเดียวในบ้านหลังเล็กอ้างว้าง ภรรยาของเขาเสียชีวิตในวันให้กำเนิดบุตรสาวคนแรก เขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับเทพธิดาตัวน้อย ผลผลิตจากความรักระหว่างเขากับภรรยา เด็กน้อยได้รับความรักเอาใจใส่มากล้น แม้แต่ปมเรื่องไม่มีแม่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
   สองพ่อลูกใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเป็นสุขจนวันหนึ่งพ่อกลับจากทำงานแล้วพบว่าลูกสาวยังไม่ถึงบ้าน คนเป็นพ่อรอแล้วรอเล่าดวงใจก็ไม่กลับมา พยายามโทรหาทุกคนที่อาจรู้แต่ก็ไร้เงาลูกสาว หัวใจพ่อกระวนกระวายรีบแจ้งความให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ช่วยออกตามหา ลงประกาศหาตัวคนหายทุกช่องทาง ไม่นานเรื่องก็เลือนหายไปจากผู้คน ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อดิ้นรนตามหาอย่างโดดเดี่ยวนานหลายปี

   ในที่สุดก็ได้เบาะแสคนหน้าคล้ายแก้วตาดวงใจอยู่ที่โรงพยาบาล เขาดีใจลางานวันนั้นขับรถตรงไปยังที่หมายทันที พอได้พบลูกรักที่ตามหามานาน หัวใจคนเป็นพ่อพลันสลายเมื่อบุตรสาวกลายเป็นคนวิกลจริต ถามหาสาเหตุจากคุณหมอ ได้ความว่าลูกเขาถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง นอกกจากนี้ยังตรวจพบเชื้อ HIV เป็นการบอกเป็นนัยว่าแก้วตาของเขาโดนทำร้ายอย่างไรบ้าง
   ผู้เป็นพ่อใจสลายพยายามเข้าหาลูกสาวหวังกอดปลอบประโลม กลับยิ่งทำให้ใจคนเป็นพ่อแหลกละเอียด เมื่อเสียงกรีดร้องบาดลึกและแววตาหวาดกลัวพยายามดิ้นหนีผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้ เหตุการณ์นั้นมีสองคนร่ำไห้ คนหนึ่งกรีดร้องทรมานบนเตียง คนหนึ่งเข่าทรุดก้มหน้าปิดตาเงียบงัน แต่ไม่อาจปิดกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลริน

   หลังเลิกงานและวันหยุดผู้เป็นพ่อจะมาเยี่ยมลูกสาวทุกวัน ในช่วงแรกนั้นเข้าใกล้ไม่ได้เลย แต่ยามนี้สามารถนั่งพูดคุยข้างๆ ได้แล้ว คนเป็นพ่อมักจะเล่าเรื่องที่พบเจอและสถานที่ที่ทั้งสองจะไปเที่ยวกันในสักวันที่เธอหายดี แต่ระหว่างนั้นพ่อก็ไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามสืบหาตัวคนร้าย จนรู้ว่าคือคุณหญิงสร้างภาพจอมปลอมเป็นแม่พระ พยายามรวบรวมพยานหลักฐานมากมายเอาผิด แต่มีหรือคนธรรมดาสามัญอย่างเขาจะสู้คนมีอำนาจได้ สุดท้ายเรื่องจึงเงียบหาย ผู้เป็นพ่อจึงเลือกวิธีสุดท้ายในการแก้แค้นให้ลูกสาว การจ้างวานฆาตกรรม

   ข่าวฆาตกรรมสยองพร้อมเปิดโปงความชั่วของผู้ตายในเช้าวันหนึ่ง ทำให้ไฟพยาบาทของชายวัยกลางคนดับลง หลังจากนี้ไปจะเป็นวันที่ดีของเขาและลูก เขาใช้ชีวิตตามปกติ จนวันหนึ่งที่เขาเตรียมตัวออกจากบ้านไปเยี่ยมลูกเหมือนเคย เขาถูกกลุ่มคนทำร้ายถึงในบ้านและลากขึ้นรถตู้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เขาโดนซ้อมอย่างหนักให้ยอมบอกว่าใครมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้อีกบ้าง แต่มีหรือเขาจะยอมบอก กับคนที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยแต่ถูกเขาขอให้ทำเรื่องเหล่านั้นให้ เขาไม่มีวันให้อีกฝ่ายต้องมาเดือดร้อนด้วยกันเด็ดขาด


   “ไม่ยอมบอกอย่างนี้ สงสัยคงต้องไปลองถามลูกสาว”
   “อย่ายุ่งกับลูกกู!! ไอ้พวกชั่ว!!”
   “พูดถึงลูกหน่อยมีแรงขึ้นมาเลยนะไอ้แก่ คงต้องจับลูกมึงมารุมโทรมต่อ-”
   “ไอ้ชั่ว!!! คนอย่างพวกมึงต้องไม่ตายดี! กูขอสาปให้มึงตายอย่างทรมานตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด!!”
   “ปากดีนักนะมึง”
   “ติ้ง!”

   เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ ทำให้คนง้างหมัดกำลังต่อยหน้าสั่งสอนหยุดชะงัก หยิบขึ้นมาพบว่าเป็นข้อความส่งมาจากคนที่ให้ไปลงพื้นที่ตามสืบเพิ่มเติม ได้ความว่าตอนนี้จับตัวคนลงมือได้แล้วอยู่ที่โรงงานเศษเหล็กเก่าห่างตัวเมืองพอสมควร พร้อมส่งโลเคชันมาให้
   รอยยิ้มเย้ยหยันคนปากดีพลันปรากฏขึ้น ก่อนเงยหน้าพูดแดกดันคนหมดประโยชน์

   “ไม่บอกก็เรื่องของมึง ตอนนี้คนของกูจับมันได้แล้ว หึๆ”
   “...ไม่จริง มึงอย่าทำอะไรเขา! เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้! จะทำก็ทำกูคนเดียว!”
   “ได้ งั้นมึงก็ไปรอมันในนรกก่อนแล้วกัน”
   “ปัง!!”

   สิ้นเสียงปืนดังสนั่น ร่างชายวัยกลางคนสิ้นใจยืนห้อยกับเชือกที่รั้งข้อมือไว้ สายตาหลายคู่มองเหตุการณ์ด้วยความชินชาเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครสนใจหรือสงสารเหยื่ออำนาจมืดแม้แต่น้อย คนสังหารเก็บปืนเข้าที่ก่อนโทรหาผู้เป็นนายรายงานความคืบหน้า

   “ตอนนี้จับตัวคนลงมือได้แล้วครับ”
   “อืม จัดการให้เรียบร้อย จะสั่งสอนมันให้จำไปโลกหน้าก่อนตายหน่อยก็ดี”
   “ครับท่าน”

   หลังวางสาย คนโทรรายงานสั่งลูกน้องสองคนให้จัดการกับศพชายกลางคนแล้วกลับไปรอนายที่คฤหาสน์ได้ ส่วนพวกที่เหลือให้ตามตนไปสถานที่จับตัวคนลงมือฆาตกรรม



   รถสีดำจำนวนสองคันเคลื่อนตัวจอดเมื่อถึงจุดหมาย คนเจ็ดคนลงจากรถกวาดสายตาดูสถานที่โดยรอบ โรงงานเศษเหล็กเก่าหรือจะเรียกว่าร้างก็คงไม่ผิดนัก ทำเลที่ตั้งห่างไกลผู้คนเหมาะแก่การจับใครสักคนมาขังไว้ กลุ่มคนประสงค์ร้ายเดินมุ่งตรงไปยังโกดังเก่าซึ่งเป็นจุดนัดพบ ระหว่างทางผ่านกองเศษซากรถยนต์อัดก้อน และภูเขาเศษเหล็กหลายกอง มีเศษชิ้นส่วนโลหะขึ้นสนิมตกกระจายตามพื้น หากเดินเท้าเปล่าบริเวณนี้ไม่แปลกเลยหากจะถูกบาดและนำส่งโรงพยาบาลเพื่อฉีดยากันบาดทะยัก

   เมื่อก้าวเข้ามา พบว่าโกดังเก่าแห่งนี้เป็นโกดังเก็บเครื่องจักรที่ใช้สำหรับบดอัดเหล็กให้กลายเป็นเศษผงชิ้นเล็ก หลายเครื่องเก่าสกปรกฝุ่นจับเต็มเหมือนไม่เคยถูกเปิดใช้งานมานานแล้ว หลังคาเก่าบางส่วนทะลุเป็นช่องให้แสงส่องได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟให้ความสว่าง แต่สิ่งเรียกความสนใจจากทั้งเจ็ดคนคือร่างถูกมัดกับเก้าอี้กลางโกดัง สภาพสะบักสะบอมมีถุงครอบปิดบังใบหน้าไว้ ร่างนั้นนิ่งงันไม่ไหวติง แม้ตอนนี้จะถูกกลุ่มคนยืนรายล้อม

   “แล้วไอ้ครามมันไปไหนวะ” คนหนึ่งถามหลังไม่เห็นตัวคนจับ
   “มันคงไปเยี่ยวแถวนี้ เดี๋ยวก็มา” ผู้เป็นหัวหน้าพูด ก่อนใช้มือดึงถุงคลุมหน้าออกเพื่อจะได้มองได้ชัดๆ

   “บึ้ม!!!”
   “อ๊ากก!! โอ๊ย!!”
   “ปึง!!!”

   ทันทีที่ถุงถูกดึงออกเกิดเสียงสามเสียงไล่เลี่ยกัน หนึ่งเสียงระเบิดของกับดักที่ทำงานเมื่อถูกกระตุ้น แรงจากระเบิดขนาดเล็กที่ติดตั้งไว้บนหัวหุ่น ดีดตะปูเก่าสนิมเขรอะกระจายสร้างความเสียหายรอบทิศทาง เจ็ดคนล้วนโดนพิษจากระเบิดตะปูทิ่มและบาดกันถ้วนหน้า หนักสุดคือตัวหัวหน้าเพราะอยู่ใกล้มากกว่าใคร ถูกตะปูขึ้นสนิมทิ่มปักตามแขนที่ยกกันใบหน้าและลำตัว เกิดเสียงร้องโอดโอยเป็นเสียงที่สอง
   เสียงสุดท้ายคือเสียงเลื่อนปิดประตูโกดังเก่าโดยฝีมือชายคนหนึ่ง เรียกสายตาให้ทั้งเจ็ดคนหันมอง หลายคนที่โดนเพียงสะเก็ดรีบหยิบปืนขึ้นเล็งไปยังชายแปลกหน้าที่มาใหม่

   “ผู้ตามอยู่ได้ตราบเท่าที่ผู้นำอยู่ ใครเป็นหัวหน้า”

   เสียงเรียบเรื่อยพร้อมเสียงก้าวเท้าใกล้เข้ามาไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อปืนหลายกระบอกที่จ่อยิงตน แววตาเหมือนกำลังสนุกของผู้มาใหม่จับจ้องทุกอากัปกิริยาของทั้งเจ็ดคน ปฎิกริยาเพียงเล็กน้อยของบางคนที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวบังชายคนหนึ่งซึ่งถูกระเบิดต้อนรับเจ็บกว่าใครไม่อาจหลุดรอดสายตา ส่งผลให้เท้าของผู้มาใหม่หยุดลง รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้น ก่อนเอ่ยประโยคเปิดงานเทศกาลลงทัณฑ์คนสอดรู้

   “ระวังข้างบน”

   สิ้นคำพลันเกิดเสียงเครื่องจักรมากมายเริ่มทำงานเองโดยไม่มีใครเปิด พร้อมมัดเหล็กเส้นก่อสร้างที่ถูกจานแม่เหล็กยกของปล่อยร่วงจากด้านบนใส่กลุ่มคนทั้งเจ็ดเบื้องล่าง คนถือปืนมัวแต่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทันได้ยิงผู้สร้างกับดัก รีบพุ่งตัวหลบเหล็กเส้นที่ตกลงมาไม่ต่างจากห่าฝน

   “อ๊ากกก!!!!”

   คำเตือนกระชั้นชิดและเสียงเครื่องจักรรอบด้านเรียกความสนใจ มีหรือที่ทั้งเจ็ดคนจะหลบทันทั้งหมด มีสองคนโชคร้าย คนหนึ่งกระโดดหลบไม่พ้น ถูกเหล็กหลายเส้นแทงทะลุแขน หัวไหล่ และท้อง ทรุดนอนกับพื้นส่งเสียงร้องทรมาน เลือดไหลกระจายจากปากแผลเปลี่ยนพื้นสกปรกทั่วบริเวณเป็นสีแดงสดรองร่างถูกเสียบ
   อีกคนไม่ได้ส่งเสียงร้อง เพราะถูกมัดเหล็กใหญ่หล่นทับร่างทั้งตัว เหลือเพียงส่วนเท้ากับเลือดที่ซึมออกมาเท่านั้นเป็นเครื่องบ่งบอกว่าใต้กองเหล็กเส้นมีคนอยู่

   หลังความโกลาหล คนที่เหลืออยู่รวมถึงหัวหน้าผู้รอดจากการถูกเสียบหวุดหวิดรีบกวาดตามองหาเจ้าของคำเตือนเมื่อครู่ ก่อนเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งยองเทน้ำเปล่าจากหลอดทดลองใส่หนึ่งในลูกน้องที่ถูกเหล็กเสียบ

   “ยิงสิ”

   คนถูกปืนเล็งรอบทิศกล่าวท้าทาย แต่ดูเหมือนคำเชื้อเชิญของเขาจะทำให้พวกที่เหลืออยู่หวาดระแวงว่าจะเป็นอีกหนึ่งกับดัก จวบจนเขาหยิบมีดข้างเอวขึ้นมาก็ยังไม่ยอมยิง รอยยิ้มมุมปากสมเพชคนขลาดกลัวจึงปรากฏขึ้น ก่อนกระชากผมคนถูกเสียบให้เงยหน้า เอามีดปาดคอต่อหน้าต่อตาเพื่อนฝูงที่ยืนมองเป็นขวัญตา ของเหลวสีแดงเข้มสาดพุ่งไปด้านหน้าไม่ต่างกับสายยางรั่ว

   “มึง! ปัง!”
   “ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”

   เพื่อนร่วมงานถูกฆ่าต่อหน้าเหมือนเป็นตัวจุดชนวนให้หนึ่งในลูกน้องสติหลุดลั่นไกยิงคนลงมือ ก่อนตามด้วยเสียงปืนอีกหลายกระบอกร่วมยิงด้วย กระสุนมากมายล้วนพลาดเป้า เมื่อคนถูกเล็งไม่ได้วิ่งหนี แต่กลับวิ่งตรงมายังกลุ่มคนยิงด้านหนึ่งพลางหลบกระสุนไปด้วย ยิ่งคนถือมีดเข้าใกล้แทนที่จะยิงง่ายกลับยิงลำบากขึ้น เพราะต้องระวังว่ามีดในมือนั้นจะตวัดใส่ตอนไหน ส่วนกลุ่มคนเล็งที่คนวิ่งหันหลังให้ก็ไม่กล้ายิงสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะอาจพลาดโดนพวกเดียวกันเอง

   จนถึงระยะประชิดหลายคนตั้งการ์ดพร้อมรับการจู่โจม แต่มือมีดกลับพุ่งผ่านเลยดุจคนพวกนั้นเป็นอากาศธาตุ เนื่องจากเป้าหมายที่แท้จริงคือตัวหัวหน้าที่ยืนอยู่ด้านหลัง คมมีดตวัดเฉียงขึ้นกวาดยาวตั้งแต่ช่วงเอวจนถึงหัวไหล่ โชคดีที่หัวหน้าหลบการโจมตีนี้ทัน แต่ก็แลกกับความเจ็บปวด เพราะตะปูสนิมที่ยังไม่ถูกถอนออกค่อยๆ ฉีกปากแผลให้กว้างขึ้นทุกครั้งที่เคลื่อนไหว คนพลาดเป้าเมื่อครู่ไม่เสียจังหวะ ใช้มืออีกข้างที่ว่างคว้าดิ้วเหล็กข้างเอวฟาดใส่ต่อทันที แรงเหวี่ยงทำให้ท่อนดิ้วเหล็กแท่งสั้นๆ ยืดยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว หัวหน้าผู้รองรับการโจมตีไม่อาจหลบได้ทัน เพราะไม่สามารถคำนวณระยะห่างในการเอี่ยวตัวหลบได้ จำต้องยกแขนขึ้นป้องกัน

   “อ๊ากก!!!”

   ดิ้วเหล็กฟาดโดนตะปูที่แขนเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ตัวตะปูทิ่มลึกลงไปถึงเนื้อกระดูกบวกกับแรงฟาดสุดกำลัง ไม่แปลกที่แขนใช้ป้องกันจะหักในทันที คนแขนหักถอยหลังไปหลายก้าว คนถือมีดและดิ้วเหล็กอย่างละข้างจ้องมองด้วยนัยน์ตาวาววับสนุกสนาน

   “ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”

   เมื่อเห็นศัตรูกับหัวหน้าแยกออกจากกัน เหล่าลูกน้องรีบยิงสกัดจัดการ แต่มันก็ไร้ผลเมื่ออีกฝ่ายไม่เกรงกลัวลูกกระสุนเช่นเคย วิ่งหนีกระสุนพร้อมพุ่งตัวเข้าใส่หัวหน้าอย่างรวดเร็ว คนเป็นหัวหน้ายกเท้าถีบคนใกล้เข้ามา แต่กลับถีบได้เพียงอากาศว่างเปล่า เมื่ออีกฝ่ายเอี่ยวตัวหลบพร้อมหมุนตัวไปด้านหลังหัวหน้าฉับพลัน ส่งผลให้ร่างของหัวหน้ากลายเป็นโล่บังกระสุนโดยปริยาย

   “อั่ก! อั่ก!”
   “พี่ใหญ่!”

   กระสุนสองนัดจากพวกเดียวกันยิงฝังบริเวณช่องท้องและใต้ซี่โครงของผู้เป็นหัวหน้า แรงกระสุนทำลายอวัยวะภายในจนสำลักเลือดออกมาทางปาก พร้อมกับร่างที่ค่อยๆ ทรุดลง

   “ฉึก!”
   “อั่ก!! อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!”

   ขณะที่เหล่าลูกน้องกำลังตะลึงที่ตนยิงพลาดถูกหัวหน้า คนแอบซ่อนอยู่ด้านหลังอาศัยจังหวะที่ร่างกำบังกำลังล้ม เปิดหลอดแก้วเทน้ำใสอาบใบมีด ก่อนใช้แทงปักกลางหลังเหยื่อจนมิดด้าม เสริมแรงด้วยมือข้างที่ถือดิ้วเหล็กช่วยลากคมมีดฉีกกระชากไล่ไปตามแนวกระดูกสันหลังเป็นทางยาว คนถูกชำแหละแอ่นหลังหนีพร้อมเสียงกรีดร้องทรมาน ก่อนล้มนอนคว่ำหน้า เผยให้เห็นแผลฉกรรจ์ตั้งแต่กลางหลังจนถึงขอบกางเกงที่มีมีดปักอยู่ เลือดมากมายทะลักจากแผ่นหลังไหลลงพื้นค่อยๆ แผ่กระจายเป็นวงกว้าง
   คนทำยืนยิ้มเหยียด มีเลือดสกปรกเปรอะเปื้อนใบหน้าและตามตัว โดยเฉพาะสองมือราวกับกำลังสวมถุงมือเลือดอยู่ มือข้างที่เคยจับมีดบัดนี้กำลังถือปืนเล็งไปยังกลุ่มคนที่มัวแต่ตะลึงกับผลงานเขา

   “ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
   “โอ๊ยย!!”
   “อ๊ากก!!!”
   “ปัง! ปัง! ปัง!”

   สงครามสาดกระสุนเริ่มขึ้นทันทีที่คนใส่ถุงมือเลือด เลือกยิงมือซึ่งกำลังถือปืนของหนึ่งในลูกน้องขาดกระจุย เหตุที่มือโดนแรงกระสุนฉีกขาดขนาดนั้น เป็นเพราะกระสุนที่เขาใช้ไม่ใช่กระสุนธรรมดาอย่างที่พวกนั้นใช้กัน จึงไม่แปลกที่พลังทำลายจะต่างกันราวฟ้ากับเหว
   แม้จะเหมือนสามคนรุมยิงหนึ่งคน แต่ความจริงคือหนึ่งคนไล่ยิงคนสามคน เพราะคนที่ถูกรุมนั้นโดนกระสุนเพียงถากๆ พอเรียกเลือดให้ไหลซึมเล็กน้อย แต่อีกสามคนสภาพยับเยิน เพราะทุกครั้งกระสุนถูกส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ส่วนนั้นจะบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะขยับเคลื่อนไหวได้อีก

   ด้วยความต่างของประสบการณ์และอาวุธ ไม่นานการดวลปืนจึงสิ้นสุด ผู้ที่พ่ายแพ้ย่อมเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่า คนชนะแม้ตอนนี้บริเวณไหล่จะมีเลือดชุ่ม แต่ดูเหมือนประสาทรับรู้ความเจ็บปวดจะไม่มีในตัวของเขา เพราะบนใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสื่อถึงความสนุกตื่นเต้นต่อเหตุการณ์เมื่อครู่ ซึ่งต่างจากแววตาของผู้แพ้ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดหวั่น
   คนเหนือกว่าเดินอาดๆ เข้ามาหาสามคนที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะหมดสภาพ มือที่ใช้ถือปืนและอีกข้างที่ว่างอยู่ล้วนแหว่งเละจนไม่สามารถหยิบจับสิ่งใดได้อีก ทั้งสามร้องโอดโอยจากพิษบาดแผล แต่เมื่อเห็นผู้กระทำใกล้เข้ามาก็พยายามเก็บเสียงร้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งว่าตนนั้นหาได้เกรงกลัวอีกฝ่าย

   “มึงต้องการอะไร”
   “หึ”
   “กูถามมึงวะ-”

   ผู้ถูกถามหมุนตัวหันหลังกลับฉับพลัน พร้อมกระสุนที่พุ่งออกจากรังเพลิง

   “ปัง!!”

   ลูกกระสุนชนิดพิเศษระเบิดศีรษะของคนแรกที่ถูกยิงเปิดสงครามรัวกระสุนให้แหลกกระจาย ปืนในมืออีกข้างที่ไม่บาดเจ็บซึ่งกำลังเล็งยิงเขาหล่นลงพื้น ก่อนเขาจะหันกลับยิ้มเหยียดมองหน้าผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสามคน
   ต่อหน้าผู้ที่เฝ้ามองทุกปฏิกิริยาของเหล่าของเล่น มีหรือจะไม่เห็นสายตาที่พยายามแอบเหลือบมองไปด้านหลังเขา ผสมกับคำพูดเรียกความสนใจก็พอคาดการณ์ได้แล้วว่าพวกนี้คิดจะทำอะไรบางอย่าง

   “มีอะไรจะเล่นอีกไหม” ถามพลางกวาดสายตามองสามคนที่นั่งกองอยู่ตรงหน้า
   “มะ.. มึงต้องการอะไร” คนเดิมพยายามทำใจสู้ถามซ้ำ แม้ร่างตอนนี้จะเริ่มสั่นหน่อยๆ แล้ว
   “แบบเดียวกับที่พวกคุณต้องการทำกับผม”

   คำตอบทำให้ใบหน้าของทั้งสามเริ่มซีดเผือด ก่อนจะเริ่มซีดหนักกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายเดินหายไปทางมุมหนึ่งของโกดัง และกลับมาพร้อมตะขอเหล็กเกี่ยวเนื้อเก่าสกปรกที่มักเห็นในโรงฆ่าสัตว์ ตรงต้นตะขอมีโซ่ยาวเชื่อมติดอยู่ คนถือของอันตรายก้าวตรงมาหาคนกล้าต่อปากต่อคำเมื่อครู่

   “มึงจะทำอะไร.. มึงจะทำอะไร! ออกไปห่างๆ กูไอ้เหี้ย!!”

   คนถูกจ้องเล่นงานเหมือนจะรู้ตัวรีบกระเถิบถอยหนี ยกขาขึ้นถีบไล่ไม่ให้มาใกล้ และเหมือนการกระทำดังกล่าวจะเข้าทางคนวางแผน

   “อ๊ากกก!!!!!”

   เท้ายกขึ้นถีบโดนคว้าจับไว้แน่น ก่อนใช้ตะขอเกี่ยวแทงเข้าไปที่หน้าขา คนทำปล่อยขานั้นหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง สะเทือนบาดแผลจนต้องร้องดิ้นด้วยความเจ็บปวด สองคนที่เห็นเหตุการณ์ด้านข้างได้แต่ถอยหนีไม่อาจช่วยได้ เพราะมือทั้งสองข้างถูกพิษกระสุนเล่นงานจนไม่สามารถช่วยดึงตะขอออก และแน่นอนคนโดนตะขอเกี่ยว มือก็ไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงร้องดิ้นทุรนทุราย

   สัมผัสถึงน้ำที่ถูกสาดใส่บริเวณลำตัว เรียกให้คนกำลังทรมานมองตามอีกฝ่ายที่หันหลังเดินห่างออกไป ก่อนหยุดตรงปลายโซ่หน้าเครื่องจักรขนาดใหญ่ซึ่งทำงานอยู่นานแล้วตั้งแต่เริ่มการปะทะ พลันสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น เมื่อเห็นเจ้าของนัยน์ตาสนุกสนานก้มหยิบปลายโซ่ก่อนหันมายิ้มมุมปากให้ตน
   หัวใจคนถูกมองกระตุกวูบ เมื่อปลายโซ่ถูกโยนส่งขึ้นไปส่วนบนของเครื่องจักร ครั้งปลายโซ่สัมผัสกับแกนบดเหล็กขนาดยักษ์ด้านบน เกิดแรงดึงโซ่ลากขาเหยื่อให้เข้าหาเครื่องบดเหล็กมรณะทันที

   “อ๊ากกกกกก!!!!!”
   “ไอ้เหี้ย!!! ปล่อยกู!! มึงจะฆ่ากูก็ยิงกูเซ่!!! อ๊ากก!!! กุ..กูไม่อยากตายแบบนี้!! ปล่อยกู!!”

   คนถูกลากร้องดิ้นตะโกนเรียกให้คนที่ยืนมองอยู่หาวิธีอื่นจัดการแทน แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงรอยยิ้มมุมปากและแววตาตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิด ผู้ตะเกียกตะกายหนีใช้เท้าอีกข้างพยายามยั้งกับพื้นเพื่อไม่ให้ถูกดึงตัวไป ซึ่งเป็นการกระทำที่สิ้นคิด เพราะมีแต่จะทำให้แผลจากตะขอเกี่ยวฉีกขาดสร้างความเจ็บปวดทรมานหนักกว่าเก่า

   “อ๊ากกก!!!!”
   “กูขอร้องมึงยิงกูเลย!! มึงฆ่ากูเดี๋ยวนี้!!! อ๊ากกก!!!!”

   เมื่อคนถูกลากผ่านหน้าคนทำก่อนถูกโซ่ดึงขึ้นไปด้านบน ผู้กลัวตายอย่างทรมานใช้เท้ารั้งกับฐานเครื่องจักรไว้อีกครั้ง เพื่อยืดเวลาต่อรองให้อีกฝ่ายดับชีวิตตนก่อนจะถูกบดละเอียด แม้จะต้องแลกกับความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับโดนกระชากขาออกจากร่างก็ตาม
   คนใจบาปเหมือนจะฟังคำขอคนใกล้ถึงฆาต หยิบปืนขึ้นมาเล็งไปยังอีกฝ่าย และกดลั่นไก

   “ปัง!”
   “อ๊ากกก!!!”

   เป้ากระสุนไม่ใช่ศีรษะหรือหัวใจเพื่อดับชีวิต แต่เป็นขาอีกข้างที่พยายามรั้งฐานตัวเครื่องจักรไว้ เสียงร้องเจ็บปวดพร้อมกับร่างที่ถูกเกี่ยวลากไปด้านบน ก่อนจะตามด้วยเสียงทรมานดังลั่นครั้งสุดท้าย แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงคล้ายกำลังกระอักเลือด และเงียบหายไปเหลือแต่เพียงเสียงเครื่องจักรบดเหล็ก
 
   เมื่อจัดการเสร็จแล้วคนหนึ่ง จึงหันมองอีกสองคนที่เหลือ พบว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดิมแล้ว หนีไปอยู่บริเวณหน้าประตูโกดัง คนหนึ่งใช้แขนยืนเกร็งดันประตูนิ่งไม่เคลื่อนไหว ส่วนอีกคนล้มนั่งมองคนที่พยายามดันประตูอยู่


   “ไฟฟ้ามันดีแบบนี้แหละ ฆ่าคนได้แบบไร้เสียงร้อง ตรึงร่างกายให้นิ่งไม่เคลื่อนไหว ปล่อยให้เหยื่อถูกดูดตายช้าๆ โดยไม่มีใครรู้” เจ้าของกับดักยืนพูดพลางมองผลงานอยู่ข้างหลังคนที่กำลังตกใจทำอะไรไม่ถูก

   ตนเองกับเพื่อนที่เหลือรอดคิดหนีตายออกจากที่นี่ จึงพยายามลุกขึ้นค่อยๆ เดินไปที่ทางออก เพื่อนอาสาเลื่อนประตูเปิดให้ระหว่างที่ฆาตกรกำลังง่วนอยู่กับการสังหารอีกคน แต่ทันทีที่แขนเพื่อนสัมผัสที่จับประตูร่างกายกลับนิ่งแข็งไม่ขยับ คนรอจึงเอ่ยเรียกและใช้แขนแตะดู พลันรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าวิ่งกระจายไปทั่วร่าง จึงเด้งตัวกลับล้มนั่งอยู่กับพื้น พยายามคิดหาวิธีช่วยอีกคน แต่ยังไม่ทันนึกออกเสียงมัจจุราชก็ดังอยู่ทางด้านหลังเสียแล้ว

   “เหลือคนเดียวแล้ว อยากตายแบบไหน ลองเสนอมา”
   “ยะ.. ยะ.. ยิงหัว”
   “ได้”
   “แกร๊ก!”
   “เหมือนกระสุนจะหมดแล้ว ไม่เป็นไร มีวิธีทำลายส่วนหัวก่อนเหมือนกัน”
   “ยะ.. ยัง..ยังไง”

   ฆาตกรไม่ตอบแต่เดินหายไปที่มุมหนึ่งของโกดัง ก่อนกลับมาพร้อมตะขอเหล็กห้อยโซ่ในมือ

   “มะ.. ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้นะ อย่า.. อย่า!! ไม่เอา!!!”
   “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!”

(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 4 ซื่อสัตย์]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 01:17:25
(ต่อ)

   ช่วงเวลาใกล้ห้าทุ่ม รถของเจ้าของธุรกิจเคลื่อนตัวเข้ามาในคฤหาสน์หรู ขับวนลานน้ำพุก่อนหยุดจอดหน้าประตูใหญ่ เพื่อส่งผู้เป็นนายที่นั่งอยู่เบาะหลังและลูกน้องคนสนิทซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับเดินเข้าคฤหาสน์ แล้วจึงขับรถวนไปเก็บในโรงจอดรถ
   แม้ไฟคฤหาสน์จะเปิดสว่างปกติเหมือนอย่างทุกวัน แต่ที่ต่างไปคือ เหล่าแม่บ้านคนรับใช้ที่ต้องออกมาต้อนรับเจ้านายทุกครั้งกลับหายไป รวมถึงลูกน้องชุดหนึ่งที่คอยดูแลความเรียบร้อยระหว่างที่เขาไปทำงานก็ไม่เห็นตัวเช่นกัน ดังนั้นภายในห้องรับแขกกว้างขวางจึงมีเพียงเจ้าของคฤหาสน์กับลูกน้องคนสนิทที่เดินตามหลังแค่สองคน

   “คนหายไปไหนกันหมด อยากโดนไล่ออกหรือไง” เจ้านายเริ่มบ่นอย่างหัวเสียพลางมองไปรอบตัวคฤหาสน์
   “ให้ผมตามให้ไหมครับ”
   “ไม่ต้องๆ ฉันจะขึ้นห้อง ส่วนนายก็ไปพักได้แล้ว”
   “ครับท่า-”
   “ปัง! ปัง! ปัง!”

   เสียงปืนปริศนาดังขึ้นจากมุมหนึ่งของคฤหาสน์ ลูกน้องคนสนิทหลบกระสุนนัดแรกได้อย่างเฉียดฉิว รีบพุ่งตัวเข้าไปอารักขาเจ้านายพร้อมหาที่กำบัง แต่ที่ผิดคาดคือเป้าหมายจริงของกระสุนหาใช่นายใหญ่ หากเป็นลูกน้องคนสนิท

   “อั่ก!! ปึง!”

   คนคอยอารักขามัวแต่ระวังผู้เป็นนายถูกกระสุนสองนัดยิงเข้าที่แขนและหน้าท้อง แรงกระสุนทำให้เซถอยหลังชนผนังอย่างแรง ก่อนล้มไถลนั่งอยู่ตรงพื้นโดยมีรอยเลือดจากกำแพงลากยาวเป็นทาง
   ผู้กระทำเดินออกมาจากมุมหนึ่งของคฤหาสน์พร้อมปืนในมือเล็งไปที่เจ้านายเป็นการเตือน มืออีกข้างถือถุงบางอย่างสีดำ บริเวณหัวไหล่ข้างหนึ่งเริ่มมีเลือดซึมออกมาจากเสื้อ บ่งบอกได้ว่าผู้กระทำนั้นบาดเจ็บและแผลกำลังเปิดจากการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป แต่เหมือนคนบาดเจ็บจะไม่ยี่หระกับเรื่องนี้ เพราะบนใบหน้ากลับเรียบนิ่งไม่แสดงถึงความเจ็บปวด และประกายตาวาววามที่ไม่ได้เกิดจากความแค้นเกลียดชังแต่เป็น... ความสนุก

   “แกเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
   “ระบบป้องกันสามชั้น นอกจากต้องเป็นรถของคฤหาสน์แล้ว ยังต้องสแกนบัตรกับใบหน้า ประตูรั้วคฤหาสน์ถึงจะเปิดให้เข้ามา บริเวณรั้วรอบด้านติดอุปกรณ์ป้องกันการบุกรุกอย่างดี เหมือนจะแน่นหนาปลอดภัย แต่ถ้ามีใบเบิกทางครบสามอย่าง ใครก็เข้ามาได้”
   “ตุ้บ!”
   “เฮ้ย!!”

   พูดจบผู้บุกรุกโยนถุงสีดำในมือไปหน้าเจ้าของคฤหาสน์ วัตถุทรงกลมบางอย่างกลิ้งออกมาหยุดตรงปลายเท้าคือ ศีรษะของชายคนหนึ่ง สภาพใบหน้าซีดเผือดจากเลือดที่ไหลออกทางรอยตัดขาดวิ่นตรงลำคอ ดวงตาไร้แววเบิกโพลงแสดงถึงความทุกข์ทรมานก่อนสิ้นใจ ส่งผลให้ผู้เป็นนายตกใจสะดุ้งกระเด้งหนีสุดตัว
   หัวนั้นเป็นของลูกน้องที่รับคำสั่งให้จัดการปิดปากคนลงมือฆ่าคุณหญิง เมื่อตอนกลางวันยังโทรรายงานเขาเรื่องจับตัวคนทำได้แล้ว แต่ตอนนี้เหลือเพียงส่วนศีรษะ บอกเป็นนัยว่าผู้บุกรุกนี้คือใคร

   เจ้าของคฤหาสน์เริ่มหันซ้ายหันขวาหาคนช่วย แต่ลูกน้องและคนรับใช้ที่เคยเดินทั่วเรียกใช้ได้สะดวก กลับหายไปปล่อยให้คฤหาสน์หลังใหญ่เงียบเชียบ แม้แต่คนขับรถที่นำรถไปจอดเมื่อครู่ก็ยังไม่กลับมา
   ปฏิกิริยาคล้ายกับหาทางหนีอยู่ในสายตาเขา กระทั้งลูกน้องซึ่งถูกยิงล้มกองกับพื้นก่อนหน้ากำลังแอบเล่นตุกติกก็พ้นสายตาเพชฌฆาตเช่นกัน

   “ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
   “อ๊ากกก!!!!! อั่ก!!”

   กระสุนสี่นัดพุ่งทำลายขาและมือทุกข้างเพื่อไม่ให้สามารถใช้การได้อีก นัดสุดท้ายยิงใส่มือถือที่กำลังถูกกดโทรขอความช่วยเหลือแหลกกระจาย คนโดนยิงเผลอร้องแสดงความเจ็บปวดออกมา ก่อนพยายามกลั้นเสียงร้องไว้เพื่อไม่ให้คนทำได้ใจ

   “...นพ” นายใหญ่เพ้อเรียกชื่อพลางหันมองลูกน้องด้านข้าง
   “สงสัยใช่ไหมว่าคนอื่นหายไปไหนหมด”
   “...”
   “คุณพอเดาได้อยู่แล้ว ฉะนั้นผมจะบอกวิธีการแทน”
   “ลูกน้องที่คุณให้เดินสำรวจดูแลความเรียบร้อยทั้งในและนอกคฤหาสน์ ทำหน้าที่ได้ดี แต่ถ้าแยกกันเดินคนละทาง ก็ไม่แปลกที่จะโดนเก็บได้ง่ายๆ”
   “เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลาย มักล้อมวงกินข้าวร่วมกัน แค่วางยาเล็กน้อยลงในส่วนผสมและน้ำดื่ม แล้วรอให้พวกนั้นเอาไปทำกิน ก็จัดการคนหมู่มากได้ในคราวเดียว”
   “ส่วนคนขับรถเมื่อครู่ ผมรีบมาหาคุณ จึงแค่จับหักคอเฉยๆ”

   คำอธิบายถึงวิธีมากมายออกมาจากปากผู้กระทำผ่านน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ ทั้งที่หัวข้อคือ การฆ่าคนทั้งคฤหาสน์ เป็นการตอบคำถามแรกของนายใหญ่ที่เข้ามาแล้วไม่พบใคร

   “ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีก เรื่องในวันนี้จะช่วยปิดเป็นความลับให้ กลับไปซะ” คนใช้อำนาจจนเคยตัวเอ่ยสั่ง
   “คนสอดรู้ต้องถูกกำจัดทิ้ง ว่าไหม?”
   “นั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”

   เมื่อสิ้นเสียง นักธุรกิจใหญ่รีบก้มหยิบปืนที่เหน็บอยู่ด้านหลังของลูกน้อง ก่อนลั่นไกใส่คนที่บังอาจเข้ามาหยามเขาถึงถิ่นทันที

   “ปัง!”
   “ปัง!”
   “อ๊ากกก!!!!”

   กระสุนสองนัดพุ่งสวนกัน นัดหนึ่งถากแขนผู้บุกรุกเลือดไหล อีกนัดเข้าทำลายมือที่จับปืนของคนกล้าลองดีขาดรุ่งริ่ง ปืนหล่นกระเด็นไปหน้าประตูคฤหาสน์ ส่วนคนถือใช้มืออีกข้างกุมข้อมือข้างที่เกิดแผลเหวอะหวะ ล้มตัวนั่งอยู่ข้างลูกน้องคนสนิท

   “ท่านนิรัช!!” ลูกน้องเรียกคนเจ็บข้างตัวด้วยความตื่นตระหนก
   “ทาสผู้ซื่อสัตย์จะยอมสละแม้ชีวิต หากคุณอยากรอด”
   “เคร้ง!” มีดปลายแหลมถูกโยนมาข้างตัวเจ้าของคฤหาสน์
   “ใช้เลือดลูกน้องคุณเขียนคำบนพื้นตามที่ผมบอก”

   ดวงตาสองคู่ของผู้รับฟังเบิกกว้างเมื่อได้ยินข้อตกลง ลูกน้องหันหน้ามองเจ้านายว่าจะทำอย่างไร ถึงเขาจะเป็นลูกน้องคนสนิทผู้ซื่อสัตย์จริงตามคำของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ถึงขนาดสามารถยอมแลกชีวิตได้ เพราะตัวเขานั้นยังมีภรรยาที่รออยู่ที่บ้านและลูกน้อยๆ ที่กำลังลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือน
   ส่วนผู้เป็นนายทำได้เพียงมองนิ่งสลับระหว่างมีดข้างตัวกับลูกน้องคนสนิทที่ร่วมทำงานกับเขามาตั้งแต่ช่วงแรกๆ อย่างไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรกับเรื่องนี้ดี

   “แก.. แกมันบ้าไปแล้ว” เจ้าของคฤหาสน์ต่อว่าคนต้นคิด แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มมุมปาก
   “เลือกเอาระหว่างข้ารับใช้ กับข่าวธุรกิจดำมืดที่จะมีแต่คนสาปส่งตลอดกาล แม้คุณจะตายไปแล้ว”
   
   ตัวเลือกล่อหลอกให้การตัดสินใจของคนฟังไขว่เขว ผู้ที่โลภกระหายอำนาจและรักหน้าตาทางสังคมยิ่งกว่าอะไร ถูกยื่นข้อเสนอแบบนี้ก็เท่ากับการเสียเบี้ยเพียงตัวเดียว แต่รักษาตัวขุนไว้ได้ ความคิดเห็นแก่ตัวเริ่มครอบงำจนหลงลืมบางสิ่งที่สำคัญ หลงลืมไปว่าเบี้ยที่กำลังถูกสังเวยนี้เคยซื่อสัตย์และคอยช่วยเหลือตนมากมายเพียงใด
   
   “ท่านครับ อย่าฟังคำยั่วยุพวกนั้นครับ มันกำลังหลอกใช้ท่านเป็นเครื่องมือ”
   
   ลูกน้องรีบเอ่ยเตือนสติ เมื่อเห็นเจ้านายหยิบมีดขึ้นมา ใบหน้านิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์กำลังก้มมองมีด กับนัยน์ตาลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดาความคิด เริ่มทำให้อวัยวะภายในอกลูกน้องเต้นกระหน่ำด้วยความกลัวใจนายใหญ่

   “ท่านครั-”
   “อยากให้เขียนว่าอะไร?”
   “ท่านครับ!! อย่าเชื่อมัน! มันหลอกให้ท่านฆ่าผม หลังจากนั้นมันไม่ปล่อยท่านหรอกครับ!”
   “หุบปาก!!”
   “ท่าน... ท่านนิรัช”

   ในใจของลูกน้องพลันเย็นเชียบเหมือนน้ำแข็งเข้าเกาะกุม ทุกครั้งนายใหญ่ผู้นี้จะฟังคำเตือนของเขาเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ แต่คราวนี้กลับไม่ฟังคำเขา ปล่อยให้อีกฝ่ายชักจูงเดินตามแผน ไม่สนใจแม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตทาสผู้ซื่อสัตย์อย่างเขา แววตาน้อยเนื้อต่ำใจจึงฉายชัดสะท้อนความเสียใจจากการถูกเจ้านายหักหลัง

   ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผู้สร้างเกมทดสอบจิตใจ แววตาสิ้นหวังของลูกน้อง กับนัยน์ตาดำมืดแสดงความเห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุดของผู้เป็นนาย ทำให้คนเฝ้ามองรู้สึกสงสัยว่าทำไมตัวลูกน้องที่กำลังจะตายด้วยน้ำมือนายตัวเอง เหตุใดจึงเพียงนิ่งเงียบไม่ต่อว่าหรือแสดงท่าทีก้าวร้าว

   “คุณเป็นคนดีหรือเลว” ตัวการเดินเข้ามาถามข้ารับใช้
   “...”
   “ไม่ตอบ เพราะไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นคนดีสินะ”

   หลังเอ่ยจบ คนถามเองตอบเองหยิบหลอดทดลองใสออกมา ก่อนเทราดน้ำในหลอดลงบนหัวลูกน้องที่เอาแต่นิ่งเงียบ แล้วจึงเดินไปนั่งที่โซฟาพลางบอกประโยคแรกให้เจ้าของคฤหาสน์เริ่มเขียน

   “เขียนว่า ระหว่างแบบนี้”
   “ท่านครับ! อย่านะครับ! ผมมีครอบครัวรออยู่ที่บ้านเห็นใจผมเถอะครับ! ท่านครับ!!”
   “...ขอโทษ”
   “ท่านครับ! อย่า!!! อั่ก!...”
   “อ๊ากกก!!!!!”

   เสียงร้องเจ็บปวดไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป เมื่อนายใช้คมมีดกรีดท้องแขนของลูกน้องเป็นทางยาวให้เลือดไหลออกมา ก่อนใช้มือที่จับมีดนั้นรองเลือด แล้วคลานไปเขียนคำเมื่อครู่ที่พื้นกลางห้องรับแขก โดยมีกระบอกปืนจากผู้ที่นั่งบนโซฟาเล็งขู่อยู่ทุกการกระทำ

   “ใช้ฝ่ามือเขียนให้ตัวใหญ่ ไม่ใช่นิ้ว”

   ผู้เฝ้ามองเอ่ยขัด เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังใช้นิ้วลากเป็นคำตามที่บอก ส่งผลให้เลือดจากแขนนั้นดูน้อยนิดไปเลย ถ้าต้องใช้แทนหมึกเขียนประโยคยาวเหยียดและตัวใหญ่ขนาดนี้ คนฟังคำสั่งคลานไปกลับหลายรอบเพราะเลือดที่รองมานั้นไม่เพียงพอ จนคนใจบาปเริ่มเห็นใจบอกใบ้วิธีให้เขียนได้ง่ายขึ้น

   “ตรงคอมีเลือดไหลผ่านเยอะ ถ้าใช้มีดปาดนอกจากจะเขียนได้เร็วขึ้น ลูกน้องคุณยังไม่ต้องทนทรมานแบบนี้ด้วย”

   คำแนะนำนั้นไม่ต่างอะไรจากการสั่งฆ่าลูกน้องของตัวเอง คนชะตาใกล้ถึงฆาตรีบกระเถิบตัวหนี เพราะมั่นใจว่านายของตนต้องทำตามคำยุของอีกฝ่ายแน่ แต่เนื่องจากมือและเท้าถูกยิงจนใช้งานไม่ได้ ทำให้ท่าทางพยายามหนีนั้นทุลักทุเลเชื่องช้าไม่ต่างจากหนอนคลาน
   เจ้านายฟังคำแล้วถึงกับชะงักไปชั่วครู่ แต่ไม่นานก็ลุกขึ้นยืนเดินตรงไปหาลูกน้องที่กำลังคลานหนีอย่างน่าสงสาร

   “ท่านครับ! ไว้ชีวิตผมเถอะ.. ผมขอร้อง” ลูกน้องคนสนิทวิงวอนขอชีวิตจากนายที่นั่งคร่อมตนไว้ไม่ให้ขยับนี้
   “...ลูกเมียนาย ฉันจะส่งเงินเลี้ยงดูให้ อโหสิให้ฉันด้วย...”

   สิ้นคำ เจ้านายลงมือปาดคอลูกน้องหมดโอกาสอ้อนวอนทันที ร่างข้างใต้กระตุกเกร็งเล็กน้อยก่อนแน่นิ่งไป เลือดจากลำคอจำนวนมากไหลเจิ่งนองพื้น เหลือเฟือสำหรับเขียนประโยคก่อนหน้าและประโยคต่อจากนี้

   “ต่อไป กับแบบที่เป็นอยู่”

   คนมองเหตุการณ์น่าเศร้าไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วย เอ่ยประโยคถัดไปที่ต้องเขียน เป็นการดึงสติเจ้าของคฤหาสน์ซึ่งมัวเหม่อมองศพลูกน้องที่ตายด้วยน้ำมือตัวเอง
   แม้จะใช้เลือดเขียนคำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่แววตาและสีหน้าของคนเขียนขณะที่เดินไปมาระหว่างพื้นโล่งกลางห้องรับแขกกับกองเลือดตรงศพลูกน้องคนสนิท ฉายชัดถึงความหม่นหมองรู้สึกผิด กระทำตามคำสั่งผู้บงการราวกับคนไร้ชีวิต

   “ประโยคสุดท้าย อยากได้แบบไหน เลือกเอา”


   จวบจนการเขียนตามคำบอกเสร็จสิ้น คนละเลงเลือดเหมือนจิตใจล่องลอย เหม่อมองมือย้อมของเหลวข้นหนืดสีแดงที่ตนใช้วาดตัวอักษร คนสั่งการเดินเข้ามามองผลงานศิลปะด้วยสายตาพอใจ ก่อนเหลือบมองคนจิตหลุด แล้วจึงเอ่ยยืนยันข้อเสนอ

   “ผมจะไม่กระจายข่าวธุรกิจมืดของคุณตามที่ตกลงไว้ และจะไว้ชีวิตคุณในคืนนี้”
   “...”

   สัมผัสจากของเหลวบางอย่างและกลิ่นฉุนจมูกกำลังรดใส่คนนั่งเหม่อจนได้สติ รีบเห็นมองคนทำด้วยสายตาตื่นตระหนก เมื่อรับรู้ได้ว่ากลิ่นฉุนนั้นเป็นกลิ่นของ.. น้ำมัน

   “ไหนบอกว่า-”
   “สระว่ายน้ำอยู่หลังคฤหาสน์”
   “พรึบ!”
   “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!”

   คนโดนย่างสดกรีดร้องทุรนทุราย ทันทีที่คนใจบาปโยนไฟแช็กใส่ร่างอาบน้ำมัน เพลิงลุกไหม้กลืนกินทั่วทุกส่วนของร่างกาย ด้วยความตกใจไม่ทันคิด จึงรีบวิ่งเข้าหาคนทำหวังให้ช่วย

   “ปัง!”
   “อ๊ากก!!!!”

   คนโง่ถูกปืนยิงหัวไหล่สกัดไม่ให้เข้ามาใกล้ ล้มลงไปร้องดิ้นสักพัก ก่อนเหมือนจะนึกถึงคำกล่าวสุดท้ายได้ รีบกระเสือกกระสนวิ่งไปทางหลังคฤหาสน์ เศษเสื้อผ้าถูกความร้อนแผดเผา ขาดตกเป็นลูกไฟเล็กๆ ร่วงตามพื้นเป็นแนวที่มนุษย์อัคคีวิ่งผ่าน
   ตัวการเรื่องทั้งหมดมองส่งนักธุรกิจใหญ่ถูกเพลิงลุกท่วมหัวกรีดร้องวิ่งพล่านด้วยแววตากึ่งขบขันกึ่งสมเพช ก่อนหันหลังเดินออกจากคฤหาสน์ไป



   วันรุ่งขึ้นเกิดข่าวใหญ่สะเทือนขวัญอีกครั้ง เมื่อนักธุรกิจนายทุนใหญ่ของประเทศถูกลอบทำร้าย โดนไฟคลอกถึงในตัวคฤหาสน์ที่ติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยและมีคนคอยเฝ้าระวังแน่นหนา จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบข้อความเขียนด้วยเลือดกลางห้องรับแขกของคฤหาสน์ ใจความว่า

   ‘ระหว่างแบบนี้ กับแบบที่เป็นอยู่ อยากได้แบบไหน เลือกเอา’

   ราวกับจดหมายเตือนข่มขวัญว่าอย่าคิดลองดีกับผู้กระทำ เพราะแม้แต่ผู้มีอำนาจและมีคนติดตามมากมายอย่างท่านนิรัช ยังถูกทำร้ายอาการสาหัส ลูกน้องและเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ถูกฆ่ายกครัวด้วยวิธีโหดเหี้ยมหลากหลายรูปแบบ
   หน่วยสืบสวนพยายามเก็บร่องรอยตัวคนร้าย แต่กลับไม่พบสิ่งใดสามารถบ่งชี้ถึงผู้กระทำได้เลย ตัวเก็บข้อมูลของกล้องวงจรปิดในคฤหาสน์ถูกทำลาย แม้แต่ลายนิ้วมือหรือเส้นผมเล็กน้อยก็ไม่มี เหมือนกับผู้กระทำสามารถล่องหนหายตัวได้ มีเพียงบาดแผลจากศพลูกน้องในห้องรับแขกที่ตรวจสอบแล้วพบว่า เกิดจากกระสุนชนิดเดียวกันกับคดีฆาตกรรมทางรถไฟที่คนร้ายใช้ยิงคนขับและเลขาของคุณหญิง
   เจ้าหน้าที่จึงคาดการณ์ทั้งสองคดีเป็นฝีมือของคนเดียวกัน แต่แรงจูงใจนั้นยังไม่สามารถระบุได้ เพราะทั้งคุณหญิงและท่านนิรัชไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว หรือประกอบธุรกิจร่วมกันแต่อย่างใด อีกทั้งคดีทางรถไฟก็มืดแปดด้าน ไม่สามารถหาเบาะแสตามสืบได้ จึงทำให้คดีท่านนิรัชกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญแต่ไร้เงาผู้กระทำผิด



   ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เกิดเสียงเปิดประตูแผ่วเบา ก่อนตามมาด้วยร่างคุณหมอใส่ชุดกาวน์เดินฝ่าความมืดในเวลาเที่ยงคืน ผู้ป่วยถูกผ้าพันแผลพันทั้งตัวไม่ต่างจากมัมมี่ เหลือไว้เพียงดวงตาให้พอมองเห็นได้ คนไข้พยายามมองคุณหมอที่เข้ามาตรวจเช็กร่างกายถึงกับใจกระตุกตัวเกร็งขึ้นฉับพลัน เมื่อคุณหมอถอดผ้าปิดปากออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายผู้ที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้
   คนบาดเจ็บหนักพยายามดิ้นส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ความจริงมีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้ เนื่องจากส่วนอื่นถูกเพลิงเผาไหม้เกินกว่าจะขยับเขยื้อน เพชฌฆาตในคราบคุณหมอไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงหยิบเข็มฉีดยาบรรจุของเหลวบางอย่าง ก่อนฉีดเข้าที่แขนของผู้ป่วย

   ทุกการกระทำเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ จวบจนคุณหมอเดินออกไป สักพักจึงตามด้วยเสียงฝีเท้ามากมายของนางพยาบาลและคุณหมอตัวจริงวิ่งกรูเข้าไปในห้องผู้ป่วย พยายามยื้อชีวิตสุดความสามารถ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป



   เช้าวันต่อมา รถสีเทาเมทัลลิกเคลื่อนจอดอำพรางกลางป่าในตำแหน่งเดิม ก่อนจะตามด้วยเจ้าของรถเดินหายเข้าไปในป่า จากการจัดการคนสอดรู้และเก็บกวาดหลักฐานทำให้ฆาตกรเสียพลังมากทีเดียว ภายในใจคิดเพียงอยากเห็นหน้าปีศาจที่ห่างหายไปสองวันเต็มสักครั้ง ก่อนขอตัวนอนพักเอาแรง

   ใช้เวลาสักพักในที่สุดฆาตกรใจบาปก็เดินมาถึงบ้านไม้กลางป่า เปิดประตูเข้าไปหมายจะทักทายปีศาจว่าเขากลับมาแล้ว แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นโจรคนหนึ่งกำลังก้มรื้อของในส่วนครัว นัยน์ตาของฆาตกรวาวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนพุ่งตัวใส่โจรซึ่งกำลังหันหลังอยู่ พร้อมมีดที่หมายจะปักทะลุกลางหลัง

   “พรึบ!”

   โจรไหวตัวทัน หลบคมมีดได้อย่างหวุดหวิด แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที ปลายมีดแหลมเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นที่ลำคอ พร้อมกับมีดอีกเล่มที่พุ่งตรงปักกลางแผงอกกว้าง ตำแหน่งเดียวกับหัวใจ

   “หยุด!”

   เสียงที่ออกมาจากลำคอของโจรดุจคำประกาศิตหยุดทุกการเคลื่อนไหวของฆาตกร ปลายมีดแหลมตรงลำคอและแผงอกหยุดชะงัก แม้จะฝังลงผิวเนื้อจนเลือดซึมเล็กน้อยแล้วก็ตาม
   ฆาตกรได้สติรีบดึงมีดออกและทิ้งลงพื้นราวกับของไร้ค่า ก่อนมองสำรวจโจรเบื้องหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ

   “...เอทอส?”


บท4 สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 5 เฝ้ามอง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-08-2019 01:25:19
   หลังเหตุการณ์เข้าใจผิดเมื่อช่วงเช้า ตอนนี้สองมนุษย์ในบ้านเล็กกลางป่าแยกกันไปพักผ่อนตามแบบของตัวเอง คนหนึ่งนอนหลับสนิทอยู่ในห้องหลังจากเหนื่อยล้าจากงานมาตลอดสองวัน ส่วนอีกคนเดินชมนกชมไม้กลางป่าห่างจากบ้านไม่ไกลนัก เนื่องจากไม่ได้มาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้เป็นเวลานาน พอมาก็บาดเจ็บจนไม่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ครานี้หายดีแล้วจึงใช้เวลาเดินสำรวจอย่างที่ตั้งใจ
   ถึงบอกว่าสองมนุษย์ แต่ความจริงคนที่เดินเล่นอยู่นั้นหาใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจแปลงกาย โดยปกติเอทอสจะอยู่ในรูปลักษณ์ของคนเพื่อให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตร่วมกับเหล่ามนุษย์และปิดบังตัวตน แต่ผลจากอาการบาดเจ็บสาหัสทำให้ต้องกลับสู่ร่างที่แท้จริง จวบจนพละกำลังฟื้นคืนดังเก่าจึงแปลงเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง และก็โดนมนุษย์ใจบาปเข้าใจผิดเล่นงานเป็นการฉลอง

   โนอาร์จำเขาได้ในทันทีเมื่อเอ่ยเสียง แต่นอกจากแววตาแปลกใจเล็กน้อยก็ไม่ได้ถามหรือมีทีท่าสับสนใดๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงเป็นเขาเองที่ต้องถามคลายความสงสัย และคำตอบจากปากฆาตกรก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก

   ‘ผมเคยบอกคุณหรือยังว่าของเล่นผมบางครั้งก็เป็นปีศาจจำแลงมา’
   


   เมื่อปีศาจกลับถึงบ้านหลังจากเดินเล่นจนพอใจพร้อมกับสมุนไพรในมือ พบมนุษย์ที่นอนหลับเป็นตายก่อนหน้านี้กำลังนั่งทำแผลบริเวณหัวไหล่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แต่เมื่อเห็นเขากลับหยุดมือวางอุปกรณ์เสียเฉยๆ ปีศาจเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเดินหายไปในส่วนครัว ปล่อยมนุษย์ให้ส่งสายตาขอความช่วยเหลือเก้อ


   “กึก”

   เสียงบางสิ่งถูกวางกระทบกับพื้นโต๊ะจนเกิดเสียงเรียกความสนใจจากมนุษย์ซึ่งกำลังเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เสียงนั้นเป็นของแก้วบรรจุของเหลวสีเขียวเข้ม มีควันขาวลอยจากปากแก้วพร้อมกลิ่นชวนให้รู้สึกเหม็นเขียว

   “ดื่มซะ มันช่วยให้ปีศาจหายไวขึ้น กับมนุษย์คงไม่ต่างกัน” มนุษย์จำแลงนั่งกอดอกมองมนุษย์จริงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “คุณลอกคำพูดผม แต่ก็ขอบคุณ”
   “ไม่ได้?” คนนั่งกอดอกตอบกลับพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย

   คนฟังเพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนหยิบแก้วบรรจุของเหลวรสชาติประหลาดค่อนไปทางเลวร้ายขึ้นดื่มโดยไม่คิดพิจารณา ซึ่งผิดวิสัยปกติของเจ้าตัว เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แม้กระทั่งวัตถุดิบประกอบอาหาร เขาจะสังเกตตรวจสอบจนแน่ใจว่าของเหล่านั้นไม่มีพิษหรือสิ่งเจือปนใดๆ ก่อนเสมอ ต่างกับครั้งนี้ที่เขาดื่มทันที
   เหตุผลของการกระทำอันผิดแปลกนั้นคือ ความไว้ใจ หากผู้ให้เป็นเอทอส เขาจะไม่คิดสงสัยเด็ดขาด แม้มีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกหักหลัง เขาก็ไม่หวั่นเกรง

   จวบจนดื่มหมด มนุษย์ได้จุดประกายความคิดชวนปีศาจในคราบมนุษย์ออกไปอาศัยในเมืองด้วยกัน เนื่องจากบ้านกลางป่าแห่งนี้ไม่มีไฟฟ้า ทำให้เวลากลางคืนนั้นค่อนข้างลำบากพอสมควร
   ฝ่ายปีศาจไม่คิดขัดเพราะตนหายดีจนแปลงเป็นมนุษย์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีก ดังนั้นสองชีวิตจึงช่วยกันเก็บของปิดบ้านให้เรียบร้อย ก่อนเดินเท้าเข้าป่าด้วยกัน ไม่นานก็พบรถสีเทาเมทัลลิกถูกจอดอำพรางอย่างแนบเนียนท่ามกลางต้นไม้

   “รถสีดำไปไหน?”
   “สุสานรถครับ เพราะมันทำให้ผมไปช่วยคุณช้า”

   เอทอสมองคนตอบนิ่ง ก่อนเปิดประตูขึ้นรถโดยไม่ถามอะไรอีก ผู้เป็นเจ้าของขึ้นตามแล้วสตาร์ทรถขับออกจากป่า ใช้เวลาไม่นานทางด้านหน้าปรากฏถนนเส้นหนึ่งพาดผ่าน รถสีเทาเมทัลลิกเลี้ยวขึ้นทางลาดยางขับมุ่งเข้าตัวเมือง
   ภายในรถเงียบสนิท เนื่องจากไม่มีการพูดคุยระหว่างกัน และเจ้าของไม่ได้เปิดเพลงหรือวิทยุ จนเมื่อสองข้างทางเปลี่ยนจากต้นไม้น้อยใหญ่เป็นตึกรามบ้านช่อง ปีศาจจำแลงจึงเริ่มบทสนทนา

   “ขอบใจสำหรับความช่วยเหลือ ให้ข้าลงตรงหัวมุมข้างหน้า”
   “คุณจะไปไหน?” คนขับถามพลางหันมามองเล็กน้อย ก่อนกลับไปมองถนนตามเดิม
   “กลับไปในที่ของข้า”
   “ผมจะไปกับคุณ”
   “ไปทำไม?”
   “ธรรมดาที่อยากอยู่กับคนรัก”
   “ข้าไม่ได้รักเจ้า”
   “คุณจะรักผม”

   หลังเอ่ยจบคนขับได้เร่งเครื่องขับผ่านบริเวณที่ปีศาจต้องการลงหน้าตาเฉย ก่อนเล่าถึงแผนการของวันกลบเสียงท้วงปีศาจ คร่าวๆ ว่าจะไปซื้อของใช้และหามื้อเย็นทานที่ห้างเลย แล้วค่อยกลับที่พักของปีศาจโดยให้เจ้าตัวเป็นผู้บอกทาง
   เมื่อเห็นว่าป่วยการจะพูดต่อ เอทอสจึงสายหน้าหน่ายและหันไปมองวิวนอกหน้าต่างแทน เขารู้ว่ามนุษย์นี่ยึดติดเขา แม้ว่าเอ่ยปากไล่จริงจังจนอีกฝ่ายหายไปได้ แต่ไม่นานคงหาทางให้ได้กลับมาอยู่ด้วยกันในที่สุด ซึ่งเท่ากับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นสูญเปล่า
   หากลองคิดในอีกมุมหนึ่ง ที่พักของเขานั้นอยู่คนเดียว การมีฆาตกรมาร่วมอาศัยด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก เพราะช่วงที่เขาบาดเจ็บอีกฝ่ายได้ดูแลปรนนิบัติอย่างดี และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ถือซะว่าตัดปัญหามนุษย์ก่อกวนแล้วได้ข้ารับใช้ส่วนตัวแทนก็ไม่เลวนัก



   รถของฆาตกรเลี้ยวเข้าตัวห้างสรรพสินค้า ใช้เวลาหาที่ว่างสำหรับจอดไม่นาน รถสีเทาเมทัลลิกก็ได้เคลื่อนตัวเข้าช่องและหยุดสนิทในตำแหน่งที่ห่างจากทางเดินเข้าห้างไม่ไกล คนนั่งข้างคนขับเตรียมเปิดประตูลงจากรถ แต่ถูกคนขับเรียกให้รอสักครู่
   เอทอสหันมองคนข้างตัวพบว่าอีกฝ่ายกำลังปลดเข็มขัดอาวุธที่ใส่ติดตัวเป็นประจำออกแล้วโยนไปทางเบาะด้านหลัง หยิบเข็มขัดอาวุธอีกเส้นใต้เบาะรองนั่งคนขับขึ้นมาใส่ เข็มขัดใหม่ยังคงประดับด้วยอาวุธมากมายเช่นเดิม ต่างตรงที่ล้วนเป็นอาวุธที่ไม่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบเท่านั้น
   หลังจัดการตัวเองเรียบร้อย มนุษย์จึงหันมองคนด้านข้างพร้อมตอบไขข้อสงสัย

   “เวลาเดินเข้าห้าง ผมไม่อยากมีปัญหากับเครื่องตรวจวัตถุโลหะ”

   คนฟังมองด้วยสายตาระอา ภายในใจอยากโต้กลับว่ามันจะไม่เป็นปัญหาเลยหากเลิกทำตัวเป็นคลังแสงเคลื่อนที่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเปิดประตูลงไปยืนรออีกฝ่ายบริเวณหน้ารถ

   ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนเดินพลุกพล่าน บ้างเดินกับกลุ่มเพื่อน บ้างเดินคนเดียว บ้างมากับครอบครัวและคนรัก แต่ละคนล้วนมีจุดประสงค์ส่วนตัว อาจเพราะต้องการพบปะสังคม ฝากท้องตามร้านอาหารขึ้นชื่อ หรือมาเลือกซื้อของ ซึ่งสองอย่างหลังตรงกับความต้องการของชายคนหนึ่งที่มีชายร่างสูงใหญ่เดินเคียงคู่กัน เป็นที่สะดุดตาต่อใครหลายคนจนต้องแอบเหลียวมอง
   ชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวแทนเส้นผมตัดสั้นสีนิลเข้ากับโครงหน้า ท่วงท่าการเดินองอาจผึ่งผาย ทุกครั้งที่ย่างก้าวสามารถเห็นมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าเข้าชุดขยับเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้าคมเข้มนัยน์ตาดุสีอำพันหายาก ไม่แปลกเลยหากจะถูกสายตาจากทั้งชายและหญิงจับจ้อง แต่ความจริงหญิงชายเหล่านั้นทำได้เพียงลอบมองตามหลังเมื่ออีกฝ่ายเดินห่างไปไกลแล้ว เหตุเพราะชายอีกคนที่เดินมาคู่กัน
   ถึงแม้จะไม่สูงใหญ่เท่า แต่สีผิวขาวรูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้อพอประมาณ บวกกับใบหน้าดูดีเรียบนิ่งถือตัวคล้ายเจ้าชายน้ำแข็ง ชวนให้เหลียวมองไม่แพ้คนด้านข้าง ทว่าบรรยากาศอันตรายที่แผ่ออกมาจากองค์ชายนั้น ราวกับไอเย็นจากห้องดับจิตเยือกแข็งวิญญาณของผู้คนโดยรอบ เตือนว่าอย่าเข้าใกล้และให้สำรวมการแสดงออก เพราะอาจทำให้วันพรุ่งนี้ไม่มีอีกต่อไป

   “เวลาอยู่ข้างนอก เจ้าปล่อยจิตสังหารแบบนี้ตลอด?” คนไม่โดนผลกระทบถามเจ้าของบรรยากาศกดดัน
   “เฉพาะตอนเจอคนมากๆ น่ะครับ ผมรำคาญสายตาพวกสอดรู้”
   “แล้วมาที่นี่ทำไม”
   “มันสะดวกที่สุดในการหาซื้อของใช้ไปอยู่กับคุณ”

   ว่าจบคนคล้ายเจ้าชายน้ำแข็งก็เดินนำร่างสูงใหญ่เข้าไปในร้านเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้านในจัดเครื่องแต่งกายเป็นโซนต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกหา มีพนักงานร้านคอยยืนอยู่ห่างๆ หากลูกค้าสงสัยต้องการสอบถาม พนักงานจะเดินมาหาทันที หลังจากตอบคำถามเสร็จก็จะถอยห่างออกไปเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ซื้อ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนไม่ชอบสังคมเลือกร้านดังกล่าว

   ฆาตกรในคราบลูกค้าเดินไปที่โซนเสื้อผ้าสำหรับอยู่บ้านและชุดนอน หยิบหนึ่งชุดมาดูขนาด เมื่อเห็นว่าใส่ได้เลยนำมาพาดไว้บนแขน แล้วหยิบอีกตัวที่เหมือนกันแต่ขนาดใหญ่กว่ามาทาบตัวคนที่ยืนข้างกัน ผู้กลายเป็นหุ่นรองชุดโดยปริยายไม่ได้ว่าอะไร เพียงมองและเดินตามอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ จนกองเสื้อผ้าเริ่มล้นแขน

   “ไม่ต้องมองข้า อย่างไรก็ไม่ช่วยเจ้าถือ” เอ่ยพลางยิ้มมุมปากเลียนแบบนิสัยคนตรงหน้า

   เมื่อไม่ได้รับน้ำใจจากอีกฝ่ายดั่งหวัง คนหอบกองชุดไม่คิดแบกต่อให้เหนื่อยแรง เรียกพนักงานให้เอาเหล่าเสื้อผ้าไปวางที่เคาน์เตอร์เตรียมคิดเงิน ส่วนตัวเองเดินไปที่โซนเครื่องแต่งกายสำหรับใส่ทำงานและออกงาน ครั้งนี้เลือกเฉพาะขนาดของตนเอง จนได้ครบตามต้องการจึงเดินนำไปวางที่เคาน์เตอร์ แล้วรอให้พนักงานคำนวณราคาและนำชุดทั้งหมดใส่ถุงให้เรียบร้อย

   “คุณหิวหรือยัง” มนุษย์ถามปีศาจจำแลงระหว่างรอพนักงาน
   “นิดหน่อย”
   “กินชาบูไหม มีเนื้อหลายแบบ สามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ”
   “เรียบร้อยแล้วครับคุณลูกค้า ทั้งหมดราคา XXX,XXX ครับ”

   เสียงแจ้งค่าเสียหายจำนวนหกหลัก ไม่น่าหงุดหงิดเท่าการถูกขัดบทสนทนาระหว่างเขากับปีศาจ โนอาร์เหลือบมองคนอยากเป็นของเล่นไม่รู้ตัวด้วยนัยน์ตาเย็นเฉียบ ส่งผลให้พนักงานน่าสงสารเผลอสะดุ้งรีบก้มหน้าหลบสายตาลูกค้า ลืมหมดสิ้นถึงการวางตัวที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
   ปีศาจในร่างมนุษย์ผู้เห็นเหตุการณ์ ยุติเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยการเดินออกจากร้านโดยไม่รออีกคนที่มาด้วยกัน ส่งผลให้คนมัวแต่หัวร้อนต้องเก็บความหงุดหงิดส่วนตัวลงก่อน แล้วจ่ายเงินให้เรียบร้อย ก่อนรีบถือถุงเสื้อผ้าทั้งหมดเดินตามอีกฝ่ายไป

   “เฮ้อ...”

   เสียงถอนหายใจโล่งอกของเหล่าพนักงานดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หลังสองลูกค้าออกจากร้านและเดินหายจนลับสายตา แน่นอนการทำงานด้านบริการต้องพบเจอลูกค้าหลากหลายรูปแบบ แต่กับลูกค้าที่ให้ความรู้สึกหวิวคล้ายยืนอยู่ริมปากเหว ซึ่งสามารถถูกลมพัดกระชากลงห้วงอเวจีได้ทุกเมื่อแบบนี้ พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน และไม่คิดอยากประสบเป็นครั้งที่สอง จึงได้แต่ภาวนาขอให้ลูกค้าคนนั้นไม่ถูกใจบริการ จะได้ไม่ย้อนกลับมาร้านแห่งนี้อีก


   คนทำพนักงานขายต่างหวาดกลัว ขณะนี้กำลังถือถุงเสื้อผ้าเต็มสองมือเดินตามหลังร่างสูงใหญ่ที่มุ่งหน้าไปทางร้านชาบู ย่างก้าวมั่นใจของคนนำบ่งบอกถึงความคุ้นเคยเป็นอย่างดี แสดงว่าก่อนที่จะได้พบกันอีกฝ่ายเคยมาห้างนี้บ่อยพอสมควร หรืออีกในหนึ่งคือที่พักของปีศาจในบทบาทมนุษย์ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก

   “คุณเคยมาที่นี่ใช่ไหม” โนอาร์เดินมาขนาบข้างถามเอทอส
   “เปล่า”

   คำปฏิเสธของปีศาจทำให้ผู้ไม่เคยคาดเดาเหตุการณ์พลาดรู้สึกสับสนเล็กน้อย

   “...แล้ว-”
   “ข้าแค่ไปทางที่มีวิญญาณมนุษย์หนาแน่นที่สุด เวลาแบบนี้เจ้าคิดว่าพวกมนุษย์จะอยู่ที่ไหนกันล่ะ”

   เป็นจริงอย่างที่ปีศาจกล่าว ช่วงเวลาเย็นย่ำเป้าหมายหนึ่งของผู้คนส่วนใหญ่ย่อมหนีไม่พ้นการรับประทานอาหาร เพียงจับสัมผัสและเดินไปทางที่มีวิญญาณจำนวนมากรวมกลุ่มกัน หลังจากนั้นก็ใช่สายตากวาดหาจุดหมาย การหาร้านที่ต้องการจึงไม่ใช่เรื่องยาก แม้ไม่เคยเดินห้างนี้มาก่อนก็ตาม
   หลังฟังคำเฉลยของปีศาจผสานกับความสามารถในการปะติดปะต่อเรื่องราว ทำให้มนุษย์เข้าใจความคิดของปีศาจได้ในประโยคเดียว และยังตระหนักในเรื่องการคาดเดาการกระทำแบบมนุษย์ทั่วไปใช้ไม่ได้กับปีศาจ ซึ่งถือเป็นสิ่งดี เพราะยิ่งรู้ข้อบกพร่องมากเท่าไร การคาดเดาครั้งต่อไปของเขาจะยิ่งแม่นยำขึ้นเท่านั้น ไม่นานทุกพฤติกรรมของปีศาจคงไม่ไกลเกินการคำนวณของเขา


   เมื่อทั้งสองมาถึงร้านพบว่ามีโต๊ะว่างสำหรับสองที่พอดี จึงไม่ต้องเสียเวลารอคิวเหมือนคนอื่นที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ ปีศาจและมนุษย์นั่งตรงข้ามกันโดยมีหม้อชาบูคั่นกลาง โดยในหม้อได้แบ่งเป็นสองช่องให้ลูกค้าสามารถเลือกน้ำซุปตามความชอบของตนเองได้

   “รับน้ำซุปแบบไหนดีคะ” พนักงานร้านถามลูกค้าทั้งสอง
   “น้ำใส คุณล่ะ?” มนุษย์ตอบ ก่อนถามคนนั่งฝั่งตรงข้าม
   “ต้มยำ”
   “กรุณารอสักครู่นะคะ ระหว่างนี้สามารถเลือกสั่งอาหารรอได้เลยค่ะ”

   พนักงานยกหม้อออกไป พร้อมแนะนำลูกค้าถึงการสั่งของที่ต้องการผ่านกระดาษรายการอาหาร แล้วจึงแยกไปเตรียมน้ำซุปให้ลูกค้า
   มนุษย์ถามปีศาจก่อนว่าอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษบ้าง หลังเขียนของปีศาจเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยเขียนของตัวเอง แล้วส่งให้พนักงานอีกคนที่เดินผ่าน ช่วงเวลาระหว่างรอพนักงานนำของมาเสิร์ฟไร้บทสนทนาระหว่างทั้งสอง มนุษย์นั่งมองร่างยักษ์ฝั่งตรงข้าม ส่วนคนถูกมองก็จ้องอีกฝ่ายกลับเช่นกัน ราวกับกำลังแข่งกันว่าหากใครเริ่มพูดก่อนแพ้

   จนกระทั้งหม้อและของทั้งหมดที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟ เสียงบนโต๊ะอาหารก็มีเพียงเสียงน้ำเดือดและเสียงจานกระทบพื้นโต๊ะเท่านั้น เกิดเป็นบรรยากาศชวนอึดอัดสำหรับลูกค้าโต๊ะรอบข้าง จนต้องลอบมองโต๊ะต้นเหตุที่ทำให้ความอยากอาหารหมดไปแม้เพิ่งเริ่มทานได้ไม่นาน หลายคนเดาบรรยากาศอึมครึมระหว่างผู้ชายตัวใหญ่หน้าดุกับผู้ชายผิวขาวหน้านิ่งว่า ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องผิดใจกันรุนแรง และไม่มีใครยอมอ่อนให้ก่อน ทั้งสองถึงมึนตึงใส่กันเช่นนี้
   ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างที่ใครคิด ทั้งคู่ไม่ได้โกรธกัน แต่กำลังสนุกกับการเติมพลังจากอาหารตรงหน้า บวกกับนิสัยไม่ชอบพูดและไม่ค่อยเผยความรู้สึกเหมือนกัน ไม่แปลกที่มองจากภายนอกนั้นจะดูอึดอัด และแน่นอนผู้สร้างความกดดันทั้งสองไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย เพราะปกติเวลาทานอาหารร่วมกันพวกเขาก็เป็นแบบนี้เสมอ

   จวบจนผู้สร้างความลำบากใจให้คนรอบข้างโดยไม่รู้ตัวอิ่มท้อง ถึงเพิ่งสังเกตว่าเสียงพูดคุยภายในร้านเบาลงอย่างมาก ปีศาจในร่างมนุษย์หันมองรอบร้าน พบว่าลูกค้าโต๊ะอื่นต่างก้มหน้าก้มตาทานเงียบๆ คล้ายกับกลัวเสียงจะรบกวนคนรอบข้าง ทำให้ปีศาจรู้สึกชื่นชมเหล่ามนุษย์รักมารยาทอยู่ในใจ คิดว่าครั้งหน้าหากผ่านมาแถวนี้อาจมาใช้บริการร้านนี้อีกครา
   ฝ่ายมนุษย์นั่งตรงข้ามสังเกตเห็นความพึงพอใจผ่านดวงตาสีอำพันที่ดูดีไม่แพ้สีเลือดนกในยามปกติ ก็หมายมั่นตั้งใจว่าจะพาปีศาจมากินอีกเช่นกัน ก่อนชักชวนอีกฝ่ายออกจากร้านเพื่อเดินย่อยและซื้อของที่ยังขาดเพิ่มเติม

   หลังทั้งคู่จากไป ทั้งลูกค้าและพนักงานถึงเริ่มหายใจคล่องขึ้น เสียงพูดคุยในร้านจึงกลับมาดังเหมือนเก่า โดยหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเป็นใครจะเป็นฝ่ายง้อก่อน เสียงส่วนมากไปทางคนหน้านิ่งที่ถือถุงเต็มสองมือเดินตามร่างสูงใหญ่ออกจากร้านน่าจะเป็นฝ่ายยอมก่อน แต่สุดท้ายเรื่องระหว่างทั้งสองจะลงเอยเช่นไร ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้


   ขณะนี้หนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจจำแลงกำลังเดินเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวไม่ว่าจะเป็น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แชมพู และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงวัตถุดิบสำหรับใช้ประกอบอาหาร ใส่ลงในรถเข็นที่มีถุงเสื้อผ้ากินพื้นที่ไปแล้วเกือบครึ่ง โดยครั้งนี้ปีศาจใจดีช่วยเข็นรถ ให้มนุษย์เลือกของได้อย่างสะดวก

   “ปกติคุณใช้กลิ่นไหน” มนุษย์หันมาถามถึงกลิ่นสบู่ที่ปีศาจชอบใช้
   “ไม่มี หยิบอันไหนได้ก็ใช้อันนั้น”

   ปีศาจตอบกลับง่ายคล้ายต้องการกวนอีกฝ่าย แต่ที่กล่าวนั้นเป็นความจริง เขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้นัก เวลาเลือกซื้อด้วยตัวเองก็หยิบๆ มาไม่ได้ดูว่าเป็นของยี่ห้อไหนหรือมีกลิ่นแบบใด
   มนุษย์เมื่อได้ยินดังนั้น จึงเลือกหยิบกลิ่นที่ตนมักใช้เป็นประจำใส่รถเข็นประมาณหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องออกมาซื้อบ่อยครั้ง และเผื่อให้ปีศาจใช้สบู่กลิ่นเดียวกัน


   หลังซื้อของเสร็จทั้งสองเดินถือถุงกันเต็มสองมือเข้ามาในที่จอดรถของห้าง โดยมนุษย์ถือถุงเสื้อผ้า ส่วนปีศาจถือถุงของใช้และวัตถุดิบทำอาหารเมื่อครู่นี้ทั้งหมด เหตุที่ไม่ใช้รถเข็นทุ่นแรงเพราะเห็นตรงกันเรื่องความลำบากตอนเข็นรถผ่านกลุ่มคนที่เดินสวนไปมา จึงเลือกถือเองสะดวกและเร็วกว่า

   เดินคู่กันจนถึงรถสีเทาเมทัลลิก เจ้าของกดเปิดกระโปรงหลังเพื่อเก็บของ ก่อนพากันขึ้นรถประจำตำแหน่งเดิมและขับออกจากตัวห้าง พบว่าแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นแสงจันทร์ของยามค่ำคืน บ่งบอกว่าเสียเวลากับการเดินห้างนานพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็มีข้อดีอยู่เพราะ ตอนนี้รถและการจราจรบนท้องถนนเบาบาง สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานคงถึงที่พักของปีศาจ

   รถสีเทาเมทัลลิกมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองเข้าสู่จังหวัดใกล้เคียง ตามคำบอกทางของปีศาจ สองข้างทางจากเดิมที่เป็นตึกสูงเริ่มกลายเป็นต้นไม้และที่ดินโล่งกว้าง คนนำบอกคนขับให้เลี้ยวเข้าตัวอำเภอแห่งหนึ่งแล้วขับต่อไปเรื่อยๆ จนถึงย่านที่อยู่อาศัย
   บริเวณนี้มีบ้านเรือนหลายหลังปลูกใกล้กัน แต่ที่โดดเด่นสะดุดตาต่างจากหลังอื่นคือ บ้านทรงไทยประยุกต์ที่เจ้าบ้านกำลังเลื่อนรั้วเปิดให้รถสีเทาเมทัลลิกเข้าไปจอดด้านใน

   บ้านชั้นเดียวทำด้วยปูนยกพื้นสูง โดยด้านหนึ่งเป็นใต้ถุนเพื่อให้รถสามารถจอดได้ ซึ่งมีรถกระบะสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว หลังคาออกแบบทรงปั้นหยากึ่งจั่วให้กลิ่นอายความเป็นไทยหลอมรวมกับบ้านสไตล์โมเดิร์นอย่างลงตัว รอบบ้านเป็นสนามหญ้าปลูกต้นไม้เพิ่มความร่มรื่น หอมกลิ่นดอกแก้วลอยตามลมให้ความรู้สึกคล้ายอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

   หลังจอดรถเรียบร้อย บ้านทั้งหลังสว่างไสวเมื่อเจ้าของเดินไปกดเปิดสวิตซ์ไฟ สมาชิกใหม่ขนของเดินตามเจ้าบ้านผ่านบริเวณห้องรับแขกไปยังส่วนครัว กวาดสายตามองคร่าวๆ ประกอบด้วยชุดโซฟาเข้ามุม มีโต๊ะกระจกเล็กตั้งตรงกลาง และมีทีวีติดผนังตามแบบห้องทั่วไป
   วางถุงข้าวของมากมายลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนช่วยกันแยกเก็บใส่ตู้เย็นและชั้นต่างๆ โดยมีเสียงของแขกถามหาที่เก็บเป็นระยะ จวบจนเรียบร้อยจึงขนของที่เหลือได้แก่ ถุงเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเดินตามปีศาจไปยังห้องนอน

   “เจ้านอนห้องนี้” เจ้าบ้านพาแขกมาหยุดหน้าห้องหนึ่ง
   “คุณนอนห้องไหน?” สิ้นคำถาม ปีศาจหันมองห้องฝั่งต้องข้ามเล็กน้อย เป็นการตอบกลายๆ
   “ทำไมไม่นอนด้วยกัน”
   “แล้วทำไมข้าต้องนอนกับเจ้า” ปีศาจถามกลับพร้อมคิ้วที่เริ่มขมวด
   “บ้านกลางป่าเรานอนด้วยกันตลอด”
   “เพราะที่นั่นมีเตียงเดียว และเจ้าบอกไม่อยากนอนพื้น”
   “ผมไม่อยากนอนในห้องคนเดียว”
   “งั้นเจ้าก็อย่าได้นอน” เอ่ยจบปีศาจหันหลังเดินเข้าห้องฝั่งตรงข้าม ทิ้งให้มนุษย์ทำตัวไร้สาระต่อไป

   ฝ่ายมนุษย์ที่รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ยังคงแกล้งถามเผื่อได้ เมื่อเห็นปีศาจปิดประตูใส่หน้า จึงค่อยขนของทั้งหมดเข้าห้องพักของตน เปิดไฟให้ทั่วห้องสว่าง วางเหล่าสัมภาระลงพื้นข้างเตียง ก่อนเริ่มลงมือสำรวจ

   ห้องนอนสำหรับแขกไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยเตียงหนึ่งหลังมีผ้าคลุมไว้ แต่กลับไม่มีฝุ่นหรือกลิ่นอับแต่อย่างใด แสดงว่าระหว่างที่เจ้าบ้านไม่อยู่มีแม่บ้านคอยเข้ามาทำความสะอาดเสมอ บริเวณหน้าต่างมีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ และม่านถูกปิดไว้ไม่เห็นวิวภายนอก
   เจ้าของห้องจัดการเลื่อนผ้าม่านออกเผยให้เห็นบริเวณหลังบ้านและเงาต้นไม้รางๆ เนื่องจากรอบบ้านนั้นค่อนข้างมืด ห่างจากโต๊ะไม่มากเป็นตู้เสื้อผ้าเปล่า รอให้ผู้พักอาศัยนำเสื้อผ้าเข้าเก็บ แขกของบ้านเลือกหยิบชุดจากกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งนำติดรถไว้เสมอมาใส่ไว้ในตู้ ส่วนชุดที่ซื้อมาทั้งหมดรอซักก่อนค่อยนำเข้าตู้ทีหลัง

   เมื่อจัดวางสิ่งของเครื่องใช้เข้าที่เรียบร้อย มนุษย์หนึ่งเดียวจึงเดินเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย ก่อนออกมาในชุดนอนสีน้ำเงินเข้ม ถือโน้ตบุ๊กประจำตัว ปิดไฟและเดินออกจากห้องไปเคาะประตูฝั่งตรงข้าม

   “ก๊อกๆๆ”
   “...”
   “ก๊อกๆๆ”
   “...”

   ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับจากสิ่งมีชีวิต แขกของบ้านเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยตนเอง แล้วพบว่าภายในห้องว่างเปล่า มีเสียงน้ำไหลดังออกมาจากประตูอีกบานหนึ่งในห้อง บ่งบอกว่าปีศาจกำลังอาบน้ำอยู่

   ผู้มาเยือนเปิดโน้ตบุ๊กนั่งไล่อ่านและตอบอีเมลของผู้ว่าจ้างตรงโต๊ะทำงานระหว่างรออีกฝ่าย จวบจนได้ยินเสียงประตูเปิดพร้อมร่างสูงใหญ่ผิวสีแทนเปลือยท่อนบน มีหยดน้ำเกาะพราวตามแขนและแผงอกกว้าง ส่วนล่างถูกผ้าพันไว้อย่างหมิ่นเหม่เดินออกมาจากห้องน้ำ ชวนให้ผู้มาเยือนจ้องมองอย่างสนใจ

   “มีธุระอะไร”

   คนถูกล่วงเกินทางสายตาไม่สะทกสะท้าน เดินไปแต่งตัวตรงตู้เสื้อผ้า ก่อนกลับมาในชุดเสื้อกล้ามกางเกงผ้าขายาว ส่วนมนุษย์เมื่อเห็นว่าปีศาจจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มเอ่ยธุระของตน

   “ผมรู้สึกเหมือนบ้านนี้ถูกคนเฝ้ามองอยู่”
   “ตั้งแต่เมื่อไร?” ปีศาจจำแลงถามพลางเลิกคิ้วประหลาดใจกับประสาทสัมผัสของมนุษย์
   “ลงจากรถ”
   “รู้ไหมว่าอยู่ตรงไหน”
   “ผมไม่รู้ แต่คุณจับสัมผัสวิญญาณได้ คงรู้อยู่แล้วว่าถูกมองจากทางไหน”

   ปีศาจไม่ได้ตอบอะไรเพียงยิ้มชื่นชมความฉลาดของมนุษย์ตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองออกไปทางนอกหน้าต่าง

   “ผมจัดการให้ไหม”

   มนุษย์ใจบาปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้ไม่ถึงวันกลับมาสวมบทฆาตกรอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มมุมปากกับแววตาที่เริ่มสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น ก่อนเอ่ยขอคำอนุญาตจากปีศาจ

   “ไม่ต้อง เรื่องของข้า ข้าจัดการเอง”

   ปีศาจตอบสนองด้วยการดับความฝันฆาตกรทันที คนถูกขัดไม่ว่าอะไร เพียงพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลงแล้วยืนขึ้น เอ่ยคำทิ้งท้ายเล็กน้อยก่อนออกจากห้องไป ปล่อยให้ปีศาจนึกถึงคำพูดก่อนหน้า แล้วถอนหายใจหน่ายกับความคิดของมนุษย์จิตใจดำมืด

   ‘ผมจะไม่ทำอะไร ตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่คิดล้ำเส้นผม และไม่ได้ทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณบาดเจ็บเมื่อไร ผมถือว่าฝ่ายนั้นเป็นของเล่นผมแล้ว ส่วนคุณแค่รอกินวิญญาณหลังผมเล่นเสร็จก็พอ’

   รู้สึกตัวอีกทีสัมผัสวิญญาณของคนสอดแนมได้หายไปแล้ว ปีศาจจึงเดินไปปิดไฟห้องเตรียมเข้านอน เก็บเรื่องน่าปวดหัวไว้คิดต่อวันหลัง
   ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง นึกถึงคำกล่าวสุดท้ายของแขกร่วมบ้าน ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา

   ‘ราตรีสวัสดิ์ เอทอส’


บท5 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 5 เฝ้ามอง)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-08-2019 06:43:29
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 6 โอกาส]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 01-09-2019 01:13:05
   
   เสียงนกร้องขับขานรับรุ่งอรุณวันใหม่ดุจนาฬิกาปลุกให้เจ้าบ้านลุกออกจากเตียง อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดสำหรับทำงานประจำได้แก่ เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนถึงศอกและกางเกงยีนส์ดำคล่องตัว เมื่อออกจากห้องพลันได้กลิ่นหอมของมื้อเช้านำทางไปห้องครัว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงสงสัยว่าใครแอบมาใช้ครัวทำอาหาร แต่สำหรับตอนนี้สิ่งที่ควรสงสัยคือ

    มื้อเช้านี้จะเป็นอะไร?

   เจ้าบ้านนั่งรอที่โต๊ะอาหารด้วยความเคยชิน บนโต๊ะมีกาแฟร้อนกับหนังสือพิมพ์พับเรียบร้อยวางอยู่คู่กัน คนที่จัดของพวกนี้เป็นใครไม่ได้นอกจากสมาชิกใหม่ประจำบ้านซึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างในครัว
   ปีศาจเลือกยกกาแฟขึ้นจิบโดยไม่สนใจหนังสือพิมพ์ รสชาติคุ้นเคยตามแบบที่ชอบสัมผัสปลายลิ้นสร้างความประหลาดใจให้ปีศาจเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยบอกอีกฝ่ายว่าชอบกาแฟแบบไหน แต่ทุกครั้งที่ได้ดื่ม รสชาติค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละน้อยจนตรงกับความชอบของเขาในครั้งนี้ แสดงถึงความช่างสังเกตและความเอาใจใส่ของคนทำเป็นอย่างดี ดังนั้นมนุษย์ที่ออกมาจากครัวพร้อมมื้อเช้า จึงได้รับรอยยิ้มจากปีศาจเป็นรางวัล

   “ดื่มกาแฟตอนเช้าต้องอ่านหนังสือพิมพ์ เจ้าคงดูละครมากไป คิดว่าข้าเป็นมนุษย์เฒ่าหรือไร”

   คำกวนแรกต้อนรับวันใหม่จากปีศาจทำให้อารมณ์ดีๆ ของพ่อครัวขุ่นมัวขึ้นหนึ่งระดับ ก่อนพยายามทำใจปล่อยผ่าน เสิร์ฟมื้อเช้าให้ปีศาจแล้วค่อยเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้าม
   ของด้านหน้าแทนคำตอบของคำถามภายในใจปีศาจก่อนหน้านี้ ไข่กระทะตกแต่งด้วยไส้กรอก แฮม และเบคอนจัดเรียงอย่างสวยงาม โรยด้วยต้นหอมซอยและพริกไทยเพิ่มกลิ่นหอมและสีสันชวนให้ลิ้มลอง เจ้าบ้านไม่ปฏิเสธตักคำแรกขึ้นชิม ก่อนตามด้วยคำต่อมา และอีกหลายคำเรื่อยๆ สร้างความสุขใจให้กับพ่อครัวจนลืมเลือนความขุ่นมัวก่อนหน้าหมดสิ้น คำถามว่า อร่อยไหม? คงไม่ต้องถามอีกแล้ว เมื่อผู้ตอบก้มหน้าก้มตากินไม่เงยหน้าขึ้นมาแบบนี้

   หลังมองปีศาจกินมื้อเช้าด้วยท่าทีเอร็ดอร่อยจนพอใจ มนุษย์หนึ่งเดียวจึงเริ่มลงมือกินบ้าง บ้านทั้งหลังมีเพียงเสียงช้อนกระทบกระทะใบเล็กดังเป็นครั้งคราว ดูเงียบเหงาหากมองจากภายนอก แต่เป็นบรรยากาศผ่อนคลายอบอวลด้วยความสุขของคนใน ซึ่งมีแค่มนุษย์เท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ส่วนปีศาจเจ้าบ้านนอกจากความอร่อยของอาหารมื้อเช้า ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเพิ่มเติมเลย


   “เจ้าจะไปไหน?”
    “คุณจะไปไหน?”

   สองคำถามดังขึ้นสวนกัน เมื่อหลังทานข้าวเสร็จสมาชิกในบ้านต่างพบว่าอีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอกเหมือนกัน

   “ผมไปทำงาน แล้วคุณ?”
   “ทำงาน”

   คำตอบจากปีศาจทำให้มนุษย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนตามด้วยแววตาตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น คิดในใจเรื่องงานวันนี้อาจต้องเลื่อนไปก่อนเมื่องานของปีศาจในบทบาทมนุษย์นั้นน่าสนใจกว่ามาก

   “ผมขอไป-”
   “หยุดความคิดเจ้าซะ ถ้าจะไม่อยู่ก็ไปล็อกบ้านให้เรียบร้อย”

   ราวกับปีศาจรู้ทันความคิดมนุษย์ตรงหน้า เอ่ยดักทางก่อนโยนกุญแจบ้านให้พร้อมสั่งอีกฝ่ายกลับไปล็อกประตูปิดบ้านไม่ต่างจากคนใช้ ส่วนตัวเองก็เดินขึ้นรถกระบะสีดำขับออกไป แต่ในขณะที่รถกำลังออกจากตัวบ้านเหมือนคนขับนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนไปจึงหยุดรถแล้วลดกระจกลง ตะโกนบอกบางสิ่งกับคนที่กำลังตรวจดูความเรียบร้อยของบ้าน

   “กุญแจเจ้าเก็บเอาไว้ ไม่ต้องคืนข้า”

    พูดจบ ปีศาจเลื่อนกระจกขึ้นปิดและขับรถกระบะหายไป ปล่อยให้มนุษย์ยืนยิ้มมุมปากมองกุญแจในมือ คิดเข้าข้างตัวเองว่าเอทอสคงเริ่มมีใจให้กันบ้างแล้ว เพราะการฝากกุญแจสื่อถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่อีกฝ่ายมอบให้ และยังเป็นเครื่องหมายอนุญาตให้เขาร่วมอาศัยในบ้านหลังนี้ได้อย่างเป็นทางการ ดังนั้นเรื่องตามดูกิจวัตรประจำวันแบบมนุษย์ของปีศาจเขาจะปล่อยผ่านไปก่อน ไว้รอโอกาสอีกครั้งก็ไม่สาย เพราะเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกนาน

    หลังเสียเวลากับการคิดเองเออเองสักพัก รถสีเทาเมทัลลิกจึงเคลื่อนตัวออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายในวันสุดท้ายของเดือน วันที่เขาได้รับมอบหมายจัดงานสำหรับผู้หญิงชื่อว่าใหม่ เป็นงานค่อนข้างเสียเปล่าพอสมควรเพราะ คุณใหม่ผู้ซึ่งกำลังกลายเป็นของเล่นนั้นเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา จิตใจดี ไม่มีพิษภัย ทว่าโชคร้ายมีคู่ชีวิตเป็นชายเจ้าชู้มักมาก ทำให้หล่อนเจ็บช้ำน้ำใจหลายครั้งหลายครา แต่กลับไม่เลิกรากันเสียที เพราะแพ้ฝ่ายชายที่ตามอ้อนวอนขอโอกาส สัญญาว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก และสุดท้ายก็ไม่เคยทำได้ตามคำมั่น

    ผู้ว่าจ้างเขาเป็นหนึ่งในผู้หญิงของชายคนนั้นที่อยากกลายเป็นตัวจริง จึงมาว่าจ้างเขากำจัดเสี้ยนหนามทิ้ง ซึ่งสาเหตุที่งานนี้เสียเปล่าเพราะ วิญญาณคุณใหม่ไม่ใช่ในแบบที่ปีศาจต้องการ ทำให้หลังจบงานนี้เขาไม่มีดวงวิญญาณกลับไปฝากเอทอสอย่างทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นวิญญาณคนรักของคุณใหม่น่าจะพอใช้แทนกันได้


   ขับรถตามทางจนถึงบ้านเป้าหมาย เป็นจังหวะพอดีกับที่คุณใหม่และคนรักของเธอเดินออกมาจากบ้าน ดูจากท่าทางแล้วทั้งคู่น่าจะกำลังมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นคุณใหม่ร้องไห้น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม ส่วนฝ่ายชายกลับหันหลังเดินหนีขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้านและขับหายไป ทิ้งให้คุณใหม่ผู้น่าสงสารทรุดตัวก้มหน้าร่ำไห้เพียงลำพัง

    ฆาตกรสวมบทพลเมืองดีลงจากรถเดินเข้าไปหาหญิงสาวอาภัพ ก่อนนั่งยองตรงหน้ามองอีกฝ่าย จนคนถูกมองรู้สึกตัวถึงเงยหน้าขึ้นมาพบกับชายคนหนึ่งซึ่งกำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาสงบนิ่ง หล่อนเตรียมถอยออกห่างชายแปลกหน้า และจังหวะนั้นเองที่อีกฝ่ายยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ พร้อมกับคำพูดปลอบประโลม

   “การร้องไห้เพื่อระบายความเสียใจไม่ใช่เรื่องน่าอาย ผมทันเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่สบายใจเลยหากปล่อยให้คุณอยู่เพียงลำพัง จะเป็นอะไรไหมครับหากผมขออยู่เป็นเพื่อนคุณจนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น”
   “ฉัน...”
   “หากคุณไม่ไว้ใจ เราไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟตรงปากซอยไหมครับ คุณจะได้ผ่อนคลายขึ้นด้วย”
   “อา.. ขอบคุณนะคะ แต่ฉัน-”
   “นะครับ”

   คำพูดและแววตาแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจของชายแปลกหน้า ดุจมนตร์สะกดไม่ให้หญิงสาวสามารถเอ่ยขัดปฏิเสธได้อีก สุดท้ายจึงจำยอมพยักหน้าตอบรับน้ำใจจากอีกฝ่าย

   “...ค่ะ”


   ร้านกาแฟเงียบสงบเนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงเวลาพักเที่ยงหรือเลิกงาน ส่งผลให้ภายในร้านมีลูกค้าเพียงไม่กี่โต๊ะ มีเสียงเพลงบางเบาสร้างบรรยากาศให้กับผู้ใช้บริการสามารถพักผ่อนจากเรื่องเครียดที่สั่งสม เช่นเดียวกับชายหญิงคู่หนึ่งที่เลือกนั่งโต๊ะหลังเสากั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัว
   บริเวณด้านหน้าของทั้งสองมีเพียงแก้วกาแฟเย็นชืด บ่งบอกถึงเวลาที่นั่งอยู่ในร้านแห่งนี้ ชายแปลกหน้าไม่ได้เร่งเร้าแต่อย่างใด ปล่อยให้หญิงสาวก้มหน้ามองมือตนเองเรียบเรียงความคิด จนกระทั่งพร้อมและเริ่มเล่าระบายความในใจ

   “ผู้ชายที่ขับรถไปเป็นแฟนฉันเองค่ะ เราทะเลาะกันนิดหน่อย...”
   “...”
   “ฉันจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอื่น.. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ ฮึก..”

   ใบหน้าหญิงสาวเริ่มเศร้าหมอง น้ำใสเริ่มคลอหน่วยตา เสียงเรียบเรื่อยเริ่มสั่นเครือทีละน้อย ยามต้องนึกถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกไว้ภายใน แต่เมื่อเริ่มเล่าแล้วเหมือนทุกอย่างที่กักเก็บมันพรั่งพรูล้นทะลักออกมาไม่สามารถหยุดได้ แม้ตอนนี้สองแก้มจะอาบด้วยน้ำตาอีกครั้ง เสียงระบายความเศร้าเจือด้วยเสียงสะอื้นร่ำไห้แทบขาดใจแล้วก็ตาม

   “เขาสัญญา สัญญาว่าจะหยุด ฮึก..และขอให้ฉันให้โอกาสเขา แต่ ฮึก.. แต่ฉันไม่เห็นเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ฮืออออ”
   “เขา ฮึก.. ขออะไร ให้ฉันทำอะไร ฉันทำให้หมด... แต่ทำไมฉันขอเขาบ้าง แค่เรื่องนี้ ฮึก.. เรื่องเดียวเท่านั้น ทำไมเขาไม่ทำให้ฉันบ้าง ทำไมถึงไม่สนใจความรู้สึก ฮึก..ขะ ของฉันบ้างเลย”
   “หลายครั้งฉันอยากหยุด พอแล้ว ไม่เอาแล้ว แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามถอยหนี เขากลับไล่ตาม ขอให้ฉันให้อภัย ฮึก.. บอกว่าเขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน... แล้วทำไมถึงทำกันแบบนี้! ทำไม! โฮฮฮฮฮฮ”
   “ฮึก.. ฉะ ฉันอยากลบความรู้สึกพวกนี้ไปหมด จะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เขาทำแบบนี้อีก ฮึก.. แต่มันก็ทำไม่-”
   “ทำได้สิครับ”

   ชายหนุ่มที่นั่งเงียบคอยรับฟังตลอด เอ่ยขัดขึ้นมากะทันหัน ส่งผลให้ดวงตาเศร้าเต็มไปด้วยน้ำตาละสายตาจากมือที่กุมกันไว้บนตัก เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

   “ดื่มน้ำหน่อยนะครับ คุณใช้เสียงไปมาก อาจจะเจ็บคอ”

    ว่าพลางเลื่อนแก้วน้ำมาให้ คนกำลังอ่อนแอตอบรับน้ำใจหยิบแก้วขึ้นดื่ม เรียกรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับชายแปลกหน้า

    “คุณบอกว่าไม่อยากรู้สึกอะไร จะได้ไม่เจ็บปวดอีก ผมช่วยได้นะครับ”
   “...ยะ ฮึก.. ยังไงหรือคะ?”
   
   ชายแปลกหน้าไม่ตอบ เพียงหยิบกระดาษพับแผ่นหนึ่งในกระเป๋าเสื้อยื่นส่งให้ หล่อนรับโดยง่ายในใจยังคงสับสนว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ก่อนค่อยๆ คลี่แผ่นกระดาษออกจนปรากฏข้อความสั้น เขียนด้วยหมึกสีแดงคล้ายเลือด

   ‘หลับให้สบายนะจ๊ะ นาง ตัว ดี’

   “!!!”

   หญิงสาวสะดุ้งตกใจ โยนกระดาษนั่นออกให้ไกลจากตัวราวกับต้องของร้อน เงยหน้ามองชายฝั่งตรงข้ามด้วยความไม่เข้าใจและความกลัวที่เริ่มเข้าแทนที่ แต่แล้วขณะกำลังพยายามลุกขึ้นหนีสติและเรี่ยวแรงพลันเลือนหายอย่างรวดเร็ว เสียงร้องขอความช่วยเหลือแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนฟุบหลับไปและไม่มีวันได้ฟื้นคืนอีก คือภาพรอยยิ้มมุมปากของชายแปลกหน้าคนนั้น



   รถกระบะสีดำเลี้ยวเข้าสวนกล้วยไม้รายใหญ่ของจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์กล้วยไม้ขายส่งออกทั้งในและนอกประเทศ ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมาหลายปีบวกกับความสามารถในการบริหารกิจการที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้เหล่าผู้คนในแวดวงกล้วยไม้ไม่มีใครไม่รู้จักสวนรฦกวัลย์แห่งนี้
   นอกจากผลิตกล้วยไม้ส่งออกคุณภาพดีจนสร้างชื่อให้กับประเทศแล้ว สวนแห่งนี้ยังเป็นแหล่งสร้างรายได้สร้างอาชีพให้กับผู้คนในพื้นที่ เพราะเหล่าคนงานล้วนเป็นชาวบ้านในจังหวัดต้องการรายได้เสริม โดยเจ้าของสวนจัดให้มีการฝึกอบรมวิธีการดูแลกล้วยไม้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่สนใจ และรับเข้าทำงานทันทีเมื่อผ่านการฝึก ส่งผลให้สวนแห่งนี้เป็นที่รักของชาวบ้านในตัวจังหวัด

    แม้จะมีชื่อเสียงและคนชื่นชมยินดี แต่เจ้าของสวนทุกรุ่นกลับไม่ชอบออกสังคม เก็บตัวดูแลสวนเงียบๆ คนส่วนใหญ่จึงรู้จากปากต่อปากเพียงว่าเจ้าของสวนนั้นเป็นคนจิตใจดี และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าเจ้าของสวนรฦกวัลย์เป็นใคร

   นายน้อยในอดีตปัจจุบันเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มแข็งแรงเจ้าของสวนกล้วยไม้คนปัจจุบัน เปิดประตูลงจากรถกระบะ ก่อนเดินตรงไปสำนักงานที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังสวน ระหว่างทางรับไหว้และตอบกลับทักทายเหล่าคนงานมากมาย จนถึงตัวสำนักงาน พบกับลูกน้องคนสนิทที่เปรียบเสมือนเลขาคอยดูแลสวนให้ระหว่างที่เขาไม่อยู่

   “ยินดีต้อนรับครับนาย”
    “อืม ช่วงที่ฉันไม่อยู่ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม ศิลา
   “ครับนาย มีแค่เอกสารที่ต้องรอให้นายอนุมัติประมาณห้าหกเรื่อง แต่ไม่ใช่เรื่องด่วนสำคัญ ผมจัดเรียงไว้ที่โต๊ะทำงานของนายเรียบร้อยแล้วครับ”
   “ขอบใจมาก” เอ่ยจบพร้อมเตรียมเปิดประตูเข้าสำนักงาน แต่ถูกลูกน้องเรียกขัดก่อน
   “นายครับ แล้วเรื่องเบอร์ติดต่อ...”

   ถ้อยคำเตือนความจำจากลูกน้อง ทำให้นายใหญ่ของที่นึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์และเบอร์มือถือใหม่ จึงมอบหมายงานให้ลูกน้องเป็นคนหาของเหล่านั้นและเอามาให้ตนที่สำนักงาน แล้วจะอนุญาตให้เลิกงานก่อนเวลากลับไปพักผ่อนได้

   หลังสั่งการเรียบร้อย นายใหญ่จึงเดินเข้าสำนักงาน ตอบกลับคำทักทายของพนักงานบ้างประปราย ก่อนตรงเข้าห้องทำงานของตน และเริ่มลงมือจัดการกับเอกสารที่คั่งค้างตลอดระยะเวลาที่เขาไม่อยู่



   จวบจนบรรยากาศภายนอกเปลี่ยนเป็นยามสนธยา พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เหล่าลูกน้องคนงานทยอยกลับบ้านกันเกือบหมด นายใหญ่ถึงเพิ่งออกจากห้องทำงานเตรียมกลับบ้าน ระหว่างเดินไปที่รถกระบะผ่านเรือนกล้วยไม้หลายหลังทอดยาวทั้งสองข้างทาง แสงสุดท้ายของวันล้อกับสีของดอกกล้วยไม้เกิดเป็นภาพสวยงามน่าชมชวนให้รู้สึกสงบและเงียบเหงาในเวลาเดียวกัน

   เดินชมผลผลิตของกล้วยไม้และตรวจเช็กความเรียบร้อยของสวนไปพลาง จนถึงตัวรถกระบะที่จอดทิ้งไว้ ปลดล็อกเปิดประตูโยนข้าวของและเอกสารซึ่งตั้งใจนำไปอ่านต่อที่บ้านไว้บนเบาะข้างคนขับ และเตรียมก้าวขึ้นตามไป พลันมีเสียงปริศนาเรียกให้ชายหนุ่มหยุดนิ่ง

   “คิดว่าเอามนุษย์มาอยู่ด้วยแล้วจะรอดเหรอไอ้ปีศาจ”
   “สมองคิดได้แค่นั้นจงคิดไป อย่าได้ริอ่านยุ่งกับข้าและคนของข้า ถ้าเจ้ายังอยากมีเวลาปากดีเช่นนี้อยู่”

   นายใหญ่ของสวนหันกลับมามองผู้บุกรุกด้วยนัยน์ตาสีอำพันที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกดุดัน แต่ผู้บุกรุกจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมเชิดหน้ามองปีศาจแปลงกายด้วยสายตาเหยียดหยาม

   “ปีศาจอ่อนหักอย่างแกนะเหรอ จะทำอะไรฉันได้”
   “ข้าไม่ทำ เพราะเห็นวิญญาณเจ้าบริสุทธิ์จึงคิดปล่อยผ่าน แต่ถ้ายังรนหาที่ไม่เลิก เห็นทีข้าคงปล่อยไว้ไม่ได้”
   “หึ ทำเป็นพูดดี ไอ้ปีศาจชั้นต่ำ”
   “อ้าวนายน้อย! ยังไม่กลับอีกหรือ”

   เสียงของลุงที่ทำงานดูแลสวนแห่งนี้มานาน เอ่ยทักนายน้อยแม้ปัจจุบันจะกลายเป็นนายใหญ่แล้วก็ตาม แต่เขายังคงติดปากกับคำเรียกเดิม ส่งผลให้การปะทะคารมของนักล่าปีศาจและปีศาจกินวิญญาณต้องหยุดลง ปีศาจเปลี่ยนนัยน์ตากลับเป็นสีอำพันดังเดิม ก่อนหันไปตอบลุงโดยสายตาเหลือบมองท่าทีผู้บุกรุกเป็นระยะ

   “ผมกำลังกลับแล้วครับลุง บังเอิญเจอคนรู้จักเลยคุยกันเพลินไปหน่อย ลุงล่ะครับจวนมืดค่ำแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”
   “ลุงไปดูต้นกล้ากล้วยไม้ด้านหลังมา กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน”

   ลุงพูดพลางเดินเข้ามาหาเจ้าของสวน จึงเห็นหน้าคนรู้จักของนายน้อยเป็นคนเดียวกันกับชายผมเงินแปลกหน้าที่เคยมาที่นี่อยู่ช่วงหนึ่ง

   “คุณนั่นเองที่เคยมาถามหาตอนนายน้อยไม่อยู่ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนกัน”
   “อา.. สวัสดีครับ”

   นักล่าปีศาจถูกเข้าใจผิดเป็นเพื่อนของศัตรู ทำได้เพียงตามน้ำไม่อยากให้เกิดข้อสงสัย เพราะหนึ่งในหน้าที่ของนักล่าปีศาจ นอกจากคอยกำจัดปีศาจร้ายแล้ว ยังต้องคอยปกปิดไม่ให้เรื่องการมีอยู่ของปีศาจรั่วไหลสู่โลกภายนอก เนื่องจากอาจนำมาซึ่งความแตกตื่นและวุ่นวายของสังคมมนุษย์

   “ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม งั้นลุงไม่กวนแล้ว กลับบ้านดีๆ นะ”
   “ให้ผมไปส่งไหมครับ” เจ้าของสวนอาสา
   “โอ้ย ไม่เป็นไร บ้านลุงใกล้แค่นี้เอง นายน้อยกลับไปพักผ่อนเถอะ”

   หลังลุงเดินหายไปจากบริเวณนี้ บรรยากาศตึงเครียดจึงกลับมาอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างจ้องดูท่าที และสุดท้ายฝ่ายนักล่าปีศาจยอมล่าถอยก่อน เนื่องจากตอนนี้ไม่เหมาะแก่การจัดการ เพราะอาจมีคนผ่านมาพบแบบเมื่อครู่

   “ระวังตัวให้ดี ครั้งหน้าอาจไม่โชคดีอย่างนี้ เอทอส”
   “เก็บไว้เตือนตัวเองเถอะ ภาคิน”



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 6 โอกาส]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 01-09-2019 01:15:04
(ต่อ)

    รถกระบะเคลื่อนตัวจอดตรงใต้ถุนบ้านทรงไทยประยุกต์ เจ้าของบ้านลงมาจากรถพร้อมเหล่าเอกสารในมือข้างหนึ่งเดินเข้าบ้าน พบสมาชิกใหม่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ตรงโซฟาห้องรับแขก

   “ปกติคุณกลับเวลานี้?” ถามพลางเดินมาช่วยปีศาจถือของ
   “ไม่เชิง”
   “คุณไปอาบน้ำให้หายเหนื่อย แล้วมากินข้าว ของพวกนี้ผมเอาไปวางที่โต๊ะทำงานให้”

   ปีศาจไม่ปฏิเสธน้ำใจมนุษย์เดินหายเข้าห้องตัวเอง ทิ้งให้มนุษย์แอบสำรวจตรวจดูเอกสาร ซึ่งล้วนเกี่ยวกับบัญชีการเบิกซื้อปุ๋ยและอุปกรณ์เพาะพันธุ์กล้วยไม้ ด้านล่างของเอกสารยังไม่ได้รับการเซ็นชื่ออนุมัติ และเมื่ออ่านชื่อด้านใต้ ทำให้ฆาตกรพอคาดการณ์อาชีพของปีศาจในฐานะมนุษย์ว่าอาจเป็นถึงเจ้าของสวนกล้วยไม้รายใหญ่
   พานให้จินตนาการถึงภาพปีศาจตั้งใจทำงานเสื้อชุ่มเหงื่อท่ามกลางเหล่าดอกกล้วยไม้ ยิ่งทำให้ฆาตกรอยากเห็นภาพนั้นแบบของจริง หลังเสร็จงานครั้งนี้ หมายมั่นว่าจะต้องขอตามปีศาจไปดูงานให้ได้

   เมื่อนำเหล่าเอกสารไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของปีศาจ เพิ่งสังเกตเห็นบางสิ่งซ่อนอยู่ข้างใต้ เนื่องจากก่อนหน้าเอาแต่นึกภาพปีศาจทำงานจึงไม่ทันได้มอง หยิบสิ่งนั้นขึ้นมาจากกองเอกสาร พบกล่องโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่พร้อมซิมการ์ดยังไม่ถูกแกะ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นของใคร
    ฆาตกรกวาดสายตาจดจำเบอร์ของซิมการ์ดตรงกระดาษผนึกซองพลาสติก ก่อนวางลงและหยิบปากกาเขียนบางอย่างใส่กระดาษสอดแนบไว้ใต้กล่องโทรศัพท์ แล้วจึงผละออกไปเตรียมอุ่นมื้อเย็นของตนและปีศาจ

   
    “รอยยิ้มเจ้าช่างไม่น่าไว้ใจ คิดจะทำอะไร”

    ปีศาจในคราบมนุษย์เอ่ยถามระหว่างรับประทานมื้อเย็นค่อนไปทางค่ำกับฆาตกร เนื่องจากตั้งแต่อาบน้ำเสร็จและมานั่งรอที่โต๊ะอาหาร จวบจนร่วมโต๊ะกันในเวลานี้ รอยยิ้มมุมปากของมนุษย์หนึ่งเดียวยังคงไม่เลือนหายจากใบหน้า
 
    “สัปดาห์หน้าผมตั้งใจจะไปดูคุณทำงานที่สวนกล้วยไม้”
   “ใครให้เจ้าไป”

    ปีศาจไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายล่วงรู้เรื่องอาชีพของตนในบทบาทมนุษย์ เพราะระหว่างที่เขาอาบน้ำคนเสนอตัวช่วยถือของคงแอบเปิดเอกสารอ่านหมดแล้ว

   “ผมอนุญาตตัวเอง และคุณจะอนุญาตผม”

   ฆาตกรตอบพร้อมจ้องกลับปีศาจด้วยแววตามั่นใจ ปีศาจมองกลับนิ่งสักพักก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และยอมเอ่ยคำอนุญาตจริงอย่างที่มนุษย์กล่าว

   “ไปอย่างคนปกติ อย่าทำให้ลูกน้องข้าตื่นกลัว”

   เมื่อได้รับคำอนุญาตฆาตกรยิ้มมุมปากส่งให้เป็นรางวัล ส่วนผู้รับส่ายหน้าหน่าย ก่อนลงมือทานมื้อเย็นต่อไม่สนใจแขกร่วมโต๊ะอีก


   หลังสิ้นสุดการรับประทานอาหารร่วมกัน มนุษย์และปีศาจต่างแยกย้ายพักผ่อนในห้องของตน เอทอสนั่งโต๊ะทำงานเคลียร์เอกสารที่นำกลับมาด้วย ใช้เวลาสักพักใหญ่จึงเสร็จสิ้น แล้วจึงหันมาสนใจกับมือถือและซิมการ์ดที่ให้ศิลาไปซื้อมาตอนช่วงกลางวัน

   โทรศัพท์รุ่นล่าสุดเพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานนี้ ถูกแกะออกจากกล่องพร้อมใส่ซิมการ์ดและกดเปิดเครื่อง ระหว่างรอมือถือเปิดเรียบร้อย เจ้าของสำรวจซองซิมการ์ดและกล่องโทรศัพท์ไปพลางๆ พลันเห็นกระดาษแผ่นเล็กซ่อนอยู่ใต้กล่อง หยิบขึ้นมาดูพบลายมือคุ้นเคยของคนห้องฝั่งตรงข้าม ใจความว่า

    ‘09X-XXX-XXXX เบอร์ของผม
    @_XXXX ไลน์ของผม
    XXXX@mail.com อีเมลของผม
    ส่วนเบอร์คุณผมบันทึกไว้แล้ว’

   ด้วยเหตุนี้ข้อมูลติดต่อแรกที่ถูกเพิ่มเข้ามาในโทรศัพท์ของเอทอส จึงเป็นข้อมูลของฆาตกรร่วมบ้านไปโดยปริยาย


   
    วันเวลาผันผ่านผู้คนส่วนมากใช้ชีวิตเรียบเรื่อยตามแบบของตน ยกเว้นชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถติดต่อหาคนรักได้เกือบตลอดสัปดาห์ ครั้งสุดท้ายเราแยกกันด้วยความผิดใจ เหตุเกิดเพราะความไม่รู้จักพอของเขาเอง หนึ่งในผู้หญิงที่เขาพยายามตัดความสัมพันธ์ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย นำความลับไปบอกคนรักเขา ทำให้เราสองคนทะเลาะกัน เขาพยายามอธิบายว่านั่นเป็นเรื่องในอดีต ปัจจุบันเขาเลิกหมดแล้ว ตามคำมั่นที่เคยให้ไว้เมื่อวันวาน แต่เหมือนคนรักเขาเจ็บช้ำเกินกว่าจะทนรับฟังถ้อยคำราวกับข้อแก้ตัว เขาจึงเลือกถอยออกมาเพื่อให้เธออารมณ์สงบลงแล้วค่อยอธิบายให้เข้าใจใหม่

   ช่วงเวลาระหว่างนั้นเขากลับไปเคลียร์กับหญิงต้นเรื่องที่ทำให้เขากับคนรักผิดใจกัน ปัญหาที่เขาเคยก่อจะได้จบลงเสียที หลังจัดการเรื่องวุ่นวายเรียบร้อย เขากลับบ้านเตรียมไปง้ออีกฝ่ายแต่กลับไม่พบเธออยู่ที่บ้าน ข้าวของทุกอย่างยังอยู่ดี บ่งบอกว่าเธอไม่ได้คิดย้ายหนีไปไหน ชายหนุ่มลงมือทำมื้อเย็นจัดบ้านเตรียมขอให้เธอเชื่อใจเขาอีกสักครั้ง และจากนี้ไปจะไม่ทำให้เธอเสียน้ำตาอีก

   แต่แล้วเวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่คนรักที่เฝ้ารอไม่กลับมา ชายหนุ่มตื่นขึ้นหลังจากเผลอฟุบหลับตรงโต๊ะกินข้าวซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าอาหารเย็นชืด เขาไม่รู้สึกโกรธเคืองที่ต้องรอเก้อแม้แต่น้อย เพราะเขาสมควรโดนแล้ว
    กดโทรศัพท์โทรหาอีกฝ่าย โทรติดแต่ไม่มีคนรับ ชายหนุ่มยังคงเพียรโทรและส่งข้อความทุกวันจากสิบเป็นร้อยจนเกือบถึงพัน แต่เธอไม่แม้แต่จะอ่านข้อความ ชายหนุ่มลางานตลอดสัปดาห์เพื่อตามหาเธอ ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน ไม่หยุดพัก ตามหาทุกที่ที่เธออาจไป ถามอ้อนวอนขอทุกคนที่อาจรู้ให้ยอมเฉลยว่าเธออยู่ไหน แต่กลับไม่มีใครเห็นเธอเลย

   เขาสิ้นหวังอับจนหนทาง คิดในใจว่าสมควรแล้วที่เธอจะทิ้งกันไป ทุกอย่างเป็นเพราะเขาทำตัวเองทั้งสิ้น และตอนนั้นเอง ที่ข้อความจากคนที่เฝ้ารอ ยอมให้อภัยตอบกลับมา

   ‘ฉันอยู่ที่บ้าน’

   ข้อความเรียบสั้นแสดงถึงความเหินห่าง พลันทำให้หัวใจคนเพียรตามหาหนาวเหน็บ แต่ไม่เป็นไร จะไม่เชื่อใจกันแล้วไม่เป็นไร เขาจะทำให้เธอเชื่อเขาอีกครั้งเองว่าเขาจะเป็นของเธอจากนี้และตลอดไป คิดปลุกพลังใจให้ตัวเองพลางกำกล่องกำมะหยี่ไว้แน่น ก่อนขับรถเร่งกลับบ้าน


   ภายในห้องรับแขกของบ้านเงียบเหงาเธอนั่งอยู่ตรงนั้น ตรงโต๊ะบริเวณด้านหน้าเธอมีซองเอกสารสีน้ำตาลกับกล่องสีดำและโทรศัพท์ของเธอวางอยู่รวมกัน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีคมมีดบาดลึกภายในทุกครั้งที่เดินเข้าไปหาเธอ เพราะอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเหลียวมอง
   จวบจนนั่งข้างกันสักพักหนึ่ง เธอก็ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งใด จึงเป็นเขาเองที่ทนความเงียบแสนอึดอัดไม่ไหว ยอมเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

   “เรื่องในวันนั้นไม่ใช่อย่างที่ใหม่คิด ผู้หญิงนั่นผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเธอนานแล้ว ตั้งแต่ที่ผมสัญญากับใหม่ครั้งนั้นจำได้ไหม”
   “...”
   “ใหม่อาจไม่เชื่อใจผมแล้ว... ผมรู้ว่าไม่มีสิทธิ์จะขออะไรได้ แต่ผมอยากพิสูจน์ตัวเองอีกสักครั้ง นะครับใหม่ และถ้าสุดท้ายใหม่ไม่สามารถทนกับผมได้อีกต่อไป ผมจะเป็นฝ่ายไปเอง”
   “...”
   “แต่ถ้าถึงตอนนั้นใหม่ยอมให้อภัยผม เราแต่งงานกันนะ”
    “...”
   “...ใหม่”
   
   ตลอดระยะเวลาเหมือนเขาพูดอยู่คนเดียว เธอไม่ยอมพูดตอบกลับหรือต่อว่า ไม่แม้แต่จะขยับเคลื่อนไหว นิ่งงันราวกับรูปสลัก ทำให้ชายหนุ่มที่พร่ำเพ้ออยู่นานสองนานเริ่มสงสัย ทำใจกล้าเอื้อมมือไปกอบกุมมืออีกฝ่ายบนตัก
   สัมผัสเย็นเฉียบและแข็งกระด้างทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับความรู้สึกแปลกประหลาดไปคุ้นชิน

   Rrrrrr!!!!

   เสียงร้องฉับพลันของโทรศัพท์ข้างซองสีน้ำตาล ทำให้ฝ่ายชายสะดุ้งเล็กน้อย แต่คนรักเขากลับไม่มีท่าทีสนใจโทรศัพท์แต่อย่างใด

   “ใหม่ มีคนโทรมานะ”
   “...”

   หล่อนยังคงนิ่งเงียบ ชายหนุ่มเริ่มเอะใจ ยกมือปัดผ่านดวงตา ไล่มือสัมผัสตามแขนและใบหน้าจึงรู้ว่าคนที่ตนคุยด้วยอยู่นานสองนานเป็นหุ่นเหมือนของคนรักตัวเอง รู้ดังนั้นจึงกดรับโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้อง เอ่ยถามว่าเหตุใดถึงเล่นตลกกันแบบนี้

   “ใหม่ คุณอยู่ไหน ผมไม่ตลกนะ ไม่อยากเจอหน้ากันขนาดนี้เลยเหรอ”
   [คุณใหม่ก็อยู่ตรงหน้าคุณแล้วไงครับ]

   เสียงตอบกลับเป็นเสียงของชายคนหนึ่ง เรียกให้อารมณ์ของคนฟังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนตะคอกพร้อมรัวคำถามใส่ปลายสายเสียงดัง

    “มึงเป็นใคร!!! ทำไมถึงมีเบอร์แฟนกู!! มึงเอาแฟนกูไปไว้ไหน!!!”
   [ผมบอกว่าคุณใหม่อยู่ตรงหน้าคุณ]
   “มึงอย่ามาเล่นลิ้นกับกู!! บอกมา!!!”
   [คุณลองเปิดซองสีน้ำตาลดู แล้วจะรู้เองว่าผมไม่ได้โกหก]

   ชายหนุ่มรีบหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลเปิดออก ภาพถ่ายมากมายร่วงออกจากซอง หยิบรูปใบหนึ่งพลิกหงายขึ้นมา ทันทีเมื่อเห็นภาพแทบทำให้ชายหนุ่มหยุดหายใจ

   [คุณใหม่บอกไม่อยากมีความรู้สึก จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดจากเรื่องของคุณอีก ผมจึงเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นตุ๊กตาหุ่นปั้น]
   “...”
   [แกนกลางทำจากโครงกระดูกของเธอ พอกด้วยปูนปั้น ก่อนคลุมทับด้วยแผ่นหนังของเธอที่ผมเลาะออกตอนแรก]
   [เส้นผมติดกับหนังศีรษะเธออยู่แล้วจึงจัดเข้าที่ได้ง่าย ไม่เหมือนดวงตาที่ผมต้องควักเอาออกมาดองไว้ พองานใกล้เสร็จถึงนำกลับมาใส่เข้าที่ใหม่]
   [คุณไม่ต้องกลัวว่าจะเน่าหรืออาจส่งกลิ่นเหม็น ผมเคลือบตัวคุณใหม่ให้แล้ว เธอจะคงความงดงามและไร้ความรู้สึกตลอดไป]

   คำบอกเล่าถึงวิธีการประกอบกับเหล่าภาพถ่ายทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มลอกหนังคนรัก ควักอวัยวะภายในทั้งหมดทิ้งจนเหลือเพียงกระดูก ก่อนนำไปทำความสะอาดและร้อยกับลวดเหล็กดัดให้เป็นท่านั่งประสานมือไว้บนตัก เริ่มเอาปูนพอกปั้นให้เป็นรูปร่าง และอื่นๆ อีกมายที่ชายหนุ่มทนดูไม่ไหว
   ฝ่ามือใหญ่แข็งแรงของชายหนุ่มบัดนี้กลับสั่นเทา ไม่เหลือแม้แต่แรงถือรูป ปล่อยให้เหล่าภาพบันทึกวิธีการเลวร้ายร่วงสู่พื้นพร้อมกับโทรศัพท์ที่หลุดจากมือ

   [หากคุณกังวลเรื่องคุณใหม่จะทรมาน สบายใจได้ครับ ผมทำระหว่างที่เธออยู่ในฤทธิ์ของยาสลบ ไม่เจ็บปวดอย่างแน่นอน]

   “...มึงทำได้ยังไง”
   [คุณพูดว่าอะไรนะครับ?]
   “กูถามมึงว่าทำได้ยังไง!!!!! ไอ้เหี้ย!!!!! กูจะฆ่ามึง!!!!!!!!!”

   เสียงร้องตะโกนด่าทอผสานกับเสียงคำรามเจ็บปวดขาดใจดังก้องทั่วบ้านทั้งหลัง ชายหนุ่มราวกับคนเสียสติกรีดร้องโวยวาย ทำลายข้าวของรอบตัวเหมือนคนหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง

   [ทุกอย่างเป็นเพราะคุณครับ ผู้หญิงของคุณจ้างผมมา]
   “มันเป็นใคร!!”
   [คุณไม่ต้องเสียเวลาตามล้างแค้นให้เหนื่อยเปล่า ผมฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว จำหนึ่งในผู้หญิงของคุณที่ถูกฆาตกรรมในคอนโดได้ไหมครับ]

   คำพูดจากปลายสายทำให้ชายหนุ่มเสียคนรักหยุดชะงักนึกถึงคู่ควงเก่าที่เลิกราไปนานแล้ว และเพิ่งออกข่าวถูกฆาตกรรมเมื่อช่วงต้นเดือนแต่เข้าไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ถ้ารู้ว่าหล่อนจะส่งคนมาทำกับคนรักเขาแบบนี้ เขาจะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับหล่อนเลย

   [ไม่ลองเปิดกล่องสีดำดูหน่อยหรือครับ]

   เสียงจากโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้น เรียกให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เหลือบมองกล่องสีดำใบหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ในใจเต้นระส่ำกลัวสิ่งที่อยู่ข้างใน แต่ความใคร่รู้ทำให้ชายหนุ่มยกฝากล่องขึ้นเปิดออก

   “ปุ้ง!”
   “แค่กๆ”

   เสียงระเบิดและเสียงสำลักควันสีขาวซึ่งพวยพุ่งออกจากตัวกล่องทันทีที่เปิดฝาเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน ชายหนุ่มพยายามมองผ่านกลุ่มควันที่เริ่มเลือนราง จนเริ่มเห็นค้อนตอกตะปูและขวดโหลด้านในกล่อง
   จวบจนควันจางหายไปหมดสิ้น บางสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในโหลแก้วทำให้ชายหนุ่มถึงกลับเข่าทรุด นั่งมองขวดโหลในกล่องด้วยสายตาว่างเปล่า

   [ตอนกำลังนำอวัยวะคุณใหม่ออก ผมบังเอิญเจอลูกของคุณ เลยดองเก็บไว้ให้]

   ตัวอ่อนของทารกถูกดองในขวดแก้ว ทำให้ผู้ที่กำลังได้เป็นพ่อคนไม่รู้ตัวใจสลาย หมดสิ้นเรี่ยวแรง เขาไม่เหลืออะไรแล้วทั้งคนรัก และลูกน้อย แหวนในกล่องกำมะหยี่หวังใช้เป็นเครื่องผูกมัดตัวเองให้เป็นของอีกฝ่ายตลอดไป กลับไร้ความหมายในตอนนี้ น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านแก้ม ก่อนไม่นานจะเปลี่ยนเป็นธารน้ำแห่งความสิ้นสูญไหลรินนองหน้า
   เขาร้องไห้เงียบงัน ไร้เสียงร้องหรือเสียงสะอื้น มีเพียงเหล่าหยดน้ำตาเท่านั้นที่ร่วงหล่นจากกรอบหน้าสู่พื้นกระเบื้องเย็นยะเยือก

   
   “อึก.. อั่ก!”

   เวลาเคลื่อนผ่านไปสักพักใหญ่ เขาเอาแต่นั่งเหม่อมองลูกน้อยในขวดโหล จนเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย ก่อนจะรู้สึกคลื่นไส้ และอาเจียนออกมาเป็นเลือด

   [พิษจากควันที่คุณสูดเข้าไปคงเริ่มออกฤทธิ์ อีกไม่นานคุณจะเลือดออกจนตาย ผมฝังยาถอนพิษไว้ในหุ่นของคุณใหม่บริเวณส่วนท้อง ผมเตรียมค้อนให้คุณแล้ว]
   
   เสียงโทรศัพท์ที่เงียบหายไปนานกลับมาอีกครั้ง พร้อมบททดสอบความเห็นแก่ตัวโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ชายหนุ่มกระอักเลือดรู้ทันทีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง มองสลับระหว่างค้อนกับรูปปั้นคนรัก

   “มะ.. มึง อั่ก! มึงทำแบบนี้... ทำไม..”
   [รีบตัดสินใจดีกว่าครับ ว่าอยากจะรอดหรือตาย เวลาของคุณกำลังจะหมด]

   คำพูดกระตุ้นจากปลายสาย ทำให้เสี้ยวหนึ่งของความเห็นแก่ตัวกลัวตายตื่นขึ้น ชายหนุ่มที่เลือดเริ่มไหลออกทางจมูกและดวงตา คว้าค้อนในกล่อง ง้างมือเตรียมฟาดใส่หุ่นของคนรัก
   
   “ตุ้บ!! เคร้ง!!”

   เสียงค้อนถูกขว้างใส่กำแพงก่อนตกกระแทกพื้นอย่างแรง พร้อมร่างชายหนุ่มชุ่มเลือด ทรุดตัวคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นคนรัก

    จะหลอกให้เขาทำร้ายใหม่อีกครั้ง แม้ตอนนี้เธอจะไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่มีทางซะหรอก!

คนใกล้หมดแรงพยายามใช้มือซึ่งอาบไปด้วยของเหลวสีแดงสด ล้วงหยิบกล่องกำมะหยี่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เปิดฝากล่องออกด้วยความทะนุถนอม เผยให้เห็นแหวนแพลทินัมเกลี้ยงที่ตั้งใจจะใช้เซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน พยายามเช็ดมือให้สะอาดที่สุด แม้เลือดจะไหลซึมออกจากปลายนิ้วเรื่อยๆ ก่อนหยิบแหวนจากกล่องวางไว้บนหลังมือรูปปั้นคนรัก

   “ผมขอโทษ ที่ผมรักคุณ ใหม่.. ผม..”
   “ตุ้บ!”

   ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้าย ร่างกายกลับไม่สามารถทนรับความสาหัสได้อีกต่อไป ล้มลงแทบเท้าหุ่นปั้นคนรัก และสิ้นใจอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางกองเลือดที่ไหลซึมออกจากร่าง ค่อยๆ แผ่ขยายเป็นวงกว้าง

   [ผมลืมพูดไป ยาถอนพิษใช้ได้ก่อนที่พิษจะเริ่มออกฤทธิ์เท่านั้น แต่คุณคงไม่ได้ยินเสียงผมแล้ว ไม่เป็นไร หลับให้สบายครับ]
   “...”
   [ขออภัยครับ ผมลืมอีกแล้ว]
    “...”
    [งานที่ผมจัดเซอร์ไพรส์ประทับใจหรือเปล่าครับ คุณใหม่]



บท6 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 6 โอกาส)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-09-2019 14:45:36
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 6 โอกาส)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 02-09-2019 19:20:59
รอติดตาม ^^
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 7 กินข้าว]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 11-09-2019 08:33:51


   เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่บ้านทรงไทยประยุกต์ไม่ได้มีผู้อาศัยเพียงหนึ่งเดียว แต่ถึงอยากนั้นการมีอยู่ของอีกหนึ่งสมาชิกร่วมบ้าน นอกจากสร้างเสียงทำอาหารตอนเช้าและเสียงเปิดทีวีช่วงค่ำ ก็ไม่ได้ทำให้บ้านหลังนี้ดูครึกครื้นขึ้นแม้แต่น้อย เหตุเพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกร่วมบ้านทั้งสองต่างออกไปทำงานของตัวเอง คนหนึ่งบริหารสวนกล้วยไม้ ดูแลเหล่าลูกน้องคนงานในปกครอง ส่วนอีกคน... งานของเขาเลวร้ายเกินกว่าจะกล่าวถึง

   “แต่งตัวอะไรของเจ้า”

   เจ้าบ้านเอ่ยถามพลางใช้สายตาพิจารณารูปแบบเครื่องแต่งกายของมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยปกติแล้วเมื่อโนอาร์ไปทำงานจะสวมใส่เชิ้ตขาว คลุมทับด้วยเสื้อสูทหรูสร้างความภูมิฐาน ร่วมกับกางเกงสแล็กส์เนื้อดี และรองเท้าหนังสีดำ เสริมความดูมีระดับและน่าเชื่อถือ ซึ่งต่างไปจากครั้งนี้
   เสื้อยืดธรรมดาเน้นใส่สบาย สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตไม่ติดกระดุมเพิ่มการระบายความร้อน กางเกงยีนส์เก่ามีรอยขาดเล็กน้อย รองเท้าเดินป่าอย่างดี และหมวกคลุมหน้าที่คนงานมักใส่กันแดด

   “ชุดคนสวน ช่วยคุณทำงาน”
   “ทำไมไม่แต่งแบบปกติ”
   “คุณบอกเองว่าอย่าทำให้ลูกน้องคุณกลัว ใส่แบบนี้ดูจะกลมกลืนมากกว่า”
    “...”

   ความคิดสุดหยั่งถึงของมนุษย์ถึงกลับทำให้ปีศาจพูดไม่ออก อาจเป็นเพราะระดับการใช้ตรรกะวิเคราะห์ของเขาและโนอาร์ต่างกันเกินไป เกินกว่าจะทำความเข้าใจในช่วงเวลาอันสั้น ดังนั้นเสียงของปีศาจจึงเงียบหายไปเกือบนาที เพื่อใช้พิจารณาตามความคิดมนุษย์ให้ทัน และสุดท้ายถึงได้ข้อสรุป

   “การกระทำของเจ้า ทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอ”
   “...”
   “ตลอดมาข้าคิดว่าเจ้าเป็นมนุษย์มากเล่ห์”
    “...”
    “แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าประเมินเจ้าสูงไป”
    “หมายความว่ายังไง?”

    โนอาร์ขมวดคิ้วถามปีศาจพลางมองเครื่องแบบของตนเองที่ใช้เวลานอนคิดมาตลอดคืน ชุดนี้เหมาะสมกับการดูปีศาจทำงานในสวนมากที่สุด อีกทั้งยังกลมกลืนกับพวกคนงานสร้างความเป็นมิตร ตามเงื่อนไขที่เอทอสกำหนด แล้วทำไมถึงเหมือนถูกว่ากลายๆ เช่นนี้

   แน่นอนความสงสัยของมนุษย์ไม่ได้รับการไขกระจ่าง เพราะผู้เฉลยเดินหนีไปขึ้นรถ ปล่อยให้มนุษย์ที่ยังคงสับสนทำหน้าที่ล็อกบ้านและเลื่อนรั้วปิด ก่อนเดินขึ้นนั่งรถกระบะฝั่งข้างคนขับที่จอดรออยู่บริเวณหน้าบ้าน เนื่องจากทั้งสองเห็นตรงกันเรื่องใช้รถคันเดียวดีกว่าแยกกันขับ แต่เหตุผลนั้นต่างกันเล็กน้อย เอทอสรู้สึกเกะกะหากต้องใช้รถแยกสองคัน อีกทั้งยังเปลืองพื้นที่จอดรถของสวน ส่วนเหตุผลของโนอาร์มีเพียงแค่อยากนั่งรถที่ปีศาจเป็นผู้ขับเท่านั้น



    ใช้เวลาไม่นาน รถกระบะสีดำเลี้ยวเข้าสวนกล้วยไม้ขึ้นชื่อของตัวจังหวัด รถเคลื่อนตัวขับผ่านเรือนกล้วยไม้หลายหลังหลากหลายสายพันธุ์ แขกผู้มาที่แห่งนี้ครั้งแรกมองทิวทัศน์นอกกระจกด้วยความสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าเบื้องหลังธุรกิจสร้างรายได้ให้ชาวบ้านและจังหวัดจะมีปีศาจเป็นผู้บริหาร

   “คุณทำมานานเท่าไร” มนุษย์หันมาถามปีศาจที่กำลังขับรถ
   “ประมาณสิบกว่าปี”

   คำตอบของปีศาจทำให้มนุษย์เกิดคำถามในใจขึ้นมาสองข้อ หนึ่งคือจากข้อมูลที่หามาสวนรฦกวัลย์แห่งนี้มีอายุเก่าแก่เกินสิบปี หมายความว่าเอทอสไม่ได้เป็นเจ้าของมาแต่แรก และข้อสองคืออายุที่แท้จริงของอีกฝ่าย แน่นอนปีศาจมีอายุขัยมากกว่ามนุษย์นัก หากให้อายุสูงสุดของมนุษย์คือร้อยปี ปีศาจอาจมีอายุได้เกือบครึ่งสหัสวรรษ

   “สวนนี้เป็นของพ่อแม่คุณ?”
   “ไม่ใช่พ่อแม่ข้า แต่เป็นของผู้มีพระคุณ”

   โนอาร์เลิกคิ้วประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นคำถามต่อมากลับไม่สัมพันธ์กับคำถามแรกเลย

   “คุณอายุเท่าไร?”
   “ถามแต่ข้า ไม่ยอมบอกของตัวเอง”
   “ผม 26”
   “ข้าอายุมากกว่าเจ้า”

   รถเคลื่อนจอดในตำแหน่งประจำ ก่อนเจ้าของจะเปิดประตูลงจากรถ ส่งผลให้คนที่ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ลงตามอีกฝ่ายที่รอล็อกรถอยู่ด้านนอก

   “สรุปคุณอายุเท่าไร”
   “ข้าตอบไปแล้ว”
   “ผมอยากได้คำตอบที่ชัดเจน”
   “แล้วมีตรงไหนไม่ชัดเจน”
   “คุณ-”
   “คนงานใหม่เหรอนายน้อย”

    เสียงทักทายแทรกกลางประโยคจากชายวัยกลางคน ทำให้บทสนทนาระหว่างเอทอสและโนอาร์หยุดชะงักคล้ายกับครั้งนั้นที่ร้านเสื้อผ้า ต่างกันที่ครั้งนี้เขาถูกปีศาจใช้สายตาปรามไม่ให้แสดงท่าทีข่มขวัญเหมือนที่เขาเคยทำกับพนักงาน
    ด้วยเหตุนี้มนุษย์ผู้เป็นอันตรายกับทุกสิ่งบนโลก ยกเว้นปีศาจที่ชื่อเอทอส จึงทำได้เพียงนิ่งเฉยมองคนมาใหม่

   “สวัสดีครับลุง” เอทอสหันไปทักทายคนดูแลสวนที่มักจะมาผิดจังหวะเวลาเสมอ
   “อืม สวัสดีๆ แล้วนี่คนงานใหม่เหรอ ชื่ออะไรล่ะเรา”

   ลุงรับไหว้จากเจ้าของสวนที่ตนให้ความเอ็นดูเหมือนลูกหลาน เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหันไปถามชื่อคนด้านข้างนายน้อยที่แต่งตัวด้วยชุดคนสวนพร้อมทำงาน

   “หึ ชื่ออะไรตอบลุงสมัยสิ” ฝ่ายเจ้าของสวนได้ทีเย้าแหย่มนุษย์ใจบาป
    “โนอาร์ครับ สวัสดีครับลุงสมัย”

    ฆาตกรใส่หน้ากากแสดงความเป็นมิตรจอมปลอมทันที ก่อนบอกชื่อและกล่าวทักทายตามมารยาท ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวโนอาร์เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน จากความรู้สึกอันตรายไม่น่าเข้าใกล้ กลายเป็นบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองชวนเข้าหาสร้างไมตรี
    หากคนทั่วไปคงคิดว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นคนอัธยาศัยดี ซึ่งรวมไปถึงลุงสมัยด้วย แต่กลับปีศาจที่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์และชั่วร้ายจากวิญญาณ บวกกับรู้จักนิสัยความคิดที่แท้จริงของเจ้าตัว บรรยากาศเป็นมิตรน่าคบหานี้ ในสายตาเอทอสจึงไม่ต่างจากกับดักที่ใช้ล่อลวงเหยื่อให้ตายใจ ก่อนลงมือจัดการแบบไม่ทันตั้งตัว

    แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของสวนก็ไม่ได้ห้ามปราม ปล่อยให้ฆาตกรสวมหน้ากากแสดงละครต่อไป เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำร้ายลูกน้องเขาแน่นอน ถ้าลูกน้องที่ติดอยู่ในหลุมพรางของโนอาร์ไม่คิดทำร้ายเขาก่อน ซึ่งปีศาจมั่นใจว่าไม่มี

    “ผมขอตัวเข้าสำนักงานก่อน ฝากลุงดูแลโนอาร์ด้วยนะครับ”
   “ได้อยู่แล้ว นายน้อยไม่ต้องห่วง”
   “ไปเดินเล่นรอบสวนระหว่างรอข้าทำงาน และอย่าทำอะไรไม่เข้าท่า”

    ประโยคสุดท้าย เอทอสก้มลงกระซิบข้างหูคนข้างตัวรวดเร็วก่อนเดินแยกออกไป ทิ้งให้ฆาตกรสวมหน้ากากอยู่กับลุงดูแลสวน ความคิดแรกโนอาร์ตั้งใจจะตามปีศาจไป แต่ลองคิดดูอีกทีการใช้เวลาชื่นชมความสำเร็จของปีศาจ และลอบตรวจเช็กนิสัยใจคอเหล่าคนงานพลางผูกสัมพันธ์ ไว้เผื่อใช้ประโยชน์ในอนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่เลวนัก ดังนั้นแขกผู้มาเยือนซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนงานใหม่ จึงปล่อยให้ลุงสมัยพาดูสวนและสอนงานโดยไม่ได้เอ่ยขัดอะไร

   สวนรฦกวัลย์แห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร จึงไม่แปลกที่จะต้องใช้คนงานมากมายในการดูแล ซึ่งล้วนแล้วมาจากชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง จากการสังเกตของฆาตกรพบว่าทุกคนในที่นี้ต่างอัธยาศัยดี และดูเหมือนจะชื่นชมเจ้าของสวนเป็นอย่างมาก ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับโนอาร์ว่า เอทอสทำอะไรถึงทำให้พวกคนงานเคารพรักขนาดนี้

    “ทำไมคนงานถึงดูชื่นชอบเอทอสนักครับ?” ฆาตกรเอ่ยถามลุงสมัยที่กำลังสอนวิธีดูกล้วยไม้
    “ไม่ใช่แค่นายน้อยหรอกนะ แต่เป็นเจ้าของสวนทุกรุ่นเลยต่างหาก”
   “คนตระกูลนี้เป็นคนดีชอบช่วยเหลือคน นอกจากให้งานให้อาชีพแล้ว ใครเดือดร้อนหนักๆ ก็ไปขอความช่วยเหลือได้ พวกเขาไม่เคยทอดทิ้งและให้เกียรติกับแรงงานด้อยกว่าอย่างพวกเราเสมอ”
    “ทุกรุ่นแม้แต่นายน้อยเอง ล้วนดูแลทุกคนด้วยความจริงใจไม่ใช่อำนาจเงิน ไม่แปลกที่พวกเขาจะได้รับความจริงใจและความนับถือจากคนงานตอบแทน”
    “ว่าแต่เราเถอะ ถูกนายน้อยช่วยมา น่าจะเข้าใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
    “ผมไม่ได้ถูกเอทอสช่วยหางานหรอกครับ ผมตั้งใจมาเอง”
   “หือ?”
    “ผมเป็นว่าที่คนรักของเขาน่ะครับ วันนี้ว่างเลยตามเขามาด้วย”

    การเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนงานและพาเดินดูสวนสอนงานตลอดเกือบสามชั่วโมง ไม่น่าตกใจเท่าสถานะที่โนอาร์กล่าวอ้างเมื่อครู่ ลุงสมัยที่ได้ฟังคำทึกทักเอาเองของฆาตกรถึงกลับนิ่งค้างไปครู่ใหญ่ ก่อนพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอแสดงอาการมากจนเกินไป
    เขาเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจสังคมในยุคสมัยนี้ การรักใคร่ชอบเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องผิดแผก ทั้งยังเคยพบเห็นกลุ่มคนเหล่านี้มามากมาย แต่ก็อดตกใจไม่ได้จริงๆ ที่นายน้อยของเขาซึ่งเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อโตขึ้นจะมีรสนิยมชอบพอเพศเดียวกัน ทั้งที่ไม่เคยแสดงอาการมาก่อน
    ซึ่งหากจะปฏิเสธว่าสิ่งที่โนอาร์พูดไม่ใช่เรื่องจริงนั้น เขาเองก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก เพราะเมื่อย้อนความจำไปตอนที่เจออีกฝ่ายครั้งแรกบริเวณลานจอดรถ นายน้อยดูสนิทสนมกับโนอาร์มากพอตัว ซ้ำก่อนแยกไปสำนักงาน เขาทันเห็นนายน้อยก้มลงไปกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูคนตรงหน้า เป็นการกระทำแบบที่เขาไม่เคยเห็นนายน้อยแสดงกับใครมาก่อน ดังนั้นสถานะ ว่าที่คนรัก ของโนอาร์จึงมีน้ำหนักมากจนทำให้ลุงสมัยเริ่มหลงเชื่อ

    “อา.. เหรอ.. งั้นเหรอ... แล้วเราคบกับนายน้อยมานานหรือยังล่ะ”
    “ประมาณเดือนกว่าครับ”
    “อืม.. ยังไม่นานเท่าไรเลยนะ”
    “ครับยังไม่ค่อยนาน แต่เอทอสให้ผมมาอยู่บ้านทรงไทยประยุกต์ด้วยกันแล้ว”
   “!!”

   จากที่รู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายน่าจะมีมูลความจริง คราวนี้กลับเชื่ออย่างสนิทใจ บ้านทรงไทยประยุกต์นั้นนายน้อยเก็บเงินสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง และไม่มีใครเคยได้เข้าอาศัยอยู่นอกจากเจ้าของ การที่นายน้อยให้อีกฝ่ายมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เห็นทีหลังจากว่าที่คนรัก ได้กลายเป็นคนรักเต็มตัวแล้ว เขาคงต้องเตรียมหาชุดไปร่วมงานวิวาห์ของนายน้อยเป็นแน่

     “งั้นเหรอ.. ลุงขอให้เรากับนายน้อยรักกันไวๆ นะ”
    “ขอบคุณครับลุง นี่ก็เที่ยงแล้ว ลุงสมัยไปพักเถอะครับ ผมจะขอตัวไปหาเอทอสเหมือนกัน”
    “อา.. อืม  ไปสิ”

    คนเจ้าแผนการยกยิ้มมุมปาก เมื่อเหยื่อหลงกลติดกับคำพูดเข้าอย่างจัง ก่อนขอตัวกลับไปหาเอทอสเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก ปล่อยให้ลุงสมัยจมอยู่กับความคิดตัวเองเพียงลำพังท่ามกลางเหล่ากล้วยไม้ในเรือนเพาะพันธุ์


    โนอาร์เดินมุ่งหน้าไปทางส่วนหลังของสวนรฦกวัลย์ จนกระทั่งพบกับอาคารหลังหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นสำนักงานที่เอทอสทำงานอยู่ เปิดประตูเข้าไปพบว่าด้านในไร้ผู้คน คาดว่าคงออกไปหาอะไรทานช่วงพักเที่ยงกันหมดแล้ว เว้นเสียแต่เจ้าของสวนที่ยังไม่ยอมออกจากห้อง

    “ก๊อกๆๆ”
   “เชิญ”

    สิ้นคำอนุญาต ก่อนตามด้วยเสียงเปิดประตูและร่างของผู้มาเยือนก้าวเข้ามาในห้อง ปีศาจในร่างมนุษย์ไม่แม้แต่เงยหน้าจากกองเอกสาร เพราะกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากวิญญาณ เป็นเครื่องบ่งบอกชั้นดีว่าคนที่เข้ามาคือใคร

    “เที่ยงแล้ว คุณควรไปกินข้าวกับผม”

    ถ้อยคำเชิญชวนให้ไปทานมื้อกลางวันด้วยกันช่างดูแข็งและหยาบกระด้าง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มนุษย์สวมหน้ากากพูดคุยกับคนงานริบรับ เรียกสายตาให้ปีศาจมองฆาตกรในชุดทำสวนซึ่งคราวนี้ถอดหมวกออกแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าขึ้นสีแดงและไรผมชื้นเหงื่อจากความร้อน แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าก็ยังคงเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกเช่นเคย

    หากมองเพียงผิวเผินร้อยทั้งร้อยต้องเห็นตรงกันว่า มนุษย์ผู้นี้ไม่ชอบเขา และการชวนไปกินข้าวของอีกฝ่ายคล้ายถูกบังคับให้พูดมากกว่า แต่ใครจะรู้ว่าน้ำเสียงเรียบนิ่งและคำพูดทื่อๆ ของมนุษย์ที่มีนามว่าโนอาร์ นั่นคือตัวตนที่แท้จริงและเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจเท่าที่อีกฝ่ายจะทำได้แล้ว
    แน่นอนเอทอสรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็อดยั่วอารมณ์อีกฝ่ายไม่ได้

    “คนพูดจาไพเพราะน่าคบหาเมื่อตอนเช้าไปไหนแล้ว”
    “คุณรู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวผมจริงๆ”
    “ไม่คิดว่าข้าจะชอบเจ้าที่เป็นแบบนั้นมากกว่าหรือไง”
    “คุณไม่ชอบคนประจบเสแสร้ง และผมจะไม่ทำ”
   “หึ”

    เอทอสหัวเราะเล็กน้อยพลางยกยิ้มมุมปากชมมนุษย์ที่สามารถมองเขาออก ตรงตามที่โนอาร์กล่าว หากมนุษย์ใจบาปเลือกสวมหน้ากากตั้งแต่แรกที่พบกัน อีกฝ่ายจะไม่มีวันได้อยู่กับเขานานขนาดนี้ และการที่เขายอมปล่อยให้ฆาตกรวนเวียนในชีวิตจนถึงตอนนี้เป็นเพราะ โนอาร์เปิดเผยทุกอย่างกับเขา ไม่คิดปิดบังแกล้งเป็นคนดี ทุกการกระทำและคำพูดล้วนออกมาจากตัวตนจริงๆ ไม่ได้ปรุงแต่งเพื่อใช้เอาใจ แม้การเปิดเผยเกินไปจะทำให้เขาเห็นด้านชั่วร้ายเกินมนุษย์ของอีกฝ่ายก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาชอบโนอาร์ที่ปฏิบัติซื่อตรงกับเขาเช่นนี้เหมือนกัน

    “งานข้ายังไม่เสร็จ เจ้าไปหาอะไรกินเองคนเดียว”
    “ผมขอกุญแจรถ”

    ดูเหมือนฆาตกรจะหิวพอตัวถึงได้ตัดบทไม่เซ้าซี้อย่างที่ชอบทำ เอทอสหยิบกุญแจรถกระบะส่งให้โนอาร์ที่เดินเข้ามารับ ก่อนกลับไปมุ่งความสนใจกับเหล่ากองเอกสารต่อ ส่วนโนอาร์เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ก็หมุนตัวก้าวไวๆ ออกจากห้องและตัวสำนักงานไป
   
    ระหว่างทางไปจุดจอดรถกระบะ โนอาร์ผ่านเรือนกล้วยไม้และกลุ่มคนงานที่พักเที่ยงรวมกลุ่มทานข้าวกันมากมาย แต่ครานี้ไม่เหมือนครั้งแรก เพราะไม่ได้ใส่หมวกคลุมใบหน้าหรือแผ่บรรยากาศกดดัน จึงทำให้กลายเป็นที่ดึงดูดสายตาของเหล่าคนงานสวนกล้วยไม้ทั้งชายหญิง

    “ดูสิ คนงานใหม่ที่นายพามางานดีมากกก” สาวคนงานผู้หนึ่งสะกิดบอกเพื่อน
    “อื้อฮือ งานดีจริง เขาชื่ออะไรอะ”
    “คุณเขาชื่อโนอาร์ และก็ไม่ใช่คนงานด้วย แต่เป็นคนรักของนายน้อย อย่าคิดไปยุ่งเชียว” เสียงของลุงสมัยผู้แทรกขัดทุกสถานการณ์ดังผ่าวงสนทนาของเหล่าคนงาน
    “มั่วแล้วลุง นายไม่ได้เป็นสักหน่อย” คนงานชายคนหนึ่งเอ่ยทักท้วงขึ้น
    “เป็นไม่เป็นไม่รู้ แต่นายน้อยพาคุณเขามาอยู่บ้านด้วยกันแล้ว”
    “อาจเป็นเพื่อนนายมาเที่ยวแถวนี้ก็ได้”
    “แล้วเอ็งเคยเห็นนายก้มกระซิบข้างหูเพื่อนคนไหนไหม”
    “...ไม่เคย แต่...เพื่อนกระซิบคุยกันไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
    “บรื้นนน”

    เสียงรถกระบะสีดำของนายขับผ่านกลุ่มคนงานไปทางหน้าสวน ตลอดระยะเวลาที่พวกเขานั่งคุยกันมั่นใจว่าไม่เห็นใครเดินไปทางที่จอดรถ นอกจากคนงานใหม่ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่

   “เพื่อนยืมรถกันปกติ”
    “เออ! เดี๋ยวก็รู้ว่าข้ากับเอ็งใครจะถูก”
    “งั้นอย่างนี้ฉันก็พอมีสิทธิจีบพ่อหนุ่มหน้าใหม่ใช่ไหมจ๊ะลุง”
    “ไม่ได้!”



   รถกระบะเลี้ยวจอดบริเวณหน้าร้านอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดซึ่งอยู่ห่างจากสวนกล้วยไม้ไม่มากนัก ก่อนฆาตกรในชุดคนสวนจะลงจากรถเดินเข้าร้าน สั่งอาหารเมนูแนะนำแบบนำกลับบ้าน ระหว่างรออาหาร โนอาร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่เช็กอีเมลของผู้ว่าจ้างฆ่าเวลา
    มีหลายงานน่าสนใจ แต่ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นงานจากผู้ว่าจ้างเจ้าประจำ ครั้งนี้อีกฝ่ายเสนอของเล่นเป็นตำรวจรุ่นใหม่ไฟแรง ยึดมั่นในอุดมการณ์จนอาจไปขัดขาใครเข้า ถึงได้ถูกเสนอชื่อมาเป็นของเล่นเช่นนี้

    ทว่าสิ่งที่ฆาตกรสนใจไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นตัวของผู้ว่าจ้าง การสั่งเก็บคนทำงานสุจริตซื่อตรง มีความเป็นไปได้สูงที่วิญญาณของนายจ้างจะตรงกับความชอบของปีศาจ ดังนั้นนิ้วเรียวจึงขยับพิมพ์ตอบรับงานพร้อมนัดสถานที่เจรจาและกดส่ง  ก่อนรอยยิ้มมุมปากอันตรายของฆาตกรจะปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน ยามนึกถึงใบหน้าหวาดหวั่นของผู้ว่าจ้าง เมื่อรู้ว่าแบบงานที่สั่งให้เขาจัด เขาเอามาใช้กับเจ้าตัว

    “ผมขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหมครับ” เสียงทักทายปริศนา ทำให้โนอาร์ละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมอง

    ชายรูปร่างสูงโปร่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ผมสีเงินเข้ากับใบหน้าเป็นลักษณะเด่นของเจ้าตัว อะไรบางอย่างให้ความรู้สึกว่าชายคนนี้หาใช่คนธรรมดาทั่วไป เพราะอีกฝ่ายกำลังจ้องเขากลับไม่หลบสายตา แม้จะถูกเขามองอย่างข่มขู่บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการร่วมเสวนาก็ตาม

    “ไม่”
    “เอทอส.. คุณรู้จักเขาไหมครับ”

    ชื่อต้องห้ามที่ไม่ควรออกมาจากปากชายแปลกหน้า ทำให้แววตาโนอาร์จากที่เพียงไล่อีกฝ่ายให้ไปไกลๆ กลับประกายเย็นเฉียบแฝงด้วยอารมณ์เกินคาดเดา
    ฝ่ายคนถูกจ้องเมื่อเห็นว่าคนที่ตนอยากคุยด้วยมีท่าทีกับคำพูดเมื่อครู่ ก็ถือวิสาสะนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ไม่สนใจสายตาจากอีกฝ่ายที่จ้องราวกับต้องการจะฆ่ากัน

    “ผมมาเตือนคุณด้วยความหวังดี ชายคนนั้นกำลังหลอกใช้คุณ”
    “...”
    “เขาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
    “รู้อะไร บอกมา”
    “ผมบอกไม่ได้ แต่ถ้าคุณยังอยู่กับเขา ชีวิตคุณอาจไม่ปลอดภัย”

    ลักษณะการพูดราวกับล่วงรู้อะไรบางอย่างและต้องการเกลี่ยกล่อมให้เขาออกห่าง หากเขาไม่รู้ว่าเอทอสเป็นอะไรมาก่อน ชายแปลกหน้าคนนี้คงถูกเขาจับมาทำของเล่นเค้นความลับ แต่เพราะรู้อยู่แล้ว คำพูดเหล่านั้นจึงกลายเป็นเครื่องบ่งบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย

    นักล่าปีศาจ กลุ่มคนที่มีความสามารถและอาวุธในการปราบปีศาจโดยเฉพาะ จัดได้ว่าเป็นศัตรูของเอทอส แต่คนพวกนี้จะเลือกกำจัดเฉพาะปีศาจที่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย แน่นอนเอทอสไม่ใช่ปีศาจจำพวกนั้น และการมาเตือนเขาเช่นนี้สามารถมองได้เพียงอย่างเดียวคือ ชายคนนี้มีจุดประสงค์ไม่ดีกับเอทอสของเขา ถึงได้พยายามกันคนธรรมดาให้ออกห่าง
    
    ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมด นักล่าปีศาจผู้นี้เหมาะอย่างยิ่งแก่การเป็นของเล่นเขา จะได้หมดโอกาสแตะต้องปีศาจ แต่ในขณะเริ่มคิดเตรียมการวางแผน กลับมีคำพูดหนึ่งแทรกเข้ามา ส่งผลให้ทุกอย่างในหัวฆาตกรเป็นอันต้องพับเก็บ

    ‘ผมจัดการให้ไหม’
    ‘ไม่ต้อง เรื่องของข้า ข้าจัดการเอง’

    “ไสหัวไป” เมื่อไม่อาจขัดคำปีศาจ จึงทำได้เพียงไล่อีกฝ่ายไปไกลๆ
    “นี่คุณ ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ”
    “ไม่จำเป็น”
    
    ตอนนั้นเองที่พนักงานร้านนำอาหารที่สั่งกลับบ้านมาวางที่โต๊ะพอดี โนอาร์ยื่นจ่ายเงินพอดีราคาของกับพนักงาน ก่อนหิ้วถุงอาหารออกจากร้านมุ่งตรงไปทางรถกระบะ ไม่สนใจใครบางคนที่เดินตามออกมา ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ

    “คุณ”
   “...”
    “คุณ!”
    “พรึบ!”

   ฉับพลันคนเดินนำด้านหน้าหมุนตัวกลับพร้อมตวัดแขนใส่บริเวณลำคอของคนตามหลัง โชคดีที่ผู้รับการจู่โจมมีทักษะป้องกันตัว จึงสามารถเอี้ยวหลบและถอยไปตั้งหลักได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนหันมองวัตถุมีคมเงาวาวล้อแสงอาทิตย์เที่ยงวันในมือของผู้กระทำ

    “รำคาญ”

   ยังไม่ทันหายตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ชายอันตรายในชุดคนสวนได้เอ่ยคำสั้นทิ้งท้ายสื่อถึงอารมณ์ในตอนนี้ ก่อนหันหลังกลับ เดินขึ้นรถกระบะและขับออกไป ทิ้งให้คนตามยังคงอึ้งกับเรื่องก่อนหน้า
    การเคลื่อนไหวเฉียบคมของอีกฝ่ายที่เล็งใส่จุดสำคัญอย่างแม่นยำไร้ความลังเล คล้ายประสงค์เอาชีวิตมากกว่าเพียงข่มขู่ ทำให้เขาเริ่มตระหนักว่า ชายผู้อยู่ร่วมกับปีศาจคนนี้อาจไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างที่เขาคิด และต่อจากนี้สิ่งที่เขาต้องจับตาดูอาจไม่ใช่แค่ปีศาจอย่างที่ผ่านมา



    โนอาร์กลับมาถึงสวนรฦกวัลย์ในเวลาประมาณบ่ายโมงเล็กน้อย หลังจอดรถในตำแหน่งเดิมเรียบร้อย เขามุ่งหน้าไปยังสำนักงาน เมื่อเข้ามาพบว่าภายในมีเหล่าพนักงานนั่งทำงานประจำที่ของตน ต่างจากครั้งแรกที่เข้ามาเมื่อตอนเที่ยง หลายคนจับจ้องมาที่เขาซึ่งเป็นคนแปลกหน้า แต่แล้วก็ต้องหลบสายตาด้วยท่าทีเก้อเขิน เมื่อเขาหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มบางเบาจอมปลอมกลับไปให้

    “ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
    
    คำถามจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาเขาดังขึ้น เรียกให้ฆาตกรในโหมดคนอัธยาศัยดีหันมอง ชายตรงหน้ามีท่าทีสุขุมวางตัวเป็นการเป็นงาน ไม่วอกแวกเหมือนคนอื่น บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพได้อย่างดี

    “มาพบเอทอสครับ”
    “ตอนนี้คุณเอทอสกำลังทำงานอาจไม่ค่อยสะดวกเท่าไร คุณสามารถฝากเรื่องไว้กับผมก่อนได้ครับ”
    “ครับ ผมทราบดีและรู้ว่านายของคุณชอบทำงานต่อเนื่องจนไม่ยอมกินข้าว ผมจึงซื้อมาให้และอยากเข้าพบ”
    “สา-”
    “ผมชื่อโนอาร์ ลองแจ้งนายของคุณครับ ถ้าเขาไม่อนุญาตผมจะกลับ”
    “..สักครู่นะครับ”

   ชายหนุ่มคนนี้ทำหน้าที่ได้ดี ไม่ปล่อยให้คนแปลกหน้าไม่รู้จักเข้าพบนายของตนโดยง่าย แต่เพียงแค่นี้ใช่ว่าจะกันเขาได้ สุดท้ายจึงต้องปลีกตัวไปถามนายของตนตามคำเขา ก่อนไม่นานอีกฝ่ายจะกลับมาด้วยลักษณะสุขุมเช่นเดิม แต่ไม่สามารถปกปิดความประหลาดใจที่พาดผ่านดวงตา

    “เชิญครับ กรุณาตามผมมา”
    “ขอบคุณครับ”

    ชายคนนั้นนำทางฆาตกรไปยังห้องหนึ่งที่อยู่ในสุด ก่อนเคาะประตูแจ้งเจ้าของห้อง เมื่อได้รับคำอนุญาตจากคนด้านใน จึงดันบานประตูเปิดให้แขกเดินเข้าไป และปิดให้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตามเข้ามาด้วย ทั้งห้องจึงมีเพียงฆาตกรในคราบคนธรรมดาและปีศาจในบทบาทมนุษย์เท่านั้น

    เอทอสเพียงเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามารบกวนเวลางานเขาเป็นครั้งที่สองเล็กน้อย ก่อนหันไปสนใจกับงานอีกครั้ง ฝ่ายคนถูกเมินเดินไปบริเวณชุดโซฟามุมหนึ่งของห้อง นำอาหารที่บรรจุในกล่องอย่างดีออกจากถุงนำมาวางบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา แล้วจึงเดินกลับไปหาปีศาจที่โต๊ะทำงาน

    “ผมซื้ออาหารมาฝาก คุณควรพักกินข้าวได้แล้ว”
   “ขอบใจ”

    คำตอบรับส่งๆ จากเจ้าของคำพูดที่ไม่แม้แต่เงยหน้าจากกองเอกสาร ทำให้อารมณ์คนยอมขับรถไปกลับเพื่อซื้อมื้อกลางวันมาให้อีกฝ่ายหวังเพียงจะได้ทานข้าวร่วมกันเพิ่มสูงขึ้น โนอาร์เดิมอ้อมไปยืนอยู่ข้างเก้าอี้นายใหญ่ของสวนรฦกวัลย์ ก่อนแย่งปากกาในมือของปีศาจและลากร่างสูงใหญ่มาที่โซฟา

    “ทำอะไรของเจ้า”
    “ข้าวไม่กิน งานไม่ต้องทำ”
    “กล้าขู่ข้า?” เอทอสเลิกคิ้วถามอีกฝ่าย
    “ผมทำได้มากกว่าขู่”
    “ยังไง?”
    
    คนโดนถามไม่ตอบ เอาแต่นั่งนิ่งใช้สายตากดดันปีศาจที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงโซฟาด้านข้าง และมีหรือเอทอสจะยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันไม่ยอมพูดไม่ยอมขยับ นิ่งงันหลายนาที จนในที่สุดก็มีฝ่ายหนึ่งยอมอ่อนให้ก่อน

    “คุณทำงานจนไม่ออกไปกินมื้อเที่ยง ผมเลยซื้อมาให้ที่นี่.. ผมแค่อยากกินข้าวกับคุณ”
   
    แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งไม่ต่างจากใบหน้า แต่เอทอสสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่งของความตัดพ้อที่พาดผ่านดวงตาของคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความรู้สึกนี้ ส่งผลให้ปีศาจยอมโอนอ่อน หยิบกล่องข้าวตรงหน้าที่อาหารด้านในเริ่มเย็นชืดแล้วขึ้นกินโดยไม่พูดอะไร

    เวลาผ่านไปไม่มากนัก อาหารในกล่องของทั้งคู่ก็ว่างเปล่า โนอาร์เก็บกล่องและเศษขยะใส่ถุงเพื่อนำไปทิ้งและคืนปากกาให้ปีศาจ และจึงเดินแยกออกไปทางหน้าประตูเตรียมออกจากห้อง จังหวะนั้นเองที่เสียงจากคนด้านหลังดังขึ้น

    “กินข้าวเสร็จแล้วนั่งทำงานต่อเลยมันไม่ดี”
    “...”
    “เจ้าสนใจเดินเล่นย่อยอาหารกับข้าไหม”


   ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงเดินคู่กันชมเหล่าดอกกล้วยไม้ในสวนรฦกวัลย์ เป็นภาพแปลกตาประหลาดใจต่อคนงานที่พบเห็น เพราะนายของตนแทบไม่ออกจากสำนักงานถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาเย็นย่ำก่อนกลับ แต่ครั้งนี้นายใหญ่กับพาใครบางคนเดินชมสวนพลางอธิบายบางสิ่งเมื่อคนข้างกายเอ่ยถาม ซึ่งไม่เคยทำเช่นนี้กับใครมาก่อน
แม้เพื่อนของนายที่กลับมาจากเมืองนอกและแวะมาเยี่ยม นายยังสั่งให้คนงานพาเที่ยวรอบสวน ส่วนตัวเองก็เดินหายเข้าสำนักงาน จนเพื่อนคนนั้นกลับก็ไม่แม้แต่ออกมาลาพูดคุย แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่า คนที่เดินเคียงคู่นายใหญ่แห่งสวนรฦกวัลย์คนนี้สำคัญและพิเศษกว่าใคร

    “เอ็งเคยเห็นนายน้อยพาใครเดินดูสวนแบบนี้ไหม” เสียงของลุงสมัยเอ่ยถามหนึ่งในคนงานที่ยังเถียงเรื่องของนายน้อยกับคุณโนอาร์ยังไม่จบจนถึงตอนนี้
    “...อาจเป็นเพื่อนสนิทนายก็ได้”
    “และเพื่อนสนิทต้องเดินจูงมือกันแบบนั้นไหม” ลุงสมัยชี้นิ้วไปที่มือของทั้งคู่ที่เดินกันอยู่ไกลๆ
    “อา...”
    “ข้าบอกแล้วไม่เชื่อ! เอ็งนี่มีตาหามีแววไม่”




บท7 สมบูรณ์


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 7 กินข้าว)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2019 18:17:52
 :pig4:
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 8 รู้สึก]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 21-09-2019 09:46:07



     ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้โนอาร์และเอทอสอยู่ด้วยกันเสมอ กลายเป็นภาพชินตาของเหล่าคนงานในสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ เหตุเพราะใครบางคนเลือกเมินงานมากมายที่รอการตอบกลับทางอีเมล เพื่อที่จะได้ใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับคนสำคัญและคอยดูแลให้ความช่วยเหลืออีกฝ่าย

    ซึ่งการดูแลที่ว่าเห็นจะมีแค่การอัญเชิญเจ้าของสวนจากโต๊ะทำงานให้เสด็จมาเสวยมื้อกลางวันเท่านั้น ส่วนความคิดที่ตนจะได้ถือน้ำ ใช้ผ้าเย็นซับเหงื่อตามกรอบหน้า หรือคอยพัดคลายร้อนเมื่อนายใหญ่ลงพื้นที่ดูกล้วยไม้ คงเป็นฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เพราะเจ้าของสวนแทบไม่ย่างกรายออกจากห้องทำงาน จะออกตรวจสวนอย่างที่ใครบางคนเฝ้ารอก็ตอนเย็นก่อนกลับ แน่นอนการเลือกลงพื้นที่ในช่วงเวลาที่แดดอ่อน อากาศสบายๆ แบบนี้ ความปรารถนาที่จะได้ปรนนิบัติคลายร้อนให้อีกฝ่ายนั้นลืมไปได้เลย

    แม้เป้าหมายการดูแลเอทอสจะไม่ได้ทำมากอย่างที่เคยวาดฝันไว้เพราะเหตุผลข้างต้น แต่อีกเป้าหมายหนึ่งของโนอาร์กลับลุล่วงไปด้วยดี นั้นคือการเอาตัวเองแทรกซึมเข้าไปในชีวิตเอทอสผ่านกลุ่มคนงานและลูกน้อง เพราะตอนนี้ไม่ว่าฆาตกรใส่หน้ากากจะเดินไปที่ส่วนใดของสวนไม่แม้การเดินเข้าสำนักงาน เขาจะได้รับการทักทายอย่างเป็นมิตรอยู่เสมอ แน่นอนหน้ากากจอมปลอมทำหน้าที่ได้ดี คอยแสร้งยิ้มมุมปากบางเบาตอบกลับน่าคบหา
    อีกทั้งยังคอยช่วยดูแลดอกกล้วยไม้ ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิเช่น การช่วยซ่อมท่อสปริงเกอร์รดน้ำกล้วยไม้ที่แตกชำรุดเมื่อสองสามวันก่อน จนไปถึงงานใหญ่อย่างการเป็นหน้าเป็นตาให้กับสวนรฦกวัลย์ แนะนำหว่านล้อมจนลูกค้าหลายคนที่กำลังเลือกหาไม้ประดับไปใช้งาน ตัดสินใจใช้บริการสวนรฦกวัลย์ในที่สุด ซึ่งผลพลอยได้คือการถูกจดจำจากเหล่าคนงานว่า ว่าที่คนรักของเอทอส นั้นเป็นคนที่เหมาะสมคู่ควรกับนายใหญ่ของตนมากเพียงใด

    “ข้าเริ่มชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้จริงๆ แล้วสิ”

    เสียงนายใหญ่แห่งสวนรฦกวัลย์เอ่ยขึ้นลอยๆ หลังฆาตกรตอบรับการทักทายจากเหล่าคนงานมากหน้าหลายตาระหว่างทางไปสำนักงานจนเรียบร้อย คนถูกชมเชยชะงักเล็กน้อย ก่อนเดินต่อพร้อมหันมองคนข้างกายด้วยรอยยิ้มมุมปากเชิงขอบคุณ

    “แต่หน้าเสียดายที่สิ่งพวกนี้เป็นของปลอม” แม้ประโยคถัดมาจะดูเหมือนคำยั่วอารมณ์มากกว่าคำชมก็ตาม
    “มนุษย์มักเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนรัก แต่ผมจะไม่เปลี่ยน เพราะที่เป็นอยู่ดีกับคุณที่สุดแล้ว”
    “หึ ไหนยังไง ลองว่ามา”
    “ผมช่วยหาสิ่งที่คุณต้องการได้ รวมถึงช่วยปิดบังความลับของคุณให้เป็นความลับตลอดไป”
    “ของพวกนั้นข้าไม่ต้องพึ่งเจ้า”
    “ผมรู้ แต่มันดีกว่าถ้ามีใครสักคนที่คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องหลบซ่อน และพร้อมเป็นพลังให้คุณ”
    
    หลังฟังจบ เอทอสหันมองคนพูดข้างกาย นัยน์ตาดุจรัตติกาลยามค่ำคืนไร้แสงดาวส่องประกาย กลับมีความบริสุทธิ์ใจแฝงอยู่ส่วนลึก เริ่มทำให้จังหวะการเต้นของอวัยวะกลางแผ่นอกกว้างของปีศาจต่างไปจากเมื่อก่อน ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ไหลเข้ามาทุกช่วงวินาทีที่เขาประสานสายตากับมนุษย์ และนี่เป็นครั้งแรกที่ปีศาจรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับฆาตกร ถึงขั้นต้องเบนสายตาหลบไปทางอื่น

    “เย็นนี้ผมมีนัดคุยงานต่อ คุณกลับบ้านก่อนได้เลย” โนอาร์เปิดหัวข้อสนทนาใหม่ เมื่อเห็นเอทอสเงียบไป
    “เจ้าจะไปยังไง?”

    เหตุของคำถามเป็นเพราะทุกครั้งที่ทั้งคู่มาสวนรฦกวัลย์จะโดยสารรถคันเดียวกันเสมอ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน การที่ต้องแยกไปทำธุระคนละสถานที่โดยมีรถเพียงคันเดียว แน่นอนย่อมมีใครสักคนที่ยอมสละไม่ใช้รถเพื่ออีกคน และคนๆ นั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร

    “ผมไปแท็กซี่ได้”
     “กี่โมง”
    “หกโมงเย็น”
    “ข้าไปส่ง”

    คำพูดอาสาที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยิน ก่อเกิดความอบอุ่นขึ้นภายในใจที่เยือกแข็งของฆาตกร เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนเขาและเอทอสนอนดูดาวด้วยกันที่บ้านกลางป่า ความรู้สึกราวกับได้รับความห่วงหาเอาใจใส่จากใครสักคน มองผิวเผินอาจดูไม่ได้มีค่าอะไรมากมายนัก แต่กลับผู้ที่ทั้งชีวิตแทบไม่เคยสัมผัสถึงคำว่าครอบครัว หรือได้รับความรักความห่วงใยจากคนรอบข้าง สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ย่อมมีค่านับอนันต์
    
    ปีศาจสัมผัสได้ถึงบรรยากาศจากมนุษย์ข้างกายที่ต่างไปก็ไม่ได้พูดขัดอะไรอย่างที่ชอบทำ เพียงเดินคู่กันเงียบๆ จนถึงตัวสำนักงาน เอทอสเดินหายเข้าประตูอาคาร ส่วนโนอาร์เพียงยืนส่งอยู่ด้านนอก ก่อนเดินย้อนกลับไปทางเรือนกล้วยไม้ คอยช่วยคนงานดูแลสวนอย่างที่ทำเป็นประจำจนถึงช่วงพักกลางวัน

    “วันนี้คุณโนอาร์ดูอารมณ์ดีจัง มีเรื่องอะไรดีๆ หรือคะ” สาวคนงานคนหนึ่งถามว่าที่คนรักของนายที่แผ่บรรยากาศผ่อนคลายมากกว่าทุกที
    “นิดหน่อยครับ”
    “เอ.. เรื่องอะไรน้า.. นายให้ของขวัญเซอร์ไพรส์หรือคะ”
    “ไม่ใช่ครับ”
    “แล้วเรื่องอะไรเอ่ย~”
    “เรื่องไล่แกออก เพราะยุ่งกับคนของนายน้อย”
    “ลุงอะ! ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะจ๊ะ”
    “เหรอออ งั้นก็เขยิบออกไปซิ”

    ลุงสมัยว่าพลางแทรกตัวขวางระหว่างโนอาร์และสาวคนงาน ฝ่ายคนถูกเบียดมองค้อนคนชอบขัดจังหวะเล็กน้อย ก่อนขอตัวแยกไปทำงานส่วนของตัวเองอีกด้านหนึ่ง บริเวณนั้นจึงมีเพียงลุงสมัยและโนอาร์ยืนอยู่ด้วยกัน กับกลุ่มคนงานกระจายตัวดูแลกล้วยไม้ในเรือนอยู่ห่างๆ

    “ตอนเด็ก เอทอสเป็นยังไงหรือครับ”

    โนอาร์จับสังเกตว่าลุงสมัยมักเรียกเอทอสว่านายน้อยอย่างสนิมสนม ซึ่งต่างจากคนอื่นที่เรียกโดยใช้คุณนำหน้าไม่ก็เรียกว่านายแทน ผสานกับอายุอานามที่น่าจะมากสุดในบรรดาผู้ดูแลสวน จึงมีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเห็นเอทอสตั้งแต่ยังเล็กจนเติบใหญ่ดังปัจจุบัน เป็นที่มาของคำถามก่อนหน้าจากผู้ที่อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเอทอส

    “นายน้อยตอนเด็กเหรอ... เป็นเด็กเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่เป็นเด็กดีมากเลยนะ ตั้งใจเรียน โรงเรียนเลิกก็กลับมาก็ช่วยดูแลกล้วยไม้ ไม่หนีเล่นเถลไถลเหมือนเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ถึงแม้แรกๆ จะเผลอทำดอกกล้วยไม้ช้ำไม่ก็ตายไปเป็นแถบเลยก็เถอะ”

    ถึงตรงนี้ลุงสมัยยามหวนนึกถึงเรื่องในอดีตก็หลุดขำเล็กน้อย เขายังจำใบหน้าหงุดหงิดใจเวลานายน้อยพยายามดูแลต้นกล้วยไม้ด้วยความทะนุถนอมมากที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ แต่ด้วยน้ำหนักมือที่กะไม่ค่อยถูกจึงพลาดทำช้ำไปหลายต่อหลายครั้ง และเป็นเขาเองที่เข้าไปสอนนายน้อย แววตามุ่งมั่นตั้งใจนั้นเขายังจำได้ดี

    “แล้วคุณพ่อคุณแม่ของเอทอสตอนนี้อยู่ไหนหรือครับ”
    “พ่อแม่... เอ.. นั่นสิไม่เคยนึกถึงเลย จำได้แค่คุณหญิงพานายน้อยมาแนะนำว่าเป็นหลานเท่านั้นเอง พ่อแม่นายน้อยเป็นใคร เอ... ทำไมไม่คุ้นเลยนะ...”

    เหมือนคำถามของโนอาร์จะสะกิดบางส่วนของความทรงจำในอดีตที่ขาดหาย แต่ไม่ว่าจะพยายามย้อนนึกเท่าไรลุงสมัยกลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า ความไม่สมเหตุสมผลหลายอย่างเมื่อนานมาแล้วเริ่มเด่นชัดในความรู้สึก ความไม่ปกติเหล่านี้เริ่มก่อเกิดความสงสัย และเมื่อขุดลึกเข้าไปในความทรงจำ หมอกที่คอยบดบังคล้ายกับเริ่มเลือนรางจางหายทีละน้อย

    “ไม่ต้องคิดมากครับลุง ผมไม่อยากรู้แล้ว”
    “เอ๊ะ.. ไม่อยากรู้.. อะไรเหรอ? เมื่อกี้เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่นะ”

    ขณะที่คำตอบบางอย่างเริ่มปรากฏกลับถูกฆาตกรที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขัดจังหวะความคิด ทำให้ม่านหมอกแห่งความทรงจำเข้าปกคลุมความหลังในอดีตอีกครั้ง พร้อมทั้งกลืนกินความสงสัยและข้อคำถามก่อนหน้าไปด้วย ส่งผลให้บทสนทนาเกี่ยวกับพ่อแม่ของเอทอสเมื่อครู่ในความรู้สึกของลุงสมัย จึงเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    “เรื่องสมัยเด็กของเอทอสครับ”
    “อ๋อ จำได้แล้ว มาต่อๆ ตอนเด็กนายน้อยน่ะนะ...”

    ฆาตกรเลือกย้อนกลับไปคำถามแรกสุด และปล่อยให้ลุงสมัยพูดเรื่องราวในวัยเด็กของเอทอสอีกสักเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบต่อช่องว่างของความทรงจำที่ถูกบิดเบือนโดยไม่ตั้งใจแบบเมื่อครู่

    บิดเบือน ในสายตาฆาตกรลักษณะท่าทางเมื่อครู่ของลุงสมัยเพียงพอในการอนุมานได้ว่า เมื่อครั้งอดีตอาจถูกบิดเบือนความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องของเอทอสด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งเรื่องนั้นคงเป็นเขาเองที่ต้องถามกับเจ้าตัว และถ้าข้อสันนิฐานของฆาตกรถูกต้อง ไม่ใช่แค่ลุงสมัยที่ถูกเปลี่ยนแปลงความทรงจำ แต่อาจรวมถึงคนงานทั้งหมดในสวนรฦกวัลย์แห่งนี้
    ส่วนเหตุที่เขาไม่ยอมปล่อยให้ลุงสมัยรื้อฟื้นความทรงจำจนสำเร็จไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มันเป็นเพียงความรู้สึก ความรู้สึกที่ว่าหากยังฝืนให้อีกฝ่ายค้นเรื่องเหล่านั้นจนกระทั่งได้คำตอบ ค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกกับความอยากรู้ครั้งนี้ อาจทำให้เอทอสวุ่นวายหรือเดือดร้อน แน่นอนเมื่อสิ่งที่เขากำลังทำไม่ส่งผลดีกับปีศาจผู้เป็นที่รัก เขาจะไม่มีวันทำมัน มันไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องแลกสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตกับความอยากส่วนตัว


    โนอาร์และกลุ่มคนงานดูแลกล้วยไม้จนถึงช่วงพักกลางวัน เขาจึงแยกตัวกลับไปหาเอทอสที่สำนักงานด้านหลังของสวน ซึ่งระหว่างทางก็ไม่มีคนงานชวนเขาให้ทานข้าวร่วมกัน เพราะทุกคนต่างรู้ว่าเวลานี้ไม่มีใครสามารถรั้งโนอาร์ได้ เป็นภาพเหตุการณ์ที่เห็นจนชินตาตลอดหลายวันมานี้
    เมื่อใดก็ตามที่ตะวันอยู่กลางฟ้า ว่าที่คนรักของนายจะล้างมือล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก่อนเดินหายไปทางสำนักงานโดยไม่สนใจว่ากำลังทำอะไรค้างอยู่หรือไม่ และกลับมาอีกครั้งหลังหมดช่วงพักกลางวัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายหายไปทานข้าวที่ไหนกับใคร ในเมื่อหลังสวนในช่วงพักกลางวันแบบนี้มีคนอยู่คนเดียว

   โนอาร์เปิดประตูเข้าไปในสำนักงานสวนทางกับกลุ่มพนักงานที่กำลังออกไปพักกลางวันพอดี มีการทักทายกันเล็กน้อย ก่อนเดินไปยังโซนที่จัดไว้สำหรับชงกาแฟ หยิบข้าวกล่องสองกล่องที่ทำเองจากบ้านส่งเข้าไมโครเวฟอุ่นอาหาร ไม่นานกลิ่นหอมของมื้อกลางวันโดยฝีมือของฆาตกรในถาดอาหารพร้อมเสิร์ฟ ก็ลอยมาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานเจ้าของสวน

    “ก๊อกๆ ๆ”
    “เชิญ”

    เมื่อได้รับคำอนุญาต คนด้านนอกจึงดันประตูเปิดกว้างด้วยแผ่นหลัง ก่อนเดินไปบริเวณโซฟาจัดวางอาหารบนโต๊ะกระจก เจ้าของห้องวางมือจากงานมานั่งที่โซฟาโดยไม่ต้องเอ่ยเรียกอย่างครั้งแรก การกระทำของปีศาจไม่ได้เกิดจากการบังคับหรือร้องขอจากฆาตกร แต่เกิดจากความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้ เป็นความรู้สึกที่สั่งให้เขาเลิกสนใจงานพวกนี้ แล้วมานั่งรออีกฝ่ายเตรียมอาหารเพื่อทานข้าวร่วมกัน

    เพราะ เห็นใจ ห่วง แคร์ เอาใจ สงสาร ไม่ใช่ ไม่ใช่ความรู้สึกทำนองนั้น ณ ขณะที่กำลังทานมื้อกลางวัน เอทอสยังคงหาข้อสรุปผลการกระทำของตนไม่ได้ หรืออาจจะเป็นรัก ไม่ ปีศาจมั่นใจว่าตนยังไม่ได้หลงรักมนุษย์นี้เหมือนที่อีกฝ่ายคอยพูดกรอกหูเขาทุกวัน บางทีคงเป็นเพียงความเคยชินเสียมากกว่า

    “สำหรับเจ้า ข้าเป็นอะไร”

    เพราะมัวแต่คิดวนเวียนเรื่องเหล่านี้ จึงเผลอหลุดปากถามคำถามไร้สาระออกไป แต่จะทำเป็นไม่สนใจเห็นทีคงไม่ทันแล้ว เมื่อมนุษย์ข้างกายเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก และให้คำตอบที่เขารู้อยู่แล้วโดยไม่ต้องเดา

    “คุณเป็นคนรักของผม และผมเป็นคนรักของคุณ”
    “อืม”
    “...”
    “...”
    “คุณรักผมแล้ว”
    “คิดไปเอง”
    “คุณรักผม”
    “เงียบ”
    “เรารักกัน”
    “จะกินดีๆ หรือให้ข้ากินเจ้า” เมื่อสั่งแล้วไม่หยุด ปีศาจจึงเลือกข่มขู่แทน
    “คุณไม่กินผมหรอก”
   “...”
    “แต่ถ้า ‘กิน’ ของคุณไม่ได้หมายถึงวิญญาณ ผมอยากให้คุณกินผม”

     คำพูดสื่อความนัยแฝงพร้อมรอยยิ้มมุมปากบนใบหน้ามนุษย์ที่ยังคงไม่จางหาย ถึงกับทำให้ปีศาจชะงักไปชั่วครู่ ก่อนถอนหายใจหน่ายเสียงดัง แล้วตั้งหน้าตั้งตาทานมื้อกลางวันไม่สนใจใครบางคนที่ยังไม่เลิกจ้องมอง

    “คุณเปลี่ยนความทรงจำคนงานหรือเปล่า”

    เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เมื่อโนอาร์เห็นว่าเอทอสกลับมาเป็นปกติไม่มีท่าทีครุ่นคิดอะไรบางอย่างเหมือนตอนแรกแล้ว จึงเริ่มถามคำถามที่ตนสงสัย ซึ่งปีศาจได้ให้คำตอบง่ายๆ ไม่มีการหยุดคิดหรือตกใจคาดไม่ถึง เหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สลักสำคัญอะไรนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้ถามรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาเป็นอะไร จึงไม่มีความกังวลที่ต้องเปิดเผยความลับนี้

    “ข้าไม่ได้ทำ แต่เป็นผู้มีพระคุณ”
    “ท่านพาข้ามาอยู่ด้วย และเพื่อไม่ให้คนสงสัย ท่านเลยใส่ความทรงจำใหม่ให้พวกคนงานเข้าใจว่าข้าเป็นหลานของท่าน”
    “เขาเป็นปีศาจ?”
    “ใช่ แต่ไม่ได้เป็นประเภทกินวิญญาณแบบข้า”
    “แล้วพ่อแม่คุณ”
    “ไม่รู้ ตั้งแต่จำความได้ข้าก็อยู่คนเดียว”
    “ส่วนผมเกิดมาก็อยู่กับกลุ่มโจร โจรที่ฆ่าพ่อแม่ผม”

    น้ำเสียงแบ่งปันเรื่องราวในวัยเยาว์ของมนุษย์เหมือนเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไป ทั้งที่เนื้อหาแท้จริงช่างขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งของอดีตดำมืดที่เป็นต้นกำเนิด หล่อหลอมให้โนอาร์เติบโตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ ทำให้เอทอสเริ่มสงสัยว่า ถ้าในวัยเด็กมนุษย์ผู้นี้ไม่พบเจอเหตุการณ์ชวนหดหู่ และได้อยู่กับพ่อแม่ในครอบครัวที่อบอุ่น ตอนนี้อีกฝ่ายจะทำอาชีพอะไร จิตใจเป็นเช่นไร ต้องไม่ใช่อาชีพฆ่าคน จิตใจชั่วร้ายเช่นนี้แน่

     “แค้นไหม?”
    “ไม่หรอก ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้ผมสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกมืดได้จนมาพบคุณ”
    “อืม”

    หลังสิ้นสุดเสียงตอบรับของปีศาจ ซึ่งเปรียบเสมือนบทสนทนาสุดท้ายระหว่างอาหารมื้อนี้ ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก อาจเป็นเพราะหัวข้อพูดคุยก่อนหน้าที่พาให้บรรยากาศผ่อนคลายจางหาย แต่ถึงอย่างนั้นสองชีวิตที่ทานมื้อกลางวันร่วมกันในห้องทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

   จวบจนหมดเวลาพักกลางวัน โนอาร์จึงเตรียมตัวกลับไปช่วยคนงานที่เรือนกล้วยไม้ โดยมีนายใหญ่ของสวนรฦกวัลย์เดินออกมาส่งด้านหน้าสำนักงานด้วย

    “ตอนเย็นรออยู่หน้าสวน ข้าจะออกไปพร้อมรถ”

    โนอาร์พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ก่อนทั้งสองแยกกันไปทำหน้าที่ของตน เพื่อรอเวลาให้ถึงช่วงเย็น เวลาที่ปีศาจอาสาพาฆาตกรไปพบผู้ว่าจ้าง



    และแล้วดวงอาทิตย์กลางฟ้าเมื่อเที่ยงวัน บัดนี้ลดต่ำลงเข้าใกล้เส้นขอบฟ้าทิศตะวันตก แสงเจิดจ้าร้อนแรงเปลี่ยนเป็นแสงสีส้มอ่อนนวลตา บ่งบอกถึงเวลาเลิกงานกลับบ้านโดยไม่ต้องดูนาฬิกา รถกระบะสีดำคันหนึ่งจอดหยุดรออยู่บริเวณหน้าสวน รอให้ฆาตกรสวมหน้ากาก กล่าวลากับกลุ่มคนงานก่อนเปิดประตูขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ รถจึงได้ฤกษ์เคลื่อนตัวไปยังจุดนัดพบตามคำบอกทางของคนด้านข้าง
    

    รถกระบะหยุดอยู่หน้าสถานที่นัดพบซึ่งห่างจากบ้านพักทรงไทยประยุกต์ไม่มากนัก เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ข้างทาง มีลูกค้าใช้บริการประมาณ 3-4 โต๊ะ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ว่าจ้างของโนอาร์ ปีศาจจับสัมผัสวิญญาณของทุกคนภายในร้าน มีวิญญาณดวงหนึ่งมีกลิ่นอายชั่วร้ายเด่นชัดกว่าดวงอื่น วิญญาณของชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมที่นั่งอยู่โต๊ะในสุดของร้าน ถ้าให้เดาชายคนนั้นคงเป็นคนเดียวกับที่ฆาตกรกำลังจะไปหา

    “คุณลงไปกับผมไหม” โนอาร์หันมาถามเอทอสก่อนเปิดประตูข้างตัว
    “ไม่”

    เมื่อได้รับคำตอบโนอาร์จึงลงจากรถ ก่อนก้าวเท้ายาวๆ เข้าร้านเพื่อไม่ให้ปีศาจรอนาน โต๊ะที่โนอาร์เข้าไปนั่งพูดคุยเป็นโต๊ะเดียวกับที่ปีศาจคาดการณ์ไว้ หลังอีกฝ่ายกลับออกมาอาจต้องถามว่าเป้าหมายครั้งนี้ของฆาตกรเป็นใคร ถ้าเป็นคนชั่วขัดผลประโยชน์กันเอง เขาคงปล่อยผ่าน แต่ถ้าเป็นคนดีคนธรรมดาเห็นทีเขาคงต้องขัดไม่ให้อีกฝ่ายรับงาน
    การกระทำเลือกปฏิบัติดูย้อนแย้งของเอทอสนี้ ได้รับอิทธิพลจากคำสัญญาในอดีต ผสมกับการคลุกคลีกับมนุษย์ในสวนรฦกวัลย์ ทำให้ปีศาจเห็นความแตกต่างระหว่างคนทั่วไปและคนบาป และเป็นเหตุให้ตลอดมาเขาเลือกกินเฉพาะวิญญาณบาปเท่านั้น
    หากเปรียบการกระทำของเขากับพฤติกรรมมนุษย์ คงคล้ายกับพวกมังสวิรัติปลา ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มคนไม่กินเนื้อ ก็ไม่ได้ตัดขาดจากเนื้อทุกชนิด แต่ยังคงกินเนื้อปลาอยู่ เหมือนกับเขาที่ไม่สามารถเลิกกินอาหารหลักของเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ จึงเลือกกินเฉพาะวิญญาณที่เป็นภัยกับวิญญาณดวงอื่นแทน

ซึ่งหากลองพิจารณาดีๆ วิญญาณที่เอทอสควรกินเป็นอันดับแรกก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ลงจากรถไปเมื่อครู่นี้ แต่ด้วยอะไรบางอย่างทำให้ความคิดกลืนกินวิญญาณโนอาร์อย่างจริงจังไม่เคยมีอยู่ในความคิดปีศาจเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน




(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 8 รู้สึก]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 21-09-2019 09:49:43
(ต่อ)


    โนอาร์เดินมานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผู้ว่าจ้าง ผู้ที่ให้งานเขาปิดปากตำรวจฝีมือดีคนหนึ่ง ฆาตกรไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เริ่มต้นถ้อยคำเจรจาทันทีโดยข้ามขั้นตอนการทักทายอย่างไม่ใส่ใจ

    “ต้องการให้จัดงานแบบไหนครับ”
    “ไม่คิดทักทายกันหน่อยเลยหรือไง” ฝ่ายคนนั่งรออยู่นานแล้ว เอ่ยชวนคุยด้วยท่าทีสบายๆ
    “ไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะอีกไม่นานเราจะได้พบกันอีก”
    “หึ นั่นสินะ ครั้งนี้เหมือนเดิม เอาให้หายไปเงียบๆ”
    “ต้องการให้เริ่มจัดงานวันไหนครับ”
    “อาทิตย์หน้า มันต้องออกไปทำคดีพอดี”
    “สถานที่ให้ผมเลือกเองอย่างทุกครั้งนะครับ”
    “อืม ตามใจ ให้งานเรียบร้อยเหมือนที่ผ่านมาก็พอ”
    “ขอสรุปงานตามนี้นะครับ จัดงานอาทิตย์หน้า ไม่กำหนดสถานที่ ไม่มีของฝาก ตรงตามนี้นะครับ”
    “อืม”
    “ค่าตอบแทนรบกวน-”
    “รบกวนโอนก่อนวันจัดงาน ฟังจนจำได้แล้ว ตามจริงเรื่องแค่นี้ไม่ต้องออกมาเจอกันก็ได้นะ บอกในเมลให้มันจบๆ ซะ จะทำให้ยุ่งยากทำไม”
    “เวลามีคนเบี้ยวไม่ยอมจ่ายตามที่ตกลง จะได้ตามตัวง่ายไงครับ”
    “แล้วเคยเบี้ยว?”
    “กับคุณน่ะไม่ แต่คนอื่นไม่แน่ครับ เรียบร้อยแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ พบกันอาทิตย์หน้า”
    
    โนอาร์ตอบคำถามไวๆ พร้อมบอกลาก่อนลุกออกจากเก้าอี้ ทิ้งถ้อยคำสุดท้ายที่ไม่ใช่ ‘ตกลงรับงาน’ อย่างทุกครั้ง สร้างความสงสัยให้กับคนฟัง แต่จะถามก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเจ้าตัวเดินหนีขึ้นรถกระบะสีดำและขับหายไป ผู้ว่าจ้างเห็นดังนั้นจึงไม่คิดเก็บเรื่องเมื่อครู่มาคิดหรือใส่ใจต่อ ซึ่งกว่าเจ้าตัวจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองละเลยนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต ก็คือหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ วันที่เขาสั่งให้ฆาตกรจัดงานด้วยตัวเอง


    รถกระบะสีดำในช่วงเวลาพลบค่ำไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้าน แต่กลับมุ่งหน้าไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งตามคำบอกทางของโนอาร์ ฆาตกรอธิบายคร่าวๆ ว่าของที่ตนสั่งไว้มาถึงแล้ว จึงตกลงนัดรับของหลังคุยงานกับผู้ว่าจ้างเสร็จ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าเอทอสจะอาสาขับรถให้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รับทุกอย่างในวันเดียวจนทำให้ปีศาจต้องคอยขับรถเทียวไปเทียวมาเช่นนี้
    ฝ่ายปีศาจหลังฟังคำอธิบายก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ขับรถไปตามทางที่โนอาร์บอก ระหว่างรอให้รถถึงจุดหมายต่อไป เอทอสจึงเริ่มบทสนทนาถามสิ่งที่สงสัยฆ่าเวลา

    “ของที่ว่าคือ?”
    “หลอดเก็บวิญญาณ ผมสั่งไว้นานแล้วแต่ของเพิ่งมา”

    เอทอสเพียงขานรับในลำคอ ไม่ต้องถามเลยว่าโนอาร์จะเอาของแบบนั้นมาทำอะไร ถ้าไม่เพื่อใช้เก็บวิญญาณเป้าหมายมาให้เขา คิดถึงตรงนี้เจ้าของรถจึงเลือกถามคำถามถัดไปที่คิดไว้ตั้งแต่อีกฝ่ายลงไปคุยธุระในร้านกาแฟ

    “ครั้งนี้เป้าหมายเจ้าเป็นใคร”

    โนอาร์เลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อฟังคำถามจากปีศาจ เดิมทีเอทอสไม่เคยคิดถามเรื่องพวกนี้กับเขาสักครั้ง แต่เมื่อคราวนี้อีกฝ่ายอยากรู้ มีหรือที่เขาจะปิดบังอำพราง

    “เป็นตำรวจเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นาน และเหมือนจะไปขัดขาใครบางคนจึงถูกสั่งเก็บ”
    “รู้อะไรอีกเกี่ยวกับเป้าหมายเจ้า”

   โนอาร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนเริ่มร่ายข้อมูลทุกอย่างของเป้าหมายทั้งจากที่ได้รับทางอีเมลและจากที่เขาตามสืบเพิ่มเติม

    “ตำรวจใหม่เข้าทำงานได้ไม่กี่ปีแต่เลื่อนขั้นอย่างก้าวกระโดดเพราะผลงานการปิดคดีใหญ่ๆ ที่ค้างมานานหลายปีสำเร็จ ครอบครัวมีแม่และน้องสาวที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยใกล้จบ ส่วนพ่อเป็นตำรวจเหมือนกันแต่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่”
    “สถานะโสด ไม่มีเรื่องชู้สาว เวลาส่วนมากสละให้กับการปฏิบัติหน้าที่และดูแลครอบครัว เป็นพวกดื่มแต่ไม่สูบ รักความถูกต้อง เคยถูกชักชวนหรือให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย แลกกับตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ก็เงินก้อน แต่เจ้าตัวกลับซ้อนแผนรวบรวมหลักฐานเอาผิดอีกฝ่ายส่งเข้าคุก”
    “ปัจจุบันอาศัยอยู่คนเดียวที่หอพักตำรวจ มักหาเวลาว่างกลับไปเยี่ยมแม่และน้องอย่างน้อยเดือนละครั้งสองครั้ง ทำงานที่สถานีXXX สายสืบสวน แต่เพราะความเถรตรงและความสามารถที่โดดเด่นเกินไป จึงไม่แปลกที่จะถูกเพ่งเล็ง และไม่นานคงถูกสั่งเก็บเช่นเดียวกับพ่อตัวเอง”

    เอทอสรู้สึกทึ่งกับข้อมูลเป้าหมายทั้งหมดที่ฆาตกรมี ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาเวลาที่ไหนมาหาข้อมูลมากมายขนาดนี้ ทั้งที่อยู่กับเขาแทบตลอดเวลา ทว่าจากข้อมูลเป้าหมายที่รับฟังเห็นทีเขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายทำงานนี้ได้

    “ข้าไม่อนุญาต”
    “ผมรู้ วิญญาณตำรวจนั่นไม่ใช่แบบที่คุณต้องการ ฉะนั้นผมไม่ฆ่าเขาให้เสียแรงเปล่า”
    “แล้วเจ้ารับงานทำไม”
    “เพราะคนจ้างวาน ผมว่าวิญญาณเขาคงถูกใจคุณไม่น้อย”
    
      หลังฟังคำปีศาจเหลือบมองฆาตกรข้างกาย ก่อนเห็นอีกฝ่ายจ้องมองตนอยู่แล้วด้วยแววตาสนุกสนานราวกับกำลังจะได้เล่นของเล่นชิ้นใหม่

    “แล้วถ้าข้าไม่อนุญาตอีกล่ะ”
    “ผู้จ้างวานเป็นนายหน้าคอยติดต่อมือปืนหรือนักฆ่าให้กำจัดคนตามใบสั่ง งานอดิเรกคือ รับทวงหนี้ ขายข่าว ลักพาตัว ส่วนตัวไม่ยุ่งกับยาเสพติด แต่เอาดีด้านการค้าของเถื่อนทั้งนำเข้าและส่งออกนอกประเทศแทน”
     “วีรกรรมล่าสุด รับจ้างขู่ชาวบ้านให้ขายที่กับนายทุนใหญ่ แต่เพราะไม่ยอมเลยยิงสามีต่อหน้าภรรยาจนพิการอัมพาตท่อนล่างทำงานไม่ได้ ครอบครัวจากที่ยากจนอยู่แล้วจึงลำบากกว่าเก่าเพราะขาดเสาหลัก”
    “คราวนี้ คุณอนุญาตผมไหม”

    โนอาร์สารภาพบาปของผู้ว่าจ้างให้ปีศาจเป็นผู้ตัดสิน เอทอสนิ่งคิดไปสักพักแต่ยังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของฆาตกรนัก เพราะจากกลิ่นอายวิญญาณที่เขาสัมผัส เสี้ยวหนึ่งของชายคนนั้นมีความบริสุทธิ์แฝงอยู่แม้จะไม่มาก ปีศาจคาดการณ์การกระทำของชายผู้ว่าจ้างอาจมีเหตุผลบางอย่าง และโนอาร์เลือกที่จะละไว้ไม่บอกเขา

    “เจ้าเล่าไม่หมด”

    ประโยครู้ทันหลังเอทอสเงียบหายไปสักพัก ถึงกลับสร้างเสียงถอนหายใจครั้งแรกให้กับฆาตกร เมื่อปีศาจถามถึงเรื่องที่เขาข้ามผ่านเพื่อให้อีกฝ่ายตัดสินใจง่ายขึ้น

    “ที่รับงานสารพัดเพราะเอาเงินทั้งหมดไปรักษาคนรักที่ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล”

    คำเฉลยเหตุผลการกระทำของผู้ว่าจ้างจากโนอาร์ ทำให้มุมมองทุกอย่างเกี่ยวกับชายผู้เป็นหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปราวกับพลิกสลับด้าน หากมองอีกมุมหนึ่ง ผู้ว่าจ้างคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาที่พยายามสุดความสามารถในการยื้อชีวิตคนรัก ไม่สนใจแม้ตัวเองต้องแปดเปื้อน เป็นพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์ที่ไม่ยอมรับความจริงเรื่องการจากลา
    แต่ถึงอย่างนั้นการพยายามช่วยใครสักคนด้วยการเบียดเบียนทำลายชีวิตผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องดี

    “อย่าคิดมาก คุณมีเวลาหนึ่งสัปดาห์ในการตัดสินใจ แม้วินาทีสุดท้ายที่ผมกำลังดับลมหายใจเขาแล้วคุณบอกให้หยุด ผมก็จะหยุด ผมฟังคำพูดคุณเสมอ”
    “...”
    “คุณสัมผัสวิญญาณเขาได้ คุณรู้อยู่แล้วว่าเขามีค่าพอให้อยู่ต่อไหม”

   เมื่อสิ้นสุดบทสนทนาอันยาวนาน รถกระบะสีดำหยุดอยู่หน้าสถานที่นัดพบใต้สะพานยกระดับ บริเวณโดยรอบมืดวังเวง มีเพียงแสงไฟหน้ารถกระบะสาดส่องให้ความสว่าง สาดโดนรถยนต์สีขาวคันหนึ่ง ไม่ไกลมีเจ้าของยืนตบยุงอยู่ด้านนอก ทำท่าทางดีใจกระตือรือร้นโบกไม้โบกมือราวกับอยากให้ผู้มาใหม่รู้ว่าตนอยู่ตรงนี้

    “คุณลงไปกับผมไหม”

   โนอาร์ถามคำถามแบบเดียวกับตอนที่อยู่ร้านกาแฟ และครั้งนี้เอทอสตอบตกลง ดังนั้นประตูฝั่งคนขับและข้างคนขับจึงเปิดพร้อมกัน ก่อนผู้โดยสารสองคนลงจากรถ คนหนึ่งสูงใหญ่ท่าทางดุดันน่าเกรงขาม อีกคนเรียบนิ่งเหมือนสายน้ำแต่ให้ความรู้สึกอันตราย
    ซึ่งคนที่สองคือคู่ค้าที่นัดรับของในวันนี้ และการที่อีกฝ่ายพาชายแปลกหน้ามาด้วยทำให้พ่อค้าแสดงท่าทีแปลกใจอย่างสุดขีดที่รู้ว่า คนรักสันโดษอย่างโนอาร์สามารถไปไหนมาไหนกับใครเขาเป็นด้วย

    “โนอาร์รอตั้งนานแหนะ คดีท่านนิรัชนั่นฝีมือนายใช่ไหม น่ากลัวสุดๆ ไปเลย ว่าแต่คนนี้เป็นใครเหรอ?”

    พ่อค้าทักทายลูกค้ารายใหญ่พอเป็นพิธี ก่อนถามถึงคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างโนอาร์เชิงให้อีกฝ่ายแนะนำให้ตนรู้จักบ้าง แต่โนอาร์กลับหันไปหาร่างสูงใหญ่แล้วแนะนำพ่อค้าให้เอทอสรู้จักเสียแทน

    “เอทอส คนนี้ชื่อ จิน เป็นคนขายหลอดเก็บวิญญาณให้ผม งานที่ทำจริงๆ คือเป็นผู้ควบคุมวิญญาณ คอยใช้เครื่องมือจัดการกับวิญญาณที่แผงฤทธิ์ จะเรียกว่าหมอผียุคใหม่ก็ได้ มีความสามารถในการสัมผัสถึงวิญญาณ แต่คงรับรู้ได้ไม่มากเท่าคุณ”

หลังอธิบายจบ โนอาร์จึงหันไปแนะนำพ่อค้าที่ตั้งตารอให้รู้จักเอทอสบ้าง

“นี่เอทอส เป็นคนรัก”

    คำแนะนำยาวเหยียดเมื่อพูดกับเอทอส และคำแนะนำสั้นกุดเมื่อพูดกับจิน แสดงถึงการให้ความสำคัญที่ต่างกันอย่างชัดเจน พ่อค้าถึงกลับอยากเบะปากแต่ก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวถูกจับไปเป็นของเล่น แต่เมื่อละความใส่ใจกับเรื่องไร้สาระ ถึงเพิ่งสะดุ้งตกใจกับสถานะของคนตัวสูงใหญ่นัยน์ตาสีอำพันที่กำลังมองเขาอย่างพิจารณา

    “คนรัก!! บ้าไปแล้ว! อย่างนายเนี่ยนะ! มีคนมารักด้วยเหรอโน- อุ๊บ!”

    ด้วยความตกใจจึงเผลอพูดความในใจออกมาเสียงดัง กว่าจะรู้ตัวรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้ก็เกือบจบประโยคพอดี จึงไม่แปลกที่ตนจะถูกหมายหัวผ่านทางแววตาอาฆาตเช่นนี้

    “เลิกส่งเสียงน่ารำคาญ และเอาของมาสักที”

    น้ำเสียงนิ่งๆ จากฆาตกรบ่งบอกว่าอารมณ์เจ้าตัวกำลังจะหมดลง พ่อค้าจึงรีบพาไปทางกระโปรงด้านหลังรถคันขาว เพื่อให้อีกฝ่ายตรวจเช็กสภาพของแต่โดยดี ระหว่างรอจินจึงใช้เวลานี้ในการลอบสังเกตคนรักของโนอาร์ ได้ยินแว่วๆ ว่ามีความสามารถในการสัมผัสวิญญาณเหมือนกัน แสดงว่าอาจเป็นผู้ควบคุมวิญญาณแบบเดียวกับเขา แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายเลย

    การถูกแอบมองเรื่อยๆ เริ่มทำให้เอทอสทนไม่ไว้ ตั้งใจจะหันไปถามว่ามีอะไรกับตน แต่ยังไม่ทันได้ขยับ พ่อค้ากลับตกใจกระโดดถอยห่างพร้อมสาดบางอย่างใส่เขาจนต้องยกมือขึ้นป้องกัน

    “โนอาร์!! ถอยออกมา! หมอนี่มันเป็นปีศาจ!!”

    โนอาร์ที่ก้มตรวจของที่กระโปรงหลังรถ เงยหน้าขึ้นมาถึงกลับตกตะลึงตัวแข็งค้าง เมื่อเอทอสตอนนี้ถูกเปลวเพลิงสีดำปกคลุมทั่วทั้งร่าง ส่งผลให้ความตกใจแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด เปิดจุกหลอดแก้วในมือก่อนสาดของเหลวภายในหลอดใส่พ่อค้า พร้อมพุ่งตัวเข้าหาฉับพลัน
    มีดข้างเอวถูกหยิบขึ้นมาว่องไว ก่อนตวัดปาดบริเวณลำคอพ่อค้า แต่ทันทีที่คมมีดเริ่มกินผิวเนื้อ ข้อมือของฆาตกรกลับถูกกรงเล็บสีดำยึดจับไว้แน่น พร้อมกับท่อนแขนใหญ่แข็งแรงที่คว้าล็อกบริเวณช่วงเอว ก่อนถูกดึงร่างให้ถอยห่างออกจากคนที่บังอาจทำร้ายเอทอสต่อหน้าเขา

    “ใจเย็น ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

    ฝ่ายพ่อค้าถูกน้ำสาดบริเวณใบหน้าหลับตาตามสัญชาตญาณ พลันสัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นเฉียบบางอย่างกดลึกตรงลำคอเพียงเสี้ยววินาที ก่อนสัมผัสนั้นจะหายไปพร้อมกับร่างที่หมดแรงล้มตัวนั่งกับพื้น เพราะรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้เขาเกือบถูกฆ่าตายแล้วจริงๆ ถ้าไม่ถูกปีศาจนั่นช่วยไว้ก่อน

    จินนั่งหายใจแรงเนื่องจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย พลางเอามือลูบจับบริเวณลำคอที่มีเลือดซึมเล็กน้อย มองโนอาร์ที่จับปีศาจหันซ้ายหันขวาสำรวจร่างกายอย่างไม่เกรงกลัว สิ่งที่เขาสาดใส่เอทอสเมื่อครู่นี้เป็นยาที่ทำให้ปีศาจเผยร่างที่แท้จริงออกมา ดังนั้นปีศาจนั่นจึงกลับสู่รูปลักษณ์เดิมคือ ร่างกำยำผิวสีน้ำตาลแดงเปลือยท่อนบน ท่อนล่างสวมกางเกงหุ้มเกราะเหล็กคล้ายนักรบ กรงเล็บใหญ่สีดำที่มือทั้งสองข้าง ใบหูแหลมยาวและเส้นผมแหลมหนาสีดำลู่ไปทางด้านหลังคล้ายขนเม่น และนัยน์ตาสีเลือดนกเรืองแสงในความมืดที่หันมาจ้องมองเขา

    “ทำอะไรเอทอส” โนอาร์หันไปถามจินด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ หลังสำรวจจนแน่ใจว่าปีศาจปลอดภัยดี
    “ปะ เปล่านะ แค่ทำให้หมอนั่นคืนร่างเท่านั้นเอง โนอาร์! นั่นปีศาจนะ”
    “แล้ว?”

    คำตอบราวกับรู้เรื่องนี้อยู่แล้วของโนอาร์ ถึงกลับทำให้ผู้หวังดีผิดเวลาหน้าม้าน ทั้งหมดเป็นเพราะความตื่นตระหนกของเขาเอง ที่ทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องขนาดนี้ ดังนั้นผู้ลุแก่โทษของตนจึงส่งสายตาขอโทษปีศาจเอทอสที่ยืนอยู่ข้างมนุษย์อารมณ์ร้อน

    “เอาของไปหลังรถกระบะให้หมด”
    
    โนอาร์สั่งคนเกือบชะตาขาดให้ขนลังหลอดเก็บวิญญาณทั้งหมดไปไว้หลังรถกระบะ โดยไม่สนใจท่าทีหงอยๆ ของพ่อค้า ก่อนหันไปพูดคุยกับเอทอส ซึ่งตอนนี้อยู่ในร่างปีศาจที่ไม่ได้เห็นมานาน

    “คุณแปลงกลับเป็นมนุษย์ได้ไหม”

    สิ้นคำถามปีศาจกินวิญญาณลองหลับตา สักพักเปลวไฟสีดำเริ่มลุกขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างยักษ์อีกครั้ง แต่ไม่นานก็มอดดับ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนปีศาจยอมแพ้ลืมตาขึ้นมา สื่อคำตอบผ่านนัยน์ตาสีเลือดนกให้โนอาร์ที่เฝ้ามองอยู่ตลอด

    “ขอโทษด้วยนะคุณอา.. เอ.. เอทอสใช่ไหม ยาเมื่อกี้มีฤทธิ์ประมาณสองสามชั่วโมง ระหว่างนี้คุณจะแปลงเป็นร่างอื่นไม่ได้”

    จินที่แอบมองหนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจอยู่ห่างๆ พูดเฉลยต้นเหตุให้เอทอสและโนอาร์รับรู้ โดยไม่กล้าเงยหน้าสู้สายตาฆาตกรที่จ้องมองตนราวกับต้องการเอาวิญญาณมาสังเวยปีศาจ

    “อืม ไม่เป็นไร ขนเสร็จแล้วใช่ไหม”

    เสียงทุ้มใหญ่ของปีศาจเอ่ยถ้อยคำคล้ายกับไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ พอทำให้พ่อค้าใจชื้นขึ้นมาบ้าง รีบเงยหน้าขอบคุณอีกฝ่าย แต่เมื่อเหลือบมองคนด้านข้างก็ต้องก้มหน้าหนีอีกรอบ เพราะแววตาน่ากลัวของโนอาร์ที่ใช้มองเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

    “กลับได้แล้ว ข้าอยากพัก”

    เอทอสกล่าวขึ้นลอยๆ ก่อนเดินไปทางรถกระบะที่จอดอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในร่างของปีศาจ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขับรถไม่ได้ ดังนั้นเอทอสจึงเลือกขึ้นฝั่งคนขับเช่นเดิม ส่งผลให้โนอาร์จำต้องเดินตามปีศาจขึ้นรถไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนรถกระบะสีดำจะเคลื่อนตัวและขับหายไปในความมืด ปล่อยให้พ่อค้าโชคไม่ดีในวันนี้อยู่ใต้สะพานยกระดับเพียงลำพัง

    “ติ้ง!”

    เสียงข้อความโทรศัพท์แจ้งยอดเงินโอนเข้าดังขึ้นขณะที่พ่อค้ากำลังเตรียมตัวกลับบ้านบ้าง ส่งผลให้พ่อค้าท่าทางหงอยเหงาก่อนหน้ากลับมาดี๊ด๊ากระปรี้กระเปร่าดังเดิม ในใจขอบคุณโนอาร์ที่แม้จะทำท่าทางโมโหใส่เขา แต่ก็ยังยอมโอนเงินให้ โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ควรขอบคุณจริงๆ คือ เอทอส ไม่ใช่โนอาร์


    “คุณใจดีเกินไป”

    โนอาร์พูดขึ้นหลังจากยอมโอนเงินค่าของตามที่เอทอสบอก ความจริงการที่เขายอมปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ นั่นถือเป็นความเห็นใจอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เอทอสกับให้เขาจ่ายค่าของด้วย แล้วมีหรือโนอาร์จะสามารถขัดคำปีศาจได้

    “เจ้าต่างหากที่ใจแคบและอารมณ์ร้อนเกินไป” เอทอสในร่างปีศาจ เอ่ยตอบโดยไม่ละสายตาจากถนน
    “ผมใจกว้างและอารมณ์เย็นแค่กับคุณก็พอแล้ว”

    เอทอสเพียงส่ายหน้าหน่ายกับคำตอบที่ได้รับ แล้วจึงตั้งใจขับรถกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ส่งผลให้บรรยากาศภายในรถกลับมาเงียบงันอีกครั้ง แต่ไม่นานคนที่นั่งข้างคนขับก็เปิดหัวข้อสนทนาใหม่ เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างได้

    “ตอนเย็นมีแต่เรื่องยุ่งจนผมลืมไปเลย คุณคงหิวแล้ว ค่ำนี้คุณอยากกินอะไร”




บท8 สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 9 ลองดี]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 14-10-2019 18:07:46

   ช่วงราตรีดึกดื่นจวนเข้าวันใหม่ เป็นเวลาที่ผู้คนส่วนมากหลับใหลจมลงสู่ห้วงนิทรา ซึ่งไม่ใช่กับบ้านทรงไทยประยุกต์หลังหนึ่ง แม้ตัวบ้านจะปิดไฟมืดสนิทเหลือเพียงแสงส่องสว่างบริเวณรั้วด้านนอก แต่เจ้าของกลับกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านยามวิกาล
    เสียงปิดประตูแผ่วเบาจากห้องฝั่งตรงข้ามไม่อาจรอดหูมนุษย์หนึ่งเดียวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงกว้าง นัยน์ตาสีรัตติกาลไร้ซึ่งความง่วงงุน ลืมขึ้นมองเพดานห้องที่ถูกความมืดกลืนกิน ลุกออกจากเตียงคว้าอุปกรณ์ติดตัวที่ถอดวางบนโต๊ะ แน่นอนหนึ่งในนั้นเป็นเข็มขัดอาวุธประจำกาย นำมาคาดบริเวณช่วงเอว แล้วจึงใช้ชายเสื้อปิดปกคลุมเหล่าอาวุธหลากชนิด ก่อนค่อยๆ ก้าวออกจากห้องตามเสียงเมื่อครู่นี้ไป

    ย่างก้าวผ่านความมืดไร้เสียง เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของสมาชิกร่วมบ้านรางๆ เหมือนกำลังออกไปข้างนอก ผู้เฝ้ามองเพียงยืนดูอีกฝ่ายเงียบงันไม่ส่งเสียงร้องทัก จนกระทั่งเป้าสายตาเดินออกจากบ้าน เขาจึงลอบเดินตามไป

    “ถ้าจะไม่อยู่ ก็ล็อกบ้านซะ”

    เสียงคำกล่าวลอยๆ จากผู้ถูกเฝ้าดูพฤติกรรม ทำให้มนุษย์ผู้หลบซ่อนในเงามืดหลังเสาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนยอมเดินเผยตัวออกมาให้แสงจันทร์ตกกระทบ

    “คุณจะไปไหน”
    “หาอะไรกิน”

    เอทอสซึ่งบัดนี้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์แล้วหลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อหลายวันก่อน เอ่ยตอบโนอาร์พลางสบตาสื่อความหมายแฝงของประโยคเมื่อครู่ ไม่ต้องถามว่าคนฟังเข้าใจหรือไม่ ในเมื่อบนใบหน้าของมนุษย์ตอนนี้ประดับด้วยรอยยิ้มมุมปากอันตราย และแววตาวาววามด้วยความสนใจ

    “ผมไปด้วย"
    “ไม่ได้ห้าม”

    ว่าจบเจ้าของบ้านขึ้นรถกระบะ เคลื่อนรถไปจอดรอใครบางคนที่รับหน้าที่ปิดบ้านล็อกรั้วเสมอ และเมื่ออีกฝ่ายขึ้นมาประจำที่นั่งข้างคนขับ รถกระบะสีดำถึงได้ฤกษ์เคลื่อนตัวขับหายไปในเงามืดของราตรี


    ยามค่ำคืนดึกดื่นไม่แปลกที่บนท้องถนนจะมีเพียงรถกระบะขับเคลื่อน สองข้างทางเงียบงันวังเวงร้างผู้คน มีแสงสีส้มเหลืองจากเสาไฟริมทางส่องให้ความสว่างเป็นจุดๆ แต่ยิ่งมุ่งหน้าต่อไป แสงไฟเริ่มเลือนหายเพราะสองข้างทางถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ผืนป่า จนตอนนี้เหลือเพียงแสงไฟหน้ารถเท่านั้น
    รถกระบะหักเลี้ยวลงข้างทางก่อนขับตรงเข้าไปในป่ามืดสนิท ตัวรถโยกไหวโครงเครงตามพื้นดินของป่าที่ไม่ได้เตรียมให้รถวิ่งผ่าน แม้คนร่วมโดยสารจะสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการไปที่ใด แต่ก็ไม่ได้ปริปากถาม เพียงมองทิวทัศน์นอกกระจกที่มีแต่ความมืดและต้นไม้สูงบดบังแสงจันทร์

    จวบจนรถหยุดนิ่งพร้อมกับแสงไฟหนึ่งเดียวหน้ารถได้ดับลง ความมืดมิดเข้าปกคลุมส่งผลให้มนุษย์จำต้องหลับตาสักพักเพื่อปรับสายตาให้มองเห็นในความมืดได้ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเจ้าของรถเปิดประตูออกไปด้านนอก คนที่อยู่ในรถคนเดียวจึงลืมตาเพื่อลงตามอีกฝ่ายบ้าง
    สิ่งแรกที่เห็นเมื่อลืมตาคือ ดวงตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงในความมืดกำลังจ้องมาที่เขา มีเงาไม้ของป่าเลือนรางเป็นฉากหลัง เป็นภาพน่าตกใจเสียจนหากคนขวัญอ่อนได้เห็นสิ่งนี้อาจช็อกสลบได้ แต่นั่นไม่ใช่กับโนอาร์ผู้หลงใหลกับนัยน์ตาคู่นี้ตั้งแต่แรกพบ
    มนุษย์หนึ่งเดียวกลางผืนป่าเปิดประตูลงจากรถ ก่อนเดินเข้าหาเจ้าของดวงตาเลือดนกที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วอย่างไม่ละสายตา

    “ผมชอบตาของคุณ”

    โนอาร์เอ่ยชม ก่อนยื่นมือขึ้นจับใบหน้าคมเข้มพลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบสัมผัสผิวแก้มใต้ดวงตาอย่างถือวิสาสะ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของนัยน์ตาดุก็ไม่ได้ว่าหรือขยับตัวหนี เพียงปล่อยให้มนุษย์ชื่นชมจนพอใจและเป็นฝ่ายผละออกไปเอง

    “ที่นี่คือ?” โนอาร์ถามพลางหันมองผืนป่ารอบตัว
    “ป่าช้า” เอทอสตอบกลับพลางจ้องร่างคนถามนิ่งไม่สนใจสิ่งรอบข้างเหมือนที่มนุษย์ทำ

    มนุษย์หนึ่งเดียวไม่มีท่าทีตกใจหรือหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำตอบ กับผู้ที่ดับชีวิตคนมานับไม่ถ้วนอย่างเขาแล้ว ป่าช้าในสายตาเขานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากถังขยะไว้ทิ้งเศษซากของเล่น และถ้ามองอีกมุมหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ก็เป็นแหล่งรวมของวิญญาณมากมาย แหล่งอาหารชั้นดีของปีศาจ

    “เสียดาย ผมมองไม่เห็นวิญญาณ เลยช่วยคุณหาไม่ได้”
    “เจ้าช่วยข้าอยู่”

    โนอาร์เลิกคิ้วสงสัยในคำของปีศาจ ในเมื่อเขานั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากยืนคุยกับเอทอส และยิ่งสงสัยเข้าไปอีก เพราะตลอดมาตั้งแต่ลงจากรถจนถึงตอนนี้เอทอสไม่ละสายตาจากเขาเลยซึ่งผิดวิสัยปกติของเจ้าตัว

    “เหมือนมนุษย์ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายจะดึงดูดวิญญาณประเภทเดียวกัน”
 
    เอทอสพูดพลางไล่สายตามองโนอาร์หัวจรดเท้า มนุษย์ตรงหน้านี้อาจไม่รู้ตัว แต่ในสายตาเขากลับเห็นวิญญาณอาฆาตมากมายรุมเกาะจับทั่วทั้งร่างของโนอาร์ตั้งแต่เขาปล่อยให้อยู่บนรถคนเดียว บางตนเกาะหลัง บางตนพยายามดึงแขนดึงขา ที่หนักสุดคงเป็นวิญญาณของชายร่างกายเน่าเฟะที่ขึ้นขี่คอมนุษย์ตรงหน้าเขาอยู่
    
    “อยู่ตรงไหน” โนอาร์ถามขึ้นหลังจากไล่สายตาตามที่เอทอสมองก็ไม่พบเห็นสิ่งใด
    “ไม่กลัว?”

    ปีศาจถามแกล้งเย้าแหย่มนุษย์ แต่สิ่งที่ได้รับแทนคำตอบกลับมีเพียงนัยน์ตาสีรัตติกาลไร้ซึ่งความหวั่นเกรง ดังนั้นเอทอสจึงบอกตำแหน่งของวิญญาณตนหนึ่ง เพื่อดูว่ามนุษย์นี้จะทำอย่างไรต่อ

    “ตนหนึ่งกำลังขี่คอเจ้า”

    เมื่อฟังจบโนอาร์จึงแหงนมองด้านบน สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงเงาของเหล่ากิ่งไม้ที่ปกคลุมฟากฟ้ายามราตรี แต่ในเมื่อเอทอสบอกว่ามีวิญญาณขี่คอเขา ถึงจะมองไม่เห็น บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังมองตาวิญญาณตนนั้นอยู่ก็ได้

    “ถ้าคุณยอมเผยตัวให้ผมเห็น”
    “…”
     “ความรู้สึกก่อนสิ้นใจ ผมจะทำให้คุณรู้สึกอีกครั้ง”

    คำกล่าวราวกับท้าทายและท่าทางไร้ซึ่งความหวาดกลัว ถึงขั้นทำให้วิญญาณที่รายล้อมชะงักเล็กน้อย ก่อนผันเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นพยาบาท ตนที่ได้รับผลกระทบจากคำพูดเมื่อครู่ที่สุดเห็นเป็นวิญญาณที่ขี่คออยู่ ดังนั้นมือเน่าบวมเป่งปริแตกมีน้ำหนองไหลซึมตามรอยฉีกขาดของผิวเนื้อ จึงเคลื่อนเข้ากำรอบลำคอของคนลองของ ก่อนเริ่มออกแรงบีบ

    “พรึบ!”
    “อ๊ากกกกกกก!!!!!!”

    ไม่ทันที่วิญญาณอาฆาตจะได้ลงมือสั่งสอนคนอวดดี กลับถูกกรงเล็บสีดำคว้าจับที่ลำคอฉับพลันพร้อมแรงบีบมหาศาลไร้ความปรานี ความเจ็บปวดทรมานที่ไม่คาดคิดว่าในโลกหลังความตายจะได้สัมผัสอีกครั้ง มากซะจนกระทั่งต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมา ดวงตาขาวโพลนของวิญญาณประสานกับดวงตาคมสีเลือดนกของเจ้าของกรงเล็บเพียงชั่วครู่ ก่อนจะไม่สามารถคงรูปลักษณ์ได้อีกต่อไป ร่างกายสลายหายเหลือเพียงดวงไฟวิญญาณเล็กๆ ภายใต้กรงเล็บสีดำทมิฬ
    
    ฝ่ายโนอาร์มองการกระทำของเอทอสด้วยความสับสนเล็กน้อย เพราะทันทีที่เขาพูดจบ อีกฝ่ายใช้มือที่เปลี่ยนเป็นกรงเล็บเมื่อไรไม่ทราบ คว้าจับบางสิ่งเหนือหัวเขาและออกแรงกำแน่น ก่อนส่งสิ่งที่อยู่ในกรงเล็บนั้นเข้าปากและกลืนหายไป ถ้าให้ลองจินตนาการตามการกระทำของปีศาจ วิญญาณที่ขี่คอเขาตอนนี้คงถูกจับกินไปแล้ว

    “ระวังหน่อย เจ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา”

    เอทอสเอ่ยเตือนพลางกวาดสายตามองวิญญาณรอบตัวอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ขยับถอยห่างด้วยความกลัว เพราะเห็นสหายวิญญาณถูกจับกินต่อหน้าต่อตา เหล่าวิญญาณในตอนนี้รู้แล้วว่าผู้ที่มากับคนปากเก่งลองดีไม่ใช่สิ่งที่พวกตนสามารถต่อกรได้จึงพากันถอยหนีและเลือนหายหลบซ่อน ส่งผลให้บริเวณโดยรอบเหลือเพียงปีศาจและมนุษย์เท่านั้น

    “ไปรอในรถ ข้าเสร็จธุระเมื่อไร จะกลับมา”

    คนตรงหน้าพูดขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงสีดำก่อตัวลุกไหม้บดบังร่างสูงใหญ่และนัยน์ตาดุสีเลือดนก ก่อนมอดดับเผยให้เห็นรูปลักษณ์ปีศาจที่แท้จริง จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปในป่ามืดสนิท ทิ้งให้มนุษย์ที่พามาด้วยอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดมิดเงียบสงัดกลางผืนป่าช้า

    หลังเหลือตัวคนเดียว โนอาร์เดินกลับไปรอบนรถตามคำสั่งไม่คิดตามไปอย่างทุกที เพราะเรื่องที่อยากรู้ว่าปีศาจออกล่าอย่างไร เมื่อครู่นี้เขาก็ได้เห็นคร่าวๆ แล้ว อีกทั้งการตามปีศาจอาจเป็นการถ่วงเสียเปล่า เพราะเขาไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นการเลือกรอในรถจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
    
    “แซก... แซก... แซก...”

    เสียงบางสิ่งเคลื่อนตัวผ่านพุ่มไม้ในเงามืดจนเกิดเสียง เรียกความสนใจมนุษย์ที่กำลังเปิดประตูขึ้นรถให้หันมอง

    “ช่วยด้วย!! ช่วยด้วยค่ะ! ใครก็ได้!”

    เสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ พร้อมกับภาพเงารางๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งพยายามวิ่งหนีกลุ่มชายประมาณสามสี่คนที่ไล่ตามหลังเธอ ก่อนทั้งหมดจะหายไปที่มุมหนึ่งของป่า ความคิดสองทางเกิดขึ้นในใจของคนที่เห็นเหตุการณ์ หนึ่งอาจเป็นภาพลวงตาหลอกให้เขาติดกับ สองอาจเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงเมื่อครู่อาจถูกลวงมาข่มขืนกลางป่าห่างไกลผู้คน แต่โชคดีสามารถวิ่งหนีมาได้ ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่นานคงถูกจับรุมโทรมและกลายเป็นอีกหนึ่งศพในป่านี้
    ซึ่งหากเป็นอย่างที่สองจริงเขาคงต้องตามไป แน่นอนไม่ใช่การไปช่วย ความคิดดีงามเช่นนี้ไม่เคยมีอยู่ในเศษเสี้ยวความรู้สึกของฆาตกร แต่ที่ตามไปคือต้องการเก็บวิญญาณของพวกหื่นกระหายราคะมาฝากปีศาจเท่านั้น ส่วนผู้หญิงคนนั้น ถ้าไม่อยากทนรับการมีชีวิตอยู่กับความแปดเปื้อน เขาจะสงเคราะห์ให้

    “กรี๊ดดด!!! อย่าเข้ามา!! อย่า!!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!! กรี๊ดดดดด!!!!!!”

    ระหว่างจมอยู่ในความคิด เกิดเสียงกรีดร้องของหญิงสาวอีกครั้ง ส่งผลให้โนอาร์ตัดสินใจเลือกตามเสียงนั้นไป ทุกย่างก้าวแผ่วเบาไร้เสียงไม่เร่งรีบ ช่างสวนทางกับเสียงกรีดร้องแทบขาดใจของหญิงสาวที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งผู้มาเยือนอย่างกรายถึงจุดเกิดเหตุ

    ภาพหญิงสาวเสื้อผ้าหลุดลุ่ยถูกกลุ่มชายสี่คนตรึงแขนขาอยู่กับพื้นดินสกปรก หลายมือบีบจับตามส่วนสงวนของเธอที่พยายามร้องดิ้นหนีสุดชีวิต ชายคนหนึ่งอยู่กลางหว่างขาหญิงสาวเคราะห์ร้าย กำลังโยกขยับสะโพกสาดใส่อารมณ์ดิบกับคนใต้ร่างไร้ความเมตตา ระหว่างที่เธอดิ้นหนีสัมผัสน่ารังเกียจพลันเห็นโนอาร์ที่ยืนอยู่ในเงามืด จึงใช้สายตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความเจ็บช้ำสมเพชชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ
     น่าเศร้าเมื่อที่พึ่งสุดท้ายของหญิงสาวกลับเป็นฆาตกรเลือดเย็น ดังนั้นสิ่งที่เธอได้รับจึงมีเพียงสายตาเย็นชาว่างเปล่าราวกับไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นกับเรื่องตรงหน้า เสียงกรีดร้องทรมานของสาวเคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ชวนหดหู่จึงดำเนินต่อไป

    คนเลือดเย็นเฝ้ามองจนแน่ใจว่าพวกตัณหาหนักหมกมุ่นเกินกว่าจะใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง จึงอาศัยจังหวะนั้นเดินไปด้านหลังชายที่กำลังขึ้นคร่อมสาวโชคร้าย หยิบสองสิ่งใต้ชายเสื้อขึ้นมา หนึ่งหลอดทดลองเปิดจุกออกราดน้ำใส่แผ่นหลังชื้นเหงื่อเบื้องหน้า และสอง

    “ฉัวะ!!”
    “เฮ้ย!! เหี้ย!!”

    ขวานสั้นในมือฆาตกรจามลงกลางศีรษะชายตรงหน้าก่อนกระชากออกอย่างแรง น้ำพุเลือดพุ่งตามคมขวานสาดกระจายทั่วบริเวณ ร่างเหยื่อรายแรกฟุบล้มทับหญิงสาวใต้ร่างทั้งที่อะไรๆ ยังเชื่อมต่อกันอยู่ หยดเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อนกลุ่มชายโดยรอบที่ต่างตกตะลึง มองชายแปลกหน้าเจ้าของอาวุธที่ตอนนี้ตามตัวล้วนเลอะไปด้วยเลือดไม่ต่างกัน

    “มะ.. มึงทำเหี้ยอะไรวะ!”

    ฆาตกรเพียงยิ้มมุมปาก พลางย่างเท้าเข้าหาคนถามพร้อมขวานในมือที่มีเลือดไหลหยดตามคม คนถูกหมายหัวรายถัดไปพยายามเดินถอยหนี จังหวะนั้นเองชายสองคนที่เหลืออาศัยช่วงที่มือขวานจดจ่อกับเพื่อนของตน ช่วยกันรุมเข้าชาร์จจับคนอันตราย
    
    “พรึบ! ฉัวะ!!”
    “ตุ้บ!”

    เหยื่อรายต่อมาเป็นของคนที่หมายจะเข้าล็อกตัวฆาตกรจากทางด้านหลัง เสี้ยววินาทีที่กำลังคว้าจับ คนด้านหน้ากลับหมุนตัวกลับฉับพลันพร้อมแรงเหวี่ยงขวานสั้นสับผ่านลำคอ หยาดหยดของเหลวสีแดงเหม็นคาวพุ่งทะลักสาดย้อมใบหน้าและลำตัวฆาตกร ร่างไร้วิญญาณในสภาพศีรษะห้อยเกือบหลุดออกจากบ่าทรุดตัวคุกเข่า ก่อนล้มคว่ำหน้าจมกองเลือดที่แผ่ขยายแทบเท้าเพชฌฆาต

    ชายสองคนสุดท้ายที่เหลือรอดเห็นท่าไม่ดี พากันวิ่งหนีตาย แต่รอดไปได้เพียงคนเดียว เนื่องจากคนรั้งท้ายถูกขวานสั้นขว้างใส่จามกลางศีรษะ ร่างล้มตึงกระแทะพื้นเป็นเหยื่อรายที่สาม โนอาร์ที่บัดนี้ใบหน้าและตามตัวอาบไปด้วยเลือดเดินตรงไปยังศพชายคนล่าสุด ใช้เท้าเหยียบกลางแผ่นหลังก่อนก้มดึงขวานสั้นออกจากหัว สะบัดเลือดออกจากตัวขวานสองสามครั้ง และจึงเดินย้อนกลับไปหาหญิงสาวโชคร้าย

    “ทำไมถึงไม่ช่วย.. ทำไมถึงไม่ช่วยฉัน...”

    เมื่อเดินมาถึง โนอาร์ได้ยินเสียงพูดพึมพำจากหญิงสาว น้ำเสียงเยียบเย็นไร้ความหวาดผวาตื่นกลัว กำลังใช้สายตาจ้องมาที่เขาอย่างโกรธแค้น ฆาตกรเมินการกระทำเหล่านั้นก่อนหยิบหลอดทดลองขึ้นมาดู กลับพบว่าของเหลวภายในหลอดยังคงใสเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอย่างที่คาดการณ์ไว้ โนอาร์จึงเหลือบมองร่างชายไม่ขยับไหวติงไร้สัญญาณชีพ

    ทำไมน้ำถึงไม่เปลี่ยนสี?

    เมื่อรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ฆาตกรเลยเลือกทดสอบสมมติฐานอย่างง่ายที่สุด ด้วยการเปิดจุกหลอดทดลองอีกครั้ง คราวนี้เทราดใส่หน้าหญิงสาวก่อนนั่งยองพร้อมใช้ขวานสั้นสับกลางลำคอเหยื่อทดลองฉับพลัน ดวงตาเคียดแค้นเบิกโพลง ริมฝีปากพะงาบราวกับพยายามหายใจหรือพูดอะไรบางอย่าง ไม่นานทุกการเคลื่อนไหวหยุดลง
    โนอาร์เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงภายในหลอด แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรียกเรียวคิ้วฆาตกรให้ขมวดเข้าหากัน

    “ทำไมถึงไม่ช่วยฉัน...”

    น้ำเสียงเล็กแหลมเยียบเย็นดังขึ้นอีกครั้งทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ โนอาร์หันกลับไปมองต้นเสียงพบว่าตอนนี้หญิงสาวที่ลงมือสังหารไปเมื่อครู่ อยู่ในสภาพซากศพเน่าเฟะมีหนอนชอนไชตามใบหน้า ยิ่งโดยเฉพาะบริเวณศีรษะที่ปริแตกเห็นมันสมองไหลเยิ้มออกมา ภาพหนอนยุบยับกับกลิ่นเหม็นสาบรุนแรงเป็นภาพน่าคลื่นไส้และสยดสยองในเวลาเดียวกัน
    คนทั่วไปเมื่อพบเหตุการณ์เช่นนี้ต่างรู้ดีว่าตนโดนดีเข้าแล้ว และคงกรีดร้องวิ่งหนีไป แต่นั้นไม่ใช่กับฆาตกรเลือดเย็นอย่างโนอาร์ เพราะนอกจากจะไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแล้ว กลับปรากฏรอยยิ้มมุมปากจ้องมองภาพน่าสะอิดสะเอียนอย่างไม่กลัวเกรง

    “ทำไมถึงไม่ช่วยฉัน!!”

    คราวนี้หญิงสาวในสภาพศพเน่าเฟะตวาดกร้าว พร้อมใช้มือกระดูกมีเศษชิ้นเนื้อเน่าห้อยติด กำรอบลำคอมนุษย์แน่นหวังให้อีกฝ่ายเป็นตัวตายตัวแทน

    “อั่ก!”

    โนอาร์ส่งเสียงไอสำลักเนื่องจากถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว พยายามใช้มือดึงกระชากมือโครงกระดูกที่กำลังบีบคอให้หลุดออก แต่กลับไม่เป็นผลเนื่องจากแรงทั้งหมดที่เขามีไม่สามารถเอาชนะพละกำลังเหนือธรรมชาติได้ ยิ่งใช้แรงฝืนมากเท่าไร อากาศหายใจยิ่งหมดเร็วขึ้นเท่านั้น ช่วงจังหวะวิกฤตฆาตกรจึงคว้าขวานสั้นที่ปักคาอยู่กับลำคอศพหญิงสาว ง้างและจามใส่แขนกระดูกขาดสะบั้น ร่างโนอาร์ล้มกระแทกนั่งห่างจากศพหญิงสาวไม่มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เพราะมือโครงกระดูกที่ค้างอยู่ตรงคอยังคงออกแรงบีบต่อเนื่อง แม้จะถูกตัดขาดออกจากร่างแล้วก็ตาม

    “อั่ก! แฮ่ก!”

