พิมพ์หน้านี้ - สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: บุหรง ที่ 26-01-2009 19:55:41

หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 26-01-2009 19:55:41
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


==============================

สานฝันนิรันดร



บทนำ

เด็กชายวัย ๑๓ ที่คิดจะหาเงินด้วยวิธีลัด ลูกค้ารายแรกที่เด็กชายเลือกคือชายหนุ่มชาวต่างชาติ เด็กชายตื่นเต้นแต่ก็หวาดกลัวอยู่บ้าง คืนนั้นกลับผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่เด็กชายคาดคิด สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความอ่อนโยนและอบอุ่น ที่เด็กชายประทับใจไม่รู้เลือน

๑๕ ปีผ่านไป เด็กน้อยซึ่งเติบโตเป็นชายหนุ่ม ได้พบกับชายหนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่งโดยบังเอิญ ความรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ คล้ายคลึงกับชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่ตนเคยพบเมื่อวัยเด็กอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเปลี่ยนเป็นความประทับใจและความหลงใหล โดยไม่ได้สนใจกับความแปลกประหลาดหลายๆอย่าง ของชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้

แต่การคบหาของคนทั้งสองอยู่ในความสนใจของชายหนุ่มสามคน
คนแรก หลงรักเด็กชายที่เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม แต่ไม่ได้รับความสนใจ จึงทั้งริษยาและเกลียดชังชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้
คนที่สอง เหมือนจะหลงรักทุกคนไปหมด จึงให้ความสนใจกับชายหนุ่มชาวต่างชาติเช่นกัน
คนที่สาม เห็นถึงความผิดปรกติหลายอย่างของชายหนุ่มชาวต่างชาติ จึงจับจ้องมองดูเป็นพิเศษ จนกลายเป็นความรักอย่างไม่รู้ตัว

บุคคลทั้งสี่ไม่รู้เลยว่า การเข้าไปเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้ จะนำพาพวกเขาให้ได้พบกับสิ่งใดบ้าง
.....................
ตอนนี้ไม่ต้องใส่หัวเรื่องแล้วนะ ว่านิยายหรือเรื่องเล่า นอกจากเรื่องสั้น ถึงจะใส่จ้า

*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 26-01-2009 20:05:15
 :mc4: :mc4: :mc4:

เย้นิยายใหม่ๆ เรื่องที่สอง

 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-01-2009 20:06:55
นิยายใหญ่ของคุณบุหรง  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-01-2009 20:11:51
5 P


555+


มาต้อนรับคุณบุหรงครับ

อย่าเศร้าอีกเลยนะ  สงสารคนอ่านมั่ง  *-*
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: menano ที่ 26-01-2009 20:13:55
 :กอด1:

เรื่องใหม่มาแล้ว

ดีใจมากมาย   :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: salemon ที่ 26-01-2009 20:28:07
มาเปิดเรื่องใหม่ของพี่บุหรงค่า :mc4: :mc4:

ติดตามมาทุกเรื่อง แต่ตอนจบมะเอาแบบผู้มาเยือนนะค่ะ

 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-01-2009 20:37:08
มารออ่านเรื่องใหม่ค่ะ   :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 26-01-2009 20:41:33
เรื่องใหม่ ๆๆๆๆๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 26-01-2009 20:55:20
บทที่ ๑

ปีพุทธศักราช ๒๕๓๕
วันหนึ่งในช่วงปลายฤดูร้อน


เที่ยงคืน ... ช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่หลับไหล เวลาที่เงียบสงบ แต่สถานที่บริเวณนี้กลับคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ที่ออกมาแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการ บางคนออกมาเพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพ บางคนออกมาเพื่อหาสิ่งคลายเหงา บางคนออกมาเพื่อหาความสนุกสนาน บางคนออกมาเพื่อจะได้พบกับสิ่งที่คิดว่าเป็นกำไรชีวิต

เด็กชายนั่งอยู่บนบันไดทางเข้าห้างสรรพสินค้า ที่ปิดไปตั้งแต่ตอนประมาณสี่ทุ่ม มองดูผู้คนที่เดินไปเดินมา เด็กชายหลายคนที่เคยนั่งอยู่บริเวณนั้น ค่อยๆหายไปทีละคน ส่วนใหญ่เดินตามชายวัยต่างๆที่เข้ามาพูดคุยด้วย จนเหลือเพียงตัวเขาและเด็กชายอีก๔-๕ คน ตัวเขาเองนั่งซุกตัวอยู่บนบันไดขั้นบนสุด บริเวณนั้นค่อนข้างมืดกว่าบริเวณอื่น จึงไม่เป็นที่สนใจเท่าเด็กชายคนอื่นที่นั่งอยู่ด้านล่าง เด็กชายลังเลอยู่หลายครั้ง ที่จะออกไปเรียกความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปมา เหมือนกับที่เด็กชายหลายๆคนทำ เพราะเขาไม่ใช่ ‘เด็ก’ เหมือนเด็กชายเหล่านั้น ในแบบที่คนเข้าใจกัน อีกประการหนึ่ง เขาเองยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง เพราะไม่เคยทำเช่นนี้เลย นอกจากได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อนๆในโรงเรียนเล่าให้ฟังเท่านั้น

แล้วสายตาของเด็กชายก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มต่างชาติคนหนึ่ง อาจเป็นเพราะเสื้อโค๊ทยาวสีเขียวขี้ม้าที่ชายหนุ่มคนนั้นสวมใส่ รวมไปถึงการเดินช้าๆทีละก้าว ทีละก้าว ราวกับจะระมัดระวังว่าจะเดินเหยียบเอาสิ่งที่ไม่คาดคิด ที่อาจจะมีบนทางเดิน แต่ใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้าน ประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ผิวค่อนข้างขาวยิ่งดูดีรับกับผมสีน้ำตาลทอง เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกจากที่ที่ตนนั่งอยู่ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้น เพราะมองเห็นว่า มีเด็กชายหลายคนมองดูอยู่เช่นกัน และมีบางคนเริ่มขยับตัว เขาจึงต้องรีบชิงเข้าไปตัดหน้าเสียก่อน

“เฮ้ ... เปย์มีไฟว์ฮันเดรด ไอวิวโกวิทยู ... โอเค๊” เด็กชายพูดเสียงค่อนข้างดัง
ชายหนุ่มมองดูเด็กชายที่มายืนอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย เด็กชายผมสั้นเกรียน อายุคงประมาณ ๑๒-๑๓ สวมใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อแจคเกต รองเท้าผ้าใบ ดูแล้วไม่เหมือน ‘เด็ก’ คนอื่นๆที่เขาเคยเห็นนั่งกันอยู่ในบริเวณนี้ ชายหนุ่มจ้องมองจนเด็กชายต้องก้มหน้าเพราะความประหม่า ปนหวาดกลัว พลางเหลือบสายตาขึ้นมองชายหนุ่มเป็นพักๆ ท่าทางของเด็กชายทำให้ชายหนุ่มเริ่มยิ้ม
“ทำอะไรได้บ้าง” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงพูดที่ค่อนข้างชัดเจน จนเด็กหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความสงสัย “ว่ายังไง ... เราน่ะ ทำอะไรได้บ้าง ถ้าพอใจ ฉันจะให้มากกว่านั้นก็ได้ แล้วแต่จะเรียกราคา”
“ทำ ... ทำได้ทุกอย่างครับ ให้ผมทำอะไรให้ หรือจะทำอะไรผมก็ได้” เด็กชายตอบเสียงตะกุกตะกัก ตื่นเต้นเสียจนลืมคิดไปว่า ชาวต่างชาติคนนี้พูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน และคล่องแคล่ว
“ทุกอย่างแน่นะ” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง
“ครับ ทุกอย่าง” เด็กหนุ่มกลั้นใจตอบ
“ดี ... งั้นตามมา”

ชายหนุ่มพูดแล้วหันตัวเดินกลับไปทางที่เดินมา ตรงไปยังแผงร้านค้าที่ตั้งเรียงรายกันอยู่บนทางเดิน เด็กหนุ่มรีบเดินตามไป จนมาหยุดอยู่หน้าแผงขายเสื้อผ้า
“เลือกเสื้อผ้าสักชุด ฉันอยากให้เธอมีชุดเปลี่ยนในตอนเช้า” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ “อ้อ ชุดคลุมนอนด้วยนะ”
เด็กชายมองดูชายหนุ่มด้วยความสงสัย แต่เจ้าของร้านที่เป็นหญิงวัยกลางคน ดูจะคุ้นกับลูกค้าลักษณะเช่นนี้ดี จึงชวนเด็กชายให้เลือกเสื้อผ้า จนได้เสื้อยืด กางเกงผ้า และเสื้อคลุมนอนอีกหนึ่งตัว ชายหนุ่มพาเด็กชายเดินไปซื้อถุงเท้า และชั้นในเพิ่มเติมจากร้านค้าบริเวณนั้น จากนั้นก็ขึ้นรถแทกซี่ไปสู่จุดหมายที่เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน

เด็กชายตื่นเต้นกับห้องพักที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ภายในโรงแรมมีระดับย่านกลางเมือง ชุดโซฟาหนังอย่างดีสีน้ำตาลอ่อนที่เขานั่งอยู่ ช่างนิ่มนั่งสบายยิ่งนัก มองดูเตียงนอนขนาดใหญ่ คลุมไว้ด้วยผ้าสีครีมสะอาดตา เข้ากับสีของผนังห้อง และยิ่งทำให้ห้องดูสว่างไสวมากขึ้น เด็กชายหันไปมองชายต่างชาติที่เขาติดตามมาด้วย หวังจะดูให้ชัดอีกครั้ง ก็เห็นว่าชายหนุ่มที่กำลังเอาเสื้อโค๊ตที่ถอดออก และเสื้อผ้าสำหรับเขาที่เพิ่งซื้อมา ใส่ไม้แขวนเสื้อจัดเข้าไปในตู้เสื้อผ้า กำลังมองดูเขาอยู่เช่นกัน ในแสงสว่างเช่นนี้ทำให้คิดว่า อายุของชายหนุ่มคงจะอยู่ในช่วง ๒๐ ปีต้นๆเท่านั้นเอง ใบหน้ารูปไข่ กับดวงตาที่เขามองไม่ชัดว่าเป็นสีอะไรกันแน่ ส่งรอยยิ้มมาให้เด็กชาย แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เพียงครู่เดียวก็ออกมาพร้อมกับผ้าขนหนู เดินเข้ามานั่งลงข้างๆเด็กชาย

“อาบน้ำซะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยื่นผ้าขนหนูให้เด็กชาย ตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นชัดว่า ดวงตาของชายหนุ่มเป็นสีเขียวเข้มราวกับมรกต ริมฝีปากของชายหนุ่มยังเป็นสีชมพูอ่อนราวกับกลีบดอกไม้
“ครับ” เด็กชายยื่นมือรับผ้าขนหนูมาไว้ในมือ แล้วก้มหน้าลงด้วยความเก้อเขิน ... ปนด้วยความกลัวที่เริ่มรู้สึกขึ้นมา ว่าเขาจะต้องทำอะไร หรือถูกทำอะไรต่อไป
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ” ชายหนุ่มพูดราวกับอ่านใจเด็กชายออก “หิวมั๊ย”
“เอ้อ ... นิดหน่อยครับ” เด็กชายตอบตะกุกตะกัก พลางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ก็เห็นชายหนุ่มยิ้มมากขึ้นอีก
“เดี๋ยวจะสั่งอะไรขึ้นมาให้ ตอนนี้อาบน้ำก่อน จะได้สบายตัว”
พูดจบชายหนุ่มก็จับตัวเด็กชายให้ลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อแจคเกตของเด็กชายออก ตามด้วยเสื้อยืด เด็กชายยืนตัวแข็ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความประหม่า
“ท่อนล่างถอดเองนะ แล้วเข้าไปอาบน้ำให้สะอาด ขัดขี้ไคลด้วยล่ะ”
ชายหนุ่มพูดเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินไปนั่งลงที่หัวเตียง พลางยกหูโทรศัพท์ขึ้น เด็กชายมองตามแล้วก็รีบนุ่งผ้าเช็ดตัว ถอดกางเกงและกางเกงในวางไว้กับกองเสื้อบนโซฟา แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องน้ำไป ชายหนุ่มหันหน้ามองตามกหลังเด็กชาย ยิ้มด้วยความเอ็นดูขณะกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์

เด็กชายอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ จนสะอาดสะอ้าน จึงปิดก๊อกน้ำแล้วหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัว ยกขาเดินออกมาจากอ่างอาบน้ำ มองดูกระจกที่เป็นฝ้า เพราะอุณหภูมิของน้ำอุ่นที่เขาใช้อาบน้ำ ประทะกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ นึกสนุกขึ้นมาจึงยกมือขึ้นเช็ดฝ้าบนกระจก จนมองเห็นใบหน้าใสๆเพราะวัยเด็กของเขา ใบหน้าค่อนข้างสี่เหลี่ยมผมสั้นเกรียน แต่ดูคมคายเพราะดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม รับกับขนคิ้วและเส้นผมที่เป็นสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน จมูกค่อนข้างโด่ง ริมฝีปากแดงอิ่ม มองไล่ลงมายังรูปร่างของตัวเอง ที่รู้สึกว่าแขนขามันดูเก้งก้างไปหมด เด็กชายหันไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเช็ดผมจนแห้ง แล้วใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยขึ้น ส่องกระจกมองดูตัวเองอีกครั้ง แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวพันร่างกายท่อนล่าง ขมวดปมไว้ที่ด้านหน้าเหมือนที่เคยชิน เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เห็นมีเพียงเสื้อคลุมนอนที่ชายหนุ่มซื้อให้แขวนไว้เพียงตัวเดียว
“ใส่ชุดนั้นแล้วมาทางนี้” เสียงมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา
เด็กชายหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มกำลังมองภาพในจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่อยู่ จึงเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่ นำผ้าเช็ดตัวไปเก็บไว้ในห้องน้ำ
“มานั่งนี่” เสียงของชายหนุ่มเรียกมาอีกครั้ง เด็กชายจึงเดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆชายหนุ่ม แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า บนโต๊ะเล็กๆหน้าโซฟายาว วางไว้ด้วยอาหารหลายชนิด
 “หิวก็กินเสียก่อน ฉันจะไปอาบน้ำ” ชายหนุ่มบอกกับเด็กชาย แล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
เด็กชายมองดูอาหารบนโต๊ะ พลางคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ... กินอาหารแล้วอยู่ต่อ ... แอบหนีออกไปตอนนี้เลย หรือกินอาหารนิดหน่อยก่อน แล้วแอบหนีออกไป เพราะชายหนุ่มคงไม่อาบน้ำเสร็จเร็วนัก แต่ความคิดสองประการสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกไป เพราะเสียงน้ำไหลที่ดังอย่างชัดเจน เมื่อมองไปก็เห็นว่าประตูห้องน้ำไม่ได้ปิด หากเขาเดินไปเปิดประตูห้อง ซึ่งต้องผ่านประตูห้องน้ำ ชายหนุ่มคงต้องรู้ตัวแน่ๆ
“เอาวะ ... มาถึงขนาดนี้แล้ว” เด็กชายถอนหายใจ พลางเอื้อมมือไปเลื่อนถ้วยซุปมาตรงหน้า แล้วใช้ช้อนตักกิน

ซุปหมดถ้วยไปพร้อมกับขนมปัง๒ก้อน เด็กชายยังกินสปาเกตตี้กับสลัดผักอีกนิดหน่อย แต่ที่เด็กชายชอบที่สุด คงจะเป็นเค๊กชอกโกแลตชิ้นใหญ่ ที่กำลังตักเข้าปาก จนเค๊กชิ้นใหญ่หมดลง เด็กชายจึงนั่งดูโทรทัศน์ต่อจนรู้สึกว่าเสียงน้ำฝักบัวภายในห้องน้ำเงียบลง สักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วไฟในห้องก็ดับลง เหลือเพียงแสงจากจอโทรทัศน์ และแสงสลัวจากโคมไฟที่อยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียง เด็กชายเหลือบสายตามองดูชายหนุ่มที่เดินตรงไปยังเตียงนอน เด็กชายรู้สึกว่าผิวสีขาวอมชมพูของชายหนุ่มที่อยู่นอกผ้าเช็ดตัวซึ่งพันท่อนล่างไว้ เหมือนจะส่องประกายอยู่ในแสงสลัว ชายหนุ่มเลิกผ้านวมขึ้นสอดตัวเข้าไปในเตียงนอน นั่งพิงผนังด้านหัวเตียง ทอดขายาวไปใต้ผ้านวมหนานุ่ม แล้วโยนผ้าขนหนูไปกองอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆที่วางอยู่หน้าโต๊ะแต่งตัว ห่างจากเตียงนอนไม่มากนัก
“อิ่มแล้วก็มานี่ เอารีโมทมาด้วย”
เด็กชายกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น หยิบรีโมทเดินไปยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงอีกด้านหนึ่งของชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเด็กชายยังยืนนิ่งอยู่ ชายหนุ่มจึงขยับตัวเลิกผ้านวมออก เอื้อมมือดึงตัวเด็กชายให้นั่งลงบนเดียง จับขาเด็กชายให้ทอดยาวไปบนเตียงนุ่ม ตวัดผ้าให้คลุมร่างของเด็กชายไว้
“ถ้ายังไม่ง่วงก็ดูโทรทัศน์กันก่อน เปิดเสียงอีกหน่อยสิครับ ไม่ค่อยได้ยินเลย”
“ครับ” เด็กชายรับคำด้วยความประหม่า พลางกดรีโมทเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้น ถึงสายตาจะจับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ แต่ในหัวกลับคิดถึงเรื่องที่เพื่อนๆเล่าให้ฟัง รู้สึกหัวใจเต้นแรง เมื่อคิดว่าชายหนุ่มอาจจะเริ่มต้นทำสิ่งเหล่านั้นกับเขา ในเวลาใดเวลาหนึ่ง แล้วเด็กชายก็ต้องสะดุ้ง เมื่อชายหนุ่มโอบแขนมาทางด้านหลัง แล้วเอนตัวมาจนร่างกายด้านข้างของชายหนุ่มแนบชิดกับร่างกายของตน
“อายุเท่าไหร่แล้ว” ชายหนุ่มถามเบาๆ
“สิบสามครับ”
“โซ ยัง .... เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้” ชายหนุ่มพูดแล้วถอนหายใจ
“แล้วคุณอายุเท่าไหร่ ทำไมพูดไทยเก่งจัง”
“ลองเดาดูสิ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้กับเด็กชายที่หันมามอง
“ยี่สิบต้นๆ” เด็กชายคาดเดา ชายหนุ่มได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทำให้เด็กชายคลายความวิตกลงไป
“ฉันอายุมากกว่าที่เธอคิดมาก ... มากจนเธอคิดไม่ถึง”
“สามสิบเหรอ อย่าบอกนะว่าคุณอายุมากกว่านั้นอีก” เด็กชายเบิกตากว้าง
ชายหนุ่มอมยิ้ม พลางคิดว่ายังไงคนที่ตนโอบกอดไว้ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี อดคิดไปถึงวัยเด็กของตนเองไม่ได้ สักพักก็หันไปมองดูภาพในจอโทรทัศน์ต่อ ท่าทางของชายหนุ่ม ทำให้เด็กชายที่เริ่มมีคำถามอีกมาก อดถามต่อไปอีกไม่ได้
“คุณยังไม่ตอบผมเลย ทำไมคุณพูดไทยเก่งจัง”
“ฉันเคยอยู่เมืองไทยหลายปี หลายปีมาก”
“ตั้งแต่คุณเด็กๆหรือเปล่า”
“ไม่หรอก แต่เอาเป็นว่าหลายปีก็แล้วกัน”
“คุณมาทำอะไรที่เมืองไทยเหรอครับ”
“มาเที่ยว แล้วต่อมาก็เริ่มทำธุรกิจ เมืองไทยน่าอยู่ คนไทยก็อัธยาศัยดี”
“โดยเฉพาะเด็กไทย ... รึเปล่าครับ” เด็กชายเริ่มถามอย่างนึกสนุก
“บางคนนะ โดยเฉพาะเธอ”ชายหนุ่มหันมามองหน้าเด็กชายอีกครั้ง “ฉันรู้ว่าความจริงเธอเป็นเด็กดี ไม่เหมือน ‘เด็ก’ ที่ออกมาทำอะไรตอนกลางคืนแบบครั้งนี้"
“ผมสิบสามแล้วนะ ผมโตแล้ว”
“เชื่อฉันสิ เธอยังเด็ก ... เมื่อเทียบกับฉัน เธอยังเด็กเหลือเกิน เอาหล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว เด็กดีควรจะนอนได้แล้ว”
“ผมจะดูโทรทัศน์” เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ที่ถูกย้ำถึงความเป็นเด็ก
ชายหนุ่มมองดูใบหน้าด้านข้าง ที่แสดงสีหน้าว่าไม่พอใจ แล้วอดนึกขำไม่ได้ จึงยกที่โอบไหล่เด็กชายขึ้นจับศรีษะของเด็กชายเขย่าเบาๆ แล้วดึงมาซบไว้บนไหล่ เด็กชายก็เอนตัวตามแรงมือแต่โดยดี ผ่านไปครู่ใหญ่ ความง่วงงันจึงเริ่มเข้ามาครอบงำเด็กชาย ไม่ได้รู้สึกตัวว่า ดวงตาที่ปรือลง และศรีษะที่ซบอยู่กับไหล่ของชายหนุ่มเริ่มเลื่อนไหลต่ำลง ในที่สุดเด็กชายก็หลับไหลลง โดยที่ซุกศรีษะลงไปบนอกอันอบอุ่นของชายหนุ่มนั่นเอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 26-01-2009 21:03:06
เย้ เรื่องใหม่ของตั้ม  ห้ามจบเศร้าแบบเรื่องที่แล้วนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salemon ที่ 26-01-2009 21:23:47
อย่าบอกนะนะยมฑูต  :call:

แล้วจะเกิดไรต่อไปง่า o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 26-01-2009 21:24:57
 :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-01-2009 21:48:01
กรี๊ด เรื่องใหม่  :z2: :z2: :z2: :z2:

 :กอด1: คิดถึงน้องตั้ม  :กอด1:
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: jokirito ที่ 26-01-2009 21:49:53
เหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-01-2009 21:51:20
ฝรั่งคนนี้ มีเวทมนต์ปะเนี่ย สงสัยต้องลุ้นตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายมั้ย  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: hunkung11 ที่ 26-01-2009 21:58:46
ดันๆๆ ๆ ๆๆ

555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 26-01-2009 22:02:01
 :z13: คุณบุหรง

มาเจิมเรื่องใหม่

อ่านจากบทนำ ก็ชวนให้ติดตามแล้วค่ะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ



หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-01-2009 22:12:29
คำพูดของนายฝรั่งคนนี้ ออกแนวขนหัวลุก  o21
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: maabbdo ที่ 26-01-2009 22:17:50
 :mc4:   เย้...เรื่องใหม่ๆๆๆ

ดีใจเป็นอันมาก

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-01-2009 22:22:24
พระเอกอายุเกินพันแน่ ๆ เลย   :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 26-01-2009 22:23:27
ว้าว เรื่อง ใหม่  

 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: StopLove ที่ 26-01-2009 22:59:30
พระเอกอายุเกินพันแน่ ๆ เลย   :z3:

 :jul3: :m20: :laugh:

ว่าไปครับเฮีย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 26-01-2009 23:07:46
 :mc4: มารออ่านเรื่องใหม่ด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 26-01-2009 23:11:41
เรื่องใหม่ๆๆๆๆๆ


ตามกันต่อไป


เริมมีเงื่อนงำซะเเล้วตอนเเรก...

รออ่านตอนต่อไป :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 26-01-2009 23:31:30
เรื่องใหม่ของคุณบุหรงมาแล้ว

ท่าทางจะออกแนวขนหัวลุก o21

รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 26-01-2009 23:54:28
เรื่องอื่นตามไม่ทันขอมาตามเรื่องนี้ค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 27-01-2009 01:28:24
 :mc4: :mc4: :mc4:

มาเจิมเรื่องใหม่ของคุณบุหลง ชอบมากๆทุกเรื่องเลยมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครดี อิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 27-01-2009 04:12:52
มาจิ้มเรื่องใหม่ ของคุนบุหรงค่า

น่าติดตาม

น่าค้นหา หนุ่มฝรั่งคนนั้นเจงๆ อิอิ  
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 27-01-2009 11:45:10
รักต่างวัยงั้นเหรอ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 27-01-2009 12:15:56
งานนี้พระเอกดูท่าจะไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว  o21
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 27-01-2009 13:10:57
 :z13:


ด้วยคนค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: MoOkRaPoOk ที่ 27-01-2009 13:12:37
อร๊ายยย


ดั๊นว่าพระเอกต้องอายุสัก 200-500 ปี กรีสสสสสสสสสสส

เป็นราชาแวมไพร์รึเปล่าคะ
อร๊ายยยย

อยากโดนดูดเลือด

เขิลลลลจัง
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 27-01-2009 13:35:47

วันนี้ ได้อ่านเรื่องใหม่ 


เนื้อเรื่องน่าสนใจจัง   :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 27-01-2009 13:48:42
ชอบ!!!!!  :m3:  มาก~

ไม่ว่าใครก็ดูจะน่าสนใจ ต่อให้ไวนะครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 27-01-2009 14:02:03
น่าสนใจเจง ๆ  :m4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 27-01-2009 20:58:40
 :L2: :L2: :L2:



ขอติดตามอ่านด้วยคนนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 27-01-2009 21:41:25

เย้ๆ
เรื่องใหม่มาแล้ว

หรือว่าพระเอกจะเป็นแวมไพร์
คอยออดตามล่าดูดเลือดเด็ดหนุ่มๆ
 :z1:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๑ - ๒๖ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: panang ที่ 27-01-2009 22:19:58
 :L2: ดีใจ คุณบุหรงลงเรื่องใหม่แล้ว

จะติดตามอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 28-01-2009 17:28:09
บทที่ ๒

ต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

“เฮ๊ย ... ใจลอยเชียวนะเอ็ง”
เสียงเรียกมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง ทำให้ความนึกคิดของภูริทัต หรือที่เพื่อนๆเรียกว่า ทัต กลับมาสู่โลกปัจจุบัน
“คราวนี้เล่นฝรั่งเลยเหรอวะ”  ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดแซว พร้อมกับพยักเพยิดไปยังชาวต่างชาติ ที่กำลังบรรเลงเปียนโนอยู่ที่ห้องลอบบี้ของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ “ดูๆไปก็หล่อดีนะเว๊ย น่าสนใจดีเหมือนกัน” พูดแล้วก็หันไปมองด้วยสายตาแวววาว
“แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ” ภูริทัตตอบเสียงเนือยๆ พูดแล้วก็หันไปมองดูชาวต่างชาติคนนั้นอีกครั้ง

คืนวันศุกร์แบบนี้ ภูริทัตและเพื่อนๆมักจะหาอาหารเย็นมื้อพิเศษ ตามร้านอาหารชื่อดังในกรุงเทพฯ เป็นอาหารมื้อรางวัลประจำสัปดาห์อยู่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน  หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเย็นในร้านสุกี้ในบริเวณสยามแสควร์ ก็มานั่งเล่นกันที่โรงแรมแห่งนี้ สั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้ว แล้วก็นั่งสนทนากันไป ไม่ได้ใส่ใจกับอะไรมากนัก

The falling leaves drift by the window
The autumn leaves of red and gold
I see your lips, the summer kisses
The sunburned hand I used to hold

เสียงแผ่วนุ่มลอยคลอมากับเสียงเปียนโน ภูริทัตทัตเกิดความสนใจ หันมองไปยังแหล่งที่มาของเสียง นักเปียนโนรูปร่างเพรียว ใบหน้ารูปไข่ หน้าผากนูนกว้าง ผมและคิ้วเป็นสีน้ำตาลทองอ่อนๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนดูรับกับผิวค่อนข้างขาว ดูแล้วคงจะอยู่ในวัยช่วง ๒๔-๒๗  ทำให้ภูริทัตทัตประหวัดไปถึงชาวต่างชาติที่เคยได้พบเมื่อยังอยู่ในช่วงก่อนวัยรุ่น จำไม่ได้แล้วว่าชาวต่างชาติคนนั้นมีหน้าตาเช่นไร แต่ก็คิดว่าคงจะคล้ายคลึงกับคนที่ตนกำลังนั่งมองอยู่ ป่านนี้ชาวต่างชาติคนนั้นคงกลายเป็นชายวัยกลางคนอายุกว่า ๔๐ ไปแล้ว ภูริทัตเหม่อมอง พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อช่วงที่เขากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่น

“นายว่าไง ฝรั่งคนนี้น่าจะเป็นแบบไหน”  ปรีชา หรือชา เพื่อนของภูริทัตเป็นเกย์หนุ่มที่ค่อนข้างเจ้าชู้ ถามขึ้นอีก
“ไม่รู้ ข้าไม่ได้ชำนาญเหมือนพวกเอ็งสองคนนี่” ทัตตอบกลั้วหัวเราะ
“แบบไหนไม่แน่ใจหว่ะ รู้แต่ว่าเป็น” รังสรรค์ หรือสรรค์ เพื่อนอีกคนหนึ่งหันมาผสมโรง
“พวกนายรู้ได้ยังไงว่าเค้าเป็น”  ภูริทัตหันกลับไปมองนักเปียนโนอีกครั้ง นิ้วเรียวที่ไล่พรมไปบนคีย์บอร์ดดูแผ่วพริ้ว ไม่น่าเชื่อที่จะทำให้เกิดเสียงเพลงที่หนักแน่น แต่นุ่มนวลอยู่ในสำเนียงแบบนี้ได้
“แค่มอง ก็รู้แล่วว่าใช่” ปรีชายิ้มกว้าง “แต่ถ้าเป็นคนนี้นะ เป็นแบบไหนเราก็ยอมหว่ะ”
“ว่าเข้านั้น แต่ข้าไม่ยอมหรอกนะ ข้าน่ะต้องรุกอย่างเดียว” ภูริทัตพูดอย่างอารมณ์ดี
“ทำเป็นปากเก่ง ไม่เคยแท้ๆนะนายน่ะ เดี๋ยวเจอของจริงเข้า ขี้คร้านจะยอมทุกอย่าง ไม่เชื่อมาพิสูจน์กับเราดูมะ” ปรีชาพูดแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของภูริทัตมากขึ้น

เสียงเปียนโนเงียบลง นักดนตรีเดินลงมาจากเวทีเตี้ยๆ คงจะเป็นช่วงพักการบรรเลง มีแขกของโรงแรม ๒-๓ โต๊ะที่ทักทายนักดนตรีคนนั้น ระหว่างที่กำลังเดินมาทางโต๊ะของคนทั้งสาม
“ฮายยย .... กู๊ดเพอฟอร์ม” รังสรรค์ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ผ่านไป ส่งเสียงทักขึ้นทันที
“ขอบคุณครับ” นักดนตรีชาวต่างชาติหันมายิ้มให้ แล้วเดินตรงไปยังเคาเตอร์เครื่องดื่ม ตอนนั้นเอง ที่ทั้งสามคนได้เห็นใบหน้าของนักดนตรีชาวต่างชาติอย่างชัดเจน
ใบหน้ารูปไข่ แลดูอ่อนโยนเมื่อมีรอยยิ้ม ดวงตาสีเขียวมรกตดูเปล่งประกาย เหมือนจะล้อกับแสงไฟที่ส่องอยู่บนเพดานห้อง
“ไปต่อกันดีกว่าหว่ะ” รังสรรค์พูดขึ้นทันทีที่ชาวต่างชาติคนนั้นลับสายตาไป
“อ้าว นึกว่าจะอยู่คั่วต่อ … ไปไหนกันดีวะ” ปรีชาหันไปถามทัต
“สีลมดีมะ ใกล้ดี ไปถึงแล้วค่อยคิดว่าจะเข้าร้านไหน” ภูริทัตออกความเห็น
เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าเครื่องดื่ม แล้วพากันเดินออกไปจากโรงแรม
............................................................................
..........................................
ความสนใจในตัวชาวต่างชาติคนนั้น เหมือนจะถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิง จนมาถึงวันศุกร์อีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสามและเพื่อนอีกหลายคน พากันไปทานอาหารเย็นกันที่ร้านข้าวต้มชื่อดังย่านสีลม แล้วท่องราตรีกันต่อล่วงเข้าเที่ยงคืน จึงได้พากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน โดยที่เพื่อนบางคนมีคนที่ได้เจอกันในสถานบันเทิงติดตามกลับไปด้วย แต่ภูริทัตยังคงกลับเพียงลำพังคนเดียวเช่นที่เคยเป็นมา

เวลาเกือบเที่ยงคืน ชายหนุ่มยังคงเดินเล่นดูร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมทางเดิน แล้วก็ต้องหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บนบันไดทางเดินเข้าห้าง มีเด็กชายอายุราวๆ ๑๐-๑๔ นั่งกันอยู่หลายคน ใบหน้าของชายหนุ่มสลดลงเมื่อคิดถึงสภาพของ ‘เด็ก’ เหล่านี้

... อายุเท่าไหร่แล้ว …
… สิบสามครับ …
…โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ...

ตอนนั้นเขารู้สึกเสียหน้า เพราะคิดว่าตัวเองโตพอแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ จากเด็กชายอายุ ๑๓ มาเป็นชายหนุ่มอายุ ๒๘ เขาจึงได้เห็นด้วยกับคำพูดนั้น ... เด็กเหล่านี้ยังเด็กเหลือเกิน ... คิดขึ้นมาได้แล้วก็ต้องถอนหายใจยาว แล้วสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับเด็กชายคนหนึ่ง ที่ลุกขึ้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่เดินมาจากอีกด้านหนึ่ง เด็กชายพูดอะไรบางอย่าง ชาวต่างชาติคนนั้นส่ายหน้าพลางโบกมือเหมือนปฏิเสธ เด็กชายจึงเดินคอตกกลับไปนั่งที่เดิม เขาเห็นชาวต่างชาติคนนั้นทำท่าเหมือนถอนหายใจ แล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา

ชายหนุ่มเดินตามไปห่างๆ เมื่อชาวต่างชาติคนนั้นข้ามถนนเขาก็ข้ามตาม ไปจนถึงบริเวณสวนสาธารณะ จนไปหยุดยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เอื้มมือไปแตะที่ลำต้น แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกิ่งก้านของต้นไม้นั้นส่ายไหวราวกับมีลมพัด ครู่หนึ่งชาวต่างชาติคนนั้นก็ถอนมือออก เขาทำแบบนี้กับต้นไม้ใหญ่อีก ๓ ต้น แล้วจู่ๆก็หันหน้ามาทางเขา ภูริทัตไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้นจะยิ้มน้อยๆ เมื่อหันมาเห็นเขา สักครู่ก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทัต
“ฮาย ...” ภูริทัตส่งเสียงทักทาย
“สวัสดีครับ” ชาวต่างชาติกลับทักทายตอบกลับมาเป็นภาษาไทย “เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า”
“เอ้อ ... ผมเคยไปฟังคุณเล่นเปียนโนที่ลอบบี้โรงแรม”
“อ้อ ...แล้วไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงตามผมมาแบบนี้”
“คุณทำให้ผมคิดถึงใครบางคน” ภูริทัตตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“เหรอครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยโทนเสียงสูง “ว่าแต่ผมทำให้คุณคิดถึงใคร พอจะบอกได้ไหมครับ”
“ชาวต่างชาติคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร ถึงจะเจอกันเพียงครั้งเดียว แต่ก็เป็นคนที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงอะไรหลายๆอย่างในตอนนั้น”
“ผมเหมือนเขาหรือครับ”
“ไม่รู้สิ ผมจำได้แต่ว่า ตอนนั้นเค้าคงจะอายุพอๆกับคุณ ผมเค้าเป็นสีทอง ที่สำคัญดวงตาเค้าเป็นสีเขียว ... ส่องประกายเหมือนมรกตเม็ดงาม เหมือนดวงตาของคุณ”
“พอเห็นผม คุณจึงประหวัดคิดถึงเขา”
“ใช่” ภูริทัตพยักหน้าหลายครั้ง “ใช่ ผมยังคิดถึงเค้า ผมอยากขอบคุณเค้า ดูสิผมพูดเอาพูดเอา ทั้งๆที่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจตั้งหลายปี” ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ
“คุณคงเก็บมันไว้นานเกินไป พอได้ระบายมันจึงได้พรั่งพรูออกมา” น้ำเสียงเหมือนจะปลอบโยน “ผมว่าคนคนนั้นคงไม่ได้ทำเพราะต้องการคำขอบคุณของคุณหรอกครับ แล้วตอนนี้ถ้าเขาได้รู้ว่าคุณอึดอัดเขาคงไม่สบายใจนัก”
“นั่นสิ คุณอาจจะพูดถูก”
“สบายใจขึ้นบ้างไหม”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ยังไงว่างๆก็เชิญไปฟังเพลงอีกนะครับ”
“ผมถามอะไรอีกอย่างได้มั๊ยครับ” ภูริทัตถามด้วยความลังเล ไม่มีคำตอบนอกจากรอยยิ้ม “คุณคิดยังไงกับเด็กที่เข้ามาหาคุณเมื่อกี้นี้”
“โซ ยัง” ชายหนุ่มตอบทันที คำตอบทำให้ใจของทัตเต้นแรง “ยังเด็กเหลือเกิน เด็กพวกนั้นควรจะบริสุทธิ์ สดใส แต่จะทำอย่างไรได้ เด็กหลายคนมีทางเลือกไม่มากนัก และบางคน ... ไม่มีทางเลือก” สีหน้าของชายหนุ่มเศร้าหมองลง
“แล้วคุณไม่คิดเหรอครับว่า หากให้เขาไปกับคุณ แล้วคุณให้สิ่งที่เขาต้องการ ผ่านคืนนี้ไปโดยไม่ทำอะไรเค้า พอพรุ่งนี้เช้าก็ให้เค้ากลับ”
“มันอาจจะเป็นความคิดที่ดี หากว่าเด็กคนนั้นได้คิด และเลิก ‘งาน’ นี้ไป” ชายหนุ่มยิ้มละไม “แต่เด็กคนนั้นไม่เหมือนอย่างที่คุณคิด พรุ่งนี้เขาก็จะเอาไปโอ้อวดกับเด็กคนอื่น และจะมองหาผม หรือคนที่จะให้เขาอีกแบบผมในคืนถัดไป และถัดไป มันอาจจะเป็นการช่วยเหลือที่ดีสำหรับครั้งแรก แต่ครั้งต่อไปล่ะ”
คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ภูริทัตคิดตาม
 “ผมคงต้องไปแล้ว” เสียงพูดทำให้ความสนใจของทัตกลับมา ชายหนุ่มชาวต่างชาติยิ้มให้แล้วหันหลังกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวครับ คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
“สเตฟาน ผมชื่อสเตฟาน หรือคุณจะเรียกผมว่า สานฝัน ก็ได้” ชายหนุ่มชาวต่างชาติหันกลับมาบอกยิ้มๆ
“สานฝัน …” ภูริทัตทวนชื่อเบาๆ
“ครับ สานฝัน คนไทยคนหนึ่งตั้งชื่อนี้ให้ผม” สายตาที่ทอแววอ่อนโยนของชายหนุ่มทอดยาวไปไกล แล้วกลับมามองที่ทัต
“ทัตครับ ผมชื่อภูริทัต เรียกผมทัตก็ได้”
“ครับ คุณทัต แล้วพบกันใหม่นะครับ” สเตฟานหรือสานฝัน หันหลังกลับอีกครั้ง แล้วเดินออกไปช้าๆ
ภูริทัตมองดูเงาหลังขอชายหนุ่ม สักครู่ก็หัวเราะเบาๆ ขบขันกับการกระทำของตัวเอง แล้วหันหลังเดินไปยังอีกทางหนึ่งอย่างช้าๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 28-01-2009 17:31:53
 :z13: :z13:
จิ้มคุณบุหรง


สเตฟานจะเป็นคนเดียวกะคืนนั้นของภูริทัตมั้ยน๊า  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-01-2009 17:40:37
จิ้มพี่หนึ่งต่อค่ะ :really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 28-01-2009 17:46:25
 o13 o13 o13

เย้ได้อ่านต่อแล้ว กลัวจังว่า สเตฟาน จะมะใช่คนจริงๆ

เห็นแต่ละเรื่องมีแบบแปลกๆทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salemon ที่ 28-01-2009 19:27:58
คราวนี้ เหมือนไม่ใช่คนเลย

ความคิดความรู้สึกน่ากลัววววว :sad4:

มาจิ้มคุณบุหรงค่า :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 28-01-2009 19:34:57
ดูลึกลับดีออก ตกลงสานฝันนี่ใช่ทัตเป็นคนตั้งให้รึเปล่า  :m28:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-01-2009 22:07:52
ยิ่งอ่าน ยิ่งน่าสนใจ ยิ่งหลอนด้วย

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 28-01-2009 22:30:33

สเตฟานจะเป็นคนเดียวกับชายต่างชาติคนนั้นมั้ย
แล้วถ้าใช่ทำไมไม่แก่เลย
หรือว่า................

 o22

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 28-01-2009 23:07:21
ถ้าเป็นคนเดียวกันล่ะก็  :m29:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 28-01-2009 23:30:12
ชวนลึกลับซับซ้อนอีกแล้ว...เดาเรื่องไม่ถูกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 29-01-2009 00:48:02
 o13  อ่านแล้วรู้สึก "รื่นไหล" ดีแท้ เข้าถึงอารมณ์ดีจัง...ชอบจ๊ะ

ชอบฉากตอนที่ นายสเตฟานเอามือไปสัมผัสต้นไม้แล้วเหมือนต้นไม้จะส่ายไหวกิ่งก้าน...อันนี้เรานึกถึงการ์ตูนที่อ่านเมื่อเด็กเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเอกเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก อุปนิสัยอ่อนโยน และที่สำคัญ เธอ ไม่แก่ลงเลยสักปี แม้ว่าความจริงแ้ล้วดวงวิญญาณภายในตัวเธอจะเป็นสาวรุ่นกำดัด...

จะติดตามต่อไปจ้า :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 29-01-2009 01:20:59
 :serius2:


อ๊ากซซซซซซซ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 29-01-2009 03:34:08
ปริศนา อันแรกมาแล้ว

 :serius2: :serius2: :serius2:

คิดไม่ออก อ้ากกกกกก


 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 29-01-2009 07:38:49
ดูลึกลับจังเลย รอลุ้นตอนต่อไป  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 29-01-2009 08:53:32
 :z13:คนแต่ง

ลุ้นๆ รักคนต่างชาติ

อันนี้เป็นรักจากต่างภพ(อีก)หรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: SweetSerenade ที่ 29-01-2009 09:16:13
เรื่องใหม่คุณบุหรง

ลงชื่ออ่านด้วยคนค่ะ

 :L2:



หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 29-01-2009 10:00:56
ชื่อสานฝันน่ารักอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 29-01-2009 15:25:46
เป็นนิยายที่ลุ้นตลอดเวลา :กอด1:ขอบคุณมากๆครับผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 29-01-2009 16:06:58
ชอบค่ะ   

สเตฟานดูลึกลับดี
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 30-01-2009 09:57:18
 :mc4:ลงชื่ออ่าน คร้าบ  :L2:

ขอบคุณคับ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: อิง ที่ 30-01-2009 14:21:42
กรี๊ดดดดด เีิ้รื่องใหม่ของคุณบุหรง กรี๊ดดดด

ง่า เข้ามาไม่ทันเจิมตอนแรก ๆ เอาตอนที่สองก็แล้วกันเนาะ  :mc4:

ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน อีกแล้ว  :z3:

เรื่องของคุณบุหรงเนี่ยะ มีให้ลุ้นได้ตลอดจริง ๆ รอตอนต่อไปนะคะ  :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 30-01-2009 14:47:35
ชื่อสานฝันดูหวานไปง่า  เมื่อเทียบกะสเตฟาน >,<
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๒ - ๒๘ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 30-01-2009 14:50:36
หุหุ เรื่องใหม่ของคุณบุหรง

มาแนวลึกลับอีกแว้ววววว

ได้ลุ้นกันอีกแล้วซิเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 30-01-2009 15:37:59
บทที่ ๓

…โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ …
…โซ ยัง ยังเด็กเหลือเกิน ...

เด็กชายงัวเงียตื่นขึ้นมากลางดึก รู้สึกว่าหมอนข้างที่นอนกอดอยู่ ทำไมวันนี้ขนาดของมันดูจะใหญ่โตผิดปรกติ จนเขาสามารถนอนหนุนแทนหมอนธรรมดาได้ แล้วยังนุ่มนิ่มและอบอุ่นเหลือเกิน เด็กชายพลิกตัวเปลี่ยนท่าจากนอนตะแคง เป็นนอนหงายทั้งๆที่ศรีษะยังหนุน ‘หมอนข้าง’ ใบนั้นอยู่ แล้วก็ต้องรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก จึงควานหาผ้าห่ม ทันทีก็เหมือนมีคนเลื่อนผ้าห่มมาคลุมแผ่นอกเขาไว้ แล้วเหมือนมีมือนิ่มลูบเบาๆที่หัวไหล่ ลมอุ่นๆแผ่วเบากระทบกับเส้นผมบนศรีษะ
“เด็กน้อย หลับเถอะนะ”
เสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ เด็กชายรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน เอื้อมมือไปดึงมือบนไหล่ให้มาโอบกอดตนเองไว้ด้วยความลืมตัว พลางจับมือนั้นไว้แน่น แล้วก็ผลอยหลับไปอีกครั้ง ก่อนที่เด็กชายจะหลับนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีลมอุ่นๆและความชื้นของริมฝีปากใครบางคน มาสัมผัสอย่างแผ่วเบานุ่มนวลที่แก้มของตน

กริ๊งงงงงงงงงงงง ...
เสียงนาฬิกาปลุกที่อยู่ตรงหัวเตียงดังขึ้น ภูริทัตเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดเสียงปลุกนั้นตามความเคยชิน แล้วลุกขึ้นนั่งสลัดศรีษะให้หายงัวเงีย คิดถึงความฝันเมื่อคืน ก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ความฝันที่เขาฝันถึงบ่อยๆ บางครั้งยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ฝ่ามือและแก้มเมื่อยามตื่นขึ้นมา แล้ววูบหนึ่งก็คิดถึงใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มบางๆ และดวงตาสีเขียวมรกต ก็ต้องยิ้มกว้าง ส่ายศรีษะเบาๆอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรประจำวัน เพื่อเตรียมตัวจะออกไปทำงานตามปรกติ

ชายหนุ่ม ๓ คน ที่นั่งอยู่บนโต๊ะในร้านอาหาร เคยเป็นจุดสนใจของสาวๆหลายคนในบริษัท ด้วยรูปร่างหน้าตาที่จัดว่าดีไปคนละแบบ และบุคลิกที่ชวนมองต่างกัน พอเวลาผ่านไปก็เริ่มกลายเป็นจุดสนใจน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อทั้ง ๓ ต่างเปิดเผยโดยท่าทีว่า มีความสนใจในเพศเดียวกันมากกว่าเพศตรงข้าม ทำให้สาวๆคนเกิดอาการ ‘อกหัก’ กันไปหลายคน แต่ในทางตรงข้ามบุรุษที่นิยมชมชอบในบุรุษด้วยกัน ก็ ‘สมหวัง’ กับสองในสามหนุ่มไปไม่น้อย ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ในระยะสั้นๆ หรือบางคนเป็นเพียงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น มีเพียง ภูริทัต เท่านั้น ที่ยังไม่เคยทำให้ใคร ‘สมหวัง’
“เอ็งก็ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ ไม่ตกลงปลงใจกับมันไปซะที” รังสรรค์พูดถึงหนุ่มรุ่นน้องที่ทำงานอยู่ในแผนกเดียวกัน
“เห็นใจมัน ก็รวบซะเองสิ” ภูริทัตพูดแล้วหันไปสั่งเครื่องดื่ม
“ถ้ามันสนใจข้านะ เอ็งก็รู้ข้าไม่เคยฝืนใจใคร” รังสรรค์ตอบกลั้วหัวเราะ
“ส่งมาให้เราก็ได้” ปรีชาพูดพลางนึกถึงชายหนุ่มร่างบาง ใบหน้ากลมๆ คิ้วบางดวงตาเล็กๆ และผิวขาวละเอียดของชายหนุ่มที่ชื่อกรกฎ หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่าปู
“อยากได้ก็คั่วเองดิ๊วะ” รังสรรค์พูดแล้วก็หันไปรับจานอาหารจากพนักงานที่ยกมาเสริฟให้
“ได้เลย คอยดูฝีมือเรานะ” ปรีชาพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะมองเห็นชายหนุ่มคนที่พวกตนกำลังพูดถึง เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดี “ปู ทางนี้” ส่งเสียงพร้อมกับโบกมือเรียก
ชายหนุ่มร่างบาง ในชุดทำงานโทนสีหวาน กางเกงสีน้ำตาลเข้ม เสื้อสีชมพูอ่อน เนคไทสีม่วงเข้ม ยิ้มกว้างแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสาม
“นั่งด้วยกันสิ” รังสรรค์ชวน ในขณะที่ภูริทัตหันไปรับจานอาหารและแก้วเครื่องดื่มจากพนักงาน
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ว่างที่อยู่ตรงข้ามกับภูริทัต ดวงตาจับจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่วางตา ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มรับประทานอาหาร โดยไม่ให้ความสนใจเขาเลย ความรู้สึกน้อยใจแสดงผ่านออกมาทางดวงตาเรียวเล็กอย่างปิดไม่มิด
“จะไม่ทักน้องมันหน่อยเหรอวะ ห่วงแต่กินอยู่ได้” รังสรรค์พูดพลางตบไหล่ภูริทัตเบาๆ
“หิวนี่หว่า เจอกันแทบทุกวันอยู่แล้ว วันละตั้งหลายรอบ ทักไม่ทักไม่ต่างกันหรอก” ภูริทัตพูดอย่างไม่ค่อยสนใจนัก
ปรีชาและรังสรรค์หัวเราะกับท่าทางของเพื่อน แล้วกันไปชวนกรกฎที่สั่งอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆระหว่างรับประทานอาหารมื้อนั้น
“เห็นพวกพี่ๆชอบฟังเพลงกัน พอดีผมมีตั๋วคอนเสริทที่ศูนย์วัฒนธรรมคืนพรุ่งนี้ ไปดูด้วยกันมั๊ยครับ” กรกฎพูดขึ้นมาในระหว่างสนทนา
“คอนเสริทอะไร” ภูริทัตแสดงความสนใจขึ้นมา ทำให้กรกฎเริ่มยิ้มกว้าง และบอกชื่อวงออเครสตราที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งออกมา “ก็น่าสนใจนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันดีกว่า”

แล้วคืนวันต่อมาซึ่งเป็นคืนวันพุธ ทั้งสี่คนก็นั่งอยู่ภายในหอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรม ดื่มด่ำกับเสียงเพลงตั้งแต่เริ่มรายการไปจนถึงช่วงพัก จึงออกมายืนคุยกันอยู่ที่ห้องลอบบี้ของหอประชุม
“นี่ดูฝรั่งคนนั้นสิพี่ ชุดเท่ห์น่าดู” กรกฎชี้ไปที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไปอีกมุมหนึ่ง
ทั้งสามคนมองตามไป ก็เห็นชายหนุ่มต่างชาติอยู่ในชุดสูทเทียมคอปกตั้งแบบคอจีน เนื้อผ้าเป็นกำมะหยี่ สะท้อนแสงไฟจนดูวาววับสะดุดตา สีของเนื้อผ้าบางทีก็ดูดำขลับ แต่บางทีก็เหมือนจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม แต่บางครั้งกลับทอประกายเขียวขาบออกมาเป็นบางจุด แต่ก็ยังไม่เด่นเท่าใบหน้ารูปไข่ คิ้วสีทองอ่อนๆ รับกับสีของเส้นผมที่ยาวระต้นคอ จมูกโด่งจนเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ผิวแก้มเปล่งสีชมพูจางๆ และดวงตาสีเขียวเป็นประกายวาววับ
“สานฝัน” ภูริทัตเอ่ยชื่อของชาวต่างชาติคนนั้นออกมาเบาๆ ใบหน้าแสดงความยินดีจนเพื่อนๆสังเกตุได้
ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวเดินไปหา สเตฟานหรือสานฝันก็หันตัวเดินเข้าประตูห้องประชุมไป เพราะมีเสียงประกาศว่าการแสดงในครึ่งหลังกำลังจะเริ่มขึ้น

“มองหาใครวะ” รังสรรค์ถามภูริทัตที่จ้องมองไปรอบๆห้องลอบบี้ ตั้งแต่เดินออกมาจากห้องประชุมเมื่อการแสดงจบลง เมื่อเวลาประมาณสี่ทุ่ม
“มองหาคนชื่อสานฝันเหรอพี่” กรกฎพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก แต่ภูริทัตก็ไม่สนใจ
“ใครวะ สานฝัน” ปรีชาเดินไปแตะไหล่ภูริทัต “แอบไปจีบสาวที่ไหนไว้เหรอไง” เขายังพูดแหย่เพื่อนต่อไปอีก
ภูริทัตไม่ตอบ แต่ยังสอดส่ายสายตาไปทั่ว รังสรรค์มองดูเพื่อนแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางหันไปชวนกรกฎเพื่อนรุ่นน้อง คุยถึงการแสดงที่เพิ่งจะจบไป ปรีชาเองก็ร่วมวงคุยด้วย พร้อมๆกับพากันเดินออกจากหอประชุมไปยังลานจอดรถ

กลางฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคม ช่วงกลางคืนเช่นนี้บางครั้งก็มีลมเย็นพัดอ่อนๆ แต่กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพัดไหว ราวกับโดนลมแรงโชยพัดใส่ จนภูริทัตรู้สึกได้ สายตามองไล่จากยอดไม้ต่ำลงมา ยังโคนต้น เรือนร่างสูงเพรียว เรือนผมสีทองยาวระต้นคอ แม้เห็นเพียงด้านหลังเขาก็จำได้ทันที โดยไม่รอช้า ภูริทัตก้าวเท้าเดินออกจากกลุ่มเพื่อน ตรงเข้าไปหาชายชาวต่างชาติผู้นั้นทันที
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ
“ภูริทัต” สเตฟานเอ่ยชื่อชายหนุ่ม เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใคร “เราพบกันอีกแล้ว”
“ผมดีใจที่ได้พบคุณอีก” ภูริทัตยิ้มกว้าง ใบหน้าที่คมคายอยู่แล้ว ยิ่งชวนมอง
“ใครน่ะครับพี่” กรกฎ ที่เดินตามมาพร้อมกับรังสรรค์และปรีชา แล้วมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างของภูริทัต ถามขึ้น
“ผมสเตฟานครับ เคยพบคุณภูริทัตมาหลาย ครั้งแล้ว”
ภูริทัตขมวดคิ้ว พลางคิดว่าเขาเพิ่งจะได้เจอกับสเตฟาน หรือสานฝันแบบ ‘จังๆ’ เพียงแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น แต่เอาเถอะ มากกว่า ๑ ครั้ง ก็นับเป็นหลายครั้งได้เหมือนกัน
“คุณสเตฟาน ที่เล่นเปียนโนที่โรงแรม *** รึเปล่า ที่เราไปนั่งเล่นกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อนไง ใช่มั๊ยวะชา” รังสรรค์หันไปถามปรีชา
“คงใช่มั้ง มิน่าดูคุ้นๆ” ปรีชานึกออกทันที ความจริงเขาไม่น่าลืมได้เลย ชายหนุ่มชาวต่างชาติหน้าตาท่าทางดูอ่อนโยน สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อน บนผิวหน้าขาวๆนั้นอย่างไม่วางตา
“ผมรังสรรค์ครับ นี่ปรีชา แล้วนี่กรกฎ พวกเราทำงานที่เดียวกับนายทัต” รังสรรค์แนะนำตัว แล้วชี้ไปที่เพื่อนๆทีละคน
“เดี๋ยวคุณจะกลับยังไงครับ” ภูริทัตถามขึ้น
“เดี๋ยวอีกสักครู่ คนขับรถของผมจะเอารถมารับ” สเตฟานตอบยิ้มๆ เพราะรู้สึกขบขันกับท่าทางไม่พอใจของกรกฎ และท่าทางที่จ้องมองเขาอย่างสนอกสนใจเต็มที่ของปรีชา ผิดกับท่าทางที่ดูเฉยๆของรังสรรค์ แต่แววตาลอบสำรวจเขาไปทั่วร่าง
“เหรอครับ” ภูริทัตพูดอย่างผิดหวัง
“คุณพักที่ไหนเหรอครับ” ปรีชาถามอย่างด้วยความสนใจ
“นั่นสิ แล้วคุณเล่นเปียนโนที่โรงแรมวันไหนบ้างครับ นอกจากวันศุกร์” ภูริทัตถามแทรกขึ้นมา ก่อนที่ปรีชาจะได้รับคำตอบ
“คนที่เล่นเปียนโนประจำอยู่ลาออกกระทันหันไปคนนึง ผมคงต้องทำหน้าที่แทนจนกว่าจะหาคนใหม่มาได้ ช่วงนี้ผมเล่นเปียนโนคืนวันจันทร์ อังคาร กับวันศุกร์” สเตฟานตอบคำถามของภูริทัตก่อน แล้วหันไปยิ้มให้กับปรีชา “ผมพักอยู่ที่โรงแรมนั้นแหละครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ว่างๆผมไปหาคุณสเตฟานที่โรงแรมได้ใช่มั๊ยครับ” ปรีชาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ถ้าไปฟังเปียนโนล่ะก็ เชิญได้ทุกเมื่อครับ” สเตฟานตอบ แล้วหันไปมองทางประตูทางออกเล็กๆ ที่เป็นทางออกไปสู่ลานจอดรถ “รู้สึกว่ารถของผมจะมาแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ เอาไว้พบกันโอกาสหน้า” พูดแล้วก็ยิ้มให้กับทุกคน แล้วเดินตรงไปยังประตูทางออก

ชายหนุ่มทั้งสี่มองตามหลังชายหนุ่มต่างชาติไป ก็เห็นเขาเดินออกไปขี้นรถยุโรปคันใหญ่สีดำ ติดฟิล์มกรองแสงสีทึบ มองดูรถคันนั้นแล่นออกไปจนลับสายตา
“สงสัยจะรถของทางโรงแรม เค้าเล่นเปียนโนด้วยเหรอพี่” กรกฎพูดขึ้นมาระหว่างที่เดินไปยังลานจอดรถ คิดว่าเป็นการชวนภูริทัตคุย
“ใช่” ภูริทัตตอบสั้นๆ
“ท่าทางเทห์ดีเน๊อะ สูงกำลังดีเลย ซัก๑๗๕ได้มั๊ย” ปรีชาพูดพลางคิดถึงส่วนสูงของตัวเองที่สูงราวๆ ๑๗๓
“น่าจะได้  พอฟัดพอเหวี่ยงกับเอ็งนั่นแหละ ดูๆก็น่าคั่วนะเว๊ย ผิวพรรณดีเชียว สะอาดสะอ้าน ดูปากดิ๊ สีชมพู .... น่าจูบ”รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ
“นั่นดิ๊วะ ได้มานะจะจูบให้หนำใจ” ปรีชาพูดพลางหลับตาทำปากจู๋ จูบกับอากาศ
“ผมไม่เห็นจะชอบเลย ฝรั่งที่ดูท่าทางนิ่มๆอย่างนั้น ผมชอบคนที่ดูแมนๆมากกว่า” กรกฎพูดพลางเปิดประตูรถทางด้านหลังอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เพราะภูริทัตเปิดประตูรถด้านหน้า ขี้นไปนั่งคู่กับรังสรรค์ซึ่งเป็นเจ้าของรถ
“สเปคนายน่ะ คงต้องสูงซัก ๑๘๐ ตัวเพรียวๆ กล้ามนิดหน่อยพองาม จมูกโด่งนิดๆ ท่าทางเข้มแข็ง อย่างไอ้ตัวหน้ากระจกตัวนี้ใช่มั๊ย” รังสรรค์พูดพลางพยักเพยิดไปที่ภูริทัต มือก็สอดกุญแจเพื่อนสตาร์ตรถ
“แหมพี่ พูดขนาดนั้นผมก็แย่สิ” หากในรถสว่างกว่านี้ คงเห็นใบหน้าของกรกฎเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“แย่อะไรกัน ของอย่างนี้ ชอบก็ต้องบอกว่าชอบด็ จริงมั๊ยวะทัต” ปรีชาพูดแล้วชะโงกหน้าไปถามคนที่นั่งทางด้านหน้า
“ไม่รู้เว๊ย” ภูริทัตตอบกึ่งรำคาญ แต่ก็ทำให้ปรีชาและรังสรรค์หัวเราะเสียงดัง เพราะคิดว่าเพื่อนอาย

แล้วรังสรรค์ก็ขับรถไปส่งปรีชาก่อน แล้วตามด้วยการไปส่งกรกฎ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกให้ไปส่งภูริทัตซึ่งอยู่ไกลกว่าก่อน เพราะมีความคิดที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่เหตุผลที่ว่าต้องเสียเวลาในการย้อนกลับมาส่งอีกครั้ง จึงต้องจำยอมให้รังสรรค์ไปส่งตนเอง อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรก แล้วจึงไปส่งภูริทัตเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะขับรถกลับสู่บ้านของตนเอง ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ในเวลาห้าทุ่มเศษๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 30-01-2009 15:47:54
รังสรรค์จะทำไรเนี่ย รอลุ้น  :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 30-01-2009 16:21:42
เจอหลายครั้งแล้วเหรอ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 30-01-2009 20:06:02
มีใครรออยู่ที่บ้านรึป่าวเนี่ย ลุ้นๆๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 30-01-2009 20:25:27
 :z1: :z1: :z1:

คิดไรอยู่เนี่ย อยากรู้จังเลย อิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 30-01-2009 21:34:01
สานฝันมาให้เห็นแบบนี้บ่อยๆ มันต้องมีอะไรดึงดูดกันซิ  หรืออยากมาสานต่อ... really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 30-01-2009 22:40:44
ท่าทางมีหลายคน อยากจะสานสัมพันธ์ กับ สานฝัน แล้วนะเนี่ย  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 31-01-2009 00:09:38
 :impress2: :impress2: :impress2:

ที่เจอกันหลายครั้งนี่ ที่ไหนหว่า ในฝันหรือเปล่า

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 31-01-2009 13:05:24
หือ.. สานฝัน.. มีอดีต.. แน่ ๆ   :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 01-02-2009 09:46:40
งานนี้สงสัยนายภูริท้ตได้แข่งกะเพื่อนตัวเองแหงม ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 01-02-2009 11:30:32
จะเป็นไงต่อไปหว่า

รออ่านอยู่น๊าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 02-02-2009 01:04:18

สานฝันคนนี้ท่าทางลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 02-02-2009 09:11:38
สานฝันจะมาสานสัมพันธ์ต่อ :z2:

 :z13:อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-02-2009 11:12:30
นายทัตคงต้องระวังนายปูแล้วละ

ท่าทางจะไม่ชอบสานฝันของเรา

 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่๓ - ๓๐ ม.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 02-02-2009 11:31:27
อุปสรรคเยอะแฮะ :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 02-02-2009 15:15:34
บทที่ ๔

ดวงตาสีเขียวมรกตของชายหนุ่ม จ้องมองเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดู แก้มเนียนใสที่แนบซบอยู่บนอก กับแขนเรียวเล็กที่โอบเอวเขาไว้ ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของร่างกายมนุษย์ ที่เขาไม่ได้รู้สึกมานาน เด็กชายพลิกตัวนอนหงาย ยังคงหนุนศรีษะอยู่บนอกเขา ผ้าห่มที่เคยคลุมตัวเด็กชายไว้ เลื่อนออกมาอยู่ที่ระดับเอว เนื่องจากการขยับพลิกตัวของเด็กชาย เมื่อรับรู้ได้ถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศ เด็กชายควานมือเหมือนจะหาผ้าห่ม ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือออกเลื่อนผ้าห่ม ให้คลุมอกที่เปลือยเปล่าของเด็กชายอีกครั้ง แล้วขยับมือไปลูบไหล่ของเด็กชายแผ่วๆ อดไม่ได้ที่จะเลื่อนใบหน้าไปจุมพิศเบาๆ ที่เรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่สั้นเกรียนของเด็กชาย
... เด็กน้อย หลับเถอะนะ ... ชายหนุ่มพูดแผ่วเบาราวกระซิบ
เหมือนเด็กชายจะได้ยิน จึงเอื้อมมือไปดึงมือของชายหนุ่ม ให้โอบกอดตัวเองไว้ และจับมือใหญ่นั้นไว้ไม่ยอมปล่อย ชายหนุ่มระบายยิ้มอันอ่อนโยนทั่วใบหน้า พลางมองดูใบหน้าของเด็กชายที่กำลังหลับไหล ไล่จากหน้าผากมน คิ้วสีน้ำตาลเค้ม ดวงตาที่ปิดสนิท ขนตาเส้นเล็กๆ สันจมูกที่ค่อนข้างโด่งเป็นสันน้อยๆ ริมฝีปากแดง คางมน แล้วเลื่อนใบหน้าลงจูบที่แก้มของเด็กชายเบาๆ

มาถึงวันนี้ เด็กชายรูปร่างผอมบาง แขนขาเก้งก้างในอดีต เติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ดูจากภายนอกก็คงจะมีกล้ามเนื้อแต่พองาม ตามแบบของคนที่ออกกำลังกายบ้าง แต่คงจะไม่ค่อยบ่อยนัก  ผมที่เคยสั้นเกรียนเมื่อวัยเด็ก ตอนนี้ยาวขึ้นมาก และตัดเป็นทรงรับกับใบหน้าเรียวยาว เสริมให้ใบหน้าคมเข้มด้วยคิ้วเรียวหนา ดวงตากลมโต จมูกเป็นสัน ริมฝีปากแดง ยิ่งน่ามองยิ่งขึ้น

 คิดมาถึงตอนนี้ สเตฟานก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกครั้ง สายตาที่ทอดมองผ่านหน้าต่างห้องชั้นบนของตึกสูง มองเห็นแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ทั่ว กรุงเทพฯยามราตรี จึงต่างกับเมืองที่มืดมิดหลายเมืองที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ รอยยิ้มบางๆฉาบอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลา ริมฝีปากสีชมพูเผยอยิ้มน้อยๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเสียงจากนาฬิกาที่อยู่บนโต๊ะเล็กตรงหัวเตียงดังขึ้น สเตฟานเดินไปกดปุ่มปิดเสียงปลุกของนาฬิกา ที่บอกเวลาห้านาฬิกาครึ่ง แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เดินไปหยิบกล่องสีเหลี่ยมเล็กๆบนโต๊ะหน้าโซฟา วางแก้วไวน์ลง หันไปทางหน้าต่าง แล้วกดปุ่มบนกล่องนั้นเบาๆ ชัตเตอร์เหล็กด้านบนของหน้าต่างก็เลื่อนลงมาช้าๆ จนปิดบานหน้าต่างมิดชิด ผ้าม่านหนาหนักทางด้านข้างทั้งสองผืน ก็ค่อยๆเลื่อนปิดตาม เมื่อหันตัวยกกล่องนั้นขึ้นไปทางเครื่องปรับอากาศ แล้วกดอีกปุ่มหนึ่ง เครื่องปรับอากาศก็เปลี่ยนเป็นระบบพัดลมระบายอากาศ แทนการพ่นลมเย็นออกมา และเมื่อกดอีกปุ่มหนึ่ง ดวงไฟในห้องทั้งหมดก็ดับลง สเตฟานวางกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ หรือรีโมทคอนโทลนั้น ลงบนโต๊ะที่หัวเตียงข้างๆนาฬิกา แล้วเดินตรงไปยัง ‘ที่นอน’ เพื่อเข้าสู่นิทรารมย์

“ไปไหนกันต่อดี” รังสรรค์ถามพรรคพวก หลังจากที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน ที่มารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่ศุกร์นี้นอกจากปรีชาและภูริทัต ที่เป็นเพื่อนเที่ยวประจำแล้ว ยังมีกรกฎติดตามมาด้วยอีกคน
“ยังหัวค่ำอยู่เลยไปหาที่นั่งเล่นก่อนดีกว่า เหยื่อยเอ็งยังไม่ค่อยมีหรอกตอนนี้” ภูริทัตหันไปล้อเลียนปรีชา
“ทำมาเป็นแขวะนะไอ้ทัต รู้หรอกน่าว่าอยากไปไหน” ปรีชาพูดยิ้มๆ “อยากไปนั่งฟังเปียนโนใช่มั๊ยล่ะ”
“ดีเหมือนกันนะพี่ นั่งคุยไปฟังเพลงไป” กรกฎพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร
อีกครู่ใหญ่ๆ ทั้ง๔คนก็มานั่งอยู่ภายในลอบบี้โรงแรม นั่งจิบกาแฟและคุยกันไปได้สักครู่ ภูริทัตจึงหันไปถามกับพนักงานที่เดินผ่านมา
“วันนี้ไม่มีเปียนโนเหรอครับ”
“อ๋อ ... ตอนนี้เป็นช่วงเบรคครับ เดี๋ยวสักครู่คุณคนเล่นคนใหม่ก็จะมาแล้วครับ”
“คนใหม่” ภูริทัตขมวดคิ้ว “คนเล่นเปียนโนวันนี้ไม่ใช่คุณสเตฟานเหรอครับ”
“คุณสเตฟานจะเล่นช่วงสองทุ่มถึงสี่ทุ่มครึ่งนี่แหละครับ คนที่เล่นช่วงห้าโมงครึ่งถึงสองทุ่มเพิ่งจะกลับไปเมื่อสักครู่เองครับ” แล้วพนักงานก็เดินจากไป เมื่อภูริทัตกล่าวคำขอบคุณ
“สเตฟาน คนที่เจอกันเมื่อคืนวันศุกร์น่ะเหรอครับ” กรกฎถามขึ้น
“นั่นแหละ คนนั้นแหละ” ปรีชาตอบแทน “เล่นถึงสี่ทุ่มเหรอ เดี๋ยวชวนไปเที่ยวด้วยกันซะเลยดีมะ”
“ไหนว่าจะไปหาเหยื่อไง จะเปลี่ยนใจคว้าเอาแถวๆนี้เหรอไง” รังสรรค์ขัดคอ
“นั่นดิ๊ แถวนี้ก็น่าสน” พูดพลางส่งสายตาแวววาวไปยังกรกฎ ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
สี่หนุ่มนั่งคุยกันไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงเปียนโนบรรเลงด้วยสำเนียงอ่อนพริ้ว แล้วความสนใจของภูริทัตก็ไปอยู่ที่นักเปียนโน จนไม่ค่อยสนใจกับการสนทนามากนัก ถึงกรกฎจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรที่คิดว่าอาจเป็นการทำให้ภูริทัตไม่พอใจ เพราะดูเหมือนว่าภูริทัตจะสนิทสนมกับชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนี้มาก

กรกฎค่อนข้างจะภูมิใจกับรูปร่างหน้าตาของตนเองพอสมควร ถึงแม้ตนเองจะสูงเพียง ๑๗๐ แต่ก็คิดว่ามันเป็นความสูงที่ได้มาตรฐานสำหรับคนทั่วไป อาจจะดูบอบบางแต่ก็ไม่ถึงกับผอมแห้งจนเห็นซี่โครง ผิวของเขาก็ขาวละเอียด ดวงตาถึงแม้จะเล็กหยีแต่ก็เรียวยาว คิ้วบางเบา ปากนิดจมูกหน่อย แต่เมื่อเทียบกับชายหนุ่มคนนั้น ตนเองคงเหมือนกับคนไทยที่สามารถพบเจอได้ทั่วๆไป แต่อีกฝ่ายกลับเป็นชาวต่างชาติที่ดูดี ราวกับรูปสลักหินอ่อน ความรู้สึกริษยาจึงพุ่งขึ้นทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าคนที่ตนชอบ หันไปให้ความสนใจกับอีกฝ่ายมากกว่าตนเอง

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้เจอพวกคุณอีก”
ช่วงที่กำลังบรรเลงเปียนโนอยู่ สเตฟานมองมาเห็นคนทั้งสี่ เมื่อถึงเวลาพักเบรค จึงเดินตรงเข้ามาทักทาย
“นั่งก่อนสิครับ” ภูริทัตขยับตัว เพื่อให้เก้าอี้ยาวมีเนื้อที่พอที่จะนั่งได้อีกคน ทำให้เข้าไปชิดกับกรกฎที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน
“จะดีเหรอครับ ผมกลัวจะรบกวนความสนุกของพวกคุณ”
“คนยิ่งเยอะก็ยิ่งคุยสนุกมากขึ้นกว่า จริงมั๊ยครับครับ” รังสรรค์เอ่ยชวนอีกคนหนึ่ง
“หรือว่าทางโรงแรมมีกฎห้ามนักดนตรีนั่งกับลูกค้า” ปรีชาพูดพลางเหลือบมองชายหนุ่มไปทั่วทั้งตัว
“ถ้าเป็นลูกค้าทั่วไปละก็คงไม่เหมาะ แต่พวกเราเป็นสหายเก่ากัน คงไม่เป็นไร” สเตฟานพูดพลางหันไปยิ้มให้ภูริทัต แล้วนั่งลงไปบนเก้าอี้ยาว
“วันนี้คุณเล่นเพลงเพราะมาก ผมชอบเสียงเปียนโนของคุณ” ภูริทัตเอ่ยชม
“แล้วเดี๋ยวเสร็จงานแล้วไปไหนต่อรึเปล่าครับ” ปรีชาถามด้วยความกระตือรือร้น
“ขอบคุณครับ” สเตฟานตอบภูริทัต แล้วหันไปตอบปรีชาต่อ “ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ ปรกติผมชอบออกไปเดินเล่น ดูกรุงเทพฯยามค่ำคืน”
“ขอโทษครับ จะให้ยกเครื่องดื่มมาที่นี่มั๊ยครับ” เสียงขัดจังหวะจากพนักงานบริการ สเตฟานพยักหน้ารับ สักครู่พนักงานคนนั้นก็ยกเครื่องดื่มมาให้ด้วยท่าทีนอบน้อม จนรังสรรค์รู้สึกผิดสังเกตุ
“ดูท่าทางพนักงานที่นี่ให้เกียรติคุณมากเลยนะครับ” รังสรรค์อดถามไม่ได้ แต่สเตฟานได้แต่ยิ้มไม่ตอบคำถาม
“เดี๋ยวไปเที่ยวต่อกับพวกเรามั๊ยครับ มีคนไปด้วยเยอะๆ สนุกดี” ปรีชาเริ่มรุก
“ที่ไหนเหรอครับ” สเตฟานถามกลับ
“คงผัปที่สีลม แต่ยังไม่รู้จะเข้าร้านไหน” ปรีชาตอบด้วยความกระตือรือร้น
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบไปสถานที่แบบนั้น มันแออัด” สเตฟานตอบเลี่ยงๆ
“ทำไมคุณพูดไทยได้ชัดเจนจัง” กรกฎถามบ้าง การขยับตัวชะโงกหน้าไปถามสเตฟาน ทำให้ร่างกายของเขาได้สัมผัสกับร่างกายของภูริทัตมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นการเสียดสีกันของท่อนแขนก็เถอะ
“ผมมาเมืองไทยบ่อย บางครั้งก็พักอยู่นานๆ” สเตฟานตอบพลางยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ
“แล้วคุณเป็นคนชาติไหนเหรอครับ” รังสรรค์ถามด้วยความสนใจ
“อังกฤษ ผมเป็นคนอังกฤษ”
“แล้วคุณมาเมืองไทยทำไมเหรอครับ ดูแล้วคงไม่ได้มาเที่ยว หรือว่ามาทำงาน” ปรีชาถามบ้าง
“ผมอยู่ไม่เป็นที่หรอกครับ ผมย้ายไปหลายประเทศ ก็ทั้งเรื่องงานด้วย เที่ยวด้วย ช่วงนี้ผมคิดถึงเมืองไทย ผมเลยกลับมา”
“คิดถึงเมืองไทยหรือคนไทยกันแน่” ปรีชาหยอก
“คนไทยเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดีกว่าคนหลายๆชาติที่ผมเคยเจอ บอกตรงๆนะครับ” สเตฟานหยุดพูด แล้วยิ้มกว้าง “ผมกลับมาเพราะคิดถึงคนที่เคยเจอเมื่อครั้งที่ผมมาอยู่เมืองไทยคราวที่แล้ว”
“หญิงสาวหรือชายหนุ่มล่ะครับ” น้ำเสียงของกรกฎเหมือนมีแววหยันเยาะอยู่ในที
“เด็กครับ เป็นเด็กที่น่ารักทีเดียว” น้ำเสียงของสเตฟานดูอ่อนโยน “ผมขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องขึ้นเล่นแล้ว ขอบคุณนะครับ” สเตฟานค้อมศรีษะเล็กน้อย ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่แสดงความขอบคุณต่อผู้มีอาวุโสน้อยกว่า แล้วลุกเดินไปยังเคาเตอร์บริการ พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็เดินหายไปทางห้องน้ำ ส่วนภูริทัตก็ขยับตัวออกห่างจากกรกฎทันทีที่สเตฟานลุกออกไป

“ไปกันรึยังพี่ ผมนั่งจนเบื่อแล้ว” กรกฎพูดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วโมง
“ยังหัวค่ำอยู่เลย เพิ่งจะสามทุ่มกว่าเอง” รังสรรค์พูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“ไปเดินดูอะไรเล่นกันก่อนก็ได้นี่พี่ นั่งแบบนี้น่าเบื่อออก” กรกฎโอดครวญ
“งั้นเราไปเดินเล่นแถวนั้นกันก่อนแล้วกัน นั่งนานๆชักเมื่อย” ปรีชาเห็นด้วย จึงหันไปเรียกพนักงานบริการให้มาเก็บเงินค่าเครื่องดื่ม
“คุณสเตฟานสั่งว่าไม่ต้องคิดเงินค่ะ” พนักงานตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“อ้าว ทำไมล่ะ” กรกฎขมวดคิ้ว “นักคนตรีเลี้ยงเครื่องดื่มแขกได้ด้วยเหรอ”
“เข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณสเตฟาน ...”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มห้าวดังขึ้น ทุกคนหันไปมองจึงเป็นเป็นชายสูงอายุ รูปร่างสันทัดในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเคร่งขรึม พนักงานสาวรีบเล่าเรื่องราวให้ชายสูงอายุฟังอย่างละเอียด
“อ้อ อย่างงั้นเธอไปทำงานต่อเถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง” ใบหน้าชายสูงอายุเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆให้พนักงานสาว ซึ่งโค้งให้เล็กน้อยแล้วเดินจากไป
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณขัดข้อง เรื่องคุณสเตฟานท่านไม่ให้คิดเงินค่าเครื่องดื่มหรือครับ”
“ท่าน...” ภูริทัติพูดเบาๆพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ผมเพียงแต่สงสัยว่า นักดนตรีของโรงแรมนี้เลี้ยงแขกได้ด้วยเหรอครับ” กรกฎเน้นคำว่านักดนตรีเป็นพิเศษ
“นักดนตรี” ชายสูงอายุพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ท่านเพียงแต่มาช่วยพวกเราในช่วงที่ยังหานักดนตรีใหม่ไม่ได้เท่านั้นครับ ท่านไม่ได้เป็นพนักงานของโรงแรมเรา”
“ไม่ใช่พนักงาน งั้นก็เป็นแขกน่ะสิ” ปรีชาถามด้วยความสนใจ
“ไม่ใช่เหมือนกันครับ เอาเป็นว่าท่านสั่งมาพวกเราก็ต้องทำตามนั้น ผมต้องขอตัวไปทำงานต่อนะครับ” ชายสูงอายุโค้งน้อยๆอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินจากไป
ทั้งสี่คนจึงพากันลุกเดินออกจากโรงแรมแห่งนั้น พร้อมกับถกเถียงกันว่า สเตฟานมีความสัมพันธ์อย่างไรกับทางโรงแรมกันแน่ ในขณะที่ภูริทัตกำลังคิดว่าเขาน่าจะเคยพบกับชายสูงอายุคนนั้นมาก่อน แต่คิดเท่าไรเขาก็คิดไม่ออก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-02-2009 15:42:21
สเตฟานเป็นใครนะ อยากรู้  :impress2: และจะเป็นคนเดียวกะเมื่อหลายปีก่อนรึป่าว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 02-02-2009 15:42:45
 :L1: :pig4: :L1:

มาจิ้มก่อนอ่าน....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 02-02-2009 16:34:57
สเตฟานเป็นคนที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 02-02-2009 16:42:04
เป็นเจ้าของโรงแรมเหรอ o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 02-02-2009 16:56:04
ใช่หนูทัตรึเปล่าเอ่ย :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 02-02-2009 17:17:58
มาเป็นปริศนาอีกแล้ว

เค้าเป็นใครหนอ เค้ามาจากไหน

 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 02-02-2009 21:07:01
สเตฟานคือคนๆนั้นจริงๆใช่มั้ยเนี่ย

ลึกลับจัง อยากรู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 02-02-2009 21:31:29
 o13 o13 o13

โฮะๆ ยิ่งอ่านยิ่งดูลึกลับ น่าติดตามไม่เปลี่ยนเลยนะคราบ คุณบุหรง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 02-02-2009 22:43:01
ตอนนี้นอกจากสงสัยว่าสเตฟานเป็นใครแล้ว
ยังสงสัยว่าสเตฟานเป็นอะไรด้วย
 :z10:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 02-02-2009 23:16:27
สเตฟาน สานฝัน ฝรั่งคนนั้น สเตฟาน สานฝัน ฝรั่งคนนั้น สเตฟาน สานฝัน ฝรั่งคนนั้น   o2
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 02-02-2009 23:24:47
น่านน่ะสิ สเตฟานเป็นใคร

แล้วผู้ใหญ่คนนั้นล่ะ

งง.......

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 03-02-2009 15:19:46
สเตฟาน.....เป็นดารางัยคร้าบ

เรื่องราวน่าติดตามมากเลยคร้าบ

มาให้กำลังใจนะคร้าบ


 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-02-2009 22:48:38
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ต่อ

สเตฟานกับภูริทัต คือชายหนุ่มกับเด็กน้อยคนนั้นแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 04-02-2009 08:44:29

อร๊ายยย... ตามอ่าน ทันแล่ะ  อิอิ ไม่ได้เข้าตั้งอาทิตย์นึง
ทีแรกคิดว่า หนุ่มฝรั่งคนนั้นเป็นพระเอกซะอีก เอิ้กๆ
ที่ไหนได้เด็กน้อยคนนั้นตะหากที่เป็นพระเอก กรี๊ดดดดดดดดด   :impress2:

ภูริทัต ... สานฝัน  อ๊างงงง...ง    :-[

เป็นเรื่องที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเรียบรื่น ดีจังที่คุนบุหรง ไม่ทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาค้างคา  :z2:

ขอบคุณค่ะ ที่มิทำให้คนจ๋วย คิดมาก อิอิ :L2:


อ้างถึง
  จากบทที่ 3
“เห็นพวกพี่ๆชอบฟังเพลงกัน พอดีผมมีตั๋ว คอนเสริท ที่ศูนย์วัฒนธรรมคืนพรุ่งนี้ ไปดูด้วยกันมั๊ยครับ” กรกฎพูดขึ้นมาในระหว่างสนทนา

^
^
คอนเสริท << คำนี้ น่าจะเขียนอย่างนี้มากกว่าเนอะ "คอนเสิร์ต "    
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 05-02-2009 08:24:26
มารอค่ะ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๔ - ๒ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 05-02-2009 09:45:44
แวะมาอ่านแล้วชอบจังเรยยยยยยยยคร้าบบบบ



จารออ่านตอนต่อไปนะคร้าบบบบ



 :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 05-02-2009 12:52:31
บทที่ ๕

“จะให้เอารถออกไหมครับ” ชายสูงอายุร่างสันทัดเอ่ยถาม พร้อมกับยื่นเสื้อโคตผ้าลูกฟูกสีเขียวขี้ม้าให้
“ไม่ต้องหรอก ถ้าไปไกลก็จะกลับด้วยรถแทกซี่” สเตฟานเอื้อมมือไปรับเสื้อโคตมาสวมทับไว้ สีเขียวขี้ม้าหม่นๆ กลับทำให้ผิวของชายหนุ่ม ยิ่งดูขาวมากขึ้น
“นี่กุญแจห้องครับ เผื่อท่านต้องใช้ ผมจำได้ว่าน่าจะเป็นช่วงนี้พอดี”
สเตฟานรับกุญแจที่ร้อยไว้กับป้ายมีหมายเลขกำกับ ใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อโคตด้านใน บริเวณทรวงอก
“ขอบใจมากนะทรงศักดิ์ ที่จัดการเรื่องต่างๆให้ฉันได้อย่างเรียบร้อยเสมอมา”
“ตระกูลผมรับใช้ท่านมาหลายชั่วคนแล้ว ท่านเองก็เมตตาผมเสมอมา ผมทำเช่นนี้ก็สมควรแล้ว” สายตาของผู้ตอบ เต็มไปด้วยความสำนึกตื้นตัน
สเตฟานเอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง

“เมย์ ไอ ซิท เฮียร์”
“เชิญครับ” สเตฟานหันหน้าไปตอบคนถาม แล้วหันกลับไปมองผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนน
“พูดไทยได้ด้วยเหรอครับ” อีกฝ่ายยังคงรุกต่อ
“ครับ ผมมาเมืองไทยบ่อย ครั้งละนานๆ” ตอบโดยที่ไม่หันกลับมามองชายหนุ่ม
“เหรอครับ” หนุ่มใหญ่ยิ้มให้ “ผมชื่อการันต์ ให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดี”
“สเตฟาน” ตอบพร้อมกับหันมายิ้มให้ คนที่มานั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา บนโต๊ะของร้านกาแฟ ซึ่งตั้งไว้ริมถนน การันต์จัดว่าหน้าตาธรรมดา แต่รูปร่างสูงใหญ่ และดวงตาวาววับ สเตฟานคิดว่าการันต์คงมีอายุราวๆ ๓๐ ตอนต้น
“สเตฟาน … ชื่อเพราะนะครับ มาจากประเทศไหนครับนี่”
“ผมอยู่หลายที่ ก่อนจะมาไทย ผมอยู่ที่ ออสเตรเลีย”
“โอ้โห ทำธุรกิจเหรอครับ สงสัยกิจการคงดีน่าดู ถึงได้เดินทางบ่อย ไปหลายประเทศซะด้วย” การันต์ถามด้วยความสนใจ
“ก็พออยู่ได้ครับ หาว่าดีจริงๆ ผมคงไม่ต้องเดินทางบ่อย คงหาที่อยู่ที่แน่นอนได้เสียที” สเตฟานพูดกลั้วหัวเราะ
การันต์ยังคงชวนสเตฟานคุยต่อ เรื่องที่คุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับออสเตรเลีย เพราะการันต์เองก็เคยไปเที่ยวมาบ้างเหมือนกัน ระหว่างการสนทนา การันต์ก็ ‘หยอด’ คำหวานเป็นระยะๆ เพื่อดูท่าทีของอีกฝ่ายหนึ่งไปด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีทีท่ารังเกียจจากอีกฝ่ายก็เริ่มรุกหนักขึ้น
“เค้าว่ากันว่า ราตรีมีค่าดั่งทองคำ คุณจะใช้เวลายามค่ำคืนนี้กับผมมั๊ยครับ” การันต์พยายามส่งสายตาสื่อความหมายให้หนุ่มรูปงามตรงหน้า ผิวขาวเกลี้ยงเกลา แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ รับกับสีของริมฝีปาก ยิ่งทำให้เขาปั่นป่วน
“ที่ไหนล่ะครับ” สเตฟานยิ้มกริ่ม “ที่ของคุณ หรือของผม”
“ของผมดีกว่า ไปกันเลยนะครับ”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปขยับเก้าอี้ให้สเตฟานที่ลุกขึ้นยืนเช่นกัน พลางคิดว่าคืนนี้เขาช่างโชคดี ที่ได้ ‘เหยื่อ’ ที่ดูดีขนาดนี้ ไม่แน่นักอาจจะไม่ใช่เพียงแค่ความ ‘สนุก’ ชั่วข้ามคืน เขาอาจจะสานต่อความสัมพันธ์ให้ยืนยาวไปอีกสักพักหนึ่งก็ได้ เขาลืมคิดไปว่า บางครั้งนายพรานที่ออกล่า ‘เหยื่อ’ นั้น บางครั้งตนเองอาจจะกลายเป็น ‘เหยื่อ’ เสียเองก็เป็นได้

“วันนี้ไม่เจอเหยื่อเลยเหรอไงวะ” ภูริทัตถามรังสรรค์ “อย่าแพ้เจ้าชามันสิเว๊ย”
“ไม่รู้หว่ะ วันนี้เบื่อๆยังไงไม่รู้” รังสรรค์ตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ นึกถึงปรีชาที่พบคนถูกใจ พากันออกไปจากผับไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ
“งั้นคืนนี้ก็นอนคนเดียวดิ๊วะ”
“ไหนจะเหมือนเอ็งล่ะ คืนนี้ก็อย่าโหมล่ะ เปิดซิงซะทีนะเอ็ง” พูดแล้วก็เอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนเบาๆ
“เปิดกระหม่อมบิดาเอ็งน่ะสิ พูดยังกับว่าข้าจะไปนอนกับใคร”
“อ้าว ก็เดี๋ยวปูมันจะไปค้างบ้านเอ็งไม่ใช่เหรอไง เด็กมันจะไปสังเวยถึงที่แล้ว ก็รับๆไปเหอะ”
“เฮ่ย ... ข้าไม่ได้รับปาก เอ็งนั่นแหละเอาไป”
“ไม่หล่ะเว๊ย ไม่อยากยุ่งกับคนในแผนกเดียวกัน มีเรื่องขึ้นมาจะลำบาก”
“งั้นเอางี้ เอ็งจะเอาไงก็ตามใจ แต่ข้าเผ่นก่อน ฮ่าๆๆ” พูดจบภูริทัตก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจาผับไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของรังสรรค์
............................................................................
.....................................
“เรียบร้อยมั๊ยวะ” ปรีชาถามยิ้มๆ เมื่อนั่งลงบนโต๊ะในร้านอาหาร ที่ภูริทัตนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“อะไรของเอ็ง” ภูริทัตเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ มองดูคนที่มานั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
“อ้าวทำไก๋” หัวเราะพร้อมกับยักคิ้ว “ก็เมื่อวันศุกร์ ไอ้ปูมันไปนอนบ้านนายไม่ใช่เหรอ เป็นไงมั่ง เสร็จกันไปกี่ยก แล้ววันเสาร์ปูมันกลับเลย หรือว่าอยู่ต่อ”
“ไม่รู้เว๊ย วันนั้นข้ากลับคนเดียว ปูเป็นไงเดี๋ยวถามไอ้สรรค์มันดูแล้วกัน”
“อ้าว” ปรีชาอ้าปากหวอ “ไม่น่าเลยหว่ะ รู้งี้นะรออีกหน่อยแล้วรอเสียบแทนก็ดี”
“แล้วคืนนั้น ตกลงเอ็งได้เสียบหรือถูกเสียบวะ” ภูริทัตแกล้งทำสีหน้าจริงจัง
“อย่าเอ็ดไปนะเว๊ย” ปรีชาทำท่าป้องปาก ชะโงหน้าเข้าไปใกล้ พูดเสียงเบา ภูริทัตเลยยื่นหน้าเข้าไปหา “ทั้งสองอย่างหว่ะ ผลัดกันเสียบฮ่าๆๆ”
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะเสียงดัง
“หัวเราะอะไรกันวะ” รังสรรค์ทักทายพลางนั่งลงตรงข้ามกับปรีชา และกรกฎที่เดินมาพร้อมกัน ก็นั่งลงตรงข้ามกับภูริทัต
การถามของปรีชาคงไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะหันไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มกับพนักงานที่เดินเข้ามาหา
“แล้วเมื่อกี้หัวเราะอะไรกันเหรอครับ” กรกฎถามอย่างสนใจเมื่อสั่งอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว
“เรื่องเมื่อคืนวันศุกร์น่ะ” ปรีชาตอบโดยไม่คิดอะไร แต่พอกรกฎได้ฟังก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
รังสรรค์หันไปมองหน้ากรกฎ แล้วหันไปมองภูริทัตที่เริ่มกินอาหารกลางวัน เพราะมาถึงเป็นคนแรกและสั่งอาหารทันที จึงได้อาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว ส่วนอาหารและเครื่องดื่มของปรีชา พนักงานกำลังนำมาวางให้พอดี
“วันศุกร์มีอะไรเหรอไง” รังสรรค์หันกลับมาถามปรีชา
“ก็ไอ้ทัตมันถามเราว่าเป็นไงมั่งน่ะสิ เลยเล่าให้มันฟังว่าของเราน่ะ มันเด็ดขนาดไหน” ปรีชาตอบพลางหันไปส่งสายตาแวววาวให้กรกฎ “พวกนายสองคนล่ะเป็นไง เจออะไรเด็ดๆมั่งมั๊ย ได้ข่าวว่าอยู่ต่อกันนี่”
“ก็ไม่เห็นมีอะไร” รังสรรค์ตอบ แล้วก็ต้องเปลี่ยนความสนใจไปที่พนักงาน ซึ่งนำอาหารและเครื่องดื่มมาเสริฟ
แล้วการสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของงาน และเรื่องจิปาถะที่ริ่มมาตั้งแต่เช้าวันนี้ ซึ่งเป็นวันจันทร์ วันแรกของสัปดาห์ ระหว่างสนทนา รังสรรค์ก็อดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนวันเสาร์ไม่ได้ หนุ่มรุ่นน้องที่ไปค้างกับเขาที่บ้าน ถึงปากเขาจะพูดว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนในแผนกเดียวกัน แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริง เขาก็อดเคลิบเคลิ้มไปกับการปลุกเร้าไม่ได้ ต้องยอมรับว่า ‘ลีลา’ ของเด็กรุ่นน้องคนนี้ ทำเอาเขาติดใจไม่น้อยทีเดียว
“แล้วคืนนี้ไปเที่ยวไหนกันดี” ปรีชาพูดขึ้นมาระหว่าทานอาหาร
“อะไรกัน วันศุกร์เพิ่งเที่ยวไปหยกๆ วันนี้จะไปอีเหรอ” ภูริทัตถามอย่างสงสัย
“ก็วันนี้มันคริสต์มาส” ปรีชาลากเสียงยาว “ว่าไงปู ไปไหนกันดี”
“ขอตัวดีกว่าครับพี่ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานไปอีกหลายวัน” กรกฎตอบยิ้มๆ
“เหมือนกันหว่ะ” รังสรรค์ตอบสั้นๆ
“นายล่ะ” ปรีชาหันไปถามภูริทัต ที่เหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ได้สนใจการสนทนา จนปรีชาต้องถามซ้ำ “ทัต นายเอาไง ไปด้วยกันป่ะ”
“หือ ...” ภูริทัตหันมามองปรีชา “อ๋อ คืนนี้น่ะเหรอ ... ขอตัวหว่ะ ไว้รวบยอดตอนปีใหม่แล้วกัน”
............................................................................
.....................................
๒๒.๑๕ คืนวันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐
ภูริทัตเดินเข้าไปบริเวณห้องลอบบี้ของโรงแรม เสียงเปียโนแผ่วพริ้ว มองไปยังผู้เล่น แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อสายตาคู่นั้นมองมาที่เขาพอดี อีกฝ่ายระบายยิ้มบางๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนเป็นการทักทาย ภูริทัตจึงทำท่าทางเหมือนบอกให้รู้ว่า จะไปนั่งรออยู่ภายในห้องลอบบี้
“เมอรี่ คริสต์มาส ครับ” ภูริทัตพูดพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญใบเล็กๆให้ เมื่ออีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาด้านตรงข้าม
“เอ๋” สเตฟานทำหน้าสงสัย มองกล่องของขวัญเล็กๆ ในอุ้งมือของภูริทัต แล้วมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “ของขวัญเหรอครับ เนื่องในโอกาสอะไร”
“อ้าว” ภูริทัตยกมืออีกข้างขึ้นเกาท้ายทอย “ก็วันนี้วันคริสต์มาส เค้าต้องให้ของขวัญกันไม่ใช่เหรอครับ”
“คริสต์มาส” สเตฟานทวนคำ “อ๋อ ... หมายถึงวันเกิดของพระคริสต์น่ะเหรอครับ”
“คุณไม่ได้นับถือคริสต์เหรอครับ” ภูริทันมองดูท่าทางหัวเราะน้อยๆของสเตฟานอย่างจดจ้อง
“ครับ ผมไม่ใช่ชาวคริสต์ ผมไม่ได้นับถืออะไร” สเตฟานยิ้มมากขึ้น เมื่อเห็นท่าทางที่เหมือนจะยิ่งงุนงงของคนที่นั่งตรงข้าม
“คุณหมายถึง ไม่มีศาสนาน่ะเหรอครับ” พูดแล้วเลื่อนมือที่ส่งกล่องของขวัญค้างอยู่มาไว้บริเวณตัก
“ถ้าหมายถึงตัวศาสดา หรือผู้นำทางศาสนา ผมไม่ได้นับถือใคร แต่ผมเคารพในคำสอนของหลายศาสนา แต่มันไม่สำคัญไม่ใช่เหรอครับ” สเตฟานเหลือบมองไปที่ห่อของขวัญเล็กๆ แล้วมองภูริทัตอีกครั้ง “ของขวัญกล่องนั้น เตรียมมาให้ผมเหรอครับ”
“ก็ตั้งใจไว้แบบนั้นแหละครับ แต่ในเมื่อคุณไม่ใช่คนคริสต์ จะให้คุณโดยไม่ใช่โอกาสพิเศษ คุณคงไม่ยอมรับ”  พูดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นมาแลกของขวัญกันดีมั๊ยครับ ถึงจะไม่ใช่ชาวคริสต์ ก็แลกของขวัญกันได้ ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับมิตรภาพแล้วกัน”
“งั้น นี่ครับ” ภูริทัตยื่นกล่องใบเล็กนั้นให้ สีหน้าสดชื่นขึ้นทันที
“ผมไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้คุณเลยน่ะสิครับ ว่าแต่มันเป็นอะไรกันแน่ ในกล่องนี้”
“แกะดูสิครับ” ภูริทัตคะยั้นคะยอ
สเตฟานจึงค่อยๆแกะห่อของขวัญนั้นออกอย่างช้าๆ เมื่อเปิดกล่องใบเล็กออก ก็พบกับพวงกุญแจ ที่มีสโนว์บอยตัวเล็กๆห้อยไว้ด้านหนึ่ง
“ชอบมั๊ยครับ” ภูริทัตจ้องมองใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆของสเตฟาน
“น่ารักมาก แต่ผมจะให้อะไรคุณดี” สเตฟานทำท่าคิด
“ถ้าคิดไม่ออก ก็ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนผม คืนพรุ่งนี้ ดีมั๊ยครับ ผมจะมารับตอนหกโมงเย็น หาอะไรทานกันก่อนแล้วค่อยไป”
“คอนเสิร์ตอะไรหรือครับ”
ภูริทัตบอกโปรแกรมออกไป
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมจัดการเรื่องตั๋วเองนะครับ” ภูริทัตพยักหน้ารับอย่างดีใจ สเตฟานจึงพูดต่อ “อาหารเย็นผมคงต้องขอตัวครับ ผมไม่สะดวก มารับผมสักทุ่มครึ่งจะสะดวกกว่า ส่วนพาหนะ ทางผมเป็นคนจัดการเองแล้วกันนะครับ”
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะมารับที่นี่ตอนทุ่มครึ่ง” ภูริทัตยิ้มกว้าง “ผมไปก่อนนะครับ พรุ่งนี้เช้าผมต้องทำงานอีก”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 05-02-2009 12:58:49
 :z2: :z2: :z2:

ว่าแต่...สเตฟาน เนี่ยะ เป็นแวมไพร์ รึป่าวน๊า

หุหุหุ...


ชอบๆๆๆ

 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 05-02-2009 14:01:38
นัดแนะ ? กันแล้วววววววว แบบนี้เค้าเรียกว่า เดท รึเปล่าเนี่ย  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 05-02-2009 14:18:23
แล้วสรุปว่า ระหว่าง การันต์ กับ สเตฟาน เป็นไงต่อ ใครผู้ล่า ใครเหยื่อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 05-02-2009 15:18:53
นัดแรก :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 05-02-2009 16:30:45
เอ่อ สเตฟาน จะลึกลับไปหนายยยยยย

ว่าแต่ เดทแรก คิก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 05-02-2009 16:57:58
:z2: :z2: :z2:
ว่าแต่...สเตฟาน เนี่ยะ เป็นแวมไพร์ รึป่าวน๊า
หุหุหุ...
ชอบๆๆๆ
 :L1: :L1: :L1:
คิดเหมือนกันเลยอะ ออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน
แถมยังอยู่ในห้องที่ต้องปิดไม่ให้แสงสว่างเข้ามาได้อีก
จากการเจอกันครั้งแรก กับปัจจุบันหน้าตาก็ไม่เปลี่ยนแสดงให้เห็นถึงสภาพที่ถาวรของหน้าตา
แต่มีจุดที่น่าสังเกต คือ ไม่นับถือศาสนาใดเป็นหลักนะสิ อย่างนี้คงต้องรอข้อมูลต่อๆไป อิๆ
แค่นี้ก็เดาได้อย่างเมามันละ
 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-02-2009 17:35:26
มีคนคิดเหมือนเราเลย สานฝัน เป็นแวมไพร์  :o9:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 05-02-2009 17:43:25
 :z2: :z2: :z2:

แวมไพร์ ทไวไลท์ โชว์ แน่ๆ เอิ๊ก

สงสัยจะตามหาความรักที่เจอะเจอกัน

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิ&#
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 05-02-2009 19:13:45
ผู้ล่า กำลังจะกลายเป็นผู้ถูกล่า  โอ้วววว   :z1:

หรือว่า  สเตฟาน จะโดนหนุ่มที่มีนามว่า ภูริทัต ตามล่า....รัก(ล่า..สวาท)  อ๊ะป่ะ คิคิ   :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 05-02-2009 19:18:30
รอคอยว่าเมื่อไหร่สานฝันกับภูริทัติจะได้เปิดเผยตัวออกมา อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 05-02-2009 22:12:57
มาช้า ดีกว่าไม่มา เพิ่งเห็นเรื่องใหม่ของตั้ม อ่านไปได้แค่บทที่ 1 เท่านั้น ง่วงแล้ว

ค่อยตามอ่านที่หลัง เป็นกำลังใจให้นะครับ +1 ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 06-02-2009 06:19:03
"ผมจำได้ว่าตรงกับช่วงเวลานี้พอดี.."

อืมม เหมือนจะไม่ใช่แวมไพร์แฮะ รออ่านไปเรื่อย ๆ ดีกว่าเรา

แต่แอบเดาอยู่นะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-02-2009 10:50:39
 :z2: :z2: สนุกๆ ฝีมือดีไม่มีตกจริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 07-02-2009 11:41:21
นายเอกของผมนะ........ล้างซอกคอรอโดนงับได้เล้ย  อิอิ


 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 07-02-2009 13:04:20
มารอลุ้นค่ะ

ว่าสานฝันเป็นอารายกันแน่  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๕ - ๕ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 09-02-2009 08:54:29
มารอด้วยคน :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 09-02-2009 12:39:21
บทที่ ๖

เสียงดนตรีภายในห้องประชุมดังกระหึ่ม วงออเครสตราบนเวทีกำลังบรรเลงอย่างออกรส ภูริทัตเหลือบสายตามองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ ที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับเสียงดนตรี สันจมูกที่โด่งเป็นสัน ผิวขาวอมชมพูยิ่งดูขาวนวลมากขึ้น ในเสื้อเชิตสีน้ำตาลเข้ม นึกไปถึงตอนที่เขาไปรับที่โรงแรม สเตฟานอยู่ในชุดสูทชุดที่เขาเคยเห็นเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่พอมองมาเห็นเขาในชุดเสื้อเชิต กางเกงผ้า ซึ่งเป็นชุดทำงาน สเตฟานก็ถอดเสื้อสูทส่งให้ชายสูงอายุที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเขารู้ภายหลังว่า ชายสูงอายุคนนั้นมีชื่อว่า ทรงศักดิ์

“เพลงเพราะดีนะครับ ขอบคุณมากที่ชวนผมมาดู” สเตฟานพูดขึ้นระหว่างที่เดินออกจากหอประชุม
“ถามจริงๆเหอะ ถึงผมไม่ได้ชวน คุณก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้วใช่มั๊ย”
สเตฟานไม่ตอบ แต่รอยยิ้มก็เหมือนเป็นคำตอบอยู่ในที
“หิวมั๊ย” สเตฟานเปลี่ยนเรื่อง
“ไปทานอะไรหน่อยก็ดีเหมือนกัน พอคุณพูดขึ้นมาผมรู้สึกหิวนิดๆขึ้นมาทันทีเลย” พูดแล้วภูริทัตก็ลูบท้องตัวเองเบาๆ

แล้วทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟในย่านคนกลางคืน ต่างก็สั่งกาแฟกันคนละแก้ว ภูริทัตสั่งแซนวิชเพิ่มอีกชุดหนึ่ง ทั้งสองคนคุยกันเรื่องดนตรี จิบกาแฟไปด้วย จนกระทั่งภูริทัตกินแซนวิชหมดไป
“คุณไม่หิวอะไรเลยเหรอ”
“ปรกติผมก็ไม่ทานอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” สเตฟานตอบ
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงแต่เลิกคิ้วนิดหนึ่ง
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกอีก จนอีกฝ่ายหัวเราะ
“ทำไมเรียกหลายครั้ง ผมก็อยู่ตรงนี้แล้ว”
“ผมชอบชื่อคุณจัง ... สานฝัน” ภูริทัตพูดพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกต “ตอนที่ผมเจอคุณ มันเหมือนผมได้เจอคนที่ผมคิดถึงมานาน”
“ดึกมากแล้ว ผมว่าคุณควรกลับบ้าน” สเตฟานยกแขนขึ้นดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ
“คุณไม่อยากคุยกับผมต่อเหรอ ถึงได้อยากให้ผมกลับเร็วๆ” น้ำเสียงตัดพ้อ จนสเตฟานรู้สึกขัน
“พรุ่งนี้คุณต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”สเตฟานอธิบาย “ผมอยากให้คุณกลับไปพักผ่อนต่างหาก เรื่องคุยเอาไว้ครั้งหน้าที่เราเจอกันก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นวันศุกร์ผมไปหาคุณอีกนะ” น้ำเสียงภูริทัตดีขึ้นทันที
“ยินดีเสมอ ไปกันเถอะ คุณจะได้ตื่นทำงานพรุ่งนี้ได้โดยไม่เพลียมาก”
สเตฟานเรียกพนักงานให้มาเก็บเงิน แล้วเดินออกจากร้านพร้อมกับภูริทัต ไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก คนขับรถรีบเปิดประตูให้ เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึง
“เดี๋ยวให้รถไปส่งคุณที่บ้านนะ”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ”
“ผมอยากเดินเล่นสักหน่อย เอาไว้พบกันนะครับ”
ภูริทัตมองสเตฟานด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วจึงเข้าไปนั่งบนเบาะหลัง คนขับรถจัดการปิดประตูให้ เดินไปเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งที่คนขับ แล้วรถยุโรปคันใหญ่ก็ค่อยๆแล่นออกไป

สเตฟานมองดูรถที่แล่นห่างออกไปจนลับตา ใบหน้ายิ้มน้อยๆ หันหลังเดินไปตามทางเดิน ผ่านร้านค้าต่างๆและฝูงคนที่เดินอยู่บนทางเดิน ไปจนถึงสี่แยก เมื่อข้ามถนนไปก็เป็นสวนสาธารณะ บนทางเดินริมกำแพง เรียงรายด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ สเตฟานเดินตรงเข้าไปหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เอื้อมมือแตะลำต้นแข็งแรงของมันเบาๆ กิ่งก้านที่นิ่งอยู่พลันก็ไหวน้อยๆ ราวกับร่างของหญิงสาวที่สั่นเทิ้มเพราะแรกสัมผัสจากชายหนุ่ม ครู่หนึ่งจึงถอนมือออกมา กิ่งก้านที่สั่นไหวก็สงบนิ่งลง สเตฟานเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง แล้วทำเช่นเดิมอีกครั้ง กิ่งก้านของต้นไม้ก็เกิดอาการสั่นไหว เช่นเดียวกับต้นไม้ต้นแรก สเตฟานทำเช่นเดียวกันกับต้นไม้ที่อยู่เรียงรายไปจนสุดถนน ใบหน้าขาวอมชมพูเหมือนจะเปล่งปลั่งมากขึ้น รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้า

“สองวันนี้อารมณ์ดีจริงนะ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่เมื่อวาน” รังสรรค์อดแซวไม่ได้
“พอๆกับเอ็งนั่นแหละ อารมณ์ดีมาตั้งแต่วันจันทร์แล้วนี่นา สัปดาห์ที่แล้วเจออะไรดีๆมาเหรอไง” ภูริทัตพูดอย่างเอารมณ์ดี
ปรีชาเองก็จ้องมองดูรังสรรค์ เขาสังเกตุเห็นเหมือนกันว่า สัปดาห์นี้รังสรรค์ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ความเคร่งขรึมที่เป็นมาดซึ่งสาวๆและหนุ่มบางคนแอบปลื้ม เหมือนจะลดน้อยลง โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับกรกฎ หรือว่าเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด เพราะกรกฎยังคงแอบมองดูภูริทัตบ่อยๆเหมือนที่เคยทำ แต่สีหน้าที่มักแสดงออกถึงความไม่พอใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจ เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความน้อยใจแทน
“เสร็จงานเลี้ยงคืนนี้แล้วจะไปต่อกันมะ” ปรีชาถามเพื่อนๆ
“งานเลี้ยง” ภูริทัตขมวดคิ้ว “จริงด้วย ลืมไปได้ยังไงวะ”
“อะไรกัน ลืมกระทั่งงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของบริษัท เอ็งนี่ท่าจะเป็นเอามาก” รังสรรค์พูดพลางส่ายหน้า

“ขอสายคุณสานฝันครับ” ภูริทัตพูดผ่านบลูทูธ ที่เสียบอยู่ในหูของเขา
“ห้องไหนค่ะ” เสียงพนักงานรับโทรศัพท์ตอบมา
“ผมไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่าเป็นนักเปียนโนที่เล่นในลอบบี้คืนวันจันทร์ อังคาร กับวันศุกร์น่ะครับ”
“เอ๊ะ เราไม่มีนักดนตรีชื่อสานฝันนะคะ”
“เอ้อ ... ผมหมายถึงสเตฟานน่ะครับ ชาวอังกฤษที่เล่นเปียนโนน่ะครับ”
“อ๋อ เดี๋ยวดิฉันจะโอนสายให้คุยกับคุณทรงศักด์แทนนะคะ กรุณาถือสายรอสักครู่ค่ะ”
ภูริทัตสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมต้องโอนสายไปให้คนที่ชื่อทรงศักด์ รออยู่ครู่ใหญ่ ก็มีเสียงพูดเข้ามา
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าใครต้องการเรียนสายกับคุณสเตฟานหรือครับ”
“ผมภูริทัตครับ”
“ภูริทัต” ทรงศักดิ์พูดทวนชื่อ “ใช่คนที่ไปดูดนตรีกับคุณท่านเมื่อคืนวันพุธหรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ ผมเอง”
“คือว่า ตอนนี้คุณสเตฟานไม่สะดวกที่จะรับสาย คุณมีธุระด่วนหรือเปล่า ฝากเรื่องไว้กับผมก็ได้ครับ”
“คือคืนนี้ผมนัดสเตฟานไว้น่ะครับ แต่ลืมไปว่ามีงานเลี้ยงที่บริษัท ก็เลยไม่ทราบว่าจะปลีกตัวไปได้รึเปล่า”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเรียนท่านให้”
“แล้วก็” ภูริทัตรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าแดง “ถ้าสะดวกให้โทรกลับหาผมด้วยได้ไหมครับ”
“เรื่องนี้” ทรงศักดิ์เงียบไปครู่หนึ่ง “ผมจะลองถามท่านแล้วกันนะครับ แต่หากท่านจะโทรกลับก็คงเป็นช่วงหลังหกโมงเย็น”
“เค้ายุ่งมากเลยเหรอครับ” เสียงของภูริทัตเหมือนจะน้อยใจ
“เปล่าหรอกครับ” ทรงศักดิ์หัวเราะเบาๆ “ท่านนอนหลับน่ะครับ คุณคงทราบว่าท่านเล่นดนตรีกลางคืน แล้วชอบออกไปเดินเล่นช่วงดึกเหมือนกัน ตอนกลางวันท่านจึงพักผ่อนน่ะครับ”
“เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมฝากเบอร์โทรฯไว้แล้วกันนะครับ” ภูริทัตบอกหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขา กล่าวขอบคุณแล้วจึงวางสาย

ทรงศักดิ์วางหูโทรศัพท์ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นั่งนึกถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงที่ได้พบเมื่อคืนวันศุกร์ ใบหน้าเรียวยาว คางเรียวมน ดวงตาโต จมูกเป็นสันเล็กน้อย นับว่าคมคายไม่น้อย เรือนผมและคิ้วที่เหมือนจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ทำให้คิดอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะมีเชื้อสายของชาวต่างชาติปนอยู่ในสายเลือดหรือเปล่า คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ คุณท่านของเขามีคนมาติดพันอีกรายแล้วสินะ ก็น่าอยู่หรอก เพราะคุณท่านของเขาออกจะมีเสน่ห์ไม่น้อย แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า มันน่าแปลกเหมือนกันที่ชายหนุ่มที่ชื่อภูริทัต ติดต่อกลับมาอีก เพราะเท่าที่เขาจำได้ หากคุณท่านออกไปข้างนอกกับใคร ก็จะไม่ติดต่อกับคนคนนั้นอีกต่อไป หรือว่าคนคนนี้เป็นคนพิเศษ หรือว่าคุณท่านคิดจะคบหากับชายหนุ่มคนนี้จริงๆ หรือว่า ...

“สวัสดีครับ” ภูริทัตกดปุ่มรับสายที่บลูทูธ ซึ่งเขาเสียบไว้กับหูตลอดงานเลี้ยงจนกระทั่งเพื่อนๆแซว
“สวัสดีครับ งานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง สนุกไหมครับ” เสียงพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ ทำให้ภูริทัตยิ้มกว้าง
“สานฝัน” เสียงเรียกชื่อคนที่อยู่ปลายสาย ทำให้คนที่นั่งข้างๆหันมามองด้วยแววตาไม่พอใจ แต่ภูริทัตไม่ได้สังเกตุเห็น เพราะพอรู้ว่าคนที่โทรมาหาเขานั้นเป็นใคร ก็ลุกออกจากโต๊ะ เดินไปยังบริเวณที่ไม่มีเสียงอึกทึกมากเหมือนบริเวณนั้น
“ทำไมคุณเพิ่งโทรฯมาล่ะ นี่มันตั้งสี่ทุ่มครึ่งแล้วนะ ผมโทรไปหาตั้งแต่บ่าย” ภูริทัตพูดอย่างน้อยใจ
“ผมหลับ” เสียงตอบมาอย่างไม่เดือดร้อนอะไร “พอตื่นขึ้น ผมก็ต้องเล่นดนตรี พอหมดงานก็มีลูกค้ามาคุยด้วย พอผมคุยกับลูกค้าเสร็จผมก็รีบโทรมานี่ไงครับ”
“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมไปหานะ”
“อย่าดีกว่าครับ สนุกกับงานเลี้ยงที่บริษัทดีกว่าครับ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าล่วงหน้าทั้งที” สเตฟานหัวเราะเบาๆ
“พรุ่งนี้ล่ะครับ”
“พรุ่งนี้ผมจะไปดูการแสดงที่โรงละครแห่งชาติ จริงสิ คุณไปกับผมไหมครับ”
“ไปครับ...ไป” ภูริทัตรีบรับคำ “กี่โมงครับ”
“การแสดงเริ่มทุ่มหนึ่ง เอาเป็นว่าเจอกันที่ห้องโถงหน้าทางเข้าห้องแสดงก่อนเวลาสักห้านาที ดีไหมครับ”
“เจอกันเร็วกว่านั้นไม่ได้เหรอครับ บ่ายๆหรือเย็นๆ ทานข้าวกันสักมื้อก่อน”
“ผมไม่สะดวกน่ะครับ เอาเป็นเราไปหามื้อดึกเบาๆทานกันหลังการแสดงจบดีไหมครับ”
“อย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้พบกัน สนุกกับงานเลี้ยงนะครับ”
พูดจบสเตฟานก็วางสายไป ภูริทัตจึงหยิบหูฟังบลูทูธเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วเดินผิวปากอย่างอารณ์ดีกลับไปที่โต๊ะ
.........................................................................
...............................
“มีอะไรตลกหรือไง” สเตฟานขมวดคิ้ว ก้มมองดูเสื้อกางเกงของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองภูริทัตที่หยุดหัวเราะแล้วยิ้มกว้าง
“คิดยังไงใส่ชุดม่อฮ่อม รองเท้าสาน แบบเนี๊ย”
“อ้าว ... ก็มาโรงละครแห่งชาติ ดูการแสดงแบบไทยๆ แต่งตัวแบบนี้น่าจะเหมาะ ว่าแต่คุณเถอะ” สเตฟานมองภูริทัตยิ้มๆ “คิดยังไงใส่สูทมา”
“อ้าว ...” ภูริทัตยิ้มเก้อๆ ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “ก็ผมคิดว่าคุณจะใส่ชุดสูทมาน่ะสิ”
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ก่อนจะพากันเข้าไปในห้องแสดงของโรงละคร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 09-02-2009 12:58:32
 :z13:


หนูทัตมีหวังใช่มั้ยแบบนี้ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 09-02-2009 13:52:21
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นตามไปด้วยทุกตอนเลย

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 09-02-2009 14:03:07
ตื่นเต้นๆๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 09-02-2009 14:42:20
 :impress2: :impress2: :impress2:

คนนี้ใช่เลยหรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 09-02-2009 15:28:36
 o13 o13 o13
คุณบุหรงเยี่ยมยอดมากเรื่องของการถ่ายทอด

สานฝัน และภูริทัต...
พออ่านตอนนี้จบปุ๊ปก็กล้าฟันธงเลยว่า นายสานฝันคนนี้ คือ คนๆเดียวกับที่ เด็กชายภูริทัตเคยพบจริงๆ
สานฝัน เป็น มนุษย์ที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอะไรแต่คงไม่ใช่แวมไพร์หรอก โดยลักษณะแล้วน่าจะเป็นการ
สูบพลังอะไรในสิ่งมีชีวิตเพื่อการดำรงชีพเสียมากกว่า แต่คงเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกออกหากินกลางคืนกลัวแสง
เพราะจากตอนก่อนๆที่มีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
- ต้องเข้านอนตั้งแต่เช้าน่าจะ 6 โมงเช้าจวบจน 6 โมงเย็น
- ภายในห้องนอนจะมีระบบพิเศษที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของผนังห้องให้ปิดมิดชิดพ้นจากแสงแดดในยามเช้าได้
- การที่บอกว่าสูบพลังชีวิตเป็นอาหารจากการที่ไปสัมผัสแตะกับต้นไม้แล้วต้นไม้สั่นไหว
  รวมถึง การที่เมื่อตกเย็นดึกๆเข้าจะรีบออกไปหาเหยื่อโดยทันทีเท่าที่สังเกตนะ
  ถ้ามีเวลายังไม่ดีกมากเท่าไหร่แล้วสามารถหาเหยื่อที่เป็นมนุษย์ผู้ชายได้ก็จะไปสูบพลังจากคนๆนั้น
  ดูจากการที่นายทรงศักดิ์กล่าวว่า ไม่เคยมีใครไปกับนายท่านแล้วกลับมาหาอีก
  แต่ถ้าช่วงเวลาที่ออกหากินนั้นดึกมากๆอย่างในตอนล่าสุดนี้ก็คงจำเป็นต้องอาศัยพลังงานจากต้นไม้ดังที่กล่าวไว้
และนี่คือสิ่งที่น่าสนใจในตัวนายสานฝัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะมีสิ่งที่น่าติดใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของภูริทัต ว่าทำไมต่างฝ่ายต่างรู้สึกถึงอะไรบางอย่างต่อกันและกัน ภูริทัต อาจมองว่า สานฝันคล้ายกับบุคคลที่ตนเคยเจอเมื่อสมัยเด็ก
ตอนนี้คงอายุมากแล้วละ เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่คนๆเดียวกันและดูน่าสนใจเลยเกิดชอบพอด้วย
แล้วสำหรับสานฝันละ เค้าคิดอย่างไรกับ ภูริทัต นี่ละคือสิง่ที่น่าสนใจ
ส่วนตัวประกอบอื่นๆ
อย่าง

ปรีชา...
ยังไม่มีอะไรให้กล่าวมากนักนอกจากจะชอบ ภูริทัตและขัดใจกับความสนใจที่ภูริทัตมีต่อสานฝัน

รังสรรค์ ...
ก็เช่นกัน คือรัก กรกฎ แต่ปูกลับชอบภูริทัต จึงทำให้รังสรรค์แอบไม่สบายใจทั้งที่เค้ากับปูมีอะไรกันไปแล้วก็ตาม

       
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 09-02-2009 16:11:10
ภูริท้ตจะเป็นคนพิเศษจริง ๆ รึเปล่าน้อ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-02-2009 18:20:27
 :z13: น้องตั้ม  :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 09-02-2009 18:30:34
อ่านเพลิน จนลืมไปว่าจะเม้นอะไร แหะๆ   :impress2:

หนุ่มน้อยคนนั้น โตมาแล่ะหล่อ ชิมิล่ะ  สเตฟาน  

ยังดู ขี้งอนขี้ใจน้อยเหมือนเด็กๆ อยู่เลยนะ ภูริทัตเนี่ย

เลยดูสเตฟาน เป็นผู้ใหญ่ไปเลย (เอ๊ะ... ก้อเป็นผู้ใหญ่กว่าจริงๆนินา) เอิ้กๆ  
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-02-2009 19:02:33
เรื่องคุณบุหรงต้องลุ้นอีกแล้ว  :z2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 09-02-2009 22:02:28
นอนกลางวันออกแต่ตอนกลางคืน ขนาดแตะต้นไม้ยังสะท้าน อรึ๋ยยยย ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๖ - ๙ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 09-02-2009 22:38:25
สานฝันคงเป็นอมนุษย์....ติดใจภูริทัตจนต้องกลับมาอีกรอบ...

แล้วจะยังไงหนอ?
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 11-02-2009 07:59:49
บทที่ ๗

“สานฝัน” สเตฟานทวนคำ
“ใช่ ... สานฝัน ท่านชอบหรือไม่”  คำถามจากชายกลางคน
“เป็นชื่อที่ไพเราะ ขอบคุณที่ตั้งชื่อให้แก่ข้า”
“ท่านควรต้องขอบใจบุตรของข้าทั้งสอง ความจริงข้ามิใคร่ชอบชื่อนี้นัก มันดูเลื่อนลอยมิเข้มแข็งสมกับเป็นชื่อบุรุษ แต่ภรรยาข้ากลับว่าเหมาะแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นหากมีเวลา ข้าคงต้องไปขอบคุณด้วยตัวข้าเอง”
“ภรรยาข้าคงดีใจยิ่ง คงจะเอาพวกนางรำที่ฝึกไว้ออกมาร่ายรำ อวดให้ท่านชมเป็นแม่นมั่น ส่วนพวกเด็กๆก็ไม่ยอมหลับนอน เพราะนิทานที่ท่านเล่า”
“กระนั้นฤา” สเตฟานยิ้มละไม “ข้าชักอยากชมเสียเดี๋ยวนี้”
“งั้นจะช้าอยู่ไย ไปกันเสียบัดนี้ก็ยังได้”
“ดึกปานนี้แล้ว เด็กๆมิหลับไปแล้วหรือ เอาเป็นคืนพรุ่งนี้ ยามพระอาทิตย์ตกดิน ข้าจักไปเยือนยังเรือนท่าน”


“สานฝัน” เสียงเรียกเบาๆที่ข้างหู ดึงสเตฟานให้ออกมาจากความทรงจำในอดีต “คุณเป็นอะไรรึเปล่า ดูเหม่อๆนะ”
“ไม่หรอก ผมเพียงแต่คิดถึงคนที่ผมเคยเจอ ดูสิ ช่างร่ายรำได้งดงามจริงๆ” สเตฟานเบนสายตาไปที่การแสดงบนเวที
“อื้อ สวยดี ผมไม่ได้ดูอะไรไทยๆแบบนี้มานานแล้ว” ภูริทัตเปลี่ยนความสนใจกลับไปยังเวทีอีกคนหนึ่ง
“นาฎศิลป์ไทย อ่อนช้อย งดงาม ผมชื่นชมมานานแล้ว” สเตฟานพูดเบาๆ
ภูริทัตหันมามองที่สเตฟานอีกครั้งแล้วอมยิ้ม พลางเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆขึ้นมาบีบเบาๆ
“ในฐานะคนไทย ผมคงต้องปลื้มใจ ที่นาฎศิลป์ไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ จริงมั๊ยครับ”
สเตฟานไม่ตอบ แต่หันมายิ้มน้อยๆให้แล้วหันหน้ากลับไปดูการแสดงต่อ เมื่อไม่มีท่าทีใดๆ ภูริทัตก็เลยกุมมือนุ่มนั้นไว้ต่อไป แล้วหันไปดูการแสดงต่ออย่างอารมณ์ดี

“ดูสิ คนมองกันใหญ่เลย คุณเล่นใส่ชุดม่อฮ่อมมาแบบเนี๊ย” ภูริทัตพูดอย่างตลกๆ ขณะที่เดินอยู่บนถนน ย่านที่มีคนจีนอาศัยอยู่มากที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งมีรถเข็นขายอาหาร และโต๊ะเก้าอี้สำหรับลูกค้า เรียงรายกันอยู่เป็นระยะๆ
“ผมว่าไม่ใช่หรอก” สเตฟานพูดขำๆ
“หรือคุณจะหาว่าพวกเค้ามองชุดสูทที่ผมใส่” ภูริทัตหยุดเดิน ทำให้สเตฟานต้องหยุดเดินไปด้วย
“คนเขามองเพราะผู้ชายสองคนเดินจูงมือกันต่างหาก แถมคนนึงเป็นคนไทยใส่สูท แต่คนที่เป็นฝรั่งกลับใส่ชุดม่อฮ่อม” สเตฟานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง คำว่า ผู้ชายสองคนเดินจูงมือกัน ทำเอาภูริทัตหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“กินอะไรกันดีล่ะ” ภูริทัตเปลี่ยนเรื่องทันที
“ผมไม่ค่อยหิวนัก แล้วแต่คุณก็แล้วกัน”
ภูริทัตอมยิ้ม แล้วพาสเตฟานเดินไปที่ร้านก๋วยจั๊บ สั่งมา๒ที่ทำหรับตนเองและสเตฟาน แล้วสั่งน้ำผลไม้ปั่นมา ๒ แก้วระหว่างท่านอาหาร ก็คุยกันถึงการแสดงที่เพิ่งจะดูจบมา
“ทำไมคุณทานน้อยจัง ไม่อร่อยเหรอครับ” ภูริทัตถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าสเตฟานทานไปเพียงไม่กี่คำ ในขณะที่เขาทานจนหมดชาม “หรือว่ากินอะไรดึกๆแล้วกลัวอ้วน” สเตฟานถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย
“เห็นคุณทานก็พอจะรู้ว่าอร่อยแค่ไหน ปรกติผมทานน้อยอยู่แล้ว อีกอย่างช่วงเวลานี้สำหรับผม เหมือนกับเพิ่งจะเป็นช่วงสายๆของวันเท่านั้นเอง”
“จริงสิ เห็นคุณอะไรนั่นเค้าบอกว่าคุณนอนหลับช่วงกลางวัน ปรกติคุณนอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืนเหรอ”
“ใช่” สเตฟานตอบสั้นๆ สีหน้าหมองลง
“อย่าบอกนะว่าคุณเจตแลค ไม่หาย” ภูริทัตพูดพลางทำท่าคิด “ไม่น่านะ ตั้งแต่ผมเจอคุณที่โรงแรมก็เกือบเดือนแล้ว อาการไม่น่าจะนานขนาดนี้ ปรกติ ๒-๓ วันก็น่าจะหาย”
“ผมมีโรคประจำตัว” สเตฟานตอบพลางมองดูภูริทัตที่กำลังจ้องมองเหมือนรอคำอธิบาย “ผมแพ้แดด ผมถูกแสงแดดไม่ได้ เพียงแค่แสงแดดอ่อนๆ ก็ทำให้ผิวของผมไหม้เกรียมได้แล้ว”
“คุณเป็นมาตั้งแต่เกิดเหรอ” ใบหน้าของภูริทัตเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เปล่าหรอก มันมีสาเหตุอื่น ผมก็เลยต้องใช้ชีวิตสวนทางกับคนปรกติ ผมนอนในขณะที่คนส่วนใหญ่ตื่น และผมตื่นในเวลานอนของคนเหล่านั้น”
“ผมว่าทำงานช่วงกลางคืนก็ดีนะ อย่างน้อยมันคงไม่ร้อนอบอ้าว รถก็ไม่ติดเหมือนตอนกลางวัน แต่มันก็ทำให้พลาดอะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน”
“สำหรับผมมันเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว ถึงผมจะพลาดอะไรหลายๆอย่าง แต่ผมก็คิดว่าผมได้เห็น ได้สัมผัสอะไรหลายๆอย่าง ในสิ่งที่คนปรกติไม่ได้สัมผัสกับมัน”
“เหมือนคุณจะมีความสุขดีนะ กับการใช้ชีวิตกลางคืน”
“หากคุณเป็นอย่างผม ถึงเวลาหนึ่งก็จะยอมรับมันได้ และจะเริ่มชินกับมัน ในที่สุดคุณก็จะหาความสุขกับมันได้ เหมือนกับผมในตอนนี้”
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ แต่ก็เก็บคำพูดไว้ไม่พูดออกมา เพราะยังไม่ค่อยแน่ใจว่า คนตรงหน้าคิดอย่างไรกับเขากันแน่
... สานฝัน ตอนนี้ผมก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้คุณ ...

