พิมพ์หน้านี้ - เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 11:37:45

หัวข้อ: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 11:37:45
ทัณฑ์กามเทพ
(http://upic.me/i/0x/0qzr1.jpg) (http://upic.me/show/37788507)

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


ชี้แจง : นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่ออกแนวรักใสๆนะคะ แต่เรื่องจะออกแนวดราม่าพอสมควร (ซึ่งอ่านแล้วก็ไม่แน่ว่าจะดราม่าตามคนแต่งหรือเปล่า) โดยบทที่1-4 จะเป็นตอนที่พระ-นายยังเรียนอยู่ม.ปลาย ส่วนตอนที่5เป้นต้นไปก็จะเป็นการดำเนินเรื่องตอนโตแล้วค่ะ รับประกันความเข้มข้นแน่นอน ถ้าชอบก็ฝากติดตามและฝากผลงานชิ้นนี้ (Boy's Love เรื่องแรกของเรา) ให้ไปอยู่ในอ้อมใจของคุณผู้อ่านด้วยเน้อ โดยสามารถคอมเม้นท์ติชมได้ตลอดค่ะ ยินดีๆ


บทที่ 1

   ภาพเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการตั้งใจเรียนในสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่หน้าห้องเป็นภาพคุ้นตาที่วิศรุตเห็นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เกือบหลังห้องแต่ทว่าก็สามารถมองเห็นคนๆนั้นได้อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะนภัทรอยู่ในสายตาของเขามาตลอดก็เป็นได้ ห้าปีเต็มที่เขาแอบเฝ้ามองฝ่ายนั้นอยู่เงียบๆ บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัยว่าตัวเองจะต้องแอบมองแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่และนภัทรจะเคยเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้างไหมนะ

   นภัทรและเขาแตกต่างกันในเกือบทุกด้าน จะมีความเหมือนกันก็เพียงอย่างเดียว นั่นคือทั้งคู่เรียนอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่มัธยมปีที่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขาและนภัทรสนิทสนมกันเลย ด้วยเพราะบุคลิกที่ต่างกันจนเกินไปนั่นเอง

    ถ้าจะพูดกันตามตรง นภัทรเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนตัวอย่างเลยทีเดียว ฝ่ายนั้นดีเด่นทั้งเรื่องการเรียน กีฬาและความประพฤติ อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นกรรมการนักเรียนอีกด้วย ต่างจากเขาที่ถ้าไม่นับเรื่องฐานะที่เข้าขั้นเหลือกินเหลือใช้ของตระกูลทัดเทวาและใบหน้าหล่อเหลาที่จัดเข้าขั้นดูดีชนิดดึงดูดทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามแล้ว แทบเรียกได้ว่าเขาไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้เลยจริงๆ

   “เหม่ออะไรวะไอ้วิน” ภาณุถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยเสียงเบาจนเกือบกระซิบพลางเหล่ตามองไปหน้าห้องเพื่อดูว่าอาจารย์ป้ามหาโหดกำลังมองมาที่เขาสองคนหรือเปล่า โชคดีที่อาจารย์ป้ากำลังง่วนอยู่กับการอธิบายโมเดลทางชีววิทยาอยู่เลยไม่ได้สนใจมาจับผิดนักเรียนที่ชอบแอบคุยในห้องเรียนอย่างเขา

   ภาณุมองตามสายตาของวิศรุตจึงได้พบกับคำตอบ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ห้าปีผ่านมาแล้ว แต่เพื่อนของเขาก็ยังไม่คิดตัดใจจากนภัทรเสียที ตอนรู้จักกันแรกๆเขาเคยสงสัยว่าทำไมวิศรุตถึงชอบแอบมองนภัทรบ่อยๆ พอเขาคาดคั้นถามก็ได้คำตอบว่าเพื่อนของตนแอบหลงรักฝ่ายนั้นอยู่และนั่นก็ทำให้เขาได้รู้ว่าวิศรุตไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ภาณุเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจในข้อนี้เพราะถึงอย่างไรแล้ววิศรุตก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เขารักมากอยู่ดี

   “ตัดใจเหอะ มันไม่ได้เป็นเกย์ เอ่อ...ไม่ได้ชอบผู้ชาย” ท้ายประโยคถูกแก้อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้วิศรุตรู้สึกไม่ดี

   “รู้ได้ยังไง” วิศรุตหมายถึงเรื่องที่ว่านภัทรไม่ได้ชอบผู้ชาย

   “ก็สืบมาจากไอ้พงศธรเพื่อนสนิทมันนั่นแหล่ะ เห็นว่าเคยคบผู้หญิงตอนอยู่ม.ต้นด้วย แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว” คำตอบของภาณุทำให้วิศรุตเม้มปากน้อยๆ แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้านั้นนอกจากแววตาที่หมองไปจนคนที่นั่งข้างๆรู้สึกได้ ภาณุถอนหายใจเฮือกก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ

   “กำลังคุยอะไรกันอยู่จ้ะ ภาณุ วิศรุต” เสียงสวรรค์ที่ดังมาจากด้านหน้าห้องทำให้ภาณุสะดุ้งสุดตัว เขาส่งยิ้มแห้งๆให้อาจารย์ป้าที่กำลังย่างก้าวถมึงทึงมาหาเขาและวิศรุต ตอนนี้ทั้งคู่ได้กลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนทั้งห้องไปเรียบร้อยแล้ว วิศรุตแอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับอาการชอบจับผิดนักเรียนของอาจารย์ป้าก่อนจะบังเอิญสบสายตาสีถ่านของนภัทรที่เหลือบมองมาทางด้านหลังตรงที่เขานั่งพอดี สายตาที่เสมือนว่าเขาและภาณุเป็นตัวปัญหาที่มาขัดจังหวะการเรียนวิชาที่ฝ่ายนั้นชื่นชอบอย่างชีววิทยา

   “ดูท่าทางกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว ช่วยบอกให้อาจารย์รู้เรื่องด้วยคนสิ” อาจารย์ป้าใช้มือเหี่ยวย่นขยับแว่นตากรอบทองตามประสาคนเจ้าระเบียบก่อนจะเพ่งสายตามองมายังภาณุที่กำลังกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เขายังไม่ อยากโดนลงโทษให้อยู่ทำความสะอาดห้องแล็ปในเย็นวันนี้เพราะตัวเองมีนัดกับแฟนสาวอยู่ก่อนแล้ว

   “คือว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการหายใจระดับเซลล์น่ะครับอาจารย์ ภาณุก็เลยช่วยอธิบายให้ผมฟัง” วิศรุตหาทางรอดให้ตัวเองและเพื่อนสนิทด้วยการเอ่ยปดขึ้นมาเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาพยายามปั้นแต่งให้ถึงที่สุดเพื่อให้ดูว่าตนกำลังสงสัยในบทเรียนอันแสนน่าเบื่อของวิชานี้จริงๆ ช่วยไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้จะอยากโดนทำโทษเหมือนกับภาณุนั่นแหล่ะ

   ภาณุลอบมองเพื่อนตัวเองด้วยความทึ่ง เมื่อครู่วิศรุตยังเศร้าอยู่เลยแต่ทำไมตอนนี้กลับเปลี่ยนอารมณ์มาโกหกหน้าตายเหมือนกับสั่งได้เช่นนี้ อาจารย์ป้าเพ่งมองทั้งคู่อย่างจัดผิดอีกครั้งก่อนจะยอมเลิกราไปทำให้ทั้งคู่รอดตัวจากการถูกทำโทษไปได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นห้องเรียนก็กลับเข้าสู่บรรยากาศอันแสนน่าเบื่อในวิชาชีววิทยาอีกครั้งหนึ่ง






“ไอ้กานต์ แกจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า” เสียงพงศธรตะโกนถามนภัทรจากประตูหน้าห้องทำให้วิศรุตชะงักมือที่กำลังเก็บกระเป๋านักเรียนอยู่ทันที

   “ยังหรอก เดี๋ยวจะไปห้องสมุดก่อน จะไปหาข้อมูลรายงานด้วยน่ะ” รายงานที่ว่าคงเป็นรายงานชีววิทยาที่อาจารย์ป้าเพิ่งจะสั่งเมื่อตอนคาบบ่ายนี้เอง ขยันสมกับเป็นนักเรียนตัวอย่างเสียจริง วิศรุตคิดในใจ เขามองดูฝ่ายนั้นเก็บกระเป๋าเงียบๆก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นเบื้องหน้า

   “เอ่อ  พี่วินครับ คือเพื่อนผมเค้าฝากไอ้นี่มาให้พี่” จดหมายฉบับหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เขาจึงต้องรับเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามันเป็นจดหมายอะไร อันที่จริงเขาเคยได้รับจดหมายแบบนี้มาจนแทบนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะจากรุ่นน้องที่แอบคลั่งไคล้เขาหรือแม้แต่รุ่นพี่บางคนที่หวังจะสานสัมพันธ์กับเขาก็ตามที บางทีเขาก็เล่นด้วย ซึ่งกับแต่ละคนก็จะตอบสนองให้ไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ร่วมมีเซ็กส์กันแบบครั้งเดียวจบ หรือถ้าเขาถูกใจเพิ่มขึ้นมาหน่อยก็อาจจะถึงขั้นสานต่อคบเอาไว้เพื่อแก้เบื่อ หรืออย่างสุดๆก็คู่นอนแก้เหงายามที่เขาเกิดอารมณ์ต้องการความสุขทางกาย แต่ไม่มีใครที่เขาคบได้เกินหนึ่งเดือนสักคนเดียว และตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากนัก ใครก็ตามที่คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาเลือกมาเป็นคู่นอนด้วยย่อมถือว่าคนๆนั้นได้รับเกียรติมากเกินพอแล้ว เพราะพอเมื่อเขาเบื่อ คนพวกนี้ก็จะถูกเขาทิ้งราวกับเศษขยะก็ไม่ปาน มีบ้างบางคนที่ไม่ยอมจบความสัมพันธ์แบบนี้ คนพวกนั้นเรียกร้องต้องการจะเป็นเจ้าของหัวใจของเขา แต่ในที่สุดอำนาจเงินของตระกูลทัดเทวาก็บันดาลให้เรื่องจบลงได้ด้วยดีตลอดทุกครั้งไป  วิศรุตรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ตนต้องการอย่างแท้จริง...เขาต้องการผู้ชายที่ชื่อ นภัทร อิสรีย์ เพียงคนเดียวเท่านั้น


   เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอยู่ วิศรุตจึงหันไปมองฝ่ายนั้น นภัทรกำลังมองมาที่เขา พูดให้ถูกก็คือกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง สายตาสีดำสนิทราวถ่านคู่นั้นฉายแววที่วิศรุตอ่านความหมายได้ไม่ยาก  มันเป็นสายตาที่แสดงถึง ความสมเพช รังเกียจหรืออะไรซักอย่างที่เขาไม่ชอบเลย วิศรุตคิดในใจพลางสบตาฝ่ายนั้นด้วยแววตาท้าทาย ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับรุ่นน้องตรงหน้า

   “ไปบอกเจ้าของจดหมายนี้ว่าตอนสี่โมงเย็นให้ไปเจอฉันที่ห้องสมุด” วิศรุตมองรุ่นน้องคนนั้นวิ่งออกไปบอกข่าวกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่ด้านนอกห้องเรียนด้วยความยินดีก่อนที่เขาจะลงมือเก็บกระเป๋าต่อ พอหันไปมองที่โต๊ะของนภัทร อีกฝ่ายก็ไม่อยู่แล้ว

.....ยิ่งนายรังเกียจฉันมากเท่าไหร่  ฉันก็ยิ่งรักนายมากขึ้นเท่านั้น.....






ห้องสมุดในเวลานี้ไม่ค่อยมีนักเรียนมาใช้บริการเท่าไหร่นักด้วยเพราะตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลสอบ พวกนักเรียนที่มายึดโต๊ะอ่านหนังสือในตอนนี้ก็คงจะมีแต่พวกเด็กเรียนเท่านั้น วิศรุตกวาดตามองไปรอบตัว เขาไม่ได้มองหารุ่นน้องที่หาญกล้าส่งจดหมายรักนัดเขามาเจอ แต่เขามองหานภัทรต่างหาก หวังว่าฝ่ายนั้นคงจะยังอยู่ที่ห้องสมุดนี้ และเขาก็คาดการณ์ถูกจริงๆเมื่อสายตาเหลือบไปเจอคนที่เขาต้องการหากำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวชั้นวางหนังสือหมวดวิชาชีววิทยาซึ่งไม่ไกลไปจากตรงที่เขากำลังยืนอยู่นัก

   “เอ่อ พี่วินครับ พี่นัดผม...” น้ำเสียงเจืออาการประหม่าที่ดังขึ้นด้านหลังบอกให้วิศรุตรู้ตัวว่ารุ่นน้องคนนั้นมาถึงแล้ว แววตาของวิศรุตฉายแววเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงต้นแขนฝ่ายนั้นให้เดินตามเขาไป ซึ่งฝ่ายที่ถูกชักนำก็เดินตามอย่างว่าง่าย วิศรุตดันรุ่นน้องที่เขาคาดว่าน่าจะอ่อนกว่าเขาประมาณปีหรือสองปีเข้าไปในซอกหลืบของห้องสมุด ใกล้ๆกับบริเวณชั้นวางหนังสือหมวดชีววิทยา ก่อนจะเพิ่งได้มีโอกาสมองเค้าหน้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว แบบนี้กระตุ้นอารมณ์ทางเพศเขาได้พอตัว วิศรุตคิดในใจก่อนจะแนบจูบไปที่กลีบปากบางของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงไม่ให้คนถูกรุกรานได้ทันตั้งตัว ด้วยประสบการณ์ ความชำนาญและชั้นเชิงอันยอดเยี่ยมของวิศรุตก็ทำให้ฝ่ายนั้นเคลิ้มได้ไม่ยากเย็นจนเผลอหลุดปากครางเสียงแผ่วหวิว วิศรุตไซร้ซอกคอไล่ไปจนถึงแผ่นอกที่เกือบเปลือยเปล่าเพราะเสื้อนักเรียนถูกเขาปลดออกก่อนจะถอนจูบเสียอีก เขาตั้งใจเน้นเสียงเวลาทำรอยบนตัวของรุ่นน้องตรงหน้าเพื่อต้องการให้คนที่กำลังยืนค้นหนังสืออยู่ไม่ไกลนักได้ยิน ก่อนจะหยุดแล้วกระซิบถามคนที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนเขา

   “ใช้ปากเป็นหรือเปล่า” อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างอายๆแต่ก็ยอมทำให้อย่างโดยดีเมื่อวิศรุตปลดเข็มขัดปล่อยให้กางเกงและชั้นในหลุดลงไปกองกับพื้น

   “อาาา....” เสียงครางที่จงใจให้ดังเป็นพิเศษของวิศรุตทำให้มือที่กำลังหอบตำราเล่มหนาหลายเล่มชะงักทันที เสียงแปลกๆที่ดังมาจากอีกฝั่งของชั้นหนังสือใกล้ๆกันทำให้เขานึกสงสัย นภัทรจึงหอบกองตำราแล้วสาวเท้าเดินเข้าไปมองดูใกล้ๆด้วยความอยากรู้

   ปังงง!!

เสียงหนังสือเล่มหนาสามสี่เล่มตกกระทบพื้นเรียกสติของนภัทรให้กลับมาพร้อมๆกับอาการตกใจของคนที่กำลังใช้ลิ้นบรรจงสร้างความสุขให้กับรุ่นพี่คนที่ตนแอบหลงรักอยู่ แต่วิศรุตกลับไม่ได้มีท่าทางตกใจมากนัก แววตาคู่นั้นฉายแววสมใจที่ตัวเองสามารถแกล้งนภัทรได้สำเร็จ อยากรังเกียจดีนัก วันนี้เขาก็เลยจัดให้ดูเต็มๆตาเลยเป็นไง

   ภาพตรงหน้าทำให้นภัทรตัวแข็งทื่อ ภาพเด็กหนุ่มสองคนกำลังกึ่งร่วมรักกันทางปากทำให้ลำคอเขาตีบตันไปชั่วขณะ คนหนึ่งที่กำลังใช้ลิ้นเลียน้ำรักสีขาวขุ่นเข้าปากราวกลับมันเป็นของเอร็ดอร่อยนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน แต่อีกคนหนึ่งที่ กำลังสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองด้วยมืออีกรอบนั้น เขาย่อมรู้จักแน่เพราะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาตั้งแต่ม.หนึ่ง คนที่โด่งดังในทุกด้านที่เป็นด้านแย่ๆและป๊อปปูล่าห์อย่างมากในหมู่พวกนิยมไม้ป่าเดียวกันในโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ นายเองเหรอวิศรุต

   “อ้าว นายนั่นเองนภัทร ฉันก็นึกว่าใคร” เขาจัดการหยิบเสื้อนักเรียนของรุ่นน้องคนนั้นที่ถอดทิ้งอยู่บนพื้นมาเช็ดคราบน้ำขาวขุ่นที่เลอะเต็มหว่างขาของเขาในขณะที่ปากก็พูดกับนภัทรไปด้วย

   “ทุเรศ” นี่คือคำแรกที่ออกมาจากปากคนที่เขาแอบรักมาห้าปีเต็ม “นายนี่มันทุเรศจริงๆวิศรุต ที่นี่ห้องสมุดนะ ไม่ใช่โรงแรมม่านรูดที่นายกับ...เอ้อ คนของนายจะมาทำอะไรลามกได้อย่างหน้าไม่อายแบบนี้”

   “มันเป็นเรื่องของฉัน ฉันไม่ได้เชิญให้นายมาดู ‘การร่วมรัก’ ของฉันนี่นา นายมาของนายเอง” วิศรุตเถียงไปอย่างข้างๆคูๆ เขาเองก็รู้ดีว่ามันไม่สมควรจะมาทำอะไรแบบนี้ในห้องสมุดตามที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ แต่คนอย่างนายวิศรุต ทัดเทวา ถ้าคิดจะทำอะไร ต่อให้จะผิดหรือถูกยังไงเขาก็ไม่สนเด็ดขาด

   “วิศรุต” คู่สนทนาเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวมากขึ้น นภัทรไม่ถนัดไอ้เรื่องโต้คารมแบบนี้เลยให้ตายเถอะ ยิ่งคู่ต่อสู้เป็นคนตรงหน้าด้วยแล้ว

   วิศรุตมองนภัทรด้วยสีหน้าแกมสะใจลึกๆ อีกใจหนึ่งก็นึกดีใจเงียบๆที่ตัวเองสามารถทำให้นภัทรเผยสีหน้าโกรธจนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ออกมาได้ ไม่ใช่มัวแต่ปั้นหน้าเย็นชาใส่เขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำทุกครั้งเวลาที่เผชิญหน้ากัน หากว่าคนตรงหน้ารู้ว่าเขาแอบมีใจให้ ก็คงต้องยิ่งรังเกียจเขาแน่ๆ บางทีเขาก็นึกขำตัวเอง คนอย่างวิศรุต ทัดเทวากล้าในเกือบจะทุกเรื่อง ยกเว้นอย่างเดียวคือเรื่องบอกรักคนที่แอบชอบเนี่ยแหล่ะ

   “ไม่พอใจฉันเหรอนภัทร ถึงจะไม่พอใจแต่นายจะทำอะไรได้นอกจากยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตรงนี้ หรือว่า...นายเองก็อยากจะลองมีอะไรกับฉันเหมือนกัน” ท้ายประโยคของวิศรุตทำเอานภัทรถึงกับหน้าแดงก่ำ ฝ่ายที่พูดยียวนหัวเราะในลำคอ เล็กน้อยพร้อมๆกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ดังเดิม

   “นายคงลืมไปว่าฉันเป็นกรรมการนักเรียน ฉันมีสิทธิ์สั่งลงโทษและบันทึกความประพฤตินายได้นะ ยิ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรทำแบบนี้แล้วล่ะก็...”

   “ก็เอาสิ นายเองก็คงลืมไปแล้วเหมือนกันว่าฉันนามสกุลทัดเทวา”
   “ไม่ว่านายจะใหญ่มาจากไหนฉันไม่สน กฎก็ต้องเป็นกฎ ยิ่งเป็นความผิดที่เห็นกับตาแบบนี้แล้วฉันก็ยิ่งปล่อยไปไม่ได้” นภัทรขบกรามแน่น เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายอ้างนามสกุลของตระกูลดังที่รวยล้นฟ้าอย่างทัดเทวามาอยู่เหนือกฎของโรงเรียนได้อย่างเด็ดขาด

   “ถึงเรื่องนี้นายไม่สน นายก็ควรสนใจอนาคตตัวเองบ้างนะนภัทร ไม่แน่พรุ่งนี้นายอาจจะต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ก็ได้ใครจะรู้ เปลี่ยนโรงเรียนกลางคันตอนม.ห้า ปีหน้าก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย แบบนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก” วิศรุตตอกกลับเสียงเย็นทันที แผนเรื่องที่เขาต้องการจะแกล้งนภัทรให้มาเห็นตอนเขามีอะไรกับรุ่นน้องเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว
   ตอนนี้นภัทรโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี  ผิวของเด็กหนุ่มจัดว่าขาวทีเดียว พอตัดกับใบหน้าที่ฉายแววหล่อคมที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำก็ชวนมองไม่น้อยในสายตาของวิศรุต

   “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงหลังจากกินข้าวเสร็จมาพบฉันที่ห้องกรรมการนักเรียน เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยทีเดียว” พูดจบ
นภัทรก็ก้มลงเก็บหนังสือที่หล่นกระจายอยู่บนพื้นก่อนจะเดินลิ่วออกไปเลย ปล่อยให้วิศรุตมองไล่หลังด้วยสายตาท้าทายไม่ยอมแพ้เช่นกัน

   “กลับไปได้แล้ว วันนี้ฉันหมดสนุกแล้ว” ลับหลังนภัทร วิศรุตก็ไล่คู่ขาที่เมื่อกี้เพิ่งจะสำเร็จความใคร่ให้เขาอย่างไม่ไยดี ไม่แม้แต่จะถามชื่อด้วยซ้ำเพราะเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจนัก ก็แค่รุ่นน้องที่แอบปลื้มคนน่าตาดีอย่างเขา แค่ยอมให้ ฝ่ายนั้นได้มีโอกาสสัมผัสร่างกายอันสวยงามราวกับเทพเจ้าบรรจงสรรสร้างของเขาแค่นั้นก็เกินพอแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบครั้งเดียวจบเท่านั้นเอง

   เขาขี้เกียจมองดูรุ่นน้องคนนั้นบีบน้ำตาขอความเห็นใจก็เลยเลือกที่จะเดินห่างออกมาเอง ในใจก็พาลนึกไปถึงคำพูด ของนภัทร ให้ฉันไปพบงั้นเหรอ ฉันเองก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่านายจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้พ่อกรรมการนักเรียนคนเก่ง

...มีคนบอกว่าคนเราจะจำกันได้เพราะผูกพันกันด้วยความรู้สึกสองอย่าง คือถ้าไม่รักก็เกลียดชัง ความรู้สึกระหว่างเราคงเป็นแบบหลังสินะ...

.....ถ้านายรักฉันไม่ได้ ก็เกลียดฉันเถอะ ยิ่งเกลียดฉันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ฉันจะได้อยู่ในความทรงจำของนายตลอดไป.....


จบบทที่1



Aislin : นิยายเรื่องนี้เราแต่งจบไปนานเป็นปีแล้วค่ะ เคยนำลงไปโพสให้อ่านกันในเว็บไซส์แห่งหนึ่ง แล้วก็ตีพิมพ์เป็นหนังสือทำมือขาย วันนี้ได้ฤกษ์ดี (จริงๆก็ตั้งใจเอาไว้นานแล้ว) ก็อยากเอามาโพสให้ในเล้าเป็ดได้อ่านกันด้วยเน้อ แล้วจะพยายามมาอัพให้บ่อยๆเท่าทีเวลาและโอกาสจะอำนวยค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ :))
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 30-07-2012 11:41:59
แปะกฎด้วยจร้า รอติดตามนะ  :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 11:56:56
แปะกฎด้วยจร้า รอติดตามนะ  :mc4: :mc4: :mc4:

ขอบคุณมากค่ะที่เตือนเรื่องแปะกฎ ลืมเสียสนิท แหะๆ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ เดี๋ยวค่อยๆอัพไปเรื่อยๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
เริ่มหัวข้อโดย: white choc~ ที่ 30-07-2012 12:13:42
น่าสนุกเน๊อะ รอติดตามตอนต่อไปค๊า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่2
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 12:25:36
บทที่ 2

เช้าวันต่อมา เขากับนภัทรก็ยังคงต้องเจอหน้ากันในห้องเรียนเช่นเดิมเหมือนทุกวัน ฝ่ายนั้นไม่ยอมมองหน้าเขาเลย คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้นั่นเองที่เขาไปกวนโทสะอีกฝ่ายจนโกรธหน้าดำหน้าแดงเสียขนาดนั้น จนถึงขนาดจะเรียกตัวเขาไปคาดโทษในห้องกรรมการนักเรียนเลยทีเดียว

ชั่วโมงพักกลางวันของวันนี้มาเร็วเหลือเกินในความคิดของวิศรุต เมื่อเสียงออดหมดเวลาเลิกเรียนคาบเช้าดังขึ้น  เพื่อนในห้องต่างพากันกระวีกระวาดรีบลุกจากโต๊ะเพื่อรีบออกไปต่อแถวซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหารเพราะรู้ดีว่าถ้าไปช้าจะต้องรอคิวยาวอย่างแน่นอน เขามองไปทางนภัทรและเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังเดินตรงมายังโต๊ะที่เขานั่งอยู่พอดี เขาจึงบอกภาณุให้ไปก่อนได้เลยและฝากซื้ออาหารกลางวันเผื่อเขาด้วย

   “กินข้าวเสร็จหวังว่าคงเห็นนายอยู่ที่ห้องกรรมการนักเรียนนะ” นภัทรพูดเสียงค่อยจนเกือบกระซิบใกล้ใบหูของเขา วิศรุตรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นบุรุษเพศของนภัทรและนั่นทำให้เขาอยากเข้าใกล้ฝ่ายนั้นยิ่งขึ้นไปอีก

   “แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ” เขาย้อนถาม แต่คู่สนทนาก็ไม่ยอมตอบอะไรแต่เดินตามเพื่อนคนอื่นๆออกไปยังโรงอาหารทันที




   หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว วิศรุตมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือตน เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าก่อนที่ออดจะดังเพื่อเริ่มการเรียนคาบบ่าย เขาบอกภาณุว่าตัวเองจะไปห้องกรรมการนักเรียนซึ่งเพื่อนรักก็สงสัยว่าจะไปที่นั่นทำไมกัน เขาจึงต้องยอมอธิบายเรื่องราวเมื่อวานนี้คร่าวๆให้ภาณุที่นั่งฟังด้วยสีหน้าแกมระอาในพฤติกรรมของเพื่อนสนิทอย่างวิศรุต

   แยกจากภาณุมาได้สักพัก เขาก็เดินตรงไปยังสภากรรมการนักเรียนที่อยู่อีกตึกหนึ่งที่ค่อนข้างห่างจากโรงอาหาร  ห้องประชุมงานของกรรมการนักเรียนอยู่ชั้นเจ็ดที่ค่อนข้างปลอดคนและไม่อนุญาตให้นักเรียนทั่วไปเข้ามาได้นอกจากจะได้รับอนุญาตจากอาจารย์หรือกรรมการนักเรียนเท่านั้น  ชั้นเจ็ดของตึกนี้แบ่งเป็นหลายห้องทั้งห้องประชุมรวม ห้องพักผ่อนและห้องทำงานส่วนตัวของกรรมการนักเรียนแต่ละคน เป็นครั้งแรกที่วิศรุตรู้สึกว่าบางทีการเป็นกรรมการนักเรียนก็ได้สิทธิพิเศษแบบนี้นี่เอง เขาเดินตามโถงทางเดินไปเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องๆหนึ่งที่มีป้ายแขวนไว้ว่า นภัทร อิสรีย์

   เขามองผ่านกระจกเข้าไปด้านใน เจ้าของห้องกำลังนั่งพิงเก้าอี้นวมตัวใหญ่หันหลังให้เขาอยู่  เขายกยิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะผลักประตูเข้าไปโดยไม่เคาะให้เสียเวลา ส่งผลให้ได้รับสายตาตำหนิว่าไม่มีมารยาทจากนภัทรแทนคำทักทายยามบ่ายเช่นนี้

   “ฉันกำลังรอนายอยู่พอดี”

   “มั่นใจจริงนะว่าฉันจะมา”

   “แล้วนายก็มาไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายย้อนกลับ วิศรุตยิ้มนิดๆแต่ดวงตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้

   สมุดบันทึกความประพฤติเล่มบางกับปากกาถูกโยนมาตรงหน้าเขา วิศรุตไล่อ่านข้อความกล่าวโทษในสมุดเล่มนั้นที่เขียนไว้ว่า นายวิศรุต ทัดเทวาประพฤติตัวไม่เหมาะสมด้วยการแต่งกายที่ไม่เรียบร้อยภายในห้องสมุดซึ่งเป็นสถานที่ราชการ

   “เซ็นชื่อซะ” นภัทรสั่งแต่วิศรุตกลับหัวเราะเสียงดังด้วยความขันกับข้อความที่ตนเพิ่งอ่านจบ แต่งกายไม่เรียบร้อยอย่างนั้นเหรอ “นายขำอะไรวิศรุต”

   “ก็ขำไอ้นี่ไง” เขาชี้ไปที่สมุดนั้น “ทำไมนายไม่บันทึกลงไปตรงๆเลยล่ะว่าฉันทำผิดอะไร ฉันไม่ได้แค่แต่งตัวไม่เรียบร้อยอย่างเดียวนะ ฉันกับรุ่นน้องคนนั้นยัง...”

   “วิศรุต”

   “เมคเลิฟกันต่อหน้านาย” วิศรุตพูดต่อจนจบ แววตาโศกสีน้ำตาลชวนมองจ้องไปที่ใบหน้าเจ้าของห้องอย่างท้าทาย

   ปังง!!

เสียงตบโต๊ะดังขึ้นตัดกับความเงียบของห้องเมื่อวิศรุตพูดจบ นภัทรลุกจากเก้าอี้มาจ้องหน้าคนปากดีไม่มียางอายอย่างวิศรุต ทัดเทวาด้วยความโมโหที่เริ่มจะเกินขีดจำกัดของความอดทนแล้ว ที่เขาไม่บันทึกตามเรื่องจริงแบบที่วิศรุตบอกก็เพราะเห็นแก่หน้าของอีกฝ่ายเพราะถึงยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาถึงห้าปี แต่เมื่ออีกฝ่ายท้าทายแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

   “รู้สึกว่านายจะชอบประจานความไร้ยางอายของตัวเองให้คนอื่นรู้จริงนะ” น้ำเสียงเหยียดของนภัทรทำให้วิศรุตสะอึก คำพูดของอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่เขาก็แกล้งทำไม่สนใจแล้วยืดตัวลุกจากที่นั่งมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายบ้าง

   “อันที่จริงฉันก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับนะ ชอบผู้ชายก็แสดงออกตรงๆว่าชอบ มีเซ็กส์ก็บอกว่ามีเซ็กส์” คราวนี้มือของวิศรุตไม่อยู่นิ่ง ฝ่ามือเนียนแบบลูกคนมีเงินไล้ไปตามแผงอกกว้างของนภัทร แม้จะมีเสื้อนักเรียนขวางกั้นแต่วิศรุตก็สัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวผิดปกติของอีกฝ่าย เขาลอบหัวเราะในลำคอก่อนจะไล้มือลงต่ำจนถึงขอบกางเกงนักเรียน สัมผัสที่เริ่ม หยาบโลนช่วยปลุกให้สติของนภัทรกลับคืนมาหลังจากที่อึ้งไปกับความหาญกล้าของคนตรงหน้า

“จะทำอะไร” นภัทรยึดข้อมือของวิศรุตเอาไว้ก่อนที่มันจะเลื่อนลงต่ำไปมากกว่านี้

   “หวั่นไหวเหรอ” คำถามสั้นๆทำให้คนถูกถามหน้าตึงเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร “ตรงนี้ของนายมันบอก” มือของวิศรุตที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมอีกข้างเลื่อนไปวางที่ตำแหน่งตรงหน้าอกข้างซ้าย

   นภัทรปัดมือทิ้งก่อนจะเปลี่ยนมายึดกุมข้อมือสองข้างของวิศรุตแน่นแล้วใช้ไหล่กว้างของตนดันเบียดให้แผ่นหลังของอีกฝ่ายปะทะเข้ากับผนังห้องทำงานอย่างแรง จากนั้นก็ใช้ท่อนแขนหนาแข็งแรงอย่างนักกีฬาคร่อมเอาไว้ไม่ให้วิศรุตหนีไปไหน

   “คราวนี้คงเป็นทีของฉันที่จะต้องถามนายว่านายจะทำอะไร” ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตกใจในอาการที่เปลี่ยนไปของ
นภัทร ลึกๆเขาออกจะพอใจด้วยซ้ำที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของนภัทรแบบนี้แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวก็ตามที

   “ฉันไม่ทำอะไรแบบที่นายคิดก็แล้วกัน เพราะว่าฉันไม่ได้วิปริตผิดเพศอย่างนาย” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตกัดฟันแน่น คำก็รังเกียจ สองคำก็วิปริตผิดธรรมชาติ เขาอยากรู้จริงๆว่าถ้าวันใดวันหนึ่งนภัทรเกิดหลงรักเขาขึ้นมา คนตรงหน้าจะยังพูดกับเขาแบบนี้อีกไหม วิศรุตยิ้มขื่นให้กับความคิดที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ของตัวเอง

   “นายยังไม่เคยลองกับผู้ชาย อยากลองดูไหมล่ะ เผื่อจะเปลี่ยนความคิด?” วิศรุตเบียดกายแนบชิดเข้าหาคนตรงหน้าจนแผ่นอกของทั้งคู่สัมผัสกัน นภัทรตัวสูงและไหล่กว้างกว่าเขาเล็กน้อย วิศรุตใช้สองมือโอบรอบคออีกฝ่ายก่อนแกล้งเป่าลมหายใจร้อนๆใส่บริเวณกกหูของนภัทร อาการกลืนน้ำลายของคนตรงหน้าทำให้เขารู้ได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายยังไม่เคยกับ ประสบการณ์ในเรื่องเพศแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะวันนี้เขาจะช่วยสอนให้เอง วิศรุตเบียดร่างกายท่อนล่างเข้าหาอีกฝ่าย ให้นภัทรได้รับรู้ว่าตอนนี้สัดส่วนความเป็นบุรุษเพศของเขามันร้อนรุ่มและกำลังขยายตัวจากปกติ

   นภัทรตาปรือก่อนใช้สองมือลูบคลำสะโพกเนียนแล้วกดมันให้แนบชิดกับร่างกายของเขายิ่งกว่าเดิม การตอบสนอง
จากนภัทรทำให้วิศรุตตื่นเต้น นี่อีกฝ่ายก็มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาอย่างนั้นเหรอ? นภัทรเลื่อนมือหนาขึ้นมาไล้ไปตามเรียวหน้าหล่อเหลาของวิศรุต ใบหน้างดงามนี้เย้ายวนใจไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม เขาเป็นผู้ชายเหมือนกับอีกฝ่ายก็ยังอดยอมรับไม่ได้ว่าวิศรุตเป็นผู้ชายที่แทบจะเรียกว่าหล่อโดยสมบูรณ์แบบจริงๆ

   พลันความอ่อนโยนจากการสัมผัสที่ใบหน้างามของวิศรุตก็หายไปในแทบจะทันที นัยน์ตาสีถ่านเปลี่ยนจากปรือปรอยเป็นเจิดจ้าและคมกริบ มือที่สัมผัสบนใบหน้าของวิศรุตเปรียบเหมือนคีมเหล็กที่แทบจะบีบใบหน้าของเขาให้บิดเบี้ยวก็ไม่ปาน นภัทรมองคนตรงหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มเย็น วิศรุตไม่ได้รู้สึกเจ็บที่นภัทรใช้สองมือบีบใบหน้าของเขาให้เหยเก แต่สิ่งที่เขาเจ็บคือคำพูดเชือดเฉือนของอีกฝ่ายต่างหาก

   “ถ้านายร่านและต้องการเซ็กส์ถึงขนาดนี้ ฉันคงช่วยนายไม่ได้หรอกเพราะอย่างที่บอกไปว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย และยิ่งผู้ชายแบบนายด้วยละก็” นภัทรเว้นระยะห่างครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาช้าๆแต่ว่าบาดใจคนฟังเหลือเกิน “ฉันยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่” พูดจบก็คลายมือออก ดวงตาสีดำสนิทสบกับนัยน์ตาโศกคู่นั้นอย่างเย็นชา นภัทรหันกลับไปหยิบหนังสือเรียนบนโต๊ะก่อนจะเอี้ยวหน้ามาบอกวิศรุตที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งเม้มปากแน่น

   “เรื่องสมุดความประพฤตินายก็จัดการเองก็แล้วกัน อยากจะบรรยายว่าตัวเองเป็นยังไงก็เชิญตามสบาย” พอนภัทรออกจากห้องไปแล้ว วิศรุตก็รู้สึกว่าตัวเองหมดแรงขึ้นมาทันที เขาทรุดลงไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีน้ำตาหยด แรกก็ร่วงลงมาจากนัยน์ตาเขาเสียแล้ว





   นภัทรกลับมาที่ห้องเรียนอีกครั้งทันเวลาคาบบ่ายพอดี เขามองไปยังที่นั่งประจำของวิศรุต พอดีเจอกับสายตาที่จ้องมาที่ตัวเองของภาณุ เขาทำเป็นไม่สนใจสายตานั้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสือเริ่มเรียนต่อ เขาเรียนในชั่วโมงชีววิทยาวันนี้ไม่เข้าใจเลยเหมือนกับว่าฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัวทั้งๆที่วิชานี้เป็นวิชาโปรดของเขา ตลอดคาบเรียนเขาชอบนึกไปถึงวิศรุต เขาเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องเกลียดวิศรุตด้วย จริงอยู่ว่าเขาไม่ชอบพวกรักร่วมเพศแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดอะไรนักหนา คงเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของฝ่ายนั้นที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ

ตอนอยู่ม.ต้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกอคติกับวิศรุตเท่าใดนักเพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนอยู่ดีแม้ว่าลึกๆแล้วตัวเองจะไม่ค่อยอยากไปยุ่งเกี่ยวกับพวกชอบไม้ป่าเดียวกันก็ตาม ตอนขึ้นม.ปลายเขานึกว่าจะไม่ต้องมาอยู่ห้องเดียวกัน ไม่ต้องทนเจอหน้าฝ่ายนั้นอยู่ทุกวันอีกแล้ว แต่เหมือนโชคชะตาที่เล่นตลกเหลือเกินทำให้เขาและวิศรุตต้องมาอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้งจนได้ ทั้งที่ตอนม.ต้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคะแนนและความสามารถด้านการเรียนแบบวิศรุตคงไม่มีทางสอบเข้าเรียนในสายวิทย์คณิตได้แน่นอน แต่ฝ่ายนั้นก็ทำได้ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการคาดหมายของเขาจริงๆ

   การกระทำของวิศรุตเมื่อตอนอยู่ในห้องกรรมการนักเรียนทำให้เขาอดรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ได้ สัมผัสหยาบโลนของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกขยะแขยงและรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะรู้ดีว่าถ้อยคำบางคำที่เขาพูดออกไปมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เพียงใดแต่เขาไม่มีทางเลือก ถ้าหากไม่พูดออกไปตรงๆว่าเขารังเกียจฝ่ายนั้น วิศรุตอาจจะยังคอยตามตอแยเขาอยู่ก็ได้ พูดไปซึ่งๆหน้าแบบนี้เขายังรู้สึกสบายใจมากกว่าการที่จะต้องมาคอยปะทะคารมแบบไม่จบไม่สิ้น แม้ว่าครั้งนี้อาจจะทำให้เขาต้องเสียเพื่อนที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาไปก็ตาม

   “ไอ้วินไปไหน มันบอกฉันว่าจะไปหานายที่ห้องกรรมการนักเรียน” ภาณุเดินมาถามเขาหลังจากหมดคาบเรียน คงจะสงสัยว่าทำไมเพื่อนสนิทตัวเองถึงไม่เข้าเรียนวิชานี้

   “ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ออกมาพร้อมกับเพื่อนของนาย ฉันออกมาก่อน” เขาพูดเรียบๆก่อนจะจัดของเตรียมย้ายไปเรียนยังอีกตึกหนึ่งเพราะยังเหลือวิชาสุดท้ายก่อนที่การเรียนวันนี้จะสิ้นสุดลง

   ภาณุมองหน้านภัทรอย่างสงสัยก่อนนิ่งคิดอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปจากห้องทันทีมุ่งหน้าไปยังห้องกรรมการนักเรียนโดยหวังว่าเพื่อนของเขาคงจะยังอยู่ที่นั่น ดูจากสีหน้าของนภัทร เขาคิดว่าคงต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และคนที่เจ็บปวดก็คงหนีไม่พ้นวิศรุตอย่างแน่นอน

   เมื่อไม่เจอวิศรุตที่ห้องกรรมการนักเรียน ภาณุก็ยิ่งร้อนใจ เขาตามหาวิศรุตไปทั่วโรงเรียนทั้งตามตึกเรียนต่างๆ ห้องแล็ป โรงยิม โรงอาหาร จนมาถึงที่สุดท้ายก็คือดาดฟ้าของโรงเรียน เพื่อนของเขาอยู่ที่นั่นจริงๆ ภาพวิศรุตที่กำลังนอนแผ่หราปล่อยให้แสงอาทิตย์ยามบ่ายอาบไล้ทั่วร่างกายอย่างไม่กลัวผิวเสียทำให้ภาณุอดถอนหายใจแรงไม่ได้ เด็กหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้ ใจก็อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่วิศรุตชิงยิงคำถามขึ้นมาเสียก่อน

   “แกว่าฉันโง่ไหมวะ?” วิศรุตถามโดยไม่หันหน้ามามอง ภาณุเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับวิศรุตมานานแต่บางครั้งเขาก็ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของวิศรุตได้เลย

   “แกเนี่ยนะโง่ แกฉลาดเป็นกรดจะตาย” คนถูกถามพูดติดตลกแต่อีกฝ่ายไม่ขำด้วย

   “วันนี้ฉันทำเรื่องโง่ๆอีกแล้ว”
   “แกทำเรื่องโง่อะไรล่ะ ไหนลองเล่าให้ฉันฟังซิ” ภาณุนอนราบไปกับพื้นข้างวิศรุต เขาเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักดี เขาก็แค่อยากจะช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเพื่อนคนนี้บ้างเท่านั้นเอง

   วิศรุตเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ห้องกรรมการนักเรียนให้ภาณุฟังรวมถึงที่นภัทรบอกว่าเกลียดเขาด้วย วิศรุตหัวเราะขื่นๆอย่างสมเพชตัวเองที่ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมตัดใจจากนภัทรเสียที เขาคงกลายเป็นคนโง่เพราะเรื่องบ้าๆแบบนี้แหล่ะแถมยังโง่มากๆเลยด้วย

   หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ ภาณุทั้งโกรธและสงสารวิศรุตในคราวเดียวกัน เขาไม่คิดว่าเพื่อนรักจะไปยั่วนภัทรถึงขนาดนี้เพราะวิศรุตก็รู้ดีว่านภัทรไม่ได้ชอบผู้ชาย ถ้าเขาเป็นฝ่ายนั้นก็คงจะต้องโกรธมากเป็นธรรมดา แต่อีกใจก็สงสารวิศรุตเพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงจะเจ็บปวดไม่น้อยกับข้อความเลือดเย็นแบบตัดบัวไม่เหลือใยที่ได้รับจากนภัทรเป็นสิ่งตอบแทนความรักที่เพื่อนเขามีให้ตลอดเวลาห้าปีเต็ม

   “เศร้าแบบนี้ไม่สมเป็นแกเลยนะเว้ย ถ้าใครเค้ารู้ว่าวิศรุต ทัดเทวา เพล์บอยตัวพ่อต้องมาเสียน้ำตาเพราะคนธรรมดาๆอย่างนภัทรแล้วล่ะก็ นายสิ้นชื่อก็คราวนี้แหล่ะไอ้วิน”

“นั่นสินะ ทำไมคนอย่างฉันต้องมาเสียน้ำตาเพราะคนไม่มีหัวใจแบบนั้นด้วย” คำพูดของวิศรุตทำให้ภาณุแปลกใจ ถ้าเพื่อนของเขาคิดจะตัดใจจากนภัทรก็คงดีไม่น้อย การมีชีวิตที่จมอยู่กับความรักที่หาทางออกไม่ได้มันเป็นเรื่องที่ทรมานจนเกินไปจริงๆ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวามีทางเลือกตั้งมากมาย เพื่อนของเขาไม่สมควรจะเป็นตัวเลือกแต่สมควรที่จะเป็นผู้เลือกต่างหาก

“ฉันดีใจนะที่แกคิดจะตัดใจจากนภัทรเสียที แกจะได้เลิกเสียใจแบบนี้อีกไง”

“ฉันจะไม่ตัดใจ จะไม่ยอมแพ้และจะไม่มีวันเลิกชอบนภัทรเป็นอันขาด ต่อให้เขาเกลียดฉันแค่ไหนก็ตาม แกคอยดูเถอะ สักวันนึงฉันจะต้องทำให้ผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์หันมารักฉันให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไรก็ตาม” เสียงเยียบเย็นของวิศรุตลอยกระทบโสตประสาทของภาณุ เขารู้ว่าถ้าวิศรุตลั่นปากออกมาแล้วก็คงจะตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ เพื่อนคนนี้ของเขาเป็นคนหัวแข็งและไม่ยอมเปลี่ยนความคิดง่ายๆแน่

ทั้งคู่นอนเคียงข้างมองฟ้ายามบ่ายแก่ๆด้วยกันจนตะวันลาลับขอบฟ้าไป ต่างคนก็ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ภาณุเคยสงสัยมานานแล้วว่าสำหรับผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา เพียบพร้อมไปทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ คนที่เป็นที่หมายปองของทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามอย่างวิศรุต นิยามความรักของคนตรงหน้าคืออะไรกันแน่ วันนี้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว




วิศรุตกลับถึงบ้านทัดเทวาตอนหัวค่ำ เขาเดินลิ่วเข้าบ้านเพื่อจะตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตน วันนี้เขาเหนื่อยมามาก
เกินพอแล้ว แต่ตอนเดินผ่านห้องรับแขกกลับถูกน้องสาวตัวดีเรียกเอาไว้เสียก่อน เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย เขาเลยต้องหยุดฟังทั้งที่ใจอยากจะเดินหนีไปเต็มทนเพราะรู้ดีว่าคงพูดดีด้วยกันได้ไม่เกินห้านาทีแน่นอน

เขากับศรารัตน์ผู้เป็นน้องสาวชอบมีเรื่องทะเลาะและขัดใจกันตั้งแต่เด็ก ด้วยเพราะอายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครทั้งสิ้น บางทีศรารัตน์ก็นิสัยเหมือนเขาเสียจนน่ากลัวโดยเฉพาะนิสัยที่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคุณหนู ถูกตามใจจนเสียนิสัย และด้วยความที่อายุห่างกันแค่เพียงปีเดียวทำให้วิศรุตไม่ค่อยมีความรู้สึกหวงแหนและเอ็นดูศรารัตน์ในแบบที่พี่ชายควรมีมากนักและก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รักและเคารพวิศรุตในแบบที่น้องสาวควรจะปฎิบัติต่อพี่ชายเหมือนอย่างพี่น้องในครอบครัวอื่นๆเลย ตรงกันข้ามทั้งคู่กลับเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอดเวลา ขนาดตัวเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองกับน้องสาว
จะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกันจริงๆ

“มีอะไร? วันนี้ฉันเหนื่อยมาก มีอะไรก็รีบๆพูดมา” วิศรุตโยนกระเป๋านักเรียนหนังแท้ราคาแพงของตนไปบนโซฟาอย่างไม่คิดถนอมก่อนจะทรุดตัวนั่งไขว่ห้างที่โซฟาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อประจันหน้ากับน้องสาว
ศรารัตน์ปิดนิตยสารแฟชั่นที่อ่านค้างไว้ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะกระจกที่เข้าชุดกับโซฟารับแขกสีครีมแล้วก็เริ่มเอ่ยเข้าเรื่องทันที เธอก็ไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อมเช่นกัน

“เมื่อตอนเย็นคุณพ่อกับคุณแม่โทรศัพท์มา” พ่อกับแม่ของเขาตอนนี้ไปทำธุรกิจอยู่ที่เมืองนอก ไปครั้งหนึ่งก็จะไปหลายนานเดือน ซึ่งปกติท่านก็จะโทรศัพท์กลับมาที่บ้านเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้คงมีเรื่องบางอย่างไม่อย่างนั้นน้องสาวของเขาคงไม่มานั่งรอเขากลับบ้านเพื่อบอกเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษหรอก

“เห็นคุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าตอนนี้กิจการที่นั่นกำลังไปได้สวยแล้วก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น อีกอย่างธุรกิจที่ไทยก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ทุกอย่างก็ลงตัวดีเพราะมีญาติๆช่วยกันบริหาร คุณพ่อคุณแม่ท่านก็เลยอยากจะมาจับงานที่เมืองนอกอย่างเต็มตัว ก็เลยอยากให้เราสองคนย้ายไปเรียนต่อที่นั่นด้วยเลย” คำพูดของศรารัตน์ทำให้เขาตัวชาวาบ ปุบปับมาบอกให้เขาย้ายไปเรียนต่อเมืองนอกเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ถ้าเขาต้องย้ายไปจริงๆแล้วเรื่องทางนี้ล่ะ เรื่องของนภัทรเขาจะทำอย่างไรดี

“เมื่อไหร่ ฉันหมายถึงเราต้องย้ายไปเมื่อไหร่”

“นี่ก็ช่วงใกล้สอบไล่แล้ว ฉันคิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงจะรอให้สอบไล่จนเสร็จนั่นแหล่ะถึงค่อยให้ย้ายที่เรียน”
เหลืออีกสองอาทิตย์เท่านั้นก่อนที่การสอบไล่จะเสร็จสิ้น สองอาทิตย์เท่านั้นที่เขาจะได้มีโอกาสเจอหน้านภัทรก่อนที่เขาจะต้องเดินทางไปใช้ชีวิตและเรียนต่อยังอีกซีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากเมืองไทยเหลือเกิน

.....ถ้าฉันไปแล้ว เวลาที่เราพบกันอีกครั้งนายจะยังจำฉันได้หรือเปล่านะ.....

จบบทที่2
Aislin : ตอนที่1-4จะเป็นตอนที่พระนายของเรากำลังเรียนม.ปลายนะคะ หลังจากตอนที่5เป็นต้นไปก็จะเริ่มดำเนินเรื่องราวในช่วงตอนโตแล้วล่ะค่ะ ฝากติดตามด้วยเน้อ รับรองว่าเข้มข้นแน่นอนจ้า ^ ^

ขอฝากfanpageของนิยายเรื่องนี้เอาไว้หน่อยนะคะ :) สามารถเข้าไปกดLikeแล้วร่วมพูดคุยกันได้เลยจ้ะ

http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่3
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 12:31:09
บทที่ 3

เมื่อเขาเอาเรื่องนี้มาบอกกับภาณุ ฝ่ายนั้นมีท่าทีตะลึงงันเพราะคิดไม่ถึงว่าวิศรุตจะต้องไปเมืองนอกปุบปับแบบนี้ วิศรุตจะออกเดินทางทันทีที่การสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นลง การไปเรียนต่อเมืองนอกของวิศรุตก็หมายถึงว่าเขาคงไม่ค่อยมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายเป็นเวลานานทีเดียว สำหรับมิตรภาพระหว่างเขาและวิศรุตที่คบหาเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีก็อดไม่ได้ที่ภาณุจะรู้สึกใจหายเป็นธรรมดา

“ทำไมต้องรีบไปขนาดนั้นด้วยล่ะ” ภาณุถามวิศรุตที่กำลังเอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะเรียนของตัวเอง

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าพ่อกับแม่ฉันเค้าทำเรื่องเรียนต่อเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

     “แล้วเรื่องคนๆนั้นล่ะ” คนๆนั้นในความหมายของภาณุก็คือนภัทร วิศรุตเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ ก่อนจะพบภาพเดิมๆที่เห็นจนชินตา นภัทรกำลังจมอยู่กับตำราเล่มหนาของตัวเองจนเขาคิดว่าฝ่ายนั้นคงจะอ่านท่องจำได้ขึ้นใจแล้วล่ะมั๊ง

   “แกว่าฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ” วิศรุตหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากจะทิ้งและปล่อยเรื่อง นภัทรเอาไว้แบบนี้ เขาไม่อยากจากไปท่ามกลางความรู้สึกที่ยังค้างคาในใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่กล้า ถ้านภัทรรู้ว่าคนที่ตัวเองแสนเกลียดนักหนา คนที่ตัวเองชอบแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ กลับเป็นคนที่หลงรักตัวเองมานานถึงห้าปีเต็ม ฝ่ายนั้นจะรู้สึกยังไงนะ จะยิ่งเกลียดเขามากกว่าเดิมหรือเปล่า

   “ฉันว่าควรจะบอกความรู้สึกของแกให้มันรู้ว่ะ อย่างน้อยแกก็ได้โล่งใจแล้วก็เลิกอัดอั้นจะเป็นจะตายกับเรื่องนี้เสียทีเพราะอีกไม่นานแกก็ต้องไปแล้ว ปีหน้ามันก็คงจะต้องสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่ อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้กว่าจะได้มีโอกาสมาเจอกันหรือไม่แน่มันอาจจะไม่วันนั้นอีกเลยก็ได้” คำพูดของภาณุทำให้เขาที่กำลังโลเลอยู่ตัดสินใจได้เสียที มันคงจะเป็นอย่างที่เพื่อนของเขาว่า จะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคากันอีก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคำตอบของเรื่องนี้คืออะไร

...เหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น…





   เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินในความคิดของวิศรุต การเรียนการสอนวันสุดท้ายจบลงแล้ว ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาดำเนินชีวิตไปตามปกติทุกอย่าง เรียนบ้างโดดบ้าง มีเซ็กส์เล่นๆกับพวกรุ่นน้องบ้างตามประสาเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์  บางคืนก็ดื่มเหล้าเที่ยวผับไปเรื่อย ตัวเขาเองก็เบื่อชีวิตแบบนี้แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ เพราะอยู่แบบนี้ก็มีความ
สุขดี ไม่รู้จะต้องเปลี่ยนทำไมและเปลี่ยนไปเพื่อใคร

   วันนี้วิศรุตกลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะถูกเรียกไปอบรมที่ห้องฝ่ายปกครองฐานทำความผิดแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำชาย แต่บังเอิญอาจารย์พละมาพบเข้าพอดี เขาจึงโดนเรียกไปที่ห้องปกครอง แต่เนื่องจากคำว่าทัดเทวาที่ต่อท้ายชื่อของเขาอยู่ทำให้ถึงแม้เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็ไม่กล้าทำอะไรเขามากนัก ทำได้ก็แค่กักบริเวณตอนเย็นเท่านั้นเองเพราะถึงอย่างไรพ่อของเขาก็เป็นคนบริจาคเงินสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้กับโรงเรียนแห่งนี้

   วิศรุตเดินไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนนักเพื่อขับรถกลับบ้าน นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์มาที่โรงเรียน เขาไม่เคยสนใจกฎพวกนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้างก็เลยเลือกที่จะจอดเอาไว้ที่อาคารจอดรถสาธารณะโดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายวันแทนแม้ว่าตัวเขาเองจะอายุไม่ถึงวัยที่จะทำใบขับขี่ได้ตามกฎหมายก็ตาม

   ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ ชั้นที่เขาเลือกจอดรถที่ประจำเป็นชั้นที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเพราะเกือบจะถึงชั้นดาดฟ้าของอาคารแล้วและไม่ค่อยมีใครเอารถมาจอดในชั้นนี้กันมากนักซึ่งวิศรุตก็พอใจให้มันเป็นอย่างนั้นเพราะในบางอารมณ์เขาก็อยากจะทำอะไรในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่นัก

ลานจอดรถเวลานี้เหลือรถที่จอดอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้นเพราะใกล้จะถึงเวลาที่อาคารแห่งนี้จะปิดให้บริการแล้ว เขาล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกลุ่มคนประมาณ4-5คนกำลังยืนล้อมคนๆหนึ่งอยู่กลางวง คนพวกนั้นอยู่ห่างจากเขาพอสมควร เขาจึงเห็นไม่ค่อยชัดว่าพวกนั้นกำลังจะทำอะไรแต่สมองก็เดาได้ไม่ยากว่ายกพวกมาแบบนี้คงจะต้องเตรียมตัวมาเพื่อจัดการกับไอ้คนที่โชคร้ายยืนอยู่กลางวงแน่ๆ ตอนแรกเขาไม่คิดจะสนใจเพราะป่วยการที่จะต้องไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เหยื่อที่โชคร้ายคนนั้นรูปร่างคุ้นตาเขาอย่างไรพิกล เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนจะเพ่งตามองจึงได้รู้ว่าที่รู้สึกคุ้นก็เพราะว่าฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขานี่เองแถมยังเป็นเพื่อนสนิทของนภัทรอีกด้วย

   “เงินที่ขอยืมไป ตกลงจะเบี้ยวไม่จ่ายใช่ไหม?” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงพูดขึ้น

   “ผมขอผลัดไปก่อนได้ไหมพี่ ตอนนี้ผมไม่มีเงินจริง ไม่เชื่อพี่ลองค้นตัวผมดูก็ได้” พงศธรพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นเวลาพูดแม้ในใจจะรู้สึกกลัวก็ตาม เขาไม่น่าคิดผิดไปกู้เงินนอกระบบจากพวกนี้เลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขามีทางเลือกไม่มากนัก

   “มึงผลัดมาหลายรอบแล้ว ถ้าวันนี้ไม่มีเงินมาจ่ายก็เตรียมตัวไปหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลได้เลย”

   “ผมขอเถอะพี่ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจริงๆ แล้วผมจะรีบหาเงินมาคืนให้” พงศธรพนมมือคุกเข่าตรงหน้านักเลงพวกนั้น ก่อนจะอาศัยทีเผลอผลักนักเลงคนที่อยู่ใกล้สุดอย่างแรงแล้วใช้เท้ายันนักเลงอีกคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้ ก่อนตัดสินใจวิ่งหนีแต่ก็ไม่รอดถูกฝ่ายนั้นล็อคแขนเอาไว้ได้ ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าประกอบกับพงศธรเป็นพวกเด็กเรียนอยู่แล้วทำให้พงศธรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย สองแขนของเด็กหนุ่มถูกล็อคเอาไว้ก่อนหมัดหนักๆจะสวนมาที่ท้องอย่างแรงจนเจ้าตัวจุกจนแทบลงไปกองกับพื้น

   “ทำเก่งจริงนะมึง จะหนีก็ต้องหนีให้รอดสิ ถ้าไม่รอดก็ต้องเจอดีแบบนี้” หัวหน้านักเลงชักมีดพับออกมาจากเอว พงศธรมองคมมีดนั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด เด็กหนุ่มยังไม่อยากตายที่นี่ในสภาพแบบนี้
   จังหวะที่นักเลงคนนั้นกำลังจะแทงมีดเข้าใส่ร่างที่ถูกซ้อมจนยับเยินของพงศธร วิศรุตก็เข้ามาจัดการกับนักเลงคนนั้น ปลายมีดที่อยู่ในมือของนักเลงแฉลบไปจากร่างของพงศธรเล็กน้อยเพราะเจ้าของมีดถูกวิศรุตกระโดดถีบจนเสียหลัก หลังจากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พวกที่เสียเปรียบกลับเป็นฝ่ายพวกนักเลงกระจอกแทน เพราะการต่อสู้มือเปล่ากับคน4-5คน    ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลยสำหรับวิศรุตที่เคยผ่านการเรียนต่อสู้มาหลายแขนงและยังมีประวัติการทะเลาะวิวาทในโรงเรียนอย่างโชกโชน โชคดีที่ฝ่ายนั้นไม่มีปืนไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะมีสภาพเดียวกับพงศธรก็ได้

   ภายในเวลาไม่นานนัก นักเลงพวกนั้นก็ถูกวิศรุตเล่นงานจนหมอบ เขาเดินเข้าไปกลางวงเพื่อช่วยพยุงเพื่อนร่วมห้องของเขา สภาพของพงศธรตอนนี้ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าใดนักมีแค่แผลฟกช้ำไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณท้อง เด็กหนุ่มยังมีสติดีอยู่

   “วิศรุต นาย...มาได้ยังไง” พงศธรมองเขาด้วยสีหน้างุนงงเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับวิศรุตที่นี่

   “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย นี่นายลุกไหวหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าพงศธรยืนเองไม่ไหว วิศรุตก็เลยเข้าไปช่วยประคองคิดว่าจะพาอีกฝ่ายไปที่รถของเขา แต่ทันใดนั้นนักเลงคนหนึ่งก็รอจังหวะที่วิศรุตเผลอจะลอบเอามีดที่ตกอยู่มาแทงข้างหลังโทษฐานที่อวดดียุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่พงศธรที่เห็นและร้องเตือนเสียก่อนจึงทำให้วิศรุตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่วิศรุตจะจัดการฝ่ายนั้นอีกครั้งจนคราวนี้ถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว วิศรุตเก็บมีดพับเล่มบางมาไว้กับตัวก่อนจะเอ่ยเสียงที่เกือบตะคอกใส่กลุ่มนักเลงตรงหน้า

   “เพื่อนฉันติดเงินพวกแกอยู่เท่าไหร่” นักเลงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเอายังไงกันแน่ “ฉันถามว่าเพื่อนของฉันติดเงินอยู่เท่าไหร่?” น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นตะคอกทำให้พวกนักเลงยอมเอ่ยออกมาในที่สุด

   “แสนห้า” แม้จะตกใจเล็กน้อยกับจำนวนเงินที่อีกฝ่ายบอกแต่วิศรุตก็ควักกระเป๋าตังค์ราคาแพงของตนออกมาก่อนจะนับแล้วหยิบแบงค์พันประมาณสิบใบส่งให้พวกนักเลง หรือเรียกให้ถูกคือปากับพื้นไปกองอยู่ตรงหน้านักเลงพวกนั้น วิศรุตไม่ได้พกเงินสดมากมายนัก เขามักใช้บัตรเครดิตมากกว่า เงินสดทั้งหมดตอนนี้ของเขาก็มีอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาทเท่านั้น ยังไงก็ไม่พอใช้หนี้ให้กับพงศธรได้อยู่ดี แต่หากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วย น้ำหน้าอย่างพงศธรก็คงจะไม่มีวันไปหาเงินมาใช้หนี้พวกนี้ได้หรอก วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนจะยอมถอดนาฬิกาข้อมือเรือนแสนที่ซื้อมาจากเมืองนอกให้พวกนักเลงเป็นเครื่องไถ่หนี้แทนเงินสด

   “นาฬิกานี้เป็นแบรนด์ของแท้ ถ้าเอาไปขายคงได้ประมาณแสนกว่าๆ ก็ถือว่าเพื่อนของฉันหมดหนี้กับพวกแกแล้ว” วิศรุตเข้ามาช่วยประคองพงศธรไปที่รถของตัวเองก่อนจะขับออกจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว

   “ลูกพี่ ให้ตามไปไหม” ลูกน้องคนหนึ่งรีบถามเพราะไม่มั่นใจว่านาฬิกาในมือลูกพี่ของตนจะเป็นของแท้หรือไม่ ถ้าโดนหลอกมีหวังเจ้านายของตนเอาตายแน่

   “ไม่ต้องตามหรอก ลองไอ้หมอนี่กล้าจ่ายเงินหมื่นอย่างไม่คิดเสียดาย แสดงว่าบ้านมันคงมีเงินถุงเงินถังให้ถลุงมากพอดู นาฬิกานี้คงไม่ใช่ของปลอมหรอก” หัวหน้านักเลงพูดพลางมองนาฬิกาโรเล็กซ์ราคาเหยียบแสนในมือของตนเองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม




   “ขอบคุณมากนะที่นายมาช่วยฉัน แต่ว่าอันที่จริงนายไม่ต้องลำบากมาจ่ายหนี้แทนฉันก็ได้” พงศธรเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากที่รถของวิศรุตแล่นออกมาจากอาคารจอดรถแล้ว วิศรุตแค่นเสียงหึในลำคอก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบๆ

   “ถ้านายมีปัญญาหาเงินมาจ่ายเองได้ก็คงไม่ต้องมาเป็นกระสอบทรายให้พวกนั้นซ้อมหรอก” พงศธรหลุบตาลง มันเป็นอย่างที่วิศรุตพูดจริงๆนั่นแหล่ะ ถ้าเขาหาเงินมาใช้หนี้ได้ป่านนี้ก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้แล้ว “ว่าแต่นายทำไมไปติดหนี้พวกนั้นเยอะขนาดนั้นล่ะ นักเรียนดีเด่นที่อยู่แต่ในกรอบอย่างนายมีเรื่องลำบากอะไรถึงต้องใช้เงินมากขนาดนั้นด้วย?” วิศรุตอดถามขึ้นไม่ได้เพราะเขาก็พอรู้มาบ้างว่าพงศธรก็เป็นนักเรียนเรียนดีเหมือนกับนภัทร แถมพงศธรยังได้ทุนเรียนดีเด่นจากทางโรงเรียนเกือบทุกปีเพราะเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างขาดแคลนทุนทรัพย์ ถ้าหากหักค่าเทอมแล้วก็ยังมีเงินเหลือพอตัวที่จะให้ใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบาก ไม่น่าต้องถึงขนาดไปกู้เงินนอกระบบมาแบบนี้

   “ช่วงนั้นฉันจำเป็นต้องใช้เงินด่วนน่ะ แม่ของฉันป่วยต้องรับการผ่าตัดด่วน จะรอไม่ได้อีกแล้ว พ่อของฉันก็มีโรคประจำตัวที่จะต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง พอไปทำเรื่องกู้กับแบงค์เขาก็ไม่อนุมัติเพราะไม่มีหลักประกันอะไรเลย ตอนนั้นฉันคิดอะไรไม่ออกก็เลยต้องไปยืมเงินพวกนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่นายเห็นนั่นแหล่ะ”

   วิศรุตไม่พูดอะไรอีกตลอดทางที่ขับรถมาส่งพงศธรที่บ้าน เบื้องหน้าเขาคือทาวเฮาส์ที่ทั้งเล็กทั้งเก่าและโทรมสุดๆจนแทบเรียกได้ไม่เต็มปากว่าบ้าน เปรียบเทียบกับบ้านทัดเทวาแล้ว ที่นี่ยังเล็กกว่าโรงจอดรถบ้านเขาเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเริ่ม เข้าใจแล้วว่าทำไมพงศธรถึงต้องไปกู้เงินพวกนั้นมา ทำไมพงศธรถึงต้องพยายามเรียนให้ดีเด่นเพื่อจะได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับทุนเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์  ชีวิตของเขากับคนข้างๆช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน

   “ตอนนี้ถือว่านายเป็นเจ้าหนี้ของฉันแล้ว ฉันจะพยายามทำงานพิเศษหาเงินมาใช้นายให้ได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ฉันมั่นใจว่าจะคืนให้แบบครบทุกบาททุกสตางค์” พงศธรพูดหนักแน่นจนเขาหลุดขำ เงินแค่นี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไปเที่ยวเมืองนอกแต่ละครั้งเขายังใช้เงินมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็เลือกที่จะตัดปัญหาให้จบๆไปด้วยการ
พยักหน้าเป็นทำนองว่ารับรู้ให้กับพงศธร

   “สักวันหนึ่งนายคงได้ใช้หนี้ฉันแน่พงศธร”




   เขาเจอพงศธรในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันสอบวันแรก ฝ่ายนั้นมาในสภาพที่ดีกว่าเมื่อวานมากเพราะทำแผลมาเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าตามใบหน้าจะมีรอยช้ำหลงเหลืออยู่หลายแห่งก็ตาม พงศธรเดินมาขอบคุณเขาเพราะนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท วิศรุตเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถึงอย่างไรพงศธรก็ถือเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาและเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของใครบางคน เขาก้มหน้าก้มตาอ่านทวนวิชาเคมีตรงหน้าแต่มันก็ไม่ได้เข้าทำให้เขาจำได้ขึ้นมาบ้างเลยเพราะใจของเขานึกถึงแต่ว่าเหลือเวลาแค่เพียงอีกสามวันเท่านั้นก่อนที่การสอบจะเสร็จสิ้น สามวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษและก็คงจะไม่ได้เจอคนที่อยากเจออีก

   การสอบในวันนี้ผ่านไปเหมือนเช่นปกติในทุกๆครั้งที่มีการสอบ ความสามารถในการเรียนและศักยภาพในการทำข้อสอบของเขาก็ยังคงเท่าเดิม เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยายังคงเป็นวิชาที่ตามหลอกหลอนเขาอยู่ถ้าไม่นับวิชาอื่นที่เขาพอถูไถไปได้ ปกติถ้าทำไม่ได้เขาก็จะลอกภาณุที่นั่งสอบอยู่เลขที่ใกล้ๆกัน แต่คราวนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้น แค่คิดว่าเวลามันกำลังเดินถอยหลังเรื่อยๆเหมือนนาฬิกาทราย เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรอีกแล้ว คงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะทำใจได้เอง




   วิศรุตนึกโมโหตัวเองที่ลืมแผ่นดิสก์ข้อมูลรายงานไว้ที่โรงเรียน ทั้งที่เขากลับไปถึงบ้านตั้งนานแล้ว แต่พอนึกได้ว่าลืมของเอาไว้เขาก็ต้องตีรถกลับมาอีกรอบ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องแก้รายงานวิชาชีววิทยาของอาจารย์ป้ามหาโหดอีกรอบและต้องส่งภายในพรุ่งนี้แล้วล่ะก็ เขาไม่มีทางตีรถกลับเพื่อมาเอาแผ่นดิสก์แค่แผ่นเดียวเด็ดขาด เป็นความสะเพร่าของเขาเองที่ลืมเซฟข้อมูลลงเครื่องกันสำรองเอาไว้ด้วย ถ้ารายงานแก้เสร็จไม่ทันพรุ่งนี้ อาจารย์ป้าขู่เขาว่าจะไม่ให้เขาจบม.ห้าเด็ดขาด

   เมื่อนึกได้ว่าวางซีดีเอาไว้ตรงที่วางของใต้โต๊ะเรียนของตัวเอง วิศรุตก็รีบวิ่งขึ้นไปยังห้องเรียนที่อยู่ชั้นสี่ของตึกทันที ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม นักเรียนต่างก็กลับบ้านกันจนหมดแล้ว ถ้ายามจับได้ว่าเขาแอบปีนประตูรั้วโรงเรียนเข้ามาล่ะก็ งานนี้คงเป็นเรื่องใหญ่แน่  เขามองไปรอบตัวที่เริ่มมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านบานหน้าต่างบางบานที่ปิดไม่สนิทเท่านั้น เขารีบเข้าไปหยิบของที่ลืมเอาไว้ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อหันกลับหลังมาพบกับนภัทรที่ยืนอยู่

   “นายมาทำอะไรน่ะ” นภัทรถามขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มมองวิศรุตที่กำลังถอนใจเฮือกใหญ่เพราะนึกว่าใครที่มาลับๆล่อๆอยู่ด้านหลังตน ที่แท้ก็นภัทรนี่เอง วิศรุตชูแผ่นดิสก์ให้อีกฝ่ายดูแล้วบอกว่าลืมทิ้งไว้ก็เลยกลับมาเอา ก่อนจะย้อนถามบ้างว่า
นภัทรก็ลืมของเหมือนกันเหรอ?

   “เปล่าหรอก พอดีว่าฉันอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินริมสนามแล้วบังเอิญเห็นบางคนกำลังแอบปีนประตูหลังโรงเรียนเข้ามาน่ะสิ ฉันก็เลยตามมาดูก็เท่านั้น”

   “ทำตัวได้สมกับการเป็นกรรมการนักเรียนจริงๆ” นภัทรวางหน้าเฉยกับคำค่อนขอดของวิศรุตก่อนจะเก็บหนังสือเรียนแล้วเดินนำออกไปจากห้อง วิศรุตเองก็รีบยัดแผ่นดิสก์เข้ากระเป๋าทันทีก่อนจะรีบตามออกไปเพราะไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในที่แบบนี้

   วิศรุตวิ่งตามนภัทรลงมายังชั้นหนึ่งก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนคิ้วขมวดอยู่ตรงบานประตูหน้าตึก ดูจากท่าทางของนภัทรเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขากับนภัทรโดนขังอยู่ภายในตึกเรียนเสียแล้ว ยามคงคิดว่าไม่มีใครอยู่บนตึกแล้วก็เลยมาล็อคอาคารเรียนเพื่อกันขโมย แต่เขาและนภัทรกลับโชคร้ายที่ถูกขังแบบไม่รู้ตัวเช่นนี้  ตอนนี้วิศรุตอยากจะบ้าตายขึ้นมาจริงๆ  ถ้าไม่ติดเรื่องรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้เขาคงจะนึกดีใจไม่น้อยที่ตัวเองได้ใกล้ชิดแบบสองต่อสองอย่างนี้กับนภัทร เขาลองใช้สองมือดันประตูกระจกอย่างแรงแต่ว่ามันถูกล็อคเอาไว้ สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ก็เลยลงเอยด้วยการทุบกระจกระบายอารมณ์แทน

   “ต่อให้นายทุบจนกระจกแตกเราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ ไม่เห็นเหรอว่าเขาล็อคประตูเหล็กด้านนอกทับอีกชั้นหนึ่ง” วิศรุตหยุดทุบกระจกแล้วหันมาพูดกับนภัทรที่ไม่มีท่าทีเดือดร้อนให้เห็น

   “นายก็ทำอะไรบ้างสิ ฉันไม่อยากโดนขังที่ตึกนี่จนถึงเช้าหรอกนะ ฉันยังต้องรีบกลับไปแก้รายงานให้เสร็จทันพรุ่งนี้”

   “พรุ่งนี้ก็ยังต้องสอบอีก ฉันก็อยากกลับบ้านไปอ่านหนังสือเหมือนกัน ไม่ได้นึกพิศวาสอยากจะโดนขังรวมกับนายหรอกนะ” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตเบ้ปากอย่างหมันไส้ก่อนที่อีกฝ่ายจะนึกขึ้นมาได้ว่าควรจะโทรหาให้ยามเอากุญแจมาเปิดตึกให้ “นายเอามือถือมาหรือเปล่า จะได้โทรตามยามให้มาเปิดประตูให้เรา” นภัทรถามคนข้างๆเพราะมือถือของตนเองลืมทิ้งเอาไว้ในกระเป๋าเป้ ตอนตามวิศรุตขึ้นมาที่ตึกเรียนเขาไม่ได้เอาเป้ติดมาด้วย

   เมื่อเห็นทางรอดรำไร วิศรุตก็รีบล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอกดเบอร์ยามจะโทรออก มือถือเจ้ากรรมกลับดับเพราะแบตหมดไปเสียอย่างนั้น

   “บ้าชิบ!” เขาสบถออกมาอย่างขัดใจก่อนจะหย่อนมือถือที่ใช้การอะไรไม่ได้แล้วตอนนี้ลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม นภัทรเองก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เด็กหนุ่มมองนาฬิกาที่ติดอยู่ริมผนัง เวลาเลยมาถึงเกือบสามทุ่มแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใดก็ย่อมหมายถึงเวลาในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบในวันพรุ่งนี้ของเขาสั้นลงเท่านั้น นภัทรหันมองวิศรุต ฝ่ายนั้นคงเริ่มเหนี่อยจากการทุบกระจกเป็นเวลานานก็เลยทรุดตัวลงนั่งที่ริมขอบประตูนั่นเอง ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรได้ดีกว่าวิศรุตนัก สุดท้ายแล้วก็ต้องมานั่งพิงประตูด้วยความเซ็งเหมือนกับอีกฝ่าย

   “นายอยากสอบเข้าเรียนต่อที่ไหน” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ไหนๆก็ต้องติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว คงจะดีหน่อยถ้าไม่ต้องทนนั่งเงียบวังเวงกันอยู่แบบนี้ คนถูกถามเองก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมบอก

   “ศิริราช”

   “หมอเหรอ ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ” อันที่จริงวิศรุตไม่ค่อยแปลกใจที่นภัทรคิดจะเลือกคณะนี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีผลการเรียนดีเยี่ยมมาตลอดและยิ่งเก่งมากในวิชาทางสายวิทย์โดยเฉพาะชีววิทยา ซึ่งแตกต่างจากเขาสิ้นเชิง ถ้าหากนภัทรคิดจะเรียนต่อทางสายนี้จริงๆก็คงจะไม่ยากเกินความสามารถของคนตรงหน้านัก อนาคตคงได้เห็นคุณหมอคนเก่งที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่านั้นก็คือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายอยากเรียนหมอต่างหาก

   คำถามของวิศรุตทำให้ดวงตาสีถ่านไหววูบเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั้นเสียดื้อๆด้วยการย้อนถามวิศรุตด้วยคำถามเดิมที่อีกฝ่ายถามเขา วิศรุตมองหน้าคู่สนทนาก่อนตัดสินใจบอกเรื่องที่ตนต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอกให้นภัทรรู้

   “ฉันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ”

   “อ้อ ลืมไปว่าบ้านนายรวย ลูกเศรษฐีอย่างนายก็คงหนีไม่พ้นการไปเรียนต่อเมืองนอกสินะ” วิศรุตสะอึกกับคำพูดของนภัทร ถ้าเลือกได้เขาเองก็ไม่อยากไปนักหรอก “ทำไมนายไม่เรียนตรีที่ไทยก่อนล่ะ แล้วไปต่อโทก็ได้นี่นา?” นภัทรก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของวิศรุตด้วยทั้งที่เขาออกจะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายแท้ๆเลยเชียว การที่ฝ่ายนั้นไปให้ไกลจากเขาเสียได้ก็สมควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีถึงจะถูก แต่คำพูดถัดมาของวิศรุตก็ทำให้เขาถึงกับอึ้งไป

   “ฉันไม่ได้ไปตอนจบม.หกหรอก ฉันจะต้องไปในวันมะรืนนี้แล้ว ทันทีที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ฉันก็จะบินไปอังกฤษเลย” วิศรุตมองไม่เห็นสีหน้าของนภัทรตอนนี้เพราะว่ามันสลัวไปหมด เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงออกทางสีหน้าเช่นไร คงจะนึกยินดีที่เขาไปเสียได้ล่ะมั๊ง 

   “ทำไมถึงเร็วแบบนี้” นภัทรเสียงเบาราวกับกระซิบแต่ว่าเขาก็ยังได้ยินชัดเจน แต่เขาไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อเลย นภัทรพูดเหมือนว่าไม่อยากให้เขาไป

   “นายคงคิดถึงฉันแย่เลย ไม่มีคนมาคอยกวนประสาทนายแล้ว ต่อจากนี้ไปนายก็คงเหงาน่าดูเลยล่ะ” ในใจของวิศรุตแอบภาวนาให้นภัทรตอบว่าใช่หรือว่าพูดอะไรก็ตามที่แสดงว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาไป แต่จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังคงเงียบเช่นเดิม คาดเดาไม่ได้เลยว่าฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเขาบอกชอบนภัทรในตอนนี้ อีกฝ่ายจะว่าอย่างไรบ้างนะ ตอนนี้มีเพียงแค่เขากับนภัทรเท่านั้น ถ้าเกิดฝ่ายนั้นให้คำตอบที่เขากลัวมาตลอดแล้วเขาจะยังสู้หน้าอีกฝ่ายได้อีกเหรอ วิศรุตได้แต่ถามตัวเองในใจอยู่อย่างนั้น

   “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย” ปากของวิศรุตไวกว่าความคิดเสียอีก เมื่อสติรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา มือของเขาก็เย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยบอกรักใคร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว นภัทรก็ถือเป็นคนแรก ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นฝ่ายถูกบอกรักจากคนอื่นเสมอ

   สีหน้านภัทรตอนนี้คงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม อีกฝ่ายหยุดฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด วิศรุตบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เขาจะต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว

   “ฉัน...เอ้อ ฉันชอ...”

   “ฉันนึกออกแล้ว” จู่ๆนภัทรก็พูดขัดขึ้นมา สีหน้าฝ่ายนั้นกำลังยินดีเหมือนกับว่าคิดอะไรออก เขามารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากให้ออกวิ่งตามฝ่ายนั้นไปชั้นสองเสียแล้ว

   “เดี๋ยวก่อน นายจะทำอะไรน่ะ” เขาหอบเล็กน้อยเมื่อวิ่งตามนภัทรขึ้นมาถึงชั้นสองของตึก คนที่ถูกถามไม่ยอมตอบแต่กลับรีบวิ่งเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วผลักหน้าต่างที่ปิดสนิทไว้ให้เปิดออก วิศรุตก็เลยพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร “อย่าบอกนะว่าจะให้โดดลงไปน่ะ”

   “ใช่ กระโดดจากชั้นสองไม่ตายหรอก อีกอย่างห้องนี้ก็อยู่ติดกับสนามหญ้าพอดี รับรองว่านายไปอังกฤษอย่างอาการครบสามสิบสองแน่” เขาก้มมองจากหน้าต่างลงไปเบื้องล่าง แม้ว่าห้องนี้จะอยู่ชั้นสองแต่ก็สูงไม่ใช่เล่น เขาไม่มั่นใจอย่างที่อีกฝ่ายพูดเลยว่า
กระโดดลงไปแล้วจะปลอดภัยหายห่วงแม้ว่าจะมีพื้นหญ้านุ่มๆช่วยรองรับกันกระแทกก็ตาม

 เมื่อเห็นวิศรุตเกิดอาการลังเล นภัทรก็รีบพูดดักคอก่อน “กับการแค่โดดจากชั้นสองก็ไม่กล้า แล้วทำไมถึงกล้าไปจัดการกับพวกนักเลงตั้ง4-5คนจนหมอบได้ล่ะ”

 วิศรุตหันมามองอีกฝ่ายทันทีแล้วก็คิดว่าคงเป็นพงศธรที่เล่าเรื่องนี้ให้นภัทรฟัง เขากลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อน
บอกว่าเขาเองก็ไม่ได้กลัวเสียหน่อย

   “ถ้าอย่างนั้นฉันโดดลงไปก่อนแล้วกัน” นภัทรปีนกรอบหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปทันที ฝ่ายนั้นเป็นนักกีฬาอยู่แล้วก็ย่อมรู้จักวิธีกระโดดแบบผ่อนแรงให้สมดุล ดังนั้นการกระโดดจากชั้นสองจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากนักสำหรับคนอย่างนภัทร เมื่อยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้ว นภัทรก็ให้สัญญาณกับวิศรุตให้กระโดดลงมาได้เลย ฝ่ายวิศรุตก็ลังเลเล็กน้อยแต่เมื่อนึกถึงรายงานที่ยังไม่เสร็จก็ตัดสินใจยอมใช้วิธีของนภัทร

   
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่3
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 12:35:11

จังหวะที่กระโดดลงมา วิศรุตลงมาผิดท่าจากปกติที่ต้องเอาขาลง เด็กหนุ่มกลับเอาหน้าท้องลงปะทะพื้น  นภัทรที่มองอยู่ก็ตกใจ ด้วยสัญชาตญาณจึงรีบถลาเข้าไปหาวิศรุตทันทีก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะถึงพื้นเพียงนิดเดียว แรงจากการเข้าไปช่วยรับร่างของอีกฝ่ายทำให้นภัทรตัวเซก่อนจะล้มลงไปนอนกับพื้นหญ้าพร้อมคนในอ้อมแขนในท่าที่เขาถูกวิศรุตนอนทาบทับอยู่ด้านบน

   วิศรุตเองก็ตกใจไม่น้อยที่นภัทรเอาตัวเองมาช่วยรับเขาไว้ เขามองสบตานภัทรพอดีกับอีกฝ่ายที่มองมาด้วยแววตาสับสนยากจะอ่านได้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ใกล้ชิดกับนภัทรชนิดถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ถ้านับครั้งแรกในห้องกรรมการนักเรียน โครงหน้าของนภัทรมีเค้าของความหล่อแบบคมคายแฝงอยู่ คิ้วเข้มสีดำสนิทรับกับดวงตาสีถ่านช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับคนตรงหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แค่คิดถึงตอนนี้วิศรุตก็รู้สึกว่าเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว

   “นภัทร ฉันชอบนาย” คนถูกบอกชอบอึ้งไปนานหลายวินาทีก่อนจะผลักร่างของวิศรุตที่คร่อมตัวเองออกอย่างแรงแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที เขามองหน้าวิศรุตเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักฝ่ายนั้นมาก่อนในชีวิต คนตรงหน้าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่พูดอะไรออกมาแบบนี้ นภัทรได้แต่ยืนลูบหน้าแบบทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะถูกบอกรักในสถานการณ์แบบนี้และยิ่งคำบอกรักนั้นออกมาจากปากคนที่เขาไม่เคยให้ความรู้สึกที่ดีด้วยเลยอย่างวิศรุต อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นผู้ชายเหมือนกับเขา

   นภัทรเดินตัวชาไปหยิบกระเป๋าเป้ที่ทิ้งไว้ที่โต๊ะหินริมสนาม สมองของเขากำลังตื้อไปหมดและคิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้แต่เพียงว่าเขาอยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองเท้าของเขาก้าวยาวๆเพื่อต้องการจะไปให้พ้นจากสายตาคนตรงหน้าแต่วิศรุตก็ยังรั้งเขาไว้

   “ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร...ฉันชอบนาย” ท้ายประโยควิศรุตตะโกนจนเสียงสั่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน จากดวงตาโศกสีน้ำตาล อีกครั้งแล้วที่เขาต้องมาร้องไห้เพราะคนอย่างนภัทร แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงไม่หันมาอยู่ดี วิศรุตจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของนภัทรค่อยๆเดินห่างไปเรื่อยๆจนลับสายตาด้วยแววตาที่ฉ่ำน้ำ




   คืนนี้นภัทรไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย ใจของเขาวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่วิศรุตพูด จะเป็นไปได้เหรอที่ฝ่ายนั้นจะพูดเรื่องจริง คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะหาสักกี่คนมาเป็นคู่ควงก็ย่อมได้แต่ทำไมฝ่ายนั้นถึงมาชอบเขาล่ะ? แถมชอบมานานถึงห้าปี เขาเองไม่ได้มีอะไรที่น่าจะเป็นที่ถูกใจของวิศรุตเลยและที่สำคัญคือเขาไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย เรื่องวันนี้รบกวนใจของนภัทรจนทำให้เขาไม่สามารถทนอ่านหนังสือต่อได้อีกแล้วแม้ว่าพรุ่งนี้จะต้องสอบก็ตาม นภัทรมองรูปถ่ายที่ใส่กรอบอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของเขา มันเป็นรูปที่เขาเคยถ่ายคู่กับน้ำหวานซึ่งเป็นแฟนคนแรกตอนสมัยยังเรียนอยู่ม.ต้น แม้ว่าเรื่องของเขากับน้ำหวานจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังลืมเธอไม่ได้อยู่ดี นภัทรไล้ปลายนิ้วไปตามรูปถ่ายของน้ำหวานด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจจนพูดไม่ออก

   “ฉันควรจะทำอย่างไรดี” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆซักพักก่อนจะตัดสินใจปิดโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง เรื่องของเขากับวิศรุตมันไม่มีทางเป็นจริงได้เพราะเขาไม่ได้รู้สึกพิเศษกับฝ่ายนั้นเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ถึงขั้นเกลียดฝ่ายนั้นแบบเมื่อก่อนแล้วก็ตามเพราะได้รับรู้ว่าวิศรุตก็มีด้านดีๆบ้างจากคำบอกเล่าของพงศธรที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเพื่อนของเขาเอาไว้ไม่ให้ถูกพวกนักเลงทวงหนี้ทำร้าย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เวลาเจอกับวิศรุตเขาควรจะทำหน้ายังไง ควรจะมองฝ่ายนั้นด้วยสายตาแบบไหน เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นนักถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่เรื่องของวิศรุตเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำแบบนี้ อีกสองวันวิศรุตก็ต้องไปเมืองนอกแล้ว ปล่อยให้เรื่องนี้จบไปแบบเงียบๆดีกว่า อันที่จริงเขาคิดว่ามันไม่สมควรจะเริ่มตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ


จบบทที่3
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่4
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 12:37:20
บทที่ 4


   วันสอบวันที่สองก็ผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิศรุตสังเกตว่านภัทรเอาแต่หลบหน้าเขาตลอด ฝ่ายนั้นพยายามเลี่ยงเขาในทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน ตั้งแต่เขาบอกชอบฝ่ายนั้นไปเมื่อคืนวานทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ก่อนเขาจะต้องไปพรุ่งนี้ เขาอยากมีโอกาสพูดคุยกับนภัทรอีกซักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็ยังดี แต่ดูเหมือนว่านภัทรจะไม่ให้โอกาสเขาเลย

   และแล้ววันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง วิศรุตทานอาหารเช้าด้วยอาการเฉยชาจนศรารัตน์ค่อนขอดเขาว่าทำหน้าอย่างกับผีตายซาก วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับน้องสาวนักจึงเลี่ยงที่จะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายอย่างที่ทำเป็นประจำ ของและเอกสารสำคัญของเขาถูกส่งไปที่อังกฤษตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้ตอนออกเดินทางจึงไม่ต้องเตรียมอะไรมากนักเพราะว่าแม่ของเขาจัดการไว้หมดแล้ว ศรารัตน์มีท่าทางดีใจที่จะได้ไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกต่างกับเขาที่ไม่ได้อยากจะไปเลยสักนิดแม้ว่าการไปคราวนี้อาจจะช่วยทำให้เขาลืมคนบางคนได้ก็ตาม

   วิศรุตมาถึงโรงเรียนก่อนเวลาเข้าสอบนิดเดียว เขาเห็นนภัทรกำลังเดินเข้าห้องสอบไปพร้อมกับพงศธร เขาเหม่ออยู่อย่างนั้นจนภาณุมาตบหลังเขาบอกว่าได้เวลาเข้าห้องแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงการสอบวิชาสุดท้ายของวันและเป็นการสอบวิชาสุดท้ายก่อนที่เขาและเพื่อนๆจะเลื่อนขั้นเป็นนักเรียนชั้นม.หกด้วย วิชาที่สอบคือภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่เขาถนัดที่สุด แต่วันนี้เขากลับทำอย่างเลื่อนลอยแบบขอผ่านไปที สายตาของเขามักจะมองไปยังนภัทรซึ่งนั่งสอบอยู่ไกลจากที่นั่งของเขาหลายแถว วิศรุตอยากจะนั่งมองอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆแม้ว่านภัทรจะไม่เคยหันมาก็ตาม เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะหมดเวลาสอบ เขาตัดสินใจที่จะส่งข้อสอบก่อนเป็นคนแรกของห้อง หลังจากส่งเสร็จแล้วอาจารย์ก็อนุญาตให้ออกจากห้องสอบได้ เขารู้สึกว่าตัวเองก้าวขาเหมือนกับคนไม่มีแรง เขาเดินผ่านนภัทรที่กำลังนั่งทำข้อสอบอยู่ ฝ่ายนั้นไม่สบตาเขาแต่กลับก้มหน้านิ่งเหมือนจะเพ่งมองให้กระดาษข้อสอบภาษาอังกฤษมันทะลุเสียอย่างนั้น วิศรุตเม้มปากแน่นก่อนเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

   “ลาก่อน”





   วิศรุตเดินไปตามทางเดินของตึกที่เงียบสนิทเพราะยังไม่หมดเวลาสอบ เขาอยากให้ทางเดินนี้ทอดยาวแบบไม่มีวันสิ้นสุด เขาจะได้ไม่ต้องหยุดเดินเมื่อมาจนสุดทาง เขาเดินลงบันไดมายังชั้นหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณสำหรับวางกระเป๋านักเรียนเพราะอาจารย์ไม่อนุญาตให้นักเรียนนำกระเป๋าเข้าไปในห้องสอบได้เหมือนอย่างคาบเรียนปกติ เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาถือไว้ก่อนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

   เขาหาเศษกระดาษเปล่าภายในกระเป๋าแต่ก็คิดได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้พกอะไรมาเลยนอกจากเครื่องเขียนและหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ วิศรุตตัดสินใจฉีกหนังสือเรียนออกมาหน้าหนึ่งก่อนจะใช้ปากกาเมจิกเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นนั้นแล้วเอาไปใส่ไว้ในเป้ของนภัทร อีกฝ่ายคงเห็นมันตอนที่เขาอยู่บนเครื่องบินแล้ว

   “ไอ้วิน...ไอ้วิน” เสียงภาณุที่เรียกทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เพื่อนสนิทของเขาวิ่งหน้าตื่นมาหา เหงื่อบนใบหน้าบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงต้องรีบวิ่งมาอย่างแน่นอน “ใจคอแกจะไม่รอฉันเลยเหรอวะ? แกจะไปเงียบๆแบบไม่ร่ำลาฉันเลยเหรอไง” ภาณุอดน้อยใจไม่ได้ ตอนที่เขาเห็นวิศรุตลุกไปส่งข้อสอบกับอาจารย์ เขายังเหลืออีกหลายข้อที่ยังไม่ได้ทำจึงรีบเร่งมือให้เสร็จเท่าที่จะทำได้ ทำถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะสอบตกก็แค่มาสอบซ่อมก็เท่านั้น แต่เขาอยากจะมาส่งวิศรุตให้ทันมากกว่า “นายต้องไปเมื่อไหร่ แล้วจะไปยังไงล่ะ” ภาณุถามแบบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อคืนเขาเตรียมคำพูดซึ้งๆไว้มากมายแต่พอมาตอนนี้กลับนึกไม่อย่างสักอย่างเดียว

   “ฉันโทรบอกให้รถที่บ้านมารับแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง” วิศรุตเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ภาณุเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขา เป็นคนที่รับตัวตนแท้จริงของเขาได้ เป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆเขาเวลาที่เขาเสียใจ เป็นคนที่ยิ้มดีใจไปกับเขาเวลาที่มีความสุข และที่สำคัญภาณุเป็นที่ปรึกษาและรับรู้เรื่องราวทุกอย่างระหว่างเขากับนภัทร




   ที่จริงนภัทรทำข้อสอบเสร็จตั้งนานแล้ว เสร็จพอดีที่วิศรุตเดินผ่านหน้าเขาไป แต่เขาเลือกที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมส่งข้อสอบเสียที เขาไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับฝ่ายนั้นจึงเลือกที่จะรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมดเวลาสอบ เขาลงมาที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับพงศธร ในหูของเขาไม่ได้ฟังเรื่องที่เพื่อนสนิทพูดเลย พงศธรคงกำลังถามเขาและเทียบคำตอบในข้อสอบที่ตอบไปว่าตรงกับเขาบ้างไหม สมองเขาในตอนนี้มึนตื้อไปหมด คำบอกลาสั้นๆของวิศรุตทำให้หัวใจเขากระตุกขึ้นมา แค่คำเพียงสองพยางค์กลับมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอย่างมากมาย ลึกๆแล้วใจของเขาคงอาจจะกำลังอาวรณ์กับการจากไปของวิศรุตตามประสาคนเคยอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งห้าปีก็เป็นได้

   นภัทรเก็บเครื่องเขียนใส่กระเป๋าเป้ก่อนสายตาจะพลันเห็นของบางอย่างในนั้น มันเป็นกระดาษแผ่นไม่ใหญ่มากนักที่ถูกพับสองทบแล้วสอดเอาไว้ในหนังสือของเขา ถ้าปลายกระดาษไม่แฉลบออกมาเล็กน้อยจากปกหนังสือเขาก็คงจะไม่ทันสังเกตเห็น นภัทรดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วคลี่ออกดู ในกระดาษนั้นมีข้อความสั้นๆที่ถูกเขียนด้วยเมจิกสีดำว่า ‘ขอโทษ’เพียงคำเดียวเท่านั้น นภัทรรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนเอามายัดใส่ในเป้ของเขา...วิศรุต

   รู้ตัวอีกทีนภัทรก็พบว่าสองขาของตัวเองกำลังวิ่งออกจากตึกเรียน เขาวิ่งไปทั่วโรงเรียนอย่างคนบ้า นภัทรเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้ได้ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้เก่ง แต่ตอนนี้เขาอยากเจอวิศรุตเหลือเกิน คำว่าขอโทษสั้นๆที่อีกฝ่ายเขียนใส่กระดาษให้เขามันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของคนที่เขียนจนเขารู้สึกได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวิศรุตต้องการจะสื่ออะไร ถ้าเดาไม่ผิดฝ่ายนั้นคงต้องการขอโทษในทุกเรื่องที่เคยทำไว้กับเขา ทั้งยั่วโมโหที่ห้องสมุด เรื่องน่าอับอายที่ห้องกรรมการนักเรียน รวมถึงเรื่องที่สนามหญ้าคืนนั้นด้วย ยิ่งคิดนภัทรก็ยิ่งเร่งฝีเท้า เขานอนคิดทั้งคืนในเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองและวิศรุต ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกแบบเดียวกันคืนกลับให้วิศรุตได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ทุกอย่างมันค้างคาแบบหาทางออกไม่ได้เช่นนี้ เรื่องของเขากับฝ่ายนั้นควรจะกลายเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่มีค่าในช่วงชีวิตม.ปลายของทั้งเขาและวิศรุต  เขาไม่อยากต้องมาเสียใจทีหลังเหมือนกับเรื่องของน้ำหวานอีกแล้ว

   “ไอ้กานต์ แกจะรีบไปไหนวะ” พงศธรวิ่งตามมาดึงแขนเขาเอาไว้ สีหน้าอีกฝ่ายเหนื่อยหอบเพราะต้องไล่ฝีเท้าวิ่งตามเขามาติดๆ

“เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย”

   “ไอ้พงษ์ แกเห็นวิศรุตรึเปล่า” นภัทรถามออกไปแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว พงศธรจะเห็นวิศรุตได้อย่างไรในเมื่อคนตรงหน้าอยู่กับเขาตลอดเวลาและแล้วคำตอบก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เขาเริ่มหมดหวังเพราะไม่รู้ว่าจะไปหาวิศรุตได้ที่ไหนดี ใจหนึ่งก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะเดินทางไปสนามบินแล้ว

“เอ้อ วิศรุตอาจจะอยู่ที่อาคารจอดรถใกล้ๆนี้ก็ได้ หมอนั่นชอบจอดรถไว้ที่นั่นประจำ”พงศธรคาดเดาเพราะนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเคยบังเอิญช่วยตนเอาไว้ตอนที่ถูกพวกนักเลงมาตามทวงหนี้ที่ลานจอดรถ แต่ตอนนี้นภัทรวิ่งไปแล้ว พงศธรเองก็ได้แต่งงว่าทำไมเพื่อนของตนต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจอาการของเพื่อนสนิทก่อนจะหันหลังเดินกลับไปเอาของที่ทิ้งเอาไว้ตอนวิ่งไล่ตามนภัทรมา

ตอนเดินผ่านประตูโรงเรียนพงศธรก็บังเอิญเห็นภาณุกำลังพูดอะไรบางอย่างกับอีกคนอยู่ พอดีภาณุยืนบังอีกฝ่ายเอาไว้พงศธรก็เลยไม่เห็นว่าภาณุกำลังพูดอยู่กับใคร แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นวิศรุตเพราะจำเจ้ารถยุโรปราคาแพงของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้แม่นเลยทีเดียว “นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย?” พงศธรบ่นในลำคอเพราะตัวเองเพิ่งบอกนภัทรไปว่าวิศรุตน่าจะอยู่ที่อาคารจอดรถแต่ทำไมฝ่ายนั้นกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ล่ะเนี่ย

   เมื่อนึกได้ว่านภัทรมีท่าทางรีบร้อนต้องการหาวิศรุตอาจจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างก็ได้ พงศธรจึงรีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิททันทีเพราะดูท่าทางวิศรุตใกล้จะขึ้นรถที่มารอรับหน้าประตูโรงเรียนเต็มทีแล้ว




   “ฉันไปก่อนนะเว้ย” วิศรุตบอกลาภาณุเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากยื้อเวลาอีกแล้วเพราะถึงยังไงก็ต้องไปอยู่ดีเพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

   “เดินทางดีๆนะ นายกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมกันบ้าง” ภาณุกอดลาเพื่อนสนิทพร้อมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆอย่างให้กำลังใจในทุกเรื่องเหมือนอย่างที่เขาชอบทำประจำ ฝ่ายวิศรุตเองก็กอดตอบอีกฝ่ายแนบแน่น ในใจรู้สึกขอบคุณและสัมผัสได้ถึงมิตรภาพที่เพื่อนคนนี้มีให้เขาเสมอมา วิศรุตผละจากอ้อมแขนของเพื่อนรักก่อนมองไปยังเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับโรงเรียนนี้มากนักแต่ที่เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์นั้นก็คือคนที่อยู่ในโรงเรียนนี้ต่างหาก ไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาจะไปเรียนเมืองนอกมากนักยกเว้นอาจารย์ประจำชั้น ภาณุ แล้วก็นภัทร เขาไปเงียบๆแบบนี้แหล่ะดีแล้ว

   วิศรุตลาภาณุอีกสองสามคำก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งยังเบาะหลังของรถ เขาไม่อยากหันไปมองที่ภาณุอีกเพราะกลัวว่าตัวเองจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาเกลียดบรรยากาศการจากลาเป็นที่สุด ยิ่งเป็นการจากคนที่รัก เขายิ่งรู้สึกเกลียด วิศรุตอดไม่ได้ ที่จะเหลียวหน้าไปมองกระจกหลังรถ เขาหวังจะเห็นคนบางคนเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็คงได้แค่หวังเท่านั้นเพราะความหวังของเขามักสวนทางกับความเป็นจริงเสมอ เขาถอนใจบางๆก่อนจะสั่งให้คนขับออกรถได้เลย

   รถคันหรูค่อยๆแล่นออกไปช้าๆและเริ่มเร็วขึ้นตามลำดับ ภาณุคงกำลังโบกมือให้แต่เขาไม่กล้าหันกลับไปอีกแล้ว


“ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร...ฉันชอบนาย”


...ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบนายไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันไม่รู้เลยจริงๆ...




   นภัทรวิ่งกลับมาที่หน้าประตูโรงเรียนทันทีที่พงศธรโทรไปบอกเขา ในใจตอนนั้นได้แต่ภาวนาขอให้มาทันเวลาพอดี แต่ในที่สุดเขาก็มาไม่ทัน ตอนที่เขาวิ่งมาถึงหน้าประตูโรงเรียน รถของวิศรุตก็แล่นออกไปออกไปจากซอยโรงเรียนพอดี เขามองด้านหลังของรถคันนั้นด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก กระดาษที่วิศรุตเอาไปยัดใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ ตอนนี้มันถูกมือของเขากำเอาไว้จนยับยู่ยี่ ถ้าเขาคิดได้เร็วกว่านี้ก็คงจะดี คงจะได้มีโอกาสบอกก่อนที่ฝ่ายนั้นจะไป ฉันยกโทษให้แล้วนะ คำพูดนี้ดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขาแต่วิศรุตกลับไม่มีโอกาสได้ยินมัน


จบบทที่4
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่5
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 12:40:11
บทที่ 5

8ปีต่อมา

   แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาในห้องผ่านทางผ้าม่านที่ถูกปิดอย่างไม่สนิทนักทำให้ร่างที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยสีขาวต้องกระตุกเปลือกตาบางเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราอันยาวนาน ดวงตาคู่สวยมองเห็นเพดานสีขาวเป็นอันดับแรกก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆเลื่อนสายตาไปรอบตัว จากภาพตรงหน้าทำให้ศรารัตน์รู้ว่าตัวเองคงกำลังอยู่ที่โรงพยาบาล เธอจำได้เลือนลางว่าวันนั้นฝนตกหนักมากขณะเธอที่กำลังขับรถกลับจากการดูงานที่ต่างจังหวัด รถของเธอกลับเบรกไม่อยู่และชนต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนทำให้เธอหมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็มานอนอยู่ที่นี่แล้ว

   “คุณรู้สึกตัวแล้วเหรอคะ” ศรารัตน์หันไปมองพยาบาลสาวที่เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี “คุณประสบอุบัติเหตุรถชนอาการสาหัสพอสมควร โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลทันเวลาพอดี คุณหมอก็เลยช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน คุณรู้ไหมคะว่าคุณน่ะสลบไปถึงห้าวันเต็มๆเลย” ศรารัตน์พยายามพยุงตัวขึ้นจากเตียงแต่ทว่าพอขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนเจ็บระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะตรงซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการกระแทกอย่างรุนแรง

   “โอ๊ย” ศรารัตน์อุทานออกมาด้วยความเจ็บก่อนที่นางพยาบาลคนนั้นจะรีบละมือจากการเปิดม่านมาช่วยประคองหญิงสาวให้นอนราบลงไปกับเตียงเหมือนเดิม

   “แผลคุณยังไม่หายดี ช่วงนี้อาจจะเจ็บแผลหน่อย ต้องพักผ่อนเยอะๆนะคะ”

   “มีคนมาหาฉันบ้างหรือเปล่าคะ”ศรารัตน์ถามถึงบรรดาญาติและเพื่อนๆของเธอ ป่านนี้พวกเขาคงจะรู้แล้วว่าเธอประสบอุบัติเหตุ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเธอยังไม่เห็นใครเลยนอกจากนางพยาบาลช่างพูดคนนี้

   “ญาติของคุณเพิ่งจะกลับไปไม่นานนี้เองค่ะ จะให้ดิฉันโทรบอกให้ไหมคะว่าคุณรู้สึกตัวแล้ว เอ้อ เขาฝากช่อดอกไม้เอาไว้ด้วยนะคะ” หญิงสาวมองตามสายตาคนพูดไปก็พบว่ามีช่อดอกไม้ช่อโตวางเอาไว้อยู่ที่โต๊ะข้างหัวเตียงจริงๆ ศรารัตน์ขอให้อีกฝ่ายช่วยหยิบการ์ดที่แนบมากับช่อดอกไม้มาให้เธอก่อนจะเปิดออกอ่าน ในนั้นมีข้อความว่าขอให้หายไวๆ ด้วยรักและเป็นห่วง ลงชื่อภาคิน

   ศรารัตน์วางการ์ดเอาไว้ที่เดิมก่อนจะปฎิเสธว่าไม่ต้องโทรบอกญาติของเธอว่าเธอฟื้นแล้วเพราะตอนนี้เธออยากพักผ่อนเงียบๆไม่อยากให้ใครมารบกวน ก่อนที่หญิงสาวจะเริ่มตาปรือและเข้าสู้ห้วงของการนิทราอีกครั้ง ตอนนี้ศรารัตน์ต้องการการพักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หญิงสาวยังไม่อยากพบหน้าใครไม่ว่าจะเป็นวิศรุตผู้เป็นพี่ชายและพ่วงตำแหน่งคู่กัดตลอดกาลของเธอ หรือแม้แต่ภาคิน ญาติผู้พี่ที่เธอรู้ดีว่าเขาต้องการจะเป็นเจ้าของทั้งตัวเธอและทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลทัดเทวา





   “แกหายหัวไปไหนมาตั้งแต่เช้า” วันชัยละสายตาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจตรงหน้าแล้วเอ่ยถามลูกชายที่กำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก ภาคินไม่ตอบในทันทีแต่หันไปสั่งกาแฟหนึ่งแก้วจากแม่บ้านก่อนที่จะทรุดลงนั่งเอกเขนกยังโซฟาตัวกว้างกลางห้อง

   “ก็แวะไปทำหน้าที่ของญาติผู้พี่ที่ดีไงครับพ่อ” ภาคินหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่านระหว่างที่รอแม่บ้านยกกาแฟมาให้

   “ยัยเด็กนั่นฟื้นหรือยัง” วันชัยหมายถึงศรารัตน์ หลานสาวของตนซึ่งเป็นลูกสาวของคุณวรุต ทัดเทวา นักธุรกิจ
อสังหาฯผู้ร่ำรวยผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตนที่ตอนนี้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตพร้อมกับภรรยาเมื่อสองปีก่อนที่
ประเทศอังกฤษ

   “ตอนผมไปเธอยังไม่ฟื้นเลยครับ งานนี้ก็เลยไปเก้อเสียเวลาเปล่าเลย”

   “น่าเสียดายที่มันดวงแข็ง ทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะรอดแท้ๆ” วันชัยพูดเสียงต่ำ คำพูดนั้นทำให้ภาคินวางหนังสือพิมพ์ใน
มือลงแล้วหันมองผู้เป็นพ่อทันที

   “อย่าบอกนะครับว่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับศราเป็นฝีมือของพ่อ” ผู้เป็นพ่อไม่ตอบแต่ภาคินเดาจากรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมนั้นได้ ชายหนุ่มรู้ว่าวันชัยพ่อของเขาต้องการจะยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตระกูลทัดเทวาต่อจากคุณลุงวรุต แต่ติดอยู่ที่หลานแท้ๆอย่างวิศรุตและศรารัตน์เท่านั้น หลังจากที่กำจัดศรารัตน์ได้ วิศรุตก็คงเป็นรายต่อไป ภาคินแอบดีใจลึกๆที่ศรารัตน์ยังไม่ตาย ถ้าหากว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยและรวยอย่างศรารัตน์ต้องมาด่วนตายไปจริงๆเขาคงจะเสียใจไม่น้อยเพราะตัวเองยังไม่ได้หาประโยชน์จากหญิงสาวอย่างเต็มที่เลย อย่างน้อยก็ให้เขาได้มีความสุขกับร่างกายอันสวยงามของเธอก่อน

   “เด็กในบ้านทัดเทวาบอกมาว่าวิศรุตจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆนี้” ด้วยความที่วันชัยแอบจ้างเด็กรับใช้บ้านทัดเทวาให้คอยรายงานเรื่องราวในบ้านให้เขาฟัง ทำให้เขารู้ถึงความเคลื่อนไหวของคนในบ้านนั้นได้ไม่ยากเลย และข่าวใหม่ที่เขารู้ก็คือวิศรุต หลายชายเขากำลังจะกลับมาจากอังกฤษในอีกไม่ช้า

   “หึ ก็คงมาเยี่ยมน้องสาวมันล่ะมั๊ง นอนเจ็บเจียนตายแบบนั้นไม่มาเยี่ยมมันก็เกินไปหน่อยเแล้ว” ภาคินพูดแบบนี้เพราะรู้ดีว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แต่การที่ศรารัตน์เจ็บหนักแบบนี้ เขาไม่เชื่อว่าวิศรุตจะไม่มาดูดำดูดีน้องสาวแท้ๆของตัวเองเลย

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่ไม่แน่ใจว่ากลับมาครั้งนี้มันจะแค่มาเยี่ยมน้องสาวแล้วก็บินกลับอังกฤษหรือเปล่า หรือไม่แน่ว่าอาจจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรเลย” จุดประสงค์แท้จริงที่วันชัยห่วงก็คือเขากลัวว่าวิศรุตจะมาขัดมือขัดเท้าเขาในการทำงานที่บริษัทซึ่งตระกูลทัดเทวาเป็นเจ้าของ ที่ซึ่งเขาได้เข้ามานั่งตำแหน่งรองประธานตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน และนับตั้งแต่
วรุตเสียชีวิตไปตำแหน่งประธานกรรมการก็ตกเป็นของวิศรุต ทัดเทวาตามพินัยกรรมของวรุตที่ต้องการจะยกสิทธิ์ในการดูแลบริษัทและหุ้นจำนวนมหาศาลให้กับลูกชายคนเดียวของตน ถึงแม้ว่าศรารัตน์ ผู้เป็นลูกสาวจะได้ส่วนแบ่งในหุ้นบ้างก็ตามแต่ก็ไม่มากเท่ากับที่วิศรุตได้

   “ถ้าพ่อเป็นห่วงว่ามันจะเข้ามายุ่งวุ่นวายในบริษัท ผมว่าพ่อเลิกห่วงเรื่องนี้ดีกว่า พ่อเองก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าคนอย่างไอ้วินมันเคยสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกันนอกจากเรื่องผลาญเงินเที่ยวสนุกไปวันๆ ตราบใดที่เงินมันยังไม่ขาดมือ มันไม่เสนอหน้ามากวนใจพ่อที่บริษัทหรอกครับ” ภาคินรู้ว่าญาติผู้น้องของตนคนนี้ไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจใดๆของทัดเทวาอยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงโดนบรรดาผู้บริหารเข้าชื่อกันถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานกรรมการเพราะว่าวิศรุตไม่มีผลงานใดๆเลย เป็นเพียงแค่เจ้าของบริษัทในนามเท่านั้น ที่บริษัทในเครือทัดเทวาเจริญรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะวันชัยพ่อของเขาและก็ตัวเขาเองที่เข้ามาทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานเพื่อบริษัท ไม่ใช่ใช้ชีวิตเสเพลอยู่เมืองนอกผลาญเงินเล่นไปวันๆอย่างวิศรุต

   คำพูดของภาคินทำให้วันชัยคลายกังวลลงไปบ้าง ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากใจร้ายกับหลานทั้งคู่อย่างศรารัตน์และวิศรุตเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากวิศรุตเข้ามายุ่มย่ามในเรื่องบางเรื่องจนเกินไป เขาก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเหมือนอย่างที่จัดการกับ
ศรารัตน์โทษฐานที่หลานสาวของเขาช่างขุดคุ้ยบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทเสียเหลือเกิน บางทีคราวนี้วิศรุตอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างผู้เป็นน้องสาวก็ได้




   ชายหนุ่มร่างสูงในชุดหนังสีดำที่ถอดแบบออกมาจากนิตยสารแฟชั่นต่างประเทศกำลังเดินออกมาจากช่องทางออกของอาคารผู้โดยสารขาเข้า ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นจับตาทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้โดยสารหลายๆคนแถวนั้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวก่อนจะมาหยุดที่ชายสูงอายุที่ยืนเยื้องห่างจากเขาไปไม่ไกล วิศรุตถอดแว่นกันแดดสีชาออกเพื่อให้มองได้ชัด เขาจำได้ว่าคนตรงหน้าคือลุงมั่น ข้ารับใช้คนเก่าคนแก่ของบ้านทัดเทวานั่นเอง

   “คุณหนู...คุณหนูใหญ่ของลุงมั่นจริงๆด้วย” ลุงมั่นรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความยินดี คุณหนูคนโตของตระกูลทัดเทวาเปลี่ยนไปจากเมื่อแปดปีก่อนมากจนถ้าเขาไม่สังเกตดีๆก็อาจจำอีกฝ่ายไม่ได้
วิศรุตยิ้มกว้างให้ผู้สูงวัยกว่า เขาเองก็คิดถึงลุงมั่นเช่นกันเพราะอีกฝ่ายเป็นเสมือนพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เกิด เกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอกันแต่ลุงมั่นก็ยังคงไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

“ในที่สุดคุณหนูก็กลับมา ผมนึกว่าชาตินี้ก่อนตายจะไม่ได้เห็นหน้าคุณหนูใหญ่ของผมเสียแล้ว” วิศรุตเย้าว่าอีกฝ่ายก็พูดเกินไป ก่อนจะตัดบทบอกว่าตนอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว ลุงมั่นจึงรีบกระวีกระวาดสั่งเด็กรับใช้อีกคนที่มาด้วยกันให้เข้าไปช่วยวิศรุตจัดการกับกระเป๋าใบโตก่อนที่ตนจะเดินนำนายน้อยของตระกูลทัดเทวาไปยังรถที่จอดรอรับอยู่ด้านนอก




   วิศรุตมาถึงบ้านในเวลาไม่นานนัก เขามองบ้านหลังใหญ่โตราวกับคฤหาสน์ของตระกูลทัดเทวาอย่างคิดถึง แปดปีเต็มที่เขาไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยนับตั้งแต่เดินทางไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ มันทำให้เมื่อเขาได้กลับมายังบ้านหลังนี้อีกครั้ง ในใจของเขาจึงอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกันจนแยกไม่ออก

   “น้องสาวตัวดีของฉันเป็นยังไงบ้าง” วิศรุตถามลุงมั่นหลังจากที่พ่อบ้านชราเข้ามาบอกเขาว่าเตรียมห้องให้เรียบร้อยแล้ว เพราะเรื่องที่ลุงมั่นโทรไปบอกว่าศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุทำให้เขาต้องรีบบินกลับมาจากอังกฤษ แม้ว่าเขาและศรารัตน์จะเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ลึกๆในใจวิศรุตก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงศรารัตน์ผู้เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากนับเขาเป็นพี่ชายนักก็ตาม

   “คุณหนูเล็กปลอดภัยแล้วครับ ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกเมื่อตอนสายว่าเธอฟื้นแล้ว คุณหนูจะไปเยี่ยมคุณหนูเล็กตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ ผมจะได้บอกให้เด็กเอารถออก” วิศรุตนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธ ถ้าโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วเธอก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ ขืนเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปให้เธอเห็นหน้าตอนนี้มีหวังต้องปะทะฝีปากกันจนอาจทำให้อาการของน้องสาวเขากำเริบก็ได้ ซึ่งลุงมั่นเองก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปทำงานของตนต่อ

   “เดี๋ยวครับลุงมั่น” วิศรุตเรียกเอาไว้ก่อน เขามีเรื่องอยากจะถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับความเป็นไปของบรรดาญาติๆที่ห่างหายกันไปนานโดยเฉพาะคุณวันชัยผู้เป็นอาแท้ๆและภาคิน ญาติผู้พี่ที่เขาไม่ค่อยจะยอมรับนับเป็นญาติเท่าใดนัก

   “คุณวันชัยมาที่นี่บ่อยขึ้นครับนับตั้งแต่คุณท่านทั้งสองจากไปเมื่อสองปีก่อน ส่วนเรื่องที่บริษัท คนแก่อย่างผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่นักแต่ก็พอทราบมาว่าตอนนี้คุณภาคินได้เข้าไปช่วยบริหารงานที่บริษัทในเครือทัดเทวามาได้สักพักแล้วครับ”
วิศรุตส่งเสียงเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะบอกให้ลุงมั่นไปทำงานต่อได้ สิ่งที่สองพ่อลูกนั่นคิดมีเหรอที่เขาจะไม่รู้ นอกจากอยากฮุบกิจการของทัดเทวาทั้งหมดแล้ว บ้านนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่คุณอาของเขาหมายตาไว้ด้วยเพราะมันเป็นคฤหาสน์ที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนจนกระทั่งถึงรุ่นของพ่อเขาและมันจะตกทอดผ่านทางบุตรชายคนโตของตระกูลทัดเทวาเท่านั้น คุณอาของเขาก็คงจะนึกแค้นใจไม่น้อยที่พี่ชายตัวเองได้รับสมบัติตกทอดมากมายที่ตัวเองไม่เคยได้จากคุณปู่ของเขา ถ้าไม่เป็นเพราะสองพ่อลูกนั่นช่วยกันบริหารงานที่บริษัทจนมีกำไรมหาศาลทุกปี เขาก็คงไม่มีเงินถลุงเล่นราวกับเบี้ยอย่างทุกวันนี้เป็นแน่ แค่นอนตีพุงสบายๆอยู่เมืองนอกก็ได้ส่วนแบ่งเงินปันผลจากหุ้นจำนวนมหาศาลที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ที่สำคัญคือเขาไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ถ้าเขาไม่นึกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากสองพ่อลูกนั่น คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านทัดเทวาที่พ่อกับแม่เขารักอย่างเด็ดขาด แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นญาติสนิทอย่างคุณอาวันชัยก็ตาม

   วิศรุตหยุดความคิดเรื่องวันชัยกับภาคินเอาไว้เท่านั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ที่คุ้นเคย พอปลายสายรับก็กรอกเสียงลงไป

   “แกเหรอไอ้โอม ฉันเองวิศรุต ตอนนี้ฉันกลับถึงเมืองไทยแล้ว”



หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่5
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 30-07-2012 12:44:58
   ภาณุเดินเข้ามาในผับหรูหราที่ตกแต่งอย่างมีระดับย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มปฎิเสธบริกรที่จะนำเขาไปที่โต๊ะโดยบอกว่าตนเองนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว ผับแห่งนี้มีนักท่องราตรีเข้ามาใช้บริการไม่มากนักด้วยคงเป็นเพราะค่าบริการที่แพงลิบลิ่วโดยจงใจจำกัดกลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้มีอันจะกินเท่านั้น  ภาณุเดินผ่านฟลอร์เต้นรำไปยังโซนบาร์เหล้า ความมืดสลัวตัดกับแสงสปอร์ตไลท์หลากสีทำให้เขาตาพร่าไปเล็กน้อยก่อนจะต้องเพ่งสายตามองหาคนคุ้นเคยอย่างวิศรุต เพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนานถึงแปดปีเต็ม

   “ไอ้โอม” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อเขาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าคนที่เรียกคือวิศรุตนั่นเอง

   “เฮ้ย ไอ้วิน”ภาณุยิ้มกว้างก่อนจะรีบเดินเข้าไปกอดไหล่อีกฝ่ายด้วยความคิดถึง วิศรุตดูตัวสูงกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งโดดเด่นขับเน้นเสน่ห์บุรุษเพศวัยยี่สิบห้าปีเพิ่มขึ้นไปจากแต่ก่อนมาก ถ้าไม่ได้สังเกตให้ดีอาจจะคิดว่าวิศรุตเป็นดาราหนุ่มหล่อที่มาเที่ยวกลางคืนในสถานบันเทิงแห่งนี้ก็ได้

   ฝ่ายวิศรุตเองก็กอดตอบเพื่อนรักด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่ได้เจอภาณุมานานหลายปี เมื่อได้มีโอกาสได้เจอกันก็ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา เขาดึงภาณุให้นั่งลงที่โซฟาข้างๆตัวเองก่อนจะเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มอีกแก้วสำหรับผู้มาใหม่

   “แกเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่าวะ” วิศรุตถามหลังจากที่ภาณุสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคนที่ถูกถามก็ตอบว่าสบายดีแล้วย้อนถามเจ้าตัวกลับด้วยคำถามเดิม วิศรุตยักไหล่แทนคำตอบก่อนจะบอกว่าเขาเองแม้จะอยู่เมืองนอกแต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆนั่นแหล่ะ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยซักนิด คำตอบนี้ทำเอาภาณุส่ายหัวตะหงิดๆที่เพื่อนรักยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยเดิมสมัยวัยรุ่นเสียทีทั้งที่ตัวเองก็อายุครบเบญจเพสปีนี้แล้ว

   “แล้วนี่แกทำงานอะไรอยู่วะไอ้โอม เป็นสถาปนิคแบบที่แกเคยฝันเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียนหรือว่าเปลี่ยนความฝันใหม่แล้ว”

   “ไอ้สถาปนิคอ่ะเลิกฝันไปตั้งนานแล้วเว้ย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยเบนสายไปเรียนทางด้านบริหารแทน ตอนนี้ก็ช่วยๆงานที่บริษัทอยู่” วิศรุตพยักหน้ารับรู้ ครอบครัวของภาณุมีกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับบริษัทออกแบบและจัดทำเครื่องประดับ การที่อีกฝ่ายเปลี่ยนมาเรียนด้านบริหารก็คงจะช่วยงานธุรกิจของทางบ้านได้มากทีเดียว

   “แล้วแกล่ะจบอะไรมา จบจากคณะวิทยาศาสตร์มาหรือเปล่า” คำพูดที่ตั้งใจจะแซวของภาณุในท้ายประโยคทำให้เขาต้องเบ้หน้า อย่างเขาเนี่ยนะจะไปเรียนต่อทางสายวิทยาศาตร์ แค่พวกเคมี ฟิสิกส์ ชีวะที่เรียนสมัยม.ปลาย เขายังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย วิศรุตถอนใจเฮือกก่อนจะยอมบอกว่าตนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์มา

   “งั้นกลับมาคราวนี้แกคงตั้งใจจะมาช่วยดูแลธุรกิจของทัดเทวาล่ะสิ”

   “เปล่า ที่บริษัทมีญาติฉันช่วยดูแลให้อยู่แล้วแถมดูแลอย่างดีเสียด้วย ก็เลยไม่ต้องเป็นห่วงน่ะ”

   “อย่าบอกนะว่าแกจะทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยเที่ยวลอยชายไปมาแบบนี้น่ะไอ้วิน”

   “ก็เออน่ะสิ ครั้งนี้ฉันไม่ได้กะว่าจะมาอยู่ถาวรเสียหน่อย พอจัดการเรื่องอาการป่วยของยัยน้องสาวคนเก่งเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คงกลับอังกฤษเลย” ภาณุอดไม่ได้ที่จะบ่นเสียดาย เพิ่งจะได้เจอกันแต่อีกไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว ไม่รู้ว่าวิศรุตตั้งใจจะย้ายไปตั้งรกรากที่นั่นตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า

   “เอ้อ ว่าแต่เพื่อนเก่าๆเป็นยังไงกันบ้าง ฉันไปอยู่ที่โน่นไม่ได้ติดต่อใครเลย โชคดีนะเนี่ยที่กลับมาเมืองไทยแล้วยังติดต่อกับแกได้ ดีนะที่แกยังไม่เปลี่ยนเบอร์มือถือ”

   “ฉันรู้ว่าสักวันหนึ่งแกต้องโทรมาไง ก็เลยยังใช้เบอร์เดิมอยู่” ภาณุเย้ากลับเล่นๆก่อนจะบอกเล่าถึงข่าวคราวของเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนให้วิศรุตฟัง

   “ไอ้ทัดที่แกชอบบอกว่าหน้าเหมือนนักเลงน่ะ ตอนนี้กลายเป็นเสี่ยใหญ่เจ้าของบ่อนแถวปอยเปตแล้วนะเว้ย ส่วนไอ้เอกที่บ้านมันทำเฟอร์นิเจอร์ขาย ตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว ได้ข่าวว่าเมียมันโครตสวยเลย แล้วก็ไอ้ปิงที่แกชอบไปล้อมันว่าไอ้หน้าปลิงดูดเลือดอ่ะ เห็นบอกว่าพ่อมันที่เป็นสส.จะส่งมันลงสมัครนักการเมืองท้องถิ่นแถวบ้านนี่แหล่ะ ฉันล่ะคิดหน้ามันไม่ออกเลยว่าเวลาหาเสียงจะทำหน้าแบบปลิงดูดเลือดอีกหรือเปล่า”

วิศรุตหลุดขำคำพูดของภาณุ เขาเป็นคนให้ฉายาปลิงดูดเลือดนี้เองเพราะฝ่ายนั้นชอบทำเป็นหมุนเงินไม่ทันแล้วชอบมาหยิบยืมเงินจากเพื่อนในห้องบ่อยๆทั้งที่ความจริงแล้วต้องการเอาเงินไปแทงโต๊ะบอลนั่นเอง

   “เอ้อ ส่วนไอ้พงศธรป่านนี้ก็คงกลายเป็นวิศวกรหนุ่มไฟแรงอนาคตไกลไปแล้วมั๊ง พวกไอ้ยศที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับมันบอกว่าไอ้นี่เรียนเก่งขั้นเทพ เกือบจะ4.00ทุกเทอม เห็นว่าได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกด้วย นี่ก็คงจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆนี้แล้วแหล่ะ”

 ภาณุพูดถึงพงศธรทำให้เขาพาลนึกถึงอีกคน จากกันไปนานไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เขาไม่เคยรับรู้การเป็นไปของนภัทรอีกเลยนับตั้งแต่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ เรียกให้ถูกก็คือไม่คิดอยากจะรับรู้มากกว่า เขากลัวว่าตัวเองจะย้อนไปคิดถึงเรื่องเก่าๆอีกทั้งที่มันก็ผ่านมานานแล้ว

   “แล้วนภัทรล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ปากเจ้ากรรมอดไม่ได้ที่จะถามออกมาในที่สุด ถึงจะปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่อยากรับรู้เพียงใด แต่ลึกๆในใจเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อ นภัทร อิสรีย์ ยังคงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอย่างมาก ภาณุมองลึกไปในตาสีน้ำตาลโศกของเพื่อนรัก วิศรุตยังไม่ได้ตัดใจจากนภัทรอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆด้วย

   “หมอนั่นไม่เคยกลับมาเยี่ยมที่โรงเรียนอีกเลยหลังจากที่จบม.หก  เห็นไอ้พงศธรเคยพูดว่านภัทรสอบได้ทุนไปเรียนด้านอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะที่อังกฤษ แต่เจ้าตัวขอสละสิทธิ์แล้วก็เลือกที่จะสอบเข้าแพทย์แทน เห็นว่าได้ที่ศิริราชด้วย นี่ก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ป่านนี้ก็คงกลายเป็นหมอเต็มตัวแล้วล่ะ”

ในที่สุดนภัทรก็สอบเข้าศิริราชและได้เป็นหมอสมใจเจ้าตัวแล้ว วิศรุตถอนหายใจบางๆแล้วคิดไปถึงคืนนั้นที่เขาและ นภัทรติดอยู่ในตึกด้วยกัน และวิศรุตคงจะจมอยู่กับความทรงจำในอดีตอีกครั้งถ้าไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากมือของภาณุที่เอื้อมมาแตะไหล่เขาอย่างเข้าใจความรู้สึกดี

“นายยังชอบนภัทรอยู่ใช่ไหม”

   “ฉันพยายามจะลืม แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จสักที” คำพูดของวิศรุตทำให้ตอนนี้ภาณุรู้คำตอบในใจของอีกฝ่ายแล้ว




   เช้าวันนี้ภาคินมาทำงานที่บริษัททัดเทวาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสกว่าปกติ วันนี้จะมีการประชุมบอร์ดผู้บริหารครั้งใหญ่ เขาเชื่อว่าท่านประธานบริษัทที่เป็นแต่เพียงในนามอย่างวิศรุต ทัดเทวาคงจะไม่มาร่วมประชุมแน่ คราวนี้เป็นโอกาสดีที่บรรดาผู้บริหารระดับสูงจะเห็นถึงความไม่เอาถ่านของเพลย์บอยอย่างวิศรุต แล้วเปลี่ยนใจมาสนับสนุนวันชัยพ่อของเขาผู้ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของผู้ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นเป็นประธานกรรมการแทน

   ภาคินเปิดประตูห้องทำงานที่ติดป้ายเอาไว้ว่าหน้าห้องว่าผู้จัดการฝ่ายการเงินเข้าไปด้านในโดยไม่ได้สนใจเลขาสาวหน้าห้องที่มีท่าทางอึกอักราวกับต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเจ้านาย

   “มาทำงานเช้าดีนี่ภาคิน”
เจ้าของห้องตกใจเล็กน้อยที่มีแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของตนเอง แถมอีกฝ่ายยังถือวิสาสะเหยียดขามาพาดไขว้กันวางไว้บนโต๊ะทำงานอีกต่างหาก ภาคินซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มทักทายอีกฝ่าย

   “ได้ข่าวว่านายเพิ่งกลับจากอังกฤษเมื่อวาน พอดีว่าฉันงานยุ่งมากก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมที่บ้าน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

   “นั่นน่ะสิ เจอกันครั้งสุดท้ายก็คงจะตอนที่นายมางานเลี้ยงวันเกิดยัยศราที่บ้านฉันเมื่อแปดปีก่อน แต่เห็นลุงมั่นบอกว่าหลังจากที่ฉันกับศราไปเมืองนอกแล้ว นายกับพ่อก็ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านทัดเทวาบ่อยๆ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา” วิศรุตหันเก้าอี้กลับมาสบตาภาคินอย่างแฝงด้วยความหมายในคำพูดนั้น เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าพ่อลูกคู่นี้กำลังมีจุดประสงค์อะไร บางทีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับศรารัตน์อาจจะไม่ใช่ความบังเอิญก็ได้

   “ฉันกับพ่อก็แค่เข้าไปช่วยดูแลบ้านนั้นให้ตอนที่นายกับศราไม่อยู่ก็เท่านั้นเอง เราเองก็เป็นญาติกันไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันเสียหน่อย”

   “ญาติที่ฉันไม่คิดอยากจะดองด้วยน่ะสิ นายคงจะใช้ชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองของตระกูลทัดเทวามานานหลายปีจนคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้มีสายเลือดของทัดเทวาเลยแม้แต่หยดเดียว”คำพูดจี้ใจดำของวิศรุตสะกิดปมด้อยที่อยู่ภายในใจของภาคิน ความจริงที่ว่าชายหนุ่มเป็นเพียงแค่เด็กชายที่คุณวันชัยและคุณพจนีย์ ทัดเทวาขอมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้าเป็นสิ่งที่เขาหนีไม่พ้นแม้ว่าบัดนี้เขาจะอยู่ในฐานะลูกบุญธรรมของทั้งคู่ก็ตาม ภาคินจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนดุดันก่อนเค้นเสียง

   “นายไม่ควรพูดแบบนี้นะวิศรุต”

   “นายเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นใครแล้วฉันน่ะเป็นใคร ทำไมล่ะ รับความจริงไม่ได้เหรอว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทัดเทวาแม้แต่นิดเดียว” วิศรุตลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ก่อนจะเดินวนรอบตัวภาคิน พร้อมกับเอ่ยพูดจาถากถางอีกฝ่ายไปด้วย สำหรับเขาแล้วภาคินไม่ได้เป็นญาติผู้พี่ แต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่เขาเอาไว้คอยรองมือรองเท้าต่างหาก “การที่นายได้รับโอกาสมากมายอย่างทุกวันนี้ ได้ทำงานเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงิน ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่บ้านหลังใหญ่โต มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กกำพร้าที่พ่อแม้ทิ้งอย่างนาย ดังนั้นอย่าได้หวังสูงไปมากกว่านี้อีกเลย อย่านึกว่าฉันไม่รู้ทันนายสองพ่อลูกนะ” ประโยคสุดท้ายวิศรุตกระซิบข้างหูของภาคินก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มเย็น ไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำมือแน่นด้วยความโกรธกับฐานะของตนที่ถูกกดให้ต่ำต้อยในสายตาของวิศรุต




   หลังจากแวะไปทักทายญาติผู้พี่ในเวลาเข้างานแบบนี้แล้ว วิศรุตก็ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของประธานบริษัทที่อยู่ชั้นสูงสุดของอาคารทัดเทวาทันที แต่เดิมห้องทำงานนี้เป็นของคุณพ่อเขา แต่เมื่อท่านสิ้นบุญไป ห้องนี้ก็กลายเป็นห้องทำงานของเขาที่เข้ามารับตำแหน่งใหญ่นี้ต่อจากผู้เป็นพ่อแทน วิศรุตสั่งอิงอร เลขาหน้าห้องให้ช่วยค้นข้อมูลเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับงานด้านต่างๆของบริษัทในรอบสิบปีนี้มาให้เขาอย่างละเอียดที่สุด เขาจำเป็นต้องศึกษามันก่อนเข้าประชุมบอร์ดผู้บริหารในบ่ายนี้ แต่คำตอบที่ได้จากอิงอรทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

   “เอกสารสำคัญๆทั้งหมด คุณวันชัยได้ให้คนมาเอาไปตั้งแต่หลังจากท่านประธานใหญ่เสียแล้วค่ะ”
นี่มันเรื่องอะไรกัน เอกสารสำคัญสมควรจะอยู่ที่ห้องทำงานของประธานกรรมการถึงจะถูก ทำไมคุณอาวันชัยต้องให้คนมาเอาไปเก็บไว้เองด้วย หรือฝ่ายนั้นจงใจจะปิดบังอะไรเขากันแน่ ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งสงสัย ชายหนุ่มจึงบอกอิงอรว่าตอนนี้ให้เธอไปหามาเท่าที่ทำได้ก่อน ส่วนเอกสารที่เหลือเขาจะไปถามจากวันชัยเอง




   วันชัยเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารกองโตเมื่อเลขาหน้าห้องอินเตอร์โฟนเข้ามาบอกว่าวิศรุตต้องการจะขอพบเขาในตอนนี้ วันชัยนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกให้เชิญเข้ามาได้ ถ้าเขาเดาไม่ผิดฝ่ายนั้นคงจะรู้เรื่องที่เขาเอาเอกสารบริษัทมาเก็บเอาไว้กับตัวจากเลขาหน้าห้องแล้ว หลานชายตัวดีถึงได้มาหาเขาถึงห้องทำงานแบบนี้

   “สวัสดีครับคุณอา” วิศรุตยกมือไหว้ผู้ที่สูงวัยกว่าซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของตนตามมารยาทก่อนที่เจ้าของห้องจะรับไหว้แล้วเชื้อเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งที่โซฟารับแขกตรงมุมห้องด้านหนึ่ง

   “หลานโตขึ้นเยอะจนอาเกือบจะจำไม่ได้เลยนะเนี่ย วันนี้ดูท่าทางฝนจะตกเพราะเป็นครั้งแรกที่อาเห็นหลานเข้าบริษัท” วิศรุตยิ้มให้ถ้อยคำกระแนะกระแหนนั้นก่อนจะออกปากว่าวันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ของบอร์ดผู้บริหาร เขาซึ่งเป็นประธานบริษัทจะไม่มาได้อย่างไร “เห็นหลานเอาการเอางานแบบนี้อาก็ดีใจ จะได้มีคนมาช่วยแบ่งเบางานที่บริษัทเสียที” วันชัยแสร้งถอนหายใจยาวก่อนจะยกถ้วยกาแฟร้อนที่เลขาเพิ่งเอามาเสริ์ฟเมื่อครู่ขึ้นจิบเล็กน้อย

   “เห็นเลขาหน้าห้องของผมบอกว่าคุณอาเป็นคนให้เด็กมาเอาพวกเอกสารสำคัญมาเก็บเอาไว้เอง ผมก็เลยอยากจะมาขอคืนจากคุณอาน่ะครับ” วิศรุตเริ่มเข้าเรื่องทันที เขาไม่ค่อยชอบพูดจาอ้อมค้อมนัก อีกอย่างคือเขาอยากดูปฎิกิริยาตอบกลับของวันชัยว่าถ้าหากเขาขอคืนตรงๆฝ่ายนั้นจะว่าอย่างไร

   “เรื่องเอกสารที่อาต้องเอามาเก็บไว้เองก็เพื่อความปลอดภัย ไม่รู้ว่าเลขาหน้าห้องวินจะเป็นพวกที่บริษัทคู่แข่งเราส่งมาหรือเปล่า ยิ่งพี่วรุตมาด่วนจากไปแบบนี้ยิ่งไม่มีใครมาคอยจับตามองแม่เลขานั่นเข้าไปใหญ่ อาเป็นห่วงเรื่องความลับของบริษัทก็เลยต้องทำแบบนี้”

ได้รับคำตอบมาแบบนี้ วิศรุตเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี แต่ในเมื่อเขาเข้ามารับตำแหน่งนี้แล้ว เอกสารทั้งหมดเขาก็ควรจะเป็นผู้ดูแลเองไม่ใช่ท่านรองประธาน

   “แล้วถ้าผมจะขอคืนล่ะครับคุณอา?” วันชัยหน้าตึงขึ้นมาทันที

   “วินไม่ไว้ใจอาเหรอ”

   “เปล่าครับ พอดีว่าผมอยากจะศึกษาเอกสารพวกนี้ดูคร่าวๆก่อนที่จะเข้าประชุมในตอนบ่าย คุณอาก็ทราบนี่ครับว่าผมไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัททัดเทวาในตอนนี้เลย ถ้าขืนเข้าไปประชุมแบบสมองกลวงแบบนี้ พวกผู้บริหารคนอื่นได้หัวเราะเยาะหลานคุณอากลางที่ประชุมแน่ๆ” ชายหนุ่มเอาน้ำเย็นเข้าลูบก่อนจะเห็นว่าผู้สูงวัยกว่าคลายสีหน้าลงแล้ว เมื่อเห็นว่าวันชัยเริ่มคล้อยตามคำพูดของตน วิศรุตก็รีบหยอดคำพูดต่อทันที “ผมน่ะเหรอครับจะไม่ไว้ใจคุณอา คุณอาเป็นน้องแท้ๆของคุณพ่อ บริษัทนี้คุณอาก็เปรียบเสมือนเจ้าของคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีคุณอาสักคน บริษัททัดเทวาก็คงไม่เติบโตอย่างมั่นคง เช่นทุกวันนี้แน่นอน”

   “เอาเถอะหลานไม่ต้องมาพูดยออามากหรอก เอาเป็นว่าเดี๋ยวอาจะให้เลขาเอาไปให้ที่ห้องทำงานของหลานก็แล้วกัน” วิศรุตขอบคุณอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปศึกษางานต่อที่ห้องทำงานที่อยู่ชั้นบน วันชัยมองตามหลานชายจนกระทั่งฝ่ายนั้นปิดประตูห้องลง ท่านรองประธานมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ รอยยิ้มจากการได้ฟังคำยกยอเมื่อครู่เลือนหายไปจากใบหน้าแต่แทนที่ไว้ด้วยความเย็นชา ผ่านไปครู่ใหญ่วันชัยจึงเรียกให้เลขาของตนเข้ามาขนกองเอกสารที่วิศรุตอยากได้ขึ้นไปให้เจ้าตัว

   “ท่านคะ จะให้ดิฉันขนกองเอกสารพวกนี้ไปให้ท่านประธานจริงๆเหรอคะ” มาลิกาถามด้วยความไม่แน่ใจเพราะเธอทำงานกับวันชัยมานานจนพอจะรู้ว่าเอกสารพวกนี้เป็นข้อมูลสำคัญมาก ถ้าหากวิศรุตรู้ระแคะระคายเรื่องความผิดปกติของข้อมูลพวกนี้แล้วล่ะก็ ทั้งเจ้านายรวมถึงตัวเธอเองด้วยก็จะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน

   “วิศรุตก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืน มันไม่เคยเข้ามาสนใจการงานที่บริษัทเลย มันจะไปรู้อะไร อีกอย่างเอกสารพวกนั้นถึงมันจะจับผิดให้ตายก็ไม่เจอพิรุธอะไรหรอกเพราะว่าเอกสารตัวจริงยังอยู่ที่ฉัน” วันชัยพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เขาไม่โง่ถึงขนาด เอาเอกสารตัวจริงคืนให้วิศรุตหรอก ที่ฝ่ายนั้นได้ไปก็เป็นเพียงแค่ของปลอมตบตาที่เขาให้คนมาตกแต่งบัญชีให้แนบเนียนชนิดมืออาชีพยังแยกแยะไม่ได้เลยว่าเอกสารชุดไหนจริงชุดไหนปลอม

   “แกมันกระดูกคนละเบอร์กับฉัน ไอ้หลานรัก”


จบบทที่5

Aislin : เดี๋ยวเนื้อหาจะค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆนะคะ เพราะนอกจากจะมีเรื่องความรักแล้วก็ยังมีเรื่องของการแย่งชิงอำนาจทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยังไงก็ฝากติดตามต่อเรื่อยๆด้วยจ้า ตอนนี้ขอตัวไปแต่งนิยายที่ค้างไว้ก่อนเน้อ ส่้วนนิยายเืรื่องนี้จะพยายามมาอัพให้บ่อยๆ (ถ้าไม่ติดอะไรจ้า)

ปล. ไปกดLIKEแล้วพูดคุยทักทายกันที่ Fanpageนิยายเรื่องนี้ได้ค่ะ ยินดีๆๆ
http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 30-07-2012 13:09:30
รักไม่ได้ก็เกลียดเลยดีกว่าไม่รู้จักกันสินะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 30-07-2012 13:10:28
กรี้ดดดดดดดสนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆอะชอบ :กอด1: :กอด1: :กอด1:


รออ่านตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 30-07-2012 13:20:47
เนื้อหานิยายสะใจมากค่ะ
เป็นอะไรที่ชวนติดตาม :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 30-07-2012 17:38:07


 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:


อ่านเพลินดี  รัดกุม  มืออาชีพ


 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 30-07-2012 20:09:56
รอตอนต่อไปนะครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 30-07-2012 20:37:31
โอ๊ะโอ.......มาอยู่ในเล้าแล้ว......
สนุกนะเรื่องนี้......หนังสือข้าพเจ้าก็มีแล้ว....
อ่านแล้วอ่านอีก....แต่ขอบอกนิดนึง..แหะ ๆ ..ตัวหน้งสือเล็กไปหน่อย...
แต่เรื่องนี้ดีจริงนะ...ตามอ่านอีกแน่นอน..... o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 30-07-2012 21:08:31
 o13.   อย่าดูถูกเด็กเมื่อวานซืนค่ะเดี๋ยวจะโดนเด็กถอนหงอกเอา


สนุกมากค่ะเป็นกำลังใจนะค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: irksome ที่ 30-07-2012 21:22:23
 :mc4: ติดตามๆ
มาเยอะดี ชอบ  o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: frenzy19 ที่ 30-07-2012 22:09:07
 o13 o13 o13 สนุกมากเลยจ้าาา  มาต่ออีกๆอยากอ่านต่อออ   แล้ววว  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 31-07-2012 00:24:59
เนื้อเรื่องเข้มข้น
 มาต่อไวๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 31-07-2012 11:22:25
บทที่ 6


   “ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”ศรารัตน์ยิ้มให้ต้นอ้อ พยาบาลสาวอัธยาศัยดีที่หญิงสาวเพิ่งจะมีโอกาสได้ถามชื่อของอีกฝ่ายในตอนเย็นของเมื่อวานตอนที่ฝ่ายนั้นมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเธอ “ท่าทางคุณดูสดชื่นแบบนี้ พักฟื้นอีกไม่นานต้องหายเป็นปกติแน่นอนค่ะ” คนป่วยเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนถามขึ้น

   “แล้วฉันต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่คะ? ได้แต่นอนอยู่แบบนี้ ฉันเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

   “อันนี้คงต้องรอถามคุณหมอเองแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้คุณหมอติดตรวจอาการคนไข้อีกรายอยู่ อีกสักพักก็คงมาเช็คร่างกายให้คุณค่ะ” ศรารัตน์แอบเบ้หน้า คุณหมอสมชายเจ้าของไข้เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอไม่อยากเจอหน้าเอาเสียเลย ด้วยเพราะฝ่ายนั้นชอบทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลาราวกับมีเรื่องที่ต้องคิดให้เครียดสมองมากมาย มันทำให้เมื่อเธอมองหน้าคุณหมอสมชายทีไรก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือฝ่ายนั้นเป็นคุณหมออายุก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าๆแล้ว ขืนเธอต้องทนเจอหน้าคุณหมอสมชายทุกวัน มีหวังคงได้เฉาตายกันพอดี

   “ที่ฉันเบื่อเนี่ย ส่วนหนึ่งก็เบื่อคุณหมอเจ้าของไข้ของตัวเองนี่แหล่ะค่ะ” ต้นอ้อยิ้มให้ศรารัตน์ที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเฉลยให้อีกฝ่ายฟัง

   “งั้นอีกหน่อยคุณก็คงไม่ต้องทนเบื่อแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าคุณหมอสมชายจำเป็นต้องบินด่วนไปศึกษางานวิจัยที่เมืองนอก คุณหมอท่านก็เลยโอนเคสของคุณให้คุณหมออีกท่านรับดูแลต่อน่ะค่ะ รับรองว่าคราวนี้คุณคงหายเบื่อแน่ๆ เพราะอ้อไม่เห็นว่าพวกพยาบาลที่วอร์ดนี้เค้าจะบ่นกันเลยสักครั้ง” ศรารัตน์นึกขอบคุณในใจที่คุณหมอสมชายติดงานวิจัยที่เมืองนอก หวังว่าคุณหมอคนใหม่คงจะไม่แย่ไปกว่าคนเดิมนะ เพราะถ้าอย่างนั้นก็ไปตามหมอสมชายกลับมาเสียดีกว่า

   “มาค่ะ เดี๋ยวฉันปรับเตียงให้ คุณจะได้เอนหลังได้สะดวก เอ้อ คุณหมอมาพอดีเลย” เสียงเปิดประตูห้องทำให้ศรารัตน์หันไปมอง
บุคคลผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวที่ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าเธอไม่เท่าไหร่นัก ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นอยู่ภายใต้แว่นตาเลนส์บางไร้กรอบตามสมัยนิยม ใบหน้าได้รูปที่รับกับจมูกที่โด่งเป็นสันยิ่งทำให้คนตรงหน้าชวนมองเข้าไปอีก ถ้าไม่ใช่เสื้อกราวน์ตัวยาวที่อีกฝ่ายกำลังสวมอยู่ ศรารัตน์คงไม่รู้เลยว่านี่คือคุณหมอคนใหม่ที่จะมาดูแลเคสของเธอแทนหมอสมชาย ศรารัตน์คงจะเสียมารยาทจ้องหน้าอีกฝ่ายต่อไปเรื่อยๆหากว่าต้นอ้อไม่เข้ามาสะกิดเธอให้รู้สึกตัวเสียก่อน

   “สวัสดีครับ หมอชื่อนภัทร จะมารับหน้าที่เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณแทนคุณหมอสมชาย คิดว่านางพยาบาลคงจะแจ้งให้คุณได้ทราบแล้ว”

ศรารัตน์รับคำยิ้มๆแล้วบอกว่าเธอเพิ่งจะรู้เมื่อสักครู่นี้เอง ใครจะไปนึกว่าคุณหมอนภัทรคนนี้จะแตกต่างกับคุณหมอสมชายราวฟ้ากับดินแบบนี้ล่ะ ดวงตายาวรีของหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะลอบมองคุณหมอสุดหล่ออยู่ตลอดเวลาในขณะที่ฝ่ายนั้นตรวจเช็คร่างกายของเธอ ใบหน้าหล่อคมของหมอนภัทรเหมือนมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่ตลอด ทำให้คนที่แอบชำเลืองตามองอยู่แทบละสายตาไปไม่ได้เลยทีเดียว

   “ช่วงนี้มีอาการเจ็บหรือว่าปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ?” นภัทรถามคนไข้ของเขาพร้อมรอยยิ้มขำ เขานึกรู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองเขามาตั้งแต่ที่เริ่มตรวจแล้ว แถมบางครั้งยังเผลอจ้องหน้าเขาเหมือนกับว่าเขามีอะไรติดอยู่บนหน้าอย่างนั้นแหล่ะ

   “ก็ยังปวดซี่โครงตรงจุดเดิม แล้วบางครั้งก็จะรู้สึกว่าปวดขาแบบเจ็บแปลบๆ บางทีฉันก็รู้สึกว่าบังคับขาตัวเองไม่ได้เลยค่ะ” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะวิเคราะห์อาการจากคำบอกเล่าของศรารัตน์

   “เรื่องซี่โครงถ้าดูจากฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่นัก ถ้าได้พักฟื้นสักพักอาการปวดก็จะดีขึ้นเอง ส่วนเรื่องที่คุณรู้สึกว่าปวดขา หมอคิดว่าคงจะเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการผ่าตัดซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องอาศัยการทำกายภาพบำบัดเข้าช่วยนะครับ”

   “แล้วฉันจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่คะหมอ?”