     โนอาร์ส่งเสียงไอและสำลักเนื่องจากอากาศที่จวนจะหมดลง พยายามง้างนิ้วกระดูกออกจากลำคอแต่ก็ไม่เป็นผล ภาพเบื้องหน้าจากที่มองเห็นยากเพราะความมืดอยู่แล้ว กลับยิ่งเลือนรางหนักพร้อมกับสติที่ใกล้เลือนหาย ศพหญิงสาวเน่าเฟะหัวห้อยเนื่องด้วยอิทธิพลจากขวานสั้น คลานใกล้เข้ามาหาตัวโนอาร์ ก่อนผลักร่างฆาตกรล้มลงและขึ้นคร่อม ใช้มือกระดูกอีกข้างช่วยออกแรงบีบให้คนใต้ร่างสิ้นใจเร็วขึ้น

    “ตาย.. ตาย...”

    ศพหญิงสาวยื่นหัวห้อยเข้ามาใกล้หน้าโนอาร์พร้อมพูดความปรารถนาที่อยากให้เขาตายซ้ำๆ โนอาร์พยายามดิ้นสะบัดให้หลุดออกจากการจับกุม ช่วงจังหวะหนึ่งพลันนึกได้ถึงอะไรบางอย่าง มือเอื้อมไปทางด้านหลังปลดอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่เขาไม่เคยใช้งานจริงออกมา ก่อนส่งสิ่งนั้นปักแทงกลางอกของศพหญิงสาว


    “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!”
    
    เอทอสซึ่งกำลังจับวิญญาณที่ด้านหนึ่งของป่าได้ยินเสียงของวิญญาณตนหนึ่งกรีดร้อง เขาจะไม่สนใจเลยหากทิศของเสียงเมื่อครู่ ไม่ใช่ทิศเดียวกับที่เขาจับสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์ที่พามาด้วยกัน เอทอสในร่างปีศาจละความสนใจจากเหยื่อตรงหน้า ก่อนหันหลังพุ่งตัวมุ่งหน้าตามเสียงนั้นไป

    เมื่ออยู่ในร่างของปีศาจทั้งความเร็วและพละกำลังย่อมมากขึ้นกว่ามนุษย์ปกติอยู่แล้ว ดังนั้นใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็มาถึงต้นตอของเสียง สิ่งที่เห็นต่างจากที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก ภาพเบื้องหน้าเขาตอนนี้คือโนอาร์กำลังนอนทับร่างวิญญาณผู้หญิงตนหนึ่งซึ่งกำลังกรีดร้องโหยหวน พร้อมกดมีดที่เขาเคยให้เป็นของตอบแทนลงกลางอกของวิญญาณตนนั้น
    
    “ทำอะไรของเจ้า” เอทอสเดินเข้ามาใกล้ก่อนนั่งยองถามมนุษย์

    โนอาร์ละสายตาจากคู่ต่อสู้หันมองปีศาจที่กำลังมองเขาอยู่ พลางเพิ่มแรงกดมีดให้แทงลึกมากขึ้นสร้างเสียงร้องทรมานและแรงดิ้นสะบัดของวิญาณอาฆาตใต้ร่างมากกว่าเก่า ก่อนเริ่มตอบคำถามเมื่อครู่

    “ป้องกันตัว”
    “ข้าว่าไม่ใช่”
    “คุณมาตอนผมได้เปรียบพอดี”

    เอทอสเพียงขานรับในลำคอ ก่อนเหลือบมองวิญญาณหญิงสาวที่พลาดท่าให้กับมนุษย์ธรรมดา กรงเล็บสีดำยื่นกำส่วนหัวของวิญญาณสาวและออกแรงบีบ

    “กรี๊ดดดดดด!!!!!!!!!”

    เสียงกรีดร้องบาดหูครั้งสุดท้ายก่อนจางหายไปพร้อมกับร่างซากศพของวิญญาณหญิงสาว มีดทำจากแร่สีขาวบริสุทธิ์ตอนนี้จึงปักอยู่กับพื้นดิน โนอาร์พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ดึงมีดช่วยชีวิตขึ้นมาปัดเศษดินเศษหญ้าออกด้วยความทะนุถนอม ก่อนเก็บลงช่องใส่มีดด้านหลังดังเดิม
    ฝ่ายเอทอสมองดวงไฟวิญญาณในกำมือครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจคายกรงเล็บออก ปล่อยให้ดวงไฟวิญญาณลอยหายไป

    “คุณไม่กิน?” โนอาร์ถามเมื่อเห็นเอทอสไม่ทำท่าทางเหมือนส่งบางอย่างเข้าปากดั่งทุกที
    “ข้าอิ่มแล้ว”

    ปีศาจบอกปัดก่อนลุกขึ้นยืน เดินนำมนุษย์กลับไปทางที่จอดรถกระบะทิ้งไว้ ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยระหว่างกัน จนกระทั่งถึงรถ มนุษย์ที่เดินตามหลังเงียบๆ จึงเอ่ยขอบางสิ่ง เรียกคิ้วหนาของปีศาจให้ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

    “รถคุณมีผ้าไหม ผมขอเอามาเช็ดเลือดก่อน”
    “เลือดอะไรของเจ้า”
    “ก็เลือด-”

    ฆาตกรจะบอกว่าเลือดเลอะตามหน้าและเสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันได้พูดจบถึงเพิ่งสังเกตว่านอกจากเศษดินที่ติดจากการเอาตัวไปคลุกก่อนหน้านี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก ทั้งคราบเลือดและกลิ่นคาวจากการฆ่ากลุ่มผู้ชายได้หายไปอย่างกับไม่เคยมีเหตุการณ์นั้นมาก่อน

    “ไม่มีอะไร สงสัยผมคงโดนภาพลวงตาหลอก”

    โนอาร์เอ่ยตอบกลับหลังจากสรุปเรื่องราวบางอย่างได้ เอทอสมองมนุษย์ผู้ถูกวิญญาณเล่นงานมาแต่กลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว แม้แต่น้ำเสียงยังเรียบนิ่งเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง หากเป็นคนปกติเจอขนาดนี้อาจถึงขั้นช็อกหรือเป็นบ้ากันแล้ว ทว่านี่นอกจากไม่สติหลุดยังสามารถสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติได้หน้าตาเฉย

    ช่างเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาดเสียจริง

    

    รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวออกจากป่ามุ่งตรงกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ระหว่างทางปีศาจสังเกตมนุษย์มักนำมือสัมผัสบริเวณรอบลำคอตัวเองอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว จึงเอ่ยถามคนข้างตัว

    “เป็นอะไร”
    “ตอนสู้ ผมถูกบีบคอแต่ไม่น่าเป็นอะไรมาก”

    สิ่งที่ได้ยินเรียกคิ้วหนาของปีศาจให้ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เอทอสตัดสินใจจอดรถข้างทาง ไม่ต้องกังวลเรื่องอุบัติเหตุหรืออาจกีดขวางทางใครเนื่องจากตอนนี้แม้ใกล้รุ่งสาง แต่ก็ยังไร้ซึ่งรถยนต์สัญจร ไฟในห้องผู้โดยสารถูกเปิดโดยเจ้าของรถ ก่อนปีศาจใช้กรงเล็บค่อยๆ จับให้มนุษย์หันมาและเงยหน้าขึ้น
    รอยม่วงช้ำจากแรงบีบจนเห็นเป็นลายนิ้วชัดเจนบริเวณลำคอขาว ทำให้อารมณ์ของปีศาจคุกรุ่นขึ้นหนึ่งระดับ ภายในใจคิดเสียดายที่ปล่อยวิญญาณดวงนั้นไป น่าจะจับกินซะให้สาสมกับสิ่งที่ทำ

    “เจ็บมากไหม”

    ถ้อยคำราวกับเป็นห่วงถึงขั้นทำให้ฆาตกรเลือดเย็นนิ่งค้าง ยิ่งประกอบกับแววตาสีเลือดนกแฝงด้วยหงุดหงิดยามมองบริเวณลำคอของเขา ยิ่งทำให้อวัยวะสูบฉีดเลือดเต้นแรงขึ้น จนเขาเริ่มเกรงว่าปีศาจที่ทำหน้าเครียดอยู่ตอนนี้ อาจได้ยินเสียงหัวใจที่ดังก้องเช่นเดียวกับเขา

    “ไม่มาก ทายานิดหน่อยไม่นานก็หาย”
    “อืม”

    เอทอสละสายตาขึ้นมองหน้าโนอาร์เล็กน้อย ก่อนผละออกพร้อมเปลวเพลิงสีดำลุกท่วมร่างและมอดดับ เผยให้เห็นร่างมนุษย์ของปีศาจเหมือนคราออกจากบ้าน รถกระบะเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งแต่ครั้งนี้คนขับมีจุดหมายใหม่แทรกเข้ามาก่อนกลับที่พัก



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 9 ลองดี]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 14-10-2019 18:14:03
(ต่อ)



    ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเป็นจุดหมายของปีศาจ เอทอสและโนอาร์ลงจากรถก่อนเดินเข้าร้านพร้อมกัน ตามจริงเอทอสต้องการให้คนเจ็บรอบนรถ เพราะเขาแค่ลงไปซื้อยาแค่นั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายถามต่อว่าจะซื้อยาอะไร ชนิดไหน เอทอสกลับจนปัญญาที่จะตอบ สุดท้ายจึงต้องยอมให้มนุษย์ลงมาเลือกยาด้วยกัน
    เหตุที่ต้องแวะซื้อยานั้นเนื่องจากภายในบ้านของปีศาจไม่มียาหรือกล่องปฐมพยาบาลอยู่เลย เหตุผลง่ายๆ ที่ไม่มีเพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่ถึงตอนนี้เจ้าของบ้านอาจต้องซื้อติดไว้บ้างแล้ว

     หลังซื้อยาแก้อาการบาดเจ็บรวมไปถึงยาสามัญประจำบ้านและอุปกรณ์ทำแผลอื่นๆ เพิ่มเติม เอทอสเป็นผู้ถือเหล่าถุงทั้งหมด ส่วนโนอาร์นั้นเดินอยู่ข้างกัน ระหว่างรอให้เอทอสปลดล็อกประตูรถกระบะที่จอดอยู่ริมทาง พลันเกิดเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือ โนอาร์หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นดูพบว่าเป็นข้อความโอนเงินเข้าของผู้ว่าจ้างที่นัดคุยกันเมื่อหลายวันก่อน
    และขณะที่โนอาร์กำลังเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม ฉับพลันนั้นเองกลับถูกมือของคนนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านคว้าชิงมือถือหลุดจากมือ

    “หมับ!”
     “เฮ้ย!! ตึง!! อั่ก!”
    “เอี๊ยดด!!”

    หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็ว ทันทีที่โนอาร์ถูกชิงโทรศัพท์ เอทอสใช้ความว่องไวและพละกำลังที่มากกว่าคว้าจับคอเสื้อคนนั่งซ้อนท้าย พร้อมกระชากร่างอีกฝ่ายตกจากหลังมอเตอร์ไซค์ โชคดีที่ใส่หมวกกันน็อกหัวที่ฟาดพื้นจึงไม่เป็นอะไรมากนัก
    ฝ่ายคนขับรีบเบรกรถหันกลับมามองเพื่อนของตนซึ่งตอนนี้นอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเจ้าของมือถือที่กำลังกระทืบท้องและอกเต็มแรงไร้ความปรานี โดยมีชายร่างสูงใหญ่ท่าทางน่าเกรงขามยืนอยู่ข้างกัน ไม่คิดห้ามปรามการกระทำของคนข้างกายแม้แต่น้อย

    “มึงหยุด!”

    เสียงข่มขู่จากคนขับมอเตอร์ไซค์พร้อมอาวุธปืนที่จ่อมาที่เจ้าของมือถือ ทำให้การสั่งสอนคนเขลาหยุดลงชั่วขณะ แต่ก็แค่ชั่วครู่เดียว เมื่อคนถูกปลายกระบอกปืนเล็งกลับมองคนถือปืนนิ่งพลางยกขาขึ้นออกจากอกเพื่อน แล้วกระทืบลงตำแหน่งเดิมด้วยแรงที่หนักกว่าเก่า

    “ถ้ามึงไม่หยุดไอ้หมอนี่ตาย!”

    เมื่อเห็นว่าการขู่ผู้กระทำไม่เป็นผล เจ้าของปืนจึงเลือกเปลี่ยนวิถีกระสุนไปที่คนด้านข้างแทน ซึ่งคราวนี้ได้ผลชะงัด ฝ่าเท้าที่ใช้กระทืบหยุดนิ่ง แววตาเจ้าของมือถือสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาทีก่อนแปรเปลี่ยนเป็นประกายเย็นเยียบ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าราวกับยอมแพ้ แต่ยังไม่ทันที่มือปืนจะได้รู้สึกว่าตนนั้นอยู่เหนือกว่า ชายเจ้าของมือถือกลับกระชากคอเพื่อนขึ้นมาพร้อมใช้มีดที่เอามาจากไหนไม่รู้กดลึกตรงลูกกระเดือกเพื่อนของตน

    “เลือกเอา ระหว่างตาย กับลดปืน”

    คำต่อรองไม่หวั่นเกรงจากเจ้าของมือถือ เริ่มทำให้โจรกระจอกกลัวใจเหยื่อของตนเอง ทุกครั้งที่ลงมือปล้นชิงไม่มีครั้งไหนที่เหยื่อสามารถโต้กลับพวกตนได้ถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นโจรก็ยังคงทำเป็นนิ่งเฉย เพราะถือว่าตนมีปืนย่อมเหนือกว่าอีกฝ่ายที่มีเพียงมีดพกธรรมดา
    แต่ไม่นานคนถือปืนกลับต้องลังเลอีกครั้ง เมื่อคราวนี้คนที่บอกให้ลดปืนกลับเป็นเพื่อนของตน

    “มะ.. มึง เอาปืนลง ไอ้นี่มันเอาจริง”

    คนกลัวตายรีบเอ่ยเสียงตะกุกตะกักบอกเพื่อนให้ลดปืน เมื่อสัมผัสถึงจิตสังหารเยือกเย็นอันตรายจากคนด้านหลังที่แผ่ออกมา จนทำให้มือของตนเริ่มสั่นกลัวอย่างคุมไม่ได้ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น คมมีดที่อยู่บริเวณลำคอก็เริ่มกดลึกลงทุกช่วงเวลาที่ผันผ่าน หากยังไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง ดีไม่ดีคนที่ตายก่อนอาจเป็นตน แทนที่จะเป็นชายเป้าหมายของวิถีกระสุนปืน

    “ถ้ากูลดปืนมึงต้องปล่อยมัน”

    เจ้าของปืนต่อรอง แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับจากคนร่วมเจรจา และสุดท้ายก็เป็นตนเองที่พ่ายแพ้ยอมลดปลายกระบอกปืนลงก่อน โนอาร์เห็นดังนั้นจึงผลักตัวประกันทิ้งราวกับของไร้ค่า คนรอดตายรีบลุกวิ่งขึ้นรถมอเตอร์ไซค์เร่งให้เพื่อนขับออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
    
    “ข้าเคยได้ยินว่าความรักคือจุดอ่อน แต่ไม่เห็นเจ้าจะเป็นเช่นนั้น”

    เอทอสพูดขึ้นพลางเปิดประตูขึ้นรถกระบะราวกับเหตุการณ์วุ่นวายก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าพวกโจรนั้นขับหนีจนลับสายตาแล้ว โนอาร์ก้มเก็บโทรศัพท์มือถือ ก่อนตามเอทอสขึ้นรถไปแล้วจึงตอบไขข้อสงสัยเมื่อครู่

    “คนอื่นอาจใช่ แต่สำหรับผม คุณคือตัวปลดล็อก หากคุณโดนทำร้ายเมื่อไร” เอทอสเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย รอฟังประโยคถัดมาขณะขับรถมุ่งกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์
    “แม้นรกขุมที่ลึกที่สุด คนที่ทำร้ายคุณอาจเต็มใจที่จะอยู่มากกว่ารอรับสิ่งที่ผมจะมอบให้”

 

    เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือนกลับไม่สดใสอยากทุกวัน เนื่องด้วยกลุ่มเมฆสีดำทมิฬปกคลุมผืนฟ้าพร้อมสาดสายฝนเทกระหน่ำตั้งแต่ช่วงเช้ามืด โนอาร์มองบรรยากาศพายุฝนฟ้าคะนองผ่านทางหน้าต่าง ก่อนเหลือบมองบางสิ่งบนหน้าจอโทรศัพท์ รอยยิ้มมุมปากไม่น่าไว้ใจพลันปรากฏขึ้น โนอาร์เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง เขียนโน้ตเล็กๆ ลงบนโต๊ะซึ่งมีมื้อเช้าเตรียมไว้สำหรับปีศาจที่ยังไม่ออกจากห้อง แล้วจึงเดินออกจากบ้าน ขึ้นรถสีเทาเมทัลลิกที่ไม่ได้ใช้มานาน และขับหายไปท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

    
    แผนที่นำทางในโทรศัพท์พารถของฆาตกรมาหยุดอยู่หน้าห้องแถวเก่าซอมซ่อ รถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าของเล่นของเขาอยู่ที่นี่ เพชฌฆาตลงจากรถย่างสามขุมตรงไปที่ประตูหน้าห้องเป้าหมาย ก่อนเคาะประตูให้คนข้างในออกมาต้อนรับ

    “ก๊อกๆ ๆ”
    “...”
    “ก๊อกๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
    “ใครวะ!!”

    เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่อง ส่งผลให้คนที่อยู่ในห้องทนไม่ไหว เดินกระแทกเท้าตึงตังมากระชากประตูเปิดออกเตรียมด่าว่าคนที่มารบกวนตนตอนเช้า แต่ทันทีที่ประตูเปิดกลับไม่ทันได้ทำตามอย่างที่ใจคิด เมื่อถูกคนหน้าห้องยกเท้าถีบยอดอกกระเด็นล้มลงกลางพื้นห้อง พร้อมกับผู้มาเยือนที่ย่างกรายเข้ามาก่อนดันประตูปิดและใส่กลอน

    อีกคนที่นอนหลับอยู่บนฟูกสะดุ้งตื่น เมื่อรู้สึกถึงแรงสะเทือนจากร่างของเพื่อนที่ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง กวาดสายตามองเพื่อนก่อนหันมองผู้บุกรุก ครานี้จากความหงุดหงิดแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดระแวงระคนหวาดกลัว เมื่อชายที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นคนเดียวกับเจ้าของโทรศัพท์ที่พวกเขาลงมือปล้นชิงแต่ไม่สำเร็จ

    “มึงต้องการอะไร”
    “วิญญาณพวกคุณ”

    ผู้บุกรุกตอบกลับเรียบง่าย พร้อมรอยยิ้มมุมปากกับนัยน์ตาประกายวาวอันตราย ชายคนที่ล้มอยู่ที่พื้นรีบวิ่งไปยังตำแหน่งซ่อนปืนหวังใช้ป้องกันตัว แต่ทันทีที่เริ่มขยับลุกกลับรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าวิ่งกระจายไปทั่วทุกอวัยวะ ร่างกายแข็งเกร็งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ก่อนล้มลงกับพื้นอีกครั้งต่อหน้าเพื่อนที่มัวแต่ช็อกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

    “ปืนช็อตไฟฟ้า ไม่ถึงตาย แค่ให้ลองรู้สึก”

    ฆาตกรอาศัยจังหวะที่เหยื่อขยับไม่ได้ ใช้สันมือสับบริเวณท้ายทอยให้อีกฝ่ายหมดสติ ก่อนจับแขนไขว้หลังและพันธนาการด้วยกุญแจมือเหล็ก คนนั่งตะลึงอยู่บนฟูกเพิ่งได้สติ รีบพุ่งเข้าถีบผู้บุกรุกให้ถอยห่างจากเพื่อนของตน ฝ่ายฆาตกรหลบการโจมตีอย่างง่ายได้ แต่ต้องแลกกับการทิ้งระยะห่างจากเหยื่อ เมื่อตั้งหลักได้จึงเห็นว่า บัดนี้คนที่มาช่วยเพื่อนกำลังถือปืนจ่อมาที่เขา

    “ออกไป!! ไม่งั้นกูยิงมึงแน่!!!”

    คนกลายเป็นเป้ากระสุนปืนยังคงยืนนิ่ง ก่อนจะค่อยเลื่อนมือเข้าใต้ชายเสื้อเพื่อหยิบบางสิ่ง

    “อย่าขยับ!!”
    “เคร้ง!” กระบอกเก็บเสียงถูกโยนกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าของปืน
   “เสียงฝนมันกลบเสียงปืนไม่ได้”
    “มึงท้ากูเหรอ!”

    ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ ฆาตกรเพียงจ้องคนถือปืนนิ่ง ก่อนเริ่มย่างเท้าเข้าหาอีกฝ่ายเชื่องช้าแต่หนักแน่นทุกครั้งที่เข้าใกล้ คนถือปืนแทนที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบกลับกลายเป็นฝ่ายหวาดกลัวเสียแทน พยายามก้าวถอยหลังหนีรักษาระยะห่างเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามา และในที่สุดแผ่นหลังชื้นเหงื่อเพราะความกดดันก็ชนเข้ากับผนังห้อง เป็นสัญญาณบอกเป็นนัยว่า หนทางหนีนั้นได้หมดลงแล้ว

    “กุ.. กูเตือนมึงแล้วนะ!!”
    “แกร๊ก!”

    คนจนตรอกกดลั่นไก แต่ไกปืนกลับแข็งเกินกว่าจะกดได้ ก่อเกิดความหวาดกลัวเข้ากินจิตใจอย่างรวดเร็ว ร่างกายเริ่มสั่นสู้ นิ้วมือพยายามกดลั่นไกสุดกำลัง ทว่าทุกการกระทำยังคงเปล่าประโยชน์ จนกระทั่งแผ่นอกของผู้ที่เดินเข้าหาชนกับปลายกระบอกปืน

    “ยิงสิ ระยะใกล้ขนาดนี้ ผมตายแน่นอน”
    “กะ.. กลัว กุ กลัวแล้ว กูสัญญาจะไม่ไปขโมยของใครอีก มึงจับกูส่งตำรวจเลยก็ได้”

    คนหวาดกลัวตัวสั่นปล่อยอาวุธชิ้นเดียวที่ตนมีร่วงลงพื้น ก่อนรีบก้มหน้ายกมือประสานร้องขอความเมตตา ฆาตกรไม่ตอบเพียงก้มหยิบปืนกับที่เก็บเสียงเอามาประกอบกัน คนเอาตัวรอดอาศัยจังหวะนั้นถีบฆาตกรจนล้มลง แล้วรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับเปิดไม่ได้เนื่องจากยังไม่ปลดห่วงโซ่คล้องประตู ด้วยความลนลานทำให้เรื่องง่ายๆ อย่างการปลดโซ่กลายเป็นเรื่องยาก และยิ่งทำอะไรไม่ถูกหนักกว่าเก่าเมื่อเผลอเหลือบมองด้านหลัง แล้วพบว่าคนอันตรายค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

    “ช่วย!-”
    “ปึง!!”
    “อั่ก!”

    เมื่อสถานการณ์บีบคั้นถึงขีดสุด การร้องตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่แรก จึงเพิ่งถูกนำมาใช้ แต่กว่าจะคิดได้ฆาตกรก็ถึงตัวเสียแล้ว ทันทีที่พยางค์แรกถูกเปล่งออก ผมชายเคราะห์ร้ายถูกกระชากก่อนถูกผลักกระแทกใส่ประตูอย่างแรงจนศีรษะแตก หยดเลือดเล็กน้อยติดกับบานประตู และบางส่วนค่อยๆ ไหลผ่านดวงตา
    ร่างคนหนีตายถูกเหวี่ยงลงบนฟูกก่อนโดนกดหน้ากับหมอน กดปลายกระบอกปืนติดที่เก็บเสียงลงบนหมอนใบเดียวกัน ใกล้ใบหูอีกฝ่ายเสียจนสัมผัสได้ถึงความเย็นของตัวโลหะ

    “คุณลืมทำสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งไป รู้ไหม”
    “อื้อ! อื้อ!!!”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งเยือกเย็นไม่ต่างจากสัมผัสของโลหะข้างหูดังอยู่เหนือร่าง ส่งผลให้คนโดนกดหน้ากับหมอนพยายามดิ้นหนีสุดแรง

    “คุณลืมปลดเซฟปืน”
    “ปุ!”



    “คุณ!”
    “...”
    “คุณ! ตื่นเร็ว!”

    เสียงเรียกไม่คุ้นเคยและสัมผัสจากน้ำที่เปียกชุ่มไปทั่วร่างอันเนื่องมาจากพายุฝนโหมกระหน่ำ ปลุกสติคนเคราะห์ร้ายให้ฟื้นคืนอีกครั้ง ความเจ็บแปลบบริเวณศีรษะเรียกความทรงจำก่อนหน้าให้กลับมา หัวขโมยสะดุ้งสุดตัวรีบลุกขึ้นนั่ง  พบชายผมสีเงินแปลกตาพยายามช่วยประคองตนให้นั่งดีๆ

    “คุณเป็นใคร?” คนที่ยังคงสับสนกับเหตุการณ์เอ่ยถาม
    “ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้คุณควรรีบออกจากที่นี่ก่อน”

    ชายแปลกหน้าไม่ว่าเปล่าพยายามช่วยพยุงหัวขโมยขึ้นยืน แต่ทุกการกระทำกลับเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากแรงลมของพายุฝน และโซ่ตรวนเหล็กที่ล่ามทั้งมือและเท้าของโจร เมื่อตั้งหลักได้ทั้งสองจึงค่อยๆ พากันก้าวเดินอย่างระมัดระวัง
    ขณะนี้ทั้งคู่อยู่ตรงปลายสะพานท่าน้ำเก่าเชื่อมลงไปในบึงขนาดใหญ่ ทัศนวิสัยโดยรอบยากแก่การมองเห็นเนื่องด้วยม่านฝนบดบัง ภาคินพยายามมองหาคนอันตรายที่พาผู้เคราะห์ร้ายมาทิ้งไว้ที่นี่แต่ก็ไม่พบตัว
 
    เหตุที่เขาสามารถมาช่วยเหลือโจรคนนี้ได้เป็นเพราะ หลังได้พูดคุยกับคนที่อาศัยร่วมบ้านกับปีศาจวันนั้น พบว่าอีกฝ่ายไม่น่าใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด ดังนั้นเขาจึงลองสืบหาประวัติ แต่ข้อมูลของโนอาร์กลับน้อยนิดราวกับเจ้าตัวต้องการปิดบังตัวตน วิธีการที่ได้ผลสุดคือการสอดส่องพฤติกรรมของอีกฝ่ายไปพร้อมกับปีศาจนั่น
    ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนกระทั่งเมื่อคืน ปีศาจพามนุษย์ผู้อาศัยร่วมบ้านเข้าไปในป่า เช้าวันต่อมาโนอาร์บุกเข้าห้องพักของพวกโจรที่ชิงปล้นตน ทีแรกเขาคิดว่าอาจเป็นการสั่งสอนทั่วไป แต่อีกฝ่ายกลับลักพาโจรทั้งสองในสภาพหมดสติและมีโซ่ล่ามทั้งมือและเท้าราวกับนักโทษขึ้นรถ ก่อนพามาทิ้งไว้ที่นี่ ทั้งแววตาและรอยยิ้มอันตรายนั่นทำให้เขาเริ่มเกรงว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการอาจไม่เป็นอย่างที่เขาคิด


    ภาคินพาโจรโชคร้ายเดินมาได้ถึงกลางสะพาน พลันปรากฏเงาของใครบางคนเดินมุ่งตรงมาหาพวกเขา ก่อนภาพเลือนรางเพราะหยาดฝนจะเด่นชัดขึ้นจนเห็นเป็นร่างของชายคนหนึ่งในสภาพเปียกปอน คนถูกประคองเริ่มตัวสั่นอย่างคุมไม่อยู่ เมื่อประสานสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีรัตติกาลเลือดเย็น
    ผู้มาใหม่สับเท้าเขาหากลุ่มคนกลางสะพานเร็วขึ้น พลางพันเส้นเอ็นตัดหญ้าเข้ากับฝ่ามือ ส่งผลให้กลุ่มคนคิดหลบหนีผงะถอยหลังเล็กน้อย ภาคินเอาตัวบังโจรตั้งท่าเตรียมรับการโจมตี และไม่นานการจู่โจมแรกก็เริ่มขึ้น
    ฆาตกรพุ่งเข้าประชิดตัวคนสอดรู้ก่อนปล่อยหมัดเร็วตรงเข้าลูกกระเดือก ฝ่ายรับการโจมตีเอี้ยวหลบและคว้ามืออีกฝ่ายไว้แน่นตามสัญชาตญาณการต่อสู้ และนั่นเข้าทางของฆาตกร

    “ตู้ม!”
    “อั่ก! แฮ่ก!”
    
    ทันทีที่ถูกดึงแขน ฆาตกรเบี่ยงตัวไปทางด้านหลังชายผมเงิน ก่อนอาศัยจังหวะนั้นที่เข้าประชิดตัวของเล่นที่สุดยันร่างอีกฝ่ายซึ่งถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนลงน้ำ พร้อมกับพันคอคู่ต่อสู้ด้วยเส้นเอ็นแล้วจึงออกแรงขึงรัดคอจนสำลักอากาศทรุดตัวลงกับพื้นสะพาน

    “ช่วย!- ช่วยด้วย!!”

     ชายใกล้สิ้นชะตาพยายามตะเกียกตะกายพลางร้องขอความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ตนจมน้ำตาย เพราะโซ่ตรวนเหล็กพันธนาการข้อมือและข้อเท้าจนไม่สามารถว่ายน้ำหรือประคองตัวให้ลอยอยู่นิ่งๆ ภาคินเห็นภาพตรงหน้าก็พยายามดิ้นหนีเพื่อไปช่วยคนที่กำลังจะตายต่อหน้าต่อตา แต่กลับทำไม่ได้ดังใจคิดเพราะฆาตกรคร่อมทับร่างล็อกตัวไม่ให้ขยับ พร้อมกับเพิ่มแรงดึงเอ็นให้รัดคอมากขึ้น

    “ปะ.. ปล่อย แฮ่ก!” ภาคินพยายามพูดบอกให้คนของปีศาจปล่อยตน เพื่อจะได้ไปช่วยคนจมน้ำ
    “กฎของการเป็นผู้สังเกตคือ ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม”
    “แฮ่ก!! อั่ก!”
    “คุณผิดกฎเอง”


    อีกด้านหนึ่ง หัวขโมยซึ่งถูกช็อตด้วยไฟฟ้าและทำให้สลบเพิ่งรู้สึกตัว พบว่าตนอยู่ในเพิงพักใกล้บึงขนาดใหญ่ มือและเท้าถูกโซ่ตรวนเหล็กพันธนาการไว้ ส่งผลให้ขยับเคลื่อนไหวไม่สะดวก เมื่อตั้งสติได้พลันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือไกลๆ ของเพื่อนตนเอง จึงพยายามใช้สายตามองหาท่ามกลางสภาพอากาศพายุฝนคอยขัดขวางทัศนวิสัย จนกระทั่งพบเพื่อนของตนกำลังจมน้ำ ห่างไปไม่มากนักเห็นชายเจ้าของมือถือกำลังใช้อะไรบางอย่างรัดคอชายอีกคนหนึ่งอยู่
    ด้วยสภาพที่ตนถูกโซ่ตรวนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถช่วยเพื่อนที่ใกล้จมน้ำ หรือจะเข้าไปช่วยชายแปลกหน้าที่กำลังโดนทำร้าย เพราะอาจเป็นการพาตัวเองไปตายเสียเปล่า ดังนั้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอด และเห็นแก่ตัว จึงสั่งให้ใช้โอกาสนี้หาทางหนี

    หัวขโมยกวาดสายตารอบบริเวณ ทันเห็นกุญแจรถตกอยู่ไม่ห่างจากตนมากนัก จึงก้มหยิบและเมื่อเงยหน้าขึ้นมาคล้ายสวรรค์เป็นใจ เพราะเห็นรถยนต์สีเทาเมทัลลิกคันหนึ่งที่น่าจะเป็นรถของกุญแจดอกนี้จอดอยู่อีกฟาก โดยมีพื้นดินโล่งกว้างเฉอะแฉะเนื่องด้วยหยาดฝนคั่นกลาง
    หนทางรอดอยู่ข้างหน้า หัวขโมยไม่รอช้าพยายามพาตัวเองเดินตัดพื้นที่โล่งเพื่อให้ถึงตัวรถเร็วที่สุด ทุกอย่างก้าวผ่านไปอย่างทุลักทุเล ทั้งจากพื้นดินที่ลื่นและโซ่ตรวนที่คอยเป็นอุปสรรค

    “ครืน... ครืน...”

    เสียงฟ้าร้องคำรามและแสงจากก้อนเมฆที่สว่างวาบถี่ขึ้น ทำให้หัวขโมยที่อยู่กลางพื้นที่โล่งต้องรีบเร่งให้ถึงตัวรถเร็วที่สุด เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของตนมีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกสายฟ้าฟาดใส่ ทุกการเคลื่อนไหวเกิดเสียงเหล็กกระทบกันของโซ่ตรวนยิ่งกระตุ้นให้เร่งฝีเท้ามากขึ้น

    “ตุ้บ!”
    “โอ้ย! ไอสัตว์เอ้ย”

    เนื่องด้วยพื้นลื่นและความรีบไม่แปลกหากจะลื่นล้ม หัวขโมยพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พร้อมกับรับรู้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่ต่างไปนั่นคืออาการขนลุกคล้ายเกิดไฟฟ้าสถิต ความกลัวบางสิ่งที่กำลังมาวิ่งกระจายไปทั่วร่าง และทันใดนั้นเอง

    “เปรี้ยงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!”


    เสียงสายฟ้าฟาดกัมปนาทกึกก้องทั่วบริเวณพร้อมแสงสว่างวาบ ก่อนเลือนหายเหลือเพียงเสียงครืนคำรามของท้องฟ้า และใครบางคนที่จมหายลงไปใต้บึงน้ำขนาดใหญ่ ทั้งสองเหตุการณ์ต่อเนื่อง เรียกรอยยิ้มมุมปากให้กับฆาตกรใจบาป ก่อนคลายแรงขึงเส้นเอ็นที่ใช้รัดคอคนสอดรู้ออก
    โนอาร์ลุกขึ้นยืน ม้วนเอ็นซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธที่นานครั้งจะเลือกใช้งานเก็บเข้าที่ พลางมองร่างหมดสติของนักล่าปีศาจด้วยสายตาเย็นชา การสั่งสอนคนยุ่มย่ามเรื่องของคนอื่นสักเล็กน้อย เอทอสคงว่าอะไรเขาไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามายุ่งเอง

    ฆาตกรทิ้งร่างชายผมเงินให้ตากฝนอยู่อย่างนั้น ก่อนเดินกลับไปที่รถสีเทาเมทัลลิก ระหว่างทางเห็นศพหนึ่งในของเล่นถูกฟ้าผ่าตาย จึงหยิบบางสิ่งในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาควงเล่น สิ่งนั้นคือกุญแจรถยนต์ของจริง

    “โจรขโมย เลิกนิสัยตัวเองไม่ได้หรอก”







บท9 สมบูรณ์

หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 9 ลองดี)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 14-10-2019 23:51:38
สนุกมาก รอติดตาม ขอบคุณผู้แต่ง ชอบแม้ จะอ่านแล้ว รู้สึกทึ่งในความ โหด ของฆาตกร ไปบ้าง แต่ ลุ้นระทึกมากๆ ^^
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 10 ไม่ชอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 21-10-2019 04:02:47
   แม้ขณะนี้เวลาตามเข็มนาฬิกาบ่งบอกถึงเที่ยงวัน แต่ท้องฟ้ายังคงอึมครึมไร้แสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ สายฝนพายุคลั่งเมื่อช่วงเช้าบัดนี้หรือเพียงหยาดฝนโปรยปรายบางเบา รถสีเทาเมทัลลิกเคลื่อนตัวจอดสนิทข้างรถกระบะสีดำ เจ้าของลงจากรถด้วยสภาพเปียกปอน ผมสีเดียวกับนัยน์ตาลู่ตกบดบังการมองเห็นจนเจ้าตัวต้องเสยขึ้นอย่างรำคาญใจ ก่อนเดินเข้าบ้านทรงไทยประยุกต์
    ปีศาจในร่างมนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเห็นมนุษย์กลับมาด้วยสภาพไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ ทำท่าจะเดินมาทักทายเขา จึงเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายให้ไปอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ดังนั้นผู้มาใหม่เลยเดินหายเข้าห้องพักของตนตามคำของเจ้าบ้าน

    เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง มนุษย์กลับมาอีกครั้งในชุดอยู่บ้านสบายๆ ในมือถือหลอดใส่วิญญาณสองหลอด ก่อนมานั่งตรงโซฟาอีกตัวข้างปีศาจ พร้อมกับวางของฝากจากเรื่องเมื่อเช้าลงบนโต๊ะกระจก
    เอทอสมองหลอดแก้วบรรจุวิญญาณเพศชายสองดวง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นวิญญาณของพวกโจรก่อนหน้านี้ ถึงแม้กลิ่นอายวิญญาณที่สัมผัสจะมีเพียงความชั่วร้ายเบาบางไร้ความบริสุทธิ์ เฉกเช่นเดียวกับประเภทวิญญาณที่เขาเคยบอกอีกฝ่าย แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับสร้างความไม่สบายใจให้กับตัวปีศาจเอง ยิ่งมองประสานแววตาไร้ความรู้สึกผิดของผู้กระทำ ความรู้สึกนั้นยิ่งเสียดแทงจนรู้สึกเจ็บภายใน

    “เจ้าไม่ต้องหาวิญญาณให้ข้าแล้ว”
    “มันเป็นแค่ผลพลอยได้จากงาน”
    “งานนั่น... ข้าก็อยากให้เจ้าเลิกเหมือนกัน”

    โนอาร์ถึงกลับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของเอทอส ก่อนพยายามมองตาสีอำพันของอีกฝ่าย แต่ปีศาจกลับไม่ยอมสบตาเขา เอาแต่จ้องรอยบาดจากเอ็นบนฝ่ามือเขาซึ่งเกิดจากการต่อสู้เมื่อช่วงเช้า

    “คุณหมายความว่ายังไง?”
 
    เอทอสเลือกหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อเรียบเรียงถ้อยคำและความรู้สึกทั้งหมด ก่อนหันกลับไปสบตามนุษย์ตรงหน้าอย่างจริงจัง

   “หยุดฆ่าคน เลิกทำงานพรรณ์นั้นซะ ข้าไม่ชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้”

    คำแสดงความต้องการของปีศาจ เพื่อสั่งให้เขาหยุดสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิต ผสานกับแววตาจริงจังของเอทอสที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้โนอาร์พูดไม่ออก ความขัดแย้งและสับสนมากมายพลันก่อเกิดขึ้นภายใน ส่งผลให้เรียวคิ้วเหนือนัยน์ตาสีรัตติกาลเริ่มขมวดเข้าหากันมากขึ้นกว่าเก่า
    ความรู้สึกในส่วนลึกกำลังกระซิบบอกเขาว่า เอทอสรังเกียจในสิ่งที่เขาเป็น ทั้งที่เขาไม่เคยสนว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะเป็นปีศาจหรืออะไร ราวกับถูกทรยศหักหลัง สองมือบนตักโนอาร์เริ่มกำแน่นเพื่อกักเก็บอารมณ์ข้างในอย่าให้ประทุออกมา ก่อนโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเยียบเย็น

    “คุณเป็นอะไร”
    “ข้า...”
    “ตลอดมาคุณไม่เคยห้าม ซ้ำยังเห็นดีเต็มใจรับวิญญาณที่ผมหามาให้ แต่วันนี้คุณกลับบอกให้ผมเลิกทำในสิ่งที่ตัวผมเป็น คุณคิดอะไรอยู่”
    “นั่นไม่ใช่ตัวเจ้า”
    “รู้จักผมไม่นาน อย่าทำเป็นรู้ดี”
    “โนอาร์!”

    นัยน์ตาสีรัตติกาลมองกลับอย่างกราดเกรี้ยว ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นก้าวเท้าไวราวกับจะออกไปข้างนอกอีกครั้งทั้งที่เพิ่งกลับมา เอทอสรีบเข้าไปขวางหน้าประตู ไม่ปล่อยให้ใครอีกคนหนีไปทั้งที่ยังคุยกันไม่จบ

    “หลบ” โนอาร์เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ พลางแผ่บรรยากาศกดดัน
    “ไม่ เจ้าต้องฟังข้า” เอทอสพูดพร้อมกับเดินเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย
    “ขวับ!”
    “อย่าให้ผมต้องทำร้ายคุณ”

    มีดแหลมจากข้างเอวถูกหยิบขึ้นว่องไว ก่อนใช้จ่อลำคอของปีศาจตรงหน้า เอทอสนิ่งไปสักพัก แต่แทนที่จะถอยห่างกลับย่างเท้าเข้าหามนุษย์เรื่อยๆ ไร้ความเกรงกลัว จนปลายมีดแหลมทิ่มผิวเนื้อ และเป็นโนอาร์เองที่ต้องเริ่มถอยหลังพยายามรักษาระยะห่างระหว่างคมมีดกับลำคอของอีกฝ่าย

    “เจ้าบอกว่าข้าไม่มีทางกินเจ้า ใช่ไหม” ปีศาจเอ่ยพลางก้าวเท้ายาวขึ้น
    “...”
    “เจ้าก็ไม่มีวันทำร้ายข้าเหมือนกัน”

    เอ่ยจบเอทอสคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของมนุษย์ ก่อนออกแรงบิดจนมีดร่วงลงพื้น โนอาร์ใช้ความว่องไวพุ่งไปทางด้านหลัง ก่อนใช้แขนที่เอทอสจับข้อมือไว้ล็อกคออีกฝ่ายพร้อมเตะข้อพับ จนร่างสูงใหญ่ล้มลงกับพื้น

    “โอ้ย!”

    เสียงร้องจากปีศาจทำให้มนุษย์เผลอผ่อนแรงด้วยความเป็นห่วง และจังหวะนั้นเองที่เอทอสอาศัยโอกาสพลิกตัวกลับขึ้นไปด้านบน กดร่างมนุษย์ลงกับพื้นพร้อมใช้มือตรึงสองแขนอีกฝ่ายไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว

    “ปล่อย!!”

    โนอาร์ที่บัดนี้อยู่ใต้ร่างปีศาจพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการ นัยน์ตาสีรัตติกาลเต็มไปด้วยเพลิงโทสะประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันอ่านยากของคนด้านบน พร้อมกับระยะห่างที่เริ่มลดหายทุกขณะที่เอทอสใกล้เข้ามา โนอาร์อาศัยช่วงจังหวะที่เอทอสเข้าใกล้ที่สุดหวังใช้หน้าผากโขกศีรษะให้อีกฝ่ายผ่อนกำลังลง เพื่อชิงความได้เปรียบกลับมา

    ทันทีที่ระยะห่างเหมาะสมโนอาร์ผงกศีรษะขึ้นอย่างรวดเร็วตามแผน แต่ทุกสิ่งกลับตาลปัตรเมื่อสิ่งที่กระแทกกันหาใช่หน้าผาก ทว่าเป็นริมฝีปาก แรงจากการกระแทกส่งผลให้ริมฝีปากของทั้งคู่เลือดซิบ ถึงอย่างนั้นปีศาจด้านบนก็ไม่ได้ผละออก กดสัมผัสให้แนบชิดกว่าเดิม สองสายตาสบกันในระยะใกล้จนเห็นเงาสะท้อนของอีกฝ่ายในนั้น ริมฝีปากของคนด้านบนเริ่มขบเม้มดูดดึงริมฝีปากของคนใต้ร่าง ก่อนส่งปลายลิ้นร้อนปัดผ่านไรฟันขอให้มนุษย์ใต้ร่างเปิดทาง
    เมื่อได้รับการอนุญาต ลิ้นร้อนของปีศาจรีบสอดเข้ารุกล้ำเกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่มของมนุษย์ เกิดเสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจดังทดแทนเสียงการต่อสู้ รสชาติสนิมของเลือดเจือจางในโพรงปากยิ่งเพิ่มอารมณ์ของสองฝ่ายให้พลุ่งพล่าน และก่อนที่อะไรจะเกินการควบคุม เอทอสเลือกดูดเม้มริมฝีปากคนใต้ร่างเป็นการส่งท้าย ก่อนดันตัวขึ้นมองหน้ามนุษย์ที่สิ้นฤทธิ์ลง

    ตอนนี้โนอาร์ราวกับสติหลุดลอยหายไปพร้อมอารมณ์โกรธเกรี้ยวก่อนหน้า เหลือแต่เพียงความรู้สึกอุ่นร้อนตรงริมฝีปากที่ยังคงเด่นชัด แม้เจ้าของสัมผัสจะผละออกไปแล้ว

   “โนอาร์... เมื่อก่อนเจ้าจะฆ่าใครหรือทำอะไรข้าไม่เคยคิดสน จนเมื่อไม่นานนี้ที่ข้าเริ่มรู้สึกไม่ชอบ”
    “ข้ารู้สึกไม่ชอบแววตาเจ้าที่ใช้ตัดพ้อข้า เพราะมันทำให้ข้าไม่สบายใจ”
    “ข้ารู้สึกไม่ชอบที่ตื่นมาแล้วสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณของเจ้าไม่ได้ เพราะมันหมายความว่าเจ้าไม่อยู่”
    “ข้ารู้สึกไม่ชอบที่เจ้าออกไปข้างนอกทั้งที่มีพายุ เพราะมันอันตราย”
    “ข้ารู้สึกไม่ชอบที่เจ้ากลับมาในสภาพตัวเปียกโชก ไม่ชอบที่ตามตัวเจ้าต้องมีบาดแผล เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เคยคิดดูแลตัวเอง”
    “จนถึงเมื่อครู่นี้ที่ข้าเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจกับสิ่งที่เจ้าทำ”
    “เปล่าเลย ข้าไม่เคยนึกเกลียดชังในสิ่งที่เจ้าเป็น ข้ารู้ว่าเจ้าสนุกกับการสังหารใครต่อใคร จิตใจเจ้าดำมืดเท่าใดข้ารู้ดี แต่สิ่งที่เจ้าทำมันผิด และข้ารู้สึกไม่ชอบที่ปล่อยให้เจ้าถูกความชั่วร้ายกลืนกินเช่นนี้”
    “เจ้าพอจะรู้ไหมว่าความรู้สึกไม่ชอบพวกนี้มันหมายความว่าอะไร”

    โนอาร์เพียงนิ่งฟังคำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกมากมาจากความรู้สึกของเอทอส สบนัยน์ตาสีอำพันซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงหาปรารถนาดี ในตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ปีศาจพยายามสื่อกับเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น

    “โลกมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิด เอทอส” โนอาร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
    “ยังไง?”
    “เหมือนกับปีศาจ มนุษย์ไม่ได้มีแต่คนดีไปเสียหมด เราไม่ทำเขาไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำเรา เราหยุดแล้วไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดตาม”
    “อย่างเรื่องของคุณหญิงค้ามนุษย์ ผมหยุดแล้วแต่ฝั่งนั้นไม่ ส่งคนพยายามหาตัวผม ถ้าผมไม่ยอมตอบโต้กลับ ไม่เชือดไก่ให้ลิงดู มีหรือที่คนพวกนั้นจะยอมล่าถอยเหมือนทุกวันนี้”
    “นั่นเพราะเจ้าไปฆ่าฝั่งนั้นก่อน” เอทอสเอ่ยแย้ง
    “คุณหญิงนั่นถูกสั่งฆ่าเพราะความเลวร้ายของตัวเอง ผมแค่ช่วยให้ความปรารถนาของเหยื่อเป็นจริง”
    “...”
    “ระหว่างช่วยกำจัดคนบาปให้หายไปทันทีหนึ่งกลุ่ม กลับปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความยุติธรรมจอมปลอม คุณคิดว่าอย่างไหนจะดีต่อคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อมากกว่ากัน”
    “...”
   “เอทอส เหยื่อไม่จำเป็นต้องถูกล่าเสมอไป”

    โนอาร์เอื้อมมือขึ้นสัมผัสใบหน้าซีกหนึ่งของปีศาจ พลางลูบแผ่วเบาราวกับปลอบประโลมนัยน์ตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยความสับสน น้ำเสียงนุ่มนวลและนัยน์ตาสีรัตติกาลคล้ายมนตร์สะกด ขับกล่อมให้ปีศาจยอมโอนอ่อนตามคำของเขา
    การที่อยู่ดีๆ เอทอสต้องการให้เขาเลิกฆ่าและหันมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักเดินทางผิด และนั่นหมายความว่าเอทอสเริ่มมีความรู้สึกที่ตรงกับเขามากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเลิก เขาเคยบอกแล้ว ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมาะสมกับเอทอสที่สุด

    “เอาแบบนี้ไหม” โนอาร์เริ่มหว่านล้อมจูงใจปีศาจอีกครั้ง
    “ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าผมจะรับงานอะไรหรือจะจัดการใครผมจะขอคุณก่อน ไม่ทำโดยพลการเหมือนคราวนี้อีก”
 
    คิ้วหนาของเอทอสเริ่มขมวดเขาหากัน ความรู้สึกภายในกำลังร้องเตือนว่าข้อตกลงที่มนุษย์ยื่นเสนอ กำลังบิดเบือนความต้องการจากใจจริงของเขา ทว่าไม่ทันได้เอ่ยขัด โนอาร์กลับชิงพูดเสียก่อน

    “เพียงแค่คุณบอกว่าไม่ ผมก็ไม่สามารถรับงานหรือทำร้ายใครได้เลย เสมือนการเลิกฆ่าไปโดยปริยายตามที่คุณต้องการ จริงไหมครับ”
    “...อืม”

    โนอาร์ยิ้มมุมปากบางเบาเมื่อเอทอสยอมรับข้อตกลงในที่สุด ก่อนค่อยๆ ดันตัวขึ้นจนใบหน้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนของปีศาจ มือที่ค้างอยู่บนแก้มอีกฝ่ายเคลื่อนไปทางด้านหลัง พร้อมกับมืออีกข้างที่ทำอย่างเดียวกัน และกลายเป็นการคล้องคอร่างสูงใหญ่ในที่สุด

    “คุณบอกว่าคุณรู้สึกไม่ชอบหลายอย่างเกี่ยวกับผม” กระซิบแผ่วเบาพลางเคลื่อนริมฝีปากเข้าใกล้ แทบเกือบจะชิดกัน
    “บอกผมได้ไหม ที่คุณทำก่อนหน้านี้ คุณรู้สึกไม่ชอบด้วยหรือเปล่า”

    ดวงตาสีอำพันซึ่งเคยเต็มไปด้วยความสับสน บัดนี้ถูกแทนด้วยภาพใบหน้าของมนุษย์ ห้วงอารมณ์ความรู้สึกที่เคยตีวุ่นอยู่ภายใน หลงเหลือเพียงความต้องการอยากลิ้มลองความหวานในโพรงปากนั้นอีกครั้ง เอทอสเพียงกระซิบตอบแนบชิดต้นกำเนิดแห่งความหวาน ก่อนเริ่มช่วงชิงลมหายใจของมนุษย์อีกครั้ง

    “ข้าชอบมัน”



    หลังการปรับความเข้าใจระหว่างมนุษย์และปีศาจ ทั้งโนอาร์และเอทอสต่างใช้เวลาร่วมกันในบ้านทรงไทยประยุกต์ เนื่องจากวันนี้ตรงกับวันพักของเจ้าของสวน ในการทำงานหนึ่งสัปดาห์ของสวนรฦกวัลย์ ทุกคนต่างรู้กันว่าจะมีหนึ่งวันที่นายใหญ่จะไม่เข้าสวน แต่หากมีเรื่องเร่งด่วนต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา ซึ่งมีน้อยครั้งที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

    ระหว่างวันปีศาจสังเกตเห็นมนุษย์มักเอามือสัมผัสริมฝีปากและอมยิ้มคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง เขารู้เหตุผลของพฤติกรรมนั้นดี ไม่มีคำอธิบายใดๆ กับเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น และโชคดีที่อีกฝ่ายไม่คิดถาม เพราะเขาไม่สามารถหาคำตอบให้ได้เช่นกันว่า เพราะอะไรถึงตัดสินใจทำเช่นนั้นกับอีกฝ่าย และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่ถึงสองครั้ง ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ เขารู้สึกดีกับสัมผัสนั้นเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่คงไม่แสดงออกชัดเจนแบบอีกฝ่ายแน่

    จวบจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงค่ำ หลังการทานมื้อเย็นทั้งคู่นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันในห้องรับแขก ข่าวในหน้าจอกำลังบรรยายถึงตำรวจที่สามารถจับกุมคนร้ายคดีฆ่าชิงทรัพย์ได้ ทำให้ปีศาจนึกถึงเรื่องที่มนุษย์เคยให้เขาตัดสินใจ เกี่ยวกับงานที่อีกฝ่ายรับมาเมื่อไม่นานนี้

    “งานเจ้าเริ่มวันไหน”

    โนอาร์ละสายตาจากโทรทัศน์ ก่อนหันมองเอทอสซึ่งกำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

    “พรุ่งนี้ คุณตัดสินใจได้แล้ว?”
    “ถ้าเจ้าไม่ทำ จะเกิดอะไรขึ้น”

    เอทอสเลือกตอบคำถามด้วยคำถาม ส่งผลให้มนุษย์ต้องใช้ความคิดคาดเดาเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มพูดถึงผลกระทบทั้งหมดเมื่อเขาไม่ทำตามที่ตกลง

    “ผมไม่มีปัญหาแค่คืนค่าจ้าง แต่นายหน้าคนนั้นคงถูกเล่นงานและปิดปากเพราะทำงานเสีย คนรักเขาในโรงพยาบาลก็แค่นอนรอความตาย อาจเหงาสักหน่อยเพราะคนที่มาหาไม่อยู่แล้ว ส่วนตำรวจนั่นไม่นานก็ถูกสั่งเก็บอยู่ดี”
    “เพื่อเหล่าคนบาปได้ใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขตลอดไป การสูญเสียเพียงสามชีวิตเป็นการเริ่มต้น เพราะตราบที่มีคนคอยขัดขวางผลประโยชน์ การสั่งเก็บจะมีอยู่เรื่อยไป”
    “แต่ไม่ต้องห่วง สักวันความยุติธรรมจะเอาคืนพวกเขาอย่างสาสม แต่คงต้องรอสักหน่อย สักสิบปี ยี่สิบปี หรืออาจนานเกินจะนับ เพราะเวลาชดใช้ความผิดถูกยืดขยายด้วยเศษกระดาษที่เรียกว่าเงิน”
    “คุณไม่ต้องสนรายละเอียดปลีกย่อยพวกนั้นหรอก สนแค่ผมไม่ทำร้ายใครตามที่คุณต้องการก็พอแล้ว จริงไหม”

    โนอาร์ยิ้มมุมปากให้กำลังใจปีศาจ ที่เงียบหายไปเพราะคิดตามคำพูดเขาจนคิ้วขมวดแน่น เขารู้ว่าเอทอสมักลังเลกับเรื่องพวกนี้  และนี่เป็นช่องว่างที่เข้าสามารถใช้จูงใจอีกฝ่ายได้ เพียงพูดให้เห็นถึงผลกระทบกับคนทั่วไป และยกให้คนที่สมควรตายอยู่สุขสบาย ทิ้งให้ปีศาจได้ลองขบคิดสักเล็กน้อย ก่อนเสนอแนวทางตามที่เขาวางไว้ เท่านี้การได้รับคำอนุญาตจากเอทอสก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
    และตอนนี้คนเจ้าแผนการคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว

    “แต่...”
    “แต่อะไร?” เอทอสถาม เมื่อได้ยินเสียงของมนุษย์ คล้ายกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง
    “ถ้าคุณให้ผมไปปกป้องนายหน้ากับคนรักของเขาแทน นอกจากพวกเขาจะปลอดภัยแล้ว ตำรวจฝีมือดีคนนั้นก็จะไม่ถูกสั่งเก็บด้วย เพราะผมจะเปิดโปงความผิดทั้งหมดให้ทุกคนรู้ ยังไงก็ไม่มีทางหนีรอดไปทำร้ายใครอีก”
    “เจ้าจะไม่ถูกเล่นงานเองหรือไง”
    “ไม่มีใครตามสืบถึงตัวผมได้ คุณไม่ต้องห่วง”
    “แล้วเจ้า...จะมีแผลเพิ่มอีกไหม”

    เอทอสเอ่ยพลางมองสลับระหว่างรอยช้ำที่คอ และรอยบาดที่ฝ่ามือของมนุษย์ โนอาร์เพียงยิ้มมุมปากตอบรับความห่วงใยที่ปีศาจแสดงออกชัดมากขึ้น แม้ภายในใจจะสั่นไหวเพราะคำพูดของเอทอสอีกหน แต่เชื่อเถอะ มันไม่รุนแรงเท่าการสัมผัสเมื่อช่วงเที่ยงวันหรอก

    “ผมไม่สัญญาว่าจะกลับมาโดยไร้รอยขีดข่วน แต่ผมลดมันได้ ถ้าคุณอนุญาตให้ผมทำร้ายใครสักเล็กน้อย เพื่อป้องกันตัว”
    “ไม่ถึงตาย”
    “ครับ ไม่ถึงตาย”

    เอทอสมีความลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นมนุษย์ทำท่าลูบจับแผลที่ริมฝีปากตัวเองจากเรื่องเมื่อตอนเที่ยง ความลังเลก็พลันมลายในทันที

    “ข้าอนุญาต”



    เช้าวันรุ่งขึ้น บ้านพักทรงไทยประยุกต์เหลือผู้อาศัยเพียงคนเดียว เนื่องจากมนุษย์ร่วมบ้านทำมื้อเช้าเตรียมไว้ให้ ก่อนขับรถออกไปตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ใต้แก้วกาแฟที่ส่งควันขาวลอยเอื่อยพร้อมกลิ่นหอม มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กสอดอยู่ เจ้าบ้านหยิบขึ้นมาอ่านใจความว่า

    ‘สองถึงสามวันหลังจากนี้ ผมจะกลับมาหาคุณ’
    ‘และระหว่างที่ผมไม่อยู่ อย่าทำงานเพลินจนลืมมื้อกลางวัน’

    “หึ”

    เอทอสหลุดหัวเราะเล็กน้อยกับประโยคท้ายกระดาษโน้ต บนใบหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มบางเบา เจ้าตัวเก็บโน้ตแผ่นนั้นลงกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับเริ่มลงมือทานมื้อเช้าเพียงลำพังภายในบ้านเงียบสงบ แล้วจึงออกเดินทางไปทำงาน โดยไร้คนนั่งคู่กันเหมือนก่อนที่เขาจะได้พบกับโนอาร์


    รถกระบะสีดำเดินทางมาถึงสวนรฦกวัลย์ ก่อนเข้าจอดในตำแหน่งประจำดังทุกครั้ง แต่ที่ต่างไปคือวันนี้นายใหญ่ของสวนไม่มีคนรักคอยเดินเคียงข้างอย่างทุกที สร้างความสงสัยให้กับเหล่าคนงาน ถึงอย่างนั้นตอนกล่าวทักทายเจ้าของสวนกลับไม่มีใครคิดถาม เพราะเกรงว่าอาจก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ซึ่งนั่นใช้ไม่ได้กับลุงสมัย

    “นายน้อย แล้วว่าที่คนรักไปไหนซะล่ะ” ลุงสมัยถามถึงคนที่ไม่ได้มาด้วยทันทีหลังจบการทักทาย
    “ว่าที่?”
    “ก็คุณโนอาร์ไง ทำเป็นลืม เดี๋ยวได้โดนคุณเขาโกรธเอาหรอก”

    เอทอสเพียงขานรับในลำคอ เมื่อฟังคำเฉลยของลุงสมัย ช่วงเวลาที่โนอาร์ตีสนิทกับคนงาน คงป่าวประกาศสถานะที่คิดเองเออเองให้ใครเข้าใจผิดกันทั่วทั้งสวนแล้ว ปีศาจลองจินตนาการถึงใบหน้ามนุษย์ขณะอ้างถึงความสัมพันธ์จอมปลอมหน้าตาย ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวระหว่างกล่าวตอบลุงสมัย รวมถึงการปล่อยผ่าน ไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิด

    “เขาไปทำธุระน่ะครับลุง อีกสองสามวันก็กลับ”
    “อ๋อ ก็นึกว่าหายไปไหน ...แต่อย่างนี้นายน้อยก็เหงาแย่เลยสิ” ลุงสมัยได้ทีเอ่ยแซวเล็กน้อย
    “ไม่ใช่ผมหรอกลุง เจ้านั่นมากกว่าที่คงมัวคิดแต่เรื่องผมจนไม่เป็นอันทำอะไร”
    “ฮาฮาฮา!! เสน่ห์เหลือร้ายจริงนะนายน้อย ทำคุณโนอาร์เขาหลงขนาดนี้ก็ต้องรับผิดชอบความรู้สึกคุณเขาด้วยล่ะ”
     ลุงสมัยหัวเราะชอบใจ ส่วนนายใหญ่สวนเพียงยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนฝ่ายลุงจะเป็นคนขอแยกไปดูกล้วยไม้ต่อโดยไม่ได้เย้าเพิ่มเพราะรู้ความนัยของรอยยิ้มนายน้อยดีว่า หากไม่ใช่เรื่องที่มั่นใจนายน้อยของเขาจะไม่ยอมตกปากรับคำ แต่ถึงเช่นนั้น ก็ใช่ว่าผู้ผ่านโลกมานานอย่างเขาจะมองไม่เห็นปลายทางของทั้งสอง

    หลังพบปะพูดคุย เอทอสเดินมุ่งไปทางสำนักงานด้านหลัง ระหว่างเข้าห้องทำงาน ไม่ลืมฝากให้ศิลาซื้ออาหารมาให้หลังอีกฝ่ายกลับจากการพักเที่ยง และเมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งประจำ นายใหญ่ของสวนหยิบกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะแปะลงในที่ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย เพื่อเป็นการเตือนไม่ให้ลืมทานมื้อกลางวันตามคำอีกฝ่าย
    โดยลึกๆ แล้วเอทอสก็ไม่เข้าใจเหตุผลการกระทำของตนนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำตามความปรารถนาดีของมนุษย์นั้น เขาไม่ได้รู้สึกแย่หรือรู้สึกเหมือนโดนบังคับ ทว่ากลับรู้สึกมีความสุขเสียด้วยซ้ำ




   เวลาผันผ่านรวดเร็วจนถึงช่วงเวลาเลิกงาน เหล่าคนงานทยอยกันกลับบ้านพักของตนกันหมดแล้ว เหลือเพียงนายใหญ่ของสวนที่ยังคงเดินตรวจตราดูผลผลิตดอกกล้วยไม้ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องรีบกลับ เพราะไม่ว่าอย่างไรที่บ้านทรงไทยประยุกต์ก็ไม่มีใครรออยู่
    และช่วงจังหวะนั้นเอง เอทอสพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์กลุ่มหนึ่งเริ่มตีกรอบรอบตัวเขา ปีศาจไม่ได้แสดงท่าทีอื่นใดต่อสิ่งที่รับรู้ จนกระทั้งตอนนี้เขาถูกล้อมด้วยกลุ่มคนใส่ผ้าคลุมสีดำปิดบังใบหน้า กลุ่มของพวกนักล่าปีศาจ

    “มีธุระอะไร” เอทอสเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองเหล่าผู้มาเยือน
    “เราได้ข่าวมาว่าคุณหลอกใช้มนุษย์ให้หาวิญญาณมาให้ เป็นความจริงหรือไม่”
    “ไม่”

    นายใหญ่ของสวนปฏิเสธข้อกล่าวหา เพราะนั่นไม่เป็นความจริง เขาไม่เคยสั่งให้ใครหาวิญญาณมาสังเวย จะมีก็แต่เจ้ามนุษย์เองที่ตามล่าหาวิญญาณมาให้ และคอยคะยั้นคะยอให้เขารับไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่เขาสงสัยตอนนี้คือ ใครเป็นคนกุเรื่องขึ้นมา

    “แต่เราพบหลอดแก้วใส่วิญญาณในบ้านคุณ เป็นวิญญาณของชายสองคนที่ถูกฆ่าเมื่อวานนี้ และมีพยานยืนยันว่าคนที่ลงมือสังหารคือ มนุษย์ที่อาศัยร่วมกันกับคุณ”

    หลักฐานหลอดแก้วสองหลอดในมือของนักล่าปีศาจ ทำให้อารมณ์ของปีศาจกินวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น นั่นหมายความว่าพวกนักล่าปีศาจบุกค้นพื้นที่ส่วนตัวของเขา นายใหญ่ของสวนรู้สึกราวกับถูกหยามเกียรติข้ามหัวและไม่ไว้หน้า ส่งผลให้นัยน์ตาสีอำพันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกดุดัน

    “เจ้าบุกรุกพื้นที่ข้า”
    “เป็นแค่ปีศาจชั้นต่ำ อย่าถือดีไปหน่อยเลย”

    เสียงคุ้นหูจากหนึ่งในกลุ่มคนที่รายล้อม เรียกให้นัยน์ตาดุหันมอง คำถามที่ว่าใครเป็นผู้แต่งเรื่องลวงหลอก และเป็นแกนนำรุกล้ำอาณาเขตของเขา คล้ายกับได้รับคำตอบแล้ว จะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่นักล่าปีศาจที่คอยเอาแต่หาเรื่องเขาอยู่ตลอด
    ฝ่ายคนถูกจ้องไม่คิดปิดบังตัวตน เปิดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มพร้อมเส้นผมสีเงินเอกลักษณ์ของเจ้าตัว แต่ที่แปลกไปคือร่องรอยบาดแผลบริเวณลำคอจากการถูกบางสิ่งรัด รอยเดียวกันกับที่เห็นตรงฝ่ามือของโนอาร์ เบาะแสเล็กน้อยเพียงพอให้ปีศาจสามารถปะติดปะต่อเรื่องราว และเมื่อเอทอสเริ่มเข้าใจสิ่งที่อาจเกิดขึ้น พลันปรากฏรอยยิ้มเยาะดูถูกบนใบหน้าของปีศาจ

    “แผลที่คอนั่น ใช่เพราะเจ้ายื่นจมูกยุ่งเรื่องของชาวบ้านมาหรือเปล่า”

    คำพูดถากถางของเอทอส ถึงกับทำให้ภาคินเลือดขึ้นหน้า เตรียมปรี่เข้าไปจัดการกับปีศาจปากดี แต่กลับถูกเหล่านักล่าปีศาจคนอื่นๆ กันตัวไว้

    “เราให้โอกาสอีกครั้ง คุณใช้ให้มนุษย์หาวิญญาณมาให้จริงหรือไม่” นักล่าปีศาจผู้ถือหลอดใส่วิญญาณเอ่ยถามอีกครั้ง
    “ข้าบอกว่าไม่”
    “ในเมื่อไม่ยอมรับ เห็นทีคงต้องใช้กำลังจนกว่าจะยอมสารภาพ”

    หลังพูดจบ นักล่าปีศาจทุกคนต่างตั้งท่าพร้อมจู่โจมปีศาจหนึ่งเดียวที่อยู่กลางวงล้อม แต่ละคนล้วนมีอาวุธครบมือไม่ว่าจะเป็น มีด หอก หรือดาบ รวมไปถึงอาวุธระยะไกลอย่างปืนและหน้าไม้ แสดงให้เห็นว่าคนพวกนี้ไม่ได้ต้องการจะเจรจากับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
    เอทอสกลับคืนสู่ร่างแท้จริง พร้อมตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีรอบด้าน พลางนึกถึงคำพูดหนึ่งของโนอาร์

    ‘เราไม่ทำเขาไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำเรา เราหยุดแล้วไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดตาม’
    ‘โลกมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิด เอทอส’



    ในช่วงเวลาเดียวกัน ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมลงจากรถหลังจอดสนิท ในมือถือช่อดอกกล้วยไม้สีขาวบริสุทธิ์ พร้อมถุงผลไม้ของเยี่ยม เดินมุ่งตรงเข้าตัวอาคาร ก่อนกดลิฟต์ขึ้นชั้นประจำด้วยความเคยชิน ไม่นานชายหนุ่มก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง ใช้เวลาทำสมาธิสักพักในการผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อไม่ให้คนด้านในต้องเป็นห่วงหรือคอยกังวลเรื่องของเขา
    หลังมั่นใจว่าพร้อมแล้ว ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้ม ก่อนค่อยๆ เปิดประตูอย่างแผ่วเบาเดินเข้าไปภายในห้อง แต่แล้วทั้งรอยยิ้มและอารมณ์ที่คอยกักเก็บหน้าห้องพลันมลายสิ้น เมื่อพบแขกไม่ได้รับเชิญกำลังพูดคุยโต้ตอบกับคนรักของเขา

    “อ้าว มาแล้วหรือกร”

    คนบนเตียงหันมาเห็นชายหนุ่มจึงกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ส่งผลให้ มังกร จำต้องยิ้มตอบกลับ ทั้งที่ภายในกำลังร้อนรุ่ม เมื่อสบตากับคนที่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่

    “เพื่อนกรเขามารอคุยธุระกับกรอยู่น่ะ แล้วทำไมทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นล่ะ”

    หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องเอ่ยถาม เมื่อเห็นแฟนหนุ่มจ้องเพื่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนชายหนุ่มพอได้รับคำท้วงจากคนรักก็รีบปรับแววตาให้อ่อนลง ก่อนทำทีไม่ใส่ใจใครอีกคนที่อยู่ในห้อง เดินไปวางถุงผลไม้บนโต๊ะ นำช่อดอกกล้วยไม้มาเปลี่ยนในแจกันโต๊ะข้างเตียง พลางพูดคุยกับคนรักเล็กน้อย แล้วค่อยเหลือบมองเพื่อนของตน

    “มีธุระจะคุยไม่ใช่เหรอ ตามมาสิ โนอาร์”
    


บท10 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 10 ไม่ชอบ)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-10-2019 19:07:21
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 10 ไม่ชอบ)
เริ่มหัวข้อโดย: CKJPQQ ที่ 22-10-2019 21:14:58
 :man1:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 10 ไม่ชอบ)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 22-10-2019 21:47:53
ขอบคุณที่มาอัฟจร้า  รอลุ้นตอนต่อไป  ^^
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 10 ไม่ชอบ)
เริ่มหัวข้อโดย: CKJPQQ ที่ 22-10-2019 21:49:30
 o13 :hao7:
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 11 ลักซ่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 28-10-2019 06:52:14

    พื้นหญ้าเขียวชอุ่ม พุ่มไม้ชูต้นพลิ้วไหวตามแรงลม มีจุดนั่งพักสำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าหรืออ่อนแรงจากความทุกข์ ได้ให้ธรรมชาติช่วยเยียวยาจิตใจ ที่แห่งนี้คือสวนดาดฟ้าของโรงพยาบาลซึ่งเปิดให้ประชาชนสามารถเข้ามาพักผ่อนคลายความเศร้าและหม่นหมอง ก่อนกลับลงไปเผชิญหน้ากับความจริงด้านล่างอีกครั้ง
    เช่นเดียวกับชายสองคนที่ยืนอยู่บริเวณราวกั้น ชมแดนสนทยาซึ่งกำลังถึงกาลสิ้นสุด ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มแดงจวนลับขอบฟ้า สายลมอ่อนยามเย็นพัดผ่านให้ความรู้สึกสงบ และเมื่อแสงสุดท้ายเลือนหายไป โคมไฟรายทางพลันสว่างส่องแสงสีนวลอบอุ่นขับไล่ความมืดมิด ราวกับเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องจิตใจผู้คนที่กำลังสับสนไม่ให้ถูกความสิ้นหวังกลืนกิน
    แต่น่าเศร้าที่เหล่าผู้พิทักษ์ไม่อาจช่วยปัดเป่าความมัวหมองจากใจของชายหนุ่มในตอนนี้ได้ เมื่อชายอีกคนข้างกันเป็นดั่งหลุมดำดูดกลืนทุกแสงแห่งความหวัง

    “อย่าเอาเธอมาเกี่ยวด้วย”

    น้ำเสียงอ่อนล้าหมดแรงเป็นของชายหนุ่มผู้มีอารมณ์ครุกรุ่นในตอนแรก บัดนี้เหลือเพียงความอึดอัดทรมานคล้ายคนจมน้ำขาดอากาศ เมื่อฟังเหตุผลในการมาและแผนการเลวร้ายที่เขาต้องเข้าร่วมอย่างไม่อาจเลี่ยง ผ่านทางน้ำเสียงเรียบเรื่อยสบายๆ จากปากของผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมเกินมนุษย์

    “ถ้าเธอไม่รับรู้ คุณมีโอกาสสูงที่จะไม่ได้กลับมาหาเธออีก”
    “...”
    “คุณจะทิ้งเธอให้นอนรอความตายอย่างโดดเดี่ยว”
    “แต่เธอเป็นโรคหัวใจ!! ...มันเสี่ยงเกินไป”

    มังกรตวาดกลับเสียงดังก่อนจะแผ่วเบาในช่วงท้าย สายตาชายหนุ่มสั่นไหวไปด้วยความกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่ช้า ความรู้สึกอึดอัดทรมานที่กลางอกนี้คงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่คนรักเขาพยายามต่อสู้มาโดยตลอด

    โรคหัวใจที่คอยบั่นทอนชีวิตคนรักเขา เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจุดชนวนทุกเมื่อ หากเธอมีความเครียดหรือได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยคิดบอกสิ่งที่เขาแบกรับไว้ให้เธอรู้ แต่แผนการในวันพรุ่งนี้จะทำให้เธอรู้ทุกอย่าง และเขามั่นใจว่าเธอจะรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาทำ ซึ่งอาจทำให้เธอจากเขาไปก่อนเวลาอันควร และนั่นคือสิ่งที่เขากลัวที่สุด

    “ถ้าอยากอยู่กับเธอต่อไป คุณไม่มีสิทธิเลือก เอาโทรศัพท์ของคุณมาให้ผม”
     “...”
     
    ผู้ไม่เคยสนใจใครนอกจากปีศาจผู้เป็นที่รัก พูดกล่าวอย่างเย็นชาราวกับความเป็นความตายของหญิงสาวในห้องพักไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ก่อนสั่งผู้ว่าจ้างซึ่งบัดนี้อยู่ในสถานะตัวหมากบนกระดาน ให้ส่งโทรศัพท์ของตนมา คนถูกสั่งล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าข้างกางเกงด้วยท่าทีอ่อนล้า และนำมาวางบนฝ่ามือของคนเจ้าแผนการ

    “ผมหมดธุระแล้ว คุณควรรีบกลับไปหาเธอที่ห้อง เพราะนี่อาจเป็นคืนสุดท้ายที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน”

    เมื่อได้ของที่ต้องการ โนอาร์เพียงเอ่ยคำแนะนำก่อนเดินออกจากสวนดาดฟ้า ปล่อยให้ชายหนุ่มจมอยู่กับความคิดเพียงลำพัง ท่ามกลางแสงนวลของโคมไฟที่ไม่อบอุ่นอย่างเช่นเคย และสายลมที่พัดผ่านให้ความรู้สึกหนาวเหน็บถึงภายใน


    เสียงปิดประตูห้องพักผู้ป่วยแผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยร่างของชายหนุ่มที่พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มทั้งที่แววตาเศร้าหมอง เดินตรงไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงของคนรัก ฟุบหน้าลงกับพื้นเตียงพลางจับมือบนตักของหญิงสาวให้มาวางบนซีกแก้มด้านหนึ่งของตนอย่างขอกำลังใจ ท่าทางออดอ้อนของชายหนุ่ม เรียกรอยยิ้มให้กับหญิงสาวก่อนเริ่มไล่เรียวนิ้วลูบใบหน้าคม พลางมองชายคนรักด้วยสายตาอ่อนโยน

    ในวันที่ หยก ล้มป่วยเธอเตรียมใจไว้แล้วว่ามังกรคงบอกเลิกกับเธอ ไม่มีใครอยากใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เป็นได้เพียงภาระอย่างหล่อน แต่แล้วชายหนุ่มกลับทำให้เธอประหลาดใจและดีใจอย่างถึงที่สุดที่ยอมมอบความรักให้กับชายคนนี้ เพราะเมื่อมังกรทราบข่าวนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ ยังให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างเสมอ จนเธอสามารถอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ต้องขอบคุณอีกฝ่ายจริงๆ ที่ไม่เคยทิ้งกัน ดังนั้นการตอบแทนอีกฝ่ายโดยเป็นการที่พักพิง ที่ชาร์จพลังในยามชายหนุ่มเหนื่อยล้าเช่นครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่มังกรทำเพื่อเธอมาโดยตลอด

    “เด็กชายมังกรเป็นอะไรคะ งานหนักเหรอ” หญิงสาวเริ่มถามไถ่แฟนหนุ่ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นมอง
    “หึๆ หนักเอาการเลยแหละ”
    “ค่อยคิดค่อยแก้ อย่าเครียดมาก เดี๋ยวหน้ากลายเป็นคุณลุงไม่รู้ด้วยนะ”
    “ถ้ากรกลายเป็นลุงแล้วป้าหยกจะทิ้งกรเหรอครับ”

    ชายหนุ่มเย้าแหย่คนรักส่งผลให้ได้รับกำปั้นเล็กๆ ทุบที่หัวไหล่เป็นการตอบแทน สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับทั้งสองในห้องพักผู้ป่วย สองเสียงพูดคุยโต้ตอบสลับกันระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวแปรเปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบให้เต็มไปด้วยความสุขและอบอุ่นใจ จวบจนกระทั่งยามต้องส่งผู้ป่วยเข้าสู่ห่วงนิทรา มังกรลูบหัวหญิงสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนก้มลงจุมพิตนุ่มนวลลงบนหน้าผากคนรัก แล้วจึงกล่าวราตรีสวัสดิ์

    “ฝันดี ฝันถึงกรด้วยนะ”
    “บ้า” ท่าทางเขินอายพลางเอาผ้าห่มขึ้นปิดหน้าเหลือไว้เพียงดวงตา เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้กับชายหนุ่ม
    “พรุ่งนี้เรามาสู้ไปด้วยกันอีกครั้งนะ”
    “แน่นอนอยู่แล้ว”

    คำตอบกลับจากคนรักพอเรียกขวัญกำลังใจให้กับมังกร แม้การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้จะหนักหนาสาหัส แต่เขาเชื่อว่าเราทั้งสองจะผ่านมันไปได้ ชายหนุ่มผละออกจากเตียงคนรักเดินไปปิดไฟ ก่อนทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาเหมือนทุกคืน ช่วงที่เปลือกตากำลังปิดลง พลันได้ยินเสียงจากเตียงผู้ป่วย ส่งผลให้ใบหน้าชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มบางเบา ก่อนจะหลับใหลจมลงสู่ห้วงนิทรา

    “ฝันดีนะกร อย่าลืมฝันถึงหยกด้วยล่ะ”



    ช่วงเวลาเที่ยงคืนกว่า เป็นเวลาที่ใครหลายคนล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งความฝัน แต่ไม่ใช่กับใครคนหนึ่งที่เพิ่งละสายตาออกจากหน้าจอโน้ตบุ๊ก หลังหาข้อมูลของเป้าหมายจนครบถ้วน คนเจ้าแผนการลุกออกจากโต๊ะทำงานหน้ากระจก ก่อนเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มสีขาวสะอาด

    ขณะนี้โนอาร์อยู่ในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากโรงพยาบาลที่มังกรและคนรักอยู่มากนัก โดยผู้ที่กำลังกลายเป็นของเล่นเพชฌฆาตคือ นักการเมืองผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นี้ มีข้ารับใช้เป็นตำรวจยศใหญ่ ไม่แปลกเลยที่การทำเรื่องผิดกฎหมายอย่างการค้าของเถื่อน เปิดบ่อนพนัน หรือการเป็นแหล่งพักและกระจายยาเสพติดถึงได้ปิดเงียบจนถึงตอนนี้ เพราะใครก็ตามที่พยายามเปิดโปงคงถูกสั่งยัดข้อหาดำเนินคดี หรือไม่อาจถูกสั่งอุ้มกลายเป็นศพอยู่ที่ไหนสักแห่งกันหมดแล้ว
    ซึ่งความมีอำนาจของเป้าหมายไม่ได้สร้างความเกรงกลัวให้กับผู้ที่ริอ่านลองดีแม้แต่น้อย กลับกันยังเรียกร้อยยิ้มมุมปากให้กับผู้ท้าทาย ยามนึกถึงความสิ้นหวังหมดหนทางที่ฉายชัดภายในดวงตาและน้ำเสียงที่สั่นไหว เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งอย่างที่มีไม่สามารถช่วยเหลือตนได้เลย

    หากลองเทียบความมีอิทธิพลระหว่างเป้าหมายครั้งนี้กับท่านนิรัชอดีตของเล่นนั้นไม่อาจเทียบกันได้ ไม่ใช่ว่าครั้งนี้เป้าหมายมีอำนาจเหนือล้นกว่ามาก กลับกันเลย พลังอำนาจทั้งหมดที่นักการเมืองคนนี้มี ไม่ถึงเศษเสี้ยวเดียวของท่านนิรัชด้วยซ้ำ ดังนั้นการต่อกรกับผู้ทรงอิทธิพลในวันรุ่งขึ้นในสายตาโนอาร์ จึงไม่ต่างจากการเล่นของเล่นเกรดต่ำสักชิ้นหนึ่ง


    หลังพักสายตาและจินตนาการถึงความสนุกของวันพรุ่งนี้ เจ้าของห้องพักลุกขึ้นจากเตียง เดินไปปิดเครื่องโน้ตบุ๊กพร้อมปลดอาวุธประจำกายวางลงข้างกัน ก่อนเดินหายเข้าห้องน้ำ ผ่านไปสักพักหนึ่งจึงกลับออกมาด้วยชุดคลุมอาบน้ำพลางใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดให้ผมแห้ง ระหว่างเดินไปที่เตียงเห็นเงาของตัวเองในกระจกจึงหันมอง
    รอยช้ำบริเวณลำคอเริ่มจางหายแต่ยังคงสังเกตเห็นได้ชัดอยู่ แผลที่ริมฝีปากตอนนี้ไม่รู้สึกแสบแล้ว แต่สัมผัสจากเหตุการณ์นั้นยังคงเด่นชัดในความรู้สึก ส่งผลให้รอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏอีกครั้ง แต่คราวนี้เกิดจากความสุขภายใน

    โนอาร์หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะกระจก กดส่งข้อความถึงใครบางคนเป็นครั้งแรก เมื่อเรียบร้อยจึงวางลงตำแหน่งเดิมโดยไม่รอการตอบกลับ เพราะมั่นใจว่าดึกดื่นป่านนี้อีกฝ่ายคงหลับไปนานแล้ว ชายผู้เย็นชากับทุกสิ่งบนโลกยกเว้นกับปีศาจเพียงตนเดียว นำผ้าเช็ดผมไปตากที่ราวก่อนปิดไฟและขึ้นเตียงเพื่อพักผ่อนเตรียมพร้อมรับความสนุกในวันพรุ่งนี้ พลางนึกถึงใบหน้าของปีศาจเมื่อเห็นข้อความของเขาในยามเช้าว่า อีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าเช่นไร

    ‘ราตรีสวัสดิ์และอรุณสวัสดิ์ล่วงหน้าเอทอส คุณคงกำลังคิดถึงผม เหมือนที่ผมกำลังคิดถึงคุณอยู่ตอนนี้แน่’



    ในยามสายของวันใหม่เกิดเสียงเรียกเข้ามือถือของมังกรที่โนอาร์ยึดมาเมื่อเย็นวานนี้ โนอาร์เพียงกดรับสายก่อนปล่อยทิ้งไว้บนโต๊ะตามเดิม แล้วจึงหันกลับไปแต่งตัวเตรียมออกจากโรงแรมต่อ โดยไม่สนใจคำพูดพล่ามจากปลายสายแต่อย่างใด

    [ตำรวจนั่นยังไม่ตาย หมายความว่ายังไง]
    “...”
    [เฮ้ย! ตอบ! คิดจะเชิดเงินหนีเหรอ อยากลองดีหรือไง]
    “...”
    [ได้! ระวังตัวมึงไว้ให้ดี]
 
    หลังเสียงน่ารำคาญหยุดลง โนอาร์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาปลายสายเมื่อครู่นี้ เป็นการกล่าวคำอารัมภบทของเกมที่ไม่มีใครอยากเล่น

    ‘อยู่โรงพยาบาล ถ้าคิดว่ามีปัญญาทำอะไรได้ก็ลองดู’


 
    “เดี๋ยวมึงเจอกู”

    เสียงพูดกัดฟันด้วยความโมโห เป็นของลูกน้องที่รับหน้าที่ตามเรื่องการสั่งเก็บตำรวจ หลังได้อ่านข้อความท้าทายจากปลายสายที่โทรหาเมื่อครู่นี้ จึงนำเรื่องและข้อความไปรายงานให้นายฟังในห้องทำงาน

    หลังนายใหญ่ได้อ่านข้อความและฟังคำกล่าวอ้างที่ผ่านการเติมแต่งป้ายสีจากลูกน้อง รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายวัยกลางคน ก่อนยกหูโทรศัพท์สั่งการเส้นสายให้จัดการคนไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร

    “ส่งตำรวจไปจับคนที่โรงพยาบาลXXXหน่อย เดี๋ยวหลักฐานเอาผิดจะให้ลูกน้องส่งตามไป”
    [ครับท่าน]
    “เออ! เดี๋ยว” นายใหญ่เรียกรั้งปลายสายไว้ เมื่อนึกถึงแผนการบางอย่างได้
    [ครับ?]
    “ให้ตำรวจหน้าใหม่นั่นมาด้วย จะได้จัดการทีเดียว”
    [ครับท่าน]



     ณ โรงพยาบาลที่ความสงบสุขกำลังจะหมดไป ชายหนุ่มปลอกส้มพลางป้อนคนรักสลับกับป้อนตัวเอง ระหว่างดูรายการโทรทัศน์ร่วมกัน แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่มังกรกลับเอื่อยเฉื่อยไม่มีทีท่าว่าจะขยับลุกเตรียมตัวไปทำงานอย่างทุกที สร้างความสงสัยให้กับหญิงสาวจนต้องเอ่ยปากถาม

    “วันนี้โดดงานเหรอกร ไม่ดีเลยนะ”
    “โอ้โฮ ทำไมมองแฟนตัวเองแง่ร้ายขนาดนั้น” ชายหนุ่มโอดครวญ เมื่อได้ฟังคำของแฟนสาว
    “ตอนเรียนก็ชอบโดดบ่อยจะตาย”
    “นั่นมันสมัยก่อนไหม เดี๋ยวนี้โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณก็รู้ดีไม่ใช่หรือครับคุณหยก”

    มังกรพูดหยอกล้อพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาว จนเธอต้องเบี่ยงหลบซ้ายขวาสร้างเสียงหัวเราะสนุกสนานและบรรยากาศผ่อนคลายให้กับห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แห่งนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะพลันมลายสิ้น เมื่อเสียงเปิดประตูสู่โลกความจริงดังขึ้น

    “ปึง!!”
    “อย่าขยับ!!!”

    เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายกรูกันเข้ามาในห้องพักเล็กแคบจนดูอึดอัด สร้างความตื่นตกใจให้กับหญิงสาวบนเตียง ชายหนุ่มเพียงบีบมือแฟนสาวพลางส่งสายตาอ่อนโยนราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ก่อนหันกลับไปมองเหล่าเจ้าหน้าที่ด้วยท่าทีเคร่งขรึมไร้ความหวาดหวั่น

    “จับสิ”

    เมื่อเห็นว่าผู้ต้องหายินยอมไม่คิดต่อสู้ ตำรวจจึงเข้าจับกุมใส่กุญแจมือชายหนุ่มเตรียมพาออกจากห้อง ระหว่างนั้นหญิงสาวพยายามถามเจ้าหน้าที่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หนึ่งในตำรวจเลยแจ้งข้อกล่าวหาแฟนหนุ่มให้เธอทราบ พลันน้ำตาแห่งความผิดหวังเสียใจจึงถึงคราวไหลริน

    “มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ต้องหามีการลักลอบค้าอาวุธผิดกฎหมาย อีกทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ้างวานฆ่าหลายคดี”
    “...ไม่จริง... ไม่จริงใช่ไหมกร”

    หญิงสาวร่ำไห้รู้สึกปวดแปลบที่กลางอก แต่เธอกลับไม่สนใจสัญญาณเตือนขีดจำกัดร่างกายของตัวเอง พยายามลุกขึ้นนั่งบนเตียงผู้ป่วยเพื่อที่จะได้สบตาคนรักได้อย่างชัดเจน แต่ชายหนุ่มกลับหันหน้าหนีเธอไม่ยอมสบตา ไม่ว่าเธอจะร้องถามเท่าไรก็ไร้ซึ่งคำตอบ มีเพียงเสี้ยววินาทีที่ชายหนุ่มเหลือบมองเธอขณะถูกนำตัวออกจากห้อง แม้เพียงชั่วครู่แต่เธอกลับสัมผัสถึงคำขอโทษที่ฉายชัดพาดผ่านดวงตาอีกฝ่าย เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ตำรวจกล่าวเป็นเรื่องจริง
    ความผิดหวังเสียใจพลันอัดแน่นที่กลางอก ส่งผลให้อวัยวะที่ใช้สูบฉีดเลือดบีบรัดอย่างรุนแรงสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวมหาศาล ร่างหญิงสาวฟุบลงกลับเตียงรู้สึกราวกับขาดอากาศหายใจ สองมือกำแน่นที่หน้าอกพร้อมกับสติและภาพด้านหน้าที่เริ่มเลือนรางมืดดับลงทุกช่วงขณะ
 
    “หยก!!!!!”
 
    มังกรทันเห็นคนรักล้มลงต่อหน้าต่อตา หัวใจพลันกระตุกวูบตะโกนเรียกชื่อคนรักสุดเสียง พลางสลัดเหล่าเจ้าหน้าที่จับกุมเพื่อจะเข้าไปหาคนรักตามสัญชาตญาณ แน่นอนแรงของผู้ต้องหาเพียงคนเดียวไม่อาจสู้กำลังของตำรวจได้ ส่งผลให้ชายหนุ่มถูกกดตัวลงกับพื้นข้างเตียง ให้ทนดูแฟนสาวซึ่งกำลังทรมานจวนจะขาดใจอย่างไม่อาจช่วยอะไรได้

    “กดเรียกหมอสิวะ!!! ยืนบื้ออะไรอยู่!!!”

    ชายหนุ่มที่หัวใจรู้สึกเจ็บทรมานไม่แพ้หญิงสาว รีบตะโกนสั่งตำรวจกดปุ่มเรียกพยาบาลข้างเตียงคนไข้ ไม่นานเหล่าคุณหมอและพยาบาลต่างวิ่งพากันเข้ามาในห้องรีบเข้าช่วยเหลือหญิงสาว เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันพาผู้ต้องหาและพวกของตนออกจากห้องเพื่อไม่ให้ขัดขวางการช่วยชีวิต เหตุการณ์วุ่นวายจึงสงบลง
    ผู้ต้องหาไม่ได้รับความเห็นใจให้อยู่รอดูอาการคนรัก ถูกนำตัวลงมาด้านล่างของโรงพยาบาล พาขึ้นไปอยู่หลังรถกระบะของเจ้าหน้าที่ ก่อนถูกนำส่งสถานีตำรวจ


    เมื่อออกจากโรงพยาบาลมาได้สักพัก ระหว่างทางที่ขบวนรถตำรวจเคลื่อนที่พลันถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยรถเก๋งสีดำ กลุ่มชายปกปิดอำพรางใบหน้าลงจากรถ ก่อนพากันยกอาวุธปืนเล็งมาทางรถของเจ้าหน้าที่ กลุ่มตำรวจเตรียมพร้อมรับการโจมตีและโต้กลับตามแบบแผนที่ได้รับการฝึกมา โดยไม่ลืมการคุ้มกันผู้ต้องหาให้ปลอดภัย รวมไปถึงป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนี และไม่นานการปะทะก็เริ่มขึ้น เมื่อฝ่ายคนร้ายลงมือยิงก่อน ไร้ซึ่งการเจรจาพูดคุย

    เสียงปืนกระสุนดังสลับกันระหว่างสองฝั่ง โดยเป้าหมายหลักของคนร้ายคล้ายต้องการสังหารผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่หน้าใหม่ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่เหลือต้องเพิ่มกำลังคอยคุ้มกันเพื่อนกับผู้ต้องหามากขึ้น ตำรวจนายหนึ่งอาศัยช่วงชุลมุนแจ้งเหตุและเรียกกำลังเสริม แต่ยังไม่ทันได้กดเรียกพลันรู้สึกหน้ามืดหมดแรง พร้อมกับร่างและสติที่วูบดับลง
    ในตอนนี้ทั้งฝ่ายตำรวจและผู้ร้ายต้องรับการจู่โจมจากสองด้าน เมื่อต่างถูกลอบโจมตีจากระยะไกลด้วยปืนยาสลบจากอีกหนึ่งกลุ่มไม่ทราบฝ่าย ส่งผลให้ตำรวจและผู้ร้ายกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อต้องคอยหลบการโจมตีจากฝั่งตรงข้าม และต้องคอยแวดระวังกระสุนยาสลบที่มารอบทิศทาง

    ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนทางฝั่งเจ้าหน้าที่และคนร้ายยิ่งลดน้อยลง และในที่สุดเสียงการปะทะก็ได้ถึงกาลสิ้นสุด พร้อมกับร่างสมาชิกคนสุดท้ายในสมรภูมิที่หมดสติล้มลงกับพื้น กลุ่มลอบโจมตีต่างทยอยออกมาจากที่หลบซ่อน ทุกคนล้วนใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าและถือปืนยาวสำหรับยิงกระสุนยาสลบคนละกระบอก เดินล้อมกรอบเข้าหาผู้ต้องหาหนึ่งเดียวที่ยังมีสติอยู่บนหลังรถกระบะ
    หนึ่งในกลุ่มคนกระโดดขึ้นหลังรถกระบะ พลางจับผู้ต้องหาหันหลังก่อนไขกุญแจปลดพันธนาการให้เป็นอิสระ แม้มังกรจะรู้ว่าคนที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นคือใคร แต่อดตกใจกับวิธีการของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากตอนเล่าแผนการอีกฝ่ายไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก

    “ไม่นานเดี๋ยวพวกตำรวจก็มาอีกเอาไงต่อ” ชายใส่หน้ากากรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งถามขึ้น
    “เอาตำรวจนายนี้กับพวกสอดรู้ทั้งหมดไปเก็บไว้ ส่วนพวกที่เหลือไม่ต้องสนใจ”

    เสียงเย็นชาคุ้นหูดังมาจากชายสวมหน้ากากที่เพิ่งปลดกุญแจมือให้ผู้ต้องหา เอ่ยสั่งกลุ่มคนโดยรอบพลางชี้นิ้วไปที่ตำรวจคนสุดท้ายที่เพิ่งสลบไป ตำรวจหน้าใหม่ฝีมือดีที่มังกรได้รับคำสั่งให้จัดการ

    “ปืนยาสลบ ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ”

    เสียงผู้หญิงหนึ่งในกลุ่มคนสวมหน้ากากพูดขึ้นลอยๆ พลางจับอาวุธในมือพลิกไปมา คนถูกเหน็บแนมไม่คิดตอบกลับ เพราะไม่เห็นความจำเป็น เดินไปลากร่างไร้สติของหนึ่งในผู้ร้ายขึ้นรถที่จอดเตรียมไว้
    สาเหตุของการเลือกใช้อาวุธนุ่มนวลอย่างปืนยาสลบจะได้รับอิทธิพลจากใครได้ ถ้าไม่ใช่ปีศาจกินวิญญาณที่สั่งห้ามเขาฆ่าใคร ดังนั้นอาวุธที่ควรจะสามารถกำจัดศัตรูได้ภายในครั้งเดียว จึงเหลือเพียงอาวุธเด็กเล่นเช่นนี้ แม้จะหงุดหงิดรำคาญใจเวลาใช้อยู่บ้าง แต่ถ้าให้เลือกขัดคำของปีศาจเพื่อความสนุกส่วนตัว แน่นอนเขาเลือกหงุดหงิดเพื่อรักษาความเชื่อใจระหว่างปีศาจและเขาไว้ดีกว่า

    หลังช่วยกันนำร่างไร้สติของกลุ่มผู้ร้ายและหนึ่งตำรวจขึ้นรถเรียบร้อย หัวหน้ากองกำลังสวมหน้ากากแยกคนออกเป็นสามกลุ่ม หนึ่งขับรถพาพวกของเล่นไปเก็บ สองไปจับเด็กน้อยลูกสาวของนักการเมืองที่กำลังอยู่ที่โรงเรียนมา และสามให้ไปช่วยเขาบุกบ้านนักการเมือง
    เมื่อแบ่งหน้าที่เรียบร้อย ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน มังกรเดินตามโนอาร์ซึ่งขณะนี้รับบทผู้นำกลุ่มคนสวมหน้ากาก พลางกระซิบถามว่ากลุ่มคนพวกนี้เป็นใคร

    “นักฆ่าที่รู้จัก”
 
    คำตอบเรียบสั้นไร้การอธิบายเพิ่มเติม ดังมาจากคนที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปรถเก๋งของผู้ร้ายอยู่ในขณะนี้ ก่อนกดส่งให้เป้าหมายรู้ตัวว่าเกมได้เริ่มขึ้นแล้ว



    ขณะที่ลูกน้องของนักการเมืองพยายามติดต่อคนที่ส่งไปจัดการตำรวจและคนลองดีสักพักใหญ่แล้ว แต่กลับไร้วี่แววการรายงานผล พลันมีข้อความชุดหนึ่งส่งเข้ามาและไฟล์รูปภาพสองรูปเป็นการปิดท้าย ลูกน้องเปิดดูข้อความพบว่า ถูกส่งมาจากคนที่ควรจะถูกจัดการอยู่ตอนนี้ สร้างความไม่ชอบมาพากลให้กับผู้เปิดดูข้อความ และเมื่อได้อ่านเนื้อหาด้านในยิ่งรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ

    ‘เริ่มเกมลักซ่อน’
    ‘หมดเวลาเมื่อแสงของวันพรุ่งนี้มาถึง’
    ‘วิธีหยุดเกมคือ การยอมสละ และ เปิดเผย’
    ‘หากเกมหมดเวลา ทุกตัวละครจะถูกกำจัด’

    ท้ายข้อความกติกาเกมประหลาด ปรากฏรูปภาพสองภาพ หนึ่งรูปของตำรวจที่นายสั่งเก็บ และสองเป็นภาพรถเก๋งสีดำของกลุ่มคนที่ถูกสั่งให้ไปจัดการเป้าหมาย แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้จนถึงตอนนี้

    ลูกน้องรีบนำโทรศัพท์มือถือไปรายงานนายใหญ่ สร้างความหงุดหงิดใจให้กับนักการเมือง เนื่องจากตนรู้สึกราวกับถูกพวกมือสมัครเล่นหยอกล้อ ก่อนกดโทรหาสายตำรวจอีกครั้ง

    [ระหว่างนำตัวผู้ต้องหามาที่สถานี กลุ่มคนของท่านเข้ามาขัดขวางตามแผนครับ]
    [แต่มีคนจากอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาร่วมด้วย ก่อนชิงตัวผู้ต้องหา ตำรวจนายนั้น และคนของท่านทั้งหมดไปครับ]
    “หาพวกมันให้เจอ และจับมันทั้งหมด!”

    นายใหญ่เอ่ยสั่งเสียงดังด้วยความโมโหก่อนวางสาย เนื่องจากถูกใครจากไหนไม่รู้ตลบหลังซ้อนแผน ไม่นานนักเกิดเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นักการเมืองที่กำลังอารมณ์ฉุนเฉียวกดเปิดอ่าน พบว่าสิ่งที่ส่งมาคือภาพภายในบ้านของตน ส่งผลให้มือพลันกำโทรศัพท์แน่นขึ้นด้วยอารมณ์โกรธจนเกือบแหลก ก่อนกดโทรศัพท์ส่วนตัวติดต่อหาลูกน้องที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านพักด้วยตนเอง แต่ไม่มีใครรับสาย นายใหญ่จึงรีบสั่งลูกน้องให้เอากำลังกลับไปที่บ้านพักโดยด่วน



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 11 ลักซ่อน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 28-10-2019 06:58:02
(ต่อ)


    โนอาร์เก็บโทรศัพท์หลังส่งภาพถ่ายเพื่อปั่นหัวของเล่นเรียบร้อย แล้วจึงหันมองเหล่าลูกน้องคนงานที่ถูกซ้อมจนสลบ ซึ่งถูกมัดรวมกันตรงมุมหนึ่งของบ้าน ผลงานของกลุ่มนักฆ่าสามคนที่มาด้วยกัน การที่สามารถเข้ามาในตัวบ้านได้โดยไม่มีใครรู้ต้องยกความดีความชอบให้กับมังกร ผู้รู้ที่ทางและรูปแบบการเดินเฝ้าระวังของคนในบ้านนี้
    หัวหน้ากลุ่มคนใส่หน้ากากเหลือบมองคุณหญิงที่ถูกมัดมือมัดเท้าไม่ต่างกัน เดินเข้าไปใกล้พร้อมกระชากผมลากอีกฝ่ายให้ไถลไปกับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ สร้างความเจ็บปวดจนเธอต้องส่งเสียงร้องตลอดทาง แต่กลับไม่มีใครสนใจคิดห้ามปราม แม้แต่มังกร หนึ่งในข้ารับใช้ของสามีเธอก็ทำราวกับไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น
    คนเลือดเย็นลากของเล่นมาหยุดตรงโทรศัพท์บ้าน สั่งให้คุณหญิงโทรเรียกนายตำรวจคนสนิทของสามีให้มาที่นี่ โดยมีความเย็นของโลหะปลายกระบอกปืนกดอยู่ที่ขมับ ย้ำเตือนว่าอย่าได้คิดตุกติก

    “มี.. มีเรื่องสำคัญ คุณมาหันฉันที่บ้านตอนนี้ที”
    [ครับคุณหญิง คุณหญิงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เสียงคุณหญิงดูไม่ค่อยดี]
    “..ไม่มีอะไร รีบมาแล้วกัน และเรื่องนี้เป็นความลับห้ามบอกใคร-”
 
   ไม่ทันพูดจบประโยคดี โนอาร์ดึงโทรศัพท์จากมือคุณหญิงพร้อมกดตัดสาย ก่อนใช้ด้ามปืนฟาดที่ขมับอีกฝ่ายสลบในครั้งเดียว เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการทำตามคำสั่ง คนเจ้าแผนการแบ่งคนเป็นสามกลุ่มอีกครั้ง ให้นักฆ่าคนหนึ่งขนพวกลูกน้องคนงานและคุณหญิงไปเก็บในสถานที่ที่รู้กัน อีกสองคนเตรียมจัดการนายตำรวจที่กำลังมา ส่วนตนเองและมังกรจะคอยดักอยู่ที่นี่เผื่อมีใครมาอีก

    หลังแยกย้ายตามแผนโทรศัพท์พลันส่งเสียงข้อความเข้าติดกันสองครั้ง โนอาร์เปิดดูพบว่าเป็นภาพของโรงเรียนแห่งหนึ่ง และอีกข้อความเป็นภาพของลูกสาวนักการเมืองถูกผ้าปิดตามัดปากนอนสลบอยู่บนพื้นปูนสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่น ภาพรายงานความคืบหน้าของกลุ่มนักฆ่าที่รับหน้าที่ลักพาตัว เรียกรอยยิ้มมุมปากให้ปรากฏขึ้นแม้ไม่มีใครเห็น เพราะถูกหน้ากากอำพรางใบหน้าปิดบัง
    เจ้าของเกมเลือกส่งภาพหนึ่งให้ของเล่น เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นไม่ให้อีกฝ่ายเบื่อเกินไป ก่อนเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอีกครั้ง และเริ่มเตรียมการต้อนรับแขกที่อาจมาถึงในไม่ช้า



    เสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง สร้างความเครียดและหวาดหวั่นเล็กๆ ให้กับนักการเมือง ก่อนทำใจเปิดเพื่อดูข้อความล่าสุดที่ได้รับ ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอในขณะนี้ทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อกระตุกวูบ ภาพของโรงเรียนที่ลูกสาวสุดที่รักเพียงหนึ่งเดียวกำลังเรียนอยู่ ส่งผลให้นายใหญ่รีบพุ่งตัวออกจากห้องทำงาน พร้อมสั่งคนให้พาไปที่โรงเรียนของลูกรักให้เร็วที่สุด

    ระหว่างทางไปถึงโรงเรียน นักการเมืองผู้เป็นหมากในเกมพยายามโทรหาลูกสาว แต่กลับไม่สามารถติดต่อได้ซึ่งผิดวิสัยปกติที่เจ้าตัว สร้างความร้อนรุ่มใจให้กับคนเป็นพ่อ ก่อนตัดสินใจโทรหาครูประจำชั้น ครั้งนี้มีคนรับทว่าสิ่งที่ได้รู้จากปลายสาย กลับเป็นสิ่งที่ผู้มากด้วยอำนาจไม่อยากได้ยินที่สุด

    [ลูกสาวท่านหายตัวไปเมื่อช่วงพักกลางวันค่ะ ขณะนี้เหล่าคุณครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนช่วยกันตามหา แต่ยังไม่พบตัวเลยค่ะ]
    “เป็นครูภาษาอะไร!!! ปล่อยให้ลูกผมหายไปทั้งคน!! คอยดูถ้าลูกผมเป็นอะไรไป ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!!”

    นายใหญ่ตวาดโต้กลับปลายสายด้วยความโมโหเสียงดังก้องทั่วทั้งคันรถ จนลูกน้องและคนขับด้านหน้าเผลอสะดุ้งตกใจ แล้วจึงกดวางสายก่อนเตรียมโทรหานายตำรวจให้พักเรื่องอื่นไว้ก่อน และเร่งส่งคนออกตามหาลูกสาวของตน ขณะที่รอปลายสายรับโทรศัพท์ เสียงข้อความแจ้งเตือนบอกเรื่องเลวร้ายพลันดังขึ้นอีกครั้ง นักการเมืองทำใจกล้ารีบเปิดข้อความที่ส่งมาทั้งที่ภายในเริ่มสั่นไหวหวาดกลัว สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ ทำให้ผู้มีอำนาจรู้สึกราวกับถูกตัดแขนขาลดทอนความสามารถ จนรู้สึกตกต่ำอับจนหนทางในทันที
    ข้อความที่แจ้งเตือนเมื่อครู่นี้ เป็นภาพบัตรประจําตัวตํารวจ บัตรของนายตำรวจที่ตนกำลังโทรหา เป็นคำเฉลยว่าเหตุใดป่านนี้ลูกน้องตำรวจของตนยังไม่รับสาย และเมื่อเสียงรอสายจากโทรศัพท์ที่กดโทรออกค้างไว้ เปลี่ยนเป็นเสียงฝากข้อความอัตโนมัติของระบบ ยิ่งตอกย้ำให้ตัวเองรู้สึกอดสูและสิ้นหวัง

    “ติ้ง!”

    แต่ความเลวร้ายยังจบ เมื่อเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับภาพถ่ายกลุ่มลูกน้องของตนที่สั่งให้กลับไปดูความปลอดภัยที่บ้าน เขารู้สึกเหมือนอยู่ในเกมปั่นประสาท และใช่ ตอนนี้ผู้ที่ทุกคนต่างเคารพยำเกรง ถูกปั่นป่วนกดดันจนความคิดขาวโพลนว่างเปล่า สูญเสียความสามารถในการวางแผนจัดการแก้ปัญหามากมายตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง

    นายใหญ่สูดหายใจเข้าตั้งสติ ก่อนลงมือพิมพ์ข้อความตอบกลับ เพื่อเจรจากับปลายทางที่คอยส่งภาพพวกนี้มา

    ‘ต้องการอะไร’
    ‘เริ่มเกมลักซ่อน...’
    
    ข้อความตอบกลับ เป็นคำอธิบายกติกาเกมที่ปลายทางเคยพิมพ์ไว้ก่อนที่เรื่องบ้าบอนี้จะเริ่มขึ้น สร้างความหงุดหงิดให้กับนักการเมือง เพราะเหมือนตนกำลังถูกเด็กกวนประสาท แต่ถึงอย่างไรก็จำต้องพิมพ์ตอบกลับเพื่อให้ทราบจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

    ‘บอกมา แกต้องการอะไร’
    ‘วิธีหยุดเกมคือ การยอมสละ และ เปิดเผย’
    ‘สละอะไร? เปิดเผยอะไร? บอกมาให้ชัดๆ’

    หลังพิมพ์สั่งให้อีกฝ่ายอธิบายให้ชัดเจน สักพักมีการส่งข้อความภาพมากมายจากปลายทาง ส่งผลให้คนคอยรับรูปภาพที่ส่งมาไม่หยุดหน้าชา ทุกรูปเป็นภาพหลักฐานการลักลอบใช้อำนาจทำสิ่งผิดกฎหมายของเขา ไม่ว่าจะเป็นการติดสินบน ค้ายาเสพติด เปิดบ่อนการพนัน ส่งลูกน้องทวงหนี้ และอื่นๆ อีกมากมาย
    ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่นั่นหมายความว่าเขาจะต้องยอมสละทุกอย่างที่มี แน่นอนการละทิ้งทุกอย่างไม่มีใครอยากทำ ความเห็นแก่ตัวมีมากเกินกว่าจะรับข้อเสนอนี้ ดังนั้นนักการเมืองผู้โลภและยึดติด จึงเลือกขอเจรจาหนทางอื่นแทน

    ‘ต้องการเงินเท่าไร หรืออยากได้อะไร ว่ามา’
    ‘หากเกมหมดเวลา ทุกตัวละครจะถูกกำจัด’

    ปลายทางส่งกติกาเกมสื่อความนัย และเหล่าชุดรูปภาพอีกครั้ง คราวนี้เป็นรูปแทนกลุ่มคนที่ถูกลักซ่อน รูปเดียวกันกับที่ปลายทางคอยส่งมาปั่นหัวเขาเป็นระยะ โดยรูปสุดท้ายเป็นรูปของโรงเรียนที่ลูกของสาวเรียนอยู่ ย้ำเตือนว่าหากไม่เล่นตามเกมจะต้องสูญเสียสิ่งใดบ้าง ความรู้สึกของคนเป็นพ่อทำให้เสี้ยวของความเห็นแก่ตัวเลือนหายไป ผู้มีอำนาจมากมายแต่กลับหมดสิ้นหนทาง ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดแต่โดยดี เพื่อแลกกับชีวิตแก้วของตาดวงใจ

    ‘จะให้สารภาพอย่างไง เอาหลักฐานไปให้ตำรวจ?’
 
    ครั้งนี้ข้อความตอบกลับจากปลายทางไม่ใช่กติกาเล่นเกมอย่างเคย เป็นข้อความสั่งให้เขากลับบ้านเพื่อเตรียมหลักฐานและคำสารภาพให้เรียบร้อย และรอข้อความอีกครั้งหนึ่ง มีข้อความแนะนำสุดท้ายก่อนที่ปลายทางจะหายไป คำแนะนำบอกให้เขาสามารถเอาเรื่องพวกนี้ไปขอความช่วยเหลือกับใครก็ได้ แต่เกมถือว่าสิ้นสุดทันที และให้เขาเตรียมรอรับร่างไร้ลมหายใจของเหล่าผู้คนที่ถูกลักซ่อนแทน

    นายใหญ่รู้สึกอ่อนล้าหมดแรงหลังอ่านข้อความจบ สั่งลูกน้องให้เปลี่ยนจุดหมายเป็นบ้านพักแทนโรงเรียน เพราะแม้จะไปถึงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้แล้ว การเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรวดเร็วของนายด้านหลัง จากทีแรกที่แสดงอารมณ์โมโหกราดเกรี้ยว ตอนนี้กลับดูหดหู่หมดแรง สร้างความประหลาดใจให้กับลูกน้องและคนขับรถด้านหน้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม เพียงปล่อยให้บรรยากาศภายในรถดำเนินไปอย่างเงียบงัน



    ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ณ บ้านหลังใหญ่ที่สร้างอย่างสมฐานะ กลับเงียบเหงาอ้างว้าง เมื่อเหล่าลูกน้องข้ารับใช้รวมไปถึงภรรยาและลูกรักนั้นหายไป ถึงแม้จะเหลือพวกลูกน้องจากที่ทำงาน คอยเดินตรวจตราความปลอดภัยโดยรอบ ช่วยให้เจ้าบ้านไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก
    เจ้าบ้านนั่งโดดเดี่ยวจมอยู่กับความคิดตรงโซฟาของห้องรับแขกกว้างขวาง ด้านหน้ามีเหล่าเอกสารหลักฐานการทำผิดกฎหมายของตนวางอยู่ เหตุเพราะก่อนหน้านี้เมื่อนายใหญ่กลับถึงบ้าน เขาเหลือบเห็นกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ จึงรีบไปดูข้อมูลที่บันทึกด้วยความหวังจะได้รู้ว่าใครหรือฝ่ายไหนที่เขากำลังต่อกรอยู่ แต่แล้วความหวังต้องพังทลายอีกครั้ง เมื่อกล่องเก็บข้อมูลรวมไปถึงกล้องวงจรปิดทุกตัวถูกทำลายหมดสิ้น ตอกย้ำความจริงว่าเขาไม่มีทางสู้หรือโต้กลับอีกฝ่ายได้เลย

    นายใหญ่เพียงนั่งนิ่งราวกับหุ่นปั้น เฝ้ารอฟังเสียงโทรศัพท์ตอบกลับ ไร้ซึ่งความรู้สึกหิวแม้จะไม่ได้ทานข้าวทั้งมื้อกลางวันและเย็น ช่วงเวลาผ่านเลยแต่ละวินาทีนั้นแสนยาวนานในความรู้สึก แต่คนหมดสิ้นหนทางก็ทำได้เพียงรอคอยต่อไปเท่านั้น

    “ติ้ง!”

    เสียงข้อความจากโทรศัพท์ที่เฝ้าคอยพลันดังขึ้น ส่งผลให้คนตั้งตารอรีบหยิบโทรศัพท์เปิดดูข้อความ ภาพที่เห็นทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวูบ เมื่อภาพที่ปรากฏเป็นภาพถ่ายจากทางด้านหลังของตนเอง ฉากห้องรับแขกเดียวกัน สีเสื้อในภาพกับที่เขาใส่ตอนนี้ก็เป็นสีเดียวกัน เจ้าบ้านค่อยๆ นับหนึ่งถึงสามในใจ เตรียมหันหลังไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเกมอันตราย
    เริ่มสูดหายใจแล้วนับ...

    หนึ่ง...

    สอง...

    สาม!


    “ขวับ!!”



    นายใหญ่รู้สึกตัวอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้คือ เขาถูกคนด้านหลังใช้บางอย่างทุบจนสลบ โดยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าผู้ลงมือเป็นใคร เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองสำรวจบรรยากาศโดยรอบ
    ตอนนี้เขาเหมือนอยู่กลางโรงงานร้างสักแห่งหนึ่ง กลิ่นอับรุนแรงจนต้องย่นจมูก มีแสงจันทร์รอดผ่านช่องหลังคาที่แผ่นสังกะสีหลุดหาย เมื่อเงยหน้าตามแสงขึ้นไป เขากลับต้องสะดุ้งตกใจสุดขีด เพราะคานเหล็กเก่าด้านบนได้มีร่างเงาของคนถูกโซ่มัดจับห้อยหัวมากมายหลายสิบคน เมื่อสังเกตดีๆ จึงรู้ว่าทุกคนล้วนเป็นคนที่ถูกลักมา แต่ละคนพยายามดิ้นส่งเสียงร้องเรียก แต่กลับไม่เป็นผลเมื่อทุกคนต่างถูกมัดปากและพันธนาการอย่างแน่นหนา

    เขาพยายามกวาดสายมองหาลูกสาวและภรรยาท่ามกลางกลุ่มเงาของคนที่ถูกจับห้อยหัวแต่กลับไม่พบ และทันใดนั้นเองพลันเกิดแสงจากสปอร์ตไลท์สว่างจ้าสาดใส่ จนนายใหญ่จำต้องยกมือขึ้นบังแสง และเมื่อปรับสายตาได้แล้วจึงเห็นว่า ทั้งลูกและภรรยาของตนถูกจับมัดอยู่กับเก้าอี้ มีผ้าปิดปากไว้ไม่ให้พูดหรือเอ่ยสิ่งใด ข้างกันนั้นมีคนสวมหน้ากากยืนประกบจ่อปืนที่ศีรษะของตัวประกัน ส่งผลให้นายใหญ่จากที่ตั้งใจวิ่งเข้าไปช่วยภรรยาและลูก กลับต้องยืนนิ่งค้างคอยสังเกตท่าที เพราะอาจทำให้ทั้งสองเป็นอันตราย

    “ผมเตรียมอุปกรณ์สารภาพให้คุณแล้ว”

    น้ำเสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งจากทางด้านหลัง เรียกให้นักการเมืองตกอับหันมอง พบเจ้าของเสียงใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า ยืนคู่กับชายสวมหน้ากากอีกคน ห่างไปไม่มากนักมีโต๊ะเก่าพร้อมเครื่องฉายภาพสามมิติต่อเชื่อมกับเครื่องโปรเจคเตอร์ ฉายข้อความล้อเลียนเสียดสีเขาบนกำแพงปูนเก่าสกปรก ข้อความว่า

    ‘พ่อฉันเป็นคนดี’

    คนสิ้นอำนาจไร้ทางสู้รู้ดีว่าต้องทำอะไร ทุกย่างก้าวเดินไปที่โต๊ะแห่งความจริง ให้ความรู้สึกราวกับมีลูกตุ้มเหล็กถ่วงขา เสียงลากเท้าไปตามพื้นปูนเปลือยสกปรกไม่ต่างจากเสียงโซ่ตรวนลากพื้นของนักโทษ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าเครื่องฉาย เงยหน้าสบสายตาแขกผู้มีเกียรติที่รับฟังในสภาพห้อยหัวกลับด้าน และแขกพิเศษทั้งสองที่ถูกจับมัดบนเก้าอี้ไม้เก่า
    มือที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น ค่อยๆ ดึงกระดาษแผ่นแรกที่มีข้อความเสียดสีออก เผยให้เห็นเรื่องแรกที่เขาต้องสารภาพให้ทุกคนรู้ ภาพของบ่อนการพนันที่ถ่ายติดลูกน้องของเขากำลังยืนคุมอยู่

    “ภาพนี้... เป็นหนึ่งในบ่อนการพนันที่ผม-”
    “พ่อ”

    เสียงเรียบเรื่อยดังมาจากชายสวมหน้ากากที่กำลังยืนมองอยู่ สื่อเป็นนัยว่าให้เขาเปลี่ยนสรรพนามแทนตน แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาทำลายภาพจำในฐานะพ่อที่ดีของลูกสาวด้วยน้ำมือของตัวเอง คนจนตรอกจำต้องทำตามคำสั่งอีกฝ่ายอย่างไม่อาจเลี่ยง โดยระหว่างที่พูดไม่แม้แต่กล้าเงยหน้าสบตาลูกสาวของตน

    “ภาพนี้เป็นหนึ่งในบ่อนพนันที่พ่อเปิด โดยใช้เส้นสายและการติดสินบนตำรวจ เลยไม่มีใครจับได้จนถึงตอนนี้”

    การพนันไม่เคยทำให้ใครได้ดี ลูกอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาดเลยนะ

    “พอเปิดบ่อน สิ่งที่ตามมาคือการปล่อยเงินกู้... พ่อปล่อยเงินให้ลูกหนี้ไว้เล่นพนัน พอคนไหนไม่มีเงินใช้คืนก็ส่งลูกน้องไปยึดรถ ยึดบ้าน ยึดที่ดิน ใครไปแจ้งตำรวจก็สั่งยัดข้อหาให้ติดคุก ใครหนีพ่อก็สั่ง... สั่งให้ลูกน้อง... จัดการ”
    “สั่งฆ่า อย่าพูดอ้อมค้อม”
    “อื้ออ!!!”

    เสียงร้องตะโกนของลูกสาวที่ถูกผ้ามัดปิดปาก คล้ายกำลังเรียกพ่อผู้สารภาพผิด คนถูกเรียกไม่กล้าเงยหน้ามอง ในใจรู้สึกหนักอึ้งราวกับจมอยู่ใต้ทะเลมืดมิด มีคมมีดจากเสียงร้องหาของลูกรักคอยกรีดแทงจิตใจผู้เป็นพ่อจนเป็นแผลเหวอะหวะ

    พวกปล่อยเงินกู้นอกระบบ หากินบนความทุกข์ของคนอื่น คอยดูนะ ถ้าพ่อได้รับเลือกเมื่อไร จะออกนโยบายกำจัดคนพวกนี้ให้หมดเลย

    “ภาพต่อมา... พ่อใช้บ่อนพนันเป็นแหล่งพักและกระจาย.. ยาบ้า ยาไอซ์ ให้กับพวกวัยรุ่น”
    “อื้ออ!!! อื้อ!! ฮืออๆๆ”

    จำคำพ่อไว้นะ พวกเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ใครชวนให้ลองอย่าได้เชื่อเชียว ของพวกนี้นอกจากทำลายสุขภาพ แล้วยังทำลายอนาคตของลูกด้วย

    “อาวุธเถื่อนพวกนี้ พ่อลักลอบนำเข้ามา...”

    ของปลอม ของเถื่อน แม้มันจะถูกและดูคุ้มกว่าของแท้ แต่ลูกอย่าลืมนะว่าของพวกนั้นไปลอกเลียนคนอื่นมา เวลามีคนขโมยความคิด ไอเดียลูกไปใช้ก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ คนที่ถูกของปลอมทำเลียนแบบเอาไปขายก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรานะ

    น้ำเสียงแห้งเหือดสารภาพความผิดของผู้เป็นพ่อ ดังสลับกับเสียงร้องไห้ผิดหวังของลูกสาว สร้างบรรยากาศหดหู่ให้กับเหล่าผู้คนที่ถูกจับมัดเป็นสักขีพยาน รวมไปถึงมังกรที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าซึ่งยืนอยู่ข้างผู้คิดเกมใจสลายนี้ มีหลายครั้งที่เขาอยากบอกให้โนอาร์หยุด แต่กลับไม่สามารถเอ่ยขัดได้เพราะดูเหมือนมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สึก นอกนั้นทั้งโนอาร์และกลุ่มนักฆ่าที่กระจายตัวอยู่ตามมุม ต่างมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยท่าทีราวกับฟังเรื่องเล่าทั่วไป ไร้ซึ่งท่าทีสงสารเห็นใจ จวบจนกระทั่งมาถึงภาพสุดท้าย

    “ภาพ- !!”
    “อื้อออ!!!!!!!”

    ภาพสุดท้ายเป็นภาพแอบถ่ายระหว่างจำเลยกำลังขืนใจหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับลูกตัวเอง ภาพอนาจารน่ารังเกียจราวกับไม้หวดฟาดผู้เป็นพ่อดีเด่นให้รู้สึกชาไปทั้งร่าง เสียงคนสารภาพสั่นเครือ พร้อมน้ำตาแห่งความเสียใจ หยดลงบนรูปภาพจารึกความผิดบาป ซึ่งกำลังฉายให้ทุกคนรับรู้บนกำแพงปูนเก่าสกปรก

    “พ่อแม่ของ.. ของเพื่อน... เพื่อนลูก... เขาติดหนี้พ่อ พ่อเลย.. ฮึก.. พ่อเลยเอาลูกของพวกนั้น... มะ.. มาขัดดอก...”
    “อื้ออ!!! ฮืออๆๆ”
    “ตอนนั้นพ่อไม่รู้ว่านั้นคือเพื่อนของลูก...”
     “อื้อออออ!!!!!”
    “พ่อ ฮึก.. พ่อขอโทษ”

    บัดนี้โรงงานร้างเหลือเพียงเสียงร่ำไห้เสียใจจากผู้เป็นพ่อที่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ และลูกสาวที่ผิดหวังกับผู้เป็นพ่อ เสียงร้องไห้ของทั้งสองราวกับเสียงของสายสัมพันธ์ที่ถูกดึงจนขาด และไม่อาจต่อกลับคืนได้อีก
    แต่ถึงอย่างไรนั้น เกมยังคงต้องดำเนินต่อไป คนเจ้าแผนการเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อแสนดีจอมปลอม ก่อนวางปืนลูกโม่พร้อมลูกกระสุนหนึ่งนัด แล้วจึงเดินกลับไปยืนตำแหน่งเดิมพลางเอ่ยเงื่อนไขสุดท้ายในการจบเกม

     “เปิดเผยแล้ว สุดท้ายคือการยอมสละ กระสุนมีเพียงนัดเดียว หวังว่าคงฉลาดเลือก”

    คนเป็นพ่อใจสลายรู้ดีว่า สิ่งสุดท้ายที่ตัวเองต้องทำเพื่อให้ครอบครัวปลอดภัยคืออะไร ดังนั้นมือที่สั่นเทาจึงค่อยๆ หยิบกระสุนนัดเดียวบรรจุใส่ปืน เตรียมปืนให้พร้อมยิงก่อนยกขึ้นค่อยๆ กดลงที่ขมับของตน

    “อื้ออออ!!!!! อื้อออ!!!!!”
    “พ่อเป็นพ่อที่ไม่ดี ทำให้ลูกผิดหวัง... ขอโทษนะลูก...”
    “อื้อออ!!!”
    “ไม่มีพ่ออยู่แล้ว... ฮึก.. ลูกต้องเข้มแข็งมากๆ นะ”
    “อื้ออ!!! อื้อ!! ฮืออๆๆๆ”
    “พ่อรักลูก”
    “ปัง!!!!!”
    “อื้อออออ!!!!! ฮืออออๆๆ อื้อออ!!!”

    เสียงปืนดังสนั่นเป็นการปิดฉากสุดท้าย พร้อมกับร่างตัวเอกของเกมล้มลงกับพื้น กลุ่มคนสวมหน้ากากเดินไปปลดโซ่เหล่าพยานร่วมรับรู้ความผิดบาป ให้ลงมานอนกับพื้นดีๆ ก่อนกลับมารวมกันด้านหน้าโดยมีหัวหน้ากลุ่มยืนอยู่ตรงกลาง คอยพูดกล่าวอำลาความสนุกในค่ำคืนนี้ 

    “คุณหญิงไม่ร้องเลย คงรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วสินะ” โนอาร์พูดกับคุณหญิง ก่อนกวาดสายตาดูของเล่นโดยรอบ
    “นี่คือตัวอย่างของเกมลักซ่อนเปิดเผยความจริง เหล่าคุณๆ ผู้มีความลับทั้งหลาย คงรู้ดีใช่ไหมว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องในคืนนี้ โดยเฉพาะคุณตำรวจยศใหญ่ตรงนั้น”

    คนถูกกล่าวถึงเผลอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อชายสวมหน้ากากหยุดสายตามาที่ตน แม้จะมองไม่เห็นแววตาใต้หน้ากากของอีกฝ่าย แต่บรรยากาศเย็นยะเยือกอันตรายที่แผ่ออกมาจากเจ้าตัว เป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีว่าอย่าริอ่านลองดีกับชายคนนี้ เพราะคนที่มีอำนาจเหนือกว่าตน ก็ถูกอีกฝ่ายจัดการให้เห็นต่อหน้าเมื่อครู่นี้แล้ว ดังนั้นตำรวจยศใหญ่จึงทำได้เพียงก้มหน้านิ่งเสมือนยอมรับข้อเสนอเท่านั้น

    “เจ้าหน้าที่จะมาช่วยพวกคุณในเช้าวันรุ่งขึ้น นอนรอไปก่อนได้เลย”
    “หวังว่าคงไม่มีคุณคนไหนเรียกให้พวกเรากลับมาอีก ลาก่อน”

    หัวหน้ากลุ่มคนสวมหน้ากากเอ่ยคำปิดท้าย พร้อมกับแสงไฟจากสปอร์ตไลท์และเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ดับลงฉับพลัน ส่งผลให้ทุกคนต่างอยู่ในสถานะตาบอดชั่วขณะ กว่าสายตาจะปรับจนกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง เหล่ากลุ่มคนอันตรายก็พลันอันตรธานหายไปราวกับหมอกควัน



    “เห็นใช้ปืนยาสลบก็คิดว่าจะเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ยังโรคจิตเหมือนเดิม”

    เสียงนักฆ่าสาวเอ่ยขึ้นพลางถอดหน้ากากอำพรางใบหน้าออก และแน่นอน โนอาร์ยังคงไม่สนใจคำพูดเหน็บแนมดั่งเคย เอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ สักพักโทรศัพท์ของนักฆ่าโดยรอบจึงสั่นเตือนข้อความเข้าอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างกดดูยอดเงินโอนเข้า เมื่อเห็นว่าตรงกับที่ตกลงกันไว้ก็พากันแยกย้ายกลับไปในที่ของตน ไร้ซึ่งการกล่าวลา ส่งผลให้พื้นที่บริเวณนี้เหลือเพียงโนอาร์และมังกรอยู่สองคน

    “โทรศัพท์คุณผมจะเอาไปทำลายทิ้งพร้อมกับเครื่องนี้”

    โนอาร์พูดขึ้นพลางชูโทรศัพท์สองเครื่องในมือ เครื่องหนึ่งเป็นของเขาที่อีกฝ่ายยึดไป อีกเครื่องเป็นของนักการเมืองที่ยิงตัวตายเมื่อครู่นี้ มังกรพยักหน้าตกลง เพราะแม้อีกฝ่ายจะคืนโทรศัพท์ เขาก็คงเอาไปทำลายทิ้งเช่นกัน
    เมื่อเห็นเจ้าของมือถือยินยอม โนอาร์จึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนเดินขึ้นรถสีเทาเมทัลลิกที่จอดอยู่ไม่ไกล และขับหายไปในความมืด ทิ้งใครอีกคนให้หาทางกลับเองอย่างไม่ใส่ใจ



    หญิงสาวผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น สิ่งแรกที่เธอเห็นเมื่อลืมตาคือ ใบหน้าคมของแฟนหนุ่มที่มีท่าทีอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ก่อนที่ภาพเหตุการณ์เมื่อวานจะย้อนกลับมา ส่งผลให้เธอรีบเอ่ยถามแฟนหนุ่มถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

    “กรไม่เป็นอะไรใช่ไหม บอกทีว่าตำรวจเข้าใจผิด กรไม่ได้ทำเรื่องพวกนั้น”
    “ใช่ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

     ชายหนุ่มยิ้มบางเบาขณะตอบกลับคนรัก ก่อนจะฟุบหน้าลงบนเตียงพร้อมกับเอามือแฟนสาวมาวางบนแก้มด้านหนึ่งของตน และผล็อยหลับไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดี หญิงสาวเพียงลูบแก้มและเส้นผมของชายหนุ่มขับกล่อมให้อีกฝ่ายหลับสบาย พลางมองคนรักด้วยสายตาชื่นชมและอ่อนโยน

    “กรคนเก่งของหยก ไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีแบบนั้นหรอก”



บท11 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 11 ลักซ่อน)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 11:56:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 11 ลักซ่อน)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 03-11-2019 16:54:01
สงสารก็แต่ลูก น่ะ ^^
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 12 ตามหา]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 05-11-2019 20:50:07
    แสงอาทิตย์อบอุ่นลอดผ่านริ้วเมฆเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ รถสีเทาเมทัลลิกวิ่งบนถนนสายหนึ่งที่ทอดยาวเข้าตัวจังหวัด การจราจรเบาบางในยามเช้าทำให้รถบนท้องถนนสามารถเร่งความเร็วได้เต็มที่ ซึ่งนั่นรวมไปถึงโนอาร์ที่ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์ทันทีหลังแยกย้ายกับกลุ่มนักฆ่าและมังกรเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
    ความเหนื่อยล้าจากการเป็นผู้สั่งการควบคุมเกมผสมกับการขับรถข้ามคืนโดยไม่แวะพัก ทำให้โนอาร์รู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับเลือกเพิ่มน้ำหนักเท้าลงบนคันเร่งมากขึ้นไม่สนใจสัญญาณประท้วงขอพักของร่างกาย ทั้งหมดเพียงเพื่อเขาอาจได้เห็นหน้าและพูดคุยกับปีศาจเจ้าบ้านเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกไปทำงาน


    เหมือนความพยายามของมนุษย์จะไร้ผล เมื่อมาถึงบ้านทรงไทยประยุกต์แล้วพบว่ารถกระบะสีดำไม่อยู่แล้ว รถสีเทาเมทัลลิกเคลื่อนเข้าจอดสนิทในตำแหน่งเดิม ก่อนคนขับจะลงจากรถ เดินไปไขประตูด้วยกุญแจที่เจ้าบ้านเคยมอบให้
    เมื่อเข้ามาในบ้าน ผู้อาศัยหนึ่งเดียวในตอนนี้กวาดสายตาโดยรอบราวกับเจ้าหน้าที่สืบสวนหาสิ่งผิดปกติ ทุกอย่างยังคงเรียบร้อยเหมือนครั้งก่อนที่เขาออกไป เห็นดังนั้นโนอาร์จึงเดินเข้าห้องเพื่อนอนพักเอาแรงก่อนตื่นไปหาปีศาจที่สวนในช่วงเที่ยงวัน

    ประตูห้องเปิดออก พร้อมกับผู้บุกรุกที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าบ้านอย่างถือวิสาสะ ห้องที่โนอาร์อยู่ในขณะนี้หาใช่ห้องของตนแต่เป็นห้องฝั่งตรงข้าม ห้องของเอทอส คนรุกล้ำเดินสำรวจห้องปีศาจไม่ต่างจากห้องของตัวเอง ทุกอย่างเรียบร้อยดียกเว้นหน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดไม่สนิท โนอาร์เดินเข้าไปปิดให้โดยไม่นึกสงสัย เพราะเข้าใจดีว่าเอทอสนั้นเป็นปีศาจขี้ร้อนแต่กลับชอบลมธรรมชาติมากกว่าอาศัยเครื่องปรับอากาศ ดังนั้นทุกคืนอีกฝ่ายจึงมักเปิดหน้าต่างให้ลมและกลิ่นหอมของดอกไม้รอบบ้านยามค่ำพัดเข้ามาแทน

    เหตุผลที่รู้ลักษณะนิสัยด้านนี้ของเอทอสนั้น เป็นเพราะหลายครั้งโนอาร์ชอบเข้ามาป่วนในห้องเอทอสก่อนจะถูกอีกฝ่ายไล่กลับห้องตัวเองเมื่อถึงเวลาเข้านอน คราแรกเมื่อเห็นเอทอสเลือกเปิดหน้าต่างแทนการเปิดแอร์ ผู้อยากรู้ทุกเรื่องของปีศาจจึงเอ่ยถาม แม้จะถูกปีศาจแกล้งยั่วโมโหอยู่บ้างแต่สุดท้ายก็ได้คำตอบ และนี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมโนอาร์ถึงรู้จักมุมนี้ของเอทอส

    หลังจัดการปิดหน้าต่างเสร็จสิ้น ผู้บุกรุกก็ยังคงไม่ยอมออกจากห้อง เพราะเป้าหมายแท้จริงในการเข้าห้องนี้ของโนอาร์ ไม่ใช่การสำรวจตรวจความเรียบร้อยอย่างที่ทำเมื่อครู่นี้ แต่เป็น

    “ตุบ!”

    โนอาร์สลัดคราบคนเจ้าแผนการสุดเลือดเย็นจนหมดสิ้น ก่อนกระโจนขึ้นเตียงปีศาจพร้อมฝังใบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ กดปลายจมูกสูดดมกลิ่นอายเจือจางอ่อนๆ ของเอทอสให้ความรู้สึกอบอุ่น พร้อมกับใช้เท้าเกี่ยวผ้าห่มที่พับอยู่ปลายเตียงขึ้นมาคลุมตัวเสมือนอยู่ในอ้อมกอดของปีศาจ เพื่อทดแทนความคิดถึงในช่วงเวลาที่ห่างกัน เป็นการกระทำคลั่งไคล้ราวกับโรคจิตที่ไม่มีใครล่วงรู้ แม้แต่เอทอสเองก็ตาม
    จวบจนผู้บุกรุกพอใจกับการเสพกลิ่นและหาจุดสบายบนเตียงได้ โนอาร์จึงผล็อยหลับไปตามความเหนื่อยล้า โดยบนใบหน้าแสนเย็นชานั้นยังคงมีรอยยิ้มมุมปากบางเบาประดับอยู่



    เวลาค่อยๆ ผันผ่าน ดวงอาทิตย์จวนใกล้อยู่กึ่งกลางท้องนภาแจ่มใสปลอดโปร่ง คนขโมยเตียงปีศาจถึงได้ฤกษ์ตื่นจากการหลับใหล แม้ดูเหมือนจะได้นอนพักเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ผู้ที่กำลังพับผ้าห่มจัดที่นอนอยู่นี้กลับไม่มีอาการอ่อนเพลียแต่อย่างใด เพราะสำหรับโนอาร์ การงีบหลับแค่นี้ถือว่าเพียงพอแล้ว
    หลังจัดเตียงปีศาจให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเรียบร้อย สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือมื้อกลางวันของทั้งปีศาจและของตน โนอาร์เดินออกจากห้องไปทางส่วนครัว หยิบเนื้อสัตว์และส่วนประกอบอื่นๆ จากตู้เย็นมาวางรวมกันตรงโต๊ะ มองวัตถุดิบนิ่งพลางคิดเมนูในใจ ไม่นานมนุษย์ใจบาปก็สวมบทพ่อครัวเริ่มลงมือทำอาหาร โดยมื้อแรกหลังจากที่ห่างกันไปของทั้งเขาและปีศาจคือสตูเนื้อ


    มนุษย์เหลือบมองนาฬิกาหลังบรรจุมื้อกลางวันลงกล่องเรียบร้อย พบว่าเข็มสั้นใกล้ชี้เลขหนึ่งบ่งบอกถึงบ่ายโมง โนอาร์เดินไวๆ เข้าห้องตัวเองเพื่อทำเวลา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลบกลิ่นควันอาหารตามตัว ก่อนจะกลับออกมาด้วยชุดสไตล์คนสวนอย่างทุกครั้ง ซึ่งไม่ได้ใส่หมวกคลุมหน้าอีกต่อไปเพราะไม่มีความจำเป็นต้องแฝงตัวดูพฤติกรรมของคนงาน
    เมื่อทุกอย่างพร้อม โนอาร์คว้ากล่องข้าวเดินออกจากบ้านและล็อกประตู ตรวจดูความเรียบร้อยคร่าวๆ ก่อนเดินขึ้นรถสีเทาเมทัลลิก ขับออกสู่ถนนอีกครั้ง โดยจุดหมายปลายทางคือสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์



     รถสีเทาเมทัลลิกเคลื่อนจอดข้างรถกระบะสีดำคุ้นตา ผู้มาใหม่ลงจากรถพร้อมหิ้วกล่องอาหารในมือข้างหนึ่ง เดินอารมณ์ดีไปทางสำนักงาน แต่แล้วความสุขสงบก็พลันมลายสิ้น เมื่อคนงานหลายคนต่างวิ่งเข้ามาหาเขา ไม่ใช่เข้ามาทักทาย แต่มาถามว่าเจ้าของสวนอยู่กับเขาหรือไม่

    “เอทอสหายไป ตั้งแต่เมื่อไร?” คนเพิ่งรับรู้เรื่องราว เอ่ยถามคนงานด้วยใบหน้าที่เริ่มถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ
    “หลังวันที่คุณโนอาร์ไปทำธุระวันเดียวค่ะ คุณเอทอสมาที่นี่ตามปกติ แต่วันต่อมาก็หายไปค่ะ รถกระบะก็จอดไว้ที่นี่ บ้านพักก็ไม่อยู่”
    “เรือนกล้วยไม้หลังสวนเหมือนมีคนสู้กันด้วยครับคุณโนอาร์ สภาพพังเละเทะเลย พวกผมแจ้งตำรวจและช่วยกันตามหาแล้วแต่ตอนนี้ก็ยังไม่พบนายใหญ่ อยากติดต่อแจ้งข่าวให้คุณโนอาร์ แต่พวกเราไม่รู้เบอร์..”

    หลังได้ฟังเบาะแสสำคัญจากหนุ่มคนสวนคนหนึ่ง โนอาร์เพียงบอกว่าจะช่วยตามหา ก่อนรีบเดินออกจากกลุ่มคนงานที่รายล้อมเพื่อไปดูที่เกิดเหตุด้านหลังสวน บรรยากาศสบายๆ รอบตัวโนอาร์ในทีแรกแปรเปลี่ยนเป็นบรรยากาศกดดันอันตรายผสานกับใบหน้าของว่าที่คนรักนายใหญ่ ที่แม้จะดูเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตาเย็นเยียบนั้นราวกับสามารถแช่แข็งทุกผู้คนที่คิดขวางทางให้หยุดหายใจในทันที ส่งผลให้กลุ่มคนงานทำได้เพียงมองส่งว่าที่คนรักของนายใหญ่ โดยไม่มีใครกล้าคิดตามไป แม้กระทั่งลุงสมัยเองก็ตาม

    บริเวณเรือนกล้วยไม้หลังสวนพังเสียหายจริงตามคำบอกเล่า เสาเหล็กด้านหนึ่งหักส่งผลให้ตัวเรือนล้มลงมา เศษซากกล้วยไม้และกระถางแตกกระจายทั่วทั้งพื้นที่ เหล่าดอกกล้วยไม้ถูกเหยียบย้ำไม่เหลือชิ้นดี โนอาร์มองภาพเบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาเย็นยะเยือก มือข้างที่ถือหูหิ้วกล่องข้าวกำแน่นจนเส้นเลือดขึ้น ความโกรธเกรี้ยวเพิ่มสูงขึ้นจนหลอมละลายปลอกคอน้ำแข็งของสัตว์ร้ายในจิตใจ ความอันตรายดุร้ายแผ่ออกจากตัวมนุษย์ในรูปแบบจิตสังหารเย็นยะเยือก พร้อมแช่แข็งทุกสรรพสิ่งที่บังอาจแตะต้องปีศาจแสนสำคัญให้ดับสูญ บัดนี้ยมทูตน้ำแข็งเริ่มกวัดแกว่งเคียวไล่ล่าดวงวิญญาณ

    บรรยากาศเยือกเย็นของผู้มาเยือนผสมกับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศในสำนักงาน ส่งผลให้ทุกผู้คนภายในอาคารแห่งนี้รู้สึกหนาวเหน็บราวกับจิตใจถูกเยือกแข็งจนติดลบ ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมอง การเอ่ยทักทายหรือไถ่ถามไม่ต้องพูดถึง ทั้งอาคารเงียบสนิทคล้ายร้างผู้คนแม้ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากเสียงย้ำเท้าของผู้มาใหม่ก็มีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่กล้าส่งเสียง 

    “ระหว่างที่เอทอสไม่อยู่ คุณทุกคนต้องดูแลแทน ห้ามมีเรื่องผิดพลาดเด็ดขาด”

    เจ้าของบรรยากาศกดดันประกาศสั่งทุกคนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนก้าวเข้าไปในห้องทำงานของนายใหญ่ โดยไม่คิดฟังคำตอบกลับ คนที่ได้รับผลกระทบที่สุดเห็นจะเป็นศิลา ที่ถูกนัยน์ตาเหมันต์ยามรัตติกาลเหลือบมองก่อนที่โนอาร์จะหายเข้าไปในห้อง การสบตาเพียงเสี้ยววินาทีราวกับคำสาป เตือนเป็นนัยว่าหากสวนรฦกวัลย์เกิดปัญหา ใครจะต้องรับผิดชอบ

    ภายในห้องทำงานของเจ้าของสวน ทุกอย่างยังคงปกติเรียบร้อย โนอาร์วางกล่องข้าวมื้อกลางวันที่ดูไร้ค่าในยามนี้ลงบนโต๊ะกระจกพลางมองสำรวจรอบห้อง สายตาสะดุดกับสิ่งหนึ่งตรงโต๊ะปีศาจ กระดาษที่เขาทิ้งไว้ก่อนออกไปทำงาน โนอาร์มองพลางใช้ปลายนิ้วลูบผิวกระดาษด้วยความอ่อนโยน ความรู้สึกเหมือนได้รับความใส่ใจจากปีศาจทำให้หัวใจเยือกเย็นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่นั้น เพราะไม่นานทุกสรรพสิ่งก็กลับมาหนาวเหน็บดังเดิม
    การเดาตัวคนทำเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อผู้ที่สามารถต่อกรกับปีศาจได้มีเพียงกลุ่มเดียว บวกกับความรู้สึกคล้ายถูกสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองหายไป ยิ่งยืนยันความคิดนั้นถูกต้อง สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการออกตามหาแหล่งกบดาน จัดการพวกรนหาเรื่องและพาเอทอสกลับมา แต่หากเขาไม่สามารถพาปีศาจกลับมาได้ เขาจะส่งทุกผู้คนที่เกี่ยวข้องไปเป็นข้ารับใช้ และสุดท้ายหลังการล้างแค้นจบลง ผู้ลงทัณฑ์ขอเลือกหลับใหลไปตลอดกาล



     การตามหาใครสักคนโดยมีข้อมูลเพียงหน้าตาและลักษณะภายนอกนั้นเป็นเรื่องยาก เว้นแต่หากใครคนนั้นมีหน้ามีตาในโลกด้านสว่าง เช่นเดียวภาคิน นักธุรกิจอายุน้อยที่ขึ้นรับตำแหน่งบริหารในบริษัทของครอบครัวทันทีหลังเรียนจบ เหตุที่ต้องรับภาระหนักขนาดนี้หาใช่เพราะเป็นที่คาดหวังของครอบครัว กลับกันเลย เพราะไม่มีครอบครัวเหลืออยู่แล้วต่างหาก
    ภาคินกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากพ่อแม่ถูกสังหารจากการเข้าไปขัดผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ส่งผลให้บริษัทขาดผู้นำและกำลังจะล้มลง ทนายของครอบครัวจำต้องรับหน้าที่หาคนเข้ามาบริหารแทนชั่วคราวและดูแลเด็กน้อยจนกว่าจะสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้
    แม้ชีวิตดูน่าเศร้าแต่นั่นไม่เกี่ยวกับการเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตของปีศาจ ในเมื่อเป็นฝ่ายเลือกเอง ผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเช่นกัน

    ด้วยเหตุนี้รถสีเทาเมทัลลิกจึงหยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรของกลุ่มคนมีฐานะ คนขับลงจากรถในชุดสูทสีเทาภูมิฐาน กดกริ่งหน้าประตูรั้วและรออย่างใจเย็น จนกระทั่งมีแม่บ้านคนหนึ่งวิ่งเข้ามาสอบถามแขกที่ยืนรออยู่

    “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ”
    “ภาคินครับ ผมเป็นเพื่อนเขา พอดีผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาเยี่ยม”
    “ตายจริง.. คุณคงยังไม่ทราบข่าว คุณภาคินประสบอุบัติเหตุพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลค่ะ”

    แม่บ้านตอบกลับด้วยท่าทีเศร้าสร้อยระคนเป็นห่วงนายของตน แต่หารู้ไม่ว่าการเผยที่อยู่นายกับคนแปลกหน้าโดยเลือกเชื่อเพียงลมปากและรูปลักษณ์ภายนอก อาจนำพาหายนะมาสู่นายของตน โนอาร์เพียงขานรับตอบกลับแต่นัยน์ตาเย็นเยียบ ไร้วี่แววตกใจหรือกังวลต่อเรื่องที่ได้ยิน ซึ่งอาการนิ่งเฉยไม่ใส่ใจของผู้ที่อ้างว่าเป็นเพื่อนของนายสร้างความแปลกใจให้กับแม่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป

    “ไม่ทราบว่าภาคินอยู่ที่โรงพยาบาลไหนหรือครับ ผมจะได้ไปเยี่ยมถูก”
    “ที่โรงพยาบาลXXX ค่ะ”

    หลังได้รับคำตอบ โนอาร์เพียงยิ้มมุมปากก่อนหันหลังกลับเดินขึ้นรถและขับออกไปโดยไม่คิดบอกลา ทิ้งแม่บ้านให้ยืนอยู่คนเดียวไม่ขยับเคลื่อนไหว แม้เพียงไม่กี่วินาทีแต่เธอรู้สึกราวกับร่างกายถูกแช่แข็งเมื่อเผลอมองสบนัยน์ตารัตติกาล ความหนาวเหน็บพลันเกิดขึ้นในจิตใจถึงขั้นทำให้รู้สึกขนลุกเสียวสันหลัง จนเธอต้องยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองคล้ายต้องการสร้างความอบอุ่น ทั้งที่ความจริงอากาศแสนร้อนอบอ้าว
    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายมีคนรู้จักมาหาที่บ้าน แม้บางคนจะมีท่าทางน่ากลัว แต่คนที่ภายนอกดูดีน่าคบหาทว่าให้ความรู้สึกอันตรายจนเผลอกลั้นหายใจเช่นนี้ เธอไม่เคยพบมาก่อน ถึงอย่างไรข้ารับใช้ก็พอสบายใจได้อย่างหนึ่ง เพราะคนรู้จักของนายลักษณะนี้ล้วนเขาหานายด้วยความจริงใจหาใช่ผลประโยชน์ และเธอก็หวังว่าชายเมื่อสักครู่นี้จะเป็นเช่นนั้น



    เวลาจวนเย็นย่ำ ชายในชุดสูทสีเทาพร้อมช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ยืนถามเลขห้องผู้ป่วยกับนางพยาบาลตรงเคาน์เตอร์ก่อนผละออกไปขึ้นลิฟต์ ทุกท่วงท่าการขยับเคลื่อนไหวเรียกสายตาใครต่อใครให้จับจ้อง ใบหน้าเรียบนิ่งแสดงถึงความเย่อหยิ่งกลับดูดึงดูดและน่าค้นหา แม้ในความรู้สึกลึกๆ จะร้องเตือนว่าอย่าได้หลงกลกับรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็ไม่มีใครสามารถห้ามใจไม่ให้แอบเหลียวมองชายหนุ่มเมื่อครู่ได้เลย แม้อีกฝ่ายจะขึ้นลิฟต์ไปแล้วก็ตาม

    ทันทีเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง บรรยากาศน่าคบหาของชายหนุ่มในชุดสูทที่ใครหลายคนต่างจับจ้อง พลันแปรเปลี่ยนเป็นบรรยากาศกดดันเย็นยะเยือก เมื่อเจ้าตัวโยนหน้ากากจอมปลอมทิ้งอย่างไม่ไยดี ในสังคมที่ใครต่อใครต่างชื่นชมสนใจเพียงเปลือกนอก การได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการจำต้องสวมหน้ากากปิดบังความรู้สึกแท้จริง อย่างเช่นเมื่อครู่ หากเขาเลือกเดินไปหานางพยาบาลขณะที่อารมณ์เต็มไปด้วยจิตสังหารพร้อมท่าทีคุกคาม การได้หมายเลขห้องพักของเป้าหมายอาจไม่ง่ายดายได้เช่นนี้

    ไม่นานลิฟต์ก็หยุดอยู่ ณ ชั้นที่หมาย ผู้มาเยี่ยมเดินผ่านโถงทางเดินเงียบเชียบไร้ผู้คน ก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องพักห้องหนึ่ง เมื่อเห็นว่าป้ายชื่อหน้าห้องตรงกับคนที่กำลังตามหา มือข้างที่ไม่ได้ถือดอกไม้จึงดันประตูเปิดทันที
    ภาคินที่เพิ่งฟื้นจากการหลับไปหนึ่งวันเต็มค่อยๆ หันมองคนเยี่ยม ชายผมสีดำสนิทเช่นเดียวกับนัยน์ตาในชุดสูทสีเทาเนื้อดีกับช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ในมือ กำลังก้าวอย่างมั่นคงมาหาเขาที่เตียง ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกราวกับเจ้าชายน้ำแข็งแต่แววตาเย็นเฉียบคล้ายกับมีพายุเหมันต์คลุ้มคลั่งอยู่ภายใน

    เมื่อถึงเตียงโนอาร์มองสำรวจสภาพสะบักสะบอมของเป้าหมายด้วยสายตาเย็นชา ตามตัวภาคินถูกพันด้วยผ้าพันแผลหลายแห่ง เท้าและแขนอย่างละข้างถูกเข้าเฝือกไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว บริเวณหน้าผากมีผ้าพันแผลเป็นดวงสีแดงเล็กน้อยจากการซับเลือดที่ซึมทางปากแผล อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปีศาจ
    โนอาร์มองสภาพคนป่วยตรงหน้าด้วยรอยยิ้มมุมปากเชิงสมเพช ก่อนยื่นมือเข้าลูบบริเวณผ้าพันแผลตรงหน้าผากที่มีเลือดซึม ภาคินมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความระแวงแต่ก็ไม่อาจขยับถอยหนีได้ ไม่นานความเจ็บปวดจากแผลที่หน้าผากพลันวิ่งกระจายไปทั่วร่าง เมื่อโนอาร์กดนิ้วตรงตำแหน่งเดียวกับที่มีเลือดซึม ส่งผลให้วงสีแดงบนผ้าพันแผลขยายตัวกว้างขึ้น พร้อมกับอาการเกร็งตัวกัดฟันของคนไข้ที่พยายามทนกับความเจ็บปวดโดยไม่ส่งเสียงร้องออกมา

    อาการต่อต้านผสานกับการจ้องตากลับอย่างไม่เกรงกลัวของภาคิน ราวกับต้องการกระตุ้นอารมณ์สัตว์ร้ายในตัวโนอาร์ ส่งผลให้น้ำหนักมือที่กดแผลเพิ่มเป็นเท่าทวี พร้อมกับมืออีกข้างที่ล้วงหยิบมีดสั้นข้างเอวรวดเร็ว ก่อนส่งคมมีดนั้นแทงลึกลงที่ไหล่ข้างที่มีผ้าพันแผลพันอยู่

    “อ๊ากกกก-!!!! อื้อออ!!!!!!”

    สุดท้ายภาคินก็พ่ายแพ้ให้กับโนอาร์ เมื่อคมมีดฝังลึกซ้ำตำแหน่งเดียวกับที่ถูกกรงเล็บของปีศาจ แต่เพียงแค่นี้ยังไม่สาสมกับคนที่บังอาจทำร้ายเอทอส ผู้ลงทัณฑ์ใช้ก้านของช่อดอกไม้อุดปากเหยื่อไม่ให้ส่งเสียงเหมือนกับที่อีกฝ่ายท้าทายเขาในทีแรก พร้อมกับออกแรงบิดมีดคว้านเนื้อตรงหัวไหล่เหยื่อให้เลือดไหลทะลักจากปากแผลที่ฉีกกว้าง ย้อมเศษผ้าสีขาวและชุดผู้ป่วยให้เป็นสีแดง ก่อนจะถูกฟูกเตียงซึมซับค่อยๆ แปรเปลี่ยนผ้าปูสีขาวบริสุทธิ์เป็นสีเดียวกับนัยน์ตาปีศาจที่คิดถึง

    ภาคินร้องดิ้นกับผืนเตียงเหนอะหนะจากเลือดด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น เมื่อเขาตอนนี้ไม่มีกำลังมากพอจะผลักอีกฝ่ายออกไป คมมีดกรีดลึกลากขึ้นจนชนกับกระดูกไหปลาร้า แต่แทนที่ผู้กระทำจะหยุดกลับเฉือนมีดขึ้นลงราวกับต้องการตัดกระดูกที่ขวางทิ้ง ความเจ็บปวดรวดร้าวจากคมเหล็กที่ขูดผิวเนื้อกระดูก ส่งผลให้หยาดน้ำตาลูกผู้ชายค่อยๆ ไหลซึมผ่านหางตาอย่างไม่อาจคุมได้
    ปฏิกิริยาทรมานของเหยื่อสร้างความพอใจให้กับโนอาร์ ก่อนเจ้าตัวจะผละออกไปพร้อมกระชากช่อดอกไม้ที่อุดปากอีกฝ่ายออก

    “ทำอะไรเอทอส เอทอสอยู่ไหน”
    “จะ.. จะถามหามันทำไม แฮ่กๆ.. มันหลอกใช้นายไม่รู้เหรอ!!”
    “ปึก!!”
    “อ๊ากกกกก!!! อึก!!”

    เมื่อคำตอบไม่เข้าหู โนอาร์เลือกสั่งสอนโดยการใช้กำปั้นทุบอีกฝ่าย ดูคล้ายกับบทลงโทษเล็กๆ ถ้าจุดที่กำปั้นกระแทกนั้นไม่ใช่ด้ามมีดที่ปักคาอยู่ตรงไหล่ แรงจากการทุบเต็มกำลังส่งคมมีดให้แทงลึกมากกว่าเก่า ทำให้คนถูกทำร้ายดิ้นพล่านบนเตียงพลางส่งเสียงร้องทรมาน จนผ่านไปสักพักหนึ่งคนเจ็บถึงพยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวด และเริ่มพูดคุยกับคนของปีศาจอีกครั้ง

    “ตาสว่างสักทีโนอาร์... ไอ้ปีศาจนั่นมันยืมมือนายฆ่าคนเพื่อเอาวิญญาณไปให้มัน พอนายหมดประโยชน์เมื่อไร.. ปีศาจเวรนั่นมันไม่ปล่อยนายไว้หรอก”
    “...”
    “มันเป่าหูอะไร นายถึงได้เชื่อฟังมันขนาดนี้”
    “โง่”

    คำสั้นๆ จากปากโนอาร์ถึงกับทำให้คนพยายามอธิบายชะงักนิ่ง คนเลือดเย็นไล่ปลายนิ้วไปตามแขนของคนป่วย ก่อนจะจับข้อมืออีกฝ่ายขึ้นมา สัญชาติญาณร้องเตือนให้คนเจ็บกำมือแน่น แต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อนิ้วมือถูกคนลงทัณฑ์ง้างออกมาได้สามนิ้ว หัวใจคนรับโทษเต้นระส่ำเมื่อเห็นคนของปีศาจใช้สายตาเย็นเฉียบมองนิ้วมือของตน

    “หนึ่ง เรื่องฆ่าคน ฆ่าก่อนที่จะได้รู้จักเอทอสมานานแล้ว”
     “กร๊อบ!”
    “อ๊ากก!!!”

    นิ้วชี้ของภาคินถูกจับหักจนผิดรูป พร้อมกับเสียงร้องของคนถูกทารุณดังขึ้นอีกครั้ง แต่ผู้กระทำหาได้ใส่ใจเลื่อนขยับเตรียมหักนิ้วถัดไป

    “สอง เอทอสไม่เคยหลอกใช้ใคร แต่ถึงผมถูกหลอกจริง ก็ขอให้รู้ไว้ว่าผมเต็มใจ อย่าได้เข้ามายุ่ง”
    “กร๊อบ!” นิ้วกลางถูกหักจนผิดรูปและปล่อยทิ้งไม่ต่างจากนิ้วชี้
    “อ๊ากก!!!”
    “สาม ผมตั้งใจหาวิญญาณมาให้เอทอสเอง กลับเป็นเอทอสซะอีกที่ห้ามผมฆ่าใคร ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ได้มีลมหายใจอยู่จนถึงตอนนี้”
    “กร๊อบ!”
    “อ๊ากก!!!”

    นิ้วสุดท้ายคือนิ้วนางมีชะตากรรมไม่ต่างจากสองนิ้วแรก โนอาร์ปล่อยมือภาคินทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่สนว่าแรงสะเทือนจะส่งผลต่ออาการบาดเจ็บจากนิ้วและสร้างความเจ็บปวดให้ผู้ถูกกระทำขนาดไหน

    “เลิกเสียเวลา เอทอสอยู่ไหน”

    ความเงียบคือสิ่งที่โนอาร์ได้รับ และแน่นอนความทรมานแสนสาหัสคือสิ่งที่ภาคินได้เป็นของตอบแทน เสียงร้องเจ็บปวดจึงดังลั่นห้องในความคิด แต่ความจริงกลับไม่มีใครได้ยินหรือเข้ามาช่วยเหลือ เนื่องจากเสียงเหล่านั้นถูกปิดทางด้วยก้านของช่อดอกไม้ที่อุดปาก บทลงทัณฑ์ดำเนินต่อไปจวบจนกระทั่งท้องฟ้ามืดมิด พร้อมกับร่างไม่ไหวติงของคนโดนทรมานจนหมดสติ
    สุดท้ายโนอาร์ก็ไม่ได้คำตอบว่าเอทอสอยู่ที่ไหน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าปีศาจไม่ได้ถูกจับตัวไป คนเลือดเย็นใช้สายตาเย็นเฉียบไล่มองสภาพนักล่าปีศาจที่ใบหน้าซีดเผือดจากการเสียเลือด รวมถึงความบอบช้ำหนักหนาหลายแห่งจากน้ำมือของเขา ก่อนเอื้อมมือไปกระชากมีดออกจากไหล่ผู้รับโทษ และใช้ผ้าห่มบนตัวอีกฝ่ายเช็ดคราบเลือดบนใบมีดแล้วจึงเก็บลงซองข้างเอว

    โนอาร์เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยเมื่อหมดธุระ โดยเลือกปล่อยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ในสภาพใกล้ตาย สุดท้ายจะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพยาบาลจะเข้ามาพบเร็วแค่ไหน เขาไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้แม้จะอยากมากเท่าไรก็ตาม หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากเอทอส เขาก็ไม่มีสิทธิ แต่นั่นไม่ได้รวมถึงการที่อีกฝ่ายฆ่าตัวตายเองเหมือนนักการเมืองคนนั้น หรือการปล่อยให้คนในห้องทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายไป เพราะกรณีพวกนี้เขาไม่ได้ฆ่าตามที่สัญญากับปีศาจ แต่เป็นพวกนั้นต่างหากที่อ่อนแอ


    ผ่านไปสักพักใหญ่นางพยาบาลถึงได้เข้ามาเช็กอาการผู้ป่วย ภาพตรงหน้าทำให้เธอถึงกับตกตะลึงและช็อกในเวลาเดียวกัน เมื่อคนไข้นอนหมดสติในสภาพเลือดท่วมตัวหายใจแผ่วเบา นางพยาบาลรีบวิ่งเข้าไปปฐมพยาบาลห้ามเลือดคนไข้พลางกดปุ่มเรียกให้เจ้าหน้าที่มาช่วย สภาพบอบช้ำของคนไข้ทำให้เธอไม่กล้าจินตนาการว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายโดนทารุณด้วยวิธีการใดบ้าง
    ระหว่างทำการช่วยเหลือเธอเหลือบเห็นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ช่อหนึ่งตกอยู่ข้างเตียง ทันทีที่รู้ว่าเป็นดอกอะไรพลันทำให้หัวใจเธอกระตุกวูบ เมื่อดอกไม้นั้นคือดอกเบญจมาศขาว ดอกไม้ที่ใช้ประดับในงานอวมงคลอย่างงานศพ



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 12 ตามหา]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 05-11-2019 20:53:09
(ต่อ)


    แม้ยามนี้แสงอาทิตย์จะเลือนหายไปแต่มนุษย์ก็ยังไม่หยุดตามหาปีศาจผู้เป็นที่รัก รถสีเทาเมทัลลิกวิ่งเข้าผืนป่าคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้วก่อนจอดสนิทที่ตำแหน่งเดิม โนอาร์ลงจากรถพร้อมก้าวเท้าไวๆ หายเข้าไปในป่าด้านหน้า ความมืดห้อมล้อมบดบังจนแทบมองไม่เห็นทางไปต่อ ทว่ากลับไม่ใช่อุปสรรคเมื่อมนุษย์อาศัยความคุ้นชินในเส้นทาง ส่งผลให้ทุกย่างก้าวนั้นมั่นคงและเข้าใกล้จุดหมายขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเงาบ้านไม้กลางป่าก็ปรากฏอยู่ตรงหน้ามนุษย์
 
    ผู้มาเยือนเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างมืดสนิทไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต บรรยากาศอ้างว้างเงียบงันราวกับเสียงหัวเย้ยหยันว่าสิ่งที่ตามหาไม่ได้อยู่ที่นี่ โนอาร์นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ท่ามกลางความมืดมิดโดยไม่คิดจุดไฟตะเกียงสร้างแสงสว่าง เหม่อมองสำรวจภาพเงาเลือนรางของสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน ทุกสิ่งยังคงเดิมแต่ที่หายไปคือเจ้าของ
    แสงจันทร์ลอดผ่านกลีบเมฆส่องแสงตกกระทบบานหน้าต่าง เรียกให้มนุษย์ผู้โดดเดี่ยวหันมอง ดวงดาวมากมายส่องประกายบนท้องฟ้ามืดมิด ความรู้สึกราวกับย้อนกลับไปในคืนนั้น ต่างเพียงไม่มีแสงสว่างจากกองไฟ ไม่มีความอบอุ่นจากปีศาจข้างกาย ไม่มีเสียงทุ้มหนักแน่นคอยปัดเป่าความอ้างว้างในใจ เหลือเพียงความเงียบเหงาและมืดมนที่เป็นเพื่อนแท้คอยอยู่เคียงข้างเสมอตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตมา

    ‘ถ้าไม่ไหว... เจ้าก็หนีหัวซุกหัวซุนมาหลบหลังข้าแล้วกัน’ ถ้อยคำในอดีตพลันหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง
    “ผมหนีมาหาคุณแล้ว แต่คุณไม่อยู่”

    ‘แล้วเจ้า...จะมีแผลเพิ่มอีกไหม’
    “ครั้งนี้ผมไม่มีแผลหรือเจ็บตัวตามที่คุณต้องการแล้วนะ” กล่าวพลางมองสำรวจตามตัวที่ไร้รอยขีดข่วน

    ‘เจ้าพอจะรู้ไหมว่าความรู้สึกไม่ชอบพวกนี้มันหมายความว่าอะไร’
    “ผมรู้ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผมมีให้คุณ คุณรักผมแล้ว หึ... แต่คุณไม่เชื่อหรอก ผมถึงไม่ตอบคุณ”

    เสียงพูดตอบคนเดียวในบ้านไม้กลางป่ามืดสนิท แปรเปลี่ยนบรรยากาศน่ากลัววังเวงให้เหลือแต่เพียงความเศร้าหมองหดหู่ มนุษย์ผู้เลือดเย็นบัดนี้อยู่ในสภาพหมดแรงไร้พลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ค่อยๆ พาร่างอ่อนล้ามาทิ้งไว้บนเตียงไม้เย็นเยียบ ความเย็นจากผืนเตียงแผ่เข้าสู่ภายในจิตใจคล้ายมีน้ำแข็งเข้าปกคลุม ไม่นานโนอาร์ก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรกับเมื่อช่วงกลางวันโดยสิ้นเชิง
    ความเหนื่อยล้าไม่ได้เกิดจากร่างกายแต่เป็นความรู้สึกข้างใน เตียงที่ใช้นอนแม้จะเป็นของปีศาจเหมือนกันกลับให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไม่อบอุ่นอย่างเคย รวมถึงบนใบหน้าเรียบนิ่งที่ไม่มีรอยยิ้มเล็กน้อยประดับอยู่อีกแล้ว แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในสองช่วงเวลานี้ สิ่งนั้นคือโนอาร์อยู่ในบ้านปีศาจเพียงลำพัง



    ‘เจ้าคิดว่าการรักษาแบบมนุษย์มันใช้กับข้าได้อย่างนั้นหรือ’

    ‘ข้าเป็นปีศาจกินวิญญาณ แผลแค่นี้ไม่เท่าไรหรอกถ้าข้าได้กิน’

    ‘ข้าเสร็จธุระเมื่อไร จะกลับมา’

    ‘คุณจะไปไหน’

    ‘ป่าช้า’

    โนอาร์สะดุ้งตื่นหลังจากที่หลับเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท เหลือบมองนาฬิกาพรายน้ำตรงข้อมือบอกเวลาตีหนึ่งกว่า มนุษย์พลันหัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงอีกหนึ่งสถานที่ที่ปีศาจเคยพาไป รีบเดินออกจากบ้านไม้กลางป่าเพื่อกลับไปหารถสีเทาเมทัลลิก ระหว่างทางใช้โทรศัพท์โทรย้ำหาใครบางคนที่ต้องใช้ประโยชน์ ใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าปลายสายจะยอมรับ

    [โนอารรร์... มีอาไรเหรอออ...] เสียงทักทายงัวเงียจากปลายสายเป็นการเริ่มต้นบทสนทนา
    “ไปรอที่ป่าช้าตรงXXX”
    [ป่าช้า?.. นายจะไปทำ-]
    “ติ้ด!”

    ไม่เสียเวลารอให้ปลายสายพูดจบ โนอาร์กดตัดสายก่อนก้าวขึ้นรถสีเทาเมทัลลิก เหยียบคันเร่งออกจากป่ามุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดพบ เหตุที่ต้องติดต่อให้อีกคนไปด้วยหาใช่เพราะเกรงกลัวต่อสิ่งเร้นลับ แต่เป็นเพราะไม่อยากเสียเวลาตามหาปีศาจไปกับภาพมายางี่เง่า หรือหากพบเอทอสที่นั่นจริง ยังสามารถใช้อีกฝ่ายไปเก็บวิญญาณระหว่างที่เขาให้ปีศาจนอนพักได้อีก ดังนั้นการเอาคนที่มีความสามารถด้านนี้ไปด้วยจึงเป็นตัวเลือกที่ดีและคุ้มค่าไม่น้อย



    เมื่อโนอาร์มาถึงบริเวณชายป่า พบคนที่นัดไว้ยืนพิงรถสัปหงกในสภาพชุดนอนลายผีน้อยน่ารักขัดกับเจ้าตัว แสงไฟจากหน้ารถมาใหม่ เรียกให้คนแอบงีบหลับลืมตาตื่นพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย ระหว่างรอใครบางคนลงจากรถและเดินมาหา แต่สิ่งที่คิดกลับผิดคาด แทนที่โนอาร์จะเดินมาหาเขากลับเดินเลยผ่านเข้าไปในป่าอย่างไม่แยแส และก็เป็นเขาเองที่ต้องรีบตามอีกฝ่ายไป

    “สรุปเรามาทำอะไรกันที่นี่เหรอ?”
    “ตามหาเอทอส” คำตอบประหยัดคำพูด ทำให้คนฟังขมวดคิ้วสงสัยก่อนขอให้อีกฝ่ายขยายความเพิ่ม
    “เอทอส? ปีศาจสุดที่รักของนายทำไมเหรอ อธิบายเพิ่มหน่อยสิโนอาร์”
    “เขาหายไป คิดว่าถูกนักล่าปีศาจเล่นงาน แล้วมาหลบอยู่ที่นี่เพราะคืนร่างมนุษย์ไม่ได้”
    “อา... ถ้าจำไม่ผิดคุณเขาเป็นปีศาจประเภทกินวิญญาณสินะ ลำบากหน่อยนะโนอาร์ หลงรักปีศาจไม่พอ ยังรักปีศาจที่ถูกล่าจนเกือบจะสิ้นเผ่าพันธุ์อีก”

    คำพูดของคนข้างตัวทำให้โนอาร์ขมวดคิ้วมุ่น แต่ถึงอย่างไรย่างก้าวเข้าไปในป่าลึกก็ไม่ได้หยุดลง เพียงใช้สายตาสั่งให้อีกคนพูดต่อ และมีหรือพ่อค้าที่กลัวเกรงโนอาร์อย่างจินจะไม่เข้าใจความหมาย

    “นายรู้ใช่ไหมว่าเมื่อก่อนปีศาจถูกไล่ล่าเป็นว่าเล่น”
    “ไม่”

    ถ้อยคำปฏิเสธการเกริ่นนำของโนอาร์ ถึงกับทำให้จินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเริ่มเรียบเรียงเรื่องใหม่ แต่ถึงอย่างนั่นสิ่งที่โนอาร์ตอบก็คือความจริง เขารู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์และยังมีกลุ่มคนคอยควบคุมจัดการ แต่ก็เท่านั้น รายละเอียดประวัติศาสตร์ยิบย่อยที่รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์เขาจะเสียเวลาศึกษาทำไม ทว่าเหมือนคราวนี้โนอาร์คงต้องเปลี่ยนความคิดและเริ่มหาข้อมูลอย่างจริงจัง เมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับปีศาจของเขา

    “อ๊ะ เอาใหม่... เมื่อก่อนนะ พวกนักล่าปีศาจมองปีศาจทุกตนเป็นศัตรู ไม่สนหรอกว่าเป็นปีศาจดีหรือร้าย ถ้าเจอก็ฆ่าหมด”
    “แต่ประเภทปีศาจที่ถูกล่าที่สุดคือพวกกินวิญญาณ เหตุก็เพราะสิ่งที่พวกนั้นกินนั้นแหละ กลุ่มนักล่าปีศาจเชื่อว่าปีศาจพวกนี้ฆ่าคนเพื่อกินวิญญาณเป็นอาหาร ซึ่งนั่นก็จริงสำหรับปีศาจนอกคอกไม่กี่ตนน่ะนะ ส่วนใหญ่ปีศาจแบบคุณเอทอสมักจับวิญญาณเร่ร่อนกินไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่สมัยนั้นใครจะสนล่ะ”
    “เป็นผลให้ปีศาจประเภทนี้ถูกกวาดล้างอย่างหนัก กว่าที่พวกนักล่าปีศาจจะตรัสรู้ว่าไม่ใช่ปีศาจทุกตัวที่เป็นศัตรูกับมนุษย์ ปีศาจกินวิญญาณก็แทบจะสิ้นเผ่าพันธุ์แล้ว”
    “แต่ถึงปัจจุบันปีศาจแบบคุณเอทอสก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบหรอก เพราะพวกนักล่าปีศาจบางกลุ่มก็ยังเห็นปีศาจกินวิญญาณเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ต้องกำจัดทิ้งอยู่ดี ครั้งนี้คุณเอทอสคงโชคไม่ดีไปเจอคนพวกนั้นเข้าแหละ”

    โนอาร์รับฟังเรื่องราวจากจินอย่างตั้งใจและเจ็บใจในเวลาเดียวกัน เขาไม่น่าปล่อยให้นักล่าปีศาจมาป้วนเปี้ยนในชีวิตเอทอสเลย ไม่อย่างนั่นเรื่องพวกนี้คงไม่เกิด หลังจากพบตัวเอทอสและพาปีศาจกลับมาได้ นอกจากต้องเริ่มศึกษาประวัติของพวกนักล่าปีศาจ เขาอาจต้องเริ่มจัดการคนพวกนั้นไม่ให้เข้าถึงตัวเอทอสได้อีก

    ขณะนี้ทั้งจินและโนอาร์เดินเข้ามาในป่าลึกสักพักใหญ่แล้ว แต่กลับยังไม่พบสิ่งที่ตามหา ระหว่างทางมีบ้างที่โนอาร์ถูกภาพลวงหลอกให้หลงเดินตามไป แต่ก็ได้จินคอยเรียกไว้ทุกครั้ง จินรู้สึกเหมือนกำลังเดินวนในป่าอย่างไร้จุดหมาย ช่วงจังหวะที่ขอแวะพักเลยอาศัยโอกาสนั้นถามวิญญาณตนหนึ่ง จะได้รู้เสียทีว่าปีศาจที่โนอาร์ตามหาสรุปแล้วอยู่ที่นี่หรือพวกเขามาเก้อกันแน่

    “นี่พี่สาวหน้าเละ พี่เห็นปีศาจที่ชอบจับพวกเพื่อนๆ พี่กินไหม พวกผมกำลังตามจับอยู่”

    จินเอ่ยถามวิญญาณตนหนึ่งที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ ผีสาวไม่ได้ตอบหรือพูดคำใด เพียงชี้นิ้วไปทางด้านหนึ่งของป่าที่พวกเขายังไม่เคยเดินไป

    “ใจจ้าพี่สาวหน้าเละ เดี๋ยวจะทำบุญให้ แต่ถ้าพี่หลอกผม ผมจับพี่ส่งขายนะ”

    พ่อค้าวิญญาณในสภาพชุดนอนผีน้อย เอ่ยขอบคุณไม่วายแกล้งขู่วิญญาณหญิงสาว ก่อนเริ่มเดินนำทางโนอาร์ไปทางที่เพิ่งทราบเมื่อครู่นี้ เดินฝ่าความมืดและความรกของต้นไม้น้อยใหญ่ที่คอยขีดขวางเส้นทางสักพักหนึ่ง ภาพเงาเบื้องหน้าเริ่มปรากฏเป็นถ้ำลึกขนาดใหญ่ เห็นดังนั้นโนอาร์จึงรีบก้าวนำเข้าไปในความมืดของถ้ำ

     ภายในให้ความรู้สึกชื้นและเย็นกว่าด้านนอกค่อนข้างมาก ไฟฉายติดปืนถูกใช้ส่องสว่างเป็นแสงนำทาง จินได้แต่เดิมตามหลังโนอาร์และใช้มือลูบแขนตัวเองแก้หนาวไปพลางๆ เนื่องจากเขาไม่ได้พกไฟฉายมาด้วย ยิ่งเดินลึกเข้ายิ่งรู้สึกอึดอัดคล้ายกับอากาศหายใจเริ่มเบาบางลง และขณะที่จินกำลังเรียกคนด้านหน้าเพื่อขอพักก่อนนั้นเอง จู่ๆ โนอาร์ก็วิ่งทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
    คนถูกทิ้งรีบมองตามว่าอีกฝ่ายจะไปไหนแล้วถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นดวงตาสีแดงเลือดนกคู่หนึ่งเรืองแสงส่องสว่างท่ามกลางความมืดตรงปลายถ้ำ จินค่อยๆ ก้าวตามไปจนพบว่าบัดนี้ชายผู้แสนเลือดเย็นกำลังตรวจดูบาดแผลสาหัสตามตัวปีศาจที่นั่งพิงผนังถ้ำอย่างเบามือ

    เอทอสในตอนนี้ถือว่าสภาพสะบักสะบอมไม่น้อย ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแทงและรอยฟันจากอาวุธหลากชนิด กรงเล็บสองข้างเสียหายยับเยิน บริเวณส่วนท้องมีแผลใหญ่จากการถูกแทงทะลุหลายแผล สภาพปางตายขนาดนี้พ่อค้าวิญญาณไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าไม่เห็นว่าแผ่นอกกว้างกำลังขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ

    “ไปจับวิญญาณมาให้เอทอส เอาเฉพาะวิญญาณบาป”

    โนอาร์เอ่ยสั่งคนข้างหลังโดยไม่หันมอง ส่วนจินก็ทำได้เพียงแอบยักไหล่เบะปากล้อเลียนคนสั่งที่มัวแต่มองปีศาจด้วยความเป็นห่วง แล้วจึงค่อยออกไปหาวิญญาณตามคำของอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาก็รู้เช่นกันว่าหากปีศาจบาดเจ็บการกินจะทำให้สามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่สภาพปีศาจตอนนี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องใช้วิญญาณกี่สิบดวงถึงจะเพียงพอ

    หลังจินผละออกไป ภายในถ้ำอับชื้นเหลือเพียงปีศาจและมนุษย์ โนอาร์ยังคงเอาแต่มองสลับระหว่างใบหน้าปีศาจและบาดแผลหนักตามตัวร่างยักษ์ เอทอสมองมนุษย์ที่ทำหน้าเครียดคิ้วขมวด อยากจะเอานิ้วจิ้มหว่างคิ้วอีกฝ่ายให้คลายออก แต่ติดตรงความบอบช้ำจากกรงเล็บที่ใช้รองรับเหล่าอาวุธนับครั้งไม่ถ้วนนั้น สาหัสจนแม้เพียงขยับเล็กน้อยก็สร้างความทรมานมหาศาล

    “หาเจ้าของเจอ... แสนรู้..ดีนิ” ปีศาจพยายามเปล่งเสียงเย้าแหย่มนุษย์
    “คุณอย่าเพิ่งพูด มันสะเทือนแผลใช่ไหม รอให้อาการดีกว่านี้ก่อน ผมมีคำถามรอให้คุณพูดตอบเหมือนกัน”

    โนอาร์เอ่ยห้ามเอทอสด้วยนัยน์ตาแฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่คิดปิดบัง ส่งผลให้เอทอสจำต้องเงียบตามที่มนุษย์บอก โนอาร์ถอดสูทสีเทาราคาแพงออกก่อนใช้เป็นผ้าเช็ดคราบเลือดตามตัวปีศาจอย่างเบามือ ทุกการกระทำถูกเฝ้ามองผ่านนัยน์ตาเลือดนกเรืองแสง

    จวบจนกระทั่งเสร็จสิ้น มนุษย์โยนผ้าที่ชุ่มด้วยเลือดปีศาจไปที่มุมหนึ่งของถ้ำไม่ห่างจากที่นั่งอยู่มากนัก แม้การพยายามดูแลเมื่อครู่ไม่อาจช่วยอะไรได้เท่าไร แต่ก็ทำให้ร่างยักษ์รู้สึกสบายตัวขึ้นเล็กน้อย และเป็นเวลาเดียวกับที่จินกลับเข้ามาในถ้ำพร้อมเศษกิ่งไม้มากมายในอ้อมแขน คนเพิ่งมาเห็นแววตาเย็นเยียบของลูกค้าเอาใจยาก ก็รีบพูดแก้ตัวอธิบายก่อนที่ตัวเองจะโดนเล่นงานฟรี

    “ไม่ต้องจ้องแบบนั้นเลยนะ นายไม่ได้บอกก่อนว่ามาที่นี่ต้องจับวิญญาณด้วย ก็ต้องอาศัยของรอบตัวเก็บวิญญาณแบบนี้แหละ แถมใช้เสร็จเอามาทำกองไฟได้อีก คุณเอทอสบาดเจ็บขนาดนี้ไปไหนไม่ได้หรอก คืนนี้ก็คงต้องนอนนี่แหละ มีกองไฟหน่อยจะได้อุ่นๆ ในนี้หนาวจะตาย”

    คำอธิบายยาวเหยียดนั้นเข้าหูโนอาร์เพียงแค่เศษไม้เหล่านั้นมีวิญญาณสถิตอยู่ โนอาร์ขยับถอยห่างเล็กน้อยพลางใช้สายตาสั่งให้พ่อค้าในบทบาทคนรับใช้ป้อนวิญญาณให้ปีศาจ จินวางกองกิ่งไม้แห้งลงข้างตัวเอทอส ก่อนหยิบกิ่งหนึ่งขึ้นมาคลายด้ายสีขาวที่พันออก รีบคว้าดวงไฟวิญญาณที่ลอยออกมาก่อนส่งเข้าปากปีศาจ ทำแบบนี้จนกองไม้ลดลงไปครึ่งหนึ่ง ปีศาจถึงเริ่มขยับกรงเล็บหยิบวิญญาณในกิ่งไม้ขึ้นกินเอง
    โนอาร์มองปีศาจที่เริ่มฟื้นตัวด้วยความพอใจ การที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพบาดเจ็บนานขนาดนี้คงเป็นเพราะไม่สามารถออกล่าวิญญาณได้เอง ไม่เช่นนั้นคงหายและออกจากป่านานแล้ว

    ไม่นานวิญญาณที่จินหามาก็ถูกปีศาจกินจนหมด บาดแผลจากการถูกฟันและแทงตามตัวที่ไม่ค่อยลึกมากค่อยๆ สมานตัว กรงเล็บสองข้างเริ่มขยับเคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ถึงอย่างไรแผลใหญ่ที่ช่องท้องก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น โนอาร์เตรียมหันไปสั่งจินที่แอบหลบมุมขนไม้มาก่อกองไฟให้ไปหาวิญญาณมาบรรณาการปีศาจเพิ่ม แต่ก็ถูกนัยน์ตาเลือดนกห้ามไว้ก่อน ส่งผลให้มนุษย์ผู้เชื่อฟังปีศาจละความตั้งใจและเข้ามานั่งข้างๆ ดูอาการอีกฝ่าย

    “เป็นยังไงบ้าง”
    “ไหนบอกไม่ให้ข้าพูดไง”
    “ตอนนี้คุณอาการดีขึ้นแล้ว พูดได้”
    “หึ สั่งขนาดนี้เป็นแม่ข้า?”
    “ไม่เป็นแม่”
    “...”
    “จะเป็นเมีย”
    “โครม!!”

    สิ้นเสียงคำตอบกลับหน้าตายของโนอาร์ ถึงกับทำให้ปีศาจผู้รับฟังเบิกตากว้างขึ้นระดับหนึ่งด้วยความไม่คาดคิดว่ามนุษย์จะตอบตรงเช่นนี้ พร้อมกับเสียงโครมใหญ่จากมุมหนึ่งของถ้ำที่เรียกให้ทั้งปีศาจและมนุษย์หันมอง พบว่าเป็นจินที่บัดนี้นอนกลิ้งอยู่บนพื้นถ้ำ มีกิ่งไม้ตกกระจายรอบตัว ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบเด้งตัวขึ้นมาเก็บรวบเหล่ากิ่งไม้ พลางรีบเอ่ยแก้ตัวเร็วๆ

    “ไม่มีอะไรๆ ทำไม้ตกเฉยๆ คุยกันต่อเลยไม่ต้องสนใจ เมื่อกี้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เป็นมงเป็นเมียอะไรไม่ได้ยินไม่ต้องห่วง ว่าแต่ในนี้มันแคบเนาะ เสียงก็ก้องด้วย ทำอะไรระวังหน่อยมันจะสะเทือนแผล ขอออกไปก่อกองไฟข้างนอกแล้วกัน เพราะอีกไม่นานแถวนี้คงร้อนน่าดู ถ้าเสร็จแล้วก็ออกมาล่ะ ไปละ! ฝันดิ- เอ.. ไม่ต้องหรอกเนาะ เพราะคงไม่ได้นอน”

    หลังการพูดแก้ตัวรวดเร็วจนแทบฟังไม่ทัน คนคิดไปไกลก็รีบหอบกองไม้วิ่งออกไปทางปากถ้ำ ส่งผลให้ภายในถ้ำเหลือเพียงเอทอสและโนอาร์ กับไฟฉายให้แสงสว่างรางๆ หนึ่งกระบอก ปีศาจมองคนต้นเรื่องด้วยสายตาระอา ส่วนมนุษย์เพียงยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยปากบอกให้ปีศาจหลับพักผ่อนจะได้หายไวๆ
    ดังนั้นภายในถ้ำอับชื้นจึงมีร่างมนุษย์และปีศาจนั่งหลับพิงผนังถ้ำเคียงข้างกัน โดยที่มนุษย์เอนหัวไปซบไหล่หนาของปีศาจด้านข้าง

    “เมื้อกี้ผมพูดจริง”
    “จะให้ข้าพัก ก็อย่าชวนคุย”



บท12 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 12 ตามหา)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 06-11-2019 20:11:14
หายไวๆนะ เอาใจช่วย ทั้งคู่ ติดตาม รอ และขอบคุณผู้แต่งมากๆ จ้า เป็นกำลังใจ ให้เสมอ รักเรื่องนี้ มาก รอ.. จร้า^^
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 12 ตามหา)
เริ่มหัวข้อโดย: tamm8527 ที่ 07-11-2019 23:30:14
 :impress2: :impress2: :impress2: อ่านแล้วรู้สึกชอบมากค่ะ แบบว่าไม่ค่อยเห็นพล็อตแบบนี้ จิตขนาดนี้ อิอิ จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 12 ตามหา)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-11-2019 20:47:12
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบอ่ะ เป็นมงเป็นเมียไม่ได้ยินอะไรทั้งน้านนน
นายเอกนี่สุดยอดไปเลย ขอบอก
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 12 ตามหา)
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 10-11-2019 17:25:45
นี่แหละที่ตามหา อยากอ่านอะไรดาร์กๆ เกี่ยวกับความตายมากๆ เรื่องนี้คือโดนใจมาก(ถึงจะโหดจนขั้นจิตกว่าที่คิดก็เถอะ) เลิ้ฟมาก
ส่วนตัวเราว่าเลือกตัวละครได้ดีเลยนะ เพราะถ้าตัวเอกจิตขนาดนี้จะให้คู่กับคนธรรมดา คือเป็นไม่ได้ได้เลยที่จะจบสวย ชอบการเอาเรื่องปีศาจมาผสมด้วย การเล่าเรื่องพื้นหลังให้ความรู้สึกเหมือนในหนังแนวๆนี้ของฝรั่งแต่ก็ยังมีความไทยอยู่ๆหน่อย เลยชอบที่ไม่ได้เจาะจงว่าเรื่องมันอยู่ในพื้นทีไหน ชอบตรงนี้มาก ส่วนเรื่องฉากสู้ยอมรับตรงๆว่างงนิดหน่อย อาจจะเพราะเรานึกภาพตรงนี้ไม่ค่อยออก แต่ไม่ถึงขั้นไม่เข้าใจเลย
อีกอย่างที่ชอบคือความค่อยเป็นค่อยไปแต่พูดตรงของทั้งคู่ เลยเป็นความค่อยเป็นค่อยไปที่คืบหน้าเร็วมาก และชอบความตลกเบาๆที่ทำให้ยิ้มมุมปากได้ โดยเฉพาะอีมุกไม่เป็นแม่จะเป็นเมียของคุณโนอาร์ มาโดยที่ไม่คาดฝันว่าจะมาในสถานการณ์แบบนี้และมีจินเป็นพยาน

สรุปก็คือเราชอบเรื่องนี้มากๆ เลยอยากเป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนนะคะ  :katai2-1:  อาจจะเขียนยาวไปนิส แต่อยากบอกจริงๆนะ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 13 ปกป้อง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 18-11-2019 09:14:10

    ท่ามกลางความมืดและเย็นชื้นภายในถ้ำหินลึก มีดวงตาสีเลือดนกเรืองแสงคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมนุษย์ที่หลับใหลไม่ได้สติ แม้ข้างในนี้ไม่จะสามารถมองเห็นภายนอกทำให้ไม่ทราบถึงเวลา แต่เจ้าของนัยน์ตาสีแดงรู้ว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์จะขึ้นจากเส้นขอบฟ้า เพื่อสาดแสงอบอุ่นปัดเป่าความมืดมิดออกไปจากโลก และนั่นคือเวลาที่เขาต้องออกจากที่นี่เพื่อกลับไปกับมนุษย์ตรงหน้า แต่ติดปัญหาเล็กน้อย
    แม้อาการบาดเจ็บจะทุเลาลงแต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นปกติ ในตอนนี้เขายังไม่มีกำลังพอที่จะสามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ และสิ่งที่ทำให้พลังฟื้นคืนเร็วที่สุดเพื่อให้เพียงพอในการคงรูปลักษณ์มนุษย์เป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องกินเพิ่ม ดังนั้นปีศาจจึงค่อยๆ จับมนุษย์ที่นอนพิงไหล่เขาอยู่ให้หลับพิงผนังดีๆ แล้วจึงลุกออกไปอย่างแผ่วเบาราวกับเกรงว่าจะทำให้มนุษย์ตื่น

    “หมับ!”
    “คุณจะไปไหน”

    ร่างสูงใหญ่ของปีศาจชะงัก เมื่อข้อมือถูกมนุษย์คว้าจับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงถามและนัยน์ตาสีรัตติกาลไร้ซึ่งความง่วงงุนกำลังจ้องมองมา

    “นอนไป ตอนนี้ยังไม่เช้า ข้าจะออกไปกินเพิ่ม”
    “ไม่คิดว่าเวลาบาดเจ็บคุณจะหิวขนาดนี้ ตอนอยู่บ้านกลางป่าทำไมคุณไม่บอกผม ผมจะได้หามาให้มากกว่านั้น” มนุษย์เอ่ยพร้อมคลายมือที่จับปีศาจออก ก่อนยืดแขนบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
    “ข้าไม่ได้กินเพราะหิว”

    เอทอสตอบกลับพลางจ้องมนุษย์นิ่ง ที่นี่ไม่เหมือนบ้านกลางป่า ไม่มีที่พักคอยกันลมหนาวให้ความอบอุ่น ไม่มีลำธารสำหรับดื่มหรือล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น มีแต่เพียงผืนป่ารกชัฏและวิญญาณเร่ร่อนมากมาย แม้โนอาร์จะไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากให้มนุษย์อยู่ในสถานที่แบบนี้นานนัก เพราะทั้งไม่สะดวกสบาย และไม่ปลอดภัยหากปล่อยมนุษย์ที่มีกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นขนาดนี้อยู่ที่นี่นานๆ เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาแล้ว และเขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้นซ้ำอีก แม้ท้ายที่สุดอีกฝ่ายจะปกป้องตัวเองได้ก็ตาม

    “แล้วเพราะอะไร?” โนอาร์ถามพลางเลิกคิ้วขึ้น
    “ถ้าไม่นอนก็ออกไปรอหน้าถ้ำซะ ข้ากินเสร็จเมื่อไรจะได้กลับ”

    ปีศาจเลือกสั่งแทนการตอบคำถาม ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินหายไป ปล่อยให้มนุษย์ที่ยังสับสนเล็กน้อยอยู่ในถ้ำเพียงลำพัง โนอาร์มองตามแผ่นหลังกว้างและร่องรอยบาดแผลที่ยังไม่สมานดีของปีศาจจนลับสายตา แล้วจึงค่อยลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อสูทที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังตรงมุมหนึ่งของถ้ำ และค่อยออกไปรอหน้าปากทางตามคำของเอทอส


    เมื่อมาถึงบริเวณหน้าถ้ำ ภาพเบื้องหน้าคือผืนป่ามืดมิดเงียบสงัดเนื่องจากยังไม่ถึงช่วงเวลารุ่งสาง พบจินนอนหลับสนิทหนุนแขนขดตัวเพราะอากาศเย็น ห่างไปไม่มากนักมีกองไฟใกล้มอดคอยให้ความสว่างและอบอุ่น โนอาร์เดินมานั่งข้างกองไฟก่อนยื่นมือไปอังคลายหนาว ไม่คิดปลุกหรือสนใจเจ้าของกองไฟราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงธาตุอากาศ

    บรรยากาศโดยรอบนอกเขตที่แสงจากกองไฟส่องถึงนั้นแสนเงียบงันและวังเวง มีเพียงเสียงลั่นเบาๆ ของฟืนไม้ที่แตกหักเพราะความร้อน และเสียงแว่วเรียกหาไกลๆ ในเงามืดของผืนป่าด้านหน้าราวกับต้องการล่อลวงให้ใครก็ตามที่ได้ยินออกตามหาต้นตอ เรื่องแปลกประหลาดไม่ชอบมาพากลเหล่านี้อาจทำให้ใครหลายคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันขนลุกซู่ และอาจยิ่งขวัญผวามากขึ้นเมื่อนึกได้ว่าป่าที่ล้อมรอบกายอยู่ตอนนี้หาใช่ป่าธรรมดาทั่วไป แต่เป็นป่าช้าฝังศพ
    ทว่าช่างน่าเศร้าสำหรับเหล่าสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อผู้ที่กำลังเผชิญเหตุการณ์ชวนหลอนในขณะนี้หาใช่คนปกติสามัญ ดังนั้นความผิดแปลกรอบกายจึงไม่แม้แต่เรียกความสนใจจากโนอาร์ซึ่งกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองได้เลย กลับเป็นจินเสียอีกที่ต้องตื่นจากฝันหวานเพราะเสียงอื้ออึงรบกวนพวกนั้น คนเพิ่งตื่นแทบหายจากการสะลึมสะลือทันที เมื่อเห็นเหล่าวิญญาณจำนวนมากรายล้อมอยู่นอกระยะที่แสงจากกองไฟส่องถึง

    การต้องมานอนกลางป่าที่เต็มไปด้วยวิญญาณเช่นนี้ แน่นอนเพื่อให้สามารถพักผ่อนได้อย่างปลอดภัยจำต้องอาศัยเครื่องมือคุ้มกัน ซึ่งในที่นี้คือแสงจากกองไฟที่พ่อค้าเสริมบางอย่างลงไปด้วย ทำให้นอกเหนือจากการทำหน้าที่คอยให้แสงสว่างและความอบอุ่น ยังทำหน้าที่กางเขตแดนป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามา

    “หาว~ อื้อฮือ มาทำอะไรกันเยอะแยะเนี่ย...”
    “อยากได้โนอาร์เหรอ ไม่ได้ๆ ผู้ชายเนื้อหอมคนนี้เป็นของคุณเอทอสนะ อยากโดนจับกินหมดป่าหรือไง”

     จินเอ่ยพูดคุยกับเหล่าวิญญาณอาฆาตมากมายด้วยท่าทีสบายๆ พลางอ้าปากหาวบิดขี้เกียจ ก่อนตอบกลับเหล่าวิญญาณที่จ้องจะเอาโนอาร์ไปเป็นตัวตายตัวแทน ราวกับเป็นผู้จัดการคอยกันเหล่าแฟนคลับออกจากนักร้องนักแสดงที่มักเห็นบ่อยๆ ตามโทรทัศน์ ต่างกันเล็กน้อยที่ผู้รับบทนักแสดงไม่ได้ดึงดูดแฟนคลับด้วยเสน่ห์หรือความสามารถ แต่เป็นความชั่วร้ายที่แผ่ออกมา และเหล่าแฟนคลับที่หมายเอาชีวิตไม่ใช่ต้องการขอถ่ายรูปจับมือ

    “คุณเอทอสยังไม่ตื่นเหรอโนอาร์” จินหันไปชวนโนอาร์คุย เมื่อเห็นว่าป่วยการที่จะเจรจาให้วิญญาณแยกย้ายไป
    “ออกไปหาวิญญาณเพิ่ม”
    “อ๋อ มิน่าล่ะ พวกนี้ถึงกล้า” คนมองเห็นวิญญาณเอ่ยพลางกวาดสายตามองรอบตัว
    “บอกข้อมูลนักล่าปีศาจทั้งหมดที่รู้มา”

    ประโยคต่อบทสนทนาของโนอาร์ไม่ได้เข้ากับหัวข้อก่อนหน้าแม้แต่น้อย ทว่านี่คือสิ่งที่คนเลือดเย็นกำลังคิดอยู่ตั้งแต่เดินออกจากถ้ำจนถึงตอนนี้ สิ่งที่พวกนักล่าปีศาจทำไม่ใช่แค่การล้ำเส้นที่เขาขีดไว้ แต่เป็นการบังอาจแตะต้องกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเขา ดังนั้นข้อตกลงที่ปล่อยให้เอทอสจัดการเองจึงถือเป็นโมฆะ และเมื่อใดที่ปีศาจหายดี เขาจะเริ่มออกล่าทุกผู้คนที่เกี่ยวข้อง จะได้รู้ว่าปีศาจของเขารู้สึกอย่างไรที่ต้องถูกทำร้ายทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

    “อา... นี่คงไม่ได้คิดจะกำจัดนักล่าปีศาจทั้งหมดหรอกใช่ไหม”

    จินถามกลับอย่างกลัวใจอีกฝ่ายหลังฟังคำถามเมื่อครู่ แต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบและนัยน์ตาเรียบนิ่งกดดัน แม้เขารู้ดีว่าโนอาร์แข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกล้มไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ส่งผลให้พ่อค้าจำต้องเอ่ยอธิบายและพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้เปลี่ยนใจ

    “โนอาร์นี่ไม่เหมือนกับท่านนิรัชนะ ที่พอจัดการตัวหัวหน้าได้ทุกอย่างก็จบ”
    “ถึงนักล่าปีศาจจะคล้ายนักฆ่าที่แฝงตัวในสังคม ไม่รู้ว่าเป็นใครและมีจำนวนเท่าไร แต่สิ่งที่ต่างคือพวกนี้สื่อสารกันเสมอ ถ้าเห็นว่าอะไรเป็นภัยจะร่วมกันจัดการ ไม่เหมือนนักฆ่าที่หมดผลประโยชน์เมื่อไรก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกัน สิ่งที่นายกำลังคิดไม่ต่างจากเอาตัวเองไปยืนในที่สว่าง และรอให้พวกนั้นเล่นงานจากมุมมืดเลยนะ”
    “แล้ว?”
    “...นายห่วงชีวิตตัวเองบ้างไหมเนี่ย ถ้าตายขึ้นมาทำไง”
    “ก็แค่ตาย ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

    คำตอบกลับราวกับไม่แคร์ถึงกับทำให้จินที่พยายามอธิบายชะงัก แววตาเรียบนิ่งไร้ความหวาดหวั่นและดูหยิ่งทะนงบอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ แต่ถึงอย่างนั้นจินก็ยังไม่ยอมแพ้ใช้ไพ่ตายเข้าสู้ เพราะลึกๆ ในใจแล้วเขาไม่อยากสูญเสียคนที่อาจเรียกได้ว่าเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวไป แม้อีกฝ่ายจะดูใจร้าย โรคจิต เลือดเย็น และไม่ได้เห็นเขาเป็นเพื่อนก็ตาม

    
    “ถ้านายเป็นอะไรไป แล้วคุณเอทอสล่ะ”
    “มั่นใจว่าถึงตอนนั้นอย่างน้อยศัตรูของเอทอสก็หายไปมากพอสมควร และต่อจากนี้เขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขมากขึ้น ไร้พวกมารผจญคอยรังควาน”
    “เลือดเย็นจังนะโนอาร์... แม้แต่คุณเอทอสนายยังใจร้ายกับคุณเขาขนาดนี้”
     “ใจร้าย? ไร้สาระ”

    ไม่ว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชั่วช้าเลือดเย็นมากเท่าไรโนอาร์ไม่เคยคิดสน เพราะนั้นคือเรื่องจริง แต่การจะหาว่าเขาใจร้ายกับเอทอสนั้นช่างไร้สาระ เขารักและเป็นห่วงปีศาจยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเขาจะสรรหามาให้ ไม่ว่าใครเข้ามาทำร้ายปีศาจเขาจะจัดการให้หมดสิ้น แม้อาจต้องแลกด้วยชีวิตก็พร้อมสละได้ไม่คิดเสียดาย แล้วไฉนเขาถึงถูกมองว่าใจร้ายกับเอทอส

    “นายน่ะใจร้ายโนอาร์ เข้าไปอยู่ในชีวิต ทำให้คุณเขาผูกพัน พอคิดจะไปก็ไป ไม่คิดเหรอว่าคุณเอทอสจะรู้สึกยังไงถ้านายต้องตายเพราะเขา”
    “...”
    “นายไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะโนอาร์ นายมีคุณเอทอส นึกถึงความรู้สึกคุณเขาบ้าง”

    ดูเหมือนไพ่ตายของจินจะได้ผล เมื่อนัยน์ตารัตติกาลของคนใจร้ายมีความวูบไหวเล็กน้อยตอนฟังอีกมุมหนึ่งที่เจ้าตัวไม่เคยนึกถึง แต่ถึงอย่างนั้นภายในดวงตาสีดำสนิทก็ยังแฝงความดื้อรั้นและเย่อหยิ่งในส่วนลึก ทว่าเพียงเท่านี้ผู้หวังดีอย่างจินก็พึงพอใจแล้วที่สามารถทำให้โนอาร์ผู้แสนเด็ดขาดเกิดความลังเลใจขึ้นมา
    ส่วนขั้นต่อไปเขาอาจต้องหาโอกาสบอกเรื่องนี้กับคุณเอทอส เพราะผู้ที่สามารถกำราบและคุมโนอาร์ได้ นอกจากปีศาจเขาก็นึกไม่ออกแล้ว

    เมื่อการเกลี่ยกล่อมดูเหมือนจะเป็นไปในทางดี พ่อค้าจึงกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งรอบกายอีกครั้ง จึงเพิ่งรู้ตัวว่าขณะนี้เป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว แสงอาทิตย์แห่งวันใหม่ลอดผ่านช่องว่างของต้นไม้ พร้อมกับกลุ่มวิญญาณอาฆาตมากมายที่เลือนหายไป ซึ่งสาเหตุไม่ใช่เพราะถูกแสงอรุณขับไล่ แต่เป็นชายผิวแทนร่างสูงใหญ่ เจ้าของนัยน์ตาดุสีอำพันที่กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้

    “กลับกันได้แล้ว”
    “คุณเอาเสื้อผ้ามาจากไหน”

    สิ่งที่โนอาร์เลือกถามปีศาจไม่ได้มีความเข้ากับสถานการณ์แม้แต่น้อย นัยน์ตาสีรัตติกาลกวาดมองเสื้อผ้าที่เอทอสใส่ เสื้อเชิ้ตพับแขนถึงข้อศอก ปลดกระดุมสองเม็ดพอให้เห็นแผงอกแกร่ง และกางเกงยีนส์ดำที่เจ้าตัวชอบใส่เวลาไปสวน แม้ชุดจะมีรอยฉีกขาดและดูสกปรกเหมือนเอาไปคลุกฝุ่นมา แต่กลางป่าลึกเช่นนี้ปีศาจกลับสามารถหาเสื้อผ้าสวมใส่ได้นั้นช่างน่าสงสัย

    “ทำไม อยากเห็นข้าเปลือย?”

     เอทอสเอ่ยเย้าแหย่ตามนิสัย แต่อาจลืมไปว่าคนที่กำลังพูดอยู่ด้วยนี้คือโนอาร์ ดังนั้นสิ่งที่ได้รับตอบกลับจึงเป็นการพยักหน้า และสายตาจริงจังจับจ้องราวกับต้องการมองให้ทะลุเสื้อผ้าที่เขาใส่

    “หยุดปากตรงกับใจบ้าง ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร”
    “และข้าเคยแปลงกลับเป็นมนุษย์ต่อหน้าเจ้า พร้อมใส่เสื้อผ้าชุดเดิมก่อนคืนร่างจริงแล้ว เพิ่งมาสงสัยอะไรตอนนี้”

    เอทอสเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเอือมระอา ก่อนหันไปทักทายจินที่ยืนเป็นอากาศธาตุสักเล็กน้อย และจึงเริ่มเดินนำทางออกจากป่า ช่วงจังหวะที่พ่อค้าได้ทักทายพูดคุยกับปีศาจ เขาพยายามจะเอ่ยถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายไม่อยู่ แต่กลับถูกเจ้าของเรื่องรู้ทัน ใช้แววตาเยียบเย็นสั่งไม่เข้าพูดเอ่ยสิ่งใด พร้อมกับเจ้าตัวที่เดินไปประกบปีศาจ ทิ้งพ่อค้าให้เดินตามหลังคนทั้งคู่ ซึ่งเป็นการปิดโอกาสเขาไปโดยปริยาย


    สองมนุษย์หนึ่งปีศาจเดินเรื่อยๆ จนถึงชายป่า พบรถสีขาวและสีเทาเมทัลลิกจอดอยู่ กล่าวลากันเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายไปขึ้นรถของตน เอทอสสังเกตเห็นจินที่มักพูดเก่งกลับนิ่งเงียบ และลอบมองเขาอยู่บ่อยครั้งคล้ายมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ปีศาจจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังก้าวขึ้นรถ

    “จิน มีอะไรก็พูดมา”

    เสียงทุ้มใหญ่เรียกให้พ่อค้าที่กำลังขึ้นรถหันมอง แต่เบื้องหลังร่างสูงใหญ่กลับถูกนัยน์ตาคนเลือดเย็นมองข่มไว้ ส่งผลให้คนที่ถูกเรียกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากพูด อีกใจหนึ่งก็กลัว และดูเหมือนปีศาจจะเข้าใจจึงได้เอ่ยช่วยเขา

    “โนอาร์ ขึ้นรถไปก่อน” เอทอสพูดกับคนด้านหลังโดยไม่ได้หันกลับไป
    “ไม่”
    “งั้นก็เลิกแผ่จิตสังหารกดดันสักที”

     สุดท้ายปีศาจก็ต้องหันกลับไปคุยกับมนุษย์ด้านหลัง โนอาร์มองตอบปีศาจนิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะลดจิตสังหารลงหรือกลับขึ้นรถไป ผิดวิสัยปกติที่อีกฝ่ายจะฟังเขาเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็มีวิธีจัดการ

    “มาหาข้า โนอาร์” เอทอสพูดขึ้นก่อนหันกลับไปมองจิน ส่งผลให้โนอาร์ต้องเดินมาหยุดอยู่ข้างตัวปีศาจ
    “มายืนตรงหน้าข้า”

    คนโดนสั่งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ยังทำตามคำพูดของปีศาจ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พลางเงยหน้าขึ้นมองว่าเอทอสคิดจะทำอะไร

    “หมับ!”

    วงแขนกว้างของร่างสูงใหญ่โอบล้อมร่างกายคนตรงหน้า ก่อนดึงเข้าหาตัวรวดเร็วจนคนไม่ทันตั้งตัวหน้ากระแทกแผงอกแกร่งเต็มแรง ผู้ไม่เคยถูกสัมผัสใกล้ชิดเผลอขืนตัวตามสัญชาตญาณเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็เลิกเกร็งตัวและเริ่มยกแขนกอดตอบ พลางใช้หน้าซุกซบบริเวณแผงอกกว้างของปีศาจที่โผล่พ้นกระดุมเสื้อ เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดใคร

    “มีอะไรก็ว่ามา จิน”

    เสียงทุ้มใหญ่ของเอทอส ทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นได้สติว่าเสียรู้ให้ปีศาจเสียแล้ว โนอาร์เกร็งตัวพยายามดันตัวออกจากอีกฝ่าย แต่กลับถูกแขนแกร่งโอบรัดแน่นขึ้น ส่งผลให้มนุษย์เริ่มดิ้นหนีและออกแรงผลักเพื่อสู้กลับปีศาจ

    “อึก.. อย่าดิ้นโนอาร์”

    คำพูดของเอทอสผสานกับสัมผัสชื้นคล้ายเลือดซึมจากเสื้อบริเวณรอนกล้ามเนื้อแน่นตรงช่วงท้องปีศาจ ทำให้ทุกการกระทำของโนอาร์หยุดชะงัก นิ่งเป็นหุ่นปั้นไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าอาจทำให้ปีศาจบาดเจ็บเพิ่ม

    ฝ่ายปีศาจเมื่อเห็นว่ามนุษย์ในอ้อมแขนไม่มีทีท่าว่าจะดิ้นหนีอีก จึงลูบหัวอีกฝ่ายเป็นรางวัล สำหรับเอทอสที่อยู่กับโนอาร์จนเริ่มเข้าใจความคิดของกันละกัน เขามีวิธีมากมายในการจัดการให้มนุษย์อยู่ในการควบคุม ซึ่งการใช้อาการบาดเจ็บของตนเองเป็นตัวประกันก็ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดการณ์ไว้
    เอทอสลูบหัวโนอาร์สักพักจนแน่ใจว่ามนุษย์สงบลงแล้ว จึงส่งสัญญาณให้จินที่ยืนเป็นตัวประกอบอยู่นานเริ่มพูด พ่อค้าสูดหายใจเข้าลึกก่อนเริ่มบอกสิ่งที่เขาอึดอัดอยากพูดมานาน

    “โนอาร์วางแผนจะไปจัดการพวกนักล่าปีศาจทั้งหมด หลังจากคุณหายดีครับคุณเอทอส”
    “คุณน่าจะรู้ดีว่าพวกนั้นอันตรายแค่ไหน แต่โนอาร์ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ ผมฝากคุณช่วยจัดการหน่อยนะครับ และก็ช่วยกันอย่าให้หมอนี่มาเล่นงานผมด้วย การที่ผมบอกคุณเรื่องนี้ผมเสี่ยงตายมากเลยนะ ประกันชีวิตให้ผมหน่อย”
    “อืม” เอทอสขานรับในลำคอพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจ
    “เฮ้อ... สบายใจละ คุณอย่าเพิ่งปล่อยโนอาร์นะ ให้ผมขับรถออกไปสักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยปล่อย ฝีมือตามสืบของหมอนี่น่ากลัวมาก”

    หลังได้พูดกล่าวอย่างที่ตั้งใจ จินจึงกลับมาเริงร่าตามเดิม รีบขึ้นรถสีขาวเตรียมขับหนี ก่อนไปไม่ลืมกล่าวลาและอวยพรเล็กน้อย เผื่อคนที่โดนปีศาจกอดอยู่จะได้ปรานีเขาบ้าง

    “ไปละ รักกันนานๆ นะทั้งสองคน บาย~”


    รถสีขาวของพ่อค้าขับหายไปจากสายตาสักพักหนึ่งปีศาจจึงเริ่มคลายกอดมนุษย์ แต่แทนที่โนอาร์จะผละออกกลับใช้สองมือปลดกระดุมเสื้อของร่างสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เอทอสอึ้งกับการกระทำของมนุษย์จนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ

    “..จะทำอะไร” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยให้โนอาร์ปลดกระดุมจนถึงเม็ดสุดท้าย

    ทันทีที่แผงกระดุมถูกปลดหมดสิ้น สองมือขาวแหวกเสื้อคนตรงหน้าออก เผยให้เห็นผิวสีแทนดูดีบนแผงอกกว้างแข็งแรงและรอนกล้ามท้องแน่น เป็นภาพเร่าร้อนชวนให้ยกมือลูบสัมผัส แต่ตอนนี้สิ่งที่มนุษย์ให้ความสนใจคือบาดแผลตรงช่วงท้องของปีศาจ แม้สภาพอาการจะดีกว่าเมื่อคืนค่อนข้างมาก แต่ร่องรอยบาดแผลก็ยังไม่ได้สมานตัวดีนัก ส่งผลให้การขยับเคลื่อนไหวฉับพลัน อาจทำให้ปากแผลกลับมาเปิดอีกครั้งเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้

    “คุณยังไม่หาย” โนอาร์คิ้วขมวดเงยหน้ามองอีกฝ่าย
    “ข้ากินแล้วจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ไม่ใช่หายเลย” เอทอสเอ่ยตอบพลางติดกระดุมเสื้อ เมื่อเห็นว่ามนุษย์จ้องจนพอใจ
    “คุณควรอยู่ที่นี่อีกสักวัน”
    “ข้ากินพอแล้ว เหลือแค่ปล่อยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง”
    “ให้ผมช่วยหา-”
    “ไม่ ข้าไม่อนุญาต รวมถึงเรื่องที่เจ้าจะจัดการกับพวกนักล่าปีศาจ”

    เอทอสเอ่ยดักทางโนอาร์ เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังจะพูดคงหนีไม่พ้นอาสาหาวิญญาณมาให้ จึงอาศัยโอกาสนี้ห้ามเรื่องที่อีกฝ่ายจะไปยุ่งกับพวกนักล่าปีศาจด้วยทีเดียว ซึ่งแน่นอนปฏิกิริยาตอบกลับของโนอาร์คือคิ้วที่ขมวดมากกว่าเดิมและแววตาเยียบเย็นแฝงด้วยความไม่พอใจ

    “ทำไมคุณต้องปกป้องพวกนั้น ทั้งที่คุณถูกทำร้าย”
    “ข้าปกป้องเจ้า โนอาร์”
    “ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดต้องให้ใครมาดูแล”

    โนอาร์เอ่ยตอบกลับตามความคิดของตัวเอง ไม่ทันระวังว่าคำพูดเมื่อครู่จะกระทบใครบางคน ดวงตาสีอำพันที่กำลังสบกับนัยน์ตารัตติกาลเกิดความวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาไปมองทางอื่นไม่สบตากับมนุษย์ตรงหน้าอีก
    เจ้าของคำพูดเสียดแทงเพิ่งรู้ตัวถึงกับชะงัก ภายในใจพลันกระตุกวูบกับความพลาดพลั้งของตัวเอง พยายามเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิด

    “...ผมไม่ได้หมายความอย่างที่คุณคิดนะครับ”
    “อืม”

    ถึงจะได้รับคำตอบกลับไม่ถือสาจากปีศาจ แต่มนุษย์กลับไม่รู้สึกสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย บรรยากาศเงียบชวนอึดอัดเมื่อต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ และเป็นเอทอสที่ตัดสินใจบอกว่าควรกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์เสียที ก่อนเดินนำขึ้นรถสีเทาเมทัลลิก ส่งผลให้มนุษย์ที่ภายนอกดูนิ่งเฉยแต่ภายในปั่นป่วนกระวนกระวาย จำต้องขึ้นรถตามและขับออกจากสถานที่แห่งนี้



    ภายในห้องโดยสารของรถสีเทาเมทัลลิกยังคงเงียบสงบเหมือนทุกครั้ง เมื่อผู้โดยสารเป็นหนึ่งมนุษย์และปีศาจ แต่ที่ต่างไปคือความรู้สึกชวนอึดอัดใจ โนอาร์อาศัยช่วงเวลารอไฟแดงทำลายความเงียบในที่นี้ ด้วยการโทรหาศิลาแจ้งข่าวเรื่องพบตัวเจ้าของสวน

   “เจอเอทอสแล้ว ปลอดภัย”
    “...คุณอยากคุยกับศิลาไหมครับ”

    สองประโยคแรกคนพูดตอบกลับปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะหันมาพูดกลับปีศาจข้างตัวด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้อ่อนลง พลางยื่นโทรศัพท์ให้
    เอทอสพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนรับเครื่องมือสื่อสารไป ถามพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องภายในสวนและคนงานสักพักหนึ่ง แล้วจึงวางสายส่งคืนเจ้าของที่ตั้งใจนั่งฟังบทสนทนาระหว่างเขากับศิลาอย่างเปิดเผย

    “นึกว่าสวนข้าโดนเจ้าเผาไปแล้วเสียอีก”

    ปีศาจเอ่ยแซวมนุษย์เรื่องที่อีกฝ่ายเคยโกรธจนจุดไฟเผาบ้าน เพื่อช่วยทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดระหว่างกัน ส่งผลให้รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโนอาร์ นัยน์ตารัตติกาลประกายขึ้นด้วยความดีใจ

    “ถ้าไม่ติดว่าเป็นสวนของคุณ ผมคงเผาไปแล้ว”
    “พวกหัวรุนแรง”

    แม้ฟังดูเหมือนถูกว่ากลายๆ แต่ใบหน้าเจ้าของรถที่เคลื่อนตัวเมื่อสัญญาไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวกลับยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยถามปีศาจข้างกายว่าเริ่มหิวหรือยังและอยากกินอะไรเป็นพิเศษ เพราะยามนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว

    “เจ้าทำแล้ว จะถามข้าทำไม” เอทอสตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารตรงเบาะด้านหลังรถ
    “ผมทำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน คงเสียแล้ว ว่าจะเอาไปกินตอนกลางวันกับคุณที่สวน แต่เกิดเรื่องก่อน”
    “ข้างในคืออะไร”
    “สตูเนื้อ”
    “ข้าอยากกินสตูเนื้อ”

    ชื่อเมนูที่เอทอสต้องการสำหรับมื้อเที่ยงนี้ ทำให้หัวใจเยือกเย็นของโนอาร์พลันอบอุ่นขึ้น แม้เหมือนปีศาจจะตอบแบบไม่คิดอะไร แต่นั้นแสดงให้เห็นว่าปีศาจใส่ใจความรู้สึกของเขา อยากให้อาหารมื้อแรกระหว่างเรา เป็นไปอย่างที่เขาเคยตั้งใจไว้

    ด้วยเหตุนี้บรรยากาศชวนอึดอัดก่อนหน้าจึงพังทลายสิ้น ด้วยน้ำมือของทั้งมนุษย์และปีศาจที่ช่วยกันจัดการ ส่งผลให้บรรยากาศภายในรถแม้จะเงียบงันเมื่อไม่มีใครต่อบทสนทนา แต่ก็เต็มไปด้วยความสงบและผ่อนคลายของทั้งสอง



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 13 ปกป้อง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 18-11-2019 09:17:01
(ต่อ)


    จวบจนรถสีเทาเมทัลลิกถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์ โนอาร์เห็นรถตำรวจและเจ้าหน้าที่สองนายกำลังยืนอยู่หน้าบ้าน จึงหยุดจอดและหันไปพูดกับปีศาจเชิงให้รออยู่ในรถสักครู่ แล้วจึงเปิดประตูลงไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพียงลำพัง

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” โนอาร์แสร้งถามกับตำรวจอย่างเป็นมิตร แต่นัยน์ตานิ่งสนิท
 
    เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองสลับระหว่างใบหน้าของคนที่เข้ามาทักทายและรถสีเทาเมทัลลิกด้านหลัง เทียบกับรูปเบาะแสคนร้ายจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล พบว่าทุกอย่างในภาพแทบตรงกับชายผู้นี้ทั้งสิ้น จึงเอ่ยเชิญอีกฝ่ายไปโรงพักตามหน้าที่

    “เมื่อวานนี้มีเหตุผู้ป่วยถูกทำร้ายอาการสาหัส ทางเราสงสัยว่าคุณอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงขออนุญาตเชิญคุณไปโรงพักเพื่อให้ปากคำ”
    “เหมือนจะเป็นการเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ เมื่อวานนี้ผมอยู่กับคนรักทั้งคืน มีพยานยืนยันชัดเจน และตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะไปกับคุณ เพราะต้องดูแลคนรักที่ไม่สบายและรออยู่ในรถ”

    โนอาร์กล่าวปฏิเสธพร้อมแจงเหตุผลพลางเหลือบมองไปทางรถสีเทาเมทัลลิกด้านหลัง เรียกให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองตาม แต่ก็ไม่อาจมองเห็นคนรักที่ผู้ต้องสงสัยอ้างได้ เพราะกระจกทั้งคันรถติดฟิล์มดำสนิท เมื่อหันกลับมาอีกทีก็พบว่าผู้ต้องสงสัยกำลังโทรศัพท์หาใครบางคน

    [สวัสดีครับ] เสียงจากปลายสายเอ่ยทักทาย
    “เริ่มเกมลักซ่อน เกมจะจบหรือดำเนินต่อไปขึ้นอยู่กับคุณ”

    คนโทรหาเอ่ยทักทายปลายสายด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนส่งโทรศัพท์ให้หนึ่งในเจ้าหน้าที่เป็นผู้คุยต่อ

    “นี่ครับ พยาน”
    “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าเมื่อวานนี้... ท่าน! ครับๆ ทราบครับ... ครับไม่มีปัญหาครับ..”

    ตำรวจผู้รับโทรศัพท์สอบถามปลายสายตามหน้าที่ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าคู่สนทนาเป็นใคร จึงรีบตอบกลับด้วยความกระฉับกระเฉง ไม่นานก็วางสายก่อนส่งมือถือคืนเจ้าของ

    “ผมคงไม่ต้องไปให้ปากคำแล้วใช่ไหมครับ” โนอาร์เอ่ยถามหลังรับมือถือคืนเรียบร้อย
    “ไม่ต้องแล้วครับ ขออภัยที่รบกวนเวลา”

    เจ้าหน้าที่เอ่ยตอบกลับผู้ต้องสงสัยด้วยความเกรงใจ เพราะชายคนนี้เป็นถึงคนรู้จักของหัวหน้าตนเอง ก่อนจะรีบชวนเพื่อนตำรวจกลับขึ้นรถและขับหายไปเมื่อหมดธุระ

    ผู้ที่โนอาร์โทรหาเมื่อครู่นี้คือนายตำรวจยศใหญ่คนสนิทของอดีตของเล่น เนื่องด้วยเพราะโรงพยาบาลที่นักล่าปีศาจอยู่ บังเอิญอยู่ในเขตพื้นที่ที่นายตำรวจนั่นรับผิดชอบโดยตรง ดังนั้นเขาเลยเลือกไปเยี่ยมอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย และจงใจทิ้งเบาะแสให้ตำรวจสามารถตามสืบจนพบ แต่ก็เท่านั้น
    ทั้งหมดทำเพื่อแสดงให้คนเจ็บหนักในโรงพยาบาลรู้ว่า ไม่ว่าจะสู้กันในโลกสว่างอย่างการใช้กฎหมาย หรือการสู้กันในโลกมืดเช่นการต่อสู้ห้ำหั่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของโลกไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้

     คนเจ้าแผนการมองส่งรถเจ้าหน้าที่จนลับสายตา แล้วจึงเดินไปเลื่อนรั่วบ้านทรงไทยประยุกต์ให้เปิดออก ก่อนเดินกลับขึ้นรถเตรียมขับเข้าบ้าน แน่นอนมนุษย์ถูกปีศาจที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถามไถ่ทันที ซึ่งโนอาร์ขอบ่ายเบี่ยงว่าจะยอมเล่าทุกอย่างหลังทานมื้อกลางวันร่วมกัน

    เมื่อเข้ามาภายในบ้าน ปีศาจพบว่าทุกอย่างยังคงปกติ ข้าวของไม่ได้ถูกรื้อค้นพังเสียหายอย่างที่เขาคิด และดูเหมือนมนุษย์ก็คงไม่รู้เรื่องที่ว่าบ้านหลังนี้ถูกพวกนักล่าปีศาจบุกรุกเช่นกัน ซึ่งนั่นคือเรื่องดี เพราะเขาไม่อยากเตรียมหาบ้านใหม่

    “คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ระหว่างรอผมทำมื้อเที่ยง”

    โนอาร์พูดกับเอทอสพลางมองชุดอีกฝ่ายที่เลอะฝุ่นสกปรกมอมแมม ซึ่งปีศาจไม่ปฏิเสธเพราะรู้สึกเหนียวตัวเช่นกัน จึงเดินแยกไปทางห้องของตนเอง จวบจนเข้ามาในห้องพักจึงได้หันกลับไปถามคนด้านหลังที่เดินตามมา ไม่ยอมไปทำอาหารอย่างที่พูดไว้สักที

    “มีอะไร”
    “ผมลองคิดดู บางทีคุณอาจอาบน้ำลำบาก ผมเลยมาช่วย”

    คำตอบกลับหน้าตายของโนอาร์ มีเจตนาแอบแฝงชัดเจน เอทอสมองมนุษย์นิ่งสักพัก ก่อนที่ใบหน้าคมดุจะปรากฏรอยยิ้มพร้อมแววตาสีอำพันสื่อความนัย ร่างสูงใหญ่เริ่มขยับเข้าใกล้พลางใช้แขนตวัดรัดช่วงเอวมนุษย์เข้าหาตัว
    ฝ่ายคนเริ่มไม่คิดว่าปีศาจจะเล่นด้วยจริง ภายในใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา แต่ถึงอย่างนั้นมือกลับเลื่อนลูบไล้มัดกล้ามเนื้อแข็งแรงเพื่อกระตุ้นอารมณ์อีกฝ่าย พลางเอียงคอหลบให้ปีศาจก้มลงมาคลอเคลียได้โดยง่าย

    “เจ้าอยากช่วยข้า” เสียงกระซิบทุ้มต่ำแหบพร่าพร้อมกับลมหายใจร้อนเป่ารดใบหู
    “อืม...”
    “ดี..” ลมหายใจร้อนวกกลับมาที่ซอกคอขาว รู้สึกถึงปลายจมูกโด่งที่กดลงกับผิวเนื้อเพื่อสูดดมราวกับมนุษย์เป็นดอกไม้หอมหวาน
    “อา.. เอทอส”
    “งั้นก็ไปทำอาหารซะ ข้าจะได้อาบน้ำสักที”
    “ปึง!!”

    เสียงประตูห้องพักปิดอัดหน้า เรียกมนุษย์ที่ลุ่มหลงในสัมผัสได้สติ ถึงเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกดันออกมานอกห้องของเจ้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
    โนอาร์ยืนอึ้งสะพักหนึ่ง ไม่คิดว่าเอทอสจะมาไม้นี้ แต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าคนโดนหลอกกลับปรากฏรอยยิ้มมุมปากมีความสุข ก่อนยอมเดินกลับไปส่วนครัวเพื่อทำมื้อกลางวันตามคำอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบบริเวณที่ถูกปีศาจซุกไซ้เมื่อครู่ไปด้วย เพราะรู้ดีว่าสัมผัสก่อนหน้าเป็นของจริงไม่ได้แสร้งทำเหมือนที่ปีศาจแสดง เนื่องจากช่วงหนึ่งที่มือโนอาร์ลูบผ่านแผงอกแกร่ง เขาสัมผัสถึงจังหวะหัวใจของเอทอสที่เต้นแรงไม่แพ้กัน



    หลังมื้ออาหารแรกระหว่างหนึ่งมนุษย์และปีศาจจบลง ก็ถึงเวลาที่โนอาร์จะต้องเล่าเหตุการณ์หน้าบ้านให้เอทอสฟังตามสัญญา ดังนั้นทั้งคู่จึงย้ายสถานที่มานั่งตรงโซฟาห้องรับแขกเพื่อให้พูดคุยได้สะดวก

    “คุณต้องสัญญาว่าจะไม่โกรธ”

    ถึงแม้จะเพียงไม่นาน แต่มนุษย์ไม่ปรารถนาที่จะรู้สึกอึดอัดใจเหมือนเหตุการณ์ในป่าเมื่อช่วงเช้าอีก จึงเอ่ยดักปีศาจไว้ก่อน และดูเหมือนปีศาจจะเข้าใจเลยตอบกลับเพื่อทำให้มนุษย์สบายใจขึ้น

    “ข้าไม่รับปาก เลิกถ่วงเวลา เล่าเสียที”

    โนอาร์มองหน้าปีศาจตรงหน้านิ่งงัน ส่วนปีศาจก็ใช้นัยน์ตาสีอำพันมองกลับพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยคล้ายต้องการเร่งและยั่วอารมณ์มนุษย์ไปในตัว ซึ่งสุดท้ายผู้พ่ายแพ้ย่อมเป็นโนอาร์ ยอมเริ่มเปิดปากเล่าตามที่อีกฝ่ายต้องการ

    “ตอนผมรู้ว่าคุณหายไป เลยตามหาตัวภาคินเพราะคิดว่าอาจได้คำตอบว่าคุณอยู่ที่ไหน”
    “ผมเจออีกฝ่ายนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล คงเพราะผลจากการสู้กับคุณ”
    “ผมถามว่าคุณอยู่ไหน แต่ภาคินไม่ยอมตอบ ผมจึงต้องบังคับเล็กน้อย”
    “เล็กน้อยของเจ้าคืออะไร ว่ามา”
    “ใช้มีดแทงกับกรีดนิดหน่อย และหักนิ้วสองสามนิ้ว แต่ไม่ถึงตายนะครับ”
    
    หลังเอทอสฟัง แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรนักที่โนอาร์สามารถทำร้ายคนเจ็บคาโรงพยาบาลได้โดยไร้ความรู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้นในส่วนลึกปีศาจก็อดรู้สึกดีไม่ได้ ที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังเชื่อและพยายามทำตามคำพูดเขาว่าจะไม่ฆ่าใคร แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยในการทำให้มนุษย์ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น เริ่มมีกลิ่นอายความบริสุทธิ์เป็นส่วนผสม แม้จะยาวนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีหวังเลย

    “ครั้งนี้ข้าไม่ว่าเจ้า เพราะฝ่ายเริ่มก่อนคือฝั่งนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าอนุญาตให้เจ้าไปจัดการคนอื่นเพิ่มเติมอีก”
    
    โนอาร์ยิ้มเล็กน้อยเชิงขอบคุณที่เอทอสไม่ถือโทษ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธว่าจะทำตามคำพูดของอีกฝ่าย และเอทอสก็ไม่ได้ทวงถามส่งผลให้บทสนทนาหัวข้อนี้จบลง ก่อนที่ไม่นานปีศาจจะเริ่มต้นหัวข้อถัดมา

    “แล้วเจ้าทำยังไง ตำรวจพวกนั้นถึงยอมกลับ”

    คำถามต่อมาทำให้นัยน์ตารัตติกาลวาววามขึ้นด้วยความสนุกเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่โนอาร์จะตอบกลับตามตรง

    “ผมมีเส้นสาย”
   
    

    เวลาล่วงเลยถึงช่วงเวลายามวิกาลเงียบสงัด สองชีวิตในบ้านทรงไทยประยุกต์แยกย้ายกันพักผ่อนในห้องของตน แต่ในความจริงกลับไม่มีใครหลับ เมื่อปีศาจเจ้าบ้านสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์หลายคนกำลังห้อมล้อมบ้านหลังนี้ และมนุษย์ที่รู้สึกเหมือนถูกเฝ้ามองจากรอบด้านตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

    โนอาร์ลุกออกจากเตียงแผ่วเบา ไม่ต้องใส่เข็มขัดอาวุธเพราะครั้งนี้เขาไม่ได้ถอดออกเมื่อสัมผัสถึงความไม่น่าไว้วางใจ ก่อนย่างเท้าเงียบเชียบไร้เสียงเปิดประตูเข้าไปในห้องของเจ้าบ้าน
    ห้องมืดสนิทเนื่องจากเจ้าของเลือกปิดม่านและหน้าต่างทุกบานผิดวิสัยเจ้าตัว ราวกับต้องการปิดกั้นห้องนี้ไม่ให้ถูกรับรู้ได้จากภายนอก ดวงตาสองคู่มองสบท่ามกลางความมืด รับรู้กันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด มนุษย์เดินเข้าไปหาปีศาจที่ยืนหลบอยู่ในมุมมืดของห้อง และไม่นานผู้บุกรุกก็เริ่มเผยตัว

    “แกร๊ก!”

    บานหน้าต่างถูกสะเดาะกลอนและเปิดออกอย่างเบามือ ก่อนจะตามด้วยร่างในผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้า ย่างเท้าแผ่วเบาเข้าหาเตียงกว้างพร้อมกับหยิบบางสิ่งออกมาจากผ้าคลุม ทุกการกระทำของผู้บุกรุกอยู่ในสายตาดุดันของปีศาจและเยียบเย็นของมนุษย์
    ปืนคือสิ่งที่ผู้บุกรุกถืออยู่ในขณะนี้ เล็งจ่อไปที่บางอย่างใต้ผ้าห่มบนเตียงกว้าง ก่อนกดลั่นไกหมายสังหาร

    “ปัง!!”
    “พรึบ! ปึง!!”
    “อั่ก!”
    “โครม!!!”

    ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น ปีศาจข้างกายมนุษย์กลับคืนร่างแท้จริงรวดเร็ว ก่อนพุ่งตัวใส่ผู้บุกรุกฉับพลันพร้อมใช้กรงเล็บใหญ่กระชากคออีกฝ่าย เหวี่ยงอัดกระแทกร่างผู้บุกรุกใส่ผนังกำแพงเต็มแรงจนอีกฝ่ายส่งเสียงร้องดังอั่กด้วยความจุก และเป็นเวลาเดียวกันกลับที่ทั้งประตูและหน้าต่างถูกกลุ่มคนผ้าคลุมสีดำหลายคนพังเข้ามาหมายจะรุมจัดการปีศาจ ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่อย่างหนึ่งที่เหนือการคาดหมายคือ ขณะนี้ปีศาจไม่ได้อยู่คนเดียว

    “ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อ๊ากกก!!!!”

    กระสุนสามนัดแม่นยำจากมุมมืดของห้อง พุ่งเข้าทำลายต้นขาภายใต้ผ้าคลุมของคนสามคนที่เข้าประชิดตัวปีศาจพร้อมอาวุธครบมือ ความรุนแรงจากกระสุนชนิดพิเศษส่งผลให้บริเวณผิวเนื้อที่ต้องกระสุนฉีกขาดสาหัสเป็นแผลเหวอะหวะ พร้อมกับร่างทั้งสามที่ล้มลงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

    การโจมตีไม่คาดคิดทำให้คนสวมผ้าคลุมคนอื่นชะงักเล็กน้อย ก่อนตั้งท่าพร้อมรับการจู่โจมพลางกวาดสายตาหาต้นตอ แล้วถึงพบว่าบัดนี้ข้างกายปีศาจเป้าหมายในคืนนี้มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งยืนเคียงข้างพร้อมอาวุธปืนในมือสองกระบอกเล็งไปที่กลุ่มผู้บุกรุกสองกลุ่มที่เข้ามาจากทางประตูและหน้าต่าง

    “ทำไมคุณถึงปกป้องปีศาจ” หนึ่งในคนสวมผ้าคลุมถามขึ้น
    “ทำไมพวกคุณถึงทำร้ายเอทอส ทั้งที่เข้ามาเคยทำร้ายใคร” โนอาร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงและนัยน์ตาเยียบเย็น
    “หึ ไม่เคยทำร้ายใคร เมื่อไม่กี่วันก่อนปีศาจนั่นจัดการคนของเราจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปหลายคน”
    “หลายคน? พวกคุณส่งคนมารุม ขณะที่เขาตัวคนเดียว”

    โนอาร์โกรธจัดจนกำปืนแน่น ในทีแรกเขาคิดว่าเอทอสแค่สู้กับภาคิน ไม่คิดว่าจะถูกรุมทำร้ายเช่นนี้ ส่งผลให้บรรยากาศกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวมนุษย์แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นอันตราย

    “ปัง!!”
    “อั่ก!!”

    เสียงลั่นไกและกระสุนหนึ่งนัดวิ่งออกจากลำกล้อง พุ่งเข้าใส่กลางลำตัวคนสวมผ้าคลุมที่เจรจาโต้ตอบจนร่างอีกฝ่ายทรุดลง ถือเป็นรางวัลสำหรับข้อมูลและการประกาศสงครามไปในตัว ส่งผลให้คนสวมผ้าคลุมที่รายล้อม ต่างรุมเข้าจัดการหนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจที่อยู่กลางวงทันที

    “พลั่ก!”
    “โครม!!! ปัง!! ปัง!!”
    “อั่ก! อ๊ากก!!!”
    “ปึง!!”

    เสียงการต่อสู้สลับกับเสียงร้องบาดเจ็บยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเรี่ยวแรงของทั้งเอทอสและโนอาร์ก็เริ่มลดหายลงทุกขณะ เพราะนอกจากต้องคอยหลบและโต้ตอบการโจมตี ยังต้องคอยเฝ้าระวังกันและกันไม่ให้อีกฝ่ายโดนทำร้าย ส่งผลให้ความเสียหายส่วนใหญ่จึงเป็นของกลุ่มคนสวมผ้าคลุม
    แต่อย่างไรด้วยจำนวนคนที่ต่างกันค่อนข้างมาก บวกกับศัตรูแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แน่นอนฝ่ายที่เสียเปรียบย่อมเป็นของฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่า และไม่ว่าผู้ที่ถูกรุมจะเก่งกาจมากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสพลาดพลั้ง

    “ฉัวะ!!”
    “ฉึก!!”
    “อั่ก!”

    ช่วงจังหวะหนึ่งของความชุลมุนในการต่อสู้ หนึ่งในกลุ่มคนสวมผ้าคลุมอาศัยโอกาสที่โนอาร์กำลังจัดการศัตรูด้านหน้า พุ่งเข้าใส่พร้อมใช้ดาบหวังฟันกลางหลัง โชคดีที่โนอาร์ทันเห็นจึงเบี่ยงตัวหลบ แต่ช้าไปทำให้แขนข้างซ้ายรับคมดาบแทน ถูกฟันลากเป็นทางยาว พร้อมกับเลือดมากมายที่ทะลักออกมาทางปากแผล
    ทว่าไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อคนสวมผ้าคลุมอีกคนซึ่งเห็นมนุษย์ผู้เข้าข้างปีศาจเสียจังหวะ จึงอาศัยโอกาสนี้ใช้มีดยาวในมือแทงเข้าที่สีข้างบริเวณช่วงเอวของโนอาร์ และใช้เท้าถีบซ้ำหวังให้อีกฝ่ายล้มลง

    “โนอาร์!!!!”
    “พรึบ!”
    “ปึง!!!!!”

    เสียงเรียกชื่อดังก้องทั่วทั้งบริเวณราวกับเสียงคำราม เป็นเสียงของปีศาจกินวิญญาณที่เห็นมนุษย์ถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา ร่างยักษ์พุ่งเข้าขวางระหว่างมนุษย์กับกลุ่มคนสวมผ้าคลุม พร้อมใช้ท่อนแขนแกร่งกวาดฟาดศัตรูตรงหน้าทั้งหมดให้ถอยห่างออกไป ทว่าครั้งนี้ปีศาจผู้โกรธเกรี้ยวไม่ได้ยั้งแรงไว้อย่างทุกที ส่งผลให้กลุ่มคนที่ถูกฟาดร่างลอยกระแทกอัดกำแพงอย่างแรง ก่อนร่วงลงกระแทกพื้นซ้ำอีกครั้ง หลายร่างแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวเพราะหมดสติ ส่วนคนที่ไม่สลบก็เจ็บหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นมาสู้ได้อีก
    
    ทุกสิ่งอย่างอยู่ภายในสายตามนุษย์ แม้เขาจะเสียท่าถูกเล่นงานจนแทบจะทรุดลง แต่ด้วยความหยิ่งทะนงทำให้โนอาร์ไม่อาจล้มลงต่อหน้ากลุ่มศัตรูได้ จึงต้องฝืนร่างกายทรงตัวไว้ ก่อนหันมองคนที่เล่นงานเขาหมายจะโต้กลับ แต่ภาพเบื้องหน้ากลับกลายเป็นแผ่นหลังกว้างของปีศาจกำลังยืนกันเขาจากพวกคนสวมผ้าคลุม บรรยากาศกดดันและจิตสังหารอันตรายที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนกำลังแผ่จากร่างสูงใหญ่ของเอทอส
    โนอาร์รู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวของปีศาจ ราวกับเพลิงพิโรธที่พร้อมเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง ทว่ากลับทำให้ภายในใจน้ำแข็งของมนุษย์รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการดูแลปกป้องจากใครสักคน และใครคนนั้นก็คือเอทอส ปีศาจที่เขารัก

    “พรึบ!!”
    “อ๊ากกกกกกก!!!!!!!!!!”

    ดูเหมือนความรู้สึกของโนอาร์จะเป็นจริง เมื่อกลุ่มคนสวมผ้ากลุ่มอยู่ๆ ก็ร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดทรมาน แสงสว่างเลือนรางที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่พังเสียหาย ทำให้เห็นว่าบัดนี้ร่างของศัตรูทุกคนกำลังถูกเปลวเพลิงสีดำทมิฬลุกท่วมทั่วทั้งร่าง

    “ฟังให้ดี เจ้าพวกนักล่าปีศาจชั้นต่ำ”

    เสียงดุดันแข็งกร้าวของปีศาจกินวิญญาณประกาศก้อง พร้อมนัยน์ตาสีเลือดนกวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ กวาดมองเหล่าศัตรูที่ร้องดิ้นทรมานจากเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ดวงวิญญาณ

    “ข้าไม่สู้ ไม่ได้หมายความว่าสู้ไม่ได้ คิดเหรอว่าพลังต่ำเตี้ยแค่นี้จะทำอะไรปีศาจอย่างข้าได้จริงๆ”
    “ข้าแค่ต้องการอยู่อย่างสงบ แต่ในเมื่อพวกเจ้ารังควานข้าไม่เลิกรา และยังเหิมเกริมกล้าทำร้ายคนของข้า ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องปรานีอีก” เอ่ยจบพร้อมกับเร่งเปลวเพลิงสีนิลให้ลุกไหม้แรงขึ้น
    “อ๊ากกกกกก!!!!”
    “เปลวเพลิงเอ๋ยจงฝังลึกซ่อนเร้นใต้จิตวิญญาณ”
    “เมื่อใดยามดวงจิตคิดมุ่งร้าย จงเผาไหม้ดวงวิญญาณแปดเปื้อนให้สิ้นสูญ”

    เมื่อปีศาจร่ายบางสิ่งจบ เปลวเพลิงสีนิลก็พลันเลือนหายเข้าไปในดวงจิตตามคำพูด เหลือไว้แต่ร่างหมดสติของเหล่านักล่าปีศาจผู้พ่ายแพ้
 
    สิ่งหนึ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเหนือกว่ามนุษย์คือคำสาป แต่กลับไม่ค่อยมีปีศาจตนไหนใช้นัก เพราะการร่ายแต่ละครั้งดูดกลืนพลังมหาศาล ยิ่งการสาปพร้อมกันหลายเป้าหมายในครั้งเดียวไม่ต้องพูดถึงเลยว่าต้องใช้พลังมากมายขนาดไหน

    หลังทุกอย่างจบลง เอทอสที่หายใจหอบหนักจากการสูญเสียพลังจนแทบทรงตัวไม่ไหว กลับรีบเข้าไปประคองร่างโนอาร์ที่กำลังล้มลง เลือดมากมายจากมนุษย์เปรอะเปื้อนเต็มกรงเล็บปีศาจ ทว่าบนใบหน้าโนอาร์กับปรากฏรอยยิ้มบางเบา พลางเอ่ยถามคำถามที่ทำให้หัวใจปีศาจกระตุกวูบ

    “ถ้าผมตาย... คุณจะรู้สึก..อะไรไหม”
    “หึ.. แล้วเจ้าอยากให้ข้ารู้สึกแบบไหน ดีใจ เสียใจ เศร้า หรือสมน้ำหน้า.. ข้ารู้สึกได้หมด”
    “...”
    “เพราะถึงตอนนั้น... ข้าคงว่างเปล่าจนไม่เหลืออะไรแล้ว”
    
    มนุษย์พยายามฝืนยิ้มตอบกลับปีศาจ ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงพร้อมสติที่เลือนหาย และก่อนที่โนอาร์จะไม่รับรู้อะไรอีก พลันได้ยินเสียงพูดไกลๆ ของเอทอส พอให้มนุษย์มั่นใจว่านี่ไม่ใช่การจากลา แต่เป็นเพียงการหลับใหลเพื่อพักร่างกาย และเมื่อใดที่เขาตื่น จะได้พบปีศาจอีกครั้งอย่างแน่นอน

    “เจ้าไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะให้ข้ารู้สึกยังไง เพราะเจ้าจะไม่ตาย จำไว้โนอาร์”





บท13 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 13 ปกป้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-11-2019 22:40:35
อร๊าย อยากมีสักคนที่คอยปกป้องเราอย่างนี้
คำพูดสุดท้ายของเอทอส มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ ให้แม่มาขอ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 13 ปกป้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 19-11-2019 00:43:54
เรื่องนี้ดีมากเลย อยากอ่านแนวนี้มานาน ดีมากๆๆๆๆๆๆๆ มาต่อบ่อยๆน่าาา  :katai4:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 13 ปกป้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 28-11-2019 04:58:48
สนุกมากค่าาา มาเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

เหมือนจะใกล้จบแล้วเลย หวังว่าจะมีให้อ่านต่อไปอีกสักพักนะ ติดมากกกกก
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 14 ดูแล]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 05-01-2020 19:20:07
    กลิ่นยาฆ่าเชื้อ

    ชายเจ้าของนัยน์ตาสีรัตติกาลลืมตาขึ้นมองเพดานขาวสะอาดไม่คุ้นตา ความปวดหน่วงจากแผลที่ช่วงเอวและแขนซ้ายไม่อาจทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชาเผยความรู้สึก โนอาร์พยุงตัวขึ้นนั่งบนเตียงก่อนหันมองรอบตัว พบว่าตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพียงลำพัง

    สิ่งสุดท้ายที่จำได้ก่อนสติเลือนหายคือ อ้อมกอดอบอุ่นและดวงตาดุสีเลือดนกเรืองแสงกำลังจ้องมาที่เขา ดังนั้นผู้ที่พาเขามาที่นี่คงเป็นอื่นไม่ได้นอกเสียจากเอทอส

    แล้วตอนนี้เจ้าตัวอยู่ไหน?