“ให้ผมไปส่งคุณที่ห้องได้มั๊ย” ภูริทัตถามขณะที่ยืนรอลิฟท์
“มาส่งผมแค่นี้ ผมก็เกรงใจแล้ว” สเตฟานตอบยิ้มๆ
“อย่างนั้น ถ้าผมโทรหาคุณอีก ผมจะบอกได้ยังไงว่าคุณอยู่ห้องไหน”
“บอกแค่ชื่อผมก็พอแล้ว แต่คงจะได้คุยกับทรงศักด์แทน คุณสามารถฝากเรื่องไว้กับเขาได้ ทุกเรื่องจะถึงผมแน่นอน ราตรีสวัสดิ์นะครับ” พูดจบก็เดินเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งจะมาถึงพอดี
“เดี๋ยวครับ” ภูริทัตเอามือกั้นประตูลิฟท์ไว้ “คืนวันจันทร์ ผมจะมาหานะ”
“ครับ เจอกันวันจันทร์”
ภูริทัตเอามือที่กั้นประตูลิฟท์ออก และมองดูสเตฟานที่ยิ้มให้ จนประตูลิฟท์ปิดลง
“คุณภูริทัตครับ” เสียงเรียกดังขึ้น เมื่อหันไปก็พบกับทรงศักดิ์ “เดี๋ยวผมให้รถไปส่งนะครับ”
“ไปส่งเหรอครับ” ภูริทัตทวนคำ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
“คุณเป็นเพื่อนของท่าน ให้ผมจัดรถไปส่งน่ะดีแล้วครับ ไม่อย่างนั้นท่านจะว่าผมได้”
“สานฝันสั่งไว้เหรอครับ” ภูริทัตยิ่งสงสัยมากขึ้น เพราะตั้งแต่เดินเข้าโรงแรมมา เขายังไม่เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันเลย
“สานฝัน” คราวนี้ทรงศักดิ์ขมวดคิ้วบ้าง “คุณเรียกท่านว่า สานฝัน ท่านยอมให้คุณเรียกชื่อนี้เหรอครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ก็ชื่อนี้ท่านไม่ค่อยชอบให้ใครเรียก ท่านบอกว่ามันทำให้ท่านคิดถึงเพื่อนเก่า”
“เพื่อนเก่า ... ใครเหรอครับ”
“เหมือนจะเป็นลูกๆของเพื่อนท่านนะครับ ที่ตั้งชื่อนี้ให้ท่าน เป็นเพื่อนที่สนิทกับท่านมาก”
“เหรอ” ภูริทัตหันไปมองที่ลิฟท์ตัวที่สเตฟานเพิ่งจะเข้าไปเมื่อสักครู่ “เค้าไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย”
“ผมคิดว่า หากคบกันไปอีกสักระยะ ท่านคงเล่าอะไรให้คุณฟังมากขึ้น เพราะเท่าที่ผมจำได้ ท่านยังไม่เคยออกไปเที่ยวกับใครซ้ำเป็นครั้งที่สอง”
พอภูริทัตได้ยินก็ยิ้มออกมาได้
“ตกลงว่า ให้ผมจัดรถไปส่งนะครับ ไม่อย่างนั้นหากท่านถาม ผมก็ไม่ทราบจะตอบท่านยังไง”
ภูริทัตจึงยอมกลับบ้านด้วยรถของโรงแรม ที่ทรงศักดิ์จัดหาให้ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ระหว่างทางว่า ทรงศักดิ์เรียกสานฝันหรือสเตฟานว่าท่านอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ครั้งหน้าเขาอาจจะลองถามดู ... หากเขาไม่ลืม

ภูริทัตมองดูคนที่นอนหลับแนบใบหน้าอยู่กับแผ่นอกของเขา ด้วยความหลงใหลกึ่งเอ็นดู หน้าผากค่อนข้างกว้าง ดวงตาหลับสนิทจนมองเห็นแพขนตายาวงอนเป็นสีทอง สีเดียวกับเส้นผมที่ค่อนข้างนุ่ม สักพักร่างนั้นก็พลิกตัวนอนหงาย โดยที่ยังหนุนศรีษะไว้บนอกของเขา มือที่มีผิวขาวละเอียดไขว่คว้าเหมือนจะหาผ้าห่ม เขาจึงค่อยๆเลื่อนผ้าห่มมาคลุมอกที่เปลือยเปล่า พลางมองดูแก้มที่เป็นสีชมพู สีเดียวกับริมฝีปากบางที่ชวนให้เสพลิ้มความหอมหวาน ชายหนุ่มอดใจไม่ไหว ขยับตัวออกให้ศรีษะของสเตฟานเปลี่ยนไปหนุนอยู่ที่แขนของตน ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากสีชมพู ขบเม้มแผ่วๆแล้วเริ่มแรงขึ้น
กริ๊งๆ ... กริ๊งๆ ...
เสียงดังขึ้นทำให้ภูริทัตสะดุ้งสุดตัว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่านอนอยู่บนตียงของตนเอง และคนที่ประทับจูบอยู่เมื่อสักครู่ กลายเป็นหมอนที่ใช้หนุนนอนอยู่ประจำ เสียงที่ดังมาอย่างต่อเนื่อง จนต้องเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรเข้ามา ก่อนจะกดปุ่มรับสาย
“โทรมาทำไมแต่เช้าวะ” ภูริทัตกรอกเสียงลงไปอย่างอารมณ์เสีย
“เช้าบ้านเมิงเด๊ะ ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว เพิ่งตื่นเหรอไงวะ”
“เออดิ ... กำลังฝันดีซะด้วย เอ็งมันขัดจังหวะจริงๆเลยนะ ไอ้สรรค์”
“ฝันว่าอะไรวะ” เสียงหัวเราะของรังสรรค์ดังเข้ามาตามสาย
“เรื่องขอกู ว่าแต่มีอะไรวะ”
“ว่างๆหว่ะ เลยว่าจะชวนออกมาเดินเล่น ไม่ก็ดูหนัง”
“ขี้เกียจหว่ะ วันนี้อยากนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงไปเคาท์ดาวน์”
“อะไรกันวะ เมื่อคืนไปทำอะไรมา วันนี้ถึงไม่มีแรง”
“แต่นอนดึกเว๊ย” ภูริทัตตอบไปแล้วก็ต้องอมยิ้ม
แล้วรังสรรค์ก็ชวนคุยต่อไปอีกยาว และนัดหมายกันไปเที่ยววันส่งท้ายปีเก่า ในวันพรุ่งนี้

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-02-2009 08:38:13
สรุปแล้วแค่ฝันชิมิ  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 11-02-2009 13:50:01
ทำไมไม่โทรมาช้ากว่านี้อีกหน่อย  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 11-02-2009 15:18:54
นั่นจิๆ ทำไมไม่โทรมาให้ช้ากว่านี้

กะลังจะถึงจุดสำคัญเลย ขัดใจวัยรุ่นอ่า

 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 11-02-2009 17:40:07
ไม่น่าตื่นจากฝันเลย เสียดายจัง :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 11-02-2009 18:41:31
ฝันหรอกเหรอ นึกว่าใช่เร็วทันใจจริงๆ :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 11-02-2009 19:44:14
 :z13:
จิ้ม นานา
มันจะโทรมาเพื่อ กำลังอินอยู่พอดีเลยอะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 11-02-2009 21:04:27
สเตฟาน แอบเข้าฝัน ภูริทัตเหรอเนี่ย...

แต่..เอ๊ะ หรือจะมาจริงๆหว่า  น่าคิดๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 11-02-2009 23:08:58
ภูริทัตเอาไปฝันถึงเลย...หุหุ ตอนแรกนึกว่าสลับตำแหน่งกันรึเปล่าหวา? (แบบว่าเห็นสเตฟานชอบนึกถึงตอนเจอภูริทัตตอนเด็กๆ บ่อยๆ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๗ - ๑๑ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 13-02-2009 11:32:34
มารอค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 13-02-2009 14:45:43
บทที่ ๘

รังสรรค์เดินเตร็ดเตร่มาจนถึงโรงแรมแห่งนั้น หลังจากที่ทานอาหารเย็นและดูหนังรอบค่ำ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป ก็มองเห็นสเตฟานเดินออกมาจากประตูโรงแรม เสื้อโคตสีน้ำตาลอ่อนทำให้ผิวสีขาวดูสว่างขึ้น แล้วริมฝีปากบางสีชมพูก็เผยอยิ้มให้ เมื่อหันมาเห็นเขา รังสรรค์จึงเดินเข้าไปหา พร้อมกับทักทาย
“สวัสดีครับ คุณสเตฟาน”
“สวัสดีครับ ถ้าผมจำไม่ผิด คุณรังสรรค์ใช่ไหมครับ คุณรังสรรค์เพื่อนของทัต”
“ใช่ครับ ดีใจที่คุณจำผมได้ จะออกไปเที่ยวเหรอครับ”
“คืนนี้อากาศดี ผมก็เลยอยากออกไปเดินเล่น คุณล่ะ”
“ทีแรกผมว่าจะเข้าไปนั่งกินกาแฟข้างใน แต่พอเห็นคุณเดินออกมาก็เลยเปลี่ยนใจ ผมไปเดินเล่นด้วยคนได้รึเปล่าครับ”
“ยินดีครับ” สเตฟานตอบพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเดินนำออกไป โดยมีรังสรรค์เดินคู่กันไป
“นอนไม่หลับเหรอครับ ถึงต้องออกมาเดินเล่นดึกๆ”
“เปล่าหรอกครับ” ตอบแล้วก็หัวเราะเบาๆ “ผมเพิ่งตื่นเมื่อตอนพระอาทิตย์ตกดินนี่เอง”
“เพิ่งตื่น … นอนกลางวันเหรอครับ นอนมากๆระวังอ้วนนะครับ” คำเตือนนี้เหมือนจะเรียกเสียงหัวเราะมากขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม รังสรรค์มองดูแล้วอดยิ้มไม่ได้ แล้วก็ต้องพูดออกไปอย่างที่ใจคิด “ดูคุณจะอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้เจอกัน”
“คงเพราะนอนกลางวันมากไป ผมเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” คราวนี้รังสรรค์หัวเราะขึ้นบ้าง
“ผมโดนย้อนซะหงายเลย”
“ว่าแต่คุณไปไหนมาหรือครับ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก กินข้าว ดูหนัง แล้วก็กะว่าจะไปหาอะไรกินเบาๆก่อนจะกลับบ้าน”
“แล้วพรุ่งนี้ไม่ทำงานหรือครับ”
“อะไรกัน” คราวนี้รังสรรค์หยุดเดิน ทำให้สเตฟานหยุดเดินไปด้วยอีกคน “พรุ่งนี้วันส่งท้ายปีเก่า บริษัทไหนๆก็หยุดกันทั้งนั้นแหละครับ นี่ผมได้หยุดยาว ๔ วัน เพราะวันอังคารเป็นวันปีใหม่ กว่าจะทำงานก็วันพุธ”
“อ้อ ผมก็ลืมไป เพราะคืนพรุ่งนี้ผมยังต้องเล่นดนตรีเหมือนเดิม ไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นเขา” พูดแล้วสเตฟานก็ยักไหล่ แล้วหมุนตัวเดินต่อ รังสรรค์ก็ก้าวเดินตามไป
“แต่คุณก็คงไปฉลองกับครอบครัว หรือคนรักสินะครับ”
“ผมไม่มีครอบครัว ทุกคนจากผมไปหมดแล้ว” สเตฟานถอนหายใจ สีหน้าเศร้าลง
“ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันก็นานมาแล้ว”
“แล้วคนรักล่ะครับ”
สเตฟานไม่ตอบ แต่ยิ้มเศร้าๆ แล้วก้าวเดินต่อไปอีก รังสรรค์ก็ก้าวเท้าเดินตาม
“คุณบอกว่าไปดูหนังมา เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหมครับ ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร”
รังสรรค์จึงเล่าถึงหนังที่เขาเพิ่งจะไปดูมาเมื่อตอนเย็น ระหว่างที่เดินกันไปเรื่อยๆ จนไปถึงย่านบันเทิงของคนราตรี ทั้งสองชวนกันไปนั่งทานกาแฟภายในร้านกาแฟ ที่หน้าร้านเปิดกว้าง โต๊ะและเก้าอี้บางส่วนตั้งเลยจากภายในร้าน ออกไปอยู่บนทางเท้า แล้วนั่งคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่จนกาแฟในแก้วของรังสรรค์หมดลง
“ผมคงต้องกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะฉลองส่งท้ายปีเก่าไม่ไหว”
“ครับ” สเตฟานตอบสั้นๆ
รังสรรค์มองดูผิวหน้าที่เป็นสีขาวอมชมพู เหลือบมองดูกุหลาบดอกตูมสีชมพู ที่ปักอยู่ในแจกันเล็กๆบนโต๊ะ แล้วก็หยิบดอกกุหลาบขึ้นมาส่งให้เสตฟาน
“ผมว่ากุหลาบดอกนี้เหมาะกับคุณ สีของมันรับกับสีผิวคุณดี”
“ผมไม่ใช่สาวน้อยที่คุณควรมอบกุหลาบให้หรอกนะครับ” สเตฟานยิ้มขัน
“จะสาว หรือจะหนุ่ม หากผมพอใจ ผมก็มอบกุหลาบให้ได้”
รังสรรค์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ถือดอกกุหลาบค้างไว้ตรงหน้า แต่สเตฟานก็ไม่รับไป จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปเสียบดอกกุหลาบลงไปบนกระเป๋าเสื้อ ตรงบริเวณหน้าอกของเสื้อโคตสีน้ำตาลอ่อน
“ฝันดีนะครับ แล้ว เราคงมีโอกาสได้ออกมาเดินเล่นกันนานกว่านี้นะครับ”
โดยไม่รอคำตอบ รังสรรค์เดินออกไปจากร้านกาแฟ ทิ้งให้สเตฟานนั่งยิ้มด้วยความขบขันอยู่คนเดียว แล้วเขาก็ยกมือขึ้นหยิบดอกกุหลาบจากกระเป๋าเสื้อโคตออกมาถือไว้ ดอกกุหลาบตูมสีชมพูที่ดูสดใสราวกับเพิ่งตัดมาจากกิ่งก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กลีบดอกที่ตึงแน่นค่อยๆแห้งลงอย่างช้าๆ สีชมพูอ่อนสดใสค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แล้วค่อยๆแห้งเหี่ยวหลุดจากขั้วทีละกลีบ จนเหลือเพียงขั้วดอกที่แห้งเหี่ยวอยู่ในมือของชายหนุ่ม และเมื่อเงยหน้าละสายตามาจากกุหลาบดอกนั้น ก็พบกับสายตาที่กำลังจ้องมองมาอย่างประหลาดใจ จากชายหนุ่มผิวขาว ร่างสันทัดที่ถือแก้วกาแฟยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่เขานั่งอยู่
“คุณสนใจกลของผมหรือครับ” สเตฟานถามชายหนุ่มคนนั้นพลางยิ้มให้
“กลเหรอครับ มันเหมือนว่าจู่ๆกุหลาบมันเหี่ยวลงทันทีที่คุณจับมัน” ชายหนุ่มขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงข้ามกับสเตฟาน
“มันเป็นมายากล”
“อย่างนั้นลองทำให้ผมดูอีกครั้งได้มั๊ยครับ” ชายหนุ่มพูดพลางหมุนตัวไปหยิบดอกกุหลาบ มาจากแจกันอีกโต๊ะหนึ่งส่งให้
สเตฟานยิ้มแล้วรับกุหลาบมาจากมือของชายหนุ่ม ทันทีที่นิ้วเรียวยาวสัมผัสก้านกุหลาบ กลีบสีชมพูสดใสพลันค่อยๆเปลี่ยนเป็นหมองซีด ผิวที่ตึงแน่นค่อยๆเหี่ยวย่น เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทีละน้อย จนแห้งแล้วหลุดออกจากขั้วดอกทีละกลีบ จนเหลือเพียงขั้วดอกที่เหี่ยวแห้ง กับก้านที่มีสภาพไม่ต่างกัน
“คุณทำได้ยังไงน่ะ” ชายหนุ่มจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของดอกกุหลาบอย่างตื่นเต้น ดวงตาแทบจะไม่กระพริบ
“ถ้าผมบอกออกไป มันก็ไม่เป็นกลสิครับ” สเตฟานพูดแล้วหัวเราะน้อยๆ
“คุณยังมีกลอื่นพอจะเล่นให้ผมดูอีกมั๊ยครับ”
“น่าเสียดาย ผมเรียนรู้มาเพียงอย่างเดียว” สเตฟานยักไหล่ แบมือออกทั้งสองข้าง
“แต่ผมมีกลให้คุณดู ถ้าคุณสนใจ ทานกาแฟแล้ว เราไปหาที่เงียบๆ ผมจะแสดงกลให้คุณดู”
“หวังว่ากลของคุณคงทำให้ผมตื่นเต้นได้ไม่น้อยกว่ากลของผมนะครับ” สเตฟานยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างท้าทาย
................................................................
................................
“เออน่า บอกแล้วไงว่าจะไปช้าหน่อย” ภูริทัตพูดด้วยความรำคาญลงไปในโทรศัพท์มือถือ
“อย่าช้านักนะเว๊ย ขาดทุนไม่รู้ด้วย ข้าจะหารเท่ากันทุกคน” เสียงของรังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะมาตามสาย
“เออๆ แต่นี้นะ แล้วไม่ต้องโทรตามนัก เดี๋ยวยั๊วะไม่ไปขึ้นมาอย่ามาบ่น”
“ถ้าไม่มากับพวกข้าก็ไม่ง้อนะเว๊ย หน้าอย่างเอ็งจะไปกับใครได้วะ”
“อ้าว ... พูดงี้เดี๋ยวชิ่งจริงๆนะเว๊ย ไม่ไปหาพวกเอ็ง ข้าจะได้ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กับที่รักของข้า”
“ใครวะ” คราวนี้เสียงของรังสรรค์แผ่วเบาลง
“เดี่ยวก็รู้เว๊ย ฮ่าๆๆ” ภูริทัตพูดจบก็กดปุ่มวางสาย แล้วเดินยิ้มกริ่มเข้าประตูโรงแรมไป
เสียงเปียโนแผ่วพริ้วลอยอยู่ในอณูของอากาศ ภูริทัตมองไปยังผู้เล่น ซึ่งกำลังหันหน้ามาทางเขาพอดี เมื่อมองเห็นเขาสเตฟานก็ยิ้มให้ พลางพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้หาที่นั่งก่อน ภูริทัตจึงเดินไปนั่งที่ชุดโซฟาซึ่งอยู่ห่างออกไปแต่ไม่ไกลนัก เพราะที่นั่งด้านเวทีมีคนนั่งอยู่เต็มแล้ว ภูริทัตสั่งกาแฟมานั่งจิบระหว่างนั่งรอ สายตาก็จับจ้องเรียวนิ้วที่เคลื่อนพรมไปตามคีย์บอร์ด เสียงเพลงอันนุ่มหูยิ่งทำให้เขาสบายใจ บทเพลงจบลงไปเพลงแล้วเพลงเล่า จนถึงเพลงสุดท้าย เมื่อการบรรเลงจบลง สเตฟานก้าวลงมาจากเวทีเตี้ยๆ แขกที่นั่งอยู่บนชุดโซฟาด้านหน้าทักทาย และชวนสเตฟานพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง สเตฟานพูดคุยกับแขกอีกหลายคน กว่าจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตรงข้ามกับเขา
“แขกชอบคุณมากเลยนะ” น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจ จนสเตฟานยิ้มด้วยความขบขัน
“ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ ถ้าทำให้คุณรอนาน”
“รอน่ะผมรอได้ แต่ทำไมคุณต้องคุยกับแขกตั้งนานด้วย”
“พวกเขาเป็นแขกของทางโรงแรม” สเตฟานกลั้นหัวเราะ “ผมก็ต้องพูดคุยด้วยตามมารยาท”
“แค่นั้นจริงๆนะ” ภูริทัตคาดคั้น สเตฟานยิ้มแล้วพยักหน้า
“ว่าแต่คืนนี้คุณไม่ไปกับเพื่อนๆหรือครับ”
“ก็กำลังจะไปอยู่พอดี เห็นว่ามันใกล้ๆกัน ก็เลยจะมาชวนคุณไปด้วยกัน”
“จะดีหรือครับ”
“ดีแน่นอน ไม่มีใครหรอกครับ เพื่อนๆที่คุณเคยเจอแล้วทั้งนั้น ไปนะครับ” ภูริทัตเปลี่ยนสายตาเป็นเว้าวอน
“ที่ไหนล่ะครับ”
ภูริทัตบอกชื่อสถานที่ ซึ่งเป็นลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก
“ถ้าอย่างนั้นคุณไปก่อนก็ได้ครับ ท่าทางเพื่อนๆจะรอนานแล้ว เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไป”
“ทำไมไม่ไปด้วยกันตอนนี้เลยล่ะ”
“คิดว่าที่นั่นคงไม่มีใครแต่งตัวแบบผมนะครับ แล้วถ้าเดินไปกับคุณแบบนี้ เดี๋ยวจะมีคนมองพวกเราแบบคืนวันนั้นอีก” สเตฟานก้มมองดูชุดสูทของตัวเอง แล้วเงยหน้ายิ้มให้ภูริทัต
ภูริทัตเองก็ก้มมองดูชุดเสื้อโปโลสีน้ำเงินสด กับกางเกงยีนส์ของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองสเตฟาน เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ก็พากันหัวเราะออกมา
“ทำไมไม่ให้ผมไปนั่งรอคุณที่ห้องล่ะครับ” ภูริทัตพูดด้วยสายตาที่พยายามสื่อความหมายบางอย่าง
“ผมเกรงใจถ้าจะให้คุณต้องนั่งรอ คุณไปก่อนแล้วกันครับ แล้วผมจะตามไปภายใน ๑ ชั่วโมง”
“แต่ว่าคุณจะหาผมเจอได้ยังไง ที่นั่นคนเยอะแยะ”
“เจอสิ ... ยังไงผมก็หาคุณเจอแน่ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” สเตฟานพูดอย่างมั่นใจ จนแม้แต่ภูริทัตเองก็ยังแปลกใจในความมั่นใจนั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-02-2009 14:55:05
อ่านๆไป ทำไมสเตฟานดูสาวจังหว่า  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 13-02-2009 15:22:14
หากันจนเจอ อิ อิ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salemon ที่ 13-02-2009 15:33:55
สเตฟาน เป็นแวมไพร์ป่ะค่ะ

พูดไรก่ำกึงตลอดเลย :o8:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 13-02-2009 15:43:03
ยังไงก็หาเจอแน่ เหรอ อร๊ายยยยยยยยยยยยย  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-02-2009 16:08:34
ยังไงผมก็หาคุณเจอแน่ .......... แล้วเป็นคนที่ใช่ด้วยหรือเปล่า  :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-02-2009 16:25:37
อ่านๆไป ทำไมสเตฟานดูสาวจังหว่า  :z3: :z3:
นั่นสิเห็นด้วยน่าติดตาทต่ออย่างแรง แหมแล้วชายหนุ่มเมื่อวานแสดงกลอะไรให้ดูน๊าอยากจะรู้จัง  :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 13-02-2009 21:21:40
ดูดความมีชีวิตไปใช่มั้ยคะ?...แล้วคนที่เคยไปเที่ยวด้วยกันละ?? (แอบสยองเล็กๆ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 13-02-2009 23:31:10
“เจอสิ ... ยังไงผมก็หาคุณเจอแน่ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
^
^
อร๊ายยยยย  หวานๆ   :-[

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 14-02-2009 00:56:34
รักทุกคนจัง..คร้าบ


 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 14-02-2009 01:06:42
(http://www.up-pic.com/2/pic/1322009-23568-61403.gif) (http://www.up-pic.com)
ขอให้มีความสุขในวันแห่งความรักมากๆนะคราบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 14-02-2009 01:11:00
ให้เจ้าของกระทู้คร้าบ รับวาเลนไทน์ ฮึ๊บ ฮึ๊บ(http://www.geocities.com/contact_tome/emo/62.gif)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-02-2009 04:32:01
สเตฟานเป็นพวกดูดพลังชีวิตปะเนี่ย แถมเป็นอมตะด้วยมั้ย  :laugh: ลุ้นอีกแล้ว

(http://i200.photobucket.com/albums/aa319/teerak_photos/v7.gif)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 14-02-2009 15:30:32

ประมาณว่าหากันจนเจอ
 :o8:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 14-02-2009 17:05:31
 o22 o22 o22

หวังว่าคนที่โดนดูดชีวิตไปนี่คงไม่ถึงตายเหมือนดอกกุหลาบนะ

ไม่งั้นน่ากลัวมากเลยหละเนี่ย

 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 14-02-2009 18:16:44
สเตฟานแอบน่ากลัว o22
ลึกลับอีกแล้ว ก็ต้องลุ้นกันต่อปายยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-02-2009 20:15:00
แวมไพร์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๘ - ๑๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 15-02-2009 10:31:28
อ่านรวดเดียว ๕ ตอนโลด

ไม่อยากให้สานฝันเป็นแวมไพร์เลย เดี๋ยวภูริทัตจะกลัว(คนอ่านเริ่มกลัวแย้ว)

 :z13:คุณบุหรง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 16-02-2009 11:03:24
บทที่ ๙

“ไหนวะที่รักของเอ็ง ไม่เห็นมาซะที” รังสรรค์ถามขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง
“นั่นดิ๊ แล้วจะหากันเจอเหรอ คนเยอะขนาดนี้” ปรีชาเองก็สงสัยไม่แพ้กัน
“อำพวกเราเล่นใช่มั๊ยพี่ ผมไม่เคยเห็นพี่สนใจใครซักคน จู่ๆมาบอกว่าจะควงที่รักมาด้วย แล้วก็มาคนเดียวเหมือนเคย” กรกฎพูดขึ้นบ้าง แววตาส่งประกายเหมือนมีความหวัง
“ว่าไปก็จริงหว่ะ คนเยอะขนาดนี้จะหากันเจอได้ยังไง โทรศัพท์มือถือก็เหมือนจะไม่มีซะด้วย” ภูริทัตเองก็เริ่มกังวลขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะใกล้เวลาเที่ยงคืนเข้าไปทุกที
“ว่าแต่ใครวะ” รังสรรค์ถามด้วยความอยากรู้ “หวังว่าคงไม่ใช่คนที่ข้าคิดนะ”
“ใครเหรอพี่” กรกฎถามรังสรรค์
“เดี๋ยวมาก็รู้น่า ว่าแต่ป่านนี้ยังไม่มา สงสัยจะหากันไม่เจอแหงหว่ะ” ภูริทัตถอนหายใจ
“เจอสิครับ ผมบอกแล้วไง ว่าหาคุณเจอแน่นอน” เสียงดังขึ้นทางด้านหลังของภูริทัต เมื่อทุกคนหันไปมองก็เห็นสเตฟาน ในชุดเสื้อยืดโปโลแขนยาวสีเขียวเข้ม กับกางเกงยีนส์สีดำ สวมรองเท้าผ้าใบ ที่น่าแปลกก็คือถุงมือหนังสีดำที่สวมอยู่
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกอย่างดีใจ ชวนให้สเตฟานนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
“ที่แท้คนที่นายบอก ก็คุณสเตฟานนี่เองเหรอ” ปรีชาพูดยิ้มๆ
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะครับ คุณสเตฟาน” รังสรรค์ยิ้มทักทาย
“ครับ คุณรังสรรค์ คุณปรีชา คุณกรกฎ” สเตฟานทักทายทุกคน
“ทำไมมาช้านักล่ะ” ภูริทัตถามพลางจ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกต

ก่อนที่สเตฟานจะตอบ ก็มีการประกาศบนเวทีเพื่อให้นับถอยหลังเข้าสู่วันปีใหม่ แล้วเมื่อถึงเวลา ต่างคนก็ต่างหันไปสวัสดีปีใหม่กับคนรอบข้าง พลุถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า กระจายออกเป็นรูปร่างและสีสันตระการตา ภูริทัตโอบไหล่ของสเตฟานไว้ พลางชี้ชวนให้ดูพลุบนท้องฟ้า ด้วยความตื่นตาไม่แพ้คนอื่นๆ
“ผมมาช้าเพราะรอให้ทรงศักดิ์นำของชิ้นนี้มาให้” สเตฟานพูดพร้อมกับยื่นกล่องกำมะหยี่สี่เขียวสดให้คนข้างๆ
“อะไรเหรอครับ” ภูริทัตเลิกคิ้ว
“สำหรับคุณ” สเตฟานยิ้มน้อยๆ “แลกของขวัญกันเมื่อคริสต์มาสไงครับ”
ภูริทัตยิ้มกว้าง รับกล่องนั้นมาด้วยความดีใจ
“อะไรวะ” รังสรรค์ชะโงกหน้าเข้ามาดู ในขณะที่ปรีชาและกรกฎต่างก็ชะโงกหน้ามาดูด้วยรู้สึกต่างกัน
เมื่อกล่องกำมะหยี่ถูกเปิดขึ้น ประกายสีเขียวก็ส่องประกายแวววาว อัญมณีขนาดเล็บก้อย อยู่กึ่งกลางโลหะสีเงินด้านที่ทำเป็นรูปร่างคล้ายโล่ห์ วางสงบนิ่งอยู่บนกำมะหยี่สีขาว
“อะไรน่ะครับ” ภูริทัตเงยหน้าขึ้นถาม
“เข็มกลัดครับ ใช้ติดเนคไทก็ได้ หรือติดแทนกระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิตก็ได้ หรือใช้เป็นจี้ก็ได้ ... ถูกใจไหมครับ”
“สวยมากครับ โดยเฉพาะพลอยที่อยู่ตรงกลาง สีมันแปลกตาดี” รังสรรค์ตอบแทน
“ก็แค่พลอยกับตัวเรือนเงินเอง” กรกฎเปรยเบาๆ
“ขอโทษนะครับ” ปรีชาถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเคร่งขรึม พอๆกับสีหน้า “ขอดูชัดๆหน่อยนะ” พูดแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกล่องกำมะหยี่จากมือภูริทัต ซึ่งภูริทัตเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้มีความรู้ในเรื่องอัญมณีมากพอสมควร
ปรีชาพลิกกล่องกำมะหยี่ไปมา โดยไม่หยิบเครื่องประดับชิ้นนั้นขึ้นมาเลย สักครู่ก็ส่งคืนให้ภูริทัต แล้วทำท่าครุ่นคิด
“ดูเหมือนคุณจะทราบว่าเป็นอะไร” สเตฟานพูดยิ้มๆ
“ผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าใช่ ...”
“ผมว่าคุณคงคิดไม่ผิด เพราะท่าทางคุณจะดูอัญมณีเป็น”
ปรีชาหันไปมองหน้าภูริทัตที่ทำหน้างงๆ แล้วหันไปมองหน้าสเตฟานอีกครั้ง รู้สึกว่ามันคงเป็นเรื่องประหลาดไม่น้อย ที่สเตฟานให้ของที่มีราคาสูงเช่นนี้กับเพื่อนของเขา โดยที่ไม่ได้คิดหวังอะไรในเบื้องหน้า


“ท่าทางคุณกรกฎไม่ค่อยพอใจที่คุณมาส่งผม” สเตฟานพูดกับภูริทัตขณะรอลิฟท์
“รายนั้นไม่ชอบทุกคนที่ผมเข้าไปใกล้ชิด” ภูริทัตเบ้หน้า
“ท่าทางเขาจะชอบคุณมาก”
“นั่นมันเรื่องของเค้า ผมไม่ได้ชอบเค้า แล้วตอนนี้ก็เหมือนจะมีอะไรกับเจ้าสรรค์”
“ทำไมคุณคิดแบบนั้น”
“โธ่ ...”ภูริทัตหัวเราะในลำคอ “ผมน่ะเป็นเพื่อนกับเจ้าสรรค์มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยนะ ทำไมผมจะดูไม่ออก”
“ลิฟท์มาแล้ว” สเตฟานเดินเข้าไปในลิฟท์ “พบกันใหม่นะครับ”
“คุณไม่ให้ผมไปส่งที่ห้องจริงๆเหรอครับ” ภูริทัตเอื้อมมือไปกันที่ประตูลิฟท์ไว้ ส่งสายตาหวานฉ่ำไปให้ “นะครับ สานฝัน ผมแค่อยากไปส่งคุณให้ถึงห้องเท่านั้นจริงๆ”
“ไม่ดีหรอกครับ เชื่อผมสิ” สเตฟานยิ้มน้อยๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ ... กู๊ดไนท์นะครับ” พูดจบภูริทัตก็ขยับตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปหอมแก้มสเตฟาน แล้วถอยออกมายิ้มด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
“กู๊ดไนท์ครับ” พูดแล้วสเตฟานก็ขยับตัวเข้าไปจุมพิศที่แก้มของภูริทัตอย่างอ่อนโยน “ฝันดีนะครับ”
“ครับ ... สานฝัน” ภูริทัตยิ้มกว้าง มองดูใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน จนประตูลิฟท์ปิดลง
ภูริทัตยังคงยืน อยู่หน้าลิฟท์ ยกมือขึ้นมาแตะที่แก้มที่ถูกจุมพิศเมื่อสักครู่ แล้วยิ้มละไมด้วยความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความสุข

“ปูกลับจะกลับเองหรือให้พี่ไปส่ง” รังสรรค์ถามเพื่อนรุ่นน้อง ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในบริเวณลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้า
“ผมไม่อยากกลับบ้าน ไปค้างที่บ้านพี่ได้มั๊ยครับ”
“พี่ว่า” รังสรรค์พูดอย่างลังเล “เราเลิกความสัมพันธ์แบบนี้กันจะดีมั๊ย”
“เลิกเหรอครับ” กรกฎพูดเบาๆ
“อื้อ พี่รู้ว่าปูไม่ได้ชอบพี่ ... พี่เองก็ไม่ได้คิดอะไรกับปู”
“แต่มันก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่เหรอครับ”
“ทำไมจะไม่เป็นไร อย่าลืมสิ คนที่ปูชอบจริงๆน่ะ เป็นเพื่อนสนิทของพี่ แล้วพี่ว่าทัตมันก็ดูออกว่าเราสองคน มีความสัมพันธ์กันแบบไหน” กรกฎขมวดคิ้ว มองดูรังสรรค์ด้วยแววตาประหลาดใจ ปนไปด้วยความตกใจ
“พี่ทัตรู้เหรอครับ”
“อื้อ พี่ถึงได้บอกว่าเราควรเลิก” รังสรรค์พูดพลางมองดูแววตาที่ตื่นตระหนกของกรกฎ “ถ้าปูชอบเจ้าทัต อยากคบหากับเจ้าทัตจริงๆ ก็ควรเลิกกับพี่ แต่ถ้าคิดว่าอยากให้ความสัมพันธ์ของเรายังมีอยู่ต่อไป ปูต้องเลิกคิดเรื่องทัต”
“แล้วถ้าผมเลิกคิดเรื่องพี่ทัต พี่สรรค์จะมาคบกับผมแบบจริงจังเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ” รังสรรค์พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ “ปูก็รู้ พี่ยังไม่คิดคบกับใครจริงจัง กับปูเองตอนนี้เราก็เหมือนเป็น ‘เซกส์เฟรนด์’ กันมากกว่า พี่ยังไม่ได้คิดอะไรไกลไปกว่านั้น”
กรกฎก้มหน้าลงมองพื้น  รู้สึกสับสนเพราะความจริงเขาชอบภูริทัตมาก แต่กับรังสรรค์มันเหมือนกลายเป็นอาหารรสชาดดี ที่เขายังลิ้มรสได้อีกอย่างไม่เบื่อหน่าย
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันวันหลัง ตอนนี้เอาเป็นว่าพี่ไปส่งปูที่บ้านแล้วกันนะ” รังสรรค์พูดแล้วก็แตะไหล่กรกฎ แล้วพากันเดินไปยังที่จอดรถใต้ดินของห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น

สเตฟานจิบไวน์แดงในแก้วบาง สายตาที่มองดูแสงไฟภายนอกหน้าต่างเปี่ยมไปด้วยแววสับสน แรกทีเดียวเขาคิดเพียงว่าชายหนุ่มคนนั้นคือเด็กชายตัวเล็กบอบบาง ที่เคยนอนหลับซบอกเขาด้วยความอบอุ่น และมันก็นำพาความอบอุ่นมาสู่ร่างกาย และหัวใจที่แห้งระโหยมานานแสนนาน เพียงแว่บแรกที่เห็นชายหนุ่มในกลุ่มคนที่ทักทายเขาในวันแรก เขาก็จำได้ทันที

... เฮ้ เปย์มีไฟว์ฮันเดรด ไอวิวโกวิทยู โอเค๊ ...
ภาพของเด็กชายตัวเล็ก แขนขายาวเก้งก้าง ที่พูดกับเขาด้วยความตื่นเต้นแกมประหม่า ผุดขึ้นมาในความทรงจำ จนอดยิ้มออกมาไม่ได้

... ฮาย ...
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ทักทายเขาด้วยสีหน้าไม่ต่างจากครั้งนั้นนัก ทำให้เขารู้สึกนึกเอ็นดูชายหนุ่ม เช่นเดียวกับที่เขาเคยรู้สึกกับเด็กชายในครั้งนั้น เพราะความรู้สึกนี้เอง ที่ทำให้ยามที่ถูกชายหนุ่มจับมือ หรือโอบไหล่ เขาจึงรู้สึกเหมือนว่าชายหนุ่มนั้น เป็นเหมือนเด็กชายที่ต้องการความใกล้ชิด และความอบอุ่นจากใครสักคน เพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดหายไป และเขาเองก็รู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายคนโต ที่ให้ความคุ้มครอง และความอบอุ่นกับน้องชายคนเล็ก แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อสักครู่ ยามที่ถูกชายหนุ่มหอมแก้ม เขาพยายามข่มกลั้นไว้ภายในใจจนเกือบทนไม่ได้ ถึงแม้จะพยายามเข้าไปจุมพิศแก้มของชายหนุ่ม เหมือนเมื่อครั้งที่เขาเคยทำกับเด็กชายในอดีตก็ตามที เมื่อคิดขึ้นมาใบหน้าก็รู้สึกร้อนวูบ

แล้วสเตฟานก็ต้องรีบตั้งสมาธิโดยเร็ว เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ ‘เกราะ’ ที่สร้างไว้เปิดช่องขึ้นมา เขาจะต้องทำจิตบางส่วนให้มีสมาธิสำหรับการควบคุมมันไว้ตลอดเวลา มิเช่นนั้นคนเหล่านั้นก็จะหาเขาพบ ซึ่งสเตฟานไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น ถึงแม้คนผู้นั้นจะไม่สามารถควบคุมเขาได้เหมือในอดีต และมั่นใจได้ว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายต่อเขาได้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ประสงค์จะพบเจอ หรือถูกพบโดยคนในเผ่าพันธ์เดียวกันอยู่ดี เพราะมันอาจหมายถึงการเปิดเผยให้คนเหล่านั้นได้รู้ถึง ‘พลัง’ อันแท้จริงของเขา พลังซึ่งได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยชะตากรรมก็ตาม

พลัง ... อันเป็นที่ปรารถนาของบางคนในเผ่าพันธ์
พลัง ... อันเป็นที่น่ารังเกียจของคนหลายคนในเผ่าพันธ์
พลัง ... อันอาจนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่
พลัง ... อันอาจนำมาซึ่งความเคารพ
พลัง ... อันอาจนำมาซึ่งความหวาดกลัว
พลัง ... อันอาจนำมาซึ่งความต้องการแย่งชิงพลังนี้ไปเป็นของตน
พลัง ... อันอาจนำมาซึ่งความสูญสิ้นของตัวเขา หรือแม้กระทั่งความสูญสิ้นของเผ่าพันธ์ทั้งหมด

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 16-02-2009 11:52:47
จิ้ม!!
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 16-02-2009 12:03:54
เห....พลังซึ่งได้มาโดยความบังเอิญ ..เอ๊ะ ยังไง

แล้วแบบนี้ เมื่อไหร่ สองหนุ่มเขาจะ สื่อความรู้สึกลึกซึ้งกันได้ซักทีล่ะ
ถ้าสเตฟาน ไม่ยอมหลุดออกจากเกราะที่สร้างป้องกันตัวเอง
แล้วอย่างนี้ มันจะเป็นแบบ ต้องสูญเสีย สิ่งหนึ่งไป เพื่อให้ได้มาเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง รึป่ะน๊อ... งึมๆๆ

*แต่รู้สึกเหมือนเกราะเริ่มละลายนะเค่อะ โฮ่ะๆ ให้ของกันแล้ว หอมแก้ม แล้วๆ  อร๊ายยย   :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 16-02-2009 15:12:19
ได้จุ๊บแก้มแล้ว :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 16-02-2009 18:14:12
ได้หอมแก้มก็ยังดีเนอะ  :m4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 16-02-2009 19:01:28
 o13 o13 o13
ลึกลับซับซ้อน มีพลังให้น่าติดตามเช่นเคย
อ่านแล้วชอบจังในแง่มุมมองของ สานฝันที่เขียนออกมา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 16-02-2009 19:03:10
ภูริทัตชัดเจนมากกกกกกกกกกกก.....ส่วนสานฝันยังคงลึกลับต่อไป....

อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงละครช่อง 5 เมื่อนานมาแล้ว เรื่องเทพบุตรสุดเวหา....(เก่าโครตๆ เลย) แบบว่าตัวเอกคล้ายกันเรื่องอยู่มานานนนน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-02-2009 19:13:25
 :mc4: :mc4: แค่จุ๊บต้องฉลอง  :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 16-02-2009 21:20:36
เอ๋!! พลัง..พลังอะไร อยากรู้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kiki ที่ 16-02-2009 22:06:05
 o13 มาติดตามอีกเรื่องจ้า o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 16-02-2009 22:18:28
+1 ไปอีกที สนุกมากคร้าบ

เรียบง่ายอ่านแล้วมีความรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆ  ชอบคร้าบ

 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 16-02-2009 22:32:10
มาแนวลึกลับอีกแล้ว นะตั้ม  แต่ก็สนุก ชวนให้คิด นึกตามไปด้วยตลอดเวลาที่อ่าน

เป็นกำลังใจให้นะครับ +1 ให้ด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 17-02-2009 08:50:17
 o22 มีกันเป็นเผ่า เลยเหรอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๙ - ๑๖ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 18-02-2009 08:26:38
มาช่วยดัน ตกไปอยู่หน้า ๒ แล้วนะ

เนื้อเรื่องน่าติดตาม แต่คนอ่านเริ่มกลัว 5555

 :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 18-02-2009 08:55:35
บทที่ ๑๐

อังคารที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๑
เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.

รังสรรค์มองคนที่เล่นเปียโนอยู่บนเวทีเล็กๆนั้นด้วยความแปลกใจ หญิงสาวอายุประมาณ ๒๐ ต้นๆ ผมยาวสลวยรวบไว้ด้วยริบบินสีชมพูสดใส ในชุดยาวสีชมพูอ่อน แทนที่จะเป็นชายหนุ่มคนที่เขาคุ้นเคย และคิดว่าจะได้พบในวันนี้ ด้วยความสงสัย รังสรรค์จึงเดินตรงไปที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม
“ขอโทษนะครับ คุณสเตฟานที่เล่นเปียโน วันนี้ไม่มาเหรอครับ”
“คุณสเตฟานเหรอคะ ตอนนี้มีคุณ รรินทร มาเล่นแทนแล้วค่ะ”
“แล้วจะติดต่อคุณสเตฟานได้ยังไงครับ คือ...ผมเป็นเพื่อนคุณสเตฟาน”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ให้ข้อมูลไม่ได้ เรื่องของคุณสเตฟาน ต้องติดต่อกับคุณทรงศักดิ์โดยตรงค่ะ”
“ทรงศักดิ์” รังสรรค์ทวนชื่อที่เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก “ใครเหรอครับ แล้วผมจะติดต่อได้ยังไง”
“คุณทรงศักดิ์เป็นผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมเราค่ะ วันนี้ท่านก็ไม่ได้เข้ามาเพราะเป็นวันหยุด คงต้องรอติดต่อพรุ่งนี้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“แล้วผมจะติดต่อกับคุณทรงศักดิ์ได้ยังไงล่ะครับ”
“ปรกติคุณทรงศักดิ์จะมาทำงานแต่เช้าค่ะ บางวัน ๗ โมงเช้าก็มาถึงแล้ว คุณโทรเข้ามาติดต่อกับทางโรงแรมได้โดยตรง นี่หมายเลขโทรศัพท์ของทางโรงแรมค่ะ” หญิงสาวยื่นกระดาษเล็กๆ ซึ่งคล้ายนามบัตรให้รังสรรค์
“ขอบคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
รังสรรค์เดินช้าๆไปทางประตูโรงแรม พลางคิดว่าจะไปที่ไหนดี แล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะเดินสูดอากาศบริสุทธิ์บนถนนสายที่ร่มรื่น และไม่ค่อยมีรถแล่นสายนี้ ไปยังจุดหมายที่อยู่ไม่ไกลนัก การเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเช่นนี้ ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย แต่นับตั้งแต่วันที่เขาได้เดินบนถนนสายนี้กับสเตฟาน ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความสดชื่นของบรรยากาศบนถนนสายนี้ ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายอยู่นี้ ตอนช่วงกลางวันคงนำความร่มรื่นให้แก่คนที่เดินไปมา แม้แต่ยามกลางคืน เขายังรู้สึกได้ว่าถนนสายนี้ร่มรื่นกว่าถนนสายอื่นที่เขามักเดินเที่ยวอยู่เสมอ ยิ่งได้มาเดินคนเดียวแบบนี้ เขาจึงคิดว่าพอจะเข้าใจว่า เหตุใดสเตฟานจึงชอบออกมาเดินเล่นในยามค่ำคืน
..........................................................................
.....................................
“อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะเว๊ย ทัต” ปรีชาพูดเสียงเบา “เราว่านายเอาเข็มกลัดนี่ทำเป็นจี้แล้วใส่ไว้ในเสื้อจะดีกว่า”
“ทำไมวะ ติดกับเนคไทแบบนี้ก็สวยดีออก” ภูริทัตพูดพลางจับเนคไท ส่วนที่ติดโลหะสีเงินด้านรูปโล่ห์ขึ้นมาให้เพื่อนๆดู ประกายสีเขียวของอัญมณีที่อยู่ตรงกลาง ส่องประกายแวววับ ถึงแม้จะอยู่ในแสงไฟอ่อนๆในร้านอาหาร
“จะได้อยู่ใกล้ๆหัวใจไง ใช่มั๊ยวะไอ้ชา ฮ่าๆๆ” คำหยอกล้อของรังสรรค์ ทำให้ภูริทัตอมยิ้ม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ
“ก็ดีเหมือนกัน แต่แบบนี้เหมือนได้เห็นหน้าคนให้” ภูริทัตพูดพลางพลิกเข็มกลัดไปมา
“นายนี่เป็นเอามากหว่ะ” ปรีชาพลอยขบขันกับอาการของเพื่อนไปด้วย “แต่มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกเว๊ย นายเอามาใส่โชว์แบบนี้ มันอันตราย พวกมิจฉาชีพที่ตาถึงมันมีไม่น้อยนะเว๊ย”
“ทำไมวะ เกี่ยวอะไรกับมิจฉาชีพ” ภูริทัตถาม
“พวกเอ็งฟังดีๆนะเว๊ย เอาแค่ตัวเรือนก่อน พวกนายคิดว่าเป็นอะไร”
“เงิน” ภูริทัตตอบทันที
“หรือว่าเป็นทองคำขาว”
“เหรอ” ปรีชาทำหน้าเบื่อหน่าย “งั้นที่อยู่ตรงกลางล่ะ คิดว่าเป็นอะไร”
“พลอยสี” ภูริทัตตอบโดยไม่คิด
“ไม่รู้หว่ะ ทีแรกก็คิดเหมือนไอ้ทัต แต่มันแวววาวเหลือเกิน” รังสรรค์ตอบแล้วก็เริ่มสงสัยขึ้นมา
“งั้นพวกเอ็งฟังแล้วอย่าตกใจ แล้วก็อย่าแสดงท่าทางอะไรทั้งนั้น เงียบๆไว้” ปรีชาพูดพลางกระดิกนิ้วให้ทุกคนเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ตัวเรือนน่ะ ทองขาว แพลทตินั่มน่ะ รู้จักรึเปล่า”
“เฮ๊ย” รังสรรค์อุทาน “เอ็งดูผิดรึเปล่าวะ”
“ไม่ผิดเด็ดขาด แล้วพวกนายรู้จักแฟนซีไดมอนมั๊ย” ประชาถามอีก
“หมายถึงเพชรสี ที่มันแพงกว่าเพชรธรรมดาน่ะเหรอ” ภูริทัตพูดพลางรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
“แล้วสีเขียวก็เป็นสีที่แพงที่สุด เม็ดนี้ซักการัตได้” ปรีชาพูดแล้วก็มองหน้ารังสรรค์ ซึ่งกำลังมองดูหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดของภูริทัต
“เอาไงดีวะ ของมีราคาขนาดนี้ ข้าไม่กล้ารับไว้หว่ะ” ภูริทัตขอความเห็น
“เอ็งก็ไปบอกเค้าสิวะ แต่ตอนนี้ระวังไว้หน่อยก็ดี อย่างที่ไอ้ชามันบอก” รังสรรค์ให้ความเห็น
“เออ ยังพอมีเวลา พวกเอ็งไปซื้อสายสร้อยเป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน”
แล้วทั้งสามคนก็พากันเดินออกจากร้านอาหาร ตรงไปยังบริเวณตลาดนัดขายของในบริเวณที่ทำงานนั่นเอง

“สวัสดีครับ คุณภูริทัต” ทรงศักดิ์กรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์
“สวัสดีครับ คุณทรงศักด์ ผมมีเรื่องจะรบกวนหน่อยครับ คือผมคิดว่าวันนี้จะแวะไปหาสานฝัน ... เอ่อ ... สเตฟาน ไม่ทราบว่าจะสะดวกไหมครับ”
“ต้องเสียใจด้วยจริงๆนะครับ คุณท่านไปต่างจังหวัด คงกลับมาประมาณเดือนหน้าครับ”
“อะไรนะครับ ไปต่างจังหวัดตั้งเดือนเชียวเหรอครับ” น้ำเสียงของภูริทัต แสดงออกถึงความประหลาดใจ “ทำไมวันก่อนไม่เห็นเค้าพูดถึงเลย”
“ผมเองก็ตกใจเหมือนกันครับ ท่านไปกระทันหันมากเมื่อวันปีใหม่ คุณภูริทัตมีเรื่องอะไรสำคัญจะพบท่านหรือเปล่าครับ”
“เรื่องของขวัญปีใหม่ที่เค้าให้ผมน่ะครับ”
“ของขวํญปีใหม่ ...” ทรงศักดิ์ขมวดคิ้ว “เป็นกล่องกำมะหยี่สีเขียวหรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ”
“อ๋อ” ทรงศักดิ์ยิ้ม หัวเราะน้อยๆอย่างอารมณ์ดี “ชอบใจมั๊ยครับ ท่านเลือกของอยู่นานทีเดียว กว่าจะให้ผมไปประกอบกันใหม่”
“คุณทรงศักดิ์ทราบเหรอครับ ว่าเป็นอะไร ผมไม่ค่อยสบายใจเลยครับ ทีแรกผมคิดว่าเป็นแค่เงินกับพลอยสี” น้ำเสียงของภูริทัตดูเป็นกังวล ทำให้ทรงศักดิ์ยิ่งมองดูชายหนุ่มในแง่ดีมากขึ้น ที่ไม่ตื่นเต้นดีใจเมื่อได้รับของกำนัลล้ำค่า มีราคาแพงเช่นนี้
“ผมยอมรับนะครับว่าราคาของมันสูงมาก จนหลายคนตกใจทีเดียว แต่ผมคิดว่าคุณค่าของมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกนะครับ”
“เอ๋ ...”
“ตอนนี่คุณท่านเลือกตัวเรือนกับเพชรเม็ดนั้น ท่านคิดแต่เพียงว่าคุณจะชอบลักษณะตัวเรือนกับสีสันของมันรึเปล่า ท่าไม่ได้คิดเรื่องราคาของมันหรอกครับ หากท่านรู้ว่ามันทำให้คุณไม่สบายใจ ท่านคงเสียใจมาก”
“จริงเหรอครับ” เสียงของภูริทัตเหมือนอยู่ในอาการครุ่นคิด
“ครับ ผมคิดว่าผมดูไม่ผิด ผมอยู่กับท่านมานาน นานมากทีเดียว”
“หมายความว่าคุณทรงศักดิ์รู้จักกับสานฝันมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ...เพราะผมเห็นท่านมาตั้งแต่ผมยังเด็กทีเดียว
“แล้วระหว่างนี้ผมจะติดต่อกับสานฝันได้ยังไงล่ะครับ เค้าไปจังหวัดไหน เผื่อวันหยุดผมจะได้ตามไปเที่ยวด้วย”
“เห็นว่าจะไปหลายที่ แต่ช่วงนี้อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯนักหรอกครับ ขับรถไปไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง แต่เดี๋ยวให้ผมสอบถามท่านก่อนจะดีกว่า ว่าท่านสะดวกจะให้คุณพบหรือเปล่า ได้เรื่องยังไงผมจะโทรบอกให้คุณทราบอีกที อย่างเร็วคงรู้เรื่องคืนนี้ดึกๆ อย่างช้าก็คืนพรุ่งนี้”
“ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนด้วยนะครับ อ้อ แล้วคุณทรงศักดิ์อย่าบอกว่าผมกังวลเรื่องของขวัญนะครับ เดี๋ยวระหว่างรอผมขอคิดดูก่อน ว่าจะให้อะไรเป็นการตอบแทนของขวํญล้ำค่าชิ้นนี้ดี”
“ผมว่า ...” น้ำเสียงของทรงศักดิ์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “คุณอย่ากังวลที่จะหาของเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนเลยนะครับ ของมีค่าน่ะ ท่านมีมากมายกว่าที่คุณคิด บอกกับคุณตามตรงนะครับ คุณสเตฟานท่านมีเพื่อนน้อยมาก โดยเฉพาะเพื่อนคนไทย ดังนั้นแค่น้ำใจกับมิตรภาพของคุณ ท่านก็คงดีใจมากพอแล้ว”
“ผมจะลองคิดดูครับ แต่ยังไงถ้าผมไม่ได้ให้อะไรบ้าง ผมคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก”
“อย่าเพิ่งให้ช่วงนี้เลยครับ เพราะมันเหมือนเป็นการให้ของตอบแทนมากกว่า ไว้อีกสักระยะสิครับ คงมีวันที่เป็นวันสำคัญพอที่คุณจะให้ของขวัญแก่ท่าน”
“อืม ... เดี๋ยวผมค่อยๆคิดแล้วกันครับ ขอบคุณนะครับคุณทรงศักดิ์ ผมคงขอรบกวนแต่นี้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วถ้าผมได้คุยกับท่านแล้ว ผมจะโทรฯบอกนะครับ” แล้วทรงศักดิ์ก็วางหูโทรศัพท์ลง

เขาเพิ่งจะจำได้ ถึงเด็กชายตัวเล็ก แขนขายาวเก้งก้าง ที่เขาได้รับคำสั่งให้ดูแล พร้อมกับมอบซองจดหมายปิดผนึกครั่งอย่างดี ให้แก่เด็กคนนั้นเมื่อ ๑๕ ปีก่อน เขาไม่รู้หรอกว่าเด็กชายคนนั้นเป็นใคร ในซองจดหมายที่ค่อนข้างหนานั้นมีสิ่งใดบรรจุอยู่ แต่เขาพอจะจำได้ว่าเด็กชายคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ และเสียใจไม่น้อยที่จะไม่ได้พบ ‘คุณท่าน’ ของเขาอีก ทรงศักดิ์คิดว่า เค้าหน้าของภูริทัตคล้ายคลึงกับเด็กชายคนนั้นเป็นอย่างมาก ถ้าชายหนุ่มผู้นี้คือเด็กชายคนนั้นจริงๆ คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจถึงความเอาใจใส่ที่สเตฟานมีต่อภูริทัต เขายังจำได้ในวันแรกที่สเตฟานมาถึงประเทศไทย เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ประโยคหนึ่งที่สเตฟานพูดขึ้นมา เมื่อพบเขา

... ทรงศักดิ์ ไม่รู้ว่าคุณจำเด็กน้อยคนนั้นได้ไหม ไม่รู้ว่าทำไม ผมคิดถึงเขาเสียเหลือเกิน อยากจะพบกับเขาอีกสักครั้ง แต่ถ้าเจอกันจริงๆ เขาคงจำผมไม่ได้แล้ว ...

ตอนนั้นทรงศักดิ์ก็ยังคิดไม่ออก ว่า ‘คุณท่าน’ ของเขาพูดถึงเด็กคนไหน จนกระทั่งเมื่อคืนวันส่งท้ายปีเก่าที่เพิ่งจะผ่านมา ตอนที่ทรงศักดิ์นำกล่องกำมะหยี่สีเขียวมรกตใบเล็กๆ มาให้กับสเตฟาน เขาแปลกใจมาตั้งแต่ช่วงวันคริสต์มาส ที่สเตฟานให้นำของมีค่าทั้งสองชิ้นไปประกอบกันเป็นเครื่องประดับที่สามารถใช้งานได้หลายอย่าง และย้ำให้เขาเร่งทำให้เสร็จก่อนวันปีใหม่ เขายังถามว่าจะมอบให้ใคร

... ผมจะให้เป็นของขวัญแก่เด็กน้อยที่แสนน่ารักคนนั้นไง ทรงศักดิ์ ...

ทรงศักดิ์จำได้ว่า ขณะที่ ‘คุณท่าน’ พูดถึง ‘เด็กคนนั้น’ เหมือนจะมีความอ่อนโยนเป็นพิเศษอยู่ในน้ำเสียงและแววตา ซึ่งเขาไม่เคยเห็นการแสดงออกต่อผู้อื่นเช่นนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่เขาจำความได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 18-02-2009 09:28:31
 :z13:


 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-02-2009 10:16:46
ที่แท้สเตฟานก็จำได้ทุกอย่างจริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 18-02-2009 10:23:10
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามผลงาน ให้กำลังใจ รวมทั้งคำแนะนำต่างๆมาตลอด ช่วงนี้ไม่ค่อยมาตอบรีพลายเลย ต้องขอโทษมากๆ เพราะงานยุ่งจริงๆ แล้วอากาศแปรปรวนบ่อยๆ เลยไม่ค่อยสบาย เป็นๆหายๆ

อยากจะมาบอกเพื่อนๆว่า นิยายของตั้มเรื่องนี้จะอัฟเดทประจำทุกวันจันทร์นะครับ แล้วถ้าเป็นไปได้ช่วงกลางๆสัปดาห์ อาจจะอัฟเดทเพิ่มเติมอีกสัก ๑-๒ ครั้ง แล้วช่วงวันที่ ๒๓-๒๗ อาจของดอัฟเดทสักหนึ่งสัปดาห์ เพราะสัปดาห์นั้นจะต้องเข้าสัมนาทุกวัน

ส่วนเดือนมีนาคมยังไม่รู้แพลนงานเลยครับ  :sad4: แล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งแล้วกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 18-02-2009 10:44:28
 :pig4:

เป็นนิยายที่สนุกมากเลย ลืกลับ น่าติดตาม
การเขียนบรรยาย และพรรณา อ่านแล้วมืออาชีพจริง ๆ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-02-2009 12:36:30
ภูริทัต คือ เด็กชายคนนั้นจริงๆ ด้วย  แล้วแบบนี้ความสัมพันธ์จะได้สานต่อมั้ย  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 18-02-2009 14:41:27
มิน่าหละ ถึงรอดมาได้ตั้งนาน

ไม่โดนสูบวิญญาณ  :m20: :m20:

 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 18-02-2009 16:59:24
คนเขียนงานยุ่งซะแล้ว ไม่เป็นไรจ้า จะรออ่านทุกวันจันทร์นะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 18-02-2009 19:56:20
ราคาค่างวดของเพชรเม็ดนั้น ไม่สำคัญเท่า กับ คุณค่าทางจิตใจ ที่ผู้ให้ ให้กับผู้รับ และผู้รับ มอบคืนให้กับผู้ให้ชิมิ  :impress2:


* งานยุ่ง แค่ไหน คนอ่านรอได้ซาเหมอค่า สู้สู้ นะคะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-02-2009 20:08:15
รอได้เสมอ สำหรับน้องตั้มจ้า   :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 18-02-2009 20:51:37
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 18-02-2009 21:53:31
รับทราบครับ เป็นกำลังใจให้ด้วย ขอให้สนุกกับการทำงานนะครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 18-02-2009 22:39:21
ยังไงก็ติดตามค่ะ....เรื่องลึกลับเดาไม่ออกเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 19-02-2009 03:01:08
 :z2: :z2: :z2:
ม่ายเป็นไรคราบพี่ตั้มนิวรอได้เสมอ
อยากบอกว่าเรื่องนี้ยิ่งอ่านยิ่งค่อยๆติด
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 19-02-2009 08:14:30
มาเป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ

เดี๋ยวต้องไปซ้อมหนีไฟแล้ว

 :z13: ๑ ที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 19-02-2009 08:52:46
เข้ามาบอกคนแต่งว่า ยังไงก็รอจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-02-2009 16:02:40
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ  :impress2:
แล้วจะรออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: beboy ที่ 19-02-2009 22:48:50
ชอบครับ  ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 20-02-2009 23:49:38
รอน้องตั้มได้เสมอจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-02-2009 23:30:20
มารออ่านค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๐ - ๑๘ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 23-02-2009 08:20:24
มารอด้วยคน :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 23-02-2009 18:28:37
บทที่ ๑๑

กริ๊งๆๆ .....
เสียงโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆตรงหัวเตียงดังขึ้น ภูริทัตเดินเข้ามาภายในห้องพอดี จึงรีบเดินไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ ทรงศักดิ์บอกว่าคุณต้องการคุยกับผม” เสียงที่พูดมาเป็นเสียงที่ชายหนุ่มจำได้ดี
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกชื่อคนที่อยู่อีกปลายสายด้วยความดีใจ “คุณไปต่างจังหวัด ทำไมไม่บอกผมเลย” ชายหนุ่มตัดพ้อ
“ต้องขอโทษด้วย ผมตัดสินใจกระทันหัน ไม่ได้บอกใครเลย นอกจากทรงศักดิ์ เพราะเขาต้องทำงานให้ผม”
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหน”
“ไม่ไกลจากกรุงเทพฯนัก”
“เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นวันหยุดผมไปหาคุณได้มั๊ย” เสียงทางปลายสายเงียบไปสักครู่
“ถ้าคุณจะมาหาผม คุณต้องปฏิบัติตามที่ผมบอก”
“มีอะไรมั่งล่ะ คงไม่ต้องถึงกับต้องแต่งสูท หรือม่อฮ่อมหรอกนะ” ภูริทัตพูดอย่างกระตือรือร้นแฝงแววขี้เล่น ทางปลายสายหัวเราะมาเบาๆ
“ข้อแรกคุณต้องไม่ถามถึงเหตุผลของสิ่งที่ผมให้คุณทำ ข้อสองคุณมาหาผมและอยู่กับผมได้ในช่วงกลางคืน ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น คุณจะต้องไปอยู่อีกที่หนึ่งที่ผมจัดไว้ให้”
“ทำไมล่ะ”
“ยังไม่ทันที่คุณจะมาหาผม คุณก็ผิดกฏข้อแรกซะแล้ว”
“โธ่ ... คุณจะให้ผมทำตามทันทีเลยเหรอครับ” ภูริทัตโอดครวญ
“อะไรที่ผมอธิบายได้ ผมก็จะบอก อย่างข้อนี้ ตอนกลางวันผมต้องนอนพักผ่อน แล้วคุณจะทำอะไรล่ะครับ”
“แล้วมีข้อสามมั๊ยครับ” ... เดี๋ยวถึงเวลาก็มีอะไรให้ทำเองนั่นแหละ ... ภูริทัตคิดในใจ
“สำหรับข้อสามก็คือ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแล้วคุณมีข้อสงสัย ให้กลับไปดูข้อแรกใหม่”
“ฮ่าๆๆ คุณนี่ขี้โกงดีจริง”
“เรียกว่ารอบคอบดีกว่านะครับ” เสียงหัวเราะเบาๆมาจากทางปลายสาย
“แล้วผมจะไปหาคุณได้ยังไงล่ะ”
“คุณจะมาหาผมวันไหนล่ะครับ”
“ศุกร์นี้เลยได้มั๊ย ผมคิดถึงคุณ อยากเจอคุณเต็มทีแล้ว ความจริงอยากไปหาที่โรงแรมตั้งแต่เมื่อวานด้วยซ้ำไป แต่พอโทรฯไป ถึงได้รู้ว่าคุณไปต่างจังหวัดซะแล้ว ทำไมคุณตัดสินใจกระทันหันจัง”
“เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังตอนเราเจอกันแล้วกันนะครับ วันศุกร์ ... พรุ่งนี้สินะครับ เลิกงานแล้วคุณไปที่โรงแรม แล้วทรงศักดิ์จะจัดการทุกอย่างเอง แล้วเจอกันนะครับ”
“เดี๋ยวสิครับ จะไม่คุยกับผมต่ออีกหน่อยเหรอ” เสียงของภูริทัตเหมือนจะออดอ้อน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเจอกัน ค่อยคุยกันก็ได้นี่ครับ นี่มันก็ดึกแล้วคุณจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานอย่างสดชื่น นะครับ แล้วพรุ่งนี้เราเจอกัน”
“ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ”
ภูริทัตวางหูโทรศัพท์ลง แล้วล้มตัวลงนอนหงายลงบนเตียง กางแขนแผ่ออกไปจนสุด พึมพำเรียกชื่อคนที่คิดถึงออกมา พลางยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“สานฝัน ...”

หลังจากที่โทรศัพท์คุยกับทรงศักดิ์ ถึงเรื่องของภูริทัตเรียบร้อยแล้ว สเตฟานก็เดินออกมาภายนอกบ้าน ท่ามกลางความมืดมิด ปราศจากความสว่างจากแสงซึ่งมนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ทำให้มองเห็นประกายของดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน กลางป่าที่แวดล้อมไปด้วยเงาไม้ เสียงของแมลงที่กรีดเสียงในยามค่ำคืน บรรยากาศของธรรมชาติแตกต่างจากแสงสีเสียงของตัวเมืองอย่างสิ้นเชิง ทำให้คิดไปถึงบ้านเกิดที่เคยแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเช่นเดียวกัน บ้านที่ก่อสร้างด้วยไม้และอิฐ แสงสว่างจากโคมไฟ ความอบอุ่นจากเตาผิงในเวลาที่อากาศเย็น คิดไปถึงทุ่งกว้างที่เคยขี่ม้าเล่นท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เหล่าเพื่อน ครอบครัว และบริวาร ซึ่งล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา และบางคนที่จากไปด้วยน้ำมือของเขาเอง

คิดมาถึงตอนนี้ก็ต้องทอดถอนใจ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ความดุร้าย ความโหดเหี้ยม และการกระทำของเขา ซึ่งเกิดจากอำนาจบงการของคนผู้นั้น มาถึงบัดนี้เขาสามารถควบคุมมันได้ แต่ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากมันโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้เขายัง ‘กลายพันธ์’ ออกไปจากการถ่ายทอดพลังมาจากผู้ที่เขาได้พบโดยบังเอิญ ทำให้ได้รับพลังอำนาจใหม่มา และทำให้พลังอำนาจเดิมของเขานั้นเพิ่มขึ้น เขาสามารถสร้างสิ่งที่เหมือนเป็นกำแพงแก้ว กั้นจิตของเขาไว้ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหาเขาพบได้โดยง่าย แต่ในเวลาจิตของเขาไม่มั่นคง กำแพงแก้วนั้นก็อาจมีรอยโหว่ ทำให้อีกฝ่ายสามารถรับรู้ถึงจิตของเขา และติดตามมาจนพบตัวได้ แม้เพียงวูบเดียวที่เกิดขึ้นในวันนั้น ก็อาจเป็นอันตรายมาถึงตัวเขาและคนใกล้ชิด เขาจึงต้องออกมาจากกรุงเทพฯให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายหาเขาพบ แม้ว่าโอกาสในการเป็นไปได้จะมีน้อยมาก แต่เขาก็ควรป้องกันไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่าที่จะให้มันเกิดขึ้นได้

ระหว่างที่คิดอยู่นั้น สเตฟานก็เดินออกห่างจากตัวบ้านเข้าไปสู่หมู่ไม้ ถึงแม้ยามค่ำคืนจะมืดมิด แต่เขาก็สามารถมองเห็นได้ดุจเวลากลางวัน มองเห็นได้แม้แต่ลายเส้นภายในใบไม้ใบใหญ่ของต้นไม้ที่รายรอบทาง เขาเดินลึกเข้าไปมากแล้วหยุดยืนอยู่กลางหมู่ไม้ สเตฟานหลับตาพริ้ม กางแขนทั้งสองข้างออก ราวกับอากาศที่สงบนิ่งมีการเคลื่อนไหว กิ่งก้านของต้นไม้โดยรอบสั่นไหวน้อยๆ เสื้อผ้าและเส้นผมของสเตฟานกระพือไหวราวกับโดนลมพัดโหม ทั้งๆที่ในเวลานั้นไม่มีเลมเลยแม้แต่น้อย หากใครมีตาทิพย์คงมองเห็นไอสีขาวระเหยออกมาจากต้นไม้ที่รายรอบ แล้วจับกลุ่มเคลื่อนเข้าล้อมรอบตัวเขาไว้ ไอขาวหมุนวนอยู่รอบตัว แล้วค่อยๆซึมหายเข้าไปในร่างกายจนหมด และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ประกายตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายราวกับจะล้อกับแสงดาว และใบหน้าสีขาวอมชมพูราวกับจะเปล่งปลั่งมากขึ้นกว่าเดิม
..............................................................................
........................................
“กระเป๋าอะไรวะนั่น” รังสรรค์ถามขึ้นเมื่อเจอกับภูริทัตหน้าลิฟท์ ภายในตึกของบริษัทในตอนเช้าวันศุกร์
“เดี๋ยวเย็นนี้จะไปต่างจังหวัดหน่อยหว่ะ” ภูริทัตตอบ
“จังหวัดไหนวะ แล้วไปทำไม”
“ไม่รู้” ภูริทัตยักไหล่ “สานฝันไม่ได้บอก บอกแต่ว่าให้ไปขึ้นรถที่โรงแรม”
“จะไปหาคุณสเตฟานเหรอวะ” รังสรรค์เปลี่ยนเป็นถามเสียงเบา
“เออ” ภูริทัตยิ้มกว้าง ลืมคิดไปว่ารังสรรค์รู้ได้อย่างไรว่าสเตฟานอยู่ต่างจังหวัด
การสนทนาหยุดลง เมื่อลิฟท์เปิดประตู ทั้งสองคนจึงเดินเข้าไปในลิฟท์ พร้อมกับคนอีกหลายคนที่ต้องการขึ้นไปยังชั้นต่างๆบนอาคาร ตอนกลางวันภูริทัตก็ปลีกตัวไม่ทานข้าวร่วมกับเพื่อนๆ บอกว่ามีธุระจะต้องไปจัดการให้เรียบร้อย และในตอนเย็นเมื่องานเลิก ก็รีบไปยังโรงแรม ตามเวลาที่นัดหมายกับทรงศักดิ์ไว้ ในเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น

“คุณภูริทัตทานอะไรมารึยังครับ” ทรงศักดิ์ถามชายหนุ่ม
“ยังเลยครับ แล้วนี่ต้องนั่งรถนานมั๊ยครับ” ภูริทัตถามเพื่อจะได้คิดว่า ควรทานอาหารก่อนหรือไม่
“ก็หลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องรีบมา ก็เลยจัดอาหารไว้ให้ ไม่ทราบว่าจะทานก่อน หรือจะทานในรถดีครับ”
“ทานในรถก็ได้ครับ ไปตอนนี้จะได้ถึงเร็วๆ” ภูริทัตตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะต้องการพบคนที่คิดถึงโดยเร็วที่สุด
“งั้นเชิญที่รถเลยครับ ผมจัดไว้เรียบร้อยแล้ว” ทรงศักดิ์ยิ้มอย่างพอใจ เพราะเป็นอย่างที่เขาคิด ชายหนุ่มคนนี้ซื่อตรง ไม่อ้อมค้อม
รถที่ทรงศักดิ์จัดไว้เป็นรถตู้ ภายในนั่งได้ราวๆ ๖ คนไม่รวมที่นั่งด้านหน้า มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครับ ทั้งโทรทัศน์ ตู้เย็นขนาดเล็ก โต๊ะวางอาหารติดกับเก้าอี้ ซึ่งสามารถพับเก็บได้ มีคนขับรถ ๒ คน ไว้ผลัดเปลี่ยน ที่น่าแปลกใจก็คือ ทรงศักดิ์เองก็ติดตามไปด้วย เมื่อขึ้นรถแล้วทรงศักดิ์จึงจัดการหยิบอาหารซึ่งบรรจุในกล่อง ให้กับชายหนุ่มและตนเอง ทานไปคุยกันไปถึงเรื่องการงานของภูริทัต และในตอนหนึ่งของการสนทนา ทรงศักดิ์ก็ถามในเรื่องที่เขาสงสัย
“คุณภูริทัตคิดว่าโรงแรมของเราเป็นยังไงมั่งครับ”
“ก็ดีนี่ครับ บรรยากาศดี อาหารอร่อย ราคาก็เหมาะสม”
“แล้วห้องพักล่ะครับ”
“ก็ดีนะครับ ผมว่าห้องกว้างขวาง เครื่องอำนวยความสะดวกครบครับ สั่งอะไรก็สะดวกรวดเร็ว”
“คุณภูริทัตเคยเข้าพักเหรอครับ”
“จะว่างั้นก็คงได้ครับ” ภูริทัตหัวเราะเบาๆ พลางลูบคลำท้ายทอย “คือตอนเด็กผมเคยมาพักครั้งนึงกับ เอ้อ...กับคนที่ผมรู้สึกเหมือนเป็นญาติน่ะครับ ตอนนั้นยังจำได้ว่าดึกมากแล้ว เค้าสั่งอาหารให้ผม พอผมอาบน้ำเสร็จออกมาก็เจออาหารเต็มโต๊ะเลย แล้วตอนเช้าก็มีคนเอาเสื้อผ้าที่ส่งซักมาให้ ทั้งๆที่เพิ่งส่งไปเมื่อกลางดึก  ผมยังจำได้เลยว่าอาหารเช้าแบบ อเมริกันบุฟเฟห์วันนั้นอร่อยมากๆเลย ผมกินซะเต็มที่”

ดวงตาของทรงศักดิ์ เต็มไปด้วยความพอใจในคำตอบที่ได้รับ มันเป็นการยืนยันได้แล้วว่า ชายหนุ่มคนนี้คือเด็กชายในตอนนั้นจริงๆ พลางคิดว่าดวงชะตาช่างเล่นตลกนัก ที่ทำให้คนสองคนที่เคยเจอกันในอดีตมาพบกันอีกครั้ง

ฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนจากเด็กชายตัวผอมเก้งก้าง มาเป็นชายหนุ่มที่ทั้งหล่อเหลา สง่างาม แต่กลับจดจำอีกฝ่ายไม่ได้ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงรูปลักษณ์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังจดจำอีกฝ่ายหนึ่งได้ทันทีที่ได้พบ  ถึงแม้กาลเวลาจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปโดยแทบจะสิ้นเชิง

สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ต่างเก็บอีกฝ่ายไว้ในความทรงจำของตน แต่จะด้วยความรู้สึกอย่างไร เขาเองก็ไม่รู้ กงล้อแห่งชะตากรรมจะนำพาทั้งสองไปยังจุดใดก็ตาม ขอเพียงอย่าให้ชายหนุ่มผู้นี้นำพาอันตรายใดๆมาสู่ ‘คุณท่าน’ ที่แสนดีของเขาเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 23-02-2009 18:34:44
  :z13:
 :z13:
 :z13:

จิ้มก่อนอ่านที่หลัง เด๊วมาเมนต์ต่อก๊าบ

สงสัยจะมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ที่คนในความทรงจำมาพบกัน

โดนมีสักขีพยานมายืนยัน

 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 23-02-2009 18:58:01
 :mc4:


ใช่คนที่ตามหา.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 23-02-2009 19:29:48
จะได้เจอกันข้างนอกบ้างแล้ว :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 23-02-2009 21:28:50
"ใครคนนั้น" ใกล้ถึงเวลาที่จะมาปรากฏตัวแล้วสิเนี่ย

น่าตื่นเต้นจังเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 23-02-2009 21:44:33
ถึงความกระจ่างยังไม่ชัดเจน แต่ภูริทัต ก็มีความรู้สึกที่ดี ๆ ให้สานฝัน

ส่วนอีกคนนั้นเล่า รู้อยู่แก่ใจแล้ว แต่ความจำเป็นบางอย่างทำให้ยังพูดอะไรไม่ได้

 :เฮ้อ: มันเป็นความอึดอัด แต่ก็ต้องรอถึงจันทร์หน้า .....

ขอบคุณมากนะ ตั้ม +1 ให้ด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้และรักษาสุขภาพด้วยนะครับ อากาศร้อน

ระวังเป็นหวัดแดดนะ ตอนนี้คนเป็นมากมาย กายกองเลย เป็นห่วง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-02-2009 21:49:28
ชักจะเริ่มสงสาร สานฝัน ซะแล้ว

ภูริทัตคงรักจริงหวังแต่ง  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 23-02-2009 22:09:58
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 23-02-2009 22:23:57
ท่าทางคำขอคุณทรงศักดิ์จะมิเป็นผลป่ะ เอิ้กๆ
 เพราะดูท่า สานฝัน คงจะอ่อนไหว กับ ภูริทัตอยู่มิใช่น้อยนะนั่นโฮ่ะๆ
กลัวว่า ...จิตที่ฝึกมา อาจจะมีรูโหว่ ขึ้นมาอีกอ่าดิ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-02-2009 23:06:25
มันจะออกแนวลึกลับมากเลย ยิ่งอ่านยิ่งยอากรู้ มีพลังด้วย แล้วใครกัรที่ตามสานฝัน  :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 23-02-2009 23:52:46
จะว่าภูริทัตจำไม่ได้ก็ไม่เชิงเนอะ....เพราะฝังใจเลยตามติดไม่ปล่อยเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-02-2009 01:48:25
 o13 o13 o13
อยากรู้จังใครคือคนที่เคยควบคุมสเตฟานได้จิงนะ
เนื้อเรื่องใกล้แล้วละที่ความจริงจะปรากฎยิ่งอ่านแล้วอยากอ่านต่อไวๆจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 24-02-2009 09:25:46
มาเป็นแฟนเรื่องนี้ด้วยอีกคนค่ะ
ลึกลับ ชวนให้ค้นหาดี
สเตฟานเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือน่าสงสารจังเลย คงเป็นอมตะ เพราะชื่อสานฝันนิรันดร
แต่ก็มีผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า คอยติดตามอยู่ และคงเป็นไปในทางลบ
ถ้าหากสเตฟานเผลอเปิดใจให้กับภูริทัตมากขึ้น ก็นำไปสู่การเปิดจิต นำภัยมาสู่ตัวได้อีก
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้มากขึ้น คู่นี้จะลงเอยกันยังไง ทั้งคู่จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง จะลงท้ายด้วยความสุขหรือความเศร้า
ติดตามต่อไปค่ะ
บวก 1 ขอบคุณนะคะ  :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 24-02-2009 09:59:43
คราวนี้ภูริทัตจะได้รู้ซักทีละมั๊งว่าสานฝันเป็นใคร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 24-02-2009 10:56:54
ชะตากรรม หรือ พรหมลิขิต ?
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-02-2009 11:27:59
ยิ่งอ่านยิ่งมีแต่จุดที่ทำให้อยากรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆๆ

สนุกมากค่ะ  :m4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-02-2009 19:54:14
นิรันดรนั้นนานนัก แต่รักนี้นานกว่านั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: chatkub ที่ 24-02-2009 23:12:22
เป็นอีกเรื่องที่น่าติดตามดีครับ

อ่านแระสนุกดี

มาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 25-02-2009 13:55:52
จะได้เจอกันอีกแล้ว

หน้าตาสานฝันไม่เปลี่ยน แต่เด็กน้อยที่โตขึ้นกลับจำไม่ได้ น่าสงสารนะเนี่ย

จำกันให้ได้ไว ๆ นะ


รอลุ้นตอนต่อไปค่า  :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 02-03-2009 06:10:59
รอลุ้นด้วยคน :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 03-03-2009 11:40:41
วันนี้วันจันทร์ :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๑ - ๒๓ ก.พ. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 03-03-2009 14:27:55
ไปๆ มาๆ เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ ซะแล้วสิ
หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้ายอะไรนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 03-03-2009 16:41:14
บทที่ ๑๒

“สานฝัน” ภูริทัตเรียกพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ ทันทีที่ลงจากรถ เมื่อไปถึงตัวก็เอื้อมมือไปจับมือสเตฟานไว้แน่น “ผมคิดถึงคุณจัง”
“ผมก็คิดถึงคุณ” คำพูดนี้ทำให้ภูริทัตยิ้มกว้าง แล้วก็เห็นคนตรงหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงหันหลังไปมองตามสายตาที่แสดงสงสัยของสเตฟาน ก็มองเห็นทรงศักดิ์ยืนอยู่ข้างหลังเขา
“ผมตามมาด้วย เผื่อคุณท่านต้องการอะไรเพิ่มเติมน่ะครับ” ชายสูงอายุพูดอย่างนอบน้อม
“มีคนรถมาถึง ๒ คนหากมีอะไรผมก็สั่งกับพวกเขาได้ คุณไม่น่าลำบากเลย” คำพูดของสเตฟานแสดงถึงความห่วงใย มากกว่าการตำหนิ
“ผมเกรงว่าจะไม่ถูกใจท่าน ผมเลยมาเองดีกว่า เผื่อจะมีเรื่องฉุกเฉินอะไร ผมคงจัดการได้ดีกว่าน่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจมาก เอาของเข้าไปเก็บแล้วพวกคุณรีบไปพักผ่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ต้องมากันแต่เช้าอีก อ้อ...พรุ่งนี้เช้าน่ะให้คนขับรถมาเพียงคนเดียวก็พอ คุณไม่ต้องมาด้วย หากมีอะไรผมจะบอกกับคนขับรถ”
“ครับ ท่าน” ทรงศักดิ์ตอบด้วยความนอบน้อม แล้วเดินไปบอกให้คนขับรถทั้งสองนำสิ่งของที่จัดมา เข้าไปไว้ในที่ที่เหมาะสมภายในบ้านไม้
“คุณเดินทางมาคงเหนื่อย ผมจะพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกัน”

สเตฟานพาชายหนุ่มข้าไปในบ้านไม้ ภูริทัตมองดูสภาพของตัวบ้านอย่างคร่าวๆ บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ด้านหน้ามีห้องรับแขกและประตูเข้าไปสู้ห้องอื่นๆอีกหลายห้อง สเตฟานพาเขาเดินเข้าไปในห้องซึ่งเป็นห้องนอน มีเตียงขนาดใหญ่ ตู้เสื้อผ้าใบย่อม โต๊ะวางของ ๒-๓ ตัว บานหน้าต่างของห้องนั้นเปิดกว้าง ทำให้มีอากาศถ่ายเทเข้ามาอย่างเต็มที่ บานมุ้งลวดทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีแมลงหรือยุงเข้ามากร้ำกราย
“ห้องอาบน้ำอยู่ทางนี้ ผมเตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้แล้ว ส่วนเสื้อผ้าคุณจะใช้ของผมในตู้ก็ได้ ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องจัดกระเป๋าอีก” สเตฟานเดินไปเปิดบานประตูไม้ ทางด้านหนึ่งของห้อง “ตามสบายนะครับ ผมจะไปคุยกับทรงศักดิ์หน่อย” พูดแล้วสเตฟานก็เดินออกจากห้องไป

ภูริทัตอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ เสร็จแล้วก็ออกมาเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกกางเกงผ้าฝ้ายขายาว กับเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนแขนสั้นออกมาสวมใส่ สายตามองไปเห็นชุดคลุมผ้าแพรหลายตัวแขวนอยู่ในตู้ ทำให้คิดไปถึงเรื่องเมื่อวัยเด็กขึ้นมา
“สานฝัน คุณอยู่ไหนน่ะ” ภูริทัตเรียกด้วยเสียงค่อนข้างดัง เมื่อออกมาจากห้องนอนแล้วไม่พบใครแม้แต่คนเดียว
“ผมอยู่ในครัว” เสียงตอบลอดออกมาจากประตูด้านหนึ่ง
ภูริทัตเดินไปตามเสียง ก็เห็นสเตฟานกำลังจัดถ้วยกาแฟอยู่
“ทานกาแฟกันที่ไหนดี ห้องนั่งเล่น หรือว่าข้างนอก” สเตฟานพูดพลางรินกาแฟ จากโถแก้วของเครื่องต้มกาแฟ ลงไปในแก้วเคลือบ แล้ววางลงบนถาดที่มีกระปุกน้ำตาล นม และครีมเทียมวางอยู่ก่อนแล้ว
“ข้างนอกดีกว่า อากาศน่าจะเย็นดี” ภูริทัตพูดแล้วเดินเข้าไปยกถาดกาแฟ “ผมยกไปเอง”
“โต๊ะอยู่ทางขวานะครับ เดี๋ยวผมตามออกไป”
ภูริทัตพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี เมื่อออกจากบ้านแล้วมองไปทางขวา ก็มองเห็นโต๊ะไม้กลมขนาดย่อม มีเก้าอี้ไม้วางอยู่รอบ กลางโต๊ะมีเชิงเทียน ปักเทียนไข ๓ เล่ม จึงเดินไปวางถาดกาแฟลงบนโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วตักน้ำตาลและครีมเทียมเติมลงไปในแก้วกาแฟ ที่ยกออกมาวางไว้นอกถาดสำหรับตัวเอง
“ของผมน้ำตาล ๒ ครีม ๒ นะครับ” เสียงของสเตฟานมาพร้อมกับเจ้าตัวที่นั่งลงตรงข้าม จานขนาดย่อม มีเค๊กชอคโกแลตชิ้นโตอยู่ ๒ ชิ้น ถูกวางลงแทนที่แก้วกาแฟที่ถูกยกออกจากถาด “อาหารว่างยามดึกครับ” สเตฟานพูดยิ้มๆ ยื่นมือรับแก้วกาแฟที่ภูริทัตส่งให้
“โอ้โห ... น่ากินจังเลย ของชอบผมเลยนะเนี่ย ขออนุญาตนะครับ” ภูริทัตพูดแล้วหยิบช้อนตักเค๊กคำโตเข้าปาก เคี้ยวเบาๆสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงถึงความพอใจในรสชาดของมัน “อร่อยจังครับ”
สเตฟานมองดูชายหนุ่มกินเค๊กอย่างเอร็ดอร่อย พลางจิบกาแฟในแก้วช้าๆ
“คุณไม่กินเหรอ”
“ไม่ล่ะครับ แค่เห็นคุณกินผมก็อิ่มแล้ว”
“โห ... พูดยังกะว่าผมกินเป็นพายุ” ภุริทัตบุ้ยปากด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ใช่แบบนั้น” สเตฟานหัวเราะเบาๆ  “ผมหมายถึงคุณกินอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้ผมรู้สึกไปด้วย”
“จริงสินะ คุณคงเพิ่งกินอาหารเช้าล่ะสิ” ภูริทัตพูดยิ้มๆ “ความจริงผมก็กินอะไรมาแล้วตอนอยู่ในรถ แต่พอเห็นเค๊กนี่แล้วอดไม่ได้”
“ในตู้เย็นยังมีอีกนะครับ ผมให้เตรียมมาสองปอนด์ แล้วยังมีสลัดผัก กับสปาเกตตี้ ถ้าจะกินคงต้องอุ่นหน่อย”
รายการอาหารที่ได้ยิน ทำให้ภูริทัตนิ่งไป
“มีอะไรรึเปล่าครับ” สเตฟานถามเบาๆ
“ผมคิดถึงเรื่องเก่าๆน่ะ จำได้มั๊ย ผมเคยเล่าให้คุณฟังว่าได้เจอคนที่คล้ายๆคุณ”
สเตฟานไม่ตอบ แต่ยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอบอุ่น
“ตอนนั้นเค้าสั่งอาหารให้ผมกิน มีสปาเกตตี้ สลัดผัก แล้วก็เค๊กชอคโกแลต” ภูริทัตจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกต “แล้วเค้าก็ยิ้มให้ผมแบบนี้แหละ ยิ้มอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น”
“ขอบคุณนะครับ ที่ให้ผมได้เป็นตัวแทนของคนที่คุณคิดถึง” สเตฟานพูดอย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” ภูริทัตรีบพูด “ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นตัวแทนเค้าเลยนะ ผมแค่บอกว่าคุณดูคล้ายๆเค้าเท่านั้นเอง”
“ครับ ผมเข้าใจ” สเตฟานยิ้มกว้าง “ผมเพียงอยากจะบอกว่า ดีใจที่มีส่วนคล้ายคนสำคัญของคุณ”
“สานฝัน คุณเองก็สำคัญสำหรับหรับผมนะ” ภูริทัตส่งสายตาที่มีความหมายให้คนตรงหน้า
สเตฟานรู้ถึงความหมายที่ส่งผ่านออกมาทางสายตาของชายหนุ่ม รู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ พอรู้สึกตัวก็หลบสายตาของคนที่จ้องมองมา เสทำเป็นก้มหน้าจิบกาแฟในแก้ว พยายามควบคุมสติให้มั่นคง เพื่อไม่ให้ ‘เกราะ’ เกิดช่องโหว่ขึ้นได้

ภูริทัตมองดูใบหน้าที่แดงระเรื่อ กับท่าทางของสเตฟาน แล้วอดคิดไม่ได้ว่า คนตรงหน้าคงกำลัง ‘เขินอาย’ ทำให้อดขันไม่ได้เหมือนกัน เพราะคิดมาตลอดว่าชาวต่างชาติน่าจะกล้าแสดงออกในเรื่องนี้มากกว่านี้ แต่กิริยาของคนตรงหน้า ราวกับคนไทยรุ่นเก่า ที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกในเรื่องเช่นนี้นัก
“สานฝัน ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะ ดูแล้วมีแต่ป่า เห็นคุณทรงศักดิ์บอกว่าคุณตัดสินใจกระทันหัน ผมนึกว่าคุณมีธุระอะไรที่ไหนซะอีก ไม่คิดว่าจะมาอยู่กลางป่าแบบนี้”
“มันกระทันหันจริงๆ” สเตฟานตอบแล้วนิ่งไป ทำท่าครุ่นคิด “มีคนกำลังตามหาผมอยู่ แต่ผมไม่ต้องการพบคนเหล่านั้น”
“คุณก็เลยหลบมาที่นี่”
“ใช่”
“แล้วถ้าคุณหลบไม่พ้นล่ะ”
“ไม่รู้สิ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“สานฝัน คนพวกนั้นเป็นใครเหรอ คุณถึงต้องหลบหนีแบบนี้ หรือว่าคุณไปทำอะไรไว้ จนต้องหนีให้พ้นมือกฏหมาย”
สเตฟานหัวเราะในลำคอ ดวงตาแสดงออกถึงความขบขัน
“กฎหมายไม่มีความหมายสำหรับผมหรอก ... ผมหมายความว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงต้องกลัวว่าจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายของประเทศนี้ หรือของประเทศไหนที่ผมเคยอยู่มาก็ตาม”
“แล้วคนพวกนั้นเค้าจะตามหาคุณทำไม หรือเป็นพวกมาเฟีย พวกเรียกค่าไถ่ พวกมิจฉาชีพ” ภูริทัตหน้าตาตื่น จนสเตฟานเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ใช่หรอก ผมว่าเราคุยกันเรื่องอื่นดีกว่า”
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกแล้วลุกขึ้นเดินมาโอบสเตฟานทางด้านหลัง แนบแก้มลงไปบนเส้นผมสีทองอันอ่อนนุ่ม “หากพวกนั้นตามคุณจนพบ หากพวกนั้นคิดจะทำร้ายคุณ ผมจะปกป้องคุณเอง” ชายหนุ่มกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
สเตฟานยกมือขึ้นแตะหลังมือภูริทัตเบาๆ อีกฝ่ายพลิกฝ่ามือขึ้นกุมมือนุ่มไว้ แล้วบีบเบาๆ เหมือนจะย้ำคำพูดนั้น ให้เป็นดังคำมั่นสัญญา โดยที่ไม่ได้เห็นใบหน้าที่แสดงถึงความขบขันปนไปด้วยความเอ็นดูของอีกฝ่าย

“เป็นไรวะ ท่าทางไม่ค่อยสนุกเลย” ปรีชาถามรังสรรค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
ทั้งสองคนกำลังนั่งกันอยู่ที่โต๊ะเล็กๆ ภายในผัปฉพาะกลุ่มแห่งหนึ่ง ชายหลากหลายวัยภายในผัปแห่งนั้น บ้างก็นั่งดื่มเหมือนพวกเขา บ้างก็ยืนอยู่ตามมุมต่างๆ บ้างก็เต้นรำกันอยู่บนที่ว่างกลางผัป ซึ่งจัดเป็นที่สำหรับเต้นรำกันโดยเฉพาะ
“คิดถึงเจ้าทัตเหรอไง” ปรีชาถามอีก
“คิดให้โมโหเหรอวะ หนีไปเที่ยวไม่ชวนเพื่อนฝูง”
“งั้นก็ปู” ปรีชายื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ
“ฮ่าๆๆ” รังสรรค์หัวเราะ “คิดถึงทำไม”
“อ้าว คบกันอยู่ไม่ใช่เหรอวะ”
“เปล่า” รังสรรค์ยักไหล่ “แค่ชั่ววูบหว่ะ”
“อย่างนั้นข้าจีบต่อ”
“ตามใจเอ็งสิ แต่ปูมันชอบเจ้าทัตอยู่ เอ็งก็รู้”
“เราก็รู้เหมือนกันว่าทัตมันไม่ได้สนใจอะไรนี่หว่า ตอนนี้ทัตมันกำลังหลงสานฝันของมัน” ปรีชาหัวเราะเบาๆ
“สานฝันเหรอ” ปรีชาทำท่าครุ่นคิด “สเตฟาน ... สานฝัน”
“เข้าใจตั้งชื่อเน๊อะ นายว่าม๊ะ” ปรีชาหมุนแก้วในมือ “น่าหลงไหลจนต้องเก็บไปฝัน พอตื่นแล้วก็ต้องสานต่อ”
“อ้าว เมื่อกี้ยังทำท่าสนใจเจ้าปู ตอนนี้ตาเชื่อมคิดถึงคนอื่นซะแล้ว”
“หรือนายว่าไม่น่าคิดล่ะ หล่อๆแบบนั้นเป็นแบบไหนก็ยอมวะ” พูดแล้วปรีชาก็หัวเราะร่วน
“แต่ข้าไม่ชอบความฝันหว่ะ ความจริงมันน่าสนใจกว่าเยอะ” รังสรรค์พูดจบก็ยักคิ้ว พร้อมกับส่งยิ้มให้ชายหนุ่มหน้าตาคมคายกลุ่มหนึ่ง ที่หันมามองเขาและปรีชา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 03-03-2009 16:46:30
มารอตอนกลางคืน จะเป็นยังไงนะจะบอกความจริงกันไม๊
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 03-03-2009 17:32:08
เพ้อหากันใหญ่เลยสองหนุ่ม :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 03-03-2009 17:44:00
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 03-03-2009 17:56:32
สานฝันเริ่มหวั่นไหวแล้ว  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 03-03-2009 17:56:44
มีคนมาติดสานฝันเยอะนะเนี่ย

แต่หวังว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้นกะทั้งสามคนนะ

 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-03-2009 19:07:51
ใกล้เข้าไปอีกนิด  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 03-03-2009 19:26:34
สานฝัน เริ่มมีปฏิกิริยาบ้างแล้ว ฮิ้ววววววว    :m3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 03-03-2009 21:48:38
ความหวานค่อย ๆ ซึมผ่านความรู้สึกออกมาแล้ว

แต่นายภู ยังไม่รู้ตัวเลยหรือว่าคน ๆ นั้น กับ คน ๆ นี้เป็นคน ๆ เดียวกัน

+1 ให้ตั้มนะครับ  :เฮ้อ: ต้องรอจนจันทร์หน้า  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-03-2009 22:34:27
ความจริงใกล้เปิดเผยแล้วใช่ป่าว

ภูริทัตจะรับได้ไหมหนอ......
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 03-03-2009 23:35:28
ความสัมพันธ์เริ่มคืบหน้าแล้ววว  :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 04-03-2009 00:16:39
ฮึฮึ  งับคอเลยคร้าบ

 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-03-2009 01:57:25
กำลังเข้าตอนตื่นเต้นเลย
ถ้าความจริงเปิดเผย ภูริทัตจะว่ายังไงหนอ
แล้วความสัมพันธ์ของภูริทัตกะสานฝันจะดำเนินต่อไปยังไงเนี่ย
ลุ้นจริงๆจ้า
บวก 1 ให้คุณบุหรงนะจ๊ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: chatkub ที่ 04-03-2009 13:17:17
รอตอนต่อไปอยุ่นะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๒ - ๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 04-03-2009 22:41:27
มีเรื่องชวนให้ขบคิดมากมาย....ทั้งกลุ่มเพื่อน ทั้งเบื้องหลังของสเตฟาน....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 05-03-2009 21:15:09
บทที่ ๑๓

“หน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลยนะเอ็ง เรียบร้อยกันไปแล้วสิ” รังสรรค์ถามแล้วเบะริมฝีปาก
“อะไรวะ ... เรียบร้อยอะไร” ภูริทัตยิ้มแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“เรียบร้อยก็ ...” ปรีชายักคิ้วหลิ่วตา “อย่างว่าไงวะ สำเร็จตั้งแต่คืนแรกเลยรึเปล่าวะ”
“อ้อ” ภูริทัตยิ่งยิ้มกว้างขึ้น “พวกเอ็งนี่คิดกันเป็นแต่เรื่องนี้เหรอวะ”
“อ้าว ไม่งั้นเอ็งจะตามไปทำไมวะตั้งไกล” รังสรรค์ทำหน้ากวนๆ
“ข้าไม่ไวไฟเหมือนพวกเอ็งสองคนหรอกวะ”
“อ้าว ... ตกลงไปตั้งสองวัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเหรอ” ประชาเลิกคิ้ว
“ข้าไม่กล้าหว่ะ เกิดเค้าไม่ยอมแล้วเกลียดข้าไปเลย” ใบหน้าของภูริทัตเปลี่ยนเป็นแววกังวลทันที “ข้ารับไม่ได้หว่ะ”
“รับไม่ได้ ก็ต้องรุกสิวะ ฮ่าๆๆ” ปรีชาหัวเราะร่วน
“อะนะ ... ใครจะเหมือนเอ็งล่ะ รุกรับพลิกผัน ได้หมดทุกสภาวะและโอกาส” พูดแล้วภูริทัตก็อดหัวเราะไม่ได้
“อยากศึกษามั๊ยล่ะ จะสอนให้” ปรีชาส่งสายตากับรอยยิ้มให้เพื่อน
“หนอย หาเหยื่อไม่ได้เหรอไง ถึงได้จะกินกันเอง” ภูริทัตพูดทั้งที่ยังหัวเราะร่วน
“ก็นึกว่าอยากศึกษา ก็เลยจะอาสาสอนให้ไง หรือนายจะเรียนรู้กับไอ้สรรค์”
“อึ๊ย...” ภูริทัตทำท่าขยะแขยง “ไอ้สรรค์นะให้สอนไอ้ปูก็พอแล้ว ไม่ต้องมาสอนข้า”
“อย่าไปแขวะใส่คนอื่นสิวะ” รังสรรค์ติง
“อ้าว ไม่จริงเหรอไง ทำมาสนใจข้า แล้วไปนอนกับเอ็ง แค่คิดก็เซ็งแล้ว” ภูริทัตส่ายหน้าเบาๆ “ว่าแต่หายไปไหนวะ ตั้งแต่ปีใหม่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”
“ไหนเอ็งว่าไม่สนใจไง ถามถึงทำไมวะ” รังสรรค์ถามด้วยความสงสัย
“อ้าว ... เพื่อนกันเจอกันบ่อยๆ อยู่ๆหายไปก็ต้องถามสิวะ”
“คงทำใจอยู่มั๊ง” ปรีชาตอบ
“เรื่องอะไรวะ หรือว่ามึงเบื่อแล้วทิ้ง” ภูริทัตชี้หน้ารังสรรค์
“เปล่าเว๊ย ข้าแค่ยื่นคำขาดให้เลือกซะที ว่าจะเอาใครแน่” รังสรรค์เค่นเสียง
“อืม...” ภูริทัตลูบคางเบาๆ “งั้นก็น่าเห็นใจหว่ะ พวกเรามันเสน่ห์แรงพอๆกัน เป็นใครก็เลือกยากวะ” พูดแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก ยักคิ้วให้เพื่อน
“จ๊า....พ่อคนเสน่ห์แรง” ปรีชาแค่นเสียง “แรงจนโสดสนิท ฮ่าๆๆ”
“ยังไงตอนนี้ข้าก็มีสานฝันวะ” ภูริทัตยิ้มร่า
“ทำเป็นใจเย็นไปเหอะเอ็ง ระวังมอคอปอดอแล้วกัน” รังสรรค์พูดติดตลก
“ไม่กลัวหรอกเว๊ย ตอนนี้น่ะ ข้ามาวิน ไม่งั้นเค้าจะยอมให้ข้าตามไปถึงโน่นเหรอ”
“แต่ไอ้ทัตของพวกเรามันงี่เง่าหว่ะ เป็นข้านะ เหอะๆ” ปรีชาอมยิ้ม
“เอ็งจะทำไม” ภูริทัตพูดเสียงแข็ง
“อ้าว ไม่น่าถาม” ปรีชายิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ปล่อยไว้ให้ข้ามคืนร๊อก รู้เรื่องตั้งแต่คืนแรกแล้วว่าใครรุกใครรับ จริงมั๊ยวะไอ้สรรค์”
รังสรรค์ไม่ตอบคำ ได้แต่อมยิ้ม พลางคิดไปว่า ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยรู้หรอก อย่างเขาน่ะเป็นได้เพียงอย่างเดียว และคนที่จะมาเป็นคู่ก็ต้องเป็นได้เพียงแบบที่ตรงกันข้ามเท่านั้น
..............................................................................
.........................................
“คุยกันแค่นี้นะครับ ดึกแล้ว” เสียงที่พูดมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ทำให้ภูริทัตขมวดคิ้ว
“อะไรกัน รังเกียจจะคุยกับผมเหรอ” ชายหนุ่มตัดพ้อ มีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากปลายสาย
“ถ้าผมรังเกียจ แล้วผมจะโทรมาหาตามสัญญาหรือครับ”
“ก็แค่รักษาสัญญา ไม่ให้เสียคำพูดรึเปล่า”
“แค่การรักษาสัญญาคงไม่คุยกันได้เป็นชั่วโมงแบบนี้หรอกครับ” เสียงเงียบไปพักหนึ่ง “ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว พรุ่งนี้คุณเองก็ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก ผมกลัวว่าคุณจะตื่นไปทำงานไม่ไหว หรือไปง่วงนอนระหว่างทำงาน จนโดนเจ้านายตำหนิได้หรอกนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันต่อก็ได้” คำพูดที่ห่วงใยทำให้ภูริทัตยิ้มออกมาได้
“งั้นพรุ่งนี้คุณต้องโทรมาอีกนะครับ”
“ได้ครับ ผมสัญญา ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์” อยากจะบอกไปด้วยซ้ำว่า ...คืนนี้ผมจะฝันถึงคุณ ... แต่ก็ไม่กล้าชายหนุ่มค่อยๆวางหูโทรศัพท์ลงอย่างช้าๆ
ภูริทัตเดินไปรินน้ำจากเหยือกแก้ว แล้วดื่มจนหมด เข้าห้องน้ำทำกิจธุระจนเรียบร้อย แล้วจึงปิดไฟ ล้มตัวลงนอน คิดถึงสองคืนที่ใช้เวลาอยู่กับสเตฟาน แล้วค่อยๆหลับไป
........................................................................
.................................
“แย่จัง พอหนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน” ภูริทัตพูดขึ้นเมื่ออาหารทุกอย่างหมดลง
“ง่วงก็ไปนอนสิครับ อย่าฝืนเลย”
“แต่ผมอยากอยู่กับคุณนานๆ” ภูริทัตส่งสายตามีความหมาย
“คืนพรุ่งนี้ก็ยังมีนี่ครับ ถ้ายังไม่พอ ก็ยังมีคืนต่อๆไปอีก ที่เราจะได้เจอกัน” สเตฟานพูดยิ้มๆ “ไปเถอะครับ ถ้าง่วงมากก็ไปนอน เดี๋ยวผมเก็บของแล้วจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน”
“งั้นผมช่วยคุณเก็บของก่อน”
พูดจบก็หยิบจานอาหารวางซ้อนกัน แล้วยกขึ้นถือเดินเข้าไปในตัวบ้าน สเตฟานเองก็เก็บแก้วกาแฟวางลงบนถาด แล้วถือเดินตามเข้าไป
“คุณไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” สเตฟานหันไปบอกขณะที่กำลังล้างถ้วยชามอยู่ แต่ภูริทัตยังยืนนิ่งอยู่ข้างๆ สีหน้าบอกว่าไม่ยินยอม จนสเตฟานอดขำไม่ได้ “นะครับคนดี ไปนอนก่อน เดี๋ยวผมจัดการเรียบร้อยแล้วจะเข้าไป”
“คุณต้องเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนผมจริงๆนะ” ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอน
“ครับ ผมจะโกหกทำไม เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
เมื่อได้รับคำรับรองอีกครั้ง ภูริทัตจึงเดินออกจากครัว ไปยังห้องนอน ล้มตัวลงนอนคว่ำบนที่นอนหนานุ่ม สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย ชั่วครู่ก็รู้สึกเหมือนกำลังจำหลับ แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมาห่มผ้าให้
“คุณมานอนข้างๆเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
สเตฟานยิ้มให้ชายหนุ่ม เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของเตียง แล้วกึ่งนั่งลงพิงหลังกับผนังด้านหัวเตียง เหยียดขาไปตามความยาวของเตียง ภูริทัตลองขยับตัวเข้าไปแนบใบหน้ากับบริเวณตะโพกของอีกผ่าย ไม่มีการขยับหนี แต่กลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมือที่ลูบเบาๆบนเรือนผม
“ง่วงนักก็หลับนะครับคนดี ผมจะอยู่เป็นเพื่อนข้างๆคุณจนกว่าคุณจะตื่น”
ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม ยกแขนขึ้นโอบกอดขาของอีกฝ่ายราวกอดหมอนข้าง แล้วค่อยๆเข้าสู่นิทรารมณ์ไปในที่สุด

ภูริทัตงัวเงียตื่นขึ้นมา เมื่อมองดูรอบๆก็พบว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวบนเตียงกว้าง จากแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้คิดว่าน่าจะเป็นเวลาสายมากแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินออกจากห้องนอนเข้าสู่บริเวณที่เป็นเหมือนห้องอเนกประสงค์ ที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่น พร้อมกับชั้นวางโทรทัศน์ตั้งอยู่
“สานฝัน” ชายหนุ่มเรียกชื่อคนที่ตนต้องการพบ “สานฝัน...คุณอยู่ไหนน่ะ”
“คุณสเตฟานไปพักผ่อนแล้วครับ” เสียงดังมาจากทางห้องครัว เมื่อภูริทัตหันหน้ามองไปตามเสียง ก็พบกับทรงศักดิ์ เดินยิ้มออกมาจากห้องครัว
“ไปพักผ่อนที่ไหนล่ะครับ ไหนว่าตอนเช้าจะให้ผมไปแล้วเค้าจะนอนพักที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ” ภูริทัตถามด้วยความสงสัย
“ท่านบอกว่าคุณกำลังหลับสบาย ไม่อยากปลุก” ชายสูงอายุตอบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ “ท่านสั่งไว้ว่าให้พาคุณไปเที่ยวน่ะครับ เดี๋ยวคุณอาบน้ำแต่งตัวก่อนสิครับ จะได้มาทานอาหารเช้า”
“นี่มันกี่โมงแล้วครับ”
“เก้าโมงกว่าแล้วครับ เดี๋ยวผมเตรียมอุ่นอาหารเช้าให้ กาแฟกับไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน แล้วก็ขนมปังนะครับ”
“งั้นขอเป็นพวกไส้กรอกนิดหน่อยกับขนมปัง ๒ ชิ้นแล้วกันนะครับ”
“เบคอนด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะทอดกรอบๆ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันระหว่างอาหารเช้า ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี”
“ครับ” ภูริทัตรับคำ พลางนึกประหลาดใจว่าทำไมทรงศักดิ์รู้ว่าเขาชอบกินเบคอนทอดกรอบๆ

ช่วงกลางวันของวันนั้น ภูริทัตใช้เวลาเดินเล่นในบริเวณป่าใกล้ๆบ้านพัก นั่งอ่านหนังสือบ้าง ดูโทรทัศน์ที่รับคลื่นผ่านทางจานดาวเทียมบ้าง จนถึงช่วงกลางคืนจึงได้พบกับสเตฟานอีกครั้งหนึ่ง คืนที่สองนอกจากพูดคุยกันแล้ว สเตฟานยังนำเครื่องดนตรีที่พกพาออกมาอีกหลายชิ้น บางชิ้นเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน นำมาเล่นให้เขาฟัง แต่ที่ภูริทัตชอบที่สุด คงเป็นการเปิดหนังสือเพลงให้สเตฟานเล่นกีตาร์คลอไป ขณะที่ทั้งสองคนช่วยกันร้องเพลงที่พอจะรู้จักไปจนจบ แล้วเมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงประมาณตีสาม ภูริทัตก็เข้านอน โดยมีสเตฟานนอนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เหมือนเมื่อคืนแรก เพียงแต่คืนนี้ ภูริทัตได้นอนซบศรีษะลงบนแผ่นอกของสเตฟาน แขนของเขาโอบกอดไว้ที่เอวของอีกฝ่ายหนึ่ง และมือของสเตฟานก็วางอยู่บนหลังมือของเขา พร้อมกับลูบไล้เบาๆบนหลังมือ ราวกับจะกล่อมให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่น ตลอดนิทราของคืนนั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 05-03-2009 21:26:18
^^
^^
ขอจิ้มหน่อยเถอะ สบายดีหรือเปล่าครับตั้ม งานคงยุ่ง ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

อากาศแบบนี้คนไม่สบายเยอะมาก +1 ให้เป็นกำลังใจด้วย

และก็รอตอนต่อไปอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 05-03-2009 21:33:47
ใกล้เข้าไปอีกนิด...ชิดๆ เข้าไปอีกหน่อย...หุหุ

อ่านแล้วรู้สึกดีไปพร้อมกับภูริทัต ...แต่ก็รู้สึกเหมือนอากาศดีก่อนพายุจะมายังไงไม่รู้เหมือนกัน เหอๆ

 :L2: สำหรับคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 05-03-2009 21:36:35
แอบกลัวว่าความสุขนี้จะอยู่ได้ไม่นาน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 05-03-2009 21:41:28
อ่านแล้วสงสารทั้งสานฝันทั้งภูริทัตเลย
เงาดำยังครอบคลุมอยู่ ไม่มีอะไรกระจ่างชัด
 :เฮ้อ: เมื่อไร สิ่งร้ายๆที่คาดว่าต้องเกิดแน่ๆ จะเกิดขึ้นหละเนี่ย

ขอบคุณมากนะ บวก 1 ให้จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-03-2009 22:01:12
เหตุการณ์ทั้งหมดจะคลุมเครือไปอีกนานไหมนะ

กด+1ให้แล้วนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 05-03-2009 22:37:52
หลายๆคนคงจะพอเดาออกแล้วหล่ะ ว่าสเตฟานเป็น 'อะไร'
เดี๋ยวปริศนาของสเตฟานจะค่อยๆเปิดเผยทีละนิดแล้วครับ  o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 05-03-2009 22:44:06
ถ้าเป็นอย่างนี้อีกนานไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีเน๊อะ

แอบสังหรณ์แทน กลัวมันจะมีงานเข้าขึ้นมาซะก่อน

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 05-03-2009 23:17:00
รอปริศนาเปิดเผย แบบว่าเดาไม่ออกรอคุณคนแต่งมาเฉลยละกัน 55+ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-03-2009 00:46:09
สเตฟานเป็นท่านเค้าท์  o21
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 06-03-2009 09:39:14
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-03-2009 12:30:25
สเตฟานเป็นท่านเค้าท์  o21


เห็นด้วยๆๆ ค่ะ  แวมไพน์ แน่ๆ เลย   o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 07-03-2009 13:13:24
ได้กอดนอนด้วย :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 07-03-2009 21:34:59
ได้กอดนอนด้วย :-[
แค่้นี้ก็ตื่นเต้นซะแล้ว
เดี๋ยวฉากต่อปายไม่เป็นแบบนี้เหรอ ===>>   :pighaun:
เอิ๊กๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๓ - ๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 08-03-2009 06:27:29
ได้กอดนอนด้วย :-[
แค่้นี้ก็ตื่นเต้นซะแล้ว
เดี๋ยวฉากต่อปายไม่เป็นแบบนี้เหรอ ===>>   :pighaun:
เอิ๊กๆๆ

รอลุ้นฉาำกต่อไป  :z1:
แต่แอบกลัว แล้วสานฝันจะไม่ถูกตามตัวพบเหรอ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 09-03-2009 13:56:33
บทที่ ๑๔

“ปล่อยข้าเป็นอิสระได้หรือไม่” น้ำเสียงปนสะอื้น พูดวิงวอนต่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ข้าก็ไม่ได้กักขังเจ้าไว้ เจ้าอยากไปไหน เมื่อไร ก็สามารถไปได้” ชายหนุ่มผมสีเงินยวง ยืนกอดอกพูดกับชายหนุ่มผมสีทอง
“แต่ท่านก็ติดตามข้าไปทุกที่ อิสระที่ข้าต้องการ คืออิสระในการดำเนินชีวิตของตัวเอง โดยปราศจากการควบคุมของท่าน”
“สเตฟาน” ชายผมสีเงินยวง เรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เอื้อมมือไปเชยคางชายหนุ่มไว้ “เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ข้าชอบเจ้ามาก ชอบเจ้ามากจริงๆ จนถึงขนาดมอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่เจ้า” พูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้
“ชีวิตนิรันดร์” สเตฟานแค่นหัวเราะ “ท่านก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ ... จริงไหมโจชัวร์” ดวงตาสีเขียวมรกต เขม้นมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายแน่วนิ่ง “พวกเราเพียงแต่มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนปรกติเท่านั้น แล้วที่ท่านบอกว่าชอบข้ามาก นั้นก็ไม่ใช่”
โจชัวร์ขมวดคิ้ว ดวงตาทอแววสงสัยและคาดคั้นราวกับจะถามไถ่ให้ได้ความจริง
“ท่านรักเพียงตัวเอง ท่านชมชอบข้ามากกว่าผู้อื่น เพราะข้ามีรูปลักษณ์คล้ายท่าน” น้ำเสียงปนไปด้วยความเหยียดหยาม
“ก็คงจะจริง” โจชัวร์ยักไหล่ “แต่อย่างไร เจ้าก็เป็นของข้า ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปอยู่ที่ใด ข้าจะติดตามไปอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ พวกเราเหมือนพ่อกับลูก เหมือนคู่รักที่ไม่มีวันแยกจากกันไปได้ เราทั้งสองรับรู้ได้ถึงจิตของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะทำสิ่งใด หรืออยู่ที่ไหนก็ตาม”
“ไม่ใช่เราสอง ไม่ใช่แต่เพียงข้ากับท่าน” สเตฟานท้วง “เพราะท่านเป็นผู้ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้  ดวงจิตของข้าจึงอยู่ในความควบคุมของท่าน แต่พวกเราทุกคนรับรู้ได้ ถึงการคงอยู่ของจิตของผู้เป็นเผ่าพันธ์เดียวกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่แห่งไหนก็ตาม”
“รู้เช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดฝันถึงอิสระอีกหรือ ทำไมเจ้าไม่ใช้ชีวิตนิรันดร์นี้ให้มีความสุข เหมือนดั่งข้าและผู้อื่น”
“ความสุข” สเตฟานยิ้มเศร้าๆ  “ความสุขอันปราศจากครอบครัว ปราศจากมิตร หรือแม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รัก ข้าไม่ต้องการ”
“เจ้าจะคิดถึงคนเหล่านั้นทำไมกัน ครอบครัวที่ไม่เคยใส่ใจกับเจ้า มิตรที่คอยแต่จ้องจับผิด ในเรื่องที่เจ้าชมชอบเพศเดียวกัน” โจชัวร์แค่นเสียง
“กระนั้นข้าก็รักครอบครัวของข้า ข้ารักมิตรของข้า ถึงคนเหล่านั้นจะไม่ดีต่อข้านัก อย่างไรเสียคนเหล่านั้นก็ไม่เคยทำร้ายข้า แต่ท่าน ... ท่านทำร้ายข้า” สเตฟานเริ่มกรีดเสียง หยาดน้ำตาเริ่มก่อตัว
“ทำร้าย” โจชัวร์ขึ้นเสียงสูง “ข้าให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า ข้ารักเจ้า มันผิดตรงไหน”
“เพราะนิรันดรที่ท่านมอบให้ ทำให้ข้าฆ่าคนที่ข้ารัก บิดาข้า มารดาข้า พี่ชายของข้า” น้ำเสียงของสเตฟานสั่นสะท้าน “แม้กระทั่งน้องชายตัวน้อยของข้า ท่านก็เป็นคนพรากชีวิตของเขาไป” หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตา ด้วยความรู้สึกทั้งแค้น ทั้งเศร้าสร้อย ทั้งอับจนปัญญาที่จะกระทำสิ่งใดได้
“ข้ายังจำได้ เด็กชายคนนั้น รสชาดของโลหิตช่างหอมหวน และหวานชื่นยิ่งนัก” แววตาของโจชัวร์เหมือนจะเคลิบเคลิ้ม เมื่อคิดถึงอดีต แล้วเปลี่ยนสายตามามองสเตฟานด้วยความต้องการ “ไปกันเถอะสเตฟาน ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขเอง”

ร่างของสเตฟานสั่นระริก เมื่อมือหยาบใหญ่มาแตะที่ต้นแขน จิตใต้สำนึกทั้งเกลียดทั้งกลัวคนเบื้องหน้า แต่ร่างกายกลับไม่อาจควบคุมแข็งขืนต่ออำนาจจิตที่เหนือกว่า ต้องเดินตามโจชัวร์เดินขึ้นบันไดเข้าสู่ห้องนอน ตามแรงปรารถนาของอีกฝ่ายโดยที่ไม่มีทางขัดขืน
......................................................................
...................................
“คุณยังคิดถึงมันอยู่อีกเหรอ” หญิงสาวผิวคล้ำที่โอบกอดอยู่ทางด้านหลัง ส่งเสียงกระเง้ากระงอด เมื่อเห็นชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์
“นั่นสิ มีพวกเราอยู่ด้วยแบบนี้ ยังไม่พอใจอะไรอีก” เสียงของชายหนุ่มชาวเอเซียที่กำลังปลุกเร้าอวัยวะส่วนกลางของชายหนุ่ม พูดด้วยความไม่พอใจ
“หุบปาก” ชายหนุ่มผมสีเงินยวงส่งเสียงดุ ดวงตาสีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ผลักคนทั้งสองออกห่าง “อยู่กับพวกเจ้ามีแต่เรื่องตัญหา หรือไม่ก็กระหายอยากอาหาร ทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีเรื่องอื่นอยู่ในหัวเลย” พูดแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดกับความเปลี่ยนแปลงของตนเอง เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อกาลก่อนตัวเขาก็เป็นเหมือนคนทั้งสอง
“ก็ตอนนี้ตามหายังไงก็ไม่เจอ ทำไมพวกเราไม่มาหาความสุขกันเหมือนที่เคยทำล่ะ” พูดแล้วหญิงสาวก็เข้าไปคลอเคลียกับชายหนุ่มอีกครั้ง
“นั่นสิ จริงอย่างที่ไลล่าบอก ตอนนี้พวกเราจับจิตของมันไม่ได้แล้ว ตามหาไปก็เปล่าประโยชน์” ชายหนุ่มชาวเอเซียพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“หากคุณไม่พอใจพวกเรา ฉันกับไป่เทียนจะออกไปข้างนอกก็ได้” ไลล่ากระซิบข้างหู ขณะที่กำลังขบเล็มใบหูของอีกฝ่าย
“งั้นก็ไปซะ ตอนนี้ข้าหงุดหงิด แล้วอย่าทำอะไรจนเป็นเรื่องล่ะ”
ไลล่าแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ ชักชวนไป่เทียนให้สวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องไป ส่วนชายหนุ่มเดินลงจากเตียงทั้งที่เปลือยเปล่า ตรงเข้าไปเปิดตู้เย็น หยิบประป๋องเบียร์ออกมาเปิดแล้วยกขึ้นดื่มช้าๆ สักพักก็เดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังแสงไฟเบื้องนอก
“สเตฟาน ... ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหน ข้าจะหาเจ้าให้เจอ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีไหนปิดกั้นจิตของเจ้าจากข้าได้ แต่ต้องมีสักวันที่เจ้าเผลอเหมือนเช่นวันนั้น”
พูดแล้วก็คิดถึงเมื่อหลายวันก่อน ที่เขาจับกระแสจิตของคนที่ค้นหามานานได้ ถึงแม้จะเพียงแว่บเดียวก็ตามที ทำให้รู้ว่าคนที่เขาตามหานั้น อยู่ในเมืองหลวงของประเทศนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เดินเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำแล้วออกมาแต่งตัว ออกจากห้องพักไปอีกคน
............................................................
.............................
เสียงเพลงในท่วงทำนองเร้าใจ ภายในผัปเฉพาะกลุ่มแห่งนี้ ไม่ได้ทำให้กรกฏรู้สึกสนานไปด้วยเลยสักนิด ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา เขามักใช้เวลาในยามค่ำคืนวนเวียนไปตามผัปต่างๆ หลายครั้งที่มีสายตาบางคู่มองมาด้วยแววตาบ่งบอกความนัยอย่างชัดเจน ใจหนึ่งก็ก็อยากจะตอบสนอง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงคำพูดของรังสรรค์
เขาชอบภูริทัต ... ชอบมากจริงๆ และมั่นใจว่ามันเป็นความรัก
แต่เขาก็ลังเลอีกครั้งเมื่อมีความสัมพันธ์กับรังสรรค์ ... ตกลงว่าเขาชอบภูริทัตจริงๆหรือเปล่า
... หรือเพียงแต่หลงไปกับรูปลักษณ์ภายนอกอันชวนมอง และน่าหลงไหล
คิดพลางชำเลืองมองดูคนที่อยู่ภายในผัป ไม่มีเลยสักคนที่เขารู้สึกว่ามีรูปลักษณ์เหนือกว่าภูริทัต ... หรือแม้แต่จะเทียบกับรังสรรค์ แล้วสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่เดินเข้ามาในผัป

รูปหน้าเรียวยาว ผิวหน้าสีขาวอมชมพู จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวยาว ริมฝีปากได้รูปสีชมพูเผยอเล็นน้อยราวกับจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา
... สเตฟาน ... ชื่อนี้แว่บขึ้นมาทันทีในความคิดของกรกฏ “เอ๊ะ ...” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ เมื่อจ้องมองให้ชัดอีกครั้ง
ชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้น่าจะมีอายุมากกว่าคนที่เขารู้จัก เรือนร่างสูงหนากว่า ที่สำคัญ เรือนผมเป็นสีเงินยวง เมื่อเพ่งมองให้ดี ก็เห็นดวงตาคู่นั้นเป็นสีฟ้าสดใส แล้วกรกฏก็คิดว่าคงเป็นเรื่องปรกติ เพราะในสายตาของเขา ชาวต่างชาติหลายคนที่มีรูปร่างหน้าตากล้ายคลึงกัน จนทำให้คิดได้ว่าเป็นญาติกันในทางใดทางหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง คนทั้งสองอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย คนคนนี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน เป็นเพียงคนที่คล้ายคลึงกันสองคนเท่านั้น

กรกฏลอบชำเลืองมองดูความเคลื่อนไหว จนกระทั่งชาวต่างชาติผู้นั้นออกไปจากผัปพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
“หึ...” กรกฏแค่นเสียง “น่าจะเป็นคนเดียวกัน จะได้ถ่ายคลิปไปให้พี่ทัตดูซะเลย อยากรู้นักว่าจะยังหลงอยู่อีกมั๊ย” พึมพำเบาๆแล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ...นั่นสินะ ทำไมเขาไม่ทำล่ะ ภายในผัปมืดๆแบบนี้ แยกไม่ออกหรอกว่าใครเป็นใคร ... คิดแล้วก็ต้องหันมองไปทางประตูผัปด้วยความเสียดาย