   “ช่วงนี้ต้องรอดูอาการก่อนนะครับ หมอเองก็ยังบอกแน่นอนไม่ได้เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ใช่อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่เมื่อทำแผลแล้วก็กลับบ้านได้ ผมอ่านจากรายงานอาการของหมอสมชายแล้ว ที่คุณสามารถรอดชีวิตมาได้แถมยังโชคดีไม่พิการอีก เท่านี้ก็น่าทึ่งมากแล้วล่ะครับ” ศรารัตน์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หมอนภัทรพูดเสียจนน่ากลัวเชียว

   “ถ้าอย่างนั้นคงต้องยกความดีให้คุณหมอสมชายแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ได้ทัน ฉันก็อาจจะตายไปแล้วหรือไม่ก็คงพิการแบบที่คุณหมอบอกจริงๆ” นภัทรยิ้มให้ผู้ป่วยสาวสวยตรงหน้าแทนคำตอบ เขาหยิบแฟ้มรายงานประจำตัวของคนไข้มาเปิดก่อนจะเขียนบันทึกอาการจากคำบอกเล่าของศรารัตน์ลงไปก่อนจะสรุปปิดท้ายสำหรับการตรวจในวันนี้

   “ยังไงก็พักผ่อนมากๆนะครับ ช่วงนี้หมออยากให้งดอาหารหนักๆไว้ก่อนเพราะร่างกายคุณยังไม่ฟื้นตัวดี ถ้างั้นเดี๋ยวจัดการด้วยนะคุณพยาบาล” ประโยคสุดท้ายหมอนภัทรหันไปสั่งพยาบาลสาวทำนองว่าอย่าลืมเอาป้ายงดอาหารหนักมาแขวนไว้หน้าห้องผู้ป่วยด้วยซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำอย่างรู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดี

   หลังจากตรวจอาการศรารัตน์เสร็จเรียบร้อย นภัทรจึงขอตัวไปตรวจคนไข้ห้องอื่นต่อซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแม้ว่าในใจอยากจะให้คุณหมอนภัทรใช้เวลาตรวจอาการของเธอให้นานกว่านี้ก็ตามที

   “คราวนี้ยังเบื่ออีกหรือเปล่าคะ?” พยาบาลต้นอ้อกระเซ้าถามยิ้มๆ เธอสังเกตเห็นตอนที่ศรารัตน์เห็นหน้าหมอนภัทรครั้งแรกก็ถึงกลับเคลิ้มไปเลย คราวนี้คนตรงหน้าคงได้ยาดีแล้วกระมัง

   “ว่าแต่คุณหมอนภัทรอายุประมาณเท่าไหร่เหรอคะ? เหมือนคุณหมอเพิ่งจบใหม่ๆเลย” ที่ศรารัตน์ถามแบบนี้ก็เพราะว่าหน้าตาของนภัทรดูไม่น่าจะเกินอายุสามสิบเลยซักนิด โรงพยาบาลที่เธอรักษาตัวอยู่นี้เป็นโรงพยาบาลชื่อดัง คงจะไม่มีทางยอมรับหมอที่เพิ่งจบใหม่แล้วก็ยังไม่มีประสบการณ์เข้าร่วมเป็นทีมแพทย์ของโรงพยาบาลแน่ ด้วยเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงด้านคุณภาพในการรักษาพยาบาล

   “คุณหมอนภัทรเป็นคุณหมอหนุ่มไฟแรงเพิ่งเรียนจบจริงๆอย่างที่คุณว่านั่นแหล่ะค่ะ คุณหมอถือเป็นลูกศิษย์คนโปรดของคุณหมอสมชายเลยล่ะค่ะ เห็นพวกพยาบาลคนอื่นเค้าเคยคุยกันว่าคุณหมอนภัทรเนี่ยเก่งมากถึงขนาดคุณหมอสมชายไว้ใจให้ดูแลเคสใหญ่ๆตั้งหลายต่อหลายครั้ง” คำตอบของพยาบาลสาวตอบคำถามที่คาใจของศรารัตน์ได้อย่างดี ทั้งเก่งมีความสามารถแถมยังรูปหล่อแบบนี้ มิน่าล่ะถึงได้มาเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชั้นนำแบบนี้ได้ ศรารัตน์อมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง เธอชักจะสนใจคุณหมอนภัทรคนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว




   วิศรุตเดินออกจากห้องประชุมด้วยสีหน้าที่แสดงชัดว่ากำลังไม่สบอารมณ์เต็มที่ ประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมผู้บริหารของบริษัทในวันแรกเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เขานัก ตลอดการประชุมเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมาเขาต้องคอยตอบคำถามโน่นนี่ของบรรดาผู้บริหารทั้งหลายถึงเรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างความเติบโตให้กับกิจการภายใต้การนำของเขาได้ ต้องฟังเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนถึงเรื่องที่เขาไม่เคยเข้ามาบริหารงานในบริษัทเลยทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงประธานบริษัท และที่หนักที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่คุณมงคล กรรมการผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งลุกขึ้นมาพูดจาสบประมาทถึงความไม่มีน้ำยาในการ ทำงานของเขาอย่างไม่ไว้หน้า วิศรุตจึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันงานประชุมผู้บริหารหรืองานพิพากษาโทษของเขากันแน่

   “เดี๋ยวก่อนคุณวิศรุต” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาด้านหลัง ทำให้วิศรุตหันกลับไปมอง ตาแก่มงคลตัวแสบนั่นเอง

   “มีอะไรจะชี้แนะผมอีกเหรอครับคุณมงคล?” วิศรุตถามตอบด้วยเสียงยียวน ในใจยังคุกรุ่นถึงเรื่องในห้องประชุมอยู่

   “ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่าในฐานะประธานบริษัทที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่ จะคิดหรือจะทำอะไรก็ขอให้พิจารณาเอาไว้ให้มากๆ กริยาเมื่อครู่ที่คุณลุกเดินออกมาจากห้องทั้งที่การประชุมผู้บริหารยังไม่เสร็จสิ้นมันไม่ใช่สิ่งที่ประธานบริษัทอย่างคุณควรกระทำ ถ้าคิดจะเป็นผู้บริหารก็จะต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่วิศรุตก็ตอกกลับด้วยแววตาแข็งกร้าวแบบไม่ยอมเช่นกัน

   “จะให้ผมนั่งปั้นหน้าทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนฟังคนอื่นรุมด่าผมทีละคนหรือยังไงครับคุณลุง”

   “คุณควรจะมีความอดทนอดกลั้นให้มากกว่านี้”

   “ขอบคุณครับที่เตือน แต่ขีดจำกัดความอดทนของผมมีน้อยจริงๆและผมเองก็จะไม่ทนอะไรที่ไม่อยากทนเช่นกัน”วิศรุตพูดจบก็หันไปสั่งอิงอรให้บอกคนรถเตรียมเอารถออกให้เขาด้วยก่อนเจ้าตัวจะเดินลิ่วลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างเพื่อรอรถทันทีโดยที่มงคลได้แต่มองตามแล้วส่ายหัวในนิสัยดื้อรั้นของบุตรชายคุณวรุต ทัดเทวา ประธานบริษัทคนก่อนที่ผู้ถือหุ้นทุกคนให้การยอมรับในความสามารถแบบไม่มีข้อสงสัย

   “เค้าก็ดื้อรั้นอย่างนั้นเป็นประจำแหล่ะครับคุณมงคล วิศรุตเคยยอมฟังใครเสียที่ไหนกัน” วันชัยและภาคินเดินเข้ามาหามงคลหลังจากที่วิศรุตลงลิฟต์ไปแล้ว

 “คุณลุงมงคลก็อย่าถือสาวิศรุตเลยนะครับ เขาอาจจะยังเป็นมือใหม่ คงยังไม่คุ้นกับการบริหารงานคนหมู่มากแบบนี้ เราคงต้องให้เวลาเขาได้พิสูจน์ฝีมือบ้าง” ภาคินช่วยเสริมคำพูดของพ่อ ยิ่งวิศรุตไม่ลงรอยกับบรรดาผู้ถือหุ้นเพียงใด เขากับพ่อก็จะยิ่งได้ประโยชน์เท่านั้น

   “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณภาคินพูด แล้วก็หวังว่าคุณวิศรุต ทัดเทวาจะได้พิสูจน์ตัวเองเสียทีว่าตนเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดนี้หรือเปล่า” สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่ค่อยพอใจวิศรุตนัก ทำให้ภาคินต้องแอบเบือนหน้าไปยิ้มร้ายกับวันชัยด้วยความสะใจ อีกไม่นานวิศรุตคงต้องถูกบีบให้ลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน





   วิศรุตขับรถตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลย วันนี้ทั้งวันเขาคงไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจจึงกลับรถเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลแทน เขากลับมาเมืองไทยได้สองวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมน้องสาวเสียที ตอนนี้ยิ่งอารมณ์เซ็งๆอยู่พอดี บางทีการได้ทะเลาะกับฝ่ายนั้นคงจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

   เขาสอบถามห้องพักของศรารัตน์จากเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องผู้ป่วยที่อยู่ชั้นสามของตึกเดียวกัน ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องที่ว่า วิศรุตมองป้ายชื่อเล็กๆหน้าห้องก่อนจะพบว่าน้องสาวเขาพักฟื้นอยู่ห้องนี้ไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มเคาะประตูสองสามทีก่อนเปิดเข้าไปเลยโดยไม่รอให้คนในห้องอนุญาต

   “นิสัยยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ เคยไร้มารยาทยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ผิด” ศรารัตน์ที่นอนอยู่บนเตียงหันหน้าไปทางผู้มาใหม่ ถึงแม้ไม่ได้เจอกันเกือบปีเพราะว่าเธอกลับมาเมืองไทยก่อนวิศรุต แต่ศรารัตน์ก็ไม่ค่อยรู้สึกยินดียินร้ายหรือว่าคิดถึงวิศรุตเท่าใดนัก ไม่เหมือนพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานกือบปีเลยซักนิด

   “ฉันเคาะประตูแล้ว หรือว่าเธอไม่ได้ยิน สงสัยคราวหน้าคงต้องเคาะให้ดังกว่านี้” วิศรุตแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ

   “ฉันได้ยิน แต่นายก็ควรจะรอให้ฉันอนุญาตเสียก่อน ทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้มันเสียมารยาท ขืนฉันกำลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่จะว่ายังไง” ศรารัตน์อดส่งเสียงแหวใส่ผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ค่อยคิดเลย

   “ถึงจะเห็นตอนเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ทีตอนเด็กๆล่ะไม่รู้จักอาย ชอบเดินแก้ผ้าโทงๆไปทั่วบ้าน” ศรารัตน์หน้าแดงก่ำที่ถูกอีกฝ่ายเอาเรื่องเก่ามาประจาน หญิงสาวคว้าหมอนที่หนุนอยู่ปาไปที่คนปากเสียทันที วิศรุตมาไม่ทันไรก็ ทำเธอของขึ้นอีกแล้ว ฝ่ายนั้นต้องการมายั่วโมโหกันชัดๆ

ส่วนวิศรุตก็รับหมอนที่ปามาได้ทันก่อนที่จะโดนหน้าตัวเองเข้าไปเต็มๆ ชายหนุ่มหัวเราะร่าก่อนจะเอาหมอนไปวางไว้ที่เดิมแล้วพูดขึ้น “ป่วยแบบนี้ยังจะมีแรงมาอาละวาดอีก เอ้อ ลืมไปว่าผู้หญิงอย่างนางสาวศรารัตน์ ทัดเทวาทั้งทนและ...ถึก” ทันทีที่พูดจบตระกร้าผลไม้ก็ลอยไปหาวิศรุตทันที ฝ่ายนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อนอยู่แล้วจึงใช้มือรับไว้ได้ทันอีกครั้ง

   “ที่มาเนี่ยจะมายั่วโมโหฉันใช่ไหม?”

   “ก็แค่จะมาดูว่าเธออาการเป็นไงบ้าง พิกลพิการส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าถึงขั้นเสียโฉมล่ะแย่เลยเพราะหนุ่มๆคงหายหมด อาจต้องลงประกาศหาคู่ในหนังสือพิมพ์แบบในมาลัยไทยรัฐ ประมาณว่ารับสมัครผู้ชายเสียสติเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองของทายาทเศรษฐีตระกูลดังที่เสียโฉมจากอุบัติเหตุรถคว่ำอย่างนางสาว ศรารัตน์ ทัดเทวา”

   “วิศรุต” สีหน้าแดงก่ำของคู่สนทนาบอกให้เขารู้ว่าน้องสาวตนคงกำลังโมโหอย่างถึงที่สุด ถ้าไม่ติดวว่ากำลังป่วยอยู่ล่ะ ก็ เธอคงลุกขึ้นมาวิ่งไล่ทุบหลังเขาจนกระอักไปแล้วเหมือนอย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ
วิศรุตหัวเราะร่วน ความเครียดจากเรื่องที่บริษัทได้ถูกระบายไปกับศรารัตน์แล้วส่วนหนึ่ง แต่เมื่อน้องสาวเขาเปิดประเด็นเรื่องการประชุมเมื่อบ่ายขึ้นมาก็ทำให้วิศรุตอดที่จะหงุดหงิดอีกรอบไม่ได้

   “คุณอิงอรเพิ่งโทรบอกฉันว่าตอนบ่ายนายถูกพวกกรรมการบริหารเฉ่งเละเสียจนไม่มีดีกลางห้องประชุมเลย เป็นยังไงล่ะขายขี้หน้าเขาไหม ลูกชายคนเดียวของคุณวรุต ทัดเทวากลับไม่เอาอ่าวเรื่องการเรื่องงานเลยซักนิด ดีแต่ใช้เงินมือเติบไปวันๆ” ได้ทีศรารัตน์ก็สวนกลับบ้าง พี่ชายคนนี้มีดีให้น้องสาวอย่างเธอชมเชยเสียเมื่อไหร่ จะดีก็ตรงเรียนจบเกียรตินิยมจากเมืองนอกเนี่ยแหล่ะ ส่วนเรื่องอื่นก็มักจะทำให้วงศ์ตระกูลต้องขายหน้าอยู่ร่ำไปโดยเฉพาะเรื่องความเสเพลนี่แก้ไม่หายเอาไม่อยู่จริงๆ

   “ที่ฉันเข้าบริษัทเนี่ยไม่ได้กะว่าจะเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวเสียหน่อย วันนี้ที่เข้าไปก็แค่เห็นว่ามีประชุมใหญ่ผู้บริหารพอดี ก็เลยต้องเข้าประชุมตามหน้าที่ประธานบริษัทที่ดีก็เท่านั้นแหล่ะ”

   “เห็นว่าท่านประธานถึงกับทนไม่ได้ลุกออกจากที่ประชุมเลยนี่นา ทำแบบนี้แล้วผู้บริหารคนอื่นเค้าจะคิดยังไงกันเนี่ย”

   “ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้กะจะมาทำงานจริงๆจังๆในตอนนี้ ฉันก็แค่แวะมาช่วยดูบริษัทตอนที่เธอกำลังนอนพะงาบๆอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะ พอเธอหายดีกลับมาทำงานได้แล้ว ฉันก็จะได้กลับอังกฤษเสียที”

   “นี่ยังคิดจะกลับไปใช้ชีวิตเสเพลที่อังกฤษอีกเหรอเนี่ย เรียนก็เรียนจบแล้ว งานการที่นี่มีก็ไม่รู้จักทำ ถามจริงเหอะคนอย่างนาย ชีวิตนี้จะรู้จักการทำงานหาเงินบ้างไหม หรือว่ารู้จักแต่การใช้เงินอย่างเดียว” วิศรุตชักสีหน้าใส่แม่น้องสาวตัวดีที่ทำหน้าที่เทศนาเขาเสียจนหูยาน ไม่รู้ว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่

   ‘ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นส่งผลให้สงครามน้ำลายหยุดอยู่แค่นั้น วิศรุตเม้มปากแน่น คงจะไม่ดีนักถ้าจะมาทะเลาะกับคนป่วยต่อหน้านางพยาบาลแบบนี้ วิศรุตหันหลังยืนกอดอกทันทีในขณะที่ศรารัตน์ส่งเสียงเป็นเชิงอนุญาตให้เข้ามาได้

   “อ้าว คุณหมอนั่นเอง ยังไม่ออกเวรเหรอคะ?” พอรู้ว่าเป็นหมอไม่ใช่นางพยาบาลที่เข้ามาในห้อง วิศรุตก็หันหลังกลับมาเผชิญหน้าอีกฝ่ายทันที เขาอยากจะถามหมออยู่พอดีเลยว่าศรารัตน์จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ เพราะยิ่งน้องสาวเขากลับไปทำงานได้ไวเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเป็นอิสระได้เร็วเท่านั้น แต่ทว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้เขาตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น ซึ่งอีกฝ่ายพอมองเห็นหน้าเขาก็ชะงักไปเช่นกัน วิศรุตบังคับสายตาให้เบนไปจากดวงตาสีถ่านที่คุ้นเคยก่อนจะไล้สายตาลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดที่ป้ายชื่อกลัดหน้าอกที่เสื้อกราวน์ของฝ่ายนั้น วิศรุตกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่ผิด คนตรงหน้าเขาคือ...นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์


จบบทที่6
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 31-07-2012 11:27:53
บทที่ 7


   “เอ่อ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าคะ?” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบที่ปกคลุมคนทั้งคู่อยู่ หญิงสาวมองวิศรุตแล้วหันไปมองนภัทรด้วยสีหน้างุนงง สองคนนี้จ้องหน้ากันราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นแหล่ะ

นภัทรรู้สึกตัวตอนที่ศรารัตน์ถามตน คุณหมอหนุ่มแกล้งกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะรีบพูด

   “คือว่าผมหาแฟ้มเอกสารเรื่องงานวิจัยไม่เจอน่ะครับ พอดีว่าตอนเช้าหยิบติดมือออกมาด้วยตอนที่ออกมาตรวจคนไข้ ไม่แน่ใจว่าลืมเอาไว้ที่นี่หรือเปล่า ผมก็เลยแวะมาดูเผื่อจะเจอ” ศรารัตน์ช่วยนภัทรมองหาแฟ้มที่ว่าแต่ก็ไม่เจอ

   “คุณหมอคงไม่ได้ลืมไว้ที่นี่หรอกค่ะ เแต่เอาไว้ถ้าเกิดเจอมันอยู่ในห้องนี้เดี๋ยวฉันจะฝากพยาบาลไปคืนให้ก็แล้วกันนะคะ” นภัทรเอ่ยขอบคุณในความมีน้ำใจของอีกฝ่ายก่อนจะปรายตามองไปทางวิศรุตที่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไร ศรารัตน์เห็นสายตาของนภัทรพอดีจึงจำเป็นต้องเอ่ยแนะนำวิศรุตอย่างเสียไม่ได้

   “คุณหมอคะ นี่พี่ชายแท้ๆของฉันเองค่ะ ชื่อวิศรุต” ศรารัตน์หันไปทางพี่ชายตัวเองแล้วแนะนำอีกฝ่ายบ้าง “นี่คุณหมอ นภัทร คุณหมอเจ้าของไข้ของฉัน” วิศรุตมองหน้านภัทรอีกครั้งก่อนเอ่ยคำว่าสวัสดีออกมาด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นภัทรเองก็เอ่ยตอบด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน

   “คุณหมอทำท่าเหมือนรู้จักพี่ชายของฉัน สองคนเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ?” ศรารัตน์หันไปถามนภัทรที่เริ่มทำหน้าไม่ถูกแต่วิศรุตชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

   “เปล่าหรอก ฉันกับคุณหมอนภัทรเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายทันที เขาไม่รู้ว่าวิศรุตกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้บอกกับศรารัตน์ไปอย่างนั้น แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ยอมรับว่ารู้จักกับเขา เขาเองก็ได้แต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้น

   “ผมกับคุณ...เอ้อ...วิศรุตเราจะเคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไรล่ะครับ ที่ผมเสียมารยาทจ้องหน้าคุณวิศรุตเมื่อครู่ ก็เพราะนึกคุ้นหน้าที่เหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งของผมตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย แต่พอมองดีๆก็รู้ว่าไม่ใช่” คนที่ถูกพาดพิงถึงกับสะอึกในสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมา เขายังไม่พร้อมตอบคำถามศรารัตน์ในตอนนี้ ถ้าหญิงสาวรู้ว่าทั้งเขาและนภัทรเคยรู้จักกันมาก่อนแถมเขายังไปหลงรักอีกฝ่ายอย่างหัวปักหัวปำ น้องสาวของเขาวีนแตกลั่นโรงพยาบาลแน่เพราะวิศรุตมั่นใจว่าศรารัตน์ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเรื่องที่ว่าเขาเป็นเกย์

   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” นภัทรรีบขอตัวเดินออกมาจากห้องโดยไม่ยอมสบตากับวิศรุตเลย
แม้ว่าจะสงสัยในอาการแปลกๆของหมอนภัทรและพี่ชายตนเองที่บอกว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผู้หญิงฉลาดอย่างศรารัตน์ก็พอจะมองออกว่าเรื่องนี้มีนัยยะอย่างแน่นอน หญิงสาวจึงมาคาดคั้นเอากับวิศรุตหลังจากที่นภัทรออกไปแล้ว

   “นายไม่เคยรู้จักหมอนภัทรมาก่อนจริงๆเหรอ?”

   “ก็จริงน่ะสิ เมื่อกี้คุณหมอก็ยืนยันเองว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

“แต่ฉันเห็นนายกับหมอนภัทรดูท่าทางแปลกๆชอบกล”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันจะไปรู้จักกับคุณหมอนภัทรอะไรนั่นได้ยังไงล่ะ” วิศรุตยืนยันเสียงเข้มก่อนพยายามตัดบทบอกให้น้องสาวพักผ่อนได้แล้ว ศรารัตน์ยอมทำตามแต่โดยดีแม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยข้อสงสัยก็ตามที





หลังจากที่แน่ใจว่าแม่น้องสาวตัวดีหลับสนิทแล้ว วิศรุตจึงลอบระบายลมหายใจแรง ชายหนุ่มไม่มั่นใจว่าศรารัตน์จะระแคะระคายเรื่องในอดีตระหว่างเขากับนภัทรหรือไม่ แต่น้องสาวเขาเป็นคนฉลาด อีกไม่นานคงต้องนึกสงสัยแน่ แล้วถึงตอนนั้นเขาจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี

วิศรุตหมุนลูกบิดเปิดประตูอย่างเบาเสียงเพราะไม่อยากทำเสียงดังรบกวนคนป่วยที่นอนพักผ่อนอยู่ ในใจก็นึกไปถึงคนๆนั้นที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เขามีหลายเรื่องที่อยากพูดคุยกับฝ่ายนั้น มีถ้อยคำมากมายที่อยากส่งผ่านให้ฝ่ายนั้นรับรู้บ้างถึงแม้ว่ามันจะส่งไปไม่ถึงหัวใจด้านชาของนภัทรเลยก็ตาม แต่วิศรุตกลัว...กลัวการเผชิญหน้ากับนภัทรในเวลาและสถานการณ์แบบนี้

   “ไม่ได้เจอกันนานนะ” คำพูดลอยๆแต่สามารถทำให้วิศรุตชะงักหยุดอยู่กับที่ คนที่ถูกเรียกชื่อค่อยๆหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับคนพูดอย่างช้าๆ วิศรุตช้อนตาสีน้ำตาลโศกคู่สวยมองฝ่ายนั้นเต็มสองตา

นภัทรที่กำลังยืนหันหลังพิงกำแพงด้านนอกห้องพักผู้ป่วยอยู่ก็มองตอบมาด้วยแววตาที่วิศรุตเองก็ไม่เข้าใจความหมาย แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นแววตาเชือดเฉือนเย็นชาแบบที่นภัทรเคยมีให้เขาบ่อยๆตอนสมัยเรียน

   “นายก็ยังเหมือนเดิมนะ” วิศรุตทักตอบพลางฝืนยิ้มบางๆให้ แล้วก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดทำลายความเงียบดี

   “แล้วนายล่ะ ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า?” คำพูดแฝงนัยของนภัทรที่ถามกลับทำเอาวิศรุตถึงกับตอบไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งจนนภัทรทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางอ้ำอึ้งของคนตรงหน้า ก่อนคุณหมอหนุ่มจะเปลี่ยนมาพูดเรื่องของศรารัตน์แทน “คิดไม่ถึงว่าคนไข้ของฉันจะเป็นน้องสาวของนาย” นภัทรไม่ได้เอะใจเลยว่าศรารัตน์ใช้นามสกุลทัดเทวาจนกระทั่งได้มาเจอกับวิศรุตโดยบังเอิญอีกครั้งหนึ่งในห้องของคนไข้ที่เขาดูแลอยู่

   “ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่านายจะเป็นหมอเจ้าของไข้ของยัยศราน้องสาวฉัน” นภัทรไหวไหล่แล้วบอกว่า

   “โลกนี้ช่างมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นมากมายจริงๆ เช่น...เรื่องของฉันกับนาย”

   “นายจะพูดอะไร?” เสียงที่เข้มขึ้นและห้วนตวัดบอกได้อย่างชัดเจนว่าวิศรุตเริ่มไม่พอใจคำพูดของฝ่ายนั้นขึ้นมาบ้างแล้วก่อนชายหนุ่มจะขึงตาใส่คนพูดจนอีกฝ่ายต้องพูดแก้แต่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ที่มุมปากเช่นเดิม

   “ฉันแค่หมายความว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ฉันกับนายได้มาเจอกันวันนี้ไง นายเข้าใจว่าอะไรล่ะ?” วิศรุตปฎิเสธเสียงห้วนสั้นว่าเปล่า ก่อนจะผินหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ “กลับมาจากอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่?” จู่ๆนภัทรก็เปลี่ยนเรื่อง ทำเอาวิศรุตปรับอารมณ์ตามไม่ค่อยทันแต่ก็ยอมตอบคำถามนั่นแต่โดยดี

   “ไม่กี่วันนี้เอง พอดีที่บ้านโทรไปบอกว่ายัยศราเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล ฉันก็เลยต้องมาดูหน่อย” นภัทรพยักหน้าเชิงว่ารับรู้ก่อนคุณหมอจะนิ่งไปซักพักแล้วตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุด

   “ไปหากาแฟดื่มสักถ้วย แล้วนั่งคุยกันดีไหม? จะได้ย้อนคุยถึงเรื่องเก่าๆสมัยเรียนยังไงล่ะ” วิศรุตกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วตัดใจเอ่ยปฎิเสธคำชวนของคุณหมอหนุ่มตรงหน้า

   “อย่าดีกว่า รบกวนเวลานายเปล่าๆ อีกอย่างฉันไม่อยากไปย้อนคิดเรื่องเก่าๆอีกแล้ว” เรื่องของเขากับนภัทรมันจบลงตั้งแต่คืนนั้น คืนที่นภัทรปฎิเสธความรักของเขาอย่างไม่ไยดี เรียกให้ถูกก็คือมันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ แค่คิดมาถึงตรงนี้ วิศรุตก็รู้สึกสมเพชตัวเองเต็มทน ชายหนุ่มยิ้มขื่นกับตัวเองก่อนหมุนตัวตั้งใจจะเดินหนีไปจากตรงนั้น วิศรุตรู้สึกว่าตังเองเริ่มทนกับสายตาแบบนี้ของนภัทรที่มองมาไม่ได้อีกต่อไป

   “ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าครั้งนี้เราจะต้องกลายมาเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม” นภัทรพูดไล่หลังเขา

   “สักวันนายอาจจะนึกเสียใจก็ได้ ที่เราได้มาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง” วิศรุตพูดเบาๆกับตัวเองโดยไม่ได้หันกลับไปมองนภัทร




   การดำเนินชีวิตประจำวันของวิศรุตไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนักหลังจากที่ได้พบนภัทรอีกครั้งที่โรงพยาบาลในวันนั้น ชายหนุ่มเข้ามาทำงานในออฟฟิสบ้างบางวันเพื่อไม่ให้ผู้บริหารและบรรดาพนักงานคนอื่นๆค่อนแคะเอาได้ว่าประธานกรรมการของทัดเทวาทำตัวลอยชายไปวันๆ ไม่เอาการเอางานอย่างที่คุณมงคลชอบกล่าวหาเขาบ่อยๆ เมื่อนึกถึงคุณวรุตผู้เป็นบิดาที่เป็นคนสร้างบริษัทแห่งนี้ให้เติบใหญ่ขึ้นมากับมือ ชายหนุ่มในฐานะลูกชายคนเดียวก็ควรจะเข้ามาดูแลบริษัทบ้าง อย่างน้อยก็ช่วงที่ศรารัตน์กำลังนอนเจ็บหนักอยู่ที่โรงพยาบาลขณะนี้

   พอนึกถึงศรารัตน์ วิศรุตก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครอีกคน การเผชิญหน้ากับนภัทรอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวในวันนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว แม้ว่าวิศรุตจะเคยสัญญากับตัวเองมาตลอดว่าจะลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนั้นออกไปจากใจ ช่วงเวลาที่เขาไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกก็เหมือนว่าเขาจะทำได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ในตอนแรกๆจะยังทำใจไม่ได้แต่ความรู้สึกในเวลาต่อมาก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนตอนสมัยม.ปลายอีกแล้ว เขาเคยคิดว่าตัวเองสามารถลืมนภัทรได้จริงๆ แต่เปล่าเลย พอเขากลับมาเมืองไทย ข่าวคราวของเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็ยังคงเป็นนภัทรอยู่ดี เขาอยากรู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงและตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่  นภัทรจะเคยนึกถึงเขาบ้างไหมนะ แล้วเขาเคยอยู่ในความทรงจำของฝ่ายนั้นบ้างหรือเปล่า นึกมาถึงตอนนี้วิศรุตได้แต่แค่นยิ้มกับตัวเอง ไม่มีทางที่คนอย่างนภัทรจะมาคิดถึงเขาหรอก ฝ่ายนั้นจะมามัวคิดถึงคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดได้อย่างไร เพราะนภัทรไม่ได้มอบความรักให้เขาอย่างที่เขามอบให้ฝ่ายนั้นอย่างหมดใจ แต่เพียงสิ่งเดียวที่เขาได้รับจากฝ่ายนั้นเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับความรู้สึกพิเศษที่มีให้ตลอดเวลาที่ผ่านมานั่นคือ...ความเกลียดชัง
   วิศรุตหมุนปากกาในมือเล่นอย่างใจลอย ความคิดของชายหนุ่มวนไปวนมาถึงเรื่องนภัทรซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ตอนนี้เขา ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเวลาไม่ได้ช่วยให้ตัวเองลืมฝ่ายนั้นได้เลย  ถ้าเพียงศรารัตน์ไม่ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล...ถ้าเพียงเขาไม่กลับมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมอาการน้องสาว...ถ้าเพียงนภัทรไม่ใช่นายแพทย์นภัทร อิสรีย์ แพทย์เจ้าของไข้ของศรารัตน์...ถ้าเพียงเขาลบเหตุการณ์ในคืนนั้นออกไปจากใจได้...ถ้าเพียง...

   ก๊อกๆๆ

   เสียงเคาะประตูทำให้นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัททัดเทวาหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ คงเป็นคุณอิงอรเลขาของเขาเอาแฟ้มงานกองโตมาให้เขาพิจารณาอีกแน่ วิศรุตคิดแล้วก็แอบเบ้หน้าด้วยความเบื่อแล้วคิดว่าเมื่อไหร่ที่ศรารัตน์กลับมาคุมบริษัทได้ เขาจะหนีไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เมืองนอกเสียให้รู้แล้วรู้รอด

   คนที่มารบกวนการทำงานของเขาเป็นอิงอรจริงๆ แต่เบื้องหลังเลขาของเขายังมีอีกคนเดินตามเข้ามาด้วย

   “ท่านประธานคะ คุณภาณุมาขอพบค่ะ” วิศรุตเงยหน้าขึ้นมองแขกที่มาขอพบก่อนจะยิ้มกว้างเพราะกำลังนึกอยากเจอเพื่อนสนิทคนนี้อยู่พอดี หลายวันมานี้เขาแทบไม่ได้ติดต่อภาณุเลยด้วยเพราะต้องเริ่มศึกษางานที่บริษัทระหว่างที่ศรารัตน์ไม่อยู่ ประจวบกับช่วงนี้ภาณุเองก็กำลังยุ่งๆกับบริษัทอัญมณีซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของทางบ้านฝ่ายนั้นเช่นกัน โอกาสจะได้เจอกันก็หาได้ยากกว่าเมื่อก่อน เพราะตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ จะให้เที่ยวเตร่ด้วยกันบ่อยๆเหมือนสมัยเรียนคงไม่ได้อีกแล้ว

   “ผมมารบกวนเวลาทำงานของท่านประธานกรรมการหรือเปล่าครับเนี่ย?” วิศรุตขำพรืดกับคำเรียกขานที่เพื่อนสนิทใช้แซวตนเอง ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้อิงอรเป็นเชิงว่าให้เตรียมของว่างกับกาแฟเข้ามาให้ด้วยซึ่งเลขาคนนี้ของเขาก็รู้หน้าที่ตนเป็นอย่างดี

   “ว่าไงไอ้โอม ทำไมวันนี้มาหาฉันถึงที่ทำงานได้เนี่ย ลมอะไรหอบมา?” วิศรุตถามหลังจากอิงอรออกไปแล้ว

   “ถามได้ ก็ลมคิดถึงน่ะสิ” ภาณุขำกับหน้าปูเลี่ยนๆของเพื่อนสนิทที่ทำหน้าขนลุกกับคำตอบที่ได้รับ

   “นี่ถ้าฉันเป็นผู้หญิงได้ฟังแบบนี้จะต้องหัวใจละลายจนอ่อนยวบแน่เลย” วิศรุตพูดแซวภาณุอีกสองสามคำก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานมากขึ้น “แล้วตกลงว่าที่นายมาหาฉันเนี่ยเพราะคิดถึงอย่างเดียวหรือว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า?”วิศรุตถามเพราะสงสัยว่าร้อยวันพันปีภาณุไม่เห็นเคยจะมาหาเขาที่บริษัทสักครั้ง โดยเวลานัดเจอกันทุกครั้งจะนัดเจอที่ข้างนอกเสียมากกว่า

   “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ พอดีฉันมาเจรจางานแถวนี้เสร็จแล้วก็เลยคิดว่าจะมาชวนนายไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน อีกอย่างคิดว่าจะได้ไปเยี่ยมยัยศราด้วย” ตั้งแต่ศรารัตน์ป่วยเข้าโรงพยาบาล เขายังไม่ได้ไปเยี่ยมเลยสักครั้ง จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวเหมือนที่สนิทสนมกับวิศรุต แต่เพราะศรารัตน์ชื่อได้ว่าเป็นน้องสาวของวิศรุตเพื่อนสนิท ตนก็ควรจะแสดงน้ำใจบ้างอย่างน้อยเขาเองก็รู้จักฝ่ายนั้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

   บทสนทนาเว้นช่วงไปตอนที่อิงอรเอากาแฟและของว่างเข้ามาเสริ์ฟให้กับทั้งคู่ ภาณุละเลียดชิมกาแฟหอมกรุ่นฝีมืออิงอรก่อนจะเอ่ยชมว่าอร่อยซึ่งทำเอาคนชงถึงกับหน้าบานกับคำชมของเพื่อนสนิทเจ้านายไม่น้อย ก่อนจะขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ

   “ว่าไงล่ะ จะไปด้วยกันหรือเปล่า?” ภาณุถามเพราะเห็นวิศรุตนิ่งไปกับคำชวนของตน เขาเองไม่ได้จะคิดมากอะไรหากว่าวิศรุตจะปฏิเสธ ด้วยเพราะพอรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างวิศรุตและศรารัตน์ไม่ค่อยปกติเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ คงจะกลัวมีเรื่องกับยัยศรา เพราะทั้งคู่เองก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ภาณุคิดในใจ

   “ฉันได้เจอเขาแล้ว” จู่ๆวิศรุตก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาภาณุงงไปเล็กน้อยว่าคู่สนทนากำลังพูดถึงใคร “ฉันเจอกับนภัทรแล้ว” วิศรุตต่อให้เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนสนิท

   “อะไรนะ”ภาณุถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่วิศรุตจะถอนหายใจเฮือกแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจอนภัทรที่โรงพยาบาล ให้คู่สนทนาฟังเพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะมีความลับกับเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว

   “สรุปว่านภัทรกลายมาเป็นหมอเจ้าของไข้ยัยศราเนี่ยนะ?” วิศรุตพยักหน้ายอมรับ “แล้วยัยศรารู้หรือเปล่าว่านายเคยชอบนภัทร เอ้อ เคยรู้จักกันมาก่อน?”

   “ฉันโกหกไปว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เหมือนยัยศราก็ดูจะสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ช่างเถอะเพราะอย่างน้อยนภัทรก็ช่วยยืนยันว่าเราไม่เคยรู้จักกัน ยัยศราคงไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้นักหรอก” เมื่อคิดถึงเรื่องตอนนั้น วิศรุตอดรู้สึกเสียวแปลบในใจไม่ได้...เขากับนภัทรเป็นได้แค่เพียงคนที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น

   เหมือนภาณุจะสังเกตสีหน้าที่ผิดปกติไปของวิศรุต ชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาว่าไม่ต้องไปเยี่ยมศรารัตน์เป็นเพื่อนเขาก็ได้ เพราะวิศรุตอาจจะยังไม่พร้อมจะเจอนภัทรในเวลานี้ อีกอย่างเขากลัวว่าวิศรุตจะไปปะทะคารมกับศรารัตน์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดตั้งแต่เด็กอีกด้วย คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากจะไปชวนคนป่วยทะเลาะแบบนั้น แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากวิศรุตทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย เวลาคงจะทำให้วิศรุตเข้มแข็งขึ้นจริงๆ

   “ฉันจะไปกับนายด้วย นภัทรเป็นหมอคงมีงานต้องทำเยอะ คงไม่ได้มาดูแลคนไข้อย่างยัยศราเพียงคนเดียวหรอก อีกอย่างถึงต้องเจอกันก็แล้วยังไงล่ะ ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะต้องวิ่งหนีอีก นายคิดดูสิว่าเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องวิ่งหนีหรือหลบหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันด้วย”




   การคาดการณ์ของวิศรุตนั้นผิดเมื่อทั้งเขาและภาณุเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไปแล้วพบว่านอกจากศรารัตน์แล้วยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องด้วย  ร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อกราวน์สีขาวที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกลากมาใกล้ข้างเตียงคนป่วยยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่สองคน ใบหน้าคุณหมอหนุ่มที่ประดับด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ยามเมื่อสนทนากับศรารัตน์กลับคลายยิ้มลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ภาณุและวิศรุต

   “สวัสดีครับคุณหมอ” วิศรุตเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อนพร้อมใบหน้าฉาบรอยยิ้มที่นภัทรมองออกว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจยิ้มให้เขาเป็นแน่ ก่อนคุณหมอหนุ่มจะทักทายตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ ดวงตาสีถ่านภายใต้แว่นตาไร้กรอบมองไล่ไปยังอีกคนหนึ่ง ที่มากับวิศรุตด้วย ก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้กับฝ่ายนั้นเพราะถึงจะแสร้งว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ถึงอย่างไรภาณุเองก็เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาสมัยตอนเรียนมัธยม การที่ทำเฉยเมยต่ออีกฝ่ายดูจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปในความคิดของนภัทร ซึ่งนภัทรเองก็ไดัรับรอยยิ้มสุภาพกลับคืนมาเช่นกัน แม้จะไม่มีคำทักทายที่บ่งบอกว่าทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม วิศรุตคงเล่าเรื่องให้ภาณุฟังแล้ว นภัทรคิดในใจเงียบๆ

   “เอาอีกแล้วนะวิน ทำไมจะเข้ามาไม่มีเคาะประตูก่อนล่ะ” เสียงศรารัตน์ดังขึ้นทำลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ วิศรุตสบตาศรารัตน์อย่างไม่ค่อยพอใจนัก จริงอยู่ว่าเขาผิดที่ไม่ได้เคาะประตูก่อนแต่น้องสาวตัวดีไม่น่าจะหลอกด่าเขาเรื่องความไม่มีมารยาทต่อหน้าบุคคลอื่นแบบนี้

ศรารัตน์เมินสายตานั้นก่อนจะหันไปทักทายผู้มาใหม่อีกคนที่ตอนนี้เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงของเธอ

   “สวัสดีค่ะพี่โอม” ภาณุรับไหว้หญิงสาวก่อนจะวางของเยี่ยมเอาไว้ตรงชั้นวางของใกล้ๆกัน

   “เป็นไงบ้างน่ะเรา? กระดูกเหล็กจริงๆเลยแม่คนนี้” ศรารัตน์หัวเราะเล็กน้อยกับคำชมกึ่งประชดของเพื่อนสนิทพี่ชายก่อนจะบอกว่าตอนนี้ตนดีขึ้นมากแล้วอีกไม่นานก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้เพราะตนชักเบื่อการนอนนิ่งๆแบบนี้เต็มที

   “นึกว่าจะชอบที่นี่จนไม่อยากกลับซะอีก” วิศรุตอดพูดขึ้นมาลอยๆไม่ได้ ดูจากตอนเข้ามาที่เห็นว่าศรารัตน์กำลังหัวเราะพูดคุยอย่างร่าเริงอยู่กับคุณหมอเจ้าของไข้ ไม่ได้มีแววเบื่อโรงพยาบาลสักนิดอย่างที่เจ้าตัวพูด

   “จะมาชวนทะเลาะอะไรอีกล่ะวิน”ศรารัตน์สีหน้าเข้มขึ้นกับคำพูดของพี่ชาย เจอหน้าทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลย

   “ถ้าคุณศรามีเพื่อนคุยแล้ว อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ แล้วจะมาคุยด้วยใหม่วันหลัง” นภัทรคลี่ยิ้มอบอุ่นให้กับคนป่วยที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียงก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป โดยหลังจากนภัทรออกไปแล้ว ทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบทันทีจนภาณุกลัวว่าจะเกิดสงครามน้ำลายขึ้นมาเสียก่อนหากบรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงหาเรื่องคุยขึ้นมา

   “พี่ซื้อพวกผลไม้กับของบำรุงมาเยอะเลย ศราทานเยอะๆนะครับจะได้หายไวๆ ไอ้วินน่ะบ่นบ่อยๆว่าศราทิ้งบริษัทให้มันรับผิดชอบคนเดียว มันจะเฉาตายอยู่แล้วเพราะโดนเพ่งเล็งจากพวกผู้บริหารแล้วก็ญาติๆที่เป็นกรรมการบริษัท ไอ้วินบ่นจนพี่ฟังหูจะแฉะอยู่แล้วเนี่ย ใช่ไหมไอ้วิน?” ภาณุพูดติดตลกแถมท้ายประโยคโยนให้วิศรุตด้วยซะงั้น แต่ตอนนี้วิศรุตและศรารัตน์ไม่มีอารมณ์จะขำกับคำพูดของภาณุเท่าใดนัก

   “ยัยศราคงยังไม่อยากรีบออกจากโรงพยาบาลเท่าไหร่หรอกมั๊ง ปากก็บอกว่าเบื่อ แต่เมื่อกี้ตอนที่คุยกับคุณหมอไม่เห็นเธอจะแสดงอาการเบื่อให้เห็นอย่างที่พูดเลย” วิศรุตที่ยืนกอดอกอยู่พูดขึ้น ภาณุส่งสีหน้าจะบ้าตายให้เพื่อนสนิทแทนคำพูด ชายหนุ่มรู้ดีกว่าวิศรุตเริ่มก่อสงครามน้ำลายอีกแล้วและศรารัตน์ก็ดูท่าทางจะยอมคนเสียเมื่อไหร่

   “หมอกานต์เค้ามาคุยเป็นเพื่อนแก้เบื่อให้ฉันต่างหาก นายก็อย่ามาหาเรื่องนักเลย วันนี้ฉันอารมณ์ดีๆอย่ามาทำให้อารมณ์เสียเลย ขอร้อง” สรรพนามที่ศรารัตน์ใช้เรียกนภัทรเปลี่ยนไปจากคุณหมอนภัทรเป็นหมอกานต์ และจากที่นภัทรเคยเรียกน้องสาวเขาว่าศรารัตน์กลับเปลี่ยนเป็นคุณศรา มันบ่งบอกได้ดีถึงความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นถึงขนาดให้เรียกชื่อเล่นกันได้อย่างสนิทปาก  วิศรุตกัดสันกรามแน่น ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววไม่พอใจให้เห็นครู่นึงก่อนจะหายไปในแทบจะทันที แต่ถึงอย่างนั้นภาณุก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี ดีที่ศรารัตน์ไม่ทันเห็นเพราะหญิงสาวเชิดหน้าเมินไปอีกทาง

   “ถ้าเป็นแค่เพื่อนคุยแก้เหงาแก้เบื่อก็แล้วไป แต่อย่าให้เป็นมากกว่านั้นก็แล้วกัน” วิศรุตลงท้ายเสียงหนักในประโยคสุดท้าย ถ้าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องวิศรุตกับนภัทรมาก่อนก็คงจะคิดว่าวิศรุตคงเกิดอาการหวงน้องสาวคนสวยขึ้นมาฉับพลัน แต่สำหรับศรารัตน์กับภาณุแล้วมันไม่ใช่ ศรารัตน์นึกแปลกใจกับคำพูดของพี่ชาย แต่ด้วยความรั้นและไม่ยอมลงให้พี่ชายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เธอแค่นยิ้มเย็นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์คนฟังให้ยิ่งขุ่นขึ้นไปอีก

   “ถ้าเป็นมากกว่านั้นแล้วจะทำไมล่ะ? หมอกานต์เองก็จัดว่าโอเค ถึงแม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีแต่ก็ไม่ได้ขัด สนอะไร หน้าที่การงานก็มั่นคง อัธยาศัยก็ดีมีน้ำใจ แถมหล่ออีกต่างหาก”

   “เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เธอยังไม่รู้จักนิสัยแท้จริงของหมอนั่นดีพอเลย แล้วมาพูดอย่างกับว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปีงั้นแหล่ะ”

   “แล้วนายเองก็มาพูดเหมือนรู้จักเขามาเป็นสิบปีงั้นแหล่ะ ถ้าจะมาเพื่อชวนทะเลาะละก็ วันหลังไม่ต้องมานะ” คำพูดของศรารัตน์ทำเอาวิศรุตสะอึก ใช่สิเขารู้จักนภัทรมาเป็นสิบปีถึงได้รู้ว่าฝ่ายนั้นแบบคนแบบไหน เย็นชาไม่มีหัวใจแค่ไหน แต่บางทีไอ้นิสัยแบบนี้นภัทรอาจจะแสดงเฉพาะกับเขาเท่านั้นก็ได้ กับคนอื่นฝ่ายนั้นคงดีด้วยไม่มากก็น้อย วิศรุตได้แต่เม้มปากแน่น

   ภาณุกลัวว่าเรื่องจะยิ่งบานปลายเข้าไปใหญ่ แล้วเกิดศรารัตน์ระแคะระคายเรื่องนภัทรกับวิศรุตขึ้นมามันจะยิ่งแย่ ชายหนุ่มเลยพยายามตัดบทสนทนาให้จบแค่นี้ “เอ่อ พี่ว่าศราพักผ่อนดีกว่านะ...”

   “ที่พูดเพราะห่วงหรอกนะ ไม่อยากให้โดนผู้ชายหลอก เธอก็รู้ดีนี่นาว่ามีผู้ชายตั้งเยอะแยะอยากจะเลื่อนระดับตัวเองด้วยการเกี่ยวดองกับทัดเทวา” ภาณุตกใจกับคำพูดแรงของเพื่อนสนิท ถ้าวิศรุตหมายถึงผู้ชายคนอื่นเขาจะไม่แปลกใจเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้วิศรุตหมายถึงนภัทร อิสรีย์ คนพูดก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านภัทรไม่น่าจะเป็นผู้ชายที่เลวถึงขนาดหลอกใช้ความรู้สึกของผู้หญิงเพื่อยกระดับฐานะตัวเองหรอก

ดูเหมือนว่าวิศรุตก็ตกใจกับสิ่งที่ตนพูดออกไปเช่นกัน แต่เขายอมให้ศรารัตน์ชอบนภัทรไม่ได้เด็ดขาด และถึงนภัทรจะไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยคนที่ได้หัวใจของฝ่ายนั้นไปจะต้องไม่ใช่ศรารัตน์ คนๆนั้นจะต้องไม่ใช่น้องสาวของเขาคนนี้อย่างเด็ดขาด

   “นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายไม่เกี่ยว ฉันตัดสินใจเองได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่ทันเกมของคนอื่น ดังนั้นนายสนใจเรื่องของตัวเองไปเถอะ อย่ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน เพราะขนาดเรื่องส่วนตัวของนาย ฉันเองก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งสักครั้ง” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเย็นเยียบ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมวิศรุตถึงมีอคติกับหมอกานต์ของเธอนักหนา ทั้งที่ปกติแต่ก่อนเธอควงหรือคบผู้ชายคนไหน วิศรุตไม่เห็นเคยจะสนใจซักนิด ตอนนี้นึกยังไงมาห่วงว่าเธอจะโดนผู้ชายอย่างหมอกานต์หลอก ศรารัตน์เหลียวหน้าไปสบตาวิศรุตอย่างถือดี ในตอนนี้ความอยากเอาชนะพี่ชายมีเหนือกว่าอะไรทั้งหมด

   วิศรุตแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะสาวเท้ายาวๆออกจากห้องไปพร้อมกับประตูที่ถูกปิดดังปังตามแรงอารมณ์อย่างไม่เกรงใจคนป่วยห้องอื่นเลยซักนิด

   ภาณุมองตามวิศรุตไปอย่างเข้าใจความรู้สึก เขาเป็นเพื่อนสนิทกับวิศรุตมานานหลายปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ วิศรุตคงกำลังเกิดอาการที่เรียกง่ายๆว่า “หึง” น้องสาวตัวเองกับนภัทรอยู่แน่ๆ ถ้าทั้งคู่ลงเอยด้วยกันจริงๆ คนที่เสียใจที่สุดก็หนีไม่พ้นวิศรุตอยู่ดี


จบบทที่ 7
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่8
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 31-07-2012 11:31:18
บทที่ 8


   หลังจากทะเลาะกับน้องสาวตัวดีไปเสียยกใหญ่ วิศรุตก็เดินดุ่มๆออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าและท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นัก ชายหนุ่มนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปยังเคาเตอร์พยาบาลของวอร์ดนั้นแล้วบอกว่าตนต้องการพบนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์
พยาบาลผู้นั้นถามถึงจุดประสงค์ที่ต้องการพบคุณหมอนภัทรซึ่งวิศรุตก็แกล้งบอกไปว่าเขาต้องการพบหมอนภัทรเพราะต้องการปรึกษาเรื่องอาการป่วยของศรารัตน์ ผู้เป็นน้องสาว ก่อนเจ้าตัวจะส่งยิ้มนุ่มนวลให้พยาบาลสาวคนนั้นไปทีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าหล่อนถึงกับยิ้มด้วยความเขินก่อนจะยกหูโทรศัพท์เพื่อติดต่อธุระให้กับวิศรุต

   “เดี๋ยวดิฉันจะนำคุณไปยังห้องทำงานของคุณหมอนภัทรค่ะ” พยาบาลสาวบอกหลังจากวางหูโทรศัพท์ไปแล้วก่อนจะเดินนำวิศรุตขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบของอาคารซึ่งถูกจัดเป็นส่วนห้องทำงานของบรรดาศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งนี้

   “กรุณารอสักครู่นะคะ พอดีคุณหมอติดตรวจเคสรายอื่นพอดี แต่อีกไม่นานก็จะขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ” นางพยาบาลบอกวิศรุตอีกครั้งเมื่อทั้งคู่มาถึงห้องทำงานที่ป้ายระบุหน้าห้องไว้ว่า นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ วิศรุตยิ้มเป็นเชิงขอบคุณให้คนที่พามาก่อนเลือกที่จะนั่งลงบนชุดโซฟารับแขกสีครีมกลางห้องเพื่อรอพบคนที่อยากเจอ

   เพียงไม่นานประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกโดยแพทย์หนุ่มเจ้าของห้อง วิศรุตมองสบตานภัทรด้วยสายตาเยือกเย็นก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรของเขา

   “พยาบาลที่วอร์ดบอกว่าคุณวิศรุตอยากพบผม” นภัทรเปิดบทสนทนาทันทีก่อนผายมือเชิญให้แขกนั่งลงที่โซฟาเหมือนเดิม ก่อนเจ้าของห้องจะวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะทำงานแล้วเดินอ้อมไปนั่งยังอีกฝั่งของโซฟารับแขก “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ ถ้าหากว่าเป็นอาการป่วยของคุณศรารัตน์ ผมคิดว่า...”

   “อย่ายุ่งกับศรารัตน์” คำพูดเรียบสั้นทำให้นภัทรกระตุกยิ้มที่มุมปาก

   “ผมเป็นหมอเจ้าของไข้เธอ”

   “คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น คุณหมอเองก็เป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังพูด” แน่นอนว่านภัทรเข้าใจดีทีเดียวว่าวิศรุตหมายความว่าอย่างไรในน้ำเสียงนั้น นภัทรหยักยิ้มมุมปาก ความรู้สึกลึกๆบางอย่างทำให้เขานึกอยาก แกล้งคนตรงหน้าขึ้นมาทันที

   “ถ้าเป็นเรื่องที่ผมสนิทสนมกับคุณศราเกินกว่าการตรวจอาการคนไข้ตามปกติแล้วล่ะก็ ผมขอยืนยันได้เลยว่าผมและน้องสาวของคุณพูดคุยกันอย่างบริสุทธิ์ใจและที่สำคัญเราถูกอัธยาศัยกันมากเลยทีเดียว” หัวใจของวิศรุตกระตุกเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนมาดขรึมเย็นชาแบบนภัทรจะมาถูกอัธยาศัยใจคอผู้หญิงแบบน้องสาวเขาได้

   “อย่างยัยศราเนี่ยนะ?” คู่สนทนาเผลอหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ทำให้นภัทรต้องกลั้นยิ้มไว้ก่อนปั้นหน้าเอ่ยต่อ

   “ครับ คุณศราเธอทั้งสวย น่ารัก คุยเก่ง อยู่ใกล้เธอแล้วรู้สึกว่าโลกนี้ดูสดใสขึ้นมากกว่าเดิม เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากทีเดียว” ถ้อยคำที่นภัทรพูดล้วนมาจากใจจริง หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับศรารัตน์บ่อยๆทำให้เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ในตัวเองและก็น่าสนใจมากทีเดียว ซึ่งความน่าสนใจอันดับแรกก็คือนามสกุลดังอย่างทัดเทวาซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับวิศรุตนั่นแหล่ะ

   “ถ้าคุณสนใจยัยศราล่ะก็ เลิกคิดไปเสียดีกว่าเพราะยัยศรามีคนรักอยู่แล้วก็คือภาณุ เพื่อนผมยังไงล่ะ” วิศรุตปดคำโตออกไป ในใจก็ภาวนาขอโทษขอโพยภาณุไปด้วยที่ต้องเอาชื่อฝ่ายนั้นมาอ้างเพราะตอนนี้เขานึกอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ

   คำพูดของวิศรุตทำให้นภัทรเลิกคิ้วสงสัยเพราะศรารัตน์เองเคยบอกเขาว่าเธอยังไม่มีคนรักที่ไหน เพียงครู่เดียวสมองอันชาญฉลาดของหมอนภัทรก็เข้าใจทุกอย่าง วิศรุตคงโกหกเพื่อให้เขาเลิกยุ่งกับน้องสาวฝ่ายนั้นเพราะจากการสังเกตท่าทางของศรารัตน์ยามได้พบกับภาณุตอนชายหนุ่มมาเยี่ยม เขาไม่เห็นว่าทั้งคู่จะแสดงอาการให้เห็นเลยซักนิดว่าเป็นคนรักกัน

   “งั้นเหรอครับ แต่ผมคิดว่าคุณศรายังไม่มีคนรักเสียอีก เพราะเธอบอกเอาไว้อย่างนั้น” วิศรุตกัดฟันเจ็บใจที่คู่สนทนารู้ทันแถมยังทำหน้ายิ้มเยาะเขาอีก เขาไม่ยอมแพ้หรอก

   “ถึงไม่ใช่ภาณุ ก็ต้องเป็นคนอื่นที่เหมาะสมอยู่ดี พวกเราน่ะเป็นนักธุรกิจ จะคบหากับใครก็ต้องดูพื้นเพฐานะทางสังคมให้อยู่ในระดับเดียวกัน การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นสิ่งปกติธรรมดาสำหรับนักธุรกิจอย่างพวกเรา แม้ว่ามันจะเป็นการแต่งงานที่ปราศจากความรักก็ตาม ฉะนั้นผมขอเตือนว่าถ้าตอนนี้คุณกำลังเกิดความรู้สึกพิเศษกับยัยศราไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม ได้โปรดเลิกคิดเสียด้วยเพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี”

   นภัทรอยากหัวเราะออกมาดังๆที่วิศรุตคิดไปไกลเกินแล้ว จริงอยู่ว่าเขาชอบศรารัตน์ แต่ก็เอ็นดูในฐานะน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจว่าศรารัตน์จะคิดลึกซึ้งกับตนเหมือนอย่างที่พี่ชายเธอกำลังกลัวอยู่เหรอเปล่า  จะว่าไปวิศรุตจะมาเดือดร้อนแทนศรารัตน์ทำไม จะบอกว่าเป็นพี่ชายหวงน้องสาวก็คงจะไม่ถูกนักเพราะนภัทรรู้ดีว่าคู่สนทนาตรงหน้าเขากับศรารัตน์เป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่จากคำบอกเล่าของศรารัตน์ ซึ่งในพักหลังเขาและหญิงสาวเริ่มสนิทกันอย่างรวดเร็วจนเธอกล้าเปิดใจเล่าเรื่องราวหลายๆเรื่องให้เขาฟังรวมถึงเรื่องนี้ด้วย หรือว่าวิศรุต...เรื่องราวอดีตสมัยมัธยมปลายแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ก่อนริมฝีปากหยักโค้งได้รูปจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่งออกมาที่ทำให้คนฟังนิ่งไปชั่วขณะ

   “ที่นายมาคอยกีดกันฉันกับคุณศรา เป็นเพราะนายยังชอบฉันอยู่ใช่ไหม?” คำถามจี้ใจดำทำให้วิศรุตพูดไม่ออก จะให้เขายอมรับไปได้อย่างไรล่ะว่าสิ่งที่นภัทรพูดนั้นเป็นความจริง เขาไม่อยากทนถูกฝ่ายนั้นมองด้วยความสมเพชอีกต่อไปแล้ว แต่ลึกๆในใจก็รู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ต้องเก็บกดเอาไว้อยู่เรื่อยมา วิศรุตช้อนตาสีน้ำตาลโศกมองสบตาสีถ่านนิ่ง เนิ่นนานแล้วตัดสินใจเค้นเสียงเบาแต่ทว่าชัดเจนในความรู้สึกของผู้พูด

   “ฉันไม่ได้ชอบนาย แต่ฉัน...” คำว่ารักที่ตั้งใจจะบอกถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอของวิศรุตอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวดังขึ้นตัดกับความอึมครึมระหว่างคนทั้งคู่ วิศรุตมองหน้าจอที่แสดงชื่อของสายที่เรียกเข้าก่อนตัดสินใจกดรับ

   “ครับลุงมั่น” วิศรุตกรอกเสียงลงไปแต่ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนภัทรตามเดิม “อะไรนะครับ...คุณอาวันชัยกับนายภาคินน่ะเหรอครับมาที่บ้านทัดเทวา ครับ...แล้วผมจะรีบไป” วิศรุตวางสายไปด้วยความงุนงงระคนแปลกใจกับสิ่งที่ลุงมั่น ลูกน้องคนเก่าคนแก่ของบ้านทัดเทวาโทรมารายงานเขา ลุงมั่นโทรมาบอกว่าคุณอาวันชัยกับลูกชายมาที่บ้านทัดเทวาพร้อมด้วยแขกผู้หญิงอีกคนที่ลุงมั่นไม่รู้จัก พร้อมกับเร่งให้ชายหนุ่มรีบกลับมาที่บ้านโดยเร็วเพราะคุณวันชัยมาที่บ้านทัดเทวาเพื่อจะพบวิศรุต 

   ทายาทหนุ่มของทัดเทวาขบกรามแน่นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ที่คาดเดาได้ยาก นี่อาวันชัยกับภาคินจะมาไม้ไหนอีก

   “วันนี้คุณคงยุ่ง เอาไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้ต่อวันหลังก็แล้วกัน” นภัทรเอ่ยขึ้นมาก่อน ซึ่งวิศรุตก็สวนกลับอย่างรวดเร็ว

   “ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกแล้ว เอาเป็นว่าแค่คุณทำตามแบบที่ผมบอกไปก็พอ” วิศรุตสั่งเสียงห้วนก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานนภัทรเพื่อบึ่งรถกลับไปที่บ้าน ตอนนี้ชายหนุ่มอยากรู้สาเหตุการมาเยี่ยมบ้านทัดเทวาของวันชัยกับภาคินแล้วก็ผู้หญิงคนนั้นมากที่สุด คำตอบที่เขาอยากได้คงรออยู่ที่บ้านแล้วเป็นแน่





   รถยุโรปคันงามแล่นเข้ามาจอดบริเวณบ้านทัดเทวาอย่างรวดเร็ว วิศรุตเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วก้าวลงมาโดยไม่รอให้คนรถมาเปิดให้เหมือนอย่างทุกที ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปสั่งนายทอง คนขับรถประจำบ้านทัดเทวาที่วิ่งกระหืดกระหอบมารับเจ้านายว่าให้เอารถของเขาไปเก็บก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปยังห้องโถงรับแขกโดยไม่รอช้า

   ในห้องรับแขกมีคนสามคนนั่งอยู่ก่อน สองคนคือญาติของเขาเอง ส่วนอีกคนที่นั่งข้างภาคินเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย แต่ดูจากท่าทางแล้วคงแฝงด้วยจริตมารยาไม่น้อยเลยทีเดียว วิศรุตลอบประเมินในใจ ในขณะที่วันชัยหันมาเห็นเจ้าของบ้านที่กำลังเดินเข้ามาพอดี ฝ่ายนั้นจึงทักทายเขาด้วยเสียงที่จงใจดัดให้ฟังดูเอื้ออารีย์ในฐานะผู้เป็นอา

   “สวัสดีครับ” วิศรุตทักทายผู้สูงวัยกว่าตามมารยาทซึ่งวันชัยเองก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงทักทายกับญาติผู้พี่ที่เขาไม่ค่อยอยากจะนับญาติด้วยเท่าไหร่นักอย่างภาคิน และสุดท้ายจึงหันไปรับไหว้ผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยซึ่งฝ่ายนั้นก็มองสบตากลับมาอย่างหยาดเยิ้มจนเขารู้สึกได้

   “คุณอามาหาผมที่นี่มีธุระอะไรเหรอครับ?” หลังจากนั่งลงที่โซฟาราคาแพงเรียบร้อยแล้ว วิศรุตเข้าเรื่องทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อมให้มากความ

   “ก็ไม่มีธุระอะไรมากมายหรอก พอดีวันนี้อาว่างก็เลยชวนเจ้าภาคินกับหนูเมมาเยี่ยมหลานน่ะ ถึงจะเจอกันที่บริษัทบ่อยๆแต่เราก็ไม่ได้มีโอกาสคุยอะไรกันมากเพราะทั้งอาและหลานก็ต่างงานยุ่งทั้งคู่ อาก็เลยหาโอกาสมาเยี่ยมหลานบ้างก็เท่านั้นแหล่ะ เอ้อ ดูสิ อาก็ลืมแนะนำแขกอีกคนไปเสียสนิทเลย” วิศรุตยังคงนิ่งรอให้วันชัยพูดต่อไปเรื่อยๆ “นี่คือหนูเมริษา เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของอาเอง เพิ่งจะเรียนจบตรีมาหมาดๆเลย” วิศรุตไล้สายตาพิจารณาหญิงสาวตรงหน้า ชายหนุ่มอดยอมรับในใจไม่ได้ว่าเมริษาถือว่าเป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยเฉียบเลยทีเดียว แต่เรื่องนิสัยใจคอนี่สิที่เขาไม่รู้

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเมริษา ผมชื่อวิศรุต ทัดเทวาครับ” คำว่าทัดเทวาทำให้ภาคินแอบเบ้หน้า วิศรุตคงคิดล่ะสิว่านามสกุลนี้มันจะทำให้ฝ่ายนั้นดูยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา แต่อาการนั้นก็ไม่รอดไปจากสายตาของวิศรุต ชายหนุ่มยิ้มเหยียดมุมปากเพราะรู้ว่าภาคินกำลังคิดอะไร ฝ่ายนั้นไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นสายเลือดของทัดเทวา

   “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ คุณวิศรุต เอ้อ เมขออนุญาตเรียกพี่วินตามชื่อเล่นได้ไหมคะ” เมริษาเอ่ยเสียงหวานตรงข้ามกับวิศรุตที่มีสีหน้ากระด้างขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ค่อยพอใจนักที่จะอนุญาตให้คนที่ไม่รู้จักกันดีหรือไม่ได้สนิทสนมมาเรียกชื่อเล่นของเขา แต่ด้วยต้องรักษามารยาททำให้วิศรุตเลือกที่จะเอ่ยอนุญาตออกไปท่ามกลางความพอใจของเมริษาและวันชัย

   “พอดีว่าก่อนที่จะมาที่นี่ฉันกับพ่อเราแวะไปเยี่ยมคุณลุงดิเรกพ่อของน้องเมมาน่ะ พอดีเจอน้องเมอยู่บ้านก็เลยจะชวนออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แล้วสุดท้ายก็เลยชวนกันมาเยี่ยมนายที่บ้านเนี่ยแหล่ะ ถือซะว่าเป็นการชวนน้องเมออกมาชมคฤหาสน์ทัดเทวาด้วยไง” ภาคินพูดบ้างซึ่งก็ทำเอาวิศรุตเริ่มหน้าตึงอีกรอบ บ้านเขาไม่ใช่ที่ที่จะพาใครก็ได้มาเที่ยวเล่นหรอกนะ ทำตัวเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้านอย่างนั้นแหล่ะ วิศรุตปรามาสในใจแต่ใบหน้ากลับฉาบยิ้มกลบความไม่พอใจไว้อย่างแนบเนียนก่อนแสร้งถามเมริษา

   “แล้วเป็นยังไงบ้างครับ บ้านของพี่สวยสู้บ้านของน้องเมได้หรือเปล่า?”

   “ต้องสวยกว่ามากอยู่แล้วค่ะ ตอนแรกคุณอากับพี่ภาคินบอกเมว่าสวยแล้วก็ใหญ่โตอย่างกับคฤหาสน์ แต่พอได้มาเห็นจริง เมว่ามันไม่ใช่คฤหาสน์แล้วล่ะค่ะ อย่างนี้ต้องเรียกว่าพระราชวังเลยทีเดียว” เมริษาพูดพร้อมรอยยิ้มเจือขบขันเล็กน้อย ทำให้วิศรุตต้องยกยิ้มให้กับความฉลาดพูดของผู้หญิงตรงหน้า ดูท่าเธอคงจะไม่ใช่พวกสวยแต่สมองกลวงเป็นแน่ 

   “ถ้าชอบก็มาบ่อยๆได้เลยนะจ้ะหนูเม วินคงไม่ขัดข้องใช่ไหมล่ะ?” ท้ายประโยคคุณวันชัยหันไปถามหลานชายซึ่งถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แต่กลับถูกวิศรุตปฎิเสธเอาดื้อๆอย่างไม่ไว้หน้าผู้เป็นอา

   “พี่ว่าถ้าน้องเมจะมาที่นี่บ่อยๆก็คงจะไม่ค่อยสะดวกน่ะครับเพราะว่าพี่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ กลัวว่าจะต้อนรับได้ไม่ดีนัก” คำพูดเรียบๆของวิศรุตทำเอาวันชัยต้องตวัดสายตามองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ผู้สูงวัยกว่ารู้สึกได้ว่าวิศรุตต้องการหักหน้าเขาชัดๆ

   “เอ่อ อาคิดว่า...” ยังไม่ทันพูดจบ เมริษาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

   “ถ้าพี่วินไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ เมมาที่นี่ก็คงจะไม่สะดวกอย่างที่พี่วินบอกจริงๆแหล่ะค่ะ เพราะถ้ามาแล้วไม่เจอพี่วิน เมเองก็ไม่รู้ว่าจะมาเพื่ออะไร” คำพูดของหญิงสาวทำให้เขาอึ้งอีกรอบโดยเฉพาะประโยคท้ายสุด ชายหนุ่มพิศมองดวงหน้าสะสวยของเธอก่อนจะพบกับรอยยิ้มนุ่มนวลและแววตาที่แสดงถึงความสนใจที่มีต่อเขาอย่างไม่คิดจะปิดบัง ตอนนี้วิศรุตพอจะเดาจุดประสงค์การมาบ้านทัดเทวาของผู้เป็นอาได้อย่างลางๆแล้ว ที่แท้ก็อยากจับคู่ให้เขากับเมริษานี่เอง




   หลังจากอยู่คุยไม่นานเมริษาก็ขอตัวกลับก่อนเพราะอ้างว่านัดทานข้าวเย็นกับที่บ้านเอาไว้ หญิงสาวลากลับโดยมีภาคินขับรถไปส่งเพราะตอนขามาเธอติดรถของวันชัยมาบ้านทัดเทวาโดยไม่ได้ขับรถมาเอง ซึ่งวันชัยก็นัดแนะให้ลูกชายไปส่งเมริษาจนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาแวะรับตนเองอีกทีเพราะว่าตนมีเรื่องต้องคุยกับวิศรุตก่อน

   “ตกลงคุณอามีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?” วิศรุตไขว่ห้างก่อนจะเอนพิงหมอนใบเล็กที่จัดเข้าชุดอยู่กับโซฟารับแขก

   “อาอยากจะมาปรึกษาหลานเรื่องที่ว่าอยากจะให้หนูเมเค้ามาทำงานที่บริษัทเราน่ะสิ” วิศรุตขมวดคิ้วเพราะสงสัยว่าเมริษาก็ดูจะเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาด แต่ทำไมหญิงสาวถึงได้สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องให้คนอื่นฝากงานให้ด้วย และที่สำคัญการที่วันชัยซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจะฝากคนเข้าทำงานที่บริษัทสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเสียหน่อย การที่ผู้เป็นอามาบอกเขาแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์อะไรอย่างอื่นแน่ๆ และสิ่งที่วิศรุตคิดเอาไว้ก็ไม่ผิดเลยสักนิด

   “แล้วคุณอาอยากจะให้เค้าเข้ามาทำงานที่บริษัทเราในตำแหน่งอะไรล่ะครับ?” หลานชายลองถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

   “อาอยากให้หนูเมมาทำงานในตำแหน่งเลขาท่านประธานกรรมการบริษัท” วิศรุตตาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อฟังคำตอบของวันชัย ก็เท่ากับว่าอยากจะให้เมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาของเขาอย่างนั้นน่ะสิ ถ้าวันชัยคิดว่าจะใช้เมริษามาเพื่อควบคุมเขาล่ะก็ เห็นทีงานนี้ก็คงยาก

   “ผมมีคุณอิงอรเป็นเลขาอยู่แล้วนี่ครับ แถมเธอก็ทำงานได้ดีไม่มีที่ติเสียด้วย ผมไม่เห็นว่ามันจะสมควรหากจะย้ายคุณอิงอรไปทำงานอื่นนอกเหนือจากการเป็นเลขาของผม”

   “คุณอิงอรเองก็ทำงานมานานแล้ว เธอเองก็คงอยากจะพักผ่อนบ้างแต่อาจจะเกรงใจจนไม่กล้าบอกกับวินตรงๆ อีกอย่างถ้าได้หนูเมมาเป็นเลขา เวลาไปเจรจาธุรกิจด้วยกันนอกบริษัทก็จะได้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ซึ่งกันและกันด้วยไง” วันชัยยกเหตุผลมาอ้างทั้งที่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาที่อยากให้เมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาแทนอิงอรก็คือ อิงอรเป็นคนฉลาดแล้วก็รู้เรื่องที่ไม่สมควรรู้เยอะจนเกินไป หากวันดีคืนดีอิงอรเกิดระแคะระคายสงสัยเรื่องที่เขาและภาคินแอบยักยอกเงินของบริษัทไปแล้วยุให้วิศรุตตรวจสอบบัญชีของบริษัทยกใหญ่ ถึงตอนนั้นเขาและลูกชายก็คงจะเดือดร้อนแน่ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขาต้องการให้วิศรุตได้อยู่ใกล้ชิดกับเมริษาให้ได้มากที่สุด เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถบวกกับการมีรูปเป็นทรัพย์ของเมริษาจะสามารถมัดใจวิศรุตได้ไม่ยาก และเมริษานี่แหล่ะที่จะเป็นหนทางที่จะทำให้เขาและภาคินเข้าใกล้สมบัติของตระกูลทัดเทวาที่พี่ชายของตนทิ้งเอาไว้ให้วิศรุตเป็นมรดกจำนวนมหาศาลรวมถึงบ้านทัดเทวาด้วย

   “แต่ผมคิดว่าน้องเมก็ยังไม่หมาะสมอยู่ดี เธอเพิ่งเรียนจบก็น่าจะอยากทำงานอะไรที่ตื่นเต้นท้าทายความ
สามารถของเธอมากกว่าการเป็นเลขาหน้าห้องให้ผมไปวันๆนะครับ” วิศรุตไม่ได้โง่ถึงขนาดจะมองไม่ออกว่าวันชัยต้องการอะไร และเขาเองก็คงจะหลงไปกับแผนการของผู้เป็นอาได้อย่างง่ายดายหากไม่ใช่เพราะว่าตัวเองมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน เพราะถึงจะชื่นชมในความฉลาดของสาวสวยอย่างเมริษาเพียงใด วิศรุตก็ไม่มีทางคิดเกินเลยไปกว่านั้นด้วยเพราะคนที่เขาสนใจมีเพียงนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์เพียงคนเดียว

   วันชัยทำท่าจะแย้งขึ้นมาอีกจนวิศรุตต้องตัดบทด้วยการบอกว่าจะพิจารณาหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับ
เมริษาอีกทีแต่คงจะไม่ใช่ในตำแหน่งเลขา ซึ่งนั่นทำให้วันชัยไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้อย่างแนบเนียน แล้วค่อยคิดหาทางเพื่อกำจัดอิงอรให้พ้นจากตำแหน่งเลขาของวิศรุตอีกครั้งหนึ่ง





   “อะไรนะครับ นี่ไอ้วินมันไม่ยอมให้เมเข้าไปทำงานเป็นเลขาแทนคุณอิงอรเหรอ?” ภาคินตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหระคนสงสัย “น่าแปลกที่คนอย่างมันไม่สนใจผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาดอย่างเมริษา” เห็นได้จากการที่วิศรุตปฎิเสธแบบไม่เหลือเค้าความเกรงใจตอนที่พ่อของเขาเสนอว่าให้เมริษามาเยี่ยมที่บ้านทัดเทวาบ่อยๆ

   ผู้สูงวัยกว่าขมวดคิ้วมุ่น ตอนแรกเขาคิดว่าการให้เมริษาเข้าไปทำงานในบริษัททัดเทวาคงไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่ตอนนี้มันคงไม่เป็นไปตามแบบที่เขาคิดเสียแล้วเพราะวิศรุตไม่ยอมท่าเดียว ซึ่งเขาเองก็จะไปคะยั้นคะยอแกมบังคับหลานชายมากก็ไม่ได้เพราะถึงอย่างไรวิศรุตก็มีตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการบริหาร สิทธิ์ขาดการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ในกำมือของวิศรุต แต่สักวันหนึ่งเขาจะทำให้มันกลายมาเป็นของเขาให้ได้

   “แล้วทางหนูเมว่าอย่างไรบ้างตอนแกไปส่งเธอที่บ้าน?” วันชัยเปลี่ยนเรื่องถามถึงอีกคนซึ่งภาคินก็ไหวไหล่แล้วตอบ
   “ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ครับ เพียงแต่บอกว่าดูท่าทางวิศรุตคงไม่ได้รับมือง่ายอย่างที่คิด” วันชัยแค่นเสียงดังในคอ เมริษาเองก็ร้ายใช่เล่น อย่างนี้แหล่ะมันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย “แล้วตกลงคุณพ่อจะเอายังไงกับเรื่องนี้ครับ จะให้ผมส่งคนไปจัดการกับเลขาไอ้วินเลยหรือเปล่า?”

   “แกตั้งใจจะทำยังไงล่ะ?” น้ำเสียงคนถามฟังดูลุ่มลึกแต่ไม่แสดงอารมณ์

   “ก็อย่างเช่นส่งคนไปทำให้แม่เลขานั่นบังเอิญประสบอุบัติเหตุกะทันหันจนมาทำงานไม่ได้เป็นเวลานานไงล่ะครับ มันจะได้หาคนใหม่มาทำงานแทนคุณอิงอรเสียที” ฝ่ายบุตรชายเสนอความคิดแต่ผู้เป็นบิดากลับไม่เห็นด้วย เพราะหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับอิงอรในตอนนี้ มันจะดูประจวบเหมาะเกินไปและวิศรุตก็ต้องสงสัยแน่ๆ วันชัยไม่อยากให้วิศรุตรู้ว่าตนเองกับภาคินกำลังทำอะไรอยู่ซึ่งคำตอบของผู้เป็นพ่อก็ทำเอาภาคินฮึดฮัดด้วยความขัดใจ

   “แกใจเย็นๆรอไปก่อนเถอะ อีกไม่นานฉันเชื่อว่าโชคต้องเข้าข้างเราสองคนแน่”

   “ไม่ใช่สองคนครับพ่อ แต่เป็นสามต่างหาก...เราสามคน” ภาคินตาวาวเมื่อพูดถึงเมริษาผู้มีส่วนร่วมในแผนการนี้อีกคน



จบบทที่8
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่9
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 31-07-2012 11:35:12
บทที่ 9

   
ภาพชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายที่กำลังเดินตรงมายังเคาเตอร์ติดต่อเรียกสายตาของพยาบาลสาวๆให้หันมาจับจ้องที่เครื่องหน้าอันหล่อเหลาและรูปกายแข็งแรงอย่างคนสุขภาพดีได้อย่างไม่ยากเย็น ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนไปติดต่อพยาบาลที่เคาเตอร์แล้วแจ้งธุระของตน

   “ผมเป็นเพื่อนของนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ครับ ไม่ทราบว่าหมอนภัทรออกเวรไปแล้วหรือยัง?” พยาบาลคนที่ถูกถามง่วนอยู่กับตารางเวลาตรงหน้าชั่วครู่ก่อนจะยิ้มแล้วบอกผู้มาติดต่อว่าคุณหมอนภัทรออกเวรไปเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ทำเอาคนฟังยิ้มเก้อก่อนจะขอบคุณแล้วเดินจากไปด้วยท่าทางผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เจอกับนภัทร วันนี้เขากะว่าจะมาให้นภัทรแปลกใจเล่นแท้ๆ รู้อย่างนี้น่าจะโทรบอกก่อนก็ดีหรอก

   “นี่ยัยหวาน ผู้ชายคนเมื่อกี้เค้ามาติดต่อเรื่องอะไรเหรอ?” ต้นอ้อถามพยาบาลสาวรุ่นน้องเพราะอยากรู้ว่าผู้ชายหล่อๆที่ทำเอาพยาบาลทั้งวอร์ดเหลียวหลังคอแทบเคล็ด เขามาทำอะไรที่วอร์ดนี้

   “อ๋อ คุณคนนั้นเค้ามาทำหาคุณหมอนภัทรน่ะค่ะ หวานก็เลยบอกไปว่าคุณหมอออกเวรไปแล้ว” ต้นอ้อพยักหน้าหงึกๆก่อนจะนึกขึ้นได้ “คุณหมอออกเวรไปแล้ว แต่ยังไม่ได้กลับบ้านนี่นา เห็นคุณหมอบอกว่าจะพาคุณศรารัตน์ไปนั่งเล่นสูดอากาศที่สวนในโรงพยาบาลก่อน”

   “ตายจริง!” พยาบาลสาวอุทานออกมาก่อนจะหันไปมองตามทางที่ผู้ชายคนนั้นเดินไป แต่ก็ไม่พบใครจึงอดไม่ได้ที่จะหันมาต่อว่าต้นอ้อด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนักว่าบอกเธอช้าเกินไปเลยทำให้เธอพลาดโอกาสได้คุยกับคนหล่อๆแบบนั้นอีกสัก
ครั้งหนึ่ง




   การมาแล้วไม่พบนภัทรทำให้ชายหนุ่มร่างสูงนึกผิดหวังไม่น้อย หลังจากที่ออกพ้นตัวตึกผู้ป่วย ช่วงขายาวก็ก้าวสวบๆไปตามทางเดินที่ปูอิฐสีเข้มเพื่อตรงไปยังรถที่เขาจอดไว้ยังอีกด้านของโรงพยาบาล ระหว่างทางก็ผ่านสวนที่ถูกจัดแต่งเอาไว้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ป่วยและญาติ ชายหนุ่มกวาดสายตามองอย่างไม่ค่อยสนใจนักแต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งสนามและคุยอยู่กับอีกคนที่มองจากรถเข็นที่นั่งอยู่ก็ดูรู้ว่าคงเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนี้ ชายหนุ่มยิ้มแล้วกอดอกดูภาพตรงหน้าซึ่งดูเหมือนว่าคนทั้งคู่จะไม่รู้ว่าเขายืนอยู่แถวนั้นด้วย

   “แหม ฉันนี่แย่จังนะคะ ขนาดว่าได้เวลาออกเวรแล้ว ยังต้องรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณหมอให้พาออกมาตากอากาศเล่นข้างนอกแบบนี้อีก”

นภัทรยิ้มกับคำต่อว่าตนเองอย่างไม่จริงจังนักของศรารัตน์ อันที่จริงเธอไม่ได้รบกวนอะไรเขาเลย เขาต่างหากที่เป็นคนเสนอตัวพาเธอออกมาสูดอากาศภายนอกบ้าง อยู่อุดอู้แต่ภายในห้องพักหญิงสาวคงจะเบื่อน่าดู

   “ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ อีกอย่างวันนี้ผมไม่มีงานค้างด้วยก็เลยคิดว่าชวนคุณมานั่งเล่นในสวนแบบนี้ดีกว่า อากาศตอนเย็นๆแบบนี้ก็กำลังสบายเลยทีเดียว” ศรารัตน์ยิ้มให้คุณหมอหนุ่ม เธอยังไม่แน่ใจว่านภัทรรู้สึกอย่างไรกับเธอ จะเหมือนกันกับความรู้สึกเล็กๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจของเธอหรือเปล่า ยิ่งคิดสองแก้มของหญิงสาวก็เริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ แต่
นภัทรไม่ทันสังเกต ชายหนุ่มชวนคุยต่อ

   “อีกไม่นานคุณศราก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ อาการคุณดีขึ้นมาก ทางเจ้าหน้าที่กายภาพก็ส่งรายงานมาว่าการทำกายภาพของคุณได้ผลคืบหน้าไปมากเลยทีเดียว”

   “สงสัยยาดีมั๊งคะ” ศรารัตน์พูดแฝงนัย เธอตั้งใจจะหมายถึงว่ายาดีก็คือคุณหมอหนุ่มตรงหน้านั่นเอง แต่นภัทรกลับย้อนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่าถ้าเปลี่ยนเป็นบอกว่าคุณหมอเก่งเนี่ยเขาจะดีใจมากกว่าคำชมว่ายาดีเสียอีก

   “ก็คงทั้งสองอย่างแหล่ะค่ะ เฮ้อ พอกลับบ้านได้ก็คงต้องกลับไปลุยงานซะที นอนป่วยมานานสงสัยตอนนี้แฟ้มงานคงต้องกองเต็มโต๊ะแล้วแน่ๆเลย”

   “คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังมีพี่ชายคุณคอยช่วยอยู่ที่บริษัทนี่นา” นภัทรพูดถึงวิศรุต ชายหนุ่มคิดว่าถึงสองพี่น้องจะไม่ถูกกันอย่างไร วิศรุตก็คงจะไม่ใจดำถึงขนาดปล่อยให้ศรารัตน์ต้องคอยดูแลกิจการใหญ่โตของทัดเทวาเพียงคนเดียวเพราะวิศรุตก็ถือว่าเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลทัดเทวาที่เจ้าตัวภาคภูมิใจนักหนา แต่ประโยคถัดมาของศรารัตน์ทำให้เขารู้ว่าตัวเองมองวิศรุตให้แง่ดีเกินไป

   “ตอนนี้ก็คงช่วยอยู่หรอกค่ะ แต่หลังจากที่ฉันหายดีกลับไปทำงานแล้ว รายนั้นคงรีบแจ้นบินกลับอังกฤษแทบไม่ทัน”

   “อ้าว ไหนคุณศราบอกว่าคุณวิศรุตเพิ่งจะกลับจากอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงจะกลับไปอีกแล้วล่ะ?” คุณหมอหนุ่มทำทีเป็นจ้องกาแฟในแก้วกระดาษในมือแต่หูยังฟังทุกคำพูดของศรารัตน์

   “เค้าคงอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบอิสระเต็มที่ เป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมาเหมือนอย่างเดิมนั่นแหล่ะค่ะ ยิ่งที่อังกฤษไม่มีคนมาคอยคุมด้วย ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่” พูดถึงวิศรุตแล้วศรารัตน์ก็รู้สึกหมดอารมณ์ขึ้นมาเสียเฉยๆเมื่อนึกถึงตอนที่เธอเถียงกับพี่ชายเรื่องหมอนภัทรในห้องวันนั้น ศรารัตน์จึงบอกนภัทรว่าให้เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า แต่เสียงหนึ่งจากทางด้านหลังคุณหมอหนุ่มกลับดังขัดจังหวะบทสนทนาของคนทั้งคู่

   “ไม่ทราบว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ขอผมคุยด้วยคนได้หรือเปล่า?” ศรารัตน์เงยหน้ามองคนที่เข้ามาขัดจังหวะในขณะที่นภัทรก็หันกลับไปมองยังต้นเสียงด้านหลังทันที เมื่อเห็นว่าเป็นใคร คุณหมอหนุ่มก็ยิ้มกว้าง

   “มาได้ยังไงวะไอ้พงษ์?” ชายหนุ่มตรงหน้าคือพงศธร วิศวกรหนุ่มความสามารถสูง อนาคตไกล ผู้เป็นเพื่อนสนิทของ
นภัทรนั่นเอง

   “ถามได้ก็ขับรถมาดิวะ จะให้เดินมาจากไซส์งานก่อสร้างหรือยังไง” คำย้อนของผู้มาใหม่ทำเอาศรารัตน์หลุดขำออกมา พงศธรจึงลืมไปว่าตนสมควรจะแนะนำตัวกับคนตรงหน้าก่อนเพราะเมื่อกี้เขาสังเกตเห็นว่านภัทรดูท่าทางจะค่อนข้างสนิทสนมกับผู้หญิงคนนี้ หญิงสาวคงไม่ใช่แค่คนไข้ธรรมดาสำหรับคุณหมอนภัทรแน่ๆ

   “สวัสดีครับ ผมชื่อพงศธร เป็นเพื่อนสนิทของไอ้กานต์ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มัธยมเลยล่ะครับ” พงศธรแนะนำตัวเองพร้อมกับถือโอกาสตบไหล่ของเพื่อนสนิทไปสองที

   “ฉันชื่อศรารัตน์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ศรารัตน์ยิ้มกว้างให้ฝ่ายนั้น พงศธรดูท่าทางเป็นคนที่น่าคบหามากทีเดียว ชายหนุ่มดูเป็นคนเปิดเผยและเป็นมิตรแม้กระทั่งกับคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

   “แล้วตกลงว่าแกมาได้ยังไงวะเนี่ย จะมาไม่เห็นมีบอกก่อนเลย?” คราวนี้นภัทรเป็นฝ่ายถามบ้าง

   “ก็พอดีช่วงนี้ยังไม่ได้ทำงานก็เลยว่างๆน่ะ วันนี้กะว่าจะบุกมาที่โรงพยาบาลให้แกแปลกใจเล่นเสียหน่อย แต่ว่าพยาบาลที่วอร์ดบอกว่าแกออกเวรแล้ว ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะกลับเนี่ยแหล่ะแต่บังเอิญมาเจอแกที่นี่เสียก่อน” นภัทร
พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

พงศธรเพิ่งกลับจากเรียนต่อต่างประเทศไม่นาน ตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังมองหางานที่ลงตัวอยู่ ดังนั้นก็เลยยังไม่ได้ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งเสียที

พงศธรแกล้งมองหน้าศรารัตน์กับเพื่อนสนิทสลับกันไปมาด้วยความสงสัยบางอย่างซึ่งนภัทรก็สามารถอ่านแววตาคู่นั้นออกได้อย่างไม่ยาก คุณหมอส่งสายตาปรามเพื่อนสนิทแต่อีกฝ่ายไม่สนใจกลับพูดโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

   “ตอนที่เจอนายอยู่ที่สวนนี้ฉันนึกว่าตัวเองกำลังตาฝาดเสียอีก นึกว่านายจะกลับบ้านไปแล้ว แต่พอเห็นว่านายอยู่กับคุณศรารัตน์ฉันก็เลยพอเข้าใจอะไรบางอย่าง” น้ำเสียงทะเล้นชวนให้อยากรู้ของพงศธรกำลังเร้าอารมณ์ความอยากรู้ของศรา รัตน์ ตรงข้ามกับนภัทรที่กำลังวางหน้าไม่ถูก

   “เข้าใจอะไรเหรอคะ?”

   “ก็เข้าใจว่าไอ้เจ้ากานต์น่ะคงกำลังทำหน้าที่หมอดูแลคนไข้ได้อย่างดีเยี่ยมไม่ขาดตกบกพร่องน่ะสิครับ โดยเฉพาะกับคนไข้รายนี้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็น...คนไข้พิเศษ” พงศธรทอดเสียงนุ่มในตอนท้ายแล้วลอบมองหน้าศรารัตน์ ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวเขินจนหน้าแดงก่ำกับคำพูดของเขาแต่เมื่อหันไปมองนภัทร พงศธรกลับพบแต่เพียงรอยยิ้มบางๆเจือแววขบขันเท่านั้น แค่ เห็นท่าทางของนภัทรเขาก็รู้แล้ว เพื่อนของเขาคงไม่ได้คิดเกินเลยกับศรารัตน์จริงๆ และจากคำตอบของพงศธรนี่เองที่ทำให้ศรารัตน์มั่นใจว่าเพื่อนของนภัทรคนนี้เป็นคนเปิดเผยมากทีเดียว





   “แกไปรู้จักสนิทสนมกับคุณศรารัตน์ได้ยังไงวะไอ้กานต์?” พงศธรถามขณะที่ตนกับนภัทรกำลังทานข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง

   “ก็เค้าเป็นคนไข้ของฉันนี่นา”

   “ก็รู้หน่า แต่ฉันอยากรู้ว่าแกทำอีท่าไหนถึงไปสนิทกับเขาได้ วันนั้นที่เจอแกกับคุณศราในสวนของโรงพยาบาลน่ะ ภาพมันฟ้องเลยนะเว้ยว่ามันไม่ธรรมดา”

   “ไม่ธรรมดายังไงวะ? ฉันก็คุยกับเขาแบบปกติ เราเพียงแต่สนิทกันเพราะว่าวัยใกล้ๆกันแค่นั้นเอง อีกอย่างเธอก็เป็นคนน่ารัก คุยง่ายด้วย ฉันก็กลัวว่าเธอจะอยู่โรงพยาบาลนานจนเบื่อก็เลยหมั่นแวะมาคุยเป็นเพื่อนก็เท่านั้นแหล่ะ” นภัทรแก้ต่างให้ตัวเองแล้วตักกุ้งแม่น้ำตัวโตที่เลาะเปลือกเสร็จแล้วเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ

   พงศธรทำหน้าเหมือนเชื่อในสิ่งที่นภัทรบอกแบบไม่มีข้อสงสัยแต่ไม่วายถามย้ำอีกรอบ “แกไม่ได้จีบคุณศรารัตน์แน่นะ?”

   “ก็เออดิ ฉันเห็นเขาเป็นเหมือนน้องสาวแค่นั้นแหล่ะ” คู่สนทนายังยืนยันคำเดิม

   “งั้นถ้าแกไม่สนใจคนนี้ ฉันจีบนะเว้ย” พงศธรพูดโพล่งด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ซึ่งก็ทำเอานภัทรตกใจไม่น้อย ถ้าหาก ว่าศรารัตน์จะรักจะชอบกับพงศธรเขาก็เห็นดีด้วยเพราะว่าเพื่อนรักของเขาเป็นคนดีและศรารัตน์เองก็เป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ แต่ว่าสิ่งที่เขากำลังกังวลคือเรื่องพี่ชายของศรารัตน์ต่างหาก เมื่อหลายวันก่อนฝ่ายนั้นเพิ่งมาป่าวประกาศว่าน้องสาวของตนจะต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสมในระดับฐานะเดียวกันเท่านั้น จริงอยู่ว่าพงศธรไม่ได้ยากจนขนาดต้องไปกู้เงินนอกระบบมาแบบเมื่อตอนม.ปลายอีกแล้ว แต่ตอนนี้ถึงแม้จะจัดว่าฐานะอยู่ห่างจากคำว่าจนมามากแต่ก็คงเกินเอื้อมไปสำหรับพงศธรหากคิดจะอยู่ในระดับเดียวกับพวกทัดเทวา

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะไอ้กานต์? หรือว่าแกคิดจะเปลี่ยนใจ อย่างนี้ไม่ได้นะเว้ย คนนี้ฉันตั้งใจจะเดินเครื่องขายขนมจีบเต็มที่เลยนะ” พงศธรตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆ ตอนแรกเขาไม่กล้าคิดไม่กล้าหวังอะไรมากเพราะกลัวว่านภัทรจะสนใจศรารัตน์เช่นกัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะไม่แย่งของรักของเพื่อนแน่ๆ แต่เมื่อนภัทรยืนยันว่าไม่ได้ชอบศรารัตน์ เขาก็พร้อมจะลุยเต็มที่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะมีเสน่ห์ด้อยกว่านายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ที่ตรงไหน ถ้านภัทรสามารถทำให้ศรารัตน์สนใจตัวเองได้ ชายหนุ่มก็สามารถทำให้ศรารัตน์หันมาสนใจตัวเขาได้เช่นกัน

   “ป่าวหรอก ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจอะไรทั้งนั้นแหล่ะ ฉันจะไปชอบคุณศราได้ยังไงในเมื่อฉันกับพี่ชาย...”

   “เฮ้ย นั่นมันไอ้ภาณุกับ...กับ...วิศรุตนี่นา” นภัทรยังพูดไม่ทันจบแต่พงศธรพูดแทรกขึ้นมาก่อนเพราะจำได้ว่าสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในโซนเรือนแพริมน้ำคือภาณุและวิศรุตเพื่อนเก่าสมัยเรียน เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับนภัทรซึ่งหันหน้าไปด้านทางเข้า จึงเห็นคนทั้งคู่ก่อนนภัทร

   “คนที่มากับภาณุคือวิศรุตจริงๆด้วย หมอนั่นไปเรียนเมืองนอกตอนปลายเทอมของม.ห้านี่นา ไม่เห็นมีข่าวว่ากลับมาเมืองไทยเลย หรือเพราะว่าฉันเพิ่งกลับจากเรียนต่อเมื่อไม่นานมานี้วะก็เลยไม่ได้ยินข่าวของวิศรุต?”
นภัทรส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าวิศรุตกลับมาจากอังกฤษเพื่อมาเยี่ยมน้องสาวที่ป่วยเท่านั้น ไม่ได้จะมาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวร พอเขากำลังจะพูดถึงวิศรุต...วิศรุตก็มา ช่างตายยากเสียจริง

“ฉันว่าเรียกสองคนนั้นมานั่งโต๊ะเดียวกับเราดีกว่า จะได้รำลึกถึงเรื่องเก่าๆสมัยเรียนกันหน่อย ไม่ได้เจอไอ้สองคนนี้มานานหลายปีเลยนะเนี่ย”

นภัทรทำสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อพงศธรบอกว่าจะเรียกให้เพื่อนเก่ามานั่งด้วยกัน จะห้ามก็ไม่ทันแล้วเพราะภาณุดันหันมาเห็นพงศธรที่โบกไม้โบกมือเป็นเชิงเรียกเขากับวิศรุตเสียก่อน สองคนนั้นเลยกำลังเดินตรงมาที่โต๊ะของเขาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักด้วยเพราะรู้สึกคุ้นหน้าพงศธรที่โบกมือเรียกให้เข้าไปหา

   เมื่อวิศรุตกับภาณุเดินมาถึงที่โต๊ะ ทั้งคู่ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย นภัทรทักผู้มาใหม่สองคนด้วยเสียง   แปร่งๆ ตรงข้ามกับวิศรุตที่ทักทายนภัทรและพงศธรเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ นภัทรคิดว่าวิศรุตคงจะโกรธเขาเรื่องศรารัตน์อยู่ ฝ่ายนั้นจึงมีท่าทีเย็นชากับเขาอย่างเห็นได้ชัดจนแม้แต่พงศธรยังสังเกตได้ นภัทรแอบคิดในใจว่าหากพงศธรรู้ว่าวิศรุตเป็นพี่ชายแท้ๆของศรารัตน์ ทัดเทวา เพื่อนสนิทของเขาจะทำหน้าอย่างไร? จะยังยืนยันว่าจะเดินหน้าจีบศรารัตน์ต่อไปหรือเปล่า?

   “พวกนายมานั่งด้วยกันสิ เราจะได้คุยกัน ว่าแต่ไม่เจอตั้งนานเลยนะเนี่ย” พงศธรเอ่ยชวนอย่างมีน้ำใจ
ภาณุลังเลก่อนจะเหลือบมองสีหน้าของคนที่มาด้วยกัน วิศรุตยังหน้านิ่งเหมือนรูปสลัก ภาณุลอบถอนหายใจก่อนพยายามปฏิเสธเสียงนุ่มไม่ให้คนชวนเสียน้ำใจ

   “ขอบใจที่ชวนนะ แต่กลัวว่าจะรบกวนนายสองคนเปล่าๆ เดี๋ยวฉันกับไอ้วินแยกไปโต๊ะทางโน้นดีกว่า อีกอย่างนายก็เริ่มทานไปแล้วด้วย กว่าจะรอพวกฉันก็คงอีกนาน”

   “อย่ามาทำเรื่องมากเลยไอ้โอม ก็นั่งโต๊ะเดียวกันนี่แหล่ะ นี่ฉันกับไอ้กานต์ก็เพิ่งเริ่มกินไปนิดหน่อยเอง ก็เดี๋ยวสั่งกับข้าวเพิ่มก็ได้นี่นา ที่นี่อาหารเร็วไม่ช้าหรอก” พงศธรคะยั้นคะยออีกรอบ ในขณะที่นภัทรเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขากับวิศรุตกำลังอยู่ในสถานะเพื่อนเก่าสมัยม.ปลายไม่ใช่นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์หมอเจ้าของไข้ของน้องสาวคุณวิศรุต ทัดเทวา นักธุรกิจเจ้าของบริษัทอสังหาฯผู้โด่งดัง ตอนนี้เขาคงไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฝ่ายนั้นอีกแล้ว

   “กลัวว่าคนบางคนเขาจะไม่อยากให้นั่งร่วมโต๊ะน่ะสิ” พงศธรทำหน้างงว่าที่วิศรุตพูดหมายถึงอะไร ด้วยเพราะไม่ค่อยเข้าใจตื้นลึกหนาบางเรื่องของนภัทรกับวิศรุตมากนัก ในขณะนี่คนถูกแดกดันเริ่มหน้าตึง

   “เอ่อ เอาเป็นว่า...” เป็นภาณุที่พยายามจะแก้สถานการณ์อีกครั้ง

   “นั่งด้วยกันเถอะ จะได้คุยเรื่องเก่าๆสมัยม.ปลายกันหน่อย” นภัทรเอ่ยปากชวนพร้อมเน้นเสียงหนักที่คำว่าเรื่องเก่าๆสมัยม.ปลาย เขายังจำได้ดีว่าวิศรุตเคยบอกว่าตัวเองไม่อยากจะกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆอีกแล้ว ดวงตาสีถ่านสบดวงตาสีน้ำตาลโศกที่บัดนี้โชนแสงกล้าอย่างท้าทาย

   ภาณุมองหน้าวิศรุตกับนภัทรสลับกันไปมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะตัดสินใจนั่งลงข้างๆพงศธรเป็นคนแรก และแน่นอนว่าที่นั่งข้างนภัทรก็ตกเป็นของวิศรุต ภาณุกล้าท้าเอาอะไรเป็นเดิมพันก็ได้ว่าเขาเห็นรอยยิ้มสบใจที่มุมปากของวิศรุตแวบหนึ่งก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ทำไมกินน้อยจังวะ อาหารไม่อร่อยเหรอไง?” พงศธรถามเพราะเห็นว่าข้าวในจานของวิศรุตดูจะพร่องลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าตัวก็มัวแต่เอาช้อนเขี่ยข้าวในจานเล่นไปมา

   “เปล่าหรอก อาหารอร่อยดีเพียงแต่ฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

   “นึกว่ากินไม่ลงเพราะที่นี่คงไม่ใช่ภัตตาคารหรูระดับห้าดาวแบบที่นายเคยชิน” นภัทรสอดเสียงเรียบซึ่งทำเอาภาณุกับพงศธรที่กำลังคุยหัวเราะถึงความหลังวีรกรรมสมัยมัธยมปลายต่างก็ชะงักกึกแล้วหันไปทางคนพูดแทบจะทันที

   “คงไม่ใช่เกี่ยวกับว่าที่นี่จะเป็นภัตตาคารหรูอะไรหรือเปล่าหรอก ถ้าฉันจะกินไม่ลงมันก็คงเป็นเพราะเอียนขี้หน้าคนแถวนี้บางคนมากกว่า” วิศรุตเหยียดยิ้มปรายตาไปมองคนข้างๆที่ตนเพิ่งจะแขวะใส่ แต่นภัทรไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะคุณหมอหนุ่มกำลังพยายามระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านในใจเต็มที่

   “ว่าแต่นายทำงานอะไรล่ะ มารับช่วงต่อกิจการที่บ้านเหมือนอย่างไอ้โอมหรือเปล่า?” พงศธรพยายามเปลี่ยนประเด็นสนทนาโดยหันมาถามวิศรุตอีกครั้ง

   “ช่วงนี้ก็เข้ามาช่วยดูงานที่บริษัทน่ะ พอดีว่าน้องสาวของฉันประสบอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้”

   “พูดอย่างกับว่าพอน้องสาวหายป่วยตัวเองก็จะเลิกทำงานงั้นแหล่ะ เอ้อ ว่าแต่น้องสาวนายทำไมถึงประสบอุบัติเหตุได้ล่ะ”

   “รถชนน่ะสิ แต่ตอนนี้อาการก็ดีวันดีคืน คงเพราะได้กำลังใจดี” วิศรุตพูดพลางปรายตาไปมองนภัทรอีกครั้ง พงศธรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่วิศรุตจะถามกลับบ้างว่าพงศธรตัดสินใจได้แล้วหรือยังว่าจะทำงานที่ไหน

   “ก็มองเอาไว้สองสามที่นั่นแหล่ะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย ไม่รู้ว่าบริษัทพวกนั้นจะยอมรับฉันเข้าทำงานด้วยหรือเปล่า เนี่ยแหล่ะปัญหา”

   “ถ้าบริษัทพวกนั้นไม่รับแกเข้าทำงานก็คงบ้าเต็มทนแล้วล่ะ คุณพงศธร วิศวกรหนุ่มออกจะเก่งกาจมากด้วยความสามารถปานนี้” ภาณุทำเสียงล้อเลียนก็เลยโดนพงศธรตบป้าบเข้าให้ที่ไหล่แรงๆสองสามที

   “ถ้านายยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกบริษัทไหน ถ้าอย่างนั้นก็ฝากบริษัททัดเทวาให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของนายได้หรือเปล่า?” วิศรุตพูดพร้อมกับหยิบนามบัตรของเขาออกมาจากกระเป๋าสตางค์แบรนด์เนมราคาแพงแล้วยื่นมันให้พงศธร

   “โห เป็นเกียรติอย่างสูงเลยนะครับที่ท่านประธานของบริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อย่างทัดเทวามาเสนองานให้วิศวกรตัวเล็กๆอย่างผม” คนที่ถูกล้อหัวเราะพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนบอกว่าคนที่มีความสามารถอย่างพงศธร บริษัททัดเทวาก็ต้องยินดีอยากได้มาร่วมงานด้วยอยู่แล้ว

   “ถ้างั้นฉันขอเวลาคิดก่อนได้หรือเปล่า?” พงศธรไม่อยากด่วนตัดสินใจนัก เขาอยากพิจารณารายละเอียดเงื่อนไขของแต่ละบริษัทและมองถึงผลได้ผลเสียให้รอบคอบเสียก่อนที่จะเลือกร่วมงานกับบริษัทใด

   “ไม่ต้องเกรงใจฉัน เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเถอะ” วิศรุตไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้ แต่ถ้าได้พงศธรมาร่วมงานด้วยกันก็จะดีไม่น้อยเพราะเขาเองก็รู้อยู่ว่าพงศธรเป็นคนมีความสามารถจริงๆ

   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จได้สักพัก ภาณุก็ขอตัวกลับก่อนเพราะติดธุระคุยงานกับลูกค้าต่อ วิศรุตเองก็เอ่ยเป็นเชิงขอตัวกลับเช่นกันโดยอ้างว่าต้องกลับไปเคลียร์งานที่บริษัท แต่นภัทรก็นึกรู้ว่าวิศรุตคงไม่อยากนั่งเผชิญหน้ากับเขาแล้วก็พงศธรโดยปราศจากคนกลางอย่างภาณุมากกว่า

   เมื่อภาณุกับวิศรุตกลับไปแล้ว นภัทรก็ลองหยั่งเชิงถามพงศธรถึงเรื่องที่วิศรุตชวนไปทำงานที่บริษัททัดเทวา

   “นายตั้งใจจะไปทำงานที่บริษัททัดเทวาหรือเปล่าวะไอ้พงษ์?”

   “ไม่รู้สิ เอาจริงๆก็ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่หรอก ฉันคงรู้สึกแปลกๆว่ะถ้าต้องไปเป็นลูกน้องในบริษัทของเพื่อน” พงศธรพูดไปตามความรู้สึก จริงอยู่ว่าบริษัททัดเทวานั้นเป็นบริษัทที่ใหญ่และมั่นคง แต่ถ้าเขาทำงานที่นั่นก็คงไม่แคล้วต้องถูกมองว่าอาศัยเส้นสายของวิศรุตเข้ามาแน่ๆ ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย แม้ว่าลึกๆอีกใจหนึ่งก็อดเสียดายโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการธุรกิจอสังหาฯที่เป็นความฝันในชีวิตการทำงานของวิศวกรหลายๆคนไม่ได้ ที่สำคัญคือเขารู้สึกว่าตัวเองยังติดหนี้วิศรุตอยู่ตอนที่ฝ่ายนั้นช่วยเหลือเรื่องคืนเงินกู้ให้พวกนักเลงตอนสมัยทั้งคู่ยังอยู่ม.ปลาย แม้ว่าวิศรุตจะไม่ได้ติดใจทวงคืนก็ตาม

   “เรื่องทำงาน นายก็ค่อยๆคิดไปแล้วกัน”
พงศธรตอบรับในคอก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาให้ความสนใจกับเรื่องของศรารัตน์ ผู้หญิงที่เขาหมายตาเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง

   “ว่าแต่ฉันลืมถามนายไปเลยว่าคุณศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุอะไร? ทำไมเธอถึงต้องอยู่โรงพยาบาลนานขนาดนั้นด้วย นานจนมาสนิทกับคุณหมออย่างแกได้เนี่ย?”

   “อุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง”

   “อ้าว อุบัติเหตุรถชนเหมือนกับน้องสาวของไอ้วินเลย ทำไมเดี๋ยวนี้มันฮิตรถชนกันเหรอวะ?” พงศธรพูดกลั้วหัวเราะกับประโยคสุดท้ายแต่คำตอบของนภัทรทำให้ชายหนุ่มต้องยิ้มค้าง

   “จะไม่ให้เหมือนกันได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคุณศรารัตน์ที่นายตั้งใจจะจีบน่ะก็คือน้องสาวแท้ๆของวิศรุต” พงศธรมีสีหน้างงงวย ชายหนุ่มนึกว่าตัวเองหูฝาดไปแต่นภัทรก็พูดย้ำอีกครั้ง

   “ฉันตั้งใจจะบอกนายตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณศราเป็นน้องสาวของวิศรุต” หลังจากนั้นนภัทรก็เล่าเรื่องที่เจอกับวิศรุตโดยบังเอิญอีกครั้งที่โรงพยาบาลในตอนที่วิศรุตมาเยี่ยมศรารัตน์ในฐานะพี่ชายให้เพื่อนสนิทฟัง โดยไม่ลืมที่จะเล่าว่าวิศรุตแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับเขาต่อหน้าศรารัตน์ ซึ่งมันเป็นเพราะเหตุใดชายหนุ่มเองก็ไม่รู้เช่นกัน เขาจึงได้แต่เออออตามน้ำไปกับวิศรุตด้วย
   “คุณศราเป็นน้องสาวของไอ้วินงั้นเหรอ” พงศธรทวนคำกับตัวเองเบาๆพร้อมกับหยิบนามบัตรของวิศรุตที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาดูอีกครั้งอย่างเริ่มลังเล


จบบทที่9
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่10
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 31-07-2012 11:45:56
บทที่ 10


   ภาณุเดินเข้ามาในผับหรูแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มชอบที่นี่ด้วยเพราะมันเป็นไนท์คลับชั้นสูงมีระดับ ด้วยเพราะราคาค่าบริการที่ถูกเรียกเก็บเสียจนแพงหูฉี่ซึ่งเสมือนเป็นการสงวนเอาไว้เฉพาะสำหรับลูกค้าผู้มีฐานะและกำลังทรัพย์พอจะจ่ายค่าบริการที่คลับแห่งนี้ได้เท่านั้น

   วันนี้ที่นี่คนเยอะเป็นพิเศษ ภาณุคิดขณะที่เดินตัดผ่านบาร์เหล้าเพื่อจะไปยังโซนอีกฝั่งหนึ่งของคลับที่เพื่อนๆเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ด้วยเพราะชายหนุ่มมาบ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นแขกคนพิเศษของที่นี่ บริกรส่วนใหญ่จะคุ้นหน้าเขาและมักจะค้อมหัวเป็นเชิงทักทายเมื่อเขาเดินผ่านอยู่บ่อยครั้ง อันที่จริงเหตุผลที่พวกบริกรคุ้นหน้าเขาคงเป็นเพราะเขาเป็นคนมือเติบจ่ายทิปหนักให้พวกนั้นเสียมากกว่า

   ภาณุแวะสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บาร์เหล้าก่อนสั่งให้บริกรเอาไปเสริ์ฟให้เขาที่โต๊ะอย่างที่เคยทำประจำทุกครั้งที่มาคลับแห่งนี้ จังหวะที่สั่งเครื่องดื่มเสร็จแล้วกำลังจะหมุนตัวออกจากบาร์ตรงนั้น ร่างสูงกลับปะทะกับร่างนุ่มนิ่มบอบบางของอีกคนที่มาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แรงปะทะจากการชนทำให้อีกฝ่ายเซเสียหลักเกือบจะล้ม แต่ภาณุก็ยื่นมือออกไปช่วยประคองได้ทันตามสัญชาตญาณ กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างบอบบางนั้นกำลังตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มทั้งตัวและที่สำคัญเขารู้สึกว่าของเหลวในแก้วเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายถือมาด้วยจะหกรดเสื้อผ้าของคนที่ถือมาจนเกิดเป็นรอยด่างดวงขึ้นมาเสียแล้ว

   “ขอโทษครับ/ค่ะ” ทั้งคู่เอ่ยขอโทษออกมาพร้อมกัน จังหวะนั้นภาณุจึงสามารถเห็นใบหน้าของคนในอ้อมแขนได้ชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้าเขาจัดได้ว่าอยู่ในขั้นที่หน้าตาสะสวยเลยทีเดียว ใบหน้าหวานซึ้งที่ตกแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางค์ราคาแพงก็กำลังพิจารณาที่ใบหน้าเขาเช่นกันก่อนที่สายตาคู่สวยของเธอจะไล่ลงมายังมือแกร่งที่โอบรอบเอวคอดของเธออยู่

   ภาณุยิ้มเก้อๆแล้วรีบปล่อยมือจากเอวของเธอทันทีแม้ว่าในใจจะนึกเสียดายไม่น้อยกับสัมผัสใกล้ชิดเมื่อครู่ ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเธออีกครั้งก่อนจะสังเกตเห็นว่าชุดเดรสสั้นสีโอลด์โรสของเธอบัดนี้ได้ถูกชโลมด้วยแชมเปญที่หกเลอะเพราะเหตุที่ชนกันเมื่อครู่

   “ขอโทษด้วยครับที่ทำชุดคุณเลอะ” ภาณุมองไปยังชุดเดรสตรงที่เลอะอย่างคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี

   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะฉันต่างหากที่ซุ่มซ่ามเอง” เมริษายิ้มให้อย่างไม่ได้คิดถือสาอะไรนัก เพราะเธอเองก็ผิดที่เดินมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือจนมาชนเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้า

   “แต่ชุดคุณเลอะหมดแล้วนะครับ ผมว่า...”

   “ช่างมันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยไปจัดการที่ห้องน้ำก็ได้” ภาณุหันไปหาบริกรที่ยืนอยู่หลังบาร์เหล้าก่อนจะขอกระดาษทิชชู่เพื่อมาให้หญิงสาวใช้ทำความสะอาดชุดของเธอแก้ขัดไปก่อนแล้วจึงค่อยไปทำความสะอาดในห้องน้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่พอ ได้กระดาษทิชชู่มาแล้วและตั้งใจจะยื่นให้ด้วยความหวังดี อีกฝ่ายกลับหายไปเสียอย่างนั้น

   ภาณุมองไปรอบตัวอย่างสงสัย ผู้หญิงคนนั้นหายไปเร็วเสียจริง เลยทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับเธอเลย ชายหนุ่มคิดอย่างเสียดายเล็กน้อยที่ตัวเองน่าจะรั้งร่างบางเอาไว้ให้ได้นานกว่านี้ อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้รู้จักชื่อของเธอก่อนก็ยังดี




   “ทำไมหายไปนานจังเลยครับคนสวย?” ภาคินถามเสียงนุ่มก่อนที่มือหนาแข็งแรงจะรั้งเอวบางของเมริษาให้ล้มลงมานั่งเกยที่หน้าตักของตน

   “พอดีว่าเมเดินชนกับใครก็ไม่รู้ ก็เลยทำแก้วแชมเปญหกเลอะชุดตัวเอง เมเลยแวะไปทำความสะอาดชุดในห้องน้ำก่อน ก็เลยมาช้าน่ะค่ะ” เมริษาอธิบายสาเหตุที่เธอหายไปจากโต๊ะนาน แต่ดูเหมือนว่าภาคินจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะกำลังวุ่นวายอยู่กับการใช้มือหนาไล้ไปตามผิวเนียนละเอียดของร่างในอ้อมแขน

   ภาคินก้มลงสูดความหอมจากซอกคอขาวผ่องของเมริษา ตอนนี้มือหนาก็เริ่มซุกซนไล้ไปตามต้นขาเปลือยอย่างไม่สนใจเสียงครางประท้วงของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าเธอเองก็รู้สึกดีกับสัมผัสแบบนี้เช่นกัน

   “อย่าเพิ่งที่นี่เลยค่ะ เรายังมีเวลาอีกเยอะ” เมริษาประท้วงเสียงอ่อน สัมผัสของภาคินทำให้เธอเริ่มจะควบคุมอารมณ์หวามหวานในอกไม่ได้ หญิงสาวเชยคอรับสัมผัสจากเขาอีกครั้งก่อนจะทิ้งตัวลงพิงกับโซฟานุ่มพร้อมกับที่ภาคินทาบกายทับลงมา
   ก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะเตลิดไปมากกว่านั้น เมริษากลับเป็นฝ่ายหยุดภาคินไว้ในขณะที่ชายหนุ่มจะพยายามบดเบียดริมฝีปากเข้ากับกลีบปากแดงระเรื่อของเธอ

   “ไหนคุณบอกว่ามีธุระจะคุยกับเมไงคะ? พูดธุระมาก่อนสิ”

   “เรื่องนั้นไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ” ภาคินตาปรือเพราะแรงพิศวาสหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่อยากจะพูดธุระอะไรแล้ว สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลืนกินร่างงามตรงหน้าเข้าไปทั้งตัว

   “เรามาคุยธุระกันก่อนดีกว่า ยังไงคืนนี้เมก็อยู่กับคุณทั้งคืนอยู่แล้ว” ภาคินต้องยอมจำนนกับเหตุผลของเมริษาในที่สุดแม้ว่าจะอดเสียดายไม่น้อยที่จะต้องหยุดความสุขของตนเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าคืนนี้เมริษาจะต้องโดนทำโทษทั้งคืนอย่างแน่นอน เขาจะเอาให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว

   “ว่าไงคะ ธุระอะไรที่คุณจะคุยกับเม? ขอเดาว่าต้องเป็นเรื่องของคุณวินแน่ๆ” มองจากสีหน้าของภาคิน เมริษาก็รู้ได้ว่าตัวเองเดาถูก “มีเรื่องอะไรเหรอคะ หรือว่าคุณวินไม่ยอมรับเมเข้าทำงาน?”

   “ก็ไอ้วินมันไม่ยอมให้เมไปทำงานแทนเลขามันน่ะสิ มันบอกว่าถ้าเมอยากทำที่ทัดเทวามันจะหาตำแหน่งอื่นให้”
เมริษารับฟังด้วยใบหน้าครุ่นคิด หากว่าเธอไม่ได้ทำงานในตำแหน่งเลขาของวิศรุต เธอจะทำงานที่ทัดเทวาหรือไม่ก็คงไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่ดี เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอวางแผนกับภาคินและวันชัยเอาไว้ก็คือการตีสนิทกับวิศรุตโดยต้องทำให้ฝ่ายนั้นหลงรักเธอให้ได้และการแอบขโมยข้อมูลลับของบริษัททัดเทวามาให้กับวันชัย

   “แล้วคุณพ่อคุณว่ายังไงคะ?”

   “พ่อบอกให้รอไปก่อน เพราะถ้าเราไปทำอะไรเลขาไอ้วินตอนนี้ เดี๋ยวมันจะสงสัยเราได้” เมริษาเห็นด้วยกับความคิดของวันชัย โอกาสที่เธอจะได้เจอกับวิศรุตยังมีอีกเยอะ นั่นหมายความว่าตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเดินหน้าสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายมากนักเพราะจะดูเป็นการตามตอแยเขาจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเธอเลย เพราะสุดท้ายวิศรุตก็ต้องมาติดเบ็ดที่เธอเกี่ยวเหยื่อล่อเอาไว้อยู่แล้ว เมริษาคิดอย่างมั่นใจในฝีมือของตัวเอง

เมื่อนึกว่าในอนาคตเธอจะได้ใช้นามสกุลทัดเทวาร่วมกับวิศรุตในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมริษาก็อดยิ้มด้วยแววตาหมายมาดไม่ได้ การได้ใช้คำต่อท้ายชื่อว่าทัดเทวาจะส่งผลต่อเธอมากมาย หนึ่งในนั้นคือการช่วยพยุงให้ฐานะทางบ้านของเธอได้กลับมาเชิดหน้าชูตาในวงสังคมได้อีกครั้งหลังจากที่ตอนนี้บ้านของเธอกำลังจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลายเพราะฐานะทางการเงินของบริษัทธุรกิจที่ครอบครัวเธอเป็นเจ้าของอยู่ไม่สู้จะดีนัก ภาคินก็เป็นตัวเลือกหนึ่งของเธอ ตอนแรกเธอหมายตาเอาไว้ว่าจะต้องจับชายหนุ่มคนนี้เอาไว้ให้ได้ แต่พอได้ฟังข้อเสนอที่ภาคินยื่นให้เพื่อแลกกับการที่เธอต้องมาร่วมลงเรือร่วมมือกับแผนการเจ้าเล่ห์ของเขามันก็ออกจะคุ้มดีอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญวิศรุตก็รวยกว่ามากนักเมื่อเทียบกับภาคินที่ไม่ใช่ทายาทของทัดเทวาโดยสายเลือด   

ภาคินจุดยิ้มที่มุมปากอย่างนึกรู้ว่าเมริษากำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเสนอแผนการนี้ให้กับวันชัยเอง เพราะเห็นว่าหากสำเร็จไปตามแผน ฝ่ายเขากับเมริษาจะมีแต่ได้กับได้เท่านั้น ด้วยเพราะหากเมริษาทำให้วิศรุตหลงรักจนยอมแต่งงานด้วยได้ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม เธอก็ย่อมมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของวิศรุตด้วยครึ่งหนึ่งในฐานะภรรยา ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันก็ตกมาเป็นของเขากลายๆนั่นเอง วิศรุตไม่มีทางรู้หรอกว่าเมริษากับเขามีสถานะสัมพันธ์กันลึกซึ้งถึงขั้นไหนต่อไหนกันแล้ว อีกทั้งวิธีนี้ก็จะช่วยให้วันชัยผู้เป็นพ่อเข้ามาแทรกแซงอำนาจในทัดเทวาที่เป็นของวิศรุตได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมด ถ้าสุดท้ายแล้ววิศรุตรู้ว่าตัวเองโดนเมริษาหลอกก็คงจะกระอักเลือดตายด้วยความแค้นใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันจะต้องมาใช้ผู้หญิงที่เหลือเดนต่อจากเขาอีกที

“จากนี้ผมว่าเมต้องพยายามหาทางใกล้ชิดไอ้วินมันบ่อยๆแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะกลับเมืองนอกเลยหรือเปล่าหลังจากที่น้องสาวของมันออกจากโรงพยาบาล ทางที่ดีเมต้องรีบหาทางรั้งมันเอาไว้ที่นี่ก่อน” ภาคินเสนอแต่เมริษาลอบถอนหายใจเฮือก สำหรับวิศรุตแล้ว เธอก็แค่คนที่เคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว แล้วอย่างนี้เธอจะเอาอะไรไปรั้งวิศรุตไม่ให้บินไปเมืองนอกได้ล่ะ ตอนนี้เธอยังไม่ได้สนิทสนมกับเขาถึงขนาดเป็นคนใกล้ชิดที่บอกอะไรแล้ววิศรุตจะต้องทำตามทุกอย่างเสียหน่อย แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดความคิดที่อยู่ในใจของเธอให้ภาคินฟัง

“ค่ะ แล้วเมจะลองหาวิธีดูแล้วกัน” ภาคินยิ้มพึงใจก่อนจะรวบร่างของเมริษาเข้ามากอดอีกครั้งแล้วระดมจูบไปทั่วดวงหน้าสวยหวาน

“ถ้าคุยเรื่องงานกันเสร็จแล้ว ผมว่าเราไปกันเถอะ จะได้ไปทำเรื่องอย่างอื่นกันต่อ” ภาคินพูดเสียงกรุ้มกริ่ม ส่วนเมริษาก็ช้อนตามองเขาด้วยประกายตาเชื่อมหวานอย่างยั่วเย้า

“ที่ไหนคะ?”

“ผมจองห้องเอาไว้แล้ว” ชายหนุ่มหมายถึงห้องด้านบนเหนือคลับหรูแห่งนี้ ที่ทางคลับเปิดเอาไว้สำหรับให้บริการลูกค้าวีไอพีเท่านั้น ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาขับรถไปหาโรงแรมอื่นอีก เขากระหายอยากจะชิมความหอมหวานเย้ายวนจากร่างตรงหน้าเร็วๆโดยไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แม้เพียงนาทีเดียว

ภาคินจัดการเช็คบิลเรียบร้อยแล้วก็โอบเอวเมริษาเดินออกจากบริเวณผับไปยังด้านนอกเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักส่วนตัวที่จองเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้

ทั้งภาคินและเมริษาไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาคู่หนึ่งที่เฝ้ามองดูตั้งแต่ที่ทั้งคู่ก้าวออกมาจากตัวผับแล้วตระกองกอดกันเข้าไปในลิฟต์อย่างเงียบๆ 

ภาณุแสยะมุมปากกับภาพที่เห็น บังเอิญว่าชายหนุ่มออกมาคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอกพอดีจึงได้เห็นว่าผู้หญิงหน้าตาสวยซึ้งที่เขาอยากจะรู้จักคนนั้นกำลังเดินโอบประคองกับผู้ชายอีกคนเข้าไปในลิฟต์ซึ่งเขาเองก็เดาได้อย่างไม่ยากเลยว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่ก็คงไม่พ้นห้องพักสุดหรูด้านบน และที่สำคัญผู้ชายคนนั้นก็คือภาคิน ทัดเทวา ญาติของเพื่อนสนิทเขานั่นเอง แม้ว่าจะเจอภาคินไม่บ่อยแต่ภาณุก็รู้จักฝ่ายนั้นเป็นอย่างดีด้วยเพราะกิตติศัพท์ที่วิศรุตชอบเอามาเล่าสู่เขาฟังบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเรียนม.ปลาย ซึ่งมันก็มักจะเป็นเรื่องที่ออกไปในแนวแง่ลบเสียด้วย เช่นว่าภาคินชอบใช้นามสกุลทัดเทวามาเป็นเครื่องมือหลอกฟันพวกผู้หญิงหน้าเงินที่อยากจะจับเขาเพื่อยกระดับฐานะตัวเอง และครั้งนี้ภาณุก็เดาว่าภาคินก็คงจะทำอย่างนั้นเช่นกัน

“เธอมันก็แค่พวกผู้หญิงหน้าเงินทั่วไปที่หวังจะใช้ความสวยของตัวเองเพื่อจับพวกเศรษฐีสินะ” ภาณุแค่นเสียงดูถูก ความประทับใจแรกเห็นเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่หญิงสาวผู้นั้นเดินมาชนเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในความรู้สึกอีก เมื่อภาณุได้เห็นเธอเดินขึ้นลิฟต์ไปกับภาคินด้วยสองตาของตนเอง





วันนี้วิศรุตทำหน้าที่พี่ชายที่ดีในการไปรับศรารัตน์กลับจากโรงพยาบาลเพื่อมาพักฟื้นต่อที่บ้าน ตลอดทางขากลับระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ ศรารัตน์เมินหน้าไม่ยอมพูดอะไรกับวิศรุตซักคำด้วยเพราะยังไม่หายโกรธพี่ชายถึงเรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันในวันนั้น ตอนแรกวิศรุตคิดว่าจะเอาใจน้องสาวด้วยการพาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านโปรดของเธอ แต่เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชาที่ศรารัตน์แสดงออกต่อเขา ชายหนุ่มก็ชักเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นการรับประทานอาหารนอกบ้านก็เป็นอันต้องล้มเลิกไปและเปลี่ยนเป็นตรงดิ่งกลับบ้านในที่สุด

“ใจคอเธอจะไม่พูดอะไรกับฉันสักคำเลยเหรอ?” วิศรุตพูดไล่หลังศรารัตน์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินลิ่วเข้าบ้าน เท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนขัดมันชะงักแล้วหันมาพูดสั้นๆ

“เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกหรอก”

   “ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่หมอนภัทรอะไรนั่น” ชื่อบุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงทำให้ศรารัตน์ต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้ที่ยังคงโต้เถียงอย่างไม่จบไม่สิ้นเสียที

   “หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ววิน ยังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่านายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องฉันกับหมอกานต์” ศรารัตน์เน้นเสียงหนักก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปทันที ไม่สนใจว่าวิศรุตจะมีสีหน้าที่ขัดเคืองกับคำพูดของตนเองมากเพียงใด

   เมื่อวิศรุตเดินตามศรารัตน์เข้ามาในตัวบ้านเพื่อตั้งใจจะมาคุยเรื่องนภัทรต่อ แต่ภายในห้องรับแขกไม่ได้มีแต่ศรารัตน์เพียงคนเดียว ชายหนุ่มกลับพบแขกที่มาเยือนบ้านทัดเทวาอีกคน...ภาคิน

   “มาทำอะไรที่นี่ภาคิน?” วิศรุตถามเสียงห้วน เมื่อวันชัยไม่อยู่เขาก็ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้ารักษามารยาทกับคนๆนี้อีกต่อไป

   “ทำไมนายต้องทำหน้ายักษ์อย่างนั้นด้วยล่ะวิน? ฉันก็แค่แวะมาเยี่ยมศราเพราะรู้ว่าวันนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เท่านั้น” ภาคินยื่นดอกไม้ช่อโตในมือให้กับศรารัตน์ที่รับไปพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายแล้วบอกว่าไม่น่าลำบากเอามาให้เธอเลย “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” ภาคินเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้ศรารัตน์ หญิงสาวลอบเบ้หน้าคลื่นไส้ ในใจก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับสายตาที่เหมือนจะโลมเลียเธอไปทั้งตัวแบบนี้

   “ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปสิ” เมื่อเจอเจ้าของบ้านไล่แบบไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ภาคินเลยต้องจำใจกลับ แต่ก่อนไปยังไม่วายหันไปเอ่ยลาศรารัตน์อีกครั้ง

   “งั้นผมไปก่อนนะครับศรา เอาไว้เจอกันที่บริษัท” ศรารัตน์ยิ้มฝืดๆให้ภาคินก่อนจะรีบเดินหนีขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของเธอ ทิ้งให้วิศรุตเผชิญหน้ากับภาคินสองคน

   “ฉันขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะ” วิศรุตพูดเสียงกร้าวขณะสบตากับภาคินที่มองมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างไม่แพ้กัน

“ถ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญจริงๆ ฉันไม่อยากให้นายมาวุ่นวายที่บ้านของฉันบ่อยๆ หวังว่าที่พูดนี่นายคงจะเข้าใจ”

   “ท่าทางนายจะหวงบ้านนี้จริงนะ หรือว่ากลัวว่าซักวันมันจะต้องตกไปเป็นสมบัติของคนอื่น”

   “สมบัติของฉัน ถ้าฉันไม่ยกให้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังได้เลย” วิศรุตสวนกลับอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยเห็นภาคินอยู่ในสายตาอยู่แล้ว คำพูดนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ไม่มีทางเสียหรอกที่บ้านทัดเทวาจะตกไปอยู่ในมือทายาทนอกสายเลือดอย่างแก วิศรุตคิดในใจอย่างเย้ยหยัน

   ภาคินพยายามกดอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนเข้าให้ ก่อนจะกัดฟันเอ่ยขอตัวกลับบ้านทันที

   “เดี๋ยวก่อน” วิศรุตเรียกไว้ ภาคินจึงหยุดแล้วหันมามองว่าคนเรียกต้องการจะพูดอะไรกับเขาอีก “ฉันได้อ่านรายงานที่ทางแผนกการเงินประเมินงบสำหรับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่แล้ว ฉันว่าตัวเลขมันดูสูงผิดปกตินะ” ภาคินชะงักทันที หรือว่าวิศรุตจะพบอะไรผิดปกติในยอดงบโครงการบ้านจัดสรรที่เขาเสนอไป

   “ถ้านายไม่พอใจ เดี๋ยวฉันจะให้พวกลูกน้องเอากลับมาแก้ใหม่อีกรอบก็ได้”

   “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเพราะมันเป็นหน้าที่ของนายโดยตรงนี่นา ฉันขอเตือนนะว่าโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว” วิศรุตสำทับเสียงหนัก ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้โครงการนี้เป็นผลงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับบรรดาผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัท อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตามเดิม เขาก็อยากจะแสดงให้ทุกคนที่เคยดูถูกในความสามารถของเขาได้รู้ว่าวิศรุต ทัดเทวาไม่ได้เป็นคนไม่เอาถ่านอย่างที่บรรดากรรมการบริษัทหลายๆคนเคยปรามาสเอาไว้โดยเฉพาะคุณมงคล

   ภาคินรับคำในคอก่อนรีบเดินออกไปเพราะไม่อยากให้วิศรุตสงสัย เห็นทีกลับไปเขาจะต้องเตือนลูกน้องตนให้ตกแต่งงบการเงินในแนบเนียนกว่านี้ เพราะวิศรุตเกือบจะจับได้แล้วว่ายอดเงินที่เสนอให้อนุมัติโครงการมีความผิดปกติ เพราะถ้าหากโดนจับได้ คนที่ซวยที่สุดก็หนีไม่พ้นเขาอยู่ดีและวิศรุตก็คงไม่ปล่อยโอกาสในการเขี่ยเขาออกจากทัดเทวาให้หลุดมือไปแน่ๆ


จบบทที่10

Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพเพิ่มให้แล้วนะคะ ขอบคุณมากๆเลยสำหรับการตอบรับที่ดีค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีติดตามอ่านเสียแล้ว เปิดมาได้เห็นคอมเม้นท์หลายๆคอมเม้นท์ก็ใจชื้นขึ้นมาอีกมากโข ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ ช่วงแรกอาจจะเป็นการปูพื้นเนื้อเรื่องไปคร่าวๆก่อน แต่กลางๆเรื่องเป็นต้นไปรับรองว่าเข้มข้นและจัดเต็มแน่นอน!!