    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูเรียกสายตาให้เจ้าของห้องเหลียวมอง พบว่าเป็นหมอหาใช่ปีศาจที่นึกถึง ส่งผลให้ประกายเล็กๆ ในนัยน์ตารัตติกาลพลันจางหาย เหลือแต่เพียงความเรียบนิ่งเยียบเย็นที่จ้องทุกอากัปกิริยาของคนมาใหม่
    ฝ่ายคุณหมอที่ถูกคนไข้เพ่งมองตลอดตั้งแต่เข้ามาก็รู้สึกเกร็งกดดัน จึงอาศัยการสนทนาพูดคุยระหว่างตรวจเช็กอาการ เพื่อลดความอึดอัดและสร้างความคุ้นเคย

    “รู้สึกผิดปกติหรือปวดบริเวณแผลบ้างไหมครับ” คุณหมอเอ่ยถามคนไข้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
    “ไม่”

    คำตอบสั้นตัดบทด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจากการขาดน้ำคือสิ่งที่คุณหมอได้รับ แพทย์หนุ่มพยายามยิ้มสู้พลางแนะนำให้อีกฝ่ายดื่มน้ำก่อนพร้อมยื่นมือหวังช่วยริน แต่กลับถูกสายตาเยียบเย็นของคนไข้จ้องจนต้องพับเก็บความหวังดีนั้นลง

    จวบจนผู้ป่วยดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อย แพทย์หนุ่มจึงเปลี่ยนแผนสร้างความคุ้นเคยเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายน่าจะสนใจ แทนการสักถามพูดคุยเรื่องทั่วไปเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะจากการตอบเพียงครั้งเดียวเขาก็พอทราบแล้วว่าคนไข้รายนี้คงไม่ชอบการเสวนาเท่าไรนัก

    “เจ้าหน้าที่พบคุณนอนสลบอยู่หน้าห้องฉุกเฉินกลางดึกเมื่อ 2 คืนก่อน”
    “...”
    “อาการค่อนข้างสาหัสจากการเสียเลือด คุณพอจำเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
    “...”
    “...”
    “...อา.. ถ้าคนไข้ต้องการความช่วยเหลือหรือรู้สึกผิดปกติสามารถกดปุ่มข้างเตียงเรียกเจ้าหน้าที่ได้เสมอนะครับ ไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อน...”

    เมื่อเห็นว่าการพูดคุยสร้างความคุ้นเคยกับคนไข้ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ นายแพทย์หนุ่มจึงกล่าวลาก่อนเดินออกจากห้อง เพื่อให้คนไข้พักผ่อนและใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับตนเอง

    หลังมองส่งหมอประจำตัวจนลับสายตา คนมนุษยสัมพันธ์ติดลบจึงได้นำสิ่งที่รู้เมื่อครู่มาคิด การที่เขาถูกพบในสภาพหมดสติหน้าห้องฉุกเฉินต้องเป็นฝีมือของเอทอส และเหตุที่อีกฝ่ายไม่ยอมพาเขาเข้าโรงพยาบาลดีๆ แต่กลับโยนไว้หน้าห้องฉุกเฉิน อาจเป็นเพราะในตอนนั้นเจ้าตัวบาดเจ็บจนไม่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ ความพยายามในการช่วยชีวิตเขาในช่วงเวลานั้นมากที่สุดคงทำได้เพียงพาเขามาที่นี่

    เมื่อคิดได้ดังนั้นความห่วงใยปีศาจพลันก่อเกิดขึ้นในความรู้สึก ยิ่งรู้ว่าจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาสองวันแล้วยิ่งทำให้ความกังวลนั้นเพิ่มพูน มนุษย์ใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บเอื้อมไปเปิดลิ้นชัก พบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ของเขาถูกเก็บไว้ตามที่คาดการณ์ เลือกหยิบเพียงมือถือขึ้นมา ทันทีที่เปิดหน้าจอพบว่ามีข้อความหนึ่งถูกส่งมาจากปีศาจ มนุษย์รีบปลดล็อกเครื่องและเข้าหน้าแอปพลิเคชันเพื่ออ่านข้อความ
    ทันทีที่อ่านจบรอยยิ้มมุมปากค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับความกังวลที่ค่อยๆ เจือจางลง

 ‘ราตรีสวัสดิ์และอรุณสวัสดิ์ล่วงหน้าเอทอส คุณคงกำลังคิดถึงผม เหมือนที่ผมกำลังคิดถึงคุณอยู่ตอนนี้แน่’
    ‘ฟื้นเมื่อไร เจ้าคงกำลังนึกถึงข้าอยู่แน่ นอนรักษาตัวไป ข้าแค่ไปสะสางปัญหานิดหน่อย’

    “หึ.. คุณลอกคำพูดผมอีกแล้ว เอทอส”



     วันเวลาเคลื่อนผ่านจากหนึ่งวันเป็นสองวันจวนเกือบสัปดาห์ โนอาร์อยู่ในห้องพักผู้ป่วยเงียบงันเพียงลำพังไร้คนเยี่ยม มีเพียงหมอและพยาบาลที่แวะเวียนมาดูอาการเขาตามหน้าที่เท่านั้น ความเงียบเหงาอ้างว้างที่ต้องอยู่คนเดียวไม่อาจส่งผลต่อความรู้สึกของคนเลือดเย็น แต่สิ่งที่มีผลนั้นคือ ความเบื่อหน่าย
    ตามจริงแล้วโนอาร์ต้องการออกจากที่นี่เสียตั้งแต่วันแรกที่รู้สึกตัว แต่เหตุที่ยังทนอยู่ในสถานที่น่าเบื่อแห่งนี้เป็นเพราะ ความคิดเข้าข้างตัวเองที่ว่าหากนอนรอสักวันสองวัน ปีศาจอาจมาเยี่ยมเขา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จนป่านนี้แม้แต่เงาของอีกฝ่ายเขาก็ไม่เห็น ส่งผลให้ความอดทนของผู้ที่ไม่เคยรอใครมาก่อนเริ่มถึงกาลสิ้นสุด แน่นอนเขาไม่คิดโกรธเคืองปีศาจ เพียงแค่ในเมื่อเอทอสไม่มาหาเขา เขาก็จะเป็นคนไปหาเอง

    คิดได้ดังนั้น ชายเลือดเย็นจึงดึงสายน้ำเกลือตรงหลังมือออก ก่อนก้าวลงจากเตียงผู้ป่วย การเคลื่อนไหวฉับพลันทำให้บาดแผลบริเวณช่วงเอวที่ยังไม่สมานตัวดีนักเริ่มฉีก พร้อมกับความรู้สึกเจ็บที่ทำให้เจ้าของร่างชะงักเล็กน้อย แต่ก็เพียงเท่านั้น เมื่อโนอาร์กลับเดินต่อไปที่ตู้เก็บชุดโดยไม่แม้แต่จะสนใจอาการประท้วงของร่างกาย และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นางพยาบาลเข็นอาหารเข้ามาพอดี

    “คนไข้คะ! อย่าเคลื่อนไหวเร็วค่ะ แผลยังไม่หายดีนะคะ”

    นางพยาบาลรีบทิ้งรถเข็นอาหารเข้ามาดูคนไข้ ที่ตอนนี้บริเวณเอวเริ่มมีเลือดซึมออกมา ก่อนถูกสายตาเยียบเย็นของผู้ป่วยไล่และสั่งกลายๆ ว่าไม่ต้องยุ่ง แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เธอไม่สามารถปล่อยผ่านได้ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมพลางถามถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ

    “คนไข้ลุกจากเตียงต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือคะ ตามจริงสามารถกดเรียกพยาบาลได้นะคะ ไม่จำเป็นต้องทำเอง...”

    แน่นอนว่าไร้ซึ่งคำตอบกลับจากผู้ป่วย ทว่าชุดที่ติดมือมาหลังเจ้าตัวปิดตู้เป็นคำตอบอย่างดีว่าคนไข้รายนี้คิดจะทำอะไร

    “คนไข้ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้นะคะ คุณหมอยังไม่อนุญาต”
    “ไม่จำเป็น”
    “แต่-”
    “หลบ”
    “ว้าย!”

    นางพยาบาลเข้ามาขวางพร้อมพยายามห้ามปราม กลับถูกคนไข้ผลักจนล้มลง ความตกใจเผยชัดเจนผ่านทางสีหน้าของเธอ ไม่คิดว่าผู้ป่วยที่บาดแผลบริเวณเอวเปิดจนเลือดชุ่มจะมีแรงมากขนาดนี้ นางพยาบาลรีบลุกขึ้นยืนพร้อมพยายามเอ่ยห้ามอีกครั้ง โดยคราวนี้อ้างถึงญาติคนไข้ที่เคยโทรมาติดต่อเรื่องห้องพักพร้อมเตือนถึงเหตุการณ์ทำนองนี้ที่อาจเกิดขึ้น

    “แต่ญาติของคนไข้สั่งห้ามนะคะ” คำสั่งห้ามทำให้เรียวคิ้วของชายเลือดเย็นขมวดมุ่น ก่อนถามถึงคนที่กล้าสั่งเขา
    “ใคร?”
     “ญาติฝากชื่อไว้ว่า คุณเอทอสค่ะ”
    
    พายุคลั่งพลันสงบลงในทันทีหลังได้ยินชื่อ คนไข้อารมณ์ร้อนเหมือนหยุดคิดอะไรบางอย่างสักพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาสนใจนางพยาบาลอีกครั้งพร้อมถามถึงสิ่งที่อยากรู้ พลางใช้สายตาเยียบเย็นจ้องจับทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย หากนางพยาบาลคนนี้แสดงท่าทีคล้ายพยายามสร้างเรื่องแต่งเติมหรือโกหกแม้เพียงนิดเดียว เขาจะลงทัณฑ์คนที่กล้าแอบอ้างชื่อปีศาจอย่างสาสม

    “ตั้งแต่เมื่อไร”
    “คะ?”

    คำถามห้วนสั้นไร้ที่มาสร้างความสับสนให้กับคู่สนทนา แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของคำถามก็ไม่คิดขยายความเพิ่มเติม และยังใช้สายตาที่เริ่มขุ่นมัวด้วยความหงุดหงิดกดดันคนตอบ

    “เมื่อไร.. เมื่อไร... อ้อ! ญาติคนไข้แจ้งไว้ตอนโทรมาทำเรื่องย้ายห้องพักให้คนไข้ค่ะ”
    “เขาบอกอะไรอีก”
    “นอกจากเรื่องห้องพักกับเรื่องให้คนไข้อยู่โรงพยาบาลจนกระทั้งหายสนิท ก็ไม่ได้ฝากอะไรเพิ่มเติมค่ะ”

    หลังฟังคำตอบและแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดปิดบังอะไรแล้วจริงๆ โนอาร์โยนชุดในมือใส่นางพยาบาล ก่อนเดินกลับไปนั่งบนเตียงผู้ป่วย ท่ามกลางความสับสนของนางพยาบาลที่ปรับอารมณ์ตามคนไข้ไม่ทัน

    “ทำแผล” เสียงเรียบนิ่งติดเย็นเรียกสตินางพยาบาลให้กลับมา ก่อนเจ้าตัวจะรีบเข้าไปปฐมพยาบาลคนไข้ที่นั่งอยู่บนเตียงตามหน้าที่
    “ค่ะๆ”



    ณ ชนบทเงียบสงบห่างจากชุมชนเมืองแสนวุ่นวาย ยามสนทยานำพาดวงอาทิตย์ให้ลาลับ แสงสุดท้ายกระทบกับท้องฟ้าสีครามและกลีบเมฆขาวหักเหเป็นเฉดสีม่วงชมพู เหล่าฝูงนกต่างร้องเรียกพากันบินกลับรัง ไม่นานความมืดของค่ำคืนก็เข้าแทนที่

    นัยน์ตาสีเลือดนกกลางป่าเขาพลันเรืองแสงเมื่อดวงตะวันหายไป บาดแผลตามร่างกายสูงใหญ่ยังคงไม่หายดี แม้ผ่านมาหลายวันและได้กินวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เหตุเป็นเพราะทุกสิ่งที่กินถูกเอาไปทดแทนพลังที่เสียไปจากการร่ายคำสาปแทนที่จะรักษาบาดแผล ในตอนนี้ปีศาจกินวิญญาณอยู่ในสภาวะอ่อนกำลังถึงขีดสุด เพียงแค่นักล่าปีศาจมือใหม่คนเดียวก็สามารถจัดการเขาได้ในยามนี้
    เอทอสรู้ดีว่านี่คือค่าใช้จ่ายในการร่ายคำสาป และเขายินดีรับมัน ความทรมานเพียงไม่นานแลกกับความสงบต่อจากนี้นั้นถือว่าคุ้มค่า ทว่ายังเหลืออีกหนึ่งอย่างที่เขาต้องทำ เพื่อให้ได้ชีวิตสงบสุขกลับมา

    ร่างยักษ์นั่งพิงต้นไม้ใหญ่กลางป่าค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนเริ่มก้าวเดินออกจากป่า มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เขาเพียรตามหามาตลอดสัปดาห์



   บ้านสวนร่มรื่นในแถบชนบท ห้อมล้อมด้วยพื้นหญ้าตัดสั้นและต้นไม้น้อยใหญ่ ด้านข้างขุดเป็นบ่อเลี้ยงปลา มีน้ำตกเทียมคอยสร้างออกซิเจนให้กับปลาในบ่อ เสียงธรรมชาติจากน้ำที่ตกกระทบแตกฟองชวนให้เจ้าบ้านผู้เฝ้ามองรู้สึกผ่อนคลาย แม้ขณะนี้กำลังรับฟังปัญหาของเหล่าลูกศิษย์อยู่ก็ตาม

    “ปีศาจตนนั้นพยายามกลบเกลื่อนพวกเรา แสร้งทำเป็นอยู่ร่วมกับมนุษย์ แต่ความจริงคือใช้คนเป็นเครื่องมือหาวิญญาณมาให้ตนเอง”
    “พวกเราวางแผนส่งคนไปสังหารปีศาจ แต่ชายที่ถูกปีศาจตนนั้นครอบงำดันเข้ามาขวาง ทำให้ต้องจัดการเขาด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้”
    “สุดท้ายคนของเราก็พลาดท่าปล่อยปีศาจหนีไปได้ แถมยังโดนคำสาปอีก ฝ่ายเราเจ็บหนักไปหลายคน แต่โชคดีที่ไม่มีใครตาย”
    “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่แผนของพวกเราล้มเหลว และปีศาจหลุดรอดไปได้ พวกเราเลยมาขอคำปรึกษากับท่านครับ ก่อนที่ปีศาจกินวิญญาณตนนั้นจะเหิมเกริมไปมากกว่านี้”

    อดีตนักล่าปีศาจอาวุโสที่รามือจากเรื่องฆ่าฟันมานานแล้ว ละสายตาจากน้ำตกก่อนหันมองเหล่าลูกศิษย์ที่ตอนนี้ต่างกลายเป็นนักล่าปีศาจเต็มตัว ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการใช้ชีวิตจนถึงทุกวันนี้ ทำให้มุมมองและทัศนคติของอดีตนักล่าปีศาจต่างไปจากเดิม

    เมื่อก่อนเขาก็เคยมีอุดมการณ์มุ่งมั่นเหมือนเด็กพวกนี้ ทว่าการผ่านโลกมานานทำให้รู้ว่า การจัดการปีศาจไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยการฆ่าหรือสังหารเสมอไป แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นเขาจำต้องรามือ ทำได้เพียงคอยให้คำปรึกษาแก่เหล่านักล่าปีศาจรุ่นหลัง บางครั้งคำแนะนำของเขาก็ไม่เป็นที่ยอมรับนัก ซึ่งสุดท้ายอีกฝ่ายจะนำคำเขาไปใช้หรือไม่ก็สุดแล้วแต่เจ้าตัว

    “แล้วอะไรทำให้คิดว่าปีศาจตนนั้นหลอกใช้มนุษย์จริงๆ” อดีตนักล่าปีศาจถามเหล่าลูกศิษย์
    “คนของเราเห็นมนุษย์ที่อยู่กับปีศาจฆ่าคน และเก็บวิญญาณไปให้ปีศาจตนนั้นครับ”
    “อืม... แล้ว-”
    “ท่านครับ! เราจับปีศาจที่พยายามบุกเข้ามาที่นี่ได้ครับ”

    การพูดคุยระหว่างอดีตนักล่าปีศาจกับลูกศิษย์ถูกขัด เนื่องจากนักล่าปีศาจคนหนึ่งวิ่งเข้ามาแจ้งเหตุ ตามหลังด้วยนักล่าปีศาจอีกสองคนคอยคุมตัวผู้บุกรุกไม่ให้คิดตุกติก นัยน์ตาสีเลือดนกมองสบเจ้าบ้านที่มองมาทางเขาอย่างสงบนิ่ง ต่างจากบรรดาลูกศิษย์ที่ต่างลุกฮือตั้งท่าพร้อมโจมตี

    “มันมาที่นี่ได้ยังไง!! คุ้มกันท่านอาวุโสไว้!!”

    สิ้นเสียงประกาศก้อง นักล่าปีศาจส่วนหนึ่งรีบเข้าไปคุ้มกันท่านอาวุโส ส่วนที่เหลือเข้าล้อมปีศาจพร้อมอาวุธครบมือเตรียมจัดการ ปีศาจกลางวงล้อมถูกนักล่าปีศาจสองคนที่คุ้มตัวไว้เตะตัดขา และถูกกดให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น โดยไร้ซึ่งท่าทีต่อต้าน
    
    เมื่อสถานการณ์อยู่ในการควบคุม นักล่าปีศาจคนหนึ่งที่มาขอคำปรึกษาจึงหันไปหาท่านอาวุโส พร้อมรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

    “ปีศาจตนนี้แหละครับท่าน ที่พวกเรากำลังหาทางจัดการ”

    อดีตนักล่าปีศาจมองสบนัยน์ตาเลือดนกของปีศาจที่ถูกบังคับให้นอนราบกับพื้นหญ้าเล็กน้อย ก่อนไล่สายตาสำรวจตามร่างสูงใหญ่ ร่องรอยบาดแผลตามตัวยังเด่นชัด และยังดูเหมือนไม่ค่อยมีกำลัง เพราะหากลองประเมินจากขนาดของร่างกาย ปีศาจไม่น่าถูกมนุษย์ล็อกตัวง่ายดายเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าการมาของปีศาจไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือคิดต่อสู้

    “มาถึงถิ่นศัตรูทั้งที่ร่างกายอ่อนแอ ต้องการอะไร” อดีตนักล่าปีศาจถาม
    “ข้ามาเจรจายุติเรื่องพวกนี้”
    “...ลองว่ามา”
    “ต่างคนต่างอยู่ ข้าอยู่ในที่ของข้า พวกเจ้าก็อยู่ในที่ของพวกเจ้า ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกัน”
    “และปล่อยให้เจ้ายืมมือมนุษย์ฆ่าคนต่อไป?”
    “ข้าไม่เคยทำเรื่องพรรณ์นั้น” ปีศาจตอบกลับเสียงต่ำ พยายามควบคุมความหงุดหงิดจากการถูกกล่าวหาในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    “จะปฏิเสธว่ามนุษย์ที่อยู่กับเจ้าไม่ได้ฆ่าคน และเก็บวิญญาณมาให้เจ้า?”
    “เรื่องนี้ข้ายอมรับว่าเป็นฝีมือคนของข้าจริงๆ แต่ข้าไม่เคยสั่งหรือหลอกใช้เขา”
    “รู้ไหมว่าสิ่งที่พูดมันย้อนแย้ง ขัดกันเอง” อดีตนักล่าปีศาจเอ่ยพลางเลิกคิ้ว คอยดูว่าปีศาจตนนี้จะว่าอย่างไรต่อ
    “แล้วพวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนของข้าบ้าง”

    ปีศาจกินวิญญาณสวนคำถามกลับในทันที อดีตนักล่าปีศาจหันไปหาลูกศิษย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้ตอบคำถามนี้

    “เป็นชายชื่อว่าโนอาร์ ไม่มีญาติหรือครอบครัว ทำงานรับจ้างอิสระ เป็นคนธรรมดาจนกระทั่งมาอยู่กับปีศาจนี่”
    “หึ คนธรรมดา... แล้วรู้ไหมว่างานรับจ้างอิสระนั่นคืออะไร” ปีศาจหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนหันไปถามนักล่าปีศาจที่ตอบคำถามเมื่อครู่
    “ก็บอกอยู่ว่ารับจ้างอิสระ จะให้ระบุงานเจาะจงได้ยังไง คนจ้างให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น”
    “มีปัญญาตามสืบได้แค่นี้?”

    นักล่าปีศาจพยายามเถียงสู้ แต่กลับได้รับคำพูดถากถางและแววตาดูหมิ่นจากปีศาจ ส่งผลอารมณ์ของนักล่าปีศาจพุ่งสูงขึ้น คิดอยากเข้าไปสังหารปีศาจปากดีให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัว เปลวไฟสีดำทมิฬพลันลุกท่วมร่างนักล่าปีศาจคนนั้น ร่างเพลิงกรีดร้องดิ้นทุรนทุราย ท่ามกลางเหล่าสายตาของเพื่อนนักล่าปีศาจที่ต่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
    ไม่นานเพลิงทมิฬก็มอดดับพร้อมกับร่างนักล่าปีศาจที่นอนหมดสติ กลุ่มนักล่าปีศาจที่เหลือตั้งท่าเตรียมจัดการปีศาจตรงหน้า แต่ยังไม่ได้เริ่มกลับถูกเสียงของท่านอาวุโสเอ่ยขัดเสียก่อน

    “เจ้าทำอะไร” อดีตนักล่าปีศาจถาม หลังห้ามเหล่านักล่าปีศาจไม่ให้ลงมือโดยพลการ
    “ข้าไม่ได้ทำ นั่นเป็นผลจากคำสาป เมื่อใดที่คิดมุ่งร้าย เปลวไฟจะเผาไหม้ดวงวิญญาณนั้นจนกว่าจะล้มเลิกความคิด ถ้าไม่หยุดคิดก็จะถูกไฟเผาจนตาย” ปีศาจตอบพลางกวาดสายตามองเหล่านักล่าปีศาจกลุ่มหนึ่งที่เคยโดนคำสาปเขา
    “แล้วเจ้าสาปเจ้าพวกนั้นทำไม?” อดีตนักล่าปีศาจถามต่อ
    “พวกเจ้าบังคับข้า ข้าอยู่อย่างสงบไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่พวกเจ้าที่คอยรังควานข้าไม่เลิกรา”
    “ส่วนเรื่องคนของข้า โนอาร์เป็นนักฆ่าคอยเก็บคนตามใบสั่ง”
    “ข้อมูลที่พวกเจ้าเพียรหามา ก็แค่ขอบเขตที่โนอาร์กำหนดว่าให้พวกเจ้ารู้ได้แค่ไหน ไม่แปลกใจหรือไงที่คนธรรมดาสามารถเล่นงานพวกเจ้าได้ขนาดนั้น”
    “ตอนที่ข้าบาดเจ็บเพราะพวกเจ้า โนอาร์เป็นคนช่วยข้าและคิดอาสาหาวิญญาณมาให้”
    “และเมื่อข้าหายดี ข้าก็จับวิญญาณเร่ร่อนตามป่าช้าหรือสุสานกินตามเดิม ไม่ได้รับวิญญาณจากโนอาร์อีก และยังคอยกล่อมให้โนอาร์เลิกทำอาชีพนั้น เพราะข้าไม่อยากให้คนของข้าจมอยู่ในความมืดไปมากกว่านี้”
    “แล้วนี่หรือคือสิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้า หรือเพราะแค่ข้าเป็นปีศาจกินวิญญาณ เลยต้องถูกกำจัด”

    ปีศาจเล่าเรื่องราวทั้งหมด ก่อนถามกลับเหล่านักล่าปีศาจ กลุ่มนักล่าปีศาจที่มีอคติต่อปีศาจกินวิญญาณต่างพากันคิดตามคำพูดของปีศาจ รวมถึงผู้อาวุโสสุดในที่นี้ ผ่านไปสักพักหนึ่ง อดีตนักล่าปีศาจจึงเป็นตัวแทนเจรจายุติความบาดหมาง

    “เจ้าต้องถอนคำสาปที่เคยร่าย และต่อจากนี้ไปถือว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก”
    “ข้าไม่ถอน คำสาปนั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อภายในใจพวกเจ้าคิดมุ่งร้าย ถ้าคิดอยากปกป้องคำสาปก็ไร้ผล เดิมที่อุดมการณ์ของพวกเจ้าก็คือปกป้องมนุษย์อยู่แล้วนิ ถือซะว่าคำสาปนี้คือสัญญาที่พวกเจ้าจะไม่ผิดคำพูดกับข้า”

    อดีตนักล่าปีศาจนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบตกลงยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว พร้อมประกาศกับเหล่าลูกศิษย์ช่วยกระจายข่าวไปยังนักล่าปีศาจคนอื่นๆ ว่าให้เลิกยุ่งกับปีศาจตนนี้ แต่ถ้าปีศาจหลอกใช้หรือฆ่าคนเพื่อกินวิญญาณเมื่อไร สามารถจัดการได้ทันที ซึ่งปีศาจก็ยอมรับข้อตกลงนี้เช่นกัน ส่งผลให้ความบาดหมางระหว่างกลุ่มนักล่าปีศาจกับปีศาจกินวิญญาณตนนี้เป็นอันสิ้นสุด
    
    ปีศาจกินวิญญาณถูกปล่อยตัวหลังจากถูกกดให้นอนกับพื้นหญ้าเป็นเวลานาน ร่างสูงใหญ่กวาดสายตามองเหล่านักล่าปีศาจครั้งสุดท้าย ก่อนหันหลังกลับเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ เดินไปสักพักหนึ่งได้ยินเสียงไกลๆ จากอดีตนักล่าปีศาจแว่วว่า

    ‘ถ้าหากถูกนักล่าปีศาจเล่นงานอีก ให้มาที่นี่ จะช่วยพูดเจรจาให้’

    ปีศาจไม่ได้หันกลับไปมองหรือตอบกลับแต่อย่างใด นอกจากเดินต่อไปเรื่อยๆ จนพ้นอาณาเขตของเหล่านักล่าปีศาจ จนรอบกายถูกรายล้อมด้วยต้นไม้ของผืนป่าอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ถึงทรุดลงพร้อมหอบหายใจเหนื่อย เหตุเพราะฤทธิ์คำสาปเมื่อครู่
    นอกเหนือจากการสูญเสียพลังจำนวนมากในการร่ายคำสาปแล้ว ทุกครั้งที่คำสาปแสดงผล ปีศาจผู้ร่ายจะถูกคำสาปดูดพลังไป ซึ่งนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมปีศาจส่วนใหญ่ถึงไม่นิยมใช้คำสาปเท่าไรนัก

    เอทอสทิ้งร่างลงกับผืนดิน ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้ร่างกายของเขาล้าเกินกว่าจะขยับเคลื่อนไหว เขาขอนอนพักสักวันหนึ่งก่อนกลับไปหามนุษย์ที่โรงพยาบาล และหวังว่าเมื่อเขาไปถึง อีกฝ่ายยังคงอยู่ที่นั่น




(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 14 ดูแล]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 05-01-2020 19:43:40
(ต่อ)


    ในยามค่ำคืนดึกดื่นควรที่จะเงียบสงบ กลับมีเสียงจัดงานเฉลิมฉลองดังอยู่ไกลๆ เมื่อเวลาผ่านไปเสียงเหล่านั้นเริ่มชัดเจนขึ้นทีละน้อย ไม่นานเสียงดนตรีคึกคักพลันหายไป กลายเป็นเสียงแว่วผู้คนเริ่มนับถอยหลังอะไรบางอย่าง

    “ห้า!...”
    “สี่!...”

    ภายในห้องพักผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากเสียงรบกวน นัยน์ตาสีรัตติกาลลืมตื่นขึ้นท่ามกลางความมืด ก่อนหันหน้าไปมองทางกระจกหน้าต่าง

    “สาม!...”
    “สอง!...”
    “หนึ่ง!...”
    “HAPPY NEW YEAR!!!!!”
    “ฟิ้วววว... ปุง!!! ปุง!!! ปุง!!!”

    เสียงนับถอยหลังสิ้นสุด ก่อนเปลี่ยนเป็นเสียงผู้คนจำนวนมากต่างตะโกนกล่าวคำต้อนรับศักราชใหม่อย่างพร้อมเพรียง ตามด้วยเสียงเหล่าพลุดอกไม้ไฟหลายสิบลูกพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ก่อนแตกตัวกระจายสาดสีสันแต่งเติมท้องฟ้ายามค่ำคืนให้งดงาม สมกับการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี

    ทว่ากลับมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่อินกับช่วงเวลานี้เหมือนคนอื่น

    “น่ารำคาญ”

    ชายเลือดเย็นเอ่ยขึ้นขณะมองความสุขสันต์ของผู้คนบนฟากฟ้าด้วยความหงุดหงิด เสียงงี่เง่าพวกนี้ทำให้เขาตื่นจากการหลับใหล หากไม่ติดว่าเขาต้องนอนอยู่ที่นี่ตามคำปีศาจ เขาก็อยากไปร่วมจุดพลุกับกลุ่มคนที่คอยสร้างเสียงรบกวนเขาเช่นกัน
    แต่ไม่ใช่การยิงพลุขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาจะปล่อยพลุใส่ฝูงชนที่มัวแต่สนุกสนานไม่ทันระวัง สะเก็ดระเบิดจากพลุที่แตกตัวกระตุ้นให้คนต่างวิ่งหนีเบียดเสียดเอาชีวิตรอด เสียงร้องร้องตะโกนถึงความสุขเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องหนีตาย สีสันบนฟากฟ้ายามค่ำคืนกลายเป็นลูกไฟมรณะบนพื้นดิน สำหรับเขาการเริ่มต้นปีด้วยโศกนาฏกรรมต่างหาก ถึงจะถือว่าเป็นการฉลองศักราชใหม่อย่างแท้จริง

    “บ่นรำคาญกับช่วงเวลาแบบนี้ แต่อยู่ๆ กลับยิ้มขึ้นมา ข้าไม่อยากจินตนาการถึงสาเหตุของรอยยิ้มเจ้าเลย”

    เสียงคุ้นเคยจากอีกด้านหนึ่งของเตียงทำให้เจ้าของความคิดเลวร้ายชะงัก ก่อนหันกลับมาหาต้นกำเนิดเสียง นัยน์ตาสีเลือดนกเรืองแสงที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน กำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่ที่โซฟาข้างเตียงผู้ป่วย เงาร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น ก่อนเดินเข้ามาหามนุษย์ที่พยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อพูดคุย

    “ไม่ต้องลุก นอนไป”

    กรงเล็บใหญ่วางกดหน้าผากมนุษย์ไม่ให้ลุกขึ้นมา แน่นอนฝ่ายมนุษย์ยอมนอนแต่โดยดีไม่ขัดขืน ทำให้ได้รับการลูบหัวจากปีศาจเป็นรางวัล โนอาร์ซุกเข้าหากรงเล็บใหญ่เพื่อให้อีกฝ่ายลูบหัวได้ง่ายขึ้น ลักษณะอาการคล้ายออดอ้อนของมนุษย์ ทำให้เอทอสเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ มุมปากของปีศาจกระตุกเล็กน้อย แต่มนุษย์ไม่มีโอกาสได้เห็นเนื่องจากถูกความมืดของห้องบดบัง

    “เรียบร้อยแล้ว?”

    คำถามสั้นประหยัดคำไร้ที่มาของโนอาร์ดังขึ้น แต่เอทอสกลับเข้าใจในทันทีว่ามนุษย์กำลังหมายถึงปัญหาที่เขาเคยบอกผ่านข้อความ

    “อืม เรียบร้อยแล้ว”
    “ต่อจากนี้นักล่าปีศาจจะไม่มายุ่งอีก ต่างคนต่างอยู่ และเจ้าก็ห้ามยุ่งกับพวกนักล่าปีศาจเช่นกัน อย่าให้สิ่งที่ข้าทำต้องสูญเปล่า”
    “คุณทำยังไงพวกนั้นถึงยอมเลิก”

    โนอาร์ถามพลางพยายามใช้สายตามองฝ่าความมืด เพื่อดูว่าปีศาจบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ แต่สุดท้ายก็มองไม่เห็น แขนข้างที่ไม่บาดเจ็บจึงเอื้อมไปเปิดไฟ แต่กลับถูกปีศาจคว้าจับห้ามเอาไว้

    “แค่เปิดอกคุยเจรจากันปัญหาก็จบ และไม่ต้องเปิดไฟเดี๋ยวพวกหมอพยาบาลจะสงสัย ข้าขี้เกียจแต่งเรื่องตอบคำถาม”

    โนอาร์ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรนักว่า ปัญหาจะแก้ไขได้ง่ายดายเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดหรือทักท้วงปีศาจ ในเมื่อเอทอสบอกว่าจบ เขาก็จบเหมือนกัน ต่อจากนี้พวกนักล่าปีศาจจะกลายเป็นอากาศธาตุสำหรับเขาอีกครั้ง ตราบเท่าที่พวกนั้นไม่คิดหักหลังเอทอส

    แม้ความมืดของห้องจะช่วยปกปิดบาดแผลตามตัวจากสายตามนุษย์ แต่ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงในส่วนลึกของนัยน์ตา ไม่สามารถปิดบังได้ โนอาร์เขยิบตัวจนชิดมุมหนึ่งของเตียง ก่อนเอ่ยชวนปีศาจให้ขึ้นมานอนพัก เอทอสมองพื้นที่ว่างของเตียงที่มนุษย์พยายามแบ่งปันให้แล้วอยากหัวเราะ ที่แค่นี้สำหรับเขาในร่างมนุษย์ยังแทบไม่พอ แล้วตอนนี้อยู่ในร่างปีศาจไม่ต้องพูดถึง

    “ข้าจะกลับไปนอนบ้าน”

    คำปฏิเสธของเอทอส ทำให้โนอาร์รู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ไม่ได้นอนร่วมเตียงกับปีศาจ ทว่าเอทอสกลับเปลี่ยนเรื่องโดยถามว่ามนุษย์จะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน ซึ่งคำตอบที่ได้รับคืออีกสามวัน
    เอทอสคำนวณเวลาที่เหลืออยู่เล็กน้อย ก่อนสั่งให้มนุษย์นอนพักผ่อน ส่วนตัวเองเดินกลับไปนั่งเฝ้าตรงโซฟา

    “ไม่น่าเชื่อว่าเรารู้จักกันมาหนึ่งปีแล้ว” คนบนเตียงผู้ป่วยเอ่ยขึ้นลอยๆ
    “ความจริงคือไม่กี่เดือน ขึ้นปีใหม่เลยถือโอกาสเหมารวมหรือไง”

    ปีศาจตอบกลับมนุษย์ก่อนสั่งอีกฝ่ายให้นอนอีกรอบ รอจนกระทั่งแน่ใจว่ามนุษย์หลับสนิท ปีศาจจึงค่อยออกจากห้องพักผู้ป่วยไปอย่างเงียบๆ

    เมื่อปีศาจจากไปนัยน์ตาสีรัตติกาลไร้ความง่วงงุนจึงลืมขึ้นอีกครั้ง พลางมองตามหลังทางที่ปีศาจออกไปด้วยแววตาแฝงความห่วงใย เขาแค่แกล้งหลับเพื่อให้ปีศาจสบายใจจะได้กลับไปพัก เรื่องก่อนหน้าที่เอทอสไม่ยอมให้เขาเปิดไฟ คิดเหรอว่าเขาจะไม่รู้ที่อีกฝ่ายบอกไม่อยากให้พวกหมอพยาบาลสงสัยมันเป็นแค่ข้ออ้าง คงพยายามปิดบังอาการบาดเจ็บของตัวเองเพื่อไม่ให้เขาโมโห และคิดไปจัดการพวกนักล่าปีศาจอีกครั้ง

    ซึ่งใช่ เขาทำแน่ ถ้าเอทอสไม่เอ่ยดักว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ถึงต่อจากนี้เขาจะไม่ยุ่งกับพวกนักล่าปีศาจตามคำเอทอส แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมสิ่งที่พวกนั้นทำ เมื่อใดที่ข้อตกลงของปีศาจถูกทำลาย พวกนั้นจะได้รับของขวัญย้อนหลังจากเขาอย่างแน่นอน



    สามวันต่อมา คนไข้อันตรายก็ได้รับคำอนุญาตจากหมอให้ออกจากโรงพยาบาล โนอาร์แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมออกจากห้องพักผู้ป่วย แต่ติดตรงที่ของประจำตัวของเขาหายไป นั่นคือเข็มขัดอาวุธคู่กาย

    ในตอนแรกโนอาร์คิดว่านางพยาบาลคงเอาไปเก็บรวมกับชุดในตู้ แต่หลังจากหาจนทั่วกลับไม่พบ ตรวจดูทุกที่ในห้องพักก็ไม่มี ส่งผลให้เรียวคิ้วของคนไข้อารมณ์ร้อนเริ่มขมวดมุ่นอีกครั้ง ความจริงเขาไม่ได้ห่วงอาวุธที่ติดอยู่รอบตัวเข็มขัด ของพวกนั้นโนอาร์มีมากซะจนใช้ครั้งเดียวทิ้งก็ไม่รู้สึกเสียดาย แต่สิ่งที่เขาห่วงคือมีดที่ปีศาจเคยให้ เขาพกมีดเล่มนั้นติดตัวเสมอเพราะกลัวจะทำหายไว้ที่ไหน ไม่คาดคิดว่าการพกติดตัวตลอดก็มีโอกาสหายเช่นกัน

    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูห้องพักเรียกสายตาคนไข้ที่กำลังหงุดหงิดให้หันมอง ทว่าคราวนี้คนที่เข้ามาหาใช่หมอหรือนางพยาบาล แต่เป็นร่างสูงใหญ่เจ้าของนัยน์ตาดุสีอำพัน พร้อมสะพายเป้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง

    “เป็นไร?” เอทอสถามมนุษย์ท่าทางหงุดหงิดตรงหน้า
    “เข็มขัดอาวุธผมหาย”

    โนอาร์ตอบกลับเอทอส ก่อนหันกลับไปหาต่อ หากสุดท้ายของเขาหายไปจริงๆ นางพยาบาลที่รับหน้าที่เก็บของให้เขาจะต้องชดใช้ ส่วนเอทอสแทนที่จะช่วยมนุษย์หาของ กลับยืนพิงกำแพงดูมนุษย์เปิดนู้นปิดนี่รอบห้องพักอย่างสบายอารมณ์

    ผ่านไปสักพักใหญ่ โนอาร์จึงหยุดหา แววตาเยียบเย็นฉบับเจ้าตัวยามโกรธฉายชัดในนัยน์ตารัตติกาล มนุษย์เตรียมเดินออกจากห้อง หมายไปจัดการกับนางพยาบาล แต่กลับถูกเอทอสขวางทางไว้

    “จะไปไหน”
    “ไปจัดการกับคนรับหน้าที่เก็บของให้ผม”
    “จะจัดการข้า?”

    ปีศาจเลิกคิ้วถาม พลางกระตุกยิ้มเยาะมนุษย์ แต่เหมือนโนอาร์จะไม่เข้าใจ จนกระทั่งเอทอสรูดซิปเป้ลงก่อนหยิบสิ่งที่มนุษย์เพียรตามหาออกมา

    “คุณ!”

    มนุษย์เอ่ยเรียกปีศาจตรงหน้าเสียงดัง เขาถูกแกล้งให้กลายเป็นตัวตลกในสายตาอีกฝ่ายนานขนาดไหนกัน โนอาร์ยื่นมือหวังคว้าเข็มขัดคืน แต่กลับได้แต่เพียงความว่างเปล่า เมื่อเอทอสดึงหลบก่อนเก็บใส่เป้และสะพายหลังตามเดิม

    “เอ-”
    “เพิ่งจะหายดี เอาของหนักไปคาด เดี๋ยวแผลก็เปิดอีก”

    ปีศาจเอ่ยเตือนพลางมองไปที่เอวของมนุษย์ตรงหน้า สื่อให้รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร โนอาร์ที่ได้รับความเป็นห่วงจากปีศาจอย่างอ้อมๆ ก็พลันหยุดโวยวาย ก่อนไม่นานรอยยิ้มมุมปากจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น

    “เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวยิ้ม โรคจิตนะเจ้าน่ะ”

    แม้จะถูกปีศาจว่า รอยยิ้มมุมปากของมนุษย์ก็ไม่ได้หายไป



    ปีศาจและมนุษย์กลับมาถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์ที่ห่างหายไปนาน รถกระบะสีดำจอดหน้าบ้าน โนอาร์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับเตรียมลงไปเปิดประตู แต่ทว่าถูกเอทอสรั้งเอาไว้ ไม่นานก็มีเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งวิ่งออกมาจากบ้าน ก่อนช่วยดันประตูรั้วเปิดให้รถกระบะเข้าไป

    เมื่อรถกระบะจอดเรียบร้อย เจ้าบ้านและสมาชิกร่วมอาศัยต่างลงจากรถ โนอาร์กวาดสายตามองเด็กวัยรุ่นตรงหน้าอย่างประเมิน ก่อนหันไปหาเอทอส ซึ่งปีศาจก็ไม่ได้ตอบไขข้อสงสัย แต่กลับส่งสัญญาณให้เด็กวัยรุ่นเริ่มแนะนำตัวเอง

    “สวัสดีครับพี่โนอาร์ ผมชื่อ นาวา เป็นลูกชายของพ่อศิลาครับ”
    “ผมเข้ามาช่วยเก็บบ้านให้อาเอทอสอาทิตย์ละครั้ง ตามจริงผมอยากเจอพี่ตั้งนานแล้ว แต่อาเอทอสชอบให้ผมมาดูบ้านตอนที่พี่ไม่อยู่ ตอนพี่ไปสวน ผมก็ต้องไปโรงเรียน ไม่ได้เจอสักที”
    “ได้ยินพวกพี่ๆ ในสวนชอบพูดว่าพี่โนอาร์หล่อ เก่ง ใจดี แต่ถ้าโกรธก็น่ากลัวมากเหมือนกัน อืม... แต่ผมว่าข้อสุดท้ายไม่จริงหรอก พี่โนอาร์แค่ติดขรึมไปหน่อยแค่นั้นเอง”

    นาวาแนะนำตัวอย่างสดใสตามนิสัยของเจ้าตัว ไม่ลืมพูดชมโนอาร์ที่ตัวเองยกย่องให้เป็นไอดอล ทั้งที่เพิ่งเจอกันจริงๆ ครั้งแรก ซึ่งทุกอากัปกิริยาของนาวาถูกโนอาร์จ้องจับอย่างประเมิน แววตาเปล่งประกายชื่นชมยามมองเขา และท่าทีตื่นเต้นดีใจ พอให้ชายเลือดเย็นปล่อยผ่านและสรุปว่าเด็กคนนี้ไม่น่ามีพิษภัย ดังนั้นหน้ากากเข้าสังคมจึงถูกหยิบขึ้นมาสวม ก่อนส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับเด็กวัยรุ่น

    ฝ่ายนาวาที่เห็นพี่ที่ตัวเองชื่นชมยิ้มให้ ก็พลันดีใจอยากคุยต่ออีก ทว่าเอทอสกลับตัดบทให้ไว้คุยกันวันหลัง อ้างว่าโนอาร์เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลต้องการพักผ่อน ซึ่งคนฟังก็คล้อยตามอย่างง่ายดาย เพราะใจหนึ่งก็อยากให้ไอดอลของตัวเองพักผ่อนเช่นกัน

    ด้วยเหตุนี้นาวาจึงกล่าวลาโนอาร์และเอทอส ก่อนขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ประจำตัวที่จอดไว้ใต้ถุนบ้านและขับออกไป ส่งผลให้บ้านพักทรงไทยประยุกต์กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

    “ทำไมคุณถึงไม่อยากให้เด็กคนนั้นเจอผม” โนอาร์ถามเอทอสถึงสิ่งที่สงสัย
    “เจ้าในตอนนั้นน่าไว้ใจเสียที่ไหน เกิดจับฆ่า หรือสอนอะไรแปลกๆ ให้นาวาขึ้นมาจะทำยังไง”
     “ผมตอนนั้นหรือตอนนี้ ก็ยังเป็นผมคนเดิม”
    “สำหรับเจ้าอาจเหมือน แต่สำหรับข้าคือไม่” เอทอสเอ่ยปัด
    “ยังไง”
    “โนอาร์ตอนนี้คือโนอาร์คนที่ข้าไว้ใจ และเป็นโนอาร์คนที่ข้า...”

    ปีศาจใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำก้มลงกระซิบข้างใบหูมนุษย์รวดเร็ว ก่อนผละออกและเดินเข้าตัวบ้านไป ทิ้งให้มนุษย์ยืนอึ้งอยู่นอกบ้านเพียงลำพัง

    “อยากดูแล”
    


บท14 สมบูรณ์






ถึงคนอ่าน


    ขออภัยที่หายไปนานครับ อาจจะมีคนอ่านบางคนพอเดาได้ว่าคนเขียนหายไปไหน คนเขียนโดนมรสุมสอบกับโปรเจคfinal ครับ กว่าจะผ่านพ้นก็วันที่ 27 เลย เลยขออาศัยช่วงสิ้นปีนั้นพักเอาแรงครับ (ช่วงนั้นไม่ได้เขียนเอทอสกับโนอาร์เพิ่มเลย)

    ตอนปีใหม่ก็มีโมเมนต์อยากเขียนตอนพิเศษของเอทอสกับโนอาร์บ้างเหมือนกัน แต่ติดตรงที่เนื้อเรื่องที่ค้างอยู่ตอนนี้มันไม่สามารถแทรกตอนพิเศษได้ สุดท้ายเลยเติมบรรยากาศช่วงปีใหม่เข้ามาเป็นฉากในบทนี้ซะเลย

    คนเขียนเปิดเทอมพรุ่งนี้ครับ และตารางเรียนแน่นมากเลย ไม่แน่ใจว่าจะสามารถมาลงทุกสัปดาห์เหมือนช่วงแรกๆ ได้อีกไหม แต่ก็จะพยายามมาลงให้ครับ


    สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ของคนอ่านนะครับ เวลามีคอมเมนต์ให้เอทอสโนอาร์สักทีหนึ่งคนเขียนดีใจมาก และก็อ่านกับดูวนซ้ำๆ หลายรอบเช่นกัน (โดยเฉพาะคอมเมนต์ยาวๆ ของคนอ่านคนหนึ่ง คนเขียนอ่านแล้วหััวใจพองมากเลยครับ อ่านวนหลายรอบมาก  :heaven) มันเหมือนเป็นกำลังให้คนเขียนจริงนะครับคนอ่านของพวกนี้เนี่ย




    :L2:   พิเศษถึงคนอ่านที่กังวลว่าเอทอสกับโนอาร์ใกล้จบ ยังนะครับ เรื่องราวของเอทอสกับโนอาร์ยังอีกยาวไกลครับ ตอนนี้เรื่องดำเนินมาถึงเกือบครึ่งเรื่องเท่านั้นครับ (เกือบนะครับ แค่เกือบ) ฉะนั้นไม่ต้องกังวลครับยังมีให้ติดตามอีกหลายบทแน่นอน และคนเขียนก็จะเขียนพาเอทอสกับโนอาร์ไปจนจบเรื่องไม่ทิ้งแน่นอนเช่นกันครับ




สุดท้ายของสุดท้ายคือ สวัสดีปีใหม่ 2020 ย้อนหลังครับ ^^


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 14 ดูแล) [05/01/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 05-01-2020 22:00:09
เกือบลืมเรื่องนี้ละเอาจริง มาต่อโด้ยยย รออยุ่จ้า แต่ม่ะเอาดราม่านะ ขอน่ารักกุ้บกิ้บ  :ling3: :katai4:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 14 ดูแล) [05/01/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 09-01-2020 13:56:33
ดาร์คดี​ค่ะ​ สนุกดี
เดินเรื่อง​กระชับฉับไว
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 15 ต้อนรับ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 03-03-2020 08:35:22
    มนุษย์หนึ่งเดียวเดินเข้ามาในบ้านที่ห่างหายไปนาน พบว่าเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนล้วนสะอาดเรียบร้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร ถ้าไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ชื่อนาวาเมื่อครู่ ชายเลือดเย็นเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เข็มสั้นในขณะนี้จวนเข้าใกล้เลขห้า เวลาเหมาะแก่การเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น ประจวบกับเห็นปีศาจเจ้าบ้านเดินมาพอดี ฆาตกรในบทบาทพ่อบ้านพิเศษจึงเอ่ยถามดั่งทุกครั้ง

    “เย็นนี้คุณอยากกินอะไร”
    “จะทำ?”
    “หน้าที่ปกติของผมอยู่แล้ว” โนอาร์ตอบกลับ พลางเลิกคิ้วสงสัยในคำถามของอีกฝ่าย
    “ไปนั่งรอไป”

    เอทอสเอ่ยไล่มนุษย์ พร้อมเดินไปทางส่วนครัวก่อนก้มหยิบวัตถุดิบและอุปกรณ์ขึ้นมาราวกับจะทำมื้อเย็นด้วยตัวเอง ซึ่งสร้างความประหลาดใจอย่างมากให้กับมนุษย์เมื่อเห็นปีศาจเข้าครัวเป็นครั้งแรก
 
    “คุณทำเป็น?”
    “อยู่คนเดียว ถ้าทำไม่เป็นแล้วจะกินอะไร”

    ปีศาจเอ่ยพลางเหลือบมองมนุษย์ด้านหลัง เมื่อก่อนในตอนที่ยังไม่มีมนุษย์นี่มาคอยเกาะแกะ เขาก็ทำอาหารกินเองตามประสา แต่พอมีฆาตกรเข้ามาอาสาทำอาหารให้กินทุกมื้อ แล้วทำไมเขาต้องปฏิเสธ แต่ครั้งนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเห็นว่ามนุษย์เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เขาจะช่วยทำสักสองสามมื้อ จะได้ไม่หาว่าเขาเป็นปีศาจหน้าเลือดใช้งานคนเจ็บ

    “ไม่ต้องทำเป็นดีใจ ข้าแค่ไม่อยากใช้แรงงานมนุษย์อ่อนแอ ไม่นานหน้าที่นี้ก็ตกเป็นของเจ้าเหมือนเดิม”

    เอทอสพูดตอกกลับมนุษย์ด้านหลังที่ส่งสายตาชื่นชมในตัวเขาอย่างเปิดเผย แล้วจึงหันกลับไปเริ่มทำอาหาร ซึ่งแน่นอนคำพูดของปีศาจ ไม่ได้ทำให้แววตาประกายด้วยความประทับใจของโนอาร์ลดลง เช่นเดียวกับความปลาบปลื้มข้างในความรู้สึกที่มีแต่จะเพิ่มพูน ยามมองแผ่นหลังกว้างของปีศาจในร่างมนุษย์ที่ขยับเคลื่อนไหวขณะทำมื้อเย็นเพื่อเขา ทำให้หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น คืนที่เอทอสยืนขวางเพื่อปกป้องเขาจากกลุ่มนักล่าปีศาจ ชวนให้รำลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่เอทอสใส่ใจความรู้สึกเขาอยู่เสมอ

    ‘มันทำให้เจ้าหลับสบาย ราตรีสวัสดิ์’

    ‘ถ้าไม่ไหว เจ้าก็หนีหัวซุกหัวซุนมาหลบหลังข้าแล้วกัน’

    ‘ดื่มซะ มันช่วยให้ปีศาจหายไวขึ้น กับมนุษย์คงไม่ต่างกัน’

    ‘เจ้าสนใจเดินเล่นย่อยอาหารกับข้าไหม’

    ‘ข้าไปส่ง’

    ‘ระวังหน่อย เจ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา’

    ‘เจ็บมากไหม’

    ‘เจ้าจะไม่ตาย จำไว้โนอาร์’

    ความอบอุ่นใจเมื่อได้รับความห่วงใยจากปีศาจผู้เป็นที่รักนั้นรู้สึกดีมากจนก่อเกิดเป็นคำพูดหนึ่ง มากซะจนกระทั่งเขาอยากส่งผ่านความรู้สึกนี้ให้ปีศาจรับรู้ ดังนั้นชายเลือดเย็นที่กำลังถูกหลอมละลายเพียงเพราะการกระทำของปีศาจตรงหน้า จึงนั่งรอจวบจนอีกฝ่ายทำอาหารเสร็จและหันกลับมา

    “เลิกจ้องสักที” ปีศาจเอ่ยด้วยท่าทีรำคาญขณะวางอาหารลงบนโต๊ะ
    “เอทอส..”
    “อะไร”
    “ผมรู้สึกเหมือน..”
    “…”
    “ผมหลงรักคุณอีกแล้ว”

    คำรักจากปากมนุษย์ผสานกับนัยน์ตารัตติกาลเต็มไปด้วยความรู้สึก ถึงกับทำให้ปีศาจที่กำลังนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชะงัก ดวงตาสีอำพันดุมองสบดวงตาสีดำสนิท ความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ ก่อเกิดในส่วนลึกพลันเพิ่มพูน ส่งผลสะท้อนผ่านการเต้นของอวัยวะกลางอกกว้างปีศาจ ที่เริ่มกลายเป็นจังหวะเดียวกับของมนุษย์ตรงหน้าทีละน้อย

    ‘คุณจะรักผม’ คำพูดครั้งหนึ่งของมนุษย์เมื่อนานมาแล้วหวนย้อนกลับมา

    “..ใช่ เจ้าพูดถูก” ปีศาจเอ่ยพึมพำ
    “พูดถูก? ผมพูดอะไรถูก เรื่องผมรักคุณ?”

    โนอาร์พยายามตีความคำพูดที่หลุดมาจากเอทอส แต่ดูเหมือนทักษะการคาดเดาของเขาครั้งนี้จะใช้ไม่ได้ผล เมื่อปีศาจส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนนั่งลงและเริ่มทานมื้อเย็น เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายต้องการจบบทสนทนา ซึ่งโนอาร์ก็ทำตามแต่โดยดี ยอมพับเก็บคำถามและข้อสงสัยแล้วจึงเริ่มทานมื้อเย็นตามอีกฝ่าย
    ทันทีที่ได้ลิ้มลองคำแรก มนุษย์เงยหน้าขึ้นพบว่าปีศาจกำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว โนอาร์เพียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่เชื่อว่าเอทอสอยากฟังมากที่สุดในตอนนี้

    “ครั้งหน้า ผมขอทำเอง”
    “ฝากด้วย”

    ปีศาจตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมที่พยายามซ่อนความอับอาย เนื่องจากตลอดมาเขาได้โนอาร์คอยทำอาหารให้เสมอ จึงเผลอหลงลืมบางสิ่งที่สำคัญไป หลงลืมว่าแม้เมื่อก่อนเขาจะเคยทำอาหารกินเองหลายครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะกินได้ทุกครั้ง



    หลังผ่านช่วงเวลาแห่งรสชาติอันน่าจดจำ โนอาร์เลือกเดินสำรวจบ้านต่อ ประตูและหน้าต่างของห้องเจ้าบ้านที่ถูกกลุ่มนักล่าปีศาจพัง ได้รับการซ่อมแซมและเปลี่ยนใหม่ ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมราวกับเรื่องคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งจากการสอบถามปีศาจได้ความว่า ช่วงที่เขาอยู่โรงพยาบาลเอทอสได้จ้างช่างเข้ามาซ่อมโดยให้ศิลารับหน้าที่ดูแล และหลังจากเรียบร้อยจึงให้นาวาเข้ามาทำความสะอาดเก็บกวาด
    แต่ถึงอย่างนั้นเรียวคิ้วขมวดมุ่นบนใบหน้าของมนุษย์หนึ่งเดียวก็ไม่ได้คลายลง

    โนอาร์ออกจากห้องของปีศาจหลังตรวจดูการซ่อมแซมจนพอใจ ก่อนเดินกลับไปหาเจ้าบ้านที่กำลังนั่งอ่านเอกสารในห้องรับแขก สัมผัสกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ทำให้เอทอสละสายตาจากแฟ้มเอกสารรายงานการบริหารสวนในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนทุกทีแต่คิ้วขมวดและริมฝีปากที่เริ่มขยับเป็นคำพูด ทำให้ปีศาจรู้ทันทีว่ามนุษย์จะพูดอะไรจึงรีบเอ่ยดักทาง

    “ข้าจะไม่หาบ้านใหม่”

    โนอาร์ชะงักเล็กน้อยที่ถูกอีกฝ่ายเอ่ยขัดทั้งที่เขายังไม่เริ่มพูด ก่อนไม่นานรอยยิ้มมุมปากชื่นชมปีศาจรู้ทันจะปรากฏขึ้น พร้อมเรียวคิ้วที่คลายปม

    “ผมรู้.. แต่เรื่องที่บ้านหลังนี้ไม่ปลอดภัยไม่ควรปล่อยผ่าน และคุณก็ไม่ต้องการเปลี่ยนที่อยู่”
    “ดังนั้นผมขอเสริมอุปกรณ์ป้องกันให้บ้านสักเล็กน้อยได้ไหม บ้านของเราจะได้ปลอดภัยมากขึ้น”

    เจ้าบ้านฟังคำขอของผู้ร่วมอาศัยเรื่องจะเสริมอุปกรณ์ป้องกันเพื่อความสบายใจ แน่นอนปีศาจไม่คิดขัด เพราะดีกว่าการต้องหาที่อยู่ใหม่เป็นไหน ๆ แต่ตรงคำสุดท้ายที่มนุษย์จงใจพูดทำให้ปีศาจนึกอยากแย้ง ที่โนอาร์แอบเหมารวมว่าบ้านของเขาเป็นของตน ทว่าสุดท้ายเอทอสก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจ

    “ตามใจเจ้า”
    “ขอบคุณ”

    โนอาร์ยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคำอนุญาตจากเจ้าบ้าน ก่อนเดินผละออกไปเพื่อติดต่อช่างให้มาติดตั้งอุปกรณ์ จึงไม่ทันได้ยินคำพูดถัดมาของปีศาจ

    “...จะเรียกที่นี่ว่าบ้านเจ้า บ้านข้า หรือบ้านเรา ก็ตามใจ”



    ในช่วงสายของวันต่อมา เอทอสพบว่าบ้านของตนเต็มไปด้วยช่างเกือบสิบคนช่วยกันขนอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยมากมายเข้ามาวางกองและเตรียมติดตั้ง ภายใต้การกำกับดูแลของมนุษย์คนต้นคิด เป็นความผิดเขาเองที่ลืมไปว่าความคิดโนอาร์ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป สิ่งที่มนุษย์นี่บอกว่านิดหน่อยเล็กน้อย เทียบได้กับหนักหนาสาหัสของคนธรรมดา ดังนั้นการเสริมอุปกรณ์ป้องกันภัยของโนอาร์จึงไม่ใช่การเพิ่มลูกบิดกันขโมยอย่างที่เขาคิด

    “บ้านข้าไม่ใช่ฐานทัพทำสงคราม”

    เอทอสเอ่ยเหน็บแนมคนต้นคิดที่ยืนอยู่ข้างกัน ทว่าโนอาร์กลับเมินเฉยต่อคำของปีศาจ มิหนำซ้ำยังหันไปถามเจ้าของสถานที่ว่าควรเสริมตรงส่วนไหนอีกบ้าง

    “คุณอยากเพิ่มตรงไหนไหม รั้วไฟฟ้าดีไหม งั้นผมขอเพิ่มรั้วไฟฟ้า”

    มนุษย์ถามเองตอบเองเสร็จสรรพก่อนหันไปสั่งช่างว่าต้องการเสริมรั้วไฟฟ้า ไม่หยุดรอคำตอบปีศาจเพราะมั่นใจว่าไม่มีทางได้ เช่นเดียวกับคำถามเมื่อครู่ เขาแค่ถามพอเป็นพิธีและถือเป็นการตอบกลาย ๆ ว่าเขาไม่คิดเปลี่ยนใจ ส่งผลให้ปีศาจเจ้าบ้านได้แต่ส่ายหน้าหน่ายก่อนเดินแยกไปดูช่างตรงส่วนอื่นของบ้าน
    และไม่นานหลังปีศาจจากไป บนใบหน้ามนุษย์ต้นเรื่องจึงเผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมนัยน์ตารัตติกาลเจือด้วยความขบขัน



    ในบรรดานักล่าปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ภาคินถือว่าเป็นคนที่ออกจากโรงพยาบาลคนสุดท้าย ไม่ใช่เหตุเพราะเขาเจ็บหนักจากการสู้กับปีศาจกินวิญญาณมากกว่าใคร แต่เป็นเพราะคนของปีศาจตนนั้นที่มาเล่นงานเขาซ้ำถึงในโรงพยาบาล

    เขายังคงรู้สึกแปลกใจที่ฟื้นขึ้นมาและพบว่าตนยังมีชีวิตอยู่ คนเลือดเย็นอย่างโนอาร์ที่ไล่ฆ่าเอาชีวิตโจรเพียงเพราะพยายามขโมยโทรศัพท์ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยเขาที่ทำร้ายปีศาจกับมือให้มีชีวิตรอด แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าโนอาร์จะปล่อยให้เขามีสภาพที่สมบูรณ์
    พิษจากคมมีดของชายเลือดเย็นที่ใช้คว้านไหล่ข้างหนึ่งของเขา ส่งผลให้แขนข้างนั้นไร้กำลัง แต่ด้วยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง พอทำให้แขนเขาสามารถขยับหรือหยิบถืออะไรเบา ๆ ได้บ้างแล้ว แพทย์ที่ทำการรักษาได้บอกก่อนอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลว่า แขนของเขามีโอกาสกลับมาเป็นปกติ หากหมั่นทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ แต่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปีจึงจะเห็นผล

    หลังรับฟังภาคินก็ไม่ได้แสดงท่าทีวิตกกังวลแต่อย่างใด เพราะโชคดีว่าแขนข้างที่เกิดปัญหาไม่ใช่ข้างที่เขาถนัด จึงไม่มีผลกระทบต่อการทำงานหรือใช้ชีวิตมากนัก ทว่าในการต่อสู้ในฐานะนักล่าปีศาจ ก็เทียบกับว่าเขาเสียแขนไปแล้วข้างหนึ่ง
    แต่ใช่ว่าอุปสรรคแค่นี้จะทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะสังหารปีศาจตนนั้น เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่หมดลมหายใจ



   จมอยู่กับความคิดตนเองสักพักใหญ่ ภาคินถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้รถที่ลูกน้องนำไปรับเขากลับจากโรงพยาบาลได้ขับมาถึงบ้านพักแล้ว ชายผมเงินใช้มือข้างที่ปกติเปิดประตูลงจากรถด้วยตนเอง โดยไม่รอคนขับวิ่งอ้อมมาเปิดให้เพราะไม่อยากเป็นภาระ
    ทันทีที่ลงจากรถ เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านต่างเข้ามาสอบถามอาการเขาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งภาคินก็ตอบกลับด้วยท่าทีนอบน้อม แม้สถานะจริง ๆ ระหว่างเขากับคนเหล่านี้คือเจ้านายและข้ารับใช้ แต่เขาไม่เคยลืมในช่วงสมัยเด็กที่ได้เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านคอยดูแล ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่สำหรับเขา

    “ป่านนี้พวกตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ ยังไงช่วงนี้คุณภาคินต้องคอยระวังตัวนะครับ” พ่อบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
    “อีกไม่นานต้องจับได้แน่นอนค่ะ คนไม่ดีแบบนั้นหนีได้ไม่นานหรอก” แม่บ้านอีกคนหนึ่งรีบเอ่ยให้กำลังใจ
    “ครับ”

    ชายผมเงินเพียงยิ้มพร้อมเอ่ยปากรับคำ ไม่คิดเอ่ยแย้งเพื่อเป็นการถนอมน้ำใจ หากกล่าวว่าคนของปีศาจถูกตำรวจจับ กับคนของปีศาจเป็นฝ่ายไล่ล่าตำรวจเสียเอง คำกล่าวอย่างหลังยังดูน่าเชื่อถือมากกว่า ดังนั้นในช่วงที่เขาอยู่โรงพยาบาลและมีตำรวจเข้ามาขอสอบถามถึงตัวคนร้าย เขาจึงเอ่ยปฏิเสธไม่เอาความ ไม่ใช่เป็นการช่วยคนเลือดเย็น แต่เป็นการช่วยตำรวจที่อาจจะมีวาระสุดท้ายไม่ต่างจากโจรสองคนนั้น และท้ายสุดตำรวจจะยอมปล่อยคดีไปตามคำของเขาหรือไม่ก็สุดแต่ชะตากรรมจะพาไป เขาช่วยได้เพียงเท่านี้

    หลังการพูดคุยสอบถามของเหล่าพ่อบ้านแม่บ้าน ภาคินจึงขอตัวไปพักผ่อน ทว่าแทนที่ชายผมเงินจะเดินเข้าห้องพัก กลับหายเข้าไปในห้องทำงานเพื่อสะสางกองเอกสารที่เขาให้ลูกน้องไปเอามาจากบริษัท รวมถึงฟังรายงานความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ จากเลขาในระหว่างที่เขานอนโรงพยาบาล การโหมงานหนักเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา บริษัทที่คุณพ่อคุณแม่ทิ้งไว้ให้เขาต้องดูแลให้ดีที่สุด เผื่อพวกท่านรับรู้จะได้ภูมิใจ รวมถึงเรื่องการล้างแค้นคนที่พรากทุกอย่างไปจากเขาก็เช่นกัน


    เกือบสี่ชั่วโมงหลังจากการสะสางงาน ชายผมเงินถึงได้มีโอกาสพัก เขาเอนหลังใส่พนักพิงเก้าอี้หนังเนื้อดี หลับตาเพื่อพักอาการล้าจากการเพ่งเอกสารติดต่อกันเป็นเวลานาน ผ่านไปสักพักหนึ่งภาคินจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เขาอยู่ในบทบาทนักล่าปีศาจไม่ใช่นักบริหารอย่างเมื่อครู่
    ชายผมเงินหันหน้าเข้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ตรงมุมของโต๊ะทำงาน เลื่อนเมาส์คลิกไม่นานข่าวสารทั้งหมดในช่วงที่เขาพักรักษาตัวก็ปรากฏบนหน้าจอ ข้อมูลหลากหลายบนหน้าถูกเลื่อนผ่านอย่างไม่ใส่ใจ จนเลื่อนมาถึงการประกาศหัวข้อหนึ่งที่ทำให้ชายผมเงินชะงัก และเมื่อได้ลองอ่านเนื้อความในประกาศยิ่งทำให้คิ้วของเขาขมวดมุ่น
    จวบจนอ่านจบภาคินจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหานักล่าปีศาจที่เป็นผู้ลงประกาศ

    “ประกาศที่ลงหมายความว่ายังไง?”
    [ก็ตามที่ประกาศนั่นล่ะภาคิน ปีศาจกินวิญญาณตนนั้นไม่ได้เข้าข่ายปีศาจที่เราต้องกำจัด ต่อจากนี้เราจะไม่ยุ่งกับปีศาจตนนั้นอีก ตราบเท่าที่เจ้านั่นไม่ทำร้ายมนุษย์] ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
    “บ้าไปแล้วหรือไง! มันหลอกใช้มนุษย์ที่อยู่กับมันเป็นเครื่องมือฆ่าคน แบบนี้ยังจะปล่อยมันอีกเหรอ!!”
    [เรื่องนั้นเราเข้าใจผิดกันไปเอง มนุษย์ที่อยู่กับปีศาจนั่นแต่เดิมเป็นนักฆ่าอยู่แล้ว และเพื่อช่วยรักษาปีศาจจึงต้องเก็บวิญญาณไปให้]
    “แล้วมันต่างกันยังไง สุดท้ายมันก็ใช้มนุษย์ฆ่าคนเพื่อเอาวิญญาณไปให้มันเหมือนเดิม”

    ภาคินกัดฟันตอบ แขนข้างที่ยังไม่หายดีกำมือแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น การเกร็งกล้ามเนื้อทำให้บริเวณหัวไหล่รู้สึกเจ็บแปลบ ทว่าคนที่กำลังโกรธเกรี้ยวก็ไม่ได้ผ่อนกำลังลง

    [ต่างตรงที่เมื่อกลับมาเป็นปกติ ปีศาจนั่นก็ไปหาวิญญาณกินเองตามสุสาน ไม่ได้ทำร้ายมนุษย์ แถมยังคอยกันไม่ให้มนุษย์นั่นฆ่าคนอีก]
    “แล้วมั่นใจได้ยังไงว่ามันเป็นความจริง”
    [แต่เดิมปีศาจนั่นจัดเป็นปีศาจชั้นดี ไม่เคยมีประวัติทำร้ายหรือฆ่าใคร มากกว่านั้นยังทำตัวกลมกลืนและคอยช่วยเหลือมนุษย์ จนกระทั่งนายไปเล่นงานปีศาจตนนั้นโดยพลการ นอกจากนี้ข่าวคราวด้านลบเกี่ยวกับปีศาจนั่นก็ล้วนมาจากนาย ถ้าปีศาจตนนั้นเป็นอย่างที่นายว่าจริง ทำไมนักล่าปีศาจคนอื่นที่คอยดูแลบริเวณเขตนั้นก่อนนายจะมา ถึงไม่เคยรายงานเรื่องปีศาจตนนั้นทำผิดเลยล่ะ]
    “…”
    [ไม่ใช่ว่านายเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานหรอกนะ ภาคิน] ปลายสายถือโอกาสที่อีกฝ่ายเงียบไปพูดแทงใจดำ
    “นายก็รู้อยู่แล้วว่าฉันมาเป็นนักล่าปีศาจทำไม”
    [ใช่ ฉันรู้ ถึงปีศาจนั่นจะเป็นประเภทเดียวกับที่นายกำลังตามหา แต่นายแน่ใจได้ยังไงว่าใช่ปีศาจตนนั้นจริง ๆ ดีไม่ดีปีศาจที่นายพยายามหาอยู่อาจถูกนักล่าปีศาจสักคนหนึ่งกำจัดไปนานแล้วก็ได้]
    [ที่ฉันพูดนี่ในฐานะเพื่อนนะภาคิน ชีวิตนายน่ะมีค่ามากกว่ามามัวจมอยู่กับการแก้แค้นที่นายสร้างขึ้นมาเอง แต่พูดไปก็เท่านั้นนายไม่ฟังหรอก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเตือนนาย]
    “หึ.. ก็รู้นิ”
    “ติ้ด!”

    ภาคินเค้นเสียงหัวเราะตอบกลับทั้งนัยน์ตาประกายด้วยไฟแห่งโทสะก่อนกดตัดสาย ใครจะลืมดวงตาที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิตภายในคืนเดียวได้ลง ปีศาจตนไหนเป็นปีศาจกินวิญญาณธรรมดา ปีศาจตนไหนเป็นปีศาจชั่วที่ทำลายครอบครัวเขาทำไมจะแยกไม่ออก ไม่ว่าปัจจุบันจะชุบตัวเสแสร้งเป็นปีศาจชั้นดีแค่ไหน ก็อย่าหวังจะเอามาลบกับความเลวที่เคยทำไว้ ต่อให้จากนี้จะไม่มีนักล่าปีศาจคนอื่นคอยช่วยจัดการ เขาจะกระชากความชั่วและเอาชีวิตมันมาด้วยตัวเอง



    หลังผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงบ้านพักทรงไทยประยุกต์เป็นฐานทัพสงคราม ตามความตั้งใจของมนุษย์หนึ่งเดียวได้สามวัน เจ้าของสวนก็ได้เวลากลับไปดูแลกิจการตามหน้าที่ โดยมีมนุษย์ใจบาปขอตามไปด้วยอย่างทุกที
    บรรยากาศเดิม ๆ หวนกลับมาอีกครั้ง แม้ภายในห้องโดยสารของรถกระบะจะเงียบงันไม่ต่างจากการนั่งคนเดียว แต่ถ้าให้เทียบระหว่างตอนนี้กลับตอนช่วงที่มนุษย์ไม่อยู่ เอทอสชื่นชอบตอนนี้ที่มีโนอาร์คอยนั่งข้าง ๆ มากกว่า แม้บรรยากาศเงียบไม่ต่างกัน แต่ที่ต่างคือมีกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากวิญญาณของโนอาร์

    กลิ่นอายที่เขาคิดว่าหอมดี อาจเป็นเพราะเขาชอบกินวิญญาณบาป และวิญญาณของมนุษย์นี่ก็แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกอยากกินเหมือนวิญญาณดวงอื่น ๆ จนเมื่อไม่นานนี้ที่เขาเพิ่งรับรู้และยอมรับอีกความรู้สึกหนึ่ง มันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกว่ากลิ่นอายวิญญาณของโนอาร์นั้นช่างหอมหวนและดึงดูดเขามากกว่าเมื่อก่อนค่อนข้างมาก

    “คุณชอบกลิ่นของผม?” โนอาร์เอ่ยขึ้นหลังจากลอบมองปีศาจมาสักพักหนึ่ง
    “อะไรของเจ้า” เอทอสเหลือบมองคนข้างตัว ด้วยท่าทีเหยียดหยามในความหลงตัวเอง
    “ช่วงนี้ผมเห็นคุณชอบทำเหมือนดมอะไรในอากาศ เลยคิดว่าคุณคงหอมกลิ่นสบู่ใหม่ แต่จากที่สังเกตคุณจะมีอาการเฉพาะตอนที่ผมอยู่ใกล้ ๆ”
    “โรคจิตหรือไงเจ้า มาคอยตามจับผิดข้า”
    “แต่คุณไม่ปฏิเสธว่าชอบกลิ่นผม”
    “หลงตัวเอง ใครจะชอบดมกลิ่นสาบมนุ- โนอาร์!!”

    ขณะที่ปีศาจกำลังปรามาส โนอาร์ได้อาศัยช่วงโอกาสนั้นรีบยื่นแขนไปจ่อที่จมูกของปีศาจ ทำให้เอทอสที่ไม่ทันตั้งตัวตกใจจนรถแกว่งไปจังหวะหนึ่ง พร้อมทั้งเผลอสูดกลิ่นอายวิญญาณของโนอาร์เข้าไปเต็มปอด

    “เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง!! ถ้ารถเสียหลักขึ้นมาจะทำยังไง” เอทอสหันไปว่ามนุษย์ข้างตัว แต่ที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มมุมปากไม่สะทกสะท้านของมนุษย์
    “ระดับคุณไม่ขับรถชนเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ใกล้ถึงสวนแล้ว”

    โนอาร์ตอบกลับอย่างมั่นใจก่อนแสร้งเปลี่ยนเรื่อง เอทอสเห็นเช่นนั้นจึงปล่อยผ่านไม่อยากต่อปากต่อคำ จนกระทั่งรถกระบะสีดำเคลื่อนจอดในตำแหน่งประจำและคนขับเตรียมลงจากรถ มนุษย์ที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงรีบคว้าแขนรั้งเอาไว้

    “คุณจะลงทั้ง ๆ แบบนี้จริงเหรอ”
    “อะไรอีก” เอทอสถามกลับด้วยความหงุดหงิดที่โดนมนุษย์ปั่นหัว
    “ตาของคุณ”

    เพียงเท่านั้นเอทอสจึงหันไปส่องกระจกมองหลังของรถ และพบว่าตอนนี้ตาของเขากลายเป็นสีแดงเลือดนกแบบปีศาจ เอทอสรู้สึกอึ้งกับตนเองที่สูญเสียการคงร่างมนุษย์โดยไม่รู้ตัวจนต้องให้มนุษย์เตือน ก่อนจะรีบเปลี่ยนตาให้กลายเป็นสีอำพันเช่นเดิม แล้วจึงหันไปคาดโทษมนุษย์ตัวต้นเหตุ และแน่นอนโนอาร์ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย


    หลังผ่านเหตุการณ์วุ่นวายเล็กน้อย เจ้าของสวนกล้วยไม้และว่าที่คนรักจึงพากันเดินออกมาจากที่จอดรถ เหล่าคนงานเห็นเจ้านายที่หายหน้าหายตาไปสักพักใหญ่ ก็ต่างพากันเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเอทอสได้เตรียมเรื่องตอบคำถามทำนองนี้ไว้ก่อนแล้ว จึงทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นไร้คนสงสัย

    นายใหญ่ของสวนอ้างว่าช่วงที่ตนหายไปจนทำให้ทุกคนเป็นห่วงคอยตามหา ความจริงแล้วเขาไปทำธุระกับเพื่อนต่างเมืองกระทันหันและตอนนั้นแบตเตอรี่โทรศัพท์หมดพอดีจึงไม่ทันได้บอกใคร พอได้ชาร์จโทรศัพท์และเปิดเครื่องเป็นจังหวะเดียวกับที่โนอาร์โทรเข้ามาพอดีจึงได้คุยกัน ถึงเพิ่งรู้ว่ามีคนเข้ามาพังสวนช่วงที่ไม่มีใครอยู่
    หลังจากที่เขาทำธุระเสร็จก็ได้กลับมาพักที่บ้านทรงไทยประยุกต์พร้อมกับโนอาร์ และโชคร้ายที่เป็นช่วงเดียวกับที่โจรกำลังขโมยของภายในบ้านจึงเกิดการต่อสู้กัน ทำให้โนอาร์พลาดถูกโจรคนหนึ่งแทงจนต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีเขาคอยเฝ้าตลอด ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเขาและโนอาร์จึงไม่ได้มาที่สวนเลย

    ถึงตรงนี้โนอาร์ที่ได้เป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องแต่งที่เอทอสร้าง ก็ได้แต่เหลือบมองปีศาจข้างกาย เขาอยากแย้งว่าที่จริงแล้วเอทอสมาเฝ้าเขาแค่คืนเดียว ทว่าท้ายสุดเขาก็เพียงยืนเป็นตัวประกอบและพยักหน้าพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยขัดอย่างที่ตั้งใจ เพราะขี้เกียจมานั่งตอบคำถามไม่รู้จบของพวกคนงาน

    “แล้วโจรพวกนั้นจับได้หรือยังครับนาย” หนุ่มคนสวนคนหนึ่งถามขึ้น
    “ถูกตำรวจจับได้หมดแล้ว ไม่ต้องห่วง”
     “ดีนะคะที่จับได้ อา.. คุ.. คุณโนอาร์ก็หายเป็นปกติดีแล้วใช่ไหมคะ” สาวคนงานพูดขึ้นก่อนจะหันไปถามชายที่ยืนข้างนายใหญ่ด้วยท่าทีเกรงกลัวเล็กน้อย
    “ครับ สบายดีแล้วครับ”

    โนอาร์รู้ดีว่าที่คนสวนเหล่านี้มีท่าทีเกรง ๆ เขา ไม่กล้าเข้ามาพูดคุยอย่างสนิทสนมเช่นเดิมเป็นเพราะอะไร แต่เรื่องสภาพจิตใจของคนพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องเก็บมาคิดให้เสียเวลา แค่ใส่หน้ากากพูดคุยไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็รู้สึกสนิทใจกับเขาเหมือนเดิม

    ทว่าท่าทีที่ดูแปลกไปของคนงานที่มีต่อโนอาร์ก็อยู่ในสายตาเอทอสเช่นกัน ดังนั้นหลังเดินแยกออกมาจากกลุ่มคนงาน เอทอสจึงเอ่ยถามคนที่น่าจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง

    “ทำไมคนงานดูกลัวเจ้า”
    “คงเป็นเพราะเห็นผมอารมณ์ไม่ดี ช่วงที่รู้ว่าคุณหายไป แต่ผมไม่ได้ทำอะไรนะครับ คนพวกนั้นกลัวกันไปเอง”

    มนุษย์พยายามอธิบายเพื่อไม่ให้ปีศาจเข้าใจผิดว่าเขาแอบไปเล่นงานหรือทำร้ายคนดูแลสวน ซึ่งสิ่งที่โนอาร์ตอบก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาคิดมากนัก ดังนั้นเอทอสจึงเพียงขานรับในลำคอและเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณสำนักงาน ทว่านายใหญ่ของสวนกับเดินผ่านอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับจุดหมายของเอทอสไม่ใช่สำนักงานอย่างทุกที

    “คุณไม่เข้าสำนักงาน?” โนอาร์ที่เดินอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วขึ้นพลางถามอย่างสงสัย
    “อืม ข้าจะไปดูเรือนกล้วยไม้ที่เพิ่งซ่อมเสร็จ ได้ถือโอกาสหาที่ลงกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ทีเดียว”
    “นานไหม?”
    “คงทั้งวัน เดี๋ยว! จะไปไหน?”

    ระหว่างที่ปีศาจกำลังตอบคำถาม อยู่ ๆ โนอาร์ก็หันหลังและเดินย้อนกลับไปทางเดิม นายใหญ่ของสวนที่ทันเห็นท่าทีของมนุษย์จึงเรียกรั้งไว้ ทว่าโนอาร์ก็เพียงตอบกลับเร็ว ๆ ว่าจะไปหาผ้าเย็นกับน้ำดื่มไว้ดูแลเขา และยังบอกให้เขารีบไปทำงาน เพื่อที่ตนกลับมาจะได้ใช้ผ้าช่วยซับเหงื่อได้ทันที ซึ่งเป็นแนวคิดที่แปลกประหลาดอย่างมากในสายตาเอทอส

    ไล่ให้ไปทำงาน เพื่อที่จะได้ดูแล?

    บนโลกนี้ก็คงมีแต่โนอาร์เท่านั้นที่คิดแบบนี้ได้


    
    “ติ้ง!”

    เสียงข้อความเข้าดังขึ้น ขณะที่โนอาร์กำลังเตรียมผ้าเย็นและน้ำดื่มไว้ดูแลปีศาจอย่างที่เคยตั้งใจไว้เมื่อนานมาแล้ว เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลวางกระติกน้ำลงบนพื้นก่อนหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความแจ้งการโอนเงินเข้ามาในบัญชี ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะช่วงนี้เขาไม่ได้รับงานแล้วทำไมถึงมีการโอนค่าจ้างเข้ามา

    คิดได้ดังนั้น โนอาร์จึงเข้าไปเช็กอีเมลว่าจ้างผ่านทางโทรศัพท์ พบว่ามีอีเมลหลายฉบับถูกส่งมาจากผู้ว่าจ้างคนเดียวกัน ซึ่งรวมถึงอีเมลฉบับล่าสุด เมื่อลองเปิดอ่านจึงรู้ว่าเป็นผู้ว่าจ้างรายใหม่ และเป็นเจ้าของเงินที่โอนเข้ามาเมื่อครู่ เนื้อหาในอีเมลไม่ได้บอกข้อมูลของเป้าหมายเหมือนอีเมลว่าจ้างของคนอื่น ๆ แต่กลับบอกสถานที่และวันเวลาสำหรับนัดพูดคุยแทน และคำลงท้ายที่ทำให้เรียวคิ้วเหนือในนัยน์ตารัตติกาลขมวดแน่น

    ‘ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา’

    “ใคร?”



บท15 สมบูรณ์

หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 15 ต้อนรับ) [03/03/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 20-03-2020 05:05:40
ครอบครัวใครน้าาาาาาาา อยากรู้แล้ว

ฮือ ภาคิน ไม่น่ารนหาเรื่องเลย ไม่อยากให้ตาย
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 16 คนนอก]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-03-2020 17:27:04
    บรรยากาศช่วงบ่ายหลังพักเที่ยง เหล่าคนงานต่างตรวจดูผลผลิตกล้วยไม้ที่ตนรับผิดชอบดังที่ทำเป็นกิจวัตรประจำทุกวัน แต่ที่พิเศษคือครั้งนี้นายใหญ่ของสวนที่นานครั้งจะออกจากสำนักงาน หลังจากดูพื้นที่เตรียมสำหรับกล้วยไม้พันธุ์ใหม่เมื่อช่วงเช้าเรียบร้อย กลับยังคงเดินตรวจตราสวนคอยช่วยคนงานตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยแยกหน่อกล้วยไม้เพื่อขยายพันธุ์ ให้คำปรึกษาแนะนำการดูแลกล้วยไม้ที่ป่วย ตลอดจนเข้าไปช่วยคนงานขนกล้ากล้วยไม้จากเรือนเพาะ เพื่อย้ายต้นกล้าลงกระถางที่ขนาดใหญ่ขึ้น

    ซึ่งทุกอย่างข้างต้นไม่มีความจำเป็นที่เจ้าของสวนต้องลงมาทำด้วยตัวเองในเมื่อมีลูกน้องคนงานมากมาย ทว่านายใหญ่ก็ไม่ได้สนใจ ยังคงช่วยงานต่อไปไม่ต่างจากคนงานสวนรฦกวัลย์คนหนึ่ง ยกเว้น

    “คุณ ดื่มน้ำไหม” เสียงชายผู้คอยเดินตามเจ้าของสวนเอ่ยขึ้น
    “อืม”

    การมีผู้ดูแลส่วนตัวคอยถือผ้าเย็นและน้ำพร้อมบริการทุกเมื่อโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเรียกหา

    โนอาร์ตักน้ำเย็นในกระติกยื่นส่งให้เจ้าของสวนรับไปดื่ม ความเย็นจากน้ำที่ไหลผ่านลำคอช่วยให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกสดชื่น ก่อนส่งแก้วคืนทว่าการบริการยังไม่หมดเท่านี้ เมื่อโนอาร์ใช้ผ้าเย็นช่วยซับเหงื่อให้เจ้าของสวนตามกรอบหน้าและลำคอ ซึ่งผู้ได้รับบริการก็ไม่ได้มีท่าทีใด ๆ ราวกับว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ มิหนำซ้ำยังหันไปคุยงานกับลูกน้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเป็นเหล่าคนงานโดยรอบเสียเองที่รู้สึกเก้อเขินแทน

    “มีอะไรหรือเปล่า” เอทอสเอ่ยถามเหล่าลูกน้องเมื่อเห็นท่าทีแปลก ๆ
    “ปล่าวครับ ไม่มีค่ะ” คนงานพร้อมใจกันตอบอย่างพร้อมเพรียง
    “นายครับ”

    เสียงเรียกจากทางด้านหลังดังขึ้นส่งผลให้เอทอสและคนโดยรอบหันมอง พบว่าเป็นศิลาผู้ทำหน้าที่เสมือนเลขากำลังเดินเข้ามาหาตน ดังนั้นนายใหญ่ของสวนจึงขอตัวแยกไปคุยธุระ โดยที่โนอาร์ไม่ได้ตามไปด้วยเพื่อให้ทั้งสองสามารถพูดคุยกันได้สะดวก และไม่นานหลังจากนั้นนายใหญ่ของสวนก็เดินกลับมาทำงานในส่วนที่ค้างไว้ต่อ

    “ผมรู้ได้ไหม?”

    โนอาร์เอ่ยถามขึ้นขณะที่เอทอสกำลังย้ายกล้ากล้วยไม้ลงกระถางใหม่ ซึ่งเอทอสก็ตอบกลับง่ายดาย เพราะเรื่องที่คุยเมื่อครู่ไม่ใช่ความลับอะไร

    “มะรืนนี้ข้าต้องไปคุยงานกับเจ้าของร้านดอกไม้ในเมือง”

    คำตอบของปีศาจทำให้มนุษย์เลิกคิ้วประหลาดใจในความบังเอิญ เนื่องจากวันที่เอทอสต้องไปคุยงานเป็นวันเดียวกันกับวันนัดเจรจาในอีเมลของผู้ว่าจ้างคนใหม่

    “วันนั้นผมมีนัดคุยงานในเมืองเหมือนกัน”
    “งานอะไร?”

    ร่างสูงใหญ่หันไปถามมนุษย์ข้างกายพร้อมความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง เพราะงานที่ออกมาจากปากคนอย่างโนอาร์จะเป็นอะไรได้นอกจากเรื่องที่เขาพยายามให้มนุษย์ใจบาปเลี่ยง ยิ่งกว่านั้นเขาเพิ่งไปรับอีกฝ่ายกลับจากโรงพยาบาลมาไม่กี่วัน แต่มนุษย์กลับรนหาเรื่องให้เจ็บตัวอีก ดังนั้นคิ้วหนาเหนือนัยน์ตาสีอำพันจึงขมวดชนกันสื่อถึงความไม่พอใจ จนทำให้ใบหน้าที่เดิมทีดูดุอยู่แล้วกลับยิ่งดูน่ายำเกรงขึ้นไปอีก ทว่าคนถูกจ้องก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย

    “งานที่คุณรู้อยู่แล้ว”
    “ข้าไม่-”
    “งานผมนัดตอนค่ำ หลังคุณคุยงานกับเจ้าของร้านดอกไม้เสร็จ คุณก็ไปฟังงานกับผม จะรับหรือไม่การตัดสินใจผมยกให้คุณ ตกลงไหมครับ”

    คนเจ้าแผนการรีบขัดคำพูดของปีศาจด้วยคำอธิบายของตนเอง ส่งผลให้เอทอสต้องหยุดฟังมนุษย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการที่มนุษย์ยกอำนาจการตัดสินใจให้เขานั้นทำให้ข้อเสนอน่าสนใจไม่น้อย บวกกับตอนท้ายประโยคที่เป็นคำถามผสานกับใบหน้ามนุษย์ที่แม้จะเรียบนิ่งแต่แววตารัตติกาลนั้นสื่อถึงความคาดหวังในคำตอบ เป็นการเร่งเร้าบีบบังคับเขาทางอ้อมให้ตอบเป็นอื่นไม่ได้นอกเสียจาก

    “...อืม”

    และแล้วปีศาจก็ได้รับรอยยิ้มมุมปากจากมนุษย์เป็นรางวัล



    วันเวลาล่วงเลยจนถึงวันนัดของมนุษย์และปีศาจ รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวออกจากบ้านพักทรงไทยประยุกต์ในช่วงเช้าก่อนมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง บริเวณส่วนบรรทุกของตัวรถมีกล้วยไม้พันธุ์ใหม่จำนวนหนึ่งสำหรับเป็นของผูกมิตรในการทำธุรกิจร่วมกัน และถือเป็นการโฆษณาสินค้าใหม่ไปในตัว
    โดยปกติเวลานายใหญ่ของสวนออกไปคุยงานจะมีศิลาคอยตามไปเป็นผู้ช่วยเสมอ ซึ่งต่างจากครั้งนี้ที่หน้าที่ดังกล่าวถูกยกให้มนุษย์ผู้อาศัยร่วมบ้าน ดังนั้นการเดินทางคราวนี้จึงมีเพียงเอทอสและโนอาร์


    ใช้เวลาสักพักใหญ่รถกระสีดำก็มาถึงร้านดอกไม้ซึ่งเป็นจุดหมาย หน้าร้านเต็มไปด้วยเหล่าดอกไม้มากมายหลากสีสัน บรรจุในถังน้ำเพื่อชะลอการเหี่ยวเฉาและคงความสดของดอกไม้ ด้านหน้าร้านเป็นกระจกทั้งหมด ทำให้คนภายนอกสามารถเลือกดูดอกไม้ได้อย่างสะดวกไม่จำเป็นต้องคอยเข้าออกตัวร้าน ภายในประดับด้วยไฟสีเหลืองอ่อนๆ ตัดกับป้ายเหนือร้านสีน้ำเงินเข้มเป็นเอกลักษณ์ ช่วยขับให้บรรยากาศในร้านดูสงบและอบอุ่น ขัดกับบรรยากาศภายนอกร้านที่ค่อนข้างวุ่นวายจากเสียงสัญจรของรถบนท้องถนนและผู้คนที่เดินผ่านไปมา
    ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวเป็นผลงานการออกแบบของชายร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ ผู้ซึ่งกำลังยืนต้อนรับเจ้าของสวนกล้วยไม้ลงจากรถ

    “สวัสดีครับพี่เอทอส ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”

    คำทักทายสื่อถึงความสนิทสนม เรียกความสนใจโนอาร์ที่ลงจากรถกระบะตามเจ้าของสวนให้จ้องมอง เจ้าของร้านเป็นชายตัวเล็กดูบอบบางกว่าเขาอย่างชัดเจน เจ้าตัวสวมเสื้อแขนยาวสีขาวทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน ใบหน้าเรียบเนียนดูดีประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา ช่วยให้บรรยากาศโดยรอบชายคนนี้ดูอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทุกองค์ประกอบของชายเบื้องหน้าล้วนตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง จะมีเพียงอย่างเดียวที่ดูคล้ายกัน นั่นคือความรู้สึกที่อีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของแววตายามมองปีศาจ

    “สวัสดี นี่ของฝาก ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนายก็ยังตัวเท่าเดิม”

    เอทอสเดินไปด้านหลังกระบะ หยิบกระเช้ากล้วยไม้ส่งให้ชายร่างเล็ก พร้อมกล่าวหยอกล้อด้วยท่าทางสนิทสนม ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ยีผมชายตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของชายเลือดเย็นที่ตอนนี้ดูเหมือนจะถูกลืมและกลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นคนถูกละเลยก็ไม่ได้พยายามเรียกร้องหรือแสดงตน เพียงยืนนิ่งเฝ้ามองทุกอากัปกริยาของทั้งชายและปีศาจตรงหน้า จนกระทั่งเจ้าของร้านดอกไม้สังเกตเห็นจึงเอ่ยทักทาย

    “อา.. สวัสดีครับ ผมชื่อสีคราม เรียกย่อ ๆ ว่าครามก็ได้ครับ เป็นเจ้าของร้านดอกไม้ แล้วคุณ..”
    “โนอาร์ หลังกระบะยังมีกล้วยไม้อีก มัวแต่ยืนคุย กล้วยไม้ที่ขนมาคงถูกแดนเผาจนเสียหมด”

    ชายเลือดเย็นตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาที่พยายามสะกดให้เรียบนิ่ง พร้อมตำหนิเจ้าของร้านดอกไม้ที่มัวแต่ยืนคุยไร้สาระ ส่งผลให้คนที่พยายามผูกมิตรหน้าเสียรีบหันไปเรียกพนักงานภายในร้านมาช่วยกันยกกล้วยไม้หลังกระบะเข้าไปเก็บ
    บรรยากาศผิดปกติที่แผ่ออกมาจากตัวโนอาร์เรียกให้ปีศาจหันมอง ความหงุดหงิดฉายชัดบนนัยน์ตารัตติกาล ทว่าไม่ทันที่เอทอสจะได้เอ่ยถาม ชายเลือดเย็นกลับชิงพูดเสียก่อน

    “ผมจะอยู่แถวนี้ระหว่างรอคุณคุยงาน เสร็จแล้วโทรหาผม”

    ว่าจบมนุษย์เจ้าของบรรยากาศชวนอึดอัดก็หายเข้าไปในกลุ่มคนที่เดินสวนกันไปมา ทิ้งปีศาจที่ยังคงไม่เข้าใจท่าทีแปลกไปของมนุษย์ให้มองตามหลังจนอีกฝ่ายลับสายตา

     “คุณโนอาร์ล่ะครับ?” เจ้าของร้านเอ่ยถามหลังจากคุมพนักงานขนกล้วยไม้เข้าไปเก็บจนเรียบร้อย
    “คงเดินเล่นแถวนี้ เข้าไปในร้านเถอะ” เอทอสหันมาบอก ก่อนชวนอีกฝ่ายเข้าร้าน


    บริเวณส่วนหลังของร้านดอกไม้ถูกจัดเป็นห้องเล็ก ๆ ผนังโทนสีฟ้าอ่อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นห้องสำหรับให้เจ้าของร้านใช้ทำงานที่ต้องการสมาธิ เช่นการตรวจดูเอกสารหรือบัญชีการซื้อขายของร้าน และตอนนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับพูดคุยตกลงกันระหว่างเจ้าของสวนและเจ้าของร้านดอกไม้ ซึ่งการพูดคุยเป็นไปด้วยความราบรื่นเนื่องจากทั้งคู่เป็นคนรู้จักกัน

    สีครามรู้จักเอทอสในฐานะรุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม้ใบหน้าที่ติดดุและร่างกายที่สูงใหญ่จะทำให้คนอื่น ๆ ไม่ค่อยกล้าชวนเจ้าตัวคุยเล่นเท่าไรนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลามีงานหรือกิจกรรม เอทอสมักเป็นกำลังหลักคอยช่วยให้งานต่าง ๆ ผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยออกแรงยกของ หรือให้คำปรึกษาหารือ ในสมัยนั้นสีครามก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่หน้าดุอยู่เสมอ แม้บางครั้งเขาจะพยายามเอ่ยปฏิเสธด้วยความเกรงใจก็ตาม
    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อเกิดเป็นความประทับใจในตัวของอีกฝ่าย ค่อย ๆ สะสมมากขึ้นจนวันหนึ่งเขาก็ได้ลองบอกความรู้สึกออกไป

    ‘ถ้าสมมติมีผู้ชายมาบอกชอบพี่ พี่จะรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงหรือเปล่า’ สีครามในตอนนั้นรวมรวมความกล้ากั้นใจถามรุ่นพี่
    ‘ทำไมต้องรู้สึกอะไรแบบนั้น’

    ร่างสูงใหญ่ในชุดนักศึกษาพับแขนเสื้อขมวดคิ้ว ก่อนเงยหน้าจากกองงานของรุ่นน้อง แล้วถามกลับคนเริ่มบทสนทนา ขณะนั้นทั้งสองอยู่ใต้ตึกอาคารเรียนในช่วงพักเที่ยง โดยสาเหตุที่ปีศาจมาอยู่กับมนุษย์ได้เป็นเพราะ เอทอสเดินผ่านมาเห็นมนุษย์รุ่นน้องกำลังคร่ำเคร่งกับงานตรงหน้า จึงอาสาช่วยทำเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอเรียนในคาบถัดไป
    และสาเหตุที่ปีศาจต้องมาใช้ชีวิตนักศึกษาเหมือนมนุษย์คนหนึ่งก็เพราะ ผู้มีพระคุณส่งเขามาเรียนรู้แบบแผนการใช้ชีวิตรวมถึงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาสามารถอยู่ในสังคมมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน

    ‘ก็เพศเดียวกันรักกันมันแปลกจะตาย...’ รุ่นน้องเอ่ยตอบเสียงเบา
    ‘มีแต่พวกมนุษย์เท่านั้นแหละที่ตั้งกฎเกณฑ์ไร้สาระขึ้นมา ปีศา... อา.. พยายามจะบอกว่าไม่มีหรอกความรู้สึกอะไรแบบนั้น ที่ถามนี่แอบชอบใครอยู่หรือไง’

    เอทอสเผลอตอบอย่างลืมตัว ก่อนจะปรับคำพูดและถามมนุษย์ในฐานะรุ่นน้องกลับ ซึ่งสีครามก็ไม่ได้มีท่าทีสงสัยแต่อย่างใด เพราะรุ่นพี่คนนี้มีนิสัยชอบพูดอะไรแปลก ๆ หรือแทนตัวเองด้วยคำโบราณเช่น ข้า อยู่บ่อย ๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

    ‘ครับ... พี่เอทอส’
    ‘ว่า?’
    ‘ผมชอ.. ชอบ...พี่’
     ‘…’
    ‘ผมชอบพี่ครับ พี่เอทอส’

    คำสารภาพถูกเอ่ยออกไป พร้อมกับเจ้าตัวที่รีบก้มหน้าหลับตาเพราะกลัวจะถูกรุ่นพี่ต่อว่า ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่งผลให้รุ่นน้องค่อย ๆ ลืมตาและพบว่ารุ่นพี่กำลังมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก

    ‘ขอโทษครับ’
    ‘ขอโทษทำไม นายไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะฉันไม่ได้ชอบนาย’

    ถ้อยคำตอบปฏิเสธจริงจังราวกับน้ำเย็นจัดสาดใส่รุ่นน้องให้รู้สึกชาและหนาวเหน็บถึงภายใน ส่งผลให้สีครามถึงกับพูดอะไรไม่ออก ช่วงจังหวะหนึ่งเขาคิดว่าการถูกอีกฝ่ายต่อว่าหรือเงียบใส่ ยังดีเสียกว่าการตอบกลับตามตรงเช่นนี้

    ‘มนุษย์อย่างนาย ไม่เหมาะกับฉันหรอก’

    ปีศาจในบทบาทรุ่นพี่เห็นมนุษย์ตรงหน้าเงียบไป จึงพยายามกล่าวปลอบพร้อมกับตบไหล่อีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ แต่การกระทำดังกล่าวกลับทำให้มนุษย์ร้องไห้อย่างหนัก และนั้นทำให้ปีศาจทำตัวไม่ถูกจึงต้องอาศัยเพื่อนของสีครามที่เดินผ่านมาพอดีให้เข้ามาช่วยดู
    และทันทีที่เอทอสเล่าสาเหตุจบ กลับถูกเพื่อนของมนุษย์นั่นต่อว่า ก่อนที่ครู่หนึ่งเพื่อนมนุษย์จะเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังว่าใคร จึงรีบเอ่ยขอโทษด้วยท่าทีเกรง ๆ พร้อมแนะนำให้ตัวรุ่นพี่ออกไปก่อน


    เหตุการณ์น่าเศร้าในอดีตถูกหยิบยกเป็นเรื่องขบขันชวนให้นึกถึง เป็นหัวข้อสนทนาต่อมาหลังจากที่เจ้าของร้านดอกไม้และเจ้าของสวนกล้วยไม้พูดคุยธุระเสร็จสิ้น เกิดเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ ของรุ่นพี่และรุ่นน้องที่ต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวในช่วงเวลาที่ผ่านมา

    ทว่าการเอาเรื่องเก่ามาพูดของสีครามไม่ใช่เพียงแค่การหาเรื่องราวมาต่อบทสนทนา เพราะในส่วนลึกแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าเขายังคงรู้สึกดีกับชายตรงหน้าอยู่ ประกอบกับการลอบมองบริเวณนิ้วมือของอีกฝ่ายซึ่งไม่พบเครื่องผูกมัดแสดงการมีคู่ครอง จึงทำให้เขากล้าที่จะลองถามความรู้สึกของเอทอสอีกครั้ง

    “ป่านนี้แล้วพี่ยังไม่แต่งงานมีลูกอีกเหรอครับ”
    “อย่าว่าแต่ฉัน นายก็เหมือนกัน” เอทอสตอบกลับด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางเหลือบมองไปที่ข้อนิ้วของคู่สนทนา
    “ไม่กลัวไม่มีคนดูแลตอนแก่ตัวไปหรือครับ”
    “หึ ยังอีกนาน”

    แม้จะเหมือนเป็นการตอบกลับเล่น ๆ แต่สิ่งที่เอทอสพูดเป็นความจริง อายุขัยของปีศาจนั้นต่างจากของมนุษย์มาก เขาสามารถอยู่ได้หลายร้อยปี ขณะที่เขาเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่วัยชรา มนุษย์ตรงหน้าที่กำลังคุยกับเขาอยู่ตอนนี้อาจไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกแล้วก็ได้

    นึกถึงตรงนี้ภาพใบหน้าของชายเจ้าของกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในความคิด ในยามที่เขาแก่ตัว โนอาร์คงสิ้นอายุขัยไปนานแล้ว ความรู้สึกวูบโหวงพลันก่อเกิดเมื่อนึกถึงความจริงในส่วนนั้น แต่ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็เริ่มเลือนรางไป เมื่อปีศาจคิดเข้าข้างตัวเองว่า เมื่อถึงยามนั้นจริง วิญญาณของโนอาร์อาจจะคอยวนเวียนอยู่เคียงข้างเขา ไม่หนีหายหรือไปจุติใหม่ และเขาจะตอบแทนอีกฝ่ายด้วยการคุ้มครองไม่ให้ปีศาจตนอื่นจับวิญญาณคนของเขาไปเป็นอาหาร

     “...เป็นผมได้ไหม”
    “เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” เอทอสที่จมอยู่กับความคิดไม่ทันได้ฟัง จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
     “หากพี่ไม่มีใคร ให้โอกาสผมได้อยู่ข้าง ๆ พี่ได้ไหมครับ”

    ความรู้สึกตอนได้ยินคำสารภาพจากปากของมนุษย์ตรงหน้าเมื่อวันวานคล้ายหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง ในตอนนั้นที่เขาปฏิเสธเพราะเขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับอีกฝ่าย และอีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่เชื่อในความรู้สึกของมนุษย์ว่ามันจะมั่นคง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรู้สึกนั้นเป็นของจริง

    หากสีครามมาบอกเขาให้เร็วกว่านี้ มีความเป็นไปได้ที่เขาจะมอบโอกาสตามที่อีกฝ่ายร้องขอ และในวันข้างหน้าสักวันหนึ่งเขาอาจมีความรู้สึกเดียวกับสีคราม ทว่าตอนนี้และต่อจากนี้ไปมันไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะโอกาสที่สีครามเรียกร้อง เขายกให้ใครคนหนึ่งไปแล้ว

    “ไม่ได้ ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ เพราะมีคนที่อยากอยู่ด้วยแล้ว”

    นายใหญ่ของสวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งเจ้าของร้านดอกไม้ก็ไม่ได้มีทีท่าผิดหวังในคำตอบ เพราะส่วนตัวเขาเตรียมใจไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นนี้

    “เวลาอยู่กับใครคนนั้น พี่เอทอสมีความสุขหรือเปล่าครับ” เจ้าของร้านดอกไม้เอ่ยถาม
    “ปวดหัวมากกว่า”
    “แล้วใครคนนั้นดูแลพี่ดีไหมครับ”
    “ดี ดีมากจนบางครั้งก็เกินพอดี”

    เอทอสตอบกลับพลางนึกถึงวีรกรรมของมนุษย์ในความคิดที่คอยดูแลเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ส่วนสีครามเพียงนั่งฟังและสังเกตแววตาของคนฝั่งตรงข้าม เอทอสอาจไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งที่เจ้าตัวเอ่ยถึงใครคนนั้นนัยน์ตาดุสีอำพันหายากจะดูประกายขึ้นเล็กน้อย สื่อให้เห็นว่าคนที่กำลังถูกกล่าวถึงมีความสำคัญและเป็นคนพิเศษกว่าใคร


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 16 คนนอก]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-03-2020 17:29:54
(ต่อ)


    “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ก่อนกลับ ผมขอเลี้ยงมื้อกลางวันพี่สักมื้อได้ไหมครับ”

    สีครามเอ่ยหัวข้อใหม่เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มขาดช่วง ซึ่งเอทอสก็ตอบรับน้ำใจของอีกฝ่ายแต่โดยดี ก่อนจะชวนกันออกไปร้านอาหารใกล้ ๆ สำหรับทานมื้อกลางวัน ระหว่างนั้นร่างสูงใหญ่ไม่ลืมโทรหาโนอาร์ที่แยกตัวไปตั้งแต่มาถึงร้านขายดอกไม้

    รอไม่ทันเสียงสัญญาณแรกจะหายไป ปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยถามเหตุผลที่ปีศาจโทรมาด้วยเสียงติดเรียบนิ่งดั่งทุกที แต่อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาและอีกฝ่ายคุยกันผ่านโทรศัพท์ ถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของมนุษย์ช่างดูห่างเหิน

    “คุยเสร็จแล้ว?”
    “ใช่ สีครามขอเลี้ยงมื้อกลางวัน แล้วอยู่ไหน?”
    “ร้านอะไร?”

    ปลายสายเลือกถามกลับแทนที่จะตอบคำถาม และหลังจากที่เอทอสบอกชื่อร้านไป มนุษย์ได้เอ่ยตัดบทว่าให้ไปเจอกันที่นั่นก่อนกดตัดสายทิ้งทันที อาการผิดปกติของโนอาร์ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงตอนนี้ทำให้ปีศาจรู้สึกสับสนไม่เข้าใจในอารมณ์ของอีกฝ่าย ส่งผลสะท้อนผ่านคิ้วหนาบนใบหน้าคมเข้มที่เริ่มขมวดเข้าหากันหลังวางสาย

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” สีครามเอ่ยถาม เมื่อเห็นรุ่นพี่มีท่าทีแปลกไปหลังจากคุยโทรศัพท์
    “เปล่า”

    และสะท้อนผ่านการพูดโต้ตอบที่สั้นตัดบท ไม่คุยเล่นอย่างทุกที
    


     ณ ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมือง แต่กลับตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายดอกไม้มากนัก ทำให้สามารถเดินเท้ามาร้านได้โดยไม่ต้องอาศัยรถยนต์ ลูกค้าร่างสูงใหญ่กำยำกับชายร่างเล็กเดินเข้ามาในร้านก่อนเลือกนั่งโต๊ะบริเวณด้านในที่ไม่ค่อยมีผู้คน สีครามผู้เป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงอาหารมื้อนี้เอ่ยถามแขกร่วมโต๊ะว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษ แต่อีกฝ่ายกลับยกหน้าที่นั้นให้เขาตัดสินใจ เมนูขึ้นชื่อของร้านจึงถูกสั่งประมาณห้าถึงหกอย่าง


    เวลาผ่านไปจวบจนกระทั่งอาหารที่สั่งถูกวางบนโต๊ะจนครบ ทว่าแขกอีกคนหนึ่งก็ยังไม่ปรากฏตัว เอทอสเตรียมหยิบโทรศัพท์โทรหาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้กดโทร พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้ามาทางร้าน ปีศาจจึงเก็บโทรศัพท์ลงและนั่งรออย่างใจเย็น

    สักพักหนึ่งลูกค้าคนใหม่ก็เดินเข้ามาในร้าน ชายผิวขาวรูปร่างสูงสมส่วนดูดี แต่ติดที่ใบหน้าและนัยน์ตารัตติกาลแม้จะดูสงบนิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยความหงุดหงิด พานให้บรรยากาศโดยรอบดูเยือกเย็นไม่น่าเข้าใกล้ ผู้มาใหม่ใช้สายตากวาดมองรอบร้านเพียงครู่เดียวก็พบเป้าหมาย ก่อนเดินรวดเร็วมุ่งไปทางโต๊ะที่อยู่หลังสุด

    เมื่อมาถึงโนอาร์มองสิ่งต่าง ๆ บนโต๊ะและพบว่า อาหารทุกจานยังอยู่ในสภาพคล้ายเพิ่งถูกยกมาเสิร์ฟ ไม่มีร่องรอยของการรับประทานก่อน มีเพียงแค่น้ำในแก้วของแต่ละคนที่ดูพร่องไปนิดหน่อย แสดงให้เห็นว่าทั้งสองกำลังรอเขา
    ผู้มาใหม่มองหาที่ของตัวเอง เอทอสและสีครามนั่งคนละฝั่งของโต๊ะ มีเก้าอี้ว่างข้างตัวเจ้าของร้านดอกไม้และนายใหญ่สวนกล้วยไม้อย่างละหนึ่ง ทว่าตัวตัดสินว่าเขาควรนั่งตำแหน่งใดคือ ชุดจานและช้อนส้อมข้างปีศาจที่ยังไม่ถูกจับจองเป็นเจ้าของ

    “คุณโนอาร์ อยากสั่งอะไรเพิ่มเติม สั่งได้เลยนะครับ”

    สีครามพยายามสร้างไมตรีอีกครั้งหลังจากผู้มาใหม่นั่งข้างเจ้าของสวนเรียบร้อย แต่น่าเศร้าที่ชายเลือดเย็นไม่แม้แต่เหลียวมอง ราวกับเจ้าของร้านดอกไม้เป็นเพียงอากาศธาตุไร้ค่า คนพยายามผูกมิตรจึงต้องพับเก็บไมตรีนั้นลง ก่อนหันมองรุ่นพี่และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองโนอาร์อยู่เช่นกัน

    นัยน์ตาสีอำพันติดดุจ้องมองคนข้างตัวคล้ายต้องการคาดคั้นบางอย่าง ทว่านัยน์ตาคู่นั้นนอกจากความหงุดหงิดไม่เข้าใจแล้วยังแฝงด้วยความกังวลในส่วนลึก ความจริงเอทอสอยากคุยกับโนอาร์เสียตอนนี้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ มนุษย์นี่ถึงแสดงทีท่ามึนตึงใส่เขา แต่ขณะนี้ไม่เหมาะแก่การพูดคุย ดังนั้นปีศาจจึงละความพยายามก่อนหันหน้ากลับมาและพบว่าสีครามที่นั่งฝั่งตรงข้ามกำลังมองพวกเขาอยู่ มนุษย์รุ่นน้องเพียงระบายยิ้มบางเบาคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง ทว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายกลับเจือด้วยความเศร้าหมอง ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าหลบสายตาและเอ่ยเชิญเพื่อเริ่มทานมื้อกลางวัน


    หลังมื้อกลางวันอันแสนสงบเงียบเนื่องจากไร้ซึ่งการสนทนาระหว่างกัน ทั้งสามเดินกลับมาที่ร้านดอกไม้ เจ้าของสวนหยุดอยู่หน้าประตูร้านกล่าวลามนุษย์รุ่นน้อง สวนคนเย็นชาเดินหายขึ้นรถกระบะ แม้เพียงเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายยังไม่คิดเหลียวมอง คำลาใด ๆ จึงไม่ต้องพูดถึง

    สีครามที่คิดกังวลอยู่ตลอดทางกลับมาที่ร้านว่า เขาอาจเป็นสาเหตุทำให้คนที่มากับรุ่นพี่ไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นหลังการกล่าวลาเรียบร้อย เจ้าของร้านจึงฝากคำขอโทษถึงใครอีกคน ซึ่งเอทอสได้รับปากพร้อมตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องคิดมาก แล้วจึงเดินขึ้นรถกระบะและขับออกจากที่นี่โดยมีมนุษย์รุ่นน้องคอยยืนส่งก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไป

    
    “สีครามฝากขอโทษเจ้า ตั้งแต่มาที่นี่เจ้าหงุดหงิดอะไร” เอทอสเอ่ยถามคนข้างตัวหลังขับรถออกมาได้สักพักหนึ่ง
    “พาผมมาพบคนรักเก่าของคุณ คิดอะไรอยู่”

    โนอาร์สวนคำถามกลับพร้อมมองปีศาจด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่พยายามสกัดกั้น เขาไม่เข้าใจว่าเอทอสต้องการทดสอบความอดทนอะไรเขา ถึงได้แกล้งให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น หากเขาไม่รีบออกมาหรือพยายามมองผ่านสีครามเป็นเพียงอากาศว่างเปล่า มั่นใจได้เลยว่าเจ้าของร้านดอกไม้คนนั้นจะมีชีวิตไม่ถึงแสงสุดท้ายของวันนี้ และนั่นหมายถึงสัญญาที่เขาเพียรรักษาว่าจะไม่ฆ่าข้าใครหากปีศาจไม่อนุญาต จะกลายเป็นเขาที่พลั้งทำลายมันด้วยน้ำมือตัวเอง

    “คนรักเก่า? พูดอะไรของเจ้า ไปเอามาจากไหน”

    ปีศาจขมวดคิ้วแน่นพร้อมถามกลับ นัยน์ตาสีอำพันเจือไปด้วยอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นระดับหนึ่งเนื่องจากเขาถูกมนุษย์กล่าวหาในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง

    “สีครามเป็นมนุษย์ที่ข้ารู้จักในช่วงที่ต้องเรียนเพื่ออยู่ในสังคมมนุษย์”
    “ข้าให้ความสำคัญสีครามเสมือนน้องของข้า แม้ครั้งหนึ่งมนุษย์นั่นจะเคยมองข้าเป็นมากกว่าพี่ แต่ข้าไม่เคยตอบรับความรู้สึกของสีครามหรือของใครอื่น”
     “…”
    “ตลอดมาข้าไม่เคยมีผู้ใด นอกจากเรื่องดูแลสวนที่ผู้มีพระคุณทิ้งไว้ให้ข้าสานต่อ ชีวิตข้าก็ไม่มีสิ่งใดอีก”
    “…”
    “อย่าเอาข้าไปเหมารวมกับมนุษย์อย่างพวกเจ้า ความรู้สึกของปีศาจเป็นสิ่งมั่นคง เมื่อมอบให้ใครแล้วจะคงอยู่ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยอย่างพวกมนุ.. เจ้ายิ้มอะไร?”

    ขณะที่เอทอสกำลังโต้แย้งในสิ่งที่ถูกมนุษย์กล่าวหาตน รู้สึกว่าเสียงอีกฝ่ายเงียบหายไป จึงอาศัยช่วงจังหวะที่รถหยุดเนื่องจากสัญญาณไฟจราจรหันไปมองมนุษย์ข้างตัวแล้วพบว่า บัดนี้อารมณ์ขุ่นเคืองและบรรยากาศกดดันชวนอึดอัดก่อนหน้าของโนอาร์นั้นได้หายไปจนหมดสิ้น แทนที่ด้วยรอยยิ้มมุมปากและนัยน์ตารัตติกาลประกายขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง

    อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงของมนุษย์สร้างความสับสนให้กับปีศาจอย่างมาก ส่งผลให้คิ้วหนาเหนือนัยน์ตาดุสีอำพันขมวดเข้าหากันมากกว่าเก่า และไม่ทันที่ปีศาจจะถามซ้ำอีกครั้ง มนุษย์กลับชิงพูดก่อนและนั้นทำให้อารมณ์ปีศาจยิ่งพุ่งสูงยิ่งขึ้น

    “คุณบอกว่าไม่เคยตอบรับความรู้สึกของใคร ไม่ใช่เรื่องจริง”
    “อย่าใส่ความข้า โนอาร์” ปีศาจใช้น้ำเสียงกดต่ำเตือนมนุษย์ที่ไม่เลิกกล่าวหาเขา
    “ผมไม่ได้ใส่ความ เพราะตอนนี้คุณกำลังตอบรับความรู้สึกของผมอยู่”

    คำตอบของมนุษย์ทำให้ปีศาจชะงักไปครู่หนึ่งพร้อมกับความหงุดหงิดที่เริ่มลดลง เอทอสมองสบลึกเข้าไปในดวงตารัตติกาล ไม่นานเขาก็รู้ถึงสาเหตุของประกายในแววตานั้นเกิดจากความดีใจของผู้เป็นเจ้าของ ส่วนเหตุผลของความดีใจคงเป็นอื่นไม่ได้นอกเสียจากได้ฟังคำไขข้อข้องใจจากปากเขา

    เมื่อเห็นดังนั้นอารมณ์ที่เคยพุ่งสูงขึ้นของปีศาจจึงสงบลง ก่อนต่อว่ามนุษย์ที่คิดและเข้าใจผิดไปเอง พร้อมกับหันไปขับรถอีกครั้ง เนื่องจากสัญญาณไฟตอนนี้กลายเป็นสีเขียวให้รถเคลื่อนตัว

    “ทีหลังมีอะไรให้ถามข้า ไม่ใช่คิดเองเออเองแล้วพลอยให้ข้าเดือดร้อนไปด้วย”
    “ผมมีคำถาม แต่คุณไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะผมคิดว่าผมรู้คำตอบแล้ว”
    “คำถามอะไร? ถามมา” ปีศาจเอ่ยสั่งมนุษย์ เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายอาจตีความผิดเหมือนเรื่องของสีคราม
    “คุณรักผมหรือยัง”
    “…”

    โนอาร์หันมองปีศาจที่สั่งให้เขาถาม แต่ตัวเองกับนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ผ่านไปสักพักหนึ่งเมื่อแน่ใจว่าเอทอสคงไม่ยอมปริปากแน่ ๆ รอยยิ้มมุมปากจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมเอ่ยตอบคำถามด้วยตนเอง

    “รู้ไหม เวลามนุษย์แสดงออกว่าแคร์ใครสักคน เขาจะพยายามพูดอธิบาย แม้บางเรื่องไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ทั้งหมดเพียงเพื่อให้คนที่เขารักรู้สึกสบายใจ ไม่คิดมากหรือเป็นกังวล”
    “…”
    “กับปีศาจผมมั่นใจว่าไม่ต่างกัน”
    “แล้วแต่เจ้าจะคิด”



    หลังการแก้ไขความเข้าใจผิดของมนุษย์ ทั้งสองก็ได้ฆ่าเวลาตามพื้นที่ต่าง ๆ รอบเมืองเพื่อรอการนัดหมายสุดท้ายในช่วงค่ำ และเมื่อดวงอาทิตย์ลับของฟ้า รถกระบะสีดำจึงได้เดินทางไปยังสถานที่นัดพบตามคำบอกทางของมนุษย์ข้างกาย

    ร้านนั่งชิลแห่งหนึ่งในตัวเมืองถูกเลือกเป็นสถานที่เจรจาในคืนนี้ บรรยากาศช่วงหัวค่ำมีลมพัดโชยบางเบา ผสานกับแสงไฟประดับรอบบริเวณและเพลงจังหวะสบาย ๆ ขับกล่อมเหล่าลูกค้าที่ทยอยเข้ามาให้รู้สึกผ่อนคลาย มุมหนึ่งของร้านจัดเป็นเวทีเล็ก ๆ สำหรับให้นักร้องขึ้นไปขับร้องสร้างความสุนทรีย์ แต่เหมือนว่าขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาแสดง จึงทำให้บนเวทีนั้นมีเพียงเครื่องดนตรีไร้คนเล่น

    หนึ่งมนุษย์และปีศาจเดินเข้ามาในร้าน แม้จะเป็นช่วงหัวค่ำแต่กลับมีคนจับจองตามโต๊ะต่าง ๆ จนร้านเริ่มแน่น บ่งบอกสถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมสำหรับใครหลายคน โนอาร์กวาดสายตาหาผู้ว่าจ้าง ส่วนเอทอสก็ชมบรรยากาศรอบตัวก่อนจะหยุดมองที่ชายคนหนึ่ง
 
    ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าสายตาของปีศาจ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มพับแขนเสื้อถึงศอก กำลังนั่งดื่มและมองกลับมาที่เขาและโนอาร์เช่นกัน สัมผัสกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายผสานกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นยากต่อการคาดเดาสาเหตุ ทำให้มนุษย์ผู้นั้นดูไม่น่าไว้วางใจ และสิ่งที่รายล้อมรอบตัวชายคนดังกล่าว เริ่มทำให้คิ้วหนาเหนือนัยน์ตาสีอำพันขมวดเข้าหากัน พร้อมเตรียมระวังมนุษย์ข้างกาย
    ส่วนโนอาร์ผู้เฝ้ามองปีศาจอยู่เสมอ เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของอีกฝ่าย จึงไล่สายตามองตามและพบว่าเอทอสกำลังมองไปที่ผู้ว่าจ้างที่เขาตามหาอยู่

    “มีอะไรหรือเปล่า” โนอาร์เอ่ยถาม
    “มนุษย์นั่นเป็นเหมือนจิน”

    เอทอสตอบพลางมองเหล่าวิญญาณรอบตัวชายคนนั้น ไม่มีทางที่วิญญาณจะอยู่นิ่งราวกับพร้อมรับคำสั่งถ้าไม่ถูกควบคุมไว้

    “และเป็นคนที่นัดผม”

    มนุษย์ต่อประโยคก่อนก้าวนำปีศาจไปหาผู้ว่าจ้าง คำบอกเล่าของปีศาจคล้ายคำเตือนให้ระวังตัว ดังนั้นโนอาร์จึงเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของคนที่เป็นเป้าสายตาของปีศาจ ซึ่งหากอีกฝ่ายมีท่าทีตุกติกหรือมีแผนการบางอย่าง เขาจะชิงลงมือก่อนทันที

    “เพิ่งมาถึง นั่งพักก่อนสิ อยากดื่มอะไรสั่งได้เลย”

    ผู้ว่าจ้างเอ่ยชวน หลังจากมนุษย์และปีศาจนั่งเก้าอี้เรียบร้อย ทว่าโนอาร์กลับปฏิเสธด้วยการเอ่ยเข้าเรื่องทันทีไม่คิดเสียเวลา

    “ไม่ทราบว่าคุณอยากให้ผมจัดงานให้ใครครับ”
    “อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ ว่าแต่... เอาคนนอกมาฟังด้วยจะดีเหรอ”

    ผู้ว่าจ้างเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะเหลือบมองชายร่างสูงใหญ่ที่แขกของตนพามาด้วย ทว่าคำพูดถากถางนั้นแทนที่จะมีผลต่อเอทอสที่ถูกมองเป็นคนนอกส่วนเกิน กลับส่งผลกระทบโดยตรงต่อโนอาร์เสียแทน ทำให้บรรยากาศรอบตัวมนุษย์ผู้มีกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นที่สุดในที่นี้ ดูเยียบเย็นและอันตรายขึ้นระดับหนึ่ง พร้อมถ้อยคำตอบกลับที่ไม่ได้ลงท้ายด้วยครับ แสร้งถึงความสุภาพยามคุยงานกับลูกค้าอย่างทุกที

    “คนนอก.. คนที่ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จนต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนอ้อนวอนขอให้คนอื่นช่วย คนพวกนี้ต่างหากที่เป็นคนนอก”

    คำตอบกลับของแขกที่กล่าวแทนร่างสูงใหญ่ ถึงกับทำให้ผู้ว่าจ้างหน้าตึงและชะงักไปจังหวะหนึ่ง ก่อนที่บนใบหน้าผู้จ้างวานจะประดับด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ทว่าแววตากลับไม่ได้ยิ้มตาม

    “พูดแบบนี้กับลูกค้า ไม่กลัวเสียงานเหรอ”
    “อย่าสำคัญตนผิดไป หนึ่ง บทบาทลูกค้าของคุณไม่ได้มีค่าพอที่จะมาต่อรองกับผม สอง งานจะรับหรือไม่ผมต่างหากเป็นผู้ตัดสินใจ และสาม สำเหนียกไว้ว่าคุณเป็นเพียงคนนอกที่มาขอความช่วยเหลือ อย่าหลงละเลิงในสถานะของตัวเองจากคำเยินยอของคนอื่นที่คุณเคยได้ยิน เพราะมันใช้ไม่ได้กับผม”
    “ติ้ง!”

    เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ของผู้จ้างวานดังขึ้น และเมื่อหยิบขึ้นมาดูพบว่าเป็นข้อความแสดงเงินโอนเข้า ยอดเงินเท่ากับจำนวนค่าจ้างที่เขาเคยโอนให้อีกฝ่าย ส่งผลให้อารมณ์ผู้ว่าจ้างตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจจากการถูกโนอาร์หักหน้าอย่างไม่มีชิ้นดี

    “ไปอ้อนวอนขอคนอื่น เพราะผมไม่รับงานคนมารยาทต่ำ”

    เอ่ยจบโนอาร์ก็ได้ลุกขึ้นและชวนร่างสูงใหญ่ข้างกายกลับ โดยไม่แม้แต่เหลียวแลลูกค้าที่จ้องมองตนด้วยอารมณ์โทสะ ซึ่งระหว่างการเดินออกจากร้าน โนอาร์ได้เดินสวนกับพนักงานที่กำลังถือหม้อไฟร้อนเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าโต๊ะหนึ่ง และช่วงจังหวะนั้นเองที่พนักงานเหมือนสะดุดอะไรบางอย่าง ส่งผลให้ตัวหม้อไฟและน้ำแกงเดือดสาดเข้าใส่มนุษย์อย่างจัง

    “หมับ!!”
    “ซ่า!!!”
    “คุณ!!”

    วินาทีที่หม้อไฟจะถึงตัวโนอาร์ ปีศาจที่อยู่ข้างกันใช้ความว่องไวที่มากกว่าดึงโนอาร์เข้าหาและเอาตัวบัง พร้อมใช้แขนปัดหม้อไฟนั้นทิ้ง ส่งผลให้ท่อนแขนและลำตัวด้านหนึ่งของเอทอสถูกน้ำแกงเดือดจากหม้อไฟลวกใส่
    โนอาร์ที่เห็นเหตุการณ์ก็หมายเข้าไปจัดการพนักงานที่ตื่นตกใจและพยายามกล่าวขอโทษ ทว่าไม่ทันที่โนอาร์จะถึงตัวพนักงานกลับถูกปีศาจลากขึ้นรถ เสี้ยววินาทีหนึ่งเอทอสได้หันกลับไปมองผู้ว่าจ้างด้วยความโกรธเกรี้ยวที่กล้าเล่นงานโนอาร์ต่อหน้าเขา ก่อนจะขึ้นรถกระบะและขับออกไป เพราะพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มมนุษย์แบบนี้ เขาไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือเขาต้องรีบพาโนอาร์ออกจากที่นี่ ก่อนที่คนนอตหลุดจะลงมาไล่ฆ่าพนักงานที่เป็นแพะรับบาป


    “นี่เหรอคนที่แนะนำ พยศขนาดนี้คุมไม่ได้ง่าย ๆ เลยนะ” ผู้ว่าจ้างเอ่ยขึ้นหลังมองส่งรถกระบะจนลับสายตา
    “ก็ไม่ได้จะคุมตอนที่เป็นคนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

    วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งกล่าวตอบ เรียกรอยยิ้มยากจะคาดเดาให้ปรากฏบนใบหน้าของผู้ว่าจ้างอีกครั้ง

    วิญญาณจะแข็งแกร่งหรือไม่ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์และความชั่วร้ายของดวงวิญญาณ แต่สิ่งที่เขาต้องการคือวิญญาณที่เต็มไปความชั่วร้าย เพราะเมื่อควบคุมได้ ก็เปรียบเสมือนมีวิญญาณอารักขาที่แข็งแกร่งคอยไว้เรียกใช้งาน และยังสร้างความน่าเกรงขามยากต่อใครจะกล้าต่อกร และดูเหมือนโนอาร์จะมีทุกสิ่งที่เขาตามหา

    ไม่นานหลังจากรถกระบะขับออกไป ผู้ว่าจ้างจึงเดินออกจากร้านพร้อมกับเหล่าวิญญาณรับใช้นับสิบดวง เพื่อไปเตรียมแผนการขั้นถัดไป เพราะเป้าหมายยามค่ำคืนนี้มีเพียงมาดูว่าวิญญาณอีกฝ่ายควรค่าแก่การลงแรงหรือไม่ ซึ่งโนอาร์ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง

    “พยศให้เต็มที่ ก่อนที่ฉันจะรับนายมาอยู่ด้วย โนอาร์”
    


บท16 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 16 คนนอก) [26/03/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-03-2020 22:38:44
ขอบคุณที่มาต่อนะครับ เนื้อเรื่องยังเดินได้อีกยาว
เข้าใจโนอาร์นะ ก็แฟนรูปหล่อนี่นาย่อมหึงเป็นธรรมดา
จากที่เป็นนักล่า กำลังจะกลายเป็นถูกล่า อยู่ใกล้เอทอสเข้าไว้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 16 คนนอก) [26/03/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 02-04-2020 04:54:37
ระวังตัวด้วยนะทั้งสองคน
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 17 ความชอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 17-04-2020 01:14:28
    

    หลายวันผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายภายในร้านนั่งชิล มนุษย์ฟิวส์ขาดก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องพนักงานซุ่มซ่ามมาคิดอีก เพราะเห็นแก่ปีศาจที่บอกว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุ อีกทั้งอาการบาดเจ็บของปีศาจในวันรุ่งขึ้นก็หายเป็นปลิดทิ้งจากความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง มนุษย์ผู้เป็นเดือดเป็นแค้นแทนจึงยอมปล่อยวาง

    ขณะนี้หนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจกำลังนั่งฟังรายการข่าวทางโทรทัศน์ในห้องรับแขก พลางรับประทานมื้อเช้าไปด้วยอย่างไม่รีบร้อน เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของเจ้าของสวน บรรยากาศสงบในยามเช้าโอบล้อมสองสมาชิกและบ้านพักทรงไทยประยุกต์ จนกระทั่งถึงข่าวรายงานคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้

    ข่าวของชายคนหนึ่งถูกจับขังในห้องน้ำภายในห้องพักของตน ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ถ้าหากแขนข้างหนึ่งของชายคนดังกล่าวไม่ขาด และมืออีกข้างไม่ถูกตัดนิ้วจนหมด เหลือเพียงฝ่ามือที่ไม่สามารถใช้หยิบจับสิ่งใดได้อีก เป็นผลให้ชายเคราะห์ร้ายไม่สามารถเปิดประตูห้องน้ำเพื่อหนีออกไปขอความช่วยเหลือได้ และจำต้องติดอยู่ภายในนั้นหลายวัน

    พลเมืองดีผู้แจ้งเหตุเล่าเหตุการณ์ว่าตนได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจากห้องที่เกิดเหตุ จึงได้เคาะเรียก ทว่าไม่มีใครตอบ เขาเลยลองบิดประตูและพบว่าห้องไม่ได้ล็อกเลยถือวิสาสะเข้าไป ทำให้เขาได้พบต้นตอของกลิ่นเน่าเหม็นที่ทำให้แทบอาเจียนออกมา กลิ่นเหม็นพวกนั้นมาจากแขนและนิ้วที่ถูกตัดทิ้งกระจัดกระจายตามพื้นห้องจนเริ่มเน่า คราบเลือดเปรอะเปื้อนตามกำแพงและพื้น โดยปลายทางของรอยเลือดหายเข้าไปในห้องน้ำ เขาจึงทำใจกล้าเปิดดู และได้พบชายผู้เป็นเจ้าของแขนและนิ้วเหล่านั้นในสภาพอิดโรย ถูกผ้าปิดปากไม่ให้ส่งเสียง กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องน้ำ โชคดีที่ได้ผ้าปฐมพยาบาลห้ามเลือดไว้ จึงทำให้ชายเคราะห์ร้ายรอดชีวิตมาได้แต่อาการสาหัสพอสมควร และกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต

    ถึงตรงนี้ปีศาจได้ละสายตาจากโทรทัศน์ หันมองมนุษย์ข้างกายที่ยังสามารถทานมื้อเช้าได้อย่างปกติ ราวกับข่าวสะเทือนขวัญเมื่อครู่ไม่ต่างจากข่าวรายงานสภาพดินฟ้าอากาศ เอทอสจะไม่รู้สึกสงสัยเลย หากสถานที่เกิดเหตุไม่ใช่ในเมืองย่านร้านขายดอกไม้ของสีคราม และเวลาประมาณการณ์จากเจ้าหน้าที่ที่นักข่าวรายงานไม่ตรงกับหลายวันก่อนที่เขาและโนอาร์มีนัดคุยงาน

    “เจ้ามีอะไรอยากสารภาพกับข้าไหม”

    ปีศาจเอ่ยถามมนุษย์ข้างกาย ส่งผลให้มนุษย์จำต้องวางช้อนส้อมลง ก่อนหันหน้ามองปีศาจพร้อมยืดหลังตรงและสูดหายใจเข้าลึก เตรียมเอ่ยคำสารภาพด้วยท่าทีจริงจัง
 
    “ผมรักคุณ”
    “อย่าเฉไฉโนอาร์ เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร”

    ปีศาจตอบกลับมนุษย์ด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อพร้อมถามย้ำอีกครั้ง โนอาร์เมื่อเห็นว่าเอทอสไม่หลงกลจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนยอมเล่าสารภาพความจริง

    “ตอนนั้นที่ผมแยกกับคุณ ผมกำลังหงุดหงิดเลยเดินหาที่เงียบ ๆ เพื่อสงบอารณ์ แต่ชายคนนั้นมาเสนอตัวเป็นของเล่นผมเอง แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธ”
    “เสนอยังไง” เอทอสถามต่อ
    “อาศัยตอนที่ผมเดินเข้าไปในทางเปลี่ยวคนเดียว ชายคนนั้นเอามีดมาจี้ข้างหลังและบอกให้ผมส่งของมีค่าไปให้หมด ผมเลยทำตามที่เขาสั่ง ส่งมีดไปแทงที่แขน คุณไม่ต้องกังวลนะครับ มีดนั่นเป็นมีดของผมเอง ไม่ใช่มีดที่คุณให้ โจรนั่นมันไม่มีค่าพอให้สัมผัสมีดของคุณหรอก”
    “หลังจากนั้นผมก็เค้นถามว่าเขาพักที่ไหน เพราะผมจะขอใช้สถานที่ และพอไปถึง ผมเลยบรรจงเอาขวานสั้นสับแขนที่กล้าใช้มีดจี้ผมจนขาด หลังจากนั้นเราได้เล่นเกมตอบคำถามกัน แต่เขาไม่ยอมตอบ ผมเลยตัดนิ้วเขาทิ้ง ตัดจนหมดถึงเพิ่งนึกได้ว่าผมลืมเอาผ้าที่ปิดปากออก เขาเลยตอบไม่ได้ และคุณก็โทรมาพอดีผมเลยหยุดแค่นั้น”
    “ก่อนไปผมช่วยห้ามเลือดเขาไว้จะได้ไม่ตาย และก็ไม่ตายจริง ๆ เห็นไหมผมรักษาสัญญาว่าจะไม่ฆ่าใคร”

    มนุษย์เลือดเย็นเล่าเหตุกาณ์อย่างละเอียดให้ปีศาจฟังด้วยในนัยน์ตารัตติกาลที่ฉายชัดถึงความสนุกสนานในยามนั้น ส่วนปีศาจผู้รับฟังก็พูดอะไรไม่ออก ในส่วนลึกแล้วเขารู้ดีว่าโนอาร์ไม่เคยเปลี่ยนไป จิตใจยังคงดำมืดเช่นเดิม เพียงแค่ไม่ฆ่าตามที่สัญญากับเขาแค่นั้น
    ทว่าจะให้เขาสั่งมนุษย์เพิ่มอีกว่าห้ามทำร้ายใคร เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะหากเขาสั่ง ในอนาคตหากมีเหตุการณ์ทำนองนี้ฝ่ายที่ถูกเล่นงานอาจเป็นคนของเขาแทนที่จะเป็นโจรชิงทรัพย์ ซึ่งเขาไม่มีทางให้เป็นแบบนั้น

    หากต้องเลือกระหว่างปล่อยให้โนอาร์เล่นงานคนอื่นกับให้โนอาร์บาดเจ็บเพื่อไม่ขัดคำสั่งของเขา เขายอมให้โนอาร์เป็นแบบนี้ต่อไปเสียยังดีกว่า อาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว ใช่ เขาก็รู้สึกไม่ดีเช่นกันที่เลือกแบบนั้น แต่ในเรื่องของสิ่งสำคัญ ไม่ว่ามนุษย์หรือปีศาจก็ล้วนมีความเห็นแก่ตัวเหมือนกันหมด

    “ทำไมตอนนั้นตามตัวเจ้าถึงไม่เปื้อนเลือด”

    นัยน์ตาดุสีอำพันเจือด้วยความไม่พอใจการกระทำของมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็ยังคงถามต่อ เพราะเขาจำได้ว่าตอนโนอาร์เข้ามาในร้านอาหาร เสื้อผ้าและร่างกายสะอาดสะอ้านปราศจากร่องรอยการทำเรื่องเลวร้ายมา

    “ผมมีชุดสำรองเก็บไว้ในรถของคุณ ตอนออกมา ผมยืมชุดของชายคนนั้นใส่ แล้วค่อยมาเปลี่ยนชุดที่รถของคุณก่อนไปร้าน”
    “แล้วเจ้าเปิดรถได้ยังไง ในเมื่อกุญแจอยู่กับข้า”

    เอทอสขมวดคิ้วถาม ส่วนโนอาร์ก็ปั้นหน้านิ่งแต่นัยน์ตารัตติกาลแฝงด้วยความระแวงว่าอาจถูกปีศาจโกรธ ก่อนจะก้มหยิบบางสิ่งส่งให้ปีศาจ นั่นคือกุญแจรถยนต์ที่เหมือนของเอทอสทุกประการ

    “ผมแอบเอากุญแจรถคุณไปทำสำรอง คุณไม่โกรธผมใช่ไหม”
    “มากลัวข้าโกรธอะไรกับเรื่องพวกนี้ ในเมื่อเรื่องก่อนหน้าที่เจ้าทำมันน่าโมโหกว่ามาก”

    เอทอสตอบกลับด้วยความไม่พอใจเท่าไรนักที่โนอาร์ห่วงเรื่องพวกนี้มากกว่าจะห่วงว่าอาจทำใครตาย แม้นั่นจะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ใส่ใจความรู้สึกเขามากก็ตาม ก่อนจะส่งคืนกุญแจรถนั้นให้โนอาร์ตามเดิม ส่วนโนอาร์ที่ไม่ได้ถูกต่อว่าหนักอย่างที่จินตนาการไว้ ก็พลันดีใจรีบรับกุญแจคืนก่อนหยิบกุญแจอีกดอกหนึ่งยื่นส่งให้ปีศาจ

    “กุญแจสำรองรถผม ถือเป็นของไถ่โทษที่ผมแอบเอากุญแจคุณไปทำโดยไม่ขอคุณก่อน”
    “เรื่องที่เจ้าควรกังวลให้ข้าหายโกรธควรเป็นเรื่องที่เจ้าทำร้ายขโมยนั่นนักขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องพวกนี้”

    ปีศาจกล่าวตำหนิมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นก็รับกุญแจมา ทว่าโนอาร์ก็ไม่ได้ตอบกลับ แสร้งหันไปทานมื้อเช้าต่อเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของปีศาจ เอทอสที่เห็นดังนั้นก็ไม่อยากต่อเรื่องราวให้ยืดยาวจึงยอมปล่อยผ่าน หันกลับไปทานมื้อเช้าส่วนของตนเช่นกัน


    เวลาผ่านไปจวบจนทั้งคู่ทานมื้อเช้าเสร็จสิ้น และเป็นจังหวะเดียวกับที่บริเวณหน้าบ้านพักทรงไทยประยุกต์ได้มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนไม่นานจะปรากฏร่างเด็กชายวัยรุ่นพร้อมเสียงทักทายเริงร่าเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

    “อาเอทอส พี่โนอาร์ อรุณสวัสดิ์ครับ”
    “อืม อรุณสวัสดิ์” เอทอสตอบรับคำทักทาย
    “ตอนแรกผมนึกว่ามาผิดหลัง ทั้งรั้วไฟฟ้า กล้องวงจรปิด ประตูรั้วสแกนลายนิ้วมือ ผมคิดว่าจะเข้าไม่ได้ซะแล้ว แต่พอลองสแกนดูรั้วก็เปิดเองด้วย! ป้องกันขนาดนี้ผมว่าโจรคงไม่กล้าเลือกบ้านอาแล้วละ”

    นาวาบอกเล่าความรู้สึกเมื่อเห็นอุปกรณ์เสริมรอบบ้านทรงไทยประยุกต์ด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดว่าหลังซ่อมส่วนที่พังเสียหาย อาเอทอสจะติดอุปกรณ์ป้องกันภัยมากมายราวกับที่นี่เป็นฐานทัพอะไรสักอย่าง ซึ่งเจ้าบ้านเพียงพยักหน้าตอบรับพอเป็นพิธี ส่วนตัวการต้นเรื่องทำเป็นอาสานำจานมื้อเช้าไปเก็บ ก่อนจะหายไปทางส่วนครัวปล่อยให้ปีศาจรับหน้าแทน เพราะตัวเองขี้เกียจมานั่งต่อบทสนทนาไม่รู้จบกับนาวา


    ผ่านไปสักพักใหญ่ หัวข้อสนทนาเรื่องอุปกรณ์เสริมรอบบ้านก็ได้จบลง เอทอสจึงรีบเดินหายเข้าห้องเพราะไม่อยากคอยนั่งตอบคำถามของเด็กพูดเก่งอีก นาวาที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครให้คุยด้วยแล้วจึงได้ฤกษ์ทำงานบ้านซึ่งเป็นหน้าที่หลักของตนเองสักที

    งานที่นาวาได้รับหมอบหมายไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่นำผ้าในตะกร้าไปโยนใส่เครื่องซัก ระหว่างรอก็ปัดกวาดเช็ดถูภายในบ้านให้สะอาด เสร็จแล้วจึงนำผ้าในเครื่องไปตากที่หลังบ้าน และกลับมารีดชุดทำงานที่อาเอทอสแยกไว้ก่อนนำไปเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย เป็นอันจบงานของวันนี้

    โดยสาเหตุที่นาวาได้รับหน้าที่ดูแลบ้านให้นายใหญ่ของสวนเป็นเพราะ เขาอยากหาเงินมาผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ที่เขาเก็บเงินซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง จึงได้หางานพาร์ทไทม์ทำ คืนหนึ่งเขาเลิกงานดึก ด้วยความที่อยากกลับไปนอนเร็ว ๆ เลยใช้ทางลัดขับกลับบ้านโดยต้องผ่านสุสานซึ่งเป็นทางเปลี่ยว โชคไม่ดีในวันนั้น เขาถูกคนร้ายที่แอบขับตามมาขนาบข้างและถีบรถมอเตอร์ไซค์จนล้ม พวกนั้นรีบเข้ามาทำร้ายและพยายามค้นหาของมีค่า ทว่าจังหวะนั้นเองได้มีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเขา และจัดการพวกขโมยทั้งหมดก่อนพาเขาส่งโรงพยาบาล ด้วยความที่แถบนั้นมันมืดสนิท มีแค่แสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์ เขาเลยเห็นหน้าพลเมืองคนนั้นไม่ถนัด

    จนมาถึงโรงพยาบาลถึงรู้ว่าคนที่มาช่วยคืออาเอทอส เจ้านายของพ่อและเป็นเจ้าของสวนที่พ่อเขาทำงานอยู่ ไม่นานนักพ่อกับแม่ก็มาหาเขาที่โรงพยาบาลคงเป็นเพราะพลเมืองดีร่างสูงใหญ่เป็นคนโทรแจ้งข่าว หลังการกล่าวขอบคุณและพูดคุยสักพักหนึ่ง อาเอทอสจึงเสนอให้เขาออกจากงานพาร์ทไทม์และมารับงานดูแลบ้านแทน ซึ่งพ่อกับแม่เขาก็เห็นด้วย เขาเลยได้งานใหม่เป็นการเข้ามาดูแลทำความสะอาดบ้านพักทรงไทยประยุกต์จนถึงปัจจุบัน

    หลังเหตุการณ์นั้นนาวาลองกลับมาคิดทบทวนดูแล้วเกิดความสงสัยว่า เวลาแบบนั้นนายใหญ่ของสวนไปทำอะไรที่สุสาน เลยได้ลองหาโอกาสถามแต่อาเอทอสกลับตอบปัดง่าย ๆ ว่าไปเดินเล่น เป็นคำแก้ต่างที่ขนาดเด็กประถมยังไม่เชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถามต่อเพราะอาจเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป



    หลังจากเก็บกวาดบ้านเรียบร้อย นาวาที่ไม่มีอะไรทำเลยลองเดินหาว่าที่คนรักของเจ้าของบ้าน เพราะตั้งแต่มาที่นี่เขายังไม่ได้คุยกับพี่โนอาร์เลย ไม่นานเด็กหนุ่มก็พบคนที่ตามหากำลังนั่งเช็ดทำความสะอาดคมมีดและอาวุธหลากชนิดบริเวณโต๊ะหินข้างบ้าน ด้วยความสนใจเด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนและสอบถามด้วยความอยากรู้

    “โอ้โฮ! พี่โนอาร์มีงานอดิเรกสะสมอาวุธเหรอครับ”

    นาวาเอ่ยพลางมองเหล่าอาวุธมากมายที่วางเรียงบนโต๊ะด้วยความตื่นเต้น ทว่าผู้เป็นเจ้าของกลับทำเป็นไม่ได้ยินหรือสนใจเด็กหนุ่มแต่อย่างใด จนนาวาหันไปเห็นมีดบาลิซองที่วางอยู่ข้างขวานสั้นเลยอยากลองถือดูสักครั้ง จึงได้เอ่ยขออนุญาตโนอาร์ ผ่านไปสักพักหนึ่งด้วยความรำคาญชายเลือดเย็นจึงยอมพยักหน้าในที่สุด

    เมื่อได้รับคำอนุญาต นาวาหยิบมีดขึ้นมาดูก่อนปลดตัวล็อกตรงด้าม เผยให้เห็นใบมีดคมกริบที่ซ่อนอยู่ด้านใน เด็กหนุ่มผู้ตื่นเต้นกับของในมือลองแกว่งใบมีดทีละน้อย เมื่อเริ่มชินมือจึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นและควงเล่นเป็นท่าทางต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน
    ความคล่องตัวในการใช้มีดของเด็กหนุ่มเรียกความสนใจจากชายเลือดเย็นให้เฝ้ามอง สักพักหนึ่งนาวาถึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังถูกนัยน์ตารัตติกาลจับจ้องอยู่ จึงได้หยุดมือและวางมีดลงตำแหน่งเดิม เพราะเกรงว่าอาจทำให้พี่ที่เคารพไม่พอใจ

    “คล่องดี ฝึกมา?”

    คำถามจากโนอาร์แสดงถึงความสนใจในทักษะของนาวา ทำให้เด็กหนุ่มรีบตอบกลับ แววตาประกายขึ้นด้วยความดีใจที่อีกฝ่ายยอมชวนเขาคุยหลังจากนิ่งเงียบมาสักพักใหญ่

    “ครับ! ฝึกตามวีดีโอสอนในเน็ตน่ะพี่โนอาร์ ที่บ้านผมก็มีอันหนึ่งนะ แต่เป็นแบบไม่มีคมไว้ฝึกควงเฉย ๆ เพิ่งลองจับของจริงครั้งแรกเมื่อกี้เลย เสียวนิ้วขาดเหมือนกัน”
    “หึ” คนฟังหลุดหัวเราะเล็กน้อย เพราะมีดที่นาวาเล่นเมื่อครู่ ไม่นานนี้ก็เพิ่งตัดนิ้วคนมา
    “นอกจากมีด ใช้อะไรเป็นอีก”

    ชายเลือดเย็นถามเพิ่มเพื่อเก็บข้อมูล ทว่านาวากลับเห็นว่านี่เป็นโอกาสตีสนิทรุ่นพี่ที่ชื่นชอบโดยอาศัยความสนใจในเรื่องเดียวกัน จึงรีบนำเสนอตัวเองว่านอกเหนือจากเรื่องมีด เขายังศึกษาเกี่ยวกับปืนและการต่อสู้ระยะประชิดแบบต่าง ๆ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยถูกทำร้ายและได้อาเอทอสเข้ามาช่วย จึงอยากฝึกเรื่องพวกนี้ไว้ป้องกันตัว แต่ส่วนมากก็ได้แค่ศึกษาไม่ค่อยได้ลงมือจริง เนื่องจากขาดสถานที่และคู่ซ้อม และอีกอย่างพ่อศิลาก็อยากให้เขาสนใจเรื่องทั่วไปเหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่น ๆ มากกว่ามามัวหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้

    “ลองไหม?”
    “ลองอะไรเหรอพี่”
    “สู้”

    โนอาร์เอ่ยขึ้นก่อนลุกเดินแล้วหยุดอยู่กลางสนามหญ้า ส่งผลให้นาวาต้องเดินตามไปด้วยความงุนงงเล็กน้อย

    “ให้ผมสู้กับพี่เหรอ”
    “…”
    “พี่โนอาร์สู้เป็นด้วยเหรอ?”

    คำพูดคล้ายถากถางเรียกร้อยยิ้มมุมปากให้ปรากฏขึ้น ก่อนค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าหาเด็กหนุ่มและเมื่อระยะเหมาะสม หมัดเร็วก็ได้พุ่งตรงไปที่ใบหน้าของคนปากดีทันที

    “ฟุ่บ!”
    “เดี๋ยว! พี่โน-”
    “ตุ้บ! โอ้ย!!”

    นาวาหลบหมัดของรุ่นพี่ได้อย่างหวุดหวิด แต่ยังไม่ทันตั้งตัวกลับถูกอีกฝ่ายเตะตัดขาจนร่างล้มไปนอนกับพื้นหญ้า ทว่าก็ไม่มีเวลาให้ร้องโอดโอยมากนัก เมื่อรุ่นพี่ยกฝ่าเท้าเตรียมกระทืบลงกลางท้องเขา

    “ตึง!”

    เสียงเท้ากระทืบพื้นเต็มแรง เนื่องจากเด็กหนุ่มกลิ้งตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว นาวาพยายามรีบลุกขึ้นเพื่อตั้งหลักก่อนหันมองรุ่นพี่ นัยน์ตารัตติกาลของอีกฝ่ายที่ปกติมักจะเรียบนิ่ง ทว่ายามนี้กับฉายชัดถึงความสนุก นาวาจึงเข้าใจว่าพี่โนอาร์กำลังอาสาเป็นคู่ซ้อมให้เพราะฟังเรื่องที่เขาบ่นก่อนหน้านี้
    เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ากำลังเป็นของเล่นแก้เบื่อของบุคคลอันตราย จึงพุ่งตัวเข้าจู่โจมและตั้งรับการโต้กลับจากอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 17 ความชอบ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 17-04-2020 01:17:58
(ต่อ)



    เสียงตึงตังนอกบ้านเรียกความสนใจเอทอสให้ออกเดินตามหาต้นตอ ทำให้เห็นว่าขณะนี้โนอาร์กับนาวากำลังสู้กันอยู่ตรงสนาม ทีแรกเขาตั้งใจเข้าไปห้ามแต่เมื่อสังเกตดู ทั้งคู่คล้ายกำลังเล่นมากกว่าสู้กันจริงจัง โดยฟังจากเสียงบ่นโวยวายของนาวา และใบหน้าเรียบนิ่งทว่านัยน์ตากลับวาววามของโนอาร์
      เห็นดังนั้น เขาจึงเพียงลอบมองสักพักหนึ่ง ก่อนจะบอกให้ทั้งสองพอแค่นี้

    “พอได้แล้ว”
    “อ้าว! อาเอ- โอ้ย!!”

    เสียงขัดจากเจ้าบ้านเรียกความสนใจให้นาวาหันมอง ส่งผลให้เด็กหนุ่มถูกรุ่นพี่ที่เคารพจับล็อกแขนและกดให้นอนจมพื้นทันที

    “อย่าเสียสมาธิ ถ้ายังล้มศัตรูไม่ได้”

    ผู้ชนะเอ่ยขึ้นก่อนปล่อยตัวและเดินย้อนกลับไปเก็บเหล่าอาวุธตรงโต๊ะหิน ปล่อยให้เด็กหนุ่มพยายามลุกขึ้นเองโดยไม่คิดยื่นมือเข้าช่วย เอทอสที่ยืนมองอยู่จึงต้องเดินเข้ามาช่วยดึงมือนาวาแทน

    “ทำอะไรกัน” ร่างสูงใหญ่ถาม
    “ซ้อมต่อสู้กันครับอาเอทอส แค่พอสนุกไม่ได้รุนแรงจนเจ็บตัวนะอา และพี่โนอาร์ก็เก่งมาก ผมจับตัวพี่เขาไม่ได้เลย คนอะไรทำไมสมบูรณ์แบบทุกอย่างขนาดนี้น้า...”

    ปีศาจมั่นใจว่าเขาถามเพียงนิดเดียว แต่คำตอบที่ได้กลับมาจากนาวากลับยืดยาวไม่รู้จบ ส่วนมากวนอยู่กับการสรรเสริญความสามารถของพี่ที่ตัวเองเคารพจนออกนอกหน้า แววตาตื่นเต้นชื่นชมกลับยิ่งส่องประกายมากกว่าเก่า ยามรู้ว่าพี่โนอาร์มีความชอบเรื่องอาวุธและการต่อสู้เหมือนกับเขา

    ฝ่ายเอทอสที่ทนฟังคำเยินยอเกินเหตุได้สักพักจึงหาโอกาสตัดบท ให้อีกฝ่ายไปล้างเนื้อล้างตัวเพราะเมื่อครู่เพิ่งลงไปนอนคลุกกับพื้นหญ้ามา ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินหายเข้าไปในบ้าน ส่วนเอทอสก็เดินไปหาโนอาร์ตรงโต๊ะหิน

    “เด็กนั่นมาบ่นข้างหูผมว่าไม่มีคู่ซ้อม ผมเลยสนองให้” โนอาร์เอ่ยขึ้นทันทีโดยที่ปีศาจไม่ต้องถาม
    “ข้าไว้ใจเจ้า จำได้ใช่ไหมโนอาร์”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยย้ำอีกครั้ง ความชอบของนาวาไม่ค่อยเหมือนเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ขณะที่คนอื่นสนใจพวกกีฬาหรือเกม แต่นาวากลับสนใจเรื่องการชกต่อย ทว่าย่านนี้กลับไม่มีสถานที่ให้เด็กหนุ่มได้ระบายอย่างพวกค่ายฝึกศิลปะการป้องกันตัว ดีที่นาวาเลือกหันเหความสนใจไปลงกับการเล่นกีฬาแทนการทะเลาะวิวาท

    ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งการมาของโนอาร์ อาจเป็นเพราะคนที่มีความชอบคล้ายกันจะถูกดึงเขาหากัน นาวาถึงได้ให้ความสนใจคนของเขามากแม้ยังไม่เคยพบกัน และนั่นเป็นเรื่องอันตราย ขณะที่นาวาชอบเรื่องชกต่อยเพราะต้องการออกกำลังหรือใช้ไหวพริบ แต่โนอาร์ไม่ได้ชอบแค่การต่อสู้ ทว่าเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เหยื่อทรมานจนต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาเกรงว่าโนอาร์จะชักจูงเด็กหนุ่มธรรมดาจมลงสู่โลกมืด ถึงได้พยายามกันไม่ให้นาวาได้พบกับโนอาร์
    ทว่ายามนี้ปีศาจยอมเสี่ยงเดิมพันกับความเชื่อใจ เพราะมั่นใจว่าคนที่เขาเลือกจะไม่มีวันหักหลังเขา

    “คุณรู้ ผมไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง” มนุษย์กล่าวปลอบปีศาจชอบคิดมาก
    “แค่เล่นสนุกแก้เบื่อเท่านั้น ผมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ดีกับเด็กนั้นเสียอีกจะได้ฝึกฝีมือ เพราะตอนนี้ทำได้แค่หลบ แต่โต้กลับไม่ได้เรื่อง เวลาเจอของจริงจะตายเปล่า”

    โนอาร์พูดให้ปีศาจเห็นด้านดีที่เด็กหนุ่มมาเป็นของเล่นแก้เบื่อให้กับเขา แม้จะเป็นของเล่นที่ต้องถนอมมากจนบางครั้งก็รู้สึกหงุดหงิดก็ตาม
    หลังการยืนยันเพื่อให้เอทอสมั่นใจ มนุษย์จึงกล่าวชวนปีศาจเข้าบ้าน เนื่องจากบริเวณสนามหญ้าเริ่มร้อนจากแสงอาทิตย์ที่เปลี่ยนทิศ



    ยามค่ำคืนแสงจันทร์ส่องสว่างแทนแสงแดดแผดเผา บ้านพักทรงไทยประยุกต์กลับมาสงบสุขอีกครั้ง หลังจากนาวายอมกลับไปเมื่อช่วงเย็นเพราะถูกแม่โทรตาม ขณะนี้มนุษย์หนึ่งเดียวในบ้านถือวิสาสะเข้ามานั่งเล่นในห้องนอนปีศาจอย่างทุกวัน จนกระทั่งเจ้าของห้องตัวจริงเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคาดเอวโชว์ร่างกายกำยำ และก็ถูกสายตาลวนลามจากมนุษย์จ้องดั่งทุกครั้ง ปีศาจที่เหนื่อยจะไล่จึงได้ปล่อยเลยตามเลย

    “ข้าจะนอนแล้ว”

    เอทอสที่แต่งตัวเรียบร้อยในชุดเสื้อกล้ามกางเกงผ้าขายาวกล่าวบอกมนุษย์ แต่โนอาร์กลับแกล้งล้มตัวนอนลงฝั่งหนึ่งของเตียงพร้อมห่มผ้าเสร็จสรรพ มิหนำซ้ำยังบอกให้ปีศาจปิดไฟได้เลย ทว่าเอทอสกับปิดไฟและขึ้นมานอนจริง ๆ แทนที่จะพยายามไล่เขาเหมือนทุกที
    ความผิดปกติของอีกฝ่ายสร้างความประหลาดใจให้กลับโนอาร์เป็นอย่างมาก แต่ถึงจะสงสัยมนุษย์ก็ไม่คิดปล่อยโอกาสให้หลุดลอย รีบขยับเข้าไปนอนใกล้ร่างสูงใหญ่ทันที

    “ร้อน”

    ปีศาจเอ่ยด้วยท่าทีรำคาญ แต่มนุษย์กลับเสนอให้ปิดหน้าต่างและเปิดแอร์แทนพร้อมอาสาไปทำให้ ทว่าไม่ทันที่โนอาร์จะได้ลุกขึ้นนั่ง ปีศาจกลับพลิกตัวเข้าหาและใช้ท่อนแขนใหญ่พาดผ่านลำตัวคล้ายกำลังโอบกอดกลาย ๆ ส่งผลให้มนุษย์นิ่งอึ้งกับการกระทำอันย้อนแย้งของปีศาจ

    “ไหนคุณบอกว่าร้อน”
    “ถ้ายังไม่เลิกพูด เจ้าก็กลับไปนอนห้องตัวเอง”

    ได้ยินดังนั้น โนอาร์จึงยอมเงียบก่อนค่อย ๆ ขยับตัวซุกเข้าหาแผงอกกว้างของปีศาจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรซ้ำยังกอดตอบ นัยน์ตารัตติกาลจึงปิดลง เหลือเพียงรอยยิ้มมุมปากบางเบาที่เต็มไปด้วยความสุข เพราะแม้จะเคยนอนบนเตียงเดียวกันในบ้านกลางป่า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นอนในอ้อมกอดของปีศาจ

    ฝ่ายเอทอสที่เห็นว่ามนุษย์ในอ้อมแขนเงียบเสียงลงแล้ว จึงใช้ฝ่ามือที่เปลี่ยนเป็นกรงเล็บใหญ่บีบหนึ่งในวิญญาณ ที่เมื่อครู่นี้พยายามเข้ามาจัดการคนของเขาจากทางด้านหลัง

    “อ๊ากกกกกกกก!!!!!”

    เสียงกรีดร้องเจ็บปวดของวิญญาณดังก้องทั่วทั้งห้อง ทว่ามนุษย์หนึ่งเดียวกลับไม่ได้ยินแต่อย่างใด ก่อนไม่นานจะถูกเปลวเพลิงสีดำเผาทิ้งอย่างไร้ความปรานี นัยน์ตาสีอำพันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกเรืองแสงดุดัน กวาดตามองเหล่าวิญญาณรับใช้ที่ถูกส่งมาเล่นงานคนของเขา สื่อเป็นนัยว่าหากยังกล้ายุ่งจุดจบจะเป็นเช่นไร เมื่อเห็นดังนั้นเหล่าวิญญาณที่รายล้อมจึงยอมล่าถอยไป เพราะชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่กับเป้าหมาย หาใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างที่คิด



    แสงอาทิตย์อบอุ่นแห่งรุ่งอรุณมาเยือนอีกครั้ง มนุษย์หนึ่งเดียวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส พบว่าตอนนี้ปีศาจได้คลายอ้อมกอดกลับไปนอนแบบเดิมแล้ว เหลือเพียงแขนอีกข้างที่โอบเขาให้เข้ามานอนหนุนแผ่นอกกว้างแทน
    ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอสื่อว่าอีกฝ่ายยังไม่ออกจากห้วงนิทรา มนุษย์ดันตัวขึ้นเพื่อให้สามารถมองสำรวจปีศาจได้ถนัด ร่างกายผิวแทนกำยำและใบหน้าคมเข้มติดดุที่ยังคงดูดีแม้ยามหลับใหล ฝ่ามือที่ใช้ปลิดชีพคนมานับไม่ถ้วน ยามนี้กลับลูบตามแนวสันกรามปีศาจผู้เป็นที่รักอย่างอ่อนโยน นิ้วโป้งพาดผ่านริมฝีปากหนาเกิดเป็นความรู้สึกเชิญชวนให้สัมผัส และแน่นอนโนอาร์ไม่คิดปฏิเสธความรู้สึกของตน

    ริมฝีปากมนุษย์ประกบริมฝีปากของผู้ยังไม่ออกจากห้วงนิทรา ความรู้สึกนุ่มหยุ่นชวนมนุษย์กดสัมผัสให้แนบชิดมากกว่าเก่า ลิ้นนุ่มปัดผ่านพยายามดุนดันคล้ายกำลังออดอ้อนให้ร่างกายไร้สติของปีศาจยอมเปิดทาง และไม่นานคำขอของมนุษย์ก็ได้รับการยอมรับ

    “อืม...”

    ร่างสูงใหญ่ข้างใต้ครางเบา ๆ พร้อมกับเส้นทางที่เปิดให้มนุษย์เข้าไปสำรวจ ลิ้นนุ่มสอดแทรกปัดกวาดไรฟันท่องสำรวจทุกซอกมุมของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งลิ้นซุกซนเผลอหยอกล้อกับลิ้นหนาที่นอนสงบอยู่
    
    “อื้มม!”

    ทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสกันเหมือนเปิดสวิตช์ให้กับดักทำงาน ลิ้นหนารีบเกี่ยวกระหวัดจับตัวผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฝ่ามือใหญ่กดศีรษะมนุษย์เพื่อให้สัมผัสบดเบียดแนบชิดยิ่งขึ้นอีก ลิ้นหนาไล่ต้อนผลักดันผู้บุกรุกให้กลับไปในที่ของตน ก่อนสลับบทบาทขึ้นนำเป็นฝ่ายรุกรานเสียแทน ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่มนุษย์ ตักตวงเก็บเกี่ยวทุกความหวานจนไม่มีพื้นที่ใดในโพรงปากที่ไม่ถูกลิ้นร้อนสำรวจ สัมผัสดูดดื่มเนิ่นนานตราบกระทั่งผู้คุมรู้สึกพอใจ จึงยอมปล่อยเชลยให้เป็นอิสระ

    “ทำอะไร” ปีศาจถามหลังปล่อยให้มนุษย์พักหายใจครู่หนึ่ง
    “Morning Kiss….. การทักทายยามเช้าของคู่รักมนุษย์”

    โนอาร์ตอบกลับพลางหอบหายใจเล็กน้อย ขณะนี้มนุษย์เปลี่ยนตำแหน่งจากข้างตัวปีศาจ มานอนบนร่างสูงใหญ่ โดยมีฝ่ามือหนาคอยประคองช่วงเอว นัยน์ตารัตติกาลมองสบนัยน์ตาสีอำพันไร้ความง่วงงุน สื่อเป็นนัยว่าตั้งแต่แรกเอทอสไม่ได้หลับอย่างที่เขาคิด

    “ใช้เวลาทักทายนานขนาดนี้ กว่าพวกมนุษย์จะได้ลุกไปทำงานคงสายโด่ง”
    “ความจริงไม่นานหรอก ที่นานจริง ๆ คือต่อจากนี้” มนุษย์กล่าวพลางขยับหน้าขาบดเบียดเพื่อปลุกบางสิ่งข้างใต้ที่นอนสงบอยู่
    “อยากเจ็บตัวหรือไง”
    “ผมอยากเจ็บตัว”
    “หึ.. ไปทำมื้อเช้าไป ข้าจะอาบน้ำ วันนี้ต้องไปสวน”

    เอทอสเอ่ยพร้อมดันตัวขึ้นนั่งอย่างง่ายดาย ราวกับร่างของมนุษย์ที่นอนทับอยู่นั้นไร้ซึ่งความหนัก พยายามแกะโนอาร์ที่เกาะเขาเป็นลูกลิงออกจากตัว ก่อนลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ ระหว่างทางร่างสูงใหญ่เดินผ่านกระจก ภาพเงาสะท้อนทำให้ปีศาจต้องหยุดมองพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

    ร่างแปลงในแบบมนุษย์สมบูรณ์ดีทุกอย่าง เว้นเสียแต่ดวงตากลับเป็นสีแดงเลือดนก เอทอสมั่นใจว่าเมื่อคืนหลังไล่พวกวิญญาณรับใช้เรียบร้อย เขาเปลี่ยนนัยน์ตาให้กลายเป็นสีอำพันแล้ว เหตุใดตอนเช้ามาดวงตาถึงกลับมาเป็นแบบปีศาจอีก ดีที่ครั้งนี้เขาเผลอหลุดการคงร่างมนุษย์ต่อหน้าโนอาร์ ถ้าหากตอนเขาอยู่ข้างนอกแล้วหลุดการคงร่างมนุษย์โดยไม่รู้ตัวเช่นนี้อีก คงไม่ใช่เรื่องดีแน่

    “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

    มนุษย์ที่กำลังออกจากห้องไปทำมื้อเช้าตามคำปีศาจ เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่หน้ากระจก เลยเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย พลางมองเงาร่างสูงใหญ่ในกระจก ซึ่งไม่เห็นความผิดปกติอะไร

    “ตาข้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า”
    “เปล่า ตอนลืมตา ตาของคุณเป็นสีอำพัน”
    “แล้วตาข้ากลายเป็นสีแดงตอนไหน”

    คำถามของเอทอสทำให้โนอาร์พอจับความได้ว่า ปีศาจอาจหลุดการคงร่างมนุษย์โดยไม่รู้ตัวเหมือนครั้งหนึ่งบนรถกระบะ ทำให้มนุษย์พยายามครุ่นคิดหาสาเหตุโดยเปรียบเทียบความเหมือนกันระหว่างสองเหตุการณ์ ทว่าคำตอบที่พอสรุปได้กลับเรียกร้อยยิ้มมุมปากให้กับมนุษย์ พร้อมนัยน์ตารัตติกาลที่วาววามขึ้นอย่างไม่น่าไว้วางใจในสายตาเอทอส

    “ยิ้มอะไรของเจ้า ข้าถามว่าตาข้าเปลี่ยนสีตั้งแต่เมื่อไร”
    “ตาคุณกลายเป็นสีแดงหลังผมตอบคุณว่า ผมอยากเจ็บตัว”
    “..…”
    “ก่อนหน้านี้ คุณเคยเผลอปล่อยให้ตากลับมาเป็นแบบปีศาจครั้งหนึ่งจนผมต้องเตือน จำได้ไหม”
    “ตอนนั้นตาคุณเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากผมแกล้งยื่นแขนไปให้คุณดม”
    “…..”
    “ผมว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะตัวผม แต่ถ้าให้พูดชัด ๆ ….”
    “ผมว่าตาคุณจะเปลี่ยนสีตอนที่คุณอยากทำให้ผม ‘เจ็บตัว’ มากกว่า”
    “อย่าทำเป็นรู้ดีไปกว่าตัวข้า ไปทำหน้าที่ของเจ้าซะ ข้าจะได้อาบน้ำเสียที”

    เอทอสกล่าวปัดข้อสันนิษฐานของโนอาร์ทิ้ง พร้อมเปลี่ยนสีตาให้กลับเป็นสีอำพันเช่นเดิม ก่อนเอ่ยไล่มนุษย์ให้ออกไปทำมื้อเช้า แล้วจึงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ คล้ายกับไม่ต้องการต่อบทสนทนากับมนุษย์

    “แล้วเช้านี้คุณอยากกินอะไร กินโนอาร์ไหม หรือกินผมดี?”
    “โนอาร์! หากเจ้ายังไม่หยุดกวนข้า เจ้าจะได้เจ็บตัวสมใจ แต่หาใช่แบบที่เจ้าหวัง เพราะข้าจะจับเจ้าโยนออกจากบ้าน”

    คำตอบจากหลังประตูห้องน้ำของปีศาจ ทำให้มนุษย์เลือดเย็นหลุดหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะยอมออกไปทำมื้อเช้าตามคำของปีศาจ ทว่าก่อนไปยังไม่วายแกล้งเย้าปีศาจอีกครั้ง

    “แต่ผมอยากให้คุณโยนผมลงเตียง และลงโทษจนผมลุกไม่ไหวมากกว่า”
    “โนอาร์!!”


บท17 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 17 ความชอบ) [17/04/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 17-04-2020 01:59:53
โนอาร์ไปยั่วเขา ถ้าเอาจริงขึ้นมาล่ะก็..
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 17 ความชอบ) [17/04/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-04-2020 16:13:59
โนอาร์ มีมุมโหดเลือดเย็น และมุมยั่วๆ แหมม พูดมาได้อยากเจ็บตัว
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 17 ความชอบ) [17/04/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 18-04-2020 05:26:16
อร๊ายยย เมื่อไหร่โนอาห์จะได้เจ็บตัวสมใจน้าาาาา  :z1:
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 18 กังวล]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 08-05-2020 11:31:44
    ช่วงนี้เหล่าคนงานสวนรฦกวัลย์มักเห็นภาพนายใหญ่ลงสวนด้วยตัวเองบ่อยครั้งจนเริ่มชินตา โดยข้างกายของผู้เป็นนายจะมีชายคนหนึ่งคอยดูแลปรนนิบัติพัดวีเสมอ แน่นอนไม่ใช่ใครอื่น โนอาร์ว่าที่คนรักของนายใหญ่ แต่จากที่กลุ่มคนงานแอบลอบสังเกตอยู่ตลอดหลายสัปดาห์ สุดท้ายก็ต่างลงความเห็นกันว่าบัดนี้โนอาร์อาจไม่ใช่แค่ว่าที่ แต่ได้กลายเป็นคนรักเต็มตัวของนายใหญ่เจ้าของสวนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตัวติดกันขนาดนี้

    ถึงพักหลังนายใหญ่จะเข้าสำนักงานน้อยลงก็ไม่ได้ทำให้งานเอกสารหรือการเซ็นอนุมัติล่าช้า เพราะเจ้าตัวจะนำแฟ้มเอกสารเหล่านั้นกลับไปอ่านและเซ็นให้ที่บ้านพักทรงไทยประยุกต์ ก่อนนำกลับมาให้ในวันรุ่งขึ้น แม้บางครั้งจะมีเอกสารด่วนที่ต้องอนุมัติภายในวันนั้น นายใหญ่ก็ไม่วายพาโนอาร์เข้าสำนักงานไปด้วย โดยอ้างว่าโนอาร์เป็นคนละเอียดสามารถช่วยตรวจทานเอกสารได้ ทว่าเหล่าคนงานต่างคิดว่านั่นเป็นเพียงแค่คำอ้าง ความจริงแล้วนายใหญ่อยากเห็นคนรักอยู่ในสายตาเสมอมากกว่า
 
    “เดี๋ยวนี้คุณเอทอสไม่ห่างคุณโนอาร์เลยนะคะ” สาวคนงานคนหนึ่งเอ่ยแซวนายใหญ่ที่วันนี้ก็ลงมาดูแลสวนกล้วยไม้ด้วยตนเอง
    “ข้าวใหม่ปลามันก็แบบนี้แหละ ช่วงนี้ก็จะหวง ๆ หน่อยใช่ไหมนายน้อย”

    ลุงสมัยเป็นผู้ตอบก่อนจะหันไปเย้าเจ้าของสวน ซึ่งเอทอสก็ไม่ได้บอกปัดหรือพยายามแก้ต่างราวกับยอมรับว่าเป็นความจริง ส่งผลให้บนใบหน้าที่มักเรียบนิ่งของโนอาร์ตอนนี้กลับปรากฏรอยยิ้มมุมปาก พร้อมนัยน์ตารัตติกาลที่ดูสดใสคล้ายมีหมู่ดาวกำลังทอประกายอยู่ในนั้น

    “ดีใจ?”

    เอทอสที่เห็นมนุษย์ข้างกายดูจะชื่นชอบคำยอของเหล่าคนงานจึงอดไม่ได้ที่จะถาม ซึ่งคำตอบที่ได้รับหาใช่คำพูด แต่เป็นดวงตาคู่งามสีรัตติกาลส่องประกายด้วยความสุขในแบบที่ปีศาจไม่เคยเห็นมาก่อน และนั่นถึงกับทำให้ปีศาจนิ่งงันไปจังหวะหนึ่ง ก่อนที่นัยน์ตาสีอำพันติดดุจะดูอ่อนลงเจือด้วยความเอ็นดูในส่วนลึก

    ความอ่อนโยนที่นายใหญ่เผลอแสดงออกโดยไม่รู้ตัวขณะกำลังสบตากับคนรัก ล้วนอยู่ในสายตาเหล่าคนงานโดยรอบ กลุ่มสาวคนงานภายในใจต่างอยากกรี๊ดดัง ๆ เพื่อระบายความเก้อเขินต่อภาพเบื้องหน้า ทว่าในความจริงกลับทำได้เพียงลอบยิ้มเท่านั้นเพราะกลัวจะขัดบรรยากาศ ส่วนกลุ่มคนงานชายรวมถึงลุงสมัยก็ถึงกับอึ้งค้างไป เพราะไม่เคยเห็นมุมนี้ของนายใหญ่

    หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ลุงสมัยที่ได้สติจึงพูดเอ่ยขัดเปลี่ยนหัวข้อ เพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้ นายน้อยกับคุณโนอาร์คงไม่ยอมออกจากโลกที่ทั้งคู่สร้างขึ้นมาแน่

    “อีกไม่นานก็ถึงวันครบรอบสวนรฦกวัลย์แล้ว เออ! เป็นวันเกิดของนายน้อยด้วยสินะ”
    “วันเกิดเอทอส?” โนอาร์ถามด้วยความสงสัย และก็ได้สาวคนงานคนหนึ่งช่วยตอบ
    “ค่ะ ครั้งแรกที่ฉันรู้ก็แปลกใจเหมือนกันค่ะคุณโนอาร์ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้”
    “วันนั้นหลังเลิกงานพวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลอง และก็ตั้งเวทีเล็ก ๆ ผลัดกันขึ้นไปแสดงโชว์ คุณโนอาร์สนใจร่วมด้วยไหมคะ”
    “ครับ ต้องร่วมด้วยแน่นอน”

    ได้ยินดังนั้น เหล่าคนงานต่างพากันดีใจที่งานฉลองครบรอบวันก่อตั้งสวนรฦกวัลย์ปีนี้จะพิเศษกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีคนรักของนายใหญ่เข้าร่วมด้วย และไม่นานพื้นที่สนทนาทั้งหมดก็กลายเป็นของกลุ่มคนสวนที่พูดคุยวางแผนจัดงานราวกับว่างานจะเริ่มพรุ่งนี้
    โนอาร์อาศัยช่วงจังหวะที่พวกคนงานไม่ได้สนใจหันไปถามเอทอสเพื่อความแน่ใจ เพราะเขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเพียงความบังเอิญ

     “คุณเกิดวันเดียวกับวันก่อตั้งสวน?” โนอาร์กระซิบถามร่างสูงใหญ่ข้างกาย
    “เปล่า ผู้มีพระคุณพาข้ามาแนะนำกับพวกคนงานในวันนั้น และอ้างว่าเป็นวันเกิดของข้า พวกคนงานเลยเชื่อกันตามนั้น”
    “แล้ววันเกิดจริงของคุณ”
    “ไม่รู้ อย่างที่เคยบอก พอจำความได้แม้แต่หน้าพ่อแม่ข้ายังไม่เคยเห็นสักครั้ง เรื่องวันเกิดไม่ต้องพูดถึง”

     หลังฟังคำตอบ มนุษย์ผู้ใส่ใจความรู้สึกของปีศาจอยู่เสมอจึงพยายามจับอารมณ์อีกฝ่าย ซึ่งไม่รู้สึกถึงความเศร้าหรือหม่นหมองแต่อย่างใด โนอาร์จึงได้เบาใจที่คำถามของตนไม่ได้ทำให้เอทอสรู้สึกไม่ดี

    “วันเกิดคุณอยากได้อะไร” มนุษย์เปลี่ยนเรื่องถาม
    “ไม่ต้องเลย ข้าเหนื่อยจะห้ามคนงานแล้ว อย่าให้ข้าต้องมานั่งพูดกับเจ้าอีก”

    เอทอสรีบหยุดความคิดโนอาร์ เขาไม่ค่อยรู้สึกร่วมด้วยกับทำเนียมการมอบของขวัญของมนุษย์นัก มิหนำซ้ำยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่ต้องพยายามสรรหาของมาให้ในวันเดิมของทุกปี ซึ่งของบางอย่างก็มีดีแค่หน้าตาแต่หาประโยชน์ไม่ได้ ดังนั้นหลังงานฉลองครั้งหนึ่งเขาจึงประกาศบอกกับเหล่าคนงานว่าไม่ต้องเอาของมาให้เขาแล้ว แค่การจัดงานเลี้ยงก็มากเกินพอ แต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็ยังมีคนงานบางส่วนคอยเอาของมาให้เขาในวันงานอยู่ดี และเขาก็ต้องจำใจรับเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ

    “หวังว่าถึงวันงาน ข้าจะไม่-”
    “อา ลืมถามไปเลย ในวันงานคุณโนอาร์จะแสดงอะไรเหรอคะ”
    “ความลับครับ”

    หลังโนอาร์ได้ยินคำค้านของเจ้าภาพ เป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มคนงานหันมาสนใจเขาและปีศาจอีกครั้ง และนั่นถือเป็นเรื่องดีที่พวกคนงานเข้ามาได้ถูกเวลา คนเจ้าแผนการจึงอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องและตัดจบการพูดคุยเรื่องของขวัญ เพราะหากเอทอสต้องการคำยืนยันว่าเขาจะไม่เอาของขวัญมาให้ เขาคงไม่สามารถรับปากได้ เนื่องจากของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่เขาจะมอบให้ปีศาจ เขารู้แล้วว่าจะให้อะไร
    


    ดวงตะวันกลางท้องฟ้าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเที่ยงวัน ปีศาจและมนุษย์เดินกลับมาที่สำนักงาน เนื่องด้วยวันนี้โนอาร์เตรียมมื้อกลางวันมาจากบ้าน หลังเข้ามาในตัวอาคารพบพนักงานอยู่ประปรายเพียงไม่กี่คน คงเพราะส่วนมากต่างพากันออกไปฝากท้องตามร้านอาหารแถวนี้กันหมด

    เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงานเจ้าของสวน มนุษย์บอกให้ปีศาจเข้าไปรอในห้องก่อน ส่วนเขาจะไปอุ่นมื้อกลางวันตรงส่วนครัวของสำนักงานแล้วยกไปให้ หลังฟังนายใหญ่ของสวนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามคำของมนุษย์โดยการเข้าไปรอในห้อง

    โนอาร์เดินเข้ามาในส่วนครัว หยิบกล่องข้าวจากในตู้เย็นใส่เข้าไมโครเวฟ ระหว่างรอเลยฆ่าเวลาด้วยการหันไปชงกาแฟและแน่นอนไม่ลืมชงเผื่อปีศาจ เสร็จแล้วจึงนำแก้วกาแฟทั้งสองไปวางรอบนถาด

    “ติ้ง!”
    “เคร้ง!”

    ไม่นานเสียงสัญญาณเครื่องไมโครเวฟก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าอาหารอุ่นเรียบร้อย พร้อมกับเสียงช้อนที่หล่นลงพื้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ โนอาร์เลือกหยิบมื้อกลางวันออกมาวางบนถาดเป็นอย่างแรก ก่อนก้มลงไปเก็บช้อนทีหลัง
    ขณะที่กำลังก้มเก็บช้อนอยู่นั้น มีดบนเคาน์เตอร์ที่ใช้ตัดซองกาแฟกลับค่อย ๆ หมุนชี้ปลายแหลมไปทางโนอาร์ ก่อนเริ่มเคลื่อนขยับเข้าใกล้ขอบเคาน์เตอร์เรื่อย ๆ โดยไม่มีใครแตะต้อง และจังหวะที่โนอาร์ลุกขึ้นยืนนั้นเอง คมมีดแหลมก็ได้ร่วงลงมา

     “เคร้ง!!”

    โชคร้ายที่เป้าหมายของคมมีดลุกเร็วเกินไป จึงทำให้ตัวมีดพลาดเป้าจากที่ควรจะตกแทงทะลุลำคอ กลับกลายเป็นหล่นบาดหลังมือที่กำลังถือช้อนแทน หยาดเลือดสีแดงสดไหลออกจากปากแผลก่อนหยดลงพื้น ทว่าคนบาดเจ็บกลับไร้ซึ่งความตกใจ กวาดสายตามองรอบตัวแต่ทว่าไม่พบใคร นัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งยามนี้จึงเริ่มเยียบเย็นมากขึ้น เมื่อรู้สึกถึงความไม่ปกติที่กำลังรายล้อมตัวเขา

    “คุณโนอาร์! เกิดอะไรขึ้นครับ”

    ศิลาที่ได้ยินเสียงของตกติดต่อกันสองสามครั้งบริเวณส่วนครัว ด้วยความสงสัยจึงเดินเข้ามาดู และได้พบกับคนรักของนายใหญ่คล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง โดยไม่สนใจบาดแผลตรงหลังมือที่มีเลือดไหลอาบตามข้อนิ้วและหยดลงพื้นไม่หยุด

    เสียงทักทำให้นัยน์ตาเยียบเย็นหันมาจ้องผู้มาใหม่ บรรยากาศอันตรายและแววตารัตติกาลเหมือนกับครานั้น ครั้งที่นายใหญ่หายไป ชวนให้ศิลารำลึกถึงความรู้สึกราวกับถูกแช่แข็งจนไม่กล้าหายใจ ความหวั่นเกรงต่อชายเบื้องหน้าเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง ก่อนไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นจะจางหายไป เมื่อคนรักของนายใหญ่คลายบรรยากาศกดดันรอบตัวลง

    “ไปเอากล่องปฐมพยาบาลมา”

    โนอาร์เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนไปล้างแผลรอตรงอ่างล้างจาน ไม่นานศิลาก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผล เตรียมเข้ามาช่วยคนรักของนาย

    “เดี๋ยวผมช่วย-”
    “ไม่จำเป็น”

    ไม่ทันเอ่ยจบ ความหวังดีของศิลากลับถูกปัดทิ้งอย่างง่ายดาย พร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกดึงออกจากมือ โนอาร์เริ่มทำแผลด้วยตนเองโดยไม่สนใจใครบางคนที่แสดงความหวังดีเก้อ ความคล่องแคล่วในการพันแผลแม้ใช้มือเพียงข้างเดียวทำให้ศิลารู้สึกเบาใจ จึงเปลี่ยนเป็นช่วยทำความสะอาดพื้นที่มีรอยเลือดแทน ทว่าเมื่อศิลาหยิบผ้าเตรียมมาเช็ดกลับพบว่าบริเวณพื้นนั้นไม่มีหยดเลือดอยู่เลย ราวกับช่วงเวลาที่เขาไปเอากล่องปฐมพยาบาล คนรักของนายใหญ่ได้ทำความสะอาดไปแล้ว เห็นดังนั้นศิลาจึงเพียงหยิบช้อนและมีดที่ตกอยู่ขึ้นมาล้างและเก็บเข้าที่

    “มือคุณโนอาร์มีแผล ให้ผมช่วยถือนะครับ”
    “ไม่ต้อง”
    
    ศิลาแสดงความช่วยเหลืออีกครั้ง เมื่อเห็นโนอาร์พยายามถือถาดอาหารจนเลือดเริ่มซึมบนผ้าพันแผล เนื่องจากฝืนออกแรงมากเกินไป และแน่นอนสิ่งที่คนหวังดีได้รับคือคำปฏิเสธหักหาญน้ำใจ แต่ถึงอย่างนั้นผู้ทำหน้าที่เลขาเจ้าของสวนก็ไม่ละความพยายาม เพราะการดูแลคนรักของนายก็ถือเป็นงานเขาเช่นกัน

    “ให้ผมช่วยเถอะครับ หากฝืนใช้งานมาก ๆ แผลที่มือคุณจะหะ..หาย...”

    ถ้อยคำแสดงความมีน้ำใจเริ่มเบาลง เมื่อคนหวังดีไม่เข้าท่าเผลอสบกับนัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งเยียบเย็น ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางพายุหิมะหนาวเหน็บจนไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว
    การยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป็นสิ่งดี ทว่าหากใช้ไม่ถูกเวลาผลลัพธ์ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ดั่งครั้งนี้ที่ศิลากำลังเผชิญอยู่
 
    “จะไม่พูดซ้ำสอง” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยเตือนสั้น ๆ
    “ครับ... ขอโทษครับ”

    คนปรารถนาดียอมจำนนในที่สุด ก่อนไปไม่ลืมเก็บกล่องปฐมพยาบาลที่บุคคลอันตรายใช้เสร็จเรียบร้อยแล้วออกไปด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาในส่วนครัวหลังจากนั้น ศิลาไม่กล้าสบตากับชายตรงหน้าอีกเลย
    จนกระทั่งได้ออกมาจากสถานการณ์ชวนอึดอัดกดดัน เขานึกถึงคำเยินยอของลูกชายที่บอกว่า คนเมื่อครู่เพียงแค่ติดเงียบไม่ค่อยพูดเท่านั้นเลยทำให้ดูน่ากลัว แต่หากได้ลองคุยจะรู้ว่าคุณโนอาร์เป็นคนหนึ่งที่ใจดีและน่าเคารพมาก ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ศิลากลับไม่เห็นว่าเป็นอย่างที่ลูกชายบอกแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจไม่ค่อยถูกชะตากับเขา และบางทีเขาอาจต้องหาเวลาปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชายตัวเองอย่างจริงจัง
 

    หลังเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชายเลือดเย็นจึงได้โอกาสยกมื้อกลางวันไปให้ปีศาจอย่างที่ตั้งใจ ทว่าทันทีที่ก้าวออกมาจากส่วนครัว ถาดอาหารกลับชนเข้ากับแผงอกกว้างของร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาติดดุสีอำพันสบกับนัยน์ตารัตติกาลที่แฝงด้วยความสงสัยว่าเหตุใดปีศาจถึงมาอยู่ตรงนี้ และเหมือนปีศาจจะอ่านความรู้สึกของมนุษย์ออก จึงเอ่ยตอบโดยมนุษย์ไม่ต้องถาม

    “ข้ามาตามคนอวดเก่ง เวลาเจ้าของไม่อยู่” ปีศาจกล่าวพลางเหลือบมองผ้าพันแผลบนมือมนุษย์ที่มีเลือดซึมเป็นวงกว้าง
    “ผมไม่-”
    “ปล่อย และข้าจะไม่พูดซ้ำสอง”

    คำสั่งสั้น ๆ ก่อนตามด้วยประโยคที่ชายเลือดเย็นเคยใช้เมื่อไม่นานนี้ ทำให้โนอาร์รู้ในทันทีว่าเอทอสไม่ได้เพิ่งมา แต่ลอบเฝ้ามองเหตุการณ์ได้สักพักหนึ่งแล้ว และด้วยผู้สั่งเป็นปีศาจ ถาดอาหารในมือมนุษย์จึงถูกปล่อยให้ฝ่ามือใหญ่รับหน้าที่ถือแทนอย่างง่ายดาย

    “แผลนั่น ต้องทำใหม่หรือเปล่า”

    เสียงทุ้มของปีศาจเอ่ยถาม และก็ได้คำตอบเป็นการส่ายหน้าของมนุษย์ เห็นดังนั้นเอทอสจึงถือถาดอาหารนำเข้าห้องทำงาน โดยมีโนอาร์เดินตามหลัง ศิลาและพนักงานที่เหลืออยู่ในสำนักงานทันเห็นเหตุการณ์  ต่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าชายผู้กำลังหงุดหงิดพร้อมแผ่บรรยากาศเยือกเย็นอันตราย กลับถูกสยบง่ายดายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำจากนายใหญ่ของสวน

    หลังจากผู้ตกเป็นเป้าสายตาเดินหายเข้าไปในห้อง เหล่าพนักงานก็พลันค้นพบวิธีรับมือยามคนรักของนายใหญ่อารมณ์ไม่ดี นั่นหาใช่การปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวหรือเข้าไปพูดคุย แต่ทว่าเป็นการตามคุณเอทอสมา



    การทานมื้อกลางวันร่วมกันของมนุษย์และปีศาจเป็นไปด้วยความเงียบสงบอย่างทุกครา แต่ที่ผิดปกติคือครั้งนี้โนอาร์จับกระแสความหงุดหงิดของปีศาจได้ ซึ่งเริ่มมีตั้งแต่ตอนเอทอสออกมาช่วยถือของแล้วเห็นแผลบนหลังมือของเขา ผสานกับนัยน์ตาสีอำพันที่มักเหลือบมองผ้าพันแผลเขาบ่อยครั้งระหว่างรับประทานอาหาร ทำให้มนุษย์เริ่มมั่นใจว่าต้นตอของความหงุดหงิด อาจเกิดจากแผลที่หลังมือนี้

    “คุณหงุดหงิดเพราะผมทำมีดบาด?”
    “ไม่ใช่”

    เอทอสกล่าวปฏิเสธ เขาไม่ได้หงุดหงิดโนอาร์แต่กำลังหงุดหงิดตัวเองที่ชะล่าใจจนทำให้มนุษย์ถูกเล่นงาน ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

    หลังจากคืนนั้นเหล่าวิญญาณรับใช้กลับไม่ยอมลามืออย่างที่เขาคิด มิหนำซ้ำยังมามากกว่าเก่า คอยรายล้อมหาโอกาสจัดการคนของเขา ทำให้ช่วงนี้ปีศาจต้องตัวติดเพื่อคอยดูแลมนุษย์ตลอด ทว่าสุดท้ายก็พลาดท่าเพราะประมาทว่าเวลานี้เป็นช่วงกลางวัน และบริเวณแถวนั้นก็มีกลุ่มพนักงานอยู่ พวกวิญญาณคงไม่กล้าลงมือ ซึ่งการติดสินใจที่พลาดพลั้ง เหล่าวิญาณรับใช้จึงสามารถเล่นงานโนอาร์จนเกิดแผลมาให้เขาเจ็บใจเล่น

    “แล้วคุณหงุดหงิดอะไร” มนุษย์ถามต่อ
    “เรื่องไร้สาระ ไม่ต้องใส่ใจ”
 
    เมื่อได้ยินคำตอบ โนอาร์มั่นใจว่าเอทอสคงไม่ยอมปริปากบอกเรื่องที่พยายามปิดบังเขาแน่ ทว่าเหตุการณ์ผิดปกติในส่วนครัวของสำนักงานเมื่อครู่นี้ บวกกับช่วงหลัง ๆ มาปีศาจมักอยู่กับเขาเสมอซึ่งผิดวิสัยของเจ้าตัว พอให้เขาสามารถคาดเดาเรื่องราวได้ แต่ถึงอย่างไร มนุษย์ก็ต้องการคำยืนยันจากปีศาจอยู่ดี

    ดังนั้นคนเจ้าแผนการจึงวางมือพักเรื่องทานมื้อกลางวัน ก่อนนั่งหลังตรงใช้นัยน์ตารัตติกาลจ้องจับสังเกตทุกอารมณ์และการเคลื่อนไหวของปีศาจตรงหน้า ไม่นานการพูดหว่านล้อมค่อย ๆ บีบให้ปีศาจจนมุมยอมเผยความลับ ไม่ต่างจากงูที่กำลังบีบรัดเหยื่อจึงเริ่มขึ้น

    “ผมกำลังอุ่นอาหารตรงส่วนครัวของสำนักงาน อยู่ ๆ ช้อนที่ผมใช้ชงกาแฟก็ตกลงมาเอง”
    “ผมเลยก้มลงไปหยิบ และตอนนั้นมีดที่ผมใช้ตัดซองกาแฟก็หล่นลงมาเหมือนกัน”
    “ดีที่ผมลุกขึ้นเร็ว มีดเลยหล่นบาดมือผมแทน แต่ถ้าช้ากว่านั้น...”
    “มีดคงหล่นแทงใส่หลัง ไม่ก็คอ หรือแย่กว่าอาจเป็นหัวของผมเอง”
    “เจ้าต้องการจะบอกอะไรข้า” ปีศาจขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ
    “ก่อนผมก้มลงเก็บช้อน ผมวางมีดอยู่กลางเคาน์เตอร์ไม่มีทางที่จะหล่นลงมาเองได้”
    “ไม่ต้องพูดถึงใครเพราะตอนนั้นในส่วนครัวมีผมแค่คนเดียว”
    “ไม่ต้องพูดถึงลมเพราะส่วนครัวไม่มีหน้าต่าง แล้วมีดหล่นมาได้ยังไง? คุณสงสัยเหมือนผมไหม”
    “ข้า-”
    “คุณสงสัยไหมถ้าผมลุกขึ้นมาช้าแม้เพียงเสี้ยววินาทีจะเป็นอย่างไร”
    “ความสูงจากเคาน์เตอร์ไม่มากพอที่จะทำให้มีดแทงทะลุได้อยู่แล้ว แต่กับมีดที่อยู่ ๆ ก็ร่วงลงมาได้เอง ผมว่าการที่มีดจะบังเอิญตกลงมาแรงพอจนสามารถแทงผมได้คงไม่แปลกเท่าไรนัก”
    “คุณลองนึกภาพตาม ปลายมีดแหลมหล่นจากเคาน์เตอร์ปักแทงทะลุท้ายทอยผม”
    “เลือดมากมายไหลทะลักเปียกชุ่มเสื้อที่คุณเห็นผมใส่อยู่ แบบเดียวกับที่ผมพลาดท่าให้กับพวกนักล่าปีศาจ”
    “ร่างผมล้มลงกองกับพื้นไม่มีใครรู้ เลือดไหลนองไม่หยุดค่อย ๆ แผ่กระจายเปลี่ยนพื้นสีขาวสะอาดของส่วนครัวเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อม”
    “หยุด..” ปีศาจพยายามเอ่ยสั่งมนุษย์
    “คมมีดแหลมตัดหลอดลม ทำให้ผมหายใจไม่ออก ส่งเสียงร้องเรียกหาคุณไม่ได้ ผมหอบหายใจพยายามเอาอากาศเข้าปอดแต่ก็ไร้ผล”
    “ข้าบอกให้หยุด โนอาร์”
    “ผมใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ค่อย ๆ คลานไปหาคุณ แต่ระยะทางใกล้ ๆ จากส่วนครัวถึงห้องทำงานคุณกลับไกลมากสำหรับผมที่กำลังหมดลมหายใจ”
    “รอยเลือดลากเป็นทาง ทุกครั้งที่ขยับคมมีดที่ปักคาก็เฉือนคอผมลึกขึ้น ผมทรมานราวกับจะขาดใจ ภาพข้างหน้าเริ่มมืดลง และไม่นานผมคงจะตา...”
    “โนอาร์!!! ข้าสั่งให้เจ้าหยุดพูด!!!!!”    

    เสียงตวาดดังก้องสะเทือนทั่วทั้งห้อง จนสามารถเล็ดลอดออกมาให้เหล่าพนักงานภายนอกได้ยินและสะดุ้งไปตามกัน บัดนี้นายใหญ่ของสวนหอบหายใจนัก แผ่นหลังกว้างและกรอบหน้าคมเข้มชื้นไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาดุสีอำพันวาวโรจน์ทว่าภายในกลับสั่นไหวด้วยความรู้สึกบางอย่าง มนุษย์เจ้าแผนการรู้จักความรู้สึกนั้นดี นั่นคือ ความกลัว

    “ผมไม่ได้อยากให้คุณรู้สึกไม่ดีนะครับ แต่เรื่องแบบนี้อาจเป็นจริง ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระคุณ จะดีกว่าไหมที่เราจะไม่มีความลับต่อกัน และช่วยหาทางจัดการปัญหา”
    
    โนอาร์ยอมลดความกดดันเมื่อเห็นเอทอสมีความรู้สึกร่วมเกินกว่าที่เขาประมาณไว้ ก่อนเดินเข้าไปลูบไหล่หนาของปีศาจราวกับช่วยปลอบประโลม พร้อมเปลี่ยนเป็นการพูดเกลี้ยกล่อมแทน และดูเหมือนวิธีนี้จะได้ผลเพราะหลังจากปีศาจใจเย็นลง ก็ยอมพูดเรื่องที่ปิดบังมนุษย์ในที่สุด

    “รอบตัวเจ้ามีวิญญาณพยายามจ้องเล่นงาน เหมือนครั้งที่ข้าพาเจ้าเข้าป่าช้า”
    “ข้าเลยต้องอยู่ใกล้เจ้าไว้เพื่อคอยกันวิญญาณพวกนั้น และทำให้เจ้าปลอดภัย”
    “แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมวิญญาณพวกนั้นถึงอยากจัดการผม” โนอาร์ถามต่อ
    “กลิ่นอายวิญญาณเจ้าดึงดูดพวกมัน แบบเดียวกับวิญญาณในป่า”
 
    ปีศาจยอมตอบตามความจริงเพื่อให้มนุษย์รับรู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร เว้นเสียแต่ต้นตอของเหล่าวิญญาณที่ปีศาจยังละไว้ไม่ยอมบอกว่า พวกมันล้วนถูกส่งมาโดยผู้คุมวิญญาณอดีตผู้ว่างจ้างของมนุษย์ เนื่องจากเอทอสเข้าใจนิสัยโนอาร์ดีว่าหากรู้เรื่องนี้เมื่อไร จะต้องหาทางไปกำจัดผู้ว่าจ้างด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน และนั่นอาจเข้าทางอีกฝ่าย เพราะถึงโนอาร์จะดูแข็งแกร่งในสายตาคนอื่น ทว่าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ขนาดแค่วิญญาณรายล้อมจ้องเล่นงานยังไม่รู้ตัว ไม่มีทางเลยที่จะสู้กับผู้ที่มีความสามารถควบคุมวิญญาณได้
    ดังนั้นเอทอสจึงเห็นว่าโนอาร์รู้เพียงเท่านี้เพื่อระวังตัวน่าจะดีที่สุด ส่วนที่เหลือต่อจากนี้เขาจะเป็นคนจัดการเอง

    “แล้วตอนนี้วิญญาณพวกนั้นยังอยู่แถวนี้ไหม”
    “ไม่ พวกมันหายไปหลังจากทำร้ายเจ้าสำเร็จ”

    หลังฟังความจริงที่เอทอสพยายามปิดบัง โนอาร์จึงเข้าใจเหตุผลทั้งหมดว่าเหตุใดพักนี้ปีศาจถึงชอบอยู่ใกล้เขา คนเจ้าแผนการเลยถือโอกาสนี้ยุปีศาจในเรื่องต่าง ๆ เช่น การอนุญาตให้เขาเข้ามานอนร่วมห้องกับปีศาจอย่างถาวร หรือแม้กระทั่งการอาบน้ำที่ควรอาบพร้อมกันเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของปีศาจ ทว่าน่าเศร้าที่ความหวังดีของโนอาร์กลับถูกเอทอสปัดทิ้งทั้งหมด



    ยามสนธยา คือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันสู่กลางคืนหรือยามราตรีสู่รุ่งอรุณ ท้องฟ้าและแสงอาทิตย์เป็นสีส้มแดง บ้างก็ว่ายามสนทยานั้นสวยงามน่าจดจำ แต่บางส่วนกลับแย้งว่าบรรยากาศวังเวงชวนให้รู้สึกอ้างว้างและหดหู่ ทว่าอีกหนึ่งความพิเศษของยามสนทยาที่น้อยคนจะรู้คือ เป็นช่วงเวลาเพียงไม่นานที่มนุษย์สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติได้ ดั่งเช่น ชายคนหนึ่งกำลังเฝ้าดูยามสนทยาที่จวนจะจบสิ้น ผ่านบานกระจกของบ้านพักขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่

    “ปีศาจนั่นคอยตามไม่ห่างจนแทบทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้สิ่งที่ต้องการมา”

    วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งรายงาน พร้อมส่งเลือดของเป้าหมายให้กับผู้เป็นนายที่มัวแต่ชื่นชมแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน

    “อืม จากนี้ก็พักเก็บแรงให้เต็มที่ เตรียมต้อนรับสมาชิกใหม่ของเรา”

    เสียงตอบกลับดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มยากจะคาดเดาความหมายยามมองของที่วิญญาณรับใช้นำมามอบให้

    “แล้วจะเริ่มเมื่อไร”
    “ไม่ต้องรีบร้อน ยังไงหมอนั่นก็เหมือนถูกโซ่ล่ามไว้แล้ว ให้โอกาสได้พยศได้วิ่งเล่นครั้งสุดท้ายจะเป็นไรไป”
    “ตามใจ จะลงมือตอนไหนก็บอก... น้องของนายกลับมาแล้ว”
    “พี่วรรษ! กลับมาก่อนทำไมไม่เปิดไฟบ้าน”

    ทันทีที่สิ้นเสียงบอกกล่าวของวิญญาณรับใช้ ประตูหน้าบ้านก็พลันเปิดกว้าง พร้อมกับชายร่างเล็กเจ้าของคำบ่นเมื่อครู่กำลังหอบของพะรุงพะรังเดินเข้ามา แสงสว่างจากหลอดไฟที่ผู้มาใหม่กดเปิดทั่วทั้งบ้าน ช่วยขับไล่ความมืดและบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจของผู้คุมวิญญาณจนหมดสิ้น เหลือเพียงพี่ชายแสนดีที่รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยน้องถือของ

    “โทษ ๆ พี่คุยงานเพลินไปหน่อย แล้ววันนี้ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”
    “ขายดีครับพี่ ลูกค้าเข้ามาสั่งจนผมกับพนักงานช่วยกันทำแทบไม่ทันแน่ะ”
    “ดีแล้ว งั้นขึ้นไปอาบน้ำให้หายเหนื่อย แล้วค่อยมากินข้าวกัน เดี๋ยวของพวกนี้พี่จัดการเอง”

    หลังได้ยินดังนั้น น้องชายของเจ้าบ้านจึงขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าตามคำของพี่ชาย ปล่อยให้พี่คอยจัดเรียงของเก็บเข้าที่เพียงลำพัง เมื่ออยู่คนเดียวอีกครั้ง พี่ชายผู้มีอีกหนึ่งบทบาทเป็นผู้ควบคุมวิญญาณ จึงกล่าวชมวิญญาณรับใช้ที่ตนส่งไปช่วยเรียกลูกค้าให้น้องชาย

    “ทำได้ดีมาก ไปพักได้”
    “ค่ะนาย”



    วันเวลาผันผ่านและในที่สุดวันครบรอบสวนรฦกวัลย์ที่หลายคนเฝ้ารอก็มาถึง แน่นอน หนึ่งในนั้นเป็นชายเลือดเย็นที่ตั้งตารอที่จะจัดงานฉลองครั้งแรกให้กับปีศาจ ด้วยเหตุนี้เมื่อยามเช้ามาถึงโนอาร์จึงไม่ได้ใส่ชุดชาวสวนอย่างทุกที ทว่าเป็นเชิ้ตเนื้อดีสวมทับด้วยเสื้อสูทขับให้มนุษย์ดูสง่า ทว่าแฝงด้วยความสุขุมเยือกเย็นราวกับเจ้าชายน้ำแข็ง พร้อมสะกดสายตาใครต่อใคร ไม่แม้แต่ปีศาจเอง ที่ตอนนี้กำลังมองชุดของมนุษย์ตรงหน้า

    “เจ้าจะไปไหน” เอทอสขมวดคิ้วถาม เนื่องจากโนอาร์มักจะแต่งตัวเช่นนี้ยามออกไปคุยงานหรือไปข้างนอก
    “ไปรับของที่ผมสั่งไว้กับจิน กับไปติดต่อเรื่องงานที่จะจัดค่ำนี้ กว่าจะเสร็จผมคงไปถึงสวนตอนช่วงเย็น เที่ยงนี้ผมคงไม่ได้กินข้าวกับคุณ แต่ไม่ต้องห่วง มื้อกลางวันผมทำไว้ให้คุณแล้ว”

    โนอาร์อธิบายตารางงานทั้งหมดของวันนี้ให้เอทอสรับรู้ ก่อนตบท้ายด้วยการส่งกล่องข้าวมื้อเที่ยงให้ปีศาจรับไป

    “เจ้ากำลังถูกจ้องเล่นงาน ลืมไปแล้วหรือไง”

    ปีศาจเอ่ยเตือน เขาไม่อยากให้ช่วงนี้มนุษย์อยู่ห่างเขาเท่าไรนัก แม้หลังจากวันนั้นที่กลุ่มวิญญาณรับใช้สามารถเล่นงานโนอาร์ได้สำเร็จ พวกมันก็หายไป ไม่ได้กลับมาวนเวียนรอบตัวมนุษย์อีก ราวกับว่าผู้คุมวิญญาณคนนั้นเลิกสนใจโนอาร์แล้ว แต่ทว่าปีศาจก็ไม่ได้วางใจ เพราะทุกครั้งที่คลื่นลมสงบ อีกไม่นานจะมีพายุตามมาเสมอ

    “ตอนนี้คุณเห็นพวกมันหรือเปล่า”

    หลังได้ยินคำถาม เอทอสจึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างละเอียด พร้อมจับสัมผัสของกลุ่มวิญญาณรับใช้ ซึ่งก็ไม่มี ดั่งเช่นตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

    “ไม่มี”
    “แบบนี้ดีไหม หลังจากที่ผมรับของแล้ว ผมจะให้จินอยู่กับผมต่อจนกว่าผมจะคุยเรื่องงานเลี้ยงตามที่ต่าง ๆ เสร็จ คุณจะได้ไม่กังวล และอีกอย่างมีดที่คุณให้ ผมก็พกติดตัวตลอด ถ้ามีเหตุสุดวิสัยจริง ผมว่าผมเอาตัวรอดได้”

    มนุษย์หาทางแก้ให้ปีศาจเบาใจ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก เนื่องจากคิ้วหนาเหนือนัยน์ตาดุสีอำพันยังคงขมวดมุ่น ไม่มีทีท่าว่าจะคลายลง เห็นดังนั้นโนอาร์จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ปีศาจ ก่อนใช้แขนทั้งสองคล้องคอร่างสูงใหญ่ พร้อมกับกดจูบบางเบาลงบนมุมริมฝีปากหนาเพื่อช่วยปลอบประโลมให้ปีศาจคลายกังวล ซึ่งเหมือนวิธีนี้จะได้ผลชะงัด

    “ข้าจะไปกับเจ้า”
    “คุณรอผมที่สวนนะครับ ไม่อย่างงั้นสิ่งที่ผมเตรียมมาทั้งหมดจะสูญเปล่า”

    โนอาร์ปฏิเสธก่อนจะขยับเข้าใกล้หวังทำให้เอทอสสบายใจอีกครั้ง ทว่ากลับเป็นปีศาจเองที่เคลื่อนเข้าหาพร้อมกดสัมผัสให้แนบชิด ค่อย ๆ ขบเม้มริมผีปากบางของมนุษย์ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทุกการกระทำของปีศาจเต็มไปด้วยความอ่อนโยนต่างจากครั้งที่ผ่านมา ราวกับเอทอสกำลังร้องขอให้เขาเปลี่ยนใจ

    “ผมจะรีบกลับมา”
 
    มนุษย์เอ่ยบอก ก่อนค่อย ๆ ผละออกจากร่างสูงใหญ่ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจปีศาจคิดมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่เอทอสกังวลขนาดนี้ ความผิดส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเองที่พยายามฝืนให้ปีศาจเผยความลับ
    ส่วนเอทอสเมื่อเห็นว่ายังไงโนอาร์ก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ สุดท้ายจึงยอมอนุญาตในที่สุด ไม่ลืมกำชับให้มนุษย์อยู่กับจินเสมอ และถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบโทรหาเขา ซึ่งมนุษย์ก็รับปาก ก่อนจะกล่าวลาและขึ้นรถสีเทาเมทัลลิกขับหายไป ทิ้งให้ปีศาจเฝ้ามองดวงไฟท้ายรถที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา

    ซึ่งเอทอสไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจเมื่อครู่นี้ คือเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา




บท18 สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 19 รักเจ้า]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 11-05-2020 22:23:58
 

    ความเงียบสงบกับแสงนวลของหลอดไฟ คู่กับกาแฟรสละมุนลิ้นสักแก้ว ค่อย ๆ จิบพลางมองผู้คนภายนอกที่ผ่านไปมาก็สร้างความเพลินตาไม่น้อย ขณะนี้จินกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศจำลองการใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ระหว่างรอบุคคลอันตรายที่นัดเขามาที่นี่

    ความจริงแล้ว เขาควรยืนเมื่อยขาอยู่ใต้สะพานหรือไม่ก็ตรอกซอยเปลี่ยวน่ากลัวที่ไหนสักแห่ง แต่อยู่ ๆ ลูกค้าเอาใจยากก็โทรมาเปลี่ยนสถานที่รับของเป็นร้านกาแฟภายในห้างใจกลางเมือง ได้ยินดังนั้นพ่อค้าจึงรีบตกปากรับคำเพราะกลัวปลายสายจะเปลี่ยนใจอีก สุดท้ายเขาเลยได้มานั่งชิลดุจราชาบนบัลลังก์โซฟานุ่ม พลางจิบกาแฟ มองดูเหล่าราษฎรภายนอกที่เดินกันขวักไขว่

    ผ่านไปไม่นานเพียงกาแฟหมดแก้ว จนราชาต้องสั่งใหม่ เจ้าชายก็พลันปรากฏกายเดินมุ่งตรงมาเข้าเฝ้าเขา เสื้อผ้าเนื้อดีเมื่ออยู่บนร่างสูงสมส่วนยิ่งช่วยขับให้ผู้ใส่ดูโดดเด่น ผสานการแต่งแบบกึ่งทางการคือ เพียงสวมสูททับเชิ้ตเสมือนเสื้อคลุม ปลดกระดุมคอเสื้อพอคลายร้อน แม้บรรยากาศรอบตัวองค์ชายจะดูเยือกเย็นและใบหน้าติดเรียบนิ่งทะนงตน ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับยิ่งเรียกสายตาคนโดยรอบเป็นอย่างดี

    “เอาของมา”

    คำสั่งเรียบนิ่งหลังเจ้าชายน้ำแข็งนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม ทำลายภาพฝันในบทบาทราชาของจินจนสิ้น ฉุดกระชากสู่ความจริงว่าเขาเป็นได้เพียงข้ารับใช้ขององค์ชายเอาใจยากเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่อีกฝ่ายลากเขาออกจากจินตนาการ เพราะหากเขาเป็นราชา แล้วมีลูกชายเป็นโนอาร์ คงต้องนั่งระแวงทุกวันว่าจะถูกลูกรักโค่นบัลลังก์ตอนไหน

    “จิน”
    “เดี๋ยว! ๆ กำลังหยิบให้อยู่ไงรอหน่อยสิ ใจร้อนจัง”

    เพราะมัวแต่เหม่อคิดเรื่องไร้สาระ เลยถูกเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงแฝงความรำคาญ ส่งผลให้สติพ่อค้ากลับมาโดยพลัน รีบเอาของส่งให้ลูกค้า เพราะครั้งหนึ่งที่เขาถูกโนอาร์เรียกชื่อ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมันน่ากลัวมากจนเขาแทบไม่อยากนึกถึงมัน

    ในที่สุดของที่โนอาร์เรียกหาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงครอบด้วยโหลแก้วทรงกระบอก ฐานเป็นแผ่นไม้กลมสีนิลอย่างดี ดูภายนอกเหมือนดอกไม้ในโหลแก้วปกติ แต่ราคาและความยากเพื่อให้ได้มา ไม่ได้ธรรมดาตามไปด้วย
    ดอกไม้ประหลาดที่ขึ้นเฉพาะสถานที่ร้างสิ่งมีชีวิตและเต็มไปด้วยวิญญาณพลุกพล่าน อาทิเช่นสุสานเก่าที่ไม่มีใครเข้าไปดูแล หรือป่าบรรยากาศวังเวงที่มีแต่ต้นไม้ยืนต้นตาย ตัวดอกส่งกลิ่นหอมหวานดึงดูด ทว่ามีเพียงเหล่าวิญญาณเท่านั้นที่ได้กลิ่น ด้วยความพิเศษนี้ จึงทำให้ดอกไม้ประหลาดจำเป็นต้องอยู่ในโหลแก้ว จะเปิดโหลครอบก็ต่อเมื่อต้องการใช้งาน มิเช่นนั้นดอกไม้จะส่งกลิ่นหลอกล่อวิญญาณให้เข้ามาหาวนเวียนและทำร้ายผู้ครอบครองแทน

    “นายจะเอาไปทำอะไรเหรอ”

    จินถามด้วยความไม่เข้าใจ มีคนปกติที่ไหนอยากได้ดอกไม้อัปมงคลที่นำพาแต่เรื่องเลวร้ายกัน ทว่าเมื่อคิดดูดี ๆ โนอาร์ก็ไม่ใช่คนปกติ การที่อยู่ ๆ อยากได้ของประหลาดแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไรนัก

    “…”
    “โอเค เข้าใจแล้ว ไม่ถามก็ได้”

    ความเงียบถือเป็นคำตอบ จินเลยละความพยายาม เพราะหากตื้อต่อไปคนที่โดนดีอาจเป็นเขาเอง และเป็นจังหวะเดียวกับโนอาร์ชื่นชมของที่สั่งจนพอใจ จึงส่งคืนพ่อค้า พร้อมสั่งให้เดินตามออกมาจากร้านกาแฟด้วยกัน

    “จะไปไหนน่ะโนอาร์! นายคงไม่พาไปฆ่าหรอกใช่ไหม? ของนี่ไม่ถูกใจนายเหรอ เดี๋ยวฉันหาให้ใหม่ได้นะ”
    “หุบปากและเดินตามมา”

    เพราะความผิดปกติของโนอาร์ที่ไม่รับของอย่างทุกที มิหนำซ้ำยังเหมือนจะพาไปที่ไหนสักแห่ง เลยทำให้จินเริ่มตื่นตระหนกร้องโวยวาย ก่อนจะถูกคนขี้รำคาญต่อว่าไปตามระเบียบ พ่อค้าที่ไม่ต่างจากคนใช้จึงทำได้เพียงเดินคอตกตามลูกค้าเอาใจยากไปเงียบ ๆ


    ไม่นานโนอาร์และจินก็หยุดอยู่หน้าร้านรับห่อของขวัญ ลูกค้าใจร้ายเดินตรงเข้าไปหาพนักงานที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะสั่งคนด้านหลังให้เอาของที่ฝากไว้ออกมา

    “คุณลูกค้าต้องการห่อด้วยกระดาษกับริบบิ้นสีอะไรดีคะ?”

    พนักงานสาวเอ่ยถาม หลังนำของขวัญลูกค้าลงกล่องพร้อมกระดาษฝอยกันกระแทกเรียบร้อย ซึ่งคำตอบนั้นโนอาร์ได้คิดทบทวนมาเป็นอย่างดีจนได้ข้อสรุปว่า ใช้กระดาษแบบเดียวกับสีตาและสีผมของเขาห่อตัวกล่อง ส่วนริบบิ้นและโบจะให้เป็นสีเดียวกับตาของปีศาจ เวลาเอทอสรับจะได้รู้ทันทีว่าของขวัญกล่องนี้เขาเป็นคนให้

    “ห่อด้วยกระดาษสีดำ ริบบิ้นและโบเป็นสีแดงเลือดนก”

    เมื่อได้ยินความต้องการจากลูกค้า พนักงานสาวถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง และรีบนำกระดาษกับริบบิ้นมาห่อกล่องของขวัญ ทีแรกเธอคิดว่าลูกค้าคนนี้คงมาห่อของขวัญให้คนรัก จึงเตรียมพร้อมแนะนำสีกระดาษกับริบบิ้นเต็มที่ เพราะลูกค้าชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยสันทัดกับเรื่องพวกนี้
    ทว่าเมื่อได้ฟังสีที่ลูกค้าต้องการ เธอจึงรีบเปลี่ยนความคิดทันที ลูกค้าคนนี้ไม่น่าจะห่อของขวัญไปให้คนรักแล้ว แต่คงห่อให้คนที่เกลียดมากกว่า ถึงได้เลือกสีที่ดูหม่นหมองชวนให้นึกถึงงานอวมงคล

    “นายจะเอาไปให้ของเล่นนายเหรอ ลงทุนจัง”

    จินกระซิบถามระหว่างรอพนักงาน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า โนอาร์คงอยากได้ดอกไม้อันตรายนั่นไปมอบเป็นของขวัญให้กับเหยื่อเคราะห์ร้าย เพื่อจะได้เฝ้ามองความเดือดร้อนของผู้ตกเป็นของเล่นฆาตกรจากมุมมืดอย่างเพลิดเพลินตามนิสัยเจ้าตัว

    “ให้เอทอส”

    โนอาร์ไขความเข้าใจผิด พลางขมวดคิ้วรำคาญ ไม่เข้าใจว่าจินคิดได้อย่างไรว่าเขาจะเอาของขวัญไปให้พวกของเล่น คนอย่างเขาหรือจะมามัวเสียเวลาทำเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพื่อปีศาจผู้เป็นที่รัก
    ส่วนจินหลังฟังข้อเท็จจริง ก็ได้แต่เพียงยืนนิ่งมองกล่องของขวัญสีสันหดหู่ สลับกับหน้าโนอาร์ที่มองกล่องของขวัญด้วยนัยน์ตารัตติกาลแฝงความภูมิใจ จวบจนกระทั่งเดินออกมาจากร้าน จินถึงเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ

    “ถามได้ไหมโนอาร์ ทำไมนายถึงอยากเอาเจ้านี่ให้คุณเอทอสเหรอ”

    สิ่งที่ได้รับกลับมาหาใช่คำตอบ แต่เป็นนัยน์ตารัตติกาลเจือด้วยความรำคาญที่อีกไม่นานจะกลายเป็นความหงุดหงิด ทว่าสุดท้ายโนอาร์ก็ยอมบอกเพื่อตัดปัญหาคำถามไม่รู้จบ

    “เอทอสจะได้จับวิญญาณกินง่าย ๆ”

    ครั้งที่เอทอสหายไป โนอาร์จำได้ดีว่าปีศาจลำบากขนาดไหนที่ต้องทรมานอยู่ภายในถ้ำ เพราะไม่มีแรงพอออกไปไล่จับวิญญาณกินเพื่อฟื้นฟูตัวเอง ดังนั้นเขาเลยคิดว่า หากมีอะไรสักอย่างที่ช่วยล่อวิญญาณมาให้ปีศาจจับกินได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงคงดีไม่น้อย ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็มาอยู่ในกล่องของขวัญ และเขามั่นใจว่าปีศาจต้องชอบมัน

    นึกถึงตรงนี้ โนอาร์ก็ได้คิดถึงคำเตือนของเอทอสตอนก่อนออกจากบ้านว่า ให้ระวังพวกวิญญาณที่จ้องจะจัดการเขา ดังนั้นคนไม่ชอบพูดจึงกลายเป็นคนถามชวนต่อบทสนทนาซะเอง

    “เห็นวิญญาณอยู่แถวนี้ไหม?”
    “เห็น พวกวิญญาณเร่ร่อนน่ะ ทำไมเหรอ”

    จินตอบกลับพลางเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะหันมองดูเหล่าวิญญาณโดยรอบ ไม่ว่าที่ไหนก็มีวิญญาณทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ห้างใจกลางเมืองนี้ ความจริงแล้ววิญญาณทั่วไปที่ไม่ใช่วิญญาณอาฆาตแค้น ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจเท่าไร ยังคงใช้เวลาไปเรื่อยเพื่อรอวันจุติ อย่างเช่น วิญญาณสองนักศึกษาที่เดินจูงมือกันอย่างกับออกเดต หรือวิญญาณเด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายตัวใหญ่ท่าทางเหมือนนักเลง แต่กลับไปนั่งอยู่ในร้านไอศกรีมซึ่งไม่เข้ากับเจ้าตัว บางทีผู้ชายคนนั้นอาจสัมผัสถึงวิญญาณได้ และก็ถูกวิญญาณเด็กวัยรุ่นนั่นยุให้มา

    “ไม่ทำไม ถ้าเห็นวิญญาณตนไหนมีท่าทีผิดปกติ ให้รีบบอก”

    เสียงตอบกลับของโนอาร์ เรียกสติจินที่มัวแต่มองวิถีชีวิตของเหล่าวิญญาณ ซึ่งเมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าเจ้าชายน้ำแข็งได้เดินถือถุงของขวัญทิ้งห่างไปไกลแล้ว ส่งผลให้ผู้คุมวิญญาณที่ปีศาจหวังพึ่งให้ช่วยดูแลมนุษย์ ต้องรีบวิ่งตามไปประหนึ่งคนรับใช้ หาใช่บอดี้การ์ดอย่างที่เอทอสต้องการ



    หลังใช้เวลาเดินสักพักใหญ่จนออกจากตัวห้าง ในที่สุดโนอาร์ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารขึ้นชื่อที่ตั้งอยู่ข้างห้างดัง จินที่แอบบ่นในใจตลอดทางเพราะเริ่มหิวและเมื่อยขา พอเห็นสถานที่เบื้องหน้าก็พลันดีใจ ก่อนรีบหว่านล้อมชักชวนคนเอาใจยากให้ยอมแวะพักทานอาหาร โดยหารู้ไม่ว่าที่นี่คือจุดหมายถัดมาของโนอาร์

    เมื่อเข้ามาในร้าน กลับพบว่าภายในนั้นเงียบสงบไม่มีลูกค้านั่งทานอาหารแม้แต่โต๊ะเดียว ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับจินเป็นอย่างมาก เนื่องจากชื่อเสียงของร้านที่เคยได้ยินผ่านหู และหลายครั้งที่เขาขับรถผ่าน ร้านนี้จะมีคนแน่นตลอด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีช่วงที่ร้านร้างผู้คนดั่งเช่นวันนี้

    “สวัสดีครับคุณโนอาร์ ทางเราจัดเตรียมโต๊ะรับรองไว้แล้ว เชิญทางนี้ครับ”

    ไม่นานก็มีชายคนหนึ่งแต่งกายสุภาพเรียบร้อย คาดว่าเป็นผู้จัดการของร้าน เดินเข้ามาต้อนรับโนอาร์ก่อนจะพาไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้อย่างดี จินที่ได้แต่เดินตามหลังด้วยความงุนงง จนมานั่งร่วมโต๊ะกับคนอันตรายเรียบร้อย เลยใช้โอกาสนี้ตะล่อมถามผู้จัดการร้านด้วยความสงสัย

    “ร้านเงียบจังเลยนะครับ ปกติผมเห็นร้านแน่นตลอด”
    “อ๋อ.. วันนี้คุณโนอาร์เหมาร้านน่ะครับ หลังจากคุณโนอาร์เลือกรายการอาหารเรียบร้อย ทางร้านเราถึงจะได้ไปจัดเลี้ยงที่งานฉลองครบรอบสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ในช่วงเย็นครับ”
 
    หลังได้ฟังคำตอบจากผู้จัดการร้าน คนไม่รู้เรื่องราวอย่างจินก็ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างในความเล่นใหญ่ของโนอาร์ และระหว่างที่ใครบางคนกำลังช็อกอยู่นั้น เมนูอาหารทั้งหมดที่มีในร้านก็ถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ ให้ลูกค้ารายใหญ่ได้ลองชิมเพื่อเลือกไปใช้สำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้

    “อย่าบอกนะ.. ว่าที่เหมาทั้งร้านก็...” จินถามเสียงเบา แม้จะพอคาดเดาคำตอบได้ราง ๆ
    “ให้เอทอส”

    พอได้ยินดังนั้น จินก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจว่า

    ทำไมคนรักของฆาตกรเลือดเย็นถึงได้โชคดีขนาดนี้นะ!!



     จวบจนเข็มสั้นของนาฬิกาใกล้ชี้เลขสาม อาหารเมนูสุดท้ายก็ได้ถูกเลือกเรียบร้อย ผู้จัดการร้านกล่าวขอบคุณลูกค้ารายใหญ่ที่ไว้ใจใช้บริการของทางร้านอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินไปทางหลังร้านเพื่อเร่งสั่งพนักงานให้รีบจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงช่วงเย็น
     ส่วนผู้ร่วมชิมแต่ไม่ได้มีโอกาสออกเสียงตัดสินอย่างจิน ก็ถึงกับอิ่มจนแทบลุกไม่ไหว ทว่าได้พักเพียงไม่นาน เขากลับต้องรีบลุกตามโนอาร์ที่เดินคุยโทรศัพท์ออกจากร้าน เพื่อไปยังสถานที่ถัดไป

    “ถึงไหน รายงานมา?” คนสั่งการเอ่ยถามความคืบหน้าทันทีที่ปลายสายกดรับ
    [ตอนนี้ถึงสถานที่จัดงานเรียบร้อยแล้วครับคุณโนอาร์ พนักงานกำลังติดตั้งไฟประดับ มีบางส่วนไปช่วยคนงานของสวนรฦกวัลย์ตั้งเวทีครับ]
    “อืม จัดที่สำหรับวางอาหารไว้ด้วย อีกไม่นานกลุ่มเตรียมอาหารจัดเลี้ยงน่าจะถึง”
    [ได้ครับ คุณโนอาร์]

    หลังได้ยินคำยืนยัน คนตารางเวลาแน่นก็กดตัดสายทิ้งทันที เมื่อครู่นี้โนอาร์คุยกับหัวหน้างานรับจัดตกแต่งสถานที่ที่ได้ติดต่อไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยแผนงานไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่ช่วยเสริมองค์ประกอบจัดบรรยากาศโดยรอบสถานที่ให้ดูดี แต่ห้ามเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พวกชาวสวนทำเด็ดขาด

    ซึ่งคำสั่งกำชับนี้หาได้เกิดเพราะ เกรงว่าจะทำร้ายความรู้สึกของคนสวนที่อุสาคิดวางแผนแต่สุดท้ายไม่ได้ใช้จริง ทว่าเป็นเพราะ ก่อนหน้านี้โนอาร์เคยถามถึงจุดประสงค์ของงานฉลองวันครบรอบ และคำตอบที่ได้รับคือ ผู้มีพระคุณของปีศาจอยากให้เหล่าคนงานได้ผ่อนคลายหลังจากที่ช่วยดูแลสวนมาตลอดปี ดังนั้นโนอาร์จึงพยายามจัดงานฉลองในแบบของเขา ทว่าไม่กีดกันสิ่งที่พวกคนสวนทำ เพื่อลดโอกาสสร้างความไม่พอใจให้กับปีศาจโดยไม่รู้ตัว


    ขณะนี้โนอาร์และจินกลับเข้ามาในตัวห้างอีกครั้ง และจุดหมายครั้งนี้คือร้านไวน์เก่าแก่ การันตีได้ถึงคุณภาพที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน โนอาร์เดินสำรวจไวน์ตามชั้นพลางฟังคำบรรยายของเจ้าของร้าน ไม่นานไวน์แดงสองขวดที่ราคาสูงที่สุดในร้านก็ตกมาอยู่ในมือคนถือของอย่างจิน

    เมื่อได้ไวน์ดี แก้วสำหรับดื่มก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นเป้าหมายถัดมาของโนอาร์จึงเป็นร้านเครื่องแก้วหรู เดินตรงเข้าไปทางโซนสำหรับแก้วแชมเปญหลากหลายแบบ ใช้เวลาเลือกสักพักหนึ่ง แก้วเชมเปญสองใบที่เหมาะกับไวน์เลิศรสก็กลายมาเป็นภาระของจิน

    หลังจากได้เครื่องดื่มและอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว โนอาร์จึงรีบเดินเพื่อทำเวลาให้ทันงานช่วงเย็น ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าสิ่งที่ถือว่าสำคัญและขาดไม่ได้ในสายตาโนอาร์ ทว่ากลับทำให้จินรู้สึกหน้าร้อนและพูดอะไรไม่ออก ซึ่งสิ่งนั้นคือ เจลหล่อลื่นกับถุงยาง

    “คิดว่าเอทอส 54 หรือ 56” คนเลือกอยู่นานหันมาถาม เพราะตัดสินใจไม่ได้
    “ฉันจะไปรู้กับนายเหรอโนอาร์!!! ทำไมไม่ถามเจ้าตัวเองละ!!”

    ในเมื่อตัดสินใจไม่ได้ คนเร่งรีบเพื่อทำเวลาเลยกวาดถุงยางทั้งสองขนาด พร้อมเจลล่อลื่นลงตะกร้าก่อนเอาไปจ่ายตรงแคชเชียร์ ซึ่งระหว่างรอพนักงานคิดเงิน บรรยากาศโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยความเก้อเขินปนกระอักกระอ่วนของทั้งจินและพนักงาน ที่ต่างพยายามเก็บอาการจนใบหน้าและหูเปลี่ยนเป็นสีแดง

    ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุอย่างโนอาร์กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังจินตนาการถึงค่ำคืนแสนสุขที่เขาและปีศาจนั่งจิบไวน์ ดื่มด่ำกับบรรยากาศเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสองภายในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ หลังกลับมาจากงานเลี้ยงฉลอง ก่อนจะจบลงด้วยการที่เอทอสพาเขาเข้านอนและ ‘กอด’ กันจนถึงเช้า


    หลังผ่านช่วงเวลาอันแสนอึดอัด แน่นอนผู้รับหน้าที่ถือของหน้าอายเดินไปทั่วห้าง ย่อมหนีไม่พ้นจิน ทว่าเรื่องร้ายก็มีโชคดี เนื่องจากร้านเบื้องหน้าตอนนี้เป็นจุดหมายสุดท้ายของโนอาร์ ก่อนจะกลับไปงานฉลองที่สวนรฦกวัลย์ ซึ่งร้านที่ว่าคือ ร้านเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชาย

    ขณะนี้โนอาร์ได้หายไปในห้องลองชุดได้สักพักหนึ่งแล้ว ทิ้งจินให้นั่งรอโดดเดี่ยวอยู่กลางร้านเสื้อผ้าหรู เมื่อมีโอกาสได้นั่งพักและนึกทบทวน เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการนัดรับของธรรมดา ถึงลงท้ายด้วยการที่เขากลายมาเป็นคนใช้ถือของให้ลูกค้าเอาใจยากแบบนี้ แถมเงินค่าจ้างหาดอกไม้นั่น โนอาร์ก็ยังไม่ยอมโอนให้เขา อย่างกับคนใจร้ายต้องการใช้เงินค่าจ้างเป็นตัวประกัน กันเขาหนีไม่ยอมช่วยแบกของ

    หลังแอบบ่นในใจได้สักพัก คนถูกนินทาก็เดินออกมาจากห้องลองชุด พร้อมกับเรียกสายตาเหล่าพนักงานและจินให้หยุดมองในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของชายตรงหน้า ซึ่งทุกปฏิกิริยาที่เผลอแสดงออกมาล้วนอยู่ในสายตารัตติกาล ส่งผลให้รอยยิ้มมุมปากค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ยามคิดว่าเมื่อเอทอสเห็นเขา คงมีท่าทีไม่ต่างจากคนพวกนี้




(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 19 รักเจ้า]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 11-05-2020 22:31:34
(ต่อ)


    ณ สวนรฦกวัลย์ วันนี้ทุกคนต่างตื่นเต้นกับงานฉลองครบรอบสวนและวันเกิดของนายใหญ่ ทว่าตัวนายใหญ่เองกลับจิตใจไม่สงบตั้งแต่ช่วงเช้าหลังแยกกับมนุษย์ กระทั่งไม่มีสมาธิพอที่จะอ่านเอกสาร สุดท้ายเลยต้องออกมาและช่วยงานคนสวนด้านนอก เพื่อหันเหความสนใจ

    เวลาร่วงเลยถึงบ่ายกว่า พวกคนงานบางส่วนก็ได้แยกไปเตรียมงานตรงบริเวณลานกว้างข้างสำนักงานกับลานจอดรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่รถจากบริษัทรับตกแต่งสถานที่ขับเข้ามาในสวน หัวหน้าทีมจัดตกแต่งเข้ามาแจ้งกับนายใหญ่ของสวนว่า พวกเขาถูกจ้างโดยโนอาร์พร้อมขอใช้สถานที่จัดงาน แน่นอนว่าได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของสถานที่ ระหว่างนั้นเอทอสได้หาโอกาสถามถึงธีมงานกับหัวหน้าทีมตกแต่ง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ทำให้ปีศาจรู้สึกดีไม่น้อยที่มนุษย์เริ่มใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้าง

    ‘ไม่มีธีมหรอกครับคุณเอทอส คุณโนอาร์กำชับให้พวกเราช่วยคนสวนจัดงาน กับช่วยเสริมบางจุดให้ดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยห้ามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กลุ่มคนสวนคิดเด็ดขาดครับ’



    จวบจนถึงช่วงเย็นก็ได้มีขบวนรถอีกชุดหนึ่งขับเข้ามาในสวน นั่นคือรถของฝ่ายอาหารจัดเลี้ยง แน่นอนว่าถูกส่งมาโดยมนุษย์เช่นกัน ส่งผลให้งานเลี้ยงฉลองครั้งนี้มีโซนบุฟเฟ่ต์จากร้านอาหารขึ้นชื่อคอยบริการ ซึ่งแต่ละเมนูล้วนถูกใจเหล่าคนงานและพนักงานของสวนเป็นอย่างมาก งานครั้งนี้จึงดูยิ่งใหญ่และครึกครื้นกว่าปีที่ก่อน ๆ

    ไม่นานหลังฝ่ายอาหารจัดเลี้ยงตั้งโต๊ะพร้อมบริการเรียบร้อย เป็นเวลาเดียวกับที่แสงอาทิตย์สุดท้ายลับขอบฟ้า ไฟประดับตกแต่งรอบงานพลันส่องแสงสว่าง สร้างความตื่นตาและเรียกเสียงฮือฮาของเหล่าแขกร่วมงาน แม้กระทั่งนายใหญ่ของสวนก็เผลอชื่นชมบรรยากาศเช่นกัน เพราะงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้เรียกได้ว่า ไร้ที่ติ

    แสงนวลจากหลอดไฟที่โยงเป็นสายอยู่เหนืองาน กับไฟปักสนามรอบบริเวณ ผสานกับเสียงดนตรีเปิดคลอเบา ๆ ขับบรรยากาศให้ดูรื่นรมย์และอบอุ่น กลางงานเป็นลานกว้างที่เหล่าคนงานช่วยกันปูเสื่อสำหรับนั่งกินเลี้ยงเฉลิมฉลอง โซนซ้ายมือมีโต๊ะยาวเรียงรายด้วยอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ให้เหล่าแขกสามารถเลือกตักไปทานสังสรรค์ได้สะดวก หน้างานจัดเป็นเวทีเล็ก ๆ ประดับด้วยไฟสวยงามขึ้นป้ายงานครบรอบสวนที่กลุ่มคนงานร่วมกันทำ มีไมค์และลำโพงอย่างดีตั้งพร้อมใช้ คนสวนและกลุ่มพนักงานในสำนักงานทุกคนล้วนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
    ภาพเบื้องหน้าเหล่านี้ทำให้ปีศาจนึกชื่นชมมนุษย์และเผลอระบายยิ้มออกมา เสริมความมั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิดที่เลือกโนอาร์มาเป็นคู่ชีวิต 


    แม้เวลานี้งานเริ่มได้สักพักใหญ่แล้ว ก็ยังไร้วี่แววของมนุษย์ ปีศาจที่เริ่มกังวลอีกครั้งจึงขอปลีกตัวออกจากงาน โดยอ้างว่าจะนำเหล่าของขวัญของฝากที่คนงานนำมาให้ไปเก็บที่รถ แต่แท้จริงแล้วคือต้องการหาที่เงียบ ๆ เพื่อโทรหาโนอาร์

    เสียงครื้นเครงเบาลง เมื่อเดินห่างจากตัวงานมาได้สักระยะ เนื่องจากงานวันนี้ใช้สถานที่บริเวณหน้าทางเข้าลานจอดรถ ดังนั้นรถกระบะนายใหญ่ของสวนและคนงาน จึงมาหาที่จอดข้างเรือนกล้วยไม้แทน เผื่อกรณีต้องใช้รถจะได้ขับเข้าออกได้สะดวก
    เจ้าของวันเกิดนำเหล่าของขวัญเก็บเข้ารถเรียบร้อย กำลังหยิบโทรศัพท์ติดต่อหาใครบางคน ก็พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายคุ้นเคยของมนุษย์ ก่อนไม่นานจะปรากฏแสงไฟของรถสองคันขับเข้ามาในสวน คันหนึ่งเป็นรถสีเทาเมทัลลิกคุ้นตา ส่วนอีกคันสีขาว ปีศาจจำได้ราง ๆ ว่าเป็นของผู้คุมวิญญาณเพื่อนมนุษย์ หลังจอดรถเรียบร้อย มนุษย์ที่คอยทำให้ปีศาจเป็นห่วงก็ยืนอยู่ตรงหน้า

    แสงจันทร์ลอดผ่านกลีบเมฆส่องสว่าง ตกกระทบรองเท้าหนังมันเงาค่อย ๆ ย้ำผ่านพื้นหินกรวดออกมาจากเงามืด เผยให้เห็นร่างสูงสมส่วนใต้แสงจันทร์พร้อมกล่องของขวัญในมือ ภาพเบื้องหน้าทำนายใหญ่ของสวนได้แต่นิ่งงัน
    ชุดสูทสั่งตัดเข้ารูปพอดีตัวสีเดียวกับกล่องของขวัญ ประดับด้วยผ้าเช็ดหน้าโผล่พ้นกระเป๋าเสื้อเล็กน้อยกับหูกระต่ายสีแดงเลือดนก เหมือนสีของโบและริบบิ้นบนกล่อง ผมสีนิลถูกเซ็ตเข้ากับใบหน้าเรียบนิ่ง จากเดิมที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอยู่แล้ว ครานี้กลับไม่อาจละสายตา ทุกอย่างดุจมนตร์สะกดให้ปีศาจเผลอมองด้วยความหลงใหล

    “สุขสันต์วันเกิด เอทอส”
    “...อืม”

    เอทอสขานตอบอย่างลืมตัว พลางรับของจากมนุษย์มาถือ ลืมสิ้นว่าก่อนหน้านี้เขาเคยห้ามโนอาร์เรื่องของขวัญ ปีศาจที่คล้ายสติหลุดลอยก้มมองกล่องในมือ ก่อนค่อย ๆ เริ่มแกะดูของข้างในด้วยความอยากรู้

    “อย่างเพิ่งรีบเปิดครับ”

    โนอาร์เอ่ยห้ามปีศาจตรงหน้า ก่อนจะจับฝ่ามือใหญ่มาวางบนหูกระต่ายของชุดสูทสั่งตัดพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่เริ่มปรากฏขึ้น ยามเห็นนัยน์ตาดุสีอำพันของเอทอสเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก

    “เอาไว้ ‘แกะพร้อมกัน’ ที่บ้านครับ”


    การกลับมาในงานของเจ้าของสวนพร้อมคนรักข้างกาย และผู้คุมวิญญาณน่าสงสารถูกปล่อยเบลอเดินตามหลัง ทำให้เหล่าคนงานที่กำลังเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน ต่างเงียบเสียงกันชั่วขณะ ก่อนไม่นานจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ เมื่อเหล่าคนงานต่างกรูเข้ามารุมล้อมและแย่งกันพูดชื่นชมคนรักของนายใหญ่ ที่ดูดีราวกับเทพบุตรจากสวรรค์ ซึ่งกว่าสถานการณ์จะกลับมาสงบอีกครั้ง ก็กินเวลาเกือบสิบนาที

    ขณะนี้เอทอสกับโนอาร์นั่งบนเสื่อคู่กัน มีอาหารหลากหลายทั้งจากฝีมือคนสวนร่วมกันทำ และจากร้านอาหารขึ้นชื่อที่จ้างมา เป็นของทานเล่นระหว่างชมการแสดงของเหล่าคนงานที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที โดยมีจินนั่งเป็นตัวประกอบเงียบ ๆ ไม่ห่างจากคู่รักต่างเผ่าพันธุ์มากนัก
    จนกระทั่งการแสดงของสาวชาวสวนได้จบลง นาวาที่อยู่ในสภาพชุดนักเรียนเสื้อออกนอกกางเกง ได้สถาปนาตัวเองเป็นพิธีกรหลักบนเวที ประกาศเชิญคนรักของนายใหญ่ขึ้นมาแสดงปิดท้ายงานในค่ำคืนนี้

    “การแสดงสุดท้ายนี้ ผมมั่นใจว่าทุกคนต้องตั้งตารอเหมือนผมแน่นอน ขอเชิญแฟนของนายใหญ่แห่งสวนรฦกวัลย์ ขึ้นมาบนเวทีเลยครับ พี่โนอาร์ลุกขึ้นมาเร็ว!”