ร่างกายอวบอ้วนเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายอันอวบอัดของหญิงสาวผิวดำ แขนของหญิงสาวกระหวัดรอบศรีษะของชายวัยกลางคน ริมฝีปากเล็มเลียไปตามใบหู ดวงตากลมโตหรี่ปรือ ริมฝีปากค่อนข้างหนาส่งเสียงครวญครางแผ่วๆ ยิ่งทำให้ฝ่ายชายย่ามใจ เพราะคิดว่าลีลาของตนนั้นทำให้หญิงสาวพอใจ ตะโพกของคนทั้งสองส่ายไหวโต้ตอบกันไปมาอย่างไม่ยอมแพ้กัน เมื่อฝ่ายชายก็ถึงจุดที่ทำไม่ไหว ปลดปล่อยทุกอย่างให้พุ่งออกมาจากร่างกาย เขาไม่เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุจนเกิดชีวิตใหม่ได้ เพราะเขาป้องกันไว้ด้วยถุงยางอนามัยแล้ว ฝ่ายชายส่งเสียงครางด้วยความเสียวกระสัน ฟุบใบหน้าลงคลึงเคล้ากับอกอวบอิ่มของฝ่ายหญิง โดยไม่ทันตั้งตัวร่างอวบใหญ่ก็ถูกจับให้พลิกหงาย แล้วหญิงสาวก็นั่งคร่อมฝ่ายชายไว้ ทั้งสองส่งยิ้มให้กันราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แล้วฝ่ายหญิงก็ก้มหน้าลงโลมเลียแผ่นอกที่นูนขึ้นมาเพราะความอวบอ้วน ไล้ลิ้นดูดอมเม็ดติ่งบนยอดอก จนผ่ายชายเสียวกระสันเกิดความต้องการขึ้นมาอีก หญิงสาวเลื่อนใบหน้าลากลิ้นสากชื้นขึ้นมาวนเวียนแถวลำคอ ทำให้ฝ่าชายถึงกับหลับตาพริ้มด้วยความเสียวกระสัน และโดยไม่คาดคิด ...
“อ๊าก...”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาจากปากของฝ่ายชาย เมื่อคมเขี้ยวของหญิงสาวฝังลงบนคอ ฝ่ายชายพยายามดิ้นรนแต่ไม่เป็นผล แขนทั้งสองถูกมือที่บอบบางกว่า แต่เปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลจับกดไว้จนเคลื่อนไหวไม่ได้ ชายกลางคนรู้สึกได้ว่าของเหลวในร่างถูกดูดออกไป จนสติเริ่มเลือนรางและสลบไปในที่สุด
“พอได้แล้วไลล่า คุณจะดูดเลือดมันจนหมดเหรอไง เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องหรอก” เสียงของไป่เทียนดังขึ้นข้างเตียง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแววตาส่อความเสียดาย
“เชอะ” ไลล่าแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ “เลือดแค่นี้จะอิ่มอะไรกัน” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บริเวณริมฝีปาก แล้วใช้ลิ้นเลียเลือดที่เปรอะอยู่บนมือ เมื่อหมดแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง
“ลืมอะไรรึเปล่า” ไป่เทียนเตือนด้วยน้ำเสียงยียวน “ขืนลืมแบบนี้ก็แย่สิ ‘เจ้านาย’ สั่งนักสั่งหนา ว่าที่นี่เป็นตัวเมืองใหญ่ เป็นถึงเมืองหลวง อย่าทิ้งร่องรอยไว้ให้พวกมนุษย์ได้รู้ถึงการคงอยู่ของพวกเรา”
สีหน้าที่ไม่พอใจของไลล่าเปลี่ยนเป็นแววเห็นด้วย ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายนัก เพราะเป็นคู่แข่งกันอยู่กลายๆ แต่ก็อดนึกขอบใจไม่ได้ที่เตือนเรื่องสำคัญเช่นนี้ ด้วยความสัมพันธ์กึ่งมิตรกึ่งศัตรูเช่นนี้ ทำให้คนทั้งสองได้อยู่เคียงข้าง ‘เจ้านาย’ ได้อย่างไม่มีปัญหา

ไลล่าเดินไปที่เตียง ขึ้นไปนั่งคล่อมร่างของชายกลางคนไว้อีกครั้ง ก้มหน้าลงเพ่งดวงตาไปที่ดวงตาที่ปิดสนิทของอีกฝ่าย พึมพัมถ้อยคำที่ได้เรียนรู้มา แล้วดวงตาชองชายกลางคนก็ลืมขึ้น แต่แววตานั้นกลับเลื่อนลอยราวกับไร้ความรู้สึก
“จงฟัง เจ้าจงลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จงลืมข้า จงลืมเหตุการณ์ในห้องนี้ เมื่อตื่นขึ้นมา เจ้าจงรู้เพียงว่าได้เสพสุขกับสาวต่างชาติจนพอใจ แล้วหล่อนก็จากไป”
น่าแปลกที่ชายกลางคนพยักหน้าเหมือนรับรู้
“ดี ... งั้นจงหลับซะ เมื่อตื่นขึ้นมาเจ้าจะอ่อนเพลีย จงคิดว่าเป็นเพราะศึกหนักระหว่างเจ้ากับข้า ที่เจ้ากระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนหมดแรง”
ดวงตาของของชายกลางคนค่อยๆปิดลง ไลล่ากลับลงมายืนบนพื้น มองร่างบนเตียงด้วยความพอใจ แล้วหันหน้ากลับไปทางไป่หลง
“คราวหน้าก็อย่าลืมตัวอีกก็แล้วกัน นี่ดีนะที่ผมแวะเข้ามา” พูดจบก็เดินไปคล้องแขนของอีกฝ่าย “ไปกันเถอะ หรือถ้ายังไม่อิ่มยังมีเวลาหาเหยื่อได้อีกซักราย”
“ถ้างั้น” ไลล่ายิ้มด้วยสายตาแวววาว “ไปหาเหยื่อกันต่อดีกว่า คราวนี้ข้าอยากชิมเลือดสาวเอเซียดูมั่ง”
“ฮ่าๆๆ ความคิดเดียวกันเลย งั้นจะช้าทำไม ไปกันเถอะองค์หญิง”
แล้วทั้งสองคนก็เดินควงแขนกันออกจากห้อง ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 09-03-2009 14:14:03
 :serius2: :serius2: :serius2:

ม่ายยยย นี่มันรักแบบดูดดื่ม

ซะจนสลบเลยหรอเนี่ย

ไม่ใช่หละ ไม่อยากได้ดูดดื่มแบบเน้

 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 09-03-2009 15:00:29
ตามมาถูกที่แล้วเหรอ สานฝันจะเป็นยังไงนี่ o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 09-03-2009 15:34:24
 :3123: :3123: :3123:

รอลุ้นความสัมพันธ์ของสเตฟาน กับภูริทัต ต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-03-2009 16:09:40
 :serius2: ผีดูดเลือดเริ่มอาละวาดในเมืองหลวงแล้ว ทุกคนจงระวัง  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 09-03-2009 16:26:39
น่ากลัวเริ่มหาเลือดกันแล้ว  ที่จริงชอบแบบเรียกเลือดนะ แต่เลือดแบบนี้ไม่เอา :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 09-03-2009 17:00:20
ชักเป็นห่วงสานฝันกับภูริทัตซะแล้วสิ  o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: cassper_W ที่ 09-03-2009 19:46:27
อ่าว  เป็นแดรกคิวล่า    :a5:


ต่างจากที่จินตนาการไว้    กร๊ากกกกกก 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 09-03-2009 20:09:43
 :เฮ้อ: น่าเป็นห่วงสานฝันที่สุด
โจชัวร์ตามมาถูกทางแล้วด้วย
บวก 1 ให้คนแต่งเช่นเคยจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-03-2009 21:31:51
อันตรายใกล้สานฝันเข้ามาแล้ว

น่าเป็นห่วงจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 09-03-2009 21:46:27
อะไรจะเกิดขึ้น คงพอเดาได้ แต่ถ้าเดาแล้วมันจะไม่สนุก

เอาเป็นว่ารอดีกว่า ขอบคุณนะครับ ตั้ม เป็นกำลังใจให้สู้ ๆ

+1 ให้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 09-03-2009 22:52:39
เง้อ เป็นผีดูดเลือดจริงๆ ด้วย  o22

แล้วสานฝันจะรอดพ้นไปได้อีกนานมั้ยละเนี่ย  :sad4:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 10-03-2009 11:27:38
ดาราฝ่ายไม่อยากจะเชิญออกมาก็เลือดสาดกระจายเลย  แต่กระจายแบบนี้ มัน  :m29:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๔ - ๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 10-03-2009 17:16:36
 :L2: เป็นกำลังใจให้น้องตั้มที่น่ารักสุดๆ
เพิ่งตามอ่านทันจ้า  แต่มาทันเอาตอนเลือดสาดกระจายนี่สิ
ขอเป็นเลือดสาดเหมือนกัน แต่เป็นสาดแบบเนี๊ยะ   :haun4: ได้ป่าว
แต่ว่าท่าจะอีกนานนะฉากที่รีเควสเนี่ย

แถมภูริทัตมีแววต้องกินแห้วละมั๊งเนี่ย

เพราะถ้าสเตฟานอินเลิฟด้วยเมื่อไหร่ ก็ต้องโดนตามเจอใช่ป่าว (เดาสุดฤทธิ์ อิๆๆ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 10-03-2009 19:43:39
บทที่ ๑๕

“โห ... เอ็งนี่” รังสรรค์ส่ายหน้าเบาๆสีหน้าเบื่อหน่าย “ควายเรียกพ่อได้เลยนะเอ็ง”
“อ้าว ไมมาว่ากูแบบนี้วะ”
“คลุกวงในขนาดนั้นแล้วเสีอกหลับ ตกลงมึงเอาไงแน่วะ” รังสรรค์ยื่นหน้าเข้าไปไกล้
“แปลว่าไร ที่ว่าเอายังไง” ภูริทัตขมวดคิ้ว ยกมือเกาท้ายทอย
“ก็ตกลงมึงจะเอาเค้าเป็นเมียหรือเป็นแม่วะ” พูดจบก็ต้องหลบหมัดที่พุ่งเข้ามา
“ให้มาเป็นแม่มึงดิ๊ ถามแบบนี้หาเรื่องกันนี่หว่า”
“ก็ดูเอ็งทำ เค้าให้กอดขนาดนั้นแล้ว ทำไมไม่จัดการเลยล่ะวะ”
“ก็ตอนนั้นกูเคลิ้มๆหว่ะ รู้สึกอบอุ่นยังไงบอกไม่ถูก แล้วสายตาที่เค้ามองกู กูว่ามันไม่เหมือนคนทีชอบกูแบบนั้นหว่ะ กูเลยไม่ค่อยกล้า”
“เฮ๊ย...ฟังนะเว๊ยไอ้ทัต” รังสรรค์ตบไหล่เพื่อนเบาๆ “เท่าที่เอ็งเล่ามา สเตฟานเค้าอาจจะยังรู้สึกเหมือนเค้าเป็นพี่ชายคนโต แล้วเอ็งเป็นน้องชายคนเล็ก แต่ข้าว่ายังไงเค้าต้องมีใจมั่งหล่ะ”
“จริงเหรอวะ” สีหน้าของภูริทัตดีขึ้นทันที
“ข้าว่าข้าดูไม่ผิดนะ เหมือนเค้าจะสนใจเอ็งเป็นพิเศษ ... เอางี้” รังสรรค์โอบไหล่เพื่อนเข้ามาใกล้ๆ “เอ็งลองรุกทีละนิดสิวะ ถ้าเค้าไม่ชอบใจ เอ็งก็หยุด แล้วก็ขอโทษเค้าซะ แต่ถ้าเค้าไม่ขัดขืน” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม “เอ็งก็จัดการซะ”
“แล้วกูจะรุกยังไงวะ”
“เดี๋ยวให้ไอ้ชาสอนให้แล้วกัน”
“ไม่เอาเว๊ย” ภูริทัตสะบัดตัว ลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวข้าหาความรู้เองได้ ขืนให้พวกเอ็งสอนนะ .... บรื๊ออออ” ภูริทัตทำท่าขยะแขยง

ความจริงเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อสื่อเร้าใจต่างๆหาได้ง่ายดาย ทั้งจากแหล่งขายหลายที่ หรือแม้แต่ในโลกอินเตอร์เนต แล้วใช่ว่าเขาจะไม่เคยดูสื่อเหล่านั้น ไม่ว่าแบบไหนเขาก็ดูมาแล้วเกือบทุกแบบ จะเว้นก็แต่พวกวิปริตผิดรูปแบบระหว่างคนกับสัตว์ หรือประเภททรมานแส้เฆี่ยนเทียนหยด ที่เขาได้ดูครั้งแรกก็รู้สึกรังเกียจ ฉะนั้นทางทฤษฎีเขาจึงมีความรู้อยู่เพียบพร้อม ขาดเพียงการปฏิบัติจริงเท่านั้น ซึ่งมันก็เกือบจะเกิดขึ้นตั้งแต่เขาอายุได้เพียง ๑๒ ปี หากแต่ชาวต่างชาติคนนั้นเห็นว่าเขายังเป็นเด็ก เขาจึงได้ผ่านคืนนั้นมาได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ทิ้งรอยบางอย่างไว้ในใจของเขาตลอดมา เมื่อคิดถึงความอ่อนโยนอบอุ่นของชาวต่างชาติคนนั้น และเมื่อมองไปยังคนที่กำลังล้างถ้วยชามอยู่ ก็ให้รู้สึกวาบหวามในใจไม่ได้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปทางด้านหลัง แล้วรวบวงแขนกอดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ วางคางลงไปบนไหล่ จมูกสูดได้กลิ่นหอมอ่อนๆของออดิโคโลญชั้นดี
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ
“ครับ” สเตฟานตอบ มือวางจานใบสุดท้ายลงไปบนตะแกรง “กอดผมแบบนี้ผมทำงานไม่สะดวกนะครับ”
ภูริทัตจึงคลายวงแขน แล้วถอยหลังออกมา ๒ ก้าว ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความขัดเขิน สเตฟานหยิบผ้าผืนเล็กขึ้นมาเช็ดมือ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็แขวนผ้าไว้กับตะขอ แล้วหันมายิ้มให้ภูริทัต
ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อีกครั้ง ยกมือทั้งสองขึ้นแตะเอวอีกฝ่าย สเตฟานก้มลงมองมือของชายหนุ่ม แล้วกลับมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย ภูริทัตขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ แล้วจุมพิศที่แก้มขาวอมชมพูอย่างแผ่วเบา ไม่มีอาการขัดขืนใดๆ นอกจากรู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายร้อนผ่าว ภูริทัตจึงเลื่อนมือที่จับเอวของอีกฝ่ายไว้ เปลี่ยนเป็นรวบตัวเข้ามากอด ริมฝีปากเลื่อนจากพวกแก้มอุ่น ไปประกบกับริมฝีปากสีชมพูอย่างแนบแน่น
จูบที่ขัดเขินค่อยๆเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้น เนิ่นนานภูริทัตถึงได้รู้สึกว่าไร้การตอบสนองจากฝ่ายตรงข้าม จึงถอนริมฝีปากออกขยับใบหน้าห่างออกมามองดูใบหน้าของสเตฟาน แล้วก็พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายแดงกล่ำ ดวงตาปิดพริ้ม ริมฝีปากสีชมพูเปลี่ยนกลายสีแดงเพราะแรงจูบ แล้วเขายังรู้สึกได้ว่าร่างของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆ
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกชื่อเบาๆ อีกฝ่ายเหมือนจะตั้งสติได้ ลืมตาช้าๆ มองกลับมาด้วยแววตาสับสน “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผม ... ผม” สเตฟานอึกอัก “ผมสับสน ผม...”
“คุณไม่ชอบผมบ้างเลยเหรอ” ภูริทัตตัดพ้อ มือที่โอบร่างสเตฟานไว้ เปลี่ยนมาจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแล้วบีบเบาๆ
“ผมชอบคุณมาก ภูริทัต แต่ ...” สเตฟานเว้นระยะเหมือนจะคิดว่าควรจะพูดอย่างไร “ผมสับสน ผมพยายามคิดว่าคุณเป็นเหมือนน้องชายของผม ... ผมเคยมีน้องชายที่น่ารักมาก เรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตากลมโต พอผมเห็นคุณผมคิดถึงเค้า”
“แล้วน้องคุณตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ภูริทัตเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาจากดวงตาของสเตฟาน
“เค้าไม่อยู่แล้ว เค้าตายไปเมื่ออายุได้ ๑๒”
ภูริทัตขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แต่ผมน่ะ ๒๗ แล้วนะ คุณจะมาเห็นว่าผมเหมือนเค้าได้ยังไงกัน ถ้าคุณเห็นผมตอนผมอายุ ๑๒ แล้วคิดถึงเค้าละว่าไปอย่าง” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“ผม...” สเตฟานก้มหน้าลง แล้วเงยหน้าขึ้นมา “ผมคิดว่าถ้าเค้ายังอยู่ เค้าคงโตเท่าๆกับคุณ สูงใหญ่ แล้วก็ดูงดงามเหมือนคุณตอนนี้”
“งดงาม” ภูริทัตทวนคำ แล้วก็หัวเราะออกมา ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “ผมเขินเลยนะเนี่ย มาบอกว่าผมงดงาม”
ท่าทางขัดเขินแบบชายหนุ่มของภูริทัต ทำให้สเตฟานยิ้มออกมา
“แต่ผมไม่อยากเป็นน้องนี่” ภูริทัตพูดขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ แล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ผมอยากเป็นคนรักของคุณ ได้มั๊ย สานฝัน”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นเชยคางสเตฟาน แล้วประทับจูบลงไปบนริมฝีปากนุ่มอีกครั้ง ครั้งนี้ชายหนุ่มประกบริมฝีปากไว้เนิ่นนาน แล้วค่อยๆรวบร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบแน่น มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้ไปตามไหล่และแผ่นหลัง ริมฝีปากที่ประกบไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหวบดเบียดกับริมฝีปากอีกคู่ไปมา แล้วเริ่มดูดดุนไปทั่วทั้งริมฝีปาก เมื่อริมฝีปากของคนทั้งสองผละจากกัน ไม่มีคำพูดใดๆ มีแต่แววตาที่บ่งบอกถึงความปรารถนาในหัวใจ ภูริทัตจูงมือสเตฟานเข้าไปในห้องนอน แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามแรงปรารถนาแห่งหัวใจของคนทั้งสอง
..................................................................................
......................................
ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังดูออกว่าช่วงเวลา ๒ คืนที่ผ่านมา อีกฝ่ายหนึ่งเหมือนจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่ได้ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่เหมือนตัวเขา ตัดเรื่องที่ไม่มีใจให้เขาออกไป เพราะไม่ว่าเขาจะ ‘เสนอ’ ออกไปในรูปแบบไหน อีกฝ่ายก็ ‘สนอง’ ตอบต่อเขาโดยไม่มีการขัดขืน ทั้งสองคืนไม่รู้ว่าเขา ‘สุขสม’ ไปกี่ครั้ง แต่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความสุขทางร่างกายเหมือนเขาเลย ทำให้อดเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ หรือนอกจากการแพ้แสงแดดแล้ว สเตฟานยังมีโรคประจำตัวอะไรที่ไม่ยอมบอกต่อเขาอีก
“คิดอะไรอยู่ครับพี่” เสียงเรียกทำให้ภูริทัตหลุดออกมาจากห้วงความคิด
“ก็เรื่อยเปื่อยน่ะ ปูเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันเลยนะ” ภูริทัตพูดแล้วก็หันไปทักทายปรีชา และรังสรรค์  ที่ทยอยนั่งลงบนโต๊ะในร้านอาหาร
“พี่คิดถึงผมด้วยเหรอ” กรกฏพูดด้วยใบหน้าดีใจ
“ก็ถามไปงั้นแหละ” ภูริทัตยักไหล่ ไม่สนใจกับท่าทางที่สลดลงของหนุ่มรุ่นน้อง
“เอ็งนี่ละน๊า พูดไม่คิดถึงใจคนฟังเลย” รังสรรค์ติง
“ปูก็ไม่ต้องน้อยใจไปนะ ทัตมันไม่ห่วง แต่พี่ห่วง” ปรีชาพูดหยอกล้ออีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“อ้าวมาว่ากู ... คิดยังไงก็พูดอย่างงั้น มันผิดตรงไหน” ภูริทัตไม่ยอมแพ้
“เออ ... เอ็งมันไม่เคยผิดซักอย่าง” รังสรรค์พูดอย่างเอือมระอา “สั่งข้าวดีกว่าหว่ะ น้องๆ”
รังสรรค์หันไปเรียกพนักงานในร้าน แล้วต่างคนก็สั่งอาหารและเครื่องดื่มที่ตนต้องการ ระหว่างนั้นก็คุยกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งอาหารมื้อกลางวันจบลง

“พี่ทัต” กรกฏเรียกระหว่างที่กำลังเดินกลับบริษัท “ผมมีอะไรจะให้พี่ดู” กรกฎยื่นโทรศัพท์มือถือให้ภูริทัตดูรูปที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“อะไร” ภูริทัตดูภาพในจอที่กรกฏเลื่อนเปลี่ยนไปมาอย่างงงๆ
“ก็สเตฟานของพี่ไง ดูหงิมๆ ที่แท้ก็ชอบไปหาผู้ชายตามผัปตามบาร์” กรกฏแบะริมฝีปากอย่างเหยียดหยาม
“รูปพวกนี้ถ่ายมาเมื่อไหร่” ภูริทัตภามด้วยสีหน้าจริงจัง
“สองรูปแรกเมื่อคืนวันศุกร์ สามรูปหลังเมื่อคืนวันอาทิตย์” กรกฏตอบด้วยรอยยิ้มหยัน
“ไม่ผิดวันนะ” คราวนี้กรกฏเป็นฝ่ายงุนงง เมื่อภูริทัตถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ผิดหรอก ออกล่าผู้ชายมาหลายวันแล้ว ผมกลัวว่าพี่จะถูกหลอก เลยหาหลักฐานมาให้ดู”
“หลักฐานของคนหน้าคล้ายล่ะสิ ถ่ายในผัปมืดๆ จะแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นคนเดียวกัน”
“ถ้าไม่ใช่แล้วมันจะเหมือนกันขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ” กรกฏเถียงทั้งที่ใจเต้นตึกตัก เพราะรู้ดีว่าคนในรูปไม่ใช่คนที่ตนพูดถึง
“ยังไงก็คนละคนแน่ๆ ไม่ใช่สเตฟานเด็ดขาด แล้วที่หลังปูอย่าทำอย่างนี้อีก” ภูริทัตทำหน้าเบื่อหน่าย
“ทำไมพี่ไม่เชื่อผม พี่หลงเค้าจนไม่ลืมหูลืมตาเลยเหรอไง” กรกฏพูดด้วยความโมโห
“ถ้าพี่รักใครชอบใคร พี่ก็ยังไม่ถึงขนาดหลงหรอกนะ”
“หรือว่าพี่หาว่าผมโกหก”
“พี่ก็ไม่คิดว่าเราจะโกหกพี่หรอก แต่พี่ว่าเข้าใจผิดกันมากกว่า คนในรูปไม่ใช่สานฝันแน่ๆ”
“พี่รู้ได้ยังไง”
“ข้อแรก เค้าไม่ใช่คนแบบนั้น และข้อสองสำคัญมาก” ภูริทัตมองหน้ากรกฏแน่วนิ่ง ก่อนจะพูดต่ออย่างช้าๆทีละคำอย่างชัดเจน “ทั้งสองคืนนั่นน่ะ เค้าอยู่กับพี่ เราอยู่ด้วยกันที่บ้านพักในป่าต่างจังหวัด สานฝันเค้าไปอยู่ต่างจังหวัดตั้งแต่ปีใหม่ ดังนั้นไม่มีทางที่เค้าจะอยู่ในกรุงเทพฯได้หรอก”
พูดจบภูริทัตก็เดินจากไป ทิ้งให้กรกฏยืนโมโหอยู่คนเดียว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 10-03-2009 20:38:19
น้องปูทำการไม่สำเร็จ :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: christmas ที่ 10-03-2009 20:42:11
เพิ่งอ่านทันครับ

แล้วก็ชอบเรื่องนี้มาก แต่ว่าพออ่านตอนนี้แล้ว เอ่อ...กลัวใจกรกฎจัง เรื่องต้องเกิดแน่ๆ

เอาใจช่วย สานฝัน ละกันค้าบบบบบ..........

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 10-03-2009 20:45:08
หุหุ แผนการล้มเหลว เสียใจด้วยนะปู หุหุหุหุ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-03-2009 20:48:21
ได้กันแล้ว  :z1: ต่อไปจะเป็นงัยละเนี่ืย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 10-03-2009 21:48:43
เหลวไม่เป็นท่าเลยนายปูเอ๊ยยยยย  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 10-03-2009 22:02:25
น่าสงสารสานฝันมากๆ รักภูริทัตก้อเลยยอม
แต่ก้อนะ ปล่อยตัวได้ แต่ปล่อยใจไ่ม่ได้
ไม่งั้นโดนตามจับได้  :เฮ้อ:

บวก 1 ให้คนแต่งนะคะ  :L2:  ขอบคุณมากค่ะ ลุ้นจังเลยเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: chatkub ที่ 10-03-2009 23:59:24
ขอบคุณที่มาต่อครับ

ไงก็รอตอนต่อไปอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 11-03-2009 00:13:39
ได้กันแต่เหมือนสานฝันจะไม่ค่อยเต็มใจหรือมีอารมณ์ร่วมเลยเนี่ย

 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 11-03-2009 09:02:52
สงสัยที่สานฝันไม่กล้าปล่อยอารมณ์ เพราะกลัวโดนตามเจอแน่ ๆ เลย



ป.ล. แอบกลัวว่าน้องปูจะเป็นคนนำภัยมาเยือนสานฝันอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 11-03-2009 10:22:10
 :sad11:  มาทักทายครับ หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เศร้าเหมือนเรื่องที่แล้วนะครับคุณบุหรง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๕ - ๑๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 11-03-2009 12:22:32
 ภูริทัต จะช่วย สานฝันของเขา ได้บ้างมั้ยเนี่ย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 11-03-2009 20:22:50
บทที่ ๑๖

ภูริทัตรู้สึกแปลกใจที่ทรงศักดิ์บอกเขาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ ว่าคืนนี้คงจะใช้เวลาในการเดินทางเกือบทั้งคืน เพราะในการสนทนากันระหว่างเขาและสเตฟานในหลายคืนที่ผ่านมา  อีกฝ่ายไม่ได้บอกให้เขารู้เลยว่าได้ย้ายไปพักที่อื่นแล้ว และหากเป็นเช่นนั้นจริง กว่าเขาจะได้เจอกับอีกฝ่ายหนึ่ง คงต้องเป็นคืนพรุ่งนี้ คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว เหลือบสายตามองไปยังทรงศักดิ์ ซึ่งปรับเก้าอี้ให้เอนนอน และเหมือนจะกำลังหลับสบาย จึงคิดได้ว่าควรจะนอนพักผ่อนจะดีกว่า

ระหว่างทางเขาถูกปลุกขึ้นสองครั้ง เมื่อรถตู้ที่นั่งมาแวะปัมป์น้ำมันที่อยู่ระหว่างทาง เพราะคนขับต้องการเข้าห้องน้ำ และหาอะไรกินในช่วงดึก เขาเองก็ลงมายืดเส้นยืดสายอยู่ข้างล่างทั้งสองครั้ง และเดินเข้าไปหาอะไรมากินเล่น จากร้านค้าที่เปิดบริการตลอด ๒๔ ชั่วโมง ภายในปัมป์นั่นเอง ในขณะที่ทรงศักดิ์ขอนอนอยู่บนรถเช่นเดิม แล้วเขาก็มาถึงจุดหมายในเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มทอแสง

จุดหมายในครั้งนี้เป็นบ้านพักบนภูเขาในวนอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่ง อากาศยามเช้าเย็นสบาย และร่มรื่นด้วยหมู่ไม้นานาพันธ์ บรรยากาศคล้ายคลึงกับที่พักแห่งเดิม แต่ดูจะมีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า เพราะบ้านไม้หลังเดิมนั้นเป็นบ้านหลังเดียวจริงๆในป่ากว้างใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นที่พักส่วนตัวของใครสักคน ที่สเตฟานหรืออาจจะเป็นคุณทรงศักดิ์ หยิบยืมใช้เป็นที่พักชั่วคราว แต่บ้านไม้หลายขนาดที่นี่ กลับปลูกเรียงรายกันอยู่ห่างๆ มีหมู่ไม้คั่นระหว่างบ้าน ซึ่งก็คงไม่ค่อยมีคนมากนัก เพราะไม่ใช่ช่วงฤดูพักผ่อน
“อากาศดีนะครับ” ทรงศักดิ์พูดขึ้นระหว่างที่ยืนรอคนขับรถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เพื่อขอกุญแจที่พัก
“ใช่ครับ” ภูริทัตตอบยิ้มๆ ดวงตายังมองไปรอบๆ
“เสียแต่ไกลไปหน่อย คุณเลยไม่ได้พบคุณท่านทันที กว่าจะได้พบก็คงเย็นนี้” ทรงศักดิ์พูดกลั้วหัวเราะ
“นั่นสิครับ น่าเสียดาย” ชายหนุ่มรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าทรงศักดิ์รู้อะไรมากแค่ไหน
“เดี๋ยวเข้าที่พักแล้วพักผ่อนกันสักครู่แล้วกันนะครับ อาบน้ำกินอาหารเช้ากันให้เรียบร้อย แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอะไรกันดีร ระหว่างรอให้ถึงเวลาค่ำ”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบอะไร คนขับรถหนึ่งในสองซึ่งได้รับกุญแจจากเจ้าหน้าที่มา ก็บอกให้ทุกคนขึ้นรถเพื่อไปยังที่พัก ที่พักของภูริทัตเป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ ปลูกราวกับจะซ่อนอยู่ในไม้พุ่มขนาดกลางหมู่ใหญ่ เมื่อไปถึงแล้วชายหนุ่มนำของเข้าไปเก็บ เมื่อเข้าไปในตัวบ้านก็พบว่าภายในจัดเหมือนห้องเอนกประสงค์ ด้านหนึ่งเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ ด้านปลายเตียงมีโต๊ะวางโทรทัศน์ ซึ่งสามารถหมุนกลับมาอีกด้าน ที่เป็นชุดโต๊ะเก้าอี้คล้ายโต๊ะกินข้าว มีโซฟายาววางอยู่ริมผนังด้านติดกับหน้าต่าง คงจะเอาไว้สำหรับนั่งเล่น อีกด้านดูเหมือนจะเป็นครัวขนาดเล็ก มีกระติกต้มน้ำร้อน เตาไมโครเวฟ และยังมีตู้เย็นขนาดเล็กอีก
“อีกซักสี่สิบนาทีพวกผมจะมารับไปทานอาหารเช้านะครับ” ทรงศักดิ์ที่เดินตามเข้ามาบอกกับชายหนุ่ม แล้วเดินออกจากห้องไป พร้อมกับคนขับรถทั้งสอง ที่เหมือนจะนำอะไรเข้าไปไว้ในห้องน้ำ โดยไม่ลืมปิดประตูให้เรียบร้อย

ภูริทัตนำเสื้อผ้าเข้าไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า ผลัดเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำภายในห้องน้ำ แล้วก็ต้องถึงบางอ้อ เมื่อเห็นขวดแชมพู กล่องสบู่ หลอดยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทุกอย่างมีขนาดเล็ก และบางชิ้นมีตราของโรงแรมซึ่งทรงศักดิ์เป็นผู้จัดการประทับอยู่ ชายหนุ่มถึงกับอมยิ้มกับความรอบคอบของผู้จัดการสูงวัยผู้นี้

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ด้วยความที่ไม่อยากอุดอู้รออยู่ในห้อง จึงเดินออกไปนั่งเล่นบนชุดเก้าอี้ไม้หน้าบ้านพัก ไม่นานนัก รถตู้ก็มาจอดที่หน้าบ้าน ภูริทัตเดินลงไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง รถตู้แล่นวนกลับเข้าไปบริเวณศูนย์ของเจ้าหน้าที่ บริเวณนั้นเองที่มีร้านอาหารตั้งอยู่ อาหารเช้าง่ายๆอย่างข้าวต้มหมูราดด้วยกระเทียมเจียว โรยหน้าด้วยผักชีเล็กน้อย เหมือนจะอร่อยมากกว่าปรกติ คงเป็นเพราะบรรยากาศที่แสนจะสดชื่นบนเขาแห่งนี้ด้วย
“อยากไปเที่ยวรอบๆมั๊ยครับ” ทรงศักดิ์ถามขึ้นเมื่อเสร็จสิ้นการกินอาหาร
“ไม่ดีกว่าครับ นั่งรถมาทั้งคืน พักหน่อยดีกว่า เอาไว้บ่ายๆค่อยคิดอีกที” ภูริทัตพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“งั้นกลับที่พักกันก็แล้วกันนะครับ ผมจะได้ให้เด็กๆเอาเค๊ก กับขนมต่างๆเก็บไว้ในตู้เย็น”

แล้วทุกคนก็ชวนกันกลับที่พัก ภูริทัตใช้เวลาในช่วงเช้านอนหลับไปจนเที่ยง แล้วออกมากินอาหารมื้อกลางวัน จากนั้นก็กลับเข้าไปดูรายการโทรทัศน์ภายในที่พัก ถ้ารู้สึกหิวก็จะหยิบขนมที่ทรงศักดิ์นำมาใส่ไว้ในตู้เย็นออกมากิน มีทั้งเค๊กชอคโกแลต แยมโรล เอแคร์ เค๊กผลไม้ นอกตู้เย็นยังมีกระปุกเครกเกอร์ กระปุกคุ๊กกี้ และกระปุกลูกกวาดหลากสี ชายหนุ่มมองดูแล้วก็นึกขัน ว่าทรงศักดิ์เห็นเขากินจุมากมายเลยหรือ ถึงได้เตรียมขนมไว้มากมายเช่นนี้ จนอาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้นไปอีกมื้อ ภูริทัตก็เดินเล่นอยู่ภายในบริเวณบ้านพัก กระทั่งพระอาทิตย์ลับฟ้า จึงเดินกลับเข้าไปนั่งพักผ่อนภายในบ้านไม้หลังกระทัดรัดอีกครั้ง

นาฬิกาบนข้างฝาบอกเวลาเที่ยงคืน ภูริทัตถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด คนที่เขาเฝ้ารอมาทั้งวัน จนถึงเวลานี้ยังไม่ปรากฏตัว ขณะที่กำลังกระวนกระวายอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ภูริทัตลุกจากเก้าอี้โซฟาด้วยความรวดเร็ว แทบจะวิ่งไปเปิดประตูทีเดียว แล้วก็พบกับรอยยิ้มอันอบอุ่นทันทีที่เปิดประตู
“ขอโทษนะครับ พอดีมีเรื่องด่วนนิดหน่อย ผมเลยต้องไปจัดการให้เรียบร้อย”
ภูริทัตไม่ตอบคำ แต่จับข้อมือของอีกฝ่าย ดึงเข้ามาในบ้านอย่างแรง จนอีกฝ่ายตกใจ เมื่อปิดประตูแล้ว ก็หันกลับมามองหน้าคนที่ยืนอยู่เบื้อหน้าอย่างโกรธๆ สเตฟานเองก็ไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นแววเสียใจ หันหลังเดินไปยังด้านที่เป็นเหมือนครัว หยิบแก้วกาแฟขึ้นมา แล้วหยิบซองกาแฟสำเร็จรูปฉีกออก เทผงสีน้ำตาลปนขาวลงไปในแก้ว แล้วกดกาน้ำร้อน ให้น้ำร้อนไหลลงสู่แก้วอย่างช้าๆ เสร็จแล้วก็ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ภูริทัตเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ นั่งมองกริยานั้นอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งตัวเองทนไม่ไหว เพราะสเตฟานเอาแต่ยืนจิบกาแฟในแก้ว ไม่หันมาทางเขาเลย
“ทำไมถึงได้มาซะไกลขนาดนี้” ภูริทัตถามเบาๆ แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจ “กว่าจะมาถึงเสียเวลาน่าดู”
“ที่นั่นไม่ปลอดภัย ผมอยากออกห่างจากกรุงเทพฯให้มากที่สุด” สเตฟานยังคงยืนจิบกาแฟช้าๆอยู่ที่เดิม
“ไม่ไปต่างประเทศซะเลยล่ะ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อต้นเดือน” คำตอบทำเอาภูริทัตฉุนกึ๊ก “แต่ตอนนี้ผมไม่อยากไปไหนแล้ว ใจจริงผมอยากจะกลับกรุงเทพฯตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่ผมทำไม่ได้ ถ้าคุณคิดว่าการเดินทางมาที่นี่มันเสียเวลา ผมก็ขอโทษ” น้ำเสียงสั่นๆของสเตฟานทำเอาภูริทัตใจเสีย รีบลุกจากเก้าอี้เข้าไปยืนข้างหลังแล้วโอบกอดอีกฝ่ายไว้ วางคางไว้บนไหล่แล้วถูเบาๆ
“โธ่ ผมแค่ล้อเล่น ก็คุณปล่อยให้ผมรอทั้งวัน แล้วนี่ก็ตั้งค่อนคืนแล้วถึงเพิ่งจะมา ผมก็น้อยใจมั่งสิ”
“ผมก็บอกแล้วว่ามีธุระด่วน ผมเองก็ไม่รู้จะขอโทษคุณยังไงดี”
“งั้นผมบอกวิธีให้ วางแก้วก่อน” ภูริทัตกุลีกุจอดึงแก้วกาแฟจากมือสเตฟานออกไปวางลงบนโต๊ะ “ผมจะลงโทษคุณล่ะนะ”
พูดจบก็ประกบริมฝีปากลงจูบอย่างดูดดื่ม มือทั้งสองประคองร่างอีกฝ่ายไว้ พาเดินตรงไปยังเตียง ทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงไม่ผละจากกัน เมื่อถึงเตียงก็ดันร่างสเตฟานให้นอนลงบนฟูกหนา ทาบร่างของตนลงไป ทั้งปากและจมูกคลอเคลียไปทั่วใบหน้า มือก็ไม่ยอมว่าง ปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายทีละเม็ดแล้วดึงเสื้อออกราวกับจะกระชาก เสื้อผ้าของทั้งสองถูดโยนลงพื้นทีละชิ้น โดยไม่มีใครสนใจว่ามันจะไปกองอยู่ตรงไหน อุณหภูมิรักที่เกิดขึ้นบนเตียงร้อนขึ้นทุกขณะ และเมื่อมันคุโชนจนถึงขีดสุดก็มอดดับลง ด้วยความสุขสมปนเหนื่ออ่อนของภูริทัต

“ผมคิดมากไปรึเปล่า ที่รู้สึกเหมือนคุณไม่ค่อยมีความสุข” ภูริทัตพูดพลางลูบไล้ปอยผมสีทองของอีกฝ่าย
“ทำไมคุณคิดอย่างนั้น” สเตฟานตอบแล้วแนบใบหน้าไปที่ต้นแขนของภูริทัต วงแขนที่โอบอยู่บนร่างหนากระหวัดแน่นขึ้น แล้วคลายออก
“ก็เวลาเรามีอะไรกัน เหมือนคุณจะฝืนๆ ไม่เห็นปล่อยตัวให้มีความสุขไปด้วย ไม่เหมือนผม”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมฝืน”
“ก็ท่าทางคุณมันบอก ผมจะว่ายังไงดีล่ะ” ภูริทัตยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “เอาเป็นว่าผมรู้สึกก็แล้วกัน ผมไม่สบายใจนะ”
“แล้วคุณมีความสุขมั๊ย ที่มามีอะไรกับผมแบบนี้”
“มีสิ ... ผมรักคุณนะ สานฝัน” ภูริทัตเชยคางสเตฟานขึ้นมา แล้วจ้องมองลงไปในดวงตาสีเขียวมรกต “แล้วคุณล่ะ”
“ผมก็รักคุณ ภูริทัต บางที..บางทีผมอาจจะรักคุณตั้งแต่ ‘วันแรก’ ที่ผมได้เจอคุณก็ได้”
“จริงเหรอ” ภูริทัตยิ้มกริ่ม “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่าปิดกั้นความรู้สึกไว้สิ ปลดปล่อยมันออกมาให้หมด ให้ผมได้รับรู้ว่าคุณรักผมแค่ไหน นะ...สานฝัน ของผม”
“แต่ผมมีข้อแม้ ถ้าผมทำแบบนั้นคุณต้องทำตามที่ผมจะบอก”
“อะไรล่ะ”
“ตีสาม คุณต้องไปจากที่นี่ทันที”
“อะไรนะ” ภูริทัตพูดอย่างไม่เชื่อหู
“ยังไม่หมดนะ ครั้งต่อไปที่เรามีอะไรกัน คุณต้องไปทันที โดยไม่มีข้อแม้ คุณจำได้มั๊ย ครั้งแรกที่คุณมาหาผม คุณรับปากผมแล้วว่าจะทำตามที่ผมบอก ถ้าคุณทำได้ ผมจะไม่ฝืนตัวเองอีก”
ภูริทัตแทบไม่เชื่อหู ในสิ่งที่ได้ยิน ขบคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจในเหตุผลว่าทำไมสเตฟานถึงยื่นข้อแม้เช่นนี้
“ผมสงสัยซะแล้ว ว่าคุณรักผมจริงรึเปล่า” ในที่สุดเขาก็พูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดออกไป
“รับปากผมสิ แล้วคุณจะรู้ว่าผมรักคุณแค่ไหน” น้ำเสียงของสเตฟาน ปนไปด้วยความรัก ความอาทร ไม่ได้ทำให้ภูริทัตรู้สึกเลยว่า เป็นการท้าทาย หรือประชดประชัน “บอกผมสิ ว่าคุณรับปาก แล้วผมจะได้เป็นของคุณอย่างแท้จริง” แววตาราวกับจะขอร้อง ทำให้ภูริทัตหมดความคลางแคลงใจ
“ได้ ผมรับปากคุณ ผมจะไปจากที่นี่ทันทีตอนตีสาม”
“ดวงใจน้อยๆของผม แล้วคุณจะรู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน”
พูดจบสเตฟานก็ยื่นหน้าเข้าไปจูบภูริทัตอย่างดูดดื่ม จนภูริทัตเองก็ยังตกใจในความเร่าร้อนครั้งนี้ ชายหนุ่มสนองตอบอย่างรวดเร็ว และเสนอสัมผัสต่อมาในทันที แล้วชายหนุ่มก็ได้รู้ว่า ความสุขที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่ความสุขเล็กน้อยเท่านั้น ความสุขที่แท้จริงคือครั้งนี้ต่างหาก ทั้งร่างกายและหัวใจของทั้งสอง ราวกับจะผสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง สัมผัสที่ตอบโต้กลับมา ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายรักเขามากแค่ไหน มันมากมายจนเขาเองยังคิดไม่ถึง เขาไม่รู้เลยว่าการแสดงออกครั้งนี้ เกิดจากความรู้สึกที่เก็บไว้มานานถึง ๑๕ ปี และสเตฟานมั่นใจแล้วว่า ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยเขาก็หาวิธีป้องกันคนที่เขารัก จากเงื้อมือของคนผู้นั้นได้อย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-03-2009 20:30:59
 :z13: น้องตั้ม  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 11-03-2009 20:44:13
ความสุขครั้งนี้เดิมพันด้วยชีวิตเลยนะคะ.....จะรอดพ้นหรือเปล่าน้อ?
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 11-03-2009 21:08:47
สุขครั้งเดียว แต่ต้องหาทางแก้ตลอดชีวิตเลย

เหนื่อยใจแทนเลยนะเนี่ย  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 11-03-2009 21:49:45
อุปสรรคของความรักของทั้งสอง  :เฮ้อ:

เป็นกำลังใจให้ ตั้มนะครับ +1 ให้ด้วย  ขอให้ขยัน ๆ

รักษาสุขภาพด้วยนา อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 11-03-2009 23:00:00
จะมีอะไรเกิดขึ้นหลังตีสามอ่ะ ลึกลับซับซ้อนจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 11-03-2009 23:29:08
สู้ๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 12-03-2009 00:40:08
เป็นของกันและกันอย่างแท้จริง แต่แลกด้วยชีวิต
 :เฮ้อ: วิธีที่สานฝันคิดป้องกันไว้ จะสำเร็จมั้ยเนี่ย
จะเกิดการสูญเสียอะไรหรือเปล่านะ

บวก 1 ให้นะคะ สนุกและลุ้นดีค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 12-03-2009 07:59:12
จะมีความสุขทั้งทีลำบากจริงๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 12-03-2009 09:28:48
เป็นข้อเสนอที่ใจร้ายจริงๆๆ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: chatkub ที่ 12-03-2009 13:55:20
รอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 12-03-2009 15:30:55
มันจะคุ้มกันจริงๆม๊ายยยยย....สานฝัน
จะหนีทันจริงๆเหรอ
พวกนั้นมาอยู่กทมแล้วนะ  :serius2:
แล้วภูจะบีบคั้นสานฝันของชั้นไปถึงไหนเนี่ย
เดี๋ยวเลิกเชียร์ซะเลย   :m16:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๖ - ๑๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-03-2009 16:56:29
โหย ... ไม่มีครายกลัวสเตฟาน หรือ สานฝันเลยเหรอ มีแต่คนเชียร์ เอิ๊กๆๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-03-2009 18:53:30
บทที่ ๑๗

“ไม่ ....” เสียงตะโกนร้องด้วยความโมโหของโจชัวร์ ตามด้วยเสียงแตกของแก้วไวน์ ที่ถูกเขวี้ยงกระทบฝาผนัง
ไลล่า และไป่เทียนมองสบตากันด้วยความวิตก ... เกิดอะไรขึ้นกับโจชัวร์
“ข้าไม่ยอม เจ้าต้องเป็นของข้าคนเดียว ข้าไม่ยอม” โจชัวร์ยังคงตะโกนร่ำร้องด้วยความโมโห เดินวนพล่าน กำหมัดแน่น หน้าตาที่สวยงามหล่อเหลาตอนนี้ดูราวอสูรร้าย ดวงตาสีแดงส่องประกายแวววาว ราวกับจะแผดเผาทุกอย่างให้เป็นผุยผง ความแค้นต่อสิ่งที่ได้รับรู้จากจิตของคนที่ตนตามหามานาน ทำให้ขุ่นใจจนแทบคลั่ง
ทั้งสองคนต่างมองดูโจชัวร์ บางครั้งก็หันมาสบตากันบ้าง แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะท่ามกลางความโกรธเกรี้ยว ที่พวกตนไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้ หากพูดอะไรผิดพลาดไป อาจหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิตตนก็ได้
“สเตฟาน ... เจ้า ... เจ้า...” โจชัวร์เค่นเสียงออกจากไรฟัน “เจ้าบังอาจนัก ... เจ้าจะเป็นของใครไม่ได้ นอกจากข้า”

... ปล่อยข้าเถอะ โจชัวร์ ข้ารักมนุษย์คนนี้ ปล่อยข้าเถอะ หากท่านเห็นแก่ข้าจริง ท่านควรปล่อยข้า ... หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดก็มีเสียงแผ่วเบา ส่งเข้ามาภายในจิตของโจชัวร์
“ไม่มีวัน ไม่มีวันที่ข้าจะปล่อยเจ้า เจ้าจงมาหาข้า ที่นี่ และเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเฉียบขาด เพราะคิดว่าตนมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย และสามารถควบคุมได้เหมือนที่เคยเป็น
... ไม่ ข้าไม่กลับไปหาท่าน และท่านจะไม่มีวันพบตัวข้า ถึงแม้ท่านจะติดตามจิดของข้าได้ และออกเดินทางเดี๋ยวนี้ก็ตาม กว่าท่านจะมาถึงที่ๆข้าอยู่ ก็รุ่งสางแล้ว ท่านจะทำอะไรได้ ยิ่งกว่านั้น ข้าก็คงจากไปไกลแล้ว ...
“เจ้า ... ทำไมถึงไม่ทำตามที่ข้าสั่ง หรือว่า ...” แล้วโจชัวร์ก็ทำท่าเหมือนครุ่นคิด “ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าถึงตามจิตของเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่เพียงข้า ไม่ว่าผู้ใดในเผ่าพันธ์ก็ไม่รู้สึกถึงจิตของเจ้า”
... ข้าเปลี่ยนไปแล้วโจชัวร์ ท่านควบคุมข้าไม่ได้แล้ว ตอนนี้ข้ามีอำนาจเหนือกว่าท่าน ...
“ไม่จริง ถ้าเจ้ามีอำนาจเหนือข้าจริง ทำไมเจ้าต้องหลบข้า แล้วทำไมข้าถึงยังตามจิตของเจ้าได้” ความสุขุมเริ่มกลับคืนมา ดวงตาสีแดงกล่ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าทีละน้อย จนกลายเป็นสีฟ้าสดใส ใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสงบลง
... นั่นเพราะท่านยังคงเป็นผู้ให้กำเนิดข้า เป็นผู้ทำให้ข้ากลายเป็นแวมไพร์ นั่นเป็นกฎตายตัวของพวกเรา ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่พลังอำนาจไม่ใช่สิ่งตายตัว ท่านควรยอมรับ เพราะการที่ท่านควบคุมข้าไม่ได้ คือข้อพิสูจน์ ...
“ข้าไม่เชื่อ” โจชัวร์แค่นเสียง ความโกรธเริ่มกลับมาอีกครั้ง “ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ และเจ้าต้องกลับมาเป็นของข้า”
คราวนี้ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา อีกฝ่ายปิดกั้นจิตเสียแล้ว
“อ๊ากกกกกกกก....” โจชัวร์ตะโกนก้องด้วยความโมโห มองไปรอบๆตัว เพื่อจะหาที่ระบาย แต่ทั้งไลล่าและไป่เทียนไม่อยู่ในห้องเสียแล้ว จึงต้องเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปหาเหยื่อที่จะมารองรับทั้งตัญหา และความโกรธเกรี้ยวของเขา

“ไปแล้ว” เสียงไลล่ากระซิบบอกไป่เทียน ทั้งสองคนยืนเบียดกันอยู่ที่มุมหนึ่งของซอกหลืบ
“น่าสงสารเหยื่อคราวนี้ ท่าจะน่วม” ไป่หลงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “นี่ถ้าไม่ชวนกันออกมาไม่รู้จะโดนอะไรมั่ง”
“นั่นสิ อารมณ์เสียแบบนี้ ถ้าไม่ฝังเขี้ยวใส่พวกเรานะ ชั้นจะยกเหยื่อของชั้นให้เธอเลย” ไลล่าพูดติดตลก
“ยังมาทำตลกอีก เกือบตายกันทั้งคู่ล่ะไม่ว่า” ไป่เทียนดุ “ไหนๆเจ้านายก็ไปแล้ว พวกเราไปหาเหยื่อกันมั่งดีกว่า ไม่รู้จะได้รึเปล่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่างแล้ว”
แล้วทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน พากันเดินตรงไปยังลิฟท์ เพื่อออกไปหาเหยื่อตามสถานที่เริงรมย์กันต่อไป
..................................................................................
..........................................
“ไปเถอะครับ พวกทรงศักดิ์มารอแล้ว” สเตฟานพูดพลางยิ้มน้อยๆให้ภูริทัต
“ไปบอกคุณทรงศักด์ไว้ตั้งแต่ตอนไหน ว่าจะให้ผมกลับตอนตี๓” ภูริทัตแปลกใจ
“ตั้งแต่เมื่อตอนหัวค่ำ ผมแวะไปหาทรงศักดิ์ ให้จัดการเรื่องคืนห้องพักให้เรียบร้อย จะได้ไม่ฉุกละหุก” สเตฟานเอื้อมมือไปจับปกเสื้อของภูริทัตให้เรียบร้อย
“ทำยังกับรู้ล่วงหน้า หรือคุณคิดไว้แล้วว่าจะให้ผมกลับตอนตี ๓” ภูริทัตเอื้อมมือไปจับมือนุ่มไว้
“เพราะผมตั้งใจไว้แล้ว กลับตอนนี้ก็จะถึงกรุงเทพฯประมาณเที่ยง คุณจะได้ใช้เวลาอีกครึ่งวันเพื่อพักผ่อน”
“อ้าว แล้วทำไมคุณถึงทำเหมือนมันเป็นข้อแม้ ที่ผมต้องทำตาม เพื่อจะให้คุณรับปากผมเรื่องนั้น”
“ผมล้อคุณเล่น เหมือนที่คุณแกล้งโกรธผมไง” สเตฟานพูดกลั้วหัวเราะ
“อ้าว” ภูริทัตทำหน้าเหรอหรา
“ไปเถอะครับ พวกนั้นรอแย่แล้ว”
“ผมยังไม่อยากกลับเลย” ภูริทัตเว้าวอน ดึงตัวสเตฟานเข้ามากอด
“คุณรับปากแล้วนะ ต้องทำสิครับคนดี แล้วสัปดาห์หน้าถ้าคุณอยากพบผมอีก ก็เดินทางมาหาผม”
“ผมอยากมาหาคุณทุกวันเลย” ภูริทัตยังคงอ้อยอิ่ง รั้งร่างสเตฟานเข้ามากอด “ไม่ได้เจอกัน ผมคิดถึงแย่ จะทำงานได้มั๊ยเนี่ย”
“ถ้าถูกไล่ออก ผมไม่รับเข้าทำงานหรอกนะ” สเตฟานพูดติดตลก แล้วผละร่างออกมาจากอ้อมกอด ยื่นหน้าเข้าไปจุมพิศที่แก้มของชายหนุ่มเบาๆ “ผมรักคุณ ภูริทัต”
อ้อยอิ่งอยู่นาน ภูริทัตจึงได้ยอมออกจากบ้านไม้ไปขึ้นรถ เพื่อเดินทางกลับเข้าสู่กรุงเทพฯ สเตฟานมองดูรถที่แล่นออกไปจนลับสายตา แล้วกลับเข้าไปในบ้านไม้ นั่งลงบนโซฟาตัวยาวอย่างสบาย แล้วเริ่มส่งกระแสจิต คุยกับคนที่ตนต้องการ
..................................................................................
..........................................
สเตฟานทอดถอนหายใจ ผ่านมาหลายร้อยปีโจชัวร์ยังคงเหมือนเดิม ทั้งถือทิฐิ แข็งกร้าว ซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ภายในใจ ทำไมเวลาหลายร้อยปีไม่ทำให้โจชัวร์ได้คิดอะไรได้บ้างเลยหรือ การดำเนินชีวิตที่เข่นฆ่ามนุษย์ทำให้บางคนในเผ่าพันธ์ถูกตามล่า รวมถึงตัวเขาเองเมื่อตอนที่กลายมาเป็นแวมไพร์ใหม่ๆ เพื่อนบางคนกลายเป็นเหยื่อของเขาและโจชัวร์ รวมทั้งคนในครอบครัวอีกหลายชีวิต ตอนนั้นเขายังอยู่ในอำนาจของโจชัวร์ ถูกบังคับแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์บนเตียงที่แสนจะรังเกียจ มีใครบ้างจะเป็นสุขกับคนที่เข่นฆ่าคนในครอบครัวของตนได้ เมื่อเขาเริ่มควบคุมตัวเองได้บ้าง จึงเริ่มหลบหนี แต่ก็ถูกตามจิตจนพบเสมอ จนกระทั่งเขาหนีเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง ที่นั่นเองที่เขาได้พบกับ ‘กรีนอายส์’

‘กรีนอายส์’ แวมไพร์ที่มีสภาพร่างกายเหมือนคนชราภาพ บ่งบอกถึงช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านมา อาจจะมากถึงหลายพันปี และที่นั่นเอง เขาได้รับการถ่ายทอดวิธีการปิดกั้นจิตจากแวมไพร์ตนอื่น วิธีการดำเนินชีวิตโดยไม่ต้องอาศัยโลหิตมนุษย์ รวมทั้งวิธีทำลายความอมตะของแวมไพร์ด้วยกัน

สเตฟานถอนใจอีกครั้ง เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดในบางส่วนของร่างกาย เพราะการปลดปล่อยอารมณ์ที่แท้จริงของเขาออกมา ยิ่งทำให้ภูริทัตบุกรุกเขาอย่างรุนแรงกว่าที่เคยเป็น แต่ถึงร่ายกายจะเจ็บปวด ดวงใจกลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อคิดถึงรอยยิ้มกับวงหน้าภายใต้เรือนผมสีน้ำตาลเข้ม
“ภูริทัต เด็กน้อยของผม ... ที่รักของผม ผมจะอยู่กับคุณได้นานเท่าไรกันนะ”
ใบหน้าที่เปี่ยมสุขกลับเศร้าสลดลง เมื่อคิดถึงความแตกต่างกันของเผ่าพันธ์ สเตฟานถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะกระชับปกเสื้อให้แน่นเข้า แล้วเดินออกจากเรือนไม้ไป
เมื่อสเตฟานเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านที่อยู่ในระดับต่ำสั่นไหวน้อยๆ ราวกับมีลมพัด หากมองเห็นได้ จะมองเห็นสิ่งที่เป็นเหมือนหมอกสีขาวบางเบา พุ่งออกมาจากลำต้นเข้าหาชายหนุ่ม แล้วซึมหายเข้าไปในร่างกาย ที่กำลังเดินช้าๆอย่างมีสมาธิอยู่ตลอดเวลา แล้วสักพัก ร่างของสเตฟานก็ค่อยๆเลือนหาย ราวกับสูญสลายไปกับอากาศ
..................................................................................
..........................................
เพราะความที่ต้องคอยระมัดระวังตัว ไม่ให้พวกมนุษย์รู้ถึงการคงอยู่ของเผ่าพันธ์ มันทำให้ต้องระมัดระวังกับเหยื่อให้มากขึ้น กฎที่เขาตราไว้สำหรับตัวเขาเองและ ‘ลูก’ ก็คือต้องไม่ดูดเลือดเหยื่อจนถึงแก่ชีวิต และต้องสะกดจิดไม่ให้เหยื่อจำพวกเขาได้ สุดท้ายพวกตนจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหยื่อรายเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง ทั้งสามข้อเป็นเหมือนกฎเหล็กที่ทุกคนต้องยึดถือโดยเคร่งครัด และได้รับการปฏิบัติตามเป็นอย่างดี ทั้งจากแวมไพร์ตนอื่นๆด้วยเช่นกัน แต่ด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ยังเหลืออยุ่ เขาเกือบจะสังหารเหยื่อรายนี้เข้าเสียแล้ว

 ชายหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้าคมคายไม่น้อย เมื่อมองดูอย่างพิจารณา ก็พบว่าเขาเคยเห็นชายหนุ่มคนนี้หลายครั้ง และมักจะถูกชายหนุ่มคนนี้มองเขาอย่างสนใจอยู่ทุกครั้งที่ได้เห็น บางครั้งก็เห็นชายหนุ่มคนนี้ยกสิ่งที่เรียกว่า โทรศัพท์มือถือ ขึ้นมา คงจะเป็นการถ่ายรูป เขารู้มาว่าด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์สามารถสร้างเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็ก ที่ทำงานได้หลากหลาย รวมทั้งการถ่ายรูป หรือการบันทึกภาพเขานั่นเอง นับว่าเป็นโชคที่ทุกครั้งท่ามกลางชุมชน เขาใช้พลังสร้างภาพของตัวเองให้สามารถปรากฏอยู่ในกระจก และสื่อบันทึกภาพได้ แต่ต่อไปเขาควรจะระวังตัวให้มากขึ้น มันคงเป็นที่น่าสงสัยไม่น้อย หากมีคนบันทึกภาพเขาหรือ ‘ลูก’ ของเขาไว้ แต่เมื่อนำไปดูกลับไม่ปรากฏภาพออกมาให้เห็น

โจชัวร์แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หันไปมองร่างเล็กๆที่อยู่บนเตียงอีกครั้งหนึ่ง ลีลาการร่วมรักของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้เขาพอใจได้ไม่น้อยทีเดียว ยิ่งเขาโหมกระหน่ำเพราะความโกรธเกรี้ยว ก็เหมือนชายหนุ่มคนนี้จะยิ่งพอใจ น่าเสียดายที่เขาไม่ต้องการใครอีก ไลล่า และไป่เทียน เพียงแค่ ๒ คน ก็ทำให้เขาปวดหัวได้มากพอแล้ว อีกประการหนึ่ง คนที่เขาปรารถนาจริงๆมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“สเตฟาน เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-03-2009 19:03:20
 :z13: น้องตั้ม


ตัวร้ายโผล่แล้ววุ้ย  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 12-03-2009 19:14:54
ชีวิตที่สงบสุข ได้หมดลงแล้ว

คราวนี้ต้องมานั่งแก้ปัญหา กะหาทางหนีหละเนี่ย

 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 12-03-2009 19:18:04
ก็โหดซะขนาดนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย o21
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 12-03-2009 19:57:39
โหย ... ไม่มีครายกลัวสเตฟาน หรือ สานฝันเลยเหรอ มีแต่คนเชียร์ เอิ๊กๆๆๆ  :laugh:


คุณบุหรงทักมายังงี้...แสดงว่าสเตฟานก็มีด้านมืดๆ ใช่มั้ยค่ะเนี่ย...เหอๆ ตอนนี้ไม่เห็น แถมเหมือนถูกทรมานมานานแล้วสงส๊าร สงสารค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 12-03-2009 23:20:59
ในเมื่อรู้วิธีฆ่าแล้ว ทำไมไม่ทำอ่ะ  :m28:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 13-03-2009 04:50:43
งั้นตอนนี้สเตฟานไม่ดื่มเลือดแล้วดิ สูบพลังงานชีวิตจากธรรมชาติแทนหรอ  :confuse:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 13-03-2009 06:45:40
เริ่มเข้มข้นขึ้น ก็เล่นประกาศตัวขนาดนั้น

มาคอยดูความโหด ของโจชัว หรือว่าโจชัวจะใช้คนตัวเล็กเป็นคนจัดการ

เรื่องภูริทัต กับ สานฝัน  มารอลุ้นกันต่อดีกว่า

เป็นกำลังใจให้นะครับ ตั้ม ขยันจริง พักนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 13-03-2009 23:23:13
สานฝันรักกะภูริทัตมาก ๆ ยั่วให้โจชัวร์อกแตกตายไปเลย  o18

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-03-2009 01:27:15
อ่านยังไงๆก้อสงสารสานฝันอยู่ดี
สานฝันรู้วิธีฆ่า... แล้วจะฆ่าได้มั้ยเนี่ย  :เฮ้อ:
เอาใจช่วยสานฝันกะภูริทัต

บวก 1 ให้คนแต่งด้วยจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 14-03-2009 12:25:08
เหยื่อรายล่าสุดของโจชัวร์คือปูใช่มั๊ยเนี่ย
เป็นไงหล่ะ นายปู  :m16:
แอบถ่ายรูปเค้าดีนัก โดนล่อซะเลย
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 14-03-2009 12:35:41
ตกลงสานฝันเป็นนางเอกช่ายป่ะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 14-03-2009 18:17:33
ตกลงสานฝันเป็นนางเอกช่ายป่ะคะ
:o
ม่ายชายนะครับ เรื่องนี้ไม่มีนางเอก มีได้งายอะ ผิดคอนเส็ป Thaiboy's Love หมดสิ
มีแต่นายเอกฮับ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๗ - ๑๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 14-03-2009 21:25:11
พิมพ์ผิดๆๆๆ

แล้วพี่บุหรงเนี่ย มาต่อวันไหนบ้างคะ

ช่วงนี้สอบแต่เปิดทุ้กวัน เลยถามก่อน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 15-03-2009 18:09:20
บทที่ ๑๘

“ปูไม่สบายหว่ะ นอนอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวาน” รังสรรค์บอกเพื่อนๆ เมื่อมาพบกันที่ร้านอาหารในตอนกลางวัน
“อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ” ปรีชาถามด้วยความเป็นห่วง
“นั่นดิ๊วะ ไปทำอะไรมา จู่ๆไม่สบายขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล” ภูริทัตถามบ้าง รังสรรค์หันมามองหน้า ทำตาขวางใส่
“ไม่รู้เว๊ย เมื่อเช้าแม่น้องเค้าโทรมาลางาน เห็นว่าจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้เย็นๆ แล้วพรุ่งนี้อาจจะลางานอีกวัน”
“เหรอ” ภูริทัตรับรู้ แล้วก็ตักข้าวเข้าปากต่อ
“ไม่ห่วงน้องมั่งเหรอวะ” รังสรรค์ถาม
“ไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ใช่เหรอไง เย็นนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วนี่” ภูริทัตยังคงตอบเหมือนไม่สนใจ
“แหม ...” ปรีชาลากเสียงยาว “เป็นไม่มากก็ห่วงได้เว๊ย ไอ้ใจหิน”
“ใจหินก็ยังดีวะ อย่าใจหมาเป็นใช้ได้ ฮ่าๆๆ” ภูริทัตไม่ยินดียินร้ายกับคำแซวของเพื่อน เพราะกำลังมีความสุขกับเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา
“เย็นนี้ข้าจะไปรับน้องมันออกจากโรงพยาบาล ไปด้วยกันมั๊ย” รังสรรค์ชวน
“เอาดิ๊” ปรีชารีบรับคำชวน
“แต่ข้าขอตัวหว่ะ อย่าเพิ่งด่า” ภูริทัตรีบพูดเมื่อเห็นรังสรรค์ขยับปาก “รถเอ็งน่ะนั่งได้กี่คนเชียววะ แล้วไปรับปูมัน คนที่บ้านมันอยู่ด้วยรึเปล่า ถ้าอยู่ก็ต้องนั่งรถเอ็งกลับ อย่างน้อยพ่อกับแม่เค้าก็ ๓ คน รวมพวกเอ็งอีก ๒ ยังพอไหว แต่ถ้าข้าไปด้วย จะกลับกันยังไงวะ”
รังสรรค์และปรีชาจำนนด้วยเหตุผลของภูริทัต จึงเปลี่ยนเรื่องคุย ภูริทัตพยายามหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาชวนคุย เพราะกลัวเพื่อนๆจะถามถึงวันหยุดที่ผ่านมา ซึ่งเขาเองไม่อยากจะเล่ามากนัก ไม่ใช่ว่าจะปิดบังเพื่อน แต่เรื่องบางเรื่อง เขาเองก็ไม่รู้จะหาเหตุผลมาอธิบายอย่างไร โดยเฉพาะรังสรรค์ซึ่งเป็นคนขี้สงสัย

เย็นวันนั้นจึงมีแต่รังสรรค์และปรีชาที่ไปรับกรกฏที่โรงพยาบาล
“พี่ทัตไม่มาเหรอครับ” กรกฏถาม ใบหน้าสลดลง
“มันจะมาอยู่เหมือนกันแหละ แต่คิดว่าปูคงเป็นไม่มาก แล้วกลัวรถจะไม่พอนั่ง ก็เลยไม่มา” รังสรรค์แก้ตัวแทนเพื่อน
“แล้วนี่มีปูคนเดียวเหรอ” ปรีชาถาม
“แม่กลับไปแล้วพี่ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวพี่ๆจะมา”
“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนดีมะ แล้วค่อยกลับบ้าน” ปรีชาเสนอ
เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ก็พากันไปยังร้านข้าวต้มชื่อดัง ด้วยรถของรังสรรค์

“แล้วตกลงเป็นอะไรน่ะ ถึงต้องนอนโรงพยาบาลตั้ง ๒ วัน” รังสรรค์ถามขึ้นตอนหนึ่งบนโต๊ะอาหาร
“โลหิตจางน่ะพี่ จู่ๆก็เป็น” กรกฎตอบพลางหลบสายตา
“เหรอ แล้วนี่มันรอยอะไรที่คอน่ะ” ปรีชาถามพลางจ้องมองรอยแดงเล็กๆสองจุด บนลำคอของเพื่อนรุ่นน้อง รอยแดงนั้นดูเด่นอยู่กลางผิวขาวสะอาด
“เอ๋ รอยอะไรเหรอพี่ชา” กรกฏทำหน้างงๆ
“นี่ไง” ปรีชาเอาแตะเบาๆตรงรอยแดง แล้วลูบไล้อย่างมีชั้นเชิง ทำเอากรกฏเสียววูบ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสี แดง
“อ้าว ไอ้ชา หลอกแกล้งน้องมันล่ะสิ” รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่ได้แกล้งเว้ย ไม่เชื่อเนายดูเอง ไหนปู หันไปให้สรรค์มันดูหน่อยดิ๊”
กรกฎเอียงตัว หันลำคอไปให้รังสรรค์ดู
“เออ จริงด้วย จะว่าเป็นรอยตัวอะไรกัดก็ไม่ใช่ รอยอะไรแน่ แล้วเมื่อคืนวันเสาร์ปูไปไหนมารึเปล่า”
“เอ้อ ...” กรกฏอึกอัก
“นั่นแน่ แอบไปเที่ยวไหนมาล่ะสิ ไม่เห็นชวนพี่เลย” ปรีชาพยายามพูดให้เป็นเรื่องขำ
“ปูแค่เหงาๆ เลยไปเที่ยวผัปที่ไปบ่อยๆเท่านั้นเอง พอเช้าขึ้นมามันก็วูบๆ เลยให้รถไปส่งที่โรงพยาบาล แล้วรอยนี่ถ้าพี่ชาไม่ทัก ปูก็ไม่รู้หรอก”
“เดี๋ยว” รังสรรค์ขัดจังหวะก่อนที่ปรีชาจะพูดอะไร “แล้วปูไปไหนแต่เช้าเหรอ”
“ปู ... เอ้อ ... ปู”
“เอ็งจะคาดคั้นอะไรน้องมัน จะวางตัวเป็นแฟนเร๊อะไง” ปรีชารีบช่วย เมื่อเห็นปูอึกอัก
“ไม่ได้คาดคั้น” รังสรรค์ทำหน้าเหนื่อยหน่าย “ก็มันสงสัย  ถ้าไม่ได้ไปทำอะไรมา จู่ๆมันจะไม่สบายได้ไง แล้วดูท่าทางปูสิ เหมือนปิดๆบังๆ มีอะไรแน่ๆ เล่ามาซะดีๆ พี่ไม่ชอบคนโกหก”
“ก็ปูรู้สึกผิดนี่นา พี่สรรค์เตือนแล้วเตือนอีก ปูยังพลาดจนได้” กรกฏทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“ไปทำอะไรอีกล่ะ” รังสรรค์ทำหน้าเอือมระอา
“ปูก็จำไม่ค่อยได้ คืนนั้นเหมือนปูจะเข้าไปคุยกับฝรั่งคนนึง แล้วก็ชวนกันออกมานอกผัป จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ปูจำไม่ได้จริงๆนะพี่ พอเช้าตื่นขึ้นมา ก็นอนอยู่ที่ห้องในโรงแรม ออกมานั่งรถแล้วมันวูบๆพิกล เลยให้รถแทกซี่ไปส่งที่โรงพยาบาล”
“เรานี่นะ” รังสรรค์ส่ายหน้าเบาๆ
“แปลว่าปูถูกฝรั่งหลอกเข้าโรงแรมเหรอ แล้วนี่มันทำอะไรมั่ง ข้าวของอยู่ครบรึเปล่า” ปรีชาหน้าตาตื่น
“ไม่รู้เหมือนกันนะพี่ มันเบลอๆจำอะไรไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้ตัวเลยนะว่าเข้าโรงแรมไปกับเค้าได้ยังไง แต่ข้าวของอยู่ครบนะพี่ไม่มีอะไรหาย ค่าห้องฝรั่งคนนั้นก็จ่ายไว้เรียบร้อย”
“สรุปก็ไปนอนกับเค้ามานั่นแหละ เรานี่นะ พี่เตือนแล้วไงอย่าทำแบบนั้น เจ้าทัตมันไม่ชอบ” รังสรรค์เตือน
“ทำไมพี่ไม่พูดตรงๆเลยล่ะ ว่าพี่ทัตเค้าไม่ได้ชอบปู เค้ามีแต่สเตฟานอะไรนั่นแหละ จริงสิ พูดแล้วก็นึกขึ้นได้” ปูหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดรูปให้คนทั้งสองดูทีละรูปจนหมด
“ไปถ่ายมาตอนไหน” รังสรรค์ถาม คิ้วขมวดมุ่น
“ก็ช่วงคืนวันศุกร์ วันเสาร์ สัปดาห์ที่แล้ว พวกพี่ว่าไง” กรกฏหันไปมองคนทั้งสองสลับไปมา
“เหมือนมาก แต่ดูคนนี้จะมาดเท่ห์กว่านะ” ปรีชาพูดอย่างสนใจ
“ใช่ เหมือนมากเลย จนเกือบจะคิดว่าเป็นคนคนเดียวกัน แต่ผิดกันนิดหน่อย”
“พวกพี่ดูออกด้วยเหรอ”
“ดูไม่ออกก็แย่แล้วปู ดูสิ คนนี้น่ะผมออกสีบรอนซ์ ไม่ก็เงิน แต่สเตฟานน่ะเค้าผมสีทอง แค่นี้ก็แยกได้แล้ว” ปรีชาชี้ไปที่คนในรูป
“ปูก็คิดว่าเป็นเพราะไฟในผัป” กรกฏแก้ตัว
“ที่สำคัญนะ ตอนนี้สเตฟานเค้าอยู่ต่างจังหวัด เจ้าทัตน่ะไปหาทุกเย็นวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์มาจะเดือนนึงแล้ว ไม่มีทางหรอกจะมาโผล่อยู่ที่กรุงเทพฯน่ะ”
“เหรอ ผมก็เพิ่งรู้” กรกฏพูดเสียงอ่อยๆ
“ก็เรามันทำตัวล่องหนไปไหนล่ะ คราวหน้าคราวหลังก็ทำให้เหมือนเดิม ถึงทัตมันไม่ค่อยสนใจ แต่พอหายไปมันก็ถามถึง มีเพื่อนมีพี่เพิ่มขึ้นมันไม่เสียหายหรอก” รังสรรค์พยายามพูดปลอบ ให้กรกฏคิดในแง่ดี
“ครับ” กรกฏรับคำ แต่ในใจยังนึกถียง ...ไม่อยากจะได้มาเป็นพี่ซะหน่อย อย่างพี่ทัตน่ะต้องได้มาเป็นคู่รักถึงจะดี

กว่าคนทั้งสามจะออกมาจากร้าน ฟ้าก็มืดลงแล้ว บนฟุตบาทมีร้านค้าตั้งอยู่เต็มไปหมด ทั้งสามคนชี้ชวนให้ดูร้านค้าต่างๆ ขณะที่รถติดไฟแดง แล้วสายตาของรังสรรค์ก็สะดุดเข้ากับร่างหนึ่ง ชายหนุ่มผมสีทอง ใบหน้าสีขาวอมชมพู ริมฝีปากแดงระเรื่อ สวมเสื้อโค๊ตสีเขียวขี้ม้า กำลังเดินข้ามถนนช้าๆไปทางสวนสาธารณะ
“สเตฟาน” รังสรรค์พึมพัมเบาๆ มองตามร่างนั้นไป แต่เหมือนว่าร่างนั้นจู่ๆก็จางหายไปในอากาศ เขาขยี้ตาแล้วจ้องมองดูอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่เงาร่างของคนที่คิดว่ามองเห็น
“ไฟเขียวแล้ว ไอ้สรรค์” ปรีชาบอกเสียงดัง
รังสรรค์จึงมุ่งสมาธิกลับมาที่การขับรถเหมือนเดิม
.............................................................................
...................................
“สวัสดียามดึก หวังว่าคงไม่ทำให้คุณตกใจนะ” เสียงทักทายดังขึ้นเบาๆ ตรงประตูห้อง ทำให้ทรงศักดิ์ต้องเงยหน้าจากเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ
“คุณท่าน” ทรงศักดิ์ค่อนข้างแปลกใจกับการปรากฏตัวของสเตฟาน ภายในห้องทำงานของเขา ยามดึกเช่นนี้ “มาได้ยังไงครับนี่”
“ผมไปได้ทุกที่ที่เคยไป และต้องการจะไปอีกครั้ง คุณก็รู้ ขอผมนั่งหน่อยนะ” ไม่รอคำตอบ สเตฟานก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาว ที่จัดไว้รับแขกในมุมหนึ่งของห้อง
“มีอะไรรึเปล่าครับ” ทรงศักดิ์ถาม เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
“เตรีมพาสปอร์ตไว้ จัดการให้ภูริทัตด้วย” สเตฟานเหลียวมองไปรอบๆห้อง ที่มีชั้นหนังสือและตู้เอกสาร เรียงรายอยู่เต็มผนังห้อง “ห้องนี้ไม่เปลี่ยนเลยนะ ไม่จัดซะหน่อยเหรอ”
“ไม่ต้องจัดหรอกครับท่าน แค่ห้องทำงาน เรื่องพาสปอร์ตผมมีอยู่แล้ว คุณภูริทัตก็น่าจะมี”
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน พอดีผมเพิ่งจะตัดสินใจ เอาเป็นว่าทางภูริทัตคุณช่วยจัดการให้ผมด้วยแล้วกัน”
“จะให้เดินทางไปไหนเหรอครับ”
“คงใกล้ๆนี่แหละ ฮ่องกง มาเลเซีย หรือไม่ก็สิงคโปร์ แล้วผมจะบอกคุณอีกที ส่วนผมจะกลับบ้านซะหน่อย”
“บ้านที่อังกฤษหรือครับ”
“ใช่ ... คืนนี้ผมจะใช้ห้องที่โรงแรมนะ ผมจะไปซักประมาณตี๒ หรือตี ๓”
“ครับ ผมให้คนจัดไว้ให้พร้อมที่จะใช้ได้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว จะให้จัดอะไรเพิ่มมั๊ยครับ”
“ถ้าเหมือนเดิมก็ไม่ต้องหรอก ขอบใจมากนะทรงศักดิ์ ผมไปล่ะ”
พูดจบร่างของสเตฟานก็ค่อยๆเลือนหายไป ทรงศักดิ์ไม่แปลกใจนัก เพราะเขาเห็นการ ‘เดินทาง’ แบบนี้ของสเตฟานมานานหลายสิบปีแล้ว คิดแล้วมันก็คงเหมือนในนวนิยาวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า ‘เทเลพอท’ ของผู้มีพลังจิตนั่นเอง แต่เขารู้ดีว่าคุณท่านของเขา ไม่เพียงเป็นผู้มีพลังจิตเท่านั้น แต่เป็นแวมไพร์ที่มีพลังจิตกล้าแข็ง และยังแปลกกกว่าแวมไพร์ที่อยู่ในความคิดของขา

แวมไพร์ที่ดุร้าย ล่าหญิงสาวหรือชายหนุ่มรูปงามเพื่อสูบโลหิตเป็นอาหาร หากชมชอบใครจะจะทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นแวมไพร์ ด้วยการถ่ายเลือดตนเองเข้าไปในร่างกายคนผู้นั้น

แต่นายท่านของเขาแสนจะสุภาพ อ่อนโยน รักใคร่ผู้เป็นลูกน้อง ไม่ได้ดื่มกินโลหิตของมนุษย์เป็นอาหาร เหมือนแวมไพร์ตนอื่น แต่พลังชีวิตของมนุษย์ ก็จำเป็นต่อการต่อชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นบางครั้ง นายท่านจึงจำเป็นต้อง ‘สูบ’ พลังชีวิตของมนุษย์บ้าง แต่นั่นแทบจะไม่มีผลใดๆเลยต่อมนุษย์ผู้นั้น นอกจากจะรู้สึกอ่อนเพลียไปบ้าง ในช่วงเวลาวันหนึ่งหรือสองวันเท่านั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 15-03-2009 18:24:21
สานฝันกำลังจะหนีไปตั้งหลักหรือปล่าวนะ
แล้วกลัวภัยมาถึงภูริทัตหรือยังไงถึงต้องให้ออกนอกประเทศ
แต่ว่าท่าทางปูจะเป็นคนที่พาความเดือดร้อนมาสู่สานฝันและภูริทัตซะหละมั้ง

บวก 1 ให้คนแต่งจ้า สนุก และลุ้นได้ตลอดเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 15-03-2009 20:58:17
ฮั่นแน่ จะไปไหนกันน่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: christmas ที่ 15-03-2009 21:06:18
สนุกจังค้าบ  ลุ้นๆ

แต่ว่าสานฝันจะพาภูริทัตไปด้วยทำไมอ่ะ  อยากรู้จัง
แต่ถ้าคิดเล่นๆก็อาจจะพากันไปฮันนิมูนก็ได้มั้งเน๊อะ   อิอิ

อ๊ะ ไม่อยากคิดเองเล่นๆ เอาเป็นว่ารออ่านต่อดีกว่าค้้าบบบบบ..........แฮะแฮะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ||WiTHOuT_YoU|| ที่ 16-03-2009 00:05:33
เอ๊ะ หรือว่าสเตฟานพาทัตไปฮันนีมูนหว่า

ไปกันสองต่อสองไกลๆ

 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-03-2009 00:27:00
ว่าแล้ว สานฝันสูบพลังชีวิต เรื่องเริ่มเข้มข้นแล้ว อยากอ่านต่อแล้ว  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-03-2009 09:26:19
รู้สึกว่าโจชัวร์จะเข้าใกล้สานฝันเข้ามาทุกทีๆ

ลุ้นๆๆ มาต่อไวๆ นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 16-03-2009 13:39:44
แอร๊ยยยยย...สเตฟานจะพาภูไปฮันนิมูนแล้ววว  :o8: ฮิ้ววววว




ปล. น้องตั้มเขียนดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องเรทติ้งหรอกจ๊ะ
      แต่ถ้าน้องอยากเพิ่มเรทติ้งด้วยเรื่องที่คุณก็รู้ว่าอะไร 
      พี่ก็ยินดีอ่าน(มากกกกกกกก-มากที่ซู๊ดดดดด)  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 16-03-2009 13:54:54
จะหนีไปนอกเลยเหรอ :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 16-03-2009 16:27:34
สานฝันกำลังจะทำอย่างไรอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 18-03-2009 11:44:20
 :z10: มารอ ร๊อ รอ.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๘ - ๑๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 18-03-2009 16:03:54
 :3123: :3123: :3123:

เข้ามาจิ้ม + ให้สเตฟาน  เย้ย ม่ะช่าย ให้คุณบุหรงตะหาก

เรื่องกำลังตื่นเต้นน่าติดตามเลยครับ มาต่อไวๆนะ

 :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 18-03-2009 18:18:12
บทที่ ๑๙

“ไปไหนมาวะ ไม่ไปกินข้าว” รังสรรค์ถาม
“ลางานไปทำธุระมาหว่ะ เลยกินข้าวกลางวันมาจากข้างนอกเลย” ภูริทัตตอบด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ธุระอะไรวะ กลับมาถึงได้หน้าบูดแบบนี้” รังสรรค์พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ ขำในสีหน้าและท่าทางที่เหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อยของเพื่อน
“สานฝันน่ะสิ ไปอังกฤษ”
“อ้าว แล้วเอ็งจะหงุดหงิดทำไมวะ หรือว่า” รังสรรค์ก้มหน้าลงมาใกล้ภูริทัตที่นั่งอยู่ “บ่เห็นหน้าเจ้ากินข้าวบ่ลง”
“เพลงเชยหว่ะ” ภูริทัตผลักหน้าของรังสรรค์ออกห่าง “ชอบไปไหนไม่บอกล่วงหน้าอยู่เรื่อย แล้วพอถามก็บอกว่าตัดสินใจกะทันหันทุกที นี่ก็บอกให้ข้าไปทำพาสปอร์ต ทำยังกับว่าข้าไปไหนได้ง่ายๆเหมือนเค้าอย่างงั้นแหละ”
“หนอยทำมาเป็นบ่น แต่เอ็งก็แจ้นไปทำทันทีไม่ใช่เหรอวะ” รังสรรค์พูดแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
“เกรงใจคุณทรงศักดิ์หว่ะ มารับแต่เช้าเลย ทำเสร็จยังพาไปกินข้าวกลางวันอีก แล้วก็พาข้ามาส่งนี่แหละ แต่ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ บอกแต่ว่า ท่านสั่งมา ท่านสั่งมา”
“ท่านไหนวะ”
“ก็สานฝันไง คุณทรงศักดิ์เรียกคุณท่านทุกคำเลย”
“จะว่าไปก็น่าแปลกนะ เอ็งว่ารึเปล่า คุณทรงศักดิ์นี่ผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมไม่ใช่เหรอวะ ทำไมยกย่องสานฝันของเอ็งซะขนาดนั้น แล้วน่าแปลกนะ ติดต่ออะไรกับทางโรงแรมเรื่องสานฝัน ก็ให้ติดต่อคุณทรงศักดิ์อะไรเนี่ยคนเดียวเลย แปลว่าต้องเป็นคนสำคัญมากๆ”
“เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอก” ภูริทัตพูดอย่างเบื่อหน่าย
“แล้วเอ็งสนเรื่องอะไรวะ”
“ก็สุดสัปดาห์นี้อาจจะไม่ได้พบกันน่ะสิวะ ไปกลับอังกฤษนะเว๊ย คิดว่าไปเช้าเย็นกลับ หรือแค่ ๒-๓ วันเหรอไง”
“ฮ่าๆๆ งั้นเอ็งก็ไปเที่ยวกับพวกข้าสิวะ”
“ดูก่อนแล้วกันหว่ะ”
แล้วทั้งสองคนก็คุยกันอีกพักหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตน
...........................................................................
.........................................
วันศุกร์ ขณะที่กำลังกินอาหารกลางวันอยู่กับเพื่อนๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีสายเรียกเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ ภูริทัตจึงหยิบออกมาดู หมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ เหมือนจะโทรมาจากต่างประเทศ ชายหนุ่มรีบกดรับสายด้วยความดีใจ
“สวัสดีครับ ภูริทัต นี่ผมเอง สเตฟาน”
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกชื่อของคนที่โทรมา สีหน้าเบิกบานขึ้นมาทันที ทำเอากรกฏบุ้ยหน้าด้วยความไม่พอใจ
“กินข้าวกลางวันรึยังครับ ตอนนี้ที่นี่พระอาทิตย์จวนจะขึ้นแล้ว ผมคงคุยกับคุณได้ไม่นานนัก”
“คุณจะกลับเมื่อไหร่ ผมคิดถึงคุณจะแย่แล้ว” ภูริทัตพูดโดยลืมไปว่ามีคนอยู่รอบๆ
“ผมก็คิดถึงคุณ สุดสัปดาห์นี้คงไม่ได้เจอกัน คุณอย่าน้อยใจนะครับ ผมจำเป็นจริงๆที่ต้องมาอังกฤษ”
“อื้อ ... ผมรู้ คุณทรงศักดิ์บอกผมแล้ว ถ้าทำธุระเสร็จแล้วคุณรีบกลับมานะ”
“ครับ ผมจะรีบกลับให้เร็วที่สุด แค่นี้นะครับ แล้วผมจะรีบกลับ”
“อื้อ ผมรักคุณนะ สานฝัน”
“ผมก็รักคุณ ภูริทัต มาย สวีท เบบี้” แล้วก็มีเสียงเหมือนอีกฝ่ายจูบลงบนโทรศัพท์ แล้ววางหูไป
ภูริทัตนั่งอมยิ้ม ลืมไปเลยว่ากำลังกินข้าวค้างอยู่
“อิ่มเลยสินะไอ้ทัต ข้าวไม่ต้องกินแล้ว” ปรีชาแซว
“กินสิวะ ยังไม่อิ่มเลย” พูดจบก็ตักข้าวกินต่อ แต่ยังยิ้มไม่หุบ จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร อีกฝ่ายเรียกเขาว่า สวีท เบบี้ มันเหมือนกับคำว่า สวีท ฮาร์ท นั่นแหละ
“บอกรักกันต่อหน้าธารกำนัลเลยนะ พี่นี่ร้ายไม่เบา” ปูพูดบ้าง แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจนัก
“ทำไงได้ คนมันรักกันนี่” ภูริทัตตอบอย่างไม่สนใจ
“แล้วคืนนี้นัดกันไว้ที่ไหนวะ” รังสรรค์ถามบ้าง
“ยังไม่กลับหว่ะ ยังอยู่ที่อังกฤษอยู่เลย คงอีกหลายวัน”
“งั้นคืนนี้ก็ฟรีสิวะ งั้นไปกับพวกข้าไม่ได้เที่ยวด้วยกันนานและ”รังสรรค์ชวนอีก
“โอเค เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปต่อกันได้เลย วันนี้เต็มที่” ภูริทัตตอบไป ใบหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยความสุข
...........................................................................
.........................................
เรือนร่างที่สูงมากกว่า ๑๘๐ ของภูริทัตกับรังสรรค์ ไม่ทำให้ปรีชา ซึ่งสูงเพียง ๑๗๐ เศษดูแตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะอย่างไรปรีชาเป็นคนที่ไหล่กว้าง มีรูปร่างบึกบึนพอสมควร แต่สำหรับกรกฏ ซึ่งมีความสูงไม่ถึง ๑๗๐ แล้วยังมีรูปร่างค่อนข้างบอบบาง จึงมองดูขัดกับทั้งสามคนอย่างเห็นได้ชัด
สถานที่แบบนี้ ในค่ำคืนวันศุกร์ ย่อมเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างก็มาเพื่อฆ่าเวลา บ้างก็มาเพื่อพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง บ้างก็มาสนุกสนานร่วมกัน และอีกหลายๆจุดประสงค์ และแน่นอนที่มีบางส่วนมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ อาจจะได้เพียงชั่วคืน หรืออาจจะได้คนที่จะคบหากันไปสักระยะ นั่นก็แล้วแต่ว่าจะได้พบเจอคนเช่นไร

ภูริทัตขยับตัวตามจังหวะของเสียงดนตรีด้วยความสนุกสนาน ถึงแม้ค่ำคืนนี้จะไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวัง แต่เขาก็ยังมีความสุข เมื่อได้รับรู้ว่าคนที่เขาคิดถึงนั้น มีความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากเขาเลย รังสรรค์และปรีชาเองก็รู้สึกสนุกสนานไม่แพ้กัน สายตาของทั้งสองคนมองไปที่ผู้คนซึ่งอยู่ภายในผัป บางทีก็หันมาชี้ชวนให้ดูคนที่ตนสนใจ ผิดกับกรกฏซึ่งมีทีท่าไม่พอใจนัก เพราะเมื่อชวนภูริทัตคุยแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ถามคำตอบคำ บางทีก็ไม่ตอบเขาด้วยซ้ำ ถึงแม้รังสรรค์และปรีชาจะชวนคุย กรกฏก็ยังรู้สึกว่าภูริทัตน่าจะให้ความสนใจเขามากกว่านี้
“เอ๊ะ” กรกฏอุทานเบาๆเมื่อมองเห็นชายหญิงทั้ง ๓ คน
ชายหนุ่มชาวตะวันตกรูปร่างดี ผิวหน้าสีขาวอมชมพู จมูกโด่งเป็นสันเล็กน้อย ริมฝีปากสีชมพู ดูแล้วแทบจะเหมือนกันไม่ผิดไปจากคนที่เขารู้จัก ผิดกันแต่ว่าเรือนผมและขนคิ้วของคนคนนี้ เป็นสีเงินยวงเงาวับ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างน่าจะเป็นลูกครึ่ง ที่มีส่วนผสมของชาวผิวดำ แต่ผิวสีชอคโกแลตก็ดูนวนเนียน โหนกแก้มค่อนข้างสูง ดวงตากลมโต ริมฝีปากอวบอิ่ม รูปร่างอวบอัดไปทุกส่วน ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งคงเป็นชาวเอเซีย กรกฏคิดว่าอาจจะเป็นจีนหรือญี่ปุ่น รูปร่างพอๆกับปรีชา แต่เหมือนจะมีมัดกล้ามมากกว่า เพราะช่วงแขนที่พ้นเสื้อกั๊กไร้แขนนั้น ดูใหญ่โตแข็งแรงด้วยมัดกล้าม ใบหน้าค่อนข้างกลม ผมตัดสั้น ดวงตาเรียวเล็ก จมูกถึงไม่โด่งนักแต่ก็จัดว่าค่อนข้างใหญ่ ริมฝีปากบางดูแดงราวเชอรี่ คนทั้งสามเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของผัป เดินพลางสอดส่ายสายตามองดูผู้คนอย่างช้าๆ เหมือนจะมองดูคนที่อยู่ในผัปให้ครบทุกคน แล้วเมื่อหยุดยืน หญิงสาวและชายหนุ่มชาวตะวันออกก็หันหน้ามาทางเขาพอดี ในขณะที่อีกคนหนึ่งหันหลังให้
“น่ากินทั้งคู่เลยว่ามั๊ยปู” ปรีชาเอียงหน้ามาพูดกับกรกฏ
“เอ็งสนผู้หญิงด้วยเหรอวะ” รังสรรค์เข้ามาพูดด้วยอีกคน
“มันเริ่มกลายพันธ์แล้ว” ภูริทัตพูดแล้วก็หัวเราะร่า
“สองคนนี่ยังไม่เท่าไหร่หรอก คนที่หันหลังอยู่นั่นสิ ถ้าหันมานะ แม้แต่พี่ทัตก็ต้องสนใจ” กรกฏพูดยิ้มๆ
“ขนาดนั้นเชียว” ภูริทันเลิกคิ้ว “เดี๋ยวจะคอยดู”
ปรีชากับรังสรรค์และกรกฏ พากันวิพากษ์วิจารณ์หญิงชายทั้งสองกันอย่างสนุกสนาน ภูริทัตก็ฟังอย่างสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง จนเมื่อชายผมสีเงินยวงหันหน้ามานั่นแหละ ชายหนุ่มถึงกับแทบสำลักเครื่องดื่มที่กำลังดื่มอยู่
“สานฝัน” ภูริทัตอุทานเบาๆด้วยความตกใจ
“ดูดีๆไอ้ทัต แค่เหมือนเว๊ย” รังสรรค์หันมาบอก หลังจากที่เพ่งมองอยู่ชั่วครู่
“แต่เหมือนมากเลยนะ ยังกับฝาแฝด เค้าเคยเล่ามั๊ยว่ามีฝาแฝดน่ะ” ปรีชาหันไปถามภูริทัต
“ไม่ใช่หรอก สานฝันเค้าตัวคนเดียว ครอบครัวเค้าตายไปหมดแล้ว ญาติก็แทบจะไม่เหลือ นี่กลับไปอังกฤษก็คงจะไปเยี่ยมญาติที่เหลืออยู่นั่นแหละ” ภูริทัตบอกกับเพื่อนๆ
“นั่นสิ สเตฟานก็เคยเล่าให้ข้าฟังเหมือนกัน ว่าเค้าตัวคนเดียว นี่ถ้าได้มาเห็นคนที่เหมือนตัวเองขนาดนี้คงตกใจน่าดู” รังสรรค์พูดขำๆ
“นายไปรู้มาตอนไหน” ภูริทัตหันมาถาม
“ก็ตอนที่เดินเล่นกับเค้าน่ะ ลองถามดู ตอนนั้นเค้าก็บอกว่าครอบครัวเค้าเสียชีวิตไปหมดแล้ว” รังสรรค์ตอบโดยที่ไม่คิดอะไร
“เดินเล่น” ภูริทัตทวนคำ “ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่นายแอบไปหาสานฝันตอนไหน” ภูริทัตเสียงเขียว
“ไม่ได้ไปหาเว๊ย เจอกันโดยบังเอิญ ก็เลยเดินเล่นด้วยกัน แค่นั้นเอง เอ็งอย่าหึงไม่เข้าเรื่องน่า ยิ่งตอนนี้เอ็งได้กันแล้วแบบนี้ ข้ายิ่งไม่ยุ่ง” รังสรรค์พูดแล้วหัวเราะชอบใจปนขบขัน กับท่าทีหึงหวงของเพื่อน
“แล้วถ้าเค้ายังไม่ได้คบกันล่ะ พี่สรรค์จะว่ายังไง” กรกฏถาม ทำท่าทางเหมือนไม่มีเจตนาร้าย
“ก็จีบน่ะสิถามได้” รังสรรค์ตอบทันที แล้วหันไปทางภูริทัต “นี่ถ้าเอ็งไม่ใช่เพื่อนข้านะ ข้าจะลองแย่งดู”
“นั่นสิ นี่ถ้าพวกเราไม่ใช่เพื่อนรักกันนะ ป่านนี้เป็นศึกชิงนางแล้ว เอ ... ไม่ใช่สินะ ต้องศึกชิงนาย” ปรีชาผสมโรงด้วยคน
“พีชาก็เป็นไปกับเค้าด้วยเหรอ” กรกฏยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น ที่รู้ว่าคนทั้งสามต่างก็สนใจในคนคนเดียวกัน
“พวกเอ็งน่ะ หมดสิทธ็ตั้งแต่คิดแล้ว จะบอกอะไรให้นะ” ภูริทัตยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อน “สานฝันน่ะ เค้ารักข้าตั้งแต่เห็นข้าครั้งแรกเลยนะเว๊ย”
“แล้วนายล่ะ เลิฟ แอท เฟริส ไซด์ เหมือนกันรึเปล่า” รังสรรค์ถามยิ้มๆ
“อื้อ” ภูริทัตตอบแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“เฮ้อ ... ชวด ฉลู ขาล เถาะ ไหนๆก็หมดหวังแล้ว เอาตัวสำรองก็ได้” พูดจบปรีชาก็หันกลับไปมองชายชาวต่างชาติผมสีเงินยวงคนนั้นอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นและหญิงชายอีกสองคนที่มาด้วย หายไปเสียแล้ว
“เสียใจด้วยหว่ะ สงสัย มอ คอ ปอ ดอ ซะแล้ว”  รังสรรค์พูดแล้วก็แบมือทั้งสองออกทางด้านข้าง ทำหน้ายียวน
“เชอะ .... หาใหม่ก็ได้ มีอีกเยอะ” พูดแล้วปรีชาก็สอดส่ายสายตามองดูคนในผัปต่อ พร้อมกับชวนเพื่อนคุยไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครสักคนสังเกตว่ารังสรรค์พูดน้อยลง และดื่มมากขึ้น เพราะคิดว่ารังสรรค์อาจจะเริ่มเบื่อแล้ว มีแต่ตัวรังสรรค์เองที่รู้ว่า เขารู้สึก ‘เซ็ง’ อย่างมาก เมื่อได้รับรู้เรื่องความรู้สึกของภูริทัตและสเตฟานมากขึ้น ตอนนี้เองที่เขาเพิ่งจะรู้ตัว ว่าเขาเองก็เกิดอาการเช่นเดียวกับภูริทัตเช่นกัน

และอาการนี้ยังเกิดขึ้นกับบุคคลเดียวกันเสียด้วย ... สเตฟาน ... สานฝัน

แต่ฝันของเขา คงเป็นได้เพียงแค่ฝันที่ไม่อาจสานต่อเท่านั้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 18-03-2009 20:38:38
เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตื่นเต้น ๆๆๆๆ...รอติดตามตอนต่อไปครับบบบบ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 18-03-2009 20:48:31
อ้างถึง
และอาการนี้ยังเกิดขึ้นกับบุคคลเดียวกัน กับคนที่เป็นเพื่อนสนิทเสียด้วย
ไม่เข้าใจกับประโยคนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 18-03-2009 21:08:34
อ้างถึง
และอาการนี้ยังเกิดขึ้นกับบุคคลเดียวกัน กับคนที่เป็นเพื่อนสนิทเสียด้วย
ไม่เข้าใจกับประโยคนี้
อ่านแล้ว งง เหมือนกัน
เบียนเอง งงเอง  :sad4:

แก้ไขแล้วคร๊าบบบ หวังว่าคงดีขึ้น  o1
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 18-03-2009 21:11:59
สานฝันกลับไปทำอะไรที่อังกฤษหว่า ต้องมีเหตุผลแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-03-2009 21:22:04
รังสรรค์หลงรักสเตฟานด้วยหรอ  :m21:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 18-03-2009 21:23:41
เหตุการณ์มันเริ่มดำเนินเข้าใกล้ตัวของภูริทัตเข้าไปทุกที

มารอตอนต่อไปอยู่นะครับ ตั้ม เป็นกำลังใจให้เหมือนเคย +1 ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-03-2009 23:48:10
^
^
จ่อติดก้นน้องวันเลย หุหุ

เรื่องยิ่งเข้มข้นมากมาย
รังสรรค์ก้อชอบสเตฟานเหมือนกัน
เจ้าปูท่าทางจะร้าย

ติดตามต่อไป บวก 1 ให้จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 19-03-2009 07:11:48
พากันตกหลุมรักสานฝันกันหมดเลย :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 19-03-2009 09:01:00
ชอบสานฝันกันหมด

เรื่องเหมือนมันใกล้จะจบแล้วนะ

แฮปปี้ใช่ไหมคะ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 19-03-2009 18:47:26
พากันตกหลุมรักสานฝันกันหมดเลย :laugh:
ชอบสานฝันกันหมด

เรื่องเหมือนมันใกล้จะจบแล้วนะ

แฮปปี้ใช่ไหมคะ 
อิ อิ อิ ทำไงได้ นายเอกเรามาดนุ่มซะขนาดนั้น จริงมะ  :laugh3:
ว่าแต่จะให้จบแล้วเหรอ  o12
ว่าจะยืดอีกซักหน่อย  :sad3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 20-03-2009 06:35:36
^
^
จะยืดเป็นหนังสติ๊กเลยก้อได้น้า
แต่ว่าจบแบบสานฝันสมหวังกับภูริทัตนิรันดรได้เปล่าจ๊ะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-03-2009 07:17:45
รุมรักสานฝันกัน แต่สานฝันต้องคู่กับภูริทัตเท่านั้นนะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 20-03-2009 10:43:18
 o22 อารายอ่ะ  จะจบแล้วเหรอ
ทำไมรู้สึกสั้นๆอ่ะ น้องตั้ม
เอ่อ.... พี่หมายถึงนิยายอ่ะนะที่สั้น  :laugh:
ยืดแข่งกะละครหลายสีหน่อยนะ ๆๆๆ
สงสารสานฝันอ่ะ  อยู่คนเดียวมาแสนนาน
กว่าจะได้มาเจอภู แล้วมีความสุขด้วยกันแป๊บเดียว จะจบซะละ
ม่ายยยยยยย  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 20-03-2009 11:07:41
o22 อารายอ่ะ  จะจบแล้วเหรอ
ทำไมรู้สึกสั้นๆอ่ะ น้องตั้ม
เอ่อ.... พี่หมายถึงนิยายอ่ะนะที่สั้น  :laugh:
ยืดแข่งกะละครหลายสีหน่อยนะ ๆๆๆ
สงสารสานฝันอ่ะ  อยู่คนเดียวมาแสนนาน
กว่าจะได้มาเจอภู แล้วมีความสุขด้วยกันแป๊บเดียว จะจบซะละ
ม่ายยยยยยย  :serius2:
:sad3:
จะให้จบอีกคนแล้วเหรอ ม่ายยยยยยยยยยยยย.....  :serius2:
ตัวละครยังออกมาไม่ครบเล๊ยยยยย..............
แล้วสเตฟาน เป็นแวมไพร์จริงๆรึเปล่า หรือเป็นอะไรกันแน่
ต้องยืดๆๆๆ ออกไปอีก
 :laugh3: :laugh3: :laugh3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๑๙ - ๑๘ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-03-2009 12:37:16
 :z13: :z13: น้องตั้ม นี่แนะ  :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 20-03-2009 18:48:02
บทที่ ๒๐

ชายหนุ่มมองดูคนตรงหน้าด้วยแววตาหวานเชื่อม ไล้มือไปตามแก้มที่เนียนนวล ถึงแม้จะมีผิวขาวแบบชาวตะวันตกเช่นเดียวกัน แต่ผิวของชายหนุ่มคนนี้กลับดูเนียนละเอียดผิดชาวตะวันตกทั่วไป มือที่วางอยู่บนไหล่เลื่อนลงมาลูบเบาๆบริเวณตะโพกของอีกฝ่าย
“ผิวคุณนุ่มจัง” ชายหนุ่มพูดเบาๆ มองไปตามส่วนต่างๆของเครื่องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความหลงไหล แล้วหยุดลงที่ดวงตาสีเขียวมรกต
อีกฝ่ายไม่ตอบได้แต่ยิ้มน้อยๆ ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยมือขาวผ่อง ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มน้อยๆ แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดันให้เขาเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จนชนเข้ากับเตียง
“อุ๊บ” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายผลักให้เขาล้มนอนลงบนเตียงนุ่ม “ทำไมคุณรุนแรงจัง” ถามด้วยความแปลกใจ และเริ่มคิดว่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะร้อนแรงกว่าท่าทางสุขุมที่มองเห็นภายนอก ทำให้ชายหนุ่มเริ่มยิ้มกริ่ม เมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวลงมาช้าๆ  แล้วก็รู้สึกเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะหมดสติไป

สเตฟานโน้มตัวตามชายหนุ่มที่ถูกผลักให้ล้มลงบนเตียง ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาว ราวกับแก้วที่สะท้อนแสงไฟ อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าตนถูกครอบงำด้วยจิตของเขาเสียแล้ว ในขณะที่คิดว่าจะได้ลิ้มรสความสุขจากเขา กลับต้องหมดสติลงเพราะการสะกดของดวงตาสีเขียวมรกตคู่ที่ตนชมชอบ ใบหน้าของสเตฟานที่เคลื่อนลงไป หยุดลงเหนือใบหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วทำท่าเหมือนกำลังสูดหายใจเอาบางสิ่งเข้าไป ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ แต่ภาพที่ปรากฏในดวงตาสีเขียวมรกต สเตฟานมองเห็นกลุ่มละอองสีขาวลอยออกมาจากบริเวณจมูกของชายหนุ่ม แล้วรวมตัวกันเป็นเส้นสายบางๆ เข้าสู่จมูกของตน เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที เขาก็ยุติการ ‘กิน’ เพราะเขาต้องการพลังชีวิตจากมนุษย์เพียงเล็กน้อย เท่าที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตไปได้ช่วงหนึ่งเท่านั้น การสูบกินพลังชีวิตเช่นนี้ ไม่เกิดผลใดๆกับ ‘เหยื่อ’ นอกจากการอ่อนเพลียเล็กน้อยเมื่อตื่นขึ้น และเมื่อเหยื่อตื่นขึ้นมา ก็จะจำเหตุการณ์ต่างๆไม่ได้ เพราะเขาทำการสะกดจิตเหยื่อทุกครั้ง เหมือนๆกับการกระทำโดยปรกติของแวมไพร์โดยทั่วไป
....................................................................
.................................
... โจชัวร์ ...
เสียงเรียกทำให้ผู้ที่กำลังจะเข้าสู่นิทรารมย์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“สเตฟาน เจ้าไปอยู่ถึงที่นั่นเชียวหรือ” โจชัวร์พึมพำเบาๆ ด้วยความแปลกใจ
... ปล่อยข้าเถอะ ข้าขอร้อง ให้ข้าได้เป็นอิสระ ...
“ไม่มีวัน เจ้าก็รู้ว่าอิสระของเจ้า จะเกิดขึ้นได้ เมื่อข้าสูญสิ้น” โจชัวร์เค่นเสียงออกทางไรฟัน ไม่ต้องการให้อีกสองคนได้รู้ความจริงข้อนี้
... แต่ข้าไม่ต้องการทำร้ายท่าน ท่านก็รู้ ...
“หึ หึ” เค่นหัวเราะในลำคอ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนทำลายครอบครัวของเจ้าน่ะหรือ”
... เรื่องนั้นข้าเหลือแต่เพียงความเศร้าอยู่ในใจเท่านั้นแหละ ... เสียงที่ตอบมาเศร้าสร้อยจนต้องขมวดคิ้ว
“แล้วทำไมเจ้าถึงได้มาเร่งรัดข้าในตอนนี้ เวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปี ไม่เห็นเจ้าร้อนรนเช่นนี้”
... เพราะตอนนี้ข้ามีคนที่ข้ารัก ได้โปรดเถอะโจชัวร์ อย่างน้อยก็ให้อิสระแก่ข้า จนกว่าดวงไฟแห่งชีวิตของมนุษย์ผู้นั้น จะดับลงได้หรือไม่ ...
“อ้อ ... ข้ารู้แล้ว เพราะมนุษย์คนหนึ่งนี่เอง เพราะความสุขที่เจ้าต้องการมอบให้มนุษย์ผู้นั้น” เสียงของโจชัวร์เริ่มดังขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาสีฟ้าเริ่มเปล่งประกายเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ
... บอกท่านตามตรง การปิดกั้นจิตไม่ให้ท่านหาพบ ทำให้ข้ามอบความสุขแก่เขาได้ไม่เต็มที่ ...
“เจ้าก็เลยอยากให้ข้าเลิกยุ่งเกี่ยวกับเจ้า ยามที่เจ้าใช้ชีวิตกับมนุษย์ผู้นั้น” โจชัวร์แค่นหัวเราะ “เพื่อที่เจ้าจะได้มอบความสุขให้แก่มัน เหมือนวันนั้น” ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ แสดงถึงอารมณ์ที่ตรงกันข้าม
... ได้หรือไม่ โจชัวร์ ... น้ำเสียงนั้นทั้งอ่อนโยน และขอร้องอยู่ในที
ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของเสตฟานเท่านั้น ความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยพบในแวมไพร์ตนใดนี่เอง ที่ทำให้โจชัวร์หลงใหล
“ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว ข้าต้องการเข้าสู่นิทรา” ความรู้สึกง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำ เมื่อประสาทสัมผัสเริ่มรับรู้ว่าถึงเวลาแห่งการนิทรา
... ถ้าเช่นนั้นข้าจะคุยกับท่านอีกครั้ง ...
เสียงเงียบหายไป แต่โจชัวร์ก็ยังรับรู้ถึงสภาวะของจิต ที่อยู่ห่างไปอีกซึกหนึ่งของโลกได้ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ปิดกั้นจิตไว้เช่นเคย แต่ก่อนที่จะคิดอะไรต่อไป สภาพของจิตและร่างกายของตนก็เข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว

สเตฟานถอนหายใจยาว เขามีเวลามากกว่า ๑๐ ชั่วโมง ที่จะทำตัวตามสบาย ไม่ต้องกังวลกับการปิดกั้นจิตเหมือนที่เคยทำ เพราะรู้ดีว่าขณะที่พระอาทิตย์ขึ้นในอีกฟากหนึ่งของโลก ก็จะเป็นเวลาที่อีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงนิทรา กี่ร้อยปีมาแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้ ถึงแม้การทำตัวให้มีสมาธิเพื่อก่อ ‘กำแพง’ อยู่ตลอดเวลา จะกลายเป็นความเคยชินในการดำเนินชีวิต แต่ช่วงเวลานี้ นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆเมื่อคิดไปว่า ‘แผน’ ที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะได้ผลหรือไม่ แผนการที่จะทำให้โจชัวร์ออกห่างจากผู้เป็นที่รักของเขาให้มากที่สุด เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะปิดบังโจชัวร์ไว้ได้นานแค่ไหน ถึงตัวตนของบุคคลอันเป็นที่รัก กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งโจชัวร์และ ‘ลูก’ ของเขา อาจจะทำอันตรายแก่ชายหนุ่มผู้นั้นได้ หากโชคร้ายถึงที่สุดอาจไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตของชายหนุ่มเท่านั้น แต่อาจหมายถึงการทำให้ชายหนุ่มผู้นั้น กลับกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วยอีกผู้หนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสิ่งเลวร้ายสุดคาดคิดก็ได้
“ภูริทัต ผมจะปกป้องคุณให้ได้” สเตฟานพูดกับตัวเองเบาๆ
....................................................................
.................................
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกคนเรียก จึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครมีท่าทางว่าเรียกเขา ทุกคนในห้องต่างก็กำลังทำงานของตนอยู่อย่างขะมักเขม้น เพราะช่วงเช้าเช่นนี้นอกจากงานใหม่ที่จะต้องทำแล้ว บางคนอาจมีงานเก่าที่คั่งค้างมาจากวันวานด้วย ภูริทัตจึงก้มหน้าอ่านเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่อ และทำงานไปเรื่อยๆจนได้เวลาพักกลางวัน
“กลับมารึยัง” รังสรรค์ถามขึ้นในระหว่างกินข้าวกลางวัน
“อะไร” ภูริทัตย้อนถาม
“ก็สเตฟานไง เมื่อไหร่จะกลับ” รังสรรค์ขยายความ
“ไม่รู้หว่ะ ตั้งแต่ที่โทรมาวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย” ภูริทัตตอบแล้วสีหน้าก็สลดลง
“แย่จังนะ เป็นแฟนภาษาอะไร ถ้าเป็นผมจะโทรหาพี่ทุกวันเลย” กรกฏพูดเสียงออดอ้อน
“ปูพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ” รังสรรค์ติง
“ทำไมล่ะพี่ ก็ผมห่วงพี่ทัตของผมนี่” กรกฏเน้นคำว่า ‘ของผม’ เป็นพิเศษ
“ว่าไปที่ปูพูดก็น่าคิดนะ ทำไมเค้าไม่โทรมาเลยล่ะ” ปรีชาแสดงความคิดเห็น
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ภูริทัตก็รู้สึกถึงการสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง จึงล้วงออกมาดู พอเห็นเลขหมายที่โทรเข้าก็ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ว่าทำไมผู้ที่กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนา ถึงได้โทรมาในเวลาที่พอเหมาะเช่นนี้
“สวัสดีครับ” ภูริทัตกรอกเสียงลงไป
“ภูริทัต ดวงใจของผม ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย” เสียงทักทายที่เปี่ยมไปด้วยความคิดถึง ทำให้สีหน้าของชายหนุ่ม เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นทันที
“ห่วงผมด้วยเหรอ” ถึงใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ก็แกล้งทำเสียงดุ เหมือนไม่พอใจ
“ผมจะมีใครในเมืองไทยให้ห่วงได้อีกล่ะครับ นอกจากคุณ”
“จริงอ๊ะ” เขายังคงทำเสียงดุ ท่ามกลางสายตาที่มองดูด้วยความแปลกใจของเพื่อนๆ
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ” อีกฝ่ายตอบมาช้าๆ “ผมเพียงแต่จะโทรมาบอกว่า ‘ธุระ’ ของผมใกล้จะเสร็จแล้ว คงจะกลับไปเร็วๆนี้” น้ำเสียงสดใสในตอนแรก เปลี่ยนเป็นแหบแห้ง
“เมื่อไหร่ คุณจะกลับมาวันไหน” เสียงดุๆเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงตื่นเต้นทันที
“อีกไม่กี่วันหรอกครับ แล้วผมจะให้คุณทรงศักดิ์คอยส่งข่าวให้คุณรู้ แค่นี้ก่อนนะครับ ภูริทัต ดวงใจของผม” แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป
“สานฝัน เดี๋ยว ...”
ภูริทัตพูดจนเกือบเป็นตะโกน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงรีบวางสายไปอย่างกะทันหัน เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม แล้วกินข้าวต่อด้วยความหงุดหงิด
“สเตฟานโทรมาเหรอ” ปรีชายื่นหน้าเข้าไปถาม
“เออ” ภูริทัตตอบสั้นๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ว่าไงมั่งล่ะ” รังสรรค์ถามด้วยความสนใจ
“จวนกลับแล้ว” ภูริทัตยังตอบสั้นๆเหมือนเดิม
“อ้าว ก็ดีน่ะสิ แล้วทำไมหน้าบูดอย่างงั้นวะ” รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ
“พูดยังไม่ทันรู้เรื่อง วางสายซะแล้ว จะไม่ให้โกรธได้ไงล่ะวะ” ภูริทัตบ่น
“อ้าว แล้วทีเอ็งล่ะ ทำท่าดุซะขนาดนั้น ไม่คิดว่าเค้าจะเสียใจมั่งรึไงวะ” รังสรรค์แก้ให้
“พี่สรรค์พูดยังกับรู้ใจนะ” กรกฎพูดยิ้มๆ
“ไม่ต้องถึงกับรู้ใจหรอกนะปู คิดง่ายๆถ้าปูเป็นสเตฟาน เจอเจ้าทัตพูดแบบเมื่อกี้ จะทำยังไง”
“ผมก็จะพยายามพูดให้พี่เค้าอารมณ์ดีน่ะสิ นี่อะไรวางหูไปซะเฉยๆอย่างงั้น” กรกฏตอบ
“นั่นสิ คราวนี้เราเห็นด้วยกับปูมันนะ” ปรีชาเสริม
“แต่สเตฟานน่ะ เค้าอ่อนไหวกว่านั้นเยอะ เชื่อสิป่านนี้เสียใจแย่แล้ว” รังสรรค์พูดแล้วหันไปสบตาภูริทัต ซึ่งกำลังจ้องหน้าเขา “หรือนายว่ายังไง”
ภูริทัตไม่ตอบ แต่ก้มหน้ากินข้าวที่เหลืออยู่อย่างเงียบๆ ปล่อยให้เพื่อนๆคุยกันไป โดยที่ตัวเองอยู่ในความครุ่นคิด เพราะเขาก็เห็นด้วยกับรังสรรค์เช่นกัน
....................................................................
.................................
“รีบออกไปหาอาหารกันได้แล้ว” โจชัวร์บอกไลล่ากับไป่เทียน ทันทีที่ตื่นจากนิทรา “กินกันซะให้อิ่มด้วย เที่ยงคืนพวกเราจะออกเดินทาง”
“เดินทาง” ไลล่าทวนคำ ทำท่าว่าจะถามอะไรต่อ
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น รีบไป แล้วอย่าลืมว่า อย่าทำอะไรเป็นการทิ้งร่องรอย ให้พวกมนุษย์มันรู้ถึงการคงอยู่ของแวมไพร์อย่างพวกเรา”
ไลล่า และ ไป่เทียนรับคำ แล้วก็ออกจากห้อง ไม่นานนักโจชัวร์ก็ออกไปบ้าง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
“สเตฟาน ข้าไม่ปล่อยเจ้าหรอก เจ้าต้องกลับมาอยู่เคียงข้างข้า” โจชัวร์พึมพำ ขณะที่เดินออกจากโรงแรมไปสู่จุดหมายที่ต้องการ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 20-03-2009 20:17:56
^
^
^
^
มาจิ้มสเตฟาน......   หุหุหุ

รอลุ้นอยู่นะครับ กลัวว่าโจชัวร์ จะเจอภูริทัต ก่อนเจงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 20-03-2009 20:34:47
 :serius2:
งี้มีไรกะภูริทัตทีก็ต้องบินกันให้รอบโลก...ไม่งั้นก็จับได้ว่าอยู่ไน๋
ทำไม๊ทำไม...รักลำบากขนาดนี้...สงสารสเตฟานจังงงงง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 20-03-2009 21:57:26
ความน้อยใจ ทำให้ภูริทัต พูดออกไปอย่างงั้น

อะไรจะเกิดขี้นต่อไป ตาม ๆๆๆๆๆๆๆๆ

+1 ให้นะครับตั้ม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 21-03-2009 00:38:36
โอ้โห.. ตัวละครยังออกมาไม่ครบหรอ ดูท่าว่าเรื่องนี้ คงยาวพอสมควร (รึเปล่า) นะเนี่ย

แล้วตัวละครที่เหลือ จะเป็นยังไงกันบ้างหว่า อยากรู้ ๆ

ตอนใกล้ ๆ นี่ คงจะเจอกันแล้วสิ ภูริทัต กับ โจชัวร์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 21-03-2009 02:46:35
แผนล่อเสือนี่เอง  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 21-03-2009 03:23:58
กรี๊ดดด หลังจากนั่งอ่านโต้รุ่ง ในที่สุดก็ทันปัจจุบัน

สนุกมากเลยค่ะ

ชอบแนวแวมไพร์อยู่พอดีเลย

สานฝัน ภูริทัติ :-[ ความรักนีคงยากลำบากหน่อยล่ะ

เอาใจช่วยให้แฮปปี้เอนดิ้ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 21-03-2009 03:33:25
สเตฟานวางแผนอะไรไว้เนี่ย
จะช่วยภูริทัตกับตัวเองให้สมหวังได้หรือเปล่านะ
บวก 1 ให้เลยจ้า ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นมากๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-03-2009 14:39:09
ต่อเรื่องอีกยาวๆ ก็ได้ค่ะ ชอบๆ เรื่องนี้ค่ะ ลุ้นดี  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 21-03-2009 16:56:31
แอร๊ยยยยย สเตฟานจะกลับมาแล้ว  :z1:
ยินดีกะนายภูด้วยน้า หุๆๆ



ปล. น้องตั้มมมมมม พี่ไม่ได้เร่งให้จบเร็วเน้อ
อยากอ่านเยอะๆ แล้วก็นานๆด้วย
 55555555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๐ - ๒๐ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-03-2009 00:08:01
สงสารสานฝันจริงๆ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 22-03-2009 18:53:31
บทที่ ๒๑

“อย่าลืมพาสปอร์ตนะครับ” ทรงศักดิ์ย้ำไปอีกครั้งหนึ่ง “แล้วพรุ่งนี้เย็นผมจะไปรับหน้าที่ทำงาน จะได้ไม่เสียเวลา แค่นี่นะครับคุณภูริทัต”
“เรียบร้อยแล้วครับคุณท่าน” ทรงศักดิ์หันกลับไปบอกสเตฟานที่นั่งอยู่บนโซฟา ภายในห้องทำงานภายในบ้านของเขา “ว่าแต่มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือครับ สิงคโปร์มันใกล้แค่นี้เอง” พูดพลางเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของชุดโซฟา
“แบบนี้แหละดีแล้ว อีกฝ่ายคงคิดไม่ถึง ว่าผมจะกล้าขนาดนี้” สเตฟานตอบยิ้มๆ
“แล้วถ้ามันผิดพลาดล่ะครับ ผมอดห่วงไม่ได้ คุณภูริทัตจะไปสู้รบปรบมือกับอีกฝ่ายได้ยังไง” ทรงศักดิ์ถามด้วยความกังวล
“แล้วคุณไม่ห่วงตัวเองบ้างหรือ  ถ้าพวกนั้นรู้ว่าคุณเป็นคนจัดการเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจต่างๆให้ผม”
“คงสาวมาไม่ถึงตัวผมหรอกครับ ใครจะคิดว่าคุณท่านจะสนใจธุรกิจโรงแรม เพราะเงินไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นเลยแม้แต่น้อย สำหรับคุณท่าน หรือคนอื่นๆที่เป็นแบบคุณท่าน”
“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่มีคนเตือนผม สอนผม ให้รู้ว่าในโลกมนุษย์ เงินตราเป็นสิ่งสำคัญ และนับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะสิ่งของทุกอย่างในการดำเนินชีวิต ล้วนต้องใช้เงินซื้อหาทั้งนั้น แล้วยังสอนผมว่า การได้มาซึ่งสิ่งของด้วยวิธีที่ผ่านมา นับว่าเป็นเรื่องผิดในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ผมอยากทำตัวเหมือนมนุษย์ แต่ผมไม่สามารถทำธุรกิจได้เอง ผมได้ทวดของคุณนี่แหละที่ให้การช่วยเหลือ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับคุณท่าน คนที่ได้รับการช่วยเหลือน่ะ คุณทวดของผมต่างหาก ถ้าไม่ได้คุณท่าน คุณทวดของผมคงต้องล้มละลาย มีหนี้สินล้นพ้นตัว ธุรกิจก็ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ และพวกผมคงไม่ได้อยู่กันอย่างสุขสบายเหมือนทุกวันนี้” ทรงศักดิ์พูดอย่างตื้นตัน “มิหนำซ้ำ สิ่งที่คุณท่านต้องการ นับว่าเป็นทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับทรัพย์สินที่คุณท่านมอบให้คุณทวดในตอนนั้น”
“แค่นี้ผมก็เพียงพอแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากมายนี่ ผมกินอาหารไม่เปลือง ดื่มนิดหน่อย บันเทิงอีกนิด ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปที่ต่างๆก็ไม่ต้องเสีย แล้วผมก็อยากใช้เวลาอยู่กับคนที่รัก ในช่วงเวลาที่สามารถทำได้” สายตาของสเตฟานเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เมื่อคิดถึงชายหนุ่มที่อยู่ในใจของตน

ทรงศักดิ์จ้องมองอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกว่าตนคิดเช่นไรกันแน่

... มีความสุขเพราะเห็นคนที่ตนเคารพรัก มีความสุขกับคนที่ตนรัก
... เป็นห่วงว่าความรักของคนทั้งสองจะเป็นเช่นไรต่อไป เพราะความแตกต่างในแทบจะทุกเรื่อง
... กังวลว่าหากวันหนึ่งข้างหน้า ชายหนุ่มผู้นั้นได้รู้ความจริง ถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มผู้นั้นอาจจะตีจากไปด้วยความหวาดกลัว
... วิตกไปถึงคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจสร้างปัญหาต่อทั้งคุณท่านของเขา และชายหนุ่มผู้นั้น

แล้วความคิดของเขาก็ต้องสะดุดลง เมื่อบานประตูห้องทำงานถูกเปิดขึ้นอย่างกระทันหัน พร้อมกับชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างสูงมากกว่า ๑๘๐ ผิวสองสี หน้าตาคมเข้มแบบชายไทย หากมองให้ดี จะเห็นว่ามีส่วนคล้ายทรงศักดิ์อยู่บ้างเหมือนกัน
“คุณปู่ครับ ผมเอาตั๋วเครื่องบินที่คุณปู่สั่งไว้มาให้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงและรอยยิ้ม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าภายในห้องมีคนอื่นอยู่ด้วย “ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าคุณปู่มีแขก” ชายหนุ่มเขม้นมองคนแปลกหน้าด้วยความแปลกใจ เพราะยามวิกาลเช่นนี้ คุณปู่ของเขาไม่น่าจะมีคนมาหาถึงที่บ้านได้ มิหนำซ้ำยังเป็นชาวต่างชาติเสียอีก
“จะเข้ามาทำไมไม่เคาะประตูก่อน” ทรงศักดิ์ตำหนิเบาๆ “ขอโทษด้วยนะครับ หลานผมไม่ค่อยมีมารยาท” เขาหันไปบอกสเตฟาน ซึ่งยิ้มตอบเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
“แหม ... ผมไม่คิดว่าคุณปู่จะมีแขกนี่ครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ที่ถูกตำหนิต่อหน้าคนอื่น แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยความสนใจ รอยยิ้มที่อบอุ่นชวนสนิทสนม ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเป็นมิตรด้วยทันที จึงได้ทักทายออกไป “สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ นี่คงเป็นทรงเดชหลานคุณสินะ” สเตฟานทักทายชายหนุ่ม แล้วหันไปถามทรงศักดิ์
“ใช่ครับ ทรงเดชมานั่งสิ” ทรงศักดิ์ตอบแล้วหันไปบอกหลานชาย “เมื่อกี้บอกว่าเอาอะไรมาให้”
ทรงเดชเดินเข้าไปยื่นซองสีน้ำตาลใบเล็กให้ทรงศักดิ์ แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง
“ตั๋วเครื่องบินไงครับ ออกเดินทางคืนพรุ่งนี้ กลับเช้าวันอาทิตย์ ตามที่คุณปู่สั่งทุกอย่าง” ทรงเดชตอบ แล้วหันไปมองสเตฟานอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาที่ทรงศักดิ์ “แล้วนี่คุณภูริทัต ที่จะเดินทางไปกับคุณปู่เหรอครับ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มกับสเตฟานด้วยความเป็นมิตร  แล้วเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง “เอ ... ผมคุ้นๆหน้า เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนมั๊ยครับ หรือว่าตอนที่ผมไปหาคุณปู่ที่โรงแรม” ประโยคหลังหันไปถามกับทรงศักดิ์
“เคยสิครับ เราเคยพบกันหลายครั้งแล้ว แต่คุณคงจำไม่ได้” สเตฟานพูดกลั้วหัวเราะ
“เหรอครับ” ชายหนุ่มทำตาโต แล้วขมวดคิ้ว “ผมจำไม่ได้จริงๆนั่นแหละ แต่เอ๊ะ ... ทำไมคุณพูดไทยชัดจัง”
“ตาเดช” ทรงศักดิ์เรียกชื่อหลานด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “นี่คุณท่าน”
“คุณท่าน” ทรงเดชขมวดคิ้วอีกครั้ง นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณสเตฟานน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มตกใจจนอ้าปากค้าง หันไปมองสเตฟานอีกครั้ง ก็พบกับสีหน้าที่เหมือนจะขบขันกับท่าทางของเขา “เรื่องที่คุณปู่เล่าให้ผมฟังเป็นเรื่องจริงเหรอครับ” เขาหันไปถามทรงศักดิ์เสียงเลิกลั่ก
“ทำไมแกถามอย่างนี้ แปลว่าตลอดมาแกไม่เคยเชื่อชั้นเลยล่ะสิ” ทรงศักดิ์พูดเสียงดุๆ
ทรงเดชหันกลับไปมองสเตฟานอีกครั้ง คราวนี้เพ่งพินิจมากกว่าเก่า
“ไม่จริงน่า ... คุณปู่ล้อผมเล่น แวมไพร์อะไรจะเป็นแบบนี้” ทรงเดชพูดเบาๆ
“แล้วคุณคิดว่าแวมไพร์ น่าจะเป็นยังไง” สเตฟานถามยิ้มๆ รอยยิ้มทั้งอ่อนโยน ทั้งแสดงความขบขันต่อชายหนุ่ม
“แวมไพร์ที่ไหนจะยิ้มได้น่าดูแบบนี้ล่ะครับ” ทรงเดชพูดออกไปทันที “แวมไพร์น่ะต้องดุ โหด ดูเยือกเย็น ไม่เป็นมิตร แบบเคาท์แดกคิวร่าไง แต่ดุคุณสิ ยิ้มหวานขนาดนี้ ... คุณร่วมมือกับคุณปู่มาหลอกผมล่ะสิ”
ชายหนุ่มพูดแล้วหัวเราะเบาๆ แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ค่อยๆเลือนหายไป
“คุณปู่ นี่มันอะไรกัน เค้าหายไปไหน” ทรงเดชถามหน้าตาตื่น
“ผมอยู่นี่”
ทรงเดชหันไปตามเสียงก็เห็นสเตฟานนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ที่โต๊ะทำงานอีกด้านหนึ่งของห้อง
“คุณเชื่อรึยัง”
เสียงมาจากอีกด้านหนึ่ง ทรงเดชหันกลับไป ก็พบว่าสเตฟานกลับมานั่งอยู่บนโซฟายาวตัวเดิม ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่ามีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของตัวเอง
“ผม ... ผม” พูดด้วยความตะกุกตะกักเพราะความตื่นเต้น “ผมอยากเห็นเขี้ยวของคุณ”
สเตฟานขมวดคิ้ว มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ได้ เขี้ยวของแวมไพร์มีไว้เพื่อการสูบโลหิตเป็นอาหาร หรือการคร่าชีวิตผู้อื่นเท่านั้น มันอันตรายเกินไป อีกอย่างหนึ่ง ...” สีหน้าของสเตฟานอ่อนโยนลง “โลหิตไม่จำเป็นสำหรับผม และผมก็ไม่ต้องการชีวิตใคร ผมเลิกใช้เขี้ยวมานานแล้ว”
“ตาเดช แกอย่าสงสัยอะไรให้มากนัก ปู่เคยบอกแล้วว่า จะให้แกสานต่องานรับใช้คุณท่านต่อจากปู่ แกก็รับปากไม่ใช่เหรอไง”
“ผมคิดว่าคุณปู่หลอกผมเล่น” ทรงเดชถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรหรอกทรงศักดิ์ หากเขาไม่เต็มใจก็อย่าบังคับเขา” สเตฟานติง
“แต่ว่า ต่อไปใครจะคอยดูแลคุณท่านล่ะครับ”
“ยังมีเวลาอีกนาน ทรงศักดิ์” สเตฟานยิ้มน้อยๆ “คุณยังแข็งแรง เชื่อว่าผมยังคงพึ่งพาคุณได้อีกนาน”
ทรงเดชมองดูสเตฟานด้วยความสงสัย แทบไม่เชื่อเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือแวมไพร์ ที่เขารู้สึกมาตลอดว่า เป็นเรื่องเพ้อผัน และถ้ามีจริง คนเบื้องหน้าก็ช่างต่างจากภาพพจน์ที่เขาคิดไว้เสียเหลือกิน
“ดีใจที่ได้เห็นคุณอีกนะทรงเดช” สเตฟานหันมาพูดกับชายหนุ่ม “ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณ คุณเพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่วัน และครั้งสุดท้ายคุณยังเป็นเพียงเด็กชายที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น ตอนนี้คุณเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว” สเตฟานหันกลับไปทางทรงศักดิ์ “คุณคงภูมิใจในตัวหลานคนนี้มากนะ”
“ครับคุณท่าน ถึงจะไม่ค่อยเอาไหน แต่ก็ทำเรื่องให้ผมดีใจหลายเรื่อง” พูดแล้วก็หันมองหลานชายด้วยความรักและเอ็นดู
“ดีแล้ว เอาหล่ะ ดึกมากแล้ว ผมควรจะไปซะที คงจะมีโอกาสได้พบกันอีกนะครับ” สเตฟานหันไปยิ้มให้ทรงเดช ซึ่งยังมองเขาอย่างงงๆ
“คุณท่านจะกลับไปที่โน่นเลยเหรอครับ” ทรงศักดิ์หมายถึงประเทศอังกฤษ
“ไม่หล่ะ คืนนี้ผมคงจะอยู่ในกรุงเทพฯ วันพรุ่งนี้ก็คงพักในห้องพักเหมือนเคย แล้วเจอกันที่สิงคโปร์นะ” พูดจบร่างของสเตฟานก็ค่อยๆเลือนหายไป
คนทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ สายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองผู้เป็นปู่ ราวกับจะมีคำถามอยู่มากมาก