มีนักอ่าน (คุณYร้าย) คอมเม้นท์เข้ามาว่าตัวอักษรเล็กเกินไป ครั้งนี้เราเลยปรับให้เป็นขนาด18pt ไม่รู้ว่าจะทำให้อ่านง่ายขึ้นหรือเปล่า แหะๆๆ ถ้าเกิดมีอะไรอยากแนะนำหรือติชมก็คอมเม้นท์บอกกันได้นะคะ คอมเม้นท์ชมก็ถือเป็นกำลังใจที่ดี ส่วนคอมเม้นท์ติเราก็จะนำไปปรับปรุงกับงานเขียนเรื่องอื่นๆ (เพราะเรื่องนี้คงแก้ไม่ทันแล้ว เพราะพิมพ์รวมเล่มไปแล้วจ้า) ถ้ายังไงแวะไปกดlikeแล้วพูดคุยกันได้ในหน้าFB Fanpageนิยายเรื่องนี้กันนะคะ :))

ขอบคุณสำหรับการตอบรับที่อบอุ่นจากนักอ่านในเล้าเป็ดค่ะ เดี๋ยวมาอัพให้ใหม่เน้อ (นิยายมี39ตอนจบ)

ปล. ทิ้งท้ายด้วยปกนิยายเรื่องนี้แล้วกันเน้อ ส่วนตัวแล้วเราชอบมากเลย ก็เลยอยากอวด 555

(http://upic.me/i/6g/o2s52.jpg) (http://upic.me/show/37820428)
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: eern ที่ 31-07-2012 12:07:02
หนังสือเล่มเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 31-07-2012 12:10:33
 :L2:สนุกชวนอ่านตาม
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 31-07-2012 12:14:02
หนังสือเล่มเท่าไหร่

เล่มละ 310บาท (361หน้า) ถ้าสนใจยังไงตามอ่านรายละเอียดจากในfb fanpage ได้เลยนะคะ (ในบอร์ดไม่ให้เปิดเผยเมลล์ด้วยน่ะสิ เหอๆ)

ขอบคุณที่ให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้ค่ะ :))
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 31-07-2012 13:47:49
อื่มแล้วแมื่อไรวินจะเข้าไปทำงานจริงๆซักทีอะ :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ปล่ยอให้สองพ่อลูกโกงเงินอยู่นั้นละ :m16: :m16:

รออ่านตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2:ขอบคุณนะที่นำนิยายสนุกๆมาให้อ่านกัน :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 31-07-2012 14:02:21
ชอบเรื่องนี้จังเลยอ่ะ เนื้อหาเข้มข้น แล้วก็สมจริงมาก ><
อ่านแล้วหน่วงๆไปกับวิศรุตตลอดเลย เศร้าอ่ะ ไม่รูหมอนภัทรคิดไงกันแน่ด้วย แต่ไม่เห็นหนทางที่จะมาบรรจบกันได้เลยอ่ะ ฮืออออออออ
เป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันตลอดเลย -*- พูดอะไรก็กลายเป็นทะเลาะกันไปได้ น่าเหนื่อยใจแทนจริงๆ
ส่วนพงศกรก็ขอให้จีบศราสำเร็จนะ ^^

รอตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 31-07-2012 15:55:14
เปิดเรื่องมานึกว่าเป็นนิยายวัยใส ที่ไหนได้ เข้มข้นดีน่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 31-07-2012 16:52:38
ต้อนรับเรื่องใหม่
เนื้อเรื่องเข้มข้นมากแค่ 10 ตอนเองนะเนี่ย
เกลียดสองพ่อลูกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่11
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 01-08-2012 11:18:35
บทที่ 11


   หลังจากพักฟื้นที่บ้านไม่นาน ศรารัตน์ก็มาทำงานที่บริษัทได้ตามปกติ วันนี้หญิงสาวตั้งใจว่าหลังเลิกงานแล้วจะชวนคุณหมอนภัทรไปดินเนอร์เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล คุณหมอหนุ่มได้คอยดูแลเธอเป็นอย่างดี หญิงสาวคิดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหาเบอร์ของนภัทรแล้วโทรออก

   ศรารัตน์นั่งเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานระหว่างรอปลายสายรับโทรศัพท์ แต่เสียงสัญญาณก็ดังนานโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับจนกระทั่งมีเสียงให้ฝากข้อความในที่สุด หญิงสาวตัดสายทิ้ง คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมนภัทรถึงไม่รับสายของเธอ บางทีคุณหมออาจจะติดงานยุ่ง ศรารัตน์คิดในแง่ดี ในใจก็อยากลองโทรไปอีกครั้ง แต่ก็คิดว่าหากนภัทรกำลังยุ่งอยู่จริงๆ เธอโทรไปก็จะกลายเป็นไปกวนเขาเสียเปล่า สู้รอให้ฝ่ายนั้นติดต่อกลับมาหาเธอดีกว่า

   เวลาตลอดทั้งบ่ายนั้น ศรารัตน์ทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิมากนักเพราะสายตาคู่งามก็มักจะตวัดมองไปยังโทรศัพท์มือถือข้างๆตัวอยู่เรื่อย จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเสียที จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าทำไมตัวเองจะต้องมาคอยกระวนกระวายใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรด้วย ทำไมเธอถึงต้องอยากพูดคุยกับคนๆนั้นตลอดเวลา แค่เพียงได้ยินเสียงเขา เธอก็ดีใจมากแล้ว และที่สำคัญทำไมเธอถึงรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองเริ่มจะผิดปกติเมื่อได้สบตาหรือใกล้ชิดกับนภัทร หญิงสาวสงสัยเพียงไม่นาน เธอก็หาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย ดูท่าเธอคงจะหลงรักคุณหมอรูปหล่อเข้าแล้วแน่ๆ

   ศรารัตน์ยิ้มกับคำตอบของตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือแล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าถือเดินออกจากห้องทำงานของตนไปทันที คลาดกับวิศรุตที่เดินถือแฟ้มเอกสารเพื่อมาปรึกษาเรื่องงานกับหญิงสาวเพียงนิดเดียว

   “ท่านประธานคะ คือว่าคุณศราเธอเพิ่งออกไปเมื่อซักครู่นี้เองค่ะ” เลขาหน้าห้องของศรารัตน์เอ่ยบอกในตอนที่วิศรุตกำลังจะบิดลูกบิดเปิดประตูห้องทำงานของผู้ช่วยรองประธานกรรมการซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของศรารัตน์

   “ไปไหน แล้วได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไหร่?”

   “ไม่ทราบค่ะท่าน คุณศราไม่ได้สั่งอะไรไว้”

   “ออกไปพบลูกค้าหรือเปล่า?”

   “เปล่าค่ะ วันนี้ตารางงานคุณศราไม่มีนัดอะไรเลย ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าเธอไปไหนเช่นกัน”

   “แล้วทำไมไม่ถามล่ะ? มีอย่างที่ไหนที่เลขาไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองไปไหน แล้วกำลังทำอะไรอยู่” วิศรุตถามด้วยน้ำเสียง หงุดหงิดในขณะที่เลขาสาวก้มหน้าอย่างกลัวเกรงในอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิศรุต
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก อันที่จริงจะตำหนิเลขาสาวตรงหน้าอย่างเดียวก็ไม่ถูกเพราะรู้ว่าศรารัตน์นิสัยเหมือนกับเขาตรงที่เวลานึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจนึก ไม่จำเป็นต้องมาคอยรายงานเลขาตลอดเวลาเหมือนอย่างกับตัวเองเป็นนักโทษที่ต้องมีผู้คุมความประพฤติตลอดเวลา

   “เอาเถอะๆ ถ้ายัยศรากลับมาบอกว่าให้ขึ้นไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย ฉันมีเรื่องงานที่จะปรึกษาด่วน” เลขาสาวรับคำเสียงอ่อยในขณะที่วิศรุตนึกสงสัยว่าศรารัตน์ออกไปไหนในเวลางานแบบนี้




   เมื่อนภัทรกลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีรถยุโรปราคาแพงมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเขา ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนคิดว่าคงเป็นรถของเพื่อนแม่เขาคนใดคนหนึ่งที่ชอบแวะเวียนไปมาหาสู่กับบ้านของเขาบ่อยๆ

   เมื่อมาถึงห้องรับแขก ภาพศรารัตน์ที่คุยยิ้มแย้มกับคุณพ่อคุณแม่เขาอย่างเป็นกันเองทำให้นภัทรรู้ว่าเขาเดาผิด เจ้าของรถคันนั้นคงเจาะจงมาหาเขาโดยตรงนั่นเอง

   “อ้าว เจ้ากานต์กลับมาพอดีเลย” คุณนรินทร์ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน
   ศรารัตน์หันไปส่งยิ้มกว้างให้นภัทร ชายหนุ่มคงนึกแปลกใจที่เธอมาหาเขาถึงที่นี่ได้ แถมยังมาโดยไม่บอกก่อนเสียด้วย

   “หนูศราเค้ามารอลูกนานแล้ว แถมยังซื้อของฝากแล้วก็ผลไม้มาให้ตั้งเยอะแยะ บอกว่าเป็นการขอบคุณแทนน้ำใจที่ลูกดูแลเธอเป็นอย่างดี” รัญญาเอ่ยขึ้นบ้างก่อนจะขอตัวไปจัดการเรื่องอาหารเย็นในครัวแล้วเชิญหญิงสาวที่มาเป็นแขกของบ้านให้ทานอาหารเย็นด้วยกันซึ่งศรารัตน์ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อขอตัวไปอ่านหนังสือต่อด้านบนแล้วกัน ตามสบายเลยนะหนู” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ ก่อนที่คุณนรินทร์จะขึ้นบันไดไปด้านบนชั้นสองโดยปล่อยให้ลูกชายของตนและศรารัตน์ได้มีโอกาสคุยธุระกันตามลำพัง

   นภัทรพาศรารัตน์มาคุยกันในสวนเล็กๆบริเวณบ้าน หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างสนใจเพราะในสวนบริเวณบ้านนั้นมีดอกไม้หลากหลายชนิดปลูกเอาไว้เต็มไปหมดและแทบทุกต้นจะถูกดูแลและบำรุงรักษาเป็นอย่างดี บ่งบอกได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าของบ้านคงจะ
ชื่นชอบการปลูกดอกไม้เป็นแน่

   “คุณแม่ท่านชอบปลูกดอกไม้น่ะครับ” คำพูดของนภัทรยืนยันสิ่งที่หญิงสาวคิด

   “บ้านของหมอน่าอยู่ดีนะคะ ดูแล้วอบอุ่นจังเลย” ศรารัตน์อดนึกอิจฉานภัทรหน่อยๆไม่ได้ที่บ้านของชายหนุ่มถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนอย่างบ้านทัดเทวา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนบ้านนี้มันทำให้เธอสัมผัสได้ถึงคำว่าบ้านที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสจากบ้านของตัวเองมาก่อนเลย “คุณพ่อของหมอก็เป็นแพทย์เหมือนกันเหรอคะ?” ศรารัตน์เอ่ยถาม เมื่อกี้เธอได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณนรินทร์จึงได้รู้ว่าคุณพ่อของนภัทรเองก็เป็นหมอเช่นกัน มิน่าล่ะนภัทรถึงได้เชื้อความเก่งมาจากพ่อนี่เอง

นภัทรรับคำ “ท่านเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจน่ะครับ ว่าแต่คุณศรายังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาหาผมถึงที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย?” นภัทรเปลี่ยนประเด็นมาเอ่ยถามเรื่องที่ยังคาใจอยู่

   “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณหมอมากไปหน่อย ถึงขนาดบุกมาหาถึงที่บ้านเลย”น้ำเสียงอ้อนของศรารัตน์ทำให้นภัทรตัดใจเคืองเธอไม่ลง ทั้งที่เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบให้ใครมาล้ำเรื่องส่วนตัวเท่าใดนัก 

“จริงๆฉันก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกค่ะ แค่อยากจะมาเจอหน้าหมอเท่านั้นเอง”

คราวนี้นภัทรถึงกับอึ้งไปกับคำพูดตรงๆของศรารัตน์ ดวงตาสีถ่านสบตาสีน้ำตาลของหญิงสาวแล้วก็นึกถึงใครบางคนที่มีดวงตาแบบเดียวกัน แต่ของคนๆนั้นเป็นดวงตาหวานโศก 

   “หมอไม่พอใจที่ฉันมาที่นี่เหรอคะ?” ศรารัตน์เอ่ยถามตรงๆ เพราะไม่แน่ใจกับสายตาของนภัทรที่มองมา ไม่รู้ว่านภัทรจะโกรธเธอหรือเปล่าที่จู่ๆก็มาโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัวแบบนี้

   นภัทรปฎิเสธคำถามนั้นก่อนจะเชิญให้ผู้เป็นแขกนั่งลงที่ชุดโต๊ะสนามที่ทำจากอัลลอยด์สีขาว ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำหวานจากเด็กรับใช้ที่เอามาเสริ์ฟให้ตนและศรารัตน์

   “แล้วคุณศรามาบ้านผมถูกได้ยังไงครับเนี่ย?”

   “ก็ถามเอาจากโรงพยาบาลนั่นแหล่ะค่ะ ต้องหลอกล่อตั้งนานกว่าจะยอมบอก”
ชายหนุ่มหัวเราะแล้วส่งเสียงอื้อหื้อพร้อมถามว่าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ ศรารัตน์อมยิ้มไม่ตอบคำถามนั้น วันนี้เธอต้องโทรไปหลอกถามและออดอ้อนต้นอ้อ พยาบาลที่เคยดูแลเธอตอนประสบอุบัติเหตุเสียตั้งนานสองนานกว่าพยาบาลสาวจะยอมไปค้นที่อยู่ของหมอนภัทรจากแฟ้มทะเบียนมาให้ พร้อมกับกำชับเอาไว้ว่าอย่าบอกหมอนภัทรเด็ดขาดว่าได้ที่อยู่มาจากเธอ

   “ตั้งแต่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย พอดีวันนี้ฉันว่างก็เลยแวะมาหากะว่าจะมาเซอร์ไพร์ที่บ้านนี่แหล่ะค่ะ” เซอร์ไพร์จริงๆด้วย นภัทรคิด

   “พอดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่เลยครับ เพราะติดเรื่องสัมมนาต่างๆของทางโรงพยาบาล ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อไป” นภัทรบอกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้โทรหาศรารัตน์นัก ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะออกจากโรงพยาบาล เธอเคยให้เบอร์มือถือส่วนตัวกับเขาไว้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่อยากจะสานสัมพันธ์ให้เธอคิดไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน เพราะชายหนุ่มคงกระดากใจไม่น้อยหากว่าผู้หญิงที่เพื่อนสนิทตัวเองชอบจะกลับกลายมาชอบเขาเสียเอง

   ศรารัตน์หลุบตาต่ำซ่อนสีหน้าเขินอายของตัวเองเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถามนภัทรตรงๆอย่างไม่คิดอ้อม ค้อมให้เสียเวลา “ขอถามตรงๆนะคะ” ศรารัตน์เว้นไปนิดหนึ่งก่อนต่อให้จบประโยค “หมอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่คะ?” มือที่ถือแก้วน้ำหวานสีสวยชะงักนิ่งไปกับคำถามนั้น ก่อนคนถูกถามจะแสร้งย้อนถามกลับ

   “แล้วคุณศราคิดยังไงกับผมเหรอครับ?” คุณหมอหนุ่มยกแก้วน้ำหวานขึ้นจิบก่อนจะแทบสำลักออกมาเมื่อได้ยิน คำตอบจากปากของศรารัตน์

   “ก็คิดว่าหมอเป็นคนที่อยู่ใกล้ด้วยแล้วมีความสุข เป็นคนที่เข้าใจฉันในหลายๆเรื่องที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ เป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเวลาที่ฉันต้องการใครซักคน ฉันคิดว่าตัวเองคงจะตกหลุมรักคุณหมอนภัทร อิสรีย์เข้าไปเต็มๆแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มหวาน ดวงหน้าหวานเป็นสีระเรื่อเมื่อยามเอ่ยความในใจออกมาให้คนตรงหน้าที่เธอเพิ่งบอกว่าตกหลุมรักได้ฟัง

   “คุณศราครับ คือว่า...เอ่อ...”

   “เรามาคบกันไหมคะคุณหมอ?” ศรารัตน์พูดรัวประโยคนี้ออกมา แต่นภัทรที่ได้ยินกลับตัวแข็งทื่อ ในใจก็ชื่นชมกับความใจกล้าของเธอที่เขาไม่ค่อยได้เจอจากผู้หญิงคนไหน ส่วนหนึ่งที่เขาเอ็นดูศรารัตน์ก็คือบุคลิคตรงๆไม่อ้อมค้อมแบบนี่เนี่ยแหล่ะ หญิงสาวเป็นคนใจคิดยังไงปากก็พูดไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ไม่ได้เป็นคนเก็บงำความรู้สึกเก่งแบบพี่ชายของเธอเลยซักนิด

   เมื่อเห็นว่านภัทรมีสีหน้าหนักใจราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ศรารัตน์ก็ถามขึ้น “หรือว่าหมอมีคนรักอยู่แล้วคะ?”

   “เปล่าหรอกครับ ผมยังไม่มีใคร เพียงแต่ว่า...”

   “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีโอกาสใช่ไหมคะ?”

   “ผมว่าเราอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้กันเลยดีกว่านะครับ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันดีเลยเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าถ้าคุณศราได้รู้จักผมจริงๆ คุณอาจจะไม่อยากคบกับผมก็ได้”

   “แหม คุณหมอเนี่ยพูดเหมือนพี่ชายฉันเด๊ะเลยค่ะ อย่างกับโคลนนิ่งคำพูดกันมาอย่างนั้นแหล่ะ” ศรารัตน์หัวเราะออกมาเลยทำให้บรรยากาศที่ดูทึมๆเมื่อครู่กลายเป็นสดใสขึ้นในความคิดของนภัทร

   “บอกตรงๆนะครับ ตอนนี้ผมเองยังไม่พร้อมจะคบกับใครเลย จะเรียกว่าปิดตัวเองก็ได้” นภัทรหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ช่วงนี้ขนาดเวลาดูแลตัวเองเขายังไม่ค่อยจะมีเลย วันๆเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานที่โรงพยาบาลเกือบทั้งวัน จะให้เอาเวลาที่ไหนไปดูแลคนอื่นนอกจากคนไข้ได้ล่ะ

“ฉันไม่ได้จะเร่งรัดอะไรคุณหมอหรอกค่ะ เราสองคนอาจจะต้องทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้จริงๆอย่างที่คุณหมอบอกนั่นแหล่ะ แต่ว่า...”

   “แต่ว่าอะไรเหรอครับ?”

   “แต่ว่าถ้าคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใครเมื่อไหร่ อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรกนะคะ” นภัทรยิ้มให้แทนคำตอบ ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ในเมื่อเขารู้ใจตัวเองดีว่าคิดกับศรารัตน์เป็นแค่น้องสาวเท่านั้น เอาไว้เขาจะค่อยๆบอกเรื่องนี้กับเธออีกทีหนึ่งเพราะถึงบอกไปตอนนี้หญิงสาวคงดึงดันและไม่ยอมฟังแน่ ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากหลอกให้ความหวังเธอแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่สำคัญคือเขาไม่อยากจะทำผิดต่อเพื่อนสนิทที่เขารักมากที่สุดอย่างพงศธร

   ศรารัตน์มองรอยยิ้มนั้นอย่างสุขใจ หญิงสาวไม่ได้คาดหวังให้นภัทรตอบตกลงคบกับเธอในทันที แค่เขารับฟังความรู้สึกของเธอเท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว ยิ่งรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่มีใคร เธอก็ค่อยปลอบใจตัวเองว่าคนตรงหน้ายังไม่มีเจ้าของเสียหน่อย สักวันเธอจะต้องพิชิตหัวใจของนภัทรได้แน่ๆ ขอเพียงแต่เวลาและโอกาสเท่านั้น

   “เราเข้าไปในบ้านดีกว่าค่ะ ฉันชักอยากจะชิมอาหารฝีมือของคุณแม่เสียแล้ว” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบแล้วชวนนภัทรเข้าไปในบ้านเมื่อเด็กรับใช้เดินมาแจ้งว่าคุณผู้หญิงให้มาตามเพราะว่าอาหารเย็นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

   นภัทรรับคำก่อนจะเดินนำหญิงสาวกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง ถ้าวิศรุตรู้ว่าน้องสาวตัวเองมาบอกรักเขาถึงที่บ้านแบบนี้ ฝ่ายนั้นจะทำหน้ายังไงนะ คงจะชักสีหน้าและแววตาวาวโรจน์ใส่เขาเหมือนอย่างเคยแน่ๆเพราะวิศรุตทำท่าหวงน้องสาวอย่างกับอะไรดี ท่าทางของวิศรุตที่เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดทำเอานภัทรอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับตัวเองคนเดียว





   “ไปไหนมา ทำไมกลับเอาป่านนี้?” เสียงวิศรุตที่เอ่ยทักทำให้ศรารัตน์ที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านต้องหันไปตอบคำถามอย่างเสียไม่ได้

   “แวะไปที่บ้านคุณหมอนภัทรมา แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อย” น้ำเสียงหญิงสาวเรียบเรื่อยแต่หางตาคน
ฟังกลับกระตุกเมื่อได้ยินชื่อชายหนุ่มอีกคนที่น้องสาวเขาพูดถึง

   “ไปบ้านหมอนภัทรเนี่ยนะ ไปทำไมกัน?” ปลายเสียงวิศรุตห้วนเจือแววไม่พอใจ ซึ่งศรารัตน์ก็เดาได้อยู่แล้วว่าพี่ชายต้องออกอาการไม่พอใจแน่ถ้าเธอบอกออกไปแบบนี้ ก็เพราะวิศรุตกันท่าเธอกับนภัทรอย่างกับอะไรดี

   “แล้วทำไมฉันจะไปไม่ได้ล่ะ? ฉันกับหมอนภัทรสนิทกัน จะไปเยี่ยมทักทายที่บ้านก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”
ศรารัตน์ตอบคำถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวยเริ่มหรี่ลงเล็กน้อยแสดงถึงอาการไม่พอใจที่หมู่นี้วิศรุตชอบมายุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเธอเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนเธอจะคบหากับใครก็ไม่เห็นว่าวิศรุตจะเข้ามายุ่งด้วยเลยสักครั้ง

   “แต่มันไม่เหมาะสม เธอเป็นสาวเป็นแส้จะไปวิ่งไล่ตามผู้ชายถึงที่บ้านเค้าได้ยังไงกัน” วิศรุตหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองได้ก่อนตั้งท่าจะไล่บี้ศรารัตน์ต่อแต่คู่สนทนากลับพูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน

   “ถามจริงๆเถอะ นายเคยมีเรื่องอะไรกับหมอนภัทรมาก่อนหรือเปล่า? ดูเหมือนนายจะไม่ชอบเค้าเอามากๆเลยนะ ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้นายเสียหน่อย”

วิศรุตค้านในใจเสียงแข็ง ใครว่านภัทรไม่เคยทำอะไรให้เขาล่ะ ฝ่ายนั้นแหล่ะที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาต้องเสียใจและรู้จักกับคำว่าอกหักเป็นครั้งแรกของชีวิต ผู้ชายที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึงแปดปีแล้วก็ตาม

   “ถ้านายหาเหตุผลดีๆมาให้ฉันไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะมาเถียงเรื่องนี้กันอีก เพราะขนาดฉันยังไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายเลย นายเองก็ไม่ควรจะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันเหมือนกัน” ศรารัตน์เน้นเสียงที่คำว่าเรื่องส่วนตัวก่อนจะสาวเท้าตั้งใจจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตน

   “เดี๋ยวก่อน” วิศรุตรั้งไว้อีกครั้งซึ่งศรารัตน์คิดว่าพี่ชายคงจะต้องพูดเรื่องนภัทรอีกแน่ เธอจึงตั้งใจจะตัดบท

   “บอกแล้วไงว่า...”

   “ฉันเพิ่งเอาเอกสารเรื่องโครงการบ้านจัดสรรที่เรากำลังจะเปิดเฟสใหม่ไปไว้ที่ห้องนอนของเธอเมื่อกี้ ช่วยศึกษารายละเอียดด้วยล่ะ เพราะอีกไม่นานเราจะเริ่มประชุมเพื่อประเมินโครงการนี้กันแล้ว” ศรารัตน์ไหวไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงว่าเธอรู้แล้วก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบนโดยมีวิศรุตมองตามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา




   “ท่านประธานคะ มีแขกต้องการเรียนสายด้วยค่ะ เค้าบอกว่าชื่อพงศธร เป็นเพื่อนสมัยเรียนของท่านประธาน” อิงอรรายงานผ่านอินเตอร์โฟน ทำให้วิศรุตที่กำลังนึกเบื่อกับการพิจารณาเอกสารกองโตละสายตาจากงานตรงหน้าทันที

   “โอนสายเข้ามาได้เลยครับ” ชายหนุ่มสั่งเลขา สักพักไม่ถึงอึดใจเขาก็ได้รับสายของพงศธรที่ถูกโอนเข้ามายังโทรศัพท์ส่วนตัวในห้องทำงานของท่านประธานแห่งทัดเทวา

   “ว่ายังไงไอ้พงษ์ ทำไมวันนี้ถึงโทรมาหาฉันได้เนี่ย?” วิศรุตกรอกเสียงลงไป ในใจก็นึกเดาเอาว่าที่พงศธรโทรมาหาเขาที่บริษัทแบบนี้คงต้องเป็นเพราะฝ่ายนั้นตัดสินใจได้แล้วแน่ๆว่าจะเลือกร่วมงานกับที่ไหน และคำตอบของพงศธรก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ

   “ฉันโทรมาเพราะเรื่องที่นายเคยเสนองานที่ทัดเทวาให้ฉันนั่นแหล่ะ”

   “ตกลงนายว่ายังไงล่ะ นี่ฉันรอลุ้นคำตอบอยู่นะ” วิศรุตพูดเย้าอีกฝ่ายก่อนที่พงศธรจะเงียบไปเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน

   “ฉันตกลงที่จะร่วมงานกับทัดเทวา จากนี้ต่อไปนายก็จะกลายเป็นเจ้านายของฉันแล้วนะ” วิศรุตหัวเราะประโยคสุดท้ายของพงศธร แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นเจ้านายของอีกฝ่ายตามหน้าที่แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะถือตัวกับเพื่อนเลย “เออ แล้วฉันต้องเตรียมตัวยังไงบ้างเนี่ย” พงศธรวกกลับมาที่เรื่องงานอีกครั้ง ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะได้จัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน

   “เดี๋ยวนายเอาพวกเอกสารเกี่ยวกับการสมัครงานมากรอกแบบฟอร์มการสมัครที่ฝ่ายบุคคลได้เลย เดี๋ยวฉันจะให้คนไปทำเรื่องให้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่นายพร้อมจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ล่ะ?”

   “ฉันพร้อมเสมอนั่นแหล่ะ แล้วแต่เจ้านายจะบัญชาเลยครับผม” ท้ายประโยคแอบล้อเลียนคู่สนทนาอีกครั้ง
วิศรุตยิ้มแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วให้พงศธรเข้ามาเริ่มงานได้เลย เพราะว่าพอดีช่วงนี้ตนกำลังจะทำโปรเจคบ้านจัดสรรโครงการใหม่อยู่พอดี จึงอยากให้พงศธรเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ด้วย

   พงศธรรับคำ จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไปอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป วิศรุตลอบถอนหายใจเฮือกเมื่อต้องกลับมามุ่งทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ถ้าได้คนเก่งๆอย่างพงศธรเข้ามาช่วยดูโครงการนี้อีกแรง รับรองว่าโครงการนี้จะต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาแน่ๆ และที่สำคัญพวกบอร์ดผู้บริหารจะได้เลิกมองเขาว่าเป็นพวกไร้น้ำยาเสียทีโดยเฉพาะคุณ มงคลที่จ้องจับผิดเขาตลอดและคุณอาวันชัยกับภาคินที่เขารู้สึกได้ลึกๆว่าทั้งคู่กำลังหาโอกาสจ้องจะขึ้นมากุมอำนาจเป็นประธานกรรมการบริษัททัดเทวาแทนเขา มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก


จบบทที่ 11
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่12
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 01-08-2012 11:21:09
บทที่ 12


   “เฮ้ย ไอ้วิน ทำไมทำหน้าเซ็งซังกะตายแบบนั้นวะ? นี่มาสนุกนะเว้ย ไม่ได้มานั่งเครียดจนหัวคิ้วแทบจะติดชิดเป็นเส้นเดียวกันอยู่แล้ว” ภาณุบ่นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ชายหนุ่มรู้ดีว่าช่วงนี้เพื่อนสนิทเขากำลังวุ่นๆอยู่กับงานที่บริษัท ไอ้โครงการ บ้านจัดสรรนั่นคงจะเป็นงานที่วิศรุตคาดหวังเอาไว้อย่างมากเลยทีเดียว เขาเคยแอบถามคุณอิงอรว่าเพื่อนของเขากินยาสลับขวดมาหรือเปล่า ช่วงนี้ถึงได้ขยันรีบเข้าบริษัทตั้งแต่เช้า คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือวิศรุตกำลังทุ่มเทให้กับโปรเจคชิ้นสำคัญนี้อยู่ ขนาดที่ว่าเดี๋ยวนี้ต้องหอบงานเอากลับไปทำต่อที่บ้านอยู่บ่อยๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาลากตัวฝ่ายนั้นออกมาเที่ยวด้วยกันในคืนนี้เพราะกลัวว่าคนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะเฉาตายคากองเอกสารเสียก่อน

   “ถ้าคิดจะชวนมาเที่ยว ทำไมไม่หาที่อื่นบ้างวะ มาที่นี่บ่อยๆเบื่อจะตาย” วิศรุตยกเหล้าดีกรีแรงขึ้นจิบลิ้มรสเล็กน้อยก่อนจะถาม

“ที่มาที่นี่บ่อยๆ หรือว่ามาติดใจสาวแถวนี้?”

   ภาณุหัวเราะก่อนภาพแวบแรกที่เคยเจอเมริษาจะผ่านเข้ามาในสมองแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มปฎิเสธแล้วบอกว่าทีเมื่อสมัยก่อนตอนเรียนม.ปลาย เขาชวนมาเที่ยวผับทีไรไม่เห็นบ่นเหมือนในตอนนี้เลย ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าผับเข้าบาร์ได้ด้วยซ้ำ

   “ก็นั่นมันเมื่อก่อนนี่หว่า ตอนสมัยเรียนน่ะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้วเว้ย ใช้เงินไปวันๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก พอเงินหมดก็ขอพ่อแม่ แล้วมาดูตอนนี้ดิ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าเงินแต่ละบาทมันหามาได้ยากขนาดไหนก็เมื่อตอนมาทำงานแล้วนี่แหล่ะ”

   ภาณุมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาที่แปลกไป เขารู้สึกดีใจที่วิศรุตเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้จักทำงานทำการบ้างแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยกินสมบัติเก่าของพ่อแม่ไปวันๆ

   “แกรู้ตัวไหมว่าตอนนี้แกเริ่มเปลี่ยนไปจากวิศรุตคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก?” วิศรุตไหวไหล่แล้วถามต่อทันที

   “แล้วมันดีหรือว่าไม่ดีล่ะ?”

   “ก็ดีน่ะสิ ถ้าพ่อแม่แกยังอยู่ ท่านต้องดีใจมากแน่ๆที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลุกขึ้นมาปฎิวัติตัวเองสนใจงานที่บริษัทมากขึ้น ฉันดีใจนะเว้ยที่แกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แกจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที” ภาณุพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แสดงถึง ความจริงใจที่มีต่อคนตรงหน้า

   “ถ้าฉันเปลี่ยนตัวเองได้จริงๆก็คงจะดีน่ะสิ” แม้ประโยคนี้วิศรุตดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองแต่ทว่าภาณุก็ยังจับใจความในคำพูดนั้นได้ ชายหนุ่มตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆเหมือนอย่างที่เคยทำเวลาให้กำลังใจอีกฝ่าย

   “แกยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องของนภัทรอีกเหรอ?”

   “ฉันพยายามแล้วแต่ก็เลิกคิดไม่ได้ว่ะ ตอนที่ฉันไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันเคยนึกว่าถ้าห่างกันไปจะทำให้ฉันลืมเค้าไปได้ ถ้าไม่ต้องเจอ ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก ฉันคงทรมานน้อยกว่าที่เป็นในตอนนั้น แต่ที่ไหนได้ฉันกลับยิ่งคิดถึงนภัทรมากขึ้นกว่าเก่า แกรู้ไหม ตอนที่ฉันเจอหน้าเค้าอีกครั้งที่โรงพยาบาล แล้วได้รู้ว่าเค้าเป็นหมอเจ้าของไข้ยัยศรา ฉันแทบจะล้มทั้งยืนเพราะทำอะไรไม่ถูกเลย” คนเล่าหัวเราะขื่นๆเหมือนกับจะสมเพชตัวเอง มือหนาคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม แต่คราวนี้ดื่มรวดเดียวหมดจนเหลือแต่แก้วเปล่า

   “แล้วยัยศราล่ะเป็นยังไงบ้าง? ออกจากโรงพยาบาลตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็คงหายสนิทแล้วล่ะสิ” ภาณุเปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องศรารัตน์แทนเพราะกลัวว่าวิศรุตจะยกเรื่องเกี่ยวกับนภัทรมาพูดตอกย้ำให้ตัวเองต้องเสียใจอีก แต่ทว่าวิศรุตก็กลับยกประเด็นเรื่องศรารัตน์วกกลับเข้ามาที่เรื่องของนภัทรอีกจนได้

   “แกรู้อะไรไหมไอ้โอม ตอนนี้น่ะยัยศรากำลังหลงใหลคลั่งไคล้คุณหมอนภัทรรูปหล่ออย่างกับอะไรดี นี่ขนาดตามไปหาถึงที่บ้านเลยนะเว้ย ฉันชอบนภัทรมาก่อนยัยศราตั้งแปดปี แต่บ้านเค้าอยู่ไหนฉันยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยแต่ยัยศรากลับรู้ หึๆ ฟ้าไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ” วิศรุตกระดกแก้วเหล้าที่ถูกรินชงจนเต็มแก้วเข้าปากอีกครั้ง ปล่อยให้ของเหลวราคาแพงไหลผ่านลงลำคอเพรียวสวยราวอิสตรีจนหมดสิ้น

   “เอาเถอะหน่า นายเคยบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าน้องสาวนายน่ะเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็ว ฉันว่าอีกไม่นานยัยศราก็คงเบื่อนภัทรเองนั่นแหล่ะ ถ้าผู้ชายไม่เล่นด้วยเสียอย่าง หรือว่า...”

   “ฉันกลัวอย่างเดียวว่านภัทรจะเล่นด้วยน่ะสิ” วิศรุตเริ่มรินเหล้าลงในแก้วตัวเองอีกครั้ง “แล้วฉันก็ดูออกนะว่าคราวนี้ยัยศราจริงจังกับนภัทรมากๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นที่ยัยนั่นเคยคบมาหรอก แค่มองตาฉันก็รู้ สายตาที่มองไปยังนภัทรของศราไม่ต่างอะไรจากฉันเลย แต่ถ้าจะต่างก็คงเป็นสายตาที่ฝ่ายนั้นมองตอบกลับมาที่ฉันกับศรานั่นแหล่ะ”

   มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียวว่านภัทรจะรู้สึกสนใจหรือว่าเกิดชอบพอกับศรารัตน์ขึ้นมา ในเมื่อน้องสาวของเพื่อนสนิทเขาออกจะเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ และที่สำคัญระหว่างที่ศรารัตน์พักรักษาอาการป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวก็ดูท่าทางจะสนิทกับนภัทรเอามากๆถึงขนาดเรียกชื่อเล่นอีกฝ่ายได้เสียเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น แม้ในใจจะคิดอย่างหนึ่งแต่คำพูดที่ออกจากปากของภาณุกลับตรงกันข้ามกับความคิด เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องไม่สบายใจไปมากกว่านี้

   “แกก็อย่าคิดมากไปไอ้วิน แกลองดูอย่างตอนสมัยเรียนสิ ร้อยวันพันปีไม่เห็นนภัทรจะสนใจจีบผู้หญิงคนไหนเลย มันดูท่าทางจะซื่อบื้อๆเรื่องพวกนี้จะตาย วันๆเอาแต่เรียน หมกตัวอยู่กับตำราอย่างเดียวเท่านั้นแหล่ะ”

   วิศรุตอยากจะเถียงว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนนี่นา โดยเฉพาะกรณีนี้ที่เขาตั้งข้อสันนิษฐานว่าน้องสาวตัวดีของเขาเป็นฝ่ายรุกคืบเข้าไปหาฝ่ายนั้นก่อน แล้วผู้ชายที่บื้อทื่ออย่างนภัทรจะตามทันเกมของศรารัตน์ได้อย่างไร ยัยศราเองก็ใช่ย่อย เขาซึ่งเป็นพี่ชายก็รู้นิสัยของเธอดี ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งขัดใจ อันที่จริงเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจของเขาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของศรารัตน์กับนภัทรแทบจะทั้งนั้น ส่วนเรื่องงานที่เขาจะเก็บกลับมาคิดให้เปลืองสมองน่ะมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย 

   “แกช่วยหาวิธีแยกยัยศราออกมาจากนภัทรได้ไหมวะไอ้โอม? ฉันไม่อยากปล่อยให้สองคนนั้นยิ่งสานสัมพันธ์กันต่อไปเรื่อยๆอีกแล้ว” วิศรุตพูดโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่ฟังถึงกับหัวเราะขำ

   “อย่าบอกนะว่าแกกำลัง‘หึง’นภัทรกับยัยศราน่ะ ไม่เอาหน่าเพื่อน ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้นะเว้ย ถ้าเค้าเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันจริงๆ แกจะไปพยายามพรากเค้าออกจากกันมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะ...” ภาณุกลืนคำว่า ‘แกก็รู้ว่านภัทรไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย’ ลงคอไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่วิศรุตไม่ได้สนใจซักไซ้ต่อ

   “แล้วตกลงแกจะช่วยฉันรึเปล่า?” วิศรุตจ้องหน้าคู่สนทนาเขม็งระหว่างรอคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลโศกในตอนนี้เป็น ประกายเจิดจ้าระคนไหววูบตามดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป

   “แล้วอย่างฉันเนี่ยจะไปทำอะไรได้วะ ฉันว่านะเว้ย...” คำตอบของภาณุก็สื่อเป็นนัยแล้วว่าเพื่อนสนิทของเขาคนนี้คงไม่ยอมช่วยแน่ๆ แต่ถึงอย่างไรวิศรุตก็ไม่สนใจ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาไม่เคยต้องอ้อนวอนใคร ถ้าภาณุไม่ช่วย งานนี้เขาก็คงต้องลงมือเองอย่างจริงๆจังๆเสียที

   “แกไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาขวางฉันก็แล้วกัน เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”

   “แกจะทำอะไรวะ?” วิศรุตไม่ตอบแต่ถามอีกฝ่ายกลับ

   “แกจำได้ไหมตอนสมัยเรียนน่ะ ฉันเคยพูดเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องทำให้นภัทรหันมารักฉันให้ได้ โดยไม่แคร์ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม และต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งนภัทรไปจากฉัน แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเอง” วิศรุตเค้นเสียงเย็นเยียบจนภาณุแอบขนลุก ลองวิศรุตพูดออกมาอย่างนี้แสดงว่าเจ้าตัวก็คงจะหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เขารู้นิสัยวิศรุตดี เพื่อนของเขาเป็นคนที่อยากได้อะไรก็ต้องได้โดยไม่สนใจถึงวิธีการที่จะได้มันมาเสียเท่าไหร่ ชายหนุ่มนึกเป็นห่วง
นภัทรกับศรารัตน์อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้วิศรุตจะทำอะไรแผลงๆบ้าง หวังว่าเพื่อนของเขาคงไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่จะเจ็บหนักที่สุดก็คือวิศรุตเอง





   โปรเจคบ้านจัดสรรโครงการใหม่ของทัดเทวาคืบหน้าไปมาก หลังผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมแล้ว วิศรุตก็เดินหน้าลุยงานโครงการนี้ต่อทันที ชายหนุ่มยังจำสีหน้าปนทึ่งของคุณมงคลได้ดีเลยทีเดียว ฝ่ายนั้นคงคิดว่าเขาเป็นได้แค่พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปวันๆสิท่า พอวันนี้ได้ฟังแผนงานโครงการของเขาก็ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่เสียแรงที่เป็นโปรเจคที่เขาทุ่มสุดตัวจริงๆ เขาจะใช้โปรเจคนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีมือทายาทของสกุลทัดเทวาและกอบกู้ศรัทธาของผู้ถือหุ้นและพวกกรรมการบริษัทกลับคืนมาให้ได้ วิศรุตคิดในใจอย่างหมายมาด

   หลังจากประชุมงานกับบรรดาวิศวกรและสถาปนิคฝ่ายออกแบบจัดสร้างในตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ตอนบ่ายวิศรุตก็ชวนพงศธรออกไปดูทำเลที่จะเริ่มก่อสร้างโครงการด้วยกันในฐานะที่พงศธรเป็นหนึ่งในวิศวกรฝีมือดีที่เขาดึงเข้ามาร่วมงานในโครงการนี้ด้วย ซึ่งงานนี้ก็ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือของอีกฝ่ายเช่นกัน

   ใช้เวลาขับรถไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย บริเวณที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างโครงการนี้อยู่แถบชานเมืองที่ถือได้ว่าเป็นย่านที่ทำเลสวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯเลยทีเดียว วิศรุตมองไปรอบๆด้วยความปลาบปลื้มที่พองตัวเล็กน้อยในอกด้วยเพราะทำเลนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เขาตั้งใจเลือกเองกับมือ ก่อนสายตาคู่สวยจะไปสะดุดกับรถคันหนึ่งที่จอดอยู่บริเวณนั้น...รถของศรารัตน์

   “เราไปดูทางด้านนั้นกันเถอะ” วิศรุตบอกกับพงศธรที่นั่งรถมาด้วยกัน อีกฝ่ายรับคำก่อนจะล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อเตรียมเผื่อสำหรับการถ่ายรูปเพื่อนำไปประกอบการร่างแปลนงาน

   หลังจากที่วิศรุตและพงศธรลุยสำรวจที่ดินบริเวณนั้นไปได้ไม่นานเท่าใดนัก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังคนทั้งคู่
   “นายเพิ่งมาเหรอ?” วิศรุตรู้โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าคนที่กล้าทักท่านประธานแห่งบริษัททัดเทวาแบบนี้ได้ มีอยู่คนเดียวซึ่งก็คือศรารัตน์ ในขณะที่พงศธรเองก็จำน้ำเสียงนี้ได้อย่างแม่นยำ ผิดแต่ว่าคราวนี้มันไม่ใช่น้ำเสียงเจือแววหวานเหมือนตอนอยู่กับนภัทร ผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง...ศรารัตน์ ทัดเทวา

   “มาได้ซักพักแล้วล่ะ แล้วเธอล่ะมานานหรือยัง?” วิศรุตหันไปตอบ ในขณะที่ศรารัตน์กลับหันไปสนใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายของวิศรุตแทน

“สวัสดีครับคุณศรารัตน์” พงศธรเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน เขาไม่แน่ใจว่าศรารัตน์จะยังจำเขาได้หรอเปล่า แต่เมื่อศรารัตน์ได้เห็นหน้าของคู่สนทนาชัดๆ หญิงสาวก็อุทานออกมาเบาๆ

   “คุณพงศธร” ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเพื่อนสนิทของหมอนภัทรในสถานการณ์แบบนี้และที่สำคัญพงศธรมากับวิศรุต

   “อ้าว นี่รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอ? กำลังจะแนะนำอยู่พอดีเลย” วิศรุตถามด้วยความสงสัยที่สองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่

   “เรารู้จักกันแล้วล่ะ เพราะว่าคุณพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของหมอกานต์” วิศรุตเสียวสันหลังวูบ เขาลืมคิดไปเสียสนิทเลยว่าพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของนภัทร หากศรารัตน์เคยรู้จักกับพงศธรมาก่อนหน้านี้แล้ว เธอจะรู้หรือเปล่านะว่าเขาปิดบังเธอเรื่องที่เคยรู้จักกับนภัทรมาก่อน

   “บังเอิญจังเลยนะครับ พอดีว่าผมเพิ่งกลับจากเรียนต่อเมืองนอก กำลังหางานอยู่พอดี คุณวิศรุตก็เลยชวนผมมาทำงานที่ทัดเทวาด้วยกัน” สรรพนามที่พงศธรใช้เรียกวิศรุตเปลี่ยนไปเป็นทางการมากขึ้นเพราะตอนนี้วิศรุตอยู่ในฐานะเจ้านายของเขา ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะเรียกชายหนุ่มว่าท่านประธานเหมือนอย่างคนอื่นๆแต่ทว่าวิศรุตขอเอาไว้เพราะความรู้สึกไม่ชินหากว่าพงศธรจะมาเรียกแบบนั้น

   “แล้วนายกับคุณพงศธรไปรู้จักกันได้ยังไงเนี่ย?” ศรารัตน์หันมาตั้งคำถามกับวิศรุตซึ่งชายหนุ่มก็อ้ำอึ้งไปเล็กน้อยก่อน จะเฉไฉบอกไปว่าพงศธรเป็นเพื่อนเก่าของตน ซึ่งพงศธรเองก็ไม่ได้ติดใจกับคำตอบนั้นเพราะก่อนหน้านี้นภัทรเคยบอกเขาเอาไว้แล้วว่าชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับนภัทรเมื่ออยู่ต่อหน้าศรารัตน์

   เมื่อเห็นว่าศรารัตน์เริ่มมีสีหน้าสงสัย วิศรุตก็เปลี่ยนประเด็นทันทีโดยลองถามความเห็นของศรารัตน์ว่าที่ดินแถบนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

   “ฉันลองเดินดูรอบๆบริเวณนี้แล้ว ไม่เลวเลยทีเดียวล่ะ นายนี่ก็ตาถึงใช้ได้เลยนะเนี่ย” ประโยคสุดท้ายก็อดชมวิศรุตอย่างเสียไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าพี่ชายแท้ๆของตัวเองเริ่มทำงานทำการเหมือนคนอื่นเขาเสียที และดูท่าทางจะเริ่มได้สวยเลยทีเดียว ในใจหญิงสาวก็ภาวนาขอให้วิศรุตจริงจังกับงานไปได้ตลอดเถอะ ไม่ใช่ท่าดีทีเหลวแบบที่คนอื่นๆเขาสบประมาทกัน

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะลองไปดูทางด้านโน้นแล้วกัน จะได้ขอคำปรึกษาคุณพงศธรด้วยเรื่องแปลนตัวอย่าง” ศรารัตน์พยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินแยกไปอีกทางโดยบอกว่าจะไปคุยกับพวกสถาปนิคออกแบบต่อ

    พงศธรมองตามร่างบางระหงของศรารัตน์ที่เดินจากไปด้วยแววตาอ่อนแสง ทั้งที่ในใจอยากจะหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาวให้มากกว่านี้ จะติดก็แต่วิศรุตผู้เป็นพี่ชายที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วยนั่นแหล่ะ ชายหนุ่มเลยแอบถอนหายใจที่พลาดโอกาสทำความรู้จักหญิงสาวที่ตนหมายปองให้มากขึ้นกว่านี้ พงศธรปลอบตัวเองในใจว่าถึงยังไงเมื่อเขามีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบโครงการบ้านจัดสรรนี้ ยังไงก็ต้องมีโอกาสได้เจอกับศรารัตน์อยู่บ่อยๆอย่างแน่นอน

   ทุกกริยาอาการของพงศธรไม่รอดสายตาของวิศรุต ชายหนุ่มแอบลอบมองสายตาของพงศธรตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน สายตาของพงศธรฉายชัดอย่างไม่ปิดบังว่าชายหนุ่มเกิดความรู้สึกพิเศษกับศรารัตน์ ขนาดที่ศรารัตน์เดินหายไปไกลแล้ว พงศธรยังไม่ยอมละสายตาไปจากน้องสาวของเขาเลย  ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวของวิศรุตอย่างรวดเร็ว บางทีพงศธรนี่แหล่ะที่เขาจะใช้เป็นเครื่องมือในการแยกศรารัตน์ให้ออกห่างจากนภัทร และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขาก็ย่อมต้องให้ความร่วมมือแน่ ไม่ว่าจะเป็นไปโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม



จบบทที่12
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่13
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 01-08-2012 11:24:12
บทที่ 13


   วันนี้เป็นวันหยุด ในตอนบ่ายวิศรุตใช้เวลาว่างด้วยการตั้งใจไปว่ายน้ำที่สปอร์ตคลับสุดหรูที่ตนเป็นเมมเบอร์อยู่        สปอร์ตคลับแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอนโดมิเนียมหรูหราย่านใจกลางเมืองที่นับเป็นโครงการหนึ่งของบริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อย่างทัดเทวา 

   หลังจากจัดการเรื่องบัตรเมมเบอร์เพื่อเข้าใช้บริการเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไหล่เพื่อตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำเรียบร้อย วิศรุตก็เดินตรงไปยังสระว่ายน้ำขนาดใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของบรรดาพนักงานสปอร์ตคลับสาวๆที่ต่างมองจ้องไปยังรูปร่างอันสวยงามที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนตามแบบบุรุษเพศของตนด้วยแววตาหลงใหล

   เมื่อหย่อนตัวลงมาบริเวณขอบสระ มือหนาก็สวมแว่นตาว่ายน้ำให้เข้าที่เพื่อเตรียมพร้อม แต่เสียงที่ดังอยู่เหนือศีรษะ ทำให้วิศรุตต้องแหงนหน้ามองผู้มาใหม่

   “มาว่ายน้ำที่นี่บ่อยเหรอ?” นภัทรที่อยู่ในชุดว่ายน้ำกางเกงขาสั้นแบบเดียวกันเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน ตอนนี้คุณหมอหนุ่ม ไม่ได้ใส่แว่นสายตาอีกต่อไป ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เคยคมคายอยู่แล้วกลับยิ่งโดดเด่นมากขึ้นชวนให้หัวใจของวิศรุตเกิดวูบไหวขึ้นมาทันที

   “ก็ไม่บ่อยหรอก นี่ก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกหลังกลับจากอังกฤษ” วิศรุตตอบคำถามพร้อมกับนภัทรที่หย่อนตัวลงมาในสระน้ำข้างๆกันกับเขา

   “มิน่าล่ะ ถึงไม่ค่อยได้เจอ”

   “มาคนเดียวเหรอ?” นภัทรพยักหน้าก่อนจะถามกลับว่าแล้วอีกฝ่ายล่ะ มากับใครหรือเปล่า

“ฉันก็มาคนเดียวเหมือนกัน ทำไมล่ะ คิดว่าฉันจะมากับยัยศราหรือยังไง?” ประโยคสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ นภัทรและพาดพึงไปถึงน้องสาวตัวเองที่ตอนนี้คงกำลังวุ่นอยู่กับการศึกษาเอกสารที่เขามอบหมายให้ไปเสียกองโตอยู่ที่บ้านนั่นแหล่ะ

   นภัทรอ่อนใจกับคำพูดคนตรงหน้า หากวันไหนที่เจอหน้ากันแล้ววิศรุตไม่พูดจากระแนะกระแหนเขากับศรารัตน์วันนั้นหิมะก็คงตกแล้วล่ะ

   “ก็แล้วทำไมนายไม่ชวนคุณศรามาด้วยกันกับนายล่ะ?” นภัทรเริ่มยั่วโมโหฝ่ายนั้นบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คุณหมอหนุ่มจึงมักจะแอบขำในใจเงียบๆเมื่อได้เห็นท่าทางหวงน้องสาวหรืออะไรก็ไม่ทราบที่วิศรุตแสดงออกมาให้เห็น

   “หึ” วิศรุตแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ดีแล้วล่ะที่วันนี้ไม่นึกชวนยัยศราให้ออกมาด้วยกัน
นภัทรอมยิ้มอย่างนึกรู้ความคิดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะอยู่ในท่าเตรียมพร้อมในการว่ายน้ำ

   “เรามาว่ายน้ำแข่งกันไหม?” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยท้าขึ้นมา ทำให้นภัทรที่เตรียมออกสตาร์ทต้องหันกลับมามองคนที่เป็นฝ่ายท้าทายเขา

   “แน่ใจว่าจะแข่ง?”
วิศรุตพยักหน้าให้อย่างถือดี แววตาสีน้ำตาลโศกฉายแววรั้นอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“นายคงลืมไปแล้วว่าฉันเป็นนักกีฬาของโรงเรียน”

   “นายอย่าดูถูกให้มากนักเลย กีฬาว่ายน้ำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบแล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย นายเองก็อย่าประมาท
แล้วกัน”

   “ถ้างั้นนายก็เตรียมตัวแพ้ไว้ได้เลย แล้วก็อย่าเป็นพวกแพ้แล้วพาลล่ะ” คำสบประมาทของอีกฝ่ายทำให้วิศรุตเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว

   “แล้วถ้าฉันชนะ นายจะว่ายังไง?”

   “แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะ ฉันจะได้อะไรล่ะ?” คำถามย้อนกลับทำเอาวิศรุตตาวาวโรจน์ก่อนสมองจะคิดอะไรบางอย่างออก

   “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครชนะจะต้องเลี้ยงข้าวเย็นอีกฝ่าย ตกลงไหม?” นภัทรรับคำท้าก่อนที่ทั้งคู่จะออกสตาร์ทการแข่งขันว่ายน้ำไปพร้อมๆกัน

   และผลการแข่งขันก็กลายเป็นว่าคนที่ชนะคือนภัทร โดยในตอนแรกทั้งคู่ว่ายตีคู่กันมาแบบสูสี ก่อนที่นภัทรจะเริ่มออกนำในตอนกลางสระและแซงได้ในที่สุดจนเป็นฝ่ายชนะว่ายไปถึงขอบสระอีกด้านหนึ่งก่อน เฉียดชนะวิศรุตไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

   “สรุปว่าฉันชนะนาย” นภัทรยิ้มในหน้าก่อนจะเหล่มองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

   “ก็แค่ชนะนิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ”

   “แต่ก็ชนะ” นภัทรเน้นเสียงที่คำว่าชนะก่อนจะบอกให้วิศรุตรักษาสัญญาด้วย ที่ว่าใครแพ้จะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเย็นคนที่ชนะ วิศรุตตอบกลับว่าไม่ลืมหรอก ชายหนุ่มมองตามผู้ชนะที่ว่ายน้ำออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ สีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากด้วยความสมใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ สุดท้ายแล้วดินเนอร์คืนนี้เขาก็ได้ทานข้าวกับนภัทรสองต่อสองอยู่ดีนั่นแหล่ะ





   หลังจากว่ายน้ำเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ไปออกกำลังกายในฟิตเนสด้วยกันอีกประมาณสองสามชั่วโมงแล้วจึงเลิก ตอนนี้เป็น ช่วงฤดูหนาว ฟ้าจึงมืดเร็วกว่าปกติเล็กน้อย  ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะพานภัทรไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารอิตาเลียนร้านโปรดของตน แต่พอดีว่านภัทรเองก็ขับรถมาด้วย คงไม่สะดวกที่จะให้นภัทรขับรถตามไปแน่ๆ ดังนั้นวิศรุตจึงตัดปัญหาด้วยการชวนนภัทรดินเนอร์ที่ร้านอาหารของสปอร์ตคลับแทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างใด

   “นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เรากินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้?” นภัทรพูดขึ้นหลังจากสั่งอาหารกับบริกรเรียบร้อยแล้ว

   “ก็คงอย่างนั้นแหล่ะ” วิศรุตเลี่ยงคำถามด้วยการยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สีหน้าคนถูกถามเจือแววระเรื่อเล็กน้อย

   ทั้งวิศรุตและนภัทรเงียบไปสักพักอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี  ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกันถึงขนาดคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างสนิทใจและก็ไม่ได้ห่างเหินเสียจนเป็นแค่คนรู้จัก ดังนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้จึงออกจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย จนในที่สุดนภัทรก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

   “วันนั้นน่ะ...วันสอบวันสุดท้ายก่อนที่นายจะไปอังกฤษ”

วิศรุตชะงักจากการคลึงแก้วในมือเล่นไปมาก่อนจะมองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่นภัทรอ่านไม่ออก

“กระดาษแผ่นนั้นที่นายเคยเขียนให้ฉัน ฉันยังเก็บมันเอาไว้อยู่เลย”
คงเป็นกระดาษที่เขาเขียนคำว่าขอโทษแล้วสอดไว้ในหนังสือของนภัทรแน่ๆ วิศรุตนึกในใจ ไม่น่าเชื่อว่านภัทรจะยังเก็บมันไว้ทั้งที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องขยำมันทิ้งอย่างแน่นอนหลังจากที่ได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น

   “นายยังเก็บมันไว้อยู่อีกเหรอ?” นภัทรพยักหน้าแล้วพูดต่อ

   “หลังจากที่ได้อ่านกระดาษแผ่นนั้น ฉันก็พยายามวิ่งหานายไปทั่วโรงเรียนเลย แต่ก็ไม่ทันเพราะว่านายขึ้นรถไปแล้ว”

   “นี่นายยังไม่ลืมเรื่องเมื่อก่อนอีกเหรอ?” วิศรุตกลั้นใจถาม

   “แล้วนายล่ะ ลืมไปแล้วหรือยัง?” นภัทรสบตาสีน้ำตาลโศกของคนตรงหน้าแล้วถามกลับคำถามเดิม วิศรุตสูดลม หายใจลึกก่อนเอ่ยเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกระซิบ

   “ฉันพยายามลืมแล้ว แต่ทำยังไงก็ยังลืมไม่ได้เสียที”

   “นี่คงเป็นเหตุผลที่นายพยายามหลบหน้าฉันมาตลอด รวมถึงการแกล้งว่าไม่รู้จักและพวกคำพูดที่คอยแดกดันฉันกับคุณศราอยู่เสมอๆสินะ”

เสียงหึในลำคอของวิศรุตทำให้นภัทรรู้ว่าตนเดาถูก คุณหมอหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับชายหนุ่มตรงหน้า เพราะถึงอย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่อาจตอบสนองความรักอย่างที่วิศรุตต้องการได้ แต่อย่างน้อยเขากับคนตรงหน้าก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา

   และแล้วบรรยากาศอาหารค่ำในวันนี้ก็กลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ทานอาหารกันโดยไร้ซึ่งการสนทนาใดๆ เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องราวที่ยังค้างคาในใจอยู่

   หลังจากทานอาหารเสร็จ วิศรุตและนภัทรเดินเคียงกันออกมายังลานจอดรถของสปอร์ตคลับ จากนั้นวิศรุตก็ทำท่าจะแยกไปยังบริเวณที่ตนจอดรถเอาไว้ แต่นภัทรเรียกเอาไว้ก่อนซึ่งคนที่ถูกเรียกก็ชะงักฝีเท้าไว้แล้วหันกลับมามองอีกฝ่าย

   “มีอะไรเหรอ?”

   “ฉันแค่จะบอกว่า ที่ฉันวิ่งตามหานายไปทั่วโรงเรียนแบบนั้นเป็นเพราะฉันเองก็มีบางอย่างจะพูดกับนายเหมือนกัน” นภัทรเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาช้าๆทว่าน้ำเสียงมั่นคง “ฉันยกโทษให้นายแล้ววิศรุต”

   สมองของวิศรุตมึนตื้อไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “นายยกโทษให้ฉันแล้วจริงๆเหรอ?” นภัทรพยักหน้า แต่แล้วคำพูดถัดมาก็ทำเอาวิศรุตต้องยิ้มค้าง

   “ฉันยกโทษให้เพราะอยากจะลืมเรื่องในอดีตเกี่ยวกับนายให้หมดยังไงล่ะ นายจะได้ไม่เหลือตัวตนอยู่ในความทรงจำของฉันอีกต่อไป” คำพูดเรียบนิ่งของนภัทรเป็นเสมือนมีดที่กรีดให้หัวใจของวิศรุตเป็นแผลเหวอะขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนนึกสมเพชตัวเองว่าไม่ควรไปหวังอะไรลมๆแล้งๆจากคนใจร้ายอย่างนภัทร วิศรุตพยายามกลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังรถที่จอดอยู่อย่างช้าๆ

   “ฉันต้องการให้สมองฉันลบความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับนายไปให้หมด เพื่อที่ว่าพอได้มาเจอกันอีกครั้ง เราสองคนจะได้เริ่มทำความรู้จักกันใหม่ตั้งแต่แรก” คำพูดที่ดังเข้าโสตประสาททำให้วิศรุตชะงักกึกอีกรอบ นี่เขาฟังไม่ผิดใช่ไหม? คราวนี้นภัทรไม่ได้ล้อเขาเล่นอีกแล้วใช่ไหม?

 วิศรุตเหลือบตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องลึกลงไปอย่างต้องการค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีถ่านของฝ่ายนั้น

   “คราวนี้นายไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?” นภัทรยิ้มกว้างไม่ยอมตอบ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้าคนถาม

   “สวัสดีครับ ผมชื่อนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณวิศรุต ทัดเทวา”





   คืนนี้วิศรุตจึงขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีผิดปกติ แม้ว่าตอนนี้นภัทรจะยังไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้นึกเกลียดเขาแบบอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว ความกังวลในใจเริ่มคลายตัวลง และเมื่อชายหนุ่มคิดถึงคำพูดของนภัทรที่ลานจอดรถสปอร์ตคลับเมื่อครู่ก็อดอมยิ้มบางๆกับตัวเองไม่ได้

   เมื่อกลับมาถึงบ้านทัดเทวา วิศรุตจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาอิงอรเพื่อขอให้เลขาติดต่อเรื่องบางอย่างให้ตนเองพร้อมกับต้องการจะกำชับเรื่องเอกสารโครงการที่เขากำลังดูแลอยู่ด้วย

   “สวัสดีครับคุณอิงอร ผมโทรมากวนคุณหรือเปล่าครับเนี่ย?” วิศรุตเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าตนจะโทรมารบกวนการพักผ่อนของคู่สนทนาหรือเปล่า เมื่อปลายสายปฎิเสธว่าไม่รบกวนเพราะเธอยังไม่ได้เข้านอน วิศรุตจึงพูดเข้าเรื่องถึงจุดประสงค์ที่โทรไปทันที “คือว่าผมอยากให้คุณอิงอรช่วยสั่งคนให้จัดการเรื่องคอนโดให้หน่อยน่ะครับ ผมต้องการเปิดห้องที่คอนโดแถวๆสาทร ไอ้คอนโดที่เป็นหนึ่งในสี่โครงการใหญ่ของทัดเทวานั่นแหล่ะครับ ใช่ครับ ขอบคุณมาก”

หลังจากจัดการบอกความต้องการของตัวเองเรียบร้อยแล้วและอิงอรตอบกลับมาว่าตนจะรีบติดต่อให้ทันที  เจ้านายหนุ่มก็วกกลับเข้ามาเรื่องงานต่อ “ส่วนเอกสารเกี่ยวกับโครงการใหม่ทั้งหมด พรุ่งนี้รบกวนคุณอิงอรเอามาวางไว้บนโต๊ะผมด้วยนะครับ ผมอยากจะดูความคืบหน้าว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว” วิศรุตสั่งงานอีกสองสามอย่างก่อนจะวางสายไป พอดีกับที่ศรารัตน์มาเคาะประตูห้องของเขา

   “เข้ามาสิ” เมื่อเจ้าของห้องอนุญาต ประตูก็ถูกเปิดออกแล้วศรารัตน์ก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มเอกสารกองโต

   “ฉันอ่านเอกสารพวกนี้จบแล้ว” หญิงสาวเอาแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของวิศรุตก่อนจะหันมาพูด “เท่าที่ฉันอ่านพวกเอกสารประเมินโครงการดูแล้วก็คิดว่าโอเคเลยนะ โครงการนี้ก็น่าจะไปได้สวยอย่างที่นายหวังเอาไว้”

   “เธออ่านรายงานงบประมาณจากฝ่ายการเงินที่ภาคินเสนอมาให้หรือยัง?” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเธอเห็นงบที่ว่านั้นแล้ว

“คิดว่าไงบ้าง?” วิศรุตถามต่อ

   “ฉันว่าตัวเลขมันดูแปลกๆพิกลนะ ดูจะเกินจริงยังไงก็ไม่รู้ หรือนายคิดว่า...” วิศรุตพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ศรารัตน์คิด ก่อนหน้าที่จะเอาเอกสารทั้งหมดให้ศรารัตน์ ชายหนุ่มลองอ่านมาหมดแล้ว ก่อนจะมาสะดุดที่รายงานงบการเงินของโครงการนี่แหล่ะ เขาก็เลยอยากฟังความเห็นของศรารัตน์ในฐานะที่หญิงสาวผ่านงานแนวนี้มามากกว่าเขา

   “ฉันก็ว่าตัวเลขมันดูสูงไป ค่าวัสดุก็แพงจนโอเวอร์ทั้งๆที่เทียบกับโครงการอื่นๆที่ใช้วัสดุแบบเดียวกัน”

   “นายกำลังคิดว่าภาคินแอบตกแต่งงบใหม่เพื่อยักยอกเงินบริษัทงั้นเหรอ?”

   “ฉันถึงอยากให้เธอคอยจับตาดูไอ้ภาคินให้ดี ถ้ามันโกงบริษัทจริงๆ ฉันไม่เอามันไว้แน่” วิศรุตหมายความอย่างที่พูด เพราะหากภาคินทำผิดและเขาสามารถหาหลักฐานมามัดตัวฝ่ายนั้นได้แล้วล่ะก็ เขาจะจัดการกับทายาทนอกสายเลือดอย่างภาคินโดยไม่ไว้หน้าใครเลยคอยดู แม้แต่คุณอาวันชัยก็ตาม





   เมื่อวิศรุตมาทำงานในตอนเช้า ชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ข่าวจากพนักงานในบริษัทว่าคุณอิงอรประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างแรงเมื่อเช้านี้ขณะจะเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติ วิศรุตใจหายวูบเพราะเมื่อคืนนี้ยังได้คุยกับอิงอรอยู่เลย ไม่นึกว่าเช้ามาเลขาของเขาจะประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสเสียแล้ว

   วิศรุตจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการไปตรวจไซส์งานในตอนบ่ายเพื่อไปเยี่ยมอิงอรที่โรงพยาบาลแทน เมื่อชายหนุ่มไปถึง อิงอรก็ถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษแล้วแต่เลขาคนเก่งก็ยังไม่รู้สึกตัว ดังนั้นเมื่อวิศรุตไปเยี่ยม เธอจึงยังไม่ฟื้น พบเพียงแต่สามีของเธอที่นั่งเฝ้าอาการภรรยาอยู่ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น

   “อรเค้ายังไม่ฟื้นเลยครับคุณวิศรุต” ธนินทร์ผู้เป็นสามีบอกหลังจากที่วิศรุตแนะนำตัวเองเรียบร้อยแล้วโดยการบอกว่าเขาเป็นเจ้านายของอิงอร

   “แล้วทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้ละครับเนี่ย?”

   “รู้สึกว่ารถของอรจะชนเข้ากับรถสิบล้ออย่างแรงเลยล่ะครับ ตอนนั้นอรคงขับเร็วมากจนเมื่อเบรคกะทันหันก็เลยเสียหลักรถพลิกคว่ำ” วิศรุตมองผ้าพันแผลรอบตัว กระดูกขาที่ต้องดามเฝือกและใบหน้าฟกช้ำของอิงอรแล้วถอนหายใจบาง ดูท่า
คงจะต้องพักงานเป็นเดือนแน่ๆ

   “คุณธนินทร์ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ เพราะทางบริษัทเรามีเรื่องสวัสดิการการประกันอุบัติเหตุให้กับพนักงานด้วย เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะจัดการให้เอง” ธนินทร์กล่าวขอบคุณในน้ำใจของเจ้านายภรรยาตน ก่อนที่วิศรุตจะขอตัวกลับ หลังจากที่มาเยี่ยมได้สักพัก

   วิศรุตเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลก่อนจะเจอกับนภัทรที่เดินสวนมาอย่างบังเอิญ  ชายหนุ่มมัวแต่คิดเรื่องอุบัติเหตุของอิงอรจนลืมไปเสียสนิทว่านภัทรเป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย

   “มาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามาเยี่ยมใครหรือเปล่า?” นภัทรเป็นฝ่ายทักขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้กัน

   “พอดีว่าฉันมาเยี่ยมเลขาน่ะ เธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเช้านี้เอง” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะทำสีหน้าโล่งใจแล้วบอกว่าตอนแรกคิดว่าวิศรุตป่วยเป็นอะไรถึงต้องมาที่โรงพยาบาล แต่ในเมื่อวิศรุตไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว “นายเป็นห่วงฉันเหรอ?” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบแต่คนถูกถามกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆโดยไม่พูดอะไร

   “แล้วนี่นายจะกลับแล้วเหรอ?” วิศรุตพยักหน้าแล้วบอกว่าเขามีงานค้างอยู่ต้องรีบกลับไปทำต่อ นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจพูด “นี่ฉันกำลังจะออกเวรพอดี ว่าจะชวนนายไปดื่มกาแฟเสียหน่อย แต่ถ้านายกำลังยุ่งก็ไม่เป็นไร” นี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเอ่ยปากชวนวิศรุตก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ อย่าหวังไปเลยที่อีกฝ่ายจะมาญาติดีกับเขาด้วย แต่ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และนภัทรก็ยอมให้อภัยกับเรื่องในอดีตของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเป็นไปในแง่ที่ดีกว่าเดิม อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยทีเดียว

   “เอาสิ ฉันไปดื่มกาแฟกับนายก็ได้” วิศรุตตอบโดยไม่ต้องคิด ชายหนุ่มไม่อยากพลาดโอกาสนี้จึงรีบตอบตกลงทันที

   “อ้าว ไหนว่าต้องรีบกลับไปเคลียร์งานต่อไง” คุณหมอหนุ่มเริ่มงงกับคำพูดกลับไปกลับมาของคนตรงหน้า

   “งานน่ะปล่อยไว้ก่อนก็ได้ ยังไงบริษัทก็ไม่หนีไปไหนอยู่ดีนั่นแหล่ะ อีกอย่างนายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นประธานบริษัทนะ ใครจะกล้ามาออกคำสั่งกับฉันได้” นภัทรหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินนำวิศรุตไปยังร้านคอฟฟี่ช็อฟของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก





   ด้วยความที่คุณอิงอรประสบอุบัติเหตุรถชนจนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่แรมเดือนประกอบกับการคะยั้นคะยอบ่อยครั้งของวันชัยทำให้วิศรุตตัดสินใจรับเมริษาเข้ามาทำงานเป็นเลขาส่วนตัวของเขาชั่วคราวแทนตำแหน่งของคุณอิงอร แม้ในใจจะไม่อยากรับเมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้เท่าใดนัก แต่งานและโครงการที่เขารับผิดชอบนั้นก็ต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าวิศรุตจะค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าเมริษาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ต้องการจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาของเขาเพียงอย่างเดียวแน่   

   เมื่อวิศรุตเอาเรื่องนี้มาเล่าให้กับภาณุฟัง เพื่อนสนิทของเขากลับมีความเห็นตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง

   “แล้วแกจะรับยัยเมริษาอะไรนั่นมาเป็นเลขาทำไมวะ? คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทั้งๆที่รู้ว่ายัยนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงในการเข้ามาทำงานกับแก ก็ยังจะไปรับเค้าเข้าทำงานอีก” ภาณุไม่เข้าใจความคิดของวิศรุตเลยจริงๆ นี่เพื่อนของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไปรับคนของวันชัยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวแบบนี้

   “ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยอยากจะรับหรอก แต่คุณอามาคอยตื้อตอแยเรื่องเมริษาบ่อยๆจนฉันรำคาญว่ะ อีกอย่างถ้าคิดในแง่ดีนะเว้ย ตอนนี้ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของเค้า เอาให้มาทำงานใกล้ๆตัวน่ะดีแล้วจะได้จับตาดูได้อย่างถนัดหน่อย”

   “ว่าแต่ยัยคุณเมริษาเนี่ย...สวยรึเปล่า?” สายตาของภาณุเปลี่ยนเป็นกลุ้มกริ่มทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องผู้หญิง วิศรุตยิ้มเหยียดก่อนจะยอมรับว่าเมริษาทั้งสวยและฉลาด แต่ผู้หญิงแบบนี้ดูจะอันตรายพอสมควร

   “นั่นแน่ะไอ้โอม แกสนใจล่ะสิ”

ภาณุยักไหล่ไม่ตอบ ในใจก็คิดว่าสักวันเขาคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บริษัทบ้างแล้วจะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเลขาคนใหม่ของวิศรุตแล้วก็พิสูจน์ว่าเธอสวยและฉลาดสมคำกล่าวอ้างของคนตรงหน้าหรือเปล่า





   “แกให้คนไปจัดการกับนังเลขานั่นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” วันชัยถามเสียงเย็นก่อนภาคินจะรับคำ

   “ตอนนี้ผมให้พวกมันหลบหน้าตำรวจไปก่อนสักพัก พอจัดการให้เรื่องเงียบแล้วค่อยติดต่อมาใหม่” วันชัยสำทับอีกครั้งว่าอย่าให้พวกมันซัดทอดมาถึงเขาและภาคินได้ ซึ่งภาคินเองก็บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วงเพราะลูกน้องที่เขาจ้างมาแต่ละคนไว้ใจได้ทั้งนั้น

   “ว่าแต่ไอ้วินมันตกลงให้เมไปทำงานเป็นเลขามันแล้วใช่ไหมครับพ่อ?” วันชัยพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้ภาคินติดต่อบอกเรื่องนี้กับเมริษาทันที เขาต้องการให้เมริษาเข้าไปสืบความลับเรื่องโครงการใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตกำลังดูแลอยู่ เพื่อที่ว่าเขาจะได้วางแผนหาโอกาสทำลายความน่าเชื่อถือของวิศรุตต่อกรรมการบริหารทั้งหมดให้เร็วที่สุด ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ บริษัททัดเทวายิ่งจะกลายมาเป็นของเขาเร็วเท่านั้น วันชัยจุดยิ้มที่มุมปากแววตามาดร้าย




จบบทที่13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่14
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 01-08-2012 11:27:54
บทที่ 14


โครงการบ้านจัดสรรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว หลังจากที่ให้ทีมสถาปนิคแก้แปลนไปหลายครั้งจนในที่สุดแบบก็เสร็จเรียบร้อย วิศรุตจึงสั่งให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที ชายหนุ่มมักจะมาคุมงานด้วยตัวเองเสมอเพราะไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด หากแต่วันนี้ชายหนุ่มมีนัดเจรจางานกับลูกค้าระดับสูงของบริษัท จึงมาคุมงานด้วยตัวเองไม่ได้ เขาจึงสั่งให้ศรารัตน์มาคุมงานให้แทน ซึ่งตอนแรกศรารัตน์ก็อิดออดไม่อยากมาเพราะหญิงสาวบอกว่าตอนบ่ายเธอติดธุระต้องไปข้างนอก แต่วิศรุตก็เดาได้อยู่ดีว่าเธอจะต้องไปหานภัทรแน่ๆ ชายหนุ่มจึงใช้ตำแหน่งประธานบริษัทสั่งงานทำให้หญิงสาวไม่อาจปฎิเสธได้เลย

เมื่อมาถึงไซส์งานก่อสร้าง ศรารัตน์เห็นพงศธรกำลังคุมงานอยู่จึงจอดรถเอาไว้ข้างทางแล้วเดินตรงเข้าไปทักวิศวกรหนุ่ม

“สวัสดีค่ะคุณพงศธร” พงศธรหันมาตามเสียงเรียกก่อนแววตาจะเป็นประกายด้วยความยินดีที่ได้เจอศรารัตน์อีกครั้ง

“สวัสดีครับคุณศรารัตน์ วันนี้มาคุมด้วยตัวเองเลยเหรอครับเนี่ย?” พงศธรถามเพราะปกติหญิงสาวจะมาพร้อมกับวิศรุต ไม่ก็วิศรุตมาคุมงานเพียงคนเดียว ชายหนุ่มคิดว่าเขาจะไม่มีโอกาสเจอหน้าศรารัตน์เสียแล้ว เพราะลำพังหากให้เขาหาเรื่องไปเจอเธอที่บริษัท เขาก็ไม่รู้จะยกเรื่องอะไรไปอ้างดีเพราะเขากับหญิงสาวเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้นเสียหน่อย

“วันนี้ฉันมาคนเดียวน่ะค่ะ พอดีวินเค้าติดธุระก็เลยฝากให้ฉันมาดูแลแทน เอ้อ คุณพงศธรเรียกฉันว่าศราก็ได้นะคะ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มก็ได้ มันดูเป็นทางการไปน่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มให้พงศธรอย่างอัธยาศัยดี หญิงสาวอนุญาตให้เขาเรียกชื่อเล่นของเธอได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของนภัทร ผู้ชายที่เธอแอบหลงรัก

“ถ้าอย่างนั้นคุณศรารัตน์ เอ้อ คุณศรา ก็เรียกผมว่าพงษ์ก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มตอบแบบเขินๆ ในขณะที่
ศรารัตน์เองก็อดหัวเราะกับท่าทางคนตรงหน้าไม่ได้ เขาจะเขินอะไรเธอนักหนา

   “ได้ค่ะ คุณพงษ์” ทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กันก่อนที่ศรารัตน์จะขอตัวไปตรวจงานรอบๆก่อน ซึ่งพงศธรก็อาสาพาไปเองด้วยความเต็มใจ

   “ตอนนี้เรากำลังวางโครงของอาคารอยู่ครับ คิดว่าไม่เกินอาทิตย์นี้คงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนทางด้านนั้นผมกำลังให้คนงานปรับพื้นดินใหม่อยู่ คิดว่าจะราดยางทำเป็นถนนเส้นใหม่เลยครับ” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ก่อนมือเรียวที่ถือปากกาอยู่จะทยอยจดความคืบหน้าของโครงการลงไปในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่ถือติดมือมาด้วย

   “แล้วพวกวัสดุล่ะคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? เห็นวินบอกว่าวัสดุที่ส่งมาเมื่อล็อตเก่ามีปัญหาทำให้ต้องส่งคืนบริษัทเกือบทั้งล็อตเลย” ศรารัตน์หมายถึงวัสดุที่ทางโรงงานส่งมาให้ผิดสเป็คจนวิศรุตต้องส่งกลับคืนเพราะไม่ได้ของตามที่ต้องการ และยิ่งจะส่งผลให้โครงการต้องหยุดชะงักเพราะปัญหาด้านขาดวัสดุ

   พงศธรตอบว่าหากมีการอนุมัติงบเรื่องค่าวัสดุให้เร็วกว่านี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรและคงไม่กระเทือนกับโครงการ
มากนักซึ่งศรารัตน์ก็บอกว่าเดี๋ยวตนจะเข้าไปดูเรื่องงบค่าวัสดุให้อีกทีหนึ่ง

   ทั้งคู่เดินตรวจงานไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินมาถึงเขตก่อสร้างอันตราย พงศธรอธิบายความคืบหน้าของงานให้
ศรารัตน์ฟังไปเรื่อยๆ ซึ่งหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาจดอย่างขะมักเขม้นจนไม่ได้ระวังตัวเลยว่าเธอกำลังอยู่ในรัศมีของไม้คานขนาดใหญ่ที่เคลื่อนหลุดจากโครงและกำลังตกลงมายังที่ที่เธอกำลังยืนคุยงานกับพงศธรอยู่ แต่คนที่เห็นกลับเป็นพงศธร ด้วยอารมณ์ตกใจตามสัญชาตญาณทำให้พงศธรใช้มือผลักศรารัตน์แล้วโถมตัวใช้ร่างกายเข้าไปบังร่างเธอให้พ้นจากตรงนั้น จนทั้งคู่ล้มกลิ้งตัวไปยังอีกด้านหนึ่งจนพ้นรัศมีของไม้คานที่ตกลงมาเสียงดังสนั่น

   ‘ปังงงงง’

เสียงไม้คานขนาดใหญ่ตกกระทบพื้น แต่พงศธรเหมือนไม่ได้ยินเสียงนั้น ชายหนุ่มมัวแต่เผลอเพ่งพิศดวงหน้าสวยหวานของร่างบอบบางในอ้อมแขนเขา ดวงตาสีนิลสบประสานกับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของศรารัตน์ที่มองตอบกลับมาด้วยประกายตาแปลกๆเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัวเมื่อเหล่าคนงานส่งเสียงเอะอะและมีคนงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามพงศธรกับศรารัตน์ว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?

   โชคดีที่ศรารัตน์ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเพราะพงศธรเป็นฝ่ายเอาตัวเข้ามาบังเธอไว้ทำให้รอดจากการที่ไม้คานตกใส่ศีรษะอย่างเฉียดฉิว ส่วนพงศธรก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไรเพียงแต่มีแผลถลอกตามแขนจากการล้มกลิ้งไปตามพื้นคอนกรีตเท่านั้น  หัวหน้าโฟร์แมนที่คุมงานอยู่ก็รีบวิ่งมาขอโทษขอโพยกับศรารัตน์และพงศธรเป็นการใหญ่ที่คนงานสะเพร่าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนเกือบจะเป็นอันตรายต่อทั้งคู่ พร้อมกับบอกว่าจะต่อว่าและตัดเงินคนงานที่สะเพร่าให้หมดทุกคน

   “เอาเถอะ ไหนๆฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร คุณพงษ์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แล้วกันไปเถอะ แต่ทีหน้าทีหลังก็กำชับเรื่องความปลอดภัยให้เข้มงวดหน่อยแล้วกัน ไม่ต้องถึงขนาดตัดเงินเดือนหรอก” ศรารัตน์พูดไปด้วยความสงสาร หากคนงานโดนตัดเงินเดือนจนหมดแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงปากท้อง ดังนั้นหญิงสาวจึงแค่ขอให้ตักเตือนไม่ต้องถึงขนาดลงโทษคนงานเหล่านั้น

   พงศธรมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความพิศวง ตอนแรกเขานึกว่าเธอจะต้องโวยวายเป็นคุณหนูเรียกร้องให้พวกคนงานรับผิดชอบเสียแล้วโทษฐานที่ทำให้เธอเกือบได้รับอันตราย แต่ที่ไหนได้เธอกลับบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยังห่วงกลัวว่าพวกคนงานจะถูกตัดเงินเดือนเสียอีก ผู้หญิงคนนี้จิตใจงดงามเหมือนอย่างหน้าตาจริงๆ พงศธรคิดในใจอย่างชื่นชม

   “เดี๋ยวนายไปหาพวกอุปกรณ์ทำแผลมานะ คุณพงษ์เค้ามีแผลถลอกที่แขน เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้เค้าเอง” หัวหน้าคนงานรับคำก่อนจะรีบวิ่งไปหากล่องอุปกรณ์ทำแผลมาให้ตามความต้องการของศรารัตน์โดยไม่รอช้า

   “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า ลำบากคุณศราเปล่าๆ” พงศธรพยายามปฎิเสธเพราะเกรงใจศรารัตน์

   “ได้ยังไงล่ะคะ ที่คุณพงษ์บาดเจ็บก็เป็นเพราะฉัน ถ้าไม่ได้คุณพงษ์ช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงต้องไปนอนเดี้ยงอยู่ที่โรงพยาบาลอีกรอบแล้วล่ะค่ะ ให้ฉันทำแผลให้เถอะนะคะ” ในที่สุดพงศธรก็ทนแรงคะยั้นคะยอของศรารัตน์ไม่ไหวจึงยอมให้หญิงสาวทำแผลให้แต่โดยดี พลางคิดในใจว่าเจ็บตัวแค่นี้แต่แลกกับการได้ใกล้ชิดผู้หญิงในดวงใจอย่างศรารัตน์ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม





   เพื่อเป็นการตอบแทนที่พงศธรช่วยเธอเอาไว้ ศรารัตน์จึงขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารค่ำพงศธร ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ปฎิเสธ แต่อย่างใด ดังนั้นศรารัตน์จึงขับรถพาพงศธรมายังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งย่านชานเมือง

   “ที่นี่บรรยากาศดีมากๆเลยนะครับเนี่ย” พงศธรพูดพลางมอบไปรอบๆตัวอย่างสนใจ
ร้านนี้ตกแต่งแบบบรรยากาศสไตล์คันทรี่ ห้องอาหารอยู่ในตัวบ้านแบบโรมัน แถมรอบนอกร้านยังเป็นสระน้ำขนาดเล็กและแปลงปลูกองุ่นขนาดย่อมที่เจ้าของร้านปลูกเอาไว้อีกด้วย

   “ใช่ค่ะ ที่นี่เป็นร้านอาหารของเพื่อนฉันเอง บรรยากาศดีมาก ฉันก็เลยคิดว่าคุณพงษ์คงชอบน่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มให้คู่สนทนาก่อนจะเดินนำพงศธรไปยังห้องอาหารด้านใน

   หลังจากที่สั่งเสร็จแล้ว ระหว่างรอพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พงศธรก็เป็นฝ่ายชวนศรารัตน์คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ตามประสาคนอัธยาศัยดีซึ่งศรารัตน์ก็พูดคุยกับชายหนุ่มอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้ถือตัวว่าเธอเองมีตำแหน่งเป็นเจ้านายของพงศธร

   “เอ้อ ว่าจะถามคุณพงษ์ตั้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นไงมาไงวินถึงชวนมาทำงานด้วยกันที่ทัดเทวาได้คะเนี่ย?”

   “อ้อ พอดีว่าผมเคยรู้จักกับคุณวินมาก่อนหน้านั้นตั้งนานน่ะครับ คุณวินก็เลยชวนมาทำงานที่นี่” พงศธรเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าวิศรุตไม่อยากให้ศรารัตน์รู้ว่าตัวเองเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขากับนภัทร

   แม้ว่าจะสะดุดใจกับคำตอบของพงศธร แต่ศรารัตน์ก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ ถ้าหากเป็นแบบที่พงศธรพูดจริง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ในเมื่อวิศรุตรู้จักกับพงศธรมาก่อนหน้านี้ตั้งนาน แล้วจะเป็นไปได้เหรอที่วิศรุตจะไม่รู้จักกับนภัทรที่เป็นเพื่อนสนิทของพงศธร หรือว่าทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่วิศรุตเลือกที่จะปิดบังเธอ ซึ่งเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่

   “คุณศราเหม่ออะไรเหรอครับ” พงศธรถามเพราะเห็นว่าศรารัตน์นั่งเงียบไปนาน เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

   “เอ้อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าทำไมวันนี้อาหารนานจัง ฉันกลัวว่าคุณพงษ์จะหิวก่อนน่ะสิคะ” ศรารัตน์แก้ตัวก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มแย้มไม่ให้พงศธรสงสัย พร้อมๆกับที่พนักงานยกอาหารหน้าตาหน้าทานมาเสริ์ฟให้พอดี หญิงสาวจึงชวนให้พงศธรลองชิมดูด้วยการตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่าย

   การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของวิศรุตที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของร้าน ชายหนุ่มมองศรารัตน์กับพงศธรที่ผลัดกันตักอาหารใส่จานให้กันด้วยแแววตาเป็นประกาย ความสัมพันธ์ของพงศธรกับศรารัตน์คืบหน้าไปไวกว่าที่เขาตั้งใจให้เป็นมาก แต่อย่างนี้ก็ถือเป็นการดีกับเขาเองเช่นกัน ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจอะไรถ้าหากพงศธรจะเลื่อนระดับจากลูกน้องมาเป็นน้องเขยของเขา วิศรุตคิดในใจว่าน้องเขยของเขาจะเป็นใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่นภัทร คนที่เขาหมายปองคนนั้นอย่างเด็ดขาด

   “มองอะไรเหรอคะพี่วิน?” เมริษาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวแล้วถามเมื่อเห็นว่าวิศรุตกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่

   หลังจากคุยงานกับลูกค้าเสร็จแล้ว เธอก็ชวนเขามาทานข้าวเย็นด้วยกันโดยอ้างว่าเธอเริ่มหิวแล้ว ทั้งที่จุดประสงค์จริงๆของเธอคือต้องการหาเรื่องใกล้ชิดแบบสองต่อสองกับวิศรุต เพื่อที่ว่าเธอจะได้แสดงมารยาใช้เสน่ห์อ่อยชายหนุ่มได้อย่างเต็มที่

   “ตกลงว่าพี่วินมองอะไรกันแน่คะ? หรือว่าเจอคนรู้จัก” เมริษาหันหลังกลับไปมองตามสายตาของวิศรุต แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่พงศธรที่นั่งหันหลังให้โต๊ะของเขาขยับเก้าอี้พอดี เมริษาจึงไม่ทันได้เห็นว่าศรารัตน์ก็มาทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

   “เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก แค่เมื่อกี้เหมือนเจอคนรู้จักแค่นั้นเอง แต่มองดีๆแล้วก็ไม่ใช่” วิศรุตแกล้งยิ้มหวานให้หญิงสาวตรงหน้าแบบไม่มีอะไร ทั้งที่ในใจแอบเบื่อหน่ายกับการชอบสอดรู้สอดเห็นและจ้องจับผิดอย่างแนบเนียนของเมริษา นี่เขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ยอมให้หญิงสาวตรงหน้ามาทำหน้าที่เลขาส่วนตัวของเขาแทนคุณอิงอร





   “อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก? แม่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถเลย” รัญญาเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก มืออูมของหญิงสาวสูงวัยหยุดชะงักจากการปักผ้าเช็ดหน้าแล้วหันมาสนใจผู้มาใหม่แทน “ทานอะไรมาหรือยังลูก? เดี๋ยวแม่เข้าไปหาอะไรให้ทานในครัว”

   “ไม่ต้องหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมจัดการเอง แม่ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ” นภัทรบอกเพราะเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้เขากลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะติดเคสด่วนที่โรงพยาบาล หมู่นี้คุณรัญญาสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงไม่อยากให้มารดามาเสียเวลารอเขาดึกๆดื่นๆแบบนี้อีก เขาอยากให้ผู้เป็นแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่า

   “เอางั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรก็เรียกแม่แล้วกันนะ เดี๋ยวแม่จะขึ้นข้างบนก่อนแล้ว” รัญญาพูดย้ำกับนภัทรเรื่องตรวจตรา
ปิดประตูบ้านและล็อครั้วให้เรียบร้อยก่อนจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องด้านบน

   หลังจากนภัทรจัดการหาอะไรทานเป็นอาหารมื้อดึกเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินตัดผ่านสนามหญ้าหน้าบ้านเพื่อตั้งใจจะไปปิดประตูรั้ว แต่ดวงตาสีถ่านกลับหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาตะคุ่มอยู่ใกล้ๆริมรั้วด้านนอก ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพลางฉวยท่อนไม้ขนาดกระชับมือที่อยู่แถวนั้นแล้วค่อยๆเดินไปที่ประตูรั้ว

   “ใครน่ะ?” นภัทรส่งเสียงถามออกไป สักพักกลับได้ยินเสียงหนึ่งตอบกลับมาในความมืด

   “ฉันเอง” นภัทรเพ่งมองไปทางต้นเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนข้างแรม ท้องฟ้าจึงค่อนข้างมืดสนิท ชายหนุ่มจึงไม่เห็นว่ามีใครอีกคนยืนพิงกำแพงติดรั้วบ้านของเขาอยู่จนกระทั่งฝ่ายนั้นก้าวออกมาจากความมืด ไฟข้างถนนในซอยหมู่บ้านส่องกระทบใบหน้าผู้มาเยือนก่อนที่นภัทรจะอุทานออกมาเบาๆเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาในเวลาแบบนี้

   “วิศรุต” นภัทรลดไม้ในมือลงเมื่อเห็นว่าคนที่มายืนลับๆล่อๆคือวิศรุตนั่นเอง

   “ขอโทษด้วยที่มาดึกขนาดนี้ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนนาย” วิศรุตยืดตัวตรงก่อนหันมาประจันหน้ากับนภัทร ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลุ่มลึก

   “นายมีอะไรหรือเปล่า? มาซะดึกขนาดนี้เลย ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นพวกโจรเสียอีก”

   “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่...นึกอยากเห็นหน้านายเท่านั้นเอง” นภัทรรู้สึกไหววูบแปลกๆในใจกับคำพูดแบบเถรตรงของฝ่ายนั้น คุณหมอหนุ่มหลบสายตาสีน้ำตาลโศกที่จ้องมองมายังเขาก่อนจะพูดแก้เก้อ

   “ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่นา กลับไปได้แล้วล่ะ ขับรถกลับมืดๆเดี๋ยวจะอันตรายเปล่าๆ” วิศรุตจุดยิ้มมุมปากก่อนพูดขึ้นมาว่านี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเป็นห่วงตัวเขา

   “ฉันพูดเมื่อไหร่กันว่าฉันเป็นห่วงนาย” นภัทรผินหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้วิศรุตจับได้ว่าตัวเองกำลังหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของคนตรงหน้า เขาไม่สมควรจะมีความรู้สึกแบบนี้กับวิศรุตเลย มันเป็นอาการแปลกๆเฉพาะยามเมื่อเผชิญหน้ากับวิศรุตเท่านั้น...บางสิ่งบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเข้าใจ

   “เอาเถอะ ถือว่านายไม่ได้พูดก็เลยแล้ว ฉันคงหูฝาดไปเอง” วิศรุตยิ้มในหน้าก่อนบอกให้นภัทรเข้าบ้านไปได้แล้วเพราะเขาเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน

   “ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถกลับดีๆแล้วกันนะ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยลาก่อนขอตัวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพราะขืนอยู่นานกว่านี้เขาคงไม่สามารถควบคุมอะไรบางอย่างที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจได้

   “นภัทร” เสียงที่เรียกด้านหลังรั้งให้นภัทรต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามองคนเรียกอีกครั้ง

   “มีอะไรอีกเหรอ?”

   “นายเองก็รู้ดีว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย แต่ถ้านายไม่ได้คิดอะไร...ทำไมถึงยังมาทำดีกับฉันอีกล่ะ?” ดวงตาสีน้ำตาลโศก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาความจริงที่อยู่ภายใต้ดวงตาสีถ่านคู่นั้น เขาอยากรู้ว่านภัทรกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่เคยนึกชอบเขา แล้วจะมาให้ความหวังด้วยการทำดีกับเขาทำไม ทำไมไม่กลับไปเกลียดขี้หน้ากันแบบเมื่อตอนสมัยเรียนล่ะ ที่นภัทรกำลังทำอยู่มันคืออะไรกันแน่?

   “เพราะว่า...เราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ” คำตอบจากปากของนภัทรกลับเป็นคำตอบที่เสียดแทงใจคนฟังอย่างรุนแรง วิศรุตยิ้มเศร้าก่อนจะหันหน้าแล้วเดินไปจากตรงนั้น เขาไม่ควรจะหวังให้เกินจริงเลยเพราะยิ่งหวังมากเท่าไหร่ ถ้าหากว่าผิดหวังก็ยิ่งต้องเจ็บปวดมากกว่านั้นหลายเท่าตัว ในใจนภัทรคิดกับเขาแค่‘เพื่อน’เท่านั้น จะมีสักวันไหมนะที่ฝ่ายนั้นจะคิดกับเขามากเกินกว่าคำว่าเพื่อน จะมีสักวันไหมที่นภัทรจะตอบสนองความรักของเขาในแบบที่เขาต้องการจากฝ่ายนั้นมาตลอดเวลาสิบสามปีเต็ม

   นภัทรมองตามหลังวิศรุตที่ค่อยๆเดินจากไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าคำตอบที่บอกวิศรุตไปเมื่อครู่นั้นมันคือความจริง เรื่องระหว่างเขากับฝ่ายนั้นมันเป็นเรื่องวิปริตผิดธรรมชาติและมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น เขาให้วิศรุตได้เพียงแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น สิ่งที่นอกเหนือจากนั้นคือเขาไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้จริงๆ คุณหมอหนุ่มพร่ำเน้นย้ำกับตัวเองเพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะเผลอไผลหลงไปกับความรู้สึกพิเศษลึกๆที่อยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจก็เป็นได้


...เราไม่น่าจะมาเจอกันอีกเลย...



จบบทที่14
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่15
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 01-08-2012 11:38:50
บทที่ 15


   ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าจอต้องขมวดคิ้วมุ่นจนคิ้วเรียวงามแถบจะติดเชื่อมเป็นเส้นเดียวกัน ข้อมูลที่ศรารัตน์กำลังพิจารณาอยู่นี้เป็นงบเบิกจ่ายสำหรับโปรเจคโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวาที่เธอขอมาจากฝ่ายการเงิน เมื่อเช้านี้ศรารัตน์โทรไปบอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินส่งเอกสารงบการเงินย้อนหลังในโครงการต่างๆของทัดเทวามาให้เธอโดยด่วนรวมถึงงบเบิกจ่ายค่าวัสดุของโปรเจคใหม่นี้ด้วย โดยอ้างว่าต้องการข้อมูลสำหรับประเมินขออนุมัติงบสำหรับโครงการอื่นในปีถัดไป หญิงสาวใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันในการศึกษาเอกสารทั้งหมดก่อนจะพบว่ายอดตัวเลขของฝ่ายการเงินมีความผิดปกติและความคลาดเคลื่อนสูงจากงบที่แผนกอื่นๆส่งข้อมูลมามากเลยทีเดียว ศรารัตน์หมุนปากกาในมืออย่างใช้ความคิดก่อนตัดสินใจพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานโดยมีจุดหมายคือห้องประธานกรรมการบริษัท

   ศรารัตน์เดินมาถึงห้องทำงานส่วนตัวของวิศรุตและตั้งท่าจะเปิดประตูเข้าไป แต่เมริษาที่มีตำแหน่งเป็นเลขาของวิศรุตก็รีบวิ่งเข้ามาขวางประตูไว้

   “คุณเป็นใครคะ? จะเข้าห้องท่านประธานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้นะคะ” เมริษาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้ แต่ดูจากลักษณะท่าทางที่เธอกล้าเปิดประตูห้องทำงานของประธานบริษัทได้โดยที่ไม่ต้องเคาะประตู ตำแหน่งของเธอก็น่าจะใหญ่พอสมควรหรือไม่ก็ต้องสนิทสนมกับท่านประธานเอามากๆ

   “เธอคงเป็นเลขาใหม่ของวินสินะ ฉันชื่อศรารัตน์ ทัดเทวา เป็นน้องสาวแท้ๆของคุณวิศรุต ทัดทวา แล้วก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของที่นี่ด้วย รู้อย่างนี้แล้วจะให้ฉันเข้าไปได้หรือยัง?” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเรียบ เมริษาจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายแล้วบอกว่าตอนนี้วิศรุตไม่อยู่เพราะติดออกไปพบลูกค้าข้างนอก

   “ถ้าท่านประธานกลับมา ดิฉันจะเรียนให้นะคะว่าคุณศรารัตน์มาพบ”

   “ไม่ต้องหรอก ฉันแวะมาที่นี่ก็เพื่อจะเอาเอกสารบางอย่างเท่านั้นแหล่ะ ไม่ได้จะมาพบวินหรอก” พูดจบศรารัตน์ก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของวิศรุตทันที เมริษาจะตามเข้าไปแต่ศรารัตน์ส่งสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้อีกฝ่ายตามเข้ามา เลขาสาวจึงได้แต่มองตามร่างระหงของอีกฝ่ายเข้าไปด้วยสายตาอยากรู้

   ศรารัตน์ใช้กุญแจสำรองเปิดตู้เอกสารสำคัญหลังโต๊ะทำงานของวิศรุต กุญแจนี้เป็นกุญแจสำรองที่วิศรุตให้เธอเก็บเอาไว้หนึ่งดอกเผื่อต้องการเอกสารในห้องประธานบริษัทก็จะได้มาเอาเองโดยสะดวกเพราะตอนแรกวิศรุตก็ไม่ได้สนใจงานบริษัทอยู่แล้ว ที่ให้กุญแจตู้เอกสารสำคัญกับศรารัตน์ไปก็เพื่อต้องการจะโยนงานให้หญิงสาวนั่นแหล่ะ ศรารัตน์เปิดหาเอกสารปึกหนาจากแฟ้มต่างๆก่อนจะเจอสิ่งที่ต้องการ หญิงสาวหอบแฟ้มเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะล็อคกุญแจตู้เหมือนอย่างเดิม

   เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง ศรารัตน์ก็เริ่มพิจารณาข้อมูลใหม่ที่เอามาจากห้องทำงานของวิศรุตทันที เมื่อลองเทียบเอกสารหลายๆฉบับจากหลายๆปีทำให้พบว่ายอดตัวเลขมีความผิดปกติอย่างที่เธอคาดเอาไว้จริงๆ แม้ว่ามองเผินๆทั่วไปงบการเงินนี้จะไม่มีความผิดปกติ แต่เธอศึกษาเรื่องงบมานานทำให้สามารถมองออกว่าเอกสารพวกนี้ที่เธอได้มานั้นมันล้วนแต่ผ่านการตกแต่งบัญชีมาอย่างแนบเนียนทั้งสิ้น หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น จำนวนตัวเลขที่ผิดปกตินั้นไม่ใช่น้อยๆเลย มันแสดงถึงว่ามีคนกำลังยักยอกเงินของบริษัทไปจำนวนมากและทำมาหลายปีแล้วด้วยโดยที่ในตอนแรกเธอไม่ได้เคยเอะใจถึงเรื่องนี้จนกระทั่งวิศรุตเตือนเธอเมื่อวันก่อน ตอนนี้สิ่งที่หญิงสาวอยากรู้ก็คือภาคินจะตอบคำถามเรื่องนี้กับเธอยังไงในฐานะที่เขาเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงิน




   ศรารัตน์ไปหาภาคินที่ฝ่ายการเงิน แต่เลขาบอกว่าภาคินไม่อยู่เพราะวันชัยเพิ่งเรียกตัวไปพบเมื่อสักครู่นี้เอง ศรารัตน์พยักหน้ารับรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายไปยังห้องทำงานของรองประธานบริษัทซึ่งเป็นห้องทำงานของวันชัยแทน ดีเหมือนกันจะได้รู้ๆกันไปเลยว่าคุณอาวันชัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า? ศรารัตน์คิดอย่างหมายมาด เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองพ่อลูกนี้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่

   เมื่อมาถึงห้องทำงานของวันชัย มาลิกาที่เป็นเลขากลับไม่ได้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง ศรารัตน์เดาเอาว่าเธอคงพักไปรับประทานอาหารกลางวันเพราะนี่ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆพอดี มือบางตั้งใจจะเคาะประตูห้องทำงานเพื่อขออนุญาตเจ้าของห้อง แต่เสียงวันชัยกับภาคินที่คุยกันดังลอดออกมาทำให้หญิงสาวหยุดฟังด้วยความสนใจ

   “เมื่อเช้าลูกน้องที่แผนกผมมารายงานว่ายัยศรามาขอข้อมูลงบการเงินย้อนหลังไป บอกว่าจะเอาไปศึกษาน่ะครับ แล้วก็ยังมีพวกงบเบิกจ่ายค่าวัสดุของโครงการปัจจุบันด้วย” ภาคินรายงานผู้เป็นพ่อด้วยเสียงเครียด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดศรารัตน์จู่ๆถึงมาเรียกตรวจสอบงบย้อนหลังแบบนี้ แต่ที่แน่ๆคือถ้าหากอีกฝ่ายตรวจพบความผิดปกติของงบแล้วละก็ คนที่ซวยก็คงหนีไม่พ้นเขาแน่ๆ

   “ยัยศราไม่มีทางรู้หรอก ไหนแกชอบโม้ว่าลูกน้องแกตกแต่งงบเก่งไงล่ะ” น้ำเสียงวันชัยไม่ค่อยเดือดร้อน เด็กเมื่อวาน
ซืนอย่างศรารัตน์จะมาทำอะไรเขาได้ หรือถ้าขืนถูกจับได้ก็โบ้ยว่าเป็นความสะเพร่าของพนักงานบริษัทก็สิ้นเรื่อง

   “โธ่พ่อ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะครับ จริงอยู่ว่าตกแต่งงบได้เก่งแค่ไหนก็เถอะ แต่เงินที่หายไปจากบริษัทมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ ผมกลัวว่า...”

   “แกอย่ามาขี้กลัวไปหน่อยเลย อย่างมากยัยศราก็แค่สงสัยเท่านั้นแหล่ะ คงไม่กล้ามาทำอะไรเราหรอก ต่อไปนี้แกก็บอกให้ลูกน้องแกระวังๆหน่อยก็แล้วกัน” ภาคินยังไม่หายกังวล ดูท่าพ่อของเขาคงจะประเมินศรารัตน์ต่ำไปแล้ว ไม่ใช่เพราะ
ศรารัตน์เคยไปขุดคุ้ยเรื่องงบการเงินเมื่อปีที่แล้วจนทำให้ป่วนไปทั้งฝ่ายการเงินหรอกเหรอถึงทำให้วันชัยต้องสั่งกำจัดหลานสาวคนนี้โดยจัดฉากเพื่อให้กลายเป็นอุบัติเหตุ แต่ศรารัตน์ก็ดวงแข็งรอดมาได้

   บุคคลที่สามที่กำลังถูกพาดพิงตอนนี้ยืนกำมือแน่นอยู่หน้าห้อง ดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์เพราะข้อสันนิษฐานของเธอ ที่ว่าภาคินกับวันชัยร่วมกันยักยอกเงินบริษัทนั้นเป็นเรื่องจริง มือบางค่อยๆแง้มบานประตูหนาให้กว้างขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้แอบฟังอย่างสะดวก แต่ประตูเจ้ากรรมดันหนักเลยส่งเสียงครืดไปกับพื้นห้อง แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็ทำให้บุคคลในห้องรู้สึกได้ว่าบทสนทนาของพวกตนกำลังถูกคนอื่นได้ยิน

   “ใครน่ะมายืนลับๆล่อๆที่ประตู ฉันถามว่าใคร?” น้ำเสียงวันชัยเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขณะตะคอกถามเพื่อให้คนที่แอบ อยู่หลังประตูแสดงตัวออกมา ภาคินหันไปมองที่ประตูด้านหลังอย่างตกใจก่อนจะสาวเท้าไปหาคนที่มาแอบฟังบทสนทนาของตนกับผู้เป็นพ่ออย่างไม่ประสงค์ดี

   “ศรา” ภาคินอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาแอบฟังพวกตนก็คือศรารัตน์ หญิงสาวก้าวเท้าออกมาจากกรอบประตู วันชัยเองก็ถึงกับอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าศรารัตน์จะบังเอิญมาได้ยินเรื่องทั้งหมดแบบนี้

   “คุณอากับภาคินร่วมมือกันโกงบริษัทจริงๆด้วย” ศรารัตน์เค้นเสียงต่ำ หากไม่ได้ยินกับหูเธอก็คงไม่มีวันเชื่อว่าวันชัย
ผู้ซึ่งเป็นอาแท้ๆของเธอจะกล้ายักยอกเงินของบริษัท เสียแรงที่พ่อของเธอไว้ใจวันชัยมากเหลือเกิน

   คำพูดของศรารัตน์ทำให้วันชัยกับภาคินต้องลอบมองหน้ากัน นี่เธอคงจะได้ยินที่เขาสองคนพูดทุกอย่างแล้ว ภาคิน กลืนน้ำลายในขณะที่มือก็ชื้นเพราะเหงื่อซึมออกมา ตรงข้ามกับวันชัยที่ปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว

   “นี่หลานได้ยินทุกอย่างเลยเหรอ?” ศรารัตน์พยักหน้ารับพร้อมกับถามว่าทั้งคู่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกงเงินบริษัทจำนวนมหาศาลแบบนี้ ลำพังเงินเดือนผู้บริหารและการจ่ายปันผลต่อหุ้นยังไม่พอกินพอใช้อีกเหรอ? “อากับภาคินยอมรับว่าเราทั้งคู่ทำผิด แต่ตอนนั้นเราต้องการใช้เงินจริงๆเพราะว่าเราหมุนเงินกันไม่ทัน สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีนี้”
ศรารัตน์ยิ้มเหยียด ที่ว่าหมุนเงินไม่ทันก็คงเป็นเพราะสองพ่อลูกคู่นี้ชอบใช้จ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินไม่ต่างจากเบี้ยหอยไร้ค่า อีกทั้งยังเอาเงินไปถลุงที่บ่อนแถวปอยเปตไม่ก็ที่มาเก๊าอยู่บ่อยๆสิท่า

   “ศรา เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกวินเลยนะ ไม่อย่างนั้นไอ้วินมันเอาฉันกับพ่อตายแน่ โดยเฉพาะฉัน เธอก็รู้ว่ามันจงเกลียดจงชังฉันอย่างกับอะไรดี” ศรารัตน์หันไปมองหน้าญาตินอกสายเลือดอย่างภาคินด้วยสายตาว่างเปล่า ภาคินกล้าทำแบบนี้กับตระกูลทัดเทวาที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนโตได้อย่างไรกัน อำนาจของเงินนั้นไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ

   “ถ้ากลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกวิน แล้วนายกับพ่อเวลาคิดที่จะทำอะไรทำไมไม่คิดให้ดีก่อนบ้างล่ะ”

   “เอาเถอะ อายอมรับว่าครั้งนี้ตัวเองทำผิดไปจริงๆ มันเป็นเพียงแค่ความเลอะเลือนเห็นเงินบังตาเพียงชั่ววูบเท่านั้น อากับภาคินสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด หลานวางใจได้เลย” ได้ฟังอย่างนั้นศรารัตน์ก็แค่นเสียงในคอพร้อมถามว่าอากับภาคินยังหวังว่าจะมีครั้งต่อไปให้แก้ตัวอีกเหรอ? ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเล็กๆเลย แต่มันกระทบถึงสถานภาพและความมั่นคงของบริษัทด้วย

   “นี่หมายความว่าเธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้วินใช่ไหม?” ภาคินขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความโมโห

   “ถ้าหลานคิดจะเอาเรื่องนี้ไปบอกวิน หลานก็คิดดีๆก็แล้วกัน อากับภาคินทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่รู้เท่าไหร่เพื่อบริหารให้ทัดเทวาเจริญเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่พี่วรุตเสียไป จริงอยู่ว่าหลานเองก็มาคอยช่วยงานที่บริษัท แต่ทายาทที่จะต้องสืบทอดทัดเทวาอย่างวิศรุตกลับไม่เคยย่างเท้าเข้ามาบริหารงานที่นี่เลยซักครั้ง แล้วใครล่ะที่เป็นคนประคับประคองบริษัทมาตลอดหลายปี ใครล่ะที่เป็นคนคอยกอบกู้ภาพพจน์ของบริษัทต่อบรรดาผู้ถือหุ้น ใครล่ะที่คอยแก้ปัญหาให้กับบริษัทเมื่อเวลาที่ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ใช่อากับภาคินหรอกเหรอ อาไม่เถียงว่าวิศรุตมีสิทธิ์ชอบธรรมทุกอย่างในการเข้ามานั่งแท่นเป็นประธานบริษัท แต่การก้าวเข้ามาโดยเหยียบหัวไอ้แก่คนนี้เพื่อให้ตัวเองไปสู่จุดสูงสุดโดยที่ตัวเองไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย มันสมควรแล้วเหรอ? พออาและภาคินเผลอทำผิดพลาดเพราะความคิดแค่ชั่ววูบเดียว หลานก็คิดจะเฉดหัวอากับลูกให้พ้นจากบริษัทนี้ นี่น่ะเหรอสิ่งตอบแทนที่อากับลูกได้รับจากทายาทของทัดเทวา ลองคิดดูดีๆเถอะว่าทัดเทวามั่นคงมาได้ขนาดนี้ก็เพราะใคร?” วันชัยเน้นเสียงหนักในตอนท้าย ดวงตาเจิดจ้าที่ไม่ได้ฟ่าฟางไปตามกาลเวลากำลังจับจ้องที่ดวงหน้าของศรารัตน์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือดจากคำพูดของเขา

   “แต่คุณอาก็ไม่สมควรทำแบบนี้” ศรารัตน์เอ่ยเสียงแผ่ว ในใจก็เริ่มลังเลกับสิ่งที่วันชัยพูด

   “เรื่องนี้ก็สุดแท้แต่ใจหลานเถอะ” วันชัยหย่อนระเบิดลูกสุดท้ายลงไป ดูจากสีหน้าศรารัตน์แล้ว วันชัยก็คิดว่าคำพูดของเขาคงได้ผลไม่น้อยเลยทีเดียว และก็เป็นแบบที่เขาคิดไว้ ในที่สุดศรารัตน์ก็ยอมอ่อนข้อให้ หญิงสาวถอนหายใจแรงโดยบอกว่าจะยอมยกโทษให้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

   “ครั้งนี้ศราจะไม่บอกเรื่องนี้กับวิน และก็หวังว่าคราวหน้าคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกตามที่คุณอาสัญญาเอาไว้อีกนะคะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นศราก็คงทำเป็นนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

   “ขอบใจหลานมากนะศรา” วันชัยกับภาคินเอ่ยขอบคุณศรารัตน์ด้วยความโล่งอกที่ครั้งนี้หญิงสาวยอมไม่เอาเรื่อง ก่อนที่ศรารัตน์จะเดินออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเพราะไม่รู้ว่าที่ตนทำไปมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่

   “เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว” วันชัยพูดเสียงเหี้ยม นับวันศรารัตน์ก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องจัดการกับหลานสาวคนนี้ให้เด็ดขาดเสียที “แกรู้ใช่ไหมว่าจะต้องทำยังไง?” ประโยคนี้วันชัยหันไปสบตากับภาคินที่พยักหน้าเป็นเชิงรู้กัน

   “ศราน่ะสวยใช่เล่นเลย ผมขอหาความสุขจากยัยนั่นก่อนก็แล้วกันนะครับ จากนั้น...” ภาคินใช้นิ้วชี้ทำท่าปาดคอด้วยแววตาเลือดเย็น ในขณะที่วันชัยก็ไม่ได้คัดค้านอะไรถ้าหากภาคินจะทำแบบนั้น ถึงจะเป็นหลานสาวแท้ๆก็เถอะ แต่หากใครหน้าไหนมันมาขวางทางของเขาล่ะก็ เขาก็ไม่เอามันไว้เหมือนกัน





   วันนี้วิศรุตมาเยี่ยมอาการป่วยของอิงอรอีกครั้ง คราวนี้อิงอรรู้สึกตัวแล้วโดยอาการทั่วไปก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับแต่ตามร่างกายก็ยังมีแผลฟกช้ำอยู่หลายแห่งและต้องใส่เฝือกดามขาอยู่ วิศรุตมองคนป่วยด้วยความสงสารก่อนจะบอกให้อิงอร พักผ่อนให้มากๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาลเพราะบริษัทจะดูแลเรื่องนี้ให้เอง

   “ขอให้คุณอิงอรหายไวๆนะครับ จะได้กลับมาทำงานเป็นเลขาผมต่อ ไม่มีคุณอิงอรคอยช่วยแล้วเนี่ย ผมแทบจะเหมือนคนแขนขาดไปข้างหนึ่งเลย” อิงอรหัวเราะน้อยๆกับคำพูดเกินจริงของเจ้านายหนุ่ม

   “ตอนนี้ท่านประธานก็ได้เลขาใหม่มาทำงานแทนแล้วนี่คะ ดิฉันก็คงหมดความสำคัญแล้วล่ะ” อิงอรแซวกลับ เธอรู้มาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นว่าตอนนี้วิศรุตรับเลขาใหม่เข้ามาทำงานแล้วแถมยังสวยเสียด้วย ในขณะที่วิศรุตต้องลอบเบ้หน้าเมื่ออิงอรพูดถึงเลขาคนใหม่ของเขา

   “ผมก็รับมาทำงานแก้ขัดไปก่อนน่ะครับ ไว้คุณอิงอรหายดีเมื่อไหร่ก็กลับมาทำตำแหน่งเดิมได้เลย ผมจะย้ายเมริษาไปทำแผนกอื่นแทน” วิศรุตหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ยิ่งนับวันชายหนุ่มยิ่งไม่ค่อยอยากจะทนกับนิสัยสอดรู้สอดเห็นของเมริษา ไม่รู้ว่าเธอจะแอบสืบความลับของเขาไปบอกกับภาคินหรือว่าคุณอาวันชัยหรือเปล่า

   หลังจากพูดคุยกับคนป่วยได้ไม่นานนัก วิศรุตก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของอิงอร ชายหนุ่มตั้งใจว่าไหนๆก็มาที่โรงพยาบาลนี้แล้ว ก็ควรจะแวะไปหานภัทรเสียหน่อยตามประสาคนรู้จัก แต่ในใจลึกๆคืออยากจะเจอหน้าฝ่ายนั้นเพราะเขาคิดถึงนภัทรเหลือเกิน





   วิศรุตจำทางไปยังห้องของนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ได้เป็นอย่างดีเพราะเคยมาแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่ศรารัตน์ยังป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ไม่นานนักวิศรุตก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของฝ่ายนั้น ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉายแววลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเคาะประตู

   “เชิญครับ” เมื่อได้ยินเสียงนภัทรตอบกลับมา วิศรุตจึงเปิดประตูแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เสียงเดินของชายหนุ่มทำให้คุณหมอเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมาผู้มาใหม่ “นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นนายนั่นเอง”

   “ฉันมารบกวนนายหรือเปล่า?” นภัทรสั่นศีรษะก่อนจะเก็บเอกสารการตรวจคนไข้และฟิล์มเอ็กเรย์ที่ดูค้างอยู่เมื่อครู่กลับลงไปในซองตามเดิม

   “ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า?” นภัทรถามพร้อมจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างสงสัย ในขณะที่คนถูกถามยืนนิ่งเพราะคิดหาเหตุผลในการมาครั้งนี้ไม่ได้เช่นกัน จะให้บอกไปตรงๆได้อย่างไรล่ะ ว่าเขามาหาเพราะคิดถึงฝ่ายนั้น

   “ไม่มีอะไรหรอก พอดีฉันแวะมาเยี่ยมเลขาน่ะ ก็เลย เอ้อ แวะมาเยี่ยมนายด้วย” วิศรุตพูดอ้อมแอ้มไม่ยอมสบตาสีถ่านของนภัทร แต่จากคำพูดของวิศรุตก็ทำให้นภัทรเดาได้ไม่ยาก เขาไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย เขารู้ดีว่าวิศรุตรู้สึกอย่างไรกับเขา และตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา...กลัวว่าตัวเองจะเผลอใจไปกับฝ่ายนั้นเข้าจนได้



จบบทที่15


Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพให้แล้วเน้อ ขอบคุณมากๆเลยสำหรับการติดตามค่ะ เปิดมาเห็นคอมเม้นท์หลายๆคอมเม้นท์แล้วก็ชื่นใจ เป็นกำลังใจให้อย่างดีเลยแหล่ะ ขอบอกนิดนึงนะคะ ว่าหลังจากตอนที่15ไป เรื่องจะเริ่มเข้มขึ้นขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึงความรักก็ออกแนวต้มมาม่าให้กินด้วย (แต่ก็ดราม่าไม่เยอะนะ (หรือเปล่าหว่า?) ในความคิดของเรา 555) ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆจนจบด้วยค่ะ หลังๆรับประกันความเข้มขึ้นถึงใจแน่นอน ช่วงนี้มีฉากหมอกานต์ออกน้อยไปหน่อย หลังๆเดี๋ยวจัดเต็ม ^ ^

           ขอให้อ่านอย่างสนุกและมีความสุขกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ เจอกันตอนหน้าเด้อค่ะ :)

ปล. นิยายเรื่องนี้เรารวมเล่มขาย แต่เดี๋ยวเอามาโพสให้ได้อ่านกันค่ะ โพสจบแน่นอน ไม่ต้องกังวลนะคะ  :z1:

สามารถเข้าไปร่วมพูดคุยกันได้ทาง FB Fanpage เลยค่ะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยได้ตอบคอมเม้นท์เล้ยยย (แต่ก็อ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ แหะๆ)

http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 01-08-2012 11:59:24
หนูศราไม่น่ายอมเลย แล้วเมื่อไหร่หมอกานต์จะเปิดใจซะทีเนี่ย

วินกลับมาเฉดหัวสองพ่อลูกนั่นออกไปก่อนเร็ว
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 01-08-2012 17:27:26
สนุกมากลยค่ะ สงสารวินจังเลย รักเขาชอบเขามาตั้งหลายปีไม่สมหวังสักที

ขอให้สมหวังเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 01-08-2012 23:52:19
ขอตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงไว้ที่เด็กดีลงที่นี่น่ะค่ะ อยากอ่านค่ะ :z3: :z3: :-[
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 02-08-2012 01:40:12
เชือดเฉือนทั้งด้านธุรกิจ. บีบคั้นทั้งเรืองหัวใจ
พี่น้องคงไม่แตกคอกันนะ จับมือกันจัดการคนโกงก่อน
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 02-08-2012 02:55:05
ศราไม่น่าให้อภัยสองพ่อลูกมันเลย
ภัยจะมาถึงตัวอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่16
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 02-08-2012 11:21:44
บทที่  16


   หลังจากเลิกงาน ศรารัตน์ก็ขับรถมายังห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมือง หญิงสาวตั้งใจว่าจะแวะมาซื้อขนมและของบำรุงไปฝากนภัทรและคุณพ่อคุณแม่ของชายหนุ่ม หลังจากที่จัดการซื้อของที่ต้องการได้ครบถ้วนแล้ว ศรารัตน์ก็ถือถุงของพะรุงพะรังมายังรถที่จอดอยู่ที่ชั้นของลูกค้าวีไอพี ก่อนจะใช้กุญแจเปิดกระโปรงรถยุโรปคันหรูแล้วนำของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บที่ท้ายรถ จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูรถฝั่งด้านคนขับก็มีมือหนาจากทางด้านหลังใช้ผ้าโปะยาสลบมาอุดจมูกเธอไว้ ศรารัตน์ดิ้นรนไปมาอยู่สามสี่ครั้งก่อนจะนิ่งและทรุดฮวบลงไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่รอรับอยู่พอดี


   เมื่อจัดการให้ศรารัตน์สลบไปแล้ว ชายกำยำผิวคล้ำร่างใหญ่ก็อุ้มศรารัตน์ไปยังรถอีกคันหนึ่งที่จอดหลบมุมอยู่ใกล้ๆนั้น

   “เรียบร้อยแล้วครับนาย” สิ้นเสียงรายงานของลูกน้องร่างใหญ่ แบงค์พันจำนวนหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาจากรถทางด้านของคนขับซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปแล้วรีบขอบคุณผู้เป็นนายก่อนจะเดินหายลับไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

   ที่ชั้นจอดรถวีไอพีเป็นที่จอดรถส่วนตัวสำหรับลูกค้าคนพิเศษของห้าง ที่ชั้นนี้จึงไม่มีคนพลุกพล่าน สะดวกในการลงมือที่สุด และแน่นอนไม่มีใครเห็นว่าคุณหนูศรารัตน์ ทายาทคนดังของทัดเทวาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะก่อนที่จะวางยาสลบศรารัตน์ ภาคินได้สั่งให้ลูกน้องไปจัดการกับกล้องวงจรปิดของอาคารจอดรถชั้นนี้เรียบร้อยแล้ว ภาคินจุดยิ้มมุมปากขณะเหลียวหน้าไปมองร่างของศรารัตน์ที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า อีกไม่นานเขาจะทำให้เธอขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว ชายหนุ่มกระหยิ่มใจก่อนสตาร์ทรถแล้วขับออกไปจากตรงนั้น




   ภาคินขับรถด้วยความเร็วเพื่อเร่งอยากจะไปให้ถึงที่หมายไวๆ เขาชักจะอดใจไม่ไหวกับร่างเย้ายวนของศรารัตน์ที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างกายเขา ในใจภาคินตอนนี้จินตนาการไปถึงตอนที่ตนได้มีความสุขกับศรารัตน์กับสีหน้าของวิศรุตเมื่อได้รู้ว่าน้องสาวของตัวเองพลาดท่าให้กับคนอย่างเขาที่มันเคยดูถูกเหยียบย่ำสารพัด คิดมาถึงตอนนี้ ภาคินก็ได้แต่กัดฟันด้วยความแค้น วันนี้เขาจะขอเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกกับศรารัตน์ก่อนก็แล้วกัน

   ศรารัตน์เริ่มขยับตัวเล็กน้อยโดยที่ภาคินไม่ได้สังเกต ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆเปิดขึ้นด้วยอาการที่ยังสะลึมสะลืออยู่จากฤทธิ์ของยาสลบ หญิงสาวพยายามกระพริบตาถี่ๆแล้วสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อไล่ความมึนงงออกไปก่อนสติจะระลึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอโดนใครก็ไม่รู้เอาผ้าโป๊ะยาสลบมาอุดจมูกไว้ เมื่อเธอมารู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

   “แก...ไอ้ภาคิน...แก...” ศรารัตน์อุทานออกมาเสียงดังอย่างเสียขวัญเมื่อเห็นว่าภาคินคือคนที่จับตัวเธอมา
ฝ่ายภาคินก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าศรารัตน์รู้สึกตัวแล้วและกำลังใช้สองมือระดมทุบตีเขาไม่ยั้ง

   “โอ๊ยยย อย่านะศรา ฉันขับรถอยู่ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ภาคินใช้มือข้างหนึ่งรวบข้อมือศรารัตน์เอาไว้เมื่อหญิงสาวเปลี่ยนจากการทุบหน้าอกเขามาเป็นการยื้อแย่งพวงมาลัยรถยนต์แทน “บอกให้อยู่เฉยๆไงศรา ปล่อยสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ภาคิน
พยายามปัดมือของศรารัตน์ที่กำลังยื้อดึงพวงมาลัยอย่างสุดแรง ส่งผลให้ตอนนี้รถของเขากำลังส่ายไปมาอย่างน่าหวาดเสียวเพราะเขาขับด้วยความเร็วขนาดที่ว่าถ้ารถเกิดเสียหลักก็คงจะไม่เหลือซากให้เก็บกู้เลยทีเดียว

   “รถชนก็ดีน่ะสิ ฉันบอกให้จอดไง แกจะพาฉันไปไหน? ปล่อยฉันนะ โอ๊ย” ภาคินโมโหที่ศรารัตน์ไม่ยอมปล่อยมือจากพวงมาลัยจึงใช้สองมือผลักศรารัตน์อย่างแรงจนศีรษะของหญิงสาวไปชนกับกรอบประตูรถทำให้หัวแตกและเลือดสีสดไหลออกมาท่ามกลางความตกใจของศรารัตน์ที่ไม่คิดว่าภาคินจะกล้าทำเธอถึงขนาดนี้

   “อยู่นิ่งๆนะถ้าไม่อยากเจ็บตัวอีก จะพาไปไหนเดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหล่ะ รับรองเธอจะต้องสุขสมจนร้องครางออกมาแน่นอน” คำพูดลามกหยาบโลนทำให้ศรารัตน์นึกรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจับตัวเธอมาด้วยจุดประสงค์อะไร หญิงสาวจ้องภาคินอย่างขยะแขยง เธอไม่มีวันยอมให้คนตรงหน้าทำร้ายเธอแน่ ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือหยุดรถคันนี้ให้เร็วที่สุด

   ศรารัตน์โถมตัวไปทับภาคินอีกครั้งก่อนจะใช้สองมือหมุนพวงมาลัยไปมาเพราะต้องการให้รถเสียหลัก ภาคินพยายามปัดป้องการกระทำนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องละมือออกจากพวงมาลัยเพื่อมารวบตัวศรารัตน์ไว้ไม่ให้เธอเข้าใกล้เขาอีก ผลคือรถคันหรูกำลังส่ายไปมาจนมากินเลนรถคันอื่นๆ ทำให้เสียงบีบแตรดังลั่นไปทั่วทั้งถนน

   “แมร่ง ขับรถภาษาอะไรของมันวะ ขับแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ไปพบยมบาลหรอก” ภาณุสบถออกมาอย่างหัวเสียกับรถคันข้างหน้าที่ขับเข้ามากินเลนในช่องของเขา แถมตอนนี้รถยังส่ายเอียงไปมาอย่างน่ากลัวจนหวิดจะชนกับรถคันอื่นอยู่หลายครั้ง ภาณุจึงตัดสินใจหาจังหวะเร่งเครื่องแซงรถคันหน้าไป เพราะขืนขับตามหลังรถเจ้ากรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวังรถของเขาได้ไปจูบท้ายรถกับคันข้างหน้าอย่างแน่นอน

 ในขณะที่รถของชายหนุ่มตีคู่ไปกับรถเจ้าปัญหา ภาณุก็หันหน้าไปมองคนขับรถคันนั้นอย่างหัวเสียก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนขับคือภาคิน ทัดเทวา ญาติผู้พี่ของวิศรุตนั่นเอง แต่ความตกใจนี้ก็ไม่เท่ากับการได้เห็นศรารัตน์กำลังหมุนพวงมาลัยรถอย่างรุนแรงจนเป็นสาเหตุทำให้รถเริ่มเสียหลัก ท่าทางเหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงและดูภาคินจะอารมณ์เสียมากด้วย
ภายในรถของภาคิน ศรารัตน์กำลังทั้งผลักทั้งดันชายหนุ่มเจ้าของรถอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มหมดความอดทน จนในที่สุดเขาก็ใช้ฝ่ามือหนาฟาดเข้าไปที่แก้มเนียนของศรารัตน์อย่างรุนแรง ทำให้หญิงสาวต้องเบิกตากว้างด้วยความโกรธอีกรอบ ภาคินไม่มีสิทธิ์จะมาทำกับเธอแบบนี้

“แกทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ไอ้คนเลว...ไอ้ชั่ว...ไอ้...” ก่อนที่ศรารัตน์จะด่าจบ ภาคินก็สบโอกาสคว้าผ้าโปะยาสลบจากแผงคอนโซลหน้ารถมาอุดจมูกของหญิงสาวอีกครั้ง ทำให้ร่างบางเริ่มหมดฤทธิ์และสลบไปอีกรอบโดยที่เหตุการณ์ภายในรถทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของภาณุที่มองจ้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองพลางคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นศรารัตน์จะยื้อยุดฉุดกระชากทะเลาะกับภาคินเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดรถทำไมกัน และที่สำคัญทำไมภาคินต้องวางยาสลบศรารัตน์ด้วย
เมื่อสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆของตน ภาณุก็ไม่รีรอที่จะขับตามรถของภาคินไปทันที โดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้ฝ่ายนั้นรู้ตัวและไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมากดโทรออกไปหาวิศรุต





ภายในห้องทำงานของนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ในตอนนี้ก็เหมือนกับว่ามีบรรยากาศอึมครึมกำลังโอบอ้อมนภัทรกับวิศรุตอยู่จนแทบจะหายใจไม่ออก วิศรุตสบประสานสายตากับดวงตาเรียวยาวสีถ่านนิ่งเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่อีกฝ่ายก็เงียบเช่นกัน นภัทรไม่รู้ว่าในตอนนี้เขาสมควรพูดอะไรดี การมายืนจ้องหน้ากันแบบนี้มันช่างชวนให้อึดอัดสิ้นดี แต่แล้วในที่สุดวิศรุตก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

   “หมู่นี้นายยังเจอกับยัยศราอยู่หรือเปล่า?” คำถามของวิศรุตทำให้นภัทรต้องถอนหายใจพร้อมกับยอมรับ

   “คุณศราแวะมาหาฉันที่บ้านบ่อยๆ ฉันรู้ว่านายคงไม่พอใจ แต่ว่า...” เขารู้ว่าวิศรุตไม่ค่อยชอบใจนักที่น้องสาวของตนเที่ยวมาติดพันเขา แต่เขาเองก็ห้ามศรารัตน์ไม่ได้เช่นกัน ทั้งที่เขาคิดกับศรารัตน์เพียงแบบพี่น้องเท่านั้น

“ช่างเถอะ ฉันรู้ดีว่ายัยนั่นน่ะดื้อแค่ไหน แต่ที่ฉันอยากรู้มากกว่านั้นและนายก็ยังไม่ได้ตอบคำถามฉันก็คือ นายคิดยังไงกับน้องสาวของฉัน?” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบของอีกฝ่าย ถ้านภัทรตอบมาว่าชายหนุ่มมีใจให้กับศรารัตน์แล้วล่ะก็ เขาคงจะต้องแทบล้มทั้งยืนต่อหน้าคนๆนี้อย่างแน่นอน

   “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันคิดกับคุณศราแค่น้องสาวจริงๆ” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างให้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรของวิศรุต ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ซึ่งนภัทรก็ยืนยันในคำตอบตัวเองอย่างชัดเจน

   “ถ้านายไม่ได้คิดอะไรกับศรา แล้วฉันล่ะ นายคิดยังไงกับฉัน?” คำถามนี้ถูกวิศรุตยกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นภัทรก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปหลังจากฟังคำถามของอีกฝ่ายจบ ทำไมคนตรงหน้าชอบถามคำถามนี้กับเขาเหลือเกิน ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่เคยหาคำตอบดีๆให้อีกฝ่ายได้เลยสักครั้ง

   “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่เคยถามก็แล้วกัน” แค่ได้ยินว่านภัทรไม่ได้คิดอะไรกับศรารัตน์ เท่านี้วิศรุตก็ดีใจมากแล้ว “ถ้างั้นฉันกลับก่อนก็แล้วกัน ไม่กวนนายทำงานแล้วล่ะ” วิศรุตยิ้มให้ก่อนหมุนตัวตั้งใจจะเดินออกจากห้อง แต่มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นเสียก่อน วิศรุตมองชื่อคนโทรมาก็เห็นว่าเป็นภาณุจึงกดรับ

   “ว่าไงไอ้โอม? ห๊ะ อะไรนะ ยัยศราเนี่ยนะไปกับไอ้ภาคิน” ดวงตาสีน้ำตาลโศกตวัดมองไปที่นภัทรอย่างแปลกใจ ซึ่ง
คุณหมอหนุ่มก็มองมาที่เขาเช่นกัน “ได้ๆ เดี๋ยวแกขับตามรถมันไปก่อน เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากวางสายภาณุไปแล้ว วิศรุตก็รีบร้อนจะออกจากห้องแต่นภัทรมาคว้าข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน

   “เกิดอะไรขึ้นกับคุณศราเหรอ?” วิศรุตมองหน้านภัทรก่อนตัดสินใจบอก

   “ไอ้โอมบังเอิญเห็นว่าไอ้ภาคิน ญาติของฉันกำลังพาตัวยัยศราไปที่ไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญยัยศราโดนยาสลบ” พูดจบวิศรุตก็สะบัดแขนจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทันทีโดยมีนภัทรวิ่งตามไปด้วยอีกคน





   ภาคินขับรถพาศรารัตน์ที่สลบไม่ได้สติไปยังโกดังเปลี่ยวชานเมือง เมื่อไปถึงชายหนุ่มได้สั่งให้ลูกน้องดูต้นทางเอาไว้ เพราะตนตั้งใจจะหาความสุขกับศรารัตน์ก่อนจะฆ่าทิ้ง ภาคินอุ้มศรารัตน์เข้าไปยังด้านในของโกดังก่อนจะกำชับลูกน้องอีกครั้งไม่ให้เข้ามาขัดจังหวะความสุขของเขาอย่างเด็ดขาด

   ภาคินวางร่างของศรารัตน์ที่พื้นโกดังด้านหนึ่งก่อนจะพิศมองดวงหน้าสวยหวานในอ้อมแขนด้วยความหื่นกระหาย ชายหนุ่มฝันมานานแล้วว่าซักวันเขาจะได้เชยชมร่างกายที่สวยงามนี้ และไม่นึกว่าวันนี้จะมาถึงในที่สุด มือหนาค่อยๆเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางทีละเม็ด ก่อนไล่ลงต่ำมาปลดซิปกับตะขอกระโปรง ฝ่ามือหนาตะโบมไล้ไปยังเนินเนื้อผุดผ่องของ
ศรารัตน์อย่างหยาบโลน

   “อือ” เสียงครางเบาๆหลุดรอดจากริมฝีปากบางของหญิงสาวก่อนที่เจ้าของร่างจะสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมามอง “แก...อย่า...อย่านะ...ปล่อยฉัน...ปล่อย...” เมื่อเห็นภาคินกำลังปลดเสื้อผ้าตัวเองออกจากร่าง ศรารัตน์ก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมสติเท่าที่มีแล้วใช้สองมือรวบเสื้อผ้าที่เปิดอ้าอยู่ก่อนจะกระเสือกกระสนวิ่งหนีให้ห่างจากภาคินให้มากที่สุด

   “จะหนีไปไหนล่ะศรา? เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก” ภาคินตามไปรวบตัวศรารัตน์ให้มาอยู่ในอ้อมแขนตนอีกครั้ง เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไปได้แน่ เธอต้องเป็นของเขาเท่านั้น

   “ปล่อยฉันไอ้คนชั่ว ปล่อยสิ” เมื่อเห็นว่าภาวินไม่ปล่อยแถมยังออกแรงรัดเธอแน่นกว่าเก่า หญิงสาวก็เลยตัดสินใจกัดเข้าที่ท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงจนฝ่ายนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

   “ฤทธิ์เยอะนักนะนังนี่” ภาคินโกรธจัดที่โดนศรารัตน์กัด จึงชกเข้าที่ท้องน้อยของหญิงสาวเต็มแรงซึ่งก็ทำให้แม่สาวตัวดีหมดฤทธิ์อ่อนแรงอยู่ในวงแขนของภาคินตามเดิม

   “ไอ้ภาคิน แก...อย่าทำอะไรฉัน...” ความเจ็บปวดจากการถูกชกที่ท้องทำให้ศรารัตน์หมดสติไปอีกรอบ ภาคินมองอย่างสบใจ ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางความสุขเขาได้อีกแล้ว





   “พวกมันพาศราไปไหนแล้วไอ้โอม?” วิศรุตรีบถามขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อได้เจอกับเพื่อนสนิท ภาณุเลือกที่จะจอดรถเอาไว้ที่หน้าปากซอยเล็กๆแห่งหนึ่งที่ภาคินขับรถพาศรารัตน์เข้าไป ซอยนี้เป็นซอยขนาดเล็กไม่เหมาะที่เขาจะเอารถตามเข้าไปเพราะกลัวว่าภาคินจะรู้ตัวแล้วพาศรารัตน์หนีไปที่อื่นเสียก่อน

   “มันพายัยศราเข้าไปในซอยนี้แหล่ะ เมื่อกี้ฉันลองเข้าไปสำรวจก่อนแล้ว ในนั้นน่ะเปลี่ยวแล้วก็ลึกเหมือนกันนะเว้ย ฉันเห็นรถของนายภาคินจอดอยู่ที่โกดังร้างแถวๆท้ายซอยด้วย แถมหน้าโกดังยังมีลูกน้องมันยืนเฝ้าอยู่อีกต่างหาก” ภาณุรีบบอก ในขณะที่วิศรุตก็ฮึดฮัดอยากจะตามเข้าไปแทบจะทันที แต่ถูกนภัทรที่มาด้วยกันรั้งเอาไว้เสียก่อน

   “แล้วพวกลูกน้องมันมีเยอะหรือเปล่า?” คุณหมอหนุ่มถามขึ้นมา เขาไม่อยากให้วิศรุตบุ่มบ่ามเข้าไป เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายถ้าหากทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบที่ฝ่ายนั้นกำลังทำอยู่

   “ประมาณสี่ห้าคน ฉันคิดว่าถ้าเราสามคนช่วยกันก็น่าจะจัดการได้อย่างไม่ยากนัก” ภาณุบอกในขณะที่นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลากวิศรุตให้วิ่งตามเข้าไปในซอยด้วยกัน ภาณุมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย แล้วนภัทรมากับวิศรุตได้ยังไงกัน? แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอนนี้เรื่องสำคัญคือต้องหาทางเข้าไปในโกดังร้างนั้นให้ได้ จะได้รู้เสียทีว่าภาคินจับตัว ศรารัตน์มาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่






   ที่บริเวณหน้าประตูโกดังมีลูกน้องภาคินอยู่ประมาณสี่ถึงห้าคนอย่างที่ภาณุบอกเอาไว้จริงๆ ท่าทางของพวกนั้นดูลับๆล่อๆไม่น่าไว้ใจเลย ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งเป็นห่วงศรารัตน์มากกว่าเดิมก่อนที่ชายหนุ่มจะส่งสัญญาณให้ทั้งหมดแยกย้ายกันไปจัดการกับเหล่าสมุนของภาคินทันที

   วิศรุตจัดการกับสมุนคนแรกไปอย่างไม่ต้องเปลืองแรงมากนักเพราะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มเสยหมัดไปที่ใบหน้าของสมุนผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นอย่างเต็มแรงก่อนจะกระแทกเข่าซ้ำไปยังบริเวณลำตัวแล้วคว้าคอเสื้อสมุน ขึ้นมาถาม

   “ไอ้ภาคินเจ้านายแกมันพาศรารัตน์มาที่นี่ใช่ไหม?”