    คำเรียนเชิญอย่างเป็นทางการ ก่อนจะตามด้วยการเรียกพี่ที่เคารพอย่างสนิทสนม สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนงาน ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องเฮให้กำลังใจ ยามเห็นชายในชุดสูทเดินขึ้นไปบนเวที โนอาร์รับไมค์จากนาวาและนำไปติดกับขาตั้ง แล้วจึงหันไปหยิบอุปกรณ์แสดงที่สั่งให้ทีมงานตกแต่งสถานที่เตรียมไว้ให้ โดยระหว่างรอมนุษย์เตรียมความพร้อมอยู่นั้น ปีศาจจึงได้หันไปขอบคุณผู้คุมวิญญาณที่ช่วยดูแลมนุษย์ตลอดทั้งวัน

    “ขอบใจมากที่ช่วยดูแลโนอาร์”
    “อา.. ครับ.. สบายมากครับ แหะ ๆ”

    จินที่อยู่ ๆ ก็ได้รับคำขอบคุณจากปีศาจ ถึงกับทำตัวไม่ถูกได้แต่เพียงตอบกลับพลางหัวเราะแห้ง ๆ ไม่คิดว่าการเป็นคนใช้แบกของให้โนอาร์ จะดูเป็นหน้าที่แสนยิ่งใหญ่ในสายตาเอทอสขนาดนี้

    หลังการกล่าวขอบคุณของปีศาจจบลง พร้อมกับเสียงกีตาร์ที่ดังขึ้น เรียกนัยน์ตาดุสีอำพันให้หันมองบนเวที และได้สบกับนัยน์ตารัตติกาลของชายในชุดสูท กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงพลางเกากีตาร์ ก่อนไม่นานจะกลายเป็นทำนองของบทเพลง และเสียงทุ้มนุ่มที่เริ่มขับร้อง

    “Give me love… give me of your love. oh, 'cause I want you”
    (ให้รักผม มอบทุกความรักของคุณให้ผม เพราะผมต้องการคุณ)

    เพียงเนื้อท่อนแรก เอทอสรู้สึกเหมือนโนอาร์ไม่ได้กำลังร้องเพลง แต่กำลังร้องขอความรักจากเขา

    “No one else makes me feel this way. Don’t know what you do”
    (ไม่มีใครเคยทำให้ผมรู้สึกแบบนี้, ไม่รู้ว่าคุณทำอะไรกับผม)
    “Hold my hand, could you hold my hand… look me in the eyes”
    (จับมือผม โปรดจับมือผมไว้ และมองลึกเข้ามาในดวงตาผม)

    ฝ่ามือใหญ่เริ่มกำอากาศคล้ายกอบกุมบางสิ่ง ขณะนี้ปีศาจไม่อาจละสายตาจากนัยน์ตารัตติกาลได้เลย

    “You and me, yeah that’s all I need and I’ll be alright”
    (คุณและผม เท่านี้ที่ผมต้องการ เท่านี้ก็เพียงพอ)
    “I’ll be right here, I swear that I’ll stay here with you”
    (ผมจะอยู่ตรงนี้ ผมสาบานว่าผมจะอยู่ตรงนี้เคียงข้างคุณ)
    “Hold me closer, I wanna stay here with you…”
    (กอดผมไว้ ผมอยากจะอยู่ที่นี่กับคุณ)

    ถึงตรงปีศาจมั่นใจแล้วว่า มนุษย์ไม้ได้ร้องเพลง แต่กำลังสารภาพความรู้สึกและให้คำสัญญากับเขา

    “All that we have as each other now, I promise I wanna be your side”
    (ทั้งหมดตอนนี้คือเรามีกันละกันแล้ว ผมสัญญาว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ)
    “Be who you are and you’re be enough”
    (คุณเป็นตัวของตัวเอง เท่านั้นก็เพียงพอ)
    “If you’re giving me your love, giving me your love”
    (หากคุณยอมมอบความรักให้ผม มอบความรักให้ผม)

     ดุจท่วงทำนองของบทเพลงขับกล่อม ให้เวลานี้เหลือเพียงเขาและโนอาร์แค่สองคน

     “All that we have as each other now, I promise I won't leave your side”
    (ทั้งหมดตอนนี้คือเรามีกันละกันแล้ว ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทิ้งคุณไป)
    “I hope, who I am is enough for you”
    (ผมหวังว่าสิ่งที่ผมเป็นจะดีพอสำหรับคุณ)
    “If I’m giving you my love, giving you my love… love… love”
    (หากผมยกความรักให้คุณ มอบความรักให้คุณ)

    “Give me love, give me all your love… give me all your love”
    (ให้รักผม มอบรักทั้งหมดของคุณให้ผม มอบความรักทั้งหมดของคุณให้ผม)
    
     ราวกับมนุษย์มากระซิบกล่อมข้างหูเขา

    “Give me love, give me all your love… give me all your love”
    (ให้รักผม มอบรักทั้งหมดของคุณให้ผม มอบความรักทั้งหมดของคุณให้ผม)

    ให้หรือไม่ให้ดี ปีศาจกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางคิดในใจ

    “Give me love, give me all your love…”
    (ให้รักผม มอบความรักทั้งหมดของคุณให้ผม)
    “Give me all your love…”
    (มอบทุกความรักของคุณให้ผม)

    
    การแสดงจบลง ชายในชุดสูทได้รับเสียงตบมือชื่นชอบจากเหล่าคนงานมากล้น แต่สิ่งที่โนอาร์ต้องการที่สุดคือคำตอบของเอทอส ทว่าน่าเศร้า เขากลับได้เพียงรอยยิ้มรู้ทันจากร่างสูงใหญ่แทน
    เห็นดังนั้นมนุษย์จึงยักไหล่ส่งคืนให้ปีศาจเล็กน้อยก่อนเดินลงจากเวที ครั้งนี้ไม่ยอมพูดไม่เป็นไร เขายังมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้เอทอสยอมบอกรักเขา



      ในเวลาเกือบสี่ทุ่ม นายใหญ่ของสวนและคนรักถึงได้ลากลับ ส่วนจินรีบหนีกลับไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน เนื่องจากได้รับเงินโอนพร้อมสายตาขับไล่จากโนอาร์
    ขณะนี้รถกระบะสีดำขับนำรถสีเทาเมทัลลิกกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์ สองข้างทางเปลี่ยวและมืดสนิท มีเพียงแสงไฟหน้ารถที่ขับตามกันเท่านั้นที่คอยส่องให้แสงสว่าง เอทอสรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์ในตอนที่เขาไม่ได้อยู่ด้วย ก่อนเริ่มคิดปล่อยวางว่า ผู้คุมวิญญาณนั่นอาจเลิกสนใจโนอาร์แล้วจริง ๆ

    แสงไฟไกล ๆ จากทางด้านหน้า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีรถกำลังขับมาทางนี้ ซึ่งนั่นทำให้ปีศาจเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากน้อยครั้งมากที่ช่วงเวลาดึกดื่นเช่นนี้จะมีรถขับสวน แต่ถึงอย่างนั่นเอทอสก็ไม่ได้ใส่ใจมากกับความบังเอิญ
    ทว่าทุกระยะที่รถเบื้องหน้าใกล้เข้ามา ปีศาจกลับเริ่มสัมผัสถึงกลิ่นอายวิญญาณรับใช้ชัดเจนขึ้นทีละน้อย เอทอสชะลอความเร็วรถ พร้อมส่งสัญญาณไฟเตือนโนอาร์ที่ขับอยู่ด้านหลังให้รับรู้ถึงความผิดปกติ ทว่าแม้ปีศาจจะรู้ตัวแล้ว ทุกอย่างก็สายเกินไป

    “โครม!!!!!!!!!”
    “เอี๊ยด!!!!”

    รถบรรทุกรีบเร่งเครื่องพุ่งตรงมาด้วยความเร็วขับผ่านรถกระบะ ก่อนหักเลี้ยวชนประสานงาเข้ากับรถสีเทาเมทัลลิกที่ขับตามหลังอย่างจัง เสียงดังสนั่นราวกับระเบิด ฉีกกระชากความรู้สึกของปีศาจจนไม่เหลือชิ้นดี เสมือนความสุขจากงานเลี้ยงเมื่อไม่นานนี้เป็นเพียงการเล่นตลกของโชคชะตาที่แกล้งให้เขาตายใจ

    เอทอสเหยียบเบรกฉับพลัน ก่อนพุ่งตัวออกจากรถพร้อมกลับคืนสู่ร่างปีศาจ รีบวิ่งสุดฝีเท้าเข้าไปหาซากรถยนต์สีเทามัลลิก วิญญาณรับใช้ที่เข้ามาขวางทางไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง กลับถูกเปลวเพลิงสีนิลเผาเป็นจุณในทันที ส่งผลให้กลุ่มวิญญาณรับใช้ที่เหลือจำต้องล่าถอย เพราะอาจโดนไฟของปีศาจเผาจนวิญญาณสลายเหมือนพวกเมื่อครู่

    ภาพซากรถสีเทาเมทัลลิกพังเละเทะจนแทบหาเค้าโครงเดิมไม่ได้ ทำให้ปีศาจรู้สึกเหมือนอวัยวะกลางอกถูกบีบอย่างรุนแรง กรงเล็บใหญ่สีดำทมิฬรีบกระชากประตูฝั่งคนขับทิ้ง เผยให้หันสภาพของโนอาร์ที่ทำให้ปีศาจล้มทั้งยืน

    ร่างไร้สติของมนุษย์ถูกอัดติดกับพวงมาลัยรถ แขนข้างหนึ่งห้อยตกลงมาข้างลำตัว เลือดจากหน้าผากไหลอาบใบหน้า มีเลือดซึมออกมาทางมุมปากกับจมูก บ่งบอกว่าอวัยวะภายในของมนุษย์บอบช้ำสาหัส นัยน์ตาสีแดงเลือดนกสั่นไหวฉายชัดถึงความเจ็บปวดยามมองภาพเบื้องหน้า ทว่าสิ่งต่อมาที่เอทอสเพิ่งรับรู้ กลับทำให้ความคิดปีศาจว่างเปล่าพร้อมกับทรุดลงอย่างหมดแรง เนื่องมาจากตอนนี้โนอาร์นั้น... ไม่หายใจ

    กรงเล็บใหญ่ค่อย ๆ จับมือที่ห้อยตกของมนุษย์ขึ้นมากอบกุมด้วยความทะนุถนอม น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบฝ่ามือบอบช้ำ นึกเสียใจในความปากหนักของตนเอง ก่อนปีศาจจะพยายามเปลงเสียงสั่นพร่าเอื้อนเอ่ยสิ่งที่มนุษย์อยากฟัง ถึงแม้ยามนี้ต่อให้เขาพูดหรือร้องตะโกนเท่าไร มนุษย์ก็ไม่มีทางได้ยินก็ตาม
 
    “ข้า... ข้ารักเจ้า โนอาร์”
    


 
   
บท19 สมบูรณ์





ถึงคนอ่าน







หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 19 รักเจ้า) [11/05/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-05-2020 00:24:53
 :a5:
โนอาร์ ไม่จริงใช่ไหมมมมมม
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 19 รักเจ้า) [11/05/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 14-05-2020 21:50:13
โอ้ยฟินกับตอนโนอาห์จับมือเอทอสให้จับหูกระต่ายได้ไม่นาน

ตอนจบนี่มันนนนนนนนนนนนนน

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 20 กลั่นแกล้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 23-05-2020 10:22:27

    “ติ้ด...”
    “ติ้ด...”
    “ติ้ด...”

    ยามดึกเงียบสงัด ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยหนักหรือที่รู้จักกันดีในชื่อห้อง ICU มีเสียงสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะแผ่วเบาในความมืด สลับกับแสงกะพริบจากอุปกรณ์ช่วยเหลือขนาบข้างเตียงผู้ป่วย บรรยากาศสลัวผสานความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ชวนให้รู้สึกวังเวงเสียวสันหลังสำหรับบุคคลทั่วไป แต่ไม่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชำนาญการ

    นางพยาบาลย่างเท้าไร้เสียงตรวจดูอาการคนไข้แต่ละเตียง จวบจนมาหยุดอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยคนสุดท้ายของห้องนี้ ชายหนุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนประสานงากับรถบรรทุกเมื่อสองเดือนก่อน สายระโยงระยางเชื่อมตัวผู้ป่วยกับอุปกรณ์ช่วยชีวิตรอบเตียง แสดงถึงความบอบช้ำรุนแรงของร่างกาย ทว่าไม่น่าเชื่อว่าผู้ป่วยที่ดูอาการสาหัสที่สุดในห้องนี้ กลับเป็นผู้ที่สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วที่สุดเช่นกัน เร็วเสียจนแพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้ยังไม่อยากเชื่อ และต้องให้แพทย์คนอื่นมาช่วยยืนยันว่าตนไม่ได้ประเมินอาการผิด

    ครั้งที่ชายหนุ่มคนนี้ถูกนำตัวส่งถึงมือแพทย์โดยรถพยาบาล สภาพร่างกายและอาการหนักเกินกว่าจะเรียกเพียงคำว่าสาหัส กระดูกหลายส่วนหักทิ่มอวัยวะภายใน ระบบต่าง ๆ ในร่างกายพร้อมล้มเหลวหยุดทำงานทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจ ที่ระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาลและการรักษาเกิดหยุดทำงานบ่อยครั้งจนเจ้าหน้าที่บางส่วนเริ่มถอดใจ ทว่าสุดท้ายก็สามารถกู้คืนสัญญาณชีพกลับมาได้

    หลังผ่านช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตายภายในห้องฉุกเฉินนานหลายชั่วโมง ผู้ป่วยรายนี้ในที่สุดก็พ้นขีดอันตราย แพทย์ร่วมรักษาต่างประเมินเวลาพักฟื้นอาจยาวนานนับปี หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทราไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ทว่าเมื่อผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ร่างกายของชายหนุ่มกับฟื้นตัวด้วยอัตราที่รวดเร็วในระดับที่แพทย์บางส่วนคาดว่าเกินกว่าปกติ จนต้องตรวจดูอาการของผู้ป่วยรายนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาในการรักษาผู้ป่วยรายอื่นที่ประสบเหตุคล้ายกัน


    นางพยาบาลผู้กำลังตรวจดูคนไข้พิเศษรายนี้เชื่อว่า หากร่างกายของชายหนุ่มสามารถรักษาระดับการฟื้นตัวให้คงอยู่เช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานแพทย์อาจอนุญาตให้ผู้ป่วยย้ายออกจากห้อง ICU และนั่นคงเป็นข่าวดีสำหรับญาติคนไข้ที่คอยมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำทุกวัน

    หลังจากเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะตรวจดูอาการคนไข้รายสุดท้ายเรียบร้อย นางพยาบาลจึงได้เดินออกจากห้องพักฟื้นอย่างเงียบเชียบ เพื่อไปตรวจดูคนไข้ห้องถัดไป โดยไม่รู้เลยว่าข่าวคราวเรื่องผู้ป่วยที่คาดการณ์ไว้เมื่อครู่ ผู้ที่ดีใจที่สุดนั้นหาใช่คนที่มาขอเข้าเยี่ยมทุกวัน แต่เป็นปีศาจที่คอยเฝ้าคนป่วยตลอดทุกค่ำคืนต่างหาก


     นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงเจือไปด้วยความอ่อนล้า กำลังจ้องมองไปยังชั้นสูงของอาคารที่สัมผัสถึงกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์ ขณะนี้เอทอสนั่งพิงต้นไม้ในมุมมืดของสวนข้างอาคารโรงพยาบาล ความรู้สึกหมดแรงทรมานเหมือนถูกสูบพลังออกจากร่างอย่างต่อเนื่อง กลับเรียกรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าคมดุ เพราะตราบเท่าที่เขายังคงทรมาน นั่นหมายความว่าโนอาร์จะปลอดภัย

    ในช่วงที่มนุษย์หยุดหายใจนั้น วิญญาณของโนอาร์ยังไม่ออกจากร่างและถือว่ายังไม่ตายอย่างสมบูรณ์ เอทอสอาศัยโอกาสสุดท้ายที่เขาสามารถยื้อชีวิตมนุษย์ร่ายคำสาปใส่ร่างไร้สติ แม้จะขึ้นชื่อว่าคำสาปแต่ผลของมันไม่จำเป็นต้องเลวร้ายเสมอไป ทุกอย่างขึ้นกับตัวผู้ร่ายว่าต้องการให้ผู้ถูกสาปเป็นแบบไหน
    ซึ่งเอทอสในขณะนั้นปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือ เขาอยากช่วยชีวิตโนอาร์ ดังนั้นเขาจึงสาปให้ทุกครั้งที่มนุษย์บาดเจ็บ ร่างกายจะทนทานต่อความเจ็บปวดและฟื้นตัวรวดเร็วเทียบเท่าปีศาจในสภาพสมบูรณ์พร้อม

    ทันทีที่ร่ายจบ คำสาปพลันแสดงผลในทันที ปีศาจในตอนนั้นทรุดลงจนต้องใช้กรงเล็บยันพื้นไว้ไม่ให้ล้ม เนื่องจากพลังทั้งหมดถูกคำสาปดูดไปอย่างรวดเร็ว เหงื่อกาฬท่วมร่างสูงใหญ่อาบแผ่นหลังกว้างและกรอบหน้าคมดุที่หอบหายใจเหนื่อย ปีศาจพยายามประคองสติค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าข้างกางเกงของร่างมนุษย์ไร้สติ โชคดีที่ยังสามารถใช้การได้ เอทอสจึงกดเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวมนุษย์

    ปีศาจที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั่งพิงซากรถสีเทาเมทัลลิกพลางกอบกุมมือมนุษย์เอาไว้ จนกระทั่งปีศาจได้ยินเสียงของรถพยาบาลเริ่มใกล้เข้ามา เอทอสจึงจำต้องปล่อยมือก่อนพยายามพาร่างของตัวเองไปแอบหลังเงามืดของต้นไม้ข้างทาง และเมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่รับโนอาร์ไปดูแลต่อเป็นที่เรียบร้อย ความกังวลของปีศาจจึงได้เบาบางลง ก่อนทิ้งร่างสูงใหญ่เหนื่อยหอบล้มลงกับพื้นดินแข็งกระด้างพร้อมกับสติที่เริ่มเลือนหาย เพราะฝืนใช้ร่างกายในขณะที่พลังถูกดูดไปอย่างต่อเนื่อง


    หลังคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตจวบจนฟ้าสาง ปีศาจที่คอยเฝ้าคนของตนจึงพยุงตัวลุกเพื่อออกไปหาวิญญาณกินเพิ่ม คำสาปจะได้แสดงผลอย่างเต็มที่ และเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นเพื่อนของมนุษย์ ที่เขาขอให้มาเฝ้าโนอาร์แทนตอนช่วงกลางวัน กำลังเดินเลี่ยงหลบสายตาผู้คนมาหาเขาพอดี

    “คุณพักบ้างก็ได้ เดี๋ยวนี้พวกนั้นก็ไม่มาแล้ว อีกอย่างผมกางเขตกันวิญญาณรอบโรงพยาบาล มันฝ่าเข้ามาไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”

    จินเอ่ยบอกเอทอส หลังเห็นร่างสูงใหญ่ของปีศาจอยู่ในสภาพอิดโรยอ่อนแรงมาเดือนกว่าแล้ว

    “ขอบใจในความหวังดีของเจ้า แต่ข้าไม่เป็นไร”

    ปีศาจกล่าวปฏิเสธก่อนหันหลังเดินจากไป เขายังฝังใจกับความไม่ได้เรื่องของตนเอง ที่ไม่ว่ากี่ครั้ง เขาก็ไม่มีปัญญาดูแลปกป้องโนอาร์ และครั้งนี้ความผิดของเขาหนักเกินกว่าที่ตัวเองจะรับได้ ความทรมานเหล่านี้จึงเสมือนโทษทัณฑ์ที่เขาสมควรได้รับ
 
    ส่วนจินที่เห็นร่างสูงใหญ่เดินห่างไปไกลแล้ว จึงเตรียมกลับไปเฝ้าคนป่วยในโรงพยาบาลบ้าง อยู่ ๆ พลันนึกอะไรบางอย่างได้จึงหันไปตะโกนไล่หลังปีศาจด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก เพราะอาจเรียกสายตาคนให้หันมอง โดยหวังว่าข้อความนี้จะส่งไปถึงเอทอส

    “คุณเปิดของขวัญที่โนอาร์ให้คุณหรือยัง ผมว่ามันช่วยคุณได้นะ”



    การไปไหนมาไหนในสังคมมนุษย์ด้วยร่างปีศาจเป็นเรื่องยากลำบาก โดยเฉพาะช่วงกลางวันที่เหล่ามนุษย์ออกมาทำงาน และยิ่งอยู่ในสภาวะหมดกำลังที่เพียงเดินไม่นานก็หอบหายใจเหนื่อย ทำให้การลอบกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์พร้อมหลบสายตาพวกมนุษย์นั้นใช้เวลาหลายชั่วโมง แม้ปีศาจจะรู้จักพื้นที่และรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์บริเวณนี้เป็นอย่างดีก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก

    ความจริงเวลานี้เอทอสควรพยายามจับวิญญาณตามสุสานกินให้มากที่สุด เพื่อเป็นพลังให้คำสาปดูดไปรักษามนุษย์ในโรงพยาบาลดั่งที่ทำมาตลอด ทว่าแว่วเสียงที่จินบอกเขาตอนก่อนแยกจากกัน ทำให้ปีศาจจำต้องกลับมาที่บ้านพักอีกครั้ง

    บ้านทรงไทยประยุกต์ยังคงสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีใครพักอาศัยมานับเดือนแล้ว ต้องขอบใจนาวาที่เข้ามาช่วยดูแลทำความสะอาดที่นี่ให้อยู่เสมอ ร่างสูงใหญ่เดินไปหารถกระบะที่จอดนิ่งอยู่ตรงใต้ถุน ก่อนเปิดประตูฝั่งคนขับและสอดตัวขึ้นนั่ง กล่องของขวัญสีดำประดับด้วยโบและริบบิ้นสีแดงเลือดนก วางเด่นอยู่ท่ามกลางเหล่าของขวัญที่คนสวนให้เมื่องานเลี้ยงฉลอง ปีศาจใช้กรงเล็บใหญ่หยิบขึ้นมา ก่อนค่อย ๆ เปิดอย่างเบามือ

    โหลแก้วบรรจุดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงนอนสงบอยู่บนกลุ่มกระดาษฝอยกันกระแทกสีอ่อน เอทอสรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ดี เพราะที่ใดก็ตามที่มีดอกไม้หายากนี้ขึ้น นั่นหมายความว่าบริเวณดังกล่าวอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหารสำหรับปีศาจกินวิญญาณอย่างเขา

    ชอบไหม?

    เสียงกระซิบบางเบาลอยตามสายลมอ่อนที่พัดโชยเข้ามาในตัวรถ

    “...ไม่ ดอกไม้นี่มันอันตรายสำหรับมนุษย์อย่างเจ้า เจ้าไปเอามา-”

    ปีศาจเงยหน้าจากกล่องของขวัญพร้อมเอ่ยตำหนิมนุษย์ ก่อนจะชะงักไปเมื่อภาพเบื้องหน้าหาใช่นัยน์ตารัตติกาลกำลังจ้องมองเขา แต่เป็นกำแพงปูนใต้ถุนบ้านว่างเปล่าไร้เงามนุษย์ ใบหน้าคมดุอิดโรยค่อย ๆ เผยรอยยิ้มเย้ยหยันสมเพชตัวเอง ที่เผลอคิดว่าเสียงจินตนาการในหัวเป็นของจริง

    โนอาร์ไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้ เพราะเขาเป็นผู้ขังวิญญาณมนุษย์ไม่ให้ออกจากร่างบอบช้ำกับมือ ส่งผลให้วิญญาณอยู่ในสภาวะหลับใหล ไม่ว่าใครแม้กระทั่งตัวเขาเอง ก็ไม่สามารถสื่อสารกับโนอาร์ในยามนี้ได้ ทำได้เพียงรอคอยวันที่มนุษย์หายดีและฟื้นขึ้นมา หรืออีกทางคือปล่อยให้มนุษย์ตายลงอย่างสมบูรณ์ เขาถึงจะได้คุยกับโนอาร์อีกครั้ง
    ซึ่งแน่นอนเอทอสเลือกวิธีแรก แม้จะต้องเฝ้ารออย่างไร้จุดหมายก็ตาม

    หลังหลุดจากความคิดฟุ้งซ่าน ปีศาจเลือกหยิบเพียงของขวัญจากมนุษย์ ส่วนตัวกล่องวางไว้ในรถตามเดิม ก่อนพาร่างอ่อนแรงออกจากบ้านพักทรงไทยประยุกต์ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวินาทีอาการของโนอาร์สามารถดีขึ้นหรือแย่ลงได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานอย่างเขา ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดอะไรทั้งนั้น มีหน้าที่แค่กิน กินให้มากที่สุดก็พอ



    ดอกไม้ที่โนอาร์ให้เป็นขวัญ ทำให้ช่วงหลายสัปดาห์มานี้เอทอสสามารถกินวิญญาณได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาไล่จับเหมือนแต่ก่อน ส่งผลให้พละกำลังเริ่มฟื้นคืน เนื่องจากพลังที่ได้รับผ่านการกินวิญญาณมากกว่าพลังที่คำสาปดึงไปรักษามนุษย์
    ทว่าดอกไม้พิเศษนี้ย่อมมีวันเหี่ยวเฉาร่วงโรยเหมือนดอกไม้อื่น ๆ และยามนี้ก็ถึงวาระของมัน จากดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงส่งกลิ่นหอมล่อลวงวิญญาณ บัดนี้เหลือเพียงซากดอกไม้แห้งสีน้ำตาลไร้ค่าภายใต้กรงเล็บทมิฬ
    
    “ข้าว่าเรื่องของเจ้ากับข้า ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีก”

    ปีศาจเอ่ยขึ้นลอย ๆ พลางนำซากดอกไม้เก็บเข้าโหลแก้ว เพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นย่ำที่เขาต้องเตรียมกลับไปเฝ้ามนุษย์ที่โรงพยาบาล แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนที่เดินออกมาจากเงาหลังต้นไม้ใหญ่ จะไม่ยอมให้เขาไป

    “เป่าหูนักล่าปีศาจคนอื่นสำเร็จ คิดว่าทุกอย่างจะจบหรือไง ทำเรื่องชั่วช้าสารเลวแล้วคิดจะหนีง่าย ๆ สมเป็นความคิดปีศาจน่ารังเกียจดีหนิ”
    “ชิ้ง!”

    ชายผมเงินหยุดอยู่เบื้องหน้าปีศาจ ก่อนสะบัดอาวุธที่พับซ่อนไว้ทางด้านหลังออกมา แรงเหวี่ยงส่งผลให้กลไกเชื่อมท่อนเหล็กสั้นพร้อมเรียงกันเป็นเส้นตรง โดยส่วนปลายเป็นคมมีดแหลมโค้งขึ้นล้อแสงอาทิตย์ที่จวนลับขอบฟ้า เพียงเสี้ยววินาที ง้าวยาวคมกริบก็อยู่ในมือนักล่าปีศาจที่ตั้งท่าเตรียมโจมตี

    “ไปซะ ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า”

    ปีศาจกล่าวก่อนหันหลังเดินไปอีกทางเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ทว่าไม่ทันได้ก้าวขา คมง้าวก็พุ่งแหวกอากาศหมายเสียบทะลุหัวใจจากทางด้านหลัง

    “พรึ่บ!”
    “หมับ!”
    
    ร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมกระชากง้าวออกจากมืออีกฝ่าย ทว่านักล่าปีศาจกลับปล่อยมือจากอาวุธง่ายดาย ก่อนอาศัยช่วงจังหวะนั้นหยิบปืนที่ซ่อนไว้ทางด้านหลัง ยิงเข้าไปที่กลางลำตัวปีศาจ

    “ปัง!!!”
    “อั่ก!”

    ด้วยระยะประชิดบวกกับตอนนี้ร่างกายปีศาจไม่ได้อยู่ในสภาวะพร้อมสู้ จึงทำให้เอทอสถูกยิงตรงบริเวณเอวจนเซถอยห่างไปหลายก้าว ตัวง้าวกับโหลแก้วบรรจุดอกไม้แห้งหลุดจากกรงเล็บปีศาจ ก่อนจะตกอยู่แทบเท้าชายผมเงินที่ก้มเก็บของที่ปีศาจพกติดตัวเสมอขึ้นมาพิจารณา

    “อะ... เอามา...”

    เอทอสพยายามทวงของสำคัญคืน พลางใช้กรงเล็บใหญ่กดแผลห้ามเลือดไว้ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกจับจ้องไปที่โหลแก้วไม่วางตา การกระทำเหล่านี้ทำให้ภาคินมั่นใจว่า ซากดอกไม้แห้งในโหลแก้วทรงสูงต้องเป็นของที่มีคุณค่าสำหรับปีศาจอย่างมาก
    ดังนั้นรอยยิ้มเหยียดแฝงความคับแค้นของนักล่าปีศาจจึงปรากฏขึ้น ยามคิดวิธีทำให้อีกฝ่ายสัมผัสความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เขาเคยรู้สึก

    “ของนี่มันสำคัญกับแกมากเหรอ ถึงได้หวงนัก” ภาคินเอ่ยพลางโยนของในมือเล่นเพื่อยั่วยุปีศาจ
    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า... เอามา”
    “หึ... งั้นก็รับให้ดี”

    สิ้นเสียงชายผมเงิน โหลแก้วก็ถูกขว้างทิ้งไปอีกทาง ปีศาจรีบพุ่งตัวเข้าไปรับโหลแก้วที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะตกลงพื้นแตกเสียหาย การขยับเคลื่อนไหวฉับพลันส่งผลให้แผลบริเวณช่วงเอวฉีกขาดมากขึ้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างสูงใหญ่จนต้องกัดฟันข่ม ทว่าไม่อาจทำให้ปีศาจลดความเร็วลง เพราะหากช้าเพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่คว้าไว้ได้อาจเหลือเพียงความว่างเปล่า

    แต่น่าเศร้าเมื่อช่วงจังหวะกรงเล็บใหญ่สีนิลเอื้อมใกล้ถึงโหลแก้ว โชคชะตาก็แกล้งเล่นตลกกับความรู้สึกของปีศาจอีกครั้ง

    “ปัง!!!”

    วิถีกระสุนพุ่งเจาะทะลุกรงเล็บทมิฬ ก่อนพุ่งตัดทำลายโหลแก้วและดอกไม้แห้งจนแหลกละเอียดต่อหน้าต่อตาเอทอส ร่างสูงใหญ่ทรุดเข่าลงกับพื้นดินสกปรก ค่อย ๆ คลายกรงเล็บสั่นเทา หวังเพียงเขาจะสามารถรักษาของที่มนุษย์มอบให้เขาได้ ทว่าความจริงมักไม่เป็นอย่างคำขอ เพราะบนฝ่ามือยักษ์กลับมีแค่เลือดอาบชุ่มปนกับเศษแก้วน้อยใหญ่ ส่วนตัวดอกไม้ เหลือเพียงเศษซากฝุ่นผงสีน้ำตาล ที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า ช่วงก่อนที่โหลแก้วจะแตกสลายนั้นเคยมีของสำคัญอยู่ภายใน

    “ก็แค่ดอกไม้ในโหลแก้ว จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา”

    ภาคินเดินเข้าไปหาพลางเอ่ยเยาะเย้ยถากถาง ทว่าปีศาจกลับไม่มีทีท่าสนใจ เอาแต่ก้มหน้าคุกเข่ามองเศษแก้วบนฝ่ามืออาบเลือด แม้ขณะนี้นักล่าปีศาจจะยืนอยู่ด้านหลังแล้วก็ตาม

    “ตุ้บ!”

    เอทอสถูกถีบล้มลงกับพื้นง่ายดาย ราวกับร่างสูงใหญ่นั้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อต้าน พื้นดินแข็งรอบตัวร่างยักษ์คล้ายเป็นโคลนเหนียวเหนอะ หลังดูดซับของเหลวหนืดสีแดงที่ไหลซึมจากช่วงเอวและกรงเล็บปีศาจอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้กระทำก็เดินวนรอบพลางมองเหยียดสภาพน่าเวทนานั้นด้วยความสะใจ

    “หึ.. ว่าแต่เดี๋ยวนี้คนที่อยู่กับแกไปไหนซะละ อ๋อ... อยู่โรงพยาบาลสินะ บอกตามตรงฉันนึกภาพคนอย่างโนอาร์ต้องมานอนให้น้ำเกลือไม่ออกเลย จนมาอยู่กับแก ดวงซวยจริง ๆ”
    “…”
    “ทีแรกฉันคิดว่าแกหลอกใช้มนุษย์มาเป็นโล่กันนักล่าปีศาจ แต่จากที่เห็นแกคอยไปเฝ้าที่โรงพยาบาลทุกคืน มันทำให้ฉันเริ่มมองแกในมุมใหม่..”
    “…”
    “ความจริงแกก็แค่ปีศาจสวะเหลือขอ ต้องมีมนุษย์คอยคุ้มกะลาหัว พออยู่ตัวคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ ขนาดแค่เข้าไปเยี่ยมยังไม่มีปัญญา ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ตรงมุมมืดข้างโรงพยาบาลไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง”

    เจ้าของคำพูดแดกดันหยุดอยู่เบื้องหน้าปีศาจที่นอนนิ่งไม่ยอมโต้ตอบ ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าบรรจงเหยียบบนกรงเล็บชุ่มเลือดและบดขยี้ลงกับเศษคมแก้วตามพื้นดินโสโครก

    “ถ้าให้เดา ดอกไม้นี่คงเป็นของดูต่างหน้าที่คนของแกให้ก่อนเข้าโรงพยาบาล หึ.. สุดท้ายก็พัง รักษาไว้ไม่ได้ ฉันล่ะสงสารนักฆ่านั่นเสียจริง ไม่น่าตาต่ำเลือกฝากชีวิตไว้กับกาฝากอย่างแกเลย”
    “…ทำไม” เสียงทุ้มต่ำของปีศาจเอ่ยขึ้น
    “อะไร? เงยหน้าขึ้นมาพูดดี ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง”

    ภาคินเลิกขยี้กรงเล็บปีศาจกับเศษแก้ว ก่อนใช้ปลายเท้าช้อนคางปีศาจให้เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงจ้องกลับด้วยความโกรธแค้นกราดเกรี้ยว ราวกับอยากกระชากวิญญาณคนตรงหน้ามาฉีกเป็นชิ้น ๆ แบบเดียวกับที่อีกฝ่ายทำกับของสำคัญที่มนุษย์มอบให้เขา

    “ปีศาจอย่างแกมีควา-”
    “ตึง!!”
    “อั่ก!”

    ไม่ทันพูดจบ เท้าที่ใช้เชิดหน้าปีศาจกลับถูกกรงเล็บทมิฬฉุดดึงอย่างแรง ส่งผลให้คนไม่ทันตั้งตัวล้มลง ภาคินหมายจะใช้ปืนยิงสั่งสอนให้ปีศาจสิ้นฤทธิ์ ทว่ากลับถูกกรงเล็บใหญ่ปัดทิ้งและบีบกำรอบลำคอราวกับคีมเหล็ก นักล่าปีศาจสำลักอากาศพยายามหยิบอีกหนึ่งอาวุธที่ซ่อนไว้ด้านหลังเพื่อสู้โต้กลับ พลางเตะถีบร่างสูงใหญ่ให้ผละออกไป แต่การกระทำเหล่านั้นกลับไร้ผลมิหนำซ้ำยังเพิ่มแรงบีบตรงลำคอมากขึ้นเป็นเท่าทวี

    “...ทำไมกลิ่นอายวิญญาณเจ้าถึงยังบริสุทธิ์ ทั้งที่เจ้าทำกับข้าขนาดนี้”
    “อะ..อั่ก!”
    “หากไม่ติดสัญญา วิญญาณเจ้าคงแหลกสลายคามือข้า... ข้าอยากรู้นัก ข้าทำอะไรให้เจ้าจงเกลียดจงชังกัน”
    “กะ..โกรธ อั่ก! โกรธเหรอเหอะ.. แค่นี้ยังไม่ถึงครึ่งของความเลวที่แกทำด้วยซ้ำ อั่ก!..”
    “นะ.. นี่ยังน้อยไปสำหรับปีศาจชั่ว ชีวิต..สงบสุขของแก... อย่าหวังว่าจะได้เลย! อั่ก!.. พะ.. เพราะฉันจะทำลายมันให้หมด! ทั้งของของแก.. ละ..และคนของแกะ-”
    “ตึง!!”
    “ตึง!!!!”
    “ตึง!!!!!”
 
    คนเสียเปรียบพูดเย้ยหยัน ไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อนัยน์ตาสีแดงเลือดนกวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ เอทอสที่ถูกยั่วยุจนฟิวส์ขาดเผลอปลดปล่อยความดาลเดือด กระชากคอมนุษย์ปากดีขึ้นก่อนทุ่มอัดลงกับพื้นดินแข็งหลายครั้งจนร่างในกรงเล็บนั้นสิ้นเสียงไร้การตอบสนอง ปีศาจถึงพลันได้สติคลายกรงเล็บออกจากลำคอม่วงช้ำ คิดว่าเขาพลั้งมือฆ่านักล่าปีศาจไปเสียแล้ว แต่เมื่อสังเกตดูจึงได้เบาใจว่าภาคินเพียงแค่หมดสติ

    เอทอสค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืน โดยทิ้งร่างนักล่าปีศาจให้สลบอยู่ตรงนั้น ต่อให้อยากมากเท่าไร เขาก็ฆ่าภาคินไม่ได้ เพราะหากทำ สัญญาที่เขาสร้างไว้จะไร้ค่า มิหนำซ้ำการเพิ่มศัตรูในช่วงที่เขาต้องคอยรับมือผู้คุมวิญญาณ พร้อมกับใช้คำสาปรักษาโนอาร์คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำที่สุดคือ รีบกลับไปเฝ้ามนุษย์ที่โรงพยาบาล

    “กึก!”

    เท้าของปีศาจสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง นัยน์ตาดุก้มมองพบว่าเป็นฐานไม้กลมสีนิล สำหรับใช้ปิดและเป็นที่ตั้งโหลแก้ว กรงเล็บบาดเจ็บหยิบขึ้นมาพลิกดู พบว่าแผ่นไม้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ได้ถูกทำลาย ของตรงหน้าพลันให้ความรู้สึกที่ถูกย่ำยีของปีศาจคล้ายฟื้นกลับคืน แม้จะไม่มากนักแต่ก็ยังดี เพราะอย่างน้อย เขาก็รักษาส่วนหนึ่งของของขวัญที่มนุษย์มอบให้เขาไว้ได้




(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 20 กลั่นแกล้ง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 23-05-2020 10:24:56
(ต่อ)


    ในยามค่ำคืน จำนวนผู้ใช้บริการสถานพยาบาลนั้นต่างจากช่วงกลางวันค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เหลือเพียงญาติที่มานอนเฝ้าคนไข้ ยกเว้นชายคนหนึ่งที่นั่งสัปหงกตรงเก้าอี้รับรอง พยายามถ่างตามองไปที่สวนข้างโรงพยาบาล ราวกับเป็นนักสังเกตการเจริญเติบโตของพวกต้นไม้ใบหญ้า จนกระทั่งเห็นพุ่มไม้ในเงามืดสั่นไหวเล็กน้อย คนใกล้หลับจึงตื่นเต็มตา รีบเดินออกจากตัวอาคารไปที่สวน พลางหาวแก้ง่วงไปด้วย

    “ทำไมวันนี้คุณมาช้าจัง ผมรอจนเกือบหลับไปหลายรอบ เดี๋ยวนะ... เฮ้ยคุณ!! ไปโดนอะไรมา!?”

    จากที่กำลังสะลึมสะลือ คราวนี้จินถึงกับสะดุ้งตื่นเต็มตา เมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของปีศาจที่นั่งพิงต้นไม้ ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยคราบเลือด และบาดแผลตรงช่วงเอวกับกรงเล็บข้างหนึ่ง ทว่าเอทอสกลับไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของมนุษย์ตรงหน้านัก

    “มีเรื่องนิดหน่อย... วันนี้โนอาร์เป็นยังไงบ้าง แล้วพวกวิญญาณรับใช้มาอีกหรือเปล่า”
    “ก็นอนเป็นผักเหมือนเดิม ส่วนวิญญาณนั่นก็หายหน้าหายตาจนจะครบเดือนแล้วมั้ง คุณน่ะเลิกกังวลได้แล้ว ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม”

    จินตอบกลับด้วยประโยคเดิม ๆ ที่ต้องรายงานปีศาจทุกวัน จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนกแก้วนกขุนทอง เขาเข้าใจความกังวลของเอทอสดี คนรักโดนเล่นงานต่อหน้าต่อตาแบบนั้น จะระแวงมากก็ไม่แปลก แต่ห่วงถึงขนาดไม่สนใจตัวเองแบบนี้ ถ้าวันหนึ่งพลาดพลั้งขึ้นมา คู่รักต่างเผ่าพันธุ์คงได้จูงมือกันไปปรโลกแน่ เพราะจากที่เขาเข้าเยี่ยมแทนปีศาจทุกวัน ทำให้เห็นว่าอาการโนอาร์ทรงตัวอยู่ได้ ส่วนหนึ่งมาจากพลังของเอทอส

    ทว่าเมื่อคนหวังดีสบกับนัยน์ตาสีแดงเลือดนก จินก็พลันรู้ว่าเขาพูดไปคงเหนื่อยเปล่า เพราะแววตาของเอทอสยามนี้ คล้ายจะสื่อว่าพร้อมทำทุกทางเพื่อให้คนสำคัญปลอดภัย โดยไม่สนว่าตัวเองจะอยู่หรือตาย เป็นแววตาแบบเดียวกับโนอาร์ ตอนเขาพยายามห้ามเรื่องกวาดล้างกลุ่มนักล่าปีศาจ
    
    “คุณกับโนอาร์นี่เหมือนกันมากกว่าที่ผมคิดอีกนะ ไม่น่าล่ะถึงอยู่ด้วยกันได้”
    “อืม”
    “อา... เกือบลืม วันนี้ผมมีข่าวดีมาฝากคุณด้วย โนอาร์ออกจากห้อง ICU แล้วนะ”

    เอทอสเพียงรับฟังนิ่ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทว่าจินรู้ว่าอีกฝ่ายแอบดีใจไม่น้อย โดยสังเกตจากบรรยากาศรอบตัวร่างสูงใหญ่ที่ผ่อนคลายมากขึ้น และนัยน์ตาสีแดงเลือดนกที่ดูอ่อนลงแฝงด้วยรอยยิ้ม

    หลังบอกข่าวให้ปีศาจรับรู้ จินที่หมดหน้าที่เลยขอตัวกลับ ส่วนเอทอสพออยู่ลำพังจึงเริ่มจับสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์ว่าอยู่ตรงส่วนใดของโรงพยาบาล และไม่นานนัยน์ตาสีแดงเลือดนกก็หยุดอยู่ ณ หน้าต่างบานหนึ่ง ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืนพลางใช้สายตาสอดส่องดูกลุ่มมนุษย์บริเวณนี้ เมื่อไม่พบใคร ปีศาจจึงอาศัยโอกาสนี้ลอบออกจากสวน และไม่นานหลังจากนั้น ม่านหน้าต่างห้องพักของโนอาร์ก็มีเงาร่างยักษ์ปรากฏขึ้น

    เอทอสเลื่อนบานกระจกแผ่วเบา ก่อนแทรกกายเข้ามาในห้องพักได้สำเร็จ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงในความมืด จับจ้องร่างเจ้าชายนิทราที่นอนสงบอยู่บนเตียง สายมากมายโยงเชื่อมตัวมนุษย์กับเหล่าอุปกรณ์ ไฟกะพริบกับเสียงสัญญาณคงที่จากเครื่องช่วยชีวิต บ่งบอกว่าคนของปีศาจปลอดภัยดี

    “ไง... ไม่เจอกันนานเป็นเดือน เจ้าดูผอมลงนะ โนอาร์”

    ปีศาจลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง พลางพูดคุยกับร่างไร้สติ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เอทอสได้พบโนอาร์อีกครั้งหลังจากผ่านเหตุกาณ์เลวร้าย เนื่องจากมนุษย์รักษาในห้อง ICU ตลอด ทำให้ปีศาจไม่สามารถลอบเข้าไปเยี่ยมได้ ต้องรอจนกว่าหมอจะอนุญาตให้ออกมาพักห้องปกติ เขาถึงมีโอกาสเข้ามาหาดั่งเช่นครานี้
     ซึ่งการได้เห็นหน้ามนุษย์อีกครั้ง แม้จะยังไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ช่วยให้ความเจ็บหน่วงจากแผลตามตัวร่างยักษ์ และความทรมานจากผลของคำสาปลดลงอย่างมาก

    “ข้ามีเรื่องมาขอโทษเจ้า ของขวัญที่เจ้าให้ข้า ข้าทำมันพังเหลือแค่ฐานไม้ หวังว่าเจ้าคงไม่โกรธข้า”
    “…”
    “ข้าถือความเงียบเป็นคำตอบว่าเจ้าไม่โกรธ หึ... ขอบใจ”
    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนตามด้วยร่างของนางพยาบาลเดินเข้ามาเช็กอาการคนไข้รอบดึก เมื่อตรวจดูเรียบร้อย สายตาพลันสะดุดเข้ากับเก้าอี้ตัวหนึ่งที่วางอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ด้วยความคิดว่าญาติคนไข้อาจลืมเก็บ นางพยาบาลเลยยกเก้าอี้ไปสอดเข้าใต้โต๊ะตามเดิม แล้วค่อยเดินออกจากห้องเพื่อไปเช็กคนไข้รายอื่นต่อ

    หลังทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ปีศาจที่หลบอยู่บริเวณมุมห้องถึงลืมตา เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสง พร้อมร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาจากความมืด คิดในใจว่าเวลานี้คงไม่เหมาะแก่การพูดคุยกับโนอาร์อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็ไม่คิดกลับไปเช่นกัน

    ดังนั้นเอทอสจึงเลือกเดินเข้าไปหาร่างไร้สติ ใช้กรงเล็บเกลี่ยเส้นผมแผ่วเบา ก่อนก้มลงจูบบนผ้าพันแผลตรงหน้าผากมนุษย์ด้วยความนุ่มนวล กดแช่สักพักหนึ่งถึงยอมผละออก นัยน์ตาสีแดงเลือดนกแฝงความอ่อนโยน ขณะกล่าวคำที่อีกฝ่ายมักพูดกับเขาก่อนเข้านอน

    “ราตรีสวัสดิ์ โนอาร์”

    หลังจากนั้นร่างสูงใหญ่จึงไปนั่งเฝ้าตรงโซฟาเงียบ ๆ จนฟ้าใกล้รุ่งสาง ปีศาจถึงได้ออกไปหาวิญญาณกิน

    

    วันเวลาผันผ่านช่วยให้ทุกสิ่งดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงการย้ายห้องพักของโนอาร์ทำให้พักหลังมานี้จินสุขสบายขึ้นอย่างมาก เพราะช่วงที่เจ้าชายนิทราหลับใหลในห้อง ICU ข้ารับใช้อย่างเขาเข้าเฝ้าได้ไม่นาน ก็ถูกนางพยาบาลไล่ออกมาข้างนอก ต้องคอยเตร็ดเตร่รอบโรงพยาบาลจนกว่าปีศาจจะมา เขาถึงกลับได้ ทว่ายามนี้เจ้าชายมีห้องพักส่วนตัว เขาที่ต้องอยู่เฝ้าตลอดช่วงกลางวัน ก็คล้ายวิญญาณเร่ร่อนมีที่ให้สิงสถิต มีโซฟานุ่มให้นอนเล่น มีโทรทัศน์ให้ดูแก้เบื่อ ต่อให้เขาต้องคอยดูโนอาร์ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา

    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูห้องพักดังขึ้น ส่งผลให้คนนอนเอกเขนกต้องรีบลุกขึ้นนั่งในท่าสำรวม ทว่าผู้มาเยือนหาใช่นางพยาบาลอย่างที่จินคิด แต่เป็นร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเจ้าของนัยน์ตาดุสีอำพัน รูปลักษณ์ที่จินเห็นครั้งสุดท้ายตอนงานเลี้ยงฉลองสวนรฦกวัลย์

    “โอ้โฮ! พลังแห่งรักทำให้แปลงกลับเป็นมนุษย์ได้หรือครับ คุณเอทอส” จินเอ่ยแซวผู้มาใหม่ที่มุ่งตรงไปหาคนบนเตียงเป็นอันดับแรก
    “ไร้สาระ ก็แค่อาการโนอาร์ดีขึ้นมาก คำสาปจึงไม่รุนแรงเท่าแต่ก่อน ข้าเลยเหลือพลังพอแปลงเป็นมนุษย์ก็เท่านั้น”

    เอทอสตอบกลับพลางมองสำรวจโนอาร์ที่ยังคงไม่ฟื้น มนุษย์ผ่ายผอมลงค่อนข้างมาก แต่ไม่ถึงกลับแขนขาลีบ เพราะได้เจ้าหน้าที่คอยทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอ เหล่าเครื่องมืออุปกรณ์กู้ชีวิตล้วนถูกถอดออก เมื่อร่างกายผู้ป่วยสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ช่วงเวลาวิกฤตน่าเป็นห่วงได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงรอวันที่นัยน์ตารัตติกาลจะลืมขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ปีศาจที่คอยเป็นกังวลอยู่ตลอดพอเบาใจ ก่อนเริ่มคิดสะสางปัญหาที่ปล่อยไว้นานหลายเดือน

    “คุณมาแล้ว งั้นผมกลับเลยนะ ไม่อยากเป็น กขค.” จินเอ่ยขึ้นเตรียมเก็บของ แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งไว้
    “ไม่ต้อง ข้าแวะมาเยี่ยมไม่นาน เดี๋ยวจะออกไปหาวิญญาณกินเพิ่ม”

    ได้ยินดังนั้น จินเลยนั่งลงตรงโซฟาตามเดิม มีแอบเหลือบมองร่างสูงใหญ่ช่วยห่มผ้าดูแลคนบนเตียงบ้างเล็กน้อย ผ่านไปสักพักหนึ่งปีศาจจึงขอตัวกลับ ห้องพักส่วนตัวเลยเหลือเพียงเจ้าของห้องกับคนเฝ้าอีกครั้ง จินที่แสร้งทำนู้นนี่ไม่สนใจจึงมีโอกาสยืนยืดเส้นยืดสาย ก่อนเดินเข้าไปหาคนที่หลับไม่ยอมตื่นเสียที

    “เคล็ดลับมัดใจปีศาจของนายคืออะไรเหรอโนอาร์ สอนฉันมั่งสิ เผื่อเอาไปใช้หาแฟนดี ๆ แบบคุณเอทอสบ้าง”

    แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบกลับจากคนบนเตียง ซึ่งจินก็มั่นใจว่าถึงรอจนอีกฝ่ายฟื้นแล้วลองถามใหม่ เขาก็คงได้แค่รอยยิ้มมุมปากแบบฉบับเจ้าตัว หรือแย่กว่าอาจโดนมองกลับด้วยแววตาเยาะเย้ยกึ่งสมเพชให้เขายิ่งอิจฉา



    หลังออกจากโรงพยาบาล ปีศาจก็มุ่งตรงไปยังสถานที่ที่มีวิญญาณรวมกลุ่มกัน เป็นแหล่งอาหารที่เขาเพียรตามหาอยู่นานตั้งแต่เกิดเรื่อง จนเมื่อไม่นานนี้ก็ได้พบ แต่เขายังไม่มีโอกาสเข้าไป เพราะห่วงอาการของโนอาร์ที่ยามนั้นไม่สู้ดีนัก ปีศาจจึงต้องรอจนกว่าคนของเขาจะแข็งแรง และในที่สุดเวลาที่เอทอสเฝ้ารออย่างอดทนก็มาถึง

    ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่หน้าแหล่งอาหาร ทว่าแหล่งอาหารวันนี้หาใช่ป่าหรือสุสาน แต่เป็นบ้านพักหลังหนึ่งในตัวเมือง มีรั้วไม้ล้อมรอบเขตบ้าน บริเวณด้านในปลูกต้นไม้รกทึบจนแทบมองไม่เห็นตัวที่พักอาศัย ดีที่มีกริ่งฝังตรงเสาปูนหน้าบ้านให้กดเรียก ทว่าเอทอสกลับคิดว่าการเรียกแบบสันติวิธีคงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก

    “ตึง!!” ฝ่าเท้าหนักยกขึ้นถีบรั้วไม้หน้าบ้านอย่างแรง
    “ตึง!!!”
    “โครม!!!!!”

    เพียงไม่กี่ครั้ง รั้วไม้ป้องกันภัยก็พังครืนอย่างง่ายดาย ร่างสูงใหญ่ก้าวผ่านเศษซากเละเทะโดยไม่คิดเหลียวมอง เหล่าวิญญาณรับใช้ผู้ทำหน้าที่ดูแลบ้านต่างรุมเข้าจัดการผู้บุกรุก ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องสิ้นคิดอย่างถึงที่สุด

    “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!”

    เสียงร้องโหยหวนดังลั่นทั่วบ้านทั้งหลัง วิญญาณตนแล้วตนเล่าถูกขยี้ฉีกกระชากไร้ความปรานี ทุกตนล้วนลิ้มรสความทรมานแสนสาหัส ก่อนถูกจับกินต่อหน้าต่อตาวิญญาณตนอื่น บัดนี้ไม่มีใครกล้าต่อกรกับปีศาจที่กำลังเดือดปะทุด้วยเพลิงแค้น วิญญาณที่เหลือรอดต่างพยายามหลีกหนี กลับถูกเปลวเพลิงสีนิลแผดเผาให้ดิ้นทุรนทุราย รอเวลาถูกจับกินเหมือนเหล่าพวกพ้อง ผ่านไปไม่นานนัก ทุกดวงวิญญาณที่พยายามขับไล่ผู้บุกรุกก็ถูกกินจนสิ้น

    “โครม!!!!”

    ประตูหน้าบ้านถูกถีบพังไม่เหลือซาก ก่อนตามด้วยร่างสูงใหญ่พร้อมบรรยากาศกดดันอันตรายก้าวเข้ามาภายใน คลื่นอารมณ์โทสะกราดเกรี้ยวแผ่กระจายเพิ่มความน่ายำเกรงเป็นเท่าทวี เหล่าวิญญาณหนีตายต่างเห็นเงาผู้บุกรุกคล้ายพญามัจจุราชที่มาฉุดลากพวกตนลงสู่ขุมนรก ทว่าผู้คุมวิญญาณเจ้าบ้านกลับไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแต่อย่างใด
    
    “บุกรุกบ้านคนอื่นแบบนี้ รู้ไหมมันเสียมารยาท”
    “เลิกยุ่งกับโนอาร์ซะ ก่อนที่ชะตาเจ้าจะไม่ต่างจากวิญญาณรับใช้พวกนั้น”

    เอทอสเอ่ยขู่พร้อมยื่นโอกาสรอดให้อีกฝ่าย แต่ดูเหมือนผู้คุมวิญญาณจะไม่สนใจเท่าไรนัก ชายเจ้าบ้านลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนเดินหยั่งเชิงดูท่าทีปีศาจในร่างมนุษย์เบื้องหน้า

    “ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ วิญญาณแข็งแกร่งหายากแบบโนอาร์ ใครก็อยากได้เป็นข้ารับใช้ แล้วอีกอย่างนักฆ่านั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตายไปสักคน.. จะเป็นอะไรไป!”
    “ขวับ!”
    “พรึบ! โครม!!”
    “อั่ก!!”

    ทันทีที่พูดจบ ผู้คุมวิญญาณก็สาดบางสิ่งใส่ร่างสูงใหญ่ ทว่าเอทอสกลับเบี่ยงหลบง่ายดาย เพียงพริบตาเดียวปีศาจก็เข้าประชิดตัวชายหนุ่ม พร้อมเหวี่ยงร่างเจ้าบ้านอัดกำแพงอย่างแรง ซึ่งเหล่าวิญญาณรับใช้ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

    “หมับ! อั่ก!!”
    “เจ้าจะเสียใจที่เลือกทางนี้”

    ร่างผู้คุมวิญญาณถูกฝ่ามือใหญ่กำรอบลำคอแน่น ก่อนยกขึ้นจนร่างลอยด้วยมือข้างเดียว วิญญาณรับใช้บางส่วนเห็นผู้เป็นนายกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงทำใจกล้าเข้าช่วย ซึ่งผลตอบแทนของความจงรักภักดีก็คือ เปลวเพลิงสีนิลที่เผาไหม้ดวงวิญญาณจนสูญสลาย

    “หะ..หึ คะ... ใครกันแน่.. ที่จะเสียใจ..”

    เสียงขาดช่วงพยายามตอบกลับไร้ซึ่งแววสำนึก ส่งผลให้ฝ่ามือใหญ่เพิ่มแรงบีบลำคอเป็นเท่าทวี ทว่าเมื่อยิ่งออกแรง เอทอสกลับรู้สึกคล้ายพลังของเขายิ่งถูกดึงออกไป คิ้วหนาเริ่มขมวดมุ่นเมื่อสัมผัสถึงความผิดปกติ พร้อมกับโยนร่างในมือทิ้งลงพื้นทันที

    “ตุ้บ!!”
    “เจ้าทำอะไร?”
 
    คำถามของเอทอส ได้รับเพียงรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจคืนกลับมา ผู้คุมวิญญาณพยายามพยุงตัวขึ้นยืน ก่อนสวนหมัดโต้กลับชายร่างสูงใหญ่ ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำอันสิ้นคิดในสายตาปีศาจ เขาจึงต้องสั่งสอนให้รู้ถึงความห่างชั้นระหว่างปีศาจกับมนุษย์ธรรมดา

    “กร๊อบ!!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!! อึก!!!”

    เสียงกระดูกหักดังลั่น เมื่อเอทอสล็อกแขนที่พยายามต่อยเขา ก่อนหักทิ้งราวกับกิ่งไม้เปราะ ร่างผู้คุมวิญญาณทรุดลง พร้อมกรีดร้องทรมานแสดงถึงความเจ็บปวด ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้พลังในร่างปีศาจถูกดูดออกไปมากขึ้นเช่นกัน
    เอทอสรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงเตรียมเค้นถามอีกครั้ง แต่กลับถูกเสียงสายเรียกเข้าของโทรศัพท์หยุดไว้เสียก่อน ซึ่งคนที่โทรมาคือ จิน ปีศาจเลยรีบกดรับทันที เพราะเกรงว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับโนอาร์

    “โครม!!”
    “อั่ก!!”

    ผู้คุมวิญญาณอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์จู่โจมอีกครั้ง และก็ถูกฝ่าเท้าหนักเตะจนร่างลอยไปกระแทกกับตัวโต๊ะจนล้มระเนระนาด ซึ่งนั่นสร้างความไม่เข้าใจให้กับเอทอสอย่างมาก ว่าเหตุใดมนุษย์นี่ถึงรนหาเรื่องเจ็บตัวนัก

    “มีอะไร จิน”
    [คุณอยู่กับผู้คุมวิญญาณนั่นใช่ไหม!! คุณห้ามทำอะไรมันนะ!! ไอ้หมอนั่นมันเชื่อมวิญญาณกับโนอาร์ ถ้ามันบาดเจ็บ โนอาร์จะเป็นคนรับแทน!]

    สารจากปลายสายถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่ชะงักนิ่งงัน ก่อนไม่นานจะมีเสียงหัวเราะจากมุมหนึ่งของบ้าน นัยน์ตาดุสีอำพันค่อยๆ หันมองต้นตอของเสียง พบว่าบัดนี้ผู้คุ้มวิญญาณกลับไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ กำลังจ้องมองราวกับสมน้ำหน้าปีศาจ พลางแกล้งปัดฝุ่นตามเสื้อ การกระทำราวกับเย้ยหยัน ถึงขั้นทำให้เอทอสคุมอารมณ์ไม่อยู่

    “โครม!!! เพล้ง!!!”
    “พลาดเป้านะ รู้หรือเปล่า หึ ๆ”

    ผู้คุมวิญญาณหัวเราะเยาะ เมื่อหมัดหนักถูกเบี่ยงหลบในวินาทีสุดท้าย ส่งผลให้บานกระจกหน้าต่างเป็นที่รองรับความดาลเดือดแทนใบหน้าของเขา

    “เจ้าทำแบบนี้ทำไม”

    เอทอสกัดฟันกรอด เค้นเสียงลอดไรฟันถาม นัยน์ตาดุกลายเป็นสีแดงเลือดนกวาวโรจน์คล้ายมีเพลิงพิโรธลุกไหม้อยู่ภายใน ทว่าผู้คุมวิญญาณกลับเดินผ่านร่างสูงใหญ่อย่างไม่ใส่ใจ พร้อมสั่งวิญญาณรับใช้ที่เหลือรอด ให้เข้ามาเก็บเศษซากข้าวของที่พังเสียหาย

    “บอกไปแล้วว่าอยากได้โนอาร์มาเป็นข้ารับใช้ ไม่รู้หรอกนะว่านายทำยังไง โนอาร์ถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่รอดหรอก…”
    “เจ้าทำอะไรอีก! บอกมา!!” เสียงทุ้มหนักของปีศาจตวาดก้องดังทั่วทั้งบ้าน จนวิญญาณรับใช้บางตนหวาดกลัวจนต้องหนีหลบซ่อน
    “ก็แค่กำหนดวันตายให้ ตายแบบไม่ทรมาน เมื่อถึงวันจะหยุดหายใจไปเองเหมือนสับสวิตช์ ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ฉันใจดีเลือกวันเป็นสิ้นปีนี้ กว่าจะถึงวันนั้นนายก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้เต็มที่ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง”
    “…”

     ระหว่างการพูดคุยอยู่นั้น เอทอสพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของใครบางคนกำลังมุ่งตรงมาที่บ้านหลังนี้ ก่อนไม่นานจะได้ยินเสียงรถจอดบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งเขารู้จักกลิ่นอายวิญญาณนี้ดี และนั่นทำให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกอื้ออึงสับสน คล้ายถูกค้อนทุบอย่างจังจนเสียงพูดโต้ตอบหายไป

    “และนั่นหมายความว่านายก็ห้ามมายุ่งกับฉันเหมือนกัน เพราะไม่อย่างงั้น...”

    ผู้คุมวิญญาณเอ่ยพลางเดินไปหยุดรอใครบางคนตรงหน้าประตูบ้าน เวลาเดียวกับที่ดวงตาของเอทอสจำต้องเปลี่ยนกลับเป็นสีอำพัน เพื่อปกปิดความลับเรื่องปีศาจไม่ให้คนนอกรู้

    “วันตายของโนอาร์อาจเลื่อนเป็นพรุ่งนี้แทน”
    “พี่วรรษเป็นอะไรไหม! ผมมาแล้วเห็นรั้วบ้านพัง ขโมยขึ้นบ้านเหรอ?! แล้วโทรแจ้งตำรวจหรือยัง”
    “ใจเย็น ๆ”

    ผู้คุมวิญญาณผู้บ่งการแผนการเลวร้าย บัดนี้เหลือเพียงพี่ชายแสนดีเดินเข้าไปปลอบน้องชายที่กำลังตื่นตระหนก ใช้เวลาสักพักหนึ่งน้องชายเจ้าบ้านถึงใจเย็นลง ก่อนเริ่มมองสำรวจความเสียหายภายในบ้าน จนสายตาสะดุดเข้ากับชายร่างสูงใหญ่ที่เคยเจอเมื่อหลายเดือนก่อน

    “พี่เอทอส?! เป็นเพื่อนกับพี่วรรษหรือครับ ผมไม่เคยรู้เลย”
    “…สีคราม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบางเบา ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
    “ใช่ เพื่อนพี่เอง เขามาช่วยพี่จัดการเรื่องขโมยขึ้นบ้านน่ะ แต่เรียบร้อยดีแล้ว และกำลังกลับใช่ไหม” พี่ชายแสนดีออกรับแทน พร้อมเอ่ยไล่คนนอกกลาย ๆ
    “...อืม ต้องกลับแล้ว”
    
    เอทอสอาศัยโอกาสที่ผู้คุมวิญญาณหยิบยื่นให้ รีบหลบเลี่ยงสถานการณ์ทันที ทำให้สีครามไม่ทันได้เอ่ยชวนรุ่นพี่ให้ทานข้าวเย็นด้วยกัน ร่างสูงใหญ่ก็พลันหายออกจากบ้านไปเสียแล้ว ดังนั้นน้องชายเจ้าบ้านที่ยังคงสับสนไม่เข้าใจ จึงหันมาเค้นความจริงกับพี่ชายแทน
    ทว่าหลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ฝ่ายคนพูดตอบกลับกลายเป็นสีคราม โดยคำถามของพี่ชายแสนดีส่วนมากมักเกี่ยวกับเรื่องของชายเมื่อครู่ เนื่องด้วยการรู้จักกันของปีศาจและสีครามนั้น อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คุมวิญญาณ แต่ที่เออออไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะ เขาไม่ต้องการให้สีครามรู้สึกสงสัยแล้วมาข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เท่านั้น



    เวลาล่วงเลยเข้าสู่พลบค่ำ ในที่สุดเอทอสในสภาพหอบเหนื่อยก็มาถึงโรงพยาบาล เรื่องราวที่พบเจอก่อนหน้าถูกโยนทิ้งจนสิ้น ตอนนี้ความคิดร้อนรนของปีศาจเหลือเพียง ความกังวลต่ออาการของโนอาร์ที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงชัดผ่านผลของคำสาปที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ โชคดีที่เมื่อช่วงกลางวันปีศาจกินวิญญาณรับใช้มากพอสมควร เลยพอมีพลังเหลือให้คำสาปดูดไปโดยไม่กระทบต่อการแปลงเป็นมนุษย์ของเขา

    ทว่าไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะวิ่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อไปหามนุษย์ กลับถูกเสียงของจินที่รออยู่ก่อนแล้วเอ่ยขัด ก่อนพาเดินมาคุยกันตรงสวนมืดเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน

    “โนอาร์อยู่ห้อง ICU คุณเข้าไปหาตอนนี้ไม่ได้หรอก แต่อาการทรงตัวแล้วนะ คุณไม่ต้องกังวล”
    “…”
    “แล้ว.. เป็นอย่างไรบ้าง”

    เอทอสค้นหาเสียงตัวเองอยู่นาน ก่อนจะถามถึงอาการมนุษย์แผ่วเบา นัยน์ตาสีอำพันดุดูอ่อนแสงฉายชัดถึงความขมขื่นรู้สึกผิด ร่างสูงใหญ่ดุดันน่าเกรงขาม ยามนี้กลับดูเปราะบางราวกับหินผาแกร่งที่มีรอยร้าวไปทั่วพร้อมพังทลาย เพียงเพราะรู้ว่า สิ่งสำคัญที่เพียรดูแลรักษา กลับแหลกสลายอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นน้ำมือของเขาเอง

    “ที่แขนกับคอ หมอใส่เฝือกดามให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนตรงอก…”
    “…”
    “หมอบอกว่าอวัยวะภายในกับกระดูกยังไม่แข็งแรงดี อยู่ ๆ กลับคล้ายถูกของหนักกระแทกอย่างแรง กระดูกซี่โครงเลยหักทิ่มปอด ต้องกลับมาใช้เครื่องช่วยหายใจอีกครั้ง แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว สบายใจได้”

    ฝ่ามือใหญ่กำแน่นเพื่อข่มอารมณ์ เมื่อรับฟังอาการของโนอาร์ เอทอสรู้สึกเหมือนโชคชะตาจะสนุกกับการกลั่นแกล้งหลอกลวงให้เขาตายใจ แล้วคอยบดขยี้ฉีกทำลายความรู้สึกเขาทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งครั้งนี้ปีศาจไม่อาจทนฝืนอดกลั้นต่อความด้อยค่าไร้ความสามารถของตนเองได้อีกต่อไป

    ภายหลังจากเพื่อนมนุษย์ขอตัวกลับ กลางดึกเงียบสงัดพลันเกิดเสียงร้องคำรามเจ็บปวดขาดใจดังกึกก้องให้ได้ยินทั่วทุกส่วนของโรงพยาบาล โดยต้นกำเนิดมาจากสวนด้านข้าง มีบางคนใจกล้าพยายามหาต้นตอ ทว่าเพียงเห็นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกบ้าคลั่งของบางสิ่งในเงามืด กำลังหักโค่นทำลายต้นไม้พังระเนระนาด ราวกับต้องการปลดปล่อยความรู้สึกเจ็บแค้นอัดอั้น เหล่าพวกอยากรู้ก็พลันกลับใจไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ได้แต่ปล่อยให้บางสิ่งระบายจนกว่าจะพอใจและสงบลงไปเอง

    ซึ่งเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าบาดเจ็บนี้ ดังถึงบนอาคารสูงของโรงพยาบาล กลุ่มบุรุษและนางพยาบาลต่างต้องทำหน้าที่อย่างหนัก เพื่อดูแลคนไข้ที่อาจตื่นตกใจ และนั่นรวมถึงการเข้าไปดูความเรียบร้อยภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยหนัก โชคดีที่เหล่าคนไข้ล้วนอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจรับรู้สิ่งรอบข้าง จึงไม่ได้รับผลกระทบต่อเสียงประหลาด เว้นเสียแต่ผู้ป่วยรายหนึ่งที่เพิ่งถูกนำตัวมาพักฟื้นในห้องนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

    นางพยาบาลสังเกตปลายนิ้วของคนไข้ขยับเล็กน้อยคล้ายถูกเสียงกระตุ้น จึงรีบเข้าไปดูเผื่อว่าเสียงประหลาดอาจช่วยให้คนไข้ฟื้นคืนสติ แต่เมื่อลองเช็กดูแล้ว กลับพบว่าผู้ป่วยรายนี้ยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง ทว่าไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศผสานกับเสียงคำรามทุกข์ระทมที่ยังคงดังแว่วอยู่หรือไม่ เธอถึงรู้สึกว่าบริเวณรอบเตียงของคนไข้รายนี้ดูเยียบเย็นมากกว่าปกติ และเมื่อมองใบหน้าสงบของชายหนุ่มบนเตียง แม้จะดูเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกไม่ต่างจากผู้ป่วยคนอื่น แต่เธอคล้ายสัมผัสอารมณ์ของคนบนเตียงได้ว่า ชายผู้นี้กำลังรู้สึก... โกรธ
    


    

บท20 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 20 กลั่นแกล้ง) [23/05/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 23-05-2020 23:56:32
โกรธแทนเลย
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 20 กลั่นแกล้ง) [23/05/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 01-06-2020 22:06:00
ชอบค่ะ ตื่นเต้นดี
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 21 เย้ยหยัน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 04-06-2020 18:13:08
    
    รถยนต์สีขาวสะอาดเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลเฉกเช่นเช้าวันอื่น ๆ แต่ที่ต่างไปคือความวุ่นวายเล็กน้อยบริเวณสวน ที่มีคนรวมกลุ่มมุงดูอะไรบางอย่าง จินที่เห็นเหตุการณ์ขณะขับรถผ่าน พลันหวั่นใจว่าอาจเกิดเรื่องกับปีศาจจึงรีบจอดรถเทียบข้างทาง ก่อนวิ่งเข้าไปดูพลางเบียดเสียดขอแทรกคนที่ยืนขวาง ไม่นานนักสาเหตุความวุ่นวายก็ประจักษ์แก่สายตา

    สวนด้านข้างโรงพยาบาลอยู่ในสภาพพังเละเทะคล้ายถูกพายุถล่ม กลุ่มคนงานกำลังช่วยกันเก็บกวาดซากความเสียหาย เศษดินกระจุยกระจายจากต้นไม้ที่ถูกถอนดึงจนถึงราก บางต้นหักโค่นราวกับถูกสัตว์ป่าคลั่งบดขยี้ โดยสังเกตจากรอยกรงเล็บใหญ่ที่ฝากไว้ตามเนื้อไม้ คนมุงพากันออกความคิดเห็นคาดเดาต่าง ๆ นานา บ้างเล่าว่าได้ยินเสียงร้องคำรามเมื่อคืน บ้างทันเห็นเงาของบางสิ่งอาละวาด ซึ่งนั่นล้วนเรียกความระแวงให้จินเป็นอย่างมากจนต้องแสร้งถาม เพื่อเช็กว่าความลับเรื่องการมีอยู่ของปีศาจยังไม่ถูกล่วงรู้

     “ที่บอกว่าเห็นเงา พอจะรู้ไหมครับว่าน่าจะเป็นตัวอะไร”
    “ไม่รู้หรอก ตาสีแดง ๆ คงเป็นตัวอะไรสักอย่างหลุดมาจากป่ามั้ง”
    “อ๋อ... นั่นสินะ-”
    “สัตว์ประหลาด ต้องเป็นพวกสัตว์ประหลาดออกอาละวาดแน่เลยแม่!”

    เสียงเด็กคนหนึ่งออกของความเห็น ทำให้ทั่วทั้งบริเวณเงียบเสียงลงชั่วขณะ ก่อนไม่นานเสียงพูดคุยจะกลับมาอีกครั้ง โดยไม่มีใครให้ความสนใจกับทฤษฎีของเด็กน้อย เพราะเห็นเป็นเพียงจินตนาการไร้เดียงสา ส่งผลให้จินที่เผลอกลั้นหายใจ ความรู้สึกตกไปที่ตาตุ่มเนื่องจากกลัวความลับแตก ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก และค่อย ๆ พาตัวเองออกมาจากกลุ่มคนมุง เพื่อติดต่อหาตัวการว่าหลบอยู่ที่ใด

    “คุณอยู่ที่ไหนเนี่ย แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนพวกนักล่าปีศาจบุกมาจัดการคุณเหรอ?”
    [ในโรงพยาบาล รอเข้าเยี่ยมโนอาร์]

    ปลายสายเพียงตอบกลับคำถามแรกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนกดตัดสาย ทำให้จินรู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย จึงรีบเดินเข้าโรงพยาบาลเพื่อไปสมทบกับปีศาจ เผื่อจะได้สอบถามหาสาเหตุเพิ่มเติม ทว่าเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ที่เก้าอี้รับรองแยกปลีกจากคนอื่นคล้ายต้องการอยู่เพียงลำพัง ความหมองหม่นรู้สึกผิดแฝงผ่านบรรยากาศรอบกาย นัยน์ตาสีอำพันฉายชัดถึงความโศกขื่นขมกล่าวโทษตนเอง ทุกสิ่งอย่างเบื้องหน้าจินเสมือนแทนคำตอบก่อนหน้าทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใด

    “กว่าจะอนุญาตให้เข้าเยี่ยมก็เกือบเที่ยง คุณไปพักเอาแรงก่อนได้นะ” จินพูดขึ้นขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างอีกฝ่าย
    “ข้ากินพอแล้ว ไม่เป็นไร”

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบคล้ายพึมพำ ไม่คิดเหลียวมองคนมาใหม่ สายตาหยุดจ้องเพียงฝ่ามือใหญ่ฟกช้ำจากการลงโทษตัวเองเมื่อคืนวาน แม้ไม่ได้ตั้งใจให้ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดทุกอย่างเป็นของเขา หากเขาเฉลียวใจสักนิด หยุดมือตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้สึกว่าพลังถูกดูดออกไป อาการโนอาร์คงไม่แย่ลงจนต้องเข้าห้องนั้นอีกครา ความเจ็บปวดราวกับความรู้สึกแหลกสลายที่กำลังทนทุกข์อยู่นี้ ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความโง่เขลาของเขา

    หลังการตอบกลับของปีศาจ บทสนทนาก็จบแต่เพียงเท่านั้น เหลือเพียงความเงียบระหว่างกันที่ค่อย ๆ ดำเนินคู่ไปกับเวลาที่ผันผ่านทีละน้อย จินที่ปกติระหว่างรอมักจะนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่ก็แอบงีบหลับ ยามนี้กลับทำได้เพียงวางสายตาไว้ตรงโทรทัศน์ที่แขวนกับเพดาน เนื่องจากความอึดอัดที่ร่างสูงใหญ่เป็นผู้สร้าง ชวนให้รู้สึกผิดบาปหากตนจะหาวิธีผ่อนคลายฆ่าเวลาในสถานการณ์เช่นนี้
    ดังนั้นการรอคอยไม่กี่ชั่วโมงจึงเนินนานนับอนันต์สำหรับหนึ่งปีศาจที่ทนทุกข์สำนึกผิด และหนึ่งผู้คุมวิญญาณที่ถูกหางเลขความรู้สึกไปด้วย


    ในที่สุดช่วงแห่งความอึดอัดใจก็จบลงเมื่อเวลาเข้าเยี่ยมมาถึง เอทอสลุกไปติดต่อขอเยี่ยมด้วยตัวเอง โดยมีจินเดินตามหลังลอบสังเกตอาการ หลังเตรียมตัวเข้าเยี่ยมด้วยการล้างมือ สวมใส่รองเท้าที่โรงพยาบาลเตรียมไว้เรียบร้อย ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ ดันประตูเปิดแผ่วเบา ก่อนเดินตรงไปที่เตียงด้านในสุด ไม่ต้องเสียเวลามองหา เพราะปีศาจคอยจับสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณมนุษย์อยู่เสมอ

    อุปกรณ์ช่วยชีวิตกลับมารายล้อมร่างไร้สติอีกครั้ง เพียงวันเดียวจากมนุษย์ร่างกายเริ่มแข็งแรงรอวันฟื้นคืน ย้อนสู่สภาพสาหัสไม่ต่างจากวันแรกที่เข้ารับการรักษา เฝือกสีขาวสะอาดที่ลำคอและแขนช่วยปกปิดตราบาปจากสายตาผู้กระทำ ทว่ากลับยิ่งตอกย้ำเสียดแทงความรู้สึกให้เจ็บปวด ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศราวกับเยือกแข็งอวัยวะกลางอกทีละน้อย ทุกครั้งที่หัวใจเต้น คล้ายกับฝืนบังคับให้ก้อนน้ำแข็งขยับเคลื่อนไหว ผลที่ได้คือความรวดร้าวจวนแตกสลายทุกลมหายใจ

    เอทอสหยุดนิ่งมองคนบนเตียงเนินนาน นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นไร้แววจนน่าใจหาย ก่อนยื่นฝ่ามือใหญ่บอบช้ำค่อย ๆ ลูบเฝือกแขนมนุษย์แผ่วเบา ความเย็นที่สัมผัสบนพื้นผิวแข็งกระด้าง คล้ายกำลังลากผ่านเกล็ดน้ำแข็งเยียบเย็นจนปลายนิ้วด้านชาไร้ความรู้สึก ทว่าครานี้ปีศาจไม่ยอมให้ความหนาวเหน็บเกาะกุมความรู้สึกเล่นงานเขาฝ่ายเดียว

    ร่างสูงใหญ่หันไปเลื่อนม่านปิดกั้นสายตาคนภายนอก ก่อนกลับมาสัมผัสตัวมนุษย์อีกครั้ง เปลวเพลิงสีนิลพลันลุกติดบนฝ่ามือใหญ่ ค่อย ๆ ลามจนท่วมร่างหลับสนิทบนเตียง จินที่เห็นโนอาร์กำลังถูกไฟเผาทั้งเป็น เผลอยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกกับภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบเข้าไปกระชากฝ่ามือใหญ่ออกทว่าไม่สำเร็จ

    “คุณหยุด!! สติหลุดไปแล้วเหรอ! จะฆ่าโนอาร์หรือไง”

    จินเอ่ยพลางพยายามใช้มือดับไฟ แต่ทันทีที่สัมผัสตัวเพลิงกลับไม่รู้สึกถึงไอร้อนแผดเผาอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงความอบอุ่นแฝงอยู่ในเปลวสีนิลที่กำลังลามเลียอย่างอ่อนโยน ส่งผลให้คนที่พยายามห้ามปีศาจชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับความตื่นตระหนกที่เริ่มลดคลายลง

    “เปลวเพลิงเอ๋ย...” ร่างสูงใหญ่เอ่ยพึมพำ
    “จงเผาไหม้ทำลายทุกพันธะที่ผูกติดกับชายผู้นี้โดยหาได้กำเนิดจากข้า และแผดเผาต้นกำเนิดแห่งพันธะแปลกปลอมให้สิ้นจนเหลือเพียงเศษเถ้าธุลี”

    หลังเอ่ยจบเพลิงสีนิลที่กำลังลุกท่วมร่างไร้สติพลันมอดดับ ทว่าปีศาจกลับไม่รู้สึกว่าพลังถูกดูดออกไปแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นหมายถึงการร่ายคำสาปเมื่อครู่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเปลวเพลิงจึงลุกติดอีกครา แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่จับราวเหล็กข้างเตียงไว้ เริ่มกำแน่นมากขึ้นทุกครั้งที่คำสาปจบลงด้วยความล้มเหลว
    และก่อนที่เอทอสจะร่ายคำสาปรอบใหม่ จินที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ มาสักพักหนึ่ง เริ่มรู้ถึงความคิดปีศาจ จึงจำต้องกล่าวขัดความพยายามของอีกฝ่าย

    “หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะ และก็พลังของคุณ... มันใช้ลบล้างมนตร์มืดไม่ได้หรอก”

    เพียงประโยคเรียบสั้นในตอนท้าย กลับดับแสงความหวังหนึ่งเดียวในทันใด ฝ่ามือใหญ่บีบราวเหล็กแรงขึ้นจนบิดงอ เสียงลั่นเบา ๆ จากเหล็กที่ผิดรูปเรียกสติเอทอสให้ยอมคลายมือ นัยน์ตาสีอำพันว่างเปล่าไร้แววมองส่งร่างมนุษย์บนเตียง ไหล่กว้างที่เคยผึ่งผาย ครานี้คล้ายดูห่อลงอย่างคนสิ้นหนทาง ก่อนยอมหันหลังเดินจากไปง่ายดาย ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้ต่อความจริงอันขื่นขม ว่าเขานั้นเป็นเพียงปีศาจไร้ค่าน่าสมเพชตนหนึ่ง


    หลังออกจากห้องพักผู้ป่วยหนักในเวลาเที่ยงกว่า ทั้งสองมาฝากท้องที่ศูนย์อาหารชั้นล่างของโรงพยาบาล เมื่อได้โต๊ะจินอาสาเดินไปสั่งอาหารให้ ทว่าเอทอสกลับส่ายหน้าปฏิเสธคล้ายต้องการอยู่เพียงลำพัง เห็นดังนั้นจินจึงได้แต่ปล่อยให้ร่างสูงใหญ่นั่งจมอยู่กับความคิดตนเอง

    ไม่นานนักคนออกไปซื้อข้าวก็กลับมาพร้อมถาดอาหารในมือ จินนั่งฝั่งตรงข้ามพลางเหลือบมองคนร่วมโต๊ะเล็กน้อย หลังเยี่ยมเสร็จปีศาจก็เอาแต่ซึมไม่ยอมพูดจา เขามั่นใจว่าส่วนสำคัญที่ทำให้เอทอสตกอยู่สภาพนี้คือความรู้สึกผิด อาจต้องใช้เวลาเยียวยาสักพักถึงจะดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เขาพอทำได้จึงมีเพียงการพูดให้กำลังใจ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดมากจนเกินไป

    “คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ใครจะไปรู้ว่าผู้คุมวิญญาณนั่นจะใช้วิธีสกปรกแบบนี้”
    “…”
    “เมื่อวานได้คุยกับหมอด้วยนะ เขาบอกว่าโนอาร์ยังแข็งแรงและก็ฟื้นตัวได้เร็วมาก แปป ๆ ก็คงกลับมานอนห้องพักปกติได้แล้วละ”
     “คำสาปแก้ไม่ได้ แล้วมีอะไรแก้ได้บ้าง”

    เสียงทุ้มต่ำอ่อนแรงเอ่ยถาม ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จินกำลังพูดแม้แต่น้อย ดวงตาสีอำพันหมองหม่นมองสบอย่างไร้ความหวัง ราวกับหมดสิ้นแล้วทุกความเชื่อมั่น ไม่กล้าคิดร้องขอหรือคาดหมายสิ่งใดอีก ชวนให้ผู้ตกเป็นเป้าสายตาอย่างจินรู้สึกสงสารเห็นใจปีศาจตรงหน้าเป็นอย่างมาก และหวังว่าคำตอบของเขาอาจพอเรียกขวัญกำลังใจอีกฝ่ายให้กลับคืน

    “ที่จริงแล้วมนตร์มืดที่ผู้คุมวิญญาณใช้กัน มันเลียนแบบมาจากคำสาปแช่งของปีศาจนั่นแหละ แต่ดีกว่าตรงที่มนตร์มืดใช้เลือดของเหยื่อเป็นตัวกำหนด ต่างจากปีศาจที่ใช้พลังของตัวเองผูกกับเป้าหมาย อืม... แล้วไอ้ผู้คุมวิญญาณนั่นมันเอาเลือดมาจากไหน คนอย่างโนอาร์อย่าว่าแต่จะทำให้เลือดออกเลย แค่แตะตัวยังแทบทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

    คำถามตามความสงสัยทั่วไป กลับคล้ายหอกน้ำแข็งปักแทงทะลุกลางอกเอทอสอย่างจัง จนรู้สึกชาเจ็บแทบไม่อยากหายใจ บาดแผลบนหลังมือโนอาร์ในวันนั้น หวนกลับมาตอกย้ำถึงความสะเพร่าของเขาอีกครา ส่งผลให้นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นอยู่แล้วกลับยิ่งดูมืดมน ส่วนจินที่ทันเห็นปฏิกิริยาของปีศาจก็เผลอใจหล่นวูบไปชั่วขณะว่า เขาอาจพูดกระทบอีกฝ่ายโดยไม่ตั้ง จึงต้องรีบข้ามไปเรื่องอื่นแทน

    “อา... ก็นั่นแหละ เพราะใช้เลือดเป็นสื่อกลาง เลยทำให้ตัวผู้ร่ายเป็นอิสระกับเป้าหมาย ไม่ต้องถูกสูบพลังแบบปีศาจ ซึ่งทุกครั้งที่มนตร์มืดทำงานจะดูดพลังวิญญาณจากตัวเหยื่อแทน ดังนั้นต่อให้จัดการผู้ร่ายได้ มนตร์มืดที่ติดตัวก็ไม่หายไป และเพราะเลียนแบบมาจากคำสาป มันเลยถูกลบล้างไม่ได้ตรงนี้คุณคงเข้าใจดี”

    เอทอสที่กำลังฟังพยักหน้ารับเล็กน้อย คำสาปของปีศาจทุกตนเหมือนกันหมด ไม่มีทางแก้ไขหรือลบล้างได้ มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้นคือ หนึ่งให้ปีศาจผู้ร่ายเป็นผู้ถอนคำสาป หรือสอง ฆ่าปีศาจเจ้าของคำสาป ทว่าจากที่จินบอก ต่อให้กำจัดผู้ร่ายทิ้งมนตร์มืดนั้นก็ยังคงอยู่ การหยุดจึงเหลือเพียงวิธีเดียว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอยากได้วิญญาณโนอาร์เป็นข้ารับใช้ขนาดนั้นจะยอมรามือ

    “แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เลยนะ” จินพูดขัดก่อนที่ใครบางคนจะคิดไปไกล ซึ่งนั่นทำให้นัยน์ตาสีอำพันมืดมนคล้ายมีแสงแห่งความหวังเล็กน้อย
    “ยังไง...”
    “มันดูเป็นวิธีที่เห็นแก่ตัวสักหน่อยนะ ก็ถ่ายโอนมนตร์มืดให้คนอื่นซะ แต่ถ้าส่งต่อแล้ว ผู้รับแทนจะไม่สามารถแก้หรือโยนให้ใครได้อีก จำต้องอยู่กับมนตร์มืดนั้นไปจนสิ้นลมหายใจ อารมณ์ประมาณหาตัวตายตัวแทนนั่นแหละ”
    “แล้วต้องทำยังไง” เอทอสเร่งถามต่อ นัยน์ตาคล้ายมีประกายความหวังมากขึ้น
    “ก็ใช้เลือดของโนอาร์ กับเลือดของผู้ที่จะมารับแทน เสียดายมันย้อนใส่ผู้ร่ายไม่ได้... งั้นคุณไปหาเลือดใครสักคนมาก็พอ ส่วนที่เหลือผมจัดการเอง”
    “ต้องใช้มากเท่าไร”
    “ขึ้นอยู่กับจำนวนมนตร์มืดที่จะถ่ายโอน โนอาร์โดนแค่อย่างเดียว-”
    “สอง...” ร่างสูงใหญ่เอ่ยขัดเสียงเบา
    “ฮะ?! ไอ้ผู้คุมวิญญาณนั่นมันทำอะไรอีก?”
    “กำหนดวันตายให้โนอาร์... เป็นสิ้นปีนี้”

    ทันทีที่ฟังจบ จินถึงกับสบถคำหยาบคายต่อว่าตัวการออกมาชุดใหญ่ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเอทอสถึงเสียอาการขนาดนี้ แค่ใช้คนเจ็บมาเป็นโล่ให้ปีศาจทำร้ายคนรักตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ก็ถือว่าน่ารังเกียจพอแล้ว ยังกล้ามาขีดเส้นชีวิตคนอื่นอีก
    เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าจิตใจผู้คุมวิญญาณนั่นมันดำมืดเท่าโนอาร์ไหม ทำไมถึงคิดแผนการเลวร้ายเล่นกับความรู้สึกเหยื่อได้คล้ายกันนัก หากโนอาร์ไม่พลาดท่าเสียก่อน เขาว่าผู้คุมวิญญาณนี่ต้องได้เป็นของเล่นชิ้นโปรดของฆาตกรเลือดเย็นอย่างแน่นอน

    หลังเผลอร้องโวยวายจนผู้ใช้บริการศูนย์อาหารรายอื่นหันมอง จินเลยยอมเงียบเสียง พลางแกล้งดื่มน้ำแก้เก้อ จึงเพิ่งสังเกตเห็นเอทอสที่นั่งอยู่ฟังตรงข้าม กำลังใช้มือข้างหนึ่งที่เปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลม กำจิกเข้าที่ผิวเนื้อตนเองจนเลือดไหลหยดใส่แก้วเปล่าที่รองอยู่ โชคดีที่โต๊ะที่นั่งอยู่ชิดกำแพง และเอทอสนั่งหันหลังเลยช่วยกำบังไม่ให้คนนอกเห็นเหตุการณ์
    ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้คนในอย่างจินถึงกับสำลักน้ำ ไอชุดใหญ่จนน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนรีบพูดห้ามปีศาจ

    “นี่.. แค่ก ๆ คะ.. คุณทำอะไรเนี่ย!?”
    “เอามนตร์มืดทั้งหมดของโนอาร์ มาไว้ที่ข้า” ร่างสูงใหญ่เอ่ยเรียบนิ่ง คล้ายไม่สนใจต่อผลที่ตามมา
    “คุณเอทอส! ผมบอกให้คุณไปหาคนอื่นมาไง คุณมารับเสียเองแบบนี้ โนอาร์รอดแต่คุณตาย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
    “แล้วเจ้าต้องการใคร”
    “ใครก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากรู้สึกผิดมาก ก็ไปเอาพวกเศษเดนอยู่ไปก็รกโลก มีแต่คนอยากสาปส่งให้ตายมาสักคน อย่างน้อยชีวิตพวกนั้นก็พอมีค่าในวาระสุดท้ายอยู่บ้าง”
    “ก็ข้าไง เศษเดนไร้ประโยชน์”

    เพียงคำเรียบสั้น ทว่าทำให้คนฟังรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก จินพยายามมองเข้าไปในส่วนลึกของดวงตาปีศาจ กลับพบเพียงความว่างเปล่าไม่มีท่าทีล้อเล่นแต่อย่างใด ก่อเกิดเป็นความเงียบคั่นกลางบทสนทนาให้ขาดช่วง คนหิวโซเมื่อครู่คล้ายไม่อยากอาหารอีกต่อไป ทั้งที่ทานเพียงไม่กี่คำ จินลุกขึ้นรวบจานรวมถึงเลือดที่ปีศาจรองใส่แก้วไปทิ้ง ก่อนไปไม่ลืมพูดทิ้งท้ายให้ใครบางคนได้คิด

    “ผมไม่รู้นะว่าอะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น แต่ยังไงถ้าจะทำก็ต้องใช้เลือดโนอาร์ด้วยอยู่ดี ผมจะรอจนกว่าโนอาร์จะออกจาก ICU ระหว่างนั้นคุณก็คิดทบทวนดี ๆ เพราะความคิดชั่ววูบของคุณ อาจไม่ใช่แค่คุณที่จะเสียใจไปตลอด”



    หลังจากวันนั้น ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องถ่ายโอนมนตร์มืดอีก รวมถึงเหล่าวิญญาณรับใช้ที่หายไป ไม่มายุ่งเกี่ยวตามคำที่ผู้คุมวิญญาณนั่นเคยว่าไว้ ทว่าเอทอสก็ยังคงให้จินมาผลัดเฝ้าเยี่ยม ในช่วงที่เขาต้องออกไปกินวิญญาณเหมือนเดิม
    วันเวลาค่อย ๆ ดำเนินเคลื่อนผ่าน ในที่สุดคนหลับไม่ยอมตื่นก็ได้ย้ายกับมาที่ห้องพักส่วนตัวอีกครั้ง ซึ่งนั่นสร้างความอุ่นใจให้กับปีศาจเป็นอยากมาก สองสามวันมานี้นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นจึงคล้ายมีประกายแสงเพิ่มขึ้น

    “แกร๊ก!”
    “โนอาร์แข็งแรงแล้ว เจ้าจะย้ายมนตร์มืดได้หรือยัง”

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นว่าใครเข้ามาในห้อง ส่งผลให้จินชะงักไปครู่หนึ่ง พลางลอบสังเกตร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ซึ่งพบว่ายามนี้ปีศาจดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ใช่ซอมบี้เดินได้เหมือนเมื่อช่วงแรก จินจึงพอเบาใจเดินเข้ามาวางของ พร้อมตอบกลับคนถามด้วยท่าทีสบาย ๆ

    “ไม่มีปัญหา ว่าแต่ได้เลือดตัวแทนมาแล้วนะ”
    “อืม”

    เอทอสเอ่ยพลางยื่นกระบอกฉีดยาสำหรับเจาะเลือดพร้อมหลอดเก็บตัวอย่างส่งให้ โดยหลอดหนึ่งมีของเหลวสีเข้มบรรจุอยู่เกือบเต็ม ส่วนอีกหลอดว่างเปล่า จินรู้ทันทีว่าปีศาจต้องการให้เขาเก็บเลือดจากโนอาร์ด้วยตนเอง หลังรับของเรียบร้อย ผู้มาใหม่จึงเดินตรงไปที่เตียงเจ้าชายนิทรา เพื่อเอาส่วนประกอบสุดท้ายสำหรับการถ่ายโอนมนตร์มืด

    “เออ! คนที่คุณไปเอาเลือดมายังไม่ตายใช่ไหม ห้ามตายนะไม่งั้นใช้ไม่ได้” จินชวนคุยระหว่างเก็บเลือดจากคนหลับสนิท
    “ยัง”
    “ดีแล้ว ๆ ว่าแต่นี่เลือดใครเหรอ” น้ำเสียงอารมณ์ดีเอ่ยถาม พลางใช้ผ้าหยุดเลือดที่ซึมตรงข้อพับแขนโนอาร์ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
    “ข้า”
    “…”
    “เลือดข้า”

    ทีแรกจินคิดว่าเขาหูฝาด ทว่าได้ยินคำยืนยันหนักแน่นจากเจ้าตัว เขาถึงกับหมดคำจะพูด ไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่าย เวลาที่ผ่านมาไม่ช่วยให้เอทอสคิดได้เลยหรืออย่างไร ถึงยังยึดติดกับความคิดเดิมเช่นนี้
    จินสูดหายใจเข้าเตรียมต่อว่าปีศาจสิ้นคิดอีกครา ทว่าเมื่อเผลอสบกับดวงตาสีอำพันที่กลับมาแข็งกล้าดั่งเก่า ไร้ซึ่งความขลาดกลัวหมดความเชื่อมั่นแบบวันวาน เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ พูดไปก็คงเสียแรงเปล่า เพราะครั้งนี้เอทอสตัดสินใจด้วยตัวเอง หาใช่ความคิดชั่ววูบเหมือนคราวก่อน

    “ไม่ลืมใช่ไหมว่าถ้าทำแล้ว จะแก้อะไรไม่ได้อีก” จินถามย้ำอีกครั้ง
    “อืม”
    “…ผมต้องใช้เวลาสักสามสี่วัน ระหว่างนั้นคงมาผลัดเวรเฝ้าให้คุณไม่ได้”
    “ไม่เป็นไร พวกวิญญาณรับใช้นั่นมันไม่มาแล้ว แต่ถ้ามา ข้าก็แค่จับกินให้สิ้น”

    ได้ยินดังนั้น จินจึงจำต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่อีกฝ่ายต้องการ ก่อนเดินไปเก็บหลอดบรรจุเลือดทั้งสองลงกระเป๋าสะพายประจำตัว พลางแอบเหลือบมองเอทอสที่ลุกไปหาคนบนเตียงเล็กน้อย ถึงแม้อาการดีขึ้นของโนอาร์ จะทำให้ปีศาจที่เคยเสียศูนย์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทว่าจินกลับรู้สึกว่า การกลับมาคราวนี้ของเอทอสนั้น... มีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม




(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 21 เย้ยหยัน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 04-06-2020 18:17:54
(ต่อ)

    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!!!’
    ‘มะ.. แม่ครับ.. ผมกลัว’
    
    เด็กชายพูดขึ้นพลางนั่งกอดเข่าตัวเองด้วยความหวาดกลัว ท่ามกลางความมืดภายในห้องและเสียงปืนยิงปะทะดังสนั่นที่ชั้นล่าง เมื่อชั่วโมงก่อนทุกอย่างยังคงปกติสุข แม่กับพี่เลี้ยงมาส่งพลางกล่อมเด็กน้อยเข้านอน ทว่าวินาทีที่ไฟห้องถูกปิดหลังคำกล่าวฝันดี พลันเกิดเสียงปืนยิงติดต่อกันหลายครั้ง เพียงพริบตาความสงบอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหล พ่อรีบผลักประตูเปิดเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สั่งให้ทุกคนหลบอยู่ในนี้ห้ามออกมา แววตาคล้ายเอ่ยคำลาของพ่อในยามนั้น เด็กน้อยยังจำขึ้นใจ

    ความวุ่นวายยังคงดำเนินเคียงคู่ไปกับเสียงสาดกระสุน แม่กอดเด็กน้อยสั่นกลัวไว้ในอ้อมอกพลางกล่าวปลอบประโลม ให้ลองจินตนาการเสียงปืนดังเป็นเสียงดอกไม้ระเบิดงดงามบนฟากฟ้า ทว่าเสียงใหม่แปลกปลอม กลับพังทลายโลกที่เด็กน้อยและแม่พยายามสร้างกลบเกลื่อนความหวาดกลัวโดยพลัน นั่นคือเสียงของผู้นำครอบครัวที่หลุดร้องด้วยความเจ็บปวด

    ‘คินคนเก่งอยู่กับพี่สานะครับ แม่จะลงไปหาพ่อ สาฝากคินด้วยนะ ถ้าไม่ใช่ฉันห้ามเปิดประตูเด็ดขาด เข้าใจไหม’ คนเป็นแม่พูดกับลูกในอ้อมกอด ก่อนหันไปสั่งพี่เลี้ยง
    ‘คะ.. ค่ะคุณหญิง’

    เมื่อได้รับคำยืนยัน คุณหญิงของบ้านจึงกอดลูกชายคนเดียวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนรีบลุกออกไปช่วยสามี ถึงแม้เธอจะดูเหมือนผู้หญิงบอบบาง แต่ก็เคยเป็นอดีตนักยิงปืนมาก่อน ดังนั้นในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ เธอคิดว่าความสามารถเก่าอาจสามารถช่วยเหลือคู่ชีวิตได้
    
    หลังคุณหญิงออกไปสักพักใหญ่ เสียงพายุกระสุนก็ค่อย ๆ สงบลง เด็กชายผู้เป็นห่วงพ่อแม่รบเร้าให้พี่เลี้ยงพาตนออกจากห้อง จังหวะนั้นเองที่หน้าประตูมีเสียงเคาะ ก่อนจะตามด้วยน้ำเสียงอ่อนคุ้นเคยของผู้เป็นแม่ เด็กน้อยจึงรีบสลัดตัวจากพี่เลี้ยงก่อนวิ่งไปเปิดประตู พร้อมกระโจนเข้ากอดคนตรงหน้า หญิงสาวโอบแขนตอบลูกรักด้วยแขนข้างเดียว เนื่องจากมืออีกข้างถือปืนอยู่เลยกลัวเกิดอันตราย แล้วจึงกล่าวปลอบประโลมเด็กชายที่กำลังเสียขวัญ

     ‘ภาคินของแม่เก่งที่สุดเลย ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไร...’
    ‘พ่อล่ะครับ พ่อปลอดภัยใช่ไหมครับ’
    ‘ใช่จ้ะ พ่อ-’
    ‘โครม!!!’

    ไม่ทันพูดจบ พลันเกิดเสียงคล้ายบางอย่างล้มกระแทกพื้นอย่างแรงที่ชั้นล่าง คุณหญิงจำต้องฝากเด็กชายกับพี่เลี้ยงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เด็กน้อยไม่ยอมรออยู่ในห้องอีกแล้ว ผู้เป็นแม่จึงให้พี่เลี้ยงคอยดูแลเด็กน้อยและคอยเดินตามหลังมาเงียบ ๆ

    ความมืดที่เข้าปกคลุมทุกพื้นที่ ทำให้การเคลื่อนไหวต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวัง บริเวณผนังและกำแพงล้วนมีร่องรอยความเสียหายจากการยิงถล่ม เศษกระจกจากบานหน้าต่างหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้น รูปถ่ายครอบครัวที่ติดตามผนังร่วงตกกระจายให้คนเหยียบย่ำ เด็กน้อยมองภาพเหล่านั้นด้วยความหวาดกลัวระคนเศร้าหมอง ความจริงเบื้องหน้าลบเลือนบ้านแสนอบอุ่นในความทรงจำจนหมดสิ้น

    ไม่นานนัก ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงชั้นล่างต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่ ทั่วบริเวณรายล้อมไปด้วยความมืดเงียบสงัด ทั้งหมดค่อย ๆ เดินเกาะกลุ่มกันในความมืดมิด จนกระทั่งสังเกตเห็นเงาของบางสิ่งขยับเคลื่อนไหว แม้จะเป็นสีเดียวกับบรรยากาศโดยรอบ แต่แสงจากภายนอกที่พอลอดผ่านเข้ามา ทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นคือเปลวเพลิงสีนิล กำลังเผาไหม้ร่างชายคนหนึ่งต่อหน้าภรรยาและลูกชาย

   ‘พ่อครับ!!! คุณคะ!!!’
    
    เสียงร้องด้วยความตกใจของกลุ่มคน ทำให้เงาประหลาดข้างกายชายผู้กำลังถูกไฟเผารู้สึกตัว นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงดุร้าย จับจ้องมายังกลุ่มผู้มาใหม่ราวกับผู้ล่าเล็งเหยื่อพร้อมกระโจนเข้าใส่ฉับพลัน วินาทีที่เงาประหลาดกำลังใกล้ถึงตัว พี่เลี้ยงตกใจรีบดึงเด็กน้อยเข้ามากอดปกป้อง จังหวะเดียวกับที่ผู้เป็นแม่ก้าวเท้าไปข้างหน้าใช้ตัวเองเป็นโล่กำบัง พร้อมหันปลายกระบอกปืนตรงไปที่เงาประหลาด

    ‘ว้าย!! คุณหนูค่ะ!’
    ‘ปัง!!! ปัง!!!’
    ‘ปัง!!!’

    สิ้นเสียงกระสุนปืน ทุกอย่างพลันสงบนิ่ง เด็กชายพยายามตะเกียกตะกายผลักตัวออกจากพี่เลี้ยงที่ล้มทับ เมื่อออกมาได้ดวงตาสั่นกลัวคู่น้อยค่อย ๆ กวาดมองท่ามกลางความมืด กลับไม่พบเงาเจ้าของนัยน์ตาอันตราย ราวกับตัวประหลาดนั่นล่องหนหายไป เมื่อแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย เด็กน้อยจึงรีบเข้าไปสำรวจพี่เลี้ยงและแม่ที่ฟุบอยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา

    ‘แม่ครับ! พี่สา! เป็นอะไรไหม’

    เสียงเด็กน้อยเอ่ยเรียกพลางเขย่าร่างทั้งสองท่ามกลางความมืด แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ สัมผัสชื้นเหนียวเหนอะตรงฝ่ามือทำให้เด็กน้อยหยุดชะงัก แม้มองไม่ถนัด ทว่ากลิ่นคาวเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าของเหลวที่รู้สึกเมื่อครู่นั้นคืออะไร

     ‘แม่ครับ!!! พี่สา!!! อย่าเป็นอะไรนะ!! ช่วยด้วยครับ!! ใครก็ได้.. พ่อ!!’

    เด็กชายพลันร้องไห้เสียขวัญ พร้อมตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือสุดเสียงในบ้านหลังใหญ่อ้างว้างเพียงลำพัง ก่อนจะหันไปเห็นผู้เป็นพ่อที่นอนห่างไม่ไกลนัก เด็กน้อยรีบเข้าไปหาหวังเพียงแค่มีใครสักคนที่ปลอดภัย ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับรุนแรงเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะดูได้

    ดวงตาว่างเปล่าไร้แววของผู้เป็นพ่อมองสบกับเด็กน้อย บริเวณช่วงคอบิดหักผิดธรรมชาติอย่างน่ากลัว ภาพเลวร้ายทำให้เด็กน้อยช็อกจนเสียงร้องในลำคอขาดหาย จิตใจพลันแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ  โลกทั้งใบพังทลายลงในพริบตา ร่างไร้แรงของเด็กน้อยทรุดล้มลงคล้ายกล้ามเนื้อทุกมัดพร้อมใจกันหยุดทำงาน สมองในส่วนลึกรีบสั่งการปิดทุกการรับรู้ของเด็กน้อยโดยพลัน เพื่อปกป้องรักษาจิตใจจากเหตุการณ์สะเทือนความรู้สึก ก่อนที่จะถูกทำร้ายจนแหลกสลายเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า



    “ติ้ด! ๆ ๆ”
    “ติ้ด! ๆ”
    “ติ้ด-”

    เสียงนาฬิกาปลุกช่วยชายหนุ่มตื่นจากฝันร้ายในยามเช้า ความรู้สึกเจ็บเจียนขาดใจยังคงเด่นชัด ภาคินลุกขึ้นพลางใช้มือไล่ความชื้นเล็กน้อยตรงหางตา เรื่องราวในวัยเด็กยังคงย้อนกลับมาทำร้ายซ้ำ ๆ แม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม ชายผมเงินลุกขึ้นจากเตียงเข้าห้องน้ำ ชำละล้างห้วงอารมณ์เศร้าที่ยังหลงเหลือ เพื่อไม่ให้วันนี้เริ่มต้นด้วยความหม่นหมอง

    กิจวัตรของนักธุรกิจหนุ่มพ่วงตำแหน่งนักล่าปีศาจ ยังคงเวียนซ้ำเฉกทุกวัน นั่นคือการเข้าประชุมบริหารบริษัทในช่วงเช้า ตรวจสอบก่อนเซ็นอนุมัติโครงการตลอดบ่าย ส่วนเวลาที่เหลือจะเป็นบทบาทของนักล่าปีศาจ ตามเฝ้าสังเกตข่าวคราวปีศาจเป้าหมายเพื่อหาโอกาสจัดการ

    หลังจากวันนั้นที่เขาประมาทพลาดท่าถูกปีศาจกินวิญญาณเล่นงานจนหมดสติ ปีศาจนั่นดูเหมือนจะระวังตัวมากขึ้น ไม่ยอมออกห่างโรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน ทำให้แผนการสังหารปีศาจยิ่งยากขึ้น จนเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ มีข่าวคราวปีศาจเกิดคลุ้มคลั่งทำลายสวนด้านข้างของโรงพยาบาลพังเสียหาย เคราะห์ดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บจากเหตุการณ์นั้น แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่มีข้ออ้างเข้าไปกำจัดปีศาจเช่นกัน

    ทว่าการที่ปีศาจวนเวียนแถวโรงพยาบาลตลอด นั่นหมายความว่าปีศาจไม่ได้ออกไปจับวิญญาณกิน แต่กลับมีพลังแปลงเป็นมนุษย์ได้ยาวนาน ความผิดปกตินี้เริ่มเป็นที่น่าสงสัยของกลุ่มนักล่าปีศาจ เพื่อตรวจสอบว่าปีศาจตนนั้นไม่ได้ลอบทำอะไรลับหลัง กลุ่มนักล่าปีศาจจึงคิดส่งคนเข้าไปสอดส่องพฤติกรรม ซึ่งแน่นอนผู้อาสารับงานย่อมหนีไม่พ้น ภาคิน

 
    ในเวลาเย็นย่ำ ชายผมเงินเข้ามาในตัวโรงพยาบาลตามภารกิจ กวาดสายตาหาปีศาจเป้าหมายท่ามกลางกลุ่มคนทว่าไม่พบ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา วิธีเรียกให้ปีศาจยอมเผยตัวนั้นแสนง่ายดาย นักล่าปีศาจคิดในใจพลางเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

    “ผมมาขอเข้าเยี่ยมคนไข้ชื่อว่าโนอาร์ ไม่ทราบว่าอยู่ชั้นไหนหรือครับ”
    “สักครู่นะคะ... คนไข้ชื่อโนอาร์ อยู่ชั้นXX หมายเลขห้องXXXX ค่ะ ญาติสามารถใช้ลิฟต์ทางด้านนั้นได้เลยค่ะ”

    นางพยาบาลใช้เวลาหาข้อมูลครู่หนึ่ง แล้วจึงแจ้งเลขห้องพร้อมชี้ไปยังทางขึ้นลิฟต์ ชายผมเงินยิ้มกล่าวขอบคุณ ก่อนเดินไปทางทิศที่นางพยาบาลบอก ระหว่างทางไม่ลืมสอดส่องสายตาหาเป้าหมาย จนกระทั่งเห็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนพิงกำแพงข้างลิฟต์ กำลังจ้องมาที่เขาด้วยนัยน์ตาอยากคาดเดาความรู้สึก

    “อย่ายุ่งกับโนอาร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเตือน
    “ถ้าไม่ยุ่ง ขี้ขลาดอย่างแกจะยอมออกมาหรือไง”
    “หึ... นั่นสิ”

    ปีศาจในร่างมนุษย์เค้นยิ้มพลางหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเดินแยกไปทางหนึ่ง ส่งผลให้ภาคินจำต้องเดินตามไป ไม่นานปีศาจก็พามาหยุดอยู่ ณ บริเวณอาคารด้านหลังของโรงพยาบาลที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านนัก เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของห้องสำหรับเก็บถนอมร่างไร้ชีวิต และเป็นเส้นทางส่งคืนผู้ล่วงลับให้กับครอบครัว

    “ต้องการอะไรจากข้า” เอทอสเอ่ยถามเสียงนิ่ง
    “ช่วงนี้กลัวหัวหดไม่ยอมออกไปหาวิญญาณกินเลยนี่ แล้วแกเอาพลังที่ไหนมาแปลงเป็นมนุษย์ได้นานขนาดนี้”
    “ถ้าข้าบอกว่ากินวิญญาณคนตายในโรงพยาบาล เจ้าจะเชื่อไหม”
    “อย่ามาโกหกหน้าด้าน ๆ คิดหรือว่าอยู่ที่นี่ฉันจะทำอะไรแกไม่ได้”
    
    ปีศาจเพียงเหยียดยิ้มคล้ายยั่วโมโห ภาคินที่แต่เดิมตั้งใจมาเล่นงานอยู่แล้วเลยไม่คิดเสียเวลา พุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมฟาดกระบองเหล็กที่ซ่อนอยู่ทางด้านหลังใส่ปีศาจอย่างจัง ทว่าเอทอสกลับยืนนิ่งไม่ขยับ ส่งผลให้ถูกท่อนเหล็กฟาดใส่ข้างขมับเต็มแรง จนเลือดไหลอาบกรอบหน้าซีกหนึ่งพร้อมเซถอยห่างไปหลายก้าว

    “ยอมรับมาซะดี ๆ ว่าแกแอบฆ่าคนที่นี่เพื่อกินวิญญาณ ฉันจะได้ทรมานแกให้สาสมกับทุกความชั่ว แล้วค่อยส่งแกไปชดใช้ความสารเลวต่อในนรก”

    ชายผมเงินบีบคั้นให้ปีศาจยอมรับสารภาพ แต่มีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันตอบกลับมา เห็นดังนั้นนักล่าปีศาจจึงพุ่งเข้าหาอีกครั้ง พร้อมใช้กระบองเหล็กฟาดใส่ไม่ยั้งมือตามพายุอารมณ์ จนร่างสูงใหญ่ของปีศาจเต็มไปด้วยเลือดและรอยม่วงช้ำน่ากลัว ทว่าตลอดช่วงการถูกทำร้าย ปีศาจกลับไม่โต้ตอบหรือส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย มีเพียงแค่รอยยิ้มเยาะเย้ยกับนัยน์ตาคล้ายสะใจอะไรบางอย่าง

    “พอได้แล้ว!”

    เสียงหนึ่งเอ่ยขัด จังหวะที่กระบองเหล็กโชกไปด้วยของเหลวสีเข้มกำลังฟาดใส่กลางศีรษะปีศาจ ชายผมเงินหันมองก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงเป็นนักล่าปีศาจคนหนึ่ง

    “นี่เป็นงานของฉัน นายมาทำอะไรที่นี่”
    “คิดว่ากลุ่มนักล่าปีศาจจะไว้ใจให้คนที่มีความแค้นส่วนตัวแบบนายทำงานนี้คนเดียวหรือไง แล้วอีกอย่างหน้าที่นายคือสอดแนมพฤติกรรม ไม่ใช่มากำจัดปีศาจ” ผู้มาใหม่กล่าวเตือน พลางเหลือบมองสภาพสะบักสะบอมของปีศาจเล็กน้อย
    “ทุกอย่างมันชัดเจนว่าไอ้เลวนี่มันต้องแอบฆ่าคนเพื่อเอาพลัง จะเสียเวลาให้คนบริสุทธิ์ตายเพิ่มทำไม”
    “อย่าเอาคนอื่นมาอ้าง นายเช็กดูหรือยังว่าช่วงที่ปีศาจอยู่มีคนตายเพิ่มขึ้นหรือเปล่า”
    “ก็ต้องมีคนตายมากกว่าเดิมอยู่แล้ว เพราะมันเอาที่นี่เป็นแหล่งอาหารใหม่ของมันไง”

    หลังได้ยินคำตอบของชายผมเงิน นักล่าปีศาจที่ยอมเผยตัวหลังแอบเฝ้ามองเหตุการณ์มาสักพักถึงกับถอนหายใจ ไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานจะถูกความแค้นครอบงำจนมีแต่ความอคติเช่นนี้

    “อัตราการตายปกติ ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ปีศาจมาอยู่ที่นี่ เจ้านั่นแค่อาศัยกินวิญญาณที่ตายตามธรรมชาติในโรงพยาบาลนี้เท่านั้น ถึงจะมีวิญญาณไม่มากเท่าออกไปหากินเอง แต่เจ้านี่ก็ยังอุสาเลือกกินแค่วิญญาณบาป และไม่ต้องหาว่าฉันคิดไปเอง อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ฉันเป็นอะไรมาก่อน” อดีตผู้คุมวิญญาณที่ผันตัวเป็นนักล่าปีศาจเอ่ยดักทาง
    “…”
    “ที่เห็นว่ายังแปลงเป็นมนุษย์ได้นานขนาดนี้ เพราะวัน ๆ หมอนี่เอาแต่ขลุกตัวเฝ้านักฆ่านั่นในห้องพัก แทบไม่ทำอะไรพลังแค่นั้นเลยเพียงพอ แต่จากสภาพตอนนี้คงแปลงกลับเป็นมนุษย์ไม่ได้สักพักหนึ่ง”

    พูดจบ นักล่าปีศาจก็มองไปที่ปีศาจบาดเจ็บจนกลับคืนสู่ร่างแท้จริง โชคดีที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ส่งผลให้บริเวณนี้มืดสนิทพอช่วยปิดบังการมีอยู่ของปีศาจ ก่อนจะเริ่มถามอีกฝ่ายถึงสิ่งที่สงสัย

    “ทำไมนายไม่โต้ตอบหรือทำอะไรบ้าง หรือเพราะรู้ว่าฉันดูอยู่”

    นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงเต็มไปด้วยความเย้ยหยันสะใจ หันมาสบกับผู้ถาม ทีแรกนักล่าปีศาจผู้มาใหม่คิดว่า นี่คงเป็นแผนของปีศาจเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง จึงพยายามยั่วอารมณ์ภาคินให้เข้ามาเล่นงานฝ่ายเดียว ทว่าเมื่อคำพูดหนึ่งออกมาจากร่างสูงใหญ่ กลับทำให้นักล่าปีศาจผู้ถามขมวดคิ้ว และเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นในทันที

     “หึ... ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ปีศาจสวะต่ำช้าเช่นข้า ก็เป็นได้แค่ขยะส่วนเกินของโลกใบนี้ จะพยายามดิ้นรนให้เสียแรงเปล่าทำไม”
    “…”
    “สิ่งใดที่ปีศาจโง่เขลาไร้ประโยขน์สมควรได้รับกัน ใฝ่ฝันหาความสุขสงบเหรอ เรียกร้องความยุติธรรมเหรอ หึ... อย่าหวังเลย ความเจ็บปวด ความด้อยค่า การถูกตราหน้าหยามเหยียด จมอยู่กับความทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นต่างหาก ถึงจะสาสมกับปีศาจที่แม้แต่โชคชะตายังรังเกียจ”
    “…”
    “ความตายใช่หรือไม่ ที่จะเป็นโทษทัณฑ์สุดท้าย สำหรับความผิดในการมีชีวิตอยู่ของข้า พวกเจ้าไม่ต้องเสียแรงแสร้งหาวิธีชอบธรรมมากำจัดข้าหรอก เพราะอีกไม่นานความปรารถนาของพวกเจ้าจะเป็นจริง”

    นักล่าปีศาจเงียบงัน มีเพียงเสียงกล่าวโทษของปีศาจด้วยความสะใจ เป้าหมายแท้จริงของนัยน์ตาสีแดงเลือดนกแข็งกร้าวเหยียดหยัน และรอยยิ้มเยาะเย้ย บัดนี้พลันเฉลยว่าหาใช่ต้องการยั่วอารมณ์ใครอื่น แต่กำลังสมน้ำหน้าตอกย้ำบาดแผลความล้มเหลวของตนเอง
 
    สองนักล่าปีศาจมองปีศาจเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกต่างกัน คนหนึ่งเห็นใจสงสาร คนหนึ่งสมเพชชิงชัง ชายผมเงินเตรียมสาดใส่คำต่อว่าดูถูกให้ปีศาจยิ่งตกต่ำ ทว่ากับถูกเพื่อนนักล่าปีศาจห้ามปราม พร้อมถูกพาออกจากสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ อดีตผู้คุมวิญญาณไม่อยากทนฝืนมอง ความเสียใจผิดหวังในตนเอง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้แววตาสีแดงเลือดนกเกลียดชังชีวิตอีกต่อไป


    แสงอาทิตย์มาเยือนในเช้าวันรุ่งขึ้น จินที่ห่างหายไปเพราะต้องเปลี่ยนถ่ายมนตร์มืด ในที่สุดก็กลับมาทำหน้าที่เฝ้าเยี่ยมอีกครั้ง ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องพักฟื้นส่วนตัว กลับพบเพียงเจ้าชายนิทรานอนสงบนิ่ง ไร้ซึ่งเงาองค์รักษ์คู่กาย คนเพิ่งมาคิดว่าปีศาจอาจออกไปหาวิญญาณกินตามปกติ เลยนั่งเล่นรอโดยไม่คิดอะไร จนกระทั่งเวลาร่วงเลยจนถึงบ่ายคล้อย ผู้เป็นที่รักของฆาตกรก็ยังไม่มา จินที่เริ่มสงสัยปนกังวลจึงลองโทรหาอีกฝ่าย ถึงรู้ว่าปีศาจอยู่บนดาดฟ้าโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของบุคคลทั่วไป

    ใช้เวลาสักพักใหญ่ สุดท้ายจินก็ลอบขึ้นมาบนดาดฟ้าได้สำเร็จ ยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยหอบ จินกลับต้องตกใจซ้ำเพิ่ม เมื่อได้เห็นบาดแผลบอบช้ำทั่วร่างของปีศาจ

    “คุณไปโดนอะไรมาอีกเนี่ย!! ให้ตายเถอะ!” เสียงบ่นดังขึ้นเมื่อเห็นสภาพเละเทะของอีกฝ่ายชัด ๆ
    “หึ... ปีศาจอย่างข้าสมควรโดนแล้ว” เอทอสตอบกลับพลางฝืนยิ้มเล็กน้อย
    “สมควรบ้าอะไรเล่า! คุณผมถามจริง คุณลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองเป็นปีศาจกินวิญญาณ หนึ่งในประเภทปีศาจที่อันตรายที่สุด แค่คุณสะกิดก็ฆ่าพวกที่คอยรังควาญคุณได้แล้ว จะปล่อยให้ตัวเองโดนทำร้ายทำไม เป็นพวกชอบความเจ็บปวดเหรอ”

    จินโวยวายอย่างไม่เข้าใจความคิดเอทอส อีกหนึ่งเหตุผลที่ปีศาจกินวิญญาณถูกกวาดล้างจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ในอดีต ก็คือความสามารถติดตัวที่อันตราย เพียงสัมผัสหรือถูกตัวสิ่งมีชีวิตเป้าหมาย ก็สามารถดึงเอาวิญญาณออกจากร่างได้ทันที ส่งผลให้เหยื่อตายโดยไม่ต้องเสียแรงฆ่า ไม่รู้ทำไมมีพลังน่ากลัวขนาดนี้อยู่กับตัว แต่กลับไม่ยอมใช้ปกป้องตนเองบ้างเลย

    “ข้าตายเมื่อไร พวกนั่นคงยอมเลิกรา แล้วเรื่องนั้นสำเร็จไหม” เอทอสตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามถึงการถ่ายโอนมนตร์มืด
    “นี่คุณ!! อย่าบอกนะที่รับมนตร์มืดแทนโนอาร์ เพราะอยากประชดพวกนักล่าปีศาจ บ้าหรือเปล่า! สิ้นคิด!”
    “อยากได้นัก ข้าก็จะให้ หลังจากนี้ข้าจะได้อยู่อย่างสงบสักที”
 
    หลังได้ฟัง จินรู้สึกโมโหในความอ่อนแอของปีศาจจนไม่อยากเสวนาอะไรอีก ก่อนจะหยิบสิ่งหนึ่งส่งให้ปีศาจรับไป สิ่งนั้นคือลูกแก้วสีชาดสำหรับใช้บอกเวลาที่เหลืออยู่ของอีกฝ่าย ทว่าเอทอสกลับไม่รับ มิหนำซ้ำยังฝากให้ผู้คุมวิญญาณเอาลูกแก้วไปให้ใครบางคนที่อยากได้มันแทน ดังนั้นในช่วงเย็นหลังกลับจากโรงพยาบาล จินจึงจำต้องแวะสถานที่หนึ่งตามคำฝากฝั่งของเอทอส


    ตึกสํานักงานสูงเสียดฟ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง จินมองความหรูหราของตัวอาคารเบื้องหน้าด้วยความประหม่าเล็กน้อย รู้สึกอยากเปลี่ยนสภาพเสื้อยืดกางเกงวอร์มรองเท้าแตะ เป็นชุดเสื้อผ้าทางการเข้ากับสถานที่ ทว่าน่าเศร้าที่รถของเขาไม่ได้มีชุดสำรองเตรียมไว้ จึงได้แต่จำใจเดินเข้าไปติดต่อขอพบใครบางคนทั้ง ๆ แบบนี้ และโชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณหน้าทางเข้า ยอมปล่อยให้เขาผ่านเข้ามา ไม่อย่างงั้นเขาคงต้องแห้วกลับบ้านแทน

    “อา... มาติดต่อขอพบคุณภาคินครับ ไม่ทราบว่ากลับไปหรือยังครับ”

    จินสอบถามพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม พลางยิ้มแห้ง ๆ สู้สายตาพนักงานสาวที่มองสภาพเขาอย่างพิจารณา

    “ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ” พนักงานสาวถามกลับพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทว่าแววตาไม่ได้ยิ้มตาม
    “ไม่ได้นัดไว้ครับ แหะ ๆ”
    “ต้องอภัยด้วยค่ะ หากไม่ได้นัดไว้-”
    “เดี๋ยวก่อนครับ! เดี๋ยวก่อน... บอกคุณภาคินว่า คุณเอทอสเจ้าของสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ให้ผมมาติดต่อแทนครับ คุณภาคินคงเข้าใจ”

    พนักงานสาวจ้องจับผิดชายตรงหน้าสักพักหนึ่ง ก่อนจะยอมสอบถามเลขาของเจ้านาย ซึ่งก็ได้รับการอนุมัติให้เข้าพบ พนักงานสาวจึงบอกให้ชายแปลกหน้าไปนั่งรอตรงส่วนรับรอง เพื่อรอเลขาลงมารับ เนื่องจากเวลานี้คุณภาคินยังคงติดประชุมอยู่

    เมื่อได้ยินคำตอบ จินจึงไปนั่งรอตามคำแนะนำของพนักงานสาว พร้อมลอบถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย เวลาผ่านไปสักพักใหญ่จนเกือบหลับ ในที่สุดก็มีคุณผู้หญิงแต่งตัวดูดีท่าทางเจ้าระเบียบมาเชิญเขาขึ้นไปที่ห้องรับรอง จินนั่งแกร่วรอคนที่อยากพบในห้องไม่นานนัก ชายเจ้าของผมสีเงินเอกลักษณ์ก็เข้ามาก่อนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมบอกให้เลขาออกไปรอด้านนอก บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มดูเป็นมิตรน่าคบหา ทว่าเพียงคำเดียวที่หลุดมาจากปาก จินก็อยากตัดสัมพันธ์กับคนต้องหน้าทิ้งทันที

    “มาเชิญผมไปร่วมงานศพปีศาจเลวนั่นหรือครับ คุณผู้คุมวิญญาณ”
    “เปล่า คุณเอทอสฝากของมาให้คุณ รีบรับไปซะ ผมจะได้กลับสักที” จินกล่าวตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง พร้อมกับหยิบลูกแก้วสีชาดมาวางไว้บนโต๊ะกลาง
    “อะไร?”
    “ลูกแก้วชุบเลือด สำหรับบอกเวลาที่เหลืออยู่ของคุณเอทอส ยิ่งใกล้ถึงวัน สีของลูกแก้วจะค่อย ๆ ซีดลงทีละน้อย และเมื่อไรที่ลูกแก้วกลายเป็นสีใส นั้นหมายถึงลมหายใจของคุณเอทอสได้หมดลงแล้ว”
    “หึ งั้นปีศาจนั่นก็ใกล้ตายแล้วสิ”

    ภาคินหลุดหัวเราะเยาะ ก่อนหยิบลูกแก้วสีชาดที่เริ่มจางขึ้นมาพิจารณา การแสดงออกคล้ายยินดีในจุดจบของปีศาจ ทำให้จินรู้สึกสะอิดสะเอียนชายเบื้องหน้า จนแทบไม่อยากทนใช้อากาศร่วมกัน ผู้คุมวิญญาณรีบลุกเดินไปที่หน้าประตูเพื่อออกจากห้อง ทว่าก่อนไปไม่ลืมเอ่ยเตือนใครบางคนด้วยความหวังดี

    “คุณไม่ต้องดีใจหรอก เพราะบางทีคุณอาจอยู่ไม่ถึงวันนั้นก็ได้”
    “ทำไม? ปีศาจกระจอกนั่นจะมาจัดการผมหรือไง” ชายผมเงินเลิกคิ้วถาม
    “ไม่ใช่คุณเอทอสหรอก... คุณรู้ว่าผมเป็นใคร ก็คงรู้จักคนคนนั้นเหมือนกัน”
    “…”
    “ผมขอแนะนำให้คุณเอาเวลาหัวเราะเยาะคนอื่นนี้รีบหนี หนีไปให้ไกลที่สุด หนีไปให้สุดขอบโลก หนีไปก่อนที่เขาคนนั้น...”
    “…”
    “จะกลับมา”




บท21 สมบูรณ์





ถึงคนอ่าน



    บทนี้ค่อนข้างยากมากสำหรับคนเขียนครับ กลัวว่าอาจเขียนสื่อถึงเอทอสออกมาให้คนอ่านเข้าได้ไม่ดี เลยขอขยายความตรงนี้เพิ่มเติมครับ

    ในบทก่อน ๆ คนเขียนพยายามหยอดให้คนอ่านพอรู้จักนิสัยหนึ่งของเอทอส ที่บางครั้งมักจะกังวลและคิดมาก โดยหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโนอาร์จะยิ่งคิดเยอะเป็นพิเศษ และพอมาเกิดเรื่องอุบัติเหตุของโนอาร์ เอทอสเลยโทษว่าความผิดทั้งหมดเป็นของตนเอง

    ต่อมาได้ของขวัญจากโนอาร์แต่กลับถูกภาคินทำลายต่อหน้า พร้อมโดนคำพูดแดกดันใส่ว่าที่โนอาร์ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเพราะอยู่กับตน ซึ่งคำพูดพวกนั้นเอทอสพยายามจะไม่ใส่ใจ แต่ลึก ๆ ก็แอบเก็บมาคิดเช่นกัน

    พอโนอาร์เริ่มหายดี เอทอสเลยจะไปจัดการแก้แค้นให้ แต่ก็ถูกสวนกลับจนหน้าหงายและโนอาร์ที่ใกล้หายก็ต้องเข้า ICU ใหม่ คราวนี้เอทอสเลยรับไม่ได้ในความไร้ความสามารถของตัวเอง และระบายความอัดอั้นลงกับสวนข้างโรงพยาบาล

    วันรุ่งขึ้น เอทอสลองพยายามช่วยโนอาร์ด้วยคำสาปอีกครั้งแต่ไม่ได้ผลก็ยิ่งรู้สึกไร้ค่า พอมารู้ทีหลังว่าที่โนอาร์จะมีชีวิตไม่ถึงปีหน้า เป็นเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ปล่อยให้วิญญาณรับใช้เอาเลือดโนอาร์ไปได้ก็ยิ่งจิตตก เลยคิดอยากรับผิดชอบแทน

    เอทอสเอาแต่อยู่เฝ้าโนอาร์เงียบ ๆ ไม่ยุ่งกับใคร ภาคินก็ยังตามมารังควาญถึงที่ โดยคราวนี้หลังจากที่ภาคินถาม เอทอสก็ตอบดี ๆ แต่ก็ยังโดนเล่นงานเหมือนเดิม ความรู้สึกของเอทอสในตอนนั้นนอกจากจะรู้สึกเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถแล้ว ยังเกลียดโชคชะตาและชีวิตที่ทำให้เขาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ จึงยิ้มเย้ยหยันสมเพชชีวิตและปล่อยให้ถูกทำร้าย เพื่อที่จะใช้ทดแทนความเจ็บปวดที่เก็บกดอยู่ภายใน



    การตัดสินใจของเอทอสดูเหมือนจะพาไปสู่ Bad ending แต่ไม่ครับ คนเขียนยืนยันว่าเรื่องนี้จบ Happy ending นะครับ แต่จะหาทางแก้ยังไงก็ต้องฝากติดตามกันต่อไปนะครับ แหะ ๆ ^^



    ป.ล.ขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ของคนอ่านทุกท่านด้วยนะครับ เห็นในทวิตมีดราม่าเกี่ยวกับเรื่องการคอมเมนต์กัน คนเขียนก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกหน่อย ๆ เหมือนกัน 555 หากคนอ่านอยากให้คนเขียนปรับปรุงอะไรก็แจ้งได้เลยนะครับ



หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 21 เย้ยหยัน) [04/06/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-06-2020 18:32:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 21 เย้ยหยัน) [04/06/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 04-06-2020 21:53:45
อยากเชียร์ให้จินมีคู่จัง เข้าใจเอทอสนะ แต่ถ้าโนอาร์รู้คงไม่ยอมแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 21 เย้ยหยัน) [04/06/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 15-06-2020 15:51:46
อย่าหายไปนานคนอ่านคิดถึง  :L1:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 21 เย้ยหยัน) [04/06/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 15-06-2020 16:00:31
 :pig4:
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 22 ทักทาย]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 22-07-2020 21:34:21
    นัยน์ตาสีอำพันแฝงความหมองหม่นค่อย ๆ ลืมตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา ภาพแรกที่เข้ามาผ่านโสตประสาทการรับรู้คือ พื้นขาวสะอาดคุ้นเคยของเพดานห้องนอนบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ร่างสูงใหญ่ดันตัวลุกขึ้นนั่งจากเตียงพลางใช้มือคลึงขมับเล็กน้อย เพื่อคลายความรู้สึกมึนหัวราวกับมีใครพายุหมุนอยู่ภายใน ก่อนจะเดินจากห้องพร้อมกับความสับสนว่าเหตุใดเขาถึงกลับมาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นโรงพยาบาล

    ทันทีที่เปิดประตูออก กลิ่นหอมและเสียงคล้ายมีใครบางคนกำลังทำอาหารในส่วนครัวทำให้ปีศาจเผลอชะงักนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง จนสติกลับคืนอีกครั้งถึงได้รีบวิ่งไปดูต้นตอของเสียง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นเอทอสไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
 
    ‘วันนี้คุณตื่นสายนะ เอทอส’

    มนุษย์เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดกล่าวทักทาย พลางนำมื้ออาหารที่เพิ่งทำเสร็จมาวางบนโต๊ะกินข้าวตำแหน่งประจำ ก่อนจะหันกลับมามองปีศาจเจ้าบ้านที่เอาแต่ยืนนิ่งจ้องเขาตาไม่กระพริบ

    ‘คุณน่าจะแฮงค์อยู่ ผมชงกาแฟให้ไหม’
    ‘แฮงค์?’

    เอทอสเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ ถึงเพิ่งได้ยินเสียงตัวเองว่าแหบแห้งเพียงใด พร้อมกับความรู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก โนอาร์ที่เห็นอาการจึงรินน้ำให้อีกฝ่ายดื่ม แล้วเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังเพื่อคลายความสับสนของปีศาจ

    ‘เมื่อคืนหลังกลับจากงานเลี้ยงที่สวน ผมชวนคุณดื่มไวน์ฉลองต่อ แต่คุณหลับก่อนผมเสียอีก’
    ‘หลับ? ข้าเนี่ยนะ ไม่มีทาง’

    ปีศาจโต้กลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาไม่ใช่พวกคออ่อน เรื่องน่าอายอย่างดื่มจนเมาไม่ได้สติและเผลอหลับไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขา และยิ่งเป็นเครื่องดื่มของมนุษย์ที่รสไม่ต่างจากน้ำเปล่าสำหรับปีศาจ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
    ส่วนโนอาร์ที่เห็นเอทอสค้านเสียงแข็ง ก็ได้แต่เปลี่ยนเรื่องชวนมานั่งทานข้าวแทน เพราะเขาไม่อยากตอกย้ำให้ปีศาจผู้เป็นที่รักรู้สึกเสียฟอร์มไปมากกว่านี้ ทว่าแทนที่ปีศาจจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ กลับเลือกเดินไปทางประตูบ้าน ส่งผลให้มนุษย์หนึ่งเดียวต้องเดินตามไป พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองไปที่รถสีเทาเมทัลลิกที่จอดคู่กับรถกระบะสีดำตรงใต้ถุนบ้าน

    ‘รถผมมีอะไรหรือเปล่า’ มนุษย์ถามปีศาจที่เอาแต่จ้องรถของเขาจนคิ้วหนาขมวดเป็นปม
    ‘…ไม่มี ช่างเถอะ’

    ปีศาจเจ้าบ้านตอบกลับเรียบสั้น ก่อนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อทานอาหาร โดยมีนัยน์ตารัตติกาลของมนุษย์ที่เฝ้ามองท่าทีที่แปลกไปของปีศาจด้วยความเป็นห่วง


    ‘ผมทำไม่ถูกใจคุณ?’

    เสียงมนุษย์เอ่ยขึ้นท่ามกลางมื้ออาหาร เนื่องจากร่างสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่จ้องหน้าเขา แทบไม่ขยับช้อนส้อมในมือเลย

    ‘ไม่ใช่ ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยหิว โทษที’
    ‘คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษกับเรื่องพวกนี้หรอก งั้นผมเอาไปเก็บก่อน คุณหิวเมื่อไรบอกผมอีกที เดี๋ยวจะเอามาอุ่นให้’

    ว่าจบมนุษย์หนึ่งเดียวก็ลุกขึ้นเก็บเหล่ามื้ออาหารโดยมีปีศาจคอยช่วย จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย สองชีวิตในบ้านพักทรงไทยประยุกต์จึงมานั่งที่ห้องรับแขก โดยเจ้าบ้านนั่งที่โซฟายาว ส่วนผู้ร่วมอาศัยนั่งโซฟาเดี่ยวเยื้องกับที่ปีศาจนั่ง และจนถึงตอนนี้ นัยน์ตาสีอำพันก็ยังไม่ยอมละไปจากมนุษย์

    ‘คุณมีอะไรอยากคุยกับผมไหม’
    ‘…’

    ปีศาจผู้ถูกถามเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ โนอาร์ที่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้เร่งเร้าเพียงเฝ้ารอเงียบ ๆ จนมั่นใจว่าปีศาจปากแข็งคงไม่ยอมบอกเขาเป็นแน่ มนุษย์ถึงได้เริ่มพูดอีกครั้ง ทว่าเป็นการเกลี้ยกล่อมให้เอทอสเต็มใจเล่าด้วยตนเอง หาใช่การฝืนบังคับเหมือนคราก่อน

    ‘ผมไม่รู้ว่าคู่ชีวิตของปีศาจเป็นยังไง แต่สำหรับมนุษย์ คู่ชีวิตคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์ คอยรับฟัง ช่วยกันแก้ปัญหาและผ่านพ้นไปด้วยกัน ไม่ใช่มีฝ่ายหนึ่งต้องแบกรับอยู่ข้างเดียว เพราะหากเป็นแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ด้วยกัน’
    ‘…’
    ‘ทุกเรื่องราวของผม ผมพร้อมให้คุณรับรู้ แล้วคุณรังเกียจไหมหากผมจะขอรู้เรื่องของคุณบ้าง’
    ‘…’
    ‘…’
    ‘หึ... ไม่คิดว่าความคิดเช่นนี้ จะออกมาจากมนุษย์ที่เห็นชีวิตไม่ต่างจากของเล่นอย่างเจ้า’

    เสียงทุ่มต่ำของปีศาจเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าเครียดขรึมที่ผ่อนคลายลง นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นของผู้ที่แบกรับปัญหามานานคล้ายดูอ่อนลง เมื่อได้ประสานตากับนัยน์ตารัตติกาลดำมืด คำพูดเพียงไม่กี่คำของมนุษย์กลับช่วยให้จิตใจของเขาสงบได้อย่างน่าประหลาด... แม้ชายเบื้องหน้าจะไม่ใช่ตัวจริงก็ตาม

    ‘ข้าจะเล่าให้ฟัง... เมื่อเจ้าฟื้น’
    ‘ผม-’
    ‘ทุกอย่างที่นี่ไม่มีอะไรจริง รวมถึงตัวเจ้า’

    เอทอสพูดขัดขึ้นโดยบนใบหน้ายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย พลังของปีศาจกินวิญญาณสามารถรับรู้ได้ถึงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตรอบตัว ทว่าที่แหล่งนี้เขากลับสัมผัสได้แต่เพียงความว่างเปล่า เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์หรือชั่วร้ายใด ๆ แม้โนอาร์จะนั่งอยู่ตรงหน้าเขาก็ตาม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่า ที่แห่งนี้เป็นเพียงความฝันที่เขาจินตนาการขึ้นหาใช่ความจริง

    ‘ทำไมคุณถึงรู้’ มนุษย์นิ่งไปสักพักหนึ่งถึงถอนหายใจเล็กน้อยและเอ่ยถาม
    ‘อย่าลืมว่าข้าเป็นอะไร แล้วทำไมเจ้าถึงหลอกข้า’
     ‘ผมไม่ได้ตั้งใจโกหกคุณนะครับเอทอส แต่คุณดูเครียดเหมือนมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอด ผมอยากเป็นที่ปรึกษาคอยรับฟังคุณ ถึงจะเป็นแค่ความฝันที่คุณจินตนาการขึ้นมา แต่หากมีผมอยู่ ผมอยากให้มันเป็นฝันดี’
    
    นัยน์ตารัตติกาลแฝงถึงความเป็นห่วง จ้องนิ่งไม่คิดหลบดวงตาสีอำพันเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งก็ตรงกับที่เอทอสคาดการณ์ไว้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่โนอาร์กล้าหลอกเขาก็ต้องมีบทลงโทษเช่นกัน ดังนั้นปีศาจจึงสั่งให้มนุษย์มานั่งที่โซฟาตัวเดียวกับเขา และแน่นอนว่าโนอาร์ยอมทำตามโดยดี แม้ภายนอกจะดูเหมือนมนุษย์ไม่รู้สึกอะไร ทว่าภายในส่วนลึกของดวงตาสีดำสนิทกลับแฝงความกังวลเล็กน้อย

    ‘ไปนั่งชิดมุมอีกฝั่ง ไม่ต้องมานั่งใกล้ข้า’

    ทันทีที่ได้ยินคำสั่งคล้ายขับไล่ คิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลพลันขมวดมุ่น แต่เมื่อสบกับดวงตาสีอำพันเรียบนิ่งของปีศาจ สุดท้ายก็จำยอมขยับไปนั่งชิดอีกด้านหนึ่งของโซฟา
    เมื่อเอทอสเห็นมนุษย์ที่มักทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ กลับแสดงความไม่พอใจผสมปนกับความกังวลผ่านทางแววตาอย่างชัดเจนนั้น ทำให้ปีศาจอารมณ์ดีขึ้นจนต้องแอบลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนล้มตัวลงนอนหนุนตักมนุษย์

    ‘ไม่ต้องพูด ตอนนี้สำหรับข้าเจ้าเป็นแค่หมอน’

    ปีศาจเอ่ยขัดไม่ทันให้มนุษย์เปล่งเสียงแล้วจึงหลับตาลง ปล่อยมนุษย์ที่ยังสับสนมองสำรวจใบหน้าคมดุแฝงความเหนื่อยล้าสักพัก ไม่นานรอยยิ้มมุมปากบางเบาก็ปรากกฎบนใบหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับฝ่ามือที่ยกขึ้นลูบผมหนาของร่างสูงใหญ่อย่างอ่อนโยน ทว่าภายในส่วนลึกของนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดกลับเยียบเย็นอย่างน่ากลัว แน่นอนว่าสาเหตุหาใช่เรื่องที่ถูกร่างสูงใหญ่ยั่วอารมณ์เมื่อครู่ แต่หากเป็น ‘สิ่ง’ ที่ทำให้ปีศาจผู้เป็นที่รักของเขาดูหมดสิ้นเรี่ยวแรงและหมองหม่นถึงเพียงนี้



    “คุณ…”
    “นี่... คุณเอทอส”
    “คุณเอทอส ตื่นเถอะ ผมหิวข้าวจนจะเป็นโรคกระเพาะตายแล้วนะ”

     เสียงปลุกไม่คุ้นเคยส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ลืมตา ชายเบื้องหน้าหาใช่โนอาร์คนของเขา แต่กลับเป็นจินที่ทำหน้านิ่วไม่ต่างจากคนปวดท้องหนัก ใบหน้าบูดเบี้ยวของจินถึงกับทำให้เอทอสรีบกระเด้งตัวออกห่างด้วยความตกใจปนสับสน ก่อนปีศาจเพิ่งตื่นจะหันดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แล้วพบเขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของมนุษย์

    “อย่าทำเหมือนผมเป็นตัวเชื้อโรคสิ คุณเองนั้นแหละที่อยู่ ๆ ก็ล้มใส่ตักผม” จินเอ่ยพลางบีบนวดหน้าขาตัวเองที่เมื่อยชาจากการเป็นหมอนรองให้ใครบางคน
    “แถมคุณตอนหลับยังละเมอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก ผมล่ะเสียวกลัวโนอาร์ฟื้นขึ้นมาเจอฉากเด็ดนี้จริง ๆ ไม่งั้นผมคงกลายเป็นผีเฝ้าโรงพยาบาลนี้แน่”
    “…โทษที แล้วเจ้าลุกไหวไหม”

    เอทอสกล่าวขอโทษก่อนเอ่ยถามอาการของจิน ซึ่งคำตอบที่ได้คือการที่คนพยายามฝืนใช้ขาตัวเองล้มหน้าทิ่มกับพื้น ลำบากปีศาจต้องเข้าไปช่วยพยุงให้กลับมานั่งบนโซฟาดี ๆ ก่อนจะอาสาลงไปซื้อของกินให้เพราะแว่วได้ยินว่าอีกฝ่ายบ่นหิว

    “นี่ ตอนคุณหลับคุณฝันดีสินะ ฝันเรื่องอะไรเหรอ”

    จินทักขึ้นขณะที่ปีศาจกำลังเดินออกจากห้อง ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาสีอำพันหันมองเจ้าชายนิทราที่ยังนอนไม่ยอมตื่น ก่อนจะกล่าวตอบคำถาม แต่ดูเหมือนคำตอบของปีศาจคล้ายกำลังพูดกับคนบนเตียงมากกว่าตอบเจ้าของคำถามที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

    “ใช่ ข้าฝันดี”



    หลังคนถูกใช้เป็นหมอนรองให้ปีศาจได้ค่าตอบแทนเป็นข้าวกล่องเรียบร้อย จินจึงได้ฤกษ์ลองถามถึงคนที่ปีศาจฝากวานให้เขาไปส่งของให้เมื่อหลายวันก่อน ชายหนุ่มผมเงินเจ้าของบริษัทราศีจับ ยกเว้นปาก

    “นักธุรกิจที่ชื่อคิน ๆ อะไรนั่น คุณไปมีเรื่องอะไรกันมาเหรอ”

    จินลองหยั่งเชิงถามลอย ๆ คล้ายไม่ต้องการคำตอบ ทว่าภายในดวงตากลับอัดแน่นไปด้วยความอยากรู้ เนื่องจากครั้งก่อนอีกฝ่ายบอกแค่ชื่อกับสถานที่พบตัวไม่ได้เล่ารายละเอียดเพิ่มเติม บวกกับตอนนั้นปีศาจบาดเจ็บอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก เขาเลยไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก

    “ไม่มีอะไร ก็แค่มนุษย์ที่เกลียดขี้หน้าข้าคนหนึ่ง”
    “เหรอ....”

    เสียงตอบรับยืดยานจากผู้คุมวิญญาณราวกับบอกเป็นนัยว่าเขาไม่เชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเอทอสกลับทำเป็นไม่สนใจ คนอยากรู้อยากเห็นจึงได้แต่เก็บความสงสัยของตัวเองต่อไปเพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดปาก

    “เรื่องนี้คุณก็ไม่ได้บอกโนอาร์ด้วยสินะ พ่อคนผมหงอกนั่นถึงได้อยู่สบายขนาดนี้”
    “เมื่อโนอาร์ฟื้น ข้าจะคุยกับเขาเอง”
    “อะจ้ะ... ถ้าคุณจะเล่า ผมแนะนำให้คุณเล่าแบบหมดเปลือกทีเดียวจบ อย่าคิดหมกเม็ดกับคนอย่างโนอาร์ล่ะ ระวังบ้านจะแตกเอา”
    “หึ ขนาดนั้นเลย” ปีศาจหลุดหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองเจ้าชายนิทราที่กำลังโดนนินทาระยะเผาขน
    “ยิ่งกว่าขนาดนั้นอีก โนอาร์แค่ยอมคุณเท่านั้นแหละ คุณถึงไม่เคยเห็นด้านมืดสุด ๆ ของหมอนี่ ผมไม่อยากจะเล่า ช่วงก่อนที่โนอาร์จะมาหลงคุณ ผมน่ะคอยตามเก็บของเหลือจากโนอาร์ เหยื่อแต่ละรายขนาดกลายเป็นวิญญาณไปแล้วยังขยาดไม่กล้าเอาคืนเลย”

    จินเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขามักแอบไปเก็บวิญญาณผู้เคราะห์ร้าย หลังจากฆาตกรเลือดเย็นเล่นจนพอใจ ไม่มีวิญญาณสักดวงที่อยากล้างแค้น มีแต่ขอร้องให้เขาพาไปที่ไหนก็ได้ที่จะไม่เจอเพชฌฆาตนั่น หากลองว่ากันตามตรงเขาคิดว่าโนอาร์ดูเหมือนปีศาจยิ่งกว่าคุณเอทอสที่เป็นปีศาจจริง ๆ เสียอีก

    “พวกเจ้าอยากได้วิญญาณทำไม” เสียงทุ้มต่ำของปีศาจเอ่ยถาม พร้อมกับนัยน์ตาดุสีอำพันเริ่มแฝงอารมณ์ยากคาดเดา แต่ที่แน่นอนคือไม่เป็นมิตร
    “นี่ ๆ ถึงผมจะเป็นผู้คุมวิญญาณ แต่ผมไม่ใช่ไอ้บ้านั่นนะ อย่าจ้องอย่างกับจะฆ่ากันสิ”
    “…ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้ารู้สึกแบบนั้น แต่ข้าอยากรู้จริงว่าทำไมเจ้านั่นถึงอยากได้โนอาร์มากนัก ในเมื่อวิญญาณที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายมีอีกตั้งมากมาย” เอทอสพูดพลางพยายามปรับอารมณ์ให้อ่อนลง
    “มีเยอะก็จริง แต่คุณเคยเจอวิญญาณหรือมนุษย์คนไหนที่พลังวิญญาณเข้มข้นเท่าโนอาร์ไหมละ คนชั่วคนเลวแบบเลวบริสุทธิ์อย่างโนอาร์ไม่ได้หาเจอกันง่าย ๆ หรอกนะ”
    “แต่วิญญาณยิ่งแข็งแกร่งมันก็หมายถึงยิ่งคุมยากกว่าวิญญาณทั่วไป ถ้าคุมไม่อยู่นี่ไม่จบแค่ตายนะ แต่วิญญาณผู้คุมเองอาจแตกสลายไปเลยก็ได้ ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วย โคตรคนชั่ว ฆาตกรต่อเนื่องที่ขนาดเหลือแต่วิญญาณยังโคตรน่ากลัว ใครจะอยากยุ่งด้วยกัน... อูย!”
     “พะ.. เพราะโนอาร์ต้องเป็นของคุณเอทอสเท่านั้นแหละเนาะ ปีศาจกินวิญญาณกับฆาตกรหนุ่ม แหม่เหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกอีก แหะๆ”

    ผู้คุมวิญญาณที่กำลังสนุกกับการนินทาจนลืมตัว รีบกลับคำพูดเมื่อเผลอสบนัยน์ตาสีอำพันเรียบนิ่งของคนรักฆาตกร เอทอสที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อถึงสิ่งที่อยากรู้โดยไม่ใส่ใจเรื่องเมื่อครู่

    “มีวิธีทำให้ผู้คุมวิญญาณสิ้นพลังไหม”

    ปีศาจเอ่ยเข้าเรื่องจริง ๆ ที่อยากรู้ แม้ตอนนี้มนุษย์จะปลอดภัยเพราะเขาเป็นคนรับทุกอย่างแทน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยไปตลอด ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดปัญหาคือทำให้ผู้คุมวิญญาณนั่นไร้พลัง จะได้หมดโอกาสทำเรื่องพรรณ์นี้กับคนของเขาหรือใครอื่นอีก

    “ความสามารถในการมองเห็นและควบคุมเป็นความสามารถติดตัวนะคุณเอทอส สิ่งที่คุณถามก็เหมือนการหาวิธีให้ปีศาจกินวิญญาณเลิกกินวิญญาณนั่นแหละ มันไม่มีหรอก หาทางให้สิ้นพลัง... ผมว่าหาทางทำให้สิ้นลมหายใจน่าจะง่ายกว่านะ สำหรับคุณยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณตั้งใจจะทำมันจริง”
    “…ข้าฆ่าใครไม่ได้ แล้วหากใช้วิธีเดียวกับที่เจ้านั่นทำกับโนอาร์จะได้ไหม”
    “เดี๋ยวหมอนั่นก็ส่งต่อให้คนอื่น ถ้าคุณอยากให้ส่งไม่ได้ ก็ต้องหาคนมารับแทนก่อนแล้วค่อยส่งให้ผู้คุมวิญญาณคนนั้น แต่คุณก็ไม่เอาอีกเพราะไม่อยากดึงคนนอกมาเกี่ยวด้วย ผมถามจริงคุณกับโนอาร์ใครเป็นปีศาจใครเป็นมนุษย์กันแน่เนี่ย”

    จินเริ่มฉุนเล็กน้อยกับความเป็นปีศาจดีของเอทอส  เสี้ยวความคิดหนึ่ง เขาอยากให้ปีศาจซึมซับความเลือดเย็นจากคนรักของตัวเองมาสักนิดบ้างก็คงดี เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับชายไร้เมตตาอย่างโนอาร์

    “หากใช้คำสาปของข้า”
    “สาปเพื่อกดพลังผู้คุมวิญญาณ มันต้องแสดงผลตลอดเวลาเลยนะ อย่าลืมว่าคุณใช่คำสาปรักษาโนอาร์อยู่ ร่างกายคุณรับผลจากสองคำสาปพร้อมกันได้แน่เหรอ”
    “…”
    “ผมกับโนอาร์เราต่างอยู่ในโลกมืดมานาน ยอมรับว่าความคิดผมอาจไม่ใช่คนดีนักเลยช่วยคุณไม่ค่อยได้ คุณมีใครที่พอไว้ใจได้ไหม บางทีเขาอาจให้คำปรึกษาได้ดีกว่าผมนะ”

    ผู้คุมวิญญาณยอมลดอารมณ์ลงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบไป เอทอสหลังได้ฟังคำแนะนำจากจินก็พยักหน้ารับเล็กน้อยพร้อมกล่าวขอบใจ ไม่นานห้องพักผู้ป่วยที่เมื่อครู่คลอไปด้วยเสียงสนทนาก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ถึงแม้เรื่องพูดคุยจะจบลงแล้ว ทว่าในนัยน์ตาสีอำพันของปีศาจที่จ้องมองไปยังคนหลับสนิทบนเตียง กลับเต็มไปด้วยความคิดมากมายยากคาดเดา



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 22 ทักทาย]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 22-07-2020 21:49:42
(ต่อ)


    ในช่วงเวลายามบ่ายแก่ใกล้ถึงเวลาเลิกงานผู้คนเริ่มทยอยกลับที่พัก บางส่วนเดินสวนกันขวักไขว่บนทางเท้า และก็มีไม่น้อยที่ขับรถยนต์ส่วนตัวหรือนั่งรถโดยสารสาธารณะเพื่อความรวดเร็ว บ่งบอกถึงวิถีชีวิตสังคมเมืองเป็นอย่างดี ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นนาทีทองสำหรับเหล่าร้านค้าที่ต่างชักชวนกลุ่มคนที่เดินผ่านให้เข้ามาใช้บริการ และนั่นก็รวมถึงร้านขายดอกไม้ที่มีป้ายหน้าร้านสีน้ำเงินเด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นกัน ทว่าต่างจากร้านอื่นตรงที่ไม่ใช่พนักงานออกมาเรียกลูกค้า แต่เป็นวิญญาณหญิงสาวรับใช้ตนหนึ่ง

    “หนุ่มน้อยถ้าคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรให้แฟนดี ไม่ลองจัดดอกไม้สวย ๆ สักช่อดูละ”
    “คุณพี่ดอกไม้ปลอมมันก็ดีอยู่หรอก แต่ดอกไม้ธรรมชาติมันให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่านะคะ”

    วิญญาณหญิงสาวอาศัยความสามารถในการรับรู้ถึงความปรารถนา ดลใจผู้คนที่เดินผ่านให้แวะเข้าร้านดอกไม้ของน้องชายเจ้านาย ที่ทำไม่ใช่ว่าร้านไม่ค่อยมีลูกค้า แต่เดิมถึงไม่ต้องเพิ่งพลังของเธอ ร้านดอกไม้แห่งนี้ก็มีคนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดอยู่แล้ว แต่ส่วนมากมักเป็นลูกค้าเจ้าเก่าน้อยครั้งที่จะมีคนใหม่หลงมา วิญญาณหญิงสาวเลยลองขอเจ้านายมาทำงานนี้ ซึ่งเธอก็ได้รับคำอนุญาตในทันที อะไรก็ตามขอแค่เป็นเรื่องดีต่อตัวคุณสีคราม เจ้านายก็เห็นด้วยทั้งหมด และนั่นก็เป็นผลดีกับเธอเช่นกัน เพราะเธอไม่ค่อยอยากติดตามและทนดูมุมโหดร้ายของเจ้านายเท่าไรนัก

    ขณะที่วิญญาณสาวยืนเรียกลูกค้าอยู่นั้น สายตาเธอพลันสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางร้าน เพียงแค่เห็นไกล ๆ กลับทำให้เธอรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายบอบบางเริ่มสั่นสู้ เมื่อเผลอสบกับดวงตาสีอำพันดุคู่นั้น ดวงตาของผู้ที่กินพวกพ้องของเธอจนแทบหมดสิ้น

    “ยะ... อย่าทำอะไรคุณสีครามนะ! ฉะ..ฉันไม่ให้แกผ่านไปหรอก เจ้าปีศาจ!!”

    วิญญาณหญิงสาวทำใจกล้ายืนขวางปีศาจทั้งที่ร่างสั่นเทาด้วยความกลัว ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเพียงก้มมองเล็กน้อย ก่อนเดินทะลุผ่านร่างไปราวกับเธอเป็นแค่แมลงตัวจ้อยในสายตาอีกฝ่าย วินาทีที่ปีศาจเดินผ่าน เธอรู้สึกกลัวจนความคิดว่างเปล่า หลับตายืนนิ่งเตรียมใจที่จะมีจุดจบเหมือนเหล่าเพื่อนของเธอ ทว่าผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกว่าเธอจะรู้ตัว ปีศาจก็เดินไปถึงหน้าประตูร้านแล้ว เห็นดังนั้นเธอเลยรีบตามไปหมายจะใช้พลังอันน้อยนิดฉุดรั้งขัดขวาง

    “พรึบ!”
    “อ๊ายยย!!!”

    ไม่ทันที่วิญญาณหญิงสาวจะถึงตัวปีศาจ พลันเกิดประกายเพลิงสีนิลลุกไหม้ ความร้อนจากไฟทำให้เธอจำต้องถอยห่างออกมา แล้วพบว่าเปลวไฟได้ห้อมล้อมรอบร้านดอกไม้คล้ายเป็นกำแพงเพลิง ทว่าแม้ไฟสีดำนี้กำลังลุกโหม แต่เหล่าพนักงานในร้านและผู้คนภายนอกกลับไม่มีใครสังเกตเห็น มิหนำซ้ำยังเดินผ่านได้อย่างสบาย ๆ ราวกับกำแพงไฟถูกสร้างเพื่อกันวิญญาณอย่างเธอโดยเฉพาะ ซึ่งลำพังเธอคนเดียวไม่อาจฝ่าไปได้แน่นอน วิญญาณหญิงสาวจึงรีบรุดเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้านาย เพื่อให้มาช่วยคุณสีครามที่กำลังตกอยู่ในอันตราย


    “กริ๊ง!”

    เสียงกระดิ่งหน้าประตู เรียกความสนใจพนักงานรวมถึงเจ้าของร้านที่กำลังจัดช่อดอกไม้ให้หันมอง พบว่าเป็นชายร่างสูงใหญ่เจ้าของสวนกล้วยไม้ที่เคยมาติดต่อเมื่อหลายเดือนก่อน

    “อ้าว! สวัสดีครับพี่เอทอส ไม่เห็นบอกก่อนเลยว่าพี่จะมา” สีครามกล่าวทักทายรุ่นพี่ที่รู้จักด้วยน้ำเสียงสดใส
    “ผ่านมาทางนี้พอดีเลยแวะมา ยุ่งอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย แน่นอนว่าเป็นข้ออ้าง
    “จัดช่อนี้เสร็จก็หมดแล้วครับ... อาเรียบร้อย”

    เจ้าของร้านตอบคำถามพลางผูกริบบิ้นประดับเรียบร้อย ก่อนยื่นให้พนักงานที่รออยู่เพื่อขับไปส่งให้ลูกค้า แล้วจึงเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อคุยกับแขกที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย

    “พี่ดูเครียด ๆ นะ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
    “นิดหน่อย... ข้าขอคุยด้วยได้ไหม”

    สีครามเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ฟังคำแทนชื่อที่ไม่ได้ยินมานาน ผสานกับบรรยากาศรอบตัวร่างสูงใหญ่ที่ดูอึมครึม ก็พอบอกเป็นนัยว่าขณะนี้รุ่นพี่ต่างจากปกติ เจ้าของร้านดอกไม้จึงฝากหน้าร้านให้พนักงานช่วยดู ก่อนพารุ่นพี่ไปนั่งคุยกันในห้องทำงานด้านหลังร้าน

    “มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือครับพี่เอทอส”

    เจ้าของสถานที่เปิดบทสนทนา หลังจากนำน้ำดื่มมาเสิร์ฟแขกเรียบร้อย ทว่าคำแรกจากรุ่นพี่กลับทำให้คนฟังรู้สึกชาไปทั้งร่าง

    “เจ้าจำคนที่เคยมาที่นี่กับข้าเมื่อหลายเดือนก่อนได้ไหม เขาเป็นคนรักของข้า”
    “คุณโนอาร์... สินะครับ”
    “ใช่ เขาถูกทำร้าย และข้ามารู้ทีหลังว่าคนทำเป็นคนรู้จักของญาติข้าเอง ข้าเคยพยายามห้ามแต่เหมือนคนคนนั้นจะไม่ยอมหยุด ข้าเลยจำต้องเลือกวิธีเด็ดขาด แต่...”
    “พี่กลัวว่าจะทำให้ญาติคนนั้นรู้สึกไม่ดีใช่ไหมครับ” คนรับฟังช่วยต่อประโยค
    “อืม” คำยืนยันจากเจ้าทุกข์ ทำให้ผู้รับฟังยิ้มอ่อนในความใจดีของรุ่นพี่เล็กน้อย
    “ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักของญาติ หรือถึงขั้นเป็นคนในครอบครัว ถ้าเขาทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิดครับ เรื่องของความถูกต้องเราไม่ความเอาความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วยหรอกนะครับ”
    “แล้วอีกอย่าง... คนถูกกระทำเป็นถึงคนที่พี่รัก หากพี่ลองเล่าเหตุผลให้ญาติคนนั้นฟัง ผมว่าเขาต้องเข้าใจครับ”
    “งั้นเหรอ... แล้วหากเรื่องนี้เกิดกับเจ้า”
    “…”
    “ถ้าพี่เจ้าทำร้ายคนอื่น เจ้าจะทำยังไง?”

    คนฟังนิ่งเงียบไปสักพักเมื่อได้ฟังคำถามของรุ่นพี่ สำหรับสีครามแล้วพี่วรรษเป็นทั้งพี่ชายและเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าคนแสนดีอย่างพี่วรรษจะทำเรื่องโหดร้ายได้ลง แต่ถ้าหากมีเหตุการณ์เช่นนั้นจริง...

    “ผมคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎหมายครับ” สีครามตอบเสียงเบา
    “…”
    “แต่ไม่ว่าพี่เขาจะเปลี่ยนไปยังไง พี่วรรษก็ยังคงเป็นพี่ชายของผมเสมอครับ”
    
    เอทอสมองรอยยิ้มฝืนของคนคอยให้คำปรึกษา ทว่าในตอนท้ายกลายเป็นฝ่ายเศร้าเสียเอง ก็ได้แต่เอ่ยขอโทษในใจเงียบ ๆ และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายของผู้คุมวิญญาณกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ปีศาจจึงได้ฤกษ์กล่าวลา สีครามรู้สึกสับสนเล็กน้อยที่อยู่ ๆ รุ่นพี่ขอตัวกลับ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยรั้งพร้อมอาสาเดินมาส่งตรงหน้าร้าน ทว่ากลับถูกรุ่นพี่ปฏิเสธเพราะความเกรงใจ ดังนั้นร่างสูงใหญ่จึงก้าวออกมาจากตัวร้านเพียงลำพัง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับคนที่ปีศาจต้องการพบมาถึงพอดี

    “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่คิดใช้วิธีสกปรกอย่างเจ้า แต่เจ้าต้องมากับข้า”
    “ลืมแล้วหรือไง ว่านายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรอง”

    ผู้คุมวิญญาณตอบกลับเสียงนิ่ง แต่ดูเหมือนปีศาจผู้ถูกข่มขู่จะไร้ซึ่งความขลาดกลัว เพียงเอ่ยประโยคเรียบสั้นพร้อมก้าวนำไปอีกทาง ทว่านั่นกลับทำให้คนถือไพ่เหนือกว่าจำต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “ถ้าอยากให้สีครามรู้ความลับของเจ้านักก็ตามใจ”



    เส้นทางเปลี่ยวร้างผู้คน เมื่อถึงยามพลบค่ำกลับยิ่งเงียบสงัดดูวังเวงเป็นเท่าทวี ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยมีโจรโชคร้ายถูกจับไปทรมานตัดแขนตัดนิ้ว แน่นอนว่าคนทำเรื่องโหดร้ายนั้นมีแค่คนเดียว ซึ่งเอทอสไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะมีวันที่เขาต้องมาใช้สถานที่เดียวกับโนอาร์

    “ไม่น่าเชื่อว่าใจกลางเมืองจะมีที่ลับตาคนแบบนี้อยู่ เลือกที่ได้-”
    “ฟุ่บ! ฉัวะ!!”
    “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!”

    ไม่ทันผู้คุมวิญญาณได้กล่าวชม ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าพลันกลับคืนสู่ร่างปีศาจแท้จริง พร้อมพุ่งเข้าจู่โจมเป้าหมายแบบไม่ให้ตั้งตัว โชคดีที่วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งผลักผู้เป็นนายหลบได้ทัน จึงทำให้ผู้คุมวิญญาณมีเพียงรอยบาดจากกรงเล็บทมิฬบริเวณแก้ม ส่วนวิญญาณรับใช้ผู้ภักดีตนนั้น ได้รับรางวัลเป็นการถูกฉีกร่างจนวิญญาณแตกสลายไป

    “ชอบให้คนรักของตัวเองเจ็บตัว- หือ? รับแทนเหรอ นักฆ่านั่นสำคัญขนาดนั้นเลย?”

    ในจังหวะที่ผู้คุมวิญาณกำลังเย้าแหย่ พบว่ารอยแผลเมื่อครู่กลับปรากฏอยู่บนใบหน้าปีศาจแทน ซึ่งนั่นถือเป็นคำอธิบายกลาย ๆ ว่าเหตุใดปีศาจนี่ถึงยังกล้ามาหาเขาอีก แต่ถึงจะรับผลของมนตร์มืดแทนเหยื่อของเขา มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากต่อเวลาออกไปอย่างไร้ค่า

    “ไฟของข้า เจ้าร้อนหรือเปล่า” นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงจ้องนิ่ง พลางเอ่ยถึงสิ่งที่อยากรู้ เพราะการจู่โจมเมื่อครู่ เอทอสได้ใช้เพลิงสีนิลหุ้มกรงเล็บอีกทีหนึ่ง
    “นายน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือไง ความรู้สึกของไฟที่เกือบไหม้หน้าน่ะ”
    “งั้นเหรอ...” ปีศาจพึมพำเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ ยกกรงเล็บขึ้นในคล้ายดีดนิ้ว
    “พรึบ!!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!!!!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!!!!”
    
    ทันทีที่สิ้นเสียงกระทบของกรงเล็บ พลันเกิดเปลวเพลิงสีนิลเผาไหม้ร่างผู้คุมวิญญาณ จนอีกฝ่ายล้มลงไปดิ้นทุรนทุราย และแน่นอนว่าเหล่าวิญญาณรับใช้ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ปีศาจมองความเจ็บปวดทรมานเบื้องหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนย่างเท้าเข้าหาเป้าหมายช้า ๆ

    “พลังของเจ้าดูจะมีผลกับแค่อาการบาดเจ็บที่ร่างกาย แต่ไฟของข้าที่ลุกไหม้เจ้าอยู่ กำลังเผาวิญญาณเจ้าหาใช่กายเนื้อ ฉะนั้นอย่าหวังว่าความเจ็บปวดที่เจ้ารู้สึกนี้อีกไม่นานข้าจะเป็นฝ่ายรับแทน เพราะมันไม่มีประโยชน์”
    “เจ้ารู้ดีว่าความจริงเจ้าไม่มีทางสู้ข้าได้ถึงเอาโนอาร์มาเป็นโล่ และข้าก็รู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางรามือ ฉะนั้นข้าจะเผาเจ้าซะ จนวิญญาณเจ้าแทบกลายเป็นธุลี และสุดท้ายเจ้าจะมีสภาพเช่นเดียวกับคนของข้า ต่างเล็กน้อยตรงที่เจ้าจะไม่มีวันฟื้น ถูกขังอยู่ในร่างนี้จนสิ้นลมหายใจ แต่...”
    “หมับ!”
    “อื้ออออ!!!!!”

    ปีศาจนั่งยองตรงหน้ามนุษย์ที่กำลังทุกข์ทรมานจากเพลิงท่วมร่าง ก่อนใช้กรงเล็บปิดปากที่กำลังส่งเสียงร้องเจ็บปวด บีบกรามมนุษย์แน่นแล้วค่อย ๆ ดึงขึ้น จนอีกฝ่ายสามารถสบนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงได้อย่างชัดเจน

    “ข้าเห็นแก่วิญญาณอันบริสุทธิ์ของน้องเจ้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่เมื่อใดเจ้าเกิดความคิดชั่วช้า เปลวเพลิงนี้จะครอบงําเจ้า และกว่าเจ้าจะรู้ตัว สิ่งที่เจ้ารักที่สุดจะถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเจ้าเอง... เหมือนที่เจ้าเคยทำข้าไง คุ้นไหม”
    “อื้อออออ!!!!”
    “เจ้าจะไม่มีโอกาสไปทำเรื่องพรรณ์นี้กับใครอีก หากอยากรู้ผลจากการฝืนคำสาปข้าเป็นเช่นไร ไว้ฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ลองดู”
    “ตุบ!!!”

    หลังเอ่ยจบ ร่างของผู้คุมวิญญาณก็ถูกเหวี่ยงไปข้างทาง ผลของความทรมานจากการเปลวไฟที่เผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ค่อย ๆ แผดเผาสติให้เลือนหาย ภาพพร่ามัวสุดท้ายที่เห็นก่อนทุกสิ่งอย่างจะย้อมเป็นสีดำ คือปีศาจนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสง กำลังจับเหล่าวิญญาณรับใช้ของเขาที่ต่างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและทรมานกินอย่างไร้ความเมตตา



    ค่ำคืนที่แสนยาวนานในความรู้สึกของปีศาจ ในที่สุดก็จบลงเมื่อแสงแห่งวันใหม่มาถึง อาการบาดเจ็บและพลังที่ลดหาย ถูกทดแทนด้วยเหล่าวิญญาณรับใช้หลายสิบดวงที่เขากลืนกินไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แม้ยามนี้เป้าหมายของเขาจะบรรลุแล้ว เอทอสเองกลับไม่รู้สึกดีแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกละอายใจ เพราะสุดท้ายเขาก็ไม่ต่างจากผู้คุมวิญญาณนั่นเท่าไรนัก ที่เลือกใช้วิธีสกปรกดึงคนอื่นมาเอี่ยวด้วย
    แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็พอเขาข้างตัวเองได้บ้าง เพราะนี่ถือเป็นการให้โอกาส เผื่ออีกฝ่ายจะคิดกลับตัวในสักวัน ดีกว่าทำให้หลับใหลไป ทว่าจิตใจยังเต็มไปด้วยความดำมืดเช่นเดิม

    “แกร๊ก!”

    ฝ่ามือใหญ่เปิดประตูเข้าห้องพักผู้ป่วยอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาสีอำพันดุเจือความหมองหม่นมองไปยังโซฟาที่มีก้อนผ้าห่มลายการ์ตูนผีน้อยคลุมโปง บ่งบอกว่าคนที่เขาขอให้คอยเฝ้าระวังจนกว่าเขาจะกลับมาแอบอู้ เอทอสส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ถือสา วางอาหารเช้าที่แวะซื้อเป็นค่าตอบแทนลงบนโต๊ะ ก่อนหันไปดูอาการเจ้าชายที่ไม่ยอมตื่นเสียที และนั่นถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่นิ่งงันไป พร้อมความรู้สึกบริเวณขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย

    “ไม่คิดทักทายกันเลยหรือไง โนอาร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดที่แอบลอบมองเขาเงียบ ๆ
    “อรุณสวัสดิ์... เอทอส” น้ำเสียงแหบแห้งจากคนบนเตียงกล่าวตอบแผ่วเบา
    


บท22 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน



    ขออภัยที่หายไปนานอีกแล้วครับ คนเขียนไปฝึกงานมาครับ ฝึกตั้งแต่เดือนที่แล้ว ตอนนี้ก็ยังฝึกอยู่แต่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ที่จริงบทนี้คนเขียนแอบค่อย ๆ เขียนในที่ทำงานตอนเวลาว่าง ซึ่งเขียนเสร็จตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้วครับ แต่ต้องเก็บมาอัพตอนกลางคืนที่บ้านแทน เพราะหน้าเว็บ thaiboys นี่จัดเต็มไปด้วยโฆษณาจัดจ้าน คนเขียนยังไม่กล้าจุดระเบิดเปิดตัวกลางที่ทำงานครับ 5555

    และสุดท้ายขอบคุณสำหรับคนอ่านทุกท่านที่เฝ้ารอเรื่องราวของเอทอสกับโนอาร์นะครับ ^^  :pig4:


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 22 ทักทาย) [22/07/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 22-07-2020 23:05:17
 :L1:มาแล้วอย่าหายไปอีกนะคิดถึง
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 22 ทักทาย) [22/07/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝน ต้นหนาว ที่ 24-07-2020 14:19:02
ชอบๆ มาตามไล่อ่าน รอตอนต่อค้าบ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 23 คารม]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 31-07-2020 00:55:24

    “โดยรวมผู้ป่วยค่อนข้างแข็งแรงดีครับ หากระหว่างการฟื้นฟูร่างกายไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร หมอคาดว่าผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติครับ”

    นายแพทย์พูดขึ้นหลังตรวจดูอาการคนไข้ในความดูแลเรียบร้อย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังอดรู้สึกทึ่งกับความพิเศษของร่างกายผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้ ที่นอกจากจะฟื้นตัวได้รวดเร็วเหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมา กลับสามารถจำเหตุการณ์ก่อนหน้าและถามตอบได้ปกติไร้ซึ่งความสับสนมึนงง ราวกับผู้ป่วยเพียงแค่นอนหลับไป มิใช่อยู่ในสภาวะเจ้าชายนิทราตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โดยหารู้ไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์พิเศษของคนไข้รายนี้ ก็คือคนที่เขากำลังสนทนาด้วย

    “สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไรครับ” ญาติคนไข้ผู้มีนัยน์ตาสีอำพันหายากเอ่ยถาม
    “หากทุกอย่างปกติดี คาดว่าไม่เกินสามอาทิตย์คนไข้สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ครับ”
    “ขอบคุณครับ”

    ชายร่างสูงใหญ่ที่สุดในห้องเอ่ยพร้อมค้อมศีรษะเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ ส่วนนายแพทย์เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัวไปตรวจผู้ป่วยรายอื่นต่อ ส่งผลให้ห้องพักกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เอทอสเดินเข้าไปหามนุษย์บนเตียงที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเลิกมองเขา นัยน์ตาสีอำพันแสดงชัดถึงความโล่งใจ มองสำรวจคนป่วยที่บัดนี้ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์กู้ชีพ ไร้ซึ่งผ้าพันแผลและเฝือกอ่อนที่คอยตอกย้ำความผิดของปีศาจ

    “ยังเจ็บอยู่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางสัมผัสแขนมนุษย์ ที่ครั้งหนึ่งเคยหักด้วยน้ำมือของเขา แม้มันจะมาจากผลของมนตร์มืดก็ตาม
    “ผมสบายดี ไม่เจ็บตรงไหน คุณไม่ต้องกังวล”

    โนอาร์กล่าวตอบแผ่วเบาเนื่องจากความอ่อนเพลียที่เพิ่งฟื้น ถึงเขาจะรู้สึกดีที่เอทอสแสดงออกว่าเป็นห่วงเขาอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่ชอบความหม่นหมองที่แอบแฝงอยู่ในนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น ความเหนื่อยล้าของร่างกายที่ปีศาจพยายามเก็บซ่อน บรรยากาศรอบตัวที่ผิดแผกของเอทอสตั้งแต่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องเมื่อช่วงเช้า ทุกสิ่งอย่างไม่อาจรอดพ้นสายตาเขา ทั้งหมดค่อย ๆ ก่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นภายในหัวใจเยือกเย็นว่า ต้นต่อความผิดปกติของปีศาจอาจมาจากตัวเขาเอง

    “เพราะผมไม่ระวังจนต้องเข้าโรงพยาบาล เลยพลอยทำให้คุณลำบาก... ผมขอโทษ”

    คำขอโทษจริงใจจากชายเลือดเย็น สร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วให้กับสองสมาชิกในห้องพัก หนึ่งปีศาจรู้สึกจุกในอกจนพูดไม่ออก ส่วนอีกหนึ่งมนุษย์ตรงโซฟาที่ไร้ตัวตนมาตั้งแต่คนรักปีศาจฟื้น ตกใจจนสำลักข้าวหน้าดำหน้าแดง ต้องรีบหยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม เนื่องจากไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้ยินคำขอโทษหลุดมาจากปากโนอาร์

    “แค่ก!! ๆ คำขอโทษติดค- ไม่ใช่!! ข้าวโพดติดคอ... กินเร็วไปหน่อยไม่มีอะไรหรอก คุยกันต่อเลย” ว่าจบก็รีบก้มหน้ากินต่อ เอทอสจึงหันกลับไปพูดคุยกับมนุษย์บนเตียงอีกครั้ง
    “ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ดูแลเจ้าไม่ดี”

    ปีศาจเอ่ยพลางหลุบตาลง ไม่กล้าสบนัยน์ตารัตติกาลคล้ายคนรู้สึกผิด เสียงมนุษย์เงียบหายไปสักพักหนึ่ง ก่อนค่อย ๆ ดึงแขนออกจากฝ่ามือใหญ่ ปฏิกิริยาราวกับรังเกียจสัมผัส ยิ่งฉุดจิตใจปีศาจให้ดิ่งลงสู่ความหนาวเหน็บ ทว่าวินาทีต่อมาทุกความรู้สึกด้านลบพลันมลายสิ้น ด้วยไออุ่นจากมือขาวที่เปลี่ยนมากอบกุมฝ่ามือใหญ่พร้อมบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ ส่งผลให้นัยน์ตาสีอำพันหม่นกล้าเงยขึ้นสบดวงตารัตติกาลมืดมิด

    ผมดีใจที่คุณดูแลผม ผมรู้ว่าคุณพยายามเต็มที่ในแบบของคุณ ฉะนั้นอย่าโทษตัวเอง

    คำพูดไร้เสียงส่งผ่านนัยน์ตารัตติกาลเผยความรู้สึก ช่วยลบล้างความผิดบาปในใจปีศาจให้เลือนหาย สายโซ่สุดท้ายที่ล่ามความรู้สึกปีศาจให้จมอยู่กับความระทมทุกข์ คล้ายถูกหลอมละลายโดยเจ้าชายน้ำแข็ง ที่ยอมคลายความเยือกเย็นของตนลง เพียงเพื่อให้ปีศาจผู้เป็นที่รักรู้สึกอบอุ่น
 
    ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใด หนึ่งมนุษย์และปีศาจกลับสามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้บรรยากาศหม่นที่เคยรายล้อมร่างสูงใหญ่ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงบผ่อนคลายระหว่างเขาทั้งสอง เกิดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ให้พวกเขาได้หยุดพักจากความวุ่นวาย ก่อนที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงในอนาคตอันใกล้



    แสงสว่างแยงตาปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น หลังหมดสติจากการถูกปีศาจโต้กลับไปเกือบวัน พื้นเพดานขาวสะอาดเป็นสิ่งแรกที่เห็น ก่อนวินาทีต่อมาจะถูกแทนด้วยใบหน้าของน้องชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจระคนเป็นห่วง

    “พี่วรรษฟื้นแล้ว! เกิดอะไรขึ้นครับทำไมพี่ถึงไปอยู่ในซอยเปลี่ยวแบบนั้น เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ให้ผมตามหมอไหม?”

    “ไม่ต้อง ๆ ... พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

    น้ำเสียงแหบแห้งตอบกลับพร้อมความรู้สึกฝืดคอคล้ายมีก้อนทรายอยู่ภายใน เห็นดังนั้นสีครามจึงรินน้ำใส่แก้วก่อนส่งให้พี่ชายดื่ม ความชุ่มชื่นจากน้ำช่วยบรรเทาอาการคอแห้งไปได้มาก หลังดื่มเสร็จเรียบร้อยพี่ชายจึงส่งแก้วคืนให้น้อง และเริ่มตอบคำถามเพื่อให้คนคอยเป็นห่วงสบายใจ

    “พี่โดนพวกอันธพาลลากไปที่นั่น แต่เพราะพี่ไม่มีเงินพวกมันเลยทำให้พี่สลบและหนีไป” พี่ชายแสนดีเริ่มแต่งเรื่องหลอกน้อง
    “พี่ไม่ได้เจ็บหนัก ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น แค่ปวดตามตัวนิดหน่อย แปป ๆ ก็หาย แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

    ผู้คุมวิญญาณกล่าวพลางใช้ฝ่ามือลูบหัวน้องชายเพื่อปลอบประโลม ก่อนถามถึงเหตุที่เขามาฟื้นที่โรงพยาบาล และก็ได้คำตอบว่า มีพลเมืองดีคนหนึ่งโทรมาแจ้งว่าพบเขาหมดสติอยู่ข้างทางเปลี่ยว จึงได้เรียกรถพยาบาลมารับ ก่อนที่นางพยาบาลจะโทรมาแจ้งสีครามเรื่องเขาอีกที และแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าพลเมืองดีคนนั้นเป็นใคร เว้นเสียแต่ตัวผู้ประสบเหตุเองที่พอคาดเดาเรื่องราวได้ และเหลือบมองวิญญาณหญิงสาวที่รอดพ้นจากการถูกจับกินเล็กน้อย

    “หมอบอกให้พี่นอนพักดูอาการที่นี่สักคืนหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ถึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ผมก็เลยกลับไปเอาชุดมานอนเฝ้าพี่คืนนี้”

    สีครามพูดพร้อมชูเป้ขึ้นให้พี่ชายดูเป็นหลักฐาน วรรษเห็นก็ได้แต่ยิ้มอ่อนใจเล็กน้อย ก่อนถามถึงเรื่องร้านดอกไม้ว่าใครเป็นคนจัดการแทนระหว่างที่เจ้าของร้านอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ได้คำตอบเป็นพนักงานที่ทำงานมานานจนน้องชายไว้ใจ แต่พี่ชายไม่ ดังนั้นช่วงจังหวะหนึ่งที่สีครามหันไปทางอื่น เขาจึงเอ่ยสั่งหนึ่งในวิญญาณรับใช้ที่เหลืออยู่ไม่มากให้ไปคอยดูร้านอีกที

    ถึงตรงนี้ วรรษพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่ปีศาจกินวิญญาณไปหาน้องเขาที่ร้านดอกไม้ พี่ชายแสนดีจึงลองลอบถาม เพื่อหาจุดประสงค์ของปีศาจ

    “เหมือนวันก่อน เพื่อนพี่บอกว่าจะแวะไปร้านสีคราม เอทอสมาสั่งดอกไม้ไปให้ใครเหรอ”
    “เปล่า... พี่เอทอสมาขอคำปรึกษาน่ะพี่วรรษ”

    น้ำเสียงตอบกลับแฝงความเศร้าสร้อยเล็กน้อย ซึ่งคนฟังก็ไม่แน่ใจว่าความเศร้านั้นมาจากสาเหตุใด และแน่นอนพี่ชายแสนดีไม่ยอมปล่อยผ่าน

    “ทำไมทำหน้าหงอยแบบนั้นละ เอทอสมันทำอะไรสีครามบอกพี่มาเลย เดี๋ยวพี่จัดการให้”
    “ไม่มีอะไรหรอกพี่วรรษ ผมแค่ยังอินกับเรื่องที่พี่เขาเล่าให้ฟังเฉย ๆ”

    สีครามเลือกตอบกว้าง ๆ แทนการพูดความจริงเรื่องความใจร้ายของรุ่นพี่ ที่รู้ทั้งที่รู้ว่าเขาแอบชอบ แต่ก็ยังเอาเรื่องคนรักมาปรึกษา เนื่องจากความรู้สึกที่เขามีต่อตัวรุ่นพี่นั้น เขายังไม่ได้บอกให้พี่วรรษรู้ และเขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้ใครเดือดร้อน เพียงเพราะอารมณ์ส่วนตัวของเขาเช่นกัน

    “แน่นะ?”
    “แน่สิ พี่ไม่เชื่อผมเหรอ?”
    “ไม่ใช่อย่างงั้น... แล้วเรื่องปรึกษาอะไรนั่น พอเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”
    “ไม่ได้ครับ คนให้คำปรึกษาที่ดี ต้องเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ไม่เอาไปเล่าต่อ เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายความไว้ใจกันครับ” น้องชายปฏิเสธเสียงหนักแน่น
    “แม้แต่พี่ก็ไม่ได้เหรอ”
    “ไม่ได้ครับ ถ้าพี่อยากรู้ต้องไปถามกับพี่เอทอสเอง”

    หลังได้ฟัง วรรษได้แต่เพียงยีผมน้องชายด้วยความมันเขี้ยวในความเป็นคนดี แม้ดูเหมือนการลอบถามครั้งนี้จะไม่ได้อะไร แต่อย่างน้อยผู้คุมวิญญาณก็พอเบาใจได้ว่าปีศาจนั่นไม่ได้ทำอะไรสีครามอย่างที่ปากว่าจริง ๆ

    พอหมดข้อสงสัย พี่ชายแสนดีจึงเปลี่ยนเรื่องคุย สองพี่น้องใช้เวลาร่วมกันในห้องพักฟื้นจวบจนเวลาล่วงเลยถึงยามค่ำคืน สีครามที่มักนอนเร็ว บัดนี้จึงหลับสนิทบนโซฟาห่างเตียงผู้ป่วยไม่มากนัก เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ผู้คุมวิญญาณจึงเริ่มเช็กวิญญาณรับใช้ที่เหลือรอดจากเงื้อมมือปีศาจ ซึ่งล้วนแต่เป็นวิญญาณอ่อนแอใช้ประโยชน์ไม่ได้มาก
    ดังนั้นผู้คุมวิญญาณเลยเริ่มมองหาวิญญาณรับใช้ตนใหม่ สักพักหนึ่งก็สัมผัสถึงสิ่งที่ต้องการอยู่ไม่ไกล เพียงชั้นล่างของโรงพยาบาล ที่ดูเหมือนจะมีใครบางคนเพิ่งหมดลมหายใจ

    “ไปพาตัวมา”

    เสียงเรียบเรื่อยกล่าวสั่งเหล่าวิญญาณ สักพักหนึ่งสมาชิกใหม่พลันปรากฏกายกลางห้องพัก พร้อมพุ่งเข้าจู่โจมคนบนเตียงด้วยความโกรธแค้น โดยเหล่าวิญญาณรับใช้ไม่อาจต้านแรงอาฆาตของผู้ตายจากความเป็นมนุษย์มาหมาด ๆ ได้

    “แร... แรงดีนิ” ผู้คุมวิญญาณกล่าวชม บนใบหน้าแฝงรอยยิ้มยากคาดเดา
     “มึงฆ่ากูทำไม!!!!”
    “ลงไป”

    คำสั่งเรียบสั้นจากคนบนเตียง เสมือนประกาศิตผลักร่างโปร่งแสงร่วงลงจากเตียง วิญญาณแค้นพยายามลุกขึ้นกลับถูกพลังบางอย่างบังคับควบคุมไม่ให้เคลื่อนไหว ทำได้เพียงจ้องตอบคนบนเตียงด้วยความโกรธเกรี้ยว

    “ขอแก้ความเข้าใจผิดก่อน นายตายเอง ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” ผู้คุมวิญญาณเอ่ยพร้อมก้าวเท้าลงจากเตียง
    “ลืมเรื่องตอนมีชีวิตซะ จากนี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
    “ใครอยากเป็นพวกเดียวกับมึง! ไอ้เหี้ยปล่อยกู!!!”

    ผู้คุมวิญญาณย่อตัวนั่งระดับเดียวกับวิญญาณอาฆาต ไม่คิดต่อปากต่อคำ เพียงกัดปลายนิ้วหนึ่งจนเลือดไหลซึม ก่อนยื่นมือข้างนั้นไปกุมใบหน้าของร่างโปร่งแสง ฉับพลันวิญญาณคุ้มคลั่งกลับสงบนิ่งไร้การต่อต้าน ฝ่ามือค่อย ๆ ลูบลงคล้ายการปิดตาคนตาย หยดเลือดจากปลายนิ้วทิ้งรอยไว้บนกรอบหน้าเป็นทางที่มือเลือนลง จวบจนถึงปลายคางจึงดึงมือกลับพร้อมเรียกวิญญาณรับใช้ตนใหม่ให้ลืมตา

    “ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา”
    “...ครับนาย”

    วิญญาณรับใช้เอ่ยพลางก้มหัวแสดงความเคารพ ไร้ซึ่งท่าทีเครียดแค้นโกรธเคือง ราวกับถูกล้างสมอง ลืมเรื่องราวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจนสิ้น ผู้คุมวิญญาณลุกขึ้นยืนพลางยิ้มพึงพอใจ เตรียมเอ่ยสั่งเหล่าวิญญาณให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับนักฆ่าที่ปีศาจหวงนักหนา

    “ไป-”

    เพียงพยางค์เดียวได้เอื้อนเอ่ย เจ้าของคำสั่งกลับชะงักค้างพร้อมเปลวเพลิงสีนิลที่ลุกท่วมร่างอย่างไร้สาเหตุ เหตุการณ์เบื้องหน้าสร้างความตื่นตกใจให้กับเหล่าวิญญาณรับใช้เก่าอย่างมาก ทว่าร่างที่กำลังถูกเพลิงเผาไหม้กลับไร้เสียงกรีดร้องแสดงความเจ็บปวด เพียงแค่เดินไปที่โซฟาที่มีน้องชายของตนนอนอยู่

    ฝ่ามือผู้คุมวิญญาณค่อย ๆ กำรอบลำคอคนหลับสนิทก่อนออกแรงบีบ เหล่าวิญญาณรับใช้เก่าพยายามช่วยกันปกป้องคุณสีครามและเรียกสติเจ้านาย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากนักเมื่อมีเพลิงสีนิลคอยขัดขวาง

    “ยืนบื้ออยู่ทำไม! มาช่วยกันสิ!!” วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งต่อว่าวิญญาณรับใช้ใหม่ของเจ้านาย
    “ทำไมต้องช่วย ก็ในเมื่อนายอยากฆ่า” วิญญาณรับใช้ใหม่ถามกลับด้วยความสับสน
    “คุณสีครามเป็นน้องชายของนาย นายถูกไฟบ้านี้ควบคุมอยู่ แค่นี้ก็ดูไม่ออกเหรอ!!!”

    หลังรับรู้สถานการณ์ วิญญาณรับใช้ตนใหม่ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิญญาณรับใช้ทั้งหมด จึงเดินเข้าไปหมายกระชากร่างเจ้านาย ทว่ากลับถูกความร้อนของเพลิงเผาจนต้องถอยห่างออกมา เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้ วิญญาณรับใช้ตนใหม่จึงเริ่มมองหาตัวช่วย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนบนโซฟาสะดุ้งตื่น เนื่องจากขาดอากาศหายใจ

    “พะ... พี่... พี่วรรษ...” สีครามพยายามเอ่ยเรียกสติ สองแขนพยายามแกะมือพี่ชายที่บีบแน่นตรงลำคอออก แต่ก็ไร้ผล
    “พี่... พี่วรรษ.. ผะ.. ผมหาย.. ใจ.. มะ.. ไม่..ออก...”
    “…”
    “พะ... พี่...”
    “…”
    “ปึง!!”

    วินาทีที่ลมหายใจจวนจะหมดลง ประตูห้องผู้ป่วยพลันเปิดกว้างพร้อมเหล่าหมอและพยาบาลกรูกันเข้ามาห้ามผู้ป่วย สีครามที่เป็นอิสระรีบหอบหายใจเข้าพลางไอจนน้ำตาซึม โดยมีนางพยาบาลคนหนึ่งแยกมาดูอาการ

    เสียงไอสำลักอากาศ ช่วยเรียกสติของวรรษให้กลับคืน ภาพน้องชายจับลำคอแดงช้ำหายใจเหนื่อยหอบ สร้างความตื่นตกใจให้กับคนเป็นพี่อย่างมาก พยายามสลัดตัวออกจากการควบคุมหวังเข้าไปดูอาการน้องชายแต่ก็ไร้ผล วรรษจึงเลือกถามเหตุการณ์จากเหล่าหมอพยาบาลแทน ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ถึงขั้นทำให้คนฟังช็อกจนพูดไม่ออก ได้แต่ก้มมองมือสั่นเทาของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

    “ไม่... ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่วรรษอาจเก็บเรื่องโดนอันธพาลทำร้ายมาฝันแล้วละเมอ ขอบคุณคุณหมอคุณพยาบาลมากครับ”

    สีครามที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ กล่าวแก้ตัวให้พี่ชายจนเหล่าเจ้าหน้าที่ยอมเชื่อและทยอยกลับ นางพยาบาลรายหนึ่งแนะนำให้ลองไปตรวจดูเผื่อบาดเจ็บเพิ่มเติม ทว่าสีครามกลับรับไว้เพียงน้ำใจพร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
    เมื่อทุกอย่างสงบลง ภายในห้องพักเหลือเพียงสองพี่น้อง วรรษจึงรีบเข้ามาดูอาการน้องชายด้วยความเป็นห่วงระคนรู้สึกผิด

    “พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่คุมตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง พี่...”
    “ครับ ๆ ผมเข้าใจ พี่เพิ่งเจอเรื่องไม่ดีมาจะเก็บมาคิดมากก็ไม่แปลก ผมไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดโกรธพี่วรรษด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะ” คนเจ็บตัวปลอบพี่ชายที่ทำท่าราวกับจะร้องไห้
    “แค่นี้อะไรกัน คอแดงไปหมดแล้ว”

    น้ำเสียงติดสั่นตอบกลับ สายตาไม่ยอมละไปจากรอบคอแดงช้ำของน้องชาย สีครามจึงต้องย้ำอีกรอบว่าเขาไม่เป็นอะไรจริง ๆ ก่อนเอ่ยตัดบทโดยการไล่พี่ชายให้กลับไปนอนที่เตียงเหมือนเดิม เพราะยามนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว
    เมื่อได้ฟังคำยืนยันหนักแน่นจากน้องชาย วรรษก็จำยอมทำตามโดยดี ซึ่งแน่นอนว่าการเพิ่งผ่านเรื่องไม่คาดคิดย่อมไม่มีใครหลับลง ดังนั้นสองพี่น้องจึงลอบมองกันและกันโดยมีความมืดของห้องหลังดับไฟช่วยอำพราง
    
    เหล่าวิญญาณรับใช้ค่อย ๆ เข้ามารายล้อมเผื่อผู้เป็นนายต้องการเรียกใช้ ทว่าเจ้านายเพียงสะบัดมือไล่คล้ายต้องการใช้ความคิด ดังนั้นเหล่าวิญญาณรับใช้ทั้งหมดจึงพลันหายไป เมื่ออยู่ลำพังผู้คุมวิญญาณหวนนึกถึงคำเตือนของปีศาจกินวิญญาณ พร้อมกับฝ่ามือที่เริ่มกำแน่นขึ้นเพื่อระบายความโกรธแค้น

    ‘เมื่อใดเจ้าเกิดความคิดชั่วช้า เปลวเพลิงจะครอบงําเจ้า และกว่าเจ้าจะรู้ตัว สิ่งที่เจ้ารักที่สุดจะถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเจ้าเอง…’
    ‘หากอยากรู้ผลจากการฝืนคำสาปข้าเป็นเช่นไร ไว้ฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ลองดู’



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 23 คารม]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 31-07-2020 01:00:21
(ต่อ)


    “ตอบแทนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ขอบใจเจ้ามาก”

    เสียงทุ้มของปีศาจเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้จินในยามสายของวันหนึ่ง ถึงแม้โนอาร์จะฟื้นแล้ว คุณเอทอสก็ยังคงให้เขามาคอยเฝ้าแทนในช่วงที่คุณเขาต้องออกไปหาวิญญาณกิน และใช่ ร่างสูงใหญ่เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันดุเพิ่งกลับมาหลังจากหายไปทั้งคืน

    จินรีบรับกระดาษจากอีกฝ่ายมาแบบงุนงง ปนระแวงสายตาเรียบนิ่งอันตรายของคนบนเตียง ที่จ้องเขาอย่างกับขโมยของรักของหวงไป ทั้งที่เขาแค่นอนอืดทำตัวเป็นอากาศธาตุบนโซฟา แต่คุณเอทอสต่างหากที่อยู่ ๆ ก็เดินมาหาเอง
    คนกำลังถูกหมายหัวรีบก้มหน้าดูกระดาษในมือ ตราสัญลักษณ์ของธนาคารแห่งหนึ่งตรงมุมซ้าย มีชื่อของเขาเขียนอยู่ในนั้นพร้อมลายเซ็นเจ้าของกำกับ แต่ที่เว้นว่างไว้คือช่องใส่จำนวนเงิน ทุกองค์ประกอบบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ในมือนี้คือเช็คเงินสด บอกเป็นนัยให้เขาใส่ตัวเลขได้ตามใจชอบ และนั่นถึงกับทำให้คนรับตาลุกวาว

    “แหม่... คุณเอทอสผมเกรงใจ ที่ทำนี่ก็เพราะเห็นเป็นเพื่อนเป็นคนรู้จักกัน ตอบแทนอะไรกันไม่จำเป็นหรอก แต่คุณเอทอสอุสาให้ทั้งที ผมก็ต้องขอรับไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจแล้วกัน”
    “เท่าไร?”

    เสียงดับฝันดังจากชายเลือดเย็น หยุดจินที่กำลังเก็บเช็คลงกระเป๋าอย่างละเมียดละไม และดูเหมือนคนถามจะไม่รอคำตอบ เมื่อเรียวนิ้วขาวกระดิกเรียกคนตรงโซฟาให้เดินเข้าไปหา ส่งผลให้จินจำต้องส่งกระดาษล้ำค่าให้กับคนใจร้าย

    นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดกวาดดูรายละเอียดบนเช็คคร่าว ๆ ก่อนเอ่ยขอปากกากับคุณเอทอส ถึงน้ำเสียงตอนพูดจะเรียบนิ่งไม่ต่างจากตอนเรียกจิน ทว่าแววตายามรับปากกาจากปีศาจ ช่างแตกต่างกับตอนรับเช็คยิ่งกว่าฟากฟ้ากับขุมนรก
    
    “โนอาร์...” ปีศาจเอ่ยเตือนเมื่อเห็นจำนวนเงินที่มนุษย์ระบุให้
    “ผมค้าขายกับจินมานาน เท่านี้เหมาะสมแล้วครับ”

    เมื่อได้ยินคำยืนยันจากชายเลือดเย็น เอทอสได้แต่ส่ายหน้าหน่าย จินรับกระดาษจากคนบนเตียงรีบเอานิ้วปิดจำนวนเงิน ก่อนค่อย ๆ เปิดดูทีละตัวด้วยความระทึก ตัวแรกคือเก้า พอทำให้ผู้คุมวิญญาณใจชื้น ตัวต่อมาคือ
    ศูนย์...
    ศูนย์...
    ศูนย์...
    จุด!!

    ขณะกำลังลุ้นกลับเจอเครื่องหมายจุดสกัดฝัน จินเลิกลีลาเปิดดูจำนวนเงินเต็ม ๆ แล้วถึงกับน้ำตาตกใน ความดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาของเขามีค่าแค่เก้าพันบาทถ้วนในสายตาอีกฝ่าย คนน่าสงสารเดินคอตกกลับไปที่โซฟา
    ทว่าช่วงจังหวะที่เดินผ่านปีศาจ หางตาทันเห็นเช็คอีกฉบับหนึ่งที่คุณเอทอสแกล้งทำมือไพล่หลังซ่อนไว้ เนื้อหาบนกระดาษนั้นเหมือนของในมือเขาทุกประการ แต่ที่สำคัญคือช่องใส่จำนวนเงินยังว่างเปล่า จินถึงกับซาบซึ้งในความใจดีของคุณเอทอสจนน้ำตาซึม รีบหยิบเช็คฉบับใหม่ไม่ให้คนใจร้ายเห็น บวกกับปีศาจใช้ร่างสูงใหญ่ช่วยบดบังและชวนชายเลือดเย็นคุยดึงความสนใจ ทำให้ภารกิจลักลอบผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

    “ทำไมเจ้าถึงเคี่ยวนัก”
    “เพราะการเป็นภรรยาที่ดีต้องช่วยสามีประหยัด”
    “เจ้า!-”

    ขณะที่เอทอสกำลังต่อปากต่อคำกับโนอาร์ กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของกลุ่มนักล่าปีศาจ ความสุขสงบเล็ก ๆ ที่เกิดได้ไม่นานพลันจบลง เอทอสแกล้งบอกมนุษย์บนเตียงว่าจะลงไปซื้อของข้างล่าง ทว่ากลับถูกมือขาวรั้งแขนไว้ เนื่องจากโนอาร์รู้ถึงบรรยากาศรอบกายที่ตึงเครียดขึ้นของปีศาจ เสียงพูดคุยที่เงียบหายทำให้คนตรงโซฟารู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่จินจะได้เอ่ยถาม ประตูห้องพักพลันเปิดกว้าง พร้อมคนแปลกหน้าสามคนที่เดินเข้ามา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ผู้คุมวิญญาณจำได้ขึ้นใจ

    “ต้องการอะไรอีก” เอทอสถามเหล่าผู้บุกรุกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “สามวันก่อนทำชั่วอะไรไว้น่าจะรู้ตัวเองดีนิ สู้อุสาไปหาที่ลับตา คิดว่าจะหลบหน่วยข่าวกรองนักล่าปีศาจได้หรือไง” ชายผู้มีเส้นผมสีเงินเป็นเอกลักษณ์กล่าวถากถาง
    “เพราะเจ้านั่นรังควาญข้าเหมือนกับเจ้า ข้าจำต้องป้องกันตัว”
    “เหรอ? ทำร้ายผู้คุมวิญญาณ แล้วก็จับวิญญาณรับใช้กินนี้เหรอป้องกันตัว หึ... ฉันว่าแกหิวจนหลุดสันดานเลวออกมามากกว่า”
    “…”
    “มากับพวกเราซะ ปีศาจเสแสร้งแบบแกคงไม่กล้าคิดตุกติกกลางโรงพยาบาล-”
    “พรึบ! เพล้ง!!”
    “โอ้ย!!”

    ภาคินปรามาสได้ไม่นาน ผ้าห่มผืนหนึ่งก็ถูกขวางใส่คนปากดี ผืนผ้าที่แผ่ขยายกลางอากาศเข้าปกคลุมบดบังวิสัยทัศน์ ก่อนวินาทีต่อมาความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าผากจะวิ่งไปทั่วร่าง พร้อมกับเสียงแก้วแตกเป็นตัวเฉลยต้นตอของความเจ็บเมื่อครู่ ทว่าไม่ทันจะได้ตั้งตัวผ้าห่มที่คุมร่างกลับถูกกระชากกลับอย่างแรง ส่งผลให้ชายผมเงินล้มลงแทบเท้าปีศาจ ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงเพียงเสี้ยววินาที ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว บัดนี้คนที่เคยอยู่บนเตียงกลับอยู่เบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ พลางใช้เท้าเหยียบศีรษะคนปากเก่งไม่ให้เงยขึ้นมา

    “ขอโทษหรือตาย เลือกเอา”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งกลับทำให้เหล่าผู้บุกรุกรู้สึกหนาวเหน็บ แม้ตอนนี้โนอาร์จะอยู่ในชุดผู้ป่วยดูอ่อนแอ การเคลื่อนไหวฉับพลันกระตุกสายน้ำเกลือหลุดจนเลือดสีแดงสดไหลหยดจากหลังมือกระทบพื้นกระเบื้องขาว ทว่าทุกสิ่งที่กล่าวมากลับถูกกลบด้วยบรรยากาศเยียบเย็นอันตราย นัยน์ตารัตติกาลดำมืดจ้องสองผู้บุกรุกที่มัวแต่ยืนอึ้ง บอกเป็นนัยว่าอย่าคิดตุกติก

    “หึ... หึ... ได้แต่หลบอยู่หลังคนอื่น ปีศาจกระจอกแบบแกก็ทำได้แค่-”
    “ตึง!!!”
    “อั่ก!!”

    ฝ่าเท้าหนักยกขึ้นก่อนกระทืบอย่างแรงลงกลางศีรษะคนไม่สำนึก แรงกระแทกส่งผลให้หน้าผากคนใต้เท้าฟาดพื้นซ้ำแผลเก่า หยาดของเหลวสีแดงทิ้งร่องรอยบนพื้นดูสกปรก สองนักล่าปีศาจที่ยืนมองอยู่ทนไม่ไหว หมายจะเข้ามาจัดการคนป่วย ทว่าปีศาจกลับเร็วกว่า ใช้ร่างสูงใหญ่ของตนขวางกั้นไม่ให้นักล่าปีศาจถึงตัวมนุษย์

    “คนของข้าไม่เกี่ยวด้วย อย่ายุ่งกับเขา”

    น้ำเสียงกดต่ำกล่าวเตือน พร้อมนัยน์ตาดุสีอำพันวาววามอันตรายจ้องนิ่งไปที่สองนักล่าปีศาจ ท่าทางดุดันน่าเกรงขามของปีศาจในยามนี้ ช่างต่างกับช่วงถูกปรามาสถากถางลิบลับ ราวกับว่ามนุษย์ที่อยู่ข้างหลังร่างสูงใหญ่ จะเป็นเรื่องเดียวที่ปีศาจกินวิญญาณไม่ยอมใครหน้าไหนทั้งนั้น

    “ก็บอกแล้วว่าให้หนีไปสุดขอบโลก ทำไมไม่หนีเล่า คุณนักธุรกิจผมหงอก” จินที่เฝ้าดูเหตุการณ์เงียบ ๆ กล่าวหยอกล้อชายใต้เท้าบุคคลอันตราย
     “ทำไมต้องหนีไอ้ปี-”
    “ตึง!!!”
    “อั่ก!!” เพียงแค่พยางค์ต้องห้ามออกจากปาก ฝ่าเท้าหนักก็กระทืบซ้ำอีกครา ทว่าคราวนี้เป็นกลางแผ่นหลัง ส่งผลให้คนโดนโทษทัณฑ์จุกจนหมดเสียงโต้ตอบ
    “ได้ยินแว่ว ๆ พวกคุณเป็นนักล่าปีศาจสินะ ผมขอถามหน่อย หน่วยข่าวกรองของคุณไม่ได้เล่าเหรอว่าผู้คุมวิญญาณนั่นมันทำอะไรกับโนอาร์และก็คุณเอทอสบ้าง ที่โนอาร์ต้องเข้าโรง-”
    “จิน”

    เสียงเรียกชื่อจากปีศาจทำให้คนเผลอหลุดปากพูดบางสิ่งชะงัก จินลองลอบมองคนอันตราย พบว่า เจ้าของบรรยากาศเย็นยะเยือกดูจะไม่สนใจคำพูดเมื่อครู่ เขาถึงได้แอบถอนหายใจโล่งอก และในตอนนั้นเองที่ประตูห้องพักเปิดอีกครั้ง ครานี้เป็นนางพยาบาลที่ได้ยินเสียงตึงตังจึงได้ลองเข้ามาดู ซึ่งสภาพภายในห้องก็ทำให้เธอต้องถามเรื่องราวอย่างตกใจ

    “เกิดอะไรขึ้นคะ?!”
    “เอาออกไป เป็นผู้ดีซะเปล่า แต่มาสร้างปัญหาในโรงพยาบาล ชั้นต่ำ”

    ชายเลือดเย็นในชุดคนป่วยสั่งนางพยาบาลด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนแตะอัดคนใต้เท้าไปให้พ้นตัวราวกับอีกฝ่ายเป็นเชื่อโรคน่ารังเกียจ ซึ่งนางพยาบาลที่เพิ่งเห็นเหตุการณ์ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใด สิ่งที่เห็นกลับดูขัดกับคำพูดที่ได้ยิน เนื่องจากมีแค่คนก่อความวุ่นวายเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเจ็บตัว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำตามหน้าที่เชิญคนนอกออกไป ซึ่งนั่นก็ทำให้นางพยาบาลถึงกับต้องตกใจซ้ำสอง เมื่อหนึ่งในคนสร้างปัญหา เป็นถึงนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัทใหญ่ ทว่าที่สำคัญกว่าคืออีกฝ่ายศีรษะแตกเลือดไหลอาบอย่างน่ากลัว เห็นดังนั้นเธอจึงต้องรีบพาชายผมเงินไปปฐมพยาบาล

    เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบดังเดิม ชายเลือดเย็นไม่คิดปล่อยเรื่องราวผ่านพ้นโดยง่าย ซึ่งผู้ที่ต้องคอยตอบคำถามก็คือร่างสูงใหญ่ที่ถูกนัยน์ตารัตติกาลจ้องมองอย่างคาดคั้น

    “เมื่อเจ้าหายดี ข้าจะตอบทุกสิ่งที่เจ้าอยากรู้”
    “ผมหายดีแล้ว”
    “…”
    “เอทอส ผม-”
    “เจ้ารักข้าไหม?”
    
    การเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน ทำให้คนอยากรู้สับสนเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเอทอสต้องการสื่ออะไร ทว่าสุดท้ายมนุษย์ก็จำต้องตอบเมื่อถูกถามซ้ำอีกครั้ง

    “ผมรักคุณ”
    “รักมากพอที่จะอยู่กับข้าจนสิ้นอายุขัยไหม” ปีศาจถามต่อ
    “ผมรู้ว่าอายุขัยมนุษย์ไม่เพียงพอจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอด แต่ถึงผมจะตายก่อน วิญญาณผมจะอยู่กับคุณเสมอ”
    “ข้าก็เช่นกัน” เอทอสพึมพำแผ่วเบาเกินกว่าโนอาร์จะได้ยิน แล้วจึงเอ่ยเข้าเรื่องที่ต้องการบอกมนุษย์
    “เมื่อปีศาจเลือกคู่ของตนและต้องการครอบครอง ปีศาจจะผูกสัมพันธ์กับคู่ของตน” ร่างสูงใหญ่กล่าวพลางค่อย ๆ โอบเอวมนุษย์ตรงหน้าเข้ามาชิดตัว
    “…”
    “หากปีศาจและคู่ที่ปีศาจเลือกมีความรู้สึกตรงกันและแรงกล้ามากพอ จะก่อเกิดสัญลักษณ์ครองคู่แบบเดียวบนร่างกายของทั้งสอง เพื่อเป็นเครื่องหมายให้ปีศาจตนอื่นรู้ว่ามีคู่ครองแล้ว”

    ใบหน้าคมเข้มติดดุเริ่มก้มต่ำเข้าหาใบหน้าขาวเรียบนิ่งของมนุษย์ทีละน้อย จนเริ่มรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน
 
    “และถ้าการผูกสัมพันธ์สำเร็จ ความทรงจำในอดีตจะถูกแลกเปลี่ยนกัน แล้วเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งรวมถึงความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า”
    “…”
    “ข้าอยากรอให้ร่างกายเจ้าพร้อมก่อน เจ้าอดทนรอให้ถึงตอนนั้นได้หรือไม่”
    “…ผมจะรอ แต่ผมขอรู้ได้ไหมว่าผูกสัมพันธ์ของปีศาจเป็นยังไง”

    เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมืดมืดที่ยามนี้วาววามคล้ายมีหมู่ดาวมากมายแกล้งเอ่ยถาม แม้เขาจะพอคาดเดาคำตอบได้ แต่ก็อยากได้ยินคำยืนยันจากปีศาจเช่นกัน ดังนั้นสองแขนจึงโอบรอบลำคอแกร่ง เพื่อให้ฟังได้อย่างชัดเจน

    “การผูกสัมพันธ์ของปีศาจ หากเทียบกับของมนุษย์ก็คงเรียกว่า...”
    “…”
    “การร่วมรัก”

    เมื่อสิ้นเสียงทุ้มต่ำกระซิบแผ่วเบา สัมผัสร้อนนุ่มนวลจากร่างสูงใหญ่พลันกดลงบนกลีบปากนุ่มหยุ่นของมนุษย์ สัมผัสแนบแน่นบดเบียดขบเม้มชวนให้อวัยวะกลางอกเต้นแรง ก่อนที่ความรู้สึกอุ่นวาบจะกระจายไปทั่วร่าง เมื่อปลายลิ้นร้อนของปีศาจเข้ามาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับลิ้นนุ่มของมนุษย์ในโพรงปาก ลิ้นหนารัดรึงเก็บเกี่ยวจดจำทุกรสหวานให้ฝั่งลึก ทุกการเคลื่อนไหวแสดงออกถึงห้วงอารมณ์คะนึงหาผ่านภาษากายอย่างอ่อนโยน สัมผัสวาบหวามเนินนานก่อเกิดเสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจดังทั่วห้องพักสงบเงียบ หลงลืมใครบางคนที่ถูกปล่อยเบลอเป็นส่วนเกิน

    จินรู้สึกหน้าร้อนฉ่าเมื่อเห็นคู่รักต่างเผ่าพันธุ์แสดงความรักดูดดื่มต่อหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ตึงเครียดก่อนหน้า สุดท้ายถึงลงเอ่ยด้วยบทจูบลึกล่ำเช่นนี้ รวมถึงไม่อยากเชื่อด้วยว่า พ่อคนเลือดเย็นอย่างโนอาร์จะหลงคารมของคุณเอทอส จนถึงขนาดไม่รู้ว่าคุณเอทอสแค่อยากเบี่ยงเบนประเด็น ถ้าเป็นเขาต่อให้ใช้กล้องส่องทางไกลซูมดูจากอีกตึกหนึ่งยังรู้เลย!


    “เอทอส ผมขออนุญาตได้ไหม” มนุษย์ในอ้อมแขนแกร่งเอ่ยถาม หลังผ่านพ้นช่วงแห่งความหวาน
    “ขออะไร”
    “นะครับ”

    ปีศาจถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่เมื่อมนุษย์พูดจาคล้ายกำลังออดอ้อนเขา เป็นการกระทำที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะได้เห็นจากชายผู้กลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นอย่างโนอาร์ และนั่นก็ทำให้ร่างสูงใหญ่เผลอตอบรับโดยไม่รู้ตัว

    “อืม”
    “ผมอยากทำแผล”

    โนอาร์เอ่ยพลางชูหลังมือที่เลือดยังคงไหล เนื่องมาจากการกระชากสายน้ำเกลือ และนั่นถึงกับทำให้นัยน์ตาสีอำพันดุเบิกกว้างอย่างตกใจ รีบพามนุษย์มานั่งที่เตียงพร้อมตำหนิตัวเองในใจไปด้วย ที่มัวแต่หลงอยู่ในห้วงอารมณ์จนลืมไปว่าคนของเขาบาดเจ็บอยู่ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปตามพยาบาลมาทำแผล

    หลังห้องพักปราศจากเงาร่างสูงใหญ่ บรรยากาศบางเบาพลันเลือนหาย แทนที่ด้วยความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกจากคนบนเตียง ซึ่งนั่นทำให้คนพลอยได้รับผลกระทบอย่างจินถึงกับทำตัวไม่ถูก ลองลอบมองต้นเหตุความอึดอัด ก่อนพบว่าโนอาร์กำลังหยิบโทรศัพท์จากลิ้นชักข้างเตียง เพื่อโทรหาใครบางคน

    […] ปลายสายรับ ทว่ากลับเงียบไม่ยอมตอบ
    “หยกสบายดีไหม”
    [ต้องการอะไร?] น้ำเสียงนิ่งรีบตอบกลับทันที เมื่อได้ยินต้นสายถามถึงคนสำคัญ
    “มีคนให้จัดการ ข้อมูลจะส่งให้ในอีเมลภายในคืนนี้”
    [แปลก... น่าจะชอบลงมือเองมากกว่าไม่ใช่หรือไง]
    “คนแบบเดียวกัน คงรู้จุดอ่อนของกันดี ทำให้ตายทั้งเป็นก็พอ ถือเป็นการเปิดงานเทศกาล ส่วนฉากจบจะเป็นคนจัดให้เอง”

    ผู้ริเริ่มแผนการเลวร้ายกล่าวสรุปก่อนกดตัดสาย เพียงบทสนทนาสั้น ๆ ที่จินเผลอหลุดพูดกับพวกนักล่าปีศาจ ก็มากเพียงพอให้โนอาร์ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด

    วรรษ อดีตผู้ว่าจ้างคนล่าสุดของเขา อีกบทบาทหนึ่งคือผู้คุมวิญญาณ พี่ชายของสีครามเจ้าของร้านดอกไม้ เบื้องหน้าเป็นพี่ชายแสนดีเบื้องหลังกลับเลวร้ายไม่ต่างจากเขาเท่าไร เขาหาข้อมูลอดีตผู้ว่าจ้างรายนี้ทันทีหลังจบเรื่องคุยงานเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากเอทอสมีท่าทีไม่ไว้ใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรเพิ่มเติม
    จนกระทั่งปีศาจของเขาเริ่มมีท่าทีแปลกไปก่อนยอมเฉลยว่า เขากำลังโดนวิญญาณจ้องเล่นงาน ครานี้ประวัติผู้คุมวิญญาณถึงถูกสืบอย่างละเอียด เพราะมีโอกาสสูงที่จะเป็นตัวการ ตั้งใจว่าหลังจบงานฉลองวันเกิดให้เอทอสจะแวะไปเล่นด้วย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนชวนก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องตอบรับคำเชิญด้วยการจัดงานเทศกาลให้อย่างสาสม
    ทว่าจากเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่ เขาอาจต้องเชิญแขกคนพิเศษมาร่วมงานด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ภาคิน นักธุรกิจหนุ่มที่มีอีกบทบาทเป็นนักล่าปีศาจ โดยเขาหวังว่าทุกคนจะชื่นชอบงานที่เขากำลังจะเตรียมให้และจดจำไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ

    “จะบอกเอทอสก็ได้ เพราะไม่ใช่ความลับอะไร แต่รับรองว่าที่นั่งพิเศษสุดในงานที่กำลังเริ่ม จะเป็นของนาย จิน”

     น้ำเสียงเรียบนิ่งของเจ้าภาพงานเทศกาลเลวร้าย กล่าวเตือนใครอีกคนในห้อง ซึ่งคนถูกเรียกชื่อก็ได้แต่ส่ายหน้าระรัว ตอนนี้จินไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างโนอาร์กับคุณเอทอสใครกันแน่ที่หลงคารมอีกฝ่าย แต่ที่แน่คือเขาอยากขอโทษคุณเอทอส เพราะดูเหมือนการเผลอพูดของเขา จะทำให้โนอาร์พอคาดเดาเรื่องราวได้แล้ว
    ทว่าก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เขาอยากให้คุณเอทอสรีบกลับมาโดยเร็ว ก่อนที่เขาจะตายเพราะจิตสังหารเยือกเย็นของโนอาร์ ที่แผ่ออกมาไม่ยอมหยุด
    



บท23 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน

    ขอบคุณทุกคนอ่านที่เดินทางกันมาถึงตอนนี้นะครับ วันนี้ไม่มีอะไรพิเศษครับ แค่อยากลองถามคนอ่านว่า คนที่โนอาร์โทรหาน่าจะเป็นใครครับ เขาคนนั้นคือหายไปนานมากกก นานจนคนเขียนก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน 5555



หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 23 คารม) [31/07/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-07-2020 14:14:46
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 23 คารม) [31/07/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 31-07-2020 23:36:31
โนอาร์เอาคืนให้เอทอสหนักๆเลย
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 24 ครอบครัว]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 20-08-2020 17:49:33
    รถยนต์คันหรูขับเข้าหมู่บ้านจัดสรรในเวลาหัวค่ำ ก่อนหยุดอยู่หน้ารั้วใหญ่ของบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานคนดูแลบ้านก็วิ่งมาเปิดประตูให้รถของเจ้านายขับเข้าไป ภาคินสูดอากาศเข้าเล็กน้อยหลังจอดรถในตำแหน่งประจำ พลางมองรอยแผลบริเวณหน้าผากที่เพิ่งได้รับมาเมื่อช่วงเช้า เมื่อพร้อมจึงดับเครื่องยนต์และออกไปหาเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านที่คอยยืนรอต้อนรับ

    “ตายแล้ว! คุณภาคินเกิดอะไรขึ้นคะ?!”

    เสียงแม่บ้านคนหนึ่งร้องถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นคุณหนูของตนกลับมาพร้อมกับรอยแผลอีกแล้ว ซึ่งนั่นตรงกับปฏิกิริยาที่ชายผมเงินคาดการณ์ไว้ ภาคินได้แต่เพียงยิ้มตอบเล็กน้อยให้กับเหล่าสายตาหลายคู่ที่มองเขาด้วยความเป็นห่วง ก่อนเอ่ยตอบคำถาม

    “ผมซุ่มซ่ามไม่ดูทางเลยเดินชนป้ายเข้าน่ะครับ”
    “ให้หมอลองตรวจดูหรือยังครับคุณภาคิน ถ้ายังให้ผมเรียกคุณหมอให้ไหมครับ” พ่อบ้านอาวุโสคนหนึ่งถามต่อ
    “เรียบร้อยแล้วครับ ได้ยามาทานด้วย ขอบคุณครับ”

    คุณหนูที่บัดนี้เป็นชายหนุ่มตอบพร้อมโชว์ถุงยาให้ดู ก่อนกล่าวขอบคุณตบท้าย ส่งผลให้เหล่าคนที่เสมือนเป็นครอบครัวของเขาพอเบาใจ แล้วจึงชวนกันเข้าบ้านพักหลังใหญ่อบอุ่น

    เมื่อเดินมาถึงส่วนของห้องทานอาหาร บนโต๊ะกินข้าวล้วนเต็มไปด้วยมื้อค่ำของโปรดชายผมเงิน ทุกจานชามยังคงมีควันขาวลอยอ่อนพร้อมกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง บ่งบอกว่าอาหารเหล่านี้เพิ่งเตรียมเสร็จ สำหรับรอต้อนรับการกลับมาของเจ้าบ้านโดยเฉพาะ

     “มีแต่ของน่าทานทั้งนั้นเลย ขอบคุณครับ”

    ภาคินกล่าวขอบคุณด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม พร้อมนั่งลงตรงหัวโต๊ะเพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าที่เก้าอี้ว่างเปล่ารายล้อม แม้เขาจะเคยชวนให้เหล่าผู้ดูแลบ้านหลายครั้งให้มาทานร่วมกัน แต่สุดท้ายมักถูกปฏิเสธกลับเสียงแข็งเสมอ เนื่องเพราะความไม่เหมาะสมที่ลูกน้องจะนั่งเสมอนาย ถึงเขาจะย้ำว่าเห็นทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันและไม่เคยถือสาเรื่องเหล่านั้นเลยก็ตาม

    “งั้นคุณภาคินต้องทาน เยอะ ๆ เลยนะคะ”

    แม่บ้านผู้รับผิดชอบส่วนมื้ออาหารตอบกลับพร้อมรอยยิ้มดีใจ พลางคดข้าวสวยร้อนหอมกลิ่นที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ ๆ ลงบนจานด้านหน้าชายผมเงิน ภาคินค้อมหัวขอบคุณเล็กน้อยก่อนเริ่มทานมื้อเย็นรวบมื้อกลางวัน เสียงชมรสชาติไม่ขาดปากดังขึ้นตลอดมื้ออาหาร ก่อเกิดบรรยากาศอบอุ่นเล็ก ๆ ในบ้านพักหลังใหญ่ แม้บทบาทระหว่างกันจะเป็นเพียงเจ้านายและข้ารับใช้ ทว่าในความรู้สึกของทุกคนล้วนผูกพันแน่นแฟ้น ไม่ต่างจากคนในครอบครัวร่วมสายเลือด


“คุณภาคินครับ เพื่อนคุณภาคินมาขอพบครับ ตอนนี้กำลังรอในห้องรับแขก”

    พ่อบ้านคนหนึ่งกลับเข้ามารายงานที่ห้องอาหาร หลังปลีกตัวไปดูคนที่มากดกริ่งเมื่อครู่ เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มลุกออกจากโต๊ะทานข้าวพอดี ได้ยินดังนั้นภาคินจึงขอให้พ่อบ้านเชิญเพื่อนคนนั้นไปรอเขาที่ห้องทำงาน ส่วนเขาหลังจากช่วยแม่บ้านเก็บจานชามเรียบร้อยค่อยตามไป ซึ่งแน่นอนว่าแม่บ้านที่ได้ฟังต่างพากันปฏิเสธ และบอกให้คุณหนูของตนรีบไปพบเพื่อนเผื่อมีเรื่องด่วน ทว่าครานี้ชายผมเงินกลับยืนยันหนักแน่น พร้อมอ้างว่าหากมัวแต่ค้าน เพื่อนของเขาก็จะยิ่งรอนาน สุดท้ายเหล่าแม่บ้านจึงได้แต่ปล่อยให้คุณหนูทำตามใจ


    “แกร๊ก!”
    “พานักล่าปีศาจฝึกหัดไปด้วยแบบพลการ แล้วยังสร้างเรื่องอีก รู้สึกว่านายจะทำอะไรตามใจเกินไปไหม ภาคิน”

    เพื่อนร่วมงานในฐานะนักล่าปีศาจด้วยกัน กล่าวขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา เหตุการณ์ความวุ่นวายในโรงพยาบาลเมื่อช่วงกลางวัน กระจายไปทั่วในหมู่นักล่าปีศาจ ลำบากองค์กรต้องช่วยทำให้เรื่องเงียบ เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของกลุ่มนักล่าปีศาจในอนาคต โซคดีที่พวกนักล่าปีศาจฝึกหัดที่ถูกพาไปไม่ได้เป็นอะไร มิเช่นนั้นบทลงโทษที่เขาเอามาบอกคงได้หนักหนากว่านี้แน่

    “ที่พาไปเพราะอยากให้พวกนั้นได้ลองปฏิบัติ และอีกอย่างประเมินแล้วว่าปลอดภัย เพราะปีศาจเสแสร้งอย่างมันต้องไม่กล้าทำอะไรกลางฝูงชน”
    “แต่รีบเกินจนลืมเช็กอาการนักฆ่าที่ปีศาจเฝ้า ก็เลยหัวแตกกลับมา”
   “…”

    เพื่อนนักล่าปีศาจช่วยต่อประโยค พลางเหลือบมองรอยแผลตรงหน้าผากชายผมเงินเล็กน้อย ส่วนคนถูกเหน็บแนมก็ได้แต่นิ่งเงียบยอมรับความสะเพร่าของตน เห็นดังนั้นเพื่อนนักล่าปีศาจจึงยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนเอ่ยเข้าเรื่องที่เขามาในวันนี้

    “เวลามีข่าวเกี่ยวกับปีศาจนั่นนายชอบทำอะไรพลการเกินจำเป็น อย่างเรื่องเมื่อนานมาแล้วที่นายใส่ไฟจนมีนักล่าปีศาจหลายคนเชื่อ ถึงขั้นเริ่มแผนการกำจัดทั้งที่ปีศาจตนนั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
    “ตัดไฟทิ้งซะตั้งแต่ต้นลม ไม่ดีกว่าหรือไง” ภาคินเอ่ยแย้ง แววตาแข็งกร้าวยืนยันความคิดของตน
    “แล้วเรื่องสอดแนมที่นายอาสาทำ แต่กลับเอาไปใช้หาเรื่องปีศาจ กับเรื่องในโรงพยาบาลเมื่อกลางวันนี้ นายจะแก้ตัวยังไง”
    “…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบ เพื่อนนักล่าปีศาจจึงกล่าวต่อ
    “จากหลายเรื่องที่นายทำ กลุ่มนักล่าปีศาจเลยลงความเห็นว่า ต่อจากนี้นายห้ามทำงานที่เกี่ยวข้องกับปีศาจตนนั้นอีกทุกกรณี"
    “ไม่มีทาง!! ไม่ว่ายังไงมันต้องตายด้วยมือฉัน! ให้สาสมกับความระยำของมัน ความผิดของปีศาจที่ฆ่ามนุษย์คือต้องถูกกำจัด ฉันก็กำลังลากมันมารับโทษที่มันเคยทำอยู่นี่ไง แล้วทำไมพวกนายถึงเอาแต่คอยปกป้องมัน!!”

    ภาคินโต้กลับด้วยความโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความเครียดแค้นที่สั่งสมเป็นเวลานาน บรรยากาศดาลเดือดล้อมรอบกายต่างจากช่วงที่อยู่กับเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านราวกับเป็นคนละคน ไม่มีใครเคยรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของนักธุรกิจหนุ่มมากความสามารถ แท้จริงกลับเก็บซ่อนภูเขาไฟคุกกรุ่นพร้อมประทุตลอดเวลา มีเพียงกลุ่มนักล่าปีศาจเท่านั้นที่รับรู้ถึงมุมนี้ของชายผมเงินจนคุ้นชิน จึงทำให้การพูดตอบของเพื่อนนักล่าปีศาจยังคงน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม

    “นายจะคิดยังไงก็ช่าง แต่อย่าลืมว่ากลุ่มนักล่าปีศาจเรามีเกียรติ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรตามใจชอบ และเราคงไม่ปล่อยให้เกียรติถูกทำลายเพียงเพราะใครบางคนที่คุมอารมณ์ไม่อยู่” เพื่อนนักล่าปีศาจกล่าวพลางเดินไปหน้าประตูเมื่อหมดธุระ
    “…”
    “ส่วนเรื่องโทษที่ปีศาจทำร้ายผู้คุมวิญญาณ ฉันจะทำต่อเองอย่าได้ห่วง ระหว่างนี้นายก็เอาเวลาไปนั่งเขียนรายงานชี้แจงกลุ่มนักล่าปีศาจกับทบทวนความผิดตัวเองแล้วกัน ภาคิน”

    ผู้มาเยือนยามค่ำจากไปพร้อมแนะนำทิ้งท้าย ปล่อยให้คนที่กำลังคุกกรุ่นจมดิ่งอยู่ในห่วงอารมณ์โทสะที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมาเพียงลำพัง



    ณ ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาลที่มีบุคคลอันตรายพักรักษาตัวอยู่ บ่ายวันนี้คล้ายดูคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อศิลากับนาวาเป็นตัวแทนของเหล่าคนงานมาเยี่ยมให้กำลังใจคนรักของนายใหญ่ เสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากจากเด็กวัยรุ่นพูดเก่ง กลบบรรยากาศอึมครึมแสดงถึงความรำคาญของผู้ป่วยบนเตียงไม่มีเหลือ ถึงแม้โนอาร์จะพยายามทำหูทวนลมหรือแม้กระทั่งใช้สายตาข่มขู่อ้อม ๆ ก็ดูจะไม่มีผลกับเด็กคนนี้เลย จนสุดท้ายชายเลือดก็จำต้องทนฟังเสียงน่ารำคาญของนาวาต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

    โดยช่วงจังหวะหนึ่งโนอาร์ลองส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากปีศาจผู้เป็นที่รัก ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือนัยน์ตาดุสีอำพันแฝงความขบขัน และนั่นทำให้เขารู้ทันทีว่า ตัวการที่พาความวุ่นวายเข้ามาในห้องพักแสนสงบสุข ก็คือร่างสูงใหญ่ของเจ้าของสวนที่กำลังนั่งคุยงานกับเลขาตรงโซฟา

    “นี่พี่โนอาร์ ช่วงที่พี่ยังไม่ฟื้นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่อาเอทอสเอามาปลูกออกดอกแล้วนะ ผมเก็บมาฝากให้พี่โนอาร์ด้วยดูสิ สีน้ำเงินอมม่วงสวยมาก ขนาดผมเป็นพวกเฉย ๆ กับดอกไม้นะ เห็นครั้งแรกยังชอบเลย”

    นาวาพูดพลางโชว์ดอกกล้วยไม้ที่เพิ่งจัดใส่แจกันเสร็จให้คนบนเตียงดู แม้รูปร่างลักษณะตัวดอกจะไม่เหมือน แต่สีสันนั้นกลับคล้ายคลึงชวนให้นึกถึงดอกไม้ที่ชายเลือดเย็นเคยให้เป็นของขวัญปีศาจ ส่งผลให้คนบนเตียงเริ่มมีท่าทีสนใจ ก่อนรับแจกันที่มีดอกไม้นั้นมาถือเองเพื่อจะดูได้ถนัด ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เด็กวัยรุ่นเผลอเข้าใจว่าการชวนคุยของตนสำเร็จแล้ว จึงรีบสาธยายที่มาของดอกไม้ และนั่นทำให้นายใหญ่ของสวนที่กำลังคุยงานอยู่ไม่ไกล เผลอชะงักไปเล็กน้อย

    “ดอกกล้วยไม้เนี่ยอาเอทอสหวงมากเลยนะพี่โนอาร์ ไม่ยอมให้ขาย แล้วยังให้ลุง ๆ ป้า ๆ ช่วยดูแลอย่างดี แต่รู้ไหมพี่ ตอนผมขออาตัดดอกกล้วยไม้มาเยี่ยม อาเอทอสกลับคะยั้นคะยอให้ผมตัดดอกกล้วยไม้ที่อาโคตรหวง ผมว่าอาเอทอสตั้งใจเก็บไว้ให้พี่แหละ แต่เพราะต้องเฝ้าพี่โนอาร์ที่โรงพยาบาลตลอดเลยฝากผมเอามาให้พี่แทน”
    “นาวา”

    ศิลาเอ่ยปรามลูกชายเล็กน้อย ทว่าเจ้านายกลับโบกมือคล้ายไม่ถือสา ส่วนโนอาร์หลังฟังจบก็ละสายตาจากดอกกล้วยไม้ ก่อนหันมองร่างสูงใหญ่ตรงโซฟาที่แสร้งคุยกับศิลาต่อไม่สนใจเขา และนั่นส่งผลให้รอยยิ้มมุมปากเริ่มปรากฏบนใบหน้าเจ้าชายน้ำแข็ง ก่อนกล่าวตอบกลับนาวาเรื่องดอกไม้ ทว่ากลับทำให้นัยน์ตาดุสีอำพันของปีศาจที่กำลังลอบฟังอยู่ ดูอบอุ่นขึ้นระดับหนึ่ง

    “สวยมากขอบใจ มีดอกไม้จากสวนเป็นกำลังใจคิดว่าคงหายเร็วขึ้น”
    “ใช่พี่! พี่ต้องหายไว ๆ นะ ทุกคนที่สวนคิดถึงพี่โนอาร์กับอาเอทอสมากเลย”
    “อืม ทิ้งสวนไปนานคงต้องรีบกลับไปดูแล โดยเฉพาะกล้วยไม้ต้นนี้”


    กว่าห้องพักผู้ป่วยจะเงียบสงบอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงเย็นหลังศิลากับนาวาขอตัวกลับ บัดนี้ภายในห้องเหลือเพียงโนอาร์และเอทอส ส่วนคนรับหน้าที่เฝ้าประจำอย่างจินกลับหายตัวไร้วี่แวว ราวกับรู้ว่าวันนี้จะมีคนมาเยี่ยมผู้ป่วยอันตราย

    “ชอบมากหรือไง” ปีศาจเอ่ยถามมนุษย์ ที่มัวแต่มองแจกันตรงโต๊ะข้างโทรทัศน์ไม่วางตา
    “ดอกไม้จากคุณ ทำไมผมจะไม่ชอบ” มนุษย์เอ่ยพร้อมหันมาสบปีศาจ นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดดูอ่อนโยนเมื่อประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอำพัน
    “จากนาวา ไม่ใช่ข้า”
    
    เมื่อได้ยินคำค้าน โนอาร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจในความปากแข็งของปีศาจ ก่อนเอ่ยถามถึงของขวัญที่เขาเคยให้ เพราะทุกครั้งเมื่อเอทอสอยากทำอะไรเพื่อเขา มักเลียนแบบสิ่งที่เขาเคยทำให้ก่อนเสมอ อย่างเช่นคำพูด ข้อความ และคราวนี้เป็นดอกกล้วยไม้ ที่สีสันคล้ายคลึงกับดอกไม้ล่อลวงวิญญาณที่เขาเคยมอบเป็นของขวัญ มันย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ

    “แล้วคุณล่ะ ชอบของที่ผมให้หรือเปล่า” คำถามไร้ที่มาชวนให้สับสนว่าเจ้าตัวกำลังกล่าวถึงอะไร ทว่าปีศาจกลับเข้าใจสิ่งที่มนุษย์ต้องการสื่อทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลานึก
    “ข้าไม่ชอบที่เจ้าสรรหาของอันตรายต่อตัวเจ้ามาให้ข้า แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไป...”
    “…”
    “มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุด”

    รอยยิ้มมุมปากแบบฉบับชายเลือดเย็น พลันปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อได้ฟังคำตอบแบบอ้อมโลกของปีศาจ และเป็นช่วงเดียวกับที่เสียงเปิดประตูห้องพักดังขึ้น
    มนุษย์คาดว่าอาจเป็นนางพยาบาลที่เข้ามาตรวจเช็กตามหน้าที่ ทว่าความจริงผู้มาเยือนกลับเป็นชายหนุ่มไม่คุ้นหน้า และนั่นทำให้บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่ ถูกแทนที่ด้วยรังสีอึมครึมไม่เป็นมิตรจากทั้งร่างสูงใหญ่และผู้ป่วยบนเตียง

    “เมื่อไรจะหยุดรังควานข้าเสียที” น้ำเสียงนิ่งของปีศาจเอ่ยขึ้น
    “ต้องขอโทษด้วยสำหรับความวุ่นวายเมื่อวันก่อน เราสั่งห้ามนักล่าปีศาจคนนั้นให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณแล้ว แต่เรื่องที่คุณทำร้ายผู้คุมวิญญาณ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ปีศาจที่ทำร้ายมนุษย์ก็ต้องได้รับโทษ”
    “หมับ!”

    คำตอบที่ได้รับพลันเฉลยตัวตนแท้จริงของผู้มาเยือน พร้อมกับโนอาร์ที่หมายเข้าไปจัดการคนรนหาเรื่องทันที ทว่าครานี้กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของเอทอสรั้งแขนไว้ นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นหันมาจ้องร่างสูงใหญ่คล้ายถามเหตุผล แต่กลับได้เพียงการส่ายหน้าเชิงห้ามจากปีศาจเท่านั้น

    “ลงโทษยังไง ฆ่าข้า?” การคาดเดาของปีศาจ ทำให้บรรยากาศรอบตัวคนบนเตียงยิ่งเย็นยะเยือก พร้อมแรงขืนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าก็ยังไม่อาจหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของปีศาจข้างกาย
    “โทษตายใช้กับปีศาจที่สังหารมนุษย์ แต่คุณไม่ได้ถึงขั้นนั้น แค่ใส่เครื่องติดตามก็พอ”

    นักล่าปีศาจกล่าวพลางหยิบบางสิ่งขึ้นมา สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายปลอกคอเหล็กหนาสีดำสนิท มีจุดแสงสีเขียวแสดงสถานะ ของตรงหน้าเรียกคิ้วหนาบนใบหน้าคมของร่างสูงใหญ่ให้ขมวดเข้าหากัน ก่อนไม่นานเจ้าของอุปกรณ์จะช่วยขยายความเข้าใจ

    “ใส่เครื่องติดตามนี้ไว้ที่คอ มันจะบอกตำแหน่งทุกที่ที่คุณไป คุณยังสามารถหากินและใช้ชีวิตได้ปกติ พอถึงเวลาหนึ่งเมื่อเรามั่นใจว่าคุณไม่อันตราย เราจะส่งนักล่าปีศาจมาปลดเครื่องคิดตามให้คุณ แต่ถ้าระหว่างที่ใส่เครื่องติดตามอยู่แล้วคุณเกิดจู่โจมมนุษย์อีก ใบมีดที่ซ่อนอยู่รอบสายจะตัดคอคุณทันที”

    คำอธิบายการทำงานของเครื่องติดตามไม่ต่างจากเครื่องคุมความประพฤติ ที่หากทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจุดจบคือความตาย พลันเปลี่ยนให้อากาศภายในห้องลดต่ำลงจนคล้ายติดลบในความรู้สึก ต้นตอของความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกหาใช่คนอื่นไกล เจ้าของห้องพักที่กำลังจ้องนิ่งไปยังเหลือบไรที่ริอ่านตัดสินชีวิตปีศาจของเขา

    “ให้เอทอสใส่ของแบบนั้น จะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่าเครื่องนั่นจะไม่เกิดผิดพลาด และทำให้เอทอสตายปล่าว” น้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงความอันตรายของคนบนเตียงเอ่ยถาม
    “ทุกอุปกรณ์ของกลุ่มนักล่าปีศาจได้-”
    “หลัก ประ กัน คืออะไร?” โนอาร์กล่าวขัดเน้นเสียง ไม่คิดฟังคำพูดพร่ำเพ้อไร้สาระ
    “ขอเอาเกียรติของ-”
    “หลัก ประ กัน”
    “…”
    “ชีวิตเอทอสขึ้นอยู่กับเครื่องนี่ สิ่งที่เอามาประกันต้องมีค่าเทียบเท่าหรือมากกว่า ถ้าอยากให้ใส่นัก คนที่เอามาต้องใส่ด้วยเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน”
    “...หากยังพยายามขัดขืน ผมขอเตือนว่าบทลงโทษปีศาจของคุณอาจไม่ใช่แค่ใส่เครื่องติดตาม”
    “แค่ใส่ปลอกคอนั่นก็พอใช่ไหม”
    “เอทอส!”

    เอทอสที่เงียบฟังอยู่นาน เอ่ยขัดเพื่อยุติเรื่องราวพร้อมกับรับเครื่องติดตามจากนักล่าปีศาจมาสำรวจครู่หนึ่ง ก่อนสวมใส่ที่คอของตนท่ามกลางสายตาค้านของนัยน์ตารัตติกาล ส่วนนักล่าปีศาจเมื่อเห็นปีศาจยอมทำตามแต่โดยดี จึงบอกระยะเวลาถอดเครื่องติดตามว่าคืออีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจนัยน์ตาดำมืดอันตรายของคนบนเตียงที่จับจ้องเอาชีวิต

    “คุณไม่จำเป็นต้องทำตาม” โนอาร์ติปีศาจข้างกาย พลางขมวดคิ้วมุ่นมองสิ่งแปลกปลอมตรงลำคอแกร่งด้วยความไม่พอใจ
    “ข้าทำผิดก็ต้องรับโทษ นักล่าปีศาจนั่นแค่ทำตามหน้าที่”
    “คุณไว้ใจได้ยังไง กี่ครั้งแล้วที่พวกนักล่าปีศาจพยายามจะกำจัดคุณ”
    “เพราะกลิ่นอายวิญญาณของนักล่าปีศาจเมื่อครู่มันมีแต่กลิ่นอายบริสุทธิ์ ต่างกับเจ้าที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงขึ้นทุกวินาที เท่านี้ก็มากพอที่จะยืนยันแล้วว่าเจ้านั่นไม่ได้โกหก”

    ปีศาจตอบกลับพลางแกล้งเหน็บแนมมนุษย์เล็กน้อย ทว่าโนอาร์ยามนี้จริงจังเกินกว่าจะเล่นด้วย เห็นดังนั้นเอทอสจึงวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ ก่อนยีเบา ๆ คล้ายกำลังกล่อมเด็ก และแน่นอนสิ่งที่ได้รับย่อมเป็นสายตาเคืองจากคนที่กำลังถูกเล่นหัว แต่ถึงจะไม่ชอบใจ โนอาร์ก็ไม่คิดปัดฝ่ามือใหญ่ทิ้ง

    “อย่าเป็นเด็กเอาแต่ใจ แค่เดือนเดียวปลอกคอนี่ก็ถูกถอดแล้ว”
    “ผมไม่เชื่อว่าพวกนักล่าปีศาจจะรักษาคำพูด”

    หลังได้ฟัง เอทอสก็ได้แต่ถอนหายใจกับความคิดแง่ร้ายของโนอาร์ ที่เดือดร้อนเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวเขาที่เป็นเจ้าของเรื่องเสียอีก และดูเหมือนยามนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ชายผู้แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาลคงไม่ฟังเขาแล้วเช่นกัน ฉะนั้นร่างสูงใหญ่จึงทำได้เพียงใช้ฝ่ามือลูบปลอบคนบนเตียง เพื่อหวังให้จิตใจดำมืดนั้นสงบลง



    ในช่วงเวลาเดียวกันทว่าต่างสถานที่ ณ ห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลในตัวเมืองแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังนั่งทบทวนข้อมูลรายละเอียดบนหน้าจอด้วยท่าทีเคร่งขรึม ซึ่งค่ำคืนนี้ เป็นวันที่เขาต้องลงมือตามคำสั่งในอีเมลจากบุคคลอันตราย และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาต้องเตรียมตัวแล้วเช่นกัน

    มังกรพับโน้ตบุ๊กเก็บลงกระเป๋าพลางสำรวจข้าวของเล็กน้อย แล้วจึงลุกไปหาคนสำคัญที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย แววตาชายหนุ่มมองหญิงสาวผู้เสมือนเป็นโลกทั้งใบด้วยความอ่อนโยน พลางค่อย ๆ ก้มลงจุมพิตบนริมฝีปากอิ่มแผ่วเบาปราศจากการรุกล้ำ ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึก

    “กรไปทำงานก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมา” ชายหนุ่มกล่าวลาคนรัก ก่อนออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน


    เมื่อลงมาถึงบริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล มังกรก็พบกับคนที่อีเมลระบุว่าเป็นผู้ช่วยเขาในงานนี้ ทว่าจากสายตาของชายหนุ่ม เขาไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะสามารถพึ่งพาได้มากเท่าไรนัก

    “นายชื่อมังกรสินะ ฉันจิน เป็นทั้งพ่อค้าและก็ผู้คุมวิญญาณ ฉันโดนโนอาร์บังคับมาน่ะ โคตรซวยเงินก็ไม่ได้ ถ้านายใจดีจะเจียดค่าจ้างให้ฉันหน่อยก็ได้นะ”

    คำแนะนำตัวจากเพื่อนร่วมงาน เรียกสายตาดูแคลนให้กับมังกร ทีแรกชายหนุ่มคิดว่าโนอาร์ตั้งใจส่งคนมาเพื่อจับตาดูเขา แต่จากท่าทางและคำพูดจาไม่ค่อยเต็มของอีกฝ่ายแล้ว บางทีเขาอาจจะแค่คิดมากไป

    “หึ... ผู้คุมวิญญาณ... นายชอบดูหนังพ่อมดแม่มดใช่ไหม”
    “...นายรู้ได้ไง!?”