“ตกลงมันเป็นเรื่องจริงเหรอครับ” ทรงเดชขยับตัวมานั่งที่โซฟาตัวยาว ด้านที่ใกล้กับทรงศักดิ์
“ขนาดนี้แล้วแกยังไม่เชื่ออีกเหรอไง”
“แต่คุณท่านไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลย ผมคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะดูเหมือนคนวัยกลางคน ที่ไหนได้ดูแล้วยังกับว่าอายุพอๆกับผม แล้วยังดูใจดีอีกต่างหาก”
“อื้อ ปู่พอจะเข้าใจแก คุณท่านน่ะเป็นแวมไพร์ที่แปลกกว่าแวมไพร์ตนอื่น ซึ่งถ้าแกได้เจอพวกนั้น แกต้องออกห่างเพราะมันอันตราย”
“แล้วที่คุณสเตฟาน ... เอ้อ ... คุณท่านบอกว่าท่านเลิกใช้เขี้ยว แปลว่าท่านไม่กินเลือดคนเหรอครับ”
“ใช่”
“อ้าว ... เป็นแวมไพร์ไม่ดูดเลือด แล้วจะอยู่ได้ยังไง” ทรงเดชขมวดคิ้ว ยกมือลูบคาง
“ได้สิ คุณท่านดูดพลังชีวิตของพืช เอามาเป็นพลังงานในการดำรงชีวิต แต่ก็มีบางช่วง ที่ต้องดูดพลังชีวิตจากมนุษย์เหมือนกัน”
“แล้วมันไม่ยิ่งแย่กว่าดูดเลือดเหรอครับคุณปู่ แค่เลือดน่ะ ร่างกายสร้างใหม่ทดแทนได้ แต่ถ้าสูบพลังชีวิต จะไม่ทำให้อายุสั้นลงเหรอครับ ผมเคยเห็นในหนัง คนที่ถูกดูดพลังชีวิตจะแก่เร็วขึ้น”
“ก็อาจจะนะ แต่คุณท่านไม่ดูดพลังชีวิตของคนมากมาย จนถึงขนาดทำให้แก่ลงทันทีหรอก เรื่องนี้คุณท่านเคยพูดให้ปู่ฟัง ท่านขอเพียงให้ใช้ดำรงชีวิตได้เท่านั้น ไม่มีผลต่อคนที่ท่านดูดพลังชีวิตเท่าไรนัก ไอ้เรื่องจะทำให้แก่ลงเร็วขึ้นน่ะ มันเป็นแค่ในหนัง ที่คนสร้างจินตนาการขึ้น”
“เหรอครับ อย่างนั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“แต่คุณท่านก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอกนะ เพราะฉะนั้นคุณท่านจะไม่แตะต้อง ‘เหยื่อ’ อีกเป็นครั้งที่สอง” ทรงศักดิ์เว้นระยะการพูด มองดูใบหน้าที่ครุ่นคิดของหลานชาย “ว่าแต่แกน่ะ จะไม่ดูแลคุณท่านต่อจากชั้นจริงๆน่ะเหรอ”
“ขอผมคิดซักพักได้มั๊ยครับคุณปู่ ผมยังสนุกกับงานที่ทำอยู่เลย”
“ปู่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรแก แต่อย่างมั่นใจว่ามีคนมารับช่วงงานต่อ ถ้าแกยอมทำ ก็หาเวลามาเรียนรู้งานบริหารที่โรงแรมได้แล้ว ปู่อยากเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม เพราะตอนนี้ปู่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน”
“คุณปู่ยังแข็งแรงอยู่ได้อีกนาน” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปบีบมือผู้ชราเบาๆ “ก่อนจะเริ่มงาน คุณปู่ให้ผมได้พบคุณท่านอีก ๒-๓ ครั้งได้มั๊ยครับ”
แววตาแสดงความสงสัยในดวงตาของทรงศักดิ์ ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“แหม ... ผมก็ต้องอยากรู้มั่งสิครับ ว่าคนที่ผมจะต้องทำงานด้วยน่ะเป็นยังไงบ้าง ฟังแต่ที่คุณปู่เล่า ยังไงก็คงไม่เหมือนได้รู้ด้วยตัวเองหรอกนะครับ”
“อืม ... ได้ แล้วปู่จะจัดการให้” ทรงศักดิ์พยักหน้า เหมือนเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นหลาน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: christmas ที่ 22-03-2009 19:48:28
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย  ขอบคุณคนเขียนนะครับ 

รออ่านต่อน้า...........
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 22-03-2009 19:57:05
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย  ขอบคุณคนเขียนนะครับ 

รออ่านต่อน้า...........
ชอบจุดไหนของเรื่องเหรอครับ อยากรู้อะ  :o8:
เพื่อนๆช่วยกันบอกหน่อยนะครับ

แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม และทุกกำลังใจนะครับ  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 22-03-2009 20:23:36
มาต่อแล้ว ชอบตรงไหนหรอ บอกไม่ถูกอะ แต่อ่านแล้วถึงเป็นนิยายแต่ก็มีข้อคิดบ้างเหมือนกัน เอาเป็นว่าชอบเพราะคนเขียน คือ บุหรง  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 22-03-2009 20:33:10
ชอบตรงไหนบอกม่ะถูกเช่นกัน...ลึกลับคงเป็นที่ 1 แบบมีอะไรลึกลับให้รอลุ้นอยู่เสมอ? คาดเดายากด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 22-03-2009 20:48:37
 :z2: :z2: :z2: :z2:
มาแอบบอกว่าชอบเรื่องนี้ด้วยคน อิๆ
เอาตรงๆนะชอบสไตล์การเล่าเรื่งอแบบค่อยๆคลี่คลายปมต่างๆ
ที่มีมาแต่แรกอย่า่งนี้ รวมถึงการใช้ภาษาที่เรียบง่ายกระชับ
แต่ให้ลายละเอียดได้เสมอแม้จะเล็กน้อย
ก็ยังทำให้สนุกกับการคลาดเดาเรื่องราวความเป็นไป ที่จะตาม
แล้วด้วยโครงเรื่องของเรื่องนี้ยิ่งแล้วใหญ่แปลกใหม่ และนำมาผูกปมได้น่าสนใจ
มีทั้งสีสันเล็กๆน้อย คอยแซมมาเรื่อยยิ่งเสริมให้เรื่องมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
โดยรวมเรื่อิงนี้จัดเป็นเรื่องราว วาย แบบให้อะไรที่มากกว่า วาย
และที่สำคัญที่เฝ้ารอตั้งแต่เห็นชื่อคนเขียนเลยก็ คือ ตอนจบของเรื่องว่าจะเป็นอย่างไร
แล้วจะรออ่านต่อเสมอ +1 ให้เป็นกำลังใจ
                                                                                     นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 22-03-2009 21:13:48
นอกจากแวมไพน์จะอยู่ยาวแล้วคนดูแลก็ยังต้องสืบทอดกันยาวๆจริงๆด้วยนะ
แล้วแบบนี้ที่ว่าชีวิตนิรันดร์มันดี แต่การที่ต้องจากคนที่เรารักไปคนแล้วคนเล่า มันดีจริงๆเหรอ :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-03-2009 21:57:24
ถ้าถามว่าชอบเรื่องนี้ตรงไหน

มี 2 เหตุผล หนึ่ง การดำเนินเรื่อง และเนื้อเรื่องที่แหวกแนวออกไป

              สอง ผู้แต่ง เพราะพอเห็นชื่อคนแต่ง ก็คลิกเข้ามาอ่านเลย

                   ฉนั้น ข้อ สอง สำคัญที่สุดเพราะติดตามมานานแล้วไง  :z1:

เป็นกำลังใจให้ตั้มอยู่เสมอนะครับ +1 ให้ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 23-03-2009 00:02:07
หนทางรักนี้ท่าจะมีอุปสรรค์ใหญ่หลวง

หวังว่าคงไม่จบแย่นะคะ

อยากให้สมหวังอ่ะ :monkeysad:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 23-03-2009 02:24:33
ชอบตรงไหนไม่รู้ แต่หัวใจบอกว่า "ชอบ" เรื่องนี้ แค่นั้นเอง ฮิ ฮิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 23-03-2009 06:32:34
บวก 1 ให้นะจ๊ะ เพราะชอบเรื่องนี้เหมือนกัน
ชอบธีมของเรื่อง
ชอบวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อยๆคลี่คลายส่วนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มบางจุดที่ชวนคิดเข้ามา
ชอบตัวละคร สเตฟาน
ชอบความแปลกใหม่ที่ใส่ให้กับความเป็นแวมไพร์
สรุปว่าชอบมากมาย

แต่ตอนนี้มี ทรงเดช เพิ่มเ้ข้ามา ต้องมีบทบาทสำคัญอะไรแน่ๆเลย รอลุ้นต่อจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 23-03-2009 09:48:54
อย่าบอกนะว่าคุณหลานก็แอบปิ๊ง สานฝันของเราเข้าด้วยอีกคนน่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 23-03-2009 12:24:44
ชอบเรื่องตรงที่อ่านแล้วเพลินดี ภาษาสวยดีค่ะ ไม่ค่อยมีจุดสะดุด จบตอนโดยไม่รู้ตัวทุกทีเลย   :m4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: chatkub ที่ 23-03-2009 13:47:13
ไม่อยู่เพิ่งได้กลับมาอ่าน

ขอบคุณที่มาลงหั้ยอ่านเรื่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 23-03-2009 15:08:49
 :o8:ชอบเรื่องนี้ตรงที่
สามารถบรรยายความรักที่มีต่ออีกคนโดยไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย ก็สามารถเข้าใจได้
โดยเฉพาะความรักของที่สองคน(ทัต-ฝัน)
แต่บอกตามตรงตอนแรกๆๆงงนะ แบบว่าบางทีมันดูไม่ออกในตัวตนของสานฝันอ่ะ
พออันไปได้สักพักก็เข้าใจว่าทำไมถึงดูไม่ออก
 ขอชมผู้เขียนนะคะ การเขียนมีพัฒนาการขึ้นมากๆๆ จากเรื่องแรกที่คุณเขียนจากประสบการณ์จริง

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๑ - ๒๒ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 23-03-2009 16:22:25
ชอบเพราะคนแต่งชื่อ "ตั้ม"   :laugh: ตอบแบบกำปั้นทุบดินไปไม๊จ๊ะ
อ่านที่น้องตั้มแต่งมาทุกเรื่อง  ก็ไม่เคยผิดหวังอ่ะ
สนุก น่าติดตามทุกเรื่อง
มีปมชวนให้ติดตาม  o22 แล้วก็ค่อยๆเคลียร์เรื่องราวทีละน้อยๆ
ชอบคาแรคเตอร์นายเอกของน้องตั้มด้วย
แบบว่า ชอบคนอ่อนโยนอ่ะ  :กอด1: แพ้ทางคนใจดีทู๊กกกกกที
แล้วที่น่าชมมากๆอีกเรื่อง
คือ... ความสม่ำเสมอในการลงนิยาย  o13
เอ๊ะ เขียนไปเขียนมา  รู้สึกตอบไม่ตรงคำถามชอบกล  55555555

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 23-03-2009 20:13:55
บทที่ ๒๒

“คราวนี้สิงคโปร์เชียวเหรอครับ” ภูริทัตถึงกับต้องถอนหายใจ เมื่อได้รู้ถึงจุดหนาย
“ถ้าไม่สะดวก จะไม่ไปก็ได้นะครับ” ทรงศักดิ์พูดยิ้มๆ
“ไปสิครับ มาถึงขนาดนี้แล้ว”  ภูริทัตเกาท้ายทอยด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “นับวันยิ่งไกลขึ้นทุกที” เขาบ่นเบาๆ
“ความจริงคุณท่านจะไปประเทศอื่น แต่แวะที่สิงคโปร์ก่อนเพื่อเจอคุณนะครับ”
“แล้วทำไมไม่เข้ามาเมืองไทยซะเลยล่ะครับ”ชายหนุ่มสะพายเป้บรรจุสัมภาระเดินเข้าไปในบริเวณที่พักผู้โดยสาร อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาขึ้นเครื่อง
“มันมีปัญหาบางอย่างน่ะครับ ตอนนี้คุณท่านถึงต้องเดินทางไปโน่นมานี่ คิดว่าถ้าเรื่องราวต่างๆเรียบร้อย คุณท่านคงกลับเข้ามาอยู่ได้ตามปรกติ”
“มันเกี่ยวกับคนที่กำลังตามหาเค้าอยู่รึเปล่าครับ” เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทรงศักดิ์หันมามองหน้าชายหนุ่มตาเขม็ง “สานฝันเคยเล่าว่า มีคนกำลังตามหาเค้าอยู่ แต่เค้าไม่อยากเจอ คนคนนี้ตามมาถึงเมืองไทยแล้วเหรอครับ”
“อืม” ทรงศักดิ์รับคำเบาๆ “เพราะอย่างนี้ คุณท่านถึงต้องคอยหลบไงครับ คุณทัตคงเข้าใจ แล้วอย่าโกรธที่คุณท่านต้องทำให้คุณลำบากเลยนะครับ”
“ถ้าบอกกันซะหน่อยก็คงจะดีหรอกครับ นี่อะไรก็นิ่งเงียบ บอกซะผมจะได้อธิบายกับพวกที่ชอบหาเรื่องได้”
“หาเรื่อง” ทรงศักดิ์ทวนคำ “หาเรื่องอะไรครับ”
“ก็หาเรื่องให้ผมกับสานฝันเข้าใจผิดกันไงครับ แล้วยังมีพวกขี้สงสัยอีก ความจริงผมก็ไม่อยากใส่ใจหรอก แต่พอมันบ่อยๆเข้ามันก็น่ารำคาญเหมือนกัน ที่สำคัญ คนพวกนั้นก็เพื่อนๆผมเองทั้งนั้นซะด้วย ข้างนึงก็เพื่อน ข้างนึงก็ ... ก็ ...” ภูริทัตอึกอัก ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความเก้อเขิน
“ข้างนึงก็เพื่อน ข้างนึงก็คนรักน่ะสิครับ” พูดแล้วทรงศักดิ์ก็หัวเราะเบาๆ “คุณก็เลยไม่รู้ว่าบางทีควรจะวางตัวยังไง เข้าข้างใครมากไปก็ไม่ได้ ลำบากเหมือนกันนะครับ”
“ใช่มั๊ยล่ะครับ” ภูริทัตโพล่งออกไป “แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากจะถามซะด้วย เดี๋ยวจะหาว่าผมคอยจับผิด”
“ถามเถอะครับ สำหรับคุณท่านน่ะ ไม่ว่าอะไรคุณหรอก มีแต่จะดีใจที่คุณแสดงความห่วงใยท่าน”

ก่อนที่จะคุยกันต่อ ก็มีเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง ทั้งสองคนจึงชวนกันลุกจากที่นั่ง เดินไปยังทางที่จะขึ้นเครื่องบิน เพื่อเดินทางไปยังจุดหมาย แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา คนทั้งสองก็เข้าสู่ที่พัก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมชั้นนำในย่านท่องเที่ยวของสิงคโปร์ ต่างก็เข้าสู่ห้องพักซึ่งอยู่ตรงกันข้าม เพื่ออาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับนัดหมายที่จะพบกันอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น ถึงแม้ภูริทัตจะแปลกใจ ที่ยังไม่พบสเตฟาน แต่ก็คิดว่าทรงศักดิ์คงจะเป็นคนติดต่อ ให้สเตฟานได้รู้ถึงการมาถึงของคนทั้งสอง เมื่อชายหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จเสียงกริ่งตรงหน้าประตูห้องก็ดังขึ้น
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกอย่างดีใจ เมื่อเปิดประตูไปพบคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง
“ผมเข้าไปข้างในได้มั๊ยครับ” คำถามพร้อมกับรอยยิ้มของสเตฟาน ทำให้ภูริทัตจ้องมองไม่วางตา
ภูริทัตไม่ตอบ แต่จับข้อมือของสเตฟาน ดึงเบาๆเป็นสัญญานให้อีฝ่ายรับรู้ และเมื่อประตูห้องถูกปิดลง ก็รวบร่างของสเตฟานเข้ามากอดไว้แนบแน่น
“ผมคิดถึงคุณจัง” ภูริทัตพูดพร้อมกับไล้จมูกไปตามหน้าผาก ไล่ริมฝีปากจูบเบาๆ จากหัวคิ้ว สันจมูก แล้วประกบกับริมฝีปากสีชมพูอย่างแนบแน่น มือก็ไม่อยู่นิ่ง ป่ายปะไปตามสัดส่วนต่างๆ แล้ววกมาปลดกระดุมเสื้อของสเตฟานออกทีละเม็ด ริมฝีปากเริ่มและเล็ม ไล่ลงมาตามลำคอ ลาดไหล่ จนเสื้อของสเตฟานหลุดจากตัว ในใจนึกรำคาญสร้อยคอเส้นเล็กๆที่อยู่บนลำคอระหง จนอยากจะปลดมันออกเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อยากให้เวลากับสิ่งเล็กน้อย จนเสียเวลาอันมีค่าไป
สเตฟานรับรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่ายได้ จากสัมผัสอันอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยความปรารถนา มือทั้งสองเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อยืดของภูริทัตบ้าง แล้วดึงเสื้อยืดออกทางด้านศรีษะ แล้วลูบเบาๆไปบนแผ่นอกกำยำของชายหนุ่ม
ภูริทัตจ้องมองใบหน้าของสเตฟาน ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรักและความต้องการ แล้วประทับจูบลงไปอีกครั้ง เป็นจูบที่ดูดดื่มมากกว่าครั้งแรก แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินไปยังเตียงนอนกลางห้อง พากันประคองอีกฝ่ายให้นอนลงบนเตียง แล้วเริ่มแสดงความรักต่อกัน ตามที่หัวใจปรารถนา

“สานฝัน” ภูริทัตเรียกคนในอ้อมกอด เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป “ทำไมคุณเป็นแบบนี้อีกแล้ว”
“อะไรเหรอครับ” สเตฟานตอบเบาๆ ทั้งๆที่ตายังหลับพริ้ม
“ก็ผมรู้สึกอีกแล้วว่าคุณฝืนๆตัวไว้ ไม่รักผมเหรอครับ ถึงได้ทำแบบนี้”
“ดวงใจของผม” สเตฟานลืมตา ยันตัวขึ้น แล้วโอบกอดศรีษะของภูริทัตไว้แนบอก “ถ้าผมไม่รักคุณ ผมจะขอให้คุณมาหาผมที่นี่หรือครับ”
“แล้วทำไม ...” ภูริทัตท้วง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก ก็ถูกมือขาวผ่องปิดปากไว้
“ผมตามใจคุณบ่อยมากไม่ได้ เพราะมันจำเป็น ไม่ใช่เพราะไม่รักคุณ ผมเองก็อยากมีความสุขกับคุณแบบวันนั้น แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้ เข้าใจผมนะครับคนดี แล้วอย่าคิดอีกเด็ดขาดว่าผมไม่รักคุณ”
“แต่ผมอยากให้คุณมีความสุข” ภูริทัตเงยหน้าขึ้นพูด สีหน้าไม่พอใจ
“ตอนนี้ผมก็มีความสุข” สเตฟานตอบด้วยรอยยิ้ม “ถึงคุณจะไม่เห็นว่าผมมีความสุขทางกาย แต่ทางใจ ... ผมมีความสุขมาก มากจนคุณอาจจะคิดไม่ถึงด้วยซ้ำไป”
“จริงนะสานฝัน คุณอย่าหลอกให้ผมดีใจ” พูดพลางซุกใบหน้าแนบแน่นกับอกอุ่น มือก็เขี่ยสายสร้อยบนลำคอของสานฝันเล่น
“จริงสิครับ เด็กน้อยของผม ผมมีความสุขมาก”
“ชิส์” ภูริทัตจุ๊ปาก “เรียกผมว่าเด็กน้อยอีกแล้ว ผมเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
“แต่คุณก็อายุน้อยกว่าผมอยู่ดี ผมเรียกคุณแบบนี้ก็น่าจะได้” แล้วสเตฟานก็ต้องอมยิ้ม เพราะอีกฝ่ายยันตัวขึ้นมาจ้องหน้าเขม็ง
“จะแก่กว่าผมซักกี่ปีกันเชียว” ภูริทัตเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย “เดี๋ยวเด็กน้อยจะกำหราบผู้ใหญ่ให้อยู่หมัดเชียว”
พูดแล้วก็ประทับจูบลงไปบนริมฝีปากของสเตฟาน แล้วเริ่มบดเบียด แทรกลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัด บทรักเริ่มดำเนินอีกครั้งตามครรลอง จากเนิบนาบ แล้วค่อยๆร้อนแรงถี่กระชั้นขึ้น จนถึงจุดสูงสุดของความรู้สึก แล้วทั้งสองก็ผลอยหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน
....................................................................
...................................
“หน้าบานเป็นจานเปลเชียวนะ มีอะไรดีๆเหรอไง” ปรีซาแซวเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของภูริทัต
“คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิวะ” ภูริทัตตอบ พลางมองดูเพื่อนสนิท และเพื่อนรุ่นน้องนั่งลงบนเก้าอี้
“คราวนี้ไปไหนมาล่ะ” รังสรรค์ถามยิ้มๆ
“สิงคโปร์”
“โห ไปถึงโน่นเชียว มากไปรึเปล่าพี่” กรกฏพูดเหมือนไม่เชื่อ
“ทำไงได้ ไกลแค่ไหนก็จะไปหา จริงมั๊ย” ปรีชาพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ภูริทัต
“เอาเข้าจริงๆ สะดวกกว่าเจอกันตามต่างจังหวัดอีก สิงคโปร์เหมือนใกล้แค่เมืองชล” พูดแล้วภูริทัตก็หัวเราะร่วน
“แล้วกลับมาพร้อมกันรึเปล่า” รังสรรค์ถามบ้าง หลังจากสั่งอาหารและเครื่องดื่ม กับพนักงานของร้านอาหาร
“เปล่า เค้ายังกลับไม่ได้ คงต้องอยู่นอกเมืองไทยซักพัก” ภูริทัตตอบแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อกรกฏถาม
“ทำไมล่ะพี่ เข้าประเทศไม่ได้เหรอไง ไปทำอะไรไว้เหรอ”
“ไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดว่าร้ายคนอื่นเค้า” ภูริทัตพูดเสียงดุ
“เอาน่า” ปรีชาห้ามทัพ “ว่าแต่ไปโน่นทำอะไรกันบ้างล่ะ เที่ยวกันเพลินเลยสิ”
แล้วคำถามต่างๆก็ถูกระดมออกมาจากคนทั้งสาม ภูริทัตตอบบ้างไม่ตอบบ้าง คนทั้งสี่สนทนากันไปเรื่อยๆ จนได้เวลาต้องกลับเข้าไปทำงาน
....................................................................
...................................
“เอ๊ะ” รังสรรค์อุทานเบาๆ เมื่อมองเห็นคนที่นั่งกันอยู่บนโซฟา ภายในห้องลอบบี้ของโรงแรมที่เขามาบ่อยๆ “ไหนว่าไม่กลับ แล้วไหงมานั่งอยู่นี่ได้ล่ะ”

หลังเลิกงาน รังสรรค์รู้สึกไม่อยากกลับบ้าน จึงเดินเล่นในย่านการค้ากลางกรุงเทพฯ จนมาถึงโรงแรมแห่งนี้ ความคิดถึงคนบางคนผุดขึ้นมาในใจ จึงเดินเข้ามา เพื่อนั่งดื่มกาแฟเคล้าเสียงเปียโน เผื่อว่าความรู้สึกในใจจะเบาบางลงบ้าง แต่เขากลับเห็นคนที่คิดถึงนั่งอยู่กับทรงศักดิ์ และชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เท่าที่เห็นคนทั้งสามพูดคุยกันด้วยความสนิทสนม ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น ดูเหมือนจะสูงพอๆกับเขา ใบหน้าจัดว่าคมคายทีเดียว
รังสรรค์กำลังคิดว่าควรจะเข้าไปทักทายหรือไม่ ก็พอดีว่าทรงศักดิ์หันมาเห็นเขาเข้าพอดี และเมื่อทรงศักดิ์หันไปบอกกับสเตฟาน เขาก็ต้องเดินเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น
“นั่งด้วยกันสิครับ”  สเตฟานพูดพลางผายมือไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆที่ว่างอยู่
“เจ้าทัตมันบอกว่าคุณยังอยู่ที่สิงคโปร์” รังสรรค์ถามทันทีเมื่อนั่งลงแล้ว
“ผมมีเรื่องต้องมาจัดการน่ะครับ” สเตฟานตอบยิ้มๆ “ดื่มอะไรดีครับ”
รังสรรค์หันไปสั่งกาแฟกับพนักงานที่เข้ามายืนข้างๆ
“นี่คุณรังสรรค์ แล้วนี่ทรงเดช หลานผมเอง” ทรงศักดิ์แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน
หลังจากแนะนำตัวกันตามสมควร รังสรรค์ก็หันกลับมาที่สเตฟาน
“นี่เจ้าทัตรู้มั๊ยครับ ว่าคุณกลับมาแล้ว”
“ผมไม่ได้บอก ผมเพิ่ง ‘มาถึง’ เมื่อสักครู่นี้เอง”
“แปลว่าคุณมีธุระด่วนจริงๆสินะครับ”
“มาสัมภาษณ์พนักงานใหม่ไงครับ” ทรงเดชตอบแทน
“พนักงานใหม่” รังสรรค์ขมวดคิ้ว หันกลับไปถามสเตฟาน “ทำไมต้องให้คุณสัมภาษณ์ล่ะ”
“อ้าว ตำแหน่งเลขาท่านประธาน ก็ต้องให้ท่านประธานสัมภาษณ์ด้วยตัวเองสิครับ” ทรงเดชตอบอีก โดยไม่สนใจสายตาห้ามปรามของทรงศักดิ์
“ประธาน ...” รังสรรค์ยิ่งงุนงง
“ก็ประธานกรรมการผู้บริหารโรงแรมนี้ไงครับ” ทรงเดชบอกยิ้มๆ “จริงมั๊ยครับคุณท่าน”
สเตฟานขมวดคิ้ว ส่งสายตาเหมือนจะตำหนิ
“พูดมากไปแล้วนะ ตาเดช” ทรงศักดิ์ตำหนิเบาๆ “เรากลับกันได้แล้ว คุณท่านจะได้พักผ่อน”
“แต่ ...” ทรงเดชท้วง สีหน้าไม่ยินยอม
“ไม่มีแต่ ปู่มีเรื่องจะต้องพูดกับเราอีก พวกเราไปก่อนนะครับ” ประโยคหลังหันไปพูดกับรังสรรค์ แล้วหันไปพูดกับสเตฟาน “ผมกลับก่อนนะครับคุณท่าน”
“อื้อ พรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันต่อ”
รังสรรค์มองดูทรงเดชเดินตามทรงศักดิ์ไป แล้วหันมามองสเตฟานด้วยสีหน้างุนงงในสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้

... ประธานกรรมการบริหาร ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 23-03-2009 20:40:30
 :z13:
จิ้มคนเขียน อิๆ
เนื้อหาตอนนี้ยังไม่มีอะไรมาก แต่แอบมีใส่ประเด็นที่น่าสนใจไว้หลายอย่าง
แล้วจะรออ่านต่อนะคราบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 23-03-2009 20:54:20
ด้วยความไม่รู้ ภูริทัตเล่าอะไรโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะนำความเดือดร้อนมาให้

ใช่ไหมตั้ม เดาไปอย่างนั้นแหละ  :z2:

เป็นกำลังใจให้นะครับ พักนี้ขยันนะ +1 ให้อีกด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 23-03-2009 22:01:44
 :z2:
แวมไพร์เจ้าสเน่ห์...ใคร ๆ ก็รุมรัก วุ่นวายเจง ๆๆๆๆ   :o8:
วันนี้ขยันจัง มาต่อสองตอนเลยยยย
 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 23-03-2009 22:07:52
รอลุ้นว่าสานฝันกำลังจะทำอะไร :pig4: 



หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-03-2009 23:04:44
สงสัยใกล้เวลาที่ความจริงจะเปิดเผยแล้วมั๊ง :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 23-03-2009 23:43:19
ทรงเดชพูดเยอะเิกินไปหรือเปล่าเนี่ย
ทำไมต้องไปต่อปากต่อคำกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน แถมเป็นเพื่อนกับท่านประธานฯด้วย
สงสัยต้องเป็นจุดพลิกผันอะไรอีกแน่เลย
รออ่านต่อนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 24-03-2009 00:31:25
อ่านเรื่องนี้แล้วเสียวไส้จริงๆ

เฉียดกันไปเฉียดกันมาหลายรอบแล้ว

ปูถูกโจชัวร์ดื่มเลือดแล้ว

เพื่อนๆก็พัวพันธ์กับสานฝันกันมากขึ้น (แถมมีทีท่าจะเจอกับโจชัวร์อีกหน)

ทรงเดชนี่ก็ จะไว้ใจได้รึเปล่า

ซักวันต้องเจอกันแน่ๆเลย :m29:

ลืมตอบว่าชอบเรื่องนี้ตรงไหน

ชอบการบรรยายและดำเนินเรื่อง การผูกปมตัวละคร ชอบที่ผสมลึกลับและแฟนตาซีไว้กับเรื่องโรแมนติก(ชอบแนวนี้อ่ะ)

สรุป ชอบหมดทั้งเรื่องเลยค่ะ รวมทั้งคนเขียนด้วย
 :L2:
เป็นเรื่องที่ชวนลุ้นให้ติดตามตลอดเวลาเลย


หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 24-03-2009 01:16:18
อืมม คงต้องมีอะไรต่อไปแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-03-2009 03:48:58
ทรงเดช จะนำพาความเดือดร้อนมาให้มั้ยเนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-03-2009 10:07:15
หลานชายยังนิ่งไม่พอนะเนี่ย คุงปู่  พูดพร่ำไปเรื่อย  :m26:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 24-03-2009 13:31:54
ที่เค้าว่าปลาหมอตายเพราะปากนี่ ท่าจะจริงสินะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 24-03-2009 15:58:09
เอิ่ม....วานใครช่วยกำจัดอีตาทรงเดชไปทีสิ
ออกมาแค่สองตอน แต่ทำให้เราอยากตื๊บได้นี่  นายแน่มาก!

แต่กลัวอ่ะ  :z3:

กลัวว่าคนที่จะนำภัยมาสู่สเตฟาน ก็คือภูริทัตนี่แหล่ะ
แล้วจะทำไงดีหล่ะทีนี้   :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 24-03-2009 16:46:01
ทรงเดชพูดมากจริงๆ :m16:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๒ - ๒๓ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 24-03-2009 18:53:58
มาเป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ

ยังไม่ได้อ่านต่อเลยค่ะ งานเข้ามากมาย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 25-03-2009 09:22:00
บทที่ ๒๓

“ผมไม่ต้องการให้มีคนรู้มากนัก ว่าผมมีตำแหน่งอะไรในโรงแรมแห่งนี้” สเตฟานพูดเบาๆ ขณะเดินอยู่บนฟุตบาทของถนนสายร่มรื่น ที่คนทั้งสองเคยเดินด้วยกันมาก่อน “ทรงศักดิ์เป็นผู้จัดการโรงแรม และเป็นรองประธานด้วย ปรกติก็จะทำงานแทนผม”
“ทำไมคุณไม่บริหารงานเองล่ะ”
“ตำแหน่งที่ผมมี เป็นเพราะผม ... เอ้อ ... ตระกูลของผมเป็นผู้ให้เงินทุนกับโรงแรม ในสายตาคนอื่น ผมเป็นคนหนุ่ม ไม่เหมาะกับหน้าที่นั้น”
“คุณก็เลยเป็นประธานแต่ในนาม”
“ก็ไม่เชิง มีบ้างบางครั้งที่ผมจำเป็นต้องปรากฏตัว ให้ฝ่ายบริหารรู้ว่า ผมมีตัวตนอยู่จริง และบางครั้งผมก็จำเป็นต้องออกความเห็นบ้าง หากมีความขัดแย้งกันในการบริหาร หรือการแบ่งปันผลประโยชน์”  สเตฟานหยุดเดิน หันมาพูดยิ้มๆ ซุกมือที่สวมถุงมือหนังบางเบาไว้ในกระเป๋าเสื้อโคต
“คุณทรงศักดิ์ถึงได้ดูเกรงใจคุณมากๆ” สเตฟานไม่ตอบ ยังคงยิ้มน้อยๆอยู่ในหน้า “แต่นายทรงเดชนั่น ดูเหมือนไม่ค่อยเกรงคุณเท่าไหร่นะ ทั้งๆที่จะมาทำงานกับคุณแท้ๆ”
“อายุยังน้อย แล้วในสายตาเค้า ผมคงจะเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน ถึงแม้ว่าผมจะอายุมากกว่าเขามากก็ตาม”
“อายุน้อยเหรอครับ” รังสรรค์พูดขำๆ “คงจะพอๆกับผม ถ้าขนาดนี้เรียกว่าน้อย แล้วคุณล่ะ” สายตาที่จ้องมองมีแววล้อเลียน
“ผมน่ะอายุมากกว่าคุณนะ” สเตฟานส่งสายตาแบบเดียวกันกลับ “มากกว่าจนคุณคิดไม่ถึงเลยหล่ะ” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มเดินต่อไป
รังสรรค์เห็นท่าทางนั้นแล้วอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ ส่ายหน้าเบาๆ ๒-๓ ครั้ง มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ตรงหน้า ที่เดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์ ผิดกับสภาพของเมืองที่ผู้คนต่างเร่งรีบ ถูกบีบรัดด้วยเงื่อนของเวลา แล้วจึงเดินตามไป แล้วระหว่างที่เดินไปคุยไปนั้น เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติอย่างหนึ่ง

ต้นไม้ใหญ่บนฟุตบาทที่พวกเขาเดินผ่าน กิ่งก้านของมันจะสั่นไหวน้อยๆราวกับมีลมพัดเบาๆ และสงบนิ่งทันทีที่พวกเขาเดินผ่านไป
............................................................................
......................................
“ทำไมแกพูดออกไปแบบนั้น” ทรงศักดิ์พูดเสียงดุๆ
“อะไรครับปู่” ทรงเดชพูดพลางประคองผู้เป็นปู่ให้นั่งลงบนโซฟายาว
“ก็เรื่องตำแหน่งของคุณท่านน่ะสิ”
“อ้าว ... ทำไมล่ะครับ” นั่งลงข้างๆแล้วทำหน้าเหรอหรา
“เอาเป็นว่าต่อไปห้ามพูดเรื่องนี้ คุณท่านไม่ต้องการให้รู้กันมาก นอกจากคนใกล้ชิดเท่านั้น”
“ก็ผมจะทำงานเป็นเลขาท่าน ต่อไปคนก็ต้องรู้อยู่ดี” ทรงเดชเถียง
“ตำแหน่งที่ชั้นเตรียมไว้ให้แกน่ะ ตำแหน่งเลขาชั้น ซึ่งชั้นจะมอบหมายงานที่ต้องทำให้คุณท่านให้แกทำ แกเข้าใจซะใหม่”
“ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะปู่ ผมก็นึกว่าจะได้ทำงานใกล้ชิดคุณท่านซะอีก” น้ำเสียงและสีหน้า แสดงถึงความผิดหวัง จนคนที่เป็นปู่ต้องส่ายหน้าด้วยความระอา
“แกอย่าคิดอะไรแบบนั้นกับคุณท่านเด็ดขาด คุณท่านมีคนรักอยู่แล้ว”
“หา” ทรงเดชเลิกคิ้ว อ้าปากหวอ “นี่ปู่คิดว่าผมคิดกับท่านแบบไหนเนี่ย”
“อ้าว แกไม่ได้นึกชอบคุณท่านหรอกเหรอ” คราวนี้ผู้อาวุโสกว่าขมวดคิ้วบ้าง
“ฮ่าๆๆ” ทรงเดชหัวเราะจนตัวงอ “ปู่เนี่ยทันสมัยเป็นบ้า” หัวเราะอยู่สักพัก ทรงเดชก็อธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ผู้เป็นปู่ฟัง “ผมรู้สึกว่าท่านน่าสนิทสนม ถ้าผมมีพี่ชายแบบนี้สักคน ผมคงดีใจมากเลย”
“แค่นั้นน่ะเหรอ” ผู้เป็นปู่ถามย้ำ หลานชายก็พยักหน้าถี่ “เอาเถอะ แกจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ขอให้แกตั้งใจทำงานเพื่อคุณท่านให้ดีแล้วกัน เพราะที่พวกเราอยู่ดีกินดีกันได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะคุณท่าน”
“เพราะคุณปู่ด้วยแหละครับ คิดดูสิ เป็นคนอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะ ไม่ต้องรับใช้ ทำโน่นทำนี่ให้ แค่นี้ก็สบายไปทั้งชาติแล้ว”
“ถ้าแกคิดจะทำอย่างนั้น ก็รอให้ชั้นตายซะก่อน” ทรงศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงดุๆ
“คร๊าบ คุณปู่ ผมรู้ว่าปู่น่ะทั้งรักทั้งภักดีต่อคุณท่านของปู่ ผมรับรองผมไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวังหรอกครับ” ทรงเดชพูดยิ้มๆ พลางเอื้อมมือไปบีบมือของผู้เป็นปู่เบาๆ “รับรองได้ครับว่าวันข้างหน้า ผมจะรักและเคารพคุณสเตฟาน ไม่ให้น้อยกว่าคุณปู่เด็ดขาด”
............................................................................
......................................
“ทำไมถึงได้หาไม่เจอซักที” โจชัวร์ส่งเสียงดังด้วยความโกรธ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ
“อาจจะหลบอยู่ก็ได้ ที่ผ่านมามันก็ทำแบบนี้มาตลอดนี่” ไลล่าพูดพลางยักไหล่
“หรือไม่ก็ไปที่อื่นแล้ว” ไป่หลงเสนอความเห็น
“ข้าต้องตามเจ้าให้พบ สเตฟาน” โจชัวร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าต้องกลับมาเป็นของข้าเพียงคนเดียว”

ไลล่ากับไป่เทียนหันหน้ามองตากัน พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมโจชัวร์ถึงได้ยึดติดกับแวมไพร์ที่ชื่อสเตฟานนัก เท่าที่คนทั้งสองรู้ สเตฟานก็เหมือนกับพวกเขา เป็นแวมไพร์จากการถ่ายเลือดของโจชัวร์เข้าไปในร่างกายของตน เมื่อกลายเป็นแวมไพร์แล้ว พวกเขาทั้งสองมีแต่ความกระหายในโลกีย์ และโลหิต ที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิตเท่านั้น แต่ดูเหมือนแวมไพร์ที่ชื่อสเตฟาน จะไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ในช่วงแรกๆจะมีลักษณะเดียวกัน แต่ความกระหายต่างๆนั้นเหมือนจะหมดไปในช่วงเวลาสั้นๆ สเตฟานกลายเป็นแวมไพร์ที่ไม่อยากดื่มโลหิตมนุษย์ เป็นแวมไพร์ที่ไม่กระหายในกามารมย์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดปรกติ เพราะมีแต่แวมไพร์ที่มีอายุหลายร้อยเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมตัวเองให้เป็นเช่นนั้นได้ แต่สเตฟานกลับเปลี่ยนไปในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

ถึงแม้โจชัวร์จะไม่ใช้อำนาจ ควบคุมให้สเตฟานอยู่ข้างกายตลอดเวลา  เหมือนแวมไพร์บางตน ซึ่งข้อนี้เองทำให้ไลล่า และไป่หลงนับถือ ในการให้อิสระแก่พวกตน แต่โจชัวร์ก็จะติดตามสเตฟานไปทุกที่ เพราะด้วยสาเหตุที่โจชัวร์เป็นเหมือน ‘ผู้สร้าง’ สำหรับสเตฟาน ซึ่งเปรียบเสมือน ‘ลูก’ ของโจชัวร์ ผู้สร้างย่อมรับรู้ได้ถึงจิตของลูก ว่าอยู่แห่งใด และมีสภาพความคิดเช่นไร รวมทั้งสามารถควบคุมให้กระทำสิ่งใดก็ได้ ตามที่ผู้สร้างต้องการ แต่โจชัวร์ไม่เคยใช้อำนาจเช่นนี้กับคนทั้งสอง เพราะทั้งไลล่า และไป่หลง ยินดีทำทุกอย่างที่โจชัวร์ต้องการอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของกามารมย์

...แต่ไม่ใช่สำหรับสเตฟาน

เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น สเตฟานก็เริ่มแข็งขืนที่จะสนองอารมณ์ของโจชัวร์ ความกระหายที่จะดื่มกินโลหิตของมนุษย์เริ่มลดน้อยลง สเตฟานเริ่มทำตัวเหมือนมนุษย์มากขึ้น พยายามกินอาหาร ดื่มเครื่องดื่มเหมือนมนุษย์  แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีอาการอาเจียรอาหารที่กินเข้าไปออกมา เหมือนกับแวมไพร์ทั่วไป

...อาหารของมนุษย์ กระเพาะของแวมไพร์ไม่สามารถย่อยสลายหรือขับถ่ายออกมาได้ การอาเจียรจึงเป็นทางเดียวที่จะขับถ่ายอาหารเหล่านั้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นผลร้ายต่อร่างกาย ...

แต่สารอาหารที่ได้จากอาหารของมนุษย์ กลับไม่สามารถทำให้ร่างกายของสเตฟานนำไปใช้ประโยชน์ได้ ร่างกายของสเตฟานซูบซีดลง จนโจชัวร์ต้องให้ดื่มโลหิตของเขาแทน แพราะสเตฟานไม่ต้องการฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอของมนุษย์ เพื่อดูดโลหิตเป็นอาหาร เช่นแวมไพร์ทั่วไป

โจชัวร์กรีดแขนของเขาให้โลหิตหยดลงบนแก้วคริสตัล และป้อนให้เสตฟานด้วยตัวเขาเอง

ตอนที่ไลล่าและไป่หลงได้ฟังเรื่องนี้ ยังต้องอิจฉาในความรักที่โจชัวร์มีให้เสตฟาน และคิดว่าหากเป็นพวกตน จะต้องขอติดตามคนผู้นี้ไปจนกว่าจะถึงวันที่ตนเองดับสูญ ... แต่สเตฟานกลับหนีไป

ถึงแม้สเตฟานจะหนีไปที่ไหน โจชัวร์ก็สามารถตามไปได้ทุกที่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปประมาณ ๒ ปี สเตฟานหนีไปถึงหุบขาแห่งหนึ่งในอินเดีย และที่นั่นเองที่ดวงจิตของสเตฟานหายไป โจชัวร์ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของสเตฟาน แต่เขามั่นใจว่าสเตฟานยังไม่ดับสูญ เขาพยายามค้นหาไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วในระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้ไลล่าและไป่เทียนมาอยู่เคียงข้าง

หลายร้อยปีที่เขาเดินทางไปยังที่ต่างๆ เพื่อตามหาคนที่เขาปรารถนา จนเกือบจะหมดหวัง และคิดว่าบางทีสเตฟานอาจจะถูก ‘ทำลาย’ ไปเสียแล้ว ด้วยน้ำมือของแวมไพร์ที่มีพลังผิดไปจากแวมไพร์ตนอื่น แวมไพร์เพียงหนึ่งเดียว ทึ่เป็นเหมือนตำนานเล่าขานกันในหมู่แวมไพร์

แวมไพร์ ที่มีชีวิตอยู่มานับตั้งแต่มีการดำรงอยู่ของเผ่าพันธ์
แวมไพร์ ที่สูบพลังของพรรณไม้ และพลังแห่งพิภพเป็นอาหาร
แวมไพร์ ผู้มีอำนาจจิตกล้าแข็งสามารถควบคุมแวมไพร์ด้วยกันได้ ถึงแม้จะไม่มีความผูกพันเช่นผู้สร้างและบุตร
แวมไพร์ ผู้สามารถทำให้แวมไพร์สูญสิ้นความเป็นแวมไพร์ อันจะนำมาซึ่งความสิ้นสุดของชีวิตนิรันดร์
แวมไพร์ ผู้ที่แวมไพร์ด้วยกันต้องหลีกหนีถ้าได้พบ เพราะมันหมายถึงการดับสูญของแวมไพร์ตนนั้น
ไม่มีแวมไพร์ตนใดรู้ว่า เรื่องที่กล่าวขานกันมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะไม่มีแวมไพร์ตนใดสามารถยืนยันได้ ถึงการมีตัวตนของแวมไพร์ตนนั้น แวมไพร์เพียงหนึ่งเดียวในเหล่าแวมไพร์ที่มีอยู่ไม่น้อยในโลกนี้

แวมไพร์ ที่ถูกขนานนามว่า

... กรีนอายส์ ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-03-2009 09:33:11
^
^
 :กอด1: คนแต่ง ได้อ่านต่อท้ายเลย หุหุ

กรีนอายส์ คือคำเฉลยในสิ่งที่สเตฟานเป็นอยู่ปัจจุบันแน่เลย
เพราะสเตฟานเคยนึกถึงเรื่องราวตอนหนีการตามจากโจชัวร์ แล้วได้ไปเจอกับผู้ที่สอนให้เปลี่ยนแปลงวิถีการเป็นแวมไพร์

ทรงเดชไม่ได้คิดกะสเตฟานเกินเลยก้อโอเคหละ ให้อภัย  :laugh:
แต่ดูเป็นคนที่ไม่สุขุมเหมือนปู่เลยนะนั่น

เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รอลุ้นต่อไป
บวก 1 ให้เช่นเคยจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 25-03-2009 11:23:35
จะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหนนะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 25-03-2009 11:28:39
ว้าวววว ทำให้แวมไพร์ตนอื่นตับสูญได้ด้วยยยย... :z2:
กรีนอายส์ เป็นอาจารย์สเตฟานแน่นอน ชัวส์
เก่ง ๆๆๆ ตื่นเต้น เร้าใจ หนุกหนานๆๆๆ  :m4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 25-03-2009 12:45:08
รอลุ้นต่อไป :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-03-2009 13:08:41
สงสัยคุงปู่ต้องฝึกคุงหลานหนักๆ หน่อยแล้ว ถ้าจะให้รับช่วงต่อ

ว่าแต่ กรีนอายส์ จะมีบทบาทมากกว่าการถูกเอ่ยถึงหรือเปล่าค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 25-03-2009 13:25:04
ว้าวววว ทำให้แวมไพร์ตนอื่นตับสูญได้ด้วยยยย... :z2:
กรีนอายส์ เป็นอาจารย์สเตฟานแน่นอน ชัวส์
เก่ง ๆๆๆ ตื่นเต้น เร้าใจ หนุกหนานๆๆๆ  :m4:
สงสัยคุงปู่ต้องฝึกคุงหลานหนักๆ หน่อยแล้ว ถ้าจะให้รับช่วงต่อ

ว่าแต่ กรีนอายส์ จะมีบทบาทมากกว่าการถูกเอ่ยถึงหรือเปล่าค่ะ
เริ่มจะคล้ายนิยายกำลังภายในซะแล้ว มีรับช่วงฝีมือ  :laugh:
... กรีนอายส์ ... มีความหมายมากกว่านั้นอีก รอติดตามต่อไปนะครับ  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 25-03-2009 14:45:49
รอติดตามตอนต่อไป   :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 25-03-2009 17:59:04
กรีนอายส์นี่คือท่านอาจารย์สินะคะ

เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกทีแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 25-03-2009 19:19:05
อย่าเอาทรงเดชออกมาเยอะเลย หมั่นไส้อ่ะ 55
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: christmas ที่ 25-03-2009 20:21:29
กำลังสนุกเลยค้าบ  รออ่านต่อนะ...

ขอบคุณคับป๋ม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 25-03-2009 23:02:59
หูยแวมไพร์มากมาย หลายแบบอีก  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 26-03-2009 09:04:56
เอ รึว่าสานฝันจะเป็น กรีนอายส์ คนใหม่รึป่าว

ยังงี้ก็สู้กะโจชัวร์ได้เลยสิเนี่ย รอลุ้นตอนต่อไปค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๓ - ๒๕ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 27-03-2009 14:15:54
รอกรีนอายส์ เย้ย..มะช่ายๆ o22 รอสเตฟานตะหาก หุๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 27-03-2009 18:49:44
บทที่ ๒๔

“กรีนอายส์” สเตฟานเรียกชื่อนั้นออกจากปากอย่างแผ่วเบา
“ใช่ ข้าคือกรีนอายส์” เสียงดังกังวาน ตอบมาจากร่างชายชรา ซึ่งนั่งอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่
สเตฟานหลบหนีโจชัวร์ จนมาถึงป่าแห่งนี้ ... ป่าทึบในตอนเหนือของอินเดีย ... เขาจ้องมองดูร่างที่คล้ายชายชราอายุเกือบร้อยปีหรืออาจจะมากกว่านั้น ดวงตาสีเขียวมรกตสองคู่ ประสานกันแน่วนิ่ง
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ” เสียงกังวานถามมา
“กลัวหรือ ... ข้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีก นับว่าพระเจ้าของมนุษย์ยังไม่ทอดทิ้งข้า ถึงได้ชี้นำให้ข้ามาพบท่านที่นี่” สเตฟานตอบพลางเดินเข้าไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายชรา “ท่านทำเถอะ ทำให้ข้าสูญสิ้นความอมตะ ทำให้ข้าดับสูญ” สเตฟานพูดวิงวอน
“เจ้าไม่กลัวรึ” คำถามพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่มุ่งมั่นของอีกฝ่าย ก็ต้องหยุดหัวเราะ “แล้วทำไมเจ้าไม่ทำลายตัวเอง เพียงแต่เสียบลิ่มไม้หรือเหล็กแหลมลงไปในหัวใจเจ้า หรือตัดหัวเจ้าออก หรือจะให้ง่ายกว่านั้น เจ้ารออาบแสงอาทิตย์ยามพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าก็จะได้ดังหวัง”
“ข้าทำไม่ได้ ท่านก็รู้ ไม่มีแวมไพร์ตนใดทำเช่นนั้นได้ มันเหมือนมีคำสั่งที่ฝังอยู่ในความคิด ว่าพวกเราไม่อาจทำเช่นนั้นได้ นอกเสียจากมีผู้อื่นมากระทำเช่นนั้นต่อเรา”
“ก็จริง ... แต่ทำไมเจ้าถึงปรารถนาความตาย ใยเจ้าไม่ใช้ชีวิตนิรันดร์ที่ได้มาให้คุ้มค่า”
“คุ้มค่า…” สเตฟานยิ้มหยัน “ข้าฆ่าคนในครอบครัว ฆ่ามิตรสหาย ต้องใช้ชีวิตเป็นเครื่องมือบำบัดความต้องการของผู้อื่น โดยมิอาจขัดขืน ท่านคิดว่าชีวิตนิรันดร์เช่นนี้ จะมีความสุขหรือ”
“แล้วถ้าเจ้าได้กลับคืนเป็นมนุษย์เล่า” ชายชราถามยิ้มๆ
“หากเป็นมนุษย์ ข้ายังจะอยู่ได้อีกหรือ ในโลกที่ข้าสูญสิ้นแล้วซึ่งบุคคลอันเป็นที่รัก แล้วผู้ที่ทำให้ข้าเป็นแวมไพร์เล่า มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า เขาจะไม่กลับมาทำร้ายข้าอีกครั้ง” สเตฟานถามกลับไป ด้วยน้ำเสียงขมขื่น “หากต้องเป็นเช่นนั้นอีก ให้ข้าตายด้วยน้ำมือท่านตอนนี้จะดีกว่า” หยดน้ำตาเริ่มไหลรินจากดวงตาของสเตฟานช้าๆ
“น่าแปลกที่เจ้าร่ำไห้ ยากนักที่แวมไพร์จะมีน้ำตา ลองเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังสิว่า เจ้าเป็นแวมไพร์ได้อย่างไร และนานเท่าไรแล้ว”

สเตฟานเล่าเรื่องของตนให้ชายชราฟัง ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับโจชัวร์ จนถึงตอนที่ได้พบชายชรา ตลอดเวลาชายชราจ้องมองดูดวงตาของสเตฟานแน่วนิ่ง ... ดวงตาสีเขียวมรกต ที่ส่องประกายแวววับ ดุจดังประกายจากแก้วเจียระไนเนื้อดี แม้จะอยู่ในความมืด แทบจะไม่ผิดจากดวงตาของชายชรา

“ดี ... ดี ... ดี” ชายชราส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น “นับว่ามาได้พอเหมาะ อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า พระเจ้าของพวกมนุษย์อาจจะนำพาเจ้า ให้มาพบกับข้าจริงๆ ... ไปกับข้า”
พูดจบชายชราก็ลุกขึ้น เดินนำสเตฟานเข้าไปในป่าลึก ความมืดมิดในยามราตรี ไม่เป็นอุปสรรคต่อสายตาของคนทั้งสอง และจากวันนั้นเอง สเตฟานได้รับการสอนถึงการปิดกั้นดวงจิตของตนเอง การใช้ และการควบคุมพลังในลักษณะที่เขาไม่เคยรู้ และไม่เคยนึกถึง

และไม่นานจากนั้นชายหนุ่มจึงได้รับรู้ถึงพลังอันแท้จริง และความลับของแวมไพร์ที่มีเพียงหนึ่งเดียว
... กรีนอายส์ ...
...................................................................................
.......................................
“กรีนอายส์” รังสรรค์ทวนคำ พร้อมกับจ้องไปยังอัญมณีสีเขียว ที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยบนลำคอขาวผ่อง
ปรกติเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า สเตฟานสวมใส่สร้อยคอเส้นนี้หรือเปล่า แต่วันนี้เพราะสาเหตุใดไม่ทราบได้ สายสร้อยเส้นนั้นหลุดออกมาจากคอเสื้อ ประกายสีเขียวที่สะท้อนราวกับจะหยอกล้อกับแสงไฟ ภายในร้านเครื่องดื่มเล็กๆแห่งนี้ ทำให้เขาอดถามถึงที่มาและชื่อของมันไม่ได้
“ใช่ครับ อัญมณีนี้เรียกว่ากรีนอายส์ มีอยู่เป็นคู่”
“อีกเม็ดนึง คุณให้เจ้าทัตไป” รังสรรค์พูดพลางลูบแก้วเบียร์บนโต๊ะเล่น
“ใช่ครับ” สเตฟานตอบ แล้วยกแก้วชอคโกแลตร้อนขึ้นจิบ
“เจ้าชามันบอกว่าเป็นแฟนซีไดมอน”
“ดูเผินๆนะครับ” สเตฟานหัวเราะเบาๆ “แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่อัญมณี”
“อ้าว แล้วมันเป็นอะไรล่ะ” รังสรรค์ยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ
“ตามชื่อของมันนั่นแหละครับ” สเตฟานยังคงยิ้มน้อยๆ
“กรีนอายส์ ... ดวงตาสีเขียว” รังสรรค์ขมวดคิ้ว “เป็นดวงตาเหรอครับ”
“ครับ มันคือดวงตาที่หดเล็กลง และเปลี่ยนเป็นผลึกคล้ายอัญมณี คงคล้ายๆกับเพชรตาแมว”
“จริงเหรอครับ แล้วมันเป็นดวงตาของสัตว์อะไรกันแน่” รังสรรค์ถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ใช่ดวงตาของสัตว์หรอกครับ” สเตฟานยิ้มมากขึ้นอีก
“ไม่ใช่ดวงตาของสัตว์ แล้วมันเป็นดวงตาของอะไร” รังสรรค์ครุ่นคิด “คุณอย่าบอกนะว่าเป็นดวงตาของคน”
“ใช่ครับ กรีนอายส์นี่ เป็นดวงตาของคนจริงๆ” สเตฟานมองดูใบหน้าที่แสดงความตกใจของอีกฝ่าย แล้วก็นึกขัน
“ล้อผมเล่นล่ะสิ” รังสรรค์รู้สึกแบบที่พูด เพราะเห็นสีหน้าที่แสดงความขบขัน ของคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้าม
“ดีแล้วครับ ที่คุณคิดว่าผมล้อเล่น”
“ก็ถ้าเป็นดวงตาของคนจริงๆ คุณจะยังกล้าใส่ไว้แบบนี้เหรอ” รังสรรค์ยิ้มอย่างคนรู้ทัน
“เพราะเป็นผมไงล่ะครับ ถึงได้กล้าใส่ เพราะเป็นดวงตาของคนที่เป็นเหมือนญาติสนิท เป็นคนที่มอบชีวิตใหม่แก่ผม ให้ผมไว้ มันเปรียบเสมือนเครื่องลางคุ้มภัยให้กับผม” ดวงตาของสเตฟานเปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อบุคคลที่ตนพูดถึง
“แปลว่ามันเป็นของสำคัญมาก” รังสรรค์พูดช้าๆ “ที่คุณมอบกรีนอายส์ชิ้นหนึ่งให้กับเจ้าทัต แปลว่าคุณเห็นมันเป็นคนสำคัญล่ะสิ”
“ใช่ครับ ผมอยากให้คนที่ผมรัก ได้รับการคุ้มครองจากกรีนอายส์นี้ด้วยเช่นกัน” ดวงตาของสเตฟานเปลี่ยนเป็นดวงตาของคนที่อยู่ในห้วงของความรัก ผิวหน้าสีขาวอมชมพู เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ก้มหน้าลงจิบชอคโกแลตร้อนช้าๆ
“ฝันก็ยังเป็นฝันอยู่ดี” รังสรรค์ถอนหายใจเบาๆ
สเตฟานได้ยินแว่วๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ดวงตาจึงได้ประสานกับดวงตาสีเข้ม คู่ที่มองมาอย่างมีความหมาย จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆให้ด้วยความเป็นมิตร
“กุหลาบสีขาว” รังสรรค์พูดแล้วก็หยิบดอกกุหลาบสีขาวในแจกันดอกไม้ออกมา “ถึงจะไม่เหมาะกับคุณเหมือนกุหลาบสีชมพู ผมก็ยังอยากให้คุณรับไว้” พูดพลางยื่นกุหลาบในมือให้สเตฟาน
“กุหลาบสีขาว ... ความรักที่บริสุทธิ์” สเตฟานยิ้มให้ “เหมือนความรักของเพื่อน ที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน” พูดแล้วก็ยื่นมือที่สวมถุงมืออยู่ไปรับดอกกุหลาบไว้ “ขอบคุณนะครับ ผมจะรักษามันไว้ให้ดี”

รังสรรค์มองดูรอยยิ้มของคนที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้ยากที่จะตัดใจ แต่กาลเวลาคงจะทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปได้
...................................................................................
.......................................
“ผมมีตั๋วคอนเสริทที่ศูนย์วัฒนธรรม พี่ๆสนใจม๊ะ” กรกฏพูดแล้วก็ส่งตั๋วให้ทุกคน คนละใบ
“โห วงนี้เล่นดีนี่นา” ภูริทัตพูดเสียงดัง เมื่อเห็นชื่อวงกับโปรแกรมการแสดง “อย่างนี้พลาดได้ไง”
“นั่นดิ เอาเป็นว่าคืนนี้พวกเราไปดูด้วยกันนะพี่” น้ำเสียงของกรกฏร่าเริงขึ้นมาทันที
“เสียดาย น่าจะมีอีกใบ” รังสรรค์พูดเบาๆ
“ทำไมเหรอ” ปรีชาถามด้วยความสนใจ”
“ไม่มีไร” รังสรรค์ทำไม่รู้ไม่ชี้
แล้วทั้งสี่คนก็คุยเรื่องอื่นๆกันต่อ พร้อมกับนัดหมายเพื่อไปหาสถานที่สำหรับอาหารมื้อเย็น ก่อนที่จะไปดูคอนเสริทรอบสองทุ่ม
...................................................................................
.......................................
“เอ๊ะ” ปรีชาอุทานเบาๆ เมื่อมองไปเห็นคนที่เดินเข้าขึ้นไปทางบันไดขึ้นชั้นบนของหอประชุม
“อะไรวะ ดูทำหน้าเข้า ยังกับเห็นผี” ภูริทัตขบขันกับสีหน้าของรังสรรค์
“ก็ไหนนายบอกว่าสเตฟานเค้าอยู่ต่างประเทศไง แต่เมื่อกี้”
“เห็นคนเหมือนอีกเหรอไง” ภูริทัตพูดยิ้มๆ “อย่าเสียเวลาเลย คอนเสริทจะเริ่มแล้ว เข้าไปนั่งกันดีกว่า”

แล้วทั้งสี่คนก็พากันเดินเข้าไปในห้องประชุม ตลอดช่วงเวลของการแสดงคอนเสรทในครี่งแรก กรกฏก็พยายามชวนภูริทัตคุยถึงเพลงที่กำลังแสดง หรือแสดงจบไปแล้ว แต่กลับโดนภูริทัตดุว่าไม่มีมารยาทในการดูคอนเสริท ทำให้ความดีใจที่จะได้ใกล้ชิดกับคนที่ตนหลงรัก กลายเป็นความไม่พอใจ เมื่อจบครึ่งแรกของการแสดงดนตรี ทั้งสี่ออกมายืนคุยกันอยู่ในบริเวณลอบบี้หน้าห้องประชุม แล้วสายตาของภูริทัตก็สะดุดเข้ากับร่างของคนคนหนึ่ง

ร่างในชุดสูทกำมะหยี่สีเขียวเข้มจนเกือบเป็นสีดำ ดูแวววาวราวปีกแมลงทับ เรือนผมสีทอง ยิ่งทำให้ใบหน้าสีขาวอมชมพูดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ดวงตาสีเขียวมรกตดูสดใส ริมฝีปากสีชมพูเผยอยิ้มน้อยๆ

“สเตฟาน” ภูริทัตเรียกเบาๆ แต่เหมือนผู้ที่ยืนอยู่ห่างไปหลายเมตรนั้นจะได้ยิน จึงหันหน้าจากคู่สนทนามาทางเขา และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“พี่ทัตจะไปไหน” กรกฎเรียกเมื่อเห็นภูริทัตเดินออกไปจากกลุ่ม เมื่อมองตามไปก็เห็นคนที่เป็นจุดหมายของภูริทัต
“อ้อ คุณสเตฟานน่ะเอง เข้าไปหากันเถอะ” รังสรรค์พูดแล้วก็เดินตามภูริทัต โดยมีปรีชาและกรกฏเดินตามไปด้วย
“สเตฟาน คุณกลับมาเมื่อไหร่” ภูริทัตถามอย่างดีใจ อดเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไม่ได้
“เมื่อคืนนี้เองครับ” เสียงตอบมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆสเตฟาน
ภูริทัตหันไปมองดูชายหนุ่มรูปร่างสูง แลดูบึกบึน ผิวสองสี หน้าตาคมคายไม่น้อย
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าทักทาย
“เจอกันอีกแล้วนะครับ” รังสรรค์ทักทายอีกฝ่าย
ภูริทัตหันกลับไปมองสเตฟานอย่างงงๆ
“นี่ทรงเดช เป็นหลานของทรงศักดิ์น่ะครับ” สเตฟานพูดราวกับจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการรู้อะไร
“ต่อไปคุณปู่จะให้ผมมาช่วยงาน ผมเลยขอเริ่มงานแรกด้วยการพาคุณสเตฟานมาฟังดนตรี” ทรงเดชพูดยิ้มๆ “คุณคงเป็นคุณภูริทัต”
“คุณรู้จักผม??” ภูริทัตถามด้วยความสงสัย
“ผมเดาเอาน่ะครับ ผมเคยเห็นชื่อคุณในตั๋วเครื่องบิน”

ทรงเดชอดขำไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต รู้สึกว่า จากวันนี้ไปเขาคงมีเรื่องให้สนุกได้ไม่น้อยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 27-03-2009 19:25:03
เรื่องสนุก ๆ อร๊ายยยย ตาทรงเดชคิดจะทำอะไรเนี่ย อย่ามาแกล้งภูริทัตของหญิงนะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 27-03-2009 19:32:07
สานฝัน เนื้อหอมเกินไปแล้ว

รังสรรค์นี่ก็แอบมาเจออยู่เรื่อย แต่ยังดีที่คิดจะตัดใจ(จะทำได้หรอ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิ&#
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 27-03-2009 19:52:57
สานฟันสเน่ห์แรงจริงๆ เนอะ....ส่วนทรงเดชต่อไปจะมาหลงด้วยอีกคนมั้ยเนี่ย? หุหุ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 27-03-2009 21:40:54
อีตาทรงเดช จะเข้ามาช่วย หรือเข้ามายุ่งกันแน่

รีบมาเฉลยเร็ว ๆ นะครับ ตั้ม +1ให้เป็นกำลังใจ  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 27-03-2009 22:48:42
น่าเหนื่อยแทนสเตฟานต้องอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ภูริทัติจะรู้เนี่ย :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 28-03-2009 00:25:01
ทรงเดชนิจะมาเป็นตัวป่วนรึป่าวน้า
 
รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 28-03-2009 06:16:18
กรีนอายส์คงตายไปแล้ว
และสเตฟานคือผู้สืบต่อความเป็นนิรันดร์หรือเปล่านะ
ถ้าใช่ สเตฟานก้อต้องสามารถกำจัดโจชัวร์ได้สิ แต่ที่ยังไม่ทำเพราะมันยังไม่ถึงที่สุดหละมั้ง

รังสรรค์ก้อดีนะ คิดจะตัดใจจากคนรักของเพื่อน
แต่ทรงเดชจะทำอะไรร้ายๆรึเปล่า น่าสงสัย
ยังมีเจ้าปูตัวแสบอีก  :เฮ้อ:

บวก 1 นะจ๊ะ เข้มข้นๆรออ่านต่อจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 28-03-2009 07:17:14
จะทำไรเหรอทรงเดช o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 28-03-2009 08:19:20
ความระแวงเริ่มก่อตัว...
ทรงเดชจะมาดีหรือร้ายยังคลุมเคลือ...
 :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๔ - ๒๗ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 28-03-2009 23:28:45
เดี๋ยวทรงเดช กับ ปู คู่กันหรอ กร๊ากกก

ปู่กรีนอายส์ สืบทอดทายาทด้วยการให้ดวงตา แล้วดวงตานี่เอาไว้กันแวมไพร์ได้รึเปล่าหว่า.. น่าลุ้นเนาะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 29-03-2009 20:56:18
บทที่ ๒๕

“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะส่งให้ถึงที่ห้องพักเลย” ทรงเดชพูดยิ้มๆ ส่งสายตาล้อเลียนให้ภูริทัต พลางปิดประตูรถลง แล้วเดินไปขึ้นรถด้านคนขับ

เมื่อการแสดงดนตรีจบลง ภูริทัตกับเพื่อนๆ ก็ได้พบกับสเตฟานและทรงเดชอีกครั้ง พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง กรกฏก็เสนอให้แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันทำงาน ทุกคนจึงเดินมายังลานจอดรถ ภูริทัตอ้อยอิ่งอยู่นานจนสเตฟานขึ้นรถไป ชายหนุ่มมองดูรถสปอร์ตคันนั้นแล่นออกไปจากลานจอดรถ จึงได้เดินมาขึ้นรถของรังสรรค์ที่รออยู่ และออกจากสถานที่นั้นไปในเวลาต่อมา

“ดูคุณจะสนุกมากนะ” สเตฟานพูดเบาๆ
“โกรธเหรอครับ” ทรงเดชพูดทั้งๆที่สายตายังจ้องมองอยู่บนถนน
“เปล่า” ตอบเพียงแค่นั้น สเตฟานก็เงียบไป
“ผมเห็นว่า คนพวกนั้นมีความสัมพันธ์กันยุ่งเหยิงน่าดู ผมก็เลยลองแหย่ๆเล่น” ทรงเดชพูดขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“คุณดูออก”
“ก็พอจะเห็นๆนะครับ คนชื่อปรีชาชอบคุณกรกฏ คนชื่อกรกฏชอบคุณภูริทัต แต่คุณภูริทัตน่ะคงไม่ต้องบอกนะครับว่าชอบใคร” พูดแล้วทรงเดชก็หัวเราะชอบใจ “อ้อมีอีกคน คุณรังสรรค์ เหมือนจะชอบ ...” แกล้งเงียบไปเพื่อจะดูปฏิกิริยาของคนข้างๆ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา
“คุณพอจะรู้มั๊ยครับ ว่าคุณรังสรรค์ชอบใคร” ทรงเดชแกล้งถาม
“อาจจะชอบคุณก็ได้นะ” สเตฟานตอบแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ
“โหย ... ไม่ไหวล่ะครับแบบนั้น ดูก็รู้ว่าเป็นแบบไหน ถ้าสักวันผมต้องชอบผู้ชายนะ ผมไม่เป็นฝ่ายที่เป็นผู้หญิงเด็ดขาด”
“ถ้าถึงเวลาจริงๆแล้วคุณจะรู้ ว่าความรักน่ะ มันทำให้คนเรายอมทำได้ทุกอย่าง และเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก” สเตฟานพูดช้าๆ อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
“เหมือนคุณตอนนี้น่ะเหรอครับ” น้ำเสียงของทรงเดชเป็นงานเป็นการมากขึ้น
ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงถอนใจเบาๆมาจากคนข้างๆ จนทรงเดชไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพื่อให้คนที่เขานับถือเกิดความสบายใจขึ้นบ้าง

เพราะทรงเดชจะต้องรับหน้าที่ต่อจากทรงศักดิ์ เรื่องราวต่างๆของผู้ที่จะเป็นเสมือน ‘นาย’ จึงถูกบอกเล่าอย่างละเอียดมากขึ้น ทำให้ทรงเดชได้รับรู้สภาพตัวตนที่แท้จริงของสเตฟาน รวมทั้งผู้ที่เป็น ‘มิตร’ ผู้ที่เป็น ‘ศัตรู’ ของคนที่เขาจะต้องปกป้อง และดูแลผลประโยชน์ต่างๆให้ต่อไปในอนาคต ชำเลืองมองดูคนข้างๆอีกครั้ง พร้อมกับคิดไปถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาคมปลาบคนนั้น เพียงแค่แววตาของคนทั้งสองยามมองดูอีกฝ่ายหนึ่ง ก็บอกให้รู้ถึงความผูกพันของดวงใจ ไม่มีช่องว่างให้ใครได้เข้าไปแทรกอีก ไม่ว่าจะเป็นกรกฏ หรือรังสรรค์

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ คิดว่าความรักที่เขาได้รับรู้ในครั้งนี้ จะสามารถยืนยาวไปได้สักเพียงใด ถึงแม้มันจะดูมั่นคงทั้งความรู้สึก และการแสดงออก แต่ในเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงมนุษย์ ต่อให้แข็งแรงขนาดไหน มีชีวิตได้ถึงร้อยปี ก็นับว่ายืนยาวมากแล้ว ส่วนอีกฝ่ายกลับเป็นเผ่าพันธ์ที่กล่าวขานกันว่ามีชีวิตเป็นอมตะ

แวมไพร์ ... เผ่าพันธ์ที่ไม่มีวันตาย สามารถดำรงชึวิตอยู่ได้นิรันดร
..........................................................................
...................................
“หาใช่เป็นนิรันดร์ไม่” ชายชราบอกกับชายหนุ่ม “เมื่อก่อนนี้ข้าก็มีรูปลักษณ์เช่นบุรุษฉกรรจ์ดั่งเจ้า แต่ดูบัดนี้” ชายชรากางแขนออก แสดงถึงร่างกายที่ซูบผอม ประหนึ่งมนุษย์ที่ผ่านชีวิตมากว่าร้อยปี “นาฬิกาชีวิตของพวกเราเหล่าแวมไพร์เดินเชื่องช้ากว่ามนุษย์หลายเท่า หนึ่งปีของมนุษย์อาจเป็นเพียงแค่หนึ่งวันของพวกเรา ดังนั้นชีวิตที่เป็นอมตะ คงอยู่ได้นิรันดรนั้นจึงไม่เป็นความจริง”
“แต่ ...” สเตฟานทำท่าเหมือนจะค้าน
“เจ้าจะบอกว่า ทำไมจึงไม่เคยเห็นแวมไพร์ ที่มีสภาพดุจชายชราเช่นข้าเลยใช่หรือไม่”
สเตฟานพยักหน้ารับ
“ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่แวมไพร์เหล่านั้นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสถานที่เงียบสงบ คงจะเหมือนกับมนุษย์ที่มีอายุมาก ซึ่งต้องการความสุขสงบในชีวิตบั้นปลาย แต่หากแวมไพร์ตนใดทนไม่ได้ ต้องการจะจบชีวิตที่เสมือนชีวิตอมตะ มันจะเป็นหน้าที่ของข้า ผู้มีหน้าที่ส่งแวมไพร์ตนนั้นให้คืนสู่ความเป็นมนุษย์ และหมดสิ้นซึ่งความเป็นนิรันดร์ เมื่อถึงเวลานั้น ขอเพียงแวมไพร์ตนนั้นเรียกหาข้า ข้าก็จะรับรู้ และไปปรากฏต่อหน้าแวมไพร์ตนนั้น”
..........................................................................
...................................
“คุณสเตฟานต้องไปต่างประเทศครับ ผมเสียใจด้วยที่สุดสัปดาห์นี้ คุณคงจะไม่ได้พบกับคุณท่าน” เสียงจากทางปลายสายทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียนะครับ คุณท่านบอกว่า ยังไงก็ต้องกลับมาก่อนวันพฤหัสฯแน่นอนครับ” มีเสียงหัวเราะเบาๆตามมาหลังคำพูด
“ทำไมถึงต้องกลับมาก่อนวันพฤหัสล่ะครับ” ภูริทัตกรอกเสียงถามไป
“อ้าว” เสียงอุทานดังมา “นี่คุณไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลยเหรอครับ”
“เตรียมอะไรครับ แล้วทำไมต้องเตรียม”
“คุณทัตไม่รู้จริงๆ หรือว่าต้องการปิดไว้ให้คุณท่านแปลกใจกันแน่ ยังไงผมก็พวกเดียวกับคุณทัต แง้มๆให้ผมรู้บ้างได้มั๊ยครับ” เสียงของทรงศักดิ์ถามอย่างอารมณ์ดี
“เรื่องอะไรครับ คุณทรงศักดิ์ยิ่งพูด ผมก็ยิ่งงง” ภูริทัตยกมือขึ้นเกาท้ายทอย รู้สึกรำคาญขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว นี่แปลว่าคุณทัตไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ดูปฏิทินเลยเหรอครับว่านี่มันเดือนกุมภาฯแล้ว” มีเสียงจุ๊ปากเบาๆเหมือนจะตำหนิ
“เดือนกุมภาฯ” ภูริทัตรีบเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานเล็กๆในห้องนอน เพื่อดูปฏิทิน “เอ๊ะ ...” แล้วเขาก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ
“รู้แล้วใช่มั๊ยครับว่าวันอะไร” เสียงของทรงศักดิ์หัวเราะเบาๆ “ยังพอจะเตรียมตัวทันนะครับ ถ้าขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกผม เดี๋ยวผมจะให้ทรงเดช หลานผมจัดการให้ คุณทัตรู้จักแล้วใช่ไหมครับ เห็นตาเดชมาเล่าให้ผมฟัง ว่าเจอกับคุณทัตในงานแสดงดนตรีเมื่อวันก่อน”
“ทรงเดช” ภูริทัตทวนชื่อ พร้อมกับคิดไปถึงชายหนุ่มร่างสูง ผิวสองสี ใบหน้าคมคายแบบชายไทย “ใช่ครับเราเจอกันแล้ว แต่ทำไมต้องให้มาจัดการเรื่องของผมด้วยล่ะครับ”
“คืออย่างนี้นะครับคุณภูริทัต คุณคงทราบว่าผมเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆให้คุณสเตฟาน พูดง่ายๆเหมือนเป็นผู้จัดการส่วนตัว ตอนนี้ผมก็อายุมากแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
“อะไรกันครับ คุณทรงศักดิ์ยังดูแข็งแรงอยู่เลย”
“ยังงั้นก็เถอะครับ” ทรงศักดิ์หัวเราะเบาๆ “ยังไงก็เตรียมไว้ก่อนดีกว่า ความจริงผมก็คิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเดชยังเด็กๆ ว่าจะให้รับใช้คุณท่านต่อจากผม เพราะในบรรดาลูกหลาน ก็มีเจ้านี่แหละครับที่สนใจเรื่องของคุณท่านมากที่สุด”
ภูริทัตขมวดคิ้ว เพราะรู้สีกว่าคำบอกเล่านี้ มีอะไรแปลกประหลาดอยู่ แต่ก็ยังคิดไม่ออกในทันที
“ตอนนี้ผมก็ให้ช่วยเรื่องเล็กๆน้อยๆไปก่อน แล้วอีกสักเดือนหรือสองเดือน พอออกจากงานประจำ แล้วค่อยให้มาเป็นเลขาผม รับหน้าที่ดูแลคุณท่านเต็มตัว นี่ถ้าไม่ติดว่างานที่ทำอยู่ยังต้องสะสางให้เรียบร้อย ผมคงให้ตามไปรับใช้คุณท่านแล้ว”
“เหรอครับ” ภูริทัตฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
“เอาเป็นว่าคุณทัตรีบๆคิดแล้วกันนะครับ ว่าจะทำอะไรในวันนั้น แล้วต้องการให้ทางผมช่วยอะไรก็ติดต่อมาได้ทุกเวลานะครับ”
“ครับ แล้วเดี๋ยวถ้าผมตกลงใจยังไงผมจะติดต่อไปนะครับ”
ภูริทัตกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ที่อยู่บนหูฟังบลูธูท แล้วถอดออกวางไว้ใกล้ๆโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง ด้านหัวนอน ล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดว่า เขาจะทำอะไร หรือมอบอะไรให้เป็นพิเศษแก่สเตฟาน สำหรับวันพิเศษเช่นนั้นดี
..........................................................................
...................................
“คิดอะไรอยู่วะ ไม่พูดไม่จา” รังสรรค์ถาม เมื่อเห็นภูริทัตกินข้าวโดยไม่คุยกับเพื่อนๆเหมือนเคย
“คิดเรื่องนายตัวสูงที่เจอวันนั้นใช่มั๊ยล่ะพี่ จะว่าไปก็ทำไปได้นะ ไหนว่ารักกัน กลับมาก็ไม่บอกสักคำ แถมควงคนอื่นไปเที่ยวด้วยกันอีก” กรกฏพูดแล้วก็เบ้ปาก
“กำลังคิดว่าวาเลนไทน์จะให้อะไรสานฝันดี” ภูริทัตหันไปบอกรังสรรค์ โดยไม่สนใจคำพูดของกรกฏ
“เอาโบว์ผูกเจ้าทัตน้อยสิ ให้เป็นของขวัญ” ปรีชาพูดแล้วก็หัวเราะ ทำให้ภูริทัตและรังสรรค์หัวเราะตามไปด้วย
“อันนั้นแกะโบว์ฉลองกันเรียบร้อยไปนานแล้วเว๊ย” ภูริทัตตอบหน้าตาเฉย “ทีแรกข้าว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่วันนั้นร้านคงแน่นน่าดู เลยคิดว่าจะให้ของขวํญน่าจะดีกว่า ตอบแทนที่ให้เพชรเม็ดนั้นกับข้าด้วย”
“กรีนอายส์” ทุกคนหันไปมองรังสรรค์ ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดขึ้นมาลอยๆนั้น หมายความว่าอะไร “ก็เพชรเม็ดนั้นไง สเตฟานบอกว่ามันมีชื่อเรียกว่า กรีนอายส์”
“กรีนอายส์” ปรีชาและภูริทัตทวนคำแทบจะพร้อมกัน
“แหวะ ... ชื่ออะไรน่าขยะแขยง นึกถึงตาผีขึ้นมาทันทีเลย” กรกฏทำท่าขนลุกขนพอง
“พี่ว่าโรแมนติคดีออก ... กรีนอายส์” ปรีชาทำตาเชื่อม “ตาของสเตฟานเค้าก็สีเขียวนี่ ...กรีนอายส์ ...โห โรแมนติคเป็นบ้า มันจะหมายความว่าอะไรน๊า” ปรีชาทำท่าครุ่นคิด “ให้คุณมองแล้วเหมือนได้มองดวงตาของผม ... หรือว่าดวงตาของผมจ้องมองอยู่ที่คุณเสมอ ...ว๊าวววว” ปรีชาหลับตาพริ้ม
“มากไป ไอ้ชา” รังสรรค์พูดแล้วอมยิ้ม “แต่ความคิดมันก็เข้าท่านะ เอ็งว่าไง” เขาหันไปถามภูริทัต
“ดวงตาอะไรมันจะมีข้างเดียว” กรกฏขัดคอ
“อีกข้างอยู่ที่เจ้าตัวเค้าไง ของมันมีเป็นคู่ เค้าเลยให้เจ้าทัตชิ้นนึง” รังสรรค์อธิบาย
“พี่สรรค์ดูเหมือนจะรู้ละเอียดนะ” กรกฏทำหน้าเหมือนจะค้นหาความจริงจากรังสรรค์
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ตอนที่เจอกัน พี่ก็ถาม แล้วเค้าก็เล่าให้ฟัง มันก็แค่นั้น” รังสรรค์ยักไหล่
“แล้วทำไมเพิ่งจะมาเล่าให้พวกเราฟังตอนนี้ล่ะ” กรกฏยังไม่ยอมหยุด
“อ้าว ก็ไม่มีใครถามนี่นา พี่ไม่ใช่พวกปากโป้ง รู้อะไรมาก็เที่ยวมาบอก มาขยายความ นี่เห็นว่าพูดเรื่องนี้กันขึ้นมา ก็เลยเล่าให้ฟังว่า ของชิ้นนี้น่ะเป็นของสำคัญของเค้าเชียวนะ ได้มาจากญาติผู้ใหญ่อีกทีนึง เอ็งก็ต้องรักษาไว้ดีๆล่ะ” หลายประโยคหลังหันไปพูดกับภูริทัต
“ถึงไม่รู้ก็รักษาอย่างดีอยู่แล้วเว๊ย” ภูริทัตยิ้มจนแก้มแทบปริ

รังสรรค์มองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของภูริทัต แล้วเหลือบไปมองสีหน้าที่บูดบึ้งของกรกฏ มองเลยไปยังสายตาที่หวานเชื่อมของปรีชาที่จ้องมองกรกฏ แล้วคิดถึงความวุ่นวายของสายสัมพันธ์ของพวกตนทั้งสี่ ที่ดูจะยุ่งเหยิงขึ้นทุกขณะ จะเป็นอย่างไรกันต่อไป ถ้าอีกสามคนได้รู้ว่าอัญมณีชิ้นนั้น เป็นสิ่งใดกันแน่

อัญมณีสีเขียวมรกต ส่องประกายแวววาวราวกับดวงตาของบุคคลอันเป็นที่รัก ... ดวงตาสีเขียวมรกต ส่งประกายแวววาวราวอัญมณี

... กรีนอายส์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 29-03-2009 21:20:36
^^
วันนี้ขอจิ้มหน่อยนะตั้ม  :m11:จิ้มแล้วมีความสุขจัง

+1 เป็นกำลังใจให้นะครับ มาลุ้นหันต่อไปว่า กรีนอายส์ จะมีบทบาทอะไร

และจะช่วยภูริทัตได้อย่างไร  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 29-03-2009 23:35:45
ไปๆมาๆ รังสรรค์ กลับเป็นคนที่รู้และเก็บรายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ได้มากที่สุด

มาแบบนิ่งๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 29-03-2009 23:40:30


นอนมะหลับ . . .

. . . แวะมาเยี่ยมอ่ะครับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 30-03-2009 04:34:51
^
^
ขอจิ้มคุณราชบุตรสุดเท่ห์ไปถึงน้องวันบ้าง  :m4:

ยิ่งอ่านยิ่งเบื่อเจ้าปูทำตัวได้น่าเบื่อน่ารำคาญยิ่งนัก

"...จนทรงเดชไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพื่อให้คนที่เขานับถือเกิดความสบายใจขึ้นบ้าง..."
ทรงเดชแค่นับถือสเตฟานหละหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าที่จะสบายใจคนๆนี้ขึ้นมาได้บ้าง

เหมือนว่าคุณทรงศักดิ์จะพยายามเกริ่นให้ภูริทัตรับรู้และสงสัยเรื่องของสเตฟานไปทีละนิด

แล้วถ้ากรีนอายส์ตายไปแล้ว สเตฟานคือกรีนอายส์คนใหม่เช่นนั้นหรือ

บวก 1 ให้เช่่นเคยจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 30-03-2009 07:03:12
รักหลายเส้ากันเหลือเกิน
 
แต่ขอให้คู่ภูริทัตกะสานฝันหวาน ๆ ละกันนะคะ

รอลุ้นตอนต่อไปค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 30-03-2009 14:48:10
มันจุ้นละมุ่นกันจริง ๆ วุ้ย ไอ้แก๊งค์นี้  :really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 30-03-2009 20:03:19
อืม..วุ่นวายจริงๆ แล้วภูริทัตไม่เอะใจกับรังสรรค์เลยเนอะ...เหอๆ เชื่อใจ หรือ ไม่ทันได้เอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 30-03-2009 21:28:19
มาไขข้อข้องใจครับ ขอตอบแบบรวมๆเท่าที่พอจะนึกออก  o18

ทรงเดช ครั้งแรกหลายคนคงคิดว่า ตัวละครที่จะมาคอยสร้างความแตกแยก เพิ่มขึ้นอีกตั่วหนึ่งแล้ว แต่ก็คงจะสบายใจกันได้ (???) เพราะทรงเดชรู้ตัวตนที่แท้จริงของสเตฟาน คงไม่กล้าคิดอะไรแบบนั้น ส่วนที่ว่าทำไมยังแสดงท่าทางเหมือนจะหลงรักสเตฟานอีกคน ... คงจะค่อยๆเฉลยออกมาในตอนต่อๆไป  :o10:

รังสรรค์ ก็คงจะไม่ทำให้ภูริทัตคิดอะไรในแง่ลบมากนัก เพราะตัวรังสรรค์เองก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกมาหมดแล้ว และจากท่าทีของสเตฟาน รังสรรค์ก็พยา่ยามที่จะตัดใจ ตัวละครตัวนี้ คงไม่สร้างปัญหาในเรื่องความแตกแยกของภูริทัต กับสเตฟาน แต่จะสร้างปัญหาอื่นอีกหรือเปล่า ... ต้องรอตอนต่อๆไป  :laugh:

สเตฟาน ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่ หลายคนคงพอเดาออกแล้ว แต่หลายคนคงยังสงสัยอยู่ แล้วกรีนอายส์คู่นั้น มีพลังอะำไร และมากน้อยแค่ไหน ... ก็ต้องรอตอนต่อๆไปเช่นกัน   :o

สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ และขอบคุณทุกๆคำติชม และทุกๆกำลังใจนะครับ  o1
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 30-03-2009 21:33:02
^
^
จิ้มคุณบุหรง

พลังของกรีนอายส์ สำคัญอยู่ที่มันเป็นคู่ใช่มะล่ะ o18 อิอิ

น่าติดตามอยู่ทุกตอนเลยนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 31-03-2009 13:29:47
เข้ามาบอกว่า...
กฏข้อที่ 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณถูกแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน

ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด  คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกัน

การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน
แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต
และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่น

ช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ    เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆ
ก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเอง
เพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง

***ส่วนการพูดคุยนั้น  ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์
ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย
ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่ห้องอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ***


ต่อไปนี้จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของดิฉันในฐานะโมฯ นะคะ
เพื่อธำรงไว้ซึ่งกฏระเบียบของเล้าฯ  ไม่ได้ทำไปเพราะสาเหตุส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าใครไม่สบายใจได้การปฏิบัติหน้าของดิฉัน  เชิญตั้งกระทู้เพื่อสอบถามได้ที่ "ห้องพูดคุยทั่วไป" นะคะ
เพราะห้องนั้นเรามีไว้ให้พูดคุย ซักถาม แสดงความคิดเห็น-คิดถึง ต่อกันได้อย่างอิสระ
ผิดจากห้องนี้ซึ่งเป็นห้องนิยายที่เปรียบไปก็คล้ายกับห้องสมุดกลายๆ
ดังนั้นหากต้องการจะพูดคุย-ไต่ถามกันก็เชิญได้ที่ห้องพูดคุยนะคะ
แล้วดิฉันจะได้เรียนชี้แจงเป็นรายบุคคล และถี่ถ้วนนะคะ
หวังว่าจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งจากผู้อ่าน  แฟนคลับ  นักโพสต์ และนักเขียน นะคะ


โพสต์ได้  เล่นได้  แต่อย่าพากระทู้ออกทะเลก็พอ
สงสารคนที่จะเข้ามาอ่านนิยายบ้าง  หาเนื้อนิยายอ่านยากมากกกกกกกกกกกกกกกกก
เราเตือนคุณแล้วนะคะ
เจ้สอง  กะเทยอาวุโส  อิอิ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 31-03-2009 14:37:55
มารอชมฉากวันวาเลนไทน์ของสเตฟานกะภูริทัต  :o8:
ไม่ว่าปูหรือโจชัวร์ อย่ามาป่วนเชียว
ไม่งั้นโดน  :beat:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๕ - ๒๙ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 31-03-2009 20:49:35
เพิ่งจะเข้ามาอ่านคะ

เนื้อเรื่องน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของ แวมไพร์ส กับ แวมไพร์ส

แวมไพร์ส กับ มนุษย์  และ มนุษย์กับมนุษย์  ซึ่งทุกอย่างเชื่อม

โยงกัน ทำให้เกิดความสนุกในการน่าติดตาม 

+1 ให้คะ รออ่านตอนต่อไปคะ  :L2: :L2: :L2:


หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 31-03-2009 21:53:28
บทที่ ๒๖

“ปู่จะไปอยู่ดูแลทางโน้น ทุกอย่างที่นี่ก็เตรียมไว้หมดแล้ว ถึงวันนั้นแกก็ทำให้ดีๆแล้วกัน อย่าให้มีอะไรเป็นพิรุธ” ทรงศักดิ์พูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“รับรองเลยครับปู่ ผมจะจัดการไม่ให้พลาดเลย แต่ผมว่าปู่ไม่น่ากังวลอะไร คุณทัตไม่ใช่คนละเอียด คงไม่สังเกตว่ามีอะไรผิดปรกติ ว่าแต่คุณปู่เถอะ จัดการทางโน้นให้เรียบร้อยแล้วกัน” ทรงเดชพูดแล้วขมวดคิ้ว
“แกสงสัยอะไรอีก ถึงขมวดคิ้วแบบนั้น”
“ผมสงสัยว่า เรื่องระหว่าคุณสเตฟานกับคุณภูริทัต มันจะจบยังไงน่ะสิครับ”
ทรงศักดิ์ได้ฟังก็ถอนหายใจ เอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ ประสานมือกันไว้บนโต๊ะ
“แกสงสัยไปก็ทำให้ต้องคิดมาก” ทรงศักดิ์พูดช้าๆ “ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันเถอะ คุณท่านคงคิดไว้แล้ว ว่าจะจัดการยังไงต่อไป”
“น่าสงสารนะครับ ชีวิตคนเราน่ะ จะสูญเสียคนที่ตนรักกี่ครั้งกันเชียว แล้วคุณสเตฟานเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องแบบนี้มามากมายแค่ไหน”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ปู่ไม่รู้ แต่ตั้งแต่ปู่ดูแลคุณท่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ปู่เห็นคุณท่านมีความรัก บางทีปู่ก็คิดเหมือนกับแก ปู่ยังคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นความสุขหรือความทุกข์กันแน่ สำหรับคุณท่าน”
.........................................................................
................................
“สวัสดีครับ คุณภูริทัต จำผมได้มั๊ยครับ” เสียงที่พูดมาตามสาย ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“จำไม่ได้หรอกครับ” ภูริทัตตอบไปด้วยเสียงขุ่นๆ ทำให้เพื่อนบนโต๊ะอาหารหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“ผมทรงเดชเองครับ” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“คุณมีธุระอะไรกับผม”
“อย่าเพิ่งโกรธสิครับ” น้ำเสียงเหมือนจะเดาอารมณ์ของชายหนุ่มได้ “คุณปู่ให้ผมโทรมาถามคุณว่า คุณเตรียมอะไรไว้รึยัง สำหรับวันพฤหัสฯที่จะถึงนี้”
“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ” แล้วภูริทัตก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆอีกครั้งหนึ่ง
“ท่าทางคุณจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะครับ ผมเข้าเรื่องเลยดีกว่า วันพฤหัสคุณมาที่โรงแรมซักทุ่มนึงนะครับ คุณปู่จัดห้องพิศษไว้สำหรับให้คุณทานอาหารเย็นกับคุณสเตฟาน แล้วเที่ยงคืนทางเราจัดรถไว้ส่งคุณกลับบ้าน ... ถ้าคุณจะกลับนะครับ” คราวนี้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง
สิ่งที่ได้ยินทำให้ภูริทัตรู้สึกงุนงง เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบทรงเดช ก็คิดมาตลอดว่า อีกฝ่ายอาจจะมาเป็นศัตรูหัวใจกับตัวเอง แต่ฟังจากน้ำเสียงที่พูดมา เหมือนจะสนับสนุนให้เขาได้ใช้เวลาในคืนนั้น อยู่กับสเตฟานเสียด้วยซ้ำ
“คุณคิดอะไรของคุณ” ภูริทัตถามเสียงเรียบๆ
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็...” ภูริทัตเหลือบมองดูสายตาที่แสดงความสนใจของทั้งสามคน “ที่คุณมาจัดการเรื่องพวกนี้ให้ผม คุณคิดอะไรกันแน่”
“ผมเปล่า ... คุณปู่ผมต่างหากที่เป็นคนจัดการ ผมแค่รับคำสั่งให้คอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะคุณปู่ผมสั่งไว้ก่อนไปต่างประเทศ ว่าแต่คุณเถอะ คืนนั้นคุณจะมาได้หรือเปล่าครับ”
“ทำไมผมจะไปไม่ได้”
“ไม่ทราบสิครับ อาจจะมีคนนัดคุณไว้ก่อนแล้วก็ได้ อย่างเช่น” เสียงเงียบไปพักหนึ่ง “อย่างเช่นคุณกรกฏ”
“เค้าจะมาชวนผมทำไม” ภูริทัตพูดแล้วเหลือบสายตามองไปทางกรกฏ
“ผมก็แค่ยกตัวอย่าง ตกลงว่าคุณจะมาได้มั๊ยครับ”
“ถ้าผมไม่ไปล่ะ”
“งั้นผมจะลองชวนคนอื่นดูดีมั๊ย อืม...ใครดีนะ คุณรังสรรค์ ดีมั๊ย”
“คุณไม่ไปซะเองล่ะ” พูดพลางหันไปมองหน้ารังสรรค์ สายตาไม่พอใจของเขา ทำให้รังสรรค์เลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไรหรือ
“ถ้าคุณสเตฟานยอมนะครับ” เสียงหัวเราะเหมือนจะแสดงว่าถูกใจในคำถามและคำตอบของตัวเอง “ผมล้อเล่น คุณภูริทัตอย่าถือสาล่ะ ผมมันคนสนุกสนาน พูดอะไรตลกไปวันๆ บางทีก็อยากจะแกล้งคนเล่น ก็เลยทำให้คนเข้าใจผิดบ่อยๆ คุณเองก็อย่าเข้าใจผมผิดไปอีกคนล่ะครับ เอาเป็นว่าวันพฤหัสทุ่มตรง ผมจะรอคุณที่ลอบบี้โรงแรมแล้วกันนะครับ” โดยไม่ฟังคำตอบ ก็วางสายไปทันที

ภูริทัตเอาหูฟังบลูธูทเก็บใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ ไม่สนใจตอบคำถามที่เต็มไปด้วยความสนใจของกรกฏ และปรีชา แต่กลับมองดูรังสรรค์ด้วยแววตาครุ่นคิด
“มองทำไมวะ หันมาพิศวาทข้าแทนเหรอไง” รังสรรค์อดถามไม่ได้
“ข้ายังไม่ได้เตรียมของขวัญให้สานฝันเลยหว่ะ แล้วเมื่อกี้นายทรงเดชโทรมา บอกว่าสานฝันเค้าเตรียมที่ไว้กินข้าวเย็นด้วยกัน จะไปดีมั๊ยวะ”
“วันวาเลนไทน์น่ะสิ” ปรีชายื่นหน้ามาถาม ภูริทัตพยักหน้ายิ้มๆ
“ช่างเป็นพ่อบุญทุ่มจริงๆนะ ทั้งรถรับส่ง ทั้งตั๋วเครื่องบิน คราวนี้อาหารมื้อพิเศษ” คำพูดของกรกฏ ทำให้ภูริทัตหน้าเสีย
“พูดแบบนี้ หาว่าพี่เอาแต่รับของของเค้ารึเปล่า” คำถามของภูริทัต ทำเอากรกฏหน้าเสีย ที่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม
“ข้าว่าเอ็งอย่าคิดมากเลยหว่ะ ไปตามนัดเถอะไม่ต้องซื้ออะไรเป็นของขวัญหรอก แค่นั้นเค้าก็ดีใจมากแล้ว”
รังสรรค์หยุดคิดอยู่ชั่วครู่ก็เข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างที่ริมหูของภูริทัต
“จริงเหรอวะ” ภูริทัตถามด้วยอาการตกใจ เบิกตาโต
“อื้อ ... เอ็งอย่าคิดมากเรื่องที่เค้าทำให้เอ็งเลย เพราะถ้าใครมีตำแหน่งขนาดนั้นจริงๆ เผลอๆจะทำยิ่งกว่านี้อีก คงปรนเปรอซะจนเอ็งสำลัก แต่นี่ข้าก็เห็นว่าทุกครั้งที่เค้าให้อะไรเอ็ง มันก็เป็นโอกาสพิเศษทั้งนั้น เอ็งลองไปคิดดูแล้วกัน”
พูดแล้วรังสรรค์ก็ตบบ่าเพื่อนเบาๆ ไม่สนใจกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ของปรีชาและกรกฏ
.........................................................................
................................
“ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องมา” ทรงเดชยิ้มทักทายเมื่อเดินเข้ามายืนตรงหน้าชายหนุ่ม สายตามองสำรวจไปที่มือของภูริทัต “ไม่มีดอกไม้ซักช่อเหรอครับ”
“ผมคิดว่าไม่ค่อยจำเป็น แล้วมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ถ้ามีใครเห็นผมให้ดอกไม้กับท่านประธาน ในวันวาเลนไทน์แบบนี้”
“คุณรู้” ทรงศักดิ์ขมวดคิ้ว แล้วก็ยิ้มออกมา “คุณรังสรรค์บอกสินะครับ แต่ก็ดีเหมือนกัน เผื่อคุณจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”
“สานฝันอยู่ไหน”
“สานฝัน” ทรงเดชขมวดคิ้ว “ใครครับ”
“ผมหมายถึงสเตฟาน”
“อ้อ” ทรงเดชเลิกคิ้ว “สานฝัน ... คุณเข้าใจเรียกนะครับ แต่สงสัยผมคงจะเรียกตามคุณไม่ได้” ทรงเดชพูดกลั้วหัวเราะ “เชิญดีกว่าครับ คุณสเตฟานคงรอนานแล้ว ทางนี้ครับ”
พูดจบทรงเดชก็เดินนำไป โดยมีภูริทัตเดินตามไปยังลิฟท์ และเมื่อเข้าไปในลิฟท์แล้ว ภูริทัตก็เห็นทรงเดชหยิบกุญแจขึ้นมาไขช่องด้านล่างของลิฟท์ แล้วกดปุ่มบางปุ่ม ก่อนจะกดปุ่มแสดงตัวเลขชั้นบนสุด แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ต้องขอโทษนะครับ ที่ต้องขอผูกตาคุณไว้” ทรงเดชพูดพลางกางผ้าคาดตาสีดำออกมา “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ไม่งั้นทั้งปู่ทั้งคุณสเตฟานเล่นงานผมถึงตายแน่” ทรงเดชพูดแล้วก็หัวเราะอีกเมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต
ด้วยคำพูดรับรองนั้นเอง ภูริทัตจึงยอมให้ทรงเดชใช้ผ้าผูกตาเขา และเมื่อลิฟท์หยุดลง ก็รู้สึกว่ามีมือนิ่มๆ มาจับมือเขาไว้
“ถึงแล้วเหรอ” ภูริทัตถามออกไป แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยตอบมา
“ใกล้แล้วครับ ผมจะพาคุณไปเอง” เสียงพูดช้าๆอย่างอ่อนโยน
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกชื่อคนที่จูงมือตนออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกจูงเดินออกมาจากลิฟท์แล้ว
“ผมต้องขอใช้ที่อุดหูกับคุณด้วยนะครับ” เสียงพูดใกล้ๆใบหู แล้วภูริทัตก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างนิ่มๆ ถูกใส่เข้าไปในรูหู
มือของชายหนุ่มถูกบีบเบาๆ ก่อนที่มือนั้นจะดึงให้เขาเดินตามไป วูบหนึ่งที่ภูริทัตรู้สึกว่า อุณหภูมิรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน มีทั้งความเย็นและความร้อนหลายระดับมาสัมผัสกับผิวกาย และยังสัมผัสคล้ายกับมีสายลมแรงมากระทบถูกตัว นั่นเป็นความรู้สึกในช่วงไม่กี่วินาที แต่ก็เป็นระยะเวลาที่ทำให้เกิดความฉงนไม่น้อย ว่าเขาเดินผ่าน หรือเดินเข้าไปสู่ทางเดินแบบใดกันแน่

“ถึงแล้วครับ” เสียงเบาๆกระซิบที่ริมหู เมื่อจุกยางที่อุดหูถูกถึงออกไป
ผ้าปิดตาถูกแกะออกเป็นลำดับต่อมา ดวงตาของชายหนุ่มเห็นแต่ความมืดมิด แล้วแสงไฟก็ค่อยๆสว่างขึ้น จากเทียนเล่มหนึ่งที่อยู่บนเชิงเทียนริมห้อง แล้วแสงเทียนก็สว่างขึ้นทีละดวง ทีละดวง ราวกับมีคนค่อยจุดมันขึ้น ภูริทัตมองดูแสงเทียนที่ค่อยๆสว่างขึ้นทีละเล่มนั้นอย่างพิศวง จนเทียนเล่มสุดท้ายบนโต๊ะเล็กๆในห้องสว่างขึ้น แสงเทียนทำให้มองเห็นว่าห้องนั้นเป็นห้องกว้าง คงเป็นห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรม เพราะมีเตียงใหญ่ตั้งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง มีโต๊ะเล็กๆพร้อมเก้าอี้สองตัว ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง บนโต๊ะมีจานชามอาหารวางอยู่หลายใบ ตามมุมห้องประดับไปด้วยดอกไม้หลากสี ด้านที่น่าจะเป็นหน้าต่างถูกปิดไว้ด้วยผ้าม่านหนาหนัก
“คุณทำได้ยังไง” ภูริทัตอุทานเบาๆ
“อะไรเหรอครับ” แล้วสเตฟานมายืนอยู่ข้างๆภูริทัต
“ก็เทียนพวกนั้น” ภูริทัตหันมามองหน้าคนข้างๆ แล้วหันกลับไปที่เชิงเทียนบนโต๊ะ ที่เทียนเล่มสุดท้ายบนเชิงเทียนสว่างขึ้น
“เล่นกลไงครับ” สเตฟานตอบยิ้มๆ
“เล่นกล ... คุณทำอะไรให้ผมแปลกใจอยู่เรื่อยเลยนะ”
“ทานอาหารกันก่อนนะครับ คุณคงจะหิวแล้ว ไม่รู้ว่าคุณจะชอบหรือเปล่า”
สเตฟานเดินนำไปที่โต๊ะตัวนั้น ภูริทัตเดินตามไปแล้วนั่งลง มองดูอาหารต่างๆบนโต๊ะ เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นอาหารจีน มีทั้งผัดหมี่ เป็ดปักกิ่ง ปลานึ่ง ต้มจืด ของทอดสารพัดอย่าง อย่างละสามสี่ชิ้น
“น่ากินจังครับ” ภูริทัตยิ้มกว้าง
“ของหวานเป็นเค๊กชอคโกแลตเหมือนเดิมนะครับ อยู่ในตู้เย็น หรือคุณอย่างจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ผมจะได้โทรสั่ง”
“คุณก็รู้ว่านั่นน่ะของโปรดผม”
“งั้นทานเถอะครับ อาหารจีน ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
สเตฟานเปิดจุกไวน์ แล้วรินใส่แก้วให้ภูริทัต และสำหรับตนเอง ภูริทัตเองกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่สเตฟานจิบไวน์ไปเรื่อยๆ พลางมองดูชายหนุ่มด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 31-03-2009 22:25:08
เรทติ้งตกเหรอ  ไม่ตกมั้งตั้ม  เพียงแต่เป็นเสือซุ่มหลบซ่อนน่ะ ไม่ชอบแสดงตัว

อย่าน้อยใจไปนะ เค้าตามอ่านเสมอหล่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 31-03-2009 22:42:12
ราตรีนี้ยังอีก ยาวไกล ชิมิ :-[

รอตอนต่อไปนะคะ  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 31-03-2009 23:22:35
ยังอ่าน และติดตามอยู่ค่า
ปล.จะไม่มีฉาก..นั้นเลยเหรอ 55
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 01-04-2009 00:29:22
ดินเนอร์กลางแสงเทียน โรแมนติกมาก

สานฝันชอบเซอร์ไพรซ์ให้อยู่เรื่อยเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 01-04-2009 05:06:25
ทั้งปิดตา ทั้งอุดหู
สานฝันพาภูริทัตไปที่ไหนหละเนี่ย
สงสัยพาหายตัวแวบไปที่อื่นรึเปล่า ถึงต้องปิดบังขนาดนั้น
บวก 1 ให้เช่นเคย ขอบคุณจ้า
สนุกจริงๆนะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 01-04-2009 06:32:58
^^
^^
โอ้ โอ๋ .... ได้จิ้มคืนพี่น้ำตาลแล้ว  :z1:

สานฝันค่อย ๆ เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแล้ว แม้แต่เพียงทีละเล็ก ทีละน้อยก็ตาม

เป็นกำลังใจให้นะครับ อย่าน้อยใจเรื่องเรทติ้งเลย ตั้ม +1 เพิ่มกำลังใจในการโพส  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 01-04-2009 07:32:44
เรื่องเรทติ้งตกอะ เพราะเทียบจากเรื่องที่แล้ว ผู้มาเยือนยามวิกาล
เรื่องนั้นเรทติ้งกระฉูดดดดดดดดดดดดดดดดด
เพราะมีฉาก อิโรติค(???) มาให้คนอ่านได้ตื่นเต้นกันเป็นระยะๆ   :-[
เลยเขียน signature แซวคนอ่านตะหากล่ะ อิ อิ อิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 01-04-2009 07:43:50



เพิ่มความหื่นอีกนิดก็ได้นี่ครับ

หรือว่า . . .

. . .จขกท.  หื่นไม่เป็นซะแร้ว

แวะมาให้กำลังใจครับ


หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 01-04-2009 08:22:19



เพิ่มความหื่นอีกนิดก็ได้นี่ครับ

หรือว่า . . .

. . .จขกท.  หื่นไม่เป็นซะแร้ว

แวะมาให้กำลังใจครับ


อึ๊ยยย .... ผมไม่เคยหื่นนะฮับ  :sad4:
เรื่องที่แล้ว เขียนลำบากมากๆ ไปยืมหนังสือเพื่อนมาอ่านเป็นตั้งเลย ว่าเขียนยังไง
ยังมะมีคนสอนเลยฮับ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 01-04-2009 10:00:51
สงสัยสานฝันจะพานายภูไปออนทัวร์ประเทศอื่น เพื่อจะได้ ... กันเต็มที่ แบบไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตามเจอ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 01-04-2009 10:16:57



เพิ่มความหื่นอีกนิดก็ได้นี่ครับ

หรือว่า . . .