“คุณวิศรุต” สมุนคนนั้นมองหน้าวิศรุตอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าวิศรุตจะตามมาถึงที่นี่ได้
เมื่อสมุนไม่ยอมเปิดปากตอบคำถามตน วิศรุตจึงเริ่มมีอารมณ์เดือดมากขึ้นก่อนจะกระแทกเข่าอัดท้องน้อยของอีกฝ่ายไม่ยั้ง

“ตอบมาสิวะ ตอบมาว่าไอ้ภาคินมันพาศรารัตน์มาที่นี่ทำไม? ตอบมา” วิศรุตตวาดเสียงดัง แววตากร้าวอย่างน่ากลัว สมุนผู้นั้นมองวิศรุตอย่างตกใจก่อนที่ร่างของตนจะโงนเงนและล้มลง

‘พลั่กกกกก’

วิศรุตตัวเซไปอีกทางเมื่อถูกไม้หน้าสามตีเข้าที่สะบักไหล่ด้านหลังอย่างแรง ชายหนุ่มเหลียวหันไปมองผู้มาใหม่ซึ่งเป็นสมุนอีกคนของภาคินที่คงจะได้ยินเสียงการต่อสู้เมื่อครู่จึงได้มาช่วยเพื่อนตัวเอง สมุนคนแรกรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นก่อนจะอาศัยจังหวะที่วิศรุตโดนตีจนเซเข้าล็อคตัวชายหนุ่มเอาไว้ก่อนพยักหน้าบอกเพื่อนสมุนให้จัดการกับวิศรุตได้เลย ซึ่งสมุนอีกคนก็ไม่ลังเลที่จะหวดไม้หนาลงไปที่หน้าท้องของวิศรุตซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนจนชายหนุ่มจุกจนแทบพูดไม่ออก

วิศรุตรวบรวมแรงโดยอาศัยแรงยึดที่สมุนคนแรกรวบตัวเขาไว้ก่อนจะตวัดขาที่เป็นอิสระอยู่กระโดดถีบฝ่ายตรงข้ามจนไม้หลุดมือไปแล้วจึงสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ลูกสมุนของภาคินกลับไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆจนวิศรุตหมดความอดทนจึงพลิกตัวให้กลิ้งไปกับพื้นก่อนจะตวัดตัวคร่อมร่างอีกฝ่ายไว้แล้วรัวหมัดไม่ยั้ง

   ฝ่ายสมุนคนที่สองก็รีบฉวยเอาไม้ที่เมื่อครู่หลุดไปจากมือคืนมาอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะเล็งเป้าหมายไปยังศีรษะของวิศรุตซึ่งพอดีกับที่ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาได้ทัน ในจังหวะที่กำลังจะฟาดไม้ลงไปนั้นเอง สมุนผู้นั้นกลับถูกของแข็งฟาดที่ท้ายทอยจากทางด้านหลังอย่างแรงจนสลบเหมือดไปทันที

   “นภัทร” คนที่ถูกเรียกรีบโยนไม้ในมือทิ้งก่อนจะถลาเข้าไปช่วยประคองวิศรุตให้ยืนขึ้นมาอีกครั้ง

   “นายเป็นยังไงบ้าง” เป็นอีกหนึ่งครั้งที่วิศรุตเห็นสายตาเจือความห่วงใยของนภัทรที่มองมาทางเขา ชายหนุ่มเบ้หน้าด้วยความเจ็บที่ท้องน้อยแต่ลึกๆในใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมาให้เขาเห็นแบบนี้แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไรก็ตาม

   “ขอบใจนะที่ช่วย” นภัทรพยักหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร

   “ฉันจัดการพวกสมุนนั่นไปสองคนแล้วล่ะ นายเองก็จัดการไปแล้วสอง ถ้างั้นก็เหลืออีกแค่หนึ่ง”

   “หวังว่าไอ้โอมคงจะเอาอยู่นะ” วิศรุตบอกก่อนจะชวนให้นภัทรรีบเข้าไปในโกดังด้วยกันเพราะเขาไม่ไว้ใจภาคินเลย

   ‘ปังงง’

เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นทำลายความเงียบ ก่อนที่วิศรุตจะหันไปมองหน้านภัทรอย่างหวั่นวิตก

   “ไอ้โอม” วิศรุตอุทานเสียงแผ่ว ดวงตาสีน้ำตาลโศกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าภาณุไม่ได้พกปืน แสดงว่า
เสียงปืนที่ดังเมื่อครู่นี้ก็ต้องไม่ใช่ของภาณุแน่ วิศรุตกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพุ่งตัวไปยังทางต้นเสียงที่อยู่อีกด้านของโกดังทันที แต่นภัทรรีบฉวยข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

   “นายรีบเข้าไปช่วยคุณศราเถอะ เดี๋ยวฉันไปดูไอ้โอมเอง” วิศรุตลังเลชั่วครู่ก่อนตัดสินใจฝากให้นภัทรดูแลเพื่อนรักของตนด้วย หลังจากนั้นจึงกัดฟันข่มความปวดที่บริเวณท้องน้อยแล้วจึงรีบวิ่งไปทางประตูโกดัง






   ภาคินละมือออกจากการปลดตะขอเสื้อชั้นในของศรารัตน์หลังจากที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ชายหนุ่มมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันทีก่อนมือหนาจะรีบติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างลวกๆ แล้วตั้งใจจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆจึงมีเสียงปืนดังขึ้นมาได้ แต่จังหวะที่ภาคินกำลังเอื้อมมือหมายจะผลักประตูให้เปิด ประตูหนาหนักของโกดังก็ถูกกระแทกให้เปิดออกจากทางด้านนอกเสียก่อน

   “วิศรุต” ภาคินเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร ในขณะที่วิศรุตก็มองสภาพเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของอีกฝ่ายด้วยความตกใจก่อนดวงตาสีน้ำตาลโศกจะไล่มองไปยังข้างในโกดังก่อนจะสะดุดกับร่างเกือบเปลือยของศรารัตน์ที่นอนนิ่งไม่ได้สติ อยู่ที่พื้นอีกด้านหนึ่งไม่ไกลนัก

“ไอ้ภาคิน ไอ้ชาติชั่ว มึง...” สภาพของศรารัตน์ที่วิศรุตได้เห็น ทำให้ชายหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไอ้ชั่วอย่างภาคินจะต้องวางแผนหลอกพาน้องสาวเขามาย่ำยีอย่างแน่นอน วิศรุตจ้องภาคินที่กำลังยืนตัวสั่น
ด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนจะใช้สองมือกระชากคอเสื้อของภาคินเข้าหาตัวแล้วตะคอกถามเสียงดังด้วยความโกรธที่
กำลังโหมกระพือ

“มึงทำอย่างนี้กับศราได้ยังไงวะ? ไอ้สารเลว มึง...อย่าอยู่เลย” กำปั้นหนักๆถูกส่งไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของภาคิน ก่อนวิศรุตจะตามซ้ำด้วยหมัดจำนวนไม่ยั้งที่ระดมอัดจนใบหน้าอีกฝ่ายเริ่มช้ำและมีเลือดสดๆไหลรินออกมาราวกับน้ำทะลัก

ภาคินหน้าสะบัดไปตามแรงมือของวิศรุตก่อนจะแข็งใจใช้ท่อนแขนรับกำปั้นที่สวนมาของวิศรุตได้พอดี แล้วจึงเงื้อขาถีบเข้าที่ท้องน้อยจนวิศรุตเสียหลักล้มไปอีกทาง แล้วภาคินจึงตามเข้ามาหมายจะอัดฝ่ายตรงข้ามให้เละเพื่อเป็นการเอาคืนที่วิศรุตทำกับตน

“แส่ไม่เข้าเรื่องนักนะมึงไอ้วิน” ภาคินเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมบนตัวของวิศรุต ก่อนจะใช้สองมือขยุ้มผมของฝ่ายนั้นแล้วจับศีรษะของวิศรุตโขกกับพื้นซีเมนต์ของโกดังอย่างแรงจนชายหนุ่มหัวแตกและมึนงงจากการที่ศีรษะถูกกระแทกหลายครั้ง

“อยากแส่เองนะมึง จะมาหาว่ากูใจร้ายไม่ได้นะ” ภาคินยิ้มเหี้ยมก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากการจับศีรษะของวิศรุตโขกพื้นมาเป็นการบีบคออีกฝ่ายแทน “กูทนมึงมานานแล้วเว้ย ถึงเวลาที่กูจะเอาคืนบ้างล่ะ” ภาคินบีบคอวิศรุตจนอีกฝ่ายหน้าเขียวแทบขาดอากาศหายใจ วิศรุตพยายามแกะมือที่บีบคอตนเองออกอย่างสุดแรงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะตอนนี้ชายหนุ่มเจ็บจากการโดนอีกฝ่ายชกเข้าที่แผลเก่าที่ท้องน้อย ประกอบกับภาคินกำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา

ภาคินตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ฆ่าวิศรุตไปพร้อมๆกับศรารัตน์เลย ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจแค่จะจัดการกับศรารัตน์แค่คนเดียวก่อน แต่นึกไม่ถึงว่าวิศรุตจะด่วนเข้ามาหาที่ตายเร็วเช่นนี้  ภาคินมองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่เริ่มเหยเกเพราะขาดอากาศหายใจด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมก่อนลงมือบีบคอวิศรุตให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

วิศรุตควานมือไปรอบๆตัวอย่างอ่อนแรง ในขณะที่พยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากอุ้งมือของภาคิน ทันใดนั้นมือหนาของวิศรุตก็ไปสัมผัสเข้ากลับอิฐมอญก้อนเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นโกดัง ชายหนุ่มฉวยอิฐก้อนนั้นมากำแน่นแล้วฟาดไปยังศีรษะของภาคินเต็มแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องคลายมือที่กำลังบีบคอเขาทันที

วิศรุตพลิกตัวหอบหายใจแรงแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดชดเชยกับตอนที่ถูกบีบคอ ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปมองภาคินที่กำลังกุมศีรษะโชกเลือดของตนด้วยความแค้นแล้วจึงโถมถลาเข้าไปจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือ

คราวนี้วิศรุตเป็นฝ่ายได้เปรียบและกลายเป็นฝ่ายที่ได้ขึ้นคร่อมเหนือร่างของภาคิน ชายหนุ่มใช้สองมือขยุ้มผมภาคินแล้วจับโขกกับพื้นโกดังแบบที่อีกฝ่ายทำกับเขา เมื่อเห็นว่ายังไม่สาแก่ใจจึงกระชากภาคินให้ลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงฝ่ายนั้นไปยังอีกฝั่งหนึ่งของโกดังใกล้ๆกับที่ศรารัตน์นอนอยู่

“มึงแหกตาดูคนที่มึงกำลังจะทำร้ายสิวะได้ชาติชั่ว คนอย่างมึงไม่น่าจะเกิดมาได้ใช้นามสกุลทัดเทวาเลยไอ้ภาคิน มึงแน่มากที่กล้าทำกับน้องสาวกูแบบนี้” ไม่รอให้พูดจบ วิศรุตก็เสยกำปั้นไปที่ใบหน้าที่เริ่มยับเยินของภาคินอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวกับอารมณ์โกรธจัดที่ไม่เคยได้เห็นจากวิศรุตมาก่อนในชีวิต วิศรุตคงจะซัดภาคินจนอีกฝ่ายช้ำในตายถ้าหากนภัทรไม่รีบวิ่งเข้ามาห้ามเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นภาคินก็สะบักสะบอมไปทั้งตัว

“พอเถอะ” นภัทรรีบเข้ามารั้งร่างของวิศรุตไม่ให้เข้าไปทำร้ายภาคินได้อีก แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่สงบลง

“ปล่อยฉัน วันนี้ฉันจะต้องเอาเลือดหัวไอ้สารเลวนี่มาล้างตีนยัยศราให้ได้” วิศรุตพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของนภัทร แต่คุณหมอหนุ่มพูดเสียงเข้ม

“ฆ่ามันให้ตายก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก สงบสติอารมณ์แล้วใจเย็นๆหน่อยสิ” ดวงตาสีถ่านที่จ้องมายังเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งทำให้วิศรุตเริ่มสงบขึ้นมาบ้าง ก่อนจะถามหาภาณุเพราะไม่เห็นว่าภาณุเข้ามาด้วยกันกับนภัทร

“ไอ้โอมล่ะ ไอ้โอมไปไหน?”

“ไอ้โอมถูกยิง” วิศรุตตัวชาไปหลังจากรู้ว่าภาณุถูกยิง ที่แท้เสียงปืนนัดนั้นเป็นเสียงปืนที่ยิงภาณุเพื่อนของเขานั่นเอง “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้โอมมันดวงแข็ง กระสุนแค่เฉี่ยวถากๆเท่านั้นเอง ตอนนี้ฉันปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แล้ว” นภัทรรีบชิงพูดขึ้นก่อนเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจ ในขณะที่วิศรุตก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าภาณุไม่เป็นอะไรมากก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบวิ่งปราดเข้าไปหาศรารัตน์ที่สลบอยู่อีกด้านด้วยความห่วงใย

“ศราๆๆ ตื่นสิยัยศรา ศรา...”

“คงโดนยาสลบน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพอยาหมดฤทธิ์คุณศราก็ฟื้นเอง ไม่เป็นอันตรายหรอก” นภัทรพูดหลังจากที่ตามวิศรุตเข้ามาดูอาการของศรารัตน์

   วิศรุตจ้องไปยังภาคินที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นด้วยความแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน น้องสาวของเขาก็คงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ เมื่อยิ่งคิดยิ่งแค้น วิศรุตจึงตั้งใจจะเข้าไปจัดการกับภาคินอีกรอบ แต่นภัทรรู้ทันความคิดที่ถูกสะท้อนออกมาจากสายตาคู่นั้น คุณหมอหนุ่มจึงรั้งวิศรุตไว้อีกหน

   “ใจคอนายคิดจะฆ่าหมอนั่นให้ตายไปเลยหรือยังไง?”

   “ใช่ น้องสาวนายไม่โดนแบบนี้ นายก็ไม่รู้สึกหรอก” วิศรุตตวัดเสียงห้วนก่อนจะรู้สึกว่าตนพูดแรงไปจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย แต่นภัทรกลับไม่ถือเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายอย่างวิศรุตดี ดูภายนอกวิศรุตกับศรารัตน์ก็เหมือนคู่กัดที่ชอบทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เนื้อแท้แล้ววิศรุตกลับรักและเป็นห่วงศรารัตน์มากเหลือเกิน ถ้าเขาไม่ได้มาเห็นเรื่องราวในวันนี้ด้วยตัวเอง เขาต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าวิศรุต ทัดเทวาจะบ้าดีเดือดสู้จนเลือดเข้าตาเพื่อปกป้องน้องสาวของตัวเองได้มากขนาดนี้

   “ฉันว่านายรีบพาคุณศราออกไปจากที่นี่ดีกว่า อีกอย่างนายจะได้ไปทำแผลด้วย” นภัทรบอกเมื่อได้ทันสังเกตเห็นว่าวิศรุตก็มีสภาพยับเยินไม่ค่อยต่างจากภาคินเท่าใดนัก ซึ่งคราวนี้วิศรุตก็ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด ชายหนุ่มรีบจัดการเสื้อผ้าของ
ศรารัตน์ให้เรียบร้อยตามเดิมก่อนใช้สองมือช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากพื้นก่อนจะอุ้มร่างที่ยังไม่ได้สติเดินไปทางประตูโกดังที่เปิดอ้าอยู่ จังหวะที่เดินผ่านร่างภาคินที่นอนหมอบอยู่นั้น วิศรุตก็เค้นเสียงต่ำกับอีกฝ่าย

   “นี่มันยังไม่สาสมกับที่มึงทำร้ายน้องสาวกู และอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีกนะ ไม่อย่างนั้นกูเอามึงตายแน่ไอ้สารเลวภาคิน”

   วิศรุตอุ้มศรารัตน์ออกไปพร้อมกับนภัทรที่ตามไปติดๆ ทิ้งให้ภาคินนอนเจ็บใจและกัดฟันด้วยความแค้นที่ทำอะไรวิศรุตไม่ได้เสียที

   “อย่าให้ถึงทีของกูบ้างก็แล้วกัน กูจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้วิน”



จบบทที่ 16

ปล. วินก็บู้เก่งนะเนี่ย เหอๆๆ  :z6:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่17
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 02-08-2012 11:24:26
บทที่ 17

   
เมื่อศรารัตน์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวก็มานอนอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวของเธอที่บ้านทัดเทวาเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเหลียวมองไปด้านข้างเตียงก็พบกับนภัทรที่กำลังจดจ่ออยู่กับการจัดของในกระเป๋ายาของตนและถัดไปไม่ไกลก็คือวิศรุตที่กำลังยืนพิงกรอบหน้าต่างบานใหญ่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “อ้าวคุณศรา ฟื้นแล้วเหรอครับ?” นภัทรหันมาก็พบว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วและกำลังพยายามยันตัวเองขึ้นมาจากเตียงนอน แต่หญิงสาวก็ต้องเบ้หน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณท้องน้อย “ค่อยๆนะครับ” คุณหมอหนุ่มช่วยพยุงคนป่วยให้ลุกขึ้นมานั่งได้ก่อนจะใช้หมอนยันรองหลังเพื่อกันกระแทกให้กับศรารัตน์

   “เกิดอะไรขึ้นกับฉันคะ? แล้วนี่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองถูกวางยาสลบที่ลานจอดรถของห้างก่อนจะถูกภาคินพาตัวขึ้นรถเพื่อจับเธอไปข่มขืน คิดมาถึงตรงนี้ศรารัตน์ก็หน้าซีดเผือดก่อนจะสบตากับดวงตาสีถ่านเข้มที่มองตอบกลับมาอย่างเห็นใจ

   “เธอถูกไอ้ภาคินหลอกพาไปข่มขืนน่ะสิ” วิศรุตเป็นคนตอบคำถามนั้นเอง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าเตียงของศรารัตน์ก่อนเอ่ยถามผู้เป็นน้องสาวว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แล้วภาคินจับตัวเธอไปได้อย่างไร?

   “ฉันโดนใครก็ไม่รู้โปะยาสลบที่ลานจอดรถของห้างหลังจากที่ซื้อของเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน จากนั้นฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ในรถของภาคินแล้ว ฉันพยายามทำให้รถเสียหลักเพื่อหยุดรถ แต่ฉันก็โดนมันเอาผ้าโปะยาสลบอุดจมูกอีกรอบ จากนั้นมารู้ตัวอีกทีก็อยู่ในโกดังร้างนั่นแล้ว มัน...มัน...มันทำร้ายฉัน” พูดจบศรารัตน์ก็น้ำตาไหลพรากเมื่อนึกถึงสิ่งที่ภาคินทำกับเธอ หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะต้องมาเผชิญกับเรื่องร้ายๆแบบนี้โดยคนที่ทำร้ายเธอคือญาติผู้พี่ของเธอเอง

   “ใจเย็นๆนะครับคุณศรา ไม่ต้องกลัวนะครับ ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” นภัทรบีบมือศรารัตน์เบาๆอย่างต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นไปสู่อีกฝ่าย หญิงสาวคงจะเสียขวัญจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากซึ่งเขาเองก็เห็นใจเธอเหลือเกินเพราะเรื่องที่เธอได้เจอมันคือฝันร้ายสำหรับผู้หญิงทุกคน

   ศรารัตน์มองมือหนาที่กำลังกุมฝ่ามือของเธอไว้อย่างขอบคุณก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลลงมาอีกรอบอย่างกลั้นไม่อยู่  ยิ่งได้เห็นนภัทรแบบนี้เธอยิ่งกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ที่เธอตกเป็นของไอ้คนสารเลวอย่างภาคินแล้ว ร่างบางสะอื้นไห้ออกมาอย่างหนักจนตัวโยนทำให้นภัทรต้องรั้งร่างบางเข้ามากอดปลอบด้วยความเห็นใจ

   ภาพตรงหน้าทำให้วิศรุตต้องเบือนหน้าไปอีกทาง ถึงแม้จะเข้าใจว่านภัทรคงไม่ได้คิดอะไรที่ทำแบบนั้น แต่ศรารัตน์ล่ะ ชายหนุ่มคิดว่าน้องสาวของเขาคงต้องหวั่นไหวกับสัมผัสแบบนี้แน่ ซึ่งวิศรุตก็มั่นใจว่าตัวเองเดาถูกเมื่อสังเกตเห็นสองแก้มของ ศรารัตน์เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ

   “หยุดร้องไห้ได้แล้วยัยศรา ไอ้ภาคินยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอหรอก” วิศรุตพูดเสียงแผ่วในขณะที่ศรารัตน์หยุดร้องไห้ทันที หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งก่อนถามย้ำกับวิศรุตอีกรอบเพื่อความแน่ใจ อย่างน้อยวันนี้เธอก็ยังไม่ถึงกับโชคร้ายไป
เสียหมด ศรารัตน์คิดในใจ

   “จริงครับ ที่พี่ชายคุณพูดเป็นเรื่องจริง โชคดีที่ช่วยคุณศราออกมาจากโกดังได้ทัน” นภัทรยืนยันแทนวิศรุต ในขณะที่
ศรารัตน์เริ่มเอะใจ

   “นี่คุณหมอเป็นคนไปช่วยฉันที่โกดังร้างนั่นเหรอคะ” เมื่อเจอกับสายตาคาดคั้นของศรารัตน์ก็ทำให้นภัทรอึกอัก คุณหมอหนุ่มหันไปมองวิศรุตโดยตั้งใจจะบอกว่าวิศรุตเป็นคนที่เข้าไปช่วยเธอให้พ้นเงื้อมมือของภาคินต่างหาก ไม่ใช่เขา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับชิงขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “ใช่แล้วล่ะ คุณหมอนภัทรเป็นคนไปช่วยเธอออกมาแถมยังอัดไอ้ภาคินซะเละเลย” ศรารัตน์หันไปมองนภัทรอีกครั้งด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขอบคุณและความประทับใจในตัวคุณหมอหนุ่มที่เริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ถูกอ้างชื่อกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนพลางส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยคำถามไปทางวิศรุต เขาไม่เข้าใจเลยว่าวิศรุตทำแบบนี้ทำไมกัน ทำไมต้องบอกศรารัตน์ไปอย่างนั้นด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ช่วยศรารัตน์จากภาคินก็คือวิศรุตเอง

   “ว่าแต่หน้านายทำไมเยินอย่างนั้นล่ะวิน ไปโดนอะไรมา?” ศรารัตน์จ้องไปยังใบหน้าของวิศรุตอย่างสงสัย เมื่อเพิ่งมีโอกาสสังเกตเห็นว่าใบหน้าของวิศรุตมีรอยช้ำและบวมอยู่หลายแห่ง อีกทั้งหัวก็ยังแตกอีกด้วย

   “ช่างเถอะ พอดีไปฟัดกับพวกลูกน้องของไอ้ภาคินมาน่ะ ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ตอนนี้เธอน่ะนอนพักผ่อนไปก่อนเถอะ” วิศรุตหันหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นรอยแผลฟกช้ำบนใบหน้าเขาไปมากกว่านี้

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะจัดยาให้แล้วกันนะครับ คุณศราจะได้พักผ่อนเสียที” นภัทรตัดบทก่อนจะประคองให้ศรารัตน์นอนลงตามเดิมแล้วคุณหมอหนุ่มก็หันมาจัดยาให้กับศรารัตน์โดยไม่ลืมที่จะจ่ายยานอนหลับให้ด้วย เขารู้ว่าวันนี้เธอทั้งเหนื่อยและเพลียมาก หญิงสาวต้องการการพักผ่อนอย่างจริงจังเสียที เมื่อจัดยาเสร็จจึงยื่นให้กับศรารัตน์ที่รับไปเข้าปากอย่างว่าง่าย

   นภัทรดูแลให้ศรารัตน์ทานยาเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักหญิงสาวก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา เมื่อแน่ใจว่าร่างบนเตียงหลับสนิท นภัทรจึงหันไปหาวิศรุตที่กำลังยืนจ้องมาทางตนอยู่

   “แล้วไอ้โอมล่ะ กลับไปแล้วเหรอ?” นภัทรพยักหน้า หลังจากที่เขาทำแผลที่โดนกระสุนถากให้กับภาณุเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับก่อนเพราะยังไม่อยากอยู่รบกวนศรารัตน์ อีกทั้งที่บ้านก็โทรมาตามเห็นบอกว่ามีเรื่องด่วน ภาณุก็เลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านไปก่อนโดยที่ไม่ทันได้บอกกับวิศรุตทั้งๆที่ยังแขนเจ็บอยู่

   “ทำไมนายบอกคุณศราไปอย่างนั้นล่ะ? ทำไมต้องบอกว่าคนที่เข้าไปช่วยเธอคือฉัน ทั้งๆที่คนๆนั้นก็คือนาย” วิศรุตถอนหายใจบางก่อนเอ่ยเสียงเบา

   “ยัยศราคงจะดีใจมากกว่าถ้าคนที่เป็นฮีโร่ไปช่วยเธอก็คือนาย ไม่ใช่พี่ชายอย่างฉัน” นภัทรมองวิศรุตด้วยความรู้สึกแปลกๆ เป็นอีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจเลยว่าวิศรุตกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

   “แต่ฉันว่าตรงกันข้าม ถ้าคุณศรารู้ว่านายเป็นคนช่วยเธอล่ะก็เธอคงต้องดีใจมากกว่านี้เสียอีก อย่าลืมสิว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของนายนะ”

   “ความสัมพันธ์พี่น้องของเรามันแปลกๆไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขาหรอก บอกศราไปแบบนั้นน่ะดีแล้ว” ในสายตาของ
ศรารัตน์ ชายหนุ่มคงเป็นพี่ชายที่แย่มากจนกระทั่งปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเองสินะ วิศรุตมองไปยังศรารัตน์อีกครั้งด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความน้อยใจลึกๆ






   “คุณหนูใหญ่ครับ คุณวันชัยกับคุณภาคินมาขอพบน่ะครับ” เสียงเรียกของลุงมั่นทำให้วิศรุตที่กำลังนั่งอ่านรายงานผลประกอบการของบริษัททัดเทวาอยู่ถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อสองพ่อลูกคู่นี้ นี่ไอ้ภาคินยังมีหน้ามาที่บ้านนี้อีกเหรอ ลำพังเขาไม่เอาเรื่องมันก็ดีแค่ไหนแล้ว วิศรุตคิดในใจพลางกัดกรามแน่นด้วยความที่ยังแค้นอีกฝ่ายไม่หาย

   “แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงที่ถามถึงแขกทั้งสองคนดูห้วนกระด้าง

   “ผมให้รออยู่ที่ห้องรับแขกครับ” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะบอกให้ลุงมั่นไปตามศรารัตน์ลงมาพบเขาที่ห้องรับแขกด้วย




   “แกยังกล้ามาที่นี่อีกเหรอภาคิน?” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านถามเสียงเย็นทันทีที่เห็นหน้าคู่กรณี ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายกร้าวอย่างเอาเรื่อง

   “ใจเย็นๆก่อนนะวิน ที่อากับภาคินมาวันนี้ก็เพื่อตั้งใจจะมาขอโทษวินกับศราใน เอ่อ...เรื่องที่เกิดขึ้น” วิศรุตหันหน้าหนีเพราะไม่อยากฟัง “ให้โอกาสภาคินได้อธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเถอะนะวิน”

   “อาอยากจะให้ผมฟังคำแก้ตัวอะไรอีกงั้นเหรอ? ลูกชายตัวดีของอามันทำกับยัยศราถึงขนาดนี้ อายังจะให้ผมอภัยและยกโทษให้มันเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอครับ?” วิศรุตสูดลมหายใจแรงอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ก่อนจะหันไปมองภาคินอย่างเอาเรื่อง

“หน้ายังบวมช้ำอยู่เลยนี่ สงสัยฉันคงจะออกแรงหนักไปหน่อย”

   ภาคินมองตอบสายตาคู่นั้นอย่างไม่กลัว ก่อนที่แววตาท้าทายเมื่อครู่จะเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยแววตาสำนึกผิดแทน “ฉันขอโทษนะวิน คือวันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นกับศราจริงๆ คือว่าฉัน...”

   “เก็บคำพูดของนายไว้ไปแก้ตัวกับศราเถอะ นั่นไงยัยศรามาแล้ว” ภาคินหันไปมองศรารัตน์ที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องรับแขกช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่ถอดแบบมาจากพี่ชายฉายแววเย็นชาเมื่อสบตากับภาคิน

   “ศรา เรื่องเมื่อวานฉันอธิบายได้นะ คือว่าฉัน...”

   “พอที ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่นายทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นไปเพราะอะไร แต่ฉันอยากจะรู้ว่านายกล้าทำได้ยังไงต่าง
หาก” ศรารัตน์เน้นเสียงประโยคสุดท้ายด้วยสีหน้าเย็นชา 

   “ที่ฉันทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นไปก็เพราะฉันรักเธอมากนะ รักจนอยากให้เธอเป็นของฉันเพียงคนเดียว”

   “นายก็เลยใช้แผนชั่วๆจับตัวฉันเพื่อจะหลอกพาไปข่มขืนเนี่ยนะ นี่น่ะเหรอที่นายบอกว่ารักฉัน? หึ นายรักฉันหรือว่ารักสมบัติของฉันกันแน่ อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไรภาคิน” วิศรุตเหลือบมองภาคินที่หน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอย่างสมเพช ใจจริงเขาต้องการจะจับภาคินส่งตำรวจให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่ติดที่ศรารัตน์ไม่ยอมเพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียงของทัดเทวา หญิงสาวไม่อยากให้เรื่องอื้อฉาวออกไปเพราะเกรงว่าเธอเองนั่นแหล่ะที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

   “อย่างนี้มันน่าจะจับส่งตำรวจเสียให้เข็ด” วิศรุตเอ่ยเบาๆ แต่ในห้องรับแขกที่เงียบอยู่แล้ว ดังนั้นคำพูดของวิศรุตทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจนโดยเฉพาะภาคินที่ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นใจ เพราะหากวิศรุตและศรารัตน์ทำอย่างที่พูดจริงๆ
เขาคงหมดอนาคตและชื่อเสียงคงดังฉาวโฉ่ไปทั่ววงการไฮโซแน่ เขารู้จักนิสัยของวิศรุตดี ชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อเห็นว่ามีโอกาสจะกำจัดคู่แค้นอย่างเขาแล้วละก็ หมอนั่นกัดไม่ปล่อยแน่

   “อาว่าอย่าให้เรื่องนี้ถึงตำรวจเลยนะ มันจะเสียชื่อทัดเทวาเปล่าๆ อาผิดเองที่เลี้ยงลูกไม่ดี แต่อาขอรับรองว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ให้อภัยภาคินสักครั้งเถอะนะวิน ศรา” วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนจะเบือนหน้าไปยังน้องสาวของเขาที่ตกเป็นผู้เสียหายจากเรื่องนี้ทำนองว่าศรารัตน์จะเอายังไง จะเปลี่ยนใจให้เขาแจ้งความเพื่อเอาเรื่องกับภาคินไหม?

   “เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณอารับรองอย่างนั้น คราวนี้ศราจะไม่เอาเรื่องก็ได้ เห็นแก่ภาคินก็ใช้นามสกุลทัดเทวาร่วมกับเรา ถ้าเรื่องนี้หลุดรอดออกไปจะกลายเป็นเรื่องที่คนนินทาสนุกปากกันมากกว่า”

   “ขอบใจมากนะศรา ขอบใจเธอจริงๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นอีกแล้ว” มือหนาของภาคินเอื้อมมาคว้ามือของศรารัตน์ไปกุมไว้ แต่วิศรุตก็ดึงมือน้องสาวของตนให้หลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแทบจะทันทีพร้อมพูดใส่หน้า

   “ที่ศราให้อภัยนายครั้งนี้ก็เพราะว่าสงสาร ถึงนายจะไม่ใช่สายเลือดแท้ๆของทัดเทวา แต่ยังไงเราก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และฉันจะขอเตือนเอาไว้นะ ถ้าหากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองหรือถ้านายมาทำร้ายน้องสาวฉันอีกละก็ ฉันสัญญาว่าแม้แต่นามสกุลทัดเทวา นายก็จะไม่มีสิทธิได้ใช้อีกต่อไป” วิศรุตสบตาภาคินด้วยความเกลียดชังน้ำหน้าอีกฝ่าย ซึ่งภาคินก็
มองตอบกลับมาด้วยแววตาที่สื่อความหมายแบบเดียวกัน






   “โธ่เว้ย เจ็บใจไอ้วินจริงๆ ทำมาเป็นวางก้ามว่าเป็นทายาทที่แท้จริงของทัดเทวาอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าให้ถึงที่ผมบ้างก็แล้วกัน ผมจะเอาคืนมันให้เจ็บแสบจนสะกดคำว่าทัดเทวาไม่เป็นเลยทีเดียว” ภาคินกระแทกตัวนั่งบนโซฟาเมื่อกลับมาถึงที่บ้านของตนแล้ว อารมณ์ขุ่นมัวที่ค้างจากบ้านทัดเทวายังไม่จางหายไปง่ายๆ ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นพ่อ “แล้วพ่อจะให้ผมทำไงต่อไปครับ?”

   “แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ก็เพราะความไม่ได้เรื่องของแกแล้วก็ลูกน้องโง่ๆของแกนั่นแหล่ะ ทำงานไม่ได้เรื่องเลยซักนิด และคราวนี้ถือว่าแกโชคดีมากนะที่วินกับยัยศราไม่เอาเรื่อง ไม่อย่างนั้นแกได้ไปนอนในคุกแน่”

   “โธ่พ่อครับ ถ้าไอ้วินกับเพื่อนมันไม่มาช่วยศราเอาไว้ได้ทัน ยัยนั่นเสร็จผมไปเรียบร้อยแล้ว”

   “ช่างเถอะ ฉันไม่อยากฟัง” วันชัยยกมือปราม ในขณะภาคินพูดต่อ

   “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไอ้วินมันต้องไม่ยอมให้ผมได้เข้าใกล้ศราแน่ๆ รวมถึงมันก็ต้องระวังตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แล้วเราจะหาโอกาสจัดการมันสองคนได้ยังไงล่ะครับ?” วันชัยหันไปสบตาลูกชายด้วยแววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ






   เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นก่อนประตูจะถูกเปิดออกแล้วศรารัตน์จึงก้าวเข้ามาในห้อง หญิงสาวสบตากับวิศรุตที่กำลังมองจ้องมาที่ผู้มาใหม่เป็นคำถามว่าเธอเข้ามาในห้องทำงานของเขาทำไมกัน ศรารัตน์สูดลมหายใจลึกพลางนึกทบทวนถึงจุดประสงค์ที่เธอมาหาวิศรุตอยู่ในใจ หญิงสาวไม่มั่นใจสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เธอนอนคิดตรองเรื่องนี้มาทั้งคืน ถ้าหากเธอไม่บอกเรื่องนี้ให้วิศรุตรู้ บางทีผลลัพธ์ของมันอาจจะเลวร้ายกว่าที่เธอคาดไว้ก็ได้

   “ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องบอกนาย” ศรารัตน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของพี่ชายก่อนจะพูดต่อ “เรื่องที่ภาคินทำกับฉันเมื่อวันก่อน ฉันคิดว่าภาคินคงต้องการจะแก้แค้นฉันหรือไม่ก็ต้องการจะเอาเรื่องที่มันจงใจรังแกฉันมาเพื่อแบ็คเมล์ไม่ให้ฉันบอกความจริงกับนาย”

   “ความจริงอะไร? นี่เธอไปรู้อะไรเกี่ยวกับสองพ่อลูกนั่นมางั้นเหรอ?” วิศรุตขยับตัวลุกจากเก้าอี้นวมตัวหนาแล้วมายืนประจันหน้ากับศรารัตน์ “แล้วความจริงที่ว่านั้นมันคือเรื่องอะไรกันแน่?”

   “วันนั้นฉันไปที่ห้องทำงานของภาคินเพราะสงสัยเรื่องความผิดปกติของงบการเงินปีก่อนๆ แล้วฉันก็บังเอิญได้ยินคุณอาวันชัยกับภาคินคุยกันถึงเรื่องยักยอกโกงเงินของบริษัท”

   “อะไรนะ นี่อาวันชัยกับไอ้ภาคินกล้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ” วิศรุตอึ้งไปเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อมาลองคิดดูถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับศรารัตน์แล้ว เหตุผลนี้ก็เป็นไปได้มากทีเดียว สองพ่อลูกนั่นคงจะกลัวว่าศรารัตน์จะเอาเรื่องนี้มาบอกเขา เลยชิงที่จะกำจัดศรารัตน์ให้พ้นทางก่อน จากนั้นก็คงวางแผนค่อยๆเขี่ยให้เขากระเด็นจากบริษัททัดเทวา แล้วตัวเองกับลูกชายจึงขึ้นมาบริหารงานรับช่วงต่อแทน โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของตัวเขาต่อบรรดากรรมการบริหารยิ่งไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ด้วย

   “ตอนแรกที่ฉันรู้ ฉันตั้งใจว่าจะไม่บอกนายเรื่องนี้ เพราอย่างน้อยเขาก็เป็นญาติของเรา แล้วฉันก็อยากให้พวกเขาได้แก้ตัว แต่ว่าสิ่งที่ภาคินทำกับฉันวันนั้น ถึงฉันจะไม่เอาเรื่องส่งตำรวจแต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้ไม่น่าไว้ใจอีกต่อไปแล้ว”

   “เธอมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า? เพราะถ้าเราไม่มีหลักฐานอาศัยแค่คำพูดของเธอ การจะเอาผิดกับสองคนนั้นก็คงยาก” ศรารัตน์พยักหน้า หญิงสาวยื่นแผ่นซีดีข้อมูลที่ถือมาด้วยให้วิศรุต

   “ฉันเซฟข้อมูลทั้งหมดไว้ในแผ่นซีดีนี่แล้ว นายลองเอาไปเปิดดูก็แล้วกัน ในนั้นน่ะเป็นงบการเงินของหลายๆปีที่ผ่านการตกแต่งบัญชีมาแล้วอย่างแนบเนียน ฉันทำเครื่องหมายเน้นจุดที่ผิดปกติเอาไว้ให้แล้ว รับรองว่าอาวันชัยกับภาคินเห็นเอกสารพวกนี้แล้วต้องดิ้นไม่หลุดแน่นอน” วิศรุตมองแผ่นซีดีข้อมูลในมือแล้วยิ้มเย็น ในขณะที่ศรารัตน์ก็ถามว่าเขารู้อย่างนี้แล้วจะจัดการยังไงต่อไป?

   “เธออย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนะ เพราะถ้าหากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูคนนอกล่ะก็ ข่าวการยักยอกเงินของผู้บริหารระดับสูงจะต้องกระเทือนกับภาพลักษณ์ของบริษัททัดเทวาแน่นอน ฉันไม่อยากให้พวกผู้ถือหุ้นขาดความเชื่อมั่นในบริษัทเราเพราะเรื่องนี้”

   “แล้วนายจะปล่อยเอาไว้อย่างนี้น่ะเหรอ?”

   “เธอไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ฉันไม่ปล่อยให้สองคนนั้นเสวยสุขอยู่บนเงินที่โกงมาจากบริษัทของเราได้นานหรอก แม้ว่าคนๆนั้นจะมีสายสัมพันธ์เป็นญาติสนิทของเราก็ตาม”


จบบทที่17
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่18
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 02-08-2012 11:27:52
บทที่ 18


   การเรียกเปิดประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารของบริษัททัดเทวาทำให้บรรดากรรมการบริหารหลายๆท่านเกิดความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าท่านประธานมีเรื่องด่วนอะไรกันแน่ถึงประกาศขอเปิดวาระการประชุมแบบกะทันหันเช่นนี้ แม้แต่วันชัยที่เป็นถึงรองประธานกรรมการก็ไม่ทราบเรื่องด้วยเช่นกัน คราวนี้ไม่รู้ว่าวิศรุตจะมาไม้ไหนอีก วันชัยคิดในใจ

   “นี่มันเรื่องอะไรกันครับพ่อ อยู่ๆไอ้วินก็มาเปิดประชุมด่วนแบบนี้ หรือว่า...” ภาคินมีสีหน้าร้อนรนเมื่อนึกถึงว่าวิศรุตอาจจะรู้เรื่องที่ตนกับพ่อโกงเงินบริษัทจากศรารัตน์แล้วก็ได้

   “พ่อก็ไม่รู้ แกอยู่นิ่งๆเถอะหน่า รอดูไปก่อน อย่ามาทำลุกลี้ลุกลนแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นก็จับสังเกตได้หรอก” วันชัยเอ็ดลูกชายเบาๆให้ได้ยินกันสองคน เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าวิศรุตเรียกประชุมด่วนทำไม แต่ว่าหากวิศรุตคิดจะใช้โอกาสนี้แฉเรื่องที่เขากับภาคินยักยอกเงินจริงๆ เขาก็ไม่กลัว เพราะได้เตรียมการเอาไว้พร้อมหมดแล้วตั้งแต่วันที่ศรารัตน์บังเอิญได้รู้ความจริงเข้า ดังนั้นการที่เด็กเมื่อวานซืนอย่างวิศรุตจะมาเขี่ยเขาให้พ้นจากเก้าอี้ผู้บริหารของทัดเทวาล่ะก็ เกรงว่ามันจะไม่ง่ายนัก

   เวลาผ่านไปซักพัก วิศรุตก็เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับศรารัตน์และเมริษาซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาคนปัจจุบันของวิศรุต ชายหนุ่มกวาดตาไปรอบห้องก่อนจะมาหยุดที่ภาคินและวันชัยก่อนจะยิ้มน้อยๆแต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาจนอีกฝ่ายรู้สึกได้  ภาคินหันไปสบตากับเมริษาที่ยืนอยู่ข้างกายวิศรุตเป็นเชิงถามว่าที่วิศรุตเรียกประชุมแบบนี้มันจะต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่เมริษาก็มองตอบสายตานั้นเป็นเชิงว่าเธอเองก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้เช่นกัน

   “สวัสดีครับทุกท่าน” วิศรุตเอ่ยทักทายผู้บริหารคนอื่นๆทันทีที่นั่งลงยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งที่หัวมุมโต๊ะเรียบร้อยแล้ว “ที่ผมต้องรบกวนเวลาทุกท่านและเรียกเปิดประชุมด่วนแบบนี้ก็เพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะให้ทุกท่านได้รับทราบ”

   “เรื่องสำคัญอะไรล่ะครับคุณวิศรุต พวกเราอยากจะรู้เต็มทีแล้ว” คุณมงคลถามขึ้น ในขณะที่วิศรุตหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะบอกว่าเรื่องที่เขาจะพูดนี้เป็นเรื่องสำคัญกับบริษัททัดเทวามากทีเดียว

   วิศรุตยื่นแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งให้กับเมริษาก่อนจะสั่งให้เลขาสาวเอาไปเปิดขึ้นหน้าจอโปรเจ็คเตอร์เพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจะได้ให้วันชัยกับภาคินเห็นถึงความสกปรกไม่ซื่อของตนที่พยายามปกปิดมาตลอดแต่ในที่สุดก็ปิดไม่
มิดอยู่วันยังค่ำ

   ข้อมูลที่แสดงอยู่บนจอโปรเจคเตอร์ทำให้ภาคินถึงกับหน้าถอดสี ในขณะที่วันชัยเองก็อึ้งไปแต่ก็ยังคงรักษาท่าทางสุขุมได้อย่างเยือกเย็น วิศรุตปรายตาไปมองยังสองพ่อลูกก่อนจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้บรรดากรรมการบริหารฟังในขณะที่
ศรารัตน์ลอบยิ้มในหน้าอย่างสะใจ

   “ข้อมูลที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ เป็นข้อมูลงบการเงินย้อนหลังและเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องของบริษัทเรา จากจุดที่มีการเน้นเอาไว้หากพิจารณาดีๆจะเห็นได้ถึงความผิดปกติอย่างมากของงบ จากที่เห็นมันแสดงได้ว่าในแต่ละโครงการหนึ่งๆของบริษัทมีเงินถูกเบิกจ่ายออกไปเป็นจำนวนมากโดยไม่ได้ถูกนำไปใช้ในด้านอื่นๆ หรือไม่ก็มีการประเมินราคาวัสดุก่อสร้างที่เกินจริง ซึ่งใบเสนอราคาและข้อมูลการยื่นแบบประมูลทั้งหมดผมได้เอาหลักฐานมาแสดงด้วยในวันนี้” วิศรุตพยักหน้าให้เลขาการประชุมแจกเอกสารที่เตรียมมาให้กับบรรดาผู้บริหารหลังจากนั้นจึงอธิบายต่อ “จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่ปรากฎในรายงานการเงินของบริษัทกับข้อมูลจริงๆตามที่ควรจะเป็นมันไม่สอดคล้องกัน แต่กลับขัดแย้งกันแทบจะสิ้นเชิง”

   “นี่คุณกำลังจะหมายความว่าเกิดการยักยอกเงินของบริษัทโดยผู้บริหารระดับสูงอย่างนั้นเหรอ” คุณมงคลเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาและคำพูดของคุณมงคลทำให้เกิดความฮือฮาและตึงเครียดในหมู่ของบอร์ดบริหารระดับสูงทันที โดยเฉพาะภาคินที่ตอนนี้แทบนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆด้วย ศรารัตน์บอกเรื่องที่เขากับพ่อยักยอกเงินบริษัทให้วิศรุตรู้แล้ว

   “คุณมงคลเข้าใจถูกแล้วครับ” วิศรุตเอ่ยเสียงเครียด ในขณะที่บรรดากรรมการบริหารหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ชั่วขณะเพื่อรอดูว่าท่านประธานกรรมการหนุ่มจะจัดการยังไงต่อไป “ผมคิดว่าทุกคนคงต้องการคำอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพราะจำนวนเงินที่หายไปไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลยซักนิด และผมก็คิดว่าจะมีคนหนึ่งที่อธิบายถึงเรื่องนี้ได้ ผมเข้าใจถูกไหมครับคุณภาคิน?” คนที่ถูกเรียกชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างรุนแรง

   “นี่ท่านประธานคิดว่าผมเป็นคนยักยอกเงินของบริษัทงั้นเหรอครับ?”

   “อย่าเพิ่งร้อนตัวสิครับคุณภาคิน ผมก็แค่อยากให้คุณชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้บริหารท่านอื่นๆรับทราบก็เท่านั้นในฐานะที่คุณเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัท หรือที่คุณภาคินอยู่ๆก็โมโหขึ้นมาแบบนี้มันเป็นเพราะกลัวว่าเรื่องเน่าๆสกปรกที่ตัวเองเคยทำไว้มันจะแดงออกมาหรือเปล่า?”

   “นี่มันเกินไปแล้วนะวิศรุต คำพูดของหลานเมื่อครู่นี้มันบ่งบอกออกมาชัดๆว่าหลานคิดว่าภาคินเป็นคนยักยอกเงิน อาคิดว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับภาคินเลยนะ” วันชัยทักท้วงขึ้นมาเสียงเย็นในขณะที่วิศรุตกลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย

“ผมถึงได้ให้ภาคินเค้าอธิบายไงครับคุณอา แต่ไม่รู้ว่าคุณผู้จัดการฝ่ายการเงินจะสามารถอธิบายได้หรือเปล่า?” ตอนนี้สายตาคนทั้งห้องเบนไปจับจ้องอยู่ที่ภาคินเพียงคนเดียว ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตากัดกรามแน่น ใบหน้าคมสันมีเหงื่อเยียบเย็นผุดออกมาจนชื้นในขณะที่แววตาจ้องไปยังวิศรุตอย่างอาฆาต

   “คือว่า...เอ่อ คือ...” ภาคินอ้ำอึ้งอย่างนั้นด้วยความที่จนคำพูดเพราะไม่คิดว่าวิศรุตจะเอาเรื่องตนมาเปิดโปงต่อหน้าที่ ประชุมผู้บริหารแบบนี้ หากเขารู้ล่วงหน้าล่ะก็ ไม่มีวันที่วิศรุตจะได้มีโอกาสมาซักฟอกเขาแบบวันนี้แน่

   “ว่ายังไงล่ะครับคุณภาคิน? ถ้าคุณตอบคำถามนี้ไม่ได้ ผมจะให้คุณพ่อของคุณเป็นคนตอบแทน” วิศรุตเบนสายตาไปยังวันชัยที่นั่งอยู่ข้างๆภาคิน พลางสบตากับผู้มีศักดิ์เป็นอาอย่างถือดีด้วยความมั่นใจว่าวันนี้สองพ่อลูกไม่มีทางดิ้นหลุดแน่

   “ผมอธิบายได้ครับ” วันชัยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะอธิบายด้วยเสียงที่หนักแน่น “เรื่องงบการเงินที่ผิดปกติ ผมสามารถอธิบายได้เพราะดูจากปีงบประมาณแล้ว ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ผมเข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการชั่วคราวในตอนที่ท่านประธานคนก่อนเพิ่งจะสิ้นบุญไป  สาเหตุที่ยอดไม่ตรงกันกับเอกสารดั้งเดิมก็เพราะว่ายังมีรายการจ่ายอื่นๆที่คุณวิศรุตยังไม่ได้รับทราบอีกมากมาย ซึ่งเอกสารพวกนั้นเป็นเอกสารข้อมูลลับของบริษัทที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งผมได้เก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ผมจึงกล้ารับประกันแน่นอนว่าระหว่างที่ตัวผมบริหารงานในตำแหน่งประธานของทัดเทวา เรื่องการฉ้อโกงบริษัทไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด อีกทั้งเอกสารทั้งหมดจากฝ่ายการเงินที่คุณภาคินเสนอมา ผมก็ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนที่จะลงชื่อเซ็นอนุมัติในโครงการต่างๆไป ดังนั้นการที่คุณวิศรุตเข้าใจว่ามีการยักยอกเงินหรือฉ้อโกงบริษัทไปนั้น ผมจึงขอยืนยันว่ามันไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด” คำพูดของวันชัยทำให้บรรดาผู้บริหารพากันมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดของใครดีระหว่างผู้เป็นอากับผู้เป็นหลาน  มีผู้บริหารบางส่วนที่ออกตัวเข้าข้างวันชัยเพราะด้วยความที่มีการตั้งแง่กับวิศรุตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสถานการณ์กลับพลิกผลันเช่นนี้ วิศรุตจึงกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง

   วันชัยมองไปยังหลานชายและหลานสาวทั้งคู่อย่างเป็นต่ออีกครั้ง การจะมาต่อกรกับเขา ฝีมือของทั้งคู่ยังห่างอีกหลายขุม เขาเจนสนามทางแวดวงธุรกิจมากกว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างทั้งคู่มากนัก

   “ถ้าเป็นอย่างที่คุณวันชัยว่าไว้จริง ถ้าอย่างนั้นผมขอดูเอกสารลับที่ว่านั้นได้หรือเปล่าครับ?”

   “จริงๆเอกสารนั้นเป็นความลับอย่างมากของบริษัท แต่ในเมื่อผมพูดออกไปอย่างนี้แล้ว ถ้าหากผมไม่กล้าให้ดูก็เท่ากับว่าผมคงไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาของคุณวิศรุตได้” วันชัยปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเยาะๆ ภาคินก็เหลือบตามองไปยังคู่อริอย่างสะใจ ตอนนี้วิศรุตหน้าม้านไปเลย นี่คงเตรียมตัวมาแฉเขากับพ่ออย่างเต็มที่ ไม่ได้เผื่อใจเอาไว้เลยว่าตัวเองกลับจะต้องหน้าแตกกลางบอร์ดผู้บริหารเสียเอง

   “ว่าแต่ทางคุณวันชัยก็มีเอกสารที่จะสามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน แล้วทางท่านประธานล่ะครับ มีเอกสารอื่นที่พอจะมายันสู้ได้หรือเปล่า หรือว่าอาศัยแค่งบการเงินพวกนี้กับคำพูดกล่าวหาลอยๆก็มาเที่ยวประกาศบอกใครต่อใครไปทั่วว่าผมกับพ่อยักยอกเงินของบริษัททัดเทวา”

   “โกหก แกนี่มันเลวจริงๆๆ ไอ้ภาคิน แก...” วิศรุตโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ชายหนุ่มตั้งท่าจะไปเอาเรื่องกับภาคิน แต่ถูกศรารัตน์ดึงเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวกระซิบบอกให้วิศรุตใจเย็นๆเพราะตอนนี้ฝ่ายนั้นกลับกลายมาเป็นต่อเราแล้ว

   “นี่มันอะไรกันครับ? ทำไมต้องเอะอะใช้กำลังกันด้วย ทำเหมือนกับคนไม่มีการศึกษา” คำพูดของภาคินทำให้วิศรุตยิ่งเลือดขึ้นหน้า ผู้บริหารคนอื่นๆก็มองพฤติกรรมที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ของท่านประธานบริษัทแล้วก็ต้องส่ายหน้า ทุกคนเข้าใจว่าวิศรุตอาจจะโมโหที่เรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนคาดเอาไว้แต่ก็ไม่น่าจะต้องใช้กำลังตัดสินแบบที่วิศรุตตั้งใจจะทำเมื่อครู่นี้

   “ไอ้สารเลวภาคิน แกมันเลวจริงๆ”

   “ใจเย็นๆสิครับท่านประธาน แค่การที่ผมเคยไปทำอะไรบางอย่างขัดใจท่านก็ทำให้ท่านถึงกับต้องมายัดเยียดข้อ
กล่าวหาร้ายแรงให้ผมกับพ่อแบบนี้เลยเหรอครับ?”

   “โกหก นี่ต่อหน้าบรรดาผู้บริหาร นอกจากจะไม่ยอมรับสารภาพแล้ว คุณยังกล้าโกหกแบบนี้อีกเหรอ” คราวนี้ศรารัตน์เป็นฝ่ายทนไม่ไหว จึงต้องพูดขึ้นบ้างหลังจากที่นั่งเงียบมานาน

   “ใครกันแน่ที่โกหกที่ใส่ความคนอื่น ถ้าคุณมีหลักฐานว่าผมกับพ่อยักยอกเงินไปจริง คุณก็เอาออกมาแสดงให้เห็นสิ แล้วก็กรุณาอย่าใช้ศาลเตี้ยมาตัดสินผมกับพ่อแบบนี้อีกนะคุณศรารัตน์”

   “ถึงแม้หลักฐานจะไม่มี แต่ฉันนี่แหล่ะที่เป็นพยานรู้เห็น” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเครียดก่อนจะหันไปพูดต่อหน้าที่ประชุม ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่น “เมื่อหลายวันก่อนดิฉันได้เอาเอกสารข้อมูลงบการเงินจากห้องของท่านประธานมาตรวจสอบ รวมถึงงบเบิกจ่ายวัสดุของโครงการใหม่ด้วย นอกจากนั้นยังได้ขอเอกสารย้อนหลังของฝ่ายการเงินมาตรวจสอบ  ดิฉันได้ตรวจพบข้อบกพร่องอยู่หลายแห่งจึงตัดสินใจจะไปถามคุณภาคินที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินให้รู้เรื่อง แต่พอดีดิฉันกลับบังเอิญได้ยินคุณภาคินกับคุณวันชัยกำลังคุยกันถึงเรื่องการปกปิดยอดเงินที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันยักยอกออกจากบริษัทไป รวมถึงการตกแต่งตัวเลขทางบัญชีใหม่ให้แนบเนียนจนตรวจสอบไม่พบอีกด้วย”

   “นี่มันใส่ร้ายกันชัดๆเลยนะ เธอกับพี่ชายไม่พอใจฉันก็เลยสร้างเรื่องนี้มาใส่ร้ายเพื่อให้ฉันกับพ่อโดนปลดออกจากตำแหน่งใช่ไหม? คงจะกลัวสินะว่าฉันกับพ่อจะได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหารมากกว่าเธอและพี่ชาย ก็เลยมาเล่นแผนสกปรกแบบนี้”

   “ฉันจะกลัวเรื่องนั้นทำไมในเมื่อบริษัททัดเทวาก็เป็นของฉันกับศรารัตน์อยู่วันยังค่ำ แล้วฉันก็ไม่ได้ใส่ร้ายนายกับพ่อ ด้วย นายคิดเหรอว่าถ้าฉันรู้เรื่องที่นายกับพ่อยักยอกเงินบริษัทแล้วจะปล่อยเอาไว้เฉยๆน่ะ?”

   “นายกลัวมากกว่าวิศรุต ถึงแม้ว่านายจะเป็นทายาทที่ได้รับมรดกเป็นหุ้นจำนวนมหาศาลของทัดเทวา ฉันไม่เถียง หรอกว่านายเป็นเจ้าของที่นี่ แต่นายเคยทำอะไรเพื่อที่นี่บ้างหรือเปล่า? เคยทุ่มเทแรงใจทำงานเพื่อทัดเทวาขนาดไหนกันเชียว นอกจากจะกอดตำแหน่งประธานบริษัทกินเงินเดือนไปวันๆ หึ นายลองถามผู้บริหารในที่นี้ก็ได้ ลองถามดูสิว่ามีอยู่กี่คนที่อยากสนับสนุนนายให้เป็นประธานกรรมการบริหารต่อไปน่ะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ บริษัททัดเทวาไม่อยากได้ผู้บริหารที่ไม่เอาอ่าว ไร้ฝีมือแล้วก็ปราศจากผลงานแบบนายหรอก”

   “อ่อ ในที่สุดนายก็เผยความจริงออกมาแล้ว ที่แท้นายกับพ่อก็ต้องการจะฮุบทุกอย่างของทัดเทวาเอาไว้นี่เอง นี่คงจะเป่าหูพวกผู้บริหารว่าฉันไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ไปเยอะแล้วสินะ คงจะหวังว่าถ้าฉันโดนลงมติไม่ไว้วางใจจากคณะกรรมการ บริหารแล้ว นายกับพ่อก็จะขึ้นมานั่งที่ประธานกรรมการแทนฉันอย่างนั้นเหรอ จะบอกอะไรให้นะ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเป็นอันขาด ฉันจะไม่ยอมให้นายมาฮุบสมบัติของทัดเทวาไปแม้แต่ชิ้นเดียว โดยเฉพาะบริษัทที่พ่อของฉันสร้างมากับมือบริษัทนี้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม”

   “แต่นายก็ระวังเอาไว้หน่อยละกัน ว่าบริษัทที่ตัวเองหวงนักหวงหนา สักวันนึงจะรักษามันเอาไว้กับตัวไม่รอด”

   “หยุดเดี๋ยวนี้นะภาคิน หยุดก้าวร้าวคุณวิศรุตได้แล้ว” วันชัยตวาดลั่นก่อนจะแสร้งมองภาคินด้วยสายตาน่ากลัว

   “พ่อห้ามผมทำไมครับ ผมกำลัง...” ภาคินจะแย้งแต่คุณมงคลชิงพูดก่อนที่เรื่องจะบานปลายเข้าไปใหญ่

   “เอาหล่ะๆ พอได้แล้วทั้งสองฝ่ายนะครับ” สุดท้ายคุณมงคลต้องเป็นฝ่ายคนกลางเพื่อเจรจา อารมณ์ของทั้งสองฝ่ายตอนนี้ก็เดือดไม่แพ้กัน หากปล่อยให้เถียงกันไปมาแบบนี้ รับรองว่าห้องประชุมนี้ได้เป็นสนามรบของบรรดาทายาทรุ่นหลังของทัดเทวาอย่างแน่นอน “ผมเสนอว่าเราควรจะมาพูดจาดีๆกันนะครับ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก”

   “ผมเห็นด้วยครับคุณมงคล ผมว่าก่อนที่จะตัดสินถูกผิดเนี่ยก็ควรจะตรวจสอบให้กระจ่างเสียก่อน” วันชัยเห็นด้วย ส่วนศรารัตน์กับวิศรุตก็มองหน้ากันอย่างหมันไส้ที่วันชัยช่างเล่นบทตีสองหน้าได้เก่งกาจเสียเหลือเกิน

   “เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ ผมว่าเราควรตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วต่างฝ่ายต่างก็เอาหลักฐานหรือข้อมูลมายันกัน เดี๋ยวใครถูกใครผิดจะได้ตัดสินกันอย่างยุติธรรมกับทุกฝ่าย ว่ายังไงครับคุณวิศรุต คุณศรารัตน์?” ท้ายประโยคหันไปถามสองพี่ท้องทัดเทวาซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด

   “ก็ดีครับคุณมงคล แต่ว่ากรณีนี้ถึงยังไม่ได้พิสูจน์ถูกผิดอย่างชัดเจน แต่ด้วยหลักฐานที่ผมยกมาแสดงในวันนี้ก็น่าจะสมควรให้คุณภาคินกับคุณวันชัยรับผิดชอบบ้างนะครับ อย่างน้อยถ้าเป็นแบบที่คุณวันชัยอ้างจริง ทั้งคู่ก็มีความผิดฐานปกปิดข้อมูลต่อประธานกรรมการและสมควรที่จะพิจารณาตัวเองด้วย” วิศรุตมองไปทางวันชัยและภาคินอย่างท้าทายก่อนที่วันชัยจะเอ่ย

   “เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมและลูกจะเป็นฝ่ายพิจารณาเคลียร์ตัวเองครับ โดยการขอหยุดทำหน้าที่รองประธานกรรมการและผู้จัดการฝ่ายการเงินชั่วคราวจนกว่าเรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบอย่างถึงที่สุดและมีการชี้ถูกผิดอย่างชัดเจนแล้วเท่านั้น”

   “อะไรกันครับพ่อ” ภาคินตั้งท่าจะแย้งแต่วันชัยลอบหลิ่วตาให้อีกฝ่าย

   “และถ้าหากตรวจพบว่าผมกับลูกไม่ได้มีความผิดอย่างที่คุณวิศรุตกล่าวหาจริง ผมและลูกจะกลับมาทำงานในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง แต่หากว่าถ้าตรวจสอบออกมาแล้ว คนที่ผิดคือคุณวิศรุตและคุณศรารัตน์ ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณทั้งสองคนจะพิจารณาถึงการทำหน้าที่ของตัวเองในบริษัททัดเทวานี้เช่นกัน” คำพูดของวันชัยทำให้ภาคินต้องหันไปลอบยิ้มเยาะใส่วิศรุต ลองประกาศท้าชนแบบนี้แล้วล่ะก็ พ่อของเขาจะต้องมีไม้เด็ดมาจัดการกับวิศรุตและศรารัตน์อย่างแน่นอน

   วิศรุตสบตากับศรารัตน์อย่างอึดอัด ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าสองพ่อลูกอสรพิษจะต้องถือโอกาสนี้มากำจัดเขาและ
ศรารัตน์ออกจากทัดเทวาแน่ๆ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว และถ้าหากว่าเขารักษาสมบัติที่พ่อเขารักอย่างบริษัททัด
เทวาเอาไว้ไม่ได้ล่ะก็ เขาเองก็ไม่คู่ควรจะใช้นามสกุลทัดเทวาเช่นกัน ซึ่งวิศรุตก็มั่นใจว่าศรารัตน์เองก็คิดแบบเดียวกันกับเขา

   “ตกลงครับ หากพิสูจน์ได้ว่าที่ผมพูดมาเป็นการใส่ร้ายคุณอากับลูกชาย ผมและศรารัตน์ก็พร้อมจะพิจารณาตัวเองลาออกจากบริษัททัดเทวาเช่นกัน”


จบบทที่18

ปล. มีนักอ่านบางท่านอ่านตอนนี้แล้ว เคยมาเม้นท์บอกเราว่าอย่างกับได้ไปนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยแนะ เพราะมันเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในการโต้เถียงทางด้านธุรกิจจริงๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 02-08-2012 11:29:50
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่19
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 02-08-2012 11:32:46
บทที่ 19

   
“สวัสดีค่ะคุณอา ภาคิน” เมริษาเอ่ยทักทายเจ้าของบ้านก่อนที่วันชัยจะเชิญให้เมริษานั่งลงคุยกันยังโซฟารับแขกตัวกว้าง “เรียกเมมาวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” เมริษาถามตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะหากเป็นปกติ เธอและภาคินจะนัดเจอกันข้างนอกเสียมากกว่า แต่วันนี้แปลกเมื่อภาคินโทรไปหาเธอแล้วบอกว่าเขาและพ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวโดยให้เธอมาเจอเขาที่บ้าน

   “หนูก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ประชุมกรรมการบริหารวันนั้นด้วย” วันชัยเอ่ยเรียบๆปราศจากรอยยิ้มซึ่งเมริษาก็รับคำ “ก็คงน่าจะรู้ว่าตอนนี้อากับภาคินหยุดพักงานที่บริษัททัดเทวาไปแล้วจนกว่าเรื่องข้อกล่าวหานั้นจะรับการตรวจสอบจนถึงที่สุด” เมริษาพยักหน้าว่าเธอรู้ดีก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

   “เมว่าคุณวิศรุตกับคุณศรารัตน์เธอก็ทำเกินไปนะคะ ทั้งๆที่คุณอากับภาคินทุ่มเทแรงกายแรงใจบริหารงานเพื่อทัดเทวามาตลอดแท้ๆ แต่สองคนนั้นกลับมาหักหน้าคุณอากลางที่ประชุมแบบนั้นได้”

   “มันคงจะคิดแหล่ะว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะฉันได้ หึ รู้จักคนอย่างวันชัย ทัดเทวาน้อยไปเสียแล้ว”

   “ที่คุณอาเรียกให้เมมาหาที่บ้านแบบนี้ มีอะไรจะใช้เมงั้นเหรอคะ?” วันชัยยิ้มให้กับความฉลาดของอีกฝ่ายก่อนจะสั่งงานที่ต้องการให้เมริษาไปทำ

   “อาต้องการให้หนูเมแอบไปขโมยเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องยักยอกเงินบริษัทที่วินกับศรามีอยู่ทั้งหมดมาให้อา ถ้าเป็นไปได้ก็ทำลายทิ้งให้หมดอย่าให้เหลือสาวมาถึงตัวอากับภาคินได้เป็นอันขาด แค่นี้หนูทำให้อาได้ไหม?” ท้ายประโยคถูกคนพูดเน้นเสียงหนักเป็นแกนบังคับว่าถึงอย่างไรหญิงสาวก็ต้องพยายามทำมันให้สำเร็จให้จงได้

   “ได้ค่ะ เมจะพยายามแล้วก็จะหาโอกาสทำลายข้อมูลให้เร็วที่สุดด้วย” คำตอบที่หนักแน่นของเมริษาทำให้ภาคินอดไม่ได้ที่จะให้รางวัลหญิงสาวด้วยการหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่ ในขณะที่วันชัยมองอย่างพอใจ เขาเชื่อว่าคนฉลาดและมีไหวพริบอย่างเมริษาคงจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังอย่างแน่นอน

   “หลังจากให้เมจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดแล้ว พ่อจะเอาไงต่อครับ?” ภาคินถามเมื่อเมริษาขอตัวกลับไปแล้ว

   ส่วนเมริษาที่กำลังเดินออกจากตัวบ้านเพื่อไปยังรถที่จอดเอาไว้ก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมกระเป๋าถือเอาไว้ในห้องรับแขกซึ่งในนั้นก็มีกุญแจรถอยู่ด้วย หญิงสาวบ่นเบาๆอย่างหัวเสียในความขี้ลืมของตัวเองก่อนจะย้อนกลับเข้าไปเอากระเป๋าที่ลืมไว้ยังห้องรับแขกอีกครั้ง

   เมริษาเดินเข้าไปจนใกล้จะถึงตัวห้องรับแขก แต่ว่าเสียงภาคินและวันชัยที่หลุดรอดออกมาจากภายในห้องทำให้เธอต้องชะงักหยุดฟังด้วยความสนใจ

   “หลังจากที่เมริษาหาทางทำลายพวกหลักฐานได้หมดแล้ว แกคิดว่าฉันจะยังปล่อยให้ไอ้หลานทรยศสองคนมันยังมีชีวิตอยู่ดูโลกอีกต่อไปงั้นเหรอ? มันทำกับฉันขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ปล่อยมันสองคนเอาไว้แน่” คำพูดของวันชัยที่เมริษาได้ยินทำให้หญิงสาวถึงกับอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเธอเองไม่รู้เรื่องที่วันชัยกับภาคินโกงเงินบริษัททัดเทวา เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าวันชัยจะโหดเหี้ยมถึงขนาดจะฆ่าหลานในไส้ของตัวเองทั้งสองได้ลงคอ

   “ถ้าหากไอ้วินกับศรามันมาด่วนตายไปแบบมีเงื่อนงำอย่างนี้ล่ะก็ คนอื่นจะต้องสงสัยเราแน่ๆครับ ดีไม่ดีมันจะพลอยซวยมาถึงเรานะพ่อ”

   “แกคิดจะทำงานใหญ่ก็ไม่ต้องกลัวไปหรอก ก็แค่จัดการให้เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างนะ เส้นสายพ่อก็ใหญ่พอตัว ใช้เงินปิดคดีเท่านี้ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยเราแล้ว”

“จะให้ผมสั่งลูกน้องไปจัดการเมื่อไหร่ก็บอกล่ะกันนะครับ”

   “ไม่ต้อง ลูกน้องของแกไม่เห็นเคยทำงานได้เรื่องซักครั้ง ครั้งที่แล้วใช้ให้ไปจัดการยัยศราก็พลาดทั้งสองครั้ง แกคิดว่าครั้งนี้ฉันจะไว้ใจให้งานแกไปทำอีกเหรอภาคิน?”

   คำพูดของวันชัยทำให้เมริษาเบิกตากว้างอีกรอบกับความจริงใหม่ที่เธอเพิ่งได้รู้ ที่แท้วันชัยเคยส่งลูกน้องไปฆ่าปิดปากศรารัตน์ก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่โชคดีที่ศรารัตน์ดวงแข็งจึงรอดตายมาได้ถึงสองครั้ง  ความจริงนี้ทำให้เมริษาขนลุกซู่อย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้รับรู้ถึงความโหดเหี้ยมของสองพ่อลูกคู่นี้ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “ขอโทษด้วยนะคะคุณอา พอดีเมลืมกระเป๋าทิ้งไว้น่ะค่ะ” เมริษายิ้มหวานก่อนจะเดินตรงไปหยิบกระเป๋าถือแบรนด์เนมราคาแพงของตนที่วางทิ้งไว้ยังเก้าอี้โซฟาที่เธอเคยนั่งก่อนจะขอตัวกลับออกไปท่ามกลางสายตาไม่ไว้ใจของภาคินและวันชัยเพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เมริษาได้ยินในสิ่งที่ทั้งคู่คุยกันหรือเปล่าถึงเรื่องแผนการกำจัดวิศรุตและศรารัตน์

   “เดี๋ยว” เสียงเรียกของวันชัยทำเอาเมริษาถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหญิงสาวจะหันไปสบตาผู้สูงวัยกว่าด้วยแววตาที่เหมือนบริสุทธิ์ใจ

   “มีอะไรเหรอคะคุณอา?” ท่าทางและแววตาของเมริษาทำให้วันชัยคลายใจลง เขาคงคิดมากไปเองเท่านั้น ผู้สูงวัยกว่ายิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนจะบอกว่าให้เธอขับรถกลับบ้านดีๆ ส่วนเมริษาก็ลอบถอนหายใจบางๆอย่างโล่งอกที่วันชัยและภาคินจับพิรุธของเธอไม่ได้





   เสียงออดหน้าบ้านทัดเทวาดังขึ้น ศรารัตน์เงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารแฟชั่นที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ นึกสงสัยว่าใครมากดออดที่บ้านแบบนี้

   “เสียงใครที่ไหนมากดออดกันคะลุงมั่น?” ศรารัตน์ถามลุงมั่นที่เดินผ่านหน้าเธอไป

   “ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณหนูเล็ก ผมเองก็กำลังจะออกไปดูเหมือนกัน” หญิงสาวพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

   แขกที่ว่านั้นกลับกลายเป็นช่างซ่อมแอร์สามคน เมื่อได้รู้ว่าช่างเหล่านี้จะมาซ่อมแอร์ที่บ้านทัดเทวา ลุงมั่นก็ทำหน้างงเพราะไม่ได้ติดต่อโทรไปบอกให้ช่างมาซ่อมเสียหน่อย แต่ทั้งสามคนนั้นก็ยืนยันว่าเจ้าของบ้านเป็นคนโทรไปให้พวกตนมาซ่อมแอร์ที่เสียในห้องนอนให้วันนี้ พร้อมทั้งโชว์บัตรประจำตัวช่างซ่อมแอร์ของบริษัทแอร์แห่งหนึ่งให้ลุงมั่นดู เมื่อตรวจตราแน่ใจแล้วลุงมั่นจึงยอมเปิดประตูให้ช่างทั้งสามคนเข้ามาภายในรั้วบ้าน

   ลุงมั่นเดินนำช่างทั้งหมดเข้ามายังตัวบ้าน ก่อนจะบอกศรารัตน์ว่ามีช่างแอร์มาซ่อมแอร์ให้

   “เอ๊ะ แอร์ห้องไหนเสียเหรอคะ? ห้องของศราก็ไม่ได้เสียนี่นา” ลุงมั่นก็บอกว่าไม่ทราบเหมือนกัน แต่ช่างพวกนี้ยืนยันว่ามีคนโทรไปแจ้งว่าให้มาซ่อมแอร์ที่นี่ ศรารัตน์ไม่ได้คิดมากอะไรและคิดว่าคนที่โทรไปแจ้งคือวิศรุต ไม่แน่ห้องของวิศรุตแอร์อาจจะเสียก็ได้ หญิงสาวจึงให้ลุงมั่นพาช่างไปตรวจแอร์ห้องของวิศรุตว่าขัดข้องหรือเปล่า ถ้าขัดข้องจะได้ซ่อมให้เรียบร้อยเลย
โดยไม่ได้สังเกตว่าช่างแอร์ทั้งสามคนลอบสบตากันอย่างมีพิรุธ

หลังจากซ่อมแอร์ไปได้ซักพัก เหล่าช่างแอร์ก็ทำตามแผนที่วางเอาไว้ โดยการออกอุบายให้ช่างแอร์คนหนึ่งปวดท้องหนัก อยากจะเข้าห้องน้ำด่วนและขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ลุงมั่นอนุญาตแบบไม่ติดใจอะไร ในขณะที่ช่างแอร์อีกสองคนสบตากันอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

   ช่างแอร์ที่แกล้งปวดท้องรีบออกจากห้องนอนของวิศรุตทันทีแล้วตรงไปยังโรงจอดรถของบ้านทัดเทวา ระหว่างที่ลงบันไดจากชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของวิศรุตก็เกือบจะโดนศรารัตน์ที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องรับแขกจับพิรุธได้ แต่เขาก็แก้ตัวไปได้อย่างแนบเนียน

   “เอ่อ ผมปวดท้องหนักน่ะครับ ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางนั้นใช่ไหมครับ? ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับคุณผู้หญิง” ช่างแอร์รีบเอ่ยพลางทำท่ากุมท้องแบบคนปวดท้องหนักจริงๆ ก่อนจะรีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยที่ศรารัตน์มองตามอย่างงงๆเพราะ ในตัวบ้านก็มีห้องน้ำ ทำไมถึงจะต้องไปเข้าห้องน้ำที่บริเวณรอบนอกตัวบ้านด้วย สงสัยคงจะเกรงใจ หญิงสาวคิดในใจอย่างขำๆ

   ช่างแอร์รีบเดินจ้ำไปยังโรงจอดรถอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงโรงจอดรถ เขาหันซ้ายหันขวารอบตัว ดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี ใครอยู่แถวนั้นจึงล้วงเอาแผ่นกระดาษใบเล็กๆที่ระบุหมายเลขทะเบียนรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง งานของเขาคือต้องตัดสายเบรกรถตามใบสั่งที่ได้รับมา เมื่อมองหารถเป้าหมายได้แล้ว เขาจึงเอาอุปกรณ์ตัดสายเบรคที่พกมาในกระเป๋าเสื้อออกมาก่อนจะสอดตัวไปใต้ท้องรถแล้วดำเนินการตัดสายเบรกทันที ใช้เวลาเพียงไม่นานสายเบรกของรถก็ถูกตัดอย่างเรียบร้อย เขามองผลงานของตนอย่างพอใจก่อนจะดันตัวออกมาจากใต้ท้องรถยุโรปคันหรูของศรารัตน์เพื่อจะได้ตัดสายเบรกของรถวิศรุตเป็นคันต่อไป

   “เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเหรอคะ? แล้วนั่นคุณไปยืนทำอะไรแถวรถของพี่ชายฉันคะ?” ศรารัตน์ถามอย่างสงสัย เธอตั้งใจจะออกมานั่งเล่นอ่านหนังสือในสวน แต่ก็มาเจอช่างแอร์คนเดิมมายืนด้อมๆมองๆอยู่แถวรถคันโปรดของวิศรุต

   “เอ่อ คือว่าผมเห็นว่ารถคันนี้สวยดีน่ะครับ ท่าทางคงจะแพงมาก ถ้าหากผมมีรถสวยๆแบบนี้บ้างก็คงจะดี” ศรารัตน์ยิ้มรับคำชมนั้น ก่อนจะพยักหน้าเมื่อช่างแอร์ขอตัวไปทำงานต่อ ในใจก็นึกสบถไปด้วย ถ้าศรารัตน์ไม่มาขัดจังหวะเขาไว้เมื่อครู่ ป่านนี้รถคันงามของวิศรุตได้ถูกตัดสายเบรกไปอีกคันแล้ว





   นภัทรเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งย่านชานเมือง ชายหนุ่มแจ้งบริกรว่าได้จองโต๊ะเอาไว้แล้ว โดยบอกชื่อผู้จองเป็นชื่อของฝ่ายที่นัดเขาออกมา จากนั้นบริกรจึงนำเขาไปยังโต๊ะที่อยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ซึ่งที่โต๊ะนั้นก็มีอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

   “มาตรงเวลาดีนะ นั่งสิ” เจ้าของโต๊ะเอ่ยเชิญ ในขณะที่บริกรก็ทำหน้าที่เลื่อนเก้าอี้ให้ซึ่งนภัทรก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี

   “นัดฉันออกมาที่นี่มีเรื่องอะไรเหรอ?”

   “ฉันก็แค่อยากจะหาโอกาสเลี้ยงขอบคุณนาย เรื่องที่นายไปช่วยศราในวันนั้น” วิศรุตยิ้มในหน้าก่อนจะเริ่มเปิดเมนูอาหารดู

“อยากทานอะไรก็สั่งได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

   “ฉันไม่ได้ช่วยอะไรอะไรมากเสียหน่อย นายเองต่างหากที่ไปบู๊ต่อยตีกับคนที่จับตัวคุณศราไปจนน่วมทั้งตัว ดูสิยังมีรอยแผลช้ำบางจุดที่หน้าอยู่เลย” นภัทรไม่พูดเปล่า แต่เอาปลายนิ้วเอื้อมมาไล้ใบหน้าที่ยังคงเหลือร่องรอยช้ำอยู่เล็กน้อยของ วิศรุต ซึ่งการกระทำแบบนี้กลับทำให้วิศรุตรู้สึกวาบหวามในใจอย่างบอกไม่ถูกแต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ห้าม ออกจะพอใจด้วยซ้ำ ที่นภัทรสัมผัสเขาแบบนี้เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนว่าทั้งคู่...เป็นคนรักกัน

   “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” นภัทรเป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อน คุณหมอหนุ่มกระดากใจเล็กน้อยกับท่าทางเกินเลยที่แสดงกับวิศรุตเมื่อครู่ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันที่เผลอไปทำอะไรอย่างนั้นได้

   “ช่างเถอะ สั่งอาหารดีกว่า” วิศรุตพูดแก้เกี้ยวก่อนหลบสายตาจากดวงตาสีถ่านที่กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าตนแล้วจึงสั่งอาหารกับบริกรที่เดินมารับออเดอร์ที่โต๊ะ

   อาหารราคาแพงถูกสั่งมามากมายเต็มโต๊ะจนคุณหมอหนุ่มนึกขำ สั่งมาเยอะขนาดนี้ ทานสองคนจะไปทานหมดได้อย่างไรกัน

   “ทำไมนายสั่งมาเยอะขนาดนี้ล่ะ? ทำอย่างกับมากินสักสิบคน” นภัทรถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแต่อีกฝ่ายกลับบอก

   “ก็ถามนายแล้วนี่นาว่าอยากจะทานอะไร นายเองก็ตอบว่ายังไงก็ได้เพราะทานได้หมด ฉันไม่ใช่คนรักของนายนะที่จะไปรู้ได้ว่านายชอบทานอะไร ไม่ชอบอะไร ก็เลยสั่งแบบมั่วๆไปหลายอย่าง มันคงจะดวงดีเจอของที่นายชอบทานบ้างแหล่ะ” คราวนี้นภัทรต้องหลุดขำออกมากับคำพูดของท่านประธานบริษัททัดเทวาอันยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้า จริงอยู่ว่าอาหารที่วิศรุตสั่งมาจะมีทั้งของที่เขาชอบและไม่ชอบ บางอย่างเขาเองก็ไม่เคยกินเสียด้วยซ้ำ คุณหมอหนุ่มมองหน้าวิศรุตนิ่ง แล้วจึงแกล้งพูด

   “ที่นายสั่งมาเนี่ย ฉันไม่ชอบสักอย่างเลยน่ะสิ” คำพูดนั้นทำให้วิศรุตหน้าตึงขึ้นมาทันที ก่อนขยับมือจะเรียกบริกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้น แต่นภัทรยึดมือเอาไว้เสียก่อน “นายจะทำอะไรน่ะ”

   “ก็จะให้เปลี่ยนอาหารใหม่ให้นายน่ะสิ คราวนี้นายก็สั่งเองได้เลยนะ จะได้เลือกสั่งแต่ของที่ชอบ”

   “ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนกินได้ เรื่องแค่นี้สบายมาก” คุณหมอหนุ่มยังไม่วายตีหน้าตายหลอกต่อไป

   “ก็ฉันบอกแล้วนี่นาว่าฉันไม่ใช่คนรักของนายซะหน่อย จะไปตรัสรู้ได้ไงว่านายชอบทานอะไรบ้าง”

   “แล้วอยากจะรู้หรือเปล่าล่ะ?” คำพูดสองแง่สองง่ามของนภัทรทำให้วิศรุตเผลอวางช้อนจนเสียงดัง ชายหนุ่มหลบสายตาอีกครั้งก่อนจะบอกว่าใครอยากจะไปรู้กัน นายจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรก็เป็นเรื่องของนาย เขาไม่เกี่ยวเสียหน่อย

“ก็นึกว่านายอยากจะรู้เสียอีก จะได้บอก” ยิ้มทะเล้นของนภัทรทำให้วิศรุตต้องลอบยิ้มในหน้า ก่อนจะตัดบทบอกให้นภัทรทานได้แล้วเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน

   “เอ้อ เห็นไอ้พงษ์บอกว่าช่วงนี้นายกับคุณศราเครียดๆเรื่องงานที่บริษัทเหรอ?” นภัทรถามขึ้นมาระหว่างที่ทานอาหารเพราะไม่อยากให้บรรยากาศในการดินเนอร์คืนนี้ระหว่างเขากับวิศรุตเงียบเชียบไปนักจึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แต่ดูท่าเขาคงยกมาพูดผิดเรื่องเพราะสังเกตได้จากสีหน้าของวิศรุตที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้นมาทันที

   “ใช่ ช่วงนี้ที่บริษัทมีเรื่องยุ่งๆน่ะ” วิศรุตมองหน้านภัทรก่อนตัดสินใจเล่าให้ชายหนุ่มตรงหน้าฟัง “มีผู้บริหารระดับสูง
ของบริษัทเกี่ยวพันกับการยักยอกเงินจำนวนหลายร้อยล้าน ตอนนี้ฉันกับศรากำลังช่วยกันรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะเอาผิดอยู่”
คู่สนทนาพยักหน้าเป็นเชิงว่ารู้แล้วก่อนจะถามต่อว่า

   “แล้วผู้บริหารที่ยักยอกเงินคนนั้นก็เป็นญาติของนายสินะ ถ้าฉันเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นไอ้หมอนั่นที่เคยจะทำร้ายคุณศราใช่ไหม?” วิศรุตถอนหายใจ นภัทรคงจะรู้เรื่องนี้มาจากพงศธรเพราะเขาเป็นคนเล่าให้พงศธรฟังเองด้วยความที่ไว้ใจฝ่ายนั้น อีกอย่างคือเขาต้องการให้พงศธรเป็นหูเป็นตาในเรื่องของการดำเนินการสร้างตามโครงการใหม่ของทัดเทวาด้วย หากมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับงบก่อสร้างทั้งหมดก็ให้พงศธรมารายงานเขาได้ทันทีเพราะเขาไม่ไว้ใจคนอื่นเนื่องด้วยเพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถูกวันชัยกับภาคินซื้อตัวเอาไว้

   “ไอ้ภาคินกับพ่อของมันร่วมมือกันโกงบริษัทฉัน พอศรารู้เรื่องเข้า ไอ้ภาคินก็จะจับศราไปข่มขืนเพื่อแบ็คเมล์แต่โชคดีที่พวกเราตามไปช่วยไว้ได้ทัน”

   “ตอนนี้หมอนั่นกับพ่อคงจะแค้นนายกับศรามากที่ไปเปิดโปงเรื่องยักยอกเงินกลางที่ประชุมผู้บริหารแบบนั้น ฉันว่าพวกนั้นคงต้องวางแผนเอาคืนแน่ นายกับศราเองก็ระวังตัวเองไว้หน่อยแล้วกัน” ประโยคสุดท้ายทำให้วิศรุตอุ่นซ่านในใจอีกครั้ง นภัทรบอกลายๆว่าเป็นห่วงเขา แม้ว่าบางทีชายหนุ่มอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบที่พูดก็ตาม

   “ขอบคุณนะ ฉันจะระวังตัวให้มาก” นภัทรยิ้มให้วิศรุตอย่างจริงใจ ก่อนที่ความรู้สึกลึกๆบางอย่างจะเกาะกุมจิตใจของเขา มันเป็นความรู้สึกสังหรณ์ในใจพิกลเหมือนกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน คุณหมอหนุ่มลอบมองวิศรุตอีกครั้งด้วยความกังวลใจอย่างประหลาด





   วิศรุตเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวอย่างอารมณ์ดี การได้ทานข้าวสองต่อสองกับนภัทรโดยไม่มีคนรบกวนมันทำให้เขาช่างมีความสุขเหลือเกิน เหมือนกับได้ไปอยู่ท่ามกลางความฝัน และมันก็เป็นฝันที่ตัวเขาไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงเลยสักนิด ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะล้วงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนเอาไว้บนเตียง จากนั้นจึงแกะเนคไทผ้าไหมราคาแพงออก แต่เสียงที่เคาะประตูห้องทำให้เขาต้องชะงักมือก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

   “มาหาฉันมีอะไรเหรอ?” วิศรุตถามเมื่อศรารัตน์เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว

   “ลุงมั่นบอกว่านายกลับมาแล้ว ฉันก็เลยแวะมาหา กะว่าจะมาคุยเรื่องเอกสารงบการเงินที่จะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดสองพ่อลูกนั่นน่ะ” หญิงสาววางแฟ้มที่ถือมาด้วยไว้บนเตียงของชายหนุ่ม

   “ขอฉันอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวไปหมดเลย เธอนั่งรอไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพอฉันอาบน้ำเสร็จเราจะได้มาคุยเรื่องนั้น  กันต่อเลย” ศรารัตน์พยักหน้าแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆกองเอกสารที่เธอวางเอาไว้ ในขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของห้องเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเองเป็นอันดับแรก

   เมื่อวิศรุตเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นานนัก เสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ศรารัตน์มองไปยังห้องน้ำ หญิงสาวได้  ยินเสียงของน้ำไหลจากฝักบัวทำให้รู้ว่าวิศรุตคงกำลังอาบน้ำอยู่แน่ๆและก็คงจะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์อย่างแน่นอน เธอจึงหยิบ   มือถือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือพงศธรนั่นเอง ในที่สุดศรารัตน์ก็ตัดสินใจกดรับแต่ยังไม่ทันได้บอกว่าวิศรุตอยู่ในห้องน้ำ ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

   “ฮัลโหลวิน ฉันจะมาชวนนายไปงานเลี้ยงรุ่นม.ปลายน่ะ งานนี้เพื่อนเก่าๆไปกันเต็มเลยนะเว้ย ฉันกับไอ้กานต์ก็จะไปด้วยเหมือนกัน นายไปด้วยกันไหมล่ะ? จะได้ถือโอกาสนี้คุยกับไอ้กานต์ให้มากๆหน่อย ฉันรู้หรอกนะว่าต่อหน้าคุณศราน่ะ นายกับไอ้กานต์ต้องแกล้งทำเป็นคนไม่รู้จักกันใช่ไหมล่ะ?” สิ่งที่ได้ยินจากปากพงศธรทำให้ศรารัตน์กำมือถือแน่น เป็นอย่างที่เธอเคยคิดเอาไว้จริงๆ พี่ชายของเธอกับคุณหมอกานต์เคยรู้จักกันมาก่อน แถมยังเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายร่วมชั้นเรียนเดียวกันอีกด้วย แต่เพราะเหตุผลอะไรกันที่วิศรุตถึงเลือกที่จะปิดบังเธอไว้ ทำไมต่อหน้าเธอจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับหมอกานต์ด้วย

   “ฮัลโหลวิน นายฟังอยู่หรือเปล่า ฮัลโหลๆ” ปลายสายเรียกซ้ำเพราะแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่พูดตอบกลับมา ศรารัตน์จึง ได้สติหลุดออกจากภวังค์ จากนั้นหญิงสาวจึงกดตัดสายไปท่ามกลางความแปลกใจของพงศธร

   เสียงโทรศัพท์มือถือของวิศรุตดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง คนที่โทรมาก็คือพงศธรเช่นเดิม คราวนี้ศรารัตน์เลือกที่จะปิดเครื่องเลยเพราะกลัวว่าวิศรุตที่อาบน้ำอยู่จะได้ยินเสียงเรียกเข้าของมือถือตัวเองแล้วจะสงสัยเอาได้

   ศรารัตน์มองมือถือในมืออย่างหมายมาดก่อนจะวางมันเอาไว้ที่เดิม จากนั้นจึงค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของวิศรุตออกไปอย่างเงียบเชียบ วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าวิศรุตกำลังปิดบังอะไรเธออยู่กันแน่





   ศรารัตน์ถือโอกาสตอนที่วิศรุตกำลังอาบน้ำอยู่แอบเข้ามาในห้องทำงานของวิศรุต หญิงสาวตรงไปยังตู้กระจกไม้สัก ขนาดใหญ่หลังโต๊ะทำงานของชายหนุ่มเพราะนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตมักจะเก็บของสำคัญหรือของที่ระลึกเกี่ยวกับสมัยที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมเอาไว้ที่ตู้นี้ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอะไรมายืนยันความเข้าใจของเธอในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

   ศรารัตน์ลองขยับเปิดตู้ดูแต่ก็พบว่ามันถูกล๊อคกุญแจเอาไว้ หญิงสาวส่งเสียงในคออย่างขัดใจ ก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อหากุญแจที่วิศรุตอาจจะซ่อนเอาไว้ที่ไหนซักแห่ง แต่ในที่สุดกุญแจก็ไม่ได้อยู่ในนั้น ศรารัตน์มองไปรอบตัวอย่างเริ่มหัวเสีย ความอยากรู้ที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจทำให้หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เธอหากุญแจต่อไปเรื่อยๆในใจก็ลุ้นให้วิศรุตอาบน้ำนานๆเพื่อที่ว่าเธอจะได้มีเวลาในการหามากกว่านี้ ด้วยอารมณ์รีบร้อนกลัวว่าวิศรุตอาจจะมาเห็นว่าเธอแอบเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน หญิงสาวจึงร้อนรนจนมือบางเผลอไปปัดไดอารี่เล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะหล่นลงมาที่พื้น โชคดีที่พื้นห้องปูด้วยพรมเปอร์เซียผืนหนา ดังนั้นเมื่อของตกจึงไม่เกิดเสียงดังขึ้นมากนัก ศรารัตน์รีบก้มตัวลงไปเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นขึ้นมาทันที ก่อนจะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้ในไดอารี่เล่มหนานั้นด้วยและมันก็หลุดกระเด็นออกมาเมื่อตอนที่เธอทำไดอารี่ตกพื้น บางสิ่งที่ว่ามันก็คือกุญแจดอกหนึ่งนั่นเอง

   ศรารัตน์มองกุญแจในมือก่อนจะตัดสินใจลองเสียบเข้าไปยังรูกุญแจของตู้หลังโต๊ะทำงานนั้น ปรากฏว่ามันเปิดออกได้จริงๆ หญิงสาวยิ้มในหน้าก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบของในตู้นั้นออกมา ซึ่งภายในนั้นก็มีรูปถ่ายเก่าๆสมัยเรียนของวิศรุต สมุดไดอารี่และของสะสมตามกระแสนิยมมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงความสนใจของหญิงเอาไว้ก็คือหนังสือรุ่นสมัยมัธยมต้นของวิศรุต หนังสือนั้นมีหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้ด้วย ศรารัตน์จึงเปิดไปตามหน้านั้นเพราะคิดว่าหน้าที่วิศรุตคั่นเอาไว้มันคงจะเป็นหน้าที่พิเศษกว่าหน้าอื่นๆอย่างแน่นอน

   ในหน้านั้นก็เป็นการถ่ายรูปรวมหมู่ของกลุ่มเพื่อนนักเรียนทั่วไป  ในภาพนั้นมีวิศรุตกับเพื่อนๆและที่สำคัญก็คือยังมี
นภัทรรวมอยู่ด้วย แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วหลายปี แต่หญิงสาวมั่นใจว่าเด็กหนุ่มในรูปคือนภัทรแน่ๆ เพราะนภัทรในอดีตกับคุณหมอนภัทรในวันนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลยซักนิด ส่วนวิศรุตในตอนวัยรุ่นนั้นเธอจำหน้าได้แม่นอยู่แล้ว เท่านี้ก็เป็นการยืนยันคำตอบของเธอได้แล้ว สองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนจริงๆด้วย เมื่อก่อนหญิงสาวเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมวิศรุตถึงต้องคอยพยายามกีดกันไม่ให้เธอชอบกับนภัทรด้วย แต่ในที่สุดวันนี้เธอก็รู้จนได้...

ศรารัตน์มองจ้องไปที่หนังสือรุ่นในมืออีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้มองที่รูป แต่กลับมองข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือของวิศรุตข้างๆรูปแทน  พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของศรารัตน์ ทำไมต้องเป็นแบบนี้...

   “เป็นครั้งแรกที่ได้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองแอบรักมานาน...นภัทร อิสรีย์”

   “นี่มันห้องทำงานส่วนตัวของฉันนะ เธอจะเข้ามาทำไมไม่ขออนุญาตฉันก่อน?” เสียงวิศรุตที่เจือแววความไม่พอใจอย่างชัดเจนดังขึ้นหน้าประตูห้องทำงาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รู้สึกตกใจอย่างที่ควรจะเป็น ความจริงตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกตกใจมากกว่า “ฉันอาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่เห็นเธอแล้ว เห็นห้องนี้เปิดไฟอยู่ฉันก็เลยเข้ามาดู ว่าแต่เธอเข้ามาทำอะไร? ฉันไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องนี้ถ้าฉันไม่ได้อนุญาต เธอเองก็รู้ดีนี่นา” วิศรุตตำหนิน้องสาวด้วยน้ำเสียงรัวเร็วโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกไปของศรารัตน์

   “ถ้าฉันไม่เข้ามา ฉันก็คงจะเป็นผู้หญิงหน้าโง่ที่ถูกนายปิดบังความลับเอาไว้ตลอดชีวิตสินะ” ตอนแรกวิศรุตมีสีหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผู้เป็นน้องสาวพูด แต่เมื่อศรารัตน์หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับตน ชายหนุ่มก็ได้เห็นสิ่งที่ศรารัตน์กำลังถืออยู่อย่างเต็มสองตา เธอกำลังถือหนังสือรุ่นสมัยม.ต้นของเขาอยู่ เท่านี้ก็ทำให้วิศรุตปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ไม่ยาก และตอนนี้
ศรารัตน์เองก็คงจะรู้เรื่องที่เขาปิดบังเธอไว้หมดแล้วเช่นกัน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรแล้วก็ความลับส่วนตัวของเขา



จบบทที่19

ปล. ตอนที่20ก็คือเหตุการณ์ทางฝั่งของภาณุที่เกิดคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ของตอนที่19นะคะ เผื่องง เอิ๊กๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่20
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 02-08-2012 11:44:48
บทที่ 20


   วันนี้วิศรุตเลิกงานและกลับบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะเห็นว่ามีนัดทานข้าวเย็นกับเพื่อนเก่า เมื่อเจ้านายไม่อยู่ เมริษาจึงสบโอกาสแอบเข้าไปค้นหาหลักฐานภายในห้องทำงานของวิศรุต หญิงสาวมองไปรอบๆห้องอย่างประเมินในใจว่าวิศรุตน่าจะเก็บพวกเอกสารไว้ที่ไหน สายตาของเธอไปสะดุดอยู่ที่ตู้เอกสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เยื้องโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม แต่เมื่อลองค้นดูคร่าวๆแล้ว หญิงสาวก็ไม่พบว่ามันจะเป็นเอกสารสำคัญที่เธอต้องการแต่อย่างใด ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังตู้เอกสารหลังโต๊ะทำงานของวิศรุตแทน บังเอิญตู้นั้นไม่ได้ล็อคกุญแจเอาไว้และเมื่อเธอหยิบเอาแฟ้มเอกสารภายในตู้นั้นออกมาดูก็พบว่ามันเป็นแฟ้มที่รวบรวมเอกสารงบการเงินย้อนหลังของบริษัททัดเทวานั่นเอง เมริษามองแฟ้มเอกสารในมือก่อนจะยิ้มสมใจ

   เมริษาดึงเอกสารเหล่านั้นออกมาจากแฟ้มแล้วกองเอาไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน ก่อนจะทยอยรื้อกองแฟ้มที่อยู่ในตู้นั้นออกมาจนหมดแล้วคัดเฉพาะสิ่งที่เธอต้องการ จากนั้นก็จัดการเรียงแฟ้มเอกสารเข้าไปให้ตู้ดังเดิมก่อนจะหอบเอกสารที่คัดแยกเอาไว้แล้วทั้งหมดออกจากห้องทำงานของประธานกรรมการเพื่อไปยังห้องทำลายเอกสาร

   หลังจากที่ทำลายเอกสารสำคัญที่จะเป็นหลักฐานมัดตัววันชัยกับภาคินเรียบร้อยแล้ว เมริษาก็นึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเป็นคนฉลาด ชายหนุ่มจะต้องสำรองข้อมูลอื่นๆไว้ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส่วนตัวของเขาอย่างแน่นอน และเมื่อกี้เธอก็เห็นว่าโน้ตบุ๊คของวิศรุตถูกเจ้าของวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานนั่นแหล่ะ ดูท่าทางวิศรุตคงจะรีบร้อนออกไปตามนัดจนลืมทิ้งของสำคัญเอาไว้เสียแล้วซึ่งเมริษาก็อดที่จะขอบใจชายหนุ่มไม่ได้เพราะมันจะทำให้งานของเธอง่ายขึ้นมากทีเดียว

   เมื่อได้ลองเปิดดูข้อมูลไฟล์งานในโน้ตบุ๊คของวิศรุต เมริษาก็พบว่ามันเป็นไปอย่างที่เธอคาดจริงๆ แถมในนั้นยังมีข้อมูลลับอื่นๆนอกเหนือจากเอกสารต้นฉบับที่เธอทำลายทิ้งอีกมากมาย หญิงสาวไม่อยากจะนึกเลยว่าหากวิศรุตและศรารัตน์ใช้ข้อมูลหลักฐานพวกนี้เปิดโปงเอาผิดกับภาคินและวันชัยแล้วล่ะก็ สองพ่อลูกนั้นก็คงหมดโอกาสแก้ต่างอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นเมริษาก็ไม่รอช้า เธอจัดการรวมรวมไฟล์ทั้งหมดก่อนจะใช้แผ่นซีดีเปล่าที่เธอเตรียมมาไรท์ข้อมูลลงไปในซีดีนั้น เมริษามองเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังไรท์ข้อมูลอยู่อย่างร้อนใจพลางภาวนาให้เสร็จเร็วๆเพราะหากว่ามีคนมาเจอเธออยู่ในห้องทำงานของวิศรุตในตอนที่ชายหนุ่มไม่อยู่ล่ะก็ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่และวิศรุตก็คงจะไม่ปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน

   เมื่อกระบวนการไรท์ข้อมูลดำเนินมาขั้นสุดท้าย เมริษาเหยียดยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเอาแผ่นซีดีที่ตอนนี้บรรจุข้อมูลจนเต็มออกมาจากโน้ตบุ๊คและตั้งใจจะลบข้อมูลทั้งหมดทิ้งซึ่งก็เป็นจังหวะที่บุคคลหนึ่งเปิดประตูห้องทำงานของวิศรุตเข้ามาพอดี

   “เฮ้ยไอ้วิน ฉันจะมาชวนแกไปกินข้าวน่ะ แล้วเลขาแกเค้าหายตัวไปไหนวะ? ตอนฉันเข้ามาไม่เห็นใครเลย” ภาณุเอ่ยทักขึ้นโดยไม่ทันได้มองว่าวิศรุตไม่ได้อยู่ในห้อง แต่คนที่อยู่กลับเป็นเมริษาแทน ในขณะที่หญิงสาวหันไปเห็นก็กลับตกใจจนหน้าซีดเหมือนคนที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ แถมเป็นการจับได้แบบคาหนังคาเขาเสียด้วย

   เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนไม่ได้อยู่ในห้องแต่กลับเป็นผู้หญิงอีกคนที่กำลังยืนวุ่นวายอยู่กับโน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงานของประธานกรรมการบริษัท ภาณุจำได้อย่างแม่นยำว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยเจอตอนไปเที่ยวผับแถมยังเป็นคนเดียวกับที่เคยควงกับภาคินจนเขาให้ฉายาเธอว่าเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงิน

   “คุณเป็นใคร แล้วเข้ามาทำอะไรในนี้ครับ?”

   “เอ่อ ฉันเป็นเลขาคนใหม่ของคุณวิศรุตค่ะ พอดีว่าวันนี้คุณวิศรุตกลับไปก่อนแล้ว ดิฉันก็กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน ก่อนกลับก็เลยแวะมาตรวจความเรียบร้อยน่ะค่ะ” เมริษายิ้มหวานกลบเกลื่อนก่อนจะแอบหย่อนแผ่นซีดีในมือลงกระเป๋าสะพายแล้วก็รีบขอตัวกลับก่อนอย่างมีพิรุธ ท่ามกลางสายตาของภาณุที่มองอย่างแคลงใจ

   หลังจากที่เมริษาออกจากห้องไปแล้ว ภาณุนึกสงสัยก็เลยลองเปิดโน้ตบุ๊คของวิศรุตดู ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ถูกปิดเครื่องตามที่ควรจะเป็นแต่ว่ามันเป็นการพักหน้าจอเอาไว้เท่านั้น เหมือนกับว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่อ้างตัวว่าเป็นเลขาของวิศรุตได้แอบมาใช้โน้ตบุ๊คของเพื่อนเขาอย่างนั้นแหล่ะ ด้วยความที่เป็นคนรอบคอบ ภาณุจึงเปิดโปรแกรมเรียกดูเอกสารย้อนหลังก่อนจะพบว่าเอกสารล่าสุดที่ถูกเรียกดูเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลลับของบริษัททั้งสิ้น รวมถึงมันยังเป็นหลักฐานสำคัญที่จะเอาผิดกับญาติจอมขี้โกงทั้งสองคนของวิศรุตด้วย

   ภาณุใช้เวลาไม่นานนักก่อนสมองของเขาจะประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดและนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเคยเล่าให้เขาฟังครั้งหนึ่งว่าได้รับเมริษาเข้ามาทำงานเป็นเลขาแทนคุณอิงอรที่ประสบอุบัติเหตุจนต้องหยุดงานไป ซึ่งเมริษาก็เป็นคนที่วันชัยกับ
ภาคินส่งมาเพื่อให้มาทำงานกับวิศรุต

   “หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็น...แย่แล้ว...” เมื่อนึกรู้ว่าผู้หญิงที่ตนได้เจอเมื่อครู่ก็คือเมริษา ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์หลายๆอย่างที่มันตรงกันเหลือเกิน ทำให้ภาณุค่อนข้างจะเดาได้แล้วว่าเมริษาต้องฉวยโอกาสตอนที่วิศรุตไม่อยู่แอบเข้ามาขโมยข้อมูลลับไปให้วันชัยกับภาคินอย่างแน่นอน และเขาก็จะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดเพราะนั่นหมายถึงอนาคตการทำงานของวิศรุตและศรารัตน์ ที่สำคัญบริษัททัดเทวาไม่สมควรจะต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นที่ไม่ใช่ทายาทที่แท้จริง





   ภาณุรีบวิ่งตามเมริษามาจนกระทั่งถึงลานจอดรถของบริษัท เมื่อเมริษาหันไปเห็นว่าภาณุกำลังวิ่งตามเธอมาก็นึกรู้ได้ทันทีว่าภาณุคงกำลังสงสัยว่าเธอแอบเข้ามาขโมยข้อมูลแน่ๆ หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ไม่ไกลนักก่อนจะสตาร์ทและขับออกไปทันที เฉียดกับภาณุที่วิ่งตามจนเกือบจะทันแล้ว ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียก่อนจะไม่ยอมแพ้และรีบวิ่งไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆกันนั้นแล้วขับตามไปทันที เขาจำเป็นต้องหยุดผู้หญิงคนนั้นให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

   ระหว่างที่ขับรถตามเมริษา ภาณุก็ต่อโทรศัพท์ไปหาวิศรุตแต่ก็ติดต่อไม่ได้เพราะอีกฝ่ายปิดเครื่อง ชายหนุ่มเริ่มหัวเสียที่ติดต่อเพื่อนรักไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมวิศรุตถึงต้องปิดโทรศัพท์มือถือด้วยทั้งๆที่แต่ก่อนวิศรุตเปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อติดต่อวิศรุตไม่ได้ภาณุก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้เอง ชายหนุ่มจึงพยายามขับตามจี้ท้ายรถของเมริษาไปติดๆรวมถึงการพยายามขับปาดหน้าเพื่อกดดันให้หญิงสาวต้องหยุดรถ แต่เมริษาก็อาศัยชั้นเชิงการขับรถที่ยอดเยี่ยมจนสามารถสะบัดหลุดจากการตามติดของภาณุได้ หญิงสาวเหยียบคันเร่งเต็มที่เพื่อมุ่งหน้าไปยังคอนโดส่วนตัวที่อยู่ใจกลางเมือง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นตั้งใจไว้ว่าจะเอาข้อมูลที่ได้มาไปให้กับภาคินที่บ้านของเขาก่อน

   แต่เมริษาก็คิดผิดที่ว่าจะสามารถหลุดรอดจากการติดตามของภาณุได้ หญิงสาวเห็นรถของภาณุที่ขับตามมาโดยทิ้งระยะห่างไม่มากนักผ่านทางกระจกข้างของตัวรถ เมริษากัดฟันแน่นอย่างหัวเสีย ทำไมถึงต้องตามมาแบบกัดไม่ปล่อยอย่างนี้ด้วยนะ  หลังจากนั้นเมริษาจึงเหยียบคันเร่งเพื่อหนีให้พ้นจากภาณุอีกครั้ง โดยไม่นานนักรถของเมริษาก็เลี้ยวเข้ามาจอดยังคอนโดของเธอ หญิงสาวรีบกดรีโมทล็อครถก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปยังตึกคอนโดทันที โดยสั่งรปภ.ของอาคารไว้ว่าเธอกำลังถูกผู้ชายโรคจิตคนหนึ่งตามรังควานอยู่ เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีและแต่งตัวดี ผู้ชายคนนั้นตามรังควานเธอตลอดเวลาและถ้าหากเขาตามเธอมาอีกก็ให้รปภ.ช่วยไล่ไปด้วย อย่าให้เขาตามเธอมาได้เป็นอันขาด

   เมื่อภาณุเห็นหลังของเมริษาไวๆว่าวิ่งหายเข้าไปในคอนโดหรู ชายหนุ่มก็จอดรถแล้วตามเข้าไปบ้าง แต่ก็ถูกรปภ.ที่
เมริษาได้สั่งเอาไว้สกัดภาณุไม่ให้สามารถเข้ามาในตัวอาคารคอนโดได้ แม้ภาณุจะพยายามบอกว่าเขาไม่ใช่พวกโรคจิตแบบที่เมริษาบอกก็ตาม

   “โธ่เอ๊ย คุณมาจับผมทำไมเนี่ย? ผมไม่ใช่พวกโรคจิตนะคุณ ปล่อยผมสิ”

   “เราให้คุณเข้าไปในนั้นไม่ได้ครับ คุณผู้หญิงคนเมื่อครู่แจ้งเอาไว้ว่าคุณเป็นพวกโรคจิตที่ตามรังควานเธอ” รปภ.บอก

   “ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่ ผมเป็นผัวของผู้หญิงคนนั้นนะ แล้วเธอก็เป็นเมียของผม เราสองคนทะเลาะกันจนเธอหอบผ้าหอบผ่อนหนีผมมาอยู่คอนโดเนี่ย ขอร้องเหอะพี่ช่วยให้ผมได้ปรับความเข้าใจกับเมียเถอะ” ณ วินาทีนั้น ภาณุตัดสินใจโกหกคำโตออกไปก่อนจะควักแบงค์พันสองสามใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยัดใส่มือรปภ.คนนั้นเพื่อให้เปิดทางให้เขาได้ตามเมริษาไป ซึ่งชายหนุ่มก็อาศัยทีเผลอตอนรปภ.ทำหน้างงแล้วจึงสะบัดหลุดจากรปภ. จากนั้นก็ตามเมริษาเข้าไปด้านในจนได้

   ด้านเมริษาที่วิ่งเข้ามาด้านในอาคารแล้ว หญิงสาวหยุดหอบหายใจจนตัวโยนก่อนจะวิ่งไปทางลิฟต์เพื่อกดชั้นห้องพักของเธอ ด้วยความร้อนรนที่ลิฟต์ยังไม่มาเสียทีประกอบกับกลัวว่าภาณุจะตามมาทันเพราะตอนนี้เธอเห็นจากหางตาว่าเขาผ่านรปภ.มาได้แล้วและกำลังวิ่งตามเธอมาติดๆ ทำให้เมริษาตัดสินไม่รอลิฟต์อีกต่อไปแต่เปลี่ยนมาเป็นวิ่งขึ้นบันไดแทน   

   ด้วยความที่ใส่รองเท้าส้นสูงทำให้เมริษาวิ่งขึ้นบันไดได้ลำบากกว่าปกติ แต่หญิงสาวก็กัดฟันข่มความเหนื่อยเอาไว้ เพราะหากถูกจับได้ตอนนี้ เรื่องราวทั้งหมดก็จะพังทลายลงในชั่วพริบตา เธอจะยอมให้ภาณุมาทำลายงานของเธอไม่ได้เด็ดขาด เมริษาวิ่งขึ้นบันไดไปเรื่อยๆด้วยความเหนื่อยหอบ ในขณะที่ภาณุก็วิ่งขึ้นบันไดตามเธอมาด้วยอย่างไม่ละความพยายามเช่นกัน เมริษามองป้ายบอกชั้นที่ติดอยู่ที่ผนังอาคารก่อนจะกัดฟันสู้ อีกแค่สองชั้นเท่านั้นก็จะถึงห้องพักของเธอแล้วและภาณุก็จะตามเธอเข้าไปไม่ได้อีก

   เมื่อมาถึงชั้นสิบเจ็ดซึ่งเป็นชั้นที่เมริษาพักอยู่ หญิงสาวก็รีบวิ่งไปยังโซนปีกขวาและเมื่อมาถึงห้องพัก เมริษาก็ควานหากุญแจห้องภายในกระเป๋าสะพายของเธอ แล้วพยายามจะใช้กุญแจนั้นไขประตูให้เปิดออก แต่เจ้ากรรมด้วยอารามรีบร้อนทำให้กุญแจห้องหลุดมือแล้วกระเด็นไปตามทางเดินก่อนจะไปหยุดตรงปลายเท้าของภาณุที่ตามขึ้นมาทันพอดี

   “คุณ” เมริษาอุทานออกมาอย่างตระหนก ดวงหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดเมื่อคนที่เธอพยายามจะหนี เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วแถมยังถือกุญแจห้องเธอไว้ในมืออีก

   “เรามีเรื่องต้องพูดกัน เมริษา” ภาณุยิ้มเครียด มือหนาปาดเหงื่อที่เปียกชุ่มอยู่ตามไรผมก่อนจะเดินมาหาเมริษาด้วยแววตากร้าวที่แม้แต่วิศรุตก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นภาณุในอารมณ์นี้บ่อยนัก

   “คุณมารู้จักชื่อฉันได้ยังไง? แล้วฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณด้วย เอากุญแจมาให้ฉันแล้วก็เชิญคุณกลับไปได้แล้วก่อนที่ฉันจะเรียกรปภ.ให้มาลากคุณออกไป” เมริษาตวาดด้วยเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น แต่ภาณุไม่สนใจกลับเดินเข้ามาหาเมริษาเรื่อยๆ จนทำให้หญิงสาวต้องค่อยๆก้าวถอยหลังไปเพื่อเว้นระยะห่างจนกระทั่งติดกำแพงและไม่มีที่จะถอยอีกต่อไปแล้ว

   “อย่าเข้ามานะ คุณจะทำอะไรน่ะ? ถ้าเข้ามาอีกฉันจะเรียกรปภ.จริงๆนะ”

   “เชิญคุณโทรเรียกเลย ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ารปภ.หน้าไหนมันจะกล้าเสนอหน้ามายุ่งกับเรื่องผัวเมีย”

   “แก...ไอ้บ้า ไอ้...” เมริษาสบถออกมาด้วยความโมโหกับเรื่องหลอกลวงที่ภาณุแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกรปภ.ซึ่งนั่นมันทำให้เธอเสียหาย

   “มานี่เลย ผมมีเรื่องจะต้องพูดกับคุณ แล้ววันนี้ก็จะต้องรู้เรื่องให้ได้ด้วย” ภาณุกระชากแขนเมริษาแล้วกึ่งลากหญิงสาวที่เหมือนม้ากำลังพยศเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นจึงใช้กุญแจห้องที่อยู่ในมือไขประตูเปิดเข้าไป ตามด้วยการออกแรงกระชากหญิงสาวเจ้าของห้องให้ตามเข้าไปด้วยกัน

   เมื่อเข้ามาและเปิดไฟในห้องเรียบร้อยแล้ว ภาณุก็ปล่อยเมริษาให้เป็นอิสระ หญิงสาวสบัดแขนด้วยความเจ็บก่อนจะสบตากับภาณุด้วยแววตากร้าวเพราะความโกรธ

   “แกตามฉันมา ต้องการอะไร?”

   “ฉันต้องการให้เธอตอบคำถามฉันมาว่าเธอแอบเข้าไปขโมยข้อมูลหลักฐานจากห้องทำงานของไอ้วินใช่ไหม?”

   “ฉันเปล่า อย่ามาพูดมั่วๆแบบนี้นะ”

   “โกหก บอกฉันมาตามตรงดีกว่าว่าเธอรู้อะไรบ้าง แล้วข้อมูลที่เธอได้มาทั้งหมดตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงภาณุ เปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวก่อนจะกระชากตัวเมริษามาเขย่าด้วยความโมโห ตอนแรกที่เจอกันในผับ เขาประทับใจในความสวยของผู้หญิงคนนี้มาก แต่พอได้รู้ว่าเธอเป็นพวกชอบใช้ความสวยในการหลอกล่อผู้ชาย ความประทับใจที่เคยมีให้ก็หมดลงภายในพริบตาเดียว

   “ปล่อยฉันนะ นี่แกจะทำอะไร? ปล่อยฉันสิ” เมริษาพยายามดิ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลเพราะมือหนาที่เกาะกุมไหล่เธออยู่มันบีบแน่นเสียจนเธอกลัวว่ากระดูกจะหักไปเสียก่อน

   “ฉันทำแน่ ถ้าเธอไม่ยอมตอบคำถามฉันมาดีๆ ไหนๆฉันก็หลอกคนอื่นไว้แล้วว่าเราเป็นผัวเมียกัน จะมาลองเล่นบทนี้กันสักครั้งดูไหม?” ปกติภาณุเป็นสุภาพบุรุษที่ให้เกียรติผู้หญิง แต่วันนี้ผู้หญิงตรงหน้ากลับทำให้เขาฟิวส์ขาดได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆเธอก็ไม่ใช่กุลสตรีดีเด่อะไร เขาก็คงไม่จำเป็นต้องสวมบทสุภาพบุรุษเช่นกัน

   “สารเลว ไอ้บ้า ไอ้คนชั่ว ไอ้...” ก่อนที่เมริษาจะได้บริภาษต่อ ภาณุก็ใช้อุ้งมือหนาของตัวเองบิดใบหน้าของเมริษาให้หันมารับจูบของตน จูบนี้ของภาณุรุนแรงและบดขยี้กลีบปากสีสดของเมริษาให้บวมช้ำ ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการให้เธอประทับใจ กับจูบของเขาแต่ต้องการจะแกล้งให้เธอเจ็บใจเล่นเสียมากกว่า

   “อื้อ...” ตอนที่ถูกภาณุจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวก็ทำเอาเมริษาสติพร่าเลือนไปชั่วขณะ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลิ้นอ่อนนุ่มของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของเธอ หญิงสาวพยายามจะสะบัดตัวหนีแต่ภาณุไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ทำ ตามใจ จนในที่สุดภาณุก็เป็นฝ่ายถอนจูบเอง

   “ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้สารเลว ไอ้...” เมริษาด่าพร้อมกับใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากของตัวเองไปด้วย เธอไม่น่าพลาดท่าเสียทีให้กับคนพรรค์นี้เลย

   “ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าเธอแอบเข้าไปขโมยอะไรมา แล้วข้อมูลที่เธอได้มามันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

   “ฉันไม่บอก ต่อให้นายฆ่าฉันตายฉันก็ไม่บอก” หญิงสาวเชิดหน้าอย่างถือดี เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเธอไม่ปริปากเสียอย่าง คนตรงหน้าจะทำอะไรเธอได้

   “เธอนี่มันถนัดในการยั่วโมโหจริงนั้น หรือว่านี่จะเป็นเทคนิคในการยั่วยวนผู้ชายของเธอ โดยการแกล้งทำให้โกรธและโมโหก่อนเพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติเวลาทำกิจกรรมบนเตียง” ภาณุเดินย่างสามขุมเข้ามาหาเมริษาด้วยท่าทางน่ากลัว “ฉันรู้หรอกนะว่าเธอน่ะเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงิน เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ฉันยอมจ่ายเงินให้เพื่อแลกกับความลับและข้อมูลทั้งหมดที่เธอรู้มา อีกทั้งเธอจะได้ไม่ต้องมาวางแผนจับเพื่อนของฉันเพื่อหวังรวยทางลัดอีกต่อไป ว่ายังไงล่ะ?”

   “นี่จะดูถูกฉันมากเกินไปแล้วนะ” หน้าเมริษาที่เคยซีดเผือดตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธที่ภาณุมา กล่าวหาเธอแบบนี้ ทั้งๆที่เธอเองก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง เธอมันก็เป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินที่จ้องจะจับผู้ชายรวยๆอย่างที่ภาณุว่านั่นแหล่ะ

   “ก็แล้วที่ฉันพูดมันจริงไหมล่ะ? เธอรวมหัวกับไอ้ภาคินแล้วก็วันชัยมาโกงเพื่อนของฉัน และฉันก็ว่าผู้หญิงฉลาดอย่างเธอคงไม่ทำไปเพราะเหตุผลเดียวที่ว่าเธอรักไอ้ภาคินหรอกนะ เธอก็คงหวังล่ะสิว่าถ้าไอ้ภาคินได้ดิบได้ดีอยู่บนกองสมบัติของทัดเทวา เธอเองก็จะพลอยสุขสบายไปทั้งชาติด้วย แต่ฉันจะบอกให้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดหรอก”

   เพี๊ยะ!!!

   เมริษาตบหน้าภาณุจนอีกฝ่ายหน้าหันไปตามแรงมือ หญิงสาวหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธจัดที่ถูกชายหนุ่มจี้ใจดำ  ถึงมันจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดกับเธอแบบนี้ ในขณะที่ภาณุเองก็หมดความอดทนอีกต่อไป

   “ถ้าเราตกลงกันดีๆไม่ได้ เห็นทีเราก็คงจะต้องไปตกลงกันต่อบนเตียงแล้วล่ะ ฉันก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอมีอะไรดีนักหนาถึงมัดใจเสือผู้หญิงอย่างไอ้ภาคินได้” พูดไม่ทันขาดคำ ภาณุก็เหวี่ยงร่างบางของเมริษาไปยังเตียงนอนหลังกว้างกลางห้องอย่างรุนแรง หญิงสาวพยายามดิ้นรน ทั้งสะบัดทั้งตีแต่ภาณุก็ไม่ปล่อย ไม่นานนักร่างหนากำยำสมส่วนตามแบบบุรุษเพศก็ทาบทับตามลงมาเพื่อปราบพยศคนตรงหน้าทันที


จบบทที่20

Aislin : สวัสดีค่ะมิตรรักนักอ่านทุกท่าน วันนี้มาต่อให้เหมือนเช่นเคยแล้วนะคะ ขอแย้มๆนิดนึงว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป ความรักของวินกันหมอกานต์ก็จะคืบหน้าแล้วนะคะ สำหรับใครที่ตามเชียร์อยู่ก็เตรียมลุ้นได้เลย แต่กว่าจะได้ลงเอยกันก็แทบปาดเหงื่อ 555 สำหรับเรื่องราวความรักก็กำลังดำเนินไป เรื่องการแย่งอำนาจทางธุรกิจก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เหตุการณ์ตอนหน้าจะเป็นจุดพลิกผันของเรื่องแล้ว...วินจะรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร และนภัทรจะสามารถเปิดใจให้วินได้หรือไม่? ติดตามต่อเอาเองเน้อออ
ตอนนี้เรายุ่งๆอยู่กะเรื่องที่บ้าน ขอตัวก่อนนะจ้ะ หากสงสัยหรือต้องการพูดคุยติชมใดๆก็สามารถทิ้งคอมเม้นท์เอาไว้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเราจะเลือกบางคอมเม้นท์มาตอบนะคะ (แต่เราก็อ่านทุกคอมเม้นท์เน้อ ไม่ต้องน้อยใจไป 555)

           ตอบเรื่องที่มีนักอ่านบางท่าน(คุณnunnan) ขอให้เราเอาตอนพิเศษ (ที่ไม่ได้ลงในเว็บเด็กดี) มาลงไว้ที่นี่ อันนี้ต้องขออนุญาตบอกว่าคงทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ เพราะว่าตอนพิเศษนี้เราตั้งใจว่าจะมอบให้เป็นของขวัญเพื่อขอบคุณแฟนๆนิยายที่เสียสละเวลามาเล่นเกมชิงไฟลล์ตอนพิเศษจากเรา ดังนั้นถ้าหากใครอยากอ่านก็ต้องออกแรงหน่อยเน้อ อีกอย่างก็คือหากว่าเอาตอนพิเศษมาลงในนี้ เดี๋ยวจะดูไม่เป็นการยุติธรรมกับคนที่ร่วมเล่นเกมอ่ะค่ะ ดังนั้นขออภัยอย่างสูงเลยเน้อ ซึ่งกติกาการเล่นเกมสามารถอ่านได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ แต่เดี๋ยวถ้าเราโพสนิยายจนจบแล้ว เราจะเอาเรื่องเกมการชิงไฟล์ตอนพิเศษมาประชาสัมพันธ์แน่นอน

http://writer.dek-d.com/Aislin/story/viewlongc.php?id=695939&chapter=44

ยังไงก็ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับการติดตาม (ทั้งนักอ่านที่คอมเม้นท์ให้และนักอ่านเงาทั้งหลาย) เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 02-08-2012 12:53:52
โอ้วแอบเสียดายภาณุ

วินเอ้ย ศึกนอกศึกใน ใหญ่ทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 02-08-2012 13:30:48
อ่านแล้วเครียดเนอะ ฮ่าๆๆๆ  :fire:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 02-08-2012 16:12:23
เรื่องชักสนุกและเข้มข้นมากๆ

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 02-08-2012 16:53:18
20 รวด

2 พี่น้อง ทิฐิกันไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่มีปัญหารอบด้าน แทนที่จะรักกันไว้กลับต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง :เฮ้อ:

ภานุสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 02-08-2012 17:15:16
เรื่องของอำนาจและเงินตรามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
ว่าแต่วิศรุตจะเคลียร์กับศรารัตน์ยังไงล่ะ
น้องสาวจะยอมเปิดทางให้พี่ชายรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 02-08-2012 17:15:52
อย่างกับหนังเลย มีตัวร้าย มีรักสามเศ้า ดราม่าชัดๆ :o12:
หลงรักหมอกานต์ เป็นคนที่อบอุ่น และน่ารักมาก♥
มีแต่คนมารุ่มชอบ     :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 02-08-2012 21:31:00
ไอ้สองพ่อลูกนี่จะเลยไปถึงไหนวะ :fire: :fire: :z6: :z6: :z6:

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:สงสารวินจังเลยอะสู้ๆๆนะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:

รอติดตามจ้า :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 02-08-2012 22:42:58
อ่านแล้วเครียดแท้  o22 อำนาจเงินไม่เข้าใครออกใคร สงสารทั้งวินทั้งศรา อิสองพ่อลูกนั่นก็ทำเลวซ้ำๆซากๆไม่รู้จักสำนึก โชคดีที่ยังมีภาณุที่ดูเหมือนจะช่วยอะไรได้เยอะ
หวังว่าสองพี่น้องจะไม่ทะเลาะกันเสียก่อนนะ เรื่องหัวใจจะมาปนกับเรื่องงานแล้ว  :z3:

รอตอนหน้าค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: Thengja ที่ 02-08-2012 23:48:16
เรื่องนี้มีเลิฟซีนชะนีด้วยยยยยยยยยยยยยยย เอ่อ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 03-08-2012 01:32:33
กำลังสนุกเลยอ่ะ มาต่อเร็วๆ น๊า!!!  :z3:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 03-08-2012 01:47:39
จะได้เมียทั้งทีมาได้คู่กับยัยเมเนี่ยนะ เพลียเบาๆ เสียดายภาณุจริงๆ นอกจากเป็นนางนกต่อแล้ว ยังเคยใจง่ายผ่านผู้ชายมาแล้วอีก หวังเล็กๆว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดแม้พล็อตจะเอื้อ -”-  ส่วนกานต์กับวินก็รักกันเปิดใจกันเร็วๆละกัน
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่21
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 03-08-2012 08:37:03
บทที่ 21


   “ศรา” วิศรุตครางออกมาเบาๆ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้เห็นสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา ของศรารัตน์ก่อนจะไล่สายตาไปมองหนังสือรุ่นที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ศรารัตน์เปิดมาเจอหน้านั้นพอดี อย่างนี้แล้วเขาก็คงไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีก

   “นายกับหมอกานต์เคยรู้จักกันมาก่อน แถมยังเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมอีกต่างหาก นี่น่ะเหรอที่นายบอกฉันว่านายเพิ่งเคยเจอหน้าเขาครั้งแรกตอนมาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล” ศรารัตน์พูดพร้อมกับปาหนังสือรุ่นใส่วิศรุตที่พยายามจะเดินเข้ามาหาตน

   “ฟังฉันก่อนนะศรา คือว่า...”

   “พอกันที นายจะหลอกอะไรฉันอีกล่ะ? จะหลอกให้ฉันเป็นผู้หญิงหน้าโง่ไปจนถึงเมื่อไหร่? ถ้าฉันไม่ได้มาเห็นรูปในหนังสือนั่นล่ะก็ ต่อให้ตายฉันก็ไม่มีทางจะเชื่อว่านาย...แอบรักหมอกานต์” ศรารัตน์พูดพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาราวกับ สายน้ำ หญิงสาวสะบัดหัวไหล่ออกจากการเกาะกุมของวิศรุตพลางมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายอย่างเจ็บปวดและรับไม่ได้กับความจริงที่เธอได้รับรู้

   “เรื่องของฉันกับนภัทร เราสองคน...” วิศรุตหยุดประโยคไว้แค่นั้น ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้บอกว่าเรื่องระหว่างเขากับนภัทรมันไม่มีทางเป็นไปได้แต่ศรารัตน์ก็ตวาดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

   “นี่ใช่ไหมเหตุผลที่นายแกล้งทำเป็นไม่รู้จักหมอกานต์ต่อหน้าฉัน เพราะนายกลัวใช่ไหม? นายกลัวว่าฉันจะรู้ความลับเรื่องที่นายเคยแอบชอบเค้ามาตลอด นายก็เลยเลือกที่จะหลอกฉัน” หญิงสาวกลั้นเสียงสะอื้นพร้อมกับปาดน้ำตา “ตอนแรกฉันสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว เพราะนายดูท่าทางแปลกๆเวลาที่เจอหน้าหมอกานต์ พี่โอมกับคุณพงษ์ก็มีท่าทางแปลกๆด้วย ที่แท้พวกนายก็รวมหัวกันหลอกฉัน”

   “ฉันไม่ได่ตั้งใจนะศรา ตอนนั้นมันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าจริงๆ ฉันคิดอะไรไม่ออกก็เลยเลือกที่จะปิดบังเธอไว้ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เสียงของวิศรุตแหบแห้ง ชายหนุ่มกัดฟันแน่นเพื่อข่มความรู้สึกปวดยอกเอาไว้ในใจ

   “เพราะอะไรล่ะ? นายปิดฉันเพราะอะไร ตอบฉันมาสิว่าเพราะอะไร” น้ำเสียงของศรารัตน์เริ่มแรงตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงเรื่อยๆ หญิงสาวใช้สองมือบางเขย่าตัววิศรุตจนชายหนุ่มเองก็ทนไม่ไหวเลยระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นกัน

   “พอซะที หยุดบ้าได้แล้วศรา” ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้วิศรุตเหวี่ยงจนศรารัตน์ไปกระแทกกับสันโต๊ะทำงาน หญิงสาวล้มลงพลางเอามือกุมบริเวณท้องที่ไปปะทะกับโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ก่อนจะหันมามองวิศรุตด้วยสายตาว่างเปล่า “ศรา เธอเจ็บมากไหม? ฉันขอโทษนะ” วิศรุตจะเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วงแต่ศรารัตน์ตวาดห้ามไว้ไม่ให้ยุ่งกับเธอ

   “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ที่นายทำฉันเจ็บแบบนี้ ไม่เป็นไรหรอกเพราะมันก็แค่เจ็บภายนอก แต่ที่นายทำร้ายจิตใจฉัน มันเจ็บยิ่งกว่า เจ็บจนใจของฉันเหมือนกับถูกนายดึงทึ้งให้แหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะอะไรรู้ไหมวิน?” หญิงสาวพูดเสียงสั่นแล้วน้ำใสๆก็เอ่อขึ้นมาคลอดวงตาสีน้ำตาลอีกรอบ “เรื่องที่นายกับหมอกานต์เคยรู้จักกัน สำหรับฉันมันไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เท่าไหร่ แต่เรื่องที่ทำให้ฉันเจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือ นายเองก็รู้ว่าฉันชอบหมอกานต์ แต่นายทำแบบนั้นทำไม นายกีดกันความรักของฉันทำไม?” แม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ศรารัตน์ก็อยากจะถามให้แน่ใจ หญิงสาวย้อนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่วิศรุตพยายามจะกีดกันไม่ให้เธอชอบนภัทร โดยอ้างถึงความไม่เหมาะสมหลายๆอย่าง แต่สุดท้ายเหตุผลที่แท้จริงก็คือวิศรุตชอบนภัทรเสียเอง คุณหมอคนที่เธอหลงรักกลับกลายเป็นคนเดียวกับที่พี่ชายของเธอแอบรักมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

   “เธออยากรู้นักใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องกีดกันไม่ให้เธอชอบกับนภัทร? ก็ได้ ฉันจะบอกให้...ที่ฉันทำแบบนั้นก็เพราะว่าฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอได้ใกล้ชิดกับคนที่ฉันหลงรักมาตลอดสิบกว่าปี เธอเอาแต่คิดว่าความรักของเธอที่มีให้นภัทรมันช่างลึกล้ำจนไม่มีใครเทียบได้ แล้วฉันล่ะ? ฉันรักนภัทรมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง รักทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะนภัทรไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนอย่างฉัน แม้กระทั่งตอนไปอยู่อังกฤษ ฉันก็ยังลืมนภัทรไม่ได้ เขาเป็นทั้งความรัก เป็นชีวิต เป็นลมหายใจของฉัน ฉันเคยคิดว่าถ้าหากเราสองคนไม่ได้มาเจอกันอีกครั้ง ฉันคงจะลืมเขาได้ แต่เปล่าเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอนภัทรอีกครั้ง ฉันก็รู้ว่าตัวเองทำแบบนั้นไม่ได้” วิศรุตหยุดหอบหายใจแรง ศรารัตน์ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากฟังต่อแล้ว แต่วิศรุตไม่สนใจกลับระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาต่อหน้าศรารัตน์จนหมดสิ้น “ยิ่งเมื่อฉันได้รู้ว่าเธอกำลังชอบนภัทร ฉันก็ยิ่งทำใจไม่ได้ เธอจะให้ฉันรู้สึกยังไงเมื่อน้องสาวตัวเองไปตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต”

   “นายก็เลยกีดกันฉันงั้นเหรอ?”

   “ใช่ ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นว่ามีใครอยู่ข้างกายนภัทร และยิ่งทำใจไม่ได้ใหญ่ถ้าหากคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของฉันเอง ฉันจะบอกอะไรให้นะศรา ถ้าฉันไม่ได้ใครก็อย่าหวังว่าจะได้เลย และเธอเองก็อย่าหวังเลยว่าจะแย่งนภัทรไปจากฉัน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นดีกันแน่ศรารัตน์” วิศรุตยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวที่พูดออกไปแบบนั้น ลึกๆแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ศรารัตน์ต้องเสียใจ แต่เขาเองก็ปล่อยมือจากนภัทรไม่ได้แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่นภัทรเลือกจะคือศรารัตน์ก็ตาม

   ทันทีที่พูดจบ ศรารัตน์มองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนๆนี้คือวิศรุต ทัดเทวา ผู้ที่มีสายสัมพันธ์เป็นถึงพี่ชายแท้ๆของเธอ ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มจะกล้าพูดคำพวกนี้ออกมา ศรารัตน์แค่นยิ้มด้วยความสมเพชก่อนเอ่ยออกมาช้าๆแต่ทว่าช่างบาดลึกในความรู้สึกของคนฟังเหลือเกิน

   “นายมันน่าขยะแขยงเหลือเกิน นายมันน่ารังเกียจ ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าท่านคงจะเสียใจมากที่มีลูกชายเป็นพวกวิปริตผิดเพศแบบนี้”

   เพี๊ยะ!!!