    คนถูกคาดเดานิ่งไปสักพัก ก่อนเบิกตากว้างพร้อมถามกลับด้วยความตกใจ ทว่ากลับได้เพียงเสียงหัวในลำคอสั้น ๆ ก่อนมังกรจะตัดบทโดยการบอกให้ไปเอารถพร้อมเดินนำไป ปล่อยจินที่มัวแต่ยืนอึ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเมื่อคนหัวเราะเยาะทิ้งห่างไปสักพัก จินที่แสร้งทำเป็นตกใจจึงกลับมาทำสีหน้าปกติเช่นเดิมและค่อยเดินตาม โดยระหว่างทางไม่วายต่อว่าโนอาร์ในใจ เรื่องไม่ยอมบอกเขาว่าชายเมื่อครู่เป็นแค่คนธรรมดา ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นตัวตลกพูดจาเพ้อเจ้อในสายตาอีกฝ่ายไปแล้ว



     ความมืดในยามค่ำคืนดึกสงัดเข้าปกคลุม ช่วยอำพรางรถยนต์สองคันที่จอดห่างจากบ้านเป้าหมายไม่มากนัก มังกรและจินต่างลงจากรถในชุดสีดำสนิทพร้อมหมวกคลุมปกปิดใบหน้ามิดชิด ซึ่งของเหล่านี้ดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนักในสายตาของจิน เนื่องจากสิ่งที่ต้องพยายามหลบซ่อนไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเหล่าวิญญาณรับใช้ที่รายล้อมตัวบ้านต่างหาก
    ทว่าเหตุผลที่จินยังยอมใส่ตามก็เพราะ ไม่อยากถูกอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดเหมือนครั้งที่โรงพยาบาลก็เท่านั้น

    “นี่นายใส่ไอ้นี่ด้วยสิ” จินเรียกชายหนุ่มที่กำลังดูลาดเลา ก่อนยื่นสร้อยเส้นหนึ่งให้
    “อะไร?”
    “ใส่ ๆ ไปเถอะน่า คิดว่าเป็นเครื่องรางแล้วกัน”

    ด้วยเพราะไม่อยากเสียเวลาถกเถียงไร้สาระ มังกรจึงตัดรำคาญด้วยการรับสร้อยดังกล่าวมาสวม ก่อนเดินนำไปยังบ้านเป้าหมายที่ปลูกต้นไม้ล้อมรอบหนาทึบ มิหนำซ้ำไฟบ้านทั้งหลังยังดับสนิทชวนให้รู้สึกพิศวง

    มังกรและจินค่อย ๆ ก้าวเท้าระมัดระวังจนในที่สุดก็สามารถปีนข้ามรั้วไม้เข้ามาในเขตบ้านได้ ท่ามกลางสายตาวิญญาณรับใช้ที่ต่างจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว เหตุเพราะบางสิ่งที่คนทั้งสองสวมอยู่ ทำให้พวกตนไม่อาจเล่นงานหรือขับไล่ผู้บุกรุก

    “มังกร นายเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวจัดการข้างนอกเสร็จแล้วจะตามไป”

    จินเอ่ยพลางตบตัวถังน้ำมันที่ถืออยู่เบา ๆ ซึ่งนั่นทำให้ใครอีกคนเข้าใจความหมายในทันที มังกรพยักหน้าเล็กน้อยก่อนย่างเท้าแผ่วเบาเข้าไปในตัวบ้าน เนื่องจากคำสั่งที่ต้องทำในคืนนี้มีด้วยกันสองอย่างคือ หนึ่ง ลักพาตัวน้องชายของคนที่ชื่อวรรษ และสอง เผาสถานที่แห่งนี้อย่าให้เหลือซาก

    “ไปบอกนายเร็ว พวกนี้มันไม่ใช่โจรปกติ” วิญญาณรับใช่ตนหนึ่งเอ่ยขึ้น
    “อย่าเลย มันเสียเวลาตามไล่จับนะ อยู่รวม ๆ กันแบบนี้แหละจะได้จัดการรอบเดียว”

    เสียงพูดแทรกส่งผลให้เหล่าวิญญาณรับใช้ต่างนิ่งอึ้ง หยุดมองชายหนุ่มที่กำลังวางถังน้ำมันลง ก่อนหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซึ่งของในมือโจรขโมยขึ้นบ้านนั้น กลุ่มวิญญาณรับใช้ต่างเห็นและรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นอุปกรณ์แบบเดียวกับที่เจ้านายใช้เวลาต้องการกักขังลงโทษพวกตน

    “ผู้คุมวิญญาณที่เล่นงานโนอาร์ได้ ไม่น่าจะมีวิญญาณรับใช้ที่อ่อนแอและจำนวนน้อยขนาดนี้นิ อย่าบอกนะว่าพวกตนที่แข็งแกร่งโดนคุณเอทอสจับกินไปหมดแล้ว แบบนี้ก็เอาไปขายไม่ค่อยได้ราคาสิ”

    จินเอ่ยขึ้นพลางแสร้งทำหน้าเสียดาย ซึ่งถ้อยคำคล้ายดูแคลน กลับสร้างความโมโหให้เหล่าวิญญาณรับใช้อย่างมาก ไม่นานการปะทะกันระหว่างหนึ่งผู้คุมวิญญาณกับกลุ่มวิญญาณรับใช้ก็เริ่มขึ้น ทว่าวินาทีต่อมาทุกอย่างพลันจบลงอย่างง่ายดาย ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว

    “คุกเข่า”
    “ตึง!!”

    วิญญาณรับใช้รอบบริเวณ พลันเข่าทรุดกระแทกพื้นอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้ อวัยวะโปร่งแสงทุกส่วนคล้ายถูกพันธนาการด้วยบางสิ่งหมดสิ้นหนทางต่อต้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันหลังผู้บุกรุกเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเรียบสั้นธรรมดา ทว่ากลับบังคับควบคุมวิญญาณทั้งหมดได้ในคราวเดียว

    “อย่าบังคับให้ออกคำสั่งสิ คุมวิญญาณหลายดวงพร้อมกันมันก็กินแรงเหมือนกันนะ มาญาติดีกันไว้ดีกว่า เพราะคงต้องอยู่ด้วยกันนานเลยล่ะ มา! งั้นเริ่มที่ตนแรกแล้วกัน ชื่ออะไรเหรอ? แล้วมีความสามารถพิเศษอะไรไหม?”

    จินพูดหยอกล้อกับเหล่าวิญญาณรับใช้ ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นสินค้าทำเงินให้กับเขา ก่อนเริ่มเก็บพลางประเมินเกรดราคาวิญญาณแต่ละดวงอย่างไม่ทุกข์ร้อน ขัดกับสีหน้าซีดเผือดของวิญญาณบางตน ที่ยังคงตกตะลึงและไม่อยากเชื่อว่า ชายหนุ่มท่าทางขี้เล่นไร้พิษสงนี้ แท้จริงกลับมีพลังเทียบเท่ากับเจ้านาย



(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 24 ครอบครัว]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 20-08-2020 17:57:55
(ต่อ)

    “แกร๊ก!”    

    เสียงสะเดาะกลอนประตูแผ่วเบา ตามด้วยเงาร่างชายหนุ่มลอบเข้ามาในบ้านพักมืดสนิท มังกรมองสำรวจผ่านบรรยากาศสลัวโดยรอบ พลางย่างเท้าไร้เสียงไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเงียบกับสถานที่ไม่คุ้นชินหรือไม่ เขาถึงรู้สึกคล้ายกำลังถูกสายตาจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

    “ขวับ!”

    มังกรหันกลับฉับพลันขณะกำลังก้าวขึ้นบันได เมื่อรู้สึกเหมือนเห็นเงาบางสิ่งขยับเคลื่อนไหวตรงหางตา ทว่าหลังพยายามมองหาต้นตอสักพัก เขากลับไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงหันกลับมาเตรียมขึ้นบันไดอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้มังกรเผลอตกใจจนหลุดสะดุ้ง เมื่อทางขึ้นสู่ด้านบนที่ควรโล่ง กลับมีเงาร่างของใครบางคนมายืนประจันหน้าชิดตัวเขา จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดใส่

    “ผัวะ!!”
    “อั่ก!! อะ... อาก..”

    ไม่ทันได้ตั้งตัว หมัดหนักจากร่างเงาก็พุ่งเข้าใส่สันกรามของมังกรในทันที ชายหนุ่มเซถอยไปเล็กน้อยทว่ายังไม่ทันตั้งหลัก เสี้ยววินาทีต่อมาบริเวณลำคอกลับคล้ายถูกบางอย่างบีบรัดอย่างแรง พร้อมกับร่างที่ค่อย ๆ ถูกยกให้ขึ้นจนเท้าไปติดพื้น

    มังกรพยายามใช้มือควานหาตัวการในความมืดตามสัญชาตญาณ แต่แล้วกลับต้องรู้สึกตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าเขากำลังถูกบีบคอและลอยอยู่กลางอากาศโดด ๆ ไร้ซึ่งผู้กระทำ

    “เครื่องป้องกันแบบนี้ มันใช้กันได้แค่วิญญาณระดับต่ำ เตรียมตัวมาดีนิ แต่ยังดีไม่พอ”

    เสียงจากร่างเงาเอ่ยขึ้น ก่อนกระชากสายสร้อยที่ผู้บุกรุกคล้องไว้ออกและปาทิ้งไปด้านข้าง ด้วยระยะที่ใกล้กัน ทำให้มังกรพอมองเห็นหน้าอีกฝ่ายผ่านเงามืดได้ราง ๆ ซึ่งชายเบื้องหน้าก็เป็นคนเดียวกับที่เขาคาดการณ์ไว้ วรรษ พี่ชายของคนที่เขาต้องลักพาตัว

    “มีกันกี่คน และคิดยังไงถึงกล้าเลือกขโมยที่นี่” เจ้าบ้านเอ่ยถามผู้บุกรุกที่กำลังขาดอากาศหายใจ
    “พรึบ!”
    “พลั่ก!!”
    “อั่ก!”

     มังกรอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ยกเท้าถีบ ทว่าวรรษกลับรู้ทันเอี้ยวตัวหลบ ก่อนสวนคืนด้วยหมัดชกเข้าไปกลางท้อง แรงอัดรุนแรงผสานแรงบีบตรงลำคอที่มากขึ้นทุกขณะ ส่งผลให้มังกรจุกจนแทบประคองสติไว้ไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนี้หลุดมือ

    “หมับ!”
    “ผัวะ!!!”

    ฝ่ามือหนึ่งคว้าจับที่คอเสื้อวรรษไว้แน่น ก่อนมืออีกข้างจะล้วงหยิบปืนที่เหน็บไว้ทางด้านหลัง ฟาดใส่ข้างขมับชายตรงหน้าอย่างจัง การโต้กลับไม่คาดคิดถึงกับทำให้วรรษเสียหลักล้มลง พร้อมความรู้สึกคล้ายของเหลวหนืดค่อย ๆ ไหลผ่านกรอบหน้า ทว่าเพียงครู่เดียวความเจ็บบริเวณข้างขมับก็พลันหาย เนื่องด้วยผลของมนตร์มืด และไม่นานเจ้าบ้านก็กลับมายืนได้อีกครั้ง พร้อมตั้งท่าเตรียมเอาคืน

    “โครม!!!!!”
    “ตุ้บ!!”
    “อะ... แฮ่ก.. แฮ่ก...”

    เสียงดังสนั่นจากประตูบ้านที่อยู่ ๆ ก็ถูกพังจากทางด้านนอก พร้อมกับเงาของใครบางคนวิ่งเข้ามาสาดบางสิ่งใส่วิญญาณรับใช้ ซึ่งนั่นทำให้วิญญาณจำต้องถอยห่างและปล่อยร่างผู้บุกรุกร่วงลงกระแทกพื้น เนื่องเพราะความเจ็บปวดจากของเหลวที่กำลังกัดกร่อนร่างโปร่งแสง

    “อะ! อันนี้แบบใหม่ดีกว่าเดิม เท่านี้ระดับเจ้าพวกนั้นก็ทำอะไรนายไม่ได้แล้ว”

    จินจับแขนคนที่กำลังนอนไอหอบอากาศหายใจ ก่อนใส่กำไลโซ่คุ้มกันให้แล้วจึงหันดูหน้าผู้คุมวิญญาณ ผู้ที่ถูกโนอาร์เลือกเป็นของเล่นชิ้นโปรด เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่ไฟทั่วบ้านพลันสว่างวาบ ทำให้คนทั้งสามต้องหรี่ตาปรับแสงชั่วขณะ และเมื่อสามารถกลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้ง ในที่สุดชายผู้เป็นเป้าหมายหลักของค่ำคืนก็เผยตัวลงมาจากชั้นบน

    “พวกคุณเป็นใคร!! ออกไปจากบ้านพวกเราเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ”

    ถ้อยคำขู่ไร้ซึ่งความน่ายำเกรง ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยหัดพูดไร้เดียงสาสำหรับสองผู้บุกรุก จินมองไปยังเป้าหมายที่ยืนอยู่กลางบันได ทันเห็นวิญญาณหญิงสาวตนหนึ่งข้างตัวสีคราม ถ้าหากให้คาดเดา คงเป็นวิญญาณรับใช้ที่วรรษสั่งให้คอยดูแลน้องชาย และก็น่าเศร้า ที่อีกไม่ช้าสิ่งคุ้มครองจะกลายเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาเล่นงานแบบไม่ให้ตั้งตัว เมื่อสิ่งนั้นกำลังอยู่ต่อหน้าศัตรูที่สามารถควบคุมมันได้เช่นเขา

    เรียวนิ้วของจินชี้ไปยังคนที่หยุดยืนอยู่กลางบันได การกระทำไร้สาเหตุสร้างความสับสนให้กับคนโดยรอบเล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำพูดเรียบสั้น ทว่านั่นกลับทำให้นัยน์ตาของผู้คุมวิญญาณเจ้าของสถานที่เผลอเบิกกว้างขึ้นหนึ่งระดับ ด้วยความตกใจไม่คาดคิด

    “จับ”
    “หยุด!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!!!!!”

    สองคำสั่งขัดแย้งช่วงชิงกันควบคุมร่างกายโปร่งแสง ส่งผลให้วิญญาณหญิงสาวที่เป็นตัวกลางถูกพลังจากผู้คุมวิญญาณทั้งสองบดขยี้ ความทรมานรวดร้าวราวกับถูกแผ่นเหล็กหนาบีบอัดด้วยแรงมหาศาล มากเกินกว่าที่ดวงวิญญาณธรรมดาจะฝืนรับไหว ไม่นานร่างโปร่งแสงจึงพลันสลายเหลือเพียงดวงไฟเล็กไร้พลัง

    “นาย... เป็นผู้คุมวิญญาณ?”

    วรรษเอ่ยถามชายตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้เหตุการณ์เมื่อครู่จะถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วก็ตาม ทว่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าหาใช่เรื่องตัวตนแท้จริงของอีกฝ่าย แต่เป็นพลังควบคุมวิญญาณเหลือล้น เพราะในบรรดาเหล่าผู้คุมวิญญาณด้วยกัน น้อยคนนักที่จะสามารถใช้คำสั่งกับวิญญาณรับใช้ของผู้อื่นได้ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเขา และดูเหมือนว่าจะมีอีกหนึ่งคนตรงหน้านี้

    “ผู้คุมวิญญาณอะไร? เพ้อเจ้อ! พวกเราแค่จะมาเอาตัวน้องชายนาย ส่งมาดี ๆ และเก็บแรงไว้รอเรื่องต่อจากนี้ดีกว่า”

    จินเอ่ยปฏิเสธทันควัน เนื่องเพราะเขาจะไม่ยอมถูกมองเป็นตัวประหลาดซ้ำสองเด็ดขาด ก่อนเอ่ยถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ พร้อมให้คำแนะนำผู้คุมวิญญาณที่กำลังตกอยู่ในเกมของโนอาร์ด้วยความหวังดี ทว่าถ้อยคำดังกล่าวกลับให้ผลตรงข้ามแทน

    “จะพาสีครามไปเหรอ ไม่มีทาง... จัดกา-”

    ด้วยเพราะรู้ว่าแท้จริงน้องชายกำลังตกเป็นเหยื่อ วรรษที่พยายามควบคุมอารมณ์อยู่ตลอด จึงเผลอหลุดปล่อยให้โทสะครอบงำ เผยความคิดสั่งการวิญญาณรับใช้ให้สังหารสองผู้บุกรุก และนั่นเป็นผลให้คำสาปของปีศาจทำงาน เปลวเพลิงสีนิลพลันลุกท่วมร่างไม่ทันที่วรรษได้ออกคำสั่ง ซึ่งไฟของปีศาจนี้มีเพียงจินเท่านั้นที่มองเห็น ส่วนมังกรกับสีครามเพียงเห็นว่าชายหนุ่มที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อยู่ ๆ กลับนิ่งเงียบไป

    “พี่วรรษ?”

    สีครามเอ่ยถามอย่างสับสน เมื่อเห็นพี่ชายเดินขึ้นมาหา ไร้ซึ่งความสนใจต่อสองผู้บุกรุกที่ยืนอยู่ด้านล่าง จนเมื่อระยะห่างระหว่างสองพี่น้องหมดลง เรื่องไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น

    “โอ้ย!! พี่วรรษ! ผม-”
    “ปึง!!!”
    “ปึง!!!!”
    “พะ..”
     “ปึง!!!!”

    ฝ่ามือพี่ชายแสนดีกำจิกกระชากผมน้องชาย ก่อนจับเหวี่ยงโขกอัดกำแพงไร้ความปรานี หยาดหยดเลือดสดสีแดงเปื้อนเปรอะติดผนังมากขึ้นทุกครั้งหลังยามสิ้นเสียงกระแทก แว่วเสียงเจ็บปวดร้องถามจากน้องชายด้วยความไม่เข้าใจ คล้ายเหมือนจะไม่มีวันไปถึงจิตใจพี่ชายที่ถูกครอบงำ

    ภาพเหตุการณ์สลดเบื้องหน้าทำให้สองผู้บุกรุกได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง จินแทบไม่อยากเชื่อว่าปีศาจใจดีอย่างคุณเอทอส จะเป็นผู้ร่ายคำสาปโหดร้ายนี้แก่ผู้คุมวิญญาณ ส่วนมังกรหลังหลุดจากห้วงอารมณ์ของความตกใจ ความรู้สึกใหม่ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นความโกรธถึงขีดสุด จนต้องระบายผ่านฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำแน่น แววตาแข็งกร้าวดุดันมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความชิงชัง ยามนึกถึงข้อมูลในอีเมลที่โนอาร์ส่งมา ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นบอกถึงความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว
    ทว่าจากภาพตรงหน้า มังกรเห็นเพียงสีครามเท่านั้นที่ยังคงรักและห่วงใยพี่ชาย แม้ตัวเองจะถูกทำร้ายสาหัส ส่วนคนพี่อย่างวรรษ เขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความดำมืด

    “ผมขอร้อง ได้โปรดช่วยคุณสี-”
    “ผัวะ!!!!”
    “ตึง!!”

    ไม่ทันที่หนึ่งในวิญญาณรับใช้จะเอ่ยขอร้องจินจบ มังกรที่อยู่ข้างกันกลับพุ่งตรงเข้าไปหาวรรษ ใช้มือกระชากอีกฝ่ายออกจากตัวน้องชาย พร้อมต่อยอัดเข้าไปที่กลางหน้าสุดแรงจนอีกฝ่ายล้มลงกับขั้นบันได ก่อนชายหนุ่มจะรีบเข้าไปอุ้มประคองสีครามที่ถูกทำร้ายสาหัสจนสิ้นสติ

    “ไอ้ชั่ว!!! นี่น้องชายที่มึงรักไม่ใช่เหรอ?! มึงทำกับน้องมึงแบบนี้ได้ยังไง!!!!”
    “ผัวะ!! พลั่ก!! ตุบ!!!”

    คำด่าทอจากผู้ที่โกรธเกรี้ยว และฝ่าเท้าหนักที่เตะกระทืบลงมาหยุด เรียกสติของผู้คุมวิญญาณให้หวนคืน วรรษพยายามมองลอดผ่านแขนที่ยกขึ้นป้องกัน พยายามคิดทบทวนความทรงจำก่อนที่จะดับวูบไปเพราะคำสาป แต่ยังไม่ทันจะนึกได้ สภาพน้องชายใบหน้าชุ่มเลือดเละเทะ ก็พลันเหมือนน้ำเย็นจัดสาดใส่จนทั่วร่างชาไร้ความรู้สึก โดยเฉพาะจิตใจที่ร่วงหล่นจมดิ่งสู่ทะเลเยือกแข็ง

    “สีคราม... พี่...”
    “ผัว!!!”
    “มึงยังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่อีกเหรอ!! ไอ้สารเลว!!!!”

    วรรษพยายามเปล่งเสียงเรียกและเอื้อมมือไปหาน้องชาย ทว่ากลับถูกเท้าหนักของมังกรถีบใส่อย่างจัง ก่อนจะตามด้วยคำตะคอกด่าและการกระทืบซ้ำอีกหลายครั้ง สุดท้ายจินต้องเข้ามาห้ามปราม คนฟิวส์ขาดถึงยอมหยุด

    “กูจะทำให้น้องมึงตาสว่างจากพี่ชั่ว ๆ อย่างมึง อย่าหวังว่าชาตินี้มึงจะได้ทำเรื่องระยำพรรณ์นี้อีกเลย ไอ้สวะ!”
    “ถุย!”

    มังกรพ่นคำด่าหยาบคายส่งท้าย ก่อนถ่มน้ำลายใส่ขยะเศษเดนในสายตา แล้วจึงอุ้มพาร่างหมดสติของสีครามจากไป ส่งผลให้ยามนี้เหลือเพียงจินและผู้คุมวิญญาณในสภาพสะบักสะบอม

    “นายน่ะไม่น่าไปยุ่งกับโนอาร์เลยนะ ต่อจากนี้ชีวิตนายคงไม่ต่างจากอยู่ในนรกแล้วล่ะ เพราะหมอนั่นคงไม่ยอมปล่อยนายไปแน่ ๆ แล้วสิ่งที่นายจะเจอมันมีแต่จะหนักขึ้น”
    “…”
    “พวกวิญญาณรับใช้ของนาย ฉันขอหมดเลยแล้วกัน และนายก็รีบออกมาจากบ้านด้วยล่ะ เพราะอีกไม่นานที่นี่จะถูกเผา ฉันไปละ ขอให้โนอาร์เบื่อนายเร็ว ๆ โชคดี”

    หลังจินกล่าวลาผู้คุมวิญญาณเรียบร้อยและเดินออกไปสักพัก ไม่นานรอบบ้านก็เริ่มสว่างขึ้นจากแสงไฟสีส้มที่ค่อย ๆ ลุกลามขยายกลืนกินตัวบ้าน พร้อมกับวรรษลุกขึ้นยืน เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติด้วยผลจากมนตร์มืด

    ผู้คุมวิญญาณมองส่งบ้านเต็มเปี่ยมด้วยความทรงจำซึ่งตอนนี้กำลังถูกเพลิงแผดเผาด้วยสายตาว่างเปล่า มองรอยเลือดตรงกำแพงด้วยจิตใจระทมทุกข์เจ็บช้ำเกินทน มองฝ่ามือติดสั่นของตนเองที่ยังคงหลงเหลือคราบเลือดฝั่งเป็นตราบาป แล้วก็ได้แต่เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาท่ามกลางเปลวไฟและหมอกควันห้อมล้อมรอบกายว่า ความรู้สึกเจียนแตกสลายนี้...

    ใช่แบบเดียวกับที่ปีศาจเคยบอกไว้หรือเปล่า?



    [ทุกอย่างเรียบร้อย]
    “อืม”
    [เรื่องคนที่พามา ขอจัดการเองได้ไหม]
   “ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ ถ้าน่าพอใจ จะทำอะไรก็ทำไป”
    [ถ้าหมายถึงทำให้คนชื่อวรรษนั่นมันทรมานละก็ ไม่ต้องห่วง]
    “จะรอดู”
    “ติ้ด!”

    โนอาร์ตอบกลับเรียบสั้นก่อนรีบกดตัดสาย หลังฟังรายงานทางโทรศัพท์เรียบร้อย เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นคุ้นเคยเจือจางภายในห้องพักมืดสนิท ทว่ากลิ่นนี้มันไม่ควรมีอยู่ที่นี่ กลิ่นของควันไหม้และคาวเลือด

    “นี่ใช่ไหม ที่เจ้าขอข้า” เสียงทุ้มหนักของปีศาจที่นอนเฝ้าอยู่ตรงโซฟาเอ่ยขึ้น
    “ครับ”
    “ผู้คุมวิญญาณนั่นทำเจ้าก่อน ข้าคงไม่มีสิทธิ์ห้ามถ้าเจ้าอยากเอาคืน”
    “พรึบ!”
   “เอทอส คุณ...”

    สิ้นเสียงปีศาจ ไฟห้องพักพลันสว่างเมื่อคนบนเตียงกดเปิดสวิตช์ แสงจากหลอดไฟเผยให้เห็นต้นตอของกลิ่นที่มนุษย์รู้สึก บัดนี้ร่างสูงใหญ่ของปีศาจเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยไหม้ บริเวณข้างขมับมีเลือดซึมไหลตามกรอบหน้าเป็นทาง อาการบาดเจ็บโดยไม่ทราบสาเหตุของปีศาจผู้เป็นที่รัก ถึงกับทำให้โนอาร์นิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนวินาทีต่อมาชายเลือดเย็นจะรีบลงจากเตียงเพื่อไปหาปีศาจ โดยไม่สนใจฟังเสียงค้านของเอทอส

    “เจ้าทำสายน้ำเกลือหลุดอีกแล้ว” เอทอสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระอา ก่อนเอื้อมมือไปหยิบผ้ามาซับเลือดที่ซึมตรงหลังมือของมนุษย์
    “ผมไม่เป็นไร แต่คุณต่างหากที่เป็น เกิดอะไรขึ้นกับคุณ เอทอส”

    เสียงเรียบนิ่งจากชายเลือดเย็นเอ่ยถาม ขัดกลับนัยน์ตารัตติกาลฉายชัดถึงความเป็นห่วง ยามมองรอยแผลตามตัวปีศาจ ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยลักษณะคล้ายถูกความร้อนเผาไหม้ และน่าแปลกที่อาการบาดเจ็บของปีศาจ ค่อนข้างสัมพันธ์กับสิ่งที่ได้ฟังจากรายงานทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ซึ่งความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนี้ ก็มากพอให้โนอาร์สามารถคาดเดาเรื่องราว

    “ผู้คุมวิญญาณนั่นทำอะไรคุณ”
    “เจ้านั่นไม่ได้ทำ ข้าต่างหากที่เต็มใจรับมันเอง”
    “รับ? ผมไม่เข้าใจ”
    “เจ้าคิดว่าแผลแค่นี้จะสะเทือนข้าหรือไง พอถึงตอนเช้าก็หายหมด”

    เอทอสเอ่ยตัดบทพลางขยับร่างกายโชว์ เพื่อแสดงให้โนอาร์เห็นว่าเขาไม่ได้เจ็บหนักอย่างที่คิด ทว่าเรียวคิ้วบนใบหน้าของมนุษย์ก็ยังคงขมวดมุ่นเช่นเดิม ก่อนไม่นานชายเลือดเย็นจะลุกไปหยิบโทรศัพท์เรียกรถดับเพลิงและรถพยาบาล ให้ไปยังจุดเกิดเหตุที่เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง เพราะคาดว่านี่อาจช่วยลดจำนวนบาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างสูงใหญ่ได้

    “ถึงข้าจะหลุดปากอนุญาตเจ้าไปแล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเอาคนนอกเข้ามาเกี่ยวด้วย”

    ปีศาจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อเห็นว่ามนุษย์วางโทรศัพท์เรียบร้อย โดยเหตุผลของคำพูดเนื่องเพราะ การที่โนอาร์สามารถลงมือกับผู้คุมวิญญาณได้ ย่อมหมายความว่ามนุษย์รวบรวมข้อมูลของอีกฝ่ายจนมากพอแล้ว และนั่นเป็นไปไม่ได้เลยที่โนอาร์จะไม่รู้ว่าสีครามมนุษย์รุ่นน้องของเขา เป็นน้องชายของคนที่ตนเองกำลังจัดการ
    
    “ไม่ต้องห่วงครับ คนที่ผมดึงเข้ามาด้วยเป็นคนใน ไม่ใช่คนนอก” มนุษย์กล่าวตอบ พร้อมกลับมาดูอาการปีศาจตรงโซฟาอีกครั้ง
    “โนอาร์”

    เอทอสเรียกชื่อเชิงปราม ทว่าขณะนี้โนอาร์ดูสนใจกับการเช็ดรอยเลือดหลงเหลือจากบาดแผลข้างขมับปีศาจ ที่เพิ่งหยุดไหลมากกว่าสิ่งอื่นใด ฝ่ามือขาวค่อย ๆ ดันกรอบหน้าคมดุให้เงยขึ้นสบนัยน์ตารัตติกาลมืดมิด พลางไล่ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มสากอย่างนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยเริ่มปรากกฎ

    ทุกการขยับเคลื่อนไหวของมนุษย์เบื้องหน้าล้วนแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ตรงข้ามกับกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี ทว่ากลิ่นอายดังกล่าวกลับยิ่งหอมหวนน่าดึงดูดในความรู้สึกของปีศาจ ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ได้แต่นิ่งฟังคำของมนุษย์คล้ายถูกมนตร์สะกด โดยไม่อาจเอ่ยคัดค้านหรือปฏิเสธ

    “เรื่องคนใน ตอนนี้มีคนของผมขอจัดการแทน ปลอดภัยกว่าอยู่กับผมแน่นอนคุณไม่ต้องกังวล”
    “…”
   “แต่ถ้าผมรู้ทีหลังว่าคนในนั่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องรอยแผลตามตัวของคุณ ผมไม่รับปากนะครับว่า...”
    “สีครามจะปลอดภัย”
    


บท24 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน


(https://www.bloggang.com/data/poungchompoo/picture/1424062249.jpg)


    Vanda coerulea หรือ ฟ้ามุ่ย เป็นดอกกล้วยไม้ที่เอทอสเก็บไว้ให้โนอาร์ครับ เป็นหนึ่งในกล้วยไม้ที่ชื่อว่าสวยที่สุดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคเหนือ ออกดอกช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม (เหมือนบอกคนอ่านเป็นนัย ๆ ว่าเวลาของเอทอสเหลืออยู่ประมาณกี่เดือน)
(อ้างอิง: https://memorywithp.wordpress.com/2016/02/08/%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2-vanda-coerulea/ (https://memorywithp.wordpress.com/2016/02/08/%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2-vanda-coerulea/))


    บทนี้คนเขียนตั้งใจให้คนอ่านเห็นมุมครอบครัวของแต่ละคนตามชื่อบทเลยครับ เริ่มด้วยภาคินกับกลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน เอทอสโนอาร์กับเหล่าคนงานสวนรฦกวัลย์(เสริมจินด้วย ถึงจินจะดูเหมือนเป็นเพื่อนข้างเดียวของโนอาร์ก็ตามครับ ) มังกรกับหยก และก็วรรษกับสีคราม เพื่อให้คนอ่านได้เห็นภาพกว้าง ๆ ก่อนงานเทศกาลที่ไม่มีใครอยากเข้าร่วมของโนอาร์จะเริ่มขึ้นครับ (จริง ๆ คือเริ่มแล้วครับ โดยบ้านของวรรษถูกเลือกให้เป็นสถานที่เปิดงาน)


     สุดท้ายคนอ่านบางท่านอาจสงสัยเรื่องเอทอสเป็นคนร่ายคำสาปเองแท้ ๆ แต่ทำไมถึงยังเป็นห่วงสีคราม คนเขียนขอไขข้อสงสัยนี้นะครับ เหตุผลก็เพราะ คำสาปที่เอทอสร่ายที่จริงต้องแค่ให้วรรษทำร้ายสีครามแบบเล็กน้อยครับ เช่น สมมติวรรษถูกคำสาปครอบงำแล้วตีสีคราม จะตีแค่ครั้งเดียว หรือถ้าได้ยินเสียงสีครามร้องว่าเจ็บ คำสาปหยุดลงทันทีครับ

    แต่เหตุที่คำสาปมันรุนแรงกว่าที่เอทอสตั้งใจไว้มาก เป็นเพราะตอนที่ร่ายคำสาปคราวนั้น เสี้ยวความคิดหนึ่งในใจลึก ๆ เอทอสอยากให้วรรษรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาเป็นครับ มันเลยทำให้ผลของคำสาปยิ่งรุนแรง และแน่นอนว่าเอทอสก็ไม่รู้ตัวครับว่าเผลอทำอะไรลงไป และพอมารู้ทีหลังเอทอสต้องรู้สึก... รู้สึกแบบไหน? ฝากคนอ่านติดตามเรื่องราวของเอทอสโนอาร์ในตอนต่อ ๆ ไปด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ^^  :laugh:



:bye2:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 24 ครอบครัว) [20/08/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 21-08-2020 00:31:44
เมื่อไรที่วรรษเลิกคิดไม่ดีน่ะแหละ คำสาปถึงจะค่อยหาย ทำตัวเองชัดๆ โนอาร์ตื่นมาก็เล่นบทโหดเลย
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 25 ควบคุม]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 10-09-2020 00:41:02
    

    ‘ว้าว!! นี่บ้านพี่วรรษเหรอ น่าอยู่จังแต่ปลูกต้นไม้ล้อมบ้านอย่างกับป่าแน่ะ’

    เสียงชื่นชมจากน้องชายเอ่ยขึ้น ขณะเดินสำรวจบ้านหลังใหม่ของพี่ชายอย่างตื่นเต้น บ้านสองชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกรายล้อมด้วยเหล่าต้นไม้มากมายหลายชนิดจนอาจเรียกได้ว่ามีแรงบันดาลใจเป็นบ้านกลางป่าก็ไม่เชิง ซึ่งที่พักอาศัยแห่งนี้เพิ่งถูกสร้างเสร็จด้วยเงินที่พี่ชายอ้างว่าไปลงทุนในธุรกิจหนึ่งและได้กำไร

    ทีแรกเมื่อได้ฟังสีครามไม่อยากเชื่อ มิหนำซ้ำยังกังวลว่าพี่ชายอาจทำเรื่องผิดกฎหมายถึงได้มีเงินเหลือเก็บจนนำมาสร้างบ้านได้หลังทำงานไม่ถึงปี ทว่าเมื่อพยายามคาดคั้นคำตอบ และได้คำปฏิเสธเสียงแข็งผสานการส่ายหน้ารวดเร็วแสดงถึงความบริสุทธิ์จากพี่ชาย สีครามถึงได้วางใจ

    ‘แล้วตอนเด็กใครบอกถ้ามีบ้าน จะปลูกต้นไม้แบบไม่ให้เหลือที่เดินกัน’ วรรษที่เดินตาม กล่าวเหน็บแนมคำพูดสมัยเด็กของน้องชาย
    ‘แต่นี่มันบ้านพี่นะ พี่จะทำตามคำพูดผมทำไมเล่า’
    ‘ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเสียหน่อย ถ้าทุกอย่างที่นี่เป็นแบบที่พี่ชอบหมด คนแถวนี้คงได้อึดอัดพอดี’
 
    คำพูดสื่อความนัยถึงกับทำให้คนกำลังเดินขึ้นชั้นสองของบ้านชะงัก ก่อนหันกลับมาหาพี่ชาย วรรษเพียงส่งยิ้มเล็กน้อยให้กับน้องชายที่มองเขาด้วยความสับสน และเป็นฝ่ายก้าวนำอีกฝ่ายจนมาหยุดอยู่ ณ ชั้นบนที่แบ่งออกเป็นสองห้อง

    ‘เลือกเลยว่าอยากนอนห้องไหน’ เจ้าบ้านพูดกับน้องชายที่ยังคงนิ่งเงียบตั้งแต่เมื่อครู่
    ‘พี่วรรษ...’
    ‘พี่เคยบอกแล้วไง ว่าสักวันพี่จะมีบ้านเป็นของตัวเองและพาสีครามมาอยู่ด้วย’

    วรรษคลี่ยิ้มบางก่อนพูดถึงคำสัญญาในวัยเยาว์ ชวนให้นึกถึงเรื่องราวในสมัยเด็กที่ไม่น่าจดจำ ช่วงที่เขาและสีครามต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าคับแคบไร้ซึ่งความสงบและอบอุ่น มีเพียงเสียงด่าทอใส่กันของสองผู้ให้กำเนิด ผสมเสียงข้าวของที่ถูกขว้างทำลายเพื่อระบายอารมณ์ทุกวี่วัน หากโชคร้ายบางวันเขาและน้องชายอาจกลายเป็นที่ระบายแทนสิ่งของพวกนั้น

    คำสัญญาของพี่ชายเกิดขึ้นในวันที่สองพี่น้องต้องพลัดพราก เมื่อสองผู้ให้กำเนิดไม่อาจทนอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ก่อนแยกจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองยังไม่วายมีปากเสียงเรื่องเกี่ยงกันรับเลี้ยงดูเด็กที่เกิดจากความคะนองพลาดพลั้ง ซึ่งผลสุดท้ายสีครามจำต้องไปกับมารดาที่ถูกผีพนันเข้าสิง และเขาจำต้องอยู่กับบิดาติดเหล้าไม่เอาถ่าน กว่าสองพี่น้องจะได้เป็นอิสระ และได้กลับมาพบกันอีกครา เวลาก็ล่วงเลยนานนับสิบปีจนพวกเขาโตพอจนสามารถพึ่งพาตนเองได้

    ‘เลิกนอนในร้านแคบ ๆ ได้แล-’

    ไม่ทันวรรษได้พูดจบ สีครามก็พุ่งเข้ากอดพี่ชายผู้เสมือนเป็นคนในครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว ความตื้นตันกลั่นเป็นหยาดน้ำใสไหลรินเงียบงัน โดยมีเสื้อของพี่ชายแสนดีคอยซึมซับ วรรษเลือกที่จะไม่เอื้อนเอ่ยคำใดเพื่อปลอบประโลม เพียงยกแขนกอดตอบแผ่วเบาพลางโยกตัวเล็กน้อยกล่อมน้องชายที่กำลังอ่อนไหว โดยภายในใจของชายหนุ่มผู้พี่ตั้งมั่นปฏิญาณว่าต่อจากนี้ไป ชีวิตของเราสองพี่น้องจะมีแต่ความสุข



    ความสุข...

    ขณะนี้วรรษกำลังยืนมองสิ่งก่อสร้างที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขด้วยสายตาว่างเปล่า เปลวเพลิงสีเหลืองส้มแผดเผากลืนกินเกินเยียวยา แม้จะมีสายน้ำจากเจ้าหน้าที่คอยระดมฉีดดับไฟ ทว่าสิ่งหลงเหลือคงมีเพียงเศษซากไหม้เกรียม ย้ำเตือนถึงความสูญเสียมากมายในค่ำคืนให้ฝังแน่นลึกกับความทรงจำ

    “พอจะเล่าเหตุการณ์คร่าว ๆ ได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น”

    เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเข้ามาถามเจ้าบ้าน หลังเจ้าหน้าที่พยาบาลตรวจเช็กอาการบาดเจ็บจนเรียบร้อย ซึ่งหน้าแปลกเพราะตามร่างผู้เสียหายกลับไม่พบร่องรอยบาดแผลใด ๆ เลย นอกเสียจากคราบเขม่าควันดำที่ติดตามตัว

    “มีคนร้ายสองคนบุกเข้ามาแล้วจับตัวน้องชายผมไป” ชายหนุ่มพูดตอบโดยสายตาไม่ละไปจากอดีตบ้านที่เหลือเพียงซากสีดำ
    “ช่วงนี้ได้มีปัญหากับใครหรือเปล่าครับ หรือพอจะสงสัยใครเป็นพิเศษไหมครับ”
    “โนอาร์ คนสนิทของเจ้าของสวนรฦกวัลย์ ได้ยินคนร้ายหลุดพูดชื่อว่าโนอาร์ ผมมั่นใจว่าชายคนนั้นต้องเป็นคนสั่งการเรื่องนี้”
    “เช่นนั้นผมขอรบกวนคุณไปให้รายละเอียดผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมที่สถานีสักครู่นะครับ”

    เมื่อได้ฟังเบาะแสสำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกล่าวเชิญผู้เสียหายไปยังสถานีเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งชายหนุ่มก็ให้ความร่วมมือโดยดี ทว่าแท้จริงวรรษเพียงแค่ทำตามพอเป็นพิธีเท่านั้น เนื่องจากเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีทางจับตัวโนอาร์มาดำเนินคดีได้แน่ ซึ่งนั่นก็เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์ เพราะหลังจากคำให้การในวันนั้น คดีก็ไม่มีความคืบหน้าอีกเลย เหตุเพราะไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงเบาะแสของสองคนร้ายก็เลือนหายเข้ากลีบเมฆไปเช่นกัน


    แม้จะถูกช่วงชิงวิญญาณรับใช้ที่เปรียบเสมือนแขนขาไปจนหมด ทว่าไม่นานผู้คุมวิญญาณก็รวบรวมกลุ่มวิญญาณรับใช้ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง โดยครานี้ทุกตนล้วนแข็งแกร่งและมีไหวพริบพอจะทำงานเองได้โดยที่เจ้านายไม่ต้องสั่ง เป็นวิญญาณรับใช้กลุ่มใหม่ที่มีทักษะความสามารถเหนือกว่ากลุ่มเก่าที่เคยมีอย่างก้าวกระโดด
    ซึ่งนอกจากการพัฒนาเรื่องวิญญาณรับใช้แล้ว ยามนี้วรรษก็เริ่มควบคุมความคิดและอารมณ์ของตนได้แล้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้คำสาปเลวร้ายของปีศาจแผลงฤทธิ์อีก

    “ยังไม่พบกลิ่นอายของคุณสีคราม หรือคนที่จับตัวคุณสีครามไปเลยครับนาย”

    วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งรายงานผู้เป็นนาย ด้วยถ้อยคำเดิมดั่งที่เคยรายงานมาตลอดหลายวัน วรรษเพียงพยักหน้ารับฟังเล็กน้อย ก่อนสะบัดมือคล้ายไล่ ทว่าวิญญาณรับใช้รู้ดีว่านั่นแทนคำสั่งให้ตนออกตามหาร่องรอยของคุณสีครามต่อไป ดังนั้นวิญญาณรับใช้ที่อดีตเคยเป็นนักโทษประหารจึงค้อมตัวแสดงความเคารพเล็กน้อยก่อนจางหายไป

    นับจากเหตุเพลิงไหม้ ยามนี้เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่การตามหาตัวน้องชายของผู้คุมวิญญาณจบลงด้วยความล้มเหลว สาเหตุหนึ่งวรรษมั่นใจว่าเป็นเพราะ หนึ่งในคนลักพาตัวสีครามที่เป็นผู้คุมวิญญาณเช่นเดียวกับเขา อีกฝ่ายต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อลบกลิ่นอาย จนทำให้เหล่าวิญญาณรับใช้ของเขาหาไม่พบแน่นอน
    
    เห็นจะมีเพียงแต่ตัวการอย่างโนอาร์ที่ไม่เคยคิดหลบซ่อนตัวตน ราวกับกำลังเย้ยหยันทางอ้อมว่าเขาไม่มีปัญญาทำอะไรได้ ซึ่งนั่นเป็นความจริง เขาไม่สามารถออกคำสั่งกับวิญญาณรับใช้ให้จัดการอีกฝ่ายเพราะติดผลของคำสาป แม้สีครามจะไม่อยู่ แสดงว่าเขาไม่มีสิ่งสำคัญให้ทำลาย ทว่าคำสาปจะควบคุมเขาอยู่อย่างนั้นจนกว่าร่างกายของเขาจะอ่อนล้าและหมดสติไป นั่นเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่เขาคิดส่งวิญญาณไปจัดการโนอาร์ สติของเขาจะเลือนหาย กว่าจะรู้สึกตัวก็อีกหนึ่งถึงสองวันหลังจากนั้น

    ถึงแม้มีคำสาปคอยขัดขวางก็ไม่อาจทำให้ผู้คุมวิญญาณยอมแพ้ วรรษเลี่ยงคำสาปโดยสั่งการให้วิญญาณรับใช้ไปสอดส่องโนอาร์แทน ซึ่งก็มีวิญญาณบางตนฉลาดพอจะเข้าใจความต้องการแอบแฝงของเขา ทว่าแม้วิธีนี้คำสาปจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่กลับพบอุปสรรคหนักหนากว่าเดิมแทน เพราะหลังรับคำสั่ง ไม่มีวิญญาณสักตนที่ออกไปแล้วมีโอกาสกลับมารายงานเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวิญญาณทุกตนที่เขาส่งไป ถูกปีศาจที่คอยอยู่ข้างกายโนอาร์กลืนกินทั้งหมด
    ด้วยเหตุนี้ผู้คุมวิญญาณจึงทำได้เพียงคอยส่งวิญญาณรับใช้ออกตามหาน้องชาย และได้แต่ปล่อยให้ตัวการลอยนวลอย่างเจ็บใจ โดยไม่อาจแตะต้องหรือทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย



    ณ นอกเขตเมือง มีบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างสันโดษบนที่ดินผืนกว้างห่างไกลผู้คน ต้นไม้ตามธรรมชาติกับหญ้าวัชพืชขึ้นจับจองเติมเต็มที่โล่งไม่ได้ใช้สอยมานาน ส่งผลให้บ้านเดี่ยวถูกรายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวคล้ายเป็นบ้านกลางสวนตัดขาดจากโลกภายนอกก็ไม่ปาน ทางเชื่อมติดต่อกับตัวเมืองเห็นจะมีเพียงถนนลูกรังดินแดงที่ทอดยาวสุดสายตา สื่อเป็นนัยว่าการเข้าออกพื้นที่จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะช่วยทุ่นแรง หากไม่มีแล้วที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างจากคุกกักกันสมบูรณ์แบบ และใช่ น้องชายที่ผู้คุมวิญญาณเพียรตามหาถูกพามาหลบซ่อนอยู่ที่นี่

    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูหน้าบ้าน ก่อนตามด้วยชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมเดินเข้ามา มือของผู้มาใหม่ข้างหนึ่งเต็มไปด้วยเหล่าเนื้อและผักสำหรับประกอบอาหาร ส่วนอีกข้างถือกล่องข้าวจากร้านในตัวเมือง ก่อนนำของทั้งหมดวางบนโต๊ะกินข้าว ท่ามกลางสายตาของสีครามที่ยังคงมองชายแปลกหน้าอย่างระแวง

    “คุณต้องการอะไรกันแน่ครับ?”
 
    สีครามเอ่ยถามชายผู้เป็นคนลักพาตัวเขามาด้วยความสับสน หลังเขาฟื้นจากการถูกพี่วรรษทำร้ายและพบว่าตัวเองถูกพามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ คนลักพาตัวได้แนะนำตัวเองว่าชื่อมังกร กลับเป็นผู้คอยรักษาพยาบาลเขาจนหายดี ไร้ซึ่งการคุกคามฝืนบังคับ มิหนำซ้ำยังปฏิบัติตัวดีกับเขา คอยซื้อของใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นเข้ามาให้อยู่บ่อยครั้ง ผิดวิสัยโจรผู้ร้ายทั่วไปควรเป็น

    “ช่วยนายจากพี่สารเลวนั่นไง”

    มังกรตอบพลางเก็บเนื้อสัตว์และผักแช่ตู้เย็น เผื่อสำหรับให้อีกฝ่ายไว้ทำอาหารกินเองในวันที่เขาไม่มา ถึงบ้านหลังนี้จะห่างไกลตัวเมืองและผู้คน แต่ก็ไม่ได้กันดารถึงขั้นน้ำและไฟฟ้าเข้าไม่ถึง นอกจากตู้เย็นแล้วก็ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ อย่าง โทรทัศน์ พัดลม เครื่องปรับอากาศ หรือแม้กระทั่งเครื่องซักผ้า ขาดก็แต่เพียงโทรศัพท์ไว้สำหรับติดต่อกับโลกภายนอก
    หากมองภาพรวมแล้วที่แห่งนี้เปรียบได้กับสรวงสวรรค์ สุขสบายกว่าสถานที่ของโนอาร์ที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นไหน ๆ

    “คุณกำลังเข้าใจผิด พี่วรรษไม่ใช่คนแบบนั้น”
    “เหรอ? แล้วที่หัวแตกใครล่ะเป็นคนทำ”
    “…”

    สีครามได้แต่นิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำตอบ มังกรเดินกลับมาหลังจัดเรียงของเข้าตู้เรียบร้อย แล้วจึงนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสีคราม ก่อนวางกล่องข้าวที่ซื้อจากตัวเมืองบนโต๊ะกลางที่คั่นระหว่างเขากลับอีกฝ่าย

    “กินสิ ไม่ได้ใส่ยาพิษ ถ้าฉันจะทำอะไรนายจริง นายคงไม่ได้อยู่สบายจนถึงตอนนี้หรอก” มังกรเอ่ยดักทางคนมั่วแต่มองหน้าเขาสลับกับกล่องข้าว
    “แล้วคุณล่ะ ทำไมไม่กิน” สีครามถามกลับ พลางมองไปยังกล่องข้าวอีกสองกล่องในถุงเบื้องหน้าอีกฝ่าย
    “เอาไว้กินพร้อมกับเขา เห็นแอบดูเมนูร้านนี้ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่ยอมมาขอกันตรง ๆ สักที ไม่รู้จะเกรงใจทำไม”

    มังกรตอบกลับด้วยถ้อยคำติดบ่นคล้ายรำคาญคนที่ตนกล่าวถึง ทว่าแววตาและน้ำเสียงยามพูดถึงใครคนนั้นกลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นปนเอ็นดู จนคนนอกอย่างสีครามยังสัมผัสได้ถึงความรักที่ชายตรงหน้ามีให้กับคนสำคัญ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้สีครามรู้สึกสับสนว่าตกลงอีกฝ่ายเป็นคนดีหรือร้ายกันแน่

    “สนใจเรื่องของตัวเองเถอะ กินเสร็จแล้วเอานี่ไปดูซะ จะได้ตาสว่างว่านายถูกพี่เลวนั่นหลอกอะไรบ้าง”

    ชายหนุ่มเอ่ยกลับเข้าเรื่องพร้อมท่าทีที่กลับมาเคร่งขรึมดังเดิม ก่อนวางซองเอกสารรวบรวมความดำมืดของวรรษพี่ชายแสนดีที่ลอบทำลับหลังน้องชาย แล้วจึงเดินออกจากบ้านไป

    หลังเสียงรถยนต์ที่ขับออกจากบ้านพักโดดเดี่ยว เริ่มห่างไกลทีละน้อยจนเงียบหายไปในที่สุด สีครามจึงหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ขึ้นมาดู ด้านในมีเอกสารมากมายรวมกับรูปภาพและ Flash Drive เก็บข้อมูล ทีแรกน้องชายผู้เชื่อมั่น ต้องการเพียงหาข้อโต้แย้งเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของพี่ชาย ทว่าเมื่อลองอ่านเนื้อหาในเอกสาร ความลับที่ถูกเปิดเผยกลับฉุดดึงผู้เป็นน้องจมลงสู่ห้วงความจริงอันมืดมิด ค่อย ๆ สั่นคลอนเสาหลักภาพจำพี่ชายในจิตใจ คล้ายมีค้อนทุบทำลายฐานเสาให้ไหวเอน จนสักวันหนึ่งอาจพังทลายลงมาเหลือแต่เพียงความผิดหวังเสียใจในตัวพี่ชายที่เคยแสนดี



    ขณะที่ใครหลายคนถูกกักขังควบคุม อาทิวรรษที่ถูกคำสาปจำกัดความคิด สีครามอาศัยในบ้านหลังเดี่ยวเพียงลำพังห่างไกลสังคม หรือกระทั่งภาคินที่โดนกีดกันเรื่องของปีศาจ ทว่าตัวการต้นตอแห่งความเลวร้ายกลับกำลังได้รับอิสระ ความล้มเหลวในแผนสังหารชายผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงที่สุดของผู้คุมวิญญาณ นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะยามนี้โนอาร์ได้หวนคืนสู่ตำแหน่งที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้อีก ยกเว้นเพียง... ปีศาจกินวิญญาณข้างกาย

    “ผมอยากได้เข็มขัดอาวุธคืน”
    “แค่ลงไปซื้อของ จะเอาไปทำไม”

    เอทอสเอ่ยพลางปิดลิ้นชักหน้ารถที่เก็บเข็มขัดของมนุษย์ไว้ ท่ามกลางสายตาค้านของโนอาร์ที่ได้แต่เพียงมองเข็มขัดคู่กายโดยไม่อาจแตะต้อง ตอนนี้หนึ่งมนุษย์และปีศาจอยู่ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อแวะซื้อของกินของใช้กลับเข้าบ้านพักทรงไทยประยุกต์ที่ถูกปล่อยร้างไร้ผู้อาศัยมานาน และใช่ วันนี้อดีตคนป่วยได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล

    “อย่ามัวเสียเวลา เดี๋ยวถึงบ้านมืดค่ำพอดี”

    ร่างสูงใหญ่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับเอ่ยขึ้นก่อนก้าวลงจากรถ ส่งผลให้มนุษย์ผู้ถูกขัดใจต้องลงตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหนึ่งมนุษย์และปีศาจเดินออกจากลานจอดรถเข้าสู่ตัวอาคาร รูปร่างโดดเด่นเฉพาะกว่าคนทั่วไปของทั้งสอง ย่อมเรียกสายตาใครต่อใครให้เผลอชื่นชม

    คนหนึ่งสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้ม นัยน์สีอำพันติดดุหายากผสานผิวแทนกำยำชวนให้รู้สึกเร่าร้อน ส่วนอีกคนข้างกันแม้จะดูผ่ายผอมเล็กน้อย เนื่องจากต้องนอนพักรักษาตัวเป็นเวลานาน ทว่าผิวพรรณขาวสะอาด ใบหน้าเรียบนิ่งสื่อถึงความทะนงตน และบรรยากาศเยียบเย็นที่แผ่ออกมาโดยรอบ ล้วนทำให้ชายผู้นี้ดุจเจ้าชายแห่งเหมันต์กาลที่ไม่ควรเข้าใกล้ เพราะอาจถูกเยือกแข็งตายโดยไม่รู้ตัว

    “หมับ!”
    “เลิกปล่อยจิตสังหารเย็น ๆ นั่นเสียที พวกมนุษย์เกรงเจ้ากันหมดแล้ว”

    ปีศาจเอ่ยด้วยท่าทีรำคาญ ก่อนคว้าจับมือของมนุษย์ข้างกายเป็นเชิงปราม เหตุเพราะโนอาร์เล่นแผ่รังสีคุกคามทุกคนที่เดินผ่านไปมาแล้วลอบมองเขา ราวกับเด็กที่อยากแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ซึ่งถือว่าการตัดสินใจของปีศาจนั้นได้ผลชะงัด เพราะหลังมนุษย์ขอเปลี่ยนจากการจับมือปกติ เป็นการประสานมืออย่างที่คู่รักมนุษย์มักทำกัน บรรยากาศเยียบเย็นรอบกายจึงพลันเลือนหาย เหลือไว้เพียงรอยยิ้มมุมปากของมนุษย์ที่คงอยู่ตลอดการเดินเลือกซื้อของ


    กว่าจะกลับถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์ก็เป็นเวลาค่ำมืดอย่างที่ปีศาจคาดการณ์ รถกระบะสีดำหยุดสนิท ณ ใต้ถุนบ้านสำหรับเป็นจุดจอดโดยเฉพาะ หนึ่งมนุษย์และปีศาจต่างลงจากรถพากันเดินเข้าบ้านพักที่ห่างหายไปนาน โดยโนอาร์รับหน้าที่ไขกุญแจเปิดประตู ส่วนเอทอสเป็นผู้ถือของทั้งหมด
    แม้นี่จะเป็นคืนแรกที่บ้านพักทรงไทยประยุกต์กลับมามีผู้พักอาศัยอีกครั้ง ทว่าเมื่อเข้ามากลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นอับ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ภายในล้วนเงางามไร้ฝุ่นเกาะ บ่งบอกว่าตลอดระยะเวลาที่เจ้าบ้านไม่อยู่ มีคนคอยเข้ามาดูแลทำความสะอาดให้เป็นอย่างดี ซึ่งใครคนนั้นย่อมหนีไม่พ้นเด็กวัยรุ่นพูดเก่งผู้มีนามว่า นาวา

    หลังสองสมาชิกในบ้านช่วยกันจัดแจงเก็บของเข้าที่เรียบร้อย โชคดีที่ก่อนกลับทั้งคู่เห็นตรงกันว่าควรฝากท้องกับร้านอาหาร ส่งผลให้จากนี้จึงเป็นเวลาให้ทั้งสองแยกกันไปพักผ่อนจากการเดินเที่ยวมาตลอดวัน ทว่าความจริงกลับเป็นการแยกย้ายเพียงไม่กี่นาที เมื่อโนอาร์อาบน้ำชำระล้างความเหนื่อยล้าและเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนเนื้อดีเรียบร้อย มนุษย์ก็ถือวิสาสะบุกรุกห้องปีศาจตามความเคยชิน

    เจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าผืนบางคาดเอว ปรายตามองผู้บุกรุกที่นั่งจ้องเขาบนเตียงเล็กน้อย ก่อนหันไปแต่งตัวบริเวณตู้เสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไร เมื่อเรียบร้อยจึงเดินไปปิดไฟพร้อมล้มตัวลงนอนตรงด้านหนึ่งของเตียงที่เว้นว่าง ไม่ได้พูดเอ่ยหรือพยายามไล่ใครบางคนอย่างทุกที

    “พวกวิญญาณยังคอยจ้องเล่นงานผมอยู่?”

    มนุษย์ถามปีศาจข้างกาย เหตุเพราะครั้งหนึ่งที่เอทอสยอมให้เขานอนด้วยนั้นเนื่องมาจากเขากำลังถูกวิญญาณตามรังควาน ซึ่งระหว่างรออีกฝ่ายตอบมนุษย์ก็กระเถิบตัวนอนแนบชิดร่างสูงใหญ่ไปด้วย โดยครานี้พัฒนาขึ้นกว่าครั้งก่อนด้วยการหาญกล้ากอดแขนและหนุนซบไหล่หนา ถึงแม้โนอาร์จะแกล้งหยั่งเชิงยั่วเย้าปีศาจ ทว่าคำตอบที่ได้กลับไม่ได้แฝงท่าทีรำคาญหรืออยากไล่เขาอย่างที่ควรเป็น จนมนุษย์ผู้มักมีสีหน้าไร้อารมณ์ เผลอเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

    “ทั้งใช่และไม่ใช่”
    “ที่ไม่ใช่คืออะไร? ผมอยากรู้”
    “เลิกถามเสียที ข้าจะนอนแล้ว”

    เอทอสเอ่ยตัดบทพลางดึงแขนที่มนุษย์ยึดไปกลับคืน ส่งผลให้โนอาร์ได้แต่ตำหนิตัวเองในใจที่ทำให้ปีศาจรู้สึกรำคาญจนต้องขยับห่างจากเขา ทว่าวินาทีต่อมาร่างมนุษย์ถึงกับนิ่งค้าง ขัดกับหัวใจเยือกแข็งที่พลันเต้นแรงราวกับได้ยินเสียงดังกึกก้องในความรู้สึก เมื่อท่อนแขนหนาที่ปีศาจยึดคืน ตอนนี้กลับกำลังโอบรวบตัวเขาให้เข้ามานอนหนุนแผงอกกว้าง ก่อนแขนข้างนั้นจะวางนิ่งบริเวณช่วงเอวมนุษย์

    จากที่หวังเพียงนอนกอดแขนปีศาจผู้เป็นที่รัก กลับได้ถึงการนอนภายใต้อ้อมแขนของปีศาจ ความสุขมากล้นที่เอทอสยอมมอบให้ มากเกินกว่าที่มนุษย์จะกล้าร้องขอสิ่งใดอีก ดังนั้นโนอาร์จึงเลือกหลับตาสงบเงียบ ปล่อยคำถามติดค้างมากมายในใจให้หลุดลอย แล้วมุ่งสมาธิกับการฟังเสียงหนักแน่นของหัวใจปีศาจใต้แผ่นอกกว้าง ที่กลายเป็นจังหวะเดียวกับเขาอย่างสมบูรณ์



    รุ่งอรุณแจ่มใสรับวันใหม่เวียนมาถึง กับมนุษย์ซุกตัวในอ้อมกอดปีศาจไม่ยอมลุกไปทำหน้าที่ของตน นั่นคือการเตรียมกาแฟและทำมื้อเช้า นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดมัวแต่จับจ้องสันกรามคมไล่จนถึงปลายคางปีศาจที่ยังคงเสมือนอยู่ในห้วงนิทรา แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงสม่ำเสมอผสานสัมผัสจังหวะการเต้นของหัวใจหนักแน่น ผ่านปลายนิ้วที่ลูบไล้วนเล่นไปมาบนแผงอกแกร่งปีศาจ

    ยามนี้ใบหน้านิ่งสงบของโนอาร์เริ่มปรากฏรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย สื่อว่าเขารู้ทันใครบางคนที่ตื่นก่อนทว่ายังคงแสร้งหลับ พลางขยับมือขาวที่วนเล่นให้ค่อยเลื่อนต่ำลงทีละน้อย จนสัมผัสถึงรอนกล้ามท้องแกร่งภายใต้เสื้อกล้ามเนื้อบาง จนสัมผัสถึงชายขอบกางเกงผ้าเนื้อดีที่ซ่อนสิ่งอันตรายไว้ด้านใน

      “หมับ!!”
    
    ฝ่ามือหนาคว้าจับมือซุกซน พร้อมพลิกร่างขึ้นคร่อมกักขังมนุษย์ให้อยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีอำพันดุไร้ความง่วงงุนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก มองสบนัยน์ตารัตติกาลวาววามของมนุษย์ ที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกลงโทษในไม่ช้า

    “ทำไมเจ้าถึงชอบยั่วข้านัก”
    “เพราะผมอยากให้คุณกอด”
    “แล้วเมื่อคืนไม่ใช่?” เอทอสเอ่ยถามเสียงทุ้ม พร้อมกับใบหน้าคมดุที่ขยับต่ำลงเรื่อย ๆ จนมนุษย์ใต้ร่างรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผิวเนื้อแผ่วเบา
    “ใช่ครับ แต่...” มนุษย์ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ขยับสองแขนขึ้นคล้องลำคอแกร่งพลางรั้งเล็กน้อยให้ร่างสูงใหญ่ด้านบนก้มลงมาใกล้กันมากขึ้น เพื่อให้ปีศาจฟังคำตอบได้ถนัด
   “คงจะดีไม่น้อย หากคุณกอดผมแบบ ‘ลึกซึ้ง’ กอดแบบที่คุณทำให้ผม…”
    “…”
    “หมดแรง”

      ฉับพลันคำขอของมนุษย์ก็ได้รับการเติมเต็ม เมื่อร่างสูงใหญ่ด้านบนก้มลงมาประกบจูบรวดเร็ว ริมฝีปากอิ่มบางถูกปีศาจขบเม้มดูดดึงอย่างกระหาย ก่อนลิ้นร้อนจะสอดเข้าโพรงปากหยอกเย้าลิ้นนุ่มด้านใน จนรู้สึกถึงความหวานติดปลายลิ้น ฝ่ามือขาวของมนุษย์ที่คล้องลำคอแกร่งเลื่อนขึ้นจับขยุ้มกลุ่มผมหนาสีนิลของร่างสูงใหญ่ตามแรงอารมณ์ พลางกดศีรษะอีกฝ่ายลงมาเพื่อให้สัมผัสดูดดื่มบดเบียดแนบชิดยิ่งกว่าเคย

    “อา...”

    เสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจเริ่มแปรเปลี่ยนสลับกับเสียงครางจากมนุษย์ เมื่อฝ่ามือหนาของปีศาจที่คอยลูบไล้เรือนร่างขาวใต้ร่าง กลับหยุดคลึงยอดอกชูชันผ่านเนื้อผ้าลื่นของชุดนอน เอทอสดูดดึงปลายลิ้นนุ่มส่งท้ายก่อนผละจูบเว้นช่วงจังหวะให้มนุษย์พักหายใจ พร้อมเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการขบเม้มสูดดมซอกคอขาว ค่อย ๆ ไล่จูบเลื่อนลงจนถึงแนวไหปลาร้าที่มีเสื้อชุดนอนขวางกั้นรำคาญตา

    “แควก!!”

    ชุดนอนมนุษย์ใต้ร่างถูกฝ่ามือใหญ่ดึงทึ้งฉีกขาด ห้วงอารมณ์ร้อนแรงลดทอนความอดทนของปีศาจ ทำให้การปลดกระดุมเรียบง่ายเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดเสียเวลา หลังไร้ซึ่งเศษผ้าเกะกะรำคาญใจ แผ่นอกขาวนวลจึงปรากฎให้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกคุกรุ่นด้วยพายุอารมณ์เชยชม จุดสีสวยบนแผ่นอกเปลือยกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจหอบเหนื่อย คล้ายดึงดูดเชื้อเชิญปีศาจให้ลิ้มลอง

    “อืมม... เอทอส..”

    ชายเลือดเย็นที่ใครต่างหวาดกลัว ยามนี้กลับหลุดครางเสียงพร่า เมื่อริมฝีปากหนาของปีศาจครอบครองยอดอกสีสวย ปลายลิ้นร้อนตวัดรัวเร็วสลับดูดเม้มหยอกเย้า ส่วนจุดสีสวยอีกฝั่งก็ไม่ได้รับการละเว้น ถูกนิ้วหนาบดคลึง ผลการถูกกระตุ้นจุดอ่อนไหวสองที่พร้อมกัน สร้างความรู้สึกซาบซ่านคล้ายกระแสไฟฟ้าวิ่งกระจายไปทั่งร่าง จนมนุษย์ใต้ร่างเผลอแอ่นอกขึ้นให้ปีศาจยิ่งรังแกตนได้สะดวก

    ฝ่ามือขาวทั้งสองข้างปัดป่ายไปทั่วตามร่างปีศาจ พลางกดปลายนิ้วจิกมัดกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังกว้างเป็นการระบาย ทว่าเสื้อกล้ามตัวบางกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง และดูเหมือนร่างสูงใหญ่ที่กำลังเพลิดเพลินกับการเล่นหยอกล้อยอดอกสีหวานจะรับรู้ ช่วงจังหวะหนึ่งเอทอสจึงผละออกดันตัวขึ้น พร้อมถอดเสื้อน่ารำคาญโยนไปข้างเตียง เผยให้เห็นผิวสีแทนดูดีมีมัดกล้ามเนื้อร้อนแรงประดับอยู่ทุกสัดส่วนบนร่างกายสูงใหญ่กำยำ โนอาร์เผลอสบนัยน์ตาสีแดงเลือดนกร้อนรุ่มคล้ายมีเปลวไฟแห่งความต้องการลุกโชน กำลังจ้องมองเขาที่นอนแผ่อยู่ใต้ร่างราวกับเป็นอาหารอันโอชะ ถึงกับทำให้เขารู้สึกร้อนผ่าวที่ผิวแก้มอย่างประหลาด

    เอทอสที่ยามนี้เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ความต้องการ ไม่คิดปล่อยช่วงเวลาให้เสียเปล่า รีบกลับลงมาแนบชิดกายเพื่อกลืนกินมนุษย์ และดูเหมือนคราวนี้ชายใต้ร่างจะไม่ยอมเป็นผู้ตามเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน ฝ่ามือขาวที่ลูบไล้ตามมัดกล้ามแข็งแรงถึงเลื่อนต่ำลง จนสัมผัสเข้ากับแก่นกายร้อนของปีศาจที่เริ่มแข็งขืน แม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ขนาดแท้จริง ทว่าฝ่ามือขาวก็แทบไม่อาจกอบกุมตัวตนของปีศาจไว้ด้วยมือข้างเดียว

    “อ๊ะ!...”
    “ติ้ด!! ติ้ด!! ติ้ด!!”

    โนอาร์หลุดร้องเมื่อฟันคมของปีศาจขบกัดที่ยอดอกสีหวานด้วยความมันเขี้ยว เหตุเพราะมือซุกซนกำลังลูบจับส่วนอันตราย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงแปลกปลอมจากเครื่องติดตามตรงลำคอแกร่งดังขึ้น ส่งผลให้ห้วงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงพลันหยุดชะงัก

    บัดนี้สัญญาณบ่งบอกสถานะของเครื่องติดตามเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีส้มกระพริบ สื่อเป็นนัยว่าตัวเครื่องอนุมานการกระทำเร่าร้อนเมื่อครู่ของปีศาจเป็นการจู่โจมมนุษย์ ถึงได้ส่งเสียงร้องเตือน และนั่นส่งผลให้ทุกสิ่งอย่างที่ค้างอยู่จำต้องจบลงอย่างไม่อาจเลี่ยง

    เอทอสใช้แขนแกร่งดันตัวขึ้นจากมนุษย์ใต้ร่างเล็กน้อย หลับตาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่หลงเหลืออยู่สักพัก ก่อนน้อมตัวจูบลงข้างขมับโนอาร์คล้ายเป็นการปลอบประโลม แล้วจึงผละออกเดินหายเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ใครอีกคนนอนควบคุมห้วงความรู้สึกที่ติดค้างบนเตียงยับย่นเพียงลำพัง


    หลังผ่านพ้นช่วงหฤหรรษ์ที่ล่มลงไม่เป็นท่า หนึ่งมนุษย์และปีศาจที่แยกกันไปอาบน้ำสงบสติอารมณ์ จึงได้มาทานมื้อเช้าร่วมกันในบรรยากาศเงียบสงบของบ้านพักทรงไทยประยุกต์ โชคดีที่กำหนดการกลับไปดูแลสวนของนายใหญ่คือวันพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นกลุ่มคนงานคงไม่กล้าเข้ามาแสดงความยินดีกับคนเพิ่งหายป่วย เหตุเพราะรังสีทะมึนดำมืดชวนอึดอัดที่แผ่ออกมาจากตัวโนอาร์ไม่หยุด ซึ่งปีศาจก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

    “แค่เดือนเดียว” เอทอสแสร้งพูดลอย ๆ เมื่อโนอาร์จ้องเขม็งที่เครื่องติดตามตรงลำคอเขาแทบไม่ละสายตา ราวกับถ้าเครื่องนี่มีชีวิต คงถูกชายเลือดเย็นจับถลกหนังทรมานให้สาสมความผิดอย่างแน่นอน
    “ตั้งเดือนหนึ่ง เอทอส ไม่ใช่แค่”

    ได้ยินดังนั้น ปีศาจจึงได้แต่ปล่อยให้มนุษย์หงุดหงิดต่อไปโดยไม่อาจทำอะไรได้ ทว่าหลังผ่านไปสักพักหนึ่ง โนอาร์ก็ดูเหมือนจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาได้ แต่มีหรือที่วิธีการของชายผู้มีกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นที่สุดจะเป็นเรื่องดี

    “ผมจะไปลากคอพวกนักล่าปีศาจ ให้มาปลดเครื่องติดตาม”
    “หยุดความคิดเจ้าซะ หากเจ้าทำ ก็อย่าหวังว่าข้าจะกอดเจ้าอีก”
    “เอทอส!”



บท25 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน


    บทนี้จะเห็นว่าทุกคนที่ตกเป็นของเล่นของโนอาร์ล้วนถูกควบคุมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ ไม่ว่าจะเป็น วรรษ สีคราม หรือภาคิน แต่ดูเหมือนแผนจะผิดพลาดเล็กน้อยเพราะคนที่อยู่เหนือเกมอย่างโนอาร์ก็ถูกควบคุมเช่นกัน แล้วดูเหมือนสิ่งที่โนอาร์โดนควบคุมค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่มากมากเสียด้วยล่ะครับ 5555


    ป.ล. นี่ถือเป็นครั้งแรกในการเริ่มเขียนเนื้อหาแนว NC ของคนเขียนเลยครับ ฝากคนอ่านช่วยคอมเมนต์ชี้แนะด้วยนะครับ

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 26 ล่วงรู้]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 01-10-2020 18:32:39
    รถกระบะสีดำธรรมดาคันหนึ่งเลี้ยวเข้าสวนกล้วยไม้ขึ้นชื่อของจังหวัด กลับสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ภายในพื้นที่ กลุ่มชาวสวนพนักงานต่างทิ้งภารกิจทุกสิ่งอย่างที่ทำอยู่ เพื่อไปรวมตัวต้อนรับการกลับมาของนายใหญ่และคนรัก

    หลังงานเฉลิมฉลองก่อตั้งสวนรฦกวัลย์และงานวันเกิดของนายใหญ่ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันต่อมาจะต้องรับฟังข่าวร้ายสะเทือนความรู้สึก อย่างเรื่องคุณโนอาร์ประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกที่คนขับหลับในพุ่งชน อาการบาดเจ็บสาหัสเป็นตายเท่ากัน ราวกับลมหายใจของคุณโนอาร์พร้อมหยุดลงทุกวินาที ข่าวสะเทือนใจสร้างความเศร้าโศกให้กับเหล่าคนงานเป็นอย่างมาก ทว่าผู้เจ็บช้ำที่สุดคงเป็นนายใหญ่ ผู้เกือบสูญเสียคนสำคัญในค่ำคืนครบรอบวันเกิดที่ควรจะมีแต่ความสุข ส่งผลให้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาสวนกล้วยไม้แห่งนี้จึงไร้เสียงคึกคักพูดคุยอย่างเคย

    จวบจนกระทั่งวันนี้ที่ทุกความหม่นหมองได้ถูกปัดเป่ามลายสิ้น ด้วยไอบรรยากาศเยือกเย็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคนรักนายใหญ่ ที่ก้าวลงจากรถกระบะพร้อมเจ้าของสวนที่ห่างหายไปนาน

    “ในที่สุดเรื่องร้าย ๆ ก็ผ่านไปสักที ยินดีต้อนรับกลับมานะ คุณโนอาร์ นายน้อย” ลุงสมัยเป็นตัวแทนกลุ่มคนงานกล่าวแสดงความยินดีกับนายใหญ่ของสวน และคนรักของเจ้านายที่ออกจากโรงพยาบาล
    “ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าคนดีแบบคุณโนอาร์ต้องแคล้วคลาดปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”
    “หึ... ขอบคุณครับ”

    คำพูดเยินยออย่างบริสุทธิ์ใจของสาวชาวสวนคนหนึ่ง ถึงกับทำให้โนอาร์หลุดหัวเราะเล็กน้อยก่อนแสร้งกล่าวขอบคุณ ทว่าภายในความมืดชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเข้าสังคมพลันเกิดคำถามหนึ่งขึ้นว่า หากพวกคนงานแสนไร้เดียงสาของปีศาจได้รู้จักตัวตนแท้จริงรวมถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้ จะยังกล้าชื่นชมว่าเขาเป็นคนดีอีกไหม

     “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ทุกคนสบายดีไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ขอโทษที่ทิ้งสวนไป ฉันคงเป็นนายที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ”

     เอทอสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มแฝงความรู้สึกผิด ส่งผลให้กลุ่มชาวสวนโดยรอบต่างละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบผลัดกันพูดให้กำลังใจนายใหญ่ ส่วนชายเลือดเย็นข้างกายที่สัมผัสถึงห้วงอารมณ์หม่นหมองของปีศาจ เพียงยื่นมือมาจับแขนแกร่งพลางเกลี่ยนิ้วลูบปลอบอย่างอ่อนโยน

    “คุณเอทอสต้องคอยเฝ้าอาการคุณโนอาร์ แล้วยังต้องเครียดกังวลตอนคุยกับคุณหมออีก เท่านี้ก็หนักมากพอแล้ว พวกเราเข้าใจดีเลยช่วยกันดูแลสวนให้ดีที่สุด คุณเอทอสอย่าตำหนิตัวเองแบบนั้นเลยครับ”
    “ใช่ค่ะ ๆ พวกเราเต็มใจช่วยกันทำงานเพื่อไม่ให้นายต้องห่วงที่นี่ นายอย่าโทษตัวเองเลยนะคะ”
    “...ขอบคุณทุกคนมาก”

    ร่างสูงใหญ่เจ้าของสวนกล่าวขอบคุณน้ำใจมากล้น พร้อมค้อมตัวเล็กน้อยให้กับเหล่าคนงานอย่างไม่ถือศักดิ์ความเป็นเจ้านายของตน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้กลุ่มชาวสวนยิ่งทำตัวไม่ถูกหนักกว่าเก่า ลุงสมัยที่เฝ้าดูจึงยุติเรื่องราวโดยการเข้าไปตบบ่าใหญ่ที่ทนแบกรับปัญหาเพียงลำพังอย่างให้กำลังใจ ดวงตาเริ่มฝ้าฟางของผู้อยู่มานานฉายความอบอุ่นภูมิใจ เมื่อเห็นนายน้อยในความทรงจำเติบโตกลายเป็นชายหนุ่มที่น่าเคารพ เฉกเช่นเดียวกับนายใหญ่สวนรฦกวัลย์รุ่นก่อน ๆ


    หลังได้พูดคุยแสดงความยินดีสักพักใหญ่จนพอหายคิดถึง เอทอสและโนอาร์จึงพากันเดินไปทางสำนักงานที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของสวน โดยมนุษย์เพียงมาส่งปีศาจแล้วจะแยกไปดูกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของเจ้าของสวน
    ทว่าเมื่อสองคู่รักต่างเผ่าพันธุ์มาถึงสำนักงาน ประตูกระจกทึบของตัวอาคารกลับเปิดอย่างฉับพลัน พร้อมด้วยตัวการผู้มากับเสียงทักทายสดใสตามแบบฉบับเจ้าตัว โดยด้านหลังมีผู้เป็นพ่อเดินตามออกมาด้วยสีหน้าปลงตก

    “สวัสดีครับอาเอทอส พี่โนอาร์ กะแล้วว่าพี่คงไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแน่ ผมเลยมารอที่สวนและก็ใช่จริง ๆ ด้วย… ว่าแต่อาเอทอสใส่อะไรเหรอครับ อย่างกับปลอกคอเลย”
    “นาวา เสียมารยาท”

    ศิลาเอ่ยปรามลูกชายที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนายใหญ่มากเกินไป แม้ในใจเขาก็รู้สึกสงสัยเรื่องอุปกรณ์สีดำตรงลำคอของนายเช่นกัน แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่การถามตรง ๆ เพื่อเติมเต็มความอยากรู้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สมควรแน่ และคนงานคนอื่น ๆ คงคิดเช่นเดียวกับเขา เว้นเสียนาวาที่ยังเป็นแค่เด็กมัธยมปลายอีกทั้งยังค่อนข้างสนิทกับคุณเอทอส จึงไม่ค่อยคำนึงเรื่องสถานะเหมือนผู้ใหญ่มากนัก

    ซึ่งเครื่องยืนยันถึงความไม่เหมาะสมโดยอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของศิลาก็คือ ไอบรรยากาศรอบตัวคนรักของนายใหญ่ ที่คล้ายลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ยามนาวาเอ่ยทักเรื่องปลอกคอ และคล้ายลูกชายของเขาจะสัมผัสถึงกระแสอารมณ์ได้เช่นกัน ถึงได้กล่าวขอโทษก่อนหันไปคุยกับต้นตอความอึดอัดแทน ทว่าในสายตาของศิลา วิธีแก้สถานการณ์ของลูกชายเขานั้นเข้าขั้นเลวร้ายถึงที่สุด

     “พี่โนอาร์เพิ่งหายดี ผมขอเป็นลูกมือช่วยพี่ทำงานนะ”

    นาวาหันมาสนใจรุ่นพี่ที่ตัวเองยกยอเป็นไอดอล พร้อมเสนอตัวเป็นผู้ช่วยโดยไม่จำเป็นต้องมีใครร้องขอ ศิลาเตรียมเข้าไปห้ามลูกชายเพราะเกรงคุณโนอาร์อาจรำคาญ แล้วลูกชายคนเดียวของเขาจะถูกบรรยากาศเยียบเย็นผสานแววตาเรียบนิ่งทำร้ายความรู้สึก แบบเดียวกับที่เขาเคยโดนมาก่อน ทว่าคำตอบจากชายผู้ที่ศิลากลัวเกรง กลับทำให้ทุกความคิดหยุดชะงักในทันที

    “อืม แล้วไม่มีเรียน?” โนอาร์ถามกลับ น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้วี่แววความหงุดหงิด
    “โรงเรียนหยุดช่วงสอบครับพี่โนอาร์ แต่ผมอ่านสอบหมดแล้วนะพี่ไม่ต้องห่วง วันนี้ผมว่างทั้งวันเลย” นาวารีบตอบเพื่อกันการถูกปฏิเสธ ส่วนโนอาร์หลังรับฟังเพียงหันไปคุยกับร่างสูงใหญ่ข้างกาย
    “ผมขอไปดูกล้วยไม้ที่คุณเก็บไว้ให้ แล้วพักเที่ยงจะกลับมากินข้าวกับคุณ”
    “ตามใจ”

    เมื่อได้ยินคำอนุญาต ชายเลือดเย็นจึงเดินแยกไปอีกทางโดยมีเด็กวัยรุ่นพูดจาเจื้อยแจ้วตามหลัง ทิ้งให้ศิลามองความสนิทสนมระหว่างนาวากับชายผู้คาดเดาอารมณ์ยากด้วยความมึนงง แต่ในความสับสนนั้นกลับมีความดีใจอยู่ลึก ๆ ว่าคนรักของนายไม่ได้มีท่าทีรังเกียจลูกชายของเขา แม้คุณโนอาร์ดูจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไรก็ตาม

    “เข้าไปข้างในเถอะ”

    เอทอสตบไหล่เรียกสติเลขาของตนเล็กน้อย ก่อนเดินนำเข้าสำนักงานไป ศิลาที่มัวแต่อ้ำอึ้งจึงต้องพับเก็บกลุ่มก้อนความคิดข้อสงสัยทั้งหมดลง เพื่อมุ่งสมาธิกับการช่วยเหลือเจ้านายจากภาระงานมหาศาลที่กำลังรออยู่ด้านใน


    ภายในเรือนกล้วยไม้ซ่อมทดแทนเรือนเก่าที่เคยพังเสียหาย ยามนี้กลับเต็มไปด้วยกล้วยไม้ใหม่หลากหลายพันธุ์ จัดเรียงเป็นแถวแบ่งแยกตามชนิดอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งในบรรดากล้วยไม้ที่แข่งกันออกดอกสีสันสวยงาม กลับมีกล้วยไม้เพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่สามารถดึงดูดนัยน์ตารัตติกาลมืดมิด และเรียกรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับชายเลือดเย็นได้

    “ดีจังเลยนะครับที่พี่โนอาร์กลับมาทันตอนที่มันยังบานอยู่” นาวาเอ่ยขึ้นพลางมองดอกกล้วยไม้สีฟ้าอมม่วงที่ชูช่อไสวอวดดอกงดงาม
    “ขวับ!!”

    อยู่ ๆ กรรไกรตัดกิ่งในมือของพี่ที่เคารพลันตวัดขึ้นฉับพลัน ปลายแหลมคล้ายตั้งใจพุ่งแสกกลางใบหน้าเด็กหนุ่มข้างกาย วินาทีที่ส่วนคมใกล้สัมผัสผิวเนื้อนาวารีบขยับหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมคว้าจับข้อมือรุ่นพี่และออกแรงบิดตามสัญชาตญาณ จนอาวุธกรรไกรตัดกิ่งร่วงลงพื้นอย่างง่ายดาย

    “พี่โนอาร์! ทำอะไรเนี่ย?! มันอันตรายนะพี่”

    เด็กหนุ่มโวยวายเสียงดังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทว่ากลับได้เพียงรอยยิ้มมุมปากจากคนจ้องทำร้ายเท่านั้น และเพราะบริเวณนี้ไม่มีคนงานอยู่ จึงไม่มีใครรับรู้หรือเป็นพยานต่อเหตุการณ์อันตรายเมื่อครู่เลย

    “เคลื่อนไหวเร็วขึ้น ฝึกคนเดียว?”

    หลังฟังคำถาม นาวาจึงคลายความตื่นตกใจลง เมื่อรู้ว่ารุ่นพี่เพียงต้องการทดสอบเขาเท่านั้น ก่อนจะยอมปล่อยมือและเล่าถึงช่วงเวลาตลอดหลายเดือนที่ขาดพี่โนอาร์เป็นคู่ซ้อมว่า เขาอึดอัดจนต้องขอพ่อกับแม่ซื้อกระสอบทรายมาฝึกเตะต่อย โดยอาศัยเรียนรู้จากคลิปวีดีโอทางอินเทอร์เน็ต ส่วนความคล่องตัวก็ฝึกผ่านการเล่นกีฬารูปแบบต่าง ๆ อย่าง บาสเกตบอล ฟุตบอล ปิงปอง แบดมินตัน จนครูเห็นแล้วดึงเขาเข้าเป็นนักกีฬาของโรงเรียน
    ในตอนท้ายนาวาก็ได้เล่าความลับเมื่อไม่นานนี้ เขาแอบไปต่อยตีกับพวกนักเลงเพื่อช่วยเพื่อนที่กำลังโดนไถเงิน ถึงจะเจ็บตัวกับมีแผลนิดหน่อยแต่ก็เอาชนะมาได้ ไม่ลืมกำชับแกมขอร้องพี่โนอาร์ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะกว่าเขาจะหาเรื่องแก้ต่างกับพ่อแม่เรื่องรอยแผลได้ก็แทบแย่เหมือนกัน

    ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ทันสังเกตว่าคำสารภาพเมื่อครู่ ทำให้นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดของชายเลือดเย็นเกิดประกายวาวอันตราย เฉกเช่นเดียวกับยามมองของเล่นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน

    “สนุกหรือเปล่า”
    “ครับ?” นาวาเอ่ยถามอย่างสับสน ไม่เข้าใจสิ่งที่รุ่นพี่ต้องการสื่อ
    “ตอนที่ได้ชกคนแบบเต็มแรง ได้กระทืบคนอย่างไม่ต้องยั้งมือ ตอนที่เห็นพวกนั้นล้มอยู่แทบเท้าพยายามตะเกียกตะกายหนี รู้สึกสนุกหรือเปล่า”

    นัยน์ตารัตติกาลยากคาดเดาความคิด จ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มราวกับล่วงรู้ความจริงที่พยายามเก็บซ่อน และก่อนที่นาวาจะขยับปากพูดตอบ โนอาร์ก็เอ่ยดักทางล่อลวงให้เด็กหนุ่มยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

    “ไม่ต้องเอาความผิดถูกมาหักล้างความรู้สึก ตอบมาตามตรง เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราเท่านั้น ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งเอทอส”
    แต่ถ้าเอทอสถาม จะบอกและเล่าทุกอย่าง

    โนอาร์ต่อประโยคในใจและรอฟังคำตอบจากเด็กหนุ่ม ส่วนนาวาเมื่อได้ฟังคำยืนยันจากพี่ที่เคารพจึงยอมเปิดใจพูดในที่สุด โดยหารู้ไม่ว่าคำมั่นนั้นมีข้อยกเว้นต่อท้ายที่คนเจ้าแผนการไม่ยอมบอก

    “ครับ… ตอนนั้นรู้สึกสนุกมาก ถึงจะโดนสวนกลับก็แทบไม่รู้สึกเจ็บเลย พอเห็นมือเปื้อนเลือดที่ผมต่อยพวกนั้นจนปากคิ้วแตก ผมยิ่งตื่นเต้นจนอยาก...”
    “อยากชกอีกซ้ำ ๆ ให้เลือดเปื้อนเต็มมือ ให้หน้าพวกนั้นเต็มไปด้วยเลือด เสียงร้องโอดโอยมันทำให้รู้สึกดีใช่ไหม?” คนอันตรายช่วยต่อประโยค
    “…คะ ครับ... พี่โนอาร์ผมเป็นคนไม่ดีใช่ไหมถึงมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัว ผมควรทำยังไงดี ผม-”
    “ไม่เห็นต้องทำอะไร แค่ยอมรับความจริง และสนุกให้เต็มที่เมื่อมีโอกาส”
 
    ชายเลือดเย็นกล่าวปลอบนาวาที่กำลังสับสน พลางยิ้มมุมปากคล้ายให้กำลังใจเล็กน้อย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คนงานกลุ่มหนี่งเริ่มเดินทยอยเข้ามาในบริเวณนี้ พร้อมรถของสวนสำหรับขนส่งกล้วยไม้โดยเฉพาะ ซึ่งหลังสอบถามได้ความว่า ช่วงบ่ายจะนำกล้วยไม้ไปส่งให้กับร้านดอกไม้ในตัวเมือง และเมื่อโนอาร์ได้ฟังชื่อร้าน นัยน์ตารัตติกาลพลันหันสบกับเด็กหนุ่มเหมือนกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะตามด้วยคำชวนเรียบเรื่อย ทว่ากลับทำให้มุมมืดในจิตใจอันบริสุทธิ์ของนาวากู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง

    “โอกาสมาแล้ว ไปไหม”



    การมอบอำนาจตัดสินใจทุกอย่างให้ใครสักคนบริหารกิจการแทน ย่อมเป็นเรื่องน่ากังวลและอันตรายเพราะมีโอกาสถูกโกงหรือหักหลัง ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไร้ความหมาย เมื่อนายใหญ่เจ้าของธุรกิจสามารถรับรู้ถึงความบริสุทธิ์และชั่วร้ายจากกลิ่นอายวิญญาณ ดังนั้นการทิ้งสวนไปนานหลายเดือนจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ทิ้งสิ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังจากนายใหญ่กลับมา จะไร้ภาระงานให้สะสาง

    “ต่อจากรายงานผลผลิตกล้วยไม้ จะเป็นรายงานบัญชี รายงานความคืบหน้าของทุกโครงการ ต่อด้วยแผนดำเนินงานในอนาคตที่ยื่นเสนอให้นายช่วยพิจารณาอนุมัติ และรายชื่อบริษัทที่มาเสนอขายอุปกรณ์ปลูกกล้วยไม้ ผมสรุปรายละเอียดของแต่ละเจ้าให้แล้วครับ”

    ศิลาแจงลำดับงานถัดไปเมื่อเห็นว่านายใหญ่จัดการงานล่าสุดเรียบร้อย พร้อมเก็บแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ไป ก่อนแทนด้วยแฟ้มใหม่ให้เจ้าของสวนพิจารณาต่อทันที เอทอสเหลือบมองกองภูเขาแฟ้มที่กำลังรอเขาอยู่ตรงมุมห้อง แล้วได้แต่ถอนหายใจ

    “ช่วงที่ฉันไม่อยู่ นายแอบอู้หรือเปล่าศิลา ทำไมงานถึงได้มากมายขนาดนี้”
    “ผมทำงานเต็มที่ครับนาย เพียงแต่นายต้องอ่านรายงานสรุปผลตลอดระยะเวลาที่นายไม่อยู่ เพิ่มจากการเซ็นเอกสารปกติเลยทำให้ดูเยอะครับ” ศิลาตอบกลับโดยมือและสายตาไม่ได้ละไปจากการจัดเรียงเอกสารเพื่อรอส่งให้เจ้านายจัดการ
    “อืม... จากที่ฉันดูผลกำไรความก้าวหน้า นายก็ทำได้ไม่เลวหนิศิลา” ร่างสูงใหญ่ตรงโต๊ะทำงานเอ่ยชม
    “ขอบคุณครับ”
    “ปีหน้าฉันยกสวนให้ เอาไหม”
    “นายจะไม่อยู่ช่วงไหนครับ แล้วระยะเวลาคร่าว ๆ ประมาณเท่าไรหรือครับ”
    “ตลอดไป... ฉันคงไม่มีโอกาสได้กลับมาแล้ว ฉันไว้ใจนายที่สุด ช่วยดูแลที่นี่แทนฉันได้ไหม”

    ศิลาถามกลับตามปกติ เพราะคิดว่านายใหญ่คงมีแผนออกไปทำธุระในอนาคต ทว่าคำตอบจากเจ้าของสวนกลับทำให้เลขาถึงกับชะงัก ก่อนหันมองเจ้านายตรงโต๊ะทำงานด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อสบนัยน์ตาสีอำพันดุของผู้เป็นนาย เขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การพูดเล่นหยอกล้อแต่อย่างใด

    “นายหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าตลอดไป?”
    “ก็แบบที่นายเข้าใจ ฉันจะยกสวนรฦกวัลย์ให้-”
    “ขอปฏิเสธครับ”

    ไม่ทันที่เอทอสจะได้พูดจบประโยค ศิลาก็รีบเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทีจริงจัง เขาไม่รู้ว่านายคิดอะไรถึงได้พูดราวกับกำลังสั่งเสีย แต่เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด สวนรฦกวัลย์นี้เป็นมรดกและความภาคภูมิใจของตระกูลนาย จะมายกให้คนนอกง่าย ๆ ได้อย่างไร ถึงในอนาคตความรักระหว่างคุณเอทอสกับคุณโนอาร์อาจทำให้ไม่สามารถมีทายาทมาสานต่อ และสุดท้ายต้องจบลงด้วยการส่งมอบเจตนารมณ์ให้คนอื่นดูแลต่อไป แต่กว่าจะถึงวันนั้น เขามั่นใจว่านายใหญ่และคุณโนอาร์ต้องมีใครสักคนที่เหมาะสมยิ่งกว่าเขาแน่นอน

    “ลองเอากลับไปคิดดู การเป็นเจ้าของธุรกิจที่มั่นคงจะทำให้เมียกับลูกนายอยู่อย่างสุขสบาย ความลำบากในการดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวมันหนักแค่ไหน นายก็เคยสัมผัสมันมาแล้วหนิ โอกาสดี ๆ แบบนี้ทำไมถึงไม่คว้าไว้”
    “ก๊อก ๆ ๆ”

    เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันแนะให้เลขาของตนนำข้อเสนอกลับไปคิดทบทวน เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานดังขึ้น ซึ่งเข็มนาฬิกาตรงหน้าปัดที่แจ้งเวลาใกล้เที่ยงเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่า ใครกำลังยืนอยู่หน้าห้อง ศิลาวางมือจากงานเบื้องหน้าแล้วเตรียมเปิดประตูให้คนสำคัญของนายใหญ่เข้ามา ทว่าก่อนที่ประตูจะเปิดออก ผู้ที่ได้รับโอกาสก้าวหน้าในชีวิตก็ยังคงยืนกรานไม่เปลี่ยนแปลง

    “ขอบคุณครับนาย แต่ผมคิดดีแล้วครับ”
    “แกร๊ก!”

    ประตูห้องทำงานเปิดออก เผยให้เห็นชายผู้มีบรรยากาศเยือกเย็นรายล้อมในสภาพชุดชาวสวน พร้อมถาดอาหารมีควันขาวลอยส่งกลิ่นหอม นัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งเหลือบมองศิลาที่เป็นคนเปิดประตูให้ครู่หนึ่ง ก่อนเดินผ่านไปวางมื้อเที่ยงตรงโต๊ะกระจกโดยไม่พูดอะไร เห็นดังนั้นเลขาผู้รู้หน้าที่จึงค้อมตัวลาเล็กน้อยและออกจากห้องไป

    เมื่อหนึ่งมนุษย์และปีศาจอยู่กันเพียงลำพังในห้อง เอทอสลุกจากโต๊ะทำงานมาทิ้งตัวลงตรงโซฟาพลางเอนหลังพิงและหลับตาอย่างหมดแรง โนอาร์ที่กำลังจัดวางมื้อกลางวันบนโต๊ะได้เห็นสภาพเหนื่อยล้าของปีศาจก็พลันทิ้งทุกอย่างทันที ก่อนจะอ้อมไปทางด้านหลังโซฟาที่เอทอสนั่งอยู่ และลงมือบีบนวดช่วงบ่ากว้างแข็งเกร็งเพื่อให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกผ่อนคลาย

    การปรนนิบัติจากมนุษย์ทำให้ปีศาจที่กำลังพักสายตารู้สึกดี จนเผลอส่งเสียงครางทุ้มแสดงถึงความพึงพอใจในลำคอเบา ๆ มนุษย์ผู้มีความดีความชอบจึงถือวิสาสะขอรางวัล ด้วยการโน้มตัวลงไปประกบจูบปีศาจที่กำลังหลับตาเอนหัวพิงโซฟาอยู่ โดยฝ่ามือขาวทั้งสองข้างก็ยังคงนวดผ่อนคลายบ่าแกร่งไปด้วย

    ริมฝีปากมนุษย์บดเบียดแนบชิดกับปากปีศาจอย่างนุ่มนวล เกิดเป็นเสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจแผ่วเบาคลอให้ได้ยินกันเพียงสองคน เอทอสยอมเปิดทางให้ลิ้นเล็กของมนุษย์เข้ามาในโพรงปากและปล่อยโนอาร์เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งตามต้องการ ลิ้นอ่อนนุ่มเข้ากระหวัดดูดดึงลิ้นหนาที่ให้ความร่วมมือสอดประสานรัดรึงเป็นอย่างดี ต่างฝ่ายต่างตักตวงความหวานจากปลายลิ้นที่เกี่ยวพันไม่รู้เบื่อ จนเมื่อมนุษย์และปีศาจรู้สึกอิ่มเอมพอใจ ริมฝีปากที่แนบสนิทเนินนานจึงถึงคราวผละออก พร้อมกับนัยน์ตาดุสีอำพันที่ลืมตื่นขึ้นมองริมฝีปากมนุษย์ฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใสที่เพิ่งแลกเปลี่ยนกัน

    “งานคุณหนักขึ้นเพราะคุณเฝ้าผมที่โรงพยาบาล มีอะไรที่ผมพอช่วยคุณได้บ้างไหม” ชายเลือดเย็นเอ่ยถาม นัยน์ตารัตติกาลสงบนิ่งคล้ายแฝงความอ่อนโยนยามมองปีศาจผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว
    “แค่เจ้าไม่หาเรื่องปวดหัวมาให้ข้า เท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว” คำตอบของเอทอสทำให้ผู้กำลังวางแผนชักชวนเด็กหนุ่มให้รู้จักความสนุกดำมืด ถึงกับชะงักเล็กน้อยก่อนยิ้มมุมปากแก้เก้อส่งให้ปีศาจ
    “ครับ ผมจะพยายาม”

    เอทอสมองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไรนักก่อนจะยอมปล่อยผ่าน โนอาร์จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจปีศาจด้วยการชวนทานมื้อกลางวัน สองชีวิตในห้องทำงานใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศสงบเงียบผ่อนคลาย ไม่จำเป็นต้องสรรหาหัวข้อสนทนามาพูดคุย เพียงรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน ก็มากพอให้สองหัวใจเต้นสอดประสานกันอย่างเป็นสุข แม้อีกไม่นานดวงหนึ่งจำต้องหยุดลงเพื่อสละให้อีกดวงเต้นต่อไปก็ตาม


    “บ่ายนี้ผมจะติดรถส่งกล้วยไม้เข้าเมือง ถ้าเย็นแล้วผมยังไม่มา คุณกลับบ้านก่อนได้เลย”

    เมื่อเวลาพักเที่ยงหมดลง โนอาร์กล่าวบอกปีศาจขณะกำลังเตรียมออกจากห้อง เอทอสพลันรู้ถึงความคิดมนุษย์ทันที เพราะบ่ายวันนี้มีแค่รถขนส่งกล้วยไม้ไปให้ร้านของสีครามเท่านั้น ซึ่งจากที่เขาเคยลอบฟังโนอาร์คุยโทรศัพท์ครั้งที่อยู่โรงพยาบาล ตอนนี้สีครามคงถูกคนของโนอาร์ลักพาตัวไปที่ไหนสักแห่ง และผู้ที่ดูแลร้านดอกไม้แทนต้องเป็นผู้คุมวิญญาณอย่างแน่นอน

    “ข้าไม่อนุญาต”
    “คุณบอกว่าจะไม่ห้าม ถ้าผมอยากเอาคืน” มนุษย์ยกคำที่ปีศาจเคยว่าไว้ ส่งผลให้เอทอสต้องจำยอมในที่สุด
    “มันอันตราย”
 
    ความเป็นห่วงอย่างไม่คิดปิดบังที่ปีศาจแสดงออกมา ทำให้มนุษย์ผู้รับความห่วงใยนั้นรู้สึกถึงความอบอุ่นภายในหัวใจเยือกแข็ง จนต้องระบายผ่านรอยยิ้มมุมปากและนัยน์ตารัตติกาลเจือความสุข โนอาร์อ้อมมือไปทางด้านหลัง ก่อนหยิบหนึ่งในมีดรอบเข็มขัดอาวุธออกมา มีดทำจากแร่สีขาวบริสุทธิ์ที่ปีศาจเคยให้เป็นของตอบแทนเมื่อนานมาแล้ว

    “มีดของคุณจะทำให้ผมปลอดภัย”

    โนอาร์เอ่ยพลางลูบคมมีดในมือด้วยความทะนุถนอม เอทอสมองมีดที่เขาทำเล่นเมื่อนานแล้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย เรื่องแร่ขาวที่เขาเอามาทำตัวมีดนี้สามารถสร้างบาดแผลให้กับร่างวิญญาณได้ ตัวเขาเองก็เพิ่งรู้ตอนโนอาร์เอาไปใช้ป้องกันตัวจากวิญญาณในป่าช้าเช่นกัน ทว่าถึงจะมีอาวุธก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เมื่อต้องต่อกรกับศัตรูที่มองไม่เห็นและไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ ดังนั้นปีศาจจึงต้องให้สิ่งที่สามารถปกป้องมนุษย์ได้อย่างแน่นอน

    “หมับ!”

    ชายเลือดเย็นพุ่งตัวเข้าสวมกอดร่างสูงใหญ่อย่างรู้งาน ยามเห็นแขนทั้งสองของปีศาจอ้าออก แขนแกร่งโอบตัวมนุษย์ไว้ ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะคนในอ้อมแขนให้ซุกกับแผงอกกว้างและลูบกล่อมเบา ๆ ส่งผลให้มนุษย์หลับตาซึมซับสัมผัสจากปีศาจอย่างเป็นสุข

    “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะปกป้องเจ้าเสมอ”

    คำพูดคล้ายคำสัญญาจากปีศาจดังขึ้น พร้อมกับเปลวเพลิงสีนิลอบอุ่นลามเลียปกคลุมร่างในอ้อมแขนไว้อย่างอ่อนโยนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ จวบจนประกายเพลิงทั้งหมดมอดดับเลือนหาย เอทอสถึงคลายกอดจากมนุษย์

    “คุณดูเหนื่อยนะเอทอส งานวันนี้พอก่อนดีไหม” โนอาร์เอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นความอ่อนล้าในนัยน์ตาดุสีอำพันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
    “ข้าสบายดี แข็งแรงกว่าเจ้าเยอะ”
    “แต่-”
    “เสร็จธุระของเจ้าแล้วกลับมาที่นี่ ข้าจะรอ”

    เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากปีศาจ โนอาร์จึงยอมพยักหน้าตกลงในที่สุดแล้วออกจากห้องไป เพื่อรีบสะสางทุกอย่างให้เรียบร้อยและกลับมาหาปีศาจในช่วงเย็น หลังห้องทำงานไร้เงามนุษย์ เอทอสที่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลาออกไปหาวิญญาณกิน แต่ต้องสูญเสียพลังร่ายคำสาปเดินกลับมาทิ้งตัวตรงโซฟาอย่างหมดแรง โชคดีว่าพลังที่เหลืออยู่เพียงพอต่อการคงร่างมนุษย์ไว้ เลยไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไรนัก

    ผ่านไปสักพักหนึ่งศิลาถึงเข้ามาในห้องทำงาน และพบว่าเจ้านายอยู่ในสภาพไม่สู้ดีเลยรีบเข้ามาสอบถามอาการ ทว่านายใหญ่กลับเพียงบอกปัดว่าไม่เป็นไร ก่อนกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ระหว่างอ่านเอกสารเอทอสก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อโนอาร์กลับมา จึงเอ่ยสั่งกับศิลาให้ฝากบอกคนงานทุกคนว่า วันนี้ให้เลิกงานเร็วกว่าเดิม



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ1 บทที่ 26 ล่วงรู้]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 01-10-2020 18:40:15
(ต่อ)

    รถขนกล้วยไม้สองคันจอดสนิท ณ บริเวณร้านดอกไม้อันคุ้นเคย ชายเลือดเย็นลงจากรถพร้อมกับเด็กหนุ่มและกลุ่มคนงาน นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดประสานเข้ากับพี่ชายเจ้าของร้าน ที่ต้องมาดูแลกิจการแทนน้องชายที่หายไป แม้ว่าจะพยายามสะกดความรู้สึกอาฆาตเกรี้ยวโกรธมากแค่ไหน ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาผู้จับจ้องทุกความรู้สึกเหยื่อ เพื่อจะได้บดขยี้จิตใจเหล่าของเล่นให้แหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

    “ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก คุณอดีตผู้ว่าจ้าง... แล้วสีครามไปไหนถึงทิ้งร้านให้คุณดูแล เป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบจริง ๆ”
    “หุบปาก...”

    เพียงคำทักทายระหว่างกันของตัวแทนสวนและร้านดอกไม้ กลุ่มคนงานโดยรอบก็ต่างสัมผัสถึงบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัด จึงได้แต่ช่วยกันรีบขนกล้วยไม้หลังรถเข้าร้านโดยเร็ว ส่วนนาวาที่ยืนอยู่ข้างโนอาร์ ก็ได้แต่มองสลับระหว่างรุ่นพี่กับคนที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านด้วยความสับสนไม่เข้าใจ

    “สีครามอยู่ไหน” วรรษกัดฟันถามตัวต้นเหตุเบื้องหน้า พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ปะทุ
    “คงอยู่ที่ไหนสักที่ แต่จะอยู่บนพื้นหรือฝังดิน อยู่บนโลกนี้หรือโลกหน้า ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้ความร่วมมือตอบคำถามผมดีแค่ไหน”

    ขณะที่ผู้มาเยือนกำลังยื่นข้อเสนอ เหล่าวิญญาณรับใช้รอบบริเวณก็พุ่งเข้าจู่โจมเป้าหมายโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องดูท่าทีหรือเกรงกลัวสิ่งใด เพราะปีศาจที่คอยอยู่ข้างกายชายผู้นี้ไม่ได้มาด้วย ทว่าเมื่อร่างโปร่งแสงเกือบได้สัมผัสตัวบุคคลอันตราย เปลวเพลิงสีนิลไร้ที่มาก็พลันลุกโหมห่อหุ้มปกป้องชายเลือดเย็นทันที

    “อ๊ากกกก!!! ร้อน!!! นายช่วยผมด้วย!! อ๊ากกกก!!!!”

    วิญญาณรับใช้หลายตนที่ถูกสะเก็ดไฟสีนิล ต่างร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เมื่อสะเก็ดเพลิงเล็กน้อยนั้นกลับลุกลามกลายเป็นเปลวไฟร้อนคลอกทั่วร่างโปร่งแสง เผาไหม้จนดวงวิญญาณสลายดับสูญสิ้นไป ส่งผลให้วิญญาณรับใช้ที่เหลือรอดต่างหวาดหวั่น ถอยห่างไม่กล้าทำอะไรอีก

    วรรษเป็นผู้เดียวที่มองเห็นไฟปีศาจและรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทำได้เพียงกำมือแน่นข่มอารมณ์ เพราะไฟน่ารังเกียจที่เคยเผาไหม้เขาเจียนตายและบงการเขาให้ทำร้ายสีครามจนสาหัส ยามนี้กลับห้อมล้อมปกป้องศัตรูเขาอย่างอ่อนโยน เพลิงดำสนิทที่พัดไหวเบื้องหน้าคล้ายกับกำลังตอกย้ำเย้ยหยันเขา ว่าไม่มีทางแตะต้องชายผู้นี้ได้อีกต่อไป

    “ถามอะไร?” ผู้คุมวิญญาณจำยอมรับข้อเสนออย่างไม่อาจเลี่ยง
    “ตอนบ้าน​ไฟไหม้​ อยู่ ๆ เอทอสก็มีแผลขึ้นตามตัว หมายความว่ายังไง?”

    เรื่องคราวก่อนในโรงพยาบาลที่ปีศาจเกิดรอยไหม้และฟกช้ำไปทั่วร่างอย่างไร้สาเหตุ ยังคงติดค้างอยู่ในความคิดโนอาร์จนถึงวันนี้ ซึ่งเมื่อผู้คุมวิญญาณฟังคำถามก็ถึงกับหลุดหัวเราะสะใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยไขข้อสงสัยพร้อมรอยยิ้มยากคาดเดา

    “ดูท่าเจ้านั่นจะรักแกน่าดูถึงได้รับแทน ไม่รู้ว่ารับมนตร์นั้นไปด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ยินดีกับแกด้วยแล้วกัน ที่ได้เจอความรักดี ๆ ยอมมอบให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต”
    “พูดอะไร?” นัยน์ตารัตติกาลพลันเย็นเยียบอย่างน่ากลัว เมื่อรู้ว่าเอทอสต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเขา โดยอาจแลกกับชีวิตของตัวเอง
    “ไม่ลองถามเพื่อนผู้คุมวิญญาณของแกดูล่ะ หมอนั่นเป็นคนยื่นความตา-”
    “โครม!!!”
    “พี่โนอาร์!! เดี๋ยวพี่!! ใจเย็นก่อน!”

    ไม่ทันที่วรรษได้เอ่ยคำยั่วยุจบ ฝ่าเท้าหนักจากชายอันตรายก็ถีบเข้ากางอกเต็มแรง ส่งผลให้ร่างคนปากดีเสียหลักล้มใส่ชั้นวางดอกไม้หน้าร้านพังระเนระนาด นาวาที่อยู่ใกล้คนฟิวส์ขาด รีบรั้งตัวโนอาร์ไว้สุดกำลัง เพื่อไม่ให้เข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายซ้ำพร้อมพยายามพูดเรียกสติ กลุ่มงานที่กำลังเร่งขนกล้วยไม้พลันรู้ในทันทีว่าสิ่งที่กลัวที่สุดเกิดขึ้นแล้ว จึงต่างรีบพากันเข้าไปช่วยดูอาการและแยกเจ้านายทั้งสองออกจากกัน

    “หึ.. หึ... มันสายไปแล้วโนอาร์ ถ้าแกยอมตายง่าย ๆ เจ้านั่นก็คงไม่ต้องมาตายแทนแกหรอก ถ้าอยากจะโทษก็โทษตัวเองเถอะ!”
    “ผัวะ!! โครม!!!”

    แม้จะมีถึงสามคนที่คอยดึงรั้ง ทว่าชายผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารดำมืดกลับสลัดคนพยายามสกัดกั้นอย่างง่ายดาย ก่อนตรงเข้าไปปล่อยหมัดหนักเข้าที่สันกรามคนปากดีจนล้มอีกรอบ พร้อมหันไปหยิบกระถางดอกไม้ที่ตกกระจายเกลื่อนพื้น ยกขึ้นเตรียมฟาดใส่กลางศีรษะคนกำลังลุกขึ้นมา

    “พี่โนอาร์!! พอแล้วพี่! อาเอทอสต้องไม่ชอบใจแน่ที่พี่ทะเลาะกับลูกค้าแบบนี้ พี่คงไม่อยากถูกอาโกรธหรอกใช่ไหม พอเถอะพี่กับสวนกัน”

    นาวารีบเข้าไปยื้อแย่งกระถางพร้อมพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้ง โดยครานี้อ้างถึงคนที่รุ่นพี่รัก ส่งผลให้ชายอันตรายชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อฝ่าเท้ารุ่นพี่พลันยกขึ้นก่อนฟาดเข้าที่กลางศีรษะคนกำลังลุกขึ้นจนอีกฝ่ายล้มหน้าคะมำกระแทกพื้น ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของคนงานร้านดอกไม้ที่ไม่อาจช่วยพี่ชายเจ้านายของตนได้

    โนอาร์สะบัดมือนาวาที่พยายามฉุดรั้งออก ก่อนเดินไปทางถนนและเรียกรถแท็กซี่ นาวารีบตามไปถามรุ่นพี่ ทว่ากลับได้เพียงสายตาเยียบเย็นอันตรายและคำสั่งให้เขากลับไปพร้อมคนงานเท่านั้น ก่อนรุ่นพี่จะขึ้นรถและหายไป ทิ้งเด็กหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้จมอยู่กับความสับสนไม่เข้าใจเรื่องราว


    รถแท็กซี่หยุดจอดหน้าโกดังแห่งหนึ่ง ก่อนรีบเลี้ยวออกไปทันทีที่ลูกค้าผู้แผ่ไอเย็นราวกับสามารถเยือกแข็งลมหายใจได้ลงจากรถ โนอาร์ย่างเท้ารวดเร็วเพื่อเข้าไปหาคนที่รออยู่ในโกดัง เมื่อเข้าไปด้านในพบรถหุ้มเกราะตามที่เคยสั่งไว้ก่อนออกจากโรงพยาบาล และพ่อค้ายืนพิงรถโบกมือทักทายอย่างไม่รู้ตัวว่าชะตาจวนจะขาดในอีกไม่ช้า

    “มาเร็วจังโนอา… เดี๋ยว! อย่า!”
    “ปึง!!!”
     “อั่ก!!..”

    กว่าจินจะรู้ตัวว่าลูกค้าเอาใจยากไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ โนอาร์ก็ยืนห่างจากเขาเพียงเอื้อมมือแล้ว ดังนั้นพ่อค้าที่กำลังตั้งท่าวิ่งหนีตายเอาชีวิตรอดจึงถูกกระชากคอเสื้อ ก่อนถูกเหวี่ยงอัดกระแทกกับรถหุ้มเกราะ ตามด้วยฝ่ามือจากคนอันตรายคว้าบีบเข้าที่คอเต็มแรงไร้ความเมตตา

    “เอทอสกำลังจะตาย หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยถามพร้อมเพิ่มแรงบีบรอบลำคอเป็นเท่าทวี
    “ปะ... ปล่อย.. ก่อน... อั่ก! อาก...”

    จินพยายามยื่นคำขอพลางแกะมือตรงช่วงคอออก ทว่านอกจากจะไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว โนอาร์ยังเตรียมหยิบมีดตรงช่วงเอวขึ้นมาหมายจะใช้ทรมานให้เขาคายความลับ เห็นดังนั้นคนกลัวตกเป็นของเล่นฆาตกรจึงรีบพูดทุกสิ่งอย่างในทันที

    “ม... มันเป็น.. อั่ก!.. ความตั้งใจของ... คุ.. คุณเอทอส อั่ก!.. คะ... เคยห้ามละ.. แล้ว อาก!... แต่คุณเขาไม่ฟัง”
    “ตุบ!!!”
    “แค่ก!! ๆ ๆ”

    ร่างพ่อค้าถูกเหวี่ยงล้มนอนกับพื้นปูนสากสกปรก จินมีเวลาไอสำลักกอบโกยอากาศเพียงครู่เดียว ปลายมีดแหลมก็จี้กดเข้าที่ลำคอ พร้อมกับดันให้เงยหน้าขึ้นทีละน้อยจนสบนัยน์ตารัตติกาลดำมืดเยียบเย็นยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงเท่านี้พ่อค้าก็รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรต่อโดยที่คนอันตรายไม่ต้องเอ่ยสั่ง

    “ตะ... ตอนที่นายยังไม่ฟื้น นายถูกมนตร์มืดสองอย่างโนอาร์ อันแรก... ถ้าผู้คุมวิญญาณนั่นบาดเจ็บ นายจะเป็นคนรับอาการบาดเจ็บแทนทุกอย่าง ส่วนอีกอัน...”
    “…”
    “นายถูกกำหนดให้ตายตอนสิ้นปีนี้... วิธีช่วยคือต้องถ่ายมนตร์มืดให้คนอื่น แต่คุณเอทอสเขากลับเลือกรับทุกอย่างไว้เอง”
    “เอาของสกปรกพรรณ์นั้นออกไปจากตัวเอทอสให้หมด” คำสั่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงกับทำให้คนฟังหน้าซีดเผือกกว่าเดิม ก่อนจะพยายามอธิบายให้คนอันตรายเข้าใจ
    “ทะ... ทำไม่ได้... มนตร์มืดส่งต่อได้ครั้งเดียว คนรับแทนจะต้องอยู่กับมนตร์มืดไปตลอดชีวิต ไม่มีทางแก้ได้อีก ระ!.. เรื่องนี้เคยเตือนคุณเอทอสแล้ว! แต่คุณเขาก็ยังยืนยันคำเดิม!! ตอนนั้นคุณเขาน่าสงสารมาก.. เหมือนกำลังตายทั้งเป็น ฉันแค่ช่วยทำตามคำขอคุณเขาเองนะ!! จะฆ่ากันเลยเหรอ!!!”
    “พลั่ก!! ตุบ!”

    จินละล้าละลังรีบอธิบายเหตุผลในมุมของตัวเอง เมื่อโนอาร์เพิ่มแรงกดมีดมากขึ้นจนรู้สึกถึงหยดเลือดที่ไหลตรงลำคอ ยามบุคคลอันตรายได้ยินว่าไม่มีทางช่วยปีศาจ ก่อนวินาทีสุดท้ายที่คมมีดจะตัดสะบั้นหลอดลมกลางลำคอ ร่างของคนเกือบชะตาขาดก็ถูกผลักออกให้รอดพ้นโทษประหารอย่างหวุดหวิด

    “ไป”

    น้ำเสียงเยือกเย็นที่พยายามสะกดกลั้นเอ่ยขึ้น พร้อมกับร่างชายอันตรายลุกขึ้นยืนขยับถอยห่าง จินสังเกตเห็นมือทั้งสองข้างของโนอาร์ที่กำแน่นจนสั่นเกร็งอย่างควบคุมอารมณ์ ก็พลันรู้ในทันทีว่าเขาต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่อีกฝ่ายจะคุมตัวเองไม่อยู่และลงมือจัดการเขาจริง ๆ

    ดังนั้นจินจึงไม่รีรอคว้าโอกาสรอดไว้ โดยวิ่งหน้าตั้งออกจากโกดังทันทีอย่างไม่คิดเหลียวมองกลับมา และเมื่ออาคารหลังใหญ่เหลือเจ้าของไอบรรยากาศอาฆาตเยือกเย็นเพียงลำพัง โนอาร์จึงเดินขึ้นรถหุ้มเกราะก่อนขับไปยังสถานที่สุดท้ายซึ่งเป็นจุดหมายแท้จริงในวันนี้



    “โครม!!!”

    รถหุ้มเกราะพุ่งชนราวกั้นของป้อมยาม ขับเข้าไปในอาณาเขตตึกสํานักงานสูงเสียดฟ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ เสียงสนั่นดังทั่วบริเวณส่งผลให้เหล่าพนักงานต่างตื่นตกใจ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กรูกันเข้าไปหารถผู้บุกรุกหมายจะจับตัวมารับโทษ ทว่านั่นกลับเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะผู้สร้างความโกลาหลครั้งนี้ เป็นบุคคลอันตรายเกินกว่าที่ใครคาดคิด และลำพังแค่กระบองในมือไม่อาจสู้ปืนและคมมีดได้อย่างแน่นอน

    “ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อ๊ากกกก!!! กรี๊ด!!!!!”

    เสียงปืนสาดกระสุนใส่กลุ่มยามที่รายล้อมรถหุ้มเกราะ ทำให้เหล่าพนักงานยิ่งตื่นตระหนกกรีดร้องวิ่งหนี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้ทำหน้าที่สุดความสามารถ ต่างได้รับสิ่งตอบแทนเป็นลูกตะกั่วฝังร่างกันถ้วนหน้า ทรุดกองดิ้นร้องกับพื้นโดยไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วย เมื่อชายเลือดเย็นก้าวลงจากรถพร้อมสวมหน้ากากกันแก๊สปิดบังใบหน้า มีกระเป๋าสะพายซึ่งด้านในล้วนบรรจุอุปกรณ์อันตราย และปืนหนึ่งกระบอกที่เล็งไปยังคนกล้าคิดขอความช่วยเหลือ

    “ปัง!!!”
    “กรี๊ด!!!!”

    พนักงานสาวหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ร้องลั่น เมื่อมือที่กำลังยกหูโทรศัพท์ถูกกระสุนจากหน้าทางเข้าตึกยิงใส่อย่างแม่นยำ ก่อนตามด้วยเจ้าของปืนเดินมุ่งตรงมาที่เข้าเคาน์เตอร์ จิตสังหารเยือกเย็นที่มาจากตัวผู้บุกรก ถึงกับทำให้หญิงสาวได้แต่หลับตายืนนิ่งตัวสั่นด้วยความกลัว

    “กรี๊ด!!!! ปึง!!!”

    สาวเคราะห์ร้ายไม่ได้รับความเห็นใจใด ๆ ทั้งสิ้น ผมสลวยถูกมือเพชฌฆาตกระชากไร้ความปรานีพร้อมกดกระแทกลงกับตัวเคาน์เตอร์อย่างแรง ความเย็นจากพื้นผิวโต๊ะที่สัมผัสจากผิวแก้ม ราวกับพื้นน้ำแข็งหนาวเหน็บกัดผิวเนื้อจนคล้ายชาไร้ความรู้สึก ทว่าอีกหนึ่งสัมผัสจากวัตถุโลหะเย็นที่กดลงตรงข้างขมับ กลับกระตุ้นความรักตัวกลัวตายเป็นอย่างดี

    “ภาคินอยู่ไหน” น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยถาม พร้อมกับแรงกดปลายกระบอกปืนที่มากขึ้นคล้ายเป็นการเตือนให้ระวังคำพูด
    “ยะ.. อยู่ชั้นบนสุดค่ะ นะ..น่าจะกำลังประชุ-”
    “พลั่ก! ปัง!!!”
    “กรี๊ด!!!!!!”

    รางวัลจากการตอบคำถามคือการถูกผลักไปชนกำแพงด้านหลัง ก่อนตามด้วยกระสุนปืนยิงเข้าที่ต้นขาหมดโอกาสหนี สาวพนักงานผู้โชคร้ายกรีดร้องครู่อยู่หนึ่งแล้วจึงสลบไป นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นกวาดมองเหล่าพนักงานที่กลัวตายหลบซ่อนตามมุมต่าง ๆ ก่อนจะหยิบบางสิ่งรูปร่างคล้ายกระป๋องเครื่องดื่มออกมาจากกระเป๋าสะพายและปาลงพื้น ทันทีที่ตัวกระป๋องตกกระทบพลันเกิดควันขาวพวยพุ่งปกคลุมบดบังทัศนวิสัยทั่วบริเวณ เหล่าพนักงานที่สัมผัสตัวควันต่างร้องดิ้นด้วยความแสบร้อนระคายเคืองตรงดวงตาและจมูก

    โนอาร์มองความวินาศโดยรอบด้วยน้ำมือเขา ก่อนก้าวผ่านควันขาวอำพรางกายมีเสียงร้องระงมเป็นองค์ประกอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเป้าหมายเดียวในตอนนี้คือชั้นบนสุดของตึก


    เสียงอึกทึกจากชั้นล่างที่เริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ถึงกับทำให้เหล่าผู้บริหารในห้องประชุมนั่งกันไม่ติดเก้าอี้ และกลับยิ่งตกตะลึงพร้อมความเชื่อใจที่สั่นคลอน ยามรู้ว่าผู้ร้ายที่กำลังบุกบริษัทยักษ์ใหญ่มีเพียงแค่หนึ่งเดียว

    “นี่มันอะไรกันคุณภาคิน ชีวิตพวกผมต้องแขวนบนเส้นด้ายเพราะปัญหาส่วนตัวของคุณเหรอ?”
    “แค่คน ๆ เดียวยังไม่มีปัญญาทำอะไรได้ หลังจบเรื่องวันนี้ฉันขอลาขาด-”
    “โครม!!!!”
    “ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อั่ก!! อ๊ากกก!!!!!! กรี๊ด!!!!!”
    

    ขณะที่เหล่าผู้บริหารสูงศักดิ์กำลังโต้เถียง ประตูห้องประชุมที่ควรจะมีหน่วยรักษาความปลอดภัยดูแล กลับพังโครมเสียงดัง ตามด้วยกระสุนปืนยิงใส่ทักทายทุกคนในห้อง เว้นเพียงเจ้าของบริษัทเท่านั้นที่ยังไร้รอยขีดขวน และสุดท้ายตัวการผู้แผ่บรรยากาศเยียบเย็นเยือกแข็งก็ก้าวเข้ามาในห้อง

    “ฉลาดเลือก... ใช่ ถ้ายังห่วงชีวิตกลัวตายอยู่ก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับบริษัทนี้ เพราะอีกไม่นานที่นี่ต้องล่มจมไม่มีเหลือ”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกถึงภายใน กล่าวเตือนเหล่าผู้บริหารที่หนีไปรวมกลุ่มกันตรงมุมห้อง ก่อนจะหันมาสบกับเจ้าของบริษัทที่มองผู้บุกรุกด้วยความโกรธเคือง

    “กะ... แกมีปัญหากับคุณภาคินคนเดียวก็ปล่อยพวกฉันไปสิ คุณคนนี้เขาเสียเลือดมากต้องรีบไปโรงพยา-”
    “ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อ๊ากกกก!!!!!!”
    “ปัง!! ปัง!! แกร๊ก!”

    คำพูดเห็นแก่ตัวเรียกรอยยิ้มมุมปากเชิงสมเพชให้กับโนอาร์ได้เล็กน้อย ก่อนสนองด้วยการระดมยิงซ้ำใส่แผลตรงขาที่ใช้อ้างจนหมดแม็ก ส่งผลให้บัดนี้ขาของผู้ที่ถูกใช้อ้างเอาตัวรอด กลับเต็มไปด้วยหยาดเลือดไหลทะลักอาบทั่วบริเวณ ผิวเนื้อถูกพิษกระสุนฉีกทำลายอยู่ในสภาพเหวะหวะเกินกว่าใครจะฝืนมอง ส่งผลให้เจ้าของบาดแผลช็อกสลบในเวลาถัดมา เหล่าผู้บริหารช่างเจรจายามนี้กลับก้มหน้ากดแผลห้ามเลือดตัวเองเงียบสนิทไม่กล้าปริปาก เพราะเกรงกลัวว่าจะได้รับการตอบกลับอย่างเมื่อครู่

    “เป้าหมายนายคือฉันไม่ใช่เหรอ ปล่อยพวกเขาไป” ภาคินเอ่ยเจรจา
    “เล่นละครเรียกคะแนน หึ... นี่พวกคุณรู้ไหม ภาคินน่ะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องวันนี้ต้องเกิดขึ้น ถึงได้แอบพกอาวุธป้องกันตัวไว้ แต่น่าเสียดายที่เพื่อนธุรกิจเขาไม่เหลียวแลตัวเบี้ยหมากอย่างพวกคุณ”
    “พูดอะไรขอ-”
    “ถ้าอยากพิสูจน์ก็ถอดชุดสูทและหันหลัง หรือพอเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง ไม่อยากหลอกคนพวกนี้จนวินาทีสุดท้าย ก็เอาอาวุธมาวางบนโต๊ะให้หมด แล้วจะตอบแทนโดยการปล่อยพวกเบี้ยหมากออกไปจากห้อง”

    คำพูดจงใจใส่ร้ายป้ายความผิด ทำให้ผู้เป็นแพะอย่างภาคินทำได้เพียงกำมือแน่นข่มอารมณ์ เขาจำน้ำเสียงเยียบเย็นภายใต้หน้ากากนั้นได้ดีว่าคือใคร ทุกสิ่งอย่างที่อีกฝ่ายพูดล้วนเป็นเรื่องแต่งลวงหลอกทั้งหมด เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าโนอาร์จะกล้าทำถึงขนาดนี้ ส่วนเรื่องอาวุธเป็นสิ่งที่นักล่าปีศาจทุกคนต้องพกติดตัวตลอดอยู่แล้ว แต่ที่ไม่เอาออกมาเพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวจึงมีแค่อาวุธระยะประชิด จะเอาไปใช้ข่มขู่สู้กับกระบอกปืนได้อย่างไร

    ทว่าหากจะพยายามพูดอธิบายก็เห็นจะเป็นเพียงข้อแก้ตัวฟังไม่ขึ้น เพราะเหล่าสายตาผู้เคราะห์ร้ายที่มองมาล้วนเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ดังนั้นนักล่าปีศาจผู้ตกเป็นหุ่นเชิดของบุคคลอันตรายจึงทำได้เพียงหยิบอาวุธทุกอย่างที่เก็บซ่อนไว้ทางด้านหลังมาวางลงบนโต๊ะ

    “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้ เสียชื่อพ่อแม่คุณที่พยายามสั่งสมมาจริง ๆ”
    “กะแล้วอายุแค่นี้ประสบการณ์ก็ไม่มี จะขึ้นมาบริหารบริษัทได้ยังไง คงไปแอบตกลงกับใครไว้สินะ แล้วมีปัญหาขึ้นมาก็ลากพวกฉันมารับเคราะห์ด้วย”
    “อุสาเห็นว่าเป็นลูกชายของท่านทั้งสอง แต่วางแผนงานแต่ละอย่างดูท่าจะไปไม่รอดเลยอยากอยู่ช่วย  รู้แบบนี้ฉันออกตามคนอื่นไปตั้งแต่แรกคงดีกว่า”
    “ทำตามที่สั่งแล้ว ปล่อยพวกเขาไปได้หรือยัง”

    ภาคินเลือกเมินคำต่อว่าถากถาง ก่อนเอ่ยทวงข้อตกลงจากบุคคลอันตราย แม้อยากแก้ไขความเข้าใจผิดมากเท่าไร แต่ทุกอย่างคงกลับกลายเป็นหอกหนามยิ่งทิ่มแทงความรู้สึกตัวเขาเอง เพราะทุกคำพูดที่ได้ฟังแสดงให้เห็นแล้วว่าคนเหล่านี้ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเขาแม้แต่น้อย ราวกับทุกความเหน็ดเหนื่อยพยายามที่เขาฝ่าฟันจนมายืนตรงนี้ได้ ไม่มีค่าใด ๆ ในสายตาของพวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

    เศษเสี้ยวความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่หลบซ่อนในดวงตาเรียบนิ่ง ทำให้ผู้ควบคุมบทละครพึงพอใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยไล่พวกหมดประโยชน์ออกจากห้องไป ส่งผลให้ตอนนี้ภายในห้องประชุมเหลือเพียงเจ้าของบริษัทและผู้บุกรุกเพียงสองคน

    “ถูกใส่ร้ายความผิดที่ไม่ได้ทำ รู้สึกยังไง” โนอาร์เอ่ยถาม หลังสนองคืนสิ่งที่อีกฝ่ายเคยทำกับปีศาจเรียบร้อย
    “หึ.. ที่ทำทั้งหมดเพราะอยากแก้แค้นให้ไอ้ปีศาจนั่นเหรอ เรื่องใหญ่ขนาดนี้นายจะปิดยังไง อีกไม่นานพวกตำรวจทั้งประเทศคงตามจับนาย คุ้มกันไหม”
    “ไม่มีหลักฐานให้ตามตัวได้ จะมีก็แต่พยานหนึ่งเดียวที่รู้จักคนทำเป็นอย่างดี แต่พยานจะให้ความร่วมมือกับตำรวจไหม ถ้าต้องแลกกับชีวิตเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านแสนสำคัญทั้งหมด”
    “พวกเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้” ภาคินเอ่ยพูดเสียงเย็น เมื่อเหล่าคนในครอบครัวถูกใช้เป็นเครื่องมือ
    “จะเกี่ยวหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายตอนตอบคำถามพวกตำรวจ และถ้าอยากขอความช่วยเหลือพวกนักล่าปีศาจก็ตามใจ แต่ก็ให้รู้ไว้ว่าถ้ากลุ่มพวกนักล่าปีศาจพังพินาศเป็นเพราะนายดึงเข้ามา”

    คำขู่ที่ไม่เกินจริงจากบุคคลอันตราย ทำให้ภาคินพูดไม่ออก ก่อนโนอาร์จะหยิบบางอย่างจากกระเป๋าสะพายและโยนให้เจ้าของบริษัท ปลอกคอสีดำสนิทหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับอุปกรณ์ติดตามปีศาจ ถึงกับทำให้ภาคินขมวดคิ้วแน่น
 
    “ใส่ซะ”
    “เครื่องติดตามปีศาจใช้ไม่ได้กับมนุษย์ ไม่รู้หรือไง” ภาคินกล่าวเย้ยหยัน ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะหึหนึ่ง เชิงสมเพช
    “มองไม่ออกหรือไงว่านั่นเป็นของที่สั่งทำเลียนแบบ จะมีผลกับมนุษย์ไหม ใส่แล้วจะรู้เอง”
    “ทำไมต้องใส่”
    “ตู้ม!!!! กรี๊ด!!”

    สิ้นเสียงคำถาม คำตอบกลับเป็นเสียงระเบิดสนั่นและเสียงกรีดร้องของพนักงานชั้นล่างดังขึ้นมาถึงชั้นบน พร้อมแรงสั่นสะเทือนของตัวตึกที่สัมผัสได้เล็กน้อย ภาคินเบิกตากว้างมองอุปกรณ์สั่งการในมือโนอาร์ ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำรุนแรงเอิกเกริกถึงเพียงนี้

    “นายมันบ้าไปแล้วโนอาร์ ถ้าระเบิดตึกทุกคนจะตายกันหมด รวมถึงนายด้วย”
    “ไม่มีใครโง่พอที่จะตายเพราะกับดักตัวเองหรอก”

    คำต่อว่าถากถางกลาย ๆ คล้ายกำลังสื่อว่าถึงตึกแห่งนี้จะถล่มและสูญเสียชีวิตมากมาย ก็ไม่มีผลต่อตัวการทั้งสิ้น นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่รอดจากโศกนาฏกรรมอย่างไร้รอยขีดข่วน ทั้งหมดล้วนไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากผู้พูดคือชายอันตรายที่ชื่อว่าโนอาร์ ดังนั้นเจ้าของบริษัทผู้รับผิดชอบต่อชีวิตมากมายจึงไม่ยอมเสี่ยงเดิมพันใด ๆ และยอมสวมใส่ปลอกคอแต่โดยดี

    “นิ่งดี ควบคุมอารมณ์ใช้ได้”

    โนอาร์เอ่ยชม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีทรมานหลังใส่ปลอกคอ ชายเลือดเย็นจึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้อุปกรณ์ทำงาน ด้วยการหยิบปืนกระบอกใหม่ขึ้นมาสาดกระสุนใส่อีกฝ่าย

    “พรึบ!"
    “ปัง!! ปัง!! ปัง!!”

    ภาคินโยกตัวหลบกระสุนได้ทัน พร้อมคว้าหยิบหนึ่งในอาวุธที่วางไว้แล้วรีบหลบหลังโต๊ะ โนอาร์ไม่รอช้าเดินไล่ยิงตามจนกระสุนหมด ภาคินอาศัยช่วงโอกาสนั้นเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายหมายจะจับทุ่มลงพื้นและล็อกตัวไม่ให้ดิ้นหนี ทว่าโนอาร์กลับหลบทันอย่างเฉียดฉิวพร้อมสลับปืนในมือเป็นขวานสั้นข้างเอวเตรียมจามเข้ากลางหลัง ภาคินจวนจะพลาดท่าจึงหันปลายคมของอาวุธในมือที่ถือไว้ตอนแรกไปยังโนอาร์ก่อนกดปลดอาวุธ ฉับพลันกลไกของอาวุธได้ยืดขยายเปลี่ยนมีดสั้นเป็นหอกยาว พุ่งแทงใส่กลางอกศัตรู และด้วยระยะกระชั้นชิดไม่มีทางเลยที่จะหลบพ้น

    “พรึบ!”
    “ฉึก!!!”

   เปลวเพลิงสีนิลไร้ที่มา พลันลุกไหม้กลางอากาศกั้นระหว่างคมหอกกับเป้าหมายคล้ายเป็นเกราะปกป้อง ก่อนไฟสีดำสนิทจะวิ่งลามกลืนกินตัวหอกอย่างรวดเร็ว จนเจ้าของต้องผละตัวออกห่างจากอาวุธ เพียงครู่เดียวหอกเหล็กกล้าสำหรับกำจัดปีศาจก็ถูกเปลวเพลิงเผาสลายหายไปพร้อมประกายไฟที่มอดดับ

    โนอาร์และภาคินต่างหยุดชะงักกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ชายเลือดเย็นจำได้ดีว่าไฟนี้เป็นของปีศาจ แสดงว่าเอทอสต้องลอบทำบางสิ่งเพื่อปกป้องโดยไม่บอกเขาอีกแล้ว ส่งผลให้นัยน์ตารัตติกาลยิ่งทวีความดำมืดอันตราย ยามนึกถึงสิ่งที่ปีศาจต้อสละเพื่อดูแลเขา ความโกรธพิโรธในรูปแบบไอเย็นยิ่งเพิ่มพูนความหนาวเหน็บ

    ภาคินสัมผัสถึงบรรยากาศรอบตัวโนอาร์ที่ทวีความอันตรายขึ้นอย่างรวดเร็ว เตรียมขยับออกห่างเพื่อตั้งตัวใหม่ ทว่าร่างกลับไม่ขยับตามใจคิดคล้ายถูกแช่แข็งโดยจิตสังหารเยียบเย็นจากอีกฝ่าย ซึ่งการพลาดเพียงครั้งเดียวก็เท่ากับความพ่ายแพ้ในทันที เพราะคนอันตรายพุ่งเข้าหาร่างเจ้าของบริษัทก่อนทุ่มลงกลางโต๊ะประชุม

    “โครม!!”
    “อั่ก!”
    “ฉึก!! ฉึก!!”
    “ฉึก!! ฉึก!!”
    “อ๊ากกกกก!!!!! อึก!!...”

    เสียงร้องเจ็บปวดของเจ้าของบริษัทดังก้อง เมื่อมีดทั้งสี่เล่มปักแทงทะลุตรึงขาและแขนทุกข้างกับตัวโต๊ะไม่ให้ขยับ หยาดเลือดทะลักย้อมพื้นเนื้อไม้สีน้ำตาลให้กลายเป็นสีแดงส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ทว่าความทรมานไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะการถูกทำร้ายฉับพลันส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดเต้นเร็วขึ้นจนถึงจุดที่อุปกรณ์ตรงลำคอตั้งไว้ กระแสไฟฟ้าพลันวิ่งช็อตกระจายไปทั่วร่าง อาการเกร็งแน่นของกล้ามเนื้อทุกส่วนจนไม่อาจส่งเสียงร้องเจ็บปวด ทำให้เพชฌฆาตรู้ในทันทีว่า เครื่องมือที่บังคับให้อีกฝ่ายสวมใส่เริ่มทำงานแล้ว

    “คุมสมาธิและอารมณ์ไว้ให้ดี เมื่อไรที่หัวใจเต้นเร็วเกินกำหนดจะถูกปลอกคอช็อตแบบนี้” โนอาร์นั่งยองพูดกับคนกำลังชักเกร็ง
    “…”
    “ปลอกคอจะไม่หยุดปล่อยไฟฟ้าจนกว่าจังหวะหัวใจจะเต้นต่ำกว่าที่ตั้งไว้ มนุษย์ไม่มีทางควบคุมจังหวะหัวใจได้อยู่แล้ว ฉะนั้นวิธีรอดก็มีแค่ปล่อยให้ถูกช็อตจนหัวใจเต้นผิดจังหวะช้าลง ไม่ก็ช็อกจนหัวใจหยุดเต้นไป”
    “…”
    “แต่นั่นก็เท่ากับตาย มันง่ายไป ครั้งนี้จะช่วยหยุดให้ก่อน แต่ครั้งหน้าระวังไว้ให้ดี และอย่าคิดถอดออก เพราะถ้าฝืนมันจะระเบิด”

    โนอาร์กล่าวเตือนทิ้งท้าย ก่อนหยิบอุปกรณ์ควบคุมปลอกคอในกระเป๋าสะพายมากดหยุดการทำงาน ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าที่กำลังช็อตร่างภาคินหายไป แต่ผู้รับโทษทัณฑ์ก็หมดสติไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นเมื่อสิ้นธุระเพชฌฆาตจึงเตรียมตัวกลับ ทว่าหลังออกมาจากห้องประชุมกลับพบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชุดใหม่ขึ้นมาถึงชั้นบนพอดี และแน่นอนสิ่งที่ตามมาย่อมเป็นเสียงร้องระงมทรมานของเหล่ากลุ่มคนที่กล้าท้าทาย


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ2 บทที่ 26 ล่วงรู้]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 01-10-2020 19:01:35
(ต่อ)

    ชายเลือดเย็นกลับมาถึงสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ในช่วงเวลาเย็นจวนค่ำ รถแท็กซี่ที่จอดส่งผู้โดยสารเลี้ยวออกจากสวนตามปกติ โดยหารู้ไม่ว่าตนเพิ่งช่วยผู้ร้ายหลบหนีออกมาจากสถานที่เกิดเหตุ โนอาร์เดินมุงตรงไปทางสำนักงานด้านหลังของสวน พบว่าด้านในล้วนปิดไฟดับสนิทเพราะเหล่าพนักงานกลับกันหมดแล้ว มีเพียงไฟในห้องทำงานเจ้าของสวนที่ยังคงสว่างอยู่ คนเพิ่งมาถึงไม่รอช้าเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะถามอย่างทุกครั้ง

    ภาพเบื้องหน้าคือเอทอสในสภาพครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจอ่อนแรง กำลังนอนพักตรงโซฟาและเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อพูดคุย สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวโนอาร์ยิ่งเย็นเยียบยิ่งกว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด

    “คุณทำอะไรลงไป เอทอส!!” มนุษย์ตวาดลั่นใส่ปีศาจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทว่าอีกฝ่ายเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืน
    “ช่วยเจ้าไง”
    “แต่คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้!!! ชีวิตคุณอยู่ได้อีกหลายร้อยปี จะเอามาแลกกับชีวิตมนุษย์ไม่กี่ปีของผมทำไม? ยังไงถ้าไม่มีเรื่องพรรณ์นี้คนตายก่อนก็คือผม แค่ผมตายเร็วกว่าเดิมมันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และถึงผมจะเหลือแต่วิญญาณมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะผมยังอยู่กับคุณเหมือนเดิม สิ่งที่คุณทำให้ผมทั้งหมด... มันไม่มีค่าอะไรเลย”
    “...หากเจ้าช่วยข้าตอนนี้ได้ แต่ต้องสละชีวิตของเจ้า เจ้าจะให้ข้าไหม”
    “ต้องทำยังไง?” มนุษย์รีบตอบรับทันที นัยน์ตาดำมืดคล้ายมีประกายความหวังขึ้นเล็กน้อย
    “ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจง่ายนัก” เอทอสถามต่อ
    “เพราะผมรักคุณ คุณกำลังจะตาย ถ้ามีทางไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไร ผมพร้อมทำให้ทุกอย่าง ไม่มีใครทนดูหรือปล่อยคนที่ตัวเองรักตายไปได้หรอก”
    “นั่นคือคำตอบของข้า”
    “…”

    คำตอบพร้อมรอยยิ้มจริงใจจากปีศาจ ถึงกับทำให้ผู้แผ่ไอบรรยากาศเยือกเย็นอันตรายนิ่งงันไป ทั้งความโกรธและตื้นตันต่างหมุนวนอยู่ในหัวใจน้ำแข็ง จนภายในมนุษย์รู้สึกปั่นป่วนสับสน ไม่อาจหาวิธีจัดการกับห่วงอารมณ์มากมายที่เกิดขึ้น เอทอสที่รู้จักมนุษย์ตรงหน้าเป็นอย่างดี จึงอ้าแขนรอให้มนุษย์เข้ามาพึ่งพิงไออุ่น

    โนอาร์เดินเข้าไปหาปีศาจก่อนนั่งตักและกดหน้าซุกกับบ่ากว้างแข็งแรง ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างโอบกอดร่างมนุษย์อย่างอ่อนโยน ก่อนฝ่ามือใหญ่อบอุ่นจะลูบกล่อมคนในอ้อมแขน พลางกดจูบแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในความรู้สึกลงข้างขมับเป็นการปลอบประโลม

    “ข้าอยากบอกความรู้สึกของข้า ในวันที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ตอนนี้เจ้าคงล่วงรู้หมดแล้ว ข้าจึงอยากยืนยันให้เจ้ามั่นใจ” เอทอสเอ่ยบอก ก่อนก้มลงไปกระซิบคำที่มนุษย์เฝ้ารอมานานที่ข้างหู เพื่อให้โนอาร์ได้ฟังชัด ๆ
    “ข้ารักเจ้าแล้ว โนอาร์”
    “พูดอีก” มนุษย์สั่งเสียงเบา ฝ่ามือขาวพลันขยุ้มเสื้อปีศาจที่จับไว้แน่นขึ้น
    “ข้ารักเจ้า” น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนกล่าวตอบตามคำสั่ง เมื่อสัมผัสถึงความรู้สึกชื้นตรงบ่า
    “พูดอีก”
    “รักเจ้าเพียงผู้เดียว โนอาร์”
    “พูดอีก”
    “ข้าเอทอสขอให้คำสัญญาว่าหากแม้สิ้นลมหายใจ จะยังคงรักโนอาร์...”
    “…”
    “ไม่เสื่อมคลาย”
    


(บท26 สมบูรณ์)



ถึงคนอ่าน

    บทนี้ค่อนข้างยาวมากครับ คนเขียนสองจิตสองใจว่าจะแบ่งออกเป็น 2 บทดีไหม แต่เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดภายในวันเดียว คนเขียนเลยตัดสินใจไม่แบ่งเพื่อความต่อเนื่องครับ แต่ก็แลกกับทำให้ลงช้าลง คนอ่านก็ถือซะว่าได้อ่านสองบทต่อเนื่องในบทเดียวแล้วกันนะครับ แหะ ๆ


    บทนี้เนื้อหาค่อนข้างยาวและมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ คนอ่านค่อย ๆ แบ่งอ่านก็ได้นะครับ แต่หากอ่านรวดเดียวเลย คนอ่านเก่งมากและขอบคุณมากเลยครับ ^^


    ในบทนี้ที่โนอาร์ชวนนาวา ความจริงตั้งใจจะชวนไปเล่นถล่มบริษัทภาคินด้วยกันครับ แต่โดนวรรษขัดก่อน โนอาร์เลยหมดอารมณ์และไปคนเดียวครับ


    มีช่วงหนึ่งในบทนี้ที่ศิลาพูดถึงเอทอสกับโนอาร์ว่าอาจไม่มีทายาท คนเขียนไปเจอตารางนี้ของคุณ @charlot_KT ในทวิตเตอร์มา คนเขียนเลยอยากเอามาเล่นดูว่า ถ้าเอทอสกับโนอาร์มีลูกขึ้นมา ใครจะรับหน้าไหนกันบ้างครับ แต่คนเขียนใส่ภาพไม่ได้ หากคนอ่านอยากดูรูป รบกวนเข้าไปดูผ่านลิงค์นี้แทนนะครับ https://drive.google.com/file/d/1NcyFyJ-FSathMHMHpVxy14XX8hj-1EJE/view (https://drive.google.com/file/d/1NcyFyJ-FSathMHMHpVxy14XX8hj-1EJE/view)
    ขอบคุณครับ  :pig4:


    ป.ล. คนเขียนรู้สึกเปลืองหน้ากระทู้มาก แต่คนเขียนไม่สามารถยันเนื้อหาบทนี้ทั้งหมดภายใน 2 กระทู้ได้ เลยมีเศษนิดหน่อยตรงนี้ครับ   :ling1:


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 26 ล่วงรู้) [01/10/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 03-10-2020 01:04:31
ไม่อยากให้เอทอสตายเลย ฮือออ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ2 บทที่ 26 ล่วงรู้]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-10-2020 22:02:19
“...หากเจ้าช่วยข้าตอนนี้ได้ แต่ต้องสละชีวิตของเจ้า เจ้าจะให้ข้าไหม”
    “ต้องทำยังไง?” มนุษย์รีบตอบรับทันที นัยน์ตาดำมืดคล้ายมีประกายความหวังขึ้นเล็กน้อย
    “ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจง่ายนัก” เอทอสถามต่อ
    “เพราะผมรักคุณ คุณกำลังจะตาย ถ้ามีทางไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไร ผมพร้อมทำให้ทุกอย่าง ไม่มีใครทนดูหรือปล่อยคนที่ตัวเองรักตายไปได้หรอก”
    “นั่นคือคำตอบของข้า”

แค่บทพูดบทนี้ ทำให้เราไปกดบวกโดยไม่รู้สึกตัว อิอิอิ โอ๊ย....ฟินๆๆๆ
แต่เราเชื่ออย่างว่า อายุของปีศาจ มากว่ามนุษย์ ดังนั้นแล้วในส่วนของ
ที่ว่าโนอาร์อยู่ได้อีกปี ก็เท่ากับว่าอายุปีศาจจะถูกลดอายุเท่ากับมนุษย์
ทำให้เอทอสมีอายุแก่เฒ่าไปพร้อมกับโนอาร์ เราคิดอย่างนี้จริงๆ นะ

ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 27 พี่ชาย]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 02-11-2020 21:38:53
    ในความมืดมิดยามค่ำคืนดึกสงัด รถกระบะสีดำกลมกลืนกับบรรยากาศจอดสนิทท่ามกลางต้นไม้และหลุมศพอย่างโดดเดี่ยว อุณหภูมิรอบสถานที่ลดต่ำลง ลมหนาวชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังพัดผ่านเมื่อขาดแสงอาทิตย์ให้ความอบอุ่น ทว่าความเย็นที่เข้าปกคลุมสุสานเก่าแห่งนี้ กลับไม่เท่าความหนาวเหน็บอันว่างเปล่าราวกับจักรวาลไร้แสงของบุคคลหนึ่งเดียวภายในรถ

    “สีครามอยู่ไหน” โนอาร์ที่กำลังนั่งรอปีศาจกินวิญญาณ เอ่ยถามปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    [...บอกว่าขอจัดการเองไง และอีกอย่างแผนที่วางไว้เกือบสำเร็จแล้ว] ปลายสายพยายามต่อรอง เพราะรู้ดีว่าหากเขาส่งตัวประกันคืน สีครามจะไม่มีวันกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกเลย
    “แผนอะไร?”
    [ถ้าคนที่ชื่อวรรษนั่นมีจุดอ่อนเป็นน้องชายจริง คงไม่มีอะไรที่เจ็บปวดเท่าการถูกรังเกียจจากคนที่ตัวเองหวังดีและห่วงใย]

    มังกรตอบกลับพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ครั้งที่เขาถูกใช้เป็นตัวหมากในเกมของโนอาร์ ความผิดหวังเสียใจในแววตาของหยกหญิงสาวผู้เป็นที่รัก ยังคงสร้างความรวดร้าวฝังลึกในความทรงจำ หากวรรษเป็นคนประเภทเดียวกับเขาอย่างที่โนอาร์เคยว่าไว้ การถูกน้องชายรังเกียจย่อมไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็น

    ซึ่งความจริงแล้วมังกรไม่ได้สนใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ เขาต้องการเพียงพิสูจน์ว่าไอ้พี่ชายเลวนั่นมันรักน้องจริงไหม เพราะสิ่งที่เขาเห็นด้วยตากับข้อมูลที่ได้มันสวนทางกันหมด และถ้าหากผลออกมาเป็นวรรษไม่ได้ให้ค่าอะไรกับน้องชายตัวเองเลย อย่างน้อยเขาก็ทำให้สีครามตาสว่างและหลุดพ้นจากพี่ชั่ว

    “แล้วไปถึงไหน” โนอาร์ถามถึงความคืบหน้า
    [ให้สีครามรู้ธาตุแท้ที่วรรษมันซ่อนไว้แล้ว แต่หมอนั่นมันยึดติดกับพี่มาก เลยต้องใช้เวลาให้ความคิดตกตะกอน]
    “…พรุ่งนี้ปล่อยสีคราม” ชายเลือดเย็นเงียบคิดสักพักแล้วจึงเอ่ยสั่งปลายสาย ทว่าเนื้อความของคำสั่ง กลับทำให้มังกรนิ่งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ
    [...หมายความว่ายังไง?]
    “จัดการเรื่องสีครามเสร็จ ไปหาที่เงียบ ๆ สำหรับเตรียมขังคนไว้”

    เอ่ยจบชายเลือดเย็นกดตัดสายทันทีเมื่อหมดธุระ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่บรรยากาศมืดวังเวงเบื้องหน้าเริ่มปรากฎจุดแสงสีแดงเลือดนก พร้อมเงาสูงใหญ่ในม่านหมอกสีดำยามค่ำคืนเคลื่อนขยับมุ่งตรงมาทางรถ ไม่นานเอทอสในร่างปีศาจสมบูรณ์ก็หยุดยืนอยู่ข้างรถกระบะ ตำแหน่งคนขับที่มีมนุษย์นั่งรออยู่

    “คุณไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม อยากกินอีกหรือเปล่า ผมรอได้” โนอาร์รัวคำถามใส่ปีศาจ พลางมองสำรวจอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง แม้ยามนี้ร่างสูงใหญ่จะไร้ท่าทีอ่อนล้าเหมือนตอนแรกแล้วก็ตาม
    “ขอบใจ แต่ข้ากินมากพอถึงขนาดอยู่ได้เป็นอาทิตย์ และเจ้าก็เลิกมองเหมือนข้าจะตายวันนี้ได้แล้ว ข้าแค่หมดแรงเพราะร่ายคำสาป”
    “ผมจะไม่ยอมให้คุณตาย”
    “…”

    นัยน์ตารัตติกาลสบกับดวงตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงอย่างแน่วแน่คล้ายให้คำมั่น ส่งผลให้เอทอสชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง คำหักหาญน้ำใจว่าไม่มีทางถูกกักขังข้างในความคิด อย่าให้เล็ดลอดออกมา ถึงแม้จะคล้ายหลอกให้โนอาร์จมอยู่กับความหวังที่ไม่มีวันเป็นไปได้ แต่ปีศาจคิดว่าเป็นเช่นนี้คงดีกว่า เพราะเขาไม่อยากเป็นผู้ทำให้มนุษย์กลับมามีดวงตาว่างเปล่าแหลกสลายเหมือนคราวรู้ความจริงอีก

    ครั้งเมื่ออยู่สวนก่อนจะมายังสุสานแห่งนี้ เอทอสได้ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้โนอาร์รับรู้อย่างไม่คิดปิดบัง ทั้งเรื่องคำสาปและผลข้างเคียง การรับมนตร์มืด เอาคืนผู้คุมวิญญาณ และสารภาพเรื่องของขวัญที่มนุษย์ให้ พร้อมหยิบฐานไม้กลมที่เหลืออยู่ซึ่งปีศาจเก็บติดตัวไว้เสมอออกมา โนอาร์เพียงมองเล็กน้อยก่อนส่งคืนโดยไร้ความขุ่นเคือง ส่งผลให้ปีศาจที่คอยแอบกังวลพลอยโล่งอกไปด้วย ทว่าท่าทีตลอดการฟังเรื่องราวของโนอาร์ กลับสร้างความไม่สบายใจใหม่ให้เอทอสเสียแทนเพราะ ปฏิกิริยาสงบเงียบราวกับห้วงอวกาศมืดสนิทนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย และไม่รู้ว่าภายใต้นัยน์ตารัตติกาลนิ่งคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่

    “ไปนั่งอีกฝั่ง ข้าจะขับเอง” ปีศาจเอ่ยเปลี่ยนเรื่องสนทนา หลังเงียบหายไปสักพักหนึ่ง
    “ไม่ วันนี้คุณเหนื่อยพอแล้ว ให้ผมได้ดูแลคุณบ้าง”
    “…ตามใจ”

    ปีศาจจ้องตามนุษย์ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นแววว่าจะโอนอ่อน เอทอสจึงถอนหายใจก่อนยอมตกลงและเดินอ้อมไปนั่งฝั่งข้างคนขับเพื่อจบปัญหา เนื่องเพราะเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว หากมัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกัน กว่าจะได้กลับถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์คงรุ่งสางพอดี



    ยามเช้ามาเยือนพร้อมแสงนวลอ่อนลอดเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่าง นัยน์ตาสีอำพันดุลืมขึ้นเมื่อกระชับอ้อมแขนแล้วพบว่าร่างใครบางคนหายไป ไออุ่นหลงเหลือจากผืนเตียงข้างกายบ่งบอกว่ามนุษย์เพิ่งลุกไปได้ไม่นานนัก กลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายตรงบริเวณส่วนครัวของบ้านเสมือนแทนคำตอบว่าโนอาร์หายไปไหน

    เอทอสในร่างมนุษย์สมบูรณ์ลุกจากเตียงเพื่ออาบน้ำ ระหว่างเดินผ่านตู้เสื้อผ้าทันเห็นชุดทำงานแขวนเตรียมไว้เรียบร้อย การปรนนิบัติดูแลของมนุษย์ทำให้ใบหน้าคมดุเผลอกระตุกยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกในส่วนลึกยิ่งเรียกร้องให้เขารับมนุษย์เป็นคู่ครอง แน่นอนว่าเขาก็อยากทำเช่นนั้น หากไม่ติดเรื่องเครื่องติดตามล่ามคออยู่
    ในความจริง ปลอกคอนี้ไม่ใช่เป็นปัญหาเลยถ้าเขาโอบกอดมนุษย์อย่างอ่อนโยน แต่เพราะรู้จักตัวเองดีจึงทำได้เพียงรอเวลาจนกว่าเครื่องนี่จะถูกถอดไป เนื่องจากเมื่อถึงเวลานั้น เขาคงไม่สามารถควบคุมหรือสะกดกลั้นความอยากเป็นเจ้าของโนอาร์ให้แสดงออกมาอย่างนุ่มนวลได้แน่


    มื้อเช้าก่อนเดินทางไปทำงานที่สวนกล้วยไม้ บริการนำเสิร์ฟโดยชายเลือดเย็น ถูกวางบนโต๊ะกระจกห้องรับแขกที่เจ้าบ้านกำลังนั่งฟังข่าวอย่างจดจ่อ การกระทำอุกอาจของผู้ร้ายรายหนึ่งบุกตึกบริษัทเพียงลำพัง ภาพความเสียหายจากคมกระสุนและแรงระเบิดฉายผ่านทางหน้าจอระหว่างการบรรยายของนักข่าว คำสัมภาษณ์ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวว่าเป้าหมายของคนร้ายคือนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัท ซึ่งตอนนี้ถูกทำร้ายสาหัสพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

แม้เหตุการณ์ระทึกนี้ไม่รุนแรงถึงขั้นมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต แต่ต้องแลกด้วยความพิการ ทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบางส่วนถูกยิงเข้าจุดสำคัญจนเป็นอัมพาต พนักงานสาวต้อนรับผู้เสียมือขณะพยายามโทรขอความช่วยเหลือ และผู้บริหารท่านหนึ่งต้องตัดขาเนื่องจากถูกกระสุนหลายนัดเจาะทะลุเกินเยียวยา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ว่านี่เป็นความตั้งใจของคนร้ายที่ต้องการไว้ชีวิต เนื่องจากภาพของกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้ บ่งบอกว่าคนร้ายมีความชำนาญในการใช้อาวุธเป็นอย่างมาก ฉะนั้นการยิงเพื่อสังหารจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าต้องการ

การกระทำของคนร้ายราวกับจงใจทิ้งข้อความสื่อสารอะไรบางอย่างนั้น มีบางคนว่าคล้ายคลึงกับคดีของท่านนิรัชในอดีต ทว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับปฏิเสธว่าไม่น่าใช่คนเดียวกัน เหตุผลเพราะประเภทกระสุนและวิธีลงมือต่างกันอย่างมาก ในคดีท่านนิรัชคนร้ายไม่เหลือทิ้งร่องรอยหลักฐานใดให้ตามสืบได้เลย ต่างกับคดีนี้ที่พบเบาะแสสำคัญหลายอย่าง ทางเจ้าหน้าที่จึงประกาศให้โอกาสคนร้ายเข้ามอบตัวด้วยตนเอง มิเช่นนั้นจะถือว่าคนร้ายคิดหลบหนี และเมื่อดำเนินการจับกุมจะไม่มีการลดหย่อนโทษเด็ดขาด


    หลังหัวข้อข่าวคดีร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อวานจบลง เอทอสได้ละสายตาจากโทรทัศน์หันมองมนุษย์ข้างตัวทันที ตัวการเพียงยกกาแฟดื่มอย่างใจเย็นก่อนหันมาตอบปีศาจ ทว่าบรรยากาศสงบนิ่งว่างเปล่าของโนอาร์ ที่หาใช่ความหนาวเหน็บเยือกแข็งเช่นเคย นั้นยิ่งทำให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกไม่ไว้ใจความคิดมนุษย์

    “อย่างที่คุณคิด ทั้งหมดเป็นผีมือผม” โนอาร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
    “เจ้าทำเพื่ออะไรโนอาร์? เอาคืนให้ข้า? ถามสักคำไหมว่าข้าต้องหรือเปล่า สิ่งที่เจ้าทำมันสิ้นคิดมีแต่สร้างความลำบากให้ตัวเอง ข่าวบอกตำรวจกำลังตามจับเจ้าจะทำยังไง ในสังคมมนุษย์ข้าเป็นแค่คนขายกล้วยไม้ธรรมดาจะเอาอำนาจที่ไหนมาช่วยเจ้า” ปีศาจต่อว่าการกระทำของมนุษย์ทันที คิ้วหนาเหนือนัยน์ตาดุสีอำพันขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความไม่พอใจ
    “หากเป็นเมื่อก่อน คุณคงไล่ผมไปมอบตัว”
    “โนอาร์ ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเจ้า” ปีศาจเตือนด้วยน้ำเสียงกดต่ำ ทว่ามนุษย์ก็ยังคงท่าทีนิ่งสงบ
    “เจอเศษเสี้ยวเบาะแสระบุตัวก็ดีใจจนเนื้อเต้น หวังสร้างผลงานปิดคดีให้เร็วจนไม่เฉลียวใจว่านั่นใช่ผู้ร้ายตัวจริงหรือเป็นเพียงแพะรับบาป คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับเอทอส พวกตำรวจแค่กำลังทำหน้าที่ของเบี้ยหมากบนกระดาน”
    “เจ้าคิดจะทำอะไร?” ปีศาจถามด้วยความระแวงในสิ่งที่มนุษย์กำลังทำ
    “เล่นเกมที่ไม่มีผู้แพ้หรือชนะ มีแค่ทางเลือกว่าจะตายจริง ๆ หรืออยู่แบบตายทั้งเป็น”
    “…”
    “ทีแรกผมคิดว่าจะวางทางไว้ให้เลือกจุดจบกันเอง แต่ผมเปลี่ยนใจแล้ว ทุกอย่างผมจะเป็นคนกำหนด พวกนั้นมีหน้าที่แค่ทนและห้ามตายจนกว่าผมจะสั่ง ในข่าวจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมไม่ฆ่าหากยังไม่ขอคุณ หลังจากนี้จนกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลง สัญญาของเราเป็นโมฆะ”
    “เจ้า!-”
    “ถึงเป็นคุณก็ห้ามผมไม่ได้เอทอส พวกนั้นทำอะไรไว้ ต้องได้รับสิ่งที่หนักหนากว่าสนองคืน และเช้านี้ผมมีธุระคงไปสวนกลับคุณไม่ได้ แต่ผมจะรีบกลับมาให้ทันทานมื้อเที่ยงกับคุณ”
    “เดี๋ยว! ข้ายังคุยไม่จ-”

    โนอาร์เอ่ยตัดบทสนทนาพลางลุกขึ้นเตรียมออกจากบ้านพักทรงไทยประยุกต์ เอทอสถึงเพิ่งสังเกตว่าวันนี้มนุษย์ไม่ได้ใส่ชุดชาวสวนอย่างทุกที ร่างสูงใหญ่ลุกตามหมายจะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ ทว่าช่วงขณะที่กำลังดันตัวยืนขึ้น บ่าแกร่งกลับถูกมือขาวกดไว้พร้อมสัมผัสนุ่มหยุ่นจากริมผีปากมนุษย์ประทับลงกลางหน้าผาก การกระทำไม่คาดคิดส่งผลให้ปีศาจชะงักค้างราวกับถูกสะกด และกว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ชายผู้เต็มไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายก็ได้หายไปเสียแล้ว



    ณ บ้านหลังโดดเดี่ยวตั้งอยู่นอกเขตเมือง บนโต๊ะภายในห้องพักของผู้อาศัยเพียงลำพัง กระจัดกระจายไปด้วยสำเนาพินัยกรรมและเอกสารโอนทรัพย์สินหลายฉบับ ทุกฉบับล้วนมีชื่อผู้รับเป็นบุคคลเดียว เป็นบุคคลที่สีครามรู้จักเป็นอย่างดี หลังเอกสารมีข้อมูลแนบท้ายบอกสถานะปัจจุบันของเจ้าของสินทรัพย์เดิม แต่ละคนต่างจากโลกนี้ไปแล้วด้วยสาเหตุต่างกัน ทว่าทุกคนกลับจบชีวิตหลังผ่านวันที่บันทึกในเอกสารมอบทรัพย์สินได้ไม่นาน

    ถึงหลักฐานเหล่านี้ไม่ได้ชี้ชัดว่าวรรษเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ช่วยไขข้อสงสัยเรื่องเงินมากมายที่พี่ชายอ้างว่ามาจากการทำงานได้อย่างกระจ่าง รวมถึงคลิปในตัวเก็บข้อมูลที่ถูกอ่านและฉายวนซ้ำบนหน้าจอโทรทัศน์ กลับช่วยคลายอีกหนึ่งคำถามติดค้างในใจสีครามมาตลอดหลายปี คำถามที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยมัธยมปลายทว่าไม่เคยค้นพบคำตอบ คำถามที่ว่าเหตุใดแม่ถึงทิ้งเขา ปล่อยให้เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากด้วยตัวคนเดียว

    “บรื้น… กึก ๆ …แกร๊ก!”

    เสียงรถยนต์คันหนึ่งหยุดจอดบริเวณหน้าบ้าน สักพักหนึ่งถึงได้ยินเสียงพยายามเปิดประตูและปลดล็อกตามลำดับ การมาของใครบางคนส่งผลให้สีครามหลุดจากภวังค์ความคิด รีบเก็บรวบเอกสารพร้อมปิดโทรทัศน์ ก่อนออกไปหาคนลักพาตัวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

    “ตื่นสายหรือไง”
    “นิดหน่อยครับ... วันนี้แปลก คุณไม่ซื้ออะไรเข้ามา”

    มังกรที่เพิ่งใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาเอ่ยถามคนเพิ่งออกจากห้อง สีครามเพียงตอบกลับเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเรื่องถาม เพราะเห็นว่ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายว่างเปล่าไม่ได้ถือถุงอย่างทุกครั้ง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ถึงกับทำให้คนถูกลักพาตัวเผลอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

    “ไม่จำเป็นแล้ว เจ้านั่นมันสั่งให้ฉันปล่อยตัวนาย”
    “เจ้านั่น? ใครครับ ผมนึกว่าทุกอย่างเป็นความตั้งใจของคุณเสียอีก” สีครามถามกลับด้วยความสงสัย
    “ฉันก็แค่คนทำตามใบสั่ง ส่วนเจ้านั่นเป็นใคร อย่ารู้จักจะดีกว่า คนโรคจิตอันตรายพรรณ์นั้นรู้ไปก็มีแต่ฉุดให้ชีวิตต่ำลง”
    “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมคุณยังติดต่อกับเขา?”
    “อยากยุ่งด้วยเสียที่ไหน ถ้ามันไม่โทรมาแล้วเอาเรื่องนั้นมาขู่ ฉันคงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้หรอก... แล้วนี่ทำอะไรเสร็จหมดหรือยัง ถ้าไม่มีแล้วจะได้ไปกันเลย เดี๋ยวไปส่งในเมือง”

    มังกรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ยามนึกถึงช่วงที่โนอาร์โทรมาแล้วแกล้งถามถึงหยกคนรักของเขา ก่อนจะตัดบทให้สีครามไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยจะได้ออกเดินทางเสียที ซึ่งสีครามเพียงพยักหน้าตกลงแล้วกลับเข้าห้องเพื่อเก็บของ คนกำลังได้รับอิสระนำเหล่าเอกสารและ Flash Drive ที่เสียบค้างหลังโทรทัศน์เก็บเข้าซองสีน้ำตาลตามเดิมเตรียมส่งคืนเจ้าของ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงออกไปหาคนที่รออยู่ด้านนอกอีกครั้ง โดยไม่คิดหยิบของอื่น ๆ ติดไปด้วย เพราะตอนถูกพามาที่นี่ เขาก็มาเพียงตัวเปล่า

    “ไม่ต้องคืน เก็บไว้เตือนความจำตัวเองเถอะ แล้วเป็นไง? ตาสว่างบ้างหรือยัง”

    ซองเอกสารถูกเจ้าของเก่าปฏิเสธ ส่งผลให้สีครามต้องดึงกลับมาถือไว้ข้างตัวตามเดิมและนิ่งเงียบไป ส่วนมังกรเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากตอบคำถามก็ไม่ได้คาดคั้น ทว่ายังคงย้ำคำให้สีครามได้คิดแล้วจึงเดินนำออกจากสถานที่แห่งนี้


    สองข้างทางโล่งกว้างมีต้นไม้ขึ้นประปรายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่อง บ่งบอกว่ารถยนต์ใกล้เข้าสู่ตัวเมืองหลังจากนั่งมาสักพักใหญ่ ภายในห้องโดยสารมีเสียงจากวิทยุช่วยไม่ให้บรรยากาศชวนอึดอัดเกินไป สีครามมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยความคิดให้ไหลผ่านอย่างเหม่อลอย มือเล็กยังคงจับซองเอกสารบนตักราวกับเป็นของสำคัญ

    ท่าทางนิ่งเงียบของสีคราม ถูกมังกรที่นั่งฝั่งคนขับเหลือบมองเฝ้าสังเกตเป็นระยะ ตอนเข้าไปรับอีกฝ่ายทีแรกเขาคิดว่าคงต้องฟังคำแก้ต่างหรือไม่ก็คำถามไถ่ถึงพี่ชายอย่างเคย ทว่าครั้งนี้สีครามกลับไม่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องนั้น มิหนำซ้ำเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปหาวรรษ น้องติดพี่ก็ไม่ได้แสดงความดีใจอย่างที่ควรเป็น
    คล้ายมีเส้นบางค่อย ๆ ก่อตัวขีดกั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ สื่อเป็นนัยว่าไม่นานนี้สีครามคงรู้ความจริงบางอย่างที่รุนแรงมากจนความเชื่อมั่นไว้ใจลดหาย แต่ถึงเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปคืออะไร ทว่านั่นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เขาอยากให้สีครามตาสว่างนั้น อาจสัมฤทธิผลแล้ว

    “จะลงตรงไหน ฉันไม่ได้ใจดีถึงขนาดไปส่งหน้าบ้าน” คนขับถามเมื่อรถเข้าเขตเมืองเป็นที่เรียบร้อย
    “ส่งผมตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้ครับ”
 
    เมื่อได้ยินดังนั้นมังกรจึงขานรับในลำคอ พร้อมเปิดไฟเลี้ยวเตรียมเข้าจอดบริเวณป้ายรถประจำทาง หลังรถจอดสนิทสีครามกล่าวขอบคุณส่งท้ายก่อนลงจากรถ ทว่าขณะที่กำลังเปิดประตูกลับถูกคนขับรั้งไว้ก่อน

    “เดี๋ยว”
    “ครับ?”
    “สร้อยนั่นถอดได้แล้ว อยากโดนสะกดรอยต่อหรือไง”

    มังกรเอ่ยเตือนพลางเหลือบมองกำไลโซ่ที่สีครามใส่อยู่ โดยของชิ้นนี้ได้มาจากจิน ชายนิสัยแปลก ๆ ที่เคยร่วมงานกันตอนลักพาตัวสีครามออกจากบ้าน หมอนั่นบอกว่ามันคือเครื่องติดตามที่โนอาร์สั่งให้ใส่และจะถอดได้ก็ต่อเมื่อเสร็จงานเท่านั้น ซึ่งตัวเขาเองก็ต้องใส่ด้วยเช่นกัน

    ซึ่งความจริงแล้วกำไลโซ่นั้นหาใช่เครื่องติดตามอย่างที่มังกรเข้าใจ แต่มันคืออุปกรณ์คุ้มกันและลบกลิ่นอายวิญญาณของผู้สวมใส่ ทำให้เสมือนล่องหนหายไปจากการรับรู้ของวิญญาณทั้งปวง และแน่นอนว่าจินแค่เอาชื่อโนอาร์มาแอบอ้าง มีหรือที่คนอย่างโนอาร์จะลงมาสนใจความเป็นตายของพวกของเล่น มีก็แต่จินเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลพวกเดียวกันเอง
    โดยทุกอย่างที่จินทำก็เพื่อให้แน่ใจว่า มังกรจะปลอดภัยจากการตามล่าของวิญญาณรับใช้ และสีครามจะไม่ถูกหาตัวเจอ และนั่นก็ถือเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเองเช่นกัน เพราะถ้าวรรษได้ตัวสีครามไปก่อนเวลาอันสมควร คนที่ต้องรับกรรมย่อมหนีไม่พ้นจิน ผู้คุมวิญญาณที่น่าสงสารที่สุด

    “นี่ครับ” สีครามส่งสร้อยข้อมือคืนให้มังกร
    “อืม... อะ เอาเงินไป ไว้ใช้เป็นค่ารถ และนี่เบอร์ฉันถ้ามีปัญหาอะไรหรืออยากหนีจากพี่เลวนั่นก็โทรมาได้” มังกรหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ เพราะตอนนี้ทั้งตัวสีครามมีเพียงเสื้อผ้า รองเท้าแตะ และซองเอกสารเท่านั้น ไม่ลืมเขียนเบอร์ใส่กระดาษให้ไว้สำหรับติดต่อยามอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ
    “…”
    “เกือบลืม ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่ อย่าปากเบาบอกอะไรกับตำรวจละ เพราะเจ้านั่นมันไม่ใจดีเหมือนฉันหรอก”
    “…ขอบคุณครับ ผมจะจำไว้”

    สีครามกล่าวขอบคุณครั้งสุดท้ายก่อนลงจากรถ มองส่งจนไม่เห็นรถยนต์ของโจรลักพาตัวอีกต่อไป เรื่องแจ้งตำรวจที่มังกรเอ่ยเตือนนั้น สีครามไม่คิดจะแจ้งอยู่แล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายเพียงทำตามคำสั่ง ซ้ำยังปฏิบัติตัวดีกับเขา และเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บหรือถูกทำร้ายใด ๆ เลยไม่อยากติดใจเอาความ

    ทว่าทั้งหมดที่กล่าวมาก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างยกมาเพราะไม่อยากยอมรับความจริงว่า ถ้าหากเขากล้าแจ้งจับมังกร คนที่เขาสมควรแจ้งจับก่อนอาจต้องเป็นวรรษ พี่ชายของเขาเอง แต่สีครามไม่ใช่คนด่วนตัดสินอะไรง่าย ๆ ในส่วนลึกยังคงมีความหวังริบหรี่ ว่าทุกอย่างอาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดที่เขาตีความไปเอง ดังนั้นสีครามจึงเลือกพิสูจน์โดยไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่าจะได้รู้ทุกคำตอบจากที่นั่น



    “นายครับ ผมจับกลิ่นอายวิญญาณของคุณสีครามได้” วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งรีบเข้ามารายงานผู้เป็นนายทันที เมื่อเริ่มสัมผัสถึงการมีอยู่ของคนที่ตามหา
    “อยู่ที่ไหน!! ปลอดภัยหรือเปล่า?!!”

    วรรษเผลอหลุดถามกลับเสียงดังด้วยความดีใจระคนเป็นห่วง ส่งผลให้พนักงานภายในร้านดอกไม้ต่างสะดุ้งตกใจ ซึ่งผู้คุมวิญญาณก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของลูกจ้างแม้แต่น้อย เพียงวางมือจากทุกสิ่งตรงหน้าก่อนรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานด้านหลังร้าน เพื่อให้สามารถพูดคุยกับเหล่าวิญญาณรับใช้ได้สะดวก

     “สีครามอยู่ไหน?” วรรษถามวิญญาณรับใช้ทันทีเมื่อประตูห้องปิดลง
    “เหมือนคุณสีครามกำลังนั่งรถเมล์ครับ ตอนนี้มีวิญญาณรับใช้สองตนคอยตามดู-”
    “ดี ฉึก!!”

    นิ้วมือของผู้คุมวิญญาณทิ่มทะลุดวงตาของร่างวิญญาณโปร่งแสงทันทีหลังเอ่ยคำชม ภาพน้องชายที่ขณะนี้กำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของรถโดยสารประจำทางพลันปรากฎขึ้นในความคิด วรรษขยับนิ้วคว้านลูกตาวิญญาณรับใช้เพื่อเป็นสื่อควบคุมวิญญาณอีกตนหนึ่งที่อยู่กับสีคราม บังคับให้หันมองบรรยากาศรอบตัวจึงรู้ว่าสายรถเมล์ที่สีครามนั่งอยู่ไม่ใช่ทางกลับบ้านหรือมาที่นี่ ยิ่งกว่านั้นถนนที่รถเมล์วิ่งยังมุ่งออกจากตัวเมือง ราวกับสีครามตั้งใจจะไปที่ไหนสักแห่ง

    หลังรับรู้สถานะน้องชายว่าไม่เป็นอันตราย วรรษถึงยอมดึงนิ้วมือออกพร้อมเช็ดเลือดติดตามนิ้วกับร่างโปร่งแสง ส่วนวิญญาณรับใช้ที่ตอนนี้ใบหน้าอาบไปด้วยเลือด ดวงตาถูกขวักออกจากเบ้ามีเพียงเส้นเอ็นเชื่อมติดห้อยอย่างน่ากลัว เพียงค้อมตัวเคารพเล็กน้อยก่อนพยายามนำลูกตายัดกลับเข้าไปในเบ้าตามเดิม

    “บอกวิญญาณสองตนนั้นตามดูแลอย่าให้คาดสายตา ส่วนนายพาฉันไปหาสีคราม”
    “...ครับนาย”

    เมื่อได้ฟังคำตอบรับจากวิญญาณรับใช้ วรรษจึงเดินออกจากห้องพร้อมสั่งพนักงานทุกคนให้เลิกงานสำหรับวันนี้และเตรียมปิดร้านดอกไม้

    “ไม่ต้องถึงกับปิดร้านหรอกครับคุณวรรษ พวกผมทำจนรู้งานช่วยดูร้านแทนได้ครับ คุณวรรษอย่าห่วงเลย”

    พนักงานคนหนึ่งอยู่ทำงานกับสีครามมาตั้งแต่ช่วงแรก คาดเดาว่าพี่ชายของเจ้านายอาจรีบไปธุระด่วน เลยหวังดีอาสาช่วยดูร้านแทนเพื่อไม่ให้เสียรายได้ เพราะขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเรื่อย ๆ ทว่าคำตอบจากพี่ชายเจ้านายกลับทำให้เหล่าพนักงานหน้าตึง

    “ฉันไม่ไว้ใจ ถ้าอยากช่วยนัก ก็ช่วยทำตามที่สั่งด้วย”

    เมื่อได้ยินดังนั้น พนักงานร้านดอกไม้ก็ได้แต่เก็บกลั้นความขุ่นเคืองไว้ภายใน ก่อนจะช่วยกันเก็บของตรงหน้าร้าน บางคนรีบเข้าดูแลลูกค้าที่หลงเหลืออยู่ ไม่นานร้านดอกไม้ก็ปิดบริการก่อนกำหนดถึงครึ่งวัน วรรษตรวจดูความเรียบร้อยโดยรวมอีกครั้งแล้วจึงไล่พนักงานกลับไปให้หมด ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปทางหลังร้านเพื่อขึ้นรถยนต์คันใหม่ ที่เพิ่งซื้อมาแทนคันเก่าซึ่งถูกเผาทำลายไปพร้อมบ้านพัก และขับออกถนนมุ่งไปตามทางที่วิญญาณรับใช้บอก

    หลังรถยนต์ของผู้คุมวิญญาณขับออกไป ส่งผลให้ร้านดอกไม้เหลือเพียงวิญญาณรับใช้ไม่กี่ตนคอยทำหน้าที่เฝ้าดูแล ทว่าการเลือกวางใจวิญญาณใต้อาณัติมากกว่ามนุษย์พนักงานจริง ๆ นั้นถือเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะหลังวรรษไปได้ไม่นาน บริเวณหลังร้านดอกไม้ก็มีชายสองคนเดินมาหยุดตำแหน่งเดียวกับที่เคยมีรถยนต์จอดอยู่ คนหนึ่งเอ่ยวาจาควบคุมวิญญาณโดยรอบอย่างง่ายดาย ส่วนอีกคนนิ่งเงียบ ทว่าความอันตรายซึ่งแสดงชัดผ่านกลิ่นอายวิญญาณที่แผ่ออกมากลับเข้มข้นรุนแรง ถึงขนาดวิญญาณรับใช้ทั้งหมดในที่นี้ก็ไม่อาจเทียบเคียง



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 27 พี่ชาย]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 02-11-2020 22:08:28
(ต่อ)


    สุสานเก่าสำหรับเก็บศพนิรามและไร้ญาติเป็นจุดหมายที่วิญญาณรับใช้พามา วรรษรู้สึกแปลกใจอย่างมากที่สีครามมาสถานที่เช่นนี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดเสียเวลาสงสัย รีบลงจากรถวิ่งตามเส้นทางที่วิญญาณรับใช้เป็นฝ่ายนำ

    ภาพเบื้องหน้าปรากฏน้องชายที่ห่วงหากำลังยืนมองหลุมศพหนึ่ง ในมือถือซองเอกสารสีน้ำตาล โดยด้านข้างมีวิญญาณรับใช้สองตนคอยยืนเฝ้าดูแล สิ่งที่เห็นทำให้บนใบหน้าของผู้คุมวิญญาณหลุดยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนรีบวิ่งเข้าไปหาสีคราม

    “สีคราม!!”
 
    เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียก ทว่ายังไม่ทันได้ตอบกลับหรือทำอะไร ร่างของผู้เป็นพี่ก็พุ่งเข้าสวมกอดน้องชายด้วยความคิดถึง สักพักหนึ่งวรรษถึงยอมคลายกอดพร้อมจับสีครามหมุนไปมาพลางถามอย่างเป็นห่วง

    “ทำไมมาอยู่นี่ พี่ตามหาสีครามตลอดเป็นห่วงแทบแย่ แล้วพวกมันไม่ได้ทำอะไรสีครามใช่ไหม ปลอดภัยไม่เจ็บตรงไหนนะ”
    “พี่วรรษรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” สีครามถามกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ไร้ความดีใจเสียจนวรรษยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
    “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าสีครามอยากรู้เดี๋ยวระหว่างทางพี่จะเล่าให้ฟัง พี่จำได้นะว่าสีครามกลัวผีคงไม่อยากอยู่นี่นานนักหรอก”
    “ถ้าผีที่ว่าคือแม่ของเรา... ผมว่าเขาคงกลัวพี่จนไม่กล้ามาหลอกผมแล้วล่ะครับ”

    คำตอบจากน้องชายราวกับล่วงรู้ตัวตนแท้จริงถึงกลับทำให้วรรษนิ่งอึ้ง ความรู้สึกวูบคล้ายทั้งร่างดิ่งร่วงจากผาชันกระจายไปทั่วกายจนพี่ชายได้แต่ชะงักค้าง ปฏิกิริยาของวรรษยิ่งตอกย้ำข้อสันนิษฐานของสีครามว่าคือเรื่องจริง ดังนั้นน้องจึงอาศัยโอกาสนี้ขืนตัวออกห่างผู้เป็นพี่ ทว่าหาใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นความผิดหวังเสียใจ

    “…พูดอะไรน่ะสีคราม แม่จะกลัวพี่ทำไม” วรรษพยายามแสร้งตอบกลบเกลื่อน
    “ต้องกลัวสิครับ ก็ในเมื่อพี่วรรษเป็นคนทำให้เขากลายเป็นศพไร้ญาติอยู่ที่นี่”
    “…”
    “ผมจำได้นะ.. วันที่แม่หายออกจากบ้านไป เขาใส่เสื้อสีแดงสดที่ผมซื้อให้ เขาออกไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง... ถึงในคลิปมองไม่ชัดคนอื่นอาจไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ผมแค่เห็นแป๊บเดียวก็จำได้แล้วละ ก็ในเมื่อผมอยู่กับชายคนนั้นมาตั้งนานหนิเนอะ”

    สีครามพยายามควบคุมน้ำเสียงติดสั่นของตน เล่าถึงคลิปจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกในตัวเก็บข้อมูลซึ่งเขาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในคลิปนั้นมีบุคคลอยู่สองคนคล้ายกำลังยืนคุยกันตรงทางเปลี่ยว คนหนึ่งเป็นผู้หญิงชุดแดงแม่ของเขา ส่วนอีกคนภาพเบลอเกินกว่าจะรู้ว่าเป็นใคร แต่ลักษณะท่าทางของบุคคลในคลิปเขามั่นใจว่าคือพี่วรรษ สักพักหนึ่งแม่เริ่มแสดงอาการหวาดกลัวก่อนวิ่งหายลงไปข้างทาง โดยมีพี่วรรษเดินตามไป ไม่นานนักในคลิปก็ปรากกฎร่างบุคคลอีกครั้ง ทว่ามีเพียงพี่วรรษคนเดียวที่กลับออกมา

    จากข้อมูลเสริมต่อในเอกสารบ่งบอกว่า ร่างแม่ของเขาถูกพบเป็นซากกระดูกแห้งในป่าข้างทางหลังผ่านไปนานหลายเดือน ไม่มีหลักฐานใดระบุตัวตนนอกจากเสื้อผ้าและแหวนเก่าสกปรก ดังนั้นหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่าง โครงกระดูกเหล่านั้นจึงถูกนำมาฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้ โดยได้มีการจดบันทึกหลักฐานระบุตัวตนและเลขหลุมไว้ เผื่อวันหนึ่งญาติอาจมาตามหา

    แต่เพราะเรื่องนี้ผ่านมานานมาก เศษซากกระดูกของแม่จึงถูกขุดขึ้นมาเผาไปนานแล้ว สิ่งที่หลงเหลือจึงมีเพียงเลขหลุมศพที่ตอนนี้ถูกใช้เก็บร่างใครสักคน กับประวัติที่เคยบันทึกไว้ ซึ่งแหวนที่แม่ใส่ประจำและเสื้อผ้าก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงได้อย่างดี ความจริงที่ว่าพี่ชายแสนดีของเขาคือฆาตกรที่ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้ให้กำเนิด

    “พี่ไม่รู้ว่าสีครามพูดเรื่องอะไร แต่สีครามกำลังเข้าใจผิด พวกที่จับสีครามไปมันแค่ปั่นหัวให้สีครามสับสน อย่าไปเชื่อพวกมัน”

    วรรษพูดแก้ต่างพร้อมค่อย ๆ เดินเข้าหาน้องชาย ทว่าสีครามกลับขยับถอยห่าง การแสดงออกของน้องชาย ถึงกับทำให้ผู้คุมวิญญาณชะงักอีกครั้ง ก่อนจะยอมยืนนิ่ง ๆ ไม่เข้าหาอีก เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายระแวงในตัวเขาไปมากกว่านี้

    “จะมีสักครั้งไหม... ที่พี่วรรษอยากพูดความจริงกับผม”
    “พี่ไม่เคยหลอกสีคราม” พี่ชายแสนดียังคงโกหกต่อไปเพราะคิดว่ามันอาจได้ผลอย่างทุกครั้ง ทว่าทุกอย่างกลับยิ่งเลวร้าย
    “งั้นบอกมาสิพี่วรรษ ว่าพี่ทำงานอะไรกันแน่ และเงินพวกนั้นพี่ได้มายังไง”
    “พี่ทำงานบริษัทธรรมดา เงินพี่ก็ค่อย ๆ เก็บสะสมตั้งแต่พี่เริ่มทำงานครั้งแรก สีครามก็รู้ว่าพี่ไม่ใช่คนใช้เงินเก่ง พี่มีเงินเก็บเหลือพอที่เราไม่ต้องกลับไปลำบากแบบตอนเด็กอีก มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ”
    “เงินทั้งหมด... พี่วรรษเป็นคนทำงานเก็บเองหมดเลยเหรอครับ”
    “ใช่”

    คำตอบจากผู้เป็นพี่ถึงกับทำให้สีครามสะอึกจนพูดไม่ออก วรรษสังเกตเห็นแววตาไหววูบผิดหวังฉายชัดในดวงตาสีครามหลังได้ฟังคำตอบจากเขา ความกลัวในจิตใจยิ่งเพิ่มทวีขึ้นรีบหวนนึกว่าเมื่อครู่เขาหลุดพูดอะไรผิดไปหรือไม่ ทว่ายังไม่ทันได้นึกคิด สีครามกลับยื่นซองเอกสารที่ถือไว้ทีแรกมาให้ วรรษจึงจำต้องรับมาและเปิดดู สิ่งที่อยู่ด้านในราวกับสายโซ่ผูกคล้องทุกถ้อยคำโกหกเพื่อบีบรัดเขาจนหมดหนทางดิ้นหนี

    “…พวกมันเอามาให้สีครามใช่ไหม” วรรษเอ่ยถามเสียงเบา
    “ครับ... บอกผมทีว่าพี่วรรษไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเหมือนที่ทำกับแม่ พวกเขาแค่บังเอิญถึงเวลาต้องไป”
    “อืม พวกนี้ตายเอง พี่ไม่ได้ฆ่าหลังจากบังคับให้เซ็นมอบทุกอย่างให้... ยังอยากให้พี่พูดแบบนี้อีกเหรอ ทั้งที่สีครามก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันแค่คำโกหกแก้ตัวของพี่”

    คำสารภาพยอมรับของพี่ชาย ถึงกับทำให้หยาดน้ำตาของผู้เป็นน้องหลั่งรินอย่างเงียบงัน ความผิดหวังเสียใจพลันถาโถมกัดกินจิตใจให้รวดร้าวเจียนแหลกสลาย ภาพจำของพี่ชายผู้อ่อนโยนแสนดีถูกความจริงดำมืดฉีกกระชากไม่มีเหลือ ทว่าเหตุการณ์นี้หาใช่สีครามคนเดียวที่กำลังรู้สึกเหมือนทุกสิ่งอย่างพังทลาย วรรษที่ยืนนิ่งมองน้องร่ำไห้ผิดหวังในตัวเขา ก็รู้สึกเจ็บปวดเจียนตายไม่ต่างกัน

    “พี่ทำทำไมครับ... พี่วรรษทำแบบนั้นกับพวกเขาเพื่ออะไร” สีครามพยายามฝืนถามหาเหตุผล
    “ทุกอย่างพี่ทำเพื่อเราสีคราม พี่แค่อยากมั่นใจว่าน้องพี่จะไม่มีวันกลับไปลำบากอีก ทรัพย์สมบัติของพวกนั้นถึงจำเป็น”
    “แต่ผมไม่ต้องการ เราช่วยกันทำงานก็ได้ไม่เห็นต้องไปแย่งของคนอื่น”
    “หึ... คนเรียนจบแค่มอต้นแบบพี่ ทำงานให้ตายทั้งชีวิตจะหาเงินมาได้สักเท่าไรกัน”
    “…” อีกหนึ่งความจริงที่วรรษไม่เคยเล่า ถึงกับทำให้ผู้เป็นน้องนิ่งค้างไปด้วยความตกใจ
    “ไอ้แก่นั่นมันทำให้พี่ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาทำงานหาเงินซื้อข้าวประทังชีวิต แต่พอจะมีเงินเก็บบ้างก็ถูกมันเอาไปละลายกับขวดเหล้า คิดว่าถ้าพี่ยังทนอยู่ชาตินี้พี่จะมีเหมือนทุกวันนี้ไหม”

    วรรษบอกเล่าถึงช่วงเวลาที่ไม่อยากจดจำ ช่วงที่เขายังเด็กและยังไม่รู้ว่าพลังของตัวเองทำอะไรได้บ้าง ตอนนั้นหลังจบมอต้น เขาจำต้องทิ้งการเรียนและความฝันทุกอย่างเพื่อดิ้นรนให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน ตื่นเช้าออกหางานรับจ้างเพื่อเลี้ยงชีพยันค่ำมืด กลับมาที่ห้องเช่าสกปรกแทนที่จะได้พักผ่อน กลับถูกพ่อเลวใช้เป็นที่ระบายทำร้ายทุบตี เงินที่หามาเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อเก็บไว้จ่ายค่าเช่าก็ถูกมันเอาไปซื้อเหล้าจนหมด เป็นช่วงชีวิตที่อยากตายไปให้พ้น ๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเป็นห่วงน้องชายที่ตอนนี้คงมีชะตาไม่ต่างจากเขา

    ทุกวันเวลาผันผ่านไปอย่างยากลำบาก จนวันหนึ่งเขาได้รู้ความสามารถของตน ที่ไม่ใช่เพียงแค่มองเห็นแต่ยังควบคุมออกคำสั่งกับวิญญาณได้ หนูทดลองพลังคนแรกของเขาก็คือไอ้แก่ขี้เหล้า หน้าตาตื่นกลัวสุดขีดของมัน ยามเห็นวิญญาณรับใช้ตนแรกและรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย เป็นภาพที่สวยงามซึ่งเขาจะจดจำไม่มีวันลืม

    หลังไม่มีตัวถ่วงชีวิตอีกต่อไป เขาพบว่าชีวิตสุขสบายขึ้นมาก เงินเก็บก็มีมากพอจะไปเยี่ยมสีครามน้องชายที่ไม่ได้เจอมานาน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปหา ถึงได้รับรู้ว่าชีวิตของน้องชายก็ลำบากเช่นเดียวกับเขา ปัญหาเกิดจากนางผู้หญิงที่ควรทำหน้าที่แม่เลี้ยงดูสีคราม กลับสร้างหนี้พนันไม่หยุดหย่อนจนน้องของเขาต้องทำงานหนักหลังเลิกเรียนเพื่อช่วยล้างหนี้ ฉะนั้นเขาจึงต้องทำให้นางนั่นหายไป เพื่อหลังจากนี้สีครามจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนเรื่องหนี้สินไม่จำเป็นต้องใช้คืน เพราะในไม่ช้าพวกเจ้าหนี้ทั้งหมดจะกลายเป็นวิญญาณรับใช้ของเขา

    เมื่อแก้ปัญหาทุกอย่างให้สีครามเรียบร้อย วรรษไม่ได้กลับไปหาน้องชายทันที เหตุเพราะเขายังรู้สึกสมเพชในสภาพของตัวเอง ดังนั้นวรรษจึงตัดสินใจกลับไปสร้างตัวสร้างฐานะของตัวเองให้เร็วที่สุด โดยไม่คิดสนใจวิธีการ ทั้งหมดเพื่อที่เขาจะได้กลับมาอีกครั้งอย่างภาคภูมิ ทำให้น้องชายผู้เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาภูมิใจ


    “เพราะแบบนั้นพี่ถึงต้องทำให้ไอ้แก่มันหายไป นางนั่นก็เหมือนกัน”
    “ถึงพวกเขาจะไม่ดี แต่เขาก็เป็นพ่อแม่-” น้องชายพยายามโต้เถียง ทว่ากลับถูกพี่เอ่ยขัด
    “มันแค่พลาดทำพวกเราเกิดมาสีคราม พวกมันไม่มีอะไรให้น่านับถือสักนิดเดียว”
    “…”

    ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เมื่อสีครามไม่อาจเถียงความจริงข้อนั้นได้ เพราะคำพูดเรื่องพวกเขาไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ผู้มีพระคุณเป็นคนพูดตอกย้ำใส่พวกเขาด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเด็ก รวมถึงการกระทำตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ลึก ๆ ในใจของสีครามก็แอบคิดเช่นเดียวกับพี่ชาย แต่เพราะได้เห็นครอบครัวที่อบอุ่นของเพื่อนคนรู้จัก สีครามจึงวาดหวังว่าสักวันหนึ่งผู้มีพระคุณของเขาอาจเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นพ่อแม่ที่น่าเคารพดั่งครอบครัวอื่น ทว่าน่าเศร้าที่สุดท้ายเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเป็นจริง

    “…รู้แบบนี้แล้ว สีครามยังอยากอยู่กับคนเลวแบบพี่อยู่ไหม หรือถ้าอยากเอาพี่ส่งตำรวจชดใช้ความผิด พี่ก็ยินดี” วรรษเสนอหนทางให้สีครามตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นทางไหนหากสีครามต้องการ เขาก็จะยอมรับและทำตามทั้งหมด
    “หายไปได้ไหมครับ” น้องชายถามเสียงเบา
    “…”
    “ต่อจากนี้ผมขออยู่คนเดียว พี่วรรษช่วยหายไปจากชีวิตผมได้ไหมครับ”

    คำขอคล้ายไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ถึงกับทำให้วรรษรู้สึกหนาวเหน็บเหมือนทั้งร่างถูกแช่แข็ง เจ็บชาจนไม่อาจรับรู้สิ่งใด อวัยวะกลางอกขยับอย่างทรมานราวกับมีหยาดน้ำแข็งเข้าเกาะกุม ภายในความคิดอันขาวโพลนกลับเห็นว่า หากเขาถูกสีครามแจ้งจับคงรู้สึกรวดร้าวน้อยกว่า เพราะอย่างน้อยสีครามก็ยังคงรำลึกถึงเขาในฐานะฆาตกรคนหนึ่ง ไม่ใช่ถูกลบหายไปเหมือนไม่เคยมีเขาอยู่ในชีวิตเช่นนี้

    “...ได้สิ พี่เคารพการตัดสินใจของสีครามอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยพี่ขอไปส่งสีครามได้ไหม แล้วหลังจากนี้พี่จะไม่มาให้สีครามเห็นหน้า ไม่ทำให้สีครามรู้สึกไม่ดีอีก” ผู้เป็นพี่ฝืนยิ้มตอบกลับน้องชาย
    “ครับ... ส่งผมที่ร้านดอกไม้นะครับ ส่วนของที่บ้านผมจะไปทยอยเอาออกมา”
    “…อืม”

    วรรษเพียงขานรับในลำคอ ไม่คิดบอกความจริงเรื่องบ้านที่ตอนนี้เหลือเพียงซากเพลิงไหม้ แล้วจึงเดินนำทางไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าสุสาน ระหว่างเดินวรรษไม่แม้แต่จะคิดหันกลับไปมองน้องชาย เพราะในใจลึก ๆ เขากลัว กลัวที่จะเห็นระยะห่างที่เว้นวางราวกับรังเกียจกัน
    จวบจนกระทั่งออกมานอกเขตสุสาน สีครามรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่พี่ชายเปลี่ยนรถคันใหม่ แต่ก็เพียงเก็บงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่คิดเอ่ยถามอย่างทุกที เนื่องจากตอนนี้เขาเหนื่อยล้าจนไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว


    บรรยากาศภายในรถยังคงเงียบงันไร้การพูดคุย แม้ขณะนี้จะถึงที่หมายแล้วก็ตาม วรรษคืนกุญแจร้านดอกไม้ให้เจ้าของแท้จริง สีครามเพียงค้อมศีรษะเชิงขอบคุณเล็กน้อย และลงจากรถไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวลา ทันทีที่ประตูรถปิดลง ผู้คุมวิญญาณพลันเอ่ยถามหนึ่งในวิญญาณรับใช้ เมื่อเห็นว่าวิญญาณที่เขาสั่งให้เฝ้าดูแลร้านนั้นหายไป

    “เจ้าพวกนั้นอยู่ไหน”
    “สัมผัสถึงกลิ่นอายไม่ได้เลยครับนาย ไม่แน่ว่าอาจถูกกำจัดไปแล้ว”

    คำตอบจากวิญญาณรับใช้ ส่งผลให้คิ้วบนใบหน้าของผู้คุมวิญญาณขมวดเข้าหากันแน่น เขารู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของใคร แต่เขาไม่รู้จุดประสงค์จริง ๆ ของมันว่าคิดจะทำอะไรกันแน่ และจากนี้เขาต้องห่างจากสีครามยิ่งเป็นเรื่องอันตราย วิญญาณรับใช้ก็แทบไร้ประโยชน์เพราะมันมีผู้คุมวิญญาณที่พลังทัดเทียมกับเขาเป็นพวก เท่ากับตอนนี้เขาตกเป็นรองอย่างสมบูรณ์ ที่ทำได้คงมีเพียงการตั้งรับสิ่งที่กำลังมาอย่างระมัดระวังเท่านั้น

    “เหลืออยู่กับฉันแค่สองตน ส่วนที่เหลือทั้งหมดคอยดูแลสีคราม ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบบอกฉัน”
    “ครับ/ค่ะนาย” วิญญาณรับใช้ทุกดวงขานรับอย่างพร้อมเพรียง



    หลายวันหลังจากเหตุการณ์ทำร้ายความรู้สึก วรรษก็ได้หายไปอย่างที่สีครามต้องการ ไร้วี่แววไร้การติดต่อ ราวกับทุกอย่างของคนคนนั้นค่อย ๆ เลือนรางลงทีละน้อย และอีกไม่นานคงกลายเป็นความเคยชิน เหล่าพนักงานในร้านก็คล้ายรับรู้สถานการณ์ นอกจากแสดงความดีใจที่เจ้านายกลับมา ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของใครคนนั้นเลย

    เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่งให้เริ่มหวนคืนสู่ชีวิตปกติเรียบง่ายอย่างที่ควรเป็น จนกระทั่งการมาของกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจในเช้าวันหนึ่ง กลับเหมือนเสียงลั่นไกปืนยิงซ้ำใส่บาดแผลในจิตใจที่กำลังรักษา ย้ำเตือนทุกผู้คนที่ข้องเกี่ยวให้ตระหนักว่า เกมของใครบางคนเพียงเพิ่งเริ่ม

    “สายของเรารายงานว่า วรรษผู้ก่อคดีบุกทำร้ายเจ้าของบริษัทเมื่อไม่นานนี้ เคยอยู่ที่นี่ในช่วงก่อเหตุ เราจึงขออำนาจเข้าตรวจค้นครับ”

    เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งรายงานต่อเจ้าของร้าน พร้อมแสดงหมายค้นเพื่อเป็นเครื่องยืนยัน สีครามได้แต่นิ่งอึ้งไม่คาดคิดว่าคดีร้ายแรงในขณะนี้ก็เป็นฝีมือของพี่ชายตัวเอง ความคิดว่างเปล่าพร้อมกับความรู้สึกเจ็บร้าวหวนกลับมาอีกครั้ง เสี้ยวหนึ่งของสัญชาตญาณเรียกร้องให้เขาพูดปกป้องพี่ชายเหมือนอย่างเคย ทว่าความกลัวว่าจะถูกหักหลังซ้ำอีก กลับถ่วงดึงทุกคำแก้ต่างให้คั่งค้างอยู่ตรงลำคอ ความเหนื่อยล้าจากการถูกลวงหลอกทำให้ใบหน้าเศร้าหมองของสีครามก้มต่ำลง เสมือนการพยักหน้ายอมรับให้กลุ่มตำรวจเข้าตรวจค้นตามหน้าที่

    อาวุธปืนกับอุปกรณ์สั่งการปลอกคอไฟฟ้า ถูกพบซ่อนอยู่ในห้องทำงานด้านหลังร้าน หลักฐานพิสูจน์มัดตัวยิ่งกรีดแทงจิตใจสีครามให้แหวะแหว่งจนอาจเกินเยียวยา และเมื่อการตรวจค้นสิ้นสุดลง เจ้าของร้านถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวไปสอบปากคำเพราะถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

    การสอบสวนหาความจริงใช้เวลานานนับชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปยืนยันความบริสุทธิ์ โดยน้องชายของผู้ต้องหาต้องเป็นสายล่อลวงให้วรรษยอมเผยตัว สีครามที่ตอนนี้เหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง อยากให้ทุกอย่างจบลงเสียทีเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก จึงเลือกพยักหน้าตอบตกลง


    การนัดทานอาหารถูกจัดฉากขึ้นในช่วงเย็นวันนั้น สีครามเลือกนั่งโต๊ะกลางร้านตามแผนการของเจ้าหน้าที่ ไม่นานนักผู้ต้องหาก็เข้ามาในร้าน การแต่งกายของวรรษถึงกลับทำให้สีครามเผลอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เพราะเสื้อผ้าและผมที่จัดทรงอย่างดีของวรรษนั้นบ่งบอกถึงความพิถีพิถันตั้งใจในการมานัดครั้งนี้ ความดีใจที่แสดงผ่านใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของพี่ชาย ถึงกับทำให้ผู้เป็นน้องรู้สึกจุกหน่วงที่กลางอก ได้แต่เอ่ยขอโทษในความคิดซ้ำ ๆ

    “สีครามอุสาใจดียอมเจอพี่อีกครั้ง พี่ขอเลี้ยงมื้อนี้นะ” วรรษพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
    “ไม่ครับ ผมเป็นคนชวนต้องเป็นเจ้ามือสิ”
    “โอเค ๆ แล้วสั่งอะไรหรือยัง” ผู้เป็นพี่ตกลงอย่างง่ายดาย พลางหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิดดู
    “ยังครับ ผมรอพี่วรรษ จะได้สั่งแล้วทานพร้อมกัน”

    ได้ยินดังนั้นวรรษจึงยกมือเรียกพนักงาน สองพี่น้องผลัดกันสั่งอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นรายการอาหารส่วนมากกลับเป็นของที่สีครามชอบ เนื่องจากวรรษเอาแต่สั่งให้น้องชายแม้จะโดนทักท้วงก็ไม่ฟัง ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ วรรษได้ถามถึงความเป็นอยู่ของสีคราม ทั้งเรื่องร้านดอกไม้ และความสะดวกสบาย เพราะตอนนี้สีครามเลือกนอนที่ร้าน เหมือนเมื่อครั้งอดีตก่อนที่เขาจะชวนมาอยู่บ้านด้วยกัน

    ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกจัดวางจนเต็มโต๊ะ เสียงพูดคุยไถ่ถามยังคงคลออยู่ตลอดมื้ออาหาร บรรยากาศอบอุ่นหวนกลับมาชวนคิดถึงจนไม่อยากให้จบลง ดังนั้นสีครามจึงเลือกพูดคุยมากกว่าทานข้าว เพื่อหวังยืดช่วงเวลาให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงไร ทุกสิ่งอย่างย่อมถึงคราวต้องลาจาก

    “ทำไมวันนี้พี่วรรษแต่งตัวดีจังครับ ทั้งที่ผมแค่ชวนกินข้าวธรรมดา” สีครามเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยในตอนแรก หลังช่วงเวลามื้ออาหารหมดลง
    “ก็ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะได้ทานข้าวแบบนี้กับสีครามแล้วหนิ ก่อนที่จะถูกจับ เลยอยากดูดีในสายตาน้องชายตัวเองอีกสักครั้ง”

    คำตอบพร้อมรอยยิ้มมีความสุขของวรรษ ส่งผลให้หยาดน้ำใสที่สีครามพยายามสะกดกลั้น พลันไหลรินอาบผิวแก้มทั้งสองข้าง ความจุกหน่วงที่กลางอกยิ่งเพิ่มทวีบีบรัดหัวใจราวกับแหลกละเอียดลงในวินาทีนั้น ความจริงที่ว่าวรรษรู้ทุกอย่างนี้เป็นกับดัก แต่ก็ยังคงมาเพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้มาเจอเขา ยิ่งทำให้สีครามรู้สึกผิดเสียใจในความเลวร้ายของตัวเอง ที่กล้าเอาสายสัมพันธ์มาเป็นเครื่องมือลวงหลอก

    “ผม... ผะ.. ผมขอโทษ” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเต็มไปด้วยความละอาย เอ่ยขอโทษพี่ชายซึ่งกำลังถูกใส่กุญแจมือ
    “ไม่เอา ไม่ร้อง มือพี่ตอนนี้เช็ดน้ำตาสีครามไม่ได้หรอกนะ”

    วรรษกล่าวปลอบน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้สีครามไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกต่อไป เสียงร้องไห้ปานขาดใจดังทั่วทั้งบริเวณ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยกันปลอบประโลมก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ความเศร้าโศกเสียใจจากทุกเรื่องราวที่พยายามเก็บกดไว้ ถูกระบายออกผ่านหยาดน้ำตาที่คล้ายจะไม่มีวันแห้งเหือด ทุกความเข้มแข็งที่พยายามสร้างพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ความรวดร้าวเสียใจของสีครามสะท้อนในนัยน์ตาของวรรษ ที่มีน้ำตาคลอหน่วยจวนเกือบจะหลั่งรินไม่ต่างกัน ผู้เป็นพี่เลือกหันหลังให้น้องชายเพราะไม่อยากฝืนทนมอง พร้อมกล่าวกับเจ้าหน้าที่ให้รีบนำตัวเขาออกจากที่นี่เสียที


    เจ้าหน้าที่นำผู้ต้องหามาฝากขังในสถานีตำรวจ เพื่อเตรียมแถลงข่าวและทำแผนประกอบการรับสารภาพในวันรุ่งขึ้น วรรษนั่งพิงกำแพงภายในห้องขังโดยมีวิญญาณรับใช้สองตนคอยตามดูแลอารักขา การออกจากคุกแห่งนี้นั้นแสนง่ายดาย เพียงแค่เขาออกคำสั่งกับวิญญาณรับใช้ ทว่าที่ไม่ทำเพราะเขาเคยบอกแล้ว ว่าเขาจะเคารพการตัดสินใจของสีคราม แม้นั่นหมายความว่าเขาต้องเดิมตามแผนที่ใครบางคนวางไว้ก็ตาม

    “พรึบ!!”

    อยู่ ๆ ไฟทั่วทั้งสถานีตำรวจพลันดับลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้ม่านหมอกสีดำของยามค่ำคืนเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ทันที วิญญาณรับใช้สองตนรีบยืนขวางปกป้องเจ้านาย เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของศัตรู เสียงร้องตื่นตระหนกของเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรด้านนอกดังขึ้นเป็นระยะสลับกับเสียงปืน ทว่าเพียงครู่เดียวเสียงเหล่านั้นก็หยุดลง พร้อมกับกลิ่นอายวิญญาณที่วรรษสัมผัสได้พลันเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว บอกเป็นนัยว่าตำรวจทุกนายที่เคยส่งเสียงร้องเมื่อครู่ ต่างหลงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณกันหมดแล้ว

    หลังเหตุการณ์วุ่นวายกลับคืนสู่ความเงียบสงัดเพียงไม่นาน หมอกมืดจากยามค่ำคืนเบื้องหน้าห้องขังได้ปรากฏเงาร่างของชายสองคนกำลังยืนอยู่ แม้ไม่อาจมองเห็นแต่วรรษกลับมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นคือผู้คุมวิญญาณที่เคยลักพาตัวสีครามไป ส่วนอีกหนึ่งคือ

    “คิดแล้วว่าทุกอย่างต้องเป็นฝีมือแก โนอาร์”




บท27 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน


    เกร็ดเล็กน้อยในบทนี้นะครับ สุสานที่โนอาร์พาเอทอสไปกินวิญญาณ กับสุสานที่สีครามไปคือสุสานเดียวกันครับ นักอ่านบางท่านอาจพอเดาได้ ใช่ครับ โนอาร์ต้องการให้เอทอสไปกินวิญญาณของแม่สีครามครับ
    ถามว่าเอทอสรู้ไหมว่าวิญญาณดวงไหนคือแม่ของสีคราม คำตอบคือไม่รู้ครับ เพราะวิญญาณแต่ละดวงจะมีลักษณะเฉพาะเป็นเอกเทศกัน หมายความว่าต่อให้ในช่วงที่มีชีวิต จะมีความเกี่ยวเนื่องกันทางสายเลือด แต่เมื่อตายไปเหลือแค่วิญญาณ จะไม่มีอะไรสามารถบ่งบอกได้เลยครับว่าเคยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันมาก่อน


    แล้วสรุปว่าเอทอสได้กินวิญญาณของแม่สีครามเข้าไปหรือเปล่านั้น ตรงนี้เป็นปริศนาครับ^^



     ป.ล. ตรงนี้เป็นการตอบกลับคุณคนอ่านท่านหนึ่งนะครับ เนื้อความอาจสื่อไปในทางสปอยล์เล็กน้อย คนอ่านที่ไม่อยากทราบสามารถข้ามผ่านได้เลยครับ  o13

"ใช่ครับ!!! ถึงจะไม่ถูกทั้งหมด แต่คุณ k2blove คาดเดาได้ใกล้เคียงมากๆ เลยครับ^^ ในท้ายสุดแล้วอายุขัยของเอทอสและโนอาร์จะไม่ใช่อุปสรรคอีกแล้ว แต่จะทำยังไงนั้น คงต้องฝากคุณคนอ่านช่วยติดตามต่อไปด้วยนะครับ ^^"


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 27 พี่ชาย) [02/11/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-11-2020 19:06:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 28 ตกต่ำ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 20-11-2020 02:27:09


    ความรู้สึกอึดอัดยามหายใจเข้า เป็นความสิ่งแรกที่รับรู้เมื่อความรู้สึกเริ่มหวนคืน ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนทุกสิ่งดับวูบคือตอนที่กำลังถูกโนอาร์ล็อกตัวเพื่อใช้เข็มฉีดบางอย่างเข้าไปในร่างกาย วรรษที่ได้สติค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองบรรยากาศรอบตัว แสงสลัวสีเหลืองส้มจากหลอดไฟเพียงดวงเดียวช่วยปัดเป่าหมอกมืด เพียงพอที่จะรู้ว่าขณะนี้เขาถูกพามาขังไว้ในห้องอับสกปรก

    “ไม่คิดว่าแกจะมีความอดทนถึงขนาดปล่อยให้ฉันฟื้นขึ้นมาแบบครบสามสิบสอง”

    คนถูกมัดแขนขาทุกข้างตรึงให้นอนราบบนพื้นปูนสากฝุ่นเขรอะ เอ่ยท้าทายตัวการที่กำลังยืนคุยบางอย่างกับจินและมังกร สองลูกมือผู้สมรู้ร่วมคิด โนอาร์เพียงเหลือบมองเล็กน้อยก่อนเดินมาหยุดยืนอยู่เหนือหัวเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ เพื่อเวลาก้มมองจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน

    “ร่างกายนี้เชื่อมกับเอทอส ตราบที่ยังไม่ถึงเวลา จะดูแลทุกอวัยวะชิ้นส่วนอย่างดี ไม่ต้องห่วง” บุคคลอันตรายว่าพลางใช้ปลายเท้าเขี่ยใบหน้าคนต่ำกว่า ซึ่งครานี้สิ้นท่าหมดหนทาง จนทำได้แค่กัดฟันเบี่ยงหน้าหลบด้วยความรังเกียจ
    “แต่ใช่ว่าจะหนีรอด ยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้ทรมานเหมือนตาย ทั้งที่ร่างกายไร้รอยขีดขวน อย่างเช่นทำให้ติดยาจนขาดไม่ได้... หรือหาใครสักคนมารับผิดชอบแทน”
    “อย่าเอาคนอื่นมาเกี่ยว เรื่องนี้มีแค่แกกับฉัน” วรรษกดเสียงต่ำข่มขู่ ทว่าคนฟังกลับไม่แม้แต่จะหลุดเผยปฏิกิริยาโต้ตอบให้พอคาดเดาอารมณ์ นัยน์ตารัตติกาลสงบนิ่งเฉยชายังคงก้มมอง โดยไม่อาจรู้ว่าแท้จริงกำลังคิดสิ่งใด
    “สีครามได้ยินคงยิ่งร้องฟูมฟายน่ารำคาญ ที่พี่แท้ ๆ ไม่นับญาติเห็นตัวเองเป็นคนอื่น”
    “ไอ้โนอาร์! มึง!! อย่าริอ่านยุ่งกับน้องกู!! ไม่งั้นชีวิตไอ้ปีศาจได-”

    ไม่ทันได้พูดจบ คนปล่อยให้โทสะครอบงำก็นิ่งงันไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธคับแค้น ยามนี้กลับดูเหม่อลอยไร้สติ จินที่ได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ตรงมุมห้องเห็นเพลิงทมิฬกำลังลุกโหมท่วมร่างเหยื่อฆาตกร ก็พลันรู้ทันทีว่าคำสาปที่ปีศาจเคยร่ายแสดงผลอีกครา และดูเหมือนโนอาร์จะรู้เรื่องนี้เช่นกัน ถึงได้เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนเดินนำออกจากห้องปิดตายโดยไม่พูดอะไร

    ชายเลือดเย็นกลับขึ้นจากชั้นใต้ดินในบ้านร้างหลังหนึ่งห่างไกลชุมชนเมือง โดยสถานที่กักขังแห่งนี้มังกรเป็นผู้จัดหาตามคำสั่งล่าสุด ส่วนจินรับหน้าที่กันไม่ให้ผู้คุมวิญญาณหนีออกไปไหน รวมทั้งต้องดูแลร่างกายของวรรษให้แข็งแรงสุขภาพดี ห้ามให้มีผลกระทบต่อปีศาจเด็ดขาด ซึ่งอย่างหลังนั้นจินถูกกำชับเป็นพิเศษ เพราะขนาดโซ่เหล็กที่ใช้ล่ามแขนขาบริเวณที่สัมผัสผิวเนื้อยังต้องมีผ้าพันไว้ เพื่อป้องกันแผลถลอกจากการเสียดสี

    ถึงแม้จะบอกว่าดูแลอย่างดี แต่หลักการปฏิบัติจริงกลับโหดร้ายเกินมนุษย์ เนื่องจากสิ่งที่โนอาร์ต้องการมีแค่ร่างกายที่แข็งแรง ฉะนั้นทั้งการกินและขับถ่ายจะทำผ่านสายยางทั้งหมด เสมือนวรรษเป็นคนป่วยที่ทำอะไรเองไม่ได้ มีหน้าที่รออาหารไหลตามสาย ก่อนขับถ่ายตามท่อที่เชื่อมสวนไว้ ไร้สิทธิ์เรียกร้องออกความเห็น ไม่ต่างจากสัตว์ตัวหนึ่งในปศุสัตว์ที่ถูกขุนให้สมบูรณ์รอวันชำแหละขาย
    ความทรมานน่าสังเวชที่กำลังจะเกิดนี้จะเริ่มในวันรุ่งขึ้น เมื่อแพทย์ค้าอวัยวะเถื่อนที่โนอาร์ไปทำข้อตกลงด้วยมาถึง ซึ่งปีศาจของชายอำมหิตจะไม่ได้รับผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะวิธีเหล่านี้หาได้สร้างอาการบาดเจ็บ ดังนั้นมนตร์มืดย่อมไม่ทำงาน

     “จัดการให้ดี อย่าให้หนีออกไปได้”

    โนอาร์เอ่ยสั่งจินด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ซึ่งจินรู้ดีว่ารายละเอียดคำสั่งนั้นหมายถึงให้เขาสร้างอาณาเขตกั้น ห้ามไม่ให้วรรษเรียกวิญญาณมาช่วยเหลือ หลังได้คำสั่งคนรู้งานจึงรีบเดินเลี่ยงออกไปเพื่อทำหน้าที่ของตน ส่งผลให้บริเวณหน้าบ้านร้างเก่าวังเวง เหลือเพียงมังกรและชายเลือดเย็น

    “ฉีดให้สีคราม และเอาเลือดมาให้เต็มหลอด”
    “มันคืออะไร?” มังกรขมวดคิ้วมุ่นพลางมองหลอดเก็บเลือดเปล่า และอุปกรณ์แปลกตาลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาแต่ทำจากโลหะด้วยความระแวง
    “ไม่ถึงตายถ้าฉีดเข้าไป แต่จะตายถ้าไม่ฉีด และแน่นอนสีครามไม่ใช่คนเดียวที่จะตายเพราะใครบางคนไม่ยอมให้ความร่วมมือ”
    “ชิ!”

    มังกรทำได้เพียงสบถแสดงความไม่พอใจ ก่อนจะรับของทั้งหมดมาถือไว้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เหตุเพราะคนสำคัญถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองอีกครั้ง คนถูกบังคับเตรียมกลับไปที่รถเพื่อออกจากที่นี่เมื่อสิ้นธุระในคืนอันยาวนาน ทว่าขณะเดินออกห่างคนอันตรายเพียงไม่กี่ก้าว เนื้อความหนึ่งซึ่งแฝงมากับน้ำเสียงเรียบนิ่งถึงกับทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก

    “หลังทุกอย่างจบลง หยกอาจได้ออกจากโรงพยาบาล”
    “…”
    “หัวใจรอปลูกถ่ายที่ไม่รู้เมื่อไรจะถึงคิว ถ้าได้หัวใจสดใหม่จากร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีแบบเป็น ๆ ความฝันที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลไปใช้ชีวิตปกติสุขด้วยกัน ไม่ต้องแอบทำงานสกปรกเปื้อนเลือดอีกคงไม่เกินจริง”
    “…”
    “หวังว่าจะไม่ทำให้โอกาสเดียวที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตหายไป เพียงเพราะความใจอ่อนชั่ววูบ”
    “…อืม”

    ชายหนุ่มกำมือแน่นพยายามต่อสู้กับจิตใจ ทว่าตอนท้ายก็จำยอมขานรับในที่สุด ก่อนรีบเดินจากไปโดยไม่คิดเหลียวมองคนพูด จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มมุมปากหนึ่งกำลังยินดีให้กับ ความมืดเห็นแก่ตัวที่เอาชนะความดีงามบริสุทธิ์อันแสนเปราะบาง



    การแถลงข่าวจับตัวคนร้ายคดีใหญ่กลับตาลปัตรเป็นข่าวผู้ร้ายแหกคุกหลบหนีในวันรุ่งขึ้น ความสูญเสียของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้สละชีวิตในคืนเฝ้าเวรดึกสงัด ต่างเป็นที่โจษจันไว้อาลัยและประณามถึงความโหดเหี้ยมของผู้กระทำ ความดาลเดือดกระตุ้นให้สังคมเริ่มตามขุดหาข้อมูลประวัติ จนพบญาติของผู้ร้ายเป็นเจ้าของร้านดอกไม้เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

    ทุกความขุ่นเคืองจากเหล่ากลุ่มชนมากมายพลันรุมเข้าใส่น้องชายคนร้าย ผู้เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนรับผิดโดยปริยาย คำกล่าวหา ด่าทอ ต่อว่าจากคนที่ไม่แม้แต่รู้จักหน้าตา ล้วนเหยียบย้ำซ้ำเติมจิตใจบอบช้ำให้ยิ่งแหลกละเอียด กลุ่มคนผู้รู้เรื่องราวเพียงผิวเผินต่างสะใจที่ได้ระบาย หนึ่งคนผู้ไม่รู้เรื่องอะไรถูกทำร้ายฉุดดึงให้ตกต่ำเหมือนอยู่ท่ามกลางขุมนรกสังคม

    ภาคินฟังรายงานข่าวจากโทรทัศน์ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาล ได้แต่นึกสงสารเจ้าของร้านดอกไม้รายนั้นที่ถูกใช้เป็นตัวละครในโศกนาฏกรรมฉากใหญ่ ซึ่งตัวการผู้เขียนเรื่องราวใส่ร้ายน่ารังเกียจ กลับยังคงลอยนวลใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข

    ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานนี้ ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีได้เข้ามาสอบปากคำเขา พร้อมแจ้งว่าได้เบาะแสชี้ตัวคนร้าย ทันทีที่ได้ยินความคิดแรกพลันผุดขึ้นมาว่าทุกอย่างอาจเป็นหนึ่งในแผนการของโนอาร์ เพราะจากประสบการณ์ที่เคยผ่าน ไม่มีทางที่คนของปีศาจจะสะเพร่าทิ้งหลักฐานไว้ ดังนั้นภาคินจึงย้ำคำกับตำรวจให้ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เนื่องจากเขาเองไม่สามารถให้ความอะไรกับตำรวจได้มากนัก เพราะลึก ๆ แล้วเขาค่อนข้างกลัวใจโนอาร์ และไม่อยากเอาชีวิตเหล่าลุงป้าพ่อบ้านแม่บ้านมาเสี่ยงเดิมพัน

    จนในที่สุดเนื้อหาข่าวในวันนี้ก็เป็นตัวเฉลยว่า ทุกสิ่งที่นักธุรกิจหนุ่มคาดการณ์คือเรื่องจริง โนอาร์ตั้งใจสร้างสถานการณ์โกลาหลวุ่นวายเพื่อใช้ทำลายชีวิตและครอบครัวของผู้คุมวิญญาณคนนั้นให้ย่อยยับ ซึ่งภาคินมั่นใจว่าอีกไม่นานคงถึงตาเขาที่ต้องมีชะตากรรมเช่นนั้น แต่กว่าช่วงเวลาตัดสินจะมาเยือน เขายังไม่อยากทำอะไรที่เร่งให้ทุกอย่างมันเร็วขึ้นโดยที่เขายังไม่ทันเตรียมตัว อย่างน้อยก็ขอให้เขากลับมาเป็นปกติ และออกจากโรงพยาบาลให้ได้ก่อน



    ข่าวใหญ่ที่กำลังเป็นประเด็นในสังคม ย่อมเข้าถึงทุกผู้คนไม่เว้นแม้กระทั่งเอทอส แน่นอนมนุษย์ต้นเรื่องรู้ตัวเองดี จึงเตรียมรับคำต่อว่าถากถางไม่พอใจจากปีศาจ ทว่าความจริงกลับต่างจากที่มนุษย์คาดเดาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเมื่อกลับมาถึงบ้านพักในช่วงพลบค่ำ เอทอสเพียงเอ่ยทักทายเล็กน้อยก่อนถามเขาว่าทานมื้อเย็นแล้วหรือยัง ไม่มีคำดุ ไร้การตำหนิ ไร้ความไม่ชอบใจ แม้จะไม่แสดงออกผ่านการกระทำ แต่ภายใต้นัยน์ตาสีอำพันดุขุ่นมัวกลับเผยความรู้สึกแท้จริงให้มนุษย์รู้อย่างชัดเจน

    ระหว่างมื้ออาหาร เอทอสยังคงปฏิบัติตัวปกติกับเขา แม้เสียงข่าวจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ในห้องรับแขก จะยังคงเล่าเหตุการณ์ตอกย้ำอย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำให้ท่าทีของปีศาจเปลี่ยนไป ราวกับเอทอสกำลังปิดกั้นไม่รับรู้ทุกสิ่งที่เขาก่อ แม้หากมองแง่ดีจะดูคล้ายปีศาจพยายามทำใจยอมรับ แต่โนอาร์รู้จักคนรักของตัวเองดี ฉะนั้นหลังรอปีศาจอาบน้ำให้ความรู้สึกที่หลบซ่อนไว้เย็นลง มนุษย์จึงเริ่มคุยกับปีศาจเพื่อยุติบรรยากาศชวนอึดอัดระหว่างกัน

    “ผมรู้ว่าคุณกำลังโกรธและคุณควรระบายมันออกมาเอทอส ถ้าคุณเอาแต่เก็บกดมันไว้แบบนี้ มันจะย้อนมาทำร้ายตัวคุณเอง”
    “…ใช่ ใจจริงข้าอยากจับเจ้าล่ามโซ่ไว้กับข้า ทำทุกทางให้เจ้าไปไหนไม่ได้ จะได้ไม่ต้องออกไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก” ปีศาจเอ่ยตอบพลางแต่งตัวตรงตู้เสื้อผ้า พยายามคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอขึ้นเสียงใส่มนุษย์ ก่อนจะหันกลับมา
    “แต่ข้าก็คิดได้ เวลาของข้ามีค่าเกินกว่าจะเสียไปกับเรื่องพรรณ์นี้ ตราบที่ข้ายังมีโอกาสอยู่ ข้าจะใช้มันทั้งหมดเพื่อมีความสุขกับคนที่ข้าเลือก ส่วนเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไป ข้าไม่จะไม่ห้ามเพราะถือว่าเจ้าตัดสินใจแล้ว”

    ถ้อยคำของปีศาจถึงกับทำให้ชายที่ขึ้นชื่อว่าไร้หัวใจ รู้สึกจุกหน่วงตรงกลางอกจนไม่อาจเอ่ยสิ่งใดตอบกลับ ได้แต่ตำหนิก่นว่าในความโง่เขลาของตัวเอง ที่เห็นพวกเหลือบไรสำคัญกว่าการอยู่เคียงข้างปีศาจ ความละอายรู้สึกผิดเด่นชัดในนัยน์ตารัตติกาลสะท้อนอยู่ในดวงตาสีอำพันดุ เอทอสไม่คิดกล่าวอะไรเป็นการปลอบประโลม เพียงเดินไปปิดไฟห้องแล้วกลับมานอนด้านหนึ่งของเตียงที่เป็นตำแหน่งประจำ

    หลังหลับตาเตรียมเข้าสู่นิทราได้สักพักหนึ่ง เอทอสเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งพยายามซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขนเขา การขยับเบียดแนบชิดคล้ายต้องการไออุ่นแต่ก็แผ่วเบาราวกับไม่อยากรบกวนสร้างความรำคาญใจ ช่างเป็นการกระทำอันย้อนแย้งไม่สมกับกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากแก่นวิญญาณ และแน่นอนการแสดงออกของโนอาร์ทำให้เอทอสไม่อาจฝืนใจร้ายได้นานนัก ดังนั้นท่อนแขนกว้างแข็งแรงจึงยอมโอบรอบร่างมนุษย์ข้างกาย ดึงให้เข้ามานอนซุกซบแผงอกแกร่งอย่างทุกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ จมลงสู่ห้วงราตรีไปด้วยกัน


    “ตอนเที่ยงคุณอยากกินอะไร”

    คำถามหนึ่งจากคนในครัวดังขึ้น ส่งผลให้เจ้าบ้านซึ่งกำลังจิบกาแฟดูข่าวยามเช้าหันมอง วันนี้โนอาร์กลับมาใส่ชุดชาวสวนดังเดิม คล้ายสื่อเป็นนัยว่าอีกฝ่ายตั้งใจไปทำงานกับเขา การเปลี่ยนแปลงตัวเองของมนุษย์ทำให้ปีศาจลอบยิ้มเล็กน้อยเมื่อทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ เขาเคยบอกแล้วว่าเขามีวิธีมากมายใช้คุมชายอันตรายคนนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาพูดกับโนอาร์เมื่อคืนเป็นเรื่องโกหก

    “อยากกินเจ้า”
 
    คำตอบเหนือความคาดหมาย ถึงกับทำให้มือที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบหยุดชะงัก โนอาร์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาสบกับนัยน์ตาปีศาจซึ่งยามนี้กลายเป็นสีแดงเลือดนก และกำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ความเร่าร้อน จริงจัง ต้องการอยากครอบครองอัดแน่นอยู่ในดวงตาคมดุ เด่นชัดเสียจนชายผู้มีหัวใจน้ำแข็งเยือกเย็นยังรู้สึกสั่นไหว หากไม่ติดเรื่องปลอกคอที่กำลังส่องจุดแสงสีเขียวเยาะเย้ยเขาอยู่ มนุษย์มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจทนหิวจนถึงมื้อกลางวัน

    “ถอดเครื่องนั่นออกไปเมื่อไร ผมสัญญา...”
    “ว่า?” ร่างสูงใหญ่ถามกลับ คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายตั้งใจรอฟังสิ่งที่มนุษย์พูด
    “คุณจะได้กินจนอิ่ม กินได้มากเท่าที่คุณต้องการ”

    และด้วยคำตอบนั้นเอง คนในครัวจึงถูกร่างสูงใหญ่กระดิกนิ้วเรียกให้มารับจูบนุ่มนวลลึกล้ำเป็นรางวัล


    ความคับข้องใจของปีศาจและมนุษย์เกิดขึ้นและจบลงในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทำให้เหล่าคนสวนไม่มีใครทันสังเกตเห็น จะรับรู้ก็แต่ความสัมพันธ์ของนายใหญ่และคนรักที่ยิ่งแน่นแฟ้นผูกพันขึ้นทีละน้อย ดูได้จากการไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะออกตรวจกล้วยไม้ เคลียร์เอกสารในห้องทำงาน ทุกที่มักเห็นภาพนายใหญ่และคุณโนอาร์ต่างช่วยเหลือพูดคุยปรึกษากันเสมอ รวมถึงบรรยากาศรอบกายคุณโนอาร์ที่ไม่ได้แฝงความเยียบเย็นเฉกเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ยิ่งทำให้คนสวนหลายคนกล้าที่จะเข้าหา หรือเอ่ยแซวหยอกเย้ามากขึ้น

    แม้โดยรวมทุกอย่างจะดูกลับคืนสู่ความปกติสุข ทว่าความจริงแผนการเลวร้ายทั้งหมดยังคงดำเนินต่อไป เพียงแค่ชายเลือดเย็นลงมาคุมเกมด้วยตัวเองน้อยลง และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับปีศาจ ซึ่งทุกเมื่อมีโอกาส โนอาร์จะหวนกลับมายังเกมกระดานชะตากรรมที่เล่นค้างไว้ เพื่อขยับเดินหมากกัดกินชีวิตอย่างเช่นครานี้

    “เรื่องที่สั่งไปถึงไหน” โนอาร์ถามถึงความคืบหน้าเรื่องสีคราม หลังจากผ่านมาหลายวัน
    […จะจัดการคืนนี้]
    “อืม เลือดที่ได้เอาไปให้จินภายในวันพรุ่งนี้ ไม่มีการเลื่อน จากนั้นหาคนเข้าไปแฝงในบ้านนักธุรกิจชื่อภาคินที่กำลังเป็นข่าว เสร็จแล้วจะไปทำอะไรก็ทำ”
    [นี่เป็นงานสุดท้าย?] มังกรเอ่ยถามเมื่อท้ายคำสั่งเหมือนโนอาร์จะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ
    “ไม่”

    โทรศัพท์ตัดไป พร้อมกับคำตอบเรียบสั้นทำลายความคาดหวังทั้งหมด มังกรได้แต่กำโทรศัพท์แน่นเพื่อคลายความหงุดหงิดอัดอั้น ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์และกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ที่ซึ่งมีคนสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิตรออยู่

    “คิ้วขมวดมาเลย เป็นอะไรล่ะพ่อ” หญิงสาวบนเตียงผู้ป่วย เอ่ยทักแฟนหนุ่มทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมา
    “พ่อ?... อย่าบอกกรนะว่าคืนนั้นที่เราแอบ-”
    “หยุดนะ!”

    หญิงสาวหน้าแดงก่ำ รีบห้ามแฟนหนุ่มเสียงดังพร้อมขวางหมอนใส่ระบายความเก้อเขิน ส่วนคนโดนประทุษร้ายก็ได้แต่ยืนหัวเราะสนุกสนาน และตอนท้ายก็ไม่วายเป็นชายหนุ่มต้องตามง้อคนงอน ซึ่งขณะนี้มุดผ้าห่มหนีไปแล้ว

    “น่า ๆ กรแค่หยอกเล่นเอง หายงอนนะ” แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าเสียงทุ้มอ่อนโยนยังคงกลั้วหัวเราะ
    “พอเลย” เสียงอู้อี้ผ่านฝืนผ้าตอบกลับมา
    “ออกมาก่อนเร็ว... กรมีเรื่องต้องบอกหยกนะ”

    น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นของแฟนหนุ่ม ส่งผลให้หญิงสาวยอมดึงผ้าห่มลงและลุกขึ้นมานั่งคุยดี ๆ  ความกังวลเล็กน้อยที่พยายามเก็บซ่อนไม่อาจรอดพ้นสายตาคนรัก ดังนั้นฝ่ามือขาวบอบบางจึงยื่นมากอบกุมมือแข็งแรงอย่างให้กำลังใจ

    “งานจากคนนั้นอีกแล้วเหรอ”
    “อืม... กรต้องไปทำค่ำนี้ คงไม่น่านานนัก แต่ถ้าดึกมากแล้วกรยังไม่มา หยกต้องนอนนะ ห้ามรอ” มังกรกำชับ เพราะครั้งก่อนหยกเคยอยู่รอเขาจนเกือบรุ่งสาง ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มกลัวมากว่าจะกระทบกับสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงของอีกฝ่าย
    “ได้ หยกสัญญาจะนอนตรงเวลา กรจะได้มีสมาธิกับงาน... แล้วเขาบอกกรไหมว่าต้องทำงานให้เขาอีกกี่ครั้ง”
    “ไม่บอก แต่ที่คุยกัน เหมือนหลังจากครั้งนี้เขาอาจไม่ใช้กรอีกสักพักหนึ่งเลย”
    “มองในแง่ดี บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้นะ มา! งั้นเดี๋ยวหยกเพิ่มพลังให้ กรหลับตาก่อนเร็ว”

    ชายหนุ่มเอียงคอสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามโดยดี หลังหลับตาได้สักพักบริเวณผิวแก้มสากพลันรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มของบางสิ่งกดประทับค้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วผละออก เมื่อสัมผัสหายไปมังกรจึงลืมตาขึ้นมองเจ้าของรางวัลด้วยรักใคร่ขอบคุณ ก่อนจะทำแบบเดียวกันโดยขยับตัวลุกขึ้นหาคนบนเตียง พร้อมจุมพิตลงบนผิวแก้มอิ่มอย่างนุ่มนวล ความอ่อนโยนของแฟนหนุ่มส่งผลให้ใบหน้าของหญิงสาวกลับมาขึ้นสีแดงอมชมพูระเรื่ออีกครั้ง

    “กรรักหยกนะ”
    “หยกก็รักกรเหมือนกัน”

     คำตอบรับจากผู้เป็นที่รัก ทำให้มังกรหลุดยิ้มอย่างเป็นสุข ก่อนจะชวนหญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อลบบรรยากาศหม่นภายในห้องให้หมดไป คงเหลือไว้เพียงความอบอุ่นอบอวลด้วยความรักห่วงใยระหว่างกัน




(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 28 ตกต่ำ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 20-11-2020 02:30:59
(ต่อ)

    ช่วงเวลาโหดร้ายตกต่ำในชีวิตยังคงเคลื่อนผ่านไปแต่ละวันอย่างยากลำบาก สีครามพยายามฝืนทานมื้อค่ำเงียบเหงาภายในร้านดอกไม้เพียงลำพัง ประตูเหล็กม้วนรอบร้านเสมือนเป็นกำแพงปกป้องคนระทมชอกช้ำจากโลกที่โดนรังเกียจ โทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต ทุกสิ่งที่สามารถช่วยผ่อนคลายความเศร้าถูกปิดไม่ใช้งาน เพราะความกลัว กลัวจะถูกตราหน้าหยามเหยียดว่าเป็นส่วนเกินที่ไม่ควรเกิดมา

    “ตึง!! ๆ ๆ”

     เสียงทุบประตูเหล็กม้วนจากภายนอก ถึงกับทำให้คนหมองเศร้าสะดุ้งสุดตัว ดวงตาหม่นหวาดระแวงรีบหันไปทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับต้องการพังเข้ามา สร้างความกลัวเกาะกุมจิตใจอันรวดร้าว ค่อย ๆ ขยับถอยห่างจากประตูร้านทีละน้อย

    “ตึง!!! ๆ ๆ ๆ ๆ”

    เวลาผ่านไปทุกอย่างมีแต่จะแย่ลง ความหนักหน่วงในการคุกคามของบางสิ่งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ความคิดสับสนกระวนกระวายพานให้คาดการณ์เรื่องราวไปต่าง ๆ นานา ร่างกายบอบบางเริ่มสั่นสู้ป้องกันตัวเอง มือสั่นรีบควานหาโทรศัพท์โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ขอความช่วยเหลือ

    “ติ้ด! ๆ ๆ ๆ”
    “ตุ้บ!!”
    
    โทรศัพท์ในมือดังขึ้นฉับพลันเมื่อมีสายโทรเข้า ความตื่นตกใจทำให้เผลอปล่อยโทรศัพท์ร่วงจากมือตกกระแทกพื้น สีครามรีบก้มหยิบเครื่องมือช่วยเหลือเดียวขึ้นตรวจเช็ก รอยร้าวคล้ายกระจกแตกกระจายไปทั่วจอ ทว่าโชคดีที่ยังคงใช้การได้ปกติพอให้เบาใจได้เล็กน้อย แล้วจึงหันมาดูชื่อคนโทรเข้า แม้ชื่อที่ปรากฏจะช่วยลดความหวาดกลัว แต่ก็ยังคงหลงเหลือความระแวงอยู่ในจิตใจ

    “คะ.. ครับ” สีครามเริ่มต้นทักปลายสาย
    [ฉันเอง เปิดประตูหน่อย] มังกรตอบกลับเรียบสั้น พร้อมเอ่ยสั่งอีกฝ่าย
    “มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว”
    [เจ้านั่นมันไม่ยอมจบ แต่วันนี้ไม่ได้พาตัวนายไปไหนหรอก แค่เอาของมาให้กับมาขออะไรนิดหน่อย]
    “มาคนเดียวเหรอครับ”
    [ใช่ เรื่องแค่นี้ฉันจะเอาคนมาทำไมเกะกะเสียเวลา มารีบทำให้มันเสร็จ ๆ ฉันจะได้หมดธุระสักที]
 
    ได้ยินดังนั้น สีครามจึงพยายามทำใจดีสู้ข่มความกลัว แล้วจึงค่อยไปเปิดประตูให้ใครบางคน มังกรมองสำรวจสภาพหมองหม่นหวาดระแวงของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งโต๊ะที่มีจานข้าวกินค้างไว้วางอยู่

    “เพิ่งกินข้าว?” มังกรเอ่ยถาม เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะทั้งที่เวลาล่วงเลยมื้อเย็นมานานแล้ว
    “ครับ”
    “อืม.. ที่เจ้านั่นต้องการมีสองอย่าง อย่างแรกมันอยากได้เลือดของนายประมาณหลอดหนึ่ง อีกอย่างคือให้ฉีดไอ้นี่”

    มังกรขานรับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเข้าเรื่องพร้อมหยิบของทั้งหมดมาวางตรงหน้าสีคราม หลอดเก็บเลือดพร้อมเข็มกับสายรัดวางอยู่คู่กัน ข้าง ๆ มีเครื่องมือแปลกตาลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาทว่าทำจากโลหะ ซึ่งของเหล่านี้ทำให้สีครามเผลอขมวดคิ้วด้วยความกังวล

    “มันคืออะไรครับ?” สีครามถามพลางชี้ไปยังอุปกรณ์ไม่น่าไว้วางใจ
    “ไม่รู้ ถามแล้วมันไม่ยอมบอก แค่ยืนยันว่าไม่ถึงตาย”

    คำตอบจากชายที่เคยลักพาตัว ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเพิ่มความหวาดระแวงจนต้องค่อย ๆ ขยับถอยห่าง มังกรที่จับสังเกตได้ถึงความตื่นกลัวของสีคราม จึงเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้

    “อย่าทำให้มันยากเลยสีคราม ฉันไม่อยากบังคับนายถึงได้มาคุยดี ๆ และนายก็มีทางเลือกแค่ต้องทำ”
    “…”
     “นายโชคดีมากแล้วที่เจ้านั่นไม่มาเอง หรือส่งคนอื่นมาแทนฉัน ฉะนั้นทำให้มันจบ ๆ ไปดีกว่า ทั้งฉันและนายจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน”

    แม้จะได้ฟังเหตุผลอ้างสนับสนุนมากมาย แต่การจะให้ฉีดบางอย่างเข้าไปในร่างทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเกินกว่าจะยอมเสี่ยงได้เช่นกัน และดูจากท่าทีของมังกรที่พร้อมใช้กำลังฝืนบังคับถ้ามีการขัดขืน ยิ่งกระตุ้นให้สีครามพยายามคิดหาทางหนีจากสถานการณ์กดดันนี้

    สายตาครุ่นคิดที่ซ่อนความสั่นไหวไว้ภายใน แกล้งมองไปทางอื่นคล้ายกำลังตัดสินใจทว่าแท้จริงกลับกำลังหาทางหนี ประตูหน้าร้านต้องวิ่งฝ่ามังกรคงไม่สามารถใช้ได้ ฉะนั้นจึงมีเพียงทางออกหลังร้าน

    “พรึบ!”
    “หมับ! ตึง!!”
    “เคล้ง!!”
 
    สีครามอาศัยจังหวะที่มังกรเผลอเล็กน้อยรีบลุกขึ้นวิ่งไปทางหลังร้าน ทว่าแขนเล็กกลับถูกคว้าจับไว้พร้อมกระชากฉับพลัน ส่งผลให้ตัวสีครามโดนแรงดึงล้มกระแทกกับพื้นโต๊ะ เหล่ามื้อเย็นที่ทานค้างไว้ตกกระจายเกลื่อน ใบหน้าหวาดหวั่นถูกจับล็อกกดบี้กับเศษเม็ดข้าวและน้ำแกงเย็นชืดเหนียวเหนอะ ความรุนแรงที่ไม่คาดว่าจะได้รับจากคนเริ่มวางใจ ช่วยปลุกสีครามกลับสู่ความจริงว่า ความช่วยเหลือจากใจจริงไร้ผลประโยชน์ เป็นเพียงนิทานลวงหลอกไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้

   “ปะ.. ปล่อยผม!”
    “ฉันไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แต่นายบังคับฉันเองสีคราม”
    “พรึบ!”
    “โอ๊ย!”