. . .จขกท.  หื่นไม่เป็นซะแร้ว

แวะมาให้กำลังใจครับ


อึ๊ยยย .... ผมไม่เคยหื่นนะฮับ  :sad4:
เรื่องที่แล้ว เขียนลำบากมากๆ ไปยืมหนังสือเพื่อนมาอ่านเป็นตั้งเลย ว่าเขียนยังไง
ยังมะมีคนสอนเลยฮับ  :laugh:





เด๋วพี่สอนเองคร๊าบบบบบบบบ


อิอิอิ  แอบหื่นแบบออกนอกหน้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 01-04-2009 10:22:17
มื้อนี้ดูเป็นพิเศษจังเลย มีอะไรหรือเปล่า o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 01-04-2009 21:24:38
5555+ ไม่รู้สึกว่าเรทติ้งตก....เพราะตามอ่านตลอด อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 02-04-2009 00:33:33
มื้อนี้ท่าจะหวานเป็นพิเศษรึเปล่าคะ เหมือนจะพาข้ามมิติ ข้ามประเทศกันเลยเนอะ

รออ่านตอนต่อไปอยู่ค่า  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๖ - ๓๑ มี.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 02-04-2009 14:23:56
ไปแอบหวานกันสองคน :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 02-04-2009 18:21:49
บทที่ ๒๗

ประเทศอังกฤษ
ในโกดังเก็บของอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงราวซากศพ ภายในซอกหลืบอันยากจะเข้าถึง พลันลืมตาโพลงขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับโกรธแค้นผู้อื่นจนไม่อาจอภัยได้
“สเตฟาน ... เจ้า ... เจ้า ...”
ความรู้สึกแทบจะทะลักล้นออกจากทรวงอก โจชัวร์ได้แต่พร่ำเรียกชื่อนั้นอย่างซ้ำซาก เพราะไม่อาจทำอะไรได้ ความรู้สึกอันเปี่ยมสุขจากการร่วมรัก ที่เขาสัมผัสได้จากจิตของอีกฝ่าย ยิ่งทำให้เขาคลั่งแค้น เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจับความรู้สึกเช่นนี้ได้ ยามที่เขาคิดว่าได้ปรนเปรอความสุขให้แก่อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ความโกรธยิ่งทวีคูณ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกหลอกให้ห่างออกมาถึงครึ่งโลก หากเป็นยามค่ำคืน เขาคงไม่รอช้าที่จะเร่งรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด ถึงแม้จะใช้เวลา ๒-๓ ราตรี กว่าจะเดินทางถึงเขต ที่เป็นเกาะเล็กๆแห่งนั้นก็ตามที แต่ก็เริ่มเอะใจขึ้นมาบ้าง ว่าสเตฟานติดตามมนุษย์คนนั้น เดินทางมาถึงครี่งโลก แล้วเดินทางกลับไปอีกซีกโลกหนึ่งอีกครั้ง หรือมีเพียงเสตฟานเพียงผู้เดียวในการเดินทางครั้งนี้
..............................................................................
.......................................
“กรีนอายส์”
ภูริทัตยกแขนข้างหนึ่งยันศรีษะตัวเองไว้ พลางลูบไล้สร้อยคอที่อยู่บนลำคอขาวผ่อง มาจนถึงอัญมณีที่อยู่ในกรอบแพลทตินั่ม คล้ายคลึงกับชิ้นที่อยู่บนลำคอของเขา
“ใช่ครับ อัญมณีนี้เรียกว่ากรีนอายส์” สเตฟานเปลี่ยนเป็นนอนตะแคง ยกมือไปสัมผัสอัญมณีอีกชิ้นหนึ่ง ที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยทองคำ “อัญมณีคู่นี้จะสื่อถึงกัน ให้เจ้าของได้รู้ถึงความเป็นไปของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่สวมใส่มันไว้”
“คุณเล่านิทานให้ผมฟังอีกแล้ว” ภูริทัตไล้มือไปบนแก้มนวลสีขาอมชมพู “ผมไม่มีของขวัญอะไรให้คุณเลย ผมขอโทษ”
“เพราะคุณใช้เงินซื้อสร้อยเส้นนี้” สเตฟานยื่นมือไปลูบคลำสร้อยคอทองคำ ที่อยู่บนลำคอของภูริทัต “ความจริงคุณอยากจะซื้อให้ผมด้วย แต่เงินคุณไม่พอ” สเตฟานพูดยิ้มๆ
“คุณรู้ได้ยังไง” ภูริทัตเลิกคิ้ว ตาโตด้วยความสงสัย
“ผมบอกแล้ว ว่ากรีนอายส์เป็นสื่อ” พูดแล้วสเตฟานก็หัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าที่ปั้นยากของภูริทัต “ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมแค่เดาเพราะครั้งที่แล้วคุณยังสวมสายสร้อยที่เป็นโลหะชุบอยู่เลย”
“คุณช่างสังเกต แต่ผมสิคืนนี้ถึงเพิ่งจะรู้ว่าคุณใส่กรีนอายส์ไว้เหมือนกับผม” มือของภูริทัตเลื่อนมาจับที่อัญมณีบนลำคอของอีกฝ่ายอีกครั้ง “กรีนอายส์เหรอ ... ผมเพิ่งสังเกตชัดๆ ว่าประกายของมันเหมือนประกายในดวงตาของคุณจริงๆ”

พูดแล้วภูริทัตก็จ้องมองดวงตาของสเตฟานแน่วนิ่ง แล้วค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปประทับริมฝีปาก ลงบนเปลือกตาที่หลับพริ้มลง ลากเลื่อนลงมาสู่แก้มนุ่ม และริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆบดเบียดลงอย่างรุนแรง ซึ่งอีกฝ่ายก็โต้ตอบกลับมาเช่นกัน ฝ่ามือทั้งสองคู่ต่างสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย ด้วยความเร่าร้อนขึ้นทีละน้อย ร่างกายแนบชิดสัมผัสกันแนบแน่น ดวงประทีปของความปรารถนาในร่างกายของคนที่ตนรัก ถูกจุดให้ร้อนขึ้นทีละนิด จนถึงจุดที่ดวงประทีปดวงนั้นมอดไหม้จนหมดเชื้อลง แล้วดวงประทีปดวงใหม่ก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง และจบลงด้วยความสุขสมของคนทั้งสอง จนใกล้เวลาเที่ยงคืน ทั้งสองจึงผลัดกันอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และในช่วงหนึ่งที่ภูริทัตกำลังหยิบก้านไม้พันสำลีสำหรับทำความสะอาดช่องหูอยู่นั่นเอง ก็ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติ ชายหนุ่มหยิบกล่องใส่ก้านไม้พันสำลี หรือคอตตอนบัท ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัดสินใจถือมันออกมาจากห้องน้ำ แล้วใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงขณะที่กำลังแต่งตัว
“ผมจะพาคุณกลับ ต้องให้คุณลำบากอีกครั้งนะครับ” สเตฟานพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ภูริทัตคิดไปว่าอีกฝ่ายคงยังอาลัยอาวรณ์ไม่แพ้กัน
สเตฟานค่อยๆผูกผ้าปิดตาอย่างเบามือ แล้วจุกยางเล็กๆก็ถูกใส่ในรูหูของเขา มือนิ่มจับมือของเขาบีบเบาๆ แล้วเริ่มพาเขาออกเดิน สัมผัสของอุณหภูมิที่แปลกประหลาด ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจอีกครั้งหนึ่ง เดินไปอีกสักพักจึงหยุดลง แล้วจุกยางที่หูก็ถูกดึงออก ตามด้วยผ้าปิดตา
“เดี๋ยวผมจะให้รถของทางโรงแรมไปส่งคุณ” เสียงพูดพร้อมกับรอยยิ้มของทรงเดช ทำให้ภูริทัตประหลาดใจ เหลียวมองไปรอบๆ พบว่ายืนอยู่หน้าลิฟท์ที่ประตูเปิดค้างไว้ “คุณสเตฟานไปแล้วครับ” เหมืนทรงเดชจะรู้ว่าเขามองหาใคร
..............................................................................
.......................................
เที่ยงคืนแล้ว แต่กรกฏยังนั่งมองดูคนที่เดินอยู่บนถนนอย่างเบื่อหน่าย แล้วเมื่อคิดถึงถึงคนที่ตนมีใจปฏิพัทธ์ ว่ากำลังมีความสุขอยู่กับบุคคลอื่น ก็ต้องขุ่นเคืองใจ แล้วก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเมื่อนึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนผู้นั้น เพราะรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าในทุกๆด้าน มิหนำซ้ำคนผู้นั้นยังมาปรากฏตัวที่หลังตน แต่กลับทำให้คนที่ตนหลงรัก หันไปสนใจได้ แม้แต่คนที่เขาคิดจะเก็บไว้เป็น ‘ตัวสำรอง’ ก็ดูเหมือนจะมีใจให้กับคนคนนั้นเสียอีก

กรกฏยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับคนสองคนที่เดินควงแขนกันอยู่ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มคนแรกแต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด ร่างสูงกำยำ ผมสั้นเกรียน ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ชายหนุ่มผมอีกคนในชุดเสื้อโคทสีเขียวกำมะหยี่ กลับเป็นคนที่เขารู้จักดี
“สเตฟาน”
เขาเรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ นึกสงสัยถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้  และยังปรากฏตัวในลักษณะที่ชวนให้คิดว่า มีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่เดินควงแขนอยู่ด้วย ในรูปแบบที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงลุกขึ้นเดินออกจากร้านติดตามคนทั้งสองไปห่างๆ ผ่านย่านที่มีร้านค้าและคนเดินกันอย่างขวักไขว่ จนถึงซอยแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนบางเบา คนทั้งสองเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยนั้น ซึ่งเป็นซอยเปลี่ยวไร้ผู้คน เมื่อเดินไปถึงบริเวณก้นซอยอันมืดมิด ชายหนุ่มร่างสูงก็ผลักให้ร่างขาวนวล ซึ่งมีผมสีทองเป็นประกายนั้นพิงร่างไปกับผนังตึก แล้วใบหน้าคมเข้มก็ก้มลงไปหาใบหน้าซึ่งมีผิวขาวอมชมพู ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเข้มจะประทับลงไปบนริมฝีปากสีชมพูราวกับกุหลาบ ร่างสูงบึกบึนก็เหมือนจะหยุดค้างอยู่กับที่สักพักหนึ่งก็ถูกผลักให้ออกห่าง แล้วชายหนุ่มผมทองก็เดินออกมา โดยที่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นยืนนิ่ง ไม่ได้แสดงอาการขัดขวางใดๆ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จนกรกฏต้องขยี้ตาด้วยความประหลาดใจ

ร่างของชาวต่างชาติผมสีทองในชุดเสื้อโคทสีเขียวเข้ม ค่อยๆเลือนหายไปในอากาศ

เมื่อมองกลับไปยังชายหนุ่มอีกคน ก็เห็นว่ากำลังเดินอย่างเหม่อลอยออกมาจากซอยนั้น
“คุณ ... คุณ” กรกฏเดินเข้าไปตบไหล่ชายคนนั้น
“อะไรครับ” ชายหนุ่มรู้สึกตัวกันกลับมามองร่างเล็กๆของกรกฏ แล้วยิ้มกว้าง
“เมื่อตะกี้นี้ สเตฟานเค้าทำอะไรคุณน่ะ”
“สเตฟาน ... ใครกันครับ” ชายหนุ่มพูดพลางยกมือขึ้นลูบคาง
“ก็ฝรั่งที่เดินเข้าไปในซอยกับคุณเมื่อกี้ไง”
“ฝรั่งที่ไหนกันครับ แล้วผมก็เดินคนเดียวกำลังจะไปทางโน้น” ชายหนุ่มยกมืออีกข้างชี้ไปทางด้านที่มีคนเดินอยู่ขวักไขว่ “มีแต่คุณนั่นแหละที่มาเรียกผม” พูดพลางสำรวจกรกฏตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ก็ผมเดินตามพวกคุณมาจากทางโน้น” กรกฎชี้มือไปทางแผงร้านค้าที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ “พอมาถึงตรงนี้ พวกคุณก็เดินเข้าซอยนั้นไป แล้วคุณก็เดินออกมาคนเดียว”
“คุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ผมเดินเล่นของผมอยู่คนเดียว ว่าจะเดินต่อไปอีกหน่อย แต่จู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจ ทำไมคุณถึงบอกว่ามีคนมากับผม”
“แต่ว่า...” กรกฏรู้สึกลำคอแห้งผาก นี่เขาตาฝาดไปหรืออย่างไร
“แต่ว่าอะไรครับ หรือว่า...” ชายหนุ่มยิ้มแล้วก้มหน้าลงจนแทบจะชิด จนกรกฏรับรู้ถึงลมหายใจที่แฝงไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ “คุณสนใจผม ก็เลยหาเรื่องเข้ามาคุยกับผม”
กรกฏได้ยินก็ตาโต คิดจะเถียงอะไรต่อไป แต่ริมฝีปากก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากหนา มือหยาบใหญ่ยื่นมาประคองศรีษะของเขาไว้ จูบนั้นค่อยๆรุนแรงขึ้น จนเขาอดตอบสนองไปไม่ได้ เมื่อริมฝีปากคู่นั้นถูกถอนออกไป ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง
“เราไปหาที่เงียบๆคุยกันดีกว่า คุยกันไป หาอะไรแก้เหงา ในคืนที่คนอื่นเขาอยู่กันเป็นคู่ ดีมั๊ยครับ”
..............................................................................
.......................................
“ผมเห็นจริงๆนะพี่” กรกฏพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ตอนเที่ยงคืนน่ะ พี่เพิ่งจะแยกกับเค้า แล้วจะไปโผล่ที่นั่นได้ยังไงกัน”ภูริทัตพูดอย่างเอือมระอา กับการสรรหาเรื่องราวมาพูดของเพื่อนรุ่นน้อง
“นั่นสิ แล้วยิ่งบอกว่าจู่ๆก็หายวับไปกับตา คนนะไม่ใช่ผี” ปรีชาพูดกลั้วหัวเราะ
“แต่ผมเห็นจริงๆนะ” กรกฏยังไม่ยินยอม
“แล้วอีกคนที่ไปด้วยกันล่ะ เค้าหายตัวไปด้วยรึเปล่า” รังสรรค์ถามช้าๆ
“เอ้อ...เปล่า พอสเตฟานหายตัวไปซักพัก เค้าก็เดินออกมาจากซอย” กรกฎก้มหน้าลง ใช้ช้อนส้อมเขี่ยข้าวในจานเบาๆ
“แล้วเค้าไม่ตกใจเหรอ ที่จู่ๆคนที่มาด้วยหายวับไปน่ะ”
“ก็ตอนนั้นเค้ายืนแข็งทื่อยังกับโดนสะกดจิต ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ยืนยันว่าเดินอยู่คนเดียว” กรกฏพยายามอธิบาย
“ปู เรื่องความคิดน่ะเราห้ามกันไม่ได้ แต่ปูจะทำอะไรคิดหน่อยสิ เราน่ะเหลวไหลขึ้นทุกวันนะ” รังสรรค์พูดดุๆ

กรกฏขบริมฝีปาก ใบหน้าแดงกล่ำ ไม่พอใจที่ถูกดุ เหลือบตามองดูก็เห็นภูริทัตมองตัวเองด้วยสีปน้าไม่พอใจ แม้แต่ปรีชา ก็ยังมองเขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ ด้วยความโกรธ จึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ลุกออกจากที่นั่ง เดินไปจ่ายเงินค่าอาหารด้วยตัวเอง แล้วเดินออกจากร้านไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 02-04-2009 18:30:21


ขอบคุณนะครับที่มาต่อ







หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-04-2009 19:40:24
 :man1:  ยังอ่านอยู่นะจ๊ะ เรื่องนี้เรทติ้งยังดีอยู่จ๊ะ  :man1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 02-04-2009 20:00:51
โจชัวร์เริ่มรู้สึกแล้วอ่ะ จะหนีไปได้อีกนานแค่ไหนเนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 02-04-2009 21:29:27
แล้วความลับจะแตกมั้ยเนี๊ย สานฝัน ภูริทัต ก็หยิบของติดมือกลับมา

ส่วน ปู ก็เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 02-04-2009 21:48:25
ว่าแต่ ภู หยิงอะไรออกมาจากห้องน้ำนะ

แล้วข้อสงสัยกับการเห็น สเตฟาน มันคืออะไร

รีบมาเฉลยด่วนนะครับ ตั้ม +1 ให้ก่อนเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 02-04-2009 21:50:25
ว่าแต่ภู หยิบอะไรออกมา แล้วจะเป็นผลเสียต่อการติดต่อกันหรือไม่

ส่วนที่ปูเห็น มันคืออะไร รีบมาเฉลยด่วนด้วยนะครับ ตั้ม +1 ให้ก่อน

แล เป็นกำลังใจให้นะครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 02-04-2009 23:17:33
มารอเฉลยด้วยคนค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 02-04-2009 23:25:33
ตามอ่านตลอดเลยค่ะ  เพราะยิ่งอ่านยิ่งสนุก  :m4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 03-04-2009 06:07:20
จะใช่สานฝันจริงๆรึเปล่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 03-04-2009 08:36:59
โจชัวร์ถูกหลอกให้ไปถึงอังกฤษ
แล้วตอนนี้สเตฟานอยู่ที่ไหน
กรีนอายส์เป็นตัวเชื่อมโยงให้สเตฟานสามารถพาภูริทัตหายตัวไปยังที่อื่นๆได้หรือเปล่า

กรกฎกำลังหัวเสียหนัก ยิ่งน่าจะเพิ่มความไม่พอใจสเตฟานขึ้นไปอีก

บวก 1 จ้า ลุ้นได้ลุ้นดี
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๗ - ๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 03-04-2009 14:08:03
จริงๆ ภูริทัตถูกสานฝันพาไปต่างประเทศแบบไม่รู้ตัว (หรือจะรู้แล้ว)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 03-04-2009 20:35:31
บทที่ ๒๘

ภูริทัตหมุนกล่องใส่คอตตอนบัทในมือเล่น คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมด้านหนึ่งของกล่อง จึงได้พิมพ์ตัวอักษรเป็นชื่อของโรงแรมชื่อดัง บนเกาะเล็กๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศบนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศไทย เกาะแห่งนั้นนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ที่คนไทยนิยมเดินทางไป เพื่อการจับจ่ายซื้อของ มากกว่าจะไปชื่นชมธรรมชาติของเกาะแห่งนั้น บางคนก็เดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ เพื่อไปซื้อสินค้า นำกลับมาขายเอากำไรในร้านของตน เกาะซึ่งมีกฏหมายบังคับใช้เฉพาะพื้นที่ กฏหมายบางข้อของแผ่นดินแม่ ไม่มีการบังคับใช้บนเกาะแห่งนี้ มันจึงเป็นเหมือนสวรรค์ของคนหลายๆคน ที่จะใช้สถานที่นี้ทำการหลายๆอย่าง โดยไม่ถูกขัดขวางโดยเงื้อมือของกฏหมาย บางคนเปรียบเกาะแห่งนี้เป็นดั่งเกาะสววรค์ ... ฮ่องกง

“คุณทำพลาด เขาเริ่มสงสัยแล้ว” เสียงพูดช้าๆอย่างคนใจเย็น ดังออกจากปากของชายหนุ่ม ที่นั่งอยู่บนโซฟาของชุดรับแขกภายในห้องพัก
“ผมขอโทษครับ ผมดูแลไม่ละเอียดพอ” ทรงศักดิ์พูดด้วยสีหน้ากังวล
“ผมไม่ได้คิดตำหนิคุณหรอกนะ เรื่องราวบางอย่าง บางครั้งมันก็ย่อมเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ สิ่งที่เกิดขึ้น เราก็ควรจะนำมาเป็นจุดที่ต้องระวัง หากจะทำอะไรในครั้งต่อไป ว่าไม่ควรให้ข้อผิดพลาดแบบเดียวกันเกิดขึ้นอีก” ชายหนุ่มพูดช้าๆพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“ผมไม่คิดว่า คุณภูริทัตจะเอาเรื่องนี้มาตั้งเป็นข้อสงสัยอะไรมากมาย”
“ภูริทัตเขาสงสัยอะไรรอบตัวอยู่เสมอ เพียงแต่เขาจะปล่อยให้มันผ่านไป หรือจะเก็บไว้ขบคิดหากเขามีเวลา ความคิดในจิตใจมนุษย์เป็นสิ่งซับซ้อน จนบางครั้งกลายเป็นสิ่งน่ากลัว การแสดงออกภายนอก ไม่ได้บอกทุกสิ่งที่เขาคิดหรอกนะ” สเตฟานหยุดพูด เพราะสายตาที่จ้องมองด้วยความสงสัย ของทรงศักดิ์ “ผมบอกเพื่อให้คุณกับทรงเดช เตรียมคำตอบไว้ให้ตรงกัน ว่าควรจะอธิบายหรือบอกปัดกับเรื่องนี้อย่างไร เพราะถ้าคุณสองคนตอบอะไรที่ไม่ตรงกัน จะทำให้เขาสงสัยมากขึ้น”
“ผมถามอะไรคุณท่านซักอย่างได้มั๊ยครับ” ทรงศักดิ์ถามอย่างเกรงใจ
สเตฟานไม่ตอบ แต่จากสีหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ทำให้ทรงศักดิ์รู้ว่าเขาไม่ขัดข้อง
“ทำไมคุณท่านถึงได้รู้ว่าคุณภูริทัตทำอะไร คิดอะไร หรือว่าคุณท่านให้เค้ากิน ...”
“เปล่า ผมยังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” สเตฟานจ้องมองทรงศักดิ์ที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ทรงศักดิ์ คุณทำงานให้ผมมานานเท่าไหร่แล้ว”
“สี่สิบปีกว่าแล้วครับ” ทรงศักดิ์ยิ้มกว้าง เหมือนกับภาคภูมิใจในหน้าที่ของเขา
“วันแรกที่ผมพบกับคุณ คุณยังเป็นหนุ่มน้อย คงจะอายุคงน้อยกว่าทรงเดชในตอนนี้” สายตาของสเตฟานจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของทรงศักดิ์ “ตอนนี้รูปลักษณ์ของคุณเปลี่ยนไปมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่มั่นคงอยู่เสมอ”
ทรงศักดิ์ขมวดคิ้วน้อยๆ สงสัยว่าสเตฟานกำลังจะพูดอะไร
“ความจงรักภักดีที่คุณมีต่อผม นับตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง” สเตฟานยิ้มกว้าง “ผมจะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งให้คุณได้รู้” พูดแล้วก็ล้วงสร้อยคอที่สวมใส่ออกมาภายนอกเสื้อเชิต อัญมณีสีเขียวในกรอบแพลทตินั่ม ส่องประกายแวววาวล้อกับแสงไฟ “นี่คือกรีนอายส์”
“กรีนอายส์” ทรงศักดิ์ทวนคำพลางจ้องมองดูอัญมณีเม็ดนั้นอย่างครุ่นคิด “นี่มันเหมือนกับที่คุณท่านให้คุณภูริทัตไปนี่ครับ”
“ใช่ กรีนอายส์ ... ดวงตาสีเขียวมรกต ดวงตาแห่งกรีนอายส์ ดวงตาทั้งคู่สื่อถึงกันได้ ทำให้ผมรู้ได้ถึงการกระทำของภูริทัต ตราบที่เขายังสวมมันอยู่ และถ้าภูริทัตสามารถฝึกฝนจิตจนถึงระดับหนึ่ง เขาก็จะสามารถรับรู้ถึงการระทำของผม ที่สวมใส่กรีนอายส์ชิ้นนี้ไว้ได้เช่นกัน”
“ฝึกจิตเหรอครับ” ทรงศักดิ์หัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขบขัน “อย่างคุณภูริทัตคงไม่ไหว”
“อย่าดูถูกความพยายามของมนุษย์ หากเขาตั้งใจ ผมเชื่อว่าสักวันเขาจะทำได้ แม้แต่คุณเองหรือทรงเดชก็เช่นกัน” สเตฟานพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ไหวล่ะครับ ผมอายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้จะฝึกไปทำไม” ทรงศักดิ์ส่ายหน้าเบาๆ
สเตฟานยิ้มน้อยๆ จับสายสร้อยให้เข้าไปอยู่ด้านในของเสื้อเชิตเช่นเดิม
“ดวงตาของแวมไพร์ เป็นชาร์มอายส์ ที่มีอำนาจสะกดให้มนุษย์ลุ่มหลง และสามารถบังคับมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง แต่หากใส่กรีนอายส์ติดตัวไว้ อำนาจของชาร์มอายส์ก็ทำอะไรมนุษย์คนนั้นไม่ได้” สเตฟานอธิบายต่อ
“อ้อ ... คุณท่านถึงได้ให้คุณภูริทัตติดตัวไว้ แต่มันจะไม่กลายเป็นจุดให้สังเกตได้หรอกเหรอครับ”
“ไม่หรอก” สเตฟานยิ้มขัน “หากมนุษย์ไม่ได้มีความสนใจในแวมไพร์ตนนั้นก่อน ชาร์มอายส์ก็ไม่มีผลเช่นกัน ชาร์มอายส์เพียงแค่กระตุ้นความต้องการที่มีอยู่แล้ว ให้แสดงออกมารุนแรงขึ้นเท่านั้นเอง”
“มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆนะครับ เหมือนกับยาพิษที่มียาแก้ไว้ข่มกัน ว่าแต่กรีนอายส์นี่มันเป็นอะไรกันแน่”
สเตฟานค่อยๆเล่าถึงที่มาของอัญมณีนั้นให้ทรงศักดิ์ได้รับรู้
“ถ้าอย่างนั้นคุณท่าน ...” ทรงศักดิ์ถึงกับอุทานออกมาเมื่อฟังจบ
“ไม่หรอก ยังไม่ถึงเวลาของผม มันคงอีกนานนัก เพราะช่วงเวลาของแวมไพร์ยาวนานกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า ช่วงเวลานั้นที่ว่านานแล้ว แต่ช่วงเวลาของผมยิ่งนานกว่านั้น” แววตาของสเตฟานหม่นลง เพราะความเศร้า “สำหรับพวกคุณเหล่ามนุษย์ ผมอาจจะเป็นตัวแทนของนิรันดรที่แท้จริง” ใบหน้าของสเตฟานก้มต่ำลง เหมือนจะเหลือบมองไปที่พื้น แต่แววตากลับเหม่อลอย เหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของเขาเลย

ทรงศักดิ์มองดูทีท่าที่หม่นหมองของสเตฟานแล้วก็ต้องถอนหายใจ ชีวิตเช่นนั้นต้องผ่านอะไรมามากมายขนาดไหน เพียงแค่ ๖๐ กว่าปีของชีวิต เขาต้องพบกับความสุขความเศร้ามามากมาย แล้วชีวิตของคนตรงหน้าเขา ที่ผ่านมายาวนานกว่าไม่รู้กี่เท่า และยังต้องคงอยู่ไปอีกจนไม่สามารถประมาณได้ ทรงศักดิ์แทบไม่อยากคิดเลยจริงๆ

“อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับพวกของโจชัวร์” ใบหน้าที่ก้มลงเล็กน้อย เงยขึ้นมาพูดขึ้นอีกครั้ง
“คนที่กำลังตามหาคุณท่านอยู่น่ะเหรอครับ” สเตฟานพยักหน้ารับ
“การเดินทางย้อนดวงอาทิตย์มาที่ฮ่องกงนี้ คงต้องใช้เวลามากกว่าตอนที่พวกนั้นเดินทางไปอังกฤษ นับว่าเป็นโชคดี ที่เขาทำแบบผมไม่ได้ อย่างเร็วก็คงจะเป็นคืนวันพรุ่งนี้ ทางที่ดีคุณย้ายออกจากโรงแรมนี้ซะตั้งแต่พรุ่งนี้เช้า หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น คุณควรกลับเมืองไทย”
......................................................................................
..........................................
“สวัสดีครับ”
“คุณทัตครับ ผมให้เวลาคุณยี่สิบ ... ไม่สิ ... สิบห้านาทีพอ สำหรับการแต่งตัว แล้วรีบลงมาขึ้นรถนะครับ ผมรออยู่หน้าบ้าน” เสียงคุ้นหูดังมาจากหูฟังบลูธูท
“ใครน่ะ”
“ผมทรงเดชเองครับ”
“ทรงเดช ... คุณอยู่หน้าบ้านผมเหรอ” ภูริทัตเดินไปที่หน้าต่างของห้องรับแขก ภายในบ้านชั้นเดียวของตนเอง มองเห็นรถสปอร์ตคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูรั้ว “คุณมาทำไม แล้วจะให้ผมไปไหนกับคุณ”
“ถ้าให้ผมตอบทีละคำถาม สงสัยเวลาคงต้องลดลงนะครับ ผมตอบสั้นๆประโยคเดียวแล้วกัน คุณสเตฟานรออยู่ จะไปมั๊ยครับ”
“สเตฟาน ... สานฝัน” ชายหนุ่มหันหน้าไปมองนาฬิกา ที่แขวนอยู่บนผนังบ้าน “นี่มันสิบโมงเช้า คุณจะมาล้ออะไรผมเล่น ตามมาแกล้งผมถึงบ้านแบบนี้ คุณคิดอะไรกันแน่” ภูริทัตพูดด้วยความโมโห
“คุณภูริทัตคร๊าบ ...” ทรงเดชลากเสียงยาว “ถ้าผมล้อคุณเล่นแบบนี้ แล้วคุณปู่ หรือคุณท่านรู้เข้า คงไม่ปล่อยผมไว้หรอก เอางี้ ถ้าคุณไปแล้วไม่เจอคุณสเตฟาน คุณค่อยเล่นงานผม แต่ถ้าคุณไม่ไป หึ หึ หึ”
“ทำไม ถ้าไม่ไปแล้วจะเป็นยังไง”
“ถ้าคุณไม่ไป ผมก็จะเที่ยวกับคุณสเตฟานแทนดีมั๊ยครับ หรือไม่งั้น ผมไปรับคุณรังสรรค์กับพรรคพวกให้ไปพร้อมๆกัน ท่าทางจะดีเหมือนกัน”
“นาย...”
“เอาเวลาที่จะโมโหรีบไปแต่งตัวดีกว่าครับ ยิ่งช้า ยิ่งมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงนะครับผม” พูดจบทรงเดชก็วางสายไป

ภูริทัตยืนงงอยู่สักพัก ก็รีบเปลี่ยนชุด จากเสื้อยืดกางเกงขาสั้นซึ่งเป็นชุดลำลองสบายๆ ในยามที่เขาอยู่บ้านเป็นปรกติ มาเป็นกางเกงยีนส์เสื้อยืดโปโลแขนสั้นสีฟ้าสดใส ปิดประตูหน้าต่าง แล้วออกจากบ้าน ทรงเดชที่ยืนอยู่ข้างรถก็ทำท่าชี้ชวนให้เขาขึ้นรถ ภูริทัตนั่งรถไปด้วยความสงสัย และรู้สึกหงุดหงิดกับรอยยิ้มที่เหมือนกับขบขันของทรงเดช
“คุณหัวเราะอะไร” ภูริทัตถามโพล่งออกไป เมื่อทนไม่ไหว
“หัวเราะคุณนั่นแหละ” ทรงเดชตอบ แล้วหัวเราะมากขึ้น “ไปหาคนรักทั้งที ทำหน้าตาแบบนี้ น่าขันจะตาย”
“คุณกำลังหัวเราะเยาะผม ... ผมมีอะไรให้คุณขบขันนัก”
“จะไม่ให้ผมขำได้ยังไง จู่ๆคุณมาหึงผมกับคุณสเตฟาน ... มันน่าขำจะตาย แล้วผมคิดว่าไม่ใช่มีแต่ผมที่โดนแบบนี้ คุณรังสรรค์ก็คงโดนบ้างเหมือกัน แต่พวกคุณเป็นเพื่อนกัน คงจะเคลียร์กันง่ายกว่าผม ซึ่งเป็นคนที่คุณเพิ่งจะรู้จัก”
“แล้วทำไมคุณต้องทำตัวสนิทสนมกับสานฝันนัก”
“คุณภูริทัตคร๊าบบบบบ” ทรงเดชลากเสียงยาวแบบที่ชอบทำบ่อยๆ “ต่อไปผมต้องทำงานดับคุณสเตฟานนะครับ มันก็ต้องมีการพบปะกันบ้าง แล้วคุณต้องยอมรับนะว่า อัธยาศัยของคุณสเตฟานน่ะ อ่อนโยน เป็นมิตร ดูอบอุ่น ใครได้รู้จักก็อดนึกชอบไม่ได้”
ทรงศักดิ์เหลือบสายตามองดูภูริทัติ เห็นว่ากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็อดขำขึ้นมาอีกไม่ได้
“แต่คุณวางใจผมได้ ถึงผมจะยังไม่มีคนรัก ผมก็ชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายด้วยกัน แล้วถึงแม้ว่าต่อไปผมจะเกิดเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายด้วยกัน ผมคงไม่คิดชอบคุณสเตฟานหรอก”
“ทำไม เค้าไม่ดีตรงไหน” ภูริทัตถามโพล่งออกไป ทำให้ทรงเดชหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“ตรงที่คุณสเตฟานเค้าชอบคุณมั๊ง คุณรู้มั๊ย คุณปู่ผมบอกว่ายังไม่เคยเห็นคุณสเตฟานมีความรักเลย คุณปู่ยังบอกอีกว่า คุณสเตฟานน่ะรักคุณมานานแล้วด้วย” ทรงเดชหยุดพูด เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป
“คุณหมายความว่ายังไง ที่ว่ารักมานานแล้ว พวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อธันวาคมปีที่แล้วเองนะ” ภูริทัตขมวดคิ้วสงสัย
“นั่นแหละครับ ผมหมายถึงตอนนั้นแหละ” ทรงเดชอ้อมแอ้มตอบไป แล้วไม่พูดอะไรต่ออีกเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 03-04-2009 21:09:07
สงสัยความลับจะแตกกับทรงเดชนี่แหละ...พูดเล่นพูดจริงผสมปนเปมากเกินไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 03-04-2009 21:28:30
คราวนี้สเตฟานจะพาภูริทัต ไปไหนอีกน๊า อิ อิ

รอตอนต่อไปคะ   :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 03-04-2009 22:15:32
ความลับของกรีนอาย ค่อย ๆ เปิดเผยขึ้น

อีกทั้งทรงเดชก็เล่นกับภูซะหยั่งงั้น

เป็นกำลังใจให้นะ ตั้ม ขอให้ขยัน ๆ +1 ให้อีกเช่นเคย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-04-2009 06:04:30
^
^
ว้าวววว ได้ต่อท้ายน้องวันอีกแล้วววว หุหุ

คราวนี้ความจริงในชีวิตสเตฟานค่อยๆเปิดออกมามากขึ้น
กรีนอายส์คือสื่อเชื่อมโยงจิตใจและความคิดถึงกันจริงๆ
แต่ทรงเดชนี่นะ พูดเยอะเหลือเกิน หรืออาจจะเป็นข้อดี ที่ทำให้ภูริทัตได้สงสัย และค้นหาความจริงเร็วขึ้น

จะบวก 1 ให้เช่นเคย แต่ยังทำมิได้  :กอด1: แทนละกัน ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 04-04-2009 06:17:17
หลุดบ่อยจริงๆนะทรงเดช :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 04-04-2009 14:35:14
เอ .... ถ้าวันไหนภูรู้ว่า จริงๆแล้วสานฝันเป็น....
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น  จะกลัวจนไม่กล้ามาเจอสานฝันอีกรึป่าวเนี่ย  :serius2:
ยิ่งได้นายปูจอมป่วน  คอยยุแยงตลอด  ฮึ่ม  :m16:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-04-2009 18:47:56
ยังติดตามอยู่จ้า  :กอด1:  ทรงเดชนี่จะว่ารั่วหรือหลุด  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 04-04-2009 23:37:42
ความท่าจะแตกเร็ว ๆ นี้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 05-04-2009 02:28:15
 :angry2: :angry2: :angry2:
ทรงเดช พูดมากไปไหมนั่นเกือบความแตกละเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 05-04-2009 21:28:32
แล้วคราวนี้จะพากันไปที่ไหนอีกละคะเนี่ย

รออ่านอยู่ค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๘ - ๓ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-04-2009 01:44:10
ทรงเดช อีกแล้ว  :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 06-04-2009 18:28:18
บทที่ ๒๙

ภูริทัตนั่งอยู่ในรถที่ขับเข้าซอยนั้น ออกซอยนี้ เหมือนเป็นทางลัด จนมาถึงรั้วบ้านที่ค่อนข้างเก่า แต่ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย หลังคาบ้านโผล่พ้นยอดไม้ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ทำให้พอจะเดาออกว่า ภายในจะมีต้นไม้แน่นขนัดขนาดไหน แล้วก็เป็นดังคิด เมื่อรถแล่นเข้าไปในประตูบ้านที่เปิดกว้าง ราวกับเตรียมการต้อนรับไว้แล้ว ตัวบ้านไม้ขนาดใหญ่ ดูร่มเย็นภายใต้เงาไม้ใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่สองฟากข้าง ท้องฟ้าที่มีเมฆมาก จนเหลือเพียงแสงแดดอ่อนๆ ทำให้บริเวณภายในรั้วบ้านแห่งนี้ ดูร่มรื่นยิ่งนัก แล้วรถสปอร์ตคันงามก็ค่อยๆจอดลงหน้าบ้านไม้ทรงยุโรปสองชั้นขนาดย่อม ยกพื้นเล็กน้อยเหมือนบ้านสมัยเก่า

“บ้านใครน่ะ” ภูริทัตภามเมื่อลงมาจากรถ พลางมองดูอย่างชื่นชม มุขหน้าของบ้านโค้งเป็นครึ่งวงกลม แล้วแยกออกเป็นปีกซ้ายขวาอย่างลงตัว
“เดิมเป็นบ้านของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง แต่ตอนหลังนำออกมาขาย คุณสเตฟานเลยซื้อเอาไว้” ทรงเดชตอบพลางเดินอ้อมไปทางด้านซ้ายของบ้าน “มาทางนี้ครับ”
ภูริทัตเดินตามทรงเดชไป ก็พบกับซุ้มทางเดิน เป็นทางปูด้วยอิฐสารพัดสี ดูลานตา ด้านบนเป็นโครงไม้สานกันคล้ายตาข่าย ให้เถาวัลย์เกาะเกี่ยวจนเป็นเหมือนหลังคาของทางเดิน
“อย่าส่งเสียงดังนะครับ เดี๋ยวจะตกใจ” ทรงเดชหันมาพูดเบาๆ แล้วเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง ทำให้ภูริทัตพลอยระวังไปด้วย ระหว่างที่เดินเหมือนจะได้ยินเสียงเหมือนนกร้องอยู่เป็นระยะๆ

เมื่อเดินพ้นซุ้มเถาวัลย์ออกมา ก็มองเห็นลานกว้าง แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ กิ่งก้านของต้นไม้ที่สูงลิ่ว ซ้อนทับกันจนคล้ายหลังคามหึมา จนทำให้แสงแดดแทบไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ แต่ก็ยังสว่างมาพอที่จะเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน กลางลานกว้างมีขาตั้งสำหรับวาดภาพวางอยู่ เฟรมที่มีกระดาษขนาดใหญ่ มีคนกำลังระบายสีลงไปอย่างตั้งใจ ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่มีพนัก ใส่เสื้อสีเขียวใบไม้ กางเกงสีน้ำตาลเปลือกไม้ ดูกลมกลืนไปกับหมู่ไม้รอบข้าง ผมสีทองสะท้อนเป็นเงา เพียงมองจากด้านหลัง ภูริทัตก็รู้ว่าเป็นใคร ความเงียบสงบท่ามกลางหมู่ไม้ มีเสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกันแผ่วๆ เสียงนกร้องอยู่แว่วๆ ทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด ภูริทัตมองหาทรงเดชอีกครั้ง ก็พบว่าไม่อยู่เสียแล้ว ก่อนที่เขาจะส่งเสียงอะไรออกไป คนบนเก้าอี้ก็หันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้าง แล้วเดินเข้าไปหา

“วันนี้อากาศดีนะครับ” สเตฟานพูดทักทาย พร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ครับ” ภูริทัตตอบสั้นๆ วางมือลงไปบนไหล่ของอีกฝ่าย แนบจมูกลงไปบนเรือนผมนุ่มราวกับเส้นไหม สูดได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับกลิ่นของทุ่งหญ้าหลังฝนตก “หอมจัง คุณใช้แชมพูอะไรเนี่ย”
“คุณก็หอมเหมือนกัน ใช้สบู่อะไรครับ” เสียงถามปนด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อสเตฟานจุมพิศไปบนคางมนของภูริทัต

ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ส่งประกายแวววับ จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกต ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความรู้สึกที่ส่งถึงกันของคนทั้งสอง นอกจากเสียงของธรรมชาติรอบๆตัว
“มาเห็นคุณตอนกลางวันแบบนี้ คุณดูงามราวกับรูปสลัก ทำไมผมถึงได้โชคดีแบบนี้ ที่ได้เป็นเจ้าของคุณ”
ภูริทัตเอ่ยเบาๆราวเสียงกระซิบ ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วไล้แผ่วๆไปบนแก้มเนียนนุ่ม ผิวสีขาวอมชมพูที่เขาเคยเห็นแต่เพียงในแสงไฟยามค่ำคืน ตอนนี้กลับเป็นผิวที่ขาวใส เกลี้ยงเกลาราวเนื้อหินอ่อน สีชมพูของเลือดฝาดราวกับจะเปล่งประกายอยู่ภายใน ริมฝีปากสีชมพูดูเต่งตึงราวผิวของกลีบกุหลาบแรกแย้ม จนภูริทัตอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมไอดังขึ้นราวกับตั้งใจจะขัดจังหวะ ภูริทัตหันไปมองก็เห็นรอยยิ้มที่เหมือนจะล้อเลียนของทรงเดช
“จวนเที่ยงแล้ว ผมว่าเราทานอะไรกันเลยดีมั๊ยครับ ผมให้คนเตรียมไว้แล้ว กำลังยกมา”
ไม่ทันขาดคำ ก็มีคนเดินออกมาจากประตูบ้าน ที่มีฉากกั้นเป็นแผงไม้ไผ่ เกาะเกี่ยวไปด้วยไม้เลื้อย ชายหญิงวัยกลางคนหอบข้าวของเดินตรงเข้ามายังลานกว้าง ชายกลางคนปูเสื่อผืนใหญ่ลงบนพื้นหญ้า แล้วเดินกลับเข้าไป หญิงกลางคนจัดวางกล่องอาหารหลายใบลงบนเสื่อ แล้วจัดจาน ช้อน ช้อนส้อม แก้วไวน์ แก้วน้ำ ๓ชุด แยกเป็นสามมุม เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน สักพักทั้งสองคนก็ออกมา พร้อมกับช่วยกันยกลังโฟมขนาดใหญ่พอสมควรออกมาด้วย ทั้งสองวางลังโฟมนั้นลงบนพื้นหญ้าใกล้ๆเสื้อ เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งยิ้มให้สเตฟานและภูริทัต ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง

“ทำยังกับมาปิคนิคแน่ะครับ” ภูริทัตพูดอย่างอารมณ์ดี
“ถูกใจมั๊ยครับ” ทรงเดชตอบ แล้วถอดรองเท้านั่งลงไปที่มุมหนึ่งของเสื่อใกล้ๆกับลังโฟม
สเตฟานชักชวนให้ภูริทัตนั่งลงบ้าง แล้วช่วยกันเปิดกล่องอาหาร กลิ่นของข้าวผัด หมูและปลาชุบแป้งทอด ไก่ย่าง ไส้กรอกและเบคอนทอด ส่งกลิ่นหอมออกมาทันที ทั้งสามคนต่างชวนกันกินอาหารกลางวันกันอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้ทรงเดชจะพูดจาหยอกล้ออะไรออกมาบ้าง ตอนนี้ภูริทัตก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า คนคนนี้ไม่มีเจตนาลึกล้ำอันใดแอบแฝงเลย นอกจากความรักสนุกตามภาษาคนอารมณ์ดีเท่านั้นเอง อาหารกลางวันมื้อนั้น ทั้งภูริทัตและทรงศักดิ์เอง ต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่สเตฟานกินข้าวผัดไปเพียงไม่กี่คำ และของอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“คุณกินน้อยจังนะ” ภูริทัตถามอย่างห่วงใย
“ธรรมดาคุณสเตฟานก็ไม่ค่อยกินอาหารอะไรอยู่แล้ว ปรกติเวลากลางวันแบบนี้ เป็นเวลาพักผ่อนด้วย ก็เลยไม่หิวไงครับ” ทรงเดชตอบแทน
“แล้วนี่คุณหายแพ้แดดแล้วเหรอครับ ถึงออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ได้” ภูริทัตขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปถามสเตฟานอีก
“ยังหรอกครับ แต่วันนี้อากาศดี แดดไม่ค่อยมี ก็เลยออกมาข้างนอกบ้าง” ทรงเดชตอบอีก ทั้งๆที่กำลังใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกทอดเข้าปาก
ความเงียบทำให้ทรงเดชเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมามอง เห็นสเตฟานกำลังอมยิ้ม และภูริทัตกำลังมองเขาอยู่อย่างโกรธๆ
“อ้าว คุณภูริทัตเป็นอะไรไปน่ะครับ อาหารไม่อร่อยเหรอครับ” ทรงเดชถามเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
“เมื่อกี้น่ะผมถามสานฝัน” ภูริทัตพูดห้วนๆ
“ผมก็ช่วยตอบไงครับ” ทรงเดชทำหน้าเหรอหรา แล้วก็ยิ้มเหมือนนึกขึ้นได้ “อ๋อ คุณไม่พอใจเรื่องนี้นี่เอง คุณภูริทัตถือซะว่า ผมเป็นเลขาฝึกหัด กำลังตอบแทนเจ้านายแล้วกันนะครับ อย่าถือเป็นอารมณ์เลย”
“นั่นสิ คุณทัตอย่าถือเลยนะครับ ทรงเดชเค้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชอบแกล้งคนเล่นจนเป็นนิสัย ยิ่งถ้ารู้ว่าคุณใส่ใจ เค้าก็จะยิ่งแกล้ง” สเตฟานยิ้มขันกับท่าทางของคนทั้งสอง
“ที่เค้าเรียกนิสัยไม่ดีใช่มั๊ยครับ” ภูริทัตพูดแล้วยักคิ้ว ทำหน้ากวนๆใส่ทรงเดช
“แหมคนเราน่ะ ก็ต้องมีบ้างล่ะครับไอ้นิสัยส่วนที่ไม่ดีน่ะ ฝรั่งเค้ายังว่าไว้เลยว่า โน บอดี้ อีส เปอเฟค ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ อย่างคุณภูริทัตเองน่ะ พูดอะไรเกรงใจใครเค้าซะที่ไหน เอาแต่ใจก็พอตัว ใช่มั๊ยครับ คุณสเตฟาน”
ภูริทัตหันไปมองสเตฟานที่หัวเราะเบาๆ เหมือนจะรอคำตอบเช่นเดียวกับทรงเดช
“จริงครับ” แล้วก็ก้มหน้าหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต “ผมหมายความว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างน่ะครับ เพียงแต่ว่าข้อเสียของเราไปทำร้ายคนอื่นให้เดือดร้อนรึเปล่า ข้อเสียบางเรื่องน่ะ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับข้อเสียของคนบางคน หรือถ้าคิดอีกแง่มุมหนึ่ง ข้อเสียอาจจะกลายเป็นข้อเด่นก็ได้ อย่างคุณทรงเดช ก็มักจะกลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆสนุกสนานได้เสมอ หรือคุณภูริทัตเองก็เป็นคนที่เพื่อนๆมักจะขอความเห็นบ่อยๆ เพราะมักตอบอะไรตามความจริงโดยไม่ปิดบัง”
“ก็คุณสเตฟานเป็นแบบนี้น่ะสิครับ พูดอะไรให้คนอื่นดีใจอยู่เรื่อย ถึงได้เป็นที่รักของทุกคน” ทรงเดชพูดพลางยิ้มกว้าง ส่งสายตาทั้งเคารพ ทั้งเทิดทูน จนภูริทัตสังเกตได้
“คุณล่ะ สานฝัน มีข้อเสียอะไรบ้างน๊า ... ผมอยากรู้จริงๆ” ภูริทัตยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“คนเราน่ะ ไม่ชอบหรอกครับที่จะพูดถึงข้อเสียของตนเอง” สเตฟานพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ “ข้อเสียของผมถ้าคุณได้รู้ คุณอาจจะเลิกเกี่ยวข้องกับผมไปเลยก็ได้”
“ไม่จริงหรอก” ภูริทัตโพล่งออกไปทันที “ไม่ว่ายังไงผมจะไม่จากคุณไปไหนเด็ดขาด”

ทรงเดชมองดูสีหน้าและท่าทางของภูริทัต ที่ยื่นมือไปจับมือของสเตฟานมากุมไว้ แล้วอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ นึกภาวนาว่า หากวันนั้นมาถึง ขอให้ภูริทัตกระทำได้ตามที่พูดออกมาในวันนี้ แต่ถึงชายหนุ่มจะทำได้จริง คนทั้งสองก็ต้องพรากจากกันอยู่ดี เมื่อถึงวันที่ชายหนุ่มสิ้นอายุขัย แล้วเมื่อถึงวันนั้น สเตฟานจะเป็นอย่างไรต่อไป ทรงเดชแทบจะไม่อยากคิดต่อไปเลย

“เสร็จแล้วครับ” สเตฟานพูดดังๆ ทำให้ภูริทัตที่นั่งสับปะหงกอยู่บนพื้นหญ้ากลางลานกว้าง สะดุ้งขึ้นทันที
“ไหน ... ขอผมดูหน่อย ถ้าไม่ถูกใจคุณต้องวาดใหม่นะ” ภูริทัตพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาสเตฟาน
สเตฟานเบี่ยงตัวเล็กน้อย เพื่อให้ภูริทัตมองได้ถนัด ภาพวาดสีไม้บนกระดาษปอนด์ขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนขาตั้งดูงดงาม ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ขัดสมาธิอยู่กลางพี้นหญ้า แวดล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี เก็บรายละเอียดได้แทบจะสมบูรณ์พร้อม จนน่าจะเชื่อว่าเป็นภาพวาดจากฝีมือจิตรกรระดับสูง มากกว่าที่จะมาจากนักวาดภาพมืออาชีพ อย่างที่ผู้วาดออกตัวไว้ตั้งแต่ทีแรก
“ถูกใจมั๊ยครับ” สเตฟานถามเบาๆ
“สวยมากเลย” ภูริทัตหันไปยิ้มให้อย่างชื่นชม แล้วหันไปดูรูปนั้นอีก
“ผมให้คุณนะครับ”
“สานฝัน” ภูริทัตหันไปพูดด้วยสีหน้าเกรงใจ “คุณให้ผมมากเหลือเกินนะ จนผมเกรงใจไม่รู้จะเกรงใจยังไงแล้ว”
“อย่าคิดมากสิครับ” สเตฟานหัวเราะเบาๆ “แค่ภาพวาด”
“ผมรู้ คุณเป็นถึงประธานกรรมการบริหารของโรงแรมชื่อดัง ที่คุณพาผมไปโน่นไปนี่ เลี้ยงอาหารผม มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ แต่สำหรับผม มันเป็นเรื่องใหญ่นะ” ภูริทัตติง
“คุณคงรู้มาจากคุณรังสรรค์” สเตฟานระบายยิ้มน้อยๆในหน้า “ถ้าเราสองคนสลับตำแหน่งการงานกัน คุณจะทำเหมือนผมหรือเปล่า”
“ก็คงจะทำ” ภูริทัตยกมือขึ้นเกาท้าทอย แล้วพยักหน้าช้าๆ
“แบบนี้คุณก็อย่าเกรงใจมากนักเลยครับ เพราะผมเองก็คอยระวังไม่ให้ถูกมองว่าให้อะไรกับคุณมากเกินไปเหมือนกัน อย่างเวลาคุณเดินทาง ผมก็ให้ทรงศักดิ์เป็นคนพาคุณไป อาหารผมก็เลี้ยงคุณในโอกาสสำคัญ วันนี้ก็มีทรงเดชมาด้วย เหมือนกับเรามาเที่ยวกันภายในครอบครัว”
“ครอบครัว” ภูริทัตทวนคำด้วยสีหน้าฉงน
“ใช่ครับ ... ครอบครัว” สเตฟานยิ้มกว้าง “ทรงศักดิ์ อยู่กับผมมานานมาก ครอบครัวของเขา เปรียบเสมือนครอบครัวของผม คุณเองก็เหมือนกัน ถือซะว่าพวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวทำอะไรให้กัน ถือว่าสมควรแล้ว”

ภูริทัตยังคงงุนงงในคำพูดของสเตฟาน ถึงแม้จะฟังดูสมเหตุสมผล แต่มันยังมีอะไรขัดแย้งกันอยู่ในความรู้สึกของเขา แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่ามันเป็นอะไรกันแน่
 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: christmas ที่ 06-04-2009 20:23:45
เป็นครอบครัวกันแล้ว ดีจังค้าบ

ขอบคุณนะคับ 

รออ่านต่อน้า...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 06-04-2009 20:37:39
ว้าว สานฝันออกมาตอนกลางวันได้ด้วยแฮะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2009 21:13:40
สุขก่อนเศร้ารึเปล่าคะ น้องตั้ม (แอบระแวง)  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 06-04-2009 21:14:01
 :z2: :z2: :z2: :z2:
ชายหนุ่มภูริทัต เริ่มเอะใจกับคำพูด และการกระทำบางอย่างแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 07-04-2009 00:58:16
ทำไมอยู่ดีๆ ออกมาตอนกลางวันได้ละ? หรือเหมือนแวมไพร์ใน twilight ????
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 07-04-2009 04:29:00
สเตฟานเริ่มใช้พลังอำนาจพิเศษอะไรหรือเปล่านะ ถึงมาปรากฏตัวตอนกลางวันได้ด้วย
ภูริทัตก้อคงเิริ่มสังเกตอะไรบางอย่างได้แล้ว คงสะกิดใจแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
บวก 1 ให้เช่นเคยจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 07-04-2009 07:03:17
 :mc4:ดีใจจังวันนี้ได้จิ้ม ^^ พี่น้ำตาล เมื่อวันก่อนเสียให้ 1 จิ้ม วันนี้มาเอาคืนแล้ว  :z2:

ครอบครัวเดียวกัน มันคงมีความหมายแอบแฝงไว้ให้ ภู ได้คิดอีกแล้ว เก็บเอาทีละเล็ก ละน้อย

เดี๋ยวก็แจ๊กพอต พอดี

มาลุ้นกันต่อไป ดีกว่า ใช่เปล่าตั้ม ขยันจริง  o13 ยินดีนะที่ขยัน ๆ +1 ให้เป็นกำลังใจน้า

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 07-04-2009 11:07:53
ความสงสัยมากมายของภูริฑัตในตัวสเตฟาน
จะทำยังไงหากวันหนึ่งภูริทัตต้องการรู้ความจริง  :เฮ้อ:

รอตอนต่อไป  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-04-2009 12:56:02
คนในครอบครัว คำนี้อ่านแล้วรู้สึกดีเนอะ  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 07-04-2009 14:34:48
คิดถึงอนาคตแล้วก็แปลบ ๆ ในใจ
เหมือนอย่างทรงเดชคิดจริง ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 08-04-2009 09:01:29
หวังว่าถ้าภูริทัตรู้ว่าสานฝันเป็นอะไรจะไม่ทิ้งกันไปนะ  :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๒๙ - ๖ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 08-04-2009 17:00:55
หวังว่าคงไม่มีเหตุร้ายเข้ามาในครอบครัวของสานฝันนะ   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 09-04-2009 19:18:50
บทที่ ๓๐

“เราจะเริ่มหากันจากที่ไหน” ไลล่าถามพลางมองไปรอบๆย่านการค้า ที่มีคนหนาแน่นในยามค่ำคืน
“สเตฟานปิดกั้นจิตอีกแล้ว พวกเราคงต้องลองหาไปเรื่อยๆ” โจชัวร์ตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด
“แน่ใจเหรอว่าจะยังอยู่ที่นี้ ป่านนี้หนีไปที่อื่นแล้วมั๊ง” ไป่เทียนมองไปรอบๆอย่างเบื่อหน่าย
“ถึงจะไม่แน่ใจ ข้าก็จะต้องค้นหาต่อไป แต่ข้ามั่นใจว่า ชายหนุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสเตฟาน จะต้องอยู่ที่ไหนซักแห่ง ในประเทศแถบนี้”
“คนรักของสเตฟานงั้นเหรอ” ไลล่าพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“พูดมากไปแล้ว” โจชัวร์หันไปตวาดใส่ “สเตฟานต้องไม่มีใครอื่น นอกจากข้าเท่านั้น”
ไล่ล่า ก้มหน้าลง ซ่อนแววตาที่แสดงความไม่พอใจไว้ ในขณะที่ไป่เทียนมองดูด้วยความสะใจ
“ไปได้แล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันไปออกตามหา แล้วถ้าต้องการจะหาอาหาร ก็อย่าก่อเรื่อง”
พูดจบโจชัวร์ก็แยกตัวเดินออกไป ไลล่าและไป่เทียนมองหน้ากันแว่บหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง
........................................................................................
..........................................
“คุณซื้อบ้านหลังนี้ไว้นานแล้วเหรอ” ภูริทัตถามดังๆ เพราะอีกฝ่ายนั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องรับแขก ขณะที่เขากำลังเดินดูเครื่องประดับห้อง
“ก็ตั้งแต่ผมมาอยู่เมืองไทยเมื่อครั้งก่อน” สเตฟานตอบพลางจิบกาแฟทีละนิด

หลังอาหารเย็นผ่านไป ทรงเดชขอตัวเข้าไปพักผ่อนในห้องพักบนชั้นสอง ปล่อยให้คนทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“เปียโนหลังนี้ท่าทางจะเก่ามาก” ภูริทัตเดินมายังเปียโนซึ่งตั้งอยู่ทางมุมหนึ่งของห้อง พลางใช้นิ้วกดไปบนลิ่มนิ้วที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ของคีย์บอร์ดไปเรื่อยๆ เสียงนุ่ม แต่ค่อนข้างกังวาน ดังไปทั่วในอณูของอากาศ “ผมอยากฟังคุณเล่นเปียโนจัง”
สเตฟานยิ้มน้อยๆ วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเตี้ย เดินมานั่งลงบนเก้าอี้เปียโน แล้วเริ่มพรมนิ้วลงไป เพลง La Vie En Rose ที่มีท่วงทำนองอันอ่อนหวาน ก็ดังขึ้น ภูริทัตยืนจ้องมองท่าทางที่บรรเลงเพลงอย่างมีความสุขของสเตฟาน ด้วยสายตาวาววับ เขาจำได้ว่า วันแรกที่ได้เห็นสเตฟานภายในลอบบี้ของโรงแรม สเตฟานก็ทีท่าทางแบบนี้เหมือนกัน

“จริงสิ ผมมีเรื่องจะถามคุณ ต่อจากเมื่อตอนกลางวัน” ภูริทัตถามพลางนั่งลงข้างๆสเตฟาน บนเก้าอี้เปียโน
สเตฟานหันไปมองหน้าภูริทัต เหมือนจะถามว่าภูริทัตต้องการรู้เรื่องใด
“เรื่องที่ว่า คุณแพ้แสงแดด แต่วันนี้...”
“ผมเคยบอกคุณว่าผมแพ้แดด” สเตฟานตอบก่อนที่ภูริทัตจะถามจบ “แต่ผมไม่เคยบอกว่าผมออกไปไหนตอนกลางวันไม่ได้ วันนี้คุณก็เห็นแล้ว” สเตฟานพูดพลางไล่นิ้วไปตามลิ่มนิ้วของเปียโน เท้าซ้ายที่เหยียบเพดเดิลตัวกลางไว้ ทำให้เสียงเปียโนแผ่วเบาลง “ท่ามกลางกิ่งไม้ที่หนาแน่นในสวนที่นี่ แสงแดดวันนี้ก็อ่อนจางมาก ผมพอจะทนไหว ความจริงผมเองก็อยากจะเห็นโลกตอนกลางวันบ้าง เหมือนอย่างที่ผมเคยทำได้มาก่อน”
“แบบนี้คุณก็ออกไปเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้า หรือไปกินข้าวในร้านอาหาร ตอนกลางวันได้บ้างสิ” ภูริทัตยิ้มอย่างดีใจ
“แต่มันเสี่ยงเกินไป และค่อนข้างลำบากกับการที่จะต้องคอยระวังตัว ถ้าสถานที่เหล่านั้นมีแสงแดดส่องถึง ผมก็อาจเป็นอันตรายได้ แต่ที่นี่…” สเตฟานมองไปรอบๆห้อง “ผมมั่นใจว่าที่นี่ผมจะปลอดภัย แล้วถ้าวันไหนอากาศดีเหมือนวันนี้ ผมก็ยังพอจะออกไปที่สวนได้บ้าง”

ภูริทัตมองไปรอบๆห้องบ้าง ห้องนั่งเล่น ที่ใช้เป็นห้องรับแขกในตัว ค่อนข้างจะกว้างขวาง หน้าต่างบานใหญ่ สูงเกือบจรดเพดานห้อง สามารถเปิดกว้างได้เพื่อถ่ายเทอากาศ ผ้าม่านหนาหนัก คงพร้อมจะปิดกั้นแสงอาทิตย์จากภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง หากเจ้าของบ้านต้องการ ชุดเก้าอี้โซฟาพร้อมโต๊ะเตี้ยๆ ทรงยุโรป โทนสีขรึม เหมาะกับบ้านไม้ทรงยุโรปหลังนี้
“แต่คุณก็ยังเลือกที่จะใช้เวลาอยู่ที่โรงแรมของคุณ หรือตามที่พักในต่างจังหวัด มากกว่าที่นี่” ภูริทัตถามต่อ
“ช่วงที่ผมกลับมาใหม่ๆ การพักที่โรงแรมมีความสะดวกสบายมากกว่า ทั้งในแง่การเดินทาง และการติดต่อเรื่องงาน ถึงผมจะชอบที่นี่มากกว่า แต่ผมก็ยังไม่พร้อม ที่จะใช้ที่นี่เป็นที่พักถาวร”
“ทำไมล่ะ” ภูริทัตเอื้อมมือไปกุมมือของสเตฟานไว้ ทำให้สเตฟานต้องหยุดเล่นเปียโนลง
“ผมอยากจะเก็บที่นี่ไว้ เพื่อเป็นที่พักสุดท้ายของผม ถ้าคนคนนั้นยินยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ”
“ใครเหรอ ... หรือว่าเป็นคนที่กำลังตามหาคุณอยู่"
สเตฟานพยักหน้ายอมรับ
“ทำไมต้องรอให้เค้าปล่อยคุณให้เป็นอิสระล่ะ ผมไม่เข้าใจ คนคนนั้นใช้อะไรข่มขู่บังคับคุณ ทำไมคุณต้องกลัวเค้าด้วย”
“เมื่อก่อนนี้ เขาบังคับผมได้ทุกอย่างจริงๆ” สเตฟานก้มหน้าหลบสายตาของภูริทัต “ตอนนี้ ถึงเขาจะบังคับผมไม่ได้อีกแล้ว แต่ผมก็ยังกลัวว่า เขาจะทำร้ายคนที่อยู่รอบตัวผม ทำร้ายคนที่ผมรัก เหมือนที่เขาเคยทำ”

คำว่า ‘ทุกอย่าง’ ที่ออกจากปากของสเตฟาน ทำให้ภูริทัตถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อคิดไปถึงเรื่องราวบางเรื่อง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ซึมเศร้าลงไปถนัดตาของอีกฝ่าย  ก็อดเกิดความสงสารไม่ได้

“แล้วถ้าเค้าไม่ยอมปล่อยคุณล่ะ มันจะไม่มีวิธีไหนเลยเหรอ ที่จะทำให้เค้าวางมือจากคุณ”
“มี ... มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น” สเตฟานเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ
“ทำยังไง” ภูริทัตถามด้วยความกระตือรือร้น
“ชีวิตของเขา หรือไม่ก็ชีวิตของผม ผ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องดับสูญ เมื่อนั้น ผมถึงจะเป็นอิสระ”
“เรื่องราวมันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอ” ภูริทัตหน้าตาตื่น จ้องใบหน้าด้านข้างของสเตฟานนิ่ง สักพักก็สงบอารมณ์อันพลุ่งพล่านได้ “ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณมาบ้าง แต่ต่อไปนี้ผมจะดูแลคุณ” ชายหนุ่มกอดร่างของอีกฝ่ายไว้แนบแน่น “ ถึงผมจะให้อะไรคุณได้ไม่มากกับที่คุณให้แก่ผม แต่ผมจะปกป้องคุณเอง ... สานฝัน ... ผมจะปกป้องคุณตราบนิรันดร”
........................................................................................
..........................................
ภูริทัตเอื้อมมือไป หวังจะโอบกอดร่างของคนที่คิดว่านอนอยู่ข้างๆ แต่ก็พบกับความว่างเปล่า จึงลืมตาขึ้นมองหาเจ้าของร่าง ที่แลกเปลี่ยนสัมผัสกันอย่างมีความสุข และเขาได้กกกอดไว้แนบแน่น ตลอดคืนที่ผ่านมา แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา ทำให้รู้ว่าเป็นเวลาสายมากแล้ว ชายหนุ่มลุกจากเตียงนุ่ม เดินเข้าห้องน้ำไป และปิดประตูลง อีกเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา จึงได้ออกจากห้องน้ำด้วยความสดชื่น เมื่อผ่านการอาบน้ำชำระกายเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างพอใจ กับเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ กางเกงขายาวสีครีม กับเสื้อโปโลสีเขียวสดใส คิดว่าคงเป็นสเตฟานนั่นเอง ที่จัดเตรียมไว้ให้

“ตื่นแล้วเหรอ องค์ชาย” เสียงทักทายเมื่อภูริทัตเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น
ภูริทัตหันไปตามเสียง ก็เห็นทรงเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ในมือถือหนังสือพิมพ์ กำลังยิ้มให้เขา แทนการตอบ ภูริทัตกลับกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง
“คุณสเตฟานไม่อยู่หรอกครับ กลับไปแล้ว”  ทรงเดชยิ้มขัน เพราะท่าทางของภูริทัตทำให้รูทันที ว่าชายหนุ่มคิดอะไร
“กลับไปที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่” ภูริทัตหันไปถาม
“กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ตั้งแต่เมื่อตอนเช้ามืดแล้วครับ ว่าแต่คุณจะทานอาหารเช้าเลยมั๊ย”
“ไม่หล่ะ นี่มันสิบโมงกว่าแล้ว ผมขอเป็นกาแฟดีกว่า”
“งั้นก็เชิญที่โต๊ะอาหารนะคร๊าบ เดี๋ยวผมไปนั่งเป็นเพื่อน”
โดยไม่รอคำตอบ ทรงเดชก็ลุกขึ้นเดินนำไปยังห้องอาหาร บนโต๊ะขนาดใหญ่ มีเคครื่องต้มกาแฟตั้งอยู่ พร้อมกับชุดโถเคลือบ บรรจุน้ำตาล ครีมเทียม นมข้น นมสด ภูริทัตนั่งลงตรงข้ามทรงเดช แล้วจัดการหยิบแก้วกาแฟที่วางเตรียมไว้แล้ว รินกาแฟจากโถแก้ว แล้วปรุงสำหรับตนเอง
“มีของรองท้องด้วยนะครับ” ทรงเดชซึ่งนั่งลงก่อนหน้านี้  เลื่อนที่วางขนม ที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ จากกลางโต๊ะมาไว้ตรงหน้า
ภูริทัต มองผ่านครอบพลาสติกใสเข้าไป ก็มองเห็นว่า มีทั้งเค๊ก พาย ทาร์ต สารพัดแบบและสีสัน เป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ แล้วยังมีครัวซองค์ตัวเล็กๆ ดูน่ากิน จึงเปิดรอบพลาสติก ใช้ช้อนส้อมจิ้มแต่เค๊ก ที่เป็นเค๊กชอคโกแลตหลายชิ้น กับทาร์ตบลูเบอรี่๒ชิ้น ใส่ลงในจานใบเล็ก แล้วค่อยๆกินกับกาแฟ
“เห็นคุณกินแล้วน่าอร่อย ผมเอามั่งดีกว่า”
ทรงเดชพูดแล้วก็จัดการปรุงกาแฟสำหรับตนเอง แล้วใช้ช้อนส้อมจิ้มพายและทาร์ต ใส่จานเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง กินพลาง จิบกาแฟพลาง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นี่คุณเอามาจากโรงแรมเหรอ” ภูริทัตถามขึ้นเมื่อกินเค๊กไปได้หลายชิ้น
“ทำไมคิดว่าผมเอามาล่ะ”
“อ้าว ก็เมื่อเช้าคุณไม่ได้ไปส่งสเตฟานที่โรงแรมเหรอไง คุณนี่ตื่นเช้าดีนะ” ภูริทัตถามพลางจ้องหน้า
“เอ้อ...” ทรงเดชอึกอึก “อ๋อ คืองี้นะ เมื่อเช้าน่ะรถของโรงแรมเค้ามารับไง แล้วเอาเค๊กติดรถมาด้วย”
“คุณบอกว่าสานฝันเค้ากลับไปตั้งแต่เช้ามืด รถก็น่าจะออกจากโรงแรมซักตีสี่ ไม่ก็ตีห้าสิ แล้วเค๊กพวกนี้มันทำตั้งแต่เมื่อคืนเหรอ ถึงได้มีมาส่งที่นี่ได้ตั้งแต่เช้า”
“โธ่ ... คุณภูริทัต” ทรงเดชหัวเราะเบาๆ “จะบอกให้นะ เค๊กตามโรงแรมน่ะ เค้าเริ่มทำกันตอนตีสองตีสามทั้งนั้นแหละ กว่ามันจะเสร็จก็ตั้งหลายชั่วโมงนะ เราต้องทำให้ทันตอนหกโมงเช้า ขืนเอาเค๊กค้างคืนให้ลูกค้ากินก็แย่สิครับ”
“อืม มันก็จริงนะ แต่ดูสิ จัดมายังกับเข้าไปกินในเบเกอรี่เลย เหมือนเพิ่งจัดมาใหม่ๆ”
“ก็มาจัดที่นี่แหละครับ คุณสเตฟานจัดให้เชียวนะ ยังบอกเลยว่าให้เอาพวกเค๊กชอคโกแลตมาเยอะกว่าอย่างอื่น เพราะคุณชอบ”
ภูริทัตยิ้มจนแก้มแทบปริ แล้วก็กินเค๊กกับกาแฟต่ออย่างเอร็ดอร่อย

ทรงเดชรู้สึกโล่งใจที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ไปได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ คุณปู่ของเขาก็ย้ำให้ระวัง อย่าให้เป็นพิรุธใดๆขึ้นมาได้เด็ดขาด ภูริทัตไม่รู้หรอกว่า สเตฟาน ‘เดินทาง’ ไปโรงแรมนำขนมเหล่านี้มาด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาเพียงไม่ถึงนาทีเท่านั้น เพราะตั้งแต่เมื่อวานนี้ ทรงเดชได้บอกฝ่ายเบเกอรี่ ให้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย และให้นำไปวางไว้บนโต๊ะภายในห้องทำงานของทรงศักดิ์ เพื่อที่สเตฟานจะได้ไปนำมาได้ทันที และเมื่อสเตฟานนำขนมเหล่านี้มาถึง ก็จัดวางลงบนที่วางขนมด้วยตนเอง ก่อนจะ ‘เดินทาง’ กลับไปสู่ห้องพักส่วนตัวภายในโรงแรมนั่นเอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 09-04-2009 20:02:53
สุดท้ายยังไงก็คงต้องแตกหักกันไปข้างละมั๊งนะ เพราะโจชัวคงไม่ยอมแน่ๆ อยากรู้จริงๆ ว่าภูริทัตจะทำไงเมื่อรู้ความจริง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 09-04-2009 20:40:55
สเตฟานนี่ช่างแสนดีจริง ๆ  ถ้าภูริทัตรู้ความจริง จะยอมรับได้ไหมเกี่ยวกับสเตฟาน  :เฮ้อ:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 09-04-2009 20:41:09
อ่า่นเรื่องนี้ไป ก็ใจสั่นไป

กลัวสานฝันจะใจอ่อน ไม่กล้าฆ่าโจชัวร์เวลาปะทะกันจัง ยิ่งใจอ่อนอยู่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 10-04-2009 00:28:28
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
เรื่องไม่ค่อยเดินเลยตอนนี้
แต่อ่านแล้วรู้เลยว่าต้องตายันไปข้างนึงแน่ๆ แล้วจะรออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 10-04-2009 00:41:14
รออ่านตอนหน้าค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 10-04-2009 00:45:24
ภูริทัต เริ่มจับผิดได้เยอะขึ้นทุกทีแล้ว จะปิดไปได้อีกนานแค่ไหนน้อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 10-04-2009 08:50:55
เหมือนเหตุการณ์กำลังจะไปถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากันแล้วไม๊ :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 10-04-2009 09:57:44
ความรักของภูริทัต จะช่วย สานฝัน ได้บ้างมั้ย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 10-04-2009 11:52:49
รอลุ้นต่อไป :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 10-04-2009 14:56:21
โจชัวร์เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากันสักวันหนึ่ง อะไรจะเกิดขึ้นนะ
บวก 1 จ้า ขอบคุณนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 11-04-2009 15:14:28
น้องตั้มจ๋า...... :กอด1:
ใครจะเป็นอะไรยังไงก็ตาม
ขอแค่ "สานฝัน" ปลอดภัยไร้กังวลก็แล้วกันนะจ๊ะ  :o8:
น้องตั้มคนดี๊ คนดี ไม่ทำร้ายจิตใจแฟนๆใช่ไม๊จ๊ะ 
ไม่งั้น  o18 หึๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 12-04-2009 19:42:57
หลงไปนาน

ได้กลับมาอ่านอีก

สนุก ๆ ๆ

ชอบ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๐ - ๙ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-04-2009 20:28:38
หลงไปนาน

ได้กลับมาอ่านอีก

สนุก ๆ ๆ

ชอบ ๆ ๆ ๆ
หลงไปอ่านเรื่องอื่นจนเพลินอะดิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-04-2009 20:41:26
บทที่ ๓๑

โจชัวร์กับพวกทั้งสามเดินเกาะกลุ่มกัน สายตาสอดส่ายไปทั่วเพื่อค้นหา ก่อนหน้านี้โจชัวร์สัมผัสได้ถึงจิตของคนที่ตนกำลังตามหา แล้วจู่ๆก็หายไปอีกครั้ง ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นภายในโรงแรมแห่งนี้ ท่ามกลางผู้คนในชุดสูท และชุดราตรี การแต่งกายแบบคนเดินถนนทั่วไปของทั้งสามคน จึงดูเด่นสะดุดตา ความมีเสน่ห์ที่แปลกประหลาดของโจชัวร์ ใบหน้าสะอาดสะอ้านของไป่เทียน และผิวคล้ำที่เนียนนวลรวมกับรูปร่างอันอวบอันของไลล่า ทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนในงานนั้น ลอบมองด้วยความสนใจ หากเป็นยามปรกติ ทั้งสามคงไม่รีรอที่จะคว้าใครสักคนมาเป็น ‘เหยื่อ’ สำหรับคืนนี้ แต่ตอนนี้ ทั้งสามต้องตามหาคนผู้หนึ่งให้เจอก่อน แล้วจู่ๆไป่เทียนซึ่งเดินรั้งท้ายสุดก็หยุดฝีเท้าลงกระทันหัน เหม่อมองดูคนที่ตนเห็นอย่างตะลึงลาน

ตรงหน้าต่างบานใหญ่ของห้องจัดงาน ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ทำให้ผิวสีขาวอมชมพู ยิ่งดูสดใสราวกับมีประกายเปล่งออกมา เรือนผมสีทองทำให้ใบหน้านั้นดูสะอาดสะอ้าน รอยยิ้มที่กระจายออกมาจากดวงตาสีเขียวมรกต และริมฝีปากสีชมพูนั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน ความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผิดกับรอยยิ้มของบุคคลซึ่งดูคล้ายคลึงกันราวกับฝาแฝด แต่มักมีรอยยิ้มที่แสดงถึงอำนาจ และเยาะหยันอยู่เสมอ ไป่เทียนรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มผู้นั้นคือบุคคลที่ ‘นาย’ ของตนกำลังตามหาอยู่

... บอกโจชัวร์ว่า ผมจะรออยู่ที่สวนดอกไม้ข้างล่าง ...

ไป่เทียนหันไปมองว่าใครมาพูดอยู่ข้างๆ เพราะเสียงนั้นชัดเจน แต่แผ่วเบาราวกับผู้พูดมายืนกระซิบอยู่ข้างหู แต่ก็ไม่พบผู้พูด และเมื่อหันกลับไป ชายหนุ่มผมสีทองคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
“มีอะไร” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างตัว ทำให้ไป่เทียนหันไปหา
“เมื่อกี้ผมเจอแล้ว”  ไป่เทียนบอกหน้าตาตื่น
“เจออะไร” โจชัวร์ขมวดคิ้ว
“สเตฟาน” ไป่เทียนบอกช้าๆ “ ผมคิดว่าต้องใช่แน่ๆ ผมเจอสเตฟาน”
“อยู่ที่ไหน” โจชัวร์ถามด้วยความตื่นเต้นจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง
“เค้าบอกว่าจะไปรออยู่ที่สวนข้างล่าง”
โจชัวร์ได้ยินก็เดินไปยังประตูเข้าออกอย่างรวดเร็ว โดยมีไป่เทียนและไล่ล่าเดินตามไป
“ทำไมไม่จับตัวไว้ ปล่อยไปได้ยังไง” ไลล่าถามอย่างฉุนเฉียว ระหว่างที่กำลังเดินตามโจชัวร์ออกไป
ไป่เทียนไม่ตอบ เพราะรู้ว่าคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบนัก

ภายในสวนดอกไม้ของโรงแรม ซึ่งมีลักษณะเป็นลานกว้างเป็นวงกลม รอบๆมีไม้ดอกซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ตรงกลางมีน้ำพุขนาดใหญ่ ข้างๆน้ำพุมีชายในชุดสูทสีขาว ยืนหันหลังอยู่ เรือนผมสีทองสะท้อนแสงไฟรอบๆเป็นประกาย
“สเตฟาน” โจชัวร์ ส่งเสียงเรียกเมื่อเดินเข้ามาแล้วมองเห็นด้านหลังของชายคนนั้น
ชายในสูทสีขาวค่อยๆหันหน้ามาทางคนทั้งสาม โจชัวร์เฝ้ามองดูจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ ไลล่าเหลือบมองดูท่าทางที่ตื่นเต้นของโจชัวร์ด้วยความขุ่นเคือง ว่าทำไมถึงได้ให้ความสนใจกับแวมไพร์ตนนี้นักหนา เพียงเพราะความเหมือนกันของรูปร่างหน้าตาเท่านั้นหรือ คิดแล้วก็เบนสายตากลับไปที่ชายในชุดสูทสีขาวนั้นอีกครั้ง
“อา...” ไลล่าถึงกับอุทาน ยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก
ใบหน้าภายในวงหน้ารูปไข่ ใต้เรือนผมสีทอง ราวพิมพ์เดียวกันกับโจชัวร์ แทบจะไม่ผิดเพี้ยน แต่รอยยิ้มที่สดใสราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ดูอบอุ่นเหมือนอากาศในฤดูใบไม้ผลิ แตกต่างกับท่าทีอันเย็นชาของโจชัวร์เสียเหลือเกิน

“สเตฟาน ในที่สุดข้าก็ตามหาเจ้าจนพบ” โจชัวร์พูดด้วยน้ำเสียงยินดี ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความปิติ
“ผิดแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มหูปฏิเสธ “ไม่ใช่ท่านหาข้าพบ แต่ข้าออกมาพบกับท่านต่างหาก”
“ยังไงก็ช่าง เจ้าต้องไปกับข้า ติดตามข้าเหมือนที่เคยเป็น” โจชัวร์พูดพลางเดินเข้าไปใกล้
“หากท่านก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว ข้าจะจากไปทันที และท่านจะไม่มีวันหาข้าพบอีกเลย” สเตฟานยังพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
โจชัวร์ชะงักเท้าลง เพ่งมองดูอีกฝ่ายแน่วนิ่ง
“ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าเคยบอกแล้วว่า ท่านไม่อาจบังคับข้าได้อีก ไม่ต้องลองอีกแล้ว”
หัวคิ้วของโจชัวร์ขมวดเข้าหากัน หรือว่าสเตฟานมีพลังอำนาจมากกว่าเขาแล้วจริงๆ แต่ยังคิดไม่ออกว่าทำไมสเตฟานถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างง่ายดาย ทั้งๆที่หลบหนีมาตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปี
“ข้ามาเพื่อขอร้องท่านอีกครั้ง” สีหน้าของสเตฟานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ขอให้ข้าได้เป็นอิสระ อย่างน้อยในช่วงเวลานี้”
“เพื่อมนุษย์ที่เจ้ารักน่ะรึ” โจชัวร์โพล่งออกมาด้วยความโกรธ “ไม่มีวัน ข้าจะต้องควานหาตัวมนุษย์ผู้นั้นให้พบ แล้วทำลายมันซะ”
“ถ้าข้าขอแลกเปลี่ยนล่ะ”
“แลกเปลี่ยน ... ชีวิตของมนุษย์ผู้นั้นกับการได้เจ้ากลับคืนมาน่ะหรือ”
“ใช่”
“ฮ่าๆๆ” โจชัวร์แหงนหน้าหัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ข้าคือโจชัวร์ผู้ให้กำเนิดเจ้าขึ้นมา ข้าเป็นนายของเจ้า” โจชัวร์เค้นเสียง “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า สิ่งที่ข้าต้องการข้าจะต้องได้มา ทั้งตัวเจ้า และชีวิตของมนุษย์ผู้นั้น”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางเลือก” สีหน้าของสเตฟานหม่นหมองลง “ถ้าท่านทำร้ายมนุษย์ผู้นั้น ข้าคงต้องขัดขวางสุดความสามารถ ทั้งๆที่ข้าไม่ต้องการทำร้ายท่านเลยแม้แต่น้อย”
“ทำร้าย ... เจ้าน่ะหรือจะทำร้ายข้าได้ วันนี้เจ้าหนีให้พ้นจากเงื้อมือข้าให้ได้เสียก่อนเถอะ ไป่เทียน ... ไลล่า”
ไม่มีเสียงตอบรับมาจากคนทั้งสอง
“ไป่เทียน ไลล่า จับสเตฟานให้ข้า”
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากคนทั้งสองเช่นเคย โจชัวร์จึงหันไปดู ก็พบว่าทั้งสองคนยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น และเมื่อหันหน้ากลับไป สเตฟานก็หายไปเสียแล้ว

โจชัวร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วเดินไปตบหน้าไป่เทียนและไลล่าอย่างแรง จนคนทั้งสองล้มลงกับพี้น นั่นแหละจึงได้สติ ทั้งสองคนยกมือกุมแก้ม แล้วค่อยๆลุกขึ้นมองโจชัวร์อย่างเกรงกลัวและงุนงง เมื่อมองไปทางน้ำพุ ก็พบว่าสเตฟานไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
“พวกเจ้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้ยืนนิ่ง ไม่เข้าไปจับตัวสเตฟานตามที่ข้าสั่ง” โจชัวร์พูดด้วยความโกรธ กรามขบกันจนเป็นสัน เส้นเอ็นบริเวณลำคอโปดปูน ดวงตาสีฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ผม...ผมไม่รู้ ผมจำได้แค่ว่าสเตฟานหันมา แล้วผมก็ถูกตบ”
“ชั้นด้วย ... นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วสเตฟานหายไปไหนแล้ว” ไลล่าย้อนถาม
“พวกเจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น” โจชัวร์โกรธมากขึ้น “มันหนีไปแล้ว หนีไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย เพียงแค่ชั่วแวบเดียวที่ข้าหันหน้ามาดูพวกเจ้า แล้วหันกลับไป สเตฟานก็หายไปเสียแล้ว แต่ก็น่าแปลก” โจชัวร์ข่มสติให้เยือกเย็นลง “สเตฟานจากไปอย่างรวดเร็วเกินไป และเงียบเกินไป ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า หรือการเคลื่อนไหว แล้วน่าแปลกที่พวกเจ้าถูกสะกดไว้ได้”
“หรือว่า สเตฟานใช้ชาร์มอายส์กับพวกเรา” ไลล่าออกความเห็น
“เป็นไปไม่ได้ ชาร์มอายส์มีผลกับมนุษย์เท่านั้น ใช้กับแวมไพร์ด้วยกันเองไม่ได้” ไป่เทียนไม่เห็นด้วย “แล้วถึงสเตฟานจะเป็นแวมไพร์ก่อนหน้าพวกเราหลายร้อยปี ก็ไม่น่าจะมีอำนาจมากพอจะสะกดพวกเราไว้ได้”
“แต่ที่ข้าเห็น สเตฟานสะกดพวกเจ้าไว้ได้จริงๆ” โจชัวร์พูดพลางคำรามในลำคอ “ทำไมมันถึงได้มีอำนาจเพิ่มขึ้นถึงขนาดนี้ได้ ข้าไม่น่าหยุดมือเลยเมื่อตอนที่สเตฟานขู่ข้าไม่ให้เข้าใกล้ อย่างน้อยตอนนั้น ข้าก็คงได้รู้ว่า มันมีพลังทำอะไรได้อีกบ้าง และคงจะพอคาดเดาถึงที่มาของพลังนั้นได้”
ไลล่า และไป่เทียนหันมองหน้ากัน แล้วหันไปมองโจชัวร์ที่หันกลับไปมองน้ำพุอย่างเหม่อลอย
“สเตฟาน เจ้าดูงามขึ้นมาก” โจชัวร์พึมพำเบาๆ “ข้าต้องเอาเจ้ากลับมาอยู่ข้างกายข้าให้ได้"
................................................................................
......................................
สเตฟานยืนอยู่ข้างเตียง มองดูใบหน้าที่กำลังหลับไหลของชายหนุ่มด้วยความรัก สักพักก็นั่งลงบนขอบเตียง ยื่นมือปัดปอยผมบริเวณทัดดอกไม้ อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปจุมพิศเบาๆที่หน้าผากเนียนนั้น แล้วถอนใบหน้าออกมามองดูคิ้วที่ดกหนา ดวงตาที่ปิดสนิท เสียงลมหายใจแผ่วเบาจากคนที่กำลังหลับไหลอยู่
“ภูริทัต ... เด็กน้อย ... ดวงใจของผม” สเตฟานพูดเสียงแผ่วเบา “ผมไม่ยอมให้เค้ามาทำร้ายคุณได้เด็ดขาด ผมตัดสินใจแล้ว ถ้าเขาทำร้ายคุณ ผมจะปกป้องคุณให้ได้ ถึงแม้จะต้องใช้พลังเพื่อการทำลายก็ตามที”

ภูริทัตลืมตาขึ้นมา เพราะรู้สึกเหมือนมีคนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟตรงหัวเตียง มองไปรอบๆห้อง ก็ไม่เห็นอะไร จึงปิดไฟ แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 12-04-2009 21:55:33
มาขอร้องครั้งสุดท้าย กลายเป็น เหมือนประกาศสงครามเลย...เอาใจช่วยสเตฟาน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 12-04-2009 22:02:00
หู้ววววว

แล้วจะเป็นไงต่อไปเนี่ย
หลงไปนาน

ได้กลับมาอ่านอีก

สนุก ๆ ๆ

ชอบ ๆ ๆ ๆ
หลงไปอ่านเรื่องอื่นจนเพลินอะดิ  :laugh:


ป่าวน๊า....... พี่ตั้ม

ปล. แล้วพี่ตั้มไม่ไปไหนหรอครับ สงกรานต์นี้
426
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 12-04-2009 22:06:35
 o13 o13 o13
แหมๆตอนนี้เขียนออกมาได้น่าลุ้นจริงๆเกือบจะได้ปะทะกันแล้วสินะ
เป็นไปได้ว่า โจชัวร์ อาจมีโอกาสพ่ายให้แก่ สเตฟานก็เป็นได้
แล้วจะรออ่านต่อไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ตาม
แต่ที่รู้อย่างหนึ่ง คือ เรื่องนี้จบเศร้าอีักแล้วสิ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-04-2009 22:07:04

ปล. แล้วพี่ตั้มไม่ไปไหนหรอครับ สงกรานต์นี้
426
ม่ายอะ เดี๋ยวโดนสาดน้ำแล้วจะไม่สบาย ... ไม่มีใครไปมาชวนไปไหนด้วยแหละ  :laugh:
แล้วสภาพหลายๆอย่าง ... อยู่บ้านน่าจะปลอดภัยที่สุด  :sad4:

แต่ที่รู้อย่างหนึ่ง คือ เรื่องนี้จบเศร้าอีักแล้วสิ  :เฮ้อ:

ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไงดีกับตอนจบ คิดไว้ ๒-๓ แบบแล้ว  :o211:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 12-04-2009 22:16:21
แต่ที่รู้อย่างหนึ่ง คือ เรื่องนี้จบเศร้าอีักแล้วสิ  :เฮ้อ:
ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไงดีกับตอนจบ คิดไว้ ๒-๓ แบบแล้ว  :o211:
:a5: :a5: :a5:
ชัวแล้วละว่าจบไง  :m16:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 13-04-2009 01:12:48
สวัสดีปีใหม่ไทย สุขสันต์วันสงกรานต์ทั้งคนแต่งและคนอ่านทุกคนจ้า

มันมีแววว่าจะจบเศร้าฉายชัดเหมือนกันนะเนี่ย
สเตฟานคงชนะโจชัวร์ได้ แต่จะได้อยู่กับภูริทัตหรือไม่อันนี้น่าหวั่นใจจริงๆ
บวก 1 แต้มขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 13-04-2009 01:22:43
ใกล้ แล้วสิ  :เฮ้อ:

ป.ล. สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 13-04-2009 01:25:23
คิดไว้ 2-3 แบบแล้ว ก็อย่าเลือกแบบที่เศร้าๆ ละกันนะคะ 

มารอลุ้นตอนต่อไปค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 13-04-2009 08:37:39
รอลุ้นตอนต่อไปด้วยคน

:L2:สุขสันต์วันปีใหม่ไทย :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-04-2009 10:52:29
ใกล้จะจบแล้วเหรอค่ะ  ขอแบบไม่เศร้าได้ม้ายยยยยยยยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 13-04-2009 10:54:51
อย่าจบเศร้าเลย
เบื่อแล้ว 55
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 13-04-2009 13:19:34
จะปกป้องได้รึเปล่าหนอ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 15-04-2009 15:20:34
แล้วตอนจบ 2-3แบบของน้องตั้มนี่เป็นแบบไหนอ่ะ
1. เศร้าเล็กน้อย ถึงปานกลาง  :monkeysad:
2. โศกเศร้าสะเทือนใจ เสียน้ำตากันเป็นโอ่งๆ  :m15:
หรือ 3. ทนความเศร้าไม่ไหว  สติแตกกันถ้วนหน้า   :o12:

ชั้นละหวั่นใจกะตอนจบจริงจิ๊งงงงงงง
ขอจบแบบhappying ending น้ำตาซึมเพราะความสุขได้ไหมจ๊ะ   :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 16-04-2009 18:33:34
แล้วตอนจบ 2-3แบบของน้องตั้มนี่เป็นแบบไหนอ่ะ
1. เศร้าเล็กน้อย ถึงปานกลาง  :monkeysad:
2. โศกเศร้าสะเทือนใจ เสียน้ำตากันเป็นโอ่งๆ  :m15:
หรือ 3. ทนความเศร้าไม่ไหว  สติแตกกันถ้วนหน้า   :o12:

ชั้นละหวั่นใจกะตอนจบจริงจิ๊งงงงงงง
ขอจบแบบhappying ending น้ำตาซึมเพราะความสุขได้ไหมจ๊ะ   :z1:
ทำยังกะเราเขียนแต่เรื่องเศร้า ...  :o
เขียนจบไปแล้ว ๔ เรื่อง จบแบบมีความสุขตั้้ง ๒ เรื่อง

เรื่องนี้ อาวงายดีหนอ  :oni3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-04-2009 19:42:54

จบแบบที่น้องตั้มชอบได้เลยจ๊ะ

คนอ่านรับได้  :z3: :z3: :z3:

ปล. เง้อ ว่าจะจิ้มน้องตั้มหน่อย ดันขึ้นหน้าใหม่ซะได้   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: มะนาว ที่ 17-04-2009 20:41:29
หวัดดีค้าบ

เรื่องสนุกมากๆเลย  พอดีมีพี่เค้าส่งมาให้อ่านอ่ะ

ขอบคุณมากๆค้าบ ชอบๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 18-04-2009 01:10:52
เรื่องเริ่มจะดุเดือดแล้ว

ของร้องเถิดอย่าเศร้าเลย :z3:

อยากให้สมหวังมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 19-04-2009 14:06:20
โอ๋ๆๆ น้องตั้มจ๋า ไม่ได้ว่าว่าน้องตั้มเขียนแต่เรื่องเศร้าซะหน่อย
ถึงจบเศร้า แต่ประทับใจเหลือหลายก็มีเยอะแยะ
ผู้มาเยือนยามวิกาลไง จบเศร้าแต่ก็ประทับใจ
น้องแต่งมาแบบไหน  พี่รับด๊ายยยยยยยยยอยู่แล้น.... :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 20-04-2009 12:51:32
คิดถึงเจ้าของกระทู้  :call:
ไปไหนน้า

จบยังไงก็ได้ แต่ฉาก... มีซักหน่อยจะดีมากๆๆ 55
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๑ - ๑๒ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 20-04-2009 19:22:25
ไหนบอกไม่ได้ไปเล่นสงกรานต์

ไหงหายไปเนี่ย

มาต่อด่วนค๊าบพี่ตั้ม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 20-04-2009 20:33:23
บทที่ ๓๒

“จัดของเรียบร้อยกันรึยังวะ” ปรีชาถามเพื่อนๆระหว่างที่กินข้าวกลางวันด้วยกันอยู่
“เรียบร้อยแล้วพี่ พรุ่งนี้เช้าก็หิ้วกระเป๋ามาได้เลย” กรกฏตอบด้วยรอยยิ้ม เพราะมีจุดมุ่งหมายในการเดินทางวันพรุ่งนี้
“เราก็เรียบร้อยแล้ว งานนี้ไม่พลาดหรอก” ปรีชาพูดแล้วกันไปมองกรกฏด้วยดวงตาแวววาว
“จัดของไปไหนวะ” ภูริทัตถามงงๆ
“อ้าว ก็ไปเที่ยวของบริษัทไง อย่าบอกนะว่าเอ็งลืม” ปรีชาตอบ
“อาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอวะ” ภูริทัตถามอีก
“พรุ่งนี้ตะหากล่ะเว๊ย” ปรีชาพูดแล้วหัวเราะ “หมู่นี้ขี้ลืมจริงนะ ใกล้วันหยุดทีก็ใจจดใจจ่ออยู่เรื่องเดียว”
“แล้วนี่เอ็งนัดอะไรกับสเตฟานเค้าไว้รึเปล่าล่ะ สงสัยต้องโทรไปเลื่อนนัดซะแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เอ็งไม่ไป หัวหน้าเอาตาย เพราะจ่ายค่าที่พักไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว” รังสรรค์พูดอย่างห่วงใย
“เออ .. ยังไม่ได้นัดอะไรกันเลย ข้าวของจัดเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ จะมีอะไรมากวะ แค่หยิบๆใส่กระเป๋า” ภูริทัตพูดอย่างไม่ค่อยสนใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าสเตฟานรู้จะเกิดปฏิกิริยาอย่างไร แต่ก็ไม่แน่นัก สัปดาห์นี้อาจจะมีเรื่องที่ทำให้สเตฟานต้องไปที่อื่นอีกก็เป็นได้

แล้วชายหนุ่มก็หมดความกังวล เมื่อคืนนั้นสเตฟานโทรศัพท์มาหาเขาที่บ้าน
“ก็ดีน่ะสิครับ ตั้งแต่เรา ... เอ้อ ... คบหากัน คุณก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆน้อยลง” เสียงทุ้มนุ่ม บอกด้วยน้ำเสียงสดใส
“แต่ผมก็อยากเจอคุณด้วยนี่” ภูริทัตพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก ราวจะออดอ้อน แล้วก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากปลายสาย
“ถ้าอย่างนั้น ผมไปเจอคุณที่นั่นดีมั๊ยครับ”
“จริงรึเปล่า ถ้าได้ก็วิเศษเลย” ภูริทัตยิ้มจนแก้มแทบปริ
“ถ้าอย่างนั้น ผมตามไปเจอกันดีมั๊ยครับ ว่าแต่ที่บริษัทคุณจัดไปเที่ยวที่ไหนกัน”
ภูริทัตรีบบอกสถานที่ให้สเตฟานรู้ พร้อมกับบอกหมายเลขห้องพักของตัวเองไปด้วย
“แล้วคุณจะไปถึงตอนไหน”
“อืม ... คงจะดึกๆหน่อย เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปถึงแล้วจะโทรเข้าไปในห้องพัก หรือไม่ก็โทรศัพท์มือถือของคุณนะครับ”
...........................................................................
................................
รถบัสขนาดใหญ่จำนวน ๓ คัน แล่นออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปยังภาคตะวันออก ตั้งแต่ตอนเที่ยงครึ่ง เกือบๆบ่ายสามโมง จึงถึงโรงแรมริมทะเลที่เป็นจุดหมาย พนักงานที่มาพักผ่อนร่วมกัน ตามโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของพนักงานในบริษัท และถือเป็นรางวัลพิเศษจากการทำงานกันมาตลอดปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากเงินโบนัส ซึ่งได้มากน้อยต่างกันไปตามผลงาน

กลุ่มคนที่จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ต่างแยกย้ายไปตามห้องพักซึ่งค่อนข้างมีขนาดใหญ่ เมื่อจัดเตียงเสริมแล้ว ก็สามารถนอนได้ถึงห้องละ ๔ คนอย่างสบาย โดยไม่อึดอัด แต่สิ่งที่สร้างความอึดอึดให้กับบางคน อาจจะเป็นเพื่อนพนักงานด้วยกัน แต่เป็นคนที่ตนไม่ประสงค์จะอยู่ร่วมห้องด้วย เช่นภูริทัต ที่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าต้องพักห้องเดียวกับกรกฏ ถึงแม้จะมีปรีชาและรังสรรค์ร่วมพักอยู่ด้วยก็ตาม

พักผ่อนกันตามสมควร ก็มีการสัมนากันเล็กน้อย ตามด้วยอาหารค่ำแบบบุฟเฟห์ พนักงานทุกระดับต่างก็พอใจกันทั่วหน้า แต่รังสรรค์ก็สังเกตได้ว่าเพื่อนของเขาดูเหมือนจะมีเรื่องกังวล เพราะมองดูนาฬิกาข้อมืออยู่บ่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปพักผ่อนในยามค่ำ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าวะ” รังสรรค์ถามพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เช็ดเส้นผมที่เปียกอยู่
“นั่นดิ เห็นมองแต่นาฬิกากับโทรศัพท์” ปรีชายื่นหน้าเข้ามาถามบ้าง เขาอาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กรกฏกำลังใช้ห้องน้ำอยู่
“รอคนอยู่หว่ะ” ภูริทัตตอบเสียงเอื่อยๆ
“รอใครวะ” ปรีชาถามพลางจ้องหน้า
กิ๊ง...ก่อง....
ก่อนที่จะมีคำตอบจากภูริทัต เสียงกริ่งก็ดังขึ้น ภูริทัตทะลึ่งตัวจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ตรงไปเปิดประตู แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบกับคนที่คาดไม่ถึง
“อ้าว คุณทรงเดช มาได้ยังไงน่ะ” รังสรรค์ ที่เดินตามภูริทัตมา ถามด้วยความสงสัย
“มาตามเสียงเรียกของหัวใจมั๊งครับ” ทรงเดชตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆ ทำเอาภูริทัตและรังสรรค์งงไปทั้งคู่ “ผมล้อเล่นน่ะครับ ว่าแต่ว่าหัวใจพวกคุณกำลังเรียกหาใครอยู่รึเปล่าครับ” พูดแล้วก็กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เพราะใบหน้าเอ๋อๆของชายหนุ่มทั้งสอง
“เสียงหัวใจของผมสื่อถึงคุณได้เหรอครับเนี่ย” รังสรรค์ที่เริ่มจะจับเค้าอะไรได้ ถามด้วยสายตาแวววาว ทำเอาทรงเดชยิ้มแห้งๆ
“แหะๆ ผมล้อเล่นน่ะครับ ความจริงผมมารับคุณภูริทัตน่ะครับ คุณท่านรออยู่”
“สานฝันมาแล้วเหรอ” ภูริทัตยิ้มขึ้นมาทันที
“ครับ พักอยู่ในห้องพักอีกตึกนึง ผมมาเผื่อคุณภูริทัตจะให้ช่วยถือของ”
“ของอะไร” ภูริทัตขมวดคิ้ว
“ก็เผื่อคุณจะย้ายไปพักห้องเดียวกับคุณสเตฟานเลยไงครับ”
ภูริทัตหมุนตัวเดินไปเก็บข้าวของเข้ากระเป๋าทันที รังสรรค์กับทรงเดชสบตา แล้วยิ้มให้กัน เหมือนจะมีความรู้สึกตรงกันว่า การแสดงออกของภูริทัตนั้นช่างน่าขันเสียจริง

“พี่ทัตไปไหนแล้วล่ะ” กรกฏถามขึ้นเมื่อมองไปรอบๆห้องแล้วไม่พบภูริทัต
“ย้ายไปนอนห้องอื่นแล้ว” รังสรรค์ตอบโดยที่สายตายังมองอยู่ที่จอโทรทัศน์
“ห้องไหน” กรกฎสวนคำขึ้นมาทันที อย่างไม่ค่อยพอใจ
“ออกไปหาก็ไม่เจอหรอกนะ เพราะเค้าย้ายไปโรงแรมอื่นแล้ว” ปรีชาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงนุ่ม หันมาบอกกรกฏ “พี่ยึดเตียงซะเลย เดี๋ยวปูมานอนบนเตียงกับพี่ก็ได้นะ”
กรกฏเหลือบมองดูรังสรรค์ ก็เห็นนั่งดูโทรทัศน์นิ่งอยู่บนเก้าอี้ เกิดความรู้สึกไม่พอใจทั้งภูริทัต และรังสรรค์ จึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆปรีชา
...........................................................................
................................
“ไง หน้าระรื่นมาเชียวนะ ไอ้เสือ” รังสรรค์ทักทายภูริทัตที่เข้ามานั่งลงบนโต๊ะ พร้อมกับจานอาหารเช้าแบบอเมริกันบุฟเฟห์
“พี่ทัตไปนอนที่ไหนมา” กรกฏถามขึ้นทันที
“แล้วจะถามมั๊ยว่าไปนอนกับใคร” ภูริทัตตอบแล้วยิ้มที่มุมปาก พลางใช้มีดตัดเบคอนทอดเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วใช้ช้อนส้อมจิ้มส่งเข้าปาก

หลังอาหารเช้าแล้วก็มีการสัมนากันจนถึงเวลาอาหารเที่ยง หลังจากนั้นทางบริษัทก็พาพนักงานไปยังหาดทรายอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อให้พนักงานได้เล่นน้ำทะเลกัน จนถึงเวลาบ่ายแก่ๆ จึงพาพนักงานกลับมาโรงแรมที่พัก เพื่อแยกย้ายกันพักผ่อนก่อนเวลาอาหารค่ำ

“เดี๋ยวเย็นนี้คุณไปกินข้าวเย็นกับผมนะ” ภูริทัตพูดแล้วก็ซุกจมูกลงบนไหล่เปลือย ของคนที่ตนนอนกอดอยู่ทางด้านหลัง
“จะดีเหรอครับ ผมไม่ใช่พนักงานในบริษัท คงจะไม่ดีหรอก” เสียงตอบพร้อมกับเสียงครางแผ่วเบา เพราะมือทั้งสองของภูริทัตลูบไล้ไปทั่ว
“พูดยังกับว่าคุณกินเยอะนักนี่ ไปเหอะ ผมบอกหัวหน้าไว้แล้ว” ภูริทัตพลิกร่างของสเตฟานให้นอนหงาย แล้วฝังจมูกไปที่ซอกคอของอีกฝ่าย
“อื้อ” พูดได้เพียงเท่านั้น ก็ถูกริมฝีปากของภูริทัตประกบ พร้อมกับบดขยี้จูบอย่างเร่าร้อน
ทั้งสองค่อยๆมอบความสุขให้แก่กันอย่างไม่เร่งร้อน แต่ไม่นานภูริทัตก็เริ่มรุกรานอย่างหนักหน่วง ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่เหมือนทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจกับท่าทางเหมือนจะอดกลั้นความรู้สึกไว้ ไม่แสดงออกมาอย่างเต็มที่ของสเตฟาน แต่เขารู้แล้วว่า เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปรกติ และสเตฟานจะเสียใจอย่างมาก ถ้าเขาไม่มีความสุข ชายหนุ่มจึงไม่เคยยับยั้งตนเองไว้เลย เพราะทุกครั้งที่เขาถึงจุดหมายของความสุข สีหน้าของสเตฟานก็ดูจะอิ่มเอมไปกับเขาด้วย สัมผัสที่ลูบไล้อย่างอ่อนโยน หลังการแสดงความรักผ่านพ้นไป ยิ่งทำให้รู้ว่า อีกฝ่ายรักเขาเพียงใด เขาจึงไม่เคยสงสัยอีกเลยว่า ทำไมบางครั้งสเตฟานถึงต้องทำแบบนี้ และบางครั้งสเตฟานกลับปลดปล่อยอารมณ์ ร่วมกับเขาอย่างที่มันควรจะเป็น ถึงจะไม่บ่อยนัก แต่เมื่อไรที่เกิดขึ้น เขารู้สึกว่าความสุขที่ได้รับ มีมากเป็นทวีคูณ
...........................................................................
................................
“ทำไมเหลือที่นั่งไว้ตั้ง๒ที่” กรกฏตั้งข้อสังเกต
“ก็ไว้ให้เจ้าทัตไง” รังสรรค์ตอบ
“แล้วอีกที่ล่ะ” กรกฏยังถามต่ออีก
“เดี๋ยวก็รู้ นั่นไงมากันแล้ว” รังสรรค์พยักเพยิดไปทางประตูเข้าห้องอาหาร

ภูริทัตเดินเข้ามา พร้อมกับชายหนุ่มชาวต่างชาติที่กรกฏรู้จักดี
“สเตฟานอีกแล้วเหรอ ตามกันมาถึงนี่เชียวนะ” กรกฏพึมพำอย่างไม่พอใจ
กรกฏจ้องมองดูร่างเพรียวในชุดกางเกงสแลคสีน้ำตาลไหม้ กับเสื้อยืดโปโลสีเขียวใบไม้ ด้วยความอิจฉา โทนสีเข้มของเครื่องแต่งกาย เหมือนจะยิ่งขับผิวขาวอมชมพูนั้น ให้ดูสะอาดตามากขึ้น แววริษยาเพิ่มมากขึ้น เมื่อเห็นคนที่นั่งกันอยู่ในโต๊ะที่ตนนั่ง และโต๊ะอื่นๆ หันไปมองคนทั้งสองด้วยความชื่นชม และมีเสียงแว่วๆชมเชยถึงรูปร่างหน้าตา และบุคลิกของคนที่เดินเคียงข้างภูริทัต

“สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลย” รังสรรค์ทักทายขึ้นทันที ที่ภูริทัตและสเตฟานนั่งลงบนโต๊ะอาหาร
“สวัสดีครับ คุณรังสรรค์ คุณปรีชา คุณกรกฏ” สเตฟานทักทายคนท่ารู้จัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้คนอื่นๆบนโต๊ะอาหาร
“นี่มันงานเลี้ยงของคนในบริษัท คนนอกนึกยังไงถึงได้เข้ามานั่งกับเค้าด้วย” กรกฎพูดเสียงดังพอสมควร
ภูริทัตขยับตัวจะพูด แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อสเตฟานลุกขึ้นยืน
“ผมเพียงแต่มาทักทายเพื่อนที่รู้จักกันเท่านั้นแหละครับ เมื่อได้พบแล้ว ผมก็ต้องขอตัว”
ภูริทัตยืนขึ้นจับมือสเตฟานไว้ ยื้อไม่ให้เดินออกไป สเตฟานยิ้มน้อยๆให้ชายหนุ่ม แล้วก้มลงกระซิบบอกอะไรบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา ภูริทัตขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่สเตฟานบอก
“เชื่อผมนะ” สเตฟานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ภูริทัตคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้ายอารับในสิ่งที่สเตฟานกระซิบบอก สเตฟานจึงดึงมือของตัวเองออกมา แล้วเดินตรงไปยังประตูทางออกอย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 20-04-2009 21:36:58
เจ้าปูเด็กมาก ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 20-04-2009 21:38:37
เหวอออออ

ว่าจะจิ้มมม

แต่จิ้มไม่ทัน

หายไปไหนมาพี่บุหรง

คิกคิก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 21-04-2009 01:20:28
ถ้าตามสถิติก็ 50/50 สินะคะ....

มาตอนนี้รู้สึกว่าสเตฟานรักภูริทัตมากจริงๆ สินะ (แบบว่ารู้สึกเป็นพิเศษ) อีกอย่างคือ ที่ภูริทัตเข้าใจสเตฟานอีกเรื่องก็ดีจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: ๐ขนมปัง๐ ที่ 21-04-2009 07:57:20
 :3123: :กอด1: :3123:

สานฝัน ซุบซิบอะไรน๊า.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 21-04-2009 23:00:16
มีฮันนีมูนนอกสถานที่ด้วย

มีการนัดแนะเจอกันอีกสินะ เชียร์ให้คู่นี้สมหวังได้อยู่ด้วยกันตลอดจนกว่าภูริทัตจะจากไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 21-04-2009 23:39:48
ขอให้ราบรื่นไปตลอดเถอะนะ :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-04-2009 00:35:31
สานฝัน จะทำอะไรอีกแล้ว  :m28:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 22-04-2009 00:41:52
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ปู จะอะไรกับ สเตฟานนักหนานะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 22-04-2009 03:09:34
^
^
จิ้มน้องหนูรีบน อิอิ


รำคาญกรกฎจริงๆ แสดงออกชัดเจน ไม่มีมารยาท
รู้ทั้งรู้ว่าเค้าเป็นอะไรกันแล้วยังจะไม่ยอมเลิกรา

แล้วครั้งหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่การสัมมนานี้หรือป่าวนะ
แล้วสเตฟานกระซิบอะไรกับภูริทัตเหรอ

บวก 1 แต้มเช่นเคยจ้า ขอบคุณนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 22-04-2009 09:00:01
ปู นี่น๊า คนเขาไม่รักแล้วยังจะไปยุ่งวุ่นวายอะไรกะเขามากมาย

เป็นกำลังใจให้คนแต่ง แล้วก็รอตอนต่อไป  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 22-04-2009 09:13:24
น้องปูยังไม่ตัดใจอีกหรอเนี่ย ทำแบบนี้ยิ่งไม่น่ารักเข้าไปใหญ่  :เฮ้อ:
แล้วเค้าซุบซิบอะไรกันสองคนน้า อยากรู้จังเลยค่ะ มาต่อไวๆ นะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-04-2009 05:39:30
ดันจ้า ดัน  :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 27-04-2009 12:09:39
สานฝันก็ยังใจเย็นและนุ่มนวลเหมือนเคย
แต่...เดี๊ยนรำคาญนายปูอะไรนี่มากมาย  ทำตัวน่าเบื่อหน่ายดีแท้
อยากกำจัดทิ้งซะเหลือเกิน เชอะ ๆๆ  o18

เอ! ว่าแต่หมู่นี้น้องตั้มนานๆมาทีนะ
งานยุ่งมากหรือป่าวจ๊ะ
รักษาสุขภาพด้วยเน้อ   :กอด1:

ว่าแต่เขา เราก็เหมือนกัน
ไม่ค่อยได้เข้าเล้าเลย  :z2:
มัวไปติดรายการประกวดนักร้องน้องรักซะนี่
แต่นักร้องที่เชียร์ตกรอบไปเมื่อคืนซะละ   :o12:
ทีนี้จะได้กลับมาตายรัง (เล้าเป็ด)ซะที อิๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 27-04-2009 18:34:24
ช่วงนี้ไม่สบายอะ เป็นหวัดมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้หลอดลมอักเสบไปเรียบร้อยแล้ว  :o12:
มึนหัวอย่างแรง นอนทั้งวันเลย แย่ๆๆ ตอนนอนไม่ได้กิน ตอนกินไม่ได้นอน
ถ้าทำได้พร้อมกัน คงกลายเป็นมนุษย์ในตำนานที่อยู่ในป่าหิมพานต์แล้ว...



ตัวกินนอนไง (กินร) o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 27-04-2009 18:46:15
บทที่ ๓๓

“ไม่มีใครรู้ว่ากรีนอายส์มีกำเนิดขึ้นมาอย่างไร เช่นเดียวกับไม่มีใครรู้ว่าแวมไพร์ตนแรกกำเนิดขึ้นมาตอนไหน บางทีอาจจะเหมือนงูพิษ ที่มีดีงูสำหรับแก้พิษอยู่ในตัวของมันมาตั้งแต่กำเนิด หรืออาจเป็นเพราะความทรมานจากความชรา แต่ไม่สามารถตายได้ของแวมไพร์ จึงทำให้กรีนอายส์กำเนิดขึ้น” เสียงแหบแห้งเพราะความชราภาพ พูดอย่างเหนื่อยอ่อน
“ข้าไม่ได้มาที่นี่ เพื่อมาฟังเรื่องเหล่านี้” โจชัวร์พูดอย่างรำคาญ
“แต่ข้าต้องการให้เจ้ารู้ไว้ เพราะใกล้ถึงเวลาของข้าแล้ว” ถึงแม้ร่างกายจะเสื่อมโทรมไปมาก แต่ดวงตายังแสดงอำนาจ จนโจชัวร์ต้องยอมฟังต่อไป หญิงชราจึงพูดต่อ “แวมไพร์อย่างพวกเรามีช่วงอายุยืนยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า เจ้าก็รู้ดี แต่ที่เจ้ายังไม่รู้ก็คือเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เวลาของพวกเราจะเดินเร็วขึ้น และเร็วขึ้น จนวันหนึ่ง เวลาของพวกเราจะถึงช่วงที่เกือบจะเทียบเท่ากับมนุษย์ปรกติ และที่โหดร้ายก็คือ เมื่อผ่านช่วงนั้นไป เวลาของพวกเรากลับเร็วขึ้นอีก จนความชรามาเยือนพวกเราอย่างรวดเร็ว”
โจชัวร์ที่นิ่งฟังอย่างสงบ มีแววตระหนกปรากฏขึ้นในแววตา โจชัวร์เพ่งพิจารณาหญิงชราตรงหน้าอีกครั้ง
“เหมือนเช่นข้าในตอนนี้ ที่เริ่มแก่ลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอ่อนแอขึ้นด้วย และต่อจากนั้น ข้าคงอยู่ต่อไปไม่ได้” หญิงชราถอนหายใจ “แต่ข้าไม่สามารถตายได้ แวมไพร์อย่างพวกเราต่างเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย ถึงร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรมลง แต่ก็ต้องทนอยู่ต่อไป โดยไม่มีวันตาย”
“มันก็ยังมีวิธี” โจชัวร์ขัดขึ้น “ให้แวมไพร์ด้วยกันมอบความตายให้ เท่านั้นก็สิ้นเรื่อง”
“ใช่” หญิงชรายิ้มหยัน “แต่เจ้าจะยอมหรือ ที่จะให้แวมไพร์ตนอื่นมาสังหารเจ้า”
โจชัวร์อึกอัก แน่นอนเขาเองก็ไม่ยินยอม เพราะมันหมายถึงศักดิ์ศรีของผู้เป็นนาย ย่อมถูกเหยียดหยามลงด้วยเช่นกัน
“หรือเจ้าจะสังหารข้า หากว่าข้าร้องขอ” หญิงชราถามยิ้มๆ
“ข้าไม่กล้า” โจชัวร์ตอบเสียงอ่อยๆ แน่นอน กับผู้เป็นเสมือนผู้ให้กำเนิด ผู้ที่เปรียบเสมือน ‘ลูก’ เช่นเขาย่อมไม่กล้ากระทำ
“แต่มีผู้หนี่งทำได้ ... นั่นคือ กรีนอายส์”
“ทำยังไง” โจชัวร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และเริ่มสนใจ
“ข้าไม่รู้ ... ข้ารู้เพียงว่ากรีนอายส์มีพลังในการลบล้างความอมตะของแวมไพร์ และนั่นหมายถึง แวมไพร์ย่อมตายได้ เช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อถึงเวลาที่เจ้าเรียกหาความตาย เมื่อนั้นกรีนอายส์จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า และมอบความปรารถนานั้นให้แก่เจ้า”
“แล้วตอนนี้ กรีนอายส์ที่ว่าเป็นใคร มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และอยู่ที่ไหน”
“ไม่มีใครรู้” หญิงชราตอบช้าๆ “พวกเรารู้แต่เพียงว่า เมื่อใดที่ได้พบกับกรีนอายส์ นั่นหมายถึงเวลาแห่งความดับสูญ พลังของกรีนอายส์ มีมากกว่าแวมไพร์ทั่วไปมากนัก สามารถทำให้เจ้าเจ็บปวดได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัสตัว สามารถเหวี่ยงเจ้าไปได้โดยไม่แตะต้องตัวเจ้า สามารถเดินทางไปยังอีกที่หนึ่งได้เพียงชั่วพริบตา”
“แล้วกรีนอายส์กินโลหิตของมนุษย์เหมือนพวกเราหรือเปล่า”
“มีคนเคยบอกแก่ข้าว่า โลหิตของมนุษย์เป็นอาหารของพวกเราเหล่าแวมไพร์ แต่โลหิตของแวมไพร์คืออาหารของกรีนอายส์ ในเมื่อพวกเราเหล่าแวมไพร์ สามารถสะกดจิตให้มนุษย์ลืมเลือนเรื่องของพวกเราได้ กรีนอายส์ก็อาจสามารถกระทำได้กับพวกเราเช่นเดียวกัน”
“ถ้าอย่างนั้น หากแวมไพร์ดื่มกินโลหิตของกรีนอายส์เล่า เราจะกลายเป็นกรีนอายส์ และได้รับพลังนั้นมาด้วย เหมือนเวลาที่เราให้โลหิตของพวกเราแก่มนุษย์หรือไม่”
“ข้าไม่รู้ คำถามนี้ข้าเองก็เคยได้ถาม และถูกถามมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้ มีแวมไพร์หลายตนที่พยายามตามหากรีนอายส์ เพื่อพิสูจน์ว่า การได้มาซึ่งพลังนั้นสามารถทำได้หรือไม่”
“แล้วเป็นอย่างไร” ดวงตาของโจชัวร์ส่องประกายด้วยความอยากรู้
“ไม่มีคำตอบ และในแวมไพร์กลุ่มนั้น มีหลายตนที่หายไปราวกับก้อนหินที่ถูกโยนลงทะเล ต่างหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย อาจเป็นไปได้ที่ถูกกรีนอายส์ทำให้ดับสูญไป”
“หรือเพราะกรีนอายส์ถูกกำหนดไว้แล้วว่า มีได้เพียงหนึ่งเดียว” โจชัวร์พึมพำเบาๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากโสตประสาทของหญิงชรา
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้”

โจชัวร์ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้คิดถึงบทสนทนาเมื่อหลายร้อยปีก่อนขึ้นมา คำพูดบางอย่างของ ‘นาย’ ผู้ชราบางส่วนปรากฏขึ้นเป็นความจริง หลังจากนั้นไม่กี่สิบปี แวมไพร์ชราตนนั้นก็ถึงกาลดับสูญ โดยกรีนอายส์ ภาพแห่งสำนึกสุดท้ายที่ได้รับมา เป็นภาพของชายชราเค้าหน้าปราณี เรือนผมสีขาว ดูอ่อนนุ่มราวก้อนสำลี ถึงแม้ผิวหนังจะเริ่มเหี่ยวย่น แต่ก็ยังดูสดใส ที่สำคัญ ดวงตาของชายชราผู้นั้นส่องประกายแวววาวราวมรกตที่กระทบแสงไฟ

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะได้พบกับสเตฟานเพียงไม่กี่ปี

งานเลี้ยงภายในบ้านของคหบดีผู้หนึ่งในอังกฤษ ซึ่งตามปรกติในงานเลี้ยงลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าที่ใดก็ตาม โจชัวร์มักเป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งสง่างาม และใบหน้าที่หมดจดงดงามราวรูปสลัก ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ มักมองเขาด้วยสายตาชื่นชม และมีอยู่หลายคนที่แฝงไว้ด้วยความถวิลหา แต่ในงานเลี้ยงคืนนี้ กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีเพียงแววตาที่แสดงความสงสัย ปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปรกติ ทำให้โจชัวร์อดสงสัยไม่ได้ ความมั่นใจในตนเอง และความเชื่อมั่นต่อ ‘ชาร์มอายส์’ เริ่มสับสน ว่าเหตุใดจึงไม่มีผลต่อคนในสถานที่แห่งนี้

... เป็นไปไม่ได้ ... โจชัวร์คิดในตอนนั้น

แล้วเขาก็ได้รับคำตอบ เมื่อชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในงานเลี้ยง บุรุษผู้มีเรือนร่างสูงโปร่งใกล้เคียงกับเขา แต่กลับมีใบหน้าเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน สิ่งที่ทำให้แยกแยะได้คือความแตกต่างขององค์ประกอบบางส่วน โจชัวร์มีเรือนผมสีเงินส่งประกายราวแสงของรุ่งอรุณ ดวงตาสีฟ้าดุจท้องทะเล และริมฝีปากสีแดงสดราวแอปเปิล แต่ชายหนุ่มผู้มาใหม่นั้น มีเรือนผมสีทองละเอียดอ่อนราวเส้นไหม ดวงตาสีเขียวมรกตส่องประกายแวววับ ล้อกับแสงเทียนที่ให้ความสว่างภายในห้อง ริมฝีปากสีชมพูราวกลีบกุหลาบ เผยอเล็กน้อยราวกับกำลังแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา

แวมไพร์ผู้ซึ่งไม่เคยคิดจะมอบความอมตะให้แก่มนุษย์ผู้ใด ก็ต้องการชายหนุ่มผู้นั้นให้มาอยู่เคียงข้างตนทันที เพียงครั้งแรกที่ได้เห็นชายหนุ่มผู้นั้น

... สเตฟาน ... คือชายหนุ่มที่เขาพบในคืนนั้น ชายหนุ่มผู้มีดวงหน้าแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกับเขา ผิดกันที่สีผม ดวงตา สีของริมฝีปาก และอ่อนเยาว์กว่าเขา

ใช่แล้ว ... เมือดูจากภายนอก สเตฟานสมควรดูอ่อนเยาว์กว่าเขา

โจชัวร์ฉุกคิดขึ้นมาได้ สิ่งนี้เองที่ขัดข้องอยู่ในใจของเขามาเกือบตลอดสัปดาห์ สเตฟานสมควรดูอ่อนเยาว์กว่าเขา อย่างน้อยก็ ๓-๔ ปี แต่ทำไมตอนที่พบกันในสวนของโรงแรมในวันนั้น อีกฝ่ายถึงได้ดูราวกับมีอายุเท่าๆกับเขา ... หรือว่า
“ไม่ ... เป็นไปไม่ได้” โจชัวร์พึมพำ พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่
... หรือว่าเกิดสิ่งผิดปรกติขึ้นกับสเตฟาน นาฬิกาชีวิตที่สมควรเดินอย่างเชื่องช้า เช่นแวมไพร์ทั่วไป ตอนนี้กลับทำงานเร็วขึ้น เหมือนกับแวมไพร์ที่ร่างกายเข้าใกล้วัยชรา ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น มันสมควรเกิดกับเขาก่อน เพราะเขาใช้เวลาอยู่ในโลกนี้มานานกว่าสเตฟานมากนัก

หรือว่าสเตฟานไปสูบกินโลหิต ของมนุษย์ที่ป่วยเป็นโรคบางอย่าง โดยไม่รู้ตัว โรคภัยที่แฝงอยู่ในโลหิตของมนุษย์ ส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายของสเตฟาน เหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นว่ามันปรากฏขึ้นกับแวมไพร์บางตน ... และมันก็มีผลข้างเคียง ทำให้สเตฟานหลุดจากการควบคุมของเขา

โจชัวร์ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง พลางครุ่นคิดว่ามีวิธีใดที่จะช่วยสเตฟานได้ และนำสเตฟานกลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง

... กรีนอายส์ ...

ใช่ ... กรีนอายส์ ... อาจจะเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้ ตามหากรีนอายส์  บางทีพลังของกรีนอายส์ อาจจะทำให้สเตฟานกลับเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง และตอนนั้น เขาก็จะทำให้สเตฟานกลับมาเป็นแวมไพร์เช่นเดิม แล้วสเตฟานก็จะกลับมาอยู่ใต้อำนาจของเขาอีกครั้ง เพียงแต่เขาควรจะเริ่มจากตรงไหน

ก่อนอื่นต้องทำให้เสตฟานกลับมาอยู่กับเขาให้ได้เสียก่อน แต่จะทำอย่างไร ... โจชัวร์หลับตาลงครุ่นคิด แล้วเขาก็ได้คำตอบ

ต้องหาตัวชายที่สเตฟานยินยอมมอบความสุขให้ผู้นั้นให้พบเสียก่อน แต่แทนที่จะทำลาย เขาควรควบคุมชายผู้นั้นไว้ให้อยู่ใต้อำนาจเขา เมื่อนั้นสเตฟานก็จะกลับเข้ามาอยู่เคียงข้างเขาเอง โจชัวร์ลืมตาขึ้น แล้วยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม

“ข้าจะหาพวกเจ้าให้พบ เจ้าจะต้องกลับมาอยู่เคียงข้างข้า ... สเตฟาน”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 27-04-2009 18:51:22
ขอให้หายป่วยไวๆนะคะ แต่ตอนนี้โรคภัยร้ายแรงถ้าจะให้ดีอย่าเรื้อรังดีที่สุด :3123:



กำลังคิดว่าคราวนี้ภูริทัติจะต้องแย่แน่ๆ โจชัวร์มิต้องต่อสู้กันกับสเตฟานแย่งภูริทัตกันหรือเนี่ย :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 27-04-2009 19:35:22
ขอให้หายป่วยเร็วนะ  แล้วก็พักผ่อนเยอะ ด้วยนะ  :L2:

..........................................................

 :เฮ้อ:  โจชัวร์นี่ฝังใจกับสเตฟานน่าดูเลยนะ แล้วที่นี่จะทำยังไงดี
โจชัวร์ต้องสืบรู้แน่ ๆ เลยว่าใครเป็นคนรักของสเตฟาน  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 27-04-2009 20:20:06
ขอให้สบายหายดีโดยเร็วนะคะ...

โจชัวร์ท่าทางหลงตัวเองอย่างหนักเลยรักสเตฟานที่หน้าเหมือนตัวเองรึป่าวเนี่ย?
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 27-04-2009 21:18:27
หายไว ๆ นะคะ

โจชัวร์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสิเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 28-04-2009 10:23:44
ขอให้หายป่วยไวๆ ค่ะ  :L2:

ภัยร้ายใกล้จะมาเยือนภูริทัตแล้วสิเนี่ย  o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: sNow ที่ 29-04-2009 23:15:56
ความเหมือนกัน..ของโจชัวร์กับสเตฟานนี่...

เป็นเรื่องบังเอิณแน่หรอ

อ่านแล้วแอบรู้สึกว่าจริงๆแล้วโจชัวร์เป็นพวกนาซิส หลงตัวเอง เลยชอบสเตฟาน

อันตรายคืบคลานมาเรื่อยๆแล้ว

หวังว่าจะไม่มีคนได้รับผลกระทบมากนัก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 30-04-2009 01:20:37
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ความรักทำให้สายตาคนเรามืดบอดจริงๆ แล้วจะรออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 30-04-2009 04:52:28
ขอให้หายป่วยเร็วๆ
สุขภาพแข็งแรงนะจ๊ะ  :L2:



โจชัวร์ฝังใจกับสเตฟานมากมาย คงมิใช่เพราะเีพียงหน้าตา
แต่ความเป็นสเตฟานต่างหาก ที่คงเป็นสิ่งผูกใจโจชัวร์เอาไว้อย่างแน่นหนา
รอลุ้นว่าโจชัวร์จะทำอะไรภูริทัตได้บ้าง
บวก 1 แต้ม ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 30-04-2009 20:16:51

เอ้ยยย อ่านทันและ

คุณบุหรงหายเร็วๆนะ  :L1: :L1: :L1:

เจ้าปูนี่ไม่ไหวๆ  โจชัวร์ ยังน่าเห็นใจกว่าตั้งแยะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 02-05-2009 15:26:21
น้องตั้มหายป่วยไวๆนะจ๊ะ  :L2:

อ่านตอนล่าสุดแล้วปรี๊ดสสสส   :m16:
แวมไพร์ชั่วยังไงก็มีแต่ความคิดชั่วๆเจงๆ
จะเอาสานฝันกลับมาเป็นทาสยังไม่พอ
ยังคิดจะจัดการภูริทัตอีก   :serius2:
สานฝันชิงลงมือก่อนดีกว่า
ใช้กรีนอายส์จัดการโจชัวร์ให้ม่องเลย เหอะๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 09-05-2009 00:02:29

คุณบุหรงหายป่วยยังอ่ะ  :L1: :L1: :L1:

แอบมาดัน จร้า

จับโจชัวร์มาดูดเลือด เอาให้แห้งกรอบเลย   รอคุณบุหรงมาต่อนานและ  เลยกระหายเลือด  อยากกินเลือดแวมไพร์ น่าจะอ่าหร่อยนะ อิอิ :fire:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๒ - ๒๐ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 11-05-2009 07:57:09
ช่วงนี้ไม่สบายอะ เป็นหวัดมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้หลอดลมอักเสบไปเรียบร้อยแล้ว  :o12:
มึนหัวอย่างแรง นอนทั้งวันเลย แย่ๆๆ ตอนนอนไม่ได้กิน ตอนกินไม่ได้นอน
ถ้าทำได้พร้อมกัน คงกลายเป็นมนุษย์ในตำนานที่อยู่ในป่าหิมพานต์แล้ว...



ตัวกินนอนไง (กินร) o22

ช่างกล้าเล่นนะมุก กินนรเนี่ย 5555

ไม่สบายพักผ่อนเยอะๆนะคะ เป็นห่วง ช่วงนี้ไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ กำลังอาละวาด

ไม่ค่อยได้เข้ามาเม้นต์ แต่ก็คิดถึงนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 12-05-2009 01:42:02
สุขภาพเป็นไงบ้างจ๊ะ
หายป่วยหรือยัง  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 12-05-2009 07:53:40
ป่วยนานเลย หายไว ๆ นะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: TinaJunior ที่ 12-05-2009 08:50:38
เข้ามาเยี่ยม :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 12-05-2009 19:55:48

เข้ามาช่วยดัน
คุณบุหรงหายยยยยยยยยไปไหนนนนนนนน   คิดถึงอย่างแรงแย้วววววววววววววววววววว
กลับมานะ กลับมานะ  มัวแต่ทัวร์คอนเสริตอยู่มั้ยเนี่ย
หรือว่าติดเชื่อไวรัสจากแวมไพร์   ไม่เป็นไรเดี๋ยวกิมตี้ไปดูดเลือดมันเอง  รับรองแห้งหมดตูดดดดดดด เหอะๆๆ   :m20:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๓ - ๒๗ เม.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 12-05-2009 20:06:43
คิดถึงคนแต่งจังเลย

ถ้าป่วยก็ขอให้หาย
ถ้าไม่เปนไรแต่ติดธุระก็ขอให้ทำให้เสร็จ

แต่ถ้าไม่มีทั้งสอง 

โปลดกลับมาด้วยเถิด  :call:

 :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-05-2009 20:43:50
บทที่ ๓๔

“โอ๊ย ... ค่อยสบายหน่อย” ภูริทัตสูดหายใจเข้าเต็มปอด นั่งลงไปบนเก้าอี้โซฟายาวในห้องลอบบี้ของโรงแรม
“พูดได้ซะทีนะเอ็ง” รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ พลางนั่งลงข้างๆภูริทัต

ระหว่างอาหารค่ำมื้อนั้น ภูริทัตกินอาหารเงียบๆไม่พูดคุยกับใครบนโต๊ะอาหารเลย แม้กระทั่งหัวหน้าแผนกที่เข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แล้วเอ่ยปากถามภูริทัต
“เพื่อนไปไหนล่ะ เห็นเดินเข้ามาด้วยกันนี่”
“กลับไปแล้วน่ะครับ คงมีธุระด่วน” รังสรรค์ตอบแทน เมื่อเห็นว่าภูริทัตเงียบไปนาน
“อ้าวเหรอ คิดว่าจะให้ทัตแนะนำให้รู้จักซักหน่อย น่าเสียดายนะ” หัวหน้าแผนกพูดคุยกับคนบนโต๊ะอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นเดินจากไป
ปรีชาและรังสรรค์สบตากันแว่บหนึ่ง รู้แล้วว่าอาการ ‘ดื้อเงียบ’ ของภูริทัตเกิดขึ้นแล้ว ตามปรกติอาการแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก นอกจากภูริทัตเกิดอาการไม่พอใจอย่างมาก จนสุดจะทน ดูเหมือนกรกฏจะรู้ตัวในเวลาต่อมา เพราะสียงพูดจ้อยๆ เริ่มเงียบลง คล้ายจะรู้สึกว่าอาการของภูริทัต แพร่เชื้อไปยังเพื่อนรักทั้งสองคน เพราะนอกจากภูริทัตที่ไม่พูดกับตนแล้ว รังสรรค์ก็พลอยเป็นไปด้วย และสักพัก ปรีชาก็ไม่พูดกับเขาด้วยอีกคนหนึ่ง เมื่อรังสรรค์เห็นว่าภูริทัตกินอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงแกล้งชวนออกมาจากห้องอาหารเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่ทั้งสองคนกลับเดินออกมายังลอบบี้โรงแรม ราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว

“รุ่นน้องเอ็งทำไมเป็นแบบนี้วะ น่ารำคาญฉิบ” ภูริทัตพูดอย่างเบื่อหน่าย
“ข้าก็รู้มานานแล้วว่าฤทธิ์เยอะ แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ มันก็ช่วยไม่ได้หว่ะ เอ็งเสือกเสน่ห์แรง” รังสรรค์พยายามพูดติดตลก หวังว่าเพื่อนจะอารมณ์ดีขึ้น
ภูริทัตหันไปมองหน้ารังสรรค์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อย่าลำบากใจไปเลยวะ” รังสรรค์ตบไหล่เพื่อน “จำได้รึเปล่า ตอนมาทำงานใหม่ๆคนรุมจีบเอ็งขนาดไหน”
“ไอ้บ้านี่” ภูริทัตปัดมือบนไหล่ออก “คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ทำมาเป็นล้อเล่นอยู่ได้”
“เอาน่า ทนๆหน่อย สเตฟานเค้าก็ยังบอกว่าให้อดทนไม่ใช่เหรอไง”
“เอ็งรู้ได้ยังไง” สีหน้าของภูริทัตเปลี่ยนเป็นสงสัย
“เดาเอา” รังสรรค์พูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “เค้าคงบอกให้เอ็งอดทนเพราะเป็นงานเลี้ยงของบริษัท เอ็งควรจะอยู่ในงาน ส่วนเค้าควรจะออกไป เพราะถ้ายังอยู่ต่อ ไอ้ปูมันคงหาเรื่องไม่หยุด”
“สานฝันบอกกับข้าแบบนั้นจริงๆ” ภูริทัตพูดเบาๆ “ความจริงเค้าก็ไม่อยากมาตั้งแต่ตอนที่ข้าชวนเค้าเมื่อตอนบ่าย แต่ข้าเองแหละที่ตื้อ จนต้องยอมมาด้วย แล้วมันก็เป็นเรื่องจริงๆ”
“สเตฟานเค้าเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ เหมาะที่จะมาดูแลเด็กอย่างเอ็ง ... พูดถึงเด็กแล้ว เมื่อกี้ข้านึกว่าเอ็งจะเดินหนีออกมา เหมือนที่เอ็งเคยหนีออกจากบ้านเมื่อตอนเด็กซะอีก”
“นั่นมันตอนข้าเด็กๆเว๊ย ตอนนี้ข้าโตแล้ว”
“โตแต่ตัวน่ะสิวะ” รังสรรค์หัวเราะร่วน “กลับเข้าไปกันเถอะ ออกมากันนานแล้ว”
พูดจบ รังสรรค์ก็ลุกขึ้น เดินนำภูริทัตพากันกลับเข้าไปในห้องเลี้ยงอาหาร ซึ่งกำลังมีการกล่าวขอบคุณพนักงานของบริษัท ที่ร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้กับบริษัท ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา ภูริทัตนั่งฟังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องเก่าๆในวัยเด็ก ช่วงที่เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยมีเพียงเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวที่สวมใส่อยู่ กับเงินในกระเป๋าอีกไม่กี่บาท ด้วยสาเหตุเพียงเพราะเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

“แค่สเก็ตบอร์ดอันเดียว ทำไมพ่อซื้อให้ผมไม่ได้ แต่ทีเมียใหม่ของพ่ออยากได้อะไร ก็ควักเงินให้เค้าทันที” ตอนนั้นภูริทัตไม่พอใจจริงๆ เพราะพอแม่บังเกิดเกล้าของเขาเสียชีวิตไปได้เพียงปีกว่าๆ พ่อก็แต่งงานใหม่
“แกอย่าคิดอะไรเหลวไหล ชั้นไม่ซื้อให้แก เพราะมันอันตราย แล้วสเก็ตบอร์ดมันต้องเล่นในที่กว้างๆ บ้านเรามีที่อยู่แค่นี้ แกจะเล่นได้ยังไง”
“ผมจะเอาไปเล่นกับเพื่อน” ภูริทัตไม่ยอมแพ้
“แกหมายถึง พวกที่เล่นสเก็ตบอร์ดกันอยู่บนถนนในซอยนี้น่ะเหรอ แกรู้มั๊ยว่ามันอันตรายแค่ไหน”
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ถ้ามันอันตรายจริงๆ ป่านนี้ต้องมีคนเจ็บกันบ้างแล้ว ... ตกลงพ่อจะซื้อให้ผมรึเปล่า”
“ไม่ ... ชั้นบอกแกแล้วว่ามันอันตราย ชั้นไม่ซื้อให้”
เด็กชายจ้องมองพ่อด้วยความโมโห เดินเข้าห้องนอน ซึ่งอยู่ด้านหนึ่งของบ้านชั้นเดียว สักพักก็ออกมาด้วยชุดที่เหมือนจะออกไปข้างนอก แล้วเด็กชายออกจากบ้านไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของพ่อ และสายตาที่มองตามหลังด้วยความห่วงใย ของหญิงวัยกลางคนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆพ่อของเขา
... แค่ไม่กี่ร้อย หาเงินเองก็ได้วะ ...
นั่นคือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเด็กชาย และทำให้คืนนั้นไปนั่งอยู่กับกลุ่มเด็กชายวัยใกล้เคียงกันหลายคน หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นเหมือนตลาดนัดสำหรับคนชอบสินค้าประเภทนี้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ตอนนั้นความรู้สึกตื่นเต้น ความกลัว ความต้องการประชดประชัน ประสมปนเปกัน ความจริงเขาก็ไม่ค่อยอยากได้ของเล่นชิ้นนั้นสักเท่าไร แต่เขาต้องการเอาชนะ ... เอาชนะผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนนั้น คนที่ก้าวเข้ามาในครอบครัวของเขา คนที่พ่อของเขาบอกว่าจะมาเป็นแม่ของเขาอีกคนหนึ่ง ทั้งการกระทำ การพูดจา ผู้หญิงคนนั้นทำราวกับเป็นแม่ของเขาจริงๆ แต่เขาคิดว่า มันเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง ผู้หญิงคนนี้คงจะมาแกล้งทำดีกับเขา แล้วสุดท้ายก็จะมาพรากความรักของพ่อจากเขาไป เขาเสียแม่ไปคนหนึ่งแล้ว เขาจะไม่ยอมเสียพ่อไปอีกเป็นอันขาด

“เฮ๊ย เหม่ออะไรอยู่ เค้าให้แยกไปพักผ่อนตามสบายแล้ว” เสียงเรียกของปรีชาทำให้ภูริทัตกลับมาสู่โลกปัจจุบัน
ภูริทัตลุกออกจากที่นั่ง เดินตรงไปยังทางออก ผ่านห้องลอบบี้แล้วเดินออกจากตัวอาคารโรงแรม เดินผ่านถนนซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก ตรงไปยังอาคารที่พักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก เดินไปได้สักพักก็ต้องหยุดยืนนิ่ง แล้วหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็อดขมวดคิ้วถอนหายใจไม่ได้
“ตามมาทำไม” ภูริทัตถามอย่างไม่พอใจ
“ก็อยากรู้ว่าพี่ทัตพักที่ไหน” กรกฎตอบแล้วก็ก้มหน้ามองพื้น
“เลยตามกันมาเป็นพรวนเลยนะ” ภูริทัตเหลือบสายตามองไปยังรังสรรค์กับปรีชา ซึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา
“ปู กลับห้องพักกันเหอะ” รังสรรค์ชักชวน เมื่อเดินมาถึงตัวกรกฏ
“ไม่ก็ไปนั่งฟังเพลงกันที่ลอบบี้ก็ได้ ถ้ายังไม่อยากกลับห้อง” ปรีชาพูดเสริม
“ปูอยากไปดูห้องที่พี่ทัตพักมากกว่า เห็นพวกพนักงานโรงแรมบอกว่า ห้องพักในอาคารโน้นสวยกว่าห้องพักในอาคารที่พวกเราพัก”
“ปูจะไปกวนพวกเค้าทำไม ทำอย่างนี้ไม่น่ารักเลยนะ” รังสรรค์เริ่มไม่พอใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ผมมันไม่น่ารัก ผมมันตัวเล็ก หน้าจืด ไหนจะไปเหมือนฝรั่งผมทองนั่นล่ะ” กรกฏแค่นเสียง
“ที่ว่าน่ะ มันเรื่องที่ปูทำอยู่ตอนนี้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาหรอกนะ” รังสรรค์พยายามพูดอย่างใจเย็น
“ทำไมล่ะ ปูแค่อยากไปดูห้องที่เค้าพักอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง” กรกฏพูดเสียงอ่อย
“มีอะไรกันเหรอครับ” เสียงนุ่มๆที่แทรกขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปมองทางด้านหลังของภูริทัต
สเตฟานนั่นเองที่ยืนยิ้มอยู่ ทุกคนต่างก็แปลกใจในการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของชายหนุ่ม
“คุณมาได้ยังไงเนี่ย” ปรีชาเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม
“ก็เดินมาน่ะสิครับ” สเตฟานตอบกลั้วหัวเราะ
“เดินมาจากไหน ถ้ามาจากอาคารนั้น” ปรีชาชี้ไปทางอาคารที่เป็นห้องพักของสเตฟาน “ทำไมพวกเราถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“อ๋อ” สเตฟานก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ “ผมเดินเล่นอยู่ตรงนี้พอดีน่ะครับ ในดงไม้นี่ไงครับ” สเตฟานเหลือบตาไปที่หมู่ไม้ริมถนน “แล้วพวกคุณเหมือนจะคุยอะไรกันง่วนอยู่ ตอนผมเดินเข้ามาถึงได้ไม่รู้สึกไงครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ภูริทัตเดินเข้าไปโอบไหล่สเตฟาน “เดี๋ยวพวกเค้าก็ไปกันแล้ว พวกเราไปกันเหอะ” พูดแล้วภูริทัตก็ดันตัวสเตฟานให้เดินออกไปจากกลุ่ม แต่สเตฟานไม่ยอมเดินตาม ภูริทัตจึงหันมามองด้วยความสงสัย
“ผมได้ยินแว่วๆ ว่าเพื่อนๆคุณอยากไปเที่ยวที่ห้องพักของพวกเราไม่ใช่หรือครับ” สเตฟานถามกับภูริทัต “ทำไมไม่ชวนเพื่อนๆไปนั่งคุยกันที่ห้องล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” รังสรรค์รีบบอก “พวกคุณกลับไปพักเถอะ พวกเราก็จะกลับห้องเหมือนกัน ไปชา ปู พวกเรากลับห้องกันเหอะ” พูดจบรังสรรค์ก็รีบดึงข้อมือกรกฏให้เดินตามไป ปรีชาหันมายิ้มแล้วโบกมือให้ทั้งสองคน ก่อนจะหันหลังเดินตามรังสรรค์และกรกฏไปอีกคนหนึ่ง

“มานั่งทำอะไรครับเนี่ย” เสียงทักทายดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม
รังสรรค์เงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นว่าเป็นทรงเดชนั่นเอง
“เบื่อๆน่ะครับ เลยมานั่งกินกาแฟ แล้วคุณล่ะมาทำอะไรที่ลอบบี้ ไม่อยู่ที่ห้องพัก”
“เบื่อๆเหมือนกันมั๊งครับ” ทรงเดชตอบ พลางกวักมือเรียกพนักงานมาสั่งกาแฟสำหรับตัวเองบ้าง
“เบื่ออะไรล่ะครับ”
“พวกคุณมากับเพื่อนๆ ผมมากับเจ้านาย แต่ตอนนี้เจ้านายผมอยู่กับ” ทรงเดชหยุดพูดแล้วอมยิ้ม “นั่นแหละครับ ผมก็เลยเบื่อๆ”
“ทำไมล่ะ อิจฉาพวกเค้าเหรอ”
“อิจฉาทำไมล่ะครับ” ทรงเดชยิ่งหัวเราะมากขึ้น “ผมน่ะดีใจซะอีกที่คุณท่านมีความสุข ที่เบื่อๆน่ะเพราะมันว่างๆไม่มีอะไรทำมากว่า”
พนักงานนำกาแฟมาเสริฟ ทรงเดชจึงหยิบซองน้ำตาล ฉีกซองออกเทน้ำตาลลงไปในแก้วกาแฟ ตามด้วยครีมเทียม และนมสดเล็กน้อย คนให้เข้ากัน แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบเบาๆ
“งั้นไปห้องคุณกันมั๊ยครับ เรามาหาอะไรทำแก้เบื่อกัน” รังสรรค์พูดแล้วก็ยักคิ้วหลิ่วตา
“แค๊กๆๆ” ทรงเดชสำลักกาแฟทันทีทีรังสรรค์พูดจบ
“หรือว่าคุณจะไม่ได้ชอบเหมือนที่ผมชอบ” รังสรรค์แกล้งถามยิ้มๆ ทั้งๆที่เขาก็พอจะรู้คำตอบ
“คุณอย่าล้อผมเล่นแบบนี้นะครับ หัวใจผมจะวายตาย” ทรงเดชวางแก้วกาแฟลง แล้วหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดกาแฟที่หกเลอะตามมุมปาก “ผมน่ะผู้ชายปรกติคร๊าบ ชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน แล้วคุณจะไปห้องผมทำไม ห้องคุณมีคุณก็กลับไปสิ”
“พอดีเพื่อนผมมันขอไว้น่ะ มันจะเผด็จศึก” รังสรรค์ทำหน้ากวนๆใส่คนตรงข้าม “เอาน่า คืนนี้ขอผมนอนที่ห้องด้วยคนแล้วกัน เพราะผมยังไม่รู้จะไปนอนที่ไหนเลย”
“คุณจะอันตรายเกินไปหรือเปล่า” ทรงเดชพูดพลางมองอย่างไม่ไว้วางใจ
“ฮ่าๆๆ คุณนี่ ผมน่ะไม่ปล้ำคุณหรอกถ้าคุณไม่ยอมน่ะ”
“โห ยิ่งพูดอย่างนี้อย่าไปห้องผมเลยครับ” ทางเดชทำท่าขนพองสยองเกล้า ทำเอารังสรรค์อมยิ้มด้วยความขบขัน “เดี่ยวผมเปิดอีกห้องให้คุณแล้วกัน”
“เปลือง” รังสรรค์แย้ง “เอาน่า ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ขอผมไปอาศัยนอนด้วยคนนะ”
“ไม่จริงๆนะ” ทรงเดชมองหน้ารังสรรค์อย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“สัญญาด้วยเกียรติ” รังสรรค์ชูมือขึ้น กางนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกเป็นตัววี
“เกียรติของอะไร” สีหน้าของทรงเดชแสดงว่าเริ่มไว้ใจขึ้นบ้าง
“เกรียติของอะไรดี” รังสรรค์เปลี่ยนเอามือมาลูบคางเบาๆ “เกียรติของเพื่อนคนรักของเจ้านายคุณแล้วกัน”
“ฮ่าๆๆ ... ผมจะลองเชื่อดูแล้วกัน” ทรงเดชพูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 12-05-2009 20:54:20
มาแล้วมาแล้วๆๆๆๆๆๆๆดีใจจัง

คุณบุหรงหายดีแล้วหรือคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-05-2009 21:02:19
มาแล้วมาแล้วๆๆๆๆๆๆๆดีใจจัง

คุณบุหรงหายดีแล้วหรือคะ
หายป่วยมาสัปดาห์นึงแล้วครับ จนตอนนี้อาจจะเริ่มป่วยอีกรอบ เพราะโดนฝนมา ๒ วันแล้ว  :sad4:
พอดีงานเยอะด้วยน่ะครับ ตอนนี้งานก็เรียบร้อยหมดแล้ว คงอีกหลายเดือนกว่างานลอตใหม่จะเข้า เดี๋ยวจะรีบปั่นต้นฉบับต่อ

ขอบคุณทุกๆคนที่เป็นกำลังใจให้นะครับ  o1
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 12-05-2009 21:24:29
รักษาสุขภาพดี ๆ นะครับ ฝนตกบ่อย ใกล้จะเข้าหน้าฝนจริง ๆ แล้วด้วย ^^

ทรงเดช กับ รังสรรค์ 555+ (จินตนาการล้ำเลิศ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 12-05-2009 21:48:04
ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายตอนเลย อ่านรวดเดียว

ได้ข่าวว่า ตั้มไม่สบายหรือครับ ยังไงรักษาสุขภาพด้วยนะ

ระยะนี้ฝนตกทุกวัน ถ้าวันไหนโดนฝน กลับบ้านรีบสระผมแล้วกินยาพารา

กันไว้ก่อนนะครับ เป็นห่วง ( กลัวไม่ได้อ่านอะ ) เป็นกำลังใจให้นะครับ

+1 อีกด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 12-05-2009 22:16:08
ไม่สบายเช่นกันค่ะ...นอนซมมา 1 วัน 2 คืนแล้ว....