   วิศรุตตบหน้าศรารัตน์อย่างแรงทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเน้น อารมณ์โมโหชั่ววูบทำให้เขาขาดสติพลั้งมือตบหน้าศรารัตน์ไป เขามองมือตัวเองข้างนั้นอย่างเจ็บปวดใจและนึกเกลียดตัวเอง ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าเขากับศรารัตน์จะทะเลาะอะไรกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาหรือรุนแรงแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือกับศรารัตน์เลยซักครั้ง ครั้งนี้เขาเองก็ต้องยอมรับว่าทำรุนแรงไปจริงๆ

   “เป็นครั้งแรกที่นายตบหน้าฉัน วิศรุต” ศรารัตน์เค้นเสียงสั่นเครือ ในขณะที่ไม่มีน้ำตาเหลือสักหยด ราวกับว่าน้ำตา ทั้งหมดของเธอมันเหือดหายไปกับการกระทำของวิศรุตเสียแล้ว หญิงสาวจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุดก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานนั้นทันที เธอไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกแล้ว เธอไม่อยากอยู่ร่วมชายคากับพี่ชายที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเอง ซึ่งการกระทำที่เธอรับไม่ได้อย่างที่สุดก็คือการพรากความรักไปจากเธออย่างเลือดเย็น

   วิศรุตไม่ได้ตามศรารัตน์ออกไป เขารู้ว่าตอนนี้หญิงสาวคงกำลังสับสนและก็คงจะผิดหวังอย่างรุนแรงกับความจริงที่ออกจากปากของเขา ตอนนี้ศรารัตน์รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์ เธอคงจะรับไม่ได้ที่มีพี่ชายเป็นพวกผิดเพศแบบนี้ วิศรุตทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงก่อนน้ำตาที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นไว้กลับเอ่อไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่กดดันสุดๆ






   ศรารัตน์ขับรถออกจากบ้านทัดเทวาไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ใบหน้า งดงามของหญิงสาวในตอนนี้กลับเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ความผิดหวังและความเจ็บปวดมัน
ถาโถมเข้ามาพร้อมกันทีเดียวจนเธอตั้งรับไม่ทัน ศรารัตน์ใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด หญิงสาวไม่ได้รับรู้ เลยว่าตอนนี้เธอกำลังขับรถด้วยความเร็วสูง เธอรู้แต่เพียงว่าเธออยากจะไปให้พ้นจากวิศรุต อยากจะไปให้ไกลจากคนๆนั้นมากที่สุด แม้ว่าตอนนี้เธอจะขับรถไปอย่างไร้จุดหมายก็ตาม

   ศรารัตน์ขับรถไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยนัก สมองของเธอตอนนี้ไม่อยากรับรู้หรือว่าคิดอะไรอีกแล้ว มารู้ตัวอีกทีรถของเธอก็กำลังเข้าโค้งอันตราย ด้วยความที่ไม่ชำนาญเส้นทางประกอบกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักส่งผลให้ถนนลื่น หญิงสาวพยายามเหยียบเบรกแต่ก็พบว่าเบรกไม่ทำงาน ในขณะที่รถยุโรปราคาแพงของเธอกำลังพุ่งทะยานมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะเข้าโค้งหักศอก ศรารัตน์หวีดร้องออกมาอย่างตกใจก่อนที่เธอจะรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกและการพลิกคว่ำอย่างรุนแรง จากนั้นทุก อย่างก็ดับวูบไป





   หลังจากจัดการปราบพยศเมริษาเรียบร้อยแล้ว เมื่อสติและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับมาอีกครั้ง ภาณุก็ยิ่งรู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ตนทำไปทั้งหมด แม้ว่าเมริษาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเลิศหรือบริสุทธิ์ผุดผ่องอะไรหนักหนา แต่เขาก็ไม่สมควรที่จะใช้ความเหนือกว่าทางเพศมารังแกผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้ ยิ่งคิดภาณุก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ

   “เมริษา ผมขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ภาณุพูดหลังจากที่เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว “ผมไม่ได้ตั้งใจจะขืนใจคุณ แต่คุณมายั่วโมโหผมก่อน”

   เมริษาหันมามองคนที่กำลังพูดขอโทษด้วยสายตาเย็นชา ก่อนมือบางจะตวัดตบหน้าภาณุซ้อนกันสองทีจนหน้าชายหนุ่มเกิดเป็นรอยนิ้วมือประทับอยู่อย่างเด่นชัดซึ่งภาณุเองก็ไม่ได้ตอบโต้ เขาสมควรจะโดนแล้วถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาทำไว้กับเธอ

   “สะใจคุณหรือยัง? สาแก่ใจหรือยังที่มาทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้แบบนี้?” เมริษาพูดด้วยเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น จริงอยู่ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่องอะไรและครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ แต่นี่คือครั้งแรกที่เธอโดนอีกฝ่ายบังคับขืนใจและเป็นครั้งแรกที่เธอโดนผู้ชายย่ำยีแบบไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรเลย

   “ผมขอโทษ” ภาณุสบตาเมริษาอย่างรู้สึกผิดจริงๆกับการกระทำของตน

   “ออกไปจากห้องของฉันได้แล้ว” หญิงสาวออกปากไล่ เธอไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกแล้ว “ไปสิ ฉันบอกให้ออกไป ออกไป” เมริษาตวาดไล่เสียงดังซึ่งภาณุก็ยอมไปแต่โดยดีเพราะคิดว่าพูดกับเธอตอนนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์เพราะหญิงสาวกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ รอให้เธออารมณ์เย็นกว่านี้แล้วเขาจะกลับมาขอโทษเธออีกครั้งหนึ่ง

   ก่อนจะไป ภาณุก็เดินไปหยิบแผ่นซีดีออกมาจากกระเป๋าสะพายของเมริษา ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าหญิงสาวแอบเอาแผ่นซีดีนี้ใส่กระเป๋าตอนที่เขาเข้าไปเจอเธอในห้องทำงานของวิศรุต และมันก็น่าจะเป็นแผ่นซีดีที่บรรจุข้อมูลทั้งหมดที่เธอแอบขโมยมานั่นเอง

   “จะทำอะไรน่ะ? เอามานี่นะ” เมริษาหันมาเห็นว่าภาณุกำลังถือแผ่นซีดีของเธออยู่ แผ่นซีดีนี้เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มันมา เธอจะไม่ยอมให้ภาณุเอาไปอย่างเด็ดขาด
ราวกับล่วงรู้ความคิดของเมริษา ภาณุเหยียดยิ้มในหน้าก่อนจะใช้สองมือหักแผ่นซีดีนั้นเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะกระเถิบตัวมากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง

   “ถ้าหากผมรู้ว่าคุณวางแผนชั่วๆจ้องจะทำร้ายวินกับศราอีกล่ะก็ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่ แม้ว่าตอนนี้เราจะเป็นผัวเมียกันจริงๆตามพฤตินัยแล้วก็ตาม” ภาณุจุดยิ้มที่มุมปากขณะมองเมริษาที่กัดฟันแน่นด้วยความแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
   เสียงโทรศัพท์มือถือของภาณุดังขึ้น ชายหนุ่มมองหน้าจอเห็นว่าเป็นชื่อของวิศรุตที่โทรมาจึงกดรับสาย

   “แกว่าไงนะไอ้วิน ศรารถคว่ำเหรอ เออ ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” ข่าวที่ว่าศรารัตน์รถคว่ำทำเอาเมริษาขนลุก อย่างห้ามไม่อยู่ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าศรารัตน์รถคว่ำเพราะอะไร ที่แน่ๆคือมันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นการจงใจฆาตกรรม

   “เมริษา คุณเป็นอะไร? ดูแปลกๆไปนะ” ภาณุถามขึ้นเมื่อหันมาเห็นว่าเมริษานิ่งไป

   “เปล่า ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ฉันอยากอยู่คนเดียว แล้วนายก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”

   “ผมจะมาหาคุณอีกครั้ง เรามีเรื่องจะต้องพูดกัน”

   “แต่ฉันไม่มีเรื่องที่จะต้องพูดกับคุณ เรื่องในคืนนี้ฉันจะถือว่าให้ทานก็แล้วกัน” เมริษาเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้ายก่อนจะมองหน้าภาณุอย่างถือดี ซึ่งชายหนุ่มเองก็ตัดสินใจที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอในวันนี้อีกแล้วเพราะเขาต้องรีบไปโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด ศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุและวิศรุตก็กำลังรอเขาอยู่ที่นั่น



จบบทที่ 21

ปล. ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เห็นนักอ่านหลายท่านบ่นเสียดายภาณุเสียเหลือเกิน 5555 อยากบอกว่าเรื่องของภาณุและเมริษาก็แอบดราม่าเหมือนกันนะึคะ อ่านไปอ่านมาท้ายๆจะรู้สึกสงสารโอมมากถึงมากที่สุด...เหอๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่22
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 03-08-2012 08:40:33
บทที่ 22


   เมื่อภาณุมาถึงโรงพยาล ชายหนุ่มก็รีบตรงไปยังห้องไอซียูทันทีก่อนจะพบว่าวิศรุตกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าห้องขณะรอฟังผลอาการของศรารัตน์

   “ไอ้วิน เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมศราถึงได้รถคว่ำได้ล่ะ?” ภาณุยิงคำถามขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนรัก

   “ฉันผิดเองไอ้โอม เพราะฉันเอง ศราก็เลยต้องมารถคว่ำแบบนี้ ฉันมันไม่ดีเอง” ภาณุยึดข้อมือวิศรุตที่กำลังทำท่าจะดึงทึ้งศีรษะของตัวเองเอาไว้ก่อนจะบอกให้ชายหนุ่มตั้งสติให้ดีก่อนแล้วจากนั้นค่อยเล่ามาว่าเรื่องมันไปมายังไงกันแน่

   “แกใจเย็นๆนะเว้ยไอ้วิน ศราจะต้องไม่เป็นอะไร น้องสาวของนายดวงแข็งจะตาย เธอจะต้องปลอดภัย”

   “แต่ฉันกลัวว่ะโอม ตำรวจบอกว่ายัยศราขับรถเร็วมากแถมถนนก็ลื่นเพราะฝนตกหนัก รถก็เลยเบรกไม่อยู่จนแหกโค้งแล้วก็พลิกคว่ำอย่างรุนแรง แล้วศราก็...” วิศรุตเงียบไปเพราะพูดไม่ออก ตอนที่รู้เรื่องจากตำรวจ เขาก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันทีแล้วก็ทันได้เห็นร่างโชกเลือดของศรารัตน์ถูกเข็นเข้าไปในห้องไอซียู ภาพที่เห็นทำให้เขายิ่งรู้สึกกลัว เขากลัวว่าศรารัตน์จะเป็นอะไรไป

   “แกตั้งสติก่อนนะวิน หมอที่นี่เก่งๆทั้งนั้น เค้าต้องช่วยน้องสาวแกอย่างสุดความสามารถแน่ๆ เชื่อฉันสิ”

   “เพราะฉันไม่ดีเอง ฉันไม่น่าไปพูดแบบนั้นกับศราเลย เธอคงจะรับไม่ได้แล้วก็คงจะโกรธฉันมากถึงได้ผลุนผลันขับรถออกไปด้วยความเร็วขนาดนั้น”

   “แกทะเลาะกับศรางั้นเหรอ?” วิศรุตพยักหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือดก่อนตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง

   “ศรารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ทั้งเรื่องที่ฉันกับนภัทรเคยรู้จักกันมาก่อน แล้วก็เรื่องที่ฉันชอบนภัทร” ภาณุอุทานออกมาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มอึ้งไปนาน เขาเข้าใจความรู้สึกของศรารัตน์ดี เพราะถ้าหากเขาเป็นเธอ เขาเองก็คงจะรับไม่ได้เช่นกันกับความจริงที่ว่าพี่ชายตัวเองเป็นเกย์แถมยังมาชอบผู้ชายคนเดียวกับที่ตนหลงรักด้วย

   “มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ถ้าฉันไม่บอกศราไปว่าฉันชอบนภัทร เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” วิศรุตซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นในใจ ศรารัตน์ไม่สมควรจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลยซักนิด ภาณุมองเพื่อนรักด้วยความสงสาร ชายหนุ่มเข้าไปกอดปลอบวิศรุตที่กำลังตัวสั่นเทาเพราะความพยายามกลั้นเสียงสะอื้น มือหนาลูบหลังเพื่อนรักแบบที่เคยทำประจำยามที่ต้องการจะส่งผ่านกำลังใจไปให้กับคนในอ้อมแขนตน

   ผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าหมอจะออกมาจากห้องไอซียู วิศรุตรีบปาดคราบน้ำตาก่อนจะถลาเข้าไปถามถึงอาการของ
ศรารัตน์ซึ่งหมอที่ทำการรักษาก็คือนภัทรนั่นเอง

   “ศราเป็นยังไงบ้าง? เธอปลอดภัยดีหรือเปล่า?” นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นกับคำถามนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าแต่ว่าชัดเจน

   “เราช่วยรักษาชีวิตคุณศราไว้ได้ แต่ว่า...” คุณหมอหนุ่มหยุดเว้นวรรคไปนิดหนึ่งอย่างลำบากใจที่จะเอ่ย ในขณะที่วิศรุตและภาณุกำลังกลั้นหายใจรอคำตอบ “ผลจากการชนและการกระแทกอย่างรุนแรงตามร่างกายทำให้อวัยวะบางอย่างภายในฉีกขาด แต่นั่นก็ไม่เท่ากับผลของการที่รถพลิกคว่ำจนตกขอบทางทำให้สมองของเธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่าง รุนแรง จนบางทีแม้ว่าจะรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ได้ แต่เธออาจจะกลายเป็น...เจ้าหญิงนิทรา”

   “อะไรนะ ศราจะต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างนั้นเหรอ?” นภัทรพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่าเธอยังมีโอกาสหายจากการเป็นเจ้าหญิงนิทราได้แต่จำเป็นจะต้องใช้เวลาพักฟื้น ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย

   คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตเข่าอ่อนเหมือนกับจะทรงตัวไม่อยู่ ชายหนุ่มลำคอแห้งผากด้วยความที่พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเกาะกุมหัวใจ เพราะเขาศราก็เลยต้องเป็นแบบนี้ เพราะเขาคนเดียว

   นภัทรมองวิศรุตด้วยความสงสารจับใจ ตอนที่เขาเห็นสภาพของศรารัตน์ที่ถูกหน่วยกู้ชีพนำส่งโรงพยาบาล หญิงสาวอาการหนักมากเสียจนเขากลัวว่าจะไม่สามารถยื้อชีวิตเธอเอาไว้ได้ แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขารั้งเธอไว้ได้แม้ว่าเธอจะต้องมีสภาพกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวเลยก็ตาม

   “ใจเย็นๆก่อนเถอะนะ ฉันบอกแล้วไงว่าคุณศรายังมีโอกาสหาย ไม่ต้องห่วงนะ ฉันสัญญาว่าจะพยายามเต็มที่ให้ดีที่สุดเพื่อคุณศราแล้วก็เพื่อ...นาย” นภัทรบีบไหล่วิศรุตเบาๆอย่างให้กำลังใจก่อนจะขอตัวเดินไปจากตรงนั้นทันทีเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของวิศรุตอีกแล้ว น้ำตาของฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกปวดยอกในใจอย่างประหลาดราวกับว่าหัวใจของเขาก็กำลังหลั่ง
น้ำตาอยู่เช่นกัน





   หลังจากนั้นไม่นานศรารัตน์ก็ถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นพิเศษ ตามร่างกายและใบหน้าของหญิงสาวยังคงเป็นแผลบวมช้ำที่เกิดจากการกระแทกตอนรถชน ตอนนี้เธอต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเอาไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะชีพจรเธอเต้นอ่อนแรง มาก และระบบทางเดินหายใจยังไม่เป็นปกติ  วิศรุตมองสภาพของศรารัตน์ด้วยความสงสารและความรู้สึกผิดที่จู่โจมเข้ามาในใจตลอดเวลา มือหนาของชายหนุ่มเอื้อมไปลูบปอยผมของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพลางกัดฟันแน่นข่มใจไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมาอีกครั้ง

   “ไอ้วิน ฉันมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นจะต้องบอกแก” ภาณุเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเบาๆในขณะที่วิศรุตยังคงนิ่ง “เรื่องเอกสารหลักฐานที่จะเอาผิดญาติของแกนั่นแหล่ะ” เรื่องนี้ทำให้วิศรุตหันขวับมาจ้องภาณุทันที

   “แกตั้งใจจะพูดอะไรไอ้โอม?” ภาณุถอนหายใจแรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เขาบังเอิญเห็นเมริษาแอบเข้าไปขโมยข้อมูลจากโน้ตบุ๊คส่วนตัวของวิศรุตให้เจ้าตัวฟัง

   “แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ข้อมูลที่ยัยนั่นได้ไป ฉันตามไปทำลายทิ้งแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ายัยนั่นจะได้พวกเอกสารต้นฉบับอื่นๆให้ห้องทำงานแกไปหรือเปล่าน่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยุ่งเลย” วิศรุตมีสีหน้าไม่ยี่หระกับเรื่องที่ภาณุบอก ก่อนจะยอมเฉลยให้เพื่อนสนิทฟัง

   “ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสักวันเมริษาจะต้องทำแบบนี้ ดังนั้นฉันก็เลยจัดการซ้อนแผนเอาไว้ตั้งนานแล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของภาณุ วิศรุตก็อธิบายต่อ “ฉันเอาเอกสารต้นฉบับที่สำคัญทั้งหมดไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยตั้งนานแล้ว จากนั้นก็ให้คุณอิงอรที่ตอนนี้เริ่มหายจากอาการป่วยเข้ามาช่วยทำเอกสารปลอมเพื่อตบตาสองพ่อลูกนั่นรวมถึงเมริษาด้วย ยัยนั่นคงไม่ทันได้เฉลียวใจว่าคนอย่างวิศรุต ทัดเทวามีหรือจะยอมปล่อยทิ้งเอกสารสำคัญเอาไว้ในตู้ห้องทำงานโดยไม่ได้ล็อคกุญแจอะไรเลย”

   “นี่ก็หมายความว่าถึงเมริษาทำลายเอกสารทิ้งไป นายก็ไม่เดือดร้อนใช่ไหม?” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะบอกว่าพวกข้อมูลในคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน ถึงเมริษาจะลบทิ้งไปก็ไม่เป็นไรเพราะเขามีสำรองเอาไว้อีกเยอะ

   ภาณุมองวิศรุตอย่างชื่นชมในความรอบคอบ เพื่อนของเขาวันนี้ชักจะเหมือนนักธุรกิจผู้เก่งกาจเข้าไปทุกวัน ไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มตอนสมัยม.ปลายที่เคยใช้ชีวิตแบบเสเพลไปวันๆเลยซักนิด

   เสียงมือถือของวิศรุตดังขึ้น ชายหนุ่มรับก่อนจะกรอกเสียงลงไป ปลายสายที่โทรมาคือตำรวจที่ดูแลคดีรถคว่ำของศรา รัตน์

   “อะไรนะครับ คุณตำรวจแน่ใจหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นผมต้องรบกวนด้วย ติดต่อผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” วิศรุตมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีหลังจากวางสายไปจนภาณุอดถามไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

   “ตำรวจโทรมาว่ายังไงบ้างไอ้วิน?”

   “ตำรวจเค้าโทรมาบอกว่าเค้าสงสัยว่าเรื่องที่เกิดกับศรามันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการจงใจฆาตกรรมเพื่ออำพรางคดี” ภาณุอุทานออกมาอย่างตกใจในขณะที่ใบหน้าของวิศรุตซีดเผือด “เค้าบอกว่าหลังจากที่ตรวจสอบรถคันที่ชนอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าสายเบรกถูกตัด”

   “อย่างนี้ก็หมายความว่า...”

   “ใช่ มีคนต้องการให้ศราประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต” วิศรุตตาวาว ในใจก็พยายามจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ศรารัตน์ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหนและเขาก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นพวกคู่แข่งธุรกิจที่ถึงขนาดต้องตามเอาชีวิตกันแบบนี้ คนที่ศรารัตน์ไปขัดใจด้วยจนถึงขั้นเกิดแรงจูงใจที่จะนำไปสู่การวางแผนฆาตกรรมก็คือ...

   “แกคิดว่าใครวะที่กล้าคิดร้ายกับศราขนาดนี้น่ะ?”

   “อาวันชัยกับไอ้ภาคิน” สองชื่อที่หลุดออกจากปากวิศรุตทำให้ภาณุถึงกับสะดุ้ง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสองคนนั้นจะกล้าทำแบบนี้กับศรารัตน์ เพราะทั้งศรารัตน์และวิศรุตต่างก็เป็นหลานแท้ๆของวันชัย ฝ่ายนั้นคงไม่น่าจะทำแบบนี้ได้

   “แกคิดมากไปหรือเปล่าวะ? บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้” ในใจภาณุไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก

   “แกรู้จักสองพ่อลูกนี้น้อยไปไอ้โอม เค้าทำได้แน่ถ้ามีใครมาขัดผลประโยชน์ แกก็รู้นี่นาว่าศรารัตน์เป็นคนเปิดโปงความชั่วของสองคนนั้น บางทีพวกนั้นอาจจะแค้นแล้วก็อยากฆ่าปิดปากศราก็ได้ หรือไม่บางทีฉันก็อาจจะเป็นเป้าหมายต่อไปของมัน” ภาณุคิดตาม ถ้าหากเป็นอย่างที่วิศรุตพูดจริง สองพ่อลูกคู่นี้ก็ดูจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

   วิศรุตหันไปมองศรารัตน์ที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราบนเตียงอีกครั้ง ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองในใจว่าเขาจะต้องหาหลักฐานมาเอาผิดกับวันชัยและภาคินให้ได้ เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับศรารัตน์






   ในขณะที่วิศรุตกับภาณุกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของศรารัตน์  ในทางตรงกันข้าม
วันชัย ภาคินและเมริษากลับกำลังดื่มฉลองให้กับความสำเร็จที่สามารถกำจัดศรารัตน์ให้พ้นทางได้ในที่สุด ถึงแม้ว่าคราวนี้
ศรารัตน์จะดวงแข็งรอดตายอย่างหวุดหวิดมาได้อีกครั้งก็ตาม

   “ตอนนี้ศราก็นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล คงจะลุกขึ้นมาแฉเรื่องของเราไม่ได้อีกแล้วนะครับพ่อ” ภาคินพูดพร้อมรอยยิ้มเย็นชา ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากทำร้ายศรารัตน์แบบนี้หรอก แต่ช่วยไม่ได้ที่หญิงสาวดันมารู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้มากจนเกินไป

   “แต่ครั้งนี้ก็พลาดอีกจนได้ หลานสาวของฉันคนนี้ช่างตายยากเสียจริง” วันชัยแค่นเสียงในคอเมื่อนึกถึงว่าหลายครั้งที่ตนพยายามจะกำจัดศรารัตน์ แต่หญิงสาวก็รอดมาได้เสียทุกครั้ง “น่าเสียดายที่ลูกน้องฉันทำพลาด ไม่ทันได้ตัดสายเบรกรถของไอ้วินด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้ตายกันทั้งพี่ทั้งน้อง” ความเลือดเย็นที่ฉายชัดให้เห็นในดวงตาของวันชัยทำให้เมริษารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา พลางคิดในใจว่าเธอไม่น่าจะยอมร่วมมือกับพ่อลูกคู่นี้ในการโกงสมบัติของทัดเทวาเลย ตอนแรกเธอเพียงแค่หวังอยากสบายทางลัดเท่านั้นเพราะหากวิศรุตชอบเธอขึ้นมาจริงๆ เธอมีหวังได้ใช้ชีวิตแบบสุขสบายบนกองสมบัติมหาศาลของทัดเทวาไปตลอดชาติในขณะที่วันชัยและภาคินก็จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเช่นกัน  แต่จนแล้วจนรอดวิศรุตก็ไม่เห็นจะออกอาการว่าสนใจเธอเลยสักนิด ทั้งที่ตลอดเวลาที่เธอมาทำงานเป็นเลขาให้ชายหนุ่ม เธอเองก็พยายามงัดมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนมาใช้แทบจะทุกกลเม็ดแต่มันก็ยังไม่ได้ผลจนเธอเริ่มจะถอดใจแล้ว

   “คิดอะไรอยู่เหรอเม?” เมริษาสะดุ้งและหลุดออกจากภวังค์เมื่อภาคินหันหน้ามาถามตน หญิงสาวปฎิเสธพร้อมรอยยิ้มหวานก่อนจะเฉไฉแกล้งดื่มไวน์ที่ถืออยู่ในมือจนหมดแก้ว ในขณะที่สายตาก็ไม่ละจากภาคินเพราะกลัวชายหนุ่มจะจับสังเกตได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

   “เรื่องที่อาขอให้หนูเมไปทำ เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” วันชัยหมายถึงเรื่องที่ให้เมริษาแอบเข้าไปขโมยข้อมูลหลักฐานมาจากวิศรุตเพื่อที่ว่าวิศรุตและศรารัตน์จะได้ไม่มีหลักฐานในการมายืนยันกับบรรดากรรมการผู้บริหารในการเอาผิดกับเขาและภาคิน

   เมริษาลอบกลืนน้ำลายลงคอ จะให้หญิงสาวบอกได้อย่างไรว่าเธอทำงานนี้พลาดทั้งๆที่เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วถ้าไม่ บังเอิญภาณุมาเจอเสียก่อนแล้วชิงทำลายแผ่นซีดีข้อมูลที่เธออุตส่าห์แอบเอามาจากโน้ตบุ๊คของวิศรุตทิ้ง แถมเธอยังมาพลาดท่าเสียทีให้ผู้ชายอย่างภาณุอีก แค่นึกถึงเรื่องนี้เมริษาก็อดเจ็บใจไม่หายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น แต่หญิงสาวอย่าง
เมริษาก็ฉลาดพอที่จะบอกวันชัยไปว่าเธอขโมยข้อมูลมาทั้งเอกสารและข้อมูลในโน้ตบุ๊คของวิศรุตและได้ทำลายทุกอย่างไปหมดแล้ว ให้วันชัยกับภาคินวางใจได้ เมริษากลัวหากไม่โกหกวันชัยไปแบบนี้ และหากว่าวันชัยรู้ว่าเธอทำงานพลาด เธอก็อาจจะต้องกลายเป็นเหยื่อของแผนการครั้งนี้อีกคนเหมือนกับศรารัตน์ก็ได้ ถึงแม้ว่าภาคินจะหลงไหลในตัวเธอมากขนาดไหนก็ตาม เธอรู้นิสัยของภาคินดี เขาไม่เคยรักใครจริงนอกจากตัวเองและหากว่าเธอไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว สองพ่อลูกนี้ก็ไม่น่าจะปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน ยิ่งคิดเมริษายิ่งเจ็บใจตัวเองที่ดันไปเข้าร่วมกับแผนการบ้าๆแบบนี้

   “ถ้าหนูเมทำลายหลักฐานไปแล้วอาก็วางใจ” สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างกระหยิ่มในใจที่ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่ตนต้องการ ตอนนี้วิศรุตก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะมาเอาผิดพวกตนได้อีกแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่ให้พยานปากสุดท้ายที่นอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างศรารัตน์หมดลมหายใจไปก็เท่านั้น

   เมริษาลอบมองวันชัยกับภาคินด้วยความรู้สึกหวั่นใจลึกๆ ก่อนจะทำเนียนแกล้งจัดเสื้อคลุมของตัวเองให้เข้าที่แล้วจึงอาศัยจังหวะที่ภาคินกับวันชัยชนแก้วฉลองกันโดยไม่ได้สนใจเธอ ค่อยๆใช้ปลายนิ้วกดปิดเครื่องอัดเสียงตัวจิ๋วที่เธอแอบซ่อนไว้ภายในเสื้อคลุมด้านใน เมริษาจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อเป็นหลักประกันให้ตัวเอง เธอไม่ได้โง่ถึงขนาดจะให้สองคนนี้หลอกใช้ไปตลอดที่พอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งง่ายๆ บางทีการที่เธอมีหลักฐานที่จะแฉความชั่วของพ่อลูกคู่นี้อยู่ในมือ มันอาจจะทำให้สถานการณ์ของเธอพลิกกลับมาเป็นต่อก็ได้ใครจะรู้


จบบทที่ 22

ปล. อ่านไปอ่านมาเดี๋ยวจะนึกชอบเมริษาขึ้นมาไม่รู้ตัว (หลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเค้าบอกเอาไว้อย่างนั้น) ส่วนวันชัยกับภาคิน อย่าให้พูดเล้ยยย....
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 03-08-2012 08:43:13
บทที่ 23


   วันชัยกับภาคินแสร้งทำทีว่ามาเยี่ยมอาการศรารัตน์ที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าวิศรุตจะค่อนข้างมั่นใจว่าสองพ่อลูกคู่นี้อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของตน แต่ชายหนุ่มก็ได้แต่เจ็บใจที่ตอนนี้ยังไม่สามารถหาหลักฐานเพื่อมาเอาผิดทั้งคู่ได้ เขาจึงเลือกที่จะสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นในตอนนี้ และหลังจากที่วันชัยกับภาคินกลับไปแล้ว ภาณุจึงเสนอให้วิศรุตไล่เมริษาออกจากการเป็นเลขาส่วนตัวเพราะการปล่อยให้ผู้หญิงอย่างเมริษาอยู่ใกล้ก็เสมือนว่าเลี้ยงงูเห่าไว้ข้างตัวไม่มีผิด

   “ไอ้วิน ฉันว่าแกหาเลขาใหม่มาแทนเมริษาเถอะ แกก็เห็นอยู่ว่ายัยนั่นน่ะอันตรายแค่ไหน” ภาณุเสนอขึ้นในขณะที่วิศรุตมีสีหน้าเครียดเมื่อคิดถึงเรื่องที่เมริษาแอบขโมยข้อมูลลับของบริษัทไปให้วันชัย แต่โชคดีที่เขารอบคอบจึงจัดการซ้อนแผนโดยการทำเอกสารปลอมเอาไว้ตบตาเมริษาก่อนหน้านี้แล้ว

   “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้คุณอิงอรก็หายดีแล้ว เธอก็คงจะมาทำงานในตำแหน่งเลขาของฉันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องเมริษาแกยิ่งไม่ต้องห่วงเพราะฉันคิดแผนเตรียมเอาไว้แล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยของภาณุ วิศรุตจึงเฉลย “บางทีถ้าเมริษายอมหันมาร่วมมือกับเรา เรื่องมันก็อาจจะง่ายขึ้นก็ได้”

   “แกอย่าบอกนะไอ้วินว่าแกตั้งใจจะดึงยัยนั่นมาเป็นพวกเดียวกับเราน่ะ จะไว้ใจได้เหรอวะ?” วิศรุตเองก็ยักไหล่ก่อนจะบอกว่าตนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าหากสำเร็จและเมริษายอมช่วยเราล่ะก็ งานนี้เราจะได้พยานปากเอกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน รับรองว่าวันชัยและภาคินดิ้นไม่หลุดแน่

   “แกว่าแผนนี้มันมีทางที่จะสำเร็จไหมล่ะไอ้โอม?” ภาณุส่ายหัวไม่แน่ใจ วิศรุตมองสีหน้ากลัดกลุ้มของคู่สนทนาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ตอนนี้เมริษาเองก็รู้ตัวแล้วว่าความลับที่เธอเป็นสายให้กับวันชัยและภาคินโดนพวกเราจับได้ ถ้าให้ฉันเดานะ ผู้หญิงฉลาดอย่างเมริษาก็คงจะไม่โง่ไปบอกสองพ่อลูกนั่นหรอกว่าตอนนี้ความลับแตกแล้ว เพราะถ้าหากสองพ่อลูกนั้นรู้ว่าเธอทำงานไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ ตัวเธอนั่นแหล่ะที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ตอนนี้เมริษาไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่าการยอมหันมาร่วมมือกับพวกเราอีกแล้วล่ะ”

   “แกก็อย่าเพิ่งมั่นใจไปเลย ยัยเมริษานั่นเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินนะ ฉันว่าที่เธอยอมทำทุกอย่างก็เพื่อหวังที่จะเกาะภาคินรวยทางลัดหากว่าฝ่ายนั้นแย่งสมบัติของทัดเทวาไปจากแกได้สำเร็จ แล้วถ้ามันสำเร็จจริงๆ ยัยนั่นก็จะสบายบนกองเงินกองทองไปทั้งชาติ แกคิดเหรอว่าผู้หญิงหน้าเงินอย่างนั้นจะยอมเปลี่ยนใจมาร่วมมือกับแกง่ายๆ” วิศรุตคิดตามคำพูดของภาณุ สักพักจึงยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

   “ถ้าเมริษาเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงินอย่างที่แกพูด บางทีเรื่องนี้ก็อาจจะง่ายกว่าที่คิดนะ”

   “ถ้าแกมั่นใจอย่างนั้น เอาไว้เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการให้เอง” ภาณุคิดถึงบุคคลที่สามด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วย
ความเครียด





   วิศรุตเดินทอดอารมณ์ไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาล ในใจชายหนุ่มกำลังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของศรารัตน์ซ้ำไปมา ภาพเหตุการณ์วันนั้นที่เขาทะเลาะกับศรารัตน์ยังคงแจ่มชัดในความรู้สึก ยิ่งคิด ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเอ่อล้นในใจของชายหนุ่ม อาการของศรารัตน์ยังไม่ดีขึ้นถึงแม้ว่าหมอจะอนุญาตให้ออกจากห้องไอซียูได้แล้ว แต่ร่างกายของศรารัตน์ก็ยังไม่มีอาการตอบสนองอะไรเลย แถมยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ทุกครั้งที่วิศรุตมองเห็น
ศรารัตน์ในสภาพของเจ้าหญิงนิทรา ชายหนุ่มจะรู้สึกผิดและโทษตัวเองทุกครั้งที่เป็นต้นเหตุทำให้ศรารัตน์ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ถ้าหากเขาไม่รักหมอนภัทร ถ้าเขาไม่บังเอิญรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง ถ้าเขาไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับนภัทร เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

   “คิดอะไรอยู่?” น้ำเสียงทุ้มลึกพร้อมกับมือหนาที่วางลงบนไหล่ของตนทำให้วิศรุตสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปพบว่าคนที่เรียกเขาไว้คือนภัทร คนที่เขากำลังคิดถึงอยู่นั่นเอง “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” นภัทรถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่วิศรุตรู้สึกได้ว่ามันอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง

   “เปล่าหรอก ไม่มีอะไรเสียหน่อย ว่าแต่นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” วิศรุตฝืนยิ้มกลบเกลื่อนแต่นภัทรเดาได้ไม่ยากจากสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย

   “ฉันเดินตามนายมานานแล้ว ไม่รู้ตัวเลยเหรอ” วิศรุตยิ้มเก้อๆ ก่อนจะบอกว่าตนเองกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ก็เลยไม่ทันได้สังเกต “นายกำลังคิดเรื่องคุณศราอยู่ใช่ไหม?” นภัทรพูดพร้อมกับใช้สองมือดันไหล่ของวิศรุตให้ฝ่ายนั้นหันมาเผชิญหน้ากับตนก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลโศกของอีกฝ่ายอย่างต้องการค้นหาคำตอบในแววตาคู่นั้น

   “ฉันกำลังคิดว่าเป็นเพราะฉันแท้ๆ ศราก็เลยต้องมาประสบอุบัติเหตุนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราแบบนี้” วิศรุตเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าจับอารมณ์ความรู้สึกหวั่นไหวของตัวเองในตอนนี้ได้

   “นายอยากเล่าให้ฉันฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น?...คืนที่คุณศราประสบอุบัติเหตุ” นภัทรตัดสินใจถามขึ้น ที่จริงเขาก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของฝ่ายนั้น แต่ลางสังหรณ์มันบอกเขาว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวพันกับเขาแน่ๆ และเมื่อดูจากสีหน้าของคู่สนทนาที่เปลี่ยนเป็นซีดเผือด คุณหมอหนุ่มก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าตัวเองเดาถูก “ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับฉัน ฉันเองก็สมควรที่จะรู้ไม่ใช่เหรอ?” วิศรุตเงยหน้ามองสบตาสีถ่านคู่นั้นด้วยความไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดก็ยอมเอ่ยออกมาช้าๆด้วยน้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามบังคับไม่ให้สั่น

   “ศรารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว รวมถึงเรื่องที่...ฉันชอบนาย” นภัทรอึ้งไปกับคำบอกเล่าของคู่สนทนา มือหนาค่อยๆคลายจากการเกาะกุมไหล่ลาดของวิศรุต ในขณะที่อีกฝ่ายพูดต่อ “คืนนั้นฉันกับศราเราทะเลาะกันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ศราคงตกใจและเสียใจมากที่รู้ว่าฉันเป็นพวกวิปริตผิดธรรมชาติแถมยังมาชอบผู้ชายคนเดียวกันกับเธออีก เธอก็เลยผลุนผลันขับรถออกไปจนประสบกับอุบัติเหตุรถคว่ำในที่สุด” นภัทรตัวชาเมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของวิศรุต เรื่องนี้เขามีส่วนผิดเต็มๆเพราะเป็นต้นเหตุให้สองพี่น้องทัดเทวาต้องทะเลาะกันจนถึงขั้นแตกหักและทำให้ศรารัตน์ต้องมารถคว่ำนอนเป็น เจ้าหญิงนิทราไม่รู้สึกตัวแบบนี้ คุณหมอหนุ่มเม้มปากแน่นพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจ ไม่ว่าจะผิดต่อศรารัตน์หรือผิดต่อวิศรุตก็ตามที

   “นายไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันเป็นเพราะฉันเอง คนที่ผิดก็คือฉัน” วิศรุตเน้นเสียงหนักในประโยคสุดท้ายพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆรินไหลออกมาจากดวงตาหวานโศกเงียบๆ ความกดดันในใจของวิศรุตกำลังถูกระบาย ออกมาเป็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าพร้อมๆกับเจ้าตัวที่พยายามกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้นให้ลงคอ

   นภัทรมองภาพนั้นด้วยความเสียใจ เขาสัมผัสได้ว่าวิศรุตกำลังปวดใจแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสามคนมันเหมือนเป็นปัญหาที่หาทางออกไม่เจอ คุณหมอหนุ่มสูดลมหายใจลึกพลางใช้มือข้างหนึ่งดันเบาๆให้ศีรษะของวิศรุตเอนมาซบที่ไหล่ตน อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้เห็นวิศรุตกำลังหลั่งน้ำตาอยู่เพราะมันทำให้เขารู้สึกปวด ใจตามไปด้วยแม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงความเปียกชุ่มของเสื้อกราวน์บริเวณหัวไหล่ก็ตามที





   สุดท้ายแล้วก็ลงเอยด้วยการที่นภัทรขับรถมาส่งวิศรุตที่บ้านทัดเทวา ด้วยเพราะคุณหมอหนุ่มเกรงว่าวิศรุตจะร้องไห้จนไม่มีแรงขับรถกลับบ้านและตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้วซึ่งเขาเองก็ออกเวรพอดีจึงอาสาพาอีกฝ่ายมาส่งถึงบ้าน แม้ว่าฝ่ายนั้นจะประท้วงในตอนแรกว่าตนขับรถกลับบ้านไหวก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนภัทรก็ไม่ไว้ใจให้วิศรุตกลับเองอยู่ดีจนอีกฝ่ายต้องยอมแพ้

   ตลอดทางไปบ้านทัดเทวา ทั้งคู่แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลย ต่างคนต่างเงียบเหมือนกับมีเรื่องอะไรอยู่ในใจทั้งสองฝ่าย และเมื่อรถของนภัทรมาจอดภายในบ้านทัดเทวาแล้ว วิศรุตจึงตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

   “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆนายมาทำดีกับฉันอย่างนี้ทำไม แต่ฉันก็อยากจะบอกให้รู้ว่า ฉันมีความสุขมากนะ ถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้เมื่อฉันตื่นขึ้นมาแล้วมันอาจจะกลายเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม” วิศรุตฝืนยิ้มเศร้าๆให้นภัทรก่อนจะเอื้อมมือปลดล็อคประตูรถฝั่งที่ตนนั่งและเตรียมจะลงจากรถ หากแต่นภัทรกลับหยุดเขาไว้ด้วยคำพูด

   “นายไม่ได้ฝันหรอก มันคือเรื่องจริง” วิศรุตชะงักมือก่อนจะหันไปสบตาอีกฝ่ายเต็มสองตา

   “ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเพราะอะไรล่ะ? นายมาทำดีกับฉันเพราะอะไรกันแน่นภัทร?” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบของอีกฝ่าย เขาอยากให้นภัทรตอบว่าที่ชายหนุ่มมาทำดีกับตนก็เพราะนภัทรชอบตนหรือว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกดีกับคำตอบของฝ่ายนั้นแต่ดูเหมือนว่าวิศรุตจะหวังมากเกินไปเพราะคำตอบที่ได้คือ

   “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...บางทีอาจเพราะนายเป็นเพื่อนฉันยังไงล่ะ” วิศรุตยิ้มขื่นอย่างสมเพชตัวเองที่ต้องมาเจอกับคำตอบแบบนี้จากนภัทรซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “นายรู้ไหม? บางทีฉันก็อยากจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน เพราะโลกแห่งความฝันมันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าการตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงและความหวังที่สุดท้ายฉันก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” พูดจบวิศรุตก็เปิดประตูรถลงไปเลย ชายหนุ่มเดินเข้าบ้านทัดเทวาโดยไม่หันกลับมามองนภัทรอีก หากเพียงแต่ถ้าวิศรุตเหลียวมองกลับมาซักนิดคงจะได้เห็นถึงสีหน้าและแววตาที่แปลกไปของนภัทร คุณหมอหนุ่มมองตามวิศรุตจนลับสายตาในใจก็กำลังนึกสับสนกับคำตอบของตัวเองว่าแท้จริงแล้วในตอนนี้เขายังมองวิศรุตแค่เพียงในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ?





   หลังจากที่ภาณุรับอาสาวิศรุตมาจัดการเรื่องของเมริษา ชายหนุ่มก็ได้ให้ลูกน้องคนสนิทของตนไปสืบประวัติเมริษามาอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่าฐานะทางบ้านของเธอกำลังย่ำแย่จนเกือบถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย ชายหนุ่มจึงค่อนข้างจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเมริษาจึงต้องหวังเกาะผู้ชายรวยๆอย่างภาคินเพื่อยกระดับฐานะตัวเองที่กำลังตกต่ำลง เมริษาคงรับไม่ได้หากว่า สถานภาพคุณหนูที่เธอเคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายวันหนึ่งจะต้องกลายมาเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย

   ภาณุตัดสินใจไปหาเมริษาอีกครั้งที่คอนโดส่วนตัวของหญิงสาว เมื่อฝ่ายนั้นเห็นว่าผู้มาเป็นใครกลับไม่ยอมเปิดประตูให้แถมยังไล่ภาณุไปให้พ้นหน้าเธอก่อนที่เธอจะโทรเรียกรปภ.ให้มาจับตัวเขาออกไป หากแต่ภาณุก็ใช้มือหนายันประตูเอาไว้ได้ทันก่อนที่เมริษาจะปิดมันใส่หน้าเขา ชายหนุ่มออกแรงดันประตูอย่างแรงและในที่สุดเขาก็เข้าไปในห้องหญิงสาวได้สำเร็จเพราะถึงอย่างไรผู้หญิงบอบบางอย่างเมริษาก็สู้แรงของบุรุษเพศไม่ได้อยู่ดี

   “ฉันบอกให้แกออกไปไง ถ้าพูดไม่เชื่อฉันจะโทรเรียกรปภ.จริงๆนะ” เมื่อเห็นว่าภาณุไม่มีทีท่าจะเชื่อคำพูดของเธอ เมริษาจึงวิ่งไปยังโทรศัพท์แล้วยกหูหมายจะกดเรียกรปภ.อย่างที่ขู่อีกฝ่ายเอาไว้ แต่ทว่าโทรศัพท์กลับถูกภาณุแย่งไปและตัดสายไปก่อน

“จะทำอะไรน่ะ? ปล่อยฉันนะไอ้บ้า” เมริษาตวาดเสียงดังพร้อมกับออกแรงขัดขืนเมื่อภาณุใช้มือหนาของเขามากระชากตัวเธอแล้วเหวี่ยงไปปะทะยังโซฟาตัวกว้างกลางห้องรับแขก

   “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้นึกพิศวาสคุณนักหรอก ที่มาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเท่านั้น” ภาณุเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงยังโซฟาอีกด้านด้วยท่าทางไม่ยี่หระกับสีหน้าเดือดดาลของหญิงสาวอีกคนในห้อง

   “มีอะไรก็พูดมา พูดให้จบๆแล้วจะได้รีบกลับไปเสียที ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนเลวอย่างแก”

   “คนเลวอย่างผมถึงยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของคุณก็แล้วกัน ถึงแม้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นสามีคนที่เท่าไหร่ของคุณ” คำพูดเชือดเฉือนของภาณุทำให้เมริษาโมโหจนร้องกรี๊ด หญิงสาวระดมปาหมอนอิงที่อยู่ใกล้มือเข้าใส่ภาณุไม่ยั้งโทษฐานที่เขามาพูดจาดูถูกเธอแบบนี้ ส่วนภาณุก็หัวเราะในลำคอก่อนจะใช้สองมือรับบรรดาหมอนที่ถูกปามาที่เขาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก ตรงข้ามกับเมริษาที่เริ่มเหนื่อยจากการอาละวาดใส่ชายหนุ่มและหมดแรงในที่สุด

   “ตกลงที่มานี่ก็เพื่อจะยั่วโมโหฉันใช่ไหม?” ภาณุยักไหล่ก่อนจะเริ่มพูดธุระที่ทำให้ตนต้องมาหาเมริษาที่คอนโดในวันนี้

   “ตอนนี้ไอ้วินรู้แล้วว่าเธอแอบขโมยข้อมูลหลักฐานที่จะเอาผิดวันชัยกับภาคินมาจากโน้ตบุ๊คของมัน” คำพูดของภาณุทำให้เมริษาอดหน้าถอดสีไม่ได้ ทั้งๆที่เธอก็เดาได้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าหากงานนี้เธอทำพลาดวิศรุตก็คงไม่ปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน

   “พูดมาตรงๆดีกว่าว่าแกต้องการอะไร ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อมหรอกฉันขี้เกียจฟัง” ภาณุยิ้มสมใจขณะเดียวกันก็อดจะชื่นชมในความฉลาดของเมริษาไม่ได้ อีกอย่างการพูดไปตรงๆก็ดีเหมือนกันเพราะเขาเองก็ไม่อยากเสียเวลาพูดอ้อมค้อมเท่าใดนัก

   “วินยอมจ่ายเงินก้อนโตให้เธอเพื่อแลกกับการเป็นพยานปากสำคัญในการที่จะเอาผิดวันชัยกับภาคิน”

   “หมายความว่าจะให้ฉันหักหลังสองคนนั้นน่ะเหรอ?” ภาณุพยักหน้าพร้อมกับพูดจาหว่านล้อมต่อ

   “ขอเพียงแค่เธอตกลงแล้วกลับใจมายอมร่วมมือกับเรา ไอ้วินสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องเธอแถมยังกันตัวไว้เป็นพยานพร้อมกับของแถมเป็นเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย”

   “แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ?” เมริษาลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายซึ่งภาณุก็ตอบกลับเสียงเย็น

   “เธอก็คงจะต้องพลอยซวยติดร่างแหไปด้วย เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าคนอย่างสองพ่อลูกนั่นไม่มีวันจะยอมปล่อยเธอให้รอดไปง่ายๆหรอก” เมริษานิ่งคิดกับคำขู่และข้อเสนอของภาณุด้วยความหนักใจไม่น้อย





   วันนี้หลังจากเลิกงานที่บริษัท วิศรุตก็มาเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลเหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อเข้ามาในห้องผู้ป่วยก็พบกับพงศธรที่มาเยี่ยมศรารัตน์เช่นกัน วิศรุตทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางก่อนจะเดินอ้อมไปยังอีกด้านของเตียงผู้ป่วย

   “มานานแล้วเหรอ?” วิศรุตถามพงศธร ซึ่งคู่สนทนาก็ตอบว่าตนมาได้สักพักแล้ว วิศรุตจึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

   “ตอนนี้อาการคุณศราเป็นยังไงบ้าง?” พงศธรถามเสียงอ่อน เท่าที่ชายหนุ่มเห็นศรารัตน์อาการไม่ดีขึ้นเลย ยังไม่รู้สึกตัวและยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด

   “อาการไม่ได้แย่ลงแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าศราอาจจะต้องอยู่ในสภาพของเจ้าหญิงนิทราแบบนี้ตลอดไป” วิศรุตพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ในขณะที่พงศธรมองร่างคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสารจับใจ ศรารัตน์ไม่น่าจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้เลยสักนิด

   “นภัทรบอกว่านายมาเยี่ยมศราบ่อยๆ ขอบใจนายมากเลยนะ” พงศธรส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยปากขออนุญาตวิศรุตเพื่อให้ตนได้มาเยี่ยมศรารัตน์บ่อยๆเพราะถึงอย่างไรวิศรุตก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆของศรารัตน์ ส่วนวิศรุตเมื่อเห็นสายตาของพงศธรที่ทอดมองไปยังศรารัตน์ก็นึกรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ขัดข้องหากว่าพงศธรจะรู้สึกพิเศษกับศรารัตน์เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีและจริงใจกับน้องสาวของตน เพราะแม้ยามที่ศรารัตน์เจ็บหนักอาการเป็นตายเท่ากัน พงศธรก็ไม่เคยคิดทิ้งหญิงสาว แต่ตรงกันข้ามกลับมาเยี่ยมและคอยดูแลเสมอไม่ได้ขาดจนวิศรุตเองก็อดที่จะซึ้งใจกับการกระทำของอีกฝ่ายไม่ได้

   “แล้วเรื่องโครงการบ้านจัดสรรใหม่ของทัดเทวา นายจะเอายังไงต่อไป? ตอนนี้งานก็คืบหน้าไปมากแล้ว ฉันคิดว่าโครงการน่าจะเสร็จทันกำหนดแน่นอน” วิศรุตนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ช่วงนี้เขาเองก็มัวแต่ยุ่งๆเรื่องหลักฐานเอาผิดวันชัยกับภาคินแถมศรารัตน์ยังมานอนป่วยแบบนี้อีก ชายหนุ่มเลยไม่ค่อยได้สนใจติดตามความคืบหน้าโครงการที่ตนรับผิดชอบมากนักทั้งๆที่ตอนแรกเขากะว่าจะลุยงานนี้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ความสามารถให้บรรดาผู้บริหารเห็น แต่เห็นทีเขาคงต้องพักเรื่องนี้ไปก่อนเพราะว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้นมาก ในที่สุดวิศรุตก็ตัดสินใจเอ่ย

   “ตอนนี้ฉันเองคงไม่ได้มีเวลาไปคุมโครงการนั้นอีกแล้ว ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะฝากโครงการที่ทำค้างอยู่ไว้ให้นายเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่เหลือทั้งหมด ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่ฉันสามารถไว้ใจได้และที่สำคัญคือฉันมั่นใจในฝีมือของนาย” วิศรุตพูดด้วยเสียงมั่นคงที่แสดงถึงความมั่นใจในคำพูดของตนอย่างเต็มเปี่ยมซึ่งพงศธรเองก็รับปากว่าตนจะพยายามสุดฝีมือเพื่อไม่ให้วิศรุตผิดหวังเช่นกัน


จบบทที่ 23
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่24
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 03-08-2012 08:46:45
บทที่ 24


   การสอบสวนเรื่องคดียักยอกเงินของบริษัททัดเทวายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ โชคดีที่วันชัยกับภาคินมีเส้นสายและพรรคพวกในบริษัทเยอะทำให้ทั้งคู่เอาตัวรอดจากการสอบสวนไปได้อย่างหวุดหวิด อีกทั้งหลักฐานที่วิศรุตมีในตอนนี้ก็ยังอ่อนเกินไปที่จะเอาผิดกับคนทั้งคู่ แต่นั่นก็ทำให้ภาคินยิ่งนึกแค้นใจวิศรุตกับศรารัตน์เพราะถึงจะรอดพ้นจากคดีนี้มาได้ แต่ว่าบอร์ดผู้บริหารก็มีมติให้พักงานของตนชั่วคราว เหตุผลเพราะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อยอดเงินที่หายไปจากบริษัทในฐานะที่ตนเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงิน แม้ว่าภาคินจะมีการแต่งหลักฐานปลอมมายืนยันกับบรรดากรรมการบริหารถึงแหล่งใช้ไปของเงินทุนก็ตาม ดังนั้นภาคินจึงเก็บความแค้นนี้ไว้และตั้งใจจะไปลงกับวิศรุต แต่ว่าหลังจากที่ศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุ วิศรุตก็เริ่มระวังตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อนและในบางครั้งวิศรุตก็เลือกที่จะไม่กลับบ้านทัดเทวาแต่เปลี่ยนไปนอนค้างที่คอนโดส่วนตัวแทน

   เมื่อแก้แค้นที่วิศรุตไม่ได้ ภาคินเลยเปลี่ยนเป้าหมายมายังศรารัตน์ที่กำลังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราแทนผู้เป็นพี่ชาย ชายหนุ่มเดินก้าวยาวๆออกจากลิฟต์โรงพยาบาลแล้วเดินตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เวลาดึกแบบนี้ที่เคาเตอร์ติดต่อประจำวอร์ดมีพยาบาลอยู่เวรไม่มากนัก ภาคินตวัดหางตาเหลือบมองพยาบาลสาวคนหนึ่งที่กำลังหันหลังและก้มหน้าก้มตาค้นหาแฟ้มจากลังเอกสารใบโตอยู่ ส่วนพยาบาลอีกสองคนก็กำลังสุมหัวกันอ่านนิตยสารเล่มโปรดอยู่อีกมุมหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจว่าใครเดินผ่านไปมาบ้าง ชายหนุ่มจุดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินผ่านเคาเตอร์ไปอย่างเงียบเชียบและในที่สุดก็เข้าไปยังห้องพักของศรารัตน์ได้อย่างง่ายดาย

   ภาคินจ้องร่างศรารัตน์ที่กำลังนอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่บนเตียงด้วยแววตาโชนแสงก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาเหี้ยมเกรียมและไร้ความรู้สึก ชายหนุ่มเดินไปใกล้ร่างที่นอนอยู่ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาทว่าที่ริมฝีปากกลับประดับไว้ ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

   “ฉันไม่ได้อยากจะใจร้ายกับเธอหรอกนะศรา ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเธอเองกับไอ้วินที่ชอบแส่ไม่เข้าเรื่อง” ภาคินเหยียดยิ้มอย่างร้ายกาจก่อนจะค่อยๆดึงสายน้ำเกลือออกจากแขนของศรารัตน์ตามด้วยการเอื้อมมือไปถอดเครื่องช่วยหายใจ ออก พลางมองร่างบนเตียงที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวห่างๆของตนที่กำลังเริ่มชักกระตุกอย่างรุนแรง ภาคินมองจังหวะการเต้นของชีพจรศรารัตน์จากเครื่องวัดที่ตั้งอยู่ตรงข้างเตียงอย่างสะใจ ชีพจรของหญิงสาวกำลังอ่อนลงทุกทีๆพร้อมกับอาการกระตุกเกร็งตลอดทั้งร่าง

   แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างศรารัตน์ เพราะในจังหวะที่ชีพจรของศรารัตน์กำลังอ่อนแรงเต็มที ภาคินกลับหูแว่วได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่บริเวณโถงทางเดินด้านนอกและเสียงพูดคุยนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยนี้เอง ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าหนึ่งในนั้นเป็นเสียงของวิศรุต ภาคินสบถเบาๆอย่างเจ็บใจก่อนที่จะกวาดตามองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว เขาต้องหาที่ซ่อนก่อนที่วิศรุตจะเข้ามาในห้องนี้แล้วพบว่าเขาทำอะไรกับร่างของศรารัตน์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่อย่างนั้นคนที่จะตายแทนศรารัตน์ก็อาจจะเป็นตัวเขานี่แหล่ะ ในที่สุดภาคินก็เลือกที่จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ระเบียงด้านนอกห้องพัก ชายหนุ่มดึงผ้าม่านหนาหนักมาบังประตูที่เป็นกระจกใสเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อพรางตัวในขณะที่วิศรุตกับนภัทรก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี

   ภาคินได้ยินบทสนทนาในห้องอย่างชัดเจน เป็นเสียงของวิศรุตที่อุทานอย่างตกใจเมื่อเข้ามาแล้วได้เห็นอาการของศรารัตน์ที่กำลังชักกระตุกอยู่บนเตียงในสภาพที่ถูกถอดเครื่องช่วยหายใจออก จากนั้นก็เป็นเสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งที่กดกริ่งเรียกพยาบาลก่อนจะรีบเข้ามาดูอาการของศรารัตน์พร้อมกับจัดการต่อเครื่องช่วยหายใจให้กับคนป่วยตามเดิม ภาคินได้ยินวิศรุตเรียกชื่อฝ่ายนั้นว่านภัทร คงจะเป็นหมอ ภาคินคิดในใจ

เพียงไม่นานนักอาการของศรารัตน์ก็สงบลงและชีพจรก็กลับมาเป็นปกติตามเดิม ทำให้วิศรุตต้องระบายลมหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าเขาไม่บังเอิญมาหานภัทรเพื่อปรึกษาเรื่องอาการป่วยของศรารัตน์ในเวลาดึกแบบนี้ หากว่านภัทรไม่ชวนเขามาเยี่ยมศรารัตน์ด้วยกัน และหากว่าทั้งคู่มาช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว ป่านนี้ศรารัตน์คงตายไปแล้ว

   “ทำไมอยู่ดีๆถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” วิศรุตถามออกมาเมื่อนางพยาบาลออกไปจากห้องหมดแล้ว เหลือเพียงเขากับ นภัทร

   “ตอนนี้คุณศรายังหายใจเองไม่ได้มากนัก การที่ถูกถอดเครื่องช่วยหายใจอาจจะทำให้ร่างกายมีการตอบสนองโดยการชักกระตุกแบบเมื่อครู่นี้” นภัทรหันไปมองเครื่องวัดชีพจรก่อนจะหันมาบอกคู่สนทนา “นายไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว” วิศรุต
พยักหน้าช้าๆก่อนจะถามต่อ

   “แล้วอยู่ดีๆทำไมเครื่องช่วยหายใจถึงถูกถอดออกล่ะ? สายน้ำเกลือก็ด้วย” วิศรุตกับนภัทรมองหน้ากันเป็นเชิงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับศรารัตน์นี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ เพราะอยู่ดีๆเครื่องช่วยหายใจจะหลุดออกมาเองได้อย่างไรหากไม่มีคนจงใจถอดออกเพื่อต้องการให้ศรารัตน์ตาย และทั้งวิศรุตกับนภัทรก็มีคำตอบในใจแล้วว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดคือใคร “ต่อไปนี้ฉันอยากจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลศราตลอด24ชั่วโมงเลย” วิศรุตเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับนภัทรที่ถอนใจยาวด้วยความเครียดก่อนจะรับปากว่าเขาจะช่วยติดต่อเรื่องพยาบาลให้

   “นายโอเคหรือเปล่าวิน?” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตอึ้งไป ไม่ใช่เพราะคำพูดที่แสดงถึงความเป็นห่วงของฝ่ายนั้น แต่เป็นเพราะสรรพนามที่ใช้เรียกชื่อเขาต่างหาก เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่นภัทรเรียกชื่อเล่นเขาออกมาตรงๆแบบนี้ วิศรุตสบตาสีถ่านของอีกฝ่ายก่อนส่งเสียงอืมในลำคอ แต่สีหน้าที่แสดงถึงความกังวลที่ปิดไม่มิดของวิศรุตทำให้นภัทรรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก “นี่ก็ดึกแล้ว ฉันว่านายกลับบ้านไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจะดูแลเอง”

   “เรื่องนี้ฉันเป็นคนผิดตั้งแต่ต้น ทำไมคนที่นอนอยู่นี่ไม่กลายเป็นฉันล่ะ? ทำไมถึงกลายเป็นศราไปได้” วิศรุตพูดออกมาเบาๆขณะยืนอยู่ข้างเตียงของน้องสาว มือชายหนุ่มเอื้อมไปปัดปอยผมของศรารัตน์อย่างแผ่วเบา “ถ้าฉันห้ามใจตัวเองได้ เรื่องก็คงจะไม่กลายเป็นแบบนี้ ถ้าฉันไม่ยอมรับกับศราไปว่าตัวเองเคยชอบนายมาก่อน ศราก็คงจะไม่เสียใจแล้วผลุนผลันขับรถออกไปท่ามกลางฝนที่ตกหนักแบบนั้น ถ้าหากว่าฉัน...”

   “พอเถอะ นายหยุดโทษตัวเองได้แล้ว” นภัทรเอ่ยเสียงหนัก ชายหนุ่มไม่อยากให้วิศรุตเอาแต่โทษตัวเองอีกแล้วเพราะถึงจะโทษตัวเองอย่างไรก็ไม่ทำให้ศรารัตน์อาการดีขึ้นมา แต่วิศรุตไม่ยอมฟังยังคงพูดไปเรื่อยๆราวกลับไม่ได้ยินคำพูดของ
นภัทร

   “คืนวันนั้นศราเห็นหนังสือรุ่นตอนม.ต้นของฉัน เธอจึงรู้ว่าโดนหลอกเรื่องที่ฉันเคยรู้จักกับนายมาก่อน ศราคงจะเสียใจมากยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองดันมาหลงรักผู้ชายคนเดียวกับที่พี่ชายตัวเองแอบรักมาตลอด 13 ปีเต็ม สุดท้ายเธอคงจะยอมรับไม่ได้
เรื่องที่ฉันเป็นเกย์” วิศรุตกัดฟันแน่นพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกภายในใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกเกลียดตัวเองได้เท่านี้มาก่อน ถึงแม้ว่าเขากับศรารัตน์จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แต่ลึกๆแล้วเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองรักและเป็นห่วงน้องสาวคนนี้มากแค่ไหน ถึงแม้ว่าตอนนี้ศรารัตน์อาจจะไม่อยากนับเขาเป็นพี่ชายก็ตาม

   “นายไม่ได้ผิดทั้งหมดหรอก เรื่องนี้ฉันเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน” ถ้าเขาบอกศรารัตน์ไปตั้งแต่แรกว่าตัวเองคิดกับเธอแค่น้องสาว ศรารัตน์ก็คงจะไม่ตั้งความหวังและก็คงไม่เจ็บปวดกับความรักถึงขนาดนี้ นภัทรยิ้มขื่นให้กับตัวเอง “อย่าเอาแต่โทษตัวเองเลยวิน ทำแบบนี้คุณศราก็ไม่ได้อาการดีขึ้นมาหรอก” คุณหมอหนุ่มพูดพร้อมกับเอามือไปแตะไหล่อีกฝ่ายแต่วิศรุตกลับสะบัดออกพร้อมทั้งระเบิดอารมณ์ความรู้สึกที่อัดแน่นในใจมานานจนเขาทนไม่ไหว น้ำเสียงชายหนุ่มดังจนเกือบจะ กลายเป็นตะโกนใส่หน้านภัทร
   “ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกครั้งที่ฉันหลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องนี้ ฉันผิดมากนักเหรอที่เกิดมาเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน ผิดมากเหรอไงที่เลือกรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายศรา ฉันไม่ได้อยากจะให้เป็นแบบนี้ ฉัน...” วิศรุตทนพูดต่อไปไม่ไหวเพราะสะดุดก้อนแข็งๆในลำคอ น้ำตาชายหนุ่มค่อยๆร่วงลงมาทีละหยดจนกลายเป็นไหลพรากในที่สุด

ชายหนุ่มไม่ได้อยากร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเลย เขาไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของเขาโดยเฉพาะหากคนๆนั้นคือนภัทร

   “แล้วนายคิดว่าทำแบบนี้แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ? ไม่คิดบ้างเหรอว่าทำแบบนี้นายเองนั่นแหล่ะที่จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ฉันรู้ว่านายเสียใจกับเรื่องนี้มาก เสียใจจนอยากจะให้คนที่นอนอยู่บนเตียงนี้กลายเป็นนายเสียเอง แต่นายจะทำอะไรได้ล่ะ เรื่องมันเกิดไปแล้ว นายสามารถย้อนไปแก้ไขมันได้เหรอ นายสามารถย้อนเวลาเพื่อกลับไปโกหกน้องสาวได้เหรอว่าตัวเองไม่ได้ชอบฉันแล้ว นายทำอย่างนั้นได้ไหมล่ะวิศรุต ตอบฉันมาสิว่านายทำได้ไหม?” ยิ่งพูดเสียงคุณหมอหนุ่มก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ “ทุกครั้งที่ฉันเห็นนายเจ็บปวด เห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นนายต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องนี้ที่ฉันเป็น ตัวต้นเหตุแต่แรก นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง? ไม่ใช่แค่นายที่เสียใจหรอกวิน ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน ยิ่งเห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้ฉันก็ยิ่งเสียใจ...เสียใจที่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งการปลอบใจนายฉันก็ยังทำไม่ได้เลย” ดวงตาของนภัทรก็ฉ่ำน้ำเช่นกัน คุณหมอหนุ่มหันหลังให้วิศรุตก่อนพยายามเงยหน้าเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาสีถ่านคู่นั้น

   คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากของคู่สนทนาทำให้วิศรุตถึงกับอึ้งไป ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกซักพัก ผ่านไปเนิ่นนานคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากวิศรุตก็คือ “ขอโทษนะ” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดจบ นภัทรก็ดึงอีกฝ่ายเข้าไปกอดราวกับว่าถ้าไม่กอดคนตรงหน้าเอาไว้ให้แน่นๆวิศรุตก็จะหนีหายไป

   “วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายแค่ไหน” แม้จะยังตั้งตัวไม่ทันกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนภัทร แต่วิศรุตก็รู้สึกดีที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของฝ่ายนั้น อ้อมกอดที่เขาฝันจะได้รับจากนภัทรมาตลอดระยะเวลา13ปี เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญที่ฝ่ายนั้นรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย ถ้าเขาสามารถอยู่ในอ้อมกอดนี้ไปได้ตลอดก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ที่สุดวิศรุตก็รู้ว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

   คำพูดและการกระทำทั้งหมดของสองคนในห้องไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของภาคิน ชายหนุ่มค่อยๆลดมือปล่อยให้ม่านปิดสนิทราบไปกับกระจกใสของประตูระเบียงตามเดิม ถ้าเขาไม่อยู่ที่ระเบียงนี้แล้วคอยแอบดูความเป็นไปภายในห้องแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของวิศรุต ทัดเทวาปิดบังความลับอะไรเอาไว้ แถมเรื่องนี้ยังเป็นต้นเหตุทำให้วิศรุตกับศรารัตน์สองพี่น้องผิดใจกันอีกต่างหาก และถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะจัดการกับศรารัตน์ไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้รู้จุดอ่อนของวิศรุตแล้ว และเขาก็จะใช้จุดอ่อนเรื่องที่วิศรุตเป็นเกย์นี้แหล่ะมาทำลายศัตรูหมายเลขหนึ่งของตนให้ตายทั้งเป็นเลยทีเดียว





   ภาคินไล้สายตาไปตามตัวอักษรบนกระดาษในมือ นี่เป็นข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างวิศรุตกับนภัทรที่เขาให้นักสืบมืออาชีพไปตามสืบมาให้ ชายหนุ่มยิ้มร้ายเมื่อข้อมูลพื้นฐานที่อยู่ในมือเขาตอนนี้มันช่างสอดคล้องกับข้อมูลที่เขาเพิ่งรู้มาจากการแอบฟังวิศรุตกับนภัทรคุยกันที่โรงพยาบาลเมื่อคืนวาน...ผู้ชายคนที่ไอ้วินแอบรักชื่อว่านภัทร อิสรีย์ ทั้งคู่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน และปัจจุบันคนๆนี้ก็เป็นคนเดียวกับนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ ไม่มีทางผิดตัวแน่

   “ตามสืบเรื่องนี้ต่อไป ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะให้นายสะกดรอยตามดูด้วยว่าวันนึงไอ้วินมันไปทำอะไรที่ไหนบ้าง โดยเฉพาะถ้าหากว่ามีหลักฐานมาให้ฉันได้ว่าไอ้วินกับหมอนภัทรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ฉันก็จะตกรางวัลให้อย่างงามเลย” นักสืบรับคำก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ เมื่อนักสืบออกจากห้องไปแล้ว ภาคินจึงหันไปพูดกับวันชัยที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟาใกล้ๆกัน

   “เพราะว่าไอ้วินเป็นเกย์ มิน่าล่ะไม่ว่าเมริษาจะยั่วยวนหรือว่าหาโอกาสทอดสะพานให้บ่อยๆ มันก็ยังไม่สนใจ ที่แท้ก็เป็นพวก
วิปริตชอบเพศเดียวกันนี่เอง” ภาคินยิ้มเหยียดเมื่อพูดถึงบุคคลที่สามที่ตนเกลียดชังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

   “แกแน่ใจได้ยังไงเรื่องที่มันมีรสนิยมชอบผู้ชาย นักสืบพวกนี้เชื่อได้เหรอ?”

   “แน่ยิ่งกว่าแน่อีกครับพ่อ เพราะผมได้ยินไอ้วินมันคุยเรื่องนี้กับหมอนภัทรอะไรนั่นมากับหู และที่ผมจ้างนักสืบมาสืบเรื่องนี้ให้ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมได้ยินมามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” วันชัยพยักหน้าก่อนจะถามว่าภาคินจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้ ภาคินจึงบอกแผนการของตนออกไปให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้ซึ่งวันชัยเองก็ยิ้มอย่างพอใจในแผนการแต่ก็ไม่วายเตือนภาคิน

   “แผนการก็ดีเลยทีเดียว แต่ตัวอันตรายอย่างวิศรุต ถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรจะรีบกำจัดแต่เนิ่นๆ ไม่ควรปล่อยเอาไว้นานเพราะนับวันวิศรุตจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆและก็อาจจะทำให้เราเดือดร้อนได้”

   “พ่อหมายความว่าจะกำจัดมันทิ้งเหมือนอย่างที่เคยทำกับศราเหรอครับ?” วันชัยไม่พูดอะไรแต่แสยะยิ้มเหี้ยมให้ภาคินแทนคำตอบ





   วันนี้วิศรุตทำงานที่บริษัทจนดึก ชายหนุ่มตรวจดูโครงการบ้านทัดเทวาที่ตนดูแลอยู่ทุกขั้นตอนอย่างละเอียด การไว้ใจให้พงศธรคุมงานที่โครงการแทนระหว่างที่เขากำลังยุ่งอยู่กับอาการป่วยของศรารัตน์ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเลย พงศธรเป็นคนมีฝีมือ ทำงานละเอียดถี่ถ้วนและที่สำคัญคือเป็นคนที่เขาไว้ใจได้ ไม่ใช่พวกเส้นสายหรือว่าลูกน้องของอาวันชัยกับภาคิน พอชายหนุ่มเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือหรูก็พบว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว เขาจึงปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะเก็บเอกสารทั้งหมดเข้าที่ วันนี้เขาเหนื่อยมากจึงตัดสินใจกลับบ้านทัดเทวาเลยหลังจากที่ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะแวะไปเยี่ยมศรารัตน์ก่อน

   ระหว่างทางกลับบ้านทัดเทวา วิศรุตสังเกตเห็นมอเตอร์ไซค์ขับตามหลังรถเขาตลอดเวลา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นอีกเพื่อต้องการสลัดให้พ้นจากการถูกตาม ฝ่ายมอเตอร์ไซค์คันนั้นเมื่อเห็นว่ารถเป้าหมายคันข้างหน้าตนเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นจึงรีบบิดเครื่องเร่งไล่ตามทันที คนขับแกล้งปาดซ้ายขวาทำให้รถของวิศรุตเริ่มเซจนในที่สุดมอเตอร์ไซค์ก็อ้อมมาดักหน้ารถของชายหนุ่มได้สำเร็จ ในขณะที่มือปืนที่ซ้อนท้ายมาด้วยกันก็ชักปืนออกมายิงยางล้อรถสปอร์ตคันหรูจนแตก ทำให้คนที่อยู่ในรถหมดทางหนี

   วิศรุตตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาประชิดตัว รอบตัวเขาในตอนนี้มีแต่ความมืดด้วยเพราะถนนเส้นนี้เป็นทางเปลี่ยว นานๆทีจึงจะมีรถผ่านมา วิศรุตกัดกรามแน่นก่อนหยิบปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะเก้าอี้คนขับออกมาแล้วถือแอบไว้ด้านหลัง โชคดีที่เขาพกปืนเอาไว้เพราะสังหรณ์ใจว่าซักวันต้องเจอเรื่องแบบนี้ ยังดีหน่อยที่มันมากันแค่สองคน ชายหนุ่มเชื่อว่าด้วยความสามารถของเขาคงจะจัดการพวกมันได้ไม่ยากนัก วิศรุตคิดก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ

   “พวกแกเป็นใครแล้วต้องการอะไร?” วิศรุตตวาดถาม ดวงตาคมเริ่มหรี่ลงอย่างระวังตัวเต็มที่

   “ต้องการชีวิตแกยังไงล่ะ” มือปืนตรงหน้าเหนี่ยวไกปืนเตรียมยิงแต่วิศรุตไวกว่า อาศัยโอกาสเสี้ยววินาทีตวัดตัวเตะปืนของคนร้ายทิ้งไปก่อนใช้ปืนในมือยิงจนอีกฝ่ายล้มลง

   มือปืนอีกคนที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์มาด้วยกันรีบชักปืนขึ้นมายิงวิศรุตทันที แต่โชคดีที่ชายหนุ่มหลบทันกระสุนจึงแค่ถากที่บริเวณหัวไหล่เท่านั้นแต่ก็ทำให้มีเลือดออกจนเปียกชุ่มเสื้อเชิ้ตราคาแพง วิศรุตกัดฟันแน่นมองรอยแผลที่บริเวณหัวไหล่ตนก่อนจะยิงสวนไปอีกหนึ่งนัด กระสุนเจาะเข้าที่หน้าอกอย่างแม่นยำทำให้คนร้ายล้มลงขาดใจตายทันที

   “วางปืนลงเถอะคุณวิศรุต ทัดเทวา” เสียงมือปืนคนแรกดังขึ้นด้านหลังวิศรุต พร้อมกับปืนสีดำที่จ่ออยู่ที่ขมับเตรียมจะลั่นไก วิศรุตเหลือบมองปืนที่จ่ออยู่ แม้จะหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาแต่ชายหนุ่มก็พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น

   “ใครใช้ให้พวกแกมา?” ชายหนุ่มพยายามถ่วงเวลา อย่างน้อยเขาก็ภาวนาในใจให้มีใครผ่านมาทางนี้บ้าง

   “ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าวันนี้แกต้องตายก็พอ วางปืนในมือลงเดี๋ยวนี้” ประโยคสุดท้ายเปลี่ยนเป็นสั่งเสียงเข้ม วิศรุตค่อยๆวางปืนในมือลงกับพ้นถนน ก่อนที่ปืนซึ่งเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของเขาจะถูกคนร้ายเตะไปไกล

   “บอกลาโลกนี้ได้เลย” วิศรุตอาศัยจังหวะที่คนร้ายเผลอใช้ท่อนแขนซัดไปที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามโดยแรง ทำให้ปืนกระเด็นหลุดจากมือของฝ่ายนั้น วิศรุตรีบถลาเข้าไปจะหยิบปืนแต่คนร้ายที่ไวกว่ากลับคว้าไปได้ก่อน ชายหนุ่มจึงต้องกลายมาเป็นเป้านิ่งอีกครั้ง คราวนี้คนร้ายสบถอย่างหัวเสีย บริเวณหน้าอกที่โดนวิศรุตซัดอย่างเต็มแรงยังคงจุกไม่หาย มือหยาบกร้านจึงใช้สันปืนตบบริเวณขมับของวิศรุตอย่างแรงจนอีกฝ่ายเซ ก่อนจะเลื่อนปลายกระบอกปืนมาเล็งตรงตำแหน่งหัวใจ วิศรุตหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม วูบหนึ่งชายหนุ่มนึกถึงหน้านภัทร...ลาก่อน

   เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของคนร้าย วิศรุตลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ตาย ชายหนุ่มหันไปประสานสายตากับคนที่มาช่วยเขาเอาไว้ แววตาสีดำสนิทราวถ่านเป็นประกายโชนแสงกล้าตัดกับความมืดมิดรอบกายจนวิศรุตอดอุทานออกมาไม่ได้

   “นภัทร” วิศรุตเบนสายตาไปมองปืนในมือของนภัทรก่อนจะหันไปมองคนร้ายที่กำลังกุมต้นขาบริเวณที่โดนนภัทรยิงเมื่อครู่ ชายหนุ่มหันมองนภัทรด้วยความมึนงงกับการปรากฏตัวของอีกฝ่าย มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อคุณหมอหนุ่มเข้ามาประคองร่างของตนแล้วบอกว่าให้รีบหนีก่อน แต่คนร้ายก็ไม่ปล่อยให้วิศรุตหนีไปง่ายๆ มันใช้มือหนึ่งกดหน้าขาเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ก่อนจะใช้มือข้างที่เป็นอิสระเล็งปืนไปยังร่างของวิศรุต มันรู้ดีว่าถ้าหากวันนี้มันทำงานไม่สำเร็จ เจ้านายก็คงไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่ บางทีการเลือกจัดการกับสองคนนี้อาจจะเป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียว

   ‘ปัง’

ด้วยความที่วิศรุตเร็วกว่าจึงชิงแย่งปืนจากมือนภัทรแล้วใช้มือผลักอีกฝ่ายให้พ้นจากวิถีกระสุนก่อนจะยิงไปที่คนร้ายทันที ผลจากกระสุนนัดนั้นทำให้คนร้ายล้มลงและร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างจะแน่นิ่งไป

   “นายเจ็บมากไหม?” นภัทรถามขึ้นหลังจากที่ประคองวิศรุตมาพิงที่รถของตนที่จอดอยู่ใกล้ๆกัน “ให้ฉันดูแผลที่หัวไหล่นายหน่อย”

   “แค่โดนถากๆน่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” วิศรุตฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วขอบคุณที่นภัทรมาช่วยตนไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กลายเป็นผีเฝ้าถนนแน่ “ว่าแต่นายมาได้ยังไงกันเนี่ย?”

   “บังเอิญว่าฉันเพิ่งกลับจากงานสัมมนาที่ต่างจังหวัดน่ะ ต้องผ่านถนนเส้นนี้พอดี แล้วพอขับรถผ่านมาก็เห็นรถของนายจอดอยู่ข้างทางก็เลยคิดว่าคงมีเรื่องแน่ ยังดีที่ฉันพกปืนมาด้วย” ถ้าเขาไม่ได้พกปืนติดไว้ในรถเผื่อไว้ป้องกันตัว มีหวังเขาคงได้กลายเป็นผีชะตาขาดพร้อมกับวิศรุตแน่นอน “นายเดินไหวหรือเปล่า? มาเถอะ เดี๋ยวฉันพาไปทำแผลก่อน” นภัทรช่วยพยุงวิศรุตไปยังรถของตัวเองก่อนจะตัดสินใจพาชายหนุ่มไปทำแผลที่บ้านของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก อย่างน้อยก็ใกล้กว่าหากว่าจุดหมายคือบ้านทัดเทวาของวิศรุต





   ระหว่างที่ขับรถอยู่ มือถือของนภัทรก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าจอก็พบว่าปลายสายคือพงศธรที่โทรเข้ามาจึงกดรับ

   “ว่าไงไอ้พงษ์?” นภัทรทักไปแต่ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   “ไอ้กานต์ ตอนนี้แกพอจะรู้ไหมว่าจะติดต่อกับไอ้วินได้ยังไง? ฉันโทรหาวินเป็นร้อยรอบได้แล้วแต่ก็โทรไม่ติดสักครั้ง ถามใครก็
ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน แม้แต่ไอ้โอมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

   “ตอนนี้วินอยู่กับฉัน พอดีว่าเกิดเรื่องแล้ววินก็บาดเจ็บ เดี๋ยวเอาไว้เล่าให้แกฟังวันหลัง นี่ฉันเองก็กำลังจะพาไปทำแผลที่บ้านอยู่เนี่ย” พูดได้แค่นั้นเสียงปลายสายก็ถูกตัดไป นภัทรถอนหายใจเฮือกเพราะมือถือเจ้ากรรมดันมาแบตหมดเอาตอนนี้

   “เกิดอะไรขึ้น?” วิศรุตถามขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ของนภัทร มันคงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน

   “เมื่อกี้ไอ้พงษ์โทรมา มันบอกว่าโทรหานายแล้วไม่ติด มันก็เลยโทรมาหาฉันถามว่ามีวิธีอื่นอีกไหมที่จะสามารถติดต่อนายได้ แต่แบตมือถือฉันก็ดันหมดก่อน” วิศรุตพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วบอกว่ามือถือของเขาลืมทิ้งเอาไว้ที่รถ ไม่รู้ว่าพงศธรจะมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมาดึกดื่นแบบนี้ ในขณะที่นภัทรก็ยักไหล่เป็นเชิงว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน



จบบทที่24
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่25
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 03-08-2012 08:56:48
บทที่ 25


   นภัทรพาวิศรุตมาที่บ้านของเขา บรรยากาศบ้านสวนของชายหนุ่มในเวลานี้เงียบสงบเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะตอนนี้เป็นเวลาค่อนคืนแล้ว บ้านช่องบริเวณใกล้เคียงต่างปิดไฟเข้านอนกันหมด เหลือแต่เพียงแสงสลัวสีขาวนวลจากไฟตรงถนนที่ตัดผ่านบริเวณหน้าบ้านของชายหนุ่ม นภัทรเปิดประตูรั้วก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้าน จากนั้นจึงเดินอ้อมมาช่วยเปิดประตูรถให้กับวิศรุต

   “ฉันมารบกวนหรือเปล่า?” วิศรุตเกรงใจเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อันที่จริงแผลที่หัวไหล่ก็ไม่ได้ใหญ่มากมายนัก แต่คุณหมอหนุ่มยืนยันที่จะให้วิศรุตรีบทำแผลให้เรียบร้อยก่อนที่แผลจะเกิดการติดเชื้อ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการที่นภัทรขับรถพาเขามาทำแผลที่บ้านนี่แหล่ะ “ฉันเกรงใจ เผื่อว่ามากวนเวลาพักผ่อนของพ่อแม่นาย”

   “ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก อีกอย่างสองสามวันมานี้พ่อกับแม่ฉันไปเที่ยวพักผ่อนกันที่หัวหิน นายมาก็ไม่ได้รบกวนอะไร” นภัทรยิ้มบางๆก่อนจะรั้งแขนแล้วเดินนำวิศรุตเข้าไปยังตัวบ้านก่อนจะพาคนเจ็บไปยังห้องด้านบนซึ่งเป็นห้องส่วนตัวของเขา

   “นี่ห้องของนายเหรอ? น่าอยู่ดีนะ” วิศรุตเอ่ยชมห้องนอนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบๆด้วยเฟอร์นิเจอร์จำเป็นเพียงไม่กี่ชิ้น ที่มุมด้านหนึ่งเป็นตู้หนังสือขนาดย่อม บ่งบอกถึงนิสัยรักการอ่านของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังมีโมเดลการ์ตูนเป็นของสะสมอีกมากมาย นภัทรมองตามสายตาของวิศรุตก่อนจะอมยิ้มแล้วพูดขำๆ

   “คงสู้ห้องนายที่คฤหาสน์ทัดเทวาไม่ได้หรอก” วิศรุตยิ้มบางๆ จริงอยู่ว่าการตกแต่งของห้องนี้ถ้าเทียบกับห้องของเขาที่บ้านทัดเทวาแล้วจะสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ขนาดความกว้างห้องนี้ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของห้องนอนเขาเสียด้วยซ้ำ หากแต่สิ่งหนึ่งที่มีเหนือกว่าก็คือห้องนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าห้องที่กว้างขวางโอ่อ่าในบ้านทัดเทวาหลังนั้น หรือไม่บางทีอาจเป็นเพราะคนที่กำลังยืนอยู่ข้างตัวเขาต่างหากที่ทำให้วิศรุตรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้

   “ฉันว่านายไปอาบน้ำก่อนเถอะ จะได้มาทำแผลที่ไหล่ ว่าแต่อาบได้ใช่ไหม?” ท้ายประโยคนภัทรหันมาถามวิศรุตเป็นเชิงเย้า หากแต่คุณหมอหนุ่มแหย่ผิดคนแล้วเพราะวิศรุตตอบกลับไปว่า

   “ถ้าฉันอาบเองไม่ได้ แล้วนายจะมาอาบให้หรือไง?”

   “แล้วจะให้ฉันอาบให้หรือเปล่าล่ะ?” คำพูดที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วของนภัทรทำให้สีหน้าของวิศรุตเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่านภัทรจะต่อปากต่อคำเก่งขนาดนี้ ถ้าหากเขาสองคนหยอกล้อกันเล่นแบบนี้ได้ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ก็คงจะดี อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนภัทรก็คงจะไม่ออกแนวอิหลักอิเหลื่อเหมือนเช่นในตอนนี้

   “เอาเป็นว่านายอาบน้ำไปก่อนแล้วกัน มีผ้าขนหนูอยู่ในห้องน้ำแล้ว ส่วนชุดนอนก็อยู่ในตู้เสื้อผ้า หยิบได้ตามสบาย  เลย” นภัทรพูดตัดความเงียบขึ้น ก่อนจะขอตัวลงไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมาเพื่อเตรียมทำแผลให้วิศรุต

   หลังจากที่นภัทรลงไปแล้ว วิศรุตจึงเข้าไปอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สะอาดเพราะเนื้อตัวของเขาเต็มได้ด้วยคราบ สกปรกและพวกฝุ่นที่ติดตามตัวเมื่อตอนสู้กับมือปืนสองคนนั้น ชายหนุ่มต้องขบกรามแน่นเมื่อน้ำเย็นไหลผ่านบาดแผลที่โดน กระสุนถากบริเวณหัวไหล่ แต่ใช้เวลาไม่นานนักก็อาบน้ำเสร็จ

   วิศรุตเดินออกจากห้องน้ำตั้งใจจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ แต่ทว่าดวงตาคมก็หันไปเห็นอะไรบางอย่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ อ่านหนังสือของนภัทร เป็นกรอบรูปที่ใส่ภาพถ่ายคู่กันของเด็กวัยรุ่นม.ต้นสองคน หนึ่งในนั้นเขาจำได้ว่าคือนภัทร แต่ผู้หญิงอีกคนที่ยืนคู่กันเขาเองก็ไม่แน่ใจ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องจากด้านหลัง วิศรุตจึงรีบวางกรอบรูปลงที่เดิมก่อนจะหันมาหาเจ้าของห้อง

   “ยังไม่ต้องใส่เสื้อก็ได้ เดี๋ยวรอทำแผลเสร็จก่อน” นภัทรพูดเมื่อเห็นว่าวิศรุตกำลังหยิบเสื้อนอนที่เขาเตรียมไว้ให้ขึ้นมาทำท่าว่าจะสวมใส่ วิศรุตส่งเสียงตอบรับในลำคอก่อนจะเดินมานั่งที่ปลายเตียงเพื่อรอให้คุณหมอหนุ่มทำแผลให้แต่โดยดี

   นภัทรจัดการใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เพื่อล้างแผลให้วิศรุต จากนั้นก็ทำแผลให้จนเรียบร้อยซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนนภัทรได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากสบู่ที่โชยออกจากกายของอีกฝ่ายซึ่งก็ทำให้คุณหมอหนุ่มเคลิ้มไปชั่วขณะ ก่อนสติจะถูกดึงกลับมาเมื่อวิศรุตถามว่าตนจะใส่เสื้อผ้าได้หรือยัง?

   คุณหมอหนุ่มหยิบเสื้อที่วางอยู่ปลายเตียงใกล้ๆกันขึ้นมาแล้วตั้งใจจะช่วยสวมให้เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงทำได้ไม่ค่อยถนัดเพราะคงจะยังเจ็บที่หัวไหล่อยู่ แต่วิศรุตบอกว่าตนทำได้ ชายหนุ่มพยายามสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อนอนแต่ว่าก็ทำได้อย่างลำบาก ในที่สุดก็ต้องให้คนตรงหน้าช่วยอยู่ดี นภัทรช่วยวิศรุตใส่เสื้อก่อนจะช่วยติดกระดุมให้ทีละเม็ดอย่างอ่อนโยน

   “นายติดกระดุมไม่ตรงแถวกันนะ” วิศรุตเอ่ยเสียงเบาขณะที่มือเลื่อนไปตั้งใจจะปลดกระดุมออกจากรังดุมที่ติดผิด แต่นภัทรจับมือเขาเอาไว้เสียก่อน

   “เอ๊ะ” วิศรุตอุทานเสียงเบากับสัมผัสจากมือนภัทร ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือของคนตรงหน้า พลันวิศรุตเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมกริบสีถ่านคู่นั้น ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวอีกที เลนส์แว่นของนภัทรก็มาสัมผัสกับใบหน้าเขาเสียแล้ว...เขากำลังถูกคนตรงหน้าจูบอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนแรงเหลือเกิน

   เมื่อนภัทรถอนจูบออก ทั้งคู่สบตากันนิ่งเหมือนว่าเวลาหยุดหมุนอยู่เพียงแค่นี้ ก่อนที่นภัทรจะค่อยๆเอื้อมมือมาดึงแว่นตาไร้กรอบของตนให้พ้นจากใบหน้าหล่อคม จากนั้นก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากของวิศรุตอีกครั้ง แค่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลงเสมือนกับนายพรานที่วางบ่วงดักสัตว์เอาไว้รอให้เหยื่อมาติดกับ และตอนนี้วิศรุตก็ยินดีแม้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นเหยื่อของนภัทรก็ตาม

   วิศรุตใช้แขนข้างที่ไม่บาดเจ็บโน้มต้นคอของนภัทรให้ต่ำลงแล้วจึงประทับจูบที่ปลายคางสากของอีกฝ่ายก่อนจะเชย ลำคอของตนขึ้นสูงกว่าเดิมเพื่อให้นภัทรได้ใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นละเลียดชิมความหอมหวานจากลำคอเพรียวสวยราวอิสตรีของตน ริมฝีปากของนภัทรไล่สำรวจเรือนกายของร่างข้างใต้ไปทั่วตั้งแต่ใบหน้างดงามราวเทวดารังสรรค์ ลำคอระหง สร้างรอยรักไว้ที่ไหปลาร้าสองข้าง จนกระทั่งไล่ไปถึงยอดอกสีระเรื่อที่ถูกคุณหมอหนุ่มดูดดุนแล้วขบเม้มจนเป็นรอยแดง วิศรุตแอ่นกายด้วยความเสียวซ่านที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

   นภัทรไม่หยุดแค่นั้น ชายหนุ่มใช้สองมือเคลื่อนไหวไปพร้อมกับริมฝีปากที่ทำหน้าที่สำรวจทุกซอกมุมของร่างอันสวยงามเบื้องหน้า มือหนาที่คุ้นชินกับการจับมีดผ่าตัดตอนนี้กลับกำลังไล่ปลดกระดุมเสื้อนอนของวิศรุตที่ตนเพิ่งจะติดให้กับเจ้าตัวด้วยมือของตนเองเมื่อครู่นี้ เพียงไม่นานร่างกายเนียนสล้างที่ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ้มของวิศรุตก็ปรากฏสู่สายตาของนภัทร แต่วิศรุตก็ไม่ยอมขาดทุนให้คุณหมอหนุ่มจ้องตนแต่เพียงฝ่ายเดียว ชายหนุ่มชันขาขึ้นก่อนจะอยู่ในท่าคุกเข่าในขณะที่มือก็ไล่แกะกระดุมเสื้อของนภัทรไปด้วย พร้อมๆกับนภัทรที่ปลดซิปกางเกงแสล็คของตนแล้วค่อยๆถอดมันออกแล้วโยนเอาไว้ที่พื้นห้องอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้นภัทรเกือบจะเปลือยเปล่าเหมือนกับเขา จะต่างกันก็ตรงที่ว่าฝ่ายนั้นยังมีกางเกงชั้นในเป็นปราการด่านสุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้นวิศรุตก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าหานภัทรเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงจะไม่เคยกับเรื่องของการร่วมรักระหว่างชายกับชาย แต่คืนนี้เขาจะช่วยสอนฝ่ายนั้นเอง

   เมื่อวิศรุตขยับกายเข้ามาใกล้ นภัทรก็รั้งร่างคนตรงหน้าเข้าไปจูบทันที คราวนี้ฝ่ายนั้นส่งปลายลิ้นเข้ามาพัวพันหยอกเย้า ตักตวงความหวานในโพรงปากของวิศรุต ซึ่งชายหนุ่มเองก็ตอบสนองไปอย่างเร่าร้อนเช่นกัน เขาเบียดกายเข้ามาใกล้นภัทรมากยิ่งขึ้น ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่นภัทรจะเกาะกุมสะโพกเนียนของวิศรุตและรั้งให้แนบชิดขึ้น จนวิศรุตรู้สึกได้ถึงแก่นกายที่แสดงถึงสัดส่วนความเป็นบุรุษเพศที่เริ่มร้อนผ่าวของคนตรงหน้า...เขารู้ดีว่าตอนนี้นภัทรต้องอะไรอะไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน

   มือของวิศรุตเริ่มรูดกางเกงชั้นในของอีกฝ่ายให้พ้นทาง ก่อนจะใช้มือเรียวค่อยๆสัมผัสและลูบไล้ยังแก่นกายของนภัทรอย่างช้าๆ ซึ่งชายหนุ่มเองก็จับมือของนภัทรมาสัมผัสที่แก่นกายอันร้อนผ่าวที่ค่อยๆแข็งขึงของตนเองเช่นกัน นภัทรในตอนแรกมีท่าทีเงอะงะแต่พอผ่านไปได้ซักพักทุกอย่างก็เริ่มที่จะดำเนินไปได้ด้วยดี ตอนนี้นภัทรพลิกตัวมาซ้อนด้านหลังแทน คุณหมอหนุ่มรั้งร่างของวิศรุตให้เอนมาซบตน ทำให้บั้นท้ายนวลเนียนของวิศรุตสัมผัสกับความแข็งขึงจากสัดส่วนบุรุษของนภัทรอย่างเลี่ยงไม่ได้ วิศรุตตาปรือด้วยอารมณ์เสน่หาในรสรักที่นภัทรบรรจงป้อนให้ มือของชายหนุ่มอ้อมไปเกี่ยวกระกวัดรอบคอด้านหลังของนภัทรก่อนจะเอี้ยวหน้าไปแลกจูบกับฝ่ายนั้นอย่างดูดดื่มราวกลับจะกลืนกินฝ่ายตรงข้ามเข้าไปทั้งตัว

   จังหวะรักที่เริ่มนุ่มนวลในตอนแรกๆเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนแรงตามดีกรีอารมณ์ที่ทะยานขึ้นสูงของคนทั้งคู่ ตอนนี้ทั้งนภัทรและวิศรุตต่างลืมเลือนไปแล้วทั้งสิ้นว่าทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานกันมากแค่ไหน นภัทรในตอนนี้นึกอะไรไม่ออกแล้วนอกจากความสุขแทบล้นทะลักที่ได้รับจากวิศรุตแม้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคนที่เขาเคยเกลียดแสนเกลียดและขยะแขยงกับพฤติกรรมรักร่วมเพศก็ตาม แม้ว่าสติลึกๆจะบอกว่าความรักแบบนี้มันผิดครรลองของธรรมชาติ แต่ ณ วินาทีนี้ นภัทรไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น เขาอยากจะสลัดเหตุผลทุกอย่างออกไปให้หมด อยากให้เหลือเพียงแค่การกระทำที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจเท่านั้น...ความรู้สึกที่เขาพยายามปฎิเสธมานาน

   นภัทรใช่ฝ่ามือดันให้วิศรุตนอนลงราบไปกับเตียงนอนหลังกว้างในขณะที่ร่างสูงของตนก็ตามมาทาบทับอีกฝ่ายแทบจะทันที วิศรุตบิดกายเล็กน้อยเพื่อให้ร่างสมส่วนตามแบบบุรุษเพศของนภัทรแนบชิดกับร่างของตนให้มากขึ้น ชายหนุ่มประสานสายตากับเจ้าของดวงตาสีถ่านด้วยแววตาลึกซึ้ง ปราศจากซึ่งคำพูดใดๆ วิศรุตหวังเหลือเกินว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องจริงเมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่กำลังล่วงผ่านเข้าไปในร่างกายของตน

   “อ๊าาา” วิศรุตครางเสียงสั่นเมื่อนภัทรจัดการแยกขาของเขาออกกว้างก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปยังช่องทางคับแคบของตนและยิ่งครางหนักขึ้นเมื่อฝ่ายนั้นเพิ่มจำนวนนิ้วที่สอดเข้าไป นภัทรมองวิศรุตที่บิดตัวเร่าเพราะดวามเสียวซ่านอย่างพอใจก่อนจะถอนนิ้วทั้งหมดออกแล้วแทนที่ด้วยแก่นกายแข็งขึงที่แสดงสัดส่วนความเป็นบุรุษเพศตน นภัทรเสือกแก่นกายเข้าไปทางช่องทางคับแน่นจนมิด ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียวซ่านที่เพิ่มสูงขึ้นของตัวเองเนื่องมาจากการถูกตอดรัดอย่างรุนแรงจากช่องทางที่คับแน่นนั้น ในขณะที่วิศรุตเงยหน้าสูดลมหายใจลึกแล้วพยายามผ่อนคลายร่างกายของตนให้มากที่สุด จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มรู้ดีกว่าการทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บจากการถูกรุกล้ำช่องทางเบื้องล่างได้มากเลย ทีเดียว เพียงไม่นานความเจ็บปวดที่เคยรู้สึกเมื่อครู่ก็กลับเป็นความสุขสมจากเพศรสอันร้อนแรง

   วิศรุตโยกสะโพกหนั่นแน่นของตนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเริ่มส่ายวนเป็นจังหวะเนิบๆเพื่อสร้างความรู้สึกรัญจวนให้กับทั้งตัวเองและนภัทร ฝ่ายคุณหมอหนุ่มก็ตอบรับโดยการเร่งจังหวะการสอดใส่แก่นกายเข้ากับร่างข้างใต้ให้เร็วและถี่กว่าเดิม ร่างหนาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ชายหนุ่มมองสีหน้าของร่างในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกที่ดื่มด่ำ วิศรุตกำลังหวีดร้องออกมาด้วย ความสุขสมเมื่อร่างทั้งสองต่างสอดประสานแนบชิดสนิทหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ชายหนุ่มขบฟันเข้ากับไหล่กำยำของ  นภัทรด้วยความเสียวซ่านภายในช่องท้องที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นภัทรเองก็ไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มครางเสียงหนักๆก่อนที่ความต้องการทั้งหมดจะถูกระเบิดออกมาในรูปของเหลวสีขาวขุ่นที่ไหลเปรอะไปตามแก่นกายและช่องทางเบื้องล่างของวิศรุต ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ในสมองของนภัทรตอนนี้มีแต่ความขาวโพลนและความสุขสมที่กระจายไปทั่วจากการร่วมรักเมื่อสักครู่

   วิศรุตรู้ว่าอีกฝ่ายถึงจุดสุดยอดแล้ว แต่ตัวเขากลับทรมานเพราะความรู้สึกเมื่อครู่ยังครึ่งๆกลางๆอยู่ และดูเหมือนว่า
นภัทรเองก็รู้เช่นกันว่าวิศรุตยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนอย่างเขา

   “ช่วยฉันหน่อย ฉันไม่ไหวแล้ว” วิศรุตครางเสียงแผ่วอย่างอ้อนวอนร่างหนาหนักที่กำลังโถมทับตัวเองอยู่ พร้อมกับเอามือของนภัทรมาสัมผัสยังแก่นกายตนที่ยังคงเต็มไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรงที่ยังไม่ได้ถูกระบายออก เพียงเท่านี้นภัทรก็รู้ว่าวิศรุตต้องการอะไร คุณหมอหนุ่มไล้มือไปตามแก่นกายของฝ่ายนั้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆรูดขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะช้าๆ

   “อือ...อา....อืมมม” วิศรุตเสียงกระเส่าด้วยพายุอารมณ์ที่โหมพัดฮือ ก่อนชายหนุ่มจะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อความรู้สึกจากการถูกสัมผัสส่วนนั้นด้วยมือ บัดนี้ได้กลายเป็นอย่างอื่นแทน แก่นกายของเขากำลังถูกนภัทรอมไว้ในโพรงปากอุ่นของฝ่ายนั้น

   “อ๊าาาา” วิศรุตจิกผ้าปูที่นอนอย่างแรง ความสุขสมกำลังเอ่อล้นจนเขาแทบจะสำลักความสุขที่ฝ่ายตรงข้ามมอบให้ นภัทรกำลังอมส่วนปลายแก่นกายของเขาก่อนจะใช้ลิ้นเลียแล้วดูดดุนเป็นจังหวะเข้าออก วิศรุตแอ่นกายเยียดตรงก่อนใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสอดเข้าไปขยุ้มกลุ่มผมของนภัทรด้วยความรัญจวน ไม่นานนักวิศรุตก็ถึงจุดสูงสุดของอารมณ์พร้อมกับหลั่งหยาดน้ำรักออกมาจนเต็มปากของอีกฝ่าย ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด กลับกลืนมันลงไปอย่างหน้าตาเฉย

   คนที่เพิ่งถึงจุดหมายนอนหอบหายใจสะท้าน ดวงตาสีน้ำตาลโศกปรือตามองนภัทรด้วยแววตาเชื่อมแสง เขาไม่ อยากจะเชื่อเลยว่าตนกับนภัทรจะมีวันนี้ได้ วันที่เขาสองคนมีความสัมพันธ์ทางกายกันอย่างลึกซึ้งแบบนี้...วันที่เขาและนภัทรต่างเป็นของกันและกัน

   นภัทรไม่หลบตาวิศรุตที่กำลังมองมาที่ตน ชายหนุ่มยิ้มบางๆก่อนจะยกมือของฝ่ายนั้นมาจูบไล่ทีละปลายนิ้ว วิศรุตเองก็รู้ใจนภัทรว่าคุณหมอหนุ่มยังไม่พอใจกับการปลดปล่อยแค่เพียงครั้งเดียว เขายิ้มมุมปากแล้วค่อยๆโน้มหน้าฝ่ายนั้นลงมาซุกไซร้ซอกคอตนก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและดำเนินไปเรื่อยๆตลอดทั้งคืน

   พงศธรขบกรามแน่นเมื่อเห็นภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายสองคนที่กำลังกอดรัดและร่วมรักกันอย่างสุขสมเบื้องหน้าก็คือเพื่อนสนิทกับเจ้านายของตน มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วค่อยๆใช้มือดึงบานประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ให้ปิดลงตามเดิม ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบด้วยสมองที่ยังคงอื้ออึงกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้





   วิศรุตเท้าแขนกับระเบียงด้านนอกห้องนอนของนภัทร จากตรงนี้สามารถมองเห็นบริเวณรอบๆบ้านได้อย่างชัดเจน บ้านของนภัทรปลูกต้นไม้เอาไว้เยอะมากไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกหรือไม้ประดับซึ่งก็สร้างบรรยากาศอันน่าร่มรื่นให้กับบ้านหลังนี้ได้มากเลยทีเดียว ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าปอด ในสมองก็กำลังนึกถึงเรื่องระหว่างเขากับนภัทรที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาไม่รู้ว่าที่นภัทรทำอย่างนั้นเพราะเหตุผลอะไร รู้แต่ว่าเขาเองมีความสุขมากที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของฝ่ายนั้น ได้สัมผัสเรือนกายที่เขาเฝ้าฝันถึงตลอด13ปีเต็ม และที่สำคัญคือการได้รู้ว่านภัทรเองก็มีความสุขเหมือนอย่างที่เขามีเช่นกัน

   “คิออะไรอยู่เหรอ?” วิศรุตสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอบอุ่นจากด้านหลัง ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปสบตากับเจ้าของห้องก่อนจะตอบว่า

   “คิดเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” วิศรุตคลี่ยิ้มให้ก่อนจะถามว่าอีกฝ่ายตื่นนานแล้วเหรอยัง แต่นภัทรก็บอกว่าตนเพิ่งตื่น แต่พอตื่นมาก็ไม่เห็นวิศรุตแล้ว

   “นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้วซะอีก” คุณหมอหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะเบนมาถามอีกเรื่อง “ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”

   “อ้อ แผลที่หัวไหล่เหรอ ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ” นภัทรส่ายหน้าก่อนจะบอกว่าไม่ใช่แผลที่หัวไหล่ แต่เป็นที่อื่นต่างหาก อาการยิ้มเจ้าเล่ห์ของฝ่ายนั้นทำให้วิศรุตหน้าร้อนวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่านภัทรกำลังพูดเรื่องอะไร เมื่อคืนเขากับนภัทรร่วมรักกันหลายครั้งมาก ทำให้วันนี้ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเขาจึงมีอาการปวดยอกที่เอวพอสมควร

   “แล้วเพราะใครล่ะ?” นภัทรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วบอกให้วิศรุตไปอาบน้ำได้แล้ว เขาจะขับรถไปส่งชายหนุ่มที่บ้านทัดเทวาเอง

   “เดี๋ยวก่อนกานต์” วิศรุตตัดสินใจเรียกขึ้นขณะที่นภัทรกำลังหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มสูดลมหายใจเฮือกก่อนตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจมานาน “เรื่องเมื่อคืน...ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไร?”

   วิศรุตมองนภัทรที่นิ่งเงียบไปอย่างน้อยใจลึกๆ เขาอยากให้ฝ่ายนั้นพูดออกมาตรงๆว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ อยากให้นภัทรบอกเหตุผลการกระทำของตนว่าเรื่องเมื่อคืนมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเหงา? หรือเพราะ...วิศรุตไม่กล้าคิดต่อ

   “จากคนที่นายไม่เคยชอบหน้า คนที่นายเคยรังเกียจและขยะแขยง แต่สุดท้ายคนๆนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่นายมีความสัมพันธ์ทางกายด้วย ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่?”

   “ถ้าเราสองคนต่างก็มีความสุขกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วคำตอบของฉันมันสำคัญด้วยเหรอ?” คนที่ถูกถามเอ่ยทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุมคนทั้งคู่ นภัทรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไมเขาถึงไปมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้นึกเกลียดขี้หน้าฝ่ายนั้นแล้วก็ตาม อีกทั้งคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยก็ยังเป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา ลึกๆในใจบางทีเขาอาจจะหาคำตอบได้แล้ว แต่ทว่ายังไม่อยากจะยอมรับเท่านั้นเอง

   “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่ได้ถามก็แล้วกัน” วิศรุตยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะมองแผ่นหลังของนภัทรที่เดินกลับเข้าห้องไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ชายหนุ่มเคยคิดไว้ว่าหากได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับนภัทรจริงๆเขาคงจะมีความสุขมาก แต่พอวันที่เขาฝันไว้มาถึง เขากลับไม่ได้มีความสุขเท่าที่เคยวาดฝันเอาไว้ตั้งแต่ต้น แต่เขากลับรู้สึกยิ่งทรมาน...ทรมานกับการต้องนึกจินตนาการไปต่างๆนานาว่านภัทรรู้สึกอย่างไรกับตนกันแน่ ชายหนุ่มยิ้มเศร้ากับตัวเองพลางทอดสายตาไปเบื้องหน้า แดด
อบอุ่นยามเช้าไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวในใจของวิศรุตในตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย


จบบทที่25

Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพต่อให้เหมือนเคยแล้วเน้อ ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามมากๆค่ะ อย่างน้อยก็ติดตามมาจนถึงตอนที่25แล้ว และก็หวังว่าคงไ้ด้รับการติดตามต่อไปเรื่อยๆจนจบเรื่องเลยเน้อ
           ตอนที่แล้ว นักอ่านหลายๆท่านบ่นเสียดายภาณุว่าไม่น่าคู่กับเมริษา แต่เราอยากบอกว่าคู่ภาณุหลังๆนี่ก็แอบมีอะไรให้ลุ้นเหมือนกันนะึคะ ไอ้ที่คิดๆเดาๆพล็อตเอาไว้ในใจอาจจะผิดก็ได้เน้อ อิอิ ส่วนภาคินกับวันชัยก็อยากจะบอกว่าความเลวของสองพ่อลูกคู่นี้แปรผันตรงกับจำนวนบทที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆค่ะ ยิ่งหลังๆนี่แบบไม่ต้องพูดถึงเลย เลวได้ใจมากๆ เพราะตอนนี้ภาคินก็รู้แล้วว่าวินชอบผู้ชาย เรื่องมันก็จะเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ต่างฝ่ายต่างก็มีแผนการอยู่ในใจเพื่อจ้องจะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม เดี๋ยวก็มาลุ้นต่อตอนหน้าแล้วกันเน้อว่าแต่ละคนจะตัดสินใจยังไง พงศธรอีกด้วย...เห็นฉากตำตาขนาดนั้น จะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนื่ย ส่วนน้องศราก็เดี้ยงไปแล้ว วินก็ทำท่าจะแย่ทั้งเรื่องงานและก็เรื่องความรักที่ยังคลุมเครือ...เรื่องนี้ก็ยังต้องเกาะขอบจอติดตามกันต่อไป

ปล. ไหนใครอยากอ่านต่อช่วยคอมเม้นท์แสดงความคิดเห็นหน่อยเร้ววววว เราได้อ่านคอมเม้นท์ของทุกคนแล้ว อยากบอกว่าอ่านไปก็ยิ้มไป เออเนอะ...มีคนอ่านนิยายแล้วอินตามมันก็ถือเป็นความสุขอย่างนี้นี่เอง  :impress2:

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 03-08-2012 09:15:45
สรุปว่า มาม่าต้มทั้งเรื่อง?  :monkeysad:

เหอะๆๆๆๆๆ จะรอตอนต่อไปน๊า!!!
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: พี่วันเสาร์ ที่ 03-08-2012 10:47:42
อ่านรวดเดียวถึงตอนที่ 25
อยากบอกว่าเขียนได้สนุกและน่าอ่านมากๆ o13
อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่ามีวินคนเดียวที่ดราม่าตลอด
ตั้งแต่แอบรักจนกระทั้งมีอะไรกัน
ดีใจกับวินที่หมอกานต์ดูเหมือนจะรักและเห็นใจบ้างแล้ว
ส่วนสองพ่อลูกจอมโกงนั้นน่ารังเกียจมากโกงแบบหน้าด้านๆ :angry2: :z6:
++จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 03-08-2012 11:54:24
พงษ์ไม่น่าจะตกใจนะ น่าจะแค่แปลกใจที่เห็นกานต์ กับวินมากกว่า เพราะสมัยมัธยมก็อยู่ห้องเดียวกันต้องรู้เห็นอะไรบ้างแหละ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: U_Ton ที่ 03-08-2012 12:26:20
 :sad4: อ่านทีเดียว 25 ตอน อืม... ความรักของวินรุนแรงนะ แต่มันก็คือ ความจริงใจ...

ไม่ใช่กีดกัดศราเพราะเกลียดน้อง แต่แค่ไม่อยากเห็นตำตาก็แค่นั้น... รักมากก็หวงมาก

ตอนที่ 25 นี่ไม่รู้ว่าพงษ์จะว่ายังไง... ถ้าพงษ์ได้ดูจนจบ(ยันเช้าน่ะ) คงรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เห็นทั้งหมด

คงสงสารวินอย่างที่โอมรู้สึก... เหมือนหมอกานต์เห็นวินเป็นอะไร... ไม่ตอบเเบบนี้ มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

แบบนี่ มันหมายถึงคู่นอนนะ... หมอฉลาด แต่ไม่เฉลียวเลย ว่าอีกฝ่ายจะต้องเจ็บแค่ไหนกับคำตอบแบบนี้

คนนึงรัก อีกคนเหมือนแค่ทำธุรกิจร่วมกันอ่ะ (ถึงหมอจะไม่ได้คิดอย่างนั้นก็ตาม)... คนที่รัก เค้าเจ็บตายชักเลย

รู้สึกว่าวินเจอศึกหลายด้านเกินไปอ่ะ จะทนได้นานแค่ไหน... กำลังใจมันมีนะ แต่มันก็เติมเต็ม แต่ก็ถูกบั่นทอนด้วย

มันถมไม่มีทางเต็มอ่ะแบบนี้... :เฮ้อ: วินนนนนนน... ไอ้ภาคินเตรียมเล่นงานอยู่อีก ขอให้เมคิดได้เหอะ...

สงสารวินเกินไปแล้ววว :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 03-08-2012 13:13:09
หลังจากนี้คนอ่านคงซัดมาม่ากันโฮกๆๆๆ  :z3: ความจริงอิคนที่ผิดแล้วสมควรจะสำนึกผิดอ่ะคือสองพ่อลูกนั่นต่างหาก ถ้าเป็นเราเราคงเอาปืนไปยิงแล้ว
อ่านมา 25 ตอน ศราเข้าโรงบาลตั้งสามรอบแล้วน้า  :o12: ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนภัทรกับวินก็ยังคลุมเครือเรื้อรัง สงสารวินมากมาย หลายเรืองอ่ะตอนนี้ ที่เครียดสุดคือภาคิณดันรู้แล้ว ส่วนพงไม่รู้ว่ารู้แล้วจะเป็นยังไงนะ แว้กกกก  :serius2:
ส่วนเมริษา ที่จริงเราชอบผู้หญิงคนนี้ที่สุดในเรื่องล่ะ 555 (เอ๊ะเรื่องนี้ผู้หญิงมีกี่คน) แสบดี ไม่ได้บ้าเงินอย่างโง่ๆหน้ามืดตามัว แต่ฉลาดเอาตัวรอดอ่ะ ^^

รอต่อปายยยยย  :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: mrt ที่ 03-08-2012 14:03:32
ในที่สุดหลังจากที่อ่านมา 25 ตอนคำตอบก็เฉลยออกมาแล้ว
ฮ่าฮ่า ดีใจครับ คนเขียนคงงง ว่ามีคำถามตรงไหน

ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้มา เป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึกคลุมเครือมาก เนื้อหาอ่ะชัดเจน
แต่ที่ไม่ชัดมาโดยตลอดก็คือ ใครเป็นคือนายเอก พระเอกกันแน่ครับ
วิเคราะห์กันเมามันมาก อ่านตอนต้นเห็นว่า วิศรุต เอ้อ ชื่อนี้หล่อน่าจะพระเอกมั้ง
เมื่อเทียบกับณภัทร ชื่อนี้เป็นชื่อนายเอกหลายเรื่องแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยอ่านเจอว่าเรื่องไหนนายเอกชื่อวิศรุต
ก็เลยโอนเอนไปทางวิศรุตเป็นพระเอก  โดยมีทฤษฎีสนับสนุนว่า พระเอกมักจะ ล.ร.ล. หล่อ รวย เลว
อ้าว เข้าทางวิศรุตเลยเนี่ย เจ้าชู้ เพลย์บอยด้วยนี่ ไหนจะเป็นนักธุรกิจอีก รวยอีก  วิศรุตเป็นฝ่ายไปชอบณภัทรก่อนด้วย
รุกเข้าไปสารภาพรักก่อน มีการจับต้องณภัทรก่อนด้วย ไหนโชว์กับรุ่นน้องในห้องสมุดอีก
 ขณะเดียวกันก็มีทฤษฎีสนับสนุนฝั่งนภัทรให้เป็นนายเอกเหมือนกัน เป็นต้นว่า เรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมเลิศ
กรรมการนักเรียน โดยเฉพาะเป็นหมอด้วยหลายเรื่องหมอมักจะเป็นนายเอก รวมๆณภัทรเป็นนายเอกในอุดมคติได้เลย   

แต่อ่านไปๆก็เริ่มมีประเด็นขึ้นมาค้านเพราะไม่เจอซีนไหนเลยที่ ณภัทรจะอ่อนไหวแบบนายเอกออกมา
แบบที่ควรจะเป็นเห็นมีแต่วิศรุตร้องไห้ แถมตะหงิดใจตอนต้นเรื่องที่บรรยายซีนในห้องกรรมการนักเรียนว่า
นภัทรหุ่นแบบนักกีฬาไหล่กว้างกว่าวิศรุต อ้าวเอายังไงแล้วล่ะเนี่ย ว่านายเอกจะล่ำกว่าพระเอกหรอเรื่องนี้
เท่าที่ผ่านมาหลายตอนหลังวิศุรตจากกลับจากอังกฤษ นภัทรดูท่าจะเงียบๆนิ่งๆด้วย ขัดกับวิศุรตที่ค่อนข้างแสดงออก
มาตอนหลังเหมือนบทสลับกัน นภัทรเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาและเริ่มต้นคุยมากขึ้น ความเป็นผู้นำเริ่มออก

จนมาถึงเลิฟซีนนี่เอง คำตอบถึงออกมาชัดเจน นพ.นภัทร อิสรีย์ คุณเป็นพระเอก
พึ่งวาดภาพนภัทรในใจได้ชัดๆตอนนี้เองว่าเป็นหมอใส่แว่น หุ่นล่ำหน้าตาคมเข้ม
รีบลบภาพหมอหนุ่มหน้าใส ใส่แว่น ผอมบาง เดิมที่คิดไว้ออกไปเลย

ชอบเรื่องของคุณมากๆครับ ขอบคุณมากๆ ที่อย่างน้อยก็ทำให้อ่านแล้วมีความสุข
 ถ้ามีเกมส์อยากขอเล่นด้วยคนครับ ไม่อยากพลาดอ่านตอนพิเศษ  :bye2:
 
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-08-2012 14:12:00
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

 :เฮ้อ:สงสารวินจังลยอะ :m15: :m15: :m15:

ไอ้สองพ่อลูกนั้นเมื่อไรกรรมจะตามทันซักทีอะ :angry2: :angry2: :angry2:

ได้กันแล้วแต่ภัทรก็ยังปากแข็งเหมือนเดิมสงสารวินจังเลย :m15: :m15: :m15:

รอตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 03-08-2012 17:32:49
ผิดคาดแฮะ นภัทรเป็นรุกเหรอ ที่ผ่านมานึกว่าเป็นวิศรุตซะอีก
แต่พอมีอะไรกันเสร็จ นภัทรกลับไม่มีคำตอบให้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไร
ทำเหมือนเป็น one night onlyแค่นั้น ถ้าเป็นแบบนั้นจริงวิศรุตน่าสงสารมากเลยนะ
โดนมรสุมทั้งธุรกิจและความรัก หรือว่านี่จะป็นบทลงโทษเพลย์บอยหนุ่ม
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 03-08-2012 18:13:10
สงสารวิสรุตอ่ะ :m15: :m15: :m15:
นภัทรน่าจะรู้ใจตัวเอง เเละให้คำตอบกับวินเร็วๆ
ศราคู่กับพงษ์นะ! รีบๆฟื้นซะล่ะ :mc4:
รอๆๆๆๆ ตอนต่อไปนะฮ๊าฟ ฟฟฟฟ
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 03-08-2012 20:17:18
สงสารวินจัง กานต์น่าจะรู้ใจตัวเองได้แล้วนะ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 03-08-2012 22:07:44
แวะมาบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้แวะมาอัพ26-30ให้ค่ะ
 อ่านหลายๆคอมเม้นท์แล้วปลื้มใจหลายๆ ยิ้มแก้มแทบปริแล้วเนี่ย ดีใจที่ชอบกันนะคะ
อ่านแล้วฝากเม้นท์หน่อยเน้อ แบบว่าอยากรู้ฟีดแบ็คอ่าจ้า อิอิ

ปล. ว่าแล้วว่ามีหลายๆคนคาใจเรื่องใครเป็นรุกเป็นรับ คงกระจ่างแล้วเน้อ เอ้อ หากมีอะไรฝากคำถามเอาไว้ได้เลยจ้า เดี๋ยวมาตอบให้

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 03-08-2012 22:18:58
โอ้ว ในที่สุดก็ชัดเจนสินะ  :pighaun:

ที่จริงตอนเริ่มอ่านแรกๆ นึกว่าวินรุก กานต์รับซะอีก  ดูอะไรหลายๆอย่าง คุณหลอกดาวสินะ กร๊ากกกก 

แต่พอหลังกลับจากเมืองนอก ดูวินจะหนีกานต์อยู่พอสมควร ทำไมรุกไม่พุ่งชนหารับหว่า  แล้วลักษณ์นิสัยก็เผยว่าเป็นเคะมากขึ้น(นิดๆ) แ

เช่นมีความอ่อนไหว ร้องไห้ กานต์ก็ดูจะเข้าหาวินมากขึ้นแล้วดูเป็นผู้นำ มีความเป็นเมะนั่นเอง ฮ่าๆๆ  แต่ก็เกือบหลงทางไอ้เราก็
เอ๊ะ คือกานต์จะเป็นเคะมีมาดแมนพอๆกับวิน

โอเคตอนนี้ชัดเจน  กานต์รุก วินรับก็โอเคดี น่ารักดี ฮ่าๆๆ กานต์ หลังจากได้เขาเป็นเมียแล้วก็น่าัจะเริ่มแน่ใจอะไรมากขึ้น
และต่อไปกานต์ก็คงจะแสดงออกกับวินมากขึ้น เป็นสามีเ้ค้าแล้วนี่น่า น่าจะหวง ห่วง หึง ฮ่าๆๆๆ

แต่ตอนนี้ก็แอบสงสารวินเหมือนกันนะ กานต์ใจร้ายชะมัดว่ะ เดี๋ยวเหอะ ไม่ยอมรับใจตัวเองไวๆ จะเสียวินไปไม่รู้ตัว
วินเจ็บปวดมากๆ จนทนรอความชัดเจน รอความรักจากกานต์ไม่ไหว วินหนีไป แล้วจะสมน้ำหน้า

ส่วนเมริสา ไม่ชอบอย่างแรง และก็คงไม่ชอบต่อไป และไม่มีทางเปลี่ยนมาชอบได้แน่ๆ (ที่จริงถ้าเป็นนางนกต่ออย่างเดียวหรืออาจจะเคยผ่านผู้ชายมาแต่ไม่มีการเน้นมากนัก คงจะพอทำใจ ที่จริงก็ไม่จำเป็นว่า ญ สาวที่จะคู่กับภาณุต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ เหมือนกับสมมุติถ้าภาณุคู่กับศราซึ่งที่จริงศราอาจจะไม่ใช่ ญ สาวบริสูทธิ์ก็ได้ อาจจะเคยมีแฟนมาก่อน แต่ก็คือยังรับได้ นึกออกปะ (แต่ศราก็คู่กับพงษ์ก็โอเครับได้ เหมาะสมกันดี) แต่นี่ชีเคยนอนกับภาคิน(มีบทบาทในเรื่อง)ด้วยไง และค่อนข้างชัดเจนในบท เลยรู้สึกว่าชีไม่เหมาะกับภาณุอย่างแรง )ยิ่งมาเล่นบนเล่นตัวกับภาณุ แิอร๊ยย ไม่อิน เพราะงั้นสำหรับตัวเองคงตัดคู่นี้ออกจากสารบบ ไม่สนใจคู่นี้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่มีอารมณ์อ่ีานต่อ เอิ้กกก เสียดายภาณุเบาๆ ไม่น่าเลย
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 03-08-2012 22:21:17
...อ่าว กรรม ตอนแรกเข้าใจว่า วิศรุต นี่รุก แล้วหมอกานต์ เป็นรับ สลับขั้วสุดๆ  :oo1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 03-08-2012 22:46:49
 :mc4: :mc4:  มาม่ารสหมูสับ   :mc4: :mc4:

  o18 งานนี้แอบมีสลับขั้ว  :laugh: อย่างงี้คนเขียนต้องเปลี่ยนชื่อเรื่อง เป็นสลับขั้วมาลุ้นรัก  :m20:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 04-08-2012 05:40:58
สงสารวินที่สุดเลย
ไอ้ภาคินมันรู้แล้วว่าวินเป็นเกย์
มันต้องมีแผนชั่วๆอีกแน่ๆ
กานต์แกน่าจะรู้ใจตัวเองได้แล้วมันมาถึงขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่26
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 09:14:34
บทที่ 26

   
พงศธรจอดรถเอาไว้ที่หน้าบ้านของนภัทรก่อนที่เจ้าตัวจะรีบลงมากดออดหน้าบ้านของเพื่อนสนิท เขาเห็นรถของนภัทรจอดอยู่ก็แสดงว่าเพื่อนของเขาต้องกลับมาถึงบ้านแล้ว และแน่นอนว่านภัทรพาวิศรุตมาด้วยแต่พงศธรก็ไม่แน่ใจนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับวิศรุตเพราะว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือถูกตัดไปก่อนเนื่องจากมือถือของนภัทรแบตหมด พงศธรยืนกดออดอยู่สองสามครั้งแต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าของบ้านจะมาเปิดประตูให้เสียที สงสัยออดจะเสีย ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด เขายิ่งมีเรื่องสำคัญเสียด้วย ออดเจ้ากรรมก็ดันมาเสียเอาวันนี้ พงศธรลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจปีนข้ามรั้วเข้าไปในตัวบ้านทันที

   คืนนี้ชายหนุ่มถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์กลางดึกจากลูกน้องที่โทรมารายงานว่าโครงการก่อสร้างบ้านจัดสรรของทัดเทวาที่วิศรุตให้ตนรับหน้าที่เป็นวิศวกรดูแลอยู่กลับถูกไฟไหม้วอดวายเสียหายไปเยอะพอสมควร เขายังไม่รู้อย่างแน่ชัดนักว่านี่เป็นอุบัติเหตุหรือการลอบวางเพลิงเพราะตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุอยู่ แต่ที่แน่ๆคือเขาจำเป็นต้องรายงานวิศรุตให้รู้โดยด่วน ซึ่งเขาก็โทรติดต่อฝ่ายนั้นเกือบจะเป็นร้อยครั้งแล้วแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าวิศรุตไปไหน ยามที่บริษัทก็บอกว่าวิศรุตออกมานานแล้ว ที่บ้านทัดเทวาก็บอกว่าวิศรุตยังไม่กลับมาบ้านเลย พงศธรก็ยิ่งร้อนใจ แต่ในที่สุดก็โชคดีที่เขาติดต่อกับนภัทรได้ ฝ่ายนั้นบอกว่าตนอยู่กับวิศรุตและกำลังจะกลับบ้าน ดังนั้นพงศธรจึงรีบมาหาวิศรุตที่นี่เพื่อบอกข่าวสำคัญ

   ไฟชั้นล่างห้องรับแขกถูกปิดเกือบหมดเหลือเพียงไฟตรงบันไดที่ทอดขึ้นชั้นสองเพียงดวงเดียวที่ยังคงสว่างอยู่ พงศธรคิดว่าทั้งคู่คงอยู่ด้านบน ชายหนุ่มจึงรีบสาวเท้ายาวๆจนเกือบจะเป็นวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทันที แต่เมื่อมาถึงชั้นสอง ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงแปลกๆที่ดังมาจากห้องนอนของเพื่อนรัก พงศธรขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะเอื้อมมือผลักประตูให้เปิดออกเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจในความคิดของตน

   ภาพเบื้องหน้าที่สะท้อนเข้าสู่สายตาทำให้พงศธรแทบกลั้นหายใจ ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายสองคนที่กำลังกอดรัดและร่วมรักกันอย่างสุขสมเบื้องหน้าก็คือเพื่อนสนิทกับเจ้านายของตน มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วค่อยๆใช้มือดึงบานประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ให้ปิดลงตามเดิม ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบด้วยสมองที่ยังคงอื้ออึงกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้




   พงศธรมาเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มมองร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสารจับใจ ศรารัตน์ไม่น่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้เลย ทั้งเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของนภัทรกับพี่ชายของเธอเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าศรารัตน์ชอบนภัทรมากเพียงใด ตลอดเวลาที่อยู่กับเขา หญิงสาวกลับชอบเอ่ยถึงแต่นภัทร ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนของเขา ศรารัตน์จะให้ความสำคัญกับมันเสมอจนบางครั้งเขาเองยังแอบอิจฉานภัทรอยู่ลึกๆ

   พงศธรไล้ฝ่ามือไปตามใบหน้าของศรารัตน์ที่ซีดเซียวจนแทบไม่มีเลือดฝาด ในใจก็นึกว่าถ้าหากตอนนี้หญิงสาวได้รู้ว่านภัทรคนที่เธอหลงรักมาตลอดดันไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบผิดธรรมชาติกับวิศรุตพี่ชายแท้ๆของเธอ ศรารัตน์จะรู้สึกเสียใจแค่ไหนกันนะ เธอจะรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้หรือเปล่า แล้วเธอจะยังทำใจรักนภัทรต่อไปได้อีกไหม ตอนนี้พงศธรไม่กล้าคิดเลยจริงๆ

   หลังจากเยี่ยมอาการศรารัตน์ได้สักครู่หนึ่ง พงศธรก็ตั้งใจจะไปหานภัทรที่ห้องทำงานของฝ่ายนั้น แต่ก่อนที่จะออกไปชายหนุ่มไม่ทันได้สังเกตเลยว่านิ้วมือของศรารัตน์มีการกระดิกตอบสนองเล็กน้อย




   “อ้าวไอ้พงษ์ วันนี้ว่างเหรอ ทำไมมาถึงที่นี่ได้วะ?” นภัทรถามพร้อมรอยยิ้มเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาในห้องทำงานเขาคือเพื่อนรักของตน ปกติพงศธรไม่ค่อยได้มาหาเขาที่โรงพยาบาลมากนัก ส่วนมากจะนัดเจอกันข้างนอกมากกว่า คุณหมอหนุ่มงุนงงกับท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่ายก่อนจะถามขึ้นว่าเอาแกแฟไหม? แต่พงศธรก็ส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

   “แกรู้เรื่องโครงการบ้านจัดสรรของทัดเทวาที่โดนไฟไหม้แล้วใช่ไหม?” นภัทรพยักหน้าก่อนบอกว่าเห็นแล้วเพราะข่าวลงพาดหัวใหญ่หน้าหนึ่งเลยทีเดียว โดยเขาเพิ่งจะรู้เมื่อเช้านี้เอง

   “ที่ฉันโทรไปหาแกเมื่อคืนก็เพราะเรื่องนี้แหล่ะ ตอนนั้นที่เกิดเรื่องฉันติดต่อวินไม่ได้เลย แต่ก็โชคดีที่แกอยู่กับวิน” พงศธรยิ้มแต่หน้ายังคงนิ่งสนิทพร้อมกับพูดต่อไปเรื่อยๆ “ฉันคิดว่าเรื่องนี้รอไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไปหาแกที่บ้านเมื่อคืน”

   นภัทรอึ้งไปซักพักก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฉันไม่รู้ว่าแกมาที่บ้านด้วย” พงศธรจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยช้าๆแต่ทว่าชัดเจน

   “ฉันกดออดแต่แกไม่มาเปิดประตู ก็เลยปีนรั้วเข้าไปแทน แต่แกกับวินไม่ได้อยู่ที่ห้องรับแขก ฉันก็เลยขึ้นไปหาที่ชั้นสอง”

   “แกเห็น...” นภัทรมือเย็นเฉียบ ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นไร้สีเลือดเมื่อพงศธรพยักหน้ารับว่าสิ่งที่นภัทรคิดนั้นถูกต้องแล้ว

   “ฉันเห็นแกกับวินสองคนกำลัง เอ้อ ทำอะไรกัน” ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานทันทีที่พงศธรพูดจบ นภัทรไม่รู้ว่าตอนนี้ตนควรแสดงสีหน้ายังไง และในใจก็ยิ่งกลัวกับสิ่งที่ตนกำลังคิดอยู่ลึกๆ

   “แกรังเกียจฉันหรือเปล่า?” นภัทรถามถึงเรื่องที่เขาไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน

   “เปล่าหรอก เราเป็นเพื่อนกันมานาน ฉันไม่มีเหตุผลที่จะรังเกียจแกเลยไอ้กานต์ เพียงแต่ตอนนี้ฉันแค่ยังทำตัวไม่ถูก” พงศธรเองก็ตอบไม่ได้ว่าตนควรจะรู้สึกยังไงเพราะเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

   บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่มีแต่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องทำงานของนภัทรก็ดังขึ้นทำลายความเงียบนั้น คุณหมอหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

   “คุณหมอคะ ตอนนี้คนไข้ห้อง517 เริ่มมีอาการตอบสนองแล้วค่ะ” เมื่อพยาบาลพูดจบ นภัทรก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางพงศธรที่มองมาที่ตนเช่นกัน...ห้อง517…ศรารัตน์





   วิศรุตเดินหน้าเครียดออกจากห้องประชุมบอร์ดบริหาร ชายหนุ่มเพิ่งรู้เรื่องไฟไหม้โครงการบ้านจัดสรรของทัดเทวาเมื่อเช้านี้เอง และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเข้าประชุมด่วนกับบรรดาผู้บริหารตลอดทั้งบ่ายเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหานี้ เดิมทีเขาตั้งใจที่จะใช้โครงการนี้พิสูจน์ฝีมือของตนให้บรรดาผู้ถือหุ้นและกรรมการบริหารบริษัทได้เห็น แต่สุดท้ายมันกลับมาล้มอย่างไม่เป็นท่า เหตุเพราะมาจากอุบัติเหตุหรือไม่ก็การลอบวางเพลิงที่ตำรวจเองก็ยังต้องสืบสวนต่อไป ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ตอนเช้าเขาต้องไปให้การกับตำรวจเรื่องการถูกลอบฆาตกรรมเมื่อคืนก่อน ส่วนตอนบ่ายก็ต้องมารับมือกับปัญหาเรื่องไฟไหม้อีก ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องเจออะไรอีกบ้าง

   “ถึงกับถอนหายใจยาวเลยเหรอหลานรัก?” เสียงวันชัยที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้วิศรุตหันกลับไปมองอย่างไม่ชอบใจนัก “เจอแค่นี้ถึงกับหมดสภาพเลยทีเดียว” ชายหนุ่มกัดฟันแน่นทนฟังคำถากถางของผู้เป็นอา หลักฐานเรื่องการยักยอกเงินที่เขามีตอนนี้ยังอ่อนเกินไปที่จะเอาผิดกับวันชัยและภาคิน ทำให้ทั้งคู่ดิ้นหลุดไปได้ ถึงแม้ว่าภาคินจะต้องรับผิดชอบกับยอดเงินในฐานะผู้จัดการฝ่ายการเงินที่ต้องโดนลงโทษโดยการพักงานก็ตาม แต่วันชัยผู้เป็นพ่อก็ได้กลับเข้าสู่ตำแหน่งงานตามปกติ วิศรุตมองยิ้มเหี้ยมเกรียมของคนตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของตนแล้วสังหรณ์ใจ

   “อย่าบอกนะว่าอาอยู่เบื้องหลังเรื่องไฟไหม้แล้วก็เรื่องที่ผมถูกตามฆ่าเมื่อคืนนี้?” วันชัยยังคงยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ซึ่งนั่นก็ทำให้วิศรุตเดาได้ทันทีว่าคำตอบก็คือใช่ ชายหนุ่มกำหมัดแน่นด้วยความแค้นก่อนจะบอกว่าถ้าหากตนหาหลักฐานได้เมื่อไหร่รับรองว่าจะไม่ปล่อยอากับไอ้ภาคินเอาไว้แน่

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆไปหาหลักฐานมาเถอะ ต่อให้หาจนตายก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอหรือเปล่า” วันชัยหัวเราะร่วนก่อนจะจ้องหน้าวิศรุตแล้วพูดเน้นเสียง “ฉันไม่หยุดแค่นี้แน่และที่สำคัญก็คือความลับของเธอที่ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ ระวังเอาไว้เถอะว่าวันหนึ่งมันจะถูกเปิดเผย”

   “อาตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?” วันชัยไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับเดินจากไปด้วยความสะใจ ทิ้งให้วิศรุตงงกับคำพูดของฝ่ายนั้น ความลับอะไรกัน?

   “ท่านประธานคะ” วิศรุตหันไปตามเสียงเรียกของคุณอิงอร เลขาส่วนตัวที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ตอนนี้เขาย้าย
เมริษาไปทำแผนกอื่นแทนการเป็นเลขาให้เขาโดยให้เหตุผลว่าคุณอิงอรเลขาคนเดิมหายดีและกลับมาทำหน้าที่ต่อได้แล้ว ทั้งที่ความจริงก็คือวิศรุตไม่ต้องการให้ผู้หญิงอันตรายอย่างเมริษาเข้าใกล้เพื่อล้วงความลับจากเขาอีกต่อไปเพราะแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วจริงๆ

   “มีอะไรครับคุณอิงอร ผมต้องเข้าประชุมอะไรต่อหรือเปล่า?”

   “ไม่มีประชุมแล้วค่ะ เพียงแต่ตอนท่านประธานเข้าประชุมอยู่ ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าตอนนี้คุณศรารัตน์รู้สึกตัวแล้วค่ะ”





   เมื่อรู้ว่าจากอิงอรว่าศรารัตน์ฟื้นแล้ว วิศรุตจึงรีบมาที่โรงพยาบาลทันที ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะพบว่านอกจากศรารัตน์ที่กำลังอยู่ในอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแล้ว ในห้องยังมีนภัทรกับพงศธรอยู่ด้วย

   “ฟื้นแล้วเหรอศรา เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” วิศรุตปราดเข้าไปข้างเตียงแล้วยกมือของผู้เป็นน้องสาวมากุมเอาไว้ ใบหน้าชายหนุ่มประดับยิ้มด้วยความยินดีที่เห็นว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วจริงๆแม้ว่าเจ้าตัวจะยังมีท่าทางอิดโรยและซูบซีดก็ตาม

   ศรารัตน์จับจ้องมองผู้มาใหม่อย่างเย็นชาก่อนจะค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ ท่าทีเย็นชาของหญิงสาวทำให้วิศรุตอึ้งไปเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะปั้นยิ้มแล้วพูดต่อ

   “นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตั้งนาน ทิ้งงานที่บริษัทให้ฉันรับผิดชอบจนกองแฟ้มงานจะทับตัวฉันแล้วเนี่ย”

   “นายคงผิดหวังล่ะสิที่ฉันยังไม่ตาย” ศรารัตน์เอ่ยขึ้นมาเบาๆแต่ทว่าเจือด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเย็นชาอย่างชัด    เจนจนแม้แต่นภัทรกับพงศธรก็ยังตกใจ

   “เธอพูดอะไรของเธอ ฉันจะอยากให้เธอตายทำไมกัน?”

   “นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องอะไร” ศรารัตน์ปรายตามองไปที่นภัทรแวบหนึ่ง ซึ่งพงศธรก็สังเกตเห็นสายตานั้นเช่นกัน ชายหนุ่มยิ่งปวดหนึบที่หัวใจ นภัทรอีกแล้วเหรอ?

   “ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆคุณศราถึงประสบอุบัติเหตุได้ล่ะครับ?” พงศธรรีบเปลี่ยนประเด็นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆของทั้ง
นภัทรและวิศรุต

   “คืนนั้นฉันขับรถเร็วมากน่ะค่ะ มารู้อีกทีก็เบรกไม่อยู่ซะแล้ว จากนั้นก็ไม่รู้ตัวอีกเลย” ศรารัตน์เลือกที่จะไม่บอกพงศธรว่าที่เธอขับรถออกจากบ้านด้วยความรวดเร็วแบบนั้นเพราะเหตุผลอะไรซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ แต่คนที่พูดแทนคือวิศรุต

   “เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการวางแผนฆาตกรรม” สีหน้าศรารัตน์มีแววตื่นตระหนกเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ชายหนุ่มสันนิษฐานต่อ “ฉันเดาว่าต้องเป็นฝีมือของสองพ่อลูกคู่นั้นแน่”

   “แล้วเค้าจะทำไปเพราะอะไรล่ะ?” พงศธรถาม ศรารัตน์ก็มองหน้าวิศรุตอย่างต้องการคำตอบเช่นกัน

   “ก็คงเพราะยัยศราไปเปิดโปงแผนยักยอกเงินบริษัทล่ะสิ” สีหน้าของศรารัตน์มีแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นภัทรถอนหายใจเฮือกก่อนจะพูดตัดบทเพราะไม่อยากให้คนไข้ของตนเกิดความเครียดในตอนนี้ อีกอย่างศรารัตน์เองก็ยังเพิ่งจะฟื้นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรามานาน การต้องมารับรู้เรื่องหนักๆอาจจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเธอได้

   “ฉันเรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยต่อวันหลังเถอะ ตอนนี้ขอให้คุณศราได้พักผ่อนก่อน ร่างกายเธอยังไม่ฟื้นตัว ฉันไม่อยากให้เธอคิดเรื่องเครียดๆน่ะ” ทั้งพงศธรและวิศรุตต่างก็พยักหน้าก่อนทั้งสามคนจะขอตัวกลับ ศรารัตน์ยิ้มบางๆให้กับนภัทรและพงศธรแต่กลับมีท่าทีเฉยชากับวิศรุตจนอีกฝ่ายถึงกับสะอึกเพราะไม่คิดว่าศรารัตน์จะโกรธจนถึงกับไม่ยอมมองหน้าตนเลย




   “เดี๋ยวก่อนวิน” นภัทรเรียกขึ้นเมื่อทั้งสามคนออกมาจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว วิศรุตหันไปประจันหน้ากับคนเรียกก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คุณหมอหนุ่มอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเหลียวหน้าไปมองพงศธรที่ยืนอยู่ด้วยกันซึ่งฝ่ายนั้นก็เข้าใจดีว่านภัทรคงมีเรื่องอยากจะคุยกับวิศรุตตามลำพัง ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน

   นภัทรมองตามหลังพงศธรที่เดินไปไกลแล้วก่อนจะหันมาพูดกับวิศรุตที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “เรื่องที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง? เมื่อคืนนี้ที่ไฟไหม้โครงการบ้านจัดสรรของบริษัทนาย”

   “ก็หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เท่าไหร่หรอกถ้าเทียบกับเรื่องของศรา” วิศรุตสบตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายแล้วพูดต่อ ในน้ำเสียงเจือไว้ด้วยความเสียใจอย่างปิดไม่มิด “เมื่อกี้นายเห็นหรือเปล่าที่ศราพูดประชดฉันเรื่องที่อยากให้เธอตาย? แถมยังทำท่าทางเย็นชาแบบนั้นใส่ฉันอีก หน้าฉันยังไม่อยากจะมองเลย”

   “ฉันว่านายเองควรจะให้เวลาคุณศราหน่อย นายก็รู้นี่นาว่าเรื่องแบบนี้มันก็ทำใจให้ยอมรับลำบากนะ” นภัทรหมายความถึงเรื่องที่ศรารัตน์รู้ว่าวิศรุตชอบเพศเดียวกันแถมยังมาชอบเขาอีกด้วย

   “ฉันรู้ แต่นิสัยศราเป็นคนใจแข็ง ฉันกลัวว่าเธออาจจะไม่มีวันยอมรับแล้วก็ไม่มีวันให้อภัยฉันเลย” จากน้ำเสียงของ
คนตรงหน้าทำให้นภัทรรู้สึกเศร้าไปด้วย คุณหมอหนุ่มกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะปลอบ

   “เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ” นภัทรลูบหลังมือเบาๆอย่างให้กำลังใจ วิศรุตสบตาอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งรู้สึกอบอุ่นและอยากขอบคุณในเวลาเดียวกัน

   “วันนี้นายจะค้างที่ไหน?” นภัทรถามขึ้นเสียงเบา วิศรุตสังเกตผ่านแว่นเลนส์บางของอีกฝ่ายก่อนจะพบว่าในดวงตาสีถ่านคู่นั้นมีแววไหววูบและพราวระยับอย่างประหลาด ชายหนุ่มยกยิ้มบางก่อนจะบอกว่าวันนี้ตนคงทำงานอยู่ที่บริษัทจนถึงค่ำๆจึงจะกลับ

   “ถ้าอยากเจอก็ไปหาฉันที่คอนโดก็แล้วกัน” วิศรุตล้วงกุญแจห้องที่คอนโดออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้อีกฝ่ายที่รับไปพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน

   “คืนนี้เจอกัน” นภัทรพูดเสียงค่อยจนเกือบกระซิบที่ข้างหูวิศรุตก่อนเจ้าตัวจะเดินผละไปจากตรงนั้น ทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยจิตใจที่พองโตจนคับอก ทว่าซอกมุมที่อยู่ลึกเข้าไปนั้นกลับเต็มไปด้วยความสงสัยไม่แน่ใจ ด้วยเพราะวิศรุตไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้ เขาอยากจะได้ยินชัดๆจากปากของนภัทรโดยตรงมากกว่าแค่การคิดไปเองฝ่ายเดียว



จบบทที่ 26

ปล. ศราฟื้นแล้ว มาม่าตามมาอีกเป็นกระบุงแน่นอน เตรียมตัวให้พร้อมเน้อออ ^ ^
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่27
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 09:29:01
บทที่ 27


   นภัทรละมือจากการอ่านฟิล์มเอกซ์เรย์คนไข้เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปหยิบมาดูและเห็นว่าหน้าจอขึ้นชื่อว่าวิศรุตโทรเข้ามา คุณหมอหนุ่มกดรับทันทีก่อนจะกรอกเสียงลงไป

   “ฮัลโหล มีอะไรเหรอวิน?”