    ฉับพลันไฟทั่วทั้งร้านพลันดับลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความมืดเข้าปกคลุมพร้อมกับบางสิ่งหล่นกระแทกใส่ศีรษะมังกรอย่างแรง จนชายหนุ่มจำต้องปล่อยมือจากเป้าหมาย

    “หนีเร็วครับ คุณสีคราม”

    เสียงกระซิบเยียบเย็นข้างหูแผ่วเบา เรียกสติสีครามได้เป็นอย่างดี ความตื่นตระหนกต้องการหลีกหนีจากเหตุการณ์ บังคับให้ดวงตาหวั่นระทึกรีบกวาดมองหาทางออกฝ่าความมืด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านประตูหลังร้านที่เปิดแง้มไว้ทั้งที่จำได้ว่าปิดสนิท ความพิศวงผิดแผกที่เกิดขึ้นหลายครั้งชวนให้รู้สึกสงสัยในใจลึก ๆ ทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามามัวตั้งคำถามถึงบางสิ่ง ดังนั้นสีครามจึงอาศัยโอกาสเดียวที่มีรีบวิ่งสุดกำลังไปที่ทางออก

    “หลับ”

    ทันทีที่ย่างเท้าออกสู่ภายนอก ฝ่ามือของใครบางคนพลันสัมผัสกลางหน้าผากสีครามอย่างรวดเร็ว คำพูดเรียบสั้นกลับเป็นดังมนตร์สะกดสติและความรู้สึกให้เลือนหาย เพียงครู่เดียวร่างของสีครามก็ทิ้งตัวล้มใส่ให้ผู้กระทำเข้าประคอง

    การออกคำสั่งวิญญาณคนเป็น ถือเป็นทักษะขั้นสูงของผู้คุมวิญญาณที่ไม่ใช่ใครจะทำได้ เนื่องจากไม่ได้ขึ้นกับการฝึกฝน แต่ขึ้นกับระดับพลังที่มีติดตัวมาตั้งแต่แรก และจินเป็นหนึ่งในนั้น แต่ความสามารถนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน เพราะใช้ได้เฉพาะกับเป้าหมายที่จิตใจตกอยู่ในสภาวะอ่อนไหวไม่มั่นคง
    ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่จินยังลำพองในพลังอันมากล้นของตน เขาเคยริอ่านลองดีใช้พลังนี้กับโนอาร์ช่วงที่พบกันใหม่ ๆ และผลที่ได้คือเขาเกือบถูกชายเลือดเย็นจับไปเป็นของเล่นแก้เบื่อ เป็นเหตุให้ตั้งแต่วันนั้นมา ผู้คุมวิญญาณแสนอาภัพจึงไม่เคยคิดใช้พลังนี้อีกเลย

    จินพาร่างสีครามกลับเข้ามาในร้าน พร้อมกับแสงไฟที่กลับมาสว่างดังเดิม มังกรประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเพื่อนร่วมงานมาอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเก็บเครื่องมืออุปกรณ์ที่หล่นร่วงจากการปะทะเมื่อครู่ ก่อนจะกลับมาหาร่างไร้สติของเจ้าของร้าน เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

    “นี่ ๆ มังกร... นายหัวแตกนะ” จินเอ่ยทักอีกฝ่าย เมื่อเห็นของเหลวสีแดงเริ่มไหลจากไรผมข้างขมับ
    “อืม ช่างมัน”

    เสียงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจจากชายหนุ่มดังขึ้น พร้อมยื่นหลอดที่มีเลือดเป้าหมายบรรจุอยู่เต็มส่งให้คนที่เฝ้ามองอยู่ หลังทำงานที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อย มังกรอุ้มสีครามเข้าไปในห้องหนึ่งที่คาดว่าเป็นห้องนอน ก่อนจะวางร่างอีกฝ่ายลงบนฟูกและห่มผ้าให้เสร็จสรรพ จากนั้นจึงออกมาเก็บกวาดข้าวของเกลื่อนกลาดเก็บเข้าที่อย่างไม่คิดสนใจบาดแผลของตัวเอง

    จินยืนมองการกระทำของชายหนุ่มเงียบ ๆ พลางนึกเปรียบเทียบกับกลิ่นอายวิญญาณที่แผ่ออกมาจากมังกร แม้ความชั่วร้ายจะเข้มข้นรุนแรงกว่าความบริสุทธิ์อยู่มาก แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็ช่วยพิสูจน์ว่าแท้จริงอีกฝ่ายหาใช่คนเลวร้ายโดยกำเนิด

    “นายดูเป็นคนดีนะ ทำไมถึงมาทำงานประเภทนี้ละ” จินที่ออกมารอข้างนอกเอ่ยถามอย่างสงสัย หลังมังกรล็อกประตูร้านให้เจ้าของซึ่งหลับไม่ได้สติอยู่ด้านในเรียบร้อย
    “คิดงั้นเหรอ?”
    “อืมใช่ คนอื่นเสร็จงานเขาก็ไปกันหมดละ ไม่มีใครมาใจดีเก็บนู้นนี่ให้เหมือนที่นายทำหรอก”
    “หึ... ก็แค่ไม่ชอบเห็นอะไรรกหูรกตา ไม่เกี่ยวกับเป็นคนดีอะไรทั้งนั้นแหละ”

    มังกรเอ่ยทิ้งท้ายก่อนเดินหายไปเพราะหมดหน้าที่ จินเพียงยืนมองส่งอีกฝ่ายจนลับสายตา แล้วจึงค่อยหันกลับมาสนใจงานของตนที่ทำค้างไว้ นั่นคือการริบวิญญาณรับใช้ที่หลงเหลืออยู่ของวรรษทั้งหมด เพื่อเอาไปขายสร้างรายได้ทดแทนค่าแรงที่โนอาร์ไม่คิดให้ เนื่องเพราะคนใจร้ายถือว่าการไว้ชีวิตในเรื่องที่เขาทำกับปีศาจ นั้นเป็นค่าตอบแทนที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว และแน่นอนคนมีคดีติดตัวอย่างจิน ย่อมไร้สิทธิ์เรียกร้องใด ๆ



     วันเวลาเปลี่ยนผันเคลื่อนผ่าน และในที่สุดวันครบกำหนดถอดเครื่องติดตามก็มาถึง ทว่าผู้ที่ดูตั้งตารอที่สุดหาใช่ปีศาจเจ้าของเรื่อง แต่เป็นชายผู้อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายมากมายที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ซึ่งพฤติกรรมตลอดวันของมนุษย์ ถูกเอทอสลอบสังเกตเป็นระยะ

    ในช่วงเช้า แม้โนอาร์จะทำทุกอย่างปกติ ใบหน้าสงบนิ่งยังคงไม่บ่งบอกความคิด แต่ปีศาจรู้ดีว่ามนุษย์กำลังอารมณ์ดี สังเกตจากนัยน์ตารัตติกาลที่คล้ายคืนฟ้าโปร่งมีหมู่ดาวส่องไสวระยิบระยับ กระทั่งเข้าช่วงบ่ายหมู่ดาวเริ่มถูกกลุ่มเมฆบดบัง เหตุเพราะยังไร้วี่แววการมาของบางสิ่ง จวบจนพลบค่ำ นัยน์ตารัตติกาลหวนสู่คืนเดือนดับไร้แสง และใช่ ความหงุดหงิดของมนุษย์สร้างความสำราญให้ปีศาจเป็นอย่างมาก

    “วันนี้เจ้าดูอยู่ไม่สุข เป็นอะไร ท้องผูก?” ร่างสูงใหญ่แกล้งถามมนุษย์ที่แอบลอบมองบริเวณหน้าบ้านเป็นพัก ๆ
    “ไม่ใช่ วันนี้เป็นวันที่นักล่าปีศาจต้องมาถอดเครื่องนี่ให้คุณ คุณลืม?” โนอาร์ขมวดคิ้วพลางหันมาถามปีศาจ ไม่คิดว่าเอทอสจะไม่ใส่ใจเรื่องของตัวเองเช่นนี้
    “อืม... ไม่น่า ข้าถึงได้กลิ่นอายของพวกนักล่าปีศาจอยู่แถวหลังบ้าน”

    สิ้นเสียงปีศาจ มนุษย์พลันลุกจากโซฟาห้องรับแขก​ ก่อนเดินไว ๆ หายไปทางประตูหลังบ้านพัก ทิ้งปีศาจให้นั่งอ่านแฟ้มเอกสารท่ามกลางความเงียบสงบสักพักใหญ่ มนุษย์จึงกลับมาอีกครั้งในสภาพบึ้งตึง ใบหน้าที่มักสงบนิ่งกลับแสดงถึงความไม่พอใจชัดเจน ความสำเร็จในการทำลายบรรยากาศสุขุมไร้อารมณ์ของมนุษย์ ทำให้ปีศาจหลุดหัวเราะขัน

    “คุณหลอกผม”
    “หึ ๆ ถ้าใช่แล้วทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า?”

    คำท้าทายลูบคมถูกส่งตรงมาให้บุคคลอันตราย แต่เพราะอีกฝ่ายคือปีศาจ หนึ่งเดียวผู้ถูกยกให้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่างของฆาตกร ฉะนั้นสิ่งที่ได้รับตอบกลับจึงมีเพียง อาการฟึดฟัดไม่พอใจ หาใช่การทรมานเจียนตายอย่างที่ควรเป็น

    ระหว่างการกวนอารมณ์ของปีศาจ เสียงกริ่งหน้าบ้านพลันดังขึ้น ส่งผลให้มนุษย์ละความสนใจจากปีศาจตรงหน้าแล้วเดินออกไปหาผู้มาเยือน ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดโดยชายอารมณ์กำลังคุกรุ่น ก่อนจะพบกับนักล่าปีศาจคุ้นหน้า คนเดียวกับที่ครั้งหนึ่งเคยเอาปลอกคอมาให้ปีศาจ ผู้มาใหม่เอ่ยขอเข้าไปด้านในพอเป็นพิธี พลางพยายามเดินแทรกผ่านบุคคลอันตรายอย่างถือวิสาสะ ซึ่งแน่นอนเมื่อคนลูบคมหาใช่เอทอส ย่อมไม่มีเหตุให้ละเว้นใด ๆ ทิ้งสิ้น

    “หมับ!”

    มือขาวที่กำลังคว้ามีดข้างเอว กลับถูกฝ่ามือใหญ่แข็งแรงจับล็อกอย่างง่ายดาย นัยน์ตารัตติกาลพลันหันสบปีศาจด้วยความหงุดหงิดที่จวนจะปะทุ ทว่าตัวการกลับหาได้สนใจไม่ เพียงขยับมาหยุดยืนข้างกัน เสมือนใช้ร่างสูงใหญ่ของตนกั้นขวางทางเข้าไว้ สื่อเป็นนัยว่าไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า

    “ไม่คิดจะต้อนรับแขกเลยหรือ?” นักล่าปีศาจเอ่ยถามเจ้าบ้าน
    “พอดีไม่ได้มองเป็นแขกตั้งแต่แรก รีบเอาเครื่องนี่ออกไปซะ ก่อนที่จะมีคนสติแตกก่อน”

      เสียงทุ้มต่ำกล่าวตอบนิ่ง ๆ ทว่าเนื้อหาตอนท้ายกลับยิ่งทำให้เรียวคิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลขมวดแน่น นักล่าปีศาจผู้ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินก็ไม่อยากยืดเยื้อให้มากความ หยิบเครื่องมือปลดล็อกขึ้นมาสแกนอุปกรณ์ตรงลำคอปีศาจจำแลงในร่างมนุษย์ ไม่นานเครื่องติดตามก็ถูกนักล่าปีศาจเก็บกลับคืน และเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่ประตูรั้วใหญ่พลันเลื่อนปิดโดยฝีมือเจ้าบ้าน ไร้ซี่งคำกล่าวลาใด ๆ ราวกับต้องการแสดงออกให้เห็นชัดเจนว่าบ้านหลังนี้ ไม่คิดต้อนรับพวกนักล่าปีศาจ

    เอทอสลากมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเลือดเย็น ทว่ายามนี้อารมณ์กำลังเดือดพล่านเข้าบ้าน ฉับพลันที่เข้ามาด้านในร่างของมนุษย์กลับถูกเหวี่ยงใส่โซฟา ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของปีศาจขึ้นคร่อมกักขังในทันที ใบหน้าคมเข้มก้มลงมาใกล้พร้อมนัยน์ตาสีอำพันดุที่ค่อย ๆ กลับคืนสู่สีแดงเลือดนกแท้จริง

    “โกรธข้าเหรอ” เสียงทุ้มต่ำติดพร่าเอ่ยถาม ร่างของโนอาร์นิ่งงัน นัยน์ตารัตติกาลได้แต่จ้องสบดวงตาสีแดงเลือดนกคมดุ คล้ายถูกสะกดไม่ให้ละไปไหน
    “…ไม่ได้โกรธ”
    “แต่หงุดหงิด?”
    “เพราะคุ-”
    “ถึงข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีนิสัยคล้ายพวกมนุษย์บางคนที่ชอบเย้าแหย่คนรัก”
     “…”
    “ที่รักของข้า... เจ้าพอจะอภัยในความโง่เขลาของว่าที่สามีผู้นี้ได้หรือไม่”

   สิ้นเสียงทุ้มต่ำเว้าวอนจากเอทอส โนอาร์คล้ายได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากใจกลางความรู้สึก พลังทำลายปัดเป่าทุกความขุ่นมัวก่อนหน้าหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความคิดขาวโพลนว่างเปล่า ช่วงจังหวะหัวใจเหมือนหยุดค้างไปเสี้ยววินาที ก่อนกลับมาเต้นกระหน่ำดังเสียจนหูทั้งสองข้างอื้ออึง ไม่อาจรับรู้โลกภายนอกอีกต่อไป

    ปีศาจที่เห็นมนุษย์ใต้ร่างเบิกตากว้างขึ้นหนึ่งระดับ ก่อนจะแน่นิ่งไปคล้ายสติหลุดลอย ก็เพียงหัวเราะเล็กน้อย พร้อมทิ้งร่างหนาหนักของตนทับกดร่างมนุษย์ข้างใต้ สองแขนแกร่งช้อนหลังมนุษย์โอบกอดเข้าหาตัว ใบหน้าคมเข้มซุกซอกคอขาวพลางกัดเม้มอย่างที่อยากทำมาเนินนาน สัมผัสแปลกประหลาดทำให้ร่างในอ้อมแขนเผลอย่นคอหลบเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่ช่วงเดียวเท่านั้น เพราะต่อมามนุษย์ก็ยอมแหงนหน้าขึ้น เพื่อเผยลำคอขาวให้ปีศาจดอมดมได้ตามใจ

    “เจ้ารังเกียจไหม หากครั้งแรกเป็นที่โซฟา ถ้าเจ้าอยากมีเวลาเลือกหาสถานที่ที่พิเศษกว่านี้ ข้าจะรอ”

    เสียงทุ้มพร่ากระซิบถาม ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเพื่อรอคำตอบจากมนุษย์ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเปี่ยมไปด้วยความต้องการอัดอั้นแทบทนไม่ไหว ทว่ายังคงยั้งรอเพราะแคร์ความรู้สึกของคู่ครอง ซึ่งนั่นสร้างความประทับใจให้โนอาร์จนรู้สึกเหมือนตกหลุมรักปีศาจตนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่ามือขาวยกขึ้นสัมผัสกรอบหน้าคมพลางเกลี่ยนิ้วลูบผิวแก้มสากอย่างอ่อนโยน ในหัวฆาตกรพลันคิดแผนการอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยวอึดใจกำหนดการสร้างค่ำคืนแสนพิเศษก็ถูกวางโครงไว้อย่างสมบูรณ์

    “มะรืนนี้คุณหยุดใช่ไหม” โนอาร์ถามเจ้าภาพของงานเพื่อเช็กความมั่นใจ
    “ใช่”
    “พรุ่งนี้หลังเสร็จงานจากสวน เราจะไม่กลับมาที่นี่ แต่ไปฮันนีมูนกันครับ”



บท28 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน

    จริง ๆ แล้ว บท28 กับ 29 คนเขียนตั้งใจให้เป็นบทเดียวกันครับ แต่ปรากฎว่ามันยาวมาก คนเขียนเลยตัดสินใจแบ่ง ส่วนเรื่องยาวเพราะอะไร คนอ่านอาจพอเดาได้จากบทพูดตอนท้ายของเอทอสกับโนอาร์ครับ


หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 29 ค่ำคืน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 20-11-2020 02:38:03
    ณ สวนรฦกวัลย์ในช่วงเวลาเย็นย่ำ วันนี้ชาวสวนบางส่วนที่ยังไม่กลับล้วนตื่นตาระคนสงสัย เหตุเพราะทันทีที่เลิกงานคุณโนอาร์พลันเดินไว ๆ หายไปในห้องน้ำแทนที่จะไปหาคุณเอทอสอย่างปกติ สักพักหนึ่งคนรักของนายใหญ่ก็กลับมาในชุดเสื้อเชิ้ตเนื้อดีพื้นขาว มีลายสีฟ้าครามแต้มประปรายให้ความรู้สึกคล้ายฟองคลื่นน้ำทะเล กางเกงสามส่วนสีขาวสะอาดเข้ากับผิวพรรณนวลละเอียดดุจเจ้าชายของผู้สวมใส่
    การแต่งกายในชุดสบาย ๆ เหมือนกำลังไปเที่ยวพักผ่อน หาได้น่าสนใจเท่าเมื่อเสื้อผ้าแสนเรียบง่ายธรรมดา มาอยู่บนร่างสูงสมส่วนองอาจทะนงตนนั้น กลับยิ่งขับเสน่ห์ดึงดูดของคุณโนอาร์ให้เปล่งประกาย ชวนให้หลงใหลจ้องมองไม่ต่างจากนายแบบดัง

    กลุ่มชาวสวนที่ทันเห็นต่างนิ่งค้างคล้ายต้องมนตร์ กว่าจะได้สติก็เมื่อผู้เป็นเจ้าของแท้จริงเดินออกมาจากสำนักงาน ทว่าก็ไม่เป็นอันได้เข้าไปถามไถ่ชื่นชมอย่างที่ตั้งใจ เหตุเพราะคุณเอทอสที่มักมีท่าทีนิ่งขรึมน่าเกรงขาม ยามนี้กลับกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางยีผมคุณโนอาร์เล่นอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ จากนั้นจึงจูงมือคนรักไปทางลานจอดรถ และกระบะสีดำก็ได้ขับผ่านกลุ่มชาวสวนไป ปิดโอกาสล่วงรู้โดยสิ้นเชิง


    รีสอร์ทบรรยากาศสงบติดทะเล เป็นจุดหมายสำหรับพักค้างแรมในคืนนี้ หนึ่งมนุษย์และปีศาจเดินทางมาถึงในช่วงพลบค่ำ โนอาร์เดินนำร่างสูงใหญ่ไปยังเคาน์เตอร์เพื่อเช็กอิน การพูดคุยใช้เวลาพอสมควรเพราะมนุษย์มีความต้องการให้ทางรีสอร์ทจัดเตรียมค่อนข้างมาก และหลังทุกอย่างตรงตามข้อตกลง โนอาร์จึงหยิบบัตรเครดิตเพื่อจ่ายค่าที่พักรวมถึงส่วนต่างเพิ่มเติม ทว่าเมื่อมนุษย์เงยหน้าจากกระเป๋า กลับพบว่าปีศาจได้ยื่นบัตรของตนส่งให้พนักงานไปก่อนแล้ว

    “ผมเป็นคนคิด ผมควรจะจ่าย” โนอาร์เพียงหันมาทักท้วงปีศาจ ไม่ได้เอ่ยห้ามพนักงาน เนื่องจากไม่อยากขัดความตั้งใจของเอทอส
    “เจ้าแค่วางแผนก็พอ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ข้า”

    ร่างสูงใหญ่ตอบกลับเรียบง่าย ก่อนจะรับบัตรเครดิตคืนพลางใช้มือดันหลังมนุษย์เล็กน้อย สื่อเป็นนัยให้เริ่มเดินเพื่อไปยังที่พัก ซึ่งตอนนี้มีพนักงานของรีสอร์ทยืนรอนำทางอยู่

    บ้านพักติดชายหาด มีสายลมโกรกพัดกลิ่นอายทะเลและธรรมชาติชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย บริเวณหน้าที่พักมีเตียงชายหาดเสริมเบาะรองสำหรับนอนเล่นชมบรรยากาศ ถัดออกมาบริเวณผืนทรายมีโต๊ะดินเนอร์ปูผ้าขาวสะอาดตา มีชุดจานและแก้วแชมเปญสองชุดคู่กับเก้าอี้ กึ่งกลางโต๊ะวางเทียนส่องไสวพลิ้วตามลม เพิ่มความสว่างด้วยคบไฟที่ปักอยู่รายล้อม

    ชายเลือดเย็นจูงมือปีศาจมาที่โต๊ะ และเมื่อทั้งสองนั่งกันเรียบร้อย พนักงานจึงเข้ามารินไวน์เลิศรสพร้อมเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อย เป็นการเริ่มต้นค่ำคืนอันแสนพิเศษ

    “ทำไมถึงเลือกที่นี่?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางจิบไวน์ระหว่างรอ ความพึงพอใจในนัยน์ตาสีอำพันดุ ทำให้มนุษย์หลุดยิ้มมุมปากเล็กน้อย
    “เพราะคุณชอบความสงบเป็นธรรมชาติ ผมเลยคิดว่าคุณน่าจะชอบรีสอร์ทริมทะเล มากกว่าพวกโรงแรมหรูกลางเมือง”
    “หึ.. เลือกได้ดี”

    เอทอสกล่าวชมเล็กน้อยก่อนหันมองไปยังทะเล เสียงสายลมผสานเสียงคลื่นคลอบรรยากาศพาให้ความรู้สึกสงบ การตัดขาดจากโลกภายนอกช่วยหยุดพักจากความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง หนึ่งมนุษย์และปีศาจต่างพูดคุยตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุข เก็บภาพความทรงจำในค่ำคืนนี้ให้คงอยู่ตลอดไป


    หลังการดินเนอร์ริมทะเลจบลง เหล่าพนักงานรีสอร์ทช่วยกันเก็บโต๊ะอุปกรณ์ทั้งหมดออกจากชายหาด ทำให้สามารถชมบรรยากาศท้องทะเลยามค่ำจากในบ้านพักได้อย่างเต็มตาไร้อุปสรรคบดบัง เอทอสเอนหลังบนเตียงชายหาดหน้าบ้านพัก หลับตาฟังเสียงธรรมชาติระหว่างรอมนุษย์กำลังอาบน้ำ จนรู้สึกถึงแรงสะกิดบริเวณไหล่ นัยน์ตาสีอำพันดุจึงลืมขึ้นมองมนุษย์ที่ตอนนี้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำผืนบาง กลิ่นหอมของสบู่ติดผิวกายมนุษย์คล้ายเชิญชวนให้สัมผัส แต่ปีศาจรู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลา

    “ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว คุณอาบต่อได้เลย”
    “อืม”

    ร่างสูงใหญ่ขานรับตกลง ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าบ้านพักโดยมีมนุษย์คอยเดินตามหลัง บริเวณอ่างล้างหน้าในห้องน้ำมีแปรงบีบยาสีฟันวางไว้เสร็จสรรพ ข้างกันมีผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืนและชุดคลุมอาบน้ำ ไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนจัดเตรียม

    หลังจัดการตัวเองตรงบริเวณอ่างล้างหน้าเรียบร้อย เอทอสจึงเริ่มปลดกระดุมเสื้อที่ใส่อยู่พลางเดินเข้าไปในโซนอาบน้ำ ซึ่งแยกเป็นฝั่งฝักบัวกับอ่างอาบน้ำ พื้นปูด้วยแผ่นหินแบนและโรยหินกลมตกแต่งตามพื้นที่ว่าง มีต้นไม้ประดับเพิ่มมุมสีเขียวผ่อนคลาย ทว่าที่นี่กลับมีบางสิ่งที่ผิดแปลกจนร่างสูงใหญ่ต้องหยุดเท้า เนื่องจากโซนนี้ของห้องน้ำกลับมีเพียงกำแพงสูงล้อมเพื่อความเป็นส่วนตัว ด้านบนปล่อยโล่งทำให้สามารถมองเห็นดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน เป็นการออกแบบห้องน้ำกลางแจ้งให้เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ทว่าเมื่อหันมองอีกด้านหนึ่ง

    บานกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เสมือนเป็นกำแพงกั้นห้องน้ำกับบ้านพัก แต่เพราะเป็นกระจกจึงทำให้ทั้งสองฝั่งสามารถมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน ซึ่งตอนนี้เขากำลังถูกนัยน์ตารัตติกาลจากคนบนเตียงจับจ้องอยู่ เอทอสกระตุกยิ้มเล็กน้อยให้กับความเจ้าเล่ห์ของมนุษย์ พลางค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อลงจนหมด นัยน์ตาดุสีอำพันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก ยังคงประสานจ้องกลับนัยน์ตารัตติกาลตลอดการเปลื้องผ้าทีละชิ้น

    ร่างสูงใหญ่เปลือยเปล่าอวดผิวแทนกล้ามเนื้อกำยำ ยืนหันหลังให้มนุษย์ก่อนเปิดน้ำจากฝักบัวไหลชโลมกายแกร่ง ฝ่ามือใหญ่สองข้างลูบไล้ผิวเนื้อด้วยสบู่จนเกิดฟอง ทุกการขยับเคลื่อนไหวผสานสายน้ำกับความลื่นของสบู่ ช่วยขับให้มัดกล้ามเนื้อแข็งแรงทุกสัดส่วนยิ่งเด่นชัดสู่สายตาใครบางคนที่จ้องมอง และสุดท้าย มนุษย์หนึ่งเดียวก็ยอมแพ้เบนสายตาไปทางอื่น เหตุเพราะเกรงว่าหากยังมองภาพเร่าร้อนเบื้องหน้าต่อไป คงเป็นเขาเองที่อาจทนไม่ไหวจนต้องหาทางเข้าไปช่วยอีกฝ่ายอาบน้ำ

    ใช้เวลาไม่นานนัก เอทอสก็เดินกลับเข้ามาในห้องพัก ปีศาจไม่ได้สวมชุดคลุมอาบน้ำเรียบร้อยเหมือนมนุษย์ เพียงแค่ใช้สายผูกช่วงเอวพอช่วยปกปิดส่วนล่าง ส่งผลให้ท่อนบนเปลือยเปล่า สังเกตเห็นหยดละอองน้ำเกาะอยู่ประปราย โดยมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่ากว้างรองหยดน้ำจากกลุ่มผมหนาเปียก​ชุ่ม ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการเช็ดแม้แต่น้อย

    “เช็ดหัวให้ข้าที”

    ปีศาจนั่งตรงขอบเตียงพลางเอ่ยขอมนุษย์ ส่งผลให้โนอาร์ที่กึ่งนอนกึ่งนั่งบริเวณกลางเตียง จำต้องลุกคลานมาปรนนิบัติอีกฝ่าย มนุษย์ยืนชันเข่าหลังปีศาจ หยิบผ้าตรงบ่ากว้างขึ้นเตรียมเช็ดนวดผมปีศาจตามคำขอ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับถูกเสียงทุ้มค้านเสียก่อน

    “มายืนเช็ดตรงหน้าข้า”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น มนุษย์ก็มีแต่ต้องปฏิบัติตามแต่โดยดี ร่างขาวในชุดคลุมอาบน้ำลงจากเตียงก่อนจะมาหยุดยืนเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่และเริ่มลงมือเช็ดผม ใบหน้าคมเข้มโยกคลอนเล็กน้อยตามแรงมือมนุษย์ ทว่าทุกครั้งที่ขยับ ปลายจมูกโด่งปีศาจกลับยิ่งเข้าใกล้สาบเสื้อคลุมของมนุษย์มากขึ้น จนกระทั่งมนุษย์เริ่มสัมผัสถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดผิวเนียนกลางอกขาว

    “อืม...”

    โนอาร์หลุดเสียงครางแผ่วเบา ยามจมูกซุกซนของปีศาจแหวกเสื้อคลุมเข้าไปเชยชมผิวกายด้านใน สัมผัสอบอุ่นปัดป่ายพลางกดจมูกฝังดอมดมผิวเนื้อหอมสบู่ของมนุษย์ ก่อนไม่นานจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นริมฝีมากร้อนขบเม้มชิมรสหวาน ค่อย ๆ เคลื่อนไปทางด้านข้างจนชนเข้ากับยอดอกที่เริ่มชูชันท้าสู้ผู้บุกรุก

    “อื้ม...” มนุษย์เชิดหน้าขึ้นเม้มปากแน่น เมื่อลิ้นร้อนเข้าครอบครองตวัดเย้าหยอกตุ๋มสีสวย
    “เช็ดต่อสิ ผมข้ายังไม่แห้งเลย”

     เอทอสเอ่ยทักท้วง เพราะตอนนี้ฝ่ามือขาวไม่ยอมทำหน้าที่ มัวแต่ขยุ้มผมเขาเล่นเพื่อระบายอารมณ์ ส่งผลให้โนอาร์ต้องพยายามตั้งสมาธิกับภารกิจตรงหน้าอีกครั้ง ทว่ายิ่งมนุษย์ตั้งใจ ปีศาจกลับยิ่งกลั่นแกล้ง ฟันคมกับลิ้นหนาช่วยทำงานผสานกัน ขบเม้มงับดึงยอดอกอ่อนไหวจนขึ้นรอย ก่อนรักษาด้วยลิ้นร้อนคอยเลียรอบจุดสีกุหลาบที่ตนเป็นผู้กระทำอย่างอ่อนโยน

    เสียงหวานจากมนุษย์หลุดครางเป็นระยะ ขัดกลับฝ่ามือขาวที่ต้องพยายามเช็ดผมต่อไปแม้จะถูกก่อกวน ปีศาจร้ายเหิมเกริม เริ่มใช้มือหนาลูบผิวเนียนละเอียดบริเวณหน้าขาของมนุษย์ ค่อยเลื่อนสูงขึ้นก่อนหายเข้าไปใต้เสื้อคลุม เข้ากอบกุมบางสิ่งข้างใต้ซึ่งกำลังแข็งขืน

    “อะ.. อืม... เอทอส... ผมเช็ด... อา.. แล้ว”

     เสียงรายงานปนเสียงครางหอบแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อถูกแกล้งจากทั้งลิ้นร้อนบริเวณอกและฝ่ามือใหญ่ที่กำลังจับรูดส่วนสงวนขึ้นลงปรนเปรอ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกประกายวาวไม่น่าไว้ใจ ยอมละจากอกขาวก่อนเงยขึ้นสบสายตามนุษย์

    “ดีมาก เดี๋ยวข้าให้รางวัล”
    “อื้ม!!... อะ!.. เอทอส... อา...”

    สิ้นเสียงทุ้มเอ่ยคำชม มนุษย์พลันได้รับการตกรางวัลใหญ่ โพรงปากร้อนของปีศาจเข้าครอบครองแก่นกายขาวชูชัน สัมผัสแปลกชุ่มชื้นรอบส่วนอ่อนไหวผสานลิ้นร้อนเข้ากระหวัดดูดเลีย สร้างความรู้สึกซาบซ่านเสียจนชายเลือดเย็นหลุดมาดครางเสียงดัง ความเก่งกาจช่ำชองของปีศาจ ทำให้โนอาร์ถึงกับต้องใช้สองมือยันบ่ากว้างแข็งแรงไว้เพื่อทรงตัวพลางบีบจิกระบายตามแรงอารมณ์

      ขณะที่เอทอสกำลังใช้ปากปรนเปรอความสุขให้ร่างตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกลับเอื้อมไปหยิบเจลหล่อลื่นบนโต๊ะข้างเตียงที่มนุษย์จัดเตรียมไว้ เปิดฝาขวด ก่อนบีบเจลลื่นชโลมนิ้วจนชุ่ม จากนั้นจึงโยนของหมดประโยชน์ไปข้างตัว เพื่อให้สองมือว่างพร้อมทำหน้าที่

      “อ๊ะ!.. อา....”
     “อย่าเกร็ง”
 
    เอทอสถอนปากออกจากแก่นกายขาวเพียงครู่เพื่อกล่าวแนะนำ ก่อนจะก้มกลับไปลิ้มรสแท่งสวาทหวานอีกครา พร้อมเริ่มขยับดันนิ้วแทรกเข้าช่องทางด้านหลัง ความลื่นจากเจลที่ชโลมชุ่ม กับมนุษย์ที่พยายามผ่อนคลายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ครั้งนี้ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าไปในร่างได้อย่างง่ายดาย
    ปฏิกิริยาธรรมชาติพลันตอบสนองต่อต้าน เมื่อรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมพยายามรุกรานเข้ายึด ผนังนุ่มด้านในบีบรัดนิ้วหนาคล้ายต้องการขับไล่ ทว่าก็ไม่อาจสู้แรงกำลังที่ค่อย ๆ ดันเข้าลึกทีละน้อยจนเข้าไปสุดความยาว

    “เอ.. อา... เอทอส.. พอก่อนผมจะ.. อื้ม!!..”

    ด้วยแรงกระตุ้นจากสองด้าน ทั้งจากโพรงปากร้ายยึดครองด้านหน้า และนิ้วแปลกปลอมด้านหลังที่ขยับหมุนวนขยายช่องทาง ทำให้โนอาร์ไม่อาจฝืนอดกลั้นได้อีก มือขาวพยายามดันบ่าแกร่งของร่างสูงใหญ่ให้ผละออก ทว่าเอทอสกลับขืนรั้งมิหนำซ้ำยังเร่งจังหวะเร็วขึ้น เพิ่มความสะท้านซาบซ่านให้โนอาร์เป็นเท่าทวี เป็นผลให้ทุกสิ่งอย่างที่พยายามสะกดกลั้นไว้พังทลาย

    “อาาาาา!!...”

    โนอาร์เชิดหน้าครางระบายความสุขสมลึกล้ำ ร่างกายขาวกระตุกเกร็งฉีดพ่นพิษร้อนใส่โพรงปากปีศาจ ทุกหยาดหยดล้วนถูกร่างสูงใหญ่กลืนกินหมดสิ้น ลิ้นหนาตวัดเลียชิมรสไม่ให้หลงเหลือนึกเสียดาย แล้วจึงยอมผละออกปล่อยตัวประกันเป็นอิสระ

    “หวานดี”

    คำพูดหยาบโลนพร้อมรอยยิ้มร้าย ถึงกับทำให้ชายเลือดเย็นรู้สึกร้อนผ่าวที่ผิวแก้มอย่างประหลาด แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดโต้ตอบ ร่างขาวก็ถูกปีศาจจับอุ้มจนตัวลอยก่อนเหวี่ยงทุ่มใส่ฟูกเตียงที่รอรับอยู่ ร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อมประกบจูบมนุษย์รวดเร็ว ลำตัวหนาขยับเข้าแทรกกลางหว่างขาให้กางออกกว้าง เปิดทางนิ้วลื่นเข้ารุกล้ำขยายทางเข้าอ่อนนุ่ม

    “อื้มม!.. อะ.. อืมม...”

    เสียงประท้วงกลายเป็นเพียงเสียงอืออาไม่ได้ศัพท์ เนื่องจากบทจูบเร่าร้อนของปีศาจคอยเป็นอุปสรรคขัดขวาง เอทอสเมินเสียงร้องพลางเพิ่มจำนวนนิ้วขยายช่องทาง ขยับคว้านหมุนวนเข้าออกเพื่อเตรียมพร้อมรับสิ่งที่ใหญ่กว่ามาก ความดิบเถื่อนของปีศาจทำให้ฝ่ามือขาวเผลอขวนจิกแผ่นหลังกว้างแข็งแรงจนขึ้นรอย ทว่านั่นกลับยิ่งกระตุ้นให้ร่างสูงใหญ่โหมรุกหนัก

    “อา... คุณ.. ผมเจ็บ อื้ม!!...”

    เมื่อโพรงปากร้อนยอมผละจูบก่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นปลายครางและซอกคอขาว โนอาร์พยายามเอ่ยกับปีศาจคล้ายขอความเห็นใจ ซึ่งก็ได้คำตอบรับเป็นฟันคมขบกัดที่ลำคอจนขึ้นรอยเขี้ยว ตามด้วยลิ้นร้อนเลียปลอบและจูบเม้มเบา ๆ ราวกับเอทอสก็รับรู้แต่ไม่อาจควบคุมเพลิงอารมณ์ที่กำลังลุกโชนได้ จึงพยายามสื่อคำขอโทษผ่านภาษากาย



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 29 ค่ำคืน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 20-11-2020 02:52:35
(ต่อ)

    นิ้วหนาที่กำลังขยับเล่นช่องทางถูกถอนออก เมื่อเห็นว่าพร้อมรับสิ่งต่อจากนี้ ร่างสูงใหญ่ดันตัวขึ้นจากมนุษย์ข้างใต้ นัยน์ตาแดงเลือดนกร้อนรุ่มไปด้วยความอยากครอบครอง มองสบนัยน์ตารัตติกาลฉ่ำวาวด้วยแรงอารมณ์ของมนุษย์เพื่อสื่อความนัย ก่อนฝ่ามือแกร่งจะเอื้อมหยิบกล่องถุงยางตรงหัวเตียง และจัดแจงสวมให้กับแก่นกายใหญ่แข็งขืน ชโลมซ้ำด้วยเจลหล่อลื่นเตรียมจ่อเข้าปากทาง ทว่าขณะที่ร่างสูงใหญ่เริ่มดันตัวตนเข้าเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ กลับถูกเท้าขาวยันบริเวณรอนกล้ามท้องแน่นไว้ ปฏิกิริยาราวกับปฏิเสธของโนอาร์ถึงกับทำให้หัวใจเอทอสกระตุบวูบ

    “เจ้า...”
    “ผมอยากเป็นของคุณ ที่เป็นคุณจริง ๆ เอทอส"
    “…”
    “กอดผมด้วยร่างปีศาจนะครับ”

    คำขอของมนุษย์ช่วยฟื้นฟูหัวใจปีศาจให้กลับมาพองโตเปี่ยมสุขยิ่งกว่าที่เคย นัยน์ตาสีแดงเลือดนกไหวหวั่นด้วยความไม่มั่นใจเมื่อครู่ ยามนี้กลับมาแข็งกร้าวเร่าร้อนดังเดิม เอทอสดึงเครื่องป้องกันที่สวมคลุมแก่นกายออก ก่อนชโลมทาเจลหล่อลื่นใหม่อีกครั้ง การกระทำของร่างสูงใหญ่ทำให้มนุษย์สงสัยเล็กน้อย และดูเหมือนปีศาจจะรู้เช่นกัน ถึงได้กล่าวตอบโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยถาม

    “มันคับเกินไปสำหรับข้าในร่างจริง”

    สิ้นเสียงทุ่มต่ำ เปลวเพลิงทมิฬพลันลุกท่วมร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก่อนมอดดับเผยร่างปีศาจแท้จริงที่มนุษย์หลงรักตั้งแต่แรกเห็น ผิวกายสีแทนเข้มขึ้นจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ยิ่งทำให้ปีศาจดูเร่าร้อนมากกว่าเก่า ใบหูแหลมคล้ายเอลฟ์ในเทพนิยาย ผมหนานุ่มที่เคยสัมผัสกลับคมแหลมแข็งแรง จนอาจทิ่มบาดได้ถ้าฝ่ามือขาวเผลอจับไม่ระวัง และสองมือใหญ่ที่แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บแกร่งกำลังจับขาโนอาร์ให้อ้ากว้างออก เพื่อให้สามารถสอดแทรกตัวตนเข้าไปในร่างขาวนวลได้สะดวก

    “อืม... ชะ.. ช้าหน่อย... อะ!.. อา… เอทอส”

    ฝ่ามือขาวเกร็งจิกผ้าปูที่นอนแน่น เมื่อแก่นกายร้อนฝืนดันรุกเข้ามาเรื่อย ๆ ช่องทางด้านหลังรู้สึกตึงเจ็บราวกับร่างถูกฉีกแยกออก เหตุเพราะสิ่งที่กำลังเข้าลึกมีขนาดเกินกว่าที่เตรียมพร้อมไว้มาก ซึ่งขณะที่โนอาร์กำลังทรมานจากการรองรับตัวตนของปีศาจ เอทอสเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เหงื่อกาฬซึมชื้นทั่วแผ่นหลังกว้างและผิวกายของร่างยักษ์ บริเวณข้างขมับขมวดเกร็งจนเห็นเส้นเลือด เพราะพยายามบังคับร่างกายไม่ให้เผลอกระแทกอัดจนทำให้มนุษย์บาดเจ็บ

    “ครึ่งทางแล้ว... เก่งมาก”

    เสียงทุ้มติดพร่าเอ่ยชม ปีศาจกดแช่ส่วนแข็งขืนค้างไว้ไม่ดันต่อเพื่อเว้นช่วงให้มนุษย์มีเวลาพักหายใจ ร่างสูงใหญ่ชุ่มเหงื่อโน้มตัวลงมาโอบกอดมนุษย์ใต้ร่างอย่างนุ่มนวล พลางระวังกรงเล็บคมไม่ให้เผลอขวนผิวขาวบอบบางจนช้ำบาดเจ็บ เอทอสพรมจูบปลอบประโลมชื่นชม ไล่ตั้งแต่กรอบหน้าขึ้นสีด้วยความร้อน ลำคออ่อนมีรอยสีกุหลาบ และแผ่นอกขาวกระเพื่อมขึ้นลงเพราะความเหนื่อย ริมผีปากหนาเข้าครอบครองดูดเม้มยอดอกอีกครั้ง คล้ายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ พร้อมกับเริ่มขยับดันแก่นกายเข้าออกช้า ๆ เพื่อปรับให้ช่องทางคุ้นชิน โดยทุกครั้งที่ดันเข้า ส่วนแข็งขืนจะแทรกลึกขึ้นทีละน้อย

    จวบจนตัวตนทั้งหมดของปีศาจได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ ความรู้สึกของบางสิ่งสอดแทรกอยู่ในร่างกาย เติมเต็มความอบอุ่นให้หัวใจเยียบเย็นจนแทบหลอมละลาย โนอาร์มองภาพเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาดุร้อน ซึ่งจับจ้องเขาราวกับจะกลืนกินไม่ให้เหลือแม้แต่กลิ่นอาย ทว่ายังคงอดทนคล้ายกำลังรอฟังคำอนุญาต เช่นนั้นฆาตกรผู้ตกอยู่ในสถานะเหยื่อจะทำสิ่งใดได้นอกเสียจาก

    “กินผมที เอ- อื้มม!!...”

    ไม่ทันสิ้นเสียงพร่ายินยอม แก่นกายร้อนพลันถอนออกจนเกือบสุด ก่อนสวนกระแทกกลับเข้าช่องทางทั้งหมดในคราวเดียว ช่วงล่างแข็งแรงของร่างยักษ์เริ่มขยับเร่งจังหวะจนเกิดเสียงกระทบผิวเนื้อหยาบโลน สองก้อนกลมขาวตรงบั่นท้ายโนอาร์พยายามโต้ตอบกระเด้งรับสอดประสาน ช่องทางสีสวยตอดรัดตัวตนปีศาจสร้างความพึงพอใจให้เอทอสถึงกับหลุดเสียงครางทุ้มพร่า สบถถ้อยคำที่มนุษย์ไม่คาดคิดว่าจะได้ฟังจากปีศาจ

    “ซี๊ด.. อา... แน่นขนาดนี้ ข้าคงเป็นคนแรกที่เจ้ายอมอ้าขา อืมม... อ้าอีกสิ ให้ข้าเข้าไปลึกกว่านี้”
 
    ความดิบเถื่อนหยาบกระด้าง อีกมุมหนึ่งที่ซ่อนอยู่ของเอทอสกลับยิ่งทำให้หัวใจเลือดเย็นเต้นระรัว ความเร่าร้อนกลบทุกความเจ็บหน่วงในตอนแรก หลงเหลือเพียงความสุขซาบซ่านเกินพรรณนา บัดนี้ฆาตกรที่ใครต่างหวาดกลัวกำลังดิ้นพล่านส่งเสียงครางหวานใต้ร่างยักษ์ มือขาวทั้งสองข้างปัดป่ายสะเปะสะปะไปตามผืนผ้าปูยับย่น หมดสภาพไม่เหลือเค้าชายผู้บงการเข่นฆ่าชีวิตคน

    ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนท่วงท่าดันตัวลุกขึ้นนั่ง พลางใช้กรงเล็บทมิฬฉุดแขนขาวให้ลุกตาม อ้อมแขนแข็งแรงเข้าโอบอุ้มมนุษย์พร้อมลุกยืนทั้งที่อะไร ๆ ยังเชื่อมติดกัน โนอาร์รีบเอาแขนคล้องลำคอแกร่งตามสัญชาตญาณเมื่อจู่ ๆ ร่างถูกยกลอยขึ้น นัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มจากบทรักดุเดือด พลันสบนัยน์ตาสีแดงเลือดนกที่อยู่ระดับเดียวกัน ถึงเพิ่งสังเกตว่ายามนี้แววตาเอทอสไม่เหมือนกับที่เขาเคยรู้จัก เป็นดวงตาแข็งกร้าวร้อนแรงราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย ที่พร้อมขย้ำเหยื่อให้ตายคาอ้อมกอด และใช่ เหยื่อในที่นี้คือเขาเอง

    “อ๊าาา!!”

    โนอาร์หลุดร้องครางลั่น เมื่อแรงสะเทือนจากการเดินของปีศาจผสานกับน้ำหนักตัวของเขา ทำให้บางสิ่งที่ค้างอยู่ในช่องทางดันลึกจนกระแทกโดนจุดกระสันเต็มแรง เสียงหวานข้างหูปลุกความเป็นผู้ล่าของปีศาจส่งผลให้ร่างยักษ์หยุดชะงัก ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างที่เคยกอดอุ้มร่างขาวเปลี่ยนเป็นสอดใต้ข้อพับขามนุษย์ช่วยประคองช่วงล่าง ก่อนจัดท่าให้ขาขาวยิ่งถ่างกว้างขึ้น รอยยิ้มร้ายไม่น่าไว้ใจพลันปรากฏบนใบหน้าคมดุ ซึ่งวินาทีถัดมา การเคลื่อนไหวหนักหน่วงของร่างยักษ์ก็เสมือนแทนคำตอบทุกอย่าง

    “ตับ! ตับ! ตับ! ตับ! อ๊า!!.. เอทอส.. อื้อ!..”
    “อืม... ขอบคุณข้าสิ ที่ทำให้เจ้าเสียวซ่านจนร้องไม่หยุด อา... ดี... ขอบคุณด้วยการตอดแน่น ๆ แบบนี้แหละ อา...”

    เสียงแหบพร่าครางทุ้มพึงพอใจช่างขัดกับเสียงหน้าขาแข็งแรงกระทบก้อนกลมแน่น ร่างขาวโยกคลอนตามแรงกระแทกกระทั้นดุดันของสะโพกแกร่ง สองมืออ่อนล้าคล้องคอชุ่มเหงื่อจวนคล้ายลื่นหลุดได้ทุกเมื่อ  เป็นผลให้ปีศาจที่กำลังเสพสุขต้องรีบก้าวเท้าพยุงร่างโนอาร์ไปชิดกำแพง

    “ปึง!! ปึง! ปึง! ปึง! อะ.. อื้อ... เอทอส... เบาก่อน อะ!.. ข้างนอก… อื้มม!!”

    โนอาร์พยายามเอ่ยปรามปีศาจให้เบาแรง เพราะขณะนี้พวกเขาอยู่ตรงประตูกระจกหน้าบ้านพัก เสียงดังจากบทรักร้อนแรงอาจทำให้พวกสอดรู้ข้างนอกมาเห็นเอทอสในร่างปีศาจแล้วอาจเกิดปัญหา ทว่าปีศาจกลับไม่เข้าใจ

    “ทำไม? เจ้าอายที่จะถูกพวกมนุษย์เจอในสภาพนี้หรือไง” ร่างยักษ์ถามกลับคล้ายไม่สบอารมณ์ พลางเร่งจังหวะสะโพกให้หนักหน่วงขึ้น ส่งผลให้เสียงกระแทกประตูกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
    “ไม่.. อื้มม!... ไม่ใช่คะ.. ครับ อ๊า! ผมกลัวพวก- นะ.. นั้น.. เห็นคุณในร่างนี้ อะ.. อืม...”

   เนื้อหาคำตอบที่แทรกอยู่ในเสียงคราง ราวกับสื่อว่ามนุษย์เพียงเป็นห่วงเรื่องความลับปีศาจแพร่งพราย หาได้อับอายว่ากำลังร่วมรักกับเขา คำตอบน่ารักของโนอาร์ทำให้เอทอสนึกมันเขี้ยว ใบหน้าคมเข้มจึงก้มกัดดูดดึงยอดอกสีสวย ตวัดลิ้นร้อนหยอกเย้าให้ร่างขาวดิ้นพล่านหลงลืมทุกสิ่งอย่างจากโลกภายนอก ให้สนใจแค่เขาเพียงผู้เดียว

    แม้ขณะนี้ปีศาจจะลุ่มหลงกับการกลืนกินมนุษย์ตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบกาย ดังนั้นการที่เอทอสกล้ากระทำอุกอาจกับโนอาร์ตรงประตูกระจกหน้าบ้านพัก เป็นเพราะปีศาจได้ลองจับสัมผัสแล้วว่าบริเวณนี้ไม่มีใครอื่น และอีกอย่างเขามีนิสัยหวงของ ทุกอย่างที่เป็นของเขา ต้องมีแค่เขาเท่านั้นที่ได้เชยชม ฉะนั้นแล้ว...

    “หึ... ไม่ต้องกังวล ร่างเปลือยของเจ้า อย่าหวังว่าข้าจะแบ่งให้ใคร”
    “อ๊าาา!”

    ถ้อยคำประกาศหนักแน่น มาพร้อมรอยกัดแสดงความเป็นเจ้าของตรงบริเวณลำคอ ผิวขาวถูกคมเขี้ยวกัดฝังจนแดงช้ำ ส่งผลให้โนอาร์ที่กำลังเพลินกับแรงกระทั้นสอดใส่ของแก่นกายแข็งขืน ต้องหลุดร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะถูกลิ้นร้อนเลียปลอบประโลมดังทุกครา

    สะโพกแกร่งขยับถอนแท่งร้อนออกจากช่องทางสวาท ก่อนท่อนแขนกำยำจะยอมปล่อยให้มนุษย์ยืนกับพื้นพร้อมจับพลิกหันหลัง สองมือขาวยันบานกระจก ภาพคลื่นทะเลสะท้อนแสงจันทร์เบื้องหน้าโนอาร์ ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นจินตนาการว่าพวกเขากำลังกอดกันบนหาดทราย มีหมู่ดาวเต็มฟากฟ้าส่องไสวเป็นพยานรัก

    “อยากทำข้างนอกไหมละ ข้าจะพาไป” ปีศาจกระซิบเสียงแหบพร่าข้างหูโนอาร์อย่างรู้ทัน พลางใช้กรงเล็บใหญ่บีบขยำสองก้อนกลมแน่นตรงบั่นท้ายมนุษย์อย่างหยาบโลน
    “ไม่ดีกว่าครับ.. ร่างเปลือยของคุณ ผมไม่อยากแบ่งให้ใครเหมือนกัน”

    มนุษย์ลอกเลียนคำพูดเมื่อครู่ของปีศาจ จึงได้รับบทจูบร้อนแรงเป็นการลงโทษ ริมฝีปากบางถูกงับดึงขบเม้ม เปิดทางให้ลิ้นหนาเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดรึงลิ้นเล็กด้านในตักตวงความหวาน สองกรงเล็บใหญ่ที่กำลังคลึงบั่นท้ายแน่นจับสะโพกมนุษย์ให้ยกสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแหวกสองก้อนกลมออกให้ยอมเผยปากทางรักสีสวย
    
    “อืมม..."

    เสียงครางแผ่วเบาหลุดรอดมาจากริมฝีปากบางซึ่งกำลังถูกปีศาจบดจูบลึกล้ำ ยามเมื่อแก่นกายร้อนแทรกกลับเข้ามาในร่างอีกครา ความคุ้นชินทำให้ช่องทางรักรองรับท่อนเอ็นได้จนสุดความยาวในคราวเดียว สะโพกแกร่งบิดคว้านหาจุดกระสันเพียงครู่ ก่อนเริ่มกระแทกอัดแท่งร้อนเข้าจู่โจมตำแหน่งอ่อนไหว บรรเลงเพลงสวาทที่มีเสียงหยาบโลนของผิวเนื้อกระทบเป็นจังหวะดนตรี และเสียงครางหวานของมนุษย์เป็นนักร้องนำ

    “อา... เอทอส.. ผมจะ.. อื้มม!!...”
 
    โนอาร์หันมาบอกร่างยักษ์ข้างหลังเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังจะมา ทว่าปีศาจใจร้ายซึ่งยามนี้ง่วนกับการสร้างรอยสีกุหลาบบนแผ่นหลังขาว กลับเอื้อมกรงเล็บไปบีบกำตัวตนของมนุษย์ไว้ พร้อมยิ่งเร่งสวนจังหวะสะโพกสาดใส่ช่องทางรัก จนนัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มเริ่มคลอหน่วยด้วยน้ำใสเพราะไม่อาจถึงฝั่งฝัน

    “เสร็จพร้อมกัน... เมียข้า”

    ทันทีที่ได้ฟังสถานะที่ปีศาจมอบให้ อวัยวะกลางอกขาวพลันเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมาภายนอก โนอาร์เงยขึ้นสบนัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกผ่านเงากระจกสะท้อน ภาพร่างยักษ์ด้านหลังกำลังจับจ้องเขาไม่ว่างตา พร้อมขยับกระแทกสวนแก่นกายเข้าในร่างเขาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกระตุ้นให้ช่องทางรักบีบรัดตัวตนแข็งขืน จนเอทอสถึงกับนิ่วหน้าครางด้วยความสุขสม

    “อา... ดีมากเมียข้า... ตอดแน่น ๆ อืม... ข้าจะเสร็จแล้ว”

    ปีศาจเอ่ยชมพลางบอกให้มนุษย์เตรียมตัว กรงเล็บทมิฬคลายแรงบีบแก่นกายขาวก่อนเปลี่ยนเป็นช่วยรูดชัก ร่างยักษ์โน้มตัวเข้าหามนุษย์จนแผ่นหลังขาวเปลือยสัมผัสกับแผงอกกว้างแข็งแรง ใบหน้าคมเข้มซุกซบลำคอขาวพลางส่งเสียงกระเส่าพร่า กรงเล็บอีกข้างเข้าซ้อนกอบกุมมือขาวที่ยันกระจกหน้าต่างพยุงตัว สะโพกแกร่งเร่งจังหวะผสานเสียงครางหวานบรรเลงบทรักช่วงสุดท้าย

    “อ๊าาาา!!”
    “อืมม...”

    เสียงร้องสุขสมของโนอาร์ประสานสลับกับเสียงทุ้มพร่าปลดปล่อยของปีศาจด้านหลัง ช่องทางอ่อนนุ่มพลันสัมผัสถึงความอุ่นร้อนฉีดอัดเข้ามาในร่างจนแทบล้นทะลัก เช่นเดียวกับหยาดหยดความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกกรงเล็บใหญ่รองรับกอบกุม สองร่างกระตุกเกร็งตระกองกอดกันละกันแน่น เอทอสขยับสวนแก่นกายอีกสองสามครั้งเพื่อดันหยาดน้ำรักให้เข้าลึกที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ถอนท่อนเอ็นร้อนออกจากช่องทางและปล่อยร่างขาวเป็นอิสระ

    “ตุบ!”
    “โนอาร์!”

    ปีศาจที่สติกลับคืน​อุทานอย่างตกใจ พร้อมรีบเข้าไปดูอาการมนุษย์ที่ร่วงล้มพับทันทีที่ถูกปล่อยตัว ถึงเพิ่งสังเกตว่าตามผิวขาวเนียนสะอาด ยามนี้กลับเต็มไปด้วยรอยกัดแดงช้ำแสดงความเป็นเจ้าของ บริเวณบั่นท้ายสองก้อนกลมขึ้นสีแดงจากการรับแรงกระแทกหนักหน่วง เอทอสรีบอุ้มร่างไร้สติของโนอาร์มาวางบนเตียงกว้าง ก่อนจะวิ่งหายไปทางห้องน้ำและกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าชุบน้ำในกะละมัง

    กรงเล็บสีนิลบรรจงเช็ดตัวเพื่อให้มนุษย์สบายตัว ผ้าบางลูบผ่านผิวกายอย่างเบามือไล่ตั้งแต่กรอบหน้าจนมาถึงช่วงคอ ซึ่งบางสิ่งบริเวณผิวขาวระหว่างลำคอและไหปลาร้าถึงกับทำให้กรงเล็บหยุดชะงัก เอทอสรีบมองหาบางสิ่งที่เหมือนกันบนร่างของตน ก่อนจะพบสิ่งเดียวกันนั้นทว่าขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยปรากฏอยู่กลางแผงอกแกร่งตำแหน่งเดียวกับหัวใจ เป็นผลให้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกประกายวาวด้วยความปิติ

    ลวดลายเปลวไฟสีนิลตรงแผ่นอกกว้างเอทอสและบริเวณลำคอขาวของโนอาร์ สัญลักษณ์แห่งการครองคู่ที่จะปรากฏก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกตรงกันและผูกพันมากพอ สิ่งนี้สำหรับปีศาจก็เปรียบได้กับแหวนแต่งงานของเหล่ามนุษย์ ทว่ามีความพิเศษบางอย่างที่เหนือกว่าการเป็นแค่เครื่องแสดงการมีเจ้าของ และเพราะกำเนิดจากความรู้สึก จึงอาจสลายหายไปได้ง่ายเช่นกัน ถ้าความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเปลี่ยนไป ซึ่งเอทอสมั่นใจว่าสัญลักษณ์ของเขากับโนอาร์จะไม่มีวันลบเลือน

    ปีศาจหยุดความคิดฟุ้งซ่านและกลับมาจดจ่อกับการเช็ดตัวมนุษย์อีกครั้ง ผืนผ้าบางเช็ดไล่ตามร่างเปลือยเปล่าเรื่อย ๆ ก่อนจะชะงักเป็นครั้งที่สองเมื่อมาถึงช่องทางรัก ปากทางสีสวยยามนี้กลับช้ำบวมแดงจากพิษรักร้อนแรง หยาดหยดขาวขุ่นที่ปีศาจฝากไว้ถูกร่างกายขับไหลซึมลงมาตามร่อง ภาพเบื้องหน้าคล้ายกระตุ้นอารมณ์ดิบในส่วนลึก ยุยงปลุกปั่นให้ปีศาจรังแกมนุษย์ซ้ำเพิ่ม แต่เพราะความเอาแต่ใจของเขาถึงทำให้โนอาร์ตกอยู่ในสภาพนี้ เอทอสที่คล้ายมีชนักติดหลังจึงได้แต่ข่มความรู้สึกตัวเอง และเช็ดตัวทำความสะอาดให้ร่างขาวต่อไป

    “พรึบ!”

    เปลวเพลิงพลันลุกท่วมบริเวณกรงเล็บทมิฬ ก่อนมอดดับเปลี่ยนกรงเล็บกลับเป็นฝ่ามือใหญ่แบบมนุษย์ แล้วจึงใช้นิ้วหนาค่อย ๆ กดแทรกเข้าไปในช่องทางรัก คว้านเอาทุกหยาดหยดที่เขาทิ้งไว้ออกมาเผื่อว่าโนอาร์จะรู้สึกสบายตัวขึ้น ผนังนุ่มด้านในตอดรัดตามธรรมชาติเพื่อขับไล่นิ้วรุกราน แต่นั่นกลับเสมือนบททดสอบความหนักแน่นของจิตใจปีศาจ ทุกวินาทีล้วนยาวนานและทรมานในความรู้สึก ทว่าท้ายสุดเอทอสก็ผ่านมันมาได้

    หลังผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนยากลำบาก ร่างยักษ์เช็ดตัวทำความสะอาดให้มนุษย์ต่อจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายของตัวเอง รวมถึงปลดปล่อยห้วงอารมณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
    สักพักใหญ่เอทอสถึงออกจากห้องน้ำในสภาพร่างปีศาจเปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะเล็กน้อย ร่างสูงกำยำเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาหามนุษย์บนเตียง ความอบอุ่นจากผิวกายร้อนของปีศาจทำให้โนอาร์รีบซุกตัวเข้าหาตามสัญชาตญาณ ซึ่งเอทอสก็ตอบรับโดยใช้ท่อนแขนแกร่งโอบร่างขาวให้มานอนหนุนแผ่นอกกว้างดังทุกครั้ง

    “ราตรีสวัสดิ์ เมียข้า”

    เสียงทุ้มอ่อนโยนกล่าวบอกร่างในอ้อมกอดพร้อมก้มจูบลงบนกลุ่มผมนุ่ม แล้วจึงหลับตาจมลงสู่ห้วงนิทราในค่ำคืนแสนพิเศษ



บท29 สมบูรณ์


ถึงคนอ่าน

    อันนี้ถือว่าเป็นเนื้อ NC แบบเต็ม ๆ ครั้งแรกของคนเขียนนะครับ คนอ่านลองอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรหรืออยากให้ปรับแก้ตรงไหน สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ คนเขียนจะนำไปปรับใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป
(ส่วนตัวคนเขียนคิดว่า NC ครั้งแรกของคนเขียนเองค่อนข้างยาวมากครับ เพราะถ้ายาวไปผื่อมีโอกาสครั้งคนเขียนจะได้กระชับให้มันสั่นลง, คนอ่านคิดเหมือนกันหรือเปล่าครับ หรือประมาณนี้ดีแล้วครับ)

    ส่วนอันนี้เป็นรูปบ้านพักรีสอร์ท สถานที่ ที่คนเขียนใช้อ้างอิงเป็นฉากในบทนี้นะนะครับ (ป.ล. คนเขียนยังไม่เคยเข้าพักนะครับจริงนะครับ จินตนาการเอาล้วนๆเลยครับ)
(รีสอร์ท: http://travel.socialplussystem.com/hotel_room/honeymoon-beach-front-bungalow/ (http://travel.socialplussystem.com/hotel_room/honeymoon-beach-front-bungalow/))

(http://travel.socialplussystem.com/wp-content/uploads/2016/09/Honey-Bungalow2-800x600.jpg)

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcThciNyiQylliv5NaT9zvrEc0NTtrUqUPY57A&usqp=CAU)

(http://theartinlife.com/wp-content/uploads/2017/03/Bathroom-11-The-ART-In-LIFE.jpg)

    และอันนี้เป็นสัญลักษณ์รูปเปลวไฟที่ปรากฎบริเวณคอใกล้ไหปลาร้าของโนอาร์ และตรงกลางอกเอทอสนะครับ
(สัญลักษณ์เอทอสใหญ่กว่าเพราะปรากฎอยู่บนอกกว้างตำแหน่งเดียวกับหัวใจครับ ส่วนของโนอาร์อยู่บริเวณใกล้คอจึงเล็กกว่าเพื่อความเหมาะสมสวยงามครับ)
    โดยสามารถดูรูปสัญลักษณ์ได้ผ่านลิงค์นี้นะครับ link: https://drive.google.com/file/d/1RtdendkPL_8JW2X_uUO50jSv73HPykjd/view?usp=sharing (https://drive.google.com/file/d/1RtdendkPL_8JW2X_uUO50jSv73HPykjd/view?usp=sharing)



    ป.ล.

    ในบทที่ 19 คนเขียนเพิ่มคำแปลภาษาไทยของเพลงที่โนอาร์ร้องให้เอทอสฟังครับ เผื่อให้คนอ่านอินมากขึ้นครับ คนอ่านอาจลองแกล้ง ๆ กลับไปย้อนอ่านใหม่ก็ได้นะครับ
(เนื้อเพลงเป็นการแปลสดของคนเขียนเองนะครับ หากมีการแปลผิดพลาดไป คนอ่านสามารถแจ้งให้คนเขียนแก้ไขได้เลยนะครับ)


    ในบทที่ 23 เอทอสจะพูดอธิบายถึงสัญลักษณ์ครองคู่นะครับที่ปรากฎในบทนี้นะครับ ซึ่งคนเขียนปรับแก้นิดหน่อยจากที่จะปรากฎตรงหลังมือ เป็นปรากฎตรงส่วนไหนก็ได้บนร่างกายครับ เหตุเพราะคนเขียนไปอ่านเรื่องหนึ่งมาแล้วพบว่าเรื่องนั้นมีสัญลักษณ์และความหมายคล้ายกับที่คนเขียนคิดมาก เพื่อป้องกันคำครหาว่าคนเขียนลอกเลียนคนอื่นเลยปรับให้ขึ้นตรงไหนก็ได้บนร่างกายแทนครับ
(แต่จุดหนึ่งที่สัญลักษณ์ของคนเขียนแตกต่างจากเรื่องนั้นอย่างชัดเจนคือวิธีการได้มาครับ สัญลักษณ์ของเหล่าปีศาจจะได้มาจากการร่วมรักเท่านั้น)

    ซึ่งหากคนอ่านทบทวนคำพูดเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่เอทอสอธิบายในบทที่ 23 คนอ่านอาจพอคาดเดาได้ว่า เนื้อหา 2 บทต่อจากนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ^^

หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 29 ค่ำคืน) [20/11/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-11-2020 19:07:51
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 29 ค่ำคืน) [20/11/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-11-2020 14:44:11
 :o8: :o8:
อ่านไปเขินไป ปีศาจนุ่มนวลเกินไปแล้ว อิอิอิ
 :jul1:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 29 ค่ำคืน) [20/11/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-12-2020 00:13:36
รวดเดียวจบแบบลุ้นตลอดเวลา ให้ตายเถอะ!!

รีบมาต่ออีกน้า
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 30 เด็กน้อย]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 28-12-2020 22:40:00
    สายฝนสาดเทกระหน่ำลงสู่พื้นถนนในยามค่ำคืน ความมืดผสานความลื่นของผิวทางที่ทอดยาว ทำให้รถเพียงคันเดียวของครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังกลับบ้านพักต้องขับอย่างระมัดระวัง ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยสามชีวิต หนึ่งสามีผู้นำครอบครัวทำหน้าที่ขับรถ สองและสามคือภรรยาตรงเบาะหลังนั่งประกบดูแลทารกน้อยน่ารักที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่

    ‘โนอาร์หลับแล้วเหรอ?’ เสียงทุ้มเรียบนิ่งทว่าแฝงความอบอุ่นเอ่ยถามภรรยา พลางเหลือบดูลูกน้อยผ่านกระจกมองหลังชั่วครู่ก่อนกลับไปดูท้องถนนตามเดิม
    ‘ยังเลย ลืมตาแป๋วจ้องแต่คุณสักพักหนึ่งแล้ว สงสัยจะชอบดูคุณพ่อขับรถ’
    ‘หึ ๆ ไม่หรอก ผมว่าเห็นพวงมาลัยหมุน ๆ คงอยากลองเล่-’
    ‘เพล้ง!!’
    ‘เอี้ยดดด!!!! โครมมม!!!!!!!!!!’

    ช่วงเวลาความสุขจบสิ้น เมื่อหินก้อนหนึ่งพุ่งทะลุกระจกหน้ารถกระแทกอัดใส่ใบหน้าคนขับอย่างจัง ความเร็วของรถยิ่งเสริมความรุนแรงฝังหินหนักยุบเข้าไปในกะโหลก หยาดเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนสยดสยองพร้อมกับลมหายใจหัวหน้าครอบครัวที่หยุดลงฉับพลัน ตัวรถสูญเสียการควบคุมตกจากเส้นถนนพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมทางเกิดเสียงโครมดังสนั่น ทว่าครู่เดียวก็ถูกกลบด้วยเสียงสายฝนที่ยังคงสาดเทไม่หยุด เหลือเพียงจุดไฟสีแดงท้ายรถที่พยายามส่องฝ่าความมืดขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้าที่สภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้คงไม่มีพลเมืองดีคนไหนผ่านมา

    หลังเหตุการณ์สลดสิ้นสุดไม่นาน บริเวณเงามืดข้างทางเริ่มปรากฎเงากลุ่มคนในชุดกันฝนทยอยเดินเข้าไปหาซากรถเป้าหมาย โจรร้ายสามคนช่วยกันรื้อค้นหาของมีค่า ส่วนหัวหน้าผู้วางแผนเพียงยืนรออยู่ใต้ร่มไม้

    ‘ยี้!! ขนลุก... เละซะจนไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้หน้าตาเป็นไง’ ผู้ร้ายคนหนึ่งอุทานเมื่อเห็นผลงานของลูกพี่ผู้นำกลุ่ม
    ‘อย่ามัวเสียเวลาสิวะ รีบหาจะได้รีบกลับกูหนาวจะตายห่าแล้ว ยืนดักตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเจอสักคัน’ โจรอีกคนเอ่ยเร่งเพื่อน ขณะที่มือยังคงโกยของมีค่าเข้ากระเป๋าไปด้วย
    ‘…พะ พี่อาทิตย์! นะ.. ในรถมีเด็กด้วยแล้วยังไม่ตาย เอาไงดีพี่?’

    โจรรุ่นน้องสุดในกลุ่มที่รับผิดชอบค้นของด้านหลัง เรียกหาหัวหน้าอย่างตกใจเมื่อผลักร่างหญิงสาวในสภาพคอหักคล้ายกำลังกอดบางสิ่งออกไปให้พ้นทาง แล้วพบทารกในเบาะนั่งสำหรับเด็กยังคงปลอดภัยและกำลังจ้องนิ่งมาทางเขา
    คนถูกเรียกเดินออกจากเงาไม้ไปดูหนึ่งชีวิตที่เหลือรอด นัยน์ตาสีดำรัตติกาลของเด็กน้อยสบเข้ากับดวงตาสีเดียวกันของผู้พรากทำลายทุกสิ่งอย่าง ความสงบเงียบไร้ความหวาดกลัว ไม่ส่งเสียงร้องไห้โหวกเหวกผิดวิสัยเด็กทั่วไปเริ่มทำให้อาทิตย์นึกสนใจ ดังนั้นฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านจึงปลดสายนิรภัยก่อนอุ้มเด็กน้อยออกมา ท่ามกลางความสับสนของเหล่าลูกน้อง

    ‘จะเลี้ยงเหรอพี่อาทิตย์?’ หนึ่งในโจรเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
    ‘อืม ก็รอดมาได้จะไม่ให้โอกาสเลยก็กระไรอยู่ เลี้ยงไว้ใช้งานก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าโตมาแล้วสร้างเรื่องค่อยจับส่งขายตอนนั้นก็ยังไม่สาย’

    หลังได้ฟังเหล่าโจรลูกน้องก็ได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของผู้นำกลุ่ม ก่อนจะแยกกันไปค้นของต่อโดยระหว่างนั้นก็ลอบมองพี่ใหญ่กับเด็กดวงดีไปด้วย ซึ่งไม่รู้ทำไมเมื่อมองนานเข้ากลับรู้สึกว่าทารกนั้นคล้ายกับเป็นลูกของพี่อาทิตย์จริง ๆ บางทีคงอาจเป็นเพราะดวงตาสีนิลที่ดูสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนกัน

    ‘เออ! แล้วพี่จะตั้งชื่อเด็กนั่นว่าอะไร?’

    ลูกน้องโจรคนหนึ่งชะโงกออกจากตัวรถขึ้นมาถาม เมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญได้ ทว่าพี่ใหญ่กลับเพียงก้มมองชุดจากผ้าเนื้อดีที่ทารกสวมใส่ ซึ่งบนนั้นสลักอักษรภาษาอังกฤษเรียงกันสี่ตัว

    ‘ไม่เห็นต้องคิดใหม่ ก็ใช้ชื่อเดิมที่พ่อแม่เจ้านี่ตั้ง’
    ‘…’

    เมื่อได้ฟังคำตอบจากพี่ใหญ่เหล่าลูกน้องต่างมึนงงเล็กน้อยก่อนได้รับการเฉลย ซึ่งน่าแปลกที่เด็กน้อยในอ้อมแขนชายผู้ลงมือสังหารผู้ให้กำเนิด กลับดูคล้ายกำลังยิ้มตอบรับการเรียกชื่อ

    ‘ใช่ไหม? โนอาร์’



    ‘แกร๊ก!’
    ‘อา... ได้เอาลูกคุณหนูเป็นบุญชีวิตฉิบหาย ผิวแม่งโคตรนุ่ม’
    ‘จริงว่ะ ว่าแล้วก็อยากต่อ เดี๋ยวรอให้พี่อาทิตย์เสร็จก่อนจะขออีกสักน้ำ มึงจะเอาด้วยไหมไอ้นัส’

    ดาวเสาร์กับพุธออกมาจากห้องพลางคุยถึงช่วงหฤหรรษ์เมื่อครู่ ก่อนพุธจะหันมาถามนัส น้องเล็กของกลุ่มซึ่งถูกพี่อาทิตย์สั่งให้ดูโนอาร์ในระหว่างที่ตัวเองกำลังเสพสุขกับลูกสาวเจ้าของบ้าน

    ‘ไม่ล่ะพี่ แม่นั่นร้องไห้ขนาดนั้น ผมไม่มีอารมณ์หรอก’

    เมื่อได้ยินดังนั้นสองรุ่นพี่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ เพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินข้ามศพจมกองเลือดของพ่อแม่หญิงสาวซึ่งกำลังถูกย่ำยีไปทิ้งตัวนั่งพักตรงโซฟาชุด ถึงเพิ่งสังเกตเห็นลูกเลี้ยงของพี่อาทิตย์นั่งยองอยู่ข้างศพของชายแก่หญิงแก่เจ้าบ้าน ทว่าสายตาเด็กน้อยกลับจับจ้องไปยังบานประตูที่มีเสียงกรีดร้องแหบแห้งของหญิงสาวดังลอดออกมาเป็นระยะ

    ‘สนใจเหรอไอ้หนู ไว้ให้โตก่อนเดี๋ยวมึงก็ได้ลอง หึ ๆ ...ไอ้นัส! มึงอายเด็กมันไหมเนี่ยฮะ’
    ‘เข้าได้ไหม?’

    ขณะที่พุธกำลังกล่าวหยอกกับรุ่นน้อง เสียงใสไร้เดียงสาของเด็กน้อยกลับดังขึ้น และไม่รอคำตอบโนอาร์ในวัยสามย่างสี่ขวบก็ลุกวิ่งตรงไปยังเป้าหมายท่ามกลางเสียงห้ามปรามตกใจของเหล่าโจรลูกน้อง กว่าใครจะตั้งตัวทัน มือเล็กบอบบางก็เอื้อมจับลูกบิดพร้อมผลักบานประตูเข้าไปด้านในเสียแล้ว

    ‘อื้อออ!!!  กึก!! ๆ  อือ!! กึก!! อื้ออออ!!!!’
    ‘ฮะ... ฮึก... พะ... พอแล้ว... ฮือ...’

    ทันทีที่ประตูเปิดกว้างออก ภาพเบื้องหน้าที่เข้าสู่สายตาเด็กน้อยคือผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดมือมัดปากไว้กับเก้าอี้ส่งเสียงร้องดิ้นขลุกขลักฟังไม่ได้ความ ซึ่งถูกจับหันหน้าเข้าเตียงที่มีผู้หญิงร่างเปลือยเปล่านอนคว่ำหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น กำลังโยกคลอนตามแรงกระแทกจากสะโพกที่ถูกฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านรั้งยกสูงไว้ เพื่อใช้รองรับบางสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้าออกอย่างไร้ความปรานี ทว่าแม้จะถูกขัดจังหวะช่วงเอวแกร่งก็ไม่ได้ลดแรงหรือหยุดชะงักแต่อย่างใด

    ‘ไอ้หนู!! วอนหาเรื่องตายแล้วออกมานี่! ขอโทษด้วยพี่อาทิตย์ ผมจะรีบเอามันออกไปเดี๋ยวนี้แหละ’ ดาวเสาร์ออกรับหน้าแทนรุ่นน้องที่ตอนนี้ยืนหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก พร้อมรีบปรี่เข้าไปหมายอุ้มโนอาร์ ทว่ากลับถูกน้ำเสียงทุ้มหนักของชายบนเตียงเอ่ยขัด
    ‘ไม่ต้อง ถ้าอยากดูนักก็ปล่อยให้ดูไป ส่วนนาย... เสาร์ ออกไปรอข้างนอก’
    ‘คะ.. ครับพี่’

    หลังฟังคำสั่งจากพี่ใหญ่ รุ่นน้องก็รีบออกจากห้องและปิดประตูทันที เมื่อไม่มีใครขัดขวางโนอาร์จึงเริ่มเดินสำรวจโดยมีสายตาของอาทิตย์คอยสังเกต เด็กน้อยมองสลับระหว่างผู้ชายบนเก้าอี้และหญิงสาวบนเตียงด้วยความสนใจ ก่อนจะหันมาถามคนรู้จักที่กำลังเอาตัวชนผู้หญิงจนเกิดเสียงกระแทกดังคลอไปกับเสียงสะอึกสะอื้นและเสียงร้องอื้ออึงของชายบนเก้าอี้ ทว่าน่าแปลกที่เด็กน้อยโนอาร์ไม่มีทีท่าหวาดกลัว หรือสงสารเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

    ‘อาทิตย์ ทำไมสองคนนี้ร้องไห้ ร้องทำไม’
    ‘ก็เพราะเจ็บไง แต่เจ็บคนละอย่าง ผู้หญิงนี่กำลังเจ็บตัว ส่วนผู้ชายบนเก้าอี้คงกำลัง... เจ็บใจ’ เสียงทุ้มหนักของชายบนเตียงตอบกลับ
    ‘เจ็บใจ? เป็นยังไง ไม่เห็นโดนตีเลย ทำไมเจ็บได้’

    โนอาร์ในวัยไร้เดียงสาถามต่ออย่างสับสน ผู้หญิงบนเตียงกำลังถูกอาทิตย์เอาตัวชนถึงร้องเจ็บอันนี้เขาเข้าใจ แต่กับผู้ชายบนเก้าอี้ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไร ทำไมถึงได้ร้องดิ้นเจ็บเหมือนผู้หญิง ทำไมถึงต้องร้องไห้ ทำไมถึงต้องน้ำตาไหล เขาไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้จริง ๆ

    ‘หึ.. โตขึ้นเดี๋ยวก็รู้เองโนอาร์ แค่เห็นแฟนตัวเองตกเป็นเมียคนอื่นคาตาก็เจ็บได้ อาจเจ็บกว่าโดนตีอีก’
    ‘แล้วจะเห็นทำไม ถ้าเห็นแล้วเจ็บ’

    แม้จะยังไม่รู้จักคำว่าแฟนหรือเมีย แต่โนอาร์ก็พอจับใจความได้ว่าเจ็บเพราะมองเห็น ดังนั้นเด็กน้อยจึงหันไปถามชายบนเก้าอี้ ทว่าผ้าที่มัดปากไว้ทำให้ฟังไม่ออกว่าผู้ชายคนนี้กำลังพูดอะไร เช่นนั้นเด็กน้อยจึงเริ่มมองหาตัวช่วยจนสายตาสะดุดเข้ากับกางเกงของอาทิตย์ที่ถูกถอดทิ้งรวมกับกองเสื้อตรงข้างเตียง ฉับพลันโนอาร์ทันนึกถึงบางสิ่งได้ จึงรีบวิ่งเข้าไปคุ้ยหา

    ‘อาทิตย์ ขอมีดนะ’ เสียงใสของเด็กน้อยคล้ายเอ่ยขอพอเป็นพิธี
    ‘เอาไปทำอะไร?’
    ‘ตัดเชือกปิดปาก ให้ผู้ชายคนนั้นตอบว่ามองทำไม’

    การกระทำของเด็กน้อยอ่อนต่อโลก ทำให้อาทิตย์รู้สึกประหลาดใจได้ทุกครั้ง เขารู้ดีว่าโนอาร์ไม่เหมือนเด็กคนอื่น เด็กนี่ฉลาดเกินวัย และมีนิสัยชอบสังเกตทำความเข้าใจพฤติกรรมความรู้สึกจากเหยื่อของเขา แต่ในความชอบนั้นกลับมีเพียงแค่ความอยากรู้ ไร้ความสงสารเมตตา แม้จะเห็นคนถูกฆ่าต่อหน้าเด็กนี่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว ซึ่งความผิดแผกเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกสนใจและอยากทดสอบดูการตอบสนองของโนอาร์อยู่เรื่อย ๆ 

    ‘อา... อืม... ตุบ!’
    ‘หยิบบุหรี่กับไฟแช็กมาให้ด้วย’

    เสียงทุ้มหนักครางปลดปล่อยเสร็จสม พลางผลักร่างบางช้ำหมดสิ้นเรี่ยวแรงของหญิงสาว ทิ้งให้นอนหอบสะอื้นกับผืนเตียงยับ อาทิตย์นั่งพักตรงปลายเตียงพร้อมบอกให้โนอาร์หยิบของมาเผื่อ ฝ่ามือใหญ่รับของจากเด็กน้อยก่อนจุดไฟเผาไหม้ตรงปลายมวนบุหรี่ เริ่มสูดหายใจเข้าปอด และปล่อยความรู้สึกให้ผ่อนคลายเหมือนกับกลุ่มควันลอยเอื่อยจางหายไปในอากาศ

    ‘ส่งมา จะเปิดให้’ ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปตรงหน้าเด็กน้อยที่พยายามดึงคมมีดที่พับซ่อนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไร้ผล ซึ่งโนอาร์ก็ยอมส่งให้แต่โดยดี
    ‘ดูแล้วจำไว้ มันมีปุ่มอยู่ หาให้เจอแล้วกดตัวมีดก็จะเด้งออกมาเอง’
    ‘พรึบ!’

     ทันทีที่นิ้วหนากดปุ่มหนึ่งบนด้ามจับ ฉับพลันคมมีดแหลมเงาวาวก็เด้งออกมาตามคำพูดเมื่อครู่ อาทิตย์เตรียมพับมีดเก็บตามเดิมเพื่อให้โนอาร์ลองทำตาม ทว่าจังหวะนั้นเองที่มืออีกคู่หนึ่งจากคนบนเตียงพุ่งเข้ามาแย่งมีดจากร่างสูงใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว

    ‘อะ.. ออกไป!! อย่าเข้ามานะ!!!’

    หญิงสาวสภาพเปลือยบอบช้ำเอ่ยขู่ไล่โจรชั่วช้า พลางตวัดกวาดมีดไปมาเพื่อสร้างระยะห่าง อีกมือหนึ่งรีบคว้าผ้าห่มช่วยปกปิดส่วนสงวน ค่อย ๆ ขยับเดินพามาร่างที่แทบทรงตัวไม่ไหวไปหาแฟนหนุ่มที่ถูกมัดอยู่ ทว่าชายสารเลวกับเพียงนั่งสูบบุหรี่ต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา เช่นเดียวกับเด็กน้อยที่มากับกลุ่มโจร กลับเฝ้ามองด้วยสายตาแฝงความงุนงงปนอยากรู้

    ‘มึงตาย!!!! ไอ้เหี้ยย!!!!’

    ฉับพลันเมื่อชายหนุ่มถูกแก้มัด คนโกรธแค้นจนสติหลุดแย่งมีดจากแฟนสาวก่อนพุ่งเข้าใส่โจรระยำ หมายจะเอามีดกะซวกแทงให้สาสมกับความต่ำช้า ทว่าวินาทีที่เข้าประชิดตัว คนกำลังเสียท่ากลับเผยรอยยิ้มมุมปากหยามเหยียด

    ‘อั่ก!’
    ‘โครม!!!!’
     ‘คะ.. คุณ!!’

    การจู่โจมที่มีเพียงอารมณ์เป็นแรงชักนำไม่แปลกที่จะเผยช่องโหว่มากมาย ดังนั้นคนหวังเอาคืนจึงถูกฝ่าเท้าหนักของคนปลายเตียงถีบเข้ากลางตัวอย่างจัง จนร่างเซไปจนโต๊ะล้มระเนระนาด แฟนสาวซึ่งแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงรีบเข้าไปดูแล ระหว่างความวุ่นวายตัวการอย่างอาทิตย์กลับเพียงหยิบกางเกงที่กองอยู่ตรงพื้นขึ้นมาสวมใส่ พลางแต่งแต้มสีดำสกปรกลงบนจิตใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยที่เฝ้ามองอยู่ทุกการกระทำ

    ‘ดูสภาพพวกผู้ดีตอนนี้และจำไว้โนอาร์ เราไม่จำเป็นต้องไปโหวกเหวกตะโกนเบ่ง ของพวกนั้นปล่อยให้พวกมันทำไป ให้พวกมันแสดงสันดานต่ำออกมา ส่วนเราก็แค่เฝ้ามองความสมเพชไม่ต้องไปทำตาม ที่จริงพวกผู้ดีเกิดบนกองเงินกองทอง มันก็สถุลเหมือนเรานั่นแหละ’

    ว่าจบอาทิตย์ที่ใส่กางเกงเรียบร้อยเหลือเพียงท่อนบนที่ยังเปลือยเปล่า ก็เดินเข้าไปหาสองคู่รักพร้อมกดปลายกระบอกปืนจ่อใส่กลางหน้าผากชายหนุ่ม

    ‘แกร๊ก!’
    ‘...มึงมันโคตรชั่วไอ้ระยำ ทุกสิ่งที่มึงทำกับพวกกู สักวันมึงจะต้องชดใช้อย่างสาสม’
    ‘พะ... พอแล้ว กะ... แกได้ทุกอย่างไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ปะ.. ปล่อยเราไปเถอะ’

    ชายหนุ่มตอกกลับคนถือปืนด้วยดวงตาแข็งกร้าวไร้ความกลัวเกรง ผิดกับหญิงสาวที่พยายามเอ่ยอ้อนวอน ทว่าน่าเศร้าที่คนฟังไม่มีท่าทีเห็นใจแม้แต่น้อย
    
    ‘หึ... ใครบอกพวกผู้ดีพูดคำหยาบไม่เป็น เห็นไหมโนอาร์มันก็แค่กระแดะทำตัวสูงส่ง งั้นเราต้องห้ามพูดหยาบบ้าง จะได้ดูสูงกว่าพวกมัน’
    ‘ถุย.. ต่ำแบบมึง ทำให้ตายก็ไม่มีทางสูง-’
    ‘ปัง!!!!’
    ‘กรี๊ดดด!!!!!’

     เสียงปืนดังสนั่นหยุดคำพูดสบประมาท หยดเลือดจากบาดแผลเหวอะเพราะแรงกระสุนสาดกระจายทั่วพื้นที่ ความรู้สึกหญิงสาวพลันแหลกสลายกอดศพว่าที่เจ้าบ่าวร้องไห้แทบขาดใจ ส่วนคนทำเพียงเหยียดยิ้มมุมปากเยาะเย้ย ทุกเหตุการณ์ถูกนัยน์ตารัตติกาลประกายวาวของโนอาร์เฝ้ามองและซึมซับความดำมืดอำมหิต ความรวดร้าวเจ็บปวดเบื้องหน้าของหญิงสาวกลับกลายเป็นแหล่งเรียนรู้สร้างความสนุกตื่นเต้นให้เด็กน้อย แทนที่จะเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกสงสารเห็นใจ

    ‘อาทิตย์ ขอเล่นบ้าง’
     ‘อะไร?’
    ‘ที่เสียงดัง ๆ แล้วมีน้ำแดง ๆ ออกมา’
    ‘มันไม่ใช่ของเล่น แต่จะให้ลอง เอาไหม’
    ‘เอา!’

    เมื่อได้ยินคำตอบรับ อาทิตย์จึงนั่งยองซ้อนหลังเด็กน้อยพลางสอนวิธีจับปืนวางนิ้วให้มือเล็กโดยยังคงช่วยถือประคองน้ำหนัก บังคับปลายอาวุธหันไปทางหญิงสาวที่กำลังร่ำไห้เสียใจไม่สนสิ่งรอบข้าง เมื่อตั้งท่าได้แล้วอีกมือหนึ่งที่ว่างจึงคีบมวนบุหรี่ออกจากปากและพ่นควันพิษเหนือหัวให้เด็กน้อยสูดดมจนไอสำลัก

    ‘แค่ก ๆ ...เหม็น’
    ‘หึ เดี๋ยวก็ชิน.. พอเล็งได้แล้วก็เอานิ้วเข้าโก่งไกแล้วก็ออกแรง อืมใช่’

    เพราะแรงยังน้อยนิ้วเล็กจึงไม่อาจลั่นไกปืนได้ นิ้วหนาที่คอยประคองเลยช่วยอีกแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวเริ่มได้สติเงยหน้าขึ้นมาพอดี ส่งผลให้วิถีกระสุนเปลี่ยนจากหลังศีรษะเป็นการแสกหน้า

    ‘ปัง!!!!’

     เสียงกระสุนปลิดชีพดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับความรู้สึกวิ้งหูอื้อของเด็กน้อย อาทิตย์ลุกขึ้นยืนเพื่อกลับไปใส่เสื้อผ้าแต่งตัวต่อให้เสร็จ ปล่อยโนอาร์ยืนชมผลงานชิ้นแรกของตัวเอง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยเรียกเด็กน้อยให้เดินตามออกจากห้อง

    ‘โนอาร์’
    ‘…’
    ‘โนอาร์! ไม่ได้ยินหรือไง?’
    ‘…ตายแล้วเหรอ’ เสียงตอบกลับที่ดูไม่สัมพันธ์กับการเรียกชื่อก่อนหน้า ทำให้คิ้วของอาทิตย์ขมวดมุ่นก่อนเดินกลับไปหาเด็กน้อย
    ‘ใช่ ทำไม? อย่าบอกนะว่าสงสารทั้งที่เป็นคนยิงเอง’
    ‘เปล่า’

    โนอาร์ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อบอกเหตุผล ซึ่งคำตอบไร้เดียงสาผสานนัยน์ตารัตติกาลเจือความเยียบเย็นของเด็กน้อย กลับเรียกรอยยิ้มมุมปากให้ปรากฎบนใบหน้านิ่งขรึมของอาทิตย์ได้อีกครั้ง

    ‘เมื่อกี้สนุกเลยลืมถามผู้ชายว่าถ้ามองแล้วเจ็บ จะมองทำไม?’



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 30 เด็กน้อย]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 28-12-2020 22:46:07
(ต่อ)


    ‘ทำอะไรน่ะ’
    ‘อ่านหนังสือ’

    นัสเอ่ยตอบโนอาร์ในวัยใกล้หกขวบโดยตาไม่ได้ละจากหน้ากระดาษ เด็กน้อยมองตามกลับพบเพียงลวดลายกระยึกกระยือดูไม่รู้เรื่อง ซึ่งนั่นก็ทำให้เรียวคิ้วน้อย ๆ ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้มีอะไรน่าสนใจนักอีกฝ่ายถึงได้นั่งจ้องอยู่นานแสนนาน

    ‘มีแต่ลายอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นสนุกเลย’
    ‘หึ ๆ มันคืออักษรไม่ใช่ลาย ถ้าได้เรียนหนังสือก็จะอ่านออกเอง’
    ‘อยากเรียนหนังสือ’ เสียงใสตอบกลับทันที
    ‘ต้องไปขอพี่อาทิตย์ ทั้งพี่พุธ พี่เสาร์ หรือตัวพี่เองไม่มีปัญญาส่งแกเรียนหรอก’

    ชายหนุ่มกล่าวตอบ พลางวางหนังสือลงแล้วใช้ฝ่ามือลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดูระคนเห็นใจในโชคชะตา ถ้าพ่อแม่ของโนอาร์ไม่เลือกถนนเส้นนั้นจนมาเจอกับพี่อาทิตย์และพวกเขา ป่านนี้เจ้าเด็กนี่คงอ่านออกเขียนได้หลายภาษา เผลอ ๆ อาจเก่งกว่าเขา และได้อยู่สุขสบายในบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง ไม่ใช่บ้านเช่าเล็กแคบที่ต้องย้ายเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ แบบนี้

    ‘ปึง!’
    ‘ข้าวมาแล้ว! โนอาร์เตรียมจานซิ เอาน้ำมาด้วย เออ! เอาข้าวไปให้พี่อาทิตย์ก่อนเลย เดี๋ยวพี่แกโมโหหิวจนองค์ลงอีก’

    เสียงปิดประตูบ้านดังลั่นจนสมาชิกที่นั่งเล่นอยู่ตรงพื้นต่างหันมอง พุธที่ออกไปหามื้อกลางวันเรียกโนอาร์ให้มารับของส่วนตัวเองก็ไปตากพัดลมคลายร้อน เด็กน้อยทำหน้าที่ประจำอย่างไม่อิดออด จัดแจงเตรียมจานกับแก้วมาวางเรียงกลางวงพวกรุ่นพี่ แล้วจึงแยกไปแกะข้าวจากกล่องใส่จานอีกชุดต่างหาก เอาน้ำหนึ่งขวดหนีบแขนไว้ ก่อนค่อย ๆ ถืออาหารเที่ยงไปให้ใครบางคนที่มัวแต่อยู่ในห้อง

    ‘แกร๊ก!’
    ‘อาทิตย์ ข้าว’
    ‘อืม เอาไปวางบนโต๊ะ’

    เมื่อได้ยินคำสั่ง เด็กน้อยจึงหันเหทิศทางไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง วางของทุกอย่างกับพื้นก่อนจะถือจานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอื้อมแขนพร้อมเขย่งดันจานข้าวให้อยู่กลางโต๊ะกันตก แล้วจึงก้มไปหยิบขวดน้ำและทำอย่างเดียวกัน หลังเรียบร้อยโนอาร์จึงหันไปดูอาทิตย์ที่ยังนั่งสูบบุหรี่ตรงขอบหน้าต่าง สายตาจับจ้องไปที่หนังสือพิมพ์ในมือเหมือนกับนัสไม่มีผิด

    ‘อาทิตย์ ดูอะไรอะ’ เด็กน้อยเข้ามาถามด้วยความอยากรู้ พลางพยายามปีนขึ้นไปนั่งด้วย แต่เพราะตัวเล็กเกิน ผลเลยได้แค่ยืนเกาะขอบหน้าต่าง
    ‘หาของเล่นมาให้ไง’

    เด็กน้อยพยักหน้าเข้าใจความหมายแฝง ของเล่นที่อาทิตย์ว่าแท้จริงคือบ้านที่จะบุกปล้นในรอบหน้า ซึ่งหลังยึดข้าวของในบ้านหมดแล้ว อาทิตย์จะให้เขาเล่นยิงปืนโดยมีเป้าเคลื่อนที่เป็นพวกคนหนีตาย ซึ่งท่าทีหวาดกลัวร้องไห้วิงวอนก่อนจะแน่นิ่งจมแอ่งน้ำแดงก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นดี แต่ตอนนี้เด็กน้อยมีสิ่งอื่นที่สนใจกว่า

    ‘อาทิตย์ อยากเรียนหนังสือ’

    เสียงใสของเด็กน้อยถึงกับทำให้ปลายนิ้วที่กำลังเปลี่ยนหน้าหนังสือพิมพ์หยุดชะงัก อาทิตย์บี้บุหรี่ที่สูบค้างไว้ทิ้ง และหันมาสบดวงตารัตติกาลมืดมิดของโนอาร์

    ‘ไปเอาคำนั้นมาจากไหน’
    ‘นัสบอก ถ้าเรียนหนังสือจะอ่านลายบนกระดาษที่เรียกว่าอักษรได้ อาทิตย์ก็เรียนหนังสือใช่ไหม ถึงได้ดูหนังสือพิมพ์ตั้งนานไม่เบื่อ’
 
    ชายหนุ่มมองเด็กน้อยนิ่ง ซึ่งโนอาร์ก็จ้องตอบไร้วี่แววขลาดกลัวราวกับจะเอาเสียให้ได้ ทว่าน่าเศร้าที่เขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้น เขาไม่ได้ละทิ้งความตั้งใจเดิมที่เลี้ยงโนอาร์ไว้ใช้งาน และตอนนี้เด็กนี่ก็ขยันทำหน้าที่ง่าย ๆ อย่างล้างจาน ทำความสะอาดบ้านได้อย่างดี ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจนโนอาร์กลายเป็นผู้ใหญ่คงใช้ประโยชน์ทำเรื่องอื่นได้อีกมาก ฉะนั้นการให้ความรู้กับเด็กนี่จึงไม่ใช่เรื่องจำเป็น มิหนำซ้ำโนอาร์ฉลาดเป็นกรด ถ้ายิ่งมีความรู้ประดับตัว พอโตขึ้นอาจจะแข็งข้อและยิ่งคุมยากเสียเปล่า

    ‘แค่ดูตัวเลขศูนย์ถึงเก้าออก นับเลขได้บ้างอย่างตอนนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนอ่านให้เสียเวลา เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้’
    ‘ทีอาทิตย์กับนัสยังทำได้เลย อยากทำได้เหมือนกัน’
    ‘ถึงไม่ห้ามก็เรียนไม่ได้อยู่ดี ประวัติเกิดไม่มี พ่อแม่ก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างที่ไหนเขาจะรับ’
    ‘….ให้อาทิตย์เป็นพ่อ’ เด็กน้อยพยายามหาทาง
    ‘หึ... ลืมไปแล้วเหรอคนที่ฆ่าพ่อแม่นายคือฉันเอง แล้วจะให้ฉันพ่อนายเหรอ ตลกน่ะโนอาร์ เลิกคิดเรื่องพวกนี้แล้วเอาเวลาไปฝึกใช้มีดที่เคยสอนไม่ดีกว่าหรือไง’
    ‘…’
    ‘ออกไปได้แล้วไป ฉันจะกินข้าวและนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ’

    ได้ยินคำพูดตัดบทเช่นนั้น โนอาร์ก็ได้แต่เพียงเดินออกจากห้องตามคำสั่ง ทว่าภายในใจเด็กน้อยก็ยังไม่ยอมแพ้ละทิ้งความตั้งใจ ราวกับเอกลักษณ์นิสัยเย่อหยิ่งทะนงตนในอนาคต ที่ไม่ว่าอะไรหากอยากได้จะต้องได้ กำลังค่อย ๆ ถือกำเนิดตื่นขึ้นทีละน้อย

    ‘เป็นยังไงบ้าง ได้ไหม’ นัสเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นเด็กน้อยออกมาจากห้อง ซึ่งก็ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ
   ‘ได้ก็แปลกแล้ว นี่ไอ้หนูเลิกฝันหวานซะเถอะ นี่มันซ่องโจรไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ที่พี่อาทิตย์เลี้ยงแกก็แค่เห็นว่าหน่วยก้านพอเอาไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนพวกกูนั่นแหละ ไม่ได้เอ็นดูหรือพิศวาสอะไรแกขนาดนั้น รีบ ๆ โตแล้วมาช่วยงานพวกกูดีกว่า’ ดาวเสาร์ที่ลอบฟังอยู่ตั้งแต่แรกรีบกล่าวทับถมเด็กน้อยให้ตื่นสู่ความจริง
    ‘อะไรวะ? กูตามไม่ทัน’
    ‘อ๋อมึงไปซื้อข้าวนี่นะไอ้พุธ ก็ไอ้หนูมันเห็นไอ้นัสอ่านหนังสือแล้วอยากอ่านบ้างเลยไปขอพี่อาทิตย์ส่งมันเรียน สุดท้ายก็เดินคอตกออกมานี่ไง หึ ๆ’
    ‘แล้วมึงก็ไปซ้ำเติมมันเนอะไอ้เสาร์ โคตรเหี้ย... ส่วนมึงไอ้หนูเชื่อกูในโรงเรียนแม่งโคตรน่าเบื่อ สอนแต่เรื่องไร้สาระไม่ได้ดีเหมือนที่มึงคิดไว้หรอก เรียนวิชาชีวิตกับพวกกูนี่แหละได้ประโยชน์กว่าเยอะ เออ! มึงชอบไปเล่นสวนสาธารณะหนิ ลองถามพวกเด็กอายุเท่า ๆ มึงดู มีใครยิงปืนเป็นใช้มีดคล่องแบบมึงบ้าง กูเอาหัวเป็นประกันว่าไม่มี มึงน่ะมีดีกว่าอีเด็กเหลือขอพวกนั้นเยอะ มึงไม่ได้ขาดอะไรหรอก ภูมิใจในตัวเองเข้าไว้’

    พุธกล่าวปลอบพร้อมวาดฝ่ามือใหญ่ตบเข้ากลางหลังเด็กน้อยสองสามครั้งคล้ายให้กำลังใจ ทว่าคำพูดมากมายเหล่านั้นกลับไม่อาจสั่นคลอนความตั้งใจของโนอาร์แต่อย่างใด ภายในความคิดซับซ้อนเกินอายุยังคงคิดหาวิถีทาง จนไปสะดุดเข้ากับเนื้อหาบางส่วนที่แทรกอยู่ในบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่เมื่อครู่

    ‘...งั้นตอนเย็นจะไปถามเด็กที่สวนสาธารณะนะ’ เสียงใสเอ่ยตอบหลังเงียบหายไปสักพัก
    ‘ให้มันได้อย่างนี้สิ! ได้เรื่องเป็นไงมาเล่าให้พวกกูฟังด้วย’

    เด็กน้อยเพียงพยักหน้ารับ ก่อนเอื้อมแขนไปหยิบจานและกล่องข้าวที่เหลืออยู่เพื่อเริ่มกินมื้อเที่ยงของตัวเอง เหล่ารุ่นพี่รอบวงกินข้าวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เลือกเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเป็นเรื่องอื่นแทน ปล่อยเด็กน้อยสุดในกลุ่มให้นั่งมองนาฬิกาเก่าบนข้างฝาและคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง


    โนอาร์มานั่งชิงช้าในสวนสาธารณะตอนเข็มสั้นของนาฬิกาชี้เลขสี่ เป็นเวลาที่เขาจำได้ว่ามักจะเห็นกลุ่มเด็กขนาดตัวใกล้เคียงกับเขามาวิ่งเล่นรอคนมารับ ในตอนแรกเขาไม่รู้ว่ามีที่แบบนี้อยู่ใกล้บ้าน จนกระทั่งครั้งหนึ่งอาทิตย์พาผู้หญิงมาบ้านและเหมือนผู้หญิงคนนั้นบ่นอะไรสักอย่าง อาทิตย์เลยตัดปัญหาบอกทางเขามาที่นี่ฟ้ามืดค่อยกลับไป หลังจากนั้นเขาก็ชอบมานั่งเล่นเวลาเบื่อ ๆ ไม่ก็วันที่อาทิตย์กลับมาพร้อมผู้หญิง

    เด็กน้อยผู้มีดวงตาสีรัตติกาลสุขุมเกินวัย เลือกนั่งแกว่งชิงช้าเล่นเผื่อรอใครบางคน ไม่คิดฆ่าเวลาด้วยการรวมกลุ่มเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน เพราะรู้สึกรำคาญยามได้ยินเสียงโวยวายวี้ดว้ายของเจ้าพวกนั้น ซึ่งไม่นานนักคนที่เขารอก็เดินโบกมือทักทายมาแต่ไกล

    ‘มานั่งคนเดียวอีกแล้วไม่เหงาเหรอ ไม่ลองไปหาเพื่อนบ้างละ มีเพื่อนเยอะ ๆ แล้วเล่นอะไรสนุก ๆ ด้วยกันดีจะตาย’
    ‘ไม่เห็นดรีมจะมีเพื่อนสักคน’ คำตอบกลับของโนอาร์ถึงกับทำให้คนฟังรู้สึกสะอึกไปชั่วครู่ ก่อนเด็กชายวัยรุ่นจะพยายามแสร้งยิ้มแย้มกลบเกลื่อนพลางนั่งเล่นแกว่งชิงช้าตัวข้างกัน
    ‘ใครบอกไม่มี มีสิ.. พี่มีเพื่อนในโรงเรียนเยอะแยะเลย... แล้วก็เรียกว่าพี่ดรีมด้วย พี่แก่กว่าน้องโนตั้งเก้าปี มาเรียกคนอื่นห้วน ๆ มันดูไม่น่ารักนะ’
    ‘ไม่เห็นอาทิตย์จะว่าอะไรเลย’

    หลังได้ฟังดรีมก็ได้แต่เพียงถอนหายใจ เขาพยายามเข้าหาโนอาร์เพราะเห็นอีกฝ่ายมักนั่งอยู่คนเดียวทั้งบรรยากาศรอบตัวยังดูอึมครึมไม่สดใสเหมือนเด็กคนอื่น เขาจึงอยากทำความรู้จักและเป็นเพื่อนของเด็กคนนี้ อยากช่วยดึงออกมาจากโลกสีเทาหม่นให้เห็นสีสันงดงามที่เรียกว่าชีวิต จนเมื่อเขาได้รู้ว่าคนที่ช่วงชิงวัยเด็กและบังคับให้โนอาร์โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนเวลาก็คือคนชื่ออาทิตย์ ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูแลเด็กคนนี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาแทบจนปัญญาไม่รู้จะช่วยเอาความร่าเริงกลับคืนมาให้เด็กน้อยได้อย่างไร

    ‘ทำไมดรีมต้องไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือใช่ไหม?’ คำถามจากเสียงใสข้างตัว ถึงกับทำให้เด็กวัยรุ่นหลุดจากภวังค์
    ‘ใช่แล้ว ไปเรียนหนังสือ เดี๋ยวอีกหน่อยน้องโนก็ได้ไปโรงเรียนเหมือนกัน’
    ‘อยากไป แต่อาทิตย์บอกว่าไม่ได้ เพราะไม่มีประวัติ ไม่มีพ่อแม่’
    ‘ไม่เห็นเกี่ยวเลย! พี่เองก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน อยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่จำความได้ แต่ดูสิปีหน้าพี่ก็จะได้ขึ้นมอปลายแล้ว คน ๆ นั้นคิดอะไรอยู่ ไม่สนใจอนาคตน้องโนเลยหรือไง’ ดรีมบ่นอุบ เมื่อได้ฟังข้ออ้างไร้สาระของคนที่ชื่ออาทิตย์ ทว่าเด็กน้อยข้างกายหาได้รู้สึกร่วมด้วย มิหนำซ้ำยังยิงคำถามถัดไปทันที
    ‘แล้วดรีมทำยังไงถึงได้เรียน’
    ‘อา... พี่ไม่ได้ทำเองหรอก เจ้าหน้าที่บ้านเลี้ยงเด็กทำให้น่ะ’
    ‘อยากอยู่บ้านเลี้ยงเด็ก’
    ‘ไม่เอานะ! รู้ไหมเด็กในบ้านเลี้ยงเด็กก็อยากมีคนมารับไปอยู่ในครอบครัว เหมือนที่น้องโนมีคุณอาทิตย์ พี่พุธ พี่ดาวเสาร์ และก็พี่นัสไง... ถ้าคุณอาทิตย์ไม่ให้ลองขอกับคนอื่นดูไหม พี่ว่าสักคนเขาต้องยอมแพ้ให้กับความตั้งใจของน้องโนแน่นอน’
    ‘ถ้าไม่มีใครใครดูแลแล้ว จะได้อยู่บ้านเลี้ยงเด็กใช่ไหม’
    ‘…พวกคุณเขาไม่ใจร้ายทิ้งน้องโนหรอก’

    ดรีมเลี่ยงตอบคำถาม ทว่านั่นก็ชัดเจนมากพอสำหรับเด็กน้อยที่โตเกินวัย โนอาร์กระโดดลงจากชิงช้าเมื่อรับรู้สิ่งที่ต้องการ ก่อนเดินกลับบ้านเช่าโดยไม่แม้จะกล่าวลาใครอีกคนที่นั่งมองตามหลังด้วยความงุนงง โดยระหว่างทางกลับ ภายในความคิดแสนแยบยลของเด็กน้อย ก็เริ่มวางโครงดำเนินเกมมรณะเป็นครั้งแรก



    ‘บ้านนี้แม่งดวงดี อดฝึกยิงปืนเลยเนอะไอ้หนู’

     ดาวเสาร์เอ่ยคล้ายเสียดาย ขณะเดินกวาดสายตาหาของมีค่าในบ้านใหญ่ไร้ผู้พักอาศัยที่เป็นเป้าหมายในคืนนี้ ซึ่งโนอาร์ที่นั่งตรงโซฟาข้างหัวหน้าโจรอย่างอาทิตย์ ก็ไม่ได้ตอบกลับหรือมีท่าทีผิดหวังแม้แต่น้อย

    ‘ไม่อยู่น่ะดีแล้ว เห็นพี่อาทิตย์บอกบ้านนี้มีแค่ตาแก่กับลูกชาย ไม่มีสาวสักคน เสียเวลาเสียกระสุนเปล่า ๆ ...เออ แล้วนี่ไอ้นัสไปไหนป่านนี้ยังไม่- เหี้ยเอ้ย!! ไอ้พวกตำรวจมันมาได้ยังไงวะ!’
 
    ช่วงจังหวะที่พุธกำลังเอ่ยถามถึงรุ่นน้องอีกคนนั้นเอง ฉับพลันกลับมีเสียงไซเรนดังแทรกคล้ายมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่นานบริเวณหน้าบ้านก็สว่างโร่ด้วยไฟแดงสลับน้ำเงินและไฟหน้าของรถตำรวจหลายคัน เหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้เหล่าลูกน้องโจรกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก จนหัวหน้าอย่างอาทิตย์ต้องลุกขึ้นมาคุมสถานการณ์

    ‘ทางเราได้ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ยอมออกมามอบตัวคุยกันดีกว่า อย่าบังคับให้ทางเราต้องใช้วิธีรุนแรง’ ตำรวจนายหนึ่งใช้เครื่องขยายเสียง เอ่ยเจรจากับกลุ่มโจรภายในบ้าน
    ‘...หรือไอ้นัสทรยศพวกเรา! ถ้าเจอตัวมันจะกระทืบแม่งให้ตาย แต่ตอนนี้เอาไงดีพี่อาทิตย์’ พุธกล่าวอย่างเจ็บใจ ก่อนจะหันไปขอความเห็นกับหัวหน้า
    ‘ไม่ต้องไปสนใจพวกตำรวจ เอาของเท่าที่ขนได้ออกไปทางที่คุยกันไว้’
    ‘แต่ไอ้นัสมัน... ถ้าเราไป-’
    ‘ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าพวกตำรวจมันรู้ได้ยังไง แต่ที่แน่คนทรยศไม่ใช่นัส’

    อาทิตย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง โดยเสี้ยวจังหวะหนึ่งนัยน์ตาดุสีดำอันตรายกลับเหลือบมองไปยังเด็กน้อยอย่างยากคาดเดาความคิด ก่อนจะเดินนำกลุ่มออกจากบ้านผ่านทางหนีฉุกเฉิน

    ด้วยความมืดยามวิกาลดึกสงัด ผสานกับความเงียบของฝีเท้าและเงาพุ่มไม้อำพรางกาย ในที่สุดกลุ่มโจรสามคนรวมเด็กน้อยก็สามารถหลบสายตาตำรวจจนมาถึงจุดนัดพบ ซึ่งมีรถสำหรับขับหนีจอดรออยู่ ทว่ากลับไร้วี่แววคนรับหน้าที่เตรียมการอย่างนัส

    ความเงียบที่เคยเป็นอาวุธและความได้เปรียบ ยามนี้กลับสร้างความไม่ชอบมาพากลให้กับหัวหน้ากลุ่มโจรเสียแทน อาทิตย์ส่งสัญญาณให้เหล่าลูกน้องที่เดินตามให้หยุดรอ เมื่อสัมผัสถึงความผิดปกติ ถึงแม้ผู้เจนประสบการณ์อย่างอาทิตย์คล้ายจะรู้ตัว แต่ก็ไม่อาจก้าวทันแผนของใครบางคนที่วางไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

    ‘พรึบ!’
    ‘หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เราจับคนขับรถผู้สมรู้ร่วมคิดไว้แล้ว หยุดคิดหนีและยอมมอบตัวซะ!’

    คำประกาศของเจ้าหน้าที่ให้ยอมจำนน มาพร้อมแสงสว่างจ้าจากไฟหน้ารถตำรวจสาดใส่กลุ่มโจรที่อยู่กึ่งกลางวงล้อม จนพุธและดาวเสาร์เผลอหยีตาหลบแสงครู่หนึ่ง ผิดกลับอาทิตย์ที่อาศัยจังหวะนั้นคว้าตัวเด็กน้อยขึ้นมาล็อกคอฉับพลัน พร้อมกับใช้ปืนกดเข้ากลางขมับของโนอาร์เพื่อข่มขู่และใช้เป็นตัวประกัน

    ‘แค่ก! อะ.. อั่ก!..’
    ‘ปล่อยตัวเด็กเดี๋ยวนี้! ยอมมอบตัวซะ โทษของพวกนายจะได้เบาลง’ เสียงตำรวจผู้รับหน้าที่เจรจากล่าวเตือน ขณะที่เจ้าหน้าที่นายอื่นต่างยกปืนเล็งไปยังกลุ่มโจร เผื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุไม่คาดคิด
    ‘ตอนไหน? ตั้งแต่เมื่อไร?’

    อาทิตย์ไม่ได้สนใจท่าทีของเหล่าตำรวจที่รายล้อมแต่อย่างใด เพียงกระซิบถามเด็กน้อยที่พยายามดิ้นหนีด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแฝงโทสะรุนแรง พลางเพิ่มกำลังแขนล็อกคอยิ่งขึ้นจนใบหน้าของโนอาร์ขึ้นสีแดงเพราะขาดอากาศ แต่เพราะจดจ่อกับการเค้นความจริงมากเกินไป จึงทำให้เผลอลดความระวังโดยไม่ตั้งใจ

    ‘อึก! โนอาร์!’
 
    เด็กน้อยอาศัยช่วงทีเผลอ ใช้คมมีดพับขนาดเล็กซึ่งแอบซ่อนไว้กรีดเข้าที่แขนแกร่งเกิดเป็นแผลยาว จนอาทิตย์จำต้องปล่อยร่างเล็กลงพื้น โนอาร์เมื่อได้รับอิสระพลันรีบวิ่งไปหากลุ่มตำรวจที่รอรับอย่างรวดเร็ว ทว่าแม้จะวิ่งเต็มฝีเท้า เด็กวัยหกขวบก็ไม่อาจว่องไวเท่าผู้ใหญ่ ขณะที่โนอาร์วิ่งไปได้เพียงกลางทาง ปลายกระบอกปืนของอาทิตย์ก็ได้เล็งเป้าไปยังกลางหัวเด็กน้อย เพื่อส่งมอบความตายให้เป็นโทษทัณฑ์สุดท้ายในชีวิต

    ‘แกร๊ก!!’

    ไกปืนขัดแข็งไม่สามารถยิงได้อย่างที่ตั้งใจ ถึงกับทำให้นัยน์ตาสีดำสนิทชั่วร้ายหลุดเบิกกว้างขึ้นหนึ่งระดับ เป็นผลให้หัวหน้าโจรพลาดโอกาสสำคัญจนปล่อยโนอาร์วิ่งไปถึงมือตำรวจ ก่อนดวงตารัตติกาลของเด็กน้อยจะหันมามองสบกับอาทิตย์คล้ายย้อนไปครั้งแรกที่พบกัน ทว่าที่ต่างคือยามนี้บนใบหน้าไร้เดียงสานั้นกลับปรากฎรอยยิ้มมุมปากแบบเดียวกับที่เขาชอบทำ เสี้ยวความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาบังคับให้นัยน์ตาสีดำอันตรายละมามองปืนในมือ ถึงเพิ่งสังเกตว่าปืนถูกล็อกเซฟไว้ ไม่ต้องเดาชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าปืนคงถูกโนอาร์กดล็อก ตั้งแต่ช่วงเจ้านั้นแกล้งปัดมือไปมาตอนถูกรัดคอ ฉะนั้นหัวหน้าโจรที่รู้ชะตาจึงเผยยิ้มมุมปากต้นฉบับ เตรียมน้อมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง

    ‘ปัง!!’
    ‘พี่อาทิตย์!!! มึง!!’
    ‘ปัง!! ปัง!! ปัง!!’
    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!!’

    เสียงกระสุนสิ้นสุดลง พร้อมกับร่างของสามโจรถูกยิงวิสามัญล้มกับพื้นจมกองเลือด เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าไปประเมินสถานการณ์ก่อนจะส่งสัญญาณให้นายอื่นทราบว่าผู้ร้ายทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว ถือเป็นการปิดคดีของอาชญากรต่อเนื่องที่เลือกลงมือเฉพาะเหยื่อมีฐานะได้อย่างงดงาม

    ตำรวจนายหนึ่งรับหน้าที่พาเด็กน้อยตัวประกันไปนั่งรอในรถ เพื่อไม่ให้ภาพความรุนแรงเมื่อครู่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ และจังหวะนั้นเองที่โนอาร์ได้เห็นนัสที่ถูกคุมตัวอยู่ในรถอีกคัน และเหมือนคนถูกจับจะคาดเดาเหตุการณ์จากเสียงสนั่นได้ ถึงพยายามส่งยิ้มผ่านกระจกให้กำลังใจเด็กน้อยสื่อเป็นนัยว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร โดยนัสและเหล่าตำรวจต่างไม่รู้เลยว่าเด็กน้อยที่พวกตนพยายามปลอบประโลมนั้น แท้จริงคือผู้พาความตายมาสู่พวกพ้องอย่างเหี้ยมโหด และในอนาคตเมื่อโตขึ้น โนอาร์แสนไร้เดียวสาผู้นี้จะกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นไร้หัวใจที่ไม่มีใครกล้าต่อกร




บท30 สมบูรณ์







ถึงคนอ่าน


    อดีตของโนอาร์ยังไม่จบนะครับ ยังมีต่ออีกบท คนเขียนแบ่งเอาส่วนนี้มาลงก่อนเพราะกว่าคนเขียนจะเขียนเสร็จ กลัวว่าคนอ่านจะรอกันนานเกินไปครับ ซึ่งบทอดีตต่อของโนอาร์คนเขียนก็เขียนได้ครึ่งหนึ่งแล้วครับ ถ้าเสร็จแล้วคนเขียนจะรีบเอามาลงต่อให้เร็วที่สุดเลยครับ


    ที่ผ่านมาคนอ่านอาจสังเกตว่าไม่ว่าตอนไหนโนอาร์จะไม่พูดคำหยาบออกมาเลย บทนี้เป็นการเฉลยครับว่าวิธีการพูดและรอยยิ้มมุมปาก โนอาร์ได้มาจากใคร


    ในบทนี้คนอ่านอาจสังเกตได้ว่าโนอาร์แตกต่างจากเด็กทั่วไป เพราะความจริงแล้วโนอาร์เป็น ไซโคพาธ(Psychopaths) ครับ (อ่านรายละเอียดของ Psychopaths เพิ่มเติม: นิยามและความแตกต่างของ Psychopaths กับ Sociopaths และ High Functioning Sociopath (storylog.co) (https://storylog.co/story/5aba974ba01f2ea5765fc0a7))
    โนอาร์เกิดมาพร้อมกับสมองส่วนหน้าที่แตกต่างจากคนปกติ ทำให้โนอาร์ไม่สามารถรับรู้สัมผัสถึงความรู้สึกสงสารหรือเข้าอกเข้าใจคนอื่นครับ และเพราะไม่เข้าใจแต่ต้องอยู่ในสังคมที่ทุกคนล้วนมีความรู้สึกเหล่านั้น โนอาร์เลยต้องเลียนแบบการแสดงออกจากคนรอบตัวเพื่อให้กลมกลืนอยู่ในสังคม(คนอ่านอาจสังเกตได้จากบทก่อน ๆ ทุกครั้งเวลาที่โนอาร์ยิ้มแย้มคุยกับคนสวนหรือคนทั่วไป คนเขียนจะเขียนว่าโนอาร์กำลังใส่หน้ากากครับ) แต่ไม่ได้ความว่าคนเป็น Psychopaths ทุกคนจะกลายเป็นอาชญากรนะครับ คิดอยู่กับการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมครับ ถ้าเด็กเป็น Psychopaths แต่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นก็จะโตมาเป็นพลเมืองดีได้ครับ



    ‘ไซโคพาธรับรู้ความรู้สึกใครไม่ได้ คนที่เป็นไซโคพาธจึงไม่มีรักแท้เพราะรักตัวเองที่สุด’

ตรงนี้คนเขียนสร้างโนอาร์ให้ขัดแย้งจากประโยคข้างต้นในบทความที่คนเขียนไปศึกษามาครับ เพราะแม้ทุกการแสดงออกของโนอาร์จะไม่ได้ออกมาจากใจแค่เลียนแบบจากคนอื่น แต่ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดของโนอาร์และมีให้เอทอสคนเดียวเป็นของจริงครับ โดยสัญลักษณ์ครองคู่ในบทที่แล้วเป็นเครื่องยืนยัน
    ซึ่งนอกจากจุดนี้แล้ว คนเขียนไม่ได้ปรับลักษณะของการเป็น Psychopaths ส่วนอื่นอีก แต่หากส่วนใดในเนื้อหาที่คนเขียนสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Psychopaths คนอ่านสามารถแจ้งให้คนเขียนปรับแก้ได้เลยนะครับ


    และเมื่อใดที่เนื้อเรื่องเริ่มเฉลยปมหรืออดีตของตัวละคร เป็นสัญญาณเตือนว่าเรื่องนั้น ๆ ใกล้จะถึงบทสรุป และใช่ครับ อีกประมาณ 10 ตอน(คนเขียนประมาณคร่าว ๆ) เรื่องราวของเอทอสโนอาร์ก็จะจบลงแล้วครับ คนเขียนขอขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ผ่านไปมาและทุกคนอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ และหวังว่าคนอ่านจะอยู่ส่งเอทอสกับโนอาร์จนถึงบทสุดท้ายเลยนะครับ และสุดท้าย สุขสันต์วันสิ้นปีครับคนอ่านทุกท่าน^^




    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย พิเศษสำหรับคนอ่านที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้นะครับ(รวมถึงคนอ่านที่เลื่อนผ่าน ๆ แล้วมาเจอบรรทัดนี้พอดีด้วยครับ 5555)
ทำไมวรรษถึงรู้จักโนอาร์? หากคนอ่านลองย้อนกลับไปอ่านในบทที่ 16 กับ 18 ช่วงที่วรรษคุยกับวิญญาณรับใช้ จะมีวิญญาณรับใช้อยู่ตนหนึ่งพูดห้วน ๆ กับวรรษ ไม่ได้สุภาพครับ/ค่ะเหมือนวิญญาณตนอื่น วิญญาณรับใช้ตนนั้นชื่ออาทิตย์ครับ...


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 30 เด็กน้อย) [28/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-12-2020 01:11:48
โหดแต่เด้กน้อออ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 31 นักฆ่า]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 06-01-2021 09:49:29
    หลังคดีใหญ่ในสังคมถูกปิด เด็กน้อยตัวประกันก็ถูกพาเข้ารับการประเมินรักษาสภาพจิตใจจนเรียบร้อย จึงถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์เพื่อรับช่วงดูแลต่อไป และไม่รู้ด้วยความบังเอิญหรือเหตุใดโนอาร์จึงได้มาอยู่บ้านเลี้ยงแห่งเดียวกับดรีม ซึ่งตัวรุ่นพี่เองเมื่อทราบข่าวก็ไม่คิดเก็บซ่อนความดีใจแต่อย่างใด
    โนอาร์ในวัยหกขวบครึ่งเริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่อันรายล้อมไปด้วยเด็กวัยไล่เลี่ยกันและโตกว่าหลายปี มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเด็กส่วนใหญ่เรียกว่าแม่ คอยดูแลให้ความรักความอบอุ่น แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้สำหรับโนอาร์กลับกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดเสียแทน เพราะเขาต้องแสร้งร่าเริงยิ้มแย้มเลียนแบบตามเด็กคนอื่น เพื่อจะได้ไม่ถูกพวกผู้ใหญ่เพ่งเล็งเหมือนช่วงแรก ๆ อีก

    ช่วงเวลาที่โนอาร์รู้สึกสนุกจริง ๆ จึงมีแค่ตอนผู้ใหญ่ผลัดสลับกันเข้ามาสอนปรับพื้นฐานเตรียมสำหรับเข้าโรงเรียน ซึ่งนั่นทำให้เด็กน้อยได้ในสิ่งที่ต้องการหรือเหนือกว่าที่คาดไว้มาก ในยามนี้เด็กน้อยไม่เพียงแค่อ่านอักษรออก แต่ยังสามารถเขียนข้อความรวมถึงบวกลบเลขได้แล้ว โดยทั้งหมดเป็นผลพลอยได้จากสติปัญญาอันเฉียบแหลม มรดกหลงเหลือจากสองผู้ให้กำเนิด และเพียงไม่นานนัก จากเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรก็สามารถเรียนตามทันหรืออาจล้ำหน้าเกินเด็กบางคนในวัยเดียวกัน

    ‘พรุ่งนี้ก็ได้ไปโรงเรียนกับเพื่อน ๆ แล้วนะ ดีใจไหมน้องโน’ ดรีมเอ่ยทักเด็กน้อยที่นั่งอยู่คนเดียวใต้เงาต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะนั่งลงบริเวณที่วางด้านข้าง
    ‘ไม่... แล้วจะได้ไปโรงเรียนเดียวกับดรีมหรือเปล่า’ เด็กน้อยตอบกลับ โดยสายตายังมองตรงไปข้างหน้า ไม่คิดเหลียวมองคนชวนคุยด้วยแม้แต่น้อย
    ‘เรียกว่าพี่ดรีมบ้างสิ ทีกับคนอื่นน้องโนยังพูดเพราะเลย’

    คนแก่กว่าบ่นอุบ เหตุเพราะตอนนี้ดรีมเป็นคนเดียวที่โนอาร์เรียกแบบห้วน ๆ แม้จะแลกกับการที่เขาเป็นคนเดียวที่โนอาร์ดูสนิทและยอมเปิดใจคุยก็ตาม ทว่าถึงจะลองแกล้งกล่าวเชิงตัดพ้อไป เด็กน้อยก็ไม่มีแววว่าจะสนใจเขาเลย ดังนั้นตัวรุ่นพี่จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างปลงตก ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามที่ค้างไว้

    ‘พี่ก็อยากอยู่โรงเรียนเดียวกับน้องโนนะ แต่พี่โตแล้วต้องเข้าโรงเรียนมัธยม ส่วนน้องโนยังเด็กอยู่เลยเข้าโรงเรียนประถม’
    ‘…’
    ‘…’
    ‘…’
    ‘อา... เหมือนจะได้เวลาข้าวเย็นแล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะน้องโน เดี๋ยวเพื่อน ๆ จะหิวเอานะ’ ดรีมเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบเกินไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมหันกลับมายื่นมือรอเด็กน้อย
    ‘ทำไมต้องรอกินพร้อมกัน ไม่ต่างคนต่างกิน’ โนอาร์ว่าคล้ายรำคาญ แต่ก็ยอมเอื้อมไปจับมือและลุกตามรุ่นพี่
    ‘กินพร้อมกันอร่อยกว่านะ ยิ่งได้กินพร้อมครอบครัวหรือคนรักนะน้องโนจะรู้สึกอบอุ่นมาก ๆ เลยละ’
    ‘รู้ได้ยังไง’ น้ำเสียงใสที่เริ่มติดความเรียบนิ่งถามกลับ เพราะเด็กน้อยจำได้ว่าทุกคนที่อยู่นี่แสดงว่าไม่มีทั้งสองอย่าง
    ‘รู้สิ... ถึงแม้พวกเราที่นี่จะไม่ใช่ครอบครัวกันจริง ๆ แต่เวลาที่เราได้พูดคุยกัน กินข้าวด้วยกันมันก็อบอุ่นในใจลึก ๆ เหมือนกันนะ ถ้าวันหนึ่งน้องโนโตแล้วมีคนรักหรือมีครอบครัวของตัวเอง พี่เชื่อว่าทั้งน้องโนและคนที่น้องโนรักจะต้องอยากรอกินข้าวพร้อมกันแน่นอน... ถึงตอนนั้นน้องโนมาบอกพี่ด้วยนะว่าน้องโนมีความสุขหรือเปล่า’

    โนอาร์ไม่ได้เอ่ยตอบกลับแต่อย่างใด เพียงนิ่งฟังคำพูดมากมายผสานแววตาเปี่ยมล้นด้วยความฝันและความสุขของรุ่นพี่ จนเมื่อมาถึงโรงอาหารโนอาร์ก็เดินแยกตัวไปหาเด็กวัยเดียวกันทันทีอย่างไม่คิดบอกกล่าว ซึ่งดรีมก็ไม่ได้เรียกรั้งไว้มิหนำซ้ำยังเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจ เพราะคิดว่าเด็กน้อยคงฟังคำของเขาแล้วอยากกินข้าวพร้อมเพื่อน ๆ ทว่าความจริงเด็กน้อยแค่รู้สึกรำคาญเลยตีตัวออกห่างก็เท่านั้น


    ในเช้าวันใหม่อันสดใส เด็กน้อยโนอาร์ย่างเท้าเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก กลุ่มเด็กกำพร้าที่มาด้วยกันตอนนี้ต่างแยกไปหากลุ่มเพื่อนเหลือเพียงเด็กใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน นัยน์ตารัตติกาลสงบสุขุมเกินวัยหันมองสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวขณะเดินชมสถานที่ อาคารสูงตั้งรายล้อมลานกว้างที่ถูกเรียกว่าสนาม มีเด็กตัวโตกว่าเขายึดพื้นที่เล่นเตะลูกบอล ปลายเท้าเล็กจึงเปลี่ยนทิศเข้าใต้อาคารเพื่อหาที่นั่งรอ ทว่ากลับพบกลุ่มเด็กวิ่งไล่จับ บ้างก็นั่งรวมกลุ่มคุยส่งเสียงดังเจื้อยแจ้ว จนเรียวคิ้วเล็กบนใบหน้าเรียบนิ่งไร้เดียวสาเริ่มขมวดมุ่นอย่างรำคาญ ความประทับใจแรกพังสิ้นไม่มีเหลือ ชวนนึกถึงคำเตือนของคนที่ตายไปแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่าสนุกเหมือนที่เขาวาดหวังไว้ ซึ่งเด็กน้อยก็ได้แต่พยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะเดินปลีกตัวออกไปหามุมอื่นเงียบ ๆ แทน

    ช่วงเวลาน่าเบื่อผ่านพ้น ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เด็กน้อยรอคอย ครูประจำชั้นกล่าวแนะนำโนอาร์กับเด็กนักเรียนในห้องก่อนจะปล่อยเด็กน้อยเลือกที่นั่ง อันดับแรกดวงตารัตติกาลพลันกวาดสายตาสำรวจเพื่อนใหม่ ซึ่งพบว่าเขาเป็นเด็กจากสถานสงเคราะห์คนเดียวที่ได้อยู่ห้องนี้ ต่อมาเด็กใหม่จึงเริ่มมองหาโต๊ะว่าง แถวหลังสุดมีโต๊ะว่างตั้งเรียงกันไร้คนจับจอง กับโต๊ะตัวหนึ่งข้างเด็กนักเรียนชายตัวอ้วนซึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน เห็นเช่นนั้นเด็กน้อยก็ไม่แทบเสียเวลาคิด

    ‘ครืด...’ เก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะหลังห้องถูกเด็กน้อยลากขยับ เพื่อวางกระเป๋าและแทรกตัวนั่ง ราวกับประกาศเป็นนัยว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใคร



    ‘ทำไมไม่นั่งด้วยกันฮะ?’

    นักเรียนชายตัวอ้วนเข้ามาถามเด็กใหม่ในช่วงพักกลางวัน ส่งผลให้โนอาร์จำต้องเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนเด็กที่หยิบมาจากชั้นวางตรงมุมห้อง นัยน์ตารัตติกาลมองผู้มาขัดขวางเวลาว่างของเขา พบว่าเป็นเด็กชายตัวอ้วนผู้นั่งโต๊ะห้อมล้อมด้วยเหล่าเพื่อนนักเรียน ทว่ากลับไม่มียอมใครนั่งข้าง ๆ

    ‘น่ารำคาญ หนวกหู’

    เสียงใสติดเรียบนิ่งเอ่ยตอบ พลางหันกลับไปดูหนังสือตามเดิม ราวกับคนยืนอยู่ข้างโต๊ะเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ค่า เด็กชายตัวอ้วนซึ่งไม่มีเพื่อนในห้องคนไหนกล้ามีเรื่องด้วย พอถูกเด็กใหม่ว่าพร้อมแสดงท่าทีหมางเมินก็พลันเกิดอาการไม่พอใจ มือจ้ำม่ำจึงฉวยแย่งหนังสือจากมือโนอาร์เพื่อเป็นการสั่งสอน

    ‘นี่แน่ะ! ไอ้ลูกไม่มีพ่อ! ไอ้ลูกไม่มีแม่!’

    เด็กตัวอ้วนขโมยหนังสือวิ่งไปกลางห้อง ก่อนหันกลับมาตะโกนล้อเลียนถากถางเด็กใหม่จนเหล่าเพื่อนคนอื่น ๆ เริ่มมองด้วยความสนใจ เด็กแก่นบางคนเห็นเป็นเรื่องสนุกก็แกล้งร้องตาม ไม่นานเด็กน้อยโนอาร์ก็ถูกสายตาจากคนทั้งห้องจ้องมองท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานแฝงถ้อยคำตอกย้ำปมด้อย

    ‘เอาคืนมา’

    เสียงเรียบนิ่งซึ่งเริ่มแฝงความอันตรายกล่าวเตือน พร้อมกับลุกเดินไปหาเด็กอ้วน ทว่าอีกฝ่ายกลับวิ่งหนีไปรอบห้อง และเมื่อโนอาร์ใกล้ไล่ทันอีกฝ่ายก็โยนหนังสือการ์ตูนให้คนอื่น เห็นเช่นนั้นเด็กน้อยก็รู้ทันทีว่าคงเหนื่อยเปล่า ความคิดแยบผลเกินวัยจึงเริ่มคิดหาหนทางก่อนนัยน์รัตติกาลจะหันไปเห็นกระเป๋าเป้ตรงโต๊ะของเด็กอ้วน ฉับพลันรอยยิ้มมุมปากไม่น่าวางใจจึงปรากฏขึ้น

    ‘จะทำอะไรน่ะ! เอาคืนมานะ!!’

    จากการวิ่งหนีในทีแรก ยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นวิ่งไล่ตามเสียแทน เมื่อเด็กอ้วนเกเรเห็นว่าเด็กใหม่หยิบกระเป๋าของตนเดินไปทางหน้าต่าง ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับและสีหน้าโกรธติดกังวลของเด็กอ้วนกลับยิ่งทำให้เด็กน้อยโนอาร์รู้สึกสนุก ดังนั้นฝีเท้าเด็กน้อยจึงเปลี่ยนจากการเดินธรรมดาเป็นการวิ่ง

    ‘อย่านะ!!!’
    ‘พรึ่บ!!’

    เสียงร้องห้ามตะโดนสุดเสียง พร้อมกับกระเป๋าที่ถูกขว้างสุดแรงออกไปนอกหน้าต่าง เหล่าสมุดหนังสือและเครื่องเขียนที่แม่เพิ่งซื้อให้ ตอนนี้ต่างหลุดกระจายออกจากกระเป๋าที่ไม่ได้ปิด ทุกสิ่งอย่างล่องลอยอยู่กลางอากาศโดยมีเด็กอ้วนผู้เป็นเจ้าของเกาะขอบหน้าต่างพยายามยื่นมือไปเอื้อมคว้าสุดแขนทว่าก็ได้เพียงความว่างเปล่า ได้แต่ปล่อยให้ข้าวของร่วงตกลงไปชั้นล่างคาตาอย่างไม่อาจทำอะไรได้ ซึ่งภาพดังกล่าวนั้นถือว่างดงามมากในสายตารัตติกาลเยือกเย็น

    ‘หน็อยแน่!’

    เด็กอ้วนในอารมณ์โกรธจัดหันมามองคนทำด้วยความเครียดแค้น ก่อนวิ่งไปทางโต๊ะของเด็กใหม่เพื่อหวังจะทำแบบเดียวกัน ทว่าเด็กน้อยฉุนเฉียวด้วยโทสะกลับไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเข้าไปในกับดักของเด็กอันตราย

    ‘พลั่ก!’
    ‘โครม!!!’

    โนอาร์วิ่งตามก่อนกระโดดถีบเข้ากลางหลังเด็กอ้วนซึ่งกำลังดึงกระเป๋าออกจากเก้าอี้ ส่งผลให้ร่างอ้วนจ้ำม่ำล้มกระแทกเก้าอี้ลงไปร้องโอดโอยตรงพื้นห้อง การกระทำรุนแรงเกินกว่าใครคาดคิดทำให้เหล่านักเรียนที่ส่งเสียงร้องล้อเลียนต่างหยุดเงียบ และพากันวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเด็กอ้วน ทว่าเด็กน้อยเจ้าของนัยน์ตารัตติกาลซึ่งกำลังสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นที่ไม่ได้รู้สึกมานาน เมื่อได้เห็นสีหน้าและเสียงร้องเจ็บปวดอันคุ้นเคยสมัยเล่นยิงปืนกับอาทิตย์อีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมปล่อยของเล่นชิ้นนี้หลุดมือไปโดยง่าย

    ‘โครม!!!!’
    ‘กร๊อบ!! อ๊ากกกกก!!’

    มือเล็กพลันผลักโต๊ะล้มใส่ร่างเด็กอ้วนตรงพื้นก่อนที่เหล่าเพื่อนจะยื่นมือมาช่วยทัน ความหนักของตัวโต๊ะหล่นกระแทกทับแขนจ้ำม่ำจนได้เสียงยินแตกของกระดูก ตามด้วยเสียงร้องลั่นของเด็กอ้วน หยาดน้ำตามากมายไหลทะลักรินผิวแก้มที่ส่ายหน้าดิ้นพล่านอย่างเจ็บปวดเกินพรรณนา ซึ่งกลุ่มเพื่อนร่วมห้องก็แต่ยืนมุงดูอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เด็กผู้ชายบางคนเห็นที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้สึกโกรธ พลางหันไปหาเด็กใหม่หมายจัดการแก้แค้น ทว่าเมื่อได้สบนัยน์ตารัตติกาลที่ฉายแววสนุกบ้าคลั่งราวกับผู้ล่ากำลังเล่นหยอกเหยื่อ ความหวาดกลัวก็พลันเข้าเกาะกุมจิตใจ ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกไร้ที่มาเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่างจนรู้สึกสั่นเทา และสุดท้ายทุกคนที่คิดเอาคืนก็จำต้องละทิ้งความคิด ไม่กล้ายุ่งเกี่ยว

    ‘เกิดอะไรขึ้น!!’

    ครูประจำชั้นเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อวิ่งเข้ามาในห้องหลังได้ยินเสียงกรีดร้อง แล้วพบหนึ่งในนักเรียนของตนถูกโต๊ะล้มทับแขน ครูผู้รับผิดชอบจึงรีบยกโต๊ะออกแล้วดูอาการนักเรียน โดยระหว่างนั้นก็พยายามหาคนทำไปด้วย ทว่ากลับไม่มีเด็กคนไหนยอมตอบคำถาม จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

    ‘เพื่อนขโมยหนังสือการ์ตูน เขาเลยเอากระเป๋าของคนแกล้งไปทิ้งหน้าต่าง คนที่แกล้งเลยโกรธจะเอากระเป๋าไปทิ้งบ้าง แต่โดนผลักล้มและโต๊ะก็หล่นลงมาทับ’ น้ำเสียงสงบนิ่งกล่าวตอบ พร้อมกับชี้นิ้วไปหาเด็กที่มีหนังสือการ์ตูนในมือ
    ‘ปะ.. เปล่านะ! ผมไม่ได้ทำนะ!’ เด็กผู้กลายเป็นแพะรีบปฏิเสธ ครูประจำชั้นจึงหันไปกล่อมและถามเด็กอ้วนที่กำลังร้องไห้เพื่อพิสูจน์ความจริง
    ‘เพื่อนคนนี้ใช่คนทำหรือเปล่า’

    ครูประจำชั้นถามพลางชี้ไปหาเด็กที่โดนกล่าวหา เด็กอ้วนเตรียมส่ายหน้ายืนยันความบริสุทธิ์ ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นผู้ร้ายตัวจริงกำลังจ้องตนด้วยนัยน์ตาเยียบเย็นน่ากลัว มือเล็กวางจับตรงพนักเก้าอี้คล้ายพร้อมผลักให้ล้มทับเท้าของตนได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นเด็กอ้วนผู้ขยาดหวาดกลัวก็จำต้องหลับตาฝืนพยักหน้าไป

    ‘ไม่... ไม่ใช่ผมนะ! เด็กใหม่ต่างหากเป็นคนทำ! เพื่อนคนอื่นก็-’

    เด็กถูกใส่ร้ายพยายามหาตัวช่วย แต่น่าเศร้าเมื่อดวงตาลนลานหันมองเพื่อนพ้อง กลับเห็นทุกคนล้วนก้มหน้าหนีปิดปากเงียบ จะมีก็เพียงเจ้าของนัยน์ตารัตติกาลที่จ้องเขานิ่ง ๆ เป็นผลให้ความขลาดกลัวทั้งจากเด็กใหม่และความผิดที่ไม่ได้ก่อเข้าประดังรุมเร้า จนแพะตัวน้อยได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะโดนครูจูงมือออกจากห้องพร้อมเด็กอ้วนที่บาดเจ็บ

    หลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น ห้องเรียนก็กลับสู่ความสงบเงียบเชียบอย่างที่ใครบางคนต้องการ โนอาร์เดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ก่อนกลับมานั่งอ่านที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางเหล่าสายตาเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงลอบมองและไม่ไปไหน จนเด็กน้อยรู้สึกรำคาญพลันนัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งเยือกเย็นจึงตวัดขึ้นมองกลุ่มคนมุง เป็นผลให้เหล่าเด็กที่รายล้อมต้องรีบกระจายตัวเดินหนีถอยห่าง และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าล้อเลียนหรือยุ่งกับนักเรียนใหม่ของห้องอีกเลย



    ‘เป็นไงบ้าง เรียนวันแรกสนุกไหม’
    ‘สนุกดี’

   โนอาร์ตอบกลับคำถามของดรีม พลางนึกถึงความตื่นเต้นเมื่อช่วงกลางวัน ตอนนี้เด็กน้อยและเด็กวัยรุ่นกำลังเดินกลับสถานสงเคราะห์ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน โดยเหตุที่ดรีมมาอยู่กับโนอาร์ได้ก็เพราะตัวรุ่นพี่เมื่อเรียนเสร็จก็รีบมารอรับเด็กน้อยตรงหน้าประตูทางออก เคราะห์ดีที่โรงเรียนประถมกับมัธยมไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก ทำให้ไม่คลาดกันเสียก่อน

    ‘อะนี่ พี่ซื้อมาเผื่อ’ ดรีมยื่นไก่ทอดไม้หนึ่งให้เด็กน้อยซึ่งมือเล็กก็รับไปโดยง่าย ดวงตารัตติกาลมองสำรวจของในมือครู่หนึ่งก่อนจะยอมกัดเข้าปาก
    ‘...อร่อย’
    ‘ใช่ไหมล่ะ! พี่ซื้อมาจากร้านหน้าโรงเรียนน้องโนนั่นแหละ เมื่อก่อนตอนพี่เรียนที่นี่พี่ชอบซื้อกินหลังเลิกเรียนประจำเลย’
    ‘แล้วจะไปไหน?’

    เสียงใสเรียบนิ่งเอ่ยถามไม่เข้ากับบทสนทนา เมื่อเห็นว่าทางที่อีกฝ่ายพาเดินหาใช่ทางกลับสถานสงเคราะห์ ทว่ารุ่นพี่เพียงหันมามองยิ้ม ๆ ไม่คิดตอบคำถาม สักพักหนึ่งบริเวณรอบข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นบรรยากาศคุ้นตาของเด็กน้อย และไม่นานสถานที่ซึ่งเด็กน้อยไม่มีโอกาสได้มาเยือนหลังเข้าไปอยู่ในการดูแลของบ้านเลี้ยงเด็ก ก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้า

    ‘คิดถึงไหมน้องโน มานั่งเร็ว’

    ดรีมเดินนำไปนั่งชิงช้า ก่อนกวักมือเรียกเด็กน้อยให้มานั่งชิงช้าตัวข้างกัน แน่นอนว่าโนอาร์ไม่คิดปฏิเสธ เด็กน้อยนั่งลงบนชิงช้าประจำตัวและเริ่มแกว่งไปมา นัยน์ตารัตติกาลมองเหล่าเด็กในสวนสาธารณะวิ่งเล่นสนุกสนาน แล้วจึงหันมองเด็กชายวัยรุ่นข้างตัว ซึ่งเป็นจังหวะที่ชิงช้าแกว่งไปข้างหลังพอดี ทำให้ดวงตาเด็กน้อยทันเห็นรอยสกปรกกลางหลังเสื้ออีกฝ่าย

    ‘ทำไมหลังถึงมีรอยเท้า’ โนอาร์เอ่ยถามรุ่นพี่ พลางลอบสังเกตดูปฏิกิริยาไปด้วย จึงทันเห็นท่าทีชะงักเล็กน้อยของอีกฝ่าย ก่อนจะเผยรอยยิ้มตอบกลับที่เด็กน้อยเพียงมองครู่เดียวก็รู้ว่ากลบเกลื่อน
    ‘พี่เล่นกับเพื่อนที่โรงเรียนมาน่ะ แต่เล่นแรงไปหน่อยเสื้อเลยเป็นรอย สงสัยคืนนี้ต้องรีบซักแล้วล่ะ’
    ‘…’
    ‘น้องโนชอบมานั่งเล่นในสวนสาธารณะเพราะอะไรเหรอ’
    ‘…’
    ‘พี่ชอบมาที่นี่เวลารู้สึกอยากเติมพลังน่ะ ตอนที่เหงา หรือเศร้าท้อแท้ พี่จะหลับตาหายใจเข้าลึก ๆ ผ่อนลมออกช้า ๆ ฟังเสียงลม เสียงธรรมชาติ เสียงผู้คน ปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า ให้สิ่งรอบข้างช่วยปลอบ’

    ดรีมเอ่ยพลางหลับตาและเริ่มไกวชิงช้า ใบหน้าของชายวัยรุ่นยามนี้กลับดูผ่อนคลาย ราวกับละทิ้งตัวตนจากปัจจุบันแล้วเลือนหายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม บรรยากาศละมุนบางเบารอบกายรุ่นพี่แผ่มาถึงโนอาร์ พานทำให้เด็กน้อยรู้สึกสงบตามอย่างประหลาด คล้ายความบริสุทธิ์อ่อนโยนจากอีกฝ่าย ค่อย ๆ ชำระล้างจิตใจที่ถูกแต่งแต้มสีดำทีละน้อย

    ‘…’
    ‘กลับกันเถอะ ถ้าเย็นกว่านี้เดี๋ยวจะโดนดุเอา’ รุ่นพี่เอ่ยพลางสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งสุดท้าย ก่อนลืมตาลุกออกจากชิงช้าแล้วหันมาชวนเด็กน้อยกลับสถานสงเคราะห์


    หลังจากวันนั้น ทุกวันหลังเลิกเรียนดรีมและโนอาร์ก็มักจะแวะนั่งเล่นที่สวนสาธารณะก่อนกลับบ้านเลี้ยงเด็กจนกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน ทว่ายิ่งเวลาผันผ่าน โนอาร์ที่เริ่มโตกลับยิ่งสังเกตเห็นร่องรอยบนตัวอีกฝ่ายเด่นชัดมากขึ้น แต่ทุกครั้งเมื่อเอ่ยถามสาเหตุ ตัวรุ่นพี่กลับแสร้งยิ้มแล้วบอกว่าเป็นการเล่นกันปกติ ซึ่งแน่นอนรุ่นน้องผู้รับฟังรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นคำโกหก ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ไม่ได้พูดหรือสนใจมากนัก เพราะคิดว่าถ้าอีกฝ่ายทนไม่ไหวเมื่อไรก็คงหาทางทำอะไรสักอย่างเอง

    ‘นี่จ้ะหนุ่มน้อย’

    เสียงแม้ค้าเอ่ยเรียกพร้อมส่งถุงซึ่งภายในมีไก่ทอดสองไม้ให้เด็กน้อย โนอาร์ในวัยเก้าขวบรับของก่อนยื่นเงินให้แม่ค้า จากนั้นจึงหยิบไก่หนึ่งไม้ขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยเหลืออีกไม้ไว้ให้ใครบางคน เหตุเพราะเขาเคยถูกติงหลายครั้งว่าให้รู้จักแบ่งปันทั้งจากดรีมและครูในโรงเรียน
 
    ‘เอ... แล้วพี่ยังไม่มาอีกเหรอ แปลกจังปกติต้องมายืนรอแล้วนะ’

    แม่ค้าถามอย่างสงสัย ซึ่งก็ไม่ได้รับคำตอบใดจากเด็กน้อยที่มีลักษณะนิ่งสุขุมเกินวัย นัยน์ตารัตติกาลเหลือบมองไปทางที่นักเรียนมัธยมทยอยเดินกันออกมา ทว่าตราบจนไก่ทอดในมือถูกกินจนหมดก็ยังคงไร้เงาของรุ่นพี่คนรู้จัก ดังนั้นเด็กน้อยผู้มีความอดทนต่ำจึงฝากข้อความถึงคนมาช้าไว้กับแม่ค้า

    ‘ถ้าพี่ดรีมมาแล้ว บอกว่าผมไปนั่งชิงช้าเล่นนะครับ’
    ‘ได้จ้า เดี๋ยวป้าบอกให้นะ’ เมื่อได้ยินคำตอบรับ เด็กน้อยจึงเดินจากไป

 
    จวบจนเย็นย่ำ เหล่าเด็กที่เคยวิ่งเล่นในสวนสาธารณะล้วนมีผู้ปกครองมารับกลับบ้านกันหมด เป็นสัญญาณให้โนอาร์ซึ่งนั่งแกว่งชิงช้าเพียงลำพังจำต้องกลับสถานสงเคราะห์แล้วเช่นกัน เด็กน้อยลุกจากชิงช้าเดินไปหยิบกระเป๋าที่ถอดพิงไว้ตรงเสาขึ้นสะพาย แล้วจึงก้มหยิบถุงซึ่งด้านในมีไก่ทอดเย็นชืดไม้หนึ่ง นัยน์ตารัตติกาลขุ่นมัวมองของกินก่อนมือเล็กจะออกแรงขย้ำบี้ด้วยความหงุดหงิดที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด

    โนอาร์เดินเข้าสถานสงเคราะห์ในเวลาใกล้พลบค่ำ ทันทีที่เข้าตัวอาคารเหล่าผู้ดูแลเด็กต่างรีบมาถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง เด็กน้อยตอบคำถามตามความจริงพลางลอบสังเกตท่าทีของพวกผู้ใหญ่ ความผิดปกติของสีหน้ายามเขาเอ่ยชื่อถึงดรีมรุ่นพี่ ทำให้เรียวคิ้วเล็กเผลอขมวดเข้าหากันก่อนรีบคายออกเมื่อรู้สึกตัว จากนั้นโนอาร์จึงลองแกล้งถามหยั่งเชิง

    ‘พี่ดรีมกลับมาหรือยังครับ ผมซื้อไก่มาฝากพี่เขาด้วย’ ทันทีที่ได้ฟังเสียงใสไร้เดียงสาเอ่ยถาม กลุ่มผู้ดูแลต่างชะงักไปชั่วครู่พลางมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี จนกระทั่งมีผู้ดูแลคนหนึ่งคล้ายอาสาตอบคำถามเด็กน้อย
    ‘อ๋อ... วันนี้พี่ดรีมเขาไม่ค่อยสบายน่ะ เลยขึ้นห้องหลับไปแล้ว... โนอาร์กลับมาคงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม ลองไปถามแม่ครัวดูนะ พอเสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า’

    ผู้ดูแลกล่าวแนะนำ ซึ่งเด็กน้อยก็พยักหน้าอย่างง่ายดายก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางโรงอาหารตามคำบอก และเมื่อเหล่าผู้ใหญ่ไม่เห็นเด็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้มก็กลับมาเคร่งเครียดตามเดิม ก่อนจะเริ่มพูดถึงสิ่งคุยค้างไว้

    ‘เราจะบอกความจริงกับโนอาร์ดีไหม เด็กคนนั้นสนิทกับดรีมมากด้วย’ ผู้ดูแลที่คุยกับเด็กน้อยหันมาถามความเห็น
    ‘อย่าดีกว่า โนอาร์ผ่านความสูญเสียมามากถ้ารู้เข้าอาจไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ดี และเรื่องนี่มันค่อนข้างสะเทือนความรู้สึกควรเก็บให้ห่างจากเด็กเล็กคนอื่น ๆ ด้วย ส่วนเด็กโตใครจะไปร่วมงานก็ไปได้ แต่คอยดูเรื่องชุดให้เป็นสีดำ ไม่ก็สีขาวสุภาพ’ หัวหน้าผู้ดูแลกล่าวแนะนำ
    ‘....มันเป็นอุบัติเหตุแน่เหรอ ไม่ใช่ถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งจน-’
    ‘ตำรวจบอกว่าเป็นอุบัติเหตุก็คงต้องตามนั้น’

    เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลที่แอบลอบฟังพวกผู้ใหญ่อยู่หลังกำแพง มองของฝากในมือนิ่งงันยากคาดเดาความรู้สึก ความคิดแยบยลเกินวัยเริ่มประติดประต่อเรื่องราว จนเมื่อได้ผลสรุปความคิดเป็นที่แน่นอน เด็กน้อยจึงเดินต่อไปทางโรงอาหาร ระหว่างทางร่างเล็กเดินผ่านทั้งขยะ ไก่ทอดเย็นชืดพลันถูกโยนทิ้งลงไปในถุงดำสนิทราวกับของไร้ค่า เพราะไม่ว่ายังไงของฝากที่อุสาซื้อเผื่อและนั่งรอ ก็คงไม่มีโอกาสถึงมือคนรับ รวมถึงเขาที่คงไม่มีวันได้พบคนคนนั้นอีกชั่วนิรันดร์



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 31 นักฆ่า]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 06-01-2021 09:52:33
(ต่อ)

    กาลเวลาและคืนวันค่อย ๆ เปลี่ยนเด็กน้อยให้กลายเป็นเด็กหนุ่ม ลักษณะดีตามชาติกำเนิดนอกเหนือสติปัญญา ซึ่งแฝงลึกอยู่ในสายเลือดยิ่งแสดงออกเป็นสง่า ขับชูรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณให้โดดเด่นเหนือคนทั่วไป ยามนี้โนอาร์ในวัยสิบเจ็ดปีจึงไม่ต่างจากเจ้าชายสูงศักดิ์ ราวกับเพชรน้ำดีที่เพิ่งถูกกะเทาะออกจากหินส่องประกายระยิบระยับ ราศีเจิดจรัสของโนอาร์ได้กลบทุกข้อด้อยจำกัด ความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากสถานสงเคราะห์จึงไม่มีใครนึกใส่ใจ และด้วยเหตุนี้ ชีวิตวัยรุ่นของโนอาร์จึงแวดล้อมด้วยผู้คนทั้งชายหญิงไม่ขาด

    ทว่าภายใต้ความสมบูรณ์แบบที่ผู้คนต่างเชยชม กลับเก็บงำความดำมืดชั่วร้ายเกินจินตนาการ โดยเหล่าสีดำสกปรกซึ่งหัวหน้ากลุ่มโจรได้แต่มแต้มไว้เมื่อครั้งอดีต เริ่มแผ่ขยายย้อมจิตใจเด็กหนุ่มทีละน้อยหลังขาดความบริสุทธิ์สดใสของรุ่นพี่คอยชี้นำขัดเกลา และไม่นานความสนุกตื่นเต้นบนความทรมานรวดร้าว ก็ถูกใช้เป็นวิธีเติมเต็มความเบื่อหน่ายและความรู้สึกอันว่างเปล่า รองจากการผ่อนคลายผ่านราคะด้วยเรื่องบนเตียง

    ‘ผัวะ!!’
    ‘กูบอกว่าอย่ามายุ่งกับแฟนกู!’
   ‘พอแล้ว! เดี๋ยวพี่โนก็ตายหรอก’
    ‘มึงยังกล้าห่วงมันต่อหน้ากูอีกเหรอ?!! ได้!! กูจะทำให้มันตายตรงนี้แหละ ส่วนมึงร่านนัก กลับไปกูจะทำให้มึงหายจนขยาด!’
    ‘ผัวะ!! พลั่ก!! ผัวะ!!’

    เสียงโวยวายเดือดพล่านดังสลับกับความเจ็บหน่วงทุกครั้งที่หมัดหนักชกใส่ โนอาร์ในสภาพสะบักสะบอมถูกมัดมือติดกับเสาพยายามยืนทรงตัวไม่ให้ล้ม พลางเพ่งสายตามองเพื่อนร่วมรุ่นกำลังทะเลาะกับแฟนหนุ่มรุ่นน้องที่เขาไปแย่งมา ทว่าจะเรียกว่าแย่งก็อาจพูดไม่ได้เต็มปากเพราะอีกฝ่ายเป็นคนเริ่มเข้าหาเขาเอง  แล้วทำไมเขาต้องปฏิเสธ

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสามชั่วโมงที่แล้ว โนอาร์พาหนุ่มรุ่นน้องไปเที่ยวห่าง ก่อนจะจบลงด้วยการทำเรื่องอย่างว่าในห้องน้ำหลังดูหนังเสร็จ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายแต่นั่นหาใช่ปัญหา เพราะรูปร่างรุ่นน้องนั้นเล็กบางน่าสัมผัสไม่ต่างจากหญิงสาว และอีกอย่างเข้าไม่เกี่ยงเรื่องเพศ ขอแค่ยอมหันหลังให้เขาสอดแทรกตัวตน จะหญิงหรือชาย ยังว่างหรือมีเจ้าของก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งคู่ขาของเขาในวันนี้เป็นอย่างหลัง เลยไม่แปลกที่จะเจอเจ้าของตัวจริงพร้อมพวกมาดักรอรุมซ้อมแล้วลากมาที่อาคารร้าง
    ทว่าเรื่องราวทุกอย่างที่ว่ามาถือเป็นความตั้งใจแรกเริ่มของโนอาร์ เพราะในชีวิตที่ถูกใครต่อใครจับจ้องเฝ้ามอง การหาความสำราญดำมืดจำต้องเปลี่ยนตัวเองจากผู้ล่าเป็นเหยื่อล่อ แล้วสถานที่รวมถึงที่ทางเก็บกวาดหลังเล่นเสร็จ พวกของเล่นจะเป็นคนจัดเตรียมให้เขาเอง อย่างเช่นครานี้

    ‘แก้มัดมันแล้วไปเอาถังมา กูจะจับหัวมันกดน้ำล้างสันดานเหี้ย’

    เมื่อได้ยินคำสั่ง สองเพื่อนวัยรุ่นจึงแยกไปทำหน้าที่ คนหนึ่งเดินไปเตรียมน้ำใส่ถังสเตนเลส ส่วนอีกคนอ้อมไปปลดเชือกด้านหลังเสาก่อนคุมตัวโนอาร์มาตรงพื้นที่โล่ง ซึ่งความประมาทว่าอีกฝ่ายคงไม่เหลือแรงต่อต้าน อาศัยคนจับเพียงคนเดียวก็เพียงพอ ย่อมไม่มีใครคาดคิดว่านั่นจะนำความเลวร้ายมาถึงชีวิต

    ‘ตุบ! อั่ก!!’

    ระหว่างคุมตัว โนอาร์ที่ถูกจับล็อกมือไพล่หลังพลันตวัดเท้าขัดขาคนคุมพร้อมทิ้งตัวใส่คนด้านหลัง ส่งผลให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มกระแทกพื้นซ้ำยังถูกร่างหนักของโนอาร์ทับไม่ให้ลุกขึ้น ความจุกทำให้คนคุมเผลอปล่อยแขนเด็กหนุ่มอันตรายเป็นอิสระ มือขาวที่ไร้เครื่องพันธนาการอาศัยช่วงเวลาเพียงเสี้ยวอึดใจหยิบหนี่งในมีดพับที่ซ่อนในกระเป๋ากางเกง ก่อนกระหน่ำกะซวกแทงเข้าที่สีข้างคนใต้ร่างไม่ยั้งมือ

    ‘อึก... อะ... อัก..’

    คนถูกคมมีดคว้านแทงหลายสิบจนเกือบยี่สิบแผล พยายามส่งเสียงร้องแต่ก็ถูกศอกจากคนด้านบนสับเข้าลูกกระเดือกกลางลำคอจนส่งเสียงร้องไม่ออก ได้แต่แข็งใจฝืนความเจ็บออกแรงดิ้นเอาชีวิตรอด แม้นั่นจะทำให้แผลเหวอะตรงสีข้างยิ่งฉีกขาดเพิ่มทรมานรวดร้าวจนหยาดน้ำใสร่วงจากกรอบหน้า ทว่าหลังรู้ว่าทุกการกระทำนั้นเปล่าประโยชน์ คนหมดแรงชะตาจวนดับสิ้นจึงหยุดดิ้นรน เหลือเพียงปากที่พยายามเปล่งคำพูดอึกอักขอความช่วยเหลืออย่างน่าสังเวช

    ของเหลวหนืดสีแดงพร้อมกลิ่นคาวเริ่มแผ่ขยายย้อมกลืนกินพื้นที่ เปลี่ยนทั่วบริเวณให้คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายของความตาย เหล่าเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องได้แต่ยืนนิ่งมองตาค้างด้วยความช็อกต่อความเลวร้ายสยดสยอง คนรับหน้าที่เตรียมถังน้ำเป็นคนแรกที่ได้สติรีบทิ้งของพร้อมวิ่งเข้าช่วยเหลือ เมื่อไปถึงปลายเท้าหนักพลันยกถีบโนอาร์หวังให้อีกฝ่ายออกห่างจากตัวเพื่อน ทว่า...

     ‘หมับ!’

    โนอาร์กลิ้งลงจากร่างของเล่นหลบฝ่าเท้า พร้อมใช้มือคว้าจับล็อกข้อเท้าอีกฝ่ายแน่น นัยน์ตารัตติกาลสั่นไหวด้วยความสนุกสนานเงยขึ้นสบของเล่นชิ้นใหม่ ก่อนเผยรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้คนมองพลันสัมผัสถึงความรู้สึกเย็นวาบกระจายไปทั่วสันหลัง

    ‘ปะ... ปล่อย! ปล่อยสิวะ!!’ คนกำลังเป็นเหยื่อตะคอกเสียงสั่นเมื่อเห็นคมมีดจ่อเตรียมเฉือนข้อเท้า พลางพยายามชักเท้ากลับอย่างลนลาน แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล
    ‘ยะ... อย่า อ๊ากกกกก!!!!!’
    ‘พรึ่บ!’

    ช่วงจังหวะที่ใบมีดกินผิวเนื้อ ถังสเตนเลสใบหนึ่งพลันฟาดใส่ชายอันตราย เป็นผลให้โนอาร์จำต้องปล่อยเหยื่อและกลิ้งหลบถอยไปตั้งหลัก นัยน์ตารัตติกาลรีบกวาดมองประเมินสถานการณ์ คนที่เข้ามาช่วยคือแฟนคู่ขาเขา ส่วนเด็กหนุ่มคู่ขานั้นยืนช็อกตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกห่างจากบริเวณนี้พอสมควร คนรอดจากการตกเป็นเหยื่อรีบเข้าไปดูอาการเพื่อนที่นอนหายใจรวยริน ก่อนจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่เพื่อใช้ห้ามเลือดพลางพยายามตะโกนเรียกสติไม่ให้อีกฝ่ายหลับ

    ‘ไม่ต้องเสียแรงยื้อยังไงก็ตาย เก็บแรงไว้ร้องตะเกียกตะกายตอนกลายเป็นของเล่นชิ้นต่อไปดีกว่า’ น้ำเสียงเรียบนิ่งกล่าวแนะนำ ซึ่งไม่นานลมหายใจของของเล่นเก่าก็หมดลงตามคำพูดเมื่อครู่
    ‘ไอ้โนอาร์มึงฆ่าคนตาย!!! ตำรวจต้องตามจับมึงชาตินี้อย่าหวังจะได้ออกจากคุกเลย ไอ้เหี้ย!!’
    ‘หึ ๆ เดี๋ยวก็ตายกันหมด ไม่มีใครรอดไปปากโป้งบอกตำรวจ คดีน่าเบื่อแบบนี้สังคมไม่สนใจหรอก แล้วคิดว่าพวกตำรวจทำงานเอาหน้าจะเหลือหรือไง ไม่นานก็เงียบหาย เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา’

    ฆาตกรตอกกลับพลางยิ้มมุมปากสมเพช เพราะนี่ไม่ใช่ศพแรก ถ้าตำรวจพวกนั้นพึ่งพาได้จริง ทำไมเขายังไม่โดนจับสักที ทว่าถึงจะพูดทำลายความหวังไปแต่ปฏิกิริยาของพวกของเล่นกลับไม่แสดงท่าทีหวาดหวั่นอย่างที่คาดการณ์ ซึ่งนั่นทำให้เรียวคิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลเริ่มขมวดมุ่น

    ‘ฝันหวานไปเถอะมึง! พ่อกูเป็นตำรวจ ถึงมึงจะฆ่าปิดปากพวกกูหมดก็อย่างคิดว่าจะรอด’ แฟนตัวจริงของคู่ขา ผู้คิดแผนลักพาตัวโนอาร์เอ่ยอย่างเหนือกว่า
    ‘เหรอ... น่าสนใจดีหนิ’

    เสียงเรียบนิ่งขานตอบ ก่อนตามด้วยรอยยิ้มมุมปากเยียบเย็นและนัยน์ตารัตติกาลวาววามอย่างไม่น่าไว้ใจ ฆาตกรสะบัดมีดในมือเพื่อไล่หยดเลือดที่เกาะอาบใบมีด ก่อนย่างเท้าเข้าหาเหล่าของเล่น ระยะห่างที่ลดน้อยลงเริ่มทำให้ผู้เคยปากกล้าเผลอก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มอดีตคู่ขาซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ถูกความกลัวตายครอบงำจนสติหลุดรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดไปที่ทางออก และนั่นทำให้ผู้ล่าพลันเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเหยื่อตื่นตระหนกทันที

    ‘โธ่เว้ย! ไอ้นี่แม่งขยันหาเรื่องจริง ๆ มึงลุกมาช่วยกู-’
    ‘ฉัวะ!!!’

    ไม่ทันที่แฟนคู่ขาจะหันไปเรียกเพื่อน ฉับพลันมีดฆาตกรก็ถูกขว้างผ่านหน้า พุ่งปักเข้ากลางหน้าผากคู่สนทนาอย่างแม่นยำ คนเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายต่อหน้าก็ถึงกับนิ่งค้างเบิกตากว้างด้วยความช็อก กว่าจะได้สติกลับคืนอีกครั้ง ก็เมื่อได้ยินเสียงร้องของแฟนรุ่นน้องดังมาจากทางด้านหลัง

    ‘อ๊ากกกก!!!!! อะ... อักกก!!...’
    ‘ไอ้เหี้ยโนอาร์มึงหยุด!!!’

    คนเหลือตัวคนเดียวรีบวิ่งไปช่วยแฟนซึ่งกำลังดิ้นหนีจากการถูกเพชฌฆาตจับล็อกคอ และเพราะโนอาร์เลือกหันหลังใช้ร่างบังทำให้คนตามมาช่วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเห็นก็เพียงหยดเลือดมากมายที่ไหลลงมาตามขาก่อนเจิ่งนองรวมตรงพื้น ทว่านั่นก็มากพอที่จะทำให้คนมองแทบเสียสติด้วยหวาดกลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรตามเหล่าเพื่อนพ้องไปอีกคน

    ‘หมับ!’ เมื่อจวนจะถึงตัว ฆาตกรที่ซ้อนหลังแฟนหนุ่มกลับเบี่ยงตัวกระโดดหลบ พร้อมปล่อยตัวประกันเป็นอิสระให้คนมาช่วยรีบเข้าไปประคองดูแล
    ‘เป็นอะ...ไร...’

    เสียงในลำคอพลันแหบหายแห้งผาก ดวงตาแฟนหนุ่มเบิกกว้างชะงักค้างนิ่งพร้อมกับความรู้สึกวูบคล้ายร่วงลงไปในหุบเหวแห่งโลกันตนรก เมื่อเห็นบาดแผลเหวอะสยดสยองของคนรักในอ้อมกอด บริเวณริมฝีปากที่เคยสวยของอีกฝ่ายอาบท่วมไปด้วยเลือด ทว่ายามนี้คงไม่สามารถเรียกว่าปากได้อีกแล้ว เหตุเพราะกระดูกขากรรไกรล่างถูกคมมีดเราะและฉีกทึ้งกระชากออกอย่างรุนแรง จนเป็นแผลหนังลอกลากยาวมาถึงกลางคอ หลงเหลือเพียงเพดานปากด้านบนและลิ้นแหว่งสีแดงชุ่มเลือดห้อยแกว่งอย่างสยองระคนเวทนา คนในอ้อมกอดพยายามส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บทรมานเกินทน ก่อนจะแน่นิ่งและสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

    ‘แฟนของนายปากแข็งไม่ยอมบอกว่าบ้านนายอยู่ที่ไหน ก็เลยต้องง้างปากให้กว้าง ๆ แต่เพลินไปหน่อยปากล่างเลยหลุดติดมือมา’ ฆาตกรเลือดเย็นว่าจบก็โยนขากรรไกรส่วนล่างกลับมาให้คนที่มั่วแต่ยืนช็อก
    ‘…’
    ‘เคลียร์พวกของเล่นน่าเบื่อหมดแล้ว จะได้ไปบ้านนายสักทีฝากนำทางให้ด้วย ครอบครัวของนายโดยเฉพาะพ่อที่เป็นตำรวจต้องสนุกกว่าพวกนี้แน่’
    ‘ไอ้ชาติชั่วระยำ!!!!! มึงตาย-’
    ‘ปุ!!’

    ขณะที่คนสติแตกตะโกนร้องด้วยความกราดเกรี้ยว พร้อมกระโจนเข้าใส่ฆาตกรอย่างไม่กลัวตาย กระสุนนัดหนึ่งกลับยิงพุ่งตัดขั้วหัวใจอย่างแม่นยำ ส่งผลให้เหยื่อคนสุดท้ายที่หวังให้นำทางไปหาของเล่นชิ้นใหญ่หมดลมหายใจและล้มลงในทันที หลังทุกอย่างจบลงนัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นพลันหันมองต้นทางของวิถีกระสุน ซึ่งคนสอดรู้ก็ยอมเผยตัวเดินออกมาอย่างง่ายดาย

    ‘ยุ่งทำไม’ น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามชายแปลกหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
     ‘ว่ากันตามตรงคนที่ยุ่งคือแกนะไอ้หนู งานเก็บครอบครัวนายตำรวจเป็นของฉัน และมันก็รวมถึงเจ้าลูกตำรวจสายตรวจเมื่อกี้ด้วย’

    ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาเช็กงานของตน เมื่อเห็นว่าแน่นิ่งไร้ชีวิตเป็นที่เรียบร้อยถึงค่อยกวาดสายตามองเหล่าศพวัยรุ่นสภาพเละเทะซึ่งกระจัดกระจายทั่วบริเวณ ภาพความสยดสยองไร้ความเมตตาปรานีทำให้ชายแปลกหน้ากระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบนัยน์ตารัตติกาลเยือกเย็นของผู้กระทำ

    ‘นี่ไม่น่าใช่แค่การป้องกันตัวนะ ว่าไหม… เป็นพวกโรคจิตชอบฆ่าคนเหรอไอ้หนู แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ เก็บกด โดนแกล้ง พ่อแม่ไม่รัก?’
    ‘…’ ชายแปลกหน้าลองหยั่งเชิงยั่วยุ ทว่าเด็กหนุ่มกลับเพียงจ้องกลับนิ่ง ๆ ไม่หลุดทีท่าเผยตัวตน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกถูกชะตา จนถึงกับต้องลองยื่นข้อเสนอบางอย่างดู
    ‘รู้ใช่ไหมที่ทำไปเท่ากับดับอนาคตตัวเอง จากนี้แกไม่มีที่ยืนแล้วต้องนี้หัวซุกหัวซุน ชีวิตแกจบสิ้นรอวันโดนจับแล้วก็ไปเน่าตายในคุก’
    ‘…’
    ‘แต่เมื่อกี้ฉันเห็นแกขว้างมีดเข้ากลางหน้าผากแบบแทบไม่เล็งด้วยซ้ำ ทำได้ยังไง? ฝีมือขนาดนี้ถูกจับไปก็น่าเสียดาย... งั้นมาทำงานกับฉันไหมละ’
    ‘งานอะไร?’
    ‘เก็บคนตามใบสั่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่านักฆ่า ทั้งได้ฆ่าทั้งได้เงิน ไม่ต้องหนีซ่อนตัว ไม่ต้องกลัวโดนจับ แต่ละงานก็ให้เงินไม่ใช่น้อย รับแค่ไม่กี่งาน ไม่ว่าจะบ้านหรือรถ อะไรก็แล้วแต่แกก็ซื้อได้หมด ว่าไงสนไหม’
 
    หลังได้ฟังคำเชิญชวน ความคิดยากคาดเดาก็เริ่มพิจารณาทันที ความจริงงานดังกล่าวโนอาร์รู้สึกสนใจและลองหาข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่ตัวงานนั้นจำเป็นต้องมีเส้นสายคนรู้จักเอาไว้คอยบอกต่อรับงาน ซึ่งแน่นอนว่าแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาอย่างเขาที่ไม่มีอะไรรับประกันว่างานจะสำเร็จ ย่อมไม่มีใครเสี่ยงจ้างแน่นอน  ฉะนั้นแล้วเขาจึงต้องทนใช้ชีวิตนักเรียนไร้ค่าอย่างปัจจุบัน ทว่ายามนี้หนทางสู่อาชีพในโลกมืดซึ่งเหมาะกับเขารออยู่เบื้องหน้า จึงไม่มีเหตุผลใดเลยให้ปฏิเสธ

    ‘ต้องทำยังไง’ คำตอบรับถึงกับทำให้คนทาบทามหลุดหัวเราะด้วยความดีใจ พร้อมกับเริ่มสอนงานแรกให้กับเด็กใหม่หัดเข้าวงการ
    ‘หึ ๆ ฉลาดเลือกหนิไอ้หนู อย่างแรกที่แกต้องรู้ก็คือวิธีลบหลักฐานไม่ให้ตามตัวเจอ เริ่มจากศพพวกนี้...’


    เมื่อค้นพบเส้นทางน่าสนใจและเหมาะสมกับตัวเองมากกว่าชีวิตในสังคมแสนน่าเบื่อ หลังจากวันนั้นโนอาร์ก็ได้ละทิ้งชีวิตนักเรียนที่ไม่เคยมองเห็นภาพตัวเองในอนาคต รวมถึงหนีออกจากสถานสงเคราะห์จนไม่มีใครตามเจอ เด็กหนุ่มหันหลังให้แสงสว่างและโอบกอดโลกมืดอย่างเต็มใจ ซึมซับเติมเต็มตัวตนแท้จริงที่ถูกสังคมสงบสุขกักขังไว้ ปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบลงกับการเข่นฆ่าชีวิตอย่างไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

    วันเวลาผันผ่านค่อย ๆ ขัดเกลาฝีมือโนอาร์ให้ยิ่งเฉียบคมเด็ดขาด เพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวนำเหนือนักฆ่าคนอื่น กลายเป็นนักฆ่าหาตัวจับยากที่ใครก็ต่างอยากเรียกใช้งานแม้ต้องจ่ายค่าจ้างราคาสูงลิบลิ่วก็ตาม เพราะทุกงานเมื่อถึงมือโนอาร์แล้ว เหล่าลูกค้าย่อมวางใจได้เลยว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นถ้าเจ้าตัวอารมณ์ดีอาจทำงานเกินค่าจ้างให้ฟรี อาทิเช่น ขอให้กำจัดใครคนหนึ่ง บางครั้งหลังวันลงมือคนที่ถูกกำจัดอาจไม่ได้มีแค่คนในใบสั่ง แต่รวมถึงคนใกล้ชิดและครอบครัว

    นอกจากอาชีพแล้ว ในโลกสีดำอบอวลด้วยความตายและกลิ่นคาวเลือด ยังสอนโนอาร์ให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ที่สังคมปกติพยายามปฏิเสธและมองเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างเรื่องชีวิตหลังความตาย ในโลกสีดำสกปรกแห่งนี้สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นสินค้าทำเงินได้ โดยเหล่าผู้คนที่แทนตัวเองว่าผู้คุมวิญญาณ หรือกระทั่งเรื่องของปีศาจ เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนโลกมาช้านาน ทว่าปัจจุบันกลับต้องหลบซ่อนใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ฆาตกรเลือดเย็นในบทบาทของนักฆ่าฝีมือดี จะได้พบกับปีศาจตนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง และเติมเต็มความว่างเปล่าในจิตใจเยือกแข็งอย่างที่ไม่มีใครสามารถทำได้มาก่อน แม้กระทั่งเจ้าของความรู้สึกอย่างโนอาร์เองก็ตาม



    นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกลืมตื่นจากความฝันอันยาวนาน ทุกสิ่งที่เห็นและรับรู้คือช่วงชีวิตในอดีตที่ผ่านมาของคู่ครอง เป็นเครื่องพิสูจน์และด่านสุดท้ายในการผูกสัมพันธ์ หากคู่ใดที่ทนรับอดีตหรือตัวตนของกันและกันไม่ได้ สัญลักษณ์ครองคู่ที่เคยปรากฏจะเลือนหายและไม่สามารถเรียกกลับคืนได้อีก แม้หลังจากนั้นจะยอมรับและรักกันมากเท่าไรก็ตาม เสมือนเป็นตราบาปของความไม่มั่นคงที่คอยตอกย้ำไปตลอดกาล
    ซึ่งเอทอสไม่คิดตรวจดูสัญลักษณ์ตรงกลางอกให้เสียเวลา ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะไม่พบสัญลักษณ์ แต่เป็นเพราะเขารู้จักและยอมรับโนอาร์มานานแล้ว ฉะนั้นอย่าหวังว่าของพรรณ์นี้จะทำลายความรู้สึกของเขาได้

    “…เอทอส”

    เสียงเรียกแผ่วเบาจากมนุษย์ในอ้อมกอดทำให้เจ้าของชื่อหันมอง ถึงรู้ว่าโนอาร์เพียงละเมอและกำลังจมอยู่ในความฝัน ทว่าเรียวคิ้วที่ขมวดแน่นนั้นกลับทำให้ปีศาจรู้สึกเป็นห่วงมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นแขนแกร่งจึงกระชับอ้อมกอดให้ร่างเปลือยปล่าวของโนอาร์แนบชิดกับเขายิ่งขึ้น เพื่อสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายว่าเขายังคงอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้หนีหายไปไหน

    “เท่าที่จำได้ อดีตของข้ามันไม่ได้เศร้าหรือโหดร้ายอะไร”
    “…”
    “เจ้าต้องหยุดคิดกังวลเกินเหตุ ปล่อยให้มันผ่านไปแล้วตื่นขึ้นมาหาข้าได้แล้วโนอาร์”



บท31 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน

    คนเขียนเขียนแล้วมันไหลไปเรื่อย ๆ จนต้องรวบตัดตอนท้ายไป ไม่งั้นไม่ได้อัพให้คนอ่านสักที ซึ่งส่วนที่รวบตัดไปจะเป็นเรื่องที่จินกับโนอาร์พบกันครั้งแรก และชะตากรรมของนักฆ่าคนนั้นที่พาโนอาร์เข้ามาในโลกสีดำสกปรก คนเขียนขอเอาไว้ทำเป็นบทเสริมสั้น ๆ แยกต่างหากให้นะครับ

    เมื่อรู้อดีตของโนอาร์แล้ว ต่อไปก็คืออดีตของเอทอสครับ ซึ่งจะเป็นการเฉลยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องทำไมเอทอสถึงต้องอยู่ดูแลสวน ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงเอทอสตอนเด็กไปไหน รวมถึงเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเอทอส ทำไมภาคินถึงแค้นเอทอสมากนัก บทหน้าจะตอบข้อสงสัยทั้งหมดครับ(บทหน้าคนเขียนจะพยายามรวบกระชับเนื้อเรื่องนะครับ ไม่เขียนเพลินมือเหมือนของโนอาร์แล้ว หวังว่าจะทำได้นะครับ แหะๆ)


    ขายของตอนท้าย มีคนอ่านคนไหนสนใจเรื่องของดรีม พี่ที่สถานสงเคราะห์ผู้เคยเป็นแสงสว่างให้โนอาร์ไหมครับ หากสนใจรอติดตามงานเขียนเรื่องต่อไปของคนเขียนได้เลยครับ ดรีมจะเป็นตัวเองในเรื่องนั้น เป็นเรื่องราวของดรีมที่ตายแล้วกลายเป็นวิญญาณครับ ขอสปอยล์ชื่อเรื่องว่า Dream: พบกันในฝัน ครับ ตอนนี้คนเขียนยังไม่ได้เปิดเรื่องนะครับ ถ้าเปิดเมื่อไรจะมาแจ้งอีกรอบหนึ่งนะครับ^^
    (อาจมีคนอ่านมากคนขึ้นในใจว่าเรื่องนี้ยังรอด ยังคิดจะเปิดเรื่องใหม่อีก... คนเขียนก็คิดเหมือนกันครับ แหะ ๆ)

    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย+ขายของอีกนิด หากคนอ่านลองย้อนกลับอ่านบทที่ 19 ตอนที่จินเป็นลูกมือถือของให้โนอาร์ จะมีตอนที่จินพูดถึงวิญญาณเด็กวัยรุ่นนั่งข้างผู้ชายท่าทางคล้ายนักเลงในร้านไอศกรีม วิญญาณตนนั้นคือดรีมครับ


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 31 นักฆ่า) [06/01/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-01-2021 22:40:36
รอออออ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 32 เอทอส]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-01-2021 22:31:45
    สายลมเย็นพัดใบไม้พลิ้วไหว และไอร้อนจากแสงแดดปลุกนัยน์ตารัตติกาลให้ลืมตื่นขึ้น ผืนป่าเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้หลากหลายชวนให้โนอาร์นึกสับสน เหตุเพราะเมื่อครู่เขายังได้รับอ้อมกอดอบอุ่นแทบหลอมละลายจากบทรักของปีศาจ ไฉนพอลืมตาภาพวิวทะเลยามค่ำกลับกลายเป็นเขามายืนอยู่กลางป่ารกชัฏ มนุษย์หนึ่งเดียวคงความสุขุมเงียบนิ่งพลางมองสำรวจบรรยากาศรอบตัวจนสะดุดเข้ากับบ้านไม้หลังหนึ่ง แม้จะดูใหม่ราวกับเพิ่งถูกสร้างไม่นาน ทว่าชายเลือดเย็นจำลักษณะเค้าโครงได้ดีว่า บ้านไม้หลังนี้เป็นของเอทอส

    ไม่ทันได้ย่างกรายเข้าใต้ชายคา โนอาร์ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นชินโชยคละคลุ้งออกมาจากตัวบ้าน กลิ่นแบบเดียวกับพวกของเล่นที่หมดสภาพ กลิ่นของซากไร้ชีวิตกำลังเน่าสลาย ชายเลือดเย็นดันบานประตูไม้แต่ทว่าฝ่ามือขาวกลับไม่อาจสัมผัสมิหนำซ้ำยังทะลุผ่าน เหตุการณ์เหนือความคาดหมายถึงกับทำให้โนอาร์หยุดชะงัก หลุดแสดงท่าทีตกใจจนนัยน์ตารัตติกาลเผลอเบิกกว้างขึ้นหนึ่งระดับ และก่อนที่มนุษย์ผู้กำลังสับสนจะคิดตีความไปไกล น้ำเสียงทุ้มต่ำอบอุ่นในความทรงจำก็พลันดังก้องปัดเป่าทุกความกังวล

    ‘ถ้าการผูกสัมพันธ์สำเร็จ ความทรงจำในอดีตจะถูกแลกเปลี่ยนกัน แล้วเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งรวมถึงความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า’

    คำพูดของเอทอสเมื่อวันวาน ช่วยระงับจินตนาการฟุ้งซ่านที่ว่าตอนนี้เขากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ส่งผลให้สมาธิและความคิดของมนุษย์กลับมาสงบสุขุมดังเดิม โนอาร์เดินทะลุเข้าตัวบ้านเพื่อตามหาต้นตอของกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนซึ่งพบว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากห้องนอน เมื่อเข้าไปภาพที่เห็นคือปีศาจตนหนึ่งซึ่งยังเป็นเพียงทารกนอนหลับอยู่บนเตียงไม้ รอบข้างล้วนเป็นชิ้นส่วนโครงกระดูกสลับปนกับซากสัตว์ต้นเหตุกลิ่นคลุ้งทับถมกันเป็นกองพะเนิน คล้ายเป็นภูเขาศพที่มีทารกปีศาจอยู่บนยอดสุด

    แม้บรรยากาศอบอวลทั่วห้องจะเหม็นเน่าชวนอาเจียนเพียงใด ทว่าในแง่ของสัตว์กินซากกลับเป็นกลิ่นหอมหวนล่อลวงให้เข้าหา เช่นเดียวกับหมีหิวโซตัวหนึ่งที่กำลังปีนเข้าหน้าต่างบ้าน โนอาร์เพียงยืนมองสัตว์บุกรุกเงียบ ๆ ปล่อยให้มันแทะเล็มศพตามใจ แต่เมื่อผ่านไปสักพักดูเหมือนอาหารพวกนี้คงรสชาติไม่ดีเท่ากินสิ่งมีชีวิตที่ตัวยังอุ่นอยู่ หมีตะกละถึงได้ทำท่าคล้ายดมกลิ่นพลางค่อยขยับเข้าใกล้ทารกปีศาจบนเตียง ไม่นานหมีละโมบก็ละทิ้งอาหารเกรดต่ำรอบตัว มุ่งความสนใจกับการชิมเนื้อชั้นดีตรงหน้า โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำดังกล่าวจะนำภัยมาสู่ชีวิต

    ‘แง! แง!! แง!!!!!’

    คมเขี้ยวที่กำลังออกแรงกัดทำให้ปีศาจทารกสะดุ้งตื่นร้องไห้ด้วยความตกใจ กรงเล็บสีนิลสองข้างของปีศาจตัวน้อยปัดป่ายป้องกันตามสัญชาตญาณ กระทั่งสัมผัสโดนตัวหมีฉับพลันเรื่องชวนพิศวงก็พลันเกิดต่อหน้าชายเลือดเย็นที่เฝ้ามอง
    ร่างหมีซึ่งกำลังคาบทารกกลับล้มตึงกับพื้นแน่นิ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่วนกรงเล็บน้อยข้างที่เคยแตะร่างหมียามนี้กลับกุมถือดวงไฟประหลาด ก่อนดวงไฟนั้นจะถูกปีศาจทารกจับเข้าปากกลืนหายไป ซึ่งหลังจากได้กินดวงไฟนั้นปีศาจน้อยก็ยอมเงียบเสียงร้องสงบลง พร้อมเผยดวงตาสีแดงเลือดนกที่ถึงกับทำให้ชายเลือดเย็นเผลอนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ไม่นานนักรอยยิ้มมุมปากก็ปรากฏบนใบหน้าของโนอาร์ ขณะเดินข้ามเศษกระดูกและซากศพกระจัดกระจายเข้าไปทักทายปีศาจตัวน้อย

    “ตอนเด็กคุณน่ารักมากเลย เอทอส”


    จากวันนั้นชายเลือดเย็นก็คอยดูแลทารกปีศาจไม่ห่าง แม้หากว่าตามจริงคงเรียกได้แค่ว่าการเฝ้ามอง เพราะไม่ว่าจะลองกี่ครั้งหรือหลากหลายวิธีที่คิดออก โนอาร์ก็ไม่สามารถสัมผัสแตะต้องสิ่งใดในที่นี้ได้เลย ถึงจะหงุดหงิดใจเล็กน้อยแต่ถ้านั่นแลกกับการรับรู้เฝ้าดูปีศาจเติบโตจนกลายเป็นเอทอสที่เขารักอย่างในปัจจุบัน ก็พอเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

    ‘ตึง! ๆ ๆ’
    ‘ธีออส! เอวา! ข้ากับอนันต์มาเยี่ยม- ฮึ่ย!... พวกเจ้าทำอะไรถึงได้ส่งกลิ่นแรงออกมาข้างนอก นี่! ธีออส! เอวา! รีบมาเปิดประตูอย่าให้ข้าพังเข้าไป!’

    เสียงอึกทึกโหวกเหวกดังสลับกับเสียงทุบประตูหน้าบ้าน ส่งผลให้โนอาร์จำต้องละสายตาจากเอทอสตัวน้อยที่เพิ่งหัดคลานลุกไปดูพวกไร้มารยาท ทว่ามนุษย์เพียงเดินออกมาหน้าห้องประตูบ้านก็ถูกพังโครมเข้ามา นัยน์ตารัตติกาลยากคาดเดามองสองผู้บุกรุกอย่างพิจารณา คนหนึ่งคาดว่าเป็นผู้ส่งเสียงโวยวายเมื่อครู่เป็นผู้หญิงสูงบาง มีเอกลักษณ์คือผมยาวเขียวเข้มอมดำคู่กับดวงตาสีเขียวมรกต ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มตัวใหญ่แข็งแรงสูงไล่เลี่ยกับเขาซึ่งกำลังคอยปรามหญิงสาวข้างกาย แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก

    เมื่อเข้ามาได้ ผู้บุกรุกก็เดินไปทั่วบ้านพลางตะโกนเรียกหาเจ้าของชื่อธีออสกับเอวา มิหนำซ้ำยังเดินทะลุผ่านชายเลือดเย็นที่ยืนขวางไม่ให้เข้าห้องนอนไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถึงกับทำให้โนอาร์รู้สึกหงุดหงิดเสียจนนึกอยากจับสองคนนั้นมาเป็นของเล่น แต่ก็เพียงได้แค่คิดเพราะเขารู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามอง เช่นนั้นโนอาร์จึงต้องข่มอารมณ์ยอมหันหลังเดินตามเพื่อดูว่าสองคนนั้นจะทำอะไรต่อ ซึ่งก็พบว่าทั้งคู่กำลังยืนอึ้งกับสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังบานประตู

    ‘...นี่มันอะไร?’
    ‘เรส! ถอยออกมา!’

    ขณะที่หญิงสาวมัวแต่ตกตะลึงกับภาพหดหู่ชวนคลื่นไส้ ปีศาจตัวน้อยก็ได้คลานเตาะแตะเข้ามาใกล้หมายจะสัมผัส ชายหนุ่มที่ชื่ออนันต์จึงรีบดึงหญิงสาวหลบก่อนจะถอดเสื้อนอกโยนคลุมตัวปีศาจไว้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวช่วยเรียกให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ ฝ่ามือบอบบางรีบโบกอากาศไปยังปีศาจน้อยใต้ผ้าพลันสายลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ไร้ที่มาก็พัดกระจายกลบกลิ่นเหม็นเน่าทั่วห้อง เพียงครู่ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบพร้อมปีศาจใต้ผ้าที่แน่นิ่งไป

    ‘…ทำให้หลับไปแล้ว’ เสียงใสแผ่วเบาเอ่ยกับชายหนุ่มข้างกาย อนันต์จึงก้มลงไปอุ้มปีศาจตัวน้อยขึ้นมาโดยยังคงใช้เสื้อคลุมร่างให้โผล่ออกมาเฉพาะใบหน้าซึ่งมีเค้าโครงคล้ายเพื่อนสหายที่รู้จัก
    ‘มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ลูกปีศาจจะยังใช้พลังไม่ได้จนกว่าจะอายุครบสิบปีไม่ใช่เหรอ’ อนันต์ถามกลับด้วยความสับสนระคนหดหู่ ยามมองเลยผ่านไปยังกองกระดูกและเศษซากเบื้องหน้า มั่นใจว่าใต้นั้นคงมีคนรู้จักนอนอยู่
    ‘ข้าไม่รู้... ตลอดอายุของข้าไม่เคยพบเรื่องแบบนี้มาก่อน แล้วเจ้าธีออสกับเอวาก็คงไม่ทันคิดเช่นกัน ถึงได้...’

    ชายหนุ่มและหญิงสาวมองตากันเพื่อสื่อความที่ไม่อยากเอื้อนเอ่ย จากความตั้งใจมาฉลองชีวิตครอบครัวเพื่อนสนิทพร้อมรับขวัญหลานชาย กลับกลายเป็นต้องมาช่วยกันเก็บบ้านเผาเถ้ากระดูก เรสหรือชื่อเต็มคือฟอเรสรับหน้าที่ทำความสะอาดภายในบ้าน ส่วนอนันต์ขนซากสัตว์น้อยใหญ่และโครงกระดูกทั้งหมดออกไปเผา ชายหนุ่มรู้สึกหน่วงอึดอัดใจกลางอกทุกครั้งยามต้องหยิบชิ้นส่วนกระดูกของสองเพื่อนสนิทแยกออกจากเหล่าสัตว์น่าสงสาร ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบงันหมองหม่นจนเสร็จสิ้น อนันต์จึงกลับเข้าบ้านไปหาเรสซึ่งกำลังนั่งมองหลานชายไร้เดียวสา ผู้ทำเรื่องเลวร้ายผิดมหันต์โดยไม่รู้ตัว

    ‘เราคงต้องเลี้ยงเอทอส แต่ถ้ายังคุมพลังไม่ได้ก็ไม่ควรพาออกจากที่นี่ ทำยังไงดี?’ อนันต์เอ่ยชื่อหลานชายที่พวกเขาช่วยกันตั้งกับธีออสและเอวาเมื่อนานมาแล้ว พลางถามหาความเห็นจากคนรัก
    ‘ข้าว่าจะสร้างไม้ล้อมตัวบ้านและปลูกดอกไม้ล่อวิญญาณไว้ รอให้เจ้าหนูรู้ความกว่านี้ค่อยกลับมาสอนคุมพลัง’

    อนันต์พยักหน้ารับข้อเสนอ ก่อนอุ้มปีศาจตัวน้อยที่ยังคงหลับสนิทกลับไปที่ห้องนอนแล้วถึงออกมานอกตัวบ้าน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเรสที่ยืนรออยู่บริเวณด้านนอกจึงชูมือขึ้น ฉับพลันสายลมก็พลันโหมพัดแรงจนต้นไม้โดยรอบต่างไหวเอนพร้อมกับพื้นดินรอบตัวบ้านเริ่มปริแตก เผยให้เห็นรากไม้ขนาดยักษ์ขึ้นเกี่ยวพันปิดทุกทางเข้าออกบ้านเพื่อกันไม่ให้สัตว์ตัวอื่นมีชะตากรรมเหมือนพวกก่อนหน้า พร้อมกับที่ผิวเปลือกของรากไม้เริ่มแตกยอดอ่อนผลิบานชูดอกสีน้ำเงินอมม่วงพลิ้วไสวงดงามทว่าแสนอันตราย จวบจนทุกสิ่งเรียบร้อย ชายหนุ่มและหญิงสาวจึงพากันเดินออกจากป่าอย่างเงียบงัน



    ‘แฮ่ก.. แฮ่ก... ขะ... ข้าขอพักก่อนได้ไหม’
    ‘อย่ามาสำออยเอทอส! ข้ารู้ว่าเมื่อคืนเจ้ากินวิญญาณมาเต็มอิ่ม รีดเค้นพลังออกมาให้หมด ถ้าเจ้ายังคงร่างมนุษย์ต่อเนื่องชั่วโมงหนึ่งไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะเลิก!!’
    “เอทอส คุณพักก่อนได้ ไม่ต้องฟังพวกนั้นหรอก” โนอาร์เอ่ยแนะเอทอสในวัยแปดขวบที่กำลังหอบเหนื่อย พลางเข้าไปช่วยซับเหงื่อแม้ทุกการกระทำจะสื่อไปไม่ถึงอีกฝ่ายก็ตาม
    ‘เอาน่าเรส นี่ก็ฝึกกันเย็นค่ำแล้วพอแค่นี้ก่อนไหม ครั้งน่าค่อยลองใหม่ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย’

    อนันต์ที่นั่งดูการฝึกตรงชานบ้านไม้เอ่ยช่วย พร้อมลุกขึ้นเอาน้ำมาให้หลานชายและคนรัก หญิงสาวสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะยอมประกาศเลิกการฝึก ซึ่งนั่นทำให้เอทอสถึงกับทิ้งตัวนั่งพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่านั่งพักได้ไม่นานปีศาจเด็กก็จำต้องลุกเดินไปหาผู้มีพระคุณอีกครั้ง เมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าจะกลับ แต่ยังคงไม่ยอมปลดบางสิ่งให้

    ‘ท่านฟอเรส... ท่านลืมทำให้ดอกไม้พวกนั้นบาน...’ เอทอสทวงถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พลางใช้กรงเล็บชี้ไปยังดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงรอบตัวบ้านไม้
    ‘ไม่ได้ลืมแต่ตั้งใจ ครั้งหน้าที่ข้ามาถ้าเจ้าคงร่างมนุษย์ได้เกินชั่วโมง ข้าถึงจะทำให้’ คำตอบง่ายดายของหญิงสาวถึงกับทำให้ปีศาจกินวิญญาณหน้าถอดสี
    ‘แต่กว่าท่านจะมาก็อีกหนึ่งอาทิตย์... ข้าคงหิว-’
    ‘เรื่องของเจ้าสิ! หัดฝึกคุมความกระหายเสียบ้าง พอไปอยู่ในสังคมมนุษย์จะได้ไม่หน้ามืดทำอะไรไม่เข้าท่า’

    ว่าจบหญิงสาวก็สะบัดผมเดินจากไป อนันต์ผู้เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอดก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่ายกับความใจร้ายของคนรัก ก่อนจะหันมาบอกปีศาจน้อยว่าเขาเตรียมเสบียงไว้ให้ในบ้านแล้วจึงเดินตามหญิงสาว ทิ้งไว้เพียงปีศาจน้อยที่ได้แต่เพียงยืนมองตาละห้อยเดินคอตกกลับเข้าบ้านไม้

    “ไร้สมอง คนชื่ออนันต์นั้นไม่รู้จริงหรือจงใจแกล้งคุณกัน ทำไมถึงมีแต่ของขยะพรรณ์นี้”

    โนอาร์หลุดบ่นอย่างรำคาญใจ เมื่อเจอเรื่องชวนหงุดหงิดมากมายเกิดขึ้นกับเอทอสแต่เขาทำได้แค่มองดู ซึ่งนั่นรวมไปถึงเสบียงที่ชายหนุ่มว่าไว้อย่างดิบดีจนเขานึกหวังพึ่ง ทว่าแท้จริงกลับเป็นเพียงถั่วและผลไม้อบแห้ง ไร้เงาเนื้ออาหารที่ปีศาจชื่นชอบ ซ้ำยังต้องเห็นเอทอสทนฝืนกินประทังความหิวด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว มนุษย์ก็แทบอยากกวาดของทุกอย่างทิ้งแล้วตั้งเตาให้ปีศาจทันที และแน่นอนว่ามนุษย์ได้แค่คิดหงุดหงิดอยู่คนเดียว โดยที่เจ้าของเรื่องซึ่งกำลังนั่งหน้านิ่วเคี้ยวถั่วหาได้รับรู้ด้วยเลย


    ในช่วงที่สองผู้มีพระคุณไม่มาหา ปีศาจน้อยผู้อยู่ลำพังในบ้านกลางป่าก็อาศัยเวลาว่างฝึกฝนควบคุมพลัง ไม่ก็ออกสำรวจเก็บสะสมของแก้เบื่อ ทว่านานวันเข้าของสะสมรวมถึงของเล่นทำมือก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนรกห้องนอน ปีศาจน้อยจึงตัดสินใจเอาอีกห้องหนึ่งในบ้านซึ่งว่างอยู่ไว้เป็นห้องเก็บสะสม และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนขนย้าย

    “คุณ ระวังสะดุ-”
    ‘โครม!!’

       ไม่ทันสิ้นเสียงเตือนของโนอาร์ เอทอสวัยเด็กที่กำลังหอบของพะรุงพะรังก็สะดุดหินกลมหนิ่งในของสะสมล้มจนเหล่าข้าวของที่อุสารวบถือหล่นกระจายไปทั่วห้อง มีบางส่วนกลิ้งเข้าไปใต้เตียงลำบากปีศาจต้องคลานเข้าไปเก็บ ซึ่งนั่นทำให้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกมองเห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมลึกสุดของเตียง

    ‘อะไร? หินหรือแร่?’

    กรงเล็บทมิฬจับของแปลกที่เจอใต้เตียงพลิกหมุนไปมาอย่างพิจารณา โดยของที่ว่ามีสีขาวสะอาดลักษณะเรียวยาวดูคล้ายคลึงนิ้วกรงเล็บปีศาจน้อยแต่ขนาดใหญ่กว่า เนื้อผิวสัมผัสแน่นแข็งเหมือนหินผาทว่ากลับน้ำหนักเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนโนอาร์ที่นั่งยองอยู่ข้างปีศาจเมื่อเห็นของที่เอทอสถือก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะเขารู้ดีว่าแท้จริงสิ่งนั้นคืออะไร รวมถึงรู้ว่าปีศาจคิดจะทำอะไรกับของตรงหน้า ซึ่งคำพูดถัดมาจากปีศาจก็ช่วยยืนยันคำตอบได้อย่างดี

    ‘แข็งแรงแถมยังเบา... เอามาทำเป็นมีดก็ไม่เลว’



    การฝึกควบคุมพลังแสนโหดหินก็ยังคงดำเนินเรื่อยไป ค่อย ๆ เพิ่มระดับความนานในการคงร่างมนุษย์จากชั่วโมงเป็นวัน วันเป็นสัปดาห์จนถึงเดือน สุดท้ายเอทอสในวัยจวนสิบปีก็สามารถแปลงและคงร่างมนุษย์ได้อย่างใจนึกโดยที่ระยะเวลาไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่ถึงจะแปลงเป็นมนุษย์ได้แล้วเอทอสก็ยังคงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องฝึกและปรับตัวอีกมาก อาทิเช่น

    ‘ใส่ซะ’

    เรสยื่นเสื้อผ้าเด็กให้ปีศาจน้อย ซึ่งขณะนี้อยู่ในร่างเด็กผู้ชายผิวแทนที่ใส่เพียงกางเกงหุ้มเกราะเหล็กทรงโบราณ ชุดประจำตัวที่เอวาผู้เป็นแม่ตั้งใจทำให้ แต่ถึงอย่างนั้นการจะใส่ชุดนี้ไปเดินในสังคมมนุษย์ปัจจุบันก็กระไรอยู่

    ’ถุงมือ? หน้ากากปิดปาก?’ เอทอสเอ่ยถามอย่างมึนงง เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วพบว่ายังเหลือของอีกสองชิ้น
    ‘พลังเจ้ามันอันตราย แล้วยิ่งคุมไม่ได้หากไปสัมผัสถูกตัวแล้วทำมนุษย์ตายขึ้นมาจะลำบากข้า ส่วนหน้ากากนั่นเอาไว้คุมปากเจ้า ที่ ๆ ข้าจะพาเจ้าไปอยู่มีมนุษย์มากมาย จะได้ไม่เผลอกัดใครเข้า’
    ‘ข้าหาใช่สัตว์ ข้าคุมตัวเองได้’ ปีศาจน้อยโต้กลับ ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องจำยอมใส่เพราะไม่อาจสู้สายตาข่มขู่ของผู้มีพระคุณ
    ‘หึ... เดี๋ยวรู้กัน’

    ว่าจบหญิงสาวก็เดินนำออกจากป่า ปีศาจน้อยหันมองบ้านไม้ที่อยู่มาตั้งแต่จำความได้เล็กน้อยคล้ายพยายามเก็บภาพไว้ในความทรงจำ และจึงเดินตามผู้มีพระคุณไป ซึ่งใช้เวลาสักพักหนึ่งหนทางด้านหน้าก็เริ่มโล่ง มีเส้นสีดำขนาดใหญ่ลากผ่านตัดแบ่งป่าเป็นสองฟากซึ่งปีศาจมารู้ที่หลังว่าชื่อเรียกของสิ่งนั้นคือถนน ตรงขอบถนนที่ทอดยาวไม่เห็นปลายทางนั้นมีอนันต์ยืนรออยู่

    ชายหนุ่มพาเด็กน้อยและหญิงสาวขึ้นพาหนะประหลาดที่วิ่งได้รวดเร็ว เร็วถึงขนาดที่ปีศาจน้อยคิดว่าต่อให้เขาวิ่งสุดฝีเท้าเต็มกำลังก็คงไม่อาจตามทัน สิ่งนั้นวิ่งตามถนนเส้นยาวอย่างไร้จุดหมาย ป่าสองข้างทางเริ่มจางหายกลายเป็นสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาด ไม่นานเส้นทางที่เคยโล่งกลับมีพาหนะลักษณะคล้ายคลึงกันวิ่งสวนผ่านไปมาพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ลาลับ ดวงตาสีอำพันของเด็กน้อยถูกแสงสีภายนอกชักชูงให้มองออกไปนอกกระจก พบว่าที่แห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอาศัยอยู่เยอะเสียจนลายตา
    ปีศาจน้อยเพิ่งออกจากป่าสงบเงียบดูความวุ่นวายของโลกภายนอกได้ไม่นาน ยานพาหนะก็หักเลี้ยวเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีพันธุ์ไม้แขวนชูช่ออวดดอกละลานตา และดูเหมือนสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นปลายทางเพราะเพียงครู่ ยานพาหนะว่องไวนี้ได้หยุดนิ่งลง

    ‘เดินตามอนันต์กับข้าไว้’

    เรสกำชับเล็กน้อยก่อนเปิดประตูลงจากพาหนะ พาเด็กน้อยเดินไปยังบริเวณซึ่งเป็นศูนย์รวมของมนุษย์และแสงสว่างจ้าขับไล่ความมืดยามค่ำ ทันทีที่เข้าไปเหล่ามนุษย์ต่างส่งเสียงทักทายหยอกล้อสองผู้มีพระคุณจนเสียงดังเซ็งแซ่ ทว่าภายใต้บรรยากาศความสุขอบอุ่นนี้กลับทำให้เด็กน้อยรู้สึกอึดอัดเสียจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกล เนื่องจากกลิ่นอายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตรวมกลุ่มกันจำนวนมากนั้นรุนแรงเกินกว่าที่เอทอสคาดการณ์ไว้มาก หากไม่ได้ใส่หน้ากากช่วยบรรเทากลิ่นอายไว้ เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะคุมสติของตนไม่ให้กระโจนใส่พวกมนุษย์ได้หรือไม่

    ‘ขอบคุณทุกคนสำหรับงานครบรอบสวนรฦกวัลย์ รวมถึงเค้กฉลองต้อนรับเด็กคนหนึ่ง...’ อนันต์ประกาศผ่านไมค์ถึงเหล่าคนงาน ซึ่งข้างกายชายหนุ่มก็มีเด็กน้อยผู้ถูกกล่าวถึง และหญิงสาวคนรักคอยส่งยิ้มให้เหล่าชาวสวน
    ‘อย่างที่เคยบอก ฉันกับเรสได้รับเด็กคนหนึ่งมาดูแล และวันนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ฉันเลยพามาแนะนำในวันดีเช่นนี้ และขอถือรวมให้โอกาสพิเศษนี้เป็นวันเกิดของเขาด้วย หวังว่าพวกนายจะเอ็นดูและรักเด็กคนนี้เหมือนอย่างที่เรสกับฉันรู้สึก’
    ‘นายน้อย... นายน้อย! เย่!!’ ชาวสวนต่างร้องเฮต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างอบอุ่น ก่อนที่ชายชาวสวนคนหนึ่งจะเอ่ยแทรกแนะนำตัว
    ‘นายน้อย... ลุงชื่อลุงสมัยนะ นายน้อยชื่ออะไรเหรอ?’
    ‘...เอ-’
    ‘กรี๊ดดดดด!!!!!!’

    ฉับพลันงานรื่นเริงกลับกลายเป็นความโกลาหลเมื่อเด็กน้อยที่ก้มหน้าอยู่ตลอดค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยชื่อ ทว่านัยน์ตาสีอำพันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกดุดันน่ากลัวต่อหน้าต่อตาเหล่าคนงาน สร้างความตื่นตกใจพากันหนีอลหม่าน ความวุ่นวายที่ไม่คิดฝันว่าจะเกิดขึ้นจริงถึงกับทำให้เจ้าของสวนอย่างอนันต์กุมขมับ ส่วนหญิงสาวยิ้มแย้มในตอนแรกก็แสดงอาการหัวเสียหันมองคาดโทษเด็กน้อยข้างตัว ก่อนจะโบกมือขึ้นเพื่อเรียกสายลมกลิ่นหอมเย็นเข้ามาพัดโอบล้อมทั่วบริเวณ เพื่อช่วยขับกล่อมจบความวุ่นวายนี้

    ‘เอาเป็นว่าเด็กนี่ชื่อเอทอส เป็นหลานฉันกับอนันต์ ส่วนเรื่องแปลก ๆ ที่เจ้านี่ทำก็ลืมมันซะ จบงานเลี้ยงฉลองแค่นี้ เก็บของกลับบ้าน!’

    หลังสิ้นเสียง ทุกสิ่งอย่างพลันหวนสู่ความสงบเงียบ เหล่าชาวสวนผู้ต้องมนตร์สะกดต่างแยกไปเก็บข้าวของปิดงานก่อนทยอยกันกลับบ้านพัก และแน่นอนว่าเอทอสผู้สร้างเรื่องก็ถูกฟอเรสดึงหูลากไปรับผิดตรงมุมมืดหลังสำนักงาน โดยมีโนอาร์ที่สติหลุดเพราะเห็นปีศาจสุดที่รักโดนทารุณคอยเอามีดไล่ฟันหญิงสาวไปตลอดทาง ส่วนอนันต์นั้นก็ได้แต่เพียงยืนมองส่งกำลังใจอยู่ห่าง ๆ


    หลังผ่านพ้นค่ำคืนแห่งความยุ่งเหยิง เอทอสก็ถูกส่งไปเรียนร่วมกับเด็กมนุษย์ผ่านโรงเรียนที่อนันต์เป็นคนเลือกให้ เพื่อเป็นการฝึกให้ปีศาจน้อยทนความกระหายและปรับตัวเข้าสู่สังคมมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องพื้นฐานความรู้ เพราะตั้งแต่อยู่ในป่านอกจากฝึกควบคุมพลังกับฟอเรส เอทอสก็ได้เรียนรู้ทักษะความเป็นมนุษย์กับอนันต์อยู่ตลอด ซึ่งการอยู่ท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ทุกวันก็ค่อย ๆ ทำให้ปีศาจเริ่มคุ้นชินและสามารถคุมความกระหายได้ในที่สุด ถึงแม้ทุกอย่างคล้ายผ่านไปด้วยดี ทว่ายังคงเหลืออีกหนึ่งพลังที่จวบจนเอทอสอายุย่างเข้าสิบสามปีเต็มแล้วก็ไม่อาจควบคุมได้และจำต้องใส่ถุงมือป้องกัน นั่นคือพลังดึงวิญญาณออกจากร่าง

    ‘อ้าว! นายน้อยเลิกเรียนปุ๊บก็มาปลูกกล้วยไม้ต่อเลยนะ ขยันสมเป็นหลานคุณอนันต์ แล้วเป็นยังไงบ้างพอได้ไหม?’

    ลุงสมัยแวะมาทักทายหลานนายใหญ่ที่ตอนนี้กำลังพยายามนำกล้ากล้วยไม้ลงกระถาง ทว่าดูจากคิ้วหน้าขมวดมุ่นและนัยน์ตาสีอำพันหงุดหงิดก็พอคาดเดาได้ว่า สวนรฦกวัลย์แห่งนี้คงเสียกล้ากล้วยไม้ไปอีกหนึ่งกระบะ

    ‘นายน้อย ลุงช่วยสอนให้เอาไหม?’

    ทันทีได้ฟังข้อเสนอ เอทอสก็รีบพยักหน้าตอบรับน้ำใจพร้อมขยับเว้นที่พอสมควรให้อีกฝ่าย ซึ่งเหตุที่ปีศาจต้องมานั่งเอากล้ากล้วยไม้ลงกระถางหาได้เกิดจากความขยันอย่างที่นายสมัยเข้าใจ แต่เพราะถูกฟอเรสบังคับเพื่อฝึกควบคุมพลังด้วยการย้ายต้นกล้าโดยไม่ให้ตาย แม้จะดูเหมือนง่ายทว่ากับเอทอสที่เพียงแค่สัมผัสอะไรก็ตามก็ดึงวิญญาณติดมือมาตลอด ลำพังการปลูกกล้วยไม้ต้นเดียวให้รอดจึงยากยิ่งกว่าฝึกคงร่างมนุษย์หรือทนความกระหายหลายร้อยเท่า

    ‘ขั้นตอนวิธีนายน้อยทำถูกแล้ว แต่ที่มันไม่โตและเฉาตาย ลุงว่าเป็นเพราะนายน้อยระวังมากเกินไป’
    ‘แล้วมันไม่ดีหรือไง? ขะ- ...ผมไม่เข้าใจ’ เอทอสถามกลับด้วยความสับสน ดวงตาสีอำพันอัดแน่นไปด้วยคำถามมากมายจนนายสมัยถึงกับหลุดหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเอื้อมแขนไปหยิบต้นกล้าเพื่อทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
    ‘ดีมันก็ดีอยู่ แต่นายน้อยรู้ตัวไหมว่าทุกครั้งที่นายน้อยจับต้นกล้าน่ะ นายน้อยเกร็งมาก อาจเพราะกลัวจะทำตายอีก’ ลุงสมัยกล่าวพลางบรรจงนำกล้าลงกระถางใหม่และใส่กาบมะพร้าวรอบโคนต้นอย่างเบามือ พอเสร็จแล้วจึงหันไปดันกล้าอีกต้นออกจากกระบะ
    ‘ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติความรู้สึกนายน้อย’
    ‘ทำอะไร!! เดี๋ยวก็ตายหรอก!’

    เอทอสที่มัวแต่ฟังพลันอุทานอย่างตกใจ เพราะจู่ ๆ ลุงสมัยก็เอากล้ากล้วยไม้จับใส่มือของเขา ส่งผลให้ตอนนี้มือลุงสมัยและเขาสัมผัสกันโดยตรง ฝ่ามือเด็กหนุ่มรีบบีบล็อกมืออีกฝ่ายทันทีเมื่อรู้สึกว่าลุงสมัยกำลังชักแขนกลับ เนื่องจากกลัวว่าหากปล่อยไปมนุษย์ตรงหน้าจะเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ

    ‘ฮา ๆ นายน้อยจะตกใจอะไรขนาดนั้น กล้วยไม้มันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ’
    ‘หาใช่กล้วยไม้นี่ ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก!’

    พอได้ฟังลุงสมัยก็ถึงกับเลิกคิ้วมึนงงที่นายน้อยดูจริงจังเกินเหตุ มิหนำซ้ำยังหลุดคำแบบคนยุคเก่า ซึ่งนายน้อยจะเป็นเช่นนี้เฉพาะตอนหงุดหงิดเดือดดาลหรือตอนพูดเรื่องคอขาดบาดตายเท่านั้น และเหมือนเหตุการณ์ตอนนี้จะเป็นอย่างหลัง

    ‘แล้วทำไมลุงจะตายล่ะ มือของนายน้อยมีพิษเหรอ’ ลุงสมัยกล่าวพลางก้มมองมือนายน้อยที่จับมือเขาแน่นไม่ยอมปล่อย
    ‘จะคิดแบบนั้นก็ได้’
    ‘แล้วนายน้อยอยากทำร้ายลุงหรือเปล่า?’ ลุงสมัยถามต่อ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาจ้องนิ่งเข้าไปในนัยน์ตาสีอำพันแฝงความสับสนตื่นตระหนก
    ‘เปล่า’
   ‘นายน้อย... ร่างกายคนเราจริง ๆ ไม่ได้ทำตามที่สมองสั่งหรอกนะ มันทำตามความรู้สึกลึก ๆ ในใจ ยกตัวอย่างวาดรูป ถ้านายน้อยต้องวาดรูปส่งให้ทันกำหนด แน่นอนว่าระดับนายน้อยต้องทำส่งทันอยู่แล้ว แต่ภาพที่ได้ลุงเชื่อว่ามันคงไม่ดีเท่ารูปที่นายน้อยวาดเพราะอยากวาดจริง ๆ หรอกรู้ไหมเพราะอะไร?’
    ‘…’
    ‘เพราะรูปที่ส่ง นายน้อยใช้สมองบังคับจิตใจเพื่อให้งานมันเสร็จ แต่รูปที่นายน้อยอยากวาด นายน้อยปล่อยให้ความรู้สึกควบคุมเคลื่อนไหวร่างกาย กับเรื่องนี้ก็เหมือนกัน’
    ‘ถ้าใจจริงของนายน้อยไม่ต้องการทำร้าย กล้วยไม้พวกนี้ก็ด้วยถ้านายน้อยอยากดูแล ไม่ใช่ทำไปเพราะเป็นหน้าที่หรือถูกสั่งให้ทำ พิษของนายน้อยไม่มีทางทำร้ายใคร... ร่างกายของนายน้อยซื่อตรงกับความรู้สึกเสมอแหละ’

    หลังได้ฟัง ปีศาจกินวิญญาณจึงลองพินิจคิดตาม ที่ฝึกย้ายกล้ากล้วยไม้ทุกวันนี้เขาเพียงสนใจอยู่กับการควบคุมพลังของตนเท่านั้น หาได้สนใจชีวิตกล้วยไม้เหล่านี้แม้แต่น้อย เพราะคิดว่าหากพลาดก็ไม่เป็นไรยังมีให้ลองใหม่อีกหลายต้น ซึ่งต่างจากครานี้ที่เขาสัมผัสถูกตัวมนุษย์ครั้งแรก หากทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตใจเขาจริงเหมือนคำพูดเมื่อครู่ ถ้าเขายอมผ่อนแรงปล่อยมือคู่นี้ของมนุษย์ตรงหน้า อีกฝ่ายจะต้องปลอดภัย
    และเมื่อได้ข้อสรุปดังนั้นเอทอสจึงยอมเสี่ยงเดิมพัน ค่อย ๆ คลายแรงบีบและดึงมือของตนกลับอย่างเชื่องช้า
 
    ‘…ทำได้แล้ว’
    ‘เห็นไหมลุงก็ยังอยู่ดี เด็กดีอย่างนายน้อยทำร้ายใครไม่-’
    ‘ทำได้แล้ว! ท่านฟอเรส! ท่านอนันต์ข้าทำได้แล้ว!!’

    ลุงสมัยเอ่ยชมเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังนิ่งอึ้งอยู่ ทว่าไม่ทันได้พูดจบ เอทอสผู้ซึ่งกำลังตื่นเต้นดีใจในความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ก็รีบวิ่งหายไปทางสำนักงานเพื่อบอกข่าวให้สองผู้มีพระคุณทราบ ทิ้งผู้ช่วยคนสำคัญให้มองตามหลังจมอยู่กับความสับสนมึนงง



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ1 บทที่ 32 เอทอส]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-01-2021 22:40:09
(ต่อ)

    วันเวลาทำให้ปีศาจน้อยเรียนรู้และเติบโตตามอายุ การกำหนดสภาพแวดล้อมที่ดีช่วยหล่อหลอมความคิดและนิสัยให้เป็นไปอย่างที่ควร ทว่าถึงจะพยายามคัดกรองชีวิตสังคมของเอทอสให้มีแค่สีขาวบริสุทธิ์เพียงใด ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทุกที่ย่อมพบสีดำสกปรกแฝงอยู่เสมอ และแม้สีดำเล็กน้อยเหล่านั้นจะไม่สามารถกลืนกินสีขาวสะอาดได้ แต่นานวันเข้ามันก็มากพอที่จะย้อมจิตใจปีศาจตนหนึ่งให้หมองลงจนกลายเป็นสีเทา อันก้ำกึ่งระหว่างความดีงามและความเหี้ยมโหด

    ‘ปล่อย!! บอกว่าไม่ให้ไง!!’
    ‘ผัวะ!!’

    เสียงต่อยตีดังมากจากตรอกมืด ถึงกับทำให้เอทอสในวัยยี่สิบซึ่งกำลังเดินกลับบ้านหยุดชะงัก กลิ่นอายบริสุทธิ์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายและเสียงร้องขัดขืนดิ้นรน บังคับให้ปีศาจจิตใจดีหันปลายเท้ามุ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งก็พบกับนักเรียนชายคนหนึ่งพยายามยื้อแย่งกระเป๋ากับกลุ่มนักเลงอันธพาล

    ‘คืนของให้เขาไป แล้วฉันจะยอมไว้ชีวิตพวกนาย’

    น้ำเสียงโทนต่ำติดดุเอ่ยขึ้น ส่งผลให้กลุ่มอันธพาลล้วนหันมองต้นเสียงก่อนพากันหัวเราะ เพราะผู้กล้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มนักศึกษาธรรมดา แม้โครงร่างเด็กนี่จะดูสูงใหญ่กว่าพวกเขาสักหน่อย แต่หากมาตัวคนเดียวก็ไม่มีทางจะสู้คนที่มีจำนวนมากกว่าได้

    ‘ไว้ชีวิต... หึ ๆ ถุย!! อย่ามาทำตัวเท่แถวนี้ไอ้เด็กเมื่อวานซืน’

    เมื่อโอกาสที่อุสาเสนอกลับถูกปฏิเสธ เอทอสก็ไม่คิดจะเสวนาเพิ่มเพราะไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คน พวกมนุษย์ผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายก็มักมาสำนึกได้ในเวลาที่สายไปเสมอและพวกนี้ก็คงไม่ต่างกัน เช่นนั้นปีศาจหนุ่มจึงเริ่มย่างเท้าเข้าหา ซึ่งกลุ่มอันธพาลก็ส่งคนสมาชิกสองคนออกมารับหน้าที่สั่งสอน

    ‘ผัวะ!’
    ‘พลั่ก!! ผัวะ!!’
    ‘เป็นไงฮะ! ปากเก่งดีนักมึง’ สองอันธพาลกล่าวถากถาง เมื่อพวกตนรุมต่อยเตะเจ้าพลเมืองดีจนเซถอยไป ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดโต้กลับของอีกฝ่าย
    ‘ทำได้แค่นี่เหรอ?’ เอ่ยจบ ปีศาจอาศัยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปพุ่งเข้าประชิดตัวทั้งคู่
    ‘กร๊อบ!’
    ‘อ๊ากกกกกก!!!!!!!’
    ‘พลั่ก!! ตึง!!!!!’

    ฝ่ามือหนาของปีศาจคว้าจับแขนอันธพาลก่อนจับบิดจนหักส่งเสียงร้องลั่น ส่วนอีกคนก็ถูกผลักอย่างแรงจนร่างปลิวกระแทกอัดกำแพงและแน่นิ่งไป ความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ถึงกับทำให้เหล่าอันธพาลที่เหลือนึกหวั่นเกรง ยอมปล่อยเหยื่อเคราะห์ร้ายเป็นอิสระ

    ‘ขะ... ขอบคุณครับ’ คนถูกช่วยเหลือกล่าวขอบคุณพลเมืองดีเล็กน้อย แล้วจึงวิ่งหนีออกไปจากตรอกมืด
     ‘กูยอมปล่อยมันแล้ว พอใจมึงหรือยัง’ อันธพาลเอ่ยหวังประนีประนอม ทว่า
    ‘หากพอเท่านี้… มนุษย์กลิ่นอายชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าคงไประรานผู้อื่นอีก สมควรถูกกินให้หมดไป’
    ‘บ่นอะไรของ... มึง...’

    น้ำเสียงตอบกลับพลันเลือนหายแห้งเหือด เมื่อนักศึกษาหนุ่มที่กำลังเดินเข้าหาเริ่มมีประกายไฟสีนิลลุกไหม้ตามร่างจนโหมคลอกทั้งตัว ก่อนเพลิงทมิฬจะมอดดับพร้อมชายหนุ่มที่กลายเป็นสัตว์ประหลาด นัยน์ตาสีแดงเลือดนกดุดันอันตราย มือสองข้างเปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลมคม กลุ่มอันธพาลยามนี้กลับยืนช็อกตกตะลึงตาเบิกโพลง ขยับขาไม่ได้ส่งเสียงร้องไม่ออก รู้สึกราวกับวิญญาณภายในร่างกำลังสั่นกลัวถึงขีดสุด ได้แต่นิ่งค้างคล้ายเหยื่อน่าสงสารที่หยุดดิ้นรนเพราะรู้ชะตาชีวิตตัวเอง จนกระทั่งปีศาจมายืนประจันหน้า

    ‘พรึ่บ!’

    ฉับพลันกรงเล็บพิพากษาก็ได้ตวัดกวาดกระชากวิญญาณเหล่าอันธพาลออกจากร่าง เพียงเสี้ยวอึดใจกลุ่มมนุษย์ตรงหน้าก็เหลือเพียงร่างไร้ชีวิตล้มกองอยู่ตรงพื้น ปีศาจอ้าปากกลืนกินวิญญาณบาปทั้งหมด ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอลืมเหยื่ออีกราย

    ‘ปะ.. ปีศาจ!!!! อ๊ากกกกกก!!!!!!’

    อันธพาลผู้ถูกจับหักแขนในตอนแรกได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดกับพวกพ้อง ก็พลันสติหลุดรีบวิ่งหนีออกจากตรอกมืด ทว่าด้วยความตื่นกลัวจนไม่ทันระวัง อันธพาลหนีตายเลยวิ่งชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าตรอกพอดี

    ‘ยะ... อย่าเข้าไป! ในนั้นมันมีปีศาจ!!! หนีเร็ว!!’

    คนร้ายกลับใจรีบเตือนเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องราว พร้อมทั้งใช้แขนอีกข้างที่ยังอยู่ดีคว้าจับข้อมือเด็กวัยรุ่นคนนั้นหวังพาหนี ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าเตรียมวิ่ง แขนข้างที่ใช้จับเมื่อครู่กลับรู้สึกชาพร้อมกับรู้สึกชุ่มเหนียวเหนอะราวกับหยดเลือดกำลังไหลทะลัก จิตใจอันธพาลพลันคล้ายร่วงดิ่งลงหุบเหวเยียบเย็น ใบหน้าหวาดกลัวสุดขีดค่อย ๆ หันกลับไปมอง และภาพเบื้องหน้าก็ถึงกับทำให้หยาดน้ำตาของอันธพาลอับโชคหลั่งริน เพราะบัดนี้แขนข้างนั้นกำลังโดนมือของอีกฝ่ายซึ่งเปลี่ยนรูปเป็นปากขนาดใหญ่บดเคี้ยว

    ‘ทะ.. อึก... ทำไม’ คนชะตากรรมจวนจบสิ้นสะอึกสะอื้นถามครั้งสุดท้ายในชีวิต ขณะมองร่างเด็กวัยรุ่นที่ค่อย ๆ ฉีกออกผ่ากลางกลายเป็นปากยักษ์ที่สามารถกินตัวเขาได้ในคราวเดียว
    ‘งำ!!!’

    ร่างกายของอันธพาลพลันถูกปากยักษ์ครอบกัดทั้งตัว บดเคี้ยวกลืนหายไม่ให้เหลือสิ่งใดแม้แต่หยดเลือด จวบจนเคี้ยวเสร็จเหล่าปากยักษ์ทั้งหมดก็สมานหดกลับเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเอทอสที่แปลงกับเป็นมนุษย์แล้วเดินออกมาจากตรอกพอดี

    ‘เจ้าขี้โกงนะเอทอส ไหนบอกว่าจะล่าด้วยกันไง’ วัยรุ่นบ่นอุบทันที เมื่อเห็นเพื่อนสนิท
    ‘ข้าไม่ได้ตั้งใจล่าเสียหน่อย แค่บังเอิญผ่านทางแล้วเจอเรื่องพอดี... ข้างในยังมีอีกเยอะ ข้าขอกลับก่อนฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ วิน
    ‘จริงเหรอ! ได้ ๆ ไว้เจอกัน’

    วินตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่ายังมีอาหารอีกมากรออยู่ด้านใน ก่อนรีบบอกลาและวิ่งหายเข้าไปในตรอกมืด เกวินหรือวินเป็นเพื่อนปีศาจตนแรกและตนเดียวของเอทอส โดยอีกฝ่ายเป็นปีศาจกินซากที่ต้องไปลอบขุดร่างไร้ชีวิตตามสุสานร้างขึ้นมากินเพื่อความอยู่รอด และนั่นทำให้เขาได้พบกับอีกฝ่ายครั้งแรก อีกทั้งยังมีอะไรหลายอย่างที่เข้ากันได้ อาทิเช่นพวกเขาทั้งคู่ไม่คิดทำร้ายมนุษย์ผู้มีจิตใจขาวสะอาด เนื่องจากทั้งเขาและวินต่างเติบโตได้รับความโอบอ้อมอารีจากมนุษย์ประเภทนี้ ผิดกับมนุษย์อีกจำพวกที่เลวร้ายสมควรถูกกำจัด

    ทว่าเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีพลังรับรู้กลิ่นอายวิญญาณ ทำให้ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่ามนุษย์คนไหนสมควรล่า จึงต้องพึ่งอาศัยเขาช่วยระบุตัว ซึ่งการที่เกวินกินเพียงกายเนื้อส่วนเขากินแค่วิญญาณจึงเหมาะมากหากออกล่าด้วยกัน และนั่นทำให้พวกเขาสามารถกำจัดพวกมนุษย์เลวทรามได้อย่างไร้ร่องรอย รวมถึงเป็นการช่วยคุ้มครองมนุษย์บริสุทธิ์ไม่ให้ถูกระราน
    ซึ่งการออกล่าครั้งแรกเริ่มตั้งแต่ช่วงสมัยมัธยมปลายที่พวกเขาได้รู้จัก จนกระทั่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างปัจจุบัน โดยทุกอย่างนั้นถือเป็นความลับที่รู้กันเพียงสองตน แต่กระนั่นก็ไม่มีสิ่งใดสามารถปกปิดได้ตลอดกาล

    ‘ทำไมกลับช้า เจ้าไปทำอะไรมา’ ฟอเรสถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามาในบ้าน
    ‘ระหว่างทางกลับ ข้าพบมนุษย์กำลังโดนปล้นเลยไปช่วยไว้’
    ‘แล้วเจ้าทำยังไงกับพวกที่ปล้น’ คำถามไม่คาดคิดทำให้ปีศาจชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยอมตอบกลับ
    ‘ข้าเพียงสั่งสอ-’
    ‘อย่าคิดโกหกข้า! เอทอส!!’
   ‘โครม!!!!’

    หญิงสาวตวาดลั่น พร้อมสายลมแรงราวกับพายุคลั่งพัดร่างปีศาจหนุ่มออกไปล้มกระแทกกลางสวนหน้าบ้าน เหล่าหญ้าเขียวขจีบนพื้นสนามพลันเติบโตเลื้อยพันธนาการเอทอสอย่างรวดเร็ว เพียงครู่ปีศาจกินวิญญาณก็ถูกมัดตรึงแน่นกับพื้นดิน

    ‘สารภาพมา! เจ้าทำอะไรกับมนุษย์พวกนั้น’ หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยอารมณ์เคืองโกรธเดินตามออกมาจากตัวบ้านพร้อมเค้นถามอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับความจริงจากปากหลานชาย
    ‘พวกนั้นมันเลวทราม สมควรถูกกำจัดแล้ว โลกนี้ถึงต้องมีปีศาจกินวิญญาณเช่นข้า’
    ‘อย่ามาหาเหตุผลเข้าตัว! สิ่งที่เจ้าทำมันเลวทรามยิ่งกว่ามนุษย์พวกนั้น บอกทีว่าข้ากับอนันต์เลี้ยงเจ้าผิดพลาดตรงไหน ทำไมเจ้าถึงได้โตมาผ่าเหล่าผ่ากอเยี่ยงนี้!’
    ‘แล้วที่ข้าทำมันผิดตรงไหนกัน! ข้าหาได้กินมั่ว ข้ากินเฉพาะพวกที่มีกลิ่นชั่วร้ายแทบไร้ความบริสุทธิ์ หากปล่อยไปก็สร้างปัญหาต่อไม่รู้จบ’
    ‘โลกนี้มีผู้รักษากฎอยู่เจ้าไม่ต้องไปยุ่ง! สังคมมนุษย์มีตำรวจ สังคมปีศาจก็มีคนคอยคุมเหมือนกัน และสิ่งที่เจ้าก่อรู้ไหมว่าโทษทัณฑ์มันถึงชีวิต ถ้าพวกนั้นรู้สิ่งที่เจ้าทำเมื่อไร ต่อให้เป็นข้าหรืออนันต์ก็ช่วยเจ้าไม่-’
     ‘เรส! เกิดอะไรขึ้น? เอทอสหลานทำอะไร? ทำไมเรสถึงโกรธขนาดนี้’

    อนันต์ที่เพิ่งกลับจากสวนกล้วยไม้รีบวิ่งเข้ามาห้ามพลางถามไถ่เรื่องราว ซึ่งก็ได้รับเพียงความเงียบอึมครึมชวนอึดอัด ก่อนหญิงสาวจะส่งเสียงไม่พอใจหึหนึ่งและหันหลังเดินเข้าบ้านไป โดยไม่คิดคลายหญ้าที่พันธนาการร่างเอทอสออก ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเพียงแค่เอทอสออกแรงเล็กน้อยเหล่าหญ้าก็พลันขาดปลดปล่อยเขาเป็นอิสระอย่างง่ายดาย หากว่ากันตามจริงของพวกนี้กักขังเขาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ยอมอยู่นิ่งเพราะไม่อยากแสดงท่าทีแข็งข้อกับผู้มีพระคุณก็เท่านั้น

    ‘เอทอส หลานไปทำอะไรให้เรสโมโหเข้า บอกอาหน่อย อาสัญญาว่าจะไม่โกรธ’ อนันต์หันมาถามหลานชาย เมื่อคนรักหนีหายเข้าบ้านไปแล้ว
    ‘อา... พอดีข้ามัวแต่เถลไถล ท่านฟอเรสเลยโกรธที่ข้ากลับบ้านช้า’

    เอทอสเลี่ยงไม่ยอมบอกความจริง เพราะปกติไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไรท่านฟอเรสจะเล่าให้ท่านอนันต์ฟังเสมอ มิหนำซ้ำยังแกล้งใส่สีตีไข่ให้เขายิ่งดูแย่ ซึ่งต่างกับครั้งนี้ที่ท่านฟอเรสไม่แม้แต่พูดเอ่ยสักคำ อีกทั้งก่อนเข้าบ้านหญิงสาวยังเหลือบมองเขาด้วยหางตาราวกับสื่อว่า อย่าคิดพูดอะไรไม่เข้าท่า

    ‘เหรอ... แต่เรสไม่น่าโกรธหนักขนาดนั้นนะ ยังมีอะไรอีกใช่ไหม?’

    อนันต์ถามต่อพลางหรี่ตามองหลานชาย ทว่ากลับได้เพียงรอยยิ้มกลบเกลื่อนของเอทอส ก่อนจะอ้างขอตัวไปอาบน้ำเพราะเมื่อครู่ถูกจับคลุกดินจนสกปรก ทิ้งชายหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องราวให้ยืนสับสนอยู่ตรงสวนหน้าบ้านเพียงลำพัง


    ในวันต่อมาเอทอสก็ได้นำเรื่องมาปรึกษากับเกวินที่มหาวิทยาลัย จึงได้รู้ว่าผู้คุมกฎของสังคมปีศาจแท้จริงคือกลุ่มมนุษย์ธรรมดาที่ตั้งตนเป็นนักล่าปีศาจ ซึ่งนั่นถึงกับทำให้เอทอสหลุดหัวเราะเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตอ่อนแอเช่นมนุษย์จะหาญกล้าขึ้นควบคุมเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งอย่างพวกเขา ทว่าเมื่อรู้เอทอสก็ไม่ได้ให้ค่าหรือสนใจกลุ่มนักล่าปีศาจมากนัก เพราะมองเป็นเพียงการละเล่นสวมบทบาทของเหล่ามนุษย์ ตราบเท่าที่การละเล่นพวกนั้นไม่เข้ามาขัดขวางเขาก็ไม่เป็นไร

    ‘เอทอส.. เจ้าเจออะไร?’ เกวินเอ่ยถาม เมื่อระหว่างคุยเล่นกันอยู่ ๆ เพื่อนสนิทก็นิ่งไปพลางทำจมูกคล้ายสูดกลิ่น
    ‘มนุษย์คนนั้นเป็นใคร เจ้าพอรู้จักไหม’ ร่างสูงใหญ่หันมาถามเพื่อนปีศาจข้างกาย พร้อมชี้นิ้วไปยังชายนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินตามพวกผู้ใหญ่ก่อนเลี้ยวหายไปในมุมตึก
    ‘อ๋อ... ศิลาอยู่คณะเกษตร เหมือนเป็นเด็กเรียนจริง ๆ ไวไฟไม่เบา ขึ้นมหาลัยมาก็พลาดทำผู้หญิงท้องซะแล้ว แต่เจ้านั่นก็เป็นลูกผู้ชาย กล้าทำกล้ารับผิดชอบ ได้ข่าวว่าช่วงนี้กำลังหัวหมุนหาเงินเลี้ยงลูก’
    ‘…’
    ‘ข้าว่าเจ้านั่นก็เป็นคนดีนะ ทำไมเจ้าถึงสนใจล่ะ’ เกวินแกล้งถามกลับ แม้จะพอคาดเดาคำตอบได้คร่าว ๆ
    ‘มนุษย์นั่นมีกลิ่นอายบริสุทธิ์มาก แต่กลับเริ่มเจือความหมองเลวร้าย ถ้าข้าดึงศิลากลับมาได้ก่อนอะไรจะสายไปก็ดี ข้าไม่อยากจับเจ้านั่นกิน’
    ‘หึ... ใจดีอีกแล้ว รู้ไหมนิสัยชอบยื่นมือช่วยเหลือของเจ้า สำหรับพวกมนุษย์ที่คิดไปไกลจะมองว่าเจ้ากำลังหว่านเสน่ห์มีใจให้ เดี๋ยวก็จบเหมือนเรื่องของสีคราม’
    ‘จิตใจของใครผู้นั้นก็จัดการเองไม่เกี่ยวกับข้า อีกอย่างเจ้าบอกเองว่าศิลามีลูกมีคู่ครองแล้ว’

    เอทอสเอ่ยก่อนลุกขึ้นเพื่อตามมนุษย์ผู้เป็นหัวข้อสนทนาหลักไป ขณะที่เกวินเพียงนั่งมองไม่ได้ตามไปด้วย กระทั่งลับหลังเพื่อนสนิทปีศาจจึงใช้ลิ้นเลียริมฝีปากแก้กระหาย ยามนึกถึงอาหารมื้อใหม่ที่กำลังจะมาในอีกไม่ช้า

    ปีศาจกินวิญญาณเดินตามกลิ่นอายจนมาพบเป้าหมายกำลังยืนคุยกับพวกผู้ใหญ่สองคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะถูกหนึ่งในผู้ใหญ่นั้นชกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงพร้อมยัดห่อกระดาษใส่มือศิลา พวกนั้นถึงยอมจากไป เห็นดังนั้นเอทอสจึงเดินเข้าไปหา ซึ่งทันทีที่ศิลาเห็นเขาก็แสดงท่าทีพิรุธอย่างชัดเจน

    ‘ห่อกระดาษนั่นคืออะไร?’
    ‘ไม่ใช่เรื่องของนาย เฮ้ย! เอาคืนมา!’

    ศิลาตอบกลับคล้ายไม่พอใจ พลางพยายามเดินหนีทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่จับไหล่ พร้อมมืออีกข้างของร่างสูงใหญ่ที่ฉวยแย่งห่อกระดาษนั้นไปเปิดดูอย่างถือวิสาสะ ของด้านในที่นัยน์ตาสีอำพันดุเห็นคือเม็ดยาสีแปลกและผงขาวจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดถูกบรรจุในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง

    ‘นายค้ายาหรือศิลา?’ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม พลางใช้สายตาคมดุมองอย่างพิจารณา
    ‘หลักฐานก็คาตาอยู่แล้วหนิ เอาสิ จับฉันส่งตำรวจเลย’
    ‘ทำไปทำไม หน้ามืดเอาผู้หญิงจนท้องเลยต้องหาเงินเลี้ยงแบบไม่เลือกวิธีการ’
    ‘ผัวะ!!!’

    สิ้นคำสบประมาทหมัดหนักรุนแรงพลันชกเข้าที่ซีกหน้าของร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีอำพันดุอันตรายยากคาดเดาหันกลับมามองมนุษย์อีกครั้ง พบว่ายามนี้สีหน้าแววตาศิลาล้วนแสดงถึงความโกรธแค้นเจ็บใจ ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่ปีศาจต้องการ เพราะเมื่อใดที่มนุษย์ถูกอารมณ์ครอบงำมักจะหลุดคลายความลับไม่มากก็น้อย

    ‘มึงไม่มีเรื่องต้องรับผิดชอบเหมือนกูหนิ! คิดว่ากูอยากทำนักเหรอไง ไอ้เหี้ยเอ้ย!!... กูไม่น่าหลงไปทำงานกับพวกมันเลย’
    ‘ก็เลิกซะสิ’ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแนะนำ
    ‘แล้วกูเลือกได้เหรอฮะ! ทั้งที่อยู่ แฟนหรือลูกกูพวกมมันรู้หมด ถ้ากูไม่ทำจะเกิดอะไรมึงรู้ไหม’
    ‘มาทำงานกับฉันสิ’
    ‘…พูดอะไรของมึง’
    ‘พรุ่งนี้พาครอบครัวของนายไปที่สวนรฦกวัลย์รู้จักใช่ไหม ไปหาคุณอนันต์กับคุณฟอเรสแล้วเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง บอกว่าเอทอสขอมา จากนั้นนายก็อยู่เงียบ ๆ ที่สวนไปสักพัก ให้ฉันจัดการเรื่องให้เรียบร้อยก่อนค่อยกลับมาเรียน’

    หลังฟังข้อเสนอศิลาได้แต่นิ่งอึ้ง ดวงตาเผลอเบิกกว้างด้วยความตกใจ สวนรฦกวัลย์ที่เจ้าของเป็นเสมือนพ่อพระคอยช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนขาดที่พึ่งย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก รวมถึงข่าวคราวเรื่องมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหลานชายเจ้าของสวนเรียนอยู่เขาก็พอทราบ แต่คิดไม่ถึงว่าคนนั้นจะเป็นบุคคลตรงหน้าที่เขาเพิ่งต่อยและตะคอกด่าไปเมื่อครู่ พอรู้ดังนั้นคนกำลังอารมณ์ร้อนก็พลันรู้สึกสงบลงราวกับถูกน้ำสาด

    ‘กุ... ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็น-’
    ‘ช่างมัน เออ... แล้วลูกนายเข้าเรียนหรือยัง? เปลี่ยนที่อยู่แบบนี้จะเป็นปัญหาหรือเปล่า’ เอทอสรีบถามกลับเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่านาวาหรือลูกชายของศิลานั้นยังเป็นเพียงทารกไม่หย่านม
    ‘ถ้าผมไปอยู่ที่นั่นจะสร้างปัญหาไหม พวกนั้นอาจ-’
    ‘คนมีเรื่องหนักหนากว่านายคุณอนันต์ก็ดูแลมาแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ก็กลับไปทำตามที่บอกแล้วกัน’

     ว่าจบฝ่ามือใหญ่ที่จับล็อกไหล่ไว้ในทีแรกก็เปลี่ยนเป็นดันหลังพร้อมตบเบา ๆ คล้ายบอกเป็นนัยว่าให้ไปได้แล้วซึ่งศิลาก็ยอมทำตามแต่โดยดี จวบจนบริเวณนี้ไม่เหลือใครเอทอสจึงก้มมองถุงกระดาษที่ถือติดมือ ฉับพลันเปลวเพลิงทมิฬก็ลุกท่วมเผาของสกปรกจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากหรือกลิ่นควัน จากนั้นร่างสูงใหญ่จึงเดินกลับไปหาเพื่อนสนิท เพื่อวางแผนการล่าครั้งใหม่ที่กำลังเริ่ม


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ2 บทที่ 32 เอทอส]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 26-01-2021 22:44:17
(ต่อ)

    สองปีศาจคอยเฝ้าดูเหล่าเหยื่อในครั้งนี้พลางหาข้อมูลเพิ่มเติม ถึงรู้ว่าแท้จริงมนุษย์น่ารังเกียจนั่นเป็นแค่กลุ่มลูกน้องนักธุรกิจรายหนึ่งซึ่งอาศัยชื่อและอำนาจของเจ้านายทำเรื่องพรรณ์นี้ มิหนำซ้ำเจ้านายเองก็ไม่รู้เลยว่ากำลังเลี้ยงหนอนบ่อนไส้ไว้ใกล้ตัว เกวินและเอทอสเพียงลอบสังเกตเงียบ ๆ รอเวลาเพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานพวกทรยศคิดไม่ซื่อต้องถูกจับได้ ซึ่งค่ำคืนนี้ก็เกิดเรื่องอย่างที่คาดการณ์

    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!! ปัง!!’
    ‘ปัง!!’