รักษาสุขภาพกันด้วนนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 12-05-2009 22:52:59

ขอบคุณ คุณบุหรง

รักษาสุขภาพด้วยนะ

คุณบุหรงเขียนบทยัยปูได้น่า  :z6: มั้กๆๆๆๆ

เรื่องนี้คงไม่จบแบบ  พลัดพราก จากตายนะ  พอดีอ่าน ผู้มาเยือนยามวิกาล เพิ่งจบ  ยังสงสารพี่ต้นไม่หายเล้ยยย

น่ากลัวตอนจบเรื่องนี้จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง  เห็นแววมาแต่ไกลลลลลลลลลลลลลลลล

 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 12-05-2009 22:55:27
เฮ้อ เจ้าปูนี่มันไม่ยอมแพ้จริง ๆ สิน่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 13-05-2009 04:25:01
รำคาญปูมากๆ ไม่เลิกราซะที
อืมมมม ทรงเดช กะ รังสรรค์ เหอๆๆๆ

ขอบคุณมากนะจ๊ะที่มาต่อ
ขอให้สุขภาพแข็งแรงๆนะจ๊ะ เป็นกำลังใจให้เรื่องงานด้วยจ้า
บวก 1 แต้ม ขอบคุณอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 13-05-2009 07:44:02
ช่วงนี้ฝนเริ่มมาอีกแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 13-05-2009 09:53:35
กลับมาแร้วววว

รักษาสุขภาพด้วยครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 13-05-2009 22:00:02
 :เฮ้อ: เซ็ง ปูจริง ๆ  คนเขาไม่รักยังจะไปยุ่งอะไรกับเขามากมาย


ปล. ดูแลสุขภาพด้วยนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-05-2009 09:02:14
เขามารอน้องตั้ม  :z2: ดูแลสุขภาพดีๆนะจ๊ะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: TinaJunior ที่ 15-05-2009 09:48:06
เข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณบุหรง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 15-05-2009 13:19:58
ปู ทำตัวไม่น่ารักเลยนะ

หายป่วยไวๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร ตอนที่ ๓๔ - ๑๒ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 19-05-2009 16:29:50
มาไวๆๆนะคะ

ปล. มาช้าเพิ่มฉาก...เลย  o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 20-05-2009 19:03:26
บทที่ ๓๕

“พรุ่งนี้ พวกเราจะเดินทางไปกรุงเทพฯ”โจชัวร์บอกกับคนทั้งสอง ทั้งๆที่ดวงตายังฉายแววของความโกรธ
“สเตฟานอยู่ที่นั่นเหรอ” ไป่เทียนถามเบาๆ
“ใช่” โจชัวร์แค่นเสียงออกทางไรฟัน พลางยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกเข้าปากไปจนหมด แล้ววางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะ จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งบาร์เหล้าภายในโรงแรมหรูแห่งนี้ จากนั้นก็ลุกจากที่นั่ง เดินออกจากบาร์ไป
“นาซิสซัส แท้ๆเลย” ไลล่าพูดแล้วก็หมุนแก้วเหล้าในมือเล่น
“อะไร นาซิสซัส” ไป่เทียนยื่นหน้าเข้าไปถามด้วยความสงสัย
“ก็นาซิสซัสไง ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ในน้ำตื้นๆ แล้วดอกมันจะคว่ำหน้าลงไปในน้ำ เหมือนคนที่มองดูแต่เงาของตัวเอง เป็นคำเปรียบเทียบถึงคนที่หลงแต่รูปของตัวเอง ชั้นว่า เจ้านายน่ะเหมือนนาซิสซัสไง” ไลล่าอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ที่แท้ก็ชอบเจ้าสเตฟานนั่นเพราะหน้าตาเหมือนกันซะจนแทบแยกไม่ออก”
“อ๋อ” ไป่เทียนพยักหน้าหงึกๆ แสดงว่าเข้าใจในสิ่งที่ไลล่าต้องการบอก “แต่มันคงไม่ใช่แค่นั้นหรอก”
“ทำไม” ไลล่าหันมาแหวใส่ “มันจะมีอะไรมากกว่านั้นอีกล่ะ”
“หล่อนไม่ได้เจอกับสเตฟานนั่นจังๆหน้าแบบข้า” ไป่เทียนเคาะแก้วในมือช้าๆ “ถึงข้าจะติดตามเจ้านายที่หลังหล่อน แต่นับเวลาแล้วก็นานพอดู เจอแวมไพร์มาก็หลายตน แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน” ไป่เทียนหลับตาลง แล้วถอนหายใจช้าๆ ใบหน้ายิ้มน้อยๆเหมือนมีความสุขเสียเหลือเกิน
“ทำไม” ไลล่าถามพลางมองดูท่าทางของไป่เทียนด้วยความประหลาดใจ
“จะว่ายังไงดี” ไป่เทียนลืมตาขึ้น ดวงตาส่งประกายแวววับ “แวมไพร์ที่พวกเราเคยเจอมา ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกระหาย ความอยาก ความดุร้าย ความหยิ่งทะนง แต่สเตฟานไม่ใช่ รอยยิ้มตอนที่ได้เห็นครั้งแรก มันทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน ความมั่นคง ความอบอุ่น”
“เช๊อะ ... ความรู้สึกแบบมนุษย์แบบนั้นน่ะ พวกเราไม่ควรไปนึกถึงมันด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าเองยังนึกไม่ออกเลยว่ามันเป็นยังไง”
“นั่นสิ แต่มันก็น่าแปลก พวกเราเหล่าแวมไพร์ยากจะมีอารมณ์ความรู้สึกแบบนั้น ข้าเองก็ลืมความรู้สึกแบบนั้นไปนานแล้วเหมือนกัน แต่ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้รู้สึกขึ้นได้ แถมยังจำความรู้สึกนั้นได้จนถึงบัดนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกอยากช่วยให้เจ้านายได้ตัวสเตฟานกลับคืนมา”
“ถึงตอนนั้นพวกเราก็ตกกระป๋อง เจ้ายอมได้เหรอ”
“เจ้าพูดเหมือนไม่รู้จักนายท่าน” ไป่เทียนเสียงแข็งขึ้นมาทันที “เจ้านายอาจสนใจพวกเราน้อยลง แต่เจ้านายไม่ทอดทิ้งพวกเราเด็ดขาด ข้ามั่นใจ”
.................................................................................
........................................
“วันนี้ข้าไปด้วยไม่ได้นะ พวกเอ็งไปเที่ยวกันให้สนุกก็แล้วกัน” ภูริทัตพูดกับรังสรรค์เมื่อเดินออกมาจากลิฟท์
“อ้าว ทำไมล่ะวะ” รังสรรค์หยุดเดิน หันมาถาม
“พ่อกับน้ามาหว่ะ สุดสัปดาห์นี้เลยต้องเป็นเด็กดี” ภูริทัตตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะะวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ คงไม่มีโอกาศไปหาคนที่ตนคิดถึง “พวกเอ็งก็เที่ยวเผื่อด้วยแล้วกัน แล้วนี่นัดกันไปไหนล่ะ”
“ไม่ได้นัด” รังสรรค์ทำสีหน้าเบื่อหน่าย “ไอ้ชามันไปกับปูแล้ว”
“อ้าวเหรอ ตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยวนี่ ไอ้ชามันติดไอ้ปูหนึบเชียว หรือมันเรียบร้อยกันไปแล้ววะ”
“เออ ... คืนก่อนกลับนั่นแหละ ข้าไปนอนที่อื่น ไอ้ชามันเลยรวบซะเลย” พูดแล้วรังสรรค์ก็หัวเราะเบาๆ
“งั้นคืนนี้เอ็งก็ฉายเดี่ยวสิ”
“คงงั้น”
“งั้นก็ขอให้โชคดีนะเว๊ย” ภูริทัตตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ไปกันดีกว่า พ่อข้าสั่งให้กลับเร็วๆซะด้วย”
พูดจบ ทั้งสองคนก็ชวนกันเดินออกไปจากอาคารสำนักงาน แล้วก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน
.................................................................................
.......................................
รังสรรค์พาตัวเดินเรื่อยๆจนมาถึงจุดหมาย ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าประตูของโรงแรมเข้าไปยังห้องลอบบี้ เวทียกพื้นยังคงตั้งแกรนด์เปียโนหลังใหญ่อยู่เช่นเดิม นักเปียโนสาวในชุดกระโปรงยาวสีครีม กำลังบรรเลงเพลงเบาๆขับกล่อมคนที่นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องลอบบี้ รังสรรค์กวาดสายตาไปก็พบกับโต๊ะว่าง จึงเดินไปนั่งลงบนโซฟา และกวักมือเรียกพนักงานเข้ามาสั่งกาแฟร้อน และเมื่อเครื่องดื่มถูกยกมาเสริฟ รังสรรค์ก็นั่งจิบกาแฟไปเรื่อยๆ พร้อมกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งความคิดหยุดลงที่คนคนหนึ่ง
“สวัสดีครับ คุณรังสรรค์” เสียงทักทายดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มเจ้าของเสียงนั่งลงบนโซฟาตรงข้าม “นั่งใจลอยคิดอะไรอยู่ครับ”
“ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อมั๊ย” รังสรรค์พูดพลางยิ้มให้คนตรงข้าม “ผมกำลังคิดถึงคุณอยู่พอดีเลย คุณทรงเดช”
“อึ๊ย ...” ทรงเดชเบ้หน้า “งั้นผมไปดีกว่า” พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวสิครับ จะรีบไปไหนกัน นั่งคุยกันก่อนสิครับ ผมกำลังเหงาพอดี”
“อย่างคุณน่ะมีเหงาด้วยเหรอครับ” ทรงเดชพูดกลั้วหัวเราะ “วันนี้วันศุกร์ นี่ก็เพิ่งจะหัวค่ำ ดึกอีกหน่อยก็ครึกครื้นแล้ว ขี้คร้านคุณจะหายเหงา”
“นั่นสินะครับ เดี๋ยวดึกอีกนิด ผมไปเที่ยวผัปทที่ไปประจำก็คงหายเหงาลงหน่อย แต่ตอนนี้ผมยังเหงาอยู่นี่ครับ อยู่คุยเป็นเพื่อนผมก่อนแล้วกัน”
“อ้าว แล้วเพื่อนๆไปไหนหมดล่ะครับ คุณทัต คุณชา คุณปู”
“ทัตกลับบ้านไปแล้วครับ พ่อกับแม่เลี้ยงมาหา ก็เลยต้องกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดีซะหน่อย ส่วนไอ้ชา มันไปกับปู ตอนนี้เลยเหลือผมคนเดียว” รังสรรค์พูดสายตาละห้อย
“ผมถามคุณจริงๆเหอะ” ทรงเดชชะโงกหน้าเข้าไปพูดเบาๆ “คุณจะคุยกับผม หรือจะให้ผมตามใครให้มาคุยกับคุณกันแน่”
“เกลียดคนรู้ทันจริงๆเลย” รังสรรค์ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “แล้วอยู่มั๊ยครับ”
“อยู่น่ะอยู่”  ทรงเดชยักคิ้วหลิ่วตา “แต่ผมว่ามันคงไม่ค่อยจะดีมั๊ง”
“อะไรไม่ค่อยดีหรือครับ” เสียงนุ่มๆดังขึ้น พร้อมกับคนอีกคนหนึ่งนั่งลงบนโซฟาที่ว่างอยู่
“ทรงเดชเค้าบอกว่า คงไม่ดีถ้าผมจะชวนคุณออกไปข้างนอกกันน่ะสิครับ” รังสรรค์พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย “คืนนี้เจ้าทัตต้องอยู่บ้าน ให้ผมพาคุณสเตฟานไปเที่ยวนะครับ”
“ไปไหนหรือครับ”
“ก็ไปเดินเล่น ฟังเพลง เราไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้วนะครับ”
“งั้นพวกเราก็ไปด้วยกันดีมั๊ย” สเตฟานพูดแล้วหันไปทางทรงเดช
“ผมขอตัวดีกว่าครับ พรุ่งนี้คุณปู่ให้ผมไปหาแต่เช้า เดี๋ยวผมคงต้องกลับไปพักผ่อน” ทรงเดชตอบยิ้มๆ

ทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ ทรงเดชจึงแยกตัวออกไป แล้วรังสรรค์ก็ชวนสเตฟานเดินออกจากโรงแรมตรงไปยังจุดหมาย ซึ่งก็คือผัปที่รังสรรค์ไปกับเพื่อนๆเป็นประจำนั่นเอง

“เป็นยังไงบ้างครับ ที่นี่” รังสรรค์ถามสเตฟานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะตัวเล็กๆสำหรับวางเครื่องดื่มเท่านั้น ทำให้มีโต๊ะเก้าอี้จำนวนพอเพียง ที่จะรองรับผู้มาเที่ยวได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มีมากราวๆสิบกว่าตัวทีเดียว
 “ก็คงจะดีมั๊งครับ ปรกติผมเองก็ไม่ได้เข้ามาในสถานที่แบบนี้” สเตฟานตอบพลางมองไปรอบๆ
โต๊ะที่คนทั้งสองนั่งอยู่ตั้งอยู่ใกล้ๆที่ว่าง ซึ่งทางร้านจัดไว้สำหรับให้คนที่มาเที่ยวได้เต้นรำ หรือทำกิจกรรมซึ่งทางร้านจะจัดขึ้นในบางช่วงเวลา วงดนตรีซึ่งกำลังบรรเลงเพลงในจังหวะค่อนข้างเร้าใจ ทำให้ในลานที่ว่างนั้นมีคนเต้นรำกันอยู่หลายคนทีเดียว ขณะที่สเตฟานมองไปรอบๆ ก็มีคนส่งยิ้มให้และทำท่าเหมือนจะทักทาย แต่สเตฟานก็เฉยเสีย
“คุณรู้ตัวมั๊ย ว่ามีคนสนใจคุณเยอะ” รังสรรค์ถามยิ้มๆ
“คุณเองก็มีไม่น้อยเหมือนกันนะครับ” สเตฟานตอบด้วยเสียงไม่เบานัก เพราะท่ามกลางเสียงเพลงของวงดนตรี การสนทนาจึงต้องใช้เสียงดังในระดับหนึ่งจึงจะคุยกันรู้เรื่อง

เวลายิ่งผ่านไป คนในผัปก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น โต๊ะทุกตัวเต็มไปด้วยคนที่มาเที่ยว คนที่เต้นรำกันอยู่บนลานว่างก็วาดลวดลายกันอย่างสนุกสนาน ตามจังหวะดนตรีและเสียงเพลง ที่ราวจะปลุกเร้าอารมณ์ดิบของผู้ฟัง ให้ทวีมากขึ้น คนทั้งสองก็ยังเป็นที่สนใจของผู้คนในผัป มีคนเดินเข้ามาทักทายและชวนคุยอยู่เรื่อยๆ สเตฟานก็จะพูดในเชิงปฏิเสธความสัมพันธ์ไปอย่างสุภาพ หลายคนก็ปลีกตัวออกไปโดยดี แต่บางคนก็ยังรุกเร้าจนรังสรรค์ต้องออกตัวว่าเป็นคนรักของสเตฟาน นั่นแหละคนเหล่านั้นจึงจะยอมหยุด
“มิน่าเจ้าทัตมันถึงไม่ยอมให้คุณมาเที่ยวด้วย” รังสรรค์พูดราวกับบ่น แต่ก็ยังยิ้มแย้ม
“ทำไมล่ะครับ” สเตฟานถามด้วยสีหน้าแสดงความสงสัย
“ก็ดูสิ ขนาดผมทำหน้าที่แทนยังเหนื่อยขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นเจ้าทัตนะ ผมว่าคงจะมีเรื่องกันเลยด้วยซ้ำ” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ
ทั้งสองคนยังคนสนทนากันต่อไป โดยไม่รู้ว่ามีคนคนหนึ่งกำลังจ้องมองรังสรรค์ จากทางด้านหลังของสเตฟานอยู่ด้วยความสนใจ

หญิงสาวผิวสีชอคโกแลตรูปร่างอวบอิ่ม ที่เพิ่งจะเข้ามาในผัปได้ครู่หนึ่ง หล่อนเดินสำรวจดูผู้คนไปทั่ว บางครั้งก็โปรยยิ้มให้คนที่หล่อนเดินผ่าน บางครั้งก็หยุดทักทายคนที่หล่อนสนใจ แต่ยังหรอก ... หล่อนยังไม่ตกลงใจที่จะเลือกใครเป็น ‘เหยื่อ’ สำหรับคืนนี้ เพราะหล่อนยังมีภาระกิจที่จะต้องทำอยู่ และหล่อนเองยังรู้สึกว่า คนเหล่านี้ยังไม่น่าสนใจเพียงพอ หล่อนจึงยังใช้เวลานี้สำหรับ ‘ทำงาน’ และเลือกดูคนที่หล่อนพอใจไปด้วยในคราวเดียวกัน ไม่แน่หรอก หากหล่อนพอใจใครมากๆ หล่อนอาจจะขอเสพสุขกับเหยื่อของหล่อนจนพอใจก่อนที่จะทำงานต่อก็ได้ ซึ่งหล่อนเองก็ทำมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้รับลงโทษหรือแม้กระทั่งการกล่าวตำหนิจาก ‘นายท่าน’ แม้แต่ครั้งเดียว ... แล้วหล่อนก็พบกับคนที่หล่อนต้องการ

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ดูแล้วน่าจะสูงมากกว่า ๑๘๐ เซนติเมตร หล่อนนึกไปถึงเรือนร่างภายใต้เสื้อเชิต คงจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามขนาดกำลังดี แผงอกหนั่นแน่นชวนให้ลูบไล้ มองสำรวจท่อนข้อมือซึ่งโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อที่พับไว้ รวมทั้งมือใหญ่โตดูแข็งแรง หล่อนก็คิดไปถึงความสุขที่จะได้รับจากการลูบไล้ของฝ่ามือคู่นี้ เมื่อมองต่ำลงไปถึงโคนขาที่อวบแน่น ทำให้คิดไปถึงสิ่งที่อยู่ระหว่างกลางขาคู่นั้น มันคงจะทำให้หล่อนสำลักความสุขทีเดียว แล้วหล่อนก็รู้สึกขัดใจขึ้นมาเมื่อพบว่า ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้มาเพียงคนเดียว โต๊ะตัวที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ ยังมีชายหนุ่มนั่งอยู่อีกคนหนึ่ง และกำลังสนทนากับชายหนุ่มที่หล่อนหมายตาไว้ ซึ่งหล่อนเห็นแต่เพียงแผ่นหลังของชายหนุ่มคนนั้น
“เช๊อะ ถึงจะมาด้วยกันฉันก็ไม่สนหรอกนะ” ไลล่า แค่นเสียงเบาๆ “เอ๊ะ ...” หล่อนอุทานเมื่อสังเกตได้ถึงความผิดปรกติของผู้ที่หันหลังอยู่

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ในชุดลำลองกางเกงสีครีม เสื้อเชิตสีเหลืออ่อนปล่อยชายไว้ตามสบาย มือที่ถือแก้วเครื่องดื่มอยู่นั้นสวมถุงมือสีครีมไว้ แต่ช่วงแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาทำให้รู้ว่า ชายหนุ่มมีผิวขาว เนียนใสราวกับหินอ่อน ต้นคอที่เนียนขาวดูเหมือนจะเป็นประกายอยู่ในความมืด เช่นเดียวกับเรือนผมสีทองของชายหนุ่มผู้นั้น  แต่สิ่งที่หล่อนเพิ่งสังเกตุเห็นก็คือ ออร่าที่บางเบารอบๆตัวชายหนุ่มผู้นั้น มันบางเบาจนหล่อนต้องตั้งสมาธิให้แน่วนิ่ง เพื่อจะมองเห็นและรู้สึกได้ถึงออร่านั้นให้ชัดเจนมากขึ้น

ไลล่าสามารถแยกแยะเผ่าพันธ์เดียวกัน ออกจากเหล่ามนุษย์ได้อย่างง่ายดาย เพราะในดวงตาของแวมไพร์จะมองเห็นออร่าของแวมไพร์ด้วยกัน เพียงแต่ออร่าที่ไลล่าเคยเห็น มันมองเห็นและรู้สึกได้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยความกระหายอยากในตัณหารูปแบบต่างๆ บ้างก็แฝงความดุร้ายตามแบบฉบับของแวมไพร์โดยทั่วไป มีน้อยมากที่จะมีออร่าที่ดูสงบเยือกเย็น แต่ไม่เคยเลยที่หล่อนจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนอบอุ่น ... สิ่งที่หล่อนเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว ... เหมือนออร่าของแวมไพร์ตนนี้

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 20-05-2009 20:58:04

ชอบจังเลยเรื่องนี้
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 20-05-2009 21:23:51
เจอแล้ววววว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 20-05-2009 21:46:27
อะไรจะเกิดขึ้นกับไลล่า เมื่อเจอสเตฟาน

หรือรังสรรค์ จะโดนดูดเลือดจนกลายเป็นแวมไพร์

เป็นกำลังใจให้นะครับ ตั้ม รักษาสุขภาพด้วยนะครับ +1 เช่นเคย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 20-05-2009 22:17:52
เอากับเค้าสิ

งานเข้าแน่ สเตฟาน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 20-05-2009 22:21:15
เจอแล้ว จะเป็นไงต่อไปล่ะนี่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Seiki ที่ 20-05-2009 22:59:17
ตามทันแล้ว รออ่านต่อฮะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-05-2009 09:36:29
ค้างได้ที่เลย  :z3:

ไลล่า จะเปลี่ยนเป้าหมายป่ะ ได้เจอสเตฟานตัวเป็นๆ ซะที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 21-05-2009 13:42:00
ค้างงงงงงอ่ะ

เป็นกำลังใจให้คนป่วยหายป่วยเร็วๆนะคะ

ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนมากๆ ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-05-2009 14:23:04
ไลล่าเจอแล้ว เด๋วโจชัวร์ก็ต้องเจอตามกันติด ๆ แน่เลย   o22

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 21-05-2009 15:27:47
 :a5: 

รู้สึกไปเองเปล่าไม่รู้

อ่านแล้วทันขัดๆๆ

เอ็ง   ข้า 

แปลก


หรือคิดไปเอง  :t3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 21-05-2009 20:47:31
นะ อโคจร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 21-05-2009 20:55:20
รู้สึกไปเองเปล่าไม่รู้

อ่านแล้วทันขัดๆๆ

เอ็ง   ข้า 

แปลก


หรือคิดไปเอง
แปลกตรงไหนอะ

แปลกยังไง

แปลกกับใคร

แปลกเมื่อไหร่






เอ๊ย ... สองอันหลังมะช่ายแล้ว  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๐ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 21-05-2009 20:59:16
^
^
จิ้มคนแต่งค้่าบ

จบตอนนี้แบบยิ่งลุ้น รังสรรค์จะเดือดร้อนมั้ยเนี่ย
จะกลายเป็นเหยื่อของไลล่าหรือป่าว
แต่ไลล่าคงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในตัวสเตฟานไปแล้ว
ลุ้นจริงๆอีกแล้วหละ
บวก 1 แต้มเช่นเคยด้วยค้าบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๖ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 25-05-2009 21:51:43
บทที่ ๓๖

... มีแวมไพร์อยู่ในบริเวณนี้ ... เป็นสิ่งที่สเตฟานรับรู้ และรู้สึกได้ว่าแวมไพร์ตนนั้นกำลังใกล้เข้ามา

“สเตฟาน”
เสียงแผ่วเบามาจากทางด้านหลัง สเตฟานหันไปตามเสียงนั้น ก็พบกับหญิงสาวผิวสีชอคโกแลต รูปร่างอวบอัด ซึ่งกำลังมองมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นยิดดีอย่างเหลือประมาณ รังสรรค์เองเมื่อเห็นสเตฟานหันหน้าไป ก็เลื่อนสายตามองตาม และต้องแปลกใจเมื่อหญิงสาวคนหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ขยับ สายตามองมาทางพวกเขา แบบที่เรียกว่าจ้องตาไม่กระพริบทีเดียว แต่เพราะมุ่งความสนใจไปทางหญิงสาวคนนั้น และไม่เห็นใบหน้าของสเตฟาน เขาจึงไม่ได้เห็นสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้น แต่ถึงเขาจะเห็นมัน ก็อาจจะคิดว่ามันเกิดจากแสงไฟวูบวาบภายในผัป สะท้อนกับแก้วตาของสเตฟาน จนเกิดประกายสีเขียวมรกตเรืองรองขึ้นมาวูบหนึ่งเท่านั้นเอง

เพราะทันทีที่สเตฟานมองเห็นไลล่า ดวงตาสีเขียวมรกตทั้งคู่ ส่องประกายแวววับดุจดังดวงไฟ ปฏิกิริยาของไลล่าที่จะเดินเข้ามาหา กลับชะงักงัน ... หญิงสาวยืนนิ่งสนิทราวรูปปั้น

“คุณรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอครับ” รังสรรค์ถามขึ้น
“พวกเราไปกันดีกว่าครับ” สเตฟานหันมาตอบ พร้อมกับฉุดมือของรังสรรค์ให้ลุกขึ้นเดินตามออกจากผัป
“มีอะไรเหรอครับ ดูคุณรีบร้อนจัง” รังสรรค์ถามอีก เมื่อพ้นประตูผัปออกมา
“อย่าเพิ่งถามเลยครับ ตอนนี้พวกเรารีบไปให้พ้นจากที่นี่ก่อน”
สเตฟานพูดแล้วก็เดินอย่างรวดเร็ว โดยฉุดดึงรังสรรค์ไปด้วย เรี่ยวแรงนั้นทำให้รังสรรค์แปลกใจไม่น้อย แต่ก็ยังเดินตามไปแต่โดยดี
...
..
.
“สเตฟาน”  โจชัวร์แค่นเสียงออกมาทางไรฟัน แล้วรีบเดินออกจากผัปที่ตนอยู่ มุ่งตรงไปยังซอยเล็กๆอีกซอยหนึ่ง
... ไลล่า รั้งตัวสเตฟานไว้ให้ได้ ... โจชัวร์สั่งด้วยกระแสจิต แต่ก็ต้องประหลาดใจ ที่ไม่มีคำตอบ
...ไลล่า ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ เจ้าอยู่ที่ไหน ไลล่า... โจชัวร์เรียกอีกครั้ง ด้วยกระแสจิตที่รุนแรงกว่าเดิม
ความรุนแรงของกระแสจิต ทำให้ไลล่าที่ยืนนิ่งอยู่สะดุ้งเล็กน้อย และเกิดความมึนงงอยู่ชั่วครู่ เมื่อตั้งสติได้ก็รีบมองไปยังโต๊ะเล็กตัวนั้น แต่ปรากฏว่า คนทั้งสองหายไปเสียแล้ว
... นายท่าน ข้าเสียใจ สเตฟานหนีไปแล้ว ...
... เจ้าโง่ รีบตามหาเดี๋ยวนี้ ...
ไลล่ารับคำ แล้วรีบเดินสำรวจไปทั่วผัปแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

โจชัวร์เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เขาสามารถเคลื่อนที่ไปเร็วได้กว่านี้ แต่เพราะผู้คนค่อนข้างมากที่เดินอยู่บนถนน ทำให้เขาไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ต้องการสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนเหล่านั้น แล้วสายตาของเขาก็มองเห็นคนสองคน เดินอย่างรวดเร็วออกมาจากซอยเล็กๆทางเบื้องหน้า คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสองสีค่อนข้างคล้ำ หน้าตาคมเข้ม แม้แต่เขายังรู้สึกสะดุดตา แต่ก็ยังไม่สะดุดตาเท่าชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีขาวสะอาดดูเนียนใสราวผิวของหินอ่อน ผิวหน้ากลับเป็นสีขาวอมชมพู ริมฝีปากสีชมพูราวกลีบกุหลาบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวงาม เรือนผมสีทอง และดวงตาสีเขียวมรกต

ดวงตาสีเขียวมรกต ที่ส่องประกายแวววับ เปล่งประกายอ่อนโยนอยู่เสมอ ประกายตาอันอบอุ่นที่เขาถวิลหาอยู่ตลอดเวลา

“สเตฟาน” โจชัวร์เรียกด้วยความตื่นเต้น และเดินเข้าไปใกล้
คนทั้งสองหยุดเดินและหันหน้ามาทางโจชัวร์ ขณะนั้นเอง ไลล่าก็วิ่งออกมาจากซอยนั้นอีกคน และไป่เทียนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจากอีกด้านหนึ่ง คนทั้งสามล้อมสเตฟานและรังสรรค์ไว้กึ่งกลาง
“สเตฟาน” ใบหน้าของโจชัวร์แดงกล่ำด้วยความปิติ ก้าวเท้าช้าๆเข้าไปหาสเตฟาน
“หยุดอยู่ตรงนั้น โจชัวร์” สเตฟานบอกด้วยภาษาอังกฤษ
“สเตฟาน ในที่สุดข้าก็ตัวเจ้าพบจนได้ วันนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าหนีข้าไปได้อีก” โจชัวร์ชะงักการเดิน พูดกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน
รังสรรค์มองดูโจชัวร์ด้วยความแปลกใจระคนสงสัย เขาจำได้ว่าเคยเห็นคนคนนี้มาแล้ว ๒-๓ ครั้ง และยังเคยสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสเตฟานหรือไม่ และอย่างไร ... วันนี้เขาอาจจะได้คำตอบ

ชายหนุ่มชาวต่างชาติสองคน ที่ยืนประจัญหน้ากันอยู่ ต่างก็มีผิวสีขาวใส ละเอียดอ่อนราวหินอ่อน รูปร่างสูงโปร่ง หนาบางไล่เลี่ยกัน ใบหน้าสีขาวอมชมพู ริมฝีปากสีชมพูราวกลีบดอกไม้ คู่หนึ่งเชิดรั้งแสดงถึงความหยิ่งทะนง อีกคู่เผยอเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา ราวกับพร้อมจะสนทนากับผู้อื่นด้วยความเป็นมิตร จมูกของทั้งสองโด่งได้รูปงาม ดวงตาสีเขียวมรกตแฝงประกายอ่อนโยน ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าทอแววแข็งกร้าว เรือนผมสีเงินยวงอ่อนนุ่มราวราตรีอันลึกลับ ในขณะที่เรือนผมสีทองอ่อนสลวยดูราวอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ซึ่งกำลังทอประกายสว่างไสว

ทั้งสองที่ดูดังแสงและเงา ดูราวคู่แฝดที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง ทั้งรูปลักษณ์ ความรู้สึก กลายเป็นจุดสนใจของคนขายของ และคนที่เดินไปมาอยู่ในบริเวณนั้น

“ไปกับข้าเสียโดยดี ข้าไม่อยากลงมือในสถานที่แบบนี้” โจชัวร์พูดด้วยสีหน้าขึงขัง “รวมทั้งคนรักของเจ้า ที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้าด้วย”
“ชายผู้นี้ไม่เกี่ยว” สเตฟานตอบช้าๆ “ปล่อยให้ชายผู้นี้ไปเสียก่อน แล้วข้าจะสนทนากับท่าน”
“ไม่เกี่ยว ... เฮอะ” โจชัวร์เหยียดริมฝีปาก “ถ้าไม่เกี่ยว ทำไมเจ้าต้องพาหนีมาจากไลล่า และต้องปกป้องมันด้วย”
“คงไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายให้ท่านเข้าใจ ในเมื่อท่านไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่ามิตร” สเตฟานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และถอนหายใจเบาๆ
“คุณคงเข้าใจอะไรผิดไป” รังสรรค์อดไม่ได้ จึงพูดออกมาบ้าง “ผมเป็นเพื่อนกับสเตฟาน” เขาก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างกับสเตฟาน
“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นคนรักของสเตฟานหรือไม่ ตอนนี้เจ้าต้องตามข้าไปด้วย” โจชัวร์หันไปพูดกับรังสรรค์ พร้อมกันนั้น ไลล่าและไป่เทียนก็เริ่มขยับตัว
“พวกเจ้าอย่าได้ทำอย่างที่คิดเด็ดขาด” สเตฟานพูดพลางเหลือบสายตาไปยังไลล่า แล้วเปลี่ยนสายตากลับมาที่โจชัวร์ “พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันดีกว่า ท่านเองก็คงไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่นี่”
“ก็ดี พวกเจ้าตามข้ามา”
พูดจบโจชัวร์ก็กลับหลังหัน แล้วออกเดินนำหน้า สเตฟานจูงมือรังสรรค์ให้เดินตามไป โดยมีไลล่าและไป่เทียนเดินตามหลัง
“พวกนี้เป็นใครกัน” รังสรรค์เปลี่ยนเป็นพูดภาษาไทย เอียงหน้าเข้าไปถามสเตฟาน
“เอาไว้ผมจะเล่าให้คุณฟังที่หลัง ตอนนี้คุณอยู่เงียบๆก่อน คอยฟังที่ผมบอกดีๆหากผมส่งสัญญาณให้คุณทำอะไร คุณต้องทำทันที” สเตฟานตอบเบาๆ

เมื่อเดินไปได้พักหนึ่งหนึ่ง ก็พ้นย่านที่คนหนาแน่น จนมาถึงจุดที่เป็นบริเวณตึกอาคารสำนักงาน ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมา โจชัวร์จึงหยุดเดิน แล้วหันหน้ากลับมาหาคนทั้งสอง
“สเตฟาน เจ้าต้องไปกับข้า กลับไปอยู่กับข้าเหมือนที่เคยเป็น” โจชัวร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดวงตากลับเป็นประกายวาววับ
“ข้าบอกท่านแล้ว ว่าข้าจะไม่ทำเช่นนั้น ข้าต้องการให้ท่านปล่อยข้าเป็นอิสระ ... ถึงแม้ว่าความจริงข้าเป็นอิสระจากท่านแล้วก็ตาม”
“อิสระงั้นเหรอ” น้ำเสียงของโจชัวร์เย้ยหยัน “ที่เจ้าต้องหลบหนีข้านี่น่ะหรือ ที่เจ้าเรียกว่าอิสระ”
“ท่านก็รู้ว่าอิสระที่ข้าพูดนั้นหมายถึงอะไร” สเตฟานยิ้มน้อยๆ “ท่านควบคุมข้าไม่ได้ ถึงจะเคยพิสูจน์มาแล้ว ท่านก็ยังไม่เชื่อ จนถึงเมื่อสักครู่ ท่านเองก็พยายามจะควบคุมข้า แต่ท่าทำไม่ได้”
“เจ้า” โจชัวร์พูดได้แค่นั้น ดวงตากะเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆด้วยความโกรธ เพราะเมื่อสักครู่ เขาพยายามส่งกระแสจิต เพื่อควบคุมสเตฟานเหมือนที่เคยทำในอดีต แต่มันไม่ได้ผล
“อิสระที่ข้าพูดนั้น หมายถึงอิสระจากการตามหาของท่านต่างหาก”
“เพื่อเจ้าจะได้เสพสุขกับมนุษย์ผู้นี้น่ะหรือ ข้าไม่ยอมหรอก” เหมือนความโกรธจะทวีมากขึ้น โจชัวร์ขบฟันจนบริเวณกรามเป็นสันนูนขึ้นมา “ไล่ล่า ไป่เทียน จับมนุษย์ผู้นี้ให้ข้า”
“ไลล่า ไป่เทียน พวกเจ้าอย่าขยับ ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเจ้า” สเตฟานพูดเสียงแข็ง
“เช๊อะ...ท่าทางอย่างเจ้าน่ะเหรอจะทำอะไรข้าได้”  ไลล่าที่ยืนอยู่ข้าหลังแสยะยิ้ม พลางเดินเข้าไปหาคนทั้งสอง ไป่เทียนเองก็เริ่มขยับตัว
“ไปให้ห่างจากข้า” สเตฟานพูดพลางตวัดมือข้างที่ว่างอยู่ไปทางด้านหลัง
ไลล่าและไป่เทียน รู้สึกเหมือนมีลมแรงมาปะทะ จนไม่อาจต้านทานแรงลมนั้นได้ ต้องถอยหลังไป๒-๓ก้าว โดยไม่อาจขัดขืน
“เจ้าทำอะไร” โจชัวร์ตวาดเสียงดัง พลางสืบเท้าเข้าไปหาคนทั้งสองด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับเอื้อมมือไป หมายจะตะครุบตัวรังสรรค์เอาไว้ให้ได้
“หลับตา” สเตฟานพูดพลางกระตุกมือเป็นสัญญาณให้รังสรรค์

รังสรรค์เองก็กำลังงุนงงในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ลืมที่สเตฟานบอกเขาไว้ เมื่อได้ยินเสียงบอก ก็หลับตาลงทันที แล้วก็รู้สึกเหมือนรอบตัวมีลมพัดวูบ แม้แต่หูก็ได้ยินเหมือนเสียงลมกรรโชกแรง อุณหภูมิรอบๆเปลี่ยนแปลงเป็นร้อนๆเย็นๆอย่างกระทันหัน ถึงจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแต่เขาก็รู้สึกได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 25-05-2009 22:55:35
ในที่สุดก็หนีไม่พ้นสินะ ว่าแต่นายรังสรรค์นี่ว่าง่ายจังแฮะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 25-05-2009 23:08:10
ว้าว ๆ รอตอนต่อไป 555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 25-05-2009 23:49:44
ไคลแมกซ์แล้วสินะคะ....ยังงี้รังสรรค์จะโดนลูกหลงด้วยความเข้าใจผิดไปแทนรึเปล่าคะ? (เริ่มคิดไปในแง่ร้าย)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: BLkaiwhan ที่ 26-05-2009 08:38:59
โฮะๆๆ ตื่นเต้นๆๆ
คราวนี้รังสรรค์คงรู้แล้วแหละ ว่าสเตฟานไม่ใช่คนธรรมดา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 26-05-2009 16:22:07
ไม่แปลกและ 55

รู้สึกว่าพระเอกเราหายไปเลย

ไม่ชอบรังสรรค์อ่ะ ผิดป่ะ  :z3:

ปล.รักโจชัวนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 26-05-2009 20:08:18
เหวออ

จะเป็นไงต่อไปเนี่ย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 27-05-2009 00:54:39

และแล้วสะเตฟานก็พา รังสรรค์หายตัวเข้าโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย  :oo1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 27-05-2009 05:06:55
รังสรรค์ต้องรู้คราวนี้แน่เลยว่าสเตฟานไม่ใช่คนธรรมดา
แล้วยังไงกันต่อเนี่ย จะเิกิดการปะทะกันป่าว
เ้ข้มข้นๆ อีกแล้ว
บวก 1 แต้มจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 27-05-2009 06:23:05
ก่อนอื่น ^^
         ^^
         ^^
สัก 3 จึก สวัสดีครับ พี่น้ำตาล สบายดีบ่ วันนี้มีความสุขอีกแล้ว  :z2:

เริ่มปะทะก็เริ่มมันแล้วครับ รังสรรค์คงจะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

มาลุ้นกันต่อดีกว่า 4P เฮ้ย...ไม่ใช่ 3 รุม 1 สานฝันจะปะทะกับพวกนั้นยังไง

เป็นกำลังใจให้นะครับ ตั้ม +1 อีกเช่นเคย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 27-05-2009 06:43:03
มาเป็นกำลังใจให้คนป่วยค่ะ
 :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 27-05-2009 10:14:18
 :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๕ - ๒๕ พ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 29-05-2009 20:56:42

และแล้วสะเตฟานก็พา รังสรรค์หายตัวเข้าโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย  :oo1:
:a5: คิดได้งายอะ


แต่ว่ามันก็ ... ถูกต้องนะคร๊าบบบบบ  :laugh:
ลองเดาดูสิครับ ว่าโรงแรมไหน อิ อิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๖ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 01-06-2009 12:53:59
บทที่ ๓๗

“อย่าเพิ่งลืมตานะครับ”
รังสรรค์ได้ยินเสียงสเตฟานบอกเบาๆ พร้อมกับมือที่ถูกกุมไว้ถูกปล่อยออก สักพักก็ได้ยินเสียงครืดคราด เหมือนเสียงบานเลื่อนเคลื่อนตัว ดวงตารับรู้ได้ว่า ภายนอกสว่างขึ้นมาโดยทันที
“ค่อยๆลืมตานะครับ” สเตฟานบอกอีกครั้ง
รังสรรค์ค่อยๆลืมตาขึ้น พบว่าอยู่ภายในห้องกว้าง มีชุดโซฟาเอนกประสงค์ บาร์เครื่องดื่มเล็กๆ เครื่องเสียงและโทรทัศน์วางอยู่บนชั้นด้านหนึ่ง อีกด้านมีชั้นหนังสือ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างกว้าง ด้านนอกเป็นยามค่ำคืน ที่ยังสว่างไสวด้วยดวงไฟจากอาคารใหญ่น้อย
“ที่นี่ที่ไหนครับ แล้วเรามานี่ได้ยังไง” รังสรรค์ถาม พร้อมกับมองดูรอบๆตัวอีกครั้ง อย่างไม่เชื่อในสายตา
“ห้องพักในโรงแรมของผมเอง” สเตฟานตอบพลางเดินไปที่บาร์เครื่องดื่ม เปิดตู้เย็นขนาดเล็ก หยิบขวดน้ำรินใส่แก้ว
“โรงแรมของคุณ” รังสรรค์ทวนคำ ขมวดคิ้วเข้าหากัน “แต่เมื่อกี้ ...”
“นั่งก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยๆดื่มน้ำ” สเตฟานบอกพร้อมกับจูงมือรังสรรค์ให้มานั่งลงบนโซฟา แล้วยื่นแก้วน้ำให้ รังสรรค์ยื่นมือรับไว้ แต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
“ผมงงไปหมดแล้ว คนพวกนั้นเป็นใคร แล้วเรามาที่นี่กันได้ยังไง เมื่อกี้เรายัง...” รังสรรค์พูดช้าๆ หลังจากนิ่งเงียบไปสักครู่
“ผมว่าคุณเหนื่อยมากแล้ว ดื่มน้ำก่อนดีกว่าครับ”
ดวงตาสีเขียวมรกตของสเตฟานส่องประกายวูบวาบ รังสรรค์ที่กำลังจ้องมองดวงตาคู่นั้น ค่อยๆยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว สเตฟานยื่นมือไปนำแก้วน้ำออกจากมือของรังสรรค์ แล้ววางลงบนโต๊ะเตี้ย
“คุณนอนพักดีกว่านะครับ มีอะไรพรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน” ประกายวูบวาบเป็นจุดๆอยู่ในดวงตาของสเตฟาน ส่องกระพริบถี่ขึ้น มองแล้วเหมือนจุดเหล่านั้นจะหมุนวนไปมา อยู่ในแก้วตาสีเขียวมรกตของชายหนุ่ม
“ครับ ... พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน” รังสรรค์ตอบเหมือนสติไม่อยู่กับตัว
“หลับเสียนะครับ คุณรังสรรค์” สเตฟานพูดเบาๆ รังสรรค์ก็หลับตาลงเหมือนคนว่าง่าย พร้อมกับเอนตัวพิงไปกับพนักโซฟา ดวงตาหลับพริ้มลง
สเตฟานเดินไปยังโทรศัพท์ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กอีกตัวหนึ่งข้างชุดโซฟา ยกหูโทรศัพท์ขึ้นพร้อมกับกดหมายเลขที่ต้องการ
“พอจะมีห้องว่างสักห้องหนึ่งไหม พอดีผมมีแขก” สเตฟานรออยู่สักครู่ก็มีคำตอบจากพนักงาน “ช่วยเปิดห้องให้ผมด้วย อีก ๑๐ นาทีผมจะพาแขกไปที่ห้องเอง” แล้วสเตฟานก็วางหูโทรศัพท์ลง
..............................................................................
........................................
โจชัวร์ยืนแน่วนิ่ง ขบคิดว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น
ขณะที่เขาพุ่งตัวเข้าไปหาคนทั้งสอง มือที่ยื่นออกไปกำลังจะสัมผัสตัวกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้น จู่ๆทั้งสเตฟานและชายหนุ่มคนนั้นก็หายวับไปกับตา ... ไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในแบบที่เผ่าพันธ์แวมไพร์ทำได้ แต่เป็นการหายไปจากที่นั้น ราวกับสูญหายไปในพริบตา
“เมื่อกี้มันอะไรกัน” ไลล่าหันไปถามไป่เทียน
“ข้าก็ไม่รู้” ไป่เทียนตอบโดยที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับท่าทางครุ่นคิดของโจชัวร์
“สเตฟาน เจ้าได้พลังเช่นนี้มาจากไหน” โจชัวร์พูดเบาๆกับตัวเอง แล้วหันหน้าไปทางไลล่า “ไลล่า เจ้ายังจำใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นได้หรือไม่”
“ข้ายังจำได้”
“ดี ... จงส่งภาพของชายผู้นั้นให้ข้า ข้าจะส่งให้ไป่เทียน”
ไลล่าหลับตาลง ตั้งสมาธิคิดถึงภาพของชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง แล้วก็เริ่มครางออกมาเบาๆ เมื่อคิดจินตนาการไปมากกว่านั้น
“หึๆ ในเวลาเช่นนี้ เจ้ายังมีอารมณ์ได้อีกนะ” โจชัวร์หัวเราะในลำคอ ในขณะที่จิตของเขารับภาพเหล่านั้นมา และส่งต่อไปให้ไป่เทียน
“นายท่าน ข้าคิดว่าข้าจำชายหนุ่มผู้นี้ได้” ไป่เทียนโพล่งขึ้นมา หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าเคยเห็นมันมาก่อนหรือไง” โจชัวร์หันไปถาม
“ใช่ ข้าเห็นชายหนุ่มผู้นี้กับชายหนุ่มอีกสามคน คิดว่าคงเป็นเพื่อนกัน และหนึ่งในกลุ่มนี้เคยเป็นเหยื่อของนายท่านมาก่อน”
“เจ้าพอจะจำพวกมันได้หรือไม่” ดวงตาของโจชัวร์แฝงประกายความหวัง
“ข้าจำได้ไม่ชัดเจนนัก แต่หากข้าได้พบพวกมันอีกครั้ง ข้าคิดว่าข้าจะจำได้ทันที” ไป่เทียนตอบด้วยความมั่นใจ
“ดี” โจชัวร์แสยะยิ้ม “จงตามหาพวกมันให้พบ ข้าจะใช้พวกมันตามหาสเตฟาน”
..............................................................................
........................................
“ตื่นได้แล้วครับคุณรังสรรค์ สายมากแล้ว”
เสียงเรียกค่อนข้างดัง ทำให้รังสรรค์ต้องลืมตาขึ้นมา เมื่อสายตาปรับตัวได้แล้วก็ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมตัวอยู่ก็ร่นลงมากองอยู่บริเวณหน้าท้องที่เปลือยเปล่า จากสัมผัสของผืนผ้าที่ห่มคลุ่มท่อนล่างไว้ ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าไม่มีอะไรสวมใส่อยู่เลย ... เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ... รังสรรค์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องขนาดย่อม ซึ่งคงเป็นห้องของโรงแรมนั่นเอง
“รีบอาบน้ำแต่งตัวสิครับ นี่มันเก้าโมงแล้ว เดี๋ยวสิบโมงเค้าจะเก็บอาหารเช้าซะก่อน”
รังสรรค์หันไปตามเสียง ก็พบกับทรงเดชเดินออกมาจากซอกหลืบด้านหนึ่ง ซึ่งคงเป็นด้านประตูห้องน้ำ ในมือถือผ้าขนหนูอยู่
“เสื้อผ้าผมไปไหนหมด” รังสรรค์ถามออกไป
“ส่งซักน่ะครับ” ทรงเดชตอบยิ้มๆพลางเดินเข้ามาใกล้เตียง “เดี๋ยวคุณใส่ชุดที่อยู่ในตู้ไปก่อนแล้วกัน นี่ครับผ้าขนหนู” ทรงเดชยื่นผ้าขนหนูสีขาวสะอาดในมือให้รังสรรค์
“ขอบคุณนะครับ ความจริงไม่ต้องก็ได้” รังสรรค์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ยื่นมือไปรับผ้าขนหนูไว้
“ฮ่าๆๆ” ทรงเดชหัวเราะเสียงดัง “ใจคอคุณจะเดินแก้ผ้าโทงๆต่อหน้าผมเหรอครับ เอาอย่างนั้นก็ได้นะ ผมไม่ถือหรอก”
“ไม่ดีกว่า” รังสรรค์ใช้ผ้าขนหนูพันท่อนล่างไว้ แล้วลุกขึ้นจากเตียง “เดี๋ยวคุณจะหวั่นไหว ผมก็แย่กันพอดี” แล้วรังสรรค์ก็หัวเราะร่วน เดินเข้าห้องน้ำไป
“หลงตัวเองมากไปรึเปล่าวะ” ทรงเดชบ่นตามหลังไป พลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้นั่งเล่น หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะเล็กๆขึ้นมานั่งอ่านฆ่าเวลา

“อาหารของโรงแรมเราเป็นยังไงบ้างครับ” ทรงเดชถามรังสรรค์ ระหว่างที่กินอาหารเช้ากันอยู่ ในห้องอาหารของโรงแรม
“อร่อยดีครับ” รังสรรค์ตอบแล้วก็ง่วนอยู่กับอาหารในจานต่อ สักพักก็ขมวดคิ้ว
“เป็นอะไรเหรอครับ” ทรงเดชถามขึ้นเมื่อเห็นอาการของรังสรรค์
“ก็ ...” รังสรรค์ลากเสียงยาว ชะงักการกินอาหารเช้า แบบอเมริกันเบรคฟราส หรี่ตามองทรงเดช “กำลังคิดว่าทำไมวันนี้คุณถึงมาคอยดูแลผมไง” พูดแล้วก็ยิ้มกว้าง
“โธ่ ...” ทรงเดชลากเสียงยาวบ้าง “ก็ถ้าคุณท่านไม่สั่ง ผมก็ไม่ทำหรอกคร๊าบ” ตอบแล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“อ้าว เป็นงั้นไป” รังสรรค์ถอนหายใจเบาๆ แล้วก็กินอาหารในจานต่อ
“ตกลงคุณสงสัยเรื่องนี้น่ะเหรอ”
“ทีแรกผมว่ากินเสร็จแล้วค่อยถาม แต่ไหนๆคุณก็เริ่มแล้ว ผมถามเลยแล้วกัน” รังสรรค์จ้องหน้าทรงเดช “ผมมาที่นี่ได้ไง แล้วทำไมผมนอนแก้ผ้าอยู่ในห้อง เมื่อคืนผมเสร็จคุณ หรือคุณเสร็จผม หรือว่าต่างคนต่างเสร็จ”
... พรวด .... เป็นเสียงทรงเดชพ่นกาแฟที่ดื่มอยู่ออกมาเป็นสาย
“แค๊กๆๆ ... โหยแทบตาย” ทรงเดชบ่นพลางดึงกระดาษทิชชู่บนโต๊ะ เช็ดไปตามมุมปากที่เลอะกาแฟ “คุณคิดได้แค่นี้เนี่ยนะ”
“แล้วคุณจะให้คิดยังไง ตื่นขึ้นมาก็นอนแก้ผ้าอยู่ในโรงแรมกับคุณ”
“คุณเลิกกวนผมได้แล้ว ยังไงผมก็ไม่สนใจเรื่องจะมีอะไรกับคุณแบบนั้นหรอกนะ” ทรงเดชทำสีหน้าเบื่อหน่าย “คุณท่านนะคุณท่าน ช่างหางานให้ผมจริงๆ”
“ผมเลิกกวนคุณก็ได้” รังสรรค์อมยิ้ม
“ว่าแต่ว่า ทำไมคุณถึงไม่กลับบ้านกลับช่อง มานอนค้างอยู่ที่โรงแรมได้ยังไง” คราวนี้ทรงเดชถามบ้าง
“อืม ... ให้ผมคิดก่อนนะ” รังสรรค์รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน เพราะกินอิ่มพอดี “เมื่อคืนผมดื่มเยอะไปหน่อย เลยเมามาก คุณสเตฟานก็เลยมให้ผมค้างที่นี่ พอมาถึงผมก็อาบน้ำอาบท่า คุณสเตฟานก็ให้พนักงานเอาเสื้อผ้าผมไปซักรีด”
“อ้าว ... ไหนคุณบอกว่าจำไม่ได้ไงว่าทำไมถึงได้แก้ผ้านอน” ทรงเดชทำหน้าเหรอหรา
“ผมก็พูดไปงั้นแหละ ว่าไปได้แกล้งคุณนี่ก็สนุกดีนะ” รังสรรค์ตอบพลางหัวเราะร่วน
..............................................................................
........................................
“เป็นไปอย่างที่คุณบอกครับ คุณรังสรรค์เข้าใจว่าตัวเองเมามาจากที่บาร์ แล้วคุณเป็นคนพาเขากลับมานอนที่โรงแรม” ทรงเดชกรอกสายลงไปในหูโทรศัพท์ “ผมดูแลให้กลับบ้านไปเรียบร้อยแล้วครับ ให้รถของทางโรงแรมไปส่งเมื่อสักครู่นี้เอง”
“ขอบใจคุณมากนะ” สเตฟานพูดกลับมา
“ต่อไปจะทำยังไงล่ะครับ คุณรังสรรค์จะตกอยู่ในอันตรายมั๊ยครับ” ทรงเดชถามด้วยความห่วงใย เพราะอย่างน้อยเขาก็นับรังสรรค์เป็นเพื่อนคนหนึ่ง
“คงไม่เป็นอะไรหรอก ผมสะกดจิตเขาไว้ ให้เขารู้สึกไม่ต้องการจะเข้าไปในบริเวณนั้น ในตอนกลางคืน”
“ผมว่า คุณน่าจะทำอะไรให้มันเด็ดขาดไปเลยดีกว่ามั๊ยครับ ต่อไปคุณจะได้ไม่ต้องหลบหนีอีก ด้วยพลังของคุณมันเป็นเรื่องง่ายจะตาย”
“พลังของผมมีไว้เพื่อการช่วยเหลือ ไม่ใช่เพื่อการทำลาย” เสียงตอบพร้อมกับเสียงถอนหายใจเบาๆ “หากมนุษย์อย่างคุณทำลายกันเอง คุณจะรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกของผมก็คงไม่แตกต่างกันนัก หากต้องทำลายเผ่าพันธ์เดียวกัน ...ช่วงนี้ผมคงต้องไปอยู่ที่บ้านสักระยะ เพราะที่นี่มันใกล้ที่เกิดเหตุเกินไป เดี๋ยวคุณให้คนเอาของใช้ที่จำเป็นกับเสื้อผ้าบางส่วน ไปไว้ที่นั่นด้วยแล้วกัน ผมจัดลงกระเป๋าไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ผมเอาไปให้เองก็ได้ครับ แค่นี้นะครับ เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกทางบ้านให้จัดเตรียมห้องไว้ให้คุณ”

ทรงเดชวางหูโทรศัพท์ลง หลังจากที่สเตฟานพูดขอบใจและวางสายไปแล้ว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้นวมในห้องทำงาน ยกมือขึ้นกุมขมับ ขมวดคิ้วแนบแน่น ครุ่นคิดไปถึงพลังของสเตฟาน เขาเคยคิดว่าพลังนั้นมีผลเฉพาะกับพวกแวมไพร์เท่านั้น จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้รับรู้ว่า มันมีมากและน่ากลัวกว่าที่เขาคิดนัก พลังของสเตฟานยังสามารถควบคุมมนุษย์ได้ด้วย แล้วเขาก็เสียวสันหลังวูบขึ้นมา เมื่อคิดไปว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไร หากแวมไพร์ทุกตนมีพลังอำนาจเช่นเดียวกันนี้

พลังที่สามารถควบคุมความทรงจำ รวมไปถึงกำหนดพฤติกรรม การดำเนินชีวิตของมนุษย์ ได้ในระยะเวลาหนึ่ง
พลังของแวมไพร์เพียงหนึ่งเดียว
... กรีนอายส์ ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 01-06-2009 13:17:38

นั่นปะไร  งวดนี้กิมตี๋ถูกหวยแน่ๆ  หาหาหา  :laugh:

พ่อสะเตฟานทำเนียน เน้อะ  แหมๆ จัดฉากว่าพ่อรังสรร หิ้วแขก อิอิอิ  หรือว่าตะเองลักหลับเค้อะ  :m20:

ต่อไปทรงเดช  ก็จะดูแลรังสรรแทน นายท่านตลอดไป แอร้ยยย    :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 01-06-2009 15:51:32
โจชัวร์เอาจริงแล้วอ่ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 01-06-2009 22:13:56
^^ จิ้มหนูมิ้น สบายดีหรือเปล่าครับ ทำเนียน ไม่กลับไปต่อทู้ตัวเองหรือครับ

      รออยู่น้า เปิดดี ๆ นะครับ ไม่รู้เกลือขึ้นหรือยัง ( อย่าโกรธนะ แซวเล่น  :z2: )

เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่ทรงเดชคิดอยู่นะ จะเป็นผลทำให้ทรงเดช รับใช้สเตฟาน

ได้สนิทใจหรือเปล่า มาคอยติดตามกันต่อไป

เป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ ตั้ม +1 อีกเช่นเคย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 02-06-2009 09:18:01
วู้ว ๆ ๆ ๆ ๆ

มาแร้วววววว

รอดไปได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 02-06-2009 21:59:43
ความคิดมากของทรงเดชจะเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย???
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 03-06-2009 09:35:00
ทรงเดช เริ่มเก่งขึ้นแล้ว ยกเว้นเวลาเจอ รังสรรค์   :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 03-06-2009 09:47:46
โจชัวร์เริ่มเข้าใกล้สเตฟานมากขึ้นแล้วนะ รอตอนต่อไปนะ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 08-06-2009 19:53:29
หายไปอีกแล้วครับท่านนนนนน

ป่วยหรือเปล่าค่า

เป็นห่วงเน้อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 16-06-2009 18:28:10
มาดันนนนนนนนนนนนน

 :z3: :t3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 03-07-2009 23:21:54
หายไปนานจัง งวดนี้ ไม่สบายหายหรือยัง

มาตาม  เอ๊ย มาดันค่ะ


เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 14-07-2009 22:28:19
คิดถึงค่ะ....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 14-07-2009 23:02:14

คิดถึงคุณบุหรงแล้วครับ
กลับมานะครับ กลับมา

จุ้บๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 19-07-2009 11:20:43
คิดถึงๆๆๆๆๆ

ไม่สบายหรือว่าไง ก็บอกกันบ้างนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: epoch ที่ 19-07-2009 23:40:04
คิดถึงเหมือนกันค่ะ เพิ่งมาอ่านแต่ชอบมากๆ  o13
แต่ยังไงอย่าจบเศร้าแบบเรื่องที่แล้วนะคะ  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๗ - ๑ มิ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-07-2009 09:52:26
น้องตั้มหายไป งานยุ่งหรือเปล่า รักษาสุขภาพด้วยนะ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 13-08-2009 22:31:30
บทที่ ๓๘

ภูริทัตกับปรีชามองหน้ากันไปมา สลับกับการมองดูปรีชาใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ปรกติปรีชามักจะอารมณ์ดี หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยเล่นกับเพื่อนๆอยู่เสมอ ไม่บ่อยนักที่จะมีอาการแบบนี้ ทั้งสองคนพอจะเดากันได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากชายหนุ่มรุ่นน้อง ที่วันนี้หายหน้าไปจากโต๊ะอาหาร ไม่มากินอาหารกลางวันด้วยกันเหมือนปรกติ

“เซ็งว๊อย...” ปรีชาพูดอย่างเบื่อหน่าย ถอนหายใจยาว แล้วเงยหน้าจากจานข้าว ขึ้นมามองเพื่อนทั้งสองคน “คืนนี้ไปเที่ยวกันหน่อยดีกว่า”
“ข้าขอตัวหว่ะ” ภูริทัตตอบ “พวกเอ็งก็รู้ว่าพ่อข้ามาจากต่างจังหวัด ช่วงนี้ต้องทำตัวเป็นลูกที่ดีหน่อย”
“เอ้อ ...” รังสรรค์อึกอัก เมื่อมองเห็นสายตาที่เหมือนจะขอร้องของปรีชา “โทษทีหว่ะ ข้ารู้สึกเพลียๆ ทำงานเสร็จแล้ว อยากกลับบ้านเลย”
“เออ... ไม่เป็นไร ไปคนเดียวก็ได้วะ” ปรีชาตอบอย่างเสียไม่ได้

คืนนั้นปรีชาจึงมานั่งอยู่คนเดียวในร้านซึ่งเขามาเป็นประจำ เสียงเพลงยังคงสร้างบรรยากาศคึกคักให้ผู้มาเที่ยวเหมือนเช่นเคย แต่ปรีชาก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ไม่หาย เมื่อคิดไปถึงความเอาแต่ใจของกรกฏ ชายหนุ่มรุ่นน้องที่เขาติดอกติดใจมากเป็นพิเศษ อดยอมรับไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ทางร่างกายที่ผ่านมานั้น กรกฏทำให้เขาอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน แต่อุปนิสัยแท้จริงที่เขาเพิ่งได้ประจักษ์ จากการได้อยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะความเจ้าอารมณ์และความเอาแต่ใจ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่มรุ่นน้อง ที่เขาคิดจะคบหาอย่างจริงจัง ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมรังสรรค์ที่เป็นคนใจเย็น จึงไม่คิดสานสัมพันธ์กับกรกฏ แม้จะในฐานะ ‘เพื่อนนอน’ ก็ตาม

ปรีชายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบช้าๆ สายตาก็เริ่มมองดูรอบๆ ยังไม่มีผู้ชายคนไหนทำให้เขารู้สึกสนใจได้เลยในขณะนี้ แล้วความคิดของเขาก็คิดเลยไปถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้มีผิวพรรณละเอียดอ่อน ริมฝีปากสีชมพูรับสีชมพูเนียนใสของผิวหน้า เรือนผมเป็นสีทองดูนุ่มสลวย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ทำให้เขาประทับใจมาตั้งแต่วันแรกที่เขาได้เห็น ดวงตาสีเขียวสดใสราวมรกตเนื้อดี ที่ส่องประกายแวววาว

“สเตฟาน” ปรีชาอดเรียกชื่อของชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้นออกมาเบาๆไม่ได้

แต่เสียงอันแผ่วเบานั้น กลับทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะเดินผ่านปรีชาทางด้านหลัง ชะงักฝีเท้าลงทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

“ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ” เสียงพูดสำเนียงแปร่งหูดังขึ้น พร้อมกับมีคนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
ปรีชาหันหน้ามองชายหนุ่มที่นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง แล้วก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
“หน้าผมมีอะไรหรือครับ” เสียงทุ้ม นุ่มหู เจือไปด้วยเสียงหัวเราะ ดวงตาสีฟ้าสดในส่อประกายกรุ้มกริ่ม ริมฝีปากสีชมพูเผยอยิ้มน้อยๆ ปรีชารู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแฝงอันตรายบางอย่างไว้ แต่ก็ดูเชิญชวนและมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด จนเขาไม่อาจต่อต้านต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามมาได้
“เอ้อ ผมคิดว่าเป็นคนรู้จักน่ะครับ เลยแปลกใจ” ปรีชาตอบด้วยความเก้อเขิน
“คนที่คุณคิดถึงหรือครับ” ชายหนุ่มชาวต่างชาติผมสีเงินยวงถามด้วยรอยยิ้ม “ผมเหมือนเขามากหรือครับ”
“เอ้อ ... ก็เหมือนครับ เหมือนกันอย่างกับฝาแฝดเลย” ปรีชาเริ่มตอบด้วยสีหน้า และน้ำเสียงที่เป็นกันเองมากขึ้น
“สเตฟาน .... คนนั้นชื่อ สเตฟานหรือครับ” ชายหนุ่มถามด้วยรอยยิ้มและประกายตาแวววาว
“คุณรู้จักสเตฟานด้วยเหรอครับ พวกคุณเหมือนกันมากทีเดียว ผิดกันที่สีผม กับสีตาเท่านั้นเอง” ปรีชาพูดพลางมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม “คุณ ... เอ้อ ... ผมจะเรียกคุณว่าอะไรดีครับ”
“ผมได้ยินคุณเรียกชื่อนี้เมื่อครู่น่ะครับ เลยเดาเอา” ประกายตาของชายหนุ่มเหมือนส่องประกายมากขึ้น และเริ่มเปลี่ยนสีจากสีฟ้าสดใส เป็นสีฟ้าเข้มขึ้น “ผมชื่อโจชัวร์ครับ”

หลายคนหันมามองดูชายชาวต่างชาติผมสีเงินยวง ค่อยๆโอบประคองปรีชา เดินตรงไปยังประตูด้วยความรู้สึกต่างๆกัน บางคนอิจฉา บางคนเสียดาย ว่าทำไม่คนที่ชายชาวต่างชาตินั้นเลือกไม่เป็นตน บางคนมองอย่างเป็นเรื่องปรกติ แต่หากมีคนมองเห็นใบหน้าของปรีชา คงต้องรู้สึกสงสัยทำไมจึงมีสีหน้าและแววตาเลื่อนลอง เหมือนไม่มีสติอยู่กับตัวเลยแม้แต่น้อย
....................................................................
.....................................
“สรรค์ เย็นนี้ไปธุระด้วยกันหน่อยสิ” ปรีชาพูดด้วยเสียงเนือยๆ ระหว่างที่กินข้าวกลางวัน
“ไปไหน” รังสรรค์หันมาถามเพื่อน รู้สึกแปลกใจในท่าทางที่คล้ายจะเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลาของปรีชา
“เออน่ะ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยก็แล้วกัน” ปรีชาตอบด้วยใบหน้าเฉยเมย จนรังสรรค์กับภูริทัตต่างหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“ไปไหนวะ ต้องให้เราไปด้วยอีกคนมั๊ย” ภูริทัตถามขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ
“ไม่ต้อง” ปรีชาหันไปตอบเสียงห้วนๆ แล้วก็กินข้าวต่อไป ในขณะที่รังสรรค์กับภูริทัตก็หันมองหน้ากัน ด้วยความงุนงงในท่าทางของปรีชา
....................................................................
.....................................
“มาทำอะไรที่นี่วะ”
รังสรรค์ถามอีกครั้งหนึ่ง เมื่อประตูลิฟท์ของโรงแรมปิดลง ปรีชายังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากที่ทำงานในตอนเย็น ปรีชาบอกให้เขาขับรถฝ่าการจราจรที่แออัดในช่วงเย็นหลังเลิกงาน มายังโรงแรมเล็กๆอีกฟากหนึ่งของตัวเมือง กว่าจะมาถึงพระอาทิตย์ก็เกือบตกดินแล้ว เมื่อลงจากรถก็เดินตรงมายังลิฟท์ โดยไม่ติดต่อเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครสนใจ ทำให้รังสรรค์รู้สึกว่า โรงแรมแห่งนี้มีการดูแลความปลอดภัยที่ค่อนข้างหละหลวม ลิฟท์ตัวเล็กๆ พาคนทั้งสองขึ้นมาบนชั้น ๓ ของโรงแรม เมื่อออกจากลิฟท์ ปรีชาก็เดินนำตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด และยังไม่ทันที่จะเคาะประตู บานประตูก็เปิดออก ก่อนที่รังสรรค์จะพูดอะไร ปรีชาก็เดินเข้าไปสียแล้ว ทำให้รังสรรค์ต้องก้าวเท้าตามเข้าไปในห้องนั้น แล้วบานประตูก็ปิดลง เมื่อรังสรรค์เดินเข้าไปในห้องนั้น

แสงไฟสลัวในห้อง ทำให้มองเห็นหญิงสาวผิวสีชอคโกแลตที่ปิดบานประตูลง เมื่อมองเข้าไปด้านใน ก็เห็นปรีชายืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มผิวขาว หญิงสาวก็เดินมายืนเคียงข้างปรีชา ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวนั้นมองดูรังสรรค์ด้วยรอยยิ้ม มีสีหน้าราวกับได้เห็นสมบัติอันล้ำค่า
“สวัสดีหนุ่มน้อย เราได้พบกันอีกแล้ว” เสียงทักทายสำเนียงแปร่งหูมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง รังสรรค์หันหน้าไปตามเสียง
“สเตฟาน” รังสรรค์อุทานด้วยความแปลกใจ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อมองเห็นถึงความแตกต่างระหว่างชายเจ้าของเสียงนั้น กับคนที่เขารู้จัก “ไม่ใช่นี่ คุณไม่ใช่สเตฟาน ... แต่ทำไมเหมือนกันขนาดนี้ คุณเป็นใครกัน”
“ผมเป็นใครงั้นเหรอ” เสียงตอบพร้อมกับรอยยิ้มหยัน “เรียกผมว่า โจชัวร์ ... โจชัวร์ เจ้านายและคนรักที่แท้จริงของสเตฟาน และนั่น ไล่ล่า กับไป่เทียน” รังสรรค์หันไปมองคนทั้งสอง แล้วหันกลับมาทางโจชัวร์
“เจ้านาย...คนรัก” รังสรรค์ขมวดคิ้ว แล้วก็ต้องแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ตลกน่า...พวกคุณเล่นตลกอะไรกันเนี่ย เฮ๊ย...ไอ้ชา นี่มันเรื่องอะไรกันวะ” รังสรรค์หันไปถามเพื่อน แต่ปรีชายังคงนิ่งเฉย สีหน้าเลื่อนลอยเหมือนอยู่ในภวังค์ จนรังสรรค์ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน “พวกคุณทำอะไรไอ้ชา” รังสรรค์หันมาไล่เบี้ยกับโจชัวร์
“ผมแค่ให้เขาพาคุณมาหาผม” โจชัวร์เดินไปใกล้รังสรรค์มากขึ้น จนห่างกันแค่มือเอื้อมถึง “โชคดีที่เค้าทำได้ ทำให้ผมได้พบคุณอีกครั้ง”
“อีกครั้ง” รังสรรค์ทวนคำ “ผมว่า ผมเพิ่งเคยพบคุณเป็นครั้งแรกนะ”
“ม่ายยยย .... หนุ่มน้อย” โจชัวร์ลากเสียง ใบหน้ายิ้มกริ่ม “คุณจำไม่ได้หรือ เราพบกันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมจะได้ตัวสเตฟานเสียที แต่พวกคุณก็หนีจากผมไปจนได้”
“สุดสัปดาห์ที่แล้วเหรอ ทำไมผมจำไม่ได้” รังสรรค์เรียบเรียงความทรงจำอย่างรวดเร็ว “ผมไปเที่ยวกับสเตฟาน แล้วผมก็เมาจนสเตฟานต้องเป็นคนพาผมกลับ ผมจำไม่ได้เลยว่าได้พบกับคุณ” รังสรรค์ตอบเสียงเรียบ แต่ไม่ได้สังเกตเลยว่า ไลล่าและไป่เทียนมายืนอยู่ด้านหลังเขาแล้ว
“ไม่เป็นไร จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” รอยยิ้มของโจชัวร์ราวกับจะเย้ยหยัน “ตอนนี้คุณหนีผมไปไม่ได้อีกแล้ว หนุ่มน้อย ทั้งคุณทั้งสเตฟาน”
พูดจบโจชัวร์ก็ยกมือขึ้น กำมือไว้แล้วชูนิ้วชี้ขึ้นมา นิ้วมือที่เรียวยาวและอวบอ้วน รังสรรค์มองดูนิ้วมือนั้นด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่า ปลายเล็บกลับงอกยาวขึ้นทีละนิด จนมีความยาวเกือบ ๒ นิ้ว เล็บนั้นดูแวววาวราวโลหะ
“คุณจะทำอะไรน่ะ” รังสรรค์ร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อแขนทั้งสองถูกรวบไว้โดยไลล่าและไป่เทียน ชายหนุ่มพยายามดิ้นรน แต่ไม่อาจสู้กำลังที่ยึดตัวเขาเอาไว้ได้
“ไม่ต้องกลัวหนุ่มน้อย ผมไม่ร้ายอะไรคุณหรอก เพียงแต่...”
โจชัวร์พูดแล้วยกแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมา ใช้เล็บคมยาวกรีดเบาๆลงไปบนข้อมือ เลือดสีแดงคล้ำไหลรินออกมาทันที รังสรรค์มองดูด้วยความตกใจ มองเห็นเล็บแหลมคมค่อยๆหดตัวลงจนเป็นปรกติ โจชัวร์ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่ลี้ลับ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกระเพาะหดตัว หน้าท้องเริ่มเกร็งเพราะความหวาดกลัว
“คุณ...คุณทำได้ยังไง พวกคุณเป็นอะไรกันแน่” น้ำเสียงที่รังสรรค์พยายามพูดออกไปนั้น สั่นเครือไปเพราะความหวาดกลัว ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้จะทำอะไรกับเขากันแน่ “ชา ... ไอ้ชา ช่วยด้วย ไอ้ชา”
ชายหนุ่มร้องเรียกเพื่อนซึ่งเป็นความหวังว่าอาจจะช่วยเขาได้ แต่ไม่มีประโยชน์ ปรียายังคงยืนนิ่ง สีหน้าเลื่อนลอย ไม่รับรู้เหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น
“ไม่ต้องกลัว ผมบอกคุณแล้วไงผมไม่ทำร้ายอะไรคุณ เพียงแต่จะทำให้คุณเป็นพวกของเราเท่านั้น ทำให้คุณเป็นเหมือนผม เป็นเหมือนสเตฟานที่คุณรักยังไงเล่า หนุ่มน้อย...คนรักของสเตฟานเอ๋ย” โจชัวร์ค่อยๆก้าวเท้าข้าหารังสรรค์อย่างช้าๆ
“คุณพูดอะไรกัน ผมน่ะเหรอคนรักของสเตฟาน” รังสรรค์ยิ่งงุนงงมากยิ่งขึ้น
และก่อนที่รังสรรค์จะพูดอะไรต่อ คางของเขาก็ถูกโจชัวร์บีบให้อ้าปากขึ้น ข้อมือของโจชัวร์ถูกจ่อเข้ามาที่ริมฝีปาก กลิ่นคาวโลหิตฉุนเฉียวลอยเข้ามาในจมูก แล้วลิ้นของรังสรรค์ก็ได้รสคาวของเลือดสดๆจากข้อมือของโจชัวร์ ก่อนที่มันจะไหลรินลงไปในลำคอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 13-08-2009 22:45:25
พ่อคุณทูลหัว  กลับมาสักที่นะครับ  :กอด1:  :L1:

อย่าหายไปอีกน้า   

คนอ่านคิดถึงมากมาย   :L1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 13-08-2009 22:48:53
 :serius2: เริ่มจะเข้าใกล้พระเอกแล้ว แอร๊ยยยส์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-08-2009 00:39:41
 :mc4: ดีใจจังที่กลับมาต่อแล้ว

น่าสงสารรังสรรค์ที่โดนเข้าใจผิดจนต้องมารับเคราะห์นี้
แต่ที่น่าห่วงอีกคือภูริทัตนี่สิ จะป้องกันยังไงเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
สเตฟานนิ่งนอนใจมากไปแล้วนะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Seiki ที่ 14-08-2009 01:17:49
ตามทันแว้ว  :m11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 14-08-2009 09:49:06
มาแว้วววววววววววววววววว

นึกว่าจะไม่ได้อ่านต่อซะแระ

เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๓ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 14-08-2009 13:42:44
ขอเวิ่นเว้อเล็กน้อย ก่อนคอมเม้น เรื่องนี้นะค่ะ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในเล้า และ สมัครสมาชิกเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ
ช่วงนี้เวลาว่างๆ เบื่อๆจากงาน ก็ไล่อ่านเรื่องโน้น เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
สัปดาห์นี้เพิ่งได้ตามเก็บงานของคุณบุหรงมาอ่าน ... ตั้งแต่ "จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ" "ความทรงจำที่หวนคืน"
และกระโดดไปอ่าน "ผู้มาเยือนยามวิกาล" ก่อนจะกลับมาอ่าน "วิหารจันทรา" ด้วยว่า ชื่อเรื่องน่าสนใจกว่า อิอิ
และวันนี้มาปิดท้ายด้วยเรื่อง "สานฝันนิรันดร"


สิ่งที่ค่อยๆซึมซับงานเขียนของคุณบุหรงใน 5 วันนี้คือ ความเต็มอิ่ม อยู่ในใจ  :กอด1:
ความเต็มอิ่ม ที่ไม่ต้องลงเอยด้วยดี ถึงจะไม่สมหวัง ... แต่ทุกๆรายละเอียดกับทำให้รู้สึกดี
เพราะคุณบุหรงถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศให้เข้าใจและจินตนาการตามไปได้อย่างชัดเจนมากเลย
ทุกเรื่องมีรายละเอียดที่ต่างกันมาก มีเสน่ห์ที่ดึงดูดต่างกัน ... จะว่าไป ก็เอาไปทำเป็นหนังได้ ทุกเรื่องเลยนะคะเนี่ย
อ่านด้วยอารมณ์ว่า ดูหนังแฟนตาซี ตลอดเลยค่ะ

ขอ +1ให้ และ ขอเกาะติดผลงานด้วยอีกคนนะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 17-08-2009 21:08:10
บทที่ ๓๙

“แย่จริงๆเลยนะพี่ ไม่มาทำงานก็ไม่ยอมโทรศัพท์มาบอกเหตุผล จู่ๆก็หายไปซะทั้งคู่”
ภูริทัตไม่ตอบ เพียงแต่เหลือบสายตามองดูชายหนุ่มรุ่นน้อง อย่างเบื่อหน่ายเพียงแว่บเดียว แล้วก็เบือนสายตากลับมายังจานข้าวราดแกงตรงหน้าเหมือนเดิม
“นี่ยังดีนะ ยังมีปูอยู่อีกคน ไม่งั้นพี่ทัตนั่งกินข้าวคนเดียว เหงาแย่เลย” กรกฏพยายามพูด ให้อีกฝ่ายคิดกับเขาในแง่ดี ในแบบที่คิดว่า จะทำให้ภูริทัตสนใจเขามากขึ้น
“ที่นี่พี่ไม่ได้มีเพื่อนอยู่แค่เจ้าชากับเจ้าสรรค์หรอกนะ ความจริงก็มีหลายคนที่เค้าจะมานั่งกินข้าวด้วยกันกับพี่ แต่พอเค้าเห็นปู เค้าก็ไปนั่งที่อื่นกันหมด” พูดจบภูริทัตก็รวบช้อนส้อม ลุกออกจากโต๊ะไปทันที ทิ้งให้กรกฏนั่งอยู่คนเดียวด้วยความงุนงง ว่าที่ภูริทัตพูดนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่

ตลอดบ่าย ภูริทัตทำงานด้วยความหงุดหงิด เขาพยายามติดต่อกับเพื่อนทั้งสองคน ทางโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์ที่บ้านของรังสรรค์ และโทรศัพท์ที่คอนโดของปรีชา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พองานเลิกชายหนุ่มนั่งรถแทกซี่ไปยังคอนโดของปรีชา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่หลังจากที่กดกริ่งเรียกอยู่หน้าประตูพักใหญ่ๆ ก็ไม่มีคนเปิดประตู เขาจึงเปลี่ยนที่หมายเป็นบ้านหลังเล็กๆชานเมืองของรังสรรค์ แต่ก็ไม่พบใครอีกเช่นกัน ภูริทัตรู้สึกกังวลใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียกรถแทกซี่ตรงไปหาคนที่เขาคิดว่า น่าจะเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่เขาได้มากที่สุดในยามนี้

“อะไรนะ ไม่อยู่เหรอ”
“ครับ ไม่อยู่” ทรงเดชตอบเสียงเรียบๆ แต่ในใจนั้นนึกขันในท่าทางลุกลี้ลุกลนของภูริทัต ... อะไรจะคิดถึงมากมายขนาดนี้ ... ทรงเดชอดคิดไม่ได้
“แล้วไปไหนล่ะนี่มันก็ค่ำแล้ว ยังไม่กลับอีกเหรอ”
“คุณสเตฟานไปออสเตรเลียครับ คงจะกลับพรุ่งนี้ คุณไม่ต้องกลุ้มไปหรอกครับ” ทรงเดชยกมือขึ้นตบไหล่ของภูริทัตเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ “อีกไม่กี่วันก็วันหยุดแล้ว เดี๋ยวผมเตรียมโปรแกรมเที่ยวดีๆไว้ให้คุณสองคนเอง ไม่ต้องกลุ้มใจขนาดนี้หรอกครับ”
“ผมไม่ได้กลุ้มเรื่องได้เที่ยว หรือไม่ได้เที่ยวหรอกนะ” ภูริทัตพูดเสียงห้วน “ผมกลุ้มเรื่องเจ้าสรรค์กับเจ้าชามันตะหาก จู่ๆก็ไม่มาทำงาน” พูดจบก็ถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนหายอึดอัดไปบ้าง ที่ได้พูดออกไป
“ไม่มาทำงาน” ทรงเดชทวนคำ “ไม่สบายกันรึเปล่าครับ”
“ไม่น่าใช่ ... โทรศัพท์ติดต่อก็ไม่ได้ ผมไปตามหาถึงบ้านทั้งคู่ ก็ไม่เจอ ไม่รู้หายกันไปไหน” ภูริทัตพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“แปลก ... จู่ๆจะหายไปไหนได้” ทรงเดชยกมือขึ้นกอดอก พูดอย่างใช้ความคิด “ก่อนหน้านี้มีอะไรผิดปรกติรึเปล่าครับ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ แต่...เดี๋ยวนะครับ” ภูริทัตเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อวานนี้เหมือนเจ้าชาจะใจลอยผิดปรกติ ตอนเย็นก็ชวนเข้าสรรค์ไปด้วยกัน”
“ไปไหนเหรอครับ” ทรงเดชถามโพล่งขึ้นมา
“ไม่รู้สิ ผมถามเจ้าชา มันก็ไม่ยอมบอก แถมยังทำท่าเหมือนไม่อยากให้ผมไปด้วยซะอีก ทั้งๆที่ทุกครั้งมีอะไร มันจะชวนทั้งเจ้าสรรค์แล้วก็ผมให้ไปด้วยกัน แล้วพอวันนี้ก็ไม่มาทำงานกันทั้งคู่ ... หรือว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ” ทรงเดชพูดพลางนิ่งคิด แล้วเหมือนจะคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมว่าพวกเรารอดูพรุ่งนี้อีกสักวัน ไม่แน่นะครับ พรุ่งนี้ก็คงมาทำงานเป็นปรกติ” ทรงเดชพยายามบังคับตัวเองให้พูดเป็นปรกติ ทั้งๆที่ในใจกำลังวิตก
“อืม ... เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ภูริทัตตอบหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกันครับ”
“คุณทัตทำใจให้สบายๆเถอะ สองคนนั้นอาจจะไปธุระกันที่ไหน แล้วกำลังเดินทางกลับกันอยู่ ผมว่าตายยากครับ โดยเฉพาะคุณรังสรรค์น่ะ”ทรงเดชพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตา เหมือนกำลังพูดเรื่องตลก
“นั่นสินะครับ ผมก็หวังว่าคงไม่เป็นอะไร”
..................................................................................
..............................................
ภูริทัตนั่งอยู่บนขอบเตียง คิดถึงบทสนทนากับทรงเดชเมื่อตอนเย็น แล้วคิดย้อนไปถึงตอนที่ได้รู้จักกันในช่วงแรกๆ เขารู้สึกไม่ค่อยชอบท่าทางกวนๆของชายหนุ่มเลยในตอนนั้น แต่พอได้รู้จักกันนานเข้า กลับรู้สึกว่า ทรงเดชมีส่วนคล้ายคลึงกับรังสรรค์อยู่ไม่น้อย ถึงแม้การแสดงออกจะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทั้งสองคนมักมีวิธีการที่ทำให้คนรอบข้างสบายใจอยู่เสมอ

คิดแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ภูริทัตยกมือขึ้นจับอัญมณีสีเขียวมรกต ที่ร้อยอยู่กับสร้อยคอทองคำขึ้นมาจ้องมองดู ประกายสีเขียวสดสะท้อนวูบวาบ ราวกับจะล้อเล่นกับแสงไฟ ทำให้เขาคิดถึงดวงตาสีเขียวมรกตของคนที่มอบอัญมณีนี้แก่เขา
“สานฝัน ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่นะ”
..................................................................................
..............................................
สเตฟานยิ้มน้อยๆ รับรู้ได้ถึงความรักและความคิดถึง ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงที่ส่งมาในดวงจิต ซึ่งส่งผ่านมาสู่'อัญมณี' ที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยบนลำคอ ใบหน้าที่เงยขึ้นมองดูดวงจันทร์บนท้องฟ้า ค่อยๆก้มลงมองดูกองฝุ่นกองโตบนพื้นหญ้า ในป่าโปร่งยามราตรี ถึงจะไม่มีแสงจันทร์เช่นคืนนี้ เขาก็ยังคงมองเห็นทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัดอยู่ดี สเตฟานสูดลมหายใจลึกๆ แล้วกระแสพลังแห่งชีวิตจากต้นไม้รอบข้าง ก็เริ่มไหลรินเข้าไปในร่างกาย การเดินของกระแสพลังนั้นทำให้เกิดกระแสลมอ่อนๆ ทำให้กองฝุ่นนั้นค่อยๆกระจายไปกับกระแสลมทีละน้อย ทีละน้อย จนหมดไป
“ก็เหลือเพียงเท่านี้ ไม่ว่าพืช สัตว์ มนุษย์ หรือแม้กระทั่งเหล่าแวมไพร์ ไม่ว่าจะมีชีวิตยืนยาวสักแค่ไหน ไม่ว่าจะยากจนหรือมั่งมี ไม่ว่าในยามมีชีวิตจะมีทุกข์มีสุข สุดท้าย ก็กลายต้องสูญสลายไปอยู่ดี” สเตฟานพูดเสียงแผ่วเบา

ดวงตาสีเขียวมรกตทอแววปวดร้าวขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วกลับสู่แววนิ่งสงบ พร้อมๆกับการหยุดของดูดซึมกระแสพลังแห่งชีวิตรอบข้าง สเตฟานเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อีกครั้ง
“ผมไม่ยอมให้พวกนั้นทำอันตรายต่อคุณได้เด็ดขาด ผมจะปกป้องคุณเอง ผมจะปกป้องคุณ และคนที่คุณรัก”
เสียงพูดค่อยๆแผ่วเบาลงพร้อมกับร่างที่ค่อยๆเลือนลาง ราวกับจะละลายกลืนหายไปกับอากาศ แล้วสุดท้ายร่างของสเตฟานก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
..................................................................................
..............................................
เวลาเช้าตรู่ แต่ภายในห้องที่มีผ้าม่านหนาหนักปิดมิดชิด หลังผ้าม่านยังมีแผ่นเหล็กกั้นไว้อีกชั้น ทำให้แสงของดวงอาทิตย์จากภายนอกที่ค่อยๆสาดแสงแรงขึ้น ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้เลย สเตฟานนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวยาว จิบไวน์ในแก้วช้าๆ ขณะที่รับฟังทรงเดชเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากภูริทัต
“คุณว่า ทั้งสองคนจะถูกพวกนั้นจับไปรึเปล่า” ทรงเดชถามด้วยความกังวล
“อาจจะเป็นไปได้” สเตฟานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ทางทีดี ขอให้มันเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี”
“อ้าว ... ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ” ทรงเดชโวยวาย “นี่คุณไม่ห่วงพวกเค้าเลยเหรอครับ สองคนนั้นน่ะ เพื่อนคุณทัตนะ”
สเตฟานหันมามองหน้าเห็นใบหน้าแสดงอาการไม่พอใจของทรงเดช แล้วก็ต้องยิ้มน้อยๆ
“เพราะถ้าสองคนนั้นถูกจับตัวไปจริงล่ะก็ พวกเขาจะปลอดภัยแน่ๆ”
“ทำไมละครับ ผมว่ามันอันตรายมากกว่า ถ้าเกิดพวกนั้น ... พวกนั้น ... เอ้อ” ทรงเดชอึกอัก จนสเตฟานต้องส่ายหน้าช้าๆ
“คุณลองคิดดู ถ้าพวกนั้นจับตัวทั้งสองคนไป พวกเค้าต้องการอะไร” สเตฟานยังคงมีรอยยิ้มบางๆอยู่บนใบหน้า
“ที่พวกนั้นต้องการ ก็ต้องเป็นคุณน่ะสิ ... ไม่น่าถาม” ทรงเดชตอบออกมาในทันที แล้วก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “หรือว่า...”
“ใช่ ... คนพวกนั้นต้องใช้ทั้งสองคนเป็นตัวล่อให้ผมไปหา ดังนั้นจะต้องไม่ทำอะไรทั้งสองคนนั้นเด็ดขาด นอกจาก ...” หัวคิ้วของสเตฟานขมวดขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วก็กลับไปเป็นปรกติ
“นอกจากอะไรเหรอครับ” ทรงเดชยื่นหน้าถามด้วยความอยากรู้
“นอกจากเค้าจะใช้ทั้งสองคนนั้น ตามไปจนถึงตัวภูริทัตอีกทีหนึ่ง แต่นั่นคงต้องใช้เวลาอีก ๒-๓ วัน” พูดแล้วสเตฟานก็อดหัวเราะเบาๆไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงความสงสัยของทรงเดช “เอาเป็นว่าผมพอจะรู้นิสัยของโจชัวร์ดี พอจะนึกออกว่าเขาจะทำอะไรกับคนทั้งสองบ้าง ตอนนี้คุณวางใจได้ ว่าคนทั้งสองจะปลอดภัยถ้าอยู่ในมือของคนพวกนั้น แล้วผมจะจัดการช่วยพวกเขาออกมาเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมก็เบาใจ” ทรงเดชทำสีหน้าเหมือนโล่งอก “ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานต่อนะครับ คุณก็ดูเพลียๆ พักผ่อนหน่อยคงจะดีนะครับ”
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง หลายวันนี้ ‘งาน’ ของผมมีเยอะเหลือเกิน นี่ผมคงต้องไปอีกแล้ว เสร็จจากครั้งนี้ผมคงต้องพักสักหน่อย อย่าให้ใครมากวนผมจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เย็นแล้วกันนะ”
“แม้แต่คุณทัตเหรอครับ” ทรงเดชทำหน้าล้อเลียน
“คุณหาข้อแก้ตัวให้ผมด้วยแล้วกัน” สเตฟานตอบยิ้มๆ
ทรงเดชมองแล้วก็ต้องปิดปากหัวเราะ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อเห็นว่าใบหน้าสีขาวอมชมพูของสเตฟาน เริ่มเป็นสีชมพูเข้มขึ้น แต่เมื่อทรงเดชออกไปแล้ว คิ้วของสเตฟานกลับขมวดมุ่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นแววกังวล ก่อนที่ร่างจะค่อยๆเลือนหายไปจากห้องนั้น
..................................................................................
..............................................
“ข้ามาหาเจ้าแล้ว ตามที่เจ้าเรียกหา” เสียงที่ฟังดูอ่อนโยน ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองดู คนที่จู่ๆก็ปรากฏตัว มายืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้โยกซึ่งหล่อนนั่งอยู่
“ท่านคือ ...” หญิงชราถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ข้าคือคนที่เจ้าเรียกหา คนที่เจ้าต้องการพบ คนที่จะมอบความหลุดพ้นให้แก้เจ้า” เสียงนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า ทำให้หญิงชราเหม่อมองด้วยความแปลกใจ
“ท่านไม่เหมือนกับที่ข้าเคยได้ยินมา” ไม่มีคำพูดจากชายหนุ่มตรงหน้า นอกจากรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมไปด้วยไมตรี “ท่านควรเป็นชายชราผู้หนึ่ง ชายชราที่ดุดันและแข็งกร้าว ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ทั้งอ่อนโยน และงดงามเช่นนี้ แต่...” หญิงชราชะงักเล็กน้อย เมื่อมองเห็นแววตาสีเขียวมรกต เริ่มเปล่งประกายเรืองรอง “อา ... กรีนอายส์ ท่านคือกรีนอายส์จริงๆ มีแต่กรีนอายส์ ที่มีดวงตาเช่นนี้” เสียงของหญิงชราสั่นเครือ
“ใช่แล้ว ข้าคือกรีนอายส์ ถึงจะไม่เหมือนที่ท่านเคยได้รับรู้ แต่ข้าคือกรีนอายส์ที่แท้จริง กรีนอายส์ผู้จะนำเจ้าให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ที่แบกรับมาอย่างยาวนาน” ชายหนุ่มพูดพลางคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงชรา “มาเถิด ดื่มเอาโลหิตของข้าไป แล้วเจ้าจะได้สมปรารถนา”

หญิงชราโผร่างเข้าหาชายหนุ่มที่ขยับร่างเข้ามาใกล้ เผยอริมฝีปากขึ้นช้าๆ ทำให้มองเห็นเขี้ยวขาวแวววาว ยาว และแหลมคม ก่อนจะค่อยๆฝังมันลงไปบนต้นคอของชายหนุ่ม แล้วค่อยๆดูดกินลือดของของชายหนุ่ม ลงสู่ลำคออย่างช้าๆ

เลือดของกรีนอายส์ ... เลือดที่จะทำให้ความปรารถนาของหล่อนเป็นจริง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 17-08-2009 21:34:57
และแล้วดวงจิตของแวมไพร์จึงถูกปลดเปลื้องเสียที  เฮ้ออออออ  :กอด1:  :z2:



อยากให้จบแบบ แฮ้ปปี้แอนด์ดิ้งจัง  :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 17-08-2009 23:56:26
ภาระของสเตฟานช่างยิ่งใหญ่นัก
แล้วภาระหัวใจจะทำอย่างไรต่อไปหนอ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 18-08-2009 00:16:20
ดีใจที่คุณบุหรงกลับมาแล้วค่ะ  :mc4: (กลับเป็นเราที่งมโขงอยู่ไหนก็ม่ายรู้)

สเตฟานต้องคอยไปมอบวาระสุดท้ายให้กับชีวิตแวมไพร์ที่ต้องการหลุดพ้นทุกคนเลยเหรอ??? เหนื่อยน่าดูนะคะ

แล้วเหมือนโจชัวร์ทำให้รังสรรค์กลายเป็นแวมไพร์ไป แล้วงี้จะช่วยกลับมาเป็นปกติได้เหรอ??
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 19-08-2009 08:45:19
สเตฟานกลุ้มเรื่องไรอ่ะ

บอกด้วย ๆ ๆ ๆ ๆ

หุหุหุหุ

ขอบคุณนะครับที่มาต่อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 19-08-2009 09:10:40
ขอบคุณมากค่ะ ที่มาต่อ :mc4:

เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ o13
 :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 19-08-2009 11:44:39
อ้อ เลือดของกรีนอายส์นี่เอง ที่ทำให้แวมไพร์ตายได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 19-08-2009 14:11:58
สเตฟาน คนเดียวจะไหวมั้ยเนี่ย ฝ่ายตรงข้ามแต่ละคนดูท่าทางโหดใช่เล่น  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Seiki ที่ 20-08-2009 00:34:32

เลือดของกรีนอายส์ ... เลือดที่จะทำให้ความปรารถนาของหล่อนเป็นจริง

มันดีขนาดนั้นเลยหรอเลือดของ กรีนอายส์ ชักอยากดื่มมั้งแระ  :z1: เผื่อสิ่งที่ปรารถนาจะเป็นจริงกะเค้ามั้ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๓๘ - ๑๗ ส.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 20-08-2009 21:00:32
มาแล้วๆๆๆๆ

สาว่าเรื่องมันรวบรัดเหมือนจะตัดฉับเลยอ่ะ

รีบจบหรือคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 03-09-2009 21:01:18
บทที่ ๔๐

ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของตนเบาหวิว ราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศ ความอบอุ่นอย่างประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แต่ไม่นานมันก็เพิ่มมากขึ้นกลายเป็นความร้อนอบอ้าว จนทำให้ลำคอแห้งผาก ความกระหายอยากเริ่มก่อตัว จนทวีเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

... น้ำ ... ไม่
...ไม่ใช่

ชายหนุ่มบอกตนเอง สิ่งที่เขากระหายไม่ใช่น้ำ แต่เขาไม่สามารถบอกตนเองได้ว่า สิ่งที่เขาต้องการนั้นคือสิ่งใด ความกระหายอยากนั้นมีมากขึ้นจนต้องส่งเสียงครางอย่างแผ่วเบา และลืมตาขึ้นมาในที่สุด

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม คือชายหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่ง เขาพยายามยันตัวขึ้นนั่ง และทันทีที่เขาทรงกายได้ ก็โผร่างเข้าไปหาชายหนุ่มผู้นั้น เขี้ยวขาววาววับของเขาถูกฝังลงไปบนลำคอเนียนนุ่ม แล้วเขาก็ดูดดื่มสิ่งที่ไหลรินออกมานั้นลงไปในลำคอ ... ตามสัญชาติญาณที่เขารู้สึกว่ามันควรจะเป็นไปตามนั้น

หากเป็นในยามปรกติ ของเหลวนั้นคงจะมีกลิ่นคาวฉุนเฉียว และมีรสชาดที่ไม่น่าพึงใจ แต่ตอนนี้ มันกลับกลายเป็นกลิ่นที่หอมหวน และหอมหวานเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มดูดกินลงไปจนลำคอที่แห้งผากเริ่มชุ่มฉ่ำ และความโหยหิวเริ่มบรรเทา

“พอได้แล้ว” เสียงที่ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีอำนาจอย่างยิ่งดังขึ้น ร่างของเขาถูกผลักออกไป แล้วชายหนุ่มชาวเอเชียคนนั้น ก็ลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างเก้าอี้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนัก อีกด้านหนึ่งของเก้าอี้มีหญิงผิวคล้ำยืนอยู่ บนเก้าอี้นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มผิวขาวสะอาด ใบหน้าซึ่งเขารู้สึกว่างดงาม และคุ้นเคยเป็นยิ่งนัก
“นอนได้แล้ว ทาสของข้า” เสียงดังขึ้นจากชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ “ก่อนที่เจ้าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกลายเป็นทาสของข้าอย่างสมบูรณ์”
สิ้นเสียงสั่ง ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตนเองเกิดความง่วงงุนอย่างที่สุด จึงค่อยๆเอนตัวลงนอนเหมือนเดิม โดยที่ริมฝีปากยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่อย่างนั้น และไม่ได้สังเกตเลยว่า ข้างๆตัวมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากเขานัก

โจชัวร์มองดู ‘ทาส’ ใหม่ทั้งสองด้วยความพอใจ ตอนนี้ทาสของเขากำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายให้เป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน และเมื่อถึงตอนนั้น ... ตอนที่เขาสามรถควบคุมทาสหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ได้ โดยปราศจากการขัดขืน เมื่อนั้นเขาก็คงได้ในสิ่งที่เขาปรารถนามาเป็นเวลานานหลายร้อยปี
“สเตฟาน ... เจ้าต้องเป็นของข้า” โจชัวร์พึมพัมเบาๆ พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
แต่โจชัวร์ซึ่งกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง ไม่ได้สังเกตเลยว่าไลล่า ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง กำลังแสดงถึงอาการฮึดฮัดไม่พอใจ มีเพียงไป่เทียนเท่านั้น ที่เหลือบตามองไลล่าด้วยความไม่ไว้วางใจ

“เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่” ไป่เทียนกระซิบถาม เมื่อเข้ามาอยู่กันในสถานบันเทิง จุดหมายของคนทั้งสอง
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร” ไลล่าเลี่ยงที่จะสบสายตากับไป่เทียน
“อย่าปดข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ จะให้ข้าลองเดาดูไหม” ไป่เทียนจับคางของไลล่าให้มองมาทางเขา “เจ้ากำลังไม่พอใจ ที่สเตฟานจะกลับมา ใช่หรือไม่”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” ไลล่ายอมรับ
“แล้วยังมีอะไรอีก หรือว่า ...” ไป่เทียนยิ้มอย่างมีเลศนัย เปลี่ยนสายตาเป็นมองไปรอบๆ เพื่อมองหา ‘เหยื่อ’ ในคืนนี้ “เจ้ากำลังปรารถนาในตัวคนรักของสเตฟานล่ะสิ” ไป่เทียนหันกลับมาถามไลล่า
“ใช่” ไลล่าส่งเสียงลอดไรฟันออกมา “หรือเจ้าไม่เป็นอย่างข้า ข้ารู้นะ ... ข้าเห็นสายตาของเจ้า”
“หึ หึ” ไป่เทียนหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางยิ้มกริ่ม “อดใจไว้ไลล่า เจ้าจะได้สมหวังแน่ รวมทั้งข้าด้วย ... พวกเราจะได้เสพสุขจากชายหนุ่มผู้นั้นด้วยกันแน่ๆ อดใจซะหน่อยสิ อย่าให้ความต้องการของเจ้า ทำให้เสียเรื่องสำคัญของนายท่าน”
“เจ้าคิดว่าข้าจะได้สมปรารถนางั้นเหรอ” ไลล่า ถามด้วยความตื่นเต้น “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น”
“นายท่านต้องการเพียงสเตฟานเท่านั้น เมื่อได้ตัวสเตฟานมา สองคนนั่นก็เป็นพวกเดียวกับเรา เป็นเหมือนพวกเรา ถึงตอนนั้นเจ้าจะเสพสุขอย่างไรก็ได้ ... รวมทั้งข้าด้วย”
ทั้งสองคนมองหน้ากันนิ่งสักครู่ แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพากันแยกย้ายไปหาจุดหมายที่ตนหมายตาไว้
.................................................................................
.........................................
“ทำไมคุณท่านถึงได้ดูใจเย็นนักล่ะครับ” ทรงศักดิ์เอ่ยปากถาม หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน
“เพราะผมมั่นใจน่ะสิ ว่าคนทั้งสองอยู่กับโจชัวร์แล้ว” สเตฟานตอบ พลางหมุนแก้วเหล้าองุ่นในมือช้าๆ
“แล้วโจชัวร์นั่นก็จะไม่ทำร้ายคุณปรีชา กับคุณรังสรรค์ แน่ๆเหรอครับ” ทรงเดชถามขึ้นบ้าง
ทรงเดชเป็นคนโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องต่างๆให้ปู่ของเขาได้รับรู้เมื่อช่วงบ่าย แล้วเย็นนั้นเอง ทรงศักดิ์ก็เข้าพบกับสเตฟานในห้องพักพิเศษ พร้อมกับทรงเดช
“ผมบอกคุณแล้วไง เป้าหมายของเขาคือผม” สเตฟานยิ้มน้อยๆ “เค้าต้องใช้ทั้งสองคนนั้นล่อให้ผมไปหา ไม่มีทางหรอกที่เค้าจะทำร้ายคนทั้งสอง”
“แต่ผมกังวลว่า..” ทรงศักดิ์อึกอัก “เอ้อ...”
“พูดมาเถอะ” สเตฟานวางแก้วลงบนโต๊ะ จ้องมองเข้าไปในสายตาของชายชรา
“ผมกลัวว่า ถ้าโจชัวร์ทำให้พวกเค้ากลายเป็น เอ้อ ...”
“แวมไพร์” สเตฟานต่อคำที่ทรงศักดิ์ไม่กล้าพูด
“อะไรนะครับ เป็นแวมไพร์” ทรงเดชพูดอย่างตกใจ “อย่างนั้นก็แย่สิครับ”
“เรื่องนั้นผมก็คิดไว้แล้ว” สเตฟานยังคงพูดช้าๆอย่างมั่นใจ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มน้อยๆ “พวกคุณลืมไปหรือเปล่า ว่าผมแตกต่างจาแวมไพร์ตนอื่นตรงไหน”
“กรีนส์อายส์” ทรงศักดิ์พูดเน้นทีละคำ “แวมไพร์เพียงหนึ่งเดียว ที่มีพลังเหนือแวมไพร์ตนอื่น”
“จริงสิ คุณเป็นแวมไพร์คิลเลอร์ ... แวมไพร์ผู้ฆ่าแวมไพร์” ทรงเดชเสริมด้วยท่างทางติดตลก แต่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้า เมื่อคิดได้ถึงพลังของกรีนอายส์ ... พลังในการนำพาแวมไพร์ไปสู่การสูญสิ้น ... นำพาไปสู่ความตาย
“แวมไพร์คิลเลอร์เหรอ คุณนี่ช่างสรรค์หาคำนะ” สเตฟานพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ “ผมคงพูดอะไรให้พวกคุณเข้าใจผิดเสียแล้ว ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขาหรอกนะ”
“แต่คุณท่านเคยบอกว่า คุณท่านสามารถทำให้แวมไพร์หมดความเป็นอมตะ และตายได้อย่างมนุษย์” ทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนจะแย้ง
“ใช่ ผมทำอย่างนั้นได้จริงๆ แต่ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขา” สเตฟานย้ำอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไงครับ คุณพูดให้มันกระจ่างหน่อยดีกว่า” ทรงเดชถามอย่างสงสัย
“ที่ผมเคยบอก มันก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมคงบอกสั้นไปหน่อย” สเตฟานสูดหายใจลึกๆก่อนจะพูดต่อ “การที่แวมไพร์หมดความอมตะ นั่นก็คือกลับคืนมาสู่ความเป็นมนุษย์ นั่นเอง”
สองปู่หลานหันมาสบตากันด้วยความงุนงง แล้วก็หันไปมองสเตฟานอย่างต้องการคำอธิบาย
“การคืนความเป็นมนุษย์ให้ ย่อมทำให้แวมไพร์กลับคืนสู่อายุที่แท้จริงของมนุษย์ด้วย” สเตฟานบอกต่อช้าๆ “พวกคุณพอจะนึกออกหรือยัง มนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอายุจากเพียง ๙๐ หรือ ร้อยปี มาเป็นมนุษย์ที่มีอายุหลายร้อย หรือหลายพันปีด้วยความรวดเร็ว จะมีสภาพอย่างไร”
ทรงเดชรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เมื่อภาพจากหนังหลายเรื่องที่เขาเคยดู ผุดขึ้นมาในความคิด
“คุณกำลังนึกภาพนั้นอยู่ล่ะสิ” สเตฟานถามเบาๆ
ทรงเดชสบตากับสเตฟาน ก็มองเห็นแววตาที่สงบนิ่ง น่าแปลก แววตานั้นทำให้จิตใจที่กำลังแตกตื่นของเขาสงบลงได้อย่างประหลาด
“คนตาย กว่าจะสลายกลายเป็นฝุ่น คงกินเวลาหลายสิบ หรือหลายร้อยปี แต่มันกลายเป็นภาพของการเปลี่ยนแปลงภายในเวลาไม่กี่วินาที เมื่ออยู่ต่อหน้าผม”
ทรงเดชฟังแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย หันไปมองหน้าทรงศักดิ์ ก็พบกับสายตาที่กำลังมองมาด้วยแววตาปลอบประโลม
“คุณคงคิดว่ามันน่ากลัวมากล่ะสิ ผมพอจะเข้าใจ เพราะผมเคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน” แววตาของสเตฟานเหมือนกับกำลังเหม่อลอย เหมือนกำลังระลึกถึงเรื่องราวในครั้งอดีต “แต่เมื่อผมเห็นมันบ่อยครั้งเข้า มันกลายเป็นภาพธรรมดาสำหรับผมเสียแล้ว หึ หึ...”
เสียงแค่นหัวเราะของสเตฟาน ทำให้ทรงศักดิ์และทรงเดชมองดูเขาด้วยความสงสัยอีกครั้ง แต่สเตฟานก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ จนทรงเดชรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง

“เย็นนี้ภูริทัตอาจจะมาหาผม พวกคุณก็คอยต้อนรับด้วยแล้วกัน ผมจะไปทำธุระบางอย่างเสียก่อน คงกลับมาไม่ดึกนัก เอาเป็นว่าผมจะกลับมาก่อนสามทุ่มแล้วกัน”

ทรงศักดิ์และทรงเดชออกไปแล้ว สเตฟานเดินถือแก้วไปยังบาร์เล็กๆภายในห้อง ยกขวดไวน์แล้วรินไวน์ลงไปค่อนแก้ว ยกขึ้นจิบช้าๆ
“แวมไพร์คิลเลอร์เหรอ ... คำนั้นคงจะเหมาะกับผมเหมือนกัน ถ้าผมเลือกจะเป็นแบบนั้น” สเตฟานพูดเบาๆแล้วหัวเราะในลำคอ เดินกลับมานั่งชุดเก้าอี้โซฟา แล้วยื่นมือไปแตะดอกกุหลาบในแจกันบนโต๊ะ เพียงวูบเดียวเท่านั้น ดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งงดงาม กลับเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว จนกลีบดอกและใบหลุดร่วงลงบนโต๊ะ

พลังชีวิตอันน้อยนิดของกุหลาบดอกนั้น ถูกดูดซึมเข้าไปในมือของสเตฟาน เมื่อพลังชีวิตหมดไป กุหลาบจึงแห้งเหี่ยว
พลังของกรีนอายส์ในการดูดพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตรอบตัว มาเป็นพลังชีวิตของตนเอง เหมือนกับแวมไพร์ที่ต้องดูดเลือดของมนุษย์
ไม่ใช่เพียงแค่พืช ... ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิต เขาก็ใช้พลังของเขาสูบพลังชีวิตนั้นมาได้เช่นเดียวกัน
หากเขาใช้พลังนี้กับแวมไพร์เล่า .... แวมไพร์ตนนั้นก็คงเหมือนกุหลาบดอกนี้
แต่มันคงโหดร้ายเกินไปที่จะให้เป็นเช่นนั้น
ไม่ว่ามนุษย์ หรือแวมไพร์ เมื่อถึงวาระสุดท้าย คงต้องการจากไปอย่างมีความสุขตามเวลาอันสมควรมากกว่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 03-09-2009 21:29:08
^^
^^
จิ้มตั้ม หายไปนานเลยนะครับ ยินดีต้อนรับกลับเล้า

เรื่องกำลังดำเนินด้วยความเข้มข้น

เป็นกำลังใจให้นะครับ +1 ให้ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 03-09-2009 21:42:30
+1 ต้อนรับการกลับมาครับ
เรื่องดำเนินมาถึงจุดที่เข้มข้นที่สุดจุดนึงแล้ว
สิ่งที่แต่ละคนต่างแบกรับ ดูหนักหนาไม่ต่างกัน
หากต่างกันก็เพียงแค่จุดประสงค์ความมุ่งหมาย
แล้วจะรออ่านต่อ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 03-09-2009 21:54:19
welcome back คับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-09-2009 00:06:56
ยิ่งอ่านยิ่งมัน  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-09-2009 01:29:11
ตื่นเต้นได้ตลอดเลย
ยิ่งใกล้ปลายทาง(มั้ง) ยิ่งลุ้น
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 04-09-2009 12:30:16
สเตฟาน ไม่น่ารักแล้วอ่ะ

ฟังดูทั้งเศร้าและดูน่ากลัวในเวลเดียวกันเลย


ปล. ผู้แต่ง ทักบ้างนะคะ ไม่สบายหรือเปนไรหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 04-09-2009 21:54:54
หึหึหึ  แล้วสะเตฟานม่ายเอา  พระเอกไปทำเวมไพร์ด้วยเหรอครับ จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจาพบกานเวลาไหนนนน

 :oo1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 04-09-2009 23:12:15
พลังการฆ่าการเป็นแวมไพร์นี่เอง...เลยทำให้สเตฟานไม่ค่อยกังวล...อืมๆ

เหมือนไคลแมกซ์จะเข้ามาใกล้ทุกทีๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๐ - ๓ ก.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 06-09-2009 02:40:28
มาติดตามและให้กำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 02-10-2009 18:58:17
บทที่ ๔๑

แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมแทนที่ แต่ถนนสายนี้กลับยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ จากหลอดไฟที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ในขณะที่ผู้คนมากมายต่างพากันกลับเข้าสู่ที่พัก เพื่อพักผ่อนหลังการทำงานมาทั้งวัน ถนนสายนี้กลับเริ่มมีผู้คนทยอยเดินทางเข้ามา เพื่อจะเริ่ม ‘งาน’ ของพวกเขา และผู้คนที่มายังถนนสายนี้ด้วยจุดประสงค์ต่างๆกัน ถนนสายนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้นด้วยผู้คนในยามค่ำคืน

ไป่เทียนเดินผิวปาก ดวงตาก็สอดส่ายหาเป้าหมายที่เขาต้องการ ความจริงเขาชอบที่จะออกมาในยามวิกาลมากกว่านี้ แต่วันนี้เขาจำเป็นต้องนำ ‘อาหาร’ ไปให้กับสมาชิกใหม่ แล้วต้องกลับออกมาหา ‘อาหาร’ ให้กับตัวเองอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องออกมาตั้งแต่หัวค่ำ ไป่เทียนเดินอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชายที่นิยมชมชอบในความเป็นชายด้วยกัน ผู้คนในบาร์ยังน้อยอยู่ มีคนนั่งดื่มอยู่เพียงไม่กี่คน และในหมู่คนเหล่านั้น ก็ยังไม่น่าดึงดูดใจเท่าที่ควร เขาคิดว่าทอดเวลาไปอีกสักหน่อย เผื่อว่าจะมีคนที่ถูกใจเขามากกว่านี้ ไป่เทียนคอยเหลือบมองดูบานประตูเป็นพักๆ หวังไว้ในใจว่า คนที่จะเปิดประตูเข้ามาเป็นคนต่อไป น่าจะทำให้เขาตัดสินใจได้เสียที แล้วเขาก็ถึงกับใจเต้นระทึกเมื่อบานประตูถูกเปิดออก พร้อมกับการก้าวเข้ามาของชายหนุ่ม

เสื้อเชิตสีเขียวเข้ม เนื้อผ้าทอประกายราวกับปีกแมลงทับ กับกางเกงสีน้ำตาลเข้ม ทำให้ไป่เทียนสะดุดตาตั้งแต่ร่างนั้นก้าวเข้ามาในบาร์ แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาตื่นเต้นเท่ากับผิวขาวอมชมพูที่เนียนละเอียด เรือนผมสีทองส่องประกาย และใบหน้าที่ระบายยิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยน ผิดกับสีหน้าดุดัน แข็งกร้าวที่เขาเห็นอยู่เป็นนิจ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เหมือนมีอำนาจบางอย่าสะกดให้เขาจ้องมอง จนไม่คิดที่จะส่งสัญญาณบอกแก่ผู้เป็น ‘นาย’ ว่าเขาพบกับใคร จนกระทั่งชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามานั่งอยู่ข้างเขานั่นแหละ ไป่เทียนจึงได้สติขึ้นบ้าง

“เราพบกันอีกแล้วนะ” สเตฟานทักทายเบาๆ

เสียงนุ่มๆ กับรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำให้ไป่เทียนอดจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตไม่ได้ แต่เมื่อดวงตาของเขาสบเข้ากับดวงตาคู่นั้น ราวกับดวงตาสีเขียวมรกตของฝ่ายตรงข้ามดึงดูดเขาให้ตกอยู่ในภวังค์ ไม่อาจรับรู้และไม่อาจบังคับตนให้ตอบคำถาม ที่สเตฟานถามออกมาทีละคำถาม และเมื่อสติกลับมาอีกครั้ง ก็ไม่พบกับร่างของสเตฟานเสียแล้ว
.................................................................
.............................
“คุณทัตไม่ได้แวะมาที่นี่ครับ” ทรงเดชรีบบอกทันทีที่สเตฟานก้าวเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“ผมรู้แล้ว” สเตฟานตอบพลางนั่งลงไปบนเก้าอี้โซฟา “แล้วผมยังรู้อีกว่า สองคนนั้นอยู่ที่ไหน”
“เหรอครับ” ทรงเดชทำตาโต ลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งข้างๆสเตฟานที่โซฟา
“ทั้งสองคนอยู่กับโจชัวร์อย่างที่ผมคิด” พูดจบก็ต้องอมยิ้ม เมื่อมองเห็นหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของทรงเดช “แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว เพราะโจชัวร์เข้าใจผิดว่า รังสรรค์เป็นคนรักของผม เค้าคิดจะใช้รังสรรค์มาบีบบังคับผม”
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ” ทรงเดชถามด้วยความกังวล
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมช่วยพวกเค้าได้ แต่ตอนนี้ผมต้องการของอย่างหนึ่ง” คราวนี้สีหน้าของสเตฟานบ่งบอกถึงความกังวล
“ของอะไรครับ สงสัยมันคงหายากน่าดู คุณถึงดูกังวลใจแบบนี้”
“หาไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าผมให้ภูริทัตไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะบอกเขายังไงดี ถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ของสิ่งนั้น”
“อะไรเหรอครับ”
“กรีนอายส์” สเตฟานพูดพลางดึงสร้อยคอออกมาให้พ้นจากคอเสื้อ ทรงเดชมองตามก็เห็นว่ามีอัญมณีสีเขียวร้อยอยู่กับสายสร้อย
“อ้าว ... คุณก็มีนี่ครับ แล้วทำไมต้องไปเอามาจากคุณทัตอีกล่ะครับ”
“กรีนอายส์มีอยู่สอง หนี่งชิ้นต่อหนึ่งชีวิต” สเตฟานพูดช้าๆ พลางชูอัญมณีนั้นขึ้นมาจ้องมองแน่วนิ่ง “คนที่ผมต้องช่วยมีอยู่สองคน”
“คุณก็เลยต้องใช้กรีนอายส์อีกชิ้นหนึ่ง ที่อยู่กับคุณทัต” ทรงเดชพูดแทรกขึ้นมา “แต่คุณเคยบอกว่า คุณสามารถทำให้แวมไพร์กลายเป็นมนุษย์ได้ แล้วทำไมคุณต้องใช้กรีนอายส์อีกล่ะ”
สเตฟานละสายตาจากอัญมณีในมือ ยิ้มน้อยๆให้กับทรงเดช
“สำหรับคนที่เป็นแวมไพร์มาเป็นเวลานาน ผมก็คงใช้วิธีเดิม แต่รังสรรค์และปรีชา เพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ถ้าผมใช้วิธีนั้นทั้งสองคนอาจจะกลายเป็นเหมือนผม”
“ยังไงครับ” ทรงเดชถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมฟังแล้วก็ งง งง”
“เอาเป็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้กรีนอายส์ทั้งสองชิ้นก็แล้วกัน อีกอย่าง” สเตฟานหยุดพูด จ้องมองทรงเดชด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมคงต้องขอแรงคุณด้วย คุณกลัวที่จะไปเสี่ยงอันตรายกับผมไหม”
“ถามอะไรอย่างนั้นครับ” ทรงเดชหัวเราะเบาๆ “สองคนนั้นก็เป็นเพื่อนผมเหมือนกันนะครับ แล้วอีกอย่าง ผมเชื่อว่าคุณต้องปกป้องผมเต็มที่แน่ๆ”
.................................................................
.............................
“แล้วเจ้าบอกอะไรสเตฟานไปบ้าง” โจชัวร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถามด้วยเสียงราบเรียบ
“ข้า ... ข้า” ไป่เทียนตะกุกตะกัก “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นบอกอะไรออกไปบ้าง อย่างที่บอกว่าพอข้าเห็นสเตฟาน ก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย พอรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง สเตฟานก็จากไปแล้ว” พูดจบไป่เทียนก็ต้องก้มหน้าลง เพราะประกายตาของโจชัวร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
“มันจะเป็นไปได้ยังไง” ไลล่าย่นจมูก “อย่างสเตฟานน่ะเหรอ จะมีพลังขนาดที่สะกดแวมไพร์ด้วยกันได้”
“นั่นสิ มันคงต้องมีอะไรมากกว่านั้น” โจชัวร์พูดพลางครุ่นคิด ประกายตาสีแดงเริ่มอ่อนจางลง จนเปลี่ยนกลับคืนเป็นสีฟ้าเช่นเดิม
“ไม่น่าเป็นไปได้” ไลล่าซึ่งยืนอยู่ด้านข้างของเก้าอี้ที่โจชัวร์นั่งอยู่พูดพลางขมวดคิ้ว “สเตฟานไม่น่ามีพลังมากพอที่จะสะกดพวกเราได้ ถ้าเป็นคุณก็ว่าไปอย่าง เพราะคุณเป็น ‘ผู้สร้าง’ พวกเราขึ้นมา คุณย่อมมีพลังที่จะสะกดพวกเราได้” พูดแล้วก็หันไปมองหน้าของโจชัวร์
“นั่นสิ” โจชัวร์พยักหน้าเบาๆแสดงความเห็นด้วย “มันมีอะไรประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับสเตฟาน” ประกายตาของโจชัวร์เริ่มอ่อนลง และเปลี่ยนจากสีแดงเจิดจ้าเป็นสีฟ้าเช่นปรกติ “เริ่มจากที่ข้าไม่สามารถตามจิดของสเตฟานได้ หรือการหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเราเมื่อวันก่อน”

โจชัวร์เลื่อนสายตามองไปยังร่างทั้งสอง ที่ยืนสงบนิ่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเก้าอี้ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผิวค่อนข้างขาว อีกคนเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวสองสี ชายหนุ่มทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาค้างนิ่งกระทั่งเปลือกตายังไม่กระพริบ
“สเตฟานเป็นอะไรกันแน่ จงตอบมา ทาสของข้า” โจชัวร์ถามชายหนุ่มทั้งสอง
“สเตฟาน” ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าทวนชื่อนั้นออกมา พร้อมกับสีหน้าที่เริ่มมีรอยยิ้ม “งดงาม น่าหลงใหล” ชายหนุ่มพูดต่อ
“แต่น่าเสียดาย” ชายหนุ่มอีกคนพูดแทรก สีหน้าเหมือนจะมีแววหม่นหมองลงเล็กน้อย
“เสียดายอะไร” โจชัวร์ถาม
“เสียดายที่กลายเป็นคนรักของเจ้าทัต ไม่อย่างนั้น ...” ชายหนุ่มผิวคล้ำตอบ
“เจ้าทัต” โจชัวร์พูดขัดขึ้น ในขณะที่ไป่เทียนและไลล่าต่างหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย “ใครคือเจ้าทัต” โจชัวร์ถามเสียงเข้ม
“ภูริทัต เพื่อนของพวกเรา และเป็นคนรักของสเตฟาน” เสียงตอบจากชายหนุ่มผิวขาว
“อะไรนะ” โจชัวร์เค้นเสียง “หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนรักของสเตฟานหรอกรึ”
“ไม่ใช่ สำหรับสเตฟานพวกเราเป็นเพียงเพื่อน คนรักของสเตฟานคือภูริทัต” คนร่างสูงเป็นคนตอบ
ดวงตาของโจชัวร์เริ่มส่องประกายแวววาว และเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ภูริทัต” โจชัวร์เรียกชื่อนั้นด้วยเสียงที่เค้นออกมา ผ่านไรฟันที่ถูกขบจนกรามนูนเป็นสัน
...................................................................
...............................
กิ๊งก่อง~~~~
เสียงกริ่งดังขึ้น แล้วก็ดังขึ้นอีกเป็นระยะๆ ทำให้ภูริทัตต้องลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด
“ใครวะ มาดึกๆดื่นๆ กำลังจะหลับเชียว”
ถึงจะบ่นอย่างอารมณ์เสียแต่ก็ยังเดินไปเปิดไฟ และเปิดประตูออกไปจากห้องนอน เพื่อไปดูว่าใครกันที่มากดกริ่งอยู่หน้าบ้าน ระหว่างนั้นเสียงกริ่งก็ยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ
“มาแล้วครับ” ภูริทัตพูดไม่ดังนัก เมื่อเปิดประตูบ้านออกเดินตรงไปยังประตูรั้ว แล้วเมื่อชายหนุ่มมองเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ก็ต้องส่งเสียงด้วยความดีใจ
“ไอ้สรรค์ ไอ้ชา พวกเอ็งหายไปไหนมาวะ” พูดพลางเปิดประตูรั้วออก แล้วมองดูเพื่อนรักทั้งสองคนอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปรกติ
“เฮ้ย ... เป็นอะไรไปวะ” ภูริทัตถาม แต่ไม่มีคำตอบนอกจากอาการนิ่งเงียบ แล้วเมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดูเพื่อนทั้งสอง ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปรกติ “เป็นอะไรไปวะ หรือว่าไปโดนอะไรมา”
พูดพลางเอื้อมมือไปจับไหล่รังสรรค์ แต่ก็ยังไม่มีกิริยาโต้ตอบใดๆกลับมา
“เพื่อนของคุณไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อภูริทัตหันไปตามเสียง ก็เห็นว่าไม่ห่างนักมีรถคันหนึงจอดอยู่ ข้างรถยืนไว้ด้วยคนสามคน ชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าออกไปทางชาวเอเชีย กับหญิงสาวผิวคล้ำรูปร่างอวบอัด ยืนขนาบชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่
“สเตฟาน” ภูริทัตเรียก ก้าวเท้าออกเตรียมจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชัดเจนขึ้นว่า ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนที่ตนคิด “ไม่ใช่นี่ ... ใครกันล่ะ” ชายหนุ่มพูดเบาๆกับตัวเอง ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“สวัสดีครับ คุณภูริทัต” ชายหนุ่มคนนั้นส่งเสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณภูริทัต คนรักของสเตฟาน”
“คุณเป็นใคร” ภูริทัตถามออกไป รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ผมเป็นใครน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเริ่มสืบเท้าเดินเข้ามา พร้อมกับคนทั้งสองที่ขนาบข้างก็เริ่มสืบเท้าตาม “ผมชื่อโจชัวร์ ...โจชัวร์ ซึ่งเป็นทั้งเจ้านาย และคนรักของสเตฟาน”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-10-2009 20:04:20
 :z3: :z3:

ไมโจชัวร์ถึงภูริทัตก่อนสเตฟานล่ะ   o22 o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 02-10-2009 23:43:24
สเตฟานมัวแต่ไปทำอะไรอยู่
ทำไมไม่รีบมาปกป้องภูริทัตล่ะ
หรือว่ามีกรีนอายส์แล้วจะพอป้องกันตัวได้
บวก 1 แต้มเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หายไปนานเลย คนแต่งสบายดีมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 03-10-2009 00:42:48
ดีใจที่กลับมาค่า... :mc4:

อ่านตอนนี้แอบสงสัยสเตฟานจะใช้ ภูริทัตเป็นนกต่อ....ไม่น่านา....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 03-10-2009 16:35:47
กีสสสสสสสสสสสสสสส ลุ้นๆๆๆๆ ทัตจะเป็นไรไหมเนี่ย  สเตฟานทำไรอยู่ :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 03-10-2009 20:04:09
งานเข้าแล้ว ภูริทัต
ระดับตัวพ่อมาเองเลยที่นี่  :m29:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 03-10-2009 20:40:16
กรรม

เข้มข้น ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ

เอิ๊กกกก

รออ่านต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 05-10-2009 13:17:03
หายไปนานมาต่อแล้ว...ตื่นเต้นๆๆๆ ใกล้ถึงจุดแตกหักละสิ
มาพบตัวพระเอกแล้วนี่  :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] ตอนที่ ๔๑ - ๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-10-2009 14:59:07
 :z3: งานนี้สเตฟานเหนื่อยเพิ่มละจิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 22-10-2009 22:17:00
บทที่ ๔๒

ทรงเดชขับรถช้าๆเลียบรั้วของสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมือง เวลาดึกมากแล้ว และประตูทุกบานของสวนสาธารณะ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แห่งนี้ถูกปิดลง แต่เขาก็รู้ว่าบานประตูเหล่านั้น และกำแพงที่รายรอบ ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อสเตฟานเลยแม้แต่น้อย

... คุณจะไปทำไมล่ะครับ ทำไมไม่รีบไปหาคุณทัต ... ทรงเดชถามสเตฟานก่อนที่จะขับรถออกมา
... ผมคงต้องเสริมพลังเสียก่อน เพราะผมไม่มั่นใจว่าคืนนี้พวกเราจะต้องพบกับอะไรบ้าง บางทีโจชัวร์อาจจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่เราคิด ... สเตฟานตอบ ก่อนที่จะ ‘ล่วงหน้า’ มายังสวนสาธารณะแห่งนี้
... แล้วถ้าพวกนั้นถึงตัวคุณทัตก่อนพวกเล่าล่ะครับ ...
... คุณก็รู้ ผมไม่มีทางให้พวกนั้นแตะต้องภูริทัตได้เด็ดขาด ...
ตอนนั้น ถึงแม้สเตฟานจะตอบด้วยความมั่นใจ แต่วูบหนึ่งที่ทรงเดชสังเกตเห็นความหม่นหมองในดวงตาสีเขียวมรกต ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

เขาค่อยๆชลอรถจอดรับสเตฟานที่ยืนรออยู่ตรงบริเวณที่นัดกันไว้ แล้วออกรถด้วยความรวดเร็วไปยังจุดหมาย ตลอดทางก็เหลือบตามองดูคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ ดวงตาที่ปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาเหมือนคนกำลังหลับสบาย แต่ความเงียบแบบนี้ ทำให้เขากังวลใจไม่น้อย
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก มั่นใจในตัวผมหน่อยสิ” เสียงพูดทำลายความเงียบจากสเตฟาน ถึงจะแผ่วเบา แต่ก็ดูเหมือนจะสร้างกำลังใจให้เขาไม่น้อย “ไม่เพียงแต่ภูริทัตหรอกนะ ทั้งปรีชา รังสรรค์ หรือแม้แต่คุณ ผมก็จะปกป้องไว้ให้ได้” กระแสเสียงบ่งบอกถึงความมั่นใจ ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมาก
“แต่ผมคงต้องล่วงหน้าไปก่อน คุณขับรถตามไปก็ระมัดระวังตัวด้วย อย่ารีบเร่งมากนัก อาจเกิดอุบัติเหตุได้”
จบคำพูดนั้น ทรงเดชเหลือสายตามองดู ก็พบกับความว่างเปล่า บนเบาะอีกด้านหนึ่งปราศจากคนนั่งอยู่เสียแล้ว
......................................................................
.................................
“สเตฟาน” ภูริทัตเรียก ก้าวเท้าออกเตรียมจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชัดเจนขึ้นว่า ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนที่ตนคิด “ไม่ใช่นี่ ... ใครกันล่ะ” ชายหนุ่มพูดเบาๆกับตัวเอง ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“สวัสดีครับ คุณภูริทัต” ชายหนุ่มคนนั้นส่งเสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณภูริทัต คนรักของสเตฟาน”
“คุณเป็นใคร” ภูริทัตถามออกไป รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ผม เป็นใครน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเริ่มสืบเท้าเดินเข้ามา พร้อมกับคนทั้งสองที่ขนาบข้างก็เริ่มสืบเท้าตาม “ผมชื่อโจชัวร์ ...โจชัวร์ ซึ่งเป็นทั้งเจ้านาย และคนรักของสเตฟาน”
“คนรักของสเตฟาน” ภูริทัตทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ขณะที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั้งสามก็ก้าวเท้าเข้าใกล้เขามากขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักลง และมีสีหน้าเหมือนประหลาดใจ
“โจชัวร์ คุณควรหยุดอยู่แค่นั้นดีกว่า” เสียงนุ่มแต่กังวาลดังขึ้นจากทางด้านหลังของภูริทัต
“สเตฟาน คุณมาได้ยังไง” ภูริทัตอุทานเมื่อหันไปตามเสียง และพบสเตฟานยืนอยู่ด้านหลังเขา ห่างไปเพียง ๒-๓ ก้าว “แล้วคนพวกนี้เป็นใครกัน” เขาถามต่อไปอย่างรวดเร็ว
“คนพวกนี้แหละ ที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง คุณถอยมาทางนี้ดีกว่า พวกเขาอันตรายกว่าที่คุณคิด”
ภูริทัตรีบเดินไปยืนอยู่ด้านข้างของสเตฟาน แต่ไม่ใช่เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น ประกายตาแข็งกร้าวที่จ้องมองไปยังพวกโจชัวร์ทั้งสาม แสดงออกอย่างแจ่มชัด ถึงความคิดที่จะปกป้องบุคคลอันเป็นที่รักจากคนเหล่านี้
“เจ้าสรรค์กับเจ้าชาเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ท่าทางไม่เหมือนคนปรกติ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำอะไรกับสองคนนั้น” ภูริทัตเอนตัวไปพูดกับสเตฟาน สายตายังคงจ้องมองดูท่าทีของพวกโจชัวร์ สลับกับมองดูเพื่อนทั้งสองไปมา
“สเตฟาน” โจชัวร์เรียกด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยคยวามปิติ ดวงตาทั้งสองทอประกายแวววาว ทั้งสามคนเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับปรีชาและรังสรรค์ที่ยืนนิ่งอยู่ “สเตฟาน ทาสที่หลบหนีของข้า วันนี้แหละข้าจะทำให้เจ้ากลับคืนสู่อ้อมอกของข้าเหมือนเดิม”
ภูริทัตกำลังจะโต้ตอบไปด้วยความโมโห แต่สเตฟานก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“สองคนนั้นคงกลายเป็นทาสของคุณไปแล้วสินะ” พูดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ มองดูทีท่าของคนทั้งสาม โจชัวร์ยิ้มกริ่ม ไปเทียนมีประกายตาแวววาว สีหน้าพึงพอใจ แต่ไลล่ากลับมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก
“ใช่ ... ถึงข้าจะพลาดไปหน่อย แต่ตอนนี้ ข้าก็ทำให้เจ้าออกมาพบข้าจนได้ ดูสิว่า ครั้งนี้เจ้าจะหนีไปเหมือนครั้งก่อนได้อีกหรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่ เจ้าอาจจะพาเจ้าหนุ่มคนนั้นหนีไป โดยทิ้งคนทั้งสองนี้ไว้กับข้าก็ได้ แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้น คงจะรู้นะว่าข้าจะทำอย่างไรกับสองคนนี้”
“พวกนายทำอะไรกับสองคนนั้นกันแน่ รีบปล่อยพวกเค้ามานะ” ภูริทัตตวาดด้วยความโมโห ปนไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนทั้งสอง
“เจ้าต้องการตัวเพื่อนของเจ้าคืนหรือ” โจชัวร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้สิ ... เจ้าเข้ามารับตัวเพื่อนของเจ้าไป” พูดจบก็ก้าวเท้าออกห่างจากปรีชาและรังสรรค์ โดยมีไป่เทียนและไลล่าเดินตามไป
ภูริทัตเห็นเช่นนั้น ก็หันหน้าไปมองสเตฟานเหมือนจะขอความเห็น รอยยิ้มน้อยๆของสเตฟาน ทำให้เขาก้าวเท้าเข้าไปหาเพื่อนทั้งสองด้วยความมั่นใจ

ถึงแม้จะเป็นระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว แต่แต่ละย่างก้าวของภูริทัต ทำให้โจชัวร์ใจเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้น ว่าตนกำลังจะได้ในสิ่งที่ต้องการเสียที ความรู้สึกนั้นทำให้มองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป

.... ทำไมสเตฟานถึงยอมปล่อยให้ภูริทัตเดินเข้าสู่กับดักได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ...