   “คืนนี้ว่างหรือเปล่า?” วิศรุตเว้นจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเข้าประเด็นถึงจุดประสงค์ที่ตนโทรมา “ไปกินข้าวกันไหม?” นภัทรอมยิ้มก่อนจะถาม

   “โอกาสพิเศษอะไรล่ะ?”

   “วันคล้ายวันเกิดของนายไง” คำตอบของวิศรุตทำให้คนฟังยิ้มกว้างพร้อมถามว่ายังจำวันเกิดของตนได้อยู่อีกเหรอ? วิศรุตหัวเราะน้อยๆก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “วันเกิดของนายทั้งที จะลืมได้ยังไงล่ะ” เขาไม่เคยลืมวันเกิดของนภัทรเลย สมัยตอนเรียนทุกปีที่ครบรอบวันเกิดของนภัทร เขาอยากจะให้ของขวัญฝ่ายนั้นเหมือนอย่างเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆบ้าง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้าอยู่ดีนั่นแหล่ะ

   หลังจากต่อปากต่อคำกับวิศรุตสองสามประโยค คุณหมอหนุ่มก็ถามถึงสถานที่นัดพบซึ่งวิศรุตก็บอกชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองและนัดเวลาให้แน่นอนก่อนที่จะวางสายไป




   ตอนประมาณสามทุ่ม นภัทรไปที่โรงแรมตามที่วิศรุตบอก พนักงานต้อนรับพาชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกก่อนจะเดินนำไปยังลานกว้างที่รอบๆดาดฟ้าในตอนนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยเทียนหอมมากมาย ที่ใจกลางของลานนั้นมีโต๊ะอาหารสำหรับสองที่ตั้งอยู่และวิศรุตเองก็กำลังนั่งรอเขาอยู่เงียบๆ

   บริกรขยับเก้าอี้ให้นภัทรนั่งลง ก่อนจะล่าถอยไปยืนรอรับคำสั่งอยู่ห่างๆ นภัทรมองไปรอบตัวอย่างชอบใจระคนแปลกใจ ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่ามีแกรนด์เปียโนตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่ตนนั่งมากนัก วิศรุตมองสีหน้า
นภัทรที่เต็มไปด้วยความสงสัยก่อนถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง

   “ฉันลงทุนเหมาสกายบาร์ของโรงแรมนี้ทั้งชั้นเลยนะ ชอบหรือเปล่า?” นภัทรหันมายิ้มให้แล้วก็บอกว่าอันที่จริงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะท่าทางวิศรุตคงจะสิ้นเปลืองไปกับงานนี้เยอะพอดู “ฉันแค่อยากทำให้นายพอใจ” คำพูดของฝ่ายนั้นทำให้นภัทรต้องหลบตา

คุณหมอหนุ่มมองไปรอบตัวอีกครั้ง สกายบาร์ของโรงแรมนี้เป็นห้องอาหารกลางแจ้งแบบเปิดโล่ง ทำให้ในยามค่ำคืนสามารถที่จะเห็นวิวใจกลางมหานครกรุงเทพฯที่เต็มไปด้วยแสงสีของความทันสมัยได้อย่างชัดเจน ห้องอาหารที่หรูหราระดับนี้ท่าทางจะแพงมาก การที่วิศรุตยอมปิดเหมาทั้งชั้นแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายคงเตรียมเอาไว้เพื่อเขาจริงๆ นภัทรมองวิศรุตเต็มตาก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน

   “ฉันให้เขาเตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว อาหารที่นี่อร่อยหลายอย่าง รับรองว่านายจะต้องติดใจแน่นอน” วิศรุตหันไปส่งสัญญาณให้บริกรนำอาหารขึ้นเสิร์ฟ จากนั้นอาหารหน้าตาน่ารับประทานหลายชนิดก็ทยอยถูกส่งขึ้นมาบนโต๊ะจนหมด ก่อนที่บริกรอีกคนจะเดินเข้ามารินไวน์ให้กับแขกวีไอพีทั้งสอง

   หลังจากที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว วิศรุตก็ทำสัญญาณให้บริกรทั้งหมดออกไปจากสกายบาร์ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่ออยู่กับนภัทรเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งคู่นั่งทานอาหารกันอย่างเงียบๆท่ามกลางแสงเทียนและบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนจะโรแมนติค

   “ลองทานนี่ดูสิ” วิศรุตพูดพร้อมกับตักกุ้งแม่น้ำตัวโตใส่จานให้นภัทร “กุ้งแม่น้ำย่างซอสเทอริยากิเป็นอาหารขึ้นชื่อของ ที่นี่เลยนะ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยขอบคุณเบาๆ ดูเหมือนว่าวันนี้วิศรุตจะตั้งอกตั้งใจเอาใจเขาเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นก็ทำให้นภัทรรู้สึกเต็มตื้นในใจอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มมองวิศรุตนิ่งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันหนึ่งเขากับวิศรุตจะกลับกลายจากคนที่ไม่ชอบหน้ามาเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแบบนี้ อันที่จริงเขาควรจะนึกรังเกียจและปฎิเสธในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ทำไม่ได้ด้วยเพราะลึกลงไปในใจแล้วนภัทรเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าความรู้สึกไหววูบที่ตนกำลังเผชิญอยู่มันคืออะไรกันแน่ บางทีอาจเป็นเพราะเขารักวิศรุตขึ้นมาจริงๆ

   “มองอะไรเหรอ?” วิศรุตถามเมื่อเห็นว่านภัทรไม่ยอมถอนสายตาไปจากใบหน้าของตนเสียที ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายทักขึ้นมาก็ทำเอาคุณหมอหนุ่มหลุดจากภวังค์ก่อนรีบปฎิเสธว่าไม่มีอะไร โชคดีที่วิศรุตไม่ถามซักไซ้ต่อ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็คงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามอีกฝ่ายว่าอย่างไรเช่นกัน

   หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ววิศรุตก็สั่งให้บริการจัดการเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย ระหว่างรอเก็บโต๊ะ นภัทรหันไปมองรอบตัวอีกครั้งอย่างต้องการซึมซับบรรยากาศยามค่ำคืน ชายหนุ่มไม่ได้กินเลี้ยงวันเกิดมื้อหรูหราแบบนี้บ่อยครั้งนัก เพราะว่าเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของตนทีไร ชายหนุ่มก็จะแค่ทำบุญใส่บาตรกับครอบครัวในตอนเช้าและทานอาหารเย็นร่วมกันเท่านั้น แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมาเพราะ...วิศรุต

   “วันเกิดของฉันทั้งที นายจะไม่ให้อะไรเป็นของขวัญหน่อยเหรอไง?” คุณหมอหนุ่มพูดเสียงกระเซ้า ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการของขวัญมีค่าจากวิศรุตหรอกเพราะที่อีกฝ่ายทำให้เขามันก็มากจนเกินพอแล้ว

   วิศรุตยิ้มกับอาการทวงของขวัญของคุณหมอหนุ่มก่อนจะแกล้งถาม “แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ?”

   “ให้อะไรมาฉันก็ชอบทั้งนั้นแหล่ะ” คำพูดของนภัทรเรียกความอุ่นวาบให้กับใบหน้าหล่อเหลาของวิศรุต ชายหนุ่มหันไปมองยังแกรนด์เปียโนใกล้ๆนั้นก่อนจะหันมองหน้านภัทร ดวงตาโศกสีน้ำตาลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทราวถ่านแล้วเอ่ย

   “อันที่จริง ฉันก็มีบางอย่างที่อยากจะให้นายเหมือนกัน” นภัทรมองตามวิศรุตเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเบนสายตาไปยังด้านหลังตน ชายหนุ่มเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่ยังมีเปียโนตั้งอยู่ด้วยหนึ่งหลัง นภัทรหันกลับมายังวิศรุตอีกครั้งด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยคำถามซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบแต่กลับเดินไปยังเปียโนสีขาวแล้วนั่งลง ตอนนี้คุณหมอหนุ่มพอจะเดาออกแล้วว่าวิศรุตจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดเขา

   “ฉันอยากจะเล่นเพลงนี้ให้เป็นของขวัญแด่นาย...ผู้ชายที่ฉันรักจนหมดหัวใจ” วิศรุตยิ้มก่อนจะเริ่มเล่นเพลง Falling for you again* พร้อมกับร้องคลอไปกับทำนองด้วย ถึงแม้ว่าเสียงของฝ่ายนั้นจะไม่ได้ไพเราะถึงขั้นนักร้องมืออาชีพ แต่เพลงนี้ก็ทำให้นภัทรถึงกับยิ้มออกมาได้แบบไม่รู้ตัว

http://www.youtube.com/watch?v=H3Dczqg0bME (http://www.youtube.com/watch?v=H3Dczqg0bME) (ฟังไปด้วยจะได้อารมร์มากกว่าเดิมค่ะ อิอิ)

There’s this one song that I sang once for you.

But can you still reminisce it like I do?

Night turns to day as time takes its own turn

but I'm still hanging on to those words


* That speaks of love oh so deep that makes my heart weep

and still makes my day every time I start singing it

Do you remember when we first met long ago?


** I cherish this song just like a gift.

To let you know my heart won’t ever drift … far away

Even though years may pass,

and my love for you is here to last

through heaven’s gate or hell’s wrath

I won't ever ever give it up, yes it's true.

There could just be an only you

my only you and you alone

that my heart really truly belong

I pledge my life to, to love you

without asking anything in return.


As time turns its page and seasons may change

It can turn around those feelings inside

as Night turns to day as time takes its own turn

but I'm still hanging on to those words


All I want is to spend all my life loving you

I just wanna grow old with you

I love you....


…Forever I’ll save my heart just for you…


(*เพลง Falling For You Again ของแชมป์ ศุภวัฒน์ ; Loveis)


“ขอบคุณนะ” นภัทรเอ่ยเบาๆเมื่อวิศรุตเล่นจนจบเพลง เนื้อหาในเพลงนี้สื่อความรู้สึกในใจของวิศรุตได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไรแต่ความรู้สึกที่วิศรุตที่มีต่อเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

   “นายอยากจะลองเล่นดูสักเพลงไหมล่ะ?” วิศรุตเงยหน้าจากเปียโนแล้วถามนภัทรที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน

   “ไม่ล่ะ ฉันเล่นดนตรีไม่เป็น” คุณหมอหนุ่มพูดเก้อๆในขณะที่วิศรุตขำพรืด “นี่นายขำอะไรเนี่ย?” นภัทรอดสงสัยไม่ได้ว่าการที่เขาเล่นดนตรีไม่เป็น ทำไมมันน่าหัวเราะมากขนาดนั้นเลยเหรอ? วิศรุตจึงขำแบบเอาเป็นเอาตายเช่นนี้

   “ป่าวหรอก ฉันแค่นึกว่านายคงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องดนตรีเท่าไหร่ ฉันเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว วันๆนายเอาแต่บ้าอ่านตำราอยู่นั่นแหล่ะ นอกจากเล่นกีฬากับอ่านหนังสือแล้วฉันไม่เห็นว่านายจะสนใจทำอย่างอื่นเลย สงสัยว่าเครื่องดนตรีที่นายเล่นได้ก็คงมีแต่พวกตีฉิ่งล่ะมั๊ง” พูดจบวิศรุตก็อดขำอีกไม่ได้ ชายหนุ่มมองนภัทรที่เริ่มหน้าแดงเพราะคำพูดของเขา เพื่อนๆสมัยมัธยมต่างก็รู้ดีว่านภัทร อิสรีย์ที่เก่งแสนเก่งคนนี้ มีจุดบอดเพียงอย่างเดียวก็คือเรื่องดนตรีเนี่ยแหล่ะ เครื่องดนตรีที่ฝ่ายนั้นพอจะเล่นได้ก็มีแค่การตีฉิ่งประกอบจังหวะเท่านั้น แต่บางครั้งนภัทรก็ยังตีคร่อมจังหวะอยู่เลย

   “หนอยแน่ นี่นายดูถูกฉันมากไปแล้วนะ อย่างนี้ต้องโดนจัดการซะให้เข็ด มานี่เลย” นภัทรแกล้งตีหน้ายักษ์ดุอีกฝ่ายที่ยังหัวเราะไม่หยุดพร้อมกับถลาเข้าหาวิศรุตอย่างต้องการจะจับฝ่ายนั้นมาทำโทษให้ได้จริงๆ

   “จ้างให้ก็จับไม่ได้หรอกหน่า” วิศรุตยิ้มยั่วก่อนจะรีบวิ่งหนีไปจากเปียโนทันที เขาไม่ยอมให้ฝ่ายนั้นจับได้ง่ายๆหรอก

   ทั้งคู่วิ่งเล่นไล่จับกันเหมือนเด็กๆ ใบหน้าของนภัทรและวิศรุตต่างก็ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ทั้งคู่ลืมเลือนหมดทุกอย่างว่าตัวเองเป็นใครและกำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่มีทั้งศัลยแพทย์หนุ่มชื่อดังอนาคตไกล ไม่มีทั้งนักธุรกิจอสังหาฯรายใหญ่ของประเทศ จะมีก็เพียงแค่ชายหนุ่มสองคนที่กำลังเล่นหยอกล้อกันภายใต้ท้องฟ้าที่สุกสกาวไปด้วยดวงดาวยามค่ำคืนเท่านั้น

   “เฮ้อ ไม่ยักรู้ว่าไล่ตามจับนายแล้วมันเหนื่อยอย่างนี้” นภัทรหอบหายใจแบบหมดแรง ในที่สุดเขาก็จับฝ่ายนั้นได้ คุณหมอหนุ่มฉุดมือวิศรุตให้นอนแผ่ยังพื้นปูนซีเมนต์แข็งๆของดาดฟ้าเหมือนกันกับตน

   “เข้าใจแล้วหรือยังล่ะว่าการต้องไล่ตามนายมันเหนื่อยแค่ไหน” คำพูดแฝงนัยของวิศรุตทำให้นภัทรพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าคุณหมอเงียบไป วิศรุตจึงแกล้งเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะถึงยังไงวันนี้ก็เป็นวันเกิดของนภัทร เขาเองก็ควรจะทำให้นภัทรมีความสุขมากที่สุดไม่ใช่มัวแต่เอาเรื่องเก่าๆมากระแนะกระแหนฝ่ายนั้น “เอ้อ ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามนายตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที” นภัทรเหลียวหน้ามาถามว่าเรื่องอะไร? วิศรุตมองตอบอย่างลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมถามถึงสิ่งที่ยังคาใจอยู่

   “ตอนที่ฉันไปห้องนายวันนั้น ฉันเห็นบนโต๊ะอ่านหนังสือมีรูปตอนเด็กของนายที่ถ่ายคู่กับเด็กผู้หญิงอีกคน ฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าเธอ เอ้อ เป็นใครเหรอ?” ท้ายประโยควิศรุตถามอ้อมแอ้มแบบไม่เต็มเสียง ส่วนนภัทรก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ
นิ่งจนคนฟังเดาอารมณ์ไม่ถูก

   “นายหึงเหรอไง?”

   “ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะหึงหวงนายด้วยเหรอ?” คำพูดนี้หลุดออกจากปากของวิศรุตอย่างรวดเร็วราวกลับเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญเอาไว้แล้วหลายรอบก่อนที่จะพูดออกมาแบบไม่ต้องเปลืองเวลาคิดเช่นนี้ นภัทรถอนใจเฮือกเมื่อมองเห็นเค้าความน้อยใจเล็กๆผ่านแววตาสีน้ำตาลโศกคู่นั้นก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

   “ฉันไม่ได้อยากจะให้นายรู้สึกแบบนั้น”

   “ช่างมันเถอะ ว่าแต่นายจะบอกฉันได้หรือเปล่าว่าเธอคนนั้นเป็นใคร?” นภัทรเหลียวหน้ามาสบตาวิศรุตก่อนตัดสินใจเล่าในที่สุด

   “น้ำหวานเป็นรักครั้งแรกของฉัน” เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนั้นชื่อน้ำหวานนั่นเอง วิศรุตคิดในใจในขณะที่นภัทรเล่า ต่อไปเรื่อยๆ

“เรารู้จักกันเพราะบ้านเราสองคนอยู่ไม่ไกลกันนัก ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันเราทั้งสองจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก  น้ำหวานเป็นคนอ่อนแอและขี้โรคอยู่แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยต้องทำหน้าที่ทั้งเพื่อนและพี่ชายในการที่จะดูแลเธอ หลังๆพอโตขึ้นมา และอยู่ในช่วงวัยที่พอจะรู้จักกับความรู้สึกพิเศษบางอย่าง เราทั้งคู่ก็เริ่มจะเข้าใจว่าสิ่งเล็กๆที่กำลังก่อตัวและเติบโตหยั่งรากลึกในใจของเรามันก็คือสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นเอง เราสองคนจึงตัดสินใจคบกันตามประสาวัยรุ่น แถมยังวาดฝันว่าอนาคตเราจะแต่งงานมีความสุขและอยู่กินกันจนแก่เฒ่า แต่แล้ววันหนึ่งน้ำหวานก็ป่วยหนักจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล”

   “เธอเป็นอะไร?” วิศรุตถามเสียแผ่วเมื่อเห็นว่านภัทรเงียบไป คุณหมอหนุ่มเงยหน้ามองดาวบนฟ้าพลางยิ้มเศร้า

“หมอบอกว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ป่วยมานานแล้ว แต่เธอก็เก็บเงียบไว้โดยไม่บอกอาการป่วยของเธอให้ใครได้รับรู้แม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง อาการของน้ำหวานทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ฉันยังจำได้ดีเลยว่าวันนี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันอยู่ม.2 ฉันไปเยี่ยมน้ำหวานที่โรงพยาบาล น้ำหวานที่เคยเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักในตอนนั้นกลับซูบซีดลงไปมาก ฉันรู้ดีว่าเธอกำลังพยายามต่อสู้กับโรคร้ายเพื่อรอเวลาที่จะได้เจอกับฉันในวันนั้น...เป็นครั้งสุดท้าย”

   “หมายความว่า...”

   “ในที่สุดเธอก็จากไปในวันนั้นเอง...วันคล้ายวันเกิดของฉัน สิ่งสุดท้ายที่เธอให้ไว้เป็นของขวัญวันเกิดก็คือกรอบรูปพร้อมรูปถ่ายคู่กันของฉันกับน้ำหวาน กรอบรูปที่นายถามถึงนั่นแหล่ะ” ท้ายประโยคนภัทรเหลียวหน้ามาบอกกับวิศรุตที่กำลังมองมาที่ตนด้วยความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก

   “จำได้ไหมว่าตอนม.5 เราเคยติดอยู่ในตึกเรียนด้วยกัน ตอนนั้นฉันถามนายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร นายตอบว่าหมอ พอฉันถามหาเหตุผล นายก็ไม่ยอมบอก เรื่องของน้ำหวานคงจะเป็นเหตุผลที่นายเลือกอยากจะเป็นหมอสินะ” นภัทรพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่าเขาอยากใช้ความรู้ความสามารถของตนในการที่จะช่วยชีวิตคนอื่น เพื่อที่จะได้ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ให้เขาเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไปและอยู่กับคนที่ตัวเองรักได้นานๆ

   “เล่าเรื่องของนายบ้างสิ ทำไมนายถึงเลือกเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงไม่เลือกเรียนทางด้านสายวิทยาศาสตร์เหมือนตอนม.ปลายล่ะ?” นภัทรเปลี่ยนเรื่องพูดโดยการเป็นฝ่ายถามวิศรุตกลับบ้าง เรื่องของเขารังแต่จะทำให้เกิดบรรยากาศหดหู่เปล่าๆ

“ก็ฉันคิดว่าเศรษฐศาสตร์มันน่าสนใจดี เรียนแล้วก็ได้อะไรเยอะแยะ แต่เหตุผลจริงๆก็คือฉันไม่ได้ชอบพวกวิชาวิทยาศาตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะ” วิศรุตยิ้มแหยๆเมื่อคิดถึงพวกวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยาสมัยม.ปลายที่ตนทำคะแนนได้ย่ำแย่ทุกครั้ง
นภัทรอมยิ้มขำกับท่าทางฝ่ายตรงข้ามก่อนถามว่าถ้าไม่ชอบแล้วจะยอมมาเรียนวิชาพวกนี้ให้เหนื่อยเปล่าทำไมกัน? วิศรุตเปลี่ยนเป็นยิ้มเขินเล็กน้อยก่อนตัดสินใจสารภาพ

   “ที่ฉันลงทุนมาเรียนสายวิทย์ทั้งๆที่เกลียดเคมี ฟิสิกส์ ชีวะอย่างกับอะไรดี ทั้งหมดก็เพราะนายนั่นแหล่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของนภัทร วิศรุตก็อธิบายต่อ “คะแนนม.ต้นฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็ยังอยากจะเรียนสายวิทย์เพราะอยากจะตามไปอยู่ใกล้ๆนาย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ชอบอะไรด้านวิทยาศาสตร์นี้เลย เชื่อไหมว่าฉันลงทุนให้พ่อจ้างครูมาสอนพิเศษถึงบ้านเพื่อช่วยติวเพิ่มคะแนนสอบให้ฉันเลยนะ ตอนนั้นยังแอบคิดเลยว่าถ้าคะแนนไม่ถึงสายวิทย์จริงๆ ฉันจะอาศัยเส้นสายของพ่อให้ช่วย” นภัทรส่ายหัวระอากับความคิดของวิศรุตแต่อีกใจหนึ่งก็อดขำไม่ได้ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าวิศรุตจะยอมทนนั่งเรียนติวไปได้อย่างไรในเมื่อตอนสมัยเรียนวิศรุตไม่เคยจะมีทีท่าสนใจการเรียนเลยซักครั้ง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเขางั้นเหรอ?

   “ฉันเองก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ในตอนนั้นทำไปได้ยังไง” วิศรุตพูดขึ้นมาราวกับอ่านความหมายจากดวงตาสีถ่านออก
“แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็เลือกที่จะทำอย่างนั้นอยู่ดี”

   “ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่ง เรื่องราวมันจะลงเอยในรูปแบบนี้น่ะเหรอ?” วิศรุตพยักหน้าช้าๆแต่ประกายตาสะท้อนชัดถึงความหนักแน่น เขาไม่มีวันเลิกรักนภัทรเด็ดขาด...ไม่มีวัน

   “แต่ฉันกลับไม่แน่ใจว่านอกจากน้ำหวานแล้ว ตัวเองยังจะสามารถมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนอื่นได้อีกหรือ เปล่า” วิศรุตมองนภัทรที่เงียบไป ในใจของชายหนุ่มปวดยอกไปหมดเมื่อได้ฟังคำพูดจากปากฝ่ายนั้น หัวใจของเขากำลังร้องไห้กับความรักที่ยังหาทางออกไม่เจอแต่วิศรุตก็เลือกที่จะซ่อนความขมขื่นไว้ภายใต้รอยยิ้มเมื่อยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

   “วันเกิดทั้งที ขนาดน้ำหวานยังให้กรอบรูปนายเลย ฉันก็คิดว่าตัวเองสมควรจะให้ของขวัญกับนายบ้างเหมือนกัน” วิศรุตไม่ตอบสีหน้าที่แสดงถึงความงุนงงนั้น ชายหนุ่มบอกให้นภัทรหลับตาแล้วยื่นมือออกมาข้างหน้าซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ทำตามอย่างว่าง่ายทั้งที่ในใจก็ยังไม่รู้ว่าวิศรุตกำลังจะทำอะไรกันแน่

   วิศรุตค่อยๆล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ของที่อยู่ในมือของชายหนุ่มเป็นแหวนทองคำขาววงหนึ่ง ภายในตัวแหวนเขาได้ให้ช่างสลักอักษรเอาไว้ วิศรุตพลิกมือของอีกฝ่ายให้คว่ำลงก่อนจะค่อยบรรจงสวมแหวนให้กับนภัทรที่ นิ้วนางข้างซ้าย

   “ลืมตาสิ” วิศรุตบอกเมื่อแหวนไปอยู่บนนิ้วมือของนภัทรเรียบร้อยแล้ว “ของขวัญพิเศษสำหรับนายคนเดียว” นภัทร
มองดูแหวนที่นิ้วตนเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักแต่คุณหมอหนุ่มก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นของขวัญที่อีกฝ่ายตั้งใจจะให้เขาจริงๆ ยิ่งวิศรุตทำดีกับเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น

   “อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้”

   “แหวนวงนี้ฉันเลือกเองกับมือ ด้านหลังของแหวนก็สลักเอาไว้เป็นชื่อของนาย ‘กานต์...ผู้เป็นที่รัก’ ดังนั้นถ้านายไม่รับไว้ฉันคงจะเสียใจมาก” นภัทรพูดไม่ออกอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นอยู่ในใจ พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมา จากดวงตาสีถ่านของตน เป็นน้ำตาของความตื้นตันใจกับความรักที่วิศรุตมอบให้เขามาตลอด13ปีเต็ม

   นภัทรและวิศรุตนอนมองดวงดาวบนฟ้าแล้วกุมมือกันอยู่อย่างนั้นโดยปราศจากคำพูดใดๆ ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง มีเพียงกระแสความอบอุ่นที่ส่งผ่านทางฝ่ามือของคนทั้งคู่และแสงจากลำเทียนที่ยังคงไม่มอดดับไปเท่านั้น



จบบทที่27

ปล. วินลงทุนมากค่ะ อุตส่าห์อดทนเรียนสายวิทย์ทั้งที่ไม่ชอบก็เพื่อ...นภัทร (กานต์...ผู้เป็นที่รัก)
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่28
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 09:32:18
บทที่ 28

   
ตอนเช้าก่อนไปทำงาน วิศรุตแวะมาเยี่ยมศรารัตน์ตามปกติ อาการโดยรวมของศรารัตน์ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้เพราะเธอหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปนานพอสมควร ดังนั้นกล้ามเนื้อขาจึงยังคงอ่อนแรงอยู่เนื่องจากไม่ได้ใช้การมานาน หญิงสาวจึงต้องอาศัยการนั่งรถเข็นในระหว่างที่กำลังรักษาตัวโดยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวิศรุตเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบว่าหมอนภัทรกำลังตรวจอาการของศรารัตน์อยู่พอดี

   “อ้าว นายเองเหรอ” นภัทรหันไปทักทายวิศรุตในขณะที่ฝ่ายนั้นก็ยิ้มตอบกลับมาก่อนถามถึงอาการของน้องสาวตน “คุณศราดีขึ้นมากแล้ว อาการบาดเจ็บภายในก็หายเกือบหมด แต่ว่าช่วงนี้คงต้องทำกายภาพฟื้นฟูกล้ามเนื้อไปอีกซักระยะหนึ่ง ถ้าอาการป่วยหายดีวันดีคืนแบบนี้ หมอเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงกลับบ้านได้แล้วล่ะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ที่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้รู้ว่าอีกไม่นานตนก็จะได้กลับบ้านเพราะเธอเบื่อการนอนเฉยๆอยู่ที่โรงพยาบาลเต็มทนแล้ว

   “มาที่โรงพยาบาลทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไงวิน?” ศรารัตน์ถามเสียงเรียบ รอยยิ้มเมื่อครู่ที่มีให้กับนภัทรเลือนหายไปจากใบหน้าของหญิงสาว วิศรุตถอนหายใจเบาๆ จนบัดนี้แล้วศรารัตน์ก็ยังคงไม่เลิกมีท่าทีเย็นชาใส่เขาเสียที

   “ไม่เบื่อหรอก ก็ฉันมาเยี่ยมเธอไง”

   “งั้นเหรอ นึกว่าอยากมาที่นี่เพราะจุดประสงค์อื่นเสียอีก” วิศรุตเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์กับคำพูดเสียดสีของศรารัตน์ ถ้าเป็นปกติเขาไม่มีทางยอมให้ฝ่ายนั้นมาพูดจากับเขาแบบนี้แน่ แต่เพราะศรารัตน์กำลังป่วยและสาเหตุสำคัญก็มาจากเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบ

   “เอ่อ เอาเป็นว่าคุณศราทำตามที่หมอแนะนำก็แล้วกันนะครับ พักผ่อนเยอะๆแล้วก็ขยันทำกายภาพด้วย” นภัทรเป็นฝ่ายพูดทำลายความอึดอัดภายในห้องลง คุณหมอหนุ่มมองหน้าวิศรุตอย่างสงสารและเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย ตั้งแต่ศรารัตน์ฟื้นขึ้นมา หญิงสาวพูดจากับวิศรุตแทบจะนับครั้งได้และทุกอย่างที่เธอพูดก็มักจะเป็นคำถากถางเย็นชาที่ทำเอาวิศรุตต้องหน้าเสียไปทุกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะครับ เชิญพวกคุณตามสบาย” นภัทรเอ่ยปากขอตัวกับทั้งคู่ก่อนจะตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น ในห้องจึงเหลือแต่วิศรุตกับศรารัตน์เพียงสองคน

   “ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับนาย” ศรารัตน์เอ่ยหลังจากที่เห็นว่านภัทรออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวหันหน้ามาสบตากับวิศรุต “เรื่องหมอกานต์”

   “ฉันขอโทษ” คำพูดง่ายๆสั้นๆของวิศรุตไม่ได้ทำให้ศรารัตน์พอใจ หญิงสาวเหยียดยิ้มเย็นชาก่อนจะถามต่อว่าวิศรุตพูดได้แค่ขอโทษเพียงคำเดียวอย่างนั้นเหรอ? “ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับเธอมาก แต่ฉันหยุดตัวเองไม่ได้ ที่สำคัญคือฉันห้ามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนภัทรไม่ได้”

   “แม้นายจะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีอย่างนั้นน่ะเหรอ?” ความจริงที่น่าเจ็บปวดนี้ทำให้วิศรุตต้องเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววไหวระริกในขณะที่ศรารัตน์พูดต่อ “ถึงนายจะรักหมอกานต์แค่ไหน แต่ความรักที่ผิดธรรมชาติ ผิดประเพณีแบบนี้ สังคมทั่วไปเค้าจะรับได้เหรอ นายอย่าลืมนะว่าตัวเองเป็นใคร นายคือวิศรุต ทัดเทวา เจ้าของ
บริษัอสังหาฯยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย เป็นหนุ่มสังคมรูปหล่อที่ใครๆก็จับตามอง ส่วนหมอกานต์ก็เป็นศัลยแพทย์อนาคตไกล ถ้าหากว่ามีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมแบบนี้ นายคิดบ้างหรือเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

   “แต่ว่า...”

   “ถึงนายจะบอกว่าตัวเองไม่แคร์กับขี้ปากคนอื่น แต่หมอกานต์ล่ะ หมอกานต์ยังจะรับได้เหรอ? ทั้งครอบครัวของเขาอีก นายคิดว่าพ่อแม่ของหมอกานต์จะรู้สึกอย่างไรที่ลูกชายของตนกลายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันทั้งๆที่พ่อแม่เลี้ยงเขามาก็เพื่อหวังให้เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เรียบจบ แต่งงานมีครอบครัวกับผู้หญิงดีๆสักคน จากนั้นก็มีลูกไว้สืบสกุลต่อ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทลายเพราะความรักของนายคนเดียว” ความจริงที่วิศรุตพยายามจะปฎิเสธตลอดมากำลังพรั่งพรูออกจากปากของศรารัตน์ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ไม่มีคำพูดตอบโต้กลับไปแม้เพียงสักคำเดียวราวกับว่าเขาได้กลายเป็นคนบื้อใบ้ไปแล้ว ศรารัตน์มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายตัวเองด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก หญิงสาวเลือกที่จะเห็นแก่ตัวมองข้ามความรู้สึกเจ็บปวดของวิศรุต ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวของเธอเอง

   “เธอต้องการจะพูดอะไรกับฉันกันแน่?” วิศรุตตัดสินใจเอ่ยถามออกมาตรงๆ ชายหนุ่มเชื่อว่าลองศรารัตน์มาพูดกดดันเขาแบบนี้ หญิงสาวคงจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างในใจแน่นอนและเขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาอ้อมค้อมอีกต่อไป

   “ฉันต้องการให้นายเลิกยุ่งกับหมอกานต์ เพราะถึงอย่างไรรักแบบนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี” พอศรารัตน์พูดตรงๆบ้าง วิศรุตกลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปทันที ในสมองของชายหนุ่มตอนนี้กำลังสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนควรจะทำอย่างไรดี ในใจของวิศรุตลึกๆกำลังดื้อดึงไม่ยอมรับกับคำพูดของหญิงสาว แต่ทว่าริมฝีปากของเจ้าตัวกลับไม่มีแรงปฏิเสธคำพูดของศรารัตน์แม้แต่น้อย

“ฉันรู้ว่านายโทษตัวเองมาตลอดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะยอมยกโทษให้นายก็ต่อเมื่อนายสัญญาว่าจะตัดใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับหมอกานต์อีกนับจากนี้เป็นต้นไป”

   “ฉันยังมีทางเลือกด้วยเหรอ?” วิศรุตยิ้มขื่นก่อนจะพูดเสียงแหบ “ในเมื่อเธอมีคำตอบให้ฉันอยู่แล้วนี่นาศรา”

   “สัญญากับฉันสิ แล้วฉันจะลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด” นานทีเดียวกว่าวิศรุตจะตัดสินใจได้

   “ฉันสัญญา ฉันจะตัดใจและเลิกยุ่งกับนภัทร จากนี้ไปเราสองคนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนอกจากแค่คำว่าคนรู้จักเท่านั้น” ศรารัตน์ยิ้มพอใจกับคำสัญญาจากปากวิศรุต

   “อันที่จริงฉันไม่ได้บังคับนายนะ นายเองต่างหากที่เลือกจะให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ววิน” วิศรุตกำมือแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มกำลังซ่อนความเสียใจไม่ให้ศรารัตน์เห็นทั้งที่ในใจของตัวเองกำลังหลั่งน้ำตา อย่างเจ็บปวด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดีได้แต่ปล่อยให้เรื่องระหว่างเขากับนภัทรต้องจบลงด้วยความเศร้าแบบนี้





   นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิศรุตก็มีท่าทีห่างเหินกับนภัทรและคอยหลบหน้าฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ชายหนุ่มไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลเหมือนก่อนเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับนภัทรต่อหน้าศรารัตน์ เขายังทำใจไม่ได้นักกับเรื่องข้อเสนอของน้องสาว ถ้าหากต้องเจอหน้ากันจริงๆเขาคงเป็นฝ่ายทำอะไรไม่ถูกและที่สำคัญคือเขากลัวใจตัวเองเหลือเกิน

   นภัทรโทรหาเขาหลายครั้ง แต่เขาก็พยายามเลี่ยงที่จะไม่รับโทรศัพท์จากฝ่ายนั้น หรือไม่บางทีถ้าหากปฏิเสธไม่ได้จริงๆชายหนุ่มก็เลือกที่จะคุยให้น้อยที่สุดก่อนจะพยายามตัดบทโดยอ้างว่างานยุ่ง วิศรุตคิดว่าบางทีการไม่เจอกับนภัทรอาจจะทำให้ตนคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงคิดถึงนภัทรอยู่ดีไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น แต่เขาทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับศรารัตน์ไม่ได้

   ฝ่ายนภัทรก็แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของวิศรุต คุณหมอหนุ่มรู้สึกได้ว่าหมู่นี้วิศรุตพยายามหลบหน้าตนตลอด มีบางครั้งที่เขาบังเอิญได้เจอกับฝ่ายนั้นตอนมาตรวจอาการของศรารัตน์ แต่วิศรุตก็ไม่ยอมสบตาเขาเลย พอโทรไปหาก็บอกว่างานยุ่งและไม่ว่างออกมาเจอเขา นภัทรเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตงิดในใจลึกๆ เขาไม่รู้ว่าวิศรุตคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำอาการเฉยชาใส่เขาแบบนี้และที่สำคัญเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้วิศรุตเปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก

   นภัทรตัดสินใจมาหาวิศรุตที่บริษัททัดเทวา คุณหมอหนุ่มแจ้งประชาสัมพันธ์ของบริษัทว่าตนมาหาวิศรุต ประชาสัมพันธ์จึงโทรขึ้นไปยังห้องประธานกรรมการบริษัท หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วจึงหันมาบอกกับนภัทรว่าวิศรุตไม่อยู่ แต่สีหน้าอึกอักมีพิรุธของประชาสัมพันธ์สาวตรงหน้าทำให้คุณหมอหนุ่มไม่เชื่อก่อนจะเดินลิ่วตรงไปยังลิฟต์ทันทีท่ามกลางความตกใจของอีกฝ่าย ไหนๆก็มาถึงบริษัทแล้ว ยังไงวันนี้เขาต้องพูดกับวิศรุตให้รู้เรื่องให้ได้

   เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นบนสุดของตึก นภัทรก็เดินออกจากลิฟต์แล้วตรงไปตามทางเดินที่ปูพรมทอดยาวไปเรื่อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่บริษัททัดเทวาแห่งนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าห้องทำงานของวิศรุตอยู่ที่ไหน แต่เขาก็เดาเอาเองว่าห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงน่าจะอยู่ชั้นบนสุดของตึก และชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตัวเองเดาถูกเมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน ทางขวามือของเขามีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ป้ายหน้าห้องบอกไว้ว่าเป็นห้องทำงานของประธานกรรมการบริษัท

   “เอ่อ คุณนภัทรใช่ไหมคะ?” อิงอรที่เป็นเลขาของวิศรุตรีบเดินจากโต๊ะทำงานที่อยู่หน้าห้องมาขวางหน้าคุณหมอหนุ่มไว้ทันทีเพราะเมื่อครู่ประชาสัมพันธ์ข้างล่างได้โทรขึ้นมารายงานเธอแล้ว ในขณะที่นภัทรพยักหน้าก่อนจะบอกว่าตนต้องการพบวิศรุต

“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ท่านประธานไม่อยู่ ออกไปพบลูกค้าข้างนอกน่ะค่ะ เอาไว้ถ้าท่านกลับมาดิฉันจะเรียนให้นะคะว่าคุณนภัทรมาขอพบ” นภัทรมองหน้าอิงอรอย่างต้องการจับสังเกต แต่สีหน้าของเลขาสาวกลับไม่มีแววผิดปกติหรือลุกลี้ลุกลนให้เห็น คุณหมอหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆแล้วพูด

   “ถ้าอย่างนั้นขอผมเข้าไปรอในห้องได้ไหมครับ? ผมจะรอจนกว่าคุณวิศรุตจะกลับมา”

   “ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ดิฉันให้คุณเข้าไปรอในห้องนี้ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของท่านประธานน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากท่านโดยตรง ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ค่ะแม้กระทั่งคุณศรารัตน์ก็ตาม” นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจ้องที่ประตูห้องทำงานราวกับจะมองให้ทะลุว่าคนที่ตนอยากพบกำลังแอบหลบหน้าเขาอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า แต่ในที่สุดนภัทรก็ยอมกลับไปโดยดี

   “ถ้าอย่างนั้นฝากบอกคุณวิศรุตด้วยนะครับว่าผมมาหา ให้โทรกลับหาผมด้วย” อิงอรรับคำก่อนจะยืนส่งนภัทรด้วยสายตา เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นจากไปแล้ว อิงอรจึงยกหูอินเตอร์โฟนเพื่อรายงานเจ้านายหนุ่มของตนทันที

   ภายในห้องทำงาน วิศรุตวางหูโทรศัพท์หลังจากที่ฟังอิงอรรายงานเรื่องที่นภัทรมาหาตนจนจบ ชายหนุ่มถอนหายใจบางๆ ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะหลบหน้านภัทรไปได้ แต่เขาจะหลบฝ่ายนั้นได้นานเท่าไหนกัน

   “แน่ใจนะที่จะทำแบบนี้?” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าของวิศรุต เขาเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดจากคนตรงหน้าเมื่อกลางวันนี้เอง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ลึกล้ำของทั้งคู่แล้วก็เรื่องที่วิศรุตสัญญากับศรารัตน์ว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับ นภัทรอีก “หลบหน้าเขามันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลยนะเว้ย”

   “ฉันรู้ แต่ฉันกลัวว่ะไอ้โอม ถ้าหากฉันกับเขายังเจอหน้ากันต่อไปเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้ฉันจะตัดใจได้ยังไง”

   “แล้วตอนนั้นที่แกบินไปเรียนต่อที่อังกฤษ ไม่เจอหน้านภัทรตั้ง8ปี แกตัดใจได้ไหมล่ะ?” คำถามแกมประชดของภาณุทำให้วิศรุตนิ่งไป แต่นั่นก็คือเมื่อก่อนไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่เขากับนภัทรมีความสัมพันธ์กันแบบนี้

   “แกว่าฉันโง่ไหมวะไอ้โอม?” จู่ๆวิศรุตก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ภาณุถอนหายใจเฮือกก่อนดึงเพื่อนรักมากอด หลวมๆแบบต้องการปลอบใจฝ่ายนั้น

   “โง่สิ แกมันเป็นคนที่โง่แล้วก็งี่เง่ามากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยไอ้วิน” ภาณุยิ้มขื่นที่มุมปากด้วยความรู้สึกสงสารเพื่อนรักจับใจก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อถ่ายเทความอบอุ่นให้กับหัวใจที่กำลังหนาวเหน็บของวิศรุต





   หลังจากคุยกับวิศรุตอีกสักพักภาณุก็ขอตัวกลับ ชายหนุ่มเดินไปยังรถของตนที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัท ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างๆรถตน เมื่อฝ่ายนั้นหันมาภาณุก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่มาดักรอเขาคือนภัทรนั่นเอง

   “นภัทร นาย...”

   “ตอนที่ฉันขึ้นไปหาวินที่ห้องทำงาน นายเองก็อยู่ในห้องนั้นด้วยใช่ไหม?” ภาณุไม่ตอบแต่แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำถามว่านภัทรรู้ได้อย่างไรว่าวิศรุตอยู่ในห้องทำงานเพียงแต่ไม่ยอมออกมาพบหน้าฝ่ายนั้น คุณหมอหนุ่มรู้ดีว่าภาณุสงสัยจึงยอมบอกแต่โดยดี “พอดีตอนฉันกำลังจะมาเอารถที่จอดไว้ บังเอิญเห็นรถของนายพอดี ฉันจำทะเบียนได้ก็เลยรู้ว่านายเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”

   “แล้วนายมารอฉันแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ภาณุถามออกไปแม้ว่าจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าจุดประสงค์ของนภัทรที่มาดักรอเขาคืออะไร

   “ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมหมู่นี้วินถึงพยายามหลบหน้าฉันตลอดเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” สายตาคาดคั้นของนภัทรทำให้ภาณุอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเลือกได้เขาไม่อยากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยเลย แต่นี่เพราะเขาเลือกไม่ได้

   “ฉันไม่รู้ ถ้านายอยากรู้ก็คงต้องถามจากไอ้วินเอาเอง”

   “ฉันรู้ว่านายรู้ และถ้าหากฉันเอาคำตอบจากวินมาได้ ฉันก็คงไม่ต้องมาถามนายแบบนี้หรอก”

   “ถึงฉันรู้ฉันก็บอกนายไม่ได้อยู่ดี นายถอยไปเถอะฉันจะกลับแล้ว” ภาณุตัดบทก่อนจะใช้รีโมทปลดล็อครถแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับ แต่นภัทรกลับยื้อประตูเอาไว้แล้วจ้องหน้าคู่สนทนา

   “ฉันรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้วินเปลี่ยนไปแล้วก็หลบหน้าฉันแบบนี้ ถ้านายยังเป็นเพื่อนรักของวินแล้วก็ยังอยากเห็นวินมีความสุข บอกฉันมาเถอะนะ ถึงแม้ว่าพอฉันรู้เรื่องแล้วฉันอาจจะช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยการที่ต้องให้วินแบกรับความรู้สึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคนเดียว นายคิดเหรอว่าแบบนี้วินจะมีความสุขได้?” คำพูดที่เอ่ยออกมาตรงๆพร้อมกับสายตามั่นคงของคนตรงหน้าทำให้ภาณุอึ้งไป ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแล้วถอนใจ

   “ไปหาที่คุยกันเถอะ”





   วิศรุตเดินออกจากลิฟต์ตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องพักส่วนตัวของตน ชายหนุ่มเคยให้คุณอิงอรจัดการซื้อห้องที่คอนโดแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว จุดประสงค์เพื่อเป็นที่สำหรับพักผ่อนเวลาที่เขาไม่อยากกลับไปอยู่บ้านทัดเทวา ทันทีที่เดินเลี้ยวผ่านมุมตึก วิศรุตก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนรอตนอยู่หน้าห้อง...คนที่ช่วงนี้เขาพยายามหลบหน้าฝ่ายนั้นมาตลอด

   “นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” วิศรุตถามเมื่อมายืนประจันหน้ากับฝ่ายนั้นที่หน้าห้อง ชายหนุ่มเสมองไปที่พื้นเพราะไม่อยากสบตาสีถ่านคู่นั้นที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน

   “ทำไมนายต้องหลบหน้าฉันด้วย?” นภัทรถามทั้งที่ก็รู้คำตอบดี ภาณุเล่าให้เขาฟังหมดแล้วถึงเหตุผลที่วิศรุตหลบหน้าเขา แต่คุณหมอหนุ่มอยากฟังชัดๆจากปากเจ้าตัวมากกว่า อยากฟังให้แน่ว่านี่คือการตัดสินใจของวิศรุตจริงๆ

   “นายก็รู้ดีนี่นา ช่วงนี้ฉันยุ่งๆกับเรื่องไฟไหม้ของโครงการบ้านจัดสรร ไหนจะงานเยอะแยะที่บริษัทอีก”

   “งั้นเหรอ ฉันนึกว่าเป็นเพราะเรื่องที่นายคุยกับคุณศราเสียอีก” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตตัวชาวาบ ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาฝ่ายนั้นทันทีก่อนจะพบกับสายตาเรียบนิ่งของนภัทร

   “นายรู้ได้ยังไง?” น้ำเสียงของวิศรุตเบาหวิวแต่นภัทรไม่สนใจกลับใช้สองมือของตนกุมหัวไหล่ของคนตรงหน้าเอาไว้แล้วเอ่ยช้าๆทว่าชัดเจนทุกคำพูด

   “ฉันแค่อยากรู้ว่านายยอมทำตามที่คุณศราบอกอย่างนั้นเหรอ?” วิศรุตสูดลมหายใจลึกก่อนจะพยักหน้า นภัทรบีบหัวไหล่ของคู่สนทนาแน่น แววตาสีถ่านไหวระริก “พูดออกมาให้ฉันได้ยินจากปากของนาย”

   “ใช่ ฉันทำตามที่สัญญากับศราเอาไว้”

   “เพราะอะไร...นายทำแบบนั้นทำไมวิน นายทำร้ายตัวเองแบบนั้นทำไมกัน?” นภัทรพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น วิศรุตตัวเซไปตามแรงมือที่เขย่าตัวเขาอย่างแรงก่อนคลี่ยิ้มเย็นชา ที่เขาทำไปแบบนั้นก็เพื่อต้องการจะจบเรื่องราวความ
สัมพันธ์ระหว่างตนกับนภัทรเสียที จริงอย่างที่ศรารัตน์พูดทุกอย่าง เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถึงนภัทรจะรับได้ แต่คนรอบตัวของทั้งเขาและฝ่ายนั้นจะรับได้จริงเหรอ? แล้วเขายังจะมีหน้ามาใช้ความรักเหนี่ยวรั้งนภัทรเอาไว้อีกทำไม ทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่นภัทรมีให้เขามันคืออะไรกันแน่ นภัทรไม่เคยบอกมันออกมาแม้สักครั้ง

   “ถึงฉันจะทำแบบนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย เพราะถึงยังไงนายก็ไม่เคยนึกรักฉันอยู่แล้ว ที่บังเอิญเรามีความสัมพันธ์ทางกายกันแบบในคืนนั้นก็เพราะว่านายแค่เหงาและเพราะรู้สึกสงสารฉันมากกว่า จริงๆแล้วในใจนายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำนภัทร” ใจจริงวิศรุตอยากจะยื้อนภัทรเอาไว้ ชายหนุ่มไม่อยากปล่อยมือจากคนตรงหน้านี้เลย เขาไม่ได้นึกอยากเสียสละคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจให้กับศรารัตน์เลยสักนิด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากว่านภัทรไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับเขา

   นภัทรค่อยๆปล่อยมือออกจากการเกาะกุมไหล่ของวิศรุตเมื่อฝ่ายนั้นพูดจบ คุณหมอหนุ่มอึ้งไปเมื่อได้ฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกในใจของคนตรงหน้า

   “ให้เรื่องทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะนะ ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน สุดท้ายเรื่องระหว่างเรามันก็ลงเอยด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี” ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉ่ำคลอไปด้วยน้ำใสที่เอ่อล้นเต็มเบ้าตา นภัทรชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้คน ตรงหน้าก่อนเจ้าตัวจะหันหลังให้วิศรุตแทน น้ำตาของวิศรุตทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วยกันกับชายหนุ่มเสมอ นภัทรแข็งใจไม่ หันหน้ากลับไปมองพร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆแต่วิศรุตได้ยินชัดเจนทุกคำพูด

   “การที่เรามีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น คิดเหรอว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย? แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ใช่ทั้งความเหงาและความสงสารอย่างที่นายเข้าใจด้วย” วิศรุตเกือบหยุดหายใจ ก่อนเจ้าตัวจะกลั้นใจถามออกไป

   “นาย...หมายความว่ายังไง?” นภัทรมองสีหน้าของวิศรุตพร้อมกับส่งยิ้มขมขื่นให้ฝ่ายนั้น

   “ช่างเถอะ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันคงไม่สำคัญแล้วเพราะนายเป็นคนบอกเองว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้านายอยากให้ฉันดูแลคุณศรามากนักล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างที่นายต้องการ” นภัทรข่มความน้อยใจเอาไว้ก่อนจะค่อยๆเดินไปจากตรงนั้นโดยทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลัง วิศรุตจึงไม่ทันได้เห็นน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงตาสีถ่านอย่างเงียบๆ

...ฉันจะทำแบบที่นายต้องการนะวิศรุต ถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะทำมันจะเป็นการฝืนความรู้สึกของตัวเองก็ตามที...

...ฉันรู้ดีว่านายกำลังเจ็บปวด ฉันเองก็อยากจะบอกให้นายรู้ไว้เช่นกันว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากนาย...เพียงแต่ฉันไม่กล้าเท่านั้น...


จบบทที่ 28

ปล. ต้มมาม่าจนอืดแล้วเนี่ย เหอะๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่29
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 09:36:29
บทที่ 29

   
“เหม่ออะไรอยู่คะหมอ?” ศรารัตน์แตะหลังมือนภัทรอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าคุณหมอหนุ่มกำลังเหม่ออยู่และก็คงไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่

   “เอ้อ คุณศราว่ายังไงนะครับ?” เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้นภัทรหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆให้กับคู่สนทนา

“พอดีว่าเมื่อกี้ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่พอดี ก็เลยไม่ทันได้ฟังที่คุณศราพูด”

   “คือฉันบอกว่าตรงนี้เริ่มร้อนแล้วล่ะค่ะ เราเปลี่ยนไปนั่งเล่นตรงด้านนั้นดีกว่า” ศรารัตน์ชี้มือไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสนาม วันนี้เธอขอให้นภัทรพาออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างเพราะไม่อยากจะทนอุดอู้นอนพักอยู่แต่ในห้อง แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันหญิงสาวก็สังเกตได้ไม่ยากเลยว่านภัทรมักจะทำตัวแปลกไป คุณหมอหนุ่มกลายเป็นคนที่พูดน้อยและเงียบขรึมกว่าเดิมทั้งๆที่แต่ก่อนเขามักจะชอบเล่าเรื่องตลกให้เธอฟังแก้เบื่ออยู่เสมอระหว่างที่กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล

   ท่าทีแปลกประหลาดของนภัทรเป็นมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ศรารัตน์สังเกตว่าคุณหมอหนุ่มมักจะใจลอยคิดอะไรคนเดียวอยู่เสมอเหมือนกับกำลังมีเรื่องในใจบางอย่าง แต่ศรารัตน์เองก็พอจะเดาได้ลางๆว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร ซึ่งเรื่องนี้ก็เดาได้ไม่ยากเช่นกันว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เธอเคยพูดกับวิศรุตให้ชายหนุ่มเลิกยุ่งกับนภัทรแน่นอน อีกทั้งเมื่อวานนี้คุณอิงอรก็โทรมาหาเธอแล้วรายงานว่าช่วงนี้วิศรุตเองก็ดูแปลกไป ฝ่ายนั้นเอาแต่หมกตัวทำงานอยู่ที่ออฟฟิสจนดึกดื่น อาหารก็ไม่ค่อยได้ทานตรงเวลาเท่าไหร่ คุณอิงอรเองก็ยังอดเป็นห่วงในสุขภาพของเจ้านายหนุ่มไม่ได้

   “อีกไม่นานฉันก็จะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมคะ?” ศรารัตน์ถามขึ้นเมื่อทั้งคู่ย้ายมานั่งยังอีกฝั่งหนึ่งของสนามแล้ว “ฉันเบื่อโรงพยาบาลจะแย่อยู่แล้ว”

   “ร่างกายคุณศราแข็งแรงขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว ผมคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะกลับบ้านได้สมใจคุณแล้วล่ะครับ”

   “คงต้องขอบคุณคุณหมอนั่นแหล่ะค่ะ ถ้าไม่ได้หมอคอยช่วยชีวิตเอาไว้ ป่านนี้ฉันคงจะตายไปตั้งนานแล้ว อีกอย่างคุณหมอก็ช่วยดูแลฉันมาตลอดเป็นอย่างดีด้วย” นภัทรเพียงแค่ยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ในใจของคุณหมอหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เรื่องของวิศรุต ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะลืมฝ่ายนั้นได้เลยซักครั้ง ยิ่งคิดนภัทรก็ยิ่งเจ็บแปลบในใจ

   “คุณหมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? เห็นเหม่ออีกแล้ว”

   “ขอโทษครับ พอดีว่าช่วงนี้ผมมีเรื่องเครียดๆนิดหน่อย” นภัทรฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ศรารัตน์ก็เห็นว่าในดวงตาสีถ่านคู่นั้นไม่ได้มีรอยยิ้มเจืออยู่เลยแต่กลับแทนที่ไว้ด้วยความเศร้าลึกๆจนหญิงสาวอดเอ่ยออกมาไม่ได้

   “คุณหมอดูแลฉันมามากแล้ว คราวนี้ให้ฉันเป็นฝ่ายดูแลคุณหมอบ้างได้ไหมคะ?” นภัทรเข้าใจความหมายโดยนัยของคำพูดนั้นดี คุณหมอหนุ่มก็รู้ดีว่าศรารัตน์รู้สึกอย่างไรกับตน ซึ่งเขาเองก็ตื้นตันใจกับความรู้สึกลึกซึ้งที่หญิงสาวตรงหน้ามอบให้เขา แต่ทว่าเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกแบบเดียวกันให้กับศรารัตน์ได้ และคราวนี้นภัทรก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องบอกกับศรารัตน์ตรงๆเสียที

   “คุณศรา...”

   “หมอได้โปรดฟังฉันให้จบก่อนนะคะ” คำพูดที่ขัดขึ้นมาทำให้นภัทรต้องเงียบไป เมื่อศรารัตน์เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบเธอจึงเอ่ยต่อ

“ฉันรู้ว่าหมออาจจะยังไม่ได้รักฉัน แต่อย่างน้อยก็ขอแค่ให้หมอเปิดใจให้ฉันบ้างก็พอ ให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในใจ ในความทรงจำ ในความนึกคิดของของหมอบ้างก็ยังดี แม้ว่าข้างในนั้นจะมีคนอื่นอยู่แล้วก็ตาม”

   “ทั้งที่คุณเองก็รู้คำตอบของผมดีอยู่แล้ว ทำไมถึงยังพูดแบบนี้อีกล่ะครับ?” ศรารัตน์ยิ้มในหน้ากับคำถามนั้นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

   “ก็เพราะรู้ยังไงล่ะค่ะว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างหมอกับคนๆนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้” คุณหมอหนุ่มขบกรามแน่นอย่างต้องการสะกดกั้นอารมณ์ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่ง เขาไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นสีหน้าของตนในเวลาแบบนี้เลย “จำได้ไหมคะที่ฉันเคยบอกว่าถ้าหากคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใคร อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรก”

   “ขอโทษครับ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆ ผมคิดกับคุณศราแค่น้องสาวเท่านั้น” คำตอบที่แทบจะเรียกว่าไร้เยื่อใยของ นภัทรทำให้กระบอกตาของศรารัตน์เริ่มร้อนผ่าวก่อนที่น้ำใสๆจะไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวกลั้น สะอื้นก่อนตัดสินใจถามออกมาตรงๆ

   “แล้วกับวินล่ะค่ะ...หมอรู้สึกยังไงกับวินกันแน่?” นภัทรเบือนหน้าไปอีกทางและไม่ยอมตอบคำถามนั้นจนศรารัตน์ต้องถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะถามกลับ

   “คำตอบของผมมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ ในเมื่อตอนนี้ผมก็อยู่ข้างๆคุณแล้ว?”

   “ตัวคุณหมออยู่ตรงนี้ แต่หัวใจกลับไปอยู่ที่คนอื่น” ศรารัตน์มองหน้านภัทรด้วยความน้อยใจที่เอื้อล้นจนเต็มอก นภัทรใช้ปลายนิ้วปาดคราบน้ำตาที่แก้มเนียนอย่างเบามือแต่สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้า

   “แต่คุณศราก็เลือกที่จะให้มันลงเอยอย่างนี้ไม่ใช่เหรอครับ?” ศรารัตน์ปล่อยให้น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลรินออกมา อย่างไม่ขาดสาย ตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยแบบเดียวกับวิศรุตกำลังพร่ามัวด้วยหยดน้ำตาก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามเอ่ย บางอย่างออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

   “ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่จำเป็นต้องถามแล้วใช่ไหมคะว่าหมอรู้สึกยังไงกับวิน?”

   “ถ้าคุณศราหมายถึงการที่ตัวผมอยู่ที่นี่ข้างๆคุณ แต่ในหัวใจกำลังคิดถึงแต่คนๆนั้น มันก็คงจะเป็นแบบเดียวกับที่คุณกำลังคิด ผม...คงจะรักผู้ชายที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาขึ้นมาจริงๆ” คำพูดที่ได้ยินตรงๆจากปากของนภัทรทำให้ศรารัตน์ยิ่งเสียใจ หญิงสาวเอนตัวพิงพนักโต๊ะม้าหินอย่างหมดแรง แววตาที่เคยทอประกายหวานซึ้งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดที่จะรินไหลออกมาอีก ราวกับว่าศรารัตน์กำลังต่อสู้อยู่กับความคิดของเธอเองว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากนภัทรมัน ไม่ใช่เรื่องจริง

   พงศธรแอบมองทั้งคู่อยู่ด้านหลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก การที่ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจนยิ่งทำให้เขานึกสงสารศรารัตน์เพราะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดีว่าการมอบหัวใจให้กับคนที่เขาไม่เคยนึกรักเราเลยมันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดยากที่จะบรรยาย ก็เหมือนกับเขาที่หลงรักศรารัตน์แม้จะรู้ว่าในสายตาของเธอมีเพียงแค่ผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ก็ตาม พงศธรกัดฟันแน่นด้วยความสงสารศรารัตน์จับใจ ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังนึกสงสารตัวเองด้วยที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่สามารถตัดใจจากศรารัตน์ได้เลยสักครั้ง





   ภาคินเดินเข้ามาในร้านค็อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งในห้างดังย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มกวาดสายตาคมกริบไปทั่วร้านก่อนจะพบคนที่เขาต้องการจะเจอกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะติดกระจกที่มุมด้านหนึ่ง ร่างสูงจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาทันที

   หลังจากทักทายคนที่รออยู่ก่อนแล้ว ภาคินจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งก่อนถามขึ้นอย่างไม่ต้องการเสียเวลาอ้อมค้อม

   “เรื่องที่ฉันให้ไปสืบ ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง?”

   “ผมแอบสะกดรอยตามสองคนนั้นมานาน นี่เป็นหลักฐานที่น่าจะยืนยันได้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันครับ” นักสืบพูดพร้อมกับส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับภาคินที่รับไปเปิดดู ข้างในซองนั้นเป็นรูปถ่ายในหลายอิริยาบถของทั้งนภัทร   และวิศรุต ส่วนมากจะเป็นรูปตอนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง หนึ่งในนั้นมีภาพที่นภัทรกำลังประคองกึ่งโอบกอดวิศรุตเข้าห้องพักที่คอนโดส่วนตัวด้วย ดูจากภาพแล้ว ไม่ว่าเด็กอมมือก็ล้วนแต่ดูออกทั้งนั้นว่าสองคนในภาพจะต้องมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

   ภาคินเหยียดยิ้มมุมปากกับหลักฐานที่เขาลงทุนไปจ้างคนให้มาตามติดสืบเรื่องความสัมพันธ์ของวิศรุตและนภัทร ชายหนุ่มเพ่งมือรูปถ่ายในมืออีกครั้งก่อนจะเอ่ยชมว่าอีกฝ่ายทำงานได้ดีมาก จากนั้นจึงล้วงเช็คที่เตรียมมาแล้วยื่นให้คนตรงหน้าที่รับไปเก็บไว้

   “คุณภาคินจะให้ผมตามสืบเรื่องสองคนนั้นต่อไปอีกหรือเปล่าครับ?”

   “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจมาก” ภาคินตัดบทก่อนจะขยับเสื้อสูทให้เรียบร้อยเตรียมจะลุกจากไป แต่จังหวะที่ชายหนุ่มตวัดสายตามองผ่านกระจกใสไปยังด้านนอกกลับเห็นว่าเมริษากำลังเดินผ่านหน้าไปโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้สังเกตว่าเขาอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อปที่เธอเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อสักครู่นี้

   ตอนแรกภาคินตั้งใจจะรีบลุกวิ่งตามเมริษาไป แต่ว่าเมื่อชายหนุ่มหันไปด้านหลังก็พบว่าเมริษากำลังเดินเข้ามาในร้านค็อฟฟี่ช็อปพอดี หญิงสาวเดินตรงไปยังโต๊ะอีกมุมหนึ่งของร้าน ห่างจากโต๊ะตรงที่ภาคินนั่งอยู่พอสมควร ภาคินเหลียวหน้ามองตามร่างระหงของเมริษาก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเมริษาเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะหนึ่งที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

   “ภาณุ” ภาคินอุทานออกมาเบาๆ นี่เมริษาไปรู้จักกับภาณุที่เป็นเพื่อนสนิทของวิศรุตได้อย่างไร ที่สำคัญทำไมทั้งคู่ถึงต้องมานัดเจอกันสองต่อสองแบบนี้ด้วย ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด หรือว่าทั้งคู่จะแอบคิดทำอะไรลับหลังเขา

   “นั่งสิ” ภาณุพูดเมื่อเห็นว่าเมริษามาถึงแล้วแต่ยังไม่ยอมนั่งเสียที

   “ไม่จำเป็นหรอก ฉันมาเพื่อเอานี่ให้คุณ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” เมริษาเปิดกระเป๋าแบรนด์เนมของตนก่อนจะหยิบกล่องที่บรรจุซีดีแผ่นหนึ่งออกมาให้ภาณุที่รับไป

   “นั่งลงก่อนเถอะ บางทีเราอาจจะต้องคุยกันหลายเรื่อง” ภาณุยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงยังเก้าอี้ด้านตรงข้ามซึ่งในที่สุดเมริษาก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย

   “ที่ให้ไปมันเป็นคลิปที่ฉันแอบถ่ายตอนที่วันชัยกับภาคินวางแผนกันจะทำร้ายคุณวินกับคุณศราเพื่อฮุบสมบัติของทัดเทวา ฉันแอบถ่ายเอาไว้หลายครั้งรวมถึงพวกคลิปเสียงด้วย รับรองว่าเป็นหลักฐานเด็ดที่จะมัดตัวสองพ่อลูกนั่นได้แน่” ภาณุมองแผ่นซีดีด้วยประกายตาวาว คราวนี้ฝ่ายเขามีหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ รับรองว่าวันชัยกับภาคินต่อให้มีอีกสักสิบปากก็แก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้แน่นอน

   “ขอบใจเธอมากที่ยอมกลับใจมาช่วยเหลือพวกเรา รับรองว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้แน่”

   “ไม่ต้องมาขอบใจฉันหรอก ที่ฉันทำไปก็เพราะเห็นแก่เงินที่พวกคุณเสนอให้นั่นแหล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณชอบดูถูกว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงินยังไงล่ะ” คำเสียดสีของเมริษาทำให้ภาณุหลุบตาต่ำลงด้วยความละอายใจแวบหนึ่งที่สะท้อนออกมา   ผ่านทางสีหน้าและแววตาของตน ชายหนุ่มมองเมริษาที่กำลังตั้งท่าจะเดินไปจากตรงนั้น ก่อนที่สติจะระลึกรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ มือหนาก็เอื้อมไปฉวยข้อมือบางมากุมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

   “ทำอะไรของคุณน่ะ?” เมริษามองจ้องมือข้างที่ถูกอีกฝ่ายกุมไว้ด้วยสายตาเยียบเย็น

   “ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคืนนั้น” ภาณุเอ่ยเสียงเบาแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากการเกาะกุมคนตรงหน้าอยู่ดี เมริษามองหน้าชายหนุ่มนิ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

   “แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ สำหรับเรื่องในคืนนั้นฉันจะถือว่าให้ทานก็แล้วกัน” หญิงสาวใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระค่อยๆปลดมือของชายหนุ่มออกก่อนจะรีบเดินไปราวกับต้องการหนีไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยภาณุได้แต่ใช้สายตามองตามโดยที่ไม่กล้ารั้งหญิงสาวเอาไว้อีก

   ภาคินมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดเรื่องอะไรกัน แต่ท่าทีที่แปลกไปของเมริษาทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างที่จะปักใจได้ว่าเรื่องที่ภาณุนัดเจอกับเมริษานี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ลางสังหรณ์ลึกๆบอกชายหนุ่มว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับวิศรุตและแผนการของเขากับวันชัยอย่างแน่นอน หรือว่าเมริษาจะคิดหักหลังเขากับพ่อแล้วเปลี่ยนมาอยู่ฝั่งเดียวกับวิศรุตแทน ยิ่งคิดภาคินก็ยิ่งรู้สึกระแวงในตัวเมริษามากขึ้นเท่านั้น ไหนจะเรื่องซีดีที่เมริษาส่งให้ภาณุซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคือซีดีอะไร หากว่าหญิงสาวทำอย่างที่เขากลัวจริงๆ แน่นอนว่าเขาเองก็คงปล่อยเธอไปไม่ได้เช่นกันแม้ว่าจะนึกเสียดายคู่นอนที่ทั้งสวยและฉลาดคนนี้เพียงไรก็ตาม เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมให้แผนการที่ตัวเองและผู้เป็นพ่ออุตส่าห์วางแผนมาเป็นนานปีต้องมาพังทลายลงเพราะผู้หญิงอย่างเมริษาเพียงคนเดียว




   วันนี้เป็นวันที่หมออนุญาตให้ศรารัตน์ออกจากโรงพยาบาลได้ ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะไปรับศรารัตน์ด้วยตัวเองแต่เขาดันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีประชุมด่วนกับบอร์ดผู้บริหารถึงเรื่องแผนการซ่อมแซมโครงการบ้านจัดสรรทัดเทวาที่ถูกไฟไหม้พอดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงมอบหมายให้ลุงมั่นเป็นคนไปรับศรารัตน์มาจากโรงพยาบาลแทนตน

   หลังจากที่ประชุมงานจนเสร็จ วิศรุตก็ได้รับโทรศัพท์จากลุงมั่นที่ได้โทรมาบอกว่าตอนนี้ศรารัตน์กลับมาถึงบ้านทัดเทวาเรียบร้อยแล้วโดยมีคุณหมอนภัทรรับอาสามาส่งด้วยตัวเอง ชื่อของใครคนนั้นทำให้วิศรุตนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจบอกลุงมั่นไปว่าคืนนี้เขาคงจะกลับบ้านช้าหน่อยเพราะว่ามีธุระอื่นที่ต้องทำอีก ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วก็คือเขายังไม่อยากกลับไปที่บ้านทัดเทวาในตอนนี้นั่นเองด้วยเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับนภัทรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งเห็นหน้าฝ่ายนั้น เขาก็ยิ่งเจ็บยอกในใจอย่างบอกไม่ถูก

   วิศรุตกลับมาถึงบ้านทัดเทวาตอนหัวค่ำ หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินอ้อมโรงรถแล้วเดินลัดสนาม หญ้าเพื่อเข้าไปยังตัวบ้าน ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ศรารัตน์ยื่นข้อเสนอบ้าๆแบบนั้นให้เขา เขาเองก็แทบจะไม่ได้โผล่หน้าไปเยี่ยมหญิงสาวที่โรงพยาบาลอีกเลยเพราะไม่รู้ว่าเวลาต้องเผชิญหน้ากับนภัทรและศรารัตน์ เขาควรจะทำท่าทางหรือว่าแสดงสีหน้าอย่างไรดี เวลาหัวค่ำแบบนี้นภัทรก็คงกลับไปแล้ว อย่างน้อยเขาเองก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าอาการของศรารัตน์ดีขึ้นจริงๆอย่างที่ฝ่ายนั้นเคยบอกกับเขา

   วิศรุตเดินใจลอย ในหัวกำลังคิดแต่เรื่องเดิมซ้ำไปมาทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินออกจากตัวบ้าน    แล้วเดินมาทางเดียวกับตนพอดี มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาเสียแล้ว

   “กานต์” วิศรุตอุทานเสียงแผ่ว อุตส่าห์ตั้งใจจะหลบหน้าแล้วเชียวแต่สุดท้ายก็ดันต้องมาเจอกันอีกจนได้ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินหนีก็ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือการปั้นหน้าส่งยิ้มทักทายให้ฝ่ายนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืดเต็มทน “นายจะกลับแล้วเหรอ?”

   นภัทรพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะมองคู่สนทนาด้วยแววตาเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ “พอดีวันนี้ฉันออกเวรเร็ว ก็เลยอาสามาส่งคุณศราที่บ้านด้วยแล้วก็อยู่คุยเป็นเพื่อนเธอต่อ ตอนนี้ฉันก็กำลังจะกลับพอดี” วิศรุตเหลือบตามองดวงตาสีถ่านคู่นั้นก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่เจ้าตัวพยายามบังคับไม่ให้สั่น

   “ว่างๆนายก็แวะมาที่นี่อีกสิ” คำพูดนั้นทำให้ดวงตาสีถ่านมีแววไหววูบขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาแบบปกติเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของวิศรุต “ถ้านายแวะมาคุยกับศราบ่อยๆ เธอก็คงหายเหงาและก็คงดีใจที่นายมา”

   “รู้สึกว่านายจะเป็นห่วงคุณศรามากนะ เป็นห่วง...มากกว่าความรู้สึกของตัวเองเสียอีก” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตต้องกัดฟันข่มใจ “ก็ศราเป็นน้องสาวฉันนี่นา”

   “แค่นั้นน่ะเหรอ?”

   “อีกอย่างถึงฉันจะอยากทำตามความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้าความสุขของฉันต้องแลกมากับความทุกข์และคราบน้ำตาของน้องสาวตัวเอง” วิศรุตมองหน้าคู่สนทนานิ่งแล้วพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ที่สำคัญคือ...คนที่ฉันรัก เค้าไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉันเลยด้วยซ้ำไป”

   “วิน ฉัน...” นภัทรสูดลมหายใจลึก เขาไม่ได้นึกอยากให้เรื่องทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้เลย

   “พอเถอะ นายอย่าพูดอะไรอีกเลยกานต์ มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” คำพูดที่ออกจากปากคนตรงหน้าทำให้คุณหมอหนุ่มชะงักไปแบบพูดอะไรไม่ออกอีก ความรู้สึกที่เหมือนกับตัวเองกำลังจะต้องสูญเสียคนที่รักไปทำให้นภัทรปวดหนึบในใจ เขามองวิศรุตที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเต็มสองตา ผู้ชายคนนี้คือคนที่เขาเคยเกลียดขี้หน้ามาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน พอเวลาผ่านไปเขาทั้งสองคนกลับมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันโดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุผลอะไรเขาถึงได้ไปมีความสัมพันธ์ทางกายแบบนั้นกับวิศรุต แต่พอวันนี้...วันที่เขาเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เข้าใจแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับฝ่ายนั้น แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ทำให้เขาต้องปวดร้าวใจ ต้องเจ็บปวดกับความรักที่หาทางออกไม่ได้เช่นนี้

   “ทำไมนายต้องทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองเพื่อคนอื่นด้วย?” นภัทรหยุดพูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้จนร่างกายของชายหนุ่มแทบจะสัมผัสเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิศรุต “ทำแบบนี้แล้วนายไม่รู้สึกเจ็บที่ตรงนี้บ้างเลยเหรอวิน?” คุณหมอหนุ่มยิ้มเศร้าขณะที่มือหนาที่คุ้นชินกับการจับมีดผ่าตัดอยู่เสมอตอนนี้กลับถูกเจ้าตัวยกขึ้นไปทาบทับอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายของร่างตรงหน้า แสงจากดวงไฟรอบสนามหญ้าส่องกระทบแหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของนภัทรเป็นประกาย วิศรุตมองแหวนวงนั้นนิ่งก่อนจะตัดใจเอ่ยพร้อมกับน้ำใสที่คลอเอ่ออยู่เต็มสองตา

   “ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เพราะอะไรรู้ไหม?” ชายหนุ่มกลั้นเสียงสะอื้นลงคอแต่ทว่าทำได้ยากเกินทนไหว มือหนาของวิศรุตทาบทับไปกับมือของนภัทรก่อนที่จะค่อยๆดึงมือของฝ่ายตรงข้ามให้หลุดออกไปอย่างช้าๆ “เพราะว่าข้างในนี้มันไม่เหลือหัวใจเอาไว้สำหรับความเจ็บปวดอีกแล้ว ฉันมอบความรัก มอบหัวใจ และมอบคนที่รักที่สุดดั่งลมหายใจของตัวเองให้กับศราไปแล้ว นายเข้าใจที่ฉันพูดไหมกานต์?” ไม่มีหัวใจ ดังนั้นก็คงจะไม่เจ็บปวดอีก วิศรุตเคยคิดแบบนั้น แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินราวกับหัวใจตัวเองกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกทึ้งจนแหว่งวิ่น “ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราไปเถอะนะ”

   “แล้วนายล่ะ นายลืมเรื่องทั้งหมดได้จริงๆน่ะเหรอ นายสามารถลืมความทรงจำตลอด13ปีได้หมดงั้นเหรอวิศรุต?”

   “ได้สิ กับการแค่ลืมเรื่องราวเกี่ยวกับคนเพียงคนเดียว มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเท่าไหร่หรอกสำหรับฉัน” วิศรุตโกหกออกไป ชายหนุ่มรู้ใจตัวเองดีว่าต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีทางลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ไปได้และเขาก็เลือกที่จะไม่ลืมด้วย เขาเคยสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เลิกรักฝ่ายนั้นเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่ที่เขาต้องพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เรื่องของเขากับนภัทรมันก็เหมือนกับการเล่นเกมเดินวนอยูในเขาวงกต ทำอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอเสียที “ฉันแค่หวังว่าต่อจากนี้นายจะดูแลศราให้ดี อย่าให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจอีก”

   “ถ้านายต้องการแบบนั้น ฉันก็จะทำอย่างที่นายบอกให้ทำ”

วิศรุตพยักหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่ อยู่ ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินหนีไปเพราะไม่อยากต้องติดอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

   “เดี๋ยวก่อนวิน” เสียงเรียกของนภัทรทำให้วิศรุตชะงักฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับคู่สนทนาอีกครั้งหนึ่ง “ฉันขอ...กอดนายเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม?” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ นภัทรก็รั้งร่างของวิศรุตเข้ามากอดแน่นก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ หยดลงมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นอย่างช้าๆพร้อมกับคำพูดที่ทำให้วิศรุตทั้งดีใจและเจ็บปวดไปพร้อมกันเมื่อได้ยินคำที่เฝ้ารอคอยมาแสนนานจากปากของนภัทร “ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ฉันรู้สึกตัวช้าไป”

   วิศรุตยิ้มออกมาทั้งน้ำตาพร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ยินคำนี้จากปากของนภัทร เพียงเท่านี้เขาก็มี ความสุขมากแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงคนที่ได้สมหวังและครองคู่กันอย่างมีความสุขกับคนตรงหน้าจะไม่ใช่ตัวเขาแต่กลับกลายเป็นศรารัตน์ก็ตาม

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นายจะทำเพื่อฉันด้วย” วิศรุตหมายถึงการดูแลศรารัตน์ในฐานะคนรัก แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม เขาจะต้องทำให้นภัทรมารักเขาให้จงได้และเขาก็จะไม่มีวันยอมเสียนภัทรให้กับคนอื่นด้วยแม้ว่าคนๆนั้นจะน้องสาวของตัวเอง แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความเป็นพี่น้องที่ตัดไม่ขาดทำให้เขาตัดใจแย่งนภัทรมาจากศรารัตน์ไม่ได้ เขาไม่อยากทำให้น้องสาวของตนต้องเสียใจอีกรอบเพราะแค่เรื่องที่ทะเลาะกันจนเกิดอุบัติเหตุกับศรารัตน์เขายังจำฝังใจมาจนถึงวันนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตเขามักจะไม่ยอมศรารัตน์ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่คราวนี้เขากลับเลือกที่จะเสียสละคนที่รักให้กับฝ่ายนั้นเพียงเพราะคำๆเดียวที่ค้ำคออยู่ คำว่าพี่ชาย

   คนที่วิศรุตกำลังคิดถึงอยู่กลับกำลังมองมายังทั้งคู่ผ่านทางหน้าต่างห้องนอน บังเอิญว่าห้องนอนของศรารัตน์อยู่ชั้นสองตรงปีกด้านซ้ายของตึก ทำให้ระเบียงห้องหันออกไปด้านหน้าของสนามหญ้าพอดี หญิงสาวจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดโดยบังเอิญเมื่อตอนที่มาแอบดูที่ริมระเบียงว่าคุณหมอนภัทรของเธอขับรถกลับไปหรือยัง แต่ทว่าภาพที่สองหนุ่มกอดกันกลมบริเวณริมสนามหญ้าทำให้ศรารัตน์หน้าตึงขึ้นมาทันที หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยแววตาสงบนิ่งก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกตรงระเบียงให้สนิทดังเดิม


จบบทที่ 29

ปล. กว่าหมอกานต์จะรู้ใจตัวเอง เล่นเอานานเหมือนกันนะเนี่ย ว่าป่ะ?  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่30
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 10:03:23
บทที่ 30


   หลังจากที่นภัทรกลับไปแล้ว วิศรุตจึงไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะขึ้นไปหาศรารัตน์ที่ห้องนอนส่วนตัวของหญิงสาว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งเอนตัวอยู่ที่เตียงนอนหลังกว้าง ศรารัตน์เหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจกับหนังสืออ่านเล่นในมือของตัวเองต่อจนวิศรุตต้องแกล้งกระแอมเสียงเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว

   “มีอะไรเหรอ?” ศรารัตน์วางหนังสือลง คราวนี้หญิงสาวหันไปสบตาสีน้ำตาลโศกนั้นตรงๆ แววตาของผู้เป็นพี่ชายยังคงมีแววฉ่ำน้ำเหมือนกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แต่ทว่าเธอก็เลือกที่จะไม่ถามถึงเรื่องนี้ “ว่ายังไงล่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า?” หญิงสาวถามย้ำเมื่อเห็นว่าคู่สนทนานิ่งไป

   “ฉันแค่จะมาเยี่ยมเธอ เห็นว่าออกจากโรงพยาบาลวันนี้” ศรารัตน์พยักหน้าพร้อมกับบอกว่าคุณหมอกานต์เป็นคนมาส่งเธอด้วยตัวเอง ชื่อของนภัทรทำให้วิศรุตสะอึกพลางนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นที่สนามหญ้าข้างล่างเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

   “ถ้าจะมาเพราะเรื่องแค่นี้ นายก็กลับไปพักผ่อนเถอะเพราะอาการฉันตอนนี้ดีขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติแล้วล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วง” ศรารัตน์พูดกึ่งๆไล่แต่ว่าวิศรุตก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมออกจากห้องไปเสียที

   “ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดกับเธอ” วิศรุตพูดเสียงหนักแน่นในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววเคร่งเครียดอย่าง
ปิดไม่มิด “อันที่จริงต้องเรียกว่าขอร้องเธอถึงจะถูก” เมื่อเห็นว่าศรารัตน์มีสีหน้าสงสัยในสิ่งที่ตนพูด วิศรุตจึงระบายลมหายใจบางก่อนจะตัดสินใจ ‘เล่า’ เรื่องราวบางอย่างให้ศรารัตน์ฟัง




   “คุณหนูเล็กครับ คุณภาคินมาครับ” เสียงเรียกแหบระโหยของลุงมั่นทำให้ศรารัตน์หลุดจากภวังค์ความคิดของตน หญิงสาวสะดุดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าคนที่มาหาเธอก็คือภาคิน ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อน วิศรุตก็ห้ามเด็ดขาดไม่ให้ภาคินเข้าใกล้ตัวเธอ แต่วันนี้ฝ่ายนั้นกลับมาหาเธอถึงบ้าน ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่ของเธอคนนี้จะมาไม้ไหนอีกกันแน่ ศรารัตน์นึกในใจก่อนจะบอกลุงมั่นว่าเดี๋ยวอีกสักพักเธอจะลงไปพบกับภาคินที่ห้องรับแขก

   ภาคินนั่งรอไม่นาน คนที่ชายหนุ่มต้องการพบก็ลงมาจากห้องนอนชั้นสอง ศรารัตน์ฝืนยิ้มทักทายผู้เป็นแขกเล็กน้อยตามมารยาทก่อนที่จะนั่งลงยังโซฟาฝั่งตรงข้าม เมื่อเด็กรับใช้ที่คลานเข่าเข้ามาเสิร์ฟน้ำออกไปแล้ว หญิงสาวถึงถามธุระการมา บ้านทัดเทวาของอีกฝ่าย

   “มาที่นี่มีธุระอะไรกับฉัน?” ภาคินยิ้มในหน้าก่อนจะบอกว่าเขาต้องการจะมาเยี่ยมอาการของศรารัตน์เพราะได้ข่าวมาว่าคุณหมออนุญาตให้เธอออกมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว

   “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ ดูจากท่าทางก็คงเกือบจะหายดีแล้วสินะ? ฉันล่ะดีใจจริงๆที่เธอปลอดภัยครบสามสิบสอง” อาการที่เสแสร้งเป็นห่วงเป็นใยของภาคินทำให้ศรารัตน์ลอบเบ้หน้า หญิงสาวรู้ดีว่าภาคินไม่ได้ดีใจอย่างที่พูดออกมาหรอก ใจจริงคนตรงหน้าอยากจะให้เธอตายไปให้เสียพ้นๆด้วยซ้ำ

   “พูดธุระจริงๆของนายมาเถอะ ที่นายมาที่นี่ก็คงไม่คิดอยากจะมาเยี่ยมอาการฉันเพียงอย่างเดียวแน่” เมื่อสังเกตจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของภาคิน ศรารัตน์ก็รู้ว่าตนเดาถูกแล้ว

   “ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่บังเอิญไปรู้อะไรบางอย่างมา ก็เลยคิดว่าเธอเองก็อาจจะอยากรู้ด้วย”

   “นายหมายถึงเรื่องอะไร?” ภาคินไม่ตอบแต่ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ศรารัตน์ที่รับไปเปิดดู ข้างในซองเอกสารที่ว่านั้นก็คือรูปของนภัทรกับวิศรุตที่นักสืบแอบถ่ายได้นั่นเอง ศรารัตน์ขมวดคิ้วเรียวสวยแทบจะติดชิดเป็นเส้นเดียวก่อนเงยหน้าถามว่า “นี่มันรูปอะไรกัน นายเอามาให้ฉันทำไม?”

   “ก็บังเอิญฉันรู้มาว่าเธอเองกำลังกิ๊กกั๊กปลูกต้นรักอยู่กับคุณหมอนภัทรอะไรนั่น แต่ก็น่าแปลกนะที่ทำไมคุณหมอ นภัทรหวานใจของเธอกลับไปทำท่าทางสวีทอี๋อ๋ออยู่กับวิศรุตได้ แถมยังมีการประคองกันเข้าห้องในคอนโดส่วนตัวของวิศรุตอีกต่างหาก” ภาคินเหยียดยิ้มสะใจกับสีหน้าซีดเผือดของศรารัตน์ก่อนจะเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดกับวิศรุตและคุณหมอนภัทร อิสรีย์ได้ ในเมื่อทั้งคู่ก็ต่างเป็น...ผู้ชายเหมือนกัน”

   “นี่นาย...” ศรารัตน์พูดไม่ออกเมื่อรู้ว่าเรื่องราวความลับที่วิศรุตเป็นเกย์แถมยังมามีความสัมพันธ์กับนภัทรจะถูกภาคินล่วงรู้จนได้ แต่ที่หนักที่สุดก็คือจากรูปถ่ายตรงหน้านี้ทำให้หญิงสาวถึงกับสะท้านเมื่อรู้ว่าคนทั้งคู่ที่อยู่ในภาพได้มีความสัมพันธ์ทางกายที่เกินเลยไปจนยากจะควบคุมแล้ว จากภาพที่ถ่ายตอนที่ทั้งคู่ซุกไซร้ซอกคอกันขณะที่กำลังเปิดประตูห้องคอนโดก็ทำให้ศรารัตน์ไม่มีทางคิดอย่างอื่นไปได้นอกเหนือจากนี้ หญิงสาวปารูปในมือทิ้งอย่างหมดแรงก่อนพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลริน ออกมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ช่างเหมือนหัวใจที่โดนมีดกรีดตรงจุดเดิมซ้ำๆจนเเกิดเป็นแผลบาดลึก

   “ตกลงว่าคนในรูปนี้ก็คือคุณหมอนภัทรคนรักของเธอจริงๆใช่ไหม? ตอนแรกฉันก็นึกว่าคนที่กำลังนัวเนียอยู่กับวิศรุตเป็นแค่คนหน้าเหมือนเสียอีก” น้ำเสียงที่แกล้งทำให้ดูเหมือนตกใจของภาคินทำให้ศรารัตน์ทนไม่ไหวอีกต่อไป

   “หยุดพูดเสียทีได้ไหม ฉันไม่อยากฟัง” เมื่อเห็นศรารัตน์เริ่มจะหมดความอดทน ภาคินก็ยิ่งได้ใจใหญ่ ชายหนุ่มแกล้งยิ้มยั่วก่อนจะพูดต่อ

   “เธอเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ? เจ็บใช่ไหมกับการถูกทรยศหักหลัง โดยเฉพาะคนที่ทำนั้นเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเธอเอง”

   “นายต้องการอะไรก็บอกมาตรงๆเลยดีกว่าภาคิน” เมื่อศรารัตน์พูดแบบนี้ก็เข้าทางภาคินพอดิบพอดี ชายหนุ่มไม่ลังเลเลยที่จะพูดจาเป่าหูศรารัตน์ให้เกลียดวิศรุต เขาเชื่อว่าการเอานภัทรมาล่อเป้าแบบนี้จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เพราะโดยพื้นฐานแล้วศรารัตน์ก็ไม่ค่อยถูกกับวิศรุตเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน พอมีเรื่องนภัทร ผู้ชายที่ศรารัตน์กำลังหลงใหลคนนั้นเข้ามาเป็นเครื่องกระตุ้น รับรองว่าถ้าศรารัตน์ไม่ยิ่งเกลียดวิศรุตเขาเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

   “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าข้างในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ แต่ถ้าหากเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันยอมเสียคนที่ฉันรักให้คนอื่นไปง่ายๆแน่ และไอ้คนที่คิดจะเข้ามาแย่งชิง ฉันก็ไม่คิดจะปล่อยมันเอาไว้เหมือนกัน”

   “นายหมายความว่า...”

   “ทำลายวิศรุตซะ ถ้าไม่มีมันซักคน คราวนี้เธอก็หมดเสี้ยนหนามตำใจแล้วล่ะศรา” ภาคินพูดพร้อมกับแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมทำเอาศรารัตน์ถึงกับเสียวสันหลังวูบ

   “แต่ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ถึงยังไงวินก็เป็นพี่ชายฉันอยู่ดี” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างแรงเป็นเชิงว่าเธอจะไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเด็ดขาด ความผิดหวังเสียใจและสติความรู้ผิดชอบชั่วดีกำลังตีกันในหัวศรารัตน์จนทำให้หญิงสาวรู้สึกสับสนไปหมด

“นายรีบกลับไปเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกเรื่องทั้งหมดกับวินแน่” คำขู่ของศรารัตน์ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลเมื่อภาคินทำท่ายักไหล่แบบไม่ยี่หระกับคำพูดของอีกฝ่าย

   “เธอก็ลองคิดดูดีๆก็แล้วกัน ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เธอรักหมดหัวใจ เธอจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆเหรอ อีกอย่างถึงแม้ว่าเธอจะใจดีเป็นแม่พระปล่อยให้เขาไปมีความสุขกับไอ้วิน แต่เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วความรักผิดเพศแบบนี้มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริงอยู่ดี โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานภาพที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมอย่างวิศรุตและหมอนภัทร” เมื่อปล่อยระเบิดลูกสุดท้ายไปแล้วภาคินก็เอ่ยขอตัวลา ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าศรารัตน์ที่เจือแววสับสนในใจอย่างรุนแรง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าแผนของเขาจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน อีกไม่นานศรารัตน์จะต้องมาเป็นพวกเดียวกับเขาแน่ แล้วเขาจะใช้ศรารัตน์นี่แหล่ะเป็นไม้ตายทำลายและเหยียบย่ำผู้ชายที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาให้จมดินแบบไม่เหลือซากเลย ทีเดียว

   เมื่อภาคินกลับไปแล้ว ศรารัตน์ก็ยังคงนั่งเหม่อลอยจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง เรื่องราวทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในหัวของศรารัตน์จนเธอคิดอะไรไม่ออก หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของวิศรุตในคืนที่เธอประสบอุบัติเหตุ

“ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นว่ามีใครอยู่ข้างกายนภัทร และยิ่งทำใจไม่ได้ใหญ่ถ้าหากคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของฉันเอง ฉันจะบอกอะไรให้นะศรา ถ้าฉันไม่ได้ใครก็อย่าหวังว่าจะได้เลย และเธอเองก็อย่าหวังเลยว่าจะแย่งนภัทรไปจากฉัน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นดีกันแน่ศรารัตน์”

ถ้านายคิดแบบนี้ล่ะก็วิศรุต ฉันเองก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ นายเองก็รู้ดีแก่ใจไม่ใช่เหรอว่าฉันกับนาย...เราสองคนนิสัยเหมือนกันมาก 

ศรารัตน์สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างคนที่ตัดสินใจได้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของพงศธรแล้วก็กดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็รับ ศรารัตน์จึงกรอกเสียงลงไป

“คุณพงษ์เหรอคะ รบกวนมาที่บ้านทัดเทวาหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือนิดหน่อย”





เสียงกริ่งออดคอนโดดังขึ้นขณะที่เมริษากำลังจะเข้าไปอาบน้ำพอดี หญิงสาวมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง ห้อง ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้วซึ่งก็เธอว่าเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัว ใครกันนะที่มาเวลามืดค่ำแบบนี้
เมริษาเดินไปส่องช่องตาแมวที่ประตูก่อนจะยอมเปิดประตูให้เมื่อเห็นว่าคนที่มาหาเธอก็คือภาคิน

“ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะคะ? เมก็นึกว่าใครที่ไหนมาเคาะประตูเสียอีก” เสียงต่อว่าแบบไม่จริงจังนักของเมริษาไม่ได้ทำให้ภาคินรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเข้ามาในห้องของหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว

“ที่มาหาก็เพราะคิดถึงเมน่ะสิ อยากจะนอนกอดเมให้หายคิด” ภาคินฝังจมูกเข้ากับแก้มเนียนของเมริษาฟอดใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตามองเมริษาที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำด้วยแววตาหยาดเยิ้มซึ่งเมริษาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“อย่าค่ะ เมยังไม่ได้อาบน้ำเลย” เมริษาบิดตัวออกจากอ้อมกอดของภาคินอย่างมีจริต ก่อนจะใช้สองมือยันอกฝ่ายนั้นออกห่างเล็กน้อยพร้อมทำท่าออดอ้อนยั่วยวน “รอแปปนึงนะคะ ขอเวลาเมอาบน้ำก่อน รับรองว่าจะให้คุณกอดจนหายคิดถึง    เลยทีเดียว” เมริษาหัวเราะน้อยๆก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของมือแกร่งคู่นั้นซึ่งภาคินก็ยอมอย่างว่าง่าย หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

   ลับหลังเมริษา ภาคินก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มเยียบเย็น ชายหนุ่มยังจำตอนที่เห็นเมริษาไปนัดเจอกับภาณุที่ค็อฟฟี่ช็อปในห้างดังได้เป็นอย่างดี แถมเมริษายังส่งแผ่นซีดีอะไรก็ไม่รู้ให้กับฝ่ายนั้นไป ยิ่งคิดภาคินก็ยิ่งสงสัยในตัวเมริษา ดังนั้นจุดประสงค์การมาในวันนี้ของภาคินก็เพื่อต้องการที่จะมาหาหลักฐานว่าเมริษาหักหลังเขากับพ่อหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีหลักฐานคาหนังคาเขา รับรองว่าเมริษาหมดทางแก้ตัวแน่และเขาเองก็คงปล่อยเธอเอาไว้ไม่ได้เช่นกันเนื่องจากเมริษารู้ความลับของเขากับพ่อมากจนเกินไปแล้ว

   ภาคินเดินไปรอบห้องรับแขกของเมริษาอย่างจับสังเกต ก่อนสายตาจะไปหยุดที่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวของหญิงสาว ชายหนุ่มชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปนั่งหน้าคอมแล้วถือโอกาสแอบเปิดดูข้อมูลที่ถูกเซฟไว้ในไดร์ฟต่างๆ เขาลองเปิดหาไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบว่ามีไฟล์ไหนผิดปกติ ภาคินจึงถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะปิดหน้าจอคอมลงตามเดิม

   ภาคินเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องนอนของเมริษาแทน ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องก่อนสายตาจะไปสะดุดกับกล่องอะไรบางอย่างบนชั้นวางของข้างๆโต๊ะเครื่องแป้ง ไวเท่าความคิด ภาคินรีบเดินไปหยิบกล่องน่าสงสัยนั้นขึ้นมาเปิดดูทันที

   “ทำอะไรคะภาคิน?” เสียงเมริษาที่เข้ามาในห้องพอดีทำให้ภาคินชะงักมือที่กำลังเตรียมจะเปิดกล่องออกดู หญิงสาวเองก็ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นถึงสิ่งที่อยู่ในมือของภาคิน “เอามานี่ค่ะ มันเป็นของเมเอง” เมริษารีบแย่งกล่องใบนั้นจากมือของภาคินไปซ่อนไว้ด้านหลังตน พฤติกรรมนั้นของหญิงสาวกลับยิ่งทำให้ภาคินเกิดความสงสัย

   “อะไรกันเม ในกล่องนั้นมีอะไรงั้นเหรอ? ทำไมแค่นี้เมต้องถึงกับปิดผมด้วย” ภาคินหรี่ตาลงอย่างจับผิดในขณะที่เมริษาลอบกลืนน้ำลายพลางแก้ตัว

   “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก เมว่าเราอย่าไปสนใจมันเลยค่ะ ไหนว่าคิดถึงเมนักไม่ใช่เหรอคะ? เมเองก็คิดถึงคุณเหมือนกันนะ” หญิงสาวปั้นยิ้มก่อนเข้าไปกอดชายหนุ่ม แต่ทว่าอีกฝ่ายขืนตัวไว้แล้วใช้ความไวแย่งกล่องจากมือของเมริษามาได้สำเร็จ

   “นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงเป็น...” ภาคินอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องมีเพียงเนคไทเส้นหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่เขานึกว่าข้างในกล่องนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่าเมริษาหักหลังเขาเสียอีก ภาคินมองจ้องเนคไทเส้นนั้นก่อนจะหันมาเป็นเชิงขอคำตอบจากเมริษา

   “คือว่าเมตั้งใจว่าจะซื้อเนคไทเส้นนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณน่ะค่ะ แต่ไม่นึกว่าคุณจะมาเห็นก่อนจนได้” คำพูดของเมริษาทำให้ภาคินชะงักไป ที่แท้เขาก็เข้าใจผิดไปเองหรอกหรือเนี่ย ภาคินถอนหายใจบางก่อนจะเข้ามาคลอเคลียเอาใจอีกฝ่ายอย่างต้องการง้องอน

   “ขอโทษครับเม ผมนึกว่าเมซ่อนอะไรเอาไว้ไม่อยากให้ผมรู้เสียอีก” คำพูดของภาคินทำให้เมริษาสะท้านในใจ เป็นอย่างที่เธอเคยคิดไว้ไม่มีผิดว่าหากวันหนึ่งที่ภาคินเกิดรู้ระแคะระคายหรือสงสัยว่าเธอจะหักหลังเขาแล้วล่ะก็ เขาจะต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่ ที่ชายหนุ่มแอบเข้ามาค้นห้องตอนที่เธอไม่อยู่แบบนี้ก็แสดงว่าเขาต้องกำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

   “นี่มันเรื่องอะไรกันคะเนี่ย? เมงงไปหมดแล้ว” ภาคินมองหญิงสาวที่กำลังตีหน้าซื่ออย่างต้องการลองใจคนตรงหน้า ในขณะที่ดวงตาคมกริบก็พยายามจับสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย

   “พอดีวันนั้นผมไปธุระแล้วบังเอิญเดินผ่านร้านค็อฟฟี่ช็อปในห้าง มองเข้าไปก็เห็นเมนั่งอยู่กับคนๆนึง แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นผมรีบมากก็เลยไม่ทันได้เดินเข้าไปทัก ไม่รู้ว่าคนๆนั้นจะเป็นกิ๊กคนใหม่ของเมหรือเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจเลยอยากเข้ามาดูว่าเมซ่อนอะไรเอาไว้ในห้องหรือเปล่า?” คำพูดของภาคินทำให้เมริษาต้องลอบกลืนน้ำลาย ยังโชคดีที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่า ผู้ชายที่นั่งกับเธอในร้านค็อฟฟี่ช็อปก็คือภาณุผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของวิศรุต ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแก้ตัวดี

   “ที่คุณเห็นก็คงเป็นวันเดียวกับที่เมไปซื้อของขวัญให้คุณนั่นแหล่ะค่ะ พอดีเมไปแวะดื่มกาแฟที่ร้านนั้นก็เลยบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่า แต่คุณไม่ต้องหึงไปหรอกนะคะเพราะเพื่อนเมคนนี้เค้าเป็นพวกผู้ชายนะยะ” คำพูดกลั้วหัวเราะของเมริษากลับทำให้ภาคินมีสีหน้าเครียดขึ้นทันที ฟังจากที่พูดเขาก็รู้เลยว่าเมริษากำลังโกหกเพราะวันนั้นเขาเห็นกับตาตัวเองว่าอะไรเป็นอะไร อีกอย่างเขาก็ไม่เคยได้ข่าวมาว่าภาณุเป็นพวกผู้ชายนะยะแบบที่เมริษาบอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันเชื่ออยู่ดีว่าเมริษาจะไปเป็นเพื่อนเก่าของภาณุได้อย่างไรกัน ดังนั้นคำตอบจึงมีเพียงอย่างเดียวก็คือเมริษากำลังโกหกเขา

   เมื่อเห็นว่าภาคินท่าทางแปลกไปเมริษาจึงถามขึ้นว่า “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ดูหน้าเครียดจัง” ภาคินส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ชายหนุ่มรวบร่างบอบบางของหญิงสาวมากอดไว้อย่างหลวมๆเพราะไม่อยากให้เธอเห็นประกายโชนแสงจากแววตากร้าวของเขา ในเมื่อเธอเลือกที่จะทรยศเขาแบบนี้ ก็อย่ามาหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน

   เมริษากอดตอบร่างสูงใหญ่ไว้อย่างหลวมๆเช่นกัน โชคดีที่หลังจากเธอเซฟข้อมูลลงแผ่นซีดีแล้วจัดการส่งให้ภาณุเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็จัดการลบไฟล์คลิปวีดีโอในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทิ้งทันทีเพื่อไม่ให้เหลือเป็นหลักฐานที่สาวมาถึงตัวเธอได้ ไม่อย่างนั้นภาคินไม่ปล่อยเธอไว้แน่ เพราะขนาดศรารัตน์และวิศรุตที่เป็นญาติสนิทเขายังกล้าวางแผนฆาตกรรมเลย แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เป็นแค่คู่นอนชั่วคราวอย่างเธอ ยิ่งคิดเมริษาก็ยิ่งหวาดหวั่นในใจกับความโหดเหี้ยมของภาคิน




   “นี่เป็นซีดีที่ได้จากเมริษา” ภาณุยื่นกล่องบรรจุซีดีที่เขาได้มาจากอีกคนให้กับวิศรุตที่รับไป “ฉันลองเช็คดูแล้ว ในแผ่นนั้นมีอยู่หลายคลิปเลยทีเดียว ทั้งคลิปภาพเคลื่อนไหวแล้วก็พวกคลิปเสียงอื่นๆที่ยืนยันได้ว่าสองพ่อลูกนั้นคิดจะฮุบทัดเทวาแล้วก็วางแผนจะฆ่าแกกับยัยศรา ถ้าบอร์ดบริหารได้เห็น รับรองว่าสองพ่อลูกนั่นได้จนมุมแน่” วิศรุตคลี่ยิ้มเยือกเย็น เขาปล่อยให้สองคนนั้นเล่นเกมกับเขามานานแล้ว คราวนี้แหล่ะที่เขาจะพลิกมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง ที่เขายังไม่ทำอะไรกับสองพ่อลูกนั้นเสียทีก็เพราะว่าเกรงจะเป็นการเปิดช่องให้ทั้งคู่ไหวตัวได้เสียก่อน แต่คราวนี้มันจะเป็นทีของเขาบ้างแล้วที่จะเอาคืนอย่างสาสม

   “ขอบใจแกมากไอ้โอมที่คอยเป็นธุระเรื่องเมริษาให้” ภาณุตอบกลับว่าไม่เป็นไร อันที่จริงการได้พูดคุยติดต่อกับเมริษาหลายๆครั้ง ถึงแม้ว่าจะต้องมีการทะเลาะหรือกระแนะกระแหนกันบ่อยๆมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นอวลในใจอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่ามีความสุขที่ได้ทะเลาะกับฝ่ายนั้นบ่อยๆก็ไม่เชิง

   “แล้วแกจะจัดการเปิดโปงสองคนนั้นแล้วปิดเกมนี้เมื่อไหร่วะไอ้วิน?”

   “อีกไม่นานหรอก แกคอยดูไปเถอะ” วิศรุตยิ้มแบบมีเลศนัยให้กับภาณุในขณะที่อินเตอร์โฟนบนโต๊ะทำงานของวิศรุตก็ดังขึ้น เป็นคุณอิงอรที่โทรเข้ามาบอกว่าศรารัตน์มาขอพบเขา วิศรุตมองหน้ากับภาณุด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าศรารัตน์มีเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้มาหาเขาถึงที่ทำงานแบบนี้ ท่านประธานหนุ่มเจ้าของทัดเทวานิ่งคิดก่อนจะบอกอิงอรว่าให้ศรารัตน์เข้ามาได้

   เมื่อศรารัตน์เปิดประตูเข้ามาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่วิศรุตยัดกล่องซีดีลงไปในกระเป๋าเอกสารส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทักศรารัตน์ในขณะที่หญิงสาวมีท่าทางเมินเฉยเย็นชา แต่ร่างบางก็ยอมเอ่ยทักทายภาณุตามมารยาทที่ดี

   “เป็นยังไงบ้างศรา? เห็นไอ้วินบอกว่าเธอหายดีแล้วนี่นา” ภาณุเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน

   “ก็เกือบปกติแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มตอบภาณุก่อนจะหันไปพูดจุดประสงค์การมาของเธอกับวิศรุต “ที่ฉันมาก็เพื่ออยากจะมาถามความเห็นนายในบางเรื่อง”

   “เรื่องอะไรล่ะ? ว่ามาสิ”

   “ฉันอยากจัดงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อเป็นการขอบคุณหมอกานต์ที่ได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้จากอุบัติเหตุถึงสองครั้ง นายเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง?” วิศรุตหันไปสบตากับภาณุทันที ลำพังแค่เรื่องจัดงานเลี้ยงขอบคุณก็ไม่เห็นจำเป็นที่ศรารัตน์จะต้องมาบอกเขาเลยนี่นา ที่หญิงสาวมาหาเขาวันนี้ก็คงต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ

   “ก็เอาสิ ตามใจเธอ เพราะถึงยังไงฉันก็คงห้ามเธอไม่ได้อยู่แล้วนี่นา” ศรารัตน์ยิ้มเย็นก่อนจะบอกต่อว่างานเลี้ยงนี้เธอตั้งใจจะจัดขึ้นที่บ้านทัดเทวานั่นเอง

“ฉันอยากให้งานนี้ดูเป็นเหมือนเป็นงานเลี้ยงแบบอบอุ่น เชิญแขกที่เป็นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” หญิงสาวบอกรายละเอียดคร่าวๆให้วิศรุตกับภาณุฟัง

   “เธอกะจะชวนใครบ้างล่ะ?”

   “ก็มีที่แน่ๆคือหมอกานต์ คุณพงษ์ นาย แล้วก็เอ้อ ขอเชิญพี่โอมด้วยนะคะ” ศรารัตน์หันไปยิ้มให้ภาณุโดยไม่สนใจอาการของวิศรุตที่อึ้งไปเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงอะไรนี้ด้วย จะให้เขาทำตัวอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนภัทรและศรารัตน์พร้อมกันแบบนี้ นี่ศรารัตน์จะแกล้งทำให้เขาต้องกระอักกระอ่วนใจไปถึงไหน ลำพังแค่การตัดใจจากนภัทรก็ยากมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาทนเห็นนภัทรอยู่กับศรารัตน์ แล้วแบบนี้เขาจะทนได้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน





   วิศรุตเดินหน้าเครียดออกมาจากห้องประชุมบอร์ดบริหาร วันนี้ชายหนุ่มต้องเข้าประชุมเรื่องแผนการจัดงานประจำปีของบริษัททัดเทวาที่งานนี้จะถูกจัดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า เขาคงจะไม่ออกอาการเครียดแบบนี้เลยหากว่าคุณวันชัยไม่เสนอขึ้นกลางที่ประชุมว่าอยากจะให้ใช้งานนี้เป็นงานสำหรับการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตเป็นคนรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น ซึ่งบรรดากรรมการบริหารส่วนใหญ่ต่างก็มีมติเห็นด้วยกับความคิดของวันชัย เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและจะมีบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอสังหาฯมาร่วมงานเป็นจำนวนมากรวมถึงนักข่าวมากมายจากหลากหลายสำนักด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการโปรโมตบริษัททัดเทวาไปในตัว แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้วิศรุตหนักใจก็คือโครงการบ้านจัดสรรที่เขารับผิดชอบนั้น ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมดเพราะเคยเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ ชายหนุ่มลุกขึ้นมาชี้แจงถึงปัญหาข้อนี้ที่อาจทำให้โครงการสำเร็จไม่ทันงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท แต่วันชัยก็ได้โต้กลับแล้วให้เหตุผลว่าหากวิศรุตเป็นมืออาชีพจริง ลำพังปัญหาแค่นี้ก็ต้องจัดการได้อย่างแน่นอน อีกทั้งงานนี้ยังถือเป็นการแสดงศักยภาพให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ว่าบริษัททัดเทวามีความเป็นผู้นำในด้านอสังหาริมทรัพย์หนึ่งเดียวของเมืองไทย

   “พวกเรารอดูโครงการนี้อยู่นะคุณวิศรุต” คุณมงคลที่เดินตามออกมาจากห้องเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวตามวิศรุตจนทัน ผู้สูงวัยกว่ายิ้มเล็กน้อยอย่างต้องการให้กำลังใจ “หวังว่าคุณคงจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของทัดเทวาเพียงใด และผมก็ยังแอบเชื่อมั่นอยู่ลึกๆว่าคุณคงไม่ทำให้ผมผิดหวัง” วิศรุตยิ้มเครียดกับคำพูดนั้นโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

   หลังจากที่คุณมงคลขอตัวเดินไปแล้ว วิศรุตก็หันไปสั่งอิงอรว่าให้ตามพงศธรไปพบตนที่ห้องทำงานด่วนที่สุด ซึ่งผู้เป็นเลขาก็รับคำก่อนจะรีบไปจัดการตามคำสั่งของเจ้านายเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้รอช้าไม่ได้อีกแล้ว


หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่30
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 10:04:36

   “คุณวิศรุตเรียกผมมีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?” พงศธรถามขึ้นเมื่อมาถึงห้องทำงานของวิศรุต เจ้าของห้องผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง หลังจากที่อิงอรออกไปจากห้องแล้ว วิศรุตก็บอกให้พงศธรพูดจาตามสบายแบบเดิมได้ ไม่ต้องพูดเป็นทางการมากนักแม้ว่าตนจะอยู่ในฐานะเจ้านายของฝ่ายนั้นก็ตาม

   “ที่ฉันเรียกนายมาก็เพราะเรื่องของโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่เนี่ยแหล่ะ” วิศรุตบอกเรื่องมติที่ประชุมที่อยากให้จัดโปรโมตโครงการบ้านจัดสรรนี้ในงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทให้พงศธรได้ทราบก่อนที่จะถามความเห็นของอีกฝ่ายบ้าง

   “อย่างนี้แปลว่าเราต้องเร่งโครงการให้เสร็จภายในปลายเดือนนี้ใช่ไหม? เพราะงานจะมีขึ้นในต้นเดือนหน้าแล้ว” วิศรุตพยักหน้าด้วยแววตาเคร่งเครียด เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นทำให้โครงการเสียหายไปมากทีเดียว แม้ว่าเขาจะพยายามเร่งปรับปรุงโครงการ
ใหม่ทั้งหมดมาตั้งแต่หลังที่เกิดเรื่องซึ่งงานก็คืบหน้าไปเยอะแล้ว แต่เมื่อมีเวลาเหลือเพียงแค่ไม่ถึงสามสัปดาห์เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะทำมันได้สำเร็จหรือเปล่า

   “ถ้างานนี้เสร็จไม่ทัน ชีวิตฉันจบเห่แน่” วิศรุตสบถออกมาเบาๆอย่างเริ่มหัวเสีย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคุณอาวันชัยต้องการแกล้งเขา ไม่อยากนั้นก็คงไม่เสนอความคิดบ้าๆแบบนี้กลางที่ประชุมบอร์ดบริหารหรอก “ว่าแต่ตอนนี้งานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?” วิศรุตหันไปถามพงศธรที่มีสีหน้าเครียดเช่นกันหลังจากที่ได้ฟังเรื่องที่ตนเล่า

   “ตอนนี้ฉันกำลังเร่งให้พวกคนงานต่อเติมอาคารบางส่วนอยู่ คิดว่าถ้าหากเร่งมือกันจริงๆก็น่าจะเสร็จทันกำหนดพอดี ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดนะ” คำตอบของพงศธรทำให้วิศรุตเริ่มคลายใจขึ้น ชายหนุ่มจึงสำทับไปว่า

   “นายช่วยบอกให้พวกคนงานเร่งมือด้วยหรือไม่ก็หาคนงานมาเพิ่มโดยด่วนเลย บอกว่าฉันยินดีจะจ่ายเงินเดือนเพิ่มให้เป็นค่าล่วงเวลา จำไว้ ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ฉันไม่สนใจ ขอเพียงแค่งานเสร็จตามกำหนดก็พอ” พงศธรพยักหน้ารับคำสั่งจากอีกฝ่ายก่อนขอตัวออกไปทำงานต่อ

   ตอนที่พงศธรหมุนลูกบิดประตูห้องทำงานเพื่อจะเปิดเดินออกไป ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยว่าควรจะพูดดีหรือไม่ก่อนจะตัดสินใจหันหน้ามาเอ่ยกับคนที่นั่งพิงพนักอยู่ที่โต๊ะทำงาน

   “คุณศราเชิญฉันให้ไปงานเลี้ยงขอบคุณไอ้กานต์ในคืนพรุ่งนี้ด้วย” วิศรุตส่งเสียงตอบรับในคอเป็นเชิงว่าเขารู้อยู่แล้ว พงศธรมองวิศรุตด้วยสายตาสงบนิ่งก่อนเอ่ยต่อ “ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อย”

   “อะไรล่ะ?”

   “ฉันแค่อยากรู้ว่า...ทำไมนายกับไอ้กานต์ถึงมีความสัมพันธ์แบบนั้นต่อกันได้?” วิศรุตตัวชาไปหลังจากที่ได้ฟังคำถามจากคู่สนทนา

   “นายรู้เหรอว่าฉันกับกานต์...” พงศธรพยักหน้าช้าๆแล้วบอกว่าเขาเห็นกับตาเพราะคืนนั้นที่บ้านจัดสรรเกิดไฟไหม้ เขาติดต่อวิศรุตไม่ได้ แล้วพอรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่กับเพื่อนรักของตน เขาจึงไปหาทั้งคู่ที่บ้านของนภัทรแล้วบังเอิญได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น

   “ฉันสงสารคุณศรา” คำพูดที่เอ่ยออกมาลอยๆทำให้วิศรุตต้องเม้มริมฝีปากแน่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าในสายตาใครต่อใครต่างก็เห็นว่าเรื่องความสัมพันธ์แบบชายรักชายมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจและไม่คิดอยากยอมรับ ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ วิศรุตหัวเราะเบาๆกับตัวเอง แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเจือไว้ด้วยกระแสความขมขื่นในใจ

   “ฉันก็สงสารศรา แต่ที่สงสารยิ่งกว่าก็คือตัวเอง พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก”

   “ฉันอาจจะไม่รู้ว่าความรักของนายที่มีต่อไอ้กานต์มันลึกซึ้งแค่ไหน แต่ฉันก็อยากจะเตือนนายเอาไว้ว่าบางทีความหวังกับความเป็นจริง มันก็เป็นสองสิ่งที่อยู่บนเส้นขนาน ซึ่งความจริงข้อนี้ ฉันว่านายเองก็น่าจะคิดได้อยู่แล้ว”

   “ฉันรู้ดี ขอบใจที่เตือนนะ แต่ว่าเรื่องของฉันกับกานต์มันจบไปแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” วิศรุตหลุบตาลงต่ำเพื่อ ซ่อนสายตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้พงศธรเห็น บางทีเรื่องของเขากับนภัทรอาจจะเรียกว่าจบแบบทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยการที่เขาได้ยินคำว่ารักจากปากของฝ่ายนั้น เขาก็มีความสุขมากแล้ว แม้ว่าสุดท้ายเขาจะต้องเป็นคน เอามือของนภัทรไปวางไว้ใส่มือของศรารัตน์ก็ตาม

   พงศธรมองวิศรุตด้วยความสงสารแกมเห็นใจ ผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างวิศรุต ไม่ว่าชายหนุ่มต้องการสิ่งใด เขาก็มักจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง หากแต่สิ่งเดียวที่วิศรุตอยากได้ก็คือผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์...ผู้ชายคนเดียวกับที่น้องสาวของคนตรงหน้าก็ต้องการที่จะครอบครองเช่นกัน

   “เดี๋ยวก่อน” เสียงเรียกดังขึ้นทำให้พงศธรต้องหยุด สายตาคมกริบเหลือบไปทางด้านหลังแล้วบังเอิญสบตากับดวงตาโศกสีน้ำตาลพอดี “นายรังเกียจหรือเปล่า?” วิศรุตหมายถึงเรื่องที่เขาเป็นพวกรักเพศเดียวกัน

   “ไม่หรอก” เป็นคำตอบสั้นๆของพงศธรก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป


จบบทที่ 30




Aislin : สวัสดียามเช้านะคะ วันนี้ก็มาอัพให้5ตอนตามปกติ ขอบคุณสำหรับการติดตามมากๆเลย ดีใจมากๆเลยแหล่ะค่ะ มาว่าถึงตอนที่แล้วดีกว่า...หลายคนอึ้งไปเพราะว่าผิดที่คาดเดากันเรื่องใครเป็นพระเอก-นายเอก อันที่จริงเราก็ไม่ได้มีสูตรตายตัวนะคะว่านายเอกจะต้องออกแนวร่างบาง สูงโปร่งอะไรเทือกนั้น 555 ในความคิดของเราวินเป็นผู้ชายที่หุ่นเหมือนผู้ชายปกติที่เท่ห์ๆ หล่อๆ  ถึงขั้นหล่อมาก แต่ไม่ได้อ้อนแอ้นนะคะ เป็นคนหล่อที่แม้แต่ผู้ชายยังอิจฉา ส่วนหมอกานต์ก็ออกแนวหล่อคม (แต่ไม่ถึงกับเข้ม) ภายนอกดูเย็นชา แต่พอได้สัมผัสตัวตนจริงๆหมอกานต์จะออกแนวอ่อนโยนมากค่ะ (เดี๋ยวอ่านไปหลังๆจะหลงรักหมอกานต์โดยไม่รู้ตัว) ดังนั้นคาแร็ึคเตอร์ของพระเอกนายเอกเรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากบุคลิคของพระเอกนายเอกทั่วไปนิดหน่อย แต่หวังว่าคุณผู้อ่่านน่าจะรับได้ค่ะ

             หลังจากตอนที่30เป็นต้นไป เนื้อหาจะทวีความเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตอนจบเลยทีเดียวแหล่ะ ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ เพราะว่าเรื่องก็ใกล้จะจบแล้ว ค่อนข้างจบเร็วเลยทีเดียว ก็เราเล่นอัพวันละ5ตอนเลยนี่นา 555 :z1:

            มาดูและตามลุ้นกันว่าหลังจากนี้ศราจะทำอย่างไร ขอแง้มๆนิดๆว่าศราอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงนะคะ หลังๆเธอคนนี้มาแนวโหดพอสมควร แต่ก็นะ...บางทีคนเราก็ผิดเพราะรัก อันนี้ก็น่าเห็นใจทุกคนในเรื่อง ส่วนเรื่องแผนการของภาคินและวันชัยก็รอโอกาสที่จ้องจะทำลายวิศรุตอยู่เหมือนเดิม เราอ่่านคอมเม้นท์หลายๆคอมเม้นท์บ่นว่าสงสารวินมากๆ อันนี้ก็น่าสงสารจริงๆแหล่ะเพราะศึกหลายด้านเหลือเกิ๊นน!! แต่ก็ดีใจไปนิดนึงเรื่องที่ว่าหมอกานต์ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วว่ารู้สึกยังไงกับวิน แต่ถึงอย่างไรมันก็เหมือนกันกับรักที่หาทางออกไม่ได้อยู่ดี เฮ้อ...

            แล้วอย่างนี้จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย....อยากรู้ต้องตามอ่านต่อนะจ้ะ ไม่อยากเฉลยเดี๋ยวไม่หนุก  :laugh: เอ้อ มีข่าวอยากแจ้งนิดนึงค่ะ เพราะช่วงนี้มีนักอ่านถามเข้ามาค่อนข้างเยอะ นิยายทัณฑ์กามเทพล็อตรีปริ้นท์ใกล้หมดเต็มทีแล้วนะคะ ใครชอบและอยากมีเป็นรูปเล่มเก็บไว้ก็สามารถติดต่อเราไ้ด้เลยค่ะ (รายละเอียดอีเมลล์การติดต่ออยู่ในหน้า FB fanpage เน้อ) เดี๋ยวเราจะได้แจ้งรายละเอียดการโอนเงินกลับไปค่ะ แต่ถึงอย่างไร...ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไรนะคะ เราไม่ได้ซีเรียส และก็ยังสัญญาว่าจะอัพให้จนจบแน่นอนค่ะ คุณผู้อ่านจะได้ประหยัดและเก็บเงินไปซื้อนิยายที่ตัวเองชอบจริงๆดีกว่าเน้อ

อันนี้เป็น FB Fanpageค่ะ

http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062?ref=tn_tnmn

ปล1. ในเล่มไม่มีตอนพิเศษนะคะ (ตอนพิเศษจะต้องเล่นเกมแลกค่ะ เดี๋ยวกติกาหรือรายละเอียดอื่นๆจะมาแจ้งหลังจากเราโพสนิยายในเล้าเป็ดจนจบจ้า)

ปล2. อ่านแล้วช่วยคอมเม้นท์ให้หน่อยนะคะ เล็กน้อยก็ยังดี ถือว่ามาแชร์ๆและพูดคุยกันหนุกๆดีกว่าเน้อ หากมีข้อติก็ติได้ค่ะ เรารับฟังและจะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องอื่นๆต่อไป ส่วนคอมเม้นท์ชมก็สร้างกำลังใจให้ได้มากดโขอยู่  :3123:

ปล3. (สุดท้ายแล้วจริงๆ) หวังว่าคงได้รับมิตรภาพที่ดีจากนักอ่านในเล้าเป็ดที่ติดตามตลอดจนจบเรื่องนะคะ แล้วหากสงสัยอะไรสามารถทิ้งคอมเม้นท์เอาไว้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะหยิบยกมาตอบให้แน่นอนจ้า เจอกันตอนหน้าเน้อ:really2:

ขอบคุณด้วยที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 04-08-2012 10:59:08
เหนื่อยมั้ย วิน เฮ้อออ ผมเหนื่อยมาก อ่านแล้วแบบว่า สงสาร :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: U_Ton ที่ 04-08-2012 11:39:48
 :เฮ้อ: อ่านแล้วหายใจไม่ออก... วินเคยเห็นแก่ตัวนะ... แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

เพราะเห็นแก่ตัวกับน้องสาวและคนที่รักไม่ได้... ต่างกับศรา

 :m15: หมอกานต์ก็น่าเห็นใจกว่าจะรู้ตัว เวลามันผ่านไปนานแล้วอ่ะ...

ยังมีพงษ์เป็นตัวแปรที่ไม่รู้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นอีก นอกเหนือจากภาคินน่ะนะ

เมื่อไหร่วินจะมีความสุขจริงๆกับเค้าบ้าง ไม่รู้มันเรื่องอะไรกันนักกันหนา :z3:

ขอให้แฮปปี้ดี้ด้าทีเถอะนะ :call:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 04-08-2012 12:44:11
 :เฮ้อ:
ขอให้ภายุลูกนี้ผ่านไปเร็วๆ อยากเห็นความสดใส บ้าง :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 04-08-2012 13:01:25
สงสารวินมากๆ
เจอศึกหลายด้านเลย
แล้วศราคิดจะทำอะไร
เรื่องมันเข้มข้นขึ้นทุกที
มาม่าสุดๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 04-08-2012 13:38:11
ยิ่งอ่าน ยิ่งน่าติดตาม แต่ก็หมั่นไส้ ศราขึ้นเรื่อยๆ อ่านๆไปศรากลายเป็นคนหูเบา เห็นแก่ตัวไปเลย
ไม่ว่ายังไง วินก็เสียสละให้น้องแท้แต่ความรักของตัวเอง แต่ยัยศรานี่ซะ เป็นน้องเป็นนุ่งแม่งจะเตะตูดโด่ง
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: kitty ที่ 04-08-2012 14:13:18
 :monkeysad:สงสารวินที่สุดดดดดดดดดดดด :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 04-08-2012 14:31:08
ในที่สุดหมอกานต์ก็รู้ตัวและบอกรักวินแล้ว แต่ทำไมมันเป็นแบบนี้  :o12: :o12: :o12:

แล้วศราคิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 04-08-2012 15:52:28
ศึกหลายด้านนะวิน คนนอก คนใน แถมจากตัวเองด้วย เหนื่อยแทน  :เฮ้อ:
อย่างที่ศราพูดอ่ะ เรื่องความไม่เหมาะสมที่จะรักกัน ที่จริงเราว่าถูกต้องนะ เราก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม แต่เราก็ทำใจไม่ได้อ่ะ ถ้าจะต้องพรากคนที่รักออกจากกัน  :o12:

รอตอนหน้าค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 04-08-2012 16:36:38
สงสารวิศรุต มีเงินแต่ไม่มีความสุข
สมเพชศรารัตน์ คิดเหรอว่านภัทรจะหันมารักตัวเอง
สงสัยภาณุ คิดอะไรกับวิศรุตรึเปล่า รู้สึกมีออร่าสีม่วงวิ้ง วิ้ง เวลาอยู่กันสองคน
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 04-08-2012 17:56:50
สงสารวินมากมาย  เป็นกำลังใจให้ทำหน้าที่พี่ชายให้ลุล่วงก้อแล้วกัน  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 04-08-2012 18:05:07
เราเป็นบ้าอะไรไม่รู้ นั่งrefreshหน้านิยายทั้งวันเลย แบบว่าลุ้นมากว่านักอ่านแต่ละท่านจะคอมเม้นท์ว่าอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ที่สังเกตได้ก็คือทุกคนสงสารวิน เห็นเกือบทุกคอมเม้นท์มีไอคอนลิง ถอนหายใจเฮ้อ 555

ปล. ยิ่งอ่านยิ่งน่าสงสารนะ ขอบอก...ไม่ใช่แค่วิน แต่สงสารทุกคน เหอๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: fastation ที่ 04-08-2012 19:29:49
อ่านแล้วแบบเกลียดตัวร้ายมาก
ส่วนศราคิดดีแล้วหรอที่จะทำ สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดอาจจะเป็นคุณก็ได้นะ
รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 04-08-2012 21:50:03
เครียดอ่ะ คำว่าพี่มันค้ำคอ แง้ๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 04-08-2012 22:30:32
 :m16:ทำมัยศรัตน์ถึงได้ทำแบบนี้กับพี่ชายได้ลงนะ :m31: :m31: :m31:


สงสารวินจนน้ำตาไหลแล้วอะ :sad11: :sad11: :sad11:


รอจ้า :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 05-08-2012 00:41:49
อ่านถึงตอนนี้ ศราเห็นแก่ตัวมาก
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: vk_iupk ที่ 05-08-2012 01:29:43
สงสารวินอ่ะ ไม่ไหว  T^T
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: พี่วันเสาร์ ที่ 05-08-2012 09:39:04
วินน่าสงสารที่สุดมีน้องสาวเธอก็นะดีแต่แคร์ความรู้สึกของตัวเอง :z3:
(ดีนะที่น้องสาวตูไม่เป็นแบบนั้นไม่งั้นจะตบให้คว่ำเลย :beat:)
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 05-08-2012 13:46:06
วันนี้วันหยุด ไม่ลงนิยายเหรอครับ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 05-08-2012 13:51:04
มาปูเสื่อด้วยคนครับ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: kogomon ที่ 05-08-2012 14:42:54



 :monkeysad:

มีแต่เรื่องทับถมวิน.... :z3:


 :เฮ้อ:

สู้ต่อไป


หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 05-08-2012 17:27:01
แวะมาบอกว่าวันนี้อัพให้ไม่ได้  เพราะว่าวันนี้ออกมาจากบ้านแต่เช้า ยังไม่ได้กลับบ้านเลยค่ะ
เดี๋ยวแก้ตัวอัพให้พรุ่งนี้เน้อ
ขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่ต้องให้รอ :D
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 05-08-2012 18:06:33
จะจบยังไงเนี้ย  :เฮ้อ: 

มนุษย์เราต่างก็มีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละเนอะ ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน


ขอบคุณคนแต่งค่ะ สำหรับเรื่องราวสนุกๆ กับความใจดีวันละ 5 ตอน   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 05-08-2012 19:34:17
รอค่่ะ อ่านแล้วบีบคั้นมาก เสียน้ำตาไปเยอะแล้ว
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 05-08-2012 22:12:12
อ่านทันเสียที เฮ้อ......
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 05-08-2012 22:26:03
 :n1: :mc4: :mc4: :bye2: o13 o13 o13 o13 o13 :t3: :z3: :z3: :z2:มันจะจบยังไงเนี่ย หมอกานกับนายวิน จะเป็นไงเนีย :o12: :o8: :o8: :o12: :serius2: :serius2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่31
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 06-08-2012 12:53:51
บทที่ 31

   
งานเลี้ยงขอบคุณคุณหมอนภัทร อิสรีย์ถูกจัดขึ้นที่สนามหญ้าภายในบริเวณคฤหาสน์ทัดเทวา ศรารัตน์เป็นคนจัดการเรื่องงานเลี้ยงนี้ด้วยตัวเอง หญิงสาวจัดการให้พวกคนใช้ดูแลเรื่องการตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม ส่วนในด้านอาหารและเครื่องดื่มก็จ้างภัตตาคารชื่อดังมาจัดเตรียมให้ ศรารัตน์มองบรรยาศรอบงานด้วยความพอใจแต่แววตากลับนิ่งสนิท

   ภาณุมาถึงที่บ้านทัดเทวาก่อนใครเพื่อน หลังจากที่ทักทายศรารัตน์เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวแยกไปหาวิศรุตที่ยังอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวซึ่งศรารัตน์ก็ไม่ได้ว่าอะไร หญิงสาวจุดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแต่ทว่าแววตากลับมีร่องรอยความขึงเครียดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนต้องทำในค่ำคืนนี้

   “คิดอะไรอยู่เหรอ?” เสียงทักของผู้มาใหม่ทำให้วิศรุตสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวกำลังยืนใจลอยอยู่ เจ้าของห้องหมุนตัวกลับมาก่อนจะพบว่าคนที่เรียกเขาก็คือภาณุนั่นเอง

   “มาแล้วเหรอ? มาเร็วกว่าเวลานี่นา”

   “เจ้าของงานอุตส่าห์เชิญทั้งที จะมาสายก็คงจะไม่เหมาะ” ภาณุตอบก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โซฟาในห้องทำงาน “เมื่อกี้ฉันเห็นนายเหม่อ กำลังคิดเรื่องนภัทรกับยัยศราอยู่ล่ะสิ” วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนยอมรับว่าใช่

   “ที่ฉันทำอยู่นี้มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมไอ้โอม?”

   “บางทีสิ่งที่ถูกต้องกลับต้องแลกมาพร้อมกับความเจ็บปวดเสมอ” คำตอบของภาณุทำให้วิศรุตเม้มปากแน่น ใช่...เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

   ไม่นานหลังจากนั้น แม่บ้านก็มาเคาะประตูห้องแล้วบอกว่าคุณศรารัตน์เชิญให้พวกเขาทั้งคู่ลงไปงานเลี้ยงด้านล่าง เพราะว่าตอนนี้แขกที่เหลือซึ่งก็คือนภัทรและพงศธรต่างก็มาพร้อมหมดแล้ว ภาณุจึงดึงแขนให้วิศรุตลงไปยังสนามด้านล่างพร้อมกันกับตนโดยไม่ลืมบอก

   “ทำหน้าตาให้สดชื่นหน่อยสิ ฉันอยากเห็นเพลย์บอยหนุ่มวิศรุต ทัดเทวาคนเดิม” วิศรุตยิ้มกับคำพูดนั้นโดยไม่ตอบอะไรอีก




   เมื่อลงมาถึงสนามด้านล่างก็พบว่านภัทร พงศธรและศรารัตน์นั่งรออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคย ผู้มาใหม่ทั้งสองจึงนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่ก่อน จากตำแหน่งที่นั่งอยู่ทำให้วิศรุตอดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้ก็เพราะว่าชายหนุ่มกำลังนั่งประจันหน้ากับคุณหมอนภัทร อิสรีย์นั่นเอง

   เมื่อแขกมาครบโต๊ะ ศรารัตน์ในฐานะแม่งานก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็พอได้ยินกันทั้งโต๊ะอาหาร

“วันนี้ฉันต้องขอบคุณคุณหมอกานต์มากๆเลยนะคะที่ให้เกียรติมางานเลี้ยงเล็กๆนี้ พี่โอมกับคุณพงษ์ด้วยค่ะ” ศรารัตน์ไม่ลืมที่จะหันไปบอกกับภาณุและพงศธรด้วยก่อนที่จะหันหน้ามาพูดกับนภัทรต่อ “คุณหมอช่วยชีวิตฉันเอาไว้ถึงสองครั้ง ถ้าไม่ได้คุณหมอ ฉันก็คงจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แน่ๆ ฉันก็เลยอยากจะถือโอกาสนี้เลี้ยงอาหารตอบแทนน้ำใจคุณหมอกานต์ค่ะ”
นภัทรยิ้มรับก่อนจะออกตัวว่าเขาเองก็ช่วยสุดความสามารถตามหน้าที่ของคนเป็นหมอก็เท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นบุญคุญอะไร ศรารัตน์ยิ้มเล็กน้อยกับอาการถ่อมตนของคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนหญิงสาวจะให้สัญญาณกับบริกรเป็นเชิงว่าให้เริ่มเสริ์ฟอาหารได้

   งานเลี้ยงดำเนินเริ่มจากการเสริ์ฟอาหารหลัก เช่น พวกสเต็กกับไวน์ จนกระทั่งอาหารจานหลักถูกเสริ์ฟจนหมด จากนั้นจึงเป็นพวกของหวานต่างๆ ซึ่งบริกรจัดพวกของหวานและขนมทานเล่นต่างๆแยกเอาไว้ที่ซุ้มอาหารใกล้ๆกับโต๊ะทานข้าว ดังนั้นแขกจึงสามารถที่จะเดินเลือกอาหารและของหวานนานาชนิดได้ตามใจชอบของตน

   ระหว่างมื้ออาหาร นภัทรสังเกตเห็นว่าวิศรุตพูดน้อยกว่าปกติ อันที่จริงก็คือแทบจะไม่พูดเลยหากว่าไม่จำเป็น มีบ้างที่ภาณุจะเป็นฝ่ายชวนวิศรุตให้พูดคุยเรื่องต่างๆ หากว่าภาณุไม่ชวนเปิดบทสนทนา วิศรุตก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีบางครั้งคุณหมอหนุ่มเผลอสบตากับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ทว่าวิศรุตกลับเป็นฝ่ายเบนสายตาหลบไปเสียก่อน นภัทรจึงได้แต่มองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าด้วยความปวดยอกในอก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวิศรุตตั้งใจจะหลบตาเขา เขารู้ว่าฝ่ายนั้นรู้สึกเช่นไรซึ่งเขาเองก็รู้สึกไม่ต่าง ก็แค่เพียงรู้สึกแต่...ทำอะไรไม่ได้

   “ขอตัวสักครู่นะ” วิศรุตวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

   “ไปไหนวะไอ้วิน?” พงศธรก็หันหน้ามาส่งสายตาคำถามให้วิศรุตเช่นกัน คนที่ลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนหันไปพูดกับเพื่อนแต่ทว่าก็ได้รู้กันทั้งโต๊ะ

   “ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวกลับมา” ภาณุพยักหน้าให้ก่อนมองตามวิศรุตไป แววตาของภาณุฉายแววห่วงเพื่อนสนิทเป็นอย่างมาก เขาเห็นว่าวันนี้วิศรุตดื่มไวน์เข้าไปมากกว่าปกติ สาเหตุที่เพื่อนรักดื่มมากขนาดนั้นเขาเองก็รู้ดี วิศรุตคงอยากจะลืมเรื่องบางอย่าง บางทีคนเราก็ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่เพราะความอยากดื่ม แต่เพราะหวังผลข้างเคียงของมันต่างหาก ภาณุถอนหายใจแรงก่อนตัดสินใจเดินตามวิศรุตไปบ้าง ปล่อยให้อีกสามคนนั่งคุยกันที่โต๊ะต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าศรารัตน์แอบหลิ่วตาเป็นสัญญาณบางอย่างให้กับพงศธร




   วิศรุตเดินตัดสนามตรงไปยังตัวบ้านเพื่อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา เขาเพิ่งรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองดื่มแอลกอฮอล์ไป มากกว่าปกติซึ่งก็ทำเอาเขารู้สึกมึนๆตึงๆพอตัว ทั้งที่ปกติแล้วเวลาดื่มเหล้าเขาจะเป็นคนคอแข็งมาก แต่ทว่าวันนี้สิ่งที่ดื่มก็คือไวน์ชั้นดีซึ่งแน่นอนว่ามันซึมเข้าสู่กระแสเลือดของเขาได้ง่ายกว่าเหล้ามากนัก อีกทั้งปริมาณที่ดื่มเข้าไปมันก็ไม่ได้น้อยๆเลย

   หลังจากล้างหน้าเสร็จ วิศรุตก็ยังไม่ค่อยคลายความมึนตื้อในสมองเท่าใดนัก ชายหนุ่มใช้สองมือลูบหน้าพลางสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติ ขืนใครรู้เข้าว่าเพลย์บอยตัวพ่ออย่างเขามาหมดท่าเพียงเพราะไวน์ไม่กี่แก้วล่ะก็ รับรองว่ารู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น วิศรุตเหยียดยิ้มกับตัวเอง เพราะเรื่องของนภัทรแท้ๆเลย

   “ไหวรึเปล่าวะไอ้วิน?” ภาณุที่เดินตามเข้ามาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำท่าจะไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มเข้าไปช่วยประคองให้วิศรุตนั่งพักยังโซฟารับแขก “ฉันว่าแกไปพักก่อนเหอะ เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ตอนอยู่ที่โต๊ะแล้ว”

   “ฉันยังไหว ไม่เป็นไรหรอกหน่า” น้ำเสียงคนพูดเริ่มอู้อี้ในขณะที่ศีรษะเริ่มหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

   “ไปเถอะ ฉันไปส่งแกเอง เดี๋ยวจะไปบอกพวกที่เหลือให้ว่านายเพลียขอตัวไปพักก่อน” ภาณุไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มตรงเข้าไปประคองเพื่อนรักแล้วค่อยๆพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยจุดหมายก็คือห้องนอนของวิศรุตเอง

   วิศรุตถูกเอามาทิ้งให้นอนแผ่หลาอยู่ที่เตียงกลางห้องกว้าง ภาณุส่ายหัวเบาๆอย่างอ่อนใจ บางทีการปล่อยให้เมาหลับไปแบบไม่รู้เรื่องเช่นนี้ก็อาจจะยังดีกว่าการให้ฝ่ายนั้นต้องมาทนเห็นภาพบาดตาบาดใจระหว่างนภัทรกับศรารัตน์ แม้ว่าเขาจะดูออกก็ตามว่านภัทรไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับศรารัตน์ด้วยเลย คุณหมอหนุ่มออกจะอึดอัดกับการกระทำที่แสดงการเอาอกเอาใจของศรารัตน์ตลอดเวลามื้ออาหารค่ำด้วยซ้ำ

   “ฉันเชื่อว่าซักวันแกจะต้องเข้มแข็งขึ้นไอ้วิน” ภาณุทิ้งท้ายก่อนที่จะออกไป ปล่อยให้วิศรุตนอนอยู่ให้ห้องเพียงลำพัง





   “หมอกานต์คะ ฉันว่าเราไปตักขนมหวานกันทางนั้นดีกว่าค่ะ” ศรารัตน์ชวนด้วยรอยยิ้มหวานพร้อมกับแตะแขนเป็นเชิงว่าให้ช่วยเดินไปตักขนมกับเธอหน่อยซึ่งนภัทรเองก็ยอมลุกตามไปแต่โดยดี

   พงศธรมองคนทั้งคู่ที่เดินห่างออกไปด้วยแววตาที่หนักใจพร้อมระบายลมหายใจยาวเหยียด เขานึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับศรารัตน์เมื่อหลายวันก่อน ศรารัตน์มาขอให้เขาช่วย‘ทำ’อะไรบางอย่างให้กับเธอ
   

“เรียกผมมาหาแบบนี้ คุณศรามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” แม้ว่าจะดีใจที่ศรารัตน์เอ่ยชวนตนให้มาหาถึงบ้านทัดเทวา แต่พงศธรก็นึกรู้ว่าการที่หญิงสาวโทรศัพท์ตามตัวเขาแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของนภัทรอย่างแน่นอน

   “ฉันมีเรื่องอยากขอร้องให้คุณพงษ์ช่วยน่ะค่ะ” ศรารัตน์หยุดเว้นวรรคไปนานก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ฉันอยากให้คุณร่วมมือกับฉันบางอย่าง”

   “เรื่องวินกับไอ้กานต์ใช่ไหมครับ?” เสียงคนพูดเจือแววขมขื่นจนปิดไม่มิด พงศธรสบตาสีน้ำตาลที่เริ่มเป็นประกายโชน แสงของหญิงสาวตรงหน้าก่อนเอ่ยด้วยเสียงน้อยใจแกมเยาะหยันตัวเอง “คุณศราจะให้ผมทำอะไรล่ะครับ จะให้วางแผนพรากทั้งสองคนออกจากกันเหรอไง? หรือว่าจะให้ช่วยพูดเชียร์คุณศรากับไอ้กานต์บ่อยๆ”

   “เรื่องวางแผนคงไม่ต้องรบกวนให้คุณพงษ์ช่วยหรอกค่ะเพราะว่าเรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ศรารัตน์พูดต่ออย่างไม่ยี่หระ ดวงตาสีน้ำตาลแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบไร้ความรู้สึก “ที่อยากให้ช่วยก็คือ แค่แอบเอาไอ้นี่ผสมในเครื่องดื่มให้หมอกานต์กินก็พอ” มือบางยื่นขวดเล็กๆที่บรรจุของเหลวใสเอาไว้ให้กับพงศธร ชายหนุ่มรับไปพลางถามด้วยความสงสัย แม้ว่าลึกๆในใจเขาพอจะหาคำตอบให้ตนเองได้แล้วก็ตามว่าของเหลวตรงหน้าคืออะไร

   “แมลงวันสเปน” คำตอบของศรารัตน์ทำเอาพงศธรอึ้งไป ก่อนหลุดเสียงครางออกมาแผ่วเบา

   “ทำไม...คุณวางแผนอะไรกันแน่”

   “แผนที่จะทำให้วิศรุตเจ็บปวดแทบตายทั้งเป็น” คำพูดสั้นๆแต่ทำเอาพงศธรไหวเยือกไปตลอดทั้งร่าง แค่เพราะเรื่องของนภัทรทำให้ศรารัตน์ถึงกับตั้งใจจะทำลายวิศรุตให้ย่อยยับไปกับมือจริงๆน่ะเหรอ? ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยแววตานิ่งพร้อมเค้นเสียงหนัก

   “เรื่องนี้ผมคงช่วยคุณศราไม่ได้” จะให้เขาทำแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อนภัทรเองก็เป็นเพื่อนที่รักที่สุดของเขา ส่วนวิศรุตนอกจากจะเป็นเจ้านายของเขาแล้ว ฝ่ายนั้นยังเคยมีบุญคุญช่วยเหลือเขาอีกด้วยในตอนที่เขาถูกพวกนักเลงเงินกู้ตามมาทวงหนี้ “คุณไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย แค่เพราะไอ้กานต์ไม่ได้...” คำว่า’รักคุณ’ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงว่าเรื่องนี้กระทบกับจิตใจของศรารัตน์มากเพียงใด

   “คุณไม่เข้าใจฉันหรอก ไม่เข้าใจหรอกว่าฉันรู้สึกยังไง” ศรารัตน์เอ่ยเสียงต่ำ “ตกลงว่าคุณจะช่วยฉันหรือเปล่าคะ?” เมื่อพงศธรส่ายหน้าแทนคำตอบ หญิงสาวก็พูดโพล่งขึ้นมาทันที “แล้วถ้าฉันมีข้อเสนอล่ะ?”