    เสียงกระสุนสาดและความโกลาหลวุ่นวายในบ้านหลังใหญ่ เป็นเหมือนดั่งสัญญาณเริ่มการล่าของสองปีศาจที่เฝ้ามองอยู่บนเงามืดของยอดไม้ เอทอสกระโดดนำเข้าเขตบ้านพร้อมชี้นิ้วระบุตัวมนุษย์ให้เกวินเลือกกินถูกคน ส่วนตัวเขาก็แยกไปจัดการอีกด้านหนึ่ง ซึ่งการที่ฝ่ายกบฏต้องประทะทั้งกลุ่มผู้อารักขาเจ้านายเก่าและผู้ล่าดักซุ่มในความมืด แน่นอนว่าย่อมไร้หนทางชนะ เพียงไม่นานหลังสองปีศาจเข้ามาร่วมวงตะลุมบอน จลาจลยามค่ำคืนก็หวนคืนสู่ความสงบเงียบ

    ‘ใครหลบอยู่ต้องนั้น ออกมา!’
    ‘...ผมเองครับนาย’ หนึ่งในลูกน้องรีบชูมือขึ้นก่อนเดินออกมาจากมุมมืด ซึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นพวกเดียวกันผู้เป็นนายจึงยอมเก็บปืน พร้อมเรียกลูกน้องคนนั้นให้เข้ามาหาเพื่อสั่งการ
    ‘ไปดูระบบไฟแล้วโทรเรียกตำ-’

    ขณะกำลังสั่งงานจู่ ๆ เสียงเจ้านายก็เงียบไป ลูกน้องที่รอรับคำสั่งจึงรีบกวาดสายตาโดยรอบบริเวณเผื่อว่ายังมีพวกทรยศหลงเหลืออยู่แถวนี้ ทว่าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติจึงได้หันกลับมาหาเจ้านาย ซึ่งพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองแหวนบนนิ้วที่กำลังส่องแสงสีแดงกระพริบ

    ‘มีอะไรหรือค-’
    ‘ฉึก!!!’

    คมมีดจากผู้เป็นนายพลันปักแทงเข้ากลางท้องลูกน้องเบื้องหน้า ก่อนจะออกแรงบิดปลายด้ามจับส่งผลให้กลไกอาวุธแตกใบมีดที่ฝังลึกในร่างเป็นแง่งหนามเหล็กหลายสิบแท่งเข้าทิ่มทำลายอวัยวะภายใน การจู่โจมไม่คาดคิดถึงกับทำให้ลูกน้องเบิกตากว้างมองเจ้านายด้วยความสับสน

    ‘แกเองสินะที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่ ไอ้ปีศาจสารเลว’
    ‘พะ... พูดอะ-’
    ‘เลิกเล่นละครสักที’
    ‘ฉัวะ!!!!’

    มีดที่แตกกระจายเป็นหนามเหล็กฝังอยู่ในร่างถูกมือผู้เป็นนายดึงกระชากออกอย่างแรง เกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์เหวอะหวะขนาดใหญ่กลางท้อง เลือดเหนียวเหนอะมากมายพลันไหลทะลักท่วมอาบกาย ขาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้งจนต้องทรุดลงคุกเข่า พร้อมเปลวเพลิงสีนิลลุกไหม้เผยร่างจริง

    ‘ทะ... ทำไม ข้ามาช่วยเจ้านะ’

    เอทอสเอ่ยถามอย่างสับสน นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงจ้องตรงไปยังมนุษย์เบื้องหน้าเพื่อแสดงความจริงใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับมองว่าเป็นการท้าทาย อาวุธแหลมในมือมนุษย์จึงตวัดพาดใส่ซีกหน้าปีศาจกลายเป็นรอยแผลกว้าง ทุกความรุนแรงป่าเถื่อนที่กำลังประสบล้วนขัดกับกลิ่นอายสะอาดบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากตัวมนุษย์ ความย้อนแย้งและคำถามมากมายพลันพรั่งพรูในความคิดปีศาจ กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดมาจากมนุษย์ซึ่งกำลังโทรศัพท์เรียกพวกพ้องก็ถึงกับทำให้ความคิดปีศาจขาวโพลน ก่อนแทนที่ด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่งเคยรู้สึกครั้งแรก

    ‘สิ่งที่เจ้าก่อรู้ไหมว่าโทษทัณฑ์มันถึงชีวิต’ คำเตือนครั้งหนึ่งของผู้มีพระคุณพลันดังก้องขึ้นมาในหัว

    ‘พวกของฉันกำลังมาเอาตัวแกไปรับโทษ อย่าคิดหนีถ้าไม่อยากตายแบบทร-’
    ‘โครม!!!’

    ร่างกายปีศาจพลันขยับไปเองตามสัญชาตญาณ ส่งกรงเล็บแข็งแกร่งฟาดใส่มนุษย์ตรงหน้าอย่างจัง พละกำลังมหาศาลบวกกับความตื่นตระหนกกลัวตาย มากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะรับได้แม้จะยกอาวุธขึ้นป้องกัน เป็นผลให้ร่างของมนุษย์ปลิวไปกระแทกชุดโต๊ะรับแขกเกิดเสียงโครมสนั่น ก่อนชนเข้ากับขอบกำแพงจนคอหักผิดรูปแน่นิ่งไป

    ‘มะ.. ไม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ’

    หลังพลั้งมือทำเรื่องผิดพลาดเกินให้อภัย ปีศาจที่ได้สติจึงรีบตะเกียกตะกายเข้าไปหาร่างมนุษย์พลางเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา กรงเล็บชุ่มเลือดจากการกดบาดแผลห้ามเลือด เอื้อมจับร่างไม่ไหวติงพร้อมพยายามร่ายคำสาปหวังช่วยชีวิตทว่าทุกอย่างก็สายเกินแก้ เมื่อดวงไฟวิญญาณลอยออกจากร่างมนุษย์ต่อหน้าต่อตาปีศาจ ความจริงที่ว่าเขาเพิ่งสังหารมนุษย์บริสุทธิ์พลันเยือกแข็งความรู้สึกปีศาจจนเย็นเยียบ อุดมการณ์ความดีที่เชื่อมั่นบัดนี้ได้พังทลายสิ้นไม่มีเหลือ

    ‘พ่อครับ!!! คุณคะ!!!’

    เสียงตะโกนเรียกของผู้หญิงและเด็กคนหนึ่งปลุกเอทอสออกจากภวังค์ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงในเงามืดหันมองมนุษย์กลุ่มใหม่ที่มัวแต่จับจ้องเขาเลยไม่ทันระวังด้านหลัง ซึ่งมีเกวินกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ทว่ากลิ่นอายบริสุทธิ์จากกลุ่มมนุษย์ที่สัมผัสได้กลับบ่งบอกว่าคนเหล่านี้หาใช่เป้าหมาย และแน่นอนว่าเกวินที่เพิ่งมาย่อมไม่รับรู้มิหนำซ้ำคงคิดว่าเป็นศัตรูเพราะเห็นเขาบาดเจ็บ ปีศาจกินวิญญาณผู้ไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาดซ้ำสองจึงพยายามลุกเพื่อเข้าขวางเกวินก่อนที่อะไรจะสาย แต่เหมือนเคราะห์ร้ายในค่ำคืนนี้จะยังไม่หมดลง เพราะความช่วยเหลือของเขาถูกเหล่ามนุษย์มองว่าเป็นการจู่โจม ปลายกระบอกจากหนึ่งในกลุ่มคนจึงหันเล็งมาทางเขาและเหนี่ยวไก

    ‘ปัง!!! ปัง!!!’
       ‘ปัง!!!’

    ‘เอทอส! เจ้าเป็นอะไรมากไหม?! แข็งใจไว้ข้าจะพาเจ้าออกจากที่นี่’

    เกวินรีบเข้ามาพยุงร่างเพื่อนสนิทที่ถูกมนุษย์กระหน่ำยิง ส่วนปีศาจเจ็บหนักกลับมัวแต่จ้องมองเหล่าร่างไร้ชีวิตที่เขาช่วยไว้ไม่ทัน อีกหนึ่งความผิดบาปพลันเพิ่มพูนทับถมจิตใจปีศาจให้ยิ่งจมดิ่งในห้วงความผิดที่เขาก่อ ปีศาจผู้สำนึกได้แต่เอ่ยคำขอโทษรู้สึกผิดในใจ และคล้ายความละอายของเขาจะสื่อไปถึงใครบางคน ทว่าใครที่ว่านั้นคือขุมนรก มิใช่พระเจ้าผู้อารี

    ‘เอทอส เจ้าเข้าไปหลบในป่า ข้าจะดึงพวกนักล่าปีศาจไปอีกทาง’
    ‘แต่-’
    ‘ไม่มีเวลาแล้ว รีบไป!’
    ‘พลั่ก!!’

    เกวินใช้สองมือผลักเพื่อนสนิทอย่างแรงเพื่อส่งอีกฝ่ายไปให้ห่างจากบริเวณนี้ที่สุด ซึ่งพละกำลังมหาศาลบวกกับเอทอสซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพอ่อนแอ เลยทำให้ร่างปีศาจกินวิญญาณพุ่งกระเด็นไปตกอยู่กลางป่าลึกไกลจากตำแหน่งเมื่อครู่มากพอสมควร

    “เอทอสพอแล้ว มันไม่ทันหรอก... คุณ ฟังผมหน่อย”

    เมื่อเหลือเพียงลำพัง โนอาร์ที่คอยเฝ้าดูช่วงชีวิตปีศาจอยู่ห่าง ๆ ก็เข้ามาพูดกล่อมให้ร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังฝืนเดินย้อนกลับไปทางเดิมนึกถอดใจ ฝ่ามือขาวรีบเข้าประคองเมื่อเห็นว่าปีศาจจวนจะล้มลง ทว่าทุกความพยายามก็ไร้ค่าเพราะร่างเอทอสได้ทะลุผ่านมือเขาลงไปกองตรงพื้น

    ‘วะ.. วิน…’
    “คุณในอนาคตไม่เคยพูดถึงชื่อนี้เลย ชีวิตเพื่อนคุณคงมาได้เท่านี้ แต่คุณยังต้องอยู่ต่อ”

    โนอาร์เกลี่ยกล่อมปีศาจโดยหวังว่าเสียงจะสื่อไปถึงอีกฝ่าย และคล้ายความปรารถนาของชายเลือดเย็นจะเป็นจริง เมื่อร่างสูงใหญ่ยอมนอนนิ่ง ๆ ไม่ฝืนดันทุรังต่อ ทว่าเพียงครู่ปีศาจก็รีบลุกขึ้นอีกรอบพร้อมพยายามตะเกียกตะกายพาร่างบาดเจ็บวิ่งเข้าหาบางสิ่ง ซึ่งคำเรียกชื่อที่ดังมาจากร่างบาดเจ็บก็เป็นตัวเฉลยข้อสงสัย

    ‘ท่านอนันต์... ท่านอนันต์! ข้าขอร้อง.. ช่วยคุยกับพวกมนุษย์ที เพื่อนข้าไม่ใช่ปีศาจเลวร้าย เขาแค่ทำตามที่ข้าบอก เขา...’
    ‘…’
    ‘ทะ… ท่าน...’

    น้ำเสียงปีศาจพลันแห้งผากเช่นเดียวกับฝีเท้าชะงักงัน เมื่อผู้มีพระคุณซึ่งเปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังเดินออกมาจากเงามืดของป่าในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทคุ้นตา พร้อมหอกเหล็กสีเงินวาวคมกริบแบบเดียวกับที่นักล่าปีศาจใช้กัน เอทอสเริ่มเข้าใจเหตุผลครั้งก่อนที่ฟอเรสไม่ยอมเล่าสิ่งที่เขาทำให้อนันต์ฟังทันที เพราะหากตอนนั้นหญิงสาวเลือกบอกความจริง เขาอาจไม่มีชีวิตอยู่จนถึงคืนนี้ และคืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายของเขาเช่นกัน

    เอทอสผู้ชอกช้ำทั้งร่างกายและจิตใจยอมทิ้งตัวคุกเข่าน้อมรับชะตากรรม เสียงฝีเท้าผู้มีพระคุณที่เข้าใกล้คล้ายเสียงนาฬิกาชีวิตจวนสิ้นสุดกลับทำให้เอทอสรู้สึกสงบอย่างประหลาด หากต้องตาย การตายด้วยน้ำมือผู้ให้ชีวิตเลี้ยงดูมาคงเป็นเรื่องดีที่สุด ดังนั้นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำหมองหม่นจึงปิดลง รอรับคมหอกพิพากษาแต่โดยดี

    ‘ฉัวะ!!!’
    ‘พลั่ก!’

    ความรู้สึกที่ควรเป็นเหล็กแหลมเสียบแทงกลับกลายเป็นแรงผลักรุนแรงจนร่างเอทอสไถลไปกับผืนป่า นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงค่อย ๆ ลืมขึ้นมอง ภาพแรกที่เห็นคือปลายผมสีเขียวอมดำพลิ้วไสวตามสายลมพัดโหมกระหน่ำ ต้นไม้สูงรอบบริเวณต่างไหวเอนราวกับถูกพายุสาดซัดข่มขู่ บัดนี้หญิงสาวอีกหนึ่งผู้มีพระคุณได้ยืนกั้นขวางระหว่างเขาและท่านอนันต์

    ‘โจมตีผมทำไมล่ะ เรส’ อนันต์ถามกลับคนรัก ซึ่งเมื่อครู่ระดมเถาวัลย์รากไม้พุ่งใส่จนเขาแทบเอาหอกปัดป้องไม่ไว้ สุดท้ายจึงจำต้องกระโดดถอยห่างไปตั้งหลัก
    ‘เจ้าต่างหากคิดจะทำอะไร’
    ‘เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ยฮะ’
    ‘ไอ้บ้างาน หน้าที่ต้องมาก่อนก็อะไรทั้งหมด’
    ‘หึ ๆ รู้ใจผมจริง ๆ ด้วย... งั้นเรสก็ส่งหลานมาให้ผมลงโทษเถอะ ปกป้องทั้งที่ทำผิดจะทำให้เอทอสเสียนิสัยเอา’ อนันต์เผยยิ้มเล็กน้อย พลางชี้ปลายหอกไปยังหลานชายทว่าเสี้ยววินาทีก็ถูกรากไม้ซึ่งพุ่งออกมาจากพื้นดินปัดทิ้ง
    ‘อย่ามาแสร้งพูดดี ลงโทษของเจ้าคือสังหารเขาชดใช้ความผิด คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตามใจเหรอ?!’
    ‘ผมไม่ได้อำมหิตถึงขนาดฆ่าหลานตัวเองได้ลงคอหรอกนะเรส แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งเถียงกันและเอานี่ไปให้เอทอสกินรักษาแผลก่อน ผมขอให้ผู้คุมวิญญาณเก็บมาให้’

    อนันต์เอ่ยพลางโยนขวดเก็บวิญญาณสีทึบให้ฟอเรสรับ เนื่องจากจนถึงบัดนี้ปีศาจสาวผู้เป็นรักแท้ของเขา ยังคงแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการเรียกรากไม้หนามขนาดยักษ์กั้นขวางเป็นแนวยาว หญิงสาวใช้เวลาพินิจมองของในมือครู่หนึ่งเมื่อไม่เห็นความผิดปกติจึงโยนต่อไปให้เอทอสที่อยู่ด้านหลัง

    เอทอสรับขวดแปลกตาจากผู้มีพระคุณด้วยความสับสนก่อนใช้กรงเล็บหมุนฝาเปิด ฉับพลันดวงไฟวิญญาณหนึ่งเดียวที่ถูกขังไว้ก็ลอยออกมาจากขวด ทว่ากลิ่นอายอันคุ้นชินที่สัมผัสได้กลับทำให้นัยน์ตารัตติกาลเบิกกว้าง ทั้งร่างนิ่งชาราวกับกำลังจมลงไปใต้น้ำแข็งหนาวเหน็บ ความผิดครั้งที่สามเข้าบดขยี้จิตใจรู้สำนึกจนแหลกเหลว

    ‘รีบกินเอทอส แผลจะได้สมาน’ อนันต์กล่าวบอกหลานชาย
    ‘ไม่... ข้าไม่กิน’
    ‘จะละอายทำไมกับแค่กินเพื่อนของเจ้า ขนาดธีออสกับเอวาเจ้ายังกิน-’
    ‘อนันต์!!!!!’
    ‘โครม!!!’

    ฟอเรสรีบใช้พลังดึงต้นไม้ในป่าให้ล้มฟาดทับใส่ชายหนุ่มหวังให้หยุดสิ่งที่กำลังพูด แต่เพราะรักรู้จักกันมานาน อนันต์จึงเดาทางและหลบทุกการจู่โจมได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเอ่ยเรื่องต้องห้ามต่อไป

    ‘คงแอบคิดใช่ไหมว่าธีออสเอวาเป็นใคร ไม่ต้องสงสัยหรอก ธีออสและเอวาพวกเขาน่ะอยู่ในตัวหลานมาตลอด’
    ‘เจ้ากำลังทำให้ข้าโกรธจริง ๆ แล้วนะ อนันต์!!!’
    ‘เชิญเลยเรสเดี๋ยวผมค่อยกลับไปง้อคุณที่หลัง แต่วันนี้เอทอสต้องได้รู้บาปของตัวเอง คุณก็เห็นแล้วหนิที่เราพยายามปกปิดมันทำให้เอทอสทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า’
    ‘เอทอสฟังและจำไว้ให้ขึ้นใจ ตั้งแต่เด็กพลังของหลานตื่นก่อนปีศาจทั่วไป อาหารมื้อแรกที่กินคือธีออสเอวา พ่อแม่แท้ ๆ ของหลานเอง และมื้อต่อ ๆ มาก็คือเหล่าสัตว์หลงทาง ในบ้านมีแต่ซากสัตว์โครงกระดูกกองพะเนิน อาเป็นคนจัดการแยกกระดูกธีออสเอวาเองกับมือ หากอากับเรสไม่ไปเยี่ยม หลานคงกินสัตว์จนหมดป่า หลาน-’
    ‘อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!’

    เสียงคำรามก้องเจียนตายดังกลบทุกคำพูด สองกรงเล็บทมิฬเอามือป้องหูจิกทึ้งปฏิเสธเรื่องราว นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเบิกกว้างสั่นไหวลุกลน พร้อมหยาดน้ำตาไหลพรากไม่ยอมรับ ความคลื่นไส้มวนท้องพลันตีขึ้นก่อนสำรอกอาเจียนทุกสิ่งอย่าง ทว่ากลับไร้ซึ่งดวงวิญญาณที่เคยกินปะปนมากับเศษอาหารเคลือบน้ำย้อย เช่นนั้นกรงเล็บแหลมปิดหูจึงเปลี่ยนเป็นตะกุยลำคอฉีกกระชากจนเหวอะหวะสยดสยอง เสียงร้องคำรามเจ็บปวดเหลือเพียงเสียงอึกอักสำลักเพราะกล่องเสียงถูกทำลาย ฟอเรสที่เห็นหลานชายเสียสติเนื่องจากรับความจริงไม่ได้ก็ได้แต่ยืนอึ้ง เปิดโอกาสให้อนันต์เข้าถึงตัวเอทอส

    “กลับปัจจุบันได้เมื่อไร เตรียมรับสิ่งที่ทำกับเอทอสให้ดี อนันต์” นัยน์ตารัตติกาลวาวโรจน์เครียดแค้นตวัดจ้องชายตรงหน้า โนอาร์พลันสัญญากับตัวเองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เขาจะสลักจำไว้ไม่มีวันลืม
    ‘หากเป็นปีศาจตนอื่น อาคงไม่ลังเลที่จะกำจัด แต่เพราะเป็นหลาน อาจะให้โอกาส’
    ‘อย่าฆ่าใครอีก นี่เป็นคำสัญญาและคำเตือนระหว่างเรา อย่าบังคับให้อาต้องกำจัดหลานเลย’
    ‘ผัวะ!!!’

    ด้ามหอกเงาวาวเหวี่ยงฟาดกลางท้ายทอยปีศาจเสียสติทันทีหลังเอ่ยจบ ส่งผลให้เอทอสซึ่งกำลังคลั่งทำร้ายตัวเองล้มฟุบแน่นิ่งไป ฟอเรสรีบเข้ามาดูอาการหลานก่อนหันมาเตรียมตะคอกด่าว่าคนรักที่กระทำรุนแรง ทว่าอนันต์กลับตัดบทบอกให้อีกฝ่ายรีบพาเอทอสกลับบ้านเพราะกลุ่มนักล่าปีศาจกำลังตามมาสมทบ เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงจำต้องเก็บความไม่พอใจไว้แล้วกวักมือเรียกสายลม เพียงพริบตาบริเวณนี้ก็เหลือเพียงชายหนุ่มท่ามกลางผืนป่า

    ‘ขออภัยครับ พวกเราหลงป่าจนเมื่อครู่ได้เสียงร้องปีศาจนำทาง มันไปไหนแล้วครับ’ หนึ่งในนักล่าปีศาจฝึกหัดรีบรายงานหัวหน้า พลางมองหาเป้าหมาย
    ‘ชักช้า! คิดว่าปีศาจมันจะนั่งรอพวกแกมาเหรอ ฉันกำจัดไปแล้ว ขืนเป็นยังเหลาะแหละแบบนี้สู้กับพวกมันตัวต่อตัวคงตายเปล่า’
    ‘…งั้นอย่างน้อยขอพวกผมช่วยจัดการซาก-’
    ‘ก่อนจะพูด ดูก่อนว่าฉันทำไปแล้วหรือยัง’

    เหล่านักล่าปีศาจต่างสะอึกเมื่อถูกหัวหน้าตอกกลับอีกครา พร้อมโดนไล่เนื่องจากภารกิจในค่ำคืนนี้จบลงแล้ว จวบจนรอบกายไม่มีใครเหลืออยู่ ชายหนุ่มที่แกล้งฝืนร่างกายก็พลันสำลักกระอักเลือด พลางใช้หอกปักผิวดินค้ำยันพยุงตัว การหวนกลับมาทำหน้าที่นักล่าปีศาจเพื่อช่วยหลานรักทั้งที่เลิกราไปนาน กระตุ้นพิษร้ายที่เก็บงำไว้ตลอดหลายปี และอีกไม่นานความลับของเขาก็คงล่วงรู้ถึงหูฟอเรส อนันต์เช็ดเลือดตรงมุมปากก่อนหลุดหัวเราะเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่ากรรมที่เขาสั่งสอนหลานจนคลั่งเสียสติจะสนองคืนเร็วเช่นนี้



    บาดแผลทางจิตใจปีศาจกินวิญญาณนั้นหนักหนาสาหัสเกินเยียวยา สมองบังคับร่างกายให้หลับใหลนานนับสัปดาห์เพื่อพักฟื้น รวมถึงปิดกั้นทุกความทรงจำในคืนวันอันเลวร้าย ส่งผลให้เมื่อเอทอสตื่นขึ้นจึงหลงลืมเรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความจริงเรื่องผู้ให้กำเนิดหรือแม้กระทั่งเกวินเพื่อนสนิท สมองปีศาจเลือกปกป้องตัวเองโดยลบสหายเพียงคนเดียวออกไปจากชีวิต ซ่อมแซมปรับเปลี่ยนความทรงจำเป็นเขาไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเกวินมาก่อน มีเพียงสิ่งเดียวที่ติดตรึงเป็นตราบาปไม่จางหาย นั่นคือคำสัญญาของอนันต์

    เมื่อร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิมและใช้ชีวิตได้ช่วงหนึ่ง เอทอสเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เขาสูญเสียความสามารถในการดึงวิญญาณออกจากร่างสิ่งมีชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนเขี้ยวเล็บอันแสนภาคภูมิ หากขาดมันก็ไม่ต่างจากปีศาจพิการ เอทอสรู้สึกอับอายและท้ายสุดจึงนำเรื่องไปปรึกษาสองผู้มีพระคุณ ซึ่งก็ไม่ได้อะไรนอกจากเห็นท่านฟอเรสโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไล่ตะเพิดท่านอนันต์ออกจากบ้าน ส่งผลให้ช่วงนั้นท่านอนันต์ต้องใช้ชีวิตกินนอนในสวนรฦกวัลย์เป็นเดือน ๆ

    วันเวลาผ่านไปจนเอทอสเรียนจบหลักสูตรมหาวิทยาลัยของมนุษย์ เข้ารับหน้าที่ดูแลสวนแทนอนันต์ที่เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ ยิ่งนานวันอาการของอดีตนายใหญ่สวนรฦกวัลย์ก็ทรุดหนักจนต้องนอนติดเตียง และนั่นทำให้ฟอเรสรู้ความลับที่ชายหนุ่มปิดบังมาเนินนาน

    ‘ไหนเจ้าว่าจัดการปีศาจตนนั้นไปแล้วไง! ทำไมคำสาปของมันยังมีอยู่อีก!!’ หญิงสาวต่อว่าชายหนุ่มที่ยามนี้ซูบผอมอ่อนล้า ทว่าก็ได้เพียงรอยยิ้มฝืนตอบกลับมา
    ‘สงสัยผมเบามือไปหน่อย... มันเลยรอด... แฮ่ก! แฮ่ก!’
    ‘จะสิ้นลมอยู่แล้วยังทำเป็นเล่นอีก เจ้านี้มัน... จริงสิ! ข้าจะใช้พันธะครองคู่-’
    ‘ไม่! แฮ่ก! แฮ่ก!... ไม่ต้องหรอก แค่ชั่วอึดใจเรส... ผมก็กลับมาอยู่ข้างเรสแล้ว ถึงตอนนั้นผมจะเลิกนิสัยบ้างาน แฮ่ก! ...แล้วเราไปเดทกัน’

    เอทอสที่ลอบฟังสองผู้มีพระคุณคุยกันไม่ค่อยเข้าใจความหมายแฝงเท่าใดนัก จนกระทั่งถึงวันที่อนันต์จากไป ความเศร้าโศกได้มาเยือนเหล่าคนงานสวนรฦกวัลย์ เว้นเพียงท่านฟอเรสที่ยังคงสงบนิ่งไร้ความเสียใจ ซึ่งไม่นานเขาก็ได้คำตอบเมื่อในคืนดึกสงัดคืนหนึ่ง เอทอสรู้สึกถึงกลิ่นอายวิญญาณคุ้นเคยของผู้ที่ลาลับบริเวณหน้าบ้านพักจึงวิ่งออกไปหา ซึ่งก็พบกับวิญญาณท่านอนันต์ในรูปร่างชายหนุ่มแข็งแรง สภาพเดิมก่อนจะล้มป่วย

    ปีศาจกินวิญญาณดีใจรีบเรียกอีกหนึ่งผู้มีพระคุณมาที่หน้าบ้าน พร้อมเตรียมทำหน้าที่เป็นสื่อกลางพูดคุยระหว่างทั้งสอง ทว่าเพียงอนันต์สัมผัสถูกตัวฟอเรสทั้งคู่ก็พลันมองเห็นและสื่อสารกันได้เอง เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เอทอสสับสนมึนงง ก่อนจะได้คำเฉลยจากสองผู้มีพระคุณว่าเป็นหนึ่งในความพิเศษของสัญลักษณ์ครองคู่ ปีศาจวายุพฤกษาปลูกความทรงจำใหม่กับเหล่าชาวสวนและมนุษย์ที่รู้จักให้เข้าใจว่า เธอนั้นได้เสียชีวิตพร้อมกับอนันต์ จากนั้นจึงฝากฝังเรื่องสวนให้หลานชายดูแล เมื่อหมดภาระผู้มีพระคุณทั้งสองจึงพากันออกเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล


    นับจากนั้นเอทอสหรือนายใหญ่คนปัจจุบันก็คอยบริหารจัดการสวนเพียงลำพัง เจริญตามรอยยื่นมือช่วยเหลือเหล่ามนุษย์บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่ผู้มีพระคุณเคยทำเสมอมา ปีศาจกินวิญญาณเฝ้าเก็บหอมรอมริบจนในที่สุดก็สร้างบ้านของตนเองได้ โดยอิงลักษณะมาจากบ้านไม้กลางป่าที่เคยอาศัยสมัยเด็ก เอทอสใช้ชีวิตเรียบเรื่อยในแต่ละวัน กระทั่งโชคชะตาเหวี่ยงมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบเข้ามาเกาะติดเขาไม่ไปไหน และช่วงเวลาอันสงบสุขตลอดหลายปีของเขาก็ไม่เหมือนเคยอีกเลย

    โนอาร์เฝ้าดูปีศาจจนเติบใหญ่แล้วมาพบกลับเขาก็รู้สึกปล่อยวาง เพราะช่วงเวลานับจากนี้ปีศาจจะไม่พบเรื่องเลวร้ายเหมือนครั้งอดีตอีกต่อไป ชายเลือดเย็นมองภาพตัวเองในอดีตซึ่งกำลังนั่งกินข้าวกับปีศาจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเพื่อกลับไปหาเอทอสในช่วงเวลาปัจจุบัน ทว่า

    ‘โครม!!!!!!!!!’
    ‘เอี๊ยด!!!!’
     ‘ข้า... ข้ารักเจ้า โนอาร์’

    ‘อะ... เอามา...’
   ‘ก็แค่ดอกไม้ในโหลแก้ว จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา’
    ‘ความจริงแกก็แค่ปีศาจสวะเหลือขอ ต้องมีมนุษย์คอยคุ้มกะลาหัว พออยู่ตัวคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ ขนาดแค่เข้าไปเยี่ยมยังไม่มีปัญญา ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ตรงมุมมืดข้างโรงพยาบาลไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง’

    “นี่มันอะไร...”

    นัยน์ตารัตติกาลตะลึงค้างกับสิ่งที่เห็น หลังหันกลับมามองเรื่องราวในอดีตอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโครมสนั่น ทุกเหตุการณ์ ทุกความทรมานเจ็บปวดของปีศาจที่เขาคิดผิดมันว่าจบลงแล้ว พลันถาโถมเข้ามาในความรู้สึก หัวใจน้ำแข็งคล้ายโดนบีบรัดจนปริแตก เลือดในกายเย็นเยียบสลับเดือดพล่านเมื่อเห็นปีศาจยืนนิ่งรับกระบองฟาดใส่ไร้ปรานี หยดเลือดแดงฉานที่ไหลจากกรอบหน้าคมเข้มสิ้นหวังตกกระทบพื้นกลับร้อนลุกติดไฟ สองหูอื้ออึงจากเสียงคำรามเจ็บใจรวดร้าว ยามเฝ้าดูปีศาจคลั่งโค้นทำลายสวนข้างโรงพยาบาล เอทอสในช่วงเวลานี้นั้นแตกสลายไม่ต่างจากค่ำคืนรู้ความจริงผู้ให้กำเนิด

    โนอาร์ได้แต่กัดฟันแน่นทนมองเหตุการณ์ตรงหน้า บังคับให้มันหมุนวนฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่สิ้นสุด เพื่อให้เขาจดจำทุกใบหน้า ทุกการกระทำ ทุกคำพูดหยามเหยียดให้ขึ้นใจ สองมือขาวกำแน่นด้วยความโกรธแค้นจนรู้สึกถึงความหนืดของหยดเลือดที่กำลังหลั่งริน

    “โนอาร์!”
    “โนอาร์!”
    “โนอาร์!! ข้าสั่งให้เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้!!!”

    ชายเลือดเย็นพลันสะดุ้งตื่นหลุดจากฝันเจิ่งหนองไปด้วยเลือดปีศาจ พร้อมเผยนัยน์ตารัตติกาลอันตรายสุมอัดด้วยแรงอาฆาตถึงขนาดที่เอทอสเห็นทีแรกยังเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง

    “เป็นอะไรของเจ้า จู่ ๆ ก็กัดฟันจิกมือตัวเองจนเลือดออก ถ้าพลาดกัดลิ้นขึ้นมาจะทำยังไง”

    ปีศาจเอ่ยตำหนิมนุษย์ พลางพยายามแกะนิ้วมือที่กำแน่นให้คลายออก ก่อนจะอุ้มร่างเปลือยเปล่าเข้าห้องน้ำเผื่อล้างแผล โนอาร์เพียงนิ่งฟังรับความห่วงใยของปีศาจจวบจนทุกอย่างเรียบร้อย มนุษย์ถึงพุ่งสวมกอดปีศาจ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เอทอสสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยอมโอบกอดตอบและลูบหัวกล่อมมนุษย์เบา ๆ

    “สงบลงหรือยัง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามคู่ครอง
    “...ครับ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยตอบกลับ ทว่านัยน์ตารัตติกาลกลับดำมืดเกินจินตนาการ
 



(บท32 สมบูรณ์)



 
   
ถึงคนอ่าน


    บทนี้ค่อนข่างยาวและรายละเอียดเยอะมากครับ คนอ่านค่อย ๆ อ่านแบ่งช่วงซึมซับนะครับ


    บทนี้ได้เฉลยเรื่องที่มาของมีดที่เอทอสให้โนอาร์ตั้งแต่ช่วงแรกไว้กลาย ๆ คนอ่านอาจพอคลายข้อสงสัยเรื่องที่มีดเล่มนั้นสามารถใช้ฟันวิญญาณได้ครับ

    บทนี้ได้เฉลยความบาดหมางระหว่างภาคินกับเอทอส ครับภาคินไม่ได้เข้าใจผิด ไม่มีการหักมุมอะไรทั้งนั้น เอทอสเป็นคนทำลายชีวิตวัยเด็กของภาคินจริง ๆ ครับ (คนอ่านสามารถย้อนกลับไปอ่านมุมมองเรื่องในคืนนั้นของภาคินได้ในบทที่ 21 ครับ)
บทเล่าอดีตจบแล้วครับ ต่อจากบทนี้จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายและบทสรุปขอเรื่องราวทั้งหมด ใครจะอยู่หรือไปคนอ่านจะได้รู้ในอีกไม่กี่บทต่อจากนี้ครับ  ฝากติดตามด้วยนะครับ^^



    ป.ล. คนเขียนเห็นเรื่องราวในทวิตเกี่ยวกับระยะเวลาในลงนิยายของเหล่านักเขียน คนเขียนก็แอบคิดสะอึกเหมือนกันครับ แต่คนเขียนอยากบอกว่าที่คนเขียนลงช้าไม่ใช่เพราะตันจะเทนะครับ คนเขียนวางโครงทุกอย่างไว้จนถึงบทสรุปไว้แล้วไม่มีทางตันหรือเขียนต่อไม่จบแน่นอนครับ อยากให้คนอ่านเชื่อใจคนเขียนนะครับ
จากดราม่าเรื่องนั้น คนเขียนเลยอยากสอบถามคนอ่านนิดหน่อยครับ ปกติในบทหนึ่งคนเขียนจะแบ่งเป็นเหตุการณ์ย่อยในบทนั้นประมาท 7-8 ฉาก/เหตุการณ์ครับ จึงอยากถามคนอ่านว่า คนอ่านอยากให้คนเขียนเขียนเสร็จทั้งบทแล้วลงทีเดียวเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ หรืออยากให้คนเขียนให้ทยอยลงเพิ่มทีละฉากตามแต่ที่เขียนได้จนครบบทดีครับ


    พูดถึงทวิต คนเขียนไม่อยากให้หลังเรื่องนี้จบแล้วหายไป คนเขียนเลยอยากสร้างแฮกแท็กไว้เป็นอนุสรณ์ว่า #Hฆาตกรรม หลังจากนี้หรือเรื่องนี้จบแล้วคนอ่านอาจลองแกล้งทิ้งทวิตเป็นความหลังให้คนเขียนก็ได้นะครับ แต่คนเขียนไม่ขอดราม่ารุนแรงนะครับ (ยิ่งเรื่องนี้ยิ่งเสี่ยง เพราะมีความรุนแรงทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้ ถ้าติด trigger warning เป็นข้อ ๆ คงยาวเป็นหางว่าว)
ฉะนั้นคนเขียนข้อให้เรื่องราวของเอทอสโนอาร์เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งความบันเทิงผ่อนคลายนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะครับ^^ คนเขียนจะพยายามมาต่อเรื่องราวของเอทอสโนอาร์ให้เร็วที่สุดครับ

หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 32 เอทอส) [26/01/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 27-01-2021 16:07:47
ฮือ  พึ่งได้มาอ่าน 
คนเขียนรีบมาต่อน้า
เฝ้ารอ :katai1:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 32 เอทอส) [26/01/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 27-01-2021 16:09:27
มาแล้ว  รักสุดๆ  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 32 เอทอส) [26/01/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-01-2021 01:50:07
จุกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 32 เอทอส) [26/01/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 01-02-2021 09:44:43
ดองไว้ 10 ตอนจุกๆ แล้วมาอ่านทีเดียวเลยค่าาาาาาาาา

จุใจมากๆ สนุกสุดๆ เลย

เรื่องใหม่ก็ปักธงรออ่านแน่นอน แต่ดูแล้วลักษณะนิสัยของดรีมกับโนอาห์นี่คนละขั้วเลยนะ

ฉากตัดกรามนี่เล่นเอาขนหัวลุกเลย เหมือนห่างหายไปจากโนอาห์เวอร์ชั่นอำมหิตนี้ไปนานแล้ว มากันแบบไม่ทันตั้งตัวเลย 555

ส่วนเรื่องการลงของคนเขียน อยากให้ลงแบบนี้เลยจ้า ยาวๆ อ่านรวดเดียว เพราะมันไม่ขัดอารมณ์และความต่อเนื่อง

ปล. อยากถามว่ามีแผนทำ E-book หรือรวมเล่มไหม เพราะอยากอุดหนุนมากจ้า เก็บเป็นความทรงจำว่าเคยได้อ่านนิยายคุณภาพเรื่องหนึ่งในชีวิต ไม่อยากลืม
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทพิเศษ ฉลอง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 18-02-2021 09:48:33
(บทพิเศษ คือบทที่ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากบทหลักจบลงแล้ว ซึ่งทำให้อาจมีเนื้อหาบางอย่างที่สื่อถึงการสปอยล์บทหลักเป็นนัยเล็กน้อย แต่ไม่มาก คนอ่านสามารถอ่านได้ครับ^^)


    เสียงกุกกักด้านนอกทำให้นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดลืมตื่นจากห้วงนิทรา พื้นที่ว่างเย็นชืดข้างเตียงบอกเป็นนัยว่าปีศาจผู้แกล้งหยอกเอินกลืนกินเขาจนเกือบรุ่งสางได้ลุกออกไปนานแล้ว โนอาร์ดันตัวขึ้นนั่งพลางดึงผ้าห่มผืนหนาคลุมกายออก เผยให้เห็นผิวขาวเปล่าเปลือยประปรายด้วยรอยรักสีกุหลาบและรอยขบกัดแสดงความเป็นเจ้าของ หลักฐานประจักษ์ถึงความดุดันเร่าร้อนอันแสนหวามหวานจากปีศาจ เรียกรอยยิ้มมุมปากของชายเลือดเย็นได้เล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินหายเข้าห้องน้ำ โดยที่ความรู้สึกเสียดขัดบริเวณสะโพกช่วงล่างนั้นหาได้มีผลต่อการขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

    หลังอาบน้ำชำระความเมื่อยล้าเรียกความสดชื่น ชายหนุ่มผู้เป็นคู่ครองของปีศาจเลือกหยิบชุดจากตู้เสื้อผ้าสามีมาสวมใส่อย่างถือวิสาสะ ก่อนออกไปหาอีกฝ่ายที่ทำเสียงกุกกักด้านนอกมาสักพักใหญ่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงต้นตอเสียงกลับไร้เงาร่างสูงใหญ่เจ้าบ้าน พบเพียงนาวาซึ่งกำลังปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ในห้องรับแขก

    “สวัสดีครับพี่โนอาร์ พี่ตื่นสายหรือเนี่ยแปลกจัง เมื่อคืนนอนดึกเหรอครับ” เด็กหนุ่มรีบเอ่ยทักทาย ซึ่งก็ได้การพยักหน้าตอบรับส่ง ๆ เล็กน้อย ก่อนจะถูกคำถามสั้นประหยัดคำพูดสวนกลับ
    “อืม แล้วเอทอส?”
    “อ๋อ อาเอทอสยืมมอเตอร์ไซค์ผมไปซื้อของน่ะครับ แต่ผมว่าอีกสักพักคงกลับแล้วเพราะไปตั้งแต่เช้าแน่ะ... จริงด้วย! วันนี้วันวาเลนไทน์หนิแถมเป็นวันหยุดอีก พี่โนอาร์กับอาเอทอสมีแผนไปฉลองกันที่ไหนหรือครับ?” นาวาชวนคุยตามประสาคนพูดเก่ง พลางรวบถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเมื่องานตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย ซึ่งช่วงจังหวะที่เดินผ่านรุ่นพี่เพื่อเอาของไปเก็บนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ทันสังเกตเห็นบางสิ่งเข้าโดยบังเอิญ
    “หือ?! พี่โนอาร์สักด้วยเหรอครับเป็นลายไฟด้วย ทะ... เท่...”

    น้ำเสียงชื่นชมขาดหายพร้อมท่าทีของนาวาที่จู่ ๆ ก็นิ่งไปพร้อมใบหน้าเริ่มขึ้นสีกระอักกระอ่วนด้วยความเก้อเขิน นัยน์ตารัตติกาลจึงก้มมองตามสายตาเด็กหนุ่มและก็พบสาเหตุ เนื่องเพราะขณะนี้โนอาร์ใส่เสื้อของปีศาจที่ตัวใหญ่กว่ามากส่งผลให้คอเสื้อกว้างตามไปด้วย ซึ่งนอกจากเผยให้เห็นสัญลักษณ์ครองคู่ตรงบริเวณลำคอใกล้ไหปลาร้าแล้ว ยังโชว์รอยรักสีกุหลาบมากมายที่เอทอสฝากไว้เต็มสู่สายตาเด็กหนุ่ม

    “เรื่องปกติ ไม่เคย?” โนอาร์ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้แววเขินอาย ทว่านั่นกลับทำให้นาวายิ่งหน้าแดงขวยเขินแทนหนักกว่าเก่า
    “จะไปเคยได้ยังไงครับ!! ผมยังเรียนอยู่เลยนะ! แฟนก็ยังไม่มี...”
    “อืม”

    ชายเลือดเย็นเพียงขานตอบอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมเดินผ่านเด็กหนุ่มยืนเสียอาการไปรอรับใครบางคนเนื่องจากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่นานชายร่างสูงใหญ่ก็เข้ามาในบ้านพร้อมถือถุงกับข้าวเต็มมือข้างหนึ่ง

    “ผมช่วย”
    “ไม่ต้อง เจ้าไปเตรียมจานจัดโต๊ะก็พอ เมื่อคืนเจ้าตามใจข้าเสียมาก ข้าไม่อยากเอาเปรียบเจ้า”
 
    เอทอสกล่าวปฏิเสธ พลางใช้นัยน์ตาสีอำพันดุพิจารณาสภาพร่างกายมนุษย์เบื้องหน้า เมื่อพบว่าโนอาร์สบายดีไม่ได้มีท่าทีอ่อนล้าปวดเมื่อยก็พอเบาใจ ก่อนที่วินาทีถัดมาใบหน้าคมเข้มของปีศาจจะกระตุกยิ้มร้ายมากเล่ห์เล็กน้อย หลังสังเกตเสื้อผ้าหลวมโพรกที่มนุษย์สวมใส่

    “เสื้อหมดตู้หรือไง ถึงมายืมของข้า”
    “เปล่าครับ ผมแค่อยากใส่ มันเหมือนผมถูกคุณกอดตลอดเวลา”

    คำตอบซื่อตรงจากมนุษย์ชวนให้ปีศาจตกรางวัล เช่นนั้นร่างสูงใหญ่จึงโน้มตัวลงจุมพิตลึกล้ำดื่มด่ำลงบนริมฝีปากอิ่ม ก่อนสอดลิ้นหนาเข้ากระหวัดเกี่ยวรัดรึงตักตวงความหวานไม่รู้เบื่อ นัยน์ตาสีอำพันดุมองใบหน้ามนุษย์ที่หลับตาพริ้มรับสิ่งที่เขามอบให้ด้วยความพึงพอใจ ครู่หนึ่งหางตาปีศาจถึงเหลือบเห็นนาวาซึ่งบัดนี้ยืนตะลึงช็อกอ้าปากค้าง เอทอสเห็นดังนั้นก็ได้แต่จำใจถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย
    การแสดงความรักใคร่สำหรับเหล่าปีศาจหาใช่เรื่องที่ต้องปิดบังหลบซ่อน บวกกับคู่ครองของเขาเป็นมนุษย์ผู้ไม่เคยสนใจหรือแคร์สายตาใครทั้งสิ้น จึงเผลอลืมตัวว่าการกระทำบางอย่างในสังคมมนุษย์ปกติทั่วไป ก็เป็นเรื่องกระดากอายเกินกว่าจะมาแสดงออกโจ่งแจ้ง ดั่งเช่นเหตุการณ์ในครานี้

    “หิวหรือยังนาวา มากินด้วยกันอาซื้อมาเยอะเลย” เอทอสพยายามหาเรื่องชวนคุยแก้สถานการณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก
    “ขะ... ขอบคุณครับอาเอทอส แต่ไม่เป็นไรครับผมว่าจะกลับแล้ว แบบว่าทำความสะอาดบ้านเสร็จพอดีเลย... คือ... เออ..เออ! การบ้าน ผมเพิ่งนึกได้ว่าเหลือการบ้านยังไม่ได้ทำ ขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับอาเอทอสพี่โนอาร์ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ!”

    ว่าจบเด็กหนุ่มผู้ทำตัวไม่ถูกใบหน้าใบหูขึ้นสีแดงก่ำก็รีบนำอุปกรณ์ทำความสะอาดไปล้างเก็บและรีบเดินไว ๆ ออกจากบ้าน สักพักหนึ่งนาวาจึงจำเดินกลับเข้ามาอีกครั้งเพราะลืมขอกุญแจมอเตอร์ไซค์คืน โดยทุกการกระทำเด็กหนุ่มผู้ขวยเขินไม่กล้าสบสายตาสองเจ้าบ้านแม้แต่น้อย หลังได้ของแล้วนาวาจึงกล่าวลาอีกรอบ ซึ่งครู่ต่อมาปีศาจก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รีบเร่งก่อนจะค่อยเลือนหายกลับสู่ความสงบ

    “คุณ ผมจัดโต๊ะเสร็จแล้ว” เสียงเรียกไม่รู้ร้อนรู้หนาวจากมนุษย์ด้านหลังทำให้ปีศาจลอบถอนหายใจหน่ายเล็กน้อย ก่อนยอมปล่อยผ่านและเดินเอาถุงกับข้าวไปให้อีกฝ่ายแกะใส่จาน



    วันวาเลนไทน์...

    หลังผ่านช่วงมื้อเช้ารวบมื้อเที่ยง โนอาร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูปฏิทินพลางนึกถึงคำพูดของนาวา จะว่าไปเขาและเอทอสคบกันจนย่างเข้าปีที่สามแล้วแต่กลับไม่มีวันฉลองแบบคู่รักคนอื่นเลย แม้แต่วันครบรอบก็ไม่มี หากพูดตามจริงคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันไหนคือวันครบรอบ เนื่องจากตลอดเวลาที่อยู่ด้วยจนกระทั่งได้เสียเป็นสามีภรรยา ทั้งเขาและปีศาจก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขออีกฝ่ายคบอย่างเป็นทางการสักครั้ง มีแค่รับรู้กันอยู่ในใจว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนสำคัญ ซึ่งพอนึกดูนอกจากวันครบรอบ รูปคู่หรือรูปเดี่ยวของปีศาจเขาก็ไม่มีเช่นกัน เมื่อรู้ดังนั้นมนุษย์จึงพลันลุกเดินตรงไปหาปีศาจที่นั่งอ่านหนังสือตรงโซฟาตัวยาว

    “คุณ” เอทอสเงยหน้าตามเสียงเรียกเมื่อรู้สึกถึงแรงยวบของเบาะข้างกาย ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับเป็นเงาสะท้อนของเขาและมนุษย์บนจอโทรศัพท์
    “แชะ!”
    “เล่นอะไรของเจ้า” ปีศาจถามกลับพลางเริ่มอ่านหนังสือต่อ ราวกับไม่คิดรอฟังคำตอบเท่าใดนัก
    “รูปคู่ เรายังไม่มีภาพถ่ายด้วยกันเลย โทรศัพท์คุณอยู่ไหนผมถ่ายให้”
    “ไร้สาระ เห็นหน้ากันทุกวันจะบันทึกภาพไว้ทำไม”

    เมื่อได้ฟังคำบอกปัด มนุษย์ก็ไม่คิดรบเร้าต่อให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ เพราะอย่างน้อยปีศาจก็ยอมให้ความร่วมมือจนเขาได้รูปคู่รูปแรกมาแล้ว โนอาร์นำภาพที่เพิ่งถ่ายตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมปากแสดงความพอใจ แม้ภาพเขากับปีศาจจะดูเหมือนแข่งกันทำหน้านิ่งจ้องกล้อง ไม่ใช่ภาพยิ้มแย้มอย่างคู่รักคนอื่น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาอยากได้ภาพที่เป็นธรรมชาติมากกว่าภาพจัดแต่งเสแสร้ง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรีบกดถ่ายทันทีที่ปีศาจเงยหน้าขึ้นมา

    “คุณ วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เย็นนี้เราไปกินข้าวนอกบ้านกัน” โนอาร์กล่าวนัดปีศาจถึงกำหนดการถัดไปหลังจากได้รูปคู่
    “แล้ววาเลนไทน์ของเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับต้องไปกินข้าวข้างนอก”
    “ผมอยากให้มันเป็นวันพิเศษของเรา” ว่าจบมนุษย์ก็ลุกไปเปิดโน้ตบุ๊กคล้ายค้นหาเตรียมการอะไรบางอย่าง โดยมีนัยน์ตาสีอำพันดุของปีศาจลอบมองด้วยความไม่ไว้วางใจ


    หนึ่งมนุษย์และปีศาจมาถึงร้านอาหารกึ่งบาร์ริมแม่น้ำหลังแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไม่นาน แสงสว่างจากหลอดไฟประดับร้านยามค่ำขับให้สองลูกค้าผู้มาใหม่ยิ่งดูโดดเด่นสะดุดตาใครต่อใคร โดยเฉพาะชายร่างสูงใหญ่หล่อเข้มในชุดเชิ้ตสีดำปลดกระดุมเสื้อลงสามเม็ดคลายร้อน ทุกครั้งที่สาบเสื้อถูกสายลมริมแม่น้ำพัดผ่าน จะเผยให้เห็นแผงอกหนาแกร่งสีแทนและลายสักรูปเปลวเพลิงชวนให้คนลอบมองรู้สึกร้อนผ่าว
    ทว่าชายหนุ่มอีกคนก็ดูดีไม่แพ้กัน ใบหน้าเรียบสงบติดทะนงถือตัวกลับดูหล่อเหลาสะกดตา บวกกับเสื้อเชิ้ตสีขาวบริสุทธิ์เข้ากับผิวนวลสะอาดยิ่งทำให้อีกฝ่ายราวกับเจ้าชายหลุดมาจากเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งการมาของทั้งคู่ก็เป็นที่หมายตาของลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่ตั้งอยู่ส่วนในสุดของร้าน

    “มึงเอาคนไหน กูเอาพี่เข้มชุดดำ… อืม.. จ้องขนาดนั้นกูว่าคงไม่ต้องถามแล้วมั้ง” ชายร่างบางอ้อนแอ้นเอ่ยถามเพื่อน ก่อนท้ายสุดจะเป็นคนตอบคำถามเสียเองเมื่อเห็นอีกฝ่ายมัวแต่มองเจ้าชายชุดขาวไม่วางตา
    “อืม... แต่ว่างานนี้คงนกแล้วล่ะ เซนส์ฉันบอกว่าสองคนนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนกัน” หญิงสาวยอมละสายตาจากชายที่หมายปอง พลางหันมาบอกเพื่อน
    “หึ... เป็นมากกว่าเพื่อนนี่แหละดี มึงลืมแล้วเหรอวันนี้วันอะไร สะกิดต่อมร้าวฉานนิดหน่อยรับรองเลิก แยกทาง แล้วจังหวะนั้นมึงกับกูก็เข้าประกบเลย นั่นไง! เจ้าชายของมึงลุกไปแล้ว เดี๋ยวมึงทำตามแผนกูเอาหูมา...”

    จวบจนกระทั่งฟังแผนการเรียบร้อย หญิงสาวก็รีบเดินตามเจ้าชายรูปงามไป ส่วนเพื่อนชายก็กวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟเอ่ยสั่งบางสิ่งที่รู้กัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาตกผู้ชายในร้านนี้ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชายท่าทางอ้อนแอ้นจึงเดินตรงไปหาร่างสูงใหญ่ชุดดำที่ยามนี้นั่งอยู่เพียงลำพัง


    “สวัสดีค่ะ มารอเครื่องดื่มเหมือนกันหรือคะ?” หญิงสาวแสร้งทักทายพร้อมส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทว่านัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งกลับไม่คิดเหลียวแลแม้แต่น้อย
    “….ให้เดาฉันว่าอย่างคุณคงต้องสั่ง-”

    ไม่ทันเอ่ยจบพอร์คชอปสเต็กเนื้อฉ่ำส่งกินหอมก็ถูกพนักงานคนหนึ่งรีบยกมาเสิร์ฟให้ชายหนุ่ม หญิงสาวถือวิสาสะมองจานหวังหาเรื่องชวนคุย ทว่าซอสราดสีแดงเข้มข้นจนคล้ายเลือดผสานการตกแต่งด้วยเรดิชิโอสีม่วงแดงข้างจาน กลับทำให้อาหารจานนี้ดูน่ากลัวพิลึกจนเธอเอ่ยชมไม่ออก

    “เอ... เมนูอะไรหรือคะน่าสนใจจัง ฉันอยากลองสั่งบ้าง”
    “…ทางร้านเราไม่มีเมนูนี้หรอกครับ ลูกค้าท่านนี้สั่งให้ร้านเราทำขึ้นพิเศษน่ะครับ”

    พนักงานอาสาตอบคำถามแทน เมื่อเห็นชายหนุ่มเสื้อขาวไม่มีทีท่าโต้ตอบมิหนำซ้ำยังยกจานกลับโต๊ะไม่รั้งรอ จนหญิงสาวต้องรีบเดินตามไป ทว่าเมื่อออกมายังโซนกลางแจ้งริมแม่น้ำชายหนุ่มกับหยุดฝีเท้าชะงักงัน หญิงสาวลองมองตามสายตารัตติกาลจึงแอบลอบยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นเพื่อนของตนกำลังนั่งเบียดใกล้ชิดกระเซ้าเย้าแหย่ร่างสูงใหญ่ชุดดำ

    “เหมือนเพื่อนของคุณกำลังคุยสนุกกับแฟนอยู่เลยนะคะ ฉันว่าเราปล่อยให้เขาอยู่สองต่อสองดีกว่า วันนี้วันวาเวนไทน์ด้วย เขาคงอยากมีช่วงเวลาสวีทกัน”
    “…”
    “เราไปนั่งคุยกันตรงโต๊ะนั้นดีไหมคะ”
    “…ไม่ล่ะครับ ผมเบื่อร้านนี้แล้วและคงไม่อยากมาอีก คุณรังเกียจไหมครับหากผมจะขอชวนคุณไปดื่มต่อร้านอื่นด้วยกัน”

    หญิงสาวพลันตาเป็นประกายรีบพยักหน้าตอบตกลง เมื่อในที่สุดเจ้าชายเย็นชาก็ยอมหันมาคุยกับเธอ ชายหนุ่มฝากจานอาหารให้กับพนักงานร้านที่เดินผ่านมาเพื่อเอาไปทิ้ง แล้วจึงเดินนำหญิงสาวไปยังลานจอดรถ

    “ขอโทษนะครับ... ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมติดรถเขามา คุณมีรถไหมครับ ถ้าไม่มีเดี๋ยวเราไปแท็กซี่กัน”
    “มีค่ะ ๆ รถฉันจอดอยู่ทางนั้นค่ะ”

    หญิงเอ่ยพลางชี้ทางก่อนเริ่มเดินนำชายหนุ่มไปยังรถยนต์ และด้วยความมืดของลานจอดรถที่เป็นเพียงลานโล่งไร้เสาไฟให้แสงสว่าง จึงทำให้เธอไม่ทันเห็นนัยน์ตารัตติกาลอำมหิตเลวร้ายของชายด้านหลัง ทุกอย่างก้าวระยะห่างระหว่างรถยนต์ที่ลดลง สาวอับโชคกลับไม่รู้เลยว่ากำลังบั่นทอนเส้นด้ายชีวิตของตัวเองให้เปื่อยขาดทีละน้อย ทว่าถึงจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ก็ใช่ว่าจะสามารถจะแก้ไขชะตากรรมได้ เพราะหญิงสาวได้หมดโอกาสต่อลมหายใจตั้งแต่พลั้งปากเอ่ยทักเพชฌฆาตแล้ว

    “ถึงแล้วคะ- อื้อ!!!!”

    หญิงสาวผู้น่าสงสารหันบอกชายหนุ่มที่หมายปอง ฉับพลันกลับถูกฝ่ามือแข็งแรงปิดปากพร้อมมืออีกข้างบีบลำคอระหงเสมือนคีมเหล็กเค้นบดขยี้จนแหลกละเอียด เท้าและมือทุกคู่ข้างของหญิงสาวรีบตะเกียกตะกายดิ้นรนเอาตัวรอด และแน่นอนว่าทุกการกระทำนั้นไร้ค่าเพราะเพียงครู่ เท้าทั้งสองก็ถูกชายหนุ่มเหยียบไว้จนขยับยกถีบป้องกันตัวไม่ได้ เช่นเดียวกับแขนบอบบางสองข้างที่ถูกแขนชายหนุ่มกดล็อกกับตัวรถ ดวงตาหวาดหวั่นตื่นกลัวสบกับนัยน์ตารัตติกาลดำมืดเต็มไปด้วยความหงุดหงิดชั่วร้ายพร้อมชิงชีวิต เช่นนั้นคนรนหาเรื่องก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากจำยอมรับโทษทัณฑ์ของการสอดรู้อย่างไม่อาจเลี่ยง

    “รู้ไหมว่าตั้งใจให้วันนี้เป็นวันพิเศษเพื่อขอเอทอสคบอย่างเป็นทางการ อุสาสู้อดทนเพราะอยากให้คืนนี้มันสมบูรณ์แบบ แม้แต่พวกเสียงแมลงหวี่ที่มาบ่นข้างหูก็พยายามปล่อยผ่านไม่บี้ทิ้ง แต่พวกแมลงโง่ไม่เคยรู้เลยว่ากำลังหาที่ตาย ฉะนั้นก็คงต้องสนองให้ได้ตายสมใจ”
    “อะ... อึก... อืออออ...”
    “ไม่ต้องห่วงว่าจะเหงา แมลงอีกตัวที่เกาะแกะเอทอสอีกไม่นานจะตามไป”
    “กร๊อบ!!”

    เอ่ยจบ มือฆาตรก็จับหัวหญิงสาวบิดหมุนจนหน้าหวาดผวาหันไปทางด้านหลังพร้อมเสียงลั่นของกระดูกคอที่สะบั้นหักออกจากกัน ชายเลือดเย็นปล่อยร่างเหยื่อในสภาพศีรษะหมุนกลับด้านชวนสยองให้ไถลล้มกองลงกับพื้นกรวด นัยน์ตารัตติกาลดำมืดเหลือบมองซากตรงปลายเท้าด้วยสายตาเรียบนิ่งหยามเหยียด ก่อนจะหันสายตามองไปยังร้านซึ่งเหลือแมลงหวี่อีกตัวที่ต้องขยี้ทิ้ง


     “อาหารเย็นชืดหมดแล้วนะครับน่าเสียดายออก อืม... งั้นเดี๋ยวผมป้อนให้เอาไหมครับ”
    “ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบมนุษย์ผู้ใดมารยาทต่ำเท่านี้ จะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย หากยังห่วงชีวิตตัวเองก็รีบไปซะก่อนที่คนของฉันจะกลับมา”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยอย่างรำคาญพลางใช้แขนผลักร่างชายไร้ยางอายไปให้พ้นตัว หากไม่ติดว่าโนอาร์ส่งข้อความมาหาเขาให้คอยอยู่ที่โต๊ะเพื่อรอรับของที่มนุษย์ตั้งใจวางแผนทำให้ เขาคงไม่ต้องทนนั่งกับชายดื้อด้านกระหายราคะ ที่ไม่ว่าจะใช้ทั้งคำพูด สายตา เรียกพนักงานมาเชิญออก หรือกระทั่งกำลัง อีกฝ่ายก็ยังคงหน้าหนาหน้าทนกลับมาเกาะแกะเขาอยู่เรื่อย

    “คนของคุณหายไปนานขนาดนี้ เขาคงทิ้งคุณไปกับคนอื่นแล้วล่ะครับ ก็อย่างว่าวันวาเลนไทน์วันแห่งคู่รัก ใครที่มีหลายคู่ก็คงต้องแบ่งเวลาสับรางไม่ให้รถไฟมันชนกัน... ผมพูดจากประสบการณ์น่ะครับ บางทีคนของคุณ ‘อาจจะ’ ไม่ใช่คนแบบนั้นก็ได้... หรือเปล่านะ?”
    “…”
    “ไม่เครียดสิครับ ดื่มอะไรเย็น ๆ สดชื่นสักหน่อยนะครับ ผมตั้งใจสั่งมาให้-”
    “หมับ!”

    ขณะที่ชายออเซาะกำลังถือแก้วพร้อมหันหลอดจ่อริมฝีปากได้รูป เพื่อคะยั้นคะยอให้ร่างสูงใหญ่ดื่ม พลันฝ่ามือขาวจากผู้มาใหม่ก็คว้าจับแก้วและดันกลับไปให้เจ้าของจนเครื่องดื่มกระฉอกหกใส่เสื้อ คนตัวเปรอะเปื้อนเชิดหน้าเตรียมต่อว่า แต่ทันทีที่สบนัยน์ตารัตติกาลดำมืดเยือกเย็น เหล่าคำพูดกลับคั่งค้างตรงลำคอไม่อาจหลุดออกมา ผิวกายรู้สึกหนาวเหน็บจนขนลุกซู่ราวกับกำลังถูกสายลมจากขอบปากเหวลึกไร้ก้นพัดผ่าน บัดนี้แมลงโง่เขลาถึงเพิ่งรู้ว่าไฟทมิฬร้อนแรงที่หมายปองนั้นมีเจ้าของที่อันตรายเกินกว่าจะคาดคิด

    “สั่งเองก็กินเอง ให้หมด”

    สิ้นเสียงเรียบนิ่ง เครื่องดื่มก็ถูกฝ่ามือขาวล็อกกรอกปากคนรนหาเรื่องจนหมดแก้ว ท่ามกลางเหล่าสายตาของพนักงานและลูกค้าโดยรอบ ทว่าก็ไม่มีใครเข้าไปขัดหรือหยุดเหตุการณ์เพราะต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คนที่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามในความสัมพันธ์ของผู้อื่น สมควรแล้วที่ต้องได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง

    “แค่ก! แค่ก! แค่ก!...”
    “นี่เหรอ เซอร์ไพรส์ของเจ้า” ร่างสูงใหญ่เลือกเมินเสียงไอสำลัก พลางลุกออกจากโต๊ะและเอ่ยถามมนุษย์ คล้ายสื่อเป็นนัยว่าหมดอารมณ์ร่วมไม่คิดอยู่ต่อ
    “ไม่ใช่ครับ เซอร์ไพรส์ของผมพังหมดแล้ว เพราะพวกสอดรู้ไม่เข้าเรื่อง”

    ชายเลือดเย็นเอ่ยพลางเหลือบมองตัวต้นเหตุ มือมนุษย์เตรียมสอดเข้าชายเสื้อคล้ายต้องการหยิบบางสิ่งออกมา เช่นนั้นฝ่ามือหนาแข็งแรงของปีศาจจึงพลันคว้าจับแขนมนุษย์ไว้เป็นการห้ามปราม พร้อมจ้องนิ่งไปยังนัยน์ตารัตติกาลมืดมิด

    ข้าอนุญาตให้เจ้าสั่งสอนได้ แต่ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต น้ำเสียงทุ้มต่ำดังก้องในความคิดเอ่ยเตือน
    ...ครับ

    โนอาร์ตอบกลับความคิดของปีศาจก่อนยอมลดมือลง เอทอสที่เห็นเช่นนั้นจึงเรียกพนักงานคนหนึ่งมารับเงินค่าของรวมถึงค่าเสียหายทั้งหมด แล้วจึงจูงมือมนุษย์ออกจากร้านเพื่อกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์

   “โอ๊ย!”

    ชายเลือดเย็นที่กำลังโดนลากกลับบ้านอาศัยโอกาสช่วงที่ร่างสูงใหญ่เผลอ ขว้างบางสิ่งใส่หน้าเหยื่อที่รอดตายหวุดหวิด ซึ่งหลังไร้เงาบุคคลอันตรายคนเจ็บตัวจึงได้ก้มดูของเมื่อครู่ พบว่าเป็นพวงกุญแจรถของเพื่อนสาวที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่แยกกันตรงโต๊ะ คนโดนฉีกหน้าอับอายกลางร้านก่นด่าว่าเพื่อนของตนที่หนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพังอยู่ในใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปทางลานจอดรถ เพราะไม่อยากทนสายตาเยาะเย้ยเชิงสมเพชจากเหล่าลูกค้าหลากโต๊ะที่จ้องมา


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทพิเศษ ฉลอง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 18-02-2021 10:12:48
(ต่อ)


    รถกระบะสีดำจอดสนิทใต้ถุนบ้านพักทรงไทยประยุกต์ในเวลาดึกสงัดจวนเข้าวันใหม่ ภายในความคิดซับซ้อนของชายเลือดเย็นพยายามหาวิถีทางไถ่โทษความผิด เพราะดูเหมือนเรื่องราวในคืนนี้จะไม่สบอารมณ์ปีศาจอย่างมาก สังเกตชัดจากบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดรอบร่างสูงใหญ่ตลอดทางกลับบ้าน

    “เอทอส...”

    โนอาร์ลงจากรถพลางเอ่ยรั้งเอทอสเพื่อขอพูดคุย ทว่าปีศาจกลับไม่รับฟังมิหนำซ้ำยังเดินทิ้งห่างจนมนุษย์จำต้องเร่งฝีเท้าก้าวตามให้ทันกระทั่งเมื่อเข้ามาถึงห้องนอน การกระทำไม่คาดคิดของปีศาจก็พลันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

    “ตึง!!! แควก!!!”
    “อั่ก!... คุณ.. ผมเจ็บ.. อื้มม!!”

    ชายเลือดเย็นกัดปากกลั้นเสียงร้อง เมื่อจู่ ๆ เอทอสก็หันกลับมาผลักร่างเขากระแทกกำแพงพร้อมใช้ร่างหนาหนักดันกักขังไม่ให้หนี ฝ่ามือใหญ่แข็งแรงพลันกระชากคอเสื้อมนุษย์จนขาดวิ่น ฉับพลันฟันคมของปีศาจอารมณ์รุนแรงก็กัดเข้าที่ผิวเนื้อขาว จุดเดียวกับที่มีสัญลักษณ์ครองคู่ประดับอยู่อย่างแรง แขนทั้งสองข้างของมนุษย์เผลอทุบผลักร่างสูงใหญ่ออกตามสัญชาตญาณ ทว่าก็ไร้ผลยิ่งกว่านั้นยังทำให้ปีศาจออกแรงกัดมากกว่าเก่า

    “ตัวเจ้ามีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงฟุ้งไปทั่ว เจ้าแอบไปทำอะไรมา” น้ำเสียงกดต่ำดุคำรามถาม พลางผละจากซอกคอมนุษย์ที่ขึ้นรอยกัดช้ำแดง นัยน์ตาสีอำพันร้อนรุ่มหงุดหงิดจ้องนิ่งเข้าไปในนัยน์ตารัตติกาลเพื่อเค้นเอาคำตอบ
    “ไม่ใช่อย่างที่คุณกำลังคิดแน่นอนครับ ช่วงที่ผมหายไปเตรียมของให้คุณ มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเกาะแกะผมตอนนั้นกลิ่นมันคงติดมา แต่ผมไม่เคยคิดยุ่งหรือทำอะไรลับหลังคุณจริง ๆ นะครับ”

    โนอาร์รีบแก้ไขความเข้าใจผิด ในใจพลันก่นว่าแมลงหวี่ที่ขนาดกำจัดไปแล้วยังไม่วายสร้างเรื่องได้อีก ทว่าหลังจากเล่าเรื่องให้ปีศาจฟัง นัยน์ตาสีอำพันดุกลับยังคงจ้องนิ่งราวกับไม่เชื่อเท่าไรนัก เห็นดังนั้นชายเลือดเย็นที่ความคิดภายในกระวนกระวายอยู่ไม่สุขก็รีบคิดหาทางให้ปีศาจหงุดหงิดใจเย็นลง แต่ยังไม่ทันได้วิธี เสียงทุ้มดุเรียบนิ่งก็แทรกขัดเสียก่อน

    “พิสูจน์สิ”
    “ให้ผมพิสูจน์ยังไง”
 
    เอทอสกระตุ้มยิ้มหยันเล็กน้อย ก่อนถอยหลังไปนั่งตรงขอบเตียงและตบหน้าขาแกร่งสองสามครั้ง คล้ายกำลังสื่อให้มนุษย์มานั่ง โนอาร์มองการกระทำของปีศาจก็พลันเกิดความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาว่าเขาอาจกำลังถูกเอทอสแกล้งหลอก แต่พอมองนัยน์ตาสีอำพันขุ่นมัวและบรรยากาศกดดันที่แผ่มาจากร่างสูงใหญ่ ชายผู้อ่านคนคาดเดาความคิดใครต่อใครขาดเสมอ กลับอ้ำอึ้งจนปัญญาที่จะเสาะหาว่าแท้จริงอีกฝ่ายกำลังโกรธเคืองหรือหยอกเขากันแน่ ซึ่งท้ายสุดโนอาร์ผู้กลับกลายเป็นคนผิดไม่ทันตั้งตัว ก็จำยอมเดินไปนั่งคร่อมตักแกร่งของร่างสูงใหญ่แต่โดยดี

    “ได้จูบผู้หญิง-” ไม่ทันเสียงทุ้มดุเค้นถาม คำปฏิเสธหนักแน่นก็พลันตอบกลับทันที
    “ไม่ครับ ตั้งแต่ผมรักคุณ คนที่ผมจะจูบหรือทำมากกว่านั้นก็มีแค่คุณคนเดียว”
    “ปากเปล่าใครก็พู-”

    ฉับพลันริมฝีปากบางของมนุษย์ก็ประกบปิดปากหยุดคำปรามาสจากปีศาจ โนอาร์คบเม้มริมฝีปากหนานุ่มนวลพลางส่งปลายลิ้นอ่อนนุ่มดุนดันให้ปีศาจยอมเปิดทาง ทว่าเอทอสกลับกัดฟันแน่นไม่เปิดปาก เช่นนั้นฝ่ามือขาวสองข้างจึงเริ่มลูบไล้สัมผัสตามมัดกล้ามแกร่งของร่างสูงใหญ่เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย มือมนุษย์บรรจงปลดกระดุมเสื้อดำจนหมดก่อนแหวกสาบเสื้อออกกว้าง แล้วใช้ฝ่ามือขาวสัมผัสเล้าโลมผิวกายร้อน ปลายนิ้วเรียวไล้ตามแผงอกกว้างหนาแกร่งสะกิดหยอกเย้ายอดอกสีเข้มจนได้ยินเสียงคำรามในลำคอปีศาจ ทว่าเอทอสก็ยังคงขบกรามแน่นไม่ยอมให้ลิ้นนุ่มแทรกผ่าน

    มนุษย์ไม่ยอมแพ้ลดละความพยายาม ให้มือข้างหนึ่งหมุนคลึงยอดอกสีเข้มต่อเนื่อง ส่วนอีกข้างก็ค่อยเลื่อนลงไปลูบไล้ลอนกล้ามท้องแกร่ง โนอาร์กรีดนิ้วไล่ผ่านมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงทั้งหกก้อนจนกระทั่งปลายนิ้วสัมผัสผิวเย็นของหัวเข็มขัด มือขาวข้างเดียวจึงได้แกะปลดสายที่ขวางทางออกอย่างช่ำชอง และเมื่อไร้อุปสรรคกั้นกลาง มือมนุษย์จึงบรรจงรูดซิปกางเกงร่างสูงใหญ่ลงก่อนเข้าขยำนวดตัวตนปีศาจผ่านเนื้อผ้าลื่น ซึ่งแก่นกายยักษ์ก็เริ่มตื่นตัวแข็งสู้ทีละน้อย

    “อืมมม....”

    ริมฝีปากหนาเห็นแก่ความมานะยอมเปิดทางเล็กน้อยให้ลิ้นนุ่มสอดเข้ามา ทันทีที่ปลายลิ้นแตะสัมผัส รสขมปนหวานจากเครื่องดื่มที่ได้จิบชมบรรยากาศริมแม่น้ำกันก่อนเกิดเรื่อง ก็พลันอบอวลเสริมรสสัมผัสให้ละมุนน่าลิ้มลองยิ่งกว่าเคย พลันเกิดเป็นความซาบซ่านแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก ลิ้นนุ่มพยายามดูดดึงลิ้นหนาที่ยังคงเกร็งนิ่งให้ยอมโอนอ่อน และในท้ายสุดลิ้นหนาก็ไม่อาจฝืนทนแข็งใจไหว ยอมหยอกเย้าเกี่ยวพันลิ้นนุ่มจนเกิดเสียงแลกเปลี่ยนหยาดน้ำใสดังก้องทั่วห้องนอนปีศาจ

    “คุณแกล้งผม” โนอาร์ถอนจูบลึกล้ำก่อนเอ่ยว่าปีศาจขี้แกล้ง ถึงบางครั้งเขาจะยังมองปฏิกิริยาภายนอกของปีศาจไม่ขาดนัก แต่หากสื่อสารผ่านภาษากายไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงเอทอสรู้สึกอย่างไร
    “แต่เรื่องที่ข้าไม่ชอบใจที่ตัวเจ้ามีกลิ่นอื่นนอกเหนือจากกลิ่นข้าก็เป็นเรื่องจริง”

    ร่างสูงใหญ่กระซิบชิดริมฝีปากมนุษย์ตอบกลับ ความหงุดหงิดของเขาเริ่มตั้งแต่ตอนอยู่บนรถแล้วได้กลิ่นน้ำหอมแปลกปลอมมาจากโนอาร์ ถึงเขาพอคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยเพราะตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมนุษย์ไม่มีทางหักหลังเขาอยู่แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดบวกกับเขาอยากเห็นสีหน้ากังวลและวิธีง้อพิสูจน์ของมนุษย์จึงลองสวมบทเล่นตามน้ำไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย

     “…งั้นคุณก็ทำให้ตัวผมเต็มไปด้วยกลิ่นของคุณอีกครั้งสิ เอทอส”

    หนทางแก้ไขของมนุษย์เรียกรอยยิ้มร้ายให้ปรากฏบนใบหน้าคมเข้ม ท่อนแขนแกร่งแข็งแรงพลันโอบอุ้มร่างตรงหน้า ก่อนวางลงบนผืนเตียงกว้างและขึ้นคร่อมให้ร่างขาวอยู่กลางหว่างขา เอทอสดึงเสื้อเชิ้ตดำที่ถอดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ออกจากตัวแล้วขว้างไปให้พ้นทาง ส่งผลให้บัดนี้ท่อนบนของร่างสูงใหญ่นั้นเปลือยเปล่า อวดผิวสีแทนเร่าร้อนอุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อกำยำเด่นชัดสู่สายตารัตติกาลเบื้องล่าง

    ปีศาจโน้มตัวลงต่ำหาร่างข้างใต้พลางใช้สองแขนแกร่งกักขังพยุงตัว นัยน์ตาสีอำพันดุร้อนแรงราวสัตว์ป่าหิวกระหายจับจ้องเหยื่อ ทำให้หัวใจน้ำแข็งของชายเลือดเย็นสั่นสะท้านเต้นกระหน่ำได้เสมอ

    “เปลื้องผ้าสิ”

    เสียงทุ้มต่ำติดพร่าก้มกระซิบข้างหูก่อนร่างสูงใหญ่จะดันตัวลุกขึ้นนั่งตามเดิม ส่งผลให้มนุษย์ที่อุสานอนหลับตารอรับจุมพิตสัมผัสอุ่นร้อนต้องคอยเก้อ นัยน์ตารัตติกาลเหลือบค้อนดวงตาสีอำพันดุแฝงแววขบขันเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นนั่งค่อย ๆ ปลดเปลื้องชุดแต่งกายอย่างเย้ายวนอ้อยอิ่ง ให้ปีศาจขี้แกล้งซึ่งขณะนี้ทำได้แค่เฝ้ามองรู้สึกทรมานเล่น จวบจนกางเกงชั้นในเนื้อลื่นชิ้นสุดท้ายได้ถูกถอดออก ผิวกายขาวเนียนสะอาดประดับด้วยกล้ามเนื้อพอประมาณอย่างชายสุขภาพดีก็ปรากฎ ณ เบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ ฉับพลันมนุษย์ก็ถูกดึงเข้ามาแนบชิดผิวกายร้อนเพื่อรับรางวัลเป็นบทจูบดื่มด่ำไม่รู้เบื่อ

    “ถอดให้ข้าด้วย” เอทอสผละถอนริมฝีปากพลางกระซิบบอก ก่อนฝ่ามือหนาจะออกแรงกดไหล่ให้มนุษย์ย่อตัวลงจนใบหน้าหยุดอยู่ตรงกางเกงสแล็คเนื้อลื่นของร่างสูงใหญ่ที่ยังไม่ถอดดี

    สองมือขาวรู้งานจับขอบกางเกงเบื้องหน้าดึงลง เมื่อนั้นตัวตนแข็งขืนของปีศาจก็พลันดีดผึงอวดความยาวใหญ่อย่างภาคภูมิ ปลายแก่นกายร้อนซึ่งกำลังกระตุกสะกิดริมฝีปากบาง คล้ายมนตร์สะกดยั่วยวนโนอาร์จนหลงลืมภารกิจที่เอทอสมอบหมาย เช่นนั้นสองมือขาวจึงละทิ้งหน้าที่เข้ากอบกุมแท่งอุ่นร้อนก่อนเริ่มรูดชักดูดเลียราวกับไอศกรีมเลิศรส

    “อาาา.... ดี... วนลิ้นเล่นตรงหัว อืมมม... นั่นแหละ...”

    เอทอสปล่อยเสียงครางทุ้มพึงพอใจ พลางกล่าวแนะโนอาร์พร้อมใช้ฝ่ามือแกร่งลูบผมมนุษย์ควบคุมจังหวะ ครู่หนึ่งจึงเอามืออีกข้างดึงฝ่ามือขาวข้างหนึ่งขึ้นมาดูดเลียแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายกำลังเล่นสนุกกับแก่นกายเขา สัมผัสเปียกชื้นอ่อนนุ่มรอบเรียวนิ้วทำให้ชายเลือดเย็นรู้สึกเสียวซ่านอย่างประหลาดจนต้องเงยหน้าขึ้นมองสาเหตุทั้งที่บางสิ่งยังคงคับแน่นเต็มโพรงปาก พลันนัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มก็สบประสานกับดวงตาสีอำพันดุอันตรายซึ่งจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าคมเข้มกำลังดูดเม้มงับนิ้วผสานแววตาร้ายลึกนั้น ถึงกับทำให้ชายเลือดเย็นรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าและหลังหู ไม่ว่านานเท่าไรความดุดันร้อนแรงของเอทอสก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าหรือถึงขั้นขวยเขินได้เสมอ

    “เอานิ้วเตรียมช่องทางเจ้าให้พร้อม”

    น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยพลางจับมือขาวที่ดูดเลียจนชุ่มหยาดน้ำใส ไปสัมผัสวางบนสองก้อนกลมแน่นของมนุษย์ใกล้ปากทางเข้า เช่นนั้นโนอาร์ก็จำต้องรับสองหน้าที่พร้อมกัน มือข้างหนึ่งใช้นิ้วสอดขยายช่องทางรักให้คุ้นชิน ส่วนอีกข้างค้ำยันกายเพื่อให้โพรงปากและลิ้นนุ่มปรนเปรอปีศาจ กระทั่งผ่านไปสักหนึ่งมนุษย์ก็รู้สึกถึงลมหายใจหนักขึ้นของร่างสูงใหญ่ พร้อมตัวตนแข็งขืนในโพรงปากที่เริ่มกระตุกเกร็งถี่ส่งสัญญาณถึงบางสิ่งซึ่งกำลังมา

    “อืมมม... อ้าปากกว้าง ๆ”
    “อึก!... อาาาา....”

    ไม่ทันสิ้นเสียงสั่ง ฝ่ามือแกร่งแข็งแรงก็จับล็อกกดหัวมนุษย์ไว้ก่อนขยับสวนสะโพกกระทุ้งแก่นกายร้อนเข้าออกโพรงปากรัวเร็ว เอทอสเชิดหน้าคำรามเสียงพร่าสุขสมพร้อมระเบิดปลดปล่อยหยาดน้ำรักข้นมากมายไหลทะลักเข้าลำคอ จนโนอาร์จำต้องกลืนกินทุกสิ่งอย่างลงเพื่อไม่ให้สำลัก

    “หึ ๆ เก่งสมเป็นเมียข้า” เอทอสเผยยิ้มร้ายเอ่ยชมพลางใช้นิ้วเช็ดของเหลวข้นสีขาวตรงมุมปากโนอาร์ แล้วจึงฉุดร่างมนุษย์ขึ้นมารับรางวัลจูบเร่าร้อน

    “อื้มม....”

    มนุษย์หลุดเสียงครางหวาน เมื่อลิ้นหนาเข้ากระหวัดเลียทำความสะอาดทุกซอกมุมในโพรงปาก ก่อนเข้ารัดรึงหยอกเย้าลิ้นนุ่มอย่างเอาใจ จนเรียบร้อยริมฝีปากหนาจึงผละออกแล้วซุกไซ้ขบกัดตามซอกคอขาวดุจมันเขี้ยว โดยเฉพาะบริเวณสัญลักษณ์ครองคู่ที่ปีศาจเลือกใส่ใจดูดเม้มเป็นพิเศษ ส่งผลให้โดยรอบนั้นประปรายเต็มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบและรอยฟันคมมากกว่าส่วนใดทั้งหมด

    “อะ! เอทอสอย่าเพิ่งผมยังไม่…”

    โนอาร์พยายามปรามปีศาจหิวกระหายที่จับเขาหันหลังพร้อมเอาแท่งสวาทร้อนถูบริเวณร่องสองก้อนกลม เนื่องจากเขายังเตรียมพร้อมขยายช่องทางไม่เสร็จดี ทว่าแน่นอนเมื่อเอทอสเข้าสู่โหมดสัตว์ป่าดิบเถื่อนย่อมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เห็นได้ชัดจากฝ่ามือหนาที่จับหน้าเขาหันมาสบใบหน้าคมเข้ม ซึ่งยามนี้มีนัยน์ตาวาวสีอำพันดุจับจ้องเหยื่อพลางเผยยิ้มร้าย พร้อมกับส่วนหัวของแก่นกายแข็งขืนที่เริ่มสอดแทรกเข้ามาในร่าง

    “อะ.. อาาาาา.......”
    “ยังไม่ชินของสามีอีกหรือเมียข้า สงสัยข้าต้องทำหลายครั้งมากกว่านี้ ร่างกายเจ้าจะได้จดจำข้าได้เสียที”
    “อื้มม!!... คุณ... บะ.. เบา...” เสียงหวานครางกระเส่าพยายามเอ่ยขอ เพราะร่างสูงใหญ่ด้านหลังทันทีที่ดันแทรกตัวตนเข้ามาจนสุด ก็เริ่มขยับสะโพกแกร่งกระแทกอัดบรรเลงเพลงรักต่อเนื่อง ไร้ซึ่งเวลาหยุดพักเตรียมใจ
    “ถ้าเบาก็ไม่ถึงใจเจ้าสิ อืมมม..... ข้ารู้ดีว่าเจ้าชอบโนอาร์ ไม่อย่างนั้นดวงตานิ่ง ๆ ของเจ้าคงไม่หยาดเยิ้มเช่นนี้ รวมถึงปากล่างของเจ้าก็คงไม่รัดข้าแน่นขนาดนี้เหมือนกัน อาา....”
    “อะ!.. อืมม... คะ.. คุณ- อ้าา!!...”

     ราวกับปีศาจไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว อ้อมแขนกำยำประดับด้วยมัดกล้ามใหญ่แข็งแรงถึงได้โอบดึงมนุษย์เข้าหา จนแผ่นหลังขาวเปลือยแนบสนิทถูไถกับแผงอกกว้างหนาแกร่งตามแรงกระทั้นสอดใส่ ใบหน้าคมเข้มก้มลงขบเม้มซุกไซ้ซอกคอขาว ส่วนนิ้วมือหยาบกร้านก็เข้าบีบคลึงขยี้ปั่นยอดอกสีสวยทั้งสองข้างของมนุษย์ ส่งผลให้ร่างขาวในการควบคุมดิ้นพล่านด้วยความเสียวซาบซ่านเกินพรรณนา ได้แต่ส่งเสียงร้องครางหวานดังก้องไปทั่วห้องให้เอทอสสดับฟังอย่างสุขสำราญ

    “ตุบ!”

    อ้อมแขนแข็งแรงปล่อยตัวมนุษย์ฟุบลงกับผืนเตียง เมื่อรู้สึกว่าโนอาร์หมดสิ้นเรี่ยวแรงทรงตัว จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างจับล็อกช่วงเอวพลางยกบั้นท้ายขาวให้สูงขึ้นเล็กน้อย และเริ่มขยับสวนแท่งสวาทที่แทรกค้างอยู่ในช่องทางรักให้สอดใส่เข้าออกอีกครั้ง

    “…อะ! อาาา.... เอทอส... อื้มม...”
    “อืมม.... เรียกอีกสิ สามีผู้นี้ชอบฟังเสียงเมียรักครางชื่อ อาา…”

    เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเร่งสะโพกกระแทกอัดตกรางวัล เป็นผลให้แก่นกายแข็งขืนในร่างขาวยิ่งชนกระทบถูกจุดกระสัน เจ้าชายน้ำแข็งเยือกเย็นผู้โดนพิษรักร้อนแรงแผดเผาจนหลอมละลาย ทำได้เพียงปล่อยตัวร้องครางชื่อตามคำขอปีศาจจนน้ำเสียงแหบแห้ง ทิ้งกายให้ไถลไปตามผืนผ้าปูยับย่นโยกคลอนตามจังหวะที่ร่างสูงใหญ่เป็นคนควบคุม

    “ขวับ!”
    “อะ! เอทอส! อื้มม!!!....”

    โนอาร์ร้องลั่น เมื่อจู่ ๆ ปีศาจก็แกล้งจับเขาพลิกหน้าขึ้นมาทั้งที่บางสิ่งยังคงเสียบคาอยู่ในร่าง เป็นผลให้แก่นกายร้อนระอุหมุนคว้านรอบผนังอ่อนนุ่มบอบบาง เกิดเป็นความจุกหน่วงและวาบหวามในเวลาเดียวกัน จนไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดตรงทางรักที่กำลังประสบนี้ คือความเจ็บหรือความเสียวซ่านกันแน่

    “อืมม... อะไร? ข้าแค่อยากดูสีหน้าเมียรักยามครวญคราง อะ..อาาา... ปากล่างเจ้านี่ช่างคับแน่นตอดรัดถูกใจข้าเสียจริง”

    ปีศาจร้ายแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หนีความผิด ก่อนเบี่ยงประเด็นด้วยคำชมหยาบโลน ฝ่ามือหนาจับขาทั้งสองข้างของมนุษย์พาดบ่ากว้าง พลางเล่นจังหวะสวนขยับสะโพกแกร่งส่งท่อนเอ็นร้อนดุนดันจุดกระสันต่อจากเมื่อครู่ ใบหน้าคมเข้มเข้าซุกดอมดมขบเม้มตามน่องขาขาวนวลเอาใจคนใต้ร่าง คล้ายเป็นการไถ่โทษขออภัยภรรยาสุดที่รักอยู่กลาย ๆ ซึ่งไม่นานนักมนุษย์ก็โอนอ่อนส่งเสียงครางหวานอีกครั้ง

    “อะ... เอทอส... ผมใกล้แล้ว... อาา... อยากกอด... อื้มมม....”

    ทันทีที่ได้ฟังคำขอน่ารักผสานช่องทางอ่อนนุ่มขมิบรัดแน่นเป็นสัญญาณ ร่างสูงใหญ่ก็พลันผละริมฝีปากจากน่องขาสวย พร้อมจับสองขาที่พาดบ่าให้กางออกกว้างก่อนทิ้งร่างหนาหนักแทรกกลางหว่างขาขาว สองแขนกำยำด้วยมัดกล้ามช้อนหลังโนอาร์ดึงเข้ากอดจนผิวกายต่างแนบสนิทเสียดสีตามแรง ความใกล้ชิดแนบแน่นทำให้ส่วนแข็งขืนยิ่งกดแทรกเข้าลึก และนั่นพลอยทำให้สองแขนของคนใต้ร่างรีบโอบกอดเกาะแผ่นหลังกว้างแข็งแรงตามสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับสองขาขาวที่เกี่ยวล็อกเอวหนาไม่ปล่อยราวกับลูกลิง
    เอทอสขยับสะโพกเร่งจังหวะรักสาดใส่ร่างโนอาร์ที่รอรับอย่างเต็มใจ ทั่วทั้งห้องพลันอื้ออึงไปด้วยเสียงหยาบโลนจากหน้าขาแกร่งกระทบสองก้อนกลมแน่น ผสานสลับกับเสียงครางระบายความสุขซาบซ่านของมนุษย์กับปีศาจ ยิ่งใกล้ถึงฝั่งฝันเห็นสรวงสวรรค์รำไร ร่างสูงใหญ่ด้านบนยิ่งกระแทกสอดใส่แก่นกายรุนแรง มนุษย์ใต้ร่างก็ยิ่งเกร็งขาเกาะเอวปีศาจแน่นตอบรับพร้อมส่งเสียงครางลั่นสู้ไม่ยอมแพ้

    “อ้าาาาาาาา!!!.……”
    “อืมมมม.... อาาาา……”

    เสียงครางหวานสุขสมดังสอดประสานคู่เสียงครางทุ้มพร่าปลดปล่อย หยาดน้ำรักอุ่นร้อนพลันพุ่งทะลักเข้าร่างที่รองรับ ผนังนุ่มตอดรัดท่อนเอ็นร้อนเกร็งกระตุกรุนแรงรีดเค้นน้ำรักที่หลงเหลือ โนอาร์รับรู้ถึงความอบอุ่นจากความรักเอทอสที่อัดแน่นภายในร่างเขา เช่นเดียวกับความอุ่นเหนียวเหนอะที่กำลังเปื้อนเลอะบริเวณผิวท้องแน่นของเขาและปีศาจ สื่อเป็นนัยว่าเอทอสได้พาเขาสู่ฝั่งฝัน โดยมิจำเป็นต้องพึ่งอาศัยการสัมผัสเล้าโลมตัวตนของเขาเลยสักครั้งเดียว ความสุขอบอุ่นค่อยแผ่กระจายไปทั่วร่างชายเลือดเย็นจนรู้สึกตัวเบาหวิวหมดสิ้นเรี่ยวแรงขยับเคลื่อนไหว ขาและแขนที่เคยเกาะร่างสูงใหญ่แน่นไม่ยอมปล่อยจึงพลันคลายคืนอิสระให้ปีศาจ

    เอทอสกดจูบขมับชื้นเหงื่อโนอาร์ด้วยความรักใคร่ชื่นชม ก่อนดันตัวขึ้นนั่งพักหายใจพลางมองความเปรอะเปื้อนบริเวณหน้าท้องมนุษย์ซึ่งกำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจหอบเหนื่อยไม่ต่างจากเขา ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ขยับถอนแก่นกายร้อนออกจากช่องทางสีสวยพลางจับหน้าขามนุษย์อ่อนแรงยกถ่างกว้างเพื่อรอชมบางสิ่ง ไม่นานหยาดหยดขุ่นข้นที่เขาทิ้งไว้ในตัวโนอาร์ก็ถูกร่างกายขาวขับออกมา ของเหลวหนืดไหลลงตามร่องของสองก้อนกลมแดงก่อนถูกผ้าปูเตียงที่รองรับอยู่ข้างใต้ซึมซับ ภาพเบื้องหน้างดงามเสียจนเอทอสหลุดยิ้มร้ายพึงพอใจพร้อมกับตัวตนที่เริ่มแข็งขืนอีกครา

    “คะ.. คุณ!.. อ้าา...” โนอาร์สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงท่อนเอ็นร้อนสอดแทรกดันลึกกลับเข้ามาในร่างโดยไม่ทันตั้งตัว
    “เมียข้า... เจ้าก็รู้ว่าแค่รอบสองรอบมันไม่พอ อืมม... เห็นแก่เจ้าที่ยังเหนื่อย งั้นรอบนี้ข้าจะพยายามอ่อนโยน”
    “อื้มม... ดะ..เดี๋ยว... อาาา....”

    แน่นอนปีศาจร้ายไม่ยอมฟัง พลางเริ่มจังหวะสะโพกสวนใส่แก่นกายร้อนระอุเข้าออกช่องทางอ่อนนุ่ม ซึ่งกำลังเปียกลื่นด้วยผลผลิตจากความสุขสมรอบก่อน ไม่นานความชำนาญและท่วงท่าลีลาของเอทอสก็เปลี่ยนเสียงทักท้วงของโนอาร์ให้กลายเสียงหวานครวญครางร่วมบรรเลงเพลงรักไปตลอดคืน



    ผลลัพธ์จากความเอาแต่ใจตักตวงความสุขจวบกระทั่งรุ่งสาง เป็นผลให้เช้านี้เอทอสต้องไปทำงานที่สวนโดยไม่มีมื้อเช้ากิน เนื่องเพราะพ่อครัวยังคงหมดแรงหลับสนิทอยู่บนเตียง ทว่าร่างสูงใหญ่สดชื่นแจ่มใสก็ดูเหมือนจะยอมรับผลการกระทำแต่โดยดี สังเกตได้จากการนั่งจิบกาแฟฟังข่าวยามเช้าอย่างสบายอารมณ์ ทว่าข่าวหนึ่งในโทรทัศน์ก็ทำให้ปีศาจขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่นคือข่าวชายที่ตามวอแวเขาตอนอยู่ร้านอาหารนั้นได้ขับรถเสียหลักไถลตกคข้างทางจนพลิกคว่ำเสียชีวิตคาที่ จากการตรวจสอบสถานที่ก็พบอีกหนึ่งศพหญิงสาวในสภาพคอหักผิดรูปถูกซ่อนอยู่หลังกระโปรงรถ เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่าชายดังกล่าวอาจเป็นคนร้ายฆาตกรรมหญิงสาวแล้วกำลังเอาศพไปอำพราง แต่เคราะร้ายที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน

    หลังรายงานข่าวจบลงนัยน์ตาสีอำพันดุก็พลันหันมองไปยังห้องนอน ที่ซึ่งมีใครบางคนหลับสนิทอยู่ตามสัญชาตญาณ ทว่าท้ายสุดร่างสูงใหญ่ก็ต้องส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระ เนื่องจากมนุษย์นั้นอยู่เติมเต็มความสุขสมกับเขาตลอดคืนแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำเรื่องพรรณ์นี้ คิดได้ดังนั้นเอทอสก็พลันกดปิดโทรทัศน์แล้วนำแก้วกาแฟไปเก็บ ก่อนเดินออกจากตัวบ้านพักทรงไทยประยุกต์เพื่อขับรถไปสวนรฦกวัลย์ ระหว่างทางปีศาจก็นึกถึงเรื่องราวชวนอภิรมย์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พลางคิดในใจว่า

   บ้านใช้ไปแล้ว... เทศกาลวาเลนไทน์ครั้งหน้าจะพาโนอาร์ไปฉลองที่ใดดี ผืนป่ากว้างขวาง? หรือโต๊ะกินข้าวในส่วนครัวก็เพียงพอ?




    
(บทพิเศษ สมบูรณ์)




ถึงคนอ่าน


    บทพิเศษนี้คนเขียนเขียนขึ้นเนื่องในวัน Valentine 2021 ครับ(ส่วนบทหลักกำลังตามมานะครับ แหะๆ)

    ในบทนี้จะมีช่วงหนึ่งที่เอทอสกับโนอาร์คุยสื่อสารกันผ่านความคิด อันนี้เป็นหนึ่งในผลสัญลักษณ์ครองคู่ครับ(มีบอกเป็นนัย ๆ ในบทที่32 ซึ่งในบทที่33 ที่กำลังมาจะอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกทีครับ)

    ต่อมาจะอธิบายขยายความถึงวิธีของโนอาร์ที่ใช้ในบทนี้ครับ เครื่่องดื่มที่ชายที่มายุ่งกับเอทอสพยายามให้เอทอสดื่มแต่สุดท้ายก็ถูกโนอาร์จับกรอกปากนั้น แท้จริงผสมGHB (gamma-Hydroxybutyric) หรือพวกยาเสียสาว/เสียหนุ่มในชีวิตจริงครับ ยาจะทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง คลื่นไส้ และกระตุ้นอารมณ์ทางเพศครับ แต่หากกินในปริมาณมากเกินไปจะทำให้หมดสติหรือถึงขั้นหยุดหายใจเสียชีวิตได้ครับ (และชายคนนั้นโดนจับกรอกปากไปแล้ว) ซึ่งความจริงโนอาร์ไม่รู้นะครับว่าในน้ำนั้นมียานี้ผสมอยู่ ที่โนอาร์เตรียมไว้จริง ๆ คือรถยนต์ของผู้หญิงที่ตัดสายเบรกครับ ฉะนั้นหมายความว่าต่อให้ไม่ดื่มชายคนนั้นก็ไม่รอดอยู่ดีครับ


    อันนี้คือหน้าตาเมนูที่โนอาร์ตั้งใจให้เอทอสนะครับ แต่โดนขัดก่อน
(https://assets.epicurious.com/photos/59d3b675db1b7a7ffca98a9c/6:4/w_620%2Ch_413/GFAF-Pork-Chops-with-Grape-and-Fig-Agrodolce-and-Radicchio-Salad-recipe-28092017.jpg)



    และสุดท้ายต้องขออภัยคุณ FleurDelakour ด้วยนะครับ คนเขียนไม่มีแผนทำรูปเล่มหรือE-BOOK ครับ คนเขียนอยากให้นิยายทุกเรื่องของคนเขียนเป็นออนไลน์เปิดอ่านฟรีบนเว็บน่ะครับ แต่ถึงอยากนั้นคนเขียนก็อยากให้นิยายมีภาพปกสวยๆ ดึงดูดคนอ่านกลับเขาบ้างเหมือนกันครับ และคนเขียนก็ได้คนวาดวาดภาพปกเอทอสโนอาร์แล้วด้วยนะครับ^^
คนอ่านสามารถดูภาพร่างคร่าวๆของปกเอทอสโนอาร์ได้ ที่นี่ (https://drive.google.com/file/d/1daOSI2KbDcZp8Yu3wCHNZurBD6iPFDhu/view?usp=sharing) เลยครับ (ส่วนตัวคนเขียนว่าโนอาร์หล่อมากเลยครับ^^)



    ป.ล. คนเขียนเห็นมีคนอ่านเริ่มเล่นแท็ก #Hฆาตกรรม ด้วยครับ นึกมาว่าจะร้างแล้ว 5555 ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ :oni2: ไว้ให้คนเขียนเปิดแอคเค้าท์ในนามคนเขียนอย่างเป็นทางการก่อนนะครับ คนเขียนรีบไปรีกับกดหัวใจเลย :L1:


หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ฉลอง) [18/02/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-02-2021 00:04:20
รีบมาๆ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ฉลอง) [18/02/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: yumyai_fishery ที่ 20-02-2021 19:08:51
เป็นแนวใหม่ที่เน้นไปทางความดำมืดของจิตใจ ไม่ใช่มาเฟียผู้รักสันติหรือนักฆ่ายอดคุณธรรม รู้สึกเหมือนอยู่ในเรื่อง saw...ให้กำลังผู้แต่งนะคะ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 33 ภาคิน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 04-04-2021 00:22:53

    ภายในห้องน้ำของบ้านพักริมชายหาดหลังผ่านความวุ่นวายในช่วงเช้า มีหนึ่งมนุษย์และปีศาจกำลังนั่งแช่อาบน้ำในอ่างเดียวกัน โดยมนุษย์เอนพิงแผงอกแกร่งของปีศาจที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ซึ่งบัดนี้เอทอสได้แปลงกลับสู่รูปลักษณ์มนุษย์ปกติ เหตุเพราะรำคาญว่าต้องคอยระวังกรงเล็บคมจะบาดผิวขาวของมนุษย์

   คำสาปช่วยสมานแผลบนมือโนอาร์ก็ดีอยู่หรอก แต่มันลบรอยที่ข้าทำเมื่อคืนไปด้วยเสียหมด ทำดีเกินหน้าที่จนน่าหงุดหงิดเสียจริง หากไม่มีสัญลักษณ์ครองคู่เป็นหลักฐาน เรื่องที่โนอาร์ตกเป็นเมียข้าแล้วคงเผลอคิดว่าเป็นแค่ฝันไป

    โนอาร์ได้แต่นั่งนิ่งเมื่อถ้อยเสียงทุ้มต่ำอบอุ่นดังก้องในความคิด ผสานความรู้สึกวูบวาบยามริมฝีปากร้อนของปีศาจพรมจูบขบเม้มบริเวณหลังคอเขาเล่นไปพลางระหว่างแช่อ่าง เจ้าชายน้ำแข็งเยือกเย็นก็คล้ายรู้สึกว่าตัวเขากำลังละลายอยู่ในอ้อมอกกว้างแข็งแรงของปีศาจ ซึ่งทั้งหมดมีสาเหตุจากเรื่องแปลกประหลาดตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมา เขากลับได้ยินเสียงความคิดของปีศาจดังอยู่ในหัว บางความคิดก็เป็นการนินทาเขาแบบไม่เหลือดี แต่บางความคิดก็หยาบโลนเสียจนเขารู้สึกว่าผิวแก้มตัวเองกำลังร้อนผ่าว และนั่นทำให้มนุษย์ยังคงเงียบไม่คิดเล่าความผิดแผกนี้ให้ปีศาจทราบเพราะว่า

   อยากลอบฟังความคิดเอทอสแบบนี้เรื่อยไป
    สนุกมากไหมกับการแอบฟังความคิดข้า เจ้านี้ไม่มีความละอายเลยจริง ๆ


    “คุณ!” มนุษย์ผู้กำลังหลับตาพริ้มรับสัมผัสจูบตรงหลังคอพลางฟังความคิดปีศาจ เผลอหลุดท่าทีสะดุ้งเสี้ยวจังหวะหนึ่ง เมื่ออยู่ ๆ เสียงความคิดปีศาจก็เปลี่ยนเป็นการเหน็บแนมรู้ทันเขาโดยตรง
    “มีอะไร ไม่ฟังความคิดข้าต่อแล้วหรือไง”

    เสียงทุ้มหนักจากร่างสูงใหญ่ด้านหลังถามกลับต่อจากความคิด ส่งผลให้โนอาร์ต้องหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าปีศาจ ซึ่งก็พบรอยยิ้มเยาะมากเล่ห์พร้อมนัยน์ตาดุสีอำพันแทะโลมกำลังจ้องมองเขาอยู่

    “เอทอส คุณรู้ว่าผมแอบฟังความคิดคุณได้ตั้งแต่เมื่อไร”
    “เจ้าฟังความคิดข้าเมื่อไรก็เมื่อนั้น แล้วเจ้าไม่คิดจะแปลกใจสงสัยเลย?” ปีศาจแกล้งตอบอย่างยียวน ก่อนเอ่ยถามมนุษย์กลับ
    “ทีแรกก็สงสัยครับ แต่ผมจำได้ว่าอนันต์กับฟอเรสผู้มีพระคุณของคุณ ก็ทำแบบนี้ได้เหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะพลังจากสัญลักษณ์ครองคู่ของปีศาจ”

    โนอาร์อธิบายตามข้อสันนิษฐานของตนเอง พลางใช้ฝ่ามือขาวลูบผ่านมัดกล้ามบนแผงอกแกร่งสีแทน ตำแหน่งเดียวกับที่มีสัญลักษณ์รูปเปลวเพลิงปรากฏ ซึ่งความฉลาดของมนุษย์ทำให้เอทอสนึกเอ่ยชมภรรยารักของตนอยู่ในใจ ทว่าปีศาจกลับเผลอลืมว่าตอนนี้มนุษย์ยังฟังความคิดเขาได้อยู่ ดังนั้นวินาทีถัดมาบนใบหน้าขาวเรียบนิ่งจึงปรากฏรอยยิ้มมุมปากภูมิใจรับคำชม และเป็นร่างสูงใหญ่เองที่ต้องเอ่ยพูดขัดแก้เขิน

    “อืม ก็อย่างที่เจ้าคิด ผลของสัญลักษณ์ครองคู่ทำให้เจ้ากับข้าสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด ขอเพียงแค่ได้สัมผัสถูกตัวกัน แม้จะตายจากก็สามารถพูดคุยกันได้”
    “…”
    “เพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจมีอายุขัยที่ยืนยาวหลายร้อยปี หากระหว่างนั้นคู่ครองเกิดเป็นอะไรไปก่อน พลังวิเศษนี้จะช่วยให้ยังคงรับรู้ถึงกันและกัน ฝ่ายที่อยู่ต่อจะได้ไม่ต้องฝืนทนใช้ชีวิตอย่างเดียวดาย”

    เอทอสเล่าถึงเหตุผลที่มาของพลังก่อนจะเพิ่งสังเกตว่าโนอาร์นิ่งเงียบ เช่นนั้นฝ่ามือหนาอบอุ่นจึงยกขึ้นลูบผิวแก้มขาวของมนุษย์คล้ายต้องการปลอบประโลม ความอ่อนโยนของปีศาจช่วยปัดเป่าคลายความรู้สึกหน่วงลึกให้จางหาย และหลังได้รับการเยียวยา โนอาร์จึงขยับซุกหน้าคลอเคลียฝ่ามือใหญ่พร้อมเหลือบมองส่งสายตายั่วเย้า พลางเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเป็นเรื่องอื่นเพื่อหลีกหนีความจริงที่ไม่อยากนึกถึง

    “จากความฝันเหมือนว่าฟอเรสจะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณพาผมไปทักทายพวกเขาได้ไหม”
    “ได้ แต่ทำไมอยู่ ๆ เจ้าถึงอยากไปหาผู้มีพระคุณข้า” เอทอสถามกลับด้วยความสงสัยระคนระแวงคู่ครอง ทว่าคำตอบของโนอาร์กลับทลายความกังวลปีศาจอย่างหมดสิ้น
    “ปกติคู่รักมนุษย์เมื่อมั่นใจจะพาคนรักไปแนะนำกับครอบครัว แต่ผมตัวคนเดียว ที่สำคัญคือเป็นเมียคุณแล้ว ถ้ามีโอกาสผมเลยอยากไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นหลานสะใภ้กับผู้มีพระคุณของคุณบ้างน่ะครับ”
    “ดูเหมือนเจ้าจะภูมิใจที่ได้เป็นเมียข้าเสียจริง ถูกใจอะไรในตัวข้าขนาดนั้น”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดพร่า พลางใช้แขนแกร่งโอบดึงมนุษย์เบื้องหน้าเข้าตัวแนบชิด พร้อมนัยน์ตาสีอำพันดุที่ค่อยกลับเป็นสีแดงเลือดนกร้ายลึกอีกครา

    “ทุกอย่างที่เป็นคุณ เอทอส โดยเฉพาะคุณเมื่อคืนผมยิ่งหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่รู้จะพูดอธิบายยังไงแล้ว”
    “งั้นทำไมไม่ลองให้ร่างกายเจ้าพูดแทนล่ะ เพื่อข้าจะได้เข้าใจมากขึ้น”

    ปีศาจเอ่ยหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่า ท่อนแขนแข็งแรงที่โอบเอวมนุษย์ออกแรงอุ้มยกร่างขาวลอยสูงจากหน้าตักแกร่งเล็กน้อย ก่อนจะคลายแรงปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งลงตามเดิม ทว่าคราวนี้กลับต่างไป เมื่อขณะหย่อนกายลงนั่งโนอาร์สัมผัสถึงส่วนร้อนแข็งขืนของบางสิ่งใต้ร่าง กำลังดุนดันสะกิดทิ่มตรงปากทางรักของเขาคล้ายอยากเข้าไปท่องเที่ยวสำรวจ ผสานนัยน์ตารัตติกาลที่เผลอสบนัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกวาววามมากเล่ห์ โนอาร์ก็พลันรู้ทันทีว่าเอทอสอยากให้เขาอธิบายคำว่า ‘หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น’ ด้วยวิธีใด

    ไม่นานหลังจากนั้นอุณหภูมิภายในห้องน้ำของบ้านพักริมชายหาดก็พลันสูงขึ้นอย่างประหลาด โดยมีเสียงครวญครางหวานดังสอดประสานไปกับเสียงกระทบเนื้อดุดันหยาบโลน เป็นการเผยสาเหตุต้นตอที่ทำให้บรรยากาศเย็นสบายในห้องน้ำ พลิกผันกลับกลายเป็นความร้อนแรงแทบหลอมละลาย



    รถกระบะสีดำขับกลับถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์ในยามบ่ายแก่ ขณะนำรถขับเข้าจอดใต้ถุนบ้านนัยน์ตารัตติกาลของโนอาร์พลันเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเห็นพวกเขากลับรีบลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วมายืนรอคอยต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งนั้นทำให้สองเจ้าบ้านที่เพิ่งกลับมาจากฮันนีมูนรู้ทันทีว่า ความสุขสงบเงียบของบ้านพักทรงไทยประยุกต์กำลังจะหมดไป

    “สวัสดีครับอาเอทอส พี่โนอาร์ ผมเพิ่งทำความสะอาดบ้านเสร็จกำลังจะกลับพอดีเลย ถ้าผมดันไปเร็วกว่านี้คงคลาดกันเสียดายแย่ แล้วนี่อาเอทอสกับพี่โนอาร์ไปซื้อของกันเหรอครับ มีอะไรให้ผมช่วยถือไหม”

    นาวาส่งเสียงทักทายเจื้อยแจ้วพร้อมคาดการณ์ทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ ทว่าคำพูดเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มกลับเตือนความจำโนอาร์ได้เป็นอย่างดีถึงเรื่องสำคัญที่หลงลืม ซึ่งนั่นทำให้ชายเลือดเย็นเริ่มมีทีท่ากระสับกระส่ายเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่ข้างกายที่จับสังเกตเห็นจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าสาเหตุอาจเกิดจากความเอาแต่ใจของเขาเมื่อครั้งอาบน้ำด้วยกันในบ้านพักริมหาด จนทำให้มนุษย์รู้สึกเป็นไข้ตัวร้อน

    “ไม่สบายหรือเปล่า? อยากนอนพักไหม”

    เสียงทุ้มต่ำแฝงความเป็นห่วงเอ่ยถามมนุษย์ข้างกาย พลางใช้หลังมือแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิ ส่วนนาวาที่เห็นอาการของพี่ที่เคารพไม่สู้ดีก็เตรียมช่วยอาเอทอสประคองพี่โนอาร์เข้าบ้าน ทว่าคำพูดตอบกลับจากเจ้าของเรื่องกลับทำให้ทุกความห่วงใยเป็นกังวลพังทลายไม่เป็นท่า

    “เปล่าครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่าของในบ้านหมดแล้ว ตอนกลับก็ลืมเตือนให้คุณแวะห้าง... เอทอส ผมขอออกไปซื้อของทำมื้อเย็นแป๊บหนึ่งแล้วจะรีบกลับ”
    “ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าไปซื้อเอง จะเอาอะไรก็ส่งข้อความตามหลังมาแล้วกัน” ร่างสูงใหญ่ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มหนักนิ่ง ๆ คล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันไปพูดกับหลานชายโดยพยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
    “นาวาถ้าวันนี้ไม่ติดอะไร อยู่รอกินมื้อเย็นที่บ้านอาก่อนก็ได้”

    พอเอ่ยจบเอทอสก็เดินฮึดอัดกลับขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไป ท่ามกลางสายตาฉวนของนาวา และนัยน์ตารัตติกาลแฝงความขบขันของโนอาร์ที่มองส่งรถกระบะของสามี ซึ่งเมื่อบ้านพักทรงไทยประยุกต์ไร้เงาเจ้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย มนุษย์เจ้าแผนการถึงได้เลื่อนขยับหมากบนเกมกระดานแห่งความตายต่อ หลังรามือไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    “อยากได้กระสอบทรายไว้เล่นที่บ้านเพิ่มไหม” โนอาร์น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยถามเด็กวัยรุ่น เพราะจำได้ว่าครั้งหนึ่งอีกฝ่ายเคยเล่าว่าซื้อกระสอบทรายไว้แก้เบื่อช่วงที่ขาดคู่ซ้อมเนื่องจากเขาอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งก็ได้เห็นอาการตื่นเต้นดีใจของเด็กหนุ่มอย่างที่คาดการณ์
    “อยากสิพี่โนอาร์! พี่จะซื้อให้ผมเหรอ”
    “อืม เป็นรางวัลที่ช่วยดูแลบ้านเอทอสอย่างดี”
    “ขอบคุณครับ! พี่โนอาร์ใจดีที่สุดเลย”

    ชายอันตรายเพียงพยักหน้ารับคำขอบคุณเล็กน้อยก่อนเดินเข้าบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ตั้งใจจะอาศัยโอกาสที่เอทอสไม่อยู่โทรสั่งการเหล่าตัวหมากต่อ ทว่าเหมือนปีศาจอยากจะเอาคืนเขามากเช่นกันถึงได้เอ่ยชวนนาวาอยู่ต่อ และผลคือชายเลือดเย็นต้องเดินหนีเด็กวัยรุ่นที่คอยไล่ตามพร้อมส่งเสียงคุยถามไม่ยอมหยุด แม้จะใช้สายตาเรียบนิ่ง คำพูดข่มขู่ หรือรุนแรงถึงขั้นใช้กำลังปิดปาก แต่ทั้งหมดกลับกลายเป็นนาวาเข้าใจว่ารุ่นพี่ชวนเล่นด้วย และนั่นยิ่งทำให้นาวาตามติดมากกว่าเดิม จนท้ายสุดโนอาร์จำต้องเลือกหนทางที่ไม่เคยคิดว่าคนอย่างเขาต้องใช้วิธีน่าอดสูถึงเพียงนี้ วิธีแกล้งปวดท้องแล้วรีบเดินหนีเข้าห้องน้ำ

    “เรื่องส่งคนไปแฝงในบ้านภาคินไปถึงไหน” โนอาร์ซึ่งขณะนี้นั่งอยู่บนชักโครกเอ่ยถามปลายสายด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด เพราะใครบางคนที่วนเวียนอยู่แถวหลังประตูห้องน้ำ
    [เรียบร้อยดีไม่มีใครสงสัย แต่ก็โดนไล่ออกมาแล้ว ช่วงนี้เหมือนเจ้านักธุรกิจนั่นจะวางแผนอะไรสักอย่าง เห็นรีบออกจากโรงพยาบาลมาไล่คนรับใช้ทุกคนออก แต่ก็ยังพอใจดีให้เงินก้อนไปตั้งตัว สายที่แฝงอยู่ก็โดนด้วยเหมือนกัน]
    [แล้วก็พักหลังชอบไปสถานีตำรวจบ่อย ๆ สงสัยไปคุยเรื่องคนร้ายที่บุกตึกบริษัทมั้ง... คนร้ายนั่นเป็นนายใช่ไหม โนอาร์?] มังกรรายงานข้อมูลที่รู้ตามจริงก่อนถามถึงสิ่งที่สงสัย ทว่าปลายสายกลับไม่ตอบคำถาม ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้
    “พรุ่งนี้เช้าไปรอที่ห้องใต้ดินบ้านร้าง มีของขวัญจะให้”

    ชายเลือดเย็นเอ่ยตัดบทสนทนาพร้อมกดวางสายเมื่อรับรู้ข้อมูลที่ต้องการ ก่อนจะเริ่มโทรสั่งตัวหมากอื่น ๆ เพื่อนัดรวมในวันพรุ่งนี้ และถือโอกาสไปเช็กความเป็นอยู่ของวรรษที่โดนกักขังว่า บริการดูแลที่เขาตั้งใจทำถูกใจอีกฝ่ายมากน้อยเพียงใด รวมถึงดูความพร้อมในการร่วมสนุกในงานที่เขากำลังเตรียมจัด หลังจากงานของภาคินผู้โชคดีได้ลัดคิวก่อนใครจบลง

    “อาเอทอส พี่โนอาร์เข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วยังไม่ออกมาเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”

    เสียงเจื้อยแจ้วหลังประตูห้องน้ำ ทำให้คนที่คุยงานเสร็จสักพักใหญ่แต่ยังนั่งแช่อยู่ที่เดิม จำต้องลุกออกไปโชว์ตัวเพื่อไม่ให้ปีศาจสุดที่รักเป็นห่วง ทว่าเสียงทุ้มหนักที่ดังลอดผ่านบานประตู กลับทำให้มือขาวซึ่งกำลังจับลูกบิดชะงักนิ่ง

    “ไม่กี่ชั่วโมงก่อนอาเช็กเขาทุกซอกทุกมุม ทั้งข้างนอกและข้างในก็ดูปกติดี ทิ้งไว้แบบนั้นแหละเดี๋ยวอยากออกก็คงออกมาเอง นาวามากินเนื้อย่างกับอาดีกว่า อาซื้อมาเต็มเลย”
    “อะไรคือข้างนอกข้างในเหรอออาเอทอส แต่ช่างเถอะผมชักหิวแล้วสิ งั้นผมไปเตรียมจานให้นะครับ”

    และแล้วเสียงพูดคุยของปีศาจเจ้าบ้านกับมนุษย์วัยรุ่นก็เลือนหายไปจากบริเวณ เหลือเพียงฆาตกรน่าสงสารที่โดนปล่อยลืมอยู่ในห้องน้ำโดยไม่มีใครเหลียวแล



    รุ่งเช้าวันถัดมาโนอาร์ไปสวนรฦกวัลย์กับเอทอสตามกิจวัตรปกติ ทว่าที่แปลกไปคือหลังจากส่งปีศาจเข้าสำนักงานเป็นที่เรียบร้อย ชายอันตรายกลับเดินมุ่งไปยังทางออกหาใช่เรือนกล้วยไม้อย่างทุกที พลางหยิบโทรศัพท์โทรหาใครบางคน ไม่นานนักก็มีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งมาจอดรับคนรักนายใหญ่ก่อนขับหายไป ท่ามกลางเหล่าสายตาคนงานที่ลอบมองด้วยความสงสัยใคร่รู้

    “ทำไมไม่ซื้อรถใหม่ล่ะจะได้ไปไหนสะดวก ถ้าขี้เกียจเสียเวลาหาเดี๋ยวจัดการให้ดีไหม คิดราคาพิเศษแบบคนกันเองเลย ไม่ถึงวันรถใหม่ก็มาจอดหน้าบ้านนายแล้ว” จินซึ่งขณะนี้รับบทสารถี ลองหยั่งเชิงขายของตามประสาพ่อค้า ทว่าคำตอบกลับจากลูกค้าเอาใจยาก กลับไม่มีความเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย
    “หากระสอบทรายซ้อมมวยมาดี ๆ สักอัน แล้วเอาเลือดของสีครามที่เก็บไว้มาทำมนตร์มืดใส่ลงไป ให้ทุกครั้งที่ใช้กระสอบมวยนั่น สีครามก็เหมือนถูกต่อยชกด้วยเหมือนกัน”
    “…นายอยากเอาไปซ้อมเล่นที่บ้านเหรอโนอาร์?”

    คนฟังพยายามตามความคิดแยบยลของชายอันตราย ก่อนเอ่ยถามเพื่อเช็กความมั่นใจ ทว่ากลับได้เพียงความเงียบไร้คำตอบ เช่นนั้นจินก็ได้แต่ยอมสงบปากสงบคำปล่อยความอยากรู้ให้หลุดลอย เพราะหากตื๊อมากเข้าอาจเป็นเขาเองที่อายุสั้นโดยไม่รู้ตัว
    หลังห้องโดยสารหวนคืนสู่ความสงบเงียบไม่นาน รถยนต์สีขาวก็ได้มาหยุดจอด ณ บ้านร่างเก่าที่เป็นจุดหมายโดยมีโนอาร์เดินนำลงไปยังชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นสถานที่กักขังของวรรษผู้คุมวิญญาณ

    เมื่อลงมาด้านล่างพบมังกรยืนหลบมุมไม่สนใจใคร กับนายแพทย์หนุ่มที่เบื้องหลังเป็นพ่อค้าอวัยวะเถื่อนกำลังตรวจดูสุขภาพของวรรษ ซึ่งตอนนี้ถูกจับล็อกขึงกับเตียงในสภาพเปลือยกาย บริเวณปากมีท่อสายยางสำหรับให้อาหารเหลวสอดผ่านลำคอลงไปในกระเพาะ เช่นเดียวกับส่วนปลายองคชาตที่มีการสวนสายยางเพื่อการขับถ่าย วิธีการเหล่านี้เป็นการพยาบาลในผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทว่าหากนำมาใช้กับคนปกติแข็งแรง ย่อมสร้างความทรมานอึดอัดแสนสาหัสไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น

    “ถูกใจไหม ไม่ต้องกินเอง ไม่ต้องฉี่หรือถ่ายด้วยตัวเอง ทุกอย่างมีคนคอยดูแลให้หมด” เจ้าของความคิดเลวทรามเอ่ยถามคนรับบริการ ซึ่งก็ถูกชายบนเตียงถลึงมองด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง
    “มองแบบนี้สงสัยคงเบื่อนอนเฉยๆ แต่อยู่แบบนี้ไปก่อนพอถึงเวลาของนายเมื่อไร รับรองว่ามีอะไรให้เล่นสนุกจนไม่มีวันลืม”

    ชายเลือดเย็นกล่าวปลอบเอาใจของเล่นที่ต้องนอนคอยกว่าจะถึงคิว พลางไล่สายตาเรียบนิ่งชั่วร้ายมองสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายเชิงสมเพช แล้วถึงผละออกไปคุยกับแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้

    “ร่างกายปกติแข็งแรงดีใช่ไหม” โนอาร์เอ่ยถามคล้ายเป็นห่วงคนบนเตียง ทว่าแท้จริงความห่วงใยที่ว่ากลับมีให้เพียงปีศาจ เพราะกลัวจะเกิดผลข้างเคียงกับร่างกายเอทอสผ่านทางมนตร์มืด
    “ไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ต้องดูแลสินค้าอย่างดีอยู่แล้ว ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วคุณภาพไม่ได้ตามต้องการ คงเสียดายแย่”

    นายแพทย์หนุ่มกล่าวตอบคู่ค้าคนสำคัญพลางเหลือบมองสินค้าบนเตียงเล็กน้อย สำหรับเขาโนอาร์เปรียบเสมือนแหล่งทำเงินมหาศาล อย่างครั้งก่อนอีกฝ่ายรับงานจัดการหญิงสาวรายหนึ่งเอามาทำเป็นตุ๊กตาหุ่นปั้น ทุกชิ้นส่วนอวัยวะเหลือจากงานนั้นโนอาร์ได้ยกให้เขาทั้งหมด ซึ่งในคราวนี้ก็คล้ายกับครั้งที่แล้วยกเว้นเพียงหัวใจที่สั่งให้เขาเอาไปเปลี่ยนถ่ายให้ใครบางคน

    “อะนี่... ผลทดสอบความเข้ากันได้ของอวัยวะ ยินดีด้วยดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากังวล”

     ซองจดหมายสีขาวสะอาดยืนยันผลทดสอบถูกยื่นมาให้โนอาร์ เหตุเพราะก่อนหน้านี้ชายเลือดเย็นสั่งให้เขาเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการปลูกถ่ายเปลี่ยนหัวใจ ซึ่งการตรวจความเข้ากันได้ระหว่างผู้รับบริจาคกับตัวอวัยวะก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนเช่นกัน

    โนอาร์รับซองจดหมายมาเปิดดูเอกสารด้านใน สักพักหนึ่งใบหน้าเรียบนิ่งถึงเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเรียกมังกรที่ยืนหลบมุมปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับใครให้เดินมาหา

    “ของขวัญที่บอก อีกไม่นานจะมีงานใหม่ให้ทำ คิดว่าของขวัญนี้คงทำให้ตั้งใจทำงานมากขึ้น”

    น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยขึ้น พร้อมยื่นจดหมายส่งให้ผู้รับที่แท้จริง มังกรรีบกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรบนกระดาษอย่างละเอียด ทว่าจวบจนอ่านจบชายหนุ่มกลับเริ่มไล่อ่านใหม่ตั้งแต่บรรทัดแรก อ่านวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องการสร้างความมั่นใจให้ตัวเองว่านี่มิใช่ความฝันที่เขาคิดไปเอง ซึ่งทุกการแสดงออกของชายหนุ่ม รวมถึงดวงตาเข้มแข็งเริ่มเลื่อมด้วยหยดน้ำใสที่พยายามสะกดกลั้น ล้วนอยู่ในสายตารัตติกาลมืดมิด เช่นนั้นโนอาร์จึงเรียกจินมารับทำหน้าที่สารถีพาเขากลับไปหาปีศาจ เพราะเป้าหมายในการคุมหมากดื้อรั้นให้กลับมาอยู่ในโอวาทเพื่อเตรียมใช้งานนั้น สำเร็จลุล่วงแล้ว


    ชายเลือดเย็นกลับมาถึงสวนรฦกวัลย์เกือบไม่ทันช่วงพักเที่ยง ส่งผลให้โนอาร์ต้องรีบมุ่งตรงไปยังส่วนครัวของสำนักงาน ฆาตกรจัดแจงอุ่นมื้อกลางวันของตัวเองและปีศาจพลางชงกาแฟระหว่างรอ เมื่อเรียบร้อยจึงยกไปที่ห้องทำงานนายใหญ่เจ้าของสวน ซึ่งหลังได้รับคำอนุญาตจากคนด้านในแล้ว โนอาร์ถึงดันประตูเปิดก่อนเดินเข้าไปวางจานเตรียมโต๊ะ เสร็จแล้วถึงเอ่ยเรียกร่างสูงใหญ่ตรงโต๊ะทำงานที่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าจากกองเอกสาร

    “คุณวาง-”
    “เจ้าแอบไปไหนมา” คำถามสวนกลับไม่ทันตั้งตัวถึงกับทำให้มนุษย์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบตามจริงไร้การปิดบัง
    “แค่ไปทักทายผู้คุมวิญญาณที่เคยเล่นงานผมนิดหน่อย แต่ผมพาจินไปด้วยคุณไม่ต้องกังวล แล้วใครเป็นคนมาฟ้องคุณ?”
    “ใคร... สงสัยคงเป็นจมูกข้าเองที่มันบอกว่ากลิ่นอายวิญญาณเจ้าหายไป หลังจากเจ้าแสร้งเดินมาส่งข้าที่สำนักงาน”

    ร่างสูงใหญ่ตอบกลับพลางวางปากกาเมื่อเซ็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเรียบร้อย แล้วจึงเดินมานั่งโซฟาตำแหน่งประจำสำหรับทานมื้อเที่ยง โดยมีนัยน์ตารัตติกาลเจือความระแวงคอยลอบมองเฝ้าสังเกต

    “ว่าไง รู้แล้วว่าจมูกข้าเป็นคนฟ้อง เจ้าจะทำอะไรต่อ” เอทอสแกล้งเค้นถาม พลางใช้นัยน์ตาดุสีอำพันจ้องกลับมนุษย์ไม่วางตา
    “ไม่ทำอะไร เพราะเป็นจมูกของคุณเอง และคุณไม่ใช่ใครอื่นสำหรับผม” คำตอบจากมนุษย์ถึงกับทำให้ปีศาจกระตุกยิ้มเยาะเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยคำถามถัดมาที่เริ่มแฝงความจริงจัง
    “แล้วถ้าครั้งหน้า เป็นข้าที่ขัดขวางทุกแผนการของเจ้า เจ้าจะทำยังไง”

    หลังชายเลือดเย็นได้ฟังคำถาม นัยน์ตารัตติกาลคล้ายดูยิ่งทวีความดำมืดร้ายลึก ทว่าวินาทีต่อมากลับอ่อนลงหวนคืนสู่ความสงบเรียบปกติ พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้นบางเบาพลางตอบคำถามและชวนปีศาจกินข้าว ถือเป็นการตัดจบหัวข้อสนทนาเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

    “ถ้าคุณอยากเล่นด้วยเพราะเชื่อว่า สักวันชะตากรรมจะนำมาพวกนั้นไปสู่จุดจบอย่างที่ควรเป็น ผมคงห้ามอะไรไม่ได้ และผมจะเป็นชะตากรรมนั้นเอง”



    ขณะที่ผู้คุมเกมเริ่มขยับเดินตัวหมาก ฝ่ายนักล่าปีศาจผู้ถูกไล่ต้อนก็เตรียมพร้อมรับมือเช่นกัน ผลพวงจากเหตุการณ์บุกตึกบริษัทและคำขู่ฝีมือโนอาร์ ทำให้ความมั่นใจของเหล่านักลงทุนและบริษัทในกลุ่มคู่ค้าลดลงอย่างมาก หลายฝ่ายเริ่มทยอยถอดถอนหุ้นยกเลิกการติดต่อธุรกิจ ส่งผลให้ยามนี้ตัวบริษัทเข้าสู่ระยะวิกฤตหนักเสี่ยงต่อการล้มละลาย ทว่าภาคินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เข้าต้องเผชิญและเหลือเวลาตั้งรับไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อชายผมเงินพอฟื้นตัวจึงรีบออกจากโรงพยาบาลแล้วจัดการภาระทุกสิ่งอย่างให้เรียบร้อย

    ภาคินอาศัยเรื่องวิกฤตของตัวบริษัท จ้างเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านทุกคนรวมถึงเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าตอนช่วงเขาอยู่โรงพยาบาลออก ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างปฏิเสธแต่แล้วสุดท้ายก็จำยอมเมื่อเขาเอ่ยปากไล่จริงจัง ถึงแม้นั่นจะทำให้หลายคนเสียความรู้สึก แต่เขาก็ต้องทำเพื่อปกป้องเหล่าครอบครัวคนสำคัญ
    หลังหมดห่วงให้กังวล ภาคินถึงไปประสานงานขอกำลังจากเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยอ้างว่าเขากำลังถูกไล่ล่าคุกคามเอาชีวิต และผู้กระทำเป็นคนเดียวกับผู้ร้ายก่อเหตุฆาตกรรมหลายสิบคดีที่ยังปิดไม่ได้ ซึ่งชายผมเงินอาสาเอาตัวเองเป็นตัวล่อเพื่อให้กลุ่มเจ้าหน้าที่ทั้งหมดระดมกำลังเข้าจับกุม

    นักธุรกิจหนุ่มกับเหล่าตำรวจใช้เวลาร่วมกันวางแผนเตรียมการหลายสัปดหาห์จนแน่ใจว่าไร้ข้อผิดพลาด ภาคินจึงเริ่มสวมบทบาทนกต่อล่อลวงโนอาร์มาติดกับ ด้วยการบุกไปสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ในเช้าวันหนึ่ง เพราะมั่นใจว่าหากอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในปกครองของปีศาจจอมเสแสร้ง ชายอันตรายย่อมไม่กล้าผลีผลามทำอะไรมากนัก

    “อ้าวคุณ! เป็นเพื่อนนายน้อยเอทอสหนิใช่ไหม? หายหน้าหายตาไปตั้งนานจนลุงเกือบจำไม่ได้แล้ว ว่าไงวันนี้ก็มาหานายน้อยเหมือนกันเหรอ” ลุงสมัยเอ่ยทักทายชายผู้มีผมสีเงินสะดุดตา ที่เมื่อนานมาแล้วเคยแวะมาถามหานายใหญ่ของสวนอยู่บ่อย ๆ
    “สวัสดีครับลุง วันนี้ผมมาหาโนอาร์น่ะครับ ไม่ทราบว่าอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

    ภาคินตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม พลางสอดส่องสายตาหาเป้าหมาย ซึ่งก็พบว่าชายอันตรายสังเกตเห็นเขาอยู่ก่อนแล้ว และกำลังเดินมุ่งตรงมาทางนี้

    “มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” ผู้มาใหม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “มาพอดีเลย เพื่อนนายน้อยมาหาคุณโนอาร์น่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวลุงไปดูกล้วยไม้ก่อนนะ” ลุงสมัยกล่าวตอบคนรักนายใหญ่ของสวน ก่อนจะขอแยกตัวไปทำงานต่อ จวบจนกระทั่งบริเวณนี้เหลือเพียงนักล่าปีศาจและฆาตกร ภาคินจึงเริ่มเปิดหัวข้อสนทนา
    “มาตามที่อยู่นี่คืนนี้ เฉพาะนายกับฉันเท่านั้น” นักล่าปีศาจเอ่ยด้วยท่าทีเหนือกว่า พร้อมยื่นกระดาษพับแผ่นหนึ่งให้โนอาร์ ทว่าชายเลือดเย็นกลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวมอง
    “ไร้สา-”
    “ถ้าอยากให้ไอ้ปีศาจนั่นมันอยู่อย่างสงบในช่วงบั้นปลายสุดท้าย ก็มาทำให้ทุกอย่างมันจบ ฉันจะรอที่นั่นจะมาหรือไม่ก็ตามใจ”

    ว่าจบชายผมเงินก็ทิ้งกระดาษแจ้งสถานที่นัดพบลงพื้นเบื้องหน้าชายอันตราย พร้อมเดินกลับไปขึ้นรถยนต์ก่อนขับหายไป นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดอยากคาดเดามองส่งนักล่าปีศาจจนลับตา แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อโทรหาพ่อค้าเจ้าประจำ เพื่อให้จัดเตรียมยานพาหนะสำหรับไปร่วมงานที่ของเล่นเขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงทำขึ้น

    [มีอะไรเหรอโนอาร์? หรือว่าเปลี่ยนใจอยากได้รถสักคัน]
    “อืม เอาไปจอดไว้ตรงหน้าทางเข้าซอยบ้านของเอทอส คืนนี้”


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 33 ภาคิน]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 04-04-2021 00:45:42
(ต่อ)

    ยามดึกเงียบสงัดภายในห้องนอนของบ้านพักทรงไทยประยุกต์ มนุษย์ในอ้อมกอดปีศาจนอนหนุนแผงอกกว้างฟังเสียงหัวใจหนักแน่นเต้นอย่างมั่นคง เมื่อมั่นใจว่าปีศาจหลับสนิทถึงค่อยดันตัวขึ้นลุกอย่างแผ่วเบา นัยน์ตารัตติกาลกลืนกับสีความมืดพินิจมองโครงหน้าคมเข้มนิ่งสงบของผู้เป็นที่รักราวกับไม่อยากจากไปไหน ทว่าเมื่อภาพใบหน้าเหยียดหยามสะใจบนความทุกข์ระทมของปีศาจแทรกเข้ามา บรรยากาศรอบตัวชายเลือดเย็นก็พลันเปลี่ยน พร้อมแววตาอ่อนโยนยามเฝ้ามองปีศาจที่หวนคืนสู่ความเรียบนิ่งอันตราย

    โนอาร์ก้าวเท้าไร้เสียงลงจากเตียงก่อนเดินไปหยิบสายเข็มขัดอาวุธบนโต๊ะ และจึงออกจากห้องนอนสุขสงบไปร่วมงานตามนัดของภาคินเพื่อจัดการขุดรากถอนโคนเสี้ยนหนามปีศาจให้หมดสิ้น ทว่าหลังห้องไร้เงามนุษย์ไม่นาน ดวงตาสีอำพันที่มนุษย์คิดว่าหลับสนิทกลับลืมตื่นขึ้น พร้อมร่างสูงใหญ่เจ้าบ้านที่ลุกออกจากเตียงเมื่อกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์เริ่มเลือนหายตามระยะทางที่ทิ้งห่าง


    รถยนต์ที่จินเตรียมไว้นำพาโนอาร์มายังอาคารร้างห้าชั้นสถานที่นัดพบ ชายเลือดเย็นเปิดประตูลงจากยานพาหนะก่อนเดินมุ่งเข้าไปหาตัวการที่รอคอยอยู่ ภายในอาคารร้างเก่านั้นมืดสนิทไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต ราวกับที่แห่งนี้มีเพียงแค่เพชฌฆาตซึ่งกำลังเดินฝ่าความมืดพลางกวาดสายตาไล่ลาหาเป้าหมายทีละชั้น จนกระทั่งชายเลือดเย็นขึ้นมาถึงชั้นบนสุด

    “พรึบ!”
 
    ทันทีที่เท้าผู้มาเยือนเหยียบปลายบันไดขั้นสุดท้าย ทั่วทั้งชั้นพลันเกิดแสงสว่างโร่จากไฟสปอตไลท์สาดใส่ชายเลือดเย็น พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายกรูเข้าล้อมหันปลายกระบอกปืนไปยังบุคคลอันตราย

    “อย่าขยับ! กำลังตำรวจล้อมปิดทางเข้าออกไว้หมดแล้ว! ยอมมอบตัวแต่โดยดีแล้วโทษหนักหนาหลายคดีของนายจะได้เบาลง” เสียงตำรวจนายหนึ่งตะโกนสั่งผู้ต้องหา ทว่าชายอันตรายผู้กำลังโดนล้อมจับกุมหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
    “ภาคินอยู่ไหน”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามกลับไร้ซึ่งคำตอบ เช่นนั้นนัยน์ตารัตติกาลจึงกวาดมองสำรวจจนสะดุดกับห้อง ๆ หนึ่งซึ่งมีกองกำลังเจ้าหน้าที่คอยกั้นขวางทางมากกว่าจุดอื่น เมื่อรู้จุดหมาย โนอาร์จึงเริ่มก้าวเท้ามั่นคงมุ่งตรงไปยังห้องดังกล่าว ไร้ความสนใจต่อเหล่าปืนมากมายที่จ่อเล็ง กระทั่งประจันหน้ากลุ่มตำรวจเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็พลันเกิด เหตุเพราะเหล่าเจ้าหน้าที่คุ้มกันกลับถอยหลบเปิดทางให้เพชฌฆาตอย่างง่ายดายราวกับเปลี่ยนข้างสวามิภักดิ์ ทว่าถึงจะเรื่องพิศวงคนที่แอบอยู่ในห้องก็ไม่มีวี่แววหรือปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความประหลาดใจและความไม่ชอบมาพากลให้กับชายเลือดเย็นจนต้องเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

    “โครม!!!”

    ฝ่าเท้าหนักถีบบานประตูเปิดทาง ก่อนตามด้วยโนอาร์เดินเข้าไปหมายกระชากคอคนขลาดเขลาออกมา ทว่ากลับพบเพียงห้องว่างเปล่าไร้เงาภาคิน เท่านั้นเพชฌฆาตพลันรู้ตัวทันทีว่าเขาถูกซ้อนแผน ฝ่ามือสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมนัยน์ตารัตติกาลที่ยิ่งทมิฬดำมืดมากกว่าเก่า

    “เอาตัวตำรวจนั่นมา” น้ำเสียงนิ่งกล่าวสั่ง เพียงครู่นายตำรวจยศใหญ่ผู้คอยสั่งการก็ถูกเหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาลากตัวมานั่งคุกเข้าเบื้องหน้าชายอันตราย

    “ฉะ.. ฉันไม่รู้เรื่อง! ฉันทำตามที่แกสั่งทุกอย่าง! ก่อนแกมาฉันยังคุยทบทวนแผนกับไอ้ภาคินนั่นอยู่เลย”
    “แล้วอยู่ไหน?”
    “มะ.. ไม่รู้... นี่ไม่ใช่ความผิดฉันคนเดียวนะ ถ้าจะผิด.. ก็ผิดกันทั้งหมดเนี่ยแหละ! คนของแกมีตั้งเยอะยังไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้านั้นมันหนีไปแล้ว”

     นายตำรวจยศใหญ่ตัวหมากหลงเหลือจากเกมลักซ่อนเมื่อนานมาแล้ว พยายามหาข้อแก้ต่างสร้างความชอบธรรม พลางมองเหล่าลูกน้องของโนอาร์ที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตามแผนการ เห็นดังนั้นนัยน์ตารัตติกาลดำมืดจึงตวัดมองหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกกล่าวถึง ทว่าก็ได้เพียงการยักไหล่ส่ง ๆ

    “ไม่เห็นเหมือนกัน ของเล่นนายคงแอบปีนหน้าต่างหนีไปตอนช่วงที่ไม่มีใครสังเกต และมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกฉันเพราะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่ตกลงกัน แต่...” คนถูกนัยน์ตาดำมืดจับจ้องตอบกลับด้วยท่าทีสบายไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะแสร้งทิ้งท้ายประโยคให้ผู้ฟังอยากรู้
    “…แต่อะไร”
    “ปล่อย! ปล่อยผม! พวกคุณพาผมมาที่นี่ทำไม!”
    “โชคดีที่ก่อนมามีตาแก่โง่แวะมาหาเหยื่อของนายที่บ้านพอดี และเจ้าหนุ่มนั่นก็ไม่ได้รู้อะไรเลยถึงฝากตาแก่นี่ให้พวกฉันช่วยพากลับบ้าน ฉันเลยเก็บไว้ก่อนเผื่อมีประโยชน์”

    ชายเลือดเย็นฟังคำอธิบายซึ่งคลอไปกับเสียงโวยวายดังมาจากชั้นล่าง ไม่นานนักคนถูกกล่าวถึงก็โดนคุมตัวมายืนอยู่เบื้องหน้าบุคคลอันตราย นัยน์ตารัตติกาลมองสำรวจใบหน้าแขกไม่ได้รับเชิญคร่าว ๆ จึงรู้ว่าชายแก่ผู้นี้คือหนึ่งในพ่อบ้านรับใช้ของภาคิน เช่นนั้นรอยยิ้มมุมปากเลวร้ายก็พลันปรากฏขึ้น พร้อมแผนงานเทศกาลสนองทัณฑ์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่

    “ปัง!!”
    “อ๊ากกกก!!! อั่ก!!” ปืนข้างเข็มขัดอาวุธที่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อ ถูกเจ้าของใช้ยิงใส่ขาข้างหนึ่งของตำรวจยศใหญ่แม่นยำ อย่างไม่ต้องเสียเวลาเหลียวมอง
    “หมดงานเท่านี้ ที่เหลือแบ่งกันเอง”

    โนอาร์เอ่ยคำเรียบสั้น ทว่านั่นเป็นสัญญาณให้กลุ่มคนโดยรอบรุมเข้าใช้มีดแล่เฉือนแย่งชิงชิ้นส่วนอวัยวะจากนายตำรวจยศใหญ่ตามข้อตกลง ความจริงกลุ่มคนเหล่านี้คือนักฆ่าที่ล้วนได้งานเป็นการเก็บนายตำรวจผู้นี้ และกำลังพยายามแก่งแย่งเพื่อเอาค่าหัว โนอาร์จึงอาศัยโอกาสยื่นข้อเสนอให้โดยแลกกับชิ้นส่วนร่างกายนายตำรวจเพื่อเอาไปเป็นหลักฐานแก่ผู้ว่าจ้างของแต่ละคนว่าตนทำงานสำเร็จ

    การแย่งตัดเอาอวัยวะจากคนที่ยังมีลมหายใจนั้น ย่อมไม่ต่างจากเหล่านักล่ารุมชิงฉีกทึ้งเหยื่อทั้งเป็น หยาดเลือดจากแผลเหวอะหวะมากมายกระเซ็นเปรอะเปื้อนรอบบริเวณ ผสานไปกับเสียงร้องเจ็บปวดทรมานของนายตำรวจน่าสงสารที่พยายามตะเกียกตะกายดิ้นหนี แม้ยามนี้จะมืดบอดมองไม่เห็นทางเพราะลูกตาทั้งสองข้างได้ถูกกลุ่มนักฆ่าควักเอาไปหลักประกันค่าหัว
    ความน่ากลัวสยดสยองตรงหน้าถึงกับทำให้พ่อบ้านผู้ไม่รู้เรื่องราวช็อกกับสิ่งที่เห็นจนแข้งขาอ่อนแรง ทว่าเพียงครู่โนอาร์ก็เดินแทรกกลางบดบังเหตุการณ์จากสายตาชายแก่พลางยิ้มมุมปากเล็กน้อยคล้ายส่งกำลังใจ ทว่าการกระทำดังกล่าวไม่อาจตีความเป็นการช่วยเหลือได้เลยหากได้สบนัยน์ตารัตติกาลมืดดิ่งลึกนั้น และพ่อบ้านเคราะห์ร้ายจะได้รับรู้ในไม่ช้า เมื่อชายเลือดเย็นย่างสามขุมเข้าหาพร้อมมีดคมกริบที่ล้วงหยิบมาจากเข็มขัดใต้ชายเสื้อ



    “ถ้าไม่อยากให้แผนล่อโนอาร์ที่เจ้าอุตส่าห์คิดพังไม่เป็นท่า ก็อย่าได้ยุ่งกับรั้วนั่น”

    เสียงทุ้มหนักกล่าวเตือน ก่อนเงาเจ้าของเสียงจะกระโดดข้ามผ่านรั้วไฟฟ้าสูงซึ่งเสริมต่อจากกำแพง ออกมานอกอาณาเขตบ้านพักทรงไทยประยุกต์ซึ่งมีผู้บุกรุกยืนคอยอยู่ เพื่อเป็นการซื้อเวลาเจรจาให้ยืดไปอีกสักระยะก่อนโนอาร์จะรู้ตัว เหตุเพราะทุกอุปกรณ์ป้องกันที่มนุษย์เอามาติดประดับที่แห่งนี้จนไม่ต่างจากฐานทัพสงครามนั้น ล้วนมีเครื่องส่งสัญญาณไปหามนุษย์ทุกเมื่อหากจับได้ว่ามีการรุกล้ำพื้นที่

    “ชีวิตข้าที่เจ้าอยากได้นักได้หนา เจ้าก็ได้ไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่เวลาเพียงไม่กี่เดือน เจ้ายังจะโลภแย่งมันไปจากข้าอีกหรือ” เอทอสเดินออกมาจากเงามืด พลางถามชายผมเงินผู้ไม่เคยละความพยาบาทจากเขา
    “เลิกเสแสร้งสักที! ความคิดแกมันโคตรน่าสะอิดสะเอียน ทำตัวประเสริฐเป็นพ่อพระแล้วใช้เจ้านักฆ่านั่นจัดการเรื่องทุกอย่างแทน เพื่อมือแกเองจะได้ไม่สกปรก ความคิดต่ำ ๆ แบบหนี้ทำไมฉันจะไม่รู้ทัน”

    ภาคินสวนกลับด้วยคำถากถาง ใบหน้าชายหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจโกรธแค้น พร้อมสะบัดปลดอาวุธในมือกลายเป็นแส้ดาบคมกริบซึ่งตัวใบมีดเชื่อมติดด้วยสายลวดเหล็กยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มระยะและความได้เปรียบในการต่อสู้ ทว่าแม้นักล่าปีศาจจะตั้งท่าเตรียมจู่โจมเข้าใส่ เอทอสกลับยังคงนิ่งพยายามพูดหาทางยุติความบาดหมางเพื่อเลี่ยงการปะทะอันไร้ประโยชน์

    “สิ่งที่เจ้าพูดไม่เคยมีอยู่ในความคิดข้าเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว และยิ่งกว่านั้นครั้งหนึ่งข้าเคยพยายามจบเรื่องพวกนี้และหยุดโนอาร์ได้ แต่สุดท้ายเจ้าก็ทำทุกอย่างพัง-”
    “หุบปาก!! อย่าให้ฉันต้องอ้วกเพราะทนฟังคำพูดน่าขยะแขยงของแกไม่ไหว แล้วเหตุผลอะไรที่แกต้องร่ายคำสาปคุ้มกันให้นักฆ่านั่น ถ้าไม่ใช่ว่าแกตั้งใจใช้เจ้านั่นมาจัดการฉันตั้งแต่แรก เลิกพูดเอาดีเข้าตัวสักที ยังไงซะฉันก็จะฆ่าแกเพื่อคลายคำสาปคุ้มกันนั่น แล้วหลังแกตายฉันจะเป็นคนจับนักฆ่าสุดที่รักของแกไปรับโทษในคุกเอง”
 
    หลังได้ฟังเหตุผลในการกำจัดเขาของภาคิน เอทอสก็ถึงกับนิ่งงันพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากหากมองในมุมของนักล่าปีศาจซึ่งกำลังถูกโนอาร์ตามล่า เขาก็เหมือนผู้คอยสนับสนุนอย่างที่ภาคินว่าจริง ๆ เพราะพลังของเขาทำให้ตอนนี้โนอาร์เกือบเป็นอมตะ ไม่มีทางบาดเจ็บด้วยผลของคำสาปคุ้มกัน ถึงพลาดบาดเจ็บขึ้นมาก็หายได้อย่างรวดเร็วด้วยผลของคำสาปรักษา ทว่าทุกคำสาปที่เขาให้โนอาร์ไม่เคยมีไว้เพื่อการนี้ เขาแค่อยากให้คนของเขาปลอดภัยจากพวกวิญญาณรับใช้ก็เท่านั้น และไม่เคยคาดคิดว่าความเป็นห่วงคู่ครองจะถูกนักล่าปีศาจตีความไปไกลถึงเพียงนี้

    “ข้า-”
    “ขวับ!! ฉัวะ!!”

    ไม่ทันที่เอทอสจะไขข้อเข้าใจผิด คมมีดเหล็กจากแส้ดาบก็ถูกสะบัดฟาดใส่หมายตัดหัวปลิดชีพ ร่างสูงใหญ่จำต้องถอยรักษาระยะห่าง ทว่าภาคินกลับไม่ปล่อยโอกาสให้ปีศาจตั้งหลัก ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาพร้อมบังคับความพลิ้วไหวของแส้ดาบจำกัดหนทางหนี เมื่ออยู่ในระยะ ภาคินจึงใช้อีกหนึ่งดาบสั้นที่ซ่อนอยู่ด้านหลังขว้างแสกหน้าปีศาจเพื่อหวังสังหารในดาบเดียว

    “ฟุ่บ!!”

    เสี้ยววินาทีก่อนคมดาบจะถึงร่างสูงใหญ่ ปีศาจอาศัยหนทางเดียวที่สามารถหลีกหนีได้พุ่งกระโดดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทว่านั่นกลับเข้าทางภาคินเพราะช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ปีศาจลอยอยู่กลางอากาศนั้นไม่ต่างอะไรจากเป้านิ่งไร้การป้องกัน ฉับพลันปลายกระบอกปืนเสริมที่เก็บเสียงก็เล็งไปยังกลางหน้าผากเป้าหมาย

    “ปัง!!”

    เอทอสเอี้ยวหัวหลบวิถีกระสุนได้อย่างเฉียดฉิว แต่กระนั้นก็ได้รอยถากจนเลือดซึมเล็กน้อย ทว่าเมื่อภาคินรู้ว่าพลาดเป้าคมมีดจากแส้ดาบก็พลันตวัดฟาดฟันซ้ำแบบไม่ให้มีเวลาพักหายใจ บังคับให้เอทอสจำต้องรีบกลับคืนสู่ร่างปีศาจเพื่อใช้กรงเล็บทมิฬป้องกัน และแม้จะปัดป้องได้แต่ร่างสูงใหญ่ก็ไม่เหลือเวลาพอที่จะตั้งท่าลงพื้น เช่นนั้นร่างยักษ์ของปีศาจจึงกระแทกลงกับผืนดินเต็มแรงเกิดเป็นเสียงดังสนั่น

    “ตึง!!!”
    “อั่ก!! นี่มัน..”

    ทันทีที่ร่างเอทอสสัมผัสพื้นดินแข็งกระด้าง พลันรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้ามหาศาลวิ่งกระจายไปทั่วทุกอวัยวะหยุดการเคลื่อนไหว นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงพยายามควบคุมสติมองหาตัวกับดักที่ภาคินแอบซ่อน จนเมื่อพบกรงเล็บแกร่งจึงฟาดทำลายอุปกรณ์นั้นโดยเร็ว พร้อมเตรียมตัวตั้งรับการจู่โจมระลอกใหม่ที่กำลังจะมา

    “เป็นความสะเพร่าของผมเองเอทอส ที่พลาดปล่อยคนมารบกวนเวลานอนของคุณ” น้ำเสียงเรียบนิ่งจากผู้มาใหม่ถึงกับทำให้หนึ่งมนุษย์และปีศาจที่กำลังสู้ห้ำหั่นหยุดชะงัก ซึ่งเพียงชั่วอึดใจเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาในวงปะทะ พลางใช้นัยน์ตารัตติกาลดำมืดอันตรายประเมินสถานการณ์

    “ถ้ารักชีวิตตัวเองก็อาศัยโอกาสนี้หนีไปซะ! แล้วอย่ากลับมาอีก”

    เอทอสรีบเข้าขวางคู่ครองเป็นเชิงห้ามสิ่งที่มนุษย์คิดจะทำ ก่อนตะโกนไล่นักล่าปีศาจที่มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ทว่าเพราะประมาทว่าโนอาร์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาคงไม่กล้าทำอะไร จึงไม่ทันระวังเข็มฉีดยาที่พุ่งปักเข้ากลางหัวไหล่หนา และกว่าปีศาจจะรู้ตัวยาในหลอดก็ถูกกดเข้าไปในร่างยักษ์จนหมดเสียแล้ว

    “จะ... เจ้า...” เสียงทุ้มต่ำพยายามฝืนกายเอ่ยถามมนุษย์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ขณะที่เรี่ยวแรงพละกำลังทั้งหมดคล้ายเหือดหายรวดเร็ว พร้อมความรู้สึกที่ร่างกายตัวเองนั้นหนักอึ้งจนแทบทรงตัวไม่ไหว
    “นอนนะครับ พอพรุ่งนี้คุณตื่นขึ้นมาผมรับรองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

    ชายเลือดเย็นขับกล่อมปีศาจพลางเข้าประคองร่างยักษ์ที่เริ่มซวนเซด้วยฤทธิ์ของยาสลบ ก่อนจะพานอนราบกับพื้นดินเมื่อเอทอสจมลงสู่ห้วงนิทราอย่างสมบูรณ์ โดยทุกการกระทำนั้นถูกภาคินเฝ้าสังเกตพร้อมคิดแผนรับมือ เพราะหากจะสู้กับโนอาร์ตรง ๆ ก็เป็นเรื่องเสียแรงเปล่าเนื่องจากอีกฝ่ายมีคำสาปคุ้มครอง หากจะพุ่งเป้ากำจัดต้นตอคำสาปก็จำต้องฝ่าโนอาร์เช่นกัน เห็นดังนั้นก็คงมีเพียงต้องอาศัยช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้โนอาร์ชะงักแล้วใช้โอกาสนั้นสังหารปีศาจให้ตายภายในครั้งเดียว และเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขา เพราะอุปกรณ์สำหรับหยุดความเคลื่อนไหวโนอาร์ชั่วเวลาหนึ่ง เขาได้พกติดตัวมาด้วย

    “ฉันจะไม่หยุดจนกว่าปีศาจสุดที่รักนายจะตาย ส่วนนายก็จะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายชีวิตฉันจนสิ้นซาก ใช่ไหม?” นักล่าปีศาจกล่าวหยั่งเชิงพลางเดินวนรักษาระยะดูท่าที ทว่าคู่สนทนากลับยังคงยืนนิ่งไม่ทิ้งห่างร่างไร้สติของปีศาจ
    “รู้ไหม ไอ้ปีศาจเลวนั่นมันทำอะไรกับครอบครัวฉันไว้บ้าง ความจริงเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย-”
    “รู้” คำตอบขัดเรียบสั้นถึงกลับทำให้คนกำลังพูดชะงัก
    “ไม่ใช่แค่รู้ แต่เห็นกับตาตอนนักล่าปีศาจนั่นโดนเอทอสฟาดกรงเล็บใส่จนตัวปลิวไปกระแทกกำแพงคอหักตาย กับผู้หญิงโง่ที่ไม่ระวังหลังแล้วก็ถูกเพื่อนเอทอสกระซวกตายไปอีกคน เสียดาย... น่าจะตายไปพร้อมผู้หญิงนั้นซะให้มันจบ ๆ”

    ภาคินได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่โนอาร์เล่าเป็นฉาก ๆ อย่างกับอยู่ในเหตุการณ์จริง ทว่าสิ่งที่ไม่อยากเชื่อยิ่งกว่าคือการที่อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าปีศาจนั่นทำเลวอะไรไว้  แต่ก็ยังคิดเข้าข้างไม่ลืมหูลืมตา

    “ทั้งที่รู้ขนาดนั้นแต่ก็ยัง... เหอะ.. ไม่น่าล่ะปีศาจนั่นถึงได้หวงนายนักหนา ที่แท้ก็เชื่องแบบนี้นี่เอง!”
    “พรึบ! ปัง!!!!”

    สิ้นคำนักล่าปีศาจ ระเบิดแสงปลดสลักก็ถูกโยนมาตรงหน้าโนอาร์ ฉับพลันเกิดแสงสว่างวาบพร้อมเสียงดังสนั่นไม่ทันให้ตั้งตัว ภาคินอาศัยช่วงจังหวะโอกาสเพียงครั้งเดียววิ่งฉีกไปอีกด้านก่อนสะบัดแส้ดาบใส่ร่างปีศาจที่นอนสงบนิ่งไร้การป้องกัน เพื่อหมายปลิดชีพตามแผนการ

    “ฉัวะ!!!”

    ใบมีดคมตัดสะบั้นหลอดเลือดกลางลำคอ เป็นผลให้ของเหลวข้นสีแดงมากมายพลันพุ่งทะลักจากปากแผลกว้างและอีกไม่นานคงสิ้นลม ทว่าสิ่งที่กล่าวมิได้เกิดขึ้นกับร่างยักษ์ผู้นอนนิ่งไม่รู้เรื่องราว แต่กลับเป็นตัวนักล่าปีศาจเองซึ่งบัดนี้พยายามใช้ฝ่ามืออุดห้ามเลือดตกลำคอด้วยความตกใจระคนสับสน สายตาตื่นตระหนกกวาดมองหาต้นตอ ก่อนจะพบโนอาร์ที่ขณะนี้มายืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ทั้งที่ตอนขว้างระเบิดเขาก็ทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายพอสมควร

    “อะ... อั่ก... อาก...” นักล่าปีศาจล้มทรุดนั่งในท่าคุกเข่าเนื่องจากเสียเลือดและขาดอากาศ พยายามส่งเสียงอึกอักคล้ายต้องการเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าก็ไม่อาจเข้าใจได้
    “พลั่ก!! ตุบ!”

    ร่างอ่อนแรงของภาคินถูกถีบกลางแผ่นหลังจนล้มคะมํากระแทกพื้น ก่อนผู้กระทำจะเดินวนรอบพลางมองด้วยสายตาสมเพชรังเกียจ การกระทำดังกล่าวชวนให้ภาคินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งก็ใช่อย่างที่คิดเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเฉลยด้วยตนเอง

    “ตามลำดับที่เอทอสโดนคือทำลายสิ่งสำคัญ คุกเข่า ล้มลงนอน ต่อไปคือเดินวนพร้อมด่าว่าถากถางให้เจ็บใจ”
    “…”
    “คงไม่มีอะไรให้พูดมากนอกจาก นายคือตัวซวยสร้างหายนะ ที่บริษัทล้มก็เป็นเพราะไม่ยอมเลิกระรานเอทอส ที่พ่อตายก็เพราะมีคนมาขัดตอนเอทอสกำลังร่ายคำสาปช่วยชีวิต และคนขัดก็คือผู้หญิงแส่ไม่เข้าเรื่อง ถ้าถามว่าเกี่ยวอะไร? คงต้องตอบว่าเป็นเพราะเด็กโง่คนหนึ่งที่พาแม่ตัวเองมาตาย”
    “…”
    “และล่าสุดก็ลากหนึ่งในครอบครัวปลอม ๆ ที่อุตส่าห์ไล่ไปไกลมาตายอีกคน สมเป็นตัวซวยที่ทำหน้าที่ได้ยันวินาทีสุดท้าย”

    ถ้อยคำถากถางจบลงพร้อมปลายเท้าเจ้าของคำพูดหยุดอยู่เบื้องหน้าคนชวนจะสิ้นใจ สัมผัสเหนอะของบางสิ่งซึ่งหล่นกระทบหลังมือ เรียกสายตาฝ้าฟางที่ชวนจะมืดดับให้เพ่งมอง ก่อนวินาทีต่อมาความรู้สึกของนักล่าปีศาจจะดิ่งวูบ เมื่อสิ่งที่เห็นคือเศษนิ้วขาดวิ่น ใบหูเลอะเลือด และลูกตาไร้แววที่จำได้ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเป็นของใคร

    “อะ.. อากก!.... อะ!..”

    เสียงร้องขัดขาดคล้ายสื่อถึงจิตใจอันแหลกละเอียด ฝ่ามืออ่อนแรงพยายามบีบกำระบายความคับแค้นเกินทน ทว่ากลับถูกฝ่าเท้าของผู้กระทำเรื่องต่ำช้าเกินอภัยบรรจงเหยียบบดขยี้มือนั้นกับเศษชิ้นเนื้อ สัมผัสความเหนอะของลูกตาที่โดนเหยียบจนบี้เละติดผิวมือต่อหน้าต่อตา ยิ่งฉุดกระชากความรู้สึกแตกสลายให้ดำดิ่ง หยาดน้ำตาเจ็บช้ำไม่อาจฝืนกลั้นทะลักลงผสมกับแอ่งโลหิตข้นคลั่กจากลำคอที่เจิ่งนองเต็มพื้นดินสกปรกไม่ต่างจากบ่อโคลนเลือด

    “ตะเกียกตะกายร้องแบบนี้ สงสัยคงไม่ต้องเตือนความจำว่าเป็นหนึ่งในพ่อบ้านหน้าโง่ ที่ขนาดโดนแล่กำลังจะตายปากยังส่งเสียงร้องถาม คุณภาคิน คุณภาคิน หึ... น่าสังเวช”
    “..อะ...อาก...”
    “หมดแรงแล้วเหรอ แต่อย่ารีบตาย เผื่อเวลาไว้ให้ทรมานต่อเหลือเฟือ”

    ฆาตกรเอ่ยพลางกดน้ำหนักลงไปที่เท้าซึ่งกำลังเหยียบขยี้ฝ่ามือคนข้างใต้ ปล่อยเวลาแห่งความรวดร้าวให้เคลื่อนผ่านทีละน้อยจนคล้ายถูกยืดขยายเป็นอนันต์ ทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานเหมือนตกอยู่ในขุมอเวจีทั้งเป็นในช่วงวาระสุดท้าย กระทั่งสัมผัสได้ว่าร่างตรงหน้าเริ่มนิ่งชาไม่รับรู้สิ่งใดอีก น้ำในหลอดแก้วที่เตรียมไว้จึงถูกหยิบออกมาเทราดกลางศีรษะนักล่าปีศาจ และไม่นานน้ำที่หลงเหลือในหลอดก็เปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้า พร้อมกับลมหายใจของภาคินที่หยุดลง

    หลังสำเร็จโทษทัณฑ์นักล่าปีศาจเป็นที่เรียบร้อย โนอาร์จึงหันกลับไปสนใจร่างยักษ์ที่ยังคงหลับสนิทไม่รับรู้สิ่งใด ค่อย ๆ พยุงประคองร่างหนาหนักกลับเข้าไปในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ สักพักหนึ่งจึงหวนกลับมาอีกครั้งพร้อมเหล่าอุปกรณ์กำจัดเศษซากไร้ชีวิต



    ในเช้าวันรุ่งขึ้น ณ บ้านสวนร่มรื่นแถบชนบทของอดีตนักล่าปีศาจอาวุโสนั้นตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย เนื่องจากนักล่าปีศาจฝึกหัดซึ่งทำหน้าที่ดูแลรับใช้นักล่าปีศาจอาวุโสพบกล่องพัสดุขนาดใหญ่วางอยู่หน้าบ้าน ทว่าเรื่องที่น่าตกใจคือกล่องพัสดุดังกล่าวมีเลือดมากมายไหลออกมาจนทำให้ตัวกล่องเริ่มเปื่อยยุ่ย โดยหลังแจ้งเรื่องกับเจ้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย อดีตนักล่าปีศาจอาวุโสจึงสั่งให้เหล่าลูกศิษย์เปิดกล่องซึ่งก็พบกับภาพสยดสยองชวนหดหู่ด้านใน ภาพของศพมนุษย์ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ยัดอัดอยู่ในกล่อง และดูเหมือนผู้กระทำจงใจให้จำได้ถึงตั้งใจวางส่วนศีรษะไว้บนสุด นักล่าปีศาจฝึกหัดบางคนได้เห็นใบหน้าซีดไร้เลือดนั้นก็พลันจำได้ทันทีว่าเป็นรุ่นพี่นักล่าปีศาจที่ชื่อภาคิน
    ซึ่งนอกจากเศษชิ้นส่วนอวัยวะมากมายแล้วในกล่องยังได้แนบจดหมายเปื้อนเลือดฉบับหนึ่ง ที่เขียนข้อความสั้น ๆ แต่กลับทำให้ทุกคนที่ได้อ่านล้วนรู้สึกเย็นยะเยือกหนาวสันหลังไปตามกัน

    ‘ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนของเล่นชิ้นนี้ สัญญาอะไรไว้ ก็จำให้ขึ้นใจ’
    


บท33 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน



    สวัสดีครับ คนอ่านเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ส่วนคนเขียนตอนนี้กำลังผจญกับโปรเจคตัวสุดท้าย คนเขียนกำลังจะเรียนจบในเดือนหน้าแล้วครับ ทำให้ไม่ค่อยเหลือเวลาว่างมากเท่าไรนัก แต่คนเขียนจะพาเอทอสโนอาร์จบไปพร้อมคนเขียนให้ได้ครับ


    สัญญาในตอนท้ายที่พูดถึงของบทนี้ เป็นสัญญาที่เอทอสทำข้อตกลงกับกลุ่มนักล่าปีศาจในบทที่ 14 ดูแล ว่าจะต่างคนต่างอยู่ครับ แต่ในเรื่องคนอ่านจะสังเกตว่ามีอยู่คนเดียวที่ดื้อดึงไม่สนใจ คน ๆ นั้นก็คือภาคินครับ ซึ่งหลังภาคินแล้วก็เหลือแค่วรรษ กับวิธีแก้มนตร์มืดกำหนดวันตายของเอทอส จะแก้ด้วยวิธีไหนยังไง คาดว่าอีกไม่เกิน 2-3 ข้างหน้า คนอ่านจะได้รู้ไปด้วยกันแล้วครับ รวมถึงเป็นการปิดจากเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์     
    (เนื่องจากเขียนหายไปนานบวกกับ2-3บทก่อนหน้าเป็นการเล่าอดีต อาจทำให้คนอ่านลืมรายละเอียดตอนก่อน ๆ ไป คนอ่านสามารถย้อนกลับไปอ่านทบทวนก่อนได้นะครับ แต่ใครขี้เกียจอ่านคนเขียนจะสรุปสั้น ๆ ในส่วนที่สำคัญให้คำคือ ตอนนี้สีครามกำลังอมทุกข์ครับเพราะถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนไม่ดีเพราะมีพี่ชายหนีคดี ยิ่งกว่านั้นสีครามยังโดนมังกรใช้เข็มฉีดอะไรสักอย่างเข้าไปในร่างตามคำสั่งโนอาร์ ซึ่งความจริงมังกรก็ไม่อยากทำเท่าไรครับ แต่ในบทนี้โนอาร์ได้ให้ของขวัญกับมังกร ของขวัญนั้นจะทำให้มังกรปฎิบัติตัวกับสีครามเปลี่ยนไปหรือไม่ สามารถติดตามได้ในบทหน้าครับ)



(https://images-wixmp-ed30a86b8c4ca887773594c2.wixmp.com/f/32ce6327-493e-42c5-9a84-ebed9e621876/defp6zw-9281b76b-73dd-4e01-9a38-4b6fab039cfe.png/v1/fill/w_900,h_1277,q_80,strp/commission_160___novel_cover__colored_sketch__by_devil_nutto_defp6zw-fullview.jpg?token=eyJ0eXAiOiJKV1QiLCJhbGciOiJIUzI1NiJ9.eyJzdWIiOiJ1cm46YXBwOiIsImlzcyI6InVybjphcHA6Iiwib2JqIjpbW3siaGVpZ2h0IjoiPD0xMjc3IiwicGF0aCI6IlwvZlwvMzJjZTYzMjctNDkzZS00MmM1LTlhODQtZWJlZDllNjIxODc2XC9kZWZwNnp3LTkyODFiNzZiLTczZGQtNGUwMS05YTM4LTRiNmZhYjAzOWNmZS5wbmciLCJ3aWR0aCI6Ijw9OTAwIn1dXSwiYXVkIjpbInVybjpzZXJ2aWNlOmltYWdlLm9wZXJhdGlvbnMiXX0.KLBt5dABs3mbjcNkubr4LbpGMxHN9hUrQ_NXSYxSU6E)
วาด: devil-nutto (https://devilnutto.wixsite.com/commission)

    อันนี้คือภาพปกนิยายเรื่องนี้แบบฉบับสมบูรณ์ครับ ส่วนตัวคนเขียนคือปลื้มปริ่มมากครับ โนอาร์กับเอทอสพอได้กลายเป็นภาพเห็นรูปร่างหน้าตาแล้วรู้สึกหัวใจเฟื่องฟูมากเลยครบ^^ แล้วคนอ่านล่ะครับมีความคิดเห็นหรือชอบอย่างไรกันบ้าง?
    (คนอ่านสามารถดูภาพปกนิยายแบบเต็ม ๆ ไม่มีลายน้ำได้ที่เว็บ ReadAwrite กับ Fictionlog น่ะครับ พิมพ์หาชื่อนิยาย Homicide : รับจ้างฆาตกรรม ได้เลย)

 

   คนเขียนรู้ความผิดของตนเองดีจึงไถ่โทษคนอ่านด้วยการ เขียนบทเสริม ความจริง ที่รวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเอทอสโนอาร์ที่อาจไม่มีกล่าวไว้ในเนื้อเรื่องมาให้ครับ ขอบคุณครับ



หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทเสริม ความจริง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 04-04-2021 00:48:16
    บทนี้เป็นการรวมข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเอทอสและโนอาร์ที่บางอย่างอาจไม่ได้กล่าวในเนื้อเรื่องจำนวน 100 ข้อ(โนอาร์ 50, เอทอส 50)

    โนอาร์
1. โนอาร์ ใช้ ร์ เป็นความติสท์ส่วนตัวของคนเขียน
2. โนอาร์ตอนต้นเรื่องอายุ 26 และตอนจบเรื่องอายุ 27
3. โนอาร์สูง 186 ซม. หนัก 70 กก. (BMI: 20.23 หากอยู่ในเรื่องอื่นโนอาร์เป็น ‘เมะ’ อย่างแน่นอน)
4. โนอาร์เป็นไซโคพาธ(Psychopaths) โดยกำเนิด
5. โนอาร์เป็นไบเซ็กชวล(Bisexual) และเป็นฝ่ายรุก (จนมาเจอเอทอส)
6. จากข้อ 5 โนอาร์ยอมอยู่ด้านล่างเอทอส เพราะขนาดตัวและรูปร่างเอทอสสูงใหญ่กว่าจนโนอาร์จินตนาการภาพตัวเองเป็นฝ่ายกดเอทอสไม่ออก และคิดว่าเอทอสคงไม่ยอมถูกกดด้วยเช่นกัน (โนอาร์คิดถูก)
7. เอทอสจัดได้ว่าเป็นรักแรกพบของโนอาร์
8. หากให้บอกสิ่งที่ชอบมาหนึ่งอย่าง โนอาร์จะตอบว่าเอทอส
9. ถ้าตัดเรื่องนิสัยชอบฆ่า/ทรมานคนออกไป โนอาร์ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน (การใช้ความคิด ทำอาหาร เล่นกีฬา ต่อสู้ วาดรูป ร้องเพลง พูดโน้มน้าว เล่นดนตรี ฯลฯ)
10. โนอาร์เป็นตัวละครที่คนเขียนไม่อยากให้มีอยู่ในชีวิตจริง เพราะอันตรายเกินไป
11. โนอาร์มักจะหาเวลาหรือชวนเอทอสกินข้าวอยู่บ่อย ๆ เป็นอิทธิพลมาจากคำพูดของดรีมสมัยที่โนอาร์ยังเด็ก (ในบทที่ 31 นักฆ่า)
12. โนอาร์ชอบมองเหยื่อเป็นของเล่น เพราะติดมาจากอาทิตย์ที่เอาเกมยิงเป้ามาให้โนอาร์เล่น โดยเป้าเหล่านั้นคือคนที่พยายามวิ่งหนีตาย
13. ลึก ๆ โนอาร์มองอาทิตย์เป็นพ่อ
14. จนถึงทุกวันนี้โนอาร์เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่ามีดที่เอทอสเคยให้ แท้จริงทำมาจากกระดูกของพ่อแม่เอทอสเอง และหลังรู้ที่มา โนอาร์ไม่เคยเอามีดเล่มนั้นมาใช้อีกเลย
15. โนอาร์ค่อนข้างสนใจในพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของนาวา แต่ก็เกลียดเสียงเจื้อยแจ้วของนาวาไม่แพ้กัน
16. โนอาร์ชอบใส่ชุดสูท เพราะสามารถแอบซ่อนอาวุธได้เยอะ
17. ค่าจ้างขั้นต่ำที่โนอาร์ตกลงรับเป็นเลขเกือบ 8 หลักเสมอ
18. ของอันดับหนึ่งที่โนอาร์ชอบเสียเงินจ่ายคือ อาวุธ
19. งานอดิเรกของโนอาร์หากไม่ออกไปดับชีวิตใคร มักจะนำเหล่าอาวุธขึ้นมาเช็ดขัดทำความสะอาด และจัดเข็มขัดอาวุธใหม่
20. จากข้อ 19 เข็มขัดอาวุธในแต่ละวันของโนอาร์จึงมีอาวุธไม่ค่อยซ้ำกัน แต่หลัก ๆ ที่จะมีเสมอคือมีดสั้น, ปืน และมีดที่เอทอสให้
21. โนอาร์ชอบใช้มีดมากกว่าปืน
22. แทบทุกครั้งที่โนอาร์ทำรักกับเอทอส มักจบลงด้วยการที่โนอาร์ผล็อยหลับคาอ้อมกอด เนื่องจากสู้พลังเอทอสไม่ไหว
23. จากข้อ 22 แม้ว่าโนอาร์จะโดนเอทอสดุใส่ทั้งคืน แต่โนอาร์กลับไม่เคยล้มป่วย
24. หากเอทอสเอ่ยปาก ไม่ว่าอะไรโนอาร์สามารถหามาให้ได้ทุกอย่าง
25. หากไม่จำเป็นจริง ๆ โนอาร์จะไม่ขัดคำสั่งเอทอส
26. หากโนอาร์ไม่เจอเอทอส โนอาร์อาจใช้ชีวิตนักฆ่าโสด ๆ ไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนไปตลอดชีวิต
27. ส่วนของร่างกายเอทอสที่โนอาร์ชอบที่สุดคือดวงตา รองลงมาคือแผงอกกว้างที่ได้นอนหนุนทุกคืน
28. โนอาร์เป็นคนนอนน้อยและตื่นง่าย
29. ในสายตาโนอาร์คนรอบข้าง(คนสวน ศิลา นาวา ลุงสมัย ฯลฯ) เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของเอทอส
30. โนอาร์ชอบเอทอสในร่างปีศาจมากกว่าร่างมนุษย์
31. โนอาร์เรียบจบเพียงมัธยมต้น
32. โนอาร์สามารถพูดอ่านได้หลายภาษา เนื่องมาจากมีหลายครั้งที่ได้รับงานมาจ่ากต่างชาติ
33. การตามเอทอสไปทำงานและช่วยดูแลสวนรฦกวัลย์ ทำให้โนอาร์รับงานว่าจ้างน้อยลงอย่างมาก จนผู้ว่าจ้างบางคนคิดว่าโนอาร์โดนเก็บไปแล้ว
34. ความจริงโนอาร์มีศัตรูรอบด้าน เพียงแค่ไม่มีใครกล้าริอ่านยุ่งหรือลองดี
35. โนอาร์เคยร้องไห้ครั้งเดียวในชีวิตคือ ตอนที่รู้ว่าเอทอสยอมสละหลายสิ่งเพื่อรักษาชีวิตของเขา(บทที่ 26 ล่วงรู้)
36. วิธีการพูดและรอยยิ้มมุมปาก โนอาร์ได้มาจากอาทิตย์
37. โนอาร์ลืมนัสไปแล้ว(ลูกน้องเพียงคนเดียวของอาทิตย์ที่ไม่โดนวิสามัญ และคอยเลี้ยงโนอาร์ตอนเด็ก) แต่นัสที่ปัจจุบันยังอยู่ในเรือนจำไม่เคยลืมโนอาร์
38. จินเห็นโนอาร์เป็นเพื่อน แต่โนอาร์มองจินเป็นเหมือนตัวหมากสารพัดประโยชน์
39. ครั้งหนึ่งโนอาร์เคยให้จินหาของที่ทำให้มองเห็นวิญญาณได้ เพื่อให้เขาสามารถช่วยจับวิญญาณมาให้เอทอสกิน แต่สุดท้ายก็ถูกเอทอสสั่งห้าม
40. นอกจากอาวุธ โนอาร์ยังแอบพกถุงยางกับเจลหล่อลื่นแบบซอง เผื่อในกรณีที่เขาแกล้งยั่วเอทอสจนปีศาจสติหลุด
41. เมื่อไรก็ตามที่โนอาร์พูดลงท้ายด้วย ‘ครับ’ กับเอทอส แสดงว่าโนอาร์กำลังแก้ไขความเข้าใจผิด หรือพยายามปิดปังอะไรบางอย่าง
42. โนอาร์ไม่มีอาหารที่ชอบเป็นพิเศษ แต่หากต้องบอกโนอาร์จะตอบชื่อเมนูที่เอทอสชอบกิน
43. โนอาร์ไม่สูบบุหรี่ (เอทอสก็เช่นกัน)
44. โนอาร์สามารถทนต่อความเจ็บปวดและอาการบาดเจ็บได้มากกว่าคนทั่วไป
45. โนอาร์สามารถคาดเดาความคิดหรือมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เพราะความรักและความเป็นห่วงที่มากเกินพอดีทำให้หลายครั้งโนอาร์มองเจตนาของเอทอสไม่ขาด และลงเอยด้วยการถูกเอทอสปั่นหัวแกล้งอยู่บ่อย ๆ
46. จากข้อ 44 หากคนทำไม่ใช่เอทอส คน ๆ นั้นจะเหลือชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นวัน
47. พันธะครองคู่ที่ต้องใช้เลือดเพิ่มถึงจะสำเร็จ โนอาร์ได้คำแนะนำมาจากปีศาจหนุ่มบาร์เทนเดอร์
48. จากสิ่งแลกเปลี่ยนในพิธีพันธะครองคู่ ทำให้อายุขัยของโนอาร์หายไปครึ่งหนึ่ง หากบอกลบอายุปัจจุบันตอนจบเรื่องโนอาร์จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกประมาณ 10-12 ปี
49. หลังออกปากว่าจะไม่ยุ่งกับสีคราม โนอาร์สั่งให้จินถอนทำลายมนตร์มืดแทนที่จะเอากระสอบทรายกลับมา เพราะกลัวว่าเอทอสจะผิดสังเกตแล้วยิ่งโกรธที่เขายืมมือนาวามาทรมานสีคราม
50. ในวันสุดท้ายของชีวิตที่ไม่ปรากฏในเรื่อง โนอาร์กับเอทอสจะหลับใหลและจากไปอย่างสงบภายใต้อ้อมกอดของกันละกันในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ โดยคนที่มาพบคือนาวา



    เอทอส
1. เอทอส มาจากชื่อภูเขาแอทอส(Athos) อยู่ทางตอนเหนือของประเทศกรีซ
2. หนึ่งในแรงบันดาลใจในการออกแบบรูปลักษณ์ร่างปีศาจของเอทอสมาจากตัวละคร The Oni จากเกม dead by daylight
3. เอทอสในร่างมนุษย์สูง 199 ซม. หนัก 110 กก. ส่วนในปีศาจสูง 220 ซม. หนัก 135 กก.
4. หากเอทอสไม่เจอโนอาร์ อาจอยู่โสดๆ ไปอีกเป็นร้อย ๆ ปี (อาจลองคบกับสีคราม แต่สุดก็เลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้) (อายุขัยปีศาจมักอยู่ระหว่าง 500-1000 ปี)
5. หากไม่มีภาระหน้าที่ดูแลสวน เอทอสถือได้ว่าเป็นเพลย์บอยพอสมควร ไม่คิดลงหลักปักฐานกับใครทั้งสิ้น (จนกระทั่งมาเจอโนอาร์)
6. จากข้อ 5 มีเพียงศิลากับลุงสมัยที่รู้จักนิสัยลับ ๆ ด้านนี้ของเอทอส และนั่นทำให้ลุงสมัยตกใจมากจนหลงเชื่อโนอาร์ทันทีทีที่รู้ว่า เอทอสพาโนอาร์เข้าไปอยู่ในบ้านพักทรงไทยประยุกต์ (ในบทที่ 7 กินข้าว, เอทอสหวงบ้านพักทรงไทยประยุกต์มาก และไม่เคยพาคู่นอนหรือใครคนไหนเข้าบ้าน)
7. ถึงก่อนหน้าเจอคู่ครองจะเป็นยังไง แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจเมื่อมีความรักและเลือกคู่แล้ว จะไม่มีทางวอกแวกเหลียวมองใครอีก เอทอสก็เช่นกัน
8. เอทอสหลงรักโนอาร์จริง ๆ คือตอนที่โนอาร์ตามหาเอทอสจนพบว่าหลบอยู่ในถ้ำ โนอาร์ที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง ไร้ท่าทีรังเกียจแม้แต่ตอนนั้นเอทอสจะเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะและกลิ่นคาวเลือด (ในบทที่ 12 ตามหา)
8. และด้วยเหตุนี้ในช่วงต้นถึงกลางเรื่อง เอทอสจึงพยายามเลี่ยงแม้จะโดนโนอาร์แกล้งยั่วยวนอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าหากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วไม่เกิดสัญลักษณ์ครองคู่ นั่นหมายถึงเอทอสเองที่ยังรู้สึกรักได้ไม่เท่าโนอาร์
9. หนึ่งในตราบาปที่ยังติดอยู่ในใจลึก ๆ ของเอทอสคือ การที่ไม่สามารถปกป้องโนอาร์ได้ (ในบทที่ 14 ดูแล โนอาร์เข้าโรงพยาบาลครั้งแรกและเอทอสบอกว่าจะดูแล แต่สุดท้ายโนอาร์ก็เข้าโรงพยาบาลอีกและเกือบถึงขั้นเสียชีวิตในบทที่ 19-20)
10. ส่วนมากคำสัญญาไม่ฆ่าใครที่เอทอสพูดถึงและพยายามรักษา เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับอนันต์ ไม่ใช่ที่ตกลงกับกลุ่มนักล่าปีศาจในบทที่ 14
11. ฝีมือการทำอาหารของเอทอสเป็นแบบสุ่ม บางครั้งรสชาติกินได้ บางครั้งก็กินไม่ได้ (ส่วนใหญ่กินไม่ได้)
12. เอทอสมองนาวาเสมือนลูกหลาน เพราะเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นทารกไม่หย่านม
13. เอทอสมองศิลาเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง(อายุเท่ากัน) และอยากให้ศิลาไม่ต้องเรียกเขาว่านายหรือมีคุณนำหน้า แต่ศิลากลับปฏิเสธ
14. เอทอสตอนต้นเรื่องอายุ 36 และตอนจบเรื่องอายุ 37
15. เอทอสชอบวัดมนุษย์จากกลิ่นอายวิญญาณ ถ้าบริสุทธิ์จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่หากชั่วร้ายจะปล่อยผ่านไม่สนใจ แม้คน ๆ นั้นกำลังจะตายต่อหน้าก็ตาม (โนอาร์ถือเป็นข้อยกเว้น)
16. หนึ่งในข้อจำกัดของคำสาปเอทอสรวมถึงปีศาจตัวอื่น ๆ คือ ไม่สามารถร่ายใส่ตัวเองได้
17. สิ่งที่เอทอสชอบที่สุดในตัวโนอาร์คือ กลิ่นอายวิญญาณ
18. จากข้อ 17 ทำให้เอทอสมักลอบสูดกลิ่นอายวิญญาณของโนอาร์ตอนที่โนอาร์เผลออยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้อีกเหมือนในบทที่ 15 ต้อนรับ
19. เรื่องบนเตียงของเอทอสค่อนข้างดุ รุนแรง และตะกละ จึงมักจบลงด้วยการที่โนอาร์สลบคาอ้อมกอด และเอทอสก็คอยเช็ดตัวทำความสะอาดให้
20. จากข้อ 19 หากระหว่างกิจกรรมโนอาร์ดันหมดสติไปก่อน เอทอสจะหยุดไม่เห็นแก่ตัวตักตวงความสุขต่อคนเดียว
21. อีกหนึ่งความสำราญของเอทอสคือการแกล้งหยอกโนอาร์ให้หงุดหงิดเล่น
22. ลึก ๆ แล้วเอทอสชอบเห็นตามตัวโนอาร์เต็มไปด้วยรอยกัดและรอยสีกุหลาบที่เขาเป็นผู้กระทำ
23. เอทอสหวังว่าสักวันหนึ่งโนอาร์จะเลิกละจากทุกสิ่งที่เป็นอยู่ และหันมาใช้ชีวิตสงบสุขช่วยเขาดูแลสวนด้วยกัน
24. เอทอสชอบอาหารทุกอย่างที่โนอาร์ทำ แต่กลับไม่เคยเอ่ยปากชมสักครั้งเดียว
25. เอทอสต้องกินวิญญาณสัปดาห์ละประมาณ 40-50 ดวง
26. เอทอสกินวิญญาณอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณสัตว์หรือพืช แต่วิญญาณมนุษย์ให้พลังงานมากที่สุด
27. อาหารของมนุษย์ ช่วยเอทอสบรรเทาความอยากกินวิญญาณได้นิดหน่อย
28. ถึงจะหิววิญญาณจนเกือบตาย เอทอสก็ไม่มีทางสติหลุดทำร้ายใคร เนื่องจากถูกฟอเรสเคี่ยวเข็ญมาอย่างดี
29. เวลาเอทอสเขินหรือโดนโนอาร์ยั่วจนอยากกอด ดวงตาเอทอสมักกลับเป็นสีแดงเลือดนกเองโดยไม่รู้ตัว
30. หากเลือกได้ เอทอสอยากอยู่และใช้ชีวิตในร่างปีศาจ
31. ในร่างปีศาจเอทอสจะสวมเพียงกางเกงทรงหุ้มเกราะโบราณที่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดตามผู้สวมใส่ได้เอง  โดยเอวาผู้เป็นแม่ทำให้
32. ถึงจะแกล้งทำหน้านิ่ง ๆ หรือแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อ แต่เอทอสชอบทุกครั้งที่ได้ฟังโนอาร์บอกรักเขา
33. เอทอสติดนิสัยบ้างานมาจากอนันต์ ทำให้หลายครั้งไม่ยอมปลีกเวลาพักกินข้าว และเป็นโนอาร์ที่มาแก้นิสัยด้านนี้ของเอทอส (ในบทที่ 7 กินข้าว)
34. ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอทอสเลือกเรียนบริหาร เพื่อจบมาจะได้มาช่วยอนันต์กับฟอเรสดูแลสวน
35. เอทอสมีความเป็นแพนเซ็กชวล(Pansexuality)
36. ความสามารถในการรับรู้ถึงวิญญาณของเอทอสคือรัศมีประมาณ 500 เมตรรอบตัว และหากมีสมาธิและตั้งใจอาจรู้สึกได้ไกลถึง 1500-2000 เมตร
37. พละกำลังและความเร็วของเอทอสเหนือกว่ามนุษย์ แต่ยามต้องสู้มักจะออมแรงไว้เสมอเพราะกลัวจะพลั้งมือฆ่าโดยไม่ตั้งใจ (เป็นความรู้สึกติดค้างข้างในใจช่วงสมัยวัยรุ่น, ในบทที่ 32 เอทอส)
38. เพลิงสีดำของเอทอสสามารถจุดเผาวิญญาณในระยะสายตาได้ทันที แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตต้องใช้กรงเล็บสร้างบาดแผลกับเป้าหมายก่อนถึงจะจุดไฟเผาได้
39. คำพูดที่เอทอสมักได้ยินจากโนอาร์เป็นประจำทุกวันคือ อรุณสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ และผมรักคุณ
40. หากวันไหนที่เอทอสตื่นก่อนหรือโนอาร์หลับไปก่อน เอทอสจะแอบบอกอรุณ/ราตรีสวัสดิ์ และจูบหน้าผากโนอาร์โดยไม่ให้มนุษย์รู้ตัวอยู่เสมอ
41. เวลาเอทอสนอนกอดโนอาร์ เอทอสเปรียบโนอาร์เสมือนหมอนข้าง
42. ยามว่างหากไม่มีงานหรือต้องทำอะไร เอทอสมักใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือพลางดมกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากตัวโนอาร์
43. ในหนึ่งสัปดาห์จะมีหนึ่งวันที่เอทอสไม่ไปสวน เอทอสตั้งใจใช้วันนั้นออกไปไล่จับวิญญาณกิน
44. สีหน้าของโนอาร์ที่เอทอสชอบที่สุดคือ สีหน้ายามหลุดมาดนิ่ง ๆ ส่งเสียงครางหวานใต้ร่างของเขา
45. ครั้งหนึ่งตอนเดินห้าง เอทอสอยากมีมุมเท่ ๆ โชว์ความสุภาพบุรุษช่วยโนอาร์บ้าง ดังนั้นช่วงที่โนอาร์กำลังเอื้อมหยิบของบนชั้นวางสูง ๆ เอทอสจึงจะอาสาหยิบให้ แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เอ่ยเสนอตัว โนอาร์ก็หยิบของลงมาใส่รถเข็นแล้ว (โนอาร์สูง 186 จะมีอะไรที่โนอาร์หยิบไม่ถึง?)
46. หากมีปาฏิหาริย์ เอทอสอยากมีลูกกับโนอาร์
47. พินัยกรรมที่เอทอสเขียนคือจะยกบ้านพักทรงไทยประยุกต์และทรัพย์สินเงินเก็บทั้งหมดให้โนอาร์ ส่วนสวนรฦกวัลย์จะให้ศิลาดูแลต่อ
48. หลังพิธีพันธะครองคู่ เอทอสสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารหรือวิญญาณอีกต่อไป ทว่าก็ยังนั่งกินข้าวทุกมื้อพร้อมโนอาร์เหมือนเดิม
49. นิสัยชอบช่วยเหลือมนุษย์จิตใจดีจนดูสนิทสนมมากเกินไป และทำให้อีกฝ่ายหลงเข้าใจผิดคิดไปไกล เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของเอทอส ซึ่งโนอาร์นิยามว่าเป็นนิสัยเจ้าชู้บริสุทธิ์
50. เอทอสแท้จริงนั้นขี้หึงไม่น้อย แต่เพราะโนอาร์เป็นประเภทที่ว่าหากไม่ใช้เอทอสก็คิดเหลียวแล นิสัยด้านนี้เลยแทบไม่ได้แสดงออกมา



บทเสริม สมบูรณ์
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 2 ขอบคุณ]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 04-04-2021 01:07:38
(เนื้อหาก่อนหน้า คลิก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg3999585#msg3999585))
ส่วนนี้เป็นเนื้อหาของบทที่ 2 ขอบคุณนะครับ พอดีคนเขียนปรับแก้ภาษาแล้วมันเกินจำนวนคำเลยต้องแบ่งเนื้อมาตรงนี้อีกทีหนึ่งครับ คนอ่านที่ไล่อ่านมาเรื่อยและอ่านบทที่2มาแล้ว สามารถข้ามได้เลยครับ


   รถยนต์สีดำขลับวิ่งด้วยความเร็ว พุ่งตรงไปสถานที่เป้าหมาย ของเล่นฆาตกรประจำค่ำคืนนี้เป็นหญิงวัยกลางคน ในแวดวงสังคมเป็นแม่พระใจงาม เปิดมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้า เบื้องหลังเป็นแม่เล้าค้ามนุษย์ ส่งผู้เคราะห์ร้ายไปขายบริการทั้งในและนอกประเทศ
   ผู้ว่าจ้างเขาเป็นบิดาของหนึ่งในเหยื่อน่าสงสาร ถูกลักพาลูกสาวหายนานหลายปี กว่าจะได้พบกัน แก้วตาดวงใจก็กลายเป็นคนวิกลจริตในโรงพยาบาล ที่น่าเศร้ากว่าคือหล่อนติดเชื้อ HIV ในระยะที่ทำได้เพียงประคองอาการไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากกว่าเก่าเท่านั้น
    ผู้เป็นพ่อหัวใจสลาย พยายามเอาผิดคนกระทำทุกวิถีทาง สุดท้ายเรื่องก็เงียบหาย จึงต้องหันมาพึงคนจากโลกมืดอย่างเขา ช่วยส่งคนเลวทรามไปใช้กรรมในนรก

    ปกติแล้วเขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องราวมากมายเช่นนี้ แค่ประวัติพอรู้กิจวัตรของเหยื่อ กับรูปแบบงานที่ผู้ว่าจ้างต้องการก็เพียงพอแล้ว แต่ที่ต้องตามสืบเป็นเพราะจะได้เก็บวิญญาณให้ถูกใจปีศาจ และดูเหมือนของเล่นเขาครั้งนี้จะผ่านเกณฑ์


    รถสีดำขลับจอดอำพรางริมถนน เฝ้าคอยให้ของเล่นออกมาจากงานเลี้ยงหรู จนกระทั้งเวลาเกือบสี่ทุ่ม รถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวป้ายแดงคันเป้าหมายเคลื่อนผ่านหน้า รถสีดำในมุมมืดขับตามไปทันที

    บนทางเปลี่ยวยามค่ำคืน คนขับและเลขาที่นั่งคู่กัน จับสังเกตรถด้านหลังซึ่งขับตามมาตลอดตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยง พยายามเลี้ยวสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด คนขับเริ่มเร่งเครื่องเร็วขึ้น ส่วนเลขาหันกลับไปบอกนายหญิงพลางหยิบปืนข้างตัวออกมา

    “คุณหญิงครับ มีคนขับรถตามเรามาครับ กรุณาก้มตัวออกห่างจากกระ-”
    “เพล้ง! ว้าย!”
    “เอี๊ยด!!!”

    พูดยังไม่ทันจบประโยค เกิดเสียงกระจกแตกจากทางด้านหลังพร้อมเลือดกระเด็นทั่วฝั่งคนขับ รถเสียการควบคุมกะทันหัน เลขาที่นั่งคู่กันพยายามควบคุมพวงมาลัยสุดความสามารถ แต่สุดท้ายรถก็ชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง

    “คุณหญิงครับ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เลขาถามนายด้านหลังโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง
    “ฉัน.. ฉันไม่เป็นไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

    เจ้านายถามกลับอย่างตื่นตระหนก เหลือบมองคนขับที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย สภาพศีรษะแหลกละเอียดเนื่องด้วยแรงกระสุนชนิดพิเศษ เป็นภาพสยดสยองจนต้องรีบหันหนี

    “เราถูกลอบยิงครับ”
    “แกก็จัดการอะไรสักอย่างซิ!!”

    คนโดนสั่งรีบกดโทรศัพท์เรียกกำลังเสริม พลางใช้สายตาสอดส่องนอกตัวรถหาตัวคนร้ายไปด้วย

    “คุณหญิงถูกลอบยิง รีบส่งคนมาที่-”
    “มันอยู่ข้างหน้า! ระวัง!! กรี๊ดด!!”

    ขณะเลขามัวแต่ระวังด้านหลังซึ่งมีรถคันสีดำจอดอยู่ ไม่ทันสังเกตเงาเคลื่อนไหวของใครบางคนใกล้เข้ามา กว่าคุณนายจะร้องเตือน เมื่อเห็นแสงสะท้อนของปลายกระบอกปืน ลูกกระสุนก็เจาะทะลุกะโหลกเลขา เสียชีวิตคาที่ตามคนขับไปอีกคน
    คุณหญิงรีบหยิบโทรศัพท์ที่ตกกระเด็นหวังขอความช่วยเหลือ การกระทำนั้นผิดมหันต์ เพราะแสงไฟจากหน้าจอเป็นตัวชี้เป้าให้มือปืนเล็งยิงได้สะดวกขึ้น

    “ช่วย- กรี๊ด!!!!”

    มือที่กำลังเอาโทรศัพท์แนบหู ถูกแรงกระสุนฉีกกระชากเป็นแผลเหวอะหวะ พร้อมกับเครื่องมือสื่อสารที่แตกกระจาย สะเก็ดกระสุนทำลายใบหูและบริเวณข้างเคียง ส่งผลให้เลือดไหลเยิ้มลงมาถึงลำคอ

    “งานเซอร์ไพรส์ประทับใจหรือไม่ครับ คุณผู้หญิง” เสียงของชายคนหนึ่งพร้อมประตูด้านหลังถูกเปิดออก
    “แกะ.. แกเป็นใคร” ผู้ผ่านประสบการณ์เฉียดตาย เอ่ยถามมือปืนเสียงเหนื่อยอ่อนแผ่วเบา เนื่องจากเสียพลังทั้งหมดไปกับเหตุการณ์เมื่อครู่
    “สารถีคนใหม่ครับ”

    สิ้นเสียงผู้มาเยือน หญิงเคราะห์ร้ายถูกกระชากผมสวยออกจากตัวรถ พาไปทางรถอีกคันที่จอดห่างไม่ไกล เสียงร้องเพราะความเจ็บปวดทั้งจากผมที่ถูกดึง ทั้งจากมือเหวอะเศษชิ้นเนื้อแกว่งไปมาตามแรงเดิน ไม่ว่าจะส่งเสียงดังเท่าไรก็ไร้คนช่วย เนื่องด้วยบริเวณนี้เป็นทางเปลี่ยว ยิ่งช่วงค่ำมืดดึกดื่น ไม่มีใครผ่านมาแน่นอน
    เมื่อมาถึงรถ ร่างเล็กถูกจับยัดใส่กระโปรงหลัง ก่อนเจ้าของจะเดินไปทางฝั่งคนขับ พาผู้โดยสารไปส่งจุดหมายสุดท้ายของชีวิต


    “ติ้ง!”

    เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ พร้อมข้อความที่ทำให้เจ้าของขมวดคิ้วแน่น เป็นข้อความส่งมาจากเซนเซอร์เมื่อประตูบ้านถูกงัดแงะ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกตื่นเต้นกับข้อความนี้ เพราะนั่นแสดงว่ามีคนเสนอตัวเป็นของเล่นให้เขา แต่มันไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่มีปีศาจอาศัยอยู่
    หลังแสงจากหน้าจอมือถือมืดดับลง รถคันสีดำเลี้ยวหันกลับโดยทันที พุ่งตรงกลับบ้านด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าครั้งไหน



    บริเวณห่างจากบ้านหลังโดดเดี่ยวไม่ไกล มีคนสี่คนแต่งกายอำพรางใบหน้ามิดชิด ลงมาจากรถคันเก่า เดินมาหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านเป้าหมาย

    “มึงดูลาดเลาไว้ ส่วนมึงสองคนไปกับกู” หัวหน้าสั่งลูกน้อง ก่อนปีนนำเข้าไป

    ตัวบ้านมืดเงียบเชียบไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต คนสามคนหยุดอยู่หน้าประตู สองคนช่วยกันสะเดาะกลอน ส่วนอีกคนยืนคุมเชิง

    “ได้ยัง?” หัวหน้าเอ่ยถามเมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้ว
    “แป๊บลูกพี่ มันใช้ลูกบิดโคตรดี แงะยากชิบหาย...”
    “แกร๊ก! ได้แล้วลูกพี่”

    ประตูถูกเปิดออกกว้าง มีหัวหน้าเดินนำเข้าไป ภายในบ้านประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โซฟาหรู ทีวีจอยักษ์ติดข้างฝา โคมไฟสวยห้อยจากเพดาน ขนาดโต๊ะกินข้าวยังเป็นหินอ่อนเงาวาว
    หัวหน้าโจรเดินสำรวจรอบบ้านจนพอใจ ก่อนสั่งให้ลูกน้องขนของมีค่าออกไปให้หมด ส่วนลูกน้องอีกคนให้ตามขึ้นไปชั้นสอง

    ชั้นบนของบ้านประกอบด้วยสองห้องอยู่ติดกัน ตกลงแยกกันไปคนละห้อง หัวหน้าเลือกเข้าห้องใกล้บันได ส่วนลูกน้องเขาห้องที่อยู่ข้างกัน

    ประตูห้องถูกเปิด หัวหน้าโจรเดินเข้ามา ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เข้าชุด โดยรวมเหมือนห้องนอนทั่วไป แต่ที่สะดุดตาคือตู้เซฟข้างโต๊ะทำงาน ลองสำรวจคร่าวๆ เป็นตู้เซฟระบบสแกนลายนิ้วมือและรหัสผ่านหกตัว ซึ่งนั่นหาใช่ปัญหา

    มือโจรหยิบมีดพกก่อนค่อยๆ เลาะกรอบใต้ปุ่มกดออก พบช่องเสียบกุญแจฉุกเฉินสำหรับไขยามระบบตู้เซฟเกิดขัดข้อง พวงกุญแจออกแบบมาเพื่อใช้โจรกรรมโดยเฉพาะถูกหยิบมาจากกระเป๋าคาดเอว สับเปลี่ยนตัวลูกกุญแจอยู่สองสามครั้งตู้เซฟก็ถูกปลดล็อก
    ด้านในไม่ได้ซ่อนเงินสด เครื่องเพชร หรือของมีค่าอื่นใดอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นกล่องปืนสั้นพร้อมอุปกรณ์เสริม กับกล่องลูกกระสุนอย่างดีหลากหลาย มีแม้กระทั้งกระสุนชนิดพิเศษอำนาจทำลายล้างสูง เพราะหลังตัวกระสุนกระทบเป้าหมายจะระเบิดตัวออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ กระจายสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ทำให้ผู้ที่ถูกกระสุนชนิดนี้ยิงอาการสาหัส หรืออาจถึงขั้นพิการและเสียชีวิตได้ภายในนัดเดียว

    หลังเห็นของในตู้เซฟหัวหน้าโจรเริ่มสังหรณ์ใจว่าเจ้าของบ้านอาจไม่ใช่คนธรรมดา...

     แล้วยังไง

    ถึงพวกนี้จะเป็นอาวุธ แต่ล้วนเป็นของหายากและมีราคาสูงลิ่วไม่ต่างจากเครื่องประดับเพชรพลอย หัวหน้าโจรเลือกปืนมาหนึ่งกระบอก พร้อมบรรจุกระสุนอันตรายใส่แม็กกาซีนเรียบร้อย ก่อนเหน็บไว้ด้านหลัง พลางเริ่มทยอยนำทุกอย่างจากตู้เซฟลงกระเป๋าที่เตรียมมา แล้วจึงลุกขึ้นสำรวจส่วนอื่นๆ ของห้องต่อ

    ขณะที่หัวหน้าโจรกำลังก้มรื้อหาของมีค่าในลิ้นชัก กระจกหน้าโต๊ะสะท้อนร่างเงาสูงใหญ่ด้านหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพลันสบกับนัยน์ตาสีเลือดนกเรืองแสงราวกับดวงตาของสัตว์ป่า หัวขโมยสะดุ้งตกใจ กระโดดถอยหนีไปตั้งหลัก

    “เหี้ยอะไรวะ!”

    สิ่งนั้นค่อยๆ หันมาทางโจร ก่อนพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมกรงเล็บที่ง้างฟาดลงมารวดเร็ว

    “เฮ้ย!! ตุ้บ!”

    โจรเอี้ยวตัวหลบได้หวุดหวิด แต่ก็ล้มลงพื้น ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น กรงเล็บเมื่อครู่ก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอ บีบแน่นจนสำลักอากาศ ก่อนค่อย ๆ ถูกยกขึ้นจนร่างลอยด้วยมือข้างเดียว



    ทางด้านโจรคอยดูลาดเลาอยู่หน้าบ้าน พบแสงไฟรถยนต์กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ จึงรีบวิ่งเข้าไปบอกพรรคพวกด้านใน

    “มึงๆ ไอ้เจ้าของบ้านมันกลับมาแล้ว”
    “ไหนมึงบอกว่ามันออกจากบ้านทีกลับเช้าตลอดไง”
    “กูก็ไม่รู้ เอาไงบอกลูกพี่ไหม”
    “เออๆ กูไปบอกเอง ส่วนมึงไปซุ่มลอบจัดการมัน”

    เมื่อตกลงกันได้ สองโจรแยกกันทำตามแผน คนหนึ่งแอบรอเจ้าของบ้านอยู่หลังประตู ส่วนอีกคนวิ่งขึ้นบ้านไปรายงานหัวหน้า

    รั้วบ้านเลื่อนเปิดอัตโนมัติ พร้อมรถสีดำขลับเลี้ยวเขาจอดอย่างรวดเร็ว ไฟบ้านทั่วทั้งหลังสว่างขึ้นทันที เจ้าของรถหยิบกระสุนขึ้นมาห้านัด โดยแต่ละลูกถูกนำจุ่มลงในหลอดทดลองไม่ซ้ำกัน แล้วจึงบรรจุใส่แม็กกาซีนอย่างคล่องแคล้ว และเมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม เพชฌฆาตผู้โดนลูบคมจึงเปิดประตูรถลงไปหาพวกที่ริอ่านยุ่งท้าทายไม่รู้เวลา

    ฆาตกรเดินเข้ามาในตัวบ้าน พลางใช้นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นมองดูเหล่าข้าวของที่ถูกรื้อค้นเละเทะกระจัดกระจาย กระทั่งดวงตาดำมืดเห็นเงาสะท้อนผ่านกระจกหน้าต่าง เงาของคนรนหาที่ซึ่งกำลังย่องมาหาเขาจากทางด้านหลังพร้อมมีดพกเงาวาว

    “พรึบ!”

    ฉับพลันเจ้าบ้านอันตรายหมุนกลับหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมปลายกระบอกปืนติดอุปกรณ์เก็บเสียงจ่อเข้ากลางหน้าผากโจร หัวขโมยผู้ถูกตลบหลังได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก สบประสานกับนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดซึ่งเป็นภาพสุดท้ายในชีวิต ก่อนวินาทีถัดมาทุกสิ่งจะจบลงด้วยเสียงลั่นไกพิพากษาแผ่วเบา

    “ปุ-”
    “เหี้ยย!!!”

    ร่างสังเวยลูกกระสุนล้มหงายหลังไร้ซึ่งโอกาสส่งเสียงอ้อนวอน เลือดจากศีรษะไหลนองพื้นแผ่ขยายไปตามเบื้องเยียบเย็น เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่เสียงร้องตกใจผสานเสียงตึงตังจากด้านบนดังขึ้น ไม่นานตัวต้นเสียงก็วิ่งลงมาชั้นล่างด้วยสีหน้าตื่นกลัว ก่อนจะชนเข้ากับฆาตกรที่กำลังย่างสามขุมขึ้นชั้นบนอย่างจัง

    “ปุ!” พลันเสียงลั่นไกสังหารปลิดชีพ ได้ส่งอีกหนึ่งร่างไร้วิญญาณไถลล้มกองตรงสุดปลายของบันได
    “ปัง!!! ปัง!!”
    “ปัง!!”

    เสียงปืนดังสนั่นจากชั้นบนถึงกับทำให้จังหวะหัวใจสุขุมเยือกเย็นคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วอึดกาล ก่อนจะสั่นไหวรุนแรงด้วยความกังวลต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิด เสียงฝีเท้าฆาตกรรีบวิ่งไปยังด้านบนดังสลับกับเสียงจังหวะหัวเยือกแข็งที่กำลังกู่ร้อง
    เมื่อเข้าไปในห้องต้นตอเสียง ภาพร่างยักษ์นอนจมกองเลือดนิ่งงันไม่เคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าฟาดผ่ากลางร่างโนอาร์จนแทบชาไร้ความรู้สึก นัยน์ตารัตติกาลดำมืดตวัดมองตัวการซึ่งกำลังหอบหายใจเหนื่อยอย่างอาฆาต ยิ่งเห็นคนบังอาจแตะต้องสิ่งสำคัญเตรียมจ่อยิงปีศาจซ้ำ ปลายกระบอกฆาตกรก็พลันเล็งไปยังหัวหน้าโจรโดยสมองไม่ต้องสั่งการ

    “ปุ! อ๊ากกกกก!!!!”

    กระสุนดีดตัวออกจากลำกล้องพุ่งทะลุผ่านมือโจรที่จับปืนอย่างจัง พลังทำลายฉีกกระชากฝ่ามือเป้าหมายขาดเป็นแผลเหวอะหวะชวนขนลุก ตัวปืนถูกทำลายเสียหายหล่นกระเด็นห่างไปไกล พร้อมเจ้าบ้านผู้แผ่รังสีอํามหิตเยียบเย็นเดินตรงปรี่เข้าไปถีบหัวหน้าโจรจนล้มคะมำ ฝ่าเท้าหนักพลันยกกระทืบกลางอกคนข้างใต้เต็มแรงจนอีกฝ่ายจุกส่งเสียงร้องไม่ออก เพียงครู่ปลายกระบอกปืนเสริมอุปกรณ์เก็บเสียงก็จ่อเล็งไปยังหน้าตื่นตกใจของโจรลองดี

    “ปุ! ปุ! แกร๊ก!!”

    ลูกตะกั่วแสกหน้าเจาะทำลายผิวกะโหลก ส่งผลให้หยาดเลือดผสมมันสมองสาดกระเซ็นเลอะรองเท้าและชายกางเกงผู้สำเร็จโทษ ทว่าเท่านี้สำหรับโนอาร์ยังไม่อาจสาสมกับความผิด แต่เนื่องจากเหลือเวลาไม่มากเจ้าบ้านจึงต้องจัดลำดับความสำคัญรีบผละออกจากเศษซากใต้เท้า ก่อนเข้าไปประคองร่างปีศาจที่หายใจรวยริน แผลบนกลางอกแกร่งกว้างที่เพิ่งสมานหาย ยามนี้กลับเกิดแผลใหม่สาหัสกว่าเดิม เลือดมากมายไหลทะลักเจิ่งนองไม่ยอมหยุด ภาพตรงหน้าพลันให้มนุษย์นึกถึงคำพูดที่ปีศาจเคยว่าไว้ ดังนั้นเหล่าหลอดแก้วในกระเป๋าจึงถูกเทกองเต็มพื้น โนอาร์เลือกหยิบเฉพาะหลอดที่ภายในบรรจุของเหลวสีฟ้า ก่อนดึงจุกกั้นออกแล้วเทกรอกเข้าริมฝีปากซีด เพื่อให้ปีศาจดื่มกินวิญญาณรักษาร่างกาย

    จวบจนกระทั่งหมดสิ้น สภาพอาการปีศาจก็ยังคงไม่ดีขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ฆาตกรหลุดความสุขุมกระวนกระวายหนัก ความคิดซับซ้อนยากคาดเดาพยายามนึกหาหนทางช่วยเหลือปีศาจผู้เป็นที่รัก ฉับพลันภาพใบหน้าหวาดหวั่นของคุณหญิงของเล่นในค่ำคืนนี้ก็ปรากฏชัดในความทรงจำ เช่นนั้นชายหนุ่มที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดปีศาจส่งกลิ่นคาวคลุ้ง จึงรีบคว้าหลอดแก้วหนึ่งที่ภายในยังคงใสบริสุทธิ์วิ่งลงชั้นล่างก่อนตรงไปเปิดกระโปรงหลังรถ ฆาตกรไม่คิดเสียเวลาปล่อยให้เหยื่อพักหอบหายใจจากการขาดอากาศ มือชุ่มเลือดรีบเปิดจุกหลอดแก้วเทของเหลวใส่ร่างเป้าหมาย เมื่อเรียบร้อยผมสลวยของคุณหญิงจึงถูกกระชากดึงออกมา

    “กรี๊ดดด!!!!” เสียงร้องบาดแหลมเจ็บปวดราวกับไม่มีวันไปถึงเพชฌฆาต เพราะนัยน์ตารัตติกาลของผู้กระทำที่เหลือบมองกลับไร้ซึ่งความเห็นใจ กระทั่งส่วนคอของคุณหญิงพาดอยู่ระหว่างบานกระโปรงรถ ทันใดนั้นมือของอีกข้างของชายใจบาปก็พลันดึงฝากระโปรงรถปิดอย่างแรง
    “ตึง!! กร๊อบ!!!!”

    ฝากระโปรงทำหน้าที่เสมือนกิโยติน ฟาดสับเข้ากลางคอเหยื่อจนได้ยินเสียงกระดูกแตกละเอียด ร่างคุณหญิงผู้น่าเศร้าในสภาพถูกฝากระโปรงหลังรถหนีบคอหักผิดรูป ได้แต่ชักกระตุกเกร็งอย่างน่าสังเวชก่อนไม่นานจะแน่นิ่งสิ้นใจพร้อมกับของเหลวในหลอดแก้วที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีฟ้า ทว่าคนกระทำเรื่องโหดร้ายหาได้รู้สึกอาวรณ์เหลียวแลแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังรีบวิ่งกลับขึ้นชั้นบนเพื่อเอาอีกหนึ่งดวงวิญญาณไปสังเวยปีศาจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนึ่งชีวิตสูงศักดิ์ในสังคมโลกสว่างที่เพิ่งจบลงนั้น แท้จริงมิได้มีค่าสลักสําคัญหรืออยู่เหนือกฎเกณฑ์ใด ๆ เลย

    หลังปีศาจได้กินวิญญาณดวงสุดท้ายที่หาได้ ของเหลวสีแดงเข้มกลับยังคงไหลรินไร้ทีท่าว่าจะหยุด ร่างยักษ์จมกองเลือดหายใจแผ่วไม่ดีขึ้น ชายเลือดเย็นไม่ยอมรับว่าเขานั้นได้หมดสิ้นหนทางช่วยเหลือ ความคิดดำมืดสุดหยั่งจึงหวนรำลึกถึงคำกล่าวทีเล่นทีจริงของปีศาจ

    ‘เจ้าอยากให้ข้าหายหนิ ยอมเป็นอาหารให้ข้าไหมล่ะ’

    เช่นนั้นฝ่ามืออาบเลือดจึงหยิบลูกกระสุนหนึ่งนัดจากกระเป๋าบรรจุใส่ตัวปืน หยิบหลอดแก้วใสข้างกายเปิดจุกออกแล้วเทราดใส่ตัวเอง ก่อนจะนำส่วนที่เหลือจ่อปากปีศาจเตรียมไว้ พร้อมปลายกระบอกปืนกดเข้ากลางขมับ ...และกดลั่นไก

    “ยะ... อย่า...” กรงเล็บแหลมพยายามเอื้อมคว้าปลายกระบอกปืน ส่งเสียงอ่อนล้าบางเบาเรียกสติมนุษย์สิ้นคิด



    เช้าวันนี้ สำนักข่าวชื่อดังเล่าเหตุการณ์น่าสยดสยองซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน ข่าวแรกเป็นคุณหญิงผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเด็กกำพร้า ถูกฆาตกรรมรถไฟทับร่าง หลังกลับจากงานเลี้ยงการกุศล เศษชิ้นส่วนตกกระจายทั่วบริเวณ ที่เกิดเหตุพบเอกสารหลักฐานสำคัญว่าผู้ตายมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ยังพบแผนที่ตั้งแหล่งกบดานหลายแห่ง คาดว่าเป็นฝีมือของหนึ่งในเหยื่อแค้นที่ถูกลวงไปค้าประเวณี
    ส่วนอีกข่าวเป็นเหตุไฟไหม้บ้านหลังหนึ่งในเขตชานเมือง จากการตรวจสอบพบศพสี่ศพ บริเวณห้องนั่งเล่นหนึ่งศพ ตรงบันไดหนึ่งศพ ห้องนอนใหญ่หนึ่งศพ และห้องนอนเล็กหนึ่งศพ สามศพแรกถูกกระสุนปืนยิงทะลุศีรษะ ส่วนศพสุดท้ายอยู่ในสภาพสมบูรณ์นอนคว่ำหน้า กำปืนติดตั้งลำกล้องเก็บเสียงในมือขวา คาดว่าอาจเป็นโจรขึ้นบ้านตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว นำไปสู่การยิงกันเอง ประจวบกับเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลให้คนร้ายถูกไฟคลอกเสียชีวิต ในตอนนี้เจ้าของบ้านยังไม่แสดงตัว มีความเป็นไปได้สองทางคือยังไม่ทราบข่าว หรืออาจโดนโจรร้ายจับตัวไป

    เหตุการณ์สะเทือนขวัญทั้งสอง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในคืนเดียว ทางเราขอให้ตำรวจสามารถจับตัวฆาตกรได้โดยเร็ว แม้คนร้ายอาจมองได้ว่าเป็นฮีโร่ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ให้หลุดพ้นจากวังวนมืด แต่เมื่อกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนเรื่องของคุณเจ้าของบ้านไฟไหม้ ทางเราขอภาวนาให้คุณเจ้าของบ้านปลอด-

    “ติ้ด!”

    เสียงของผู้ประกาศข่าวขาดหาย เมื่อโทรทัศน์ถูกกดปิด ก่อนตามด้วยเสียงปิดประตู ทั้งห้องกลับสู่ความเงียบงันอ้างว้างดังเดิม



    ‘ต้องการฝากอะไรถึงผู้รับไหมครับ’
    ‘นี่ครับ หลักฐานเอาผิดทั้งหมดที่ผมรวบรวมได้ แต่ไม่สามารถใช้เรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกผมได้เลย’


    “ขอบคุณครับ คุณโนอาร์”


บท2 สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 33 ภาคิน +บทเสริม) [04/04/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: yumyai_fishery ที่ 05-04-2021 23:52:52
รอหนังสือนะคะ กดf5 รัวๆ ทุกวัน รอเรื่องนี้อัพ เป็นกำลังใจให้ผู้ดขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 33 ภาคิน +บทเสริม) [04/04/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-04-2021 23:43:20
โหดดดด
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 34 หนทาง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 02-05-2021 23:26:34
     ร่างยักษ์ขยับกายลุกขึ้นนั่งพลางใช้กรงเล็บจับบริเวณขมับส่ายหน้าไล่ความสับสนง่วงงุน นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกหรี่ตาปรับแสงมองสำรวจถึงรู้ว่าขณะนี้เขากลับมาอยู่ในห้องนอนของบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ก่อนสายตาคมดุจะหยุดนิ่งเมื่อสบนัยน์ตารัตติกาลมืดสนิทของตัวการเรื่องทั้งหมด

    “ผมจัดการภาคินไปแล้ว ทั้งซากศพและวิญญาณ ไม่มีวันกลับมายุ่มย่ามระรานได้อีก คุณจะโกรธผมก็ได้ แต่ถ้าให้ย้อนกลับไป ผมจะยังคงทำแบบเดิม”

    มนุษย์เอ่ยตอบราวกับรู้ใจปีศาจ ดวงตาดำมืดสุขุมกับน้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงความแน่วแน่เด็ดขาด เป็นเครื่องยืนยันคำพูดได้อย่างดี ทว่าร่างยักษ์ผู้รับฟังก็ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดหรือทีท่าอื่นใดมากนัก เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าสักวันจุดจบนักล่าปีศาจอาจลงเอ่ยเช่นนี้ ซึ่งเขาพยายามแก้ไขฝืนชะตาช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

     “...ข้าหลับไปนานขนาดไหน แล้วนี่กี่โมงกี่ยาม?” เอทอสเลือกเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย เนื่องจากเห็นโนอาร์อยู่ในสภาพเสื้อผ้าพร้อมนอน ซึ่งอีกนัยคือเขาไม่อยากจมติดกับเรื่องราวที่กลับไปแก้ไม่ได้อีก
    “สองจวนใกล้สามทุ่ม-”
    “เจ้า!!”

    ปีศาจตวาดใส่มนุษย์เสียงดังทันทีเมื่อได้ฟัง ช่วงก่อนจะสลบไปเขาจำได้ดีว่ายามนั้นเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว หมายความว่าเขาถูกฤทธิ์ยาสลบของมนุษย์ทำให้หลับยาวไปหนึ่งวันเต็ม ๆ และดูเหมือนตัวการจะรู้ความผิดของตัวเองเช่นกัน ถึงได้รีบพูดแก้ตัวพัลวัน

     “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณหลับนานขนาดนี้ ผมไม่เคยวางยาสลบปีศาจมาก่อนเลยกะพลาด แต่เรื่องงานที่สวนผมฝากให้ศิลาดูแลแทนให้แล้วนะครับ”
    “ดูเจ้าจะไม่มีความสำนึกเรื่องที่กล้าวางยาข้าเลยใช่ไหม แล้วต่อไปเจ้าจะทำอะไรอีก จับข้าขังกรง?” นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกเจือความฉุนเฉียว จ้องนิ่งไปยังมนุษย์อย่างกดดัน
    “ไม่แล้วครับ ครั้งนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัย จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแน่นอน”

    โนอาร์ตอบกลับฉะฉานเพื่อให้ปีศาจมั่นใจ ทว่าร่างยักษ์กลับลุกจากเตียงเมินมนุษย์ข้างกาย ก่อนเดินไปดูบรรยากาศมืดสงัดภายนอกผ่านบานหน้าต่าง โดยทุกการกระทำมีนัยน์ตารัตติกาลคอยลอบมองพลางคิดหาคำพูดที่ทำให้ปีศาจสงบลง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยร่างยักษ์กลับชิงพูดก่อน ตามด้วยกรงเล็บทมิฬเลื่อนมุ่งลวดหน้าต่างกันแมลงจนเปิดกว้าง พร้อมตั้งท่าเตรียมกระโจนออกไป

    “คงไม่อยากไปหาผู้มีพระคุณข้าแล้วใช่ไหม” เสียงทุ้มติดดุเอ่ยถาม พลางใช้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเหลือบมองมนุษย์ซึ่งกำลังเดินมาหา
    “อยากครับ ผมอยากไป แต่ตอนนี้คุณจะไปไหน?”
    “เรื่องของข้า ส่วนเจ้าถ้าไม่ทำตัวดี ๆ ว่านอนสอนง่าย ก็อย่าหวังเลย”

    หลังเอ่ยจบ ร่างยักษ์ของปีศาจกินวิญญาณก็กระโดดพุ่งจากหน้าต่าง กลืนหายไปในความมืดของบรรยากาศยามค่ำ โดยโนอาร์ได้แต่มองตามจนถึงจุดสุดท้ายที่สังเกตเห็นเงาเคลื่อนไหว
    การมีตัวแปรเหนือการควบคุมอย่างเอทอสเข้ามาทำให้หมากกระดานที่วางไว้ปั่นป่วนไม่น้อย ราวกับปีศาจจะสื่อว่าคำที่เคยบอกจะขัดขวางเขามิใช่การหยอกล้อแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะรามือ เพราะสิ่งที่เห็นด้วยตาในความฝันคืนนั้นมันเกินกว่าที่จะอภัย แม้เอทอสจะสั่งให้เขาหยุดก็ตาม
    ชายเลือดเย็นคิดในใจพลางเดินกลับไปยังผืนเตียงว่างเปล่า คาดการณ์ว่าผลจากการทำให้ปีศาจไม่พอใจ คืนนี้เขาคงต้องนอนหนาวเพียงลำพัง ไร้แผงอกกว้างไว้คอยซุกซบไออุ่นดั่งคืนวาน



    “เสร็จสักที เมื่อยจังเลย~”

    จินว่าพลางชูแขนบิดขี้เกียจ พลางมองผลงานกระสอบทรายที่ฝังมนตร์มืดเรียบร้อยสมบูรณ์ เตรียมนำไปมอบเป็นของขวัญให้ลูกคนงานสวนรฦกวัลย์ตามคำสั่งลูกค้าเอาใจยาก ซึ่งขณะนี้พ่อค้าหนุ่มอยู่ในห้องพิธีบนคอนโดสูงกลางเมือง ที่แต่เดิมเป็นเพียงห้องนอนธรรมดาแถมมากับชุดห้องที่จินซื้อไว้เป็นที่พักอาศัย เนื่องจากห้องชุดนี้มีสองห้องนอน แต่เขาอยู่คนเดียวก็เลยเปลี่ยนอีกห้องไว้เป็นที่ทำงานและเก็บของจะได้คุ้มเงินไม่เสียเปล่า

    “ปล่อยฉันออกไป!! ฉันจะไปฆ่าไอ้สารเลวโนอาร์!”
    “ช่วยเงียบเสียงหน่อยได้ไหม ตอนมีชีวิตอยู่คุณโวยวายเก่งแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย”

    จินหันกลับไปต่อว่าวิญญาณนักล่าปีศาจที่ถูกจับขังอยู่ในหลอดแก้วทรงกระบอก การกำจัดวิญญาณภาคินให้สิ้นซากก็เป็นอีกงานที่เขาเพิ่งโดนชายเลือดเย็นสั่งเมื่อวันก่อน ทว่าเพราะอิทธิพลของโนอาร์ส่งผลให้บัดนี้วิญญาณที่เคยบริสุทธิ์ผุดผ่องของภาคิน ถูกย้อมกลืนกินด้วยความดำมืดจากความอาฆาตพยาบาท แม้กลิ่นอายชั่วร้ายจะยังห่างชั้นกับตัวการอยู่มาก แต่ก็ถือว่าแข็งแกร่งน่าสนใจไม่น้อยหากนำไปขายย่อมได้ราคางาม และด้วยเหตุผลข้อหลังนี้เองจึงทำให้จินยังคงลังเลสองจิตสองใจว่า จะแอบงุบงิบเก็บวิญญาณนักล่าปีศาจพูดมากนี่ไว้ดีไหม

    “เรื่องของฉัน!! รู้ไหมว่ามันทำระยำอะไรลงไป! ชั่วช้าเหมือนอีปีศาจคู่ขามันไม่มีผิด”
    “นิคุณ เรื่องโนอาร์คือโคตรคนชั่วผมไม่เถียง แต่คุณเอทอสเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดสักนิดเดียว เจ้าคิดเจ้าแค้นจนชีวิตตัวเองพังก็แล้ว เลิกอคติกับคุณเขาสักทีได้ไหม”
    “เข้าข้างพวกเดียวกัน อย่ามาทำเป็นพูด-”
    “ชู่! เงียบ!”

    คำประกาศิตจากผู้คุมวิญญาณเข้าบังคับวิญญาณอาฆาต ส่งผลให้เสียงโวยวายหยุดลงฉับพลัน จินรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณปีศาจของคุณเอทอสอยู่บริเวณห้องนั่งเล่นด้านนอก พ่อค้ารีบนำหลอดเก็บวิญญาณภาคินไปซ่อนพร้อมเอาผ้ามาคลุมกระสอบทรายเมื่อเรียบร้อยถึงเดินออกไปหาผู้มาเยือน

    “อ้าว... มาได้ยังไงครับเนี่ยคุณเอทอส โนอาร์ไม่ยอมให้คุณนอนเตียงด้วยเหรอ แต่คุณหนีมาหาผมแบบนี้ ชีวิตผมก็สั้นน่ะสิ” จินแสร้งเอ่ยทักทายปีศาจกินวิญญาณซึ่งนั่งอยู่ตรงโซฟา สายลมพัดเย็นจากบานกระจกหน้าต่างที่ถูกเลื่อนเปิด คล้ายเป็นคำเฉลยกลาย ๆ ว่าอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไร
    “ปล่อยวิญญาณนักล่าปีศาจไป เจ้านั่นทรมานมามากพอแล้ว” เสียงทุ้มต่ำกล่าวเรียบนิ่ง พลางใช้นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกจ้องมองกดดัน
    “…นักล่าปีศาจ? เอ... หมอนั่นโดนโนอาร์จัดการแล้วเหรอ น่าสงสารไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย แต่อืม... คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ โนอาร์ไม่ได้-”
    “จิน อย่าให้ข้าต้องบุกเข้าไปในห้องด้านหลังเจ้า”

    คำพูดขัดจากปีศาจ ถึงกับทำให้ผู้คุมวิญญาณจนปัญญาที่จะปิดบัง เพราะแม้ยามนี้เขาจะซ่อนกลิ่นอายวิญญาณของภาคินไปแล้ว ทว่าระดับคุณเอทอสคงรับรู้ได้ก่อนเข้ามาในห้องเขาเสียอีก ดังนั้นเท่ากับว่าเมื่อสองสามนาทีก่อนที่เขาลนลานเอาภาคินไปแอบนั้นเสียเวลาแถมยังเหนื่อยเปล่า

    “เฮ้อ… คุณเนี่ยนะแบ่งความเมตตาให้สุดที่รักของคุณบ้างก็ดี” จินถอนหายใจอย่างปลงตก ก่อนจะเอ่ยต่อ
    “ก็นั่นแหละ โนอาร์สั่งผมทำลายดวงวิญญาณภาคิน... อะ เห็นแก่คุณผมจะลองขัดคำสั่งโนอาร์ดูสักครั้งแล้วกัน แต่คุณต้องช่วยปิดเป็นความลับด้วยนะ ไม่อย่างงั้นผมตายแน่”
    “อืม” ปีศาจขานรับในลำคอเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
    “แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงปล่อยวิญญาณภาคินเป็นอิสระตอนนี้ไม่ได้ นักล่าปีศาจนั้นโดนโนอาร์เล่นจนกลายเป็นวิญญาณแค้นคิดแต่จะเอาคืนไปแล้ว ถ้าปล่อยไปคงไม่วายกลับไปรังควานพวกคุณอีก รอให้ผมเปลี่ยนเจ้านั่นกลับมามีกลิ่นอายบริสุทธิ์เหมือนเดิมก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่นะ”

    ได้ยินเช่นนั้นเอทอสก็ได้แต่พยักหน้าตกลง เพราะกลิ่นอายวิญญาณภาคินที่เขาสัมผัสได้ก่อนจะถูกจินเอาไปซ่อนนั้น ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มิหนำซ้ำยังรุนแรงด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายที่ขนาดเขายังไม่อยากเชื่อว่า ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืน

    “ฝากด้วยข้าไว้ใจเจ้า แล้วจากนี้โนอาร์มีแผนอะไรอีก” เสียงทุ้มหนักเอ่ยเค้นความลับต่อ
    “ผมไม่รู้หรอกคุณ โนอาร์สั่งอะไรผมก็ทำตามนั้น ถ้าให้เดาผมว่าคนต่อไปที่โนอาร์จะจัดการคงหนีไม่พ้นวรรษ แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้คุมวิญญาณนั่นทำเรื่องกับคุณไว้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ อย่าบอกนะว่าคุณจะใจดีช่วยหมอนั่นอีกคน” จินว่าพลางหรี่ตามองปีศาจอย่างจับผิด
    “เรื่องเจ้านั่นข้าหาได้ใส่ใจ ข้าเพียงห่วงว่าโนอาร์จะดึงคนที่ไม่เกี่ยวมาเอี่ยวด้วย อย่างสีคราม... น้องชายของเจ้าผู้คุมวิญญาณ”

    คำคาดการณ์แม่นยำของปีศาจถึงกับทำให้จินหลุดสะดุ้งเสี้ยวจังหวะหนึ่ง ยามนึกถึงกระสอบทรายที่เขาเพิ่งลงมนตร์มืดเสร็จหมาด ๆ ซึ่งท่าทีส่อพิรุธนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาคมดุ และไม่นานพ่อค้าน่าสงสารก็จำต้องยอมตอบ เมื่อถูกนัยน์ตาสีแดงเลือดนกมองนิ่ง

    “ทำไมพวกคุณไม่ไปคุยกันเองเนี่ย เฮ้อ... เรื่องของสีครามผมคงช่วยคุณไม่ได้หรอก มันไม่ได้ปิดง่ายแบบของภาคิน ผมไม่อยากเอาชีวิตแสนสดใสในอนาคตมาเสี่ยง”

    จินกล่าวตามจริง ในกรณีของภาคินเขาสามารถแกล้งหลอกว่าจัดการไปแล้วได้เพราะโนอาร์ไม่มีเครื่องพิสูจน์ อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสวิญญาณ ผิดกับกรณีสีครามที่อยู่ในสายตาโนอาร์ตลอดเวลา หากเขาคิดตุกติกไม่มีทางเลยที่ชายอันตรายจะไม่รู้ และถึงจะมีคุณเอทอสออกตัวปกป้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าโนอาร์จะไม่หาโอกาสที่ปีศาจเผลอมาจับเขาฆ่าหมกป่าเงียบ ๆ โทษฐานขัดคำสั่งจนแผนที่เคยวางไว้พังไม่เป็นท่า

    เอทอสที่ได้ฟังคำเลี่ยงปฏิเสธผสานสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคู่สนทนา เท่านั้นปีศาจก็จำยอมไม่คาดคั้นต่อเพราะเห็นแก่อีกฝ่ายที่คอยช่วยเขากับโนอาร์อยู่เสมอ เช่นนั้นร่างยักษ์น่าเกรงขามจึงลุกขึ้นจากโซฟาไม่คิดรบกวนเวลามากกว่านี้ เสียงทุ้มหนักกล่าวลาเจ้าของห้องเล็กน้อย ก่อนกระโดดลงจากหน้าต่างสูงหลายสิบชั้นและกลืนหายไปกับความมืดยามราตรี



    หลังคำขู่เรื่องไม่ยอมพาไปพบผู้มาพระคุณ ชายเลือดเย็นก็คล้ายกลับมาอยู่ในโอวาทปีศาจอีกครั้ง แต่ก็แค่คล้าย โนอาร์เปลี่ยนการลอบออกจากสวนไม่ให้ปีศาจรู้ เป็นการบอกโต้ง ๆ เลยว่าจะแวะไปเยี่ยมผู้คุมวิญญาณที่จับขังไว้ เอทอสที่เห็นดังนั้นก็จำใจปล่อยผ่าน เพราะนอกเหนือจากเรื่องนี้โนอาร์ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก โดยเฉพาะเรื่องของสีครามที่ชายอันตรายไม่มีแววว่าจะสนใจหรือส่งใครไประราน ราวกับจะรามือเลิกยุ่งเกี่ยว ทว่าเอทอสมั่นใจว่าความสงบในช่วงนี้ของโนอาร์เปรียบได้กับคลื่นใต้น้ำ ที่พร้อมกลายเป็นคลื่นสึนามิได้ทุกเมื่อถ้าเขาเผลอ

    “อา... นายครับ”
    “ว่า?” เสียงทุ้มต่ำขานตอบขณะที่สายตายังคงไล่อ่านเนื้อหาในกระดาษ
    “พักนี้คุณโนอาร์ดูยุ่ง ๆ ผมเลยไม่มีโอกาสขอบคุณเรื่องที่ซ้อมมวยของนาวา ถ้าเป็นไปได้นายช่วยบอกคุณโนอาร์ทีนะครับว่านาวาชอบมันมาก เห็นฝึกเล่นทุกเย็นตลอด”

    คำฝากขอบคุณถึงกับทำให้เอทอสเลิกคิ้วสงสัยอย่างประหลาดใจ ก่อนเงยหน้าจากเอกสารเพื่อถามรายละเอียดเพิ่มเติม จึงรู้ว่าโนอาร์แอบไปนัดแนะนาวาว่าจะให้กระสอบทรายซ้อมมวยเป็นรางวัลที่คอยดูแลบ้านทรงไทยประยุกต์ ซึ่งกระสอบทรายดังกล่าวได้ถูกส่งมาเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว

    “เดี๋ยวบอกให้ แล้วนอกจากกระสอบมวย ช่วงนี้โนอาร์ได้ชวนลูกนายไปทำเรื่องแปลก ๆ หรือเปล่า”
    “แปลก ๆ ...ไม่มีนะครับ เห็นคุยแต่เรื่องต่อยตี หมายถึงพวกท่ามวยน่ะครับ- นายครับ” ศิลากล่าวตอบนายใหญ่ ก่อนชะงักไปชั่วครู่เมื่อมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาจนต้องลองเลียบเคียงถามคลายข้อสงสัย
    “คุณโนอาร์... เขาเคยเป็นนักมวยมาก่อนหรือครับ”
    “หึ ก็ทำนองนั้น มีอะไรหรือเปล่า?” เอทอสหลุดหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ฟังข้อสันนิษฐานที่ค่อนข้างห่างไกลจากความจริง
    “เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกว่าคุณโนอาร์ถึงจะยิ้มแย้มเป็นกันเองแต่ก็เหมือนมีบรรยากาศเยือกเย็น น่ากลัว ดูอันตราย... ที่แท้คงเป็นบุคลิกแบบนักมวยเก่าติดตัว”

    ร่างสูงใหญ่ไม่คิดเฉลยปล่อยศิลาให้เข้าใจไปเช่นนั้น พลางจดปากกาเซ็นอนุมัติลงบนกระดาษคล้ายเป็นสัญญาณจบหัวข้อสนทนา ซึ่งผู้เป็นเลขาก็คล้ายรู้หน้าที่ไม่คิดถามหรือชวนคุยเพิ่ม เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยขณะรับแฟ้มเอกสารและเดินออกจากห้องทำงาน ส่งผลให้ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งจวบจนถึงเวลาเที่ยงวันค่อนบ่าย มนุษย์ตัวการผู้ถูกนินทาเมื่อช่วงเช้าก็กลับเข้ามาในสวนหลังออกไปเยี่ยมเยียนของเล่นจนพอใจ

    “แอบไปนัดแนะกับนาวาตั้งแต่เมื่อไร” คำถามเค้นคล้ายจับผิดถึงกับทำให้ช้อนในมือขาวซึ่งกำลังส่งข้าวเข้าปากหยุดชะงัก
    “ครับ? คุณหมายถึงอะไรผมไม่เข้าใจ เด็กนั่นมีแต่มาวอแวให้ผมสอนเทคนิคต่อสู้นอกนั้นก็ไม่ได้อะไรอีก… มีใครบอกคุณแบบนั้นครับ ผมจะได้จัดการโทษฐานที่ยุให้เราผิดใจกัน”

    โนอาร์ที่ตีความไปไกลรีบอธิบายไขข้อเข้าใจผิด ก่อนตบท้ายด้วยตามล่าหาคนผิดมาลงโทษ นัยน์ตารัตติกาลดำมืดจ้องนิ่งราวกับพยายามอ่านใจร่างสูงใหญ่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ซึ่งก็ไม่เห็นอะไรนอกจากนัยน์ตาสีอำพันดุแฝงแววยิ้มเยาะ ชายเลือดเย็นจึงพลันรู้ทันทีว่าผู้เสนอตัวอยากเป็นของเล่นให้เขาก็คือชายเบื้องหน้านี้เอง

    “เอทอส...” โนอาร์ว่าเสียงหน่าย ก่อนส่งช้อนเข้าปากเคียวตุ้ยจนปีศาจนึกมันเขี้ยวเอานิ้วหนาจิ้มแก้มมนุษย์แรง ๆ
    “อื้มม! คุณ!”
    “หึ ๆ ศิลาฝากขอบคุณเจ้าเรื่องกระสอบทรายของนาวา ไม่คิดว่าคนเช่นเจ้าจะมีมุมเอ็นดูเด็ก” ปีศาจแสร้งเปลี่ยนเรื่อง
    “แล้วเป็นยังไงบ้างครับ ชอบหรือเปล่า” มนุษย์เอ่ยถามกลับอย่างสนใจ
    “ชอบมาก เห็นว่าเล่นทุกวัน”
    “ผมก็ชอบคุณมาก แต่คุณไม่เห็นเล่นผมทุกวันเลย”
    “…”

    คำตอบกลับราวกับกำลังคุยกันคนละเรื่องทำให้ร่างสูงใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนวินาทีถัดมาจะถอนหายใจส่ายหน้าหน่ายกับมุกหยอดหน้าตายของมนุษย์ที่ไม่ได้ฟังมานาน ทว่ายังไม่ทันปีศาจได้โต้คืนกลับถูกเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขัดเสียก่อน ร่างสูงใหญ่จึงจำต้องลุกจากโซฟาไปรับสาย ซึ่งชื่อบนหน้าจอก็ทำให้ปีศาจประหลาดใจเล็กน้อย

    “ว่าไงสีคราม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักปลายสาย พลางปรายตาปรามมนุษย์ที่เริ่มแผ่บรรยากาศอึมครึม
    “ได้ ไม่มีปัญหา สะดวกเมื่อไรค่อยนัดอีกที”
    “ไม่เป็นไร ๆ มีอะไรก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว”
    “…อืม ไว้เจอกัน”
    “คุณนัดอะไรกับสีคราม”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่พอใจเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นปีศาจวางสาย เอทอสเห็นทีจึงแกล้งกวนอารมณ์มนุษย์แสร้งเมินไม่สนใจ กลับมานั่งทานมื้อเที่ยงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนชายเลือดเย็นทนไม่ไหวต้องวอนขออีกครา เมื่อนั้นร่างสูงใหญ่ถึงยอมเฉลย

    “สีครามขอให้ข้าช่วยไปดูที่พักใหม่เป็นเพื่อน เหมือนพักที่ร้านจะไม่ค่อยสงบปลอดภัยเท่าไร เพราะมีคนแถวนี้เคยส่งคนไปรังควาน” เอทอสเอ่ยเรียบเรื่อย พลางเหน็บแนมมนุษย์ตัวต้นเรื่องในตอนท้าย
    “ผมจะไปกับคุณ”
    “อืม สีครามฝากชวนเจ้าด้วยเหมือนกัน แต่ถึงไม่ชวน ถึงเวลาเจ้าก็คงเกาะติดข้าไปอยู่ดี” ปีศาจว่าอย่างรู้ทัน และแน่นอนว่ามนุษย์ไม่คิดปฏิเสธ
    “แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เมื่อกี้สีครามโทรมาเลื่อนนัดออกไปก่อน เห็นว่ามีงานเร่งเข้ามากะทันหัน อาทิตย์นี้ข้าเลยว่าง...”
    “ว่าไง สนใจไปเยี่ยมท่านฟอเรสกับข้าไหม”

    หลังฟังคำชวนไม่คาดคิด บรรยากาศอึมครึมอึดอัดรอบกายชายเลือดเย็นพลันมลายหาย เหลือเพียงรอยยิ้มมุมปากและนัยน์ตารัตติกาลประกายวาวดีใจ อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง กลับน่าเอ็นดูในสายตาอำพันดุอย่างประหลาด เป็นผลให้ฝ่ามือใหญ่ต้องยื่นไปยีผมโนอาร์จนยุ่งกระเซอะกระเซิง ซึ่งก็ได้คำบ่นฮึดฮัดจากมนุษย์ตามระเบียบ แต่ถึงกระนั้นคนถูกแกล้งหยอกก็ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทที่ 34 หนทาง]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 02-05-2021 23:29:59
(ต่อ)


    ยามรุ่งสางของเช้าวันอาทิตย์ บ้านพักทรงไทยประยุกต์ดูคึกคักเป็นพิเศษ เหตุมาจากมนุษย์ตื่นมาเตรียมของเยี่ยมของฝากมากมาย กระทั่งเสร็จสิ้นจึงกลับไปลากปีศาจเจ้าบ้านที่ยังคงแกล้งนอนไม่ยอมลุกให้รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไม่ให้ออกเดินทางสาย

    “ข้าว่าข้าอยากเปลี่ยนเสื้อ”

    ร่างสูงใหญ่ว่าพลางก้มมองเสื้อโปโลคู่รักที่เขาและมนุษย์กำลังใส่อยู่ ทีแรกเอทอสคิดว่าคงเป็นเสื้อธรรมดาเลยหยิบสวมแบบไม่ทันสำรวจตรวจดูก่อน กระทั่งออกจากห้องแล้วเห็นเสื้อโนอาร์ที่นั่งคอยตรงห้องรับแขกมีสีและลายเดียวกับเขา ที่สำคัญมีการปักข้อความภาษาอังกฤษตรงด้านหลังแปลความว่า ‘ของเอทอส’ ไม่ต้องเดาเลยว่าข้อความที่เด่นอยู่กลางหลังเขาตอนนี้จะปักคำว่าอะไร

    “สายแล้ว คุณไปเตรียมรถรอ เดี๋ยวผมปิดบ้านให้” โนอาร์เลือกเมินเสียงเอทอสก่อนเดินผ่านร่างสูงใหญ่ไปทำอย่างที่ปากว่า โดยสิ่งแรกที่ล็อกคือประตูห้องนอน เสมือนการปิดโอกาสเปลี่ยนเสื้อของปีศาจไปโดยปริยาย

    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย การเดินทางไปเยี่ยมผู้มีพระคุณตั้งแต่เช้าตรู่จึงเริ่มขึ้น รถกระบะสีดำขับมุ่งขึ้นเหนือเข้าสู่ภูมิประเทศที่ราบสูง ทิวทัศน์สองข้างถนนอันทอดยาวเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีสลับแซมต้นไม้ใหญ่ ห่างออกไปเห็นแนวทิวเขารายล้อมอยู่ไกล ๆ กระจกหน้าต่างรถเปิดรับสายลมเย็นปลอดโปร่ง ชวนให้สูดหายใจเข้าลึกรับกลิ่นไอดินยามเช้า โดยมีนัยน์ตาสีอำพันดุคอยลอบมองมนุษย์ข้างกายซึ่งกำลังชมทัศนียภาพด้านนอกเป็นระยะ สีหน้าเรียบนิ่งทว่าเจือความผ่อนคลายของโนอาร์ ช่วยเติมเต็มความรู้สึกส่วนลึกในใจปีศาจให้อบอุ่นเป็นสุข ราวกับช่วงชีวิตอันแสนสงบที่เอทอสเคยเฝ้าวาดหวังจะเกิดขึ้นจริงในเวลานี้

    “คุณ อ้าปาก”

    เสียงเรียกของมนุษย์ทำให้ปีศาจหลุดจากภวังค์ ถึงเพิ่งสังเกตว่าโนอาร์ได้ยื่นแซนด์วิชพอดีคำจ่อมุมปากเขาอยู่ ซึ่งร่างสูงใหญ่ไม่คิดปฏิเสธน้ำใจ ก้มลงกัดแผ่นขนมปังโดยจงใจให้ริมฝีปากสัมผัสถูกปลายนิ้วคนป้อนเล็กน้อย

    “ฝืนใจกินแซนด์วิชไปก่อนนะคุณ เดี๋ยวกลับบ้านเราเมื่อไร ผมจะให้คุณกินเต็มที่” ถ้อยคำผสานน้ำเสียงแฝงความรู้สึกผิดถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่ขมวดคิ้วงุนงง
    “ทำไมข้าต้องฝืนใจ”
    “ผมรู้คุณอยากกินผม คุณจ้องผมมาสักพักแล้ว ถ้าขากลับคุณอดใจรอถึงบ้านไม่ไหว เราแวะค้างโรงแรมกันสักคืนดีไหม เพราะทำในรถคงแคบเกินไป”

    เมื่อนั้นบรรยากาศเรียบเรื่อยสุขสงบที่ปีศาจเฝ้าฝันพลันพังทลายสิ้นด้วยคำเยินยอหลงตัวเองของคู่ครอง


    หลังเดินทางนานหลายชั่วโมง ในที่สุดรถกระบะก็มาถึงจุดหมาย บ้านไม้สองชั้นห้อมล้อมร่มรื่นด้วยสนามหญ้าและสวนผลไม้นานาพรรณ เป็นที่พักอาศัยปัจจุบันของผู้มีพระที่เคยชุบเลี้ยงปีศาจเมื่อเยาว์วัย ร่างสูงใหญ่ไม่รีรอถือของเยี่ยมเดินนำคู่ครองเข้าตัวบ้าน ซึ่งขณะนี้มีหญิงสาวกำลังนั่งจิบชาคอยอยู่

    “สวัสดีครับท่านฟอเรสท่านอนันต์ ข้ามาเยี่ยมพวกท่านครับ ส่วนนี่เป็นของเยี่ยมของฝากที่คู่ครองข้าตั้งใจนำมามอบให้”

     ถ้อยเสียงทุ้มต่ำแฝงความสุภาพนอบน้อมยามทักทายผู้มีพระคุณ ทำให้หัวใจเยือกแข็งของชายเลือดเย็นสั่นไหวอย่างประหลาด โนอาร์เหลือบมองร่างสูงใหญ่ข้างกายเล็กน้อย ใบหน้าคมเข้มยังคงสงบนิ่งทว่าแววตากลับดูอบอุ่นมีความสุข เช่นนั้นรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยคล้ายอมยิ้มจึงปราฎร่วมยินดีกับปีศาจผู้เป็นที่รัก
    ครู่ต่อมานัยน์ตารัตติกาลถึงหันมองสำรวจหญิงสาวผู้มีพระคุณ เส้นผมยาวเขียวเข้มอมดำ ดวงตาสีเขียวมรกตแฝงความดื้อรั้น และใบหน้าซึ่งยังคงสาวสวยไม่ต่างจากความทรงจำในความฝัน ราวกับเวลาที่ผันผ่านมาเป็นสิบปีมิอาจทำอะไรเธอผู้นี้ได้เลย

    “สวัสดีครับคุณฟอเรสกับคุณอนันต์ ผมโนอาร์ เป็นคู่ครองของเอทอส”

    มนุษย์เอ่ยแนะนำตัว พลางค้อมศีรษะแสดงความเคารพเล็กน้อย ถึงแม้ในสายตารัตติกาลจะมองเห็นเพียงหญิงสาว ทว่ากลับไม่ลืมกล่าวทักทายใครอีกคนซึ่งอยู่เหนือการรับรู้ของเขา

    “พวกเราอยู่กินกันมานานแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสมาแนะนำตัวต้องขออภัย ถึงผมจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่ผมขอรับรองว่าจะดูแลหลานชายของพวกคุณอย่างดี ผมจะทำให้เอทอสมีความสุขและไม่นึกเสียใจที่เลือกผมเป็นคู่ครอง จะทำหน้าที่ปรนนิบัติให้สมเป็นศรีภรร-”
    พอแล้ว! โนอาร์

    เสียงทุ้มหนักพลันดังก้องในความคิด เมื่อปีศาจรีบคว้าแขนปรามมนุษย์ที่ยังคงค้อมศีรษะพูดร่ายยาวราวกับกำลังสาบานตนในพิธีแต่งงาน ซึ่งหลังโดนขัดโนอาร์ก็ยอมเงยหน้าขึ้นแต่โดยดี ถึงเพิ่งสังเกตว่ายามนี้ใบหูของร่างสูงใหญ่ข้างกายกำลังขึ้นสีแดงร้อนผ่าว

    “เอาแต่พูดว่าเป็นคู่ครอง ๆ ยังไม่เห็นแสดงหลักฐานอะไรสักอย่าง”

    หญิงสาวเอ่ยพลางวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะปรายสายตามองสำรวจหลานชายและมนุษย์ตรงหน้าราวกับไม่คิดเชื่อ เช่นนั้นร่างสูงใหญ่จึงถกชายเสื้อขึ้นสูงเผยมัดกล้ามเนื้อแกร่งซึ่งซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า รวมถึงลวดลายเปลวเพลิงที่ปรากฏเด่นชัดอยู่กลางแผ่นอกหนากว้างแข็งแรง สัญลักษณ์แบบเดียวกับตรงบริเวณไหปลาร้าใกล้ลำคอขาว ซึ่งมนุษย์ได้ใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อลงพลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อให้ผู้พิสูจน์มองเห็นได้อย่างชัดเจน

    หลังสัญลักษณ์ครองคู่เป็นที่ประจักษ์สู่สายตา ฟอเรสพลันลุกขึ้นเดินตรงไปหามนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในบ้าน พร้อมจับร่างสูงสมส่วนหมุนซ้ายขวาพิจารณา จวบจนพึงพอใจ สีหน้าหญิงสาวที่พยายามเกร็งขรึมถึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเบิกบานพลางหันไปฟาดมือใส่กลางแผงอกหลานชายแรง ๆ สองสามที จนชายเลือดเย็นได้ยินปีศาจแว่วร้องเสียง ‘อั่ก’ เบา ๆ ซึ่งโนอาร์กลับได้แต่ยืนมองนิ่งขมวดคิ้วมุ่นเนื่องจากถูกนัยน์ตาสีอำพันดุปรามห้ามไว้

    “แหม่! อายุไม่ถึงขึ้นร้อยกลับมีคู่ครองเป็นตัวเป็นตน ไม่เบาหนิหลานข้า” หญิงสาวเอ่ยอย่างภูมิใจ ก่อนเดินนำไปทางโต๊ะอาหาร ไม่ลืมบอกให้เอทอสถือเหล่าอาหารของฝากตามมา เพื่อจะได้นั่งกินพลางพูดคุยกันได้สะดวก
    “อนันต์ฝากถามว่าเจอกันได้ยังไง ข้าก็อยากรู้เหมือนกันไหนเล่าซิ หลานสะใภ้… เอทอส! เอาอาหารไปจัดใส่จานสิ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้ข้าสั่งฮะ”

    ฟอเรสเป็นสื่อกลางช่วยอนันต์ถามด้วยความตื่นเต้น ตบท้ายไม่วายแกล้งใช้งานหลานชาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างคู่ครอง ส่งผลให้โนอาร์ได้แต่มองผู้เป็นสามีโดนทารุณโดยไม่อาจทำอะไรได้

    “ผมเจอเอทอสครั้งแรกในป่า ตอนนั้นผมกำลังเดินกลับไปที่รถหลังจากฝังศพเหยื่อเสร็จ เลยบังเอิญเห็นเอทอสที่บาดเจ็บจากพวกนักล่าปีศาจ ผมเลยช่วยไว้และจากนั้นเราก็อยู่ด้วยกันจนถึงปัจจุบัน”
    “…”
    “เรื่องที่เอทอสถูกนักล่าปีศาจตามล่าเกิดจากความเข้าใจผิด เอทอสไม่ได้ฆ่ามนุษย์ และผมได้จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง”
    “งั้นหรือ... เมื่อกี้เหมือนข้าฟังไม่ถนัด ตอนพบเอทอสครั้งแรกเจ้าไปทำอะไรในป่านะ?” ฟอเรสถามซ้ำราวกับไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้ยินเท่าไรนัก
    “ฝังศพคน ผมเป็นนักฆ่าหรือให้ถูกจะเรียกว่าฆาตกรก็ได้ แต่พวกคุณไม่ต้องกังวล ผมจะเล่นงานเฉพาะคนที่เป็นภัยกับเอทอส ซึ่งพวกคุณเป็นผู้มีพระคุณเสมือนพ่อแม่ ถึงสมัยเอทอสยังเด็กคุณจะใช้บทลงโทษรุนแรงไปบ้างจนไม่น่าให้อภัย แต่หลังจากนั้นพวกคุณก็เลี้ยงดูเอทอสอย่างดีจนมาพบผม เลยถือว่ายังไม่เข้าข่ายที่ต้องกำจัด”
    “โนอาร์!”