ทันทีที่มือของภูริทัตจับแขนของปรีชาและรังสรรค์ พร้อมกับออกแรงดึงให้คนทั้งสองเดินตามไป โจชัวร์ก็ออกคำสั่งททันที
“จับมันไว้” โจชัวร์ส่งเสียงไม่ดังนัก ซึ่งความจริงเขาสามารถออกคคำสั่งโดยไม่ต้องออกเสียงด้วยซ้ำไป
แต่แล้วความปิติที่เกิดขึ้นก็ต้องกลายเป็นความงุนงง เมื่อปรชาและรังสรรค์ต่างก็ก้าวเท้าเดินตามภูริทัตไป แทนที่จะจับกุมภูริทัตไว้ตามที่เขาสั่ง ไม่เพียงแต่โจชัวร์เท่านั้น แม้แต่ไป่เทียนและไลล่าเอง ก็ตกตลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน คนทั้งสามได้แต่มองดูกลุ่มของภูริทัตเดินไปหยุดอยู่ข้างๆสเตฟาน
“แปลกใจหรือ” เสียงของสเตฟานทำให้โจชัวร์รู้สึกตัว “ไม่สิ ผมคิดว่าคุณคงแปลกใจมาก ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าผมมีอำนาจเหนือคุณ ตอนนี้คนทั้งสองอยู่ในการควบคุมของผมแล้ว” สเตฟานพูดพร้อมกับเดินมาอยู่หน้ากลุ่มของภูริทัต
“เป็นไปไม่ได้” โจชัวร์พึมพำ จ้องมองดูปรีชาและรังสรรค์ เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักก็ตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นทาสของข้า ข้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่เจ้า”
“ลืมไปแล้วหรือเปล่า ว่าหลายครั้งผมควบคุมได้ แม้แต่ทาสเก่าของคุณทั้งสอง”
โจชัวร์ได้ฟังก็หันไปมองดูไป่เทียนและไลล่า ซึ่งทีทีท่ากระอักกระอ่วน แล้วหันกลับมาที่สเตฟาน แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด พวกโจชัวร์ทั้งสามก็พุ่งตัวเข้าหาสเตฟานด้วยความรวดเร็ว จนภูริทัตต้องอุทานด้วยความตกใจ

สเตฟานยิ้มที่มุมปากน้อยๆ การเคลื่อนไหวของโจชัวร์ อาจจะรวดเร็วมากในสายตามนุษย์ แต่สำหรับแวมไพร์แล้ว มันก็เหมือนกับการเคลื่อนไหวที่สามารถมองเห็นได้ตามปรกติ โดยเฉพาะในสายตาของสเตฟานแล้ว มันเหมือนจะเชื่องช้าจนมองเห็นได้อย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ

ในสายตาของสเตฟาน โจชัวร์พุ่งตัวมาได้ครึ่งทางก็หยุดชะงักลง แล้วก้าวเท้าถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว คนที่พุ่งตัวเข้ามาแทนกลับเป็นไป่เทียนและไลล่าที่เข้าไปประชิดซ้ายขวา แล้วยื่นมือออกเพื่อจะจับตัวเขาไว้ แล้วช่วงเวลานั้นเอง โจชัวร์ก็พุ่งตัวออกไปอีกครั้ง แต่เป้าหมายของเขาคือภูริทัต

ช่วงเวลาเพียงส่วนเสี้ยวของวินาที อาจก่อให้เกิดความคิด ก่อให้เกิดการกระทำ ซึ่งอาจส่งผลให้สิ่งที่คาดคำนวณไว้นั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงไป

ช่วงเวลาที่โจชัวร์ก้าวถอยหลัง แล้วไป่เทียนและไลล่าพุ่งตัวเข้ามานั้น สเตฟานคิดว่าโจชัวร์คงไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงเปลี่ยนให้ทั้งสองคนเข้ามาจัดการกับเขาแทน จึงเตรียมที่จะใช้พลังในการผลักกระแทกคนทั้งสองออกไป แต่กลับกลายเป็นว่าภูริทัตกลายเป็นเป้าหมายของโจชัวร์เสียแล้ว ดังนั้นพลังที่คิดว่าจะใช้ปกป้องตนเอง จึงต้องส่งไปยังแก้วผลึกที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยบนลำคอของภูริทัตแทน

ร่างของโจชัวร์ที่พุ่งเข้าไปจนถึงตัวภูริทัต พร้อมกับมือที่เอื้อมไปจนเกือบถึงลำคอของชายหนุ่มอยู่ จู่ๆโจชัวร์ก็มองเห็นลำแสงเจิดจ้าสีเขียว เปล่งประกายออกมาจากบริเวณทรวงอกของภูริทัต แล้วรู้สึกเหมือนร่างของตนชนเข้ากับกำแพงที่มีแรงสะท้อนอย่างรุนแรง ทำให้กระเด็นออกไปอย่างแรง ความตกใจของโจชัวร์ไม่ต่างกับภูริทัตนัก แต่ภูริทัตยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่า ร่างของสเตฟานถูกไป่เทียนและไลล่าโอบรัดไว้

“ไม่~~~~~~~~~~~~~” ภูริทัตตะโกนเสียงดัง เมื่อมองเห็นเขี้ยวขาวแวววาวโผล่ออกมาจากริมฝีปากของคนทั้งสอง และฝังลงไปในลำคอของสเตฟาน

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-10-2009 23:49:08
แอร๊ยยยย ภูริทัต จะตกใจจนทำเสียเรื่องหรือเปล่า
แล้วก็รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 23-10-2009 02:58:48
ค้างและตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆ คาดเดาไม่ถูก
สมุนของโจชัวร์ดูดเลือดสเตฟานงั้นหรือ
แล้วจะมีผลยังไงเนี่ย
บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-10-2009 04:24:04
 :serius2: ลุ้น แ้ล้วก็ค้าง คุณบุหรงรีบมาต่อไวๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 23-10-2009 09:18:33
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าคนที่ดูดเลือดของกรีนอายส์ จะกลายเป็นคน ใช่ป่าวหว่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 23-10-2009 09:41:00
ตื่นเต้นๆๆๆ

สเตฟานของข้า จะเป็นไรไหมนะ
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 23-10-2009 14:56:38
เหวอ เกิดไรขึ้น

รออ่านต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 23-10-2009 15:07:30
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าคนที่ดูดเลือดของกรีนอายส์ จะกลายเป็นคน ใช่ป่าวหว่า

เหมือนจะกลายเป็นคนแต่ป่นเป็นผงเพราะอายุมากเกิน...สรุปว่าตายไปโดยปริยาย
ภูริทัตจะตกใจไปทำไมเนี่ยยยย 5555 โจชัวส์ต่างหากต้องตกใจ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 23-10-2009 16:18:29
ถูกปลดปล่อยแล้วสิ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 23-10-2009 23:13:42
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าคนที่ดูดเลือดของกรีนอายส์ จะกลายเป็นคน ใช่ป่าวหว่า

เหมือนจะกลายเป็นคนแต่ป่นเป็นผงเพราะอายุมากเกิน...สรุปว่าตายไปโดยปริยาย
ภูริทัตจะตกใจไปทำไมเนี่ยยยย 5555 โจชัวส์ต่างหากต้องตกใจ  :laugh:

แย่ละสิ มีคนรู้ตอนต่อไปซะแล้วเดี๋ยวไปนึกมุขก่อนว่าจะพลิกผันยังไงดี  :laugh:

แล้วที่ภูริทัตตกใจน่ะ เพราะสเตฟานถูกงับ เอ๊ย ถูกกัดคอน่ะฮับ เพิ่งเริ่มกัด เลือดยังไม่ลงคอเลยอะ  :try2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-10-2009 01:51:45
^
^
อย่าคิดนานนะจ๊ะ  o18
ไม่ต้องพลิกก็ได้มั้ง
รอลุ้นอยู่จ้า

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๒ - ๒๒ ต.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 26-10-2009 00:31:26
ถ้าดูดเลือดสเตฟานแล้วสองคนนั่นตาย โจชัวส์ก็จะไม่มีลูกน้อง ไม่มีตัวช่วยอีกสิ....เหมือนจะง่ายไป (หรือไม่ง่าย)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๓ - ๑๒ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-11-2009 17:00:21
บทที่ ๔๓

“โอ๊ย!!!” เด็กชายอายุราวๆ ๑๑-๑๒ ร้องเสียงดัง เพราะสะดุดเข้ากับรากไม้จนหกล้ม คบไฟที่ถือมาร่วงจากมือ กลิ้งหลุนๆออกไป เด็กชายยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ต้องทรุดนั่งลงอีกครั้ง เพราะความเจ็บปวดที่ข้อเท้า
“ซวยจริง สงสัยขาจะแพลง”เด็กชายก้มหน้าใช้มือนวดข้อเท้าไปมา ไม่ได้สังเกตว่าแสงสว่างจากคบไฟบนพื้น เหมือนจะเลื่อนสูงขึ้น และเลื่อนเข้ามาใกล้
“เป็นกระไรฤาเจ้า”
 เสียงนุ่มๆดังขึ้น ทำให้เด็กชายสะดุ้งสุดตัว เพราะคิดว่าถูกจับได้ที่ออกมาจากบ้านในยามวิกาลเช่นนี้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดูคนที่ส่งเสียง ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เพราะชายที่ถือคบไฟของตน มีเรือนผมและขนคิ้วเป็นสีทอง ดวงตาสีเขียวมรกตส่องประกายแวววับ จมูกโด่งเป็นสันเล็กน้อย ริมฝีปากสีชมพูอ่อน และผิวที่ขาวราวกับจะส่องประกายในความมืด
“หย่ะ...หย่ะ...อย่าจับข้าไปเลยนะ ข้าตัวเล็ก ผอมแห้งอย่างนี้ เนื้อไม่ค่อยมีหรอก” เด็กชายระล่ำระลัก พร้อมกับถดตัวถอยหลัง หวังจะหนีให้พ้นจากพวก ‘ฝรั่งตาใส’ ที่พวกผู้ใหญ่ชอบเอามาขู่ตั้งแต่เขาเป็นเด็กชอบงอแง ว่าคนพวกนี้ชอบจับเด็กไปเป็นอาหาร

แต่เหมือนชายหนุ่มจะไม่ยอมฟังสิ่งที่เด็กชายพูด เขาเดินอย่างรวดเร็วจนถึงตัวเด็กชาย แล้วย่อตัวลงนั่ง คุกเข่าลงข้างหนึ่ง มือข้างที่ว่างอยู่จับไหล่เด็กชายไว้

“ข้าเห็นเจ้าหกล้ม หรือว่าขาจะแพลง จนลุกเดินไม่ไหว” เสียงของชายหนุ่มอ่อนโยน  ปักคบไฟลงบนพื้น แล้วเอื้อมมือไปจับบริเวณข้อเท้าของเด็กชาย
“โอ๊ย” เด็กชายร้องคราง ลืมความกลัวไปชั่วครู่
“ขาแพลงจริงๆ” ชายหนุ่มหยิบคบไฟที่ปักอยู่บนพี้นขึ้นมา แล้วส่งให้เด็กชาย “ถือไว้ เดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”
เด็กชายรับคบไฟมาถือ มองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน รู้สึกหายกลัวไปมาก
“พาข้าไปส่งบ้านจริงๆหรือ มิได้หลอกพาข้าไปกินหรอกนะ” เด็กชายถามเสียงแผ่วเบา
“กินหรือ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เหตุไรเจ้าจึงคิดว่า ข้าจะเอาตัวเจ้าไปกินเล่า”
“ก็พวกผู้ใหญ่ชอบพูดนี่นา ว่าถ้าดื้อ ถ้าซน จะเอาตัวไปให้พวกฝรั่งตาน้ำข้าวจับกิน”
“ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง มองดูเด็กชายอย่างเอ็นดู “เขาหลอกเจ้าดอก พวกข้าหาได้กินเด็กไม่”
“จริงหรือ” เด็กชายยังคงสงสัย
“เจ้าดูข้าเหมือนพวกที่กินเด็ก หรือกินคนเป็นอาหารหรือ”
เด็กชายสั่นหน้า
“ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้า” พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังให้ ทำสัญญาณให้เด็กชายขึ้นขี่หลัง
เด็กชายพยุงตัวลุกขึ้น แล้วล้มตัวลงไปบนแผ่นหลังของชายหนุ่ม ทั้งสองขยับตัวเล็กน้อย แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดิน โดยมีเด็กชายอยุ่บนแผ่นหลัง
“เฮ้อ...” เด็กชายถอนหายใจ
“เป็นไรฤา” ชายหนุ่มหยุดเท้า ถามเบาๆ
“อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงต้นลำพูแล้วเชียว ข้าฟังมาจากพวกบ่าวไพร่ ว่ามีหิ่งห้อยมากมาย น่าดูนัก ไม่น่าเลย”
ชายหนุ่มหันหลัง เดินย้อนกลับไปทางเดิม
“จะไปไหนเล่า ไหนบอกว่าจะพาข้าไปส่งที่บ้านไง หรือว่าท่านหลอกข้า” เด็กชายโวยวาย
“เจ้าอยากดูหิ่งห้อยมิใช่หรือ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พบหรือยัง” หญิงสาวถามชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหัวกระไดบ้าน
“ยัง” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ สีหน้ากังวลไม่แพ้ฝ่ายหญิง
“ท่านขอรับ” บ่าวชายวัยกลางคน วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามานั่งยองๆอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม “เจอตัวแล้วขอรับ”
“เจอแล้วเหรอ แล้วอยู่ไหนล่ะ” หญิงสาวส่งเสียงด้วยความดีใจ หันหน้าส่งสายตามองหาไปทางที่บ่าวชายวิ่งมา”คุณพระคุณเจ้าช่วย” หล่อนอุทานยกมือทาบอก จนชายหนุ่มต้องมองตามสายตาของเธอไป

ชายหนุ่มผมทอง ดวงตาสีเขียวมรกต จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู ผิวที่ขาวผ่องตัดกับเสื้อผ้าดำสนิท แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นชาวต่างชาติที่พวกเขามักเรียกว่า พวกฝรั่งตาน้ำข้าว ทำไมจึงมาปรากฏตัวในละแวกบ้านของเขาได้

ชายหนุ่มผิวขาวเดินเข้ามาจนถึงคนทั้งสอง แล้วค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง พอเด็กชายลงจากหลังแล้ว เขาก็เอี้ยวตัวไปประคองตัวเด็กชายไว้ พลางหันหน้าไปบอกคนทั้งสอง
“ขาแพลงน่ะท่าน พอดีข้าผ่านไปพบ จึงพามาส่ง”
หญิงสาวพุ่งตัวไปหาเด็กชาย คว้าตัวได้ก็รีบพาตัวออกห่างจากชายหนุ่มชาวต่างชาติ ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าหญิงสาวคงเป็นห่วงเด็กชาย โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าอยู่กับเขาซึ่งเป็นชาวต่างชาติ หันไปมองดูเด็กชายที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ก็อดยิ้มตอบไปไม่ได้
“วิกาลดึกมากแล้ว ข้ากลับหล่ะ” ชายหนุ่มพูดแล้วก็หันหลัง
“เดี๋ยวสิ” เด็กชายส่งเสียงออกมา “ไหนว่าจะเล่าเรื่องเมืองที่ท่านเคยไปมาให้ข้าฟังไง”
“พรุ่งนี้แล้วกันนะ” ชายหนุ่มหันกลับมาตอบ “พรุ่งนี้พระอาทิตย์ตกดิน ข้าจะมาได้หรือไม่” เขาถามชายหนุ่มกับหญิงสาวที่เหมือนจะเป็นเจ้าของบ้าน
ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน หันไปมองใบหน้าที่มีแววขอร้องอยู่ในทีของเด็กชาย แล้วจึงหันไปตอบชายชาวต่างชาติ
“บ้านข้ายินดีต้อนรับท่าน ข้าชื่อแสน นี่เมียข้าพุดซ้อน”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาเล่าเรื่องพวกนั้นให้เจ้าฟัง” ชายชาวต่างชาติพูดพลางส่งยิ้มให้เด็กชาย ทำท่าจะหันหลังเดินจากไป
“ประเดี๋ยวสิ ข้ายังไม่รู้ชื่อท่านเลย” ชายหนุ่มส่งเสียงถาม
“สเตฟาน ... เรียกข้าว่าสเตฟาน” เขาตอบก่อนที่จะเดินหายไปในความมืด
....................................................................
.....................................
“เป็นเช่นไรบ้าง เหล่านางรำของข้า” พุดซ้อนหันหน้าไปถาม เมื่อจบการร่ายรำของเหล่านางรำ
“งดงามยิ่งแล้ว” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “โดยเฉพาะบุตรีท่าน ช่างงามเด่นกว่าผู้อื่นนัก”
“อย่าให้ได้ยินเชียวหนา” เด็กชายที่นั่งอิงแอบอยู่ข้างๆชายหนุ่มยื่นหน้าออกมาพูด “เดี๋ยวนางจะอิ่มอกอิ่มใจจนนอนไม่หลับ”
“เจ้าสิน” เสียงของสาวแรกรุ่นดังขึ้นมา พร้อมกับจ้าของเสียงที่ทรุดนั่งลงข้างๆพุดซ้อน “ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังนินทาข้า”
“น้องกำลังชมว่าเจ้ารำได้อ่อนช้อยงดงามต่างหากเล่า ดาวเรือง” พุดซ้อนพูดพลางยกมือขึ้นลูบไหล่บุตรสาวด้วยความเอ็นดู
“นั่นสิ ... เจ้าร่ายรำได้อ่อนช้อยกว่าผู้ใด” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาว “จริงมั๊ย สิน”
ดาวเรืองยิ้มจนแก้มแทบปริ
“สานฝัน” เด็กชายส่งเสียงเรียก พลางเขย่าแขนชายหนุ่ม “วันนี้ท่านจะเล่าเรื่องใดให้ข้าฟังอีก”
“วิกาลดึกมากแล้ว เจ้ายังจะฟังนิทานอีกหรือ” แสนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล พูดขัดขึ้น “พ่อว่า เจ้าเข้านอนได้แล้วกระมัง นั่งฟังสานฝันมาแต่เย็นย่ำ ไว้วันหลังค่อยฟังอีก ก็ยังมิสายดอก”
เด็กชายอิดออด หันหน้าไปมองผู้เป็นมารดา พุดซ้อนแกล้งทำเป็นไม่สนใจ หันไปคุยกับดาวเรือง ท่าทางไม่ยินยอมของเด็กชาย ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม
“เชื่อฟังบิดาเถอะเจ้า” พูดพลางชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู “เอาอย่างนี้ ถ้าบิดาเจาอนุญาต ข้าจะเล่านิทานกล่อมเจ้าจนหลับ ดีหรือไม่”
เด็กชายได้ฟังก็หันหน้าไปทางบิดา แสนมองดูท่าทางของชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่แสดงท่าทางรักใคร่เอ็นดูบุตรชายเขานัก จึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เด็กชายยิ้มด้วยความดีใจ ลุกขึ้นกึ่งจูงกึ่งลากชายหนุ่มเดินลับหายไปทางห้องนอน

“ดูเจ้าสินช่างติดใจสานฝันนัก” แสนพูดพลางส่ายหน้าเบาๆ
“สานฝันเองก็เอ็นดูบุตรเราอยู่ไม่น้อย ดูราวกับพี่ชายคนโต กับน้องชายคนเล็กก็มิปาน” พุดซ้อนพูดพลางลุขึ้น จูงมือดาวเรือง พากันเดินไปนั่งข้างๆแสนผู้สามี
“ช่างน่าอิจฉาเจ้าสินนัก” ดาวเรืองพูดอย่างแง่งอน
“ดูเจ้าสิ” พุดซ้อนเอ็ด “เจ้าเป็นสาวแล้วนะ กระไรมาพูดเยี่ยงนี้”
“พ่อดูแม่สิ คิดไปถึงไหนแล้ว” ดาวเรืองหัวเราะคิกคัก “ลูกหมายความว่า น่าอิจฉาที่เจ้าสินได้ฟังนิทานก่อนนอน ข้าเองก็อยากฟังสานฝัน เล่าเรื่องบ้านเมืองที่เขาเดินทางไปพบเจอมายิ่งแล้ว”
“แค่นั้นจริงฤา” แสนถามบุตรสาว “ความจริงเจ้าก็เป็นสาวแล้ว อีกไม่นานก็คงออกเรือนได้ สานฝันเองก็เป็นบุรุษที่อัธยาศัยดี ถึงจะดูมิค่อยเข้มแข็งนัก ผิดแต่ว่าเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว ทำมาหากินอะไรก็ไม่แน่ชัด”
“ดูสิ พ่อเองก็คิดไปถึงไหนแล้ว” ดาวเรืองร้องอุทธรณ์ “ข้าหาได้คิดเช่นชู้สาวไม่ ข้าคิดเพียงว่า หากมีพี่ชายเยี่ยงนี้สักคน คงจักดีไม่น้อย”
...................................................................
...............................
“คุณสเตฟานครับ” ทรงเดชเรียกอีกครั้ง เมื่อเห็นสเตฟานนั่งนิ่งอยู่นาน
เสียงนั้นทำให้สเตฟานซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา ต้องออกมาจากห้วงคิดคำนึงถึงอดีต เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ดีแล้วเหรอครับที่ทำแบบนี้”
“อื้อ” สเตฟานรับคำเบาๆ “คุณเองก็เหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นจากโซฟา ไปยืนอยู่ริมกระจกหน้าต่างบานใหญ่ สายตาเหม่อมองออกไปภายนอก
ทรงเดชมองดูสเตฟานด้วยความเป็นห่วง สักครู่จึงเดินออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูห้องไว้อย่างเรียบร้อย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๓ - ๑๒ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-11-2009 17:44:54
อ่านไปงงไปย้อนอดีต สเตฟาน แล้วครอบครัวนั้น คือไผอีกนะ  :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๓ - ๑๒ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 12-11-2009 22:08:28
ท่าทางจะย้อนอดีตไปไกลพอควรทีเดียว
แต่ครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับทรงเดชและทรงศักดิ์ด้วยใช่มิ
รออ่านต่อจ้าว่าสเตฟานตัดสินใจทำอะไร
บวก 1 แต้มด้วย ขอบคุณนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๓ - ๑๒ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 12-11-2009 22:27:10
^^
^^
จิ้มน้องสาว สบายดี บ่ ครับ  :กอด1:

 สานฝัน คงกำลังหาทางออกอยู่  :เฮ้อ:

ปล. หายไปนานเลยนะครับ ตั้ม ฝากให้ +1 นะครับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๓ - ๑๒ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 12-11-2009 23:40:15
ชาติที่แล้วของภูริทัต ชิมิเคอะ  อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :z1:


"ข้าไม่กินเด็กดอกหนา  เอาไว้ให้โตแล้วค่อย..." คริ  :laugh:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 24-11-2009 13:24:43
บทที่ ๔๔

“คุณปู่ไปดูคุณสเตฟานหน่อยนะครับ ไม่ออกจากห้องมาหลายวันแล้ว” ทรงเดชรายงานทันทีที่ทรงศักดิ์ก้าวเข้ามาในห้องทำงาน
“คุณท่านคงอยากพักผ่อนมั๊ง หรือว่าช่วงนี้ ‘งาน’ ท่านเยอะ ก็เลยไม่ค่อยได้ลงมา” ทรงศักด์ซึ่งเพิ่งกลับมาจากการไปติดต่องานต่างประเทศ ตอบยิ้มๆ
“คุณปู่ไปดูเองดีกว่าครับ ผมไม่รู้จะบอกยังไงดี” ทรงเดชบอกด้วยสีหน้ากังวล

“คุณท่านครับ” ทรงศักดิ์ส่งเสียงเรียก หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่นาน
สเตฟานกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน พาดขาไว้บนเก้าอี้วางขา มือทั้งสองประสานกันไว้ในระดับเข็มขัด ดวงตาหลับพริ้ม เมื่อทรงศักดิ์เปิดประตูเข้าห้องมาก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ทั้งๆที่ทุกครั้งก็จะทักทายเขาด้วยดี ทรงศักดิ์เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้อยู่นาน จึงส่งเสียงเรียกออกไป
“คุณท่านครับ” ทรงศักดิ์เรียกอีกครั้ง แต่ยังเหมือนเดิม
เมื่อเห็นท่าทางผิดปรกติ จึงเดินเข้าไปใกล้ๆด้วยความกังวล แต่พอเขาขยับตัว มือของสเตฟานข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาโบกเบาๆ เป็นสัญญาณว่าให้ออกไป ทรงศักดิ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องเดินออกจาห้องไปตามคำสั่ง
.......................................................................
.................................
“คุณท่านจะไม่ออกไปข้างนอกบ้างหรือครับ ตั้งแต่ผมกลับมาผมยังไม่เป็นคุณท่านออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว” ทรงศักดิ์พูดด้วยความเป็นห่วง เมื่อพบว่า ‘คุณท่าน’ ของเขาไม่ได้ออกมาจากห้องพักเลย เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว นับจากที่เขากลับมาจากการเดินทางไปติดต่องานที่ต่างประเทศ
ไม่มีคำตอบ ... สเตฟานยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน ทอดขายาวไปบนเก้าอี้วางขา ดวงตาสีเขียวมรกตเหม่อลอย และไม่ส่องประกายแวววับเหมือนที่เคยเป็น
“ผมไปก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมจะมาหาคุณท่านใหม่” ทรงศักดิ์กล่าวลา เมื่อเห็นว่าสเตฟานคงไม่โต้ตอบกับเขาเป็นแน่
“ทรงศักดิ์” สเตฟานเอ่ยปากเป็นครั้งแรก ทำให้ทรงศักดิ์หันตัวกลับมาทันทีด้วยความกระตือรือร้น “ผมไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงผม ขอเวลาให้ผมอยู่แบบนี้สักพัก แค่นี้แหละ” พูดจบก็พริ้มตาลง
ทรงศักดิ์ถอนหายใจ หันหลังเดินไปเปิดประตูและออกจากห้องไป แต่หากเขายังอยู่ต่ออีกสักหน่อย คงจะเห็นหยดน้ำที่เริ่มก่อตัวขึ้น และค่อยๆไหลรินจากหัวตา ลงสู่แก้มที่ขาวซีดของสเตฟาน

“เป็นยังไงบ้างครับ” ทรงเดชลุกขึ้นเดินจากโต๊ะทำงาน เดินเข้าไปหาคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา
“เหมือนเดิม” ทรงศักดิ์ตอบพลางถอนหายใจ เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาว ทรงเดชก็เดินตามไปนั่งลงข้างๆ “แกยังไม่ได้เล่าให้ชั้นฟังเลย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ชั้นไม่อยู่” น้ำเสียงของทรงศักดิ์เข้มขึ้นทันที
“เอ้อ คือ...” ทรงเดชอึกอัก ถูมือไปมา
“หรือว่าเกียวกับคุณภูริทัต” ทรงศักดิ์ถามหลังจากที่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คืองี้ครับปู่” ทรงเดชค่อยๆใช้ความคิดเรียบเรียงเรื่องราว “คุณรังสรรค์ กับคุณปรีชา ถูกพวกโจชัวร์จับไป แล้วพวกนั้นก็ตามไปจนเจอคุณภูริทัต คุณสเตฟานกับผมก็เลยพากันไปช่วย .......”

ทรงเดช ค่อยๆเล่าเรื่องราวต่างๆอย่างระมัดระวังเท่าที่รู้ พยายามไม่ให้ตกหล่นในรายละเอียด
.....................................................................................
...........................
หลังจากที่สเตฟาน ‘ล่วงหน้า’ ไปก่อน ทรงเดชก็ใช้เวลาพักใหญ่ๆจึงขับรถไปถึงจุดหมาย ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ และอีกคนนั่งอยู่บนพื้น ทำให้เขาต้องจ้องมองด้วยความสังเกต จึงเห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือปรีชาและรังสรรค์ ส่วนคนที่นั่งอยู่นั้นคือภูริทัต มองไปรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีใครอื่นอยู่อีก จีงลงจากรถกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาคนทั้งสาม
“คุณสรรค์ คุณชา” ทรงเดชส่งเสียงเรียก “ปลอดภัยรึเปล่าครับ”
ไม่มีคำตอบจากคนทั้งสอง นอกจากความนิ่งเงียบราวรูปปั้น ทรงเดชยืนงงอยู่ชั่วครู่ จึงหันไปสนใจภูริทัตแทน
“คุณทัต เป็นยังไงมั่งครับ” ทรงเดชทรุดตัวลงนั่ง แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของภูริทัต “คุณทัตเป็นอะไรไปครับ” พูดพลงเอื้อมมือไปจับไหล่ของชายหนุ่ม
“หายไปแล้ว ... หายไปแล้ว ... จู่ๆก็หายไปหมด” ภูริทัตพึมพำ ดวงตาทอแววหวาดหวั่น “คนพวกนั้นเป็นอะไรกันแน่” น้ำเสียงสั่นเครือ “สานฝันเค้าเป็นอะไรกันแน่”
“ใจเย็นๆครับคุณทัต” ทรงเดชพยายามปลอบ “เราเข้าบ้านกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยว่ากันนะครับ”
ใช้เวลาไม่มากนักในการพาภูริทัตเข้าไปในบ้าน สำหรับปรีชาและรังสรรค์ น่าแปลกที่คนทั้งสองเดินช้าๆตามเข้ามาในบ้านเอง แล้วพากันนั่งลงบนเก้าอี้ของชุดโซฟาในห้องรับแขก ทรงเดชมองดูท่าทางราวกับหุ่นยนต์ของคนทั้งสอง ด้วยความประหลาดใจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือภูริทัต นั่งก้มหน้ายกมือขึ้นกุมศรีษะ ตัวสั่นเทา
“เกิดอะไรขึ้นครับ คุณทัต” ทรงเดชนั่งลงข้างๆ ถามอย่างระมัดระวัง
“คนพวกนั้น ... พวกนั้นสองคนกัดคอสานฝัน แล้ว ... แล้ว ...” น้ำเสียงตะกุกตะกัก “ไม่น่าเป็นไปได้... มันอะไรกัน”
“คุณสานฝันโดนทำร้ายเหรอครับ” ทรงเดชถามแล้วก็มองดูท่าทางของภูริทัตที่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“สองคนนั้นค่อยๆกลายเป็นคนแก่ แล้ว...แล้วกลายเป็นฝุ่น ... หายไป”  ภูริทัตเล่าด้วยสีหน้าหวาดกลัว คิ้วกระตุกเป็นระยะ “มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมมันเป็นอย่างนั้นได้”
“ใจเย็นครับคุณทัต แล้วคุณสเตฟานล่ะครับ”
“สเตฟาน ใช่ สเตฟาน ... สานฝัน” ภูริทัตหยุดไปชั่วครู่แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าพรั่นพรึง “คนที่เหมือนสานฝัน พุ่งเข้าหาสานฝัน แล้ว ... แล้วพวกเค้าก็หายไป ... หายไปเลย ... หายวับไปจากตรงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 
ภูริทัตจับแขนทรงเดชเขย่าไปมา ท่าทางตกใจเต็มที่ พูดเสียงดัง เหมือนจะเริ่มคุมสติไม่อยู่
“ตกลงคนพวกนั้นเป็นอะไรกันแน่ เป็นคนรึเปล่า คุณบอกผม ... พวกนั้นเป็นอะไรกัน”
“เอ้อ ... คุณทัตใจเย็นๆนะครับ ตั้งสติก่อน ใจเย็นนะครับ”
ทรงเดชพยายามพูดปลอบ ภูริทัตหยุดโวยวาย เปลี่ยนเป็นนั่งก้มหน้าเอามือปิดหน้า ไหล่สั่นระริก ทรงเดชมองดูด้วยความกังวล แล้วเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จึงหันมองไปตามเสียง ขณะที่จะส่งเสียงเรียกชื่อของคนที่ปรากฏตัวขึ้นมา ก็ได้รับสัญญาณบอกว่าให้เงียบไว้

สเตฟานมาถึงห้องรับแขกภายในบ้านของภูริทัตได้พักหนึ่งแล้ว มองดูท่าทีที่ตื่นตระหนกของชายหนุ่มแล้วก็อดถอนใจออกมาไม่ได้ เหมือนเสียงนั้นจะทำให้ทรงเดชรู้สึกตัว จึงหันมาทางเขา สเตฟานก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบไว้ ทรงเดชก็ทำตามและหันหน้ากลับไปมองดูรังสรรค์กับปรีชา พอเขาหันกลับมาทางภูริทัตอีกครั้ง ก็เห็นว่าชายหนุ่มสงบนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของสเตฟานเสียแล้ว
“ผมทำให้หลับไปแล้ว” สเตฟานบอกกับทรงเดชด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“คุณปลอดภัยใช่มั๊ยครับ” สเตฟานไม่ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ “แล้วพวกโจชัวร์ล่ะครับ” ทรงเดชถามต่อ
สเตฟานไม่ตอบ เดินเข้าหาภูริทัตที่นั่งอยู่
“เดี๋ยวผมมานะ”
พูดจบก็อุ้มภูริทัตเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ทรงเดชมองดูด้วยความแปลกใจ เพราะภูริทัตมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าสเตฟาน แต่กลับถูกอุ้มไปราวกับไร้น้ำหนัก สักพักสเตฟานก็กลับลงมานั่งลงบนโซฟา ล้วงเอาสายสร้อยของตนออกมา
“พวกเราก็ไปกันเถอะ พาสองคนนี้กลับไปที่โรงแรมก่อน”
“เดี๋ยวครับ” ทรงเดชขัดขึ้น “แล้ว ‘ของ’ ชิ้นนั้นล่ะครับ คุณบอกว่าจะต้องใช้ช่วยสองคนนี้”
“ผมเอามาแล้ว” สเตฟานพูดเบาๆ ยื่นมือออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ทรงเดชมองไปบนผ่ามือก็มองเห็น ‘ของ’ ชิ้นนั้น เพียงแต่ไม่มีตัวเรือน มีเพียงอัญมณีสีเขียวสดใสวางอยู่บนใจกลางฝ่ามือของสเตฟาน

อัญมณีสีเขียว ส่องประกายแวววาว ประกายสีเขียวราวมรกตเนื้อดี ... กรีนอายส์

หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 24-11-2009 14:02:21
^^
^^
หายไปนานเลยตั้ม มามาะ :กอด1:

กว่าจะทำใจได้คงอีกนาน แล้วสานฝันจะอยู่ยังไงน้าถ้าไม่มีภูริทัต  :เฮ้อ:

รอตอนต่อไปอยู่นะครับ อย่าหายไปนานอีกนะ ตั้ม

+1 เป็นการติดสินบนเลย
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 24-11-2009 14:48:10
 :m4:
เก่ง ๆๆ ยังคิดว่าจะมีประเด็นอะไรนะที่จะดึงความสนใจได้อีก
ลืมไปว่าพระเอกเรายังไม่รู้จักตัวตนของสานฝันเลยนี่นะ...

แต่เรื่องราวยังไม่เคลียร์ ผู้ช่วยตายแล้ว แต่โจชัวส์???
เรื่องของสินในอดีต...ภูริทัต...กลับมาเกิดรึหน้าคล้าย???

แต่ที่แน่ ๆ ความเหน็ดเหนื่อยของสานฝัน...กับชีวิตที่ยืนยาว  :m15:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-11-2009 00:31:59
สงสารภูริทัต และสงสารสเตฟานยิ่งกว่า
หรือว่าภูริทัตจะรับความจริงไม่ได้เลย  :เฮ้อ:
บวก 1 แต้มจ้า รอมาต่อนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 25-11-2009 00:57:55
ทิ้งประเด็นให้ขบคิด ชวนติดตามตลอดทุกครั้งเลยค่า.....สงสารสเตฟานด้วยย
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 25-11-2009 16:22:00
สานฝันท่าจะแย่ ภูริทัต จะรับได้มั้ย  :serius2: สงสารอะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๔ - ๒๔ พ.ย. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-11-2009 16:29:32

คิดเหมือนรีบนเลยคะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 10-12-2009 19:11:31
บทที่ ๔๔

“ไม่~~~~~~~~~~~~~” ภูริทัตตะโกนเสียงดัง
“อะไรของเอ็งวะไอ้ทัต” ปรีชาหันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่บนเบาะส่วนหลังของรถยนต์
“นั่นดิ เป็นอะไรวะ ฝันกลางวันรึไง” รังสรรค์ มองผ่านกระจกมองหลัง ไปยังเพื่อนที่นั่งหลับมาตลอด ตั้งแต่ขับรถออกมาจากร้านอาหาร แล้วจู่ๆก็ตื่นขึ้นมา แล้วส่งเสียงร้องดังลั่นรถ
“กู...เหมือนกูจะฝันร้ายหว่ะ” ภูริทัตตอบพร้อมกับหอบหายใจ ท่าทางตื่นตระหนก
“ฝันว่าอะไรวะ” ปรีชาถามด้วยความอยากรู้ “ฝันว่าพวกชะนีไล่ปล้ำเอ็งเหรอไง” พูดจบก็หันไปหัวเราะกับรังสรรค์
“กูจำไม่ได้เว๊ย” ภูริทัตยกมือขึ้นตบท้ายทอยเบาๆ “แต่รู้สึกมันจะน่ากลัวมาก”
“เออ ... เออ เอ็งเคยเล่าหลายครั้งแล้ว” รังสรรค์มองดูรถที่ค่อยๆแล่นไหลไปอย่างช้าๆ เพราะการจารจรที่ติดขัด ถึงแม้จะเริ่มค่ำแล้ว แต่ถนนสายนี้ในช่วงเย็นวันศุกร์ ก็ยังมีรถมากมายอยู่ดี

ภูริทัตมองออกไปนอกรถ ตัวอาคารและต้นไม้ใหญ่ริมถนน ถูกตกแต่งประดับด้วยหลอดไฟหลากสี และเครื่องประดับหลายอย่าง ให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาลของชาวคริสต์ ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน
“เปลี่ยนที่ได้มั๊ยวะ” ภูริทัตพูดขึ้น
“อ้าว ไม่ไปลานเบียร์แล้วจะไปไหนล่ะ” รังสรรค์ถาม
“อยากไปนั่งที่เงียบๆหว่ะ ฟังเพลงเบาๆ ... ไปที่เดิมกันมั๊ย” ภูริทัตพูดโดยที่ยังมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เออ ก็ดีเหมือนกันนะ วันศุกร์แบบนี้ลานเบียร์คงหาที่นั่งยาก” ปรีชาทำท่าเห็นด้วย
รังสรรค์หัวเราะในลำคอ ไม่พูดอะไร แต่หักพวกมาลัยพารถเปลี่ยนเลนไปยังเส้นทางที่ต้องการ
...............................................................................
.........................................
“สวัสดีครับ ไหนว่าวันนี้จะไปลานเบียร์กันไงครับ” ทรงเดชเดินเข้าไปส่งเสียงทักทายชายหนุ่มทั้งสาม ที่กำลังนั่งรอเครื่องดื่มที่สั่งไว้
“ก็ว่าจะไปอยู่แหละครับ แต่เจ้านี้มันเปลี่ยนใจ” รังสรรค์พูดพลางชี้มือไปที่ภูริทัต
“อยากนั่งสบายๆ แล้วก็ฟังเพลงเบาๆน่ะครับ” ภูริทัตตอบยิ้มๆ แต่สอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่างช้าๆ
“คุณทัตมองหาใครเหรอครับ” ทรงเดชถาม
“เอ้อ...เปล่าครับ” ภูริทัตอึกอัก “บอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมจะได้เจอใครซักคน... ที่นี่”
“โหย ... ถ้าจะเจอนะ นายเจอนานแล้ว ไม่ต้องมามองหาตั้งหลายเดือนแบบนี้เหรอ” ปรีชาพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้ภูริทัตอมยิ้มด้วยความขัดเขิน โดยที่เจ้าตัวก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมต้องเกิดอาการเช่นนี้
“เจ้าทัตมันก็แบบนี้แหละครับ มันรู้สึกว่ามันกำลังตามหาใครซักคน แต่คนคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง มันก็ตอบไม่ได้” รังสรรค์พูดเสริม พลางหันตัวไปรับเครื่องดื่มจากพนักงานที่นำมาเสริฟ
“ผิดกับเจ้าสรรค์ มันบอกว่าหาเจอแล้ว” ปรีชาพูดแล้วก็หัวเราะ
“สัปดาห์หน้าก็คริสต์มาสแล้ว คืนอีฟไปไหนกันรึเปล่าครับ” ทรงเดชถามยิ้มๆ
“อ้าว...เปลี่ยนเรื่องเลยเหรอ” ปรีชาทำหน้าเหวอ
“ยังไม่ได้คิดเลยครับ ว่าจะเอายังไง” รังสรรค์ตอบ ส่งสายตาล้อเลียนไปให้ทรงเดช
“งั้นมาที่นี่สิครับ บางทีนะ” ทรงเดชเปลี่ยนสายตาไปที่ภูริทัต “บางทีคุณอาจจะเจอใครที่คุณตามหาก็ได้”
“หือ ... คุณพูดเหมือนคุณรู้ว่าผมกำลังหาใคร” ภูริทัตขมวดคิ้ว
“ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับ” ทรงเดชหัวเราะในหน้า “ผมขอตัวไปดูแลทางโน้นก่อนนะครับ” พูดแล้วทรงเดชก็ลุกจากเก้าอี้ เดินไปดูแลลูกค้าประจำที่โต๊ะอื่น
“นายเอาแน่เหรอวะ รายนี้” ปรีชาชะโงกหน้าไปถามรังสรรค์เบาๆ เมื่อเห็นเพื่อนมองตามคนที่ลุกไป อย่างไม่วางตา
“ไม่รู้หว่ะ บางทีอาจแค่อยากได้เป็นเพื่อนสนิทอีกสักคนเหมือนพวกเอ็งก็ได้” รังสรรค์ตอบ ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“โห ... ป่านนี้ยังไม่สนิทกันอีกหรือไงวะ ตั้งแต่พวกเราเจออุบัติเหตุ แล้วเค้าเจอเข้า พาไปรักษาจนหายดี แล้วยังจัดการเรื่องหยุดงานของพวกเราอีก เราว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่คนผ่านทางแหละวะ”
“แรกๆข้าก็คิดแบบนั้นหว่ะ” ภูริทัตพูดขึ้นบ้าง “แต่ดูไปดูมา ข้าว่าเค้าคงไม่ได้ติดใจอะไรพวกเราเป็นพิเศษ นอกจากเห็นเป็นเพื่อน”
“แล้วทีแรกเอ็งคิดว่าเค้าติดใจเอ็งหรือไงวะ” รังสรรค์ถาม
“ก็สงสัยอยู่ เพราะตอนเจอเค้าครั้งแรก ตอนที่ไปเยี่ยมพวกเอ็ง ดูเค้าใส่ใจข้าเป็นพิเศษ แต่ไปๆมาๆ” ภูริทัตยักไหล่ “ไม่มีอะไรในกอไผ่”
“ว่าไปก็แปลกดีนะ แค่คนที่เห็นเหตุการณ์ แล้วมาเอาใจใส่พวกเราขนาดนั้น” ปรีชาส่งสายตาไปยังเพื่อนทั้งสอง เหมือนจะขอคำตอบ แต่ก็ได้รับแต่สายตาที่มีความหมายแบบเดียวกัน จ้องตอบกลับมา

ชายหนุ่มทั้งสามต่างก็คิดไปถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่รังสรรค์และปรีชาประสบเมื่อช่วงกลางปี ทรงเดชผ่านทางมาได้จัดการพาคนทั้งสองไปส่งยังโรงพยาบาล และรับเป็นเจ้าของไข้ แล้วยังติดต่อไปยังที่ทำงานของคนทั้งสองเพื่อแจ้งข่าว ส่วนภูริทัตเองช่วงนั้นบังเอิญป่วยจนไปทำงานไม่ได้อยู่หลายวัน ด้วยไข้หวัด ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังแปลกใจว่า ด้วยสุขภาพที่แข็งแรงของตน ไม่น่าเป่วยหนักขนาดนั้นได้ เมื่อรังสรรค์และปรีชาออกจากโรงพยาบาล จึงได้มาเป็นแขกประจำของโรงแรมแห่งนี้

“อย่าลืมนะครับ คืนอีฟ ถ้าว่างแวะมาที่นี่” ทรงเดชย้ำอีกครั้ง ขณะเดินไปส่งชายหนุ่มทั้งสามออกจากโรงแรม
...........................................................................
....................................
“คืนวันคริสต์มาสอีฟเหรอ” สเตฟานขวมดคิ้วเล็กน้อย
“นะครับ พอดีคนเล่นเปียโนเค้าอยากไปโบสถ์ ผมก็เลยรับปากเค้าว่าจะลองหาคนแทน” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“แล้วทำไมต้องเป็นผม” สเตฟานถามทั้งๆที่ยังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
“ผมอยากให้คุณทำตัวเหมือนเดิม เมื่อก่อนคุณก็เคยลงไปเล่นเปียโนเวลาที่เราต้องหาคนมาแทนไม่ใข่เหรอครับ”
“ก็ใช่ แต่...”
“คุณเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมาตั้งแต่ตอนนั้น” ทรงเดชพูดอย่างจริงจัง “ออกไปข้างนอกมั่งเถอะครับ ผมไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้เลย เมื่อก่อนคุณดูสดใส มีชีวิตชีวา แต่ดูเดี๋ยวนี้สิ” ทรงเดชพูดพลางดูใบหน้าที่มีค่อนข้างซูบเซียว และมีแต่ความหม่นหมองมาตลอดแน่วนิ่ง
“ขอบใจที่เป็นห่วงผม” สเตฟานพูดช้าๆ “เอาเป็นว่าผมจะช่วยคุณก็แล้วกัน” พูดจบสเตฟานก็หลับตาลง เหมือนเป็นสัญญาณว่า การสนทนาจบลงเพียงแค่นี้
“ผมถามจริงๆเถอะ ทำไมคุณไม่กลับไปหาคุณทัต ผมว่ามันน่าจะดีกว่าเมื่อก่อน เพราะคุณไม่ค้องหลบซ่อนจากใครอีกแล้ว” ทรงเดชถามอย่างหมดความอดทน
สเตฟานลืมตาขี้นช้าๆ จ้องมองทรงเดชด้วยแววตาเศร้า
“เพื่ออะไร .... เพื่อที่ผมจะได้พบความเจ็บปวดอีกอย่างนั้นเหรอ” สเตฟานพูดช้าๆ
“ทำไมคุณคิดว่ามันต้องเจ็บปวดล่ะ”
“คุณลืมไปแล้วหรือ ว่าผมเป็นอะไร”
“แต่คุณทัตไม่รู้ ... คุณลบความทรงจำเขาไปแล้ว ทำไมคุณไม่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งล่ะ ผมว่าลึกๆแล้ว คุณทัตกำลังรอคุณอยู่”
“ผมรู้ว่าคุณยังเจอกับพวกเค้าอยู่ ผมทำได้เพียงทำให้ความทรงจำบางส่วนของพวกเขาผิดเพี้ยนไป ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกลึกๆในใจได้ ที่คุณพูดมาก็คงไม่ผิด ในส่วนลึกของความรู้สึก เขาอาจจะยังคงจำความรู้สึกที่มีต่อผมได้  แล้วถ้าได้พบกันอีกครั้งจะเป็นอย่างไรเล่า ความสุขอาจจะกลับมาหาผมอีกครั้งอย่างที่คุณบอก แต่สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี คุณอย่าลืม ... ผมไม่ใช่มนุษย์” สเตฟานหยุดถอนหายใจยาว “สักวันผมก็ต้องแยกจากเขาอยู่ดี”
“แต่ ...” ทรงเดชพยายามจะท้วง
“ผมไม่ต้องการสูญเสียคนที่ผมรักอีกแล้ว ครอบครัวของผม ... มิตรสหาย ... บุคคลอันเปรียบเสมือนครอบครัว และคนที่ผมรักปานดวงใจ” สเตฟานกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น พริ้มตาลงช้าๆ “คุณไม่รู้หรอกว่า การที่ต้องเห็นชีวิตของคนที่เรารัก ต้องดับสูญไปต่อหน้า แต่ตัวเรายังต้องมีชีวิตอยู่ไปอีกนานแสนนานนั้น มันทรมานขนาดไหน อย่าให้ผมต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกเลย”

ทรงเดชถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อมองเห็นหยดน้ำใสเริ่มก่อตัวเกาะอยู่กับแพขนตา แล้วเริ่มรวมตัวเป็นหยดตรงหัวตาที่หลับพริ้ม ก่อนที่จะค่อยๆไหลรินลงมาอย่างช้าๆ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-12-2009 19:52:58
สเตฟานน่าสงสารจังเลย  :monkeysad: มันก็จริงเนอะ มีชีวิตอมตะใช่ว่าจะดี
ทำไมไม่ทำให้ทัตเป็นแบบตัวเองล่ะ จะได้ครองคู่ตลอดไป  :laugh:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 10-12-2009 22:29:25
 :m15:
โอ้ววว สเตฟานเปลี่ยนแปลงความทรงจำพระเอกเราซะแล้ว...
สุดท้ายคงต้องเลือก...จะอมตะไปด้วยกันรึเปล่า???  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 10-12-2009 23:08:58
สงสารสเตฟานจังเลย
ต้องพรากจากคนรักด้วยกาลเวลา
จะไม่มีทางออกอย่างอื่นงั้นเหรอ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 11-12-2009 00:19:46
เศร้าแทนสเตฟานจังเลย....อยู่ใกล้กันก็เจ็บ จากกันก็เจ็บ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 11-12-2009 00:34:13
น่าสงสาร อมตะมันจะดียังไง ถ้าไม่มีคนรัก เคียงข้าง
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 11-12-2009 10:44:48
กรรม

ดูดเลือดภูริทัตเลย จะได้เป็นแวมไพร์เหมือนกัน

คิกคิก....
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 11-12-2009 11:27:13
หายไปนานเลย (คนอ่าน)

สงสารสเตฟานเหมือนกัน  :z3:

ขอบคุณมากค่ะ

 :z13:

หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๕ - ๑๐ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 11-12-2009 15:39:15
น่าเห็นใจสานฝันมากมาย แล้วภูริทัตพอจะทำอะไรได้มั้งมั้ยเนี่ย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๖ - ๑๗ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 17-12-2009 22:38:46
บทที่ ๔๖

“ดึกมากแล้ว ฝนก็หยุดตกพอดี ข้าคงต้องขอกลับเสียที” สเตฟานบอกเจ้าบ้านทั้งสอง
“ฝนเพิ่งจะหาย ทางเดินคงเฉอะแฉะ ไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ทำไมไม่ค้างเสียที่นี่เล่า” พุดซ้อนพูดด้วยความที่คุ้นเคยกันมานาน
“มิเป็นไรดอก” สเตฟานาตอบสั้นๆ แล้วลุกขึ้นช้าๆ
“แล้วพรุ่งนี้ เจ้าจะมาอีกหรือไม่” แสนถามด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพุดซ้อน พากันเดินไปส่งสเตฟานที่ประตู
“ไว้อีกสัก ๓ ราตรี ข้าจะมาใหม่” สเตฟานพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเดินลงบันได
สเตฟานเดินไปยังไม่ทันพ้นสายตาของคนทั้งสอง ฝนก็เริ่มลงเม็ดลงมาอีกครั้ง
“เจ้าไปเอาร่มมา ข้าจะเอาไปให้สานฝัน” แสนหันไปบอกภรรยา
พุดซ้อนรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน แล้วกลับออกมาพร้อมกับร่มในมือ แสนคว้าร่มมา  แล้ววิ่งลงไปจากตัวบ้านด้วยความรวดเร็ว ฝอยฝนที่โปรยปรายบางๆ กลับหนาเม็ดขึ้น แสนวิ่งตามสเตฟานจนเกือบทัน เสียงเม็ดฝนทึ่ตกระทบพื้นและใบไม้รอบข้าง ทำให้สเตฟานไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของแสนที่วิ่งเข้ามาหา แต่แล้วแสนก็ต้องหยุดชะงัก เบิกตามองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา เมื่อจะกระทบถูกสเตฟาน กลับกระเซ็นออกไป ไอขาวบางๆที่ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่ม เหมือนจะเป็นดั่งกำแพง ที่กางกั้นชายหนุ่มไว้จากเม็ดฝน แล้วร่างของชายหนุ่มก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเลือนลางและหายไปในที่สุด

ทั้งๆที่กำลังตื่นตกใจ แต่แสนก็เดินช้าๆไปยังจุดที่สเตฟานหายไป เขายกมือขึ้นปาดเช็ดคราบน้ำที่อยู่บนใบหน้า มองไปรอบๆราวกับจะมองหาว่า คนที่หายตัวไป อาจจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ได้
...........................................................................
........................................
สเตฟานค่อยๆเดินตรงไปยังแสงไฟเบื้องหน้า รอยยิ้มน้อยๆระบายไปทั่วใบหน้า เมื่อคิดถึงครอบครัวอันอบอุ่นที่เขากำลังจะไปเยี่ยมเยียน แสนและพุดซ้อนต้อนรับเขาอย่างสหาย ดาวเรืองที่งดงามอ่อนหวานแต่ก็ยังแฝงความแก่นอยู่ในที และสิน เด็กชายที่เขารักราวน้องชายร่วมสายเลือด
“จะมีใครมาเยือนท่านหรือ ถึงได้เตรียมคนไว้ต้อนรับมากมายเช่นนี้” สเตฟานถามอย่างสงสัย เมื่อมองเห็นแสนยืนอยู่หน้าบันได พร้อมกับบ่าวชายอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่มีคำตอบจากแสน ซึ่งกำลังจ้องมองสเตฟานแน่วนิ่ง แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง
“ทำไมเจ้ามองข้าเช่นนั้น” สเตฟานขมวดคิ้ว กวาดสายตามองดูใบหน้าของบ่าวไพร่ แล้วมาหยุดลงที่แสนอีกครั้ง
“วันก่อนข้าตามเจ้าไป” แสนพูดช้าๆ “ข้าเห็นหมดแล้ว”
สีหน้าของสเตฟานแสดงออกถึงความตกใจออกมาวูบหนึ่ง แล้วจึงกลับเป็นปรกติ
“ข้าเข้าใจแล้ว” สเตฟานพูดช้าๆ แล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไปจากที่นั้น

“ทำไมถึงไม่พูดแก้ตัวบ้างเล่า” ดาวเรืองพูดด้วยน้ำเสียงกังวล พลางกุมมือมารดาด้วยความตื่นเต้น จากภาพที่เห็นทางซอกประตู
“นั่นสิ แม่เองก็ไม่อยากเชื่อนัก” พุดซ้อนพูดกับบุตรสาว “ที่พ่อเจ้าเห็นอาจเป็นเพราะสายฝนทำให้เกิดภาพลวงตาก็ได้”

“เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้หรือ ทำไมไม่พูดสิ่งใดบ้าง” แสนตะโกนเสียงดัง เมื่อเห็นสเตฟานค่อยๆก้าวเท้าจะจากไป
สเตฟานหยุดยืนนิ่ง ค่อยๆหันตัวกลับไปทางแสนและบ่าวไพร่
“จะมีประโยชน์อันใดที่ข้าจะพูดแก้ตัว หากเจ้าเชื่อใจข้าจริง คงมินำบ่าวไพร่ออกมาต้อนรับข้าเช่นนี้” เสียงของสเตฟานไม่ดังนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่คนที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือน
แสนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่พักใหญ่
“คืนก่อน ข้าตามเจ้าออกไปเพราะฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้ง ข้าเห็นเจ้าอยู่กลางสายฝน แต่เม็ดฝนมิอาจต้องกายเจ้า แล้วเจ้าก็หายไป”
“ใช่ ... สิ่งที่เจ้าเห็น มันเกิดขึ้นจริงๆ” สเตฟานตอบ พลางนึกเสียใจในความไม่รอบคอบของตน
“เจ้าเป็นพ่อมดหมอผีหรือไร” แสนตวาดถาม
“พ่อมดหมอผี” สเตฟานทวนคำ แล้วหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะแผ่วเบา แต่แทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศ บ่าวไพร่บางคนถึงกับหน้าซีดลงด้วยความกลัว “อย่านำข้าไปเปรียบกับพวกนั้น”
“หรือว่าเจ้าเป็นปีศาจ” แสนถามด้วยความกังวลแกมไปด้วยความหวาดหวั่น หากคนตรงหน้าเป็นปีศาจจริง อันตรายข้างหน้าจะผ่านพ้นไปได้หรือไม่
“ปีศาจ ... คำนี้ค่อยน่าฟังหน่อย” สเตฟานพูดด้วยความรู้สึกรันทด

“คุณพระคุณเจ้าช่วย” พุดซ้อนอุทานยกมือขึ้นทาบอก “ไม่น่าเป็นไปได้”
“นั่นสิ แม่ท่าน ไม่น่าเป็นเช่นนั้น สานฝันที่แสนจะอ่อนโยนนั้น จะเป็นปีศาจไปได้เยี่ยงไร” ดาวเรืองเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
ทั้งสองคนมัวแต่ตกใจโดยไม่ทันได้คิดว่า ระยะทางที่ห่างกันของพวกตนกับสเตฟานนั้น ทำไมถึงได้ยินสิ่งที่สเตฟานพูดได้อย่างชัดเจนนัก

“ไม่จริงข้าไม่เชื่อ” เสียงเล็กๆดังขึ้น พร้อมกับร่างของเด็กชายที่วิ่งออกมาจากใต้ถุนเรือน พุ่งตรงเข้าไปหาเสตฟาน
“เจ้าสิน กลับมา” แสนร้องด้วยความมตกใจ ทำท่าจะวิ่งออกไปสกัดตัวเด็กชาย
แต่ช้าไปเสียแล้ว แสนวิ่งอย่างรวดเร็ว พอถึงตัวก็กอดเอวสเตฟานไว้แนบแน่น
“เจ้าโกหก ข้ามิเชื่อ” เด็กชายร่ำร้อง เงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม
“ข้ามิได้โกหก ข้าจะแสดงให้เจ้าดู ว่าจริงๆแล้วข้าเป็นเช่นไร”
พูดจบสเตฟานก็แกะแขนของเด็กชายอกจากตัว แล้วดันตัวเด็กชายออกห่าง ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ผิวสีขาวเปล่งประกายเรืองรอง ผมสีทองลุกชี้ชันเส้นผมพริ้วดั่งมีลมกระหน่ำ ดูแล้วเหมือนกองไฟสีทองที่ลุกโชนอยู่บนศรีษะ ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งแสงเจิดจ้า เขี้ยวสีขาวแวววาวงอกพ้นออกมาจากริมฝีปาก มือที่ยกขึ้นมาแล้วกางออก แสดงให้เห็นถึงเล็บที่งอกยาว คมเล็บส่องประกายแวววับดูแหลมคม ราวกับสามารถจะฉีกกระชากร่างน้อยๆ ให้แหลกเป็นชิ้นๆได้ในพริบตา
........................................................................................
..........................................
“อ๊า~~~~~~~~~~~~~~~”
ภูริทัตสะดุ้งสุดตัว ลืมตาแล้วมองไปรอบๆ ที่เขาเห็นยังคงเป็นภาพเดิมๆของห้องนอนที่คุ้นเคย ชายหนุ่มค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟเล็กๆตรงหัวเตียง ดูนาฬิกาแล้วอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาที่ต้องตื่นนอนตามปรกติ ถอนหายใจยาวแล้วก็ลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อทำกิจวัตรประจำวัน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันใหม่อีกวันหนึ่ง

“ตั้งแต่วันนั้นแล้วเอ็งฝันทุกคืนเลยเหรอวะ” ปรีชาถามด้วยความอยากรู้
“เออ” ภูริทัตตอบ “ตอนนี้เป็นเรื่องเป็นราวชัดขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่วันที่ทรงเดชพูดอะไรแปลกๆวันนั้น”
“แล้วตกลงฝันเรื่องอะไรวะ” รังสรรค์เองก็อยากรู้ไม่แพ้ปรีชา
“ปีศาจหว่ะ ... ปีศาจสีเงิน ตาสีแดงกล่ำ มีเขี้ยวยาว เล็บแหลมคม กับลูกสมุนสีขาวกับสีดำ พวกมัน ๓ ตัวจับเอ็งสองคนไว้ ทำให้กลายเป็นลูกสมุน แล้วพากันมาตามล่าข้า”
“แล้วเป็นไง นายถูกจับได้แล้วโดนพวกเราเรียงคิว ใช่มั๊ยวะ” ปรีชาถามแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“แล้วคุณทัตถูกจับได้รึเปล่าครับ” ทรงเดชถามด้วยสีหน้าจริงจัง คนชายหนุ่มทั้งสามพากันแปลกใจ
“ถามอย่างนี้ค่อยอยากตอบหน่อย ไม่เหมือนไอ้สองตัวนี่ ทำเป็นเรื่องตลกจนผมไม่อยากเล่า” ภูริทัตพูดแล้วหันหน้าไปล้อเลียนเพื่อนทั้งสอง
“พอเลิกงาน คุณก็เลยพากันมาเล่าให้ผมฟังงั้นสิครับ” ทรงเดชถามยิ้มๆ
“ผมน่ะไม่เท่าไรหรอก ...” ภูริทัตลากเสียงยาว เหลือบสายตาไปที่รังสรรค์ “แต่บางคนมันลากมา”
“รีบๆเล่าต่อสิวะ” รังสรรค์พูดอ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มเสียง
“นั่นสิครับ แล้วเป็นยังไงต่อ ผมอยากรู้” ทรงเดชสนับสนุน
“พอเกือบๆจะจวนตัว ก็มีปีศาจสีทองโผล่ออกมาน่ะสิครับ แต่น่าแปลกที่มันมาช่วยผม”
“ลักษณะมันเป็นยังไงครับ ไอ้ปีศาจสีทองที่คุณว่าเนี่ย” ทรงเดชถามอย่างกระตือรีอร้น
“ก็คล้ายๆเจ้าสามตัวแรกนะ แต่ดวงตาเป็นสีเขียววูบวาบ แล้วผมสีทองของมันตั้งชัน ดูเหมือนมีเปลวไฟสะบัดไปมาอยู่บนหัว มันผลักไอ้ตัวสีเงินกระเด็นไป ตัวลูกน้องสีดำกับสีขาว ก็พุ่งเข้ากัดคอตัวสีทอง แล้วจู่ๆเจ้าสองตัวนั้นก็กรีดร้องแล้วสลายกลายเป็นฝุ่น”
“แล้วเจ้าตัวสีเงินล่ะครับ” ทรงเดชขัดขึ้น
“ไอ้ตัวนั้นพอมันเห็นลูกน้องมันตาย ก็เลยพุ่งเข้าไปสู้ แต่พอมันคว้าคอเจ้าตัวสีทองไว้ได้ ก็หายไปเลยทั้งคู่” ภูริทัตหยุดเล่า
“มีเค่นี้เหรอครับ” ทรงเดชถามขึ้นเมื่อภูริทัตไม่มีทีท่าว่าจะเล่าต่อ
“ก็แค่นี้แหละครับ” รังสรรค์ตอบแทน เพราะเขาฟังภูริทัตเล่ามาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อตอนกลางวัน
“แน่ใจเหรอครับ ว่ามีแค่นี้ ผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้นะครับ” ทรงเดชพูดพลางจ้องมองภูริทัตอย่างคาดคั้น
“เอ้อ ... ที่จริงมันก็มีนะครับ แต่ผมว่ามันแปลกๆ ก็เลยไม่อยากเล่า” ภูริทัตอึกอัก
“ผมว่า คุณน่าจะเล่าออกมานะครับ บางที ...” ทรงเดชหยุดพูด นิ่งไปเหมือนใช้ความคิด
“คุณพูดเหมือนคุณรู้อะไรเกี่ยวกับความฝันของผม” ภูริทัตสงสัย
“ให้ผมเดามั๊ยครับ ว่าต่อจากนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้น” ทรงเดชถามยิ้มๆ
เมื่อทุกคนนิ่งเงียบ พร้อมกับสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ทรงเดชจึงพูดต่อ
“ปีศาจสีทองกลับมาหาคุณอีกครั้ง แล้วกลายร่างเป็นคน คนที่มีลักษณะ...ยังไงดีนะ ให้ผมคิดก่อน”
ทรงเดชยกมือขึ้นเกาคางเหมือนใช้ความคิด มองหน้าภูริทัตนิ่งสักพัก ก่อนที่จะพูดออกมาช้าๆ
“ปีศาจตัวนั้น เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผิวขาว ผมและคิ้วเป็นสีทอง ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเอิบ แก้มสีขาวอมชมพู ดวงตาเป็นสี...สีอะไรดีนะ” ทรงเดชทำเป็นหยุดคิด “เอาเป็นสีเขียวแล้วกันนะครับ ดวงตาสีเขียวที่มีประกายเหมือนมรกต ... เป็นยังไงครับ จินตนาการของผม”

ภูริทัตเบิกตาค้าง คิดไม่ออกเลยว่า ทำไมทรงเดชถึงได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันของเขาได้
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๖ - ๑๗ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 17-12-2009 22:53:03
 :serius2:
เค้าก็ยังไม่เคลียร์...โจชัวส์เป็นไง...สินเป็นอะไรกะภูริทัตรึเปล่า
เกิดอะไรขึ้นหลังจากแสดงตัวให้ครอบครัวสินเห็นแล้ว ????  :serius2: :serius2: :serius2:

Merry X-Mas ล่วงหน้าจ้า.... :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๖ - ๑๗ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 17-12-2009 23:19:49
ภูริทัตคือสินในอดีตรึป่าวนะ

แต่ความทรงจำของภูริทัตก็ยังปรากฏในความฝันนี่นา
แบบนี้ก็คงไม่ได้ลืมไปหมด

รอคอยตอนต่อไปจ้า
บวก 1 แต้มนะจ๊ะ ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๖ - ๑๗ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-12-2009 13:45:14
นั่นสิ เด็กน้อยสิน ในอดีต คือ ภูริทัต ในปัจจุบันหรือเปล่า  แล้วภูริทัตกับสเตฟานจะเป็นไงต่อคู่นี้ เศร้าๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๖ - ๑๗ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 21-12-2009 21:01:41
ชอบทรงเดชจริงๆ เลย จัดการให้ทุกอย่าง คอยเชียร์ คอยดูแล คอยห่วง
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๖ - ๑๗ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 21-12-2009 23:16:41
ภูริทัต กับ สเตฟาน ต้องเคยเจอกันมาตอนภูริทัต เป็นเด็ก

กลับมาเจอกันอีกครั้ง

หุหุ.....
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๗ - ๓๑ ธ.ค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 31-12-2009 16:10:21
บทที่ ๔๗

ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันของคนที่นั่งอยู่ในห้องลอบบี้ของโรงแรม เสียเปียโนเริ่มต้นขึ้นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆดังขึ้นทีละนิดจนสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจนขึ้น ท่วงทำนองที่เกิดจากตัวโน้ตมากมาย และควรจะมีสำเนียงที่รุนแรง กลับถูกบรรเลงออกมาอย่างแผ่วเบา เสียงที่ควรจะหนักแน่น แร่งเร้าความรู้สึก กลับผสมกลมกลืนไปกับสรรพสำเนียงของผู้คนภายในห้อง หลายคนหันมองดูนักเปียโนด้วยความประหลาดใจ ในสำเนียงที่เกิดจากปลายนิ้วเรียวงาม แม้แต่ภูริทัตเอง ก็อดสะกิดใจไม่ได้ ที่ เอทรูทโอปุส๑๐ หมายเลข๑๒ เรโวลูชั่น ถูกบรรเลงออกมาได้อย่างนุ่มนวลเช่นนั้น มันทั้งแปลกหูและไพเราะจนเขาต้องหยุดการพูดคุย ฟังบทเพลงนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

“นักเปียโนคนนี้เล่นเพราะจนคุณตั้งใจฟังขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ทรงเดชพูดล้อ เมื่อเห็นท่าทางของภูริทัตซึ่งนี่งอยู่ข้างๆบนโซฟาตัวยาว
“เอ้อ...” ภูริทัตยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ “มันแปลกหูน่ะครับ  ผมไม่เคยได้ยินคนเล่นเพลงนี้ด้วยสำเนียงแบบนี้มาก่อนเลย”
“เหรอ ... แล้วแบบนี้เรียกว่าเก่งรึเปล่า” ปรีชาถามด้วยความสนใจ
“ก็คงเก่ง เพราะเพลงนี้แค่เล่นธรรมดาก็เทคนิคเยอะแล้ว ปรกติเล่นแล้วมันจะยิ่งดัง แต่นี่เค้าควบคุมเสียงได้ดีมาก ถึงจะค่อนข้างเบากว่าที่ควร แต่เสียงโน้ตชัดเจนทุกตัวเลย” ภูริทัตตอบ
“เค้าคงตั้งใจมั๊ง ห้องลอบบี้แบบนี้ ขีนเล่นดังๆ ก็ไล่แขกหมดสิ จริงมั๊ยครับ” คำสุดท้ายรังสรรค์หันไปทางทรงเดช
“ก็คงอย่างนั้นน่ะครับ” ทรงเดชตอบยิ้มๆ

บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ในขณะที่บทเพลงถูกบรรเลงจบลง ต่อด้วยเพลงใหม่ เพลงแล้วเพลงเล่า เอทรูทของโชแปง โซนาตาของบีโทเฟน แม้กระทั่งอินเวนชั่นของบาค แทบไม่น่าเชื่อว่าเสียงเพลงที่ได้ยินกลับแผ่วเบา นุ่มนวล สะกิดความสนใจจนภูริทัตต้องหยุดการสนทนาลงชั่วคราวหลายต่อหลายครั้ง และบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังผู้เล่น ซึ่งเห็นเพียงแผ่นหลังในชุดสูทสีขาว และเรือนผมสีทองเป็นประกายเท่านั้น

“คุณทัตนี่ ชอบฟังเพลงมากเลยนะครับ” ทรงเดชถามพลางจ้องหน้าภูริทัต
“เจ้าทัตมันชอบฟังเพลงมากๆเลย มีคอนเสริทดีๆที่ไหน ต้องกระเสือกกระสนหาตั๋วไปดู บางทีไม่มีอะไรทำก็เปิดเนต ค้นว่าที่ไหนมีคอนเสริทอะไรบ้าง” รังสรรค์ตอบแทน
“แต่ท่าทางคุณทัตจะชอบเพลงที่นักเปียโนคนนี้เล่นมาก” ทรงเดชถามอีก
“ก็ ... ครับ เค้าเล่นด้วยสำเนียงที่ต่างไปจากที่ผมเคยได้ยิน แต่ก็เพราะดีนะ มันนุ่มนวล อ่อนโยน แล้วก็ ....” ภูริทัตหยุดพูด ทำท่าเหมือนครุ่นคิด
“แล้วก็อะไรเหรอครับ” ทรงเดชถามพลางรอคอยคำตอบอย่างตั้งใจ
“มันแปลกๆน่ะครับ” ภูริทัตตอบ “มันเหมือนกับว่า ผมคุ้นกับสำเนียงการเล่นเปียโนแบบนี้จากไหนสักแห่ง”
“เหรอครับ” ทรงเดชยิ้มอย่างดีใจ “แล้วคุณอยากรู้จักนักเปียโนคนนี้มั๊ยล่ะครับ เดี๋ยวผมจะพามาให้รู้จัก”

โดยไม่ฟังคำตอบ ทรงเดชลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาเดินตรงไปหานักเปียโน ซึ่งกำลังจะลุกขึ้นหลังการบรรเลงบทเพลงสุดท้ายของช่วงนี้ เมื่อทุกคนมองตามไปก็เห็นทรงเดชคุยอะไรกับนักเปียโน ซึ่งก็คงพูดชักชวนให้มาทำความรู้จักกับกลุ่มของตน แต่จากท่าทางเหมือนว่าจะมีการปฏิเสธจากฝ่ายตรงข้าม แต่ดูเหมือนทรงเดชจะใช้ความพยายามจนอีกฝ่ายใจอ่อนจนได้ และเมื่อนักเปียโนคนนั้นหันตัวมาทางพวกเขา ภูริทัตถึงกับจ้องมองอย่างตะลึงลาน

ชุดสูทสีขาว ทำให้ผิวสีขาวอมชมพูของเรือนร่างสูงโปร่งดูขาวผ่อง ราวกับมีประกายออกมากรอบๆ เรือนผมสีทองยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูกระจ่างตา ขนคิ้วเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเอิบ ดูโดดเด่น แต่นั่นยังไม่เทียบเท่าประกายตาที่ฉายแววสีเขียวมรกตออกมาจางๆ แต่ที่ภูริทัตตกตะลึง ไม่ใช่เพราะเรือนร่างที่ดูบอบบางแต่สมส่วน หรือเครื่องหน้าที่ดูงดงาม และไม่ใช่ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น แต่เป็นเพราะชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้ เหมือนกับคนในความฝันของเขาเสียเหลือเกิน

“นั่งตรงนี้แล้วกันนะครับ” ทรงเดชพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง คนที่เข้ามาใหม่ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงนั่งลงบนตำแหน่งที่ทรงเดชเคยนั่งอยู่ก่อน แล้วเริ่มทำหน้าที่เหมือนแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “นี่คุณรังสรรค์ นี่คุณปรีชา แล้วก็นี่ ...”
“ภูริทัตครับ” ภูริทัตชิงแนะนำตัวเอง “แล้วคุณ เอ่อ ...”
“สเตฟานครับ ผมชื่อสเตฟาน” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วเบา นุ่มแต่ชัดเจน พลางเบือนหน้าหลบสายตาของภูริทัตที่จ้องมองตนอย่างไม่วางตา
“คุณสเตฟานพูดไทยได้เหรอครับ” รังสรรค์ถามอย่างสนใจ
“ครับ”
“แล้วเป็นคนชาติไหนครับนี่” ปรีชาถามบ้าง
“ผมเป็นคนอังกฤษครับ”
“แล้วมาทำอะไรที่เมืองไทยนี่ล่ะครับ หรือว่าเป็นนักดนตรีที่ตระเวณแสดงไปเรื่อยๆ” รังสรรค์ถามอีก
“คุณสเตฟานไม่ได้เป็นนักดนตรีหรอกครับ พอดีวันนี้มาเป็นกรณีพิเศษ” ทรงเดชตอบแทน “ปรกติก็ไปประเทศโน้น ประเทศนี้เป็นประจำ แต่ช่วงนี้พักอยู่เมืองไทย”
“โอ้โห แล้วเดินทางรอบโลกแล้วรึยังครับนี่” ปรีชาถามอย่างติดตลก สเตฟานไม่ตอบคำถาม ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ
“อ้าวไอ้ทัต เป็นอะไรวะ เอาแต่จ้องหน้าเค้าอยู่นั่นแหละ” รังสรรค์หันไปถามกลั้วหัวเราะ แต่ไม่มีคำตอบจากภูริทัต
“ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะต้องเล่นเปียโนอีก”
พูดจบสเตฟานก็ลุกขึ้นเดินไปทางเคาเตอร์เครื่องดื่ม โดยมีสายตาของภูริทัตมองตามไปอย่างไม่วางตา
“คุณทัตครับ” ทรงเดชเรียกเบาๆ
“ว่าไงครับ” ภูริทัตหันมาตอบ เมื่อเห็นสเตฟานเดินหลบหายไปทางมุมหนึ่งของห้องลอบบี้
“มองอะไรเค้านักหนาวะ ท่าทางจะเขินจนต้องลุกหนีไปเลย” รังสรรค์ถามในสิ่งที่ทุกคนก็อยากรู้
“เอ้อ ...” ภูริทัตอึกอัก ยกมืขึ้นเกาท้ายทอย “จะว่าไงดีวะ”
“ว่าอะไรก็ว่ามา กำลังรอฟัง” ปรีชาทำหน้าทะเล้น ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น
“คือ...” ภูริทัตทำสีหน้าเหมือนลำบากใจ “เค้าหน้าเหมือนคนที่ข้าเห็นในฝันหว่ะ”
“ฝันอะไรวะ” รังสรรค์ถาม
“ก็ฝันที่มีปีศาจไล่ทำร้ายข้าไง แล้วปีศาจสีทองที่มาช่วยข้ากลายเป็นชายหนุ่ม สเตฟานคนนี้ เหมือนคนที่ข้าเห็นในฝันเปี๊ยบ”
“คุณทัตเคยบอกว่ามันเป็นฝันที่น่ากลัวนี่ครับ” ทรงเดชพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้น คุณทัตก็น่าจะกลัวคุณสเตฟานสิ”
“นั่นสิครับ ผมก็เคยคิดว่าถ้าผมได้เจอคนที่เหมือนในฝัน ผมคงจะต้องตกใจกลัว แล้วอยากอยู่ห่างๆ แต่พอผมได้เจอเข้าจริงๆ ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ได้ก็ไม่รู้” พูดแล้วภูริทัตก็ถอนหายใจ
“ยังไง อธิบายมาให้เข้าใจดิ๊” ปรีชาเร่ง
“ข้าว่าคนนี้แหละ” ภูริทัตพูดพลางจ้องหน้าเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา “คนนี้แหละคนที่ข้ารอมาตลอด” แล้วภูริทัตก็หันหน้ามาทางทรงเดช “จริงๆนะ ความรู้สึกของผมมันบอกอย่างนั้นจริงๆ”
“ผมเชื่อครับ แค่ผมเห็นท่าทางที่คุณมองคุณสเตฟาน ผมก็เชื่อสนิทใจ” ทรงเดชพูดพร้อมกับยิ้มกริ่ม ทำให้รังสรรค์และปรีชาพากันมองหน้ากันด้วยความสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าและรอยยิ้มนั้น
.......................................................................................
......................................
“เค้าจำคุณได้” ทรงเดชพูดยิ้มๆ “ถึงสมองของเค้าจะจำคุณไม่ได้ แต่เค้าจำคุณได้จากความรู้สึก จากส่วนลึกของจิตใจ” ทรงเดชพูดพลางจ้องมองสเตฟานซึ่งยืนหันหลังให้ ตรงริมหน้าต่าง
“ทำไมไม่เริ่มต้นใหม่ล่ะครับ” ทรงเดชพูดอีก “บางทีอะไรมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ ผมว่าเค้ารับตัวตนที่แท้จริงของคุณได้แน่ๆ”
“คุณพูดราวกับมันเป็นเรื่องง่ายๆ” สเตฟานหันกลับมา “ถามจริงๆ ทั้งๆที่คุณก็รู้ว่าผมเป็น ‘อะไร’ คุณเคยมีความรู้สึกกลัวผมบ้างไหม”
“ตลกน่ะครับ คุณมีตรงไหนน่ากลัว”พูดแล้วทรงเดชก็ถอยหลังไปสองก้าว แล้วใช้สายตามองดูสเตฟานไปจนทั่วตัว “แค่แก่ช้ากว่าผมหลายๆปีเท่านั้นเอง” พูดแล้วทรงเดชก็อดหัวเราะไม่ได้
สเตฟานอมยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็ถอนหายใจ
“พูดจริงๆนะ ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของผม ... ผมอาจจะหลงรักคุณก็ได้”ทรงเดชพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบใจนะ ขอบใจมากสำหรับคำปลอบใจของคุณ”
สเตฟานเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ของชุดโซฟา ทรงเดชก็ก้าวตามไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
“คุณทำให้ผมนึกถึงเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ที่ไม่กลัวผมเลย ถึงแม้จะเห็นรูปร่างที่น่ากลัวของผม ในยามที่ผมกลายเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์”
“แวมไพร์โดยสมบูรณ์ ... หมายถึงมีปีกมีเขา มีเขี้ยวงอกออกมาเหมือนที่ในหนังสือนิยายเขียนไว้น่ะเหรอครับ” ทรงเดชขมวดคิ้ว “ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าคุณจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ว่าแต่ใครเหรอครับ เด็กชายตัวน้อยที่คุณพูดถึงน่ะ”
“มันเป็นเรื่องนานมากแล้ว ด็กชายตัวน้อยที่ผมได้พบเมื่อตอนที่ผมมายังประเทศนี้ครั้งแรก เด็กชายตัวน้อย เด็กสาวที่น่ารัก และคู่สามีภรรยา เป็นครอบครัวที่อบอุ่นทีเดียว”
“เล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ ผมอยากรู้”
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๘ - ๒ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 02-01-2010 21:51:15
บทที่ ๔๘

“คุณพระช่วย”
พุดซ้อนอุทาน ยกมือขึ้นทาบอก ตกใจกับภาพที่เห็น พอตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นเปิดประตู วิ่งลงบันได หวังจะวิ่งไปให้ถึงตัวบุตรชายคนเล็ก แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเหมืนมีกำแพงกั้นไว้ ทำให้ไม่สามารถก้าวเท้าออกไป เกินแนวที่สามีของนางและพวกบ่าวไพร่ยืนอยู่ได้
“เจ้าสิน” พุดซ้อนตะโกนเสียงดังด้วยความเป็นห่วง “คุณค่ะ ช่วยเจ้าสินยังไงดี” หล่อนหันไปพูดกับสามีที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ
“ใจเย็นก่อนเถิดแม่ ข้าว่ามันมีอะไรผิดไป” ดาวเรืองที่วิ่งตามลงมา พูดพลางเกาะแขนมารดาไว้แน่น
“นั่นสิ ข้าก็เห็นเช่นนั้น” แสนพูดแล้วก็เปลี่ยนสายตาไปมองยังบุตรชายที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ ผิดไปจากบรรดาบ่าวไพร่ที่ต่างซุบซิบกันถึงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“ทำอะไรของเจ้า” สินพูดอย่างหงุดหงิด “คิดจะหลอกให้ข้ากลัวหรือไร แกล้งข้าเช่นนี้ ข้าหากลัวไม่” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นท้าวสะเอว
“อวดเก่งนักหรือเจ้าเด็กน้อย” เสียงดังออกมาจากร่างที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง ประกายตาสีเขียวทอแสงวูบวาบ เรือนผมที่ลุกชี้ชันพริ้วไสวราวกับกลุ่มไฟขนาดย่อม “หากยังมิถอยกลับไป ข้าจักใช้เล็บนี้ฉีกเข้าเป็นชิ้นๆ แล้วสูบกินโลหิตเจ้าให้อิ่มหนำ”
“เช๊อะ...!!!” สินแค่นเสียง “อย่ามาหลอกข้า เจ้านะรึจะทำร้ายข้า รีบคลายมนตราของเจ้า แล้วกลับมาเป็นสานฝันรูปงามของข้าได้แล้ว”
“หึ..หึ” ร่างสีทองหัวเราะในลำคอ แล้วค่อยๆย่อตัวลงนั่งชันเข่า จ้องมองใบหน้าของสินแน่วนิ่ง “เจ้ามิกลัวข้าเลยหรือไร”
“กลัวเหรอ” สินขมวดคิ้ว “หากข้ามิรู้มาก่อนว่าเจ้าเป็นใครก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เจ้าใช้เลห์มายาบิดเบือนรูปกายต่อหน้าข้า” พูดพลางเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น “ข้ารึจะกลัวสานฝัน...พี่ชายอันเป็นที่รักของข้า”
ร่างสีทองค่อยๆเปลี่ยนแปลงกับเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน มือขาวผ่องยกขึ้นจับไหล่ทั้งสองของเด็กชาย แล้วลูบเบาๆ
“เจ้าสิน...น้องชายที่รักของข้า” สเตฟานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าดีใจนักที่เจ้าพูดเช่นนี้ แต่อย่างไร ข้าก็ต้องไปแล้ว”
“ไป...ทำไมต้องไปด้วยเล่า”
“เจ้าลองคิดดู เรื่องของข้าอาจแพร่งพรายออกไป หากถึงหูผู้มีอำนาจ ครอบครัวของเจ้าอาจเป็นอันตรายได้”
“อันตรายจากสิ่งใดกัน” สินเอียงคอด้วยความสงสัย
“เอาไว้ให้พ่อแสน กับแม่พุดซ้อนของเจ้าอธิบายก็แล้วกัน”
“แล้วเมื่อไรจักกลับมาเล่า”
“ข้าไม่รู้” พูดแล้วก็หลุบสายตาลงไปที่พื้น เพราะไม่อยากให้เด็กชายเห็นแววตาของเขา
“ข้าคงคิดถึงเจ้ามาก หากไม่ได้พบเจ้าอีก” พูดแล้วสินก็โผตัวกอดคอสเตฟานไว้แน่น
ชายหนุ่มโอบกอดร่างของเด็กชายไว้อย่างอ่อนโยน จุมพิศเบาๆที่แก้มเนียน แล้วกระซิบเบาๆที่หูของเด็กชาย
“จำคำข้าไว้ น้องชายข้า แล้วเบื้องหน้า เมื่อเจ้าออกเรือน มีบุตหลานมากมาย จงบอกต่อแก่บุตรหลาน ผู้ที่เจ้ารักแลไว้ใจที่สุด”
“สิ่งใดฤา” สินถามเบาๆซบหน้าลงไปบนไหล่อันอบอุ่น
“จงจำข้าไว้ จดจำรูปลักษณ์ของข้า จดจำดวงตาของข้า หากยามที่พวกมันพบเจอข้า แลมันสามารถขานนามของข้าที่เจ้าตั้งให้ได้ ข้าจักแก้ปัญหาให้แก่มันประการหนึ่ง”
“ข้าจักจำไว้”
“ดีแล้ว” สเตฟานจุมพิศแก้มของเด็กชายอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะจับตัวเด็กชายให้ถอยห่างออกไป “ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว ให้ข้าได้เห็นเจ้ากับครอบครัวของเจ้าโดยพร้อมหน้ากันอีกสักครั้ง”
“สานฝัน” เด็กชายเรียก แล้วโผเข้าไปกอดสเตฟานไว้อีกครั้ง ก่อนจะจุมพิศแก้มของชายหนุ่มทีละข้าง
“ไปเถิดน้องชายข้า” สเตฟานดันตัวเด็กชายออกห่าง สินขืนตัวเล็กน้อยราวกับไม่ยินยอม “อย่าได้ร้องไห้ให้ข้าเห็น”
สินหันตัวกลับ ค่อยๆเดินเข้าไปหาแสนและพุดซ้อนอย่างช้าๆ ระหว่างที่เดินก็เหลียวหน้ากลับไปมองดูสเตฟานเป็นระยะๆ
“สินเป็นอะไรรึเปล่าลูก” พุดซ้อนทรุดตัวลงนั่ง กอดเจ้าสินไว้แน่น
“แม่ ... สานฝันจะไปแล้ว” พูดแล้วก็น้ำตาคลอ หันหน้ากลับไปมองชายหนุ่ม

ภาพสุดท้ายที่เด็กชายเห็น คือรอยยิ้มอันอ่อนโยน แล้วร่างของชายหนุ่มก็ค่อยๆเลือนหายไป
..................................................................
.................................
“แล้วคุณได้เจอลูกหลานของเด็กสินมั๊ย” ทรงเดชถามอย่างสนใจ แต่สเตฟานกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“พบ ... ความจริงอย่าเรียกว่าพบเลย ผมเองกลับมาประเทศนี้บ่อยๆ และได้เห็นความเป็นไปของครอบครัวนั้น จากรุ่นหนึ่ง สู่อีกรุ่นหนึ่ง มันเป็นความสุข ถึงแม้จะเป็นเพียงการเฝ้ามอง มันเหมือนกับผมมองดูครอบครัวของผมเองทีเดียว แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ทำตามคำที่ผมให้ไว้ ชายคนนั้นเองก็ไม่ค่อยเชื่อในคำสั่งเสียจากบรรพบุรุษนัก จนผมต้องแสดงหลักฐานให้ดู”
“หวังว่าคงไม่มากไปกว่าตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรกนะครับ” พูดแล้วก็หัวเราะออกมา
“ไม่มากไปกว่านั้นหรอก” สเตฟานหัวเราะเบาๆไปด้วย “เขาเป็นคนฉลาดมากทีเดียว คำขอของเขา ทำให้ผมแทบจะต้องอยู่ในประเทศนี้เลย”
“เอ๋ ... ยังไงเหรอครับ”
“เขาให้ผมช่วยเหลือในกิจการที่กำลังประสบปัญหา และรับเป็นประธานกรรมการดูแลกิจการนั้นตลอดไป”
“เอ๊ะ!!”
“ใช่ ... ปู่ทวดของคุณนั่นแหละ บุตรหลานของสิน น้องชายอันเป็นที่รักของผม”
..................................................................
.................................
“ใจลอยเชียวนะเอ็ง คิดอะไรอยู่วะ” รังสรรค์ทักขึ้น
“นั่นดิ เอาแต่กินเหล้า ไม่พูดไม่จาเชียว” ปรีชาสนับสนุน
“เบื่อๆหว่ะ ข้ากลับก่อนดีกว่า” พูดจบ ภูริทัตก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อะไรกัน เพิ่งจะสี่ทุ่ม จะรีบกลับทำไมกัน” ปรีชาบ่น
“เก็บแรงไว้เที่ยวให้เต็มที่ตอนปีใหม่ไงวะ ข้าไปหล่ะ” พูดจบ ภูริทัตก็เดินตรงไปยังประตูทางออกของผัปเล็กแห่งนั้น

ออกมาจากผัปแล้ว ภูริทัตก็เดินดูของบนแผงลอยที่ตั้งเรียงรายอยู่บนทางเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบถึงบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า ที่มีเด็กชายวัยรุ่นนั่งกันอยู่หลายคน แว่บหนึ่งที่ชายหนุ่มเห็นภาพนั้นแต่ไกล ความทรงจำบางอย่างในวัยเด็กก็ผุดเข้ามาในความคิด

... อายุเท่าไหร่แล้ว ...
... สิบสามครับ ...
... โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอยังเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ..

พร้อมกับความคิดนั้น ภาพของชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างสูงโปร่งในเสื้อโค๊ตสีเขียวเข้ม ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง ราวกับว่าภาพนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ผิวขาวละเอียดอ่อน กับเรือนผมสีทองดูกระจ่างตา มีเพียงใบหน้าที่เหมือนมีหมอกบางๆคลุมไว้ ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน คิดมาถึงตรงนี้ ภูริทัตก็ถอนหายใจแรง สายตาเหลือบมองไปเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไปจากกลุ่ม  กำลังพูดคุยกับชายรูปร่างสูง เมื่อมองจากด้านหลังทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

เรือนผมสีทอง ในเสื้อโค๊ตสีเขียวเข้ม แผ่นหลังของชายหนุ่มชาวต่างชาติช่างดูคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน

การนำเสนอ หรืออาจจะเป็นการต่อรอง ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ เด็กชายก้มหน้าด้วยความไม่พอใจ มือขาวละเอียดยกขี้นตบบ่าของเด็กชายเบาๆ ราวจะปลอบโยน แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ หันหลังเดินกลับไปยังกลุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ชายชาวต่างชาติหันมองดูเด็กชายเล็กน้อย พลางส่ายหน้าเหมือนอ่อนใจ ภูริทัตมองเพ่งดูเสี้ยวหน้าที่หันมาอย่างแปลกใจ
“สเตฟาน” ภูริทัตเรียกพึมพำของชาวต่างชาติคนนั้นเบาๆ

ความสงสัย และความต้องการบางอย่าง ทำให้ภูริทัตเดินตามสเตฟานไปช้าๆ ข้ามถนนสายใหญ่ไปสู่อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นสวนสาธารณะ เดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ คนที่อยู่ด้านหน้าเดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มเองก็เดินตามไปด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ สักพัก สเตฟานก็หยุดเท้าลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เอื้อมมือแตะลำต้นอันแข็งแกร่งนั้นไว้ ทันใดกิ่งก้านที่สงบนิ่ง ก็สั่นไหวราวมีลมพัด เพียงแค่นั้น ภูริทัตคงไม่รู้สึกอะไร แต่ภาพที่เขามองเห็น ทำให้เขาตกตะลึง

หมอกสีขาว รวมตัวกันอยู่รอบๆลำต้นของต้นไม้ใหญ่  แล้วรวมตัวกันเป็นเส้นสาย พุ่งหายเข้าไปในร่างของสเตฟาน
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๘ - ๒ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 02-01-2010 22:16:35
^^
^^
สวัสดีปีใหม่ครับ ตั้ม

ไม่พบกันนานมากเลยนะครับ จาก 10 ธันวา แต่ก็ดีใจน่ะครับ

ที่กลับมาต่อ เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๘ - ๒ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 03-01-2010 00:10:04
ลุ้นกับคู่นี้จริงๆ ว่าจะได้ลงเอยกันหรือเปล่า  :a2:  น่าสงสารทั้งคู่เลย

สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๘ - ๒ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 03-01-2010 00:22:32
สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :L2:
ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงนะคะ

ภูริทัตได้เห็นเอง เจอเองในตอนนี้
จะได้พิสูจน์ใจว่ายอมรับสเตฟานได้มั้ย
ได้สมหวังในช่วงชีวิตหนึ่งก็ยังดีนะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๘ - ๒ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 04-01-2010 23:17:02
ครอบครัวทรงเดชนี่เอง...

อยากให้ happy ending จังเลย แต่ประเด็นการลาจากก็มาชวนให้เศร้าอีก ...หรือถ้าภูริทัตรักสเตฟานจริง ก็ยอมเป็นแวมไพร์ไปด้วย แต่ไม่หม่ำเลือด ให้สเตฟานแบ่งพลังจากธรรมชาติให้ (ไม่รู้ได้รึเปล่าน้อ?)
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 20-01-2010 20:05:00
บทที่ ๔๙

แสงสว่างเพียงเล็กน้อยจากไฟทาง ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ภูริทัตเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน แต่คงเป็นเพราะประกายจางๆที่ออกมาจากร่างภายใต้ต้นไม้นั้นมากกว่า ที่ทำให้ภาพนั้นดูลึกลับน่าหวาดหวั่น

ไอหมอกที่ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ รวมตัวเป็นกำแพงหมอก หมุนเป็นวงล้อมรอบร่างของเสตฟานไว้ เรือนผมสีทองลุกชี้ชัน พริ้วไสวราวกับถูกแรงลมโชยพัด แล้วหมอกนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นเส้นสายบางละเอียด แทรกซึมเข้าสู่ร่างนั้นอย่างช้าๆ

แต่ภาพที่ภูริทัตเห็นกลับดูสวยงามในความรู้สึกของชายหนุ่ม จนเจ้าตัวเองก็แปลกใจไม่น้อย ว่าทำไมถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้าเลย แม้แต่เสี้ยวของความรู้สึก สเตฟานเบือนหน้ามาทางเขาอย่างช้าๆ วูบหนึ่งภูริทัตเหมือนจะมองเห็นรอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้น ก่อนที่ร่างของสเตฟานจะค่อยๆเลือนหายไป ทิ้งไว้แต่เงาของต้นไม้ใหญ่ที่สงบนิ่งเหมือนที่ตรงนั้นไม่เคยมีใคร หรือสิ่งใดอยู่มาก่อนเลย

“คุณตั้งใจใช่มั๊ย” ภูริทัตพึมพำ “คุณตั้งใจให้ผมเห็น ... ทำไมกัน ...ทำไม ... สเตฟาน” หัวคิ้วของภูริทัตขมวดเข้าหากัน แล้วชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด และเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่อนั้นออกมาเบาๆ
“... สานฝัน ...”
.........................................................................................
.......................................
“คุณตั้งใจใช่มั๊ย ... ทำไมกันครับ” ทรงเดชถามพร้อมกับส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย มองดูคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม ซึ่งถูกนำมาตั้งไว้ข้างหน้าต่างบานใหญ่
ไม่มีคำตอบจากสเตฟาน สายตาของเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่ากำลังมองดูแสงไฟภายนอก ซึ่งบางดวงกระพริบวิบวับราวกับประกายของดวงดาราบนฟากฟ้า
.........................................................................................
.......................................
“ว่าไงครับคุณทัต เอาแต่เหม่ออยู่ ฟังที่ผมเสนอบ้างรึเปล่าครับ” ทรงเดชเอ่ยถามชายหนุ่ม ที่ราวกับกำลังเหม่อลอยอยู่ในวงสนทนา
“มันเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ถามอะไรก็ไม่ยอมบอกว่าคิดอะไรอยู่” รังสรรค์บอกยิ้มๆ “เอาเป็นว่าผมกับเจ้าชาไปแน่ ส่วนไอ้ทัต ปล่อยให้มันอยู่กับโลกในฝันของมันต่อไปก็แล้วกัน”
“เอ้อ ... โทษที” ภูริทัตถอนหายใจเบาๆ “พอดีมีเรื่องให้คิดน่ะ แล้วนี่คุยเรื่องอะไร จะไปไหนกัน”
“คุยกันเรื่องปีใหม่ไงครับ ก็พวกคุณบอกว่า อยากหาที่พักผ่อนสงบๆ สบายๆ ซักที่ แต่ไม่อยากไปไกล ผมก็เลยชวนพวกคุณไปพักกันที่บ้านเจ้านายผม” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“ที่ไหนเหรอ” ภูริทัตทำท่าสนใจ
“ในกรุงเทพฯนี่แหละครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสงบ เรื่องความสบายยิ่งไม่ต้องพูดถึง บ้านเจ้านายผมกว้างขวาง เงียบสงบ รับรองเลยว่าพวกคุณอาจจะติดใจจนไม่อยากกลับเลย”
“แล้วจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ”
“ก็วันที่ ๑ ไงวะ” ปรีชาบอก “เคาท์ดาวน์กันเสร็จ บ่ายๆค่อยมาเจอกันที่นี่ ไปค้างกันซักคืนหรือสองคืน”
“หรือไม่ก็ ๓ คืนซะเลย เพราะหยุดกันยาวตั้ง ๕ วันนี่หว่า” รังสรรค์พูดเสริม
“เออ ... ว่าไงก็ว่าตามกัน ว่าแต่ต้องเอาอะไรไปกันบ้าง” ภูริทัตถามอย่างกระตือรือร้น
๔ หนุ่มจับกลุ่มสนทนากันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่
“แล้วคุณล่ะทรงเดช ... คุณทำแบบนี้ไปทำไมกัน”
พูดแล้วสเตฟานก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะถอนสายตาออกจากคนกลุ่มนั้น แล้วเดินจากไป
.........................................................................................
.......................................
“ชนแก้วเว๊ย” ปรีชาพูดชวนเพื่อนทั้งสองเสียงดัง เพราะรอบข้างเต็มไปด้วยผู้คน และเสียงของวงดนตรีที่กำลังสร้างบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าอยู่บนเวที
“เป็นอะไรไปอีกวะเอ็ง ทำหน้าไม่สบายอีกแล้ว” รังสรรค์ถามภูริทัต หลังจากดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่
“รู้สึกขาดๆหว่ะ” ภูริทัตตอบ “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่า พวกเราน่าจะมีใครอีกคนอยู่ในกลุ่ม”
“หมายถึงเจ้าปูน่ะเหรอ” ปรีชาแสดงความเห็น “รายนั้นปล่อยมันไปเหอะ ได้ผัวฝรั่งไปอยู่เมืองนอก ป่านนี้สบายไปแล้ว”
“ไม่ใช่หวะ ข้าไม่ได้หมายถึงไอ้ปู” ภูริทัตตอบแล้วก็คิดไปถึงเพื่อนรุ่นน้อง ที่ลาออกไปอย่างกระทันหันเมื่อต้นปี
“แล้วจะเป็นใครอีกล่ะวะ พวกเราก็มีกันอยู่สามคนมาตั้งแต่เรียนด้วยกัน พอมาทำงานก็มีเจ้าปูเข้ากลุ่มมาอีกคน แล้วก็ ...” รังสรรค์พูดแล้วก็เงียบไปสักพัก “เออ .. จริงด้วยหว่ะ ทำไมข้าก็รู้สึกวะ”
“รู้สึกอะไร”  ปรีชาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “รู้สึกว่าเราน่าจะเป็นมากกว่าเพื่อนกันได้แล้วใช่มะ”
“รอชาติหน้าเหอะ” รังสรรค์หัวเราะแล้วก็พูดคุยหยอกล้อกับเพื่อนต่อ แต่ใจกลับมีเงาของใครบางคนผุดขึ้นมา

นักเปียโนหนุ่มชาวต่างชาติคนที่เขาได้พบเมื่อช่วงคริสต์มาส รังสรรค์รู้สึกเหมือนได้พบคนที่ใกล้ชิด จนอยากเข้าไปสนิทสนมด้วย แต่ความรู้สึกอีกอย่างก็ค้านออกมา มีบางอย่างบอกเขาว่า คนคนนี้มีเจ้าของแล้ว และไม่มีทางสนใจเขา

“นี่ถ้าทรงเดชกับสเตฟานมาด้วยก็ดีนะ” สุดท้าย รังสรรค์ก็หลุดปากออกมาจนได้
“นั่นดิ ว่าแต่ว่านายคิดถึงทรงเดชน่ะ พอเข้าใจนะ” ปรีชาขมวดคิ้ว “แต่สเตฟานนี่ นายคิดถึงเค้าด้วยเหรอวะ”
“บอกไม่ถูกหว่ะ เอาเป็นถูกชะตาแล้วกัน” รังสรรค์ยิ้มน้อยๆ
“อืม ... นั่นสิ” รังสรรค์พยักหน้าเห็นด้วย “เราเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันหว่ะ ว่าทำไมรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเรารู้จักเค้ามานาน หรือนายว่าไงวะ ไอ้ทัต”
“อื้อ ... ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน”
ภูริทัตตอบสั้นๆ พลางคิดไปถึงใบหน้าขาวอมชมพู และดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นที่สะกดให้เขาแทบจะหยุดหายใจ
.........................................................................................
.......................................
รั้วบ้านที่ค่อนข้างเก่า แต่ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย หลังคาบ้านโผล่พ้นยอดไม้ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ทำให้พอจะเดาออกว่า ภายในจะมีต้นไม้แน่นขนัดขนาดไหน แล้วก็เป็นดังคิด เมื่อรถแล่นเข้าไปในประตูบ้านที่เปิดกว้าง ราวกับเตรียมการต้อนรับไว้แล้ว ตัวบ้านไม้ขนาดใหญ่ ดูร่มเย็นภายใต้เงาไม้ใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่สองฟากข้าง ท้องฟ้าที่มีเมฆมาก จนเหลือเพียงแสงแดดอ่อนๆ ทำให้บริเวณภายในรั้วบ้านแห่งนี้ ดูร่มรื่นยิ่งนัก แล้วรถสปอร์ตคันงามก็ค่อยๆจอดลงหน้าบ้านไม้ทรงยุโรปสองชั้นขนาดย่อม ยกพื้นเล็กน้อยเหมือนบ้านสมัยเก่า

“โอ้โห เนี่ยเหรอบ้านเจ้านายคุณ” ปรีชาอุทาน เมื่อลงจากรถตู้มายืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ มองดูมุขหน้าของบ้านโค้งเป็นครึ่งวงกลม แล้วแยกออกเป็นปีกซ้ายขวาอย่างลงตัว
“เป็นไงครับ พอจะอยู่กันได้มั๊ย” ทรงเดชหัวเราะ ขณะที่ช่วยกันนำกระเป๋า และกล่องน้อยใหญ่ลงจากรถ
“ยิ่งกว่าได้ซะอีก นี่ใหญ่กว่าที่ผมคิดอีกนะ แล้วยังเงียบสงบยังกับบ้านตากอากาศต่างจังหวัดอย่างงั้นแหละ หรือเอ็งว่าไงวะ เจ้าทัต” รังสรรค์หันไปถามเพื่อน ที่กำลังมองไปรอบๆบริเวณบ้านด้วยอาการแปลกๆ
“สวยมากใช่มั๊ยครับคุณทัต บ้านหลังนี้น่ะเดิมเป็นบ้านของคนในตระกูลใหญ่ แต่เจ้านายผมมาซื้อไว้ คิดว่าจะใช้เป็นที่อยู่ถาวร” ทรงเดชเดินมายืนข้างๆภูริทัต หลังจากนำของลงจากรถเสร็จแล้ว ตอนนี้คนงานในบ้าน ๔ คนกำลังนำข้าวของต่างๆไปเก็นในที่เหมาะสม
“ครับสวยมาก”
ภูริทัตพูดพลางค่อยๆเดินไปทางด้านข้างของตัวบ้าน จนถึงบริเวณซุ้มทางเดิน เป็นทางปูด้วยอิฐสารพัดสี ดูลานตา ด้านบนเป็นโครงไม้สานกันคล้ายตาข่าย ให้เถาวัลย์เกาะเกี่ยวจนเป็นเหมือนหลังคาของทางเดิน ชายหนุ่มค่อยๆเดินไปตามทางเดินนั้นอย่างช้าๆ
“ไปไหนวะ” รังสรรค์ที่เดินตามมา ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“สวนหลังบ้านไง” ภูริทัตหันมาตอบ
“สวนเหรอ” ปรีชาที่เดินตามมาทวนคำ “นายรู้ได้ยังไงว่าทางเดินนี้มันไปสวนหลังบ้านน่ะ”

ภูริทัตยืนนิ่งสีหน้าสับสน นั่นสิ ... เขารู้ได้อย่างไร ชายหนุ่มถามตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 20-01-2010 23:10:46
โอ้ววว ไม่ได้อ่านซะหลายเพลา...เดินเรื่องไปไกลเลยทีเดียว
ไขข้อข้องใจสิ้น...ยกเว้นเรื่องโจชัวส์...จะดำเนินต่อไปอย่างไร
รอตอนต่อไปค้าบบบบ  :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 21-01-2010 11:45:01
สนับสนุนให้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง  :call:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 21-01-2010 11:58:00
อ่า มาต่อแระ

รออ่านตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-01-2010 19:20:25
เมื่อไร ภูริทัต จะนึกอะไรออกซะที  :sad4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 21-01-2010 19:26:20
สงสารสเตฟานจัง รักแต่ก็อ่อนไหวใช่มิ

ส่วนภูริทัตก็คงใกล้แล้วที่จะปะติดปะต่อความทรงจำได้

ขอให้สมหวังกันด้วยเหอะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 21-01-2010 19:38:49
ความผูกพันมันก็ตัดไม่ขาดเนอะ แม้ว่าจะพยายามทำให้ลืมแล้วก็เถอะ

ชอบทรงเดชที่คอยช่วย คอยเชียร์ คอยยุยงส่งเสริม ให้สเตฟานกลับมาหาภูริทัต
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๔๙ - ๒๐ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-01-2010 23:20:56
 :serius2: รอลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 24-01-2010 20:40:58
บทที่ ๕๐

บาร์บีคิวที่สุกไม่ทันใจคนกินในช่วงแรก  เริ่มเพิ่มมากขึ้นในจานใหญ่ เมื่อทุกคนคลายความหิวลง เนื่องจากได้กินและพูดคุย หยอกล้อกันเล่น มาเป็นเวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง ในสนามหลังบ้านที่ร่มรื่นนั่นเอง
“น้ำแข็งจะหมดอีกแล้ว” ปรีชาพูดดังๆ ขณะกำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้ว
“มา ไปหยิบให้เอง” ภูริทัตพูดแล้วก็คว้ากระติกน้ำแข็งใบย่อม เดินเข้าไปทางประตูห้องครัวด้านที่เปิดออกมาทางสวนหลังบ้าน

ไม่มีใครอยู่ในครัวเลย ภูริทัตจึงเดินตรงไปยังตู้เย็นขนาดใหญ่ เปิดประตูด้านบน หยิบถุงน้ำแข็งยูนิตออกมา ฉีกปากถุงออกแล้วค่อยๆเทน้ำแข็งในถุงลงไปในกระติก

“แกเก็บรูปนั้นดีรึยัง” เสียงแว่วมาจากนอกประตูอีกด้านหนึ่งของครัว ซึ่งเปิดเข้าไปในตัวบ้าน
“ก็เอาผ้าไปคลุมไว้เฉยๆ” อีกคนหนึ่งตอบ
“อ้าว ทำไมไม่เอาไปไว้ที่อื่น เกิดพวกคุณๆเข้าไปในนั้น จะทำยังไง”
“เฮ่ย ... ไม่เป็นไรหรอก คุณทรงเดชก็จัดห้องให้ทุกคนเรียบร้อยแล้วว่าใครอยู่ห้องไหน แล้วจะมีใครเข้าไปห้องนั้นอีกล่ะ”
“ว่าได้เหรอวะ เกิดมีใครเข้าไปล่ะ จะว่ายังไง”
“เอ็งนี่ ... ทำไมวะ ข้าน่ะอยากให้เห็นกันนัก เผื่อจะนึกออกบ้าง แกไม่เห็นหรือไง ที่มาอยู่กับคุณท่านครั้งที่แล้ว เธอมีความสุขขนาดไหน แล้วดูวันนี้สิ” เสียงนั้นหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าความจำเสื่อมนะ เฮ้ออออออ.......”
“พูดไปข้าก็สงสารคุณเธอนะ ปรกติก็ดูเงียบๆอยู่แล้ว แต่ก็ยังยิ้มแย้มบ้าง แต่นี่ทั้งขริม ทั้งเศร้า ข้าล่ะสงสารจริงๆ”

แล้วเสียงพูดคุยก็หายไป เหมือนกับว่าคนทั้งสอง ซึ่งภูริทัตรู้จากทรงเดชว่าเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ คงจะเดินห่างออกไปแล้ว ภูริทัตฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าคนทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน แล้วคุณท่าน หรือ คุณเธอที่พูดถึง คงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งก็คงเป็นคนเดียวกับเจ้านายของทรงเดชด้วย

“แล้วนี่เจ้านายของคุณไม่มาสนุกกับพวกเราด้วยเหรอไง” ภูริทัตถามทันที หลังจากวางกระติกน้ำแข็งลงบนโต๊ะ
“ผมก็ชวนแล้วครับ เจ้านายผมเค้าก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมว่ายังไงก็คงมาแน่ครับ ไม่คืนนี้ก็คืนพรุ่งนี้” ทรงเดชตอบยิ้มๆ
“สงสัยจะอยู่กับครอบครัวเค้ามั๊ง คนแก่ก็งี้แหละ” ปรีชาพูดขณะที่กำลังจัดการกับบาร์บีคิวไม้ใหม่
“นี่คุณคิดว่าเจ้านายผมเป็นคนแก่เหรอ” ทรงเดชขมวดคิ้ว
“อ้าว ... ก็คุณเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้บริหารไม่ใช่เหรอ เจ้านายคุณก็ต้องเป็นพวกตาแก่ที่นั่งบริหารงานโรงแรมน่ะสิ อย่างน้อยก็น่าจะพอๆกับคุณปู่คุณนะ เพราะคุณเข้ามาทำงานแทนคุณปู่คุณนี่นา” ปรีชาอธิบาย
“นั่นสิ แล้วยังร่ำรวยมีบ้านใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้อีก จะให้คิดว่าเป็นคนรุ่นพวกเรา ก็คงไม่น่าเป็นไปได้” รังสรรค์ที่กำลังปิ้งบาร์บีคิวอยู่แต่ก็ได้ยินการสนทนาชัดเจน หันมาพูดเสริม
“นั่นสินะ ทีแรกผมก็คิดแบบพวกคุณเหมือนกัน” ทรงเดชยิ้ม เมื่อคิดถึงตัวเองก่อนจะมาทำ ‘หน้าที่’ แทนปู่ของเขา พลางมองหน้าที่มีแววสงสัยของทุกคน “เอาเป็นว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง พวกคุณก็รู้เอง”
“คุณพูดยังกับว่าพวกเราเคยเจอเจ้านายคุณแล้ว อย่างนั้นแหละ” ภูริทัตท้วง
ทรงเดชไม่ตอบ แต่มองหน้าภูริทัตแล้วยิ้ม  แล้วก็เดินไปช่วยรังสรรค์ที่กำลังปิ้งบาร์บิคิวอยู่ ทิ้งให้ภูริทัตคิดสงสัยในรอยยิ้มที่มีเลศนัยบางอย่างอยู่ในรอยยิ้มนั้น

ดึกมากแล้ว แต่ภูริทัตยังนอนพลิกตัวไปมา ผิดกับทรงเดชซึ่งกำลังหลับอย่างสบาย อยู่บนเตียงอีกหลังหนึ่งภายในห้องเดียวกัน เมื่อเห็นว่าไม่หลับแน่แล้ว จึงลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปเปิดประตูระเบียงย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเกาะรั้วระเบียงแล้วสูดหายใจลึกๆ รู้สึกว่าอากาศเย็นเล็กน้อย ดวงจันทร์ซึ่งผ่านข้างแรมมาได้ไม่นาน ส่องแสงสลัวเป็นดวงเสี้ยวอยู่บนท้องฟ้า  แสงสว่างของตัวเมืองที่อยู่ห่างไปรอบๆ ทำให้มองเห็นท้องฟ้าสลัวเลือนลาง สายตาที่กวาดมองไปทั่วก็ต้องสะดุดอยู่ตรงลานกว้าง เมื่อเห็นคนที่กำลังจ้องมองมา

เรือนร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีทองเป็นประกาย ทำให้วงหน้ายิ่งดูกระจ่างตา สายตาทั้งสองประสานกันแน่วนิ่ง ภูริทัตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ตัวเขาเองกำลังร้อนรุ่มด้วยความปรารถนาอย่างที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม
“สานฝัน” ภูริทัตพูดเบาๆ แต่เงาร่างนั้นก็จางหายไปเสียแล้ว

“หลับสบายกันมั๊ยครับ” ทรงเดชพูดทักทายรังสรรค์กับปรีชาที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อรับประทานอาหารเช้า
“ผมคนนอนง่ายอยู่แล้ว หัวถึงหมอนก็หลับเลย” รังสรรค์ที่มานั่งอยู่ด้านข้างตอบยิ้มๆ
“แล้วเจ้าทัตล่ะ” ปรีชาถาม
“เดี๋ยวคงลงมามั๊งครับ ตอนผมลงมา คุณทัตเพิ่งตื่น” ทรงเดชตอบพลางเลื่อนถาดเครื่องปรุงกาแฟให้คนทั้งสอง
ทั้งสามคนรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย สักพักภูริทัตก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“เป็นไงวะ หน้าตายู่ยี่ นอนไม่หลับเหรอไง หรือมีใครทำอะไรวะ” ปรีชาพูดขำๆ ทำเอารังสรรค์หันมามองตาขวาง
“นอนไม่ค่อยหลับหว่ะ ผิดที่” ภูริทัตตอบพลางเทนมลงไปในถ้ายกาแฟ “เมื่อคืนเลยออกไปยืนรับลมที่ระเบียง เลยยิ่งตาสว่าง”
“ทำไมวะ เจอนางไม้เหรอไง” รังสรรค์หยอก
“เปล่า” ภูริทัตตอบแล้วมองหน้าทรงเดช “ผมเห็นสเตฟาน”
“สเตฟานที่เล่นเปีนโนที่โรงแรมนั่นน่ะเหรอ จะมาได้ไงวะ” ปรีชาพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“นั่นดิ ตาฝาด หรือว่าคิดถึงจนเห็นภาพวะ” รังสรรค์ล้อเลียน แล้วก็ทำหน้าเหมือนตกใจ
“ไม่หรอกครับ ผมว่าเมื่อคืนคุณสเตฟานคงมาที่นี่จริงๆ” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“คุณก็เป็นไปด้วยเหรอไง” ปรีชาหัวเราะ “เค้าจะมานี่ได้ยังไงกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” เสียงมาจากทางด้านหลัง ทำให้ปรีชาและภูริทัตหันไปมองด้วยความตกใจ
สเตฟานยิ้มน้อยๆ แล้วเดินช้าๆมายังโต๊ะอาหาร เสื้อยืดคอกลมสีครีม กับกางเกงสีขาว ทำให้ชายหนุ่มดูขาวผ่องไปทั้งตัว
“เมื่อคืนขอโทษด้วยนะครับ ที่มาร่วมวงบาร์บีคิวด้วยไม่ได้” เสตฟานพูดพร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า เมื่อนั่งลงลนเก้าอี้หัวโต๊ะ “พอดีว่า ผมมีงาน” เขาเน้นคำว่า ‘งาน’หนักเป็นพิเศษ
“อะไรกัน ปีใหม่อย่างนี้คุณยังมีงานอีกเหรอ” ปรีชาสงสัย
“งานของผมไม่เลือกเวลาหรอกครับ โดยเฉพาะช่วงนี้ ไม่รู้ว่าทำไมงานของผมถึงได้เยอะเป็นพิเศษ”
สเตฟานรับแก้วกาแฟที่ปรุงเรียบร้อยแล้วจากทรงเดชมา แล้วยกขึ้นจิบช้าๆ ภูริทัตส่งสายตาที่มีคำถามไปให้ทรงเดชเมื่อเห็นว่าทรงเดชคอยจัดการสิ่งต่างๆบนโต๊ะอาหารให้สเตฟานตลอดเวลา
“ผมว่า เรามาแนะนำตัวกันอีกทีดีไหมครับ” ทรงเดชยิ้มกว้างเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่ม
“อย่าบอกนะ ... ว่าคุณสองคนน่ะ” รังสรรค์ขัด
“ใช่ครับ” ทรงเดชพูดแล้วหัวเราะเบาๆ หันไปมองสเตฟาน ซึ่งมองเขาแล้วขมวดคิ้ว พลางส่ายหน้าเบาๆอย่างเอือมระอา
“เฮ๊ย ... ขอแสดงความเสียใจกับนายด้วยหว่ะ” ปรีชาหันไปบอกกับรังสรรค์ด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“เสียใจเรื่องอะไรเหรอครับ” ทรงเดชแกล้งถาม
“ก็เรื่องคนบางคน” ปรีชาเฉไฉแล้วเบือนหน้าหนี เมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของรังสรรค์ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต “เฮ๊ย เป็นอะไรวะ หน้าซีดเชียวเจ้าทัต”
“เปล่า” ภูริทัตตอบสั้นๆ รู้สึกลำคอแห้งผาก จนต้องกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง
“คุณเล่นมากไปแล้วนะ ทรงเดช” เสียงดุๆของสเตฟานทำให้ทุกคนหันมามองด้วยความแปลกใจโดยเฉพาะทรงเดช
“ขอโทษครับ” ทรงเดชรู้สึกตกใจเล็กน้อย ตั้งแต่ได้รู้จัก เขายังไม่เคยเห็นสเตฟานแสดงความโกรธเลยแม้แต่เล็กน้อย แต่ครั้งนี้ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนสเตฟานจะโกรธมากทีเดียว
“ทรงเดชทำงานกับผม” สเตฟานอธิบายสั้นๆ
“แหะๆ ... ขอแนะนำให้รู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้นะครับ คุณสเตฟานเจ้านายของผมเอง”
“เจ้านาย” ภูริทัตทวนคำ “แปลว่าคุณสองคนไม่ใช่ ...”
“ไม่ใช่ครับ ผมล้อเล่น คุณสเตฟานยังไม่มีคนรักครับ แต่ไม่แน่ เร็วๆนี้อาจจะมีก็ได้” พูดแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดแล้วสเตฟานก็ลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ภูริทัตมองตามสเตฟานที่เดินขึ้นบันไดไป แว่บหนึ่งเขามองเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แต่แววตากับสีหน้ากลับมีแววเศร้าหมอง มันดูขัดกันอย่างไรพิกล
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-01-2010 20:47:56
 :serius2: จำได้ซะทีซี่ภูุริทัต สงสาร สเตฟานจะแย่แล้ว  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 24-01-2010 21:43:35
เยสส

เจอกันแระ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-01-2010 00:18:17
สงสารสเตฟานมากขึ้นทุกที
ทรงเดชก็ช่วยลุ้นมากมาย เมื่อไรภูริทัตจะจำเรื่องราวได้
คงต้องเห็นรูปที่เก็บไว้ก่อนแน่ๆเลย

บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณคุ่
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 25-01-2010 01:17:32
สงสารสเตฟาน อยากให้ปาฎิหาริย์แห่งรักเกิดขึ้นเร็วๆ จัง (รู้สึกน้ำเน่ายังไงไม่รู้  :o8:)
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-01-2010 16:09:16
อยากจะก๊อปปี้ตอนที่ คู่นี้กำลังอินเลิฟ ส่งไปให้ ภูริทัต อ่านจริงๆๆๆ จะได้จำไ้ด้สักที กรี๊ดดดดดดดดด ลุ้นจนอึดอัด  :serius2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๐ - ๒๔ ม.ค. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 03-02-2010 22:43:58
คิดถึงค่ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 04-02-2010 18:31:47
บทที่ ๕๑

สายมากแล้ว ทุกคนนั่งพักผ่อนกันตามสบายภายในห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ พูดคุยกัน จนภูริทัตรู้สึกเพลียเล็กน้อย เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอมาตั้งแต่ก่อนวันส่งท้ายปีเก่า เขาจึงขอตัวไปนอนในห้องพัก

ภูริทัตเดินขึ้นบันได้ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง ทำให้พาตัวเองเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้องพัก มือของเขาเอื้อมไปเปิดบานประตูออก แล้วเดินเข้าไป กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่กลางห้อง มีผ้าคลุมสีขาวสะอาด หน้าต่างบานใหญ่ปิดสนิท พร้อมผ้าม่านหนาหนัก ที่กั้นแสงสว่างจากภายนอกไว้ เครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้นทำให้ห้องนอนดูโล่งสบายตา และในแสงสลัว เขามองเห็นของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ทางมุมห้องใกล้ๆหน้าต่าง มีผ้าคลุมเอาไว้อย่างมิดชิด

... แกเก็บรูปนั้นดีรึยัง ...
... ก็เอาผ้าไปคลุมไว้เฉยๆ ...