   “ข้อเสนออะไรผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น ผมไม่มีวันทำร้ายสองคนนั้นเด็ดขาด”

   “แล้วถ้าฉันบอกว่า...ฉันให้คุณได้ทุกอย่างขอเพียงแต่คุณยอมช่วยฉันเท่านั้น” ถ้าพงศธรยอมช่วยล่ะก็ แผนการครั้งนี้ของเธอจะต้องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน นภัทรกับวิศรุตจะต้องไม่มีวันทันคิดอย่างเด็ดขาดว่าพงศธรจะยอมร่วมมือกับเธอ “คิดให้ดีๆก่อนตอบนะคะ ฉันรอฟังอยู่” น้ำเสียงของศรารัตน์เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหลือล้น ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่า พงศธรคิดยังไงกับเธอ ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วผู้ชายตรงหน้าก็ต้องยอมใจอ่อนช่วยเธออยู่ดีนั่นแหล่ะ ศรารัตน์คิดอย่างหมายมาด

   “ก็ได้ ผมจะยอมช่วยคุณ” หลังจากเงียบไปนาน พงศธรก็ตัดสินใจได้ ชายหนุ่มมองจ้องลึกลงไปในดวงตาโชนแสงคู่นั้น “แต่มีข้อแม้ว่าครั้งนี้จะต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณคิดจะทำร้ายสองคนนั้น” เมื่อจบคำพูดของพงศธร ดวงตาของศรารัตน์ก็มีแววเยียบเย็นอีกครั้ง




   บริกรที่เดินเข้ามาถามว่าตนจะรับอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ก็ทำให้พงศธรสลัดหลุดออกจากภวังค์ความคิด ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้ก่อนตอบว่าไม่รับอะไรเพิ่มแล้ว บริกรคนนั้นจึงเดินเลี่ยงออกไป พงศธรลอบระบายลมหายใจก่อนสายตาจะจับจ้องไปที่ศรารัตน์กับนภัทรที่กำลังเลือกขนมกันอยู่ ชายหนุ่มค่อยๆล้วงขวดแก้วขนาดเล็กที่ศรารัตน์เคยให้ตนออกมาแล้วมองอย่างชั่งใจเล็กน้อย สติความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นปราดไปทั้งร่าง หากแต่สุดท้ายแล้วพงศธรก็เลือกที่จะเปิดจุกขวดแล้วหยดของเหลวที่เรียกว่า’แมลงวันสเปน’ลงไปในแก้วไวน์ของนภัทรสองสามหยด จากนั้นก็เขย่าแก้วเบาๆให้ของเหลวสีใสผสมเป็นเนื้อเดียวกับไวน์นั้น

   ไม่นานนักศรารัตน์กับนภัทรก็เดินกลับมาที่โต๊ะ พงศธรส่งสายตาให้ศรารัตน์เป็นเชิงว่างานของตนสำเร็จแล้ว หญิงสาวลอบยิ้มอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ตนวางแผนไว้ ทุกอย่างเหลือแค่รอเวลาเท่านั้น

   “อ้าว ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะคะพี่โอม แล้ววินล่ะ?” ศรารัตน์แสร้งเอ่ยถามภาณุที่เพิ่งกลับมาถึงโต๊ะหลังจากที่อีกฝ่ายเดินตามวิศรุตไป หญิงสาวถามทั้งที่ความจริงเธอก็รู้ดีว่าวิศรุตเป็นอย่างไร ก็เธอเองนั่นแหล่ะที่แอบผสมยานอนหลับเล็กน้อยลงไปในแก้วไวน์ของวิศรุต ประกอบกับผู้เป็นพี่ชายที่วันนี้ดื่มหนักเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นมีเหรอที่เพลย์บอยอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะเมาหลับไปอย่างง่ายดายขนาดนี้

   “ไอ้วินมันรู้สึกเพลียๆน่ะ ก็เลยขอตัวขึ้นห้องไปก่อน” คำพูดของภาณุทำให้นภัทรตีความได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากทนอยู่เห็นหน้าเขาก็เลยแกล้งหลบขึ้นไปบนบ้านก่อน ทำไมเรื่องของเขากับวิศรุตถึงต้องมาอยู่ในสภาพนี้ด้วย ทำไม... นภัทรเฝ้าแต่ถามตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ “นี่ก็ดึกมากแล้ว งั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะศรา ฉันไปก่อนนะเว้ย ไว้เจอกัน” ประโยคสุดท้ายภาณุหันไปเอ่ยกับนภัทรและพงศธร ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะอยู่ต่ออีกแล้ว

   หลังจากส่งภาณุขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ศรารัตน์ก็หันมาทำท่าจะชวนนภัทรกับพงศธรคุยต่อแต่คุณหมอหนุ่มกลับตัดบท

   “ผมว่าผมเองก็คงต้องขอตัวบ้างแล้วล่ะครับ ขอบคุณคุณศรามากสำหรับมื้อเย็นที่พิเศษแบบนี้” นภัทรยิ้มให้กับศรารัตน์อย่างขอบคุณที่เธออุตส่าห์จัดงานเลี้ยงนี้เพื่อเขา ก่อนจะหันไปพูดกับพงศธรบ้าง “แกจะกลับพร้อมกันไหมไอ้พงษ์?”

   “เอาดิ ฉันกลับพร้อมแกเลยแล้วกัน” พงศธรพูดโดยไม่สบตากับเพื่อนรัก ลึกๆในใจเขารู้ดีว่าคืนนี้นภัทรอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกหากว่านภัทรดื่มไวน์แก้วนั้น

   “ถ้าอย่างนั้น...แก้วสุดท้ายแล้วดื่มให้หมดนะคะ” ศรารัตน์ยิ้มก่อนยกแก้วไวน์ขึ้น ซึ่งนภัทรเองก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ    ของคนตรงหน้าได้ จึงได้แต่ยกแก้วไวน์ขึ้นบ้าง “ดื่มให้กับหมอกานต์ค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มพราวก่อนจะค่อยๆละเลียดจิบไวน์ของตนเองพลางมองดูคุณหมอหนุ่มกระดกแก้วไวน์จนหมดในที่สุด ท่าทางตอนนี้คงจะเริ่มกรึ่มๆแล้วล่ะ หญิงสาวคิดในใจพลางตวัดสายตาไปที่พงศธรเป็นเชิงว่าให้เริ่มจัดการตามแผนขั้นต่อไปได้เลย




   หลังจากปลีกตัวออกมาได้ นภัทรก็เดินไปที่รถพร้อมกับพงศธร คุณหมอหนุ่มเริ่มเดินไม่ตรงด้วยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เดิมเข้าไปไม่น้อยเลยในคืนนี้ พงศธรเหลือบมองอาการของเพื่อนสนิทก่อนเอ่ย

   “แกขับรถไหวหรือเปล่าวะไอ้กานต์? ถ้าไม่ไหวฉันว่าแกขอคุณศราค้างที่นี่จะดีกว่านะ ขับรถตอนเมามันอันตรายนะเว้ย” นภัทรสั่นศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่ทว่าร่างกายกลับตรงกันข้าม “เฮ้ย รถอยู่ทางนี้” พงศธรลากนภัทรที่เดินออกนอกทางเดินให้กลับมาก่อนจะดันหลังฝ่ายนั้นให้ไปยังรถ แต่ว่าในที่สุดคุณหมอหนุ่มก็ต้านความมึนและความง่วงงุนไม่ไหว ร่างหนาหนักจึงไถลลงไปกองอยู่ที่พื้นก่อนสติที่เหลือเพียงน้อยนิดจะวูบไปพร้อมเปลือกตาที่ปิดสนิท

   พงศธรมองร่างที่นอนทอดอยู่ด้วยแววตาที่ไม่แปลกใจนัก ยาปลุกเซ็กซ์คงออกฤทธิ์ในอีกไม่นานนี้ ชายหนุ่มที่ยังมีสติครบถ้วนอยู่ก้มลงประคองร่างของเพื่อนรักแล้วเอามือฝ่ายนั้นมาพาดไว้บนบ่า จุดมุ่งหมายของพงศธรก็คือห้องนอนของวิศรุต ทัดเทวา




   พงศธรวางร่างที่ยังไม่ได้สติของนภัทรนอนลงทอดตัวเคียงคู่กับวิศรุตที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องเช่นกันก่อนถอยออกมาดูผลงานของตัวเอง

   “ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน”

   “ผมไม่ได้ช่วยฟรีๆเสียหน่อย อย่าลืมสิ” ศรารัตน์ยิ้มเย็นแล้วบอกว่าเธอไม่มีทางลืมแน่

   “เสร็จเรื่องแล้ว คุณพงษ์กลับไปก่อนเถอะค่ะ” คำพูดกึ่งไล่ของศรารัตน์ทำให้พงศธรเม้มปากแน่นแต่ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี ก่อนที่จะพ้นประตูห้องนอน ชายหนุ่มก็ไม่วายหันมาถามคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ภายในห้อง

   “ตกลงคุณจะไม่ยอมบอกผมจริงๆน่ะเหรอว่าคุณกำลังคิดทำอะไรกับสองคนนี้กันแน่” ศรารัตน์สบสายตาคู่นั้นด้วยแววตาว่างเปล่าแต่ไม่ยอมบอกอะไรจนพงศธรต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเองโดยได้แต่หวังว่าสักวันเธอคงจะบอกเขาในที่สุด

   ศรารัตน์มองประตูห้องที่ถูกปิดลงหลังจากที่พงศธรเดินออกไป หญิงสาวระบายลมหายใจยาว เธอไม่ได้อยากปิดบังพงศธรเลย แต่เรื่องนี้คนยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น พงศธรแค่มีหน้าที่ทำตามที่เธอบอกก็พอ

   “ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้” แม้ปากจะพูดขอโทษแต่ดวงตาของศรารัตน์ไม่ได้มีแววสำนึกอะไรเลย หญิงสาวมองนภัทรที่เริ่มบิดตัวไปมาเพราะความร้อนรุ่มภายในร่างกายจากฤทธิ์ของแมลงวันสเปน สีหน้าของคุณหมอหนุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อย่างห้ามไม่อยู่ ศรารัตน์มองภาพเบื้องหน้าแววตาเรียบนิ่งแต่มุมปากกลับหยักยิ้มเล็กน้อยขณะล้วงเอากล้องวีดีโอออกมา

   จากนั้นกล้องวีดีโอที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบHDได้ก็ถูกศรารัตน์กดตั้งอัดแล้วเอาไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าใกล้ๆกับเตียงนอนหลังใหญ่ จากมุมนี้ทำให้กล้องสามารถบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเตียงได้อย่างชัดเจนรวมถึงสิ่งที่จะเกิดในอีกไม่นานนี้

   ศรารัตน์กอดอกมองผลงานทั้งหมดของตนด้วยแววตาพอใจแล้วจึงค่อยเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่สนใจปฎิกริยาของสองร่างบนเตียงที่เริ่มจะมีการเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น ยาปลุกเซ็กส์ภายในร่างของหมอกานต์คงเริ่มจะออกฤทธิ์แล้ว

   นภัทรรู้สึกตัวร้อนรุ่มอย่างประหลาดทั้งที่ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้เป็นไข้ คุณหมอหนุ่มกวาดแขนสะเปะสะปะไปรอบตัวก่อนสะดุดเมื่อพบว่ายังมีอีกร่างที่นอนทอดกายอยู่ข้างตน ดวงตาสีถ่านปรือขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มเอี้ยวหน้าไปมองคนข้างกายก็ได้คำตอบทันที ที่นี่น่าจะเป็นห้องนอนของวิศรุต แต่คำถามเกิดขึ้นมาท่ามกลางสติที่เริ่มลางเลือน แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

   นภัทรพยายามฝืนยันตัวขึ้นมาจากที่นอนหนาหนุ่มแต่ทว่ากลับทำได้ยากนัก เหมือนกับว่าตลอดทั้งร่างของเขากำลังสั่นระริกผิดปกติ คุณหมอหนุ่มสะบัดศีรษะเพื่อหวังจะไล่ความมึนงงให้หมดไป แต่เจ้าตัวก็เริ่มรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในร่างกาย ส่วนอ่อนไหวกึ่งกลางลำตัวของเขากำลังร้อนผ่าวและเริ่มแข็งขึง นภัทรหอบหายใจแรงแล้วกัดฟันแน่น สิ่งที่เขาควรทำอันดับแรกก็คือปลุกวิศรุตที่ยังนอนไม่ได้สติเสียก่อน

   “วิน ตื่นสิ วิน” เมื่อถูกปลุกอยู่สองสามครั้ง วิศรุตจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ ชายหนุ่มพลิกตัวเป็นนอนหงาย ดวงตาสีน้ำตาลโศกเผยอขึ้นจากอาการหลับสนิทเมื่อครู่ เมื่อนภัทรเห็นว่าคนตรงหน้ารู้สึกตัวแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแตกพร่าเพราะเจ้าตัวพยายามสะกดกลั้นอารมณ์รุนแรงภายในเอาไว้ “เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

   วิศรุตสั่นศีรษะเป็นเชิงว่าตัวเองก็ไม่รู้เช่นกัน ชายหนุ่มพยายามใช้แขนดันตัวเองขึ้นนั่งแต่ทว่าก็ไม่สำเร็จเพราะฤทธิ์จากยานอนหลับที่ถูกผสมลงในไวน์ให้เขาดื่ม ดังนั้นร่างกายเขาจึงเสมือนคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ วิศรุตส่งสายตาให้อีกฝ่ายช่วยดึงมือตนให้ลุกขึ้นซึ่งนภัทรก็ยื่นมืออกมาจับไว้ คุณหมอหนุ่มออกแรงดึงแต่ว่าตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียหลักล้มลงมาที่เตียงนอนหลังกว้างในสภาพที่กำลังคร่อมทับอยู่เหนือร่างของวิศรุตอย่างพอดิบพอดี

   “นาย...” ร่างข้างใต้อุทานเสียงแหบเมื่อเห็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาในเพศรสของนภัทร ดวงตาสีถ่านบัดนี้กำลังถูกหลอมละลายไปด้วยเพลิงแห่งดำกฤษณาจากฤทธิ์ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ

   ร่างกายของฝ่ายตรงข้ามที่ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวทำให้วิศรุตเริ่มมึนงงอีกครั้ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแก่นกายแข็งขึงร้อนผ่าวที่บดเบียดเสียดสีอยู่แถวหน้าท้องของตน ก่อนที่วิศรุตจะค่อยๆเอื้อมมือไปเกาะกุมส่วนกลางลำตัวของนภัทรอย่างรู้ดีว่าตอนนี้นภัทรต้องการการตอบสนองอย่างไร

   นภัทรตาปรือก่อนครางออกมาในลำคออย่างพึงพอใจกับสัมผัสนั้น คุณหมอหนุ่มก้มลงขบเม้มริมฝีปากสวยได้รูปของวิศรุตอย่างรุนแรงก่อนที่มือหนาจะเริ่มทำงานของตนในทันที เพียงไม่นานนักทั้งคู่ต่างก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ยอมแพ้สิ้นต่อดำกฤษณาที่เข้าครอบงำอารมณ์ เหลือไว้แต่เพียงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและรุนแรงเท่านั้น...

   เมื่อศรารัตน์เข้ามาในห้องนอนอีกครั้งก็พบว่ากิจกรรมทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วรวมถึงแผนการของเธอด้วย คนที่เดินตามหลังศรารัตน์มาถึงกับจุดยิ้มริมฝีปากด้วยความสะใจกับภาพที่เห็น เบื้องหน้าเขาคือวิศรุต ทัดเทวาที่กำลังนอนทอดกายเกี่ยวกระหวัดกับผู้ชายอีกคนราวกลับต้องการจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายนั้น ถ้าหากว่าคนอื่นได้เห็นแบบที่เขาเห็นนี่ล่ะก็ รับรองว่าวิศรุตได้สิ้นชื่อแน่

   ระหว่างที่ภาคินกำลังนึกสมเพชกับเรื่องราวตรงหน้า ศรารัตน์กลับเดินตรงเข้าไปหยิบกล้องวีดีโอที่ซ่อนเอาไว้ออกมา หญิงสาวเปิดเช็คเทปที่ตั้งอัดไว้เพื่อดูความเรียบร้อยของงาน ถัดจากนั้นจึงเอาแผ่นซีดีออกมาจากตัวกล้องแล้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อย

   “ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำได้ถึงขนาดนี้ เป็นผู้หญิงที่ใจเด็ดจริงๆ” ศรารัตน์หันไปทางภาคินแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

   “กับคนที่ทำร้ายฉัน ฉันทำได้มากกว่านี้อีก” ภาคินไม่ได้เหลียวมองศรารัตน์แต่กลับหยุดสายตามองจ้องไปยังสองร่างบนเตียงด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมสะใจ ถ้าวิศรุตรู้ว่าเรื่องนี้น้องสาวตัวเองเป็นคนจัดฉากขึ้นมาละก็ ไอ้วินคงแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว

   “เตรียมตัวไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน ต้นเดือนหน้าทุกอย่างจะจบ” ภาคินแสยะยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปรับกล่องซีดีที่ศรารัตน์ยื่นให้ ในใจก็คิด ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะทำให้ผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่งยอมตกเป็นทาสความริษยาได้ถึงเพียงนี้ ผู้หญิงที่เขาเคยคิดมาตลอดว่าเธอฉลาด แต่ทว่าความฉลาดต่างก็มีจุดบอดทั้งสิ้น และจุดบอดเพียงหนึ่งเดียวของศรารัตน์ก็คือนายแพทย์นภัทร    อิสรีย์ ผู้ชายคนเดียวกับคนที่พี่ชายของเธอหลงรักนั่นแหล่ะ

   ศรารัตน์มองตามภาคินที่เดินออกจากห้องไปพร้อมกล่องซีดีในมือด้วยความรู้สึกหลากใจในการกระทำของตน ริมฝีปากของหญิงสาวแห้งผากเฉกเช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น เธอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากว่าภาคินได้คลิปนั้นไป รับรองได้ว่า ผู้ชายคนนั้นจะต้องไม่ปล่อยวิศรุตไว้แน่ นี่เธอทำถูกแล้วน่ะหรือ?

   หลังจากยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ในห้องนานสองนาน ศรารัตน์ก็ปลุกสติตัวเองให้หลุดจากภวังค์ความคิดอันสับสน มาถึงขนาดนี้เธอจะถอยไม่ได้อีกแล้ว หญิงสาวบอกตัวเองเช่นนั้นก่อนจะกดลบข้อมูลในกล้องวีดีโอที่อัดไว้ทั้งหมด เพียงเท่านี้หลักฐานก็ถูกทำลาย
จนหมดแล้ว

   “ต้นเดือนหน้าทุกอย่างก็จะ...จบ” ศรารัตน์เอ่ยแผ่วเบาแต่ประกายตาแรงกล้า


จบบทที่ 31

ปล1. ขอโทษที่เมื่อวานปล่อยให้หลายๆท่านต้องรอเก้อ เมื่อวานเรากลับถึงบ้านก็ดึกแล้วค่ะ เหนื่อยด้วย เลยไม่ได้อัพนิยายให้ ขอโทษที่ให้ต้องรอค่ะ แหะๆๆ

ปล2. ศรา....บางทีคนเราก็มีเหตุผลในการกระทำต่างกันไปนะ เหอๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่32
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 06-08-2012 12:58:06
บทที่ 32


   วิศรุตตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว ชายหนุ่มหันไปมองคนข้างกายที่ยังนอนนิ่งอยู่ แม้ว่าจะมีสติไม่แจ่มใสเต็มที่แต่เขาก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน วิศรุตถอนหายใจกับสภาพเปลือยเปล่าของตนและอีกฝ่าย ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกจากเตียงไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมไว้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

   หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อย เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำก็พบว่านภัทรตื่นแล้ว คุณหมอหนุ่มตอนนี้กำลังนั่งเอน หลังพิงหัวเตียง ดวงตาสีถ่านมีแววไหวระริก

   “เมื่อคืนนี้...”

   “เรามีอะไรกัน”

   “ได้ยังไง?” คำถามสั้นๆของนภัทรแต่ก็ทำเอาเจ้าของห้องตอบไม่ถูกเช่นกัน ด้วยเพราะตัวเองก็ยังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัด

   “เมื่อคืนนายคงเมามาก ขับรถกลับบ้านไม่ไหว ก็เลยคงจะต้องนอนค้างที่นี่ แต่ฉันไม่รู้ว่านายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เพราะเมื่อคืนฉันก็...เอ้อ เมามากเหมือนกัน” วิศรุตหยิบเสื้อคลุมในตู้เสื้อผ้าอีกตัวแล้วโยนให้นภัทร “นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยว ค่อยลงไปกินข้าวเช้าด้วยกัน” นภัทรรับเสื้อคลุมไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปตามที่อีกฝ่ายบอก

   วิศรุตค่อนข้างแน่ใจว่านภัทรเองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน แต่คุณหมอหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมาเช่นกัน วิศรุตระบายลมหายใจหนักหน่วงพลางคิดว่าคนที่จะตอบคำถามของเขาได้คงมีแต่ศรารัตน์เท่านั้น




   เมื่อวิศรุตกับนภัทรลงมาทานอาหารเช้ากลับไม่พบว่าศรารัตน์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วย วิศรุตถามแม่บ้านก็ได้ความว่าอีกฝ่ายทานเสร็จเรียบร้อยแล้วและสั่งไว้ว่าเธอจะนั่งทำงานอยู่บนห้อง ถ้าไม่จำเป็นก็ห้ามใครรบกวน

   วิศรุตเม้มปากนิ่งโดยไม่พูดอะไร หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นเจ้าบ้านก็เดินมาส่งแขกที่รถ

   “นายกำลังคิดอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า?” วิศรุตเอ่ยถามอีกฝ่ายตรงๆ มือหนาจับกรอบประตูรถของนภัทรเอาไว้

   “เรื่องเมื่อคืนน่ะเหรอ?” วิศรุตพยักหน้า “คิดสิ แต่ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คงต้องรบกวนฝากนายไปหาคำตอบให้ที” นภัทรทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะก้าวเข้าสู่ตัวรถแล้วสตาร์ทขับออกไป ทิ้งให้วิศรุตยืนครุ่นคิดกับตัวเองคนเดียวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น




   เมื่อวิศรุตเข้ามาในห้องทำงานก็พบว่าผู้เป็นน้องสาวกำลังนั่งอ่านเอกสารรายงานผลประกอบการของบริษัททัดเทวาอยู่ ดวงหน้าของอีกฝ่ายฉายแววเคร่งเครียดกับตัวเลขบนเอกสารในมือแต่ก็คงไม่เคร่งเครียดเท่าใบหน้าของวิศรุตในตอนนี้

   “เธอทำแบบนั้นทำไมศรา?”

   “ทำอะไรล่ะ?” คนพูดวางมือละจากเอกสารกองโตแล้วหันมองผู้มาใหม่ด้วยสายตานิ่งสงบไม่สะทกสะท้านต่อคำกล่าวของอีกฝ่าย

“หรือว่าเรื่องเมื่อคืนนี้?”

   “ฉันต้องการคำอธิบาย”

   “ก็แค่เมื่อคืนหมอกานต์เมามาก ฉันก็เลยให้คุณพงษ์พาขึ้นไปพักบนห้อง...ของนาย ก็เท่านั้นแหล่ะ” ศรารัตน์ทอดเสียงอ้อยอิ่งตั้งใจยั่วให้วิศรุตโกรธแค่ทว่าวิศรุตยังคงนิ่งอยู่ได้

   “อย่ามาไขสือเลย เธอก็รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เธอจงใจ!!!” วิศรุตเค้นเสียงหนักประโยคสุดท้าย แต่ศรารัตน์ถามกลับ

   “มากกว่านั้นนี่คืออะไรล่ะ มีอะไรมากเกินไปกว่าการที่หมอกานต์นอนค้างคืนในห้องนายอีกเหรอ?” คำพูดสองแง่สองง่ามเริ่มทำให้วิศรุตหน้าแดงก่ำ ชายหนุ่มหรี่ตาลง

   “แล้วการที่เธอวางยานอนหลับฉัน แล้วก็ใช้ยาปลุกเซ็กส์กับนภัทร เธอหวังจะให้เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอศรารัตน์?” ศรารัตน์หันมาจ้องหน้าคนพูดแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นที่ทำเอาวิศรุตถึงกับเสียวสันหลังวาบ

   “แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ช่วยสนองความต้องการให้นายไม่ใช่เหรอไง?” หญิงสาวเว้นช่วง “นายควรจะขอบคุณฉันถึงจะถูกนะวิน เพราะเรื่องนี้เราได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย นายพอใจส่วนฉันเองก็พอใจ”

   “ประโยชน์บ้าบออะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ เธอต้องการอะไรกันแน่ศรา ทำไมถึง...”

   “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่แปลก แต่อีกไม่นานนายก็จะเข้าใจเองนั่นแหล่ะ เข้าใจแบบกระจ่างแจ้งชัดเจนเสียด้วย”





   “ดูท่าคงจะมีเรื่องพิเศษอะไรที่ทำให้แกอารมณ์ดีแต่เช้า” คำทักของผู้เป็นพ่อทำให้ภาคินที่กำลังเดินลงบันไดมายิ่งยิ้มกว้างกว่าเก่า ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงยังโซฟาข้างๆวันชัยแล้วพูด

   “ก็แค่ดีใจน่ะครับที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแบบที่เราวางเอาไว้”

   “แล้วเรื่องนั้นว่ายังไง เรียบร้อยดีไหม?” คนถูกถามรู้ดีว่าเรื่องนั้นคือเรื่องอะไร ภาคินยิ้มตอบบอกว่าถ้ายังไม่เรียบร้อยแล้วตนจะอารมณ์ดีอย่างนี้หรือ?

   “พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ หลักฐานที่จะแฉเรื่องไอ้วินเป็นเกย์น่ะอยู่ในมือผมแล้ว” ใช่แล้ว ทุกอย่างกำลังจะเรียบร้อยในอีกไม่ช้านี้ ถ้าหากว่าเขาแฉความลับของวิศรุตให้ทุกคนในบริษัทได้รู้ รับรองว่าไอ้วินไม่มีหน้าไปสู้กับใครได้แน่ ดีไม่ดีตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัททัดเทวาอาจจะต้องเปลี่ยนมือ ใครๆในวงการธุรกิจต่างก็รู้ทั้งนั้นว่าภาพลักษณ์ของผู้บริหารเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งผู้บริหารระดับสูงด้วยแล้ว ภาพลักษณ์นี้ย่อมส่งผลต่อบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   “อีกอย่างที่พ่อห่วงก็คือเรื่องของเมริษา ผู้หญิงคนนั้นกำลังทรยศเรา” วันชัยพูดเสียงกระด้าง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ไว้วางใจเมริษาเท่าใดนักแม้ว่าเธอจะมีส่วนร่วมในแผนการครั้งนี้ก็ตาม แต่ภาคินกลับเชื่อใจเธอและรับรองว่าเมริษาไม่กล้าหักหลังพวกเขาแน่ แต่ในที่สุดเธอก็ทำ วันชัยอยากจะรู้นักว่าคนเป็นลูกจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

   “สำหรับคนที่หักหลังเรา ผมไม่ปล่อยไว้แน่” จากคำพูดของภาคินทำให้วันชัยรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีวันยอมให้ใครมาขวางทางความสำเร็จอย่างเด็ดขาด คนอย่างภาคินจะต้องไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้แม้ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม คิดจะทำการใหญ่ มันต้องกล้าได้กล้าเสียแบบนี้แหล่ะถูกแล้ว วันชัยมองบุตรชายด้วยสายตาที่ฉายแววสบใจ




   ช่วงนี้วิศรุตใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการประชุมแผนการจัดงานครบรอบของบริษัทเพราะเหลืออีกเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นก็ใกล้จะถึงวันงานแล้ว โชคดีที่พงศธรทำงานที่เขามอบหมายให้ได้อย่างดีเยี่ยม ในที่สุดโครงการบ้านจัดสรรที่เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจกับมันก็สำเร็จจนได้ วิศรุตปลื้มใจลึกๆกับความสำเร็จนี้ หากว่าพ่อกับแม่ได้รู้ว่าลูกชายเพลย์บอยที่เคยไม่เอาไหนอย่างตน คนที่รู้จักแต่ใช้เงินราวกลับเบี้ยที่ไร้ค่า วันนี้กลับทำผลงานเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้ แถมยังเป็นผลงานที่จัดได้ว่า‘ดี’เกินความคาดหมายเลยทีเดียว พ่อกับแม่เขาคงภูมิใจน่าดู

   “สรุปว่าสคริปต์งานทั้งหมดก็คือในช่วงแรกจะเป็นการฉายสไลด์นำเสนอถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มบริษัททัดเทวา ต่อมาจะเป็นการแสดงผลงานของหลายๆโครงการที่ประสบความสำเร็จในรอบหลายปีมานี้ แล้วไฮไลท์จะอยู่ที่การเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทเรา จากนั้นเราจะปิดท้ายด้วยเบื้องหลังผลงานความสำเร็จต่างๆ” วิศรุตทวนตารางงานทั้งหมดที่ถูกสรุปเรียบร้อยแล้วอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มชะงักเมื่อมีข้อเสนอเกิดขึ้นกลางวงที่ประชุม คนที่พูดก็คือหัวหน้าวิศวกรผู้รับผิดชอบโครงการ พงศธรนั่นเอง

   “โครงการใหม่นี้ยังไม่ได้ถูกตั้งชื่อเสียที ผมคิดว่าเราควรจะตั้งชื่อให้มันก่อนที่จะโปรโมตโครงการนี้กับสื่อนะครับ” เสียงส่วนมากในที่ประชุมเห็นตรงกับพงศธร วิศรุตนิ่งไปนานเพราะยังคิดไม่ออกว่าจะตั้งชื่อโครงการนี้ว่าอย่างไรดีทั้งๆที่เขาเองก็เป็นผู้รับผิดชอบโครงการโดยตรงแท้ๆ

   “เอาเถอะครับ แล้วผมจะกลับไปคิดเรื่องจะตั้งชื่อโครงการว่าอะไรอีกทีนึง ตอนนี้เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอคุยเรื่องการประชาสัมพันธ์โปรโมตก่อน” วิศรุตเปลี่ยนไปประชุมเรื่องอื่นก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขืนให้มานั่งคิดชื่อตอนนี้ ต่อให้คิดทั้งบ่ายก็ยังคิดไม่ออกหรอก แถมจะพลอยเสียงานอื่นไปด้วย ชายหนุ่มสะดุดความคิดตัวเอง นี่เขาเริ่มทำงานเป็นระบบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งที่แต่ก่อนก็ทำแบบสุกเอาเผากินแท้ๆ

   การประชุมดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด กว่าเขาจะหารือและสั่งงานกับฝ่ายต่างๆเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็นพอดี ใกล้ได้เวลาเลิกงานแล้ว วันนี้เขานัดกับภาณุไว้ว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆทานกันเนื่องจากไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายมานานเพราะว่าช่วงนี้เขาติดเรื่องวุ่นๆหลายอย่างทั้งเรื่องงานและก็เรื่องส่วนตัว

   ชายหนุ่มส่งแฟ้มงานให้คุณอิงอรรับไปก่อนจะขยับเสื้อสูทราคาแพงของตนให้เข้าที่เตรียมจะลุกเดินออกจากห้องประชุม แต่ว่าศรารัตน์ที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะเรียกเอาไว้เสียก่อน

   “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อยวิน” วิศรุตชะงักเท้า ชายหนุ่มหันไปบอกผู้เป็นเลขาให้ออกไปก่อนได้เลย เขาจะคุยกับน้องสาวตามลำพัง เมื่อศรารัตน์เห็นว่าในห้องประชุมเหลือเพียงแค่เธอและวิศรุตเท่านั้น หญิงสาวจึงเริ่มเปิดประเด็น “นายคิดว่าไงถ้าฉัน...จะแต่งงานกับหมอกานต์?”

   “อะไรนะ” วิศรุตทวนคำเสียงดัง มือที่ถือเอกสารอยู่ดูเหมือนจะอ่อนลงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของศรารัตน์ “เธอว่าอะไรนะ?” ชายหนุ่มถามย้ำโดยหวังว่าที่ตนได้ยินเมื่อครู่คงจะหูฝาดไปเอง

   “ได้ยินไม่ผิดหรอก นายจะว่ายังไงถ้าฉันกับหมอกานต์ เราจะแต่งงานกัน?” วิศรุตอึ้งไปอีกรอบ ก่อนที่ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปจะเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกฝ่ายเกือบจะไม่ได้ยิน

   “แล้วกานต์ว่ายังไงบ้าง?”

   “ยังไม่ได้บอก แต่...จะให้นายไปบอก” ศรารัตน์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่จะกอดอกเเล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ บ่งบอกถึงอารมณ์ภายในใจ “ถ้าฉันบอกหมอกานต์แบบนี้ เขาจะต้องไม่ยอมแน่ แต่ถ้านายเป็นคนบอกมันก็ไม่แน่” วิศรุตแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ ทำไมคนๆนั้นต้องเป็นเขาด้วย

   “เธออยากแต่งงานกับกานต์ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “มันก็เป็นทางเดียวที่จะรั้งเขาไว้ได้ แล้วมันก็เป็นทางเดียวที่จะแยกนายออกจากหมอกานต์อย่างเด็ดขาด” ศรารัตน์รู้ว่านภัทรคิดกับเธอแค่เพียงน้องสาวเท่านั้น คุณหมอหนุ่มไม่เคยคิดเกินเลยกับเธอแม้เพียงนิดเดียว ที่เธอทำแบบนี้ก็เพื่ออยากลองใจวิศรุตเท่านั้น แค่เพียงอยากดูว่าวิศรุตกล้าที่จะเสียสละนภัทร ผู้ชายที่ตัวเองรักที่สุดให้กับคนที่เรียกว่าน้องสาวอย่างเธอหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง ถ้าหากว่ามีการแต่งงานระหว่างเธอกับนภัทรเกิดขึ้นจริง นั่นมันก็คือสิ่งที่เธอหวังเอาไว้อยู่แล้ว การแต่งงานจะช่วยให้วิศรุตรามือจากนภัทรได้เร็วขึ้น เธอค่อนข้างแน่ใจว่าวิศรุตจะไม่ยอมใช้ผู้ชายคนเดียวกับเธออย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะหากว่าผู้ชายคนนั้นกลายเป็นสามีของเธอตามกฎหมาย แต่หากหญิงสาวคาดผิดไป เธอเองก็จะได้รู้ว่าวิศรุตเป็นพวกพูดอะไรแล้วเชื่อถือไม่ได้ บอกว่าจะปล่อยมือจากนภัทร สุดท้ายแล้วก็แต่งเรื่องมาโกหกเธอทั้งเพ!

   “แล้วถ้ากานต์ไม่ยอมล่ะ?” วิศรุตพูดด้วยเสียงแหบแห้งเต็มที

   “ถ้านายพูด ฉันรับรองว่าต้องสำเร็จแน่ อยู่ที่ว่านายจะยอมเอ่ยปากหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” ศรารัตน์เปลี่ยนเป็นเสียงแข็งกระด้าง หญิงสาวหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ตอนนี้เธอไม่สนใจแล้วว่านภัทรจะรักเธอหรือไม่ ตอนนี้เธอรู้แต่เพียงว่าการได้นภัทรมาครอบครองจะทำให้เธอชนะคนตรงหน้าได้ แม้ว่าลึกๆในใจหญิงสาวก็อดจะขมขื่นไม่ได้เมื่อคิดว่าหัวใจของนภัทรเป็นของคนอื่นไปแล้ว สุดท้ายเธอก็แพ้อยู่ดีนั่นแหล่ะ

   “เธอ...จะแต่งงานเมื่อไหร่?”

   “ทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อย” ศรารัตน์หมายความอย่างที่พูดจริงๆ




   เสียงกดออดหน้าบ้านทำให้นภัทรละมือจากนิตยสารการแพทย์ที่ตนอ่านอยู่ ชายหนุ่มบอกมารดาที่เดินออกมาจากในครัวว่าเดี๋ยวเขาจะออกไปดูเองว่าใครมา ไม่น่าจะเป็นพ่อเพราะว่าพ่อติดราชการที่ต่างจังหวัด นภัทรคิดในใจ

   เมื่อเห็นคนที่มากดออดหน้าบ้านก็ทำเอานภัทรอึ้งไปเล็กน้อย วิศรุตสบตาอีกฝ่ายด้วยความอึดอัดกับจุดประสงค์การมาของตน ดูเหมือนว่านภัทรจะสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาลโศกคู่นั้น

   “เข้ามาก่อนสิ” เจ้าของบ้านเชิญ “แม่กำลังทำกับข้าวอยู่พอดี นายอยู่กินด้วยกันนะ” วิศรุตสั่นศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ชายหนุ่มบอกว่าเขาแค่จะมาพูดธุระแค่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นว่านภัทรนิ่งไป วิศรุตก็กลืนน้ำลายแล้วพยายามจะพูดแต่ว่าก็พูดไม่ออกเสียทีจนนภัทรต้องถามซ้ำ “ตกลงว่าเรื่องอะไรกันแน่วิน?” ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนตรงหน้าคงไม่ขับรถถ่อมาหาเขาที่บ้านแบบนี้หรอก

   “ฉันอยากให้นายช่วยบางอย่าง” เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสงสัย วิศรุตก็พูดต่อจนจบ “แต่งงานกับศรา แล้วดูและเธอตลอดไปได้ไหม?” คราวนี้คุณหมอหนุ่มนิ่งไปนานจนวิศรุตเองก็หวั่นใจ ชายหนุ่มเห็นประกายตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดในดวงตาสีถ่านนั้น เขารู้ว่านภัทรรู้สึกอย่างไรเพราะเขาเองก็ไม่ต่างจากอีกฝ่าย เจ็บปวดไม่ต่างกัน ทว่าคำตอบของ นภัทรคือ

   “ได้สิ” คำตอบง่ายๆสั้นๆนั้นเปรียบเหมือนมีดกรีดหัวใจของวิศรุตให้เกิดเป็นแผลได้อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ “ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันจะทำอย่างที่นายต้องการ” วิศรุตหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้านภัทร ชายหนุ่มกลัวว่า หากเขาเผลอมองสบตากับอีกฝ่ายเข้า กำแพงน้ำแข็งในใจที่ตัวเองสร้างเอาไว้จะต้องพังลงมาอย่างราบคาบแน่นอน

   “ฉันรู้ว่ามันอาจจะเป็นการฝืนใจนาย แต่ว่า...”

   “ถ้าคิดว่าการที่นายยอมเสียสละความรักของตัวเองเพื่อให้คุณศรามีความสุข ฉันก็อยากบอกให้นายรู้เหมือนกันว่า...ถ้าหากการเสียสละของฉันทำให้นายมีความสุข ฉันก็ยินดี” คำพูดของนภัทรเรียกให้น้ำใสๆรื้นขึ้นมาเต็มสองตาของวิศรุต ชาย หนุ่มขบริมฝีปากแน่นพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา แต่สุดท้ายน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาจนได้เมื่อได้ฟังคำพูดถัดมาของ คนตรงหน้า

“ถึงแม้ความเป็นจริงและกฏเกณฑ์ทางสังคมบางอย่างทำให้เราเดินไปด้วยกันไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าข้างในนี้” คนพูดเอามือข้างซ้ายที่สวมแหวนทองคำขาวสลักชื่อที่เขาเคยให้ฝ่ายนั้นเป็นของขวัญวันเกิดมาแตะที่เหนืออกข้างซ้ายของเขา “ใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจฉันเป็นของนาย”

   นภัทรเลื่อนปลายนิ้วมาเช็ดคราบน้ำตาให้วิศรุต เขาไม่อยากเห็นฝ่ายนั้นร้องไห้เลย ทุกครั้งที่เห็นน้ำตาของคนตรงหน้า   เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร้องไห้ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ควรทำก็คือการเงยหน้ายิ้มรับกับความเป็นจริงแม้ว่าข้างในจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

   “นายร้องไห้แล้วทำให้ฉันคิดถึงวิศรุต ทัดเทวาคนเดิมสมัยมัธยม” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนพูด “วิศรุต ทัดเทวาคนนั้นเป็นคนกระด้าง ร้ายกาจ เย่อหยิ่งเอามากๆ แถมยังชอบทำตัวแย่ๆอีก” เมื่อเห็นว่าเรียกความสนใจคนฟังได้ คุณหมอก็ใส่ต่อทันที

“นอกจากฐานะเหลือกินเหลือใช้และหน้าตาแล้ว เรียกว่าไม่มีดีอะไรเลย” ฟังไปเรื่อยๆวิศรุตก็เริ่มขมวดคิ้วย่น

   “นายหลอกด่าฉันหรือเปล่าเนี่ย?”

   “เพิ่งจะรู้ตัวหรอกเหรอ?” สิ้นคำพูดคุณหมอนภัทรก็หัวเราะร่วน ฝ่ายคนที่โดนหลอกด่าก็หน้าแดงก่ำจนถึงใบหู นภัทร ร้ายกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลยทีเดียว

   “มานี่เลยนะกานต์ มาให้ฉันอัดนายซะดีๆ” นภัทรไม่รอให้วิศรุตพูดจบ ชายหนุ่มรีบวิ่งหนีไปตั้งแต่ที่วิศรุตเริ่มพูดแล้ว ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องไล่ตามจัดการเขาอย่างแน่นอนที่ไปหลอกด่าอยู่ตั้งนานสองนาน คุณหมอหนุ่มวิ่งหนีพลางแหย่อีกฝ่ายไปด้วย บรรยากาศตึงเครียดและชวนหดหู่เมื่อครู่กลายเป็นการหยอกล้อสนุกสนานระหว่างชายหนุ่มสองคนเท่านั้น

   บางทีวิศรุตก็อยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้ เวลาที่มีแต่เขาสองคน แต่ในเมื่อเขาเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เขาจะทำได้ก็คือการเก็บบรรจุความทรงจำนี้ซ่อนเอาไว้ลึกสุดของหัวใจให้นานเท่านาน เก็บเกี่ยวช่วงเวลาของความสุขที่เขาและนภัทรได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดจนกว่าวันนั้นจะมาถึง...วันที่นภัทรจะต้องกลายเป็นของคนอื่น


จบบทที่32

ปล. หลายคนเม้นท์บอกว่าหลังๆนี่มาม่าและบีบหัวใจสุดๆ ไอ้เราก็สงสัยว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ? อิอิ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่33
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 06-08-2012 13:01:47
บทที่ 33


   ศรารัตน์กำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น เมื่อครู่นี้คุณหมอกานต์เพิ่งโทรมานัดเธอให้ออกไปพบหลังเลิกงาน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่านภัทรต้องการเจอเธอด้วยเรื่องอะไร ต้องเป็นเรื่องนั้นแน่ๆ เรื่องที่เธอมอบหมายให้วิศรุตไปจัดการ ศรารัตน์ถอนหายใจแรง มือก็ค่อยๆคลายสิ่งที่กำไว้ลง หญิงสาวเริ่มลังเลเพราะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจเธอต้องการอะไรกันแน่ อยากจะแต่งงานกับนายแพทย์นภัทร อิสรีย์จริงๆหรือเพียงแค่อยากเอาชนะวิศรุต ทัดเทวาผู้เป็นพี่ชายเท่านั้น หรือบางทีอาจจะทั้งสองอย่าง

   สถานที่นัดพบระหว่างนภัทรและศรารัตน์ก็คือสวนสาธารณะใกล้ๆกับโรงพยาบาลนั่นเอง เมื่อศรารัตน์ไปถึงก็พบว่าคนที่ออกปากนัดได้มาถึงก่อนแล้ว หญิงสาวเดินเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังยืนหันหลังให้ตนอยู่

   “หมอโทรนัดฉันออกมา มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง นภัทรจึงหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

   “คุณศราก็คงน่าจะทราบดีว่าเรื่องอะไร” ศรารัตน์นิ่งไปแต่แววตากลับทอแสงกล้า “ผมอยากจะมาพูดเรื่อง...ของเรา”

   “หมอไม่อยากแต่งงานกับฉันใช่ไหมคะ?” คนถามจี้ตรงจุดอย่างพอดิบพอดีและไม่อ้อมค้อม ศรารัตน์รู้ความจริงข้อนี้อยู่เต็มอกตลอดมา รู้มาตลอดว่าคนที่อยู่ในใจของผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่เธอและก็คงไม่มีวันจะเป็นด้วย แต่บางครั้งเธอก็ยังอยากมีความหวัง

   “ที่ผมนัดคุณศรามาก็เพียงเพราะอยากจะถาม” นภัทรไม่ตอบคำถามของศรารัตน์แต่กลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามเสียเอง “ถ้าเราแต่งงานกันแล้ว คุณจะมีความสุขจริงๆเหรอครับ?” คุณหมอหนุ่มมองจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เหมือนกับ ดวงตาของใครอีกคนราวกับต้องการจะอ่านความจริงภายใต้ดวงตาคู่นั้นให้ทะลุปรุโปร่ง “ถ้าเราแต่งงานกันแล้ว คุณจะยอมรับตัวตนแท้จริงแบบที่ผมเป็นได้จริงๆน่ะเหรอครับ?”

   ศรารัตน์เงยหน้าสบตาสีถ่านของอีกฝ่าย หญิงสาวเข้าใจความหมายของถ้อยคำสองประโยคนั้นดีโดยไม่ต้องเสียเวลาตีความให้มากมาย “แล้วถ้าคุณหมอเลือกที่จะคบกับวินต่อไป ฉันว่าคนอื่นๆไม่แน่ก็อาจจะรับตัวตนแบบที่คุณหมอเป็นไม่ได้เหมือนกัน” ผู้หญิงฉลาดอย่างศรารัตน์รู้จักการเอาจุดบอดมาบีบให้อีกฝ่ายจนมุมเสมอ แต่ครั้งนี้เธอเองก็คาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับกลับมา

   “สังคมอาจจะขีดกรอบกฎเกณฑ์เอาไว้มากมาย แต่จำเป็นด้วยเหรอครับที่ความรักจะเกิดขึ้นแต่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายเท่านั้น คนทั่วไปหรือแม้แต่คุณศราเองอาจจะมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับวินเป็นเรื่องที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าผมเลือกที่จะรักใครสักคน กฏเกณฑ์ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย”

   “แต่คุณเป็นหมอนะคะ หมอเป็นอาชีพที่ได้รับการศรัทธา ความเชื่อมั่นและการยกย่องเชิดชูการสังคมทั่วไป หากว่าคนอื่นรู้เรื่องนี้มันจะไม่ดี...”

   “คุณศราก็เลยคิดหาทางออกให้ผมเรียบร้อยแล้วสินะครับ” คำพูดกึ่งประชดของคุณหมอหนุ่มทำเอาศรารัตน์ถึงกับสะอึก หญิงสาวไม่ปฏิเสธเพราะส่วนหนึ่งมันก็คือความจริง ร่างบางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนแย้มยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ย

   “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันรับได้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของคุณหมอและฉันเองก็คงจะมีความสุขมากหากว่าเราสองคนได้แต่งงานกันจริงๆ แม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ความสุขจอมปลอมก็ตาม” ศรารัตน์เว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยเสียงเรียบเรื่อยไม่บ่งบอกอารมณ์ในใจ “เชื่อเถอะค่ะว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสามคนแล้ว”

   นภัทรฝืนยิ้มแห้งแล้งกับคำพูดนั้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งสามคนจริงน่ะหรือ? มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเขาและศรารัตน์ แต่สำหรับวิศรุตแล้วมันกลับคือทางตันต่างหาก! แม้จะเคยบอกว่าตัวเองยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อให้วิศรุตมีความสุข แต่พอถึงเวลาจริงๆนภัทรกลับอยากจะยกเลิกคำพูดทุกอย่างเสียอย่างนั้น เขาไม่ได้อยากแต่งงานกับศรารัตน์เลย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกไม่ได้ เขาไม่กล้าที่จะทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของคนตรงหน้า

   “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องไปเตรียมตัดชุดเจ้าบ่าวแล้วสินะครับ” ศรารัตน์หันหลังให้คู่สนทนาเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้อีกฝ่ายเห็นจากนั้นจึงเอ่ยช้าๆแต่ว่าหนักแน่น

   “เราจะแต่งงานกันทันทีหลังจากผ่านงานเลี้ยงครบรอบบริษัททัดเทวาไปแล้ว เอ้อ เชิญคุณหมอมาร่วมงานเลี้ยงด้วยนะคะ” ปลายเสียงแผ่วไปเพราะศรารัตน์ต้องพยายามกลั้นก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากพร้อมกับน้ำใสที่ไหลรินออกมาจาก ดวงตาคู่งามเรื่อยๆ ตอนนี้เธอควรจะมีความสุขจากการที่ได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก แต่ทำไมเธอถึงร้องไห้ออกมาแบบนี้ ทำไม...

   นภัทรมองแผ่นหลังบอบบางของศรารัตน์ที่ค่อยๆเดินห่างออกไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่าง คำถามในใจเริ่มชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ แบบนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงน่ะเหรอ? จนบัดนี้เขาก็ยังมองไม่เป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์อยู่ดี





   เมื่อนภัทรกลับมาถึงห้องทำงานที่โรงพยาบาลก็พบว่าพงศธรมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว คุณหมอหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเพราะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพงศธรมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร

   “ฉันได้ข่าวมาว่าแกจะแต่งงานกับคุณศรา” เรื่องนี้พงศธรได้ยินมาโดยบังเอิญจากเลขาหน้าห้องของศรารัตน์ “เป็นความจริงหรือวะไอ้กานต์?” อาการนิ่งเงียบของนภัทรยืนยันคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี พงศธรชะงักไปในขณะที่ประสานสายตากับคู่สนทนาตรงหน้า

   “แล้วแกคิดว่ายังไงล่ะไอ้โอม ฉันควรจะแต่งงานกับคุณศราหรือเปล่า?” ประโยคสุดท้ายทำให้ไหล่ของคนที่ถูกถามสะท้านไปเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มก็ควบคุมตัวเองได้ดีพอสมควรขณะที่เอ่ยตอบออกไป

   “ก็ดีแล้วนี่นา คุณศราเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและน่ารัก ที่สำคัญคือเธอเองก็รักแกมาก อย่าทำให้เธอผิดหวังเลยนะ” พงศธรเสียงแผ่วกับประโยคสุดท้าย ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้กับเพื่อนรักก่อนจะเดินเข้ามาตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “แกกับคุณศราเหมาะสมกับจะตายไป”

   “แทบทุกคนพูดว่าฉันกับคุณศราเป็นคู่ที่เหมาะสม แต่บางทีเรื่องของความรัก...ความเหมาะสมเพียงอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยให้คนสองคนมีความสุขหรอกไอ้พงษ์”

“แล้วแบบไหนที่แกคิดว่าจะมีความสุขล่ะ วินอย่างนั้นเหรอ?” ชื่อของวิศรุตทำให้นภัทรต้องบิดริมฝีปากยิ้มอย่างขมขื่น     

“โลกความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่แกคิดหรอกไอ้กานต์ ถ้าแกไม่ได้แต่งงานกับคุณศรา สักวันหนึ่งแกก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ดีนั่นแหล่ะ ยังไงเมื่อถึงที่สุดแกก็ต้องยอมรับว่าเรื่องความสัมพันธ์ของแกกับวินมันคงเป็นไปไม่ได้”
นภัทรได้ยินคำพูดแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทำไมเขายังคงต้องพยายามยื้อความรักที่ผิดธรรมชาติแบบนี้เอาไว้อีก คำตอบคงเป็นเพราะว่าเขาคงจะรักวิศรุตมาก เพราะรักมากจนถึงขนาดยอมมองข้ามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ทางสังคมไป

 พงศธรเข้าใจความรู้สึกของนภัทรดี ชายหนุ่มเองก็รู้สึกแย่เช่นกันที่จะต้องบอกเรื่องนี้กับนภัทรตรงๆ เขาไม่อยากให้เพื่อนรักต้องหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว นภัทรควรตื่นจากฝันเสียที

   “ถ้าฉันแต่งงานกับคุณศราก็เท่ากับว่าฉันกำลังทำร้ายเพื่อนรักของตัวเอง ซึ่งฉันไม่ได้อยากทำเลยซักนิด”

   “ไอ้กานต์...”

   “ฉันรู้มาตั้งแต่แรกว่าแกเองก็รักคุณศราเหมือนกัน เพราะความที่รักมาก แกก็เลยยอมช่วยเขาเพื่อวางแผนมอมยาฉัน”

   “แกรู้...” นภัทรมองพงศธรที่หน้าเสียไปกับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่ หลังจากที่เกิดเรื่องคืนนั้น คุณหมอก็กลับมาคิดทบทวนหลายครั้ง วิศรุตไม่น่าจะทำแบบนั้นกับเขาได้เพราะอีกฝ่ายก็มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลยสักนิด ก็เหลือแต่เพียงศรารัตน์กับพงศธร และเขาก็มั่นใจว่าศรารัตน์เพียงคนเดียวคงไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้แน่ถ้าหากว่าพงศธรไม่ได้ให้ความร่วมมือด้วย แต่ปัญหาสำคัญที่เขายังแก้ไม่ตกก็คือ ศรารัตน์ทำไปเพราะอะไร

   “อย่าโกหกฉันเลยไอ้พงษ์ แกอย่าลืมสิว่าฉันเป็นหมอนะ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโดนยาปลุกเซ็กส์”

   “ไอ้กานต์ ฉัน...ฉันขอโทษ” คำขอโทษแหบพร่าที่ออกจากปากคู่สนทนาไม่ได้ทำให้สีหน้าของคุณหมอหนุ่มคลายลง ที่เขาต้องการจากพงศธรไม่ใช่แค่คำขอโทษ แต่เขาอยากจะรู้จุดประสงค์การกระทำของอีกฝ่ายด้วย

   “ถ้าอย่างนั้นบอกฉันได้หรือเปล่าว่าคุณศราวางแผนอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นกับฉันแล้วก็วินด้วย?”

   “นายอย่ามาถามฉันเลย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรนอกจากนี้อีกแล้ว เอ้อ ขอตัวก่อนนะพอดีฉันนัดลูกค้าเอาไว้” พงศธรรีบขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มไม่สามารถทนอยู่เผชิญหน้าและตอบคำถามของนภัทรได้อีกต่อไปเพราะความรู้สึกผิดในใจมันมากมายเหลือเกิน

   “แกไม่รู้เรื่องจริงๆหรือว่าไม่บอกฉันกันแน่ไอ้พงษ์” นภัทรรำพึงกับตัวเองเบาๆเมื่อพงศธรออกจากห้องไปแล้ว




   วันนี้ภาณุว่างก็เลยแวะมาเยี่ยมวิศรุตที่บริษัททัดเทวา แต่อิงอรที่เป็นเลขาก็แจ้งว่าวิศรุตกำลังเข้าประชุมสำคัญครั้งสุดท้ายกับพวกกรรมการเรื่องการจัดงานเลี้ยงครบรอบบริษัทและไม่รู้ว่าจะประชุมเสร็จกี่โมง ภาณุยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะพบว่านี่ก็เลยเวลาเลิกงานมานานพอสมควรแล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานไหมกว่าวิศรุตจะประชุมเสร็จ ชายหนุ่มลังเลใจว่าจะอยู่รอจนเพื่อนรักประชุมเสร็จดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่รอด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าเขาเกลียดการรอคอยเป็นที่สุด

   “เอาเป็นว่าถ้าวินประชุมเสร็จเมื่อไหร่ให้โทรหาผมด้วยละกันนะครับ” เมื่อฝากข้อความไว้กับคุณอิงอรเรียบร้อยแล้ว ภาณุก็ตัดสินใจกลับไปก่อนทั้งที่เดิมตั้งใจจะมาชวนวิศรุตไปกินข้าวเย็นด้วยกันแท้ๆ

   เมื่อภาณุไปเอารถที่จอดไว้ยังอาคารจอดรถของบริษัท ชายหนุ่มบังเอิญได้เจอกับเมริษาที่กำลังยืนกอดอกพิงฝากระโปรงรถอยู่ด้วยท่าทางที่ออกจะหัวเสียไม่น้อย

   “อ้าวคุณ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย?” ภาณุเลื่อนกระจกรถลงแล้วชะโงกหน้าออกมาทัก “หรือว่ามาดักรอผม?”

   “ไอ้บ้า ใครมาดักรอคุณไม่ทราบ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย รถฉันเสียต่างหาก” เมริษาตอบกลับมาด้วยเสียงขุ่นมัว แค่ลำพังรถเจ้ากรรมเธอมาพยศเอาเสียดื้อๆก็แย่พออยู่แล้ว นี่ยังจะเพิ่มผู้ชายปากดีมายั่วโมโหเธออีก

   “อ่าวเหรอ ผมนึกว่าคุณอยากเจอหน้าผมจนต้องมาจอดรถดักรอเสียอีก” ภาณุหัวเราะขำก่อนจอดรถเอาไว้ริมด้านหนึ่งแล้วเปิดประตูลงไปช่วยดูอาการรถยนต์ของเมริษา

   “ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จู่ๆมันก็สตาร์ทไม่ติด ทั้งที่เดือนก่อนเพิ่งเอาไปเช็คสภาพมาแท้ๆ” เมริษาพูดเมื่อภาณุรับอาสาจะช่วยดูเครื่องยนต์ให้ “ตกลงว่าคุณพอรู้หรือเปล่าว่ารถฉันเป็นอะไร ทำไมถึงเสีย?”

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ภาณุพูดหลังจากเปิดกระโปรงหน้ารถแล้วลองขยับเครื่องยนต์อยู่สักพักก่อนจะต้องยอมแพ้เพราะตัวเขาเองก็มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์แค่งูๆปลาๆเท่านั้น จึงหาสาเหตุไม่ได้เช่นกันว่าทำไมรถเธอถึงสตาร์ทไม่ติด “เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณไปกับผม เดี๋ยวผมไปส่งที่คอนโดเอง ส่วนรถก็ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเรียกช่างเข้ามาดู”

“โธ่เอ๊ย วางท่าซะดูดี นึกว่าจะซ่อมได้เสียอีก” เมริษาถอนหายใจแรง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนกลับเป็นบึ้งตึงอีกครั้ง

“เอาเถอะหน่า เกิดผมหลับหูหลับตาซ่อมผิดซ่อมถูก รถคุณพังผมไม่รับผิดชอบด้วยนะ มาเถอะ ผมไปส่งคุณไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก” พูดจบภาณุก็ถือโอกาสลากแขนเมริษาให้ไปขึ้นรถเขาทันที หญิงสาวพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของมือใหญ่แต่ทว่าภาณุไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“นี่ปล่อยฉันนะ ฉันเดินเองได้” คราวนี้ภาณุยอมปล่อยแต่โดยดี เมริษาหันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาวาววับก่อนจะสะบัดหน้าพรืดขึ้นไปนั่งรอบนรถ ภาณุอมยิ้มขำกับท่าทางโมโหของหญิงสาวก่อนจะอ้อมไปยังฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถขับออกไป

ระหว่างทางกลับคอนโด เสียงท้องร้องของเมริษาดังขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ ภาณุหันมองหญิงสาวเพราะรู้สึกว่าเสียงนี้ดังมาจากข้างตัวของเขาเอง เมริษาหลุบตาลงด้วยความกระดากอาย เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่บ่าย ตอนนี้ท้องเจ้ากรรมของเธอกลับมาทำขายหน้าต่อหน้าภาณุเสียอีก ภาณุจุดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเสนอว่าให้หาอะไรทานก่อนกลับคอนโดเพราะกลัวว่าเสียงท้องร้องของเมริษาจะดังไปมากกว่านี้

   “ผมว่าเราแวะหาไรทานแถวนี้ก่อนเถอะ ดูเหมือนท้องของคุณเริ่มจะออกอาการประท้วงแล้ว” เมริษาพยักหน้าหงึกๆ เธอเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เธอหิวจนแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว

   ร้านอาหารที่ภาณุจอดแวะไม่ใช่ร้านอาหารหรูหราราคาแพงตามโรงแรม แต่เป็นเพิงขายบะหมี่ริมถนนข้างทางเท่านั้น ภาณุเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะทานอาหารข้างถนนแบบนี้ได้หรือเปล่า

   “คุณทานได้ไหม? ถ้าไม่ได้ก็ทนหิวอีกหน่อยเพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารดีๆเลย”

   “ไม่เป็นไร ฉันทานได้” เมริษาเปิดประตูนำลงไปก่อนจึงตามด้วยภาณุ หญิงสาวเลือกนั่งโต๊ะริมสุดติดถนน เมื่อทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อยแล้วเมริษาจึงเริ่มสั่งทันที ดูจากรายการอาหารที่หญิงสาวสั่ง ภาณุก็คิดว่าเธอคงจะหิวมากจริงๆถึงได้สั่งมาเยอะขนาดนั้น และเพียงไม่นานชามบะหมี่ที่สั่งก็ถูกยกมาตั้งจนเต็มโต๊ะ

   “นี่คุณไปตายอดตายอยากที่ไหนมาเนี่ย? สั่งอย่างกับว่าจะกินเผื่อไปจนถึงเย็นวันพรุ่งนี้” ภาณุกวาดตามองบะหมี่น้ำ ชามโต ไม่น่าเชื่อว่าเมริษาจะกินได้หมดทั้งๆที่เธอก็ดูรูปร่างบอบบางกระเพาะเล็กแท้ๆ

   “เถอะหน่า กินหมดก็แล้วกัน” และหญิงสาวก็ทำได้อย่างที่พูดไว้จริงๆ ภาณุได้แต่มองภาพนั้นด้วยความทึ่ง

   “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคุณจะกินอาหารแบบนี้ได้ คุณออกจะดูเป็นพวกคุณหนูไฮโซแท้ๆ” เมริษาชะงักไปกับคำพูดนั้น มือที่กำลังถือแก้วน้ำอยู่ก็วางลง

   “ก็แค่เคยเป็น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ฉันก็ต้องทำใจยอมรับสภาพตัวเองให้ได้ก็เท่านั้น” ภาณุเงียบไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไปจี้จุดปมในใจของคนตรงหน้าเข้าพอดี เขาเคยให้ลูกน้องไปสืบประวัติเมริษาจึงได้รู้ว่าตอนนี้ฐานะทางบ้านของเธอกำลังอยู่ให้ขั้นเกือบจะล้มละลาย จากคุณหนูกลายเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาเท่านั้น เมริษาคงจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากพอสมควร

   “ผมขอโทษ”

   “ช่างมันเถอะ ฉันอิ่มแล้ว เรียกคนขายมาเก็บเงินแล้วเราไปกันดีกว่า” เมริษาสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่เตรียมจะลุกออกจากโต๊ะ แต่ว่ากลับมีเสียงเล็กๆดังขึ้นข้างโต๊ะที่เธอและภาณุนั่งอยู่

   “พี่คะช่วยหนูซื้อทองม้วนหน่อยนะคะ หนูจะหาเงินไปเรียนหนังสือ” เด็กหญิงหน้าตามอมแมมคนหนึ่งยื่นถุงขนมทองม้วนมาตรงหน้าเมริษา หญิงสาวยิ้มบางๆก่อนจะช่วยซื้อไว้หนึ่งถุง เธอยื่นแบงค์ร้อยให้เด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วบอกว่าไม่ต้องทอนเงิน สร้างความดีใจให้กับเด็กคนนั้นเป็นอย่างมากถึงขนาดพูดขอบคุณเธออยู่หลายครั้งทีเดียว

   “คุณชอบกินทองม้วนเหรอ?” ภาณุถามขึ้นหลังจากจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวและขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว “ผมเห็นคุณให้เงินเด็กนั่นไปตั้งเยอะ เกินราคาขนมเสียอีก”

   “ก็ไม่ได้ชอบกินหรอก ถือว่าซื้อมาเพื่อช่วยเป็นค่าเรียนของเด็กมันน่ะ คุณชอบกินหรือเปล่า? ถ้าชอบฉันจะยกให้”      เมริษายื่นถุงขนมให้ภาณุที่รับไปอย่างเก้อๆ ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวด้วยความรู้สึกที่แปลกไปจากเดิม อย่างน้อยเธอก็มีส่วนดีบ้าง ไม่ได้แย่ไปเสียหมดอย่างที่เขาเคยเข้าใจ ภาณุยิ้มบางๆกับความคิดตัวเองก่อนจะออกรถเพื่อไปส่งอีกฝ่ายที่คอนโดซึ่งไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนั้นมากนัก

   ภาณุมาส่งเมริษาถึงหน้าห้อง แม้ว่าหญิงสาวจะบอกว่าไม่จำเป็นแต่ชายหนุ่มก็ดึงดันโดยอ้างเหตุผลว่าถ้าจะส่งก็ต้องส่งให้ถึงที่เลย ซึ่งเมริษาก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้มากความจึงต้องยอมในที่สุด

   “ถามจริงๆนะ คุณมาทำดีกับฉันเพื่อเหตุผลอะไรหรือเปล่า?”

   “ผมทำผิดกับคุณไว้มาก ก็เลยอยากจะขอโทษ” เมริษาเริ่มหน้าตึงเมื่อคิดว่าที่ภาณุมาทำดีด้วยก็เพราะต้องการขอโทษเรื่องที่ล่วงเกินเธอในคืนนั้น

   “ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นละก็ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น” ภาณุทำท่าจะเอ่ยแต่ว่าถูกอีกฝ่ายตัดบท “ขอบคุณมากที่มาส่ง ขอตัวก่อนนะคะ” เมริษาหมุนตัวจะเดินเข้าไปในห้องแต่ว่ามือบางกลับถูกอีกฝ่ายยึดเอาไว้ หญิงสาวปรายตาไปยังมือของภาณุที่จับอยู่แต่ชายหนุ่มไม่ยี่หระ

   “ผมรู้ว่าคุณโกรธผมมาก ให้ผมได้มีโอกาสชดเชยในสิ่งที่ผมทำพลาดไปด้วยเถอะนะครับ ผมอยากให้เราทั้งคู่ลองเปิดโอกาสทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น” สายตากึ่งเว้าวอนของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เมริษาเม้มริมฝีปากแน่น เธอชักจะใจอ่อนกับแววตาแบบนี้เสียแล้วแต่ปากก็มักจะไวเท่าความคิดเสมอ

   “เรากลับไปมึนตึงเย็นชาต่อกันแบบเมื่อก่อนนะดีแล้ว ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่คุณพูด...ไม่กลัวว่าฉันจะอ่อยคุณหรือยังไง? คุณยิ่งชอบหาว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงิน อยากจะจับผู้ชายรวยๆอยู่ด้วย”

   “คราวนี้ผมจะยืนนิ่งยอมให้คุณจับแต่โดยดี” คำพูดแฝงนัยนั้นทำให้เมริษาหน้าแดงวูบ หญิงสาวมองภาณุที่อมยิ้มเล็กๆอยู่ด้วยประกายตาที่แสดงถึงความเขินอายที่น้อยคนนักจะได้เห็น

   “กลับไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน” หญิงสาวเสพูดตัดบท ขืนอยู่เผชิญหน้านานกว่านี้ รับรองว่าเธอต้องถูกผู้ชายตรงหน้าต้อนจนมุมอย่างแน่นอน เมริษาจึงเดินเข้าไปในห้อง ตั้งใจว่าจะปิดประตูตามทันทีแต่ทว่าภาณุกลับใช้มือยันเอาไว้ได้ เมริษามองหน้าชายหนุ่มเป็นคำถามว่ายังมีเรื่องอะไรจะพูดอีก

   “พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงครบรอบบริษัททัดเทวา คุณแต่งตัวสวยๆนะ แล้วผมจะมารับไปงานด้วยกัน” พูดจบภาณุก็ผละไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ เมริษาได้แต่มองตามหลังชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มเล็กๆ รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก




   “วิน” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้วิศรุตหันไปมอง นภัทรนั่นเอง “ทำไมไม่เข้าไปรอในบ้านล่ะ?” คุณหมอหนุ่มถามเมื่อสังเกตเห็นว่าวิศรุตคงมายืนตากน้ำค้างรอเขาที่หน้าบ้านนานแล้ว วันนี้เขาออกเวรช้าจึงกลับบ้านดึกกว่าทุกวัน

   “ไม่เป็นไรหรอก ฉันมาไม่นานก็จะกลับแล้ว” วิศรุตยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย “แค่คิดถึงนาย ก็เลยแวะมาหาน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน” ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่นภัทรจะต้องแต่งงานกับศรารัตน์ เขาอยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายนี้กับ นภัทรให้มีความสุขที่สุด เพราะหลังจากงานเลี้ยงครบรอบบริษัทเสร็จสิ้นลง งานต่อไปก็คืองานแต่งงานระหว่างน้องสาวเขากับชายหนุ่มตรงหน้า

   “นายเป็นยังไงบ้าง? ช่วงนี้คงวุ่นวายน่าดูเพราะว่าพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงครบรอบบริษัทแล้ว” นภัทรเอื้อมมือไปไล้ใบหน้าหล่อคมของวิศรุตอย่างแผ่วเบา หมู่นี้วิศรุตดูซูบไปกว่าเดิม คุณหมอหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปตามสันจมูกโด่งเรื่อยไปยังแก้มที่ตอบลงเล็กน้อยด้วยเพราะเจ้าตัวอาจจะโหมงานหนัก “นายต้องดูแลตัวเองบ้างนะวิน ต้องทานข้าวให้เป็นเวลา นอนพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็อย่าคิดมากด้วยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” วิศรุตยิ้มรับคำพูดนั้นพร้อมน้ำที่เริ่มคลอเอ่อเต็มสองตาอีกครั้งหนึ่งด้วย ความตื้นตันใจ   

   “ขอบคุณนะกานต์” วิศรุตพูดพร้อมกับการเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ซึ่งนภัทรเองก็กอดตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

   “ให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อนายบ้างเถอะวิน ให้ฉัน...ได้ตอบแทนความรักของนายบ้าง”

   “แค่นายสัญญาว่าจะดูแลศราให้ดี ฉันก็ถือว่านายตอบแทนความรักของฉันแล้ว” วิศรุตยิ้มบางๆกับคำพูดของตัวเอง วันนี้เขาไม่มีข้อกังขาอะไรอีกแล้วกับเรื่องที่ว่านภัทรรู้สึกยังไงกับเขา แค่นภัทรบอกว่ารักเขา เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เท่านี้จริงๆที่เขาต้องการจะได้ยินจากอีกฝ่าย

   “ถึงแม้ในความเป็นจริงเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่สำหรับฉัน...นายจะอยู่ในนี้เสมอ” นภัทรยกมือวิศรุตไปแนบตรงหน้าอกด้านซ้าย ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน วิศรุตรู้ดีว่านภัทรไม่ได้โกหก

   “ถ้านายบอกฉันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อตอนเรียนม.ปลาย ฉันก็คงมีความสุขมาก” เมื่อเห็นว่าคุณหมอหนุ่มชะงักไป วิศรุตจึงพูดต่อ “แต่นายก็เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้”

   “ขอโทษที่ฉันรู้ใจตัวเองช้าไป ขอโทษ...” วิศรุตใช้มือทาบทับริมฝีปากของนภัทรเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเอ่ยคำใดออกมา

   “ฉันไม่ได้โกรธนายหรอก ดีใจมากกว่า เพราะถ้านายบอกรักฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันก็คงจะมีความสุข แต่ก็คงจะไม่เท่าวันนี้ วันที่เราสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน...วันที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ยินคำบอกว่ารักจากปากของนาย” นภัทรสบตาชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนบรรยายไม่ถูก เขาไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วจะต้องมารักคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดอย่างวิศรุตได้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องที่น่าหนักใจอะไรแบบนี้ แต่ถ้าไม่มีเรื่องนี้ ไม่มีเรื่องของศรารัตน์ให้ปวดหัว เขาเองก็คงจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองรักคนตรงหน้ามากมายขนาดไหน แต่ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รู้เสียที...เขารักวิศรุต ทัดเทวามากเหลือเกิน



จบบทที่33
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่34
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 06-08-2012 13:06:14
บทที่ 34


   ศรารัตน์มองภาพสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกเงาบานโตในห้องนอน หญิงสาวกำลังอยู่ในชุดราตรีเกาะอกสีชมพูหวานที่ยาวกรอมข้อเท้า บนชุดมีคริสตัลปักเป็นลวดลายงดงามเข้าชุดกับเครื่องประดับราคาแพง ยิ่งขับเน้นให้บุคคลที่สวมใส่ดูอ่อนหวานและน่าทะนุถนอมขึ้นไปอีก ศรารัตน์สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มบางๆแต่แววตาเจือไว้ด้วยความเศร้า

   “วันนี้แล้วสินะที่เรื่องทุกอย่างจะต้อง...จบ” หญิงสาวรำพึงกับตัวเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา เธอเคยหวนกลับไปคิดอยู่หลายครั้งว่าที่เธอกำลังทำอยู่นี้มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วน่ะหรือ? แต่สุดท้ายแล้วคำตอบที่เธอได้กลับมาทุกครั้งก็คือ ใครที่มันทำร้ายเธอ เธอก็จะทำร้ายมันให้พินาศย่อยยับไปเช่นกัน




   เมื่อแต่งตัวเสร็จ ศรารัตน์ก็เข้ามาในห้องพระ หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้ารูปถ่ายขนาดเท่าตัวจริงของบิดาและมารดาที่แขวนไว้บนผนังตรงข้ามกับแท่นบูชาพระพุทธรูป เธอสบตากับบิดามารดาที่อยู่ในภาพถ่ายด้วยอาการนิ่งเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยเสียงเครือ

   “ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ พ่อกับแม่จะเห็นด้วยกับสิ่งที่ศราทำหรือเปล่าคะ?” ดวงตาสีน้ำตาลมีแววหม่นหมองฉายชัด แต่ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้ อย่างไรเธอก็กลับตัวไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เธอต้องการแค่ความสงบ อย่างน้อยก็ให้เธอได้มีเวลาคิดอะไรเงียบๆคนเดียวบ้าง

   “ทำไมเธอเข้ามาอยู่ในนี้ล่ะ?” วิศรุตเข้ามาทำลายความเงียบนั้นลง ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหลังผู้เป็นน้องสาว

   “แล้วนายเข้ามาทำอะไรล่ะ?” คนที่ยืนอยู่ก่อนย้อนถามกลับบ้าง

   “ฉันอยากมาบอกพ่อกับแม่ว่า...วันนี้เป็นวันแห่งความสำเร็จของฉัน อยากให้ท่านได้เห็นว่าลูกชายที่เคยไม่เอาอ่าวคนนี้ก็สามารถที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เหมือนกัน” วิศรุตหมายถึงเรื่องโครงการบ้านจัดสรรของทัดเทวาที่เขาดูแลอยู่ ในที่สุดเขาก็ทำมันสำเร็จจนได้

   “พ่อกับแม่ก็คงจะดีใจมาก” ศรารัตน์หมายความอย่างที่พูดจริงๆ แต่ก่อนวิศรุตไม่ใช่แบบนี้ แต่ก่อนคนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจกับเรื่องใดทั้งนั้นนอกจากการใช้ชีวิตอย่างที่ตนต้องการและมีความสุขที่สุข ใช้เงินราวกับการเอาเบี้ย และไม่เคยรู้คุณค่าของสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ตอนนี้คนตรงหน้าเธอเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้วิศรุตกลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เป็นแบบที่พ่อและแม่ของเธอเคยคาดหวังว่าจะให้อีกฝ่ายเป็น

   “ว่าแต่เธอยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าเข้ามาทำอะไรในนี้ นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว เธอยังไม่ออกไปที่งานอีกเหรอ?” ศรารัตน์ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเพราะลุงมั่นมาเคาะประตูเรียกเสียก่อน ชายชราผู้ดูแลบ้านเข้ามาบอกศรารัตน์ว่าตอนนี้คุณหมอนภัทรมาถึงแล้วและกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขก

   เมื่อเห็นสีหน้าฉายแววสงสัยของวิศรุต ศรารัตน์ก็ชิงบอกก่อน “ฉันขอให้หมอกานต์มารับน่ะ จะได้ไปด้วยกัน” วิศรุตพยักหน้าน้อยๆพร้อมส่งเสียงในลำคอเบาๆเป็นเชิงรับรู้ ชายหนุ่มเสหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพราะไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นความไหววูบภายในดวงตาสีน้ำตาลโศกของตน “นายจะไปพร้อมกันหรือเปล่า?”

   “ไม่หรอก เธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันขออยู่ในห้องนี้อีกสักพัก” ศรารัตน์ไม่ถามต่อ หญิงสาวเดินตามลุงมั่นออกไปทิ้งให้วิศรุตยืนอยู่ในห้องคนเดียว

   “การต้องทนเห็นคนที่เรารัก ไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเหลือเกินครับพ่อ...แม่” วิศรุตเอ่ยออกมาอย่างอัดอั้น อย่างน้อยพ่อกับแม่ก็คงรับฟังเขาแม้ว่าชายหนุ่มก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าพ่อกับแม่ยังไม่ด่วนจากไป ท่านทั้งสองคงจะผิดหวังไม่น้อยถ้ารู้ว่าลูกชายคนเดียวของท่านมีรสนิยมทางเพศที่ไม่เหมือนคนอื่นแบบนี้




วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ภาคินรอคอยมานานแสนนาน...วันที่เขาจะได้เห็นความพินาศของวิศรุต ทัดเทวา คืนนี้ชายหนุ่มจะใช้วีดีโอที่แอบอัดเรื่องบัดสีของวิศรุตและนภัทรมาทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของประธานกรรมการบริษัททัดเทวาให้ย่อยยับลงกับมือ อยากจะรู้ว่าวิศรุตจะทำหน้าอย่างไรเมื่อได้เห็นวีดีโอเทปชุดนี้ แค่คิดภาคินก็อดรู้สึกกระหยิ่มในใจไม่ได้

   ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เก็บของขนาดเล็กข้างหัวเตียงก่อนจะหยิบเอาวัตถุมันวาวสีดำออกมาจากภายในลิ้นชัก ภาคิน จ้องมองของที่อยู่ในมือเขม็ง คืนนี้เขามีลางสังหรณ์อย่างเลือนรางว่าไม่แน่เขาอาจจะต้องใช้มัน ชายหนุ่มระบายลมหายใจหนักก่อนเอาปืนกระบอกนั้นเก็บไว้บริเวณกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทราคาแพง หวังว่าเขาคงจะไม่ต้องใช้มันหรอกนะ

   เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ภาคินจึงเดินลงมาบริเวณห้องโถงของบ้าน เจอกับวันชัยที่นั่งเอกเขนกรออยู่

   “แกจะไปพร้อมพ่อเลยหรือเปล่า?” ผู้เป็นบิดาถามพร้อมขยับตัวเตรียมพร้อม แต่ภาคินส่ายศีรษะ

   “พ่อไปที่งานก่อนเถอะครับ ผมต้องไปจัดการธุระก่อน เดี๋ยวค่อยตามไป” จากคำพูดที่เน้นเสียงว่าไปจัดการธุระก็ทำให้วันชัยเข้าใจได้อย่างดี ผู้สูงวัยกว่าจึงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกจากตัวบ้านเพื่อไปขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว

   ลับหลังที่วันชัยเดินออกไป ภาคินจึงหันไปถามลูกน้องคนสนิทว่าของที่ตนสั่งหามาได้หรือยัง? ลูกน้องคนนั้นพยักหน้าก่อนล้วงมือไปหยิบขวดขนาดย่อมภายในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วยื่นให้เจ้านายหนุ่ม ภาคินมองขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีใสในมือตัวเองแล้วแค่นยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องไปจัดการธุระที่ค้างคามานานให้เสร็จสิ้นไปเสียที




   เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บริเวณโต๊ะอาหารดังขึ้น เมริษาจึงละมือจากการจัดแต่งทรงผมของตัวเองแล้วรีบเดินไปรับสายทันที หน้าจอมือถือแสดงชื่อคนที่โทรมาก็คือภาณุ

   “เดี๋ยวผมไปรับนะครับ ตอนนี้ออกจากบ้านมาได้ซักพักแล้ว คุณเตรียมพร้อมไว้ละกัน คิดว่าอีกไม่นานเกินชั่วโมงก็คงจะถึง” เมริษาพยายามท้วงว่าเธอไปเองได้ แต่ภาณุไม่ฟังว่าบอกเขาจะมารับเธอแล้วไปงานพร้อมกันจากนั้นชายหนุ่มจึงรีบวางสายไปเพราะต้องการตัดบทมัดมือชกไม่ให้เมริษาปฏิเสธได้อีก หญิงสาวมองโทรศัพท์ในมือด้วยรอยยิ้มหวาน ลึกๆรู้สึกได้ถึงความอุ่นซ่านที่เกิดขึ้นมาภายในใจ ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหน แม้แต่ผู้ชายที่เธอคบมาเนิ่นนานอย่างภาคิน

   หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงกริ่งออดห้องของเธอก็ดังขึ้น เมริษายกมือจัดปอยผมให้เรียบร้อย ดวงหน้าสวยหวานหันไปมองนาฬิกาติดผนัง เพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงหลังจากที่ภาณุโทรมา สงสัยรถคงไม่ติด เมริษาฉวยกระเป๋าคลัทช์ใบเล็กและโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือเตรียมพร้อมก่อนรีบเดินไปเปิดประตูให้คนที่มากดออด

   “ฉันพร้อมแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ทำไมคุณมาเร็วจัง?” เมริษาพูดรัวก่อนจะต้องยิ้มค้างเมื่อเห็นว่าคนที่มากดออดไม่ใช่ภาณุแต่กลับเป็นอีกคน “ภาคิน” เมริษาอุทานเสียงแผ่ว เท้าเดินถอยหลังกลับไปอย่างไม่รู้ตัว

   “ทำไมตกใจขนาดนั้นล่ะครับเม ไม่ดีใจเหรอไงที่เห็นผม?” ภาคินจุดยิ้มที่มุมปากดุจที่เคยทำประจำ

   “เอ่อ...คุณมาหาเมหรือคะ?” เมริษาแสร้งฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งๆที่ใบหน้าของเธอเริ่มมีเหงื่อเย็นๆผุดออกมา หญิงสาวไม่รู้ว่าที่ภาคินมาหาเธอในตอนนี้มีจุดประสงค์อะไรแต่เธอก็เชื่อแน่ว่าจะต้องไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเสียวสันหลังวาบ

   “ผมก็มาหาเมนั่นแหล่ะ กะว่าจะทำเซอร์ไพรซ์มารับเมไปงานด้วยกัน” ภาคินพูดพร้อมกับแทรกตัวเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะอาหารก่อนจะเบือนหน้ามาถาม “หรือว่าเมกำลังรอใครอยู่?” คำพูดที่เหมือนรู้ทันทำให้เมริษาเริ่มหน้าซีด หญิงสาวกัดกรามแน่นพยายามข่มใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบเป็นปกติ

   “เมก็รอคุณนั่นแหล่ะ ทำไมคุณมาเร็วจัง แต่โชคดีนะคะที่เมแต่งตัวเสร็จนานแล้ว ไม่งั้นคุณคงต้องรอเมนานเลยล่ะค่ะ” เมริษาเดินเข้าไปออดอ้อนภาคินแต่ฝ่ายนั้นกลับพูดกลับด้วยน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

   “นึกว่ารอไอ้ภาณุเสียอีก” ชื่อภาณุทำให้เมริษาสะดุ้งสุดตัว หมายความว่าภาคินรู้เรื่องที่เธอ...

   “พูดอะไรของคุณน่ะ เมจะไปรู้จักเค้าได้ยังไง?” หญิงสาวยังคงยืนกรานปากแข็งแต่ในใจก็รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ ยิ่งจ้องมองลึกลงไปยังสายตาคมกริบประดุจมีดของภาคินก็ยิ่งทำให้เมริษากลัว แต่ไวเท่าความคิด หญิงสาวแอบกดโทรศัพท์มือถือที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังให้เข้าสู่โปรแกรมการตั้งอัดเสียง ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนนี้ เธอก็ยังมีหลักฐานเอาผิดกับภาคินได้

   “อย่าโกหกผมเลยเม ผมเห็นกับตาวันนั้นที่คุณนัดกับมันที่ร้านค็อฟฟี่ช็อป และผมก็รู้ด้วยว่าคุณไปหามันทำไม” ภาคินใช้มือข้างหนึ่งบีบดวงหน้าสวยหวานในอุ้งมือให้เหยเก ชายหนุ่มมองใบหน้าที่เริ่มบิดเบี้ยวของเมริษาด้วยแววตาไร้ความรู้สึกก่อนเอ่ยต่อช้าๆ คำพูดของภาคินทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่เธอคิดน่ะถูกต้องแล้ว “คุณร่วมมือกับมันแล้วทรยศผมกับพ่อ” พูดจบก็สะบัดเมริษาอย่างแรงจนหญิงสาวล้มลงไปนั่งกับพื้น มือข้างที่ถือโทรศัพท์ก็คลายออก โทรศัพท์จึงหลุดมือแล้วไถลไปอีกด้านหนึ่ง

เมริษาไม่มีเวลามัวแต่ไปคิดถึงโทรศัพท์เพราะตอนนี้ภาคินกำลังย่างสามขุมเข้ามาหาเธอ แววตาของอีกฝ่ายฉายแววเหี้ยมแบบที่เธอเองไม่เคยเห็นมาก่อน

   “เมเปล่านะ คุณกำลังเข้าใจผิด” เมริษาค่อยๆกระเถิบไปด้านหลังจนในที่สุดเมื่อแผ่นหลังเธอปะทะกับตู้ใบใหญ่ เมื่อนั้นเธอก็รู้ว่าหมดทางหนีเสียแล้ว “เรื่องนี้เมอธิบายได้ คุณฟังเมก่อนนะ”

   “กลัวเหรอครับเม?” เมริษาไม่ตอบคำถามนั้น แต่ภาคินก็รู้ว่าเธอกำลังกลัว...กลัวอย่างมากเสียด้วย “ถ้าคิดจะหักหลังผม เมก็รู้นี่นาว่าผลสุดท้ายแล้วมันจะเป็นยังไง” ภาคินล้วงขวดแก้วที่ได้จากลูกน้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อตามด้วยการแกะซองเข็มฉีดยา เมริษากลืนน้ำลายและตัวสั่นเมื่อนึกรู้ว่าภาคินจะทำอะไร

   “ไม่นะภาคิน คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” ภาคินไม่สนใจ ชายหนุ่มใส่ถุงมือยางที่เตรียมมาก่อนจะใช้เข็มฉีดยาสูบของเหลวที่อยู่ในขวดขึ้นมาจนเต็มกระบอกฉีด เมริษามองภาคินด้วยความกลัวสุดขีดกับภาพตรงหน้า เธอไม่รู้ว่าของเหลวนั้นคืออะไร แต่ที่เธอรู้แน่ๆคือภาคินตั้งใจจะฆ่าเธอปิดปาก

   “ไม่ต้องห่วงหรอกเม เห็นแก่ที่เธอเคยให้ความสุขฉันอยู่หลายครั้งหลายหน คราวนี้ฉันจะให้เธอตายแบบสบายๆหน่อย” ภาคินเดินถือเข็มฉีดยาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “ยานี้เป็นยาเสพติดชนิดใหม่ รับรองว่าถ้าเธอได้ใช้มันจะต้องผ่อนคลายและมีความสุขมากแน่ๆ แต่ว่าถ้าหากได้รับการฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดเกินขนาดละก็...”

   “แก...ไอ้ภาคิน ไอ้ชั่ว” เมริษาบริภาษอีกฝ่ายอย่างรุนแรง หญิงสาวรวบรวมกำลังใช้สองมือผลักภาคินให้ออกห่างจากตัวก่อนแล้วตั้งใจจะวิ่งหนีไปที่ประตู แต่ชุดเดรสตัวยาวที่เธอกำลังใส่อยู่ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปได้อย่างลำบาก  ภาคินจึงใช้มือกระตุกชายกระโปรงชุดเดรสของเธอเอาไว้ได้ก่อนจะลากอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว

   “ฤทธิ์เยอะนักนะเมริษา” ภาคินเค้นเสียงต่ำก่อนจะพลิกตัวกดร่างหญิงสาวเอาไว้ข้างใต้ มือหนาของภาคินบีบเค้น ลำคอระหงของเมริษาจนเกือบทำให้ร่างบางขาดอากาศหายใจ “จุดจบของคนทรยศแบบเธอก็คือ...ความตาย” เมริษาใช้สองมือพยายามแกะอุ้งมือที่แข็งแกร่งราวคีมเหล็กนั้นให้พ้นจากการเกาะกุมลำคอของเธอแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุดก่อนผงกศีษะขึ้นมาแล้วกัดไปที่ข้อแขนภาคินอย่างแรงจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลงแทบไม่เป็นภาษา

   เมริษาฉวยโอกาสเพียงน้อยนิดนั้นใช้สองเท้ายันภาคินให้ออกห่าง อาศัยจังหวะที่ภาคินกำลังกุมแผลที่โดนกัดที่แขนรีบวิ่งไปทางประตูห้อง เธอจะต้องรอดออกไปจากห้องนี้ให้ได้ เมริษาคิดในใจอย่างแรงกล้าแม้ว่าร่างกายของเธอกำลังเหนื่อยหอบจากการขาดอากาศหายใจไปนาน แต่ภาคินไม่ปล่อยให้เมริษาทำอย่างนั้นได้ง่ายๆ ชายหนุ่มข่มความเจ็บปวดบริเวณท่อนแขนแล้วพุ่งตามไปจิกกระชากผมของหญิงสาวให้ถลากลับมานอนหมอบที่พื้นด้วยอาการจุกในช่องท้อง

   “ตอนแรกฉันไม่อยากใช้กำลังกับเธอเลยนะเมริษา แต่เธอบังคับให้ฉันต้องทำ” ภาคินพูดจบก็เงื้อและสะบัดมือลงไปบนใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวอย่างแรง เมริษาหันไปตามแรงตบของฝ่ามือใหญ่อย่างไม่อาจต้านทานได้ สมองของเธอเริ่มมึนงงกับภาพตรงหน้า เธอเห็นลางๆว่าภาคินหยิบเอาเข็มฉีดยาที่ตกอยู่ข้างๆนั่นขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ

   “หลังจากที่จัดการกับเธอแล้ว ฉันจะไปจัดการกับไอ้วินต่อในงานเลี้ยง อยากรู้จังเลยว่าถ้าฉันเอาไอ้คลิปบัดสีนั่นมาประจานความทุเรศของไอ้วินต่อหน้าแขกคนอื่นๆและพวกบรรดานักข่าว อยากจะรู้นักว่าไอ้วินจะทำหน้ายังไง”

   “แกมันสารเลว ทำร้ายได้แม้กระทั่งญาติพี่น้องของตัวเอง แกมันไม่ใช่คน”

   “ใครขวางทางฉัน ฉันก็กำจัดได้หมดแหล่ะ อย่างเช่นเธอไงเมริษา”

   “อย่านะภาคิน...อย่า...” เสียงอ้อนวอนที่ฟังดูไร้เรี่ยวแรงจากปากเมริษาไม่ได้ทำให้ภาคินละความตั้งใจ เมริษาพยายามดิ้นรนแต่ทว่าก็ไม่เกิดผลใดๆอยู่ดี ภาคินตรึงกดร่างของเธอไว้แน่นจนเธอไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็จัดการฉีดของเหลวใสนั้นเข้าไปในเส้นเลือดของร่างตรงหน้าอย่างช้าๆจนหมดกระบอกฉีดยา เมริษาได้แต่นอนน้ำตาไหล พรากกับสิ่งเลวร้ายที่อีกฝ่ายทำกับตน สติความระลึกรู้ของเมริษาเริ่มเลือนรางไปทีละน้อยเพราะยาเสพติดที่เริ่มจะออกฤทธิ์ หญิงสาวรู้แก่ใจดีว่าเธอเหลือเวลาอีกไม่นาน หากแต่ความคิดสุดท้ายที่เธอรู้สึกตัวได้ก็คือ...ภาณุ

   ภาคินมองสภาพของเมริษาที่เริ่มมีสภาพลมหายใจติดขัด กล้ามเนื้ออ่อนแรง และตลอดทั้งร่างเริ่มชักเกร็งด้วยความพอใจ ยาที่ลูกน้องเขาให้มาได้ผลดีจริงๆ ยานี้เป็นยาเสพติดชนิดรุนแรง หากว่าใช้ในปริมาณนี้น้อยและพอดีจะทำให้ร่างกายเคลิ้ม ผ่อนคลายเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่ม แต่หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดอาการช็อคและยาจะมีฤทธิ์กดการหายใจอย่างรุนแรง ซึ่งปริมาณที่เขาฉีดเข้ากระแสเลือดของเมริษานั้นก็ไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว

   ภาคินเดินเข้าไปใกล้ร่างของเมริษาแล้วใช้มือข้างที่ใส่ถุงมือยางหยิบเอาเข็มฉีดยานั้นยัดใส่มือของหญิงสาว แค่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเมริษาเสพยาเกินขนาดก็หมดเรื่องแล้ว ไม่มีใครจะสามารถสืบสาวเอาเรื่องอะไรกับเขาได้ หากว่ามีคนสงสัยเขาก็แค่อ้างว่าตัวเองทะเลาะกับเมริษา จากนั้นก็อ้างต่อว่าเมริษาอาจจะเครียดก็เลยใช้ยาเสพติดเกินขนาดแบบนี้ ภาคินเชื่อว่าด้วยอำนาจเงินและนามสกุลทัดเทวาที่ค้ำคอของเขาอยู่ รับรองว่าเรื่องจะต้องจบแบบง่ายๆแน่นอน ชายหนุ่มมองผลงานตัวเอง แล้วยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม เขาเดินไปกระซิบข้างหูเมริษาที่ตอนนี้เริ่มมีอาการหอบหนักอย่างรุนแรง

   “หลับให้สบายนะเม ลาก่อน” ภาคินเดินถอยห่างจากร่างนั้นก่อนจะเปิดประตูห้องออกไปด้วยสีหน้าที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้เมริษานอนระทวยด้วยลมหายใจที่อ่อนแรงเต็มทน

   โทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนักเกิดดังขึ้นมา คงจะเป็นภาณุที่โทรหาเธอ เมริษาพยายามประคองสติที่เหลือน้อยเต็มทนและสะกดลมหายใจหอบหนักก่อนค่อยๆเอื้อมมือที่อ่อนแรงไปทางด้านที่มีโทรศัพท์ของเธอตกอยู่ เสียงมือถือของเธอยังดังอยู่ต่อเนื่อง เมริษาพยายามยืดแขนออกไปสุดตัวแต่ก็ไม่ถึงอยู่ดี หญิงสาวรู้ว่ายังไงเธอก็ไม่รอดแน่แล้ว คนสุดท้ายที่เธออยากจะพูดด้วยที่สุดก็คือภาณุ แต่เธอคงไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว

   “ฉัน...ยก...โทษให้...คุณ” เมริษารำพึงคำพูดสุดท้ายก่อนที่ร่างจะชักกระตุกรุนแรงและแน่นิ่งไปในที่สุด ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพรงในขณะที่เสียงมือถือของเธอก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น




   ตลอดระหว่างทางที่ขับรถมาเพื่อมารับเมริษาที่คอนโด ภาณุพยายามโทรเข้ามือถือหญิงสาวอยู่หลายครั้งแต่เธอไม่รับ ประกอบกับวันนี้รถติดมากเป็นพิเศษทำให้ภาณุยิ่งกระวนกระวายใจเพราะนึกสังหรณ์ใจลึกๆ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเมริษา และเมื่อมาถึงคอนโด ภาณุก็รีบจอดรถและตรงดิ่งไปที่ห้องของหญิงสาวทันที

   ภาณุเคาะประตูห้องของเมริษาและพยายามโทรหาอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู เมื่อลองหมุนลูกบิดก็พบว่าล็อคจากด้านใน ภาณุพยายามตบประตูเรียกอยู่นานแต่ก็ไร้วี่แววเมริษา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไปติดต่อที่ออฟฟิสเพื่อขอกุญแจสำรองโดยอ้างว่าตนเป็นสามีของเจ้าของห้อง เมื่อได้กุญแจมาแล้ว ชายหนุ่มจึงไขเข้าไปทันที

   ภาพเบื้องหน้าทำให้ภาณุต้องตาค้างด้วยความตกใจ สภาพเมริษาที่นอนทอดกายไปกับพื้นขณะที่ในมือยังกำเข็มฉีดยาเอาไว้  ขวดแก้วเปล่าถูกวางทิ้งไว้อยู่ข้างตัวทำให้เลือดในกายของภาณุเย็นเฉียบ เมื่อได้สติ ภาณุก็รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของเมริษาแล้วเขย่า

   “เม...คุณเป็นอะไรไปเม...ตื่นสิ...ผมมารับคุณแล้ว คุณเป็นอะไรไป...เม” ภาณุเขย่าร่างตรงหน้าอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้ผล ร่างกายของเมริษาไม่ตอบสนองเขาเลย ชายหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือไปจับชีพจรของหญิงสาวด้วยมืออันสั่นเทา เขากำลังกลัวความคิดของตัวเอง อย่าให้เป็นแบบที่เขาคิดเลย

   ภาณุมือไม้อ่อนเมื่อจับแล้วไม่ได้รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของชีพจรอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือความจริง เมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อน เมริษายังคุยโทรศัพท์กับเขาอยู่เลย เธอบอกว่าจะรอเขามารับ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่รอเขา

   ชายหนุ่มกอดร่างบอบบางที่ยังเหลือไออุ่นอยู่เอาไว้อย่างแนบแน่น เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ จากสภาพที่เห็นก็น่าจะเดาไว้ว่าเมริษาฉีดยาอะไรบางอย่างเข้าเส้นและก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องตาย แต่เธอจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน เธอไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ ภาณุมั่นใจในความคิดของตัวเอง

   เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ภาณุหันไปมองต้นเสียงทันที ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเมริษามาเปิดดูก็พบว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามา มันคือข้อความจากเครือข่ายโทรศัพท์ที่เตือนว่ามีคนโทรเข้ามาแต่เมริษาไม่ได้รับ คงจะเป็นสายจากเขาที่เธอไม่ได้รับ ภาณุคิด แต่เมื่อกดออกจากโปรแกรมข้อความ ภาณุก็พบว่ามีอีกโปรแกรมหนึ่งในโทรศัพท์มือถือที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้...การตั้งอัดเสียง

   ทันทีที่ภาณุกดปุ่มเล่น โทรศัพท์มือถือก็กลายเป็นลำโพงกระจายเสียงขนาดย่อมทันที สิ่งที่ได้ยินนั้นทำเอาชายหนุ่มถึงกับตัวชาไป ที่แท้เหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นฝีมือของภาคิน ไอ้สารเลวนั่นฆ่าเมริษาเพื่อปิดปากและเป็นการจัดการโทษฐานที่หญิงสาวหักหลังพวกมันสองพ่อลูก ที่แท้เมริษาไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่เป็นการถูกฆาตกรรมต่างหาก ภาณุกัดฟันแน่นด้วยความแค้นและสงสารเมริษาจับใจ น้ำตาหยดหนึ่งพลันร่วงหล่นลงมากระทบกับใบหน้าของร่างที่นอนนิ่งอยู่

   “ผมจะให้มันชดใช้ในที่สิ่งมันทำกับคุณ” ภาณุกำโทรศัพท์ที่เป็นหลักฐานสำคัญเอาไว้แน่น เมื่อครู่ชายหนุ่มได้ยินว่านอกจากจะจัดการกับเมริษาแล้ว ภาคินจะใช้คลิปบางอย่างเพื่อจัดการแฉวิศรุตกลางงานเลี้ยงคืนนี้ แม้ภาณุจะไม่รู้ว่าคลิปที่ว่านี้มันเป็นคลิปอะไร แต่ชายหนุ่มก็ไม่ไว้ใจและเชื่อแน่ว่ามันไม่เป็นผลดีกับเพื่อนรักของเขาอย่างแน่นอน

   ภาณุเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูของตน เขาเสียเวลาไปนานกว่าจะมาถึงคอนโดของเมริษาเพราะว่ารถติด ป่านนี้งานเลี้ยงก็น่าจะเริ่มไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะไปถึงงานทันหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเตือนวิศรุตให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

เมื่อคิดดังนั้นภาณุก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมากดหมายเลขของวิศรุตและโทรออก แต่ปลายสายไม่สามารถติดต่อได้เพราะอีกฝ่ายน่าจะแบตหมด ภาณุสบถอย่างหัวเสีย ทำไมถึงเวลาคับขันมือถือของวิศรุตมักจะติดต่อไม่ได้เสียทุกครั้ง ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาโทรหานภัทรแทน หวังว่านภัทรจะช่วยวิศรุตเอาไว้ได้ ภาณุภาวนาในใจด้วยความร้อนรน



จบบทที่34
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่35
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 06-08-2012 13:22:18
บทที่ 35


งานเลี้ยงครบรอบบริษัททัดเทวาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมหรูระดับห้าดาวย่านใจกลางเมือง นักข่าวสายงานเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายสำนักต่างมาพร้อมกันที่นี่เพื่อทำข่าวใหญ่เกี่ยวกับการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวา ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่สื่อมวลชนทั่วไปจับตามองกันมาตั้งแต่เริ่มวางโครงการแล้ว เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงของทัดเทวาลงมาลุยโครงการนี้เอง ดังนั้นผลงานนี้จะเป็นตัววัดศักยภาพที่ชัดเจนของการเข้ามารับตำแหน่งสูงสุดทางด้านบริหารของบุตรชายคุณวรุต ทัดเทวา อดีตเจ้าพ่ออสังหาฯชื่อดังของเมืองไทย

“ยิ้มไม่หุบเลยนะวิน กะอีแค่ทำงานโปรเจคเล็กๆสำเร็จแค่งานเดียว ไม่เห็นต้องทำหน้าบานแล้วให้สัมภาษณ์นักข่าวขนาดนั้นก็ได้” ภาคินเดินเข้ามาหาวิศรุตที่เพิ่งผละตัวแยกออกมาจากนักข่าวที่มารอสัมภาษณ์ได้สำเร็จ “แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจกับความสำเร็จนี้แหล่ะ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา”

“พูดอะไรของแก ภาคิน อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์” วิศรุตเลือกที่จะเดินหนีแต่อีกฝ่ายก็อ้อมมาดักหน้าเขาเอาไว้

“ฉันแค่จะเตือนแกว่าอย่าหลงระเริงกับความสำเร็จให้มากนัก ระวังไว้เถอะ สิ่งที่แกกลัวมาตลอดมันจะเป็นจริงขึ้นมา” แม้จะไม่เข้าใจว่าภาคินพูดถึงอะไร แต่วิศรุตก็อดกังวลไม่ได้ ชายหนุ่มแอบหวั่นใจอยู่ลึกๆว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจนทำให้งานล่มแบบที่ฝ่ายนั้นบอกจริงๆ

หลังจากที่ภาคินเดินไปแล้ว วิศรุตก็ลอบระบายลมหายใจหนักหน่วง ชายหนุ่มบังเอิญหันไปมองอีกด้านหนึ่งของงานจึงได้ทันสบสายตากับดวงตาสีถ่านที่มองมาทางเขาอย่างพอดิบพอดี วิศรุตจุดยิ้มมุมปากให้ฝ่ายนั้นแต่แววตากับแฝงไว้ด้วยความเศร้าเมื่อสายตามองเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายของนภัทร...ศรารัตน์นั่นเอง

วิศรุตเลือกที่จะสลัดภาพนั้นออกจากศีรษะให้หมด ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วสาวเท้ายาวเพื่อหนีไปจากตรงนั้น เขาไม่อยากทนดูภาพบาดตาให้ทรมานใจอีกต่อไป

“จะไปไหนเหรอคะหมอ?” นภัทรชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวตามวิศรุตไปเมื่อศรารัตน์รั้งเขาเอาไว้ คุณหมอหนุ่มมองวิศรุตเดินหายลับไปในงานก่อนจะหันมาฝืนยิ้มให้หญิงสาวแล้วบอกว่าไม่มีอะไร แต่ในใจกำลังอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ส่วนพงศธรที่ยืนอยู่ด้วยกันก็นึกรู้ว่านภัทรคิดอะไรอยู่ในใจ

ศรารัตน์ยืนคุยอยู่กับนภัทรและพงศธรอีกสักพักหนึ่งก่อนที่หญิงสาวจะขอตัวโดยอ้างว่าจะไปคุยงานต่อเมื่อสังเกตเห็นถึงสายตาของภาคินที่มองจ้องมาที่ตนเป็นเชิงส่งสัญญาณว่าให้เธอปลีกตัวออกมาเพื่อไปคุยกันที่อื่น พงศธรได้ทันเห็นสัญญาณที่ภาคินส่งให้ศรารัตน์พอดี ชายหนุ่มหรี่ตาลงด้วยความสงสัยในขณะที่สมองก็กำลังประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นพงศธรก็บอกกับนภัทรว่าตนจะไปเข้าห้องน้ำ แต่แท้จริงแล้วชายหนุ่มแอบสะกดรอยตามศรารัตน์ไปต่างหาก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ และที่สำคัญคือภาคินมาเกี่ยวอะไรด้วย

นภัทรมองตามพงศธรไปอย่างงงๆ ตอนนี้เหลือชายหนุ่มอยู่เพียงคนเดียว วิศรุตก็เดินหายไปแล้วและเขาเองก็ไม่รู้จะไปหาอีกฝ่ายได้ที่ไหน คุณหมอหนุ่มจึงเลือกที่จะเดินดูงานรอบๆบริเวณห้องจัดเลี้ยงแทน

ห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากถึงขนาดที่สามารถนำนิทรรศการขนาดย่อมมาจัดแสดงได้ นภัทรเดินชมผลงานโครงการต่างๆที่ประสบความสำเร็จของทัดเทวาที่จัดแสดงไว้บนบอร์ดไปเรื่อยๆอย่างไม่ได้สนใจนัก ในใจชายหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เรื่องของวิศรุต โดยที่ไม่ทันระวัง นภัทรจึงชนเข้ากับสตาร์ฟที่เป็นทีมงานผู้หญิงคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ของที่อีกฝ่ายถือมาด้วยจึงกระเด็นหลุดจากมือและไปกองอยู่ที่พื้นแทน

“ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ” เสียงขอโทษดังขึ้นพร้อมกัน นภัทรเก็บของที่ตกอยู่ซึ่งก็คือแผ่นซีดีสีขาวในกล่องใสแล้วส่งคืนให้กับสตาร์ฟคนนั้นที่รับไปพร้อมกับคำกล่าวขอบคุณคุณหมอหนุ่มก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบเดินจากไปทันที ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา ชายหนุ่มคิดโดยไม่ได้นึกเฉียวใจแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่อยู่ในมือของสตาร์ฟผู้หญิงคนนั้นมันแผ่นซีดีคืออะไร




พงศธรแอบสะกดรอยตามศรารัตน์มาอย่างเงียบเชียบจนพบว่าศรารัตน์เข้าไปในห้องเก็บของซึ่งไกลจากห้องจัดเลี้ยงพอสมควร พงศธรแอบมองเข้าไปตอนที่ศรารัตน์กำลังเปิดห้อง ภาคินก็อยู่ในห้องนั้นด้วย ความสงสัยที่กำลังปะทุอยู่ในใจทำให้พงศธรตัดสินใจแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่ผ่านทางประตูห้อง โชคดีที่ห้องนี้ไม่ได้เก็บเสียง ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้ยินทุกคำพูดในห้องนั้นอย่างชัดเจน

“ฉันจัดการสั่งลูกน้องไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ไอ้วินกล่าวสุนทรพจน์แนะนำโครงการจบ คลิปนั่นก็จะถูกเปิดทันที”

“นายแน่ใจนะว่างานนี้จะไม่มีพลาด?” ศรารัตน์พูดเสียงเย็นชาซึ่งภาคินก็รับรองเสียงหนักแน่นว่าลูกน้องของเขาไว้ใจได้ทุกคน รับรองว่างานนี้ไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน

“ถ้าคลิปบัดสีระหว่างไอ้วินกับหมอนภัทรถูกเปิดขึ้นกลางงานล่ะก็ พรุ่งนี้คงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ หึ ผู้บริหารระดับสูงของทัดเทวามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ รับรองว่าไอ้วินต้องเสียเครดิตในสายตาของพวกกรรมการบริหารแน่นอน จากนั้นบอร์ดก็จะลงมติไม่ไว้วางใจมัน เท่านี้ก็เรียบร้อย” ภาคินยิ้มกริ่มกับแผนการของตน แต่ทว่าพงศธรที่แอบฟังอยู่ถึงกับตัวชาไปทันที ที่แท้ ศรารัตน์ก็ร่วมมือกับภาคินวางแผนทำร้ายวิศรุตโดยหลอกใช้ตนกับนภัทรเป็นเครื่องมือ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมศรารัตน์ถึงมาขอร้องให้ตนช่วยวางยาปลุกเซ็กส์นภัทร ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

“อย่าลืมที่เราตกลงไว้ก็แล้วกัน” ภาคินก็ยักไหล่แล้วบอกว่าตนไม่ลืมหรอก

“ฉันสัญญา งานนี้ก็แค่เล่นสนุกกับไอ้วินเท่านั้น ไม่มีใครถึงตายหรอก” ภาคินแอบลูบปืนในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท ชายหนุ่มโกหกศรารัตน์ ถ้ามันถึงคราวจำเป็นละก็ เขาเองก็ไม่สามารถรับปากได้เหมือนกันว่าจะไม่มีใครตาย

เมื่อนัดแนะแผนการขั้นสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็แยกกันไปโดยภาคินออกจากห้องมาก่อน และศรารัตน์ถึงค่อยเดินตามออกไปเพราะหากว่าใครมาเห็นเข้าจะได้ไม่ผิดสังเกต จังหวะที่ภาคินเปิดประตูออกมา พงศธรหลบแทบไม่ทัน ชายหนุ่มเบียดตัวเข้าไปหลบระหว่างผนังกับซอกตู้ หัวใจของพงศธรเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะโดนภาคินจับได้ แต่ทว่าภาคินไม่ได้สังเกตแต่กลับเดินผ่านซอกนั้นไปเลย พงศธรเลยถอนหายใจโล่งอก แววตาของชายหนุ่มกลับมาขึงเครียดอีกครั้งเมื่อนึกรู้ว่าศรารัตน์ยังอยู่ในห้องเก็บของนี้

“คุณพงษ์” ศรารัตน์อุทานเสียงแผ่วด้วยดวงหน้าซีดเผือดเมื่อหันไปเจอพงศธรยืนอยู่ตรงประตู ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงทันที แววตาของผู้มาใหม่ทำให้ศรารัตน์แน่ใจว่าพงศธรคงได้ยินบทสนทนาของเธอกับภาคินแน่ๆ

“คุณหลอกใช้ผม” พงศธรกำหมัดแน่น เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต “คุณหลอกให้ผมวางยาปลุกเซ็กส์ไอ้กานต์ จากนั้นคุณก็ถ่ายคลิปตอนที่มันกำลังมีอะไรกับวินแล้วก็เอามาเป็นหลักฐานเพื่อแฉว่าประธานบริษัท       ทัดเทวาเป็นเกย์ คุณร่วมมือกับไอ้ภาคิน...คุณร่วมมือกับมันเพื่อทำร้ายพี่ชายของตัวเอง” พงศธรกระชากเสียงแหบเครือ ในใจรู้สึกเจ็บแปลบกับการถูกศรารัตน์หลอกใช้ ตอนแรกเขาก็แค่สงสัยว่าศรารัตน์วางแผนจะทำอะไร แต่นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าทำถึงขนาดนี้ เธอใจร้ายเกินไปแล้ว

“คุณพงษ์ ฉัน...”

“คุณจำได้ไหม ผมเคยบอกว่าถ้าผมช่วยคุณวางยาไอ้กานต์ในครั้งนั้น ผมขอให้คุณวางมือหยุดทำร้ายพวกเขาสองคน แต่วันนี้คุณกลับเอาคลิปบ้าๆนั้นมาทำลายไอ้วิน นี่น่ะเหรอที่คุณสัญญากับผม ตอบมาสิศรารัตน์ ตอบมาว่าคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” พงศธรเขย่าตัวศรารัตน์จนเซ หญิงสาวขืนตัวออกแล้วพูดเสียงดังไม่แพ้กัน

“คุณไม่มีวันเข้าใจฉันหรอก ไม่มีวัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความผิดหวัง มือที่ยึดหัวไหล่อีกฝ่ายค่อยๆคลายลงอย่างหมดแรง พงศธรค่อยๆถอยห่างจากศรารัตน์ออกมาเรื่อยๆ ปากก็พูด

“ผมจะไม่มีวันยอมให้คุณทำร้ายเพื่อนของผมทั้งสองคนอีกต่อไปแล้ว ผมจะไปบอกวิน” ศรารัตน์เบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าพงศธรจะเอาแผนการนี้ไปบอกกับวิศรุต เธอจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด

“โอ๊ย” เสียงอุทานดังขึ้นจากด้านหลังทำให้พงศธรชะงักแล้วหันกลับไปมอง ศรารัตน์ล้มลงไปนั่งกับพื้นแล้วกำลังกุมขาเอาไว้ ใบหน้าเรียวสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางกำลังบิดเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่เมื่อครู่เธอสะดุดชายกระโปรงตัวเองล้มลง

“คุณเป็นยังไงบ้างศรา?” สุดท้ายพงศธรก็อดใจอ่อนกับผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ ชายหนุ่มรีบเข้าไปดูอาการศรารัตน์ที่เหมือนข้อเท้าจะแพลงด้วยความเป็นห่วง “เจ็บตรงนี้หรือเปล่า?” พงศธรชะโงกหน้าจะเข้ามาดูแผลที่เท้าใกล้ๆแต่ว่าก็ไม่พบรอยอะไรเลย มาเฉลียวใจอีกทีก็ตอนที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มากระทบตรงท้ายทอยอย่างแรง จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป

ศรารัตน์ทิ้งกระบองเหล็กในมือลงพื้น หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วมองพงศธรที่นอนสลบอยู่ที่พื้นด้วยสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกผิด

“ขอโทษนะคะคุณพงษ์ที่ต้องทำแบบนี้ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้คุณมาทำลายแผนการนี้เด็ดขาด”




ระหว่างที่กำลังเดินดูนิทรรศการอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือของนภัทรก็ดังขึ้น คุณหมอหนุ่มมองชื่อที่โทรเข้ามาอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีภาณุไม่ค่อยจะโทรหาเขาเลย ทำไมวันนี้อีกฝ่ายถึงโทรมาหาเขาได้ นภัทรจึงกดรับสาย

“ไอ้กานต์ วินอยู่ด้วยหรือเปล่า?” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนผิดธรรมดา ซึ่งนภัทรก็ปฏิเสธไปแล้วบอกว่าตอนนี้ตนอยู่ในงานคนเดียว ภาณุโทรหาเขามีเรื่องอะไรหรือเปล่า? “ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกวิน แต่ติดต่อไม่ได้เลย”

“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าวินไปไหน ตอนนี้ไอ้พงษ์ก็หายตัวไปด้วย” นภัทรตอบกลับไป พงศธรไปเข้าห้องน้ำนานเกินไปแล้ว

“แกฟังดีๆนะไอ้กานต์ ไอ้ชั่วภาคินมันฆ่าเมริษาแล้วตอนนี้มันกำลังจะเอาคลิปบ้าอะไรก็ไม่รู้มาแฉไอ้วินกลางงานเลี้ยง แกต้องไปหาคลิปนั้นให้เจอ แล้วสกัดอย่าให้มันเอาคลิปนั่นไปเปิดเด็ดขาด”

“คลิปนั้นมันคือคลิปอะไรล่ะ แล้วทำไมไอ้ภาคินต้องทำอย่างนั้นด้วย?” แม้ว่าจะตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ภาณุโทรมาบอกว่าวิศรุตกำลังเป็นเป้าหมายในคืนนี้ แต่ด้วยความสุขุมชายหนุ่มจึงพยายามตั้งสติแล้วถามกลับอย่างใจเย็น แต่เหมือนว่าภาณุจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว สังเกตได้จากน้ำเสียงที่เริ่มเคร่งเครียดมากทุกขณะ

“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นคลิปอะไร แต่ได้ยินว่ามันเป็นคลิปบัดสีของไอ้วินอะไรทำนองนี้ อย่าเพิ่งถามมากเลย แกต้องไปหยุดคลิปนั้นก่อน”

“แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”

“ฉันรถติดอยู่ แต่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก คิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะถึง” ภาณุมองการจราจรเบื้องหน้าตนที่แทบไม่ขยับเลยด้วยความหัวเสีย เขาชักไม่มั่นใจแล้วว่าที่บอกว่าอีกไม่นานมันจะไม่นานจริงๆหรือเปล่า “งานวันนี้สำคัญกับชื่อเสียงของไอ้วินในฐานะ
ประธานกรรมการของทัดเทวามาก ถ้าเกิดมีการแฉไอ้คลิปนั่นจริง ไอ้วินคงจบเห่แน่” ภาณุย้ำก่อนจะวางสายไป

แววตาสีถ่านของนภัทรมีร่อยรอยของความเคร่งเครียด ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือของตน ถ้าตามกำหนดการก็ใกล้จะได้เวลาที่วิศรุตจะขึ้นไปพูดสุนทรพจน์บนเวทีแล้ว นภัทรคิดว่าหากจะมีการเปิดคลิปเพื่อเล่นงานวิศรุตจริงอย่างที่ภาณุบอก คลิปนั้นจะต้องถูกเปิดหลังจากที่วิศรุตกล่าวสุนทรพจน์จบแน่ ซึ่งนั่นแปลว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิดเท่านี้

นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นพยายามคิดให้ออกว่าจะไปตามหาซีดีคลิปนั้นได้ที่ไหน...ซีดี...หรือว่า...ภาพตอนที่เดินชนกับสตาร์ฟคนนั้นแล้วกล่องแผ่นซีดีสีขาวตกลงมาก็ผุดเข้ามาในความคิดของชายหนุ่ม นภัทรพยายามทบทวนความจำ ดูเหมือนว่าสตาร์ฟคนนั้นจะรีบเร่งเพื่อทำอะไรซักอย่าง ต้องเป็นซีดีอันนั้นแน่ๆ นภัทรกระตุกวูบในใจ ชายหนุ่มหันมองไปรอบตัว อย่างแรกที่เขาต้องทำก็คือเตือนวิศรุต แต่เขาจะเตือนฝ่ายนั้นได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้วิศรุตก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ นภัทรคิดว่าวิศรุตคงจะไปเตรียมตัวพูดสุนทรพจน์อยู่ที่ไหนซักแห่งแน่ๆ ตอนนี้ไม่มีเวลาอีกแล้ว เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เมื่อคิดได้ดังนั้นนภัทรก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้เอง เขาต้องหาทางทำลายไอ้แผ่นซีดีนั้นให้ได้ก่อนที่มันจะกลายเป็นอาวุธทำลายชื่อเสียงของวิศรุตให้ย่อยยับในค่ำคืนนี้

ด้วยความที่พอจะจำหน้าตาของสตาร์ฟผู้หญิงคนนั้นได้ นภัทรจึงวิ่งไปเกือบทั่วทั้งงานเพื่อตามหาเอาแผ่นซีดีจากผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มหอบตัวโยนเมื่อพยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอตัวอีกฝ่ายเสียที เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องจัดเลี้ยงนั้นก่อนจะไปสะดุดกับลำโพงตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ทั้งสองข้างเวที คุณหมอหนุ่มใช้เวลาคิดไม่นานก่อนจะนึกได้ว่าสตาร์ฟคนนั้นและแผ่นซีดีน่าจะอยู่ที่ไหน

นภัทรคว้าตัวสตาร์ฟผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้นมาถามด้วยน้ำเสียงรัวเร็วว่าห้องควบคุมเสียงอยู่ที่ไหน เมื่อได้ คำตอบแล้วคุณหมอหนุ่มจึงรีบวิ่งออกจากห้องจัดเลี้ยงไปอย่างรวดเร็ว จุดหมายของนภัทรในตอนนี้ก็คือห้องควบคุมเสียงที่อยู่ไม่ไกลจากห้องจัดเลี้ยงนัก ในขณะเดียวกันบนเวทีพิธีกรก็เริ่มดำเนินการเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญของงานเลี้ยงแล้ว นั่นก็คือการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวานั่นเอง พิธีกรกล่าวเชิญวิศรุตขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์เป็นลำดับแรก

“สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนทุกท่าน ผม วิศรุต ทัดเทวา ในนามของประธานกรรมการบริหารบริษัททัดเทวามีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านได้ให้ความสนใจและอนุเคราะห์สนับสนุนบริษัททัดเทวามาโดยตลอด...”




ขณะที่นภัทรวิ่งไปยังห้องควบคุมเสียงก็ได้ยินที่วิศรุตพูดสุนทรพจน์ด้วย ชายหนุ่มหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทั้งๆที่อากาศภายในโรงแรมก็ไม่ได้ร้อน คุณหมอหนุ่มกัดฟันแน่น ในใจก็บอกตัวเองว่าจะต้องทำให้ได้ เขาจะต้องปกป้องคนที่เขารักให้ถึงที่สุดและเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายวิศรุตเป็นอันขาด เพียงไม่นานนักชายหนุ่มก็มาถึงห้องควบคุมเสียง

เมื่อเปิดเข้าไปในนั้น สตาร์ฟภายในห้องออกจะตกใจไม่น้อยกับการพรวดพราดเข้ามาของเขาแบบนี้ นภัทรกวาดตาไปรอบห้องก่อนจะไปสะดุดกับคนๆหนึ่ง สตาร์ฟผู้หญิงคนที่เดินชนเขานั่นเอง ไม่รอช้า คุณหมอหนุ่มเริ่มสาวเท้ายาวเข้าไปหาอีกฝ่ายแทบจะทันที

“แผ่นซีดีสีขาวที่น้องถือมาอยู่ที่ไหน?” นภัทรถามปนหอบ แววตาสีถ่านมีแววจริงจังเสียจนคนที่ถูกถามกลับเป็นฝ่ายอึกอักเสียเอง

“เอ่อ...คือ...” นภัทรไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปค้นกองซีดีที่วางอยู่บนแผงควบคุมทันทีจนสตาร์ฟคนอื่นๆต้องรีบเข้ามาห้ามแล้วบอกว่าที่นี่ห้ามคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเข้ามาอย่างเด็ดขาดแต่เจ้าตัวไม่ยอมฟัง เสียงวิศรุตที่กำลัง พูดอยู่บนเวทีเปรียบเสมือนระเบิดที่รอเวลาปะทุ เขาจะต้องหาให้เจอและหยุดคลิปนั้นให้ได้

“คุณเข้ามาในนี้ไม่ได้นะครับ” สตาร์ฟสองสามคนเข้ามาห้ามนภัทร แต่ชายหนุ่มสะบัดแขนออกและยังคงค้นหาซีดีต่อไป ในที่สุดเขาก็เจอแผ่นซีดีเจ้ากรรมนั่น นภัทรเบิกตากว้างด้วยความดีใจก่อนจะรีบคว้าออกมาแต่ทว่าโดนเหล่าสตาร์ฟขัดขวางเอาไว้แล้วถามว่านภัทรจะเอาแผ่นซีดีเพลงที่เปิดในงานเลี้ยงนี้ไปทำไมกัน?

คุณหมอหนุ่มออกจะงงไม่น้อยเมื่อรู้ว่าแผ่นซีดีนี้เป็นเพียงแค่แผ่นซีดีเพลงธรรมดาเท่านั้น “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” เมื่อเห็นสีหน้าของนภัทรที่แสดงถึงความไม่เชื่อ สตาร์ฟคนหนึ่งจึงดึงแผ่นซีดีสีขาวนั้นจากมือของคุณหมอหนุ่มแล้วไปใส่คอมพิวเตอร์เปิดให้อีกฝ่ายดู ปรากฏว่าเป็นเพียงแค่ซีดีเพลงอย่างทีอีกฝ่ายบอกจริงๆ

นภัทรแทบหมดแรงเมื่อได้เห็นอย่างนั้น เท่ากับว่าที่เขาวิ่งตามหาแผ่นซีดีไปทั่วทั้งงานก็แทบจะสูญเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่แผ่นซีดีที่เขาหาพบจะเป็นเพียงแค่ซีดีเพลงเท่านั้น อย่างนั้นแผ่นซีดีที่มีคลิปของวิศรุตจะไปอยู่ที่ไหนกันถ้าไม่ใช่ที่นี่

“ผมว่าคุณลองไปหาแถวๆตรงบริเวณที่ควบคุมจอโปรเจคเตอร์ในห้องจัดเลี้ยงดีกว่าครับ เพราะว่าจอฉายโปรเจคเตอร์ในห้องจัดเลี้ยงนั้นจะมีคอมพิวเตอร์ต่อเพื่อควบคุมโดยตรง ที่ห้องนี้เป็นเพียงแค่การควบคุมเสียงที่ออกลำโพงรอบบริเวณทั่วงานเท่านั้น บางทีแผ่นซีดีที่คุณหาอาจจะอยู่ที่นั่น” คำพูดของทีมงานคนนั้นทำให้นภัทรฉุกใจคิดขึ้นมาได้ ถ้าหากว่าคลิปนั่นสำคัญมากจริงๆ ภาคินไม่มีทางปล่อยเอาไว้กับสตาร์ฟทั่วไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ชายหนุ่มต้องตัวชาวาบอีกรอบเพราะค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าคลิปนั้นตอนนี้คงไปรอเปิดอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงแล้ว

นภัทรรีบร้อนออกจากห้องควบคุมเสียงแทบทันที เมื่อชายหนุ่มเข้ามาถึงห้องจัดงานก็เป็นเวลาเดียวกับที่วิศรุตเพิ่งพูดสุนทรพจน์ประโยคสุดท้ายจบลง

“...ซึ่งผลงานนี้เป็นผลงานที่ผมและพนักงานทัดเทวาทุกคนภูมิใจเป็นอย่างมาก ณ บัดนี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ภายใต้ชื่อโครงการว่า...บ้านเทวานิรมิต”

ข้างล่างเวที ภาคินพยักหน้าส่งสัญญาณกับลูกน้องของตนให้จัดการเปิดซีดีคลิปได้เลย ชายหนุ่มยิ้มสะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ อีกชั่วอึดใจรับรองว่าวิศรุต ทัดเทวาได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งพาดหัวทุกฉบับแน่

ในขณะที่แขกทุกคนรวมทั้งสื่อมวลชนพากันให้ความสนใจกับจอโปรเจคเตอร์ตรงหน้าที่กำลังขึ้นว่าโหลดข้อมูลจากแผ่นซีดีอยู่ พงศธรที่เพิ่งฟื้นจากสลบก็วิ่งเข้ามาในห้องจัดงานแล้วรีบเข้ามาสมทบกับนภัทร ยังไม่ทันที่นภัทรจะได้พูดอะไร พงศธรก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงรัวเร็วแต่ทว่ากลับเบาเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น

“ไอ้ภาคินกำลังใช้คลิปที่ถ่ายตอนแกกับวินมีอะไรกันในคืนวันงานเลี้ยงของคุณศรามาแฉว่าไอ้วินเป็นเกย์ แกต้องหยุดคลิปนั้นให้ได้ก่อนที่มันจะสายไปนะไอ้กานต์” นภัทรอึ้งไปเมื่อได้รู้เสียทีว่าคลิปเจ้าปัญหานั้นก็คือคลิปบัดสีของเขากับวิศรุตนั่นเอง ชายหนุ่มประสานสายตากับพงศธรแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นและแหบพร่าอย่างคนที่ไร้เรี่ยวแรง

“ไม่ทันแล้วไอ้พงษ์” พงศธรมองตามสายตาของนภัทรไปก็รู้ได้ว่าตอนนี้คลิปได้ถูกเปิดแล้ว ในที่สุดเขาก็มาไม่ทัน เท่ากับว่างานนี้เขาได้ทำร้ายวิศรุตผู้เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายรวมถึงเพื่อนที่เขารักที่สุดอย่างนภัทรด้วยสองมือของเขาเอง

พงศธรหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของนภัทร ชายหนุ่มหันไปมองทางศรารัตน์ที่ยืนห่างออกไปและกำลัง มองมาที่ตนพอดี หญิงสาวจุดยิ้มที่มุมปากราวกับผู้ชนะ ในขณะที่คลิปโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังถูกเปิดขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์ สื่อมวลชนจากทั่วทุกสำนักต่างถ่ายรูปและเตรียมอัดวิดีโอข่าวกันอย่างคึกคักกับผลงานชิ้นเยี่ยมที่สุดของวิศรุต ทัดเทวา


จบบทที่35


Aislin : สวัสดีค่ะ กลับมาอัพให้เหมือนเดิมแล้ว หลังจากที่หยุดอัพไป1วัน  ^ ^ นิยายเรื่องทัณฑ์กามเทพนี้เดินทางมาเกือบจะถึงบทสรุปแล้วนะคะ เพราะตอนนี้ก็จบบทที่35แล้ว (จากทั้งหมดมี39บท) แล้วก็จบบทแบบค้างๆคาๆอยู่อย่างนั้น ฮ่าๆๆ เอาไว้ติดตามเองดีกว่าเน้อว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร และเมื่อเราโพสนิยายจบแล้ว เดี๋ยวจะเปิดโอกาสให้นักอ่านในเล้าเป็ดร่วมเล่นเกมชิงไฟล์นิยายตอนพิเศษ "เธอเท่านั้น" กันค่ะ ขอบอกว่าตอนพิเศษไม่มีในรวมเล่มและไม่เคยโพสลงเว็บใดมาก่อน เราแจกสมนาคุณพิเศษให้นักอ่านที่ร่วมเล่นเกมเท่านั้นค่ะ สำหรับกติกาเกมนั้นเดี๋ยวเราจะเอามาโพสพร้อมกับตอนที่36-39 เลยนะคะ อดใจรอกันหน่อยเน้อ

           มีบางท่านถามเข้ามาว่าโอมแอบคิดอะไรกับวินหรือเปล่า เพราะรู้สึกจับรังสีสีม่วงได้ลางๆ ขอตอบว่าไม่ได้คิดเกินเพื่อนค่ะ แค่เพื่อนเท่านั้นจริงๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่เน้อ (เสียดายกันล่ะสิ ฮิฮิ๊ววว) ส่วนเมริษา...เธอเดสสะมอร์เร่ย์ไปเรียบร้อยแล้วค่ะจากฝีมือพี่ภาคินจอมโหด มว๊ากกก...สงสารโอมจริงๆ ตอนแรกกะได้ลงเอยด้วยกันแล้วเชียว แต่ก็นะ...Aislin ใจร้าย ไม่ให้ลงเอยกันง่ายๆหรอก หุหุ

             ส่วนด้านฝั่งหมอกานต์กะวิน เดี๋ยวก็ได้รู้แล้วแหล่ะว่าเรื่องราวจะออกหัวออกก้อย อีกไม่นานเกินรอจ้า ไม่อยากพูดพล่ามให้มากนัก เอาไว้รอลุ้นเองดีกว่า ขอบอกว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง  :a5:

ปล. ขอบคุณสำหรับการติดตามด้วยดีเสมอมา ถ้าจะดีกว่านี้ก็เม้นท์ๆให้หน่อยนะ คำนับงามๆ3รอบ  :pighaun: พลีสๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: goonglovenut ที่ 06-08-2012 13:36:05
ก่อนอื่นยกนิ้วโป้งให้คนเขียนก่อน ดำเนินเรื่องได้ดีมากจากเรียบเข้าสู้เนื้อหาที่เข้มข้นไปเรื่อยๆ มีหลากอารมณ์ของตัวละคร สุดยอด :3123:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 06-08-2012 13:42:52
ศรารัตน์เลวได้อีกกกกก เกิดมาเป็นน้องวินทำไมว๊ะ   :z6:

ถ้าชีวิตวินจะลำเค๊ญขนาดนี ขายบริษัททิ้ง ละหนีไปยู่อังกฤษเหอะ สงสารมากอะ ไม่ไหว

ขออย่าให้ไอ่คลิปเวรนั้นได้เปิดเลยนะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 06-08-2012 14:54:35
อ่านแล้วโมโห  อยากให้วินหนีไปไกลๆ ไม่ต้องกลับมา ไม่ต้องสนใจอะไรแล้วทั้งนั้น 

อยากรู้ว่าถ้าทำกันขนาดนี้  ยัยศราไม่ฆ่าพี่มันให้ตายๆไปซะเลย  จะรู้บ้างไหมว่าตอนที่ไม่สบายพี่เค้าเป็นห่วงขนาดไหน

อย่ามาสำนึกเมื่ออะไรๆ มันสายไปแล้วกัน  ฮึ่ยๆๆๆ

สองพ่อลูกนั่น เอาไว้ให้กรรมตามสนองเหอะ

 :fire:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 06-08-2012 15:14:44
ขอเดาว่าซีดีแผ่นนั้น " ไม่ มี คลิป "

อาจเป็นแผนซ้อนแผนของศราคะ

ยังมั่นในสายเลือดของพี่น้อง
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 06-08-2012 15:29:34
เรื่องชักเข้มข้น
ที่ศราทำไปมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ก็ได้ใช่ไหม
มันต้องมีหักมุมแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 06-08-2012 16:18:37
อินมากกับนิยายเรื่องนี้
แอบหวังว่าตอนหน้าอาจมีอะไรพลิกความคาดหมาย
แบบว่าซีดีนั้นอาจจะไม่ใช่คลิปของวิศรุตกับนภัทร
แต่กลับกลายเป็นหลักฐานทุจริตของสองพ่อลูกแทน
ขอให้ศรารัตน์ไม่ใจร้ายจนทำลายพี่ชายตัวเองได้ลงคอ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกหมีน้ำแดง ที่ 06-08-2012 17:37:13
เพิ่งจะเริ่มอ่านได้ 5 ตอน กว่าจะถึงตอนปัจจุบัน หนทางช่างยาวไกล :z3:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: ~@มาวินฮับ@~ ที่ 06-08-2012 17:42:12
เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก น่าจะเขียนบทละครได้เลย น่าติดตามจะรอตอนจบนะครับ เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 06-08-2012 19:41:55
กรี๊ดๆ!!! ลุ้นจนเครียดอ่ะ......
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 06-08-2012 20:25:11
ค้างงงง  :serius2: :serius2: :serius2:

ศราไม่น่าทำกับวินได้ถึงขนาดนี้เลยนะ  :sad4: :sad4:

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-08-2012 21:53:28
 :m31: :m31: :m31: :m31: :angry2: :angry2:ปวดใจจังเลยอะ :serius2: :serius2:


 :m15: :m15: :m15:สงสารวินใจจะขาดแล้วนะ :monkeysad: :monkeysad:


รีบมาต่อน๊าเค้าค้างอะ :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 06-08-2012 22:34:47
พออ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายของตอนนี้
ถึงกับตะโกนออกมาว่า " อ๊ากกกกก ค้างงงงงงง !!!! "  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 06-08-2012 22:42:53
ไม่เคยแช่งใครนะ แต่ขอแช่งศรา ขอให้ได้รับกรรมครั้งนี้อย่างสาสม
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 06-08-2012 22:58:34
ยังไม่อ่านตอนล่าที่โพสต์ล่าสุดแต่ขอมาเมนต์ก่อนละกัน

รู้สึกขัดใจกับ นภัทร มาก บ้าบอคอแตกทั้งสามคนเลย

นภัทร - ชีวิตก็เป็นของตัวเองนะ หัวใจก็เป็นของตัวเอง แต่ทำไมยังเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับยัยศรานั่นอีกไม่เข้าใจ
ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องใส่ใจ บ้าเปล่า ทำเหมือนยัยศราเป็นเจ้าหนี้ เลยไม่มีทางเลือกต้องยอมทำโน่นทำนี่
คอยเอาใจ เอาตัวไปขัดดอก ถ้าไม่ยอมก็ไม่ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เลย แค่เลิกข้องเกี่ยวกับยัยบ้านี่ซะก็หมดเรื่อง  นี่อะไรก็ไม่รู้
ขนาดพูดกันแล้วหนิว่ารู้สึกกับยัยนั่นได้แ่ค่ไหน บ้าบอที่ต้องเอาชีวิตไปข้องเกี่ยว ไปรับสมอ้างเป็นแฟนหรือแต่งงานด้วย
นี่ผู้หญิืงมันหมดโลกแล้วเหรอ แล้วต่อให้ความรักของเกย์ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ชะนีนี่มีแ่ค่ยัยศราคนเดียวนี่เหรอ
อยากได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแม่ของลูกเหรอ ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวนี่นะ โอ๊ยยยย เป็นถึงหมอคิดได้แ่ค่นี้นะนภัทร
ถ้ามันยากนัก ยังไงวินก็จะเสียสละให้น้องสาว ก็สะบัดบ๊อบออกมาเถอะ หาคนใหม่ ใช่เรื่องไหนที่ต้องเอาทั้งชีวิตไปอยู่กับ
ผู้หญิงคนนั้นโดยที่ไม่ได้รัก เพียงเพราะคำขอของคนรัก




ยัยศรา - เ็ป็นชะนีที่น่ารำคาญมาก หน้าตบมากๆ ยัยนี่ก็ประสาททั้งที่ผู้ชายก็ชัดเจนแล้วว่ายังไงก็ไม่รักเธอ
เห็นแก่ตัวมากๆๆ แต่ไม่โทษเธอนะ แต่เหมือนเธอทำตัวแบบว่ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจของนภัทร ว่าจะให้อยู่หรือไป(แม้จะไม่ได้รักหล่อน)
ซึ่งที่จริงแล้ว ยัยนี่ไม่มีสิทธิ์เลยนะ แต่ก็นั่นแหละ คนที่โง่คือ นภัีทร ต่างหาก บ้าบอมาตามใจยัยนี่อยู่ได้  ควรจะเลิกยุ่งได้แล้ว
ยังเอาตัวมาข้องเกี่ยวอีก

วิน- พอเสียสละก็ทำเหมือนสามารถจะยกกานต์ให้ใครก็ได้นะ ซึ่งจะบอกว่า เธอสองพี่น้องไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับหรือยกนภัทรให้กันและกันเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ คนกลางก็ทำตัวโง่เง่าเิดินตามเกมเอง ปล่อยให้สองพี่น้องบ้าบอกันเอง แล้วก็ยอมเป็นลูกบอลที่กลิ้งไปทางโน้นที่ทางนี้ที ตามที่สองพี่น้องอยากเล่น  เลิกทำตัวเป็นนางเอกผู้เสียสละเถอะ

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 07-08-2012 00:23:42
หนีไปอยู่้ด้วยกันเหอะหนีเรื่องราวไปเริ่มใหม่ทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 07-08-2012 00:30:54
ค้างตอนนี้ได้ไงอะ ใจร้าย เขาต้องรอต่อไปหรือเนี๊ย รอก็ได้ อยากอ่านมากก ขอบคุณที่มาลงให้อ่านนะค่่ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 07-08-2012 01:32:21
กล้าเลวได้ขนาดนี้เหรอศรา ถ้าทำได้จริงเธอเสียชาติเกิดมากนะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: Patty-Tata ที่ 07-08-2012 01:34:33
ขอประโยคเดียวค่ะ อิ ศรา ไป ตาย ซะ นังชั่ว!!!!
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-35
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 07-08-2012 05:29:20
คอมเมนต์ตอน31-35 สิ่งที่วินทำและขอตอบรับคำสั่งของยัยศราเป็นการกระทำที่โง่เง่ามาก  และ ใจร้าย กับ นภัทรมาก นั้นคือชีวิตความสุขทั้งชีวิตของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่วินรัก ต่อให้รักน้องแค่ไหนก็ตาม หรืออยากให้ตัวเองเจ็บปวดเองแต่ก็ไม่ควรพลักนภัทรลงเหว ส่วนนภัทร โง่เง่าพอกันการที่ตอบรับในสิ่งที่วินขอ ไม่ได้ดูเท่เลย ที่บอกว่ายอมทำทุกอย่างตามที่วินต้องการ ถ้าวินจะมีความสุขเป็นทางออกที่สิ้นคิดมาก มันคิดไม่ได้รึไงนะ ว่ามันไม่มีทางมีความสุขได้   ส่วนยัยศรา บางทีลืมว่ามีน้องไปเลยก็ดีนะวิน ถ้ามันจะชั่วและไม่รักดีและไม่มีความรักต่อพี่น้องที่คลานตามกันมาได้ขนาดนี้ ถ้ามันยุ่งยากนัก ก็หนีไปอยู่สันโดษเถอะ วิน ดีกว่าไปขอร้องให้กานต์แต่งงานบ้าบอ ปล่อยให้ยัยศรามันบ้าซะให้พอนอนอยู่บนกองเงินกองทองซะให้พอแม้แต่พี่ยังไม่รักบ้าผู้ชายอยู่ได้ทั้งที่เหลือกันอยู่สองพี่น้อง ก็ปล่อยให้อยู่คนเดียวไปซะเลย หมั่นไส้ ให้กานต์ไม่ต้องข้องเกี่ยวอีกด้วย แยกย้าย! เบื่อความดราม่าของยัยคนนี้ /// ส่วนพงษ์ กลับบ้ายัยนั่น จนยอมทำร้ายเพื่อนของตัวเอง เพื่อนที่ตัวเองรักและคบกันมานาน ทำโดยไม่รู้ว่าเค้าจะทำอะไร จะเกิดผลร้ายแค่ไหน เห็นแก่ตัวและเลวมาก // แต่ดีอย่างหนึ่งนะ ที่ยัยศราไม่มอมยา แล้วแก้ผ้าเสนอตัวให้กานต์ ตอนแรกหวั่นมาก // ตอนหน์าไม่ขอเดาความเป็นไปได้ทั้งสอง คือ ชั่วสุดติ่ง จะทำลายพี่จริงๆ และแบบสำนึกได้อาจจะแผนซ้อนแผนอีกที
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่36
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 07-08-2012 09:36:04
บทที่ 36


ภาพเคลื่อนไหวที่อยู่บนจอโปรเจคเตอร์กลับเป็นภาพที่วันชัยและภาคินกำลังปรึกษากันในการวางแผนทำร้ายวิศรุตและศรารัตน์เพื่อฮุบสมบัติของทัดเทวา ซึ่งคลิปนี้เป็นคลิปที่ได้มาจากเมริษานั่นเอง ภาพภาคินกับวันชัยที่หน้าเด่นหราอยู่ในคลิปอย่างชัดเจนทำให้คนทั้งคู่หน้าซีดเผือดและตกใจมากกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่กลับตาลปัตรไปแบบนี้ แทนที่คลิปนี้จะเป็นคลิปลับเพื่อแฉว่าวิศรุตเป็นเกย์ แต่ทำไมถึงกลายมาเป็นคลิปนี้ไปได้? กลายเป็นว่าตอนนี้ภาคินและวันชัยกลับโดนแฉเข้าเสียเอง

วิศรุตมองโปรเจคเตอร์ที่กำลังฉายคลิปไปเรื่อยๆสลับกับมองไปรอบตัวด้วยความมึนงง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมโครงการบ้านเทวานิรมิตของเขาถึงเป็นคลิปนี้ไปได้? ส่วนนภัทรก็สบตากับพงศธรด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน สองคนหันไปทางศรารัตน์เป็นตาเดียว หญิงสาวน่าจะเป็นคนเดียวที่ทำให้คำตอบเรื่องนี้กระจ่างออกมา

“ปิด ปิดเดี๋ยวนี้เลย ฉันบอกให้ปิดไง” วันชัยตะโกนก้องไปทั่วห้องจัดงานด้วยแรงอารมณ์ ชายสูงวัยก้าวเท้ายาวเพื่อจะไปปิดคลิปด้วยตัวเองแต่ว่าศรารัตน์พูดขัดเสียงกร้าวทันที

“ไม่ต้องปิด วันนี้ทุกคนจะได้รู้ทั่วกันไปเลยว่าธาตุแท้ของนายวันชัยกับภาคิน ทัดเทวานั้นเลวแค่ไหน” ศรารัตน์พูดเสียงกระด้าง หญิงสาวเดินขึ้นไปหยุดที่โพเดียมบนเวที ในขณะที่สื่อจากทุกสำนักถ่ายรูปกันมือเป็นระวิงเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอการแฉเบื้องลึกเบื้องหลังกลางงานแบบนี้มาก่อน “จากคลิปนี้ทุกท่านคงจะเห็นแล้วว่าคุณวันชัยและคุณภาคิน ทัดเทวา ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมีพฤติกรรมที่เป็นความผิดร้ายแรงอย่างยิ่ง ทั้งคู่ร่วมมือกันยักยอกเงินของบริษัท นอกจากนี้ยังเคยวางแผนฆาตกรรมดิฉันเพราะดิฉันบังเอิญได้รู้ความลับเรื่องการยักยอกเงินและวางแผนฆ่าคุณวิศรุตเพื่อที่จะฮุบกิจการของทัดเทวาเอาไว้”

“ไม่จริง เธอโกหก เธอใส่ร้ายฉันกับลูก นังหลานไม่รักดี แกมันโกหก” วันชัยกระชากเสียงแข็ง สีหน้าของวันชัยในตอนนี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะแรงอารมณ์

   “จากคลิปที่เป็นหลักฐานอยู่ทนโท่ตรงนี้แล้ว อากับภาคินยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอคะ?” วันชัยหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเมื่อหลักฐานทั้งภาพและเสียงมันชัดขนาดนี้ ภาคินมองศรารัตน์พลางกำมือแน่นด้วยความเค้น ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ที่แท้ศรารัตน์ก็แสร้งทำเป็นว่ายอมร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดวิศรุต แต่ที่แท้เธอก็หักหลังเขาโดยการเอาความลับมาแฉกลางงานแบบนี้

   “ศรารัตน์ แกทรยศฉัน” ภาคินคำรามเสียงดังด้วยความเค้น ตอนนี้บรรดาแขกคนอื่นๆทั้งบรรดากรรมการบริหารรวมถึงลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทกำลังมองมาที่เขาและวันชัยพร้อมกับเสียงวิจารณ์ที่ดังเซ็งแซ่ถึงความเป็นจริงที่เพิ่งได้รับรู้

   “นี่มันเรื่องอะไรกันศรา ทำไม...” วิศรุตถามขึ้นด้วยเสียงร้อนรน ทำไมไม่มีใครบอกเขาเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ศรารัตน์หันมองผู้เป็นพี่ชายแล้วยกมือปรามบอกว่าอย่าเพิ่งถามอะไร ตอนนี้เธอขอจัดการกับเรื่องทั้งหมดก่อน

“มอบตัวซะเถอะ ยังไงซะหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้คุณสองคนก็หนีไม่รอดหรอก” คำพูดนี้ศรารัตน์หันไปบอกกับภาคินและวันชัย แต่ภาคินตะคอกกลับ

“แกอย่านึกว่าแกแน่นะศรารัตน์ ฉันไม่ยอมแพ้พวกแกสองพี่น้องหรอก พวกแกก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะไอ้วิน...ไอ้คนวิปริต ไอ้พวกชอบ...”