    เสียงทุ้มหนักตะโกนดังจากในครัวปรามคู่ครอง ก่อนตามด้วยร่างสูงใหญ่วิ่งมาดูสถานการณ์ พบว่าบัดนี้ท่านฟอเรสได้นั่งนิ่งช็อกเป็นที่เรียบร้อย ลำบากวิญญาณท่านอนันต์ต้องคอยลูบปลอบสงบสติอารมณ์ ซึ่งมนุษย์ตัวการก็เพียงยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ไม่มีทีท่าไยดีรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย

    “เอทอส!! เจ้าไปเอาใครมาเป็นสะใภ้ข้าหา!!!” หญิงสาวหันไปตวาดลั่นใส่หลานชาย ห้องรับประทานอาหารพลันเกิดลมกระโชกพัดรุนแรงตามอารมณ์ที่กำลังปะทุของปีศาจวายุพฤกษา
    “ถึงโนอาร์จะดูชั่วช้าไม่น่าคบหา แต่ข้าก็รักไปแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันข้ารับประกันว่า เนื้อแท้โนอาร์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิด!”

    ร่างสูงใหญ่ตะเบ็งเสียงสู้ลมพายุที่พัดกระหน่ำ ทว่าแม้ไม่ใช่เวลา มนุษย์ผู้ทันได้ฟังถ้อยคำคล้ายสารภาพรักจากปีศาจ กลับหลุดยิ้มมุมปากดีใจเล็กน้อย

    “ข้าอยากจะบ้าตาย เจ้านี้มัน... เหอะ! เอาเถอะ ภูมิหลังจะเป็นอะไรก็ช่าง ยังไงซะสัญลักษณ์ครองคู่บนตัวพวกเจ้าก็เป็นความจริง” ฟอเรสบ่นหลานชายอย่างปลงตก ก่อนสะบัดมือสลายลมพัดโหมส่งผลให้ห้องรับประทานอาหารกลับคืนสู่ความสงบอีกครา แล้วถึงค่อยหันมาถามหลานสะใภ้นักฆ่าของตน
    “แล้วตอนนี้เจ้าทำอะไร? คงไม่ได้ทำแบบเดิมอยู่หรอกนะ”
    “ช่วงนี้ผมช่วยเอทอสดูแลสวนรฦกวัลย์เป็นหลัก”
    “เฮ้อ... ถ้างั้นก็ดีแล้ว”

    หญิงสาวพลันถอนหายใจโล่งอก ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมใดถึงทำให้ชีวิตหลานของตนต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องดำมืดโหดร้าย ถึงสมัยที่เอทอสยังเรียนเขาและอนันต์จะดึงหลานกลับสู่หนทางที่ถูกที่ควรได้ ทว่าเมื่อเติบใหญ่กลับดันเลือกคู่ครองเป็นมนุษย์เช่นนี้อีก เขาก็สุดจนปัญญาจะห้ามปราม ได้แต่ขอโทษธีออสกับเอวาในใจ เพราะพวกเขาเลี้ยงดูหลานชายเต็มความสามารถแล้วจริง ๆ

    หลังผ่านความวุ่นวาย ผู้มีพระคุณก็เรียกหลานชายและหลานสะใภ้มานั่งคุยซักถามอย่างจริงจัง ซึ่งผลพวงจากรสชาติอาหารของเยี่ยมฝีมือโนอาร์ บวกกับคารมทักษะการพูดจนทำให้หญิงสาวคล้อยตามทีละน้อย เพียงไม่กี่ชั่วโมงบรรยากาศก็กลับคืนสู่ความปกติสุข ทว่าก็เหมือนมีบางสิ่งที่ยังคงติดข้าง

    “เอทอส ข้าอยากดื่มกาแฟร้านประจำ ไปซื้อให้ข้าที่สิ” คำสั่งจากหญิงสาว ทำให้ร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังนั่งคุยสื่อสารกับวิญญาณท่านอนันต์อยู่ไม่ไกลจำต้องลุกขึ้นเตรียมตัว
    “ครับ แล้วร้านประจำของท่านคือ...”
    “คิดเองเป็นไหมฮะ เรื่องแค่นี้ยังต้องถามข้าแล้วจะดูแลโนอาร์ได้ยังไง ไปสักทีเสียเวลาข้าคุยกับหลานสะใภ้”

    ว่าจบ หญิงสาวก็หันไปคุยสนุกกับชายเลือดเย็นต่ออย่างไม่คิดเหลียวแลหลานชาย โชคดีที่อนันต์เห็นใจจึงอาสานำทางไปเป็นเพื่อน ดังนั้นหลังสองหนุ่มจากไป บ้านกลางสวนในเวลานี้จึงเหลือเพียงหนึ่งมนุษย์และปีศาจสาว

    “ว่าไง มีอะไรจะถามข้าใช่ไหม” ฟอเรสเอ่ยเข้าเรื่องทันที เมื่อไล่หลานชายไปพ้นหูพ้นตา
    “พันธะครองคู่คืออะไร ผมต้องการใช้มันช่วยเอทอส”

    โนอาร์พูดถึงจุดประสงค์หลักของการเยี่ยมเยียน ในอดีตของเอทอสมีช่วงหนึ่งที่ฟอเรสหลุดพูดว่าสามารถช่วยชีวิตอนันต์ที่กำลังสิ้นใจเพราะฤทธิ์คำสาป สถานการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับปีศาจที่ถูกมนตร์มืดกำหนดให้ตายตอนสิ้นปี ฉะนั้นสำหรับชายเลือดเย็น พันธะครองคู่จึงเสมือนเป็นหนทางเดียวและความหวังสุดท้ายในการยื้อชีวิตเอทอสให้รอดพ้นจากความตายที่กำลังขยับใกล้เข้ามา

    “เอทอสเป็นอะไร?” หญิงสาวถามกลับอย่างกังวล
    “เขาช่วยชีวิตผมจนถูกมนตร์มืดจากผู้คุมวิญญาณ และอีกไม่นานจะต้องตาย ผมลองหาทุกวิธีแล้วแต่มันไม่มีทางถอดถอนหรือรักษา พันธะครองคู่เลยเป็นทางเดียวของผมที่จะช่วยเอทอสได้”
    “…”

    นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันเกิดความวูบไหวหมองหม่น ยามรู้ว่าตลอดวันที่เขาเล่นหยอกล้อกับหลานชาย เอทอสเพียงแสร้งทำเป็นปกติดีทั้งที่จริงเหลือเวลาอีกไม่นาน และนี่อาจเป็นคราวสุดท้ายที่ได้พบกันทว่าอีกฝ่ายกลับเลือกเก็บงำเอาไว้ไม่บอกกล่าว เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์ ความจริงไม่คาดฝันถึงกับทำให้ปีศาจสาวต้องใช้เวลาควบคุมห้วงอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งถึงสามารถเริ่มคุยต่อ ซึ่งระหว่างนั้นโนอาร์เพียงนั่งรออย่างใจเย็น ไม่คิดเร่งรัดคาดคั้นแต่อย่างใด

    “พันธะครองคู่ มันมีราคาที่ต้องแลก และมันอาจไม่คุ้มเลยสำหรับเจ้าที่เป็นเพียงมนุษย์”
    “ผมไม่มีปัญหาเรื่องนั้น จะเสียอะไรก็ได้แค่ให้เอทอสมีชีวิตอยู่ต่อก็พอ” ถ้อยเสียงตอบกลับแน่วแน่เจือความหวัง กลับทำให้ปีศาจสาวยิ่งหม่นเศร้า เพราะมันหมายความว่า มนุษย์เบื้องหน้ามิได้รู้อะไรเกี่ยวกับพันธะครองคู่เลย
    “…เช่นนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องทำความเข้าใจเสียใหม่”
   “พันธะครองคู่ ไม่ใช่ทางแก้หรือทางรักษาอย่างที่เจ้าคิด ไม่ว่าจะใช้หรือไม่เมื่อถึงวันนั้น...”
    “…”
    “เอทอสจะต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี”



บท34 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน


    ระหว่างเขียนบทนี้ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นครับ ในตอนแรกคนเขียนตั้งใจให้ ดรีม กับ นาวา และใครอีกคนซึ่งจะปรากฏตัวในบทหน้า จะมีเรื่องแยกเป็นของตัวเอง แต่อยู่ ๆ คู่ของภาคินในร่างสภาพวิญญาณกับจินก็พุ่งแรงแทรกเข้ามา จนคนเขียนตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องแยกของเขาสองคนนี้ดูด้วยครับ แต่ว่าคนรอคิวนานหน่อย หากคนอ่านสนใจไว้คนเขียนจะมาแจ้งเมื่อเริ่มเปิดเรื่องนะครับ^^


    นับเคาท์ดาวน์เหลืออีกเพียง 2 บทเอทอสกับโนอาร์ก็จะเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้วครับ(บทสุดท้ายคือ บทที่ 36) คนอ่านกับคนเขียนเดินทางกันมาไกลมาก คนเขียนมีดีใจมากเลยครับ คนเขียนพูดอะไรไม่ค่อยออกเลยมักอึน ๆ ตัน ๆ แบบตื้นตันคล้ายบอกไม่ถูก คนอ่านอยากบอกอะไรส่งท้ายเรื่องนี้หรือบอกแนะคนเขียนคอมเมนท์ได้เลยนะครับ^^

หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 34 หนทาง) [02/05/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 07-05-2021 06:43:09
งือออออ จะจบแล้วววว ลุ้นมากว่าสุดท้ายจะต้องมีใครสละชีวิตไหมมมม

แล้วก็ขอกรี๊ดเรือผี จินภาคินหน่อย ตะหงิดตอนอ่านครั้งแรกแล้วว่าเคมีมันเข้าแปลกๆ ภาคินเวอร์ชั่นเกรี้ยวกราดต้องกร้าวใจมากแน่ๆ <3

ปล. ไปเจองานอาร์ทการ์ตูนในทวิตที่ทำให้นึกถึงเอทอสโนอาห์มา เดี๋ยวจะลองรีทวิตแล้วแท็กนิยายดูนะ คนเขียนอย่าลืมไปส่อง แซ่บมาก
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 34 หนทาง) [02/05/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: yumyai_fishery ที่ 07-05-2021 14:35:26
อวยพรให้ไรท์ สุขภาพแข็งแรง...เพราะเราอยากอ่านเรื่องของจินแย้วววววว :z2:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 34 หนทาง) [02/05/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-05-2021 01:29:47
ใกล้จบแล้ว ยังไงก้อจะรออ่าน คู่อื่นด้วยยย
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทที่ 35 สีคราม]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 13-05-2021 21:44:22
    บริเวณกำแพงปูนแตกระแหงหลุดลอกจนเห็นอิฐเปลือยของส่วนหลังบ้านร้างเก่าโดดเดี่ยวห่างไกลชุมชน มีวัตถุทรงสูงขนาดใหญ่คลุมทับด้วยผ้าใบพลาสติกสีดำทึบปกปิดมิดชิด สิ่งนั้นถูกห้อยลอยเคว้งกลางอากาศตากแดดร้อนแผดเผา โดยมีรอกโซ่ฝังติดกับกำแพงคอยยึดไม่ให้หล่นร่วงลงมา

    นัยน์ตารัตติกาลดำมืดแหงนมองเครื่องทรมานด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนเดินไปยังสายโซ่เพื่อสาวรอกให้วัตถุใหญ่สีดำกลับคืนสู่พื้น ฝ่ามือขาวกระตุกผืนผ้าใบออกเผยกรงเหล็กเล็กแคบซึ่งภายในนั้นมีร่างชายเปลือยสภาพอิดโรยอ่อนแรงโดนกักขังอยู่ พื้นที่จำกัดจนไม่อาจทรุดนั่งบีบบังคับให้คนถูกทรมานจำต้องยืนแม้ขาสองข้างจะอ่อนเปลี้ยไหวสั่น ทั่วกายอาบชุ่มด้วยเหงื่อชวนให้รู้สึกเหนียวเหนอะ ใบหน้าขึ้นสีแดงจากความร้อนอบอ้าวและขาดน้ำ เนื่องจากถูกปล่อยทิ้งกลางแดดมาตลอดสามวันสามคืน ไม่อาจเรียกความสงสารเห็นใจให้กับผู้กระทำที่เฝ้ามอง

    “แกร๊ก... ตุบ!!”

    ร่างไร้เรี่ยวแรงล้มพับทันทีเมื่อกรงเหล็กถูกเปิด ก่อนจะถูกพยุงลุกกึ่งเดินกึ่งลากไปที่ไหนสักแห่ง สายตาอันพร่าเลือนของวรรษเห็นเพียงปลายเท้าตัวการสลับย่างก้าวเป็นจังหวะ ไม่มีแม้แต่แรงผงกหัวเงยมองใบหน้าศัตรูแค้น แสงรอบข้างที่ค่อยมืดลงจนสลัวกับเสียงและแรงสะเทือนคล้ายกำลังลงบันได ทำให้ร่างอ่อนเพลียพลันเกร็งฝืนต่อต้านตามสัญชาตญาณ ความทรมานยิ่งกว่าตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังคงฝังลึกใต้จิตสำนึก ความหวั่นเกรงกลัวต่อสิ่งที่รออยู่กู่ร้องอ้อนวอนให้ร่างกายฮึดสู้ดิ้นหนี ทว่าแท้จริงกลับไม่มีส่วนใดขยับทำตามสั่ง

    กระทั่งร่างถูกพานอนราบ แผ่นหลังเปลือยชื้นเหงื่อสัมผัสถึงความแข็งกระด้างอันไม่อยากคุ้นชิน รู้สึกถึงสายรัดซึ่งกำลังล็อกตรึงแขนขากระตุ้นหัวใจสั่นระรัว ครู่หนึ่งพื้นที่นอนราบกลับเริ่มลาดเอียงยกปลายเท้าสูงกว่าระดับศีรษะ ก่อนตามด้วยเงาร่างเพชฌฆาตที่มายืนค้ำหัว ในมือถือผ้าฝืนหนึ่งที่เขารู้ดีว่าจะเอามาทำอะไรทว่ากลับไม่มีโอกาสดิ้นรน ไม่นานผ้าดังกล่าวก็ถูกวางคลุมใบหน้าปิดประสาทการมองเห็น ทว่าเสี้ยววินาทีก่อนที่ทุกอย่างจะย้อมกลายเป็นสีดำสนิท ผู้คุมวิญญาณทันสบนัยน์ตารัตติกาลถึงกับชะงักงัน เมื่อแววตาที่เคยแฝงแววสนุกสนานชิงชังยามนี้กลับดูเฉื่อยชาว่างเปล่า ไร้แสงแห่งความหวังยิ่งกว่าเขาผู้ถูกทรมาน

    “อั้ก!... อั้ก ๆ อ้อก! ๆ อั้ก! อั้ก!...”

    เสียงสำลักน้ำขาดอากาศดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้องใต้ดินมืดสลัว ความเปียกชื้นเย็นเยียบไปถึงแกนกระดูกประดังเทมาพร้อมน้ำที่ราดรดใบหน้าไร้ที่ท่าว่าจะหยุด มวลของเหลวซึมไหลผ่านผืนผ้าทะลักเข้าโพรงปากและจมูก คั่งค้างเต็มช่องคอจนเอ่อล้นอึดอัดเฉกเช่นคนจมน้ำ รู้สึกพะอืดพะอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยากอ้วกสำรอกคายน้ำที่ขังเต็มทว่ามีแต่จะเพิ่มพูน น้ำหูน้ำตาไหลปนเป ร่างถูกขึงตึงตะเกียกตะกายพล่านพยายามหนีมวลน้ำไขว่คว้าหาอากาศ ความทรมานหายใจไม่ออกผสานความมืดเพราะดวงตาถูกผืนผ้าชื้นเย็นอุ้มน้ำปิดบัง หล่อหลอมเป็นความรู้สึกราวกับโดนถ่วงจมลงไปใต้ห้วงทะเลมืดลึกก็ไม่ปาน
    กระทั่งสติเริ่มเลือนจากคล้ายเห็นด้ายขาวแห่งความตายพาดผ่านสุดปลายสายตา ที่มาพร้อมกับความหวังว่าครานี้จะสามารถก้าวข้ามหลุดพ้นจากขุมนรกได้เสียที

    “พลั่ก!”
    “อ้อก! แค่ก! แค่ก! แค่ก! ๆ”

    วินาทีใกล้ถึงแสงปลายทางพลันโดนผู้ลงทัณฑ์ฉุดกระชากกลับมา ร่างอ่อนเปลี้ยสำลักน้ำถูกผลักกลิ้งตกจากแท่นทรมานคว่ำกระแทกพื้น ส่งผลให้มวลน้ำมากมายที่คั่งค้างเต็มโพรงจมูกและลำคอถูกร่างกายสำรอกไอ้หอบจนตัวโยน ทว่าได้เวลากอบโกยหายใจเข้าไม่นาน กลุ่มผมเปียกโชกกลับโดนชายไร้เมตตาทึ้งลากขึ้นมาบนแท่นอีกครั้ง วรรษพยายามปัดป้องเปล่งเสียงต่อรองอย่างคนจนตรอก แต่ถ้อยคำกลับโดนกลบจากอาการไอสำลักที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้กระทำยั้งมือแต่อย่างใด เพียงชั่วอึดใจร่างกายอ่อนล้าเปลือยเปล่าของผู้คุมวิญญาณก็ถูกขึงตึงเช่นเดิม พร้อมผ้าอุ้มน้ำเปียกชุ่มผืนเก่าค่อยวางคลุมลงบนใบหน้าที่สะบัดดิ้นต่อต้าน ก่อนทุกอย่างจะกลายเป็นเสียงดิ้นทุรนทุรายสำลักอึกอัก สื่อแทนถึงความทรมานอันไร้จุดสิ้นสุด


    จวบกระทั่งเวลาร่วงเลยไปหลายชั่วโมงจากบ่ายคล้อยเข้าสู่ยามเย็น การทารุณก็ถึงคราวหยุดพักเมื่อชายเลือดเย็นยอมรามือ โนอาร์พาร่างโงนเงนหมดกำลังของผู้คุมวิญญาณไปยังเตียงเก่า จับนอนหงายก่อนขึงล็อกสองมือสองเท้ากับตัวเตียงไม่ให้ลุกหนี ก่อนเดินแยกออกไปและกลับมาอีกครั้งพร้อมสายยางสองเส้นต่างขนาด เส้นหนึ่งจับทะลวงโพรงปากสอดลึกผ่านหลอดอาหารลงไปถึงกระเพาะ ตรงส่วนต้นของสายต่อกับถุงอาหารเหลวแขวนลอยสูง เพื่อให้สารอาหารไหลลำเลียงผ่านท่อตรงสู่ท้องโดยไม่ต้องเสียแรงเคี้ยวกลืน
 
    หลังจัดแจงป้อนอาหารเรียบร้อย ขั้นต่อมาคือการขับถ่าย ฝ่ามือชายเลือดเย็นจับองคชาตอ่อนนิ่มของคนบนเตียง ก่อนบรรจงสอดสายยางเคลือบสารหล่อลื่นเล็กน้อยพอให้ยัดเข้าผ่านรูเล็กตรงส่วนปลาย ร่างผู้โดนกระทำพลันกระตุกเกร็งดิ้นส่งเสียงร้องอื้ออึงไม่ได้ศัพท์ ยิ่งสายยางชำแรกสวนลึก ความเจ็บปวดแสบร้อนยิ่งเพิ่มทวีคูณ รู้สึกรวดร้าวราวกับบริเวณนั้นกำลังถูกแทงทึ้งด้วยเหล็กแหลมรุนแรง จนปลายสายเดินทางทะลุเข้าถึงกระเพาะปัสสาวะ ของเสียกลิ่นฉุนในร่างก็พลันไหลย้อนตามสายลงถุงที่ห้อยรอรับอยู่ข้างเตียง

    นัยน์ตารัตติกาลเพียงมองสภาพเหนื่อยหอบน่าสังเวช เฝ้ารอจนถุงอาหารเหลวถูกคนบนเตียงดูดซึมหมดสิ้น ถึงจัดการนำถุงอาหารเปล่าไปทิ้งและอุดปิดต้นสายกันเชื้อเข้า โดยยังคงให้สายท่อข้างในลำคอสร้างความทรมานอึดอัดอยู่เช่นนั้น โนอาร์เพียงเหลือบมองเหยื่อส่งท้ายแล้วจึงเดินกลับขึ้นไปชั้นบนของบ้านร้าง ปล่อยทิ้งผู้คุมวิญญาณให้จมอยู่ในห้วงระทมทุกข์ท่ามกลางความมืดอันเวิ้งว้าง



    รถเก๋งสีน้ำตาลเข้มเกือบดำซึ่งจินเป็นผู้จัดหาขับเข้าจอดใต้ถุนบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ก่อนตามด้วยร่างสูงของชายเลือดเย็นลงจากรถเดินเข้าตัวบ้าน เพื่อเตรียมมื้อเย็นรอการกลับมาของใครอีกคน หลังอาหารจานสุดท้ายถูกวางลงบนโต๊ะกินข้าวไม่นาน รถกระบะดำขลับก็มาถึง โนอาร์ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วจึงเดินไปทักทายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าประตู

    “ผมเพิ่งทำมื้อเย็นเสร็จพอดี คุณอยากอาบน้ำก่อนไหมหรือจะกินเลย” มนุษย์ถามพลางมองสำรวจบุคคลเบื้องหน้า ซึ่งดูเหมือนวันนี้นายใหญ่สวนรฦกวัลย์จะสะสางภาระงานเรียบร้อย ถึงไม่มีแฟ้มเอกสารถือติดกลับมา
    “กินก่อน เดี๋ยวของที่เจ้าทำจะเย็นชืดเสียหมด”

    ร่างสูงใหญ่ว่าพลางเดินนำไปยังโต๊ะกินข้าว ระหว่างมืออาหาร นัยน์ตาสีอำพันดุเฝ้าสังเกตมนุษย์ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ ตั้งแต่กลับจากการเยี่ยมเยียนผู้มีพระคุณเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โนอาร์คล้ายเซื่องซึมหมองหม่นไปถนัดตา แม้มนุษย์จะทำตัวเหมือนปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะปิดบังเขาได้ ซึ่งเมื่อได้ลองถาม อีกฝ่ายก็ตอบกลับโดยพลัน

    ‘ผมเป็นคนโลภเอทอส หลังพบอนันต์กับฟอเรสผมรู้ว่าเลยว่าเท่านั้นมันไม่พอ ผมอยากนอนกอดคุณทุกคืน อยากสัมผัสไออุ่นจากคุณ อยากทำอะไรอีกหลายอย่างพร้อมคุณ แต่อีกไม่นานผมจะทำมันไม่ได้แล้ว... แค่คิดผมก็อยากจะฆ่าผู้คุมวิญญาณนั่นซ้ำ ๆ กล้าดียังไงมาพรากคุณไปจากผม’

    พอว่าจบโนอาร์ผู้หดหู่ก็กลายเป็นกราดเกรี้ยวโกรธาแผ่รังสีดำอำมหิต ทว่าสักพักก็กลับมาห่อเหี่ยวใหม่ ปีศาจที่คราแรกตั้งใจว่าจะกล่าวปลอบประโลม เมื่อเห็นดังนั้นจึงเลือกเมินเฉยไม่สนใจ เพราะหากตอนท้ายสามารถวกมาคิดเรื่องชั่วร้ายได้ แสดงว่ายังปกติดี


    “เหมือนสีครามจะว่างแล้ว วันหยุดนี้เลยว่าจะไปดูที่พัก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นลอย ๆ หลังจบมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อย
    “ต้องการแถวไหน เผื่อผมจะช่วยหา”
    “ถึงวันก็รู้เอง ข้าไม่อยากได้เซอร์ไพรส์อะไรจากเจ้า”

    ปีศาจกล่าวดักทางมนุษย์ก่อนลุกจากโต๊ะไปอาบน้ำ อย่างโนอาร์มีหรือจะหวังดีช่วยสีคราม หากบอกสถานที่ให้รู้ล่วงหน้าคงไม่วายแอบจัดฉากรังแกรุ่นน้องเขาจนไม่เป็นอันหาที่พักใหม่ ซึ่งจากที่ว่ามาดูเหมือนการไม่พาชายอันตรายผู้นี้ไปด้วยจะเป็นการดีสุด ทว่าตอนที่สีครามเอ่ยปากชวนนั้นเอทอสกลับไม่คิดขัด เพราะเมื่อลองช่างน้ำหนักดูย่อมเข้าใจดีว่า หากเขาไปกับรุ่นน้องเพียงสองต่อสอง จะเกิดมหันตภัยใดขึ้น

    เมื่อคล้อยหลังร่างสูงใหญ่ โนอาร์ซึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังตรงโต๊ะกินข้าวเพียงสายหน้าเล็กน้อย พลางระบายยิ้มมุมปากในความรู้ใจของเอทอส ก่อนฝ่ามือขาวจะล้วงหยิบโทรศัพท์สั่งการตัวหมากให้ดำเนินตามแผนสำรองเนื่องเพราะ ไม่ใช่ปีศาจผู้เดียวที่รู้ใจคนรัก



    ถึงวันนัดทุกอย่างคล้ายกลับตาลปัตรจากตอนไปเยี่ยมผู้มีพระคุณโดยสิ้นเชิง ปกติมนุษย์มักลุกไปเตรียมมื้อเช้าตั้งแต่รุ่งสาง ทว่าวันนี้โนอาร์กลับแสร้งนอนกอดก่ายเกาะร่างสูงใหญ่เป็นลูกลิง ลำบากเอทอสต้องพยายามแกะไล่มือปลาหมึกขาวยุ่บยั่บเพื่อหนีไปอาบน้ำ หลังเรียบร้อยก็ยังไม่วายเสียเวลารอพ่อครัวเอ้อระเหยทำอาหารเช้าอย่างอิดออด กระทั่งเจ้าบ้านทนไม่ไหวสั่งให้เลิกทำแล้วไปแต่งตัวไม่เช่นนั้นจะทิ้งไว้ที่นี่ หลังคำขู่เด็ดขาด ปีศาจและมนุษย์ถึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง ซึ่งสายจากกำหนดการณ์ที่วางไว้ราวครึ่งชั่วโมง

    รถยนต์สีน้ำตาลเข้มคันใหม่ของโนอาร์ถูกเลือกเป็นพาหนะสำหรับนัดในวันนี้ ด้วยพื้นที่โดยสารกว้างและสะดวกสบายกว่ารถกระบะ ซึ่งดูเหมือนเจ้าของจะไม่เต็มใจให้ยืมเท่าไรนักถึงได้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างคนขับ และแน่นอนว่านอกจากปีศาจจะไม่สนใจแล้ว ยังแกล้งแหย่กวนอารมณ์มนุษย์ขี้หงุดหงิดไปตลอดทางจนถึงหน้าร้านขายดอกไม้ สีครามที่ยืนคอยอยู่จึงรีบเดินเปิดประตูขึ้นนั่งส่วนเบาะหลังของรถ

    “สวัสดีครับพี่เอทอส ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่มาช่วยผมดูเรื่องที่พัก... อา... สวัสดีครับ.. คุณโนอาร์” สีครามกล่าวทักทายรุ่นพี่ที่เคารพรัก ก่อนชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าอึมครึมของผู้นั่งข้างคนขับ
    “ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อย แต่ก่อนไปขอแวะกินข้าวสักหน่อย พอดีขามามีเรื่องข้าวเช้าเลยไม่ได้กิน”

    ร่างสูงใหญ่ว่าหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถกลับสู่ถนนโดยไม่ลืมเอ่ยแซะใครบางคนในตอนท้าย ซึ่งคนโดนเหน็บแนมก็คล้ายรู้ตัวถึงหันไปค้นถุงกระดาษซึ่งได้หยิบติดมือมาตอนจะออกจากบ้านดังกุกกัก เพียงครู่แฮมเบอร์เกอร์เนื้ออุ่นกำลังพอดีก็ถูกฝ่ามือขาวบริการป้อนถึงปากคนบ่น โดยที่จริงของว่างรองท้องปีศาจควรได้กินตั้งนานแล้ว ถ้าระหว่างทางไม่มัวแต่เย้าหยอกจนมนุษย์ลืมไปเสียสนิท

    การปรนนิบัติดูแลกันของบุคคลเบื้องหน้า ทำให้ผู้เฝ้ามองอย่างสีครามลอบอมยิ้มยินดีเล็กน้อย ที่รุ่นพี่ที่เขาหลงรักในที่สุดก็มีคนอยู่เคียงข้าง แม้ใครคนนั้นคงไม่ใช่เขาก็ตาม ซึ่งก่อนมาเจ้าของร้านดอกไม้ได้เตรียมใจแล้วว่าอาจเห็นภาพบาดตาชวนให้รู้สึกหม่นเศร้า ทว่าเมื่อรับรู้กลับไม่มีความรู้สึกด้านลบนั้นเกิดขึ้นเลย ภายในจิตใจมีแต่ความปล่อยวางอบอุ่น เวลานี้สีครามคล้ายเข้าใจแล้วว่าความรักแท้จริงอันไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการเห็นคนที่เรารักมีความสุขนั้นเป็นเช่นไร

   ความรู้สึกอันขาวสะอาดสะท้อนผ่านกลิ่นอายวิญญาณบริสุทธิ์ ความอ่อนโยนบางเบาราวกับค่อยแผ่ขยายทั่วห้องโดยสาร ส่งผลให้เอทอสรู้สึกถึงความผ่อนคลายอย่างประหลาด ซึ่งต่างจากความรู้สึกเข้มข้นทมิฬมืดของกลิ่นอายชั่วร้ายข้างกายโดยสิ้นเชิง นัยน์ตาสีอำพันดุอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจ้าของกลิ่นอายผ่านกระจกมองหลัง พบว่ายามนี้สีครามกำลังมองออกไปนอกตัวรถ ใบหน้าอ่อนหวานเปื้อนยิ้มนั้นทำให้ร่างสูงใหญ่เผลอนิ่งพินิจชมไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะละสายตามองถนนตามเดิม โดยไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำล้วนอยู่ในสายตารัตติกาลที่หลุบลง พลางเก็บแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งถูกกัดเพียงไม่กี่คำกลับถุงกระดาษอย่างเก่า เพราะเหมือนปีศาจได้หลงลืมมันไปแล้ว

    ไม่นานนักรถคันน้ำตาลก็หยุดจอดบริเวณหน้าร้านอาหารขึ้นชื่อ ร้านเดียวกับที่เจ้าของร้านดอกไม้เคยพามาเมื่อนานมาแล้ว ทว่าสีครามกลับมีท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อลงจากรถแล้วเดินเข้าร้านร่างสูงใหญ่ก็รับรู้ทันทีว่า สิ่งใดเป็นสาเหตุที่ทำให้รุ่นน้องเขากระอักกระอ่วนเช่นนี้

    “คนเยอะคงจะรอคิวนาน มีร้านอื่นพอแนะนำไหม”

    เสียงทุ้มต่ำแสร้งถามชายร่างบางที่คล้ายพยายามยืนหลบหลังเขา เพื่อหนีเหล่าสายตารังเกียจคอยจับจ้อง เรื่องสีครามเป็นน้องชายของอาชญากรแหกคุกสังหารตำรวจทั้งโรงพักยังคงเป็นที่กล่าวขานในสังคม ความดาลเดือดร่วมตามกระแสของกลุ่มมนุษย์ทั้งที่ไม่รู้ความจริง ทำให้ปีศาจรู้สึกสะอิดสะเอียนในความใคร่เป็นคนดีที่แท้จริงเพียงต้องการสนองด้านมืดที่ไม่อาจเปิดเผย ซ้ำยังไม่คิดรับผิดชอบว่าจะสร้างบาดแผลฝังลึกให้ใครบ้าง ซึ่งเรื่องนี้จะโทษตัวการแท้จริงอย่างโนอาร์ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะชายเลือดเย็นไม่ได้ปล่อยข่าวหรือชักนำให้ผู้คนโกรธแค้นเจ้าของร้านดอกไม้เลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่พวกปลุกปั่นเอาสนุกที่ปั้นเรื่องเติมแต่งขึ้นมา

    “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เอทอส”

    สีครามตอบกลับพลางระบายยิ้มสู้เล็กน้อย เห็นดังนั้นร่างสูงใหญ่จึงมองหาโต๊ะที่ค่อนข้างห่างจากลูกค้ารายอื่น ก่อนจะเดินนำเมื่อพบที่นั่งที่ต้องการอยู่มุมหนึ่งของร้าน บรรยากาศชวนอึดอัดส่งผลให้ความอยากอาหารลดฮวบจนปีศาจอยากรีบ ๆ สั่ง รีบ ๆ กินให้เสร็จ ทว่าผ่านไปสักพักใหญ่กลับไม่มีพนักงานคนไหนมาสอบถามรายการ ราวกับกำลังถูกเลือกปฏิบัติกลั่นแกล้งซึ่งนั่นยิ่งทำให้สีครามรู้สึกผิด ชายร่างเล็กบางจึงตัดสินใจลุกไปสั่งด้วยตัวเอง

    “พี่เอทอส คุณโนอาร์อยากทานอะไรครับ เดี๋ยวผมเดิน-”
    “เพล้ง!!”

    ไม่ทันสิ้นเสียงถาม แก้วเปล่าใบหนึ่งกลับโดนฝ่ามือขาวปัดจากโต๊ะลงพื้นแตกกระจายเรียกเหล่าสายตาผู้คนโดยรอบ จนมีพนักงานคนหนึ่งจำต้องเดินไปยังโต๊ะก่อเหตุเพื่อเก็บกวาดเศษแก้วไม่ให้ทิ่มบาดลูกค้าท่านอื่น

    “ทางร้านจะเก็บค่า-”
    “เอทอสคุณอยากกินอะไร”

    เสียงเรียบนิ่งเอ่ยขัด เป็นผลให้พนักงานต้องหันมองคนพูดแทรกอย่างฉุนเฉียว ถึงพลันสบนัยน์ตารัตตติกาลอันตรายที่ปรายมองตนไม่ต่างจากปรสิตต่ำชั้น เพียงเท่านั้นความหงุดหงิดรำคาญพลันถูกกลืนกินด้วยความกดดันเสียวสันหลังวาบ เมื่อดวงตาดำสนิทดุจวังวนทมิฬมืดนั้นกำลังกระชากดึงอากาศหายใจจากเขาอย่างช้า ๆ เกิดเป็นความอึดอัดราวกับกำลังจมน้ำ เย็นยะเยือกคล้ายลอยเคว้งในอวกาศ เสียงอื้ออึงรอบร้านพลันเลือนหาย เหลือเพียงเสียงเรียวนิ้วที่เคาะกระทบพื้นโต๊ะเป็นจังหวะ ช่างเหมือนเสียงเข็มนาฬิกาแห่งความตายเริ่มนับถอยหลัง กระตุ้นสัญชาตญาณขลาดกลัวให้รีบทำอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นสิ่งถัดมาที่โดนช่วงชิงคงไม่พ้นชีวิตแสนด้อยค่านี้

    “ขะ.. ขอโทษครับ”

    พนักงานกล่าวขอโทษพร้อมก้มหน้าไม่กล้าสบตา สองมือรีบประสานไว้ด้านหน้าอย่างสำรวม ทว่าแท้จริงแค่พยายามคุมไม่ให้สั่นเทา เมื่อนั้นโต๊ะของลูกค้าอันตรายถึงได้ฤกษ์สั่งอาหาร พนักงานรีบทวนรายการจนเรียบร้อยจึงปลีกตัวหายไป ก่อนจะมีพนักงานอีกคนเข้ามาเก็บกวาดเศษแก้วตามพื้นแทน

    “ขอบคุณนะครับ คุณโนอาร์”

    สีครามกล่าวขอบคุณพลางยิ้มจริงใจส่งให้คนฝั่งตรงข้าม แม้อีกฝ่ายจะทำเป็นมองไม่เห็นไม่รับรู้ก็ตาม ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากปัญหาไร้สาระนี่ไม่กระทบถึงปีศาจ มีหรือโนอาร์จะลงมือด้วยตัวเอง
    ผ่านไปไม่นานนักอาหารทั้งหมดก็ถูกยกเสิร์ฟโดยพนักงานคนเดิม มื้อเช้าค่อนสายเริ่มขึ้นอย่างสงบเงียบ กระทั่งมีจังหวะหนึ่งที่ร่างสูงใหญ่ตักหมูชิ้นในชามใส่จานตัวเองก่อนจะเผื่อแผ่ให้มนุษย์ข้างกายโดยไม่พูดอะไร เป็นการกระทำเรียบง่ายทว่ากลับทำให้ผู้รับนิ่งงัน เพียงครู่รอยยิ้มมุมปากจึงปรากฏ โนอาร์บรรจงชิมชิ้นหมูนั้นอย่างละเมียดละไม ค่อย ๆ ใช้ช้อนเล็มฉีกกินทีละนิดราวกับกลัวจะหมดเร็ว จนร่างสูงใหญ่เห็นแล้วรำคาญแทนเลยยึดหมูชิ้นนั้นคืนพร้อมส่งเข้าปากเคี้ยวกลืนต่อหน้าต่อตามนุษย์ เป็นผลให้สีครามที่ลอบสังเกตเผลอหลุดขำเล็กน้อย ก่อนจะรีบกลั้นเสียงก้มทานข้าวต่อเมื่อถูกสายตารัตติกาลเหลือบมอง


    หลังจบมื้อเช้ารถยนต์สีน้ำตาลเข้มถึงเริ่มเดินทางตามกำหนดการหลักของวัน เอทอสพาสีครามไปหอพักต่าง ๆ หลายที่สะดวกน่าอยู่ทว่าไปกลับร้านดอกไม้ลำบาก ส่วนที่ใกล้ร้านกลับเต็มไม่เหลือห้องว่าง กว่าจะพบที่ตรงกับทุกความต้องการก็ใช้เกือบครึ่งค่อนวัน ทำเลของห้องและบรรยากาศล้วนเหมาะแก่การพักอาศัยจนผู้เช่าตกลงทำสัญญา ซึ่งทุกอย่างดูราบรื่นกระทั่งถึงเรื่องราคาเช่าและค่ามัดจำ สุดท้ายเจ้าของร้านดอกไม้กลับจำใจปฏิเสธอย่างเสียดาย

    “ที่นี่ก็ดี ทำไมถึงไม่เอาล่ะ” เอทอสเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นรุ่นน้องเดินมือเปล่าออกมาจากห้องติดต่อหอพัก ซึ่งก็ได้รอยยิ้มฝืนผสานน้ำเสียงแสร้งร่าเริงจากรุ่นน้อง
    “ช่วงนี้ผมเงินช็อตน่ะพี่เอทอส จ่ายค่าหอไปผมไม่เหลือเงินรับกล้วยไม้พี่มาขายนะ”

    ถ้อยคำขบขันทว่ากลับไม่ใช่เรื่องเกินจริง ผลจากข่าวคราวทำให้ร้านขายดอกไม้ไม่ออกขาดทุนมาสักพักใหญ่ จนสีครามต้องเลิกจ้างพนักงานทุกคนและหันดูแลร้านด้วยตัวคนเดียว โดยไม่รู้เลยว่าจะสามารถประคองสถานการณ์เช่นนี้ไปได้อีกนานเท่าไร
    การหาหอพักในครั้งนี้จึงไม่ใช่การหาสถานที่หลบเลี่ยงเพื่อความสงบปลอดภัยอย่างที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการหาที่พักอาศัยใหม่ หลังจากร้านขายดอกไม้ที่เป็นที่อยู่ในปัจจุบันปิดตัวลง ซึ่งปัญหาทั้งหมดสีครามเลือกเก็บงำไว้เพียงลำพัง ไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนไปกับเขาโดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้แสนใจดี เพราะแค่อีกฝ่ายอุตส่าห์เป็นธุระในวันนี้ให้เขาก็ถือเป็นการรบกวนมากพอแล้ว แต่ทว่า...

    “ขาดอีกเท่าไร”
    “ครับ?” สีครามเอ่ยอย่างสับสน
    “ขอโทษที่อาจยุ่งไม่เข้าเรื่องแต่ฉันรู้ปัญหาของนายดี เรื่องเงินถ้าขัดสนมายืมที่ฉัน ดีกว่าไปยืมพวกปล่อยกู้หรือเอาของไปจำนำ ส่วนเรื่องงานอาจช่วยไม่ได้มาก แต่ที่สวนบางครั้งก็มีคนจ้างให้จัดกระเช้ากล้วยไม้ ถ้าไม่อะไรฉันจะส่งต่องานพวกนั้นให้นาย เงินที่ได้นายก็เก็บเอาไว้ไม่ต้องมาหักกับฉัน”

    เสียงทุ้มต่ำอบอุ่นของรุ่นพี่ที่เคารพรักดุจแสงสว่างนำทางในความมืดมน ปัญหาหนักมากมายที่แบกรับไว้คล้ายเบาลงอย่างประหลาดเมื่อมีใครสักคนมาช่วยแบ่งเบา สีครามนิ่งงันไปสักพักก่อนความรู้สึกหลากหลายทั้งตื้นตันและหม่นเศร้าจะพลันตีขึ้นเกินกว่าจะอดกลั้นไหว ท้ายสุดจึงพังทลายสะอื้นเป็นหยดน้ำตาหลั่งรินจนต้องก้มหน้าเพื่อหลบซ่อน ทว่าฝ่ามือใหญ่ที่วางบนกลุ่มผมพลางลูบปลอบอย่างอ่อนโยนกลับทำลายทิฐิสิ้น ชายร่างบางพลันพุ่งสวมกอดร่างสูงใหญ่แน่น ซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้างปลดปล่อยระบายความอ่อนแอผ่านเสียงร้องร่ำไห้ไม่คิดอาย ราวกับย้อนคืนสู่วัยเยาว์เป็นเพียงเด็กน้อยที่ต้องการแค่ใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างและรับฟัง

    ภาพตื้นตันเบื้องหน้ากลับสุดแสนสะอิดสะเอียนในสายตารัตติกาล ฝ่ามือขาวสองข้างได้แต่กำแน่นด้วยความรู้สึกจากส่วนลึกซึ่งกำลังกู่คำรามร้อง ฝีเท้าชายเลือดเย็นพลันย่างก้าวหมายจะแยกคนไม่เจียมตัวให้ออกห่างปีศาจ ทว่าต้องชะงักงันเมื่ออ้อมแขนหนาแกร่งกลับค่อยโอบกอดร่างบางพลางลูบแผ่นหลังเล็กขับกล่อมคาตา โนอาร์พลันรู้สึกถึงอวัยวะกลางอกกำลังบีบรัดรุนแรงจนเจ็บชาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเห็นปีศาจกลับเต็มใจตอบรับด้วยตัวเอง

    “ปึง!!!!!” ฝ่าเท้าหนักพลันกระทืบฝาประตูรถยนต์ดังสนั่นก่อนตามด้วยเสียงร้องจากสัญญาณกันขโมยดังระงมทั่วบริเวณ ถึงกับทำให้สองคนที่กำลังกอดกันกลมหลุดสะดุ้ง
    “จะเช่าก็ไปทำสัญญาให้มันเสร็จ ชักช้า... น่ารำคาญ...”

    เสียงกัดฟันพูดเย็นยะเยือกเรียกสติสีครามให้รีบผละตัวออกจากร่างสูงใหญ่ ซึ่งพบว่าบัดนี้เจ้าของเสียงได้ยืนหันหลังจึงไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย แต่ถึงไม่เห็นเจ้าของร้านดอกไม้กลับสัมผัสได้อย่างดีว่าคุณโนอาร์กำลังโมโหถึงขีดสุด ซึ่งต้นตอสาเหตุคงเป็นเขาเองที่เผลอปล่อยตัวไปตามความรู้สึกแทนที่จะยับยั้งชั่งใจ สีครามเดินเข้าหาชายหนุ่มหมายจะกล่าวขอโทษ ทว่ากลับโดนฝ่ามือหนารั้งไว้ก่อนบอกให้ไปทำเรื่องหอพักพร้อมให้เงินส่วนขาด ส่วนเรื่องตรงหน้าเขาจะจัดการด้วยตัวเอง ได้ฟังดังนั้นสีครามจึงพยักหน้าตกลงแล้วเดินเข้าอาคารไป

    หลังเหลือเพียงลำพัง เอทอสจึงใช้กุญแจรถกดหยุดสัญญาณกันขโมยพลางเดินเข้าหามนุษย์อารมณ์รุนแรง กระทั่งหยุดยืนข้างกันปีศาจถึงเพิ่งสังเกตว่าบริเวณประตูรถยนต์เกิดรอยบุบ ผลจากการรองรับความพิโรธของผู้เป็นเจ้าของ นัยน์ตาสีอำพันดุสำรวจดูความเสียหายครู่หนึ่งก่อนไล่ขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าหงุดหงิดซึ่งยังคงไม่ยอมหันมาสบตาเขา ผ่านไปสักพักใหญ่ทุกอย่างยังคงมีแต่ความเงียบน่าอึดอัด จนท้ายที่สุดปีศาจก็จำยอมเป็นฝ่ายพูดก่อน

    “ที่ชีวิตสีครามตกต่ำเช่นนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจ้ากับข้ามีส่วน และถ้าเจ้าจะฉุนเฉียวเพียงเพราะข้ายื่นมือช่วยเหลือสีครามก็เรื่องของเจ้า เพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าต้องรับผิดชอบ”
    “ช่วย... ไม่จำเป็นต้องกอด” นัยน์ตารัตติกาลดำมืดเหลือบมองร่างสูงใหญ่ข้างกายอย่างควบคุมอารมณ์
    “ข้าแค่ปลอบและการกอดก็เป็นวิธีปกติ... หรือเจ้าเคลือบแคลงในความรู้สึกของข้า?”

    เอทอสอธิบายก่อนจะเงียบไปชั่วครู่เมื่อฉุดคิดถึงสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ ทว่านั่นกลับทำให้ร่างสูงใหญ่เริ่มหงุดหงิดตามพร้อมใบหน้าคมเข้มที่ขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจ ก่อนจะถามกลับเพื่อยืนยันความคิด โดยหวังว่าคำตอบที่ได้จะเป็นการปฏิเสธ เพราะไม่เช่นนั้นจะแสดงว่าโนอาร์ไม่เคยเชื่อในสัญลักษณ์ครองคู่หรือไว้ใจในตัวเขาเลย

    “แล้วถ้าผมบอกว่า ใช่-”

    ฉับพลันใบหน้ามนุษย์กลับถูกฝ่ามือหนาจับล็อกสันกรามแน่น พร้อมร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงหมายตะโบมจูบขบกัดริมฝีปากบางเป็นการสั่งสอน ทว่ากลับถูกมือขาวกั้นปิดซ้ำยังออกแรงผลักใบหน้าคมเข้มออกห่าง ปฏิกิริยาปฏิเสธต่อต้านยิ่งสร้างความหงุดหงิดกราดเกรี้ยวให้เอทอส ร่างหนาหนักจึงดันเบียดมนุษย์แนบชิดกับตัวรถก่อนจับดึงฝ่ามือขาวที่ดันผลักหน้าเขาออก มือใหญ่จับล็อกมือขาวทั้งสองตรึงกับกระจกรถ นัยน์ตาสีอำพันดุมองกดนัยน์ตารัตติกาลอย่างหนือกว่า ใบหน้าคมฉีกยิ้มหยันพลางค่อยก้มลงไปกินชิมริมฝีปากพยศอย่างย่ามใจ เมื่อบัดนี้ร่างมนุษย์อยู่ในการควบคุมไร้โอกาสดิ้นหลุด

    “ปึก!!!”

    ขณะริมฝีปากหนาใกล้แตะสัมผัสริมฝีปากบาง โนอาร์อาศัยช่วงที่ปีศาจประมาทตีเข่าหนักสุดแรงเข้าจู่โจมจุดยุทธศาสตร์กลางหว่างขา เป็นผลให้ร่างสูงใหญ่พลันนิ่งค้างราวกับโดนสับสวิตช์ ก่อนวินาทีถัดมาจะไถลทรุดคุกเข่าแล้วก้มหน้านั่งนิ่งอยู่ท่านั้น โนอาร์ที่หงุดหงิดถึงเพิ่งคืนสติรีบนั่งยองดูเอทอสด้วยความเป็นห่วง ทว่าไม่ว่าจะเรียกเท่าไรปีศาจก็ไม่ยอมตอบกลับ มนุษย์จึงจำต้องก้มมองเสี้ยวหน้าคมเข้ม ซึ่งก็พบว่ายามนี้ใบหน้าที่เคยดุเกรงขามกลับเหยเกบิดเบี้ยวฉายชัดถึงความจุกหน่วงเกินพรรณนา บริเวณห่างตาที่หลับแน่นขมวดคิ้วมุ่นอย่างทรมานคล้ายมีหยดน้ำเกาะซึม ความรวดร้าวมากล้นที่แสดงผ่านทางสีหน้าถึงกับทำให้มนุษย์ผู้กระทำรู้สึกผิดมหันต์ ความเคืองโกรธก่อนหน้าพลันลดฮวบเหลือเพียงความสงสารจับใจ

    โนอาร์รีบค้นกุญแจจากปีศาจก่อนผละไปเปิดประตูรถแล้วกลับมาประคองร่างสูงใหญ่เข้านั่ง หวังว่าเบาะนุ่มและสายลมเย็นจากแอร์ที่เปิดเร่งจะช่วยบรรเทาสิ่งที่เอทอสกำลังประสบ ซึ่งเหตุการณ์ตลอดช่วงต่อสู้ขัดขืนกระทั่งถึงบทสรุปความพ่ายแพ้ ล้วนถูกเจ้าของร้านดอกไม้ที่ทำเรื่องสัญญาเช่าหอเสร็จเรียบร้อยทันเห็นเข้าพอดี
    สีครามเพียงลอบมองความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองที่ค่อยดีขึ้นทีละน้อยเมื่อไม่มีเขาอยู่ โดยไม่คิดเข้าไปแทรกยุ่งให้เสียบรรยากาศ มือบอบบางล้วงหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความถึงคุณโนอาร์และพี่เอทอสเพื่อขอโทษและขอกลับก่อน แล้วจึงเดินเลี่ยงปลีกออกไปเรียกรถประจำทางกลับร้านดอกไม้เพียงลำพัง



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ1 บทที่ 35 สีคราม]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 13-05-2021 22:00:20
(ต่อ)


    ชายหนุ่มเจ้าของร้านดอกไม้เดินทางกลับถึงที่ทำงานซึ่งเปรียบเสมือนบ้านพักในเวลาเย็นย่ำ รู้สึกโล่งใจเมื่อโรคประหลาดที่มักกำเริบช่วงเวลานี้ยังไม่แผลงฤทธิ์ สีครามเลือกเดินอ้อมเข้าทางหลังร้านแทนเพื่อความง่าย เพราะหากเข้าด้านหน้าต้องยกประตูเหล็กม้วนและยังต้องไขประตูกระจกอีกรอบ ซึ่งเมื่อเดินมาถึงสีครามก็พลันพบร่างชายคนหนึ่งนั่งฟุบพิงกำแพงสภาพเปล่าเปลือย มีเพียงผ้าผืนบางพันช่วยปิดบังส่วนสงวน ทว่าเพียงแวบเดียวก็กลับจำขึ้นใจว่าเป็นใคร

    “พี่วรรษ!!” คนน้องรีบเข้าไปดูอาการผู้เป็นพี่พลางเขย่าตัวเรียกอย่างเป็นห่วง กระทั่งอีกฝ่ายได้สติค่อย ๆ ปรือตามองก่อนตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา
    “…สีคราม”

    พอเห็นพี่ชายเริ่มรู้สึกตัว สีครามจึงรีบพยุงร่างวรรษเข้าตัวร้านเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน พาไปนั่งตรงโซฟาของห้องทำงานก่อนแยกไปรินน้ำแล้วเอากลับมาให้ผู้เป็นพี่ดื่ม เพราะคาดว่าอีกฝ่ายอาจกำลังกระหายสังเกตจากน้ำเสียงแหบแห้งที่ได้ยินเมื่อครู่ ซึ่งน้ำเย็นชุ่มชื้นที่สามารถดื่มได้ด้วยตัวเองไม่ต้องผ่านสายยางให้ทรมานฝืดเคือง ชวนให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของเรื่องเรียบง่ายธรรมดาที่ใครก็ทำได้ วรรษคล้ายเข้าใจความรู้สึกของผู้พิการที่ได้รับการรักษาจนกลับมามีชีวิตปกติ คงมีความตื้นตันจุกล้นแบบเดียวกับเขาในยามนี้แน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าช่วงเวลาเช่นนี้จะคงอยู่ไปได้อีกนานเท่าไร

    ก่อนวรรษจะถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่โดยชายหนุ่มที่เคยกระทืบเขาและลักพาตัวสีครามไป อีกฝ่ายได้บอกว่าโนอาร์อยากให้เขามีความสุขก่อนตายและเตือนว่าอย่าคิดหนีหรือตุกติก ไม่เช่นนั้นคนค้ำประกันอย่างสีครามจะต้องชดใช้ทุกสิ่งแทน แต่ถึงไม่บอกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วในเมื่อพลังในการควบคุมกระทั่งมองเห็นวิญญาณของเขามันหายไป ไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าโนอาร์ต้องสั่งให้คนของมันผนึกพลังเขาไว้ ตอนนี้เขาจึงเป็นแค่คนธรรมดาไร้ค่าไม่ต่างจากสมัยเด็ก
    ทว่าท่ามกลางเรื่องเลวร้ายมากมายก็ยังพอหลงเหลือเรื่องดีอยู่ สิ่งแรกคือคำสาปให้เขาทำร้ายสีครามทุกครั้งที่คิดไม่ดีดูเหมือนจะคลายไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมปีศาจตนนั้นถึงยอมถอน ส่วนอย่างที่สองก็คือ การที่เขาได้กลับมาพบน้องชาย สิ่งสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

    “เป็นยังบ้าง... พี่ขอโทษนะที่ทำให้สีครามเดือดร้อนไปด้วย” ผู้เป็นพี่เอ่ยเสียงอ่อนพลางหลุบตาลงต่ำอย่างคนรู้สึกผิด
    “...ผมสบายดีปกติเหมือนเดิม พี่วรรษต่างหากที่น่าห่วง! มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่.. พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม” สีครามถามอย่างกระอักกระอ่วนกลัวผู้เป็นพี่ลำบากใจ เพราะไม่ลืมความจริงว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นอาชญากรหนีคดี
    “อย่ารู้เลย สิ่งที่พี่เจอมาจะทำให้สีครามไม่สบายใจเปล่า ๆ”

    วรรษบอกปัด เข้าไม่อยากให้น้องชายผู้อ่อนโยนของเขาต้องฟังเรื่องราวที่อาจกลายเป็นฝันร้ายไปตลอดชีวิต ให้เขาจมอยู่ในฝันร้ายทรมานคนเดียวก็พอ ซึ่งหลังได้ฟังคำปฏิเสธ สีครามก็ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้พลางมองค้อนใส่พี่ชาย ก่อนจะลุกเอาแก้วเปล่าที่พี่ดื่มเสร็จเรียบร้อยไปเก็บ

   “อั่ก!!- เพล้ง!!!”
    “สีคราม!!”

    ขณะเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวสีครามกลับล้มต่อหน้าต่อตาพี่ชาย วรรษพลันรีบวิ่งเข้าไปรับผู้เป็นน้องด้วยความตกใจ ร่างในอ้อมแขนดิ้นร้องอย่างเจ็บปวดราวกับกำลังถูกฟาดทุบ มือบอบบางปัดป่ายไปทั่วคล้ายพยายามกันปกป้องตนเองทั้งที่ไม่มีใครทำอะไร ความรู้สึกของพี่ชายเหมือนถูกบดขยี้จนย่อยยับ เสียงร้องโอดโอยราวกับใบมีดแหลมกรีดแทงจิตใจให้เหวอะวิ่น การเห็นคนสำคัญกำลังทุรนทุรายแต่ไม่อาจช่วยนั้นเจ็บเหนือกว่าความทรมานทั้งหมดที่เคยผ่าน ได้แต่เพียงกอดน้องแน่นภาวนาให้ช่วงเวลานี้จบลงโดยเร็ว

    จวบจนแสงอาทิตย์เลือนหาย ความมืดเข้าปกคลุมทั่วทั้งร้านความเจ็บปวดถึงทุเลา สีครามหอบหายใจหนักโกยอากาศเข้า ตามตัวปวดหน่วงหนักอึ้งราวกับถูกรุมทำร้ายทว่ากลับไร้ร่องรอยฟกช้ำปรากฏ ร่างเล็กบางค่อย ๆ ดันตัวลุกขึ้นโดยมีผู้เป็นพี่ช่วยพยุงพาไปนั่งตรงโซฟา ก่อนอีกฝ่ายจะผละไปเปิดไฟให้แสงสว่างและกลับมาดูอาการอีกครั้ง สีครามถึงเพิ่งสังเกตว่าบัดนี้ขอบตาของพี่ชายรื้นด้วยหยาดน้ำคลอหน่วย ดวงตาแดงก่ำอย่างสะกดกลั้นความรู้สึก เห็นดังนั้นคนเป็นน้องก็ได้แต่ยื่นมือไปเช็ดปลอบ พลางกล่าวเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวล

    “ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกพี่วรรษ ก็แค่โรคประหลาดกำเริบทำให้รู้สึกเจ็บไปเอง และผมก็ไปหาหมอมาแล้วนะ หมอบอกว่าคงเป็นเพราะผมเครียดมากเกินไป กินยาคลายเครียดกับพักผ่อนเพียงพอเดี๋ยวก็หาย”

    คำอธิบายไม่ได้ทำให้วรรษรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าต้นตอของอาการที่สีครามเรียกว่าโรคประหลาดนั้น แท้จริงมันคือมนตร์มืดคล้ายคลึงกับที่เขาเคยทำใส่โนอาร์ เสมือนผลกรรมตามสนอง สีหน้ารวดร้าวราวกับโลกทั้งใบพังทลายของปีศาจกินวิญญาณยามรู้ว่าเขาใช้มนตร์มืดซ้อนแผนพลันผุดขึ้นย้ำเตือนถึงบาปในอดีต ซึ่งครานี้คงเป็นตาเขาที่ต้องชดใช้

    สีครามเห็นพี่นิ่งซึมก็ได้แต่เปลี่ยนเรื่องไล่บรรยากาศหมองเศร้า ร่างเล็กบางลุกไปค้นลิ้นชักหาชุดให้พี่ชายใส่ เพราะจนถึงตอนนี้ทั้งตัววรรษยังมีเพียงผืนผ้าบางพันปิดส่วนล่าง เสียเวลาหาสักพักใหญ่ทว่าสิ่งที่ได้มากลับมีเพียงกางเกงที่ซื้อมาผิดไซซ์ ส่วนเสื้อมีแต่ขนาดของเขาพี่ชายย่อมใส่ไม่ได้แน่นอน เช้าพรุ่งนี้ก่อนเปิดร้านสงสัยต้องออกไปหาซื้อชุดให้อีกฝ่าย
     หลังจัดการเรื่องชุดเสร็จสิ้นสีครามก็ชวนพี่ชายมาเข้าครัวทำอาหารเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้วรรษเลิกคิดมาก แต่ถึงจะบอกว่าเข้าครัวทว่าที่จริงเป็นเพียงการทำเมนูง่าย ๆ ด้วยเตาไฟฟ้ากลางพื้นห้องทำงาน ซึ่งห้องนี้ถือว่าเป็นแทบทุกอย่างของสีครามแล้วทั้งห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว เหลือเพียงเป็นห้องน้ำที่โชคดีมีแยกต่างหากก็เท่านั้น

    แม้จะดูขัดสนแต่ห้องเล็กแคบนี้กลับพานให้วรรษนึกถึงความสุขสมัยเด็กช่วงที่พวกพ่อแม่น่ารังเกียจออกไปดื่มเหล้าเล่นพนัน ส่งผลให้ทั้งห้องเช่ามีเพียงเขากับสีคราม ช่วงเวลาแสนสั้นนั้นดูอบอุ่นราวกับห้องเช่าได้ทำหน้าที่เป็น ‘บ้าน’ จริง ๆ และปัจจุบันห้องทำงานหรืออาจเป็นทั้งร้านของสีครามก็กำลังทำแบบเดียวกัน เป็นบ้าน ความสุข ความสงบปลอดภัยให้พวกเขาพักพิง โดยได้แต่หวังว่าคงไม่มีใครมาทำลายมัน


    ผ่านมาแล้วจวนสัปดาห์สองพี่น้องยังคงใช้ชีวิตภายในร้านขายดอกไม้อย่างปกติสุข มีเพียงยามเย็นที่ต้องร่วมกันฟันฝ่าความเจ็บทรมานจากมนตร์มืด ซึ่งตลอดช่วงกลางวันสีครามจะออกไปเปิดร้าน ส่วนวรรษก็เก็บตัวอยู่ในห้องหลบสายตาคนภายนอก แม้การให้ที่พักแก่อาชญากรแหกคุกจะเข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด ซ้ำผู้ร้ายรายนี่ยังเป็นสาเหตุหลักฉุดชีวิตเจ้าของร้านดอกไม้สู่ความลำบากยากแค้น ทว่าสีครามก็มิได้ใส่ใจเก็บมาคิด เพราะแต่แรกเมื่อครั้งรู้ความจริง สีครามมีเพียงความเศร้าผิดหวังในตัวพี่ชาย แม้จะเผชิญปัญหามากมายแค่ไหนก็ไม่เคยเคืองโกรธหรือคิดกล่าวโทษ คงเพราะลึก ๆ ในใจรู้ดีว่าทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำก็เพื่อเขา แล้วจะให้เขาผลักไสยามพี่ที่แสนดีของเขาไร้ที่พึงได้อย่างไร

    “ก๊อก ๆ” เสียงเคาะหลังประตูห้องทำงาน เรียกสติสีครามที่กำลังเฝ้าร้านพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้เดินไปหา
    “กลางวันนี้เป็นผัดผักรวมมิตรกับไข่ดาวร้อน ๆ หนึ่งฟองน่ะครับคุณเจ้าของร้าน”
    “ว้าว! ขอบคุณครับพี่พ่อครัว”

    สีครามเล่นตามพี่ชายพลางกล่าวขอบคุณ ก่อนรับมื้อกลางวันซึ่งผู้เป็นพี่แง้มประตูส่งให้แล้วถึงกลับมานั่งกินตรงเคาน์เตอร์ วันนี้ร้านยังคงเงียบเหงาร้างลูกค้าเช่นเดิม หลายครั้งก็รู้สึกท้อแต่ก็ต้องสู้จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย ถ้าตอนนั้นมาถึงเขาคงเศร้าและคิดถึงที่นี่มากน่าดู

    “หือ?”

    ท่ามกลางมรสุมโชคร้ายคล้ายยังมีแสงแห่งความหวังเหลืออยู่ เมื่อมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งแวะยืนดูดอกไม้ตรงหน้าร้าน สีครามพลันรีบเก็บจานข้าวที่เพิ่งกินไม่กี่คำเอาไปซ่อนใต้เคาน์เตอร์ ก่อนจะใช้สเปรย์ปรับอากาศฉีดกลบกลิ่นอาหาร จัดหน้าจัดผมให้เรียบร้อยดูดีแล้วถึงเดินออกไปสอบถามแนะนำ

    “ไม่ทราบว่ากำลังมองหาดอกไม้เนื่องในโอกาส-”
    “โครม!!!!”

    ชั้นวางดอกไม้พลันล้มครืนระเนระนาดขัดเสียงเจ้าของร้าน สีครามมองลูกค้าที่ยกเท้าถีบตามด้วยเหยียบขยี้ดอกไม้อย่างตกตะลึงไม่อยากเชื่อสายตา โชคดีของวันที่วาดฝันกลับกลายเป็นฝันร้ายเล่นตลก

    “หยุดนะ!!! โอ้ย!!”
    “โครม!!!!”

    ร่างบอบบางพยายามเข้าไปขวางกลับถูกฝ่าเท้าไม่ยั้งแรงถีบจนเซถอยล้มไปพร้อมชั้นวางอีกด้านที่เหลืออยู่ ตามตัวสีครามชุ่มเปื้อนไปด้วยน้ำจากถังแช่ดอกไม้ แววตาโศกตัดพ้อได้แต่มองทุกสิ่งอย่างพังทลายไปต่อหน้า ปากเล็กพยายามตะเบ็งไล่สลับขอความช่วยเหลือทว่าผู้คนผ่านไปมากลับเพียงยืนมองอย่างเย้ยสมเพช เจ้าของร้านดิ้นร้นสู้อย่างอดสู จิตใจเจ็บหน่วงยับเยินรู้ซึ้งเมื่อโลกทั้งใบรังเกียจ กระทั่งสายตาพลันเห็นใครบางคนซึ่งแฝงตัวในฝูงชน ความชอกช้ำจากการโดนหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลันตีตื้นจุกในอก จนไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดอย่างไร

    “ทำแบบนี้เพื่ออะไร!!? มังกร!!!”
    
    ไม่มีปฏิกิริยาใดจากคนถูกเรียก อีกฝ่ายเพียงยืนมองนิ่งด้วยสายตาไร้ความรู้สึก เช่นเดียวกับฝูงมุงดูซึ่งเอาแต่ยกมือถือถ่ายคลิป มีบ้างที่คล้ายจะเข้ามาช่วยแต่สุดท้ายก็ยืนนิ่งราวกับกลัวจะถูกหางเลข สีครามรู้สึกด้อยค่าน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ไม่รู้ว่าสังคมต้องการอะไรจากแพะเช่นเขา จะมีใครสักคนไหมที่ไม่ไหลตามข่าวลือหรือเชื่อในสิ่งที่เขาพูดบ้าง

    “ออกไปจากร้านน้องกู!! ไอ้พวกเหี้ย!!!”

    ท่ามกลางความสิ้นหวังหดหู่ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างเจ้าของเสียงวิ่งเข้าไปถีบไล่พวกคนทำลายร้าน หยาดน้ำตาของน้องชายถึงพลันหลั่งรินร่ำไห้อย่างไม่อาจควบคุม ทว่ายามนี้เหมือนจะไม่ใช่เวลา เพราะทันทีที่วรรษปรากฏตัว ฝูงชนรายล้อมก็ต่างแตกตื่นก่อนจะช่วยกันล้อมรุมหมายเข้าประชาทัณฑ์

    “เฮ้ย!! ไอ้ชั่วแหกคุกมันอยู่ที่นี่! พวกเราล้อมไอ้พี่น้องระยำไว้อย่าให้หนีไปได้!”

    เพียงครู่ทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยความโกลาหล ทว่าในความชุลมุนเจ็บหน่วงจากเท้าและหมัดหลายสิบคู่ที่ประดังฟาดต่อย สีครามที่จวนหมดสติใต้เท้าใครต่อใครกลับรู้สึกประหลาดใจที่พวกคนทำลายร้านคล้ายกำลังคุ้มกันปกป้องพี่ชายเขา ถึงจะไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรแต่นั่นก็ดีแล้ว และหวังว่าคนพวกนั้นจะช่วยไปตลอดรอดฝั่ง เพราะเขานั้นคงทนฝืนไม่ไหวอีกต่อไป
    ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดถูกเฝ้ามองจากวิญญาณตนหนึ่ง ก่อนไม่นานจะรีบหายตัวไปรายงานให้ผู้เป็นนายทราบในทันที
    


    “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับท่านปีศาจ คุณสีครามถูกคนบุกทำลายร้านและตอนนี้กำลังถูกรุมซ้อมครับ”

    คำบอกกล่าวจากวิญญาณที่ไว้ชีวิตเพื่อใช้งาน ทำให้ร่างสูงใหญ่ขบกรามแน่นด้วยโทสะ บรรยากาศรอบกายพลันทะมึนมืดกดดัน จนโนอาร์ซึ่งกำลังถือถาดอาหารเที่ยงไปเก็บสัมผัสได้และต้องหันกลับมาดูอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ซึ่งนัยน์ตาสีอำพันดุเข้มขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธรุนแรง ถึงกับทำให้มนุษย์เผลอนิ่งค้างอย่างตกใจ ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนอีกฝ่ายยังนั่งกินข้าวแกล้งหยอกเขาอยู่เลย

    “...มีอะไรหรือเปล่า-”
    “อย่าให้มันมากไปโนอาร์.. สั่งหยุดคนของเจ้าซะ” เสียงเค้นลอดไรฟันเอ่ยเตือน ชายเลือดเย็นพลันรู้ในทันทีว่าปีศาจกำลังพูดเรื่องอะไร
    “คุณ-”
    “เดี๋ยวนี้!!!”

     คำตวาดกัมปนาทราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำให้โนอาร์ที่ไม่ทันตั้งตัวหลุดสะดุ้ง นัยน์ตารัตติกาลเบิกกว้างหนึ่งระดับอย่างตกใจไม่คาดคิด ก่อนวินาทีถัดมาจะคุมกลับมาสงบนิ่งดังเดิม ชายเลือดเย็นวางถาดอาหาร จ้องนิ่งไปยังร่างสูงใหญ่เตรียมคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสัญชาตญาณอ่านบรรยากาศพลันร้องเตือนว่ายามนี้เขาไม่ควรแข็งข้อ ถ้าไม่อยากแตกหักกับปีศาจ แม้จะเจ็บใจ แต่ท้ายที่สุดฝ่ามือขาวก็จำหยิบโทรศัพท์สั่งยกเลิก

    “เอาตัววรรษกลับมา ที่เหลือก็ปล่อยไว้แบบนั้น”
    “โนอาร์!”

    ปีศาจพลันลุกขึ้นรีบก้าวเท้าหมายออกจากห้อง มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ทว่ากลับถูกมนุษย์ยืนนิ่งขวาง เช่นนั้นฝ่ามือใหญ่จึงดันผลักร่างตรงหน้าไปให้พ้นทาง แต่เพราะความฉุนเฉียวจึงกะแรงพลาดทำให้สีข้างของชายเลือดเย็นกระแทกมุมตู้เก็บเอกสารอย่างแรง พลังปีศาจพลันลดหายเล็กน้อยสื่อว่าการกระทำเมื่อครู่ทำให้มนุษย์บาดเจ็บจนกระตุ้นคำสาปรักษา ทว่าเอทอสกลับเพียงปราดมองก่อนเปิดประตูออกไปอย่างไม่สนใจ

    ชั่วอึดใจความเจ็บบริเวณที่กระแทกก็หายสนิท โนอาร์รีบตามปีศาจทว่าเมื่อพ้นสำนักงาน รถกระบะสีดำพลันขับผ่านหน้ามุ่งออกจากสวนอย่างเร็วรี่ นัยน์ตารัตติกาลยากคาดความรู้สึกได้แต่ยืนมองท้ายรถกระบะจนลับตา


    เอทอสมาถึงโรงพยาบาลรีบขึ้นไปยังห้องพักของคนเจ็บตามคำรายงานจากวิญญาณ สีครามยังคงหลับสนิทบนเตียงผู้ป่วย บริเวณหน้าผากและตามแขนขามีผ้าพันรักษาแผล ทว่ารอยฟกช้ำตรงซีกแก้มกับมุมปากกลับสะท้อนเด่นสู่นัยน์ตาสีอำพันหม่นหดหู่ ร่างสูงใหญ่เดินไปนั่งข้างเตียงพลางยื่นฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม คล้ายกำลังสำนึกขอโทษต่อคนตรงหน้า

    ในอดีตของโนอาร์ที่เขารับรู้ผ่านความฝัน มีช่วงหนึ่งที่มนุษย์ฟังรายงานพฤติกรรมผิดแผกของวรรษที่อยู่ ๆ ผู้คุมวิญญาณก็หันไปจับกระชากหัวน้องชายฟาดใส่ผนังไม่ยั้งมือ เอทอสพลันรู้ในตอนนั้นว่าคำสาปที่เขาเคยร่ายไว้หวังเอาคืนมันรุนแรงเกินกว่าที่ประมาณไว้มาก ความรู้สึกผิดต่อรุ่นน้องแสนบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องราวฝังลึกในใจปีศาจเรื่อยมา กระทั่งตื่นจากฝันอดีตเอทอสก็รีบคลายคำสาปทันทีเนื่องจากไม่อยากให้เกิดเรื่องทำนองนั้นอีก
    ตั้งแต่นั้นเอทอสก็ช่วยเหลือสีครามอย่างอ้อม ๆ มาโดยตลอดเช่นการส่งกล้วยไม้พันธุ์ใหม่โดยอ้างฝากให้สีครามทดลองขาย เพราะรู้ดีว่าผลพวงจากข่าวเสื่อมเสียที่โนอาร์โยนให้วรรษนั้นกระทบรุ่นน้องจนแทบไม่เหลือทุนสั่งดอกไม้ ทั้งยังคอยจับตาดูมนุษย์ไม่ให้คิดทำอะไรเกินขอบเขต ทว่าสุดท้ายก็ลงเอยเช่นนี้ และเป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ

    “แกร๊ก!”
    “เครื่องควบคุมแคปซูลพิษนั่น เอามาให้ข้า”

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยสั่งทันทีแม้ยังไม่เห็นคนเข้ามา ชายเลือดเย็นย่างก้าวเข้ามาในห้อง นัยน์ตารัตติกาลไร้แววความรู้สึกมองฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมมือคนบนเตียงอย่างว่างเปล่า ดวงตาสีอำพันดุจ้องนิ่งกดดันมายังมนุษย์ราวกับกำลังกางปีกปกป้องเห็นเขาเป็นศัตรูแปลกหน้า การแสดงออกของเอทอสก่อตัวเป็นความเสียดแทงลึกในหัวใจเยือกแข็งอีกครั้ง และครั้งนี้คมหนามมีแต่จะเพิ่มพูน

    ฝ่ามือขาวยอมล้วงหยิบอุปกรณ์ให้ปีศาจแต่โดยดี ซึ่งอุปกรณ์ที่ว่าลักษณะคล้ายรีโมทมีหน้าจอแสงตำแหน่ง รวมถึงสัญญาณชีพของผู้ที่มีแคปซูลฝังอยู่ ทว่าส่วนที่สำคัญสุดคือภายในแคปซูลนั้นบรรจุพิษที่สามารถพรากชีวิตเจ้าของร่างได้ในไม่กี่นาทีไว้ ซึ่งพิษนั้นพร้อมปล่อยทันทีเมื่อกดสั่งหรือมีการฝืนพยายามเอาแคปซูลออก เป็นสินค้าจากตลาดมืดที่โนอาร์สั่งให้จินเป็นคนหาไว้ใช้จับตาดูสีครามโดยเฉพาะ
    โนอาร์เดินเข้าหาร่างสูงใหญ่หมายเอาอุปกรณ์ในมือไปให้ ทว่าสายตาไม่ไว้ใจที่จ้องมอง ทำให้ชายเลือดเย็นเปลี่ยนวิธีเป็นการโยนส่งให้เอทอสแทน เพื่อเขาจะได้ไม่เข้าใกล้คนบนเตียงตามที่อีกฝ่ายต้องการ และเรื่องคุยหวังปรับความเข้าใจจากนี้ก็คงไม่จำเป็นแล้วเช่นกัน

    “ถ้าหวงขนาดนั้น ผมก็จะไม่ยุ่งสบายใจได้ ยังไงก็ขัดคุณไม่ได้อยู่แล้ว หึ... ความรักนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ”

    เสียงเรียบนิ่งกล่าวก่อนหันกลับเดินออกจากห้องผู้ป่วย ปล่อยทิ้งปีศาจให้อยู่กับรุ่นน้องตามใจไม่คิดขวาง ซึ่งหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นหรือติดต่อชายเลือดเย็นได้อีกเลย ทว่าเอทอสก็ไม่ได้สนใจหรือคิดออกตามหา เพราะคาดว่าหากอีกฝ่ายเลิกงี่เง่าและสำนึกได้เมื่อไรคงจะกลับมาเอง


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ2 บทที่ 35 สีคราม]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 13-05-2021 22:09:54
(ต่อ)


    เวลาเลยผ่านนานนับสัปดาห์ บ้านพักทรงไทยประยุกต์กลับยังคงไร้เงาอีกหนึ่งผู้อาศัย บางสิ่งที่ขาดหายรบกวนจิตใจปีศาจผู้พยายามข่มตาหลับจำต้องตื่นลุกจากเตียงกลางดึก ความหงุดหงิดในส่วนลึกความรู้สึกรบเร้าเอทอสให้ยอมหยิบโทรศัพท์โทรตามมนุษย์ ต้นตอสาเหตุที่หายเงียบไร้วี่แวว

    [คุณได้เข้าสู่ระบบฝากข้อความของหมายเลข…]
    “…” หลังได้ยินเสียงตอบรับอัตโนมัติ ปีศาจเพียงวางสายและกดโทรออกใหม่อย่างใจเย็น
     [คุณได้เข้าสู่ระบบฝากข้อความของหมายเลข…]
    “…”
    [คุณได้เข้าสู่ระบบฝากข้อความของหมาย-]
    [คุณได้เข้าสู่ระบบฝากข้อความ-]
     [คุณได้เข้าสู่ระบบฝาก-]

    ร่างสูงใหญ่กดตัดสายการโทรครั้งสุดท้ายพลางสูดหายใจเข้าลึกอย่างควบคุมอารมณ์ ภาพนัยน์ตารัตติกาลขุ่นมัวแฝงอารมณ์บางอย่างเมื่อก่อนแยกกันในโรงพยาบาล คล้ายย้อนกลับมาทำให้หัวใจหนักแน่นรู้สึกหน่วงลึกอย่างประหลาด เพราะยามนั้นเขากำลังห่วงเรื่องสีครามจึงไม่ทันสังเกตความรู้สึกของโนอาร์ ว่าแท้จริงมันมีอะไรมากกว่าความโกรธที่เขาเข้าไปทำลายแผนการ มันมีอะไรมากกว่าบรรยากาศกดดันอันตรายที่รับรู้เพียงผิวเผิน มันมีความขุ่นมัวที่เขาเป็นคนก่อโดยไม่ตั้งใจซ่อนอยู่

    เมื่อรู้ว่าการกระทำของเขาอาจมีส่วนทำให้โนอาร์หายไป สุดท้ายปีศาจจึงตัดสินใจถือกุญแจรถเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปหามนุษย์ แม้ไม่รู้ว่าขณะนี้อีกฝ่ายอยู่ที่ใดทว่านั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เอทอสเพียงขับรถตามเส้นทางอันว่างเปล่าของถนนยามดึกสงัด ปล่อยให้ความรู้สึกและสัญชาตญาณคอยนำทาง เชื่อมั่นว่าสัญลักษณ์ครองคู่บนกลางอกเขาจะพาไป กระทั่งรถกระบะขับเข้าสู่เขตเมืองเอทอสก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณเจือจางอันคุ้นเคย ปีศาจหักเลี้ยวรถขับมุ่งไปตามกลิ่นอาย ยิ่งเข้าใกล้บรรยากาศสองข้างทางกลับประดับด้วยแสงสีและเหล่ามนุษย์นักดื่มของย่านท่องเที่ยวยามราตรี และนั่นเรียกคิ้วหนาบนใบหน้าคมเข้มให้ขมวดมุ่นไม่ชอบใจเล็กน้อย ที่โนอาร์เลือกอยู่สถานที่นี้แทนที่จะกลับบ้านมาหาเขา

    ร่างสูงใหญ่เทียบจอดรถกระบะข้างทางก่อนลงจากรถ เมื่อหนทางจากนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปแทน นัยน์ตาสีอำพันมองตรงไปยังทิศที่รู้สึกถึงกลิ่นอาย ไม่คิดวอกแวกหรือเหลือบมองเหล่านักดื่มชายหญิงที่มาเกาะแกะชวนคุย กระทั่งเดินลึกเข้ามาในตรอกมืดหลบมุม ร้านบาร์ลับตาผู้คนก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเอทอส ทว่านอกจากกลิ่นอายวิญญาณมนุษย์ที่เขาตามหาจะอยู่ด้านใน สถานที่นี้กลับคละคลุ้งไปด้วยอีกหนึ่งกลิ่นอายปีศาจ สื่อเป็นนัยว่าร้านตรงหน้าเป็นถิ่นในปกครองของปีศาจตนหนึ่ง และที่สำคัญคือปีศาจตนนั้นมีอายุมากกว่าเขาหลายร้อยปีหรืออาจแก่กว่าท่านฟอเรสเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นทั้งพละกำลังความแข็งแกร่งเขาไม่อาจเทียบเคียง แต่ถึงรู้ถึงความห่างชั้นเอทอสก็หาได้เกรงกลัวที่ต้องรุกล้ำเข้าไปในเขตของปีศาจตนอื่น

    “รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

    หนุ่มบาร์เทนเดอร์ซึ่งกำลังเขย่าเชคเกอร์สีเงินผสมเครื่องดื่ม เอ่ยถามลูกค้าตัวสูงใหญ่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงผ้าขายาวพร้อมนอนมากกว่าจะมาท่องราตรี ส่งผลให้เหล่าลูกค้าภายในร้านหันมองผู้มาใหม่เล็กน้อย ทว่าเพียงครู่ก็ต่างกลับไปสนใจกับเครื่องดื่มของตน

    “ฉันแค่มารับคู่ครองกลับ ไม่ได้อยากมีเรื่อง” เอทอสเอ่ยพลางเดินไปหาปีศาจเจ้าถิ่นในคราบหนุ่มบาร์เทนเดอร์ที่กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม ทว่านัยน์ตาคมสีน้ำตาลกลับจ้องนิ่งคล้ายเป็นการเตือน
    “อ๋อ... คุณนี่เองที่ทำคุณโนอาร์หัวเสีย อย่างนั้นเพื่อความปลอดภัยของร้านและลูกค้าคนอื่น ๆ ผมคงยิ่งต้องเชิญคุณออก”
    “รับประกันว่าที่นี่จะไม่มีอะไรเสียหาย ฉันใช้เวลาคุยไม่เกินห้านาที และหากโนอาร์ต้องการอยู่ต่อ ฉันจะยอมไปแต่โดยดี”
 
    เสียงทุ้มโต้กลับหนักแน่น นัยน์ตาสีอำพันดุจ้องนิ่งยืนยันคำพูด หนุ่มบาร์เทนเดอร์มองร่างสูงใหญ่อย่างประเมินครู่หนึ่ง แล้วจึงละสายตาไปเปิดเชคเกอร์เทเครื่องดื่มที่ผสมเสร็จเรียบร้อยลงแก้ว ก่อนเลื่อนเครื่องดื่มนั้นมาตรงหน้าผู้บุกรุกอาณาเขต

    “Last Word ฝากเสิร์ฟให้คุณโนอาร์บนชั้นสอง”

    หนุ่มบาร์เทนเดอร์เอ่ยพลางเหลือบมองระเบียงของชั้นลอยเล็กน้อยคล้ายบอกทาง เอทอสเมื่อเห็นดังนั้นจึงถือแก้วเครื่องดื่มตรงไปยังบันไดทางขึ้น เพียงก้าวแรก ปีศาจก็รับรู้ถึงบรรยากาศของชั้นบนและล่างที่ถูกออกแบบให้ต่างกันอย่างชัดเจน
    บริเวณชั้นล่างของร้านมีเคาน์เตอร์และชั้นวางเครื่องดื่มเป็นจุดเด่น ประดับด้วยไฟสีเหลืองนวลกับโต๊ะบาร์เข้าชุดเก้าอี้ทรงสูงให้ลูกค้าชมลีลาวิธีชงของบาร์เทนเดอร์ไปพลางจิบเครื่องดื่ม ผิดกับชั้นสองที่ค่อนข้างมืดสลัว มีเพียงไฟประดับตามมุมพอให้มองเห็น ตั้งแต่บันไดขั้นแรกจนถึงพื้นชั้นบน ทั้งหมดถูกปูด้วยพรมแดงช่วยเก็บเสียงเวลาเดิน สีเดียวกับชุดโซฟาซึ่งแต่ละชุดถูกวางตำแหน่งให้เว้นห่างกระจายทั่วพื้นที่เพื่อความเป็นส่วนตัวของเหล่าลูกค้า และขณะนี้คล้ายจะยิ่งเป็นส่วนตัวมากขึ้น เมื่อทั้งชั้นมีลูกค่าเพียงรายเดียวที่ใช้บริการ

    ร่างสูงใหญ่ย่างเท้าเข้าหามนุษย์ซึ่งกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มตรงชุดโซฟาในสุด แก้วว่างเปล่าเรียงรายเต็มโต๊ะกระจกบ่งบอกว่ามนุษย์ดื่มมานานพอสมควร ทว่าเหมือนทุกอย่างจะไม่ช่วยอะไร เมื่อบรรยากาศรอบกายยังคงทะมึนอึดอัด นัยน์ตารัตติกาลหงุดหงิดกลับสุมด้วยอารมณ์รุนแรงอันตรายไร้แววว่าจะอ่อนลง ซึ่งดวงตานั้นก็ได้หันมาปรายไล่เด็กเสิร์ฟให้รีบวางแก้วและออกไป แต่ทันที่เห็นเด็กเสิร์ฟคนล่าสุด กลับเป็นลูกค้าเสียเองที่เป็นฝ่ายชะงักนิ่ง

    “…กลับไป ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์คุย”

    โนอาร์เอ่ยไล่พลางละสายตาไปมองทางอื่น ไม่คิดถามว่าปีศาจมาได้อย่างไร ส่วนเอทอสเมื่อได้ยินเช่นนั้น ภายในอกคล้ายวูบโหวงอย่างประหลาด ร่างสูงใหญ่เพียงวางเครื่องดื่มลงบนโต๊ะกระจกและยืนมองมนุษย์อยู่ที่เดิม

    “มีมนุษย์เคยบอกข้าว่าเวลาโกรธควรระบายมันออกมา หากมัวแต่เก็บเอาไว้กับตัว มันจะหวนมาทำร้ายตัวเอง”
    “ผมหึงคุณ” นัยน์ตารัตติกาลขุ่นมัวด้วยพายุอารมณ์เชี่ยวกรากหันมาจ้องปีศาจอีกครั้ง
    “ความเป็นห่วงชอบช่วยเหลือ ผมรู้มันเป็นนิสัยของคุณ แต่ทำไมต้องเป็นคนที่แอบชอบคุณมาสิบกว่าปี สายตาสีครามตอนมองคุณมันทำให้ผมอยากควักมันออกมาขยี้ทิ้ง” น้ำเสียงเคียดแค้นพูดระบายอย่างหงุดหงิด แก้วเครื่องดื่มในมือขาวถูกแรงบีบจนได้ยินเสียงร้าวลั่นเบา ๆ
    “…”
    “ยิ่งคุณออกตัวปกป้องผมยิ่งอยากฆ่า แต่เพราะคุณผมถึงทำอะไรไม่ได้ หันไปลงกับคนพี่หนักเข้าก็กลัวคุณจะโดนแทน จะลากคนอื่นมาคุณก็ยิ่งโกรธ แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงเอทอส หยุดเหรอ? ไม่มีทาง มนตร์มืดนั่นมันไม่มีทางแก้ มันกำลังพรากชีวิตคุณไปจากผม กับแค่สนองคืนให้มันลิ้มรสสิ่งที่ทำ ทำไมคุณต้องมาขวาง”
    “…”

    เอทอสได้แต่ยืนฟังโนอาร์ที่ยามนี้สูญเสียความสุขุมเยือกเย็น ความเก็บกดโกรธเคืองทำให้มนุษย์ไม่ต่างกับกล่องแพนโดราที่โดนเขาผนึกปิดฝา ส่งผลให้ความอาฆาตชั่วร้ายมหาศาลถูกกักเก็บอัดแน่นภายใน และทุกอย่างได้ย้อนกลับมาทำลายตัวกล่องเสียเอง ถ้าเขายังไม่ยอมเปิดฝาคืนอิสระให้ความดำมืด ดังนั้นฝีเท้าหนักจึงค่อยขยับเข้าหาร่างมนุษย์ซึ่งกำลังเล่าระบายความอัดอั้นทีละน้อย

    “ทำไมคุณต้องปกป้องสีคราม ทำไมคุณกล้าเห็นหมอนั่นดีกว่าผม เวลาของเราแทบไม่เหลือแต่คุณกลับเอามันให้คนอื่น! หึ.. สำคัญอะไรหนักหนา เป็นแค่คนขายดอกไม้ริอ่านได้ความห่วงใยจากคุณ ผมต่างหากที่ต้องได้! ทุกอย่าง-”

     เหล่าคำพูดเลือนหายเมื่อริมฝีปากบางถูกประกบปิดกลืนกินทุกถ้อยคำ นัยน์ตารัตติกาลมืดมนเบิกกว้างขึ้นระดับหนึ่งจากสัมผัสไม่คาดคิด กว่าจะรู้ตัวสังเกตสิ่งรอบข้าง ใบหน้าคมเข้มก็ขยับเข้าแนบชิดไร้ช่องว่าง ผิวแก้มเยียบเย็นจากเครื่องปรับอากาศรู้สึกถึงลมหายใจร้อนซึ่งกำลังเป่ารดคืนความอบอุ่น เช่นเดียวกับริมฝีปากหนาที่ค่อยขยับเม้มริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะบุบสลาย ดวงตาดำมืดได้แต่นิ่งงันสบนัยน์ตาสีอำพันดุหม่นแสงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยอธิบาย

    ท่อนแขนแกร่งค้ำยันโซฟากักขัง ส่วนอีกข้างให้ฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นสัมผัสกรอบหน้ามนุษย์พลางใช้นิ้วมือหยาบเกลี่ยผิวแก้มขาวปลอบประโลม ก่อนเคลื่อนไปทางด้านหลัง เปลี่ยนตำแหน่งเป็นการคลึงบริเวณต้นคอเพื่อให้ผู้รับผ่อนคลายพร้อมปรับองศาใบหน้าให้สัมผัสยิ่งชิดใกล้ ร่างโนอาร์เอนตามแรงดันจากร่างสูงใหญ่กระทั่งแผ่นหลังแนบสนิทกับพนักโซฟา
    นัยน์ตารัตติกาลหลับพริ้มยามลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ปลายลิ้นแตะสัมผัสผสานรสจากเครื่องดื่มซึ่งยังติดค้างเสมือนคล้ายกระแสไฟฟ้าแล่นกระจายทั่วทุกสัดส่วน ความรู้สึกเปียกชื้นซาบซ่านยามลิ้นเข้าประสานรัดรึงปัดเป่าพายุอารมณ์มลายพลันเหลือเพียงความคิดอันขาวโพลน รสสัมผัสลึกล้ำเกี่ยวกระหวัดในโพรงปากดูดกลืนเรี่ยวแรงโนอาร์จนไม่อาจเหนี่ยวรั้งแก้วร้าวในมือ ในท้ายสุดแก้วเปราะบางนั้นก็ร่วงกระทบพื้นพรมแตกสลายอย่างเงียบงัน เช่นเดียวกับความดำมืดมหาศาลในกล่องแพนโดราที่ถูกชำระล้างสิ้นด้วยจุมพิตเว้าวอนของปีศาจผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว

    “เจ้าได้ทุกอย่างของข้า ไม่มีใครได้เหนือกว่าเจ้า โนอาร์” เสี่ยงทุ้มต่ำกระซิบพร่าปลอบประโลม
    “ข้าผิดเองที่ใส่ใจผู้อื่นจนละเลยความรู้สึกของเจ้า ทั้งที่เจ้าเป็นคู่ครองข้า เป็นผู้ที่ข้าควรให้ความสำคัญที่สุด”
    “…”
    “ข้ามารับเจ้าแล้ว... กลับบ้านกับข้านะโนอาร์”

    ไร้ซึ่งถ้อยคำเอื้อนเอ่ย มีเพียงฝ่ามือขาวเข้าประสานกอบกุมฝ่ามือใหญ่พลางบีบกระชับแน่นแทนคำตอบ
   



บท35 สมบูรณ์






ถึงคนอ่าน


(https://cdn.shopify.com/s/files/1/0402/0584/4634/articles/CP_Cocktail_Last_Word_2.png?v=1610363752)
"Last Word" ค็อกเทลที่โนอาร์สั่งครับ


    อีกหนึ่งคนที่คนเขียนบอกว่าจะมีเรื่องแยกก็คือ ปีศาจในคราบหนุ่มบาร์เทนเดอร์เจ้าของบาร์ลับครับ คนเขียนอยากบอกว่าพลังของปีศาจตนนี้ค่อนข้าง OP มากครับ ฟอเรสกับเอทอสเทียบไม่ติดเลย


    การทรมานที่วรรษโดนในช่วงต้นเรื่องคือ Hanging Cage(กรงขังขนาดเล็กพอให้ใส่คนเข้าไปได้ แล้วนำไปแขวนประจานตากแดดตากลม เป็นวิธีทรมานในสมัยก่อน) กับ Waterboarding(การจัดท่านอนให้เท้าสูงกว่าหัวกันสำลัก แล้วเทน้ำกรอกใส่ให้ทรมานเหมือนจมน้ำ เป็นวิธีทรมานที่ใช้กันในปัจจุบัน) ซึ่งวิธีทั้งสองเป็นการทรมานโดยไม่เกิดผลกระทบหรืออาการบาดเจ็บกับร่างกายครับ


    บทหน้าเป็นบทสุดท้ายของเรื่องราวแล้ว อย่าลืมติดตามกันนะครับ ขอบคุณครับ ^^



    ป.ล. คนเขียนสร้าง account นามปากกาในทวิตเตอร์แล้วนะครับ(@biomos_A2Z (https://twitter.com/biomos_A2Z)) ในนั้นคนเขียนจะทำเธรดนิยายไว้ คนอ่านสามารถแกล้งส่องได้นะครับ 5555

หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 35 สีคราม) [13/05/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: yumyai_fishery ที่ 15-05-2021 21:54:12
จำไม่ได้ว่า ได้เฉลยไว้หรือเปล่าว่า ทำไมเอทอสถึงสูญเสียพลัง (ที่สะกิดสิ่งมีชีวิตแล้ววิญญาณหลุดอะค่ะ) หรือเฉลยตอนจบ ช่วยบอกที :mew2:
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทที่ 35 สีคราม) [13/05/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-05-2021 01:06:23
หึหึ แระจะยังไงต่อน้อ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทสุดท้าย เวลา]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 27-05-2021 16:45:35
    ความแน่นอึดอัดคล้ายกำลังถูกรัดพันกับไอร้อนจากแสงอาทิตย์แยงตา ปลุกชายเลือดเย็นตื่นจากการหลับพัก นัยน์ตารัตติกาลค่อย ๆ ลืมตื่นมองแดดจ้าสาดผ่านหน้าต่างเปิดรับลมคล้ายเตือนเวลาสายโด่ง ก่อนก้มมองท่อนแขนหนาหนักสีน้ำตาลแดงพร้อมกรงเล็บทมิฬรั้งพาดลำตัวไม่คิดคลาย ลมหายใจร้อนของร่างยักษ์ซ้อนหลังเป่ารดต้นคอเป็นจังหวะสร้างความรู้สึกราวกระแสไฟฟ้าอ่อนแผ่ซ่าน ชวนหวนนึกถึงเหตุการณ์วาบหวามที่เพิ่งจบลงไม่นาน

    ร่างสูงขาวสมส่วนยกท่อนแขนหนักกักขังออกพยุงตัวนั่ง โนอาร์พินิจมองใบหน้าคมเข้มหลับสนิทผ่อนคลายของปีศาจผู้เป็นที่รัก พลางยื่นมือลูบผิวแก้มสากอย่างอ่อนโยนบางเบาไม่คิดปลุก เนื่องเพราะอยากให้เอทอสพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ทั้งจากการขับรถพาเขากลับบ้านและต่อด้วยบทรักแสดงความคิดถึงจวบตะวันขึ้น
    กระทั่งชื่นชมจนพอใจ มนุษย์ถึงลุกจากเตียงหมายหยิบเหล่าเสื้อผ้าที่เกลื่อนกระจายทั่วพื้นห้องขึ้นสวมเพื่อออกไปเตรียมมื้อเช้ารวบเที่ยง ทว่าความเหนอะหนะเต็มช่องทางด้านหลังและความรู้สึกคล้ายสิ่งข้นหนืดกำลังค่อยไหลลงมาตามขาอ่อน กลับทำให้โนอาร์ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ นัยน์ตารัตติกาลเหลือบมองผู้กระทำที่ยังคงนอนตะแคงหันหลังหลับสบาย อดไม่ได้ที่จะเข้าไปลงโทษด้วยการหอมแก้มสากจนได้ยินเสียงอืออาคล้ายรำคาญ เช่นนั้นชายเลือดเย็นถึงเผยยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนเดินเข้าห้องน้ำแทน

    หลังชำระร่างกายเรียบร้อย โนอาร์มายังส่วนครัวเปิดตู้เย็นค้นหาของทำอาหาร กลับพบว่ามีของสดเพียงไม่กี่อย่าง นอกนั้นล้วนเป็นอาหารกล่องแช่แข็งสื่อถึงวิถีการกินช่วงที่เขาหายไปได้อย่างดี ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยพลางเลือกสรรของที่อาจพอนำมาดัดแปลง เมื่อได้ครบตามต้องการแล้วถึงเดินไปยังหน้าเตาลงมือทำมื้อเที่ยง

    “เห็นของในตู้เย็นแล้ว คุณขาดผมไม่ได้หรอกเอทอส” เสียงเรียบเรื่อยเอ่ยโดยไม่ต้องหันกลับไปมองผู้มาใหม่
     “ก็อย่าหายไปอีกสิ”

    เสียงทุ้มต่ำกล่าวตอบถึงกับทำให้มนุษย์ชะงักมือซึ่งกำลังจี่เนื้อในกระทะชั่วจังหวะหนึ่งก่อนจะลอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ให้ปีศาจเห็น เอทอสซึ่งแปลงกลับเป็นร่างมนุษย์หลังอาบน้ำเสร็จเดินมานั่งรอตรงโต๊ะกินข้าว พลางมองแผ่นหลังคู่ครองไหวขยับทำอาหารเพลินตา ไม่นานนักมื้อเช้ารวบเที่ยงก็ถูกพ่อครัวยกเสิร์ฟ เมื่อหันกลับมานัยน์ตารัตติกาลพลันสบนัยน์ตาสีอำพันดุของร่างสูงใหญ่ที่นั่งเท้าคางมองเขาอยู่ แววตาอำพันคมเสน่ห์ราวกับจ้องทะลุเสื้อผ้ากับการกระตุกยิ้มมุมปากเลียนแบบเขาทว่าแฝงความมากเล่ห์ ก็มากพอให้จิตใจเยือกแข็งเต้นระส่ำ ยิ่งเพิ่งผ่านคืนเร่าร้อนที่ชายเบื้องเป็นผู้มอบเติมเต็ม เลือดลมก็คล้ายโดนกระตุ้นสูบฉีดหมุนเวียนสะดวกเกินพอดีจนรู้สึกอบอ้าวอย่างประหลาด

    “หน้าเตามันร้อนหรือไง หูกับหน้าเจ้าถึงได้แดงนัก” ปีศาจกล่าวลอย ๆ ขณะรับจาน
    “ไม่หรอก สงสัยเพราะเมื่อคืนผมโดนฤทธิ์ไส้กรอกยักษ์เคลือบมายองเนสทำพิษน่ะ ขนาดตื่นมามันยังเยิ้มอยู่เลย”
    “…” เอทอสได้แต่มองจานที่มีไข่ดาวฟองโตเคียงข้างไส้กรอกยาวใหญ่ ดีที่อีกสิ่งบนจานคือเนื้อย่างมิใช่มายอง-
    “คุณ เอามายองเนสไหม” มนุษย์เอ่ยพลางเลื่อนกระปุกมายองเนสมาให้ ส่วนมืออีกข้างก็ถือส้อมจิ้มไส้กรอกละเลงของเหลวขาวหนืดชวนนึกถึงภาพตราตรึง ริมฝีปากบางเล็มกัดชิมถึงกับทำให้บางสิ่งข้างใต้เริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
    “ผมชอบนะ รสออกคาวข้นนิด ๆ แต่รวม ๆ ก็อร่อยจนลืมไม่ลง”
    “อะฮึ่ม.. เวลากินข้าวโนอาร์”

    ร่างสูงใหญ่แกล้งกระแอมไอปรามมนุษย์ เมื่อรสสัมผัสคำอธิบายที่ได้ฟังดูเหมือนจะไม่ใช่มายองเนส ก่อนจะทำเป็นกินมื้อเที่ยงไม่สนอะไร โนอาร์ที่เห็นปีศาจผู้เริ่มก่อนกลับเป็นผู้ขัดเขินเสียเองก็เพียงยิ้มมุมปากแล้วค่อยกินตาม ทว่าผ่านไปเพียงครู่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเจ้าบ้านก็ดังขึ้น นัยน์ตารัตติกาลเห็นคนร่วมโต๊ะมีทีท่าอึดอัดยามมองชื่อบนหน้าจอ เท่านั้นชายเลือดเย็นก็รู้โดยไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา

    “ไม่รับล่ะ รุ่นน้องคุณรอนานแล้ว”

    ถ้อยเสียงเรียบเรื่อยกลับทำให้คนฟังยิ่งกระอักกระอ่วน แต่ท้ายสุดฝ่ามือหนาก็จำหยิบโทรศัพท์มาแนบหู ระหว่างคุยนัยน์ตาสีอำพันดุคอยลอบสังเกตมนุษย์ฝั่งตรงข้ามอยู่ตลอด จวบจนวางสายเอทอสก็เล่าถึงสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่ให้ใครอีกคนฟังเพื่อความสบายใจ

    “สีครามโดนข้อหาให้ที่พักกับผู้ร้ายหนีคดี โชคดีที่แค่ให้จ่ายค่าปรับและวันนี้... ข้านัดสีครามไปโรงพักจะได้ช่วยจ่ายและก็ย้ายของเข้าหอพักทีเดียว เพราะที่ร้านคงอยู่ไม่ได้แล้ว” เอทอสเอ่ยพลางพยายามเลี่ยงคำไม่ให้เกิดความผิดใจกับมนุษย์ใหม่ แม้ในใจอยากจะตำหนิว่าคนตรงหน้าก็ตาม
    “เดี๋ยวกินเสร็จเจ้าไป-”
    “คุณจะพาผมไปด้วยเพื่อความบริสุทธิ์ใจและให้เห็นว่ามันไม่มีอะไร แต่ถ้าคุณไม่อยากให้รุ่นน้องตาย อย่าพาผมไปเลย”

    ชายเลือดเย็นกล่าวแนะอย่างหวังดี ที่เคยบอกว่าจะไม่ยุ่งคือไม่ยุ่งจริง ๆ ช่วงเวลาอึดอัดน่าหงุดหงิดที่เขาได้แต่ยืนมอง เขาไม่อยากรู้สึกถึงมันอีก ไม่รู้ทำไมเพื่อปีศาจตรงหน้าเขาต้องถอยขนาดนี้ แต่ในเมื่อต้นตอปัญหาเกิดเพราะเขาคิดมากไปเองจนคุมอารมณ์ไม่ได้ ฉะนั้นการหลีกเลี่ยงใบหน้าซื่อ ๆ โง่ ๆ ของสีครามคงเป็นการดีสุด

    หลังฟังร่างสูงใหญ่ก็มิได้ฝืนบังคับอะไร เพียงตั้งหน้าตั้งตากินมื้อเที่ยงให้เสร็จแล้วลุกเอาจานไปเก็บ หันมากล่าวบอกมนุษย์เล็กน้อยว่าจะรีบไปรีบกลับ ถึงค่อยเดินไปหน้าบ้านขึ้นรถกระบะและขับออกไป โนอาร์ที่บัดนี้อยู่ในบ้านพักทรงไทยประยุกต์เพียงลำพัง ล้วงหยิบลูกแก้วสีชาดสำหรับบอกเวลาชีวิตเอทอสขึ้นพินิจดู ซึ่งลูกแก้วนี้ได้มาตอนชำแหละร่างภาคินเมื่อไม่นานนี้ ความเจือจางแทบกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์นั้นน่าใจหายจนลืมความอยากอาหารสิ้น ชายเลือดเย็นพลันนำอาหารที่กินเหลือไปเททิ้ง แล้วคว้ากุญแจรถขับไปยังสถานที่หนึ่ง เพราะยามที่เวลาใกล้หมดลง ไม่ใช่ปีศาจผู้เดียวที่มีสิ่งต้องทำ


    นายใหญ่สวนรฦกวัลย์ขับรถมารับรุ่นน้องที่ร้านดอกไม้พร้อมช่วยขนข้าวของขึ้นหลังกระบะ ซึ่งส่วนมากเป็นเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง เพราะของเกือบทั้งหมดถูกไฟเผาไหม้ไปพร้อมกับบ้านพี่ชายนานแล้ว หลังเรียบร้อยเอทอสก็ขับพาสีครามไปสถานีตำรวจเพื่อเคลียร์คดี ใช้เวลาเจรจาสักพักใหญ่กว่ารถกระบะสีดำขลับจะได้เดินทางมาถึงหอพัก สถานที่สุดท้ายของการนัดหมาย

    “ขอบคุณครับพี่เอทอส แต่ตอนนี้เย็นมากแล้วพี่เอทอสกลับก่อนได้เลยนะครับ ของพวกนี้เดี๋ยวผมขนขึ้นห้องเอง” สีครามเอ่ยขอบคุณพร้อมรีบตัดบท เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ตั้งท่าจะช่วยเขาขนของขึ้นห้อง
    “อืม ไม่คิดว่าพวกตำรวจจะทำเสียเวลาขนาดนี้ แต่ขนแป๊บเดียวก็เสร็จ ไม่ต้องเกรงใจ” เสียงทุ้มว่าพลางเตรียมคว้ากระเป๋าเสื้อผ้า ทำให้รุ่นน้องต้องรีบโบกมือส่ายหน้าห้ามเป็นระวิง
    “ไม่เป็นไรครับพี่! ...ผมขนได้ครับ พี่เอทอสรีบกลับเถอะครับ คุณโนอาร์รอพี่อยู่นะ”
    “ก็ใช่ไง รีบขนรีบกลับ มีอะไรหรือเปล่าถึงได้ขัดฉันอยู่นั่น”

    นัยน์ตาสีอำพันดุขมวดคิ้วมุ่นมองรุ่นน้องอย่างเริ่มหงุดหงิด เพราะกำลังรีบแข่งกับเวลากลัวมนุษย์ที่รออยู่บ้านจะคิดเออเองไปไกลแล้วมาหึงงอนเขาอีก แต่กลับต้องมายืนเถียงไร้สาระกับความขี้เกรงใจของรุ่นน้อง สีครามที่เห็นรุ่นพี่ใจดีคล้ายดุใส่ก็พลันชะงักกลัวไปเล็กน้อย ก่อนจะสูดหายใจเข้าเตรียมพูดเรื่องที่เขาเก็บงำอึดอัดมานาน

    “ผมขอบคุณที่พี่เอทอสคอยดูแลช่วยเหลือผมมาตลอดนะครับ แต่ต่อจากนี้ผมจะไม่ขอรบกวนพี่อีกแล้ว”
    “ทำไม? เพราะโนอาร์เหรอ ก็บอกว่าฉันคุยกับเจ้านั่นจนเข้าใจแล้ว... หรือโนอาร์แอบมาขู่อะไรลับหลัง?” นัยน์ตาสีอำพันดุหรี่มองพลางเค้นถาม
    “ไม่ใช่ครับพี่เอทอส แต่ผมไม่อยากเป็นคนสร้างปัญหาให้พี่กับแฟนทะเลาะกันอีก พี่เอทอสก็รู้ว่าผมเคยชอบพี่ และคุณโนอาร์ก็คงรู้เหมือนกัน”
    “แล้ว?” เสียงทุ้มต่ำขานกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สา ถึงกับทำให้รุ่นน้องหลุดถอนหายใจหน่าย
    “พี่เอทอส พี่มีแฟนแล้วไม่ได้อยู่คนเดียว ควรใส่ใจความรู้สึกคนรักให้มากกว่านี้นะครับ ความใจดีของพี่มันต้องมีขอบเขต ถ้าสมมติคุณโนอาร์มีคนรักเก่า แล้วคุณเขาทำเหมือนพี่ พี่โอเคจริงหรือครับ”
    “หึ โนอาร์ไม่เคยมีคนรั-”

    เอทอสเค้นหัวเราะเตรียมตอบกลับว่าโนอาร์ไม่เคยรักใครจนมาเจอเขา ทว่าเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำโนอาร์ที่รับรู้ผ่านฝันพลันผุดขึ้นขัดคำพูดและถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่ชะงักงัน แม้โนอาร์ไม่มีคนรักก็จริง แต่ก็มีคู่นอนอยู่คนหนึ่งที่ใช้เวลาคบหานานกว่าใคร เป็นคนเดียวที่โนอาร์มีทีท่าห่วงหาและสนใจเป็นพิเศษ
    เพียงคิดว่าหากคน ๆ นั้นพบปัญหาแล้วกลับมาหาโนอาร์ และคู่ครองเขาช่วยเหลือเป็นห่วงเป็นใยแบบที่ไม่เคยแสดงกับใคร หรือถึงขั้นหลงลืมเขาไปเหมือนที่เขาเคยเป็นตอนสีครามเข้าโรงพยาบาล เท่านั้นหัวใจหนักแน่นก็พลันบีบรัดจนเจ็บหน่วง ถึงเขาจะอยากให้โนอาร์หัดจริงใจเมตตาคนอื่น และรู้อยู่แก่ใจว่ามนุษย์ไม่มีทางปันใจจากเขา แต่ความอึดอัดร้อนรุ่มนี้กลับสุมอัดเพิ่มไม่ลดเลือน นัยน์ตารัตติกาลโกรธเคืองเคลือบแคลงพลันหวนสะท้อนจนปีศาจรู้สึกวูบโหวง เมื่อจินตนาการพาเขามายืนจุดเดียวกับที่มนุษย์เคยรู้สึก

    “ผมจัดการได้ครับพี่เอทอส รีบกลับไปหาคุณโนอาร์นะครับ” สีครามเอ่ยแนะเมื่อเห็นรุ่นพี่นิ่งไปคล้ายฉุกคิด
    “…อา งั้นฉันกลับก่อน ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ส่วนของพวกนี้ฉันเอาไปวางหน้าลิฟต์ให้”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางรีบหิ้วข้าวของทุกอย่าง เดินนำไปทางประตูกระจกหอพักที่ต้องใช้บัตรแตะปลดล็อก สีครามเผลอนิ่งช็อกในความตีมึนของรุ่นพี่เล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งไปสแกนเปิดให้อีกฝ่ายเอาของวางกองหน้าลิฟต์ที่อยู่หลังประตูเมื่อถูกเสียงทุ้มหนักเอ่ยเร่ง ซึ่งพอนายใหญ่สวนกล้วยไม้ได้ทำตามปรารถนาก็รีบกลับขึ้นรถกระบะและขับออกไปอย่างเร็วรี โดยมีสายตารุ่นน้องคอยมองไล่หลังอย่างเหนื่อยใจแทนคุณโนอาร์



    “บอกทีเรื่องนี้ฉันผิดขนาดนั้นเลย?”

    เอทอสเอ่ยถามศิลาอย่างอดไม่ได้ ยามมองคู่ครองดูแลกล้วยไม้พลางพูดหยอกกับเหล่าคนงาน ส่วนเขาผู้เป็นนายใหญ่เจ้าของสวนกลับถูกเหล่าสายตาลูกน้องเหล่มองจงใจเว้นระยะห่างราวกับเป็นส่วนเกิน ซึ่งทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า เมื่อโนอาร์ผู้เป็นที่รักชาวสวนทั้งชายหญิงกลับมาเยือนสวนรฦกวัลย์อีกครั้ง หลังหายไปอาทิตย์กว่าเหตุเพราะผิดใจกับเขา

    “ไม่หรอกครับนาย พวกเขาก็แค่อยากแกล้งนายเท่านั้น”

    ศิลาตอบตามจริงพลางลอบยิ้มขันเล็กน้อย ก่อนจะชวนนายใหญ่กลับสำนักงานเพื่อจัดการเอกสารกองพะเนินที่รออยู่ เอทอสที่แสร้งออกมาเดินตรวจสวนหวังใช้เวลากับคู่ครองจึงตัดใจหันหลังกลับ ทว่าระหว่างเดินผ่านเรือนกล้วยไม้ นัยน์ตาสีอำพันดุพลันสะดุดบางสิ่งเข้าโดยบังเอิญ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นพร้อมหมอบหมายภารกิจให้เลขาข้างกาย ส่วนตนก็เดินต่อไปยังสำนักงานเพียงลำพัง

    “คุณโนอาร์ครับ”

    เสียงเรียกให้นัยน์ตารัตติกาลหันมองต้นตอเล็กน้อย ซึ่งก็พบศิลากำลังยื่นส่งดอกกล้วยไม้สีขาวบริสุทธิ์ช่อหนึ่งให้ ทว่าชายหนุ่มเจ้าของชื่อกลับยืนนิ่งไม่รับดอกไม้ ศิลาซึ่งคาดการณ์ไว้แล้วจึงเอ่ยคำกระตุ้นที่เตรียมไว้

    “นายใหญ่ฝากให้คุณโนอาร์ครับ ดอกกล้วยไม้สีขาวสื่อถึงความสง่างามและไร้เดียงสา แต่ในบางโอกาสก็ใช้มอบให้คนรักหลังผ่านช่วงมีปากเสียงรุนแรงกัน หากกรณีนั้นจะมีความหมายว่า…”
    “…”
    “‘ฉันขอโทษและรู้สึกเสียจริง ๆ’ ครับ”

    เมื่อความหมายอันแท้จริงได้รับการเฉลย เหล่าชาวสวนที่รายล้อมต่างลอบอมยิ้มลุ้นให้คนรักของนายใหญ่ยอมรับกล้วยไม้ ซึ่งไม่นานนักฝ่ามือขาวก็ยื่นรับช่อกล้วยไม้มาถือ ส่งผลให้กลุ่มคนงานต่างเฮร้องร่วมปิติที่สองเจ้านายกลับมาคืนดี โดยไม่รู้เลยว่าชายเลือดเย็นหายผิดใจกับนายใหญ่ตั้งแต่ครั้งที่อีกฝ่ายรับเขากลับบ้านตั้งนานแล้ว และแน่นอนว่าโนอาร์ก็ไม่คิดเล่าอธิบายใด ๆ เพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยแบบฉบับเจ้าตัว ก่อนจะแสร้งชวนผู้คนรอบข้างกลับมาทำงานต่อ โดยกล้วยไม้ขาวบริสุทธิ์ช่อนั้นก็ได้เสียบในกระเป๋าเสื้อใกล้ตำแหน่งหัวใจเยือกแข็งที่เต้นไหวอย่างเปี่ยมสุข


     หลังผ่านพ้นเรื่องราววุ่นวาย ปีศาจกับมนุษย์ก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่เพียงเดือนเศษก่อนมนตร์มืดทำงานไปกับชีวิตประจำวันแสนเรียบง่าย มิได้ออกไปท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวความทรงจำ เนื่องเพราะเอทอสต้องเตรียมสะสางทุกสิ่งอย่างเพื่อที่เขาจะได้จากไปอย่างหมดห่วง พินัยกรรมจัดการทรัพย์สินมรดกถูกเขียนอย่างลับ ๆ และส่งมอบให้ทนายส่วนตัวเป็นผู้เก็บรักษา ส่วนโนอาร์ก็หยุดเดินเหล่าตัวหมาก ละทิ้งเกมกระดานที่ตนอุตส่าห์วางแผนสร้างอย่างไม่คิดเสียดาย แล้วหันมาอยู่เคียงข้างปีศาจผู้เป็นที่รัก ทว่าก็มีบ้างที่ไปแวะเยี่ยมวรรษ ผู้เป็นชนวนเหตุของเรื่องทั้งหมด

    จวบจนช่วงสองวันสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ หนึ่งมนุษย์และปีศาจที่เคลียร์ภาระหมดสิ้น จึงตัดสินใจกลับมาใช้เวลาอย่างเป็นสุขด้วยกันที่บ้านไม้กลางป่า รถยนต์สีน้ำตาลเข้มขับลุยเข้าผืนป่าก่อนดับเครื่องตรงตำแหน่งเดียวกับที่รถสีเทาเมทัลลิกคันเก่าเคยจอด เอทอสและโนอาร์ช่วยกันถือของกินของใช้พอสำหรับสองวันจากนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องออกจากป่า เดินฝ่าแมกไม้หลากพันธุ์ไม่นานก็พบลานโล่งกว้างซึ่งมีบ้านไม้เก่าชั้นเดียวตั้งอยู่ ถัดจากข้างตัวบ้านไม่ไกลนักเป็นลำธารน้ำใสเหมาะแก่การอาบดื่ม เป็นสถานที่แสนสงบที่เอทอสเลือกเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของชีวิต

    “ไม่ได้มาอยู่นานคงต้องทำความสะอาดกันก่อน”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางวางสัมภาระตรงชานบ้าน ก่อนเดินแยกไปตรงลำธารโดยถือถังเปล่าไปด้วย โนอาร์จึงเดินขึ้นบ้านไปเปิดประตูหน้าต่างไล่อากาศ ใช้ผ้าปัดฝุ่นตามโต๊ะเก้าอี้สักพักเจ้าบ้านก็นำน้ำเต็มถังมาวางให้บิดซัก ทั้งสองช่วยเช็ดทำความสะอาดตัวบ้านและเครื่องเรือน ผลัดกันไปเปลี่ยนน้ำในถังเมื่อเริ่มดำ กระทั่งเวลาเคลื่อนถึงบ่ายคล้อยเกือบเย็น บ้านไม้หลังเก่าก็พร้อมสำหรับการเข้าพักอาศัย

    “เอทอสที่นี่มีแค่เรา คุณคืนร่างปีศาจได้นะ”

    มนุษย์เอ่ยพลางส่งน้ำเย็นดับกระหายให้ปีศาจที่นั่งกระพือเสื้อคลายร้อน ซึ่งเอทอสก็มิได้ปฏิเสธ ฝ่ามือใหญ่รับขันน้ำมาดื่มพร้อมเปลวเพลิงสีนิลเริ่มลุกติดตามร่าง กระทั่งดื่มเสร็จกรงเล็บทมิฬก็ยื่นขันเปล่าคืนมนุษย์ นัยน์ตารัตติกาลมองร่างยักษ์เปลือยท่อนบนโชว์ผิวกายสีน้ำตาลแดงประดับด้วยมัดกล้ามกำยำเด่นชัด ทั้งตัวสวมเพียงกางเกงหุ้มเกราะโบราณทำให้ลมพัดอากาศถ่ายเทคลายร้อนได้สะดวก หนามแหลมราวกับขนเม่นทำหน้าที่เสมือนเส้นผมดำขลับ ใบหูยาวเข้ากับใบหน้าที่ยิ่งดูดุทะมึนเมื่อนัยน์ตากลายเป็นสีแดงเลือดนก แม้รูปลักษณ์นี้จะดูน่ากลัวในสายตาใครต่อใคร แต่สำหรับโนอาร์ เขาชอบเอทอสที่เป็นเอทอสจริง ๆ ที่สุดแล้ว

    “ที่เหลือคงมีแค่ทำกับข้าว คุณไปอาบน้ำให้สบายตัวไหม พอคุณมามื้อเย็นคงเสร็จพอดี” มนุษย์แนะนำเมื่อเห็นผิวกายร้อนของปีศาจชุ่มไปด้วยเหงื่อ
    “เดี๋ยวข้าจะไปหาฟืนต่อ ค่อยอาบทีเดียว”

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยพร้อมลุกขึ้น ก่อนร่างยักษ์จะเดินไปตัดต้นไม้ทำฟืนสำหรับก่อไฟโดยใช้เพียงกรงเล็บไม่จำเป็นต้องพึ่งอาศัยขวานให้เกะกะ ส่วนโนอาร์ก็นำสัมภาระที่วางกองไว้ตอนแรกเข้าเก็บในบ้าน และลงมือเตรียมมื้อเย็น

    อาหารปริมาณพอสำหรับหนึ่งปีศาจและมนุษย์ทำเสร็จทันเวลาก่อนแสงพระอาทิตย์หมดลง ชายเลือดเย็นจุดตะเกียงพร้อมก่อกองไฟตรงลานหน้าบ้านเพื่อเป็นความความสว่างยามค่ำ พลางสอดส่งสายตาหาร่างยักษ์ซึ่งก็ไร้วี่แวว ดังนั้นมนุษย์จึงถือเสื้อผ้าชุดใหม่ไปตรงลำธารหวังชำระคราบเหงื่อไคลตลอดวันให้รู้สึกสดชื่น

    หลังลงแช่น้ำไม่นานความมืดก็เข้าปกคลุมทั่วบริเวณ โชคดีที่แสงจันทร์กับกองไฟคอยช่วยให้พอเห็นบรรยากาศรอบข้างผ่านความสลัวเงียบสงัด โนอาร์นั่งหลับตาพิงโขดหินกลางลำธารผ่อนคลายความเหนื่อยล้า สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงจังหวะย่ำเหยียบใบไม้แห้งเป็นผลให้มนุษย์ต้องลืมตามอง ซึ่งพบเงาร่างยักษ์กับนัยน์ตาคู่สีแดงเลือดนกเรืองแสงเดินออกมาจากป่า

    “ผมทำมื้อเย็นเสร็จแล้วคุณกินก่อนได้เลย หรือถ้าเหนียวตัวก็มาอาบน้ำกับผม”

    เสียงเรียบเรื่อยตรงลำธารเอ่ยแกมหยอกปีศาจที่กำลังแบกฟืนไปเก็บ ทว่าข้อเสนอเมื่อครู่สำหรับเอทอสกลับน่าสนใจไม่น้อย เนื่องเพราะทำงานออกแรงตลอดวันทำให้รู้สึกเหนอะคันตัวไม่น้อย เช่นนั้นหลังนำฟืนเก็บตรงเพิงหลังบ้านเสร็จ ร่างยักษ์จึงเดินมายังลำธารพลางถอดกางเกงหุ้มเกราะทิ้งไว้ริมฝั่งกองรวมกับเสื้อผ้าของมนุษย์ แล้วถึงค่อยเดินลงไปนั่งพิงโขดหินแช่น้ำป่าไหลเย็นอยู่ข้างคนชวน

    “คุณหันหลังมา เดี๋ยวผมถูหลังให้”

    โนอาร์เอ่ยเสนอเมื่อเห็นปีศาจข้างกายดำผุดดำว่ายกวักน้ำล้างตัว เอทอสเมื่อได้ยินก็ยอมหันแผ่นหลังกว้างให้มนุษย์ปรนนิบัติ ฝ่ามือขาวเยียบเย็นจากการแช่น้ำมาสักพักจึงบรรจงขัดถูกึ่งนวดคลายความเมื่อยล้าตามมัดกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังและบ่าใหญ่ ส่งผลให้ร่างยักษ์หลุดเสียงครางอืมพึงพอใจในลำคอ

    “เสร็จแล้ว คุณหันมา”

    มนุษย์เอ่ยพลางจับปีศาจนั่งพิงโขดหินเหมือนเดิม แล้วถึงค่อยลงมือบีบนวดตามลำแขนแข็งแรง เอทอสที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนดูแลจัดการทุกอย่างให้โดยไม่ต้องทำอะไร ก็เพียงนั่งรับบริการพลางเงยหน้ามองพระจันทร์และดวงดาวระยับบนฟากฟ้าแบบที่ไม่สามารถเห็นได้ในเมือง ความผ่อนคลายสบายตัวทำให้ใบหน้าคมเข้มของปีศาจหลุดระบายยิ้มเล็กน้อย ครู่หนึ่งนัยน์ตาดุเรืองแสงสีแดงเลือดนกถึงหันกลับมามองมนุษย์ที่กำลังตั้งใจขัดนวดเขาขะมักเขม้น

    ผิวกายขาวนวลเลื่อมด้วยสายน้ำที่ไหลผ่านอยู่ตลอดกระทบกับแสงจันทร์ถึงกับทำให้เอทอสตาพร่า กล้ามเนื้อดูดีพอเหมาะสมชายสุขภาพดีนั้นดูน่าหลงใหลพินิจชมราวรูปสลักเทพบุตร ปีศาจไม่เคยคาดคิดว่าเมื่อคู่ครองเปลือยเปล่าใต้แสงจันทร์จะงดงามถึงเพียงนี้ ถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องตรงหน้าอาจไม่เข้ากับกลิ่นอายชั่วร้ายทมิฬมืด ทว่าความย้อนแย้งนี้กลับเป็นเสน่ห์แสนดึงดูดในสายตาปีศาจ


(ต่อด่านล่าง)

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ1 บทสุดท้าย เวลา]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 27-05-2021 16:50:13
(ต่อ)


    “ข้าอาบให้เจ้าบ้าง”

    เสียงทุ้มว่าพลางดึงมนุษย์นั่งซ้อนจนแผ่นขาวเปลือยแนบสนิทกับแผงอกกว้างหนา ท่อนแขนแกร่งสองข้างกกกอดไม่ปล่อยให้หลุดมือ ซึ่งโนอาร์ก็เพียงนิ่งรอรับสัมผัสจากปีศาจเบื้องหลังด้วยจิตใจเต้นเร็วรัว เนื่องเพราะเหล่าความคิดกำหนัดใคร่รักยามนัยน์ดุสีแดงเลือดนกจับจ้องไม่วางตา ล้วนดังก้องในหัวเขาตลอดการบีบนวดปรนนิบัติ

    “อ..อืม... อกผมสะอาดแล้ว” เสียงกระเส่าเอ่ยเมื่ออุ้มกรงเล็บใหญ่ค่อยบรรจงบีบนวดแผ่นอกขาว โดยเฉพาะยอดอกที่แข็งสู้กำลังโดนกรงเล็บหนาบี้ปั่นจนร่างในอ้อมกอดเริ่มบิดขยับจากความซาบซ่านทีละน้อย
    “งั้นเหรอ... แต่ข้าว่ายัง”

    เสียงทุ้มพร่ากระซิบชิดใบหูพร้อมลมหายใจร้อนรดเป่า เกิดเป็นความรู้สึกเสียววาบเหล่าขนอ่อนลุกชันคล้ายมีกระแสไฟฟ้าวิ่งกระจายไปถึงปลายนิ้ว ริมฝีปากหนาค่อยบรรจงดอมดมจุมพิตรักไล่จากไรผมลงมาตามกรอบหน้ากระทั่งถึงลำคอขาวผ่อง เมื่อนั้นปีศาจร้ายก็พลันฝังคมเขี้ยวขบกัดประทับรอยตีตรา

    “อะ!..อื้ม!.... เอทอส...”

    ร่างโนอาร์พลันบิดพลิ้วแอ่นอกให้กรงเล็บใหญ่ยิ่งกระทำสนุกมือ สองมือขาวใต้น้ำเกร็งจิกหน้าขาแกร่งขนาบข้างตัวระบายความรู้สึกมากล้น ใบหน้านิ่งสงบกลับเชิดหน้าเหยเกหวามกระสันยามเขี้ยวคมจงใจขบเม้มสลับลิ้นร้อนไล่เลียปรนเปรอ ยิ่งมนุษย์ดิ้นพล่านสัญชาตญาณนักล่าของร่างยักษ์ซ้อนหลังยิ่งโอบกอดรัดแน่น ผิวหยาบกร้านน้ำตาลแดงบดเบียดสนิทแนบเนื้อขาวนวลไร้ช่องว่าง สองร่างสัมผัสถึงหัวใจของกันและกันที่ต่างเต้นโครมครามผสานจังหวะ ทว่าการเสพสุขเพียงเท่านี้มีหรือจักเติมเต็มความต้องการจากส่วนลึก

    “ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว คงเหลือแต่ด้านใน เมียข้า... ขอสามีเข้าไปปรนนิบัติได้หรือไม่ สัญญาจะขัดให้ลึกสะอาดทุกซอกมุม”

    ถ้อยเสียงทุ้มต่ำกระเส่าเว้าวอนมากด้วยอารมณ์เอ่ยขอ พลางส่งสายตาสีแดงเลือดนกทรมานอย่างน่าสงสารเห็นใจ โนอาร์ที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หลุดยิ้มมุมปากให้กับนิสัยเจ้าเล่ห์ของคู่ครอง เอทอสในช่วงเวลานี้จะออดอ้อนกล่าวคำหวานกับเขาเท่าไรก็ได้ ทว่าเมื่อใดที่ตัวตนใหญ่ยักษ์ได้อภิสิทธิ์สอดแทรกเข้ามาในร่าง เมื่อนั้นธาตุแท้ปีศาจจะพลันเผยแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน ซึ่งชายเลือดเย็นก็ไม่ปฏิเสธว่ามุมนี้ของปีศาจทำให้เขาตื่นเต้นไม่น้อย

    “ผมคงต้องเตรียมพร้อมก่อน”

โนอาร์ว่าพลางหันตัวกลับมาประจันหน้ากับปีศาจ ริมฝีปากกดจูบลงบนหน้าผากร่างยักษ์เล็กน้อยก่อนดันตัวยืนชัดเข่า มือขาวข้างหนึ่งเกาะบ่ากว้างทรงตัวส่วนอีกข้างก็สอดนิ้วเบิกช่องทางรอรับส่วนแข็งขืน เอทอสมองสบใบหน้าคิ้วขมวดหลุดครางเป็นระยะยามเจ้าตัวเพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปในร่องสวาท ความเย้ายวนน่าหลงใหลมากซะจนปีศาจต้องคว้าร่างมนุษย์ที่กำลังยืนค้ำเข้ามาฟัดกอด สองกรงเล็บแกร่งเข้าบีบขยำแก้มก้นขาวตรงบั้นท้ายมนุษย์อย่างมันมือ พร้อมจับสองก้อนกลมแน่นแหวกเปิดทางให้เรียวนิ้วโนอาร์สอดคว้านปรับช่องทางได้สะดวก ส่วนใบหน้าคมเข้มปีศาจก็เข้าซุกซบแผ่นอกขาว ตะโบมดูดเลียยอดอกสีสวยจนขึ้นรอยรักอย่างหื่นกระหาย

    กระทั่งร่างขาวส่งสัญญาณพร้อมรับตัวตน เอทอสถึงยอมเว้นจังหวะให้โนอาร์นั่งคร่อมตัก มือขาวรูดชักแก่นกายชุกซนขนาดยาวเขื่องใต้ผืนน้ำเร้าอารมณ์ พร้อมจับจ่อตรงร่องรักนำทางเข้าสำรวจ ก่อนค่อย ๆ ทิ้งน้ำหนักกดสะโพกให้ลูกรักเอทอสชำแรกมุดเข้ามา ทว่าเมื่อไร้สิ่งหล่อลื่นช่วยเสริม การจะนำตัวตนใหญ่ยักษ์เกินปกติผ่านช่องเล็กแคบนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ มิหนำซ้ำยังทำให้ร่างที่รองรับรู้สึกเจ็บหน่วงเป็นเท่าทวี แต่จะให้หยุดพักขึ้นฝั่งไปเอาอุปกรณ์อารมณ์ก็คงขาดช่วงเช่นกัน ดังนั้นเอทอสที่ทนทรมานนั่งนิ่งมองโนอาร์กัดริมฝีปากแน่นพยายามทิ้งกดน้ำหนักตัว จึงได้เอ่ยอะไรบางอย่าง

    “อยากดูดาวไหมเมียข้า”

    คำชวนไม่เข้าสถานการณ์ถึงกับเรียกนัยน์ตารัตติกาลมองใบหน้าคมเข้มอย่างสงสัย ทว่ามิทันได้ถามไถ่ สองลำแขนหนาพลันสอดใต้ข้อพับขาขาวพร้อมช้อนตัวมนุษย์ลุกขึ้นยืน การที่จู่ ๆ ร่างก็ถูกยกลอยสูงทำให้โนอาร์หลุดเสียววาบรีบคว้ากอดศีรษะปีศาจ ผมหนามแหลมของเอทอสจึงพลันทิ่มแขนจนรู้สึกเจ็บ ส่วนสองขาก็พาดบ่ากว้างรั้งคอหนาแกร่งกันตก ขณะนี้ร่างยักษ์กำลังยืนตระหง่านกลางลำธารโดยมีมนุษย์ขี่คอในท่าพิสดาร สองแขนหนาด้วยมัดกล้ามเกร็งทำหน้าที่เสมือนเก้าอี้ให้บั้นท้ายแน่นรองนั่ง ส่วนกรงเล็บทมิฬใหญ่ก็เป็นพนักพิงประคองร่างขาวผู้เป็นภรรยา

    “ไหนลองนับดาวสิว่าได้กี่ดวง”

    ใบหน้าคมเข้มกลางหว่างขาเงยหน้าสบมนุษย์พลางกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนก้มลงไปอ้าปากครอบเลียส่วนสงวนเบื้องหน้าไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว สัมผัสหยุ่นชื้นจากลิ้นหนากระหวัดดูดละเลงส่วนปลายจุดรวมความกระสัน เป็นผลให้ร่างขาวพลันบิดร้องครางอย่างเสียวซ่าน ใบหน้าขาวเชิดหน้าขึ้นส่งเสียงอืออาระบายความสุขล้น มองฟากฟ้ายามค่ำคืนแต่งแต้มด้วยหมู่ดาวระยับเป็นพยานรัก กับบรรยากาศธรรมชาติกลางป่ารอบด้านยิ่งเสริมความตื่นเต้นปลุกอารมณ์

    “อ๊า!!... เอ..เอทอส! คุณอย่าแกล้งเดี๋ยวผมตก อ้าาาา....”

     เสียงหวานร้องปรามปนครางกระเส่า เมื่อท่อนแขนแกร่งอุ้มประคองกลับแสร้งผ่อนแรงทำให้มนุษย์เกือบหงายหลังต้องผวารีบเอามือเกาะหัวปีศาจจนผมแหลมทิ่มบาดเรียกเลือดซิบ ทว่าการเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อยทำให้เอทอสยิ่งเลียดูดแก่นกายขาวได้สะดวก นัยน์ตารัตติกาลก้มมองปีศาจร้ายซึ่งกำลังผงกหัวขึ้นลงกลืนกินตัวตนเขาอย่างเอร็ดอร่อย และคล้ายเจ้าตัวจะรู้นัยน์สีแดงเลือดนกถึงได้เหลือบขึ้นมองสบตา แม้โพรงปากร้ายกำลังดูดอมทำหน้าที่ปรนเปรอ แต่โนอาร์เหมือนเห็นรอยยิ้มเยาะจากดวงตาคมดุ

    “เอ..เอทอส... ผมไม่ไหวแล้ว อะ!.. อื้ออ!!...”

    ความเร่าร้อนผ่านใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ผสานความแข็งแรงที่แสดงผ่านการอุ้มเขาตัวลอยการลำธาร รวมกับความแปลกใหม่ในการทำเรื่องน่าอายท่ามกลางสถานที่โจ่งแจ้ง ก่อเป็นความหฤหรรษ์เสียววาบสุดใจ กระทั่งทุกความรู้สึกไม่อาจเก็บกลั้น กลั่นเป็นน้ำรักข้นหวานทะลักปลดปล่อยเต็มโพรงปากปีศาจ ซึ่งเมื่อลิ้นร้อนสัมผัสรสคาวหวานก็รีบเร่งแรงดูดเค้นปล้นแท่งสวาทให้ยอมคลายทุกหยาดหยดมิให้เหลือ และนั่นทำให้ร่างขาวที่เพิ่งเสร็จสมยิ่งเกร็งกระตุก ร้องครางพร่าสุดเสียงไม่คิดอายจนรู้สึกตัวเบาหวิวไร้เรี่ยวแรง เพราะถูกปีศาจร้ายช่วงชิงไปหมดสิ้น

    เอทอสยอมปล่อยร่างโนอาร์ลงยืนด้วยขาข้างเดียว ส่วนอีกข้างยังคงถูกท่อนแขนแข็งแรงสอดใต้ข้อพับเกี่ยวรั้งไว้ ทำให้มนุษย์ซึ่งกำลังเหนื่อยหอบต้องทิ้งตัวพิงร่างยักษ์ ใบหน้าขาวแนบสนิทแผ่นอกหนากว้างฟังเสียวหัวใจหนักแน่น ปีศาจก้มมองคู่ครองที่ซุกซบอกเขาอย่างหมดแรงพลางกระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนใช้กรงเล็บที่เหลือว่างมารองรับหยาดน้ำรักจากเมื่อครู่ที่เขาเพียงอมไว้เพราะตั้งใจใช้แทนเจลหล่อลื่น

    เมื่อได้อุปกรณ์เสริมเรียบร้อย กรงเล็บทมิฬพลันชโลมแก่นกายยักษ์แข็งเกร็งทรมานมาสักพักใหญ่ด้วยของเหลวลื่นข้นที่โนอาร์เป็นผู้ผลิต ก่อนจะใช้ที่เหลือทาป้ายตรงปากทางรัก เอทอสย่อเข่าเล็กน้อยให้แก่นกายระอุจดจ่อตรงทางคับแน่นแล้วจึงสวนสะโพกหนาขึ้น เพื่อส่งลูกรักมุดเข้าสำรวจทักทายร่างที่ผู้เป็นพ่อเลือกให้เป็นศรีภรรยา

    “อา.. อืมมม... คะ..คุณ.. ค่อย ๆ อะ! คุณ.. เอทอส...”

    เสียงหวานครางร้องขอเบาแรง ฝ่ามือขาวเกร็งจิกมัดกล้ามแขนแกร่งคล้ายพยายามปราม ขาที่เขย่งยืนค้ำโดดเดี่ยวก็สั่นเทิ้มอ่อนล้า เมื่อแก่นกายร้อนที่ได้หยาดหยดหล่อลื่นฝืนดันเข้ามาไม่ลดละ หากขาอีกข้างไม่ถูกปีศาจรั้งยกสูงไว้ ป่านนี้มนุษย์คงทรุดจมลำธารไปนานแล้ว

    “หึ ๆ อะไรกัน เจ้าฝันอยากเป็นเมียข้าไม่ใช่หรือไง พอถึงคราวทำหน้าที่ทำไมสำออยนัก” เอทอสที่บัดนี้ถูกราคะหิวกระหายครอบงำกล่าวเยาะอย่างผู้ชนะ พลางแกล้งโยกสะโพกแกร่งให้ส่วนแข็งขืนในร่างอ่อนเปลี้ยควงคว้านช่องทางจนผู้รับยิ่งทวีความกระสันซ่าน
    “อืมมม... ก็ของคุณมัน... อื้ออ.. ใหญ่..”
    “เหรอ.. มายอข้าเวลานี้คงอยากโดนมากเลยสิ งั้นข้าจะสนองให้สมใจ” สิ้นคำร่างยักษ์พลันถอดถอนแก่นกายจนเหลือเพียงส่วนปลายที่ยังคาค้างในช่องทาง ก่อนวินาทีถัดมาจะสวนอัดส่งท่อนเอ็นร้อนพรวดเข้าทีเดียวทั้งลำเขื่อง
    “อ้าาาาา!!!... คุณ! ฮะ.. ฮะ.. เอทอ- อัก... อาาา...”

    โนอาร์พลันสะดุ้งร้องครางสุดเสียง ใบหน้าขาวที่ซบอกกว้างเชิดหน้าอ้าปากพะงาบด้วยจุกหน่วง บริเวณหางตารัตติกาลคล้ายเลื่อมด้วยหยาดน้ำใสคลอหน่วยจากทั้งความเจ็บและสุขผสมปนเป ซึ่งผู้กระทำก็เพียงก้มมองเผยยิ้มหยันสะใจ นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกเรืองแสงมีแต่เพลิงตัณหาเร่าร้อนไร้แววรู้สึกผิด ก่อนใบหน้าคมเข้มจะค่อยเคลื่อนเข้าหาเพื่อลงไปประกบจูบปิดริมฝีปากบางที่คอยเขาอยู่

    “อืมมม....อื้มมมม... อาาาา”

    สองร่างต่างขนาดยืนกอดฟัดแลกลิ้นสัมผัสกลางลำธารเย้ยฟากฟ้ายามค่ำไม่คิดอาย สะโพกหนาเริ่มเร่งจังหวะจากเนิบนาบเป็นรัวเร็วจนช่องทางเสียดสีร้อนระอุ เสียงครางหวานระบายเป็นเพียงเสียงอืออาเล็ดลอดเพราะริมฝีปากหนามิยอมให้ผละออก ไล่รุกตะโบมจูบดูดเม้มอย่างหิวกระหาย ลิ้นหนาพันเกี้ยวลิ้นบางรัดรึงประสานชิมรสสวาททิ้งท้าย ก่อนยอมหยุดพักให้เวลาร่างขาวในอ้อมกอดได้หายใจ น้ำใสจากโพรงปากผสานยืดเป็นเส้นเชื่อมยามสองริมฝีปากออกห่าง กับนัยน์ตารัตติกาลหยาดเยิ้มลุ่มหลงในบ่วงราคะปีศาจ กระตุ้นพายุอารมณ์เอทอสให้ยิ่งเพิ่มพูนจนไม่อาจทัดทานไหว

    “หมับ!”

    กรงเล็บทมิฬพลันคว้าขาข้างที่มนุษย์ยืนเขย่งทรงตัวขึ้นมาหนีบล็อกช่วงเอวหนา ส่งผลให้โนอาร์ที่ถูกอุ้มลอยรีบเอาแขนคล้องลำคอหนากันตก ชายเลือดเย็นในยามนี้สภาพไม่ต่างจากลูกลิงซึ่งมีร่างทะมึนยักษ์เป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ ทว่าต้นไม้ร้ายกลับแกล้งจับลิงน้อยโยกกระเด้งขึ้นลง กิ่งเขื่องที่ยังคงคาค้างอยู่ในช่องรักจึงยิ่งแทรกลึกชนจุดกระสันให้ร่างลิงน้อยดิ้นส่ายพล่านร้องระงม

    “อะ! อะ! อะ! อาาาา!! อืมม!!”
    “อาาา... ซี๊ดดด... รูเจ้านี้มัน..ที่สุด เยี่ยมจริง ๆ”

    เอทอสหลุดครางพร่าชมด้วยคำหยาบโลน ใบหน้าคมเข้มขมวดเหยเกแสดงถึงสุขซ่านในบทรัก สองกรงเล็บทมิฬที่ตะปบรองแก้มก้นแน่นขาวออกแรงบีบขยำเมามัน เมื่อมนุษย์ที่โดนอุ้มให้ความร่วมมือโยกตัวขึ้นสูงและทิ้งน้ำหนักกดลงมาเต็มรักไม่สนความจุกหน่วงที่แก่นกายร้อนกระทุ้งดันอวัยวะภายใน ซึ่งนั่นทำให้ผนังนุ่มยิ่งพยายามบีบรัดต่อต้านผู้รุกราน สร้างความสะท้านวาบจนปีศาจแทบคลั่ง ร่างยักษ์รีบอุ้มมนุษย์เดินขึ้นฝั่ง ก่อนจะล้มนอนหงายแผ่ตรงริมลำธาร

    “ควบสามีอย่างที่ทำเมื่อกี้อีกสิ เมียข้า.. ทำให้ข้าเสียวจนขาดใจเสียตรงนี้เลย”

     เสียงทุ้มพร่าวอนขออย่างศิโรราบ กรงเล็บข้างหนึ่งใช้หนุนรองศีรษะให้นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกมองร่างขาวที่นั่งคร่อมเขา ส่วนอีกข้างก็คอยรูดชักแก่นกายคู่ครองเอาใจ ซึ่งผู้เป็นสามีออดอ้อนเพียงนี้มีหรือที่ศรีภรรยาจะฝืนใจปฏิเสธลง โนอาร์ที่หอบเหนื่อยวางมือคู่ตรงแผงอกกว้างหนาพลางใช้เรียวนิ้วเล่นคลึงยอดอกสีคล้ำทั้งสองข้างของปีศาจ ก่อนสูญหายใจเข้าลึกและยกสะโพกขึ้นสูงจนแท่งสวาทร้อนแทบหลุดจากช่องทาง แล้วพลันปล่อยร่างกระแทกทับลงมาเต็มรัก เอทอสถึงกับครางพร่าสบถชมไม่ขาดปาก

    “อืมม... อาาา.... ดี.. อื้มม.. ตอดโคตรแน่น ซี๊ดดดอาาา... แรง ๆ อื้มมม..”
    “อาาาา.. สุดยอดจริง ๆ เมียข้า ขอสามีได้ปล่อยรักในตัวเจ้าเถอะ”
    “ฮะ... ฮะ.. อื้ออ! คุณ.. อย่าเด้งสวน! ไม่งั้นผมจะ- อ้าาาาาา!!”
    
    ร่างขาวปรามสะโพกแกร่งที่เริ่มขยับตอกแท่งรักสวนจังหวะก้อนกลมแน่นกระแทกลง ทว่านอกจากเอทอสจะไม่ฟังยังใช้กรงเล็บทมิฬรองยกน่องขานวลให้สะโพกขาวลอยค้าง ก่อนกระทุ้งอัดตัวตนเข้าช่องทางรัวเร็วเกิดเสียงกระทบเนื้อหยาบโลนดังไปทั่วป่า โนอาร์สั่นสะท้านเชิดหน้าครางระงมสุดเสียงสื่อถึงห้วงอารมณ์พุ่งสูงทะยานแล่น ฝ่ามือขาวบีบจิกกรงเล็บใหญ่เป็นหลักยึด

    “เสร็จแล้ววว! อาาาาา...”
    “อื้มมมม!!... อื้อออ!...เอทอส..”

    กระทั่งถึงจุดยอดพีระมิด แสงดาวระยิบบนฟ้าพลันสว่างวาบพร้อมความอุ่นร้อนพวยพุ่งอัดฉีดผนังนุ่มด้านใน เช่นเดียวกับหยาความรักหวานของมนุษย์ที่ปลดปล่อยรดราดเต็มรอนกล้ามท้องแข็งของปีศาจ
    โนอาร์หมดสิ้นเรี่ยวแรงล้มทับร่างยักษ์ทั้งที่แก่นกายร้อนยังฝังค้างกระตุกเกร็งในช่องทาง ท่อนแขนหนาโอบรัดร่างขาวบนตัวพลางกดริมฝีปากพรมจูบกลุ่มผมดำขลับอย่างรักใคร่ หนึ่งมนุษย์และปีศาจนอนหอบตระกองกอดพักหายใจริมลำธารกลางป่าเขามิสนแคร์สรรพสิ่งรอบข้าง

    จวบจนลมหายใจปีศาจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ร่างยักษ์จึงค่อยประคองมนุษย์ลุกยืน ตัวตนแข็งขืนที่ไร้แววว่าจะอ่อนลงพลันหลุดจากช่องทางรักจนเกิดเสียงน่าอาย ทำให้ใบหน้าร้อนขึ้นสีจากความเหนื่อยของโนอาร์คล้ายยิ่งแดงก่ำเข้าไปใหญ่ ทว่ากลับยิ่งร้อนผ่าวได้อีกเมื่อได้ฟังคำหยาบโลนทุ้มพร่าที่ดังอยู่เหนือหัว

    “ใครจะปล่อยให้เจ้าได้ผล็อยหลับหนีข้ากัน ไปยืนโก้งโค้งกลางลำธารให้ข้าดูหน่อยสิ เมียรัก”

    นัยน์ตารัตติกาลมองค้อนนัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกจอมเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ก่อนพยายามฝืนความเสียดขัดตรงช่วงสะโพกก้าวขาติดสั่นลงลำธาร สายน้ำเย็นเยียบไหลผ่านข้อเท้าชวนให้ขนลุกซู่ด้วยความหนาว ทว่าอีกไม่นานปีศาจที่ยืนรอบนฝั่งคงทำให้เขาร้อนจนแทบไหม้ เดินไปเพียงครึ่งทางร่างขาวเปล่าเปลือยกลับชะงักนิ่ง เมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งกำลังเยิ้มไหลลงมาตามน่องขาวอย่างไม่อาจควบคุม ชายเลือดเย็นพลันหันมองคาดโทษตัวการ แต่ผู้ร้ายบนฝั่งนอกจากจะไม่รู้สึกรู้สาแล้ว มิหนำซ้ำยังแสร้งเดาะลิ้นพลางใช้สายตาดุสีแดงเลือนนกโลมเลียแทะเล็ม โนอาร์จึงได้แต่รีบเดินไปให้ถึงที่หมายไว ๆ เพื่อหวังเอาคืน

    เมื่อถึงกลางลำธาร สองมือขาววางตรงโขดหินใหญ่ยันกายก่อนโก้งโค้งอวดบั้นท้ายตามที่ปีศาจมากเล่ห์ต้องการ ทว่าที่เพิ่มคือการส่ายสะโพกเย้ายวนพร้อมนัยน์ตารัตติกาลที่เหลือบมองร่างยักษ์บนฝังอย่างท้าทาย ซึ่งนั่นถึงกับทำให้เอทอสมองตาค้างนิ่งงันราวกับถูกสะกด สองก้อนกลมแดงแน่นเนื้อขนาบข้างช่องทางรักบวมช้ำเล็กน้อยที่กำลังหุบขยับอ้าเปิด คายหยาดความรักขาวข้นที่เขาเป็นผู้ทิ้งฝากนั้นงามหยดจนร่างยักษ์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พร้อมรีบก้าวลงลำธารไปหาคู่ครองราวกับโดนแม่เหล็กดึงดูด
    พอถึงเป้าหมาย ริมฝีปากร้อนพลันพรมจูบเนินสะโพกไล่สูงขึ้นไปตามแนวสันหลัง กระทั่งร่างยักษ์ซ้อนประกบร่างขาว อ้อมแขนแกร่งก็เข้าโอบกอดมนุษย์จากทางด้านหลังให้สัมผัสยิ่งแนบสนิท

    “กล้ายั่วข้าขนาดนี้คงเตรียมใจแล้วสินะ” เสียงทุ้มกระเส่าพร่ากระซิบชิดใบหู
    “แต่ก่อนหน้านี้.. ใครกันที่นอนแผ่หมดท่าขอให้ผมขย่ม”

    นัยน์ตารัตติกาลหันมองสู้ใบหน้าคมเข้ม ทว่าวินาทีถัดมามนุษย์กลับอยากย้อนเวลาห้ามคำพูดเมื่อครู่ เพราะผลจากความปากไวทำให้เพลิงราคะภายใต้นัยน์ตาดุสีแดงเลือดนกยิ่งลุกโชน ริมฝีปากหนาฉีกยิ้มหยันเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร ซึ่งต่อมากลางลำธารใสก็มีเสียงครางลั่นจนแหบแห้งสลับกับเสียงเนื้อกระทบหยาบโลนดังต่อเนื่องไปเกือบครึ่งค่อนคืน



    แม้ไม่ปรารถนา แต่วันสุดท้ายที่หนึ่งมนุษย์และปีศาจจะได้อยู่ร่วมกันก็มาเยือนเมื่อยามรุ่งอรุณทอแสง สองร่างเปล่าเปลือยนอนซบกอดกันและกันบนเตียงกว้างของบ้านไม้กลางป่า เอทอสกดจูบหอมกลุ่มผมดำสนิทพลางกระชับกอดอย่างหวงแหน เช่นเดียวกับโนอาร์ที่ขดตัวซุกแผ่นอกแกร่งไม่ปลีกห่าง การใช้เวลาเคียงข้างกันตลอดที่ผ่านมาไม่อาจชดเชยความอาวรณ์เมื่อถึงวันสิ้นปีได้เลย

    “สายโด่งป่านนี้ทำไมเจ้าไม่ลุกไปเตรียมอาหารสักที ขี้เกียจหรือไง? หึ ๆ หรือเมื่อคืนโดนข้าลงโทษจนลุกไม่ไหว” เสียงทุ้มต่ำแกล้งหยอก ทว่าอ้อมแขนหนากลับมิยอมคลายกอดปล่อยมนุษย์
    “ผมแค่อยากจำความอบอุ่นสัมผัสของคุณให้นานที่สุด เพราะพรุ่งนี้คุณอาจไม่อยู่กับผมแล้ว”

    ถ้อยเสียงเรียบนิ่งแฝงความหมองหม่น ทำให้ปีศาจต้องช้อนหน้ามนุษย์ขึ้นมามอบจูบลงบนกลีบริมฝีปากบางหวังปลอบประโลมโดยปราศจากการลุกล้ำ ก่อนร่างยักษ์จะฝืนใจลุกจากเตียงสวมกางเกงหุ้มเกราะที่วางกองอยู่ตรงพื้น แล้วถึงหันมาชวนมนุษย์ออกไปใช้เวลาที่เหลือด้วยกันให้เต็มที่จะได้ไม่นึกเสียดาย ซึ่งร่างขาวเปล่าเปลือยก็ยอมลุกไปค้นกระเป๋าหาเสื้อผ้าใส่แต่โดยดี ไร้ซึ่งอาการเสียดขัดปวดเมื่อยหลังผ่านศึกหนักเพราะคำสาปรักษาช่วยฟื้นฟู และไม่จำเป็นต้องอาบน้ำใหม่ เนื่องจากเมื่อหลายชั่วโมงก่อนผู้เป็นสามีได้รับผิดชอบช่วยล้างทำความสะอาดจนหมดจด

     หลังแต่งตัวเรียบร้อยโนอาร์ก็ตามเอทอสออกมานอกห้อง สองชีวิตในบ้านกลางป่าตัดขาดโลกภายนอกทำกิจกรรมแสนธรรมดาเรียบง่ายร่วมกันหวังเก็บเป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย อย่างการเข้าครัวที่ปีศาจนึกครึ้มอยากแก้มือลบล้างความอับอายเมื่อนานมาแล้ว การเดินชมผืนป่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ร่วมปลูกต้นกล้าเป็นอนุสรณ์ความผูกพัน ทว่านาฬิกากลับนับถอยรวดเร็วจนน่าใจหาย และกิจกรรมที่เอทอสเลือกทำก่อนแสงตะวันจะลาลับยิ่งทำให้จิตใจเยือกแข็งหมองหม่น นั่นคือการขุดหลุมบริเวณลานโล่งหน้าบ้านไม้หลังเก่า เพื่อรอรับร่างไร้วิญญาณเมื่อกระแสกาลเคลื่อนผ่านสู่ศักราชใหม่

    “ผมขอเตรียมน้ำกับพัดคล้ายร้อนให้คุณแทนได้ไหม”

    โนอาร์เอ่ยขอร่างยักษ์ตรงหน้าที่กำลังเอาจอบจามผิวดินอย่างต่อเนื่องจนเริ่มยุบเป็นแอ่งใหญ่ ส่วนอุปกรณ์แบบเดียวกันในฝ่ามือขาวกลับนิ่งงัน ทั้งที่เมื่อก่อนเคยใช้ฝังศพของเล่นเป็นปกติ ทว่าเมื่อร่างที่ต้องฝังกลบครานี้คือปีศาจผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว จอบคู่ใจก็คล้ายหนักอึ้งเกินกว่าจะถือยก

    “ก็ดีข้ากำลังหิวน้ำอยู่เหมือนกัน”

    เสียงทุ้มเอ่ยอนุญาตส่งผลให้มนุษย์พลันนำเครื่องมือไปเก็บ แล้วรีบย่างเท้าเข้าบ้านเพื่อเอาน้ำมาให้อีกฝ่าย โดยมีนัยน์ตาสีแดงเลือดนกลอบมองตามหลังอย่างเป็นห่วง เหตุเพราะมนุษย์หลงคิดว่าเขาจะไปขุดปลูกต้นไม้ต่อเลยเดินแบกจอบตามต้อย กระทั่งโนอาร์เริ่มรู้สึกว่าหลุมนั้นใหญ่กว่าที่ผ่านมาจึงลองเอ่ยถาม ซึ่งเขาก็จำใจตอบไปตามตรง ทันใดนั้นนัยน์ตารัตติกาลพรายแสงระยับราวกลับคืนฟ้าโปร่ง ก็พลันถูกเมฆดำหม่นมืดปกคลุม ซึ่งเอทอสก็ได้แต่ปล่อยให้คู่ครองจัดการความรู้สึกด้วยตัวเอง เพราะไม่ว่าอย่างไรความจริงที่กำลังเผชิญก็ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นปาฏิหาริย์


(ต่อด่านล่าง)

หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ2 บทสุดท้าย เวลา]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 27-05-2021 17:03:21
(ต่อ)


    กระทั่งเสี้ยวแสงอาทิตย์สุดท้ายถูกเงาโลกบดบัง กองไฟหน้าลานบ้านคอยให้แสงสว่างถัดจากหลุมลึกไม่ไกล ร่างยักษ์ปีศาจนั่งผิงไฟรับความอบอุ่นโดยกลางหว่างขาแกร่งมีร่างมนุษย์เอนหลังพิงซบแผงอกหนา เฝ้าชมหมู่ดาวในคืนสิ้นปีที่ไม่งดงามเหมือนอย่างเคย

    “ถ้าเป็นที่นี่ เสียงพลุคงดังมาไม่ถึงให้เจ้าหงุดหงิด” เสียงทุ้มเหนือหัวเอ่ยหยอก เอทอสจำคืนนี้เมื่อปีก่อนได้ว่ามีใครบางคนจ้องมองเหล่าดอกไม้ไฟอย่างอาฆาต เพียงเพราะดังรบกวนเวลานอน
    “เป็นโชคดีของคนพวกนั้นแล้ว ถ้าผมเห็นใครมาฉลองเวลานี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นแสงของปีใหม่”
    “เจ้านี่มัน... เฮ้อ...”  ปีศาจถึงกับถอนหายใจหน่ายกับนิสัยคู่ครอง ก่อนจะชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
    “ถ้าคิดดี ๆ หลังพ้นคืนนี้เจ้ากับข้าก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น ข้าแค่เหลือเพียงวิญญาณไร้กายเนื้อ ส่วนเจ้าก็ต้องระวังหน่อย อย่าเผลอคุยกับข้าตอนอยู่ข้างนอก เดี๋ยวจะถูกมนุษย์คนอื่นมองว่าเป็นบ้า”

    เอทอสว่าพลางใช้กรงเล็บทมิฬเกลี่ยลูบลวดลายเปลวเพลิงตรงบริเวณลำคอขาว คล้ายปลอบประโลมและเตือนโนอาร์ให้ฉุกคิดว่าความสัมพันธ์ของเราสองยามนี้ เหนือกว่าที่ความตายจะพรากจากแบบคู่อื่น ๆ เขายังสามารถสื่อสารโต้ตอบและคอยอยู่เคียงค้างโนอาร์ได้ เพียงแค่ไม่อาจสัมผัสแตะต้องกันและกันก็เท่านั้น

    “พวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาผมอยู่แล้ว แต่ถ้ามายุ่งน่ารำคาญนักก็แค่กำจัดทิ้ง” เสียงเรียบเรื่อยกล่าวพร้อมเติมฟืนให้กองไฟ แล้วจึงเอ่ยต่อ
    “ผมนึกอย่างหนึ่งได้เอทอส เรายังไม่เคยไปดูหนังกันเลย ไว้มีเรื่องน่าสนใจเข้าโรงผมจะพาคุณไปดูและก็ซื้อที่นั่งเผื่อคุณด้วย จะได้ไม่มีใครมานั่งทับที่คุณ”
    “เอาสิ แต่ข้าไม่ชอบหนังรักกุ๊กกิ๊ก ดูแล้วจะหลับ” ร่างยักษ์เอ่ยต่อบทสนา เมื่อเห็นว่าบรรยากาศและอารมณ์คู่ครองเริ่มดีผ่อนคลายขึ้นทีละน้อย
    “ผมก็เหมือนกัน... เป็นหนังผีสักเรื่องดีไหม ระหว่างดูได้ถามคุณด้วยว่าในหนังกับความจริงมีอะไรตรงกันบ้าง”
    “อย่างแรกเลย ไม่มีวิญญาณฉลาดตนไหนกล้าแผลงฤทธิ์ไปทั่ว เพราะนอกจากจะเสียพลังไปกับเรื่องไร้ประโยชน์ ยังเสี่ยงล่อให้ปีศาจกินวิญญาณอย่างข้าจับกิน ไม่ก็พวกมนุษย์ที่มีพลังควบคุมวิญญาณแบบจินเอาไปเป็นทาส”
    “ผมไม่ยอมให้ใครเอาคุณไปแน่”
    “หึ ข้าก็ไม่ไปไหนเหมือนกัน จะเกาะตามติดเจ้าไปตลอ....”
    “…”
    “…”
    “..คุณ ...เอทอส”

     โนอาร์เอ่ยเรียกเมื่อเสียงทุ้มด้านหลังเงียบหาย จิตใจเยือกแข็งพลันวูบโหวงดิ่งวูบรีบหันกลับไปดูร่างยักษ์ ซึ่งพบว่าบัดนี้ปีศาจที่คุยกันอยู่เมื่อครู่เหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจ ฝ่ามือขาวรีบค้นหยิบลูกแก้วสีชาดในกระเป๋า ทว่าที่ติดมือมากลับกลายเป็นลูกแก้วใสราวผลึกแก้วไร้สี สื่อว่าชีวิตของปีศาจถึงกาลสิ้นสุด ของเบื้องหน้าทำให้มือขาวสั่นเทาเล็กน้อยก่อนแปรเปลี่ยนเป็นการกำแน่นด้วยความเจ็บใจชอกช้ำ และขว้างเข้าไปในกองไฟให้ความร้อนเผาทำลายสิ่งบาดตา

    ชายเลือดเย็นหลับตาสูดหายใจเข้าลึกพยายามคุมอารมณ์ให้สุขุมดังเก่า เพราะมีเรื่องสำคัญต้องทำต่อเกินกว่าจะมาเสียเวลานั่งอาลัย โนอาร์ค่อยพยุงแบกร่างยักษ์หนักอึ้งไปวางนอนกลางพื้นที่โล่งหาใช่หลุมลึกที่ปีศาจขุดเตรียม ก่อนเดินเข้าป่าเพื่อกลับไปยังรถยนต์สีน้ำตาลเข้มเอาอุปกรณ์

    ถุงบรรจุเลือดหลายสิบถุงถูกขนมากองเตรียมใช้ในพิธี โดยเลือดทุกหยดเป็นของโนอาร์ที่อาศัยช่วงออกไปเยี่ยมเยียนทรมานวรรษ แอบลอบถ่ายเก็บไว้ให้พ้นสายตาปีศาจ ซึ่งผลของคำสาปรักษาทำให้เตรียมเลือดได้มากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไปจะผลิตได้ ทว่าก็ยังไม่มากพอ โนอาร์จัดการฉีกถุงเทเลือดเย็นเยียบจากการแช่คุมอุณหภูมิถนอมลงถังใบใหญ่ แล้วจึงใช้ไม้ยาวผูกผ้าเสมือนเป็นพู่กันจุ่มลงถังจนชุ่มกลิ่นคาว

    “อึก!...”

    ชายหนุ่มกัดฟันทนความเจ็บปวดที่มีแต่ทวีเพิ่ม ยามนำแปรงชุ่มเลือดลากระบายลงบนพื้นที่โล่งรอบร่างไร้ชีวิต ความแสบร้อนราวกับถูกเหล็กแดงเผาไฟจี้กรีดตรงตำแหน่งสัญลักษณ์ครองคู่ เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อลากพู่กันไปตามผืนดินแห้งกรัง ฝ่ามือขาวเกร็งกำด้ามไม้แน่นจนขึ้นเส้นเลือด หยาดเหงื่อซึมผ่านไรผมไหลลงตามกรอบหน้าอย่างอดทน ทว่าความคืบหน้าที่ได้ช่างส่วนทางกับความเหนื่อยทรมานและเวลาที่กำลังบีบเร่งให้ทันก่อนรุ่งสาง

    จวบจนเลือดในถังถูกใช้ละเลงหมดสิ้น ลวดลายที่วาดยังเว้าแหว่ง เช่นนั้นโนอาร์จึงต้องนำมีดข้างเอวกรีดข้อมือทั้งสอง หยาดชาดแดงคาวพลันไหลชุ่มมือขาวลงตามด้ามไม้ให้ปลายแปรงดูดซับเป็นหมึกเสริม นัยน์ตารัตติกาลเริ่มอ่อนล้าฝ้าฟางทั้งจากการเสียเลือดและความแสบไหม้บริเวณคอใกล้ไหปลาร้า จนคล้ายเห็นภาพหลอนเป็นจุดแสงเลือนรางราวหิงห้อยเกาะตรงปลายนิ้ว

    เจ้าทำบ้าอะไรอยู่โนอาร์!!!! เสียงหนักทุ้มต่ำเจือความโกรธโมโหดังกึกก้องในความคิด ทำให้คนกำลังละเลงวาดเผยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มมุมปากและสานต่อสิ่งที่ทำ มิสนใจคำคัดค้าน
    “พันธะครองคู่เรียกคุณกลับมาไง... เอทอส” เสียงแผ่วเบาตอบกลับ ทว่ายิ่งทำให้เสียงในความคิดตะคอกหนัก
    นี่มันไม่ใช่พันธะครองคู่!! เจ้ากำลังจะตายเปล่าโนอาร์! หยุดทำเรื่องไร้สาระ-
    “ร่างภาชนะ ยามสนธยา ตราสัญลักษณ์ และอายุขัยครึ่งหนึ่งของคู่ครอง จะนำพาสิ่งที่พรากจากกลับมา ฟอเรสเคยบอกผมจำได้ขึ้นใจ และผมรู้ดีว่าพลังจากอายุขัยอันน้อยนิดของมนุษย์อย่างผมมันพาคุณกลับมาไม่ได้หรอก แต่ถ้าพลิกแพลงนำเลือดเนื้อมาชดเชย... มันก็พอมีความเป็นไปได้”
 
    คำฝืนอธิบายจบลงพร้อมการวาดลวดลายเพลิงขนาดยักษ์แบบเดียวกับสัญลักษณ์ครองคู่ประจำตัวมนุษย์และปีศาจ โดยมีร่างไร้ชีวิตที่นอนแน่นิ่งอยู่กึ่งกลาง ฉับพลันหยาดเลือดคาวซึมผิวดินกลับเริ่มเรืองแสงทอสว่างทำให้บริเวณรอบพื้นที่อาบย้อมด้วยสีแดงวาว เอทอสที่ขณะนี้เป็นเพียงดวงไฟวิญญาณยังไม่มีพลังพอจะก่อร่าง ถึงกับตะลึงค้างกับสิ่งที่เห็นเนื่องเพราะพิธีพันธะครองคู่ที่มนุษย์สร้างนั้นไม่เคยมีปีศาจตนไหนทำมาก่อน

    “ที่เหลือก็แค่รอช่วงสนธยา...กับแสงแรกของวันสาดส่อง... ดูเหมือนจะได้ผลนะเอทอส แต่ผมเหนื่อยมากเหมือนจวนจะหลับ... ผมขอไปนั่งพักรอคุณตรงนั้นนะ”

    เสียงแผ่วล้ากล่าวบอกดวงไฟประหลาด ก่อนจะเดินเซไปนั่งตรงใต้ต้นไม้โดยมีเลือดจากสองข้อมือหยดไหลอยู่รายทาง

    เรื่องพวกนั้นช่างมันก่อน! เจ้าต้องทำแผลห้ามเลือดเดี๋ยวนี้โนอาร์
    “…”
    โนอาร์ตอบข้า!
    “…”
    โนอาร์!!

    เสียงทุ้มก้องกระวนกระวายเมื่อมนุษย์ฟุบนั่งแน่นิ่งไม่ตอบสนอง ปีศาจในสภาพดวงไฟได้แต่เฝ้าขอภาวนาให้ฟ้ามืดเริ่มสางสว่างโดยเร็ว ซึ่งเมื่อใกล้เวลาแสงจากสัญลักษณ์เลือดที่ทอส่องบนพื้นกลับยิ่งส่องไสว ราวกับกำลังดึงดูดวิญญาณให้เข้าสิงร่างภาชนะ กระทั่งฟากฟ้าดำสนิทชืดจางเป็นสีกรมครามและแสงอรุณอบอุ่นตกกระทบร่างไร้ชีวิตเย็นเยียบ เมื่อนั้นเหล่าหยดเลือดประกอบตราสัญลักษณ์ครองคู่พลันระเหยเป็นไอควัน พวยพุ่งซึมซับเข้าร่างตรงใจกลางพร้อมดวงไฟวิญญาณที่ถูกพายุลมลากพาไป
    เพียงไม่นานทุกอย่างกลับสู่ความปกติ เลือดละเลงทั่วบริเวณเหือดหายไปพร้อมกลิ่นคาวราวกับไม่เคยมีอยู่ เหลือเพียงร่างยักษ์ที่ควรถูกหลับใหลไม่วันฟื้นกลับขยับลืมตาตื่นอย่างน่าอัศจรรย์

    “โน... อาร์”

    เอทอสพยายามฝืนขากรรไกรแข็งค้างตามธรรมชาติของศพหลังผ่านไปหลายชั่วโมง เอ่ยเรียกร่างไร้สติที่ฟุบนั่งหลับตรงโคนต้นไม้ กรงเล็บทมิฬสองข้างบีบกำขยับออกแรงก่อนใช้ฟาดทุบขาที่แข็งทื่อราวกับหินหนัก ไม่นานนักร่างกายก็เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครา ปีศาจจึงพลันลุกตะเกียกตะกายวิ่งไปหาคู่ครอง

    “แควก!!”

    กรงเล็บใหญ่ฉีกชายเสื้อมนุษย์ไร้สติ เพื่อนำมาใช้เป็นผ้าพันแผลห้ามเลือดตรงข้อมือทั้งสองข้าง ก่อนจะรีบอุ้มร่างซีดเผือดจากการเสียเลือดออกจากป่าหาคนช่วย เพราะยามนี้เอทอสเป็นเพียงแค่วิญญาณสิงสถิตร่างภาชนะ ไม่มีพลังหรือคำสาปคอยรักษาปกป้องโนอาร์อีกต่อไป ทว่าช่วงจังหวะที่ปีศาจร้อนรนกำลังพ้นเขตป่า บริเวณเส้นถนนที่พาดผ่านรออยู่เบื้องหน้ากลับมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ พร้อมร่างเล็กบางของปีศาจวายุพฤกษาและร่างโปร่งแสงของอดีตนักล่าปีศาจนายใหญ่สวนรฦกวัลย์รุ่นก่อนกำลังวิ่งมาหา

    แม้บุคคลเบื้องหน้าจะเป็นสองผู้มีพระคุณที่อาจช่วยชีวิตคู่ครอง แต่ขาแกร่งที่เคยวิ่งสุดฝีเท้ากลับชะงักนิ่ง อ้อมแขนหนาพลันบีบกระชับร่างมนุษย์ที่อุ้มอยู่ราวกับกลัวว่าจะถูกแย่งชิง ความรู้สึกจากก้นบึ้งในส่วนลึกคล้ายหล่นวูบ ความกลัวเกรงไร้ที่มาพยายามคำรามร้องต่อต้านผู้มีพระคุณอย่างที่ไม่ควรกระทำ ทว่ากว่าจะตระหนักรู้และหลีกหนี สองผู้มีพระคุณก็อยู่ห่างเพียงไม่กี่ย่างก้าว

    “เอทอสเจ้ากลับมาได้! ดีจริง ๆ ที่อายุขัยหลานสะใภ้ไม่สูญเปล่า”

    ฟอเรสกล่าวอย่างยินดีเมื่อพันธะครองคู่ที่มีโอกาสสำเร็จเพียงน้อยนิดผ่านพ้นไปด้วยดี จากทีแรกเธอตั้งใจจะมาปลอบขวัญหลานสะใภ้ คงต้องเปลี่ยนเป็นการฉลองครั้งใหญ่ ทว่ากว่าจะถึงตอนนั้น ปีศาจสาวอาจมีเรื่องต้องจัดการเสียก่อน เมื่อคู่ครองในอ้อมแขนหลานชายมีการไม่สู้ดี และนัยน์ตาสีแดงเลือดนกที่มองเธอนั้นกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
    
    “ข้าขอ... อย่าเอาโนอาร์ไปจากข้า ถึงคู่ครองข้าจะไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์ แต่ข้ารักเขามาก ...ได้โปรดอย่าพรากเขาไป” เสียงทุ้มสั่นเครืออ้อนวอนพลางกอดร่างมนุษย์ไร้สติแน่น ซึ่งเอทอสก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงหลุดกล่าวเช่นนั้น แต่ความกลัวต่อสองบุคคลเบื้องหน้าที่กำลังรู้สึกนี้มิใช่การคิดไปเองแน่นอน
    “พูดบ้าอะไรของเจ้าน่ะเอทอส? แต่ยังไงตอนนี้ก็วางโนอาร์ลงก่อน ให้ข้าใช้พลัง- นี่เจ้า!”

    หญิงสาวว่าพลางเดินเข้าหาหวังสัมผัสดูอาการมนุษย์น่าเป็นห่วง แต่หลานชายกลับก้าวถอยหลังหนีไม่ให้เธอถูกตัว สร้างความงุนงงระคนหงุดหงิดให้กับปีศาจวายุพฤกษา ส่วนวิญญาณอนันต์ที่เฝ้าดูอย่าเงียบ ๆ ก็พอเริ่มเข้าใจสาเหตุ เพราะดวงตาของเอทอสที่มองพวกเขานั้นช่างเหมือนกับคืนนั้นที่เขาลงโทษหลานหลงผิดออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งแม้เจ้าตัวจะจำไม่ได้ ทว่าจิตใต้สำนึกคงจำได้ดี

    “เอทอส ถ้าหลานยังดื้อดึง คนรักของหลานอาจอาการแย่กว่านี้ เชื่ออาแล้ววางโนอาร์ให้เรสรักษา”

    อนันต์เอ่ยแนะกึ่งบังคับกดดัน ซึ่งเอทอสก็นิ่งลังเลไปสักพัก ก่อนสุดท้ายอ้อมแขนแกร่งจะจำวางร่างมนุษย์กับผืนป่า ฟอเรสรีบเรียกสายลมกับเถาวัลย์ใบหญ้าเข้าห่อร่างหลานสะใภ้เสมือนเป็นรังไหมรักษา ซึ่งตลอดการฟื้นฟูเอทอสไม่ยอมลุกห่างไปไหน กระทั่งสีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับคืนสีธรรมชาติปกติส่วนรากไม้และลมหมุนบางเบาก็ค่อยสลายหายไป ปีศาจกินวิญญาณจึงรีบรับมนุษย์มากอดอุ้มอย่างหวงแหน พลางกล่าวขอบคุณสองผู้มีพระคุณพร้อมความกังวลหวาดหวั่นในส่วนลึกที่เจือจางลดเลือน กลับมามองด้วยความเคารพนับถือเฉกเช่นเดิม



    “ฟื้นสักทีเจ้าหลานสะใภ้สิ้นคิด เจ้าไปสรรหาวิธีอันตรายพรรณ์นั้นจากไหนมา?!”

     หญิงสาวเอ่ยว่าคนรักของหลานชายถัดทีที่อีกฝ่ายฟื้น เนื่องเพราะพันธะครองคู่ที่เธอบอกคือการขีดวาดตราสัญลักษณ์ประจำคู่ลงบนพื้นดิน มิใช่การเอาเลือดเป็นน้ำหมึกอย่างที่เจ้าตัวกระทำ ทว่าคนโดนว่ากลับไม่ได้สนใจหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย โนอาร์ค่อยลุกขึ้นนั่งพร้อมกวาดสายตาหาร่างยักษ์ของปีศาจ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนมองอยู่ตรงริมประตู และขณะนี้เขาอยู่ในห้องนอนของบ้านพักกลางป่า

    “จากไหนไม่สำคัญ แค่เอทอสกลับมาก็พอ”

    เสียงเรียบเรื่อยกล่าวตอบพลางจ้องไปยังร่างยักษ์ตรงประตู แทนที่จะเป็นหญิงสาวผู้ถามไถ่ เช่นนั้นฟอเรสก็พอรู้ว่าเธอกำลังกลายเป็นส่วนเกินหมดประโยชน์ หญิงสาวจึงหันไปคุยกับหลานชายแทน โดยไม่คิดถามย้ำเซ้าซี้ให้มากความ เพราะอย่างน้อยหลานทั้งคู่ก็ปลอดภัยดี

    “เจ้าล่ะเอทอส จากนี้จะทำยังไงต่อ อยู่ในสภาพนี้คงกลับไปในสังคมมนุษย์ไม่ได้อีก”

    ฟอเรสว่าพลางมองร่างหลานชายในรูปลักษณ์ปีศาจกินวิญญาณเต็มวัย ที่แท้จริงเป็นเพียงวิญญาณสิงกายเนื้อเก่า ส่งผลให้ไม่ต้องกินอาหารหรือวิญญาณก็สามารถอยู่ได้เรื่อย ๆ ตราบที่คู่ครองยังมีชีวิตอยู่ ทว่านั่นก็หมายรวมถึงจะไร้ทุกพลังที่เคยมีเช่นกัน ทั้งเปลวเพลิงสีนิล คำสาป หรือแม้แต่การแปลงกายเป็นมนุษย์
    
    “ข้า...”
     “….”

    ดูเหมือนความเงียบจะเป็นคำตอบของหลานชาย เท่านั้นฟอเรสก็พอคาดเดาได้ทันที เอทอสคงไม่รู้เรื่องที่ว่าตนจะถูกพันธะของคู่เรียกกลับมา จึงยังไม่ได้วางแผนเตรียมการใด หญิงสาวจึงตัดสินใจมอบของขวัญหนึ่งให้ต้อนรับชีวิตใหม่

    “มานี่สิหลานข้า” คำเรียกจากผู้มีพระคุณ ทำให้เอทอสยอมเดินเข้าหาอย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อร่างยักษ์สูงใหญ่ยืนอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือบอบบางของหญิงสาวก็วางแตะบนไหล่หนาของหลานชาย
    “สายลมจงพัดหักเหผันแปรรูปลักษณ์ จากนี้และตลอดกาลจนกว่าจะเปลี่ยนคำ ร่างปีศาจจงเป็นเพียงโฉมมนุษย์อันคุ้นชิน”

    สิ้นบทร่ายคำสาป สายลมเย็นและกลิ่นหอมของเหล่าดอกไม้นานาพันธุ์ พลันหลั่งไหลเข้าโอบล้อมหมุนวนกลืนร่างยักษ์ใหญ่ทะมึน กรงเล็บนิลคมกริบเริ่มลดกลายเป็นฝ่ามือหนาธรรมดา เช่นเดียวกับใบหูยาวแหลมดั่งเอลฟ์ที่หดคืนสู่แบบปกติ ผิวกร้านสีน้ำตาลแดงเป็นผิวสีแทนเด่นเร่าร้อน พร้อมส่วนสูงและขนาดตัวที่ปรับให้กลมกลืนไม่สูงใหญ่ผิดมนุษย์ และดวงตาสีแดงเลือดนกที่ส่องประกายทองกลับเป็นนัยน์ตาดุสีอำพันเหมือนก่อน

    “ท่านฟอเรส!” ร่างสูงใหญ่ผิวแทนรีบประคองรับร่างหญิงสาวที่คล้ายทรุดล้มอย่างเหนื่อยหอบ
    “ฮะ... ไม่ได้ร่ายคำสาปนานก็เป็นเช่นนี้แหละ สักพักเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” หญิงสาวกล่าวบอก ก่อนจะกลับมายืนทรงตัวด้วยตัวเอง และหันมองหลานชายในรูปลักษณ์ชายหนุ่มแข็งแรง
    “เท่านี้ก็หมดปัญหาเรื่องอยู่ในสังคมมนุษย์ ถือว่าเป็นของรับขวัญจากข้าแล้วกัน”
    “แต่ท่านจะถูกคำสาปดูดพลัง-”
    “อย่าเอาข้าไปเปรียบกับปีศาจอายุไม่ถึงครึ่งร้อยเช่นเจ้าเอทอส พลังข้ามีเหลือเฟือและกว่าจะรู้สึกอ่อนแรง เจ้ากับหลานสะใภ้คงกลายเป็นวิญญาณเร่ไปนานแล้ว” ฟอเรสเอ่ยขัดเพราะรู้ว่าหลานชายจะทักท้วงอะไร ก่อนจะแสร้งเอ่ยคำเพื่อไม่ให้หลานชายรู้สึกผิด
    “คิดว่าข้าใจดีช่วยเจ้าฟรี ๆ หรือไงเอทอส สวนรฦกวัลย์ของอนันต์เจ้าต้องดูแลต่อใช้หนี้บุญคุณข้า ตกลงไหม”
    “…ครับถ้าท่านต้องการเช่นนั้น ข้าจะคอยดูแลสวนรฦกวัลย์ให้สมดั่งที่พวกท่านไว้ใจ”

    เอทอสจำยอมรับข้อเสนอ แม้ในใจจะรู้สึกว่าการตอบแทนเท่านี้มันไม่มากพอเมื่อเทียบกลับสิ่งที่ผู้มีพระคุณเมตตาเขาก็ตาม ซึ่งหลังจบเรื่องราวหญิงสาวผู้หมดหน้าที่จึงลากลับจากบ้านไม้กลางป่า เพราะอยากเปิดโอกาสให้หลานชายและหลานสะใภ้มีโอกาสพูดคุย

    “ทำแบบนี้ทำไม ถ้าเจ้าพลาดก็เท่ากับตาย รู้ตัวไหม” เสียงทุ้มหนักเอ่ยตำหนิมนุษย์ทันที เมื่อบ้านทั้งหลังเหลือเพียงเขาและมนุษย์
    “ผมเคยบอกคุณแล้วว่าผมเป็นคนโลภเอทอส แค่ได้คุยแต่ไม่สามารถแตะต้อง มันไม่พอสำหรับผมหรอก”

    เสียงเรียบเรื่อยว่าอย่างลุแก่โทษ พลางมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งพร้อมรับผิดแต่โดยดี เอทอสยืนจ้องโนอาร์ด้วยความเคืองโกรธระคนเป็นห่วงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนต่อมาจะถอนหายใจและยอมนั่งตรงขอบเตียง ฝ่ามือหนายื่นวางลงบนกลุ่มผมสีดำขลับแล้วลูบปลอบอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นสัญญาณให้อภัย เช่นนั้นมนุษย์ถึงพลันโผเข้ากอดปีศาจ ใบหน้าขาวซุกซบแผงอกกว้างเปลือยเปล่าอย่างคิดถึงแม้จะพรากจากกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทว่าภายใต้แผ่นอกแกร่งนั้นกลับเงียบงันไร้เสียงหนักแน่นของหัวใจเต้นขยับ สิ่งที่สัมผัสรับรู้ราวกับเป็นอนุสรณ์ คอยย้ำเตือนความจริงว่าเขาไม่อาจรักษาชีวิตเอทอสได้อย่างที่เคยให้สัญญา แต่ถึงกระนั้น ขอเพียงผลลัพธ์สุดท้ายเป็นเขาและเอทอสได้อยู่เคียงข้างกัน มนุษย์ผู้หลงรักปีศาจกินวิญญาณสุดหัวใจก็ไม่คิดร้องขอปาฏิหาริย์อื่นใดอีกแล้ว



    หลังผ่านก้าวพ้นวิกฤตโชคชะตา เกมกระดานแห่งความตายที่ปล่อยค้างคาก็ถึงคราวต้องรุกฆาตปิดฉาก ณ ห้องผ่าตัดแห่งหนึ่งที่มีเตียงผู้ป่วยสองเตียงขนาบข้างพร้อมสำหรับการปลูกถ่ายหัวใจ โดยด้านหนึ่งคือหญิงสาวหลับสนิท ทว่าอีกเตียงกลับเป็นชายหนุ่มที่ยังมีสติรู้ตัวครบถ้วนถูกจับขึงตึงไม่ให้ลุกหนี ซึ่งวรรษรู้ชะตาตั้งแต่ได้ยินแว่วเสียงพลุฉลองปีใหม่ และถัดจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์เขาก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้โดยตัวการเรื่องทั้งหมด ซึ่งกำลังยืนจ้องเขาอยู่ในตอนนี้

    “อื้ออออออ!!!!” คนถูกขึงพลันร้องลั่นผ่านผ้าปิดปากที่รัดแน่น เมื่อชายผู้มีนัยน์ตารัตติกาลควงมีดผ่าตัดคมกริบเล่น ก่อนใช้แทงปักเข้าที่ท่อนแขนคนบนเตียงอย่างจัง
    “รู้ไหมว่ารอเวลานี้มานานแค่ไหน” โนอาร์เอ่ยพลางหมุนข้อมือเพื่อให้ใบมีดคว้านเนื้อจนหยาดเลือดทะลักไหลหยดจากเตียงลงสู่พื้นกระเบื้องเย็นเยียบ
    “เสียดาย หมอค่อนข้างยุ่งมีอีกหลายคิวรออยู่เลยมีเวลาคุยไม่มาก แต่มั่นใจได้ว่าทุกอวัยวะจะได้นำไปใช้ประโยชน์ไถ่บาปอย่างสูงสุด โดยเฉพาะหัวใจ”

    เสียงเรียบนิ่งสุขุมกล่าว ขณะที่หมอหนุ่มเริ่มลงใบมีดกรีดเปิดช่องอกโดยไร้ซึ่งยาชาหรือยาบรรเทาใด ร่างขึงตึงพลันดิ้นร้องเทรมานแสนสาหัสเมื่อกำลังถูกชำแหละร่างทั้งเป็น ทว่าคนเฝ้ามองกลับเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยพร้อมหยิบหลอดแก้วบรรจุน้ำใสที่วรรษรู้ดีว่าคืออะไร มาราดรดลงบนหน้าผากเขา

    “อย่าคิดว่าถ้าตายแล้วทุกอย่างจะจบ ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน” นัยน์ตารัตติกาลมองสบดวงตาชายหนุ่มที่บัดนี้มีหยาดน้ำใสไหลรินเงียบงัน หมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อต้าน เนื่องจากอวัยวะสูบฉีดเลือดกำลังถูกขวักออกจากอก
    “…”
    “อยากดูให้ถึงวินาทีสุดท้าย แต่คงต้องกลับก่อนเพราะมีนัดสำคัญ ตามมาก็แล้วกัน”

    ชายเลือดเย็นเอ่ยพลางแกว่งหลอดแก้วในมือแล้วจึงเดินออกจากห้องผ่าตัด เมื่อเห็นว่าร่างบนเตียงคล้ายเลื่อนลอยไม่ตอบรับสิ่งใดอีกแล้ว พร้อมกับกดรับโทรศัพท์ที่สั่นในกระเป๋าไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่

    [อยู่ไหน?] เสียงทุ้มเจือความหงุดหงิดเอ่ยถามทันที เหตุเพราะโนอาร์คะยั้นคะยอขอให้เขาหาวันหยุด แต่พอถึงวันกลับหายตัวไม่เห็นเงาตั้งแต่เช้า
    “ผมมาจัดการธุระครับ แล้วก็มาเช็กหนังเข้าโรง เหมือนมีเรื่องหนึ่งน่าสนใจ...” เสียงเรียบเรื่อยว่าพลางหยิบตั๋วหนังที่นั่งแบบโซฟาสวีทขึ้นมาชม พลางระบายยิ้มมุมปากเอ่ยชวนปลายสาย
   “เอทอส เรามาเดตฉลองปีใหม่กันไหม”

 

END


บทสุดท้าย สมบูรณ์





ถึงคนอ่าน


   จบแล้วครับ^^ คนอ่านประทับใจไม่ประทัยใจตรงไหนบาง หรือรอจบแล้วมาอ่านรวดเดียวฝากคอมเมนท์เป็นอนุสรณ์ให้คคนเขียนได้นะครับ


    :-[ ต่อมาเป็นการตอบคำถามเรื่องพลังกึงวิญญาณออกจากร่างของเอทอสนะครับ เอทอสเสียพลังนี้ไปพร้อมความทรงจำในคืนที่รู้ความจริงว่าตัวเองกินพ่อปม่เข้าไปครับ ซึ่งเป็นเนื้อในบทที่32 เอทอส


   ระหว่างเขียนตอนนี้คนอ่านหลายท่านก็มาคอมเมนท์นิยายมากขึ้น  ๆ คนเขียนทั้งดีใจทั้งรีบเขียนบทนี้ให้คนอ่านได้อ่านเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ แต่ทำไมบทจบมันยามแล้วเนื้อหาก็เยอะมากเกินกว่าที่คนเขียนคิด ในตอนต้นเรื่องกับท้ายเรื่องเลยดูรวบรัดกระชับหน่อยนะครับ (คนเขียนอยากอธิบายมุมของมังกรกับหยกที่ได้เปลี่ยนหัวใจด้วย แต่คนเขียนตาลายแล้ว 5555  :katai4: )


   อันนี้เป็นการสปอยล์กึ่งเปิดเรื่องใหม่นะครับ จากเรื่องของเอทอสโนอาร์ มีตัวละครที่จะมีเรื่องแยกประจำของตัวเองทั้งหมด 4 คู่ครับ
   1. คู่แรกคือดรีมเด็กกำพร้าที่เปรียบเสมือนพี่ชายของโนอาร์ แต่ตายไปเมื่อสมัยอยู่ม.ปลายเพราะถูกเพื่อนแกล้ง กับเพื่อนสมัยเด็กของเขาที่สำนึกผิด จะเป็นเรื่องถัดไปที่คนเขียนจะเขียนครับ
   2. ภาคินที่กลายเป็นวิญญาณอาฆาตแค้น กับจินที่จ้องจะจับภาคินขายทำเงินแต่ไม่มีใครซื้อ สุดท้ายเลยต้องอยู่ด้วยกันและคอยระวังไม่ให้โนอาร์รู้ว่าภาคินยังอยู่ จะเป็นเรื่องถัดมาครับ
   3. คนที่จะมารับช่วงเป็นนายใหญ่สวนรฦกวัลย์ต่อจากเอทอสคือนาวาที่โตเป็นผู้ใหญ่ครับ (เป็นเหตุว่าทำไมนาวาถึงดูมีบทบาทนักทั้งที่ไม่จำเป็นเท่าไร) โดยคู่ในอนาคตของนาวาคือพ่อหม้ายหนุ่มที่ต้องคอยดูแลลูกน้อยครับ
   4. ปีศาจหนุ่มบาร์เทนเดอร์ที่เฝ้ารอคู่ครองมาเนินนาน แต่คู่ของเขากลับไปเกิดใหม่เป็นน้องชายคนเล็กของตระกูลนักล่าปีศาจเก่าแก่ครับ

   โดย 4 เรื่องนี้จะไม่ได้มีเนื้อหารุนแรงเหมือนอย่างเอทอสโนอาร์นะครับ


   และก็ถึงจะจบแล้วคนเขียนจะมาเขียนบทเสริม/บทพิเศษของเอทอสโนอาร์ให้สัก 1-3 ตอนนะครับ หรืออาจะมีเรื่อย ๆ นานทีตามความคิดถึงของคนเขียน5555 และเรื่องนี้รวมถึงนิยายเรื่องอื่น ๆ ของคนเขียนจะไม่มีรูปเล่มหรือE-book นะครับ (ส่วนปกสวย ๆ นี่ก็เพื่อสนองความต้องการคนเขียบนเท่านั้นครับ 5555) แต่หลังจากนี้ไปคนเขียนก็ไม่มีการล็อกตอนติดเหรียญเช่นกันครับ ให้คนอ่านกลับมาอ่านได้เรื่อย ๆ


   สุดท้าย บทเสริมความจริง หากคนอ่านรู้สึกว่าทำไมจำนวนข้อมันแหว่ง ๆ ตอนนี้ไม่แหว่งแล้วนะครับ รวมเป็น 100 ข้อ(เอทอส 50, โนอาร์ 50) โดย 4 ข้อท้ายของแต่ละคนจะเป็นอะไรคนอ่านสามารถอ่านได้เลยครับ (มีเฉลยด้วยว่าโนอาร์ไปเอาพิธีพันธะครองคู่แบบอันตรายนั้นมาจากไหน)



   สุดท้ายของสุดท้ายจริงเรื่องนิยายคนเขียนเขียนตอนอยู่ปี 2 และตอนนี้คนเขียนเรียบจบปี4แล้ว ใช้เวลาเกือบ ๆ 2ปีในการพาเอทอสโนอาร์จากจุดเริ่มต้นบทนำมาถึงจุดจบ คนเขียนขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่อยู่ตลอดและผ่านมาด้วยนะครับ ขอบคุณนะครับ^^ และจากนี้คนอ่านที่ผ่านมาก็มาอ่านทิ้งคอมเมนท์ได้นะครับ 5555



ป.ล. หากคนอ่านเล่นทวิตเตอร์ มาเล่น #Hฆาตกรรม ได้นะครับ^^  คนเขียนเพิ่งลงนิยายใน thaiboysmos ครั้งแรก เวลาเขียนนิยายจบแล้วให้พิมพ์คำว่า จบแล้ว ตรงหัวกระทู้แค่นี้หรือเปล่าครับ หรือต้องทำอะไรเพิ่มไหมครับ?



หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทสุดท้าย เวลา) [27/05/2021]| จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-05-2021 20:27:28
ขอบคุณที่เขียนนิยานให้อ่านครับ จบได้เป็นนักฆ่าจิงๆ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทสุดท้าย เวลา) [27/05/2021]| จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: FleurDelakour ที่ 03-06-2021 03:38:27
จบได้สมกับเป็นโนอาห์จริงๆ แต่เราก็คิดว่าช่วงท้ายๆ มันดูรวบผิดวิสัยคนเขียนไปจริงๆ นะ 555

รอคอยคู่อื่นๆ ในจักรวาลนะ เดี๋ยวขอไปอ่านตอนพิเศษก่อน เว้นไว้เพราะกลัวสปอยล์

ขอบคุณคนเขียนมากจริงๆ สำหรับนิยายอีกเรื่องที่จะเข้ามาเป็นความทรงจำดีๆ ของเรา

ปล. เราทวิตเพิ่มไปด้วย อย่าลืมเข้าไปคุยกันต่อในนั้นได้ครับ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทสุดท้าย เวลา) [27/05/2021]| จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 06-06-2021 09:08:03
 :pig4: :L2:
ทั้งสยอง ทั้งสั่นประสาท ทั้งลุ้นระทึก สนุกมากค่ะ รออ่านเรื่องของบาร์เทนเดอร์อยู่นะคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทสุดท้าย เวลา) [27/05/2021]| จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmiku ที่ 22-06-2021 21:09:45
นิยายสนุกมากค่ะ ขอบคุณนะคะ รออ่านผลงานเรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทสุดท้าย เวลา) [27/05/2021]| จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 26-06-2021 22:43:13
อ่านไปก็ลุ้นไป เรากลัวฉากฆาตกรรม​มาก
เนื้อเรื่อง ภาษา เราว่าดี โนอาร์โหดมากกก
รอเรื่องต่อๆไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [บทพิเศษ ทะเล]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 11-10-2021 22:33:38

(บทพิเศษ คือบทที่ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากบทหลักจบลงแล้ว ซึ่งบทนี้กล่าวถึงช่วงเวลาเที่ยวพักผ่อนแบบครอบครัวเอทอสโนอาร์ ณ รีสอร์ตติดทะเล ตามคำเชิญจากฟอเรสและอนันต์)



    “อืม... คุณน่าจะบอกว่าชอบชุดว่ายน้ำ ไม่อย่างนั้นผมคงใส่ให้คุณดูนานแล้ว.. อาาา...ใจเย็นก่อน..คะ..คุณ”

     ชายเลือดเย็นเอ่ยกับร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำเสียงติดพร่า ยามถูกปีศาจประกบเบียดแนบชิดพร้อมสองมือใหญ่หยาบโลนเข้าคลึงลูบไล้ตามเรือนร่างขาว โดยก่อนเรื่องราวจะมาลงเอยเช่นนี้ คู่รักปีศาจและมนุษย์เพียงเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนชุดเตรียมไปชายหาดตามความต้องการของฟอเรส ทว่าหลังโนอาร์แต่งตัวเรียบร้อยด้วยกางเกงครึ่งเข่าสีน้ำเงินเข้ม ส่วนบนเป็นเสื้อฮาวายสีขาวเนื้อบางไม่ติดกระดุม เมื่อนั้นเขากลับถูกนัยน์ตาสีอำพันดุจ้องนิ่ง ไม่นานเอทอสในร่างชายผิวแทนกำยำที่สวมเพียงกางเกงว่ายน้ำสีดำท่อนบนเปลือยเปล่า ก็พลันพุ่งเข้าหาคู่ครองพร้อมดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดซุกไซ้
    การกระทำอุกอาจสร้างความปั่นป่วนให้หัวใจน้ำแข็งเต้นระส่ำ ดวงตารัตติกาลพลันทอประกายเปี่ยมสุขต่อสัมผัสจากปีศาจ พลางค่อย ๆ ถอยพาเอทอสที่เข้าโหมดสัตว์ป่ากระหายเป็นที่เรียบร้อยไปยังเตียงกว้าง ไม่คิดสนใจหนึ่งปีศาจสาวและหนึ่งวิญญาณหนุ่มที่กำลังรออยู่ด้านนอก เพราะสำหรับโนอาร์แล้วแน่นอนว่า ความต้องการของเอทอสย่อมเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งเสมอ

    “แกร๊ก!” ทว่าเสียงปลดล็อกของบางสิ่ง กลับทำลายภาพฝันของชายเลือดเย็นลงไม่เหลือ
    “มาเที่ยวพักผ่อนจะพกของแบบนี้ไปทำไม”

    เสียงทุ้มหนักว่าพลางผละจากโนอาร์พร้อมเข็มขัดอาวุธเจ้าปัญหาที่มนุษย์ขยันเอาติดตัวไปทุกที่ ไม่เว้นแม้จะไปลงเล่นน้ำทะเล ซึ่งนั่นทำให้ชายเลือดเย็นที่กำลังเคลิบเคลิ้มพลันคืนสติโดยพลันว่าเสียรู้ให้ปีศาจมากเล่ห์อีกแล้ว

    “คุณ!” มนุษย์ว่าพลางเข้าไปยื้อหมายเอาเข็มขัด ทว่าเอทอสกลับชูสูงจนคู่ครองที่ปีนเกาะร่างเขาเป็นลิงเอื้อมไม่ถึง ก่อนโยนของก่อเรื่องไปบนหลังตู้เสื้อผ้าตัดปัญหา
    “เลิกทำตัวไร้สาระสักทีโนอาร์ ท่านอนันต์กับท่านฟอเรสคอยอยู่”

    นัยน์ตาสีอำพันดุแฝงความระอายืนมองมนุษย์พยายามหยิบเข็มขัดบนหลังตู้สูงเกือบชิดเพดาน ที่ส่วนสูง 186 ของโนอาร์ก็ไม่อาจช่วยอะไร และดูเหมือนอีกฝ่ายจะไร้แววย่อท้อ เช่นนั้นร่างสูงใหญ่จึงจำงัดไพ่ตายที่เพิ่งค้นพบไม่นานนี้ขึ้นมาใช้

    “ไปได้แล้ว... เมียข้า”
    “กึก!”

    เพียงเสียงทุ้มหนักเอ่ยสถานะ มนุษย์ก็พลันนิ่งค้างพร้อมหลังใบหูเริ่มขึ้นสีเจือจาง คำเรียกที่ได้ยินเฉพาะช่วงเวลาอย่างว่าพาจิตใจเยือกแข็งจินตนาการลอยล่องไปถึงไหนต่อไหน เอทอสที่เห็นทีท่าตามคาดการณ์จึงเข้าไปคว้ามือจูงออกจากห้อง ซึ่งก็พบผู้มีพระคุณกำลังนั่งคอยอยู่

    “ทำอะไรกันตั้งนาน เสียงดังมาถึงข้างนอก” สาวสวยในชุดว่ายน้ำเอ่ยถาม ขณะที่นัยน์ตามรกตมองสลับระหว่างหลานชายและหลานสะใภ้อย่างจับผิด
    “ขอโทษครับ พอดีเมียข้- ...พอดีคู่ครองข้ามีปัญหานิดหน่อย” เอทอสชะงักเล็กน้อยเมื่อเผลอหลุดคำติดปาก ก่อนจะรีบแก้ตามหลัง
    “จะเรียกอะไรก็เรียก เมื่อคืนทั้งข้ากับอนันต์ได้ยินพวกเจ้าโหยหวนจนในหัวเห็นครบทุกท่าแล้ว คืนนี้ก็ตามสบายข้ากับอนันต์จะย้ายไปพักบ้านข้าง ๆ เอง”

    ว่าเสร็จหญิงสาวก็ลุกจากโซฟาเดินนำไปทางประตู โดยมีอดีตปีศาจกินวิญญาณกับมนุษย์เดินตามเงียบ ๆ และครานี้ไม่ใช่มนุษย์เพียงผู้เดียวที่ใบหูขึ้นสี


    “ให้ผมช่วยถือไหม”

    น้ำเสียงเรียบเรื่อยถามร่างสูงใหญ่ข้างกาย ผู้รับหน้าที่ถือร่มปักชายหาด เสื่อ และข้าวของอื่น ๆ เพียงคนเดียว โดยแท้จริงสิ่งเหล่านี้ทางรีสอร์ตได้จัดเตรียมสถานที่ริมหาดไว้รองรับเรียบร้อย แต่เพราะฟอเรสเห็นว่ามันดูสงบเกินไปจึงออกความเห็นให้ย้ายไปที่ที่ครึกครื้นกว่านี้ แน่นอนว่าคำพูดของหญิงสาวผมเขียวสลวยถือเป็นที่สุด หลานชายอย่างเอทอสก็ต้องว่าตามนั้น โนอาร์ที่ว่าจะค้านเพราะปีศาจของเขาชอบความสงบก็จำต้องเลยตามเลยไปโดยปริยาย

    “คุณ ดื่มน้ำมะพร้าวสักหน่อยจะได้สดชื่น”

    โนอาร์ที่จู่ ๆ หายไปจากกลุ่ม กลับมาพร้อมมะพร้าวที่ถูกเฉาะเปิดใส่หลอดพร้อมดื่ม ยื่นส่งให้ร่างกำยำที่เพิ่งปูเสื่อปักร่มเสร็จ โดยหลังเอทอสรับไป มนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นช่วยพัดคลายร้อนปรนนิบัติดุจปีศาจผู้เป็นที่รักคือราชา นัยน์ตารัตติกาลรักใคร่ชื่นชมไม่ปิดบังนั้น สวนทางกับนัยน์ตาสีอำพันดุนิ่งเฉยราวกับสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกพิเศษอะไร กลับดูช่างน่าหมั่นไส้ในสายตามรกตเสียจนปีศาจสาวต้องเอ่ยทักหลานสะใภ้ขัดบรรยากาศ

    “ซื้อมาจากไหนหรือหลานสะใภ้ พาข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากกินบ้าง” ฟอเรสว่าพลางลุกยืน โนอาร์ที่เห็นดังนั้นจึงหันไปบอกเอทอสเล็กน้อยและเดินนำไป
    “อยากคุยอะไรกับผม” น้ำเสียงเย็นชาผิดกับยามพูดกับปีศาจสุดที่รัก เอ่ยถามหญิงสาวทันทีที่ทิ้งห่างจากบริเวณจุดนั่งพักพอสมควร
    “เวลาหลานข้าอยู่กับเจ้า เป็นแบบนี้ตลอดเลยสินะ”
    “แบบไหน?” เรียวคิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลพลันขมวดมุ่น
    “ก็ท่าทางทำเข้มวางมาดนั่นไง ข้าเห็นแล้วหมั่นไส้อยากกะเทาะเปลือกให้ธาตุแท้เจ้าหลานขี้เก็กนั่นออกมาจริง ๆ” หญิงสาวก้าวไว ๆ นำหน้า ก่อนจะหันกลับมาจ้องหลานสะใภ้ด้วยแววตามรกตประกายวาว กลับยิ่งทำให้โนอาร์คิ้วขมวดไม่ไว้ใจ
    “…คิดจะทำอะไร-”
    “ข้ารู้ว่าเจ้ารักหลานข้ามาก และคงอยากรู้จักทุกด้านของหลานข้า.. แต่เจ้ามั่นใจเหรอว่าอดีตที่รู้ผ่านฝันนั่นคือทั้งหมด” ไม่ทันที่ชายเลือดเย็นจะได้รีดเค้นคัดค้าน กลับถูกถ้อยคำถัดมาสั่นคลอนหัวใจน้ำแข็งจนเริ่มไหวเอน
    “ไม่อยากเห็นหรือไง นิสัยเด็ก ๆ ของสามีเจ้าน่ะ”
    “…”
    “…”

    แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ย ทว่าร่างกายกลับฝืนการควบคุมกดใบหน้าลงเล็กน้อยคล้ายพยักตอบ ฉับพลันสายลมอ่อนนำพากลิ่นดอกไม้ไร้ที่มาก็เข้าพัดโอบล้อมทั่วบริเวณ พร้อมรอยยิ้มยากคาดเดาของหญิงสาว

    “…ดี ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ผิดหวังเลย”



    “โนอาร์ล่ะครับ ท่านฟอเรส” เอทอสเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้มีพระคุณกลับมาเพียงลำพัง
    “เห็นว่าอยากโต้คลื่นให้เจ้าชม... นั่นไง เล่นอยู่โน้น”

    หญิงสาวจิบน้ำมะพร้าวพลางหันไปทางทะเล นัยน์ตาสีอำพันดุจึงมองตามและก็พบโนอาร์ยืนอยู่บนเซิร์ฟบอร์ดโต้ฉวัดเฉวียนไปตามเกลียวคลื่น ซึ่งไม่รู้อะไรดลใจว่าการโชว์โต้คลื่นจะทำให้เขาประทับใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายามเขาได้เห็นโนอาร์ทำเรื่องสนุก ๆ อย่างมนุษย์ปกติสามัญ หัวใจกลางอกที่หยุดเต้นไปนานแล้วก็คล้ายกำลังพองโตเปี่ยมสุข

    “แปลก... พวกมนุษย์ต่างสนใจคู่ครองเจ้าน่าดู แต่ปีศาจหวงของแถวนี้กลับนั่งยิ้ม ไม่ยักเป็นเดือดเป็นร้อน” ฟอเรสแสร้งเอ่ยขัดหลานชายที่ผุดยิ้มเล็กน้อยระหว่างดูหลานสะใภ้กลางทะเล และเพียงครู่ก็ได้คำตอบจากเจ้าตัว โดยนัยน์ตาสีอำพันดุมิได้ละจากการเฝ้าชมคู่ครอง
    “โนอาร์มองข้าเพียงผู้เดียว”
    “ชิ! หลงตัวเอง…”
   “…”
    “หืม?.. ไหนว่ามองเพียงเจ้าผู้เดียว ไม่เห็นเหมือนอย่างที่โวไว้เลยหนิ”

    หญิงสาวได้ทีเกทับหลานชาย เพราะขณะที่คนตกเป็นหัวข้อกลับขึ้นฝั่งและกำลังเดินมา ผู้คนริมหาดต่างเข้าล้อมรุมชื่นชม มีบ้างขอถ่ายรูป แต่บางคนก็ล้ำเส้นถึงขั้นกอดแขนสัมผัสตัว ทว่าชายเลือดเย็นแสนเย่อหยิ่งครานี้กลับทำตัวผิดแผก ยอมปล่อยให้คนอื่นถูกเนื้อต้องตัวตามใจ มิหนำซ้ำยังโต้ตอบคุยหยอกสนุกสนาน และแน่นอนว่าทุกการกระทำนั้นถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของตัวจริงขมวดคิ้วแน่น ห้วงอารมณ์สุขผันแปรเป็นความเดือดพล่านทันใด ความหงุดหงิดไม่ชอบใจพลันปะทุผ่านนัยน์ตาอำพันดุที่เข้มขึ้นอย่างเหลืออด

    “พรึบ!”
    “อ้าว? จะไปไหนของเจ้าน่ะ เอทอส”

    ฟอเรสแสร้งถามหลานชายที่จู่ ๆ ก็ลุกจากเสื่อมุ่งตรงไปหาคู่ครองที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน ก่อนจะลอบหัวเราะคิกคักตามหลัง อนันต์ที่เฝ้ามองอยู่ตลอดก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาต่อนิสัยชอบแหย่หลานของคนรัก


     ร่างสูงใหญ่แผ่ไอบรรยากาศหงุดหงิด นัยน์ตาอำพันดุวาวเข้มจ้องต้นตอที่ยังเล่นหยอกล้อไม่รู้สึกรู้สา ทว่าเมื่อเข้าใกล้ กลิ่นหอมอ่อนคล้ายดอกไม้เจือในอากาศกลับหยุดฝีเท้าหนัก ฉับพลันความคิดในหัวเอทอสเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวความผิดแปลกเข้าด้วยกัน จนได้ผลสรุปในวินาทีถัดมาว่าโนอาร์รวมถึงมนุษย์ทั่วทั้งชายหาดได้ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของปีศาจวายุพฤกษา ผู้กำลังนั่งจิบน้ำมะพร้าวใต้ร่ม และเหตุผลย่อมเป็นอื่นไม่ได้นอกจากผู้มีพระคุณแค่อยากปั่นหัวเขาแก้เบื่อ

    “คุณเห็นผมใช่ไหม ชอบหรือเปล่า” น้ำเสียงคุ้นเคยช่วยให้เอทอสหลุดจากภวังค์ ก่อนพบว่าโนอาร์ที่เคยถูกฝูงชนรายล้อม ขณะนี้ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว
    “ไม่”
    “ยี้!! กล้าพูดตัวเองทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
    “จะทำได้ยังไง ตัวยังกับยักษ์แค่ยืนบนบอร์ดไม่ให้จมก็หรูแล้ว”
    “คุณโนอาร์อย่าบอกนะหมอนี่คือคนที่คุณพูดถึง เฮ้อ... ไม่น่าตกหลุมรักคนแข็งกระด้างแบบนี้ แถมยังชอบดึงหน้าอีก ไม่รู้จะเก๊กไปไหน”

    หลังสิ้นคำตอบ กลุ่มคนผู้ชมชอบโนอาร์ต่างส่งเสียงโห่ไม่พอใจพร้อมร่วมใจกันต่อว่าร่างสูงใหญ่ ส่งผลให้เอทอสรู้สึกเหมือนเขาเองเป็นตัวร้ายรังแกคนรัก ยังไม่นับรวมบางคำพูดที่ถึงกับทำให้คิ้วหนากระตุก แต่จะว่ามนุษย์พวกนี้ก็ไม่ได้ เพราะความคิดเหน็บแนมพวกนั้นต้องมาจากตัวการอย่างท่านฟอเรสเป็นแน่แท้

    “เอทอส... คุณไม่น่ายึดเข็มขัดผมเลย” เสียงเรียบเรื่อยกล่าวอย่างยิ้มแย้มเพราะต้องมนตร์ ทว่าเนื้อความกลับบ่งบอกชัดว่า ถึงจะเป็นมนตร์สะกดของปีศาจแกร่งกล้า ก็มิอาจครอบงำตัวตนใครบางคนได้อย่างสมบูรณ์
    “หมับ!”

    เอทอสรีบคว้าแขนโนอาร์ก่อนจูงกึงลากออกจากกลุ่มคนโดยไว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันเมื่อนัยน์ตารัตติกาลเริ่มแฝงความเยียบเย็นอันตราย ปีศาจพามนุษย์เดินมาเรื่อย ๆ แต่เพราะผลของมนตร์ทำให้ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด ก็จะมีพวกมนุษย์จับจ้องเข้าหาอยู่เสมอ กระทั่งท้ายสุดร่างสูงใหญ่ก็พบสถานที่ปลอดภัย

    “คุณปวดท้องเหรอ เอทอส?” โนอาร์ถามปีศาจข้างกายพลางเลิกคิ้วฉงน เพราะยามนี้พวกเขายืนอยู่หน้าห้องน้ำสาธารณะ ทว่าปีศาจกลับตอบปัด
     “อาบน้ำล้างเกลือซะ โต้คงโต้คลื่นไม่ต้องเล่น”
    “...แต่ผมไม่มีชุดเปลี่ยน ล้างตัวแล้วใส่ชุดชื้น ๆ นั่งตากลมทะเลมันค่อนข้าง-”
    “เดี๋ยวข้าหาชุดใหม่ให้ เข้าไปได้แล้ว”

    ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางดันหลังโนอาร์เข้าห้องน้ำ เมื่อเรียบร้อยเอทอสถึงมายืนกอดอกพิงกำแพงเฝ้า พลางเพ่งนัยน์ตาอำพันดุเขม่นไล่พวกมนุษย์ที่มองและพยายามเข้าหาคู่ครองโจ่งแจ้งแบบไม่ไว้หน้าเขา โชคดีที่ถัดจากห้องน้ำไม่มากเป็นร้านขายเสื้อผ้าริมหาด จึงหมดปัญหาเรื่องชุดใหม่ให้โนอาร์

    “คนขาย! เอาซื้อกับกางเกงผู้ชายไซซ์ L สีลายอะไรก็ได้อย่างละตัว”

    เอทอสตะเบ็งเสียงสั่งเจ้าของร้านเสื้อ โดยไม่คิดขยับออกห่างหน้าห้องน้ำ ไม่นานถุงเสื้อผ้าก็อยู่ในมือปีศาจ เป็นจังหวะเดียวกับที่มนุษย์อาบน้ำเสร็จ เปิดประตูออกมาในสภาพเปียกโชกสวมเกียงกางเกง ปีศาจเห็นเช่นนั้นจึงยื่นถุงเสื้อให้โดยไว้และดันโนอาร์กลับเข้าห้องตามเดิม โดยตลอดเหตุการณ์ไม่มีตาคู่ใดได้ยลโฉมชายเลือดเย็นเลยแม้แต่เศษเสี้ยว เนื่องเพราะโดนร่างสูงใหญ่ยืนบังหมดสิ้น

    หลังเปลี่ยนชุดเรียบร้อย โนอาร์จึงออกจากห้องน้ำอีกครั้ง โดยครานี้อยู่ในชุดเชิ้ตขาวเนื้อบางไม่ติดกระดุมเช่นเคย กับกางเกงขาสั้นสีเทามีลวดลายขาวประปรายตามแบบกางเกงชายหาดทั่วไป
    ทว่าผิวขาวนวลเงาวาวหลังอาบน้ำ ผสานรอนกล้ามเนื้องดงามสมชายสุขภาพดีที่จะเผยยามเสื้อบางสะบัดพลิ้วตามลม เป็นผลให้โนอาร์นั้นราวกับแผ่ออร่าไสวจนใครก็ตามได้เห็นถึงกับตาพร่าไม่เว้นกระทั่งเอทอส ทว่าครู่เดียวปีศาจก็รีบไล่คลามรู้สึกหลงใหลนั้นทิ้งไป ก่อนคว้าแขนลากคู่ครองออกจากบริเวณ

    “อะ!.. คุณ-” จู่ ๆ แขนที่ถูกฝ่ามือใหญ่จูงกึงลาก ก็พลันเปลี่ยนเป็นการดึงเข้าหาจนมนุษย์เสียหลัก
    “หมับ!”
    “เป็นคู่ครองข้าก็สนใจแค่ข้าสิ จะมองใครอื่นทำไม”

    รู้ตัวอีกที ร่างโนอาร์ก็ถูกท่อนแขนแกร่งโอบเอวดึงเข้ามาชิดใกล้ นัยน์ตาเข้มอำพันดุก้มมองพร้อมกล่าวตำหนิอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะแม้เขาจะประกบขนาดนี้โนอาร์ก็ยังไม่วายเล่นหูเล่นตากับพวกมนุษย์ที่เดินผ่าน ก่อนเบนสายตาไปไล่มนุษย์คนอื่นพลางกระชับอ้อมแขนคล้องเอวแน่นขึ้น ราวกับประกาศความเป็นเจ้าของ ซึ่งท่าทางเด่นชัดถึงความหึงหวงนั้น ไม่แปลกเลยที่ความปีติยินดีจะท่วมท้นหัวใจเยือกแข็ง จนแม้นมนตร์สะกดก็ไม่อาจปิดกั้นความสุขอันฉายผ่านนัยน์ตารัตติกาลที่กำลังทอแสงดาวระยับงดงาม

    “ครั้งแรกเลยที่คุณหวงผมแบบนี้”
    “…”

    นัยน์ตาอำพันดุเพียงก้มมองครู่หนึ่งโดยมิได้กล่าวตอบอะไร ก่อนจะพาเดินกลับจุดปักร่มที่สองผู้มีพระคุณพักผ่อนอยู่


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | [ต่อ บทพิเศษ ทะเล]
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 11-10-2021 22:38:25
(ต่อ)


    “ข้าต้องทำเช่นไร.. ท่านถึงยอมคลายมนตร์” เอทอสเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังนั่งรับลมทะเลใต้ร่มอย่างเกรง ๆ ซึ่งคำถามนั้นก็เรียกดวงตาสีเขียวมรกตเหลือบมองเล็กน้อย
    “เห็นเจ้าหัวหมุนก็สำราญดี แล้วทำไมข้าต้องคลาย”

    ร่างสูงใหญ่ลอบถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อคำตอบที่ได้ไม่ต่างจากที่คาดเดาไว้ พลางหันมองวิญญาณท่านอนันต์ที่นั่งอยู่ข้างหญิงสาวหวังขอความช่วยเหลือ แต่ก็ได้การส่ายหน้าจนใจกลับคืน ท้ายสุดเอทอสที่ทำอะไรไม่ได้จึงเลือกปลีกตัวออกมาเพียงลำพังเพื่อสงบอารมณ์ เพราะหากนั่งใต้ร่มต่อ ทุกการะกระทำของโนอาร์จะมีแต่ให้เขายิ่งหงุดหงิด อีกอย่างถ้าเขาไม่อยู่ในสายตา ท่านฟอเรสอาจรู้สึกเบื่อเร็วขึ้นและคลายมนตร์ไปเอง

    เอทอสที่คล้ายถูกขับไล่กลาย ๆ เดินเตร่ข้างชายหาดอย่างไร้จุดหมาย เคราะดีในร้ายที่มนตร์สะกดพวกมนุษย์ให้มุ่งความสนใจแค่เพียงโนอาร์ เขาจึงไม่มีใครมายุ่มย่ามเกาะแกะชวนรำคาญ ปีศาจมองนู่นมองนี้ฆ่าเวลาไปเรื่อยกระทั่งสายตาสะดุดกับร้านน้ำแห่งหนึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่ปักล้อมเป็นคอกสี่เหลี่ยม หลังคามุงหญ้าคาบริเวณชายพลิ้วไหวตามลมทะเล มีเคาน์เตอร์จากแผ่นไม้ยาวเสมือนบาร์นั่งดื่ม และท่อนไม้ใหญ่ปักทรายทำหน้าที่แทนเก้าอี้ ที่สำคัญคือร้านยังสงบเงียบไม่มีลูกค้า ปีศาจไร้ที่ไปเลยไม่รอช้าเดินเข้าร้านจับจองที่นั่ง เตรียมพร้อมสั่งเครื่องดื่ม ทว่าเมื่อสบนัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้เป็นเจ้าของสถานที่ ร่างสูงใหญ่ก็พลันชะงักนิ่ง

    “รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ แต่ทำเฉพาะม็อกเทลนะครับ ถ้าอยากดื่มอีกอย่างเชิญร้านอื่น” หนุ่มบาร์เทนเดอร์ถามลูกค้าเพียงรายเดียว พลางยิ้มเล็กน้อยและแน่นอนว่านัยน์ตาไม่ได้ยิ้มตามเฉกเช่นเดียวกลับคราก่อน
    “ทำไมมาอยู่ที่นี่”

     เอทอสสวนคำถามกลับ คิ้วหนาบนใบหน้าคมเข้มขมวดแน่นฉายชัดถึงความไม่ไว้ใจ เนื่องจากชายเบื้องหน้าคือปีศาจเจ้าของร้านที่โนอาร์เคยนั่งดื่มช่วงที่ผิดใจกับเขา มิหนำซ้ำยังจงใจปิดบังกลิ่นอายปีศาจของตน ทำให้เขาเผลอเข้ามาในพื้นที่ของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

    “อยู่ที่เดิมมันน่าเบื่อ นาน ๆ ทีก็ต้องเปลี่ยนบรรยากาศ ขนาดเด็กน้อยอย่างคุณยังเบื่อสวนเลยถึงได้ตอบรับคำชวนจากปีศาจวายุพฤกษา แล้วทำไมผมจะมาบ้างไม่ได้” ถึงจะไม่สบอารมณ์ที่ถูกเรียกว่าเด็กน้อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต่อหน้าปีศาจที่อยู่มาหลายร้อยปี เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กจริง ๆ ทว่าสิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ ทำไมอีกฝ่ายถึงรู้เหตุผลที่เขาตอบรับคำชวนของท่านฟอเรส
    “รู้ได้ยัง-”
    “ก็เหมือนที่คุณมองเห็นวิญญาณ ผมจะได้ยินเสียงอาหารร่ำร้องก็ไม่เห็นแปลกอะไร”
    “กึก!!”

    เมื่อได้ฟังคำตอบ ร่างสูงใหญ่พลันรีบลุกจากที่นั่งหวังทิ้งระยะห่างเตรียมตั้งหลัก ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมทำตามสั่งราวกับถูกแรงโน้มถ่วงมหาศาลกดล็อกอยู่กับที่ นัยน์ตาอำพันเข้มดุจึงได้แต่จ้องตัวการที่เริ่มผสมเครื่องดื่ม กระทั่งนำมาเสิร์ฟตรงหน้าทั้งที่ยังไม่ได้สั่ง

    “เวอร์จิ้นโมจิโต้ที่คุณอยากดื่ม ไม่ต้องอยากหนี ไม่ต้องอยากสู้ ผมแค่อยากให้ช่วยอะไรนิดหน่อย แล้วจะบอกวิธีคลายมนตร์ครอบงำโนอาร์ให้”
    “ช่วยอะไร?”
    “เด็กผู้ชายตรงนั้น มีกลิ่นอายวิญญาณคล้ายกับของผมไหม”

    หนุ่มบาร์เทนเดอร์ว่าพลางชี้ไปยังมนุษย์วัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งกำลังเล่นน้ำทะเลกับกลุ่มเพื่อนสนุกสนาน มิได้มีทีท่าสนใจโนอาร์เหมือนมนุษย์คนอื่น ๆ ราวกับเด็กกลุ่มนั้นรอดพ้นมนตร์สะกดของท่านฟอเรส และผู้คอยปกป้องพวกเด็กคงเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากปีศาจเจ้าของร้านเครื่องดื่มนี้

    เอทอสที่เสมือนโดนบังคับมากกว่าขอความช่วยเหลือ ก็ได้แต่หลับตาทำสมาธิพร้อมสูดกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์เป้าหมายแยกออกจากมนุษย์คนอื่น และนำมาเทียบกับกลิ่นอายวิญญาณของปีศาจเจ้าเรื่อง ทว่าสิ่งที่รับรู้กลับทำให้คิ้วหนาที่กำลังขมวดแน่นเผลอเลิกขึ้นแสดงความประหลาดใจ ก่อนนัยน์ตาอำพันดุจะลืมขึ้นแล้วหันกลับไปตอบไขข้อสงสัย

    “มีกลิ่นอายวิญญาณเจือจางของมนุษย์ผู้นั้นผสมรวมกับกลิ่นอายวิญญาณเจ้า พวกเจ้าเป็นคู่-”

    ไม่ทันกล่าวจบ สันกรามที่กำลังพูดกลับถูกพลังปีศาจตรงหน้ากดจนไม่อาจขยับ ไม่ต่างจากการบังคับปิดปาก เอทอสจึงได้แต่จ้องหน้าผู้กระทำ ถึงเพิ่งสังเกตว่านัยน์ตาสีน้ำตาลนิ่งของปีศาจตอนนี้คล้ายกำลังยิ้มยามทอดมองมนุษย์ผู้นั้น ทว่าในสายตาเขารอยยิ้มในดวงตากลับช่างดูเศร้าโศกอ้างว้าง ก่อนครู่ต่อมาอีกฝ่ายจะหันกลับมามองเขาพร้อมนัยน์ตาสีน้ำตาลเรียบนิ่งดังเดิม

    “ขอบคุณที่ยอมทำตามคำขอของผม แต่ผมคงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณ” หนุ่มบาร์เทนเดอร์พูดพร้อมกล่าวต่อ
    “ปีศาจวายุพฤกษาไม่ชอบคุณ ให้ถูกคือหมั่นไส้ที่คุณวางท่าเหนือคู่ครอง ส่วนคู่ครองคุณก็แสนดีเหลือเกิน ดูแลปรนนิบัติภัคดีแต่คุณเพียงผู้เดียว ไม่เหลียวแลใคร ไม่คิดทำให้คุณเดือดร้อนใจ ทำทุกอย่างเพื่อคุณไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน ความรักที่โนอาร์ให้คุณมันบริสุทธิ์มาก มากจนผมไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นคนเดียวกับนักฆ่าเลือดเย็นโรคจิตคนนั้น”
    “…”
    “คุณเป็นสิ่งเดียวในโลกที่โนอาร์ยอมอยู่ใต้โอวาท ไม่ต้องทำขึงขังให้โนอาร์อยู่ในปกครองเพื่อกันไม่ให้ทำเรื่องชั่วช้า …เพียงเล็กน้อย การเอาใจ ออดอ้อนดูแลที่คุณชอบเก็บเป็นไพ่ตาย เอามันออกมาใช้และความปรารถนาอยากคลายมนตร์จะเป็นจริง”

    ร่างสูงใหญ่ได้แต่นิ่งค้างฟังถ้อยคำ ที่ราวกับล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ รวมถึงพอจะคาดเดาได้แล้วว่าปีศาจตรงหน้านี้แท้จริงเป็นปีศาจประเภทใด หากว่าปีศาจกินวิญญาณเป็นหนึ่งในประเภทปีศาจที่อันตรายที่สุดแล้ว ปีศาจที่อยู่บนจุดยอดของทุกปีศาจและความอันตรายเป็นอันดับหนึ่งก็คือปีศาจในร่างชายหนุ่มบาร์เทนเดอร์นี้

    “เลิกอยากรู้เรื่องผม แล้วเอาเวลากลับไปหาคู่ครองคุณดีกว่าไหม อายุขัยมนุษย์มันสั้นแล้วยิ่งหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้าผมมีโอกาสอีกครั้งจะไม่ยอมให้ทุกวินาทีเสียเปล่าเลย นี่... รอย โรเจอร์ส ไม่มีแอลกอฮอล์หรือยาพิษ รีบเอาไปฝากคู่ครอง ละลายแล้วจะชืดเสียหมด”

    เจ้าของร้านเอ่ยพร้อมยื่นเครื่องดื่มแก้วใหม่ให้คล้ายต้องการตัดบท เห็นเช่นนั้นเอทอสจึงรับแก้วและกลับไปหาโนอาร์อีกครั้ง ระหว่างทางก็คิดทบทวนคำพูดของหนุ่มบาร์เทนเดอร์สลับจินตนาการภาพโนอาร์ที่คงนั่งเหงามองทะเลเพราะเขาไม่อยู่ และความจริงย่อมเป็นเช่นนั้นแน่ ถ้าหากไม่มีมนตร์ของท่านฟอเรส
    ดังนั้นเมื่อถึงที่หมายนัยน์ตาสีอำพันดุจึงเห็นภาพชวนหงุดหงิดที่โนอาร์ให้เด็กมนุษย์ที่ไหนก็ไม่รู้นอนหนุนตัก ขณะที่เจ้าก็ตัวคุยกับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งคาดว่าคงเป็นพี่ไม่ก็แม่ของเด็กคนนั้น

    “โน-”
    “หมับ!” ไม่ทันเอ่ยเรียก จู่ ๆ เครื่องดื่มที่อุตส่าห์รีบถือมาเพราะกลัวละลายกลับถูกชกไปจากมือ
    “เอามาให้ข้าเหรอหลานรัก ข้ากำลังอยากดื่มอะไรเย็น ๆ สดชื่นพอดี”

    เอทอสถึงกับยืนตะลึงอึ้ง นัยน์ตาอำพันหลุดเบิกกว้างระดับหนึ่ง เมื่อผู้มีพระคุณว่าจบก็ยกแก้วดื่มรวดเดียวจนเหลือเพียงน้ำแข็ง ตบท้ายด้วยการหยิบเชอร์รีตกแต่งไปกินต่อ ส่วนแก้วเปล่าหมดประโยชน์ก็เอากลับมายัดใส่มือเขา

    “อื้มมม!! ซู่ซ่าาาา ขอบใจ”

    หญิงสาวพูดส่ง ๆ ก่อนกลับไปนั่งชิวรับลมทะเลเหมือนเมื่อครู่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเอทอสได้แต่ก้มมองแก้วในมือด้วยสีหน้าปลงตก และยิ่งปลงหนักเมื่อเหลือบมองคู่ครองพบว่า โนอาร์ยังคงคุยสนุกกับหญิงสาว ไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเขากลับมาแล้ว วิญญาณอนันต์ที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างถึงกับต้องเข้าไปตบไหล่หลานชายให้กำลังใจ

    “เอาน่า... เดี๋ยวสักเย็น ๆ เรสก็เบื่อแล้วคลายมนตร์ไปเอง”
    “ครับ...”
    “อะไร? แอบขอให้อนันต์ช่วย? ฝันเสียเถอะ ทีแรกข้าว่าจะคลายมนตร์เย็นนี้ งั้นค่อยคลายตอนจะกลับเลยแล้วกัน”
    “ไม่นะครับท่านฟอเรส! นานขนาดนั้นข้า-” เอทอสรีบขอไกล่เกลี่ย เพราะกว่าจะกลับก็มะรืน และใช่เขาไม่ทันได้พูดเช่นเดิม
    “เรื่องของเจ้า!”

     หลังได้ยินประกาศิตหญิงสาว ร่างสูงใหญ่ก็เดินคอตกไปนั่งหลบมุมตรงเสื่อด้านหนึ่ง อนันต์ที่สงสารหลานชายเพราะโตจนมีคู่ครอง กลับยังไม่รอดพ้นต้องมาเป็นของเล่นให้คนรักเขา ในท้ายสุดจึงเอ่ยปากออกโรงด้วยตัวเอง

    เอาแต่พอดีกว่าเรส เอทอสก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เวลาอยู่กับคู่ครองเป็นธรรมดาที่อยากดูพึ่งพาได้ แต่เรสกลับทำให้เป็นตัวตลกต่อหน้าคู่ครองแบบนี้ มันทำร้ายความรู้สึกหลานนะ

    หลานสะใภ้พอใจเมื่อไรมนตร์ข้าก็คลายไปเอง
หญิงสาวตอบกลับวิญญาณคนรักผ่านความคิด ก่อนจะขยายความเพิ่มอย่างรู้ใจเมื่ออนันต์เงียบไป

   ข้าสะกดมนุษย์ทั้งหาดก็จริง แต่หลานสะใภ้ข้าแค่ใช้มนตร์คลุมกายให้เอทอสเข้าใจว่าต้องมนตร์.. พูดให้ง่ายก็คือ ทั้งหมดเป็นการเล่นละครและความต้องการของหลานสะใภ้ล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับข้าเลย

    “...โนอาร์” ระหว่างอธิบาย ร่างสูงใหญ่ที่ไปนั่งหลบมุมเสื่อก็เริ่มพึมพำเสียงอ่อนร้องหาคู่ครอง

   เรื่องมนตร์กับมนุษย์คนอื่น ๆ ข้าวางเงื่อนไขให้คลายทันทีเมื่อหลานสะใภ้คิดว่าสิ่งที่เจ้าหลานแสดงออกนั้นเพียงพอแล้ว เพื่อให้หลานสะใภ้ที่คอยดูแลห่วงหาอยู่ฝ่ายเดียวจะได้เป็นฝ่ายถูกเอาใจบ้าง

    “โนอาร์...”

    เพราะเจ้าหลานบ้ามันชอบเก๊ก ขนาดแค่ดอกไม้หลานสะใภ้ยังเล่าว่าเจ้าเอทอสฝากให้ผ่านมือคนอื่นตลอด

    “โนอาร์...”

    ถ้าไม่ใช้ไม้นี้ ความรู้สึกของหลานสะใภ้คงไม่มีวันที่หลานซื่อบื้อจะเห็นค่า...

    “โนอ-”
    “เลิกงึมงำน่ารำคาญสักทีเอทอส! ดูสารรูปยักษ์ปักหลั่นของเจ้าบ้าง คิดว่าเหรอว่าทำแบบนี้คู่ครองเจ้าจะ-”
    “พรึบ!”

    ระหว่างหญิงสาวกำลังต่อว่า จู่ ๆ คนถูกกล่าวถึงก็พลันลุกกะทันหัน เป็นผลให้เด็กน้อยที่เคยนอนหนุนตักหลับปุ๋ยหัวกระแทกผืนเสื่อตื่นด้วยความมึนงง ทว่าชายหนุ่มหาได้ใส่ใจไม่ บัดนี้นัยน์ตารัตติกาลได้มองสลับระหว่างดวงตามรกตที่ส่งสัญญาณหักห้ามให้อดทน กับแผ่นหลังกว้างแข็งแรงของสามีที่ยามนี้กลับนั่งซึมคอตกไม่ผึ่งผายเหมือนอย่างเคย กระทั่งถึงคราวตัดสินชี้ขาดเมื่อดวงตาอำพันหงอยเหงาหันมาสบอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยร้องเรียกเสียงอ่อน

    “…โนอาร์”

    บึ้มมมมมมมมมมมมมม!!!!!!

    พลันเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทกึกก้องกลางหัวใจเยือกแข็ง คลื่นกระแทกแผ่ขยายจากร่างชายเลือดเย็นเป็นวงกว้างรอบทิศ พลังทำลายปัดเป่ามนตร์พฤกษาทั่วทั้งชายหาดในทันใด ดวงตามรกตถึงกับหลุดเบิกกว้างตะลึงเล็กน้อยที่มนตร์ถูกทำชะล้างด้วยความรู้สึกรุนแรงถึงเพียงนี้

    “ตุ้บ!”

    กว่าฟอเรสจะได้สติกลับคืน ร่างของหลานสะใภ้ที่เคยยืนอยู่ก็ได้เข้าไปทิ้งตัวนั่งตักเจ้าหลานชายเสียแล้ว และเอทอสก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสหลุดลอย สองลำแขนแกร่งรีบสอดคล้องกอดเอวคนบนตัก ใบหน้าคมเข้มซุกไซ้ดอมดมซอกคอขาวก่อนเลื่อนขึ้นกดจูบ ณ หลังใบหูอย่างหวงแหนคิดถึงเมื่อได้ของรักกลับคืน จวบจนพอใจดวงตาอำพันหงอยถึงเข้มดุดังเก่าพลางกวาดมองประกาศความเป็นเจ้าของต่อเหล่ามนุษย์ทั่วทั้งผืนหาด แม้สิ่งได้กลับมาจะเป็นสายตามึนงงของเหล่ามนุษย์ที่เพิ่งหลุดมนตร์และไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ก็ตาม

    ซึ่งท่าทางของหลานชายที่นั่งซ้อนกอดคู่ครองชวนให้นึกถึงใครบางคน พร้อมกับเกิดภาพซ้อนถึงอดีตอันคิดถึงเมื่อวันวาน จนดวงตามรกตของหญิงสาวเริ่มเลื่อมจากน้ำใสรื้นขอบตา

    เหมือนธีออสเลยว่าไหม เรส

    อนันต์สื่อสารผ่านความคิด ยามมองหลานชายนั่งกกคู่ครองตัวกลม

    ไม่เห็นจะเหมือน... ธีออสมันไม่ขี้เก็กต่อหน้าเอวาเหมือนเจ้าหลานบื้อนี่หรอก

    หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความรู้สึกหน่วงลึกในใจ ก่อนตอบกลับคนรักผ่านความคิด ปีศาจสาวและวิญญาณนักล่าปีศาจหนุ่มต่างนั่งมองหลานชายด้วยความเศร้าปนสุขผสมจนไม่อาจแยกออก พลางรำลึกถึงเพื่อนทั้งสองที่จากไปแบบไม่มีวันได้พบกันอีกตลอดกาล


บทพิเศษ สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน


    บทพิเศษนี้เกิดจากคนอ่านหลายท่านอยากเห็นมุมหวงของเอทอส กับไขข้อสงสัยกลาย ๆ ว่าทำไมเอทอสดูไม่ค่อยใส่ใจโนอาร์เท่าที่โนอาร์แคร์เอทอสครับ ทั้งหมดอธิบายด้วยคำว่าสั้น ๆ ว่า ซึน ซึนเดเระ ครับ 55555 คนอ่านอาจพอสังเกตในเนื้อเรื่องหลักเอทอสแทบจะไม่ทำอะไรให้โนอาร์ตรง ๆ ก็เพราะซึนนั้นเองครับ และเพราะซึนก็เลยต้องปกปิดด้วยการวางมาดขรึมอีกชั้นหนึ่ง แต่บทนี้ก็คือถูกฟอเรสทุบหมด
(บทนี้คนเขียนใช้เวลาคิดนานมากว่าจะฝ่าปราการโนอาร์ยังไง เพื่อทำให้คนอ่านเห็นมุมนี้ของเอทอส จนในที่สุดคนเขียนก็นึกได้ว่ามีฟอเรสอยู่ บวกกับนิสัยชอบอยากรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเอทอสของโนอาร์ จึงผสมรวมบทนี้ครับ

    ส่วนบทพิเศษครั้งหน้า จะเป็นการเล่า after story ของตัวละครอื่น ๆ อย่างสีคราม มังกรกับหยก เอทอสโนอาร์ โดยจะเล่าผ่านมุมมองของจินกับภาคินที่ตอนนี้เป็นวิญญาณแค้นครับ (เพื่อเติมเต็มคนอ่านที่รอคู่ของภาคินกับจินครับ^^)

หัวข้อ: สารบัญบทเสริม/บทพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: biOmos ที่ 11-10-2021 22:43:29
บทเสริม/บทพิเศษ

บทเสริม ความจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4056148#msg4056148)
บทพิเศษ ฉลอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4054930#msg4054930) บทพิเศษ ฉลอง(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4054931#msg4054931)
บทพิเศษ ทะเล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4060034#msg4060034) บทพิเศษ ทะเล(ต่อ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70853.msg4060035#msg4060035)