ภูริทัตคิดไปถึงคำสนทนาที่เขาได้ยินเมื่อวานนี้ ขาของเขาก้าวเข้าหาของสิ่งนั้น แล้วเอื้อมมือออกไปดึงผ้าคลุมออกช้าๆ ภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นขาตั้งพร้อมภาพเขียน ชายหนุ่มเดินไปเปิดผ้าม่านให้แสงสว่างส่องเข้ามา แล้วเดินกลับไปดูภาพบนขาตั้งอีกครั้ง
“เอ๊ะ ...” เขาอุทานเบาๆด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นภาพนั้นชัดตา

ภาพสีไม้บนกระดาษปอนด์นั้นดูสวยงาม เก็บรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างครบถ้าน ต้นหญ้าบนพื้นและต้นไม้รอบๆ ดูเขียวขจีสดใส ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางกำลังแย้มยิ้มด้วยความสุข
... มันคงเป็นภาพเขียนธรรมดาที่เพียงแค่ดูสวยงาม หากว่าชายหนุ่มในภาพนั้นไม่ใช่ตัวเขา ...

“คุณเห็นแล้วสินะครับ” เสียงของทรงเดชดังขึ้นมา ภูริทัตหันไปมองก็เห็นเจ้าของเสียงยืนอยู่ตรงประตู
ทรงเดชเดินมายืนข้างๆภูริทัต จ้องมองดูรูปภาพแล้วยิ้มกว้าง
“ทำไมคนในรูป...” ภูริทัตถามช้าๆ
“ครับ คุณนั่นแหละ” ทรงเดชตอบก่อนที่ภูริทัตจะถามจบ
ภูริทัตหันไปมองรูปอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็หันกลับมามองทรงเดช ทำหน้าเหมือนจะถามต่อ แต่ทรงเดชก็ชิงพูดต่อ
“ผมเองก็อยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังเหมือนกัน แต่มันคงเหมือนผมยัดเยียดเรื่องที่คุณไม่แน่ใจ ให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นความจริง คิดให้ออกนะครับคุณทัต คิดให้ออกว่าคุณเคยมาที่นี่กับใคร คนคนนั้นสำคัญกับคุณขนาดไหน และตัวคุณมีความสำคัญขนาดไหนสำหรับคนคนนั้น พยายามเข้านะครับ”
ทรงเดชยกมือขึ้นบีบไหล่ของภูริทัตเบาๆ ยิ้มกว้างก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ภูริทัตยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียว

ทรงเดชปิดบานประตูอย่างแผ่วเบา พอหันหลังมาก็ต้องอุทานอย่างตกใจ
“คุณท่าน”
“คุณคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ” ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เข้าใจคำถามนี้ของสเตฟาน แต่ไม่ใช่สำหรับทรงเดช
“ได้สิครับ นอกจากว่าคุณไม่อยากให้มันเป็น” ทรงเดชตอบอย่างจริงจัง
“ใจหนึ่งผมก็อยากให้เขาจำผมได้” น้ำเสียงของสเตฟานดูเศร้า “จำความรู้สึกที่เคยมีต่อกัน แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นผมคงมีความสุขมาก”
“ผมเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ทรงเดชพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้สเตฟานมากขึ้น
“แต่ผมก็กลัว ... ถ้าเขาจำได้ว่าคืนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น จำได้ว่าผมเป็น ‘อะไร’ ... ตอนนั้นผมอาจจะต้องสูญเสียเขาไปอีกครั้ง”
“ไม่หรอกครับ ไม่หรอก” ทรงเดชละล่ำละลัก “มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ผมมั่นใจ”
...............................................................
...........................
“โอ้โห เยอะอย่างนี้ผมจะเลือกหนังสือยังไงละ” รังสรรค์อุทาน
ทรงเดชพารังสรรค์และปรีชาเข้ามาในห้องหนังสือของบ้าน ห้องขนาดใหญ่ ชั้นหนังสือติดผนังเต็มไปด้วยหนังสือมากมายจนเกือบจรดเพดาน
“เคยหาหนังสือจากตู้ดรรชนีในห้องสมุดไหมครับ ที่นี่ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ทรงเดชเดินนำไปที่ตู้เล็กๆ มีลิ้นชักมากมาย ด้านหน้าติดตัวอักษรเหมือนตู้ในห้องสมุด
“แล้วนั่นรูปอะไรครับ” ปรีชาถามพลางเดินเข้าไปดูภาพเขียนขนาดใหญ่ ที่ติดอยู่หลังโต๊ะทำงาน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง ที่สามารถรับแสงสว่างจากภายนอกได้มากที่สุด
“อ๋อ ภาพเขียนครอบครัวของคุณสเตฟานน่ะครับ” ทรงเดชตอบแล้วเดินตามมาพร้อมกับรังสรรค์

ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปชายหญิงกลางคนนั่งอยู่บนโซฟา ระหว่างคนทั้งสองมีเด็กชายอายุราวๆสิบเอ็ดหรือสิบสองปีนั่งอยู่ ทางด้านหลังยืนไว้ด้วยชายหนุ่มสองคน หนึ่งในสองนั้นคือสเตฟาน ที่น่าแปลกคือทุกคนแต่งตัวเหมือนชาวอังกฤษในยุคโบราณ

“ดูคลาสสิคยังกับภาพโบราณแน่ะครับ” ปรีชาชื่นชม “สองคนนี้คงเป็นพ่อแม่ของคุณสเตฟาน แล้วนี่คงเป็นพี่ชาย ส่วนคนนี้ น่าจะเป็นน้องชาย” ปรีชาพูดพลางชี้ไปยังบุคคลต่างๆในรูปทีละคน
“อ้าว...อยู่นี่กันเองเหรอ” เสียงดังมาจากทางประตู พร้อมกับภูริทัตที่เดินเข้ามาหาคนทั้งสาม
“มาได้จังหวะเลยนะเอ็ง มานี่” รังสรรค์ดึงตัวภูริทัตเข้าไปใกล้ๆภาพ “ภาพครอบครัวของคุณสเตฟาน”
“ผมว่าเด็กคนนี้” ทรงเดชพูดช้าๆ ชี้รูปเด็กชาย แล้วหันมองหน้าภูริทัต “ดูคล้ายคุณทัตนะ พวกคุณว่ามั๊ย”
“เออเน๊อะ พูดขึ้นมาแล้วผมก็ว่าอย่างนั้น” รังสรรค์ตอบพลางเพ่งมองดูเด็กชายในรูปอย่างพิจจารณา “คล้ายๆเอ็งตอนเด็กๆนะ”
“นั่นสิ ผมเองยังคิดว่าคล้ายเลย ผิดกันแค่สีผิว กับสีผมเท่านั้นเอง” ภูริทัตยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ ความทรงจำเมื่อตอนเด็กวูบขึ้นมาในสมอง

... อายุเท่าไหร่แล้ว ... ภาพของสเตฟานถามเขาเบาๆ
... สิบสามครับ ... ตอนนั้นเขาตอบไป
...โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ... สเตฟานพูดแล้วถอนหายใจ


“คนวาดนี่เก่งนะ วาดออกมายังกับภาพโบราณ” รังสรรค์ยังคงชื่นชมกับความงามของภาพวาด
“ถ้าผมบอกว่ามันเป็นภาพโบราณจริงๆล่ะครับ” ทรงเดชหัวเราะเบาๆ
“ล้อกันเล่นแล้ว ถ้าเป็นภาพโบราณจริงๆ ตอนนี้สเตฟานไม่อายุเป็นร้อยๆปีเหรอไง” รังสรรค์เองก็หัวเราะไปด้วย

... แล้วคุณอายุเท่าไหร่ ทำไมพูดไทยเก่งจัง ...ตอนนั้นเขาจำได้ว่าถามสเตฟานด้วยความอยากรู้ของเด็กๆ
... ลองเดาดูสิ ... สเตฟานยิ้มให้กับเขา อย่างอ่อนโยนและเอ็นดู
... ยี่สิบต้นๆ ...เขาคาดเดา สเตฟานได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทำให้เขาคลายความวิตกลงไป
... ฉันอายุมากกว่าที่เธอคิดมาก  มากจนเธอคิดไม่ถึง ... ตอนนั้นเขายังคิดว่าสเตฟานเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ



“แล้วนี่ครอบครัวคุณสเตฟานอยู่ที่ไหนล่ะครับ” รังสรรค์ถามอย่างสนใจ
“ไม่อยู่แล้วครับ ทุกคนเสียชีวิตไปหมดแล้ว ตอนนี้คุณสเตฟานตัวคนเดียวครับ” น้ำเสียงของทรงเดชมีความเสียใจปนอยู่ไม่น้อย
“แล้วคนรักล่ะ ไม่มีเหรอ” รังสรรค์ถาม
“เคยมีครับ” ทรงเดชยิ้มเศร้าๆ
“อะไรกัน กระทั่งคนรักก็ตายเหรอ” ปรีชาคาดไม่ถึง
“เปล่าครับ ... แต่ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนนั้นเขาจำคุณสเตฟานไม่ได้” ทรงเดชพูดพลางเหลืบสายตามองดูสีหน้าของภูริทัต
“ฟังแล้วแย่จังนะครับ” รังสรรค์ถอนหายใจ “น่าสงสารคุณสเตฟาน คงเศร้าน่าดู”
“ถ้าพูดถึงความเศร้า ผมคิดว่าคงไม่มีใครในโลก เก็บความรู้สึกแบบนั้นไว้มากมายเท่าคุณสเตฟานอีกแล้ว คนเราไม่ว่าจะสุขจะเศร้ายังไง พอตายแล้วมันก็จบ” ทรงเดชพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณพูดยังกับว่าสเตฟานไม่มีวันตายอย่างนั้นหล่ะ”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกครับที่จะไม่มีวันตาย เพียงแต่ว่าบางทีช่วงชีวิตของบางสิ่งบางอย่าง กว่าจะถึงวันสิ้นอายุ มันอาจจะยาวนาน จนเป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่านิรันดรก็ได้”
“แหม ถ้าผมเป็นอย่างนั้นได้ คงมีความสุขน่าดู” ปรีชาพูดแล้วพริ้มตาลง
“แต่ผมว่ามันคงเป็นทุกข์มากกว่า” ทรงเดชพูดช้าๆ “คุณจะดูหนุ่มอยู่ตลอด ในขณะที่คนรอบๆข้างคุณแก่ลง แล้วตายไปในที่สุด คนแล้วคนเล่า ไม่มีใครอยู่เคียงข้างใช้ชีวิตร่วมกับคุณได้ แม้แต่คนที่คุณรัก หรือถ้าคุณมีคนรักใหม่ คุณก็จะต้องสูญเสียเขาไป เป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนี้แล้วคุณยังอยากจะเป็นอีกไหม”

คนทั้งสามไม่มีคำตอบ มีเพียงภูริทัตที่มีแววตาครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วหันไปมองรูปของชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเขียวมรกตอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 04-02-2010 19:24:37
โห โดน

เศร้าแทนสเตฟาน

ขอบคุณที่มาต่อครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 04-02-2010 20:54:37
 :pig4:

ขอให้มั่นใจในความคิด แล้วมุ่งไปเล้ย
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 05-02-2010 14:34:53
ชีวิตธรรมดาชีวิตเดียวก็ยุ่งยากวุ่นวายสารพัดละ...ถ้าจะให้เป็นนิรันดร์ ขอสละสิทธิ์ละกัน

สงสารสเตฟานจัง...เมื่อไหร่จะคิดออก คิดได้ละจะเป็นไงต่อ  :serius2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 05-02-2010 21:52:02
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารทั้งสเตฟานและภูริทัต
อย่างน้อยได้มีความสุขในห้วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็ยังดีกว่าต้องเศร้าไปตลอดกาล
ต้องแยกจากทั้งที่ความตายยังไม่ได้มาพรากไป
ภูริทัต จำได้เร็วๆหน่อยนะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 05-02-2010 22:32:18
ยิ่งอ่านยิ่งชอบทรงเดช...แบบว่าคอยช่วย คอยเชียร์ เป็นกำลังใจ ตลอดเวลา  o13
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-02-2010 15:36:09
น่าเห็นใจสเตฟาน ขึ้นอยู่กับภูริทัตแล้ว ว่าแต่จะทำไงให้จำได้ซะที  :z3:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: εїзป่วงน้อยεїз™ ที่ 07-02-2010 21:44:14
ทัตจังจำได้สักทีเถอะ เพี้ยงงงงงง
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 07-02-2010 21:48:43
ขอติดตามด้วยคนนะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๑ - ๔ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 15-02-2010 20:54:02
ตามมาอ่านจนทันเเล้วตื่นเต้นมาก... o13
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 18-02-2010 09:59:43
บทที่ ๕๒

ภูริทัตนั่งจิบกาแฟอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวยาว สายตามองดูรายการโทรทัศน์ที่กำลังฉายอยู่ในยามดึก ทุกคนกลับไปแล้ว แต่เขายังอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ ซึ่งทรงเดชก็ไม่ขัดข้องเมื่อเขาบอกความต้องการนี้ออกไป เสื้อผ้าชุดลำลอง ๓ ชุด รวมทั้งชั้นในใหม่เอี่ยมภายในกล่องบรรจุ ที่ทรงเดชนำออกมาจากห้องของเจ้าของบ้าน ทำให้เขามีเสื้อผ้าเพียงพอที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนไปจนถึงวันพรุ่งนี้เย็น

บ้านหลังใหญ่ในอาณาเขตกว้างขวาง ร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ใหญ่น้อย และเสียงของธรรมชาติในยามกลางวัน กลับเหลือเพียงความเงียบสงบในยามค่ำคืน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุข และรู้สึกเหมือนเคยมีเวลาแห่งความสุข ร่วมกับใครบางคนในสถานที่แห่งนี้

ขณะที่นั่งจมอยู่กับความคิด จู่ๆภูริทัตก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคน กำลังจ้องมองเขาอยู่ ชายหนุ่มเหลียวหน้ามองไปรอบๆ ก็มองเห็นร่างสูงโปร่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าสีขาวเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูวูบหนึ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตมีแววลังเลและสับสน
“เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเหรอครับ” ภูริทัตส่งเสียงถามไปพร้อมกับรอยยิ้ม
“ครับ” สเตฟานตอบแล้วเดินช้าๆเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้โซฟา ข้างเก้าอี้โซฟาตัวยาวที่ภูริทัตนั่งอยู่
“ปีใหม่ทั้งที คุณยังต้องออกไปทำงานอีกเหรอครับ” ภูริทัตพยายามหาเรื่องคุย
“งานของผมไม่มีเวลาแน่นอน” สเตฟานตอบสั้นๆ “แล้วคุณยังไม่กลับเหรอครับ”
“ผม...” ภูริทัตอึกอัก “ผมคิดว่า ...ผม...ผมอยากเจอคุณ ผมมีเรื่องอยากถามคุณ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความเคยชิน
“มีเรื่องอะไรก็ถามมาเถอะครับ” สเตฟานรู้ว่าชายหนุ่มกำลังสับสน จากท่าทางที่เคยเห็นจนชินตา
“เรา...เอ้อ คุณกับผมเคยเจอกันมาก่อนใช่มั๊ย”
“เมื่อช่วงวันคริสต์มาสของปีที่แล้วไงครับ”
“ไม่ใช่” ภูริทัตมองหน้าสเตฟาน ด้วยสีหน้าที่คาดหวัง “ผมหมายถึงก่อนหน้านั้น”
สเตฟานไม่ตอบในทันที แต่จ้องมองภูริทัตแน่วนิ่ง ในแววตามีความสับสนเจือปนไปด้วยความเศร้าหมอง แล้วจู่ๆก็กระพริบตาถี่ๆแล้วเบือนหน้าเสไปทางโทรทัศน์ ก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมเคยเจอคุณหนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว”
“เฮ้ ... เปย์มีไฟว์ฮันเดรด ไอวิวโกวิทยู ... โอเค๊” ภูริทัตพูดช้าๆ รอฟังคำตอบจากคนที่นั่งนิ่งจนเขาแทบจะหยุดหายใจ
“ทำอะไรได้บ้าง”ครู่ใหญ่สเตฟานจึงตอบเบาๆ
“ทำได้ทุกอย่างครับ ให้ผมทำอะไรให้ หรือจะทำอะไรผมก็ได้” ภูริทัตพูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้เก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งอยู่มากขึ้น
“อายุเท่าไหร่แล้ว” สเตฟานถามกลับมา
“สิบสามครับ”
“โซ ยัง .... เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้”
“แล้วคุณอายุเท่าไหร่ ทำไมพูดไทยเก่งจัง”
“ลองเดาดูสิ” สเตฟานหันหน้ามามองภูริทัต ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ยี่สิบต้นๆ”
“ฉันอายุมากกว่าที่เธอคิดมาก ... มากจนเธอคิดไม่ถึง”
ภูริทัตจ้องมองคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ทั้งดีใจ ประหลาดใจ หวาดหวั่น ... และปรารถนา
“เป็นคุณ” ภูริทันเอื้อมมือไปจับมือของสเตฟาน “ผมคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นคุณ”
“ใช่ ... ผมเองที่คุณได้พบเมื่อ ๑๖ ปีก่อน”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่เปลี่ยนแปลงเลย” ภูริทัตมองดูสเตฟานไปทั่วทั้งตัว
“ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้คำตอบแล้วว่า ... ทำไม” สีหน้าของสเตฟานสลดลง
“อื้อ” ภูริทัตพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง “ผมรู้แค่ว่า คุณคงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”
“แล้วคุณไม่กลัวผมหรอกหรือ” สายตาที่จ้องมองภูริทัตเศร้าสร้อย แต่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“นั่นสิ ...” ภูริทัตยกมืออีกข้างขึ้นไปแตะที่แก้มของสเตฟานอย่างแผ่วเบา “ทำไมผมไม่กลัวคุณ ทำไมผมถึงอยากสัมผัสคุณแบบนี้ ... หรือ ...” ภูริทัตอึกอัก “หรือมากกว่านี้”
สเตฟานพริ้มตาลง หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น
“ผมเป็นแวมไพร์ ... แวมไพร์ที่คร่าชีวิตของมนุษย์ ...แวมไพร์ที่มนุษย์ถือว่าเป็นปีศาจ... ปีศาจที่คอยหลอกลวงมนุษย์ให้หลงใหล แล้วแย่งชิงชีวิตและวิญญาณของมนุษย์” น้ำเสียงของสเตฟานสั่นเครือ

ภูริทัตแปลกใจในความรู้สีกของตัวเอง ความจริงที่ได้รับรู้น่าจะทำให้เขาหวาดกลัวต่อคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ท่าทางที่อ่อนแอ ปวดร้าวราวจะแตกสลายไปได้ทุกเวลา ผิดไปจากแวมไพร์อันน่าหวาดกลัว ที่เขาเคยได้รับรู้จากหนังสือที่อ่าน หรือภาพยนต์ทั้งจอเงินและจอแก้ว กลับทำให้เขาเจ็บปวดในหัวใจ และรู้สึกว่าเขาต้องการปกป้องคนคนนี้ ถึงแม้จะเป็นแวมไพร์ก็ตาม ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง กลับประทุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าคุณเป็นแวมไพร์ ... ถ้าคุณเป็นปีศาจ” ภูริทัตพูดช้าๆ ค่อยๆเช็ดน้ำตาบนแก้มเนียน “คุณจะแย่งชิงวิญญาณของผมไหม ... คุณจะเอาชีวิตของผมหรือเปล่า”
“ไม่... ผมไม่มีทางทำแบบนั้นกับคุณเด็ดขาด”  สเตฟานตอบด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าและดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก จับจ้องอยู่บนใบหน้าของภูริทัต
“ตอนที่ผมเจอคุณเมื่อตอนเด็ก คุณดีกับผมมาก ผมยังจำได้” ภูริทัตเลื่อนตัวเข้าไปใกล้สเตฟานมากขึ้นอีก
“คุณยังจำอะไรได้อีก” สเตฟานถาม
“มีอะไรมากกว่านั้นอีกเหรอ” ภูริทัตขมวดคิ้ว “หรือว่าระหว่างคุณกับผม ยังมีเรื่องราวมากกว่านั้นอีก”
“คุณยังจำไม่ได้” สเตฟานถอนหายใจเบาๆ
“คุณเล่าให้ผมฟังได้มั๊ย”
“มันเป็นเรื่องของคริสมาสต์เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคุณจำมันไม่ได้”  สเตฟานดึงมือที่ภูริทัตกุมไว้ออกมา ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมุนตัวเหมือนจะเดินจากไปจากที่นั้น  ภูริทัตก็ลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็ว
“ทำไมล่ะ หรือคุณไม่อยากให้ผมจำได้ ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ... ระหว่าเรา”
สเตฟานหันกลับมา มองดูภูริทัตด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก
“ผมอยากให้คุณคิดออกเองมากกว่า”
“แล้วถ้าผมนึกไม่ออกตลอดไปล่ะ” ภูริทัตถามเสียงด้วยสีหน้าตัดพ้อ
“ผมรอได้ ... คุณคงรู้ว่าเวลาของผมมีมากมาย มากจนเกือบเป็นนิรันดร์” น้ำเสียงเจือไปด้วยความขมขื่น ผิดกับสีหน้าที่เรียบเฉย พูดจบสเตฟานก็เดินจากไป

ภูริทัตมองดูสเตฟาน แล้วก้าวเท้าตามอย่างช้าๆ จากห้องรับแขก ขึ้นบันไดไปเดินเข้าห้องนอนและปิดประตูลง ชายหนุ่มเดินไปหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้น ดวงตาทอแววสับสน ความคิดหลากหลายวนเวียนเป็นคำถามอยู่ในสมอง หลายคำถามที่สมองของเขาปฎิเสธ แต่หัวใจกลับยอมรับมัน ความนึกคิดในส่วนสมอง กำลังต่อสู้กับความรู้สึกของหัวใจ ในความรู้สึกของชายหนุ่ม ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้นี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน

...ในที่สุดฝ่ายหลังก็ได้ชัยชนะ ...

ภูริทัตเอื้อมมืออันสั่นทาออกไปจับลูกบิดไว้ แล้วค่อยๆหมุนเปิดบานประตู ก้าวเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงสลัวของไฟกิ่ง กวาดสายตาไปทั่วห้อง ก็เห็นร่างสูงโปร่งของสเตฟานยืนอยู่บริเวณหน้าต่างบานใหญ่ เขาปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาร่างนั้นอย่างช้าๆ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 18-02-2010 12:26:21
อ่า คืนดีกันแระ ๆ ๆ ๆ

จำได้ไว ๆ นะภู
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-02-2010 14:13:24
ลุ้นจนจะช็อคตาย ตัดจบแบบนี้  :serius2:  ต้องมาต่อเร็วๆ นะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 18-02-2010 14:33:48
จำไวๆๆนะ

จะมีฉาก....อ่ะเปล่าเนี่ยยยยยยยยยย :call:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-02-2010 15:21:39
ค้างงงงงงงง ได้อีก ลุ้นนะเนี่ย  :z1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 18-02-2010 15:48:47
คืนดีกันไวๆ ซึ้งใจจนน้ำตาจะไหล...สงสารสเตฟาน  :m15:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-02-2010 23:13:30
สงสารสเตฟานมากๆ
ภูริทัตรีบนึกให้ออกนะ
คู่นี้มีความสุขกันบ้างเหอะ

บวก 1 แต้มจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๒ - ๑๘ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 19-02-2010 22:03:28
ค้างคา สงสารทั้งคู่มากมาย.....บรรยากาศตอนนี้เศร้า แบบ มีความหวังรำไร
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 23-02-2010 19:13:10
บทที่ ๕๓

“สานฝัน” ภูริทัตเรียก แล้วโอบกอดร่างนั้นไว้ วางคางลงบนไหล่ แนบแก้มลงไปบนต้นคอที่อบอุ่น
สเตฟานสะดุ้งน้อยๆ ร่างกายสั่นสะท้าน ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่พลุ่งพล่านขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะยกมือของตน วางลงบนมือหนาใหญ่ที่โอบเอวอยู่ แล้วลูบไล้อย่างแผ่วเบา

ภูริทัตรู้สึกได้ถึงร่างกายที่อบอุ่นในอ้อมกอด ความรู้สึกปรารถนาเริ่มครุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ มือที่อยู่เฉยเริ่มไล่เปะปะไปตามร่างกายของอีกคนหนึ่ง เสียงหอบหายใจบ่งบอกความรัญจวนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเริ่มไล่จมูกและริมฝีปากไปตามซอกคอเนียนนุ่ม ขาของเขาก็เริ่มก้าวถอยหลัง พาคนในอ้อมกอดให้ตามมายังเตียงทางเบื้องหลัง

ทั้งสองคนต่างก็ลืมเลือนสถานะของตนและอีกฝ่ายจนสิ้นเชิง  สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงการเคลื่อนไหวและเสียงหอบหายใจ ที่เป็นไปตามแรงปรารถนาอันซ่อนเร้นมานาน ซึ่งประทุขึ้นโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางได้อีกต่อไป
.......................................................................
..................................
ในตอนนั้น ...
ความแตกต่างของเผ่าพันธ์ ไม่ใช่สิ่งขวางกั้น
ความทรงจำเก่าๆ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องนำมาคิดคำนึง
ถึงแม้วันข้างหน้า เขาจะยังจดจำไม่ได้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้กังวล
ขอเพียงมีคนที่อยู่ในอ้อมกอดอยู่เคียงข้างเขา และร่วมกันสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่
ภูริทัตมั่นใจว่า มันคงไม่ต่างจากความทรงจำเก่าๆที่เขาลืมไปสักเท่าไรนัก

มาจนถึงบัดนี้ ...
กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดไม่ผิด

ภูริทัตเหลียวหน้ามองดูคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงที่เขานั่งพิงพนักหัวเตียงอยู่ ถึงดวงตาของเขาจะไม่สดใสเช่นวัยหนุ่ม แต่ในแววตายังคงเต็มไปด้วยความรักต่อคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาสีมรกตสดใสคู่นั้น ก็มองดูเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกความหมายไม่ต่างกันนัก
“กี่ปีมาแล้วนะ ตั้งแต่วันนั้น” ภูริทัตถามช้าๆ เสียงแหบพร่า แต่ยังคงอ่อนโยน
“วันไหนล่ะ” สเตฟานย้อนถามอย่างอารมณ็ดี
“วันที่คุณเป็นของผมอย่างแท้จริงไง” รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนใบหน้าของภูริทัต
“ผมเคยบอกคุณแล้วไง ว่าผมเป็นของคุณ ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันแล้ว” สเตฟานตอบแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไปนั่งลงบนเตียงกว้างเคียงข้างภูริทัต “ผมไม่อยากจำว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว ผมอยากจำเพียงความสุขของพวกเราเท่านั้น” พูดแล้วก็ซบหน้าลงไปบนไหล่ของภูริทัต
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ “ต่อไปในความทรงจำของคุณ ผมจะเป็นเด็กชายตัวผอมๆ หรือชายหนุ่มแรกรัก ... หรือว่าเป็นชายแก่ที่ใกล้หมดลมหายใจคนนี้”
“ผมจดจำไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน ขอเป็นช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับคุณ ผมจะเก็บมันไว้ทั้งหมด” น้ำตาของสเตฟานเริ่มก่อตัวอยู่ในดวงตา แล้วไหลผ่านแก้ม บางส่วนหยดลงไปบนลำคอของภูริทัต
“คุณสัญญาแล้วไง ว่าจะไม่ร้องไห้” ภูริทัตยกมืออันเหี่ยวย่นเพราะความชราภาพ ขึ้นเช็ดน้ำตาให้สเตฟาน “อย่าทำให้ผมเป็นห่วงสิ คุณไม่ต้องเสียใจไปหรอก มันเป็นธรรมดาของชีวิต”
“ผมไม่ได้เสียใจ” สเตฟานยกแขนขึ้นโอบภูริทัตไว้ “น้ำตาผมไหลเพราะความสุขต่างหาก ความสุขจากการที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคุณ”
“ต่อไปคุณก็ต้องมีความสุข ถึงผมจะไม่อยู่แล้วก็ตาม” เสียงของภูริทัตเริ่มแผ่วเบาลง “สานฝันของผม ผมรู้ว่าพ่อหนุ่มคนนั้นก็รักคุณ ผมอยากให้เขาทำให้คุณมีความสุข รับปากผมนะ” ภูริทัตคิดไปถึงชายหนุ่มผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่ง ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาเมื่อวัยหนุ่มอยู่บ้าง
สเตฟานไม่ตอบแต่เลื่อนใบหน้าขึ้นมาในระดับเดียวกันกับใบหน้าของภูริทัต แก้มขาวนวนเนียนแนบลงไปบนแก้มซูบผอมของอีกฝ่าย
“แต่ผมรักคุณ” สเตฟานกระซิบข้างหู แล้วเลื่อนริมฝีปากสีชมพูราวกลีบกุหลาบ ประทับลงไปบนริมฝีปากสีแดงคล้ำของอีกฝ่าย
“ผมก็รักคุณ สานฝันของผม ผมรักคุณจนตราบนิรันดร” เสียงของภูริทัตแผ่วเบาลง แล้วเงียบลงในที่สุด
สเตฟานแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกที่เคยบึกบึนของภูริทัต เสียงหัวใจที่เคยได้ยินอย่างแผ่วเบาเสมอ บัดนี้มีแต่ความเงียบ สเตฟานกอดร่างอันอบอุ่นนั้นไว้ เวลาผ่านไปเท่าไรเขาไม่รับรู้ ไม่รับรู้แม้กระทั่งว่าร่างของภูริทัตเริ่มเย็นลง

“คุณท่านครับ” เสียงเรียกของชายหนุ่มดังขึ้น แต่สเตฟานยังไม่ขยับจากการโอบกอดภูริทัตไว้ “พอเถอะนะครับ พวกเราควรจัดการเรื่องหลังของคุณทัตกันดีกว่า” แล้วชายหนุ่มก็ค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปเพื่อแยกสเตฟานออกมา
“นั่นสิครับ ผมรู้ว่าคุณรักคุณปู่ทัตมาก แต่คุณควรไปพักผ่อนดีกว่านะครับ นี่มันเช้าแล้ว คุณอยู่เฝ้าปู่ทัตมาทั้งคืนแล้ว” เสียงของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดพร้อมกับเข้าไปช่วยชายหนุ่มคนแรกพยุงตัวสเตฟานไว้
“ฝากพวกคุณด้วยแล้วกันนะทรงฤทธิ์” สเตฟานบอกกับชายหนุ่มคนแรก แล้วหันหน้าไปทางชายหนุ่มที่โอบไหล่เขาอยู่ “ขอบคุณนะครับ คุณชัยชาญ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ผมไปส่งที่ห้องนะครับ” ชัยชาญบอกยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอให้คุณช่วยทางนี้ด้วยแล้วกัน เรื่องพิธีต่างๆของชาวพุทธ ผมคงร่วมด้วยไม่ได้ รบกวนคุณด้วยนะครับ” พูดจบสเตฟานก็เบี่ยงตัวออกมาจากการโอบไหล่ของชัยชาญ แล้วเดินออกจากห้องไป โดยมีชายหนุ่มทั้งสองมองตามเงาหลังที่ดูอ่อนระโหย

...คงเพลียเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน ...ชัยชาญคิดแล้วอมยิ้มน้อยๆ

คงมีเพียงทรงฤทธิ์ที่มองดูสเตฟานด้วยความห่วงใย เพราะเขารู้ดีว่า สเตฟานและภูริทัตแท้จริงมีความสัมพันธ์กันเช่นไร ...ตอนนี้หัวใจคุณท่านคงแทบแหลกสลาย... เขาคิดด้วยความสงสาร

“ท่าทางคุณสเตฟานเสียใจน่าดู แกรักปู่ทัตมาก” ชัยชาญหันไปพูดกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาในระดับมหาวิทยาลัย และเข้ามาทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายอยู่ในโรงแรมที่ทรงฤทธิ์ทำงานเป็นเลขาประธานกรรมการบริหารอยู่
“อื้อ” ทรงฤทธิ์ตอบสั้นๆ “ไปเหอะวะ มีอะไรต้องทำเยอะแยะเลย”
“เมื่อกี้เหมือนคุณสเตฟานเค้าจะบอกว่า ไม่ไปร่วมงานศพปู่ทัตนะ เค้าเป็นคริสต์เหรอ” ชัยชาญถามขึ้นระหว่างที่กำลังเดินลงบันได
“ก็ทำนองนั้นแหละ” ทรงฤทธิ์ยักไหล่ ... เป็นแวมไพร์เว๊ย ไอ้เซ่อ
“นี่ๆ ไอ้ฤทธิ์ เอ็งว่าพอปู่ทัตไม่อยู่แล้ว เค้าจะหันมาสนใจข้าบ้างมั๊ยวะ”
ทรงฤทธ็หันมองหน้าเพื่อนที่กำลังยิ้ม แล้วขมวดคิ้ว ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“เอาไว้ข้าจะลองชวนไปดูหนัง เอ...หรือว่าไปเที่ยวทะเลดี”
“เอ็งพูดเรื่องนี้ในเวลาอย่างนี้ได้ยังไงวะ” ทรงฤทธิ์หันมาพูดอย่างโกรธๆ “ดูกาละเทศะมั่งสิวะ ว่านี่มันเวลาอะไร”
“เออๆๆ ข้าขอโทษ”

ชัยชาญหน้าเจื่อนลง นึกต่อว่าตัวเองไม่ได้ว่ามาคิดเรื่องแบบนี้ในเวลานี้ได้อย่างไร เขานึกย้อนไปถึงตอนที่เขาได้เจอชายหนุ่มคนนั้นครั้งแรกเมื่อตอนที่เขามาฝึกงานในโรงแรม ผิวขาวอมชมพูละเอียดอ่อน เรือนผมสีทองเปล่งประกาย ริมฝีปากอวบอิ่มเป็นสีชมพูเข้มราวกลีบกุหลาบ จมูกโด่งเป็นสันเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวอยู่เหนือดวงตาสีเขียวเข้ม ที่เปล่งประกายราวมรกตเนื้อดี ชัยชาญก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเรียกร้องต้องการชายหนุ่มคนนี้ และตลอดเวลาที่ผ่านมา เคียงข้างสเตฟานจะต้องมีชายชราที่ชื่อภูริทัตอยู่ด้วยเสมอ ท่าทางอันอ่อนโยนที่คนทั้งสองมีต่อกัน ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากภูริทัตอายุน้อยกว่านี้สัก ๓๐-๔๐ ปี เขาคงไม่ลังเลที่จะบอกว่าคนทั้งสองเป็นคู่รักกันแน่นอน แต่ด้วยวัยที่แตกต่างกัน ทำให้ยากจะเชื่อได้ว่าชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้ หลงใหลต่อสิ่งใดของชายชราชาวไทยผู้นี้ ชัยชาญรับรู้จากการบอกเล่าของเพื่อน ว่าทั้งสองคนเป็นญาติห่างๆ และอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังใหญ่ เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง เพื่อนของเขากลับอึกอักที่จะบอกเล่าออกมา และดูท่าทางเพื่อนของเขาจะเกรงใจและให้เกียรติคนทั้งสอง มากกว่าความเป็นญาติธรรมดา โดยเฉพาะกับสเตฟาน ดูได้จากคำเรียกขานที่เรียกสเตฟานว่า ‘คุณท่าน’ เกือบทุกครั้งไป

ทั้งสองคนเดินออกมาจากตัวบ้านจนถึงรถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่ ทรงฤทธิ์เดินไปเปิดประตูด้านคนขับแล้วเข้าไปนั่งประจำที่ เตรียมจะสตาร์ทรถ ชัยชาญก็เปิดประตูอีกด้านหนึ่งเตรียมจะเข้าไปนั่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันตัวแล้วเงยหน้ามองไปยังตัวตึกชั้นบน ที่คิดว่าคนที่เขาคิดถึงคงจะอยู่ภายในห้องใดห้องหนึ่งบนนั้น

“สเตฟาน ผมรู้ว่าคุณเสียใจที่ปู่ทัตต้องจากไป แต่ผมจะปลอบใจคุณเองนะ สเตฟาน...สานฝันของผม”
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 23-02-2010 19:34:07
อ่า ทำไมจบแล้วล่ะคุณบุหรง

จะมีผลงานเรื่องอื่น ๆ ให้ติดตามอีกไหมครับเนี่ย

เย้ย สานฝันของผม มันยังไงกันหว่า......
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 23-02-2010 19:36:28
ได้อยู่กันจนแก่เฒ่าไปข้างหนึ่ง
ภูริทัตต้องจากโลกนี้ไปตามเงื่อนไขของชีวิต
แล้วอนาคตสเตฟานจะยอมเปิดใจให้ชัยชาญหรือเปล่านะ
น่าสงสารสเตฟานจริงๆ ต้องจากลาคนรักแบบนี้ไปชั่วนิรันดร์หรือ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 23-02-2010 20:30:26
 :m15:
ทำไมไม่เลือกที่จะทำให้ภูริทัตเป็นแวมไพร์ไปด้วยอ่ะ จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป  :เฮ้อ:
เสียดายไม่รู้รายละเอียดตัวร้ายเลยหล่นหายไปซะละ
จบแบบขาดๆไปหน่อย แต่ก็ซึ้งใจไม่ใช่น้อย   :pig4:

หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 23-02-2010 21:53:01
ชอบที่บอกว่ามาสร้างความทรงจำดีๆ ใหม่กันดีกว่าจังค่ะ ถือว่าแฮปปี้เอนดิ้ง

แต่ว่า....รู้สึกว่ามัน fast forward สุดๆ เลย แต่ยังไม่ทันได้รู้ว่าตกลงภูริทัตตัดสินใจว่าไง ก็มาบทสรุป (แก่) เลย แม้ว่าโดยบทสรุปก็กล่าวสรุปถึงสิ่งที่ทั้งสองเลือกแล้วก็เถอะ

สรุปคือ อยากอ่านต่อนั่นเอง แหะๆ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีให้ติดตามอ่านค่า....รอติดตามเรื่องต่อไปเช่นเคยด้วย  :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-02-2010 08:17:05
อะจบแล้วเหรอค่ะ   :a5:  :a5:  เหมือนยังขาดๆ อะไรไป ยังไม่เต็มอิ่มเลยค่ะ

แต่อย่างไงก็ขอบคุณนะคะ จะรอติดตามผลงานต่อไป
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: REDMOON ที่ 24-02-2010 10:39:21
ตามอ่านเรื่องนี้มาเรื่อย ๆ แล้วก็ชอบเรื่องราวและเนื้อหา สนุกดีคะ  o13
แต่ว่าจบแล้ว เหรอ  :a5:  ยังอยากอ่านต่ออยู่เลยคะ
ขอบคุณสำหรับคนแต่ง ที่แต่งออกมาได้น่าติดตาม และสนุกนะคะ  :L2:
จะรออ่านเรื่องต่อไปคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-02-2010 15:00:40
จบเหมือนแฮปปี้แต่ก็เศร้า ได้อยู่กันจนแก่ตายไปข้างนึง
ขอบคุณ คุณบุหรงสำหรับนิยายหนุกๆจ้า
ขะตืดตามผลงานต่อไปนะคะ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๓ อวสาน - ๒๓ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 24-02-2010 18:39:30
 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 25-02-2010 20:19:42
ตอนที่ ๕๔ บทส่งท้าย

“แล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตกับแวมไพร์ตนนั้น ไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตตัวเอง”
“ทำไมล่ะครับ เค้าไม่กลัวเหรอ” เด็กชายอายุราวๆ ๗ ขวบ ถามเสียงเจื้อยแจ้ว
“กลัวอะไรล่ะ” คนเป็นปู่ถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ บนเก้าอี้โซฟาตัวยาว
“ก็กลัวว่าตัวเองจะตายไปก่อน แล้วสเตฟานต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ ว่าไปแล้ว...” เด็กชายยกมือขึ้นเอานิ้วชี้แตะคางตัวเอง ทำท่าครุ่นคิด “ทำไมสเตฟานเค้าไม่ทำให้ภูริทัตกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วยซะเลยอะครับปู่”
“หึ หึ” ปู่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “นั่นสิ ไม่มีใครกล้าเสนอความคิดนี้กับสเตฟาน แต่ปู่คิดว่าคงเป็นเพราะภูริทัตยังอยากเป็นมนุษย์อยู่ละมัง หรือไม่ก็ ... สเตฟานเองคงไม่อยากทำให้ภูริทัตเป็นแวมไพร์”
“ทำไมล่ะครับ ผมว่าดีออก จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
“ไม่หรอก” ปู่ส่ายหน้าช้าๆ ถอนหายใจยาว “สเตฟานเค้าไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดา ต่อให้ภูริทัตกลายเป็นแวมไพร์ ก็ต้องตายไปก่อนอยู่ดี เพราะกรีนอายส์น่ะ อายุยืนยาวกว่าแวมไพร์ เหมือนแวมไพร์อายุยืนยาวกว่ามนุษย์ปรกติ”
“ว๊า....” เด็กชายถอนหายใจบ้าง “อย่างนี้ถ้าภูริทัตตายไป ก็ต้องอยู่คนเดียวสิครับ น่าสงสารจัง”
“ใช่ ... น่าสงสาร” คนเป็นปู่เงียบไป เพราะคิดถึงคนที่กำลังพูดถึง
“ว่าแต่โจชัวร์ล่ะครับปู่ สงสัยจังว่าเค้าหายไปไหน” เด็กชายถามเมื่อนึกขึ้นได้
“ไม่มีใครรู้ แล้วก็ไม่มีใครกล้าถาม บางทีเค้าอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
“สเตฟานฆ่าเค้าเหรอครับ แต่ปู่บอกว่าสเตฟานทำไม่ได้นี่ มันเป็นกฏ” เด็กชายขมวดคิ้ว “กฏอะไรน๊า”
“กฏของผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง” ปู่ยิ้มแล้วมองดูเด็กชายด้วยความเอ็นดู “การทำให้ใครสักคนตายโดยที่ตัวเองไม่ต้องลงมือมันมีหลายวิธี สเตฟานเค้าคงใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง โดยที่ไม่ฝืนกฎข้อนั้น”
เด็กชายทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ คนเป็นปู่ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กชายเบาๆด้วยความรัก
“เก็บเอาไว้ถามสเตฟานเค้าเองดีมั๊ย”
“ปู่อ๊ะ จะถามได้ไงกัน” เด็กชายหน้ามุ่ย “ปู่พูดยังกับว่าสองคนนี้เค้ามีตัวตนจริงๆอย่างงั้นแหละ”
“แล้วถ้าพวกเค้ามีตัวตนจริงๆ แล้วหลานปู่ได้เจอพวกเค้าล่ะ” ปู่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมจะเป็นเพื่อนกับสเตฟาน แล้วก็จะถามเค้าด้วยว่าเค้าทำอะไรกับโจชัวร์” เด็กชายตอบเสียงใส

ดูเหมือนเด็กชายจะชอบ ‘นิทาน’ ที่ปู่เล่าให้ฟังมาก เมื่อมีเวลาว่างก็มักรบเร้าให้ปู่ของเขาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ แต่เมื่อทรงฤทธิ์อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ปู่ก็พาเขาไปยังบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้สองชั้นในเนื้อที่ขนาดใหญ่ รอบบ้านร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ ที่ห้องสมุดของบ้านหลังนั้นเอง ที่เขาได้เห็นภาพวาดของสเตฟานเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน และดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นกลับทำให้เขาแทบจะลืมหายใจ และวันนั้นเองที่เขาได้รับรู้ว่า สเตฟานมีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่แวมไพร์ในนิทานที่ปู่เขาแต่งขึ้น ความจริงของตระกูลอีกเรื่องหนึ่งก็ถูกถ่ายทอดจากปากของทรงเดช สู่ทรงฤทธิ์ผู้เป็นหลานชาย
“ต่อไปถ้าปู่ไม่อยู่ ฤทธิ์จะช่วยดูแลคุณสเตฟานต่อจากปู่ได้ไหม” ตอนนั้นทรงเดชถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาที่มองมานั้นราวกับกำลังขอร้องเรื่องสำคัญที่สุดกับเขา
“ได้สิครับปู่ ผมจะทำให้ดีที่สุดเลย ปู่ไว้ใจผมได้เลยครับ” ทรงฤทธิ์ตอบด้วยความมั่นใจ และด้วยความรู้สึกอีกอย่างที่ซ่อนอยู่
“ขอบใจนะ ขอบใจ” ทรงเดชพูดแล้วก็โอบกอดหลานชายไว้ด้วยความดีใจ

แล้วอีกไม่นานทรงฤทธิ์ก็ได้พบเจอกับคนที่เขารอคอย วันนั้นอยู่ในช่วงที่เขาและชัยชาญเพื่อนสนิท พากันมาฝึกงานในโรงแรมที่ปู่ของเขาทำงานเป็นเลขาของประธานกรรมการบริหาร ซึ่งก็คือสเตฟานนั่นเอง วันนั้นทรงเดชให้เขาและชัยชาญขับรถไปรับสเตฟานที่สนามบิน
“สนามบิน ปู่พูดเป็นเล่น” ทรงฤทธิ์พูดอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “เค้าจะใช้เครื่องบินเดินทางทำไมกัน”
“คุณท่านมากับคุณภูริทัต”
คำตอบสั้นๆเพียงแค่นั้นเอง ทรงฤทธิ์ก็เข้าใจหมดทุกอย่าง เขาจึงทำตามคำสั่งขับรถส่วนตัวคันเล็กไปรอรับคนทั้งสอง โดยมีชัยชาญไปเป็นเพื่อน เพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว

“ไหนว่ามารับคน ทำไมมาจอดตรงนี้วะ” ชัยชาญถามเพื่อน เมื่อเห็นว่าทรงฤทธิ์นำรถมาจอดไว้ที่ลานจอดรถ แล้วออกมายืนรออยู่บริเวณนั้น แทนที่จะเข้าไปในอาคารของสนามบิน
“ปู่บอกให้มารอแถวนี้ เดี๋ยวพวกนั้นจะออกมาเจอเอง” ทรงฤทธิ์ตอบแล้วก็ยืนกอดอกแน่น ขมวดคิ้ว ขบฟันเบาๆอยู่ตลอดเวลา
ชัยชาญมองดูท่าทางของเพื่อน ที่เหมือนกำลังตื่นเต้นจนแทบจะระงับไม่อยู่อย่างขำๆ เพราะเขาคิดไม่ออกว่าการที่มารับ ‘ญาติ’ คนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย แล้วจู่ๆ เขาก็เห็นใบหน้าของทรงฤทธิ์เหมือนกับตื่นตลึงกับอะไรบางอย่าง ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย มือที่กอดอกอยู่คลายออกมาอยู่ข้างตัว ชัยชาญจึงหันตัวไปยังทิศที่เพื่อนของเขามองอยู่ แล้วเขาก็ตกอยู่ในอาการเดียวกันโดยไม่รู้ตัว

ชายชราคนนั้น ถึงจะมีอายุมาแล้วแต่หลังยังตั้งตรง ก้าวเดินอย่างช้าๆแต่สง่าผ่าเผย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงเป็นประกาย เค้าหน้ายังคงมีความหล่อเหลาของวัยหนุ่มหลงเหลืออยู่ ชายหนุ่มชาวต่างชาติที่อยู่เคียงข้างยิ่งดูราวกับภาพวาด ผิวขาวละเอียดอ่อนราวกับจะเปล่งประกายออกมา ดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเอิบ และดวงตาสีเขียวส่องประกายแวววาว

ชายหนุ่มทั้งสองแทบไม่รู้ตัวเลยว่าคนทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาตั้งแต่เมื่อไร
“ทรงฤทธิ์สินะ” ชายชราเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนทั้งสองรู้สึกตัว
“ค..ครับ” ทรงฤทธิ์ตะกุกตะกัก รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด “คุณภูริทัตกับ เอ้อ ...” ชายหนุ่มหันไปมองคนที่ยืนอยู่เคียงข้างชายชรา “คุณท่าน” คำเรียกนั้นหลุดปากออกไป เขาแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้าเอ่ยชื่อนั้นออกมาตรงๆ
“เรียกสเตฟานก็ได้นะครับ” เสียงทุ้มนุ่มพูดเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม ... รอยยิ้มที่เหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง กำลังมองดูเด็กตัวเล็กๆด้วยความเอ็นดู
“ครับคุณสเตฟาน” คนตอบกลับเป็นอีกคนหนึ่ง “ผมชัยชาญครับ เป็นเพื่อนเจ้าฤทธิ์” ชายหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงเมื่อสเตฟานหันมายิ้มให้
“เรารีบไปกันเถอะ ดึกมาแล้ว เด็กๆจะได้กลับไปพักผ่อน” ภูริทัตพูดยิ้มๆ
แล้วคนทั้งสี่ก็พากันขึ้นรถยนต์คันเล็ก ออกจากบริเวณสนามบิน ตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง และนับจากวันนั้น ทรงฤทธิ์ก็มีหน้าที่มาที่บ้านหลังนี้ เพื่อมาดูแลคนทั้งสอง โดยบางวันจะมีชัยชาญมาเป็นผู้ช่วยด้วยอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งหมดช่วงฝึกงาน

ถึงแม้จะหมดช่วงฝึกงานไปแล้วก็ตาม ในวันหยุด ทรงฤทธิ์ก็ยังมา ‘เยี่ยมเยือน’ คนทั้งสองอยู่เสมอ และบ่อยครั้งที่ชัยชายติดตามมาด้วย ถึงแม้ท่าทางของทรงฤทธิ์จะไม่แสดงออกเท่ากับชัยชาญ แต่ภูริทัตก็รู้ได้จากแววตาของชายหนุ่มว่าเขาคิดอย่างไร
“เค้ายังต้องอยู่ต่อไปอีกนาน” ภูริทัตพูดขึ้นมาในวันหนึ่งที่อยู่กับทรงฤทธิ์ตามลำพัง
“อะไรครับ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความสงสัย
“คล้ายกันจริงๆ” ภูริทัตมองดูชายหนุ่มอย่างเพ่งพินิจ เค้าหน้าของทรงฤทธิ์คล้ายคลึงกับเขาเมื่อวัยหนุ่มอยู่มากทีเดียว แล้วก็ต้องหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว เอียงคอน้อยๆมองเขาอย่างงุนงง “สานฝันไง ... ฉันหมายถึงสเตฟาน เธอคงรู้ว่าเขายังต้องอยู่ไปอีกนาน”
“แล้วทำไมคุณไม่ให้เค้าทำให้คุณเป็นแวมไพร์ล่ะ อย่างน้อยคุณก็จะได้อยู่กับเขานานขึ้นไปอีก” ทรงฤทธิ์โพล่งออกไปทันที แล้วก็ต้องรู้สึกตัว “ผม ... ผมขอโทษ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
“ฉันก็เคยคิดเหมือนกัน แต่ถึงฉันจะเป็นแวมไพร์แล้วจะเป็นยังไงล่ะ ฉันก็ต้องจากไปก่อนอยู่ดี” ภูริทัตถอนหายใจยาว “บางทีการที่ได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นเท่าไร อาจเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่ยังคงต้องอยู่ต่อไป มากเท่ากับเวลาที่มันเพิ่มขึ้นก็ได้นะ”
“ผมไม่ทันคิด” ทรงฤทธิ์เงยหน้าขึ้นมองดูชายชราตรงหน้าอย่างนับถือ
“ถ้าคิดจะรักใครสักคน เธอต้องคิดถึงความรู้สึกของเขาให้มากไว้ และทำเพื่อเขา อย่าปล่อยให้เขาทำอะไรเพื่อเราเพียงฝ่ายเดียว”
“ครับ” ทรงฤทธิ์รับคำเบาๆ หลบสายตาของภูริทัต ... เขารู้ ปู่ทัตรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับสเตฟาน
“ในการแข่งขัน ถ้าเธออยากได้ชัยชนะ เธอก็ต้องทำให้เต็มที่ ...ใช่มั๊ย” ภูริทัตพูดยิ้มๆ สายตาของชายหนุ่มกลับมามองที่เขา อย่างสงสัย ... และลังเล
“ความรักก็เหมือนกัน ถ้าคนที่เธอรักยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร เธอก็มีโอกาส อย่ายอมแพ้ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นเพื่อนก็เถอะ” ภูริทัตพูดช้าๆและชัดเจนทุกคำ และรู้สึกเอ็นดูชายหนุ่มตรงหน้ามากขึ้น เมื่อเห็นว่าใบหน้าของทรงฤทธิ์เปลี่ยนเป็นสีแดงไปจนถึงลำคอ
...................................................................................
....................................
“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยได้พักนะครับ” ทรงฤทธิ์มองดูสเตฟานที่ยืนมองทิวทัศน์เบื้องนอก ที่เต็มไปด้วยแสงไฟในยามค่ำคืน ผ่านกระจกบานใหญ่ของห้องพักภายในโรงแรม ด้วยความเป็นห่วง
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” สเตฟานรอคำตอบอยู่สักพัก แล้วก็ต้องถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ผมหมายถึงงานของภูริทัต”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆเหมือนทุกครั้ง เขารู้ตัวเหมือนกันว่า เขาจะกลายเป็นคนพูดน้อยทันทีที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้
“เธอไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาหลายวันแล้ว” สเตฟานพูดแล้วก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้าทรงฤทธิ์ ยกมือวางลงบนไหล่ของชายหนุ่ม “แล้วก็ขอบใจมากนะ ถ้าไม่มีเธอ...ฉันก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้เหมือนกัน”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองกลับมา บ่งบอกอะไรหลายอย่าง มือของชายหนุ่มเอื้อมมาจับมือของสเตฟานไว้ แล้วบีบเบาๆ
“คุณยังมีผมนะครับ” ทรงฤทธิ์โพล่งออกไป “ผมจะดูแลคุณเอง แทนปู่ของผม แล้วก็ ... แล้วก็” ชายหนุ่มอึกอัก “แทนคุณภูริทัต”
สเตฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกตกใจกับการกระทำและคำพูดของชายหนุ่ม
...................................................................................
....................................
“ขอบคุณ ... ขอบคุณท่าน” เสียงอันแผ่วเบาราวกระซิบ น้ำเสียงแสดงความดีใจอย่างสุดซึ้ง ก่อนที่เจ้าของร่างจะค่อยๆสลายกลายเป็นฝุ่นผงเพียงกองเดียวอยู่แทบเท้าของเขา
แวมไพร์อีกตนหนึ่งที่เขาช่วยให้หลุดพ้นจากความเป็นนิรันดร์ โชคชะตาทำให้เขาต้องกลายมาเป็นผู้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และคงต้องทำต่อไปอีก ไม่รู้ว่าจะนานอีกเท่าใด สเตฟานเงยหน้ามองดูดวงจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าแน่วนิ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตทอประกายแวววาว เมื่อก่อนนี้เขารู้สึกโดดเดี่ยว แต่บัดนี้ถึงแม้หัวใจจะยังมีความเศร้าหมองอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังรุ้สึกอบอุ่น เพราะตอนนี้เขามีภูริทัตในใจ และจะยังคงอยู่ต่อไปตราบนิรันดร
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 25-02-2010 22:43:54
มีบทส่งท้ายด้วยยยยย..........ให้รู้สึกแบบมีความหวังให้กันต่อไป

ชอบภูริทัตตอนนี้เป็นพิเศษ สุขุม แถม มีการยุส่งให้คนที่มารักคนรักของตัวเองอย่ายอมแพ้ด้วย...นี่สิรักกันจริง  o13
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 26-02-2010 00:26:50
จบอย่างงดงามและเต็มตื้นในความรู้สึก

แม้ต้องจากไกลชั่วกาล แต่มีอีกฝ่ายในหัวใจตลอดไป

บวกอีก 1 แต้ม ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกจนตอนสุดท้ายจริงๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-02-2010 00:32:17
บทส่งท้ายยังซึ้งใจได้อีกกับรัก นิรันดร์  :-[
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-02-2010 07:00:29
จบได้ซึ้งมากเลย
ขอบคุณนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องอื่นต่อไป
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 26-02-2010 08:47:41
หายไปนาน (คนอ่าน) เพิ่งจะเข้ามาอีกครั้ง ได้อ่านตอนจบพอดี

นิยายของคุณบุหรง อ่านกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

ชอบที่ใช้ภาษาสวย เรียบ แต่ได้ใจความครบถ้วน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

+1 ให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 26-02-2010 11:07:07
 :m15:
พูดไม่ออก...จบจริงๆ รู้สึกเต็มตื้นจนน้ำตาปริ่มๆ ขอบตา

“ถ้าคิดจะรักใครสักคน เธอต้องคิดถึงความรู้สึกของเขาให้มากไว้ และทำเพื่อเขา อย่าปล่อยให้เขาทำอะไรเพื่อเราเพียงฝ่ายเดียว”

ชอบประโยคนี้มากมาย...  :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 26-02-2010 11:51:18
จบไปอย่างสมบูรณ์

ขอบคุณคุณบุหรงมาก ๆ ครับ

แล้วก็จะติดตามอ่าน รัก - หลง ของคุณบุหรงต่อไปครับผม
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 27-02-2010 00:19:17
อืม...เรื่องนี้สำนวนกินขาดดด

เขียนดีสุดๆพลอตแปลกดีด้วย

จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: REDMOON ที่ 27-02-2010 14:34:02
ขอบคุณสำหรับบทส่งท้ายคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: sexyman ที่ 28-02-2010 11:39:18
:m15:
พูดไม่ออก...จบจริงๆ รู้สึกเต็มตื้นจนน้ำตาปริ่มๆ ขอบตา

“ถ้าคิดจะรักใครสักคน เธอต้องคิดถึงความรู้สึกของเขาให้มากไว้ และทำเพื่อเขา อย่าปล่อยให้เขาทำอะไรเพื่อเราเพียงฝ่ายเดียว”

ชอบประโยคนี้มากมาย...  :pig4:


คิดเหมือนรีฯนี้อ่า   จ๊อบบบบบ

อ่านรวดเดียว 3 วันจบ

ขอโทษด้วยนะครับที่รอจนกว่าจะจบแล้วอ่าน

เพราะอ่านมาหลายเรื่องแล้ว  สุดท้ายก็ไม่มาต่อ

กลัวค้าง  ก็เลยคิดว่าอ่านทีเดียวดีกว่า

เป็นอีกเรื่องที่ผมประทับใจ  และแหวกแนวดีด้วย

 o13   +1 ให้เลย
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 01-03-2010 21:44:53
เป็นเรื่องที่ซึ่งจริงๆๆๆ



อ่านจบแล้วน้ำตาคลอเลย



นี้ซินะที่เรียกว่ารักแท้
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 03-03-2010 06:53:12

นั่งอ่านโต้รุ่งม้วนเดียวจบ  ไม่เสียใจจริงๆที่ได้อ่าน

บรรยายความรู้สึกเป็นคำพูดไม่ถูกเลย  แต่รู้สึกอิ่มเอมใจยังไงไม่รู้ครับ

อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่ารักเป็นสิ่งล้ำค่า  ยากที่จะได้มา  ยากที่จะคงไว้  แต่ไม่ยากเกินหัวใจจะจดจำตราบนานเท่านาน

ขอบคุณคนเขียนด้วยครับ  สนุกมาก  มีความสุขจัง อิอิ
:กอด1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 04-03-2010 09:38:18
สำเร็จลุล่วงไปอีกเรื่องหนึ่ง ทีแรกนึกว่าจะจบตอนปลายๆปีนี้ซะแล้ว  :laugh:
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มาคอมเมนท์ และทุกๆคนที่คอยติดตามผลงานนะครับ
แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เข้ามาอัฟเรื่องช้ามาก เฉลี่ย ๒ สัปดาห์ต่อครั้ง คือมันมีเรื่องอะไรให้ทำเยอะขึ้น หลายๆเรื่องถ้าบอกแล้วคงเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับหลายๆคน เพื่อนผมมันยังว่าเอาเลย  :sad4:
ตอนที่เขียนเรื่องนี้ช่วงแรกๆ ประมาณต้นปีที่แล้ว สักพักก็มีหนังโรงเรื่องแวมไพร์ทไวไลท์ออกมา ทำเอาเอ๋อไปพักนึง แล้วช่้วงนั้นไม่ีรู้เพราะอะไร เห็นหนังสือบนแผงมีแต่เรื่องแวมไพร์ โอย .... เครียด  :serius2:

ว่าแล้ววกเข้าเรื่องดีก่า ก็ว่าจะมาเล่านานแล้วถึงแรงจูงใจที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ทราบว่าเพื่อนๆรู้จักหนังสือการ์ตูนเรื่อง หน้ากากแก้ว ไหมครับ ช่วงแรกๆเหมือนจะเป็นของสำนักพิมพ์ยอดธิดา หรือสยามสปอร์ตนี่ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ต่อมาวิบูลย์กิจมาพิมพ์ในชื่อเรื่อง นักรักโลกมายา แล้วก็หายเงียบไป เมื่อไม่กี่ปีมานี้ สยามสปอร์ตก็นำมาพิมพ์อีก

ตอนหนึ่งในเรื่อง อายูมิแสดงเป็นผีดูดเลือดคิเมร่า ซึ่งปรกติจะถูกนำมาเสนอในภาพพจน์ของปีศาจที่โหดร้าย แต่อายูมิกลับแสดงออกมาในรูปแบบของผีดูดเลือดที่น่าสงสาร ผมก็นำจุดนี้มาเป็นความรู้สึกของสานฝัน แล้วออกมาเป็นนิยายเรื่องนี้แหละครับ

ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรไปบ้าง ก็ต้องขออภัียไว้ ณ ที่นี้ o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 08-03-2010 22:11:56
ว้าวววววววววววววๆๆๆ
เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วชอบมากๆๆเลยอ่ะ
อ่านแล้วซึ้งจัง
ชอบจังเลยความรักของสานฝันกะภูริทัต
รักนี้นิรัน :-[ :-[
ชอบบบบบบบบบบบบ ชอบบบบบบบบบบบบอ่ะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 10-03-2010 16:46:36
 :เฮ้อ: o13

จบแล้ววววว

รักนิรันดร์   .......... สานฝัน.......ภูริทัต


ขอบคุณที่เขียนนิยายที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องรักมากขึ้นนะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 11-03-2010 19:13:31
คือว่า ผ๋มมีเรื่องจาถาม ผ๋มมีเรื่องจาถาม ...
ม่ายมีใครแปลกใจอะไรมั่งเลยเหรอใน ๒ บทสุดท้าย  :sad3:

ในช่วงหนึ่งของ บทที่ ๕๓
อ้างถึง
“ต่อไปคุณก็ต้องมีความสุข ถึงผมจะไม่อยู่แล้วก็ตาม” เสียงของภูริทัตเริ่มแผ่วเบาลง “สานฝันของผม ผมรู้ว่าพ่อหนุ่มคนนั้นก็รักคุณ ผมอยากให้เขาทำให้คุณมีความสุข รับปากผมนะ” ภูริทัตคิดไปถึงชายหนุ่มผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่ง ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาเมื่อวัยหนุ่มอยู่บ้าง
ในบทนี้ เพื่อนๆอ่านแล้วคิดว่าเป็นใคร

พอมาเฉลยในบทที่ ๕๔
อ้างถึง
“คล้ายกันจริงๆ” ภูริทัตมองดูชายหนุ่มอย่างเพ่งพินิจ เค้าหน้าของทรงฤทธิ์คล้ายคลึงกับเขาเมื่อวัยหนุ่มอยู่มากทีเดียว

เป็นคนเดียวกันกับที่เพื่อนๆคิดหรือเปล่า  หรือว่าไม่มีใครสงสัยกันเลย  o22
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 13-03-2010 10:23:11
ซาบซึ้งกับรักนิรันดร์จังเลยค่ะ :-[
ส่วนคำถามของคุณบุหรงนั้น ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ :laugh:
คิดว่าที่หนึ่งในใจสเตฟานต้องเป็นภูริทัตแน่นอน o18
คนอื่นเราเฉยๆ :m20:
+1 ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกเรื่องนี้คร้า :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: LiuXin ที่ 13-03-2010 18:41:33
อ่านตอน๕๓ สองย่อหน้าสุดท้าย ให้ความรู้สึกว่าพระเอกต่อไปต้องเป็นชัยชาญเพื่อนของทรงฤทธิ์ เพราะเหมือนประโยคสุดท้ายของบท๕๓ นายชัยเป็นคนคิด

แต่อ่านบทส่งท้าย ปู่ภู กลับเชียร์ทรงฤทธิ์ เลยเหมือนพระเอกต่อไปต้องเป็น นายทรงฤทธิ์

แต่พออ่านย่อหน้าสุดท้ายของบทส่งท้าย เหมือนสเตฟานมีปู่ภูอยู่ในหัวใจตลอดไป เลยคิดว่าต่อไปสเตฟานอาจไม่มีใครอีกก็ได้(มีคนรักอีกก็เจ็บอีก)

อาจจะไปอยู่ที่ไหนไกลๆสักที่เหมือนกรีนอายคนก่อน ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป บำเพ็ญจิตให้แก่กล้ากว่าเดิม และสุดท้ายก็มอบหน้าที่ต่อแล้วตายไป พร้อมกับปู่ภูที่ยังอยู่ในใจตลอดไปนิรันดรของแท้ อิอิ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่เขียนมาให้อ่านกันนะคะ
เรื่องนี้ถึงจบเศร้า แต่ก็แฮปปี้ดีค่ะ(รับได้ๆ)
บอกตามตรงว่าอ่านนิยายของคุณบุหรงเรื่องแรกเลย ไม่กล้าอ่านอีกเรื่องนึงเพราะเห็นคอมเม้นกันว่าจบไม่แฮปปี้(ปกติอ่านคอมเม้นเพื่อนๆนักอ่านท่านอื่นก่อนอ่านนิยาย) กลัวทำใจไม่ได้ แต่เรื่องนี้อ่านแล้วอิ่มดีค่ะ ชอบค่ะ

สุดท้าย ขอบคุณอีกครั้งค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: aungaink ที่ 14-03-2010 00:36:13
อ่า อ่านรวดเดียวจบ
ประทับใจมากๆค่ะ
นับว่าเป็นนิยายที่แต่งดีมากๆหนึ่งเรื่องเลย
ใช้ภาษาได้ดีมาก เรียงร้อยออกมา อ่านแล้วได้อารมณ์ร่วม
นึกภาพตาม ได้ไม่มีสะดุดเลยค่ะ
ชอบมากๆ ที่แม้ว่าสุดท้ายจะมีอีก2หนุ่มเข้ามา
แต่ว่า ภูก็จะอยู่ในใจสานฝันตลอดไป
ไม่เลือกใครนั่นแหละดีแล้วเนอะ 55
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Rong ที่ 14-03-2010 19:10:02
เนื้อเรื่องกับชื่อเรื่องช่างเหมาะกันมาก ๆเลยค่ะ

แอบว่าช่างตรึงใจเหลือเกิน

สเตฟาน เป็นคนรักที่สุดยอดมาก ๆ เลยค่ะ

ชอบเรื่องนี้มาก ๆ

โชคดีว่า รอเรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยมาอ่านรวดเดียว ถ้าไม่เช่นนั้น ต้องมีอาการลงแดง ให้เห็นแน่ ๆ เลยค่ะ

จะรอติดตามเรื่องต่อ ๆ ไปค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: n_pom_s8 ที่ 19-04-2010 00:56:32
ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ :pig4: :pig4: :m1:  อ่านประทับใจมากครับ
จะติดตามผลงานต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: NASS.NET ที่ 19-04-2010 01:58:24
ตามอ่านรวดเดียวเลยค่ะ

สุดท้ายแล้ว...

ภูริทัตก็คือนิรันดร ของสานฝันเหมือนกันสินะคะ

ขอบคุฯมากๆค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: i-tatae ที่ 13-05-2010 15:06:46
 o13 สุดยอดมากเลยค้าบบ ชอบผลงานทุกเรื่องที่อ่านมากๆเลยค้าบ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดี
หวังว่าจะมีโอกาสได้อ่านผลงานชิ้นต่อไปอีกเรื่อยๆๆ น่ะค้าบบบบ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] บทที่ ๕๔ บทส่งท้าย - ๒๕ ก.พ.. ๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: หวานเย็น ที่ 28-06-2010 18:59:35
แม้นเหมือน จอมขวัญ มิอาจใช่
แม้นใจ รอคอย มิห่างหาย
แม้นจิต คะนึงหา มิเสื่อมคลาย
แม้นชีพวาย ยังมิคลาย รักเจ้าเอย
(พออ่านตอนที่พระเอกบอกว่าให้นายเอกเปิดใจให้อีกคนหลังจากที่ตนเองตาย อยู่ๆกลอนนี้เลยผุดออกมาจากสมอง )

อ่านจบ….ซาบซึ้ง…และ...ตราตรึง
ตอนแรกอ่านชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นแนวทวิภพ
ขอบคุณ เรื่องนี้ทำให้เกิดความคิดที่ว่า….
จริงๆแล้วคนทุกคนต่างมีจิตใจในส่วนที่เป็นปีศาจอยู่ในตัว
แต่
เราจะยอมรับในส่วนที่เป็นปีศาจของคนรักได้แค่ไหน
 o13

+1 ขอบคุณ เรื่องดีๆ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 05:25:39
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: lastlover ที่ 11-05-2011 22:56:31
สนุกมากค่ะ ตอนจบก็ถือได้ว่าได้ครองรักกัน ไม่ถือว่าจบเศร้าค่ะ ดีแล้วค่ะคนอ่านชอบบบ :impress2:
แต่ก็รู้สึกเหมือนจะทิ้งปริศนาไว้ตอนใกล้จบ อ่านดูงงพอเป็นกระสัย  อ่ะนะคะ  ยอมรับว่าเรื่องนี้ออกแนวค่อนข้าง
เป็นความรักที่น่าสงสารและทรมารอยู่เหมือนกัน :serius2: สงสารทั้งคุณทัตและสานฝัน อ่านไปแต่ละทีน้ำตาท่วมจอเลยทีเดียวค่ะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 13-05-2011 13:44:51
หุ หุ หุ :sad4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 16-05-2011 16:39:18
อ่านแล้วน้ำตาหมดไปเป็นโอ่งเลย  ซาบซึ้งสุดๆ สานฝันนิรันดรจริงๆ  ยังไงๆภูริทัตก็ยังเป็นที่หนึ่งเสมอ ซึ้ง :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 31-07-2011 01:13:56
อ่านรวดเดียวเลย สุดยอดมากคะ เสียดายที่เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ ตอนจบแม้จะไม่ถูกใจนักแต่เป็นตอนจบที่ดีมาก
ชอบตัวละครทุกตัวของคุณบุหรงเลย
สำหรับหน้ากากแก้ว คามิล่า ได้อ่านคะ ฉากที่สานฝันเเตะกุหลาบเราก็นึกถึงเรื่องนี้ทันทีเลย :impress2:
ไม่ผิดหวังจริง ๆ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องราวดี ๆคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: micky99 ที่ 14-08-2011 12:35:46
 :pig4: :pig4:มาเม้นขอบคุณให้กับคุณบุพี่หรงครับ อิ่มครับอิ่มใจที่ได้อ่าน
น่าเสียดายจะดีกว่าถ้าได้อ่านในช่วงระหว่างเขียน เพราะมันจะมีอารมณ์ลุ้นไปพร้อมกัน
ที่คุณพี่บุหรงถามว่าไม่รู้สึกอะไรหรือกับชายที่คล้ายภูริทัต ก็นึกอยู่แหละว่าชัยชาญ
หรือไม่ก็ทรงฤทธิ์ครับ คิดนะครับว่าอยากจะให้มีภาคต่อแต่ถ้ามันเศร้าอีกก็ไม่
เว้นแต่ว่ามันจะเป็นบทสรุปของสานฝันละก้อผมเชียร์  :bye2: :bye2: :bye2:
ต่อไปจะไปดูว่ามีเรื่องไรของพี่บ้างจะไปตามเก็บ มีความสุขจังหุหุ :L1: :L1: :L1:
 
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 23-08-2011 01:07:29
เพิ่งเคยอ่านนิยายของคุณบุหรง
ไม่กล้าอ่านเพราะชื่อเรื่องมันต้องอ่านยากแน่ๆ
แต่พอได้มาอ่านเรื่องนี้แล้วยอมรับเลยค่ะ
ว่าสำนวนดีมากๆ เนื้อเรื่องแปลก ไม่เหมือนใคร
เห็นบางคนบอก ทำ่ละครได้เลยนะคะ
มีนิยายคุณบุหรงหลายเรื่อง จะไปตามอ่านต่อนะคะ
ปล.ตอนท้ายคิดว่าทรงฤทธิ์จะมาแทนภูริทัต
แต่ถึงจะไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสีย
สานฝันก็คงรักภูริทัตที่สุดอยู่แล้ว
ตลอดเรื่อง รู้สึกแต่สานฝันคอยจะเอาใจและรักภูริทัตมากกว่า
สรุปว่าซึ้งกับความรัก และสนุกตื่นเต้นกับเนื้อเรื่อง เก่งมากๆ ค่ะ
ขอบคุณมากๆ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: tartar ที่ 10-10-2011 23:41:10
อ่านรวดเดียว ตราตรึงใจมากๆ    :กอด1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 11-10-2011 10:15:55
ประทับใจมาก ๆ คะ
ขอบคุณมาก ๆ คะสำหรับนิยายดี ๆ
อยากให้คุณบุหรง และเล้าทำนิยายเรื่องนี้เป็นหนังสือจังเลยคะ
เห็นวิหารจันทราก็ทำเป็นหนังสือ
ไม่คิดทำเรื่องนี้บ้างเหรอคะอยากได้มาก ๆ เลยคะ

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 11-10-2011 16:33:25
ประทับใจมาก ๆ คะ
ขอบคุณมาก ๆ คะสำหรับนิยายดี ๆ
อยากให้คุณบุหรง และเล้าทำนิยายเรื่องนี้เป็นหนังสือจังเลยคะ
เห็นวิหารจันทราก็ทำเป็นหนังสือ
ไม่คิดทำเรื่องนี้บ้างเหรอคะอยากได้มาก ๆ เลยคะ

 :pig4: คะ

ขอบคุณครับ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอยให้กำลังใจมาตลอด
ตอนแรกที่จะทำหนังสือก็เลือกปรึกษากับทางทีมงานของเล้าเป็ด ว่าระหว่างเรื่องวิหารจันทราและสานผันนิรันดร จะทำเรื่องไหนก่อน ก็ตกลงกันได้ว่าควรทำเรื่องวิหารจันทราก่อน
เหตุผลแรกก็เพราะเป็นเรื่องที่เขียนลงในเวปก่อน เหตุผลที่สองก็เพราะเป็นเรื่องที่ได้รับรางวัลในปี ๒๐๐๙ ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้จัดให้มีรางวัลนิยายที่ใช้ภาษาดีเด่น

สำหรับเรื่องสานฝันนิรันดร คงเป็นเรื่องต่อไปถ้าจะมีการพิมพ์ผลงานออกมาเป็นรูปเล่มครับ
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: SOBANG✖ ที่ 12-10-2011 00:19:29
สงสารสานฝัน แต่เป็นตอนจบที่กินใจมากจริงๆคะ ^ ^

ไม่รุ้จะมีภาคต่อไหม? แต่ดีใจมากที่ภูริทัตจะอยู่ในใจสานฝันตลอดไป โดยที่ไม่มีใครจะสามารถเพิ่มเข้าไปได้(ใช่ไหม?คะ)

ถึงจะสงสารทรงฤทธิ์แต่ก็ไม่อยากให้คู่กับสานฝัน เพราะเราหวงสานฝัน 555555
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 12-10-2011 12:39:09
เพิ่งมีโอกาสได้อ่าน...

อ่านจบแล้วความรู้สึกแรกที่พูดได้ก็คือ "อิ่มเอม"

ชอบมากๆค่ะ
ขอบคุณคนเขียนนะคะ *-*
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: SOBANG✖ ที่ 12-10-2011 16:31:16
ตอนนี้อ่านจบแล้วตั้งแต่ต้นยันจบ ^ ^

เรารับรู้ได้ถึงความรักของทั้งคู่จริงๆ รักที่ไม่มีใครจะแยกเขาสองคนออกไปด้แม้กระทั่งความตาย (เวอร์เล็กๆ)

เพราะถึงจะตัวจะห่างไกล แต่เราเชื่อว่าใจเขาสื่อถึงกันตลอดเวลา ^ ^
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 14-10-2011 17:25:33
ขอบคุณครับ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอยให้กำลังใจมาตลอด
ตอนแรกที่จะทำหนังสือก็เลือกปรึกษากับทางทีมงานของเล้าเป็ด ว่าระหว่างเรื่องวิหารจันทราและสานผันนิรันดร จะทำเรื่องไหนก่อน ก็ตกลงกันได้ว่าควรทำเรื่องวิหารจันทราก่อน
เหตุผลแรกก็เพราะเป็นเรื่องที่เขียนลงในเวปก่อน เหตุผลที่สองก็เพราะเป็นเรื่องที่ได้รับรางวัลในปี ๒๐๐๙ ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้จัดให้มีรางวัลนิยายที่ใช้ภาษาดีเด่น

สำหรับเรื่องสานฝันนิรันดร คงเป็นเรื่องต่อไปถ้าจะมีการพิมพ์ผลงานออกมาเป็นรูปเล่มครับ
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ  o1

จะรอสานฝันในแบบรูปเล่มหนังสือนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_min ที่ 14-10-2011 20:20:24
อ่านยาวเลย

ชอบเรื่องนี้จัง

รู้สึกว่าความรักอบอวลตลอดเวลาเลย

หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 19-10-2011 11:39:42
เอ้อ พลอทดี จบสุข ชอบครับ

แต่แหม ถ้าเพิ่มคอนฟลิซ์มากอีกนิด จะดร่าม่า ได้อีกเยอะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: Oo_oO ที่ 24-10-2011 22:32:58
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ชอบเรื่องนี้จัง ซึ้งมากๆ
อ่านแล้วทำให้ได้เข้าใจคำว่า รักนิรันดร์ จิงๆ

หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 23-11-2011 07:38:05
รวดเดียวจบ

ลุ้นกันทุกตอน

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: t_cus ที่ 19-01-2012 18:50:52
อ่านรวดเดียวจบ
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจมากๆเลยค่ะ

นิยายของคุณบุหรงแต่ละเรื่องเนี่ย
พอได้เริ่มอ่านแล้วหยุดไม่ได้จริงๆค่ะ 55+
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: tanawat54 ที่ 19-01-2012 22:29:40
สนุกครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet~ ที่ 07-04-2012 14:00:41
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ เรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] rep747 สอบถามการรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 01-05-2012 08:45:02
คิืดว่าจะรวมเล่มนิยายเรื่องสานฝันนิรันดรครับ ที่คิดไว้คือเป็นหนังสือขนาด A5 กระดาษถนอมสายตา รวมตอนที่ลงในเล้าเป็ดและตอนพิเศษ รวมแล้วประมาณ ๓๐๐-๓๕๐ หน้า ราคาคงอยู่ประมาณ ๓๕๐-๔๐๐ บาท ยังไงรบกวนกดความคิดเห็นที่ poll นะครับว่าสนใจสั่งจองหรือเปล่า
... ตอนนี้ poll มีข้อผิดพลาดคือไม่มีคำถาม  ทีมงานกำลังแก้ไขครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] rep747 สอบถามความคิดเห็นผู้อ่านเรื่องการรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: อากาศใต้ผ้าห่ม ที่ 14-05-2012 02:33:51
อดหลับอดนอน นั่งอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก ๆ จ้า ชอบมาก ๆ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 01-06-2012 20:22:55
ขอบคุณสำครับคนที่มากด poll แสดงความคิดเห็นนะครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 23-08-2012 14:46:52
ตอนพิเ้ศษใกล้เสร็จแล้ว เลยมาแจ้งข่าวเสียหน่อย ถึงจะมีคนสนใจน้อย  แต่ก็คงจะทำการรวมเล่ม  คาดว่าจะเปิดให้สั่งจองกันได้ประมาณต้นสัปดาห์หน้า  ส่วนรายละเอียดเรื่องจำนวนหน้า ราคา จะมาแจ้งให้ทราบวันเปิดจองนะครับ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 26-08-2012 16:32:25
เปิดจองหนังสือรวมเล่มนิยายเรื่อง สานฝันนิรันดร
ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ – วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕
รวมทุกตอนที่ลงในเล้าเป็ดและตอนพิเศษที่ไม่เคยลงมาก่อน
รูปเล่มขนาด A5 เนื้อในกระดาษถนอมสายตา ประมาณ ๓๕๐-๓๗๐ หน้า
ราคา ๔๐๐ บาทต่อชุด รวมค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน
สนใจสั่งจอง อีเมล์ติดต่อมาที่ burongmayuresh[at]gmail.com
แจ้งรายละเอียดดังต่อไปนี้
-   หัวข้ออีเมล์ สั่งจองสานฝันนิรันดร
-   Login name (ถ้ามี)
-   จำนวนชุดที่ต้องการสั่งจอง
-   ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ของผู้รับที่ต้องการให้ส่งหนังสือ
-   รอรับแจ้งรหัสในการสั่งจอง และรายละเอียดการโอนเงิน
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 03-09-2012 20:27:34
ขอบคุณสำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านและคนที่สั่งจองหนังสือครับ  o1
สำหรับคนที่ส่งเมล์จองหนังสือ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๒๖ สิงหาคม จนถึงวันนี้ (๓ กันยายน) ตั้มอีเมล์กลับเพื่อแจ้งเลขบัญชีสำหรับการโอนเงินให้แล้วนะครับ หากใครยังไม่ได้รับ มาโพสแจ้งไว้ที่กระทู้นิยายนี้ หรือ ส่งข้อความโดยตรงก็ได้ครับ

สำหรับคนที่จะอีเมล์สั่งจองหนังสือ ตั้มจะอีเมล์กลับอย่างช้าวันถัดไป  ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ อาจจะช้าเป็นวันจันทร์นะครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ  o1
ป.ล. แล้วจะเอาตัวอย่างตอนพิเศษมาลงให้นะครับ ตอนนี้กำลังตรวจทานอยู่
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 06-09-2012 15:32:17
เราส่งเมล์ไปแล้ว ไม่วันจันทร์ก็วันอังคาร แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อ
เราใช้ชื่อว่า สุพัตรา อีเมล์ i_aeawแอทhotmail.com จ๊ะ
แต่มันอาจจะหล่่น งั้นเราจองในนี้แล้วกันน้าาา
ขอ 1 ชุดค้า
ส่งรายละเอียดให้เราด้วยน้าา  ทางพีเอ็มก็ได้น้าาาา ถ้าโอนตังค์แล้วเราจะบอกที่พีเอ็มเช่นกัน ^___^
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 07-09-2012 13:20:59
เยี่ยมมากครับ.....ชอบ

vampire
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: hear2012 ที่ 07-09-2012 23:10:54
สเตฟาน นี่ความรับเยอะจริงๆนะ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 09-09-2012 19:38:01
เนื่องด้วยขณะนี้มีผู้ส่งอีเมล์สั่งจองหนังสือจำนวนหนึ่ง แจ้งมาแต่ชื่อ login และจำนวนหนังสือที่ต้องการสั่ง  ทำให้ผมไม่สามารถจัดทำฐานข้อมูลเบื้องต้นได้ 
ผมจึงต้องอีเมล์กลับเพื่อขอให้ส่งรายละเอียดทั้่งหมดอีกครั้ง 
ดังนั้นขอความกรุณาผู้ที่ต้องการสั่งหนังสือรวมเล่ม สานฝันนิรันดร กรุณาแจ้งรายเละเอียดให้ครบถ้วนดังต่อไปนี้
-   หัวข้ออีเมล์ สั่งจองสานฝันนิรันดร
-   Login name (ถ้ามี)
-   จำนวนชุดที่ต้องการสั่งจอง
-   ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ของผู้รับที่ต้องการให้ส่งหนังสือ (เป็นภาษาไทย)
-   รอรับแจ้งรหัสในการสั่งจอง และรายละเอียดการโอนเงิน
และกรุณาสั่งจองทางอีเมล์ burongmayuresh[at]gmail.com เท่านั้นนะครับ
กรุณาอย่าสั่งจองทาง PM เพราะไม่ค่อยได้ login ครับ
ขอบคุณครับ  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร [The Green Eyes] เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 (๒๖ ส.ค. ๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 09-09-2012 19:42:48
ชอบๆๆๆ แฟนตาซีดีค่ะ รักกันยาวนาน ซาบซึ้งจริงๆ รักคนเขียนค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 :ตัวอย่างตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 20-09-2012 19:37:36
บทที่ ๕๕ ตอนพิเศษ ๑ (ตัวอย่าง)

                เด็กหนุ่มเหม่อมองแสงระยิบระยับของหมู่หิ่งห้อยบนต้นลำภู  แหงนมองท้องฟ้าเห็นจันทร์เพ็ญเคลื่อนคล้อยมาอีกด้านหนึ่งของฟากฟ้า  แสดงว่าเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมามากแล้ว  เด็กหนุ่มทอดถอนลมหายใจลุกขึ้นยืน  ปัดเศษดินเศษใบไม้ที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้า  เอื้อมมือซ้ายหยิบไต้ไฟที่ปักไว้บนคาคบไม้ขึ้นมาถือไว้แล้วก้าวขาออกเดิน  โดยลืมไม้ท่อนยาวที่ใช้เบิกทางไว้บนพื้น
                 “โอ๊ย ...”  เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง  รู้สึกเจ็บแปลบที่โคนน่องซ้ายใต้ข้อพับลงมาเล็กน้อย  พอก้มมองดูก็เห็นประกายสองจุดสะท้อนแสงไต้เป็นสีแดงวิบวับ  จ้องมองจนเห็นถนัดตาก็ต้องใจหายวาบ  เพราะมันคืองูเห่าตัวเขื่องยกหัวชูคอแผ่แม่เบี้ยอยู่ห่างไปเพียงแค่มือเอื้อมถึง
..................................................................
..................................................................
                เด็กหนุ่มจ้องมองดูคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา  ใบหน้าที่เห็นได้อย่างชัดเจนขึ้นตรงหน้านั้น  ทำให้เด็กหนุ่มต้องกระพริบตาถี่  แล้วจ้องมองอย่างไม่แน่ใจนัก
                “ข้ามีสิ่งใดผิดปรกติรึ  เจ้าจึงจ้องมองเช่นนั้น”  ชายหนุ่มยิ้มละไม  “หรือเจ้าจดจำข้ามิได้แล้ว”
                “สานฝัน”  เด็กหนุ่มเรียกเสียงเครือ  “สานฝันของข้าจริงรึนี่”
                “ย่อมจริงแท้  เจ้าสินน้องข้าเอ๋ย  ข้าคิดถึงเจ้านัก”  สานฝันหรือสเตฟานพูดแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นวางบนไหล่สิน
..................................................................
..................................................................

                “แล้วนี่เจ้าจะไปแล้วรึ”  สินถามเสียงเครือเมื่อสเตฟานหันหน้ามาหา
                “แล้วข้าจะมาอีก”  สเตฟานบอกเสียงอ่อนโยน  ยิ้มให้เด็กหนุ่มที่สูงเกือบจะเท่าเขา  แต่มีเรือนร่างหนากว่า  ประกายตาทอแววรักใคร่เหมือนเมื่อครั้งเด็กหนุ่มยังเยาว์
                “กระไรจึงทำเยี่ยงนี้  พบหน้ายังมิทันหายคิดถึงก็จะไปเสียแล้ว”  สินโผเข้ากอดสเตฟาน  “อยู่เล่าสิ่งที่เจ้าประสบพบมาให้ข้าฟังก่อนนอน  เหมือนเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่  รอจนข้าหลับแล้วจึงค่อยไป  หากเจ้าไปเสียแต่บัดเดี๋ยวนี้ใจข้าคงขาดรอน”
..................................................................
..................................................................
                “สานฝัน”  สินตะโกนเรียกเมื่อมองเห็นเงาร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ริมน้ำ  เรือนผมสีทองสะท้อนแสงจันทร์เพ็ญระยับ
                ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา  สินปักไต้ไฟไว้ที่พื้นแล้วเข้าไปจูงมือสเตฟานให้นั่งลงด้วยกันบริเวณริมน้ำ
                “เจ้ามาจริง ๆ”  สินพูดอย่างดีใจ
                “ก็เข้าบอกให้ข้ามาเองมิใช่หรือ”  สเตฟานพูดพลางก้มมองดูมือของตนที่กำลังถูกลูบไล้ด้วยมือของเด็กหนุ่ม
..................................................................
..................................................................
                “สานฝัน  นั่นเจ้ามาแล้วใช่หรือไม่”  เสียงชราภาพถามขึ้นเมื่อเห็นเงาร่างสูงโปร่งนั่งลงตรงขอบเตียง
                “สินเอย  ข้าอยู่นี่แล้ว”  ชายหนุ่มเกาะกุมมือเหี่ยวย่นของชายชราบนเตียงไว้
                “สานฝันของข้าเอ๋ย”  ชายชราออกแรงดึงมือของชายหนุ่มมาแนบใบหน้า  แล้วจูบลงกลางฝ่ามือของชายหนุ่ม  “ชื่นใจข้านัก  แต่ข้าคงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้อีกแล้ว”
                “สินของข้าเอย”  ชายหนุ่มขยับตัวมาทางหัวเตียง  ก้มหน้าลงจุมพิตแก้มซ้ายขวาของชายชรา  “จงไปอย่างสงบเถิด  มิต้องห่วงอันใด  ข้าจะคอยดูแลบุตรหลานของเจ้ามิให้พวกมันตกทุกข์ได้ยาก”
                ไม่มีเสียงตอบจากชายชรา  มือเหี่ยวย่นที่เกาะกุมมือของชายหนุ่มไว้ร่วงลงมาวางอยู่แนบอก  ใบหน้าของชายชรามีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก  แสดงว่าจากไปอย่างสงบ
..................................................................
..................................................................
หมายเหตุ : ตอนพิเศษนี้มีเฉพาะในหนังสือรวมเล่มเท่านั้น
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 :ตัวอย่างตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: vavacoco ที่ 22-09-2012 06:05:28
แจ้งโอนทางเมลแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 :ตัวอย่างตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 22-09-2012 18:39:51
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 :ตัวอย่างตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-09-2012 22:32:05
รอจ้า
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดสั่งจองหนังสือรวมเล่ม Re.752 :ตัวอย่างตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 02-10-2012 21:31:15
อ่านตอนพิเศษแล้วคิดถึงสานฝัน และอยากเอาสานฝันมาอยู่ที่บ้านเร็ว ๆ จัง  :กอด1:
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งชื่อผู้สั่งจองรอบแรก เปิดจองรอบสอง
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 04-10-2012 10:42:39
   รายชื่อผู้สั่งจองและโอนเงินตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2555 ถึง 27 ก.ย 2555
001 คุณอนุวัฒน์
002 คุณคุณศิวรรจน์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
003 คุณศรุตยา
004 คุณชัชวาล
005 คุณ จันทนา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
006 คุณสุพัตรา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
007 คุณวราณี (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
008 คุณเมธา
009 คุณกนกอร ปรางศรี (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
010 คุณอุสาห์ ธารมณีวงศ์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
011 คุณธีรภัทร จันทรศิริ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
012 คุณทิพวัลย์  แสนคำ  (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
013 คุณประเสริฐ  (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
014 MR.SUPACHAI  JINOKHIEO
015 คุณพรสัมพันธ์
016 คุณศศิธร (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
017 คุณวรรณพร

     เนื่องด้วยมีผู้สั่งจองหลายท่านยังไม่ได้โอนเงินให้เรียบร้อย  และเพื่อนหลายคนบอกว่าการเปิดจองและโอนเงินเพียง ๑ เดือนนั้นสั้นเกินไป  จึงเปิดสั่งจองและโอนเงินรอบสอง ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึง วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤษจิกายน ๒๕๕๕

     รายละเอียดในการสั่งจองเหมือนเดิมครับ อีเมล์มาที่ burongmayuresh[at]gmail.com แจ้งรายละเอียดดังนี้
-   หัวข้ออีเมล์ สั่งจองสานฝันนิรันดร
-   Login name (ถ้ามี)
-   จำนวนชุดที่ต้องการสั่งจอง
-   ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ของผู้รับที่ต้องการให้ส่งหนังสือ (เป็นภาษาไทย)
-   รอรับแจ้งรหัสในการสั่งจอง และรายละเอียดการโอนเงิน
และกรุณาสั่งจองทางอีเมล์ burongmayuresh[at]gmail.com เท่านั้นนะครับ
กรุณาอย่าสั่งจองทาง PM เพราะไม่ค่อยได้ login ครับ

ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆที่สั่งจองมาในรอบแรก และต้องขออภัยด้วยนะครับที่ต้องให้รออีก ๑ เดือน o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งชื่อผู้สั่งจองรอบแรก เปิดจองรอบสอง Re.764
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-10-2012 18:07:28
รับทราบค่ะ  เดี๋ยวติดต่อทาง e-mail นะคะ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 เพิ่มตัวอย่างตอนพิเศษ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 11-10-2012 11:55:53
บทที่ ๕๖ ตอนพิเศษ ๒ (ตัวอย่าง)

                “แรกเริ่มเดิมทีมันเป็นกล่องไม้แต่ก็คงผุพังไปตามกาลเวลา  แม้แต่กระดาษที่เป็นจดหมายหลายแผ่นเปื่อยยุ่ยไปด้วย  จึงมีการทำกล่องขึ้นมาใหม่รวมทั้งจดหมายข้างใน  ก็คัดลอกต่อกันมาไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากข้อความเดิม  เว้นแต่สายสร้อยกับจี้ประดับที่ยังคงเป็นของดั้งเดิม”
                ชายชราเพ่งพิศกล่องเงินขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย  เนื้อเงินหมองเพราะถูกเก็บไว้ในตู้นิรภัยนานปี  ลวดลายบนกล่องละเอียดลออบอกให้รู้ว่าเป็นงานช่างฝีมือสมัยโบราณ
                “จดหมายหรือจะเรียกว่าพินัยกรรมก็ได้  หลายคนอ่านแล้วก็นึกขันว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร  มันเหมือนเป็นนิทานเสียมากกว่า  แต่อย่างไรก็นับเป็นคำสั่งเสียของบรรพบุรุษ  พวกเราที่เป็นลูกหลานแม้ไม่เชื่อถือแต่ก็ควรเคารพ  อย่าได้ทำละเลยเพิกเฉยและอย่าได้ลบหลู่ดูถูก”
                ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามนิ่งฟังอย่างตั้งใจ  มองดูชายชราวางกล่องเงินลงบนโต๊ะ  เปิดฝาออกแล้วหยิบของในกล่องเงินขึ้นมาชูไว้ระดับสายตา
...............................................................................
...............................................................................
                ... หากถึงคราที่พวกมึงมีปัญหา  สิ้นจนหนทางมิอาจแก้ไข  แลอาจถึงคราฉิบหายวิบัติ จงเอ่ยนามของคนผู้นั้นต่อหน้าอัญมณีที่กูตกทอดไว้ให้  แล้วคนผู้นั้นจักมาปรากฏตัวแลรับฟังคำขอประการหนึ่ง  พวกมึงที่เป็นลูกหลานกูจงไตร่ตรองให้ดีในสิ่งที่ขอ  เพราะจักขอได้เพียงประการเดียวเท่านั้น ...
...............................................................................
...............................................................................
                “ไม่จริง  เป็นไปไม่ได้”  ดำรงฤทธิ์อุทานเบา ๆ  เมื่อคิดขึ้นมาถึงความเป็นไปได้บางอย่าง  มือข้างหนึ่งยกขึ้นบีบเท้าแขนของเก้าอี้อย่างแรง
                ดำรงฤทธิ์รู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง  แทบไม่เชื่อว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่บรรพบุรุษของเขากล่าวถึง
...............................................................................
...............................................................................
                “ถ้าเช่นนั้นจงบอกมา  ลูกหลานของสินเอ๋ย  หากสามารถทำได้ก็จะทำข้อร้องขอของคุณให้เป็นจริง”  น้ำเสียงของชายหนุ่มเองก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม  สีหน้าที่มักจะยิ้มละไมเปลี่ยนเป็นน่าเกรงขาม
                “ผมขอให้ท่านอยู่กับเราตลอดไป  อยู่กับเราเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว  อยู่กับเราเหมือนเป็นผู้พิทักษ์คอยปกป้องพวกเราตลอดไป”  ดำรงฤทธิ์รีบพูดด้วยความรวดเร็ว  เมื่อพูดเสร็จก็ต้องหอบหายใจเล็กน้อย
...............................................................................
...............................................................................

หมายเหตุ : ตอนพิเศษฉบับสมบูรณ์มีเฉพาะในหนังสือรวมเล่มเท่านั้น
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 เพิ่มตัวอย่างตอนพิเศษ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 31-10-2012 12:46:36
ในขณะที่กำลังนั่งเม้นท์อยู่นี่   น้ำตาก็กำลังไหลไปด้วย  :o12:
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง   ทั้งมีความสุขที่สุด และทุกข์ที่สุด
การที่ได้รับรู้เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน
มันไม่ใช่แค่ความรักเพียงอย่างเดียว มีหลายอย่างที่ยากจะอธิบาย
แต่สามารถรับรู้ได้เมื่อเราได้สัมผัสกับเค้าทั้งสอง
อยากให้ภูริทัตอยู่ในใจสานฝันตลอดไป และสานฝันคงอยู่ต่อไป
เพื่อมองดูทรงฤทธิ์ที่คล้ายจะเป็นตัวแทนของภูริทัต ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขดีกว่า
(รึเราจะหวงพื้นที่ตรงนี้ของภูริทัตมากเกินไปหว่า...) :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 เพิ่มตัวอย่างตอนพิเศษ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 04-11-2012 08:43:50
ปกหนังสือรวมเล่มเรียบร้อยแล้วนะครับ อาจจะไม่ค่อยสวยงามนัก แต่ทำเองคงได้ประมาณนี้แหละครับ  :sad4:
ติชมกันได้ที่ facebook.com/photo.php?fbid=459938390725064&set=pb.344690105583227.-2207520000.1351993380&type=3&src=http%3A%2F%2Fsphotos-b.ak.fbcdn.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F46177_459938390725064_500902022_n.jpg&size=353%2C500

หรือเข้าไปดูที่เฟสบุคผมก็ได้ครับ facebook.com/BurongMayuresh
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 : ภาพหน้าปกหนังสือ
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 05-11-2012 09:58:42
คุณบุหรงเค้าเข้าเฟรชไม่ได้อะค้นหาหรือคลิกไปตามลิ้งมันบอกว่าหาไม่เจอ
เอาชื่อบุหรงไปค้นแล้วก็ไม่เจอเอาชื่อนิยายไปหาก็ไม่เจออะ ไม่แน่ใจว่าทำลิ้งผิดไหมคะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 : ภาพหน้าปกหนังสือ
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 06-11-2012 13:08:34
คุณบุหรงเค้าเข้าเฟรชไม่ได้อะค้นหาหรือคลิกไปตามลิ้งมันบอกว่าหาไม่เจอ
เอาชื่อบุหรงไปค้นแล้วก็ไม่เจอเอาชื่อนิยายไปหาก็ไม่เจออะ ไม่แน่ใจว่าทำลิ้งผิดไหมคะ

 :pig4:
ลองคลิีกรูปโลกสีเขียวใต้รูปโปรไฟล์ผมนะครับ มันจะลิงค์ไปเฟสผม  o22
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 : ภาพหน้าปกหนังสือ
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 08-11-2012 20:16:06
เข้าได้แล้วคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : เปิดจองรอบสอง Re.764 : ภาพหน้าปกหนังสือ
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 09-11-2012 17:48:29
โอนแล้วนะครับ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : กำหนดวันปิดการโอนเงิน
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 12-11-2012 11:19:58
เนื่องด้วยหลังวันที่ ๔ พฤจิกายน มีผู้ติดต่อขอโอนเงินและสั่งจองเพิ่มเติมจำนวนหนึ่ง
จึงขอขยายการโอนเงินสำหรับผู้สั่งจองหนังสือรวมเล่ม สานฝันนิรันดร ไปอีกจนถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ พฤษจิกายน ครับ
 o1
ส่วนรายชื่อผู้สั่งจองและผู้ชำระเิงินแล้ว จะนำมาแจ้งอีกครั้งนะครับ เพราะตอนนี้ไฟล์เอกเซลที่ทำไว้มันรวนๆ ขอเชคข้อมูลจากอีเมล์อีกครับครับ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งข่าวคืบหน้าหนังสือรวมเล่ม ๒๒ พ.ย. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 22-11-2012 14:29:10
ตอนนี้กำลังรอหนังสือตัวอย่างนะครับ  แต่คงมีปัญหาต้องแก้ไขเยอะ    :a5:  ต้องรอดูหนังสือทีพิมพ์มาก่อน
ต้องขอโทษเพื่อนๆที่ล่าช้านะครับ  ปัญหาหลายอย่างมาก   o6
- เริ่มจากคอมพ์เสียมาตั้งแต่เดือนตุลาคม  เพิ่งซ่อมเสร็จ  เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  เลยเพิ่งได้ไฟล์ไปส่งร้าน  :sad5:
- ไปร้านครั้งแรก ทำไฟล์ PDF ไปผิด  ตรวจสอบไฟล์แล้วเกิดจากต้นฉบับที่ทำใน InDesign   o2
- แก้ไขไฟล์ PDF แล้ว  แต่พอเชคไฟล์ ก็เจอปัญหาอีก ร้านแนะนำให้ทำไฟล์ใน InDesign ใหม่  เพราะไม่สามารถแก้ไขการตั้งค่าจากไฟล์ที่เสร็จแล้วได้  :freeze:

ก็ลองเซท InDesign ใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น  แล้วลองแก้ไขคร่าวๆ  ปรากฏว่าไม่ยากอย่างที่คิด  :o11:
ตอนนี้รอหนังสือตัวอย่างมาตรวจอักษร  แล้วแก้ไขไฟล์ไปพร้อมกันเลย   :o12:
จะพยายามเร่งมือให้เร็วที่สุดครับ  แล้วจะเอารูปหนังสือตัวอย่างมาโพสให้เพื่อนๆได้เห็นกันทันทีที่ได้รับหนังสือ  :sad4:
ขอบคุณและขออภัยในความล่าช้าอีกครั้งครับ  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งข่าวคืบหน้าหนังสือรวมเล่ม ๒๒ พ.ย. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 22-11-2012 15:42:42
รอได้

 :bye2:
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : รายชื่อผู้สั่งจองและโอนเงินแล้ว ๒๘ พ.ย. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 28-11-2012 12:25:27
ขอสรุปรายชื่อผู้สั่งจองและโอนเงินเรียบร้อยแล้วทั้งสองรอบดังนี้ครับ
ราชื่อผู้สั่งจองหนังสือรวมเล่ม สานฝันนิรันดร

001 คุณอนุวัฒน์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
002 คุณคุณศิวรรจน์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
003 คุณศรุตยา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
005 คุณ จันทนา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
006 คุณสุพัตรา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
007 คุณวราณี (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
008 คุณเมธา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
009 คุณกนกอร ปรางศรี (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
010 คุณอุสาห์ ธารมณีวงศ์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
011 คุณธีรภัทร จันทรศิริ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
012 คุณทิพวัลย์  แสนคำ  (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
013 คุณประเสริฐ  (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
015 คุณพรสัมพันธ์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
016 คุณศศิธร (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
017 คุณวรรณพร (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
018 คุณนันทนิจ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
019 คุณวิโรจน์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
020 คุณโชติรัตน์ (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
021 คุณน้ำผึ้ง (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
022 คุณมณฑลี (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)
024 คุณนริสา (โอนเงินเรียบร้อยแล้ว)

หากมีรายชื่อใครตกหล่นกรุณาแจ้งด้วยครับ
ส่วนเรื่องหนังสือ ดังที่เคยแจ้งไว้แล้วว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
ผมต้องเริ่มทำใหม่ตั้งแต่จัดหน้าในโปรแกรม InDesign
คงใช้เวลาอีกพักหนึ่งจึงจะจัดพิมพ์ได้  แต่อย่างไรจะเร่งมือครับ
ส่วนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จะนำมาแจ้งรายละเอียดอีกครั้งครับ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๓ ธ.ค. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 03-12-2012 13:14:04
หนังสือตัวอย่างเรียบร้อยแล้วครับ  ไปรับมาเมื่อบ่ายวันอังคารที่ ๒๗ พฤษจิกายน ๒๕๕๕
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/001.jpg)
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/002.jpg)


ดูปกหน้าชัด ๆ อีกที ^^
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/003.jpg)


เปิดดูปกใน
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/004.jpg)

เปิดต่อไปเป็นคำนำ … เริ่มเห็นความผิดปรกติตรงข้อความลิขสิทธิ์หน้าซ้าย
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/005.jpg)

เปิดต่อมา ... เริ่มเห็นชัดขึ้น ... เหงื่อตก (ลองสังเกตกันเองก่อนนะครับ เดี๋ยวจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น)
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/006.jpg)

เปิดมาถึงเนื้อเรื่องตอนที่ ๑ เห็นแบบนี้อย่างเพิ่งดีใจ
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/007.jpg)

เปิดหน้าต่อไป ... ฮือๆๆๆ
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/008.jpg)

ดูกันชัดๆ ขอบซ้ายขวากลายเป็นเหมือนกันทุกหน้า ที่เว้นไว้เย็บเล่มมาอยู่ด้านเดียวกันหมด เลขหน้าก็เช่นกัน
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/009.jpg)

สาเหตุเกิดจากตอนทำต้นฉบับด้วยโปรแกรม InDesign
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/010.jpg)

จากภาพด้านบน  ตอนที่ตั้งค่าหน้ากระดาษครั้งแรก  ไม่ได้แยกหน้าเดี่ยว  ตั้งเป็นหน้าคู่เหมือนจริง (พลาดอย่างแรงเลยตรงนี้)  ก็ตั้งค่าหน้าซ้าย-ขวาให้ต่างกันได้  จากห้าต่างโปรแกรมเราก็จะเห็นหน้าตาเป็นแบบนี้
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/011.jpg)

ก็คิดว่าสะดวกดี  แล้วเห็นเหมือนหนังสือตัวจริงเลย  แล้วพอทำเป็นไฟล์ PDF ก็ยังไม่เอะใจว่ามันออกมาเป็นหน้าคู่กัน  ก็คิดว่าเดี๋ยวทางโรงพิมพ์คงจัดการได้
แต่ทางโรงพิมพ์บอกว่าไม่สามารถทำได้  และไม่สามารถแก้ไขไฟล์ได้  ต้องเริ่มทำใหม่ทั้งหมด  เพราะผิดมาตั้งแต่การเซตค่าในครั้งแรก  ต้องทำเป็นหน้าเดี่ยว
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/012.jpg)

ก็เลยไปแก้ไขในเบื้องต้นเพื่อพิมพ์หนังสือตัวอย่างออกมาเพื่อพิสูจน์อักษรในเบื้องต้น  ผลที่ออกมาทางหน้าต่าง InDesing ก็เป็นแบบนี้
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/013.jpg)

หนังสือตัวอย่างที่พิมพ์ออกมาจึงมีความผิดพลาดเกิดขึ้น  ดังตัวอย่างที่แสดไง้ข้างต้น

ตอนนี้ผมกำลังพิสูจน์อักษรไปได้ ๓๑ ตอนจาก ๕๗ ตอนแล้ว
หลังจากนั้นก็จะทำการแก้ไขไฟล์ใน InDesign คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในกลางเดือนนี้
จึงรีบมาแจ้งข่าวความคืบหน้าให้เพื่อนๆที่ได้สั่งจองหนังสือไว้ให้ได้ทราบ
และขออภัยอีกครั้งในความล่าช้า  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๓ ธ.ค. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: lovely1714 ที่ 04-12-2012 00:11:32
ชอบเนื้อเรื่องมากเลย
เป็นเรื่องที่ประทับใจมาก
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๓ ธ.ค. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: AB^Ton^ ที่ 07-12-2012 18:02:47
ชอบครับ ขอบคุณครับที่แต่งเืรื่องดี ๆ มาฝากกัน
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๓ ธ.ค. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 08-12-2012 13:58:02
"นิรันดร" ไม่มีจริง ก็เพียงแต่ยาวนานกว่าเวลาปกติเท่านั้น

ขอบคุณมากสำหรับความน่ารักที่ไล่เรียงผ่านทางทุกตัวหนังสือในนิยายเรื่องนี้ครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๓ ธ.ค. ๕๕
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-12-2012 18:10:44
ไม่เป็นไร รอได้ค่ะ ขอบคุณที่คอยมาส่งข่าวความคืบหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๔ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 04-01-2013 19:09:13
ถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่กับเพื่อน ๆ นะครับ ช้าไปหน่อย แหะๆ  :-[

ตอนนี้ต้นฉบับที่ต้องส่งโรงพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ  เมื่อตอนเย็นวันนี้เอง(๔ ม.ค. ๕๖) 
แต่ติดเสาร์-อาทิตย์ที่ผมต้องทำงาน  คงนำไปร้านเพื่อทำการขีดพิมพ์ได้ในวันจันทร์
และคงต้องพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือตัวอย่างสำหรับการตรวจเช็ครูปเล่มและพิสูจน์อักษร 
ก่อนจะทำการพิมพ์ให้ผู้ที่สั่งจอง

อย่างไรก็ตามคงสามารถจัดส่งหนังสือได้ภายในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ครับ
ตอนนี้ก็ขอเอารูปจากโปรแกรมที่ทำการแก้ไขเรียบร้อยแล้วมาให้ดูกันก่อนนะครับ

ปกใน
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/s1_zpsc828e255.jpg)
หน้าลิขสิทธิ์-คำนำ
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/s2_zpsc82c7c54.jpg)
คำนำ๒-หน้า???(จำไมไ่ด้แล้่วว่าเรียกว่าอะไร -*-)
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/s3_zps47311f13.jpg)
เริ่มเนื้อเรื่อง
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/s4_zps0614624e.jpg)
เนื้อเรื่อง
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/s5_zps0256153f.jpg)
หน้าสุดท้ายของเนื้่อเรื่อง
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/s6_zpse73385b3.jpg)

ขออภัยในความล่าช้าและขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจครับ  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๔ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 05-01-2013 23:07:57
เตรียมตัวรอรับหนังสือ  :-[
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๑๐ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 10-01-2013 13:28:42
๑๐ มกราคม แจ้งความคืบหน้าหนังสือรวมเล่มนิยาย สานฝันนิรันดร

ไปรับหนังสือตัวอย่างมาแล้วเมื่อเย็นวันที่ ๙ นี้เองครับ  :oni1:
ถ่ายรูปมาให้ดูกันก่อนว่าหลังจากแก้ไขแล้วเป็นอย่างไรบ้าง  :-[
หน้าปกทั้งปกหน้า ปกหลัง ปกใน  ไม่มีการแก้ไขครับ เหมือนเดิมทุกประการ  :laugh3:
หน้าลิขสิทธิ์-คำนำ เว้นขอบบน-ล่างน้อยลงกว่าเดิม เพราะเว้นขอบซ้าย-ขวามากขึ้น
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/014_zps1db99705.jpg)

หน้าเนื้อเรื่อง  เลขหน้าชิดขอบนอกจากของเดิมชิดขอบด้านซ้ายทั้งหมด
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/015_zpsa359b324.jpg)

ดูเลขหน้าชัดๆอีกครั้ง (น่าเสียดายที่โปรแกรมไม่สามารถใช้เลขไทยได้ จังอาจทำให้ขัดความรู้สึกกับเนื้อเรื่องที่ใช้เลขไทยทั้งหมด  ต้องขออภัยอย่างมากครับ)
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/016_zps52dc2160.jpg)

ขอบในของหนังสือแอบกังวลว่ากลาง ๆ เล่ม มันจะน้อยเกินไปหรือเปล่า  แต่ก็ดีกว่าที่คิด  อาจต้องแบะหนังสือเล็กน้อย  จากภาพเป็นกลางเล่มครับ
(http://img.photobucket.com/albums/v428/tumty/San_Fun/017_zpsf05d3847.jpg)

ตอนนี้คงต้องขอใช้เวลาพิสูจน์อักษรและวรรคตอนอีกครั้งนะครับ  คงใช้เวลาไม่มากเท่าครั้งแรก   o8
แล้วจะมาแจ้งความคืบหน้าอีกครั้งครับ  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๑๐ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 11-01-2013 11:07:19
จะรอ สู้ ๆ นะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๑๐ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-01-2013 13:13:58
รอได้ค่ะ  รอน้ำหยดอยู่ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๑๐ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 20-01-2013 00:51:48
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านนิยายเรื่องนี้

สนุกมากเลยครับ เสียดายอ่ะที่มาสั่งซื้อหนังสือไม่ทัน ถ้ายังพอเหลืออย่าลืมแจ้งข่าวด้วยน่ะครับ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๒๒ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 22-01-2013 20:11:24
วันนี้ส่งต้นฉบับไปพิมพ์หนังสือจริงแล้วนะครับ จะได้บ่ายวันเสาร์
แต่ผมติดทำงานเสาร์-อาทิตย์ จึงจะไปรัีบหนังสือในวันจันทร์หรืออังคาร (๒๘-๒๙ ม.ค.)
และจะรีบจัดส่งโดยเร็วครับ
สำหรับผู้ต้องการสั่งหนังสือเพิ่มเติม ขอให้ PMแจ้งความจำนงค์ไว้ก่อนแล้วกันครับ
เพราะสั่งพิมพ์เกินไว้นิดหน่อย รายละเอียดการโอนเงินคงต้องหลังส่งหนังสือให้ผู้สั่งจองและชำระเงินเรียบร้อยแล้วก่อน
จะได้เคลียร์เป้นชุดๆไป
ขอบคุณครับ o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๒๒ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 23-01-2013 12:22:35
รับทราบค่าาาาา
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๒๒ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: TinyB ที่ 23-01-2013 23:06:06
ในที่สุดก็ตามอ่านจนจบ เกรงๆอยู่ว่าจะจบเศร้า แต่ก็ยังดี ถือว่าไม่เศร้าซะทีเดียว
นายเอกน่าจะกัดคอพระเอกแฮะ จะได้ครองรักกันชั่วนิรันดร  :กอด1:
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งความคืบหน้าเรื่องการจัดทำหนังสือ ๒๘ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 28-01-2013 16:15:02
ตอนนี้หนังสืออยู่ที่บ้านแล้วครับ แกะกล่องตรวจเชคสภาพเรียบร้อยแล้วครับ  :laugh3:
คงจะจัดส่งได้อย่างเร็วภายในวันอังคาร (๒๙ มค)  อย่างช้าวันพฤหัสบดี (๓๑ มค)
จะแจ้งหมายเลขพัสดุให้ทราบทางอีเมล์นะครับ  :impress:
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งการจัดส่งหนังสือ ๓๐ ม.ค. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 30-01-2013 14:03:33
จัดส่งหนังสือเรียบร้อยแล้วนะครับ และได้อีเมล์บอกหมายเลขไปรษณีย์ลงทะเบียนให้แก่ผผู้สั่งซื้อทุกคนแล้ว
ใครยังไม่ได้รับอีเมล์แจ้ง ขอให้พีเอ็มหรืออีเมล์แจ้งด่วนนะครับ
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งการจัดส่งหนังสือ ๑ ก.พ. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 01-02-2013 15:14:46
ลองเช็คจากเวปของกรมไปรษณีย์แล้ว ในเวปรายงานว่ามีหลายคนได้รับหนังสือแล้ว  :impress2:
ยังไงรบกวนคนที่ได้รับหนังสือแล้วช่วยอีเมล์แจ้งให้ทราบด้วยนะครับ  :-[
ส่วนคนที่ยังไม่ได้รับคิดว่าคงจะได้รับภายใน ๑-๒ วันนี้แหละครับ  :impress:
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : แจ้งการจัดส่งหนังสือ ๔ ก.พ. ๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 04-02-2013 10:42:10
เพื่อน ๆ หลายคนคงได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วนะครับ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ในเขตกรุงเทพฯ  :oni2:
เพราะตั้มเองก็เชคกับระบบของไปรษณีย์อยู่ด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้ก็มีเพื่อน ๆ ในต่างจัุงหวัดบางคนนะครับที่ยังไม่ได้รับ  คงจะได้รับภายใน ๑-๒ วันนี้
หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 13-02-2013 10:26:17
จากการตรวจสอบหนังสือรวมเล่มนิยาย สานฝันนิรันดร ก็ถึงมือผู้รับเรียบร้อยแล้วทุกคน  :interest:
ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความไว้วางใจ  ทั้งที่การทำงานของผมล่าช้าไปมาก (มากกว่าที่ตั้งใจไว้ด้วย  o7 )
งานครั้งนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ได้ลงมือทำด้วยตัวเองทุกขัุ้นตอน 
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น  จะนำไปปรับปรุงให้งานชิ้นต่อไปดำเนินไปอย่างคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น
และจะปรับปรุงคุณภาพของงานให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย
สำหรับงานรวมเล่มชิ้นต่อไป  คงเป็นหนังสือรวมเล่มนิยาย ผู้มาเยือนยามวิกาล ภาค น้ำหยด-ต้นไม้

ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ไว้วางใจและให้กำลังใจมาตลอดครับ  o1
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-02-2013 09:04:18
จากการตรวจสอบหนังสือรวมเล่มนิยาย สานฝันนิรันดร ก็ถึงมือผู้รับเรียบร้อยแล้วทุกคน  :interest:
ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความไว้วางใจ  ทั้งที่การทำงานของผมล่าช้าไปมาก (มากกว่าที่ตั้งใจไว้ด้วย  o7 )
งานครั้งนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ได้ลงมือทำด้วยตัวเองทุกขัุ้นตอน 
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น  จะนำไปปรับปรุงให้งานชิ้นต่อไปดำเนินไปอย่างคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น
และจะปรับปรุงคุณภาพของงานให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย
สำหรับงานรวมเล่มชิ้นต่อไป  คงเป็นหนังสือรวมเล่มนิยาย ผู้มาเยือนยามวิกาล ภาค น้ำหยด-ต้นไม้

ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ไว้วางใจและให้กำลังใจมาตลอดครับ  o1

เขียนภาค 3 ให้จบ  แล้วรวมเล่มทุกภาคเลยก็ดีนะ  ฮี่ ฮี่ ฮี่
เรียกร้องมากไปนะเนี่ยะ  (รู้ตัวอยู่เหมือนกัน)
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 14-02-2013 10:41:45
เขียนภาค 3 ให้จบ  แล้วรวมเล่มทุกภาคเลยก็ดีนะ  ฮี่ ฮี่ ฮี่
เรียกร้องมากไปนะเนี่ยะ  (รู้ตัวอยู่เหมือนกัน)
ทีแรกก็ตั้งใจแบบนั้นเหมือนกันฮับ แต่ ... มันจะหนักไปเพราะทำอยู่คนเดียว  :dont2:
แล้วอาจจะหนักไปสำหรับค่าหนังสือสำหรับเพื่อนบางคน
แต่ไม่ต้องห่วงนะครับเรื่องคอนเสปของรูปเล่ม จะให้เป็นคอนเสปเดียวกันหมด
ทั้งแบบปก ขนาด ตัวอักษร แล้วไรอีกหนอ นึกไม่ออกและ  :-[
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 14-02-2013 18:44:02
อ่านจบแล้วววววววววววววววววว
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกค่ะ
ประทับใจมากๆ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล
ยิ่งตอนท้ายๆนะ สงสารสานฝันมากๆเลย
แต่ถึงยังไงภูริทัตก้จะอยู่ในใจสานฝันนิรันดร
ตามชื่อเรื่องเลย เป็นนิยายอีกเรื่องที่ทำให้ประทับใจมากๆค่ะ
เข้าใจภูริทัตเลยที่อยากให้สานฝันมีความสุข
แต่ถ้ารักเรารักใครสักคนหมดหัวใจ
การรักคนใหม่มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะ
ซึ้งมากกกกกกกกกกกก บวกๆให้คุณบุหรงค่ะ
และขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 14-04-2013 00:16:44
ไม่ทราบว่ามีเหลือบ้างมั๊ยเอ่ย...?....
อยากได้สานฝันมานอนอ่านบ้าง
ช่วงที่เปิดจองพอดีมีอุบัติเหตุเข้า รพ.
เลยไม่ได้หนังสือ...ชอบเรื่องนี้มาก..เฮ้อ!!! เสียใจจังเลย   :mew4: :ling1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 15-04-2013 16:45:02
อ่านรวดเดียวจบ (ขอปรบมือให้คนเขียน ^_^)
อ่านแล้วอินมาก ได้อารมณ์(ประกอบกับจินตนาการส่วนตัว 555) แต่ยังไงก็ยังถือว่าตอนจบดราม่าอยู่ดี T^T
เราอาจจะติดกับนิยาย happy ending มากไป แต่ก็เอาเถอะเป็นความทรงจำที่ดีของนายเอก (อาการหนัก 555)
อาจมีงงๆกับฉากอดีตสลับกับปัจจุบันไปบ้าง แต่โดยรวมประทับใจมากจริงๆ เป็นกำลังใจให้ต่อไปจ้า

 :hao5: :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: kimmy-g ที่ 19-05-2013 13:55:24
เจอเรื่องนี้ในกระทู้แนะนำนิยายน่าอ่าน งงมากว่าพลาดไปได้ยังไงทั้งๆที่ได้อ่านเรื่องผู้มาเยือนยามวิกาลครบทั้ง 2 ภาคแล้วก็กำลังตามอ่านภาค 3 อยู่ด้วย  อยากบอกว่าประทับใจเรื่องนี้มากเลยค่ะ มันให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน ลึกลับ แล้วก็หน่วงในใจแปลกๆ อ่านแล้วรู้สึกว่าความรักเป็นเรื่องที่สวยงามจริงๆ (ทั้งที่ปกติไม่ชอบอ่านเรื่องที่โรแมนติก หรือหวานๆเลย) ขอบคุณคนเขียนมากๆที่แต่งเรื่องดีๆมาให้ได้อ่าน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: Simple ที่ 17-07-2014 15:42:21
อ่านรวดเดียวจบ ซาบซึ้งมากครับ

เรื่่องราวน่าติดตาม ภาษาสวยงาม อ่านไม่มีสะดุด

จะติดตามอ่านผลงานอื่นๆของคุณบุหรงคับ :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 08-08-2014 13:55:09
 :z3: เสียใจที่ดองเรื่องนี้ไว้นานมากกกก กว่าจะได้มาอ่าน

สนุกมากกกเลยค่ะ จะไปตามอ่านเรื่องอื่นๆนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ+1 :mew1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 11-08-2014 10:47:07
อ่านแล้วกรี๊ดกร๊าดค่ะ เจ้าทัตน่ารักมากก

ชอบสานฝันค่ะ ปลื้มคนอบอุ่น
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-08-2014 10:49:57
ชอบมากกกกกกก  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-08-2014 10:50:59
ชอบมากก
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 03-12-2014 21:13:15
สนุกมาก ๆ ครับเรื่องนี้ แต่สงสาร สานฝัน

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 18-12-2014 00:09:55
ถ้าทรงฤทธิ์เป็นหลานทรงเดช  แสดงว่าไม่ได้กิ๊กกับรังสรรค์สินะ  แหม่อุตส่าห์เชียร์
 :mew6:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 20-12-2014 03:28:05
สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย
ถือเป็นงานเขียนดีๆ อีกเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำให้คนอื่นได้อ่าน

 :L2:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 28-08-2015 18:41:24
พึ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้ ยอมรับมาอ่านตอนแรกเกือบไม่จบคือเหมือนกับไม่รู้ว่าเรื่องจะไปทางไหน แต่พออ่านๆไปกับชอบมาก เนื้อเรื่องแปลกดี ไม่เหมือนใคร สงสารสเตฟานจัง มีความรักมั่นคงกับธัต สรุปว่าชอบค่ะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: BoJuNg ที่ 13-09-2015 15:33:07
 :o12:


เศร้าอ่าาา  น้ำตาไหลลล

ไม่น่าอ่านตอนขบเลยยย

ขอบคุณค่าาา
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 17-01-2017 20:04:02
เส้า แต่สนุก มาก
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-12-2017 03:19:30
จบแบบเศร้า ๆ เสียน้ำตาไปหลายปี้บ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 11-12-2017 07:47:28
อ่านตอนแรกๆคิดว่าจะมาม่าแล้วก็แอคชั่นเยอะซะอีก
พออ่านจนจบ อ่อ มันออกแนวคลาสสิคอยู่นะ ชอบ ><
อ่านจนจบแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากเลยค่ะ
ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของชื่อเรื่องที่คนแต่งต้องการจะสื่อซะที
ขอบคุณมากค่ะ
ชอบจริงๆ
ความคิดของภูริทัตนี่..นึกไม่ถึงเลยจริงๆ
เวลาที่อยู่ร่วมกันมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความผูกพันธ์
แน่นอน เวลาจากกันมาถึง ย่อมทำให้เจ็บปวดมากขึ้นตามไปด้วย รู้แบบนี้แล้วก็ยิ่งชอบภูริทัตเข้าไปใหญ่
จากตอนแรกที่คิดว่าภูริทัตนิสัยเด็กมากๆ แถมยังทำอะไรที่เป็นรูปธรรมให้สเตฟานไม่ได้มากก็ตาม แต่ไม่คอดเลยว่า การตัดสินใจที่จะเป็นมนุษย์ต่อไปโดยไม่ขอร้องให้สเตฟานเปลี่ยนภูริทัต จะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ ทำให้รู้เลยว่าภูริทัตรักสเตฟานมากๆจริงๆ
หัวข้อ: Re: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 11-12-2017 19:18:27
เปิดมา รู้สึกใจไม่ดีเลยขอวาร์ปไปดูคอมเมนท์หน้าสุดท้าย เห็นว่าเศร้า จบเศร้าเต็มเลย แต่ก็อ่านต่อไป อ่านจนจบ ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่อ่าน มันไม่ได้เศร้าเลยในความรู้สึกของเรา เพราะรักก็ยะงนิรันดรต่อไปไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้แยกกันแบบแตกหักอะไรสักหน่อย นั่นเป็นอะไรที่ดีมากในความรู้สึกเรา คิดว่านี่คือตอนจบที่ดีมาก ขอบคุณคนเขียนนะที่เขียนอะไรสนุกให้เราอีกแล้ว ยอมรับจากใจว่าเดี๋ยวนี้ลืมง่ายอ่านมาแล้วก็ชอบลืมว่าเนื้อหาเป็นยังไง ผลงานของคุณเราลืมเนื้อหาไปแล้ว จำได้แค่ว่าเคยอ่านและชอบ ต้องขอโทษจริงๆ แต่เราก็จะอ่านต่อไปขอบคุณนะ