“หยุดได้แล้วภาคิน ไอ้สารเลว ไอ้ฆาตกร” คำว่าชอบเพศเดียวกันยังไม่ทันได้หลุดออกจากปากของภาคินเพราะภาณุเข้ามาขัดจังหวะพอดีพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ3-4นาย ภาคินหันไปมองผู้มาใหม่อย่างตกตะลึง ภาณุรู้เรื่องเมริษา “จับมันเลยครับคุณตำรวจ” ภาณุชี้มาที่ภาคิน “ผมมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่ามันเป็นฆาตกรที่ฆ่าเมริษา”

วิศรุตต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้รู้ว่าเมริษาตายแล้ว ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่นแล้วมองไปที่ภาคินอย่างคิดไม่ถึง ในใจก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ตนเองก็มีส่วนทำให้เมริษาต้องตาย ถ้าหากว่าเขาไม่ขอให้เมริษาร่วมมือ ถ้าหากว่า...

“อย่าไปฟังมันครับคุณตำรวจ มันรวมหัวกันใส่ร้ายผมกับลูก” วันชัยกรีดเสียงแหลมอย่างไม่ยอมแพ้ เขาไม่มีวันจะมายอมจนแต้มแบบนี้เป็นอันขาด

“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณทั้งสองคนไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ ทั้งเรื่องคดียักยอกเงิน วางแผนฆาตกรรมคุณศรารัตน์และคุณวิศรุต รวมถึงการที่คุณภาคินเป็นผู้ต้องสงสัยในการตายของคุณเมริษาด้วย” ตำรวจจะเข้ามาเชิญตัวภาคินและวันชัยให้ไปโรงพัก แต่ตอนนี้ภาคินเลือดเข้าตาแล้ว ชายหนุ่มผลักตำรวจที่จะเข้ามาคุมตัวเขาอย่างแรง จากนั้นจึงวิ่งขึ้นไปบนยังโพเดียมบนเวทีที่ศรารัตน์ยืนอยู่

“แกจะทำบ้าอะไรน่ะภาคิน?” ศรารัตน์ถามเสียงสั่นเมื่อเห็นว่าภาคินเอาชักเอาปืนจากภายในเสื้อสูทมาจ่อที่ขมับตน เมื่อตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันชัยจึงฉวยโอกาสที่ทั้งหมดกำลังตะลึงงันอยู่รีบวิ่งเข้าไปสมทบกับภาคิน ในขณะที่แขกในงานและสื่อมวลชนต่างก็ตื่นตกใจเพราะไม่คิดว่าภาคินจะบ้าคลั่งขนาดเอาปืนออกมาขู่กลางงานเลี้ยงแบบนี้

“อย่าทำอะไรบ้าๆนะภาคิน ปล่อยศราเดี๋ยวนี้” วิศรุตที่ได้สติก่อนใครเพื่อนรีบพูดขึ้น ชายหนุ่มกลัวว่าน้องสาวจะเป็นอันตรายเพราะภาคินไว้ใจไม่ได้เลย “ปล่อยศราก่อน แล้วมีอะไรค่อยมาพูดกันก็ได้”

“วางปืนลงเถอะครับ ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงก็ไม่ต้องกลัว ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับคุณแน่นอน” ตำรวจพยายามพูดเกลี้ยกล่อมภาคิน แต่เพื่อความปลอดภัยจึงต้องชักปืนออกมาเล็งควบคุมสถานการณ์เอาไว้ด้วย

“ไม่ พวกแกรวมหัวกันทำร้ายฉันกับพ่อ ฉันไม่ยอม” ภาคินใช้มือหนึ่งล็อคคอแล้วกระชากศรารัตน์ลงจากเวที อีกมือหนึ่งก็ถือปืนเอาไว้ข่มขู่ไม่ให้ใครเข้าใกล้ “อย่าตามมา ไม่งั้นนังนี่เป็นศพแน่” เมื่อเห็นว่าวิศรุตไม่ยอมและจะตามไปช่วยศรารัตน์ ภาคินจึงยิงมาที่วิศรุตเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตน โชคดีที่วิศรุตหลบได้ทันโดยไปแอบหลบหลังโต๊ะวางอาหาร

“เป็นอะไรหรือเปล่าวิน โดนตรงไหนหรือเปล่า?” นภัทรรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของวิศรุต เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยก็โล่ง อก
การยิงปืนข่มขู่ของภาคินจุดชวนให้ตำรวจต้องพยายามเข้าควบคุมสภานการณ์ ตำรวจ2-3นายพยายามยิงสกัดทางหนีของภาคินและวันชัยแต่ก็ไม่ได้ผล เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้บรรดาแขกผู้มาร่วมงานทั้งหมดแตกฮือ ต่างพากันวิ่งหนีและหาที่หลบกันจ้าละหวั่น

วิศรุตใช้สายตาเพ่งมองท่ามกลางแขกที่แตกตื่นไปรอบบริเวณห้องจัดเลี้ยงอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่าภาคินและวันชัยกำลังลากศรารัตน์หนีไปทางประตูด้านข้าง ชายหนุ่มมองหน้านภัทรเป็นเชิงรู้กันก่อนทั้งคู่จะรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ส่วนภาณุด้วยความที่แค้นภาคินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปเช่นกัน ชายหนุ่มวิ่งไปอีกทางกะว่าจะไปดักอีกด้านหนึ่งแทน ในขณะที่พงศธรก็วิ่งตามวิศรุตและนภัทรไปติดๆ ในใจของเขาตอนนี้นึกเป็นห่วงศรารัตน์จับใจ





ภาคินและวันชัยลากศรารัตน์ที่พยายามดิ้นรนมาที่ลานจอดรถ แต่ก็พบว่าตำรวจได้ดักทางหนีเอาไว้หมดแล้ว ยิ่งคิดภาคินยิ่งแค้นใจ ชายหนุ่มออกแรงใช้ท่อนแขนรัดคอศรารัตน์ให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีกจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออก

“มอบตัวเถอะภาคิน หนีไปก็ไม่รอดหรอก ตำรวจล้อมเอาไว้หมดแล้ว” ศรารัตน์พยายามพูดด้วยเสียงอ้อแอ้แต่ภาคินไม่ฟัง ชายหนุ่มกล่าวโทษว่าเป็นเพราะเธอ เขาและพ่อถึงต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ วันชัยเหลียวมองภาคินแล้วพูดเสียงเครียด

“ตำรวจมันคงจะไปดักรอเราที่รถแล้ว เราจะทำยังไงกันดี?” ภาคินมองไปรอบตัวอย่างเริ่มจนมุม ที่ลานจอดรถมีตำรวจเต็มไปหมด ถ้าหากว่าเขาหนีออกไปทางด้านหน้าโรงแรมก็คงจะต้องเจอกับด่านตำรวจที่มารอดักเช่นกัน ชายหนุ่มกัดฟันแน่นแล้วตัดสินใจ ในเมื่อพวกนั้นบีบให้เขาจนมุม เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว หากวันนี้เขาไม่รอด พวกมันก็ต้องไม่รอดเหมือนกัน

“ไปที่ดาดฟ้าโรงแรม” ภาคินหันไปพยักหน้ากับวันชัยขณะที่กระชากศรารัตน์ไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าทันที
ระหว่างที่กำลังรอลิฟต์มาจอด วิศรุต นภัทร พงศธรและภาณุก็ตามมาถึง ศรารัตน์จะร้องขอให้ช่วย แต่ภาคินกลับบีบลำคอเธอไว้แน่น ภาพที่ภาคินกำลังทำร้ายศรารัตน์ทำให้วิศรุตตากร้าวด้วยความเดือดดาล ชายหนุ่มจะรีบเข้าไปช่วยน้องสาวแต่โดนภาคินตวาดห้ามเอาไว้

“อย่าเข้ามานะไอ้วิน ไม่งั้นฉันเป่าสมองน้องแกกระจุยแน่” เมื่อเห็นว่าภาคินเลื่อนเอาปืนไปจ่อกะโหลกของศรารัตน์ วิศรุตก็ได้แต่ยืนฮึดฮัดไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะกลัวน้องสาวได้รับอันตราย

“แกต้องการอะไร? บอกมาฉันจะให้แกทุกอย่าง” วิศรุตพยายามต่อรองแต่ภาคินไม่ฟัง เมื่อลิฟต์มาถึงวันชัยและภาคินก็ใช้ปืนขู่ทั้งหมดก่อนจะดันศรารัตน์ให้เข้าไปในลิฟต์ก่อนที่ตัวเองจะตามเข้าไปทันที

วิศรุต นภัทร พงศธรและภาณุสบตากันด้วยความกังวลระคนหวั่นใจอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง นภัทรพยายามกดเรียกลิฟต์อีกครั้งแต่ว่าตอนนี้วิศรุตร้อนใจด้วยความเป็นห่วงศรารัตน์จนทนรอลิฟต์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งไปทางบันไดหนีไฟเพื่อขึ้นตามพวกภาคินไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเพื่อนๆที่เหลือ




วิศรุตขึ้นมาทันพวกภาคินและวันชัยพอดี ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายบนดาดฟ้าของโรงแรม ท้องฟ้ายามค่ำคืนช่วยบดบังสายตาที่แสดงถึงความสบใจของภาคิน อย่างน้อยถ้าคืนนี้เขาหนีไม่รอด เขาก็จะได้ใช้โอกาสนี้ จัดการวิศรุต คู่แค้นตลอดกาลของตนไปพร้อมกับศรารัตน์เลย ถ้าจะตายก็ตายกันหมดทั้งตระกูลทัดเทวานี่แหล่ะ

“ปล่อยศราไปเถอะนะ ฉันรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแกเกลียดฉันมาก ศราไม่เกี่ยวอะไรด้วย ปล่อยเธอไปซะ” วิศรุตพูดด้วยเสียงที่พยายามข่มไม่ให้สั่นสะท้าน ชายหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบของภาคินแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

“หยุด อย่าเข้ามานะไอ้วิน ไม่งั้นฉันจะฆ่าศราจริงๆ ไม่เชื่อก็คอยดู” ภาคินเอาปืนจ่อวิศรุต แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ

“คนที่แกอยากจะฆ่าที่สุดก็คือฉันไม่ใช่เหรอไง ตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงนี้แล้ว แกกล้าฆ่าฉันไหมล่ะไอ้ภาคิน? หรือว่าเก่งแต่เป็นหมาลอบกัด” ดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายไหววูบเป็นประกายท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี

“แน่นอน ฉันอยากจะฆ่าแกที่สุดไอ้วิน” ภาคินมองคู่แค้นของตนด้วยแววตากร้าวโชนแสง “ตั้งแต่เด็กแกก็ดูถูกฉันตลอดเวลาหาว่าฉันเป็นแค่ไอ้ลูกที่ขอมาเลี้ยง ฉันต้องยอมเป็นลูกไล่ให้แกโขกสับและระบายอารมณ์ แกดูถูกหาว่าฉันเป็นพวกกาฝากที่มาเกาะใบบุญของทัดเทวา แต่แกไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าแกน่ะนอกจากจะใช้เงินเป็นอย่างเดียวแล้ว แกก็ไม่เคยทำประโยชน์ให้ทัดเทวาเหมือนกัน” คนพูดหยุดหอบด้วยแรงอารมณ์ที่กำลังประทุอยู่ในใจอย่างแรงกล้า

“แกก็เลยวางแผนจะฆ่าฉันแล้วก็ศรา?”

“บริษัททัดเทวาเติบโตมาอย่างยิ่งใหญ่และมั่นคงจนเป็นแนวหน้าของวงการอสังหาฯได้ขนาดนี้ มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของฉันกับพ่อทั้งนั้น ทายาทที่ไม่ได้เรื่องอย่างแกไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์แม้จะมาอ้างความชอบธรรมอะไรทั้งสิ้น” ภาคินเค้นเสียงหนักแล้วหันปลายกระบอกปืนไปทางวิศรุต “ถ้าไม่มีแกสักคน เรื่องทุกอย่างมันก็คงไม่ต้องจบลงแบบนี้”

“ถ้าอย่างนั้นเรามาตัดสินกัน ระหว่างฉันที่เป็นทายาทแท้จริง กับแก...ไอ้พวกกาฝากของตระกูล เรามาลองพิสูจน์กันสักตั้งไหมว่าใครมันจะแน่กว่ากัน?” วิศรุตท้าทายอีกฝ่ายให้มาสู้กันแบบตัวต่อตัว เมื่อเห็นว่าภาคินมีแววตาลังเล ชายหนุ่มจึงตั้งใจยั่วให้อีกฝ่ายโกรธ เขาเชื่อว่าถ้าหากสู้กันแบบตัวต่อตัวโดยไม่ใช้ปืนแล้วล่ะก็ เขาไม่เป็นรองฝ่ายนั้นแน่ “หรือว่านายก็แค่ไอ้พวกดีแต่ปาก” คำพูดยั่วโมโหของวิศรุตได้ผล ภาคินหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำก่อนจะรับคำท้าของอีกฝ่ายทันที

ภาคินให้วันชัยเป็นคนจับศรารัตน์ไว้แทนพร้อมกับให้ปืนเอาไว้ด้วย ชายหนุ่มเดินมาหยุดหน้าวิศรุตที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ทั้งคู่ประสานสายตากันด้วยแววตาที่สื่อถึงความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด ภาคินแสยะยิ้มเหี้ยมแล้วพูดเบาๆให้วิศรุตได้ยิน

“วันนี้จะเป็นวันตายของพวกแกสองพี่น้อง”

“ไม่รู้เหรอไงว่าฉันกับศราเป็นพวกหนังเหนียว แกพยายามวางแผนฆ่าเรามาตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายเราก็รอดมาได้ทุกที” วิศรุตจุดยิ้มมุมปากเช่นกัน การต่อสู้ตัวต่อตัวแบบนี้เขาถนัดเป็นที่สุด “ถ้านายยังจำได้ คราวที่แล้วในโกดังนั่น ฉันอัดแกจนหน้ายับไปหลายวันเลยนะภาคิน” ภาคินขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำปรามาสจากอีกฝ่าย ครั้งที่แล้วเขาพลาดไป รับรองว่าไม่มีรอบสองแน่
ภาคินเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน ชายหนุ่มต่อยโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าของวิศรุต แต่อีกฝ่ายเอียงตัวหลบทันก่อนจะใช้สันมือกระแทกไปที่หลังของภาคินอย่างแรงจนเซไป

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กัน นภัทร พงศธรและภาณุก็ขึ้นมาถึงดาดฟ้าแล้ว ศรารัตน์หันไปมองทั้งสามคนก่อนจะบอกให้ช่วยตนด้วย หญิงสาวพูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุดเพราะวันชัยเอามืออีกข้างบีบคอเธอไว้จนเกือบจะขาดอากาศหายใจ
พงศธรถลาจะเข้าไปช่วยศรารัตน์ด้วยความเป็นห่วงแต่วันชัยก็เอาปืนมาขู่ไว้ ทั้งสามคนที่ไม่มีปืนก็ได้แต่รีรอไม่กล้าเข้าไปเพราะกลัวว่าวันชัยจะยิงตัวประกันจริงๆ จึงได้แต่รอคุมเชิงอยู่ห่างๆ

ฝ่ายภาคินกับวิศรุตที่กำลังสู้กันอีกมุมหนึ่งก็เป็นไปอย่างดุเดือดเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องแค้นเคืองและบาดหมางใจกันมานาน สุดท้ายแล้วภาคินก็กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ วิศรุตได้จังหวะพลิกตัวขึ้นคร่อมภาคินก่อนจะระดมรัวกำปั้นใส่แบบไม่ยั้งมือจนภาคินมึนไปหลายตลบ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติก่อนจะใช้สองมือที่ว่างอยู่กระชากคอเสื้อของวิศรุตเพื่อยื้อร่างอีกฝ่ายเอาไว้ให้อยู่ในท่านั้นแล้วตะโกนเสียงดังบอกวันชัยให้ใช้โอกาสนี้ฆ่าวิศรุตทิ้งเสีย

“พ่อ ยิง...ยิงไอ้วินเดี๋ยวนี้เลย” จังหวะคับขันที่วันชัยกำลังเล็งปืนเพื่อยิงวิศรุต มือที่ล็อคคอศรารัตน์อยู่ก็คลายลงกว่าเดิม หญิงสาวจึงใช้โอกาสนี้สะบัดให้หลุดจากวันชัยแล้วพยายามแย่งปืนจากผู้เป็นอา

ด้านนภัทร พงศธรและภาณุที่รอท่าอยู่แล้วก็รีบเข้ามาช่วยศรารัตน์ทันที พงศธรเข้าไปช่วยศรารัตน์ออกมาในขณะที่ภาณุกับนภัทรเข้าไปแย่งปืนกับวันชัยจึงทำให้ปืนลั่นขึ้นหนึ่งนัดแต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเพราะกระสุนเฉียดไป ส่วนพงศธรก็กอดศรารัตน์เอาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วงและต้องการปกป้องร่างในอ้อมแขนตน

เสียงปืนที่ก้องไปทั่วทั้งดาดฟ้าทำให้วิศรุตชะงักจากร่างที่อยู่ในสภาพเริ่มสะบักสบอมของภาคิน ชายหนุ่มหันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจเพราะนึกเป็นห่วงศรารัตน์ นภัทรและเพื่อนอีกสองคน แต่การที่วิศรุตทำอย่างนั้นทำให้ตัวเองเสียสมาธิและในที่สุดก็พลิกกลับเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบภาคินจนได้

อีกด้านหนึ่ง ภาณุและนภัทรอาศัยแรงที่เหนือกว่าผลักวันชัยจนล้มกระเด็นไปอยู่ใกล้กับที่ภาคินและวิศรุตกำลังต่อสู้กันอยู่ ปืนในมือวันชัยจึงหลุดกระเด็นไถลไปอีกฝั่งด้านหนึ่งของดาดฟ้า

เมื่อภาคินเห็นได้จากทางหางตาว่าวันชัยเสียท่าอีกฝ่ายและถูกผลักล้มจนหัวแตกเพราะกระแทกกับพื้นซีเมนต์ ชายหนุ่มรีบละมือจากการบีบคอวิศรุตที่กำลังหน้าเขียวเพราะขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็วิ่งไปดูวันชัยที่กำลังนอนหมดแรงอยู่ที่พื้นใกล้ๆกันทันที
“พ่อ เป็นยังไงบ้าง พ่อ...” เมื่อเห็นว่าวันชัยมีเลือดซึมออกจากบริเวณศีรษะที่แตก ภาคินก็ยิ่งโมโหจะเข้าไปจัดการกับภาณุและนภัทร

“ปืน...ปืน...” ภาคินตวัดสายตามองตามที่วันชัยชี้ ปืนของเขาตกอยู่อีกด้านหนึ่ง ไวเท่าความคิด ภาคินจึงรีบวิ่งถลาเข้าไปจะหยิบปืน ซึ่งภาณุกับนภัทรก็จะรีบวิ่งเข้าไปแย่งปืนเช่นกัน แต่ไม่ทันเสียแล้ว ภาคินไปถึงปืนก่อน

“ตายซะเถอะไอ้วิน” ภาคินประทับปืนจะยิงวิศรุตที่พยายามพยุงตัวยืนขึ้นมาจากอาการบอบช้ำที่ถูกทำร้าย แต่เมื่อ
เห็นว่าภาคินกำลังเล็งปืนมาทางตน วิศรุตจึงพยายามป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ โดยการกัดฟันข่มความเจ็บปวดแล้วกระชากร่างของวันชัยที่อยู่ใกล้ๆกับตนมาบังวิถีกระสุนแทน ทำให้ภาคินพลั้งมือฆ่าวันชัยตาย

“พ่อออออออออออออ....” ภาคินตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่าร่างของวันชัยค่อยๆล้มลงต่อหน้าตนเองท่ามกลางความตกใจของคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้แต่ศรารัตน์ยังกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า ภาคินจ้องวิศรุตด้วยความแค้นที่สุดในชีวิต ชายหนุ่มจะยิงวิศรุตอีกรอบ นภัทรกับศรารัตน์ร้องเสียงหลง

“วินระวัง/วินหลบไป” ศรารัตน์ตะโกนเสียงสั่นเมื่อเห็นว่าภาคินจะทำอะไร ส่วนนภัทรที่ได้สติก็รีบพุ่งตัวเข้ามาผลักวิศรุตให้พ้นจากวิถีกระสุน ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกัน รอดจากการถูกยิงอย่างหวุดหวิด

แต่ภาคินไม่ยอมหยุดแค่นั้น ตอนนี้เลือดเข้าตาแล้ว ชายหนุ่มไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีกแล้ว มาถึงตอนนี้เขาไม่คิดเสียดายชีวิต อย่างน้อยถ้าเขาตายเขาก็จะไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายรอดเช่นกัน ภาคินเดินย่างสามขุมเข้าไปหาวิศรุตกับนภัทรที่ล้มลงอีกด้านหนึ่ง มือที่ถือปืนอยู่ไม่สั่นแม้แต่น้อยราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว วิศรุตกุมมือนภัทรเอาไว้แน่น ไม่มีร่อยรองความกลัวในแววตาสีน้ำตาลโศกแม้เพียงสักนิด ในขณะที่ศรารัตน์ พงศธรและภาณุเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“ถ้ารักกันมากนัก เดี๋ยวฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้” โดยไม่มีใครคาดคิด ศรารัตน์สบัดหลุดจากอ้อมกอดของพงศธรแล้วเข้าไปแย่งปืนจากมือของภาคินท่ามกลางความตกใจของทุกคน

“หนีไปเร็ว ไม่ต้องห่วงฉัน...บอกให้หนีไปไง” ศรารัตน์ตะโกนบอกด้วยเสียงแหบพร่าในขณะที่พยายามจะเบนปลายกระบอกปืนให้หันไปทางอื่น แต่วิศรุตไม่ยอมหนี เขาไม่มีวันจะทิ้งน้องสาวตัวเองให้เป็นเหยื่อของคนเลวอย่างภาคินแน่ ชายหนุ่มบอกนภัทรให้พาทุกคนหนีไปก่อน เดี๋ยวทางนี้ตนจะจัดการเอง

“ไม่มีทาง ถึงตายฉันก็จะต้องปกป้องนายให้ได้วิน” นอกจากนภัทรจะไม่ยอมทำตามแล้ว คุณหมอหนุ่มยังเข้าไปช่วยวิศรุตกับศรารัตน์แย่งปืนกับภาคินด้วย ส่วนพงศธรกับภาณุก็มองหน้ากันด้วยความวิตกและหวาดเสียว ก่อนที่พงศธรจะได้สติแล้วบอกให้ภาณุรีบไปนำตำรวจขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้า ส่วนตนจะเข้าไปช่วยเพื่อนอีกแรง

   หลังจากที่ภาณุรีบลนลานลงไปขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยแล้ว พงศธรก็อ้อมไปด้านหลังแล้วล็อคคอภาคินเอาไว้หวังว่าให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากปืน แรงดึงจากทางด้านหลังทำให้มือภาคินที่ถือปืนอยู่บิดไปอีกข้างหนึ่งเป็นโอกาสให้ นภัทรใช้เข่ากระแทกลำตัวของภาคินเพื่อบังคับอีกให้ฝ่ายทิ้งปืน แต่ภาคินก็ไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ ชายหนุ่มใช้ขายันนภัทรจนอีกฝ่ายล้มลงก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่ศอกกลับหลังเพื่อสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมของพงศธรและมันก็ได้ผลเพราะในที่สุดพงศธรก็ยอมปล่อยมือจากการล็อคคอภาคิน

   ภาคินจะกระแทกศรารัตน์ให้หลุดออกไปอีกคนแต่หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เธอออกแรงดันปลายกระบอกปืนลงต่ำก่อนจะ ช่วยกับวิศรุตเพื่อพยายามปลดปืนออกมาจากมืออีกฝ่าย แต่เสียงปืนในมือภาคินกลับดังขึ้นอีกรอบ

   ภาคินสบตาสองพี่น้องทั้งวิศรุตและศรารัตน์ด้วยความเกลียดชัง ซึ่งทั้งคู่ก็มองภาคินด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ชั่วอึดใจ ร่างของคนๆหนึ่งก็ล้มลงพร้อมกับเลือดที่เปรอะชุดที่สวมอยู่จนแดงฉาน



จบบทที่36
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่37
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 07-08-2012 09:39:33
บทที่ 37


   ภาคินแสยะยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองร่างของวิศรุตที่ล้มด้วยความสะใจ วินาทีนั้นนภัทรและพงศธรตัวชาไปกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าที่วิศรุตโดนยิง ศรารัตน์หวีดร้องดังลั่นก่อนจะถลาเข้าไปประคองร่างผู้เป็นพี่ชาย คำพูดที่เอ่ยออกมาสั่นพร่าแทบไม่เป็นภาษา “วิน นายต้องไม่เป็นไรนะวิน ทำใจดีๆเอาไว้” วิศรุตหายใจหอบหนักแต่ก็ยังอดเป็นห่วงศรารัตน์ไม่ได้เมื่อเห็นว่าภาคินกำลังเล็งปืนมาที่เขาทั้งสองคนอีกครั้ง

   “ศรา...ระวัง...” ศรารัตน์หันไปมองภาคินที่กำลังเล็งเป้ามาที่ตนอย่างไม่กลัว

   “ตายตามพี่แกไปเถอะนังคนทรยศ” ยังไม่ขาดคำ เสียงปืนก็ดังขึ้นรัวหลายนัดพร้อมกับร่างภาคินที่กระตุกและล้มลงตรงหน้าของหญิงสาว ดวงตาคมกริบเบิกโพรงด้วยความแค้นที่อัดแน่นในใจ ภาคินกระอักเลือดออกจากปากก่อนค่อยๆหันศีรษะมาทางศรารัตน์และวิศรุต “ฉัน...เกลียด...พวกแก” จากนั้นทั้งร่างของภาคินก็แน่นิ่งไปโดยที่ดวงตายังคงเบิกกว้างจับจ้องอยู่ที่สองพี่น้องทัดเทวา

   เมื่อได้สติ นภัทรกับพงศธรจึงรีบวิ่งมาหาวิศรุตที่นอนหายใจรวยรินอยู่ใกล้ๆกับศรารัตน์ ภาณุเองก็เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มรีบวิ่งแหวกกลุ่มตำรวจเข้ามาหาเพื่อนรักของตนด้วยสีหน้าซีดเผือด นภัทรเอามือของวิศรุตไปกุมไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น อย่างควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่เลือดสีแดงสดก็ยังคงไหลออกจากบาดแผลที่โดนยิงอย่างไม่ยอมหยุดง่ายๆ

   “วิน นายต้องเข้มแข็งไว้นะ นายต้องอดทน ฉัน...ไม่ต้องห่วง ฉันจะรักษานายเอง” ริมฝีปากของนภัทรสั่นระริก ภาพวิศรุตที่นอนจมกองเลือดกำลังบีบเค้นหัวใจของชายหนุ่มอย่างรุนแรง วิศรุตฝืนยิ้มบางๆให้คุณหมอหนุ่ม

   “กานต์...ศรา...ปลอดภัยใช่ไหม?” น้ำเสียงแผ่วระโหยของวิศรุตเรียกหยาดน้ำตาของศรารัตน์ให้ไหลลงมาเป็นทาง ถึง   ขนาดนี้แล้ววิศรุตก็ยังเป็นห่วงเธอ หญิงสาวจับมือวิศรุตแน่นแล้วบอกว่าเธอปลอดภัยดีและชายหนุ่มจะต้องไม่เป็นอะไร วิศรุตไม่ทันได้ตอบก็หมดสติไปก่อนท่ามกลางความตกใจของทุกคน




   วิศรุตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเพราะเสียเลือดมากและกระสุนโดนอวัยวะสำคัญ ทั้งหมดกรูกันวิ่งตามร่างของวิศรุตที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ศรารัตน์มองภาพนั้นด้วยความหวั่นใจไม่น้อย ในใจก็พยายามปลอบตัวเองว่าวิศรุตจะต้องไม่เป็นอะไร และที่สำคัญคือหญิงสาวเชื่อมือหมอนภัทร เชื่อแน่ว่าเขาจะต้องรักษาชีวิตของพี่ชายเธอเอาไว้ได้อย่างแน่นอน เธอเชื่ออย่างนั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็พยายามบอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น

   เมื่อวิศรุตถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว ศรารัตน์ก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นั่งแถวนั้นด้วยอาการหมดแรง หญิงสาวโทษตัวเองอยู่ในใจว่าเรื่องนี้เธอเป็นต้นเหตุทั้งหมด ถ้าไม่เป็นเพราะแผนการบ้าๆของเธอ วิศรุตก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพปางตายแบบนี้ พงศธรมองอาการของศรารัตน์ด้วยความเครียดไม่แพ้กัน ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วกุมมือเธอเอาไว้

   “ทำใจดีๆนะครับคุณศรา วินต้องไม่เป็นอะไร” แม้จะปลอบไปอย่างนั้นแต่ลึกๆพงศธรก็อดจะกลัวไม่ได้ สภาพวิศรุตที่ถูกยิงอาการปางตายทำให้ชายหนุ่มพูดปลอบอีกฝ่ายได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก

   “เพราะแผนการโง่ๆของฉันเอง เพราะฉันเองแท้ๆ ถ้าฉันบอกวินเรื่องแผนการนั่นก่อน วินก็คงจะไม่โดนยิง” ศรารัตน์น้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกผิดที่กดทับในใจอย่างรุนแรง เพียงเพราะต้องการให้แผนการนี้แนบเนียนที่สุด หญิงสาวจึงเลือกที่ จะไม่บอกใคร เธอยอมถูกพงศธรเข้าใจผิด ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงร้ายกาจที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งพี่ชายร่วมสายเลือดของเธอเอง เธอเลือกที่จะจัดการทุกอย่างเองโดยไม่ขอความเห็นชอบของวิศรุต เพราะถ้าหากวิศรุตรู้ล่ะก็ แผนการเปิดโปงความชั่วของวันชัยและภาคินก็คงไม่แนบเนียนขนาดนี้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คาดการณ์ผิดจนได้

   “ไอ้วินเป็นคนดวงแข็ง อีกอย่างไอ้กานต์ก็เป็นหมอผ่าตัดชื่อดัง พี่เชื่อว่าไอ้วินต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนาน” ภาณุเข้ามาช่วยปลอบด้วย ถึงแม้ว่าจะหนักใจไม่น้อยกับอาการบาดเจ็บของเพื่อนรัก แต่อีกใจหนึ่งภาณุก็โล่งใจที่ภาคินตายแล้ว อย่างน้อยคนที่ผิดก็ได้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้แล้ว อย่างน้อยเมริษาก็ไม่ได้ตายฟรี “สรุปว่านี่ก็เป็นแผนการของศราตั้งแต่ต้นเลยเหรอ? แล้วก็เรื่อง เอ้อ คลิปอะไรนั่นด้วย” ศรารัตน์พยักหน้ารับแล้วค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟัง
   


“ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดกับเธอ” วิศรุตพูดเสียงหนักแน่นในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววเคร่งเครียดอย่าง
ปิดไม่มิด “อันที่จริงต้องเรียกว่าขอร้องเธอถึงจะถูก” เมื่อเห็นว่าศรารัตน์มีสีหน้าสงสัยในสิ่งที่ตนพูด วิศรุตจึงระบายลมหายใจบางก่อนจะตัดสินใจ ‘เล่า’ เรื่องราวบางอย่างให้ศรารัตน์ฟัง “จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกเธอว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอถึงสองครั้งสองคราน่ะ ที่แท้แล้วเป็นฝีมือของอาวันชัยกับภาคิน?”

   “นายรู้ได้ยังไง?” น้ำเสียงศรารัตน์คลางแคลงใจ หญิงสาวไม่อยากเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะกล้าทำได้ถึงขนาดนี้เพราะเธอเอง ก็เป็นหลานแท้ๆของวันชัย

   “เรื่องนี้เมริษาเป็นพยานให้ได้ ตอนนี้เธอกลายมาเป็นพวกของเราแล้ว เธอจะคอยสืบเรื่องจากสองพ่อลูกนั่นแล้วมารายงานเรา” ศรารัตน์นิ่งไปกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รู้ เมื่อครู่วิศรุตบอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับเธอ ตอนนี้เธอเริ่มอยากรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไร

   “เอาเป็นว่าขอบใจที่บอก แล้วฉันจะระวังตัวให้มากกว่านี้ เอ้อ แล้วนายมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันอีกหรือเปล่า?”

   “ฉันอยากจะขอร้องเธอให้ร่วมมือกับฉัน ตอนนี้ฉันกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดกับสองคนนั้นอยู่ ฉันรู้ว่าตอนนี้หน้าฉันเธอยังไม่อยากจะมอง แต่ถ้าเราพักเรื่องของ...นภัทร แล้วเรามาร่วมมือกันเปิดโปงแผนชั่วของ...” ชื่อของนภัทรทำให้ ศรารัตน์ชะงักไป ดวงตาสีน้ำตาลไหววูบเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นนิ่งสนิทตามเดิม

   “เรื่องนี้ฉันจะเก็บไปคิดอีกทีหนึ่ง นายออกไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อน”

   “แต่ว่าเรื่องนี้รอไม่ได้นะศรา” วิศรุตพยายามท้วงแต่ศรารัตน์ยังคงมีท่าทีเฉยชาจนคนพูดเริ่มหมดความพยายาม
   “ตามใจเธอก็แล้วกัน ถ้าเธออยากปล่อยให้ไอ้พวกที่ทำร้ายเธอลอยนวล ให้พวกนั้นได้เสวยสุขอยู่ในทัดเทวาต่อไปก็ตามใจเธอ แต่ฉันไม่มีวันยอมแน่” วิศรุตพูดทิ้งท้ายก่อนออกไปจากห้องด้วยความหัวเสียไม่น้อย

   เมื่อลับหลังอีกฝ่าย ดวงตาเรียบสนิทของศรารัตน์ก็เป็นประกายเจิดจ้าทันที เธอไม่ได้จะปล่อยให้พวกนั้นลอยนวลหรอก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เธอก็มีวิธีจัดการในแบบของเธอเช่นกัน



   “หลังจากนั้นฉันก็แกล้งทำเป็นพวกเดียวกับภาคิน แต่เพื่อให้มันวางใจฉันเต็มที่ ฉันก็เลยวางแผนแอบอัดคลิปตอนที่วินกับหมอกานต์มีอะไรกันเพื่อให้แนบเนียนสมจริงมากขึ้น โดยที่ไม่ได้บอกคุณพงษ์และปล่อยให้เข้าใจผิดอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันก็ได้ผล ภาคินเชื่อสนิทใจว่าฉันกำลังหักหลังวินและจะเอาคลิปนั้นไปแฉเพื่อทำลายชื่อเสียงของพี่ชายตัวเอง”

   “ขอโทษนะครับคุณศราที่ผมเข้าใจคุณผิด” พงศธรเอ่ยขอโทษศรารัตน์ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่ได้คิดถือสาเพราะรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดเธอเป็นต้นเหตุตั้งแต่แรก

   “แต่ที่พี่สงสัยก็คือคลิปที่ถ่ายไอ้วินกับไอ้กานต์อยู่ที่ไหน ทำไมคลิปที่อยู่ในมือของภาคินถึงเป็นคลิปหลักฐานที่พวกเราได้มาจากเมริษาล่ะ”

   “คลิปที่ถ่ายวินกับหมอกานต์อันนั้นฉันทำลายทิ้งไปแล้วค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งคู่ที่ยังสงสัยอยู่ ศรารัตน์จึงอธิบายต่อ “ตอนที่ภาคินมาเอาคลิปจากฉันไป ตอนนั้นฉันแอบเอาแผ่นซีดีที่วินได้มาจากเมริษามาสับเปลี่ยนกับแผ่นซีดีที่อัดคลิปของวินกับหมอกานต์น่ะค่ะ” คนฟังจึงถึงบางอ้อ พงศธรเหลียวมองศรารัตน์ด้วยความชื่มชมในความฉลาดของอีกฝ่าย แผนการนี้ช่างแนบเนียนเหลือเกิน ไร้ช่องโหว่จนแม้แต่จอมเจ้าเล่ห์อย่างภาคินก็มองไม่ออก

   “แล้วศราก็เลือกที่จะปิดบังวินไว้” หญิงสาวพยักหน้ารับคำพูดของภาณุ

   “คนรู้น้อยก็จะยิ่งดี แต่ถ้าฉันรู้ว่าวินจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ สู้บอกแผนการในตอนนั้นก็ยังจะดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยวินจะได้ระวังตัวเองมากขึ้น”

   “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับคุณศรา คุณทำดีที่สุดแล้ว ใครมันจะไปรู้ได้ล่ะว่าไอ้ภาคินจะพกปืนมาในงานเลี้ยงด้วย” คำปลอบของพงศธรก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์ดีขึ้นเท่าไหร่ เมื่อพูดถึงวิศรุต ศรารัตน์ก็มีสีหน้าหมองไปทันที หญิงสาวชะเง้อหน้าไปทางห้องฉุกเฉินด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าป่านนี้คนในห้องนั้นจะเป็นยังไงบ้าง

   ผ่านไปหลายชั่วโมง ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก นภัทรเดินออกมาในขณะที่ศรารัตน์ พงศธรและภาณุก็รีบเข้าไปถามอาการของวิศรุตด้วยความเป็นห่วง

   “วินเป็นยังไงบ้างคะ ปลอดภัยหรือยัง?”

   “ไอ้วินไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมวะ แล้วเข้าไปเยี่ยมได้หรือเปล่า?”

   “ว่าไงล่ะไอ้กานต์ ตกลงไอ้วินเป็นยังไงบ้าง?” นภัทรมองหน้าทั้งสามคนที่รอลุ้นคำตอบจากเขาโดยเฉพาะศรารัตน์ ดวงตาสีน้ำตาลแบบเดียวกับวิศรุตกำลังจ้องเขาเขม็ง คุณหมอหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว แม้จะผ่านการผ่าตัดรักษาคนไข้มามากมาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกหนักใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลยในชีวิต

   “วิน...กระสุนโดนอวัยวะสำคัญ ตอนนี้...ยังไม่พ้นขีดอันตราย” คำพูดของนภัทรดับความหวังในใจของศรารัตน์เสียจนแทบมอด มือที่ยื่นไปกุมแขนของนภัทรไว้เปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบประดุจน้ำแข็ง “ถ้าหากพ้นคืนนี้ไปได้ก็น่าจะ...ไม่มีปัญหา” พูดจบนภัทรก็ขอตัวแยกไปทันที คุณหมอหนุ่มเดินห่างจากทั้งสามคนไปเรื่อยๆ เขาไม่อยากให้ใครต้องเห็นความอ่อนแอในดวงตาของเขา นภัทรสูดลมหายใจลึกพลางสะกดกลั้นน้ำใสๆที่กำลังคลอเอ่อดวงตาสีถ่าน นายต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้นะวิน...




   นภัทรเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าเตียงในห้องฉุกเฉินซึ่งวิศรุตนอนอยู่ สายจากเครื่องมือแพทย์ที่ถูกโยงไปทั่วร่างคนตรงหน้าทำให้นภัทรเม้มปากแน่น คุณหมอหนุ่มเอามือของวิศรุตที่ยังอุ่นอยู่มาแนบหน้าแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว

   “ฉันมีเรื่องมากมายที่อยากจะอยากจะบอกกับนาย เมื่อไหร่นายจะตื่นซะทีล่ะวิน?” นภัทรไล้มือไปตามใบหน้าหล่อเหลาของวิศรุตที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีซีดเผือด “นายอย่าเป็นอะไรไปนะ อย่าทิ้งฉันไปแบบนี้”

   ศรารัตน์ที่แอบฟังอยู่หลังม่านกั้นเตียงผู้ป่วยชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของนภัทร หญิงสาวมองนภัทรที่กำลังกุมมือวิศรุตอยู่ด้วยความปวดใจกับภาพที่เห็น เธอเห็นกับตาว่านภัทรมีสีหน้าตกใจเพียงไรเมื่อเห็นว่าวิศรุตโดนยิง คุณหมอหนุ่มหน้าซีดไร้สีเลือดเมื่อตอนที่พี่ชายของเธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และสิ่งที่เธอกำลังเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือนภัทรกำลังร้องไห้...คุณหมอหนุ่มร้องไห้ให้วิศรุต

   “ลืมตาสิวิน ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันอยู่ข้างๆนายแล้วนะ” นภัทรมองร่างที่ยังไม่รู้สึกตัวผ่านดวงตาที่คลอเอ่อไปด้วยน้ำใส คุณหมอหนุ่มพยายามกลั้นก้อนแข็งๆลงคอแต่ก็ทำได้อย่างยากเย็น ตั้งแต่เป็นหมอ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ถึงขนาดนี้ อาชีพของเขาเป็นอาชีพที่บางครั้งก็ต้องทำใจให้คุ้นชินกับความตายเพราะไม่อาจฝืนกฎธรรมชาติได้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน คนที่นอนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือผู้ชายคนที่เขารัก จะให้เขาทำใจได้อย่างไรหากว่าจะต้องสูญเสียวิศรุตไปจริงๆ

ภาพเมื่อในอดีตแล่นวาบเข้ามาในสมองของนภัทรอีกครั้ง ภาพตอนที่น้ำหวานจากไปทำให้นภัทรยิ่งกลัว กลัวว่าภาพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง

   “จำได้ไหม ตอนวันเกิดฉันที่ผ่านมา นายเคยร้องเพลงให้ฉันฟังเพลงหนึ่ง” นภัทรกระพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำที่คลอเอ่ออยู่ ตรงบริเวณหน่วยตา ริมฝีปากที่หยักโค้งได้รูปค่อยๆเอ่ยเนื้อเพลงท่อนหนึ่งออกมา คุณหมอหนุ่มได้แต่หวังว่าวิศรุตจะรับรู้ได้ถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ “…There could just be an only you...my only you and you alone that my heart really truly belong. I pledge my life to… to love you without asking anything in return” 

   ศรารัตน์น้ำตาไหลพราก เพราะเธอที่เป็นต้นเหตุใช่ไหม? เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้วิศรุตบาดเจ็บก็แย่มากพออยู่แล้ว แต่ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือเธอกำลังทำร้ายหัวใจของคนสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่เธอรัก ส่วนอีกคนก็เป็นผู้ชายที่รักและห่วงใยเธอมากเหลือเกิน ความเห็นแก่ตัวของเธอกำลังทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด ภาพเบื้องหน้าทำให้เธอได้รู้ว่านภัทรรักวิศรุตมากแค่ไหน ความรักผิดธรรมชาติแบบที่เธอเคยปฏิเสธมาตลอด บัดนี้มันกำลังฉายชัดอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว

   “ฉันขอโทษนะวิน...ฉันขอโทษจริงๆ” ศรารัตน์กัดริมฝีปากจนเจ็บ หญิงสาวพร่ำขอโทษวิศรุตซ้ำไปซ้ำมาในใจอยู่อย่าง  นั้นตลอดทั้งคืน




   อาการบาดเจ็บของวิศรุตรอดพ้นขีดอันตรายมาอย่างปาฏิหาริย์ หลังจากตรวจเช็คอาการและบาดแผลอย่างละเอียดแล้ว นภัทรจึงสั่งย้ายวิศรุตไปพักที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ซึ่งหลังจากสลบไม่ได้สติไปถึงสองวันวิศรุตจึงค่อยรู้สึกตัว เมื่อพยาบาลโทรไปแจ้งว่าชายหนุ่มรู้สึกตัวแล้ว ศรารัตน์จึงรีบมาที่โรงพยาบาลทันที จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง สายตาก็มองเห็นจากช่องกระจกใสที่ประตูว่าวิศรุตไม่ได้อยู่คนเดียว นภัทรเองก็อยู่ในนั้นด้วย

   ศรารัตน์มองวิศรุตที่กำลังยิ้มกว้างให้นภัทรด้วยแววตาเจือความเศร้า ทั้งที่เธอควรดีใจถึงจะถูกที่วิศรุตอาการดีขึ้นแล้ว แต่ทำไมเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว หญิงสาวถึงรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้จนแหลกสลาย ศรารัตน์ฝืนยิ้มเศร้าให้ตัวเอง ตั้งใจจะหันกลับแต่บังเอิญว่าได้เจอกับภาณุเสียก่อน

   “ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะศรา?” ภาณุสงสัยก่อนจะเดาอะไรได้ลางๆเมื่อเห็นสีหน้าของศรารัตน์ “วินคงดีใจมากที่เห็นว่าเธอมาเยี่ยม”

   “พี่โอมเข้าไปเถอะค่ะ เดี๋ยวศรากลับก่อนดีกว่า วันหลังค่อยมาใหม่” ศรารัตน์เอ่ยขอตัวแล้วเดินเลี่ยงออกไป เมื่อมองเข้าไปในห้อง ภาณุก็เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่ตนคิดไว้นั้นถูกต้องแล้ว ชายหนุ่มเรียกศรารัตน์เอาไว้

   “ถ้าศราไม่มีธุระที่ไหนต่อ พี่ว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันไหม?” ศรารัตน์สบตาอีกฝ่ายอย่างลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมตกลง




   ภาณุพาศรารัตน์มานั่งคุยและดื่มกาแฟกันที่ร้านค็อฟฟี่ช็อปของโรงพยาบาล หญิงสาวสังเกตเห็นภาณุสวมชุดดำจึงทักขึ้นโดยไม่ทันได้คิด

   “ตอนเช้าพี่เพิ่งไปลอยอังคารของเมริษามาน่ะ” คำตอบของภาณุทำให้ศรารัตน์เงียบไป เมื่อเห็นท่าทางของคู่สนทนาภาณุก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูด ชายหนุ่มรู้ว่าในใจศรารัตน์ก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยกับเรื่องการตายของเมริษา แต่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว คนชั่วก็ได้ชดใช้กรรมอย่างสาสมไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปโทษหาว่าใครผิดอีก “ว่าแต่ที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”

   “เรื่องที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อบริษัทมาก หุ้นบริษัทก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว พวกนักข่าวเองก็ตั้งใจจะเล่นข่าวนี้เป็นพิเศษ แต่สุดท้ายเราก็ใช้ทั้งเงินและอำนาจธุรกิจที่อยู่ในมือบังคับให้เรื่องมันจบลงจนได้” ภาณุมองอีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ หลายวันที่ผ่านมานี้ศรารัตน์คงต้องเหนื่อยมากพอดู ทั้งเรื่องพี่ชายที่มาโดนยิงอาการปางตาย อีกทั้งยังต้องรับมือกับเรื่องยุ่งๆที่บริษัทอีก

   “ตอนนี้วินก็ฟื้นแล้ว ขอโทษนะที่พี่ขอถามตรงๆ...ศราจะทำยังไงกับเรื่องของวินแล้วก็กานต์?” คำถามที่ไม่อ้อมค้อมของภาณุก็สามารถทำให้ศรารัตน์เกิดความกระอักกระอ่วนใจได้ในทันที หญิงสาวใช้หลอดคนกาแฟปั่นในแก้วเล่นก่อนจะถามย้อนกลับ

   “แล้วถ้าเป็นพี่โอมล่ะคะ จะทำยังไง?”

   “คำถามนี้พี่คิดว่าศราเองก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากจะพูด” สีหน้าที่แสดงถึงอาการตั้งใจฟังของคู่สนทนาทำให้ภาณุยิ้มบาง “คนแต่ละคนมีมุมมองต่อความรักไม่เหมือนกัน เราอาจจะเห็นเป็นสิ่งหนึ่ง แต่คนอื่นกลับเห็นเป็นอีกอย่าง การจะทำให้คนอื่นเห็นในแบบที่เราเห็นหรือว่ามองในองศาเดียวกับที่เรามอง บางทีมันก็เป็นไปไม่ได้”

   “พี่โอมตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่คะ?”

   “ไอ้วินแอบรักกานต์ข้างเดียวมาตลอด13ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา วินเสียน้ำตาไปมากมายกับความรักที่หลายคนบอก ว่ามันผิดครรลองตามธรรมชาติ แต่ในที่สุดก็มีวันนั้น...วันที่กานต์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากไอ้วิน รู้ไหมว่าในใจของผู้ชายที่ชื่อวิศรุตมันทั้งมีความสุขและก็เจ็บปวดไปพร้อมกัน สุขที่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตอบสนองความรู้สึกที่ตนมีให้มานาน...ทุกข์เมื่อรู้ว่าน้องสาวก็ชอบผู้ชายคนเดียวกับตัวเอง แต่สุดท้ายวินก็เลือก เลือก...ที่จะเอามือของนภัทรไปวางไว้ใส่มือเธอด้วยสองมือของตัวเอง” ศรารัตน์ใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ภาณุก็พูดต่อไปเรื่อยๆด้วยแววตาสงบนิ่ง

   “แม้เธอกับวินจะเป็นเหมือนพี่น้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แต่ลึกๆแล้ววินก็ทั้งรักและเป็นห่วงเธอมากนะศรา วันที่เธอถูกภาคินจับตัวจะพาไปทำร้ายที่โกดังร้างนั่น ไอ้วินเข้าไปช่วยเธอแบบไม่ห่วงตัวเองแม้แต่น้อย หมอนั่นบ้าเลือดมากจนแม้แต่พี่เองก็ยังกลัว ร่องรอยแผลฟกช้ำบนหน้าไอ้วินก็เป็นผลมาจากการไปฟัดกับภาคินนั่นแหล่ะ”

   “ทำไม...ทำไมวินไม่บอกฉันเรื่องนี้…” ศรารัตน์เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดมาตลอด หญิงสาวเข้าใจว่านภัทรต่างหากที่เข้าไปช่วยเธอจากภาคิน แต่สุดท้ายคนที่ช่วยเธอจริงๆก็คือวิศรุต

   “ตอนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาก็เหมือนกัน เมื่อเห็นว่าเธอโดนจับเป็นตัวประกัน คนที่วิ่งตามจะเข้าไปช่วยเธอเป็นคนแรกโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเองก็คือไอ้วิน พี่รู้ว่าไอ้วินรักกานต์มาก รักพอๆกับที่รักน้องสาวตัวเอง ไม่อย่างนั้นคนที่เย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแบบวิศรุตก็คงจะไม่ยอมปล่อยมือจากคนที่ตัวเองรักมาตลอด13ปีได้ง่ายๆแน่” แม้จะสงสารศรารัตน์แค่ไหน แต่เขาจำเป็นต้องพูด ศรารัตน์ควรที่จะมีโอกาสได้มองความรักด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากเดิม

   “นิยามความรักของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน นิยามความรักของวินคือการเสียสละ นิยามความรักของกานต์คือความมั่นคง ถ้าลองรักไปแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจง่ายๆ แล้วนิยามความรักของศราล่ะ เป็นแบบไหน?”

   “พี่โอม...” ภาณุประสานสายตากับศรารัตน์อยู่ชั่วอึดใจก่อนที่หญิงสาวจะหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความรู้สึกบางอย่าง เอาไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้น

   “ไม่ว่าจะเป็นความรักชายหญิง หญิงหญิง หรือแม้กระทั่งชายชาย ถึงอย่างไรมันก็คือ...ความรัก”


จบบทที่ 37

ปล. ประโยคนี้ของโอม เอาใจเราไปเลยอ่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่38
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 07-08-2012 09:43:44
บทที่ 38


   อาการบาดเจ็บจากการโดนยิงดีขึ้นมากจนเกือบจะหายเป็นปกติ นภัทรจึงอนุญาตให้วิศรุตออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ศรารัตน์มารับผู้เป็นพี่ชายด้วยตัวเอง ตลอดระหว่างทางจากโรงพยาบาลกลับบ้านทัดเทวา หญิงสาวไม่ยอมพูดอะไรกับวิศรุตสักคำ แม้ว่าวิศรุตจะพยายามทำลายบรรยากาศอึดอัดภายในรถโดยการยกเรื่องต่างๆมาพูดก็ตาม แต่ ศรารัตน์ก็ยังตอบน้อยเสียจนแทบจะนับคำพูดได้ ในใจของหญิงสาวตอนนี้กำลังคิดใคร่ครวญบางอย่างเงียบๆ

   “เดี๋ยวสิศรา ฉันมีเรื่องอยากจะพูดด้วย” ศรารัตน์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนแล้วหันมาสบตาผู้พูดด้วยแววตาไม่แสดงอารมณ์

   “ขึ้นไปคุยที่ห้องทำงานก็แล้วกัน”





   “ไอ้โอมกับไอ้พงษ์เล่าให้ฉันฟังหมดแล้วเรื่องแผนการของเธอ” วิศรุตเริ่มเปิดประเด็นถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้

“ขอบใจเธอมากนะที่เลือกยืนข้างฉัน” ศรารัตน์ถอนหายใจบางแล้วส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

   “นายไม่ต้องมาขอบใจฉันหรอก ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น อาวันชัยกับภาคินสมควรที่จะได้รับกรรมแล้ว ทั้งเรื่องยักยอกเงินบริษัทแล้วก็เรื่องที่วางแผนฆ่าเราสองคนด้วย” หญิงสาวยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยต่อ “ฉันต่างหากที่ควรจะขอบคุณนาย ถ้าไม่ได้นาย ฉันก็คงจะตายไปแล้ว” ศรารัตน์หมายถึงเรื่องที่วิศรุตมาช่วยเธอเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่โดนภาคินจับไปที่โกดังร้างแล้วก็ล่าสุดที่เขาตามไปช่วยเธอที่ถูกภาคินจับเป็นตัวประกัน

   วิศรุตยิ้มให้ผู้เป็นน้องสาวด้วยความคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอบคุณแบบนี้จากปากของศรารัตน์ แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่เด็ก เขากับศรารัตน์มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ศรารัตน์เองก็ยอมลงให้เขาง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นการได้ยินคำพูดขอบคุณจากอีกฝ่ายในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากแล้ว

   “ในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็จบลงเสียที” ศรารัตน์ระบายลมหายใจเป็นเชิงว่าโล่งอกที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทางที่ดี หากแต่เมื่อวิศรุตได้ยินประโยคนั้นจากหญิงสาว ชายหนุ่มกลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...เรื่องศรากับกานต์

   ศรารัตน์เคยบอกเอาไว้ว่าหลังจากที่เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจะแต่งงานกับนภัทรทันที คำว่าแต่งงานที่ผุดขึ้นมาในหัวของวิศรุตทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังระบายยิ้มน้อยๆค่อยๆคลายลงโดยไม่รู้ตัว วิศรุตเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านภัทรไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของศรารัตน์ต่างหาก

   “ตอนนี้เรื่องยุ่งๆก็จบไปแล้ว เธอคิดจะ...แต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ?” คำว่าแต่งงานถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ศรารัตน์กลับได้ยินอย่างชัดเจน หญิงสาวหันหลังให้คู่สนทนา แววตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามเย็นภายนอก ผ่านทางหน้าต่างบานสูงในห้องทำงาน

   “แล้วนาย...อยากให้ฉันแต่งงานกับหมอกานต์จริงๆน่ะเหรอวิน?” คำถามย้อนกลับนั้นทำให้วิศรุตอึ้งไป ชายหนุ่มเสมองไปทางอื่นแล้วกลั้นใจพูดออกมาทั้งที่เจ้าตัวเองก็ทราบดีว่าความจริงมันคืออะไร

   “เธอสองคนแต่งงานกันก็เหมาะสมดีแล้ว อันที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้วนี่นาศรา” ศรารัตน์หันกลับมาสบตากับวิศรุตทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ

   “ลองถามใจตัวเองให้ดีเถอะวินว่านายต้องการแบบนั้นจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า? หรือพูดแค่เพื่อให้ตัวเองตัดใจจากหมอกานต์ได้เท่านั้น”




   เสียงเคาะประตูห้องทำงานทำให้นภัทรหลุดออดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง คุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ที่เปิดประตูเข้ามา ก่อนจะพบว่าเป็นพงศธร

   “กำลังเหม่อคิดอะไรอยู่วะไอ้กานต์?” ด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมานานทำให้พงศธรจับสีหน้าและความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ “เรื่องวินกับคุณศราหรือเปล่า?” สีหน้าของนภัทรที่เปลี่ยนไปทำให้พงศธรรู้ว่าเขาเดาถูก

   “จบเรื่องวุ่นๆแล้ว ต่อไปก็คงจะเป็นงานมงคลของแกกับคุณศราสินะ” พงศธรฝืนยิ้มแล้วกระเซ้านภัทรที่กำลังทำหน้าเฉยชาแบบไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น “แกควรจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้แล้วนะ”

   “แกก็รู้ว่าฉันไม่อยาก”

   “แต่เพราะแกรักวินไม่ใช่เหรอ? เพราะว่าแกรักวิน แกถึงได้ยอมแต่งงานกับคุณศรา” ความจริงข้อนี้ทำให้นภัทรเงียบไปทันที เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคิดแบบนั้น แต่หากว่าพอถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำได้อย่างที่ปากเคยบอกไปหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย นภัทรพยายามบังคับตัวเองให้ลืมวิศรุต แต่ยิ่งฝืนก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปกว่าเก่า คุณหมอหนุ่ม รู้ดีว่าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับศรารัตน์เลยสักนิด

   “แล้วแกล่ะไอ้พงษ์ ถ้าคนที่แกรักกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น แกจะทำยังไง?” พงศธรยิ้มเศร้าแต่คำพูดที่ออกจากปากแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นชัดเจนในความรู้สึกของเจ้าตัว

   “ถ้าเขาไม่ได้รักฉัน มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก สิ่งที่ฉันต้องการก็คงจะคล้ายๆกับวินนั่นแหล่ะ...การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนที่เขารัก เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ”




   เมื่อนภัทรกลับมาถึงบ้าน ผู้เป็นมารดาก็บอกเขาว่ามีเพื่อนมารอพบอยู่ที่ห้องรับแขก คุณหมอหนุ่มวางกระเป๋าเอกสารลงบนเก้าอี้ไม้ที่นั่งประจำของเขาก่อนจะเดินเข้าไปในตัวห้องรับแขก ภาพแผ่นหลังที่เคยคุ้นสายตาของคนที่นั่งอยู่ทำให้นภัทรต้องชะงักฝีเท้า ชายหนุ่มใช้ดวงตาสีถ่านจับจ้องภาพเบื้องหลังของวิศรุตจนผ่านไปไม่นานนักผู้ที่กำลังนั่งอิงอยู่บนโซฟาจึงรู้สึกตัวและหันมามอง

   “วิน” นภัทรทักก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย “มานานหรือยัง?” วิศรุตช้อนสายตามองนภัทรก่อนจะตอบเสียงแผ่วว่าตนเพิ่งจะมาไม่นาน

   นภัทรเงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี คุณหมอหนุ่มจึงเสเปลี่ยนเรื่องไปถามว่าอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?

   “น่าจะหายดีแล้วล่ะ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” นภัทรพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเข้าสู่อาการนิ่งเงียบอีกครั้ง วิศรุตลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนร่างกายแทบจะติดกัน ลมหายใจอุ่นร้อนของวิศรุตที่เป่ารดข้างแก้มทำให้นภัทรเม้มริมฝีปากแน่น

   “ที่มาวันนี้ ฉันแค่อยากจะมาลานาย” ประโยคสุดท้ายของวิศรุตทำเอานภัทรตัวชาไป คุณหมอหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลโศกที่แสนคุ้นเคยนั้นก่อนจะถามเสียงแหบพร่า

   “นายจะไปไหน?” วิศรุตนิ่งไปซักพักก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้ทั้งที่ในใจกำลังทรมานเหลือเกิน

   “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะกลับอังกฤษ” คำตอบของคู่สนทนาเสมือนสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงมากลางใจของนภัทร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆวิศรุตถึงเลือกที่จะกลับไปอยู่ต่างประเทศอีกครั้ง แต่ถึงแม้ในใจจะรู้อย่างนั้น ปากเจ้ากรรมก็อดถามออกไปไม่ได้

   “ทำไมนายถึงต้องไปล่ะวิน? นายไม่เห็นเคยบอกก่อนหน้านี้เลย”

   “ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายลงด้วยดีแล้ว นายเองก็กำลังจะแต่งงานกับศราในไม่ช้านี้ ฉันก็คิดว่าตัวเองควรจะกลับอังกฤษเสียที เพราะตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยนานๆอยู่แล้ว” นภัทรรู้ดีว่าวิศรุตมีเหตุผลมากกว่านั้น “อีกอย่าง ฉันคงจะทนทำใจไม่ได้แน่หากว่าต้องเห็นนายแต่งงานกับน้องสาวตัวเองจริงๆ” วิศรุตหมายความอย่างที่พูดทุกอย่าง แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่ แต่ภายในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นไม่ได้มีรอยยิ้มเลยสักนิดเดียว

   “นาย...จะไปเมื่อไหร่?” คำพูดของนภัทรติดขัด ชายหนุ่มเอามือไปสัมผัสกับใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของวิศรุตอย่างแผ่วเบาแต่อีกฝ่ายกลับเอามือของนภัทรออกจากใบหน้าตนช้าๆ

   “ฉันจะเดินทางพรุ่งนี้” สีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้วิศรุตตกใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องป็นแบบนี้ ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปโดยไม่ลานภัทรเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกในใจก็ชนะจนได้ เขาอยากเจอหน้า  นภัทรอีกครั้งก่อนที่จะต้องจากกันไปไกลแสนไกล

   “วิน...”

   “ฉันรักนายมาตั้งแต่ม.หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ความรักที่ฉันมีต่อนายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายรู้ไหมกานต์ สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจและดีใจที่สุดก็คือ...” วิศรุตเว้นวรรคไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้ สึกลึกซึ้งที่มีให้คนตรงหน้ามาตลอด13ปีเต็ม “การได้รับความรักจากนาย” สิ้นคำพูดของวิศรุต นภัทรก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นราวกับกลัวว่าชายหนุ่มจะจางหายไปกับอากาศเดี๋ยวนั้น

   “อย่าไปเลยนะวิน อย่าจากกันไปแบบนี้” วิศรุตส่ายหน้าแล้วพูดว่า

   “ถ้าฉันไม่ไป ศราก็จะต้องรู้สึกผิดมากกับเรื่องนี้ ส่วนนายเองก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจากกันแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้วกานต์” นภัทรไม่ยอมรับให้เรื่องมันจบแบบนี้ คุณหมอหนุ่มใช้มือสองข้างดันตัววิศรุตออกห่างแล้วเอ่ยเสียงแหบเครือ

   “ฉันไม่อยากให้นายไป ถ้าหากเราไม่ได้เจอกัน...”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจของฉันจะเป็นของนาย อย่าลืมสิ” น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาดำคลับอย่างเงียบเชียบ คุณหมอหนุ่มกัดกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกก่อนจะเค้นเสียงออกมาเป็นคำพูด

   “ถ้าอย่างนั้นก็...ลาก่อนวิน”

   “ลาก่อน” คำพูดลาของวิศรุตเหมือนเป็นค้อนหนักที่ทุบลงมายังหัวใจของนภัทรจนแทบแหลกสลาย คำว่าลาก่อนของวิศรุตเมื่อตอนที่ฝ่ายนั้นจะไปเรียนต่อเมืองนอกสมัยเพิ่งจบม.ห้ายังไม่ทำให้นภัทรรู้สึกเจ็บปวดเท่าวันนี้เลย อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่อวิศรุตในตอนนั้นยังไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งเช่นในตอนนี้ก็เป็นได้

   คุณหมอหนุ่มมองวิศรุตที่เดินออกจากห้องรับแขกไปด้วยแววตาฉ่ำน้ำก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างคนที่หมด  เรี่ยวแรงจะยืน เมื่อรักมากก็ย่อมเจ็บมากเป็นธรรมดา นภัทรเพิ่งเข้าใจคำพูดนี้อย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง




   “อะไรนะ นี่แกจะกลับอังกฤษงั้นเหรอ?” เสียงอุทานของภาณุดังลั่นห้องรับแขกบ้านทัดเทวา ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟที่กำลังยกจิบอยู่ทันที “แกจะไปเมื่อไหร่?”

   “พรุ่งนี้” คำตอบสั้นๆของวิศรุตทำให้ภาณุยิ่งอึ้งเข้าไปอีก “อันที่จริงฉันคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก็มัวแต่ติดงานที่บริษัท ตอนนี้ก็คงได้เวลาที่จะต้องไปจริงๆเสียทีเพราะว่าที่บริษัทก็ลงตัวแล้ว”

   “แล้วทำไมแกถึงต้องไปด้วยวะ? ก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยแกก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา ทำไมต้องกลับไปอังกฤษด้วย?”

   “ฉันกะว่าจะไปดูงานของบริษัททัดเทวาที่อังกฤษน่ะ ส่วนสาขาใหญ่ที่ไทยก็ให้ยัยศรารับช่วงต่อไป” ภาณุไม่เชื่อในคำตอบของวิศรุตแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน

   “ฉันไม่คิดว่าแกจะไปอังกฤษเพียงเพราะว่าเรื่องงานอย่างเดียว” วิศรุตเม้มปากแน่น ชายหนุ่มเบนหน้าไปอีกทางไม่อยากให้ภาณุเห็นบางอย่างข้างในแววตาของตนแต่เจ้าตัวก็รู้ดี เขาหลอกคนตรงหน้าที่เป็นเพื่อนรักกันมานานไม่ได้

   “ไม่ว่าจะเพราะอะไร ถึงยังไงฉันก็ต้องไปอยู่ดีนั่นแหล่ะ” ภาณุถอนหายใจเฮือกแล้วเอ่ยขัดเสียงเรียบ

   “เพราะเรื่องไอ้กานต์กับศราใช่ไหม?” คราวนี้วิศรุตหันไปสบตาคนพูดทันที ภาณุเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้วใช้สองมือจับไหล่คนตรงหน้าเอาไว้แน่น “การที่แกไปแบบนี้มันก็เหมือนกับการหนีหัวใจตัวเองนั่นแหล่ะวิน”

   “แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะ? จะให้ฉันฝืนยิ้มมองดูเค้าสองคนแต่งงานกันทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อย่างนั้นเหรอ จะให้ฉันเอาความรักของตัวเองไปผูกมัดกานต์เอาไว้ ทั้งๆที่เค้าควรจะได้แต่งงานมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบกับผู้หญิงสักคนเนี่ยนะ ฉันทำไม่ได้ไอ้โอม” มือที่จับไหล่วิศรุตค่อยๆคลายลง ถึงอย่างไรความจริงที่ว่าความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ ภาณุมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยความสงสารแต่ก็จนใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

   “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งแกนะ”

   “ไม่ต้องหรอก” วิศรุตปฏิเสธ ถ้าหากว่าภาณุไปส่งที่สนามบินจริงๆ ชายหนุ่มก็คงยิ่งรู้สึกอาลัยอาวรณ์และไม่อยากไปอังกฤษแน่ๆ

“ลากันวันนี้เลยจะดีกว่า”

   “แกทำให้ฉันนึกถึงความรู้สึกตอนม.ห้า หลังจากสอบเสร็จที่ฉันมาส่งแกขึ้นรถเพื่อไปสนามบิน ตอนนั้นแกก็บอกฉันกะทันหันว่าต้องไปอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้บอกตอนจวนตัวแบบครั้งนี้” ภาณุพยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกใจหายเอาไว้ “ตอนนั้นแกไปเพื่อเรียนต่อ แต่ครั้งนี้แกไปเพราะ...เรื่องอื่น” วิศรุตฝืนยิ้มกับคำพูดนั้นในขณะที่ภาณุก็ตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆแบบที่เคยทำประจำเวลาต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย “ถ้าแกตัดสินใจแล้ว ขอให้แกโชคดีนะวิน...เพื่อนรัก” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะเข้าไปกอดภาณุจนแน่นซึ่งอีกฝ่ายก็กอดตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

   ความรักความผูกพันฉันเพื่อนระหว่างเขาและภาณุงอกเงยขึ้นตามวันและเวลา ภาณุคือเพื่อนที่เขารักมากที่สุดและยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเขาได้โดยไม่คิดรังเกียจ ฝ่ายนั้นจะคอยตบบ่าปลอบใจเมื่อเขาท้อแท้หมดหวัง จะคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเวลาที่เขามีปัญหาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องร้องขอ จะคอยซับน้ำตาและยืนเคียงข้างเมื่อเวลาที่เขาต้องการใครสักคน เพื่อมาเข้าใจ วิศรุตกอดภาณุด้วยความรู้สึกตื้นตันและขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนคนนี้ทำเพื่อตนมาโดยตลอด

   “ขอบใจนะโอม ขอบใจแกจริงๆ” ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่จะยืนยงไม่มีวันสลายก็คือมิตรภาพอันงดงามของคำว่าเพื่อนนั่นเอง





   ศรารัตน์ยืนนิ่งอยู่ในห้องพระมาเป็นเวลานานแล้ว หญิงสาวเหม่อมองรูปของบิดามารดาที่แขวนไว้บนพนังห้องด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปจนแยกไม่ออก วันนี้เป็นวันที่วิศรุตจะเดินทางไปอังกฤษ แต่เธอก็ไม่ได้ไปส่ง ยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องนี้เงียบๆ

   เสียงเปิดประตูทำให้ศรารัตน์เหลียวหน้าไปมอง เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือวิศรุต หญิงสาวจึงถามขึ้นเสียงเบา

   “ยังไม่ไปสนามบินอีกเหรอ?” วิศรุตสั่นศีรษะแล้วบอกว่าจะมาลาพ่อกับแม่ก่อน ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากรอบรูปขนาดใหญ่แล้วเอ่ย

   “ผมกำลังจะไปคุมงานบริษัทที่อังกฤษนะครับ ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ก็คงจะต้องภูมิในใจตัวผมมากแน่ๆ...แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ บริษัททางนี้ผมจะให้ศราเป็นคนดูแลทั้งหมดเอง ศราเค้าเก่งกว่าผมตั้งเยอะ เค้าไม่มีทางทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง ไม่มีทางทำให้วงศ์ตระกูลทัดเทวาเสียชื่อเป็นอันขาด” วิศรุตหันไปพูดกับศรารัตน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ฝากงานด้วยนะศรา”

   “จากผลงานบ้านเทวานิรมิตของนายทำให้บอร์ดผู้บริหารพอใจมากนะ พวกนั้นยอมรับในฝีมือของนายแล้ว คิดดีแล้วเหรอที่จะทิ้งงานที่นี่ไปกลางคันแบบนี้?” วิศรุตพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลโศกทอประกายหนักแน่นกับการตัดสินใจของตนในครั้งนี้ ไม่ว่าศรารัตน์จะพูดอย่างไรก็คงไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจของเขาได้อยู่ดี

   “งานที่อังกฤษคงมีเยอะมากที่รอให้ฉันไปคุมด้วยตัวเอง บางทีฉันอาจจะยุ่งมากจนไม่มีโอกาสมาร่วมงานแต่งงานของเธอกับกานต์ ขอโทษล่วงหน้าเลยแล้วกันนะ” ศรารัตน์พยายามสบตาวิศรุตที่กำลังหลุบตาต่ำเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

   “ฉันอยากจะถามครั้งสุดท้าย นายอยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ?” วิศรุตตอบว่าใช่ ศรารัตน์จึงถามต่อว่าทำไม ทำไมถึงต้องยอมทำขนาดนี้ด้วยทั้งที่ชายหนุ่มเองก็กำลังเจ็บปวดมากเหมือนกัน?

   “ถ้าฉันไม่เป็นฝ่ายยอมเจ็บ เธอก็ต้องเจ็บ สู้ฉันยอมเสียสละดีกว่า แบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว” น้ำตาหยดหนึ่งค่อยๆไหล ออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลของศรารัตน์อย่างช้าๆเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของวิศรุตที่หันไปพูดกับรูปภาพบิดามารดา “การเสียสละคือสิ่งที่คนเป็นพี่สมควรทำให้น้องใช่ไหมครับ?...ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าศราต้องการอะไร ผมก็ไม่เคยที่จะยอมสละของตัวเองให้เธอเลย และนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เสียสละเพื่อน้องสาวของตัวเองบ้าง” วิศรุตพยายามกลั้นก้อนสะอื้นลงคอขณะที่พูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตน “ขอให้เธอกับกานต์มีความสุขมากๆนะ รักกานต์ให้มากๆแทนฉันด้วยนะศรา”

ศรารัตน์ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วคุมเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้

   “นายไม่รักหมอกานต์แล้วเหรอวิน?” วิศรุตจุดยิ้มบางๆที่มุมปากขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังสะท้อนจนชัดเจนเข้าไปถึงในหัวใจของคนฟัง

   “รักสิ แต่ฉันก็รักน้องสาวของตัวเองเหมือนกัน” วิศรุตสบตาผู้เป็นน้องสาวราวกับต้องการบ่งบอกความรู้สึกทั้งมวลให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ถึงอย่างไรศรารัตน์ก็เหมาะสมและคู่ควรกับนภัทร ไม่ใช่พวกผิดเพศแบบเขา

   พูดจบวิศรุตก็ขอตัวทันที ชายหนุ่มบอกว่าถึงเวลาจะต้องไปรอเช็คอินที่สนามบินแล้ว ศรารัตน์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของผู้เป็นพี่ชายด้วยความเศร้าและซาบซึ้งกับความรักความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมีให้ตนมาโดยตลอด หญิงสาวมองประตูห้องที่ปิดลงก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง

   “นายอยากให้เรื่องจบ แต่ฉันไม่มีวันยอมให้มันจบแบบนี้แน่วิน”




   วิศรุตเดินมาขึ้นรถยุโรปคันหรูที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ลุงมั่นเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังก่อนจะสั่งคนขับให้ไปส่งผู้เป็นเจ้านายที่สนามบินเพื่อออกเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ

   วิศรุตมองผ่านกระจกรถและทอดสายตาไปยังเบื้องนอก ภาพสองข้างทางที่รถกำลังแล่นผ่านไม่ได้เข้าหัวชายหนุ่มเลย ในสมองของวิศรุตในตอนนี้มีแต่เรื่องเดิมๆระหว่างตนกับนภัทรซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเอนตัวลงให้ศีรษะราบไปกับ  เบาะรถก่อนจะหลับตาลงปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ


   “ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร...ฉันชอบนาย”


   “ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกครั้งที่ฉันหลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องนี้ ฉันผิดมากนักเหรอที่เกิดมาเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน ผิดมากเหรอไงที่เลือกรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง? ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายศรา ฉันไม่ได้อยากจะให้เป็นแบบนี้ ฉัน...”

   “ทุกครั้งที่ฉันเห็นนายเจ็บปวด เห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นนายต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องนี้ที่ฉันเป็นตัวต้นเหตุแต่แรก นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง? ไม่ใช่แค่นายที่เสียใจหรอกวิน ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน ยิ่งเห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้ฉันก็ยิ่งเสียใจ...เสียใจที่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งการปลอบใจนายฉันก็ยังทำไม่ได้เลย”



“ของขวัญพิเศษสำหรับนายคนเดียว”

   “อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้”

   “แหวนวงนี้ฉันเลือกเองกับมือ ด้านหลังของแหวนก็สลักเอาไว้เป็นชื่อของนาย ‘กานต์...ผู้เป็นที่รัก’ ดังนั้นถ้านายไม่รับไว้ฉันคงจะเสียใจมาก”



“ให้เรื่องทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะนะ ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน สุดท้ายเรื่องระหว่างเรามันก็ลงเอยด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี”

   “การที่เรามีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น คิดเหรอว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย? แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ใช่ทั้งความเหงาและความสงสารอย่างที่นายเข้าใจด้วย”

   “นาย...หมายความว่ายังไง?”

“ช่างเถอะ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันคงไม่สำคัญแล้วเพราะนายเป็นคนบอกเองว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้านายอยากให้ฉันดูแลคุณศรามากนักล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างที่นายต้องการ”



“ฉันแค่หวังว่าต่อจากนี้นายจะดูแลศราให้ดี อย่าให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจอีก”

    “เดี๋ยวก่อนวิน...ฉันขอ...กอดนายเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม...ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ฉันรู้สึกตัวช้าไป”

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นายจะทำเพื่อฉันด้วย”



“ถ้าคิดว่าการที่นายยอมเสียสละความรักของตัวเองเพื่อให้คุณศรามีความสุข ฉันก็อยากบอกให้นายรู้เหมือนกันว่า...ถ้าหากการเสียสละของฉันทำให้นายมีความสุข ฉันก็ยินดี...ถึงแม้ความเป็นจริงและกฏเกณฑ์ทางสังคมบางอย่างทำให้เราเดินไปด้วยกันไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าข้างในนี้...ใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจฉันเป็นของนาย”



“ถึงแม้ในความเป็นจริงเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่สำหรับฉัน...นายจะอยู่ในนี้เสมอ”

   “ถ้านายบอกฉันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อตอนเรียนม.ปลาย ฉันก็คงมีความสุขมาก...แต่นายก็เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้”

   “ขอโทษที่ฉันรู้ใจตัวเองช้าไป ขอโทษ...”   

“ฉันไม่ได้โกรธนายหรอก ดีใจมากกว่า เพราะถ้านายบอกรักฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันก็คงจะมีความสุข แต่ก็คงจะไม่เท่าวันนี้ วันที่เราสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน...วันที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ยินคำบอกว่ารักจากปากของนาย”



   “ฉันรักนายมาตั้งแต่ม.หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ความรักที่ฉันมีต่อนายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายรู้ไหมกานต์ สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจและดีใจที่สุดก็คือ...การได้รับความรักจากนาย”

   “อย่าไปเลยนะวิน อย่าจากกันไปแบบนี้”

   “ถ้าฉันไม่ไป ศราก็จะต้องรู้สึกผิดมากกับเรื่องนี้ ส่วนนายเองก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจากกันแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้วกานต์”

   “ฉันไม่อยากให้นายไป ถ้าหากเราไม่ได้เจอกัน...”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจของฉันจะเป็นของนาย อย่าลืมสิกานต์”



   13ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงบัดนี้นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วิศรุตทั้งเจ็บปวดและมีความสุขไปพร้อมๆกัน ชายหนุ่มมีความสุขที่สุดท้ายนภัทรก็ตอบรับความรักของเขาด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่แล้วก็กลับต้องทุกข์เมื่อเข้าใจกับความจริงที่ว่ารักแบบผิดธรรมชาติเช่นนี้ ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นจริงไปได้

วิศรุตคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาระหว่างตนกับนภัทรแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบโดยไม่รู้ตัว



จบบทที่ 38

ปล. หลายคนเชียร์ให้วินหนีไปอยู่อังกฤษให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย คราวนี้วินจะไปจริงๆแล้วนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 07-08-2012 10:01:00
ข้าน้อยขอคาราวะท่านโอม!!!!

ยังรอคอยนิยามความรักในแบบของศรา..........
รอคอยว่าจะมีใครตามคุณวินกลับมาไหม????

และรอคอยตอนต่อไปของคนเขียนจ้า!!!!  :impress2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ) จบแล้วจ้า...
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 07-08-2012 10:05:18
บทที่ 39


   พงศธรมาหานภัทรที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มถามพยาบาลประจำวอร์ดก็ได้ความว่าอีกฝ่ายไม่มีเวรตรวจคนไข้และกำลังอยู่ในห้องทำงาน พงศธรก็เอ่ยขอบคุณพยาบาลสาวคนนั้นก่อนจะรีบเดินไปทางห้องทำงานของนภัทรทันที

   เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เห็นคุณหมอหนุ่มกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านฟิล์มเอ็กเรย์ของคนไข้อยู่ ดูท่าคงยังไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาในห้องแล้ว พงศธรถอนหายใจแรงก่อนจะแกล้งกระแอมเสียงดังเป็นเชิงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมาของตน

   “อ้าว ว่าไงไอ้พงษ์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” นภัทรเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่ พงศธรมองนภัทรที่ทำหน้านิ่งอย่างลังเลแต่สุดท้ายก็เอ่ย

   “ไอ้โอมเพิ่งโทรมาบอกฉันว่าไอ้วินจะไปเมืองนอกวันนี้” สีหน้าของนภัทรก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป คุณหมอหนุ่มตอบเรียบๆ

   “ฉันรู้แล้ว เมื่อวานวินมาหาฉัน” นภัทรพูดด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆแต่เจ้าตัวก็พยายามควบคุมไว้ พงศธรได้เห็นความเศร้า ที่ฉายสะท้อนออกมาจากดวงตาสีดำสนิทราวถ่านของคนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสารอีกฝ่ายจับใจ

   “ไอ้กานต์...” ในตอนนี้พงศธรพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มมองนภัทรอย่างเข้าใจความรู้สึก เขารู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนของตนคนนี้กำลังเจ็บปวดเพียงใดกับการต้องมองดูวิศรุตเดินจากไปโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

   “ฉันไม่เป็นไรหรอก” คำตอบสั้นๆนั้นไม่ได้ทำให้พงศธรเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นความจริง

   ก่อนที่พงศธรจะได้พูดอะไรออกไปมากกว่านั้น ประตูห้องทำงานของนภัทรก็ถูกเคาะ คุณหมอหนุ่มรีบปรับสีหน้าก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาได้

   คนที่ก้าวเข้ามาในห้องก็คือศรารัตน์ หญิงสาวสบตาสีถ่านคู่นั้นด้วยแววตาสงบเยือกเย็นก่อนจะเอ่ยขึ้นว่าตนมีธุระที่อยากจะคุยกับนภัทรตอนนี้

   “ถ้าอย่านั้นเดี๋ยวฉันออกไปรอข้างนอกก็แล้วกัน เชิญตามสบายนะครับ” ประโยคท้ายหันไปพูดกับศรารัตน์ก่อนที่พงศธรจะขอตัวออกไปรอด้านนอก

   เมื่อในห้องเหลือเพียงแค่สองคน ศรารัตน์จึงพูดธุระของเธอทันทีอย่างไม่ต้องการเสียเวลา หญิงสาวเปิดประเด็นด้วยคำถามที่นภัทรเองก็คาดไม่ถึงว่าเธอจะมาหาเขาเพราะเรื่องนี้

   “หมอทราบใช่ไหมคะว่าวินจะไปอังกฤษวันนี้?” นภัทรพยักหน้าแล้วบอกว่าตนรู้อยู่แล้ว “ถ้าอย่างนั้นหมอก็คงจะตอบคำถามของฉันได้”

   “คำถามอะไรครับ?” นภัทรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ศรารัตน์จึงเอ่ยสิ่งที่ตนอยากรู้ออกมาช้าๆแต่ว่าชัดเจน

   “ฉันมาเพื่อถามว่า ในเมื่อตอนนี้วินก็ไม่อยู่แล้ว หมอสามารถเปลี่ยนใจหันมารักฉันได้หรือเปล่าคะ?” คำถามที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับทำให้นภัทรอึ้งไป ชายหนุ่มจึงย้อนถามกลับบ้าง

   “แล้วทำไมคุณศราถึงถามแบบนั้นล่ะครับ?”

   “เพราะถ้าหมอตอบว่าได้ อย่างนั้นก็แสดงว่าการเสียสละจากไปของวินก็ได้ผล” ศรารัตน์สบตาคู่นั้นด้วยประกายตาเปิดเผยจริงใจ

“แต่ถ้าหมอตอบว่าไม่...อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่วินจะต้องไป” นภัทรอุทานเสียงแผ่ว

   “คุณศรา...”

   “ว่าไงยังล่ะคะ คำตอบของหมอคืออะไรกันแน่?” เมื่อเห็นว่านภัทรกำลังอ้ำอึ้ง หญิงสาวจึงพูดย้ำ “ตอบมาเถอะค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเสียใจ ได้โปรดตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงของคุณหมอ” ศรารัตน์มองหน้าอีกฝ่ายก็นึกรู้ในใจแล้วว่าคำตอบมันคืออะไร แต่เธอก็อยากจะได้ยินจากปากของนภัทรให้ชัดๆ ทว่าคำพูดที่หลุดออกจากปากของคนตรงหน้าก็คือ

   “ผมขอโทษ” ศรารัตน์ฝืนยิ้มให้คุณหมอหนุ่มก่อนจะบอกว่าวันนี้เธอได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าวิศรุตจะอยู่หรือว่าไป ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจมารักเธอได้อยู่ดี หญิงสาวสูดลมหายใจลึกพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่

   “หมอไปตามวินกลับมาเถอะค่ะ เค้าเพิ่งไปสนามบินไม่นาน ถ้าหมอรีบไปอาจจะยังทัน” นภัทรมองศรารัตน์ด้วยความสับสนกับคำพูดของอีกฝ่าย ตอนแรกเธอยังกีดกันความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวิศรุตอยู่ลย ตอนนี้ทำไมท่าทีของเธอถึงเปลี่ยนไป ทำไมศรารัตน์ถึงบอกให้ตนไปตามวิศรุตกลับมา “รีบไปเถอะค่ะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

   “คุณศรา ทำไมถึง...แล้วงานแต่งงาน...” คำว่างานแต่งงานทำให้หัวใจของศรารัตน์กระตุกวูบ หญิงสาวข่มความปวดร้าวในอกแล้วฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า

   “ฉันอุตส่าห์พูดถึงขนาดนี้แล้ว คุณหมอน่าจะเข้าใจนะคะ” สีหน้าของนภัทรเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มยินดีเมื่อได้ยินคำตอบยืนยันความคิดของตัวเองจากปากของศรารัตน์ ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณหญิงสาวอยู่หลายครั้งก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานด้วยความดีใจ จุดหมายของนภัทรในตอนนี้ก็คือสนามบิน เขาจะต้องไปหยุดวิศรุตให้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะหนีเขาไปยังดินแดนที่ไกลแสนไกลแห่งนั้น เขาจะบอกข่าวดีนี้ให้วิศรุตได้รู้เป็นคนแรก วิศรุตคงจะต้องดีใจมากหากรู้ว่าศรารัตน์ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนแล้ว ถ้าหากเพียงเขาไปสนามบินทันเวลาเท่านั้น...




   พงศธรเปิดประตูห้องเข้ามาก็พบกับศรารัตน์ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

   “คุณศรา...คุณร้องไห้?” ศรารัตน์เบือนหน้าหนีพงศธรที่กำลังจ้องเธออยู่ หญิงสาวใช้มือปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะหันมาพูด ด้วยน้ำเสียงที่ยังอู้อี้

   “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่พงศธรก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี ชายหนุ่มแตะต้นแขนศรารัตน์เบาๆเป็นเชิงว่าให้หญิงสาวนั่งพักที่โซฟาก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาแล้วส่งให้อีกฝ่ายที่รับไปซับน้ำตา “คุณคงได้ยินหมดแล้ว”
พงศธรพยักหน้าช้าๆ

   “ความรักเมื่อมีคนที่สมหวังก็ย่อมต้องมีคนที่ผิดหวังเป็นธรรมดา บางทีการที่เราผิดหวังมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนักหากเราคิดในแง่ดีว่าเรากำลังจะช่วยให้อีกคนหนึ่งได้สมหวัง ตอนนี้คุณคงจะรู้สึกเจ็บปวดกับมันมาก แต่ผมเชื่อนะครับว่าเวลาจะทำให้คุณสามารถผ่านมันไปได้ด้วยความเข้มแข็ง และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อในอนาคตคุณได้หวนกลับมาคิดถึง ผมเชื่อว่าคุณศราคงจะต้องสุขใจมากแน่ๆที่เลือกตัดสินใจไม่ผิดในวันนี้”

   “คุณพงษ์...”

   “การได้อยู่กับคนที่เรารักแต่เค้าไม่ได้รักเรามันก็เหมือนเป็นการทรมานทั้งสองฝ่าย ผมดีใจที่คุณศราเลือกที่จะไม่เอาชีวิตของคุณไปทรมาน และก็ดีใจ...ที่คุณได้ปลดปล่อยไอ้กานต์กับไอ้วินออกจากความทรมานในครั้งนี้ด้วย”

   “ฉันนี่เหมือนนางมารร้ายเลยนะคะ สร้างความทรมานให้กับคนอื่นตลอด รวมถึงคุณด้วย” พงศธรหัวเราะน้อยๆพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาวข้างตัวแล้วเอ่ยด้วยเสียงประหม่า

   “ถ้าคุณเป็นนางมารร้าย ผมก็อาจจะเป็นผู้ชายซาดิสม์ที่ดันมาหลงรักนางมารร้ายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น” คำสารภาพรักกลายๆนั้นทำให้ศรารัตน์หน้าอุ่นวาบ หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความเขินที่อีกฝ่ายมาบอกรักในสถานการณ์แบบนี้ แต่ลึกลงไปแล้วศรารัตน์กลับยังคงไม่แน่ใจซึ่งพงศธรเองก็เข้าใจดี

   “คุณพงษ์คะ คือฉันยังไม่พร้อมจะมีใคร...”

   “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดีครับ ผมจะไม่เร่งรัดให้คุณมาชอบผม จะไม่ขอร้องให้คุณลืมไอ้กานต์ แต่ผมแค่อยากจะดูแล คอยยืนอยู่ข้างๆเวลาที่คุณต้องการใครสักคน ถ้าหากว่าคุณจะให้โอกาส ผมก็อยากจะเป็นผู้ชายที่โชคดีคนนั้น” พงศธรพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนศรารัตน์อึ้งไป อันที่จริงหญิงสาวก็ดูออกมาตั้งนานแล้วว่าพงศธรรู้สึกอย่างไรกับเธอ แต่ไม่คิดว่าวันนี้ ชายหนุ่มจะกล้าพูดมันออกมาตรงๆ

   พงศธรมองหน้าศรารัตน์ด้วยความลุ้นระทึกกับคำตอบของอีกฝ่ายก่อนจะต้องยิ้มกว้างเมื่อศรารัตน์ตอบว่า

   “ค่ะ ฉันจะให้โอกาสคุณ” ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่สามารถลบนภัทรออกไปจากใจได้หมดสิ้น แต่ว่าการที่เธอตัดสินใจเปิดโอกาสให้พงศธรก็นับว่าก้าวหน้ามากแล้ว ซึ่งหากเปรียบเหมือนกำแพงก็นับได้ว่าเป็นกำแพงสูง การค่อยๆเลาะอิฐออกมาทีละก้อนๆก็อาจจะทำให้กำแพงในหัวใจของเธอเตี้ยลงได้ถึงแม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานก็ตาม แต่เธอก็เชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วพงศธรก็จะต้องทำสำเร็จ อีกไม่นานเธอก็จะลืมนภัทรได้ อีกไม่นาน...

   “นี่คือตอนจบที่มันสมควรจะเป็นต่างหาก...พี่ชาย”





   วิศรุตมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจ คงได้เวลาที่ต้องไปแล้วสินะ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเหลียวมองไปรอบตัว ในใจก็แอบหวังลึกๆว่าจะได้พบหน้านภัทรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องจากกันไปไกล แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองคงหวังมากเกินไป นภัทรจะมาอยู่ที่สนามบินนี้ได้อย่างไรกัน

   วิศรุตยิ้มขื่นให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะดึงหูกระเป๋าขึ้นมาแล้วลากไปตามพื้นทางเดินช้าๆ ชายหนุ่มนึกอยากให้ทางเดินนี้ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างน้อยก็หวังที่จะยืดเวลาออกไปให้นานกว่านี้ อยากจะให้ใครบางคนตามมา...

   “รอฉันอยู่หรือเปล่า?” เสียงหนึ่งที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นที่ด้านหลังทำให้วิศรุตถึงกับชะงัก ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าจะหันไปมองเพราะกลัวใจตัวเองเหลือเกิน มือหนากำที่ลากกระเป๋าจนแน่น “ว่ายังไงล่ะวิน กำลังรอฉันอยู่ใช่ไหม?” คนที่ถูกถามค่อยๆหันกลับไปมองผู้มาใหม่

   “นาย...มาได้ยังไง?” น้ำเสียงวิศรุตสั่น ดวงตาสีน้ำตาลมีแววไหวระริกในขณะที่นภัทรส่งยิ้มกว้างมาให้

   “ฉันก็ขับรถมาน่ะสิ เกือบมาไม่ทันแน่ะ” เหงื่อเม็ดโตที่ผุดซึมออกมาบนใบหน้าของคุณหมอหนุ่มเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีว่าเจ้าตัวรีบมากเพียงใด “โชคดีที่นายยังไม่ทันได้ไป”

   “กำลังจะไปแล้วล่ะ ได้เวลาพอดี” วิศรุตหยักยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าแล้วลากกระเป๋าตั้งใจจะเดินอ้อมผ่านนภัทรไป แต่ว่าข้อมือกลับถูกนภัทรฉวยรั้งเอาไว้ “กานต์...”

   “ฉันไม่ให้นายไป อย่าทำแบบนี้เลยนะวิน” วิศรุตกระบอกตาร้อนผ่าวแล้วเอ่ยผ่านเสียงเครือ

   “ไหนว่าเราพูดกันรู้เรื่องแล้วไง?” วิศรุตช้อนดวงตาโศกมองอีกฝ่าย วันนั้นเขาก็ได้บอกนภัทรไปแล้วว่าเรื่องระหว่างเราทั้งคู่มันเป็นไปไม่ได้และนภัทรเองก็เหมือนจะเข้าใจ แต่ทำไมวันนี้อีกฝ่ายถึงยังมารั้งเขาไว้อีก วิศรุตมองนภัทรด้วยแววตาสับสน ชายหนุ่มพยายามบิดมือออกแต่ว่านอกจากคุณหมอหนุ่มจะไม่ยอมปล่อยแล้ว ฝ่ายนั้นกลับรวบร่างวิศรุตเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

   “ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ยอมปล่อยนายให้ไปไหนอีกแล้ว” วิศรุตขืนตัวเองไว้ไม่ยอมให้นภัทรได้ทำตามใจ ชายหนุ่มมองไปรอบตัวก่อนจะพบว่าผู้คนมากมายบริเวณอาคารผู้โดยสารขาออกกำลังเริ่มเพ่งความสนใจมาที่ตนกับนภัทรที่กำลังยืนกอดกันในที่สาธารณะแบบนี้

   “ปล่อยเถอะกานต์ คนมองกันใหญ่แล้ว” คนในอ้อมกอดประท้วงแต่นภัทรกลับยิ้มกริ่มไม่สนใจ

   “มองก็มองไปสิ ฉันไม่สนใจหรอก แค่เพียงนายอย่าหนีไปก็พอ” วิศรุตระบายลมหายใจแรง ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง

   “ยังไงฉันก็ต้องไป ส่วนนายเองก็ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับศรา ลืมไปแล้วเหรอกานต์?”

   “แล้วถ้าฉันไม่ต้องแต่งงานกับคุณศราแล้วล่ะ?” คำถามย้อนกลับของนภัทรทำให้วิศรุตอึ้งไป ชายหนุ่มถามย้ำอย่างไม่ เชื่อหูตัวเองว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากของนภัทรจะเป็นเรื่องจริง

   “นายว่าอะไรนะ?” นภัทรสบตาคนในอ้อมกอดพร้อมรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้วด้วยเพราะมีเรื่องที่ยังหนักใจอยู่ แต่พอมาวันนี้ เมื่อปัญหาทุกอย่างได้ถูกคลี่คลายไป คุณหมอหนุ่มจึงยิ้มออกมาได้อย่างปลอดโปร่งเสียที ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณศรารัตน์ นภัทรคิดในใจก่อนจะยอมเฉลยให้วิศรุตฟัง

   “คุณศรายอมยกเลิกงานแต่งงานแล้ว เธอยอมรับ...เรื่องของเรา” วิศรุตอึ้งไปอีกรอบหลังจากได้ยินสิ่งที่นภัทรพูด นี่มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม? ศรารัตน์ยอมยกเลิกการแต่งงานกับนภัทร ที่สำคัญเธอยังเปิดใจยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนตรงหน้า

   “ศรา...” วิศรุตอุทานด้วยเสียงที่ไม่ต่างจากกระซิบ ดวงตาสีน้ำตาลโศกคู่นั้นรื้นไปด้วยน้ำใสที่คลอเอ่อ เขารู้ดีว่าศรา  รัตน์เองก็คงปวดใจไม่น้อยกับการตัดสินใจแบบนี้ แต่เธอก็ทำเพื่อเขา ขอบใจมากนะศรา ขอบใจเธอจริงๆ

วิศรุตสูดลมหายใจลึก ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวและคำถามมากมายที่อยากจะเอ่ยถามคนตรงหน้าให้ชัด แต่ทว่าวิศรุตก็กลับพูดไม่ออกเสียดื้อๆ กลายเป็นนภัทรที่พูดแทน

   “เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ววิน นายไม่จำเป็นต้องหนีหัวใจตัวเองอีกแล้ว” คุณหมอหนุ่มใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของอีกฝ่ายอย่างแสนรัก วิศรุตจับปลายนิ้วที่แตะแก้มของเขาเอาไว้อย่างแผ่วเบา

   “ถึงฉันพยายามหนีเท่าไหร่ สุดท้ายก็คงไม่พ้นอยู่ดี” วิศรุตยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกรักทั้งหมดที่ตัวเองมี “เพราะว่าหัวใจของฉัน...ได้มายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว” นภัทรอมยิ้มแล้วแกล้งหัวเราะน้อยๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้คลายจากความเศร้า

   “น้ำเน่าจังเลยครับคุณวิศรุต ทัดเทวา...ไม่น่าเชื่อเลยนะว่านายจะพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้ก็เป็นด้วย” วิศรุตหัวเราะเบาๆแล้วแกล้งใช้ข้อศอกถองอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก นภัทรได้ทีจึงรวบมือทั้งสองข้างของวิศรุตเอาไว้แล้วเอามาทาบที่หน้าอกด้านซ้ายของตน คุณหมอหนุ่มมองวิศรุตด้วยดวงตาดื่มด่ำแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่จงใจให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น

   “แต่ถึงยังไงหัวใจดวงนี้ก็จะไม่มีวันเป็นของใคร...นอกจากนายเพียงคนเดียว” วิศรุตคลี่ยิ้มงดงามหลังจากได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนภัทรพูดประโยคที่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งนั้นออกมา

   “ว่าแต่คนอื่น แล้ที่นายพูดมันไม่เรียกว่าน้ำเน่าหรือยังไงกัน?” คนในอ้อมกอดเแกล้งตีรวนเพื่อปกปิดความรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของอีกฝ่ายเพียงใด “ที่นายพูดน่ะ น้ำเน่าก็ยังเรียกพี่เลย”

   “แต่ฉันพูดออกมาจากใจจริงนะ” วิศรุตสบตากับนภัทรด้วยความเต็มตื้นในใจก่อนที่ชายหนุ่มจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าซึ่งนภัทรเองก็ตอบรับความรู้สึกเหล่านั้นด้วยการกระชับอ้อมกอดจนแน่นราวกับจะทดแทนช่วงเวลาที่เคยขาดหายไป

   คนที่ผ่านไปมาบริเวณสนามบินต่างมองมาที่เขาทั้งคู่เป็นจุดเดียว หากแต่นภัทรและวิศรุตก็ไม่ได้สนใจ คุณหมอหนุ่มหลับตาลงช้าๆ อยากจะซึมซับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด เขาไม่รู้ว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันแบบนี้จะยืนยงไปได้นานแค่ไหน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี้มันถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้รู้แต่เพียงว่าเขารักคนๆนี้มากเหลือเกิน ต่อให้อนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่นภัทรก็ยังคงเชื่อมั่น...ตราบใดที่ทั้งเขาและวิศรุตยังมั่นคงกับความรู้สึกของตัวเอง เมื่อนั้นความรักก็จะเป็นนิรันดร์และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ต้องห้ามทั้งปวง

   “ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ให้รอมาตั้ง13ปีเต็ม” วิศรุตส่ายหน้าพร้อมกับแววตาฉ่ำน้ำ ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอด  ของตนเองให้แน่นขึ้นอีก พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลร่วงลงมาจากดวงตาสีน้ำตาลนั้น วิศรุตรู้ดีว่ามันไม่ได้มาจากความเสียใจเลย   สักนิด น้ำตาหยดนี้มาจากความปลื้มปิติยินดีต่างหาก ยินดีเมื่อในที่สุดวันนี้ที่เขาเคยเฝ้ารอมาตลอด13ปีเต็มก็มาถึงจนได้...วันที่เขารักนภัทรและนภัทรเองก็รักเขา...วันที่หัวใจสองดวงได้หล่อหลอมจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด


จบบทที่39

จบบริบูรณ์


Aislin : และแล้วทัณฑ์กามเทพก็ดำเนินมาถึงจุดจบของเรื่องแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามด้วยดีเสมอมาค่ะ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่8วันที่เราโพสนิยายในเล้า แต่ก็สัมผัสได้ถึงมิตรภาพของเพื่อนๆและความอิน(ในนิยาย)ที่ส่งผ่านมาถึงคนแต่งอย่างเราค่ะ
           อยากบอกว่าทัณฑ์กามเทพเป็นนิยายวายเรื่องแรกที่เราแต่ง และเราก็รักนิยายเรื่องนี้มาก และยิ่งดีใจหากว่ามีคนอื่นๆที่ชอบและคอยติดตามนิยายเรื่องนี้ ไม่รู้จะบอกอะไรไปมากกว่า...ขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ
           ถึงแม้นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่สนุกสำหรับใครหลายๆคน อาจจะน่าเบื่อ อาจจะมีข้อผิดพลาดเยอะแยะ แต่ยังไงถ้าคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ เราก็ขอบคุณมากๆแล้วล่ะ สำหรับคำติชมเราก็ขอน้อมรับแต่โดยดีและจะนำไปปรับปรุงงานเขียนเรื่องอื่นๆต่อไปเน้อ
         อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้แล้ว...นิยายเรื่องนี้มีตอนพิเศษค่ะ เป็นตอนพิเศษที่เราเขียนขึ้นเพื่อตอบแทนแฟนๆนิยายเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะไฟลล์นิยายตอนพิเศษจะแจกให้เฉพาะคุณผู้อ่านที่ส่งคำตอบมาเล่นเกมแลกไฟลล์ตอนพิเศษเท่านั้น จะไม่มการโพสลงเว็บเด็ดขาดค่ะ ^ ^ โดยสามารถอ่านกติกา-คำถามได้จากลิ้งค์ด้านล่างเลย โดยส่งคำตอบได้ทางอีเมลล์ของเราเท่านั้นค่ะ (ไม่รับผ่านทางคอมเม้นท์หรือว่าข้อความลับเด็ดขาด) พอเราได้รับอีเมลล์แล้ว เราจะส่งไฟล์ตอนพิเศษกลับไปให้ค่ะ ซึ่งตอนพิเศษรับรองไม่ดราม่าแล้วค่ะ เป็นตอนหวานซึ้ง(หรือเปล่า?~) ระหว่างวินกับหมอกานต์โดยไม่มีคนอื่นเข้ามาเอี่ยว เพื่อเป็นการไถ่โทษที่นิยายเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบมีฉากหวานซึ้งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เง้อออ

            อันที่จริงเราแต่งนิยายเรื่องใหม่ต่อจากเรื่องนี้ด้วย ชื่อเรื่อง "กุหลาบในเปลวไฟ" ค่ะ สไตล์ค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ลองตามลิ้งค์จากในเว็บเด็กดีนะคะ แต่เราคงยังไม่เอาเรื่องกุหลาบฯมาโพสในเล้าเพราะกะรอให้นิยายคืบหน้าไปเยอะๆก่อนน่ะค่ะค่อยเอามาโพส ไม่อยากให้เสียอารมณ์รอกัน แต่ถ้าใครอยากอ่านก็เชิญอ่านได้ตามสบายจ้า (ในเว็บเด็กดี)

            สุดท้ายนี้ใครอ่านมาถึงตอนสุดท้ายแล้วยังไม่เคยเม้นท์ก็ช่วยๆกันเม้นท์หน่อยเน้อ เห็นคอมเม้นท์แล้วมันชื่นใจจริงๆ เป็นกำลังใจในการอัพนิยายไ้ด้อย่างดีเยี่ยม เพราะเราเชื่อว่าความสุขของคนแต่งก็คือการได้รู้ฟีดแบ็คงานเขียนตัวเองจากคนอ่านเนี่ยแหล่ะค่ะ และถึงแม้ว่านิยายเรื่องนี้จะจบไปแล้ว แต่ยังไงก็แวะไปกดlikeพูดคุยและเยี่ยมเยียนเราได้ที่หน้าแฟนเพจนิยายค่ะ ยินดีต้อนรับทุกๆคนเลย
           ใครสนใจซื้อหนังสือรวมเล่มเก็บไว้ รีบๆหน่อยเน้อ เหลือน้อยนิดใกล้หมดแล้วจ้า (หมดรอบนี้ก็ไม่รีปริ้นท์อีกแล้วเน้อ อาจจะเว้นไปหลายๆปีค่อยเอามารีปริ้นท์ใหม่ ถ้าสนใจก็ตามรายละเอียดจากแฟนเพจนิยายได้เลยจ้า)
         
            จากนี้ไปก็คงไม่ต้องตื่นมาอัพนิยายให้อีกแล้ว แอบเหงา...เฮ้อ...

ปล. ขอบคุณ...ขอบใจ...ขอบพระทัย...Thank you สำหรับทุกอย่างค่ะ :bye2:

อันนี้เป็นลิ้งค์เกมชิงไฟล์นิยาย http://writer.dek-d.com/Aislin/story/viewlongc.php?id=695939&chapter=44 (แจกเฉพาะตอนพิเศษ ไม่แจกหนังสือแล้วค่ะ เพราะหมดเขตแจกหนังสือไปแล้ว)
อันนี้เป็นลิ้งค์นิยายเรื่องใหม่ของเราค่ะ บางคนบอกว่าเนื้อหาเข้มข้นกว่าเรื่องนี้อีก เอิ๊กๆ http://writer.dek-d.com/Aislin/story/view.php?id=811414 อ่านแล้วก็ฝากทิ้งคอมเม้นท์ไว้หน่อยเน้อ  :z1:

ปล. (สุดท้ายจริงๆ) อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ช่วยกดreplyแล้วคอมเม้นท์ทิ้งท้ายให้หน่อยนะจ้ะ จะรออ่านความเห็นจากทุกคนคร้าบบบ

 :bye2: :bye2: :bye2:

(http://upic.me/i/xk/2uhra.jpg) (http://upic.me/show/38027900)
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 07-08-2012 10:26:36
ยังไม่ได้อ่านตอนจบเลย แต่แอบไปดูคำถามชิงรางวัลก่อน
เห็นคำถามแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ยากกว่าสอบ thesis อีกนะเนี่ย
ต้องเค้นสมองยกใหญ่ หลังจากเลิกใช้สมองมานาน
เพราะช่วงนี้ใช้ไขสันหลังทำงานตลอด
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 07-08-2012 10:34:12
 :monkeysad: :monkeysad:อ่านตอนนี้แล้วร้องไห้ด้วยอะ :sad11: :sad11:


รออ่านจ้า :monkeysad: :monkeysad: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 07-08-2012 10:34:51
ยังไม่ได้อ่านตอนจบเลย แต่แอบไปดูคำถามชิงรางวัลก่อน
เห็นคำถามแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ยากกว่าสอบ thesis อีกนะเนี่ย
ต้องเค้นสมองยกใหญ่ หลังจากเลิกใช้สมองมานาน
เพราะช่วงนี้ใช้ไขสันหลังทำงานตลอด

คำถามไม่ยากขนาดนั้นค่ะ แค่อยากรู้ความคิดเห็นเฉยๆ ยังไงลองส่งมานะคะ เดี๋ยวจะได้ส่งตอนพิเศษกลับไปให้ อยากแจก อิอิ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 07-08-2012 13:09:22
ตั้งแต่ต้นจนจบเสียน้ำตาเยอะมาก อดหลับอดนอนอ่านอยู่ 2 คืน ตอนนี้ง่วงมาก ทำงานไม่ค่อยรู้เรื่องเลย  เห็นคำถามแล้วก็อยากตอบนะ แต่ช่วงนี้ลำบากไม่มีคอมใช้อะ อ่านก็จากมือถือเอา แต่ก็อยากอ่านตอนพิเศษ สงสัยต้องรอปิดเทอมได้คอมจากน้องคืนก่อน
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 07-08-2012 13:34:38
นิยายสนุกมาก มีหักมุมด้วย เราสาปศราไปเยอะมาก 555555 ขอโทษนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 07-08-2012 13:58:00
เรื่องนี้ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลย คิดว่าว่างๆจะมาตามอ่าน

แต่แอบเปิดเข้ามาดูเม้นท์ผ่านๆก่อน

เห็นมีให้ตอบคำถามชิงไฟล์ด้วย อยากอ่านนะ

แต่เห็นคำถามแล้วแบบว่า.......... ไม่อ่านก็ได้ 5555+

ไม่ใช่อะไร แค่ทำงานก็เหนื่อยใจจะขาดแล้ว

ยังต้องมานั่งนึกหาคำตอบเพื่อความบันเทิงอีก เราไม่ไหวจะสู้จริงๆ แหะๆ >_<"
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 07-08-2012 14:36:43
ตอนนแรกเข้ามาอ่านนะ แต่ไม่ได้เม้น

ฮ่าๆโทษที พออ่านไปไม่กล้าอ่านต่อ


กลัวค้าง ปวดหนึบ ดังนั้นจึงรอจนจบแล้วเข้ามาอ่านอีกที

ในที่สุดตอนนี้ก็อ่านจบเรัยบร้อยแล้ว เป็นนิยายที่วางไม่ลงจริงๆ


เข้มข้นทุกตอน ตอนจบเล่นเอาน้ำซึมตามตัวละครเลย

หักมุมเอามมากๆ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แต่งมาให้ได้อ่านกัน

จะคอนติดตามผลงานต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 07-08-2012 16:02:43
เรื่องมันหักมุมจริงๆนั้นแหละ
ว่าศราซะเยอะเลย^^
จบแบบสมหวังกันทั้งคู่
จะรออ่านเรื่องใหม่นะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เข้าเล้ามา
ต้องมาดูว่านักเขียนจะมาอัพหรือยัง
สนุกมากๆ
+1 นะคะ

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 07-08-2012 16:06:49
ที่แท้ศราก็เป็นคนดี แอบหลงเข้าใจผิด

ขอบคุณที่นำนิยายดีๆสนุกๆมาให้อ่านนะค่ะ  :pig4: :pig4:

+1+เป็ด เป็นกำลังใจให้นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: mrt ที่ 07-08-2012 16:57:57
อันดับแรกเลย อยากจะบอกคนเขียนว่าดีใจมากที่ได้อ่านเรื่องนี้ คิดไม่ผิดเลย
ตอนที่อ่านถึงบท 35 นี่ โอ๊ย ทรมานใจมาก  เดาใจศรารัตน์ไม่ถูกเลย
แม้ว่าใครบอกว่าเธออาจจะกลับใจ มีแผนสูงตามตอนจบของเรื่องจริงๆ
แต่อ่านไปก็อดหวั่นใจไม่ได้ แอบวาดตอนจบด้วยตัวเองว่า
เกิดคลิบเกย์ของวินกับกานต์หลุดออกไปจริงๆ อยากจะขอให้จบ
แบบวินก็แตกหักกับศรารัตน์ไปเลย ถึงจะถูกขับออกจากบริษัท
แต่ก็ขอให้หนีไปต่างประเทศพร้อมกับนภัทพร้อมกับมีชีวิตใหม่ที่นั่น

แม้ว่าจะอ่านพบว่าศรารัตน์พลิกล็อคเอง แล้ววิศรุตก็รอดตายมาได้
ก็ยังแอบเขียนตอนจบเองเหมือนเคย ว่าให้วินบินไปก่อน
ศรารัตน์คิดได้ ยอมรับความจริง ซื้อตั๋วให้กานต์ไปเซอร์ไพรส์วิน
ที่อังกฤษแล้วก็จบที่นั่น

ไม่ค่อยได้อ่านเรื่องที่มีปมขัดแย้งเข้มข้นแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกัน
แต่บอกตามตรงว่าอ่านไปๆ รู้สึกว่าวิศรุตหล่อขึ้นทุกทีเลยครับ
ขณะที่หมอณภัทรกลับนึกหน้าไม่ออกเลย  นอกจากดวงตาสีถ่าน

ขอบคุณนะครับ :bye2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 07-08-2012 19:18:04
หลังจากตามลุ้นตัวเกร็งมาค่อนเรื่อง ขอบอกว่าจบได้ประทับใจมากไม่อยากให้จบเลย

สนุกดี ขอบคุณมากๆๆๆๆ ที่เอาลงให้ได้อ่าน หวังว่าจะได้อ่านเรื่องอื่นๆอีกน้า :pig4: :bye2:

หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 07-08-2012 19:34:42
เป็นวายที่ครบรสจริงๆ  ลุ้นจนวินาทีสุดท้าย
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 07-08-2012 20:04:37
ตอนอ่านถึงตอนที่ศราวางแผนทำท่าเหมือนจะหักหลังวิน นี่เหมือนหัวใจถูกกระชากบีบเค้นยังไงก็ไม่รู้ :serius2:
แต่สุดท้ายก็จบไปด้วยดีเน้อะ  o13



รักกันนานๆนะจ้ะ หมอกานต์กับพี่วิน  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 07-08-2012 20:45:57
ในที่สุดก็ถึงบทสรุปซะที แฮปปี้เอนดิ้งงงงงง
มีคนหนึ่งในตอนจบที่รู้สึกดีขึ้นมาด้วยหน่อยๆ  นั่นคือ ภาคิน ภาคินอาจจะทำเรื่องเลวร้ายมากมาย
แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นในตอนนี้คือ ภาิคินรักวันชัยผู้เป็นพ่อบุญธรรม เห็นได้จากอาการห่่วงวันชัย ตอนที่กำลังสู้จนพลาดท่า
หรือตอนที่เห็นวันชัยตายแล้วเลือดขึ้นหน้า  เลยรู้สึกดีด้วยต่อให้เขาเลวหรือเห็นแก่ตัวกับคนทั้งโลก แต่กับผู้มีำพระคุณ
นั้นเป็นอีกเรื่อง นี่ึคงเป็นอีกด้านของเหรียญ แล้วก็เข้าใจนะ กับความแค้น การที่โดนวินดูถูกตั้งแต่ตอนเ้ด็ก มันเิกิดบาดแผลในใจ
สำหรับเด็กที่โดนทิ้ง จนมีวันชัยไปรับมาอุปการะ กับวันชัยที่โลภมาก เลยยิ่งไปกันใหญ่ สุดท้ายบทสรุปเลยเป็นแบบนี้

ขอบคุณที่โพสต์ให้อ่านค่ะ 
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 07-08-2012 21:08:40
ขอโทษศรานะที่เข้าใจผิดอะ  :m17:

ขอให้วินกับหมอรักกันนานๆนะครับ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: พี่วันเสาร์ ที่ 07-08-2012 21:28:35
อ่านจบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ :เฮ้อ:
เป็นนิยายที่อ่านแล้วมีให้ลุ้นตลอด
ทั้งเรื่องของวินกานต์
เรื่องของน้องสาวตัวแสบที่หักมุมมาก
และเรื่องของสองพ่อลูกที่ก่อแต่ปัญหามาโดยตลอด
เรื่องนี้มีความรักสอดแทรกอยู่มาก
มีทั้งรักแบบพี่น้องเห็นได้จากวินและยัยศรา
รักแบบคนรักของวินกับหมอกานต์
รักแบบพ่อลูกของวันชัยกับภาคิน
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแท้ๆแต่ก็รักกันมาก
สุดท้ายขอบอกนิยายสนุกมาก o13

อยากได้รางวัลพิเศษนะแต่ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามได้แค่ไหน :laugh:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: ryokosung_love_ ที่ 07-08-2012 23:03:57
อ๊ากกกก สนุกมากเลยยย อ่านแล้ววางไม่ลงอ่ะ อ่าน39ตอนรวด ไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 07-08-2012 23:15:21
สนุกและลุ้นมาก  ตอนนั้นโมโหศราแทบแย่  ในที่สุดก้อลงเอยด้วยดี   :L2:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 07-08-2012 23:42:51
อ่านมา 3 วัน ตาลายไปเหมือนกัน  แต่ก็มีความสุขครับที่ได้อ่าน ขอบคุณมากๆครับ  เนื้อเรื่องเข้มข้น ดราม่าดีครับ  อ่านแล้วปวดใจตามพี่วินเลย...
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 08-08-2012 03:20:03
ฮ้า ในที่สุดความรักสิบสามปีที่รอคอยก้อจบลง ซึ้งอะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 08-08-2012 19:25:38
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้จนจบบริบูรณ์ แล้วก็คอมเม้นท์ให้ด้วยนะคะ วันนี้เปิดมาอ่านคอมเม้นท์แล้วดีใจมากเลย ดีใจที่หลายๆคนชอบค่ะ
ส่วนเรื่องตอนพิเศษ  ยังส่งคำตอบได้อยู่นะคะ เพราะยังแจกอยู่เรื่อยๆ
อย่าลืมส่งมานะคะ รออ่านอยู่เน้อ
ปล. มีคนเคยบอกว่าตอนจบห้วนไปหน่อย แต่เราก็แก้ตัวให้แล้วในตอนพิเศษ ห้ามพลาดเด็ดขาดเน้อ

ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างค่ะ
Aislin
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: jeje ที่ 08-08-2012 19:37:30
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ  ชอบเรื่องนี้มาก  ชอบทั้งนภัทรvsวิศรุต   น้องสาวตัวแสบก็ช่างคิดแผนการ   
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: fastation ที่ 09-08-2012 00:36:29
เรื่องนี้คนคนที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นภาณุสินะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านเน้อ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 09-08-2012 18:24:02
ขอโทษนะเข้ามาเม้นช้าไปหน่อยพอดีช่วงนี้งานเยอะมากเลย แต่วันนี้เราอ่านจบแล้วล่ะ หน่วงมาทั้งเรื่อง มาหวานเอาวินาทีสุดท้ายของเรื่อง >< น้ำตาลในเลือดเรายังต่ำอยู่เล้ยยยยยย 555
เสีนใจที่สุดตอนเมริษาตายอ่ะ แต่อย่างน้อยสองพ่อลูกนั่นก็ได้ีับผลกรรมแล้ว ส่วนเมริษาเองก็ได้รู้จักกับความรักแล้วก่อนตาย  ฮือออออ แต่มันเศร้าไปไหมอ่าคู่ภาณุกับเมริษาเนี่ย T^T
ดีใจที่พี่น้องในที่สุดก็เข้าใจกันดี นภัทรกับกับวิศรุตก็ลงเอยกันแล้วล่ะดีใจมาก ส่วนพงศ์ก็รีบจีบศราให้ติดเลยนะ สาวเจ้ากำลังเฮิร์ทอยู่
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ รอติดตามเรื่องหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 10-08-2012 13:33:19
วินขี้แกล้งมาก ๆ เลยนะนั่น ชอบกานต์แต่แกล้งกานต์แบบนั้น ช่างคิดได้นะเนี่ย แต่กานต์ก็เหมือนจะมีใจให้วินนะนั่น แต่เหมือนยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น ไม่งั้นจะมาคิดเรื่องวินทำไมถึงขนาดไม่มีแก่ใจจะเรียนเลยแบบนั้น กานต์ก็ใจร้ายเหมือนกันนะนั่น พูดแบบนั้นกับวิน สงสารวิน แต่พูดไปก็ไม่ได้สบายใจใช่ไหมกานต์ ศราเหมือนจะสนใจกานต์ และก็จริง ๆ ด้วยนะนั่น วินทำไมไม่พูดความจริง แล้วไม่บอกเหตุผลกับศราไปนะนั่น ภาคินกับวันชัยนี่ร้ายกาจจริง ๆ นะเนี่ย โดยเฉพาะวันชัย วินกับศราเป็นหลานไม่ใช่หรอ ทำไมถึงใจร้ายแบบนั้นนะเนี่ย วินที่จริงก็รักศราน่าดูนะเนี่ย แต่ทำไมเวลาแสดงออกถึงไปอีกทางแบบนั้น แล้วก็ไม่ยอมบอกศราด้วยว่าตัวเองเป็นคนช่วยศรา ปล่อยให้ศราเข้าใจผิดแบบนั้นไม่ดีเลย กานต์ก็เหมือนกันน่าจะบอกศราไปเลย ศราก็ช่างตื๊อนะนั่น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจแล้วว่ากานต์ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยก็วุ่นวาย กานต์ทำไมพูดแบบนั้น ทำแบบนั้นกับวิน แล้วพูดแบบนั้นนี่นะ สงสารวินมาก ๆ ศราจะร้ายกาจไปถึงไหนเนี่ย คนที่ตัวเองกำลังทำร้ายคือพี่ชายนะ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าวินรู้สึกกับกานต์ยังไงยังขอแบบนั้นได้ลงคอสงสารวิน แล้ววินทำไมถึงยอมแบบนั้น ยังดีนะที่วินยังมีภาณุอยู่ข้าง ๆ กานต์ก็ไม่พูดอะไรให้ชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับวิน ทำให้วินไม่แน่ใจในตัวกานต์แบบนั้น แล้วยังสิ่งที่ศราพูดทำให้วินคิดมากอีก วินคิดอีกครั้งเถอะ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้จริง ๆ หรือไง จะทำร้ายตัวเองและคนที่ตัวเองรักไปทำไม ไม่สงสารทั้งตัวเองทั้งกานต์บ้างหรือไง คิืดว่าสิ่งที่ทำแล้วดีกับกานต์๋จริง ๆ หรือ และเป็นสิ่งที่ดีกับศราจริง ๆ งั้นหรือไง แล้วสิ่งนี้ดีกับตัวเองแล้วหรอ พงษ์ทำไมถึงยอมช่วยศราแบบนั้น ทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง วินเคยช่วยพงษ์ไว้ไม่ใช่หรือไง กานต์ก็เป็นเพื่อนพงษ์ด้วย คิดอะไรของพงษ์เนี่ย ศรายังทำร้ายจิตใจวิืนไม่พออีกหรือไง ทำแต่ละอย่างจะใจร้ายไปถึงไหน สงสารกานต์วินมาก ๆ ขนาดศราทำกับวินขนาดนั้น วินก็ยังคงเป็นห่วงศรา วินคงเจ็บปวดมากถึงคิดจะไปอังกฤษ และกานต์ก็คงเจ็บปวดไม่ต่างกัน ถ้าภาณุไม่มาพูดศราจะคิดได้ไหม
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 11-08-2012 00:30:14
อ่านจบแล้ว :mc4: :mc4:ในที่สุดก็มีความสุขกับเค้าซักทีนะวิน :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 28-08-2012 04:59:13
ขอบคุณมากครับ :call: สำหรับนิยายเรื่องนี้ อ่านตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายสองจนถึงตอนนี้ประมาณตีห้าเพิ่งจะจบ แบบว่าอ่านรวดเดียวเลย เสียน้ำตาไปเยอะเลยกะเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้กับเรื่องต่อๆไปนะครับ อย่าลืมมาโพสเรื่องใหม่ในเล้านี้อีกนะครับ ....CeeCee :pig4:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 28-08-2012 10:20:28
π_π โศกเกินไปแล้ว *คว่ำกะละมัง*
ถ้าเรามีคนมาหลงรักตั้งกะ ม.1 เหมือนหมอกานต์คงจะดี
เรื่องนี้เราสงสารเมริษาที่สุดอ่ะ << พิมพ์งี้ป่ะชื่อ?
คือค่อนข้างเข้าใจชีวิตเธอนะ ไอ้ภาคินแม่มเชี่ยมาก...แค่เรื่องกลั่นแกล้งสมัยเด็กๆ แค่ไม่ใช่คนของตระกูล แค่โดนพ่อกรอกหูให้เกลียดมาตั้งแต่เด็กๆ มึงกล้าฆ่าคนถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งสงสารทั้งสมเพชอ่ะ <(`^´)>  ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำสูงต่ำอยู่ที่ทำตัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 28-08-2012 22:37:03
 :L2:    นิยายเรื่องนี้สนุกมาก

เนื้อหาเข้มข้น  สนุก  ดราม่า

แม้บทบางช่วงอาจขาดน้ำหนักไปบ้างแต่ถือว่าสนุกมากกกกกกก

แต่เสียดาย  บทหวานน้อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 28-08-2012 23:40:35
สนุกมากค่ะ ชอบจัง ^^

อยากได้นิยายมาเก็บไว้  ไม่ทราบว่ายังมีขายอยู่หรือเปล่าคะ?

PS. เราอยากอ่านไฟล์ตอนพิเศษค่ะ ไม่ทราบว่าเรายังเล่นเกมส์ได้อยู่หรือเปล่าคะ?
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-08-2012 01:15:11
สนุกดีค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 29-08-2012 18:54:12
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณมากๆที่หลายคนชอบนิยายเรื่องนี้ ในฐานะคนแต่งก็ดีใจมากๆเลยล่ะค่ะ
อย่าลืมนะคะว่ายังสามารถส่งคำตอบมาแลกไฟล์ตอนพิเศษได้ ไม่มีการปิดรับคำตอบค่ะ และไฟล์ตอนพิเศษไม่มีในเล่มและไม่มีการโพสลงเนตเน้อ

ส่วนหนังสือยังเหลืออยู่2เล่มสุดท้ายค่ะ อยากได้รีบติดต่อเราทางอีเมลล์ด่วนๆเน้อ เพราะหมดล็อตนี้คงไม่รีปริ้นท์แล้วจ้า ยกเว้นผ่านไปหลายๆปีอาจจะเอามาพิมพ์ใหม่

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ให้การตอบรับนิยาย"ทัณฑ์กามเทพ"อย่างอบอุ่นค่ะ แล้วเราก็หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆนะคะ ;)
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 31-08-2012 18:23:00
ลงเอยกันด้วยดี
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: AginaJang ที่ 02-09-2012 01:13:59
นั่งอ่านวันเดียวจบ 39 ตอน 555
สนุกมากๆเลค่ะ เนื้อเรื่องหนักมากๆ
แต่เล่นคำให้เราอินได้มากๆเลย
เอาไว้เดี๋ยวจะส่งอีเมล์ไปขอตอนพิเศษนะคะ :)
จะจำจบวินกับหมอกานต์ไว้เสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 02-09-2012 07:58:17
มาม่าทั้งเรื่องเลยอ่ะ :monkeysad:
กว่าจะลงเอยกันได้ ปวดใจสุดๆเลย :m8:
ขอบคุณน้า o1
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: honeyhoon ที่ 02-09-2012 18:56:13
+1 ให้แด่คนเขียน
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 03-09-2012 20:48:41
ชอบอ่ะ สนุกมากๆ o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: cherrykide ที่ 04-09-2012 02:30:56
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ สนุกมากกกกกกกกกกกก

ลุ้นทุกตอนตั้งแต่ตอนแรกจนตอนสุดท้าย ครบรสจริงๆ

หวาน มาม่า แแอคชั่น ฮั่มหั่น เต้นเต้น แถมภาษาก็ดีมากด้วย

ขอบคุณฟิคดีๆเรื่องนี้มากเลยค่ะ จะรออ่านเืรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: lovely1714 ที่ 04-09-2012 04:13:20
ชอบจังเลย  วินน่ารักมาก
ร้องไห้หลายรอบมากเลบลุ้นสุดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: nooklepper ที่ 06-09-2012 09:36:31
><  เพิ่งอ่าน  บอกได้คำเดียวว่า ครบรสมากคะ

ขอบคุณมากๆ เลยคะ  จะติดตามเรื่องต่อๆไปนะ อย่าลืมเอามาลงนะคะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 09-09-2012 10:38:46
อ่านจบแล้ว
บอกได้เลยว่าเรื่องนี้มันสุดยอดมากกก
มีครบทุกรสเลย
อ่านแล้วอินจัด ร้องไห้ตลอด จุกดีแฮะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ที่เขียนให้ได้อ่านกันนะฮ๊าฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 09-09-2012 22:45:13
ขอบคุณมากๆ รู้สึกอิน กับบทนิยายมาก ๆ
นิยายเรื่องนี้ำให้เสียน้ำตาไปมากโขเหมือนกัน
ดีนะไม่ได้เล่าไปถึงพ่อแม่กีดกัน ไม่งั้น คนอ่านอย่างเราทรมานใจน่าดู
สุดท้ายขอให้แต่งนิยายมาให้ติดตามผลงานเยาะ ๆ นะครับ
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: volvox_nostoc ที่ 23-09-2012 23:04:08
หลังจากเกลียดศรามานาน สุดท้ายก็ เฮ้อ ซึ้งอ่ะ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 27-09-2012 00:57:21
ตามมาอ่านรวดเดียวจนจบครับ ต้องบอกว่า ดราม่าได้ถึงแก่นนะครับ บรรยายร่วมกับสนทนาได้แนบเนียนดีมากๆครับ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Angel_K ที่ 01-10-2012 22:19:51
อินจัดทุกอารมณ์เลยจริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 02-10-2012 18:45:10
ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามนะคะ เรายังแวะเข้ามาอ่านคอมเม้นท์ในเล้าเป็ดอยู่บ่อยๆ ยังไงอ่านจบแล้วก็ช่วยคอมเม้นท์ให้หน่อยนะคะ รวมถึงไฟล์นิยายตอนพิเศษก็ยังเปิดแจกอยู่เรื่อยๆ ส่งคำตอบเข้ามาเล่นเกมกันเยอะๆนะคะ ใครอยากเห็นฉากหวานๆที่อ่านแล้วต้องแอบอมยิ้มของวินกับหมอกานต์ อย่าพลาดเด็ดขาดเน้อ :)
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 02-10-2012 23:29:12
I read it whole story non-stop. Fabulous !!!! Thanks for posting this fic ka
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 03-10-2012 20:25:56
 :sad11: :sad11: :sad11:


ร้องไห้ตลอดเรื่องเลยอ่ะ T-T
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: arty136 ที่ 04-10-2012 01:27:30
ชอบ และ สนุกมากๆๆ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: murasakikasa ที่ 05-10-2012 01:16:54
ชอบมาก  อินอ่ะ   555   
เป็นกำลังใจให้น่ะคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 06-10-2012 09:39:32
ขอบคุณนะ สำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re:บุพเพวายร้าย-พิเศษ3/3.1...............................................หน้า672
เริ่มหัวข้อโดย: tongdbsk ที่ 07-10-2012 12:59:43
จบแล้ว... สนุกมาก ๆ เลย มีความรู้สึกว่าอ่านแล้วหยุดไม่ได้ เนื้อหาของเรื่องน่าติดตามมาก มีหลายอรรถรส.. อ่านแล้วไม่จำเจดี ปรบมือให้คับ

.... แต่ฉากเศร้า มันทำให้ผมเสียน้ำตาด้วยแหละ ฮือ ๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้ครับ

... ไม่รู้ว่าจะทันอยู่รึเปล่าหนอ.. อยากได้ไฟตอนพิเศษอ่ะ เดี๋ยวจะเข้าไปร่วมสนุกนะครับ.
หัวข้อ: Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-39 จบบริบูรณ์ (แถมเกมชิงไฟล์ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 08-10-2012 18:26:26
ใครที่สงสัยเรื่องตอบคำถามชิงไฟล์ตอนพิเศษ ตอนนี้สามารถส่งได้นะคะ ไม่มีกำหนดปิดรับคำตอบ :)
ส่งกันเข้ามาเยอะๆนะคะ ไม่มีผิดถูก อยากทราบความเห็นของแต่ละคนแค่นั้นเองจ้า

ใครส่งมาแล้ว เตรียมเอาตอนหวานๆสุดโรแมนติคของวินกะกานต์ไปอ่านได้เลยเน้อ :)
หัวข้อ: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aislin ที่ 05-01-2013 00:12:40
 
TBL-624-676

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์สำหรับนักอ่านท่านใดที่เคยอ่านนิยายเรื่อง "ทัณฑ์กามเทพ" Yaoi/Boy's Love

ตอนนี้ Special Boolet มีในรูปแบบ E-book เท่านั้นค่ะ หากใครสนใจอยากอ่านตอนพิเศษของนิยายเรื่องนี้ จิ้มลิ้งค์ไปโหลดได้เลยจ้ะ ^-^


ตามลิ้งค์นี้ค่ะ
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTcwNDIxIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMTY0NDciO30

 
หัวข้อ: Re: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: pacharauksara ที่ 21-03-2015 10:42:33
เฮ้อออ สงสารวินจริงๆ ศรารัตน์เอ๊ยหยุดเถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 21-03-2015 17:27:11
อ่านเนื่องนี้ น้ำตาเลอะจอหมดเลย กว่าจะแฮปปี้นี่ลุ้นจน ฉี่ราด :pig4:
หัวข้อ: Re: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 25-03-2015 23:20:08
สนุกมาก ๆ เลย ขอบคุณมากครับ คิดถึง หมอกานต์ วิน แฮ๊ ๆ
หัวข้อ: Re: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: CorNnE PRiNCeS ที่ 11-04-2015 13:24:59
ก้อซึ้งอย่างมากมาย
การรอคอยมันนานมากเลย
ตั้ง 13 ปี

แต่ดีแล้ว ที่สมหวัง

ขอบคุณคับ

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 22:16:31
 :mew1: